พิมพ์หน้านี้ - (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: pita ที่ 27-03-2014 14:07:28

หัวข้อ: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 27-03-2014 14:07:28
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,
ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง
ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก
ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ
กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว
ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง
ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะ
เสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น
คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว
ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย
และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย
เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ
ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ
ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ
โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


สารบัญ
เธอคือทั้งหัวใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41492.msg2660152#msg2660152)
กลิ่นแก้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41492.msg2660152#msg2660152)
รหัทรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41492.30)
Kiss The Rain (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41492.90)


หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) เธอคือทั้งหัวใจ ตอน แรก By Pita : 27/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 27-03-2014 14:12:58
นี่ทู้รวมเรื่องสั้น ตามอารมณ์ ของ นังพิต  มีทุกแนว นะฮ๊าฟฟฟฟ  ตามอารมณ์ นางจริงๆ แต่กลัวจะดราม่าเป็นหลัก
ตามสไตส์พิตต้า ฮ่าๆๆๆ
:pig4: :pig4:


No.1 เธอคือทั้งหัวใจ (YAOI)

คนบางคน เกิดมาให้เรารัก เราก็ทำได้แค่รัก ….

ใครคนหนึ่งยืนหลบมุมอยู่ภายในสวนสวยเสียงของเพลงบรรเลงหวานๆ ยังคงดังคลออยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้คนที่อยู่รายรอบกำลังยิ้มอย่างเป็นสุข  โดยเฉพาะคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าบาทหลวงในตอนนี้ 

ยิ้มได้แล้วสินะ

เขายิ้มเมื่อเห็นว่า “ใครคนนั้น” กำลังยิ้ม ก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากงานไปเงียบๆ
เขาทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว ในที่สุดเขาคนนั้นก็ยิ้มได้แล้ว รอยยิ้ม ที่มาจากหัวใจ ทำให้เขามีความสุข เช่นกัน…



8 ปีก่อน

ร่างเพรียวยืนมองอาคารเรียนกับบรรยากาศที่แปลกตา แหงล่ะ ก็เขาเพิ่งจะวันแรกอะไรๆมันก็ดูแปลกไปซะหมด ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกกันนะ ที่มาย้ายโรงเรียนตอนมอปลาย คิดถึงเพื่อนชะมัด ไม่รู้ว่าที่นี่จะได้เจอคนแบบไหน เขาจะมีเพื่อนบ้างหรือเปล่านะ

เพี๊ย!!

“ไอ้ห่า กูเรียกทำไมไม่หัน” 

“ใครแมร่งตบหัวกูว่ะ!!” สบถก่อนจะหันกลับไปด่าไอ้คนไร้มารยาทที่มันตบหัวผมแรงจนเห็นดาว

“มึงตบหัวกูไมวะ!!”

“โทษที กูนึกว่ามึงเป็นเพื่อนกู น่ะ แหะๆ” ไอ้คนไร้มารยาทบอกก่อนจะมองร่างเพรียวด้วยแววตาสำนึกผิด

“ทีหลังก็หัดดูซะบ้างสิวะ ไม่ใช่เอะอะก็ตบ กูเจ็บนะสัด ” คนเตี้ยกว่ายังตะคอกไม่หยุด พลางมองคนตัวสูงตรงหน้าอย่างเจ็บใจ

“กูก็ขอโทษแล้วไง มึงจะเอาไงอีกตบกูคืนเลยม่ะ เดี๋ยวกูยืนให้ตบเลย”

ผลั๊ว!!

อย่าคิดนะว่าเขาจะไม่กล้า ถึงจะเพิ่งมาเรียนที่นี่เป็นวันแรกแต่คนอย่าง นาย “วาคิม” ไม่ เล็กนะครับ (หมายถึงใจน่ะ)

“โหไอ้นี่ มึงทำจริงเหรอว่ะ”

“ก็เออเดะ ใครจะให้มึงตบฟรีๆล่ะสัด”

“ฮ่าๆๆ เออกูชอบว่ะ มึงแมร่งแปลกดี กูชื่อ เคน ม 4 ห้อง 1 มึงอ่ะ” อีกคนถามผม

“กูชื่อ วา อยู่ห้อง 3 ”

“มึงเพิ่งย้ายมาเรียนนี่เหรอ” อีกคนถามพร้อมกับอาสาพาไปส่งที่ห้องเรียน อย่าถามว่าทำไมถึงไปถูกนั่นเพราะอีกคนเรียนที่นี่มา
สามปีแล้วไง

“อืม ”

“ดีล่ะ งั้นกูก็เป็นเพื่อนคนแรกของมึงสินะ”

“เออ ไอ้เพื่อนคนแรก”


นั่นเป็นวันแรกที่เขาได้พบกับ เคน…




“เชี่ย ตื่นๆ ลืมตาขึ้นมาอ่านหนังสือเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มตะโกนก่อนที่จะลากร่างเพรียวที่หลับให้หนังสืออ่านมานานสองนานให้ลุกขึ้น

“กูขออีก ห้านาที นะ” อีกคนบอกอย่างงัวเงีย

“ไม่ได้เด็ดขาด  จะสอบอยู่แล้วนะมึงยังขี้เกียจตัวเป็นขนอยู่อีกเหรอ แล้วนี่นะจะสอบมหาลัยC” ร่างสูงบ่นเป็นหมีกินผึ้งพลางดีด
หน้าผากคนที่นอนอยู่ไปด้วย

“ก็กูเกลียคณิต มึงเข้าใจไหมว่ากูเกลียดมัน อะไรก็ไม่รู้ใช้ไม่ได้สักอย่าง กูถามมึงหน่อยสิ ว่าถ้ามึงไปซื้อผักที่ตลาดมึงต้องถอดรูทไหม กูไม่เข้าใจจะเรียนทำไมยากขนาดนี้” บ่นยาวเยียดก่อนจะฟุบหน้าลงกับหนังสือคณิตศาสตร์เล่มหนา ข้อเดียวอย่างเดียว
ของมันก็คงใช้แทนหมอนได้สบายที่สุดนี่แระ

“ไม่ได้ๆ ถึงยังไงมึงต้องอ่านเข้าใจไหม”

“เออ บังคับกูจัง ไอ้เด็กห้องคิงเอ้ยยยยยยยย” ร่างเพรียวบอกอย่างขัดใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตา ทำโจทย์คริตของตัวเองต่อไปโดยมีร่างสูงนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ




วาคิมเงยหน้าขึ้นมองด้านข้างของคนที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสืออย่างจริงจังก่อนจะยกยิ้ม สามปีแล้วสินะที่เขากับไอ้คนตัวสูงนี่เป็นเพื่อนกัน ทั้งๆที่ ไม่เคยคาดคิดว่าจะสนิทกันได้ แต่เขากับเคนกลับมาสนิทกันอย่างไม่น่าเชื่อ จากความสนิท เริ่มเป็นความผูกพัน และจากความผูกพัน มันเริ่มกลายเป็นความ….รัก

แม้ในใจลึกๆ ร่างเพรียวอยากจะบอกให้อีกคนรู้เหลือเกินว่าตอนนี้เขารู้สึกยังไง แต่กลับไม่กล้า  ไม่กล้าจริงๆที่จะพูดคำๆนั้นออกไป กลัว   กลัวว่า ความเป็นเพื่อนที่ผ่านมา มันจะหายไป เพราะเขารู้ดี ว่าอีกคน ไม่เคยคิดอะไรกับเขานอกจากคำว่าเพื่อน ร่างสูงเป็นคนร่าเริงและมีมนุษย์สัมพันธ์ดีกับคนอื่นเสมอถึงมีเพื่อนมากมายต่างจากเขาที่หน้าตาท่าทางไม่ค่อยรับแขกสักเท่าไหร่ก็เลยมีเพื่อนอยู่ไม่กี่คน  เขายังไม่อยากเสียเพื่อนรักไป  ไม่อยากเลยจริงๆ



1 เดือนผ่านไป

“เย้ๆๆ  ติดแล้วโว้ย!!!!” เสียงตะโกนโห่ร้องอย่างดีใจของร่างเพรียวที่ดังลั่นบ้านทำเอาผู้เป็นแม่ที่อยู่ชั้นล่างถึงกับส่ายหน้าระอา

“เป็นไรห่ะ วา เบาๆหน่อยสิลูก”

“แม่  ผมทำได้แล้ว  ผมทำได้แล้ว!!” ร่างเพรียวที่วิ่งลงมาจากชั้นสองกระโดดกอดผู้เป็นแม่แน่น

“อะไรลูก ไหนพูดช้าๆสิ”

“ผมสอบติดมหาลัยC แล้วนะแม่” ร่างเพรียวร้องลั่นด้วยความดีใจ ก็มหาลัยนี้เป็นความฝันของเขาเลยนะ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเด็กห้องซีอย่างเขาจะสอบติด คงต้องยกความดีความชอบให้ติวเตอร์จอมโหดของเขานั่นแหล่ะ ว่าแล้วก็โทรไปอวดมันดีกว่า


“โหลๆๆๆ” วาคิมกรอกเสียงลงไปในเครื่องมือสื่อสารทันที

“ใครว่ะ” คนในสายตอบกลับมา

“ไอ้เคน นี่กูวานะ”

“มีอะไรเหรอมึง”

“วันนี้ประกาศผลสอบ มึงจำไม่ได้เหรอ”

“เออว่ะ กูลืมไปเลย มังแต่ยุ่งๆ ว่าแต่มึงโทรมาทำไมว่ะ จะโทรมาฟ้องกูอ่ะดิว่าสอบไม่ติด ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะของอีกคนทำ  เอาร่างเพรียวหน้ามุ่ย

“ดูถูกๆ คนเก่งๆอย่ากูนะ  …… สอบติดแล้วโว้ย!!!“ ตะโกนบอกอีกคนอย่างดีใจ

“เฮ้ย จริงเหรอ งั้นต้องฉลองดิว่ะ  ดีเลยงั้นมึง โทรชวน ไอ้ชา ไอ้แซน แล้วก็ไอ้ก้องด้วยนะ ของแบบนี้ต้องฉลอง กูลี้ยงเองเจอกัน
ที่ร้าน XX นะ กูมีเรื่องจะบอกมึงอยู่เหมือนกัน”

“เออ เดี๋ยวเย็นเจอกันนะ”  วาคิมบอกก่อนจะวางสาย 





“เฮ้ย ทางนี้ๆ” ร่างเพรียวกวักมือเรียกเพื่อนอีกสามคนให้มานั่งที่โต๊ะ

“โห แมร่งไอ้เคน นี่มันใจป้ำไว้ เลี้ยงร้านหรูซะ” คนมาใหม่เอ่ยก่อนที่จะนั่งลงข้างๆวาคิม

“แน่ล่ะ ไอ้ชา มึงคิดดูสิ คนอย่างไอ้วาเนี่ยนะ ติดมอC  ถ้าเป็นกูนะกูปิดซอยเลี้ยงด้วยซ้ำ” คนแก้มป่องเอ่ยบอกเพื่อไขข้อข้องใจของเพื่อน แต่ดูเหมือนคนที่ถูกพาดพิงจะไม่พอใจเท่าไหร่

“โห่ ไอ้แซน คนอย่างกูก็มีสมองนะเว้ย ถึงจะอยู่ห้องซีก็เถอะ ”

“เอาน่า  อย่าไปถือสาสองคนนี้เลย แล้วนี่ไอ้เคนไปไหนล่ะ” คนที่นั่งถัดจากคนแก้มป่องเอ่ยถาม

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ  มันบอกให้กูกับพวกมึงมารอมันที่นี่ เดี๋ยวมันจะตามมา”

“อย่าไปสนใจมันเลย ไอ้ก้อง  ไอ้นั่นมันก็สายประจำ”  คนที่ถูกเรียกว่า “ไอ้ชา” หรือชื่อจริงๆคือ ใบชา บอกเพื่อน

“มึงก็ไปว่ามัน มันอาจจะติดธุระก็ได้นะ” ร่างเพรียวแก้ตัวแทน

“แก้ตัวแทนมันตลอด”  แซน  ผู้ชายแก้มป่องเอ่ยล้อ  ก็นะพวกเขาทั้งสามคนน่ะ ดูออกตั้งแต่ปีมะโว้แล้วไอ้เนี่ยมันแอบชอบไอ้เคน จะมีก็แต่ไอ้เจ้าตัวคนถูกชอบนั่นแหล่ะ ไม่รู้ว่าโง่หรือแกล้งโง่กันแน่ที่ไม่ยอมรู้สักที





“เฮ้ย  โทษทีว่ะ ”  ร่างสูงเดินมาที่โต๊ะก่อนจะขอโทษขอโพยเพื่อนเป็นการใหญ่

“เออ ไม่เป็นไร ว่าแต่ใครว่ะ” ก้องตอบ ก่อนจะมองเลยไปที่อีกคนที่ร่างสูงพามาด้วย

“อ้อ นี่ เน   แฟนกูเอง” เคนตอบก่อนที่กุลีกุจอ จัดเก้าอี้ให้คนที่มาด้วยนั่ง



ร่างเพรียวกำลังอึ้ง  อึ้งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าร่างสูงมีคนที่รักอยู่แล้ว สัมผัสแผ่วเบาจากเพื่อนที่นั่งข้างๆทำให้เขารู้สึกตัว ก่อนที่มือของใบชาจะบีบเข้าที่มือเรียวเพื่อให้กำลังใจ

“มึงโอเคนะ” ใบชากระซิบ

“โอเคสิ เพื่อนมีแฟนกูก็ต้องโอเคอยู่แล้ว” วาคิมตอบ แม้ว่าตอนนี้จะเจ็บ  เจ็บมากๆ ที่รู้ว่ามือคู่นั้นไม่ว่างอีกต่อไปแล้ว แต่ไม่
เห็นจะเป็นอะไร ในเมื่อวันนี้  เคนยังยิ้มให้เขาอยู่



“เออ จริงๆที่กูมาวันนี้ กูมีเรื่องจะมาบอกพวกมึงว่ะ”

“เรื่องอะไรว่ะ” แซนโพล่งถามออกไปตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น

“คือว่านะ” ร่างสูงยิ้มเขินก่อนจะกุมมือของคนที่นั่งข้างๆแน่น

“กูกับเนจะหมั้นกันว่ะ”

“หมั้น!!!” สามเสียงตะโกนแทบจะพร้อมกัน  แต่มีบางคนที่กำลังพูดไม่ออก

“อืม กูสองคนน่ะ คบกันมาได้สักพักแล้ว ก็เลยคิดว่าจะหมั้นกันก่อนแล้วไปเรียนต่อที่แคนนาดาด้วยกัน เรียนจบก็คงแต่งงานกัน
เลยน่ะ พวกมึงไม่โกรธกูใช่ไหมที่กูบอกกะทันหันแบบนี้”



“ไม่หรอก  พวกกูจะโกรธมึงได้ยังไง พวกกูต้องยินดีกับมึงสิ จริงไหม” วาคิมที่เหมือนเพิ่งจะหาเสียงตัวเองเจอบอกออกไปก่อนจะหันไปถามความเห็นจากเพื่อน

“อื้อ พวกกูต้องดีใจสิ” สามเสียงตอบพร้อมกันแม้ว่าบรรยากาศมันจะกระอักกระอ่วนพิกลก็ตามน่ะนะ





ร่างเพรียวจ้องมองนกเหล็กที่บินขึ้นท้องฟ้า อย่างอาวรณ์ 

เคนไปแล้ว

ไปพร้อมกับคนที่ร่างสูงรัก

“มึงไหวแน่นะ” ใบชาเอื้อมมือเตะไหล่คนที่นั่งเหม่ออย่างเห็นใจ แต่เขาเป็นคนนอก เรื่องแบบนี้คงพูดมากไม่ได้ในเมื่อเจ้าตัวมันเลือกที่จะไม่บอก เขาก็คงไม่มีสิทธิ์ไปบังคับให้มันบอกรัก ได้หรอก

“ไหวสิ กูไหว ”  ร่างเพรียวซบหน้าลงกับไหล่บางของเพื่อนก่อนที่จะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้าๆ ไม่มีเสียงสะอื้น  ไม่มีการฟูมฟาย แค่เพียงปล่อยให้หัวใจ มันได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นบ้าง  ก็เท่านั้น….


7 ปี ผ่านไป

กริ๊งๆๆๆๆๆ

เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นปลุกให้ร่างที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทันเมื่อรู่ว่าวันนี้ต้องไปทำอะไร

วันนี้เคนจะกลับมา 

กลับมาหลังจากที่ได้เจอกัน 7 ปี




สนามบิน

ร่างเพรียวยืนชะเง้อมองหาเพื่อนสนิทของตัวเองแต่หายังไงก็หาไม่เจอสักที นี่มันก็เลยเวลามานานแล้วนะ

“ไอ้วา” เสียงเรียกดังขึ้นก่อนที่ผู้ชายผมทองคนนึงจะยิ้มให้

“ไอ้เคน” เขายิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะโผเข้ากอดร่างสูงด้วยความคิดถึง  คิดถึงมากเหลือเกิน

“เฮ้ย พอๆ  นี่มึงคิดถึงกูมากขนาดนั้นเลยเหรอว่ะเนี่ย”

“อื้อ” ร่างเพรียวพยักหน้า

“โห ร้องไห้ด้วย ไม่ได้เจอกัน เจ็ดปีนี่มึงเปลี่ยนจากไอ้วา จอมซ่าเป็นไอ้วา ขี้แยแล้วเหรอว่ะ” ร่างสูงเอ่ยล้อ

“ใครขี้แยว่ะ  เออ แล้วนี่ แฟนมึงล่ะ”

“เขากลับมาก่อนกูได้ เดือนนึงแล้วล่ะ” ร่างสูงบอกแต่กลับเป็นประโยคบอกเล่าที่มันแฝงไปด้วยความเศร้าชอบกล

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“เอาไว้ถึงห้องก่อนได้ไหม เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง” ร่างสูงบอกก่อนจะเดินนำ






“เฮ้อ  เหนื่อยว่ะ”  เคนสบถ ก่อนจะกระแทกตัวลงบนโซฟาตัวใหญ่ เพราะครอบครัวย้ายไปตั้งรกรากที่แคนนาดาทำให้ตอนนี้เขาไม่มีบ้านที่ไทยอีกแล้ว ก็เลยต้องมาอาศัยห้องเพื่อนรักอยู่ไปก่อนจนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ บอกกูได้นะ”

“หึ มึงนี่สมเป็นเพื่อนรักกูจริงๆเลยว่ะ รู้ด้วยสินะว่ากูกำลังไม่สบายใจ”

เพื่อนรัก??    ไม่รู้ทำไมเวลาที่ได้ยินทีไร มันเจ็บทุกทีสิน่า

“เคน  เวลาที่มึงมีความสุขน่ะ ไม่ต้องคิดถึงกูก็ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ทุกข์ให้นึกถึงกูเป็นคนแรก เข้าใจไหม” ร่างเพรียวบอกก่อนจะจับมืออีกคนไว้แน่น

“ชอบใจนะ ขอบใจมาก”

“อืม พูดมาเถอะ”

“เนไม่สบาย  ไม่สบายหนักมากจนหมอที่โน่นบอกว่าโอกาสรอดมีไม่กี่เปอร์เซ็น เขาก็เลยอยากกลับมาที่จีน แต่กู กู กูรักเขามากนะเว้ย กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา กูอยู่ไม่ได้จริงๆนะ” ร่างสูงบอกก่อนที่จะกอดเพื่อนรักไว้แน่น น้ำตาลูกผู้ชายที่เขาไม่เคยเห็นร่างสูงหลั่งเพื่อใครสักครั้ง กำลังหยดลงบนเสื้อของเขาจนเปียกชุ่ม มันไหลออกมาเพื่อใครคนนั้น  คนที่ ร่างสูงรักหมดหัวใจ   

“อย่าร้องสิ  เนไม่เป็นไรหรอก หมอเขาเก่งจะตายมึงเชื่อกูสิว่าเนต้องหาย ร้องไห้แบบนี้ไม่สมเป็นมึงเลยนะ ” อีกคนปลอบใจ

เคนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเน

เขาก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเคน



ความรักมักเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายเสมอ ไม่มีอะไรกำหนดได้ ว่าเราจะรักใคร  แต่เมื่อรักไปแล้ว ก็จงรักให้ถึงที่สุด








4 เดือนต่อมา


ใครคนหนึ่งยืนหลบมุมอยู่ภายในสวนสวยเสียงของเพลงบรรเลงหวานๆ ยังคงดังคลออยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้คนที่อยู่รายรอบกำลังยิ้มอย่างเป็นสุข  โดยเฉพาะคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าบาทหลวงในตอนนี้ 

ยิ้มได้แล้วสินะ

เขายิ้มเมื่อเห็นว่า “ใครคนนั้น” กำลังยิ้ม ก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากงานไปเงียบๆ

เขาทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว ในที่สุดเขาคนนั้นก็ยิ้มได้แล้ว รอยยิ้ม ที่มาจากหัวใจ ทำให้เขามีความสุข เช่นกัน…


รอยยิ้มของเคน ทำให้ เขามีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่แม้ว่าวันนี้ เขาจะไม่ใช่คนที่ถูกรัก


“มึงมาทำไม” ใบชาเอ่ยถามเสียงเข้มเมื่อกี้ตอนที่ยู่ในงานเขาเห็นเงาคนแวบๆที่หลังต้นไม้  คิดไว้ไม่มีผิดว่ามันต้องมา  ในเมื่อวันนี้เป็นงานแต่งงานของ เคนกับเน

“กูก็มาแสดงความยินดีไง เพื่อนรักกูจะแต่งงานนะ กูก็ต้องมาสิ” บอกด้วยรอยยิ้มแม้จะเป็นรอยยิ้มที่เหนื่อยล้าเต็มที

“ มึงไหวแน่นะ!!!”  ใบชาแทบจะตะโกนเมื่อเห็นว่าเพื่อนมีท่าทางเหมือนจะทรุดลง ก่อนที่ร่างบางจะวิ่งเข้าไปประคองเพื่อนไปที่
เก้าอี้ ที่อยู่ไม่ไกลนัก


“ไหวสิ กูไม่ใช่คนอ่อนแขนาดนั้นนะ” ร่างเพรียวยังคงยิ้มตอบ ใบชาได้แต่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะกดโทรศัพท์เพื่อ
โทรเรียกรถพยาบาล







“นอนอยู่นิ่งๆ เลยนะ แล้วก็ไม่ต้องคิดจะไปที่ไหนอีก” บอกด้วยเสียงจริงจังหลังจากที่พาคนดื้อมาที่โรงพยาบาลแล้ว

“อ้อ ง่วงจังขอนอนก่อนนะ” วาคิมบอกก่อนที่เปลือกตาจะปิดลง


“ไอ้ชา กูมีอะไรจะคุยกับมึง”  แซนหรือที่ตอนนี้กลายเป็นคุณหมอแซนไปแล้ว เอ่ยบอก

“มีอะไรว่ะ” ร่างบางเอ่ยถามเพื่อน

“ตอนนี้ร่างกายของไอ้วา มันอ่อนแอลงมากนะ  อ่อนแอลงจนกูกลัวว่ามัน…”

“กูรู้” ใบชาพูดแทรก เขารู้  รู้ดีว่าตอนนี้สภาพของเพื่อนเขาแย่ขนาดไหน รู้ดีมาตลอดเลยล่ะ



ย้อนกลับไปเมื่อ สี่เดือนก่อนตอนที่ไอ้เคนกลับมาใหม่ๆ วันนั้นเขาเข้ามาเยี่ยมเพื่อนรักที่เป็นศัลยแพทย์หัวใจที่โรงพยาบาล แต่กลับเจอว่าตอนนี้เพื่อนรักของเขาอีกคนกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องด้วย

“ไอ้วา มาทำอะไรที่นี่”

“กูมีเรื่องมาปรึกษาไอ้แซนมันน่ะ”  ร่างเพรียวบอกเสียงเครียด

“ชา มึงรู้ไหมว่า เนเขาเป็นโรคหัวใจ”

“อะไรนะ  แฟนไอ้เคนนะเหรอว่ะ” ใบชาถามก่อนจะหันไปขอความเห็นจากคุณหมอแก้มป่อง

“อืม เขากลับมารักษาที่นี่ได้เกือบเดือนแล้วล่ะ เท่าที่ดูจากตอนนี้ โอกาสรอดน้อยมาก นอกจากจะเปลี่ยนหัวใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าจะหาผู้บริจาคได้ ไหนจะต้องมาตรวจสอบโน่นนี่ กูว่ามันคงไม่ทันการ ว่ะ” คนเป็นหมอบอกอย่างอ่อนใจ


สามวันหลังจากนั้น …

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรว่ะ” ใบชาตะโกนเมื่อเห็นว่าร่างเพรียวของเพื่อนกำลังคุกเข่าอยู่โดยมีเพื่อนแก้มป่องยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ

“ไอ้ชา มึงดูเพื่อนมึงสิ มึงดูมันสิ มันทำอะไรโง่ๆอีกแล้ว!!” คนแก้มป่องโวยวายดังลั่น พร้อมกับที่ร้องไห้ไปด้วย

“เฮ้ย นี่มันอะไรกันว่ะ” ก้องที่ตอนนี้กลายเป็นตำรวจเต็มตัวกำลังตะลึงเมื่อเมื่อเห็นว่าคุณหมอแก้มป่องคนรักของตัวเองกำลังร้องไห้เสียยกใหญ่ไหนจะ วาคิมที่คุกเข่าอยู่หน้าห้องอีก นี่มันเรื่องบ้าอะไรว่ะเนี่ย

“แซนเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” ก้องเอ่ยถามพลางปลอบคนรักที่ดูเหมือนจะสติแตกไปแล้ว

“ก็ไอ้เพื่อนบ้านี่สิ  เป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้มา ขอให้กูเปลี่ยนหัวใจมันกับเน มึงจะบ้าไปแล้วเหรอห่ะ  เนกำลังจะตายถ้ามึงเปลี่ยนหัวใจเท่ากับมึงจะต้องตายเข้าใจไหม” ร่างอวบตะโกนไปร้องไห้ไป

“กูขอร้องล่ะ ถ้ามึงไม่ทำกูจะไม่ยอมไปไหน กูจะอยู่หน้าห้องมึง จนกว่ามึงจะยอม” ร่างเพรียวบอกอย่างแน่วแน่

“มึงทำไปเพื่ออะไร” ใบชาที่เงียบมานานเอ่ยถาม

“กูรักมัน พวกมึงก็รู้  กูเจ็บ ทุกครั้งที่เห็นมันเจ็บ กูทุกข์ทุกครั้งที่เห็นมันทุกข์ กูทนไม่ได้ ทนไม่ได้จริงๆที่เห็นมันเป็นแบบนี้”

“นะ  ช่วยกูขอร้องไอ้หมอที กูขอร้องล่ะ ช่วยเนด้วย” ชายหนุ่มอ้อนวอนทั้งน้ำตา

“ไม่ กูไม่ทำ กูไม่ยอมฆ่าเพื่อนตัวเองเด็ดขาด” แซนแหวลั่น

“ไอ้แซน มึงก็มีความรัก ไม่ใช่เหรอ มึงรู้ไม่ใช่เหรอว่า ความทุกข์ที่เห็นคนที่ตัวเองรักต้องเจ็บปวด มันเป็นยังไง มึงไม่ได้ฆ่ากู แต่มึงกำลังช่วยกูนะ กูอยู่ไม่ได้ถ้าวันนี้มันยังร้องไห้อยู่แบบนั้น กูอยู่ไม่ได้จริงๆ” ร่างเพรียวบอกทั้งน้ำตา เขาอาจจะโง่ ในสายตาคนอื่นแต่เขาได้เลือกแล้ว เลือกแล้วที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ ได้รอยยิ้มนั้นคืนมาไม่ว่าต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม

“นะ กูขอร้อง”

“ไอ้แซน มึงช่วยมันเถอะ” คนที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น

“ไอ้ชา!!”

“กูรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด แต่กูเชื่อว่า มันคิดดีแล้ว” ใบชาบอก ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักเพื่อน แต่เพราะรัก เลยรู้ว่าวาคิมไม่มีทางที่จะหยุดเพียงแค่นี้ มันต้องทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เปลี่ยนหัวใจกับเน เขารู้ดี  แม้ว่าการเปลี่ยนหัวใจอาจจะเสี่ยงที่มันอาจจะต้องตายแต่อย่างน้อยมันก็คงยืดเวลาออกไปได้บ้าง

………………………………………………………………………………………………….


“คุณหมอคะ คนไข้ แย่แล้วค่ะ” พยาบาลวิ่งหน้าตื่นออกมาจากห้องที่คุ้นตาทำให้ทั้งสองยิ่งกังวล


“หัวใจเต้นอ่อนมาก แถมความดันยังลดลงเรื่อยๆ” หมอหนุ่มเอ่ยบอกอีกคนอย่างกังวล

“แล้วต้องทำยังไง” ใบชาเอ่ยถาม

“ผ่าตัด มีแค่ทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะยื้อชีวิตมันไว้ได้”






“ไม่ต้องหรอก”  เสียงที่อ่อนล้าเอ่ยห้าม ก่อนที่มือเรียวจะจับมือคนหมอแก้มป่องไว้แน่น

“ทำไมล่ะ  มึงไม่อยากหายเหรอ”

“มึงก็รู้ ว่ากูไม่มีทางหาย ” เขาบอกด้วยรอยยิ้ม

“กูขอบคุณมึงสองคนมากนะ ที่ช่วยกูมาตลอด ขอบคุณที่ยอมเป็นเพื่อนกับคนโง่ๆ อย่างกู  ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง และขอโทษด้วย ที่กูทำให้พวกมึงเป็นห่วงมาตลอด แต่ตอนนี้กูอยากพักแล้วล่ะ ตอนนี้ไอ้เคนมันยิ้มอีกครั้งแล้ว กูไม่มีอะไรที่ต้องกังวลอีกแล้ว ฮึก..”

“แต่กูขอร้องอะไรได้ไหม” เสียงอ่อนแรงเอ่ยถาม

“ว่ามาสิ” คนเป็นเพื่อนพูดทั้งน้ำตา

“อย่าบอกไอ้เคน ว่ากูหายไปไหน ให้มันเข้าใจว่าตอนนี้กูไปทำงานที่อื่นก็พอแล้ว ถ้ามันถามก็ตอบมันไปแค่ว่า กูสบายดี และจะสบายใจมากถ้ามันยิ้มเยอะๆ” แม้น้ำเสียงจะอ่อนล้าแต่คนป่วยกลับยิ้มให้เพื่อนอย่างอ่อนโยน

“ลาก่อนนะ เพื่อนรัก กูคงต้องไปพักรอพวกมึง บนโน่นก่อน แล้วสักวันนึงเราจะได้เจอกัน”

วาคิมบอกก่อนที่มือเรียวจะวางทาบลงบนหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง หัวใจ กำลังเต้นแผ่วลงทุกที แต่เขากลับยิ้มได้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน แต่หัวใจของเขามันยังคงเต้นอยู่เพื่อรักใครคนนั้น   แม้ว่ากายจะไม่ได้อยู่ใกล้ แต่หัวใจของเขามันกำลังทำหน้าที่บอกรักแทนเขาอยู่ทุกวินาที….

เคน ฉันรักนายนะ






“อื้อ” ร่างที่นอนบนเตียงครางก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆขยับขี้นช้าๆ พลางมองเพดานสีขาวด้วยความแปลกใจ

“ตื่นแล้วเหรอ  ไอ้วา” คุณหมอแก้มป่องเดินมาหาเพื่อน

“ทำไมล่ะ  ทำไมกูถึงยังไม่ตาย” เสียงแหบพร่าเอ่ยถาม เขาควรจะตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงยังหายใจอยู่ล่ะ

“มึงเพิ่งฟื้นอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย พักเถอะ”

“ มึงเป็นอะไร ทำไมมึงทำหน้าแบบนั้น” เอ่ยถามเพื่อนแก้มป่องที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“กูแค่ไม่เข้าใจ”

“ไม่เข้าใจอะไร ยิ่งพูดยิ่งงง ช่วยบอกกูหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วไอ้ชาไปไหน” วาคิมเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เขาสับสนไปหมดแล้ว

“ไอ้ชาเหรอหึ ” ร่วงอวบแค่นเสียงก่อนที่น้ำตามากมายจะไหลอาบแก้ม

“ไอ้แซนบอกกูมะว่า ไอ้ชา เป็นอะไร”

“ไอ้ชา ตายแล้ว”

ตาย  ตายเหรอ  ตายได้ยังไง  ได้ยังไงกันน่ะ

“ตะ  ตาย  ตายได้ยังไง” เอ่ยถามเสียงแผ่ว

“กูไม่เข้าใจ ไม่เคยเข้าใจพวกมึงเลยรู้ไหม  ทำไมพวกมึงต้องทำเพื่อคนที่รักมากมายขนาดนี้ ทำไมกัน” แซนเว้นช่วงพูดเพื่อกลั้น
น้ำตาไม่ให้ไหลออกมามากกว่านี้

“ไอ้ชา มันฆ่าตัวตายเพื่อเอาหัวใจ มาให้มึง!!!”


ความรักมักเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายเสมอ ไม่มีอะไรกำหนดได้ ว่าเราจะรักใคร  แต่เมื่อรักไปแล้ว ก็จงรักให้ถึงที่สุด


………………………….END…………………………………

โอเค สมใจแล้วไปล่ะ ฮ่าๆๆ ลงเอามัน จริงๆเรื่องนี้

คุ้นๆไหม ฮ่าๆๆ

มันคือนิยายรีเมค ถ้าคุ้นคงไม่แปลก

แต่อยากลองเขียนเวอร์ชั่นที่มันไม่ใช่ฟิค

 :mew1:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน แรก : 27/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 27-03-2014 14:25:51
หืมมม ยังไม่ทันได้รัก
ก็อกหักแล้วเหรอหนูวา
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน แรก : 27/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 27-03-2014 14:42:54
 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน แรก : 27/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 27-03-2014 15:40:42
ติดตามตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน แรก : 27/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: TheP ที่ 27-03-2014 16:33:12
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน แรก : 27/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 27-03-2014 17:05:21
ไม่สมหวังแต่แรกเลย หนูเอ๋ย :katai5:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 28-03-2014 22:07:27
ลู่ห่าน ............... คือ?  :m28:
-----------------------------------------------

ปล่อยมันไป อย่างที่เป็น ...

ว่าแล้วว่าต้องเศร้าแน่ สังหรณ์ใจตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้ว ว่าจะไม่อ่าน เปิดเข้ามาแล้วรอบนึง แต่ก็ปิดไป

เห็นอีก ว่าเป็น pita เลยตัดสินใจอ่าน เจอทิ้งระเบิดใส่แบบนี้   :heaven
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 28-03-2014 22:24:30
 :serius2: :serius2: :serius2:
 :impress3: :impress3: :impress3:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 28-03-2014 22:47:47
ลู่ห่าน ............... คือ?  :m28:
-----------------------------------------------

ปล่อยมันไป อย่างที่เป็น ...

ว่าแล้วว่าต้องเศร้าแน่ สังหรณ์ใจตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้ว ว่าจะไม่อ่าน เปิดเข้ามาแล้วรอบนึง แต่ก็ปิดไป

เห็นอีก ว่าเป็น pita เลยตัดสินใจอ่าน เจอทิ้งระเบิดใส่แบบนี้   :heaven


อ่า แก้ไม่หมดสินะ ฮ่าๆๆ จริงๆมันเป็น ฟิค EXO มาก่อน แหะๆ

ว้า อายจุง
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 28-03-2014 22:51:53
ว่าแล้ว    :laugh:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 28-03-2014 23:41:01
 :sad4: จบแบบปาหมอนสุดๆไปเลย

ช็อคอ่ะ คือถ้าวาตายก็จะเศร้าธรรมดา พอชาตายนี่ช็อคอ่ะ
เคนจะรู้มั้ยเนี่ยว่าต้องเสียเพื่อนไปเพราะรักษาชีวิตแฟนตัวเอง  :hao5:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 29-03-2014 01:21:47
โฮๆๆๆ มันจะเศร้าซ้ำซ้อนกันไปถึงหนายยยยยยยยยยยยยยย
 :o12:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: na-au ที่ 29-03-2014 15:56:28
 :m15:  ตกลงแล้วใครที่เศร้าใจที่สุดล่ะเนี้ย

 :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 29-03-2014 20:17:24
เจ็บ จุก ร้องไห้เลย!
พูดจริงนะคนจะตายก็ปล่อยให้เค้าตาย คนที่อยู่ก็จงทำทุกสิ่งที่ตัวเองควรทำให้ดีที่สุด
ว่ากันตามจริงชาบาปมากเลยนะ รองลงมาก็เป็นคิม ทำไม่ไม่ลองคิดดูล่ะว่าร่างกายที่เรากำลังใช้อยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ของเรา แล้วยิ่งมาทำอย่างนี้มันยิ่งบาปมาก คนที่ตายเร็วก็คือคนที่หมดเวรหมดกรรมแล้วก็จงปล่อยให้เค้าไป มายื้อกันไปกันมาอย่างเนี่ย ฝ่ายที่มารู้ที่หลังเค้าจะเสียใจขนาดไหน
แบบนี้มันไม่เรียกช่วยเหลือ แต่มันเรียกว่าเห็นแก่ตัว มัวแต่เอาความรักมาเป็นหลักโดยไม่ยอมมองความเป็นจริงว่าสิ่งไหนควรสิ่งไหนไม่ควร
เมนไปร้องไห้ไปเลยเรื่องนี้ ตอนนี้ก็ยังกลั้นสะอื้นอยู่เลย มันเศร้านะ ถ้าเราเป็นคิมเราจะคิดว่าเราจะทำยังไงต่อไปดีความรู้สึกผิดมันติดตัวอยู่อย่างนี้ แล้วถ้าเนกับคนที่คิมรักมารู้ที่หลังว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดมาจากตนเอง ฝ่ายนั้นก็ต้องโทษตัวเองเหมือนกัน เข้าใจชาอยู่นะ แต่แบบนี้ไม่ไหวจริงๆ เป็นเราเราก็คงเป็นแบบแซนว่ามันจะอะไรกันนักกันหนา
หัวข้อ: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14 (ย้ายได้เลยคร่า)
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 03-04-2014 23:41:18
 :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14 (ย้ายได้เลยคร่า)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 05-04-2014 20:12:28
โอ้ ขอเศร้าแป๊บ

มาแบบช็อคๆ จบแบบทำไมมันเป็นยังงี้อะ

รับไม่ได้อ่ะ มันหนักเกินไปจริงๆ

Pita ทำร้ายเราอย่างมากจริงๆ  เรื่องนี้ อ่านแล้วหน่วงจิตกว่าทุกเรื่องเลยจริงๆ ขอบอก

 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14 (ย้ายได้เลยคร่า)
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 05-04-2014 21:06:30
เราว่านะ เอาจริงไม่ได้อยากจะใจร้ายหรอก
แต่อยากจะบอกว่า คนที่ต้องตายดันไม่ตายแล้วคนที่ไม่สมควรตายดันมาตายนี่
อยากจะให้ปล่อยคนที่ต้องตายตั้งแต่แรกไปเถอะเพราะมันถึงเวลาของเขา
เราว่าเคนคงเข้าใจ ตั้งแต่วาแล้ว เสียใจมากแล้วนะ แต่พอเป็นชานี่สิ เสียใจเยอะกว่าเก่าอีก
ส่วนคุณเคนก็ไม่แปลกใจเล้ยที่ว่าที่เมียหายดี๋ดีเนี่ย บอกจริงหมั่นไส้สุดว่ะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้นมาก) By Pita : เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14 (ย้ายได้เลยคร่า)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 06-04-2014 00:04:28
ว่ากันตามจริงผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะมันไม่ได้ง่ายขนาดนี้หรอกนะ555 ต้องให้เลือดเข้ากันได้ ต้องนู่นนั่นนี่บลาๆ แต่ก็นิยายนี่เนอะ พอเข้าใจได้ อิอิ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้นมาก) By Pita ์No.1 เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 22-04-2014 09:21:20
ต่อไป ทู้นี้จิกลายเป็นทูระบายอารมณ์  เอ้ย  ทู้รวมเรื่องสั้น ของ เค้านะตะเอง

วันไหน แดดดีๆ  อากาศเย็นๆ  อาจจะมี เรื่องสั้นมาให้อ่านกันนะคะ

ยังไง ก็ ฝากด้วยนะตะเอง ^_^

Pita ....
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้นมาก) By Pita ์No.1 เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: minimonmon ที่ 22-04-2014 09:55:24
น้ำตาซึมเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้นมาก) By Pita ์No.1 เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 09-05-2014 12:49:26

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/1557521_10201459590205620_1715715689610844338_n.jpg)



เรื่องสั้น กลิ่นแก้ว

บทที่ 1 ลางนิมิต

                   
                                 ดอกแก้วนี้พี่มอบด้วยใจภักดิ์        ดั่งคำรักฝากไว้ให้ถนอม
                             ใครมาสู่ ตัวเจ้าอย่ายินยอม             จงถนอมตัวใจให้พี่ยา
                                 พี่จากไกลเมื่อใดไม่อาจรู้            ตายหรืออยู่ล้วนสวรรค์ท่านสรรหา
                            แต่ความรักที่พี่มอบแก่แก้วตา          จักคงอยู่ค้ำฟ้าชั่วนิรันดร์


เฮือก!!!

ร่างที่นอนอยู่สะดุ้งตื่น พลางมองความมืดรอบกาย อย่างเหนื่อยหน่าย ฝันแบบนี้อีกแล้ว ความฝันซ้ำๆที่มักจะเกิดขึ้นทุกคืนเพ็ญ ในฝันนั้นเขาเหมือนกลายเป็นใครสักคนที่ที่ไม่ใช่ ตัวเอง เป็นคนโบราณที่น่าจะย้อนกลับไปร้อยปี ร่างในชุดทหารโบราณที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเขาราวกับฝาแฝดที่กำลังเอ่ยลาใครบางคนที่เขาไม่เคยเห็นหน้า รู้เพียงว่าเธอเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างบอบบางห่มสไบเฉียงอย่างลูกผู้ดีในฝันเขามักจะเรียกเธอว่า แม่แก้ว เขาไม่อยากเชื่อว่านั่นจะเป็น อดีตชาติ เพราะตัวเขาเกิดมาในยุคที่มนุษย์มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หากว่าเขาเอาเรื่องนี้ไปบอกเล่าให้ใครต่อใครฟังคงมีคนเชื่อไม่มากนักและในฐานะนักวิทยาศาสตร์เขาไม่เชื่ออะไรที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้  ร่างสูงเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลที่หัวเตียงเวลาหกนาฬิกาอาจจะดูเช้าไปสำหรับการตื่นไปทำงานวันนี้แต่เขาคงไม่สามารถข่มตานอนได้อีกแล้ว คงต้องตื่นมาเตรียมแผนการสอนแทนจะดีกว่า
เวลาแปดนาฬิกา ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีดำเดินเข้ามาในตึกคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง พร้อมๆกับหอบหนังสือเล่มโตก่อนจะตรงเข้าไปที่ห้องพักอาจารย์

“สวัสดีค่ะ อาจารย์ วันนี้อาจารย์มีสอนเช้าเหรอคะ” อาจารย์สาวที่สอนในสาขาวิชาเดียวกันเอ่ยทัก

“เปล่าหรอกครับ วันนี้ตื่นเช้าก็เลยกะว่าจะมาตรวจรายงานฆ่าเวลาซะหน่อย อาจารย์สาวิตรี มีสอนเช้าเหรอครับ” เขาตอบพลางยิ้มให้กับเพื่อนร่วมอาชีพ

“วันนี้มีสอน 10 โมงค่ะ อาจารย์จะรับกาแฟไหมคะ สาจะไปชงพอดี” อาจารย์สาวเอ่ยถาม

“ยังดีกว่าครับ ขอบคุณมากนะครับ” ร่างสูงตอบพลางก้มหัวขอบคุณอย่างมีมารยาท

สาวิตรี ลอบยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องพักอาจารย์ไปหญิงสาวรู้สึกใจเต้นอยู่ไม่น้อยที่วันนี้เธอได้เจอกับอาจารย์หนุ่มที่เนื้อหอมที่สุดในมหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้า เท่าที่เธอรู้ อาจารย์ พระนาย ภักดีดำรง  หัวหน้าสาขาชีววิทยาที่เธอสังกัดอยู่เข้ามาสอนก่อนเธอเพียงไม่กี่ปีแต่กลับประสบความสำเร็จจนได้รับเลือกเป็นหัวหน้าสาขาตั้งแต่สองปีแรกที่ทำงาน นอกจากจะมีรูปสมบัติที่หล่อเหลาแล้ว ร่างสูงยังมีทรัพย์สมบัติติดตัวมาไม่น้อยเพราะเป็นทายาทของตระกูล ภักดีดำรง ตระกูลขุนนางเก่าแก่ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ปัจจุบันยังคงรับราชการทหารมาแทบทุกรุ่น ยกเว้นเพียงร่างสูงที่เลือกรับราชการครู

“เฮ้อ” ร่างสูงวางปากกาที่ใช้ตรวจงานก่อนจะเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากรู้ ความฝันที่ยังคงเกิดขึ้นทุกคืนเพ็ญนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องที่เขาคิดไปเองหรือมีอะไรที่มากกว่านั้นกันแน่ นับตั้งแต่เขาเริ่มฝันประหลาดเมื่ออายุครบ 15 เขาไม่เคยบอกใครหรือหาคำตอบของความฝันนั้นเลย ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเขาปล่อยเวลาให้เลยผ่านไปด้วยความสงสัย    หรือมันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องหาคำตอบของความฝันนั้นสักที


กริ๊งๆๆ

เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกสติของร่างสูงให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริงเจ้าเครื่องมือสื่อสารยังคงแผดเสียงลั่นเมื่อยังไม่มีใครกดรับ

“ครับแม่” อาจารย์หนุ่มบอกกับปลายสาย

“คุณพระนาย ใจคอไม่คิดจะโทรหาแม่บ้างเลยนะ” ปลายสายบอกคล้ายตำหนิแต่ร่างสูงรู้ดีว่าเป็นเพียงอารมณ์ขันของผู้เป็นแม่เท่านั้น

“ช่วงนี้งานผมยุ่งมากเลยครับ”

“งานยุ่งแค่ไหนก็ควรโทรกลับบ้านบ้าง ไม่ใช่ให้แม่โทรหาอยู่เรื่อย หรือว่าตอนนี้คุณพระนายของแม่มีกำลังมีความลับอะไรหรือเปล่า” ผู้เป็นแม่ยังคงเอ่ยติดตลก

“โถ่ แม่ครับ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ผมงานยุ่งจริงๆครับ” อาจารย์หนุ่มโอด จริงอยู่ที่อายุอย่างเขาคงต้องคิดเรื่องมีครอบครัวแล้วแต่อาจารย์มหาวิทยาลัยเงินเดือนน้อยอย่างเขาก็ยังไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนต้องมากัดก้อนเกลือกินด้วยเสียหน่อย แม้ว่าฐานะทางบ้านของเขาจะไม่ใช่คนยากจนแต่นั่นก็เป็นทรัพย์สินของบรรพบุรุษไม่ใช่สิ่งที่เขาหามาได้ด้วยตัวเอง เขาคงไม่ภูมิใจนักหากว่าต้องเอาสมบัติเหล่านั้นมาใช้ และที่สำคัญ เขารู้สึกเหมือนยังมีเรื่องมากมายที่ค้างคาอยู่ในใจ

“ไม่รู้ล่ะ วันรวมญาติพ่อเขาอยากให้ลูกมานะ บางทีคุณพระนายของแม่อาจจะเจอใครที่ถูกใจบ้างก็ได้”
ร่างสูงได้แต่ลอบถอนใจเงียบๆ เมื่อดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะขัดผู้เป็นแม่ไม่ได้เสียแล้ว งานรวมญาติที่จัดขึ้นทุกปีนั้นจะว่าไปมันเป็นงานเลือกคู่เสียมากกว่า เพราะนอกจากญาติๆที่มาร่วมงานแล้วยังมีสายตระกูลที่เคยใกล้ชิดกับ ภักดีดำรง มักจะมาพบปะสังสรรค์กันด้วย

“ว่ายังไงคะ”

“ครับแม่ งานรวมญาติปีนี้ผมไปแน่นอนครับ”

“ลูกรับปากแม่แล้วนะ ต้องมาให้ได้ล่ะ ว่าแต่แม่ได้ข่าวว่า ลูกสาวของ พิทักษ์โยธร ไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเหมือนกัน ลูก
เจอน้องหรือยังคะ ”

“ลูกสาว?? ใครเหรอครับแม่”

“ก็น้องกิ่งแก้วไงคะ จำน้องไม่ได้เหรอตอนเด็กยังเคยเล่นด้วยกันอยู่เลย” คุณอนงค์นาถบอกกับลูกชาย ร่างสูงลองทบทวนความจำเมื่อครั้งเป็นเด็กคลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อวันรวมญาติเคยเจอกับลูกหลานของตระกูล พิทักษ์โยธร อยู่บ้างแต่จะให้ระบุจำเพาะเจาะจงว่า หญิงสาวที่ชื่อ กิ่งแก้ว  ที่มารดาพูดถึงหน้าตาเป็นยังไงเห็นทีคงจะลำบาก เพราะเรื่องราวสมัยเด็กนั้นเขาจำได้เลือนรางเต็มที

“โห นานขนาดนั้นผมไม่น่าจะจำได้แล้วนะครับแม่ เพราะครั้งสุดท้ายที่ไปงานรวมญาติก็ตอน 10 ขวบ”

“ก็เพราะเราบ่ายเบี่ยงตลอดนะสิ ไม่อย่างนั้นคงเจอน้องไปแล้ว”

“แม่ดูเหมือนอยากจะให้ผมเจอน้องกิ่งแก้ว มากเลยนะครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“โถ่ คุณพระนาย แม่ก็แค่อยากให้ ลูกสองคนรู้จักกันไว้เท่านั้น ทำงานที่เดียวกันจะได้ช่วยเหลือดูแลกันได้”

“แม่คิดแค่นั้นจริงๆเหรอครับ”

“เอ คุณพระนายนี่ยังไง จะต้อนแม่ทำไมคะ” ปลายสายเอ็ดเสียงเข้ม

“ครับๆ ไม่มีอะไรก็ไม่มี แล้วน้องกิ่งแก้ว สอนคณะไหนครับ เผื่อว่าผมเจอจะได้ทำความรู้จัก”

“รู้สึกว่าจะสอน ภาษาไทย นะคะ น้องจบด้านนั้นมาโดยตรง”

“ครับๆ เอาไว้ถ้าผมไปแถวตึกคณะนั้น จะเข้าไปทำความรู้จักนะครับ”

“อุ้ย แม่นึกได้ว่ามีธุระกับเพื่อน แค่นี้ก่อนนะคะ แล้วอย่าลืมมางานรวมญาติด้วยนะคะ”

“ครับแม่ สวัสดีครับ”  ร่างสูงวางสายจากผู้เป็นแม่ก่อนจะพลางนึกถึงชื่อของคนที่อยู่ในบทสนทนา

“ กิ่งแก้วเหรอ มีคำว่า แก้ว เหมือนกัน ด้วยสินะ   เฮ้อ ท่าจะบ้าแล้วพระนาย เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว” ร่างสูงส่ายหน้ากับความคิดไม่
เข้าท่าของตัวเองก่อนจะลงมือทำงานที่ค้างอยู่ต่อ



“อาจารย์ครับ” เสียงของคนมาใหม่ทำให้ร่างสูงเงยหน้าขึ้นจากกองรายงาน

“มีอะไรครับอาจารย์ นพ” เอ่ยกับเพื่อนร่วมอาชีพอีกคนอย่างเป็นกันเอง พลางมองซองสีขาวที่คนตรงหน้ายื่นมาให้

“ซองบัตรเชิญงานของ เอก ภาษาไทย ครับ วันครบรอบอกปีนี้เป็นปีที่ 20 คงจัดงานใหญ่น่าดู เห็นว่าปีนี้มีการแสดงละครเวทีด้วยนะครับ”

“ขอบคุณมากนะครับ”

“เอ่อ อาจารย์ครับ วันนี้อาจารย์คนอื่นๆมีนัดเลี้ยงส่ง อาจารย์องอาจ สาขาเคมี ที่กำลังจะไปเรียนต่อก็เลยอยากจะชวนอาจารย์ไป
ด้วยน่ะครับ” อีกคนบอก พลางมองหัวหน้าสาขาอย่างมีความหวัง แม้ว่าอาจารย์พระนายจะไม่ใช่หัวหน้าสาขาจอมเนี๊ยบหรือขี้บ่นขี้โวยวายแต่คนตรงหน้าก็ค่อนข้างสันโดษ ถึงจะเป็นคนอัธยาศัยดีแต่ก็ค่อนข้างที่จะรักความเป็นส่วนตัวทำให้บางครั้งไม่ค่อยได้ออกไปสังสรรค์ตามประสาเพื่อนร่วมงานเหมือนคนอื่นๆ

“หืม คืนนี้เหรอ” ร่างสูงเลิกคิ้วถาม

“ใช่ครับ คืนนี้”

“ตกลงครับ” อาจารย์หนุ่มขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพยักหน้าตกลงเพราะดูเหมือนว่าเขาเองจะห่างหายจากการสังสรรค์กับเพื่อนร่วม
งานมานานมากแล้ว



เสียงเพลงร่วมสมัยที่เปิดคลอเบาๆของร้านอาหารกึ่งผับที่เหล่าอาจารย์ร่วมคณะชวนร่างสูงมาในวันนี้ถูกใจอยู่ไม่น้อย เพราะด้วยอายุที่มากขึ้นการจะเข้าไปในร้านที่เปิดเพลงดังๆเห็นทีจะไม่ไหว

“ร้านนี้เป็นยังไงบ้างคะอาจารย์”  สาวิตรีเอ่ยถามกับร่างสูงที่นั่งตรงข้าม

“บรรยากาศดีมากครับ อาหารก็อร่อย” เสียงทุ้มตอบ

“ร้านนี้เป็นร้านของเพื่อนสาเองค่ะ ถ้าอาจารย์ติดใจบอกสาได้นะคะ” หญิงสาวชวนคุย

“ขอบคุณมากครับ” อาจารย์หนุ่มเพียงแต่ยิ้มให้ก่อนจะยกเครื่องดื่มขึ้นจิบเพื่อไม่ให้เสียมารยาท การผ่านโลกมา 35 ปี ทำให้เขาพอจะดูออกว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้ไม่ได้คิดกับเขาแบบธรรมดาแน่ แต่เขาคงไม่อาจสานสัมพันธ์กับใครได้ในตอนนี้ เพราะมันเหมือนมีบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจเขา บางอย่างที่อาจจะเกี่ยวกับ คนในฝัน ของเขา

“อาจารย์ เติมหน่อยไหมครับ จืดจนจะเลี้ยงปลากัดได้อยู่แล้ว” เพื่อนร่วมอาชีพอีกคนที่ ร่างสูงจำได้ว่าชื่อ เขมชาติ เป็นอาจารย์
สาขา ฟิสิกส์  เอ่ยถาม

“ยังดีกว่าครับ วันนี้ผมขับรถมากลัวจะกลับไม่ไหว”

“แหม มาฉลองทั้งที ทำไมไม่สนุกให้เต็มที่ล่ะค่ะ” ร่างบางบอก แต่อาจารย์หนุ่มกลับทำเพียงปฏิเสธ

“ไม่ดีกว่าครับ ขอบคุณมาก”

ดูเหมือนว่าหลังจากที่พยายามปฏิเสธรอบที่สามเพื่อนร่วมงานต่างเลิกสนใจหัวหน้าสาขาหนุ่มและกลับไปให้ความสนใจเจ้าของงานอีกครั้ง ทำให้ร่างสูงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มอีก ใช่ว่าเขาจะไม่เคยดื่มเพียงแต่ว่าวันนี้ยังต้องขับ
รถกลับบ้านเองมันคงไม่ดีนักหากเขาเมา



ร่างสูงขับรถกลับมาจากงานเลี้ยงด้วยอาการมึนนิดๆ แม้ว่าจะพยายามปฏิเสธแล้วแต่เอาเข้าจริงเขาก็ดื่มไปเยอะพอควร ถึงจะไม่มากจนครองสติไม่ได้แต่ถ้าเป่าแอลกอฮอล์เขาคงกลายเป็นอีกคนที่ต้องไปบำเพ็ญประโยชน์

“หือ กลิ่นดอกอะไรเนี่ย หอมดี” ร่างสูงบอกกับตัวเองเสียงเบาเมื่อกลับมาถึงบ้านพักที่เขาลงทุนซื้อด้วยตัวเอง ทั้งๆที่ตัวบ้านเขาไม่ได้ปลูกไม่ดอกแต่กลับมีกลิ่นดอกไม้ลอยมาตามลม  อาจจะเป็นของข้างบ้าน ร่างสูงคิด พลางสะบัดหน้าอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากที่อาบน้ำตามปกติ ก็ล้มตัวลงนอนพร้อมกับที่นาฬิกาบนหัวเตียงกำลังจะเริ่มวันใหม่



“ดอกแก้วมิเคยร้างกลิ่นหอม ฉันใด

กาลเวลาก็มิอาจพรากหัวใจรักไปได้ ฉันนั้น”

“เสียงใครกัน” ร่างสูงเอ่ยกับตัวเองเบาๆ แต่เมื่อมองไปรอบๆตัวกลับพบว่า ตนไม่ได้นอนหลับอยู่บนเตียงแต่กลับยืนอยู่ในสวนของใครสักคน ผู้คนที่อยู่รอบตัวล้วนแต่งกายด้วยชุดโบราณ กอปรกับบ้านทรงไทยหลังงานที่ไม่น่าจะมีอยู่แล้วในยุคนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ทำให้อาจารย์หนุ่มพอจะเข้าใจอะไรได้บ้าง

“ฝันอีกแล้วสินะ” แต่ความฝันครั้งนี้กลับดูเหมือนจริงยิ่งกว่าทุกครั้ง มันคล้ายกับเขาย้อนเวลาเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์จริงเพียงแต่คนรอบข้างไม่สามารถเห็นเขาได้เท่านั้น ร่างสูงกวาดสายตาไปทั่วก่อนจะหยุดลงที่ร่างในชุดทหารโบราณที่เขามักจะฝันถึงเป็นประจำหรือบางทีอาจจะเป็น ตัวเขาในอดีต


“คุณพระนาย คุณพระนายเจ้าคะ” เสียงหวานดังขึ้นก่อนที่ร่างบอบบางนั้นจะเดินเข้ามาหาร่างสูงในชุดทหารโบราณที่ยืนหันหลังอยู่ในสวน

“แม่แก้วหรือ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้นแต่ก็ยังไม่ยอมหันหน้ากลับมา

“เจ้าค่ะ น้องเอง”

“มาหาพี่ถึงเรือน มีเรื่องอันใดหรือ”

“น้องได้ยินว่า คุณพระนายจักต้องออกไปรบกับสมเด็จท่านหรือเจ้าคะ” เสียงหวานนั้นเอ่ยถาม

“น้องได้ยินมามิผิด อีกสามวัน พี่จักต้องออกไปรบ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยพลางถอนใจอย่างหนัก มิใช่เพราะขลาดกลัวข้าศึกแต่เพราะจิตใจมัวห่วงร่างบางผู้เป็นคู่หมายของตน ไปรบครั้งนี้ไม่รู้ว่าจักต้องไปนานเพียงใด จะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ห่วงก็แต่แม่แก้ว คนรัก ที่อาจจะต้องรอคอยอย่างมิมีจุดหมาย

“คุณพระนายจักไปนานเท่าใดเจ้าคะ”

“เฮ้อ” ร่างสูงได้แต่ถอนใจ “หลวงท่านยังมิได้ประกาศ แต่ศึกครั้งนี้เป็นศึกใหญ่หากว่าศึกติดพันอาจจักต้องอยู่ตั้งรับจนถึงฤดูฝนปีหน้าหรือนานกว่านั้น”

“แม่แก้ว”

“เจ้าคะ”

“หากว่าเจ้ามิอยากให้ความสาวร่วงโรย ถ้าภายในสามปีพี่ยังมิกลับมาให้ถือเสียว่าพี่ได้ตายจากไปแล้ว อย่าได้ยึดคำสัญญานั้นอีก
หากมีชายที่พึงใจจงตบแต่งออกเรือนไปอย่าได้รอพี่”

“คุณพระนาย” ร่างบางเอ่ยเสียงเครือ น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้มนวล

“อย่าดูถูกน้ำใจน้องสิเจ้าคะ ดอกแก้วดอกนี้หล่นลงในอุ้งมือของผู้ใด มันจักเป็นของผู้นั้นตลอดกาล มิมีวันเปลี่ยนเจ้าของ”

“แต่หากว่าพี่ตาย”

“ไม่เจ้าค่ะ คุณพระนายของน้องมีวิชาดาบล้ำเลิศ มิมีทางพลาดพลั้งศัตรูได้ดอก”

“แม่แก้ว การศึกนั้นใช่จะอาศัยเพียงเชิงดาบ หากแต่ต้องอาศัยทั้งกำลังพลแลการวางแผนจะแพ้หรือชำนะนั้นไม่อาจบอกได้ในเร็ว
วัน พี่มิอยากให้เจ้าต้องรอ”

“ต่อให้ต้องรอจนถึง ภพหน้าตัวน้องก็จักรอ   ดอกแก้วมิเคยร้างกลิ่นหอม ฉันใด กาลเวลาก็มิอาจพรากหัวใจรักไปได้ ฉันนั้น”
เสียงหวานนั้นเอ่ยบอก ร่างสูงค่อยๆหันมาช้าๆก่อนจะเด็ดดอกแก้วที่กำลังบานสะพรั่งนั้นยื่นให้คนรัก

                            “  ดอกแก้วนี้พี่มอบด้วยใจภักดิ์        ดั่งคำรักฝากไว้ให้ถนอม
                             ใครมาสู่ ตัวเจ้าอย่ายินยอม             จงถนอมตัวใจให้พี่ยา
                                 พี่จากไกลเมื่อใดไม่อาจรู้            ตายหรืออยู่ล้วนสวรรค์ท่านสรรหา
                            แต่ความรักที่พี่มอบแก่แก้วตา          จักคงอยู่ค้ำฟ้าชั่วนิรันดร์”



“แม่แก้ว ไม่ว่าชาตินี้ตัวพี่จะมีลมหายใจอยู่หรือไม่ แต่ความรักที่พี่มีให้แม่แก้วจะมิมีวันจางหาย ต่อให้กี่ภพกี่ชาติ พี่ก็จักรักแม่แก้ว ผู้เดียวตลอดไป”

“น้องก็จะรอคอย คุณพระนายเช่นกันเจ้าค่ะ”

สิ้นคำบอกรัก เหมือนหมอกหนาที่มักจะบดบังหน้าตาของ แม่แก้ว กลับค่อยๆเลือนหายไป อาจารย์หนุ่มที่ยืนมองอยู่นานได้แต่กลั้นหายใจเพราะความตื่นเต้น สิ่งที่ค้างคาในใจ ใบหน้าของ แม่แก้ว ที่เขาไม่เคยได้เห็นเลยตลอด 20 ปี กำลังจะปรากฏตรงหน้า ….





หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้นมาก) By Pita ์No.1 เธอคือทั้งหัวใจ ตอน จบ : 28/3/14
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 09-05-2014 12:49:46
“แม่แก้ว!!!” ร่างที่นอนอยู่สะดุ้งเฮือก ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นห้องที่แสนคุ้นตา นี่เขาฝันจริงๆสินะ ร่างสูงคิด ฝันครั้งนี้มันเหมือนจริงซ้ำยังยาวนานที่สุดเท่าที่เคยฝันมา ในความทรงจำอันลางเลือนของความฝัน เขาได้เห็นหน้า แม่แก้ว เป็นครั้งแรก หากว่านั่นคืออดีตของเขา หากว่า คำมั่นนั้นเป็นเรื่องจริง แล้ว ภพนี้ เขากับแม่แก้วจะได้เจอกันไหม…

“เพ้อเจ้อน่า เรื่องแบบนี้มันมีจริงที่ไหนกัน” ร่างสูงย้ำกับตัวเองอีกครั้ง เรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นจริงได้
ร่างสูงยังคงเดินเข้ามาในมหาวิทยาลัยด้วยหนังสือเล่มโตและเอกสารสำหรับสอนจำนวนมากเช่นเดิม ความฝันเมื่อคืนยังคงรบกวนโสตประสาทไม่ยอมหยุด ทั้งๆที่ไม่ควรคิด แต่กลับหยุดคิดไม่ได้ ทั้งๆที่ไม่เคยเชื่ออะไรที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์กลับเริ่มเอนเอียง ไม่น่าเชื่อว่าแค่ความฝันจะมีอิทธิพลกับเขามากถึงขนาดนี้

แต่ร่างสูงอาจจะลืมไปว่า เมื่อคืน ไม่ใช่ คืนเพ็ญ…


กริ๊งๆๆ เสียงเรียกเข้าจากเจ้าเครื่องมือสื่อสารดังขึ้น แทบจะทันทีที่ร่างสูงถึงห้องทำงาน

“ครับแม่”

“แม่โทรมาย้ำว่า พรุ่งนี้ คุณพระนายต้องมางานรวมญาตินะคะ” เสียงของผู้เป็นแม่บอกย้ำ

“ครับแม่ ผมไปแน่นอน ปีนี้รับรองว่าไม่เบี้ยวครับ”

“ให้มันจริงนะคะ คุณพระนายเบี้ยวแม่มาหลายปีแล้ว คุณย่าใหญ่กับคุณทวดก็บ่นถึงอยู่ทุกวัน”

“ท่านทั้งสองสบายดีนะครับ ช่วงนี้ไม่ได้เข้าไปกราบท่านเลย”

“สบายดีค่ะ แต่เริ่มบ่นแล้วว่าหลานชายคนโปรดเป็นนินจา ชอบแวบไปแวบมาไม่ยอมกลับบ้าน” คุณอนงค์นาถบ่น

“ครั้งนี้บอกคุณย่าใหญ่กับคุณทวด แต่งตัวสวยๆไว้รอหลานชายคนนี้ได้เลยครับ รับรองว่าจะไปกอดให้หายคิดถึงเลย”

“แม่ครับ ผมคงต้องวางแล้วนะครับวันนี้มีสอนเช้า”

“ค่ะ รักลูกนะคะ”

“รักแม่เหมือนกันครับ”

อาจารย์หนุ่มวางสายจากผู้เป็นแม่ก่อนจะเริ่มเตรียมเอกสารที่ต้องใช้สอนเหมือนที่ทำเป็นประจำ โดยที่ไม่อาจรู้เลยว่า กงล้อแห่งโชคชะตากำลังเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง …




ร่างสูงก้าวลงจากรถยุโรปคันหรูหลังจากที่จอดสนิทในบ้าน “ภักดีดำรง”   ก่อนที่ขายาวจะพาเจ้าของก้าวไปที่ เรือนเล็ก ของคุณทวดและคุณย่าใหญ่ที่อยู่ถัดเข้าไปจากตัวบ้านหลัก เรือนไทยหลังงามที่หลบซ่อนอยู่ภายในความหรูหราของคฤหาสน์ ภักดีดำรง ยังคงร่มรื่นไปด้วยไม้ดอกและไม้ยืนต้นที่คุณทวดสั่งให้ปลูกไว้เสียเต็มบริเวณ ร่างสูงสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยมาตามลม ก่อนจะก้าวขึ้นเรือนที่ไม่ได้มานานหลายเดือน พลางสอดส่ายสายตาหาบุคคลที่เขาแสนคิดถึง

“คุณทวด” ร่างสูงนั่งลงตรงหน้าหญิงชราที่กำลังร้อยพวงมาลัยดอกพุดอยู่ก่อนจะก้มลงกราบที่ตัก

“คุณพระนาย หรือจ๊ะ” เสียงแหบพร่าของหญิงชราเอ่ยถาม

“ครับ ผมเอง” ร่างสูงตอบ ไม่แปลกใจเลยที่คนทั้งบ้านจะเรียกเขาว่า “คุณพระนาย” เพราะแม้แต่คนที่ตั้งชื่อให้เขาอย่างคุณทวด
ก็ยังเรียกเขาแบบนั้น เขาเองก็ไม่รู้ที่มาชองชื่อ รู้เพียงว่าคุณทวดตั้งตามบรรพบุรุษของตระกูลเท่านั้น

“มาให้ทวดกอดสิลูก”

“ครับ” ร่างสูงตอบก่อนจะโผเข้ากอด คุณทวดอิ่ม เสียเต็มรัก

“เหมือนเหลือเกิน ยิ่งโตยิ่งเหมือน”

“เหมือนใครเหรอครับ” ร่างสูงเลิกคิ้วถามเมื่อได้ยินสิ่งที่คุณทวดพูด

“คุณพระนาย เหมือน ท่านมาก เหมือนมาจริงๆ”

“ท่านไหนหรือครับ”

“คุยอะไรกันอยู่หรือคะ คุณแม่”

 “คุณย่าใหญ่สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะลูก”

“เราคุยกันเรื่องหน้าเหมือนอยู่ครับ คุณทวดบอกว่าผมเหมือนท่าน คุณย่าใหญ่เข้าใจที่คุณทวดบอกไหมครับ”

“เข้าใจสิจ๊ะ คุณทวดบอกย่าตลอดว่า คุณพระนายเหมือน  จมื่นภักดีดำรง  ที่เป็นต้นตระกูลภักดีดำรงของเรามาก”

 “ใช่จ๊ะ คุณพระนายเหมือนท่านมาก  เสียดายที่ท่านอายุสั้น ยังไม่ถึง 28 ดีก็สิ้นบุญในสงคราม” คนที่มากอาวุโสอธิบายเพิ่ม 

“แล้วท่านมีลูกหลานสายตรงบ้างไหมครับ” เพราะเท่าที่รู้ แม้ว่าเขาจะใช้นามสกุล ภักดีดำรง แต่ก็ไม่ใช่ทายาทสายตรงของท่านซะทีเดียวแต่เป็นลูกหลานของน้องชายท่าน และเพื่อระลึกถึงท่าน บ้านเขาจึงเอายศของท่านในขณะนั้นมาใช้เป็นนามสกุล

“ไม่มีจ๊ะ ยังไม่ทันได้แต่งงานท่านก็สิ้นในสงครามเสียก่อน” คุณย่าใหญ่อธิบายเพิ่ม

“แต่คู่หมายของท่าน น่าสงสาร หลังจากท่านสิ้นบุญไม่นานเธอก็ล้มป่วยออดๆแอดๆ เขาว่าตรอมใจตามท่านไม่นานก็สิ้นไปอีกคน”

“เศร้าจังนะครับ” ร่างสูงบอก ไม่อยากจะเชื่อว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง นึกว่าเรื่องราวทำนองนี้จะมีแค่ในนิยายเท่านั้น

“ไม่หรอกจ๊ะ เพราะความรักของท่านไม่ได้ตายไปด้วย แต่มันยังคงอยู่ อยู่ในตัว ภักดีดำรง ทุกคน เพื่อรอคอยเวลาที่จะได้พบกับ
คนที่ท่านรักอีกครั้ง” คุณทวดบอกด้วยรอยยิ้ม พลางยกมือที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาลูบผมเหลนอย่างรักใคร่

คุณพระนาย กลับมาแล้วสินะเจ้าคะ ท่านกลับมาแล้ว 

“มาแล้วเหรอคะ ลูกชายตัวดี” คุณอนงค์นาถเอ่ยทักทันทีที่ลูกชายเดินเข้ามาในบ้าน

“ครับแม่ จริงๆมาได้สักพักแล้ว แต่ไปกราบคุณทวดกับคุณย่าใหญ่ ที่เรือนมาน่ะครับ”

“ดีแล้ว คุณทวดท่านจะได้สบายใจ นี่บ่นถึงคุณพระนายทุกวันเลยนะ”

“ครับแม่แล้ว พี่แพง กับเจ้าพี ไปไหนกันครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามถึง แพงขวัญ และ พีรภัทร พี่สาวและน้องชาย เพราะไม่เห็นทั้งสองเลยตั้งแต่เข้ามาในบ้าน

“แพงไปรับตาอ้น ที่โรงเรียน ส่วนนายพี รายนั้นคงไปส่งสาวๆสักคน กลุ้มใจ กับพ่อพวงมาลัยของคุณแม่จริงๆค่ะ”

“เอาน่าครับ เจ้าพีเพิ่งจะ 28 ปล่อยน้องไปเถอะครับ ว่าแต่คุณแม่ไม่เตรียมตัวเรื่องงานรวมญาติเหรอครับ” ร่างสูงเอ่ยถาม

“เรื่องนั้น เรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง คุณพระนายไปแต่งตัวหล่อๆดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะให้เด็กไปเรียกนะคะ”

“ครับแม่ เอ๊ะ นั่นดอกแก้วนิครับ” ร่างสูงที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดต้องขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นดอกไม้สีขาวถูกประดับบนแจกัน

“ค่ะ ปีนี้คุณทวดท่านบอกว่าอยากจะให้จัดดอกแก้วประดับทั่วงานด้วย แม่เห็นว่ามันสวยดีก็เลยให้เขาจัดใส่แจกันตั้งในห้อง
รับแขกซะเลย สวยไหมคะ”

“สวยครับ ผมขอตัวก่อนนะครับคุณแม่”  น่าแปลกที่แค่เห็นดอกแก้วกลับทำให้เขาคิดถึง ใบหน้าของ แม่แก้ว ขึ้นมาทันที ร่างสูง
สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนจะเดินขึ้นห้องอย่างที่ตั้งใจตั้งแต่แรก




ตกเย็นงานเลี้ยงประจำปีของ ภักดีดำรง ที่เรียกกันชินปากว่า งานรวมญาติ ก็เริ่มขึ้น โดยมี คุณ อนงค์นาถ ภักดีดำรง ภรรยาของ
พ.อ. พงพันธ์ ภักดีดำรง เป็นแม่งานเช่นเดิม

 ร่างสูงในชุดสูทสากล เรียกรอยยิ้มจากสาวน้อยสาวใหญ่ที่อยู่ในงานได้มากโข ก่อนที่ลูกชายคนกลางของบ้าน ภักดีดำรง จะเดิน
เข้าไปนั่งรวมกับสมาชิกคนอื่นๆในบ้าน

“น้องชายพี่ ยังหล่อจนสาวหลงเหมือนเดิมสินะ” พี่สาวคนโตอย่างแพงขวัญเอ่ยแซวน้องชาย

“ใช่ๆ ตอนที่พี่นาย ออกมานะ สาวๆไม่มองผมเลย” พีรภัทรบ่นอุบ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพี่ชายแย่งความสนใจจากสาวๆไปจากเขาเสีย
หมด

“พี่แพงกับเจ้าพี พูดกันเกินไป”

“ไม่เกินหรอกค่ะ คุณพระนายของแม่ หล่อมากเลยค่ะวันนี้” ผู้เป็นแม่บอกด้วยรอยยิ้ม

“คุณแม่มีแผนอะไรในใจอยู่หรือเปล่าครับถึงยิ้มแบบนั้น” เป็นพีรภัทรที่เอ่ยขึ้นก่อนจะได้ค้อนวงโตจากผู้เป็นแม่

“ตาพี มองคุณแม่ในแง่ร้ายตลอดเลยนะคะ แม่ไม่ได้มีแผนอะไรทั้งนั้น ไม่มีเลยค่ะ”

“พี่นายผมว่า พี่เตรียมตัวตัดชุดเจ้าบ่าวได้เลยนะ ลองคุณ อนงค์นาถยิ้มกว้างขนาดนี้พี่ไม่รอดแน่” น้องชายกระซิบบอก ร่างสูง
ทำได้เพียงส่งยิ้มให้ ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้แต่เพราะรู้ถึงต้องมา เพื่อให้ให้คุณอนงค์นาถจับเขาคลุมถุงชนได้

“คุณคะ นี่บ้านโน้น ยังไม่มาเลยนะคะ งานเริ่มตั้งนานแล้วจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” คุณอนงค์นาถเอ่ยถามสามีพลางมองนาฬิกาเรือนหรูไปด้วย

“คิดมากน่าคุณ ไอ้อดุลย์ มันคงจะกลัวหล่อไม่สู้ผมเลยไม่กล้ามา”  พ.อ. พงพันธ์ บอกกับภรรยาอย่างติดตลก เมื่อคุณอนงค์นาถดู
จะเป็นเดือนเป็นร้อนกับการมาถึงของ ครอบครัว พิทักษ์โยธร เหลือเกิน

“คุณก็ ไม่เข้าใจฉันเลยนะคะ”

“เอาน่าคุณ เดี๋ยวก็มา อย่าใจร้อนสิ” นายทหารนอกราชการเอ่ยกับภรรยาเบาๆ

ร่างสูงที่นั่งเงียบฟังบทสนทนามาได้สักพักก็พอจะเดาออกแล้วว่า แม่คงต้องการให้เขาดองกับพิทักษ์โยธร หรือ บางทีอาจจะเป็น คนที่ชื่อ กิ่งแก้ว อะไรนั่น ที่แม่เขาหมายตาไว้

“นั่นไงคุณ มาพอดีเลย” พ.อ. พงพันธ์บอกกับภรรยา เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทของตนกำลังเดินเข้ามาในงาน



“สวัสดีค่ะ คุณอดุลย์ คุณดลยา” คุณอนงค์นาถที่ทำหน้าที่แม่งานเอ่ยทัก ก่อนจะปลายตามอง หญิงสาวร่างบางและชายหนุ่มที่มาพร้อมกับทั้งสองคนไปด้วย

“สวัสดีค่ะ คุณอนงค์นาถ สบายดีนะคะ” เป็นคุณดลยาที่เอ่ยตอบ

“สบายดีค่ะ แล้วนี่พาใครมาด้วยหรือคะ”

“นี่ลูกสาวกับลูกชาย ดิฉัน ไงคะ จำได้ไหม หนูกิ่งแก้ว กับ ตากานต์ ไงคะ” คุณดลยาแนะนำ

“สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับ” สองพี่น้อง พิทักษ์โยธร ยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างมีมารยาท เรียกรอยยิ้มจากคุณอนงค์นาถได้มากโข
โดยเฉพาะ กิ่งแก้ว ที่เธอหมายมั่นจะให้เป็นลูกสะใภ้ ยิ่งเห็นยิ่งถูกใจ งามทั้งหน้าตาและกิริยาท่าทาง

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่บอกเสียงนิ่งก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง

“ขอโทษด้วยนะคะ ตากานต์ แกไม่ชอบออกงานนี่กว่าจะพาออกมาได้ต้องกล่อมเกือบค่อนวัน”

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไม่ถือ เราไปที่โต๊ะกันดีกว่านะคะ” เจ้าของงานบอกก่อนจะพาครอบครัว พิทักษ์โยธร ไปที่โต๊ะ

“แพง พระนาย พี ไหว้คุณอาอดุลย์ กับ คุณอาดลยาสิลูก”

“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”

“อ่า ใช่สิ คุณแม่มีอีกคนจะแนะนำด้วย นี่หนู กิ่งแก้ว ลูกสาวของคุณอาทั้งสองนะคะ” คุณอนงค์นาถบอกก่อนที่หญิงสาวรูปร่างบอบบางจะก้าวออกมาพร้อมกับยกมือไหว้คนที่อาวุโสกว่า

“สวัสดีค่ะ พี่ๆ”

ทันทีที่ร่างบางเงยหน้าขึ้น ชายหนุ่มกับต้องเบิกตาโพลง เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ คือ คนๆเดียวที่เขาฝันถึงมาตลอด 20 ปี

“แม่แก้ว”



จบตอนที่ 1


เพิ่มเติม   พระนาย น. คำเรียกหัวหมื่นมหาดเล็ก เช่น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ เรียก ว่า พระนายไวยวรนาถ.         บรรดาศักดิ์ จมื่น (เจ้าหมื่น) หรือ พระนาย นั้น เป็นบรรดาศักดิ์ หัวหน้ามหาดเล็ก ในกรมมหาดเล็ก ศักดินา 800-1000 ไร่ เทียบได้เท่ากับ บรรดาศักดิ์ พระ ที่มีศักดินาใกล้เคียงกัน แต่ จมื่นนั้น ได้รับการยกย่องมากกว่า เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน และมักจะมีอายุยังน้อย อยู่ในระหว่าง 20-30 ปี มักเป็นลูกหลานของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่นำมาถวายตัวรับใช้ใกล้ชิด พระเจ้าแผ่นดินในที่นี้ “คุณพระนาย” จึงเป็นชื่อเรียกตามยศ ของ จมื่นภักดีดำรง ที่คนทั่วไปใช้เรียกนะคะ


...................................TBC...........................

 :z3: ยาวที่สุดตั้งแต่เคยลง นิยายมา เลยอ่ะ
เรื่องนี้ 3 ตอนจบนะคะ ที่รัก  ไปล่ะจร้า
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน 2 : 11/5/14 P1
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 11-05-2014 22:07:26

บทที่ 2 คิดไตร่ตรอง

“แม่แก้ว” ร่างสูงนั้นเอ่ยเสียงเบาไม่น่าเป็นไปได้ จะเป็นไปได้ยังไง ทั้งๆที่นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่คนตรงหน้านั้นเหมือน แม่แก้ว ทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งหน้าตา ท่าทาง หรือแม้แต่ น้ำเสียง

“คุณพระนาย คุณพระนายคะ เป็นอะไรหรือเปล่า” คุณอนงค์นาถเรียกลูกชายเบาๆ ทำให้สติของร่างสูงนั้นกลับมา แต่ก็ยังคงมองร่างบอบบางที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่วางตา

“ดูสิ เสียมารยาทจริง จ้องน้องแบบนั้นได้ยังไงคะ น้องเป็นผู้หญิงนะลูก” ผู้เป็นแม่บอกเหมือนจะเอ็ดแต่ใบหน้าที่ยังคงสวยนั้นกลับยิ้มกว้าง เมื่อสิ่งที่เธอหวังไว้กำลังจะเป็นจริง

“ขอโทษด้วยนะครับ” ชายหนุ่มบอกพลางก้มหัวเป็นเชิงขอโทษที่เสียมารยาท

“ไม่เป็นไรค่ะ” เสียงหวานนั้นเอ่ยตอบ


“คุณเห็นไหมคะ คุณพระนายต้องชอบหนูกิ่งแน่ๆ” คุณอนงค์นาถกระซิบบอกกับสามีเบาๆ

“อย่าเพิ่งคิดไปเลยคุณ เรื่องแบบนี้ปล่อยให้เด็กๆเขาจัดการกันเองเถอะ เรื่องของหัวใจเราจะไปเจ้ากี้เจ้าการมากมันจะไม่ดีนะ”

“คุณนี่ก็ ดิฉันแค่อยากจะให้ลูกชายเราได้เจอกับผู้หญิงดีๆอย่างหนูกิ่ง ไม่ใช่เป็นคว้าเอาใครก็ไม่รู้มาเป็นสะใภ้นะคะ”

“จ้าๆ ตามใจคุณเถอะ ผมขอตัวไปหาเพื่อนฝูงก่อนแล้วกัน” พลเอกนอกราชการบอกกับภรรยาก่อนจะชวนคุณอดุลย์เพื่อนสนิทออกจากโต๊ะ ไป

“แหม คุณดลยาคะ เราสองคนก็ไปบ้างดีกว่า ดูเหมือน คุณรุจิรากับคุณวรรณ จะรอเราอยู่นะคะ” คุณอนงค์นาถบอกเป็นเชิงใบ้ก่อนที่ทั้งสองจะลุกออกจากโต๊ะไป ทั้งโต๊ะจึงเหลือแค่ ร่างบางกับลูกชายเจ้าของบ้านเพียงสองคนเพราะแพงขวัญกับพีรภัทรนั้นขอแยกตัวออกไปก่อนหน้านั้นแล้ว

“เอ่อ คุณพระนาย เป็นอาจารย์เหมือนกันใช่ไหมคะ” เสียงหวานั้นเป็นฝ่ายถามก่อน

“ครับ ผมสอนชีววิทยาครับ” ร่างสูงตอบ ยามที่เสียงนั้นเรียกเขาว่า คุณพระนาย มันช่างคล้ายกับในความฝันเหลือเกิน แต่จะเป็นไปได้ยังไง เรื่องทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญ

“เก่งจังเลยนะคะ เป็นกิ่งก็คงทำไม่ได้ เพราะไม่ค่อยชอบวิทยาศาสตร์เท่าไหร่ ”

“ไม่หรอกครับ ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น”

“คุณพระนาย พูดเหมือนพี่กานต์ เลยนะคะ” หญิงสาวบอกเสียงใส

“กานต์ ใครเหรอครับ”

“พี่ชายของ กิ่ง เองค่ะ รายนั้นเขาเป็น สถาปนิก จริงๆวันนี้ก็มาด้วยนะคะ แต่ว่าคงแยกออกเดินเล่นเหมือนเคย”  ร่างสูงก็พอจะจำได้คับคล้ายคับคลาว่า พิทักษ์โยธร มี ทั้งลูกสาวและลูกชาย เหมือนกัน แต่ก็จนปัญญาที่จะคิดออกจริงๆว่าอีกฝ่ายจะมีรูปร่าง
หน้าตายังไง

“ผมได้ข่าวมาว่า ตอนนี้คุณกิ่งเริ่มงาน อาจารย์ ได้สักพักแล้วสินะครับ”

“ใช่ค่ะ ยากเอาการอยู่เหมือนกัน กิ่งเพิ่งเริ่มได้ยังไม่ถึงปีก็มีงานใหญ่เข้ามาซะแล้ว ตอนนี้ที่สาขากำลังวุ่นกันใหญ่”

“งานสถาปนานะเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ ปีนี้จะมีการแสดงละคร แล้วกิ่งเอกก็ต้องเป็นคนดูแลเด็กๆในการจัดละครด้วย” เธอบอกด้วยรอยยิ้ม สิ่งเดียวที่ คนตรงหน้าต่างจากแม่แก้วในความทรงจำนั้น คงเป็น นิสัยที่ค่อนข้างจะมั่นใจในตัวเองเหมือนผู้หญิงยุคปัจจุบันทั่วไป ต่างจากแม่แก้วที่ดูเรียบร้อย หัวอ่อน อย่างผู้หญิงไทยโบราณ


“ขอโทษนะคะ คุณพระนาย วิมลขอตัวกิ่งสักครู่ได้ไหมคะ พอดีว่าเพื่อนๆของเราอยู่ทางนั้นอยากจะเจอน่ะค่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะเดินเข้ามาหา

“ได้ครับ”

“กิ่งขอตัวก่อนนะคะ” ร่างบางบอกก่อนจะเดินตามเพื่อนไป ลูกชายคนกลางของภักดีดำรง มองตามแผ่นหลังบางพลางขมวดคิ้ว
แน่น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าบนโลกใบนี้จะมีคนหน้าตาท่าทางเหมือนกับคนในฝันของเขามากขนาดนี้

“ต่อให้ต้องรอจนถึง ภพหน้าตัวน้องก็จักรอ   ดอกแก้วมิเคยร้างกลิ่นหอม ฉันใด กาลเวลาก็มิอาจพรากหัวใจรักไปได้ ฉันนั้น”  คำสัญญาที่ร่างบางบอกกับเขาในความฝันนั้นยิ่งทำให้คิ้วเข้มขมวดแน่น หรือว่า เรื่องราวในฝันนั้นจะเป็นเรื่องจริง แม่แก้ว ยังคงรอเขาอยู่อย่างนั้นเหรอ




“เฮ้อ” ร่างสูงถอนหายใจอย่างแรงพลางสูดกลิ่นหอมของดอกแก้วเข้าเต็มปลอด กลิ่นหอมที่ไม่ว่าจะได้กลิ่นเมื่อไหร่ก็ทำให้จิตใจ หวนนึกถึงความฝันเมื่อนั้น  เพราะความสับสนทำให้ ร่างสูงต้องปลีกตัวออกจากงานเพื่อมาเดินเล่นรับลมในสวน หวังแค่ว่าที่นี่คง
พอทำให้จิตใจของเขาสงบได้บ้าง

“ดูท่าทาง คุณจะกลุ้มน่าดูนะครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่ร่างแกร่งหนาของใครบางคนจะเดินเข้ามา พระนายคิดว่าคนมาใหม่ช่างดู
คุ้นเหลือเกินแต่ก็นึกไม่ออกสักทีว่าเคยเห็นหน้าอีกฝ่ายที่ไหน

“เอ่อ คุณ”

“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ ผม กานต์ ครับ กานต์ พิทักษ์โยธร” ร่างหนาแนะนำตัว เจ้าของบ้านพยักหน้ารับรู้ที่เขารู้สึกคุ้นอาจจะเพราะ คนตรงหน้ามีหน้าตาที่คล้ายกับน้องสาวมาก แต่ความสูงที่น่าจะเท่าๆกับเขา กับกล้ามเนื้อที่ดูเหมือนคนออกกำลังกายเสมอนั้น ทำให้ใบหน้าที่เกือบจะหวานนั้นดูสมชายมากขึ้น

“ครับ ผม พระนาย ภักดีดำรง ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”  ร่างสูงยื่นมือเป็นเชิงทักทายก่อนที่มือหนาของอีกฝ่ายจะยื่นมาสัมผัส

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”


                                       กรุ่นกลิ่นแก้วกำจายในยามค่ำ   ยิ่งครวญคร่ำถึงนางที่ห่างหาย
                               แสนคิดถึงตัวเจ้ามิเว้นวาย              พี่นั้นหมายได้พิศชิดนวลนาง
                                 
                                      ยิ่งไกลนางห่างเจ้ายิ่งเฝ้าฝัน       ถึงยามวันใกล้ชิดพิสมัย
                              อยากจะกอดตัวเจ้าไม่ห่างกาย         ได้แต่เพียงกอดกายต่างแก้วตา

เสียงกลอนที่แว่วมาตามลมดึงความสนใจของทั้งสองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก โดยเฉพาะกับเจ้าของบ้าน ที่รู้สึกคุ้นเคยกับกลอนบทนี้อย่างประหลาด แต่กลับหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน

“เพราะจัง ไม่คิดว่าสมัยนี้จะมีคนอ่านกลอนได้เพราะแบบนี้อยู่อีก” อาจารย์หนุ่มพึมพำเสียงเบาแต่คนที่ยืนอยู่ถัดไปไม่ไกลกลับได้ยินอย่างชัดเจน

“นั่นเสียงของยัยกิ่ง ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น

“คุณกิ่ง น้องสาวคุณกานต์นะเหรอครับ” เจ้าของบ้านเลิกคิ้วถาม

“ครับ ยายกิ่ง ชอบแต่งโคลงกลอนมาตั้งแต่เด็กแล้ว จนตอนนี้กลายเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยไปเรียบร้อย”

“เพราะจริงๆครับ ไม่น่าเชื่อว่าคนรุ่นใหม่อย่างคุณกิ่งจะชอบอะไรที่เป็นไทยแบบนี้”

“เห็นทีผมคงต้องเอาไปบอกยัยกิ่งแล้วสิครับว่ามีคนชม”

“อ่า ครับ” อาจารย์หนุ่มเริ่มประหม่าเมื่อแววตาคมของคนตรงหน้ามองด้วยสายตาที่เขาอ่านไม่ออก มันคล้ายจะล้อเลียนแต่กลับเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ใช่ เหมือนว่าคนตรงหน้าพยายามใช้สายตาล้อเลียนเพื่อกลบเกลื่อนบางอย่าง

“ผมได้ยินคุณกิ่งบอกว่า คุณกานต์ เป็นสถาปนิกเหรอครับ”

“ใช่ครับ ตอนนี้เปิดบริษัทเล็กๆกับเพื่อนอยู่น่ะครับ”

และแล้วบทสนทนาของทั้งคู่ก็ต้องหยุดลงเมื่อสาวใช้เดินมาตามเจ้าของบ้านให้กลับไปนั่งที่โต๊ะตามคำสั่งของคุณอนงค์นาถ

“ผมขอตัวก่อนนะครับ หวังว่าจะได้พบกันอีก”

“ครับ”  คนเป็นแขกตอบรับพลางมองแผ่นหลังที่เดินห่างออกไป

ผมก็หวังจะเจอคุณอีกครั้ง เหมือนกัน คุณพระนาย




ผ่านวันรวมญาติมาได้เกือบอาทิตย์แล้วแต่อาจารย์หนุ่มก็ยังไม่คิดไม่ตกเรื่องของร่างบางที่เขาพบในงาน เขาไม่รู้จะปรึกษาใครเพราะดูเหมือนว่าคนรอบตัวเขาจะไม่มีใครที่เชื่อเรื่องพวกนี้เลย

คุณพระนาย เหมือนท่านมาก ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือน  คำของผู้ที่อาวุโสที่สุดในภักดีดำรงลอยเข้ามาในหัว บางทีคุณทวดอาจจะเป็นคนที่ไขข้อข้องใจของเขาได้มากที่สุดก็ได้  หลังจากถึงเวลาเลิกงาน ร่างสูงก็ตรงกลับบ้านใหญ่ทันที  ตั้งใจว่าจะบอกทุกเรื่องกับคุณทวด เพราะคงมีแค่คุณทวดคนเดียวเท่านั้นที่ยอมรับฟังเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้พวกนี้


“อ้าว คุณพระนายทำไมวันนี้กลับบ้านได้คะ” คุณอนงค์นาถที่กำลังจะออกไปงานสังสรรค์เอ่ยถามกับลูกชายคนกลาง

“ผมคิดถึงคุณทวดน่ะครับ ก็เลยจะมากราบท่าน”

“แหม คิดถึงแต่คุณทวดนะคะ ไม่คิดถึงคุณแม่เลยเหรอ”

“คิดถึงสิครับ ใครจะไม่คิดถึงคุณอนงค์นาถคนสวยล่ะครับ” ลูกชายอ้อนพลางกดจมูกลงบนแก้มของผู้เป็นแม่

“ปากหวานจริง คุณพระนายเนี่ย หัดปากหวานกับสาวๆเหมือนเจ้าพี บ้างสิ แม่อยากจะมีหลานย่าแล้วนะ”

“โถ่ แม่ครับเรื่องแบบนี้มันเป็นความสามารถเฉพาะบุคคลนะครับ”

“ค่ะๆ แต่อย่าให้คุณแม่รอนานนะคะ เดี๋ยวหลานย่าจะโตไม่ทันตาอ้น” คุณอนงค์นาถบอกเสียงเข้ม

“ครับๆ ลูกชายคนนี้จะพยายามให้เร็วที่สุดนะครับ”

“คุณแม่ไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ทันงาน ไปนะคะ” เธอบอกก่อนจะก้าวขึ้นรถคันหรูไป



ร่างสูงสาวเท้าอย่างเร่งรีบเพื่อไปที่เรือนเล็ก เพราะกลัวว่าผู้อาวุโสของบ้านจะพักผ่อนไปแล้ว พลางเหลือบมองนาฬิกาที่เข็มสั้นอยู่ใกล้เลขเจ็ดเต็มที แม้ว่าจะเป็นเวลาหัวค่ำสำหรับคนทั่วไปแต่สำหรับคนสูงอายุและยังติดวิถีชีวิตแบบเดิมของคุณทวดมักเข้านอนตอนหนึ่งทุ่มเสมอ

“อ้าว คุณพระนาย มาซะมืดเชียวนะคะ” เสียงของ “คุณย่าใหญ่” ทักขึ้น เมื่อเห็นว่าคนที่มายามวิกาลคือหลานชายคนโปรด

“พอดีผมมีเรื่องจะรบกวนคุณทวดน่ะครับ ไม่ทราบว่าท่านหลับหรือยัง”

“ยังหรอกจ๊ะ เพิ่งจะทานข้าวเย็นไป ตอนนี้คงนั่งรับลมเล่นที่ชานบ้าน”

“ขอบคุณครับ”  เสียงนุ่มบอกขอบคุณผู้สูงวัยกว่าก่อนจะสาวเท้าไปที่ชานบ้านตามคำบอก


“คุณทวดครับ”

“คุณพระนาย มาเสียค่ำเชียว” หญิงชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ให้เหลนคนโปรด

“ผมมีเรื่องจะรบกวนคุณทวดได้ไหมครับ”

“เรื่องอะไรหรือจ๊ะ”

“คุณทวดเชื่อเรื่อง การกลับชาติมาเกิดหรือเปล่าครับ”

“ทำไมคุณพระนายถึงถามทวดแบบนั้น”

“คุณทวดครับ บางทีบอกไปคุณทวดอาจจะไม่เชื่อ แต่ว่าทุกเรื่องที่ผมจะเล่าเป็นเรื่องจริงนะครับ  ตั้งแต่ผมอายุครบ 15 ผมมักจะฝันถึงคนสองคนเสมอ คนหนึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนผมซะจนผมอดคิดไม่ได้ เขาคนนั้นอาจจะเป็นตัวผมในชาติที่แล้ว และในฝันของผมเขาคนนั้นจะอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมักจะเรียกเขาว่า คุณพระนาย และเขา ก็เรียกเธอว่า แม่แก้ว ”

“คุณทวดครับ มันจะเป็นไปได้ไหม ที่สิ่งที่ผมฝันจะเป็นเรื่องจริง ผมคือ คุณพระนายคนนั้น จริงๆ” ร่างสูงหยุดเล่าพลางมองคุณทวดที่ตอนนี้ มีหยดน้ำใสคลอที่ดวงตา มือเหี่ยวย่นค่อยยกขึ้นลูบหน้าของเหลนคนโปรดอย่างแผ่วเบา

“กลับมาแล้ว คุณพระนาย กลับมาแล้วจริงๆ สินะเจ้าคะ ท่านกลับมาแล้วจริงๆ” หญิงชราบอกทั้งน้ำตา

“คุณทวด”

“คุณพระนาย ไม่ได้เพียงแค่เหมือน แต่คุณพระนายคือ ท่าน คือ จมื่นภักดีดำรง จริงๆ สินะจ๊ะ ทวดดีใจเหลือเกิน”

“คุณทวดจะบอกว่า ผมคือ จมื่นภักดีดำรง กลับชาติมาเกิดหรือครับ” ร่างสูงถาม เขาแทบไม่อยากจะเชื่อที่ตัวเองพูดสักนิดแต่แวว
ตาของคุณทวด ไม่ได้มีร่องรอยของการโกหกเลยแม้แต่น้อย

“ใช่จ๊ะ แม่ชะเอม ไปเอารูปของท่านในห้องแม่มาสิ” คุณทวดอิ่มบอกลูกสาวก่อนจะหันกลับมาสนใจเหลนอีกครั้ง

“คุณทวดพอจะเล่าเรื่องของ จมื่นภักดีดำรง ให้ผมฟังได้ไหมครับ”

“แม้ว่าทวดจะเกิดไม่ทันสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ แต่ก็ได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย ที่มักจะเล่าว่า จมื่นภักดีดำรงนั้น นอกจากจะหล่อเหลาคมคายแล้ว ฝีมือดาบยังเยี่ยมที่สุดในหมู่มหาดเล็ก อาศัยเพียงเพลงดาบก็ได้รับแต่งตั้งเป็น จมื่น เมื่ออายุเพียง 23 ปี แม้ว่าท่านจะไม่ใช่ลูกขุนนางผู้ใหญ่เพราะสายตระกูลของท่านจริงๆแล้วเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา การที่ชาวบ้านจะกลายเป็นจมื่นได้เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ท่านก็ทำสำเร็จ หลังจากที่รั้งตำแหน่ง จมื่น ได้สองปี ท่านก็พบรักกับ แม่แก้ว ลูกสาวของพระยา พิทักษ์โยธร แต่ก็อย่างที่รู้ ท่านสิ้นบุญหลังจากนั้นเพียงสามปี”

“คุณทวดบอกว่า แม่แก้ว มาจาก พิทักษ์โยธร เหรอครับ”  ร่างสูงเอ่ยถาม มันบังเอิญเกินไปที่ คุณกิ่งเอง ก็เป็น พิทักษ์โยธร

“ใช่จ๊ะ แม่แก้ว เป็นคนของ พิทักษ์โยธร แต่ดูเหมือนว่าสายตระกูลที่อยู่ในปัจจุบันจะเป็นสายที่มาจากพี่ชายของแม่แก้วเพราะแม่
แก้วเองก็สิ้นหลังจากที่ท่านสิ้นไม่ถึงขวบปีด้วยซ้ำ”

“แต่แม่แก้ว เรียกคนในฝันของผมว่าคุณพระนาย นะครับ ทำไมเธอถึงเรียกเขาแบบนั้น”

“คุณพระนาย เป็น คำที่คนโบราณใช้เรียก คนที่มียศ เป็น จมื่นจ๊ะ มันเป็นชื่อที่เรียกตามยศในสมัยนั้นเขาถือว่าเป็นการให้เกียรติ”

“คุณแม่คะ ได้แล้วค่ะ” เสียงของคุณย่าชะเอมเอ่ยขึ้นก่อนจะยื่นกระดาษที่ดูเก่าจนแทบจะขาดนั้นให้กับผู้เป็นแม่

“นี่อะไรเหรอครับคุณทวด”

“รูปเหมือนของ คุณพระนายท่านจ๊ะ ทวดเองก็คิดว่ามันหายไปเมื่อครั้งไฟไหม้ใหญ่ตอนนั้น แต่พอให้แม่ชะเอมหาดูแล้วก็เจออยู่
รูปหนึ่งพอดี ”

“บ้านเราเคยมีไฟไหม้ด้วยเหรอครับ” คนเป็นเหลนเลิกคิ้วถาม

“มันเป็นไฟไหม้ใหญ่ เมื่อตอนที่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา บ้านแถบนี้ถูกภัยจากระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ เสียหายเกือบครึ่ง รวมถึงบ้านหลังเดิมของคุณพระนายท่านด้วย รูปเหมือนของท่านรวมถึงแม่แก้วและคนอื่นๆก็ถูกไฟไหม้ไปเกือบหมดตั้งแต่ครั้งนั้น พวกรูปที่คุณพระนายเห็นในบ้านส่วนใหญ่จะเป็นภาพที่วาดขึ้นใหม่แทบทั้งนั้น แต่รูปของท่านวาดไม่ได้เพราะไม่มีแบบ คุณพระนายคงจะไม่เคยเห็นรูปท่านสินะจ๊ะ” ผู้มากอาวุโสบอกก่อนจะคลี่กระดาษแผ่นนั้นให้ร่างสูงดู

“เป็นไปไม่ได้”  อาจารย์หนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเลยว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าคือ บรรพบุรุษของเขา ในเมื่อ คนใน
ภาพนั้นเหมือนเขาทุกระเบียดนิ้ว และยังเป็นคนๆเดียวกับที่อยู่ในความฝันของเขาด้วย

“คุณทวด” ร่างสูงแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ พลางมองคุณทวดอย่างขอความช่วยเหลือ

“ไม่ต้องตกใจหรอกจ๊ะ คุณพระนาย มนุษย์เรามีกรรมเป็นที่ตั้ง จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อชดใช้กรรม มันไม่แปลกหากว่าจะมี
ชาตินี้ ชาติหน้า แต่ในลักษณะของคุณพระนายอาจจะเป็นเพราะแรงอธิฐาน ที่ต้องการจะได้อยู่กับคนที่รัก ทำให้คุณพระนายยังคงกลับมาเพื่อรอคอยวันที่จะได้พบกับคนรักอีกครั้ง”

“ผมขอเก็บรูปนี้ไว้ได้ไหมครับ คุณทวด”

“ได้สิจ๊ะ รูปนี้มันเป็นของคุณพระนายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทวดเพียงแค่รักษาไว้จนกว่าจะถึงเวลาเท่านั้น”

“เฮ้อ นี่มันเรืองอะไรกัน” ร่างสูงที่ไม่สามารถข่มตาหลับได้พึมพำเสียงเบาพลางมองม้วนกระดาษที่ได้มากจากคุณทวดอย่างคิดไม่
ตก คนเราจะสามารถมีความรักที่ก้าวผ่านกาลเวลาได้จริงๆเหรอ ความรักของ คุณพระนาย และ แม่แก้ว ที่มีให้กันยังคงมีอยู่ในตัวของเขาอย่างนั้นเหรอ ร่างสูงคิดยังไงก็คิดไม่ตก แม้จะถามกับคุณทวดแล้วแต่คำตอบที่ได้มากลับทำให้เขายิ่งต้องคิดหนัก
เรื่องของหัวใจ คุณพระนายก็ต้องใช้หัวใจตัดสินสิจ๊ะ ไม่ต้องไปยึดติดกับเหตุผลให้มากนัก แต่คุณพระนายต้องทำตามที่หัวใจนำทาง

หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน 2 : 11/5/14 P1
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 11-05-2014 22:12:16

ร่างสูงยังคงมาทำงานในเวลาปกติเช่นทุกวันแต่วันนี้ดูเหมือนว่าที่มหาลัยกำลังจะมีงานอะไรบางอย่างเพราะเขาเห็นว่ามีการประดับตกแต่งเวทีกลางแจ้งของมหาวิทยาลัยด้วย

“อาจารย์ วันนี้ไปงานสาขาภาษาไทยไหมคะ” อาจารย์สาวิตรีเอ่ยถาม

“งานจัดวันนี้เหรอครับ” ร่างสูงเลิกคิ้วถาม

“วันนี้สิคะ แบบนี้แปลว่าอาจารย์ยังไม่ได้อ่านบัตรเชิญสินะคะ”

“จริงด้วยสิ ผมลืมไปสนิทเลย แล้วนี่งานเขาเริ่มกันกี่โมงครับ”

“เห็นว่า ช่วงเช้าจะเป็นงานสัมมนา งานการประชุมทางวิชาการ แล้วก็จัดนิทรรศการน่ะค่ะ ส่วนตอนเย็นจะมีการแสดงละครเวที ครั้งนี้เขาว่าน่าจะอลังการกล่าวทุกครั้งนะคะ” อาจารย์สาวบอก

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ร่างสูงบอกขอบคุณ ก่อนจะเดินไปเตรียมเอกสารการสอนในห้องทำงาน เกือบสองอาทิตย์ที่เขาไม่ได้เจอเจ้าของร่างบอบบางที่ทำให้ เขาสับสน ไม่รู้ว่าครั้งนี้หากเจอกันอีกเขาจะต้องทำหน้ายังไง เมื่อรู้ชัดแล้วว่าเรื่องที่ฝันทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง แม้จะยังไม่ยอมรับเต็มร้อยแต่ความเป็นไปได้ก็มีเกินครึ่งแล้ว

ตกเย็นร่างสูงไปร่วมงานของสาขาวิชาภาษาไทยที่ตนได้รับเชิญแต่เพราะกว่าเขาจะสะสางงานเสร็จก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงการแสดงละครและดูเหมือนว่าการแสดงจะเริ่มได้นานพอสมควรแล้ว

                                “ ดอกแก้วนี้พี่มอบด้วยใจภักดิ์        ดั่งคำรักฝากไว้ให้ถนอม
                             ใครมาสู่ ตัวเจ้าอย่ายินยอม             จงถนอมตัวใจให้พี่ยา
                                 พี่จากไกลเมื่อใดไม่อาจรู้            ตายหรืออยู่ล้วนสวรรค์ท่านสรรหา
                            แต่ความรักที่พี่มอบแก่แก้วตา          จักคงอยู่ค้ำฟ้าชั่วนิรันดร์”


“ไม่จริง ทำไมถึง..”  อาจารย์หนุ่มแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน กลอนบทนั้นกลอนที่เขาได้ยินในฝันมาตลอดกลอนที่คุณพระนายพูดกับแม่แก้ว มันจะเป็นไปได้ยังไงเมื่อเขาไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับกลอนบทนี้เลย ทำไมนักแสดงคนนั้นถึงได้พูดมันได้


“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณ” เสียงทุ้มเอ่ยถามก่อนที่มือหนาจะแตะเบาๆที่ไหล่เพื่อเรียกสติ

“เปล่าครับ” คนที่กำลังตกตะลึงตอบก่อนจะหันกลับไปหาคนที่อยู่ข้างหลัง

“คุณ กานต์”

“สวัสดีครับ คุณพระนาย เจอกันอีกแล้วนะครับ” ร่างหนาตอบพลางอมยิ้มน้อยๆ แต่กลับมีผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจคนมองอย่างมาก   ใจเต้นแรง อาจารย์หนุ่มอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ว่าทำไมหัวใจของเขาถึงเต้นแรงขนาดนี้ เพียงแค่อีกฝ่ายยิ้มให้

“ครับ คุณกานต์ มางานนี้ด้วยเหมือนกันเหรอครับ”

“ต้องมาสิครับ งานนี้ยัยกิ่ง ลงทุนเขียนบทแล้วก็กำกับเองเลยนะครับ ดูทุ่มเทมาก แถมยังคุยโม้ไว้อีกว่าบทเรื่องนี้ได้มาจากความฝัน”

“ฝันเหรอครับ”  ร่างที่บางกว่าเลิกคิ้วถาม

“ใช่ครับ ฝัน ตลกไหมล่ะครับ ใครมันจะไปฝันได้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น เหลวไหลทั้งเพ”  ร่างหนาบอกติดตลกแต่คนฟังกลับ
ไม่ได้รู้สึกตลกด้วยสักนิด  เพราะ คนประเภท เหลวไหลทั้งเพนั้นคงมีเขารวมอยู่ด้วย

“ไปเถอะครับ ถ้ายังไม่มีที่นั่งไปนั่งกับผมก็ได้ขืนอยู่ขวางทางออกกันอยู่แบบนี้จะโดนว่าเอานะครับ”  กานต์บอก ก่อนจะพาอีกคนกลับไปนั่งที่นั่งพิเศษ ที่น้องสาวสุดที่รักจองไว้ให้ครอบครัวแต่ทั้งบ้านกลับมีแค่ร่างหนาที่ว่างทำให้เหลือที่นั่งอีกสองที่

“ขอบคุณนะครับ”

อาจารย์หนุ่มแทบจะไม่สามารถละสายตาจากเวทีได้เลย เพราะ ทุกฉากทุกตอน ทุกคำพูดที่นักแสดงกำลังแสดงนั้นมันคือสิ่งที่เขาฝันถึงมาตลอด มันคือสิ่งที่ คุณพระนายและแม่แก้ว ทำร่วมกันมาตลอด หรือว่า ลูกสาวของพิทักษ์โยธร คือ แม่แก้ว ของเขาจริงๆ
ละครเรื่อง “กลิ่นแก้ว” จบลงพร้อมกับเสียงปรบมือกึกก้อง เมื่อตอนจบนั้นหักมุมจบด้วยการพรากจากกันตลอดการของ คุณพระนายและแม่แก้วตัวละครหลัก ร่างสูงสังเกตว่ามีผู้ชมบางคนถึงกับน้ำตาซึมในฉากที่แม่แก้วกำลังจะสิ้นใจ

“คุณพระนายเจ้าขาน้องขอสัญญา ไม่ว่าจักภพกี่ชาติ ดอกแก้วดอกนี้ ก็จักเป็นของคุณพระนายผู้เดียวเท่านั้น ต่อให้ตั้งรอคอยเนิ่นนานชั่วอสงไขย น้องก็จักรอ รอวันที่เราสองจักได้ครองคู่กัน ตลอดไป”

 คำพูดของแม่แก้ว ที่เขาหรือคุณพระนายก็ยังไม่เคยได้ยิน คำสัญญาสุดท้ายของหญิงอันเป็นที่รักของ จมื่นภักดีดำรง คำสัญญาที่ทำให้ตัวเขาเองรู้สึกสะเทือนใจจนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่

“แม่แก้ว คุณรักคุณพระนายมากขนาดนั้นเลยเหรอ”




“คุณพระนาย มาดูด้วยเหมือนกันเหรอคะ” เสียงหวานั้นปลุกให้ร่างสูงตื่นจากภวังค์

 “แม่แก้ว”

“เมื่อครู่คุณพระนายเรียกกิ่งว่าอะไรนะคะ”  กิ่งแก้วเลิกคิ้วถาม

“แม่แก้ว ของพี่” ร่างสูงบอกก่อนจะรั้งร่างบอบบางตรงหน้าเข้ามากอดแน่น  ไม่อยากจะรออีกแล้ว ไม่อยากจะพิสูจน์ความจริง
อะไรอีกแล้ว เขาอยากจะตอบแทนความรักที่แม่แก้วมีให้ อยากจะดูแล โอบกอด แม่แก้ว ของเขาไว้ตลอดไป

“คุณพระนาย นี่อะไรกันคะ”

“คุณกิ่งครับ ผมรู้ว่าคุณเข้าใจ ละครเรื่องนั้นมันบอกทุกอย่างในตัวมันอยู่แล้ว อย่ารออีกเลยนะครับ ผมไม่อยากให้คุณต้องรอผม
อีกแล้ว ผมขอโทษ ขอโทษแทนตัวผมในอดีตที่ไม่สามารถดูแลคุณได้เลย ตั้งแต่วินาทีนี้ไป ขอให้ผมได้ดูแลคุณบ้างได้ไหมครับ”

“ค่ะ กิ่งตกลง”

“ผมจะรักคุณ คนเดียวตลอดไป” เสียงนุ่มบอกกับร่างในอ้อมกอดแผ่วเบา พลางกระชับอ้อมกอดนั้นแน่นขึ้น





“ครับคุณแม่ ผมกำลังจะไปรับคุณกิ่งไปทานข้าวครับ” ร่างสูงบอกกับปลายสายพลางเดินไปตามทางเดินของตึกภาควิชาภาษาไทย

“แค่นี้ก่อนนะครับแม่ ผมถึงที่ทำงานคุณกิ่งแล้ว รักแม่นะครับ”  เขาบอกกับปลายสายก่อนจะกดวางเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องพักอาจารย์ สาขาภาษาไทย 

ตอนนี้ก็เกือบจะสองเดือนแล้ว ที่เขากับร่างบางเป็นคนรักกัน แต่มันเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง บางสิ่งที่ยังคงค้างอยู่ในใจที่เขาไม่รู้ที่มา นับตั้งแต่วันที่เขาพบกับ แม่แก้ว  ความฝันประหลาดของเขาก็หายไป แต่มันไม่ใช่การที่ไม่ฝันอีก แต่กลับกลายเป็น ว่าความฝันของเขาเปลี่ยนไป เขามักจะฝันเห็นแม่แก้ว ที่กำลังนั่งรอใครบางคนอยู่ในสวน พร้อมกับดอกแก้วในมือ บางครั้ง ก็ได้ยินคล้ายเสียงร้องไห้เบาๆ อยู่ในความฝันด้วย เขาอยากจะเข้าไปปลอบ อยากจะไปเช็ดน้ำตา แต่กลับทำไม่ได้ ทั้งๆที่ ตอนนี้เขาน่าจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดแต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย

“อ้าวคุณพระนาย มานานแล้วเหรอคะ” เสียงหวานเอ่ยถาม

“ไม่นานหรอกครับ เพิ่งมาถึง”

“รอกิ่งหน่อยนะคะ พอดีว่ามีรายงานต้องตรวจอีกนิดหน่อย”

“ตามสบายครับ” ร่างสูงตอบ ก่อนจะได้รับรอยยิ้มกลับมาเช่นเคย นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่แปลก ทั้งๆที่เขาคิดว่า คุณพระนาย ชอบรอยยิ้มของแม่แก้วมาก แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้สึกใจเต้นหรือรู้สึกพิเศษกับรอยยิ้มที่คนรักส่งมาให้เลย ต่างจาก เขา คนนั้น ที่เพิ่งแค่คลี่ยิ้มบางๆก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนห้ามไม่อยู่

“คิดอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้ว” ร่างสูงไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว คนที่เขารักคือแม่แก้ว และแม่แก้วก็คือ คนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ จะเป็นคนอื่นไปได้ยังไง

ร่างสูงสมส่วนกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามทางเดินแคบในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังก่อนจะหยุดที่หน้าห้อง ICU เมื่อครู่คุณอนงค์นาถโทรไปบอกเขาว่าจู่ๆคุณทวดก็หมดสติไป เขาก็แทบจะทิ้งงานทั้งหมดไว้ทันทีที่ได้ยิน แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้แม้ว่าปีนี้คุณทวดอิ่มจะอายุได้ 110 ปีแล้วแต่ท่านก็ยังดูท่าทางแข็งแรงไม่ได้เจ็บออดๆแอดๆเหมือนคนสูงอายุทั่วไป ไม่ได้มีท่าทีหรือท่าทางที่จะล้มป่วยได้เลยด้วยซ้ำ

“คุณพระนาย” คุณอนงค์นาถเรียกร่างสูงทั้งน้ำตา แม้จะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วแต่การที่คุณทวดล้มป่วยกะทันหันก็ทำให้รู้สึกใจเสียไม่น้อย

“คุณแม่ คุณทวดต้องไม่เป็นอะไรครับ”

“แม่กับคุณย่าใหญ่แทบจะทำอะไรไม่ถูกที่เปิดประตูเข้าไปแล้วเจอท่านนอนไม่ได้สติ จะทำยังไงกันดีคะคุณพระนาย ”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นครับ คุณทวดท่านยังแข็งแรงยังอยู่ได้อีกนาน” ร่างสูงเอ่ยปลอบ



“คุณอนงค์นาถครับ” เสียงของคุณหมอวิทย์ หมอประจำตัวของคุณทวดอิ่มเอ่ยเรียกก่อนจะเดินเข้ามาหาญาติของผู้ป่วย

“คุณทวดเป็นยังไงบ้างครับ”

“ตอนนี้ท่านฟื้นแล้วครับ แต่ว่า..”

“แต่อะไรคะหมอ”

“คงต้องเตรียมใจกันไว้นะครับ คุณทวดท่านอายุมากแล้ว แม้ว่าภายนอกจะดูแข็งแรงแต่ผมคงต้องแจ้งตามตรง ท่านเองก็อายุมากแล้วสุขภาพร่างกายก็เริ่มร่วงโรยไปตามวัย ท่านอาจจะอยู่กับเราได้ไม่นานนัก ” หมอวัยกลางคนบอกเสียงเบา

“ขอผม เยี่ยมท่านได้ไหมครับ” ร่างสูงถามเสียงเบา มันยากเหลือเกินที่ต้องทำใจ ยากเหลือเกินที่ต้องทนเห็นคนที่รักกำลังจะจากไป

“ได้ครับ เชิญทางนี้”


ร่างสูงที่เข้ามาในห้องปลอดเชื้อ เหม่อมองหญิงชราที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงพลางไล่น้ำตาที่กำลังจะไหลออกมานั้นให้หยุดลง เขาไม่อยากให้คุณทวด ต้องเห็นน้ำตา หากว่าวันนี้ท่านต้องจากไป เขาก็หวังจะให้ท่านได้เห็นรอยยิ้มสุดท้ายชองเขา

“คุณทวดครับ”

“คุณพระนายเหรอจ๊ะ” เสียงแหบพร่าที่ดูอ่อนล้ากว่าครั้งไหน เอ่ยขึ้น ร่างสูงแทบจะไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้

“ไม่เอา ไม่ร้องจ๊ะ ทวดไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย คนเราเกิดจากดินก็แค่กลับไปสู่ดิน ทวดเองก็สมหวังในสิ่งที่คิดแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ต้องฝืนอยู่ในสังขารที่ร่วงโรยนี้แล้ว”

“แต่ผมยังอยากจะกอดคุณทวดอยู่นะครับ ยังอยากฟังเพลงที่คุณทวดร้องกล่อม ยังอยากกินขนมกลีบลำดวนของคุณทวด”

“อย่ายึดติดกับสังขารเลยจ๊ะ คุณหลวงรอทวดนานแล้ว ถึงเวลาที่ทวดต้องไปพบท่านเสียที”

“คุณทวด” ร่างสูงที่เอ่ยเสียงสั่นก่อนจะคุกเข่าลงพร้อมกับกราบลาคุณทวดเป็นครั้งสุดท้าย

“คุณพระนาย จำคำทวดไว้นะจ๊ะ รูปกายภายนอกนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาแต่จิตใจที่อยู่ภายในต่อให้ผ่านกาลเวลาไปนานแค่ไหนก็จะยังคงอยู่ เรื่องบางเรื่องอย่ามองด้วยตาแต่จงสัมผัสมันด้วยใจ”


จบตอนที่ 2

.....................TBC.....................

รูปปากอบ

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/p417x417/10325538_10201469391090636_6097098564707463840_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/p417x417/10245289_10201469390770628_7991781340025457659_n.jpg)
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน 2 : 11/5/14 P1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-05-2014 22:59:15
ลุ้นอ้ะๆๆๆๆ
แต่เรื่องแรกดราม่าเกิ๊นนนน ฮือออออ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน 2 : 11/5/14 P1
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 11-05-2014 23:06:07
คุณพระนายเข้าใจผิดแน่ ๆ เลย
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน 2 : 11/5/14 P1
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 13-05-2014 00:40:14
 :sad4: นึกว่าจะจบแบบ normal ซะแล้ว
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน 2 : 11/5/14 P1
เริ่มหัวข้อโดย: sittikorn ที่ 13-05-2014 16:03:06
รอติดตามตอนต่อไปนะคับ  :o8:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน 2 : 11/5/14 P1
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 13-05-2014 17:53:30
มันต้องมีอะไรที่ทำให้สับสนแน่ เราว่าพระนายจำสลับคนแน่
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน 2 : 11/5/14 P1
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 13-05-2014 19:09:34
แปะไว้ก่อน เด๋วมาอ่านนะค๊าบบบบ  ^^
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน 2 : 11/5/14 P1
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 14-05-2014 04:45:53
ผิดคนแน่เลย
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 14-05-2014 21:23:25

บทที่ 3 ครองหทัย

“แม่แก้ว” 

“เมื่อครู่คุณพระนายเรียกกิ่งว่าอะไรนะคะ” 

“แม่แก้ว ของพี่”

“คุณพระนาย นี่อะไรกันคะ”

“คุณกิ่งครับ ผมรู้ว่าคุณเข้าใจ ละครเรื่องนั้นมันบอกทุกอย่างในตัวมันอยู่แล้ว อย่ารออีกเลยนะครับ ผมไม่อยากให้คุณต้องรอผมอีกแล้ว ผมขอโทษ ขอโทษแทนตัวผมในอดีตที่ไม่สามารถดูแลคุณได้เลย ตั้งแต่วินาทีนี้ไป ขอให้ผมได้ดูแลคุณบ้างได้ไหม
ครับ”

“ค่ะ กิ่งตกลง”

“ผมจะรักคุณ คนเดียวตลอดไป”

ร่างแกร่งหนายืนมองภาพนั้นพลางคลี่ยิ้มเบาๆ ในที่สุด คุณพระนาย ก็ได้รักกับแม่แก้ว แล้ว ได้รักกับคนที่รอคอยมาตลอดแล้วสินะ  กานต์อมยิ้มอย่างยินดีก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างเงียบๆ


ดีแล้ว ดีที่สุดแล้ว ที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้







“พี่กานต์ มายืนทำอะไรตรงนี้คะ” เสียงหวานเอ่ยทักก่อนร่างบางของ กิ่งแก้ว จะเดินเข้ามาหาผู้เป็นพี่ชายร่วมสายเลือด

“พี่มาทำสวน แล้วเราล่ะวันนี้จะไป เลือกแหวนไม่ใช่เหรอ ยังไม่ไปเตรียมตัวอีก” ร่างสูงบ่นพลางใช้กรรไกรแต่งกิ่ง ต้นดอกแก้ว ดอกไม้โปรดของเขา ไปด้วย

“พี่กานต์ จะให้มันเป็นแบบนี้จริงๆเหรอคะ” เสียงหวานถาม พลางมองพี่ชายด้วยแววตาเศร้า

“แล้วแบบนี้มันไม่ดีตรงไหน หืม ยัยตัวยุ่ง” พี่ชายบอกพลางบิดจมูกน้องสาวเป็นเชิงล้อ

“มันจะไปดีได้ยังไง ในเมื่อกิ่งไม่ใช่..”

“กิ่งคือแม่แก้ว ” พี่ชายตัวโตตัดบท

“พี่กานต์ ทำไมต้องทำแบบนี้” ร่างบางครางแผ่ว ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น พี่ชายของเธอต้องเสียใจแค่ไหน

“ไม่มีเหตุผลอะไร นอกจากจากกิ่ง คือคนที่คุณพระนายเฝ้ารอมาตลอด ไปเถอะให้ผู้ใหญ่รอนานๆมันจะไม่ดี” เสียงทุ้มบอกก่อนจะเดินผละออกจากน้องสาวไป





“หนูกิ่งเนี่ยจะลองวงไหนก็สวยไปหมดเลยนะคะ ป้าชักเลือกไม่ถูกซะแล้วสิคะ” กิ่งแก้วมองคุณอนงค์นาถพลางส่งยิ้มแห้งๆไปให้ ถ้าให้เลือกได้เธอไม่อยากอยู่ตรงนี้เลยสักนิด แม้ว่าคุณพระนายเองจะเป็นผู้ชายที่ดีมาก ตลอดเวลาที่เป็นคนรักกัน ร่างสูงจะดูแลเธออย่างดี แต่เธอกลับรู้สึกว่าร่างสูงนั้นดูฝืนใจ ทุกครั้งที่อยู่กับเธอแววตาของคุณพระนายคล้ายมีความกังวลอยู่เสมอ และทุกครั้งที่มองเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้น มันไม่เคยสะท้อนว่าเจ้าตัวรักเธอแม้แต่น้อย

“คุณพระนาย มาช่วยคุณแม่ดูหน่อยสิคะว่าเอาวงไหน” คุณอนงค์นาถหันไปถามความเห็นจากลูกชายก่อนที่ร่างสูงที่ง่วนอยู่กับ
หนังสือเล่มโตจะทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมอง

“วงไหนก็สวยทั้งนั้นล่ะครับแม่ ผมยังไงก็ได้”

“ยังไงก็ได้ไม่ได้ค่ะ นี่แหวนแต่งงานนะคะ ต้องเลือกที่ดีที่สุด สวยที่สุดสิคะ ผู้ชายเนี่ยไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ” คนเป็นแม่บ่นอุบ ก่อนจะคิ้วขมวดกับแหวนเพชรต่อ

“หนูกิ่งชอบวงไหนคะ” คราวนี้คุณอนงค์นาถหันไปถามว่าที่ลูกสะใภ้บ้าง

“จริงๆกิ่งไม่ถนัดเรื่องพวกนี้เลยค่ะ ดูๆไปแล้วมันก็สวยทุกวงกิ่งก็เลือกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ” หญิงสาวตอบ

“ถ้าอย่างนั้น เอาวงนี้ดีไหมคะ น้ำงามมาก ดีไซน์ก็ดูไม่เยอะเหมาะกับหนุ่มสาว คุณพระนายว่าไงคะ”

“ถ้าคุณแม่ว่าดี ผมก็ว่าดีครับ” ร่างสูงตอบ

“ถ้าอย่างนั้น ตกลงดิฉันเอาคู่นี้นะคะ คุณวรรณ” คุณอนงค์นาถบอกกับคุณวรรณเจ้าของร้านเพชรชื่อดัง

“ได้ค่ะ เดี๋ยวเซ็นรับของตรงนี้เลยนะคะ คุณอนงค์นาถ”

“ถ้าเสร็จแล้วผมขอตัวไปที่เรือนเล็กนะครับ คุณแม่ วันนี้คุณย่าใหญ่ท่านจะทำกลีบลำดวนให้ทาน คุณกิ่งก็ไปทานด้วยกันสิครับ” เสียงทุ้มเอ่ยชวนว่าที่เจ้าสาว


“กิ่งฝากขอโทษคุณย่าใหญ่ด้วยนะคะ วันนี้กิ่งมีสอนตอนสี่โมงเย็นน่ะค่ะ น่าเสียดายจังเลย”

“ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้พอหนูกิ่งแต่งเข้าบ้านเราแล้ว รับรองว่าต้องได้ทานขนมฝีมือคุณย่าใหญ่จนน้ำหนักขึ้นเลยล่ะค่ะ” คุณอนงค์นาถบอก

“ผมขอตัวนะครับแม่”






ร่างสูงเดินเข้ามาในเรือนเล็กเหมือนอย่างเคยพลางสูดกลิ่นหอมของดอกแก้วที่คุณทวดท่านสั่งให้ปลูกไว้ในสวน ทั้งๆที่อีกไม่กี่วันเขาจะได้แต่งงานกับคนที่เฝ้ารอมาตลอดแต่ทำไมเขาถึงไม่มีความสุขเลย

“คุณพระนาย จำคำทวดไว้นะจ๊ะ รูปกายภายนอกนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาแต่จิตใจที่อยู่ภายในต่อให้ผ่านกาลเวลาไปนานแค่ไหนก็จะยังคงอยู่ เรื่องบางเรื่องอย่ามองด้วยตาแต่จงสัมผัสมันด้วยใจ”

คำพูดสุดท้ายของคุณทวดยังคงดังก้องอยู่ในหัวแม้ว่าจะผ่านมาหลายเดือนแล้วแต่ร่างสูงก็ยังคิดไม่ตกสักที คุณทวดต้องการจะบอกอะไรกับเขากันแน่

“อ้าว คุณพระนาย ไหนเด็กๆบอกว่าไปเลือกแหวนแต่งงานไม่ใช่เหรอจ๊ะ” คุณย่าใหญ่เอ่ยถามหลานชาย

“ใช่ครับ แต่คุณย่าใหญ่ก็รู้ ว่าผมเลือกของแบบนั้นไม่เป็น เลยให้คุณอนงค์นาถเธอตัดสินใจให้น่ะครับ”

“แล้วนี่ คุณพระนายคุยกับหนูกิ่งหรือยังว่าจะใช้เรือนนี้เป็นเรือนหอ ”

“ยังเลยครับ”

“อ้าวแล้วกัน เรื่องนี้รอช้าไม่ได้นะจ๊ะ คุณพระนายจะแต่งงานกันวันนี้พรุ่งนี้อยู่แล้ว ต้องคุยกันให้รู้เรื่องเกิดฝ่ายหญิงเขาไม่ชอบใจ
ขึ้นมามันจะลำบากเอานะลูก” ผู้มากอาวุโสกว่าบอก

“แต่ว่าเรื่องนี้มันก็เป็นความตั้งใจของคุณพระนายกับแม่แก้วตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอครับ ถึงแม้ว่าเรือนนี้จะไม่ใช่หลังเดิมแต่ก็สร้างเหมือนเดิมแทบทุกอย่างนะครับ”

“คุณพระนาย เวลาเปลี่ยน คนเราก็อาจเปลี่ยนได้อย่ายึดติดกับอะไรให้มากนักสิจ๊ะ ไปคุยกันให้รู้เรื่องชีวิตคู่มันต้องคิดด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างไปนะลูก”

“เฮ้อ อย่าเพิ่งพูดเรื่องคนอื่นดีกว่าครับ ผมอยากชิมขนมฝีมือคุณย่าใหญ่แล้ว เสร็จหรือยังครับ”

“เอ๊ะ เจ้าหลานคนนี้ เปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉยเลยนะ ย่าทำเสร็จบ้างแล้ว วางอยู่บนโต๊ะแน่ะ ไปหยิบมากินได้เลยจ๊ะ จริงสิ ย่าทำไว้เผื่อบ้านโน้นด้วย คิดว่าหนูกิ่งจะมาด้วยจะได้ฝากไปให้ ” คุณย่าใหญ่บ่นอุบ เมื่อเรื่องไม่เป็นอย่างที่คิดไว้แต่แรก

“ผมเอาไปให้ก็ไครับ” คุณย่าใหญ่มองหลานชายก่อนจะยกยิ้มให้

 “ถ้าอย่างนั้นคุณพระนายช่วยเอาขนมที่ย่า จัดไว้ในตะกร้านั้นไปให้ทีนะจ๊ะ”

“ได้ครับ คุณย่า ผมไปนะครับ”  อาจารย์หนุ่มบอกก่อนจะถือตะกร้าขนมไปที่รถทันที ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การไป “บ้านโน้น” ทำให้เขารู้สึกดีใจเสมอ แต่สาเหตุนั้นกลับไม่ใช่เพราะ ว่าที่เจ้าสาว แต่เป็นเพราะใครอีกคน




ร่างสูงที่ทุกวันนี้กลายเป็นแขกประจำของ “พิทักษ์โยธร” ไปแล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคยพลางมองหาเจ้าของบ้านร่างหนาแต่ก็ไม่พบคนที่ต้องการสักที

“คุณพระนาย หาใครอยู่เหรอคะ”  หญิงวัยกลางคนเอ่ยถาม ว่าที่ลูกเขยของเจ้าของบ้านที่เหมือนจะมองหาใครบางคนอยู่

“วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเหรอครับ ป้าชื่น”

“วันนี้ มีแค่คุณกานต์ที่อยู่บ้านค่ะ ชื่นเห็นเธออยู่ในสวนน่ะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นผมฝากป้าชื่นเอาขนมไปเก็บด้วยนะครับ คุณย่าใหญ่ผมท่านฝากมาให้น่ะครับ”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวชื่นจัดการเอง”




“ดอกแก้วพวกนี้สวยจังเลยนะครับ”  แขกคนสำคัญของบ้านเอ่ยทักร่างหนาที่กำลังแต่งกิ่งต้นดอกแก้วลูกรักอยู่

“อ้าวคุณ พระนาย มาหายัยกิ่งเหรอครับ รายนั้นไม่อยู่บ้าน สงสัยจะมีสอนน่ะครับ”

“เปล่าหรอกครับ เรื่องนั้นผมรู้แล้ว พอดีว่าคุณย่าใหญ่ท่านทำขนมไว้ ท่านให้เอามาให้น่ะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากขอบคุณท่านด้วยนะครับ” ร่างหนานั้นบอก นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้เขาแปลกใจเมื่อดูเหมือนว่าพี่ชายของคนรัก
เขาจะเข้ากันได้ดีกับคุณย่าใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่า สถาปนิก ที่จบจากเมืองนอกอย่าง กานต์ พิทักษ์โยธร จะสนใจเรื่องดอกไม้และขนมไทยมาก ไปบ้านเขาทีไรก็มักจะไปคุยกับคุณย่าใหญ่ที่เรือนเล็กเป็นประจำ

“ดอกแก้วพวกนี้คุณกานต์ ดูแลเองหมดเลยเหรอครับ ผมมาบ้านนี้ทีไรก็เห็นคุณคลุกอยู่กับเจ้าพวกนี้ทุกที”

“ใช่ครับ ดอกไม้พวกนี้ผมปลูกแล้วก็ดูแลเองทั้งหมด” ร่างหนาตอบก่อนจะยกยิ้มกว้าง
รอยยิ้มนั้น ยังคงเป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของพระนาย เต้นแรงเช่นเดิม รอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองครั้งใดที่ทำให้หัวใจสะท้านไหวได้ทุกครั้ง ทำไม คนๆนี้ถึงทำให้หัวใจเขาเต้นแรงได้ทุกครั้งนะ ทำไมกัน




“พี่กานต์ คุณพระนาย” เสียงหวานครางแผ่ว เพราะตารางสอนผิดทำให้ร่างบางต้องกลับมาก่อนเวลา ทำให้เธอได้มองสองคนที่ยืนคุยกันในสวนตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าพี่ชายของเธอกำลังมีความสุขแค่ไหนที่ได้คุยกับคุณพระนาย แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจยิ่งกว่าคงเป็นสายตาของว่าที่เจ้าบ่าว ในแววตาคมคู่นั้นมันสะท้อนสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับ “แววตาแห่งความรัก”  ของคุณพระนาย

หากว่าโชคชะตากำลังเล่นตลกกับชีวิตของพี่ชายเธอ เธอคงต้องเป็นคนเปลี่ยนแปลงโชคชะตานั้นด้วยตัวเอง






“พี่กานต์ กิ่งว่าเราต้องคุยกันให้รู้เรื่องแล้วนะ” ร่างบางบอกกับพี่ชายเสียงเข้มหลังจากที่คล้อยหลังแขกร่างสูงได้ไม่นาน แต่ร่างหนากลับไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่น้องสาวพูดสักนิด

“เรื่องอะไรเหรอ”

“พี่กานต์ กิ่งทนไม่ไหวแล้วนะ ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย!!” 

“พี่ทำอะไรเหรอกิ่ง” เสียงทุ้มยังคงตอบเสียงเรียบ

“ก็ทำอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ไงคะ ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรแบบนี้!!”

“แล้วพี่ต้องรู้สึกอะไร ทุกวันนี้พี่ก็ทำตัวเหมือนปกตินิ”

“พี่กานต์ กิ่งขอร้องล่ะค่ะ อย่าทำอย่างนี้อีกเลย เราจะหลอกคุณพระนายเขาไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน นี่มันไม่ตลกแล้วนะคะ”

“เราไม่ได้หลอกใคร”

“แต่พี่ก็รู้ว่ากิ่งไม่ใช่ กิ่งไม่ใช่แม่แก้ว แต่พี่กานต์ต่างหากที่เป็น!!” หญิงสาวแหวลั่น

“ไม่ใช่ กิ่งก็เลยเห็นรูปแล้วไม่เหรอ แม่แก้วกับกิ่งเหมือนกันขนาดนั้น กิ่งจะไม่ใช่ได้ยังไง เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆไปอาบน้ำเถอะ คุณย่าใหญ่ทำขนมมาให้ด้วยนะ ท่าจะอร่อย” ร่างหนาบอกด้วยรอยยิ้มยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้ร่างบางมากขึ้น
“พี่กานต์จะหลอกตัวเองไปถึงไหน เราเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าใครกันแน่คือแม่แก้ว ”

“แล้วกิ่งจะให้พี่ทำยังไง   กิ่งดูพี่ตอนนี้สิ ถ้าเป็นกิ่งจะเชื่อไหม ไม่มีใครโง่พอที่จะเชื่อว่าพี่คือแม่แก้ว เพราะฉะนั้นเราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้วพี่เชื่อว่าน้องสาวของพี่จะมีความสุขถ้าได้แต่งงานกับคุณพระนาย ”

“แล้วความสุขของพี่ล่ะ”

“พี่มีความสุขที่เห็นคนที่พี่รักสองคนมีความสุข อย่าคิดมากน่า พี่ไม่เป็นอะไรสักหน่อย” คนเป็นพี่บอกด้วยรอยยิ้ม แต่กิ่งแก้วกลับ
ไม่ชอบรอยยิ้มนั้นเลย เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนเต็มที เธออยากเห็นพี่กานต์ที่ยิ้มกว้างได้อย่างเต็มหัวใจอีกครั้ง อยากจะให้พี่ชายของเธอมีความสุขจริงๆกับเขาเสียที


“ดอกแก้ว มิเคยร้างกลิ่นหอมฉันใด   กาลเวลาก็มิอาจพรากหัวใจรักไปได้ฉันนั้น”   ร่างหนาบอกกับตัวเองเบาๆพลางมอง ดอกแก้ว ที่อยู่ในมือไปด้วย แม้ว่าจะรักมากเพียงใดแต่ชาตินี้ก็คงไม่สามารถที่จะอยู่ด้วยกันได้ ไม่รู้ว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับชีวิตเขาไปถึงเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ที่เขาและคุณพระนายจะได้รักกัน จริงๆ เสียที


หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 14-05-2014 21:27:35


“ดูสิ คุณพระนาย หนูกิ่งยิ่งใส่ชุดไทยแบบนี้ยิ่งสวยนะคะ ว่าไหม” คุณอนงค์นาถที่ยิ้มแก้มปริ เมื่อเห็นว่าที่ลูกสะใภ้ในชุดไทยโบราณที่เธอเลือกกับมือ พลางหันไปขอความเห็นจากลูกชายที่อยู่ไม่ไกล

“ครับสวย”

“ไม่ใช่แค่สวยค่ะ แต่ต้องสวยมาก” คุณอนงค์นาถเอ็ดเบาๆ แต่ก็ยังอดที่จะปลื้มกับว่าที่ลูกสะใภ้ที่ทั้งสวยทั้งเก่ง แถมยังมาจากตระกูลที่ดีอย่าง พิทักษ์โยธร อีกด้วย เธอคิดไม่ผิดเลยจริงๆที่แนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน

“แล้วนี่ ต้องลองอีกไหมครับคุณแม่”

“จะไปเรือนเล็กอีกเหรอคะ พักนี้ดูคุณพระนายจะไปบ่อยนะคะ มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ ผมแค่กลัวว่าคุณย่าใหญ่ท่านจะเหงา เมื่อก่อนยังมีคุณทวดอยู่ด้วยแต่ตอนนี้ท่านอยู่คนเดียว ผมกลัวว่าท่านจะไม่มีเพื่อนคุย”

“เรื่องนี้แม่ก็เห็นด้วยนะคะ หรือว่าเราจะให้คุณย่าใหญ่ ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยเลยดี แม่เองก็กลัวว่ามันจะเกิดเรื่องซ้ำรอยกับคุณทวดอยู่เหมือนกัน”

“อาจจะต้องเป็นอย่างนั้น แต่ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะยอมหรือเปล่า”

“ถ้าเป็นคุณพระนายพูดท่านก็ต้องยอมอยู่แล้วล่ะค่ะ ก็หลานชายคนโปรดขอร้องทั้งทีนิคะ”

“คุณอนงค์นาถคะ เสร็จแล้วค่ะ มีจุดไหนที่ต้องแก้อีกไหมคะ” ช่างตัดเสื้อเอ่ยถามทำให้บทสนทนาระหว่างสองแม่ลูกภักดีดำรงเป็นอันต้องหยุดไป

“ไม่แล้วค่ะ ชุดสวยมาก ตกลงว่าดิฉันเอาชุดนี้เลยนะคะ ส่วนของคุณพระนายก็เอาชุดที่ลองอยู่นั่นก็เลยเหมือนกัน”

“ได้ค่ะเดี๋ยวดิฉันจัดการให้นะคะ”




“เฮ้อ” ร่างสูงได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะล้มตัวลงนอนบนแคร่ใต้ต้นขนุนต้นใหญ่

“ไม่สบายใจอะไรหรือจ๊ะคุณพระนาย”

“เปล่าครับคุณย่าใหญ่”

“เปล่าอะไรกันอย่ามาโกหกคนแก่หน่อยเลย ไม่มีคนสบายใจที่ไหนนอนถอนหายใจเสียงดังขนาดนั้นหรอกจ๊ะ” ผู้มากอาวุโสบอกอย่างรู้ทัน

“ผมก็แค่เป็นห่วงคุณย่าใหญ่น่ะครับ กลัวว่าอยู่คนเดียวจะอันตราย”

“โธ่ ย่าก็อยู่ของย่าแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว ที่นี่ไม่มีอันตรายอะไรหรอกจ๊ะ”

“แต่ว่าผมก็ไม่อยากให้คุณย่าอยู่บ้านคนเดียวอยู่ดี ผมเป็นห่วง”

“ไม่ต้องห่วงหรอกจ๊ะ หลังจากที่คุณพระนายแต่งงาน ย่าก็จะยกบ้านนี้ให้ตามคำสั่งเสียของคุณแม่ ต่อไปบ้านนี้ก็จะไม่เหงาแล้ว เพราะเดี๋ยวก็จะมีเหลนตัวเล็กๆมาวิ่งเล่นเต็มบ้านไปหมด ขี้คร้านย่าจะวุ่นวายจนไม่มีเวลาเหงา” หญิงชราบอกอย่างอารมณ์ดี

“ถ้าเกิดมันไม่เป็นอย่างนั้นล่ะครับคุณย่า”

“เรื่องอะไรหรือจ๊ะ”

“ถ้าเรื่องทุกอย่างมันไม่ได้จบ อย่างมีความสุขหรือลงเอยอย่างที่ทุคนคิดไว้ คุณย่าใหญ่จะผิดหวังในตัวผมไหมครับ” หลานชายถามเสียงเบา

“ย่าภูมิใจในตัวคุณพระนายเสมอ ไม่ว่าเรื่องนี้หลานจะตัดสินใจยังไง ย่าก็ไม่ห้าม ทำตามที่หัวใจบอกเถอะลูก” คุณย่าใหญ่บอกอย่างอารี มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลานั้นลูบเบาๆที่ผมนุ่มของหลานชายอย่างอ่อนโยน

“ชีวิตคนเรามันสั้นนะ คุณพระนาย หากอยากจะทำอะไรก็รีบทำเสียเถอะลูก เผื่อวันหนึ่งที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไปจะได้ไม่เสียใจทีหลัง เข้าใจไหมจ๊ะ”

“ขอบคุณนะครับคุณย่า ขอบคุณที่เข้าใจผม”





ร่างสูงก้าวเข้ามาในบ้าน “พิทักษ์โยธร” อย่างคุ้นเคย ก่อนสายตาจะหยุดลงที่ร่างบอบบางของว่าที่เจ้าสาว ที่ดูเหมือนกำลังตั้งใจกับพวกมาลัยดอกพุดในมือจนไม่รับรู้การมาถึงของเขา

“คุณกิ่งครับ”

“อ้าวคุณพระนาย ขอโทษด้วยนะคะที่เสียมารยาทพอดีว่า กำลังหัดร้อยพวงมาลัยดอกพุดตามที่คุณย่าใหญ่สอน แต่มันยากมาก” เจ้าของบ้านทักด้วยรอยยิ้ม

“คุณกิ่งพอจะมีเวลาให้ผมสักครู่ได้ไหมครับ”


ร่างหนาทำได้ยืนมองสองคนที่อยู่ในศาลากลางสวนกำลังหัวเราะและยิ้มให้กันอย่างมีความสุข คนหนึ่งหล่อเหลา อีกคนก็อ่อน
หวาน อย่างที่ใครต่อใครเขาพูดว่า สมกันราวกิ่งทองใบหยก ส่วนตัวเขาคงทำได้แค่เฝ้ามองอยู่ตรงนี้ มองรอยยิ้มกว้างของคนที่รักหมดหัวใจอยู่ห่างๆ แต่ก็ดีแล้ว มันดีแล้วที่เรื่องทุกอย่างจะจบลงอย่างนี้  ร่างหนายกยิ้มก่อนจะเดินออกห่างจากศาลานั้นอย่างเงียบๆ ที่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องมีเขา ไม่มีความจำเป็นเลย



“ใจคอคุณจะเดินหนีอย่างเดียวเลยใช่ไหมครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่อาจารย์หนุ่มจะก้าวมาขวางทางของร่างหนาไว้

“คุณพระนาย สวัสดีครับ ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ” เจ้าของบ้านเอ่ยทักทายพลางยิ้มให้อย่างเคย

“เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำหน้าแบบนั้นสักที”

“แบบไหนเหรอครับ” อีกคนเลิกคิ้วถาม

“ผมว่าเราควรหยุดโกหกตัวเองกันสักทีนะครับ”

“คุณกำลังพูดเรื่องอะไรผมไม่เข้าใจ ขอตัวนะครับผมมีงานค้างอยู่” ร่างหนานั้นยังคงตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะเดินผละไปอีกทาง

“คุณจะโกหกผมไปถึงไหน……แม่แก้ว” ทันทีที่เสียงของอีกคนดังขึ้นทำให้ร่างหนาหยุดเดินทันทีแต่ก็ยังไม่ยอมหันกลับไป

“คุณพูดเรื่องอะไร”

“ผมได้ยินที่คุณกับคุณกิ่งคุยกันในสวนวันนั้นแล้ว และผมก็รู้ทุกอย่างแล้วว่าคุณคือใคร”

“ฮ่าๆ คุณจะเชื่ออะไรแค่เรื่องล้อเล่น ผมกับยัยกิ่งอาจจะแค่แกล้งกันเล่นก็ได้ จะยึดถืออะไรกับคำพูดกันครับ”

“ใช่ครับ ผมไม่ได้เชื่อเพราะสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ไม่ได้เชื่อเพราะสิ่งที่ตัวเองได้เห็น แต่ผมเชื่อ เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง”
พระนายบอกกับร่างแกร่งหนานั้นก่อนจะเดินมาดักหน้าอีกฝ่ายไว้

“ตรงนี้ของผมมันบอกมาตลอดว่า แม่แก้ว คือใคร ” บอกก่อนจะจับมือหนาให้ทาบไว้ที่อกซ้ายของตัวเอง

“หัวใจของผมเต้นแรงทุกครั้งที่อยู่ใกล้คุณ มันบอกผมทุกครั้งว่าคนที่ผมรอคอยมาแสนนานนั้นนั้นยืนอยู่ตรงนี้”

“ตลกน่า คุณก็เห็นว่าผมไม่เหมือนแม่แก้วเลยสักนิด มันจะเป็นไปได้ยังไง”

“รูปกายภายนอกนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาแต่จิตใจที่อยู่ภายในต่อให้ผ่านกาลเวลาไปนานแค่ไหนก็จะยังคงอยู่ เรื่องบางเรื่องอย่ามองด้วยตาแต่จงสัมผัสมันด้วยใจ ”   

“และเสียงหัวใจของผมมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นคุณ กลับมาหาผมเถอะนะ อย่าโกหกตัวเองอีกต่อไปเลย ผมไม่ได้รักแม่แก้วที่รูปร่างหน้าตา ไม่ได้รักเธอที่ชาติตระกูล แต่ผมรัก รักที่เธอเป็นเธอเป็นแม่แก้วที่รักผมทุกวินาที และตอนนี้ก็ยังรัก ต่อให้เธอจะเป็นใคร รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง แต่ผมก็รู้ว่า หัวใจของผมยังรักเธอไม่เปลี่ยนแปลง”


“แต่ความรักที่พี่มอบแก่แก้วตา จักคงอยู่ค้ำฟ้าชั่วนิรันดร์ ”




“คุณพระนาย” ร่างหนาครางแผ่วก่อนจะรั้งคนตัวบางกว่าให้เข้ามาในอ้อมกอด ไม่สนอีกแล้วว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง ไม่สนอีกแล้วว่าใครจะมองแบบไหน คนเดียวที่เขาควรจะสนใจคือ คุณพระนาย

“ผมรักคุณนะ คุณกานต์”

“ผมก็รักคุณนะครับ คุณพระนาย”




4 ปี ผ่านไป..

“กานต์ กานต์ อยู่ไหนของเขานะ”  พระนายที่ดูเหมือนจะเพิ่งตื่นตะโกนหาคนรักเพราะวันนี้ดูเหมือนร่างหนาจะไม่ได้ปลุกเขาเหมือนทุกวันเล่นเอาเขาเคืองนิดๆเพราะเกือบจะตื่นสาย ไปสอนไม่ทันล่ะน่าดู อาจารย์หนุ่มคาดโทษในใจ แต่มันก็น่าแปลกเมื่อก่อน ไม่เห็นต้องให้ใครมาปลุกเขาก็ตื่นเองได้แต่สี่ปีมานี้ มีคนๆนั้นคอยปลุกตลอดดูเหมือนเขาจะเคยตัวแล้วสินะ

“คุณพระนาย ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ” เสียงของหญิงชราเจ้าของบ้านเอ่ยถาม เมื่อเห็นหลานชายคนโปรดลุกขึ้นมาโวยวายแต่เช้า

“ครับ คุณย่าใหญ่ ขอโทษด้วยนะครับที่ผมส่งเสียงเอะอะแต่เช้าเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ย่าน่ะตื่นตั้งนานแล้วไม่ได้รบกวนอะไร แล้วนี่หาพ่อกานต์เขาอยู่เหรอจ๊ะ”

“ใช่ครับ ไม่รู้ว่าหายไปไหนตั้งแต่เช้า”

“ย่าเห็นออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าแล้วจ๊ะ ดูท่าทางรีบร้อนน่าดูเลย นึกว่าพ่อกานต์บอกคุณพระนายแล้วซะอีก” คุณย่าใหญ่บอก

“สงสัยผมคงจะลืมเองมากกว่าครับ ผมขอตัวไปแต่งตัวก่อนนะครับคุณย่าใหญ่” ร่างสูงบอกก่อนจะเดินกลับเข้าห้อง คิ้วเข้มเริ่ม
ขมวดแน่น เมื่อครู่ที่บอกคุณย่าไปเขาโกหกทั้งนั้น ร่างหนาไม่ได้บอกหรือพูดอะไรให้เขาฟังเลยด้วยซ้ำ

“ไปไหนของเขากันนะ” ทั้งที่พยายามจะไม่คิดแต่มันก็ยังอดคิดไม่ได้ ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ผู้ชายที่ชื่อ กานต์ พิทักษ์โยธร เคยมีความลับกับเขาที่ไหน แค่จะไปทำกับข้าวยังบอกเลย นี่มันผิดปกติเกินไปหรือเปล่า

“พระนาย หยุดคิดได้แล้ว” ถ้าคุณย่าใหญ่เข้ามาเห็นเขาตอนนี้คงต้องตกใจยกใหญ่ เมื่อหลานชายคนโปรดเดินวนไปวนมาแถมยังบ่นอะไรก็ไม่รู้ไปด้วย


“เฮ้อ พอๆ มันไม่มีอะไรหรอก พอเลย” เรียกสติตัวเองเบาๆก่อนจะเดินไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปสอนเหมือนปกติ โชคดีที่วันนี้มีสอนบ่าย ไม่อย่างนั้น ประวัติไม่เคยสายของเขาคงเสียไปแน่ๆ



ทานข้าวเช้าก่อนไปทำงานด้วยนะครับ

โพสอิทที่ติดอยู่กับโต๊ะกินข้าวพร้อมกับข้าวต้มกุ้งชามโตทำให้คนที่หน้าบึ้งตั้งแต่ตื่นนอนอารมณ์ดีได้บ้าง ก่อนจะมองดอกแก้วที่อยู่บนแจกันพลางอมยิ้มน้อยๆ  ร่างหนามักจะใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เสมอ ตั้งแต่ “แต่งงาน” กันมา เขาแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจาก สอนหนังสือ เพราะมีใครบางคนทำให้หมดแทบทุกอย่าง

“ก็ยังดีที่รู้ว่าต้องทำข้าวเช้า” บ่นเบาก่อนจะตักข้าวต้มอุ่นๆเข้าปาก พลางยิ้มกว้าง  อีกเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ของผู้ชายตัวโตคนนั้นคือ กานต์ ทำกับข้าวอร่อยมาก แถมยังได้ครูดีอย่างคุณย่าใหญ่อีก ตอนนี้เลยทำเป็นทุกอย่าง ทั้งไทยทั้งเทศ จนเขาน้ำหนักขึ้นตั้งหลายกิโล

“กินข้าวเฉยๆ จะยิ้มทำไมพี่นาย” พีรภัทร เอ่ยล้อพี่ชาย ทันทีที่มาถึง

“เจ้าพี มาทำอะไรแต่เช้าเนี่ย”

“ผมมาหาพี่กานต์น่ะ ว่าจะขอขนมกินหน่อย ลูกพีช เขาบ่นว่าไม่ได้กินขนมที่ ลุงกานต์ ทำนานแล้ว” พีรภัทรเอ่ยถึงลูกชายวัยสองขวบที่ชอบกินขนมฝีมือ ลุงกานต์ มากจนเรียกว่าติดเลยจะถูกกว่า

“ขนมเหรอ หมดแล้วมั้ง ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเขายุ่งอะไรเหมือนกัน ไม่เห็นเข้าครัวเท่าไหร่เลย” คนเป็นพี่บ่นอุบเมื่อเริ่มจะคิดถึงความผิดปกติของร่างหนาขึ้นมาได้อีกเรื่อง

พีรภัทรได้แต่ลอบมองพี่ชายคนกลางก่อนจะยกยิ้ม ใครจะไปคิดว่าแทนที่ลูกชายคนกลางของ ภักดีดำรง จะหาสะใภ้เข้าบ้าน แต่พี่ชายของเขากลับหา ลูกเขย เข้าบ้านซะนี้ เล่นเอาคุณอนงค์นาถเกือบจะหัวใจวายแต่ในที่สุดก็ขัดลูกชายคนโปรดไม่ได้ ก็พี่ชายเขาบทจะดื้อเคยฟังใครซะที่ไหนแถมยังมีคุณย่าใหญ่เป็นกองหนุนอีกคุณอนงค์นาถไม่ยอมก็ให้มันรู้ไป

“จริงเหรอพี่ หรือว่า พี่กานต์ มีกิ๊ก” น้องชายถามทีเล่นทีจริง แต่คนฟังกลับขมวดคิ้วแน่น

“พูดมากน่าเจ้าพี พี่เห็นว่ามีคุกกี้อยู่ในโหลอีกนิดหน่อย ไปเอาสิไป”

“ครับๆ ผมไปแล้วครับ” น้องชายบอกก่อนจะหัวเราะร่วนเมื่อแกล้ง คุณพระนาย คนหน้านิ่งได้



วันทั้งวันดูเหมือน ร่างสูงจะแทบไม่มีสมาธิในการทำงานเลยเพราะมัวแต่คิดถึงความผิดปกติของอีกคน จนอาจารย์ในสาขายังแซวว่าเขาอกหักอีกรอบ เรื่องที่เขากับ อาจารย์สาภาษาไทยเลิกกันถือว่าดังพอสมควรอาจจะดังมากกว่าตอนเป็นแฟนกันด้วยซ้ำ แต่เขากับกิ่งแก้วก็ไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงของการเลิกรา รวมทั้งเรื่องที่เขาแต่งงานกับพี่ชายของว่าที่เจ้าสาวด้วย เพราะด้วยทั้งคู่มาจากตระกูลใหญ่ บางเรื่องก็ยังคงไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม แต่เขาเองก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็มีความสุขดี เราไม่ได้ปิดบังใครแต่ถ้าเขาไม่ถามเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องตอบหรือถ้าใครถามจริงๆ ทั้งเขาและกานต์ก็ไม่เคยคิดปิดบัง
ขายาวพาเจ้าของเดินขึ้นเรือนเล็กที่วันนี้ดูจะเงียบผิดปกติเพราะไม่มีร่างหนายิ้มรับอย่างเคย

“จริงเหรอพี่ หรือว่า พี่กานต์ มีกิ๊ก”  คำพูดของน้องชายยิ่งทำให้คิ้วเข้มขมวดจนเป็นปมแน่น รู้สึกไม่ชอบใจอย่างมากที่ดูเหมือนว่าอีกคนเริ่มจะมีความลับกับเขาและที่สำคัญคือกำลังไม่ชอบใจตัวเองที่กลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้  ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขา กลายเป็นคนเอาแต่ใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาต้องคอยมองหาว่าร่างหนาอยู่ตรงไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่มีคนเข้ามาคุยกับคนรัก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขากลายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้  พระนาย ภักดีดำรง ที่เป็นแบบนี้ดูไม่ใช่ตัวเขาเลย ตั้งแต่มีความรัก เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นใครก็ไม่รู้ 

เขากำลังกลัว กลัวว่าช่วงเวลาแห่งความสุขนี้มันจะหายไปเหมือนในอดีต ..

“คุณพระนาย” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยเอ่ยเรียก

“กานต์”

“มีอะไรหรือเปล่ารับ ทำไมไม่เข้าบ้าน” อีกคนเลิกคิ้วถาม

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” ทำได้แค่ส่ายหน้า ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป

“คุณพระนายเป็นอะไรหรือเปล่าครับทำไมวันนี้กินข้าวไม่หมด” ร่างหนาเอ่ยถามคนรัก เมื่อเห็นว่าคุณพระนายของเขาดูจะอิ่มเร็วกว่าปกติ

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”

“คุณพระนายครับ ถ้าคุณไม่พูด เราก็จะไม่มีวันเข้าใจกัน สงสัยอะไรทำไมไม่ถามล่ะครับ คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยปิดบังคุณสักครั้ง” เสียงทุ้มบอกก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนมาให้

“ถ้าผมพูดไป คุณก็จะหาว่าผมงี่เง่านะสิ”

“ไม่มีใครงี่เง่า เพราะสงสัยหรอกครับ ถามมาเถอะ”

“วันนี้ ไปไหนมาตั้งแต่เช้า”

“ฮ่าๆๆ ผมก็นึกว่าอะไร ที่จ้องหน้าผมตั้งแต่กลับมาเพราะเรื่องนี้เองเหรอครับ”

“นั่นไง คุณกำลังคิดว่าผมงี่เงาใช่ไหม” อีกคนแหวลั่น

“ ไม่ใช่นะครับ ใจเย็นๆสิ เดี๋ยวผมไปเอามาให้ดูนะ ” ร่างหนายิ้มก่อนจะลุกจากโต๊ะเพื่อเดินไปหยิบของบางอย่างออกมา

“นี่มันอะไรเหรอ” คนที่นั่งอยู่เอ่ยถามพลางชี้ไปที่อะไรสักอย่างที่ร่างหนาถือมา

“เปิดดูสิครับ”

“เอ๊ะ นี่มัน”  ร่างสูงเบิกตาโพลงเมื่อเห็นของที่อยู่ตรงหน้า เพราะตรงหน้าเขาคือภาพเหมือนของ เขาเอง

“ผมตั้งใจว่าจะให้คุณในวันเกิดน่ะครับ แล้วพอดีเพื่อนผมโทรมาบอกว่ากรอบรูปที่ผมสั่งไปส่งมาผิดแบบก็เลยต้องไปจัดการแต่เช้าน่ะครับ”

“วันเกิดเหรอ”

“ครับ นี่คุณลืมเหรอครับว่าพรุ่งนี้วันเกิดตัวเองน่ะ หืม” กานต์เลิกคิ้วถาม ก่อนจะอมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายส่งยิ้มแห้งๆมาให้ สมแล้วที่เป็นคุณพระนายทำงานจนลืมวันลืมคืนจริงๆด้วยสินะ

“กานต์”

“ครับ”

“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ทำเพื่อผมมาตลอด ขอบคุณที่รักคนที่ไม่ได้เรื่องสักอย่างอย่างผม และขอโทษที่ทำให้เหนื่อยมาตลอด
เหมือนกัน”

“เฮ้อ ขอโทษทำไมครับ ทุกอย่างที่ผมทำให้คุณเพราะผมรักคุณ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร เพราะผมเต็มใจทำเพื่อคุณพระนายเสมอ”

“ผมรักคุณนะ กานต์”

“ผมก็รักคุณครับ”  ร่างหนาดึงคนรักเมากอดแน่น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนคนที่เขารักก็มีแค่คุณพระนายคนเดียวไม่ว่าจะกาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่แต่หัวใจรักของเขาก็มีเพื่อคนๆนี้คนเดียวเท่านั้น 


ดอกแก้วมิเคยร้างกลิ่นหอม ฉันใด  กาลเวลาก็มิอาจพรากหัวใจรักไปได้ ฉันนั้น



จบ.



จบแล้วจร้า  เรื่องนี้ แต่งเพราะ
ความอยากของตัวเองล้วนๆ ฮ่าๆๆ

ใจจริงอยากแต่งแนวจีนโยราณกับแนวจักรๆวงศ์อีกเหมือนกันนะคะ
หรือทุกคนว่าไง ^_ ^

ขอบคุณ ทุกเม้น ทุกรี จร้า
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 14-05-2014 21:53:33
 o22 พระเจ้า! คุณพระนายของฉันกลายเป็นเคะน้อยๆ ขี้อ้อน ขี้น้อยใจ ซะงั้น
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 14-05-2014 22:13:46
 :pig4:ในที่สุดก็ทำตามเสียงหัวใจตัวเอง
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: lune ที่ 14-05-2014 22:17:55
ชอบค่ะ  น่ารัก  :katai2-1: :katai2-1:
 ขอบคุณคุณ Pita  :pig4:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: PhInNoI ที่ 14-05-2014 22:37:23
 :a5:
หงะ!!!!! คุณพระนายกลายเป็นเคะซะงั้น
 o22
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-05-2014 22:37:28
ได้เขยเข้าบ้านอีกตะหากกกกก ฮิ้วววว
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 15-05-2014 07:52:47
หักมุม แต่ก็เป็นอย่างที่คิด
ตอนแรกคิดว่า เฮ้ย! นี่นิยายวายนะผู้หญิงมาจากไหนกัน อ่านไปอ่านมาแล้วคิดว่ากิ่งแก้วจะเป็นแก้วจริงๆ เหรอ และดันมีความคิดหนึ่งแว๊บเข้ามา คุณพระนายอาจจะเป็นแก้วนส่วนคุณกานต์ก็เป็นคุณพระนาย เพราะดูคุณกานต์เหมือนจะเป็นรุกอ่ะ
และแล้วก็สรุปว่ายังอิงตระกูลอยู่ แล้วตกลงใครรุกใครรับกันคะเนี่ย

ปล.ชอบกลอนมากเลยค่ะ อ่านแล้วไม่สะดุดเลย
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 15-05-2014 08:47:42
ในที่สุดก็ตามหาหัวใจตัวเองจนเจอ

นึกว่าจะจบแบบดราม่าซะแล้ว

หุหุ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 15-05-2014 16:34:10
ในที่สุดก็จบแบบไม่เศร้า  :m4:
แปลกใจตรงพระนายเป็นเคะ      :a5:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 15-05-2014 19:45:05
http://www.youtube.com/watch?v=nY9sHiZ4bTU

อ่านไปฟังเพลงนี้ไป อินเวอร์ๆอะ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 15-05-2014 20:28:19
 :กอด1: :กอด1:

ในที่สุดก็ทำตามหัวใจ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 2 กลิ่นแก้ว ตอน จบ : 14/5/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 15-05-2014 23:36:27
http://www.youtube.com/watch?v=nY9sHiZ4bTU

อ่านไปฟังเพลงนี้ไป อินเวอร์ๆอะ

อ่าเพลงนี้เพราะ อิอิ ชอบๆ เราชอบ COCKTAIL เป็นการส่วนตัว
แต่ยอมรับว่าเพิ่งจะได้ฟังเพลงนี้เมื่อวาน #ห๊ะ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 1 : 12/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 12-06-2014 23:34:30

รหัท…..รัก

ตอน 1 เจ้าหญิงเงือกน้อย

ซ่าๆๆ

เสียงคลื่นกระทบฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า  ท่วงทำนองเพลงหวานปนเศร้าคลอไปกับเสียงคลื่นอย่างลงตัวราวกับว่า เพลงนั้นกำเนิดมาจากท้องทะเล   ภายในห้องนอนเล็กเด็กหญิงตัวน้อย ลืมตาขึ้นหลังจากที่เธอได้ยินเสียงเพลงนั้น เพลงที่เธอมักได้ยินทุกคืน ร่างน้อยค่อยๆลุกจากที่นอนก่อนจะอาศัยแสงจันทร์นำทางไปที่ระเบียงนอกห้องที่ติดทะเล หัวใจดวงน้อยเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาเมื่อคืนนี้เป็นครั้งแรกที่เธอ ตัดสินใจจะหาที่มาของเสียงเพลงประหลาดนั้น

“นั่นมัน” เด็กหญิงเบิกตาโพลงเมื่อมองเห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่บนโขดหิน ที่ห่างจากห้องเธอไม่กี่สิบ ร่างขาวจัดที่นั่งร้องเพลงอยู่บนโขดหินหลับตาพริ้มไม่รับรู้ว่ามีร่างเล็กกำลังมองตนอยู่แม้แต่น้อย ผมดำขลับพริ้วไหวไปมายามที่ลมพัดผ่านยิ่งทำให้ร่างนั้นดูชวนมองมากขึ้น ตากลมโตเหลือบ “หาง” สีเงินที่สะท้อนแสงจันทร์ราวกับแก้วเจียระไนนั้นอย่างตกตะลึง

“เจ้าหญิงเงือกน้อย” เด็กหญิงเผลอพูดออกไปเพราะความตกใจ ร่างขาวจัดนั้นสะดุ้งเฮือกก่อนจะกระโจนลงสู่ผิวน้ำด้านล่างแทบจะทันที






“นายหัวครับ ตอนนี้ผมให้คนส่งไข่มุก เข้าโรงงานเรียบร้อยแล้วครับ” เสียงภาษาไทยติดสำเนียงใต้ของลูกน้องสนิทบอก ก่อนที่ร่างสูงของ ธราดล จะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

“ขอบใจนะเข้ม”

“แล้วนายจะกลับเกาะเดี๋ยวนี้เลยไหมครับ” ลูกน้องคนสนิทเอ่ยถาม เพราะตอนนี้เย็นมากแล้วหากคนตรงหน้ายังไม่กลับคืนนี้อาจจะต้องนอนค้างในตัวเมือง เพราะการเดินทางในทะเลตอนกลางคืนนั้นเต็มไปด้วยอันตราย และเขาก็ไม่ต้องการที่ผู้เป็นนายต้องไปเสี่ยง

“นั่นสินะ กลับเลยดีกว่า ป่านนี้ น้องอันดา บ่นแย่แล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยถึง อันดา ลูกสาววัย 5 ขวบของเขาก่อนจะยกยิ้มกว้าง

“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมเรือนะครับ” เข้มบอกก่อนจะผละไปทำหน้าที่ของตัวเอง
ร่างสูงเหม่อมองท้องทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตาก่อนจะหลับตาลงพลางสูดลมหายใจเอากลิ่นของมันเข้าเต็มปอด สำหรับเขา ทะเล คือทุกอย่าง ทะเล ทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นทำให้เด็กบ้านนอกคนหนึ่งกลายเป็นคนที่ใครต่อใครเรียกว่ามหาเศรษฐี     แต่ทะเลก็พรากเอาสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเขาไปเช่นกัน มันคือค่าตอบแทนที่เขาต้องจ่ายเช่นนั้นหรือ???




“คุณพ่อกลับมาแล้ว” ร่างเล็กของหนูน้อยวัย 5 ขวบบอกอย่างร่าเริงก่อนจะโผเข้าสู่อ้อมแขนแกร่งของผู้เป็นพ่อ

“วันนี้คนสวยของพ่อดื้อกับพี่น้อยหรือเปล่าเอ่ย” คนเป็นพ่อถามก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มใส

“ไม่ดื้อค่ะ น้องอันดาเป็นเด็กดี วันนี้ทำแบบฝึกหัดของครูพี่จ๋าได้ ห้าดาวด้วยค่ะ” เด็กหญิงอวด ก่อนจะเรียกรอยยิ้มจากผู้เป็นพ่อได้มากโข

“เก่งมากเลยค่ะ คนสวยของพ่อ เย็นแล้วเข้าบ้านดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบาย” เสียงทุ้มบอกก่อนจะอุ้มแก้วตาดวงใจของเขาเข้าไปในบ้าน

“คุณหนูขา มาอยู่กับพี่น้อยก่อนนะคะให้คุณพ่อไป อาบน้ำก่อน” พี่เลี้ยงคนสนิทบอกกับเด็กหญิงก่อนจะรับเอาน้องอันดามาอุ้มไว้เอง

“คุณพ่อรีบมาเร็วๆนะคะ น้องอันดา หิวแล้ว”

“ครับๆ คุณลูกสาว คุณพ่อไม่ปล่อยให้คนสวยของพ่อหิวหรอกครับ”
เสียงหัวเราะของลูกสาวคนเดียวทำให้ร่างสูงยิ้มกว้าง ระหว่างมื้ออาหารที่มีเพียงสองคนพ่อลูกไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่คิดเพราะ เจ้าหนูจำไม คอยตั้งคำถามโน่นนี่ตลอดเวลา ซึ่งคนเป็นพ่อก็ไม่เคยรำคาญที่จะตอบ รอยยิ้มเล็กๆของลูกคือสิ่งที่ทำให้ เขามีชีวิตอยู่มาได้ตั้งแต่วันที่ทะเลพรากเธอคนนั้นไปจากเขาเมื่อ 3 ปีก่อน



“คุณพ่อขา ทำไม คุณเต่า ต้องมีกระดองด้วยคะ” เด็กหญิงถามเสียงใส

“ก็เพราะว่าคุณเต่า ต้องใช้เป็นเกราะเอาไว้ป้องกันตัวจากอสูรกายนะสิคะ” เสียงทุ้มตอบ แม้ว่ามันจะดูการ์ตูนๆไปสักหน่อยแต่เขาคิดว่าคำตอบนี้น่าจะทำให้เด็ก 5 ขวบเข้าใจได้ง่ายที่สุด

“จริงเหรอคะคุณพ่อ อสูรกายใต้ทะเล น่ากลัวเหมือนแม่มดปลาหมึก ในเรื่องเจ้าหญิงเงือกน้อยไหมคะ” เจ้าหนูจำไมยังตั้งคำถามไม่หยุดจนผู้เป็นพ่อเริ่มกังวลว่ากับข้าวฝีมือพี่เลี้ยงคนดีของน้องอันดาจะเป็นหมัน

“คนสวยขา คุณพ่อว่า เราทานข้าวกันดีกว่านะคะ เดี๋ยวคุณกระต่ายจะงอนนะคะที่น้องอันดาเอาแต่ถามคุณพ่อ คุณกระต่ายรอให้น้องอันดาทานอยู่เห็นไหมลูก” ว่าพลางตักแครอทที่พี่เลี้ยงคนสนิททำเป็นรูปกระต่ายน่ารักให้ลูกสาว

“ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นอันดาเก็บไว้ถามคุณพ่อตอนล่านิทานก็ได้ค่ะ” เด็กน้อยยิ้มรับอย่างว่าง่ายก่อนจะลงมือทานข้าวที่แทบจะไม่พร่องเลยของตัวเองทันที


ร่างสูงมองนางฟ้าตัวน้อยที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มใส เด็กหญิงครางอือ อย่างนึกรำคาญก่อนจะพลิกตัวไปอีกทาง ผู้เป็นพ่อได้แต่อมยิ้มอย่างเอ็นดู แต่แววตาคมนั้นก็เศร้าลงถนัดตาเมื่อมองเห็นรูปถ่ายที่วางอยู่บนหัวเตียง รูปครอบครัว ของเขาเอง ธราดล เคยคิดว่า ตัวเองนั้นช่างโชคดีเหลือเกิน จากเจ้าของกิจการฟาร์มมุกเล็กๆในอดีต ตอนนี้เขากลายเป็นเจ้าของฟาร์มมุกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ รวมทั้งเป็นเจ้าของเกาะรังนกอีกหลายเกาะ เขาแต่งงานเมื่อ 7 ปีก่อนกับคนรักที่รักกันมาเกือบ 10 ปี และมีลูกสาวที่น่ารักด้วยกัน ชีวิตเขาช่างสวยงามราวกับเทพนิยาย เมื่อมีทั้งครอบครัว ชื่อเสียง เงินท้อง ที่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด แต่แล้ว เมื่อ 3 ปีก่อน เขากลับพบว่า แม้จะมีเงินทองมากมายนับไม่ถ้วนแต่กลับไม่สามารถจะซื้อชีวิต คนที่เขารักไว้ได้เลย

“น้ำ ผมคิดถึงคุณ” เสียงทุ้มนั่นเริ่มสั่นเครือ ตาคมมองรูปภรรยา ที่จากไปกว่า 3 ปีแล้วแต่จนถึงวันนี้เขาเองก็ยังทำใจไม่ได้กับความเจ็บปวดนั้น ไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่คิดถึง ภาพวันเวลาที่เคยอยู่ด้วยกันทั้งสามคน

“พ่อรักหนูนะลูก ฝันดีนะคะคนสวยของพ่อ” ร่างสูง ลูบผมดำขลับของเจ้าหญิงน้อยก่อนจะกดจูบลงบนแก้มใส อีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องไป


กลางดึกคืนนั้นเด็กหญิงตัวน้อยลืมตาขึ้นหลังจากที่เสียงเพลงแผ่วๆนั้นแว่วขึ้นอีกครั้ง เธอตั้งใจว่าคราวนี้จะต้องเห็นหน้า “เจ้าหญิงเงือกน้อย” ของเธอใกล้ๆให้ได้ เท้าเล็กๆค่อยๆพาเจ้าของเดินลงจากบ้านอย่างเงียบเชียบ กายเล็กเริ่มสั่นสะท้านด้วยความกลัวเมื่อรอบตัวเต็มไปด้วยความมืด

“คุณผีจ๋า อย่ามาหลอกน้องอันดาตอนนี้นะคะ น้องอันดาต้องไปดูเจ้าหญิงเงือกน้อยก่อนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้น้องอันดาพาคุณพ่อมาด้วยค่อยมาหลอกนะคะ” เด็กหญิงบอกเสียงเบาพร้อมๆกับค่อยๆก้าวเท้าอย่าแผ่วเบาไปตามทางเดินที่ทอดลงไปที่หาด

“ขอให้คุณเจ้าหญิงเงือกน้อยยังอยู่ด้วยเถอะ” เสียงเล็กๆนั้นบ่นพึมพำ



เสียงเพลงทำนองหวานปนเศร้ายังคงดังคลอเคล้าไปกับเสียงคลื่นอย่างลงตัว เด็กหญิงตัวน้อยยกยิ้มกว้างเมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้จนเกือบจะถึงตัวจ้าหญิงเงือกน้อยของเธอแล้ว

“โอ้ย!!” ร่างเล็กร้องลั่นเมื่อเท้าเล็กของเธอเหยียบก้อนหินก้อนหนึ่งทำให้หกล้มลง

“เอ๊ะ!!”  เจ้าหญิงเงือกน้อย ที่ร้องเพลงอยู่สะดุ้งตัวโยนก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็น สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” นั่งอยู่ไม่ไกล ร่างขาวซีดนั้นทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่นั่งตะลึงอยู่อย่างนั้น

“ฮื้อ เจ็บ น้องอันดาเจ็บจังเลย คุณพ่อขาช่วยน้องอันดา ด้วย ฮื่อๆๆ”  ดูเหมือนว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะลืมไปชั่วขณะว่าตัวองต้องเงียบเข้าไว้ แต่เพราะความเจ็บทำให้ร่างเล็กร้องไห้จ้า



ร่างขาวซีดมองมนุษย์ตัวน้อยที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า ด้วยท่าทีที่อ่อนลง นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นมองที่หัวเข่าที่มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ลูกมนุษย์” เสียงกังวานใสนั้นเอ่ยถาม เด็กหญิงเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาก่อนจะตอบพลางสะอื้น

“น้องอันดาเจ็บค่ะ เจ้าหญิงเงือกน้อย เลือดออกด้วยน้องอันดาจะตายไหม ฮื้อ” ว่าจบน้ำตาเม็ดโตก็ไหลอาบแก้มใสอีกครั้ง

“ไม่เอา เจ้าอย่าร้องนะ เราจะช่วยเจ้าเอง เดินไหวหรือเปล่า” เสียงกังวานนั้นถามอย่างอ่อนโยนเด็กหญิงพยักหน้าก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปที่ริมหาดใกล้ๆกับโขดหินที่มีร่างขาวซีดนั่งอยู่

“เจ้าอยู่นิ่งๆ แล้วหลับตานะ”  เจ้าหญิงเงือกน้อยของน้องอันดาบอก ก่อนที่ร่างเล็กจะหลับตาตามคำสั่ง ร่างขาวซีดยิ้มอย่างพอใจก่อนจะกระโดดลงจากโขดหินอย่างคล่องแคล่ว หางสีเงิน นั้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นขาเรียวที่มีสีซีด แม้ไม่ค่อยจะชินนักที่ใช้ขา แต่ร่างนั้นก็เดินเข้ามาหาเด็กหญิงที่ยืนรออยู่แล้ว จี้รูปเปลือกหอยถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกรีดลงบนนิ้วเรียวสวย เพื่อใช้ “เลือด” ในการรักษาแผล แม้มันจะเป็นวิธีต้องห้ามแต่เมื่อเห็นน้ำตาของร่างเล็กนี้แล้ว เขา ไม่สามารถดูอยู่เฉยๆได้ ในตำนานโบราณเคยกล่าวไว้ว่าเลือดของเงือกนั้นเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอดสามารถใช้รักษา บาดแผลและอาการเจ็บป่วยได้ หรือหากใครได้ดื่มเลือดสดๆ คนผู้นั้นก็จะเป็นอมตะ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมตลอดสองพันปีที่ผ่านมา ชาวเผ่าเงือกจึงเลิกคบค้ากับมนุษย์ 




เสียงเพลงทำนองหวานดังขึ้นพร้อมกับความอุ่นวาบที่หัวเข่า เสียงเพลงหวานที่ทำให้เด็กหญิงรู้สึกราวกับตกอยู่ในความฝัน ก่อนที่เสียงดังกังวานนั้นจะหยุดลง

“เอาล่ะทีนี้เจ้าก็ลืมตาได้แล้ว” เสียงนั้นบอก ร่างเล็กลืมตาขึ้นพลางก้มลงมองที่หัวเข่าตัวเองที่ตอนนี้แผลหายสนิทเหมือนไม่เคยมีแผลมาก่อนด้วยซ้ำไป

“เจ้าหญิงเงือกน้อยเก่งจังเลยค่ะ” เด็กหญิงบอกพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะมองร่างขาวซีดที่นั่งอยู่บนโขดหินอีกครั้ง

“อย่าเรียกเราว่า เจ้าหญิงเลย ชื่อนั้นออกจะไม่เหมาะนะ”

“ทำไมล่ะค่ะ ถึงน้องอันดาจะมองไม่ชัดเพราะคุณมฆบังคุณพระจันทร์ไว้ แต่ว่าน้องอันดาก็รู้นะว่า คุณคือเจ้าหญิงเงือกน้อย”

“เราไม่ใช่เจ้าหญิง เพราะเราเป็น ชาย หากเจ้าจะเรียกควรเรียกเราว่าเจ้าชายนะ” ร่างนั้นบอกติดตลก

“จริงๆหรอคะ เจ้าหญิงเงือกน้อย เป็น ผู้ชาย จริงๆเหรอคะ” เด็กหญิงถามเสียงใส

“จริงสิ เราไม่โกหกเจ้าหรอก ชาวเงือกไม่เคยโกหก”

“น้องอันดาอยากเห็นหน้าคุณเจ้าหญิง เอ้ย ไม่ใช่ๆ เจ้าชายจังเลย แล้วคุณเจ้าชาย ชื่ออะไรเหรอคะ”

“เราชื่อ ชลัมพุ” เสียงใสนั้นตอบ

“ชลัมพุ เหรอคะ เพราะจังเลยค่ะ น้องอันดาชอบ เสียดายจังที่วันนี้คุณเมฆไม่เป็นใจให้น้องอันดาเลย” เสียงเล็กๆนั้นบอก ชลัมพุได้แต่ยกยิ้มเอ็นดู ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงได้รู้สึกเอ็นดู เด็กมนุษย์ คนนี้เหลือเกิน ทั้งๆที่มันเป็นกฏข้อห้ามที่สำคัญที่สุดของเผ่าเงือก แต่กับเด็กคนนี้เขากลับไม่สามารถตัดใจจากไปได้เลย

“เจ้าชื่อ อันดา หรือ”

“ใช่ค่ะ น้องอันดาชื่อ อันดา เป็นลูกสาวของพ่อดลกับแม่..”

“น้องอันดา!! อยู่ไหนลูก” แต่ก่อนที่สียงเล็กนั้นจะพูดจบ เสียงตะโกนโหวกเหวกของผู้ใหญ่หลายคนรวมทั้งพ่อของเด็กหญิงก็ดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟมากมายที่กำลังตรงมาทางริมหาด

“แย่แล้ว เราต้องไปแล้ว” เสียงหวานนั้นบอกอย่างร้อนรน เขาจะให้มนุษย์เห็นอีกไม่ได้เด็ดขาด

“แต่ว่าน้องอันดายังอยากเล่น กับเจ้าชายอยู่นะคะ” เด็กน้อยบอกเสียงเศร้า

“ไม่ได้หรอกนะ เราเล่นกับเจ้าไม่ได้ เราให้มนุษย์เห็นเราอีกไม่ได้แล้ว เราต้องไป ลาก่อนนะเด็กน้อย” เสียงใสกังวานนั้นบอกก่อนที่ร่างนั้นจะกระโดดลงน้ำไป จังหวะที่ร่างขาวซีดนั้นหันกลับมามอง เมฆเคลื่อนตัวออกจากพระจันทร์พอดีทำให้ เด็กหญิงมองห็นหน้าบุคคลที่กำลังจะจากไปได้อย่างชัดเจน แม้จะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ร่างนั้นจะหายไป


“คุณแม่”



.............................TBC.................................

เรื่องใหม่ หลังจากหายไปชาติกว่า
เก๊าขอโต๊ดก๊าบ ยังคงเปน แฟนตาซี อย่างต่อเนื่อง
#ความชอบส่วนตัว ล้วนๆ ครับ  :hao3:

ปอลิง รักคนอ่าน จร้า
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 1 : 12/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 12-06-2014 23:49:56
น่าสนุก   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 1 : 12/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-06-2014 00:09:55
น่าติดตามอีกแล้ววว
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 1 : 12/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: PhInNoI ที่ 13-06-2014 00:16:47
 :a5:

โอ๊ะโอ!!!!!

 o22
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 1 : 12/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 13-06-2014 00:21:15
ท่าทางจะได้แม่ใหม่เป็นนายเงือกนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 1 : 12/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 13-06-2014 12:38:20
แฟนตาซี~ >¤<
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 1 : 12/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 13-06-2014 19:58:57
เงือกน้อยยใจดีจัง น้องอันดาก็น่ารัก

ติดตามค่ะ   :mc4:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 1 : 12/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: - lloJ!จิ้a - ที่ 13-06-2014 21:01:51
แฟนตาซี อี อี ปิติ รอเงือกน้อย พ่อดล กับน้องอันดานะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 2: 16/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 16-06-2014 00:31:42

ตอน 2 คุณแม่

“คุณแม่ คุณแม่ขา คุณแม่อยู่ไหน กลับมาหาน้องอันดาก่อน คุณแม่ ฮึกๆๆ ฮื่อๆๆ คุณแม่!!” ร่างเล็กแผดเสียงจ้าก่อน ก่อนที่พี่เลี้ยงคนสนิทจะข้ามาปลอบคุณหนูที่ตื่นมาร้องไห้งอแง

“โถ่ คุณหนูขา ไม่เอาไม่ร้องค่ะ ไม่ร้อง” พี่เลี้ยงสาวปลอบเสียงเบาก่อนจะกอดร่างเล็กๆเอาไว้หลวมๆ

“พี่น้อย คุณแม่ละ คุณแม่อยู่ไหน” เสียงเล็กถามทั้งน้ำตา

“โถ่ คุณหนูของน้อย” พี่เลี้ยงบอกสียงเครือ เธอแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อเห็นว่าคุณหนูที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กร้องไห้อย่างหนัก

“คุณแม่ก็อยู่บนฟ้าไงคะ คุณแม่ของคุณหนูเป็นนางฟ้าอยู่บนท้องฟ้า”

“ไม่ใช่ พี่น้อยโกหก คุณแม่ของน้องอันดาเป็นเจ้าหญิงเงือกน้อย เมื่อคืนน้องอันดาเจอคุณแม่ด้วย พี่น้อยโกหก น้องอันดาจะไปหาคุณแม่!!” ร่างเล็กตะโกนลั่นก่อนจะสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของพี่เลี้ยงแล้ววิ่งออกจากห้องทันที

“คุณหนู คุณหนูอย่าไปค่ะ คุณหนู” น้อยร้องเสียงหลงก่อนจะวิ่งตามคุณหนูของเธอไป เธอจะทำยังไง เมื่อทั้งบ้านแทบจะไม่มีใครเลย คุณผู้ชายก็ไปรับคุณหมอที่จะมาตรวจร่างเล็กตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ก็ยังไม่กลับ



“ใครอยู่แถวนี้บ้าง ช่วยด้วย!!”







ร่างเล็กวิ่งไปร้องไห้ไปจุดหมายคือโขดหินริมหาดที่เธอได้เจอกับ “แม่” เมื่อคืน

“คุณแม่ คุณขา อยู่ไหน กลับมาหาน้องอันดานะคะ น้องอันดาคิดถึงคุณแม่ ฮื่อๆๆๆ คุณแม่ขา” เด็กหญิงตะโกนไปพลางวิ่งไปพลาง เท้าเล็กเหยียบเศษเปือกหอยจนเป็นแผล ทั้งล้มลุกคลุกคลานแต่ร่างนั้นก็ยังคงวิ่งไปที่ริมหาด

“คุณหนูขา อย่าไปค่ะมันอันตราย อย่าไปนะคะ” พี่เลี้ยงสาวที่วิ่งตามมาร้องห้ามก่อนจะเอื้อมคว้าเอวเล็กไว้ได้ ทันก่อนที่ คุณหนูของเธอจะวิ่งลงทะเล

“พี่น้อย ปล่อยน้องอันดานะ ปล่อยสิ น้องอันดาจะไปหาคุณแม่ ปล่อยนะ ฮื่อๆๆ” ร่างเล็กยังคงแผดเสียงลั่นมือน้อยๆระดมทุบเข้าที่มือของพี่เลี้ยงสาวเพื่อให้อีกฝ่ายยอมปล่อย

“คุณหนูขา เชื่อพี่น้อยนะคะ ในทะเลไม่มีคุณแม่ นะคะ ไม่มี” น้อยบอกทั้งน้ำตา แม้ว่าจะถูกคุณหนูตัวน้อยทั้งทุบทั้งข่วนแต่ต่อให้ต้องตายเธอก็ไม่มีวันปล่อยคุณหนูเด็ดขาด

“น้องอันดา!!” เสียงทุ้มเรียกลูกสาวเสียงงดัง ก่อนจะวิ่งเข้าไปกอด ร่างสูงแทบเสียสติเมื่อกลับมาที่บ้านแล้วไม่เจอนางฟ้าน้อยๆของเขา ยังดีที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกสาวทำให้เขาวิ่งตามมาที่ริมหาดทัน 

“น้องอันดา เป็นอะไรคะ ทำไมคนสวยของพ่อร้องไห้” เอ่ยถามเสียงสั่นมือหนายกขึ้นลูบผมลูกสาวตัวน้อยที่ยังคงสะอื้นอยู่ อย่างแผ่วเบา

“คุณพ่อขา เมื่อคืนน้องอันดาเห็นคุณแม่  คุณแม่คือเจ้าหญิงเงือกน้อย” เด็กน้อยบอกเสียงสั่นเครือ ภาพความทรงจำเมื่อคืนย้อมเข้ามาในหัวของร่างสูง วินาทีที่พี่เลี้ยงสาววิ่งมาบอกว่าลูกสาวของเขาหายไป นั้นหัวใจของคนเป็นพ่อแทบหยุดเต้น เขาวิ่งพล่านไปทั่วก่อนจะได้ยินเสียงร้องไห้ของน้องอันดา และภาพที่เขาเห็นยิ่งทำให้เขาแทบใจสลายเมื่อลูกสาวสุดที่รักกำลังจะวิ่งลงไปในทะเล วินาทีนั้นขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าทะเลจะพรากหัวใจของเขาไปอีกครั้ง ชายหนุ่มกลัวจนแทบทำอะไรไม่ถูกน้องอันดาคือสิ่งเดียวในชีวิตที่เขามี ถ้าเขาต้องเสียลูกไปอีกคน ชีวิตนี้เขาจะอยู่ได้ยังไง

“จริงๆนะคะ น้องอันดาไม่ได้โกหก คุณแม่อยู่ในนั้น คุณแม่เป็นเจ้าหญิงเงือกน้อย” เสียงเล็กย้ำพลางชี้นิ้วไปที่ทะเลตรงหน้า

“ค่ะ คุณพ่อเชื่อหนู แต่ตอนนี้หนูต้องหยุดร้องไห้แล้วให้คุณลุงหมอทำแผลก่อนนะคะ หนูไม่กลัวคุณแม่เห็นแล้วจะไม่สบายใจเหรอเอาไว้หนูหายดีแล้วเราค่อยไปหาคุณแม่กันดีไหมคะ”  ชายหนุ่มบอก พลางเช็ดน้ำตาให้ลูกสาวอย่างแผ่วเบา เด็กหญิงพยักหน้าช้าๆก่อนจะซุกหน้าลงบนอกของผู้เป็นพ่อ

“คุณพ่อสัญญากับน้องอันดาแล้วนะคะ ว่าจะพาไปหาคุณแม่”

“คุณพ่อสัญญาค่ะ”





“หลับไปแล้วเหรอ น้อย” เสียงทุ้มเอ่ยถามพี่เลี้ยงของลูกสาว ที่เพิ่งเปิดประตูออกมา

“ค่ะ คุณผู้ชาย พอคุณหมอตรวจเสร็จคุณหนูก็หลับเลยสงสัยจะเพลียมาก น้อยขอโทษนะคะที่ดูแลคุณหนูไม่ดี”

“ไม่ใช่ความผิดของน้อยหรอก เข้าไปดูอันดาเถอะ ฉันจะไปคุยกับ ไอ้หมอสักหน่อย”

“ค่ะ” พี่เลี้ยงสาวบอกก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องคุณหนูของเธอ






“เป็นไงบ้างว่ะ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาเอ่ยถามกับเจ้าของบ้านร่างสูง

“หลับไปแล้วล่ะ ขอบคุณมึงมากนะที่มาดู น้องอันดาให้” ร่างสูงบอกับเพื่อนสนิท

“เฮ้ย ลูกมึงก็หลานกูนะ ไม่ดูแลหลานตัวเองกูจะไปดูแลใคร มึงนั่นแหล่ะไหวไหม ดูเหมือนไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนสินะ”     
วิชาญ เอ่ยถามเพื่อนสนิทเบาๆ เพราะความเป็นหมอทำให้เขาพอจะจับอาการเครียดของเพื่อนได้

“ไหวมั้ง แต่กูแค่ไม่เข้าใจ เมื่อคืนน้องอันดาเห็นอะไร ทำไมแกถึงบอกว่าเจอ น้ำ ”

“บางทีมันอาจเป็นจินตนาการของเด็กก็ได้นะเว้ย” คนเป็นหมอบอก

“จินตนาการ??”

“บางที น้องอันดาอาจจะคิดถึงแม่ มากเกินไปก็เลยเกิดภาพหลอนมึงเคยบอกกูนิว่า น้องอันดาชอบฟังนิทานเรื่องเจ้าหญิงเงือกน้อย”

“มึงพูดเหมือนลูกกูเป็นบ้า”

“เฮ้ย ไอ้ดล ปากหมานะมึง กูแค่บอกว่ามันเป็นจินตนาการของเด็กเว้ย ไอ้ห่า กูต้องไปแล้วนะตอนบ่ายต้องเข้าเวรอีก มึงก็ดูแลตัวเองด้วยแล้วกันถ้ามึงป่วยขึ้นมา คนอื่นจะยิ่งขวัญเสีย กูไปล่ะ” คุณหมอหนุ่มบอกกับเพื่อนสนิทก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้ร่างสูงนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

จินตนาการ

มันจะใช่เหรอ เท่าที่เขาเลี้ยงลูกมา น้องอันดาไม่ใช่เด็กที่จะพูดอะไรเพ้อเจ้อขนาดนั้นและที่สำคัญลูกเขาไม่เคยโกหก แล้วที่น้องอันดาเห็นมันคืออะไร…




ร่างสูงของธราดลค่อยๆนั่งลงข้างเตียงของลูกสาวคนเดียวก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มใสอย่างหมั่นเขี้ยว คืนนี้เป็นคืนแรกในรอบหลายปีที่เขาตัดสินใจเข้ามานอนในห้องของลูกสาว เพราะกลัวแกจะฝันร้ายเหมือนเมื่อตอนกลางวัน

“อื้อ คุณพ่อขา”

“คุณพ่ออยู่นี่ค่ะ คนสวยของคุณพ่อหลับซะนะคะ” เสียงทุ้มบอกก่อนจะตบหลังของลูกสาวตัวน้อยเบาๆ เป็นการกล่อมนอน





กลางดึกคืนนั้น เสียงเพลงแผ่วดังแว่วมากับสายลมเช่นทุกครั้ง เด็กหญิงตัวน้อยลืมตาโพลงก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นจากที่นอน ร่างเล็กถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตัวเองไม่ได้ทำให้คนที่มานอนเป็นเพื่อนตื่น

“คุณแม่ขา น้องอันดาจะไปหาคุณแม่” เด็กหญิงบ่นพึมพำ ก่อนจะแอบย่องลงไปข้างล่างคนเดียว

วันนี้เป็นคืนเพ็ญแสงสีเงินงวงนั้นยิ่งทำให้ร่างขาวที่นั่งอยู่บนโขดหินเปล่งประกายราวกับจะเรืองแสงได้ ผมสีดำขลับที่สะท้อนแสงจันทร์นั้นทำให้น้องอันดาตาโต

“คุณแม่สวยจังเลย”

“คุณแม่ขา” เสียงเล็กๆนั้นเรียกความสนใจจาก ชลัมพุ ได้มากโข เพราะไม่คิดว่า คืนนี้เขาจะได้เจอกับ เด็กมนุษย์ อีกครั้ง

“เจ้าเองหรือ” เสียงใสกังวานนั้นตอบกลับก่อนจะยกยิ้มให้ร่างเล็ก

“ฮึกๆ คุณแม่จริงๆด้วย น้องอันดาไม่ได้ตาฝาด เจ้าหญิงเงือกน้อยคือคุณแม่ของน้องอันดาจริงๆด้วย” ร่างเล็กบอกเสียงสั่น เพราะคืนนี้พระจันทร์ไม่ได้ถูกเมฆบดบังทำให้สามารถเห็นใบหน้านวลนั้นได้อย่างชัดเจน

“อันดา เจ้าพูดเรื่องอะไร เราไม่เข้าใจเลย”

“คุณแม่ขา น้องอันดาคิดถึงคุณแม่มากนะคะ คุณแม่กลับมาอยู่กับน้องอันดาไม่ได้เหรอคะ ฮึก ฮื่อๆๆ” ร่างเล็กถามทั้งน้ำตา ชลัมพุได้แต่เบือนหน้าไปอีกทางเพราะไม่อาจทนเห็นเด็กหญิงตรงหน้าร้องไห้ได้ ทำไมเขาถึงรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้นะ

“เราเป็นชาย จะเป็นแม่ของเจ้าได้อย่างไร” ชลัมพุพยายามอธิบาย

“ไม่จริง คุณคือแม่ของน้องอันดา น้องอันดาจำได้ คุณแม่ขาไม่รักน้องอันดาแล้วเหรอคะ ฮึกๆๆ  ใครๆก็บอกว่า น้องอันดาเป็นเด็กไม่มีแม่ แม่เกลียดน้องอันดา แม่เลยหนีไปอยู่บนสวรรค์”

“น้องอันดาเป็นเด็กไม่ดีหรอคะ คุณแม่ถึงไม่รัก ฮื่อๆๆ ”


ชลัมพุได้แต่ถอนหายใจกับความดื้อรั้นของเด็กหญิง เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่อยู่ดีๆก็มีมนุษย์มาบอกว่าเขาเป็นแม่ ในชีวิต 250 ปี ที่ผ่านมาเขาเป็นเงือกมาตลอดจะไปมีลูกเป็นมนุษย์ได้อย่างไร 

“อันดา เราไม่ใช่แม่ของเจ้า เราเคยบอกไปแล้วว่าชาวเงือกไม่โกหก”

“ฮึก ฮื่อๆๆๆๆๆ คุณแม่ไม่รักน้องอันดาแล้ว แง้ๆ” ยิ่งพูดก็เหมือนว่ายิ่งไปกันใหญ่เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยไม่ยอมรับฟังอะไรเลยสักอย่าง  ชลัมพุได้แต่ถอนหายใจก่อนจะตอบเด็กหญิงออกไป

“เอาล่ะๆ เรายอมแล้ว เจ้าหยุดร้องไห้เถอะนะ”  เสียงใสกังวานเอ่ยบอก  เด็กหญิงยิ้มร่าก่อนจะชูสองแขนขึ้น

“คุณแม่อุ้มหน่อย น้องอันดาอยากให้คุณแม่อุ้ม” แววตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความหวังของเด็กหญิงทำให้ ชลัมพุ ใจอ่อนอีกจนได้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รักและเอ็นดูลูกมนุษย์คนนี้มากเหลือเกิน

“เฮ้อ งั้นก็หลับตานะ”  ร่างบางบอกก่อนจะ เดิน ไปอุ้มเด็กหญิงไว้แนบอกแล้วพาไปที่โขดหินที่ไม่สูงมาก

“ลืมตาได้แล้ว อันดา”

“โห น้องอันดา นั่งเหมือนคุณแม่เลย” เด็กน้อยบอกสียงใส เมื่อลืมตาแล้วพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนโขดหินพร้อมกับ “คุณแม่” เด็กหญิงซุกหน้าเข้าที่อกเปือยเปล่านั้นก่อนที่มือเล็กๆจะโอบเอว คนตรงหน้าเอาไว้แน่น

“น้องอันดาคิดถึง คุณแม่มากเลยนะคะ คุณแม่หายไปไหนมา”

ชลัมพุได้แต่ยิ้มแห้งเพราะตัวเขาไม่เคยหายไปไหนอย่างที่เด็กหญิงถาม จึงได้แสร้งพูดเรื่องอื่นกลบเกลื่อน

“อันดา อยากฟังเพลงไหม เราจะร้องให้ฟัง”

“อยากค่ะ  อันดาอยากฟังเพลงที่คุณแม่ร้องบ่อยๆ แต่อันดาฟังไม่ออกว่ามันร้องว่าอะไร” เด็กหญิงบอกก่อนที่ตากลมโตจะเป็นประกายเมื่อท่วงทำนองหวานปนเศร้านั้นเริ่มขึ้น




ธราดลสะดุ้งตื่นกลางดึกมือหนาจะปัดป่ายหาเจ้าหญิงตัวน้อย หัวใจของคนเป็นพ่อกระตุกวาบเมื่อสัมผัสได้เพียงฟูกที่เย็นชืด

“น้องอันดา!!” ร่างสูงตะโกนลั่น ก่อนที่จะพุ่งตัวออกจากห้องลูกสาวอย่างรวดเร็วจุดหมายปลายทางคงหนีไม่พ้นชายหาดที่ติดกับระเบียงห้องลูกสาว แต่ยิ่งเข้าไปใกล้ชายหนุ่มกลับได้ยินเสียงคล้ายคนร้องเพลงดังแว่วเข้ามา ยิ่งใกล้เสียงใสกังวานนั้นกลับดังขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจ แต่เขากลับรู้สึกว่าเพลงนี้ “เพราะ” เหลือเกิน ร่างสูงคล้ายตกอยู่ในห้วงความฝันขายาวค่อยๆก้าวตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆจนหยุดที่ริมหาดไม่ไกลจากโขดหินมากนัก

“นั่นมัน”  ชายหนุ่มเบิกตาโพลงกับสิ่งมีชีวิตที่เห็นอยู่ตรงหน้า เกิดมา 32 ปี สาบานว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็น เงือก       เงือกตัวเป็นๆที่กำลังแกว่งหางไปมาตามทำนองเพลง ซ้ำในอ้อมกอดนั้นกลับมี ร่างน้อยๆที่เขาตามหาอยู่ด้วย

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน หรือว่าเขาจะฝันไป



“น้องอันดา!!” เสียงทุ้มเรียกลูกสาวเสียงดังแต่คนที่สะดุ้งงกลับเป็นร่างขาวซีดที่นั่งอยู่ แม้ต้องการจะกระโดดหนีเหมือนทุกครั้งแต่ร่างบางก็ทำไม่ได้เมื่อมีร่างน้อยๆร่างหนึ่งกำลังหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขน

“แกปล่อยลูกสาวฉันเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่ปล่อยจะหาว่าไม่เตือน!!” ร่างสูงตวาดลั่นไม่ว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้คืออะไร เขาไม่มีเวลาคิดกลัวทั้งนั้น เพราะน้องอันดาสำคัญกว่าทุกอย่าง

“เราไม่ได้จับลูกเจ้ามา เจ้ากำลังเข้าใจผิด” เสียงใสกังวานนั้นตอบ ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆหันหน้ามาช้าๆ   ใบหน้าขาวที่สะท้อนแสงจันทร์นั้นทำให้ร่างสูง ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม เมื่อใบหน้านั้นเหมือนภรรยาที่จากไปเมื่อ 3 ปีก่อนราวกับพิมพ์เดียวกัน !!!


................................TBC.............................

มาแล้ว เจ้าค่ะ มาแล้ว   :katai4:

เรื่องนี้บอกเลยนะคะ ว่า การ์ตูน มาก

แฟนซีล้วนๆ หาความจริงลำบาก

แถมดราม่าเป็นพักๆ ตามสไตส์ พิตต้า

ฮ่าๆๆๆ 


หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 2: 16/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 16-06-2014 08:25:57
กำลังเข้นข้นเลย    :hao7: 
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 2: 16/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: PhInNoI ที่ 16-06-2014 08:58:43
มาแล้วๆ เจอกันแล้วๆ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 2: 16/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 16-06-2014 11:18:35
 :serius2: แล้วมาต่อนะค้างงงง
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 2: 16/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 16-06-2014 11:43:54
กรี๊ด~เขาเจอกันแล้วจะเป็นยังไงต่อล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 2: 16/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 16-06-2014 17:54:14
เขาเจอกันแล้ววววว  :m4:
อ่านจบแล้วรู้สึกค้างมากมาย  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 2: 16/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 17-06-2014 01:17:00
อิหน้าตาเหมือนกันนี่ส่งกลิ่นมาม่า
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 3: 17/6/14 P2
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 17-06-2014 18:04:58

 ตอนที่ 3 ตัดสินใจ

“น้ำ น้ำเหรอ” ร่างสูงที่เพิ่งจะหาเสียงตัวเองเจอครางแผ่ว

“น้ำ ใครกัน ” ร่างขาวซีดนั้นเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย เมื่อทั้งมนุษย์ผู้ชายตรงหน้ากับเด็กน้อยในอ้อมกอดของเขามักจะพูดเหมือนว่าเขาเป็นคนอื่นเสียเรื่อย

“คุณ ไม่ใช่น้ำ?” ร่างสูงนั้นเอ่ยถามแม้จะดูเหมือนคนโง่ ที่พูดบ้าบอแต่เขาก็หวังว่าคนตรงหน้าจะเป็นคนที่เขารักแม้ความเป็นไป
ได้แทบจะเป็นศูนย์เพราะเห็นอยู่ชัดๆว่าร่างที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ มนุษย์

“เราชื่อชลัมพุ และเจ้าก็คงรู้ว่าเราเป็นอะไร” เสียงกังวานใสนั้นเอ่ยตอบ

“คุณเป็นเงือกจริงๆเหรอ” เป็นอีกครั้งที่ธราดลคิดว่าตัวเองทำตัวราวกับคนบ้า ที่พูดจาวกไปวนมาหาสาระไม่ได้ ทั้งๆที่หลักฐานยืนยันขนาดเห็นกับตาแล้วว่าอีกคนเป็นอะไรยังตั้งคำถามบ้าๆแบบนั้นออกไปอีก

“ตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเป็นอย่างอื่น ดูเหมือนว่า เราจะออกมานานเกินไปแล้วคงต้องกลับเสียที เจ้าช่วยมารับยัยหนูไปหน่อยได้ไหม นอนตรงนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” น้ำเสียงนั้นยังคงราบเรียบ แต่เมื่อเอ่ยถึงลูกสาวตัวน้อยของเขา ธราดล กลับรู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยความห่วงใย  แต่ก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้าไปรับลูกสาวตัวน้อยจากอีกคนนั้น เจ้าหญิงน้อยของเขากลับตื่นเสียก่อน และสัญชาตญาณของเขามันบอกว่า จะต้องมีเรื่องยุ่งตามมาอีกแน่

“อื้อ คุณแม่” น้องอันดาที่เพิ่งตื่นเรียก ชลัมพุ เสียงเบาก่อนที่มือเล็กๆจะโอบรอบคอเงือกหนุ่มไว้แน่น

“น้องอันดา”  ธราดลเอ่ยเรียกลูกสาวก่อนคนที่ถูกเรียกจะหันไปยิ้มกว้าง

“คุณพ่อ!!”

“คุณพ่อมารับค่ะ เข้าบ้านเถอะนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”  ผู้เป็นพ่อใช้น้ำเย็นเข้าลูบ เมื่อดูเหมือนว่าลูกสาวของเขาไม่ยอมปล่อยอีกคนเสียที

“ไม่เอาค่ะ” ร่างเล็กบอกเสียงเข้ม

“ทำไมล่ะคะ นี่มันดึกแล้วนะลูก หนูต้องไปนอนแล้วนะคะ”

“น้องอันดาไม่ไป น้องอันดาอยากอยู่กับคุณแม่ ถ้าน้องอันดาตามคุณพ่อเข้าบ้านไป คุณแม่ก็จะหายไปอีก น้องอันดาไม่ยอมหรอก น้องอันดาคิดถึงคุณแม่ อยากอยู่กับคุณแม่”  เด็กน้อยบอกเสียงสั่นไม่นานนักน้ำตาเม็ดโตก็ไหลอาบแก้ม

“น้องอันดา” ร่างสูงที่ยืนมองลูกน้อยที่ร้องไห้อยู่จวนจะขาดใจ สำหรับธราดล น้ำตาของลูกเป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิต หากเลือกได้ชีวิตนี้เขาไม่อยากจะเห็นมันเลย

“อันดา ไม่เอาไม่ร้องอย่าร้องไห้นะ” เงือกหนุ่มเอ่ยปลอบก่อนจะลูบผมดำขลับนั้นอย่างอ่อนโยน  ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ร่างสูง ต้องลอบถอนใจเมื่อมันทำให้เขาหวนคิดถึงวันเก่าๆขึ้นมาอีกครั้ง หากว่าน้ำไม่ได้จากไป ครอบครัวของเขาคงมีความสุขมาก

“คุณแม่ขา กลับไปอยู่กับน้องอันดากับคุณพ่อไม่ได้เหรอคะ น้องอันดาคิดถึงคุณแม่ นะคะๆ” เจ้าตัวเล็กอ้อนพลางซุกหน้าลงกับอกบาง

“ไม่ได้หรอก เราไปอยู่กับเจ้าไม่ได้ ที่ของเราคือทะเล ไม่ใช่บนบก”




แม้จะแปลกใจที่ร่างบางนั้นยอมให้ลูกสาวของเขาเรียกว่า แม่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจมากกว่าคือแววตาคู่นั้น แววตาที่มองลูกสาวของเขาอย่างอ่อนโยนทำให้หัวใจของพ่อหม้ายหนุ่มกระตุกวาบ นานแล้วที่เขาไม่เคยมีความรู้สึกเต็มตื้นหัวใจ เช่นนี้ นานหรือเกินตั้งแต่วันที่คนรักของเขาจากไป




“คุณแม่โกรธน้องอันดา เหรอคะ น้องอันดาสัญญาจะไม่ดื้อ ไม่ซน คุณแม่กลับมาอยู่กับน้องอันดานะคะ” ร่างเล็กไม่ยอมแพ้ ยังคงส่งเสียงออดอ้อนร่างบางอย่างต่อเนื่อง

“น้องอันดาขา นั่นไม่ใช่คุณแม่นะคะ น้องอันดาปล่อยพี่เขาได้แล้วแล้วกลับเข้าบ้านกับคุณพ่อนะคะ”

“คุณพ่อโกหก!! คุณพ่อไม่รักน้องอันดากับคุณแม่แล้วใช่ไหม คุณพ่อไม่อยากให้คุณแม่กลับไปอยู่กับเราใช่ไหม ฮึกๆๆ คุณพ่ออยากให้ป้าๆปากแดงพวกนั้นเป็นแม่ใหม่น้องอันดา น้องอันดาไม่ยอมหรอก น้องอันดาจะอยู่กับคุณแม่ คุณพ่อใจร้าย น้องอันดาเกลียดคุณพ่อ!!!”

“น้องอันดา / อันดา” สองเสียงเรียกชื่อเจ้าตัวเล็กพร้อมกัน ทันทีที่ได้ยินคำว่าเกลียดหัวใจของพ่อก็แทบจะสลาย เขาใจร้ายมากหรือที่ไม่อยากเห็นลูกต้องเจ็บปวด เขาใจร้ายมากหรือที่ไม่อยากเห็นร่างน้อยๆต้องผิดหวัง

“อันดา เจ้าอย่าพูดเช่นนี้อีกนะ พ่อแม่ คือคนที่ให้ชีวิต คนที่พูดว่าเกลียดพ่อแม่จะกลายเป็นคนไม่ดี รู้ไหม เจ้าอยากเป็นเด็กไม่ดีหรือ ” เสียงใสนั้นบอกอย่างอ่อนโยน เด็กหญิงส่ายหน้าก่อนที่จะตอบคำถามของร่างบาง

“น้องอันดา อยากเป็นเด็กดี แต่น้องอันดาอยากให้คุณแม่ไปอยู่ด้วย ฮึกๆๆ คุณแม่ไปอยู่กับน้องอันดานะคะ  อะ ฮึก  อื้อออ”  ร่างเล็กจับหน้าอกตัวเองแน่น ก่อนจะหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ มือน้อยๆ ปัดป่ายไปทั่วราวกับต้องการหาที่ยึด จนคนเป็นพ่อแทบสติแตก

“น้องอันดา อย่าเป็นอะไรนะลูก อันดา!!” ร่างสูงตะโกนก้องเมื่อเห็นว่าอาการหอบของลูกกำเริบ น้องอันดาไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่แม้ปกติจะดูร่าเริงดี แต่ลูกสาวเขาก็มีโรคประจำตัวทำให้ต้องตัดสินใจย้ายจากเมืองใหญ่มาอยู่ที่นี่เพื่อไม่ให้อาการของเจ้าหญิงน้อยของเขาทรุดหนัก

“อันดาๆ เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ อันดา” ร่างบางเองก็ตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก ความเป็นห่วงถาโถมเข้ามาจนไม่สามารถห้ามหยอดน้ำตาตัวเองได้ ชลัมพุ ไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะรู้สึกผูกพันกับเด็กมนุษย์คนนี้มากขนาดนี้   ร่างบางกอดเด็กหญิงไว้แนบอก เสียงเพลงทำนองแสนหวานดังขึ้นจากปากบาง เพลงที่ฟังดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่เพลงธรรมดา แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดราวกับว่าทุกท่วงทำนองที่ได้ยินนั้น กำลังเยียวยาให้ความหม่นหมองและเมฆหมอกของความเศร้าหายไปเหลือเพียงความอบอุ่นที่ค่อยๆทำให้จิตใจผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ  ร่างสูงมองคนบนโขดหินราวกับต้องมนต์สะกด เมื่อร่างของเงือกหนุ่มตอนนี้ราวกับเรืองแสงได้ ประกายแสงสีทองอบอุ่นค่อยๆโอบไล้ร่างบางช้าๆก่อนจะหายเข้าไปในตัวของลูกสาวเขาอย่างไม่น่าเชื่อ น่าแปลกที่ร่างสูงกลับทำเพียงยืนมองอยู่อย่างนั้น เพราะสัญชาตญาณบางอย่างบอกเขาว่า คนตรงหน้าไม่มีทางคิดร้ายต่อลูกสาวของเขาเด็ดขาด

“คุณแม่” เสียงเล็กๆนั้นเอ่ยเรียก ก่อนที่ร่างเล็กจะยกยิ้มให้กับคนที่กอดตัวเองไว้

“เจ้าหายแล้ว” ร่างบางบอกทั้งน้ำตา ในเส้นเบ่งของความเป็นความตายเขามองเห็นบางอย่างที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจนักแต่เขาไม่อยากจะเสียร่างในอ้อมกอดไป เขายอมแลกได้ทุกอย่างแม้แต่แบ่งพลังของตัวเองเพื่อรักษาชีวิตเจ้าเด็กน้อยคนนี้เอาไว้ เขารักเด็กคนนี้โดยไม่มีเงื่อนไขใดใดแม้จะรู้จักกันเพียงสองวัน  แล้วเขาจะทนจากไปได้จริงหรือ ….

ไม่ เขาไม่ต้องการ จากไป

แม้จะไม่รู้ที่มา แม้จะไม่รู้ความหมาย แม้จะไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วที่จะได้อยู่เพื่อเห็นรอยยิ้มกว้างของเจ้าตัวน้อย

ชลัมพุ ตัดสินใจหลับตาลง และทำในสิ่งต้องห้ามร้ายแรงที่สุดของชาวเงือก นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงร่างกายตนให้มี ขา เหมือนดัง
มนุษย์ และที่ร้ายแรงกว่าคือ เขากำลังจะไปอยู่กับมนุษย์


“คะ คุณ..” ร่างสูงแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นเรื่องจริง นี่มัยยุคทีวีดิจิตอลนะ ทำไม ถึงยังมีเรื่องลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้แบบนี้อยู่อีกหากไม่เห็นกับตาเขาก็คงไม่เชื่อ ว่าเงือก มีจริง หากไม่ได้ยินกับหูก็คงไม่เชื่อ ว่าเพลงของ เงือก สามารถรักษาโรคได้ และหากไม่ยืนอยู่ตรงนี้เขาก็คงไม่เชื่อ ว่า เงือกสามารถเปลี่ยนหางให้เป็นขาได้ !!!

“คุณพ่อ!! น้องอันดาขอโทษ” ร่างเล็กของน้องอันดาถลาเข้าสู้อ้อมกอดของผู้เป็นพ่อทันทีที่ เงือกหนุ่มอุ้มมาถึงชายหาด

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่น้องอันดาไม่เป็นก็ดีแล้ว” ร่างสูงบอกเสียงสั่นพลางกอดดวงใจของเขาไว้แน่น

“ไม่ค่ะ คุณแม่ช่วยน้องอันดาอีกแล้ว” เด็กหญิงบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ร่างสูง จะเงยหน้าขึ้นมองร่างขาวซีดตรงหน้า และต้องเบิก
ตาโพลงอีกครั้งเมื่อเห็น ร่างนั้นในระยะใกล้  ร่างบอบบางขาวซีดนั้นสะท้องแสงจันทร์จนเหมือนกำลังเรืองแสงกับ ผมยาวดำขลับที่ยาวจนเกือบจะถึงปลายเท้าพอจะช่วยปิดเรือนร่างที่เปือยเปล่านั้นได้อย่างดี แต่ร่างสูงกลับขมวดคิ้วแน่นเมื่อพิจารณาร่างที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

“คุณเป็นผู้ชาย???”

“ใช่ เราเป็นผู้ชาย มีสิ่งใดที่ผิดปกติหรือ” ร่างบางถาม ถึงตัวเอาจะไม่ได้รูปร่างสูงใหญ่เหมือนกับคนอื่นแต่ชาวเงือกก็ไม่มีใครบอกว่าเขาเหมือนผู้หญิงสักคน มีแต่มนุษย์พวกนี้ที่ชอบว่าเขาเหมือนผู้หญิง

“อะ เอ่อ ไม่มีๆ คุณใส่นี่ก่อนดีกว่านะ ถ้าใครมาเห็นเข้ามันจะดูไม่ดี” ว่าพลางถอดเสื้อบอลทีมโปรดที่เจ้าตัวชอบใส่นอนให้ร่างบางทันที แต่คนรับกลับขมวดคิ้วแน่น

“เรารู้ว่า มันเรียกว่า เสื้อผ้า แต่เราใส่ไม่เป็นหรอก เพราชาวเงือกไม่จำเป็นต้องใส่”

“งะ งั้น ผมใส่ให้นะ” ไม่เข้าใจว่าจะเสียงสั่นทำไม เมื่อก็อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว และอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ธราดลยอมรับว่าหัวใจของเขาเต้นแรงมากเมื่อต้องเข้าใกล้ร่างบอบบางตรงหน้า กลิ่มหอมอ่อนๆที่เหมือนน้ำทะเลของอีกฝ่ายทำให้สติของเขาพล่าเลือนไปหมด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันนะ

“ยกแขนขึ้นหน่อยสิคุณ ผมใส่ไม่ถนัด” เสียงทุ้มบอกก่อนที่ร่างบางจะยกแขนขึ้นตามคำสั่ง ชลัมพุ กำลังไม่เข้าใจ เขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงรู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายมันสูงขึ้นและหัวใจก็เต้นแรงมาก เมื่อร่างสูงนั้นค่อยๆสวมเสื้อให้ นี่เขาเป็นอะไรไป หรือจะเป็นผลข้างเคียงจากการอยู่บนบก

“คุณพ่อ คุณแม่จะคุยกันอีกนานไหมคะ น้องอันดาง่วง” เด็กหญิงประท้วงดวงตากลมมอง คุณพ่อ กับ คุณแม่  สลับไปมาด้วยความไม่เข้าใจ

“อ่างั้นคุณพ่ออุ้มหนูไปนอน นะคะ”  ชายหนุ่มบอกแก้เก้อ ก่อนจะอุ้มลูกสาวสุดที่รักขึ้นแนบอก

“คุณแม่ขา เข้าบ้านกันเถอะค่ะ” คิ้วเข้มขมวดแน่น เมื่อลูกสาวของเขาชวนอีกคนเข้าบ้าน

“เจ้าจะอนุญาตไหม หากเราจะขออาศัยอยู่ด้วย”

“ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมก็ยินดีครับ”


...........................TBC............................

 :katai4:
แฟนซีกันไป แบบไร้สาระ ฮ่าๆๆ

อย่าลืม กด ไลค์ แฟนเพจ ด้วยนะคะ

หลังปิดยอด เล่ห์ร้าย พิตจะมีเกมให้เล่น เผื่อได้ ของ สมน้ำหน้า เอ้ย สมนาคุณ

กันไปเนาะ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 3: 17/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 17-06-2014 19:30:39
มาอยู่ด้วยกันแล้วสิ จะเกิดอะไรขึ้น

จะมาม่ามั้ยน้าา  :ling3:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 3: 17/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: PhInNoI ที่ 17-06-2014 20:07:18
ว๊าว!!!! มีขาเหมือนช่องจ๋ามเลยอะ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 3: 17/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 17-06-2014 21:21:41
มาอยู่ด้วยกันแล้ว~จะเป็นไงต่อไปนะ?
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 3: 17/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 17-06-2014 22:21:21
แบบนี้คงต้องสอนอะไรอีกเยอะเลย  :hao7: 
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 3: 17/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-06-2014 22:24:00
แบบนี้จะไม่มีปัญหาตามมาใช่มั๊ย
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 3: 17/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 17-06-2014 23:34:26
ย้ายไปอยู่ด้วยกัน  :o8:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 4: 19/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 19-06-2014 01:00:46

ตอน 4 เป็นมนุษย์

ร่างบางนั่งตัวเกร็งอยู่บนโซฟาพลางมอง มนุษย์  หลายคนที่จ้องเขาอยู่อย่างนึกกลัว โดยปกติแล้วชาวเงือกเช่นเขามักจะออกมาในเวลากลางคืนเท่านั้น เพื่อเลี่ยงการพบปะกับมนุษย์ เพราะการได้ฟังเรื่องราวที่โหดเหี้ยมของมนุษย์ที่กระทำต่อชาวเงือกมาตั้งแต่เล็กจนโต ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ชลัมพุ รู้สึกกลัวกับผู้คนเหล่านี้เหลือเกิน

“อ้าว จ้องกันจน น้องเมีย ฉันจะทะลุแล้วมั้งน่ะ” เสียงทุ้มของเจ้าของบ้านเอ่ยขึ้นก่อนที่บรรดาคนงานในบ้านจะสะดุ้งกันเป็นแถว แต่ถึงจะกลัวก็ยังแอบลอบมองร่างบางตรงหน้าอยู่ดี  แม้ว่าเจ้าของบ้านจะพยายามบอกว่า คนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้เป็น ผู้ชาย แต่ก็แทบไม่มีใครเชื่อ เพราะนอกจากร่างบางจะมีเค้าโครงหน้าที่ถอดแบบคุณผู้หญิงของพวกเขามาราวกับคนเดียวกันแล้ว รูปร่างที่มองเผินๆแทบจะไม่มีตรงไหนเหมือนผู้ชายสักนิดทั้งผิวขาวละเอียดกับผมดำขลับที่ยาวเกือบจะถึงข้อเท้านั่นอีก ยิ่งทำให้คำบอกเล่าของเจ้านายดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่

“เอาล่ะ ฉันจะแนะนำเป็นทางการนะ นี่คุณ ชลัมพุ เอ่อ เรียก คุณพุ ก็ได้ เขาเป็นน้องชายของ น้ำ เขาจะมาอยู่ที่นี่กับเราในฐานะ แม่ ของน้องอันดา ” หลังจากที่เจ้าของบ้านพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นแทบจะทันที แต่ผู้เป็นนายก็ยกมือเป็นเชิงห้ามก่อนที่เรื่องจะเลยเถิดไปมากกว่านี้

“หยุดก่อนๆ ทุกคนตั้งใจฟังนะ คุณพุ จะมาอยู่ที่นี่ในฐานะแม่ของน้องอันดาก็จริง แต่พุไม่ใช่ เมียฉัน เราทุกคนก็คงรู้ว่าน้องอันดาคิดถึงแม่ขนาดไหน และฉันก็คิดว่ามีแค่พุคนเดียวที่จะทำให้น้องอันดายิ้มได้อีกครั้ง ทุกคนเข้าใจใช่ไหม” เสียงทุ้มบอกต่อ ก่อนจะมองคนงานในบ้านด้วยแววตาที่คล้ายจะออกคำสั่ง

“ต่อไปให้นับถือคุณพุเป็นเหมือนเจ้านายคนหนึ่งแล้วกันนะ ”
ทุกคนต่างตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนจะแยกย้ายไปทำงานของตัวเองโดยที่ไม่ได้ถามหรือเซ้าซี้อะไร เมื่อผู้เป็นนายบอกอย่างไรมันก็คงเป็นอย่างนั้น




“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า” ร่างสูงเอ่ยถามคนที่เอาแต่นั่งเงียบ

“เรา คือ เรา”

“คุณกลัวเหรอ” ธราดลเลิกคิ้วถาม เมื่อสังเกตว่าร่างตรงหน้ามีท่าทางที่กลัว คน อย่างเห็นได้ชัด

“เราไม่เคยใกล้ชิดกับมนุษย์ขนาดนี้มาก่อน เรา เอ่อ สำหรับชาวเงือกแล้วมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายทารุณ เจ้าเล่ห์หลอกลวง เชื่อถือไม่ได้ ”

“เดี๋ยวๆ แหม ด่าซะผมไม่อยากจะเป็นคนเลย ฮ่าๆ ไม่ต้องกลัวหรอกครับ คนที่นี่ใจดี ไม่มีใครทำร้ายคุณหรอก ” เจ้าของบ้านบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยกยิ้มให้กำลังใจกับเงือกพลัดถิ่น ที่หลงมาอยู่ในดงมนุษย์ ด้วยเหตุผลที่เขาเองก็ไม่รู้ ว่าทำไม คน ไม่ใช่สิ
เงือก ที่กลัวมนุษย์มากขนาดนี้จะตัดสินใจมาอยู่กับเขา

หืม ร่างสูงขมวดคิ้ว แน่น  อยู่กับเขา งั้นเหรอ เฮ้อ เขาคิดอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้ว ร่างบางมาอยู่ดูแลน้องอันดาต่างล่ะ

“เราเชื่อ เพราะเจ้าใจดี” เสียงใสนั้นบอก

“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ ผมอาจจะใจร้ายก็ได้นะ” ร่างสูงถามติดตลก ก่อนจะมองคนตัวบางที่ตอนนี้อยู่ในชุดกาเกงขาสั้นเหนือเข่ากับเสื้อยืดธรรมดาๆซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นของ แม่ของน้องอันดา เพราะความรีบร้อนทำให้เขาไม่ทันคิดว่า ร่างบางไม่ได้มีกระเป๋าเสื้อผ้าหรือของใช้อะไรมาสักอย่าง แต่จะให้ใส่ของเขาดูท่าจะใส่ไม่ได้ เลยต้องไปเอาเสื้อผ้าของภรรยาที่เขาเก็บไว้มาให้ร่างบางใส่ไปก่อน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เงือกหนุ่มสามารถใส่มันได้พอดี จนธราดลยังอดแปลกใจไม่ได้

“ไม่หรอก เราเชื่อในสัญชาตญาณของเรา เจ้าไม่ใช่คนเลวร้าย เราเชื่อแววตาแห่งความรักคู่นี้ของเจ้า” เสียงใสนั้นเอ่ยตอบ แต่มันกลับทำให้คนฟังใจเต้นแรง อีกแล้วนะ ที่เขาใจเต้น นี่เขากำลังจะเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า


“คุณแม่ คุณแม่ขา คุณแม่อยู่ไหน!! ” เด็กหญิงจะวิ่งเข้ามากอด คุณแม่ของเธอ ก่อนจะปล่อยโฮจนคนถูกกอดทำหน้าไม่ถูก

“คุณแม่ อย่าทิ้งน้องอันดานะคะ ฮึกๆๆ ฮื่อๆๆ อย่าทิ้งน้องอันดาไปอีกนะ”

“อันดา เราไม่ได้ทิ้งเจ้าไปไหน อย่าร้องนะ อย่าร้อง นะ ลูก”

“ใช่คะ คุณแม่แค่ลงมาคุยกับคุณพ่อ พอดีเห็นหนูหลับอยู่ก็เลยไม่ได้ปลุก คุณแม่จะทิ้งน้องอันดาได้ยังไงคะ คนสวยของพ่ออกจะน่ารักขนาดนี้ ไหนมาหอมแก้มสิ” คนเป็นพ่อบอกก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มใสของลูกสาวทันที

“คุณแม่ไม่ทิ้งอันดา จริงๆนะคะ”

“เราสัญญา”

“น้องอันดารักคุณแม่ นะคะ” เด็กหญิงบอกเสียงใส 




ร่างสูงมอง น้องเมีย ในนามของตัวเองที่เล่นกับเจ้าหญิงน้อยของเขาก่อนจะยกยิ้มกว้าง นานแล้วที่น้องอันดาไม่ยิ้มกว้างขนาดนี้ นานแล้วที่บ้านที่แสนอบอุ่นหลังนี้ไม่มีเสียงหัวเราะ

“คุณพุ เธอดูเข้ากับคุณหนูได้ดีเลยนะครับ นายหัว” เสียงภาษาไทยสำเนียงใต้เอ่ยกับเจ้านาย

“นั่นสินะ เข้ากันได้ดีจนฉันเองยังแปลกใจเลยล่ะ”

“เห็นนายหัวยิ้มได้ผมก็สบายใจ”

“พูดอย่างกับว่า ฉันไม่เคยยิ้ม”

“นายหัวยิ้มครับ แต่ไม่ได้ยิ้มเหมือนวันนี้ นานแล้วที่ผมไม่ได้เห็นนายหัวยิ้มจากใจจริงๆ” หัวหน้าคนงานบอกเสียงเบา เขาทำงานกับธราดลมานานพอที่จะสามารถพูดคุยแบบเป็นกันเองได้ เมื่อก่อนร่างสูงเป็นคนยิ้มง่ายและดูผ่อนคลายมากกว่านี้แต่ตั้งแต่ คุณผู้หญิงเสียเมื่อสามปีก่อน เขาก็ไม่เคยเห็นเจ้านายยิ้มจากใจจริงอีกเลย มันคงจะดีไม่น้อยหากว่า คุณพุ จะทำให้บ้านหลังนี้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิมอีกครั้ง



เกือบเดือนแล้วที่มีสมาชิกใหม่เพื่อเข้ามาในบ้านทำให้เจ้าของบ้านร่างสูงต้องปวดหัวอยู่ไม่น้อยเพราะต้องเปิดครอสสอน “การใช้ชีวิตแบบมนุษย์” ให้เจ้าหญิงเงือกน้อยของน้องอันดา ไม่ว่าจะสอนกินข้าวอันนี้กว่าจะไปผ่านไปได้ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง สอนเดิน สอนพูด สอนแปรงฝัน อาบน้ำ แต่งตัว (เอ่อ อันนี้เขาให้น้องอันดาเป็นคนสอน)  จนแทบจะเรียกว่า วันทั้งวันเขาต้องคอยคลุกอยู่กับร่างบางและลูกสาวตัวน้อยจนแทบไม่ได้เข้าไปดูโรงงาน

“คุณพ่อขา น้องอันดาวาดเสร็จแล้วค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยบอกก่อนจะยื่นภาพวาดลายเส้นโย้ไปเย้มาของเด็กห้าขวบให้ผู้เป็นพ่อ

“ไหนน้องอันดาวาดอะไรให้คุณพ่อดูคะ”

“น้องอันดาวาดรูป คุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็น้องอันดาค่ะ ส่วนนี่ก็บ้านของเรา” เด็กน้อยบอกอย่างร่าเริงพลางอธิบายรูปต่างๆในภาพ

“แล้วนี่คุณแม่ไปไหนคะ เมื่อกี้ยังเห็นนั่งอยู่ด้วยกันเลย” ร่างสูงถามถึงอีกคนที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว จะบอกว่ายังเป็นห่วงอยู่ก็ไม่แปลกเพราะแม้ว่า ชลัมพุ จะปรับตัวและเรียนรู้การเป็นมนุษย์ได้เร็วกว่าที่เขาคิดแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี

“อ้อ คุณแม่ไปเอาขนมให้น้องอันดาค่ะ”

“หืม นี่มันยังไม่ใช่เวลาของว่างไม่ใช่เหรอคะ กินขนมทุกวันแบบนี้ถ้าฟันผุ ขึ้นมาคุณพ่อไม่ช่วยนะคะ” ธราดลบอกเสียงเข้ม

“ชิ งอนคุณพ่อแล้ว น้องอันดาให้คุณแม่ช่วยก็ได้”

“คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ พี่ดล น้องอันดา” เสียงใสเอ่ยถามพลางวางจานคุกกี้ลงก่อนจะเลือกแก้วกาแฟให้เจ้าของบ้านอย่างรู้ใจ

“ไม่มีอะไรหรอกพุ กำลังขู่เด็กที่ชอบกินขนมมากๆ แล้วฟันจะผุ น่ะ” 

เกือบเดือนที่ผ่านมาสรรพนามระหว่างเขาทั้งสองคนเริ่มเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะธราดลเองที่สอนให้ชลัมพุเรียกเขาแบบนั้น แต่ไม่ใช่แต่สรรพนามที่เปลี่ยนแต่การวางตัวระหว่างเขากับร่างบางก็เปลี่ยนไปด้วย จะเกิดจากความใกล้ชิดหรืออะไรเขาเองก็อธิบายไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่า นับวันร่างบางจะมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันเขามากขึ้นเรื่อยๆ



“พุ ผมยาวขึ้นหรือเปล่า” เอ่ยถามเมื่อลองสังเกตว่าผมของคนตรงหน้านั้นยาวขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เพราะมันยาวจนเกือบจะถึงพื้น
อยู่แล้ว

“เหรอครับ แปลกจัง แกติมันไม่ได้ยาวเร็วขนาดนี้นะ ” ร่างบางบ่นพึมพำ พลางจับผมตัวเองไว้แน่น

“งั้นวันนี้เราเข้าเมืองกันดีกว่าไหม พุมาอยู่ที่นี่ได้เกือบเดือนแล้วแต่ยังไม่เคยเข้าไปในตัวเองเลย วันนี้พี่พาไปเที่ยวดีไหม”

“ดีค่ะ คุณพ่อ น้องอันดาอยากไปเที่ยว!!” เจ้าตัวเล็กตอบแทบจะทันทีก่อนจะกระโดดดีใจใหญ่

“งั้นเราไปกันเลยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะสายนะคะ” ร่างสูงบอกก่อนจะอุ้มหนูน้อยไว้ด้วยมือข้างซ้าย ก่อนที่มือขวาจะกุมมือเรียวไว้แน่น


“โหยป้า คุณผู้ชายจับมือคุณพุด้วย ป้าดูสิ” น้อยที่ยืนมองอยู่นานบอกกับแม่ครัวคนเก่งของบ้าน

“นังน้อย เอ็งนี่จะไปยุ่งเรื่องเจ้านายท่านทำไม มาช่วยข้าทำงานไม่ดีกว่าเหรอห่ะ” หญิงชราเอ็ดเสียงดัง

“โหป้านวล ฉันเนี่ยลุ้นให้คุณผู้ชายกับคุณพุ รักกันจริงๆมาตั้งนานนะ เห็นแบบนี้แล้วมีความสุขชะมัด” พี่เลี้ยงสาวบอกก่อนจะ
อมยิ้มอย่างถูกใจ ถึงคุณพุของเธอจะเป็นผู้ชายแต่ก็เป็นผู้ชายที่สวยกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก แม้ว่าจะดูเหมือนไม่ค่อยทันคนแต่ว่าเพราะความใสซื่อนั่นแหล่ะที่ทำให้ ร่างบางเอาชนะใจคนทั้งเกาะได้อย่างไม่ยากเย็นนัก


“เอ็งนี่มันจริงๆเลยนะ”

“ป้าว่าแต่ฉัน หรือว่าป้าไม่คิดล่ะ”

“คิดสิวะ คุณพุเธอ งามทั้งกาย งามทั้งใจ กิริยามารยาทก็เหมือนจะเป็นลูกผู้ดี ข้าล่ะปลื้ม ถ้าคุณผู้ชายจะให้คุณพุมาเป็นแม่ของคุณหนูจริงๆ ข้าก็ดีใจเหมือนกัน แต่..”

“แต่อะไรป้า”

“คุณผู้ชายเธอรักคุณผู้หญิงมาก และคุณพุ ก็เป็นน้องชายของคุณผู้หญิง ข้าล่ะกลัวปากคนจริงๆ”


“ระดับนายหัว ธราดล แค่ปากคนจะไปกลัวอะไร”

“ข้าไม่ได้ห่วงนายหัว ข้าห่วงคุณพุ ซื่อขนาดนั้น ไม่รู้จะเป็นยังไง ข้าล่ะอดห่วงไม่ได้จริงๆ” หญิงชราบอกเสียงเบา เมื่อนึกถึงอนาคตข้างหน้าหากว่าเจ้านายของเธอจะทำในสิ่งที่เธอคิด

“นั่นสินะป้า คุณพุเธอบอบบางขนาดนั้น จะไปสู้รบปรบมือกับใครเขาได้ โดยเฉพาะ ผู้หญิงของคุณผู้ชายน่ะร้ายๆทั้งนั้น”

“พอเถอะนังน้อยไปทำงานทำการได้แล้ว”



ทางด้านธราดลหลังจากที่ให้เข้าเอาเรืออกมาได้สักพักก็สังเกตว่าคนข้างๆเอาแต่นั่งเงียบ

“พุเป็นอะไรหรือเปล่า”

“พุ กลัวครับพี่ดล พุไม่เคยเข้าเมืองมาก่อน พุไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง ”

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า มีพี่อยู่ด้วยกลัวอะไร ทำใจให้สบายแล้วก็เลิกขมวดคิ้วได้แล้วครับ” บอกเสียงนุ่มก่อนจะกดนิ้วลงบนหว่างคิ้วของอีกฝ่ายเป็นเชิงแกล้ง  แต่รอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งมาให้นั้นทำให้เงือกหนุ่มต้องก้มหน้าเพื่อซ่อนอาการ

ใจเต้นแรงอีกแล้ว

..........................TBC........................

ลงถี่ เพราะปั่นจบแล้วไง ฮ่าๆๆ
 :hao6:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 4: 19/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 19-06-2014 01:18:36
ป้าพูดส่อแววดราม่าเลย
อาจจะมีเงือกน้อยหนีลงทะเลก็เป็นได้
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 4: 19/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 19-06-2014 06:33:40
ดราม่ากำลังจะมา?   :ling3:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 4: 19/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-06-2014 16:37:12
กลัวพุโดนคนทำร้าย
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 4: 19/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 19-06-2014 21:26:02
โนดราม่าได้ไหม??
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 4: 19/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: Goodfellas ที่ 19-06-2014 21:41:15
แวะมาแอบดูงานใหม่  งานใหม่อีกแล้วเหรอ 555  ขยันจริงๆนะน้องเรา :laugh:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 4: 19/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: oreena ที่ 19-06-2014 23:43:59
ชอบ  :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 4: 19/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 19-06-2014 23:51:41
แวะมาแอบดูงานใหม่  งานใหม่อีกแล้วเหรอ 555  ขยันจริงๆนะน้องเรา :laugh:

อันนี้เรื่องสั้นเขียนคลายเครียด ค่ะคุณพี่ อย่าได้หาสาร อัลไล จากหนู
ในตอนนี้ ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ขยันอะไร เรื่องยาวดองมาจะเดือนแล้วค่ะ
เอิ๊กๆๆๆ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 4: 19/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 22-06-2014 17:04:46
กลัวดราม่าจังเลย  :mew2:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 5-6 : 23/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 23-06-2014 12:14:04

ตอนที่ 5 คนของผม

ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เงือกหนุ่มชะงักนิ่ง ความใหญ่โตโอ่อาของมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือสายตาของคนรอบข้างที่กำลังจ้องมามามากกว่า ชลัมพุ รับรู้ได้จากสัญชาตญาณ พิเศษ ของชาวเงือก เงือกอ่านใจได้    ผู้คนที่นี่ต่างจากบนเกาะอย่างสิ้นเชิง มันเต็มไปด้วย ความโกรธ ความโลภ ริษยา และจิตที่มุ่งร้าย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงจิตใจที่เป็นฝ่ายดีอยู่มากพอสมควร แต่เพราะเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยทำให้ร่างบางรู้สึกกลัวไม่น้อย

“พุ ไม่มีอะไรหรอก เราเข้าไปข้างในกันนะ” เสียงทุ้มบอกก่อนจะกระชับอุ้งมือที่จับอยู่แน่น ร่างบางคลี่ยิ้มให้ก่อนจะพยักหน้าตกลงเมื่อเขาตัดสินใจที่จะอยู่ในฐานะมนุษย์ เขาก็ควรจะทำตัวให้ชิน


“คุณพ่อขาน้องอันดาอยากกินไอติม” เสียงเล็กๆบอกอย่างร่าเริงพลางนิ้วป้อมชี้ไปที่ร้านไอศกรีมชื่อดัง

“ยังกินไม่ได้ ค่ะ เอาไว้เราค่อยมากินนะคะ ยังเช้าอยู่เลยเดี๋ยวปวดท้อง”

“งั้นเราไปโซน ของเล่นกันนะคะ น้องอันดาอยากเล่นบ้านลม นะคะ คุณพ่อ น๊า” เด็กหญิงอ้อนเสียงหวานจนผู้เป็นพ่อได้แต่ส่าย
หน้าเบาๆแต่ก็ยอมตามใจอยู่ดี

ชลัมพุมองสองพ่อลูกก่อนจะยกยิ้มกว้าง เขาเองคิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกมาอยู่ตรงนี้  ธราดล รักน้องอันดามากจนเขารู้สึกได้และที่สำคัญเขาแทบไม่เห็นจิตใจด้านไม่ดีของอีกฝ่ายเลย นอกจาก ความเศร้า ในแววตาคู่นั้น ความเศร้าของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก

“พุ เหม่ออะไรอยู่ ตามมาเร็ว” ร่างสูงเอ่ยเรียกเมื่อเห็นว่าอีกคนเอาแต่เหม่อ

“ขอโทษครับ”

“หืม พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า อยู่นอกเกาะให้พูดยังไง” ร่างสูงถาม

“เอ่อ ขอโทษ ค่ะ”

“หึหึ ไปเถอะ เนี่ยเด็กดื้อ งอแงจะเล่นบ้านลมแล้ว” เมื่อใหญ่จับจูงข้อมือบางอย่างอ่อนโยน ธราดลยอมรับว่าตัวเองค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวที่ให้ เงือกหนุ่มทำตัวเหมือนผู้หญิงเวลาอยู่นอกบ้าน นั่นเพราะเขาไม่ต้องการให้ผู้คนมองร่างบางด้วยสายตาที่มีข้อสงสัย เพราะ เจ้าของร่างบางที่เดินตามเขาต้อยๆ เนี่ย ดูเผินๆไม่มีส่วนไหนที่เหมือนผู้ชายเลยสักนิด และยิ่งน้องอันดาเรียก คุณแม่ ทุกคำแล้วด้วย ยิ่งแล้วใหญ่

“คุณพ่อ คุณแม่เร็วๆซิคะ น้องอันดาจะไปเล่นบ้านลมนะ” เด็กหญิงที่วิ่งนำไปก่อนแล้วหันกลับมาเร่งก่อนจะออกตัววิ่งไปอีกครั้ง

“อันดา อย่าวิ่งสิลูกเดี๋ยวหกล้มนะคะ” เสียงใสบอก ก่อนที่เด็กหญิงจะหยุดอยู่กับที่ ธราดล ยิ้มขำ เพราะน้องอันดาตัวน้อยดูจะกลัวคุณแม่เอามากๆ แม้ว่าคนข้างตัวเขาจะไม่เลยดุเลยสักครั้ง แต่เพราะเด็กหญิงสัญญาแล้วว่าจะไม่ดื้อ เพราะอย่างนั้น จึงมีแค่ คุณ
แม่ คนเดียวที่เอาน้องอันดาอยู่หมัด

“น้องอันดาขอโทษค่ะ” เด็กน้อยบอกเสียงเบา ก่อนที่ร่างบางจะเดินเข้าไปหา

“ไม่ต้องขอโทษ คุณแม่ไม่ได้โกรธ แต่เป็นห่วง ถ้าหนูล้มแล้วได้แผลทุกคนจะไม่สบายใจรู้ไหมคะ” เสียงใสบอกอย่างอ่อนโยน
ธราดลมองภาพนั้นอย่างตื้นตัน ก่อนจะสังเกตว่ารอบๆตัวพวกเขามีคนมองอยู่มากทีเดียวโดยเฉพาะ ร่างบางกับร่างเล็กตรงหน้าที่มีคนมองแล้วยิ้มให้กับความน่ารักของสองแม่ลูก แต่ก็มีสายตาของผู้ชายบางคนที่ทำให้ร่างสูงขมวดคิ้วแน่น ความไม่พอใจแล่นพลิ้วมาจากกลางอก ไม่พอใจที่มีคนมองร่างบาง ของเขา ด้วยสายตาเจ้าชู้แบบนั้น

หืม ของเขา เหรอ ช่างเถอะ ตอนนี้ พุ ก็เป็นคนในบ้านของเขาจริงๆนิ

“พุ น้องอันดา ไปเล่นกันดีกว่านะคะ” เสียงทุ้มบอกก่อนจะอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยด้วยมือข้างเดียวส่วนอีกข้างกลับโอบเอวบางไว้หลวมๆ


“เอ่อ จริงสิ วันนี้ว่าจะพาพุมาตัดผม แต่ก็ลืมจนได้” ร่างสูงบอกก่อนจะยิ้มแห้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ มันก็ไม่ได้เดือนร้อนอะไรอยู่แล้ว”

“เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวกลับบ้านพี่ตัดให้เอง”

“พี่ดล ตัดเป็นด้วยเหรอคะ” ร่างบางเลิกคิ้วถาม

“เมื่อก่อนพี่เคยตัดให้น้ำบ่อยๆ น่ะ เพราะน้ำเขารักผมมาก ไม่ชอบให้ใครมายุ่ง พี่เลยกลายเป็นช่างตัดผมประจำตัวโดยปริยาย”

“พี่ดล รักคุณน้ำมากเลยนะคะ” ร่างบางถามเสียงเบา แต่กลับรู้สึกกลัวคำตอบเหลือเกิน ความวูบไหวในแววตาคมนั้นยิ่งทำให้หัวใจรู้สึกเจ็บ

“น้ำ คือรักแท้ของพี่”

ชลัมพุเงียบหลังจากที่ได้ฟังคำตอบ มือบางยกขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้าย ทำไมถึงเจ็บอย่างนี้ ทำไมเขาต้องเจ็บที่หัวใจทุกครั้งที่ฟัง เขาเป็นอะไร

“คุณพ่อ คุณแม่ขา น้องอันดาหิวน้ำ” เด็กดื้อที่เล่นซนมาได้พักใหญ่วิ่งมาหาผู้ปกครองที่นั่งอยู่ก่อนจะอ้อนเอาสิ่งที่อยากได้

“งั้นคนสวย รอคุณพ่อก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณพ่อไปซื้อมาให้ แล้วอย่าซนนะคะ แล้วก็ฝากคุณแม่ด้วย” ประโยคสุดท้ายกระซิบกับเจ้า
ตัวเล็กเบาๆก่อนที่ร่างสูงจะผละไปซื้อน้ำตามบัญชาของเจ้าหญิงน้อย




“เอ่อ ขอโทษนะครับ ขอนั่งด้วยคนได้ไหม” เสียงหนึ่งเอ่ยทักก่อนที่ชายหนุ่มรูปร่างสูง ที่ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเพิ่งพ้นวัยมหาลัย
มาไม่นานเอ่ยถาม

“ได้ค่ะ”  ร่างบางบอกเสียงแผ่ว แม้ว่าคนตรงหน้าจะไม่มีจิตมุ่งร้าย แต่ ชลัมพุ กลับรู้สึกว่า ผู้ชายตรงหน้า อันตราย

“เอ่อ พอดีผมพาหลานชายมาเที่ยวน่ะครับ แต่แกงอแงจะเล่นบ้านลมเลยต้องพามา คุณก็เหมือนกันสินะครับ” ชายหนุ่มชวนคุย  พลางลอบมองใบหน้าขาวนวลที่อยู่ไม่ไกล ยอมรับว่าร่างบางตรงหน้านั้นสะดุดตามากเหลือเกิน แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่กลับโดดเด่นเหมือนมีบางอย่างที่แตกต่างจากคนทั่วไป ยิ่งได้นั่งใกล้ๆ  ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่า คนๆนี้มีอะไรน่าค้นหา ยิ่งมองยิ่งอยากทำความรู้จัก

“เอ่อ ค่ะ” ร่างบางตอบ แต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆอยู่ดี  ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ด้วยความสงสัยเพราะเขาเองถือว่าเป็นชายหนุ่มที่สาวๆทั้งหลาย มองตามจนเหลียวหลัง แต่คนตรงหน้ากลับมีท่าทีเหมือนกลัวเขาเสียเต็มประดา

“ผมชื่อ ชานนท์ ครับ คุณชื่ออะไร” ชายหนุ่มไม่ละความพยายาม จะยังไงวันนี้เขาก็ต้องได้เบอร์ของคนสวยตรงหน้ามาให้ได้



“พุ!!” เสียงเข้มเอ่ยเรียกก่อนที่ร่างสูงของธราดลจะเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำปั่นของโปรดของลูกสาว แววตาคมจ้องชายหนุ่มที่น่าจะเด็กกว่าเขาหลายปี ด้วยความไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเสมองร่างบางตรงหน้าอย่างหัวเสีย ทำไมไม่รู้จักปฏิเสธนะ

“พี่ดล มาแล้วเหรอคะ” เสียงใสบอกก่อนจะยกยิ้มกว้าง ความกลัวเมื่อครู่หายไปหลังจากที่ได้เห็นร่างสูง ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่คนๆนี้อยู่ใกล้ๆ ทุกครั้งที่มือใหญ่ กอบกุม เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่น และปลอดภัย

“ครับ แล้วนี่” ว่าพลางเสมองชายหนุ่มตรงหน้า

“พอดีว่าเขามาขอนั่งด้วย หลานเขาเล่นอยู่ในบ้านลมเหมือนกัน” ร่างบางตอบเสียงเบา

“อ้อ” ร่างสูงพยักหน้าก่อนที่มือหนาจะลูบผมดำขลับนั้นเบาๆ แต่แววตาคมกลับจ้องชายหนุ่มอีกคนไม่ลดละ ถ้าทำได้เขาอยากกระชากไอ้หนุ่มนั้นแล้วเหวี่ยงลงไปชั้นล่างเสียให้เข็ดกล้าดียังไงถึงได้มานั่งคุยกับ คนของเขา

“คุณพ่อ คุณแม่ขา น้ำน้องอันดาล่ะค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยตะโกนลั่นก่อนจะวิ่งเข้ามาหาคุณพ่อคุณแม่ของเธอ

“แม่??” ชายหนุ่มครางเสียงแผ่วก่อนจะมองร่างบางตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา แม้จะพอเดาอาการหึงหวงของร่างสูงออกแต่ก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะเป็นสามีภรรยาที่มีลูกโตขนาดนี้แล้ว

“อยู่นี่ค่ะ โอรีโอ้ปั่น ของโปรดลูกสาวพ่อ” ว่าพลางยื่นแก้วโอรีโอ้ให้ลูกสาวตัวน้อย

“หนูเล่นเสร็จหรือยังคะ คุณพ่อว่าเราไปกินไอติมกันดีกว่า อยู่แถวนี้แมลงมันเยอะ” ธราดลบอกเสียงเข้ม

“น้องอันดาไม่เห็นมีสักตัวเลยค่ะคุณพ่อ”

“มีสิคะ ตัวใหญ่ด้วย ไปกินไอติมกันดีกว่า “

“ค่ะ” เด็กหญิงรับคำเสียงใสก่อนจะจับมือคุณแม่ไว้แน่น

ร่างสูงปล่อยให้สองคนเดินไปสักพักก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

“ขอบคุณนะครับที่นั่งเป็นเพื่อน ภรรยา ผม แต่ทีหลังไม่ต้อง” บอกเสียงเข้มก่อนจะสาวเท้าไปให้ทันสองคนที่นำไปก่อนมือหนาโอบเอวบางอย่างถือสิทธิ์ ก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มที่ยังคงอึ้งไม่หาย


ธราดลไม่ใช่ ไก่อ่อน ร่างสูงผ่านความรักหนุ่มสาวมาไม่น้อย ทั้งรักจริงอย่าง น้ำ หรือรักเพียงข้ามคืน สำหรับผู้หญิงทั่วไป แต่ตอนนี้เขากลับไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองนัก ที่เขาแสดงออกเมื่อครู่ ดูเหมือนเขากำลัง หึงหวง อย่างนั้นหรือ คิดยังไงก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้สักที ตกลงแล้ว เขาคิดยังไง กับร่างบางที่เขากำลังโอบกอดอยู่กันแน่


...................ต่อด้านล่างเบยนะ......................
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 5-6 : 23/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 23-06-2014 12:18:37

ตอน 6 รัก ???

ผ่านมาเกือบสองเดือนที่ชลัมพุเข้ามาอยู่ในฐานะ แม่ของน้องอันดา ธราดลเองก็วางใจที่จะให้ร่างบางไปไหนมาในในเกาะบ้างแล้วแต่ก็ยังต้องมีน้อยหรือป้านวลไปด้วยตลอด  ส่วนหนึ่งนั้นเพราะ กลัวว่าร่างบางจะมีอันตราย แต่เขารู้ดีว่ามันมีบางอย่างที่มากกว่านั้น บางอย่างที่เขาไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้สักที

“เดินวนจน พื้นจะสึกแล้วครับ คุณเพื่อน มึงมีอะไรในใจนักหนาวะ” เจ้าของห้องบอกก่อนจะลอบมองเพื่อนรักผ่านแว่นตาอย่างพิจารณา จู่ๆไอ้เพื่อนรักที่หายเข้ากลีบเมฆไปสองเดือนก็โทรมา บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมบอกสักทีว่ามีเรื่องอะไร

“ไอ้ดล ถ้ามึงยังเดินอยู่แบบนี้กลับบ้านมึงไปเถอะ กูเวียนหัว”

“ก็กูกลุ้ม”

“กลุ้ม กลุ้มอะไรวะ ธุรกิจมึงมีแต่รวยเอาๆ จะหยิบจะจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง สุขภาพก็แข็งแรง ลูกสาวก็น่ารัก แล้วมึงจะเอาอะไรอีก”

“เหอะ กูกลุ้มเรื่องนั้นซะที่ไหนล่ะ” ร่างสูงพ่นลมหายใจอย่างแรงก่อนจะกระแทกตัวลงบนโซฟาพร้อมกับโยนโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้เพื่อนสนิท

“เอามาทำไมเนี่ย”

“กูจะให้มึงดูรูป ในนั้นครับ”

วิชาญพยักหน้าอย่าง งงๆ เพราะกำลังไม่เข้าใจว่านายหัวธราดลต้องการอะไร ร้อยวันพันปีเคยให้ดูที่ไหนล่ะรูปในโทรศัพท์เนี่ย หวงยิ่งกว่าลูกอีก

“เฮ้ย!! ไอ้ดล มึงมีรูปน้ำอยู่ในเครื่องเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ น้ำไม่ชอบถ่ายรูปไม่ใช่เหรอ” คุณหมอนุ่มตาโต เมื่อภาพของผู้หญิงที่เขาคุ้นตาดีปรากฏตรงหน้า แต่พอสังเกตดีๆ กลับมีอะไรบางอย่างที่แปลกไป รูปพวกนี้ไม่ได้ถ่ายตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแต่ดูเหมือนเพิ่งจะถ่ายเมื่อไม่นานมานี้ !!

“มึงเล่นอะไรเนี่ยไอ้ดล” วิชาญถามเสียงเข้ม

“นั่นไม่ใช่ น้ำ แต่เป็น ชลัมพุ”

“ชลัมพุ ใครวะ ชื่อก็แปลก ไม่เห็นเหมือนชื่อผู้หญิงเลย แล้วที่สำคัญ คนเรามันจะหน้าเหมือนกันขนาดนี้ได้ยังไงวะ เท่าที่รู้ น้ำลูกคนเดียวไม่ใช่เหรอ” คุณหมอหนุ่มรัวคำถามจนร่างสูงตอบแทบไม่ทัน

“ไอ้หมอ ถ้ากูบอกอะไรไปมึงจะหาว่ากู บ้าไหมวะ”

“เฮ้ย ไอ้ดล นี่มันปรากฏการณ์ที่โลกต้องตกตะลึง เลยนะเว้ย กูคิดไม่ถึงจริงๆ นอกจากพระอภัยมณีแล้วยังมีมึงอีกคนที่ได้นางเงือกเป็นเมีย แต่ไม่ใช่นิ ของมึงมันนายเงือก ฮ่าๆๆ”  วิชาญหัวเราะลั่น ทันทีที่เพื่อนรักเล่าจบ ยอมรับว่าเขาเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องที่เพื่อนสนิทเล่ามา แต่คิดอีกทีไอ้เพื่อนเขามันก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องโกหก

“กูไม่ตลก” ธราดลบอกเสียงเข้ม อยากจะถีบยอดอกไอ้เพื่อนสนิทที่เอาแต่ขำทั้งๆที่เขาเครียดจะตายอยู่แล้วเสียจริงๆ

“เฮ้ย น่าๆ กูแค่อยากให้มึงผ่อนคลาย ดล มึงเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีความรัก มึงไม่รู้จริงๆเหรอว่าความรู้สึกของมึงตอนนี้คืออะไรหรือมึงแค่ไม่อยากยอมรับ”  หมอหนุ่มตบบ่าเพื่อนเป็นเชิงให้กำลังใจ เขารู้ดีว่าเพื่อนสนิทของเขาสับสนแค่ไหน เป็นใครก็ต้องสับสนทั้งนั้นเมื่อคนที่ รู้สึกดีด้วย ดันมีหน้าตาเหมือนคนรักในอดีต 

“มึงต้องถามใจมึงเองแล้วล่ะ ว่ามึงชอบคุณพุเขา เพราะว่า เขาเป็นเขา หรือแค่หวั่นไหวที่เขาหน้าตาเหมือนน้ำ แต่ไม่ว่าผลมันจะออกมาทางไหน มึงต้องเผื่อใจไว้บ้างนะ คุณพุ เขาไม่ใช่ มนุษย์ สักวันหนึ่งเขาอาจจะต้องจากมึงไป”วิชาญบอก แม้มันจะดูโหดร้ายไปสักนิดแต่เขาก็อยากให้เพื่อนทำใจเอาไว้บ้าง ธราดลเป็นคนที่มั่นคงกับความรักมาก เขายังจำภาพวันที่น้ำจากไปเพราะเรือล่มได้ติดตา เพื่อสนิทของเขาแทบไม่เป็นผู้เป็นคน วันๆนอน จนอยู่กับขวดเหล้าจนไม่เป็นอันทำอะไร ไม่รู้ว่าโชคดีหรือมีกรรม น้องอันดาก็มาป่วยอีกคน แต่นั่นก็ทำให้เพื่อนของเขากลับมาเผชิญหน้ากับโลกอีกครั้งเพื่อรอยยิ้มเล็กๆของลูกสาวคนเดียว



ธราดลกลลับมาที่เกาะในช่วงเย็น แถมพ่วงคุณหมอหนุ่มอารมณ์ดีมาด้วยอีกคน

“คุณพ่อขา” เด็กหญิงตัวน้อยออกมารับคุณพ่อที่หน้าบ้านอย่างทุกวัน พร้อมกับร่างบางที่ยืนยิ้มรับอยู่เช่นกัน ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ธราดลรู้สึก ว่าการอยู่บ้านมันทำให้เขามีความสุขจริงๆหลังจากที่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นมาสามปี บ้านที่มีเด็กหญิงตัวเล็กกับร่างบางเสียงใส ที่คอยยิ้มให้เขาเสมอ แม้ไม่พูดอะไรแต่เขากลับรับรู้ได้ถึงความห่วงใยผ่านรอยยิ้มนั้น

“ทักแต่คุณพ่อ ลุงหมอเสียใจนะคะ” คุณหมอหนุ่มยิ้มกว้างก่อนจะกางมือให้ร่างเล็กโผเข้ากอด

“คุณลุงหมอ คิดถึงจังเลยค่ะ”

“คุณลุงหมอก็คิดถึง คนสวยเหมือนกันค่ะ กินข้าว กินยา ตามเวลาไหม คนเก่ง”

“กินค่ะ น้องอันดาไม่ได้งอแง เวลากินยาเหมือนคุณพ่อนะคะ น้องอันดาเก่ง” เด็กหญิงยิ้มกว้าง พลางเอ่ยล้อนิสัยกินยายากของผู้
เป็นพ่อ ที่คุณลุงหมอชอบนินทาให้ฟัง

“อ่า คุณลุงหมอขา น้องอันดามีอะไรจะอวด คุณแม่ของน้องอันดากลับมาแล้วนะคะ อยู่นั่นไง” นิ้วป้องงชี้ไปที่ร่างบาง ก่อนที่คนยืนอยู่จะยกยิ้มให้  คุณหมอหนุ่มตาค้าง ถ้าหากว่าไอ้เพื่อนรักมันไม่บอกเขาว่า คนตรงหน้าเป็นผู้ชายล่ะก็เขาคงคิดว่า ชลัมพุ เป็นผู้หญิงแน่ๆ

สวย เป็นคำเดียวที่เขาคิดออกในตอนนี้

“ ไอ้หมอ เข้าไปกินน้ำในบ้านก่อนสิ เดี๋ยวส้น..ติดคอนะ” เสียงทุ้มของเจ้าของบ้านบอกก่อนจะโอบเอวของร่างบางอย่างแสดงความเป็นจ้าของ

“เหอะ ไอ้หมาหวงก้าง  ไปเถอะค่ะ น้องอันดา ลุงหมอมี วิตามินซีมาฝากเยอะแยะเลย อยากได้ไหมคะ”

“อยากได้ค่ะ”

“งั้นไปกันเลย”   คุณหมอใจดี บอกก่อนจะอุ้ม หลานสาวตัวน้อยเข้าไปในบ้าน



“ดูคนไม่ค่อยกลัวคนแปลกหน้าแล้วนะ” เสียงทุ้มในบอก แต่ ร่างสูงกลับรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขามันดูประชดชอบกล

“คุณหมอเป็นคนดีครับ พุรู้สึกได้” ร่างบางตอบ

“เหอะ มันเหรอคนดี” ธราดลแค่นเสียง ทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดเพื่อนตัวเองขนาดนี้ก็ไม่รู้

“พี่ดล อย่าไปว่าคุณหมอสิครับ ไม่น่ารักเลย” เสียงใสพูดประโยคที่เอาไว้ ดุ ลูกสาว ตัวน้อยเพราะเขาบอกเลยว่า ร่างบางตามใจน้องอันดาเกินไป ไม่เคยดุเคยว่าลูกจะเคยตัว เจ้าตัวเลยได้คำดุที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยฟังมา ไม่น่ารักเลย

“ครับๆ พี่ขอโทษครับ ไปเถอะเข้าบ้านกัน พี่หิวข้าวแล้ว”   

ธราดลแอบลอบถอนใจ ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเอง หวั่นไหว กับร่างบางมากแค่ไหน ไม่ใช่ไม่รู้ว่า หวง ทุกครั้งที่มีคนอื่นเข้าใกล้ หึง ทุกครั้งที่เจ้าของใบหน้าหวานนั้นยิ้มให้กับคนอื่น และแทบขาดสติทุกครั้ง ที่มีใครแตะเนื้อต้องตัวร่างบาง และเขาเองก็มองออกว่าชลัมพุ ก็รู้สึกดี ต่อเขาเหมือนกัน แววตาที่เต็มไปด้วย ความรัก ของร่างบาง ที่มองมานั้นทำให้เขามีความสุข เขาพบเจอความรักในโลกมาแล้วทุกรูปแบบ แต่ ร่างบางในอ้อมกอดนั้นอ่อนต่อโลกเหลือเกิน ไม่ว่าจะคิดอะไร รู้สึกอะไรก็แสดงออกทางแววตาเสียหมด และธราดลก็ไม่ได้ไร้เดียวสาที่จะไม่เข้าใจ   แต่ร่างสูงกำลังสับสน ที่เป็นอยู่นี้ เพราะเขารักชลัมพุ หรือ เพราะ เขาเห็นร่างบางเป็นตัวแทนของน้ำ แต่จะให้ปล่อยร่างบางไปเขาก็ทำไม่ได้ แม้จะรู้ว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้เห็นแก่ตัวมากแค่ไหน แต่เขาก็ปล่อยไปไม่ได้จริงๆ



โต๊ะอาหารที่มีคุณหมอหนุ่มใจดีมาเพิ่ม ยังคงสนุกสนานเช่นเดิม เจ้าหนูจำไมประจำบ้านยังหาคำถามแปลกๆมาให้คนเป็นพ่อเป็น
แม่ รวมถึงคุณลุงต้องคิดหาคำตอบกันหัวปั่น

“ดีจริงๆเลยนะ” หญิงวัยกลางคนมองภาพครอบครัวอบอุ่นด้วยรอยยิ้ม

“อะไรดีเหรอป้า” น้อยเอ่ยถาม

“เอ็งก็ดูสิ นังน้อย ข้าไม่ได้เห็นคุณหนูกับคุณผู้ชายยิ้มกว้างขนาดนี้มาสามปีแล้วนะ ตั้งแต่คุณพุมาอยู่ที่นี่ ทุกอย่างก็ดีขึ้นมาก ”

“ใช่สิป้า คุณพุ ทั้งน่ารัก ทั้งแสนดี แถมยังรักคุณหนูขนาดนั้น ถ้าฉันเป็นคุณผู้ชาย ขอแต่งงานไปตั้งแต่สามวันแรกแล้วไม่รอนานขนาดนี้หรอก”

“นังน้อย เอ็งเนี่ยนะ ยุ่งเรื่องของเจ้านายจริงเชียว ไปล้างหม้อโน่นไป เร็วๆ”  นวลเอ็ดก่อนจะลอบถอนหายใจ หวังเหลือเกินว่า
ความสุขครั้งนี้มันจะยาวนานกว่าครั้งที่ผ่านมา อย่าให้มีอะไรมาพราก คุณพุ ไปจากคุณผู้ชายของเธออีกเลย




“อันดาหลับแล้วเหรอพุ” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่เพิ่งเข้ามาในห้อง

“ครับ แล้วนี่พี่ดล ยังทำงานไม่เสร็จอีกเหรอครับ” ชลัมพุถามกลับ เมื่อสังเกตว่าร่างสูงเจ้าของห้องยังคงง่วนอยู่กับเอกสารที่คน
สนิทเอาให้ดูเมื่อตอนเย็น

“ยังเลยครับ แต่เหลืออีกไม่มากหรอก พุไปอาบน้ำแล้วนอนก่อนได้เลยนะ”

“ครับ” ร่างบางรับคำก่อนจะเลี่ยงไปเตรียมตัวอาบน้ำ  ธราดล พรูลมหายใจอย่างลำบาก เกือบสองเดือนที่อยู่ด้วยกัน ชลัมพุกับ
เขานอนห้องเดียวกันตลอด สาเหตุเพราะลูกสาวสุดที่รักไม่ยอมให้เขาแยกห้องกัน พอจะแยกก็ร้องไห้จ้าว่าคุณพ่อกับคุณแม่ไม่รักกันแล้ว เขาเลยต้องเลยตามเลยไปโดยปริยาย ธราดลเองก็ยอมรับ ว่า ไม่ได้ฝืนใจสักนิดที่ต้องนอนร่วมห้องกับ คน ไม่สิ ต้องบอกว่ากับเงือกที่ไม่รู้จัก  แต่ตอนนี้ชักจะเริ่ม ลำบากใจแล้ว ไม่ใช่ว่ารู้สึกไม่ดีอะไร เพียงแต่มันรู้สึกดี มากเกินไปต่างหาก มากจนเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะห้ามใจตัวเองได้อีกนานแค่ไหน  ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาไม่เคยล่วงเกินอีกคนไปมากกว่าการกอดหรือหอมแก้มตามคำขอของลูกสาว ร่างสูงรู้ตัวเองดีว่าเขา ไม่ใช่คนดีนัก และความอดทนของมนุษย์ก็มีขีดจำกัด การที่นอนกอดร่างนุ่มนิ่ม ที่ทำให้หวั่นไหว อยู่ทุกคืน มันทำให้ความอดทนของเขาลดต่ำลงทุกที


ร่างบางออกจากห้องน้ำด้วยชุดนอนลายเจ้าหญิงเงือกน้อยที่ลูกสาวสุดที่รักเลือกให้ ก่อนจะเสมองเจ้าของห้องตัวจริงทีนั่งหน้าเครียดอยู่บนโต๊ะทำงาน ชลัมพุ อยู่ที่นี่ได้สองเดือนแล้ว เป็นสองเดือนที่เขายอมรับว่ามีความสุขมากกว่าเวลา 250 ปี ที่อยู่ในทะเล นับวันหัวใจของเขายิ่งผูกพันกับผู้คนที่นี่มากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะ กับ คนตรงหน้า แววตาคมที่ทอดมองเขาอย่างอ่อนโยน มืออุ่นที่กอบกุมให้คลายกังวล อ้อมกอดที่มีไว้ให้เขาพักพิงเสมอ หรือแม้แต่ รอยยิ้มนั้น ก็ทำให้หัวใจของเงือกหนุ่มเต้นแรงทุกครั้งที่ได้เห็นมัน นั่นคือ ความรัก ใช่หรือเปล่า…

“พี่ดลดู เครียดๆนะครับ” เสียงใสถามก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างสูง

“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ ดึกแล้ว พุไปนอนเถอะ”

“เอาอย่างนี้ดีไหม เมื่อกลางวัน พุดูในทีวีมา ถ้าเครียดมากๆ ต้องนวดขมับ พุทำให้พี่ดีกว่า” บอกอย่างร่าเริงเมื่อจะได้ลองวิชาที่แอบจำมาจากทีวี มือบางค่อยๆวางลงบนขมับทั้งสองข้างก่อนจะกดน้ำหนักลงบนขมับสลับหนักเบา

“รู้สึกดีขึ้นไหมครับ”

“อืม” ร่างสูงหลับตา ก่อนจะปล่อยให้ เจ้าของมือนิ่มนวดต่อไปเรื่อยๆ


“พุ”

“ครับ”

“พอแล้วล่ะ” ธราดลบอกก่อนจะจับมือนิ่มออกจากขมับ ร่างสูงลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับคนร่วมห้อง แววตาคมจ้องลึกเข้าไปดวงตาสีน้ำทะเลนั้นอย่างมีความหมาย มือหนาประคองใบหน้านวลไว้ ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะกดจูบลงบนปากบางอย่างอ่อนโยน

“พี่ดล ” ร่างบางเบิกตาโพลง หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าสัมผัสเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกดี

“พี่รู้ ว่าทุกอย่างมันเร็วเกินไป พี่รู้ว่าพี่เห็นแก่ตัว แต่พี่อยากขอร้อง ช่วยพี่หาคำตอบให้หัวใจตัวเองได้ไหม ช่วยพี่ให้รู้ทีว่าความรู้สึกตอนนี้มันคืออะไร”

ชลัมพุไม่ได้ตอบคำถามนั้น แววตาสีน้ำทะเลสะท้อนเงาของร่างสูงก่อนที่ทาบริมฝีปากบางลงบนปากหนาของอีกคนแทนคำตอบ
ความรัก เหมือนห้วงเหวลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด คนที่พลาดพลั้งตกลงไปจะไม่มีวันได้กลับขึ้นมา ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันหลุดพ้นจากก้นเหวอันแสนเหน็บหนาวนั้นไปได้ แต่ผู้คนมากมายก็ยังเต็มใจที่กระโดดลงไป แค่หวังเพียงได้สัมผัส มันสักครั้ง ชลัมพุ เองก็เป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนนั้น ที่ยอมกระโดดลงไปทั้งๆที่รู้ว่า มันจะมีแต่ความเจ็บปวด

ช่างโง่เขลานัก…


...........................TBC.......................


 :hao7:  หายหัวไปหลายวันเพราะไปปั่น น้องไม้ มาฮ่าๆๆๆ
รักวุ่นๆ ตอน 12 อัพแล้วนะจ๊ะตัวเธอออออออออออออ  :hao3:
ตอนนี้ก็  :katai5: กระดึบๆๆ ไปปั่น ต่อดีกว่า
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 5-6 : 23/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-06-2014 12:56:31
ฮืออออ ทำไมทั้งๆ ที่น่าจะมีความสุข
แต่กลับรู้สึกหน่วงมากกกกกก
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 5-6 : 23/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 23-06-2014 13:27:41
อยู่ด้วยกันแบบนี้มีความสุขดี แต่ก็ต้องมีวันแยกจากกัน

ชลัมพุจะต้องจากไปด้วยเรื่องอะไรนะ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 5-6 : 23/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: oreena ที่ 23-06-2014 16:07:58
จะจบแบบเเฮปปี้มั้ยน้าาาาา        :m28: :m28: :m28: 
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 5-6 : 23/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 23-06-2014 16:47:27
เริ่มมีกลิ่นมาม่าโชยมา...
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 5-6 : 23/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 23-06-2014 23:24:26
ถ้าเห็นว่าเป็นตัวแทนไม่ต้องยุ่งเลยนะ  :beat:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 5-6 : 23/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: PhInNoI ที่ 24-06-2014 18:52:51
 :mew6:
ตอบจบไม่อามาม่านะ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 7 : 25/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 25-06-2014 03:15:50

ตอน 7 คำตอบ

“มึงได้คำตอบแล้วสินะ” หมอหนุ่มเอ่ยถาม ทันที่ เพื่อนรักโทรไปหา

“อืม ขอบใจมึงมากนะที่ช่วย”

“เหอะ กูไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก็แค่พูดในสิ่งที่กูคิด แต่ดูเหมือนมึงจะฉลาดขึ้นนะ แปลว่า “กินปลา” ทะเลไปแล้วล่ะสิ”

“หึ” ร่างสูงไม่ตอบเพียงแค่แค่นเสียงในลำคอเท่านั้น แต่คนที่อยู่ด้วยกันมาเกือบทั้งชีวิต อย่างวิชาญมีหรือจะไม่รู้ว่า ป่านนี้ นาย
เงือกแสนสวยของเขาต้องเสร็จชาวประมงไปแล้วแน่นอน

“มึงจำที่กูบอกได้ไหม ไม่ว่าต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้น มึงต้องยอมรับมันให้ได้ ถ้ามึงกับคุณพุเกิดมาเพื่อกันและกันจริง สักวัน มันจะมีทางออกเว้ย”

“ขอบใจมึงมากนะเว้ยเพื่อนรัก แล้วเดี๋ยวกูไปเลี้ยงเหล้าตอบแทน”

“จะล้างท้องรอนะเว้ย แค่นี้นะ อีกห้านาทีกูต้องเข้าเวรแล้ว ดูแลคุณพุของกูดีๆด้วยล่ะ”

“สัด พุของกูเว้ย ไม่ใช่ของมึง!! แค่นี้นะ”

ธราดลวางสายจากเพื่อนรักก่อนจะทอดมองทะเลเบื้องหน้า จิตใจที่แสนว้าวุ่นกลับสงบลงอย่างประหลาด เขาไม่ลังเลอีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ริมฝีปากบางนั้นทางทับลงมา หัวใจของเขาก็ได้คำตอบแล้ว ว่า เขาควรรักใคร อดีต ก็คืออดีต มันไม่มีวันที่จะย้อนกลับมาได้ คนเราต้องอยู่กับปัจจุบันและก้าวไปสู่อนาคต เขายังรักน้ำอยู่ก็จริง เธอจะยังคงอยู่ในความทรงจำของเขา แต่ชลัมพุ คือคนที่เขาจะรักนับจากวินาทีนี้ไปต้นไป

“อื้อ” เสียงใสครางอือ ก่อนที่เปลือกตาบางจะลืมขึ้นช้าๆ ดวงตาสีน้ำทะเลนั้นมองไปรอบๆราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง ร่างบางดู
เหมือนกำลังกังวลไม่น้อยที่ข้างกายไม่มีร่างสูงของเจ้าของบ้าน

“พุ มองหาใครครับ”

“พี่ดล” ชลัมพุเอ่ยเสียงแผ่ว ยอมรับว่าเมื่อครู่กำลังกลัว กลัวว่าจะถูกทิ้ง กลัวว่าจะไม่ได้รับการเอาใจใส่อีกต่อไป ตั้งแต่เมื่อไหร่
กันที่เขาขาดอีกฝ่ายไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ร่างสูงก้าวเข้ามาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขา

“ทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างนั้น ล่ะครับ หรือว่า ยังเจ็บอยู่” ร่างสูงตามอย่างเป็นห่วงมือหนาลูปสะโพกมนอย่างถือวิสาสะ ความใกล้ชิดที่เกินคำว่า คนรู้จัก ทำให้ ชลัมพุอดเขินอายไม่ได้ แม้ว่าเมื่อคืนเขากับร่างสูงจะเดินข้ามผ่านเส้นแบ่งนั้นมาแล้วก็ตาม

“ไม่ใช่ครับ พี่ลืมไปแล้วเหรอว่า พุรักษาบาดแผลได้”อีกคน บอกเสียงเบา เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากธราดลได้มากโข ใบหน้าขาวนวลขึ้นสีจางๆน่ารักจนอดใจที่จะกดจมูกหาเศษหาเลยไม่ได้  ปกติเขาก็ไม่ค่อยทำอย่างนี้กับใครหรอก เห็นทีคงต้องโทษที่อีกฝ่ายน่ารักเกินไป

“แล้วถ้าอย่างนั้น เป็นอะไรครับ”

“พุกลัว” เงือกหนุ่มบอก

“กลัวว่า พี่ดลจะรังเกียจ กลัวว่าพี่จะทิ้งพุไว้คนเดียว ในเมื่อพุ ไม่ใช่มนุษย์”

“พุ ฟังพี่นะ ไม่ว่าพุจะเป็นใคร มาจากไหน หรือจะเป็นอะไร พี่ก็ไม่มีทิ้งพุเด็ดขาด เป็นพี่ซะอีกที่ต้องกลัว โกรธพี่ไหม เกลียดพี่หรือเปล่าที่พี่ทำแบบนั้นกับพุ ทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเอง”

“ไม่ครับ พุไม่ได้โกรธ” ร่างบางส่ายหัวเป็นพัลวันเพราะกลัวว่าอีกคนจะคิดมาก  ธราดลยิ้มขำ ชลัมพุของเขาน่ารักเสมอ แถมยังซื่อจนน่าเป็นห่วง แล้วแบบนี้จะปล่อยไปได้ยังไงกัน

“ชลัมพุ พี่ไม่ใช่คนดีอะไร พี่เป็นแค่คนเห็นแก่ตัวที่อยากผูกมัดพุให้อยู่กับพี่ตลอดไป แต่พี่ก็ยังรักน้ำอยู่ น้ำคือรักแรกในชีวิตพี่คงลืมเธอไม่ได้ พุรับได้ไหมถ้าหัวใจของพี่ไม่ได้เป็นของพุคนเดียว”

“พุรักพี่ดลครับ”

“พี่ก็รักพุนะ ขอโทษ ที่รักพุคนเดียวไม่ได้”

“ไม่เป็นไรครับ แค่รู้ว่าพี่รักพุบ้างก็พอแล้ว”

ร่างสูงสวมกอดเงือกหนุ่มไว้แน่น ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปเขาจะมีร่างในอ้อมกอดนี้อยู่เคียงข้าง ต่อให้วันข้างหน้าจะต้องพบเจอกับอะไร เขาจะไม่มีวันปล่อยให้คนที่รักจากไปอีกเด็ดขาด

“พี่รักพุนะ”

“ขอบคุณครับ ขอบคุณที่รักพุ”


ก๊อกๆๆๆ

“คุณพ่อ คุณแม่ขา ทำไมวันนี้ตื่นสายจังเลยคะ” เด็กหญิงตัวน้อยตะโกนอยู่หน้าห้องเพราะวันนี้ดูเหมือนว่าคนในห้องจะตื่นสายเป็นพิเศษ

“พี่ดลปล่อยก่อนครับ เดี๋ยวลูกเห็น” ร่างบางบอกพลางแกะมือของร่างสูงอย่างทุลักทุเล เพราะดูเหมือนอีกคนจะไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่

“ถ้าเห็นจะดีใจตบมือใหญ่นะสิ พุก็รู้ว่าน้องอันดาชอบให้เรากอดกัน”

“พอเลยๆ พุจะไปเปิดประตูให้ลูก”

“ก็ได้ครับ แต่คุณแม่มาเร็วๆนะ คุณพ่อคิดถึง”

ฟอด    เจ้าของบ้านตัวโตบอกก่อนจะปล่อยอีกคนเป็นอิสระ แต่ก็ยังไม่วายกดจมูกลงบนแก้มใสเป็นเชิงแกล้ง



“คุณแม่ไม่สบายเหรอคะ ทำไมหน้าแดง” เด็กน้อยที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยถาม ก่อนจะวิ่งเข้ามาในห้อง

“คุณพ่อขา คุณแม่ต้องไม่สบายแน่ๆเลย หน้าแดงด้วย คุณพ่อพาคุณแม่ไปหาลุงหมอนะคะ” เด็กหญิงบอกก่อนจะชี้ไปที่คุณแม่ที่ยืนหน้าแดงอยู่ที่หน้าประตู

“พุ ไม่สบายเหรอ ไหนมาวัดไข้สิ” ร่างสูงว่า ก่อนจะเดินเข้ามาหา แล้วทาบหน้าผากเข้ากับหน้าผากของร่างบาง

“อ้าว ตัวก็ไม่ร้อนนิทำไมหน้าแดงกว่าเดิมล่ะครับ หืม”

“พี่ดล อย่ามาล้อกันสิ”

“คุณพ่อขา ตกลงว่าคุณแม่ต้องไปหาลุงหมอไหมคะ”

“ไม่ต้องหรอกครับลูก คุณแม่ไม่ได้เป็นอะไร แค่เขิน ฮ่าๆๆ โอ้ย พุ อย่าตีสิ มันเจ็บ” ร่างสูงหัวเราะลั่น แม้ว่าจะถูกมือบางเข้าที่ต้นแขนหลายครั้ง

“อ้อ คุณแม่เขิน อิอิ” เจ้าหญิงตัวน้อยที่เจ้าเล่ห์ไม่แพ้พ่อ ได้ทีเลยล้อใหญ่ จนคนถูกล้อ ได้แต่ยืนหน้าแดงเพราะทำอะไรไม่ได้

“ไม่แกล้งแล้ว พุไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวจะได้ลงไปทานข้าวกัน วันนี้จะพาไปเที่ยวน้ำตกท้ายเกาะ ไปไหมครับ”

“พี่ดลพาพุไปจริงๆ นะครับ” ดวงตาสีน้ำทะเลพราวระยับ เพราะตั้งแต่มาอยู่เขายังไม่เคยไปเที่ยวน้ำตกท้ายเกาะเลย

“พี่เคยโกหกพุหรือไง ไปเร็วๆเลยคุณแม่เดี๋ยวคุณพ่อกับคุณลูก จะลงไปรอข้างล่างนะครับ”

ฟอด  บอกก่อนจะอุ้มลูกสาวออกจากห้องแต่ก็ยังไม่วาย ทำให้อีกคนเขินส่งท้ายอีกจนได้

“พี่ดล ไปเลยออกไปเลยทั้งพ่อทั้งลูกเลย”




น้ำตกท้ายเกาะ

ชลัมพุมองดูสองพ่อลูกที่เล่นน้ำอย่างสนุก พลางยกยิ้มกว้าง ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ก็เพิ่งจะได้เห็น อีกคนร่าเริงเป็นเด็กก็วันนี้

“คุณแม่ ไม่เล่นกบน้องอันดาเหรอคะ สนุกน๊า” เด็กหญิงตัวน้อยบอก

“นั่นสิ พุ ไม่ลงมาเล่นล่ะ ที่นี้ไม่มีคนอื่นหรอก พุเองก็ไม่ได้ลงน้ำมานานแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าเงือกลงน้ำจืดไม่ได้”

“ไม่ครับ พุลงได้ แต่ว่า..”  ร่างบางลำบากใจเมื่อ ถ้าลงเล่นน้ำร่างจริงก็ต้องปรากฏ เขากลัวว่าจะทำให้ธราดลตกใจแม้ว่าร่างสูงนั้น
จะเคยเห็นมาแล้วก็ตาม

“ลงมาเถอะ พี่บอกพุแล้วไม่ใช่เหรอต่อให้พุจะเป็นอะไร พี่ก็รักพุ”

“ครับ”

ร่างบางยิ้มรับก่อนจะกระโดดลงน้ำอย่างคล่องแคล่วขาเรียวเปลี่ยนเป็นหางทันทีที่สัมผัสน้ำ ร่างสูงได้แต่มองอย่างตื่นตะลึงแม้ว่าจะเคยเห็นมาแล้วแต่นั่นก็เป็นช่วงกลางคืน แต่พอได้เห็นอีกคนในร่างเงือกชัดๆแล้ว กลับอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

“ว้าว คุณแม่เป็นเจ้าหญิงเงือกน้อย ดีจังเลย คุณแม่เป็นบ่อยๆนะคะ น้องอันดาชอบ เวลาที่คุณแม่เป็นเงือก คุณแม่สวย” เด็กหญิง
หัวเราะร่วน

“แต่คุณพ่อว่า ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนคุณแม่ ของน้องอันดาก็สวยทั้งนั้น จริงไหมครับ” เสียงทุ้มบอกก่อนจะสวมกอดร่างบางจากข้างหลัง

“ใช่ค่ะ คุณแม่สวยที่สุดเลย”



วันเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ พอรู้ตัวอีกทีชลัมพุก็อยู่ในฐานะมนุษย์ได้สามเดือนแล้ว ร่างบางเหม่อมองทะเลเบื้องหน้า  แสงจันทร์ที่สาดส่องสะท้อนเงาระยิบระยับ นั้นช่างสวยงามเหลือเกิน แม้จะรู้ว่าในโลกบนบกไม่ใช่ที่ของตัวเอง แต่เขาก็ไม่อาจห้ามหัวใจได้เลย แม้จะคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวมากแค่ไหน เขาก็กลับไปไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่าหากกลับลงไปเขาจะไม่มีวันได้เห็นหน้าคนที่ตัวเองรักอีกต่อไป   เสียงเพลงทำนองหวานดังแว่วมากับสายลมชลัมพุ กระตุกวาบก่อนจะรีบวิ่งออกจากบ้านเพื่อตามเสียงนั้นไป

“อาโป” เสียงใสเอ่ยเรียกแม้ไม่เห็นตัวเขาก็รู้ดีว่าคนที่ร้องเพลงนี้เป็นใคร

“เจ้ามาแล้ว หรือ ในที่สุดเจ้าก็ยอมมาพบพี่เสียที” เสียงนั้นเอ่ยตอบก่อนที่ร่างหนึ่งจะโผล่ขึ้นมาจาก

 “พี่มาที่นี้ มีอะไรหรือเปล่า”

“ชลัมพุ เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า พี่มาทำไม เจ้าอยู่บนบกนานเกินไปแล้ว ร่างกายของเราไม่ได้แข็งแรงพอที่จะอยู่บนนั้น กลับบ้านกับ
พี่เถอะ”  อาโป บอกอย่างอ่อนโยน

“เรากลับไปไม่ได้ กลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ” เงือกหนุ่มมองพี่ชายด้วยความรู้สึกผิดแต่เขามาไกลเกินกว่าจะกลับไปแล้ว

“คิดให้ดี ก่อนจะทำอะไร มนุษย์พวกนั้น เจ้าเล่ห์ หลอกลวง ไม่มีความจริงใจ เจ้าลืมสิ่งที่พวกมันเคยทำแล้วหรือ เจ้าลืมคำสั่งสอนของบรรพบุรุษหรือ หากท่านพ่อรู้เข้า ท่านคงเสียใจมาก”

“อาโป เราขอโทษ แต่เรากลับไปไม่ได้จริงๆ เรารักพี่ดล รักน้องอันดา พวกเขาคือหัวใจของเรา ถ้าไม่มีพี่ดลกับน้องอันดา ชีวิตเรา
จะมีความหมายอะไร ”

“เราเตือนเจ้าด้วยความหวังดี ชลัมพุเอ๋ย เวลาของเจ้าเหลืออยู่ไม่มากแล้ว จงคิดให้ดี ชีวิตของเจ้ามีค่ากับพวกเราชาวเงือกมากแค่ไหนตัวเจ้ารู้ดี อย่าเอามาทิ้งไว้ที่นี่เลย อีกไม่กี่วัน ท่านพ่อจะกลับมาจากมหาสมุทรทางตะวันออกแล้ว เราไม่รู้ว่าจะปิดท่านไปได้อีกนานแค่ไหน ” 

“อาโป” ร่างบางมองพี่ชายทั้งน้ำตา เขารู้ดีว่าตัวเองทำผิดมากแค่ไหน เขารู้ดีว่าวันข้างหน้ามีความเจ็บปวดมากมายรอเขาอยู่ แต่เขาก็รัก ร่างสูงเกินกว่าจะตัดใจได้

เขามันคนเห็นแก่ตัว

“พุ พุอยู่ไหนครับ พุ!!” เสียงทุ้มที่ตะโกนเรียกทำให้สองพี่น้องสะดุ้ง ก่อนที่คนเป็นพี่ จะบอกกับน้องเป็นคำสุดท้าย ก่อนที่ร่างนั้นจะดำน้ำหายไป

“คิดให้ดี แต่ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร เจ้าก็ยังคงเป็นน้องรักของพี่เสมอ ชลัมพุ”

“อยู่นี่เอง พี่เป็นห่วงมากรู้ไหม” ร่างสูงกอดอีกคนไว้แน่น วินาทีที่ไม่เห็นร่างบางนอนอยู่เคียงข้างเขายอมรับว่ากลัวเหลือเกิน กลัวว่า อีกคนจะทิ้งเขาไป

“พุ นอนไม่หลับน่ะครับ เลยออกมาเดินเล่น”

“คิดถึงบ้านเหรอ” เสียงทุ้มถามอย่างอ่อนโยน พลางกระชับอ้อมกอดแน่น

“ครับ พุคิดถึงบ้าน” บอกพลางสะอื้น

“พี่ขอโทษนะพุ ขอโทษที่รั้งเราให้อยู่ที่นี้ ขอโทษที่พี่เห็นแก่ตัว” 

สองร่างตะกองกอดท่ามกลางแสงจันทร์ เสียงคลื่นกระทบฝั่งดัง ซ่าๆ แต่ไม่อาจกลบเสียงสะอื้นของทั้งสองคนได้เลย


...............................TBC.............................


เรื่องนี้ ตอนหน้า จบค่ะ  :a5:

ฮ่าๆๆๆ  :hao7:

ไม่สปอย หรอก เด๋วรู้
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 7 : 25/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 25-06-2014 05:03:14
จบแฮปปี้ไหมหนออออ  :hao4:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 7 : 25/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: PhInNoI ที่ 25-06-2014 06:40:38
 :mew6:
ขอแบบ happy ending นะ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 7 : 25/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 25-06-2014 23:32:53
จะจบแล้วเหรอ  :a5: เร็วจัง
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 7 : 25/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-06-2014 13:09:24
จะตัดสินใจยังไงล่ะทั้งสองคน?
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน 7 : 25/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-06-2014 13:56:41
จะจบแล้วหรอ ไม่เศร้าหรอก ใช่มั้ยยยย
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน จบ : 2ุ6/6/14 P3
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 26-06-2014 21:48:59

แนะนำว่าเตรียมไม้ไว้สอยอารมณ์ด้วยนะคะ  :katai5:


ตอน 8 โชคชะตา (ตอนจบ)

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมีระยะเวลา ของมัน ไม่เว้นแม้กระทั่ง ความสุข…

“มึงเป็นอะไรวะ ไอ้ดล ช่วงนี้กูเห็นมึงเครียดแปลกๆ” วิชาญถามเพื่อนรัก วันนี้วันหยุดก็เลยหอบขนมมาฝากหลานสาวสุดที่รักเสีย
หน่อย ก็ไม่นึกว่าพอมาถึงจะมาเจอเพื่อนรักนั่งหน้าเครียดอยู่แบบนี้

“กูกลัว”

“กลัว อะไร ของมึงอีกวะ ทุกวันนี้กูก็เห็นมึง มีความสุขดี คุณพุ ออกจะรักมึงขนาดนั้น เมียก็สวย ลูกก็น่ารัก มึงจะเอาอะไรอีกครับ”

“เพราะกูมีความสุขไง กูถึงกลัว ถ้าวันนึงมันหายไป มึงคิดไหมว่ากูจะเป็นยังไง”

“ไอ้ดล มึงนี่คิดมากเนาะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด จะคิดมากทำไม เวลานี้มึงควรใส่ใจคนที่มึงรักมากกว่านะเว้ย”

“ขอบใจว่ะ มึงนี่ก็เป็นเพื่อนที่ใช้ได้เหมือนกันนะเว้ย”

“ห่า กูเป็นคนดีมานานแล้วเถอะครับ แต่มึงไม่เห็นเอง”

“อ้าว คุณวิชาญ มานานแล้วเหรอครับ” เสียงใสเอ่ยถามแขกก่อนจะวางจานขนมลงบนโต๊ะ

“ก็เพิ่งมาถึงครับ แล้วคุณพุสบายดีนะครับ”

“สบายดีครับ พุเพิ่งให้ป้านวลสอนทำลูกชุบ คุณวิชาญ ลองทายดูไหมครับ” ร่างบางบอก

“ทำไม ให้แต่ให้หมอชิมล่ะครับ แล้วพี่ล่ะ” ร่างสูงบอกเสียงเบา พลางกอดอกฉับ จนเพื่อนรักได้แต่เบ้หน้า ด้วยความหมั้นไส้

“เยอะไปแล้วไอ้ดล เยอะไปแล้ว”

“พี่ดล ทำอะไรครับ อายคุณวิชาญบ้างเถอะ”

“ไม่รู้ พี่งอนมาก ง้อด้วย”

ชลัมพุยิ้มแห้ง ก่อนจะยื่นขนมมาตรงหน้าคนขี้งอน

“พุทำเองเลยนะ พี่ดลจะไม่กินจริงๆเหรอครับ”

“ป้อนด้วยนะ ถ้าไม่ป้อนพี่ไม่กิน”

“อ้าปากครับ” คนตัวโตอ้าปากอย่างว่าง่าย ก่อนจะงับขนมนั้นอย่างอ้อยอิ่ง  คุณหมอหนุ่มได้แต่มองตาค้าง คบกันมา 20 ปีเพิ่งจะเห็นคุณธราดล งอน ก็วันนี้ล่ะ สาบานว่าเพื่อนเขาไม่เคยมีท่าทีอย่างนี้สักครั้งแม้แต่กับ  คุณน้ำ

“อร่อยจัง เมียพี่ทำอะไรก็อร่อย”

“พี่ดล อายคุณวิชาญเขาครับ”

“โอ้ย จะอายทำไม คนกันเอง ใช่ไหมไอ้หมอ” ว่าบางยักคิ้วให้เพื่อนรักอย่างเป็นต่อ

“ครับ คนอย่างไอ้ดล หน้ามันหนายิ่งกว่าปูนซีเมนต์ มันไม่อายหรอกครับ คุณพุเถอะ ถ้ามันทำอะไรให้อายต่อหน้าคนอื่น บอกผมได้นะครับ เดี๋ยวผมจัดการให้”

“เมียกูครับ เพื่อน อย่าออกหน้าออกตา” ร่างสูงแหวลั่น ก่อนจะกอดคนตัวบางไว้แน่น

“ครับๆ แล้วแต่ท่านเลยครับเพื่อน”  คุณหมอบอกอย่างเอือมระอา

“พุ ขอตัวไปดูน้องอันดาก่อนนะครับ ไม่รู้ว่าเรียนไปถึงไหนแล้ว” เสียงใสบอกก่อนจะแกะมือปลาหมึกของคนตัวโตอย่างยากเย็น





“คุณแม่มาแล้ว คุณแม่ขาน้องอันดาได้ห้าดาวด้วยค่ะ” เด็กหญิงยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าร่างบางเดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะชูกระดาษงานตัวเองขึ้นโบกไปมา

ร่างบางยิ้มรับก่อนจะเดินเข้าไปหาแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับรู้สึกว่าทุกอย่างดูวูบไหวไปหมด  ร่างกายโงนเงน ราวกับทรงตัวไม่ได้ ก่อนจะทรุดลงกับพื้นทันที

ไม่นะ แย่แล้ว มันต้องไม่เร็วแบบนี้สิ  ร่างบางคิดแม้จะพยายามขยับตัวแต่ร่างกายกลับไม่เป็นไปอย่างที่ใจคิดเลย เขาขยับตัวไม่ได้!!

“คุณแม่ คุณแม่ขา คุณแม่เป็นอะไรคะ” ร่างเล็กร้องลั่นเมื่อเห็นว่าคุณแม่ล้มพับไปต่อหน้า แม้แต่คุณครูคนสวยก็ได้แต่ตะลึงค้าง
เพราะทำอะไรไม่ถูก

“คุณหนูขา มีอะไรกันค่ะ ว๊าย คุณพุ คุณพุขา เป็นอะไรไปคะ” น้อยที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของคุณหนูวิ่งออกมาดู แต่กลับเห็นว่าราง
บางนอนสลบอยู่ข้างๆมีร่างเล็กที่ร้องไห้จ้า

“คุณผู้ชาย ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย” พี่เลี้ยวสาวตะโกนลั่น ก่อนที่ร่างสูงจะรีบวิ่งหน้าตื่นเข้ามา

“มีอะไรเหรอน้อย   พุ!! พุเป็นอะไรพุ ตอบพี่หน่อยสิพุ” ร่างสูงทั้งตะโกนลั่น แต่ร่างบางที่นอนอยู่กลับไม่ตอบโต้อะไรเลย

“เป็นไงบ้างวะ ไอ้หมอ”  ธราดลเอ่ยถามเพื่อนรักเมื่อเห็นว่า คนรักเอาแต่นอนนิ่ง ทั้งๆที่มันก็ผ่านมาราวๆครึ่งชั่วโมงแล้ว

“แปลก โคตรจะแปลกเลยว่ะ”

“อะไรแปลกวะ”

“ก็คุณพุ นี่ไง สรุปง่ายๆนะ คุณพุไม่ได้ป่วย กูตรวจแล้วไม่มีอะไรผิดปกติสักอย่าง ”

“แล้วทำไม พุถึงเป็นแบบนี้”

“กูก็บอกไม่ได้ว่ะ กูพูดตรงๆนะไอ้ดล มึงก็รู้ว่าคุณพุ เป็นอะไร มันอาจจะเป็นผลข้างเคียงจากการขึ้นมาอยู่บนบกก็ได้ล่ะมั้ง มึงคิด
ตามกูนะ เงือกอยู่ในทะเล กูคิดว่า คุณพุเขาก็คงเหมือนปลาทั่วไป คือ อยู่บนบกนานไม่ได้ เพราะร่างกายของเขาไม่ได้ปรับสภาพมาเพื่อให้อยู่บนบก มึงเข้าใจที่กูพูดไหม” คุณหมอหนุ่มพยายามอธิบาย เพราะเขาเองก็จนปัญญาที่จะวินิจฉัยจริงๆว่าร่างบางป่วยเพราะสาเหตุอะไร แต่ถ้าจะให้เดาเรื่องที่พูดไปน่าจะมีมูลที่สุดแล้ว

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง” ถามเสียงแผ่ว ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าคำตอบมันคืออะไร

“กูรู้ว่ามึงรู้”

“ทำไมวะ ทำไมโชคชะตาต้องเล่นตลกกับกูครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมต้องพรากคนที่กูรักไปทุกครั้ง”

คุณหมอหนุ่มได้แต่มองเพื่อนที่จับมือคนรักแน่น ก่อนจะตบไหล่เบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ เขารู้ดีว่าตอนนี้เพื่อนรักกำลังเสียใจมาก และครั้งดีดูเหมือนว่ามันจะทำใจยากกว่าเดิม

“กูไปดูอันดาให้นะ มึงอยู่กับคุณพุเถอะ”




คล้อยหลังเพื่อนรักร่างสูงจับมือนุ่มมาแนบแก้ม ทำไมโชคชะตาต้องทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาทำผิดอะไร

“พุ อย่าทิ้งพี่ไป ได้โปรด อย่าทิ้งพี่ไว้คนเดียว”  ธราดลเคยสาบานกับตัวเองว่าจะไม่มีวันร้องไห้อีกเด็ดขาดตั้งแต่วันที่ภรรยาคนแรกจากไป แต่ตอนนี้เขากลับไม่สามารถห้ามน้ำตาตัวเองได้อีกแล้ว

“พี่รักพุนะ อย่าทำแบบนี้ เลย”

“พี่ดล” เสียงแหบพร่าดังขึ้นเรียกให้ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะรวบร่างบางเข้าไว้ในอ้อมกอด

“พุ พุฟื้นแล้ว ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว”

“พี่ดล ขอโทษ พุขอโทษ”

“ขอโทษทำไมครับ พุไม่ได้ทำอะไรผิด พุแค่ไม่สบายนิดหน่อย อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว”

“พี่ดล พุรักพี่ดลนะ รักพี่ดลคนเดียว ฮึก ฮื่อๆ”  เสียงแหบพร่านั้นบอกทั้งน้ำตา เขาไม่ได้ป่วย เขารู้ตัวเอง แต่เขากำลังจะตาย
เงือกออย่างเขาทนสภาพขาดน้ำได้นานที่สุดแค่สามเดือนเท่านั้น

“ขอโทษที่พุ เห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่พบกัน ถ้าพุไม่ตัดสินใจมาอยู่ที่นี้ พี่ดลก็จะไม่ต้องเจ็บปวดพุขอโทษ”

“ไม่ครับ พี่ไม่เจ็บปวด การได้พบพุ คือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตพี่ พุคือของขวัญที่มีค่าสำหรับพี่เสมอ นอนพักนะคนดี อีกไม่กี่วันก็
หายแล้ว พี่จะพาพุเข้าไปซื้อของในเมือง เสร็จแล้วเราไปเล่นน้ำตกที่ท้ายเกาะกัน นั่งชิมขนมฝีมือพุด้วย ดีไหมครับ” เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยน

“ดีครับ พุอยากเล่นน้ำตก อ่ะ  โอ้ย!!”

ร่างบางร้องลั่น ก่อนจะงอตัวเหมือนกับกำลังทรมาน ผิวหนังที่เคยนุ่มลื่น แห้งกรังราวกับขาดน้ำ ก่อนที่ขาเรียวจะค่อยๆเปลี่ยนสภาพกลายเป็นหาง!!

“พุ พุเป็นอะไรพุ” ธราดลกอดอีกคนไว้แน่น หัวใจของร่างสูงเจ็บปวดเจียนตายเมื่อเห็นคนที่รักกำลังทรมาน ร่างที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่ทำให้หัวใจเขาเหมือนถูกกรีด นี่เขากำลังเห็นแก่ตัวอยู่ใช่ไหม เขากำลังเห็นแก่ตัวอยู่ใช่หรือเปล่า

“อ๊ากกกกก!!”

ร่างบางได้แต่กรีดร้องอย่างทรมาน อากาศที่มีดูเหมือนจะเริ่มหมดลงเรื่อยๆ ผิวหนังเริ่มแห้งมากขึ้น เกร็ดสีเงินค่อยๆหลุดร่อยทุกครั้งที่ขยับตัว

ไม่นะ เขายังไม่อยากตาย เขาอยากอยู่ที่นี่ อยากอยู่กับ คนที่เขารัก อยากอยู่กับลูก ได้โปรด อย่าเพิ่งพรากเขาไปเลย



“พุ ทำใจดีๆไว้นะ พี่จะต้องช่วยพุให้ได้พี่ไม่ปล่อยให้พุตายเด็ดขาด” ร่างสูงบอกก่อนจะอุ้มร่างบางขึ้นแนบอกแล้ววิ่งออกไปที่
ทะเลอย่างรีบร้อน ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคนในบ้าน

“อาโป!!  คุณได้ยินผมไหม ช่วยพุด้วย ได้โปรดขึ้นมาช่วยพุด้วย !!” ร่างสูงตะโกนลั่นพลางเรียกชื่อเจ้าของร่างที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่วันก่อนเสียงดัง ใช่ ธราดล เห็น และได้ยินทุกอย่างที่เงือกทั้งสองคุยกัน แต่เขาก็ยังเห็นแก่ตัว เขาฉุดรั้งชลัมพุไว้ด้วยความเห็น
แก่ตัว แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว เขาไม่มีวันยอมให้ร่างบางต้องตาย ไม่มีวันเด็ดขาด

“คุณได้ยินผมไหม อาโป มาช่วยน้องคุณด้วย ช่วยพุด้วยเถอะ ผมขอร้อง” ร่างสูงบอกทั้งน้ำตาก่อนจะอุ้มอีกคนเดินลงไปในทะเล หวังว่าเสียงของเขาจะดังไปถึง พี่ชายของร่างบางได้





“ได้โปรด ช่วยด้วย ช่วยพุด้วย”

“พี่ดล อย่า อย่าเรียกอาโป พุไม่อยากกลับไป”  เสียงแหบพร่าร้องห้าม

“ไม่ได้ พี่ปล่อยให้พุตายไม่ได้”

“แต่ถ้าอาโปมา พุอาจจะต้องกลับไป”

“แต่พี่ปล่อยให้พุตายไม่ได้  อาโป คุณได้ยินไหม พุกำลังจะตาย ช่วยเขาด้วย!!”



“เจ้า เรียกข้าหรือ มนุษย์” ร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ร่างกายที่ดูแล้วสมชายกับเสียงทุ้มต่ำแต่แฝงไปด้วยความนุ่มนวล เอ่ยถามขึ้น

“คุณคือ อาโป ใช่ไหม ได้โปรดช่วยพุด้วย”

“เฮ้อ เจ้าเด็กดื้อ พี่เตือนเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าเจ้าอยู่บนบกนานเกินไปแล้ว กลับไปกับพี่เถอะ”

“ไม่เราไม่กลับ พี่ดล อย่าทิ้งพุไป พุไม่ไปไหนทั้งนั้น พุจะอยู่กับพี่ดลกับน้องอันดา อย่าทำแบบนี้” ร่างบางบอกทั้งน้ำตาแต่ร่างกายกลับไม่มีแรงขัดขืนใดๆ เมื่อคนตัวสูงพาเขาลงไปในทะเลเรื่อยๆ ก่อนจะส่งให้พี่ชายที่รออยู่แล้วอย่างเบามือ

“พี่ดล ทำไมทำกับพุแบบนี้ พี่ดลไม่รักพุแล้วเหรอ”  ชลัมพุถามเสียงสั่น แววตาตัดพ้อทำให้ร่างสูงต้องหลับตาลง

“พี่รักพุเสมอ และจะรักตลอดไป แต่พี่ทำไม่ได้ พี่เห็นแก่ตัวไม่ได้อีกแล้ว”

“พุรักพี่”

นั่นเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ทั้งสองร่างจะจมหายไปในทะเล ธราดลยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะปิดเปือกตาลงช้าๆ ไม่อยากเห็น ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากจะยอมรับความจริงว่าทะเลกำลังพรากหัวใจของเขาไปเป็นครั้งที่สอง








5 ปีผ่านไป (ไวกว่า 4G)


“ไงครับเพื่อน” วิชาญเอ่ยทักร่างสูงที่กำลังอ่านรายงานการประชุมอยู่ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องทำงานอย่างถือวิสาสะ

“เข้ามาหัดเคาะประตูบ้างก็ดีนะ ไอ้หมอ”

“แหมๆ คนกันเองทั้งนั้น จะไปมีพิธีรีตองทำไมกันล่ะ นายหัว” บอกอย่างอารมณ์ก่อนจะนั่งลงบนโซฟารับแขก

“เกรงใจกูบ้างก็ได้นะครับ”

“น่าๆ คิดเล็กคิดน้อยทำไม วันนี้เลิกงานแล้วไปดื่มกันหน่อยไหมครับ”  อีกคนเอ่ยชวน ธราดลได้แต่ส่ายหน้าระอา สาบานเถอะว่า
เพื่อนเขาเป็นหมอ ทำไมมันทำตัวต่างจากอิมเมจหมอได้ขนาดนี้

“ไม่ล่ะ จะกลับบ้านไปอยู่กับน้องอันดา” ร่างบอก พลางคิดถึงลูกสาวตัวน้อยที่ตอนนี้อายุ 10 ขวบแล้วและเรียนที่โรงเรียนประจำในตัวจังหวัด จะกลับบ้านแค่เสาร์อาทิตย์เท่านั้น ตอนนี้เขาย้ายเข้ามาอยู่ในตัวเมืองได้หลายปีแล้ว เพราะที่เกาะมีความทรงจำเกี่ยวกับร่างบางมากมายเหลือเกิน หลายปีที่ผ่านมา เขากลับไปที่เกาะแทบจะนับครั้งได้

“ดล มึงเอาตัวเองออกมาจากความเศร้าบ้างเถอะ จะเป็นแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่” วิชาญถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาเข้าใจดีว่าที่ผ่านมาเพื่อนรักเจ็บปวดขนาดไหน แต่การหนีปัญหา มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย แม้ว่าจะย้ายบ้านพยายามพาตัวเองออกมาจากความทรงจำเก่าๆ แต่วิชาญกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย เมื่อแววตาคมคู่นั้นยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ร่างสูงไม่ตอบเพียงแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นทะเลอยู่ไกลลิบ

พุจะคิดถึงพี่ เหมือนที่พี่คิดถึงพุ หรือเปล่า




ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูทำให้เพื่อนรักทั้งสองออกจากความคิดของตัวเอง

“นายหัวคะ คุณชล ที่จะมาสัมภาษณ์ งานมาถึงแล้วค่ะ จะให้เข้าพบเลยไหมคะ” เลขาสาวบอก

“ให้ไปรอที่ห้องประชุมเล็กนะเดี๋ยวผมตามไป”

“ได้ค่ะ”




“เฮ้ย ที่ประธานบริษัทต้องไปสัมภาษณ์ งานเองเหรอวะ” วิชาญถามอย่างแปลกใจ

“จริงๆก็ไม่ แต่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว คุณยุทธ ท้องเสีย แล้วกูก็ว่าง เลยไปสัมภาษณ์เอกดีกว่า นักออกแบบถือเป็นหัวใจของงาน ถ้ากูได้พิจารณาเองน่าจะดีที่สุดไม่ใช่เหรอ”

“ครับๆ เชิญท่านประธานผู้มีวิสันทัศน์กว้างไกลเถอะครับ”

ร่างสูงส่ายหน้า ก่อนจะเดินออกจากห้องไปที่ห้องประชุมเล็กพรางรับแฟ้มจากเลขาหน้าห้อง แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะเปิดดูนัก ในเมื่อเขาจะไปพบตัวจริงอยู่แล้ว 




“สวัสดีครับ” คนในห้องเอ่ยทักหลังจากที่ร่างสูงเปิดประตูเข้าไป

ตุ๊บ!!!


แฟ้มในมือหล่นแทบจะทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่าย ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยชื่อคนตรงหน้าออกมาคล้ายละเมอ

“พุ..”


“พุ ใช่ไหม พุกลับมาหาพี่แล้ว ใช่ไหม!!” ร่างสูงรวบคนตรงหน้ามากอดแน่น ก่อนที่คนโดนกอดจะยกมือขึ้นกอดตอบ

“คิดถึง” เสียงใสเอ่ยแผ่วเบา พลางซุกหน้าลงบนอกแกร่ง นานเหลือเกิน กว่าจะได้พบ

“บอกพี่ทีว่าพี่ไม่ได้ฝันไป พุกลับมาหาพี่แล้วใช่ไหม กลับมาอยู่กับพี่จริงๆใช่ไหม”

“ชลัมพุ ไม่ได้กลับมาหาพี่หรอกครับ”

ธราดลเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ชลัมพุ จะไม่กลับมาได้ยังไง เมื่อคนตรงหน้าเขาคือ ชลัมพุ

“เงือกที่ชื่อชลัมพุ ตายไปแล้ว แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า พี่ คนนี้ คือ ชล เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างพี่ตลอดไป”








แสงจันทร์สาดส่องกระทบท้องน้ำเป็นประกายระยับระยิบ เสียงเพลงทำนองหวานปนเศร้าเคล้าไปกับเสียงคลื่น ร่างๆหนึ่งนั่งอยู่บนโขดหินเตี้ยๆ หางสีเงินสะท้องแสงจันทร์เป็นประกายราวกับอัญมณี เด็กหญิงอายุราว 10 ขวบเดินเข้ามาหาร่างนั้น ก่อนจะตะโกนเรียก

“คุณลุงอาโป”

“เจ้ามาแล้วหรือ เด็กน้อย ไม่เจอกันตั้งนาน เจ้าสบายดีใช่ไหม” อาโปถามเสียงเบา

“สบายดีค่ะ น้องอันดาจะมาขอบคุณคุณลุงที่ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง”

“เราไม่ได้ช่วย ทุกอย่างเป็นเพราะโชคชะตา ชีวิตของชลัมพุถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าจะเป็นเช่นไร เราก็แค่ช่วยพูดให้ท่านพ่อเข้าใจความเป็นไปเท่านั้น”  ร่างแกร่งหนายังคงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางยกยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อยอย่างอ่อนโยน อาโป ยังจำได้ดี ในคืนหนึ่งเมื่อ 5 ปีก่อน ร่างเล็กๆน้องเด็กหญิงนั่งร้องไห้อยู่ริมทะเล ปากเล็กๆนั้นเรียกชื่อของน้องชายเขาไม่หยุด อาโปเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร น้ำตาของหนูน้อยจึงมีอิทธิพลกับเขาเหลือเกิน หรืออาจะเป็นเพราะ แววตาแสนบริสุทธิ์คู่นั้น ช่างเหมือนกับ “เธอ” คนนั้นเหลือเกิน คนที่เขาได้แต่แอบมอง มานาน แสนนาน คนที่เขาทำได้แค่มองและปล่อยให้เธอจากไปโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย

“แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณค่ะ ถ้าไม่มีคุณลุง คุณแม่ก็คงจะไม่มีวันได้กลับมา”   เด็กหญิงบอกด้วยรอยยิ้ม ทำให้หัวใจของเงือกหนุ่มกระตุกวาบ…


ศรแห่งกามเทพช่างร้ายกาจ บัดนี้กงล้อแห่งโชคชะตากำลังหมุนวนมาอีกครั้ง  ………




จบ.






 :katai2-1:  เย้ จบแล้วๆๆๆ 

ไม่พูดไรมาก ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

เรื่อง หน้า ยังคิดไม่ออก ฮ่าๆๆๆ แต่คงไม่แฟนตาซีล่ะ

 :katai5: เด๋วเบื่อ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน จบ : 2ุ6/6/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 26-06-2014 21:57:51
ดีใจที่จบแฮปปี้ค่ะ   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน จบ : 2ุ6/6/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-06-2014 22:35:00
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันสักที
ดีใจจัง

ส่วนลุงอาโปคะ
พรากผู้เยาว์เลยนะคะ 55555
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน จบ : 2ุ6/6/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 26-06-2014 23:22:55
 :laugh: ก๊ากกกกกก
โลลิค่อนชัดๆเลยนะคุณลุง
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน จบ : 2ุ6/6/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 27-06-2014 06:00:40
ไม่มีตอนพิเศษ?    :hao7: 

จบแฮปปี้ดี  นึกว่าต้องแยกจากกันแล้ววววว
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน จบ : 2ุ6/6/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: bbc52 ที่ 27-06-2014 09:33:26
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ  รออ่านเรื่องต่อไปนะค่ะ

 :mew3:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน จบ : 2ุ6/6/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 27-06-2014 11:12:07
อ่า~จบแล้วแฮปปี้เอนดิ้ง~
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน จบ : 2ุ6/6/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 27-06-2014 12:23:06
ประเด็นคุณพ่อกับคุณแม่แฮปปี้แล้ว แต่เราจับได้ถึงบางอย่างที่คุณลุงมีต่อคุณหลานนะ 55555
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 3 รหัท..รัก ตอน จบ : 2ุ6/6/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 01-07-2014 11:29:44
ในที่สุดก็จบแบบแฮปปี้  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 4 Kiss the Rain (จบในตอน) : 9/7/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 09-07-2014 03:16:14

คำเตือน หึหึหึหึ  o18



Kiss the Rain
 

ฝนตก..

จีนเหม่อมองสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ไม่ได้บอกกล่าว พลางห่อตัวด้วยความหนาว เมื่อละอองฝนเริ่มสาดเข้ามา ภายในทางเชื่อมระหว่างอาคารเรียน เขามองนาฬิกาอย่าง เหนื่อยหน่ายเมื่อ เจ้าเพื่อนตัวดีผิดนัดเขาอีกแล้ว  มองฝนอยู่นานพอสมควร ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในอาคารอีกครั้ง ในเมื่อฝนตกหนักขนาดนี้เขาคงไม่มีทางฝ่าฝนอออกไปรอรถเมล์ได้


 “อาจารย์ จิระ ยังไม่กลับอีกเหรอครับ”    เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนที่ เจ้าลูกศิษย์ตัวแสบของเขาจะเดินเข้ามา

“ยังหรอก คนิน ครูจะอยู่เคลียร์งานอีกสักพักน่ะ เธอล่ะทำไมยังไม่กลับอีก นี่เย็นมากแล้วนะ”

“ผมรอพี่เบียร์อยู่น่ะครับ รายนั้นมีเวรทำความสะอาด…. นั่นไง มาพอดีเลย ผมกลับบ้านก่อนนะครับอาจารย์ สวัสดีครับ” คนินบอกลาครูประจำชั้นก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างเล็กของรุ่นพี่คนสนิท




เสียงเปียโนที่ดังแว่วจากห้องดนตรีทำให้ร่างโปร่งหยุดฟังอย่างตั้งใจ เมื่อไม่คิดว่าเย็นขนาดนี้ จะยังมีเด็กซ้อมเปียโนอยู่ สัญชาตญาณความเป็นครูทำให้ร่างโปร่งก้าวเข้าไปในห้องดนตรีอย่างไม่ลังเล ทำนองที่แสนเศร้าดังขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางที่สั้นลง ทำนองเพลงหวานล้ำแต่แสนเศร้านั้นฉุดให้ร่างโปร่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์


เหมือนเคยได้ยินมาก่อน
              แต่กลับเลือนรางเหลือเกินในความทรงจำ




“ครูคิดว่าเธอควรกลับบ้านได้แล้วนะ” เอ่ยออกไปทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องชมรม เสียงเพลงหยุดลงกะทันหันก่อนที่ร่างสูงผมทองที่นั่งหันหลังให้เขาจะค่อยๆหันกลับมา

“ผมยังกลับไม่ได้หรอกครับ ต้องอยู่ซ้อมเปียโน” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ

“เธอเรียนห้องไหนเหรอ เหมือนครูจะเคยเห็นหน้าเธอมาก่อนนะ” ร่างโปร่งถามอย่างแปลกใจเมื่อเขารู้สึก คุ้นเคย กับคนตรงหน้ามาก

“ม ปลาย ปี 2 ห้อง A ครับ” อีกคนตอบ พลางยกยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่รู้สึกคุ้นเคยกับมันเหลือเกิน

 เขาเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่ไหนกันนะ 


“แล้วชื่ออะไรน่ะเรา” ถามแก้เก้อเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเผลอมอง เจ้าเด็กตัวสูงนานเกินไป


“วิน ครับ อนาวิน ” เจ้าตัวตอบก่อนจะหันกลับไปสนในโน้ตเพลงในมือตัวเองต่อ

“เพลงที่เธอเล่น มันชื่อเพลงว่าอะไร ครูว่าทำนองมันเพราะดี”

“Kiss the Rain ครับ”

“Kiss the Rain” ร่างโปร่งทวนเมื่อชื่อนั้นช่างคุ้นหู แต่ทำไมถึงนึกไม่ออกสักทีนะ



Rrrrrrrrrrrr แต่ก่อนจะได้พูดอะไร โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขัดจังหวะขึ้นซะก่อน

“ว่าไง โมท” ร่างโปรงกรอกเสียงในเครื่องมือสื่อสาร

(กูรอมึงอยู่หน้าโรงเรียนแล้วนะไอ้จีน ออกมาสิวะ เดี๋ยวรถกูเปียก) คนปลายสายบอกเสียงเข้ม ก่อนที่ร่างโปร่งจะแหวกลับ

“ไอ้นี่ มึงมาช้าเองนะ เออแค่นี้นะ เดี๋ยวกูออกไป”



“ครูต้องไปแล้ว อย่ากลับดึกล่ะ ” บอกลาลูกศิษย์ตัวสูงก่อนจะเดินออกจากห้องชมรมดนตรีไป เสียงเพลง Kiss the Rain ดังขึ้นอีกครั้งทำให้ร่างโปร่งอดที่จะยิ้มไม่ได้ เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ถนัดฟังเพลงบรรเลงมากนัก  แต่กลับเพลงนี้   มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย



จีนยังคงเดินไปหยุดที่หน้าชมรมดนตรีเหมือนกับทุกวัน ทำนองหวานปนเศร้ายังคงดังแผ่วเบา

“เราคงจะชอบเพลงนี้มากสินะ”  เอ่ยถามกับร่างสูงที่ยังคงนั่งอยู่หน้าเปียโนหลังเดิม วินยกยิ้มก่อนจะตอบ

“ครับ ชอบมาก เพราะเพลงนี้ ผมแต่งให้กับ คนที่ผมรัก”



ในห้วงหนึ่ง เขา กลับรู้สึก อิจฉา  เจ้าเพลงนี้ขึ้นมา


บ้าน่า ไอ้จีน แกเป็น ครูของเจ้าเด็กพวกนี้นะ



ร่างโปร่งส่ายหน้ากับความคิดแปลกๆของตัวเอง ก่อนจะนั่งฟังลูกศิษย์เล่นเปียโนอย่างเดิมทุกวัน น่าแปลก ที่จู่ๆคนอย่างเขาเกิด ชอบเพลง นี้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แต่เขาก็ไม่เคยหาคำตอบให้กับตัวเองได้สักครั้งว่าทำไม..



“อาจารย์ ชอบฝนไหมครับ” จู่เด็กตัวสูงที่เอาแต่เล่นเปียโนกลับเอ่ยถามขึ้น

“ฝนเหรอ  ชอบสิ ตอนเด็กๆ ครูชอบเล่นน้ำฝน เพราะมันทำให้สดชื่นอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ แม่ครูยังชอบล้อครูอยู่บ่อยๆเลยว่า
ชาติที่แล้วครูคงเกิดเป็นกบเพราะร่าเริงทุกครั้งที่ฝนตก”  ร่างโปร่งตอบด้วยรอยยิ้ม นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่แปลกเมื่อคนที่ค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูงอย่างเขา คุยกับ คนที่เพิ่งพบหน้ากันไม่กี่ครั้ง ได้อย่างเป็นกันเองขนาดนี้

“ผมเองก็ชอบฝนเหมือนกันครับ ชอบ เพราะคนที่ผมรักเขาชอบมัน”

“ละ….”




Rrrrrrrrrrrrrrr เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ ร่างโปร่งส่ายหน้าอย่างขัดใจเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เจ้าเพื่อนสนิทตัวดี

“เออๆ เดี๋ยวไป”



“ครูต้องกลับแล้วนะ  เราก็อย่าอยู่ดึกให้มันมากนักล่ะ มันอันตราย”  บอกลาคนในห้องก่อนจะเดินออกไป ก่อนที่เจ้าเพื่อนตัวแสบจะโวยวายไปมากกว่านี้





“ไอ้โมท วันนี้กูไปนอนบ้านมึงนะ” เอ่ยบอกกับคนที่ขับรถอยู่

“ทำไมวะ”

“เปล่า กูขี้เกียจกลับบ้าน วันนี้ไม่มีใครอยู่ด้วย”

“เหงาล่ะสิมึง” เพื่อนสนิทเอ่ยล้อ

“มึงก็รู้ว่ากู อยู่คนเดียวได้ที่ไหน เฮ้อ เมื่อไหร่กูจะหายสักทีวะ” เอ่ยอย่างตัดพ้อก่อนจะเสมองออกนอกหน้าต่าง เมื่อไหร่ไอ้โรคบ้าๆนี่มันจะหายสักที เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเพราะหลังจากที่ไม่สบายตอนม. ปลาย ก็ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นคนที่กลัวการอยู่คนเดียว


โมทเหลือบมองเพื่อนสนิทพลางถอนใจอย่างยากเย็น เขากับจีนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมต้น ทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนสนิท “กลัวการอยู่คนเดียว” มากแค่ไหน แต่เขาเองก็จนปัญญาที่จะทำอะไรเพราะแม้แต่หมอยังรักษาไม่หาย แล้วพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆอย่างเขาจะรักษาหายได้ยังไง คงต้องรอ รอวันที่คนข้างๆจะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้สักที




“กูจะอาบน้ำอย่าซนนะมึง” โมทบอกกับคนอาศัยชั่วคราว

“กูไม่ใช่เด็กสามขวบ จะไปไหนก็ไป” เมื่อไม่ได้อยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพพจน์ อีกต่อไป  เจ้าของบ้านยิ้มขำก่อนจะปล่อยให้เพื่อนนั่งรอในห้อง


ร่างโปร่งกวาดสายตามองรอบห้องที่ถูกแปะโปสเตอร์นักฟุตบอลเต็มไปหมดอย่างเอือมระอาก่อนที่ตามจะสะดุดกับหนังสือเล่มหนาบนชั้น หนังสือที่เจ้าตัวคิดว่าไม่เคยเห็นสักครั้งทั้งๆที่มาห้องเพื่อนออกจะบ่อย จีนเดินไปหยิบหนังสือเจ้าปัญหานั้นมาดู ก่อนจะพบว่า มันคือหนังสือรุ่น สมัยมอต้นนั่นเอง หน้ากระดาษที่ค่อนข้างเก่าถูกเปิดทีละหน้าอย่างเบามือ ความทรงจำต่างๆไหลเข้ามาในหัวอย่างต่อเนื่องทั้งสุขทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ หนังสือเล่มนี้ทำให้เขา ยกยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่

“นี่มัน..” ร่างโปร่งเพ่งรูปที่อยู่ในหน้าสุดท้ายด้วยความสงสัย ภาพเด็กผู้ชายสามคนที่ยืนกอดคอกันนั้นคงไม่แปลกอะไรถ้าคนที่ยืนอยู่ซ้ายสุดไม่ใช่ วิน !!!  มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อวินคือลูกศิษย์ของเขาแต่ทำไม เขาถึงมีรูปถ่ายกับวิน ทำไมกัน..



“โอ้ย!!”  ร่างโปร่งร้องลั่นก่อนจะกุมหัวที่ปวดหนึบจนแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ ภาพความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อทำให้ ระบบประมวลผลในสมองทำงานหนัก เขาไม่รู้ ไม่เข้าใจว่า ภาพสีดำที่สลับกับใบหน้าของวิน นั้นหมายถึงอะไร ทำไมเขาถึงต้องเจ็บ ทำไมรู้สึกเศร้า ทำไม..






ฝนตก..

ร่างโปร่งยิ้ม เขาชอบฝน แม้ว่าใครหลายคนจะไม่ชอบมัน แม่เขามันจะบอกเสมอว่า เขาเป็นกบที่ออกเริงร่าเวลาฝนตก ฟังแล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ยังไงซะ จิระคนนี้ก็ชอบฝนที่สุด  งั้นขอเล่นหน่อยแล้วกันนะ

“จะทำอะไรเหรอ”  เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่มือหนาจะคว้าแขนของร่างโปร่งไว้แน่น เมื่อคนสูงกว่ามองออกว่า เขาต้องออกไปเล่นน้ำฝนแน่นอน

“วิน เองเหรอ ” ยิ้มอย่างออดอ้อนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้ทันเขาไปซะหมด

“เฮ้อ จะออกไปเล่นน้ำฝนอีกล่ะสิ บอกแล้วว่ามันจะไม่สบายทำไมไม่เชื่อกันบ้างห่ะ เจ้าเด็กดื้อ” คนสูงกว่าบอกพลางบีบจมูกอีกคนอย่างหมั่นเขี้ยว

“อย่ามาบีบสิ ไม่เล่นก็ได้” ร่างโปร่งหน้างอ แต่คนตัวสูงกลับเอาแต่ยกยิ้ม ชอบใจ

“หยุดยิ้มไปเลย”  ร่างโปร่งแหวลั่น แต่อีกคนทำเพียงส่ายหน้าน้อยๆ แล้วจูงมือบางให้เดินไปพร้อมกัน



ชมรมดนตรี

“จีน นั่งตรงนี้นะ ฉันมีอะไรจะให้ฟัง” ร่างสูงจัดแจงให้ ร่างโปร่งนั่งที่เก้าอี้ก่อนที่ตัวเองจะประจำที่แกรนหน้าเปียโนตัวใหญ่

“ฉันเพิ่งแต่งเพลงใหม่ นายช่วยฟังหน่อยได้ไหม”

“อืมได้ๆ”  จีนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ก่อนที่ทำนองหวานปนเศร้าจะดังขึ้น เขามองแผ่นหลังกว้างก่อนจะยกยิ้ม วินดูดีเสมอ
เมื่อกำลังเล่นเปียโน แต่จริงๆไม่ว่าร่างสูงจะทำอะไร สำหรับเขาแล้วมันก็ดูดีไปซะหมดนั่นแหล่ะ เพราะว่า คนๆนี้ เป็น แฟน ของเขานินา



“เพราะจัง เพลงนี้ชื่ออะไรเหรอ” จีนเอ่ยถามหลังจากที่เพลงจบลง

“Kiss the Rain”เสียงทุ้มตอบกลับมาก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะเดินเข้ามาหา

“เพลงนี้ฉันแต่งให้นายนะ เพราะนายคือฝนที่ทำให้หัวใจของฉันชุ่มช่ำ เป็นน้ำที่หล่อเลี้ยงให้หัวใจของฉันยังคงอยู่ต่อไปได้ ฉันรักนายนะจีน”

จีนไม่ตอบแต่เขารับรู้แค่เพียงริมฝีปากของร่างสูงค่อยกดจูบอย่างแผ่วเบามันไม่ได้ล่วงล้ำหรือเกินเลยไปมากกว่านั้น แต่มันกลับทำให้หัวใจขอบคนถูกจูบเต้นแรงจนแทบจะหายใจไม่ทัน



เฮือก!!!

ร่างโปร่งสะดุ้งจากเตียงพลางหอบหายใจถี่ โมทที่เฝ้าอยู่ไม่ไกลเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง เมื่อครู่ที่เขาออกมาจากห้องน้ำเห็นเพื่อนรักนอนสลบอยู่เขาตกใจแทบตายนึกว่าไอ้เพื่อนบ้านี่มันช็อคไปแล้วซะอีก

“โมทกูเห็นวิน!!”

“มึง พูดอะไรนะ” โมทเบิกตาโพลงเมื่อ ชื่อของบุคคลที่สามหลุดออกมา

“โมท วินอยู่ไหน กะ กู กูต้องไปหาเขา วินกำลังรอกูอยู่ ใช่ๆ กูต้องไปๆ” ร่างโปร่งบอกอย่างกระวนกระวาย ร้อนถึงโมทที่ต้องกอดเพื่อนไว้แน่น

“จีนมึง ฟังกูนะ ฟังกู วินไม่ได้อยู่ที่นี่ มึงไปหามันไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้  มึงปล่อยกูสิ  วินกำลังรอกูอยู่นะ เขารอกูอยู่” ร่างโปร่งบอกเสียงสั่น

“จีน มึงฟังกูนะ วินตายไปแล้ว ไม่มีใครรอมึงทั้งนั้น!!”

“ไม่จริง มึงโกหก วินยังไม่ตาย เขาจะตายได้ยังไง ไหนเมื่อ วันนี้เขายังมาเล่นเปียโนให้กูฟังอยู่เลย !!” ร่างโปร่งแหวลั่น พลางสะบัดตัวจากการเกาะกุมของเพื่อนสนิท

“ไอ้มาร์ค มาช่วยจับพี่จีนหน่อยเร็ว กูจะเอาไม่อยู่แล้วนะ” โมทตะโกนเรียกน้องชายให้มาจับเพื่อนรักไว้อีกแรงก่อน

“จีน มึงใจเย็นแล้วฟังกูนะ วินตายไปแล้ว มันไม่มีวินอีกแล้ว มึงต้องยอมรับความจริง เข้าใจไหม” โมทบอกอย่างใจเย็น พลางลูบหลังคนที่อาละวาดให้สงบลง ก่อนที่มาร์คจะเอายา ระงับประสาท มาให้อย่างรู้งาน

“กินยาแล้วนอนนะ เชื่อกูแล้วทุกอย่างจะดีเอง” บอกคนที่นั่งเหม่ออย่างแผ่วเบา จีนรับยามากินอย่างว่าง่ายก่อนจะหลับไปในที่สุด



โมทมองเพื่อนสนิทอย่างเหนื่อยใจ เขาสงสาร สงสารเพื่อน มากเหลือเกินที่ต้องทนแบกรับความเจ็บปวดไว้มากมาย ขนาดนี้ ….
จีนเริ่มมีอาการ ซึมเศร้า ตั้งแต่วันที่ วินประสบอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน  ดูเหมือนว่าเพื่อนของเขาจะพูดน้อยลง จนถึงขั้นฆ่าตัวตายแต่โชคดีที่เขาช่วยไว้ได้ทัน แต่หลังจากที่ฟื้น ก็ทำราวกับว่าไม่เคยรู้จักวินมาก่อน หมอสันนิษฐานว่ามันอาจจะเป็นกลไกของสมองที่สั่งให้ลืมเพื่อลบความเจ็บปวด  แต่สมองกับหัวใจ มักทำงานสวนทางกันเสมอ สมองลืมได้แต่หัวใจกลับไม่ลืม



ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่เขาต้องทนนั่งมองเพื่อนรักพูดคนเดียวในห้อง ชมรมดนตรี …
                                   

เขาเพียงแค่หวัง หวังว่าสักวัน จีน จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้สักที ….




....................................END.....................................

 :katai5:  ได้ดราม่า สบายใจ อิอิ  :mew1:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 4 Kiss the Rain (จบในตอน) : 9/7/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-07-2014 07:33:49
จุกอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 4 Kiss the Rain (จบในตอน) : 9/7/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 09-07-2014 08:31:12
 :mew4:ซดมาม่าพุงอืดอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 4 Kiss the Rain (จบในตอน) : 9/7/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 09-07-2014 13:09:34
ฮือออ คนเขียนแกล้งอ่ะ มาดราม่าใส่แล้วก็จากไป  :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 4 Kiss the Rain (จบในตอน) : 9/7/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 09-07-2014 23:24:35
แล้ววินนี่เป็นวิญญาณป่าวเนี่ย  :mew5:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 5 Dandelion's Promise (จบในตอน) : 10/7/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 10-07-2014 01:42:45

(https://m.ak.fbcdn.net/scontent-b.xx/hphotos-xap1/t1.0-9/p417x417/10500569_10201749342329242_6906115850359237076_n.jpg)


Dandelion's Promise


สายลมเอื่อยๆพัดเอากลีบดอก แดนดิไลออน ที่อยู่ในมือหนาปลิวไปตามลม  กลีบดอกไม้ในมือค่อยๆหลุดลอยไปกลีบแล้วกลีบเล่าคล้ายกับธรรมชาติต้องการจะบอกว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน  บางครั้งเราอาจจะต้องปล่อยให้สิ่งมีค่าที่สุดไป แม้ว่าเราจะไม่เต็มใจก็ตาม

“อ้าว จุนไค มาอีกแล้วเหรอ ลุงนึกว่าวันนี้จะไม่มาซะแล้ว” เสียงหนึ่งเอ่ยทักก่อนที่ชายชราจะยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง

“พอดีวันนี้ งานผมยุ่งนิดหน่อยครับเลยมาช้า ลุงจาง จะรดน้ำต้นไม้เหรอครับให้ผมช่วยไหม”  หวังจุนไค เอ่ยถามกับลุงจางภารโรงของโรงเรียนที่เขาคุ้ยเคยดี

“เป็นคนหนุ่มที่นิสัยจริงๆเลยนะ ไม่ต้องๆลุงรดจะเสร็จแล้วล่ะ เห็นอย่างนี้ลุงยังแข็งแรงนา ฮ่าๆๆ” ชายชราบอกอย่างอารมณ์ดีก่อนจะลงมือรดน้ำต้นไม้อย่างแข่งขัน  จุนไค ยกยิ้มให้ภารโรงดีเด่นของโรงเรียน ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกด้าน สนามหลังโรงเรียนยังเป็นสถานที่ที่เขามักจะมาเสมอ เพราะที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำของเขากับใครอีกคน…

10 ปีก่อน

กริ๊งๆๆๆ

เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้ร่างสูงรีบวิ่งลงมาจากห้องอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยนัก เพราะเมื่อคืนเผลอเล่นเกมส์จนดึกทำให้วันนี้ตื่นสายกว่าปกติ แม้จะอยากทิ้งตัวซุกที่นอนนุ่มๆแค่ไหนเขาก็จนปัญญาจะทำเพราะถ้าไม่ออกจากบ้านภายในสามวินาทีต่อจากนี้ หายนะตามมาแน่

“ไอ้พี่จุนไค!! เมื่อไหร่จะมาห่ะ มันสายแล้วนะเว้ย!!” เสียงของบุคคลอันตรายและร้ายกาจที่สุดเท่าที่หวังจุนไคเคยเจอมาดังขึ้นที่หน้าบ้าน ร่างสูงสวมรองเท้าอย่างลวกๆ ก่อนจะคว้าจักรยานคันเก่งออกมาจากบ้านทันที

“กว่าจะมาได้ รู้ไหมว่ามันกี่โมงแล้วน่ะ….เอ๊ะ” ร่างบางที่กำลังบ่นชะงัก เพราะถูกคนมาสายกดจมูกเข้าที่แก้มใสอย่างไม่ทันตั้งตัว

“อรุณสวัสดิ์ครับแฟน” เสียงทุ้มของคนที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัวบอกก่อนจะยกยิ้มล้อเลียนอีกคนที่กำลังทำอะไรไม่ถูกเพราะความเขิน ปากบางที่เหมือนจะด่าแต่ด่าไม่ออกนั้นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูน่ารักขึ้นเป็นกอง แต่ว่านะสำหรับ หวังจุนไคแล้ว      หวังหยวน จะทำอะไรก็น่ารักไปหมดนั่นแหล่ะ นี่เขาไม่ใช่คนหลงแฟนอะไรเลยนะ สาบานได้

“ไอ้พี่จุนไค ใครเป็นแฟน มั่วมาก”

“อ้าวเหรอ ดีจัง ถ้าคนแถวนี้เขาไม่ยอมเป็นแฟนพี่ งั้นแปลว่าพี่มีสิทธิ์ไปจีบใครก็ได้อ่ะดิ”  จุนไคบอกพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์

“ถ้าอยากตาย ก็ลองสิ!!” คนอายุน้อยกว่าแหวลั่น พลางชี้หน้าคาดโทษ

“อ้าว ก็หยวนบอกเองว่าไม่ใช่แฟนพี่ ก็แปลว่าพี่โสดสิ”

“พี่จุนไค!!”

“โอ๋ๆ พี่ล้อเล่นหรอกน่า แฟนน่ารักขนาดนี้จะไปจีบคนอื่นทำไม หายงอนแล้วขึ้นมาเร็วมันจะสายแล้วนะ” คนเป็นพี่บอกพลางตบที่เบาะหลังของรถจักรยานคันโปรด

“อย่าให้รู้นะ” ร่างงบางยังคาดโทษไม่เลิก

“ไม่ไปหาที่อื่นหรอกครับ รักอยู่คนเดียวเนี่ย กอดเอวด้วยนะ จะซิ่งแล้ว”

จุนไคอมยิ้ม เมื่อแขนเล็กโอบรอบเอวเขาไว้แน่น ความสัมพันธ์ของเขาเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่แทบจะจำไม่ได้ เพราะทันทีที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ เขาก็มีหยวนอยู่ข้างๆตลอด อยู่ด้วยกันทุกวันตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ทุกช่วงชีวิตของเขาไม่จะสุข ทุกข์ ดีใจ หรือเสียใจ จะมีร่างบางอยู่ข้างๆเสมอ จากความเคยชิน กลายเป็นความผูกพัน และ เปลี่ยนเป็น  ความรัก จุนไค รู้ดีมันอาจจะเร็วไปที่เขากับร่างบางจะใช้คำว่า แฟน เพราะคนรอบข้างมองว่าพวกเขายังเด็ก ร่างสูงไม่ปฏิเสธว่ามันคือเรื่องจริง แต่ในชีวิตของเขาตลอด 14 ปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจมาตลอดคือ หัวใจของเขามันบอกเสมอว่ารัก คนนี้ๆมากแค่ไหน มันไม่ใช่แค่ความใกล้ชิด ไม่ใช่แค่ความผูกพัน เขารู้หัวใจตัวเองดี ว่ามันคืออะไร..

“พี่จุนไค ดอกแดนดิไลออน สวยจังเลย” ร่างบางชี้ให้ดูกลีบดอกไม้สีขาวที่ปลิวมาตามลม เจ้าดอกไม้พวกนี้ออกดอกตลอดปี ทำให้ที่โรงเรียนมีดอกแดนดิไลออนขึ้นเต็มไปหมดโดยเฉพาะที่สนามของโรงเรียน เจ้าดอกไม้ที่บานและร่วงโรยแค่ข้ามคืนแต่มีความหมายถึง มิตรภาพอันเป็นนิรันดร์  สำหรับเขามันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรนักแต่ดูเหมือนว่า เจ้าดอกไม้เล็กๆพวกนี้จะเป็นดอกไม้ที่เจ้าตัวเล็กข้างหลังนี่ชอบเป็นพิเศษ


“ถึงแล้ว ลงได้แล้ว” ร่างสูงบอกก่อนจะจอดจักรยานเข้าที่

“อ่ะ หยวนรู้หรอกว่าพี่ไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม” เจ้าตัวเล็กบอกก่อนจะยื่นกล่องแซนวิชที่ทำเองกับมือให้ร่างสูง

“ทำเองเหรอ”

“แหงสิ ของกล้วยๆ” ร่างบางบอก

“เฮ้อ ต่อไปถ้าแต่งงานกันพี่ต้องอ้วนแน่ๆเลย เพราะภรรยาตัวน้อยทำกับข้าวเก่ง” เสียงทุ้มเอ่ยล้อ ก่อนจะได้หมัดของร่างบางที่
ทุบเข้าที่อกไม่ยั้ง

“พูดบ้าอะไรน่ะ ไปเรียนได้แล้ว ตอนเที่ยงเจอกันที่สนามเหมือนเดิมนะ”

“อูย เขินรุนแรงนะเรา ไม่เจอกันต้งหลายชั่วโมง อย่าลืมคิดถึงพี่นะ” ร่างสูงว่าก่อนจะวิ่งไปอีกทาง

“ไอ้พี่จุนไค บ้า พูดอะไรไม่รู้เรื่อง” ปากเล็กบ่นอีกคนไปตลอดทางแต่ก็แค่เพื่อกลบเกลื่อนความเขนเท่านั้นแหล่ะ
พักเที่ยง

ขายาวพาเจ้าของเดินมาที่สนามก้อนจะทรุดนั่งลงข้างๆร่างบางที่รออยู่ก่อนแล้ว มือหนาวางทาบลงบนกลุ่มผมนุ่มก่อนจะโน้มลงไปถามคนตรงหน้า

“รอนานไหม ขอโทษนะพอดีว่าอาจารย์ปล่อยช้า หิวไหม”

“ไม่หรอกน่า เห็นแบบนี้หยวนก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะ อ่ะอันนี้ของพี่จุนไค” ร่างบางบอกก่อนจะหยับข้าวกล่องจากในกระเป๋า
ให้อีกคนถือไว้

“น่ากินจัง” เสียงทุ้มบอกพลางมองร่างบางไม่วางตา

“น่ากินก็กินสิ มองหยวนแล้วอิ่มหรือไง”

“ที่บอกว่า น่ากินน่ะ คนำต่างหาก ไม่ใช่ข้าว หึๆๆ” คนเจ้าเล่ห์บอกพลางกดจมูกลงลนแก้มใสอย่างรวดเร็ว

“ไอ้พี่จุนไค นี่มันที่โรงเรียนะ”

“แปลว่าถ้าที่บ้าน ทำได้มากกว่านี้นะสิ”

“โว้ย ที่ไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหล่ะ กินไปเลย ไม่ต้องมองแล้ว” ร่างบางแหวลั่น ก่อนจะหันหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนความเขิน

ไอ้พี่จุนไค นี่ยังไง ชอบมาทำให้หัวใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย



“นี่ชอบมันมากเลยเหรอไอ้ดอกเหลืองๆพวกนี้อ่ะ” จุนไคเอ่ยถามกับคนรักที่วันนี้ก็ลากเขามาดูไอ้เจ้าดอกเหลืองๆที่โรงเรียนแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันเสาร์ก็ตาม

“ชอบสิ มันสวยจะตายยิ่งเวลาที่มันลอยไปตามลมนะยิ่งสวย เจ้าดอกไม้แห่งการเดินทาง”

“เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะเราน่ะ เจ้าเด็กบ๊อง” ว่าพลางขยี้ผมนุ่มจนอีกคนได้แต่หน้ามุ่ย

“อย่าขยี้สิ เดี๋ยวหยวนไม่หล่อ”

“เหอะ หน้าอย่างนี้นะหล่อ”

“ทำไมล่ะ” ร่างบางหันมาถามอย่างเอาเรื่อง มีที่ไหนมาพูดว่าเขาไม่หล่อ

“อย่างเราน่ะ เขาเรียกว่า น่ารัก ต่างหาก ไม่ใช่หล่อรู้ไหมครับแฟน”  ร่างสูงบอกก่อนจะรั้งอีกคนเข้ามาในอ้อมกอด

“หยวน สัญญาได้ไหม..ว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เหมือนความหมายของเจ้าพวกนี้” ว่าพลางเด็ดดอกไม้สีเหลืองส่งให้คนรัก
พลางกดจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่ม

“อื้อ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”


ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนมีเวลาของมัน แม้กระทั่ง ความสุข..

“แม่ ทำไมบ้านนั้นถึงวุ่นวายจัง” จุนไคเอ่ยถามผู้เป็นแม่ เพราะดูเหมือนบ้านฝั่งตรงข้ามจะดูวุ่นวายเป็นพิเศษ

“นี่น้องยังไม่ได้บอกลูกเหรอ จุนไค”

“บอก บอกอะไรเหรอครับ” ร่างสูงเลิกคิ้วถาม จะว่าไปเมื่อวาน ตัวเล็กของเขาก็ดูจะซึมๆไปเหมือนกัน แถมยังทำท่าเหมือนจะพูดอะไรตลอดเวลาด้วย

“วันนี้ นอกจะย้ายไปอยู่ที่อื่น” สิ้นคำของผู้เป็นแม่ ร่างสูงรีบวิ่งออกจากบ้านไปทันที ทั้งที่สัญญากันไว้แล้ว ทั้งที่มีความสุขกันมากขนาดนั้น ทำไมถึงยังต้องไป

“หยวน หยวน หยวนอยู่ไหน ออกมาหาพี่สิ หยวน!!” ร่างสูงตะโกนก้อง แม้ว่าจะมีพนักงานขนของและแม่บ้านมองเขาอย่างใคร่รู้ แต่เด็กหนุ่มกลับเลือกที่จะไม่สนใจเพราะเขาต้องตามหาอีกคนให้เจอ

“คุณหนูจุนไค” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่แม่บ้านของรักจะเดินเข้ามาหา

“ป้าหวัง หยวนล่ะครับ หยวนอยู่ไหน”

“คุณหนูหยวนไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกค่ะ รถของคุณผู้ชายเพิ่งออกไปได้เกือบชั่วโมงแล้ว คุณหนูรู้ว่าคุณจะมาก็เลยฝากจดหมายนี้ไว้กับป้า” มือที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลายื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน

เด็กหนุ่มกำจดหมายในมือแน่น ไม่เข้าใจ ต่อให้พยายามคิดแค่ไหนก็ไม่เข้าใจ ทำไมอีกคนถึงไม่บอกเขาสักคำทำไมถึงทิ้งกันไปแบบนั้น ทำไม….

มือสั่นเทาค่อยๆเปิดจดหมายออกอ่านทันทีที่ถึงห้อง ดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กๆหล่นลงจากจดหมายเด็กหนุ่มได้แต่หยิบมันขึ้นมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น ก่อนจะเริ่มอ่าน




พี่จุนไค

ขอโทษ …ขอโทษ ที่จากไปโดยที่ไม่ได้ลา แต่หยวนทำใจไม่ได้จริงๆที่ต้องพูดคำนั้น

หยวนรักพี่นะ ขอโทษอีกครั้งที่ทำตามสัญญาไม่ได้  ขอโทษ



จดหมายจบลงแค่นั้นพร้อมๆกับน้ำตาของร่างสูงที่ไหลเป็นทาง ไม่เข้าใจ จนถึงตอนนี้ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างมันเร็วมาก เร็วเกินไปจนเขาตั้งตัวไม่ทัน 

มันเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคนกันแน่

…………………………………………………………………………


“อ้าว ลุงนึกว่ากลับแล้วซะอีก” ชายชราเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าร่างสูงยังอยู่ในสนามแม้ว่าตอนี้ดูเหมือนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว

“ผมนั่งเล่นเพลินไปหน่อยนะครับ ไม่คิดว่าจะค่ำซะแล้วนะเนี่ย”

“เฮ้อ เป็นคนหนุ่มนี่มันดีจริงๆเลย มีเวลาชื่นชมธรรมชาติ กลางวันคน ตอนเย็นคน ดีจริงจิ๊ง”

“มีคนมาที่นี่นอกจากผมด้วยเหรอครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามเพราะจริงๆแล้วที่ที่เขายืนอยู่เป็นสนามเก่าซ้ำยังอยู่หลังโรงเรียนไม่เหมือนสนามใหม่ที่อยู่หน้าโรงเรียนทำให้ นักเรียนรุ่นหลังๆไม่ค่อยมาที่นี่กันแล้ว เรียกว่าคงใกล้ร้างเต็มที

“ใช่สิ ดูท่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเรานา เห็นมายืนมองเจ้าดอกไม้พวกนี้ตั้งนานสองนาน แน่ะ” ทันทีที่ชายชราเล่าจบหัวใจของชายหนุ่มก็ต้นแรงอย่างประหลาด แม้กลัวจะผิดหวังแต่ก็อดที่จะคาดหวังไม่ได้ จะใช่หรือเปล่า จะใช่คนที่เขารอมาตลอด 10 ปี หรือเปล่านะ



“ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ ของสำคัญขนาดนั้นทำหายได้ยังไงกัน” เสียงหวานบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่ร่างบางจะเดินฝ่าความหนาวเข้ามาในโรงเรียน แม้ว่าอากาศจะเริ่มหนาวแล้วแต่เขาก็ไม่สามารถทนรอให้ถึงพรุ่งนี้ได้ เมื่อของที่ทำหล่นหายไปมันสำคัญมาก เพราะมันเป็นของที่ใครคนนั้นเคยให้ไว้

“อ่ะ พี่ให้” ร่างสูงยืนกล่องขนาดเล็กให้คนรักพลางยกยิ้มอ่อยโยน

“อะไรเหรอ”

“เปิดดูสิ”

“ไอ้พี่จุนไค คงไม่ได้ซื้ออะไรแปลกๆมาให้หรอกนะ” ร่างบางว่าแม้จะระแวงอยู่บ้างแต่ก็รับกล่องมาเปิดอยู่ดี

“เอ๊ะนี่มัน” แหวนเงินวงเล็กที่สลักอักษรภาษาอังกฤษว่า K&Y ถูกหยิบออกมาจากกล่องก่อนที่คนให้จะยกยิ้มกว้าง

“พี่ให้ จองไว้ก่อนเอาไว้ เรียนจบทำงานเมื่อไหร่ สัญญาเลยว่าจะซื้อแหวนเพชรให้”

“ไม่เห็นต้องลำบากเลย ดูก็รู้ว่าว่ามันแพง”

“ไม่มีอะไรแพงเกินไปสำหรับคนที่พี่รักหรอก มานี่พี่ใส่ให้ เก็บไว้ดีๆล่ะอย่าทำหายรู้ไหมเรายิ่งซุ่มซ่ามอยู่ด้วย” ร่างสูงว่าพลาง
สวมแหวนที่นิ้วนางข้างขวาของอีกฝ่าย

“ไม่หายหรอกน่า ขอบคุณนะ พี่จุนไค”

“หยวนรักพี่นะ”

“พี่ก็รักหยวนเหมือนกันครับ”




“อยู่ไหนนะ ทำไมหาไม่เจอล่ะ” ร่างบางบ่นทั้งๆที่พยายามตามหาทั่วสนามแล้วแล้วแต่ก็ไม่เจอสักที แม้ว่าแหวนเงินวงนั้นจะไม่ได้มาคาแพงมากมาย แต่กับเด็กอายุ 13 ในตอนนั้นถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่เพราะแหวนวงนั้น คือ ของที่พี่จุนไคให้เขาต่างหาก


“หานี่อยู่หรือเปล่า”  แหวนเงินวงเล็กถูกยืนมาตรงหน้า

“ขอบคุณนะครับ…….พี่จุนไค” ร่างบางเบิกตาโพลงเมื่อเงยหน้ามองคนที่เอาแหวนมาคืนให้เขา ร่างสูงนั้นดูสูงขึ้นกว่าเมื่อตอนเด็กๆมาก รวมทั้งโครงหน้าหล่อเหลานั้นก็ดูคมเข้าสมเป็นผู้ใหญ่ จากเด็กผู้ชายอายุ 14 ตอนนี้คนตรงหน้าเป็นหนุ่มอายุ 24 เต็มตัวแล้วสินะ

“ไม่เจอกันตั้ง 10 ปี ยังซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะ กล้าดียังไงทำแหวนที่พี่ให้หายห่ะ เจ้าเด็กบ๊อง” ร่างสูงว่าก่อนที่มือหนาจะขยี้ผมนุ่มอย่างเคยทำ

“พี่จุนไค พี่จุนไคจริงด้วย หยวนไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” เสียงหวานสั่นเครือพลางโผเข้ากอดร่างสูงเต็มรัก คิดถึง คิดถึง อ้อมกอดนี้เหลือเกิน

“อ้าว เจอหน้าดันไหงร้องไห้ล่ะ เจอหน้าพี่ต้อง ยิ้มสิ ไหน ยิ้มสิ” มือหนาเกลี่ยน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา แต่ยิ่งทำดูเหมือนว่าคนในอ้อมกอดจยิ่งร้องหนักขึ้น

“หยวนขอโทษ ขอโทษที่ไปโดยที่ไม่บอกอะไรเลย หยวนมันเห็นแก่ตัว ขอโทษนะ ขอโทษ ”

“ไม่เอา ไม่ร้องครับตาบวมหมดแล้วเนี่ย เดี๋ยวเกิดไม่น่ารักขึ้นมาพี่หนีไปมีกิ๊กไม่รู้ด้วยนะ”

“ก็ลองดูสิ!!” ร่างบางแหวลั่น ร่างสูงหัวเราะเบาๆก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ส่งผ่านความคิดถึงผ่านสัมผัสนี้ให้อีกคนได้รู้ว่ารัก มากแค่ไหน

……………………………………………………………………..

“คราวนี้บอกพี่ได้หรือยัง ว่าเราหายไปไหนมา” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางสวมกอดร่างเปลือยเปล่านั้นแนบอก จมูกโด่งสวยก้มลงสูดกลิ่นหอมจากหัวไหล่เนียนจนอีกคนยู่หน้า

“พี่จุนไค อย่าทะลึ่งได้ไหมเนี่ย นั่งฟังดีๆได้ไหม” ร่างบางแหวลั่นเมื่ออีกคนยังไม่หยุดวุ่นวายกับร่างกายเขา

“ไม่ได้ครับไม่ได้เจอตั้ง 10 ปี พี่ต้องเอาคืนทบต้นเลยนะ พูดมาเลยเร็วๆ หายเหนื่อยแล้วจะได้ไปต่อ หึหึ”

“ไอ้พี่ลามก!!! บอกก็ได้”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่พ่อเขาต้องย้ายไปทำงานต่างประเทศหยวนรู้ก่อนพี่แค่สองวัน แต่ไม่กล้าบอก กลัวว่าพี่จะโกรธ กลัวไปหมด
ทุกอย่าง”

“เลยไปโดยไม่ลา ไม่คิดว่าพี่จะโกรธกว่าหรือไง”

“เพราะแบบนี้ไงเล่าถึงไม่กล้าติดต่อมา หยวนทนไม่ได้หรอกนะที่จะให้พี่เปลี่ยนไป ทนไม่ได้ที่จะเห็นพี่เย็นชาใส่ ทนไม่ได้จริงๆ” บอกเสียงสั่นก่อนจะซุกหน้าลงบนอกแกร่ง

“ฮ่าๆๆ เด็กบ๊อง คิดอะไรแบบนั้น  พี่ไม่มีวันโกรธหรอก รู้ไหม ต่อให้หยวนจะทำผิดร้ายแรงกว่านี้พี่ก็ไม่โกธ เพราะพี่รักหยวน”

“หยวนก็รักพี่”  ริมฝีปากบางถูกอีกคนครอบครองอย่างถือสิทธิ์ จุนไคไล่ลิ้นไปตามแนวกรามก่อนจะตวัดเกี่ยวลิ้นเล็กอย่างหยอกล้อ รสจูบหวานล้ำที่แฝงด้วยความร้อนแรงนั้นดำเนินไปช้าๆอย่างที่มันควรจะเป็น ให้สัมผัสทางร่างกายช่วยตอกย้ำคำว่ารัก เพื่อถ่ายทอดให้อีกฝ่ายรู้ว่ารักมากเพียงใด…

...............................END...................................

เรื่องนี้เป็นแฟนฟิค ของวง TFBoys นะคะ

เอามาลงแกท้องอืด ฮ่าๆๆๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 5 Dandelion's Promise (จบในตอน) : 10/7/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 11-07-2014 00:29:53
นึกว่าจะดราม่าซะแล้ว
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 5 Dandelion's Promise (จบในตอน) : 10/7/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 11-07-2014 21:53:35
ปลื้มปริ่มเรื่องนี้จบแฮปปี้  :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 5 Dandelion's Promise (จบในตอน) : 10/7/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 11-07-2014 22:44:59
 :hao3: ดีล่ะ ไม่ชอบดราม่า
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 5 Dandelion's Promise (จบในตอน) : 10/7/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 11-07-2014 23:04:45
 :กอด1: จบแล้วมีความสุข
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 5 Dandelion's Promise (จบในตอน) : 10/7/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 13-07-2014 14:36:49
เราอ่านตอนฝนตกพอดีเลย เศร้าซะ!
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 6 เพียงใจมั่นรัก (จบในตอน) : 3/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 03-08-2014 23:02:07
มินิซีรี่ย์ : ลำนำ ร้อยรัก   

เป็นแนว "จีนโบราณ" ยังไม่เฉลยว่ามีกี่เรื่อง

 แต่ทุกเรื่อง เกี่ยวข้องกัน แน่นอน...
[/size]


เพียงใจมั่นรัก (จิ้นฝู & ฟางซิน)

(https://m.ak.fbcdn.net/scontent-b.xx/hphotos-xap1/t1.0-9/10590654_10201915750929353_332552012357381252_n.jpg)



ยามค่ำของเมือง “อู๋ซวง” ร้านค้าบ้านเรือนต่างปิดเงียบ ทันทีที่สิ้นแสงของดวงตะวัน บนถนนที่เคยคึกคักกลับว่างเปล่า แม้แต่แสงตะเกียงในบ้านก็แทบไม่มีให้เห็น เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบราวกับเมืองร้าง มันเป็นเช่นนี้มาได้ราวๆ 3 ปีแล้ว เมื่อจู่ๆ ผู้คนในเมืองก็ หายไปทีละคนสองคนและไม่กี่วันหลังจากนั้นมักจะพบร่างที่ไร้ลมหายใจของพวกเขาอยู่นอกประตูเมือง ไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุที่แท้จริง ไม่มีใครรู้ว่าเขาเหล่านั้นพบเจอกับชะตากรรมเช่นไร …..
แต่การที่ชาวเมืองจะตายลงมากมายขนาดนี้ คงมีเพียงแค่ ปีศาจ เท่านั้นที่ทำได้

ไกลออกไปจากเขตเมือง ร่างของอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองมาอย่างมายมาด มันแยกเขี้ยวคำรามก่อนจะกระโจนเข้าไปในเมืองที่เกือบร้างผู้คนนั้นทันที ขนสีเงินสะท้อนแสงจันทร์ดูงดงามชวนหลงใหล แต่ถึงจะงดงาม กลับเต็มไปด้วยอันตราย เมื่อร่างนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ จิ้งจอก ธรรมดา



“จิ้นฝู เจ้าจะออกไปไหน นี่มันกำลังจะค่ำนะ” เสียงของหญิงชราตะโกนถามชายหนุ่มที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เมื่อเห็นว่าอีกคนดูเหมือนกำลังจะออกจากหมู่บ้าน ทั้งๆที่ตอนนี้เป็นเวลาที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

“ข้าต้องไปตรวจ คนไข้ที่บ้านตระกูลโจว ครับป้าหนิว ” จิ้นฝูตอบ

“แต่นี่มัน ค่ำแล้วนะ เจ้าก็รู้ว่าในเมืองระยะนี้มีปีศาจออกอาละวาด” ป้าหนิวเอ่ยเตือน  แม้ว่าคนตรงหน้าจะไม่ใช่ลูกหลานโดยตรงแต่ด้วยความที่เห็นชายหนุ่มมาตั้งแต่เด็กทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ เผิงจิ้นฝู เป็น ลูกชายคนเดียวของบ้านเผิง ตระกูลหมอที่มีชื่อเสียงตระกูลหนึ่งแต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดถูกคนใส่ร้ายจนต้องหนีมาอยู่ที่นี่  เมื่อหลายปีก่อนพ่อกับแม่ของชายหนุ่มก็จากไปกันหมดทั้งบ้านจึงเหลือแค่จิ้นฝู เพียงคนเดียว แต่ชายหนุ่มก็ยังสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ เป็นหมอรักษาคนโดยที่ไม่เรียกร้องค่ารักษาใดใดเลย

“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไปนะมันจะมืดค่ำเสียก่อน” ชายหนุ่มบอกก่อนจะเดินออกจากหมู่บ้านไป ต่อให้ระยะนี้มีปีศาจอาละวาดคนเป็นหมอก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ หากที่ใดมีคนป่วยเขาย่อมต้องไปรักษา นั่นจึงจะนับว่าเป็นหมอที่แท้จริง

“ขอบคุณท่านหมอเผิง ที่แวะมา เดินทางปลอดภัยนะขอรับ” พ่อบ้านตระกูลโจวเอ่ยกับหมอหนุ่ม หลังจากที่จิ้นฝูมาตรวจอาการฮูหยินของบ้านแล้วก่อนจะรีบปิดประตูทันทีที่ทำหน้าที่เรียบร้อยแม้ว่าจะเป็นการเสียมารยาทแต่ความรักตัวกลัวตายก็ย่อมมีมากกว่า เขายังไม่อยากเป็นเหยื่อให้ปีศาจในคืนนี้

จิ้นฝู ได้แต่ส่ายหน้ากับความรักตัวกลัวตายของพ่อบ้านตระกูลโจว ก่อนจะกระชับห่อผ้าของตัวเองแล้วออกเดินเพื่อกลับหมูบ้าน



แต่ทันใดนั้น!!

เงาดำสายหนึ่งก็กระโดดเข้ามาขวางชายหนุ่มไว้อย่างรวดเร็ว  จิ้นฝูเบิกตาโพลงเมื่อแสงจันทร์นั้นตกกระทบกับ ร่างนั้น  มันคำรามลั่นเผยให้เห็นเขียวคม ตาแดงดังสีชาดจ้องมาที่ชายหนุ่มอย่างหมายมาด เห็นทีมันคงเห็นเขาเป็นอาหารมื้อค่ำของวันนี้แน่

“เอ๊ะ เจ้าบาดเจ็บหรือ” หมอหนุ่มร้องถาม แม้ว่าจะไม่แน่ใจนักว่า จิ้งจอกตัวใหญ่ตรงหน้านั้นจะเข้าใจที่เขาพูดหรือไม่ แต่เลือดสีแดงเข้มที่ไหลออกจากขาของมันต่างหากที่เขาสนใจ


กร๊าซซซซซซซ

มันคำรามลั่น แววตานั่นยังคงจ้องมาที่ชายหนุ่มอย่างไม่ลดละ คล้ายกับว่ามันกำลังโกรธ

“เจ้าบาดเจ็บนะ ให้ข้ารักษาให้ไหม ถึงข้าจะไม่แน่ใจว่าจะสามารถรักษาเจ้าได้แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรให้ข้าห้ามเลือดให้นะ” ชายหนุ่มเอ่ยบอก แต่ไหนแต่ไรมา พ่อของเขามักสอนเสมอว่า คนเราต้องมีความเมตตา การที่เห็นผู้อื่นกำลังลำบากเช่นนี้เขาคงไม่อาจนิ่งดูดายได้ แม้ว่า เจ้าสิ่งนั้นจะไม่ใช่คนก็ตามที



“เฮ้ย!! ตามจับมันมาให้ได้ อย่าให้มันหนีไปได้เด็ดขาด!” เสียงตะโกนดังขึ้นไม่ไกลนัก มันหันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร มันอ่อนล้าเกินกว่าจะต่อกรกับมนุษย์เหล่านั้นได้ แต่ก็ไม่อาจไว้ใจมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าได้เช่นกัน

“ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก ตามข้ามา เร็วๆ” หมอหนุ่มบอกอย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินนำหมาป่าเข้าไปในตรอกแคบๆ  มันชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินตามไป  ให้เลือกระหว่างสู้กับคนกลุ่มใหญ่กับเจ้าหนุ่มที่ท่าทางซื่อๆคนนี้ มันต้องเลือกอย่างหลังเป็นแน่
ชายหนุ่มเดินลัดเลาะ ตอกเล็กๆนั้นออกมาก่อนจะเดินออกจาตัวเมืองอย่างคล่องแคล่ว ทางนี้เป็นทางลัดที่น้อยคนนักจะรู้

“บ้านขาอยู่ตรงเชิงเขาตรงนั้น ข้าจะพาเจ้าไปรักษา ไม่ต้องห่วงนะบ้านข้าอยู่ไกลจากหมู่บ้านมากไม่มีใครรู้หรอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มว่าพลางชี้ไปที่เชิงเขาที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านพอสมควร



หลังจากมาถึงบ้าน จิ้นฝู ก็จัดแจงห้ามเลือดให้จิ้งจอกทันทีแม้ว่า จะไม่ได้รับความร่วมมือจากอีกฝ่ายเท่าใดนัก

“เจ้าต้องนอนพักนะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่หาย ข้ารับรองว่าไม่มีใครทำอันตรายเจ้าได้หรอก”  บอกกับจิ้งจอกบาดเจ็บพลางปูผ้าให้ คนไข้ที่ไม่ใช่คนรองนอน ก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง



---เช้า-----

จิ้นฝู ตื่นแต่เช้าเพราะต้องออกไปเก็บสมุนไพรบนเขา ก่อนจะกลับมาแล้วพบว่าเจ้าจิ้งจอกบาดเจ็บดูเหมือนจะยังไม่ตื่น ก่อนที่หมอนุ่มจะจัดแจงทำแผลให้ใหม่อย่างเบามือ

“เจ้าเป็นคนดีนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น มันไม่ได้ดังจากปากของใครแต่มันคล้ายกับว่าเสียงนั้นดังอยู่ในความคิดของชายหนุ่ม จิ้นฝู พยายามมองหาบุคคลที่สามแต่ก็ไม่พบ

“เจ้าไม่ต้องมองหาคนอื่นหรอก ข้าพูดกับเจ้าเอง” เสียงนั้นยังคงบอก

“เจ้า?” จิ้นฝู มองจิ้งจอกตรงหน้าด้วยความตกใจ แม้จะพอเดาออกแล้วว่าเจ้าจิ้งจอกตรงหน้าคงไม่ใช่แค่ สัตว์ป่าธรรมดาแน่แต่ก็ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้เขาจะได้ คุย กับ จิ้งจอก

“ฮ่าๆๆ เจ้าช่างเป็นมนุษย์ที่โง่งม จนข้าอดหัวเราะไม่ได้เสียจริง” เสียงนั้นยังคงดังขึ้น ก่อนจะมีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้นรอบตัวจิ้งจอกบาดเจ็บตัวนั้น  ก่อนที่แสงนั้นจะหายไปพร้อมกับกับการปรากฏตัวของ ใคร คนนึง

“เจ้า แปลงเป็นคนได้ด้วยหรือ” จิ้นฝูเอ่ยถาม

“ข้าว่าเจ้าน่าจะรู้แล้วว่า ข้าเป็น ปีศาจ แต่เหตุใดเจ้าถึงไม่กลัวข้า ซ้ำยังช่วยไว้ด้วย” ร่างนั้นเอ่ยถาม

จิ้นฝูที่ยังคงตะลึงอยู่ได้แต่นั่งมองร่างบางที่อยู่ตรงหน้าเงียบๆ คนตรงหน้ารูปร่างบอบบาง ผิวขาวละเอียดสีงาช้างนั้นงดงามจนคนมองใจสั่น แม้น้ำเสียงและรอยยิ้มนั้นก็ทำให้ผู้คนหลงใหลได้ไม่ยาก หรือนี่จะเป็น เวทย์มนต์ของปีศาจจิ้งจอกอย่างที่เขาเล่าลือกัน

“เจ้าหมอทึ่ม! ทำไมเจ้าไม่ตอบข้า” ร่างบางตะคอก

“ขะ ข้าแค่ตกใจ ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ปีศาจแปลงเป็นคนต่อหน้าต่อตาเช่นนี้”

“เจ้ากลัวข้าเช่นนั้นหรือ”  เสียงนั้นเอ่ยถาม  ยอมรับว่าในหัวของร่างบางตอนนี้กังวลอยู่ไม่น้อยไม่รู้เพราะเหตุใดถึงไม่อยากจะให้ เจ้าหมอทึ่ม คนนี้หวาดกลัวตัวเองเลย

“ข้าไม่ได้กลัว เพียงแค่ตกใจเท่านั้น หากกล้ากลัวเจ้าคงไม่พามาที่บ้านเช่นนี้ ว่าแต่เจ้าเถอะ ดีขึ้นแล้วหรือ ถึงใช้พลังได้”

“ดีขึ้นแล้ว แต่แค่ฟื้นพลังได้แค่สามส่วนเท่านั้นนักพรตนั่นมี ฤทธิ์มาก ข้าเองก็หมดพลังไปหลายส่วน”

“ถ้าเช่นนั้น ก็พักที่นี่สิ ข้าจะดูแลเจ้าเอง” เสียงทุ้มบอก จิ้นฝง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเอ่ยปากออกไปเช่นนั้น แต่มันคล้ายมีอะไรบางอย่างบอกกับเขาว่า เขาอยากดูแลเจ้าจิ้งจอกตัวนี้

“ข้าชื่อ จิ้นฝู เจ้าชื่ออะไรหรือเจ้าจิ้งจอก”

“ข้าชื่อ ฟางซิน”


……………………………………………………………………………………………..


“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” ร่างบางเอ่ยทักเจ้าของบ้าน ที่กลับมาจากเก็บสมุนไพร

“เจ้าลุกขึ้นมาแบบนี้ ขาหายดีแล้วหรือ ทำไมไม่พักสักหน่อยล่ะ ” คนเป็นหมอว่า

“ข้าพัก มาหลายวันแล้วตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว เจ้าไม่รู้หรือ เป็นหมอภาษาอะไรกัน”

“ข้าเป็นหมอคน ไม่ใช่หมอรักษาจิ้งจอก ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหายดีแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยติดตลก แต่ดูเหมือนว่าคนฟังจะไม่ได้คิดเช่นนั้น

“ใช่สิ ข้าเป็นปีศาจ เจ้าอยากจะไล่ข้าไปให้พ้นๆใช่ไหม” ร่างบางแหวลั่น  หลายวันมานี้ ฟางซินรู้สึกว่าตัวเองมีบางอย่างที่แปลกไป เพราะอะไรถึงได้ใส่ใจกับคำพูดและการกระทำของคนตรงหน้านัก  เขาไม่เคยหาคำตอบให้ตัวเองได้เลย การอยู่มาหลายร้อยปี ทำให้เขาเห็นโลกมามากแต่กลับ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าความรู้สึกที่มีต่อจิ้นฝู นั้นคืออะไร

“ฟางซิน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าอย่าโกรธข้าได้ไหม” ร่างสูงบอกอย่างร้อนรน เรื่องเดียวที่ทำให้ ท่านหมอเผิง เป็นกังวลได้กลับเป็นท่าทางน้อยใจ ของปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่ง คิดแล้วน่าขำ แต่กลับขำไม่ออก เขากลัวเหลือเกิน เพราะไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่า ความรู้สึกในใจตอนนี้คืออะไร แต่ ที่กลัวไม่ใช่เพราะฟางซินเป็นปีศาจ แต่เขากำลังกลัวว่าอีกคนจะไม่คิดเช่นเดียวกัน
แม้อาจจะดูรวดเร็วจนน่าตกใจแต่ จิ้นฝู ไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อนในชีวิต การรักใครสักคนนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาด้วยหรือ??



“มาข้าจะดูแผลให้” หมอหนุ่มบอกก่อนจะประคองร่างบางไปที่โต๊ะใกล้ๆแล้วลงมือแกะผ้าพันแผลอย่างเบามือ

“แผลแห้งแล้วนิ แต่ยังไม่สนิทเท่าไหร่ ยังโดนน้ำไม่ได้นะ”

“ข้ารู้แล้วน่า เจ้าบอกข้ามาร้อยรอบแล้วนะ” จิ้งจอกหนุ่มบอกอย่างขัดใจ ก่อนจะลอบยิ้มเมื่อเห็น เจ้าหมอทึ่ม ดูตั้งอกตั้งใจใส่ยา
ให้เขาเหลือเกิน ฟางซิน ยิ้ม แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ความจริงแล้วแผลแค่นี้เขาใช้พลังรักษาแค่ไม่กี่ชั่วยามก็หายแล้วแต่ หลายวันมานี้ เขากลับไม่อยากให้แผลหายเลย

“เอาล่ะเสร็จแล้ว เจ้าอยู่ในนี้ไปก่อนนะ ข้าจะไปต้มยา”

“ข้าไปด้วยสิ อยู่เฉยๆเสียหายวัน ข้าเบื่อจะแย่แล้ว เจ้าให้ข้าช่วยนะ” จิ้งจอกหนุ่มบอกอย่างกระตือรือร้น ดวงตากลมโตนั้นเป็นประกายอย่างนึกสนุกแต่กลับทำให้หัวใจของคนที่มองอยู่เต้นแรงจนแทบห้ามไม่อยู่



“นี่ เจ้าหมอทึ่ม เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า ห่ะ!!” ร่างบางแหวลั่นเมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจที่เขาพูดสักนิด

“อะ เอ่อ เจ้าไหวแน่นะ ข้าว่าเจ้าพักดีกว่า”

“ไหวสิ ข้าอยากช่วยเจ้าช่วยข้าไหม ข้าก็อยากจะช่วยเจ้าบ้าง ได้ไหม”

“แต่เจ้าห้ามมาบ่น ว่าข้าใช้งานหนักนะ”

“ได้เลย ไหนๆ ข้าต้องทำอะไรบ้าง” ร่างบางบอกอย่างร่าเริง จิ้นฝู  ลอบมองใบหน้าหวานที่ยิ้มร่าก่อนจะยกยิ้มตาม แม้จะรู้อยู่แก่
ใจว่าอีกฝ่าย ไม่ใช่คนแต่เหตุใด หัวใจ ถึงห้ามไม่ได้เลย




“ข้าไม่เคยคิดว่า การเป็นหมอมันจะเหนื่อยขนาดนี้” เสียงหวานบ่นพึมพำเมื่อวันนี้จิ้งจอกหนุ่ม ตามจิ้นฝู ไปตรวจคนไข้ในเมือง

“ข้าก็บอกแล้วว่าอย่าไปเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อ ยืนทั้งวันเจ้าเมื่อยหรือเปล่า” เสียงทุ้มถามอย่างเป็นห่วง เมื่อวันนี้ดูเหมือนคนไข้จะเยอะ
เป็นพิเศษทำให้ร่างบางต้องวิ่งวุ่นทั้งแจกยาทั้ง จดอาการ จนแทบไม่ได้พักเลย

“เมื่อยสิ วันนี้ข้าไม่ได้นั่งเลยตั้งแต่เช้า” ปากบางนั้นยังคงบ่น ก่อนที่จะรับรู้ถึงความเย็นที่เท้า

“เอ๊ะ จิ้นฝู เจ้าทำอะไร” ร่างบางเอ่ยถาม ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อหมอหนุ่มกำลังล้างเท้าให้ตนอย่างเบามือ

“วันนี้เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน ข้านวดให้นะ”

“ไม่ต้องๆ เจ้าอย่าทำแบบนี้สิ ขะ ข้า ”

“ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจทำให้เจ้า” เสียงทุ้มนั้นบอกก่อนจะยกยิ้มให้  ฟางซิน ได้แต่ลอบมองคนตรงหน้าที่ดูตั้งอกตั้งใจนวดเท้าให้เขาเหลือเกินก่อนจะยกมือขึ้นทาบหัวใจ

หัวใจกำลังเต้นแรง   มันเต้นแรงเสียจนเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ได้  สิ่งนี้ มันหมายความว่าอย่างไร มันคืออะไรกันแน่??



…หลายวันต่อมา……

“เจ้าเป็น คนรัก ของท่านหมอเผิงหรือ” หญิงชราที่มารักษากับจิ้นฝู เอ่ยถามขึ้น

  คนรัก??  ร่างบางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“ท่านป้า ข้าไม่ใช่คนรัก ของเจ้า..ของหมอเผิงนะ ” 

“เช่นนั้นหรือ” หญิงชราเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ เมื่อสิ่งที่เห็นกับคำบอกเล่านั้นช่างสวนทางกันเหลือเกิน นางมารักษากับหมอ
เผิงหลายครั้งแล้ว หมอเผิงเป็นคนใจดีก็จริง แต่สายตาของคนที่ผ่านโลกมานานเช่นตนนั้น รับรู้ได้ทันทีว่าแววตาที่หมอหนุ่มมองร่างบางตรงหน้านี้เป็นสายตาแห่งความรักแน่นอน

“ใช่แล้ว ข้ากับท่าหมอ เป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น”


“ฟางซิน เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า” จิ้นฝูเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าตลอดทางกลับบ้านร่างบางเอาแต่เหม่อลอยไม่ยอมพูดจา

“เปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไร”  ร่างบางบอก ก่อนจะผละไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมต้มยาที่จะใช้ในวันพรุ่งนี้อย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่จิตใจกลับ ไม่สงบเสียมี คำพูดของหญิงชราดูเหมือนจะยังวนเวียนอยู่ในความคิดไม่ยอมไปไหน

คนรัก ??  ความรัก??

หลายร้อยปีที่ผ่านมา เขา ได้ยิน คำนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า มัน คืออะไร


เพล้ง!!

“โอ้ย!”  เพราะเอาแต่เหม่อทำให้ หม้อยาที่ถืออยู่ตกแตกจนน้ำร้อนลวกมือทั้งสองข้าง

“ฟางซิน!!” จิ้นฝู วิ่งหน้าตื่นเข้ามาในครัวก่อนจะตักน้ำราด มือที่เริ่มแดงเพราะความร้อน

“เจ็บตรงไหนอีกไหม เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงร้อนรนนั้นเอ่ยถาม ฟางซินได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เหตุใด ต้องร้อนรนถึงขนาดนี้ ก็แค่ถูกน้ำร้อนลวก แม้มันจะเจ็บแต่อีกไม่นานก็หาย

“ข้าเป็นห่วงมากรู้ไหม”  เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกดจูบลงไปบนมือเรียวสวย จิ้นฝู รู้สึกเจ็บ เมื่อเห็นว่ามือเรียวของร่าง
บาง เห่อแดงเพราะความร้อน เป็นไปได้เขาไม่อยากให้ฟางซินต้องเจ็บตัวแม้เพียงนิด

เมื่อรู้ว่ารัก แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใด มันก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาเสมอ

“ห่วง?” จิ้งจอกหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ

“ใช่ ห่วง”

“ทำไม เจ้าต้องเป็นห่วงข้า”

“ฟางซิน ฟังข้านะ มันอาจจะไม่น่าเชื่อ แต่ขอให้รู้ว่าทุกคำที่พูดนั้น ออกมาจากใจของข้า”

“ฟางซิน ข้ารักเจ้า”

“ข้าไม่เข้าใจ อะไร คือ รัก” ร่างบางบอกเสียงแผ่ว อะไรคือ รัก  แล้วตอนนี้เขาควร ทำอย่างไร

จิ้นฝู ไม่ได้ตอบในทันทีแต่กลับจับมือเรียวมาทาบลงบนอกซ้ายของตัวเองก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ เวลาที่อยู่กับเจ้าข้ามีความสุข ยามเจ้ายิ้ม ข้าจะยิ้ม ยามเจ้าเศร้าข้าจะเศร้ายิ่งกว่า และ จะใจเต้นแรงทุกครั้งที่ได้มองตาเจ้า นั่นคือ รัก”

แต่ร่างบางก็ยังคงเงียบ

“เอาเถอะ ข้าไม่ได้เร่งรัดให้เจ้า คิดเหมือนกับข้า แต่ขอให้เจ้ารู้ไว้ ว่าข้ารักเจ้า เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” หมอหนุ่มบอกก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดแน่น   

 “จิ้นฝู สอนข้าได้ไหม บอกข้าได้ไหมว่าคนรักกัน เขาต้องทำเช่นไร”

“ได้สิ แต่ไม่ต้องรีบหรอก แค่ใช้หัวใจของเจ้าค่อยๆเรียนรู้ไปเท่านั้น แล้วเจ้าจะเข้าใจเอง”

….วัดหลงซาน…

“อาจารย์ ศิษย์ให้ คนของเราออกตามหาปีศาจตนนั้นแล้วแต่ไม่พบร่องรอยเลยครับ”  ชายหนุ่มคนนึงบอกกับนักพรตผู้เป็น
อาจารย์

“ปีศาจ ตนนั้นจะหนีไปไหนได้ มันต้องมีใครสักคนช่วยมันเอาไว้แน่นอน”

“เจ้าสาม ให้คนออกไปถามตามหมู่บ้าน รอบๆเมืองหลวงว่าระยะนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านหรือไม่ แล้วให้กลับมารายงาน
ข้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่า แค่ปีศาจจิ้งจอกตัวเดียว ข้านักพรตไท่เหอ จะปราบมันไม่ได้”  บอกอย่างหมายมาด ก่อนจะกำมือแน่น แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีปีศาจตนไหนรอดพ้นเงื้อมือ เขาไปได้ แต่เจ้าปีศาจจิ้งจอก นั่นมันทำให้เขาต้องอับอาย แค้นนี้ต้องชำระ!!!






“เหนื่อยไหม ข้าบอกให้เจ้าอยู่บ้านก็ไม่เชื่อ จะขึ้นเขามาทำไมก็ไม่รู้” จิ้นฝูว่าพลางมองร่างบางอย่างเป็นห่วง

“เจ้าหมอทึ่ม ข้าเป็นจิ้งจอกนะ ข้าอยู่ในป่ามาตั้งแต่เกิด แค่เดินป่าแค่นี้ข้าไม่เหนื่อยหรอก แฮกๆ” ร่างบางบอก แต่คนมองกลับ
หัวเราะลั่นเมื่อคนที่บอกว่าไม่เหนื่อย ยืนหายใจหอบอยู่ข้างๆ

“เจ้าดื้อกว่าที่ข้าคิดอีกนะ เหนื่อยแล้วก็พักเถอะ ดื่มน้ำเสียหน่อย” หมอหนุ่มส่ายหน้าระอา ก่อนจะพาร่างบางไปนั่งพักที่โคนต้นไม้  ร่างบางพยักหน้าก่อนจะรับน้ำจากมือหนามาดื่มดับกระหาย ใครจะไปรู้ว่าการเดินเท้าอย่างมนุษย์มันจะเหนื่อยและลำบากขนาดนี้ เมื่อก่อนอยากไปไหนก็แค่เหาะไป สบายจะตาย

“เหงื่อ ออกแล้วเห็นไหม” ว่าพลางใช้แขนเสื้อบรรจงเหงื่อบนแก้มนวลให้

ตึกๆๆ ตักๆๆ

ฟางซิน กำลังรู้สึกราวกับจะจับไข้  เพียงแค่สบตาคมคู่นั้น  ใบหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุกับหัวใจที่เต้นรัวเสียใจแทบหลุดออกมายิ่งทำให้สับสบ

เวลาที่อยู่กับเจ้าข้ามีความสุข ยามเจ้ายิ้ม ข้าจะยิ้ม ยามเจ้าเศร้าข้าจะเศร้ายิ่งกว่า และ ใจข้าเต้นแรงทุกครั้งที่ได้มองตาเจ้า นั่นคือ รัก

คำพูดของ จิ้นฝู เมื่อเดือนก่อนดังขึ้นในหัว ก่อนที่ร่างบางจะทาบมือลงบนตำแหน่งหัวใจอีกครั้ง

ตึกๆๆๆ ตักๆๆๆๆ

หัวใจไม่มีท่าทีว่าจะเต้นช้าลงสักนิด

หลายวันมานี้ ร่างบางรู้ว่าบางอย่างมันแปลกไป เขายิ้ม เมื่อ จิ้นฝู ยิ้ม เขาเศร้า เมื่อ จิ้นฝู เศร้า เขาโกรธ เมื่อ จิ้นฝู สนใจคนอื่นมากกว่า และ ตอนนี้หัวใจเขาต้นแรงมาก เมื่อมองตาคมคู่นี้

หรือว่า เขา จะรัก จิ้นฝู เหมือนกัน

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงเงียบไปล่ะ” จิ้นฝูเอ่ยถามเมื่อ ร่างบางที่เคยคุยจ้อไม่หยุดเอาแต่เงียบตั้งแต่อยู่บนเขาจนตอนนี้กลับมาที่บ้านของเขาแล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมพูดอะไรเลย

“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร” ฟางซินบอก ทำไมนะ อยู่ดีๆถึงรู้สึกเขินอาย เวลาที่มองจิ้นฝู  ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เป็นขนาดนี้

“ฟางซิน เจ้าไม่สบายหรือเปล่า ”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เจ้าอย่าห่วงเลย”

“ข้าไม่ห่วงเจ้าไม่ได้หรอก สำหรับข้าแล้วเจ้าสำคัญกว่าสิ่งใด ”

“จิ้นฝู” ร่างบางคางแผ่ว ก่อนจะซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง เสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“ข้าเองก็ไม่เข้าใจนัก ว่า ความรัก คืออะไร แต่ว่าตอนนี้หัวใจข้าเต็มแรงมาก เจ้ารู้สึกหรือเปล่า ”

“ฟางซินนี่เจ้า” 

“ข้า ข้า ข้าคิดว่า ข้ากำลัง รักเจ้านะ เจ้าหมอทึ่ม!!” จิ้นฝู แทบไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน เขาได้แต่กอดร่างบางไว้แน่น  กลัว กลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นแค่ฝัน

“ข้าไม่ได้ฝัน ใช่ไหม โอ้ย!! เจ้าตีข้าทำไม”

“เจ้าจะได้รู้ ว่าไม่ได้ฝัน”

“ข้าดีใจมาก รู้ไหม ข้าไม่คิดเลยว่า เจ้าจะใจตรงกันกับข้า ฟางซิน”

“ข้าก็ไม่คิดหรอก ว่าข้าจะรัก หมอทึ่มเช่นเจ้า”  สองร่างตระกองกอดกันแน่น ทุกส่วนบนใบหน้าล้วนเปี่ยมไปด้วยความสุข สุขที่ในวันนี้หัวใจ ทั้งสองงดวงก็ตรงกันเสียที



ปัง!!!!

“มันอยู่นั่นไง ไปจับตัวมันมา!!” เสียงประตูถูกถีบอย่างแรงก่อนที่คนจำนวนหนึ่งจะกรูกันเข้ามาในบ้านหลังเล็ก

“นี่มันอะไรกัน พวกเจ้าเป็นใคร” จิ้นฝูตวาดลั่นเมื่อ คนพวกนั้นพยายามจะจับตัวร่างบางไป

“จิ้นฝู เจ้าออกมานะ นั่นมันปีศาจ!!” ป้าหนิวที่มาด้วยบอกก่อนจะชี้ไปที่ ฟางซิน

“ป้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ”

“คนที่อยู่กับเจ้าคือปีศาจจิ้งจอก ส่งมันมาให้ข้าซะ ก่อนที่มันจะก่อกรรมทำเข็ญไปมากกว่านี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่นักพรตไท่
เหอจะเดินออกมา ฟางซินตาเบิกโพลงเมื่อเห็นนักพรตผู้มีอาคมแก่กล้า

“ไม่ใช่ พวกเจ้าอย่ามาหลอกข้า ฟางซินเป็นคนรักของข้า” จิ้นฝูตวาดลั่น ไม่มีทางเขาไม่มีทางยอมให้คนพวกนี้เอาตัวฟางซินไป

“ปีศาจจะคืนร่างเดิมดีๆ หรือจะต้องให้ข้าใช้กำลัง” 

“ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าพา ฟางซินไป!!  ถ้าจะเข้ามาก็ข้ามศพข้าไปก่อน” 

“พวกเจ้าไปจับเจ้าหนุ่มนั่นออกมา ส่วนปีศาจนั่นข้าจะจัดการเอง” สิ้นคำสั่ง ลูกศิษย์ของนักพรตก็กรูกันเข้ามาจับ จิ้นฝูไว้ หมอหนุ่มพยายามปัดป้องทุกวิธีทางแต่ หมอธรรมดาเช่นเขาจะไปสู้คนที่ฝึกยุทธได้อย่างไรไม่นานก็ถูกจับไว้จนได้


กร๊าชชชชชช

ฟางซินคำรามลั่น ดวงตาสีแดงนั้น จ้องที่คนกลุ่มนั้นด้วยความโกรธ

“ปีศาจ จิ้งจอก หากเจ้าทำร้ายคน ข้าเองก็คงเลี่ยงที่จะทำร้ายคนที่เจ้ารักไม่ได้” นักพรตไท่เหอว่า ก่อนจะตวัดกระบี่จ่อที่คอของจิ้นฝู

“เจ้านักพรตชั่ว เจ้าต้องการอะไร” ฟางซินตวาดลั่น

“ปราบปีศาจ คือสิ่งที่ข้าควรทำ คนกับปีศาจไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ เจ้าก่อกรรมทำเข็ญ สังหารมนุษย์ไปมากมาย ถึงเวลาที่เจ้าจะ
ต้องชดใช้ ”

“ฟางซิน อย่าไปฟัง หนีไปไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้น!!!”  หมอหนุ่มบอก แต่ดูเหมือนว่ายิ่งดิ้นคมดาบยิ่งบาดลึกลง
บนผิวมากขึ้นเลือดสีแดงสดซึมออกมาจากแผลอย่างน่าตกใจ

“อย่าขยับนะจิ้นฝู เจ้าอย่าขยับนะ ข้ายอมแล้ว ได้โปรดปล่อยจิ้นฝูไป เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยทุกอย่างเป็นเพราะข้า ข้าใช้เวทมนต์ทำให้เขาหลงใหล” ฟางซินบอกทั้งน้ำตา ชีวิตนี้เขาฆ่าคนมามาก เห็นน้ำตามาก็ไม่น้อย แต่ไม่เคยเลย ไม่เคยสักครั้งที่จะรู้สึกเจ็บเจียนตายเช่นนี้

“ดี ฮ่าๆๆ” นักพรตไท่เหอ หัวเราะร่วนก่อนจะใช้ตาข่ายดักมาร จับฟางซินเอาไว้



“ฆ่ามันๆๆ” เสียงนั้นดังก้องไปทั่วหมู่บ้านเมื่อร่างบางถูกมัดติดกับเสาตันหนึ่งรอบๆนั้นเต็มไปด้วยท่อนไม้ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง  ไม่ไกลกันนักจิ้นฝูก็ถูกชายร่างใหญ่สองคนจับเอาไว้เช่นกัน

“ข้าจะใช้ไฟ เพื่อชำระ ดวงวิญญาณให้สะอาด ปีศาจเอ๋ย จงกลับไปอยู่ในที่ที่เจ้าควรอยู่” ว่าจบนักพรตไท่เหอ ก็บริกรรมคาถา
ก่อนจะจุดไฟขึ้นแล้วโยนเข้าไปในกองฟืนทันที!!

“ฟางซิน ฟางซิน ปล่อยข้า ปล่อยข้า!!!”

จิ้นฝูทั้งตะโกนทั้งดิ้นเมื่อเห็นพระเพลิงกำลังลุกไหม้อย่างหนัก ร่างออ่อนแรงเพราะตาข่ายดักมารมองเขาด้วยแววตาเศร้า

“จิ้นฝู ข้ารักเจ้า ชาตินี้เราสองมิอาจครองคู่ แต่ต้องมีสักวันที่เราจะได้รักกัน ต้องมีสักวันที่เราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ไม่ว่าจะนาน
แค่ไหน ข้าก็จะรอวันนั้น” เสียงอ่อนล้าเอ่ยบอก่อนจะปิดตาลง เมื่อพระเพลิงนั้นเริ่มเข้ามาใกล้ทุกที

“ฟางซิน!!”  จิ้นฝูตะโกนก้องก่อนจะใช้เรียวแรงทั้งหมดที่มีสะบัดตัวหลุดจากพันธนาการ ไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิด หมอหนุ่มกระโดดเข้าไปในกองไฟที่กำลังลุกโชนท่ามกลางความตกตะลึงของคนทั้งหมู่บ้าน !!


“ฟางซิน ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากไปเพียงลำพัง หากต้องตายข้าพร้อมตายไปกับเจ้า” จิ้นฝูบอกก่อนจะกอดรางบางไว้แน่น

“เจ้าหมอทึ่ม ทำไมเจ้าโงเช่นนี้  ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้” ร่างบางถามทั้งน้ำตา

“เพราะข้ารักเจ้า”



..............................END...........................

 :katai5:  :katai5:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 6 เพียงใจมั่นรัก (จบในตอน) : 3/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: PhInNoI ที่ 04-08-2014 04:46:10
 :o12:
แงๆๆๆๆ เศร้าอีกละ มีต่ออีกไหมอะ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 6 เพียงใจมั่นรัก (จบในตอน) : 3/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 04-08-2014 08:31:37
 :sad4: แงเศร้าอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 7 บ่วงรักคล้องใจ (จบในตอน) : 9/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 09-08-2014 13:59:51



บ่วงรักคล้องใจ (หย่งเจิ้ง&เหยียนอี้)


(https://m.ak.fbcdn.net/sphotos-a.ak/hphotos-ak-xaf1/v/t1.0-9/p526x296/10360215_10201941762099616_6792364483823444533_n.jpg?oh=ea5c7d0d54c4732837fbb6dfefc6c6aa&oe=54748870&__gda__=1416268933_300e353fe576ab916006b84e2a0cfab8)


แคว้นหนานเจ้า

ชายวัยกลางคนนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ตรงหน้ามี ราชโองการประทับตรามังกรวางอยู่ ตัวอักษรมากมายกล่าวถึงการส่งเครื่องบรรณาการเมืองหลวง ในปีนี้ หลังอ่านจบเขากลับเอาแต่หายใจอย่างหนัก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็จนปัญญาจะหาทางออกได้

“ท่านอ๋อง ทำเช่นไรดีขอรับ หรือเราจะขอเจรจาผลัดผ่อนไปก่อน” ชายวัยไล่เลี่ยกันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของผู้นำแค้วนเคร่งเครียด ปัญหานี้เขาเองก็ไม่ใช่จะไม่รับรู้ เมื่อปีนี้ฝนแล้งผลผลิตแทบไม่พอกิน จะเอาข้าวที่ไหนไปส่งบรรณาการแต่หากไม่ทำ เมืองหลวงอาจจะคิดว่าหนานเจ้าก่อกบฏ แคว้นเล็กๆอย่างหนานเจ้าคงไม่อาจต่อต้านทหารหลายแสนจากเมืองหลวงได้

“ไม่ได้หรอกท่านเสนา เมื่อปีกลายเราก็ผลัดมาแล้วครั้งหนึ่ง หากปีนี้ผลัดอีก คาดว่าฝ่าบาทคงไม่ไว้ชีวิตข้าแน่” ผิงเหออ๋อง บอกอย่างหนักใจ 



“เหวินไท่ ท่านพ่อยังไม่นอนอีกหรือ” เสียงหนึ่งเอ่ยถามคนสนิท เมื่อเห็นว่า เรือนตะวันตก ที่พักของบิดายังมีแสงไฟอยู่

“ข้าน้อย คิดว่าอาจจะเป็นเพราะราชโองการที่มาวันนี้ขอรับ” เหวินไท่บอก ร่างเล็กแต่ถอนใจ มือเล็กกำหมัดแน่น เมื่อไหร่กันที่หนานเจ้าจะเป็นไทเสียที การส่งบรรณาการให้เมืองหลวงทุกปีทำให้ประชาชนต้องอยู่อย่างอดๆยากๆ สองปีมานี้ฝนแล้งผลผลิตได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วยังจะต้องส่งบรรณาการอีกหรือ จิตใจของตนพวกนั้นทำด้วยอะไรกัน

“ข้าจะไปคุยกับท่านพ่อ”

“เกรงว่าจะไม่เหมาะขอรับ ท่านชาย นี่มันก็ดึกมากแล้วข้าน้อยว่าเราควรกลับเรือนตะวันออกนะขอรับ” คนที่ถูกเรียกว่าท่านชายมองคนสนิทอย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะความเป็นเด็กทำให้ร่างเล็กไม่สามารถออกความคิดเห็นอะไรได้เลย


“เมื่อไหร่ข้าจะโตสักที”

ผังเหยียนอี้  บุตรชายคนเล็กของ ผิงเหออ๋อง กล่าวอย่างเอาแต่ใจ แม้จะอายุเพียง 15 ปีแต่กลับมีความคิดที่เด็ดเดี่ยว ฉลาดเฉลียว เป็นที่รักของ ผิงเหออ๋องยิ่ง แต่แม้ภายนอกจะดูปกติแต่ ท่านชายน้อยกลับเป็นโรคประหลาดเมื่อ  เหยียนอี้ เกลียดและกลัว เปลวไฟ ยิ่ง ดังนั้นทุกค่ำคืน จึงต้องอาศัยมุกราตรี ให้ความสว่างแทนการจุดเทียน




เมืองหลิงอัน (เมืองหลวง)

ปังๆๆๆๆ

เสียงประทัดดังสนั่นเป็นการต้อนรับชัยชนะของนายทหารที่สามารถปราบกบฏ เหลียงหวังอ๋อง ลงได้อย่างราบคาบแม้จะมีทหารเพียง 300 นายแต่กลับเอาชนะกองกำลัง อินทรี ของหวังเหลียงอ๋อง ได้อย่างง่ายดาย และคนที่นำทัพในครั้งคือ รองแม่ทัพ เจ้าหย่งเจิ้ง ลูกชายของ แม่ทัพเจ้าหยวนหวัง แม่ทัพใหญ่ของราชสำนัก

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่อายุราว 27-28 ปี สวมเกาะเงินนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำตัวใหญ่ เจ้าหย่งเจิ้ง เฝ้ามองการต้อนรับด้วยแววตานิ่งเฉย คิ้วเข้มขมวดแน่นเมื่อเห็นว่าการฉลองชัยนั้นดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระ กว่านายทหารทั้งหมดจะมาถึงวังหลวงได้ก็ใช้เวลาหลายชั่วยาม ร่างสูงรีบลงจากหลังม้าก่อนจะเข้าถวายรายงานกับฮ่องเต้ทันที

“กระหม่อม เจ้าหย่งเจิ้ง ถวายบังคม ฝ่าบาท” ร่างสูงคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์ก่อนจะยื่นหนังสือรายงานให้ ขันทีนำไปถวายเจ้าเหนือหัว

“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี ” ฮ่องเต้ตรัส

“หย่งเจิ้ง ครั้งนี้เจ้าทำดีมาก หวังเหลียงอ๋องเป็นหนามตำใจข้ามานาน จนแทบจะกลายเป็นหนอง แต่เจ้ากลับใช้เวลาไม่กี่เดือนสามารถปราบเขาลงได้ ถ้าข้าไม่ให้รางวัลเจ้าดูจะเกินไปจริงๆ”

“กระหม่อน มีหน้าที่ทำเช่นนั้นอยู่แล้วพะยะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ต้องการสิ่งใดเป็นรางวัล” หย่งเจิ้งกราบทูล

“ไม่ได้ๆ เอาเป็นว่าให้ข้าคิดก่อนว่าจะให้รางวัลเจ้าอย่างไรดี กลับไปพักผ่อนเถอะ”

“กระหม่อมทูลลา”

 “ฝ่าบาท พระองค์คิดจะทำอะไร กับพี่ชายกระหม่อม พะยะค่ะ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนที่ร่างบางในเครื่องแต่งกายงดงามอย่างราชนิกูลชั้นสูงจะเดินออกมาจากหลังม่าน

“ข้าอยากจะแกล้งคน” ฮ่องเต้ เหวินหลง ตรัสก่อนจะรั้งร่างบางนั้นเข้าสู้อ้อมพาหา

“แกล้งคน”

“ใช่ แกล้งเจ้าเพื่อนหน้านิ่งนั้นยังไงล่ะ ตั้งแต่เด็กจนโต ข้าไม่เคยเห็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพเจ้ายิ้มเลยสักครั้ง วันๆก็อยู่แต่กับ
ตำราพิชัยสงคราม หรือไม่ก็ฝึกยุทธ์ อายุอานามหรือก็มิใช่น้อยๆแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่าจะแต่งงานเสียที พ่อเจ้าเองก็กังวลอยู่ไม่ใช่หรือว่า จะไม่มีลูกหลานสืบสกุล ในเมื่อลูกชายคนรองก็กลายเป็นสนมของข้าไปแล้วแบบนี้ ใช่หรือไม่ หยางหยาง”




ถนนนอกเมืองหลินอันรถม้าคันหนึ่งแล่นมาอย่างไม่รีบร้อนนัก ข้างๆรถม้านั้นมีชายสองคนขี่ม้าอยู่ใกล้ๆ  บนรถม้ามีเพียงสองคนคือ คนบังคับรถและคนโดยสาร

“เหวินไท่ ที่นี้ คือหลินอันหรือ”  เหยียนเปิดม่านออกมาดูอย่างกระตือรือร้น แม้ว่าจะไม่ชอบคนเมืองหลวงอยู่มากแต่การที่ได้เห็น หลินอัน ที่คึกคักก็ทำให้ร่างเล็กอดที่จะสนุกไม่ได้

“ใช่ขอรับ ที่นี่คือหลินอัน” เหวินไท่มองร่างเล็กด้วยสายตาเห็นใจ  วังหลัง แก่งแย่งชิงดี เด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมเช่นท่านชายจะทนอยู่ได้อย่างไรกัน

“เหวินไท่ เหตุใดชอบมองข้าด้วยแววตาเช่นนั้น ถึงเจ้าจะเห็นข้าเป็นเด็ก แต่ข้ารู้ตัวดีว่าการมาเมืองหลวงครั้งนี้ ข้าต้องเจอดับอะไร และข้าก็เตรียมใจยอมรับมันไว้แล้ว เจ้าควรจะดีใจเพราะการที่ข้ามาอยู่ที่นี่อย่างน้อย ประชาชนชาวหนานเจ้าทุกคนก็จะอยู่ดีกินดี
ขึ้น” ร่างเล็กบอกก่อนจะยิ้มกว้างเพื่อให้คนสนิทคลายกังวล เขาคิดดีแล้วที่จะทำมัน เพราะตราบเท่าที่เขายังอยู่ที่นี่ หนานเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องส่งบรรณาการให้เมืองหลวง หากเขาอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต อย่างน้อย หนานเจ้าจะเป็นไทไป 50 ปีหรืออาจมากกว่านั้น เหยียนอี้ ถูกเลี้ยงมาให้มองคนที่ต่ำกว่าเสมอ แต่หาใช่มองอย่างดูแคลนแต่เป็นการมองผู้ที่ด้อยกว่าด้วยสายตาแห่งความเมตตา หน้าที่ของเขาคือทำให้ชาวหนานเจ้าอยู่ดีกินดี นั่นคือสิ่งที่เขาถูกสอนมาตลอด

ต่อให้ต้องกลายเป็นข้ารับใช้เขาก็ต้องทำ เพื่อบ้านเมืองและประชาชนชาวหนานเจ้า



วันต่อมา…

เหยียนอี้ ที่มาถึงหลินอันเมื่อวานนี้ถูกปลุกขึ้นแต่เช้าเมื่อข้ารับใช้บอกว่า ฮ่องเต้ ทรงต้องการให้เข้าเฝ้า แม้ว่าจะยังพักผ่อนไม่เต็มที่แต่ก็มิอาจขัดประสงค์ของโอรสสวรรค์ได้

“กระหม่อม ผังเหยียนอี้ ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี”

“ลุกขึ้นเถอะ เจ้าคือ ลูกชายคนเล็กของ ผิงเหออ๋องหรือ ปีนี้อายุเท่าไหร่”  สุรเสียงทุ้มตรัสถาม

“ปีนี้ 15 พะยะค่ะ” ร่างเล็กตอบ

“เช่นนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่เหยียนอี้ว่าเจ้าถูกส่งมาเมืองหลวงเพราะเหตุใด”

“กระหม่อมเต็มใจบุกน้ำลุยไฟ หากเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท”

“ดี เจ้าพูดเองนะ ว่ายินดีทำทุกอย่าง ” สุรเสียงทุ้มบอกก่อนจะ ทรงสรวลเบาๆ เมื่อนึกถึงเรื่องสนุกที่รออยู่ภายหน้า



จวนแม่ทัพ

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกกลับมาแล้ว” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนที่บุรุษร่างบางในอาภรณ์งดงามนั้นจะเดินเข้ามาในจวน

“หยางหยาง เจ้ากลับมาเยี่ยมบ้านหรือ” ฮูหยินเจ้า เอ่ยกับลูกชายคนเล็ก

“ขอรับเท่าแม่ ข้าคิดถึงพวกท่านก็เลยอยากมาหา”

“เหอะ ฮ่องเต้ ปล่อยเจ้ากลับบ้านแบบนี้แปลว่ากำลังมีแผนอะไรอยู่ในใจ สินะ” เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่ ร่างสูงจะเดินเข้ามาใบหน้า
เรียบนิ่งแต่แผงแววดุดันดังชายชาติทหารนั้นทำให้ น้องชายได้แต่ย่นจมูก

อยากเห็นรอยยิ้มเหมือนที่ฝ่าบาทบอก อยากรู้ว่าถ้าเจ้าพี่ชายหน้านิ่ง นี่มีความรักจะเป็นเช่นไร


“พี่ใหญ่ ท่านชอบระแวงฝ่าบาทอยู่เรื่อย พระองค์ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย”

“เหอะ น้อยไปสิ หยางหยาง พี่ชายเจ้าคนนี้ เป็นเพื่อนกับ ฮ่องเต้มากี่ปี แถมตอนนี้ยังมีตัวยุ่งอย่างเจ้าไปอยู่ด้วย ข้ารับรองว่าตัว
ข้าต้องมีเรื่องปวดหัวอีกมากเป็นแน่”

“พี่ใหญ่ ข้าไม่ใช่ตัวยุ่งนะ” ร่างบางแหวลั่น

“ขอประทานอภัยที่ทำให้ พระสนมทรงกริ้ว” ร่างสูงล้อเลียน

“เอาล่ะๆ พวกเจ้าสองพี่น้องเจอกันทีไรก็ทะเลาะกันเสียทุกครั้ง แม่ปวดหัวเสียจริง หยางหยาง วันนี้แม่จะไปไหว้พระขอพรให้พี่
ชายเจ้า เจ้าจะไปกับแม่ไหม” ฮูหยินเจ้าเอ่ยปากห้ามศึกสายเลือด แม้ลูกชายสองคนจะโตจนมีครอบครัวได้แล้วแต่ก็ยังไม่วาย
ทะเลาะกันเป็นเด็กเสียทุกครั้ง แต่นางก็ดีใจ เพราะอย่างน้อยยามที่อยู่กับน้อง ลูกชายคนโตของนางยังมีท่าทางขี้เล่น และสีหน้าอย่างอื่นบ้าง แต่นั่นก็เป็นแค่รอยยิ้มบางๆเท่านั้น

“ท่านแม่จะไปขอพร เรื่องคู่ครองให้พี่ใหญ่หรือ”

“พี่ชายเจ้าปีนี้อายุ 28 แล้วแต่ยังไม่มีคู่ใจเลย แม่เองก็กลัวว่าตัวเองจะไม่ทันเห็นหน้าหลาน”

“โถ่ ท่านแม่ ข้าเพิ่ง 28 ยังมีเวลาอีกมาก ตอนนี้ชายแดนเองก็ยังไม่สงบ ข้าคงไม่อาจแต่งงานตอนนี้ได้”

“เจ้าดูพี่ชายเจ้านะ หยางหยาง สงสัยสกุลเจ้าคงไม่มีทายาทสืบสกุลแน่ แม่ไปก่อนดีกว่า สายมากแล้ว เจ้าก็อยู่ที่นี่รอแม่ก่อน อย่าเพิ่งกลับเข้าวังล่ะ”

“ท่านแม่วางใจได้ คินนี้ข้าจะค้างที่บ้าน” หยางหยางบอก ก่อนจะประคองผู้เป็นแม่ไปส่งที่ประตูจวน



“เจ้าบอกความจริง กับพี่มาดีกว่า หยางหยาง เจ้ากับฮ่องเต้ กำลังคิดจะทำอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามก่อนที่แววตาคมจะจ้องน้องชายอย่างคาดคั้น

“พี่ใหญ่ สบายใจได้ ข้ารับรองว่ามันจะดีกับท่าน และครอบครัวเราแน่นอน”

“ยิ่งเจ้าพูดเช่นนี้ พี่ยิ่งกังวลใจ ปกติแค่ ฮ่องเต้ ข้าก็รับมือยากอยู่แล้ว ครั้งนี้มีเจ้าร่วมอีกคน ชีวิตข้าคงจะวุ่นวายหาที่สิ้นสุดไม่ได้”

“โถ่ ท่านรองแม่ทัพ ขนาดกบฏนับหมื่นยังปราบลงได้ จะกลัวอะไรกับน้องชายเช่นข้ากัน” บอกอย่างติดตลกก่อนจะคลี่ยิ้มเอาใจ

“ก็เป็นเป็นเจ้า พี่ถึงต้องกลัว”

“ไม่ต้องกลัว ข้ารับรองว่า มันจะดีแน่นอน”  ร่างบางบอกก่อนจะหัวเราะลั่นยิ่งทำให้พี่ชายกังวลมากขึ้น แค่เพียงรับมือกับฮ่องเต้ที่ชอบแกล้งเขาก็ทำเอาเขาปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว นี่ยังต้องรับมือกับน้องชายจอมแสบอีกคน เห็นทีเรื่องนี้คงทำให้เขาหัวขาวก่อนวัยเป็นแน่

“นายท่าน มีราชโองการถึง คุณชายใหญ่ขอรับ” คนรับใช้วิ่งเข้ามาในห้องโถงที่ประมุขของบ้านนั่งอยู่ ต่างคนต่างมองหน้ากันด้วย
ความสงสัยแต่กลับมีหนึ่งคนที่ยกยิ้มกว้าง

“มาแล้วสินะ” หยางหยางพึมพำ

“รองแม่ทัพ เจ้าหย่งเจิ้ง รับราชโองการ” ขันทีที่เป็นตัวแทนพระองค์ประกาศก้องก่อนที่ยกราชโองการขึ้นอ่าน

“เนื่องจากรองแม่ทัพ เจ้าหย่งเจิ้ง มีความดีความชอบ ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาประทาน สมรสพระราชทานกับ ผังเหยียนอี้ บุตรชายคนเล็กของ ผิงเหออ๋อง ในอีก 7 วัน จบราชโองการ”

“กระหม่อนรับราชโองการ ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี”  หย่งเจิ้งที่คุกเข่าอยู่ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะลุกขึ้นน้อมรับราชโองการ

“หยางหยาง นี่ใช่ไหมเรื่องดีของเจ้า” เอ่ยถามน้องชายเสียงเข้ม

“ฮ่องเต้ทรงห่วงใยกลัวว่าบ้านเราจะไม่มีทายาท ไม่สมควรเป็นเรื่องดีหรือ”

“เจ้านี่มัน”

“เห็นที ข้าคงต้องกลับเข้าวังแล้ว ท่านก็เตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวได้เลย อีก 7 วันเกี้ยวเจ้าสาวจะมาที่บ้านเรา”ร่างบางเอ่ยอย่างอารมณ์ดีต่างจากคนฟังที่ขมวดคิ้วแน่น

“ท่านชาย นอนเถอะขอรับ” เหวินไท่ ที่เห็นว่าเจ้านายร่างเล็กยังไม่นอน เอ่ยเตือนขึ้นเบาๆ

“เหวินไท่ เจ้าว่า รองแม่ทัพเจ้าจะเป็นคนเช่นไร” เสียงนั้นเอ่ยถาม แม้จะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็อดกลัวไม่ได้ เหยียนอี้รู้ตัวดี ว สักวันเรื่องเช่นนี้อาจเกิดขึ้นเพียงแต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้

“จากที่ ข้าน้อยให้ คนไปสืบนั้น ท่านรองแม่ทัพนับว่าเป็นยอดคนแห่งยุคเมื่อไม่กี่วันก่อนสามารถปราบกบฏได้โดยใช้ทหารเพียง 300 นาย”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยดีกว่า ดกมากแล้วเจ้าไปนอนเถอะ” ร่างเล็กบอกก่อนจะล้มตัวลงนอน เหวินไท่ ได้แต่มองอย่างเป็นห่วงแต่ก็จนปัญญาจะช่วยอะไรได้


หากว่านี่คือ ความต้องการของฟ้า คนธรรมดาอย่างเขาจะห้ามมันได้อย่างไร




“ฝ่าบาท กระหม่อมถามอะไรพระองค์ได้หรือไม่ พะยะค่ะ” หยางหยางเอ่ยถามร่างสูงที่ตะกองกอดตนไว้แน่น

“เจ้าจะถามอะไรล่ะ” สุรเสียงทุ้มถามกลับ ก่อนที่โอษฐ์หนาจะกดจูบลงบนหัวไหล่เนียน

“ทั้งๆที่ บุตรของผิงเหออ๋องเป็นชาย ทำไม พระองค์ถึงประทานให้พี่ใหญ่ วันก่อนทรงตรัสเรื่อง ทายาทตระกูลเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ”

“หึ เจ้าไม่ต้องกลัว ตระกูลเจ้า มีทายาทสืบสกุลแน่นอน” 

“กระหม่อมไม่เข้าใจ” ร่างบางเลิกคิ้วถาม

“ตามตำนานเล่าว่า ชาวหนานเจ้า คือ ทายาทแห่งหนี่วา เทพหนี่วาคือ “แม่” ของทุกสรรพสิ่ง ดังนั้น ไม่ว่าหญิงหรือชาย สำหรับชาวหนานเจ้าแล้ว สามารถให้กำเนิดบุตรได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าไม่ใช่ ผู้ชายทุกคนจะให้กำเนิดบุตรได้ คนผู้นั้น ต้องเป็นสายเลือดบริสุทธิ์แห่งหนี่วา และเกิด วันที่ 9 เดือน 9 เท่านั้น”

“พระองค์จะบอกว่า เหยียนอี้ คือ ทายาท หนี่วา หรือ”

“ใช่ เหยียนอี้คือ ทายาทแห่งหนี่วา เขาจึงเป็นสิ่งล้ำค้าที่ถูกส่งมาเพื่อบรรณาการแก่ข้า แลกเปลี่ยนกับ อิสรภาพของหนานเจ้า จนกว่า เหยียนอี้จะสิ้นอายุขัย”

“น่าสงสารจัง เขายังเด็กนักในเวลานี้ ไม่รู้ว่าจะร้องไห้ งอแงหรือเปล่าหากว่าเจอหน้าพี่ใหญ่จริงๆ”

“เจ้าอย่าห่วงไปเลย นอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องไปงานแต่งงานพี่เจ้าไม่ใช่หรือ”




ปังๆๆๆ

เสียงประทัดบนถนนที่ทอดตรงไปยังจวนแม่ทัพเกี้ยวสีแดงขนาดใหญ่เคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ หน้าขบวนร่างสูงของหย่งเจิ้งในชุดเจ้าบ่าว ควบม้านำอยู่ ผู้คนในเมืองหลินอันต่างออกมารอชมขบวนเจ้าสาวที่งดงามนั้นอย่างตื่นเต้น ว่ากันว่า การแต่งงานครั้งนี้เป็นสมรสพระราชทานและเจ้าสาวเองก็เป็นน้องบุตรธรรมของฮ่องเต้ เท่ากับว่าตอนนี้ ตระกูลเจ้า แทบจะเป็นตระกูลทีมีอิทธิพลที่สุดในหลินอัน



ร่างสูงลอบถอนใจ เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงจวนแม่ทัพที่ตอนนี้ประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงละอักษรมงคล แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นหน้าเจ้าสวาของตัวเอง รู้เพียงว่าเป็นบุตรชายคนเล็กของ ผิงเหออ๋องแห่งหนานเจ้าเท่านั้น งานแต่งงานเป็นไปอย่างราบรื่น ตลอดทั้งวันมีแขกมากมายเข้ามาอวยพรตั้งแต่ราชนิกูลชั้นสูง พ่อค้าคหบดี รวมไปถึงประชาชนทั่วไป ข้างหน้ามีการแจกอาหารแก่ผู้ยากไร้อีกด้วย นับว่าเป็นงานที่คึกคักยิ่ง



เหยียนอี้ นั่งอยู่ในห้องหออย่างกระวนกระวาย ร่างเล็กกำลังกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร แต่เขายังไม่พร้อม ในตอนนี้

“หืม มุกราตรีหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนที่ร่างสูงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างชายชาตรีจะเดินเข้ามาในห้อง เหยียนอี้สะดุ้งเฮือก
ลมหายใจสะดุดเป็นห้วงๆ แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีได้

“อย่างที่ หยางหยางบอกไว้เลยสินะ ว่าเจ้าอยู่ใกล้เปลวไฟไม่ได้”

“ชะ ใช่” ร่างเล็กตอบ

“เจ้าเป็นอะไรกลัวข้าหรือ” เสียงนั้นเอ่ยถามก่อนที่ ร่างสูงจะก้าวมาตรงหน้า

“ขะ ข้า ไม่ได้กลัว เพียงแต่ว่าข้า..”

“วางใจเถอะ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก เจ้ายังเด็กนักและข้าเองก็ไม่นิยมชมชอบบุรุษ”  ว่าจบมือหนาก็เปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงออกอย่างเบามือ หยงเจิ้ง พิจารณาเจ้าสาวของตัวเองพลางขมวดคิ้วแน่น เหยียนอี้ไม่ได้งดงามอ่อนหวานอย่างหยางหยาง แต่แววตาคู่นั้นคล้ายมีแววขี้เล่นซุกซนตามวัย เหมือนเด็กชายทั่วไปมากกว่า แต่ถ้าเทียบกับทหารหรือชายหนุ่มทั่วไปแล้วถือว่าอีกฝ่ายค่อนข้าวตัวเล็กเลยทีเดียว คงถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอม

“ท่านจะไม่ทำอะไรข้า แน่นะ ตะ แต่ว่า..”

“เจ้าไม่ต้องกลัว เจ้าจะเป็นภรรยาข้าแต่เพียงในนามเท่านั้น”

“ขอบคุณท่านรองแม่ทัพ”

“ยังจะเรียกรองแม่ทัพอีก เจ้าเป็นภรรยาข้า เรากราบไหว้ฟ้าดินกันแล้ว ต่อไปเรียกข้าว่า ท่านพี่เถอะ”

“เหยียนอี้เข้าใจแล้ว ท่านพี่”

เหยียนอี้ มองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาชื่นชม เจ้าหย่งเจิ้ง เป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยาก แม้ท่าทางจะดูน่าเกรงขามอย่างนายทหารแต่เขารับรู้ถึงความหวังดีและความอ่อนโยนในกระแสเสียงนั้นได้ดี

“นอนเถอะ ดึกมากแล้ว”

“ครับ”  เหยียนอี้รับคำก่อนจะถอดชุดที่รุ่มร่ามนั้นออกอย่างระมัดระวัง ร่างเล็กมองแผ่นหลังกว้างของ สามี ก่อนจะหลบสายตา ยามที่เอ่ยขานอีกฝ่ายว่า ท่านพี่ คล้ายมีกระแสบางอย่างที่ทำให้หัวใจสะท้อนไหว ยิ่งอยู่ใกล้หัวใจยิ่งเต้นแรง นี่เขาเป็นอะไรไปนะ




“พี่สะใภ้ เมื่อคืนหลับสบายไหม” เสียงหวานนั้นเอ่ยขึ้นก่อนที่หยางหยางจะเดินเข้ามาหาร่างเล็กที่นั่งเล่นอยู่ในสวน

“หลับสบายดี พะยะค่ะ พระสนม”

“ไม่เอาสิ อย่าเรียกแบบนั้น เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เรียกห่างเหินเช่นนั้นได้อย่างไร” ร่างบางบอกพลางทำหน้าขัดใจ

“พี่สะใภ้เรียกข้าว่า หยางงหยางก็ได้”

“ไม่ได้ๆ ถึงอย่างไรพระสนมก็อายุมากกว่ากระหม่อม”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าเรียกพี่สะใภ้ว่า เหยียนอี้ ดีไหม แล้วพี่สะใภ้ก็เรียกข้าว่า พี่หยางหยาง แล้วก็ห้ามใช้ราชาศัพท์ด้วย”

“ได้ครับ พี่หยางหยาง”

“ดีจังเลย ข้าอยากมีน้องชายมานานแล้ว มีเจ้าอยู่ด้วยข้าต้องมีเรื่องสนุกๆทำอีกเยอะเลย” ร่างบางบอกอย่างร่าเริง

“เจ้ายังไม่เข้าวังอีกหรือ หยางหยาง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางนั่งลงบนม้าหินใกล้ๆกับเหยียนอี้

“ทำไมพี่ใหญ่ต้องรีบไล่ ข้าด้วย อ้อ อยากอยู่กับพี่สะใภ้ละสิ ข้าไม่กวนก็ได้ ต้องรีบไปกราบทูลฮ่องเต้ดีกว่า ว่าพวกท่านรักกันดี

ยิ่ง”



“หยางหยางมากวนเจ้าหรือเปล่า” ย่งเจิ้งเอ่ยถาม

“ไม่ครับ พี่หยางหยางมาชวนข้าคุยเท่านั้น”

“เจ้าเองก็ควรจะทำใจให้สบาย ตอนนี้ที่นี้คือบ้านของเจ้า ข้ารู้นะว่าเจ้าอาจจะยังไม่คุ้นเคยแต่คนที่นี้ไม่มีใครไม่ต้อนรับเจ้า” ว่า
พลางวางมือหนาลงบนศรีษะของร่างเล็กอย่างเอ็นดู  แม้ว่าหย่งเจิ้งจะยังไม่ได้รู้สึกรักภรรยาของตนอย่างหนุ่มสาวทั่วไป แต่ร่างเล็กตรงหน้าก็ทำให้เขาเอ็นดูได้ไม่อยาก

“เหยียนอี้จะจำไว้”




......................ต่อด้านล่าง....................
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 7 บ่วงรักคล้องใจ (จบในตอน) : 9/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 09-08-2014 14:11:54

ผ่านมาหนึ่งเดือนที่ เหยียนอี้ แต่งงานกับ หย่งเจิ้ง ดูเหมือนว่าร่างเล็กจะสามารถเข้ากับครอบครัวใหม่ได้เป็นอย่างดี ฮูหยินเจ้าทั้งรักทั้งหลงลูกสะใภ้ จนพูดถึงไม่หยุดปาก ซ้ำหยางหยางยังขยันกลับบ้านมาเล่นกับน้องชายคนใหม่อยู่ไม่ขาด

“ท่านแม่ จะไปไหนหรือครับ” เหยียนอี้เอ่ยถาม แม่สามี เมื่อเห็นว่า ฮูหยินเจ้ากำลังจะออกไปข้างนอกพร้อมสาวใช้คนสนิท

“แม่จะไปขอพรพระ พ่อกับแม่อยากเห็นหน้าหลานแล้ว เผื่อว่าพระท่านจะเมตตาประทานหลานมาให้แม่สักคน” ฮูหยินเจ้ายิ้มเมื่อเห็นว่าหน้าของลูกสะใภ้เห่อแดงเพราะความเขิน

“ขะ ข้า คือ ข้า..”

“เอาเถอะๆ แม่รู้ว่าเจ้ายังเด็ก แต่คนแก่ใจร้อน ไปเอง วันนี้แม่ขอพรให้ครอบครัวเรามีความสุขก็พอแล้วเจ้าว่าดีไหม”


“ดูท่าทาง ฮูหยินเจ้าอยากจะมีหลานแล้วนะขอรับ” คล้อยหลังฮูหยินเจ้าคนสนิทของร่างเล็กก็เอ่ยล้อทันที

“เจ้าพูดอะไร ของเจ้าเหวินไท่”

“ก็พูดความจริงไงขอรับ ท่านเองก็แต่งงานแล้ว แล้วก็ดูท่าทาง ท่านรองแม่ทัพก็รักใคร่ท่านดี เรื่องมีทายาทมันไม่น่าจะใช่เรื่องแปลก”

“แต่ข้ากลัว” เหยียนอี้บอกเสียงแผ่ว

“ไม่ต้องกลัวหรอกขอรับ เรื่องนี้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรน่ากลัวทั้งนั้น” บอกก่อนจะกุมมือเรียวไว้แน่น แม้เหวินไท่จะเป็นคนสนิทและองครักษ์ แต่ความจริงแล้วทั้งสองสนิทกันราวพี่น้องเพราะแม่ของเหวินไท่คือแม่นมของเหยียนอี้ เรียกได้ว่า เหวินไท่เห็นเหยียนอี้มาตั้งแต่เกิด

“ขอบใจเจ้ามากนะ เหวินไท่” ร่างเล็กยิ้มกว้าง



“เหยียนอี้! ข้ากลับมาแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น เหยียนอี้หันไปยิ้มกว้าง ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาร่างสูงที่เพิ่งกลับมาจากเข้าเฝ้า มือเรียวจัดการปลดผ้าคลุมออกให้ ก่อนที่ร่างสูงจะเดินนำเข้าห้อง

“ปกติ อยู่ที่หนานเจ้าเจ้าสนิทกับเหวินไท่มากหรือ”

“ครับ ข้ากับเหวินไท่ถูกเลี้ยงดูด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก อาจจะสนิทกว่าพี่ชายแท้ๆของข้าด้วยซ้ำ” ร่างเล็กตอบพลางถอดชุดรองแม่ทัพที่แสนรุ่มร่ามนั้นออก

“อืม” ร่างสูงขานรับ บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงรู้สึกไม่พอใจนักที่ เหวินไท่จับมือเหยียนอี้ ทั้งๆที่เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้รัก         เหยียนอี้เช่นนั้น  แต่ความรู้สึกในตอนนี้ช่างคล้ายหึงหวงมากเหลือเกิน

“ท่านพี่ กำลังไม่พอใจข้าหรือเปล่า”

“เปล่า ว่าแต่เจ้าเถอะ เพลงกระบี่ที่สอนฝึกไปถึงไหนแล้ว”

“ข้าก้าวหน้าขึ้นมากแล้วนะ รับรองว่าอีกไม่กี่ปีข้าก็สามารถ สู้กับท่านได้แล้ว” เหยียนอี้บอกอย่างร่าเริงจนอีกคนอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มอวบอย่างหมั่นเขี้ยว

“แล้วข้าจะคอยดูว่าเด็กน้อย อย่างเจ้าจะสู้ข้าได้อย่างไร”





……………………………………………………………………………………….


วันนี้เป็นงานเทศกาลโคมไฟ ทั่วทุกแห่งในเมืองหลวงเต็มไปด้วยโคมไฟสีต่างๆทั้งโคมไปธรรมดาไปจนถึงโคมไฟลวดลายแปลกตา ร่างเล็กจากหนานเจ้ากำลังตาลุกวาวกับโคมไฟรูปมังกรขนาดใหญ่ตรงหน้า เรียกรอยยิ้มให้ผู้พบเห็นได้มากโข

“ท่านพี่ โคมไฟพวกนี้สวยจัง” ร่างเล็กชี้ให้ดูโคมไฟหลายหลายรูปแบบที่ประดับอยู่ตามถนน

“ก็ต้องสวยสิงานเทศกลาโคมไฟทั้งที เจ้าไปดูด้านโน้นกับพี่ไหม มีของเล่นแปลกๆให้เจ้าเล่นอีกเยอะเลยนะ” แทนที่รองแม่ทัพหนุ่มจะเป็นฝ่ายตอบแต่ กลับเป็นน้องชายร่างบางของอีกฝ่ายตอบแทนพลางชักชวนให้เหยียนอี้ไปเล่นด้วยกันเสียด้วย

“หยางหยาง เจ้าก็อย่าซนให้มากนัก ดูสิขนาดเหยียนอี้เด็กกว่าเจ้าตั้งหลายปียังไม่ซนเท่าเจ้าเลย” สุรเสียงทุ้มตรัสขึ้นวันนี้ ฮ่องเต้เหวินหลงทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนเพื่อจะมาชมเทศกาลโคมกับสนมคนโปรด

“ฝ่า…ท่านพี่ ก็พูดเกินไปข้าซนที่ไหนกัน” ร่างบางย่นจมูกอย่างไม่พอใจ

“เจ้าหรือไม่ซน”

“พอเถอะ ข้าว่าต่อให้ชาตินี้ทั้งชาติ  ท่านก็ไม่ชนะหยางหยางหรอก” กลายเป็นร่างสูงที่เป็นฝ่ายห้ามทัพ

“ท่านพี่ให้ข้าไปเล่น ด้านโน้นกับพี่หยางหยางได้ไหม” ร่างเล็กเอ่ยถาม มือเรียวจับชายเสื้อของ หย่งเจิ่งแน่น ร่างสูงระบายลม
หายใจก่อนจะพยักหน้าอนุญาต 



“เหอะ ดูท่าเจ้ากับเหยียนอี้ยังไม่เป็นสามีภรรยากันโดยสมบรูณ์สินะ” คล้อยหลังคนรักฮ่องเต้ก็ตรัสถามกับเพื่อนสนิท

“ทำไมถึงพูดเช่นนั้น”

“ท่าทีของพวกเจ้า มันเหมือนผู้ปกครองกับเด็กในปกครองมากกว่า สามี ภรรยานะสิ”

“ท่านก็รู้ว่าข้า ไม่ได้ชอบบุรุษ”

“ข้าเองก็ใช่จะชอบ แต่ข้าก็รักหยางหยาง”

“นั่นย่อมต่างกัน ข้าเอ็นดูเหยียนอี้ เหมือนน้อง เด็กคนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องรักๆใคร่ๆ ในคำสั่งของท่านแค่ให้ข้าแต่งงาน
ไม่ใช่หรือ”  หย่งเจิ้งบอกเสียงเรียบ

“หย่งเจิ้งหนอหย่งเจิ้ง มีเพชรอยู่ในมือแต่เจ้ากลับไม่คว้าไว้ หากภายหน้ามีคนเอาเพชรเม็ดนี้จากเจ้าไป เจ้าจะเสียดายไม่ได้นะ”

“หากว่าคนที่รับมันไป เห็นคุณค่าของมันข้าก็ยินดี”

“แล้วข้าจะคอยดู เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะทำเช่นไร” ฮ่องเต้ตรัส



“พี่หยางหยาง โคมรูปดอกบัวพวกนั้นสวยจังเลย” ร่างเล็กบอก

“เจ้าดูตื่นเต้นกับเทศกาลนี้เสียจริง เด็กน้อย”

“ตื่นเต้นสิ ที่หนานเจ้าไม่เคยมีเทศกาลแบบนี้หรอกครับ ”

“งั้นเราไปดูด้านโน้นกัน”

“แต่ว่าทางนั้นมันไกลนะครับแล้วท่านพี่..”

“ช่างเถอะน่า มีเหวินไท่ไปด้วยเจ้าจะกลัวอะไร” รางเล็กพยักหน้าอย่างจำยอมก่อนจะเดินตามร่างบางไปอีกทาง






“ว๊าย!!! แย่แล้ว ฝั่งโน้นมีเรื่องกัน” เสียงโวกเหวกโวยวายของชาวบ้านทำให้ หย่งเจิ้งรีบมองหาร่างเล็กกับน้องชายทันทีแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า

“หย่งเจิ้ง ข้าว่าดูท่าจะดีแล้ว” สุรเสียงทุ้มบอก

ยังไม่ทันที่ ฮ่องเต้จะตรัสจบร่างสูงของ รองแม่ทัพแห่งกองพิทักษ์เวยขวาก็รับวิ่งไปที่เกิดเรื่องทันที ลางสังหรณ์ในใจมันบอกว่าคนที่มีเรื่องคงไม่พ้นคนของเขา


แต่หลังจากที่ไปถึงพบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดสงบแล้ว ร่างของนักเลง 10 กว่าคนนอนโอดโอยอยู่บนพื้นถนน   ฮ่องเต้เหวิน หลงรับไปประคองร่างบางของคนรักเข้ามาในอ้อมกอด ต่างจากหย่งเจิ้งที่กำลังมองมือหนาของเหวินไท่ โอบไหล่ของคนที่เขาเรียกว่า ภรรยา ไว้  คิ้วเข้มขมวดแน่น ความไม่พอใจแล่นริ้วขึ้นภายในอก ก่อนที่จะทันได้คิดอะไร มือหนาก็กระชากข้อมือบางมากำไว้แน่น

“ทะ..”

“เงียบ!!! แล้วกลับบ้านกับข้าเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มตะคอก เหยียนอี้ที่ในชีวิตไม่เคยถูกตะคอกสักครั้งมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตาซ้ำมือหนายังกำข้อมือเขาแน่นจนเจ็บไปหมด

“ท่านรองแม่ทัพ ปล่อยมือคุณชายเถิด ท่านกำแน่นเกินไปแล้ว”

“หุบปาก!! เจ้าเป็นใครบังอาจมาสั่งสอนจ้า เหยียนอี้เป็นภรรยาข้า ข้าจะทำเช่นใดมันก็เรื่องของข้า!!” ว่าจบก็ลากเด็กหนุ่มจาก
แดนใต้ออกไปทันที



หย่งเจิ้งกำลังโกรธ

โกรธอย่างที่ตัวเองไม่เคยโกรธมาก่อน เขารู้สึกไม่ชอบใจ และระแวงสงสัยในความสัมพันธ์ของ เหยียนอี้กับเหวินไท่ แม้ว่า ร่างเล็กจะบอกเขาว่าเป็นแค่นายบ่าว แต่เขากลับไม่คิดเช่นนั้น
หรือสองคนนี้จะมีความสัมพันธ์ที่เขาไม่ล่วงรู้


ตุ๊บ!!

ร่างสูงเหวี่ยงร่างเล็กลงบนเตียงก่อนที่ตาคมจะจ้องเด็กน้อยที่ตัวสั่นด้วยความกลัวเขม็ง

“ท่านพี่ ท่านเป็นอะไร”

“เจ้าบอกข้ามาตามตรงได้ไหม ว่าเจ้ากับเหวินไท่ มีความสัมพันธ์กันเช่นไร”

“ข้ากับเหวินไท่ เป็นแค่ นายบ่าว ที่รักกันเหมือนพี่น้องเท่านั้น เรื่องนี้ข้าเคยบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ”

“เหอะ พี่น้องที่ไหน เขาโอบกอดกันเช่นนั้น ซ้ำยังในที่สาธารณะ เจ้าแต่งงานกับข้า แต่ให้ ผู้ชายคนอื่นกอด เจ้ายังเห็นข้าอยู่ใน
สายตาไหม เจ้ายังเห็นข้าเป็นสามีอยู่หรือเปล่า เกียรติยศของข้าถูกการกระทำของเจ้าเหยียบจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว!!!” ร่างสูงตะคอก

“หึ ท่านเป็นห่วงเรื่องนี้หรือ ท่าเอาแต่ถามหาเกียรติของท่านโดยไม่ถามสักคำว่าข้าเป็นอะไรไหม รองแม่ทัพเจ้าท่านมันเห็นแก่ตัว” ร่างเล็กตัดพ้อ มือเรียวกำหมัดแน่นเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ตลอดเวลา เขาเห็นร่างสูงเป็นผู้ชายที่น่าเคารพนับถือ แต่
วันนี้คนตรงหน้าเขากลับเป็นใครที่เขาไม่อาจรู้จัก เป็นคนบ้าที่ห่วงแต่เกียรติจนไม่สนว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร นั่นหรือ ที่กล้าแทนตัวว่า สามี  แม้จะเป็นเพียงแค่ในนาม

“ท่านเอง ก็เป็นแค่ สามี ในนามของข้าเท่านั้น!!”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะทำให้มันเป็นจริงเสียตอนนี้เลยดีไหม” เสียงทุ้มตวาดก่อนจะกระชากอีกคนเข้ามาอย่างแรง ร่างเล็กปะทะแผงอกแกร่ง ก่อนที่ริมฝีปากของหย่งเจิ้งจะกดลงบนปากบาง

รสจูบที่ไร้ความปรานี

เหยียนอี้พยายามขัดขืนแต่ก็ทำได้น้อยนิดมืดหนานั้นดังคีมเหล็กที่ตรึงเขาไว้แน่นรสจูบที่ส่งมาไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเป็นเพียงจูบที่กรุ่นไปด้วยโทสะของร่างสูง จนเหยียนอี้ได้กลิ่นคาวเลือดของตัวเอง มันไม่เจ็บที่ตัว แต่มันเจ็บที่ใจ คนๆนี้ คือคนที่เขายกย่องมาตลอด คนๆนี้คือคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด คนๆนี้คือคนที่เขาฝากชีวิตเอาไว้ แต่แล้ว เขากลับได้เพียงแค่ น้ำตา เป็นสิ่งตอบแทนหรือ

ปังๆๆๆๆ

“พี่ใหญ่เปิดประตูให้ข้านะ เปิดเดี๋ยวนี้!!” นอกห้องร้างบางตะโกนลั่นพลางทุบประตูเสียงดังสนั่น เขาจะปล่อยให้พี่ใหฯทำร้ายน้อง
ชายคนสำคัญของเขาไม่ได้

“ฝ่าบาททรงทำอะไรสักอย่างสิ พะยะค่ะ!!”

“เจ้ากำลัวตวาดฮ่องเต้นะ หยางหยาง”

“ข้าไม่สน ถ้าน้องชายของข้าเป็นอะไรไปพวกท่านต้องรับผิดชอบ”

“พี่ใหญ่ถ้าท่านไม่ยอมเปิด ข้าจะพังเข้าไปแล้วนะ!!” หยางหยางยังคงตวาดลั่น ก่อนจะหันไปสั่งคนที่ยืนข้างๆ

“ฝ่าบาทพังประตู เข้าไปสิ พะยะค่ะ” เชื่อว่า บนโลกนี้ คงมีแค่หยางหยางคนเดียวที่กล้าตวาดโอรสสวรรค์ถึงสองครั้ง

“ได้ๆ ข้าจะพังแล้ว” วรองค์สูงตรัสก่อนจะพังประตูเข้าไปอย่างที่คนรักบอก

ปัง!!!

ทันทีที่ประตูพังร่างบางของหยางหยางก็วิ่งเข้าไปช่วยเหยียนอี้ทันที ร่างเล็กที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ถูกโอบกอดแน่น ร่างเล็กนั้นสั่นกลัวราวลูกนกที่ร้องหาแม่

“พี่ใหญ่ท่านทำเกินไปแล้วนะ ข้าจะพาเหยียนอี้ไปอยู่ในวังด้วย!!” ว่าจบร่างบางก็ประคองน้องชายคนสำคัญออกไปทันที


“เจ้าไม่ต้องตามไปหรอก” สุรเสียงทุ้มตรัสห้าม

“บางทีอาจจะเป็นข้าเองที่ผิด หากข้าไม่มีราชโองการนั้น เรื่องมันก็อาจจะไม่ลงเอยเช่นนี้ หย่งเจิ้ง ข้าเคยถามว่าเจ้าคิดอย่างไรกับ
เหยียนอี้ ถึงตอนนี้ข้าจะถามมันซ้ำอีกครั้ง จงกลับไปคิดทบทวนให้ดี ใจของเจ้าคิดเช่นไรกับเหยียนอี้กันแน่ ลองตัดเหตุผลทุกอย่างไป แล้วใช้แค่ความรู้สึกตัดสินใจบ้างนะ  ข้าคงบอกเจ้าได้เท่านี้ หากว่าเจ้าไม่ถนอมเพชรเม็ดนี้เอาไว้ มันก็สมควรถูกส่งให้กับคนที่จะถนอมมันจริงๆ”


ร่างสูงของรองแม่ทัพ ยืนนิ่งอยู่ในห้องก่อนจะทรุดลงที่เก้าอี้อย่างเหนื่อยใจ เขาทำอะไรลงไป เขาทำอะไรอยู่กันแน่ คำถามของ เจ้าเหนือหัว ยังคงวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่มีที่สิ้นสุด


“ท่านรองแม่ทัพ ข้าน้อยขอบังอาจบอกอะไรกับท่านได้หรือไม่” เหวินไท่ค้อมกายอย่างนอบน้อมเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะพูดขึ้น

“ข้ากับท่านชาย โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก  สำหรับข้าน้อยแล้ว ท่านชายไม่ได้เป็นแค่เจ้านาย แต่ยังคือน้องชายคนสำคัญ ไม่มีวันที่
จะคิดเป็นอื่นได้”


3 วัน ผ่านไป

“เหยียนอี้ ยังไม่คุยกับใครอีกหรือ” ฮ่องเต้ตรัสถามคนรัก ก่อนจะทอดพระเนตรร่างเล็กที่ยังคงนั่งนิ่งในเก๋งฤดูร้อนกลางสวน

“ยังเลย พะยะค่ะ พี่ใหญ่นะพี่ใหญ่ทำร้ายน้องชายข้าได้ คอยดูนะถ้ายังไม่มาง้อ เหยียนอี้ พรุ่งนี้ข้าจะบุกถึงจวนเลย” ร่างบางว่า

“ข้าว่า คงไม่ต้องให้เจ้าลงมือหรอก อีกไม่นาน หย่งเจิ้งต้องมาที่นี้”

“พระองค์รู้ได้อย่างไร พะยะค่ะ”

“เพราะข้าได้รับ ฏีกา ว่าชายแดนทางเหนือกำลังมีการซ่องสุมกำลังเพื่อก่อกบฏ ข้ามีราชโองการให้หย่งเจิ้งไปปราบกบฏเดิน
ทางใน 3 วัน ศึกครั้งนี้อาจจะยืดเยื้อกว่าครั้งก่อนด้วยซ้ำถ้าหย่งเจิ้งไม่มา ก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกเมื่อไหร่”


“ฝ่าบาท พระสนม รองแม่ทัพเจ้าขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” ขันทีคนสนิททูลรายงาน วรองค์สูงแย้มสรวลก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิง
อนุญาต

“ฝ่าบาท เหยียนอี้ อยู่ที่ไหน พะยะค่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามหลังจากที่ได้รับราชโองการเมื่อเช้า หย่งเจิ้งแทบจะทนรอที่จะเข้าวังไม่ไหว จิตใจมันกระวนกระวายไปหมด อยากจะพูดอยากจะบอกให้อีกฝ่ายเข้าใจ

“หย่งเจิ้ง ถ้าเจ้าเข้าไปหาเหยียนอี้ตอนนี้ แน่ใจหรือว่าจะไม่ทำร้ายเหยียนอี้อีก หากเจ้าไม่แน่ใจ ไม่พร้อมที่จะดูแล ข้าจะไม่บังคับใจเจ้าอีก” สุรเสียงทุ้มตรัส  พระเนตรคมมองเข้าไปในดวงตาสีนิลของเพื่อนสนิทอย่างหาคำตอบ และหวังว่าวันนี้มันจะเป็นคำตอบที่พระองค์พอพระทัย แม้ในคราแรกเพียงต้องการอยากจะเห็นคนผู้นี้ยามที่อยู่ในห้วงรัก แต่พระองค์กลับลืมคิดถึงจิตใจอันเปราะบางของเหยียนอี้ หากว่า สิ่งที่พระองค์ทำนั้นมันผิด พระองค์ก็ไม่ลังเลที่จะแก้ไขมัน การได้พูดคุยกับร่างเล็กทำให้อดที่จะเอ็นดูไม่ได้ และพระองค์ก็อยากให้ เหยียนอี้กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม

“กระหม่อม บอกได้แต่เพียงว่าเวลานี้ จิตใจของกระหม่อมนั้น ร้อนรนดั่งไฟสุม มันคือความรู้สึกลึกล้ำที่ไม่อาจเข้าใจได้ ทั้งโหยหา
ทั้งคิดถึง แต่เพราะกระหม่อมไม่เคยมีความรัก จึงไม่อาจกราบทูลได้ว่านั่น ใช่ รัก หรือไม่” รองแม่ทัพหนุ่มบอกอย่างหนักแน่น

“คำนี้พูดกับข้าจะมีประโยชน์ อะไร เหยียนอี้อยู่ใน สวน ไปเถอะ ข้าว่าเขาก็รอเจ้าอยู่เช่นกัน”



ร่างสูงคำนับให้ฮ่องเต้ก่อนจะวิ่งไปที่สวนของตำหนัก ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยอยู่เสมอเผยยิ้มกว้างทันทีที่เห็นแผ่นหลังเล็กที่คุ้นเคย

หมับ!!

“เอ๊ะ!!”  ร่างเล็กสะดุ้งเมื่อถูกกอดจากด้านหลัง

“เหยียนอี้ ข้าเอง”

“ท่านพี่”

เหยียนอี้ครางแผ่วเมื่อเสียงทุ้มคุ้นเคยกระซิบที่ข้างหู

“ท่าน ฮึก ท่านพี่” น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะ  ไหล่บางสะอื้นน้อยๆจนคนสูงกว่าต้องโอบไว้แน่น

“อย่าร้องไห้ พี่ขอโทษ ขอโทษนะ ที่ทำร้ายเจ้า ขอโทษที่ไม่ยอมฟังเหตุผล ของเจ้าเลย ขอโทษนะเหยียนอี้” ร่างสูงว่าพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น

“เหยียนอี้ กลับบ้านเรานะ กลับบ้านเรา….กับพี่”

“ทานพี่” เหยียนอี้ โผเข้ากอดร่างสูงแน่น ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยชอบคนเมืองหลวง แต่เขาชอบคนบ้านสกุลเจ้า ชอบพี่หยางหยางที่
ร่าเริง ชอบฮ่องเต้ที่บางครั้งก็ชอบแกล้งเขา และที่สำคัญ เขาชอบ คนตรงหน้านี้มาก  ชอบยามที่ร่างนั้นส่งยิ้มให้ ชอบที่มือหนามักลูบผมเขาอย่างอ่อนโยน ชอบอ้อมกอดที่มีให้มาเสมอ ชอบ…จนคล้าย จะรัก

“เด็กโง่ อย่าร้อง เห็นไหมตาบวมหมดแล้ว” มือหนาประคองไหล่บางอย่างทะนุถนอม  จนคนสองคนที่แอบมองอยู่ยิ้มกว้างตามไปด้วย

..จวนแม่ทัพ..

“ท่านพี่มีอะไรจะบอกข้า หรือ” ร่างเล็กถามก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้

“เหยียนอี้  แต่งงานกันไหม”

“แต่ ข้ากับท่านก็แต่งกันแล้วไม่ใช่หรือ” ร่างเล็กเลิกคิ้วถาม

“ไม่ใช่ นั่นเป็นแค่เรื่องที่เราสองคนทำตามราชโองการ พี่หมายถึง แต่งงานกันจริงๆ การแต่งงานที่เจ้าเต็มใจ”

“ไม่ว่าจะเพราะ ราชโองการ หรือเพราะอะไร วันนี้ เวลานี้ เราสองคนก็แต่งงานกันแล้ว และข้าก็เต็มใจที่จะเป็น ภรรยาท่าน”

“ข้าอาจจะเก่งกาจในเรื่องการรบ แต่สำหรับ ความรัก พี่คงเป็นคนที่โง่งมที่สุด แต่เจ้าจะลองเสี่ยงกับพี่สักครั้งได้ไหม”

“เหยียนอี้….พี่รักเจ้า เจ้าหย่งเจิ้ง คนนี้ ขอสาบานต่อฟ้า ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆจะไม่ขอรักใครอีก นอกจากผังเหยียนอี้ คน
เดียว”

จุมพิตหวานล้ำถูกประทับลงบนริมฝีปากบาง มันอ่อนหวานแต่ก็เต็มไปด้วยแรงปรารถนา ทันทีที่ถูกปล่อยเหยียนอี้หอบตัวโยน
ราวกับถูกดูดอากาศออกไปจากตัว เรียกรอยยิ้มให้อีกฝ่ายได้ไม่อยาก หย่งเจิ้ง ก็ไม่เคยคิดว่า จะต้องมีภรรยาที่อายุน้อยเพียงนี้แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้เวลามันผ่านไปอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว

“พี่จะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเต็มใจจะเป็น ภรรยา ของพี่ใช่ไหม”

“ข้าเต็มใจ…เพราะข้าเองก็รักท่าน เช่นกัน”

คำว่ารัก เกิดขึ้นเมื่อใดไม่มีใครรู้ แต่ในเวลานี้ เมล็ดพันธ์นั้นได้เติบโตงอกงามและหยั่งรากลึกลงไปในหัวใจทั้งสองดวง


ริมฝีปากหนาทาบทับลงมาอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเลาะเล็ม ชิ้มเนื้อนุ่มอย่างห้ามไม่อยู่ ลิ้นร้อนค่อยๆสอดเกี่ยวกระหวัดตามแรงอารมณ์ที่เพิ่มขึ้น แม้อีกฝ่ายจะไร้เดียงสา แต่มันกลับกระตุ้นให้ชายหนุ่มต้องการมากขึ้น  สองร่างกอดรัดบนเตียงอย่างหื่นกระหาย เสื้อผ้าถูกถอดอย่างรวดเร็วแทบไม่ทันตั้งตัว ทุกสัมผัสที่นั้น สร้างความแปลกใหม่ให้กับเหยียนอี้

“อะ อื้อ” ร่างเล็กครางแผ่วเมื่อมือหนาลูบไล้ไปบนร่างเปลือยเปล่าทุกที่ ที่ถูกสัมผัส ทุกทีที่ ถูกจุมพิต นั้นร้อนผ่าว ร่างเล็กบิดกายด้วยความเสียวซ่าน  หัวใจเต้นแรงกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้รับ
หย่งเจิ้งก้มลงชิมผิวเนื้อเนียนละเอียด ทุรอยที่ฝากไว้เป็นตราประทับว่าร่างกายนี้เป็นของเขา คือคนที่เขาต้องปกป้องดูแลไปตลอดชีวิต

“พี่รักเจ้านะ เหยียนอี้”

“ข้าก็รักท่าน ท่านพี่”

ทุกสัมผัสตราตรึงโหมกระหน่ำ สอดประสานสายใยให้ร่างกายและหัวใจผูกพันกันมากขึ้น  ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ทุกนาทีเต็มไปด้วยคำว่ารัก ทั้งสองเฝ้ากระซิบรักผ่านร่างกายอย่างไม่เบื่อหน่าย


ห่างไกลพันลี้ยังได้พบพาน   บุพเพสรรค์สร้างมิอาจฝืน…



“เหยียนอี้ มีเรื่องหนึ่งที่พี่ต้องบอกเจ้า” เสียงทุ้มเอ่ยกับคนในอ้อมกอด

“ท่านมีมีอะไรหรือ”

“ช่วงนี้ มีรายงานว่า ชายแดนทางเหนือมีการซ่องสุมกำลังหวังก่อกบฏ พี่ต้องนำทัพไปปราบในอีก 3 วัน เจ้าโกรธพี่หรือไม่”

“อย่าห่วงไปเลย ท่านเป็นถึงรองแม่ทัพ ข้าเป็นภรรยาของท่านย่อมต้องยินดีกับเกียรติครั้งนี้เช่นกัน”

“ขอโทษนะ เหยียนอี้ เพราะพี่ไม่ดีเอง ถ้าพี่รู้ใจตัวเองเร็ว เราคงอยู่ด้วยกันได้นานกว่านี้”

“ข้าไม่เคยคาดหวังเรื่องอนาคต เพียงแค่วันนี้ ตอนนี้ แค่ข้าได้อยู่ในอ้อมกอดท่าน ข้าก็มีความสุขแล้ว”


……………………………………………………………………………


“ฮูหยินน้อย จดหมายจากคุณชายใหญ่มาถึงแล้วขอรับ” ข้ารับใช้นำซองจดหมายมายื่นให้ร่างเล็ก อย่างที่ทำเป็นประจำ

“ขอบใจเจ้ามาก” เหยียนอี้บอกก่อนจะ แกะจดหมายนั้นออกอ่านอย่างเบามือ มันเป็นเช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว หลังจากที่ หย่งเจิ้งต้องออกเดินทางไปชายแดน ร่างสูงก็เขียนจดหมายมาหาเขาแทบทุกวันและยังบังคับให้เขาเขียนตอบทุกฉบับอีกด้วย ถึงเขาจะห้ามก็ไม่ยอมฟัง จนกลายเป็นว่าทุกวันเขาต้องตั้งตารอจดหมายของ สามี จนเป็นเรื่องเคยชิน แม้ว่า เนื้อความในจดหมายจะเอาแต่เล่าเรื่องชายแดนที่เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่อย่างน้อย ก็ทำให้ ความคิดถึง คลายลงไปได้บ้าง

“พี่ใหญ่เขียนจดหมายมาอีกแล้วหรือ” เสียงหวานของหยางหยางเอ่ยทักขึ้น

“ใช่ครับ พี่หยางหยางนั่งก่อน วันนี้ท่านแม่สอนข้าทำขนม เยวข้าจะไปหยิบมาให้ท่านชิมนะ” เหยียนอี้บอกอย่างร่าเริง ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อนไปหยิบขนมมาให้พี่ชายคนสนิท

“เอ๊ะ!!”

“เหยียนอี้ เจ้าเป็นอะไรไป” หยางหยางร้องลั่นเมื่อเห็นว่า พี่สะใภ้ ของตนหน้ามืด จนแทบจะทรุดลงไปกับพื้น

“เหยียนอี้ ใครอยู่แถวนี้บ้างไปตามหมอที ฮูหยินน้อย เป็นลม!!!”


“ท่านหมอ อาการของลูกสะใภ้ ข้าเป็นยังไงบ้าง” ฮูหยินเจ้าเอ่ยถามหมอวัยกลางคนที่กำลังจับชีพจรของเหยียนอี้

“เรียน ฮูหยิน ข้าขอถามสักเรื่องได้ไหม ขอรับ”

“มีอะไรหรือ”

“ฮูหยินน้อย เป็นชาวหนานเจ้า ใช่หรือไม่”

“ท่านหมอรู้ได้อย่างไร ว่าเหยียนอี้เป็น ชาวหนานเจ้า” ฮูหยินถามอย่างแปลกใจ

“ตอนแรกข้าแปลกใจกับเรื่องนี้อยู่มาก แต่หากว่า ฮูหยินน้อยเป็นชาวหนานเจ้าเรื่องนี้ก็นับว่าไม่แปลกนัก”

“พี่สะใภ้ข้าเป็นอะไรอย่างนั้นหรือท่านหมอ ได้โปรดบอกมาเถอะ” หยางหยางที่นั่งฟังอยู่นานโพล่งขึ้น

“เรียนพระสนม ฮูหยินน้อยไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร หรอกขอรับ ซ้ำยังเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง ฮูหยินตั้งครรภ์ได้ เกือบเดือนแล้ว
ขอรับ”

“ท้อง!!” หยางหยางตะโกนลั่น คล้ายว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอย่างอื่นได้ ทั้งดีใจทั้งตกใจปนกันมั่วไปหมด ขนาดฮูหยินเจ้าเองก็ยังเอาแต่ ประนมมือไหว้ขอบคุณเทพบนสรรค์ที่ประทานทายาทให้สกุลเจ้า

“ขอรับ เช่นนั้นข้าจะเขียนเทียบยาให้ ต้มกินเช้าเย็นเพื่อลดอาการวิงเวียนและอาการแพ้นะขอรับ”

“ขอบคุณท่านหมอ”



“เหยียนอี้ ได้ยินไหมเจ้าท้อง”

“ข้า ฮึก ข้า ฮึก ฮื่อๆๆๆ” ร่างเล็กที่กำลังจะเป็นแม่คนร้องไห้จ้า มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ แต่มันคือน้ำตาแห่งความปิติ เพราะนี่คือลูกของเขากับคนที่เขารัก

“เด็กโง่ เป็นแม่คนแล้วยังร้องไห้เป็นเด็กๆ ไม่เอาไม่ร้องเดี๋ยวหลานพี่ ขี้แยนะ”

....ต่อด้านล่าง...
 
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 7 บ่วงรักคล้องใจ (จบในตอน) : 9/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 09-08-2014 14:19:19



สามเดือนผ่านไป

เหยียนอี้ที่ตอนนี้ท้องได้เกือบสี่เดือนแล้วกำลังอ่านจดหมายของ หยงเจิ้ง ให้ลูกฟังอย่างตั้งใจ นั่นเพราะต้องการให้ลูกใกล้ชิดกับพ่อบ้าง เพราะถึงแม้ว่าร่างสูงจะรู้ว่าเขาท้อง แต่ด้วยภาระหน้าที่ทำให้ไม่อาจมาเยี่ยมได้อย่างที่ใจคิด จึงต้องใช้การเขียนจดหมายมาหาแทนจากวันละฉบับกลายเป็นสองฉบับ เพราะร่างสูงดูเหมือนจะมีเรื่องคุยกับลูกเยอะเสียเหลือเกิน

“อ่านจดหมาย พี่ใหญ่อยู่อีกแล้วหรือ”

“ครับ พี่หยางหยาง” ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะสังเกตว่าคนที่นั่งตรงข้ามตนพักนี้ดูไม่ค่อยร่าเริงอย่างที่เคยเป็น

“พี่หยางหยาง มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าครับ”

“เฮ้อ พี่บอกตามตรงนะ เหยียนอี้ ตอนนี้พี่กำลัง อิจฉาเจ้า”

“อิจฉาข้า ข้ามีตรงไหนน่าอิจฉากัน” ร่างเล็กขมวดคิ้วแน่น

“พี่อยากมีลูกได้อย่างเจ้า” เสียงหวานบอก

“ทำไมล่ะครับ”

“เจ้าก็รู้ วังหลัง แก่งแย่ง ชิงดี วันนี้ทรงโปรดพรุ่งนี้อาจจะทรงชัง ฝ่าบาทมีสนม นางใน มากมายมาให้เลือกไม่ขาด ไม่แน่ว่า สักวันพี่อาจจะถูกทอดทิ้ง”

“ไม่หรอกครับ ฝ่าบาทรักท่านจะตาย”

“ใครจะไปรู้เรื่องของอนาคต ข้าก็แค่เหงา ถ้าเกิดวันหนึ่ง ฝ่าบาทไร้เยื่อใยกับพี่ พี่คงต้องอยู่คนเดียว แต่หากว่าพี่มีลูก อย่างน้อยก็ยังมีใครสักคนอยู่กับพี่”

“พี่อยากมีลูก จริงๆหรือครับ”

“อยากสิ” เสียงหวานบอกอย่างหนักแน่น

“ข้าช่วยท่านได้ แต่ว่าผลข้างเคียงของมันอาจจะรุนแรงจนท่านรับไม่ไหว ข้าเคยเห็นคนที่ยอมกินมัน ส่วนมากมักจะไม่รอด”

“เจ้ากำลังพูดให้ข้ากลัวหรือเปล่า”

“ไม่ใช่นะครับ ข้าแค่อยากเตือนท่าน ว่ามันไม่ง่าย”

“เหยียนอี้ ขอร้องล่ะช่วยข้าด้วย”

“ได้ครับ ข้าจะช่วย แต่เดิมนั้น ชาวหนานเจ้าไม่ว่าจะชายหรือหญิง ก็สามารถให้กำเนิดบุตรได้ แต่สำหรับเพศชายนั้น ต้องเป็นบุคคลที่เกิดวันที่ 9 เดือน 9 เท่านั้น แต่ในอดีต เคยมีอ๋อง หนานเจ้าที่มี พระชายาเป็นชายแต่ไม่สามรถกำเนิดบุตรได้ อ๋องคนนั้น ได้เสาะหาหมอเทวดาทั่วแผ่นดินเพื่อปรุงยาวิเศษ”

“ยาพวกนั้นอยู่กับเจ้าใช่หรือเปล่า”

“จริงๆส่วนประกอบพวกนั้น หาซื้อที่ไหนก็ได้ครับ แต่ว่ายาตัวนั้น ต้องผสมกับเลือดของ ทายาทแห่งหนี่วา”

“แปลว่า พี่ต้องดื่มเลือดเจ้าหรือ” ร่างบางตาเบิกโพลง ถ้าพี่ใหญ่รู้เข้าล่ะก็เขาต้องถูกฆ่าแน่

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มันใช้แค่ 9 หยด แต่ผลข้างเคียงนั่น ต่างหากที่ข้ากลัว ยานี้จะทำให้อวัยวะภายในเปลี่ยนแปลง ทำให้ปวดท้องอย่างหนักติดต่อกันสามวันเต็ม แต่หากพี่ผ่านไปได้พี่จะเป็นเหมือนข้า แต่น้อยคนนักที่จะสามารถผ่านมันไปได้ มันจึงกลาย
เป็นยาต้องห้ามของ หนานเจ้า ครับ” 

“ข้าอยากให้พี่ลองคิดให้ดี”

“พี่ไม่กลัว!” หยางหยางบอกอย่างหนักแน่น



“โอ้ย!!! อึก อ๊ากกกกกกกกกก”

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของคนรักทำให้วรองค์สูง ได้แต่กำมัดแน่น ทั้งๆที่คนรักต้องทุกทรมานแต่พระองค์กลับทำได้แค่ยืนมอง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!

“หมอหลวง หยางหยางเป็นอะไร มีใครหน้าไหนบอกข้าได้บ้างว่า เมียข้าเป็นอะไร!!” สุรเสียงทุ้มตวาดลั่นทำเอาเหล่าบรรดาหมอ
หลวงต่างโขกศรีษะอย่างหวาดกลัว

“คะ คือ คือ ว่า ข้า พระองค์ ไม่ทราบสาเหตุ จริงๆ พะยะค่ะ” 

“พวกเจ้าเป็นหมอ แต่ทำไมถึงหาสาเหตุไม่ได้!!! มันน่าเอาไปสับแล้วโยนให้สุนัขกินเสียให้หมด ทหาร ลากพวกมันไปประหาร!!”

“ฝ่าบาท ยะ อย่า พะยะค่ะ  หมอหลวงไม่ได้ผิด อย่าทำ อย่าประหาร” เสียงอ่อนแรงนั้นบอก ก่อนที่วรองค์สูงจะกอดยอดดวงใจของพระองค์ไว้แน่น

“หยางหยาง อย่าพูดเลย อย่าพูด เจาจะเหนื่อยนะ” สุรเสียงนั้นสั่นเครือ เมื่อเห็นว่าคนรักอ่อนแรงเหลือเกิน

“เหยียนอี้ มีแค่เหยียนอี้ ที่รู้ ไปตามเหยียนอี้”

“เหยียนอี้หรือ ได้ข้าจะให้คนไปตามเขามาหาเจ้า”

………………………………………………………………………………………….

“เจ้าว่าอะไรนะ!!!” สุรเสียงทุ้มตวาดลั่นเมื่อ ร่างเล็กตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง วรองค์สูงสั่นทิ้มก่อนจะตะกองกอดร่างที่นอนอ่อนแรงบนเตียง

“หยางหยาง ข้ารักเจ้า ข้ารักเจ้านะ ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ แม้ว่าข้าจะมี สนมมากมาย แต่คนเดียวที่ข้ารักก็คือเจ้านะ หยางหยาง” 

เหยียนอี้ยืนมองวรองค์สูงที่กอดร่างบางไว้แน่นก่อนจะยกยิ้ม เขาเชื่อว่าหยางหยางจะผ่านมันไปได้ เพราะความรักและกำลังใจจาก ฮ่องเต้


ตลอดสามวันเหยียนอี้ต้อง อยู่ในวัง เพื่อคอยเฝ้าดูอาการของหยางหยาง  รวมทั้งต้องคอยห้ามปรามฮ่องเต้ ที่มักจะเอาโมโหง่ายเพราะความเป็นห่วงคนรัก จนคนในวังไม่มีใครเข้าหน้าติด

“เหยียนอี้” เสียงอ่อนแรงนั้นเอ่ยเรียก

“พี่ดีขึ้นไหม ยังปวดอยู่หรือเปล่า”

“พี่ดีขึ้นแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่อยู่เป็นเพื่อน ทั้งๆที่เจ้าเองก็ท้องอยู่แท้ๆ”

“อย่าห่วงเลย ข้าไม่เป็นอะไร เดี๋ยวฝ่าบาทกลับจากประชุมขุนนาง คงดีใจมากที่ท่านหายแล้ว”


…………………………………………………………………………………………………….

ใกล้กำหนดคลอดเข้าไปทุกทีจดหมายจากหย่งเจิ้งยิ่งมาบ่อย วันๆคนรับใช้แทบจะไม่ต้องทำอะไรนอกจากคอยรับส่งจดหมาย และแน่นอน เหยียนอี้ไม่ลืมที่จะบอกข่าวดีกับหย่งเจิ้งว่า หยางหยางตั้งครรภ์ได้ สี่เดือนแล้ว ตอนนี้ฝ่าบาทแทบไม่ให้เดินออกจากตำหนัก แรกๆเขาก็ไปเยี่ยมได้บ้างแต่พอท้องแก่ก็ไม่สามารถไปไหนได้เกรงว่าจะคลอดก่อนกำหนด

“เหยียนอี้ พวกเจ้าสองสามี ภรรยานี่ วันๆ จะเขียนจดหมายถึงกันอย่างเดียวเลยหรือ” เสียงหวานที่คุ้นเคยเอ่ยทักก่อนที่พระสนมคนโปรดจะเดินเข้ามาพร้อมกับสวามี

“ถวายพระพรฝ่าบาท”

“ไม่ต้องหรอกเราคนกันเองทั้งนั้น ที่สำคัญเจ้าก็ทั้งแก่แล้วจะมาลุกๆนั่งๆ ได้ยังไง ถ้าหย่งเจิ้งกลับมาแล้วรู้ว่าข้าให้เจ้าทำความเคารพทั้งๆที่ท้องแก่ ข้าอาจจะเป็นฮ่องเต้ที่โดนรองแม่ทัพต่อยก็ได้นะ”

“ขอบพระ…………เอ๊ะ!!” ร่างเล็กนิ่วหน้า เมื่อรู้สึกปวดท้องขึ้นมากะทันหัน

“เหยียนอี้เจ้าเป็นอะไร”

“ข้าปวดท้อง”

“หรือว่าเจ้าจะคลอด ตามหมอ ท่านก็ไปตามหมอมาสิ เร็วๆ” ร่างบางตวาด

ความโกลาหลเกิดขึ้นทั้งจวนแม่ทัพ เมื่อ ฮูหยินน้อย กำลังจะคลอดทายาทคนแรกของบ้าน ทุกคนสีหน้าเป็นกังวลเพราะด้วยที่ เหยียนอี้เป็นชายทำให้มีอันตรายในหารคลอดมากแม้ว่า ฮ่องเต้ จะให้นำหมอที่เก่งที่สุดจากหนานเจ้ามาที่นี้ก็ตาม


แง้ๆๆๆๆ
ผ่านไปพอสมควร เสียงเด็กร้องในห้องก็ดังขึ้นพร้อมกับที่สาวใช้ อุ้มคุณหนู คนแรกของบ้านออกมา

“นายท่าน ฮูหยิน เป็นคุณชายน้อยเจ้าคะ”

“จริงเหรอ หลานย่า” ฮูหยินเจ้ายิ้มอย่างดีใจก่อนจะรับหลานชายมาอุ้มไว้แนบอก



เสียงควบม้าดังขึ้นท่ามกลางความมืด ชายหนุ่มร่างสูงหวดแส้อย่างไม่ยั้งมือ ทันทีที่รู้ข่าว หย่งเจิ้งแทบจะกระโดดขึ้นม้าเพื่อมาดูหน้าลูกแต่ก้จนปัญญาเมื่อศึกกำลังอยู่ในช่วงอันตราย เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมมากมายจนในที่สุดก็เอาชนะมาได้แต่ก็ต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์   ร่างสูงยิ้มกว้างเมื่อประตูเมืองหลวงอยู่ไม่ไกล

เหยียนอี้ เยว่เทียน ข้ากลับมาแล้ว


“คะ คุณชายใหญ่” ข้ารับใช้ที่ต่างเห็น หย่งเจิ้งได้แต่ก้มหน้านิ่ง ชายหนุ่มรีบลงจากหลังม้าก่อนจะก้าวเข้าไปในบ้าน ทันที

“เหยียนอี้ พี่กลับมาแล้ว” ตะโกนอย่างดีใจแต่กลับไร้เสียงตอบ บ้านดูเงียบเสียจนเขาแปลกใจ

“หย่งเจิ้ง” เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้น ก่อนที่ฮูหยินที่ในอ้อมกอดมีเด็กชายตัวน้อยอยู่จะเดินออกมาหา

“นี่ เยว่เทียน ของข้าใช่ไหมครับ ท่านแม่”

“ใช่ นี่เยว่เทียนของเจ้า”

“ลูกพ่อ” ชายหนุ่มรับลูกชายมาอุ้มแนบอก ความดีใจแล่นริ้วในอก จนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

“ท่านแม่ เหยียนอี้ล่ะครับ ตั้งแต่ข้ามายังไม่เห็นเลย”

“เหยียนอี้ เหยียนอี้เขา.. ฮึก ” ฮูหยินเจ้าบอกเสียงสั่น ร่างสูงย่นคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะสังเกตชุดของผู้เป็นแม่ แม่อยู่ในชุดไว้ทุกข์

“ท่านแม่ เหยียนอี้ เป็นอะไร”

“เหยียนอี้ จากพวกเราไปแล้ว”

หยงเจิ้งแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน แต่ป้ายวิญญาณที่เขาไม่สังเกตในตอนแรกเป็นสิ่งตอกย้ำได้ดีว่า เขามาช้าเกินไป ..


5 ปี ผ่านไป

“เยว่เทียน พ่อเจ้าล่ะ” หยางหยางเอ่ยถามหลานชายวัยสี่ขวบที่นั่งเล่นอยู่กับเหวินไท่

“อยู่กับท่านแม่ ในสวนครับ” เด็กชายตอบเสียงใส

“เช่นนั้น ให้ เฟยหลง เล่นกับเจ้าได้ไหม ”

“ได้สิครับ เฟยหลงมาเล่นกับข้านะ” เด็กน้อยบอกก่อนจะจูงมือเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันอีกคนไป

หยางหยางได้แต่ถอนหายใจอย่างหนัก คำว่า อยู่กับท่านแม่ ของเยว่เทียนทำให้เขายิ่งหนักใจ หลังจากที่เหยียนอี้จากไป พี่ชายเขาก็กลายเป็นคนซึมเศร้าแม้ภายนอกจะไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่ทุกคนก็มองออกว่าภายใต้หน้ากากเรียบเฉยนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด หย่งเจิ้ง ยังคงเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม แต่กลับเหมือนไม่มีชีวิต ทุกครั้งที่ไปรบ จะทุ่มสุดกำลังเหมือนไม่เสียดายชีวิต เขารู้ดีว่าพี่ชายกำลังตรอมใจ  หากไม่มีเยว่เทียน ไม่แน่ว่าพี่ชายเขาอาจจะตามเหยียนอี้ไปแล้วก็ได้  ภาพพี่ชายที่กำลังนั่งกอดป้ายวิญญาณของเหยียนอี้ดูเศร้าเสียจนเขาต้องเบือนหน้าหนี ตั้งแต่วันที่เหยียนอี้จากไป เขาก็เคยเห็นพี่ชายตัวเองยิ้มอีกเลย…


ปีที่ 20 ในรัชสมัยฮ่องเต้ เหวินหลง แม่ทัพเจ้าหย่งเจิ้ง พลีชีพในสนามรบอย่างสมเกียรติ ร่างของเขาถูกนำไปฝังที่เดียวกับภรรยาเพื่อทั้งสองจะได้อยู่เคียงข้างกันชั่วนิจนิรันดร์


……………..END………………………



 :hao5: มีโอกาสได้คุย เสียที ลำนำ ร้อยรัก เป็น นิยายแนวจีนโบราณ

ที่เกี่ยวกัน โดย ภพชาติ ค่ะ

เพียงใจมั่นรัก จะอยู่ในช่วงราชวงศ์ถัง ส่วน บ่วงรักตล้องใจ จะเป็น ช่วงราชวงศ์ ซ่งใต้

แม้ว่าจะเกี่ยวข้องกัน ตามภพชาติ แต่พิตตั้งใจว่า ทั้งสอง จะไม่มีความทรงจำใดใด

ของชาติที่แล้ว เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่จะมีเหตุการณ์เชื่อมโยงเพียง น้อยนิดเท่านั้น

เพื่อให้เห็นว่ายังเหลือ เค้าของอดีตอยู่

"ตอนหน้าก็จบแล้ว"  มันอาจจะดราม่า มาสองเรื่อง แต่ เรื่องนี้ จบแฮปปี้ แน่ๆ

ความรักที่ยาวนาน สามชาติ จะเป็น ยังไงต่อ ใครสนใจ ก็ตามต่อได้ ค่ะ

อิมเมจนะจ๊ะ
เหยียนอี้
(https://m.ak.fbcdn.net/sphotos-c.ak/hphotos-ak-xfp1/t1.0-9/10322632_10201941947104241_8323496182686690461_n.jpg)

หย่งเจิ้ง
(https://m.ak.fbcdn.net/sphotos-e.ak/hphotos-ak-xpa1/v/t1.0-9/10518699_10201941958784533_9055721042983569223_n.jpg?oh=2d0494e9c7daea69532edd05ff6e7050&oe=545BC110&__gda__=1417037830_f0cc62188cc7d798301b0afb43c30906)
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 7 บ่วงรักคล้องใจ (จบในตอน) : 9/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 09-08-2014 16:58:25
ดราม่าน้ำตาไหลมาสองชาติแล้ว

สัญญาน๊าาว่าชาติสุดท้ายจะไม่มีแบบนี้แล้ว  :monkeysad:

สงสารเหยียนอี้กับหย่งเจิ้งที่สุดเลยพอรักกันได้มีลูกด้วยกัน แต่เหยียนอี้ก็ต้องมาจากไป

 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 7 บ่วงรักคล้องใจ (จบในตอน) : 9/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: PhInNoI ที่ 09-08-2014 21:21:46
 :mew6: :mew6: :mew6:

หวังว่าตอนจบจะแฮปปี้จริงๆนะ

 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 7 บ่วงรักคล้องใจ (จบในตอน) : 9/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-08-2014 23:09:51
ตอนสุดท้ายขอแบบน้ำตาลท่วมเลยนะ
เอาแบบหวานๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 7 บ่วงรักคล้องใจ (จบในตอน) : 9/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 09-08-2014 23:11:09
น้ำตาไหล  :hao5:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 7 บ่วงรักคล้องใจ (จบในตอน) : 9/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 10-08-2014 14:51:23
เศร้าจัง...เรื่องสามจะไม่เศร้าใช่ไหม?
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 7 บ่วงรักคล้องใจ (จบในตอน) : 9/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 10-08-2014 18:02:43
 :m15: เศร้ามาอีกแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 7 บ่วงรักคล้องใจ (จบในตอน) : 9/8/14 P4
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 11-08-2014 16:11:12
เศร้าอ่ะ
ถึงจะได้รักกัน แต่ก็มิได้ครองคู่กัน มันเจ็บปวดนะ T-T
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 21-08-2014 03:02:08


ร้อยรักเคียงใจ (ฟู่ซือ <3 เสวี่ยจง)


..ปักกิ่ง..

บนถนนหลวงในมหานครปักกิ่งอันรุ่งเรืองปรากฏเกี้ยวขนาดแปดคนหามที่งดงามเกินกว่าจะเป็นเกี้ยวของขุนนางคนใด ตามด้วยทหารองค์รักษ์นับ 10 นายที่เดินอย่างเป็นระเบียบ ชาวบ้านต่างพากันหยุดเดินและหลีกทางให้ขบวนนั้นผ่านไปอย่างง่ายดาย หากจะนับเรื่องอำนาจบารมีแล้ว เกรงว่าคนในเกี้ยวนั้นคงจะเป็นรองแค่เพียง ฮ่องเต้ พระองค์เดียว

“นั่นเกี้ยวของท่านอ๋องแปดหรือ” ชาวบ้านคนหนึ่งกระซิบถาม

“ย่อมต้องใช่แน่นอน”

“ท่านอ๋องช่างเป็นผู้มี บารมีโดยแท้จริงๆ”

ท่านอ๋องแปด หรือ เหอซั่วชินหวังฟู่ซื่อ ที่ชาวบ้านพูดถึงเป็นโอรสองค์ที่แปดของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่แม้จะมิใช่ องค์ชายที่เกิดจากฮองเฮา แต่ด้วยความสามารถที่โดดเด่นทำให้ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องทั้งๆที่พี่น้องคนอื่นยังคงเป็นเพียงองค์ชาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคนผู้นี้คือ ผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง แม้ไม่มีใครเอ่ยปากพูดแต่ก็รู้กันดี อำนาจในราชสำนักเวลานี้เป็นของผู้ใด
แต่ก่อนที่เกี้ยวหลังงามจะผ่านถนนไป พลัน!! มีร่างๆหนึ่งวิ่งมาตัดหน้าก่อนที่ร่างนั้นจะโงนเงนราวกับหมดแรงแล้วเป็นลมล้มไป ชาวบ้านและทหารองครักษ์ทั้งหมดกลั้นลมหายใจกับภาพตรงหน้า ไม่ใช่ตื่นกลัวที่มีคนๆหนึ่งล้มไปต่อหน้าแต่ตื่นกลัวบุรุษทรงอำนาจที่ยังคงอยู่ในเกี้ยวต่างหาก ทุกคนในปักกิ่งต่างรู้กันดีว่า ท่านอ๋องแปด นั่นอารมณ์ขึ้นลงยากจะคาดเดา ยามสั่งประหารนั้นใบหน้าเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ซ้ำยังค่อนข้างถือตัว ไม่ชอบ ความวุ่นวาย แล้วเจ้าคนไม่กลัวตายที่ไหนกล้าไปขวางทางเกี้ยวของท่านอ๋องกัน!!

“หยุดเกี้ยวทำไม ซาคัง” เสียงทุ้มทรงอำนาจนั้นเอ่ยขึ้นทำเอาคนถูกเรียกชื่อหายใจไม่ทั่วท้อง

“เรียนท่านอ๋อง มีคนหมดสติขวางทางอยู่ขอรับ” ซาคัง หัวหน้าองค์รักษ์เอ่ยอย่างนอบน้อม

“งั้นหรือ วางเกี้ยวสิ ข้าจะลงไปดูหน่อย”

“ท่านอ๋องอย่าลำบากเลยขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยให้ทหารลากออกไปก็ได้ขอรับ”

“วางเกี้ยว” เสียงนั้นไม่ตะคอกเสียงดังแต่เป็นการพูดที่ชัดถ้อยชัดคำยิ่ง คนที่อยู่ข้างกายมานานอย่างซาคังย่อมรู้ดีว่าท่านอ๋อง
กำลังไม่พอใจ

“วางเกี้ยว!!” ซาคังตะโกนสั่งคนรับใช้ก่อนที่จะกุลีกุจอไปเปิดม่านให้เจ้านายหลังจากที่เกี้ยวถูกวางลง ชาวบ้านที่ยังคงยืนออกันอยู่ ต่างรอที่จะพบหน้าท่านอ๋องแปดด้วยความตื่นเต้น แม้ผู้คนในเมืองหลวงล้วนรู้จัก แต่น้อยคนนักที่จะได้เห็นหน้าเพราะท่านอ๋องแปดเป็นคนถือตัว ยามไปไหนมาไหนมักจะใช้เกี้ยวและผู้ติดตามจำนวนมาก วันนี้พวกเขานับว่าเป็นบุญตาแล้ว
ร่างสูงโปร่งในเครื่องแต่งกายหรูหราอย่างเชื้อพระวงศ์ก้าวออกมาจากเกี้ยวท่ามกลางสายตาของชาวบ้านนั้นบริเวณนั้น ท่านอ๋องแปด นับว่าเป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาคมคายสมชายชาตรี อีกทั้ง ท่าทางที่สง่างาม นั้นทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ต่างอดที่จะขวยเขินไม่ได้



ตาคมทอดมองไปยังร่างๆหนึ่งที่หมดสติอยู่บนถนน คิ้วเข้มขมวดแน่นพลางพิจารณา คนๆนี้เป็นเด็กหนุ่มที่น่าจะอายุไม่มาก ทั้งเสื้อที่อีกคนสวมใส่อยู่ก็สกปรกมอมแมม แต่ดูจากลักษณะแล้ว คนตรงหน้าจึงน่าจะเป็น ชาวบ้านธรรมดา

“ไปตรวจดูสิว่าเขาเป็นยังไงบ้าง” เสียงทุ้มสั่งคนสนิท ซาคังเดินเข้าไปที่ร่างนั้นก่อนจะพลิกงายขึ้นมาแล้วลองตรวจชีพเจ้าดู

“เขายังมีชีวิตอยู่ขอรับแต่คงเพราะอ่อนเพลียมากเลยเป็นลมไป”

“เช่นนั้นหรือ เอาเงินให้เขาสิบตำลึง แล้วให้ทหารลากออกไปข้างทางซะ”

“ขอรับท่านอ๋อง” ร่างแกร่งหนาของซาคัง รับคำก่อนจะสั่งทหารให้ลากเด็กหนุ่มคนนั้นไป

“เดี๋ยวก่อน!!” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเดินตรงไปที่เด็กหนุ่ม มือหนาคว้าหยกประดับเอวของอีกฝ่ายขึ้นมาพิจารณา

“มีอะไรขอรับท่านอ๋อง”

“ซาคัง ช่วยพาคนๆนี้กลับไปรักษาที่จวนด้วย”  ท่านอ๋องแปดสั่งการก่อนจะเดินกลับขึ้นเกี้ยวไป

“ได้ขอรับ”  ซาคังรับคำแม้จะไม่เข้าใจการกระทำของผู้เป็นนายแต่เขาก็รู้ดีว่าไม่ควรสอดปากเข้าไปยุ่งในสิ่งที่เจ้านายไม่ได้สั่ง

ภายในเรือนตะวันออก ร่างสูงที่อยู่ในห้องกำลังมองป้ายหยกอย่างพิจารณา ไม่ผิดแน่ นี่คือป้ายหยกของตระกูล “หวันเอี้ยน”   แค่ตระกูลนั้นถูกโจรปล้นและฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเมื่อ 15 ปีก่อน 130 ชีวิตถูกสังหารภายในคืนเดียว จะเป็นไปได้หรือที่มีคนรอด
เขาต้องรู้ให้ได้ว่า ป้ายหยกชิ้นนี้อยู่กับเจ้าเด็กนั่นได้อย่างไร


ภายในห้องหนึ่ง เด็กหนุ่มปริศนานอนหลับอยู่บนฟูกข้างๆมีเด็กรับใช้กำลังนั่งสัปหงกอยู่  เปลือกตาของคนป่วยค่อยๆขยับขึ้นช้าๆ
ก่อนที่มองไปรอบๆห้องที่ไม่คุ้นเคย

ที่นี่ที่ไหน

เด็กหนุ่มคิด ก่อนจะสำรวจร่างกายตัวเองที่ตอนนี้เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนเรียบร้อย บาดแผลตามตัวก็ถูกรักษาและใส่ยาอย่างดี เด็กหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจเขาจำได้ว่ากำลังวิ่งหนีนักเลงในตลาด พอถึงถนนสายหนึ่งจู่ๆเขาก็รู้สึกหน้ามืดและสลบไป แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน

 “เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เด็กรับใช้ที่ดูเหมือนยังงัวเงียอยู่เอ่ยถาม ขึ้น

“ทีนี่ที่ไหนแล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” คนป่วยถามกลับ

“ที่นี้คือ จวนของท่านอ๋องแปด เมื่อวานท่านอ๋องไปเจอเจ้าหมดสติเลยให้พาเจ้ามารักษา เจ้าหลับไปหนึ่งวันเต็มๆเลยนะเจ้ารู้ไหม” เด็กรับใช้บอก

 “เจ้าอย่าเพิ่งลุกนะ ข้าต้องไปบอก พ่อบ้านกับท่านซาคังก่อนว่าเจ้าฟื้นแล้ว” เสี่ยวหลงบอกก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป

เสวี่ยจง สำรวจห้องที่ตัวเองนอนอยู่อย่างเงียบๆ ที่นี้ดูท่าจะเป็นเรือนคนใช้ เพราะดูจากตัวเรือนแล้วตกแต่งหยาบๆ เครื่องเรือนก็มีเพียงแค่เตียงและโต๊ะเก่าๆเท่านั้น  แต่ทีนี้ก็ยังดีกว่าบ้าน ของเขาเป็นไหนๆ


ก๊อกๆๆๆ

เสียงเคาะประตูทำให้ร่างสูงที่อยู่ในห้องเงยหน้าขึ้น ก่อนจะวางหยกที่ทำให้เขาสงสัยมาตลอดทั้งวันไว้ในกล่อง เอาเถอะ หากว่าเด็กคนนั้นฟื้นเขาอาจจะรู้ความจริงก็ได้

“เข้ามา”

“เรียนท่านอ๋อง คนรับใช้รายงานว่าเด็กหนุ่มคนนั้นฟื้นแล้วขอรับ ข้าน้อยให้พ่อบ้านไปตามหมอมาดูอาการแล้ว ท่านจะให้เขาเข้าพบเลยหรือไม่” ซาคังรายงาน

“ยังก่อน เอาไว้ให้หายดีก่อนแล้วค่อยพามาหาข้า” เสียงเรียบนั้นบอก ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงไล่

ร่างหนาได้แต่ส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจเด็กหนุ่มคนนั้นมีดีอะไรทำไมท่านอ๋องถึงใจดีด้วยเช่นนี้  แม้ว่าเรื่องเช่นนี้อาจจะดูปกติทั่วไปแต่สำหรับท่านอ๋องแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่พิเศษมากทีเดียว เพราะท่านอ๋องไม่ใช่คนที่จะยุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง จะว่าเด็กคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับทานอ๋องก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เมื่อ ดูแล้วนั่นก็แค่เด็กชาวบ้านธรรมดา



“ข้าตรวจดูแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงนอนพักอีกสักวันก็หายแล้ว” หมอชราบอกกับคนป่วย หลังจากที่ลองตรวจดูแล้ว

“ขอบคุณท่านหมอมาก” เด็กรับใช้บอกก่อนจะเดินไปส่งที่หน้าประตู

“เจ้าชื่ออะไร ข้าชื่อเสี่ยวหลงนะ” เด็กรับใช้คนนั้นบอก ก่อนจะนั่งลงข้างๆคนป่วย

“ข้าแซ่ตู้ ชื่อ เสวี่ยจง  ตู้เสวี่ยจง ขอบคุณเจ้ามากนะที่ช่วยดูแลข้า” เสวี่ยจงบอก

“อย่าเลย คนที่เจ้าควรขอบคุณคือท่านอ๋องต่างหากล่ะ ข้าก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น เจ้านอนพักเถอะ จะได้หายเร็วๆ”
คนป่วยพยักหน้าก่อนจะหลับตาลง


เสียงนกร้องกับแสงแดดที่รบกวนการนอนทำให้เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนฟูกลืมตาขึ้นมาช้าๆ พลางบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้นอนเต็มอิ่มอย่างนี้ เด็กหนุ่มยิ้ม ก่อนจะเสมองออกไปที่นอกหน้าต่าง

“เจ้าตื่นแล้วเหรอ หิวหรือยัง ข้าเอาโจ๊กมาให้น่ะ” เสี่ยวหลงที่กำลังประคองชามโจ๊กเข้ามาเอ่ยถาม

“อืม ขอโทษนะ ข้าตื่นสายไม่ได้ช่วยเจ้าเลย”

“เจ้าไม่สบายอยู่ พักผ่อนเถอะ ”

“ได้ยังไงกัน พ่อข้าสอนว่า เกิดเป็นคนต้องรู้จักทดแทนบุญคุณ ข้าเองก็หายดีแล้วข้าอยากจะทำงานทดแทนบุญคุณท่านอ๋อง
บ้าง”

“เจ้านี่เป็นคนดีนะ เอาเถอะ กินเสร็จแล้วเจ้าไปช่วยข้าในครัวแล้วกัน ”

“ได้ๆ ข้าทำกับข้าวอร่อยนะ เอาไว้ข้าจะทำให้กิน”  เสวี่ยจงบอกอย่างร่าเริง รอยยิ้มสดใสแต้มบนใบหน้าทั้งลักยิ้มสองข้างนั้นยัง
ทำให้คนตรงหน้าดูน่ามองจนอีกคนอดใจเต้นไม่ได้

“เสี่ยวหลง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” เสวี่ยจงที่เห็นเพื่อนนิ่งไปเอ่ยเรียก

“ปะ เปล่า เจ้ารีบกินเถอะถ้าเย็นมันจะไม่อร่อยนะ”

“อื้ม ขอบคุณเจ้าอีกครั้งนะ”



ตกเย็น

ร่างสูงที่เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงในวัง มีสีหน้าบูดบึ้ง จนแม้แต่คนสนิทอย่าง ซาคัง ก็เข้าหน้าไม่ติด

“ท่านอ๋องเป็นอะไรหรือขอรับ ท่านซาคัง” พ่อบ้านกระซิบถามเมื่อเห็นว่าบนหน้าของท่านอ๋องแปดนั้น ราวกับมีพายุคลั่ง กำลังก่อ
ตัว

“เรื่องเดิมๆ” ร่างหนาบอกก่อนจะถอนหายใจ 

“ฝ่าบาททรงถามถึง พระชายา อีกแล้วหรือ” พ่อบ้านเปรยอย่างเหนื่อยใจ ปีนี้ท่านอ๋องแปดอายุครบ 29 แล้ว แต่กลับไม่คิดแม้แต่จะชายตามองผู้ใด แม้จะมี กิน เที่ยว บ้างดั่งชายทั่วไป แต่ก็ไม่เคยจริงจัง ทั้งๆที่ มีทั้งบรรดาขุนนาง พ่อค้า คหบดี ต่างอยากจะดองกับท่านอ๋องเสียจนตัวสั่น นั่นเพราะ ถ้าใครได้เป็นพระชายาอ๋องแปดล่ะก็ หากคิดจะครองแผ่นดินนี้ก็เป็นง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ


ร่างสูงของบุคคลในบทสนทนาเดินไปมาอย่างหงุดหงิด บางครั้งเขาก็เกลียดงานเลี้ยงที่แสนจอมปลอมนั่น เจตนาของพวกขุนนางเจ้าเล่ห์พวกนั้นมีหรือเขาจะไม่รู้ คงอยากจะดองกับเขาเสียจนตัวสั่นล่ะสินะ หึ ถ้าเขายอมให้จับคลุมถุงชนได้ง่ายๆ วันนี้เขาคงมาไม่ถึงจุดนี้หรอก  แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เขาหงุดหงิดได้เสมอจริงๆ


เรือนคนรับใช้

“นี่เจ้าทำเองทั้งหมดเลยหรือ เสวี่ยจง” เสี่ยงหลงเอ่ยถามเมื่อเห็นอาหารมากมายวางอยู่ตรงหน้า แม้ว่ามันจะไม่ใช่อาหารหรูหราอะไรแต่สีสันกลับน่ากินอย่างไม่น่าเชื่อ

“ใช่ เจ้ารู้ไหมวันนี้หลังจากทำอาหารเสร็จพวกพ่อครัวจะเอา ของสดพวกนี้ไปทิ้ง ข้าเลยอาสาจะเอาไปทิ้งให้ แต่ว่าข้าแอบเอามาทำให้เจ้ากิน ทำไมคนรวยถึงกินทิ้งกินขว้างอย่างนี้นะ เจ้ารู้ไหมว่าที่บ้านนอกน่ะ แทบไม่มีเนื้อให้เจ้ากินเลยด้วยซ้ำไป” เสวี่ยจงบ่นอุบ วันนี้เขาไปช่วยในครัวตามที่เสี่ยวหลงบอกเห็นว่าอาหารของ จวนอ๋อง ช่างหรูหราเหลือเกินซ้ำวัตถุดิบก็มีแต่ของชั้นดีแต่พอของเหลือแทนที่จะเก็บไว้ทำกินดันจะเอาไปทิ้งอย่างน่าเสียดาย ช่างไม่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเสียเลย

“เจ้าว่าเจ้าขอวัตถุดิบที่เหลือจาก อาหารของท่านอ๋องหรือ”  เสี่ยงหลงเบิกตาโพลง

“เจ้าทำราวกับข้าจุดไฟเผาจวน ข้าแค่ไม่อยากให้มันเสียของ”

“โอ้ย เจ้าอย่าทำเช่นนี้อีกนะ เสวี่ยจง ของของท่านอ๋องหากไม่ได้รับอนุญาตเจ้าอย่าได้เอาไปใช้ ท่านอ๋องแปดเป็นคนถือตัวมาก ถ้าพ่อบ้านรู้เข้าเจ้าต้องโดนตีหลังลายแน่”

“ท่านอ๋อง ดุร้าย ขนาดนั้นเลยหรือ”

“ปกติท่านอ๋องเป็นคนที่อารมณ์ขึ้นลง ยากคาดเดาหากเจ้าทำอะไรไม่ระวังแล้วท่านอ๋องโกรธขึ้นมาล่ะก็ต่อให้เจ้ามีสิบชีวิตก็ไม่พอชดใช้หรอก”

“เอาเถอะๆ วันนี้ถือว่าข้าไม่รู้ไม่เห็น รีบกินเถอะก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า” เสี่ยวหลงที่เห็นว่าอีกฝ่ายดูสีหน้าไม่สู้ดีนักพูดขึ้น ก่อนจะคีบอาหารให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ  เสี่ยวหลงยอมรับอย่างเต็มใจเลยว่าอาหารของ ร่างโปร่งนั้นอร่อยมากจริงๆ แม้จะเทียบกับพ่อครัวของจวนไม่ได้แต่ถ้าไปแข่งกับพ่อครัวข้างนอกนั้นถือว่าอร่อยกว่าหลายส่วนเลยทีเดียว


2 วันผ่านไป

เสวี่ยจง ยังคงอยู่ในจวนอ๋องเพราะไม่มีที่ไป และท่านอ๋องดูเหมือนจะลืมไปเสียแล้วว่าเคยช่วยคนๆหนึ่งไว้ แต่ยังไงเขาก็ต้องจากไปอยู่ดีเพราะเขาอยู่ที่นี่ก็จะเป็นภาระของเสี่ยวหลงเปล่าๆ แต่เขาก็อยากจะขอบคุณท่านอ๋องสักครั้งที่เมตตาช่วยเหลือ

“เสวี่ยจง เจ้าจะไปไหน”

“ข้าต้องไปแล้ว ข้าจะไปไหนสมัครเป็นพ่อครัวอยากที่เจ้าบอกดีหรือไม่”

“เจ้ายังคิดจะไปอีกเหรอ ข้างนอกนั่นมีอันตรายอยู่มาก ถ้าเจ้าไปแล้วใครจะดูแลเจ้า” เสี่ยวหลงบอก

“ข้าดูแลตัวเองได้น่า เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ลูกผู้ชายเดินหน้าแล้วต้องไม่ถอยกลับ ข้ายังมีภาระที่ต้องหาเงินส่งไปให้พ่อกับแม่ที่บ้านนอก ข้าอยู่ที่นี้ไม่ได้หรอกนะ ที่อยู่ที่นี้แค่อยากจะขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยข้าไว้เท่านั้น แต่เท่าที่เห็นดูเหมือนท่านอ๋องจะลืมไปแล้วว่าเคยช่วยข้าไว้ เสี่ยงหลงเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของข้านะ แต่ข้าต้องไปแล้วพรุ่งนี้เช้าคงต้องออกเดินทางเสียที”

“ข้าขอให้เจ้าโชคดีนะ” เสี่ยงหลง บอก เขาเองก็ไม่สามารถรั้งใครไว้ได้เพราะตนเป็นแค่คนรับใช้ แม้จะมีความรู้สึกดีๆให้ร่างโปร่ง
นี้อยู่ไม่น้อย แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้อยู่ดี

“เจ้าก็เช่นกัน”


…………………………………………………………………..

“เจ้าว่าอะไรนะ ซาคัง!!” เสียงทุ้มตวาดลั่น ร่างสูงกำมือแน่นเมื่อได้ฟังในสิ่งที่คนสนิทมารายงาน 

เด็กที่ช่วยมาวันนั้นจากไปแล้ว

“แค่คนๆเดียวยังดูแลกันไม่ได้ คำสั่งของข้ายัง สำคัญอยู่ไหม!!”

“ท่านอ๋อง ได้โปรดใจเย็นๆก่อนเถิดขอรับ”

“พวกเจ้า จะไปไหนก็ไป อย่ามาให้ข้าเห็นหน้า!!” ท่านอ๋องแปด ตวาดลั่นก่อนจะกระแทกตัวลงบนเก้าอี้อย่างแรงเพื่อระบายความโกรธ มือหนาล้วงหยกที่ได้จากเด็กคนนั้นมากำแน่น

ทั้งๆที่คิดว่า จะสืบเรื่องราวป้ายหยกนั่นได้แล้วแท้ๆ


คำว่าประหาร ถูกเขียนลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากปลายพู่กันของร่างสูงที่ ระยะนี้ดูเหมือนท่านอ๋องจะอารมณ์ไม่ดีจนขุนนางทั้งหลายไม่มีใครเข้าหน้าติด แม้จะเสนอนโยบายอะไรก็มักจะได้คำตอบว่า ไม่เห็นด้วย แทบจะทุกครั้ง ลำพังท่านอ๋องยามปกติก็รับมือได้ยากยิ่งอยู่แล้ว การรับมือท่านอ๋องยามโกรธนั้น มันน่ากลัวราวกับอยู่ในกรงราชสีห์

“นอกจาก ฎีกา พวกนี้แล้ว มีอะไรอื่นจะเสนออีกหรือไม่” เสียงทุ้มเอ่ยถามหลงจาเงยหน้าจากกองฎีกา

“ไม่มีแล้วขอรับท่านอ๋อง” เหล่าขุนนางต่างพร้อมใจกันพูด จนคนมีอำนาจสูงสุดได้แต่แค่นเสียงในลำคอ

“หึ ดี เช่นนั้น ข้าจะกลับจวน”

คล้อยหลังร่างสูงเหล่าขุนนางต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก ได้แต่ภาวนาให้ท่านอ๋องอารมณ์ดีเสียที พวกเขาจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้อีก



“เชิญแวะทานบะหมี่ ก่อนได้นะครับ” ร่างโปร่งยืนเรียกลูกค้าที่หน้าร้านบะหมี่ข้างทางแห่งหนึ่ง  เสวี่ยจง นั่นเอง เขาทำงานที่ร้าน
บะหมี่ได้ 5 วันแล้ว แม้ว่าจะเป็นร้านเล็กๆและได้ค่าแรงไม่มาก แต่เพราะเจ้าของร้านใจดีทั้งยังให้ที่พักและอาหารสามมื้อ ทำให้เขาไม่ต้องใช้จ่ายอะไรเลย อีกไม่นานเขาคงมีเงินเก็บมากพอที่จะเอาไปให้พ่อแม่ที่บ้านนอก

“เสวี่ยจง เอาบะหมี่ไปส่งที่ร้านแลกเงิน ด้วย”

“ครับเถ้าแก่” ร่างโปร่งรับคำก่อนจะถือถาดบะหมี่ไปส่งที่ร้านแลกเงินที่อยู่ไม่ไกลนัก


“เฮ้ย!! ระวัง” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นก่อนที่ชายร่างผอมแต่งตัวเหมือนขอทานจะวิ่งมาชนเด็กหนุ่มอย่างจัง จนเสวี่ยจงเสียการทรงตัว ถาดบะหมี่ที่ถือมาโครงเครงจนในที่สุด มันก็หกใส่คนที่เดินผ่านไปมา

“บังอาจ!!! นี่เจ้า” เสียงทรงพลังนั้นตวาดลั่น เสวี่ยจงลนลานเมื่อเห็นว่าคนที่เขาทำบะหมี่หกใส่นั้น แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี ซ้ำ
ยังดูจะมีองค์รักษ์ คงจะเป็นพวกขุนนางเป็นแน่ หรือว่าคราวนี้เขาจะต้องถูกโบยกันนะ

“ขะ ข้า ไม่ได้ตั้งใจนะ ขอรับ อย่าโบยข้าเลยนะขอรับ” เสวี่ยจงบอกอย่างลนลานพลางโขกศีรษะเป็นการขอโทษ

“เจ้ารู้ไหมว่าท่าน อะ เอ่อ นายท่านของข้าเป็นใคร ต่อให้เจ้ามีสิบชีวิตก็ไม่พอชดใช้!!”

“พอก่อน ซาคัง” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยบอก

“นายท่าน ข้าน้อยขอโทษขอรับ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจทำให้ชุดของท่านเปื้อน อย่าโบยข้าน้อยเลยนะขอรับ” เสวี่ยจงที่ยังไม่กล้าเงย
หน้าบอกเสียงสั่น

“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าจะโบยเจ้า”

“ที่บ้านเกิด หากว่าทำผิดพวกขุนนางก็จะโบย ข้าไม่อยากถูกโบย”

“ทำไมเจ้าถึงไม่อยากถูกโบย”

“เพราะว่า ข้าน้อยต้องทำงาน ลำพังแค่ต้องชดใช้บะหมี่ชามนี้ ค่าแรงของวันนี้ก็แทบจะหมดแล้วหากว่าถูกโบยข้าน้อยต้องหยุดงานหลายวันคงขาดรายได้ กว่าจะเก็บเงิน 100 ตำลึงเพื่อไปไถ่ที่นาคืนคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี”

“เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ เอาแต่ก้มหน้าอยู่ทำไมกัน” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้น ก่อนที่ร่างโปร่งที่ก้มหน้าอยู่จะเงยหน้าตามคำสั่ง

“เจ้า นี่เจ้า  เป็นเจ้าเองหรือ” เสวี่ยจงมอง ร่างแกร่งหนานั้นทักเหมือนรู้จัก แต่เขามั่นใจว่าไม่เคยพบคนรูปร่างหน้าตาเช่นนี้มาก่อนเลย

“ท่านรู้จักข้าหรือ ขอรับ”

“ใครหรือ ซาคัง” คราวนี้เป็นบุรุษหน้าตาคมคาย เอ่ยถาม เสวี่ยจงได้แต่มองคนโน้นคนนี้ สลับไปมา แม้จะยังไม่เข้าใจนักแต่ก็เบาใจได้เมื่อคนตรงหน้าไม่ได้สั่งโบยเขา

“ท่านอ๋องคนนี้ คือคนที่ท่านช่วยเมื่อคราวก่อนไงขอรับ” ซาคังกระซิบกับผู้เป็นนาย

“เช่นนั้นหรือ” มุมปากของร่างสูงยกยิ้ม ก่อนจะก้มลงไปหาร่างโปร่ง

“เจ้าบอกว่าเป็นหนี้อยู่ 100 ตำลึงเช่นนั้นหรือ”

“ขะ ขอรับ”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้เงินเจ้า แต่มีข้อแม้เจ้าจะต้องไปทำงานกับข้า”

“จริงหรือขอรับ”

“คนอย่างข้า ไม่เคยโกหก เจ้าจะตกลงหรือไม่”

“ขอเพียงเป็นงาน สุจริตไม่ผิดศีลธรรม ข้าน้อยยอมทำทุกอย่างขอรับ” ร่างโปร่งบอกอย่างดีใจ

“ดีเช่นนั้น อีก 3 วันไปพบข้าที่ จวนอ๋องแปด เจ้าคงจักใช่ไหม ”

“ขอรับ ท่านเป็นคนของท่านอ๋องหรือ”

“อืม คิดว่า น่าจะใช่นะ”

“แล้วท่านจะให้ข้าแจ้งว่าขอพบใครหรือขอรับ”

“ข้าชื่อ ฟู่ซือ ส่วนนี้ตั๋วแลกเงิน 100 ตำลึง เอากลับไปให้พ่อแม่เจ้าซะ” ร่างสูงบอก่อนจะเดินหันหลังกลับไป ทิ้งให้ซาคังได้แต่ อ้าปากค้าง ชื่อของท่านอ๋อง สูงส่งเพียงใด เหตุใดจึงยอมบอกชื่อกับ คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้


3 วัน ผ่านไป

“ท่านอ๋อง ข้าขอเสียมารยาทถามท่านได้หรือไม่ ขอรับ”

“เจ้าจะถามอะไรล่ะ”

“ท่านคิดว่า เด็กหนุ่มคนนั้นจะกลับมาจริงๆหรือขอรับ”

“ไม่รู้ แต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่จะพิสูจน์ไม่ใช่หรือ ซาคัง หากว่าเขากลับมาแปลว่าเด็กคนนี้ จะไม่มีวันทรยศข้า แต่ถ้าหากเขาไม่กลับมาข้าก็แค่เสียเงิน 100 ตำลึงแลกกับการได้รู้จักนิสัยคนก็เท่านั้นเอง” ร่างสูงบอกเสียงเรียบ พลางลูบหยกสลักอย่าเบามือ


ก๊อกๆๆ

“เรียนท่านอ๋อง เด็กคนนั้นมาแล้วขอรับ” พ่อบ้านที่ถูกสั่งให้ไปเฝ้าที่หน้าประตูเข้ามารายงาน

“พาเข้ามา”

“คารวะท่านอ๋อง” เด็กหนุ่มที่กำลังก้มหน้าอยู่ทำความเคารพก่อนจะคุกเข่าลง

“เงยหน้าขึ้นเถอะ”  เจ้าของห้องบอกเสียงเรียบ

“ท่าน เป็นท่าน..” เด็กหนุ่มเบิกตาโพลง ไม่คิดไม่ฝันว่าคนที่เขาทำบะหมี่หกใส่คือท่านอ๋องแปด หรือว่าคราวนี้เขาจะถูกประหาร

“เจ้ากลัวข้าหรือ”

“ขะ ข้า ”

“ไม่ต้องกลัวข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก เจ้าชื่ออะไรหรือ มาจากที่ไหน”

“ข้าน้อย แซ่ตู้ ชื่อ เสวี่ยจง  ข้าน้อยมาจาก หมู่บ้าน เผิงไหล ขอรับ ”

“เอาล่ะ เจ้าไปพักเถอะวันนี้ยังไม่ต้องทำงาน พ่อบ้านต่อไป ตู้เสี่ยวจงคนนี้จะเป็นคนใช้ประจำตัวของข้า จัดห้องที่เรือนตะวันตก
ให้เขา แล้วก็หาเสื้อผ้าให้เปลี่ยนด้วย”

“ขอรับท่านอ๋อง”

“ซาคัง เจ้าไปที่หมู่บ้านเผิงไหล สืบมาให้ได้ว่า เสวี่ยจงมีที่มาเช่นไร ” คล้อยหลังคนทั้งสองร่างสูงก็หันกลับไปสั่งคนสนิททันที

“ขอรับท่านอ๋อง”



....ต่อด้านล่าง....
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 21-08-2014 03:08:54
“โห ห้องนี้กว้างเท่าบ้านข้าทั้งหลังเลยนะครับ” เสวี่ยจงมองห้องที่กำลังจะกลายเป็นของตัวเองอย่างตกใจ เพราะทั้งการตกแต่งทั้งเครื่องเรือนดูแตกต่างจากห้องที่ไปพักคราวก่อนมากโข

“ย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้ว นี่มันจวนของท่านอ๋องแปดเชียวนะ เรือนตะวันตกเป็นเรือนสำหรับคนสนิท ปกติจะมีเพียงแค่ข้ากับท่านซาคังเท่านั้นที่พักที่นี้ เรือนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นเขตหวงห้าม แต่เรือนตะวันออกจะเป็นที่พักของท่านอ๋อ หากไม่ได้รับอนุญาตเจ้าห้ามไปที่นั่นเด็ดขาด”

“ข้าจะจำไว้ขอรับ”    

“ดี ส่วนนี่เสื้อผ้าของเจ้า ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเปลี่ยนชุดซะ”

หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ร่างโปร่งจึงเดินเล่นรอบๆ หวังจะสำรวจจวนไปด้วย ยิ่งเดินยิ่งเห็นว่าจวนอ๋องแห่งนี้ใหญ่โต ทั้งยังหรูหรามากเสียจนเขาแอบเอาไปเปรียบเทียบกับวังหลวงไม่ได้ แม้จะไม่เคยเห็นแต่เขาได้ยินคนในตลาดพูดกันว่า จวนอ๋องแปดนั้นงดงามใหญ่โตจนแทบจะเทียบได้กับตำหนักของฝ่าบาทเลยที่เดียว ร่างโปร่งเดินเล่นจนเข้าไปในสวน ในนั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่ทั้งน้ำตกจำลองที่ดูสวยงามสมจริง ศาลาหลังเล็กที่ยื่นเข้าไปในสระทำให้ เสวี่ยจงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปชม

“เจ้าไม่ควรเข้ามาในนี้ รู้หรือไม่” เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่ร่างโปร่งจะหันกลับไปมอง แต่ต้องตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเพราะคนที่ยืนอยู่ข้างหลังคือ เจ้าของจวน

“ทะ ท่านอ๋อง ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยไม่ทราบมาก่อนว่าที่นี้ก็เป็นเขตหวงห้าม” เสวี่ยจงบอกเสียงสั่น ขาอ่อนจนแทบประคอง
ตัวไม่อยู่ คำขู่ ของ ใครหลายๆคนเกี่ยวกับความโหดร้ายของคนตรงหน้าทำให้เขากลัว จนไม่มีแรงขยับ

“หึ เจ้าเห็นข้าเป็นยักษ์เป็นมารหรือ ถึงได้กลัวข้าขนาดนั้น”

“มิได้ขอรับ ตะ แต่ ว่า..”

“แล้วไปเถอะ เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าสร้างสวนนี้ใช้เงินไปหลายพันตำลึงมันคงน่าเสียดายที่เก็บไว้ดูคนเดียว เจ้าว่าจริงไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ก่อนที่ร่างโปร่งจะทำได้เพียงพยักหน้าราวกับคนโง่งม ท่านอ๋องแปดยกยิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ร่างโปร่งนี้ดูน่าสนใจเหลือเกิน ยิ่งเห็นท่าทางราวกับลูกนกเช่นนี้ยิ่งน่าแกล้ง

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปยกสุรามาให้ข้าที่นี่ก็แล้วกัน”

“ขอรับ”


ไม่นานร่างโปร่งก็กลับเข้ามาในสวนพร้อมกับสุราละกับแกล้มสองสามอย่าง

“เจ้าจะไปไหน” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังจะหันหลังกลับ

“ข้าน้อยต้องกลับไปช่วยงานพ่อบ้านขอรับ”

“เจ้าไม่ต้องไปหรอก หน้าที่ของเจ้าคือรับใช้ใกล้ชิดข้า ไม่ใช่ลูกน้องของพ่อบ้าน จำเอาไว้ว่าในบ้านนี้คนที่สั่งเจ้าได้ คือข้าคน
เดียว ข้าสั่งให้เจ้าดื่มเป็นเพื่อนข้า”

“ตะ แต่ ว่า..”

“คำสั่งของข้า คือที่สุด พวกข้างนอกไม่ได้บอกเจ้าหรือ ข้าสั่งให้เจ้าดื่มเป็นเพื่อนข้า” ร่างสูงบอกเสียงเรียบจน แต่กลับแฝงไปด้วยความกดดัน เสวี่ยจง ย่อตัวนั่งบนม้านั่งข้างๆร่างสูงอย่างเสียมิได้


“อาหารวันนี้ รสชาติไม่เหมือนเดิม” ร่างสูงที่คีบกับแกล้มเข้าปากบอกก่อนจะขมวดคิ้วแน่น

“ข้าน้อยสมควรตาย!! ถ้าท่านอ๋องไม่ชอบข้าจะเททิ้ง” ร่างโปร่งลนลานเมื่ออาหารทั้งหมดบนโต๊ะล้วนเป็นฝีมือของเจ้าทั้งสิ้น

“หึ ฮ่าๆๆ ดูเจ้าสิ ข้าแค่บอกว่ารสชาติไม่เหมือนเดิมยังไม่ได้บอกว่าไม่อร่อยเลย หรือว่าเจ้าเป็นคนทำกัน หืม”

“ขะ ข้า ขออภัยด้วยขอรับ แต่ในครัวยุ่งมาก ข้าน้อยเลยต้องทำเอง”

“ฝีมือทำอาหารของเจ้านับว่าไม่เลวนัก ข้าไม่โกรธหรอก แต่ทีหลังไม่ต้องทำอีก คนทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองถ้าเจ้าแย่งหน้าที่ทำอาหาร พ่อครัวพวกนั้นเขาจะทำอะไร จริงหรือไม่”


ร่างโปร่งทำเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะลอบมองร่างสูงที่จิบสุราอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างๆ ทั้งๆที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแต่ท่านอ๋องกลับดีกับเขามาก ไม่เห็นเหมือนกับคำบอกเล่าของผู้คนเลย



จอกแล้วจอกเล่าที่ทั้งสองต่างยกสุราชั้นดีขึ้นจิบจากบ่ายคล้อยจนตอนนี้ตะวันตกดินแล้ว แต่ดูท่าท่านอ๋องยังมิยอมลุกไปไหน

“เสวี่ยจง เจ้าเคยเห็นหยกชิ้นนี้หรือไม่ ” ร่างสูงถามก่อนจะล้วงเอาหยกที่พกติดตัวตลอดเวลาออกมา

“เอ๊ะ นี่มันหยกของข้า ท่านอ๋องได้มันมาได้อย่างไรขอรับ ข้านึกว่าตัวเองทำหายไปแล้วเสียอีก”

“หยกนี่ของเจ้าหรือ เจ้าได้มันมาได้ยังไง”

“พ่อกับแม่ข้าให้ไว้นานแล้ว ข้าพกมันติดตัวตลอดตั้งแต่เด็กแล้วขอรับ”

“หยกชิ้นนี้เป็นหยกเนื้อดี ราคาหลายร้อยตำลึง ทำไมเจ้าถึงไม่เอามันไปขายล่ะ”

“ไม่ได้หรอกขอรับ หยกชิ้นนี้เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวของข้า ท่านพ่อบอกว่าต่อให้ต้องอดตายก็ห้ามขายมันเด็ดขาด” ร่างโปร่งบอกก่อนจะกอดหยกสลักชิ้นนั้นไว้แน่น

“เจ้าเป็นเด็กดีกว่าที่ข้าคิดนะ เสวี่ยจง” ร่างสูงว่าก่อนที่มือหนาจะเกลี่ยแก้มนิ่มที่เริ่มขึ้นสีเพราะความมึนเมา

“นี่ก็ดึกมากแล้วเจ้าไปนอนเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี้อีกสักพัก”

“แต่ว่า”

“ไม่มีแต่ เจ้ารีบไปพักเถอะ นื่อคำสั่ง”

“ขอรับ” ร่างโปร่งรับคำก่อนจะเดินออกจากศาลาไป


คล้อยหลังร่างโปร่งได้ไม่นาน ร่างแกร่งหนาของซาคังก็คุกเข่าลงตรงหน้าท่านอ๋องแปด

“ได้เรื่องแล้วสินะ”

“ขอรับท่านอ๋อง”
……………………………………………………………………………………………..

สามวันต่อมา เจ้าของตำแหน่งอ๋อง สั่งให้เสวี่ยจงย้ายข้าวของออกจากเรือนตะวันตกแล้วเข้าไปอยู่ที่เรือนตะวันออกแทน ทำให้คนในบ้านเกิดข้อสงสัย เมื่อไม่เคยมี ข้ารับใช้คนใด ได้เข้าไปอยู่ในเรือนตะวันออก แม้แต่ ซาคัง

“เสวี่ยจง ข้าได้ยินว่าเจ้าจะต้องไปอยู่ที่เรือนตะวันออกหรือ” เสี่ยงหลงถามอย่างร้อนรน เขามาที่นี้ทันทีที่รู้ข่าว แต่เพียงร่างโปร่งนี้
อยู่ในเรือนตะวันตกกว่าจะพบกันก็แสนยาก หากว่าเสวี่ยจงไปอยู่ที่เรือนตะวันออกเขาคงแทบไม่มีโอกาสได้พบ

“ใช่ เจ้ามีอะไรหรือ”

“ข้าเป็นห่วงเจ้านะสิ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ท่านอ๋องไม่ยักษ์ใช่มาร ท่านไม่ทำอะไรข้าหรอก ท่านอ๋องใจดีมากนะ” เสวี่ยจงบอก

ท่านอ๋องแปดนะหรือใจดี เกรงว่าทั้งแผ่นดินนี้คงมีแค่เสวี่ยจงที่คิดเช่นนั้น

“ยังไงก็ตาม เจ้าต้องระวังตัวนะ ถ้ามีเรื่องอะไรให้ไปหาข้าได้ตลอด”

“ได้สิ ถ้าว่างข้าจะไปหาเจ้านะ”

เสี่ยงหลงมองตามแผ่นหลังบางไปก่อนจะถอนหายใจ ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นคนรับใช้เช่นกันแต่ทำไม เขาถึงได้รู้สึกว่า เสวี่ยจงสูงส่งจนไม่อาจเอื้อมถึงได้กันนะ


2 เดือนผ่านไป

เสวี่ยจงที่อาศัยอยู่ในเรือนตะวันออกมาได้สองเดือนแล้วยิ้มอย่างร่าเริง เมื่อผู้เป็นเจ้าของเรือนกลับมา เขายอมรับว่าเหงาอยู่บ้างเวลาที่อยู่คนเดียวเพราะเรือนตะวันออกเป็นเขตหวงห้ามทำให้คนในจวนไม่สามารถเข้ามาได้ ครั้นจะออกไปหาเสี่ยวหลงก็กลัวว่าจะเป็นการรบกวนเสียเปล่าๆ เลยได้แต่นั่งๆนอนๆไปวันๆ เพราะหน้าที่หลักของเขาคือการดูแลท่านอ๋องแต่วันๆท่านอ๋องก็มักจะอยู่ในวังจะกลับมาแค่ตอนเย็นเท่านั้น  แรกๆก็สบายดีแต่นานวันเข้า เขาก็อยากจะมีเพื่อนเล่นบ้าง

“หือ เจ้าเป็นอะไร” ร่างสูงเอ่ยถามกับคนที่อยู่ร่วมบ้านมาแรมเดือน

“ข้าน้อย ไม่ได้เป็นอะไรขอรับ”

“เสวี่ยจง เอาสุรากับกับแกล้มมาให้ข้าที่ศาลาริมน้ำด้วยนะ”

“ขอรับ”


ไม่นานสุราและกับแกล้มสองสามอย่างก็ถูกวางบนโต๊ะ ระยะหลังมานี้ นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว ของว่างของท่านอ๋องเป็นฝีมือของเสวี่ยจงทั้งสิ้น นอกจากเรื่องอาหารแล้ว เรื่องเสื้อผ้า หรือแม้แต่ ชาที่ท่านอ๋องดื่มก็ล้วนต้องผ่านมือเขา        แต่เรื่องเช่นนี้ ต้องเป็นหน้าที่ของ พระชายามิใช่หรือ  เสวี่ยจงชะงักกับความคิดไม่เข้าท่าของตัวเองแม้ว่าการอยู่ใกล้ชิดกันมาร่วมสองเดือนจะทำให้ ร่างโปร่งเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่ใครหลายคนบอก ซ้ำยังใจดีกับเขามากด้วยซ้ำ แต่ ท่านอ๋อง ก็คือท่านอ๋อง คือมังกรที่อยู่เหนือผู้คน ที่คนอย่างเขาไม่มีวันเอื้อมถึง

“เสวี่ยจง เป็นอะไรไป” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าอีกคนเอาแต่นั่งเงียบ

“ไม่มีอะไรขอรับ”

“ไม่มีก็ดื่มสิ นี่มัน สุรานารีแดง 18 ปีเชียวนะ” กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ที่ทุกครั้งที่ท่านอ๋องดื่มสุราร่างโปร่งต้องดืมเป็น
เพื่อนเสมอ


“เสวี่ยจง เคยคิดไหมว่า ถ้าวันหนึ่งข้าไม่ใช่อย่างที่เจ้าเห็นเจ้าจะรู้สึกเช่นไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางยกจอกสุราขึ้นดื่ม

“ข้าน้อยไม่เคยคิดขอรับ สำหรับ เสวี่ยจงแล้ว ท่านอ๋องเหมือนเซียนบนสวรรค์ ท่านช่วยชีวิตของข้าน้อยไว้ ซ้ำยังช่วยครอบครัวข้าน้อยด้วย บุญคุณของท่านชาตินี้เสวี่ยจงไม่รู้จะตอบแทนเช่นไร”

“เสวี่ยจง เด็กโง่ ข้าไม่ใช่คนดีขนาดนั้นหรอกนะ ข้ามันก็แค่คนเห็นแก่ตัว เท่านั้น” เสียงทุ้มบอกก่อนที่มือหนาจะไล้แก้มนวลอย่าง
แผ่วเบา เสวี่ยจงรับรู้ได้ว่าหัวใจของเขาเต้นแรงมาก มันเป็นเช่นนี้มาได้พักใหญ่แล้ว ทุกครั้งที่ใกล้ชิดทุกครั้งที่ถูกสัมผัส หัวใจของเขาจะเต้นแรงจนไม่สามารถควบคุมมันได้

เสวี่ยจง คนโง่  รู้ตัวว่าไม่อาจเอื้อมแต่กลับห้ามใจไม่ได้ 


“เสวี่ยจง” เสียงทุ้มเอ่ยชื่อร่างโปร่งอย่างแผ่วเบาก่อนที่ริมฝีปากหนาจะแตะลงบนปากบางอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะค่อยๆเลาะเล็มชิมเนื้อนิ่มนั้นอย่างย่ามใจจากอ่อนโยน สัมผัสนั้นค่อยๆเพิ่มความร้อนขึ้นด้วยไฟปรารถนา ลิ้นร้อนซอกซอนไปตามแนวฟันเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อ ราวกับกลั่นแกล้ง เสวี่ยจง ราวกับไร้การควบคุมเมื่อทั้งร่างกายและหัวใจต่างโอนอ่อนตามสัมผัสของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย  เสวี่ยจงคนโง่  อาศัยความมึนเมาเป็นข้ออ้างในการตามใจตัวเอง แค่สักครั้ง ที่ได้ถูกกกกอดอย่างอ่อนโยน แค่เพียงสักครั้งที่ได้ถูกสัมผัสด้วยความรัก เสวี่ยจงไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน ว่าทำไมถึงรู้สึก รัก อีกฝ่ายมากขนาดนี้ แม้จะพบกันเพียงไม่นานแต่ความรู้สึกนั้นกลับคุ้นเคยเหลือเกิน

“ทะ ท่านอ๋อง อื้อ” ร่างโปร่งครางแผ่วเมื่อมือหนาลากไล้เข้าไปในเสื้อนอกก่อนมันจะถูกถอดออกอย่างไม่ไยดี ปากหนาผละจาก
ริมฝีปากบางก่อนจะซุกไซ้ลงบนซอกคอหอกกรุ่น ทิ้งรอยแห่งความรักไว้ประปราย มือหนาแหวกสาปเสื้อตัวในออกอย่างเบามือ
ก่อนที่ร่างขาวนวลที่สะท้อนแสงจันทร์จะปรากฏตรงหน้า ร่างสูงยอมรับว่าไม่ใช่หนุ่มน้อยที่ไม่ประสีประสา แต่เขาคือชายหนุ่มที่ผ่านสรภูมิรัก มาอย่างโชกโชนแต่กลับไม่เคยมีใครเลยที่จะทำให้ หัวใจของเขาเต้นแรงได้เท่าเสวี่ยจง มันเกิดขึ้นเมื่อใดไม่อาจรู้ แต่ทุกครั้งที่หลับตา ร่างโปร่งมักจะเข้ามาในห้วงแห่งความฝันเสมอ ทุกสัมผัสนั้นแปลกใหม่แต่กลับคุ้นเคย คุ้นเหมือนเลยเจอกันเมื่อนานแสนนาน

“เสวี่ยจง เสวี่ยจงของข้า” ร่างสูงพร่ำบอกก่อนจะหยอกล้อกับผิวเรียบลื่นนั้นทันที รอยรักสีกุหลาบมากมายถูกสร้างไว้เพื่อตีตรา ร่างกายนี้ คนๆนี้ และหัวใจนี้จะเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

เสวี่ยจงไม่รู้ว่าตัวเองถูกพาเข้ามาในห้องได้อย่างไร รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังเปลือยเปล่าก็สัมผัสกับที่นอนไปแล้ว

“ท่านอ๋อง อ๊า” ร่างโปร่งบิดกาย ด้วยความกระสันเมื่อ มือหนาปัดผ่านยอดอก พร้อมกับที่ปากหนาครอบครองมันไว้ พลางขบเม้นอย่างแรง

ร่างสูงลากไล้ไปตามเนื้อนิ่ม กางเกงผ้าไหมเนื้อดีถูกถอดอย่างรวดเร็ว มือหนาฟอนเฟ้นจนร่างโปร่งครางลั่น ก่อนที่จะหยุดที่ช่องทางรัก

“อะ อื้อ” ร่างโปร่งกัดปากแน่น เมื่อถูกล่วงล้ำในครั้งแรก

“เจ็บหรือ” เสียงนั้นถามอย่างอ่อนโยน

“ข้าน้อย มะ ไม่ ไร ขอรับ ท่านอ๋อง”

“ข้าชอบที่เจ้าเรียกข้าว่าท่านอ๋องนะ แต่จะชอบมากกว่าถ้าต่อไปนี้เจ้าจะเรียกข้าว่า ท่านพี่”  เสียงทุ้มกระซิบบอก

“อ๊ะ อื้อ  ตะ แต่ว่า”

“สิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่ ไม่ใช่แค่คนรู้จักแล้วนะ เสวี่ยจง” ร่างสูงบอกก่อนจะเพิ่มจำนวนนิ้วกดย้ำที่จุดกระสันจนร่างโปร่งนั้นคราง
ลั่น

“อะ อะ อ๊า อื๊อ”

ร่างสูงจูบซับน้ำตาของคนใต้ร่างก่อนจะถอดกางเกงผ้าของตัวเองออกบ้าง ความเป็นชายที่ปวดหนึบนั้นต้องการปลดปล่อยอย่าง
เต็มที่

“อะ อื๊อ” เสวี่ยจงกัดปากแน่นเมื่อความคับแน่นนั้นถาโถมเข้ามา

“เสวี่ยจง อย่ากลัว” บอกพลางกดจูบลงบนริมฝีปากบางก่อนจะสอดร่างกายเข้ามาจนมิด

“เสวี่ยจง เจ้าจะไม่เรียกจริงๆหรือ” เสียงทุ้มที่แฝงน้ำเสียงอ้อนอยู่ในทีเอ่ยถามพลางขยับกายเข้าออกอย่างต่อเนื่อง

“อะ อะ อะ อื๊ออออ ทะ ท่าน อะ อื๊อ ท่านพี่ ข้าต้องการ ข้าต้องการ ท่าน อ๊า” ปากหนายกยิ้ม เมื่อคนใต้ร่างยอมทำในสิ่งที่ตนเรียก
ร้อง

ร่างสองร่างต่างตะกองกอดกันอย่างไม่รู้เบื่อ เสียงกระทบกันของร่างกายนั้นฟังดูหยาบโลนแต่กลับฝังรากลึกลงไปในหัวใจของคน
ทั้งสอง ราวกับกับคือสิ่งที่ต่างเฝ้ารอมาแสนนาน

“อะ อะ ท่านพี่ ข้า ไม่ไหวแล้ว อะ อื๊อ”

“พร้อมกันนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยบอกก่อนจะกระแทกร่างกายเข้ามา อย่างแรงตามห้วงอารมณ์ที่เพิ่มสูงขึ้น ร่างโปร่งกอดอีกคนไว้
แน่น ก่อนที่อารมณ์จะถึงขีดสุด

“อะ อะ อ๊า !” ร่างโปร่งซบหน้าลงบนอกแกร่งก่อนที่ ร่างสูงกระแทกกลายเข้ามาไม่หยุดก่อนจะปลดปล่อยเข้ามาไปในตัวของร่าง
โปร่งในที่สุด

“เสวี่ยจง”

“หือ”

“ข้ารักเจ้า”

“ทะ ท่านอ๋อง” เสวี่ยจง เบิกตาโพลงไม่คิดไม่ฝันว่าคนต่ำต้อยเช่นเขาจะได้ยินคำนี้  เขาดีใจ แม้ว่าพรุ่งนี้ท่านอ๋องจะทำเป็นลืม
เขาดีใจแม้ว่า คำว่ารักจะกลายเป็นเพียงคำลวง

“ข้าบอกให้เรียกว่าอะไร พูดไหมสิ”

“ข้าก็รักท่านนะ…ท่านพี่”

คืนนี้ เสวี่ยจงหลับไปด้วยใบหน้าแห่งความสุข เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ขอแค่ได้หลับไปในอ้อมกอดแกร่งนี้เขาก็มีความสุขมากเกินพอแล้ว แม้ว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมเขาก็ไม่มีทางเสียใจ


“ตื่นได้แล้ว เจ้าคนขี้เซา” เสียงกระซิบที่ข้างหู ทำให้เสวี่ยจงเริ่มรำคาญ

“อื้อ อย่ามายุ่งนะ คนจะนอน”

“แต่เจ้าต้องตื่นได้แล้วนะ สายแล้ว สามีต้องเข้าวังแล้วรู้ไหม” เสียงนั้นบอกก่อนที่เสวี่ยจงจะรับรู้ถึงแรงกดหนักๆที่แก้มซ้าย พร้อมกับเสียงดัง ฟอด

สามี!!!

“เฮ้ย!!” ร่างโปร่งสะดุ้ง ก่อนจะมองคนที่หัวเราะเขาด้วยความไม่เข้าใจ เมื่อคืนเขากับท่านอ๋อง..

“ท่านอ๋อง”


“เรียกใหม่ ข้าให้เจ้าเรียกข้าว่าอะไร” ท่านอ๋องบอกเสียงเรียบ

“ข้าไม่ได้ฝันไปหรือ”

“เด็กโง่ มันจะไปเป็นฝันได้ยังไง ข้านอนกอดเจ้าทั้งคืนรู้ไหม ไหนเรียกให้ชื่นใจสิ”

“ท่านพี่”


3 เดือนผ่านไป

“ท่านพี่ กลับมาแล้ว” ร่างโปร่งยิ้มรับก่อนจะวางเจ้าแมวเปอร์เซียลงแล้ววิ่งออกไปรับอีกคนที่ดำลังเดินเข้ามา

“เหงาไหม” ร่างสูงเอ่ยถาม ก่อนจะกดจูบลงบนแก้มเนียนให้หายคิดถึง สามเดือนแล้วที่เขาสองคนอยู่กันเช่นสามีภรรยา ทั่วไป
แม้ว่า ฐานะ ของ เสวี่ยจงในจวนจะยังเหมือนเดิม แต่ทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังการแสดงความรัก ต่อกันเป็นสิ่งที่ ร่างสูงทำเสมอ
เสวี่ยจงเองก็ไม่เคยเรียกร้องอะไร เขารู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นใคร แค่ได้อยู่ใกล้ๆท่านอ๋องเช่นนี้ก็มีความสุขมากที่สุดแล้ว

“ข้ามี ปิงปิง เป็นเพื่อนจะเหงาได้ยังไง” ร่างโปร่งบอกก่อนจะชี้ไปที่เจ้าแมวเปอร์เซียแสนรัก เพราะบ่นว่าเหงาไม่มีเพื่อนเล่น ร่าง
สูงเลยไปเสาะหาสัตว์เลี้ยงมาให้อย่างเอาใจ ดูเหมือนว่าจะถูกใจคนรับไม่น้อย

“ข้าหิวแล้ว มีอะไรให้กินบ้างนะ”

“พ่อบ้านเพิ่ง เอามาให้กำลังร้อนๆเลย ท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ ข้าจะจัดสำรับไว้รอ” ร่างโปร่งบอกก่อนจะดันหลังอีกคนเข้าไปในห้อง


“หืม วันนี้มี ผัดถั่วงอกของโปรดเจ้าด้วยหรือ” ร่างสูงว่าก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้

“เช่นนั้นวันนี้ ข้าต้องเจริญอาหารแน่นอน” เสวี่ยจงบอกก่อนจะยกกาน้ำชามาให้ร่างสูง

ตุ๊บ!!

“เอ๊ะ ท่านทำอะไร” ร่างโปร่งแหวลั่น เมื่อ คนตัวสูงดึงให้เขานั่งบนตัก

“ข้าอยากให้เจ้าป้อน เจ้าป้อนข้าหน่อยได้ไหม”

“แต่ก็ไม่เห็น ต้องนั่งแบบนี้” เสวี่ยจงว่า

“ก็ข้าอยากกอดเจ้า นะ ภรรยาที่รัก ป้อนสามีหน่อยนะ”

“อื้อ” ร่างโปร่งรับคำ แม้ว่าจะเขินอายอยูมากแต่พอเห็นแววตาที่ร่างสูงส่งมาให้แล้วพาลให้ใจอ่อนเสียทุกครั้ง


“อื๊อ ท่านพี่ ทำไมผัดถั่วงอกถึงรสชาติ เช่นนี้ ” ร่างโปร่งว่าหลังจากที่กินอาหารจานโปรดเข้าไป

“ก็เหมือนเดิน อร่อยมากเลยนะ ไหนเจ้าลองกินใหม่สิ”

“อื๊อ มันเหม็น ข้าไม่กินแล้ว” เสวี่ยจงว่าก่อนจะลุกขึ้นจากตักหนา ไปอย่างรวดเร็ว หลายวันมานี้เขามักรู้สึกเช่นนี้เสมอทั้ง วิงเวียน หน้ามืด บางครั้งก็รู้สึกเหมือนจะอาเจียน โดยเฉพาะเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร

“เสวี่ยจง เป็นอะไร เจ้าไม่สบายตรงไหน” ท่านอ๋องแปดถามอย่างร้อนรน ตลอดชีวิตเขาไม่เคยทุกข์ร้อนกับอาการป่วยของใครแต่กับเสวี่ยจงแค่เห็น ร่างโปร่งนี้กินข้าวได้น้อยลงเขาก็ใจไม่ดีแล้ว มันเหมือนมีบางอย่างคอยรบกวนจิตใจเขาตลอดเวลา เขากลัว กลัวที่จะสูญเสียคนตรงหน้าไป แม้มันจะไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยแต่ส่วนลึกในจิตใจของเขากลับหวาดกลัวมันมากเหลือเกิน

“ข้าไม่รู้ แต่ระยะนี้ข้าชอบหน้ามืดบ่อยๆ”

“เจ้าไปนอนพักนะ ข้าจะไปตาหมอ” ร่างสูงว่าก่อนจะประคองคนรักเข้าไปในห้อง


หมอชราขมวดคิ้วแน่น สีหน้าของหมออันดับหนึ่ง อ่านยากเพราะมันมีทั้งความตกใจ ตื่นเต้น หวาดกลัว และอีกหลากหลายอารมณ์ที่แสดงออกจนเจ้าของจวนผู้ใจร้อนแทบจะทนไม่ไหว

“ท่านหมอ เขาเป็นอะไร” ร่างสูงถามเสียงเรียบเมื่อคนเป็นหมอไม่ยอมอธิบายอาการของคนรักสักที

“เอ่อ..” หมอชราอึกอัก เมื่อสิ่งที่เขาตรวจพบนั้นมันช่างเหลือเชื่อ จนเขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยปาก

“เรียนท่านอ๋อง คุณชายท่านนี้ไม่ได้เป็นโรคอะไรหรอกขอรับแต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไร ทำไมไม่รีบพูด!!” เสียงทุ้มทรงอำนาจตวาดลั่น

“ทะ ท่านโปรดอภัยด้วย ข้าน้อยตรวจแล้วพบว่า คุณชายท่านนี้ เอ่อ คือ คุณชาย ตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว ขอรับ” หมอชราบอกอย่างกล้าๆกลัวๆ

“ท้อง เสวี่ยจงนะหรือท้อง” ร่างสูงครางแผ่วคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“ข้าน้อยคิดว่าไม่ผิดแน่ ในอดีตก็เคยมีบุรุษท้องได้เช่นกันแต่โดยมากมักจะเป็นชาวหนานเจ้าขอรับ”

“แต่หนานเจ้าล่มสลายมาเกือบสองร้อยปีแล้ว เจ้ากำลังกุเรื่องหลอกข้าหรือ ไม่รู้หรือว่าหลอกลวงข้ามีโทษสถานใด”

“ข้าน้อยมิกล้า แต่จากที่ตรวจคุณชายแล้ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ”

“หึ เจ้ากลับไปได้แล้ว แล้วก็อย่าบอกเรื่องนี้กลับใคร หากว่าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เจ้าจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกเลย”

“ขอรับ”

คล้อยหลังหมอชรา ร่างสูงกลับถอนหายใจอย่างแรง เรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่มันเกินกว่าที่เขาจะเชื่อได้จริงๆแม้ว่าในอดีตจะเคยมีบันทึกการที่บุรุษให้กำเนิดทายาทเอาไว้บ้างแต่นั่นก็เป็นไปได้น้อยเต็มที ทั้งแคว้นหนานเจ้าก็ล่มสลายไปแล้ว เรื่องเช่นนี้จะยังมีอยู่ได้อีกหรือ

ร่างโปร่งที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่ลอบมองคนรัก ก่อนที่มือเรียวจะยกขึ้นลูบหน้าท้องเบาๆ เสวี่ยจงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตัวเขาจึงตั้ง
ครรภ์ได้ แต่สิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีมิใช่หรือ แต่ทำไม อีกคนถึงดูไม่ยินดีเลย


เกือบเดือนแล้วที่ร่างสูงไม่กลับมาที่จวนถามจากพ่อบ้านก็ทราบเพียงว่าท่านอ๋องต้องไปตรวจราชการที่ชายแดน เสวี่ยจงจึงพบเพียงพ่อบ้าน และหมอชราที่มาตรวจอาการบ้างเท่านั้น

เมี๊ยววววว เสียงแมวเปอร์เซียร้องลั่นก่อนที่มันจะคลอเคลียกับเจ้าของ

“ปิงปิง รู้ไหมว่าในนี้มีน้องอยู่นะ ” เสวี่ยจงบอกกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด ก่อนจะจับอุ้งเท้านั้นวางบนท้องที่เริ่มนูนเล็กน้อย

เมี๊ยววววววว

“เจ้าดีใจใช่ไหมที่จะมีน้อง คงมีแค่เจ้ากับข้าเท่านั้น ที่อยากให้เขาเกิดมา” ร่างโปร่งว่า น้ำตาเม็ดโตที่พยายามกลั้นไว้ไหลลงตาม
แก้มนวล

มันจบแล้วหรือ  ในที่สุดก็เดินมาถึงปลายทางสินะ ความสุขที่ผ่านมาช่างผ่านไปเร็วราวกับภาพฝัน แต่ก็คิดแล้วว่าสักวันมันคงจบลงเช่นนี้ เป็นเขาเองที่ผิด ท่านอ๋องสูงส่งเพียงใด ส่วนเขาเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ไม่มีอะไรเลยที่จะคู่ควร

“ลูกแม่ ไปอยู่กับแม่นะ ไปอยู่ด้วยกันสองคน” บอกกับเจ้าตัวเล็กอย่างแผ่วเบา ถ้าต้องรอจนถึงวันที่ถูกออกปากไล่เขาคงไม่มีแรง
เดินด้วยซ้ำ ฉะนั้น คงต้องไป ไปในวันที่ยังสามารถประคับประคองตัวเองได้

ร่างโปร่งอาศัยแสงจันทร์นำทางก่อนจะเดินลัดเลาะผ่านสวนไปจนถึงประตูเล็กที่อยู่หลังจวน ประตูนี้เขาเจอเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้เขาจะต้องใช้มัน เพราะเรือนตะวันออกเป็นเขตหวงห้ามทำให้ไม่ต้องระวังว่าใครจะมาเจอ เสวี่ยจงมอง จวนอ๋องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดสินใจก้าวออกจากประตูไป

แผ่นดินกว้างใหญ่ ต้องมีสักที ที่เป็นของเรา

เสวี่ยจงเดินไปตามถนนในเมืองหลวงอย่างไร้จุดหมาย เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มที่ตรงไหน ไม่รู้เลยว่าชีวิตจะเป็นเช่นไร แต่จะให้เขากลับไปก็คงไม่ได้ เขาไม่อยากให้ท่านอ๋อง ลำบากใจ


กรุ๊บกรั๊บๆๆๆๆ

เสียงควบม้านั้นดังขึ้นท่ามกลางความมืด เสวี่ยจงในหายวาบ เมื่อตอนนี้เขายืนอยู่กลางถนนและม้านั่นก็ควบเร็วเสียจนแทบจะ
ประชิดตัวอยู่แล้ว!!!

“หลีกไป!!” ร่างบนม้านั้นตวาดลั่น แต่ดูเหมือนว่า เสวี่ยจงจะทำอะไรไม่ถูก ข้าไม่ยอมก้าวตามที่สั่งได้แต่ยืนตกตะลึงอยู่กลางถนน

ม้าตัวนั้นพุ่งทะยานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนที่เสวี่ยจงจะรับรู้ถึงแรงกระแทก

พลั๊ก!!!

ตุ๊บ!!!



เพล้ง!!!! เสียงแจกันลายครามใบสวยที่ถูกทุ่มลงพื้น แตกละเอียดก่อนที่คนทุ่มจะกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ข้างหน้าด้วยความโกรธ

“ไหนพวกเจ้าพูดมาอีกครั้งสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น” เสียงราบเรียบนั้นเอ่ยถาม พ่อบ้านสะดุ้งตัวโยนก่อนจะตอบ

“เรียนท่านอ๋อง คะ คือว่า เราหา เสวี่ยจงไม่เจอขอรับ”

“ไม่เจอมากี่วันแล้ว”

“ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนที่ท่านหมอมาตรวจ หลังจากนั้นเราก็ไม่เจอเขาอีกเลยครับ”

“หึ ดี ข้าไว้ใจเจ้าให้เจ้าดูแลบ้านหลังนี้แต่คนจะเข้าจะออก เจ้ากลับทำไม่รู้ไม่เห็น ทำไมถึงไม่ยอมส่งคนออกตามหา!!” เสียงทุ้ม
ตะคอก ในใจของร่างสูงพลันปวดหนึบ สามวันมานี้เสวี่ยจงจะอยู่ยังไง ข้างนอกอากาศเริ่มหนาวแล้ว ไหนจะลูกของเขา คนพวกนี้
มันน่าตายนัก!!

“ข้าเห็นว่าไม่ใช่ ระ เรื่องสำคัญอะไรจึงไม่ได้ให้คนตามหาขอรับ” พี่บ้านบอกเสียงสั่น

“พ่อบ้าน เจ้ากล้าพูดว่าชีวิต ของลูกเมียข้าไม่สำคัญเช่นนั้นหรือ ” ร่างสูงว่าเสียงเหี้ยมแววตาวาวโรจน์นั้นสะท้อนความโกรธอย่าง
ชัดเจน แต่คำพูดของท่านอ๋องกลับทำให้คนทั้งจวนตื่นตะลึง “ลูกเมีย”

“ถ้าเช่นนั้นข้าสั่งให้คนนำลูกเมียเจ้าไปประหารเดี๋ยวนี้ท่าจะดีนะว่าไหม”

“ท่านอ๋อง โปรดระงับโทสะด้วย ได้โปรดปล่อยลูกเมียข้าน้อยไปเถอะขอรับ ข้าน้อยผิดไปแล้ว!!” พ่อบ้านบอกเสียงสั่นพลาง

“หึ ซาคังถ่ายทอดคำสั่งข้าออกไป ให้กรมอาญา ตามหา เสวี่ยจงให้เจอ ถ้าไม่เจอให้พวกมันหิ้วศรีษะมาหาข้า ส่วนลูกเมีย ของ
พ่อบ้านให้ขังไว้ก่อนจนกว่าจะหาเสวี่ยจงเจอ” ว่าจบร่างสูงก็หันกายไปที่เรือนตะวันออกทันที


ร่างสูงทอดมองเรือนตะวันออก พลันหัวใจก็ปวดหนึบ ทุกส่วนของที่นี้ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำ แม้มันจะเป็นระยะเวลาเพียงไม่
นาน แต่หัวใจเขาก็มีความสุขเหลือเกินที่เสวี่ยจงอยู่ด้วย น้ำตาเม็ดโตไหลจากดวงตาคมเป็นครั้งแรกที่น้ำตาของท่านอ๋องแปดหลั่งริน นั่นเพราะเขากลัว  ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจจนแทบจะทนไม่ไหว กลัวหรือเกินว่าจะเสียอีกคนไปตลอดกาล

“เสวี่ยจง เจ้าอยู่ที่ไหน ข้าขอโทษ”


“ท่านอ๋อง” ซาคังเฝ้าดูเจ้านายที่เอาแต่นั่งเหม่ออย่างไร้จุดหมายมาหลายวันพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อคนตรงหน้าแทบไม่เหลือเค้าโครงความองอาจของ ท่านอ๋องแปดที่เขาเคยรู้จักเลย

“กรมอาญายังไม่มารายงานอีกหรือ ซาคัง”

“ยังเลยขอรับ เราระดมหาอย่างเต็มที่แล้วแต่ไม่พบ พระชายาเลย”

พระชายา คือสรรพนามที่เขาให้ทุกคนเรียกขาน แต่มันจะมีประโยชน์อะไร เมื่อ ไม่มีเสวี่ยจง เขาผิด ผิดเองที่ไม่เคยดูแล ผิดเองที่ไม่ใส่ใจ เขาผิดทั้งหมด

“ท่านอ๋อง ท่านควรถนอมร่างกายด้วยนะขอรับ อีกไม่นานข้าเชื่อว่าเราจะต้องตาหาพระชายาเจอแน่นอน” 



ต่อด้านล่าง

NC  กากมาก
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 21-08-2014 03:13:13

เปลือกตาสวยนั้นค่อยๆขยับขึ้นลงช้าๆ ก่อนที่จะลืมกว้างขึ้น เสวี่ยจงมองไปรอบๆในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างตื่นกลัว ห้องนี้ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนชั้นดีแต่ก็ไม่ได้หรูหราอย่างจวนอ๋อง บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านคงเป็นพ่อค้าหรือพวกคนมีเงิน แต่เขามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร

“โอ้ย” ร่างโปร่งครางแผ่วเมื่อรู้สึกว่าร่างกายเจ็บราวไปหมด ใช่สิ เขาโดนม้าชน
แล้วลูกล่ะ ร่างโปร่งลุกพรวดก่อนจะมองหาใครสักคนที่สามารถตอบคำถามเขาได้มือเรียววางบนท้องตัวเองด้วยความกังวล

“เจ้าตื่นแล้วหรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงที่เสวี่ยจงไม่คุ้นหน้าเลยจะเดินเข้ามาในห้อง

“ยังเจ็บอยู่หรือไม่ เจ้าหลับไปเกือบสองวัน เล่นเอาข้าใจหายใจคว่ำ” เขาคนนั้นว่า

“ลูก ลูกข้าล่ะ ลูกของข้า” ร่างโปร่งถามอย่างร้อนรน ลูกคือสิ่งเดียวที่เขามี เด็กคนนี้เป็นเหมือนลมหายใจของเขา เขาเสียลูกไปไม่
ได้เด็ดขาด

“วางใจเถอะ เขายังอยู่กับเจ้า โชคดีที่วันนั้นม้าไม่ได้ชนจังๆ แต่ก็มีผลอยู่ไม่น้อย ช่วงนี้เจ้าต้องนอนเฉยๆ แล้วก็กินยาตามที่ท่าน
หมอสั่ง”

“ท่านช่วยข้าไว้หรือ”

“อย่าเรียกท่านเลย ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นขุนนาง ข้าชื่อ มู่หรงเซียน เรียกข้าว่าพี่ก็ได้ ”

“ข้าชื่อ ตู้เสวี่ยจง แต่คนต่ำต้อยไม่อาจเรียกท่านมู่หรงด้วยความสนิทเช่นนั้นได้”

“แล้วไปเถอะ เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากเลย กินข้าวต้มแล้วก็ดินยานะ จะได้นอนพัก” เสียงนั้นบอกอย่างอ่อนโยน

มู่หรงเซียนนั่งมองร่างโป่งที่อยู่ในห้วงนิทราก่อนจะยกยิ้ม ร่างโปร่งที่สลบเพราะความตกใจนั้นถูกเขาอุ้มกลับมาก่อนจะตามหมอ
มารักษา แม้จะตกใจอยู่ไม่น้อยกับเรื่องที่ได้ยิน แต่กลับยิ่งรู้สึกสงสารมากขึ้น

ใครกัน ที่กล้าทิ้งให้ ร่างนี้ต้องร้องไห้เพียงลำพังเช่นนั้น

“หากเขาไม่รักเจ้า ข้าจะดูแลเจ้าเอง เสวี่ยจง” บอกกับคนหลับอย่างอ่อนโยนมือหนานั้นเกลี่ยแก้มนุ่มอย่างแผ่วเบา เขาเองก็ไม่รู้
ว่าทำไมถึงรู้สึกอยากจะดูแลคนๆนี้นัก เพียงแค่แรกเห็นกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับกลองศึกแม้จะรู้ว่า ร่างนี้อาจจะของใครมาก่อนแต่เขาก็ไม่นึกรังเกียจ สักนิด



หลายเดือนต่อมา

เสวี่ยจงที่ท้องแก่ใกล้คลอดกำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าเตา เนื้อผัดในกระทะส่งกลิ่นหอมจคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในครัวอดที่จะยกยิ้มไม่ได้  หากว่าเขาได้เห็นมันตลอดไปก็คงดี

“ดูเจ้าสิ ทำไมยังมาทำกับข้าวอีก ไม่เหนื่อยหรือ”

“ท่านมู่หรง  รอสักครู่ เนื้อผัดใกล้ได้ที่แล้ว”

“เสวี่ยจง เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี้ในฐานะคนรับใช้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเองหรอกนะ ” มู่หรงเซียนบอกอย่างอ่อนโยนหลายเดือนมานี้ เขา
ดูแลร่างโปร่งอย่างดี พยายามเสาะหาหมอที่มีความสามารถเพื่อมาดูแลโดยเฉพาะ แม้ไม่ได้พูดตรงๆ แต่เขารู้ว่าอีกคนก็พอเดาออกว่าเขาคิดอะไรอยู่

“ให้ข้าทำเถอะครับ ข้าไม่อยากอยู่เฉยๆ จะเป็นภาระท่าเปล่าๆ”

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าเป็นภาระ เจ้ารู้ว่าข้า ระ..”

“แต่ข้ามีสามีแล้วครับ” ร่างโปร่งเอ่ยขัด

“เจ้ายังไม่ลืมคนพรรค์นั้นอีกหรือ หากเขารักเจ้าจริงทำไมถึงปล่อยให้เจ้าออกมาจากบ้านเช่นนั้น จนป่านนี้แล้วยังไม่คิดจะตามหา”

“ท่านมู่หรง อย่าให้ข้าต้องลำบากใจที่จะอยู่ที่นี้เลย เนื้อผัดเสร็จแล้ว ข้าจะให้เด็กๆยกไปจัดโต๊ะเลยนะครับ ใกล้เวลาที่แขกจะมาแล้ว”

มู่หรงเซียนได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหล้าไม่ว่าจะพยายามสักเท่าใดก็ไม่เคยเข้าไปแทนที่คนในใจของ เสวี่ยจงได้เลย


ร่างสูงสง่าของท่านอ๋องแปดก้าวลงจากเกี้ยวด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก หากว่าไม่ใช่ราชโองการของฮ่องเต้ เขาคงไม่ออกมาที่นี้ให้เปลืองเวลา  สกุลมู่หรง คือพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของเจ้าของบ้าน เสด็จพ่อจึงส่งเขามาเป็นตัวแทนเพราะ  การผูกมิตรกับพ่อค้าเหล่านี้คือรากฐานแห่งอำนาจ

“คารวะท่านอ๋อง” เจ้าของบ้านเอ่ยทักอย่างนอบน้อมก่อนจะเชิญแขกคนสำคัญให้เข้าไปนั่งในที่นั่งประธาน

ร่างสูงลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อวงสนทนาวันนี้พวกประจบสอพลอต่างแย่งกันเอาใจเขาเสียจนเอียน คำพูดยกยอ
มากมายไม่ได้ทำให้เขาอารมร์ดีสักนิด ซ้ำยังอารมณ์เสียจนแทบอยากจะสั่งประหานคนพวกนี้ให้หมด

“อาหารมาแล้วเชิญทุกท่านทานได้” เจ้าของบ้านเชื้อเชิญก่อนที่สาวใช้จะทยอยยกอาหารมา แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกอยากอาหารแต่การกินก็ถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งทำให้ ร่างสูงจำใจต้องคีบเนื้อผัดที่อยู่ใกล้มือที่สุดเข้าปาก

“ใครเป็นคนทำอาหารจานนี้!!” เสียงทุ้มตะโกนลั่นพลางปรายตามองเจ้าของบ้าน

“อาหารจานนี้มีอะไรหรือขอรับ” มู่หรงเซียนเอ่ยถาม พลางกลั้นลมหายใจใครๆก็รู้ว่าท่านอ๋องแปดอารมณ์ขึ้นลงยากคาดเดา เขา
เป็นห่วงร่างโปร่งขึ้นมาจับใจ

“ข้าบอกให้ไปตามคนที่ทำเนื้อผัดมา” ร่างสูงบอกเสียงเรียบ

“ท่านมู่หรง ว่าอย่างไรใครเป็นคนทำ” ร่างสูงคาดคั้น แต่เจ้าของบ้านกลับปิดปาดเงียบ

“หากจะลงโทษได้โปรดลงโทษข้าเถิด ข้าเป็นเจ้าบ้านหากมีเรื่องที่ทำให้ท่านอ๋องขุ่นเคืองใจ ข้าย่อมสมควรรับผิดชอบ”

“เด็กๆ ค้นให้ทั่วบ้านหาคนที่ทำเนื้อผัดจานนี้มาให้ได้!!” เสียงทุ้มตวาดลั่นแขกที่มาในงานต่างนั่งนิ่งไม่มีใครกล้าขยับ เพราะกลัวจะทำให้โทสะของท่านอ๋องเพิ่มมากขึ้น

“ท่านมู่หรง เกิดอะไรขึ้นครับ!!” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนที่ร่างหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้อง แต่ก็ต้องชะงักค้างเมื่อเห็นว่า ใคร ยืนอยู่

“ ไม่มีอะไรหรอก เจ้าไปพักเถอะ” มู่หรงเซียนบอก

“เนื้อผัดนี่ ฝีมือเจ้าจริงๆสินะ เสวี่ยจง”  เสียงทุ้มเอ่ยถาม ก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างโปร่ง

“ใช่ ขอรับ”

“มู่หรงเซียน ในเมื่อข้าพบคนที่ทำอาหารจานนี้แล้วข้าคงต้องกลับเสียที” บอกกับเจ้าของบ้านแต่มือหนากลับคว้าท่อนแขนเรียว
นั้นไว้แน่นก่อนจะลากอีกคนออกไปทันที

“ท่านอ๋อง!!”

“ข้าขอเตือน อย่าสอดปากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ”  ซาคังชักดาบออกก่อนจะจ่อที่คอของเจ้าของบ้าน

“แต่นั่นมันคนของข้า!!”

“ท่านมู่หรง ข้าไม่อยากจะพูดให้มากความ แต่ พระชายาของเราจะไปเป็นคนของท่านได้เช่นไร ข้าขอตัว”


ร่างโปร่งดิ้นหนีสัมผัสของคนตรงหน้าแต่เพราะท้องที่โตขึ้นมากทำให้ไม่สะดวกอย่างใจคิดจนแล้วจนรอดก็ถูกพากลับมาที่จวนอ๋องจนได้

“ปล่อยข้า!!”

“เสวี่ยจง เมื่อไหร่เจ้าจะอยู่นิ่งๆเสียที”

“ก็เมื่อที่ท่านปล่อยข้าไป” ร่างบางบอก แต่กลับถูกอีกคนรวบเข้าไปกอดแน่น

“ปล่อยข้านะ ถ้าท่านไม่ต้องการข้า ไม่ต้องการลูก ก็ปล่อยเราสองคนไปเถอะ ได้โปรดปล่อยข้าไป”  เพราะความกดดันทำให้ร่าง
โปร่งร้องไห้ออกมาอย่างหนัก น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้ม

หากไม่รัก ก็อย่าเหนี่ยวรั้งเลย

“เสวี่ยจง เจ้าฟังข้าก่อนได้ไหม ได้โปรดฟังข้าสักนิด” ร่างสูงที่ไม่เคยแม้แต่จะขอร้องใครกำลังอ้อนวอนคนที่รักหมดใจให้หยุดฟังเขาบ้าง มือหนาไล้แก้มนวลอย่างแผ่วเบาก่อนจะกดจูบลงบนเปลือกตาสวย

“ข้าขอโทษ ขอโทษที่ไม่เคยดูแลเจ้ากับลูก ขอโทษที่ทำเหมือนกับว่าไม่ต้องการพวกเจ้า เจ้ารู้ไหม วันที่ข้ากลับมาแล้วไม่เจอ
พวกเจ้าหัวใจข้าเหมือนจะหยุดเต้น เจ้ากับลูกสำคัญกับข้านะ เสวี่ยจง”

“ท่านโกหก ทำไมวันนั้นท่านถึงดูไม่ดีใจเลย ที่รู้ว่าข้าท้อง” ร่างโปร่งฟูมฟาย

“ข้าแค่กลัว บุรุษที่ท้องได้มีไม่น้อยที่ต้องจบชีวิตขณะคลอด ข้ากลัว กลัวว่าเจ้าจะจากข้าไป ชีวิตข้าจะอยู่ได้เช่นไรถ้าไม่มีเจ้า เส
วี่ยจง เชื่อข้าสักครั้งเถอะนะ ได้โปรดเชื่อหัวใจของสามีเจ้าสักครั้ง ”

“ลูกพ่อ เจ้าเชื่อพ่อใช่ไหม พ่อทำผิดต่อพวกเจ้ามากนักแต่ได้โปรดยกโทษให้พ่อเถอะนะ” ร่างสูงทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะรั้งเอวของคนรักมากอดแน่น จมูกโด่งกดจูบลงบนหน้าท้องนูนอย่างอ่อนโยน

“พ่อรักพวกเจ้าสองคนมากนะ”

“ท่านพี่” เสวี่ยจงบอกทั้งน้ำตา ไม่เคยมีอ้อมกอดใดที่จะอบอุ่นได้เท่าคนๆนี้ ไม่เคยคำว่ารักใดที่จะ อ่อนโยนได้เท่าคนๆนี้ และไม่
เคยมีผู้ใดที่จะทำให้เขารักได้เท่าคนๆนี้ …

“ข้ารักท่าน”


เกือบเดือนแล้วที่เสวี่ยจง ใช้ชีวิตในนามของพระชายา แม้ว่าจะไม่ค่อยคุ้นชินกับการถูกพินอบพิเทาสักเท่าใดนักแต่เขาก็ขัดร่างสูงไม่ได้

“พระชายา จะไปไหนหรือขอรับ”  ซาคังเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าร่างโปร่งเดินออกมาจากห้อง

“ข้าอยากไปที่ศาลาริมสระ ข้าไปได้ใช่ไหม”

“ขอรับ”

ร่างโปร่งยิ้มกว้างการต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องทั้งวันทำเขาเบื่อจนแทบบ้าเพราะ สามีคนดีของเขาไม่ยอมให้หยิบจับไปไหนหรือทำอะไรเลย เพราะกลัวจะแท้ง เหอะนี่ถ้ารู้ว่าตอนนั้นเขาถูกม้าชนคงอาละวาดบ้านแตกไปแล้ว แต่ไม่บอกท่าจะดีกับทุกฝ่ายมากกว่า

“อ่อ ท่านลุง เข้ามาที่นี้ได้ยังไงครับ” ร่างโปร่งเอ่ยถามกับชายชราท่าทางใจดีคนหนึ่ง

“ลุงเป็นญาติของเจ้าของบ้านน่ะ หือ นี่เจ้ากำลังท้องอยู่หรือ” ชายชราบอกก่อนจะมองร่างโปร่งอย่างพิจารณาแม้จะดูอายุมากแต่
ท่าทางที่ดูสง่างามนั้นทำให้เสวี่ยจงอดที่จะกลัวไม่ได้ หากว่าเป็นญาติกับท่านอ๋องคนตรงหน้าก็คงเป็นเชื้อพระวงค์สักคนสินะ

“เจ้ากลัวหรือ”

“เอ่อ คือว่า”

“ไม่ต้องกลัวหรอก คนแก่อย่างข้ามีอะไรน่ากลัวกัน” ชายชราบอกก่อนจะยิ้มน้อยๆ ให้อีกคนคลายกังวล  ตาคมมองร่างโปร่งที่อยู่ในชุดของสตรีเพื่อไม่ให้ชุดรัดเกินไป ซ้ำทรงผมก็ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบสตรีชั้นสูง แต่กลับดูไม่ขัดตาเลยสักนิดหากไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นบุรุษ


“ฝ่าบาท ไม่ควรเสด็จออกมาเพียงลำพังนะ พะยะค่ะ” เสียงทุ้มของเจ้าของจวนเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปซ้อนหลังภรรยา ตาคมนั้น
จ้องชายชราอย่างประเมินสถานการณ์

“หึ ก็แค่อยากเห็นหน้าลูกสะใภ้ของตัวเองก็ไม่ได้หรือ” เสวี่ยจงมองคนโน้นคนนี้สลับไปมา อย่างไม่เข้าใจ เมื่อครู่ท่านอ๋องเรียกคนตรงหน้าว่าฝ่าบาทหรือ หรือว่า..

“ฝ่าบาท ฮ่องเต้!” ร่างโปร่งอุทานลั่น เนื้อตัวลั่นเทาไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบกับประมุขของแผ่นดิน

“ฮ่าๆ ดูท่าลูกสะใภ้คนดี จะกลัวข้าเสียแล้ว” ฮ่องเต้แย้มสรวล

“ไม่ต้องกลัว ทำตัวปกติเถอะ  หากว่าข้าทำอะไรเจ้าแม้แต่ปลายเส้นผม เจ้าลูกชายตัวดีของข้าคงไม่ยอมแน่”

“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้น พะยะค่ะ” ร่างสูงบอกก่อนจะกอดภรรยาไว้แน่น

“ท่านพี่ ข้า อื้อ ข้า ปะ ปวดท้อง อื้อ” ร่างโปร่งร้องลั่น 

“ฟู่ซือ พาเมียเจ้าไปในห้องสิ เด็กๆใครอยู่แถวนี้บ้างไปตามหมอที ลูกสะใภ้ข้าจะคลอดแล้ว” ฮ่องเต้ตรัส

สองร่างเดินสลับกันไปมาที่หน้าห้อง พลางเงี่ยหูฟังความโกลาหลวุ่นวายสาวใช้วิ่งเข้าวิ่งออกจนแทบจะเป็นลมแต่ทุกคนก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อคุณหนูคุณชายตัวน้อยๆที่กำลังจะเกิดมา

แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆ

เสียงร้องของทารกทำให้ร่างสูงแทบยืนไม่อยู่ความดีใจเอ่อล้นจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ได้แต่มองไปที่ผู้ให้กำเนิดที่ยืนอยู่ข้างกัน
แม้ว่า กฎเกณฑ์ ในวังหลวงจะเข้มงวดองค์ชายอย่างเขาแทบไม่เคยได้รับไออุ่นจากอ้อมอกของผู้ให้กำหนด แต่เขากลับรู้สึกว่า ความสุขของการได้เห็น ชีวิตน้อยๆถือกำเนิดขึ้นก็คงไม่ต่างกัน

“ฟูซือ เจ้ารู้ไหม ว่าในวันที่เจ้าเกิด พ่อกำลังประชุมขุนนางเกี่ยวกับการวางระบบชลประทาน แต่แม้ว่าพ่อจะไม่ได้อยู่ด้วยแต่พ่อก็
ดีใจ ที่เจ้าเกิดมา”

“เสด็จพ่อ” ร่างสูงครางแผ่ว

“เจ้ามีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว ก็จงทำหน้าที่ให้ดี ในบรรดาลูกท่านหมด เจ้าหัวดื้อที่สุด แต่ก็โดดเด่นที่สุด พ่อหวังว่าเจ้าจะ
เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี”

“ขอบพระทัย เสด็จพ่อ”

“ฟู่ซือ เจ้าไม่คิดจะบอกความจริงเรื่องชาติกำเนิดให้ เสวี่ยจงรู้หรือ” ฮ่องเต้ตรัสถาม

“เรื่องบางเรื่องควรปล่อยมันไปจะดีกว่า พะยะค่ะ น้องจิ้ง ก็คือ เสวี่ยจง เสวี่ยจงก็คือ น้องจิ้ง ไม่ว่าจะเป็น หวันเอี้ยนจิ้ง ท่านชายผู้
สูงศักดิ์ หรือ ตู้เสวี่ยจง ลูกชาวบ้านธรรมดา กระหม่อมก็รักคนๆนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”


5ปี ผ่านไป

“ท่านแม่ เหวินจิ้งแกล้งข้าอีกแล้ว” ร่างเล็กของเด็กชายอายุราว 4 ขวบวิ่งเข้ามาฟ้องผู้เป็นแม่ ก่อนจะชี้ไปที่เด็กผู้ชายที่ตัวโตกว่า
อีกคน

“เหวินจิ้ง แกล้งน้องอีกแล้วหรือ” เสวี่ยจงหันไปถามกับเด็กชายตัวสูง

“เหวินฟู่ ขี้แย ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แต่เอาเจ้าตัวนี้ให้ดูเท่านั้นเอง เหวินฟู่ก็ร้องไห้จ้าเลย” เด็กชายตัวโตบอกเสียงเรียบพลาง

ยื่นเจ้าหนอนตัวน้อยให้ผู้เป็นแม่ดู เสวี่ยจงได้แต่ส่ายหน้ากับนิสัยของลูกชาย เหวินฟู่ กับ เหวินจิ้ง  เป็นฝาแฝดกันแต่กลับไม่เหมือนกันเลยทั้งรูปร่าง หน้าตา หรือแม้แต่ นิสัย จะบอกว่า เหวินจิ้งเหมือนท่านอ๋อง ส่วน เหวินฟู่ เหมือนเขาคงจะไม่ผิดนัก

“เจ้าก็รู้ว่าข้ากลัว ท่านแม่วันนี้ ให้เหวินฟู่ไปนอนที่อื่นเลยนะ ข้าจะนอนกอดท่านคนเดียว แบร่” ร่างเล็กว่า

“ไม่มีทาง ข้าก็จะนอนกับท่านแม่เหมือนกัน” เหวินจิ้งบอกเสียงเรียบ ถึงจะอายุยังน้อยแต่น้ำเสียงนั้นก็ยังคงมีความกดดันคนฟังอยู่
หลายส่วน ช่างเหมือนท่านอ๋อง ราวคนเดียวกัน

“ท่านแม่ ข้าไม่ยอมนะ”

“พวกเจ้าสองคน ไม่ต้องเถียงกันเลย เพราะวันนี้ เจ้าสองคนต้องเข้าวัง” ร่างสูงที่เพิ่งกลับจากวังหลวงเอ่ยขึ้น

“ฝ่าบาททรงรับสั่งอีกแล้วหรือ” เสวี่ยจงเอ่ยถาม

“ใช่ ไม่รู้ว่าเจ้าลูกลิงพวกนี้เป็นลูกใครกันแน่ เอะอะ เสด็จพี่ก็ให้เข้าไปเล่นในวังอยู่เรื่อย” ร่างสูงหมายถึง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่
ครองราชย์ได้เพียงสามปี ซ้ำยังไม่มีโอรส เจ้าลูกลิงแฝดของพวกเขาจึงกลายเป็นคนโปรด

“เพราะว่าพวกเราน่ารัก เสด็จลุงฮ่องเต้ก็เลยเอ็นดูครับ” เหวินฟู่บอกอย่างร่าเริง

ก่อนที่สองพี่น้องจะจูงมือกันกลับห้องเพื่อเตรียมตัวเข้าวัง ร่างสูงรั้งคนรักเข้ามากอดแน่นก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มนวล ตลอด 5 ปี
ที่ผ่านมาความรักของเจาที่มีต่อเสวี่ยจงไม่เคยลดน้อยลงไปเลยนับวันก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น หัวใจมันเต็มตื้นราวกับว่าการรอคอยที่
ยาวนานได้สิ้นสุดลง

“ข้าอยากมีลูกสาว” เสียงทุ้มบอก

“หือ” ร่างโปร่งเลิกคิ้วถาม

“ไปหาน้องให้เจ้าลูกลิงกันไหม”

“ท่านพี่!!” ร่างโปร่งเหวลั่น ก่อนจะจับมือหนาวางลงบนท้องของตัวเอง

“ไม่ต้องหรอก บางทีลูกสาวอาจจะอยู่ในนี้แล้วก็ได้”

“เจ้าหมายความว่า”

“สองเดือนแล้วครับ”

“เสวี่ยจง!! ข้าดีใจที่สุดเลยรู้ไหม” ร่างสูงบอกก่อนจะกอดคนรักไว้แน่น 


กว่าจะได้พบ กว่าจะได้รัก กว่าจะได้ครองคู่ อาจจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จนเหลือคณานับ แต่หาก เพียงหัวใจมั่นในรัก แล้ว บ่วงรักจักคล้องใจ ให้ดวงหทัยทั้งสองนั้น ร้อยรักมัดเรียงอยู่เคียงใจ ตราบชั่วนิจนิรันดร์


แถม…

“นั่นเป็นความฝันของคุณตลอดหลายปีหรือครับ” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นก่อนที่ร่างสูงที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้จะพยักหน้า

“อืม หมอคิดว่า ไม่น่าจะมีความผิดปกติอะไรนะครับ” ชายหนุ่มร่างโปร่งในชุดกราวบอกก่อนจะขยับแว่นที่ใส่อยู่อย่างใช้ความคิด

“เมื่อก่อน ผมก็คิดว่าเรื่องราวบ้าๆพวกนี้มันเพ้อเจ้อนะครับ ผมเอาแต่ฝันซ้ำไปซ้ำมา วนเวียนอยู่สามเรื่องนี้มาหลายปี  แต่วันนี้ผม
ไม่คิดแบบนั้นแล้วล่ะ” เสียงทุ้มบอกพลางจะลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะรั้งร่างที่ยืนอยู่ให้เข้ามาในอ้อมกอด

“ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีนะ”  เสียงนั้นกระซิบที่ข้างหู

“ฮึก มาช้า รู้ไหมว่ารอมาตั้ง 25 ปี มันเหงานะที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้” ร่างโปร่งว่าก่อนจะซุกหน้าลงบนอกแกร่ง ปล่อยน้ำตาให้
ไหลจนเสื้อเชิ้ตแบนด์หรูเปียกชุ่ม

“ขอโทษครับ ต่อไปนี้จะไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวอีกแล้ว รักนะรู้ไหม ไม่ว่าจะกี่ภพ กี่ชาติ ผมก็จะรักคุณคนเดียว”

“ผมก็รักคุณเหมือนกัน”

“อ่า แล้วแบบนี้ผมต้องเรียกคุณว่า จิ้นฝู หย่งเจิ้ง ฟู่ซือ หรือ เควิน อู๋  ดีล่ะ” ร่างโปร่งว่าติดตลก

“ฮ่าๆๆ เรียกว่า ที่รักเป็นไงครับ คุณ เอดิสัน หวง”



…………………….จบบริบรูณ์………………………………



 :sad4: :o12: ปาดน้ำตา รู้สึกยาวนานเหลือเกิน
กะอิแค่ มินิซีรีย์ ขอบคุณที่ติดตามกันเสมอมา คร่า  :mew3:

หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 21-08-2014 08:42:43
 : :pig4 :hao5: ปาดน้ำตาเรื่องนี้จบไม่เศร้า เสีวยจงหายไปจากอ๋องแปดอยู่เรื่อยนึกว่าจะจบเศร้าอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 21-08-2014 13:26:52
ยาวจุใจและจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-08-2014 07:31:03
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันซะทีน๊าา
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 22-08-2014 10:13:48
ค่อยยังชั่วนึกว่าจะเหมือนเรื่องที่สอง
ในที่สุดก็ได้รักกันซะทีน้าาาา
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 22-08-2014 21:17:39
เหมือนจะมาม่าแต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยดี  :mew1:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 25-01-2015 20:52:37
สนุกมากทุกเรื่องเลยครับ แต่ชอบ พระนาย กับ กานต์ และ ฟู่ซื่อ กับ เสวี่ยจง ชอบทั้งสองคู่ที่สุดครับ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 16-04-2015 14:13:02
*ขออนุญาตเม้นท์ตั้งแต่เรื่องแรกนะคะ ^^

เธอคือทั้งหัวใจ
… ความรู้สึกของวาดูเหมือนจะเปลี่ยนจากคำว่า 'รัก' กลายเป็น 'ลุ่มหลง' ไปแล้วนะคะเนี่ย เหมือนกับมัวเมาไปกับคนๆ เดียวจนดูไร้สติเลยค่ะ ทำไมถึงไม่หันกลับมามองดูรอบๆ ตัวบ้างว่ามีคนที่รักและหวังดีกับวาอยู่อีกตั้งหลายคน แล้วสุดท้ายเป็นยังไงล่ะ เสียใจกันไปทุกคนเลย ไม่ได้บอกว่าวาผิดนะคะกับสิ่งที่ทำลงไป แต่บางครั้งช่วยมีสติในการที่จะรักมากๆ กว่านี้หน่อยเน้อ (รวมไปถึงใบชาด้วยนั่นล่ะค่ะ) เฮ้อ~

กลิ่นแก้ว
… เหมือนเราหลุดเข้าไปในยุคนั้นด้วยเลยค่ะ บรรยากาศรอบๆ ดูล่องลอยๆ ชอบแนวนี้มากๆ ค่าา เป็นการกลับมาเกิดใหม่ที่สลับบทบาทกันแบบไม่คาดคิดเลย ถึงบุคลิกของคุณพระนายในตอนแรกที่บรรยายจะดูแมนสมชายมากแค่ไหน แต่พอคุณพระนายมาเข้าฉากกับคุณกานต์ปุ๊บ เรามีความรู้สึกว่าคุณพระนายดูน่าปกป้อง น่าทะนุถนอมขึ้นมาเลยเชียวค่ะ ส่วนคุณกานต์ก็อบอุ๊นอบอุ่น เหมาะสมกันมากๆ ^^

รหัท..รัก
… กรี๊ด~ น้ำตาอาบหน้าเลยค่าา คิดว่าทั้งสองคนจะไม่สมหวังเสียแล้ว สนุกมากๆ เลยค่ะ พุ (ชล) น่าร๊ากกกก.. ใสมาก น่าเอ็นดูสุดๆ ไปเลย โอ๊ยๆ ขีดความน่ารักเกินต้านทาน ชอบเวลาที่พุเรียนรู้วิธีการเป็นมนุษย์จังค่ะ ตอนที่ทำหน้างงหรือไม่เข้าใจตรงไหนคงน่าหยิกเป็นที่สุด ><

Kiss the Rain
… เศร้าค่ะ จุกกันเลยทีเดียว พออ่านจนจบ มีความรู้สึกว่าอยากให้เรื่องที่วินตายไปแล้วเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น T^T

Dandelion's promise
… ^_______^ อ่านแล้วมีความสุขจังเลยค่ะ เป็นรักที่มั่นคงมากๆ แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันเลยตลอด 10 ปี *กอดจุนไคกับหยวนแน่นๆ*

เพียงใจมั่นรัก
… เหมือนกับความรู้สึกจากเรื่องสั้นก่อนหน้านี้เป็นแค่ฝันไปเลยค่ะ ฟางซินน่าจะฆ่าเจ้าหมอผีนั่นก่อนนะคะ แล้วจะโดนเผาทีหลังก็ไม่ว่ากันค่ะ หมั่นไส้หมอผีมากค่ะบอกเลย~ ขอให้จิ้นฝูกับฟางซินได้เกิดมาคู่กันอีกนะค้าา (^O^)

บ่วงรักคล้องใจ
… อยู่ๆ ก็มีแต่น้ำตา~~ :o12: เศร้าค่ะ คือตอนตั้งท้องก็ไม่ได้อยู่ดูแล แถมตอนคลอดยังมาไม่ทันได้ดูใจเหยียนอี้อีกต่างหาก ที่หย่งเจิ้งตรอมใจขนาดนี้เราเข้าใจเลยล่ะค่ะ กระซิกๆ

ร้อยรักเคียงใจ
… ฟินนนค่ะ :heaven น้ำตาปริ่มด้วยความดีใจที่ทั้งสองได้ครองรักกันจริงๆ สักที
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: miniminiXD ที่ 22-02-2016 22:37:17
ชอบนิยายที่มีกลิ่นอายพีเรียดแบบเรื่อง กลิ่นแก้ว มากค่ะ :-[
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: miniminiXD ที่ 26-02-2016 00:19:58
เรื่องเศร้าเยอะจังงง :hao5:
หัวข้อ: Re: (รวมเรื่องสั้น) By Pita No 8 ร้อยรักเคียงใจ (จบในตอน) : 21/8/14 P5
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-11-2020 10:48:05
เรื่องแรกจุกเลย เสียสละให้แฟนของคนรัก จนทำให้คนที่รักเราต้องมาเสียสละให้ โอ้ว่าความรักหนอ

เรื่องสอง แม่แก้ว แม้กลับชาติมาเกิดแบบพลิกโผ ดีนะที่ใช้ใจคิด ลงเอยกันแบบมีความสุขได้ เป็นอะไรที่มาช่วยฮีลใจตอนอ่านเรื่องแรกจบได้ดีมาก 555 เรื่องนี้ดีจริง

เรื่องสาม เจ้าชายเงือกน้อยกับนายหัวพ่อหม้าย โอ๊ยยยนึกว่าจะไม่แฮปปี้ ดีที่ท่านพ่อท่านพี่อาโปช่วยให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้ มันเป็นโชคชะตาจริงๆ

เรื่องสี่ สั้นๆแต่จุก สงสารจีนไม่ไหวแล้ว T_T ยังคงทำใจไม่ได้ที่มาวินต้องจากไป จนสร้างจินตนาการขึ้นมา ฮือออมันเศร้า

เรื่องห้า แง๊สงสารท่านหมอและเจ้าจิ้งจอก ขอให้ได้ครองรักกันทุกชาติไปนะ

เรื่องหก สงสารเหยียนอี้กับหย่งเจิ้งที่สุดเลยพอรักกันได้มีลูกด้วยกัน แต่เหยียนอี้ก็ต้องมาจากไป น้ำตาไหลพราก TT________TT

เรื่องเจ็ด เสวี่ยจงองค์ชายแปด โอ๊ยยยท่านองค์ชายผู้เย็นชาแต่รักเมียคนเดียว มันดี๊ ขยันเอาลูกมาก 555 ดีที่จบไม่ตายจากกันหลังคลอด เด็กแฝดก็น่ารัก

สนุกกกกกทุกเรื่องเล้ยยยย สนุกจริง ชอบมาก  :pig4: :pig4: