พิมพ์หน้านี้ - LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 27.5.19 บทส่งท้าย 100 %

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Sailomcc. ที่ 01-03-2019 03:09:25

หัวข้อ: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 27.5.19 บทส่งท้าย 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 01-03-2019 03:09:25
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************


                                                                       LIFE OR DEATH

                                                                         บันทึกรักยมทูติ



SAILOM CC.

INTRO

   ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนเกิดมาแล้วดับสูญไป และมันเป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน และสิ่งที่เป็นความเชื่อคู่กันมานั่นคือ เมื่อดับสูญไปแล้วทุกอย่างจะไปที่ไหน หากเป็นขยะ เทคโนโลยีและต้นไม้ใบหญ้าก็คงจมลงสู่ใต้พื้นดินบางครั้งอาจจะย่อยสลายหายไป ถูกเผาจนไม่เหลือเศษซากเดิม และถ้าหากสิ่งนั้นคือ มนุษย์ล่ะ หลังจากดับสูญลง จะไปไหน ?


อย่างที่เรารู้กันดีว่า ทุกความเชื่อมีโลกหลังความตายด้วยกันทั้งนั้น และโลกหลังความตายนั้น การกระทำตอนที่เรามีชีวิตจะเป็นตัวชี้กำหนด ว่าจะไปในทิศทางไหน สิ่งพวกนี้แหละคือสิ่งที่เราได้รับรู้มา แต่ไม่มีใครเคยรู้ว่า โลกหลังความตายมีจริงหรือไม่ มันเป็นอย่างไร ต่อเมื่อคนๆนั้นจะสิ้นลมหายใจลง และได้พบกับยมทูติ


ยมทูติ เปรียบเสมือนบุรุษไปรษณีย์ ที่คอยรับส่งวิญญาณและพาไปให้ศาลของโลกหลังความตายตัดสิน และยมทูตินี่แหละที่จะต้องวนเวียนตามเก็บบรรดาวิญญาณที่ต้องการหลบหนีในโลกมนุษย์


ยมทูติแบ่งออกเป็นหลายระดับ ตามการทำงานและบาปของแต่ละคน เพราะจริงๆแล้ว การเข้ามาเป็นยมทูติ ต้องมีเงื่อนไขหลายๆอย่างจึงจะได้มาเป็น และมันต้องแลกด้วยอะไรหลายๆอย่างเช่นกัน



   ภายในห้องสี่เหลี่ยมถูกปิดทึบไปทั่วทุกทิศ ไร้แสงใดๆเล็ดลอดผ่านเข้ามา มีเพียงความสว่างสีเหลืองอมส้มจากโคมไฟเล็กๆบนหัวเตียง เท่านั้นที่ทำให้มองเห็นสภาพรอบห้องในตอนนี้ ตามพื้นเต็มไปด้วยรูปถ่ายคู่กันระหว่างชายหญิงสองคนในหลายๆบริบท มือบางของหญิงสาวที่ผมเพ่ากระเซอะกระเซิงซึ่งนั่งอิงเตียงอยู่เอื้อมไปหยิบรูปถ่ายที่วางข้างโคมไฟมากำแน่นในมือ ก่อนจะค่อยๆลูบรูปนั้นอย่างแผ่วเบา ความทรงจำอันแสนสุขที่บรรจุอยู่ในรูปนั้นมันช่างมีพลังเหลือเกิน รูปของหญิงสาวที่ฉีกยิ้มจนกว้าง ผมที่สีดำขลับยาวจนเกือบถึงบ่าปลิวไปตามแรงลมพร้อมกับการพลิ้วไหวชุดเดรสยาวสีฟ้า ด้านหลังเป็นรูปชายหนุ่ม ที่ยื่นจมูกเข้ามาชิดที่หน้าผาก มือของชายผู้นั้นกำลังโอบที่เอวของหญิงสาว ทั้งคู่ยืนกันอยู่ที่บริเวณด้านบนของเรือ ซึ่งทั้งสองไปเดทกันสองต่อสองกันครั้งแรก


รอยยิ้มจากการได้สัมผัสความสุขนั้นค่อยๆเจื่อนลงดวงตาที่เคยเปลี่ยมไปด้วยความสุขกลับค่อยๆแดงฉาน ริมฝีปากถูกฟันซี่งามกัดลงเพื่อไม่ให้เสียงของตนเล็ดลอดออกมา น้ำใสๆไหลรินออกจากดวงตาคู่งาม หยดลงไปในรูปนั้นหยดแล้วหยดเล่าอย่างไม่มีทีท่าที่จะหยุด หล่อนกำกรอบรูปในมือแน่นขึ้นๆ เมื่อภาพความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ ใบหน้ารูปไข่ ที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและรอยแตกของผิวหนัง บริเวณมุมปากมีรอยช้ำสีม่วงและรอยเลือดที่แห้งเกรอะกรัง เสื้อนักศึกษาสีขาวมีรอยขาดที่แขนเสื้อยาวมาจนแทบจะถึงคอ กระโปรงทรงเอรัดรูปปัจจุบันมันขาดวิ่นจนแทบไม่เป็นทรง เพราะผู้สวมใส่ผ่านการโดนรุมทำร้าย ที่ขาของเจ้าหล่อนเองเต็มไปด้วยหยดเลือดที่ไหลรินมาจากอวัยวะที่อยู่ระหว่างขาที่ผ่านการทำร้ายมาอย่างหนักหน่วง ชายคนรักและเพื่อนอีกสี่คน ซึ่งพวกเขากระทำราวกับเธอไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ภาพในหัวของเธอตีกันจนลบความดีในรูปถ่ายไปจนหมดสิ้น


หญิงสาวโยนกรอบรูปนั้นลงบนพื้น จนกระจกแตกกระจายไปทั่วทั้งพื้นห้อง หล่อนยกยิ้มที่มุมปากอย่างถูกอกถูกใจ ก่อนจะเอามือไปหยิบเศษกระจกที่อยู่ใกล้มือแล้วมองพิจาณามันราวกับว่าเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าที่สุดที่จะพาเธอไปพบกับความสุข ความสุขที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ แต่มันคือความสุขในโลกหลังความตาย
เธอยกมืออีกข้างมารอรับความสุขของเธอ ก่อนที่มือที่ถือเศษกระจกนั้นจะบรรจงทิ่มเข้าไปที่ข้อมือ อย่างเบาๆ
ในรอบแรกที่กรีดลงไปมีเพียงเสียงหัวเราะแสดงออกมาแทนเสียงแห่งความเจ็บปวด ก่อนที่หล่อนจะย้ำไปที่รอยเดิมอีกสองสามครั้งสนกระทั่งมันตัดขาดเส้นเลือดใหญ่ ที่ข้อมือ น้ำสีแดงไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ร่างของหญิงสาวทิ้งตัวลงนอนทับบรรดารูปถ่ายที่เคยเป็นความทรงจำ เสื้อนักศึกษาสีขาวบัดนี้ได้กลายเป็นสีแดงฉาน ดวงตาของหญิงสาวเองเหนื่อยล้าลงทุกที พัดลมที่อยู่บนเพดานที่เธอเคยมองเห็นชัดเจน ตอนนี้เหมือนมีใครบางคนมายืนบังเอาไว้ แล้วทุกอย่างก็ดับสูญลงในโลกแห่งนี้


   “ ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกหลังความตาย” เสียงแหบแห้งจากใครสักคนเรียกเธอให้ลุกออกจากร่างเดิม หญิงสาวมองร่างตัวเองอีกครั้งก่อนจะเดินหายตามชายในเสื้อคลุมสีฟ้าไป ทว่า เส้นเชือกที่ผูกมัดที่ข้อมือหล่อนกลับขาดวิ่น ก่อนจะมีเชือกเส้นใหม่ที่เป็นสีดำเข้ามาพันไว้รอบตัวของเธอแทน


   “ วิญญาณดวงนี้ข้าขอนะ” สิ้นเสียง ดวงวิญญาณของหญิงสาวก็หายไปทิ้งไวเพียงความร้อนใจของชายในเสื้อคลุมสีฟ้า


   “ ไอ้ยมทูติมืด แกอีกแล้วเหรอเนี่ย”



หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต (REVISE) บทที่1 1.3.19
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 01-03-2019 03:10:21
1


PARK



   เด็กชายวัยเจ็ดขวบที่เนื้อตัวมอมแมมด้วยเศษอาหารนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ใต้โต๊ะอาหารเพราะหลังจากการรับประทานอาหารมื้อเย็นไปได้เพียงห้านาที มื้ออาหารเย็นที่ควรจะเป็นมื้อที่มีความสุขและเป็นเวลาของครอบครัว แต่ไม่ใช่เลยสำหรับเด็กชาย ปณิธาน


เวลานี้เป็นเวลาที่เขาเกลียดที่สุด ทุกครั้งที่เวลาพ่อกลับมาที่บ้าน แม่ของเขาจะอารมณ์ฉุนเฉียว และเริ่มพูดจาไม่ดีใส่กัน เสียงดังใส่กัน เขามักจะนั่งมองภาพนี้วนไปทุกวัน เหมือนกับว่ามันเป็นวีดีโอที่ฉายย้อนเข้ามาในหัว เด็กชายนั่งมองภาพตรงหน้าพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลรินออกจากดวงตาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อเห็นพ่อของเขาเหวี่ยงหมัดเข้าไปที่ใบหน้าแม่ของตนจนล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เสียงด่าของแม่เด็กชายหยุดลง พ่อของเขาเดินเขามาหาแล้วลากร่างของตัวเขาเองออกมาจากใต้โต๊ะอันเป็นที่หลบซ่อน ขาของเขาถูไปกับพื้นปูนจนเกิดความร้อน เด็กชายร้องไห้หนักขึ้น มือหนาฟาดลงมาที่ใบหน้าของเด็กชาย ร่างเล็กกระเด็นไปตามแรงของฝ่ามือนั้นในทันที ริมฝีปากของปณิธานมีเลือดไหลออกมาผสมปนเปกับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย


   “ มึงมันตัวซวย” ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดผลักไปที่หัวของเด็กชายพร้อมกับกลิ่นสุราที่ตามออกมา น้ำเปลี่ยนนิสัยได้เปลี่ยนพ่อของเขาให้กลายเป็นปีศาจร้ายไปอีกแล้ว


ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อของเขาเมาแล้วกลับมาทำร้ายคนที่บ้าน พ่อของเขามักจะเครียดเสมอเวลากลับมาที่บ้าน เพราะทั้งสองคน ทั้งพ่อและแม่ของปณิธาน ไม่ได้รักกันและอยากที่จะมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่เป็นเพราะความผิดพลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือ ตัวปณิธานเอง


ปณิธานเกิดมาท่ามกลางความผิดพลาดของทั้งคู่ เกิดขึ้นมาท่ามกลางความคึกคะนองที่มาจากน้ำเปลี่ยนนิสัย ถึงแม้ว่าตอนที่ปกติ ไม่เมาตัวเขาเองก็แทบไม่ได้รับความรักความเมตตาจากพ่อหรือแม่เท่าไหร่นัก และยิ่งเป็นเด็กเจ็ดขวบ วัยแห่งการจดจำและเรียนรู้ พ่อและแม่ของเขามักจะด่าว่าอีกฝ่ายให้เขาฟังเสมอ หรือบางวันตัวเขาเองก็จะโดนด่าว่า ไอ้ตัวภาระ ไอ้ตัวซวย มึงมันพังชีวิตกู คำพูดพวกนี้เขาได้ยินจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว


เด็กชายมองตามบิดาที่เดินขึ้นไปชั้นสองของบ้านจนสุดสายตา เขาคลานตัวมาตามพื้นไปหามารดาที่นอนอยู่กับพื้น มือบางของเด็กชายเอื้อมไปสัมผัสคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา


   “ แม่เจ็บมั้ยครับ” เขาถามออกไปด้วยเสียงสะอื้นพร้อมกับใช้มืออีกข้างขึ้นมาเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของตัวเอง


   “ อย่ายุ่ง มึงมันตัวซวย มึงทำให้กูต้องมาเจออะไรแบบนี้ กูจะไม่ทนอีกแล้ว มึงรู้อะไรหรือเปล่าไอ้ปาร์ค ตั้งแต่มึงเกิดมากูยังไม่เคยเจอความสุขเลย ชีวิตกูเจอแต่ความฉิบหาย กูควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ กูควรไปได้ไกลกว่านี้ เป็นเพราะมึง เพราะมึงคนเดียว กูจะไม่ทนอีกแล้ว มึงเชิญอยู่กับพ่อมึงไปก็แล้วกัน กูจะไปตามชีวิตของกู” เธอเขย่าร่างของเด็กชายอย่างบ้าคลั่งก่อนจะผลักร่างน้อยให้ลงไปกองลงกับพื้น แล้วจึงตามผู้เป็นสามีขึ้นไปชั้นสอง เสียงกระดานไม้ด้านบนดังขึ้นเมื่อมีวัตถุร่วงลงกระแทกกับพื้น เสียงข้าวแตกพังไปพร้อมกับเสียงด่าทอของสามีภรรยา เด็กชายทำได้เพียงวิ่งเข้าไปในตู้เสื้อผ้าแล้วกอดเข่าร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนหมดแรงและหลับไป


ภายในตู้เสื้อผ้านั้นมันมืดจนไม่รู้ว่าเวลาด้านนอกผ่านไปเท่าไหร่ เขาได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ตู้เสื้อผ้า มันใกล้เข้ามาทุกที เด็กชายยิ่งกอดเข่าแน่น ทำตัวให้เล็กที่สุด เพราะกลัวว่าหากเขาถูกหาตัวพบ เขาจะโดนตีอีก แล้วจู่ๆแสงสว่างก็เข้ามากระทบกับดวงตาของเด็กชาย เขาหลับตาปี๋ แต่ทว่าไม่มีเสียงด่าทอเหมือนทุกครั้ง เขาไม่โดนกระชากเหมือนทุกทีที่เคยเป็น มีสัมผัสแผ่วเบาเข้ามาจับที่แขนของเขา สายตาดวงเล็กปรับสภาพให้เข้ากับแสงสว่างเพื่อให้มองเห็นผู้มาเยือน


ใบหน้าของชายผู้นั้นเขาเคยพบ เขาคือลุงซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อ ใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มแววตาที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยความห่วงใย


   “ มาหาลุงเร็ว” ลุงเกรียงไกรยื่นแขนออกไปสองข้างเพื่อรอรับการตอบรับของเด็กชายปณิธาน “ มาเถอะน่าลุงไม่ทำอะไรปาร์คหรอก” เขาส่งยิ้มไปให้เด็กชายอีกครั้ง


ร่างเล็กที่อยู่มุมสุดของตู้ค่อยๆขยับร่างกายช้าๆก่อนจะเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของคนเป็นลุง ทันทีที่เด็กชายเข้ามาอยู่ในมือของตัวเอง ลุงเกรียงไกรก็ดึงให้เด็กชายเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแล้วลูบหัวอย่างอ่อนโยน


เด็กชายร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่แปลกน้ำตาในครั้งนี้มันไม่ได้มาจากความเศร้าหรือความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย แต่ว่ามันมาจากความอบอุ่นที่เขาแบบจะไม่เคยได้รับ การสัมผัสตามร่างกายแบบนี้เขาเองก็ไม่คุ้นชิน


   “ ไปอยู่กับลุงนะ” เสียงของลุงเกรียงไกรพูดขึ้น ปณิธานพยักหน้าตอบทั้งๆที่อยู่ในอ้อมแขน คำพูดนั้นของลุงเกรียงไกรนั้นเหมือนน้ำที่มาชโลมหัวใจที่แห้งเหี่ยวของปณิธานอีกครั้ง


ลุงเกรียงไรพาปาร์คขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าที่ด้านบนชั้นสองของบ้าน สภาพมันไม่ได้ต่างอะไรไปจากกองขยะ ข้าวของที่พังกระจัดกระจาย ผ้าม่านสีครีมหลุดร่างจากหน้าต่างลงมากองกับพื้นซึ่งตัวผ้าม่านเองก็เต็มไปด้วยรอยเลือด เด็กชายมองภาพนั้นก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลรินลงมาอีกครั้ง เขาไม่เหลือใครแล้ว ร่างเล็กยืนนิ่งราวกับว่าโดนสะกดขาก้าวไปไหนไม่ได้


   “ เดี๋ยวปาร์คยืนรอลุงเฉยๆนะ ห้ามเดินไปไหนเศษกระจกจะบาดเอา” เสียงของลุงเกรียงไกรดังมาจากด้านหลัง
ชายวัยกลางคนไม่สนใจที่จะหยิบเสื้อผ้าไปเลยแม้แต่น้อย เขาเปิดหาเอกสารที่จำเป็นของหลานชายเพื่อหยิบติดตัวไป และเมื่อหาเจอเขาก็กลับมาหาหลานชายที่ยืนจ้องมองรูปถ่ายของพ่อแม่ที่ร่างอยู่บนพื้น


   “ เดี๋ยวปาร์คไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ ลุงซื้อเตรียมมาให้แล้ว” เขาเดินพาหลานชายออกจากห้องที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันแสนเลวร้าย


เด็กชายอาบน้ำแต่งตัวอยู่ในชุดยีนส์พร้อมกับหมวกคาวบอย ลุงเกรียงไกรเดินไปหาอีกครั้ง


   “ ปาร์คไปอยู่กับลุงที่เชียงใหม่นะ เราจะขึ้นเครื่องบินไปกัน ปาร์คเคยขึ้นเครื่องบินหรือเปล่า” เขาพยายามชวนคุยระหว่างที่เดินออกไปโบกรถแท็กซี่เพื่อตรงไปที่สนามบิน
เด็กชายได้เพียงส่ายหัวเล็กน้อย เขาไม่เคยได้ไปเที่ยววันหยุด เขาไม่เคยไปไหนเลย ตัวเขาเองก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนรัฐบาลแถวบ้าน เรียนเสร็จก็กลับบ้านไม่ได้ออกไปไหน เขาหันหลังกลับมามองบ้านหลังนั้นอีกครั้งก่อนทุกอย่างจะค่อยๆเล็กลง เล็กลงและหายไป

ควันสีขาวฟุ้งกระจายอยู่เต็มห้อง ลูกแก้วทรงกลมใสไม่มีสีขนาดประมาณลูกเบสบอลเห็นจะได้ ลอยเคว้งอยู่ในห้องสีขาว เมื่อร่างสูงเดินผ่านลูกแก้วที่เรียกว่า ลูกแก้วแห่งความทรงจำก็จะส่องแสงและแสดงเรื่องราวขึ้นมาเพื่อเรียกให้ตัวเจ้านายของมันเข้าไปสัมผัสและลงไปดื่มด่ำกับความทรงจำเก่าๆ


ปณิธานเดินมองดูรูปภาพพวกนั้นมาเป็นเวลานาน นานจนเขาไม่รู้ว่ามันนานเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เขาโดนยิงตายเพราะไปช่วยเพื่อนหรือคนที่เขาแอบรัก นั่นแหละ หลังจากนั้นเขาก็มาอยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่ได้ไปไหนอีกเลยเพราะเห็นว่าการตัดสินของเขาในโลกหลังความตายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนัก ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่านี้


ชายหนุ่มในชุดสีขาว ทั้งเสื้อและกางเกงเดินตรงดิ่งเขาไปที่ลูกแก้วซึ่งอยู่ตรงมุมห้อง มันคงเป็นความทรงจำที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเขา ลูกแก้วตรงหน้าค่อยๆปรากฏรูปร่างเป็นชายหนุ่ม ในชุดนักศึกษาใบหน้าคมเข้ม ที่กำลังหัวเราะตัวโยนระหว่างที่กำลังไปเที่ยวด้วยกัน มือหนาของปณิธานเอื้อมไปคว้ามัน ควันสีขาวกระจายฟุ้งอีกครั้ง ก่อนที่ตัวเขาเองจะมานั่งอยู่ในรถพร้อมกับเพื่อนๆที่คุ้นตา ไอ้นนท์ ที่กำลังนั่งเล่าเรื่องตลกของไอ้ไนท์ที่ไปจีบสาวแล้วสาวปฏิเสธ ซึ่งเจ้าของเรื่องที่นั่งอยู่ข้างๆที่เบาะหลังก็พยายามเอื้อมมือมาปิดปาก ไอ้เป้ที่นั่งอยู่ข้างเบาะคนขับก็ได้แต่หัวเราะและถ่ายรูปตอนไอ้ไนท์มันทำหน้าเหวอ ส่วนตัวปณิธานเองก็ทำได้แต่มองผ่านกระจกของคนขับ แล้วมองใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นแล้วยิ้มตามอย่างมีความสุข


   “ ไอ้ปาร์ค มึงเมื่อยหรือเปล่าวะ เปลี่ยนให้กูขับมั้ย” ชยานนท์เอาหน้ามาเกยที่เบาะคนขับก่อนจะถามขึ้นหลังจากทุกคนบนรถหลับกันหมดแล้ว


   “ ไม่เป็นไร กูขับไหว มึงก็นอนไปเหอะอีกตั้งนานกว่าจะถึง”


   “ กูยังไม่ง่วงว่ะ เอาอย่างนี้แล้วกันเดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อน กินนี่มั้ย” เขายื่นมันฝรั่งทอดมาให้ ไม่ใช่คงคงเป็นการบังคับให้กินเสียมากกว่า เพราะเมื่อตัวของปณิธานทำท่าปฏิเสธ ไอ้มันฝรั่งแผ่นหนาก็ยัดเข้ามาในปากอย่างเต็มปากเต็มคำ


   “ ขอบใจมึง” เขาพูดออกมาทั้งๆที่มันฝรั่งเต็มปาก


   “ ไม่เป็นไร มึงนั่นแหละขับรถไปดีๆ ไม่ไหวก็บอก” ชยานนท์ตอบพร้อมกับยื่นฝ่าเท้าพาดขึ้นมาด้านหน้า “ กูนั่งแบบนี้มึงถือไม่วะ”


   “ ทำไม ถ้ากูบอกว่ากูถือมึงจะเอากลับที่เดิมหรือไง”


   “ ไม่ว่ะ ก็กูเมื่อย อีกอย่างมึงคงไม่ถือใช่หรือเปล่า” ชยานนท์ถามกลับก่อนจะเอนตัวไปตัดกับเบาะด้านหลัง “ เออมึง อีกนานหรือเปล่าวะกว่าจะมีปั้มอีก”


   “ ทำไมวะ มึงอยากเข้าห้องน้ำเหรอ”


   “ เปล่า กูจะลงไปซื้อกาแฟให้มึงไง กูรู้นิสัยมึงดีว่ามึงไม่ให้ใครมาขับรถให้มึงนั่งหรอก แต่มึงควรพักบ้างนะเว้ย”


   “ เอาน่า อีกไม่กี่โค้งก็ถึงแล้วเนี่ย ถ้ามึงไม่อยากให้กูหลับก็ร้องเพลงให้กูฟังดิ”


   “ ได้” ชยานนท์เอื้อมมือไปด้านหลังเบาะแล้วหยิบกีตาร์ออกมาก่อนจะเล่นเพลงอย่างว่าง่าย ปณิธานได้แต่มองคนที่เขาแอบรักผ่านกระจกของคนขับแล้วซึมซับเพลงทุกเพลงที่เขาเล่น



ภาพความทรงจำดับลงอีกครั้งควันสีขาวกระจายไปทั่วทั้งห้อง แต่ว่าตอนนี้ตัวเขาไม่ได้อยู่คนเดียวภายในห้องนี้อีกต่อไปแล้ว
ชายในชุดสีดำ ผ้าคลุมสีขาวถือสมุดเล่มสีดำที่ทำจากปีกของสัตว์อะไรสักอย่างเดินเข้ามาใกล้ ตัวของชายผู้นั้นที่มาเยือนเรืองรองไปด้วยแสงสีขาว


   “ ความทรงจำมันเป็นเรื่องดีสำหรับมนุษย์และตอนยังมีชีวิตอยู่ แต่พอคนเราตายไป ทุกอย่างมันก็เท่ากับศูนย์ ความทรงจำพวกนั้นไม่มีผลอะไรกับทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้ว” ชายผู้นั้นพูดก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ปณิธานอีกครั้ง บรรดาลูกแก้วพวกนั้นลอยขึ้นด้านบนจนสูงไกลลิบตาราวกับว่ากลัวท่านผู้นี้เสียเหลือเกิน


   “ ท่านเป็นใคร” ปณิธานถามกลับด้วยความสงสัย


   “ เราชื่อ พชร” เขาแนะนำตัว “ เราเป็นยมทูติสีขาว และเป็นผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ทั้งปวงในโลกหลังความตาย”


   “ ยมทูติสีขาว” เขาทวนคำ “ ท่านคงจะมาตัดสินผมใช่ไหมครับ”


   “ ใช่แล้วล่ะ เจ้าชื่อ ปณิธาน ธนชานนท์ อายุ 22 ปี ชาตะ 29 มิถุนายน ปีระกา มรณะ 11 พฤศจิกายน  ไม่สามารถระบุปีที่จัดเจนได้”


   “ ไม่สามารถระบุปีที่จัดเจนได้ หมายความว่ายังไงครับ”


   “ ก็หมายความว่าเจ้าคือคนที่โลกหลังความตายเลือกน่ะสิ และนี่คือสาเหตุหลักที่เราให้เจ้ามาอยู่ในห้องนี้” ยมทูติสีขาวโบกมือในอากาศก่อนลูกแก้วนับร้อยจะลอยลงมาอีกครั้ง “ เจ้าบอกข้าทีสิ ว่าความทรงจำไหนที่เจ้าไม่อยากจำบ้าง”


   “ ไม่ครับ ผมคิดว่าทุกความทรงจำทำให้ผมเป็นผมได้”


   “ ฉันก็คิดอย่างนั้น มีบางอย่างในตัวเจ้าที่ทำให้เราเลือกเจ้าและตัวเจ้าเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้” ยมทูติสีขาวพูดพร้อมกับปัดลูกแก้วความทรงจำให้ลอยขึ้นไปอีกครั้งก่อนในห้องนี้จะเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ตรงหน้าของปณิธานเป็นเก้าอี้สูงใหญ่ ยมทูติสีขาวก้าวขาขึ้นไปแล้วทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้นั้น แสงสว่างสีขาวก็กระจายตัวไปรอบห้องอีกครั้ง ห้องนี้ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด ว่างเปล่า


   “ ที่นี่ที่ไหนครับ”


   “ ที่นี่คือห้องทำงานของข้า” ยมทูติสีขาวตอบ


   “ ที่ท่านบอกว่าผมเป็นคนที่ถูกเลือก หมายความว่ายังไงครับ”


   “ หมายความว่าเจ้าจะต้องเป็นยมทูติ”


   “ ยมทูติ”


   “ ใช่ ยมทูติ หรือผู้รับส่งวิญญาณ เราจะเลือกมาจากชะตากรรมและสิ่งที่ทำตอนเป็นมนุษย์ เจ้าถูกเลือกจากชะตากรรม” สิ้นเสียงสมุดเล่มสีฟ้าที่มันขวับก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ายมทูติสีขาว “ นี่คือสมุดบัญชี ของเจ้า” สมุดนั้นค่อยๆลอยตรงมาหา ปณิธานที่กำลังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ แต่เจ้าจำเป็นต้องมีคู่หู”


   “ เดี๋ยวก่อนนะครับ เรื่องยมทูติผมยังไม่เคลียเลย ทำไมถึงต้องเป็นผม” ปณิธานตะโกนถามกลับ


   “ เมื่อเจ้าได้ทำภารกิจบางภารกิจสำเร็จ เจ้าจะได้คำตอบเองว่าทำไมต้องเป็นเจ้า”  สิ้นเสียงของยมทูติสีขาวสมุดเล่มนั้นก็อยู่ในมือของปณิธานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


เขาค่อยเปิดมันออก หลังจากนั้นทุกอย่างรอบตัวก็หมุนราวกับพายุ แล้วพาเขากลับมานั่งอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่ง นั่นคือไรส้มเกรียงไกร เขากลับมาที่นี่ทำไมกัน



ทันทีที่เท้าของปณิธานสัมผัสลงบนพื้นหญ้า เสียงเรียกจองใครบางคนก็ดังเข้ามาในความคิดทันที เขาหลับตาแล้วปล่อยให้ดวงจิตล่องลอยไปตามเสียงเรียกในอากาศนั้น จนกระทั่งร่างของเขามาปรากฏที่ห้องนอนแสนคุ้นตา มันคือห้องนอนของลุงเกรียงไกร
ชายวัยสี่สิบปีใส่กางเกงขาก๊วยสีฟ้ามันวาวสวมเสื้อสีขาวกำลังยืนจ้องมองรูปชายหนุ่มที่วางไว้ตรงบริเวณฝาผนังห้อง คนในรูปส่งยิ้มจนตาแทบจะปิดมาให้คนที่ยืนมอง มือหนายกมือขึ้นมาปาดน้ำตาแห่งความติดถึงก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้แล้วจ้องมองรูปอยู่อย่างนั้น หากใครมาเห็นเจ้าของไร่ในตอนนี้คงคิดว่าท่านเสียสติ เพราะเจาเอาแต่คุยกับรูปหลานชายอย่างมีความสุข


“ ปาร์ค วันนี้เจอนนท์กับจักรโทรมาด้วยนะ สองคนนั้นถามหาแกด้วย เห็นว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมน่ะ สองคนนั้นเขาไม่ลืมหรอกนะว่าวันนี้วันเกิดแก  แต่เขาไม่ว่างก็เลยมาพรุ่งนี้แทน  แกเองก็อย่าน้อยใจไปล่ะว่าเขาลืมวันเกิดแกน่ะ”  ปณิธานเดินเข้าไปโอบกอดลุงแต่ทำได้แค่คว้าอากาศเท่านั้น  คนที่นั่งมองรูปอยู่ถึงกับต้องชะงักเพราะมีลมบางเบา มาสัมผัสที่ต้นคอ “ นั่นแกเหรอปาร์ค” ลุงเกรียงไกรถามลอยๆออกมา “ทำไมลุงมองไม่เห็นแกล่ะ”


“ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”เขาตอบส่งๆไปหวังว่าลุงของเขาจะรับรู้ได้เพราะปกติแล้ว ลุงของเขาเป็นคนมีสัมผัสพิเศษ แต่ทำไมเขาถึงสื่อสารกับลุงตัวเองไม่ได้ล่ะ


เหมือนคำถามนี้มีคำตอบรออยู่แล้วเพราะทันทีที่ปณิธานถามคำถามสมุดบันทึกเล่มสีฟ้าก็ลอยเคว้งมาในอากาศหน้าแรกที่เคยว่างเปล่าปรากฏตัวหนังสือขึ้นมาทีละบรรทัด



กฏของยมทูติ
1.เนื่องจากยมทูติไม่ใช่ดวงวิญญาณทั่วไปคนที่มีสัมผัสพิเศษจะไม่สามารถสื่อสารกับยมทูติได้


2. คนที่มองเห็นยมทูติได้มีเพียงวิญญาณและยมทูติด้วยกันเองเท่านั้นเว้นเสียแต่ว่าจะมีมนุษย์ที่เคยผ่านความตายมาแล้ว


3. ยมทูติสีฟ้าต้องมีคู่หู และต้องหาคู่หูให้เจอภายในเจ็ดวันมิเช่นนั้น ดวงวิญญาณจะถูกลงทัณฑ์ให้กลายเป็นสัมภเวสี


4.ยมทูติห้ามช่วยเหลือหรือเข้าไปขัดขวางและเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของมนุษย์


5. ห้ามให้สมุดนี้ตกอยู่ในมือของผู้อื่นยกเว้นคู่หูเกินเจ็ดวันมิฉะนั้นดวงวิญญาณจะสลายทั้งคู่หูและเจ้าของ


6. ยมทูติต้องกลับไปรายงานตัวให้กับยมทูติสีขาวที่โลกหลังความตายทุกๆเจ็ดวัน หากเกินนั้นจะมีบทลงโทษตามเหตุอันควร


7.ห้ามยมทูติส่งวิญญาณช้ากว่าเจ็ดชั่วโมง เพราะจะมีเรื่องร้ายตามมา


“ นายท่านสามารถถามข้าได้เพิ่มเติมข้ายินดีรับใช้นายท่าน”
สมุดเล่มสีฟ้าส่งเสียงมา ภายในหน้ากระดาษเมื่อสังเกตดีจะพบว่ารอยยับบนกระดาษนั้นมีรูปทรงเหมือน ดวงตา จมูกและปาก


“ แกเป็นใคร” ปณิธานถามพลางปล่อยหนังสือให้เคว้งอยู่กลางอากาศ


“ ผมชื่อธาราดลครับ แต่เรียกให้เข้ายุคนี้หน่อย เรียกผมว่า บลู ก็ได้ครับ”


“  มีชื่อด้วย”


    “ ใช่สิครับ ผมเป็นสมุดบันทึกดวงวิญญาณของยมทูติสีฟ้ามากว่าเจ็ดร้อยปีแล้วครับ นายท่านเองจำเป็นต้องมีผมไว้ข้างกายนะครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้นายท่านควรไปหาคู่หูได้แล้วนะครับ” สมุดเริ่มออกคำสั่ง
“ โอเคฉันรู้ว่ามีเวลาเจ็ดวัน แต่ตอนนี้ ฉันขออยู่กับลุงแล้วก็รอเจอใครสักหน่อยแล้วกัน” ปณิธานเอ่ยอย่างเหนื่อยใจเพราะตอนนี้สมุดสีฟ้าพูดอย่างไม่ยอมมีทีท่าที่จะหยุด


    “ นายท่านควรรีบตามหาได้แล้วนะ เพราะตอนนี้คู่หูนายท่านกำลัง ”
“ รู้แล้วล่ะ ถ้านายยังไม่เงียบฉันจะเอาอะไรทับปิดปากนายเดี๋ยวนี้แหละ”  ปณิธานเริ่มอารมณ์เสีย ก่อนจะลองออกคำสั่งกับสมุดของตัวเอง “ บลู พาฉันไปที่เก็บกระดูกฉันหน่อย”


สิ้นคำสมุดก็กางออกร่างของปณิธานมาปรากฏตัวที่ท้ายไร่ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีขาวพร้อมที่บรรจุกระดูกของเขา ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางแปลงกุหลาบนั้น


    “ ลุงคงตั้งใจทำให้ผมสินะครับ”


“ นายท่านครับ” เสียงบลูร้องเรียกมาจากด้านข้าง “ ทำไมนายท่านต้องร้องไห้แล้ว เรียกผู้ชายนั้นว่าลุงล่ะครับปกติแล้วบลูเห็นคนที่ตายมักจะเรียกหา พ่อแม่หรือคนรักนี่ครับ”


“ ไม่ต้องยุ่งสักเรื่องได้หรือเปล่าล่ะ”


“ ไม่ได้ครับ บลูต้องรู้เรื่องเจ้านายทุกเรื่อง”


“ ถ้าอย่างนั้นนายก็รู้สิ ว่าคู่หูฉันเป็นใคร”  เขาหันหน้ามาคุยกับหนังสือที่ลอยเคว้งในอากาศข้างๆตัวเอง


“  รู้สิครับ แต่บลูบอกเจ้านายไม่ได้หรอกครับ มันเป็นกฎที่ยมทูติต้องตามหาคู่หูเอง ก่อนเจ็ดวันเพราะ เอ่อ”


 “ เพราะอะไรเหรอบลู” ปณิธานถามกลับเมื่อเห็นว่าบลูเงียบลง


“ ไม่มีอะไรหรอกครับ บลูพูดมากไปแล้ว ยังไงเจ้านายก็รีบๆหาคู่หูนะครับ บลูขอตัวไปพักก่อน”สิ้นคำสมุดสีฟ้าก็หายไปจากอากาศ
อย่างรวดเร็ว


ปณิธานนั่งดูผู้คนที่ต่างมาทำกิจวัตรประจำวันของตัวเอง เมื่อแสงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาบนขอบฟ้า บ้างเดินมาตัดเล็มดอกกุหลาบที่เริ่มเหี่ยวออก บ้างมารดน้ำต้นไม้


แม่บ้านของลุงเกรียงไกรเองก็เดินเอาข้าวปลาอาหารมาตั้งไว้ที่หน้าโกศกระดูกของเขา  หลังจากนั้นก็เริ่มทำความสะอาดบริเวณรอบ ไม่นานลุงเกรียงไกรก็เดินเอาดอกไม้มาวางใส่แจกันหน้าโกศนั่น ท่านหยุดยืนคุยกับหลายชายตัวเองเป็นประจำเหมือนทุกวัน แต่ถ้าท่านรู้คงจะดีว่าที่ท่านพูดวันนี้หลานชายท่านยืนฟังและรับรู้ทุกอย่าง


“ อีกสักพัก นนท์กับจักจะมาแล้วนะ” เขาบอกหลานชายก่อนจะเดินไปสั่งให้คนงานเร่งทำความสะอาดให้เร็วขึ้น
เกือบครึ่งวันสิ่งที่ปณิธานรอก็มาถึงเมื่อรถสีขาวจอดลงเทียบกับตัวอาคารต้อนรับของไร่เกรียงไกร ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเดินลงมาไหว้ลุงเกรียงไกร ส่วนจักรมาในชุดไพรเวทเสื้อสีขาวกับกางเกงขายาวสีครีม เดินออกมาจากฝั่งของคนขับ


“ มากันเร็วเหมือนกันนี่” เสียงของลุงเกรียงไกรเอ่ยต้อนรับทันทีที่พวกผมเปิดประตูรถออกไป “ มาๆเอาของมาเก็บกันก่อน”


   “ สวัสดีครับลุง” จักรเดินไปหาแล้วกอดที่เอวของลุงเกรียงไกร “ อ้วนขึ้นหรือเปล่าเนี่ย” จักรพูดพร้อมกับดันตัวเองออกจากอ้อมกอด “ ก่อนผมกลับไปรอบที่แล้วยังโอบได้มิดอยู่เลย” สิ่งที่รณจักรพูดหมายความได้ว่า พวกเขาไม่เคยทิ้งให้ลุงเกรียงไกรอยู่คนเดียว เพราะมาเยี่ยมกันตลอดทำให้คนที่ยืนดูอยู่ได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข เว้นเสียแต่ว่าจะมีสายตาคู่หนึ่งมองมาทางเขาราวกับว่ามองเห็น


สายตาของรณจักร


   “ กินดีอยู่ดีน่ะ” ลุงเกรียงไกรหัวเราะออกมาก่อนจะหันไปสั่งให้คนมาขนของคนที่มาเยี่ยมเยียน “ แล้วครั้งนี้จะมาอยู่กันกี่วันล่ะเนี่ย”


   “ สามสี่วันครับ ผมสอบเสร็จแล้ว จักรเองก็จะมานั่งตัดงานที่นี่” ชยานนท์ตอบอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มที่ปณิธานอยากเห็นก็
แสดงออกมาทันที


   “ จะมาใช้ที่นี่สวีทกันไม่ได้นะ ไอ้จุลมันจะมาแหกอกข้าเอา” ลุงเกรียงไกรหัวเราะหัวเราะครืนเมื่อพูดถึงพ่อจักรที่ตอนแรกจะไม่ค่อยยอมรับเรื่องความรักของทั้งสองคน 


   “ ลุงก็อย่าให้พ่อรู้สิครับ”  รณจักรตอบพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมา


   “ เราสองคนขอไปหาไอ้ปาร์คหน่อยนะครับ” ชยานนท์พูดขึ้น


   “ ได้สิ เดี๋ยวฉันไปคุมงานเด็กด้านหลังแล้วก็ก็จะไปสั่งแม่บ้านเรื่องอาหาร ก่อนแล้วกันนะ” ลุงเกรียงไกรส่งยิ้มกลับมาให้พร้อมกับเดินหันหลังเข้าไปในตัวบ้านพร้อมกับน้ำตาที่คลออยู่ที่ดวงตา
ปณิธานเดินตามทั้งสองคนที่เดินลัดผ่านสวนส้มมาด้านหลัง โกศของปณิธานตั้งอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง  ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีขาวห้อมล้อมโกศสีขาวอยู่ ใบหน้าบนโกศส่งยิ้มมาต้อนรับพวกผม ผมเอื้อมไปหยิบธูปที่วางอยู่ในพานแก้วตรงหน้ามาพร้อมกับรณจักรที่อยู่ข้างๆ


   “ ปาร์ค สุขสันต์วันเกิดนะเว้ย ขอโทษที่มาช้า พอดีกูมีสอบว่ะ มึงก็รู้ว่าตัวนี้แม่งยาก เพราะถ้ามึงอยู่มึงคงเป็นคนติวให้กู แต่ตอนนี้กูเรียนกูพึ่งตัวเองได้แล้วนะ มึงไม่ต้องห่วง พวกไอ้ไนท์ไอ้เป้เองที่กลัวจะไม่จบมันก็สู้จนจบเลยนะมึง มันบอกว่าจะเรียนเพื่อมึงกัน อีกอย่างเรื่องลุงมึง ตอนนี้ท่านดีขึ้นนะ ถ้ามึงว่างๆก็ไปเข้าฝันให้ลดน้ำตาลบ้าง น้ำตาลในเลือดแกเริ่มสูงแล้ว มึงอยู่บนนั้นมีความสุขดีใช่หรือเปล่าวะ ถ้ามีความสุขดีก็ดีไป ถ้ามีไรให้ช่วยมาบอกได้นะเว้ย กูเองพร้อมช่วยเหลือมึงเสมอ เหมือนที่มึงคอยช่วยเหลือกูมาตลอด วันนี้กูมีของมาให้มึงด้วย กูว่าของสิ่งนี้ควรอยู่กับมึง” ชยานนท์ปักธูปลงที่กระถางตรงหน้า พร้อมกับหยิบสมุดไดอารี่ออกมาจากกระเป๋า แล้ววางลงตรงหน้าโกศ “ มึงไม่ต้องกลัวเปียกฝนนะ จักรมันทำกล่องใส่มาเป็นอย่างดี”


เสียงนั้นเข้ามาในโสตประสาทของปณิธานทุกคำพูด ดวงจาของเขาร้อนผ่าวพร้อมกับเดินไปหาคนที่เขารักและเป็นห่วง


   “ เราขอบคุณปาร์คด้วยนะ ถ้าปาร์คว่าง ไปเข้าฝันนนท์บ้างก็ดี ช่วงนี้มันชอบหื่น”


   “ พูดอย่างนี้ได้ยังไง เดี๋ยวๆเหอะ ใครกันแน่”  ชยานนท์หยิกแก้มรณจักรไปทีนึง  “เดี๋ยวกูมาเยี่ยมมึงใหม่นะ “


   “ กูขอให้มึงสองคนรักกันนานๆก็แล้วกัน” ปณิธานพูดพร้อมกับสายลมที่พัดวาบขึ้นมาในทันที รณจักรเปรยตามองมาทางเขาอีกครั้งพร้อมกับส่งยิ้มให้ ราวกับว่ามองเห็น


   “ นายท่านไม่ควรไปอวยพรให้มนุษย์แบบนั้นนะ มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย พลังของนายท่านอาจหายได้เลยนะ” เสียงของบลูดังออกมาพร้อมกับสมุดเล่มสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


   “ บลู ไอ้จักรมันมองเห็นฉันใช่หรือเปล่า”


ไม่รอให้บลูตอบ รณจักรที่อยู่ในอ้อมกอดของชยานนท์ก็พยักหน้าเป็นคำตอบมาให้ ปณิธานโบกมือล่ำลาทั้งสองก่อนจะหันไปบอกสมุดประจำตัวของตน


   “ ไปหาคู่หูฉันกัน”


สิ้นคำสมุดก็กางออกรอบตัวของปณิธานหมุนอีกครั้ง แล้วทุกอย่างก็หายไปจนหมด จากบรรยากาศไร่ส้มก็เปลี่ยนมาเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะเดิมของเขาในตอนที่มีชีวิต








มาย้อนรอยอ่านใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต (REVISE) 1.3.19
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-03-2019 06:00:54
กลับมาแล้ว ก็มาบ่อยๆ นะ อย่าหายไปอีก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต (REVISE) 1.3.19
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 01-03-2019 12:49:03
เคยอ่านแต่หายไป  ตาม :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต (REVISE) 2.3.19 บทที่ 2,3
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 02-03-2019 02:09:30
2
NEW WORLD
   เสียงดนตรีจังหวะสนุกและหนักหน่วงด้วยบีตที่ทุ้มซึ่งเปิดโดยดีเจประจำร้าน คนเดิม นักท่องเที่ยวยามราตรีขยับท่าทางไปตามจังหวะกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งได้รับเครื่องดื่มสีอำพันไปแล้วความกล้าและท่าเต้นใหม่ๆจะออกมาด้วยเสมอ ยิ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในร้านอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ต่างมาคลายความเครียดกัน เสียงเฮฮาโห่ร้องกันอย่างอึกกระทึกครึกโครม ทำเอาผู้จัดการร้านสาวประเภทสองอย่างอาโปที่อยู่ในชุดเดรสสั้นสีดำถึงกับยิ้มที่มุมปากเธอเพราะยิ่งลูกค้าเยอะเท่าไหร่ส่วนแบ่งของยอดการทำเงินก็จะแบ่งมาให้เธอด้วยหลังจากหักจากต้นทุน หล่อนมองไปรอบๆอย่างมีความสุขก่อนจะไปสะดุดกับผู้ชายวัยหนุ่มที่ใส่ชุดเชื้อกล้ามสีขาวที่เผยให้เห็นก้ามแขนและหน้าอกซึ่งผ่านการออกกำลังกายมาเป็นอย่างดี กับกางเกงยีนส์ฟอกสีรัดรูปกำลังเดินส่งอาหารตามโต๊ะ พร้อมกับส่งรอยยิ้มอันแสนหวานจนบริเวณข้างแก้มบุ๋มลงไปอย่างชัดเจน ริมฝีปากสีชมพูเจื้อยแจ้วคุยกับลูกค้าจนเผยให้เห็นฟันที่เรียงกันได้รูปและมีรีเทนเนอร์สีเงินครอบฟันเอาไว้


   “ น้องเฟิร์ส” อาโปโบกมือเรียกชายหนุ่มที่เพิ่งวางจานของปิ้งย่างลงบนโต๊ะหญิงสาวที่ดูจะถูกอกถูกใจชายหนุ่มเสียแหลือเกิน


   “ สวัสดีครับเจ๊” เขาโน้มตัวไปกอดแล้วหอมแก้มสองข้างอย่างคุ้นชิน “ ทำไมวันนี้เจ๊เข้ามาเร็วนักล่ะครับ”


   “ เจ๊นั่นแหละที่เข้ามาเร็ว ผมก็มาอย่างนี้ของผมทุกวัน” เขาตอบ


เฟิร์ส หรือ ปิติภัทร เป็นลูกเจ้าของร้านที่ตัวของอาโปเป็นผู้จัดการร้านอยู่ อีกหน้าที่หนึ่งของเขาคือการเป็นพนักงานเสริ์ฟคนนึงของทางร้าน เขาจะเข้ามาที่นี่ทุกครั้งหลังเลิกเรียนหรือเวลาว่าง


   “ ปกติน้องเฟิร์สไม่ได้มาเร็วขนาดนี้นี่คะ หรือว่าที่มาเร็ววันนี้เพราะทนคิดถึงความสวยของพี่ไม่ไหว” เขาเอื้อมมือมาแตะที่กล้ามหน้าอกของปิติภัทร


   “ นี่เจ๊ครับ เจ๊ลืมไปแล้วเหรอครับว่าผมเรียนจบแล้ว ตอนนี้ก็ว่างงานเลยเข้ามาช่วยงานเจ๊ไงผมกลัวเจ๊จะเหนื่อย”


   “ เรียนจบแล้ว หรือเพิ่งสอบเสร็จกันแน่คะ สอบเสร็จไม่ใช่เท่ากับจบนะคะ” อาโปพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา “ เอาน่าๆ เจ๊พูดเล่น วันนี้เจ๊เลี้ยงเบียร์ก็แล้วกัน” เธอหายเข้าไปหลังเคาท์เตอร์สักครู่แล้วเดินกลับมาพร้อมขวดเบียร์ขนาดเหมาะมือ “ นี่เอาไป
เดี๋ยวลงบิลเจ๊เอง”


   “ ขอบคุณครับเจ๊ แต่ผมของคิดราคาเจ๊เป็นสองเท่าได้หรือเปล่าครับ” ปิติภัทรยิ้มแฉ่งให้กับคนที่เขาคิดเสมือนว่าเป็นพี่สาวก่อนจะหันหน้าไปไปชื่นชมผู้คนที่กำลังสนุกสนานกับเสียงเพลง


สายตาของเขาก็ต้องนิ่งลง เมื่อมีบางอย่างดังอยู่ในหูของเขาอีกแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลแปลเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน หนึ่งในผู้คนที่กำลังสนุกสนานกำลังจะถึงฆาต สัญญาณชีวิตของใครสักคนกำลังร้องเรียกเขาอยู่จนกระทั่งมันเงียบไป เงียบจนกระทั่งได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ ตัวเลขบางอย่างลอยอยู่บนเหนือหัวของหญิงสาวโต๊ะนั้น มันแสดงให้เห็นว่าเวลาของเธอเหลืออีกเพียงห้าชั่วโมง เท่านั้น


   “ น้องเฟิร์ส น้องเฟิร์สคะ” อาโปสะกิดชายหนุ่มที่นั่งเหม่อไปนานโดยไม่สนบทสนทนาของเธอเลยแม้แต่น้อย “ น้องเฟิร์สเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าคออ่อน แค่อึกเดียวก็เมาแล้ว”


   “ เปล่าครับ” เขาตอบสั้นๆก่อนที่ดวงตาของเขาจะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นสีน้ำตาลตามเดิม “ มาชนกับผมหน่อยสิเจ๊” เขายกขวดสีเขียวขึ้นมาชนกับคนตรงหน้าก่อนจะขยับตัวเบาๆไปตามจังหวะดนตรี แล้วยกเอาน้ำในขวดนั้นเข้าไปในร่างกายจนรวดเดียวหมด


   “ ใจคอจะให้เจ๊หมดตัวเลยหรือยังไงคะ ถึงได้ดื่มเร็วขนาดนี้” อาโปวางขวดลงบนเคาท์เตอร์ “ น้องเฟิร์สเอาอาหารเพิ่มไหมคะ”


   “ ไม่ดีกว่าครับ วันหลังผมจะมาให้เจ๊เลี้ยงผมใหม่ก็แล้วกันวันนี้ผมมีนัดแล้วครับ” เขาโน้มตัวไปหอมแก้มก่อนจะส่งรอยยิ้มให้กับผู้จัดการร้านแล้วเดินออกจากร้านไป


ปิติภัทรหยิบเสื้อคลุมหนังที่วางพาดอยู่ที่รถมาสวมใส่ ก่อนจะหยิบหมวกกันน็อคสีดำมาใส่แล้วขึ้นค่อมรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ แล้วบิดออกไปดักรอจุดที่จะเกิดเหตุ


เขาขับรถออกมาไม่นาน จากตัวเมืองที่เคยมีแสงสว่างจากไปของถนนบัดนี้ กลับค่อยๆลดหายไปตามลำดับ แปลกแต่จริง บริเวณที่
เปลี่ยวมักไม่ค่อยมีดวงไฟติดเลยแม้แต่น้อย และที่แบบนี้มักกลายเป็นจุดจบของใครหลายๆคน


   “ เรย์” เขาเอ่ยเบาๆพร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนไปเป็นสีน้ำเงิน


สมุดเล่มสีฟ้าปรากฏขึ้นมาตรงหน้าก่อนจะค่อยๆกางออก นี่คือดวงวิญญาณดวงที่เจ็ดสิบเจ็ด ทุกครั้งที่มีการย้ำเตือน เขาจะมาดักรอที่นี่เสมอ  และเมื่อไหร่ก็ตามที่สมุดคู่กายออกมา คนปกติจะไม่สามารถมองเห็นเขาได้เลย


   “ครับเจ้านาย”  เสียงทุ้มหนาดังออกมาจากสมุด ที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ปิติภัทรคว้ามันมาอยู่ในมือ


   “ เรย์ ทำไมดาริณยังไม่มาอีกล่ะ ปกติเขามักจะมาก่อนเสมอนี่”


ดาริณ เป็นคู่หูยมทูติของปิติภัทร มาตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว เธอเป็นคนที่นำพาปิติภัทรเข้าสู่โลกหลังความตาย และเป็นยมทูติที่ยอมรับว่าเขาเป็นยมทูติอย่างแท้จริง เพราะมนุษย์น้อยคนนักที่จะได้เป็นยมทูติทั้งๆที่ยังหายใจอยู่ และมนุษย์พวกนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกไม่เคารพและเชื่อในยมทูติเสียส่วนใหญ่


 “ เดี๋ยวนะเจ้านาย ข้าได้สารใหม่” ตัวหนังสือสีดำปรากฏขึ้นบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า “ เจ้านายต้องตามหาคู่หูใหม่”


“ คู่หูใหม่ เป็นไปไม่ได้ ดาริณไปไหน” จากอาการที่นิ่งสงบ เขาก็เปลี่ยนมาเป็นโวยวาย เพราะการที่จะปรับตัวใหม่เข้ากับใครสักคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่าง ยมทูติบางตนไม่มีที่ไปคู่หูต้องตามหาหรือหาที่อยู่ให้ เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วยมทูติต้องอยู่ใกล้กันเสมอเพราะช่วงนี้ ยมทูติสีดำกำลังออกแย่งชิงดวงวิญญาณจากยมทูติสีฟ้าอยู่


   “ ข้าไม่รู้เจ้านาย รู้แค่ว่าเจ้านายต้องหาคู่หูให้เจอก่อนถึงจะนำเอาดวงวิญญาณที่กำลังจะตายดวงนี้กลับไปที่โลกหลังความตายได้”


   “ ให้ตายเหอะ” เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะทิ้งเอนตัวพิงกับตัวรถเพื่อรอเวลาให้ดวงวิญญาณนั้นหมดอายุไข



รถยนต์คันสีขาวที่ขับมาด้วยความเร็วสูงพอๆกับจังหวะเพลงที่เปิดดังอยู่ในรถ หากใครขับตามมาคงมีแต่เสียงด่าว่าตามหลังมาอย่างแน่นอน เพราะรถคัดนี้ขับเหวี่ยงไปซ้ายทีขวาที เพราะคนที่อยู่ด้านหลังพวกมาลัยแทบจะไม่มีสติแล้ว ดวงตารีเล็กพยายามประคองสติแล้วเพ่งสายตามองไปด้านหน้า หล่อนหยิกตัวเองเพื่อดึงสติไม่ให้หลุดไปมากกว่านี้ แต่มันไม่ได้ดีขึ้นเลย รถที่เคลื่อนที่เร็วอยู่แล้ว กลับเร็วไม่ทันใจตัวของหญิงสาว เท้าของเธอเหยียบลงไปที่คันเร่งมากกว่าเดิม ด้วยความหวังที่อยากจะถึงบ้านให้เร็วที่สุดเพราะดูเหมือน เครื่องดื่มที่เธอดื่มเข้าไปมันเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ดวงตาของเธอ ปรือจนแทบจะปิด หล่อนพยายามยกตาที่หนักขึ้นอีกครั้งก่อนที่แสงสว่างจ้าจะสาดเข้ามาหาเธอ แรงกระแทกจากรถสิบล้อกระแทกเข้ามาที่ด้านข้างเธอพอดี เศษกระจะแตกกระจัดกระจายเต็มไปทั่วพื้นที่ ไม่มีเสียงร้องใดๆออกมาจากตัวรถ คอระหงส์ที่ใส่สร้อยทันสมัย อ่อนปวกเปียกเพราะกระดูกที่เคยยึดมันแตกสะบั้นไม่มีเหลือ ชุดสวยงามที่เคยใส่บัดนี้ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี ขายาวสวยที่เคยสวมใส่รองเท่าคู่งาม ตอนนี้หนังที่เคยปกคลุมไว้หลุดลอกเผยให้เห็นเศษเนื้อสีขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงเต็มไปหมด ดวงตาที่เมื่อครู่พยายามมองทางบัดนี้ข้างขวาออกมากลิ้งเล่นอยู่กับพื้นอย่างน่าอนาถ


   “ นี่แหละนะที่เขาไม่ให้ขับรถตอนเมาน่ะ” ปิติภัทรเดินเข้ามาที่จุดเกิดเหตุ ก่อนจะสั่งให้เรย์กางสมุดบัญชีออก “ นางสาว สรญา วิสาวงษ์ ชาตา 1 ตุลาตม ปีวอก มรณะ 30 มิถุนายน ปี จอ เชิญออกจากร่างมาได้แล้วครับ” ไม่นานดวงวิญญาณของหญิงสาวก็ปรากฏกายขึ้นอยู่ด้านข้างร่างของตัวเอง


   “ พี่ที่ร้านนี่คะ” เธอเอ่ยทักอย่างเริงร่าแล้วมองดูรอบตัวเพื่อสำรวจก่อนจะพบกับร่างของตัวเองที่นอนจกองเลือดอยู่ “ พี่ไม่ใช่คนเหรอคะ”


   “ ผมว่าคุณผู้หญิงจำผิดคนแล้วล่ะครับ ผมเป็นยมทูติครับและไม่เคยพบคุณมาก่อน ผมมีหน้าที่พาดวงวิญญาณของคุณผู้หญิงไปสู่โลกหลังความตายครับ”  ปิติภัทรพูดก่อนจะกางสมุดออก พื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้าที่เคยเป็นถนนบัดนี้มีควันสีฟ้ากลุ่มใหญ่ขึ้นก่อนจะค่อยๆจางลงเผยให้เห็นปากทางไปสู่อีกโลกหนึ่ง


หญิงสาวเข่าอ่อนทรุดล่างลงตรงหน้าก่อนจะร้องไห้โฮออกมา ปิติภัทรได้แต่มองอย่างสังเวช เพราะตัวเธอเองเป็นคนทำทุกอย่างให้เกิดขึ้น


   “ ฉันยังไม่ไปไม่ได้เหรอคะ ฉันเพิ่งเรียนจบ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อแม่ฉันเลย ฉันยังไม่ได้ใช้ชีวิตเลย” เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับกอดขาของยมทูติหนุ่ม


   “ ไม่ได้ครับ ตอนนี้คุณกำลังทำให้ผมเสียเวลานะครับ” ปิติภัทรพูดอย่างเหลืออด “ถ้าคุณไม่ไปดีๆอย่าหาว่าผมไม่เตือน”เขาพยายามใจเย็นเพราะไม่ค่อยอยากใช้วิธีที่ยมทูติคนอื่นใช้เท่าไหร่นัก


   “ นะคะ” เธออ้อนวอนอีกครั้งและดูจะไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก


   “ ผมขอโทษนะครับ” สิ้นคำพูดเชือกเส้นสีน้ำเงินก็พันรอบตัวของหญิงสาว ยิ่งเธอดิ้นขัดขืนมากเท่าไหร่เชือกนั้นก็ยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้เธอมากขึ้นเท่านั้น “ เดิมตามผมมาดีๆนะครับจะได้ไม่เจ็บ” เขาพูดดีๆกับเธอแต่ดูเหมือนว่าดวงวิญญาณของหล่อนจะไม่ยอมสงบลงง่ายๆ


   “ ระวัง” เรย์ร้องเตือนเมื่อมีบางอย่างพุ่งเข้ามาตัดเชือกของปิติภัทรจนขาดวิ่น
วิญญาณสาวได้อิสระอีกครั้ง เธอหนีหายไปจากความมืด ปิติภัทรคว้าเรย์มาก่อนที่ประตูที่เชื่อมโลกหลังความตายจะปิดลง


   “ ถ้าเป็นยมทูติมือเรารับมือไม่ไหวแน่ๆ” เรย์เอ่ย “ เราไปช่วยกันหาคู่หูนายแล้วไปตามหาดวงวิญญาณนั้นกันเถอะ”


   “ ไม่เราจะไปตามจับดวงวิญญาณนั้นก่อนส่วนเรื่องคู่หูค่อยจัดการ”


   “ แต่”


   “ พาฉันไปที่ที่ดวงวิญญาณนั่นหนีไปเดี๋ยวนี้”


ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนบริเวณหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างเหนื่อยใจ หลังจากที่เดินออกตามหาไอ้คนที่เขาเรียกว่าคู่หูมาเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอเลยแม้แต่น้อย ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านไปคนแล้วคนเล่า ก็ยังไม่มีใครที่ใช่สำหรับเขาเลย ไม่มีใครมองเห็นเขาเลยแม้แต่คนเดียว พวกยมทูติคนอื่นที่เขาไปขอความช่วยเหลือก็ต่างเดินหนีเพราะไม่มีใครอยากช่วยยมทูติอย่างเขา


   “ นี่บลู นายแน่ใจนะว่าฉันมีคู่หูเนี่ยฉันหามานานแล้วนะเว้ย” ปณิธานตะโกนใส่สมุดคู่ตัวอย่างหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


   “ แน่ใจสิเจ้านาย ยมทูติต้องมีคู่หู ที่ตอนนี้ไม่เจอเราแค่ต้องหา”


   “ พูดง่ายมากละ….” ยังไม่ทันพูดจบสมุดของเขาก็เรืองแสงสีฟ้าขึ้นมาในทันที  “ เกิดอะไรขึ้นน่ะบลู”


   “ ดูเหมือนว่า ดวงวิญญาณของคู่หูเจ้านายจะหนีไปได้นะ สมุดของฉันอัพเดตช้าเพราะตัวของเจ้านายเองยังไม่ได้เชื่อมโยงเข้ากับคู่หูเลย”


   “ ดีเลย บลูเราไปตามหาดวงวิญญาณดวงนั้นกัน ฉันเชื่อว่าถ้าเราตามหาดวงวิญญาณได้ฉันก็จะเจอคู่หู” ปิติภัทรพูดออกมาด้วยความดีใจ “ พาฉันไปหาสถานที่ที่ดวงวิญญาณนั้นไปล่าสุดที”



สิ้นคำสั่งสมุดนั้นก็กางออก ร่างของเขาหายวาบไปในทันที ก่อนที่จะมาปรากฏตัวอีกครั้ง ที่บริเวณจุดก่อสร้างของตึกที่อยู่ออกไปแถบชานเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่ยังไม่สมบูรณ์ เสาที่ยังคงเป็นปูนยังคงมีความขรุขระอย่างเห็นได้ชัด บนพื้นยังเต็มไปด้วยเครื่องมือก่อสร้าง ปณิธานเดินสำรวจไปรอบๆอย่างระมัดระวัง แปลกที่เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงดวงวิญญาณที่หายไปเลย  เขาตัดสินใจที่จะเดินขึ้นไปด้านบนต่อเพราะบางอย่างในความสู้สึกของเขาบอกเช่นนั้น ทันทีที่ขายาวก้าวพ้นบันไดขึ้นมา ลมที่พัดอยู่ในอากาศมาสัมผัสใบหน้าของเขาเบาๆ บนท้องฟ้าไม่มีแสงสว่าง หรือดวงดาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแสงวูบวาบและเสียงร้องคำรามที่แสดงให้เห็นว่าฝนกำลังจะตกลงมา


   “ ใครน่ะ” เขาตะโกนถามทันทีที่ร่างดำทะมึนปรากฏกายขึ้นซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เขาอยู่เท่าไหร่นัก “ นาย เอ่อ คุณครับ คุณคนนั้นน่ะ” เขาตะโกนฝ่าเสียงฟ้าร้องออกไป “ คือคุณใช่คู่หูของผมหรือเปล่าครับ”
ชายผู้นั้นไม่ได้ตอบอะไร คนที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำยิ้มอย่างผู้ชนะ ปณิธานตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้อย่างๆกล้าๆกลัวๆ


   “ เจ้านาย อย่าเพิ่ง ข้าว่าไม่ใช่คู่หูเจ้านายหรอก” บลูท้วงก่อนที่ขาของเขาจะก้าวไปข้างหน้า
เสียงหัวเราะของคนที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ แข่งกับเสียงท้องฟ้าที่ร้องคำรามราวกับว่ามันจะพังทลายลงมา สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาและมีทีท่าที่จะหนักขึ้นทุกที ซึ่งนั่นทำให้การมองเห็นของปณิธานลดลงไปในทันที


   “ ระวัง”


สิ้นเสียงบลูร่างของปณิธานก็ไถลไปตามพื้นด้วยแรงกระแทกของอะไรบางอย่าง เขาจุกจนแทบจะลุกขึ้นมายืนไม่ไหว เสียงหัวเราะอย่างสะใจของใครบางคนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความทรมานของหญิงสาวที่ถูกโซ่ตรวนพันธนาการอยู่


“ คงเป็นยมทูติตนใหม่สินะ และดูว่าจะยังหาคู่หูไม่เจอเสียด้วยสิ” ชายใต้ผ้าคุมลดระดับเสียงในการพูดลง พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ตัวของปณิธานเรื่อยๆ “ มาอยู่กับข้ามั้ย ชีวิตไม่ต้องขึ้นตรงกับใคร ไม่ต้องเป็นขี้ข้า ใช้ชีวิตอย่างที่เจ้าอยากจะใช้”


“ ไอ้ยมทูติโสโครก เจ้านายข้าไม่มีทางไปเป็นพวกของแกหรอก” บลูตะโกนออกมาอย่างเหลืออด แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะหากตัวเจ้าของสมุดบาดเจ็บเขาก็จะบาดเจ็บด้วย


“ เจ้านั่นแหละที่ควรหุบปาก ไอ้สัตว์เลี้ยงชั้นต่ำของยมทูติ แกอย่ามาปากดีไปหน่อยเลย รูปกายของเจ้าเป็นอย่างไรยังไม่มีใครรู้เลย อย่าริอาจมาสอนข้า” เขาคว้าสมุดเล่มสีฟ้านั่นมาอยู่ในมือ ก่อนที่จะมีบางอย่างพุ่งทะลุมือของเขาไป ลูกดอกนั่นปักคออยู่ มันเรืองแสงสีน้ำเงิน  “อ้ากกกกก” เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด


“ อย่ามายุ่งกับคู่หูของฉัน ไอ้ยมทูติชั้นต่ำ” เสียงทุ้มต่ำตะโกนมาจาด้านหลังของเขา และวิญญาณของหญิงสาวที่เคยพันธนาการไว้บัดนี่ได้ถูกปลดปล่อยแล้ว


“ แกอีกแล้วเหรอไอ้ครึ่งพันธุ์โสโครก ฝากไว้ก่อนเถอะ” เขาตะโกนกลับไปพร้อมกับกัดฟันกดความเจ็บปวดนั้นไว้ ก่อนจะหายวับไปกับความมืด เพราะดูเหมือนว่าจะแสงอาทิตย์กำลังจะโผล่ผ่านท้องฟ้ามารำไรแล้ว


“ เป็นไงบ้าง” ปิติภัทรวิ่งตรงมายังคู่หูของตน ก่อนจะตกใจเมื่อคนที่นอนอยู่บนพื้นพลิกตัวมา “ ไอ้ปาร์ค”


“ ไอ้เฟิร์ส”


“ ก่อนจะทักทายหรืออะไรกัน เอาดวงวิญญาณดวงนั้นกลับโลกหลังความตายก่อนดีมั้ย” เสียงของเรย์ดังขึ้นมาพร้อมกับแสงสว่างที่

เรืองรองจากสมุด


“ นี่ลุงลืมอะไรไปหรือเปล่า” บลูที่ที่ลอยขึ้นมาจากพื้นพูดขึ้นพร้อมกับแสงสว่างที่เปล่งประกายเช่นกัน “เราต้องจับคู่กันก่อน แต่ก็อย่างว่าแหละนะ คนแก่มักจะขี้หลงขี้ลืม”


“ นี่แกว่าใครฮะ” เรย์แผดเสียงใส่


“ หยุดกันทั้งคู่แหละ” ปิติภัทรส่งมือไปยังคนที่ยังคงนอนอยู่กับพื้น “ลุกมาก่อน ไหวมั้ย”


“ เออ ไหวอยู่” ปณิธานลุกขึ้นมายืนตรงประสานเข้ากับดวงตาสีฟ้าตรงหน้า “ ทำไม”


    “ เดี๋ยวค่อยคุยกัน หยิบสมุดมา” เขาสั่งก่อนที่ตัวเองจะทำเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน เขากางหนังสืออกแล้วยกหันทางฝั่งด้านในไปทางคนที่อยู่ตรงข้าง  ปณิธานทำตามอย่างเก้ๆกังๆ แสงสว่างสีฟ้าส่องประกายไปทั่วทั้งบริเวณ พร้อมกับแสงอรุณของวันใหม่ เชือกเส้นสีฟ้าลอยออกจากสมุดทั้งสองเล่มพันกันเป็นเกลียวขึ้นไปเหนือหัวของทั้งสอง ก่อนที่มันจะปรากฏรูปร่างเป็นสุญลักคล้ายเลขแปดแนวนอน นั่นหมายความว่า พันธนาการที่ไม่มีวันสิ้นสุด


เมื่อแสงสว่างดับลงปิติภัทรก็เดินไปที่ดวงวิญญาณของหญิงสาวที่นั่งกอดเข่าอยู่ด้านหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ


“ เรย์ เปิดประตู” สิ้นคำทางเชื่อมระหว่างสองโลกก็ปรากฏขึ้น เขาก้าวขาเข้าไปก่อนที่ประตูนั้นจะปิดลง


“เราก็ไปกันเถอะเจ้านาย” บลูเปิดทางให้บ้าง ปณิธานก้าวขาเข้าไปด้านในแล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจากเดิม

รอบตัวจากที่เคยกำลังสว่างกลับมืดลง สิ่งที่ยมทูติคนใหม่สัมผัสได้ตอนนี้คือ กลิ่นที่นี่ค่อนข้างเหม็นอับ ไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้น เสียงที่เขาได้ยินคือเสียงฝีเท้าของเขาและคู่หูเท่านั้น ภายในห้องนี้เหมือนไม่ได้มีแค่พวกเขา แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างคอยจับตามองเขาอยู่ตลอดเวลา มือหนาของคู่หูสัมผัสลงบนตัวเขาแล้วดึงให้เดินตาม เขาเองก็ทำตามอย่างไม่อิดออด


เมื่อสายตาปรับเข้ากับความมืดได้ เขาเริ่มสังเกตได้ว่าตอนนี้สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้เลื้อยที่เคลื่อนตัวพันกันไปมาเหมือนว่ามันมีชีวิต บริเวณทางเดินโล่งสบายและดูเหมือนว่าคู่หูของเขาจะเงียบ เงียบเสียจนทำให้เขาอึดอัด


“ นี่มึงจะไม่คุยกับกูจริงๆเหรอวะ” เขาเริ่มที่จะคุยก่อน


“ชู่วว” เสียงบลูดังขึ้นมาจากด้านข้างทำให้ยมทูติคนใหม่ถึงกับเงียบเสียงลง จนกระทั่งมาจนสุดปลายทาง ตรงหน้ามีประตูไม้เก่าๆกับพวกไม้เลื้อยเมื่อครู่พันบริเวณโซ่ คู่หูของเขาเอาสมุดไปวางชิดกับประตู พร้อมทั้งเอามือทาบลงไป ปณิธานไม่คิดจะถามแต่กลับทำตามโดยอัตโนมัติ โซ่ตรงหน้าปลดล็อคตัวเองไม้เลื้อยที่เคยพันติดไว้ เลื้อยกลับไปชิดที่ขอบประตูไม้มันนิ่งสงบราวกับว่ามันไม่เคยมีชีวิตมาก่อน ดวงไฟที่คบเพลิงซึ่งติดอยู่ตรงประตูติดขึ้นทำให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้น ปณิธานหันไปมองคู่หูของตนเองที่กำลังเอาผ้าปิดปากออกจากปากของดวงวิญญาณของหญิงสาว


“ ที่นี่คือปากทางเข้าสู่โลกหลังความตาย” 


พูดจบบานประตูไม้ก็ถูผลักให้เปิดออก คบเพลิงที่เรียงรายตลอดสองข้างทางสว่างต้อนรับผู้มาเยือน ดวงวิญญาณหญิงสาวเริ่มมีอากาศหวาดกลัวและต้องการขัดขืน แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อสายตาพิฆาตจากคนที่ถือเชือกสีฟ้าจ้องมาทางเธอราวกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อ ตรงหน้าเป็นเหวลึกที่มองอย่างไรก็ไม่มีทางไป คนที่นำทางอย่างปิติภัทรก็ยังคงก้าวขายาวไปอย่างไม่ยอมลดละ เขาก้าวไปในอากาศ ดวงวิญญาณของหญิงสาวหลับตาสนิทเพราะกลัวจะหล่นลงไป แต่ทว่า กลับไม่มีใครหล่นไปสู่ด้านล่างเพราะทันทีที่เท้าสัมผัส สะพานเหล็กกล้าก็ปรากฏขึ้นในทันที ท้องฟ้าด้านบนเปลี่ยนเป็นแสงสีเขียวสะท้อนแสงเพื่อเป็นการตอนรับอีกครั้ง ใต้สะพานเป็นลำธารลาวาไหลส่งไอร้อนขึ้นมาให้คนที่อยู่ด้านบ้าน คนเดินตามอย่างปณิธานได้แต่นิ่งเงียบ เพราะไม่อยากถามอะไรคนที่ไมอยากคุยกับเขาอีก


เมื่อเดินมาเหมือนว่าจะเป็นทางตันเพราะตรงหน้าไม่มีทรงไปมีเพียงกำแพงหินเท่านั้น   


   “ ตรงหน้า เป็นประตูแลกเศษวิญญาณ”  คนตรงหน้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอามีดพกขนาดเหมาะมือออกมาจากกระเป๋า แล้วตัดเข้าไปที่เส้นผมของดวงวิญญาณหญิงสาว ซึ่งตอนนี้ตัวสั่นไปด้วยความกลัว “ เราต้องวางเศษวิญญาณนี้ไว้ในโถ เข้าชี้ไปที่โถเหล็กใบเก่าที่ปรากฏแสงไฟสีฟ้าขึ้นเมื่อใส่เศษวิญญาณลงไป และเมื่อไฟนั้นมอดดับกำแพงหินก็ค่อยๆเลือนรางหายไปเป็นทางเดินต่อ “ โถเหล็กนั่นที่เราหย่อนเศษวิญญาณลงไป จะเป็นตัวเลือกสะพานให้แก่ยมทูติว่าจะพาดวงวิญญาณนี้ไปที่ไหน” เขาพูดขึ้นก่อนจะเดินนำทางไป ตรงป้ายปากทางก่อนขึ้นสะพานเขียนว่า


   ผู้ตายก่อนกำหนด


สะพานนั้นเต็มไปด้วยยมทูตินับสิบที่ยืนรอพร้อมกับคู่หูของตนเอง เสียงเจื้อยแจ้วดังมาเป็นระยะๆราวกับว่า ทางเข้าสู่โลกหลังความตายนี้เป็นตลาดสดก็ไม่ปาน


   “ มีคำถามอะไรอีกหรือเปล่า” ปิติภัทรหันมาถามปณิธานที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่


   “ มี ทำไมวันที่ฉันตายไม่ได้ผ่านมาทางนี้”


   “ ผู้ที่ถูกเลือกมาเป็นยมทูติจะถูกส่งเข้าไปรอผลการตัดสินจากเบื้องบน ในห้องเก็บความทรงจำ ไม่จำเป็นต้องผ่านมาทางนี้” เขาอธิบาย “ แล้วที่ฉันอธิบายไปเนี่ยเข้าใจหรือเปล่า เพราะครั้งหน้าถ้าเป็นดวงวิญญาณที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายนายจะต้องทำเองนะ มันทำแทนกันไม่ได้”


   “ เข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ”


   “ พูดอะไรวะ ตกลงเข้าใจหรือเปล่า” ปิติภัทรถามด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม


   “ เข้าใจเรื่องวิธีการ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปิดปากดวงวิญญาณตอนที่เดินผ่านป่านั่นมาด้วย”


   “ อ๋อ” คู่หูเริ่มเข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายถาม “ ตรงนั้นเขาเรียกว่ากับดักยมทูติ มันจะหลอกล่อเราทุกอย่างเพื่อให้ไปติดกับ หากว่าเราไม่มีสมาธิน่ะ มันเป็นสิ่งที่เอาไว้ดักพวกยมทูติมืด เพราะฉะนั้นการเดินผ่านตรงนั้นห้ามวอกแวก ต้องมีสมาธิตลอดเวลา เพราะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราติดกับกับดักยมทูติ เราอาจจะไม่ได้ออกมาอีกเลย ไม่มีใครรู้ว่าข้างในมีอะไรแต่ที่แน่ๆมันไม่ปลอดภัยสำหรับยมทูติอย่างเราแน่ๆ มีอะไรจะถามอีกหรือเปล่า”


   “ มี แล้วนายมาเป็นยมทูติได้ยังไง”


   “ คิวต่อไป” เสียงประกาศจากหัวกะโหลกสีเงินตรงหน้าทำให้บทสนทนาหยุดลงเพราะถึงคิวของพวกเขาแล้ว


   “ เรย์” เขาเรียกสมุดให้ออกมาปรากฏตรงหน้า “ เอาสมุดนายออกมา”


   “ บลู ออกมา” สมุดสีฟ้าของทั้งสองออกมาลอยแล้วกางรายงานเรื่องดวงวิญญาณด้านหน้าหัวกะโหลกสีเงิน ก่อนที่ดวงวิญญาณนั้นจะหายวาบไป


   “ เอาล่ะ ดวงวิญญาณดวงนี้อายุยังไม่ถึงฆาตแต่ร่างของเธอไม่สมารถกลับเข้าไปในร่างได้ นาย ยมทูติสีฟ้า ในฐานะที่เป็นคนนำส่ง จะทำอย่างไร ทำเหมือนเดิมที่เคยบันทึกไว้ในสมุดหรือไม่” กะโหลกสีเงินถามไปทางปิติภัทรที่ยืนนิ่งอยู่


   “ ทำเหมือนเดิมครับ แลกกับการที่ผมยอมเป็นยมทูติต่อ” เขาพูดออกไปพร้อมกับเอามีดกรีดไปที่ฝ่ามือแล้วยื่นให้เลือดของเขาหยดลงบนกะโหลกสีเงินตรงหน้า


   “ เจ้ารู้ผลที่จะตามมาใช่หรือไม่” กะโหลกนั่นถามมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง


   “ รู้ครับและผมพร้อมที่จะยอมรับ”


   “ ขอให้นายโชคดี”


   “ เอ่อ ผู้คุมทางเข้าครับ ผมอยากรู้ว่า คู่หูของผม คนเก่าไปไหนครับ” เขาถามออกไปซึ่งทำให้คนที่ยืนฟังอยู่ข้างหลังคิ้วขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ


   “ เราตอบไม่ได้หรอก สักวันเจ้าจะรู้คำตอบ” พูดจบควันสีฟ้าก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณ พวกเขาถูกผลักให้กลับมาที่ยอดตึกตามเคย ซึ่งตอนนี้ก็เวลาเกือบเย็นแล้ว
   นี่แหละนะเวลาโลกหลังความตายมักช้ากว่าความเป็นจริงเสมอ


   “ เราต้องไปหาที่อยู่” บลูเอ่ย


   “ ไม่ต้อง เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจัดการให้เอง” ปิติภัทรพูดขัดขึ้น “ ฉันไม่ยอมให้คู่หูของฉันอยู่ห่างตัวแน่”

หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต (REVISE) 2.3.19 บทที่ 2,3
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 02-03-2019 02:22:45
3


PARTNER



“ วันนี้มาเร็วจังเลยนะคะน้องเฟิร์ส” ผู้จัดการร้านที่กำลังวุ่นอยู่กับการเช็คของในสต๊อกเอ่ยทัก เขาเดินเข้าไปทักทายโดยการหอมแก้มก่อนสองสามทีก่อนจะพาเดินไปบริเวณชั้นสองของร้าน


ร้านของเฟิร์สตั้งอยู่บริเวณเลียบคลองชลประธาน ลูกค้าประจำก็จะเป็นกลุ่มนักศึกษา เพราะอยู่ใกล้ทางกลับหอ ไม่เจอด่านตำรวจเพราะเพียงออกหน้าร้านไปก็เจอกับไฟแดงผ่านไฟแดงไปก็เป็นละแวกหอได้โดยไร้การเป่าใดๆจากคุณตำรวจ ลูกจ้างบางส่วนหรือผู้จัดการร้าน จะมีที่พักอยู่ด้านบนซึ่งจะมีห้องอยู่สามห้อง ห้องแรกติดกับบันไดจะเป็นห้องพักสำหรับลูกจ้างที่เมากลับไม่ไหวหรือว่าทำงานเสร็จดึก ถัดมาจะเป็นห้องของเจ๊อาโปผู้จัดการร้าน และริมสุดที่มองเห็นท้องถนนยามค่ำคืนจะเป็นห้องนอนของปิติภัทร ซึ่งจะแวะเวียนมานอนบ้างเวลาไม่อยากขับรถกลับบ้านหรือมาพักเอาแรงเพื่อไปตามจับดวงวิญญาณเพราะใครๆก็ต่างรู้ว่าถนนในแถบนี้มีคนตายบ่อยๆ


เมื่อลูกบิดประตูเปิดขึ้น มือหนาก็เอื้อมไปเปิดไฟที่ข้างประตูห้องพร้อมทั้งเปิดเครื่องปรับอากาศก่อนจะหยิบเรย์ออกไปวางปนกับชั้นวางหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดนั่นก็คือแมวหุ่นยนต์สีฟ้าที่มาจากโลกอนาคต เขาไม่ได้ชื่นชอบแต่เขาค่อนข้างบ้าเลยทีเดียวเพราะทุกอย่างในนี้เป็นโดเรม่อน ทั้งผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน หมอน โคมไฟที่วางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือหรือแม้กระทั่งนาฬิกาปลุกและผ้าม่าน


   “ ชอบโดเรม่อนเหรอ” คนที่เดินทะลุผ่านประตูเขาถามขึ้นฝ่าความเงียบ “ตลกว่ะ เห็นดิบๆเถื่อนๆแต่ชอบโดเรม่อน”


   “ ทำไมวะ ชอบโดเรม่อนแล้วจะทำไม กู เอ่อ”


   “ จริงๆมึงพูดกูมึงกับกูได้ปกติเลยนะ กูไม่เข้าใจว่าเราจะมาสุภาพกันไปทำไมทั้งๆ ที่เราก็รู้จักกันมาก่อน”


   “ เออ กูมึงก็กูมึง” เขาพูดพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วเอื้อมไปหยิบพลาสเตอร์แปะแผลลายโดเรม่อนมาจากหัวเตียง


   “ มึงเอาวันที่เหลือของผู้หญิงคนนั้นไปทำอะไรวะ”


   “ ถ้าจะอยู่ห้องนี้ห้ามถามถึงเรื่องนี้อีก ถือว่าเป็นกฎเหล็กเลยก็แล้วกัน อยู่ด้วยกันต้องมีกฎเข้าใจมั้ย” เขาพูดพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาแปะแผลจนมันเสร็จเรียบร้อย “ แล้วก็ไม่ต้องถามด้วยว่าทำไมมาเป็นยมทูติได้ เพราะกูจะไม่ตอบ อะไรทั้งนั้นโอเคมั้ย”


   “ โอเคก็โอเค ไอ้เฟิร์สปากผีนี่ไม่ได้แค่ทักใครแล้วตายใช่มั้ยวะ คงได้มาเพราะปากแบบนี้ มิน่า” ปณิธานพูดเว้นช่วงก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆของคนที่เป็นเจ้าของห้องอยู่


   “ แล้วก็อย่ามาเรียกกูว่าปากผี กูไม่ชอบ” เขาหันมาตะโกนใส่


   “ ทำไมวะ เจ๋งดีออก มีฉายาด้วย” ปณิธานถาม


ใบหน้าของคนถูกถามขึ้นก็เครียดลงในทันที “ ไอ้คำพูดที่มึงเรียกว่าฉายาเนี่ย มันทำให้คนกลัวกูจนแทบไม่อยากเข้าใกล้ไปกูกันหมด วันนั้นกูแม่งเมา นั่งกินเหล้าอยู่ด้วยกันกับพวกเพื่อนสนิท มีไอ้ปอนด์ด้วยมึงน่าจะรู้จักมัน กูแม่งคะนองปากเพราะได้สินเสียงนาฬิกาชีวิตของไอ้ก็อตที่นั่งอยู่ตรงหน้า แล้วกูไปทักมัน ว่าจะโดนรถชนตายอีกห้านาที ตอนนั้นก็ตลกกันนะโว้ยเพราะไม่มีใครเชื่อจนกระทั่งไอ้ก็อตมันขอออกไปสูบบุหรี่ที่นอกร้าน ตอนนั้นมีรถเก๋งแม่งพุ่งมาจากไหนไม่รู้ชนไอ้ก็อตที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ด้วย มันตายคาที่ สภาพตอนนั้นของมันยังคงติดตากู และมันก็คือดวงวิญญาณที่กูต้องพาไปส่งที่โลกหลังความตาย แล้วหลังจากนั้นเพื่อนๆแม่งก็พากลัวกูกันไปหมด เว้นแต่ไอ้ปอนด์แหละที่ยังคงแวะมาคุยกับกูบ้าง” น้ำเสียงของคนเล่าเบาลงอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะปรับเข้าสู่เสียงที่ปกติ “ เพราะฉะนั้นคำว่าไอ้เฟิร์สปากผี อย่ามาพูดให้กูได้ยินอีก”


   “ แล้วทำไมวันนั้นมึงทักกูวะ”


   “ วันนั้นเหรอ กูแค่เห็นการตายของมึงมันน่าสมเพชว่ะ คนอะไรไปตายเพราะคนอื่นพ่อแม่ก็ไม่ใช่”


   “ เออกูสัญญาว่าจะไม่เรียกมึงว่าไอ้เฟิร์สปากผี แต่กูจะเรียกมึงว่าไอ้เฟิร์สปากหมา อันนี้โคตรเหมาะเลย” เขาเตรียมตัวที่จะลุกขึ้นแต่มือหนาคว้าไว้ก่อนทำให้ร่างของคนที่โดนดึงเสียหลักล้มทับคนที่นั่งอยู่ ใบหน้าของทั้งสองแนบชิดกัน ปลายจมูกสันคมทั้งคู่สัมผัสกันอย่างแผ่วเบา


   “ ทำไมไอ้นนท์มันถึงไม่ชอบมึงวะ เพราะมองใกล้ๆแล้วมึงก็”


   “ หุบปากไปเลย กูขอตั้งกฎบ้าง หลังจากนี้มึงห้ามพูดถึงเรื่องไอ้นนท์อีก ไม่อย่างนั้นก็จะทำทุกวิถีทางไม่ให้มึงเก็บดวงวิญญาณได้เลยแม้แต่ดวงเดียว กูมั่นใจว่าการเป็นยมทูติทั้งๆที่เป็นคนเนี่ยมันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่มึงต้องทำเพื่ออะไรบางอย่างแน่ บางอย่างที่มึงตั้งเป็นกฎบ้าบอนั่น”
ทันทีที่ปณิธานพูดจบคนที่นอนอยู่ด้านล่างก็ผลักร่างผู้มาอาศัยกระเด็นจนตกเตียง ใบหน้าของเขาแดงกล่ำ มือหนากำแน่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเสียงฟันที่กระทบกันด้วยความโกรธดังผ่านความเงียบมา


   “ ทำไม ไอ้ความรักเก่าๆนั่นมันสำคัญขนาดนั้นเลย บอกเลยว่าการส่งวิญญาณแต่ละครั้งสำหรับกูและมึงมาก มึงลองส่งวิญญาณไม่ทันสักรอบสิ จะรู้สึก”
   “ มึงจะโกรธอะไรขนาดนั้นวะ มึงมีกฎได้ กูก็แค่ต้องมีบ้าง”
   “ เออตกลงกูจะไม่พูดถึงไอ้นนท์ไม่สิ จะไม่พูดถึงเรื่องก่อนที่มึงจะตายอีกตกลงมั้ย” เขายื่นมือออกมาหาคู่หูที่ยืนอยู่ข้างหน้า


   “ เออตกลง” เขายื่นมือตอบกลับ


   “ เออดี จบแล้วนะ ถ้าไม่มีคำถามแล้วกูขอนอนก่อน ยมทูติไม่จำเป็นต้องนอน มึงก็นั่งอ่านการ์ตูนรอไปก่อนแล้วกัน ห้ามออกไปไหนซี้ซั้วนะ โลกนี้มันอันตรายกว่าที่มึงคิดเยอะ” ไม่นานเสียงที่เคยดุใส่ก็เงียบลงกลายมาเป็นเสียงกรนแทนที่


ปณิธานหยิบหนังสือการ์ตูนที่วางอยู่บนชั้นมาอ่านผ่านๆตาเพราะทุกเล่มล้วนเป็นโดเรม่อนตอนต่างๆเขาพยายามที่จะหาเรื่องอื่นก็ไม่พบยกเว้นด้านในสุด เหมือนหนังสือเล่มนี้จะอ่านค้างไว้อยู่เพราะมีอะไรบางอย่างแทรกเอาไว้ เขาเอื้อมไปหยิบมันออกมาแล้วกางออก มันปรากฏให้เห็นหญิงสาววัยกลางคนผมซอยสั้นในชุดกางเกงยีนส์ขายาวเสื้อสีขาวซึ่งบนเสื้อมีอักษรภาษาอังกฤษสีแดงเป็นรูปตัวเอฟสกรีนอยู่ เธอยืนอยู่คู่กับเด็กผู้ชายที่หน้ารถยนต์คันหนึ่งเด็กคนนั้นใส่ชุดสีน้ำตาลลายหมียืนยิ้มจนสุดสุมมุมปากเรียกได้ว่าเห็นฟันจนครบทุกซี่ เขาพลิกด้านหลังรูปใบนั้นซึ่งมันมีตัวหนังสือเขียนอยู่


   ไม่ว่าแม่จะอยู่หรือตาย ขอให้เฟริ์สรู้ไว้ว่า แม่จะอยู่ตรงนี้ข้างๆเฟิร์สเสมอ ยิ้มไว้นะลูก ยิ้มไว้ ยิ้มให้เหมือนกับในรูป แม่จำได้ว่า เฟิร์สเคยเป็นเด็กร่าเริงขนาดไหน แม่อยากได้ลูกของแม่คืน



   “ แม่” เสียงของคนที่นอนบนเตียงทำให้ปณิธานสะดุ้ง


เขาหันไปดูกลับพบว่าคนบนเตียงนั้นแค่ฝันละเมอไปเท่านั้นเอง “ขนาดหลับนะเนี่ย ยังทำฉันตกใจหมด” เขาหันไปว่าแล้วหันกลับมาเก็บรูปนั้นเข้าที่เดิมก่อนจะเอาสมุดไปวางอย่างไม่ให้ผิดสังเกต เขามองกลับไปที่คนที่กำลังหลับใหลอีกครั้ง “ สิ้นฤทธิ์แบบนี้ก็น่ารักเหมือนกันนี่หว่า” เขายิ้มให้ตอนที่ปิติภัทรขยับโดเรม่อนตัวโตเขามาอยู่ในอ้อมกอดหลังจากนั้นก็เดินไปที่ระเบียงเพื่อหาอะไรทำ ทันทีที่ได้มายืนฟ้าก็ค่อยๆมืดลงไปทุกขณะแล้ว ความทรงจำหลากหลายตีเข้ามาในหัวอย่างรวกเร็ว ราวกับว่ามีใครมากดเปิดให้มันทำงาน ตรงที่เขายืนอยู่มองเห็นหอ หอที่เขามักจะแอบขับรถไปหาคนที่เขาแอบชอบบ่อยๆ บนถนนที่มองไปไม่ไกลเขาเคยไปแอบดูเพื่อช่วยคนที่เขาแอบชอบไปช่วยคนรัก ทุกที่ที่นี่แทบเป็นความทรงจำสำหรับเขาหรือแม้กระทั่งร้านนี้ที่เขามากินเลี้ยงฉลองกับชยานนท์ ทำไมเขาต้องมานั่งจำเรื่องพวกนี้ ทั้งๆที่ตัวของชยานนท์ก็กำลังมีความสุขกับความรักครั้งนี้ เขาตีไปที่แขนของตัวเองเพื่อเรียกสติ น้ำตาแห่งความคิดถึงมันไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้


   “ ไปยืนอินดี้อะไรตรงนั้นน่ะ” ไม่รู้ว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงเมื่อครู่มายืนอิงขอบประตูตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ตรงระเบียงจะดูตกใจไม่น้อย


   “ มายืนมองดูบรรยากาศเก่าๆเฉยๆ” เขาตอบโดยไม่หันหน้าไปคุยกับคนที่อยู่ด้านหลัง “ แล้วทำไมตื่นเร็ววะ กูเสียงดังเหรอ”


   “ เปล่า กูจะลงไปช่วยพี่ข้างล่างทำงาน มึงเองจะลงไปก็ได้นะไม่มีใครเห็นหรอก” เขาตอบก่อนจะเดินเข้ามาหา “ ตอนนี้มึงมีชีวิตใหม่แล้วอะไรที่เคยผ่านมาก็ปล่อยมันไปเถอะเชื่อกู” พูดจบเขาก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อสีขาวเมื่อวันก่อนมาใส่สีดำแทน “ มึงจะลงไปเลยมั้ย” เขาหันมาถามตอนที่เปิดประตูหน้าห้อง


   “ อืม ลงไปเลยอยู่บนนี้ไม่มีอะไรทำ”


ทันทีที่ลงมายมทูติคนใหม่ก็มองเห็นว่าผู้คนเริ่มทยอยเดินเข้ามาในร้านกันแล้ว บ้างมานั่งจับจองโต๊ะเพื่อรอเพื่อน บ้างมานั่งสั่งอาหารพร้อมกับเบียร์เย็นๆเพื่อดื่ม แต่คนที่เขาสะดุดตามากที่สุดคือคนที่นั่งอยู่เยื้องเวที ใต้ต้นไม้ ใบหน้านั้นกำลังฉีกยิ้มอย่างมีความสุข ในมือถือช่อดอกไม้ เป็นช่อกุหลาบสีแดงที่เขียนว่า CONGREATULATIONS พร้อมกับยื่นส่งไปให้คนที่นั่งข้างๆที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะสัมผัสจมูกลงที่แก้ม คนที่อยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกดชัตเตอร์อย่างมีความสุข


   “ ไอ้ปอนด์มึงถ่ายเสร็จยังวะ”


   “ นนท์ทำไมพูดกูมึงกับปอนด์ล่ะ” รณจักรตีแขนไปหนึ่งทีก่อนจะทำท่าชะงักเมื่อเห็นใครบางคนยืนอยู่ด้านหลังของเพื่อนสนิท


   “ จักร เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมนิ่งไปล่ะ โกรธเราเหรอ จักรก็รู้ว่าเรากับปอนด์สนิทกันมาตั้งนานแล้ว ขอเว้นไว้คนนึงไม่ได้หรือยังไง”



   “ เราขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” รณจักรสบสายตากับปณิธานเป็นการส่งสัญญาณ คนที่รับรู้ได้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหายตัวไปยังจุดนัดพบ


ร่างของปณิธานมายืนรอภายในห้องน้ำตรงอ่องล่างหน้า โชคดีที่ยังไม่ดึกมากผู้คนภายในห้องน้ำจึงไม่มี สภาพห้องน้ำที่เป็นปูนเปลือยกับแสงไฟที่ไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่นักทำให้รณจักรกล้าๆกลัวเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองเห็นคนเดียว


ผู้มาใหม่ที่มาถึงเขาจัดการปิดประตูห้องน้ำหลังจากเอื้อมไปหยิบป้ายของแม่บ้านที่เขียนว่า กำลังทำความสะอาด มาแขวนไว้ที่ลูกบิดประตู


ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องน้ำเต็มไปด้วยความเงียบทั้งมนุษย์และยมทูติต่างเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอและไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้ และความอึดอัดนั้นก็พังทลายลงเมื่อรณจักรตัดสินใจเป็นคนเริ่มก่อน


   “ เป็นยังไงบ้าง ทำไมเราถึงเป็นคนเห็นปาร์คล่ะ แล้วทำไมนนท์ถึงมองไม่เห็น” เขาเดินเขาไปใกล้มากขึ้นพร้อมกับมองสำรวจคู่สนทนา   


   “ ทำไมมองเราแบบนั้นล่ะ” ปณิธานถาม ฝ่ายตรงข้ามจึงหยุดลงแล้วรอฟังคำตอบที่ตนถามไปก่อนหน้านี้ “ ทำไอ้นนท์ถึงมอง
ไม่เห็นน่ะเหรอ คือ”เขาตะกุกตะกักเล็กน้อย “ คือเราไม่ใช่วิญญาณน่ะ เราคือยมทูติ เราไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงได้เป็นแต่ตอนนี้ก็เป็นไปแล้ว ส่วนอีกคำถามที่ว่าทำไมนายถึงมองเห็นเราแค่คนเดียว คงเป็นเพราะว่านายเคยผ่านความตายมาแล้วยังไงล่ะ”


   “ เราขอโทษนะ นายไม่ควรมาตายเพราะเราเลย เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะเราเอง ถ้าเรารู้ว่าทุกอย่างมันจะเป็นแบบนี้เราจะไม่เข้ามาในชีวิตของใครเลย”


   “ อย่าพูดแบบนั้นสิ ทุกอย่างมันถูกขีดไว้แล้วล่ะ แล้วก็อย่าไปพูดแบบนี้ให้ไอ้นนท์มันได้ยินเชียวนะ มันจะน้อยใจเอา นนท์มันรักจักรมากเลยนะ รักมากกว่าชีวิตของมันเองด้วยซ้ำ” เขาพูดออกมาพร้อมกับพยายามกดไม่ให้เสียงตัวเองสั่น “ ในเมื่อตอนนี้ อยู่ด้วยกันแล้ว ก็รักกันมากๆล่ะ อะไรที่มันเคยเกิดขึ้นในอดีตก็ลืมๆมันไปเถอะ เราเองก็จะพยายามลืมมันไปเหมือนกัน”


   “ เราว่า อะไรที่มันเป็นความทรงจำดีๆก็เก็บมันไว้เถอะนะ” เขาฉีกยิ้มกว้างให้ยมทูติที่อยู่ตรงหน้า “ ในเมื่อเราเป็นคนมองเห็นปาร์คหลังจากนี้ เรามาเป็นเพื่อนกันนะ เราจะคอยช่วยปาร์คเหมือนตอนที่ปาร์คช่วยเรื่องของเราบ้าง”


   “ แต่ นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมเราถึงช่วย”


   “ อืม รู้สิ แต่ปาร์คก็คือผู้มีพระคุณกับเรานะ” ชายหนุ่มส่งยิ้มกว้างไปยังยมทูติที่ยืนอึ้งอยู่ตรงหน้า “เราสัญญา” เขายื่นนิ้วก้อยยื่นไปตรงหน้า


   “ เราไม่ใช่ไอ้นนท์นะ ถึงจะได้มาอ้อนแบบนี้” เขาอมยิ้ม


   “ แค่สัญญาเอง” เขากระดิกนิ้วก้อย ก่อนที่คนตรงข้ามจะยื่นมือเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มมานาน “ จริงๆปาร์คเองเวลายิ้มก็น่ารักเหมือนกันนะ”


ปังๆๆๆๆ


เสียงประตูห้องน้ำจากด้านหลังทำให้ทั้งสองหยุดการสนทนาลง เพราะว่ามันดังเหมือนจะพังเข้ามาก็ไม่ปาน และไม่ทันที่มือของรณจักรจะเอื้อมไปเปิดลูกบิด ประตูบานสีฟ้าก็เปิดอ้าออกตามด้วยรองเท้าคอนเวิร์สสีขาวที่ยื่นเข้ามาพร้อมกับกางเกงยืนส์สีฟอกเขารูป หลังจากนั้นเจ้าของบาทานั้นก็เดินเข้ามาไม่พูดไม่จากับคนในห้อง เขาไล่เปิดห้องน้ำทีละห้อง พร้อมกับมองไปรอบๆราวกับสงสัยมีใครซ่อนอยู่ตามหลังคาหรือไม่


   “ เมื่อกี้คุยกับใคร” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะกลั้นอารมณ์โมโหให้มากที่สุด “ ไม่ได้ยินที่นนท์ถามเหรอว่าเมื่อกี้คุยกับใคร”


   “ เอาโทรศัพท์มา” เขาแบมือไปทางแฟนของตน


   “ นนท์จะบ้าเหรอ มือถือเราก็อยู่ที่ปอนด์ไง ปอนด์ถ่ายรูปให้ที่โต๊ะก่อนที่จักรจะมาเข้าห้องน้ำเนี่ย” เขาหัวเราะพร้อมทั้งมองไปยังยมทูติที่ยืนอยู่ด้านหลังชยานนท์ “ แล้วนนท์ล่ะเป็นบ้าอะไรมาถึงก็มาโวยวายใส่จักรแบบนี้”



   “ เมื่อกี้ก่อนนนท์จะเข้ามาจักรคุยอยู่กับใคร”


   “ จักรก็บอกว่าไม่ได้คุยกับใคร นี่นนท์ไม่เชื่อใจจักรเลยใช่มั้ย” เขาใช้ไม้เด็ดและดูว่ามันได้ผล


   “ โอเค สงสัยนนท์หูฝาดไปเอง ไปกลับไปที่โต๊ะ อาหารมาแล้ว” ชยานนท์จูงแขนแฟนของตนเดินออกไปรณจักรหันกลับมาขยิบตาให้กับคนที่ยืนนิ่งอยู่ในห้องน้ำอีกคน


   “ เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” ปณิธานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ


   “ ใช่เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” เสียงของใครบางคนที่เข้ามาใหม่ในห้องน้ำเอ่ยขึ้น “ นายกำลังจะทำให้เราเดือดร้อน ไม่รู้หรือไงการที่มนุษย์รู้เรื่องเรามันไม่ใช่เรื่องดีเลย” ปิติภัทรถลาเข้ามาหาคู่หูของตัวเองด้วยความโมโห “ โลกของเรามันอันตรายกว่าที่นายคิด”


   “ แต่จักรไว้ใจได้ มันเป็นเพื่อนของกูแล้วก็เป็นแฟนของไอ้นนท์ด้วย”


   “ อ่อ กูเข้าใจแล้ว ที่มึงทำแบบนี้เพราะมึงอยากจะกลับไปใกล้ชิดกับไอ้คนที่มึงแอบรักอีกครั้งสินะ ที่มึงต้องเสี่ยงตัวเองแบบนี้มึงคงอยากกลับไปจมอยู่กับรักโง่ๆที่ไม่มีวันเป็นไปได้อีกใช่มั้ย”


ไม่รอให้พูดจบปณิธานก็พุ่งหมัดเข้าไปที่ใบหน้าของคู่หูตัวเองอย่างจัง “ มึงไม่มีสิทธ์มาตัดสินใครทั้งๆที่ไม่รู้จักเขาเลยแบบนี้” เขากดเสียงลงพร้อมกับมองไปยังคู่หูของเขาที่กำลังเช็ดเลือดออกจากมุมปาก “ กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงโตมาในสังคมแบบไหน ขาดความอบอุ่นหรือว่าไปเจอกับรักที่มันเหี้ยแค่ไหนมาแต่มึงไม่มีสิทธ์” เขากัดฟันจนขมับมีเส้นเลือดขึ้น “ มึงไม่มีสิทธ์ที่จะมาตัดสินคนอื่นแบบนี้ “ สิ้นคำเขาก็หายตัวไป


ร่างของปณิธานมายืนอยู่ที่ห้องสี่เหลี่ยมห้องเดิม ห้องของคู่หูของเขา ยมทูติหนุ่มพยายามที่จะหายตัวไปที่อื่นหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ดูเหมือนว่ามันไม่เป็นผล


   “ อย่าพยายามเลยเจ้านาย” เสียงของบลูดังมาจากชั้นวางหนังสือ “ คู่หูของเจ้านายใช่พันธะยมทูติผูกมัดกับเจ้านายไว้” 
เมื่อบลูพูดจบประตูห้องก็เปิดอ้าขึ้นแววตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่ามองมายังปณิธานที่กำลังพยายามที่จะหายตัว
มือหนาเอื้อมมือไปเปิดไปที่มุมด้านข้างของประตู หลังจากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วหยิบสำลีขึ้นมาเช็ดเลือดที่ยังไหลไม่หยุดตรงมุมปาก


   “ ปล่อยกูไปเดี๋ยวนี้ มึงจะทำแบบนี้กับกูไม่ได้”


   “ ได้สิ ในเมื่อ กูเป็นคู่หูของมึง และหยุดพยายามทำอะไรโง่ๆสักที คนที่จะอนุญาตให้มึงออกจากที่นี่ได้มีแค่กูคนเดียวและกูก็ไม่มีทางให้มึงไปทำอะไรโง่ๆเป็นอันขาด”


   “ มึงมันเห็นแก่ตัว”


   “ มึงมันโง่” เขาพูดเบาๆก่อนจะเดินออกไปจากห้องโดยที่เปิดประตูค้างเอาไว้


ปณิธานเดินเข้าไปเพื่อที่จะปิดแต่ว่า มีใครบางคนเดินมาอยู่ที่ประตู


   “ จักร” เขาเอ่ยเบาๆและคนที่ยืนมองซ้ายมองขวาซึ่งยืนข้างๆคือชยานนท์


ทั้งสองเดินเข้ามาในห้องแบบไม่ต้องเชิญ พร้อมกับปิดประตูให้อย่างรู้งาน “ ขอโทษนะ ที่ทำให้ต้องมีปัญหากับ”


   “ ช่างมันเหอะ” ปณิธานตัดบท


   “ คือ เขาบอกให้เราขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนนายน่ะ คือจริงๆแล้วเราไม่ได้แอบฟังนะ แต่เรากับนนท์ยืนอยู่หน้าห้องน้ำพอดีตอนที่นายกับ”


   “ ช่างมันเถอะ เราไม่เป็นไร กลับไปได้แล้ว”


   “ ไอ้ปาร์คมันว่าไงบ้าง มันสบายดีหรือเปล่าจักร” ชยานนท์ที่ยืนมองแฟนของตนคุยกับใครบางคนอยู่ถามขึ้นบ้าง


   “ เขาให้เรากลับออกไป” รณจักรตอบกลับไป “ นนท์ช่วยพูดกับเขาให้หน่อยสิ”


   “ เราขอนะ กลับไปก่อนเถอะเราไม่พร้อมจริงๆ” ปณิธานทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นมาวันนี้ ความทรงจำระหว่างเขากับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันหวนคืนกลับมาราวกับว่าไม่เคยลืมมันอีก คนที่เขาพยายามลืมกำลังกลับมาให้เขาพยายามคิดเรื่องราวต่างๆ


   “ เราว่ากลับก่อนเถอะ คนอย่างไอ้ปาร์คลองว่ามันไล่แล้วแสดงว่ามันคงไม่อยากคุยกับเราแล้วล่ะ” ชยานนท์เอ่ยออกมาอย่างเข้าใจก่อนจะจูงมือรณจักรไปที่ประตู “ แต่ถ้ามึงพร้อมเมื่อไหร่บอกนะเว้ย กูพร้อมช่วยเหลือมึงตลอดเวลา”


ปณิธานมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนประตูปิดลง เขาทิ้งตัวนอนลงไปบนที่นอนอย่างเหนื่อยใจ ทุกอย่างในวันนี้มันเหมือนฝันร้ายของตัวเขา ความรัก หรือสงสาร อยากช่วยเหลือหรือบุญคุณ เป็นห่วงหรือเห็นแก่ตัว สิ่งพวกนี้มันวนอยู่ในหัวของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


   ขนาดตายไปแล้ว ยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกเหรอวะ











จริงเรื่องนี้จะลงจนจบเลยนะคะ พอดีถ้าใครตามอ่านเรื่อง IN MY DREAM ในห้วงนิทรา จะรู้ว่าเคยแจ้งไปว่าติดปัญหา เพราะเรื่องนั้นนำเสนอ 14 ตุลา และ 6 ตุลา เฃยหยุดลงนิยายทุกเรื่องไป ตอนนี้ขอกลับมาฮึบลงเรื่องนี้ และหลังจาก 24 มีนา จะเริ่มลง IN MY DREAM ให้ได้เพราะหวังว่าเราจะเดินไปข้างหน้าๆได้
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต (REVISE) 2.3.19 บทที่ 2,3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-03-2019 22:53:56
คู่หูที่ดูอย่างไง ๆ ก็ไม่เหมือนคู่หู เหมือนคู่กัดกันมากกว่า  :hao4:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 5.3.19 บทที่ 4 SORRY , บทที่ 5 NEW FRIEND
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 05-03-2019 01:47:28
4
SORRY

ห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยความเงียบและความเยือกเย็นจากอากาศภายในห้องที่ถูกปรับลดอุณหภูมิให้ลดลงต่ำ เสียงดนตรีเบาบางลอดผ่านผนังขึ้นมาเป็นจังหวะ แต่ไม่สามารถทำให้คนที่นอนจ้องมองเพดานสีขาวอย่างเลื่อนลอยรู้สึกอยากลงไปด้านล่างเลยแม้แต่น้อย


ปณิธานจ้องเพดานนี้มาประมาณสองชั่วโมงเห็นจะได้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความทรงจำหลายๆอย่าง เขาพยายามจัดการความทรงจำเหล่านั้นให้อยู่เป็นที่เป็นทางและดูเหมือนว่ามันไม่ได้ผล ยิ่งอยู่คนเดียว ยิ่งเงียบ ยิ่งฟุ้งซ่าน เขาถอนหายใจเฮือกโตออกมาหลายต่อหลายครั้งแต่ดูเหมือนว่ามันไม่ทำให้เขาสบายใจขึ้นเลย แววตาที่อ่อนล้ามองไปที่นาฬิกาลายโดเรม่อนทีฝาผนังมันแสดงให้เห็นว่าร้านใกล้จะปิดแล้ว ปัญหาอีกอย่างหนึ่งกำลังจะเข้ามาหาเขา


   คู่หูของเขากำลังจะกลับมา


การอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยโดเรม่อนนี้เหมือนกับว่าเขาอยู่ในคุกก็ไม่ปาน เขาลุกขึ้นมาพยายามที่จะออกไปอีกครั้งแต่ก็ยังคงได้ผลลัพธ์เดิมคือกลับมายืนอยู่ในห้องนี้


   “ ไม่ได้ผลหรอกเจ้านาย” เสียงของบลูดังพูดเตือนขึ้นมาอย่างเหนื่อยใจ “ เจ้านายพักผ่อนก่อนดีกว่านะ พลังของยมทูติในตัวเจ้านายอ่อนลงไปทุกทีแล้วนะ”


   “ ใช่ ควรพัก ไม่ควรดื้อแบบนี้” เรย์ที่เงียบอยู่นานเสริมขึ้น


   “ เรื่องของเจ้านายของข้าลุงไม่ต้องมายุ่ง” บลูหันไปตะวาด “ เรื่องนี้มันก็เพราะเจ้านายของลุงนั่นแหละ”


   “ อุบ๊ะ ไอ้เด็กนี่” เสียงทุ้มของเรย์ดังออกมาด้วยความเดือดดาล “ เจ้านายของเอ็งมันไม่เข้าใจเอง จริงๆแล้วเจ้านายของข้าเขาแค่เป็นห่วงก็เท่านั้น เจ้าเด็กนั่นมันก็ปากแข็งแบบนี้แหละ” เสียงของเรย์ค่อยๆเบาลง “ เขาเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน จริงๆแล้วเฟิร์สน่ะ เป็นเด็กที่น่ารักมากเลยนะ เราแค่ต้องเข้าใจเขา”


   “ แล้วเขาคิดที่จะเข้าใจคนอื่นบ้างหรือเปล่าล่ะ” บลูเถียงขึ้น


   “ พอซะทีเถอะ ทั้งสองคนแหละ” ปณิธานตะโกนแทรกทั้งสองที่กำลังเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย “ ฉันต้องการความสงบ และต้องการอยู่คนเดียว ถ้ารู้ว่าเงียบไม่ได้ก็ออกไป”


พูดจบบานประตูหน้าห้องก็เปิดขึ้น ร่างสูงถอดเสื้อด้านนอกแขวนไว้ที่ผนัง “ อยากอยู่คนเดียวจริงๆใช่มั้ย” เขาพูดเสียงเบาๆออกมา “ ทำไมวะ การที่ต้องลืมอะไรซักอย่างมันต้องอยากอยู่คนเดียวตลอดเลย” เขาเดินเดินเซเข้ามาใกล้เตียงที่ยมทูติหนุ่มนั่งอยู่


   “ ถ้าเมามากก็ไปนอนไป” ปณิธานผลักร่างนั้นลงไปบนเตียงก่อนที่ตัวเองจะไปนั่งที่เก้าอี้ที่โต๊ะอ่านหนังสือมือหนาคว้าแขนของยมทูติลงไปด้วย



ทั้งคู่ลงนอนทับกันอยู่บนเตียง ใบหน้าของทั้งสองห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ ลมหายใจอุ่นๆของคนที่อยู่ด้านล่างมากระทบกับใบหน้าของปณิธานที่อยู่ด้านบน กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกับกลิ่นบุหรี่ลอยฟุ้งเมื่อมือหนาที่โอบอยู่ที่คอดึงใบหน้าของคนที่อยู่ด้านบนเข้ามาใกล้ขึ้น ดวงตาทั้งสองประสานกัน ทั่วทั้งห้องเงียบไปหมดมีเพียงเสียงของท้องฟ้าที่ส่งเสียงคำรามเป็นการแจ้งเตือนว่าฝนใกล้จะตก
คนที่นอนอยู่ด้านล่างส่งรอยยิ้มเผยให้เห็นรีเทนเนอร์กับฟันที่เรียงตัวกันได้รูปมาให้ แต่แววตานั้นไม่ได้เป็นไปตามรอยยิ้มนั้นเลยแม้แต่น้อย แววตาปนเศร้ามองเข้ามาที่ดวงตาคนที่อยู่ด้านบน  ริมฝีปากรูปกระจับสีอมชมพูเหมือนกำลังจะพูดบางอย่าง


ครื้นๆ


เสียงท้องฟ้าร้องดังจนทำให้ปณิธานสะดุ้งและพยายามที่จะดันตัวให้ออกจากพันธนาการครั้งนี้แต่ว่ากลับทำไม่ได้เพราะคนที่อยู่ข้างล่างยิ่งรัดแน่นขึ้นเมื่อเขาพยายามที่จะขัดขืน


   “ ปล่อยกู มึงเมาแล้วมึงก็นอนไปสิวะ” ปณิธานตะโกนใบใส่หน้าจองคนที่อยู่ห่างกันเพียงแค่นิดเดียว ปลายจมูกที่เป็นสันของทั้งสองสัมผัสกัน “ กูบอกให้ปล่อยไงวะ”


   “ กูขอโทษ” ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเมื่อครู่พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่หายไป “ กูไม่รู้นะว่ามึงจะรู้สึกบ้างหรือเปล่าว่ากูก็แค่” เขากระอักกระอ่วน


   “ เออช่างมันเถอะมึงเมามากแล้ว ตอนมึงมีสติดีๆแล้วค่อยมาคุยกันก็แล้วกัน” เขาลดเสียงลงและจ้องมองกลับไปที่ใบหน้าที่ดูอ่อนแรง “ ตอนนี้มึงปล่อยกูได้แล้ว”


มือหนาค่อยๆปลดปล่อยให้ปณิธานหลุดพ้นจากการรัดกุม “ กูไม่รู้นะว่า มึงจะโกรธกูมากแค่ไหน แต่มึงเข้าใจกูเถอะนะ” เขาพูดก่อนที่จะหลับตาลงแล้วนิ่งไป ปิติภัทรเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้อีกคนที่เพิ่งหลุดออกจากอ้อมแขนกำลังนั่งสับสนอยู่ที่บริเวณปลายเตียง


คนเมาในความคิดของปณิธานคือ คนที่จะพูดความจริงทุกอย่าง ในหัวของเขากลับมาตีกันอีกครั้ง ว่าจริงๆแล้วคนที่นอนหมดแรงหลับอยู่บนเตียงเป็นคนแบบไหนกันแน่ ปากหมาหรือว่าอ่อนแอ เขาหันกลับไปมองใบหน้านั้นอีกครั้งใจของเขาสั่นแปลกๆอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากที่เคยเป็นกับใครบางคน บางคนที่เขาแอบรัก “ ตลกละ คนอะไรเพิ่งเจอกันแล้วใจมาสั่นใส่กันเนี่ยนะ” เขาสะลัดความคิดนั้นออกไปก่อนจะมานั่งทบทวนการเป็นยมทูติอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ


   “ เจ้านายขยันจัง” บลูเอ่ยหลังจากที่ปณิธานเรียกให้ออกมา


   “ ฉันอยากรู้จักโลกหลังความตายและการเป็นยมทูติให้มากกว่านี้ ไม่อยากไปเป็นภาระใคร” เขาบอกกับหนังสือของตัวเอง


   “ ได้เลยเจ้านาย ข้าจะช่วยเจ้านายเอง” บลูเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ “ โลกหลังความตายเปรียบเสมือนโลกคู่ขนานกับโลกมนุษย์นี่แหละเจ้านายแต่มันค่อนข้างซับซ้อนและอันตราย อย่างเช่นในโลกมนุษย์มีอาชญากรในโลกหลังความตายของเราก็มีเพราะเมือคนพวกนั้นตายลงไป จิตที่ไม่บริสุทธิ์หรือดวงวิญญาณบางดวงที่มีความแค้นสูงและมีพลังด้านมืดมากมันจะเป็นตัวดูดในยมทูติอีกประเภทหนึ่งให้เข้ามา โลกของเราเรียกยมทูติพวกนี้ว่า ยมทูติมืดหรือยมทูติสีดำ แต่ก่อนพวกนั้นก็เคยเป็นยมทูติสีฟ้าเหมือนกับพวกเราแต่ทว่า การที่พวกนั้นไม่อยากอยู่ใต้คำสั่งของใครและอยากเป็นอมตะแบบไม่มีวันจบสิ้นก็เลยกลายเป็นยมทูติมืดในที่สุด พวกมันจะคอยแย่งชิงดวงวิญญาณที่ยังไม่ถึงฆาตหรือมนุษย์ที่มีจิตใจอ่อนแอเพื่อให้มนุษย์คนนั้นฆ่าตัวตายแล้วแย่งชิงช่วงเวลาที่เหลือในชีวิตของคนพวกนั้นมา สิ่งที่พวกมันต้องแลกมาด้วยนั่นก็คือการรับรู้ความทรงจำที่แสนทรมานอย่างไม่ไม่วันจบสิ้น และทุกครั้งที่สมุดของยมทูติสีฟ้าร้องเตือนว่ามีคนตาย พวกยมทูติมืดมันมักจะมาดักรอเสมอ เพราะอย่างนี้เราจึงจำเป็นที่จะต้องจัดให้ยมทูติสีฟ้ามีคู่หู เพราะถ้ายมทูติมืดมันมาจริงๆและมาด้วยพลังที่แกร่งกล้าร่างของยมทูติสีฟ้าอาจสลายหรือถูกส่งเข้าไปที่กับดักยมทูติได้เลย”


   “ แล้วทำไมไม่มีใครจัดการกับพวกมันอย่างจริงจังล่ะ”


   “ อย่างที่บอกไปเจ้านาย ยมทูติมืดเมื่อมันกินเอาวันเวลาที่เหลืออยู่ในวิญญาณไป เศษวิญญาณพวกนั้นมันจะกลืนกินความเป็นตัวตนไปด้วย จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของยมทูติสีดำเลย หรือถ้าเห็นใบหน้ามัน ก็น้อยคนนักที่จะมีชีวิตรอดไปได้ ว่ากันว่าบางครั้งพวกมันก็ปะปนอยู่กับมนุษย์เหมือนกับคู่หูของเจ้านายที่เป็นมนุษย์ยังไงล่ะ”


   “ นี่แหละที่เจ้านายข้าเป็นห่วงเจ้า” เสียงทุ้มต่ำดังออดมาจากอีกเล่ม


   “ หมายความว่ายังไงเรย์”


   “ ก่อนหน้าที่ท่านจะมาเป็นคู่หูกับเจ้านายข้า เจ้านายข้าก็มีคู่หูอยู่แล้วแต่ว่า” เรย์เงียบเสียงลง “ ข้าว่าท่านให้เจ้านายเล่าเองแล้วกัน”


เสียงเรย์เงียบเสียงลงพร้อมกับท้องฟ้าที่ร้องดังไปทั่วทั้งห้อง แสงไฟจากท้องฟ้าที่วาบไปมากระทบกับคนที่นั่งอยู่บนขอบเตียงแล้วจ้องมองมายังปณิธานที่กำลังคุยกับเรย์


   “ มึงตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่” ปณิธานด้วยเสียงเหมือนคนที่โดนจับผิด


   “ ไม่ต้องเสียงสั่นขนาดนั้นก็ได้” เขาพูดเบาๆออกมา “ กูคงปากไม่ดีกับมึงไปเยอะสินะ”


   “ เดี๋ยวนะ” ปณิธานอึ้งไปอีกครั้งเมื่อคนที่เขาคุยด้วยคือคนที่กำลังนอนหลับและคือคนที่นั่งอยู่ด้วย “ ทำไมมึง”


   “ ร่างกายกับวิญญาณของกูมันสามารถตัดแยกออกจากกันได้ เมื่อร่างกายอ่อนแอ แต่ก็มีเวลาจำกัดนะ และการถอดจิตแบบนี้ก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน”


   “ เจ้านายไม่ควรทำแบบนี้” เสียงของเรย์ดุเสียงแข็งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


   “ ทำไมล่ะเรย์” ปณิธานหันไปถาม


   “ ช่างมันเหอะ” ปิติภัทรตวาด


   “ ก็การถอดดวงจิตออกจากกายหยาบหนึ่งครั้งเวลาในชีวิตก็จะหายไปหนึ่งปี แปลง่ายๆคือตายเร็วขึ้นอีกหนึ่งปี” บลูเป็นคนตอบคำถามของเจ้านายตัวเองแทน


ใบหน้าของปณิธานถอดสี พร้อมกับตัวชาไปทั้งตัว “ ทำแบบนี้ทำไม” เขาถามกลับไปด้วยเสียงสั่น


   “ เดี๋ยวนะ” เขาหันไปโบกมือใส่สมุดทั้งสองเล่มให้กลับไปเก็บที่ชั้นวางหนังสือตามเดิม “ กูอยากเคลียร์กับมึงสองคนโดยไม่มีใครมาขัด”


   “ กูบอกแล้วไงว่ารอให้มึงมีสติมากกว่านี้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”


   “ นี่ไงมีสติแล้ว แต่มีเวลาเคลียน้อยเพราะถ้ากูกลับเข้าร่างไม่ทันก่อนครึ่งชั่วโมงกูตายจริงแน่ เพราะฉะนั้นกูจะไม่อ้อมค้อม สิ่งแรกเลยคือกูอยากให้มึงเข้าใจกูใหม่เลยว่า กูไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดแรงๆแบบนั้นกับมึง แต่กูอยากให้มึงรู้ไว้ว่าโลกของเรากับโลกของพวกนั้นมันต่างกัน”


   “ กูก็จะบอกมึงเหมือนกันว่า กูไมได้คิดอะไรกับไอ้นนท์แล้ว”


    “ มึงอย่ามา กูเห็นมึงมองมันอยู่”


   “ อย่างที่กูบอกมึงไป มึงไม่ควรดูถูกความรักของคนอื่นและตอนนี้ กูก็กำลังพยายามลืมมันอยู่เหมือนกัน” เขาอธิบาย


   “ มึงไม่ต้องพยายามลืมมันหรอก แต่มึงต้องหาจุดโฟกัสใหม่ มึงลองคิดอย่างอื่นดีมั้ยวะ”


   “ นี่มึงจะมาไม้ไหน กูตามมึงไม่ทันแล้วนะ”


   “ กูก็เป็นของกูแบบนี้ ช่างๆมันๆฟังกูก่อน กูจะเป็นคนให้มึงลืมไอ้นนท์เอง” เขายิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจกับความคิดเห็นของตัวเอง “ แต่มึงบอกกูได้หรือเปล่าวะทำไมมึงถึงชอบไอ้นนท์ “


   “  แล้วทำไมกูต้องบอกมึงด้วย กูบอกไว้เลย คนที่กูไม่ไว้ใจมากที่สุดก็คือมึง” เขาผลักคนตรงหน้าจนล้มลงไป “ กลับเข้าร่างไปได้แล้วไป”


   “ ไม่กลับ มึงบอกกูมาก่อน ไม่อย่างนั้นกูจะไม่กลับเข้าร่าง” ปิติภัทรยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาจ้องกลับมาที่สายตาคนที่นั่งตรงกันข้าม


   “ ไม่ก็คือไม่ไงวะ มึงกลับเข้าร่างไปได้แล้วไป” เขาพยายามผลักดวงจิตนั้นให้เข้าไปใกล้ร่างให้มากที่สุดแต่ก็ไม่เป็นผล “ มึงจะเอาไงกับกูบอกมา” เขาถอนหายใจก่อนจะก้มหน้ามองไปที่พื้น


   “ เวลามึงคุยกับคนอื่น มึงต้องมองตาสิวะไม่ใช่มองพื้น” ปิติภัทรเอื้อมมือไปจับใบหน้าของยมทูติหนุ่ม “ เล่ามาได้แล้ว”


   “ ไอ้นนท์คือคนที่กูรู้สึกว่ามันใส่ใจกูมากที่สุด เข้าใจกูมากที่สุด เวลากูมีปัญหาอะไรมันก็จะอยู่ข้างๆ มันคือคนที่กูรักมากที่สุดรองจากลุงของกูเลยนะ แต่กูก็ได้แค่รักแหละ มันอาจจะฟังดูน้ำเน่าแต่กูยินดีที่กูเห็นมันมีความสุขนะ” เขายิ้มให้คนตรงหน้าที่จับหน้าเขาอยู่


ริมฝีปากที่ยิ้มนั้นมันไม่ได้มีความสุขเพียงอย่างเดียว ดวงตาของเขาก็เช่นกัน ไม่มีใครหรอกที่จะเห็นคนที่ตัวเองรักไปรักกับคนอื่นแล้วจะมีความสุขร้อยเปอร์เซนต์ แต่สิ่งที่ปณิธานทำอยู่ตอนนี้คือแค่ยอมรับความเป็นจริงก็แค่นั้น


   “ แค่นี้” ปิติภัทรถามพร้อมกับฉีกยิ้มกลับมาให้ “ ฟังกูนะ หลังจากนี้ มึงจะจำหรือมึงจะนึกถึงไอ้นนท์ก็เรื่องของมึง แต่ถ้ามึงมองไม่เห็นใครกูจะอยู่ข้างๆมึงเอง และจากตอนนี้เป็นต้นไป กูจะทำให้มึงลืมไอ้นนท์โดยที่มึงเองไม่ต้องพยายามที่จะลืมมันเลย” เขายักคิ้วแล้วดึงหน้าของยมทูติที่กำลังคิ้วชนกันเข้ามาใกล้ “ กูที่ไม่เคยเชื่อในความรักของมึงคนนี้นี่แหละจะจีบมึงเอง”


ปณิธานผละออกจากมือของปิติภัทรทันที “ มึงอย่ามาพูดตลกดิ กูขนลุกไปหมดแล้ว”


   “ ตลกไรล่ะ กูพูดเรื่องจริง มึงบอกให้กูเข้าใจมึงกูก็กำลังทำอยู่นี่ไง ตกลงนะ หลังจากนี้กูจะเริ่มจีบมึงแล้วนะ” เขาส่งยิ้มมาให้อีกครั้ง”


   “ มึงไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ ถ้าจะทำเพื่อขอโทษที่มึงพูดกับกูน่ะ”


   “ ตัดเหตุผลทุกอย่างไปให้หมด มึงรับรู้แค่ว่ากู จะ จีบ มึง” เขาย้ำทีละคำแล้วพุ่งตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะประทับปลายจมูกลงบนแก้มนุ่มนิ่มที่เจือลักยิ้มอยู่ “ ส่วนเรื่องขอโทษ กูขอโทษมึงเลยแล้วกันและหลังจากนี้ เฟิร์สจะเรียก ปาร์คว่าปาร์คแล้วนะ” สิ้นคำดวงจิตของเขาก็หายไปในทันที


   “ มึงเมาค้างใช่มั้ยเนี่ย” ปณิธานเอนตัวลงด้านข้างเอามือก่ายหน้าผาก เขามองคนที่นอนข้างๆอย่างระแวงก่อนจะเอาแต่จ้องเพดานจะกระทั่งความมืดนั้นหายไปและแสงสว่างเข้ามาแทน


เมื่อคืนกว่าจะเคลียกันลงตัวก็ปาเข้าไปเกือบสว่าง คนที่นอนข้างจึงยังไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับแสงที่ส่องเข้ามา ปณิธานลุกขึ้นไปเลื่อน
ผ้าม่านมาป้องกันแสงไว้เพื่อให้คนนอนสบายที่สุด


   10.30 น.


เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ตรงโคมไฟโดเรม่อนดังขึ้น ปรากฏรูปหญิงวัยกลางคนผมยาวที่ฉีกยิ้มกว้างเธออยู่ในอ้อมกอดของเจ้าของโทรศัพท์


ปิติภัทรขยับตัวไปมาเมื่อเสียงรบกวนยังคงดังอย่างไม่มีทีท่าที่จะหยุดจนทำให้มือหนาพลิกตัวไปทางต้นเสียงและควานมือไปมาโดยที่ไม่คิดจะลืมตามองเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่ได้มันมาอยู่ในมือ เขาก็หรี่ตามองหน้าจอที่สองแสงจ้ามาจากโทรศัพท์มือถือก่อนจะกดรับมัน


   “ ครับแม่” 


   “ นี่ยังไม่ตื่นใช่มั้ยเรา เมื่อคืนคงเมามากล่ะสิ” ปลายสายตอบกลับมา “ เอาล่ะๆ ว่าแต่วันนี้จะกลับมาบ้านหรือเปล่าหายหน้า
หายตาไปหลายวันแล้วนะ”


   “ วันนี้เหรอครับ ผมคงไม่ได้กลับหรอก มีธุระต้องไปทำนิดหน่อยครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับขยับตัวเพื่อที่จะลุกนั่ง


   “ ธุระอะไรกัน หรือว่ามีแฟนแล้ว ไม่เห็นพามาให้แม่รู้จักเลยนะ”


   “ ตอนนี้ไม่มีหรอกครับแม่ แต่อีกไม่นานมีแน่” เขาตอบพร้อมกับส่งสายตาและรอยยิ้มไปให้ยมทูติที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือ “ แม่เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ”


   “ ใช่คนที่ลูกเล่าให้แม่ฟังหรือเปล่า”


   “ ใช่ครับ คนนั้นแหละ” หน้าของปิติภัทรแดงขึ้นมาอย่างชัดเจน


   “ ถ้าอย่างนั้นก็สู้ๆเข้านะ เอาชนะคนในใจเขาให้ได้ล่ะ”


   “ ครับขอบคุณครับ” ปิติภัทรตอบ “ ผมรักแม่นะครับ”


   “ จ้ะ ดูแลตัวเองด้วยนะ แม่ไม่กวนแล้วนอนต่อเถอะ แล้วก็อย่าลืมหาข้าวหาปลามากินด้วยล่ะ” หล่อนพูดจบก็ตัดสายไป
ปิติภัทรยิ้มให้กับโทรศัพท์แล้วเอามันไปวางไว้ที่เดิม ก่อนที่เจ้าตัวจะจะลุกขึ้นมาถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออกเผยให้เห็นกล้ามเล็กๆที่ผ่านการดูแลมาเป็นอย่างดี หลังจากนั้นก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ


น้ำเย็นๆที่ปล่อยผ่านฝักบัวลงมากระทบผิวขาวๆทำให้ร่างกายและสติของเขากลับคืนมาอีกครั้ง ภาพความทรงจำเมื่อก่อนย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขา ภาพความทรงจำที่เขาแอบมองใครสักคน


   รับน้องวันแรก


เสียงผู้คนโหวกเหวกโวยวายเข้ามาเป็นระลอก หลายสำเนียง หลากที่มา เข้ามาอยู่ในสถานที่เดียวกันที่หอประชุมคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทุกคนต่างใส่ชุดนักศึกษาสีขาวกางเกงสีกรมท่าพร้อมกับใส่เนคไทด์สีม่วงที่มีตราช้างติดอยู่ เป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าจะมาจากที่ใดตอนนี้พวกเขาคือคณะวิศวกรรมศาสตร์


เมื่อการลงทะเบียนสิ้นสุดลง เสียงกลองก็ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงร้องเพลงที่เร่งจังหวะให้ผู้คนทำท่าทำทางแปลกประหลาด และสร้างความกระชับความสัมพันธ์ในหมู่เด็กใหม่ได้ไม่น้อย


ปิติภัทรเองก็ยังขยับตัวและทำท่าทางไปตามที่รุ่นพี่ปีสองทำให้ดูเป็นตัวอย่าง รอยยิ้มของเขาสร้างความสัมพันธ์ให้กับคนรอบข้างเป็นอย่างดีทั้งหญิงและชาย ลักยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเขานี่เองทำให้คนจำเขาได้ง่ายขึ้นและมีเพื่อนใหม่ได้ไม่ยาก ต่อมา การเต้นก็เปลี่ยนมาเป็นการทำกิจกรรมกันเป็นกลุ่มโดย จะมีโจทย์คือให้พวกเขาจับคู่เป่ายิ้งฉุบไปเรื่อยๆ จากคนกลุ่มใหญ่กลายเป็นกลุ่มละยี่สิบคนกว่าสามสิบกลุ่ม โดยทุกกลุ่มในแต่ละกลุ่มนี้ต้องมีทุกสาขาอยู่


   “ เราชื่อ ปิติภัทรนะ รหัส 137 สาขาไฟฟ้า เรียกเราว่าเฟิร์สก็ได้”  เขาเริ่มขึ้นเมื่อทุกคนนั่งล้อมวงกันเป็นวงกลม “ นายต่อเลย” เขาสะกิดคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ


   “ เราชื่อปณิธาน ปาร์ค รหัส 016 สาขาอุตสาหการ” เขางึมงำๆโดยที่ไม่มองหน้าใคร
ทุกคนไล่แนะนำตัวกันจนครบ และรุ่นพี่ก็ให้ทุกคนเริ่มทำกิจกรรมกันอีกครั้ง โดยให้ทุกคนใช้องค์ความรู้ในแต่ละสาขา(ซึ่งยังไม่มีใครได้เรียน) มารวมกันสร้างโปรเจคและนำเสนอซึ่งจริงๆแล้วกิจกรรมนี้ไม่ได้อยากให้วิชาการแต่อยากให้คนในกลุ่มได้ทำกิจกรรมร่วมกัน


   “ เราจะทำอะไรกันดี” ปิติภัทรเอ่ยพร้อมกับกางกระดาษสีน้ำตาลขนาดใหญ่ที่รุ่นพี่ให้มาออกและถือปากกาพร้อมเขียน “นายล่ะมีความเห็นไรบ้าง”


   “ แล้วแต่เลย” ปณิธานตอบก่อนจะกลับมาก้มหน้าตามเดิม


   “ โอเค เอาอย่างนี้ดีมั้ยเราจะทำโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าบรรจุใส่กระป๋องพร้อมขาย” เขาอธิบายให้ฟังซึ่งเรียกเสียงหัวเราะของคนในกลุ่มได้ไม่น้อยยกเว้นคนที่นั่งข้างๆ เขาเท่านั้นที่ดูไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย


   “ เอาล่ะ ออกมานำเสนอได้” รุ่นพี่ที่ถือไมโครโฟนอยู่บนเวทีประกาศ “ ทุกคนในกลุ่มต่างถกเถียงกันว่าใครจะเป็นผู้ได้ออกไปนำเสนอ


   “ เดี๋ยวเราออกไปเอง” หญิงสาวในกลุ่มอาสาพร้อมกับเพื่อนผู้หญิงที่นั่งข้างๆอีกคน


   “ โอเคถ้าอย่างนั้นเอาตามนี้แหละ” ปิติภัทร เอ่ยก่อนจะปรบมือและส่งเสียงร้องเมื่อตัวแทนของกลุ่มตัวเองก้าวขึ้นไปบนเวที


   “ เอาล่ะครับ น้องๆทุกคน นี่คือกลุ่มสุดท้ายของวันนี้ และทางพวกพี่ก็มีเรื่องประหลาดใจ มาฝากกลุ่มนี้เพราะเราจะไม่ให้น้องที่ขึ้นมาบนเวทีเป็นคนนำเสนอแต่จะเป็นคนที่นั่งข้างๆแทนนั่นคือ ใครที่นั่งข้างที่ว่างตรงนั้นให้ขึ้นมาบนเวที กับอีกคนคือคนที่นั่งถัด
ไป เอาน้องเฟิร์สกับคนที่นั่งข้างๆแล้วกัน”


ทันทีที่ประกาศออกไปเสียงคนที่โดนเรียกให้ขึ้นเวทีก็สะดุ้ง ปิติภัทรเอื้อมมือไปจับมือคนข้างๆแบบหลวมๆก่อนจะพาขึ้นไปบนเวที


   “ เราไม่กล้า” ปณิธานเอ่ยมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ


   “ เอาน่า มีฉันอยู่ทั้งคน”


ปณิธานส่งรอยยิ้มบางๆมาให้ เขาทั้งคู่พากันเดินขึ้นไปบนเวที ใครจะรู้ ว่ารอยยิ้มนั้นทำให้ใครบางคนสนใจมันขึ้นมา คนที่ขี้อายคนนั้น


“ น้องเฟิร์ส พี่ซื้อโจ๊กมาฝากลงมากินด้วยนะ” เสียงเรียกจากหน้าห้องทำให้ชายหนุ่มหลุดจากความทรงจำของตัวเอง


   “ ครับ” เขาตะโกนออกไปพร้อมกับรีบจัดการตัวเองจนเรียบร้อยอย่างรวดเร็วก่อนจะมาหยุดที่หน้ากระจก “ ไม่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะผิดหรือเปล่า แต่แกต้องสู้นะเว้ย เฟิร์ส” เขายิ้มให้กับตัวเองอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไป “ เบื่อหรือเปล่า” เขาเอ่ยทักทันทีที่เปิดประตูห้องน้ำ


   “ เบื่อแล้วทำอะไรได้” ยมทูติหนุ่มหันหน้ามองของคนที่ตนคุยด้วย


   “ ก็จะได้พาไปเที่ยวไง” ปิติภัทรยิ้มหวานส่งไปให้พร้อมกับปิดประตูลง “ รอเฟิร์สแต่งตัวก่อนนะ” เขาเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่แขวนไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า


   ตุ๊บ !


เสียงหนังสือในมือของปณิธานร่วงลงบนพื้น “  ถึงห้องนี้จะเป็นห้องมึงมึงก็ควรเกรงใจกันบ้างนะเว้ย”


   “ เกรงใจไรวะ…..อ้ากกกกกกกกก”  มือหน้าคว้าเสื้อที่อยู่ตรงหน้ามาปิดจุดยุทธศาสตร์ไว้ เขามองกลับไปที่ประตูห้องน้ำ ที่ผ้าของเขาถูกประตูหนีบค้างเติ่งไว้อยู่


   “ ชอบโชว์ก็ไม่บอก”


   “ แล้วจะดูไหมล่ะ” ทันทีที่ตั้งสติได้ ปิติภัทรก็เดินเข้ามาใกล้ขึ้น


   “ ไปไกลๆเลยมึงอย่ามาทำอะไรน่าเกลียด มีอยู่แค่นั้นยังจะโชว์”


   “ ปาร์คเห็นแล้วอย่างนี้ก็ไม่ เซอไพรส์เลยดิ แย่จังอุตส่าห์จะเก็บไว้วันอื่น”


   “ หุบปากไปเลยไป ไปแต่งตัวได้แล้ว”


   “ เขินเหรอ”


   “ มันอุบาท”


ปิติภัทรเดินอมยิ้มกลับไปใส่เสื้อผ้าจนเสร็จ เขาหยิบเสื้อยืดสีเทากับกางเกงยีนส์ขาสั้นมาใส่ก่อนจะเดินกลับมาหายมทูติหนุ่มที่นั่งหันหลังให้เขาอยู่


   “ จำได้ใช่มั้ยว่าวันนี้จะเป็นวันที่เฟิร์สเริ่มจีบปาร์ค”


   “ ถ้ามึงจะขอโทษเรื่องที่ปากหมาใส่กู กูว่าแค่พูดออกมากพอแล้ว ไม่ต้องมาทำแบบนี้เลยกูไม่ชอบ มึงคิดว่าการที่เราจะรัก
ใครสักคนเนี่ยมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ หรือว่ามึงรักใครสักคนได้โดยที่มึงจะไม่สนเลยเหรอว่าคนๆนั้นเป็นคนยังไง”


   “ เฟิร์สคิดว่าเฟิร์สรู้จักปาร์คดีพอ” เขาสบตาปณิธานที่กำลังมองกลับมา “ เฟิร์สอยากให้ปาร์ครู้ว่า สิ่งที่เฟิร์สทำต่อจากนี้เฟิร์สทำเพราะอยากทำไม่ได้อยากทำเพื่อเป็นการขอโทษอะไรทั้งนั้น”


   “ ทั้งๆที่เมื่อวานมึงยังปากหมาใส่กูอยู่เลยอย่างนั้นน่ะเหรอ” ปณิธานพูดขัด “ มึงจะให้กูเชื่อในสิ่งที่มึงพูดแล้วก็กำลังจะทำเนี่ยนะ มึงกินยาไม่เขย่าขวด หรือว่ายังเมาค้างอยู่วะ”


   “ เห้อ” ปิติภัทรถอนหายใจพร้อมกับเอื้อมมือไปวางบนบ่าของคนตรงหน้า “ ปาร์คจะคิดยังไงก็เรื่องของปาร์ค เพราะเฟิร์สเองก็เปลี่ยนความคิดปาร์คไปไม่ได้หรอก แต่เฟิร์สเชื่อว่าเฟิร์สจีบปาร์คติดแน่ๆ”


   “ เออช่างมันเหอะลงไปกินข้าวได้แล้วไป”


   “ เดี๋ยว เกือบลืมไปเลย” เขาหันไปที่กองหนังสือแล้วยกมือขึ้นมาวาดบนอากาศ “ ขอโทษนะพอดีเมื่อคืนต้องการความเป็นส่วนตัว”


   “ เจ้านาย ข้าคิดว่าเจ้านายจะลืมเราไปแล้วนะเนี่ย” เสียงทุ้มๆของเรย์บ่นขึ้นทันทีหลังจากถูกปลดออกจากการกักกันจากเจ้าของ


   “ เจ้านายทำไมไม่ช่วยข้าเลยล่ะ ข้าคิดว่าจะไม่ได้เจอเจ้านายอีกแล้ว” บลูลอยมาอยู่ข้างๆกับปณิธาน


   “ อย่ามาเวอร์น่า แค่เงียบไปไม่ถึงวันทำเป็นมาบ่น” ยมทูติหนุ่มตอบกลับพร้อมกับคว้าสมุดมาอยู่ในมือและทันทีที่สัมผัส แสงสีฟ้าก็เรืองรองออกมาจนสว่างไปทั่ว


   “ เจ้านายอย่าลืมว่าในหนึ่งวันมีคนตายมากกว่าที่เจ้านายคิดนะ” บลูเอ่ย


ปิติภัทรมองไปยังคนตรงหน้าที่ดูจะนิ่งไป “ เรย์ตอนนี้มีดวงวิญญาณของพวกเราหลุดไปกี่ดวง”


   “ สองครับนายท่าน เป็นเด็กโรงเรียนมัธยม อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ครับ ฆ่าตัวตาย”


   “ ดี ถ้าอย่างนั้นพาเราไปที่เกิดเหตุเลย” เขาสั่งก่อนจะหันไปหาคู่หู “ ขอโทษอีกครั้งนะที่ทำให้เดือดร้อนแบบนี้”


   “ รีบไปเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันการ”  ปณิธานตอบกลับพร้อมกับหันไปสั่งคู่หูตัวเอง “ตามไอ้เฟิร์สไป”


ทันทีที่เท้าของเขามาสัมผัสบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป ดวงตาสีฟ้าของปิติภัทรมองไปบริเวณรอบ ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงเรียนหญิงล้วน ใจกลางเมืองเชียงใหม่ นักเรียนในชุดกระโปรงสีแดงกำลังเดินเปลี่ยนย้ายคาบเรียนกันตามปกติ แต่สิ่งที่ผิดแผกไปคือ กลุ่มควันสีดำที่ลอยเหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ตาเปล่าของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้


   “ ระวังตัวนะ ยมทูติสีดำมันอยู่ที่นี่”

หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 5.3.19 บทที่ 4 SORRY , บทที่ 5 NEW FRIEND
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 05-03-2019 01:47:51
ต่อ



ทั้งสองพากันเดินฝ่าฝูงคนเพื่อเดินขึ้นไปบนตึกเรียน เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมีร่างหนึ่งลองลงมาจากชั้นห้าของตึกที่พวกเขากำลังจะวิ่งขึ้นไป เสียงกรีดร้องดังไปทั่วบริเวณ หยดเลือดสีแดงแตกกระจายเป็นวงกว้าง บางส่วนไหลลงมาตามเสาธง


เมื่อแหงนมองขึ้นไปจะพบว่า ร่างของหญิงสาวเสียบคาลงมาบนเสาธงกว่าครึ่งเสา ด้วยน้ำหนักตัวที่มากร่างนั้นยังคงเคลื่อนที่ช้าๆลงมาตามแรงดึงดูดของโลก เลือดสีแดงฉานไหลออกมาตามปาก ดวงตาของหล่อนเบิกโพลง ไขมันสีเหลืองทะลักออกมาพพร้อมกับไส้ที่ห้อยลงมาตามตัว โทรศัพท์ที่ห้อยอยู่ที่คอ แสดงให้เห็นรูปกลุ่มเพื่อนที่ถ่ายกันตอนไปเที่ยวทะเล


   “ เด็กคนนี้ไม่ได้อยู่ในบัญชีของเรา” ปิติภัทรเอ่ยก่อนจะคว้ามือของคู่หูของตนวิ่งเข้าตึกไปอีกครั้งเพราพื้นที่ในแถบนี้เป็นเขตของพวกเขาหากมีคนตายมันต้องแจ้งผ่านสมุด “ เฟิร์สว่ามันไม่ปกติแล้วล่ะ”


   “ เมื่อวานก็ทูน่ากับยัยเมย์ วันนี้เป็นยังจะเป็นจ๋าอีก กลุ่มนี้มันจะตายกันทั้งกลุ่มเลยหรือยังไงนะ”


   “ ยังแก เหลือยัยเบนอีกคนนึง ถ้าฉันเป็นยัยนั่นนะ ฉันคงไม่กล้ามาโรงเรียนหรือกล้าออกจากบ้านเลยล่ะ”


เสียงของหญิงสาวที่เดินสวนมาทำให้ปิติภัทรถึงกับชะงักเพราะว่าการตายของเพื่อนในกลุ่มเรียงกันแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ


   เป็นยมทูติสีดำแน่


ทั้งคู่ต่างช่วยกันหาดวงวิญญาณทั้งสองดวงที่หายไปแต่ดูเหมือนว่าไม่มีทีท่าที่จะเจอเลยแม้แต่น้อย “ เอาไงดีวะ ถ้าหาไม่เจอตอนนี้เราต้องแย่แน่”


   “ ไม่แย่หรอก ใจเย็น” ปิติภัทรปลอบ “ เฟิร์สคิดออกแล้ว เราไปตามดวงวิญญาณของเด็กที่เพิ่งตายวันนี้ดีกว่า ถ้าเรื่องนี้เป็นฝีมือของยมทูติสีดำจริง มันต้องมาเอาวิญญาณของเด็กผู้หญิงคนนั้นแน่ เราแค่ตามไป เราก็จะได้เจอดวงวิญญาณอีกสองดวงดีไม่ดีอาจเจอกับเด็กที่เหลือรอดอีกคนแน่ๆ”


เป็นไปตามที่คาด ไม่มีดวงวิญญาณ เสียงดวงวิญญาณที่เสียบตายที่เสาธงส่งเสียงร้องอย่างทรมาน โดยปกติแล้วการดูดกลืนวิญญาณนั้นดวงวิญญาณต้องออกจากร่างเป็นเวลาเจ็ดวันเพราะเป็นเวลาที่ดวงวิญญาณจะตัดขาดกับร่างได้อย่างแท้จริง


ภาพตรงหน้าตอนนี้คือ เงามืดภายใต้ผ้าคลุมสีดำกำลังฉุดกระชากร่างท้วมให้เดินตามไปอย่างทุลักทุเล เครื่องในที่ยังคงสภาพการตายของหญิงสาวลอกยาวไปตามพื้น ขาของเธอกึ่งยืนกึ่งนั่งโดนลากไปด้วยเชือกสีดำที่ผูกติดกับคอ ผู้ที่เป็นลากไม่หันมามอง เดินไปข้างหน้าโดยไม่คิดจะหันมามองคนที่อยู่ด้านหลังเลยแม้แต่น้อย


ปิติภัทรจับมือของปณิธานให้เดินตามตนไปอย่างช้าๆ ยิ่งพวกเขาใกล้ยมทูติสีดำมากเท่าไหร่ความอันตรายยิ่งใกล้เข้ามาเท่านั้น เสียงของดวงวิญญาณที่ถูกฉุดกระชากตรงหน้า ยิ่งทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ลง มือของปณิธานบีบมือของคู่หูตนจนแน่น


   “ ไม่ต้องกลัวหรอก”  เขาบีบมือกลับในขณะที่มองไปตรงหน้าอย่างมาละสายตาไปจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเลย เพราะว่ายมทูติสีดำเป็นสิ่งไม่มีชีวิตชั้นต่ำและมีพลังอำนาจค่อนข้างสูง



สุดปลายทางเชื่อมบันไดก่อนที่จะไปถึงชั้นสุดท้าย โซ่เหล็กที่แขวนป้าย ‘ ห้ามเข้า’  ก็กันขวางเอาไว้ ร่างของยมทูติสีดำเดินผ่านมันไปอย่างไม่ใยดี ปิติภัทร หันกลับมามองคนที่อยู่ด้านหลังครู่หนึ่งก่อนจะข้ามผ่านสิ่งกีดขวางมา


ชั้นเจ็ดของตึกแห่งนี้ไม่ผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานาน สภาพพื้นเต็มไปด้วยเศษฝุ่นที่จับตัวกันเป็นชั้นเพดานเต็มไปด้วยหยากไย่และรังนก  โต๊ะและเก้าอีใหม่รุ่นเก่าเกินใช้งานเรียงรายซ้อนกันจนเต็มโถงทางเดิน แต่ดูเหมือนว่าไม่อาจหยุดยมทูติดำได้เลยแม้แต่น้อย


เสียงของนกกลางคืนและเสียงร้องโหยหวนของดวงวิญญาณที่กำลังทรมานสร้างความหดหู่ของคนที่เคยทำงานแบบนี้ได้ไม่กี่ครั้ง ยิ่งเข้าใกล้เสียงโหยหวนของดวงวิญญาณที่ไม่ได้มีแค่หนึ่ง มือที่จับอยู่กับคู่หูของเขาก็ยิ่งบีบแน่นไปทุกที


ทั้งคู่พากันเดินตามจนกระทั่งมาจนสุดทางเดิน กระจกที่เคยกั้นระหว่างระเบียงเป็นรอยแตก เศษเสื้อเปื้อนเลือดยังคงติดอยู่ที่ปลายกระจกแหลมคม เป็นเหมือนการบอกว่าจุดนี้เคยผ่านอะไรมาก่อน ตรงกันข้ามของช่องนั้นคือประตูห้องเก่าๆขึ้นสนิม ปิดอยู่ ยมทูติสีดำเปิดอ้ามันออกเผยให้คนที่แอบตามมาเห็น หญิงสาวสองคนที่กำลังนั่งร้องไห้ และกุมแผลตอนที่ตัวเองตายอยู่


จุดมุมอับของห้องห้องมีเด็กผู้หญิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือส่องเข้าหาใบหน้า แววตาของเธอดูเลื่อนลอยและบอบช้ำอย่างหนักจากการร้องไห้ แต่ริมฝีปากของเธอกลับไม่ได้เศร้าไปกับดวงตานั้นเลย มุมปากของเธอยกสูงฉีกยิ้มอย่างมีความสุขเสียเหลือเกิน


คนในผ้าหลุมสีดำเหวี่ยงร่างท้วมลงไปนอนกองรวมกับดวงวิญญาณสองดวงที่พื้น เสียงร้องโหยหวนที่ทรมานตอนนี้กลับกลายเป็นเสียงแห่งความห่วงหา หญิงสาวในชุดนักเรียนที่ผูกโบว์สีชมพู ละความสนใจจากรอยกรีดยาวลึกที่ข้อมือของตนเองมาสนใจคนที่มาใหม่


   “ จ๋า นี่แกตายแล้วอย่างนั้นเหรอ ไม่น่าเลย เราไม่น่าเลย”


   “ นี่พวกแกทำไมยังอยู่ที่นี่ พวกแก ฉันกลัว ฉันกลัว ทำยังไงดี” ดวงวิญญาณของจ๋า เขย่าร่างของทูน่าจนข้อมือที่เกือบขาดสั่นไหวเพราะมันไม่มีเอ็นยึดอีกแล้ว


   “ แกหยุดก่อนได้ไหม” เบนที่พยายามประคองร่างที่บิดเบี้ยวไม่ได้รูปจากการกระโดดจากชั้นนี้ลงไปกระแทกกับพื้น มาหาคนมาใหม่ “ แกต้องตั้งสตินะ ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้”


   “ แล้วเบนล่ะ” เพื่อนทั้งสองคนเงียบหลังจากผู้มาใหม่ถามก่อนจะชี้ไปยังจุดที่เพื่อนของเธอนั่งอยู่ “ เบน เธอได้ยินพวกฉันหรือเปล่า”


เด็กสาวไม่ตอบอะไร มีเพียงเสียงหัวเราะที่ดังเบาๆมาตามสายลมเป็นคำตอบเท่านั้น คนในชุดผ้าคลุมเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับสัมผัสที่เส้นผมแล้วลูบไปมาอย่างเบามือ


   “ มันกำลังจะจบลงแล้วนะ เพื่อนของเธอ กำลังจะได้ชดใช้ในสิ่งที่ควรทำแล้ว”



สามวันก่อนเกิดเรื่อง



เสียงผู้คนโหวกเหวกโวยวายทันที่ที่หญิงสาวที่สวมแว่นหนา เดินก้าวเข้ามาในห้อง สายตาของเด็กนับสี่สิบคนจับจ้องมาที่เธอเป็นสายตาเดียว เว้นแต่กลุ่มเพื่อนของเธอที่กำลังนั่งก้มหน้าไม่ยอมขึ้นมาสบตา


   “ เกิดอะไรขึ้นวะทำไมมีแต่คนมองฉันแบบนี้” เมย์ถามพร้อมทั้งทิ้งตัวนั่งลงด้านข้างทูน่าที่กำลังพยายามหลบสายตา “ บอกหน่อยเร็ว โทรศัพท์ฉันหาย ฉันตามข่าวไม่ทันแล้วเนี่ย”


   “ พวกฉันขอโทษ” ทูน่าเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะลุกย้ายไปนั่งรวมกับเพื่อนด้านหน้าอีกสองคน


   “ ขอโทษเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ”  เธอเอื้อมมือไปเขย่าเพื่อนที่นั่งตรงหน้า “ ถ้าพวกแกไม่บอกฉันจะเดินไปถามคนอื่นนะว่าเกิดอะไรขึ้น”


   “ ไม่ต้อง” เมย์เอ่ย “ แกจำคลิปของแกที่พวกฉันถ่ายตอนไปเที่ยวได้หรือเปล่าวะ คลิปตอนอาบน้ำน่ะ”



   “ จำได้ อย่าบอกนะว่า” เบนตบโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วมองเพื่อนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ ไหนพวกแกบอกว่าลบไปหมดตั้งแต่วันนั้นแล้วไง”


   “ พอดีโทรศัพท์ฉันเสียแล้วเอาไปซ่อมที่ร้าน ฉันไม่รู้จริงๆนะว่าร้านมันเอาออกไปได้ยังไง แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ พวกฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ “จ๋าร้องไห้ออกมา


   “ พวกแกทำแบบนี้กับฉันได้ยังไงฮะ เราเป็นเพื่อนกันนะ พวกแกคือคนที่ฉันรักและไว้ใจมากที่สุด เลยนะ”


   “ ขอเชิญนางสาว ชนัญญาพร งานดี ชั้นมอสี่ทับหก มาพบคุณครูที่ห้องปกครองในเวลานี้ด้วยค่ะ”
หลังจากวันนั้น ไม่มีใครได้พบกับหญิงสาวอีกเลยจนกระทั่งมีคนตายวันแรก


วันเกิดเรื่อง


แสงยามเย็นคล้อยจากสีส้มสว่างหลายเป็นสีแดงคล้ายกับสีของเลือด เป็นเหมือนลางร้ายว่าจะมีใครบางคนกำลังต้องจบชีวิตลง
เสียงโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดดังมาจากกระโปรงสีแดงของหญิงสาวที่กำลังจะเดินขึ้นไปเอาของที่ตนลืมไว้ที่ห้องเรียน หล่อนล้วงลงไปหยิบก่อนจะเลื่อนรับมันอย่างรวดเร็วเพราะคนที่โทรมาคือเพื่อนของเธอที่ขาดการติดต่อไปสามวัน


   “ เบน แกเป็นยังไงบ้าง  แกหายหน้าหายตาไปอย่างนี้ฉันใจคอไม่ดีเลยนะเว้ย” ทูน่ารับสายแล้วตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว


   “ แกขึ้นมาหาฉันที่ชั้นเจ็ดหน่อยได้หรือเปล่า”
“ แล้วขึ้นไปทำอะไรบนนั้น”


“ ฉันไม่อยากเจอใคร แกขึ้นมาหาฉันทีนะ” สิ้นเสียงของเธอสัญญาณก็ตัดหายไปทันที หญิงสาวพยายามกดอยู่หลายครั้ง ก็ไม่

สามารถที่จะโทรติดได้ จึงตัดสินใจวิ่งขึ้นไปที่ชั้นเจ็ดและใครจะรู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิด


ทันทีที่ขาก้าวขึ้นมาที่ชั้นเจ็ด อากาศเย็นๆก็เข้ามาสัมผัสผิวทั้งๆที่อากาศด้านนอกจะแสนอบอ้าว เสียงนกพิราบที่ร้องเป็นปกติกลับสร้างความน่ากลัวให้กับผู้มาเยือน เสียงฝีเท้าที่ย่ำไปโดนเศษกระดาษและเศษข้าวของที่กระจายบนพื้นดังก้องไปทั่วทั้งชั้น


   “ เบน แกอยู่ไหนน่ะ” เธอตัดสินใจตะโกนออกไป มันดังก้องไปทั่วทั้งชั้นและทำให้นกพิราบที่นอนอยู่ในรังบินว่อนโฉบเฉี่ยวไปจนทั่ว ยิ่งเธอเดินเข้าไปบรรดานกก็ยิ่งแตกรัง การมองเห็นที่เคยปกติค่อยๆหายไป


   “ ว้าย” เธอร้องเสียงหลงหลังจากเท้าของตนเหยียบเขากับขวดสเปรย์ที่กลิ้งออกมาจากกองขยะจน หล่อนล้มลงกับพื้น กองโต๊ะ ที่ตั้งขึ้นไปสูงล้มลงมาทับราวกับว่ามันถูกจัดวางมา เศษกระจกที่แหลมคมที่ไม่ควรมีอยู่ในนั้นก็วางเรียงรายยึดติดกับขอบโต๊ะเป็นซี่แหลมสี่ห้าซี่ราวกับว่า มันถูกจัดฉากรอให้ใครบางคนมาสัมผัส มันปักลงบนกลางข้อมือของหญิงสาว เสียงกรีดร้องจากใต้กองโต๊ะเหล่านั้นดังสุดเสียง


   “ แกเป็นไงบ้าง” เสียงของเบนดังอยู่ที่ข้างใบหูพร้อมกับแรงกดจากรองเท้าที่กดลงบนเศษกระจกซึ่งทำให้เลือดที่ไหลช้าๆ กลายเป็นไหลออกมาอยากรวดเร็วเมื่อมันตัดผ่านเส้นเลือดใหญ่ คนที่อยู่ใต้กองโต๊ะได้แต่มอง รอยยิ้มของเพื่อนสนิทผ่านช่องเศษไม้ของโต๊ะ และทุกอย่างก็ดับมืด


อีกฝั่งของตึก หญิงสาวในชุดกระโปงสีแดงกำลังร้อนลนกับการยืนรอเพื่อนที่หายเข้าไปในตึกเป็นเวลานาน เธอเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ


   “ ทำไมนานอย่างนี้วะ” เธอบ่นก่อนจะตัดสินใจวิ่งตามกลับขึ้นไปบนตึกซึ่งห้องประจำของพวกเธออยู่ที่ชั้นหกของตึกเรียน ในมือของเธอถือโทรศัพท์ที่กำลังพยายามโทรติดต่อคนที่หายไปแต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งร่างบางวิ่งมาจนถึงชั้นหก “ ถ้าจับได้ว่าหลอกให้ฉันวิ่งขึ้นมานะ ฉันเอาแกตายแน่” หล่อนบ่นก่อนจะเดินเลี้ยวผ่านบันไดของชั้นหกไปที่โถงทางเดิน ในมือเองก็พยายามกดหาแต่ปลายสายไม่มีใครกดรับ


   “ ทูน่า แกอยู่ไหนของแกน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะกลับแล้วฉันไม่สนุกเลยนะ” เมย์ร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เธอเดินย้อนกลับไปตรงบันไดตรงหน้าคือ ที่คาดผมสีชมพูของเพื่อนสนิทที่วางอยู่บันไดที่เชื่อมขึ้นไปบนชั้นเจ็ด


ขาของเธอสั่นอย่าห้ามไม่ได้ แต่ความเป็นห่วงเพื่อนกลับเอาชนะความกลัวได้ เมื่อเธอมาถึงก็พบว่า ที่ปลายโถงทางเดินมีใครบางคนในชุดนักเรียนยืนอยู่ข้างกองโต๊ะที่ล้มคว่ำระเนระนาด “ ทูน่านั่นแกหรือเปล่า” เธอพยายามเพ่งมองเพราะตอนนี้แสงด้านนอกเริ่มลดลงไปทุกที  เธอยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจับแน่นไว้ในมือ พร้อมกับกดโทรออกหา เพื่อนสนิทอีกคน


‘จ๋า’


“ แย่จังเลยนะ ฉันหายไปแค่สามวันก็จำหน้ากันไม่ได้เสียแล้ว” เสียงเอื่อยเฉื่อยที่แสนคุ้นหูดังลอยมาตามสายลม


“ เบนเหรอ” เธอเอ่ยออกมาด้วยความดีใจก่อนจะวิ่งเข้าไปหาเพื่อนสนิทอย่างไม่คิดชีวิต “ แหมไอ้ทูน่าคิดจะแกล้งกันให้มาเจอแกก็ไม่บอก มันอยู่ไหนเนี่ย” เธอกดตัดสายที่โทรออกไปเมื่อครู่และทำการโทรใหม่


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นไม่ไกล จากจุดที่ยืนนัก เมย์หันไปมองรอบๆตัวและที่พื้นจนเห็นว่าโทรศัพท์มือถือของเพื่อนเธอดังมาจากด้านในกองนั้น และมือข้างที่จับโทรศัพท์ก็แทงทะลุด้วยกระจุกจนไม่มีชิ้นดี เลือดสีแดงฉานค่อยๆไหลผ่านซากโต๊ะนั้นออกมาที่เท้า ของเธอ    


   “ นี่แกทำอะไรน่ะ” เธอถามกลับไปยังเพื่อนสนิทที่อยู่ตรงหน้า


หญิงสาวแสยะยิ้มกลับมาหาเธอเป็นคำตอบแทนและใครจะรู้ว่า รอยยิ้มนั้นจะเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่ได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายของตัวเองในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่


สิ้นเสียงของกระจกจากชั้นที่เจ็ด ร่างของหญิงสาวก็ร่วงลงมากระแทกพื้นจนเลือดกระจาไปทั่วบริเวณ กระดูที่เคยอยู่ด้านในแทงทะลุออกมานอกผิวขาวอย่างไม่เป็นรูปทรง



“ มันจะจบแล้ว” หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องเอ่ย พร้อมกับลุกยืนขึ้นมาจากเก้าอี้ที่เคยนั่งมายังเพื่อนที่รวมกลุ่มกันอยู่ใจกลางห้อง


   “ แกจะทำอะไร พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ ทำไมแกต้องทำแบบนี้ด้วย” ทูน่าพูดพร้อมกับหลบสายตาเพื่อนด้วยความหวาดกลัว


   “ เพื่อนเหรอ แกกล้าใช้คำนี้กับฉันอย่างนั้นเหรอ สิ่งที่พวกแกทำมันไม่เห็นว่าฉันเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ พวกแกควรลบคลิปบ้านั่นไปตั้งแต่แรก แกเก็บมันไว้ทำไม เก็บมันไว้ทำไม”


   “ หยุดบ้าซะทีเถอะ คลิปนั่นมันไม่ได้หลุดจากพวกเรา มันหลุดมาจากมือถือของแกเอง เมื่อวานฉันไปให้คนช่วยสืบมา คลิปที่
หลุดมาเป็นคลิปที่มาจากมือถือของแก มือถือแกหายไม่ใช่หรือไง” จ๋าตะวาดกลับ


   “ ไม่จริงหรอก วันนั้นเพื่อนของเธอเป็นคนบอกไม่ใช่หรือว่าคลิปนั่นหลุดจากเครื่องของเธอน่ะ” คนใต้ผ้าคลุมสีดำโอบร่างบางที่กำลังตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวและสับสนเอาไว้ “ คนพวกนี้มันไม่ควรค่าแก่คำว่าเพื่อนหรอกนะ”


ทั้งห้องเงียบและเย็นไปหมด เสียงร้องไห้สะอื้นของเพื่อนทั้งสามที่จ้องมองเพื่อนสนิทของตนอย่างผิดหวัง คนที่ถูกจ้องหลบสายตาพร้อมกับน้ำใสๆที่ออกมาจากแก้ม


   “ พอได้แล้ว พวกเราไปทำอะไรให้แกฮะ” ทูน่าตะวาดขึ้น


แววตาแดงฉานจ้องมองผ่านผ้าคลุมออกมาทำให้ทุกอยากเงียบลงอีกครั้งทำให้ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นจากหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของยมทูติสีดำเท่านั้น


   “ ฉันไม่น่าเลย” เบนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ ฉันไม่น่าอ่อนแอแบบนี้เลย ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เธอทิ้งตัวลงบนพื้นและคลานเข้าไปหาเพื่อนทั้งสามที่จ้องมอง “ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ พวกแกต้องมาตายเพราะความอ่อนแอของฉัน”
   “ หยุด” เสียงภายใต้ผ้าคลุมสีดำตะโกนสั่งเบนเงียบลงอีกครั้งราวกับว่าโดนมนต์สะกด “ เธอคิดดูดีๆสิสาวน้อย ถ้าเธออ่อนแอ

เธอก็จะกลายเป็นผู้แพ้ กลายเป็นคนที่สังคมตีตราว่าเป็นพวกชอบอวดเนื้อหนัง พ่อแม่ของเธอล่ะจะรับได้หรือเปล่า ลายนิ้วมือของเธอเต็มไปหมดเลยนะ เธอฆ่าคนตายแล้วนะ”


   “ เบน อย่าให้มันครอบงำแกเลยนะ พวกฉันไม่โกรธแกหรอก ฉันรู้ว่าแกไม่ได้เป็นคนตั้งใจฆ่าพวกเรา” เมย์ตะโกนออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้น “ แกต้องเข้มแข็งนะ”


   “ หุบปาก” ยมทูติสีดำใช้เท้าถีบไปที่ร่างของหญิงสาวจะกระเด็น


   “ แกทำเพื่อนฉัน” เบนที่นั่งอยู่กับพื้นพูดขึ้น “ แก แก แกมันเลวที่สุด”


   “ สำนึกตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้วล่ะ ในเมื่อทุกอย่างมันมาจากแก คนที่มีชีวิตอยู่อย่างแกมันไม่มีทางเลือกมากนกหรอก แกมันหมดอนาคตแล้ว ต่อให้แกหลุดพ้นจากตรงนี้ไปได้ แกจะยอมติดคุกเหรอ โดนสังคมประณามเหรอ แกทนได้เหรอ แรงกดดันพวกนั้นน่ะ และในเมื่อฉันเป็นคนช่วยแกมาตั้งแต่แรก ฉันจะช่วยแกต่อเอง” เชือกที่แขวนอยู่บนเพดานค่อยๆหย่อนลงมา “ แค่แกจบเรื่องนี้ทุกอย่างก็จะจบ”



อีกฝั่งของประตูที่มียมทูติของทั้งสองกำลังจับตามองดูอยู่ มือของยมทูติฝึกหัดสั่นด้วยความโกรธกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความกลัวที่เคยมีหายจนหมดสิ้น คนบริสุทธิ์ กำลังจะต้องตายเพิ่มอีกคน


   “ ทำไมเราไม่ออกไปช่วยน้องเขาวะ”


   “ เรามีหน้าที่แค่ตามเก็บดวงวิญญาณที่เหลือมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา” ปิติภัทรตอบพร้อมกับจ้องไปที่เหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา


   “ แต่กูทนไม่ไหวแล้ว” ปณิธานสะบัดมือออกจากคู่หูของตัวเองและพุ่งเข้าไปในห้อง “ หยุดได้แล้ว และปลดปล่อยดวงวิญญาณพวกนี้ซะ”


รอบตัวของเขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงหัวเราะของยมทูติสีดำจะดังขึ้น “ แกนี่กล้ามากเลยนะ คงเป็นยมทูติใหม่ล่ะสิ เอาสิ อยากช่วยก็เข้ามาเอา” มือหนายื่นมีไปที่ร่างหญิงสาวตรงหน้าแล้วกระชากแยกดวงวิญญาณกับร่างออกมา “ แกมีเวลาสามสิบนาที เท่านั้นที่จะช่วยนางนี่ จริงๆฉันไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะเพราะฉันจะไม่ได้เวลาชีวิตของนางนี่”


   “ แกมันชั่วที่สุด”


   ปณิธานพุ่งเข้าไปหาร่างในผ้าคลุมก่อนที่จะโดนเตะจนล้มลงไปกองกับพื้น ในห้องตอนนี้วุ่นวายไปหมด เสียงวิญญาณทั้งสามตนโห่ร้องเชียร์เพื่อหวังว่าทุกอย่างจะจบลง เสียงที่ส่งกำลังใจเงียบลงเมื่อร่างของปณิธานล้มลงตรงหน้า


   “ แกมันไก่อ่อน” แสงสีดำเหนือมือถูกสร้างขึ้นเป็นก้อนกลม “ ตายไปเถอะ จะได้จบ”


   “ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก” ปิติภัทรเหวี่ยงโซ่เส้นสีน้ำเงินไปใส่ข้อมือ และทันทีที่มันรัดรอยสีแดงฉานก็ปรากฏขึ้นอย่าง

ชัดเจน “ แกก็ไก่อ่อนไม่แพ้กันหรอก” เขาหัวเราะก่อนจะสะบัดโซ่นั้นจนร่างยมทูติสีดำกระเด็นไปไกล


   “ ขอบใจนะ” ปณิธานที่ถูกประคองพูด “ คิดว่าจะไม่ช่วยซะแล้ว


   “ พี่คะระวัง” ทูน่าตะโกนขึ้นเมื่อก้อนพลังงานสีดำพุ่งตรงมาทางที่ทั้งสองยืนอยู่


   “ ฉันจัดการเอง” ปิติภัทรพูดพร้อมกับผลักคู่หูของตนหลบให้พ้นทาง “ ไปช่วยดวงวิญญาณทั้งสามก่อน” เขาสั่งก่อนจะฟาดโซ่ไปทางยมทูติสีดำแต่คงช้าไปเพราะก้อนพลังงานสีดำกลับพุ่งมาโดนเขาก่อน
ภายในห้องเต็มไปด้วยความวุ่นวายจากโซ่สีน้ำเงินและก้อนพลังงานสีดำจากชายภายใต้เสื้อคลุม ปณิธานช่วยดวงวิญญาณทั้งสามออกไปจากห้อง


   “ น้องรอตรงนี้นะ ขอโทษด้วยนะ” เข้าใช้โซ่สีน้ำเงินมันรวมดวงวิญญาณทั้งสามติดไว้ที่โต๊ะก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในห้อง “ระวัง” เขาตะโกนก่อนที่ร่างของคู่หูจะกระเด็นมาตรงหน้า


ปิติภัทรวิ่งไปคว้าโซ่ที่ผูกมัดรอบลำตัวของยมทูติสีดำแล้วกระชากคนที่กำลังหลบหนีให้เข้ามาประชันหน้า แรงต้านจากอากาศทำให้ผ้าคลุมที่ยึดติดอยู่กับใบหน้าเปิดออก



ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั่นทำให้ตัวของปณิธานชาไปทั้งตัว ความรู้สึกหวาดกลัวกลับเข้ามาแทนที่ความกล้าหาญ ความเจ็บปวดที่เคยรู้สึกกลับเข้ามาอีกครั้ง


   “ พ่อ” นั่นคือคำพูดเดียวที่เอ่ยออกมาก่อนที่ยมทูติสีดำจะผลักเขาให้ล้มลง แล้วพุ่งหนีไปจากหน้าต่าง


   “ เป็นอะไรหรือเปล่า” ปิติภัทรเดินเข้ามาประคองร่างของปณิธานไว้ “ เราไปกันเถอะ ส่วนน้องกลับเข้าร่างได้แล้ว” เขาหันไปสั่งดวงวิญญาณของหญิงสาวที่หลบอยู่มุมห้องก่อนจะเดินออกไป ด้านนอกที่ดวงวิญญาณทั้งสามนั่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “ ไปได้เวลาของพวกเธอแล้ว”


   “ พี่คะ หนูขอลาเพื่อนก่อนได้ไหมคะ”


   “ ไป” ดวงวิญญาณทั้งสามเดินกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับโซ่ที่ผูกติดอยู่ “ ให้เวลาไม่นานนะ เดี๋ยวออกไปรอข้างนอก”
สิ้นคำยมทูติทั้งคู่หูก็เดินออกไปข้างนอก ทิ้งไว้เพียงดวงวิญญาณทั้งสี่ตนที่กำลังกอดกันอยู่


   “ ไม่คิดเลยนะว่าเราจะได้ทำตามสัญญากันจริงๆ” ทูน่าเอ่ย


   “ สัญญาไรวะ” เมย์เอ่ยออกมาทั้งน้ำตา


   “ สัญญาที่เราจะเป็นเพื่อนกันจนวันตายไง นี่เราตายแล้วไงยังเป็นเพื่อนกันอีก” ทูน่าพูดออกมาทั้งน้ำตา


   “ ฉันขอโทษพวกแกนะ ขอโทษจริงๆ” เบนร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ เดี๋ยวฉันก็ไปชดใช้กรรมแล้ว ฉันก็จะติดคุกแล้ว”


   “ ไม่หรอก พวกฉันฆ่าตัวตายกันเอง ตำรวจก็ว่าอย่างนั้น แกไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องสำนึกผิดด้วย คนที่ผิดจริงๆคือไอ้คนที่ควบคุมแกมากกว่า” จ๋าลูบหัวเพื่อนสาวเบาๆ “ แกกลับเข้าร่างได้แล้วเร็ว แล้วอย่าลืมทำบุญเบค่อนมาให้ฉันนะ”
พูดจบดวงวิญญาณของหญิงสาวก็หายวับไป เพื่อนทั้งสามที่ตัดขาดจากร่างจริงไปนานแล้วหันกลับไปหาคนนำทางไปหาคนนำทางไปหาโลกหลังความตายของเธอ


   “ พร้อมแล้วค่ะ” ทั้งสามเอ่ย “ เราขอไปพร้อมกันนะคะ”


   “ ถึงเธอจะไม่ใช่ดวงวิญญาณของฉันแต่ก็ไปกับฉันก่อนก็ได้” ปิติภัทรเอ่ย “ เรย์ เปิดทางไปโลกหลังความตาย”
สิ้นคำสั่งประตูก็เปิดขึ้น ทั้งหมดก้าวข้ามผ่านโลกแห่งคนเป็นมาสู่โลกแห่งความตายอย่างว่าง่าย ทิ้งไว้เพียงร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่บนกองฝุ่น ที่รอการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีค่าที่สุด
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 5.3.19 บทที่ 4 SORRY , บทที่ 5 NEW FRIEND
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 05-03-2019 01:54:32
5
NEW FRIEND

“ เหนื่อยเป็นบ้า” ปิติภัทรพูพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง หลังกลับมาจากโลกหลังความตาย แต่ความอ่อนล้านั้นก็ไม่สามารถทำให้การข่มตาของเขาง่ายขึ้นเลยเพราะคู่หูของเขาเงียบลงตั้งแต่ตอนพาดวงวิญญาณทั้งสามไปยังโลกหลังความตายแล้ว


ในห้องสี่เหลี่ยมเต็มไปด้วยความเงียบ สายตาของคนที่นอนอยู่บนเตียงมองฝ่าความมืดไปยังคนนั่งอยู่ตรงโต๊ะอ่านหนังสือที่นั่งตัวสั่นพร้อมกับพยายามกดเสียงร้องไห้ของตัวเองไว้


ปิติภัทรมองอยู่นานสองนานแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรดีขึ้น เขาค่อยๆขยับตัวเองเบาๆก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปสวมกอดคู่หูของตนอย่างแผ่วเบาจากด้านหลัง


   “ มึงทำอะไรของมึงเนี่ย” คนที่ถูกสวมกอดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยายามที่จะแกะแขนที่กอดเขาอยู่ออก “ ปล่อยกู” เหมือนคำสั่งจะไม่ได้ผล เพราะยิ่งเขาพยายามที่จะขัดขืน กอดนั้นก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นไปทุกที “ ปล่อยกูอึดอัด มึงทำไรเนี่ย เอาหน้าออกไปด้วย” เมื่อมือแกะไม่ออกเขาจึงใช้มือผลักใบหน้าที่มาเกยอยู่บนไหล่เขาออกไปให้พ้น


   “ ไม่ออก ขออยู่อย่างนี้แหละ สบายดี” เขาตอบพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างไปให้คู่หูของตน


   “ ปล่อย กูเริ่มอารมณ์เสียแล้วนะ” เขาขึ้นเสียง


   “ ดีสิ อารมณ์เสียก็ยังดีกว่าอารมณ์เศร้าแหละวะ” ปิติภัทรตอบ


   “ มึงรู้ได้ไงว่ากูเศร้า มึงยังไม่หลับเหรอ”


   “ เฟิร์สจะหลับลงได้ยังไงล่ะครับ เล่นมานั่งร้องไห้อยู่แบบนี้ นึกว่ามีวิญญาณตนไหนตามกลับมาจากโลกหลังความตาย” เขาตอบพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างไปให้


    “ ขอโทษแล้วกันที่ทำให้นอนไม่หลับ กูคงเสียงดังล่ะสิ”  เสียงที่เคยแข็งกลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “ มึงไปนอนเถอะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”


   “ เฟิร์สไม่ได้รำคาน เฟิร์สเป็นห่วง ปกติแล้วปาร์คไม่ค่อยเป็นแบบนี้เลย เป็นไรเหรอหรือว่า” เฟิร์สนิ่งไปสักพักก่อนจะนึกขึ้นได้ “ เออใช่ เฟิร์สได้ยินปาร์คเรียกยมทูติสีดำนั่นว่าพ่อ”


   “ ช่างมันเถอะ”


   “ นี่ใช่หรือเปล่าที่ทำให้ปาร์คกลับมานั่งร้องไห้แบบนี้” เข้าคลายแขนเพื่อให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดผ่อนคลาย “ ถ้าใช่อย่าคิดมากเลย บางครั้งยมทูติสีดำมันอาจจะหลอกโดยใช้จิตใต้สำนึกของปาร์คมาเป็นตัวล่อก็ได้นะ”


   “ แต่นั่นไม่ใช่พลังของยมทูติสีดำ” บลูที่วางอยู่บนชั้นหนังสือแทรกขึ้น


   “ หุบปากไปเลย” เขาใช้มือวาดบนอากาศ เสียงของบลูเงียบลงไปในทันที


   “ มึงไม่ต้องมาปลอบหลอก คนคนนั้น เขาไม่เคยมีความดีอะไรสักอย่าง เหมาะสมแล้วที่จะตายไปแล้วกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เลวร้ายที่สุด กูแค่ กูแค่เสียใจว่าทำไมกูยังไม่หลุดพ้นจากเขาสักที ทำไม ทำไมวะเขาจะต้องกลับมาในช่วงเวลาที่กูกำลังจะเข้มแข็ง ทำไมเขาต้องมาเจอกับกูอีกทั้งๆที่วันนั้น เขาทิ้งกูไปโดยที่ไม่ลาเลยด้วยซ้ำ” หยดน้ำตาไหลออกมาเป็นสายอย่างไม่อาจกลั้นมันไว้ได้อีกแล้ว เสียงสะอื้นดังไปทั่วห้อง ปิติภัทรได้แต่กอดเขาไว้และลูบหัวเบาๆ ไม่มีคำพูดใดๆออกมา เพราะเขาคิดว่าคนตรงหน้าแบกอะไรมามากพอแล้ว เขาควรได้รับการระบายบ้าง


แสงสว่างของวันใหม่ลอดผ่านม่านเข้ามา ปณิธานประคองคนที่ฟุบนอนหลับไปกับโต๊ะกลับมาที่เตียงนอน ปิติภัทรหลับไปด้วยความอ่อนเพลียเมื่อตอนรุ่งสาง


   “ นี่มึงอยู่เป็นเพื่อนกูเพื่ออะไรวะ” เขาดึงผ้าห่มมาห่มให้ก่อนจะเดินไปรูดผ้าม่านที่เปิดอ้าให้ปิดสนิทลงก่อนจะกลับมานั่งลงบนเก้าอีตัวเดิม


   “ สบายใจขึ้นแล้วใช่หรือเปล่า” เสียงของเรย์ดังขึ้นมา


   “ อืม” เขาตอบเบาๆก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “ ใช่สิ เรย์ ฉันต้องทำยังไงเหรอถึงจะมีพลังแบบเฟิร์สได้”


   “ จริงๆ แล้วเจ้าเองก็มีพลังอยู่แล้วในตัวนะ ขอแค่มันใจและตั้งใจฝึกฝนมันก็พอ “ เสียงหนาทุ้มตอบกลับ


   “ อย่างเช่นถ้าฉันต้องการจะสั่งให้บลูพูดได้ตอนนี้ต้องทำยังไง”


   “ เอามือโบกไปทางซ้ายแล้วนึกถึงสิ่งที่อยากให้เป็น” เรย์แนะนำ
ปณิธานยกมือข้างขวาขึ้นมาก่อนจะลองทำตามที่เรย์บอกดู “ บลู บลู” เสียงจากสมุดของเขายังคงเงียบ “ ทำไมไม่ได้ผลล่ะ”


   “ เจ้าโฟกัสที่อะไรล่ะ คิดว่าจะทำได้หรือไม่ได้ หรือว่า คิดว่าจะให้บลูมันพูดล่ะ” เรย์พูด “ เจ้าควรควรโฟกัสในสิ่งที่เจ้าอยากจะทำจริงๆมากกว่าสิ่งที่เจ้าสงสัยนะ”


   “ โอเคลองใหม่อีกครั้งนะ” ปณิธานพูดพร้อมกับโบกมือในอากาศอีกครั้ง”


   “ เจ้านายเจ๋งมาก หลังจากนี้ข้าก็ไม่ต้องทนให้คู่หูของเจ้านายมาบงการแล้ว ข้าก็แค่พูดความจริงเท่านั้นทำไมคู่หูของเจ้านายต้องมาปิดปากข้าด้วย”


   “ สิ่งที่เจ้าพูดน่ะ ไม่ได้เรียกว่าการพูดความจริง เขาเรียกว่าปากหมา” เรย์พูดแทรกขึ้นมา


   “ ก็เจ้านายของลุงกำลังโกหกเจ้านายของผมอยู่จะให้ผมเงียบอยู่ได้ยังไง”


   “ พอกันทั้งคู่แหละ” ปณิธานปราม “ บลูแกลดๆการพูดลงหน่อยได้ไหมเนี่ย เดี๋ยวก็ปิดปากอีกรอบเลย ไม่เห็นหรือไงว่าไอ้เฟิร์สมันนอนหลับอยู่”


   “ นี่เจ้านายไปสนใจคู่หูเจ้านายตอนไหนเนี่ย เขาหลับก็เรื่องของเขาสิ” บลูลอยขึ้นจากกองหนังสือมาอยู่ข้างๆ “ หรือว่า”


   “ หรือว่าอะไร ฉันก็แค่คิดว่า การมาอยู่ในห้องของคนอื่นก็ควรที่จะมีมารยาทบ้าง” ปณิธานเถียงกลับ “ ฉันว่านายก็ควรมีนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะปิดปากนายเองอีกรอบ เอามั้ย” เขาทำท่ายกมือขึ้นมา


   “ ไม่เอาแล้วครับ” บลูเสียงอ่อนลงก่อนจะลอยกลับไปที่เดิม


   “ ดี ฉันจะไปนอนอ่านหนังสือเล่น นายสองคนก็เงียบๆไปแล้วกัน” พูดจบเขาก็หยิบนิยายที่วางอยู่ที่ชั้นออกมา “ YOU SAW ME น่าสนใจแฮะ” เขาถือหนังสือเล่มนั้นก่อนจะมาทิ้งตัวนอนลงข้างๆคนที่กำลังหลับไม่ได้สติ


ถึงแม้ว่าหน้าหนังสือจะเปิดกางออกไปแล้วหน้าแล้วหน้าเล่า แต่คนที่อ่านไม่ได้เสพความสนุกจากหนังสือนั่นเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาได้แต่นอนมองคนที่อยู่ข้างๆและเกิดคำถามมากมาย


มึงอยู่เป็นเพื่อนกูทำไม มึงชอบกูจริงหรือเปล่า มึงแค่สงสารกูใช่มั้ย


เขาสะลัดความคิดนั้นทิ้งและรีบกลับมาอ่านหนังสือต่อเมื่อร่างขาวขางๆขยับตัวพลิกมาทางเขา และทุกอย่างก็นิ่งลงยกเว้นสิ่งหนึ่งนั่นคือ ความรู้สึกโหวงๆภายในท้องเนื้อตัวที่ชา เหมือนโดนจับได้ว่าลอกข้อสอบ
เวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงกว่า ปณิธานยังคงนอนอ่านนิยายอยู่ข้างๆโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาหนึ่งจับจ้องอยู่ สายตาจากคนที่เขาคิดว่าหลับ


   “ เฮ้ย” เขาร้องเสียงหลงเมื่อมีมือหนาจากด้านขวามาคว้าร่างของเขาไปใกล้ชิดกับใบหน้า


   “ รู้นะว่าแอบมอง” ใบหน้าที่มาพร้อมกับลักยิ้มพูดกระซิบที่ข้างใบหู


   “ มองอะไร กูอ่านนิยายของกูอยู่เถอะ” เขาปฏิเสธพร้อมกับกระแทกศอกไปที่ด้านหลังทำเอาปิติภัทรตัวงอกุมท้องร้องโอดโอย “สมน้ำหน้า” พูดจบปณิธานก็ลุกเอาหนังสือไปวางไว้ที่เดิมทิ้งให้คนที่นอนอยู่บนเตียงตัวงอด้วยความเจ็บอย่างไม่ใยดี


   “ เสร็จล่ะ” คนที่เจ็บตัวเมื่อครู่คว้าร่างที่หันหลังให้มากดลงบนเตียงนอน มือหนาของเขาจับไว้ที่แขนทั้งสอง แววตาแสนเจ้าเล่ห์มองไปยังคนหมดหนทางสู้ที่อยู่ด้านล่าง “ ขอโทษเฟิร์สก่อน”


   “ ไม่โว้ย ปล่อยกูนะ ไม่อย่างนั้น”


   “ ไม่อย่างนั้นอะไร จะทำร้ายเฟิร์สอีกเหรอ” เขายิ้มพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ “ เร็ว ขอโทษเฟิร์สเอง”


   “ ไม่”


   “ ไม่อย่างนั้นก็อยู่อย่างนี้แหละ เฟิร์สไม่เบื่อหรอกนะที่จะมองหน้าปาร์คไปแบบนี้ตลอดน่ะ” เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ขึ้น


   “ มึงก็รู้ว่ากูพูดไม่เก่ง” ปณิธานพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง “ มึงก็เอาหน้ามาใกล้ๆสิกูจะได้ทำอย่างที่มึงขอได้ แต่กูจะไม่พูดนะ”


   “ ครับ” เฟิร์สยิ้มกว้างขึ้นแล้วโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้กันมากกว่าเดิม เสียงลมหายใจของคนที่อยู่ด้านบนดังขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่แดงชัดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ โอ้ยยยย” เขาร้องลั่นก่อนจะผละมืออกมากุมจมูกไว้อย่างรวดเร็ว


   “ อย่ามาทำแบบนี้กับกูอีกกูไม่ชอบ” ปณิธานลุกขึ้นจากเตียงนอนไปอย่างรวดเร็วแต่คงไม่เร็วพอเพราะมือหนาของอีกฝ่ายคว้าแขนเอาไว้แล้วกระชากเขากลับมาสู่อ้อมกอดอีกครั้ง
ริมฝีปากสีชมพูของปิติภัทรแนบเข้ามาที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายที่เปิดปากต้อนรับด้วยความตกใจ เขาบดขยี้ความต้องการลงไปจนแทบไม่มีเวลาหายใจ และทุกอย่างก็หยุดลงเมื่อประตูที่หน้าห้องถูกเปิดออก


   “ พี่ปาร์คครับ” เสียงจากคนหน้าห้องทำให้ปิติภัทร ผละออกจากปณิธานอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหมัดที่สวนมาจากฝ่ายตรงข้าม


   “ มีไร” เขาถามไปด้วยความโมโห


   “ ถ้าพี่ยุ่งอยู่ เดี๋ยวผมมาใหม่ก็ได้” คนที่มาใหม่ตบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก อีกทั้งยังไม่ยอมสบตา


   “ ยุ่งอะไร กูอยู่ของกูคนเดียว”


   “ เอ่อ ไม่เป็นไรพี่ ถ้าพี่บอกว่าพี่อยู่คนเดียวผมก็จะเชื่อว่าพี่อยู่คนเดียว เนอะๆ” เขาพยายามเค้นเสียงหัวเราะ “ ผมขอโทษพี่

สองคนอีกครั้งนะครับ พี่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วย ผมไม่บอกใครแน่ๆครับ”


   “ นั่งอยู่บนเก้าอี้เหรอ” ปิติภัทรถามกลับด้วยความสงสัย


   “ ไม่มีก็ไม่มีครับ ผมแค่จะขึ้นมาบอกว่า เจ๊อาโปแกให้ขึ้นมาตามน่ะครับเห็นว่าแกจะลางานกลับไปบ้านน่ะครับ” พูดจบประตูหน้าห้องก็ปิดลง ตัวของปิติภัทรชาไปหมด ตกใจทั้งเรื่องที่เขาจูบคู่หูของตัวเองทั้งๆที่เขาไม่อยากล่วงเกินใดๆ และตกใจที่มีคนเห็นคู่หูของเขา และนั่นไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก


   “ กูขอโทษ” เขาพูดเบาๆก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ
เขาจัดการแต่งตัวแล้วลงไปด้านล่างของร้านซึ่งมีผู้จัดการร้านนั่งรออยู่ที่เคาท์เตอร์กึ่งบาร์ เธอฉีกยิ้มต้อนรับเขาอย่างเป็นกันเองพร้อมกับอ้าแขนรอรับ
   “ มาๆเจ๊ขอดอมดมกลิ่นผู้ชายของเจ๊หน่อยซิ” เธอว่าพร้อมกับหอมแก้มทั้งสองข้างของปิติภัทรอย่างคุ้นชิน


   “ พอดีไอ้โก้มันมาบอกว่าเจ๊จะลา ว่าแต่เจ๊จะไปไหนครับ” เขาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม


   “ หลานเจ๊น่ะ มันตกจากตึกลงมาตายเมื่อวาน เสียบคาเสาธงเลยที่เป็นข่าวน่ะ ว่าจะไปช่วยงานศพซะหน่อยพี่สาวเจ๊คงไม่ไหว พ่อมันก็ตายไปแล้วอีกเลยไม่มีใครช่วย” เธออธิบาย “ ถ้าน้องเฟิร์สติดปัญหาตรงไหนโทรหาเจ๊ได้ตลอดเลยนะ”


   “ ไม่เป็นไรครับ เจ๊ไปทำธุระเถอะครับไม่ต้องห่วงทางนี้ ผมดูแลได้อยู่แล้ว ยังไงผมก็แสดงความเสียใจด้วยนะครับ”


   “ จ้ะ” เธอตอบ “ แต่มันน่าแปลกนะ เพื่อนของหลานเจ๊ก็ตายทั้งกลุ่มเลย ไม่สิเหลือคนนึงตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชอยู่เลย เพราะเอาแต่เพ้อถึงยมทูติถึงผีอะไรเนี่ย คนที่ยังอยู่เนี่ย ทรมานเนอะ” เธอเล่าก่อนจะลุกขึ้นออกจาเก้าอี้ “ ไม่เอาแล้วเล่าเองก็กลัวเอง เจ๊ว่าเจ๊ไปก่อนดีกว่า อย่าลืมนะมีอะไร โทรหาเจ๊ได้ตลอดเลย” เธอพูดย้ำอีกครั้งก่อนจะเดินไปขึ้นรถคู่ใจก่อนจะขับ
ออกไปจนสุดสายตา


ปิติภัทรเดินไปสั่งงานที่ครัวและเคลียเรื่องการรับของจนเสร็จก่อนจะเดินไปจัดการกับการรับของที่ด้านหลังของร้าน หลังจากนั้นก็สั่งข้าวกลับขึ้นไปกินบนห้อง


   “ ไงนั่งเงียบเลย โดนจูบแค่นี้ทำเป็น” เขาทักคู่หู


   “ หุบปากไปเลย ถ้าไม่อยากเจ็บตัวอย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก” เขายกกำปั้นขึ้นมาขู่ “ เพราะมึงอ่า เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ตกลงมัน

เห็นกูจริงหรือเปล่าเนี่ย น้องมึงไว้ใจได้หรือเปล่าวะ”


   “ ไว้ใจได้อยู่แล้ว  แต่เฟิร์สแค่สงสัยว่าทำไมมันถึงเห็นปาร์ค หรือว่ามันไม่เห็น” เขายื่นหน้าไปใกล้ๆคนที่นั่งเครียดอยู่ที่


   “ มึงหยุดกวนตีนก่อนได้หรือเปล่าวะ”


   “ จะไปเครียดทำไมล่ะ อยากรู้เดี๋ยวเฟิร์สถามให้ก็ได้นะ”


   “ มึงจะบ้าเหรอ ถ้ามันมองไม่เห็นมึงจะทำไง”


   “ ก็ไม่ทำไง อย่างมากมันก็หาว่าเฟิร์สหื่นหรือไม่ก็เป็นบ้า” เขาพูดพร้อมกับขยับตัวเข้าไปใกล้คนตรงหน้ามากขึ้น “ ปาร์คว่าเฟิร์สหื่นจริงหรือเปล่าล่ะ”


   “ อย่ามาล้อเล่นแบบนี้ดิกูไม่ชอบ” เขาผลักคนตรงหน้าให้ออกห่างก่อนจะลุกเดินออกจากจุดนั้นแต่คงช้ากว่ามือของปิติภัทรที่คว้าตัวของเขาไว้


   “ เฟิร์สบอกว่าเฟิร์สจะจีบปาร์ค จำไม่ได้เหรอ แล้วหยุดคิดว่าเฟิร์สล้อเล่นได้แล้วนะ” เขาก้มหน้าซบลงบนแผ่นหลังหนา “ ถ้าปาร์คเย็นชาใส่เฟิร์สแบบนี้เฟิร์สหมดกำลังใจหมดแล้วนะ”


   “ ถ้าอย่างนั้นมึงบอกกูมาได้หรือเปล่าล่ะว่ามึงชอบกูเพราะอะไร” เสียงที่เคยเข้มถามด้วยความอ่อนโยน “ บางครั้งก็ก็คิดนะว่าการที่มึงมาทำกับกูแบบนี้เพราะว่ามึงสงสรกูหรือเปล่า”


   “ เฟิร์สรักที่ปาร์คเป็นปาร์คไง ไม่มีอะไรมากกว่านี้หรอก”


   “ ถ้ายังหาเหตุผลไม่ได้ ก็อย่ามาใช้คำว่ารักกับกูพร่ำเพรื่อ กูขอร้อง” เขาสะบัดตัวให้พ้นจากพันธนาการจากคนด้านหลัง “ กู
ขอร้องจริงๆ”


   “ อยากรู้ใช่มั้ย อยากรู้จริงๆใช่มั้ย ได้เฟิร์สจะบอก” เขาก้มหน้าพูดแบบไม่สบสายตา “ แต่ปาร์คอย่าเพิ่งหันหน้ามานะ เฟิร์สน่ะ มองปาร์คมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วตั้งแต่ตอนรับน้อง เฟิร์สไม่รู้ว่าปาร์คจำเฟิร์สได้หรือเปล่า แล้วยิ่งพอได้มาคุยกับปาร์คเพราะปาร์ครู้จักกับไอ้ปอนด์เรายิ่งรู้ว่าเราชอบคนไม่ผิด ใครจะรู้ว่าคนที่นิ่งๆเงียบๆ เนี้ยบๆอย่างปาร์คจะชอบคุยกับหมาจรจัด คนที่เหมือนจะไม่สนใจใครกลับเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคนรอบตัวมากที่สุด เราเห็นนะว่าปาร์คชอบบ่น ชอบว่าเพื่อนแต่ในทางกลับกันปาร์คก็เป็นคนที่ช่วยเหลือเพื่อนตลอด ปาร์คทำทุกอย่างในสิ่งที่ปาร์คไม่ชอบตอนที่ปาร์ค ชอบไอ้นนท์ เรารู้ว่าปาร์คไม่กินเผ็ดเพราะเวลาสั่งข้าวหน้าหอปาร์คจะไม่ใส่พริก แต่พอปาร์คไปอยู่กับพวกไอ้นนท์ ปาร์คกลับนั่งกินส้มตำที่ใส่พริกเยอะๆได้ ปาร์คทำทุกอย่างเพื่อให้ไอ้นนท์รักปาร์คได้ เฟิร์สก็จะทำทุกอย่างให้ปาร์ครักเฟิร์สบ้าง เรามองปาร์คมาตลอด เราฝ่าฝืนเรื่องกฎของยมทูติเตือนปาร์คไปว่าอย่าออกไปไหน ในวันที่ปาร์คตาย แต่เฟิร์สก็รู้นะว่าคนอย่างเฟิร์สคงเตือนอะไรปาร์คไม่ได้เพราะคนที่ปาร์คจะไปช่วยก็คือคนที่ปาร์ครัก วันนั้นเฟิร์สแทบบ้าเลยรู้หรือเปล่า วันที่รู้ว่าเวลาของปาร์คหมดลงแล้ว”


   “ นี่มึง”


   “ อย่าเพิ่งหันมา เฟิร์สยังพูดไม่จบ” เขาร้องห้าม “ และพอรู้ว่าปาร์คได้มาเป็นคู่หูของเฟิร์สมันยิ่งทำให้เฟิร์สเป็นห่วง มันยิ่งทำให้เฟิร์สกลัว กลัวว่าเฟิร์สจะสูญเสียปาร์คไปอีก เพราะถ้าครั้งนี้มันสูญเสียไปมันจะไม่มีโอกาสครั้งต่อไปแล้ว”
ทั้งห้องเงียบลงเมื่อปิติภัทรพูดจบ มีเพียงเสียงแอร์ที่ดังหึ่งอยู่เท่านั้น คนที่ยืนฟังอยู่ยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ ในทางกลับกันคนที่เป็นคนพูดความในใจทั้งหมดออกไป ตัวนิ่งราวกับถูกคำสาป มือของเขากำแน่น ดวงตาที่เคยมั่นใจหลับหลับตาแน่น เมื่อคนที่เขาบอกความในใจเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ


   “ นี่มึงเป็นโรคจิตที่ชอบตามกูเหรอวะ” ปณิธานพูดติดตลก “ เงยหน้าขึ้นมาคุยกันสิ”


   “ นี่เฟิร์สพูดไปตั้งเยอะ ปาร์คพูดกับเฟิร์สแค่ว่า เฟิร์สเป็นโรคจิตเนี่ยนะ” เขาเงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างรวดเร็ว


   “ ทำไม คิดว่ากูจะสารภาพรักหรือรับรักมึงเหรอ ดูหนังมากไปหรือเปล่า” เขาหัวเราะ แต่คนตรงหน้ากลับมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก”


   “ คงไม่หรอก เฟิร์สไม่หวังหรอก”


   “ คนเรา ก่อนจะทำอะไรก็ต้องหวังอยู่แล้วมันอยู่ที่ว่าหวังมากหรือน้อย” เขาพูดพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างไปจับที่ไหล่ของปิติภัทร


   “ กูยังรับรักมึงไม่ได้หรอกนะ เพราะกูก็ยังลืมไอ้นนท์ไม่ได้” คำพูดของเขาทำให้หน้าที่เจื่อนอยู่แล้วของปิติภัทรเจื่อนลงไปอีก “ แต่กูก็จะพยายามเปิดใจรับมึงให้มากขึ้น มันก็อยู่ที่มึงแล้วล่ะว่า จะทำให้กูรักมึงจนลืมใครสักคนได้หรือเปล่า โอเคมั้ย เพราะคนอย่างกู จะรักใครรักได้ทีละคน เพราะกูอยากให้มึงรู้ว่า กูไม่ได้คบมึงเพื่อลืมใคร แต่กูอยากรักและคบมึงเพราะมึงเป็นมึง”
คนตรงหน้าค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา ใบหน้าที่เจื่อนเอครู่ฉีกยิ้มกว่าจนตาที่ตี่อยู่แล้วแทบปิดลักยิ้มที่บุ๋มบนใบหน้าชัดเจนมากขึ้น เขาเอื้อมมือไปจับมือที่วางอยู่บนไหล่ของตนเอง


   “ ขอบคุณนะ เฟิร์สจะพยายาม ไม่สิ เฟิร์สจะทำให้ได้” เขาตอบกลับไป


   “ แต่ต้องไม่ใช่วิธีแบบเมื่อเช้านี้นะ กูไม่ชอบ”


   “ แหม่ นึกว่าปาร์คจะเคลิ้มไปกับเฟิร์สบ้างเท่านั้นเอง”


   “ เคลิ้มก็บ้าแล้ว” ปณิธานผลักคนตรงหน้าออก


   “ เขินเหรอ”


   “ เขินอะไร มึงไปกินข้าวได้แล้วไป เย็นหมดแล้วน่ะ” เขาชี้ไปยังข้าวผัดกระเพราที่วางอยู่บนโต๊ะ


   “ ไม่กินแล้วตอนนี้เฟิร์สอิ่ม” เขาลูบที่ท้องตัวเองเบาๆ


   “ มึงอย่ามาพูดคำพูดเลี่ยนๆกับกูนะ กูจะอ้วก” ปณิธานทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง


   “ อะไรยังไม่ได้ทำอะไรเลย ท้องแล้วเหรอ”


   “ ท้องพ่อง” เขาสวนกลับมาอย่างรวดเร็วแดกๆไปแล้วรีบไปจัดการเรื่องน้องมึงด้วย” พูดจบปณิธานก็หยิบนิยายที่ยังอ่านไม่จบมาอ่านต่อ


ไม่นานแสงสว่างที่เคยเจิดจ้าที่หน้าต่างก็มีความมืดเข้ามาแทนที่ ปณิธานอ่านหนังสือและกลิ้งไปมาบนเตียงอยู่คนเดียวมาตลอดเพราะปิติภัทรต้องลงไปจัดการกับร้านด้านล่าง


   ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงจากประตูหน้าห้องดังขึ้น ทำให้ปณิธานที่นอนอยู่เด้งตัวเองขึ้นมาในทันที เสียงกุญแจที่กำลังไขลูกบิดด้านนอกทำให้คนที่อยู่ด้านในใจคอไม่ดี เพราะคนที่จะเข้ามาไม่น่าจะใช่คู่หูของเขา
บานประตูด้านหน้าค่อยๆแง้มเปิดออก คนที่อยู่หน้าประตูใส่เสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงเข้ารูปยืนยิ้มมาให้ คนที่มาด้วยด้านหลังยืนมองซ้ายมองขวาในห้องราวกับกำลังหาบางอย่าง


   “ นนท์ อยู่นิ่งๆสิมองหาไปก็ไม่เห็นหรอก”


   “ คนมันคิดถึงนี่หว่า นี่ไม่ได้เจอมันตั้งนานแล้วนะ” คนที่มาด้วยบ่นอุบ


   “ ขอโทษที พอดีเฟิร์สให้ขึ้นมาชวนปาร์คลงไปด้านล่างน่ะ” รณจักรอธิบาย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง “ ไปเร็ว เห็นว่าวันนี้คนเยอะ ด้วยนะ ลงไปเปิดหูเปิดตาเถอะ”


   “ อืม ขอบคุณนะ” ปณิธานตอบกลับพร้อมทั้งเดินตามลงไปอย่างว่าง่าย
ภายในร้านเสียงดังจอแจเพราะในคืนวันหยุดของคนอื่นจะเป็นวันที่ร้านคนเยอะเป็นพิเศษ ปณิธานมองไปรอบตัวอย่างมีความสุขเพราะว่าได้ออกมาเป็นอิสระจากห้องสี่เหลี่ยม
รณจักรและชยานนท์เดินนำไปนั่งที่บริเวณระเบียงร้านใต้ต้นลีลาวดี ซึ่งเป็นบริเวณที่ติดกับขอบเวทีมากที่สุด ซึ่งตรงนั้นมีคนที่กำลังนั่งดื่มด้วยใบหน้าเคร่งเครียดรออยู่แล้ว


   “ นี่มึงจะเมาแต่หัววันเลยเหรอวะไอ้ปอนด์” ชยานนท์ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเพื่อนสนิท “ ไหนบอกพี่มาซิไอ้น้องว่ามีเรื่องเครียด

อะไรถึงได้นัดพวกกูออกมา”


   “ ไอ้เต้ดิ แม่งเดี๋ยวนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้หายหน้าหายตา กูเป็นห่วงมันเห็นมันบ่นๆว่าช่วงนี้ชอบฝันเรื่องเดิมๆซ้ำกันบ่อยๆ”


   “ มันฝันเห็นไรวะ” ชยานนท์ถามด้วยความสงสัย


   “ มันเล่าให้กูฟังว่า มันฝันเห็นเลือด คนยิงกันตาย เห็นทหารอะไรของมันเนี่ย แล้วมันก็ชอบมาหงุดหงิดเรื่องความฝันให้กูฟัง
เนี่ยมันก็หายหน้าไปสองสามวันแล้ว มึงให้คำปรึกษาอะไรกูได้บ้างหรือเปล่าวะ กูเครียด”


   “ เออน่าอย่าคิดมาก มันก็แค่ฝันหรือเปล่าวะ กินมากฝันมาก”


   “ กูก็เคยบอกมันไปแบบนี้แหละเป็นไง โกรธกู เหมือนแม่งคนอย่างกูทำอะไรก็ผิดไปหมด”


   “ เออ อย่าคิดมาก ชน” เขายกแก้วขึ้นมา “ จักรดื่มได้แค่น้ำอัดลมนะ” เขาหันไปสั่งเมื่อคนเป็นแฟนยกแก้วที่ใส่เครื่องดื่มสีอำพันขึ้นมาจะชนด้วย


   “ ไม่”


   “ ไม่เอา เอาแก้วนี้ไป” เขายื่นแก้วที่ใส่น้ำอัดลมมาให้


   “ มึงอย่ามาหวานกันแถวนี้ได้หรือเปล่าวะ” ปิติภัทรที่มาทีหลังเดินมาทิ้งตัวลงข้างๆปณิธานที่นั่งอยู่ก่อนจะพาดไหล่ไปบนพนักพิง ซึ่งจริงๆมีปณิธานนั่งอยู่ “ คนโสดอย่างกูอิจฉาแย่”


   “ มึงเนี่ยนะโสด มีคนมาให้ถึงห้องทุกคนไม่ใช่เหรอวะ” ชยานนท์พูดพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม
คนที่ดูมีความสุขเมื่อครู่อย่างปิติภัทร นิ่งไปสักพักเพราะปณิธานหันมายิ้มที่เป็นรอยยิ้มแสนเยือกเย็นส่งมาให้ “ มึงพูดบ้าอะไรของมึง กูลด ไม่ใช่ดิ กูเลิกหมดแล้วเรื่องพวกนี้”


   “ จริงเหรอพี่” คนที่เพิ่งลงจากเวทีเอ่ยก่อนจะมานั่งข้างๆ


   “ มึงพูดดีๆหน่อยไอ้โก้เดี๋ยวไล่ไปร้องร้านอื่นเลย” ปิติภัทรพูดทีเล่นทีจริง


   “ แหมพี่ พี่พูดไม่เกรงใจคนที่นั่งข้างๆเลยนะ พี่เขาหน้ามุ่ยแล้วนะ” กิตติชี้ไปตรงจุดที่ว่างเปล่าพร้อมกับยื่นหน้าออกไป “ พี่ไม่ต้องอายผมหรอกนะผมไม่บอกใครหรอก”


   “ หุบปากแล้วแดกเหล้าได้แล้วไป” ปิติภัทรดันแก้วเหล้าของตัวเองเข้าปากนักร้องหนุ่มจนหกเต็มตัวไปหมด


   “ เหนนนนรายยว้าตรงนั้นมันไม่มีทีน้างไอ้โก้” ธนาที่นั่งอยู่ข้างๆยกแขนขึ้นมาตบที่หัวของกิตติเบาๆ “ มึงนี่มานปากหมาไม่เปลี่ยนเลย”


   “ พี่ปอนด์ อย่ามาอำผมเลย” เขาพูดพร้อมกับจิบแก้วเหล้าแล้ววางลงแล้วหันไปหาปิติภัทร “ถ้าพี่เลิกจริง ผมขอต่อนะ พี่เขาน่ารักดี” กิตติพูพร้อมกับส่งรอยยิ้มไปให้ “ พี่ชอบฟังเพลงอะไรล่ะ เดี๋ยวผมขึ้นไปร้องให้เลย”


   “ พูดบ้าไรของมึงฮะ” ปิติภัทรตบหัวรุ่นน้องไปหนึ่งครั้ง “ มาชน” เขาชูแก้วขึ้นก่อนที่คนอื่นจะยกมาชนตาม ก่อนจะดึงมันกลับมาดื่มเข้าไปในร่างกาย หลังจากนั้นก็หันกลับไปหาคนที่นั่งข้างๆ “ เดี๋ยวเฟิร์สจะมอมเหล้าถามมันเองว่า มันเป็นยมทูติหรือเคยผ่านความตายมาก่อน”


   “ มึงดูไม่ออกหรือไงวะว่าเป็นยมทูติหรือเปล่า” ปณิธานตอบ


   “ ไม่รู้ ถ้ามันไม่เผยตัวตนก็ไม่รู้หรอก” เขาตอบอย่างอ่อนใจก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วออกมาดูด    


   “ มึงเครียดไรวะ ปกติไม่ดูดไม่ใช่หรือไงวะ” ธนาที่นั่งตัวเอนเอ่ยขึ้น “ ถ้าเครียดเรื่องความรักนะ เชื่ออออ กู ไม่ต้องหา ไม่ต้องมี เวลามีก็เจ็บๆๆๆ เอามาอีกแก้วไอ้นนท์”


   “ มึงพอได้แล้ว เมาเป็นหมาแล้วเนี่ย” เขาจับหัวธนาให้ตั้งตรง “ หัวมึงยังประคองไม่ได้แล้วเนี่ย”


   “ หนายย ไหน ไหน้ ใครมาวว ไม่มี้” เขาส่ายหัวไปมา “ ไอ้น้อง เอามาอีกแก้ว แล้วเอ็งมากินกับพี่” เขาหันไปสั่งกิตติที่นั่งจ้องปณิธานอย่างไม่ละสายตา  “ ไอ้น้อง มึงมองไร พี่ชวนดื่มก็มาดื่ม”


หลังจากนั้นศึกการดวนแก้วต่อแก้วของกิตติและธนาก็ได้เริ่มต้นขึ้น ทั้งสองผลัดกันยกหมดเรียกได้ว่าไม่มีใครยอมใคร คนที่นั่งร่วมวงด้วยได้แต่มองอย่างเหนื่อยใจเพราะดูแล้วห้ามอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์


ควันบุหรี่ของปิติภัทรเองก็พ่นออกมาอย่างไม่มีหยุดหย่อน เขาสูบมันมวนแล้วมวนเล่า ถึงแม้กว่าจำนวนเครื่องดื่มตรงหน้าจะพร่องไปไม่มาก รอยยิ้มที่แสนหวานของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเสน่หาส่งไปไปยังคนที่นั่งข้างๆ


   “ มึงมองอะไร” ปณิธานที่รู้สึกไม่ดีเอ่ยขึ้น


   “ กูขอโทษ กูเมาทีไรเป็นแบบนี้ทุกที” เขายิ้มแห้งๆก่อนจะลุกไปจากที่นั่งแล้วเดินไปยังห้องน้ำที่ตั้งอยู่หลังร้าน
น้ำเย็นๆถูกวักใส่หน้าของชายหนุ่มที่ร้อนผ่าวทำให้บางอย่างในตัวของเขาอ่อนลงมาได้บ้าง เขามองตรงไปที่กระจกจ้องมองตัวเองอยู่สักพักก่อนจะมีใครอีกคนเดินมายืนอยู่ด้านหลัง


   “ มึงชอบเพื่อนกูเหรอวะ” ชยานนท์พูดขึ้น “ เห็นจักรบอกว่า มึงมองเพื่อนกูตลอด มึงชอบเพื่อนกูเหรอวะ”


   “ อืม” เขาตอบสั้นๆก่อนจะเดินออกจากตรงอ่างล้างหน้า แต่ก็มีมือหนึ่งคว้าเอาไว้เสียก่อน “ มึงมีอะไรอีก หวงก้างหรือไง มึงทำมันเสียใจมามากพอแล้ว กูจะดูแลมันเอง”


   “ เปล่า กูไม่ได้หวงก้าง” ชยานนท์ปฏิเสธ “ กูแค่เป็นห่วงมันน่ะ ถ้ามึงไม่ได้จริงจังกับมันมึงก็อย่าทำอะไรแบบนี้เลย แต่พอได้ยินที่มึงพูด กูก็เบาใจ สู้ๆนะเว้ยไอ้ปาร์คมันใจอ่อนง่ายจะตาย มันเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ กูเป็นกำลังใจให้”
พูดจบชยานนท์ก็เดินหายออกไป ผู้คนที่เมามายผลัดเปลี่ยนกันมาเข้าห้องน้ำ มีเพียงปิติภัทรที่ยังคงยืนสูบบุหรี่อยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน


   “ ปกติ สูบบุหรี่จัดแบบนี้เหรอวะ” คู่หูของเขาที่เขายังไม่อยากเจอตอนนี้ปรากฏตัวอยู่ข้างๆ แล้วนี่เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมไม่กลับไปนั่งกินด้วยกันวะ น้องมึงเมาจนกูคิดว่าจะหลอกถามอะไรไม่ได้แล้วว่ะ”
   “ เออลืมไปเลย” ปณิธานทิ้งบุหรี่ที่สูบอยู่ทันทีแล้ววิ่งกลับไปที่โต๊ะ สองคนที่ดวลกันก่อนที่เขาจะออกมานอนสลบอยู่บนโต๊ะ

อย่างไม่เหลือสภาพ “ เฟิร์สขอโทษนะ ที่ช่วยไรไม่ได้เลย”


   “ เออช่างมันเถอะ” ปณิธานตอบ “ แล้วจะเอาไงกับสองคนนี้เนี่ย”


   “ เดี๋ยวเราสองคนจะพาปอนด์กลับไปเอง ส่วนน้องคนนี้เราฝากด้วยก็แล้วกันนะ” รณจักรเสนอ
หลังจากแยกย้ายกันเสร็จเรียบร้อย ปิติภัทรก็ให้พนักงานพากิตติขึ้นไปส่งที่ห้องของตัวเองก่อนที่ตัวเขาจะลงไปจัดการกับบิลต่างๆของทางร้าน


katai2-1:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 5.3.19 บทที่ 4 SORRY , บทที่ 5 NEW FRIEND
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 05-03-2019 01:54:51
ภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบและกลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งไปทั่ว ยมทูติหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด มองไปยังคนที่นอนตรงหน้าด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้


   “ ไม่ ไม่ อย่า อย่าทำแม่ผม อย่า แม่ แม่” มือไม้ของคนที่อยู่บนเตียงกวัดแกว่งไปมาเหมือนป้องกันตัวจากบางอย่าง เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังลั่นไปทั่วห้อง “ อย่า ผมไม่กิน ไม่ ไม่ผมไม่กิน แม่ช่วยผมด้วย แม่ฟื้นมาก่อน” เขาร้องเสียงหลงจนปณิธานไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆได้
   “ น้อง น้อง” เขาจับไปที่มือทั้งสองข้างที่กวัดแกว่งอยู่


เมื่อร่างนั้นสัมผัสได้ถึงที่พึ่งพิงก็กระชากร่างของยมทูติหนุ่มไปสวมกอด ตัวของคนเมาสั่นเทิ้ม เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วห้อง ปณิธานกอดเด็กหนุ่มกลับด้วยความสงสารโดยไม่รู้เลยว่า มีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น


แสงสว่างวาบขึ้น ตัวของเขาไม่ได้อยู่ที่เดิม รอบตัวของเขาเป็นห้องเล็กๆที่ทำมาจากไม้ ตามพื้นเต็มไปด้วยเศษข้าวกระจัดกระจาย จานที่แตก


กลิ่นในห้องมีแต่ความเหม็นอับและสาปกลิ่นเหล้า เขาเองที่ไม่ใช่เขา ใช่เขาเป็นเด็กอายุประมาณเจ็ดขวบนั่งอยู่บนพื้นกำลังนั่งเขย่าตัวใครสักคนที่นอนหมดสติอยู่ก่อนที่ตัวของเด็กชายจะโดนกระชากออกมา
น้ำส้มกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยถูกกรอกลงในปาก รสชาติที่ควรจะมีความหวานอมเปรี้ยวแต่กลับขมอย่างน่าประหลาด ทุกที่ที่น้ำนั้นไหลลงไปเหมือนเอาน้ำร้อนหรือเอาเหล็กมาแทง เขาเริ่มหายใจไม่ออกและลงไปนอนดิ้นลงกับพื้น เสียงหัวเราะของชายในบ้านหลังนั้นก้องอยู่ในหู


   “ ปาร์ค ปาร์ค ปาร์ค” เสียงของคนที่คุ้นเคยตะโกนเรียก พร้อมกับกระชากร่างของเขาออกมาจากอ้อมกอดนั้น “ ปาร์คได้ยิน

เฟิร์สหรือเปล่า  ปาร์ค ตื่นสิปาร์ค” เขาเอามือเขย่าร่างที่นอนอยู่บนตัก


   “ ปล่อยเขาสักพักเถอะเจ้านาย” เสียงเรย์ดังออกมาจากชั้นวางหนังสือ


   “ ทำไมนายสองคนไม่ห้าม ก็รู้หนิว่ายมทูติไม่ควรเข้าไปยุ่งกับความฝันหรือความทรงจำของคนอื่น” เขาตะวาดก่อนจะก้มลงมองคนที่หมดแรงอยู่ที่ตัก


   “ มันเป็นโชคชะตาเจ้านาย เราไม่สามารถห้ามได้ ชะตาของหนุ่มนั่นผูกพันกับคู่หูของเจ้านาย” เรย์บอก “ เราเลยไม่ได้ห้าม”


   “ อันนี้ฉันเห็นด้วยกับลุง ชะตานี้ก็เป็นชะตาเดียวกับที่เจ้านายของฉันได้มาเป็นยมทูติ” บลูเสริม “ นายเองก็ควรเข้าใจไว้เสียด้วย ฉันเองก็ไม่อยากยุ่งนัก ฉันรู้ว่านายรู้สึกอย่างไรกับเจ้านายของฉัน ตัวนายเองก็ควรจะรู้ไว้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะวันหนึ่งต้องมีใครสักคนที่จากกันอยู่ดี ตัวนายเองมาเป็นยมทูติเพราะอะไร ก็จำไว้ด้วย แน่ใจเหรอว่าถ้าเรื่องนี้มันจะจบลงที่ความสมหวังน่ะ”


   “ มันไม่ใช่เรื่องของแก” เรย์เอ่ย “ ข้าเชื่อในตัวของเจ้านายและเชื่อว่าความทรมานของเจ้านายใกล้จะจบแล้ว”


   “ ขอบใจ” ปิติภัทรอุ้มคนที่หมดแรงกลับไปวางไว้บนเตียงก่อนที่ตัวเองจะเดินออกไปที่ระเบียง
อากาศเย็นๆตีเข้ามาหาคนที่พ่นควันบุหรี่ออกจากปาก แววตาของเขาแฝงไปด้วยความเศร้าและความสับสน สิ่งที่เขากลัวที่สุดตอนนี้คือ ความรักของเขาจะเป็นไปได้หรือเปล่า ความลับของเขาที่เก็บไว้มันจะอยู่อีกนานแค่ไหน


   “ ไปยืนทำอะไรตรงนั้นวะ แล้วสูบบุหรี่อะไรนักหนา เหม็น” ปณิธานที่เดินออกมายืนข้างๆเอ่ยขึ้น “ ชอบสูบมากเหรอ”


   “ ไม่หรอก แค่สูบเวลาเครียดน่ะ” เขาหันมายิ้มให้กับคนที่ยืนข้างๆ “ ปาร์คไม่ชอบเหรอ”


   “ เออ กูไม่ชอบ เหม็น”


   “ อืมเดี๋ยวเราเลิกให้ เพื่อปาร์คเลยนะเนี่ย” เขาทิ้งบุหรี่ลงพร้อมกับหันไปหาคู่หูของตัวเอง “ ปาร์คไปทำอะไรกับความทรงจำของมนุษย์”


   “ อะไรนะ”


   “ ปาร์คเข้าไปในความทรงจำของไอ้โก้มันทำไม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและใบหน้าที่พร้อมจะรอคำตอบ “ มันอันตรายนะ”


   “ คือกูเห็นเด็กมันฝันร้าย กูเลยเข้าไปช่วย แล้วกูก็” เขาเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟังทั้งหมดทั้งสิ่งที่ได้เห็น ได้สัมผัสรวมทั้งความรู้สึกที่เกิดขึ้น “ เด็กนั่นมันผ่านความตายมา”


   “ ดีแล้วที่มันไม่ใช่ยมทูติ”


   “ ทำไมล่ะ ถ้าใช่ก็ดีสิจะได้มีคนช่วยทำงาน”


   “ เราไม่สามารถไว้ใจใครได้หรอกนะ ยมทูติน่ะ คนที่มาเป็นก็ต่างมีสิ่งที่ถูกเลือกมาไม่เหมือนกัน บางคนชั่วสุดขีด ก็มาเป็นได้”


   “ แล้วกูสามารถไว้ใจมึงได้มะ”


   “ ได้สิ เราเป็นคู่หู ไม่ใช่สิ เราเป็นคนที่กำลังจะเป็นแฟนกันต่างหาก” เขายื่นหน้าเข้ามาหา


   “ ไปไกลๆเลยกูเหม็นบุหรี่” มือหนาผลักคนตรงหน้าออกก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม


   “ สงสัยต้องเลิกบุหรี่จริงจังแล้วว่ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจูบแฟนไม่ได้” พูดจบเข้าก็ทิ้งตัวเองลงนอนบนเตียงก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด


เสียงคนคุยกันจอแจ พร้อมกับแสงที่เข้ามากระทบทบกับใบหน้าทำให้คนที่เพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงต้องตื่นขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก


   “ จริงเหรอพี่ พี่ก็จบวิศวะเหรอ เจ๋งว่ะ” เสียงตื่นเต้นของคนที่เมาหนักเมื่อคืนดังขึ้นจากด้านหลัง


   “ จริงดิ กูจะโกหกทำไมวะ” ปณิธานพูด “ แล้วมึงล่ะเล่นดนตรีมานานหรือยัง”


   “ นานแล้วพี่ ผมทำงานส่งตัวเองเรียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว” กิตติยืดอกอย่างภูมิใจ “ พ่อแม่ผมตายไปตั้งแต่เด็กผมอยู่คนเดียวมาตลอดแหละพี่ มีญาติๆพ่อแวะมาเยี่ยมเยียนบ้างแต่ก็นะ ขนาดพ่อจริงๆผมเขายังไม่รักเลยจะเอาอะไรกับคนอื่น”


   “ เออมึงก็อย่าคิดมาก” ปณิธานปลอบ “ เอางี้ดิ มาเป็นน้องกูก็ได้ กูก็ลูกคนเดียวไม่มีใคร กูอยู่กับลุงกูมาแต่เด็กเหมือนกัน”


   “ จริงเหรอพี่” เขาตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “ แต่ไม่อยากเป็นน้องเลย เป็นน้องก็จีบไม่ได้ดิ”


   “ จีบไม่ได้เว้ย” คนที่นอนหันหลังให้ดีดตัวขึ้นมาจากเตียง “ คนนี้ของกู “


   “ อะไรกันพี่เมื่อคืนพี่ยังบอกอยู่เลยว่าเลิกหมดแล้ว” คนที่นั่งอยู่ขอบเตียงโวยวาย


   “ เออ เลิกหมดแล้ว เพื่อมาจบกับคนนี้” เขาพูดพร้อมกับลุกไปที่เก้าอี้ซึ่งมีคู่หูของเขานั่งอยู่ “ เข้าใจนะว่าจองแล้ว” พูดจบเขาก็หอมแก้มก่อนจะเดินตรงไปเข้าห้องน้ำทันที


   “ โอเคผมไม่ยุ่งแล้ว เป็นแค่พี่น้องก็พอ”


   “ อย่าลืมที่สัญญานะ ว่าห้ามบอกใครว่ากูอยู่นี่กูหนีเจ้าหนี้มา” ปณิธานกำชับเรื่องโกหกที่เขาสร้างขึ้นอีกครั้ง “ถ้าโดนจับได้ตายแน่”


   “ สัญญาครับ แต่ถ้าผมจะมาหาพี่ ผมมาที่นี่ได้นะครับ”

   “ ได้สิ ได้ตลอดเลย”


ใครจะไปรู้ว่าความสนิทสนมในครั้งนี้จะนำพาอะไรบางอย่างมา โชคชะตาที่เรย์พูดจะเป็นอย่างไร คนที่อยู่ตรงประตูหน้าห้องน้ำได้แต่สงสัยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่า เขาไม่อาจเปลี่ยนชะตาเป็นครั้งที่สองแน่









มาแล้ว ลงแบบรัวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มาเสพสมกันน้าา ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจริงๆ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 5.3.19 บทที่ 4 SORRY , บทที่ 5 NEW FRIEND
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-03-2019 06:20:55
มาแบบจุใจ ชอบๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.3.19 บทที่ 6 WHO?
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 07-03-2019 02:42:58
6

WHO ?

เสียงผู้คนเซ็งแซ่ดังกันไปทั่วบริเวณตลาดสดภายในตลาดสด พ่อค้าแม่ค้าต่างทิ้งแผงของตัวเองเพ่อมาทำหน้าที่เป็นไทยมุงบริเวณหน้าร้านขายน้ำแข็ง


ก่อนหน้านี้ประมาณห้านาทีเห็นจะได้ เสียงผู้ชายร้องเสียงดังอย่างสุดเสียงเพียงเสี้ยวนาที ก็ตามด้วยเสียงโห่ร้องและบริเวณของพื้นของร้านขายน้ำแข็งเต็มไปด้วยเศษเนื้อและกระดูกที่ถูกตีจนแตกกระจายไปเต็มพื้น เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วทิศทาง บรรดาเครื่องในที่ถูกตีก็กระเด็นไปติดตามผนังและเปื้อนอยู่ตามร้านรวงด้านข้าง กลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ แต่ก็อย่างว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน บางคนจึงยอมอดกลั้นกับกลิ่นคาวและวิ่งไปดูภาพอันแสนสะอิดสะเอียนอย่างไม่คิดอะไร แม้ว่าไม่นานหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามากันเพื่อไม่ให้กีดขวางการทำงาน ก็ยังไม่สามารถทำได้เท่าที่ควร ข้อห้ามต่างๆไม่ว่าจะเป็นการบันทึกรูปหรือการสัมผัสหลักฐาน ก็ไม่วายมีคนไม่ปฏิบัติตาม


   “ ขอทางให้เจ้าหน้าที่ทำงานกันหน่อยครับ” พนักงานคนหนึ่งที่เดินถือห่อบรรจุที่ว่างเปล่าฝ่าฝูงชนเข้าไปในบริเวณจุดเกิดเหตุ



“ กลับมาพบกับข่าวภาคเที่ยงค่ะ เมื่อ สิบเอ็ดนาฬิกา สี่สิบเจ็ดนาทีเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเหตุว่า มีพนักงาน บดน้ำแข็งตกลงไปในเครื่องบดน้ำแข็ง สภาพศพ แหลกละเอียด ทราบชื่อภายหลัง คือนาย วรพล รักษา อายุ37 ปี  ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการเก็บศพกลับไปรอญาติมารับ สโรชา จากพีเพิลนิวส์รายงาน”


   “ ตายโหดว่ะ” ปณิธานที่นั่งจ้องโทรทัศน์ตรงมุมห้องเอ่ยขึ้น


   “ เรายังไม่ได้เคลียเรื่องที่ปาร์คไปสนิทกับไอ้โก้เลยนะ” ปิติภัทรเอ่ยพร้อมกับตักบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเข้าปาก


   “ เคลียอะไร” เขากดเลื่อนช่องเปลี่ยนไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจคนที่กำลังหน้าเง้าหน้างอตรงโต๊ะอ่านหนังสือแม้แต่น้อย
ตั้งแต่กิตติกลับไปในช่วงสาย ปิติภัทรก็ทำท่าทีตึงตังราวกับว่าต้องการเรียกร้องความสนใจจากคู่หู แต่ทว่าไม่ได้รับความสนใจจากคนที่อยู่ด้วยเลยแม้แต่น้อย


   “ ก็ปาร์คไปสนิทกับไอ้โก้ทำไมล่ะ มีเป็นพี่เป็นน้องอีกดูก็รู้ว่ามันชอบปาร์คอ่า” เขาวางตะเกียบในมือลงแล้วเดินมานั่งลงบนเตียง


   “ แล้วไง”


   “ แล้วไงอะไรล่ะ ก็เฟิร์สจีบปาร์คอยู่” เขาโวยวาย “ โถ่เว้ย”


   “ ก็จีบไง ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ถ้าเป็นก่อนแล้วค่อยมาโอดครวญนะ” เขาตอบหน้านิ่งๆ คนข้างๆก็นิ่งตามไปด้วย “ ล้อเล่น กูก็บอกมันไปแล้วว่าพี่น้อง มึงเห็นกูเป็นคนหลายใจขนาดนั้นเลย จูบแรกกูมึงก็เอาไปแล้วมึงจะเอาไงอีก”


   “ อะไรนะ เฟิร์สได้จูบแรก นี่เฟิร์สเป็นจูบแรกของปาร์คจริงๆเหรอ” พูดจบเขาก็กระโดดตัวลอยพร้อมกับเดินร้องเพลงกลับไปที่โต๊ะ “ มื้อนี้อะไรที่สุดเลย” เขาคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก


   “ เจ้านาย ท่านยมทูติสีขาวเรียก” เรย์พูดพร้อมกับเปิดประตูให้


   “ กูบอกแล้วให้รีบกิน” ปณิธานพูดก่อนจะคว้าสมุดที่ลอยเคว้งรออยู่แล้วเดินฝ่าประตูเข้าไป


ทันทีที่เท้าสัมผัสโลกใบใหม่ จากห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆก็กลายเป็นห้องสีขาวที่ไม่มีกำแพงรายล้อม ไม่สิ มันดูเหมือนว่าไม่มีที่สิ้นสุด เบื้องหน้ามีที่นั่งที่ถูกยกสูงขึ้นไปประมาณสิบเมตรเห็นจะได้ด้านบนมีชายในผ้าคลุมสีขาวประกายเงิน นั่งอยู่เขาผมสีดำขลับ ใบหน้านิ่งเงียบ แววตาดุดัน ริมฝีปากของเขายกขึ้นยิ้มเมื่อเห็นคนที่มาเยือน


เขาลุกขึ้นจากสิ่งที่นั่งอยู่ก่อนจะกระโดดลงมายืนด้านล่างตรงหน้าของผู้มาเยือนทั้งสอง ดวงตาที่ทรงอำนาจมองคู่หูยมทูติที่ถือว่าเป็นน้องใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะวาดมือขึ้นไปในอากาศ พื้นที่ที่ไร้ขอบเขตเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นรูปภาพเคลื่อนไหวอันน่าสะอิดสะเอียน และหนึ่งในรูปนั้นก็มี ชายที่ตกลงไปในเครื่องบดน้ำแข็งที่เป็นข่าวเมื่อเช้าด้วย


   “ ทุกคนตายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ตายแบบไม่มีการกำหนดไว้ในสมุดบันทึกของข้า” เขาพูดก่อนจะแยกภาพด้านบนออกเป็นทั้งหมดหกกลุ่ม “ สองภาพนี้” เขาชี้ไปยังภาพเคลื่อนไหวของชายสูงอายุที่กำลังใช้คัตเตอร์กรีดลงบนท้องตัวเองซ้ำไปมาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะชอบใจ ไม่นายเครื่องในที่อยู่ในร่างกายก็ไหลออกมาก่อนที่เขาจะนอนตายจมกองเลือดไป อีกภาพเป็นการเดินไปยืนให้รถไฟเหยียบด้วยสภาพเหม่อลอย


จุดที่สอง เป็นภาพของเด็กสองคนที่ผลัดกันเอามีดในมือทางตามส่วนของร่างกาย อีกคนดวงตาโบ๋เพราะอีกฝ่ายเพิ่งดึงมันออกไปจากเบ้า อีกคนจมูกแหว่งจนเห็นเนื้อสีแดงกับเลือดที่หยดลงบนพื้น


จุดที่สาม ชายชราที่กำลังเดินไปคุ้ยของในถึงขยะ อยู่ๆมือของเขาก็ก้มลงไปหยิบก้อนกินขึ้นมาทุบเข้าที่ใบหน้าของตัวเอง เลือดสีแดงไหลอาบลงมาบนใบหน้า ไม่มีเสียงร้องแห่งความเจ็บปวด เขาทุบจนมีของเหลวบางอย่างไหลปะปนลงมากับเลือด ก่อนที่ทุกอย่างจะนิ่ง


จุดที่สี่ หญิงสาวที่อยู่ในชุดนักศึกษาวิ่งอย่างร่าเริงอยู่บนดาดฟ้าของตึกเรียน ในมือของเธอมีใบคะแนนสอบกลางภาคของตัวเองที่ได้น้อย ใบหน้าเปื้อนยิ้มเดินไปที่ด้านข้างของตึก ก่อนจะทุ่มกระถางต้นไม้ลงมาใส่คนด้านล่างเสียชีวิต


จุดที่ห้าเป็นรูปเด็กผู้หญิงวัยสามขวบวิ่งไปกลางถนน เพื่อเก็บของบางอย่าง ไม่นานก็มีชายวัยกลางคนพยายามดึงแขนหรืออุ้มเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำได้และรถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงบดสองร่างนั้นให้แหลกติดไปกับพื้นถนน


จุดที่หก เป็นภาพของสาวประเภทสองที่กำลังขับรถขึ้นไปบนทางเท้าไล่เหยียบผู้คนอย่างไม่มีสติ ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างวิ่งหนีเอาตัวรอดกันอย่างทุลักทุเล และมีผู้คนไม่น้อยที่ได้เข้าไปอยู่ใต้ท้องรถและเสียชีวิต


   “ จุดสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้” ยมทูติสีขาวเอ่ย “ รู้ใช่ไหมว่าเรากำลังเจออยู่กับอะไร”


   “ ยมทูติสีดำครับ” ปิติภัทรตอบ “ จากพื้นที่นั้นถ้าท่านเรียงแบบนี้”


   “ ใช่มันคือดาวหกแฉก เป็นสัญลักษณ์ยมทูติสีดำ” พูดจบก็ปรากฏเส้นที่ขาดตามภาพนั้น เป็นสัญลักษณ์ที่เกิดจากสามเหลี่ยมด้านเท่าสองอันวางซ้อนทับกันโดยอีกอันวางตรงข้ามกัน และบริเวณที่เกิดขึ้นล่าสุด อยู่ตรงกลาง “ พวกมันกำลังสร้างพลังให้กับใครสักคน เพื่อบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับที่นี่”


ภาพไร่ส้มที่ด้านหลังเป็นภูเขาพร้อมกับป้ายที่แสดงอย่างชัดเจนว่าที่ที่ปรากฏในภาพนั้นคือไร่ส้มเกรียงไกร คนที่คุ้นชินกับสถานที่นี้มากที่สุดตัวชาไปทั้งตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและความหวาดกลัวเพราะที่นั่นเต็มไปด้วยความทรงจำของเขาและเป็นที่ที่มีคนที่เขารักอยู่


   “ ที่นี่เหรอครับ” ปิติภัทรย้ำ


   “ คู่หูของท่านรู้จักที่นี่เป็นอย่างดี และถ้าเจ้าทำภารกิจนี้จบ ทุกอย่างที่เจ้าสงสัยและทุกอย่างที่เจ้าทำอยู่มันจะจบลงเสียที” เขาส่งยิ้มอันแสนเยือกเย็นมาให้ก่อนจะกระโดดกลับขึ้นไปด้านบน “ ยิ่งช่วยคนได้มากเท่าไหร่ เรื่องมันจะง่ายมากขึ้นเท่านั้น ถ้ามีคนนอกจากสมุดตายเพิ่มมากขึ้นเท่ากับว่า พลังของใครสักคนเพิ่มขึ้นตามไปด้วยแล้ว”


สิ้นคำพูดของคนที่อยู่เบื้องบน ทั้งสองก็ถูกผลักกระเด็นให้กลับมายังโลกมนุษย์ในห้องของปิติภัทร ใบหน้าของปณิธานเต็มไปด้วยความกังวล เขาเดินไปมารอบห้องอย่างใช้ความคิด


   “ ที่นั่นคือที่ไหน ปาร์ครู้จักใช่ไหม” ปิติภัทรตัดสินใจถามก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนของคนที่เดินไปมาตรงหน้า “ ถ้ารู้ก็เล่าให้เราฟังเถอะเรื่องมันจะได้ง่ายขึ้น”


   “ อืมกูรู้จัก ที่นั่นเป็นบ้านของกู เป็นไร่ของลุงกู คนที่นั่นมีแต่คนที่กูรัก แล้วไงบอกอะไรไปแล้วช่วยได้มากกว่านี้หรือเปล่าล่ะ” เขาตะคอกกลับ ใบหน้าของคนถามเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “ กูขอโทษ กูแค่เครียด”


   “ เฟิร์สไม่โกรธหรอก เฟิร์สเข้าใจ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปที่ไร่ส้มกันนะ”


ปณิธานนั่งมองนาฬิกาที่อยู่บนผนังห้องที่หมุนผ่านไปช้าๆทีละตัวเลขอย่างอ่อนใจ เขาไม่เคยรู้สึกร้อนลนอย่างนี้มาก่อน เขาห่วงทุกคนที่อยู่ที่ไร่ส้ม ทุกการตายและยมทูติสีดำมันเกี่ยวข้องอะไรกันแน่กับลุงหรือคนที่นั่น
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ของปิติภัทรดังขึ้นพอดีกับนาฬิกาบนผนังบอกเวลาตีหน้าสามสิบนาที คนที่นอนอยู่บนเตียงเพิ่งหลับไปเมื่อตีสามควานหาต้นเสียงก่อนจะหยิบมันมาปิดเสียงเตือนลง เขาเดินเข้าไปในห้องน้ำจัดการทุกอย่างด้วยเวลาอันสั้น


   “ ไปกันเถอะ” เขาพูดก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถที่วางอยู่หัวเตียงแล้วเดินลงด้านล่างไป


   “ ทำไมเราไม่หายตัวไปล่ะ” ปณิธานถาม


   “ เราจะไปแบบคนนี่แหละอย่างน้อยเราจะได้ทำความรู้จักกับที่นั่นให้มากๆอีกอย่างการหาข้อมูลอาจจะง่ายขึ้นถ้าเรามีคนรู้จักหรือสามารถหาต้นตอของเรื่องนี้ได้” เขาตอบก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถสีขาวแล้วขับมันออกไป “ เดี๋ยวเฟิร์สขอแวะซื้อกาแฟก่อนนะ”   


   “ ได้สิ แล้วมึงขับรถไหวหรือเปล่า”


   “ ไหวสิแค่นี้เอง เฟิร์สถึกอยู่แล้ว แค่มีกำลังใจอยู่ข้างๆก็พอ” เขาพูดพร้อมกับเลี้ยวเข้าไปที่ปั้มน้ำมัน


   “ ลงไปซื้อกาแฟเลยไป”


   “ ครับ รอไม่นานหรอกไม่ต้องคิดถึงนะ” เขาเดินอารมณ์ดีไปที่ร้านกาแฟ ไม่นานก็มาพร้อมกับอเมริกาโน่ร้อนในมือ เขาวางมันลงที่ข้างขับก่อนจะขับรถออกจากปั้มไป



ไร่ส้มเกรียงไกรตั้งอยู่ที่อำเภอฝางซึ่งไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบกิโล จากตัวเมืองที่เต็มไปด้วยตึกราบ้านช่องเปลี่ยนมาปิด ธรรมชาติที่แสนงดงาม แต่ก็แฝงไปด้วยความเจริญเพราะทุกที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยงหรือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจจะมีรีสอร์ทหรือสิ่งก่อสร้างแทรกขึ้นอยู่ตลอด


คนขับเหยียบคันเร่งได้มากกว่าปกติเพราะทั้งเส้นทางแทบไม่มีรถสัญจรผ่านไปมาเท่าไหร่นักอาจเป็นเพราะเขาออกจากบ้านมาแต่เช้าหรือไม่ก็ยังไม่ใช่ช่วยเทศกาล


ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก็ขับมาถึงสะพานสีขาวด้านล่างคือลำธารที่ไหลผ่านทุ่งดอกหญ้าและเป็นสัญญาณอันดีว่าป้ายข้างทางเขียนว่า ไร่ส้มเกรียงไกรอีกสามสิบกิโลเมตร ปิติภัทรหยิบกาแฟที่เหลืออยู่ก้นแก้วออกมาดื่มพรอมทั้งลดกระจกลงเพื่อสัมผัสบรรยากาศโดยรอบ เพราะอีกอีกสิบห้านาทีเขาจะถึงจุดหมายปลายทาง


เมื่อขับมาไม่นานจากทุกหญ้าก็เปลี่ยนเป็นรั้วที่ติดลวดหนามยึดกับเสาปูนซีเมนลากเป็นแถวยาวตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาถึง ปากทางเข้าที่มีป้ายไม้สลักเป็นลายเขียนว่า ไร่ส้มเกรียงไกร มีพนักงานมาคอยเปิดประตูให้ในทันที


พอลงจากรถอุณหภูมิที่หนาวเย็นก็มาสัมผัสกับร่างกาย ด้านซ้ายมือของชายหนุ่มเป็นจุดเช็คอิน โดยมีบนชิงช้าเล็กๆไว้เพื่อถ่ายรูป
ที่ไร่ส้มเกรียงไกรแบ่งพื้นที่ทำเป็นที่พักด้วย ซึ่งที่พักนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือส่วนที่สำหรับกางเต้นท์ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่จะมาเก็บบรรยากาศ และประหยัดงบและอีกส่วนจะเป็นที่พักสำหรับคนกะจะมาเที่ยวสบายๆ มีที่พักแอร์เย็นๆ ก็จะมีบ้านพักที่สร้างจากไม้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นทรงกระบอก หกเหลี่ยมหรือแม้กระทั่งทรงกระโจมเหมือนพวกชนเผ่าก็มีซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาจึงทำให้ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่นก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวไม่น้อยแวะเวียนมากันอย่างเนืองแน่น


บริเวณจุดจอดรถเต็มไปด้วยผู้คนมากมายกำลังตั้งหน้าตั้งตายกของ และบริเวณนั้นมีกลุ่มผู้คนกำลังรุมอะไรบางอย่าง พร้อมเสียงผู้คนกรีดร้อง คนที่เพิ่งลงจากรถวิ่งไปที่จุดเกิดเหตุในทันที


ทันทีที่ไปถึงก็พบว่า เสียงหวีดร้องเพื่อครู่เป็นเสียงของบรรดาแฟนคลับและนักท่องเที่ยวบางกลุ่มไปไปหากลุ่มนักแสดงกลุ่มใหญ่ ที่เพิ่งลงจากรถตู้โดบกไม้โบกมือทักทายแฟนคลับอย่างเป็นกันเอง คนที่วิ่งไปเมื่อครู่หยุดนิ่งพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ


   “มีอะไรให้ช่วยเหลือหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงอบอุ่นกังมาจากด้านหลัง


   “ สวัสดีครับ”เขาหันกลับไปยกมือไหว้พัลวัน กับคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้า คมเข้มที่มีหนวดขึ้นมาพอเป็นแรเงาให้กับใบหน้า รอยยิ้มที่ดูใจดีส่งยิ้มมาให้ ชุดที่เขาใส่เป็นชุดคล้ายๆกับคาวบอย คือมีเสื้อลายสก็อตกับกางเกงยีนส์ รับกับเครื่องหนังได้แก่หมวกและรองเท้าได้เป็นอย่างดี


   “ มาเที่ยวคนเดียวเหรอ หรือว่ามาตามดารา”


   “ เปล่าครับ” ปิติภัทรปฏิเสธ “ ผมเป็นเพื่อนของปาร์คน่ะครับ” เขาตอบกลับทำให้คู่หูที่มาด้วยจ้องตาเขม็ง


   “ อ่อ เพื่อนปาร์คนี่เอง แต่แปลกทำไมลุงไม่เคยรู้จักเลยล่ะ ปกติแล้วเพื่อนตาปาร์คทุกคนลุงจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี แล้วทำไมลุงไม่เคยเห็นหน้าเลยล่ะ”


   “ ผมเป็นเพื่อนที่คณะน่ะครับ ผมทราบข่าวว่าอัฐิของปาร์คอยู่ที่นี่เลยจะมาเยี่ยมเสียหน่อย” เขาอธิบาย “ ถ้าไม่เป็นการรบกวนผมขอไปเยี่ยมปาร์คได้ไหมครับ”


   “ ได้สิ แต่ต้องรอหน่อยนะ ทางที่จะไปน่ะทางกองถ่ายละครเขามาใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ เย็นๆโน่นแหละถึงจะผ่านไปได้เพราะต้องนั้นลุงปิดเอาไว้ เอาอย่างนี้แล้วกันมาพักดื่มน้ำดื่มท่าก่อนดูแล้วนอนมาไม่พอล่ะสิเนี่ย ตาโหลเชียว” เขาหัวเราะออกมาย่างอารมณ์ดี “ เชิญๆๆ”


   “ ขอบคุณครับ”

หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.3.19 บทที่ 6 WHO?
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 07-03-2019 02:43:28
ต่อ

โซนร้านอาหารอยู่ห่างจากตัวที่เขายืนอยู่ไม่เท่าไหร่นัก แดดช่วงเช้านี่ก็กำลังบวกกับอากาศเย็นๆของที่นี่แล้วนับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่ามายลบ่อยๆ แต่คงไม่ใช่สำหรับปิติภัทรที่พยายามมองไปมารอบตัวอย่างจับผิด เขาไม่ได้สนกับการดื่มด่ำกับบรรยากาศเท่าไหร่นัก


   “ มีอะไรหรือเปล่าพ่อหนุ่ม” ลุงเกรียงไกรถามขึ้นเพราะเห็นท่าทางผิดปกติของเขามาตั้งแต่ต้น


   “ มีอะไรบอกลุงมาเถอะนะ ลุงเห็นพ่อหนุ่มพยายามมองหาอะไรสักอย่างมาสักพักแล้วนะ” สีหน้าในดีเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น “หรือถ้าพ่อหนุ่มคิดที่จะ”


   “ ไม่มีอะไรจริงๆครับ ผมแค่มองดูว่าคนที่นี่เขาอาศัยกันอยู่ที่ไร่กันหมดเลยเหรอครับ เพราะนอกจากตัวไร่แล้วตลอดเส้นทางที่ผมขับรถมาก็ไม่เห็นมีบ้านชาวบ้านอยู่เลย”


   “ ใช่แล้วล่ะ คนงานทุกคนจะพักอยู่ด้านหลังไร่ เรามีที่พักให้กับพนักงานทุกคน เป็นการช่วยให้ชาวบ้านแถวนี้มีงานทำด้วยไง” เขาพูจบก็ยื่นเมนูอาหารไปให้กับคนตรงหน้า “ สั่งอาหารก่อนดีกว่าที่นี่อร่อยทุกอย่างเลยนะ ยิ่งมามาเลดนะอร่อยอย่าบอกใครเชียวตาปาร์คเขาเป็นคนคิดสูตรเองเลยนะ” คนเป็นลุงยิ้มทันทีเมื่อนึกถึงหลานชาย ดวงตาของเขาเริ่มแดงขึ้น


   “ ผมเอาเซตมามาเลดนี่กับข้าวต้มก็แล้วกันครับ” เขาชี้ไปที่รูปเป็นการตัดบท
คนที่มีด้วยอย่างปณิธานมองดูลุงของตนอย่างเป็นห่วง ถึงแม้ว่าตัวของเขาจะมีความสุขที่ได้เจอกับลุงของตนเอง แต่ว่ามันก็เศร้าที่เขาไม่สามารถที่จะเข้าใกล้หรือพูดคุยได้อย่างเคย


   “ ผมคิดถึงลุงนะครับ” เขาพึมพำออกมา
ปิติภัทรเอื้อมไปจับมือของคู่หูของเขาอย่างเข้าใจ การที่อยู่ใกล้คนที่รักแต่ไม่สามารถที่จะสัมผัสหรือพูดคุยด้วยได้มันคงทรมานมากเพราะตัวเขาก็เป็น


   “ คุณลุงสนิทกับปาร์คมากเลยเหรอครับ” คนถูกถามชะงักไปครู่หนึ่งทำให้คนถามเองถึงกับหน้าเสีย “ ขอโทษครับ”


   “ ไม่เป็นไร ว่าแต่เราเป็นเพื่อนของปาร์คมานานหรือยังล่ะ”


   “ สักพักแล้วล่ะครับ พอดีว่าผมเป็นเพื่อนกับปอนด์ที่เป็นเพื่อนของนนท์น่ะครับเราเลยรู้จักกัน”


   “ อ๋อ เข้าใจแล้วเพื่อนของนนท์นี่เอง ดีเลยวันนี้นนท์กับจักรเขาก็จะมาที่นี่เหมือนกันนะ ปกติแล้วเขาจะมากันทุกวันหยุดเลยล่ะ แต่ครั้งนี้ไม่รู้คิดยังไงถึงได้รีบมา”


   “ ดีเลยครับ ผมก็อยากเจอนนท์อยู่พอดี” เขาตอบ


ไม่นานอาหารที่สั่งไปก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะลุงเกรียงไกรขอตัวลุกไปทำธุระที่หลังร้านทิ้งให้คู่หูยมทูตินั่งอยู่ที่โต๊ะตามลำพัง
มามาเลดที่ใส่ไว้ในขวดแก้วใสโชว์สีของส้มและผิวส้มดูน่ารับประทานวางคู่มากับขนมปังที่ปิ้งมาอย่างพอดีบนจานจานสีขาวสะอาด


   “ ไหนมาลองชิมหน่อยดีกว่าว่ามันจะหวานเหมือนคนทำหรือเปล่านะ” ปิติภัทรพูดพร้อมกับเกลี่ยเนื้อมามาเลดไปบนแผ่นขนมปังก่อนจะนำมันเข้าปาก เขาเคี้ยวช้าๆเนิบๆเพื่อเป็นการแกล้งคนที่นั่งข้างๆ “ หอม หวานอมเปรี้ยว อร่อยดีนะ แต่ไม่อร่อยเท่าคนทำ”


   “ หุบปากไปเลย อย่าหันมาพูดกับกูเดี๋ยวคนอื่นเขาก็สงสัยกันหมดหรอก” ปณิธานทำเสียงดุใส่


   “ มีใครที่ไหน แม่ครัวก็เข้าไปหลังร้าน ร้านมันก็ยังไม่เปิดซะหน่อยกลัวอะไร”


   “ เห็นคุณเกรียงไกรไหมครับ” เสียงนุ่มหูดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับเสียงกระดิ่งที่ประตูหน้าร้านที่ดังขึ้น คนที่เข้ามาใหม่ส่งรอยยิ้มมาให้ ผิวของเขาขาวเนียน ใบหน้าเปื้อนยิ้มเดินเข้ามาใกล้ทุกที “ ผมมาหาคุณเกรียงไกรครับ”


   “ ครับ” ปิติภัทรวางขนมปังในมือลงก่อนจะตอบกลับไป “ ลุงอยู่หลังร้านครับเดี๋ยวผมไปตามให้นะครับ” เขาทำท่าจะลุกไปจากเก้าอี้แต่ประตูที่เชื่อมระหว่างหลังร้านกับตัวร้านเปิดขึ้นเสียก่อน


   “ อ้าว ไอ้เมฆ”เขายิ้มทักทายพร้อมกับเดินกลับเดินเข้าไปหาคนที่มาเยือน “ ไหนบอกว่าจะมาถ่ายละครไงวะ ทำไมมึงถึงได้โดดกองมายืนอยู่ตรงนี้”


   “ ไอ้พระเอกซุป’ตา น่ะสิ มากองสายนี่ยังมาไม่ถึงเลยเนี่ยเขาเลยเลื่อนกองเนี่ย” เขาบ่นอุบก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่โต๊ะข้างๆ “ เสียใจเรื่องหลานพี่ด้วยนะครับ ผมไม่ได้มาร่วมงานเลย”


   “ เออไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ” ลุงเกรียงไกรเสียงอ่อนลงก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “ ว่าแต่แกเหอะช่วงนี้ทำไมมีแต่ข่าวว่าไปมีเรื่องกับดาราใหม่มันเป็นเรื่องจริงเหรอวะ”


   “ จริงสิพี่คนอะไรแม่งเรื่องเยอะ โน่นก็ไม่ดีนี่ก็ไม่เอา เด็กสมัยนี้มันไม่รู้หรอกว่านักแสดงรุ่นก่อนเขาใช้ฝีมือกันไม่ได้ใช้แค่หน้าตา แล้วเล่นแบบหลอกคนดูไปวันๆไม่รู้สึก ร้อนไม่เอาเบา เลอะไม่เล่น”


   “ นี่กำลังพูดถึงผมอยู่หรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มที่เดินผ่านเข้ามาในร้านคนใหม่เดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารที่ลุงเกรียงไกรกับนักแสดงรุ่นพี่นั่งอยู่


   “ คนเรื่องเยอะในกองคงมีไม่กี่คนหรอกมั้ง” เมฆาพูดก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปหาคณินที่ยืนอยู่ตรงหัวโต๊ะ “ พระเอกละครผมมาแล้วเดี๋ยวผมไปเตรียมต่อบทก่อนนะครับพี่ เดี๋ยวผมแวะมาใหม่”


   “ มาหาได้ตลอดแหละมึงยังต้องมาถ่ายที่นี่เป็นอาทิตย์” เขาว่าก่อนจะตบบ่าเบาๆ
คนที่ยืนมองยิ้มมุมปาก “ อ๋อ ธุรกิจครบวงจรนี่เอง มิน่าล่ะถึงได้เสนอโลเคชั่นมาถ่ายซะไกลขนาดนี้ ดีๆ เวลาตกงานจะได้มาทำไร่ทำสวนที่นี่”


พูดจบมือหนาของนักแสดงรุ่นใหญ่ก็คว้าเข้าที่ไหล่ของคนที่ยืนยิ้มอยู่อย่างรวดเร็ว “ จะมีปัญหากับกู ก็มีแค่กูคนเดียวอย่าไปก้าวร้าวใส่พี่กู”


   “ โกรธด้วยเหรอ” เขาส่งยิ้มไปให้ “ ผมบอกเลยนะ ถ้ากองละครกองนี้ไม่มีผมล่ะก็ เจ๊งแน่ บทก็แย่ นักแสดงสมทบยังแย่อีก” เขาขยับแว่นสีชาให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว


   “ ผมขอโทษด้วยนะพี่ ที่พี่ต้องมาโดนไอ้ริวมันดูถูก”


   “ ดูถูกที่ไหน ก็กูทำไร่ทำสวนจริงๆนี่หว่า มึงเองเถอะอย่าไปอะไรมากมายเลยอะไรปล่อยๆได้ก็ปล่อยเดี๋ยวมันก็ได้รับบทเรียนเองแหละ”


   “ จริงพี่ผมก็รอดูวันที่มันตกอับอยู่เหมือนกันเห็นว่าผู้จัดหลายคนก็ไม่ชอบมันเหมือนกัน ไปแล้วพี่เดี๋ยวผมมาหาใหม่” เขายกมือไหว้ก่อนจะเดินออกจากร้านไป


   “ ขอโทษที พอดีรุ่นน้องสมัยเรียนมหาลัยมันมาทักทายน่ะ พ่อหนุ่มคงเกิดไม่ทันตอนมันดังสินะ”เขาหัวเราะก่อนที่ประตูหน้าร้านจะเปิดอีกครั้งหนึ่ง “ วันนี้มันวันดีจริงๆเดี๋ยวคนโน้นไปคนนี้มา”


   “ บ่นแบบนี้เบื่อหน้ากันแล้วเหรอลุง” รณจักรเดินเข้ามากอดพร้อมกับยกมือไหว้ “ อ้าวเฟิร์ส” เขาทักขึ้นหลังจากออกจากอ้อมกอด


   “ อืม ไงจักร”


   “ ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่นะ” รณจักรทักพร้อมกับหันไปยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ


   “ มาทำอะไรที่นี่” ชยานนท์เอ่ยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ฝั่งตรงข้าม “ จะมาเข้าทางลุงเหรอ”


   “ นนท์” จักรดุก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งนิ่งอยู่ “ มาหาปาร์คเหรอ”


   “ อืม” เขาตอบสั้นๆ


   “ เดี๋ยวลุงไปเขาข้าวกับขนมมาให้ดีกว่าคุยกันไปก่อนเลยนะ” ลุงเกรียงไกรเดินกลับเข้าไปหลังร้านทันทีหลังจากพูดจบ


   “ ถ้าเรามีเรื่องอยากให้ช่วยจะได้หรือเปล่า” ปณิธานที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้น แต่ต้องชะงักเมื่อสายตาของคู่หูจ้องมาทางเขาอย่างรวดเร็ว


   “ มีอะไรใช้ช่วยเหรอ บอกเราได้เลยนะ เราพร้อมจะช่วย”


   “ ช่างมันเหอะ ไม่มีอะไรหรอก” เขาตัดบทก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย “ มาที่นี่กันบ่อยเหรอ ขอบคุณนะที่อยู่เป็นเพื่อนลุงของเรา”


   “ ลุงเกรียงไกรก็เหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของเราอีกคนนึงแหละ เราก็ต้องมาหาอยู่แล้วล่ะ แล้ววันนี้ก็ตั้งใจจะมาลาแกแหละ”


   “ แล้วจะไปไหนกันล่ะ” คนที่ยกอาหารมาวางถามขึ้น


   “ ลุง” รณจักรผงะด้วยความตกใจ “ มาตั้งแต่ตอนไหนครับเนี่ย”


   “ เพิ่งมาตอนที่จักรบอกว่าจะมาลาลุงเนี่ย จะไปไหนหนีตามกันเหรอ” เขาพูดติดตลกก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่บริเวณหัวโต๊ะ


   “ ลุงก็ พอดีเพื่อนที่กรุงเทพเรียกไปช่วยงานประมาณสองสามอาทิตย์น่ะครับ”


   “ แล้วนนท์ล่ะ จะตามไปคุมว่าอย่างนั้นเถอะ” ลุงแกหันไปถามอีกคนที่นั่งเงียบ


   “ เปล่าครับ ผมแค่จะไปหางานพิเศษทำก่อนที่จะกลับมาเรียนต่อปอโทที่นี่ครับ ใครจะไปคุมเขาได้ล่ะ ไม่ใช่ใครจะมาฟังผมล่ะ”


   “ อย่ามาเยอะ ก็บอกว่าไปทำงาน” คนเป็นแฟนตีแขนไปทีนึง “ เราว่าจะมาลาปาร์คด้วยน่ะครับ”


   “ คงยังไม่ได้หรอกต้องรอเขาพักกองกันก่อนค่อยไปนะ พอดีรุ่นน้องลุงเขามาขอใช้ตรงสวนด้านหลังเป็นสถานที่ถ่ายทำละครน่ะ”


หลังจากรับประทานมื้อเช้าเสร็จลุงเกรียงไกรก็ขอตัวไปทำงานต่อ ทิ้งไว้เพียงทั้งสี่คนที่กำลังนั่งรอเวลาที่จะไปเยี่ยมโกศใส่อัฐิของคนที่จากไป


   “ จริงๆจักรกลับไปก่อนก็ได้นะ เรารับรู้แล้ว” ปณิธานเอ่ยหลังจากนั่งรอมาได้สักพัก


   “ ไม่ได้หรอกเราตั้งใจมาเอาบางอย่างที่นี่อยู่แล้ว” รณจักรพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง


   “ ทำไมยิ้มแบบนั้นล่ะ เราขนลุกหมดแล้วนะ” ปณิธานพูด “ เออเฟิร์สมึงงีบรอก่อนมั้ย นอนมาได้แค่แป้บเดียวเองไม่ใช่เหรอ”


   “ คู่นี้ไปถึงไหนกันแล้วเนี่ยเป็นห่วงเป็นใยกันเชียว น่าอิจฉาเนอะ ไม่ขี้งอนเหมือนใครบางคนด้วย” รณจักรพูดจบพร้อมกับคน

ที่นั่งถอนหายใจเสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจอยู่ข้างๆ


   “ เออนนท์มันขี้งอน” พูดจบชยานนท์ก็ลุกออกไปจากวงสนทนาอย่างรวดเร็ว


   “ ไม่ตามไปเหรอ” ปณิธานถาม


   “ ไม่ล่ะเดี๋ยวก็หายเอง”


   “ ตามไปเถอะเชื่อเรา ไอ้นนท์มันฟอร์มจัดไปอย่างนั้นแหละจริงๆมันไม่ได้โกรธอะไรหรอกมันแค่อยากให้จักรสนใจมันบ้าง ตามมันไปเถอะนะ”


   “ อืม” รณจักรรับคำสั้นๆก่อนจะเดินออกจากร้านตามคนขี้งอนออกไป


   “ รู้ใจเชียวนะ” ปิติภัทรพูดพร้อมกับหันหน้าไปทางปณิธานที่มองตามสองคนที่เดินออกจากร้านไป “ อยากรู้จังถ้าเป็นเฟิร์สง

อนแล้วเดินออกไปบ้างปาร์คจะตามไปหาเฟิร์สหรือเปล่านะ”


   “ ตามไปทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ปณิธานตอบอย่างไม่ยี่หระกับบทสนทนาที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก “ มึงก็ไปนอนที่รถรอก่อนดีมั้ย เดี๋ยวก็ขับรถกลับไม่ไหวหรอก”


   “ เป็นห่วงเหรอ”


   “ เปล่า”


   “ แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วย”


   “ หน้าแดงอะไร มึงควรรู้ไว้นะกูเป็นยมทูติไม่มีเลือด หน้าจะแดงได้ไงมันไม่มีอะไรขึ้นไปเลี้ยงแล้ว”


   “ แล้วจะพูดแก้ต่างหรือตะกุกตะกักทำไม” ปณิธานยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ จริงๆถ้ารู้สึกอะไรแสดงออกมาบ้างสิให้เฟิร์สมีกำลัง
ใจในการจีบต่อหน่อยน้า นะๆๆๆๆ”

   “ เออ”


   “ เอออะไร”


   “ เออก็ คือเออมึงอยากตีความว่าอะไรก็เรื่องของมึง ไปนอนรอที่รถดีกว่าไปลุก”


ทันทีที่ถึงรถเขาก็เปิดประจกทิ้งไว้และปรับเบาะลงด้วยอากาศที่เย็นกำลังพอดีกับความง่วงที่สะสมมานาน ทำให้ปิติภัทรหลับลงได้อย่างง่ายดาย เวลาผ่านไปเท่าไหร่เขาไม่อาจรู้ได้เลย มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อมีใครบางคนมาเคาะเรียกที่ข้างรถ


   “ ไปเขาพักกองแล้ว”  เสียงคุ้นดังขึ้นคนที่นอนอยู่ปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างที่ส่องเขามาในรถพร้อมกับปรับเบาะขึ้นมาอยู่ในสภาพปกติ “ นี่ผ้าเย็น เอาไปเช็ดหน้าสิ”


   “ เรานอนหลับนานไหร่เนี่ย”


   “ สองสามชั่วโมงได้ล่ะมั้ง นี่ก็จะเที่ยงแล้วเนี่ย เรารีบไปกันเถอะ ปาร์คกับนนท์ไปรอที่ท้ายไร่แล้ว”


ทางไปโกศของปณิธานต้องเดินผ่านกลางสวนส้มเข้าไป แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยงแต่อากาศก็ยังคงเย็นสดชื่นอยู่ ต้นหญ้าสีเขียวที่อยู่ตามพื้นยังคงมีไอน้ำเกาะอยู่เป็นบางจุด


ต้นส้มที่อยู่สองข้างตลอดทางเดินทั้งสองฝั่งยิ่งทำให้ดูร่มรื่นสบายตา ทิวเขาด้านหลังที่มีหมอกจางๆปกคลุมอยู่ทำให้คนที่เพิ่งเคยมาตื่นได้อย่างเต็มตาแต่ก็คงไม่สุขใจเท่าไหร่นักเพราะคนที่เขารัก ไปกับคนที่เขาคนนั้นเคยแอบชอบ


สองฝีเท้าพยายามเร่งให้เร็วที่สุดเพื่อให้ไปถึงจุดหมาย เมื่อมาถึงแปลงกุหลาบสีขาวก็บานสะพรั่งล้อมรอบโกศสีขาวที่มีรั้วไม้เล็กๆล้อมรอบอยู่



   “ รอนานหรือเปล่า” รณจักรเอ่ยทัก


   “ ไม่นานหรอก” เขาส่งยิ้มกลับคืนไปทางคนรักของตนเอง


   “ เคลียกันรู้เรื่องแล้วเหรอ” ปิติภัทรที่เดินตามหลังมาถาม


   “ แน่ล่ะ ลองโกรธนานดูสิ” เขาหันไปมองใส่คนที่ยืนข้างๆ “ งอนมากๆไม่ง้อจริงๆด้วย”


   “ ค้าบบบ ไม่งอนพร่ำเพรื่อแล้วค้าบบบ”


   “ ดีมาก” พูดจบรณจักรก็เดินไปที่โกศซึ่งมีปณิธานยืนรออยู่แล้ว “ คือเราเอาไดอารี่ของปาร์คมาคืน ในนั้นเราเขียนหลายๆอย่างถึงปาร์คด้วยนะ นนท์เองก็เขียน เราเลยจะฝากให้เฟิร์สเอากลับไปด้วย มันควรอยู่กับปาร์คนะ” พูดจบรณจักรก็ถือกล่องไม้ที่บรรจุไดอารี่ที่เป็นเหมือนความทรงจำของปณิธานไปยังปิติภัทร “ เราฝากด้วยนะ เรามาเพื่อเท่านี้แหละ เพราะจริงๆถ้าไม่เจอกันที่นี่เราก็ว่าจะแวะเอาไปให้ที่ร้าน”


   “ ขอบคุณนะ เดินทางปลอดภัย” ปณิธานโบกมือลาทั้งสองที่เดินออกจากบริเวณนั้นไป เขามองไม่เห็นแผ่นหลังทั้งสองและ
จ้องมันอยู่อย่างนั้น


   “ น้อยใจ”


   “ น้อยใจอะไร” เขาหันไปถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ


   “ ก็มันน่าน้อยใจไหมล่ะ เฟิร์สอยู่ข้างๆเอาแต่มองคนอื่น”


   “ เออ ขอโทษ “ เขาตัดบท “ เราไปตามหาคนที่จะเป็นเหยื่อของยมทูติสีดำกันดีกว่า เดี๋ยวกองถ่ายจะเริ่มเสียก่อน”


   “ อืมไปเถอะ”


ทั้งคู่พากันเดินไปทั่วบริเวณทั้งในสวนส้ม คอกม้าหรือแม้กระทั่งการเดินตัดผ่านไปที่ด้านหลังของไร่ส้มเกรียงไกรที่เป็นบ้านพักของพนักงาน แต่ก็ไม่มีแววของยมทูติสีดำเลยแม้แต่น้อย


   “ เอายังไงดี” ปณิธานหันมาหาปิติภัทรด้วยความกังวลหลังจากเดินมาหยุดที่รถของตนเพื่อพักขาที่ใช้ในการเดินเป็นรอบที่สอง “ เราไม่สามารถใช่พลังอะไรหาได้เลยเหรอ”


   “ ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นพวกยมทูติสีดำมันรู้ตัวแน่”


   “ เออ ภาวนาว่าอย่าเพิ่งเกิดเรื่องแล้วกัน” ปณิธานเอ่ย “ วันนี้เรากลับกันก่อนเถอะ”


ทั้งคู่พากันเดินกลับเข้าไปที่จุดต้อนรับ ลุงเกรียงไกรกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บริเวณโซฟาด้านในที่ถูกขัดจนมันขวับ เมื่อทั้งคู่ไปถึงคนที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ก็หยุดอ่านและพับมันวางไว้


   “ ผมจะมาลาครับ”


   “ จะกลับแล้วเหรอ นอนค้างก่อนได้นะบรรยากาศกำลังดีเชียว”


   “ ไม่เป็นไรดีว่าครับ เดี๋ยวผมต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านต่อ” ปิติภัทรตอบก่อนจะล้วงไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าของตน “ คุณลุงครับ ผมขอเบอร์แลกเบอร์กับคุณลุงไว้ได้ไหมครับ ถ้ามีเหตุการณ์อะไรไม่ดีคุณลุงสามารถโทรหาผมได้เลยนะครับ”


   “ ไม่เป็นไรหรอกพ่อหนุ่ม”
   “ นะครับ ถือว่าผมเป็นหลานอีกคนก็แล้วกันนะครับ จักรเองมันก็ฝากผมไว้” เขาอ้างถึงหลานรักอีกคนที่กลับไปแล้วขึ้นมาทำให้อีกคนใจอ่อน


ลุงเกรียงไกรรับมือถือของปิติภัทรไปก่อนจะกดเบอร์โทรเข้าหาเครื่องตัวเอง “ นี่นะ ยังไงก็ขอบคุณมากที่เป็นห่วงกัน มาเยี่ยมลุงบ่อยๆล่ะ”


“ ครับ ผมลาล่ะครับ” เขายกมือไหว้ก่อนจะเดินออกมา





รถคันสีขาวแล่นออกจากไร่ส้มไปช้าๆ พร้อมกับเงามืดที่ค่อยๆปรากฏขึ้นบริเวณเหนือไร่ส้มทีละนิด มันค่อยๆแผ่ไปทั่วบริเวณรอบ ทุก
อย่างกำลังเริ่มขึ้นแล้ว







หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.3.19 บทที่ 6 WHO?
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 07-03-2019 23:02:13
โอ้วว ซับซ้อนซ่อนเงื่อน
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.3.19 บทที่ 6 WHO?
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-03-2019 23:35:58
ใกล้จะได้อ่านเรื่องสยอง ๆ อีกครั้งแล้ว  :hao3:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.3.19 บทที่ 7 1 st MURDER
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 09-03-2019 06:20:59
7
1 st MURDER


หญิงสาววัยกลางคนยืนอยู่ที่มุมห้องสีดำที่ปกคลุมไปด้วยไอเย็น เธออยู่ในชุดสีดำ ผมสีดำยาวจนถึงบริเวณบ่าลงมาปกคลุมบริเวณใบหน้าซีดเซียว เธอยืนก้มหน้าร้องไห้อย่างไม่สีสติ เสียงนั้นฟังดูโหยหวนมากกว่าโศกเศร้าแต่ไม่สามารถสร้างความหวดกลัวให้กับคนที่ยืนดูอยู่ฝั่งตรงข้ามได้เลย เขาร้องไห้จนเนื้อตัวสั่นด้วยความเสียใจ เพราะเขายิ่งวิ่งเข้าไปหาเท่าไหร่ร่างผู้หญิงคนนั้นก็ยิ่งลอยห่างออกไปทุกที


   “ แม่ แม่ อย่าทิ้งผมไป แม่ แม่รอผมก่อน” คนที่นอนอยู่บนเตียงโบกมือไปมาบนอากาศ แก้มทั้งสองมีน้ำตาไหลออกมาเหมือนกันที่เขาร้องไห้ในความฝัน


ปณิธานที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้วิ่งเข้ามาหาคนที่นอนอยู่บนเตียง เขาพยายามเขย่าตัวคนที่นอนอยู่และเหมือนมีบางอย่างพยายามยามดึงเขาเข้าไปในความทรงจำนั้น ยมทูติหนุ่มจึงจำเป็นต้องปล่อยมือออกและใช้เสียงตะโกนเรียกแทน


โชคดีคนที่นอนฝันร้ายหลุดออกจากภวังค์นั้น เขาลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว ในสภาพที่เหงื่ออาบไปทั่วทั้งร่างกายทั้งๆที่อุณหภูมิภายในห้องถูกปรับให้เย็นจัด เขายกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่อาบอยู่ที่สองแก้ม ไม่มีการสนทนา หน้าของเขานิ่งเรียบเกินกว่าจะเดาออกว่าคิดอะไรอยู่


   “ ฝันร้ายเหรอ” ปณิธานถามพร้อมกับเอื้อมไปจับมือของคนที่นั่งเครียดอยู่ “ มีอะไรบอกกูได้นะ”


   “ ช่างมันเถอะ แค่ความฝันน่ะ” เขาตอบพร้อมกับทิ้งตัวลงไปนอนอีกครั้งหนึ่ง


เป็นครั้งที่สองถ้านับรวมการเมินเฉยใส่คู่หูเพราะตั้งแต่ปรับความเข้าใจกันปิติภัทรไม่เคยทำแบบนี้กับปณิธานอีกเลยจนกระทั่งตอนนี้ เพราะหลังจากที่ทิ้งตัวนอนลงไปเขาก็พลิกตัวหันหลังให้กับคนที่นั่งเป็นห่วงอยู่ข้างๆ


   “ เออไม่เล่าก็ไม่เล่า ถ้าไม่สบายใจก็บอกแล้วกัน จริงๆก็จะไม่ถามหรอกถ้าตอนที่แตะตัวมัน”


   “ มันอะไร ปาร์คเข้ามาในความฝันเฟิร์สเหรอ” เข้าเด้งตัวมาคว้าข้อมือของปณิธานที่กำลังลุกกลับไปเข้าที่


   “ อะไรวะ เจ็บนะเว้ย” เขาสะบัดข้อมือแต่ว่าไม่ออกเพราะมือนั้นแบบแน่นมากขึ้นกว่าเดิม “ กูเจ็บนะเว้ย ทำไมต้องโมโหขนาดนี้ด้วยเหรอวะ”


   “ บอกมาก่อน ว่าได้เข้าไปในความฝันของเฟิร์สหรือเปล่า”


   “ ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยล่ะ แล้วก็ปล่อยแขนกูได้แล้วมันเจ็บ” เขาสะบัดมือตัวเองออกทันทีที่มือที่จับผ่อนมันลงแล้ว
“ วันหลังกูจะไม่ยุ่งไม่ห่วงมึงแล้ว จะฝัน จะตายจะอะไรก็ทำไปเหอะ อ่อแล้วถ้ากลัวว่ากูจะเห็นอะไรในฝันกูบอกเลยว่าไม่เห็น ไม่ได้ยุ่งอะไรกับฝันมึงทั้งนั้น”


   “ ขอโทษ” เขาพูดสั้นๆก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ว่าเขาไม่สามารถข่มตาหลับได้อีกเลย


เพราะตั้งแต่เปลี่ยนคู่หูใหม่ ความฝันพวกนี้ก็กลับเข้ามาหาเขาอีกครั้ง ทั้งๆที่มันเคยหายไปนานแล้ว ปิติภัทรรู้เหตุผลการฝันของเขาดี เขากลัวที่สุดถ้าใครสักคนมารู้ความลับของเขา เขากลัวว่าเรื่องทุกอย่างที่เขาทำมันจะสูญเปล่า


แสงอาทิตย์ในยามเช้าฉายส่องเข้ามาที่ดวงตา เขาไม่เคยกังวลมากขนาดนี้มาก่อน เพราะหากเขาเลือกบางอย่างอาจทำให้ต้องสูญเสียบางอย่างไป


   “ น้องเฟิร์ส น้องเฟิร์สคะ” เสียงที่คุ้นหูดังมาจากที่หน้าประตูห้อง


ปิติภัทรลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็วก่อนจะเปิดประตูไปพบกับต้นเสียง “ เจ้ มีอะไรหรือเปล่าครับทำไมมาหาผมแต่เช้าเลย”


   “ เจ๊จะมาถามหาบิลน่ะ พอดีว่ามันจะสิ้นเดือนแล้วเจ๊ต้องรีบเคลียบิลงานก็หยุดไปหลายวันตอนนี้งอกไปถึงไหนแล้ว” อาโปทำหน้าเศร้า


   “ แหม่เจ๊ส่งช้านิดช้าหน่อยแม่ผมไม่ฆ่าเจ๊หรอกน่า”


   “ รู้ได้ยังไงคะ แม่น้องเฟิร์สโหดจะตายถ้าไม่ส่งงานตรงเวลา” เธอทำท่าจริงจังก่อนจะหัวเราะออกมา “ ล้อเล่นจ้ะ พี่แค่ไม่อยากหมักงานไว้เยอะๆเดี๋ยวไม่มีเวลาไปหาหนุ่มๆ เลยอยากรีบๆเคลีย”


   “ โอเคครับ เดี๋ยวเจ๊รอผมแป้บนึงนะ ผมไปหยิบสมุดที่จดไว้มาให้” เขาเดินกลับเข้าไปหยิบสมุดเล่มสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะมาก่อนจะยื่นให้คนที่ยืนรออยู่ที่ประตู “ นี่ครับ”


   “ ขอบคุณนะ ขอโทษด้วยที่มากวนแต่เช้าเลย” เธอส่งยิ้มให้ก่อนที่จะเดินหายไป


ปิติภัทรปิดประตูห้องลงก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะอ่านหนังสือซึ่งมีคู่หูของเขานั่งอยู่ เขาคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้วเอามือของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มาไว้ในมือของตน แต่ว่ามือนั้นดึงกลับมาอย่างอัตโนมัติ ไม่มีคำพูดแม้กระทั่งสายตาที่แลมายังคนที่นั่งคุกเข่านั้นเลยแม้แต่น้อย


ทั้งห้องเต็มไปด้วยความเงียบ คนที่นั่งอยู่กับพื้นได้แต่ก้มหน้าไม่ยอมพูดจา เช่นเดียวกันกับคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เอาแต่มองไปที่ผนัง ทั้งคู่เงียบแบบนี้จนกระทั่งเวลาผ่านไปใครคนนึงจึงเป็นคนเริ่มก่อน


   “ เจ็บหรือเปล่า” ปิติภัทรเอื้อมไปจับที่ข้อมืออีกครั้ง “ เฟิร์สขอโทษนะ เฟิร์สไม่ได้ตั้งใจ”


   “ นี่ถ้ามึงตั้งใจที่มึงคงต่อยกูไปแล้วมั้ง” ปณิธานตอบกลับโดยที่ไม่หันมาคุยด้วยเลยแม้แต่น้อย


   “ เฟิร์สไม่ต่อยปาร์คหรอก แต่ถ้าปาร์คยังโกรธหรือยังเจ็บที่ปาร์ค” เขาเอามือคนที่นิ่งนิ่งมาตีที่หน้าตัวเอง “ เอาเลย ทำจนกว่าปาร์คจะพอใจ จนกว่าปาร์คจะหายโกรธ เราไม่ได้ตั้งใจ”


   “ หยุด” เขาดึงมือกลับมา “ พอ กูไม่ได้อยากให้มึงเจ็บ แต่ที่กูถามเพราะกูห่วง กูอยากให้มึงเห็นว่ากูอยู่ข้างๆบ้าง ไม่ต้องเล่าทุกอย่างให้ฟังแต่อย่ามาพูดจาหรือทำอะไรไม่ดีใส่”


   “ ห่วง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ อืม เฟิร์สรู้ แต่ที่เฟิร์สทำเพราะเฟิร์สเองก็เป็นห่วงปาร์ค ปาร์คเข้าใจนะ จำที่เฟริ์สเคยบอกได้หรือเปล่าว่าโลกของเรามันน่ากลัวกว่าที่คิด  เฟิร์สไม่อยากให้ปาร์คมาเดือดร้อนเพราะเฟิร์ส”


   “ พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบ มาทำเป็นรุนแรงใส่คนอื่นคิดว่าหล่อมากเหรอ” เขาหันมาผลักคนที่นั่งอยู่กับพื้น “ ไปนอนก่อนไป รู้นะว่าเมื่อคืนไม่ได้หลับ”


   “ แอบมองเฟิร์สเหรอ”


   “ แอบมองก็บ้าแล้ว ไม่เห็นน่ามองสักนิด”


   “ ไม่น่ามองไม่เป็นไรแค่รู้ว่ามีคนห่วงเฟิร์สก็นอนฝันดีแล้ว”



ภายในห้องที่เต็มไปด้วยความมืดมิด กลิ่นสาปของซากศพที่ถูกวางกองเต็มไปทั่วบริเวณ เศษซากของดวงวิญญาณถูกห่วงโซ่พันธนาการไว้กับเสาไปจนทั่วทั้งมุมของห้องแสงไฟอ่อนๆที่จุดไว้เชิงเทียนสว่างพอให้เห็นสัญลักษณ์ดาวหกแฉกที่วาดอยู่บนพื้น มันถูกวาดด้วยเลือดสดๆ ใจกลางของสัญลักษณ์นั้นเป็นร่างของหญิงสาวชุดนักศึกษาที่มีแต่โครงกระดูก เศษเส้นผมที่ติดอยู่บนหัวนั้นหลุดร่วงลงบนพื้นไปตามการเวลา มือทั้งสองข้างถูกตรึงอยู่บนเสาไม้ขาด้านล่างดามด้วยแท่งเหล็กสีดำ ทำให้ร่างนั้นยืนตรงและนั้นไปทางเจ้าของห้อง


ตรงริมหน้าต่างมีโซฟาสีแดงฉานที่บุด้วยหนังชั้นดีวางอยู่บนนั้นมีผู้หญิงที่หน้าตาอ่อนวัยนั่งอยู่ เธออยู่ในชุดสีนำผ้าพลิ้วไหวทุกครั้งเมื่อต้องลม ในมือของหล่อนถือแก้วใสบรรจุน้ำเมาเลิศรสพร้อมกับจ้องมองไปยังร่างที่ตรึงนั้นอย่างเจ็บแค้นใจ เธอไม่ควรตายด้วยการกระทำของผู้ชายที่เหมือนสัตว์เดรัจฉานพวกนั้น


หล่อนยกแก้วไวน์ขึ้นมาดื่นรวดเดียวจนหมดก่อนจะปามันแตกกระจายบนพื้น ก่อนจะหยิบมันขึ้นมากรีดลงที่ข้อมือของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเป็นเหมือนกิจวัตรที่เธอต้องทำจนกระทั่งจะหมดเวลาในชีวิตของเธอ หล่อนกรีดร้องมันออกมาด้วยความทรมาน ดวงตาแข็งกร้าวภาพของบรรดาผู้ชายที่รุมฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเธอลอยเข้ามาทุกครั้งที่กดเศษแก้วนั้นลงไป เสียงหัวเราะอย่างสะใจของผู้ชายเหล่านั้นยังก้องอยู่ในโสตประสาท แรงกดที่ข้อมือจากมือหยาบด้านพวกนั้น เธอยังจำได้ดี กลิ่นสาป หยดเหงื่อและสัมผัสที่น่ารังเกียจทำให้เศษแก้วนั้นกดลึกลงไป จากความเจ็บเปลี่ยนเป็นความแค้น ความแค้นเปลี่ยนเป็นพลัง เธอต้องขอบคุณยมทูติตนนั้น ที่ลักพาตัวเธอมา เจ็ดปีที่ผ่านมาทำให้หญิงสาวเต็มไปด้วยพลัง ความแค้น และพรรคพวก


   “ นายท่าน มีคนบอกว่าเจอยมทูติสีฟ้าในเขตไร่ที่นายท่านสั่งให้เราไปเฝ้าครับ” ชายใต้ผ้าคลุมรายงานหลังจากที่แผลของนายหญิงของเขากลับสู่สภาพปกติ


   “ รอไปก่อน อย่างไรเสียไอ้สัตว์นรกตัวนั้นมันก็เป็นของเรา เรามีสิทธ์ในตัวมันมาตั้งแต่วันที่ฉันตายแล้ว” เธอเอนกายลงไปบนโซฟาอย่างไม่ใส่ใจ “ ถ้าเจอยมทูติตนนั้นอีกก็พามาให้ข้ารู้จักบ้างสิ ที่เป็นลูกของเจ้าน่ะ” เธอหัวเราะออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องน่าขัน “ โลกนี้มันก็แปลกเนอะ ไม่เจอหน้ากันตอนเป็น แต่มาเจอกันตอนตาย”


   “ นายท่านอยากเจอทำไมเหรอครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นกลัวไม่กล้าสบตาเลยแม้แต่น้อย


   “ ข้าก็อยากจะชวนมามีความสุขชีวิตอมตะ เหมือนกับเจ้ายังไงล่ะ”


   “ แต่ว่า”


   “ ไม่มีแต่ และถ้าข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดทรยศข้า เจ้าคงรู้นะว่าจะเป็นอย่างไร” เธอขึ้นเสียงก่อนจะหายตัวไปจากโซฟาสีแดง ทิ้งให้คนที่นั่งอยู่กับพื้นค่อยๆลุกขึ้นมาด้วยความสับสน


   “ จะไปคิดมากอะไรเลวมาทั้งชีวิตแล้วเรื่องแค่นี้เองก็ทำๆไปเถอะ” เสียงหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องเดินออกมาจากความมืด ใบหน้ารูปไข่ส่งยิ้มมาให้อย่างมีความสุข “ ท่านอย่าทำให้ข้าผิดหวังสิ ข้ามาอยู่ที่นี่ก็เพราะท่านนะ”


   “ แต่”


   “ ถ้าท่านไม่กล้า ข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้แทนท่านเอง “ หล่อนเสนอ


   “ แต่ข้าไม่ได้อยากให้ลูกของข้ามาอยู่ในที่แบบนี้ ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะ ถ้าอยากได้อะไรข้าให้ได้หมดเลย” เขาเดินเข้าไปใกล้ฝ่ายหญิงมากขึ้น “ ข้าขอร้อง”


    “ ได้สิ” หล่อนยิ้มร่า “ ฉันช่วยท่านได้นะแต่ขอได้ทุกอย่างจริงเหรอ”


“ จริง ถ้าข้าหามาให้ได้นะ” เขาเริ่มตะกุกตะกักเมื่อต้องทำสัญญากับคนตรงหน้า


“ คู่หูคนเก่าของข้าคงช่วยเหลือข้าได้มากเชียวแหละ” เธอหัวเราะก่อนจะจุมพิตไปที่ปากของฝ่ายชาย “ นี่ข้าขอมัดจำไว้ก่อนถ้าข้าช่วยท่าน ส่วนของรางวัลเดี๋ยวมาเอาหลังเรื่องจบนะ”


พูดจบเธอก็หายตัวไปในความมืดทิ้งให้คนที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำ ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นแล้วมองกลับไปที่ด้านนอกที่กำลังเริ่มต้นใช้ชีวิต เขาจะไม่ยอมทำผิดเป็นครั้งที่สองแน่



ภาพในจอสี่เหลี่ยมฉายละครที่ฉายไปเมื่อคืนวนกลับมาฉายอีกครั้ง ยมทูติหนุ่มนั่งกดเลื่อนไปมาด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะมาหยุดที่ช่องช่องหนึ่ง


   “ รายงานข่าวแซ่บๆค่ะคุณผู้ชม อยากรู้ใช่ไหมล่ะคะ” หญิงสาวผมสั้นประบ่าสวมชุดสีเขียวสะท้อนแสงกำลังเล่าข่าว “ ละครเรื่องใหม่ของผู้จัดพี่เอฟมายารัติกาล ที่ไปถ่ายทำกันถึงเชียงใหม่ ได้ซึ่งได้นักแสดงแม่เหล็กคนใหม่ของวงการ อย่าง ริว พชร มาเป็นนักแสดงนำและนักแสดงมากฝีมือคับคั่ง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นค่ะ ประเด็นหลักของเราขอโฟกัสไปที่รุ่นใหญ่อย่าง เมฆ เมฆานักแสดงพระเอกตลอดกาลของเราค่ะที่เขาว่าไม่พอใจน้องใหม่เอามากๆ มีคนเมาท์มานะคะว่าสองคนนี้ซดเกาเหลากันชามโตเชียวล่ะค่ะ และล่าสุดมีเบื้องหลังหลุดออกมาว่า สองคนนี้ ผิดคิดซัดกันนัวในกองเรียกได้ว่าหมัดต่อหมัดเชียวแหละค่ะคุณผู้ชม ยังไงเดี๋ยวเราโทรไปสัมภาษณ์กับพี่เอฟกันดีกว่าค่ะว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่” พูดจบภาพหน้าจอก็ขึ้นรูปชายวัยกลางคนไว้ผมยาวในชุดยีนส์พร้อมกับเสียงทักทาย


   “ สวัสดีครับ”


   “ สวัสดีค่ะพี่เอฟ ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่เอฟอยู่ที่ไหนคะ”



   “ อยู่ที่เชียงใหม่ครับ มาถ่ายละคร”


   “ ค่ะ พี่เอฟอยู่ในกองละครตลอดเลยหรือเปล่าคะ”


   “ อยู่สิครับ พี่อยู่ตลอด”


   “ ไม่ทราบว่า ภาพหลุดที่ออกมาแล้วมีคนเมาท์ว่าน้องริวกับคุณเมฆต่อยกันระหว่างการถ่ายทำเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ” เธอเริ่มเข้าเรื่อง


   “ ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ ภาพที่หลุดออกไปเป็นภาพที่มาจากการซ้อมการแสดงครับ” คนที่อยู่ปลายสายตอบกลับมา “ ยังไงก็ฝากละครเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ”


   “ อย่างนี้ก็แสดงว่าเป็นการสร้างกระแสเพื่อโปรโมทใช่หรือเปล่าคะ”


   “ ไม่ใช่ครับ เป็นการซ้อมการถ่ายทำ ทีมงานเขาแค่ถ่ายเอาไว้เฉยๆครับ”


   “ ค่ะ ยังไงขอบคุณพี่เอฟมากเลยนะคะ”



ในขณะที่ปิติภัทรนั่งดูโทรทัศน์นั้น อีกฝั่งกำลังนั่งประชุมกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ในห้องอาหารยามเช้า ผู้จัดละครที่เพิ่งวางสายไปจากการสัมภาษณ์เมื่อครู่จ้องมองมายังนักแสดงทั้งสองคนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม ทั้งสองก้มหน้าเพื่อหลบความผิดที่ทำไปเมื่อวานนี้
คนที่เพิ่งแก้ข่าวไปนั่งนิ่งเลื่อนดูกระแสข่าวผ่านโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะวางมันลงเบาๆ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะมองไปด้านหน้าอย่างหงุดหงิด มือของเขากำแน่นแต่เขาเองไม่สามารถที่จะแสดงอารมณ์ไปได้เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ทำงานของเขา


   “ พี่บอกแล้วไงว่าอย่ามีเรื่องกันอีก” เขากัดกรามเพื่อข่มอารมณ์จนกรามปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ เมฆ แกโตแล้วนะเป็นรุ่นพี่ด้วย แกควรระงับอารมณ์ให้มากกว่านี้ ก็รู้อยู่ว่ามีคนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา”
คนที่นั่งข้างๆที่ยิ้มมุมปากแล้วเปรยตาไปมองนักแสดงรุ่นพี่ที่กำลังกำหมัดแน่น ก่อนจะกลับมานั่งนิ่งมือสายตาของผู้จัดหันกลับมามองที่เขาบ้าง


   “ พี่บอกตรงๆเลยนะถ้าช่องไม่ขอให้เอาแกมาเล่น พี่ไม่เอามาแน่ผู้จัดคนอื่นก็เหมือนกัน ถ้ายังอยากอยู่ในวงการนี้นานๆ เปลี่ยนพฤติกรรมซะ คนที่ก้าวเข้ามาในวงการน่ะทุกวัน ของเก่าไปใหม่มา ถ้าไม่อยากเป็นของเก่าที่โดนแยกไว้ทิ้งก็เปลี่ยนพฤติกรรมซะ ไปๆ จะไปไหนก็ไปไป” เขาโบกมือไล่
เมื่อพ้นจากสายตาคนที่นั่งอยู่ในห้องออกมา มือหนาของคนที่อายุมากกว่าก็ลากตัวพชรที่เดินน่าง้ำหน้างอกลับเข้าไปในห้องพัก เขาผลักร่างนั้นลงบนเตียงอย่างแรง


   “ ถ้าจะทำงานด้วยกันก็ตัดเรื่องส่วนตัวออกไป อย่ามาทำตัวเป็นเด็กแบบนี้” เขาพยายามพูดพร้อมกับกดอารมณ์ตัวเองเอาไว้


   “ ผู้ใหญ่ต้องทำยังไง ปิดทุกอย่างเป็นความลับ ควงผู้หญิงกลบความเป็นเกย์ หรือต้องไปนอนกับคนอื่นให้เป็นข่าวฉาวๆ ต้องทำแบบนี้เหรอ ผมผิดด้วยเหรอวะที่หวงพี่ ผมไม่ได้อยากมายืนอยู่ตรงนี้ ที่เข้ามาก็เพราะแค่อยากมาอยู่ข้างๆพี่ ไม่ได้ต้องการมาเป็นคนของใคร ไม่อยากแบกอะไรแล้วมันเหนื่อยนะเว้ย ยิ่งคนที่เรารักแล้วก็เป็นห่วงเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำอีก มันเหนื่อยเข้าใจไหมมันเหนื่อย” น้ำตาของเขาไหลออกมาเป็นสาย มือเขาเริ่มทุบตีคนตรงหน้า ตัวของเขาสั่นเทิ้ม คนที่ก่นด่าเมื่อครู่นิ่งลงก่อนจะทิ้งตัวลงข้างเตียง “ ทำไมวะ ทำไม”


   “ พี่ขอโทษ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะดึงคนที่กำลังร้องไห้เข้ามาอยู่ในอ้อมอก เขารู้ดีว่าพชรก้าวเข้ามาในวงการเพื่อเขา เขาเองเป็นคนที่ดันให้ผู้จัดทุกคนรักในคนรักของเขา เพราะเขาเองก็รักและห่วงอนาคตของคนในอ้อมกอดไม่ต่างจากพชรเลย เขาอยากกอด เขาอยากไปทำหลายๆอย่างเหมือนที่คนรักทั่วไปทำกัน แต่ถ้าเขาทำแบบนั้นเท่ากับว่าสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมามันกำลังสูญเปล่า “ เดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง ริวก็รู้ว่าพี่อยากให้ริวไปได้ไกลกว่านี้ พี่อายุมากกว่าริวเยอะนะ ถ้าวันนึงพี่ตายไปริวจะได้มีงานทำไง ริวจะได้ดูแลตัวเองได้”


   “ หยุดพูดแบบนี้นะ” คนที่อยู่ในอ้อมกอดผละตัวออกมาอย่างรวดเร็ว คำพูดเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกโหวงๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “ ผมไม่ชอบเลยที่พี่พูดเรื่องนี้ อย่าพูดอีกนะ”


   “ ไอ้เด็กบ้า” เขายื่นมือไปยีผมคนตรงหน้า “  เรื่องตายก็เป็นเรื่องปกติหรือเปล่าฮะ”


   “ บอกว่าอย่าพูดไงเล่า” เขาร้องไห้ออกมาอีกครั้งพร้อมกับโผกอดคนตรงหน้า “ ที่พี่ตายก่อนนะ ผมจะตายตาม”


   “ ไอ้เด็กนี่” เขากอดเด็กคนนั้นกลับ “ ไปล้างหน้าล้างตาได้แล้วไป ออกไปแบบนี้คนจะหาว่าพี่รังแกแกอีก เห็นคนรักแกแบบนี้พี่ก็ตายตาหลับแล้วล่ะ


ตรงมุมห้องมีเงาสีดำซ่อนตัวอยู่หลังม่าน ไอดำลอยตัวไปรอบห้องราวกับว่าเขาได้เลือกคนที่อยากจะได้แล้ว ใครจะรู้ว่านอกจากโชคชะตาที่ใครบางคนลิขิตลงมาแล้ว มันมีคนที่ชอบขีดความเป็นความตายของชีวิตคนอื่นด้วย



“ แม่ แม่” ปิติภัทรดีดตัวขึ้นมาจากการนอนหลับ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โดดขึ้นมานั่งข้างๆบนเตียง “ เฟิร์สไม่เป็นไร” เขายกมือขึ้นห้ามคู่หูของเขาที่กำลังจะเข้ามาสัมผัส  เหงื่อของเขาชุ่มไปทั้งตัวเขาเอามือลูบหน้าสองสามทีก่อนจะหันไปกอดปณิธานที่นั่งนิ่งๆอยู่ด้านข้าง เขากอดร่างนั่นแน่น คนถูกกอดเองก็กอดเขากลับพร้อมกับลูบหลังอย่างแผ่วเบาเหมือนเป็นการแทนคำพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมา “ ขอบคุณนะที่อยู่ข้างๆเฟิร์สเวลานี้” เขากระซิบก่อนจะผละตัวออกมา “ เดี๋ยวเฟิร์สไปอาบน้ำก่อนนะ อยู่ใกล้แบบนี้นานๆกลัวอดใจไม่ไหว”


   “ ไอ้ลามก” ปณิธานผลักคนที่อยู่ตรงหน้าล้มลงไปบนเตียง


   “ ใครลามก เฟิร์สยังไม่ได้คิดอะไรเลย เอ๊ะหรือว่าปาร์คคิดแล้ว” เขาฉีกยิ้มมาให้ พร้อมกับดึงผ้าห่มมาปิดตัวเอาไว้  “ ไม่เอาละ ไม่คุยดีกว่า เดี๋ยวเฟิร์สไปอาบน้ำก่อนนะ”


   “ แล้วนั่นจะเอาผ้าห่มไปด้วยทำไม” เขาถามคู่หูของตัวเองที่เอาผ้าห้มลายโดเรม่อนคลุมหัวจรดเท้าเดินไปที่ห้องน้ำ “ หรือว่า” เขาหยุดคิด และรอบยิ้มแห้งๆที่มาจากคนที่อยู่หน้าประตูห้องน้ำก็เป็นคำตอบได้ในทันที “ ไอ้หมกมุ่น”


   “ ตอนเป็นคนปาร์คไม่ตื่นตัวตอนตื่นนอนหรือไง ยิ่งคนที่เรารักมาอยู่ใกล้ๆแบบนี้นี่มัน”


   “ ไปอาบน้ำเลยไป” เขาปาหมอนใส่คนที่ทำหน้าระรื่นอยู่ ปิติภัทรหลบหมอนนั้นเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็วทิ้งให้คนที่อยู่บนเตียงนั่งยิ้มอย่างมีความสุข


ช่วงเวลาที่ได้อยู่คนเดียวทำให้คนที่นอนคนเดียวฟุ้งซ่านไปไกล ภาพในความทรงจำของเขาเริ่มตีกันไปหมด ความรู้สึกของเขาที่มีต่อคู่หูมันมากกว่า ตอนที่เขามีให้เพื่อนสนิทอย่างชยานนท์


เขาสะบัดความคิดออกเมื่อประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ร่างขาวที่เดินออกจากประตูห้องน้ำออกมาสวมเพียงผ้าขนหนูสีขาว ด้านบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นลอนกล้ามที่ผ่านการดูแลมาพอสมควร หน้าอกของเขาขึ้นเป็นรูปอย่างชัดเจน ปิติภัทรหยิบผ้าผืนเล็กที่แขวนอยู่หน้าตู้มาเช็ดผมที่กำลังเปียกของเขาก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้


   “ ทำไมมึงไม่ไปแต่งตัวให้เสร็จกะ ก่อน วะ” เขาหลบสายตาไม่มองคนที่กำลังสนทนาอยู่เลยแม้แต่น้อย


   “ เฟิร์สจะเช็ดผมก่อนเดี๋ยวค่อยใส่เสื้อผ้าอะ จริงๆปกติเฟิร์สก็ทำแบบนี้ ทำไมปาร์คเขินเฟิร์สเหรอ” เขาย้ายที่มานั่งข้างๆคู่หูของตัวเอง


   “ ขะ เขินอะไรเล่า ไปนั่งห่างๆเลยไปเห็นหรือเปล่าเนี่ยว่าเตียงมันเปียกหมดแล้ว” ปณิธานถอยตัวออกห่างและพยายามที่จะไม่สบตาหรือมองคนตรงหน้าเลย


   “ เช็ดผมให้หน่อย” เขายื่นผ้าขนหนูมาให้ปณิธานที่นั่งหันหลังให้ “ นะเช็ดให้เฟิร์สหน่อย” เขาเขยิบตัวตามปณิธานที่ถอยหนี


   “ ไม่ต้องมาใกล้ แค่เช็ดผมอย่างเดียวใช่มั้ย” เขาดึงผ้าขนหนูมาไว้ในมือตัวเอง “ หันหลังไป”


   “ หันอะไรล่ะ เฟิร์สอยากเห็นหน้าปาร์คตอนเขินแบบนี้อะ”


   “ ถ้าเรื่องมากก็เช็ดเอง” คนที่นั่งหันหลังยื่นคำขาด


   “ ก็ได้ครับ” ปิติภัทรหันหลังก่อนที่ปณิธานจะหันกลับมา เขายื่นผ้าขนหนูสีขาวไปสัมผัสผมของคู่หูอย่างแผ่วเบาหลังจากนั้นก็ขยับไปตามที่ต่างๆจนผมเริ่มหมาดได้ที่ “ เสร็จแล้ว”


   “ ขอบคุณครับ” ปิติภัทรเอี้ยวตัวกลับมาห้อมแก้มปณิธานอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินผิวปากไปใส่เสื้อผ้าอย่างอารมณ์ดี ไม่มี

เสียงก่นด่าตามหลัง ไม่มีการทำร้ายร่างกาย ยิ่งทำให้คนที่เพิ่งฉวยโอกาสยิ่งมั่นใจว่าเขาสามารถพังกำแพงของปณิธานลงมาได้บ้างแล้ว


หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.3.19 บทที่ 7 1 st MURDER
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 09-03-2019 06:21:23
ต่อๆๆๆๆ


เสียงเคาะประตูทำให้คนที่กำลังรู้สึกดีต้องหยุดลงเพราะปกติจะไม่มีใครมายุ่งที่ห้องของเขายกเว้นอาโปเพียงคนเดียวเท่านั้นหรือถ้าเป็นคนอื่นต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่พอตัว


ชายหนุ่มรีบใส่เสื้อสีสีดำแขนยาวที่ยังใส่ไม่เสร็จพร้อมรีบไปเดินที่ประตู และทันทีที่เปิดเขาอยากจะปิดมันลงเสียเหลือเกินเพราะชายหนุ่มรุ่นน้องเขายืนส่งยิ้มอยู่ที่หน้าประตูพร้อมทั้งชะเง้อเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างในอย่างไม่มีปิดกั้นใดๆ


   “ มาทำอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ


   “ เข้ามาสิ” เสียงคนที่นั่งอยู่บนเตียงตะโกนเชิญให้ผู้มาใหม่เข้าไปในห้อง “ นึกว่าจะไม่เจอกันแล้วนะเนี่ย”


   “ ช่วงนี้ผมยุ่งๆน่ะครับ” กิตติยกมือไหว้คนที่มาเปิดประตูห้องให้แบบลวกๆหลังจากตอบต้นเสียงที่ถามขึ้น “ ผมทั้งต้องทำงาน

ไหนจะต้องยุ่งเรื่องลงทะเบียนเรียนอีก เวลาจะนอนแทบจะไม่มีแล้วเนี่ย”


   “ เอาเวลาที่มาที่นี่ไปนอนดีกว่ามั้ย”


   “ พี่เป็นคนนัดผมมาเองนะครับ” กิตติทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้หลังจากตอบเจ้าของห้อง


   “ กูเนี่ยนะ” คนที่ถูกกล่าวอ้างถามกลับอย่างรวกเร็ว “ เป็นไปไม่ได้ กูจะตามมึงมาทำไม กูอยากให้มึงอยู่ห่างจากคนของกูอยู่”


   “ พี่ดูนี่” เขายกมือถือขึ้นมาให้ดูแสดงข้อความว่าเขามาเพราะได้รับข้อความจากไลน์ของปิติภัทรจริงๆ “ หรือว่าจะเป็นพี่ปาร์คส่ง แต่ไม่อยากให้ผมรู้ใช่หรือเปล่าครับ”


   “ ฉลาดนะเนี่ย” ปณิธานตบหัวคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไปหนึ่งที “ เออกูเป็นคนทักมึงไปเอง เวลาแกล้งมึงก็ตลกดีเหมือนกันนะ” เขาหันไปหัวเราะกับคนที่นั่งหัวเสียอยู่ข้างๆ “ คืออย่างนี้กูมีเรื่องให้มึงช่วย”


   “ ช่วยอะไรครับ”


   “ ช่วยมาเปลี่ยนไอ้เฟิร์สมันขับรถไปฝางหน่อยๆ กูขับรถไม่เป็น มันขับไปกลับคนเดียวมันเหนื่อย” คนที่ถูกพูดถึงทำท่ากำลังจะท้วงแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อสายตาของปณิธานหันมาทางเขา “ มึงห้ามปฏิเสธ”


   “ ครับ” ปิติภัทรตอบอย่างจำใจ “ มึงไม่ต้องมานั่งยิ้มตรงนี้เลย ห้ามเข้าใกล้ปาร์คเกินหนึ่งเมตร ไม่อย่างนั้นเจอกูแน่”


   “ อะไรกันพี่ หวงไรเนี่ยเจ้าของก็ไม่ใช่”


   “ บ่นไร เดินไปเลยมึงขับขาไป กูขับขากลับเอง ไปถึงรออยู่บนรถอย่าไปไหน” ปิติภัทรเอามือดันก้างชิ้นโตไปจากห้องก่อนที่

เขาจะเอื้อมมือไปหยุบสมุดบนชั้นวางหนังสือแล้วเดินตามออกไปขึ้นรถเพื่อมุ่งสู่ไร่ส้มเกรียงไกร



“ พักกอง” เสียงผู้กำกับตะโกนสั่งผ่านเครื่องมือสื่อสารหลังจากที่ทุกๆฝ่ายทำงานกันมาอย่างหนักตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมาเพื่อเร่งถ่ายให้ทันแสงที่ใกล้จะหมด เพราะท้องฟ้าบริเวณโดยรอบเริ่มมีเมฆสีดำก่อตัวขึ้นมาแล้ว


ทีมงานบางส่วนกำลังจัดเก็บข้าวของที่พอเก็บได้เข้าไปไว้ในรถตู้ ทำให้ไม่มีใครสังเกตเลยว่ามีนักแสดงสองคนกำลังเดินไปยังด้านหลังของสวนส้ม คนที่เดินนำหน้าไปนั้นก้าวเร็วขึ้นๆพร้อมกับเมฆก้อนใหญ่สีดำที่เข้ามาคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ ลมที่เริ่มพัดขึ้นแรงเรื่อยๆยิ่งทำให้คนที่เดินตามร้อนใจ


   “ ริว หยุดจะไปไหน” เขาตะโกนฝ่าลมที่แรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เมฆาไม่สามารถที่จะลืมมองดูทางตรงหน้าได้เต็มตาเท่าไหร่นัก เสียงของเขาที่ตะโกนไปก็เช่นกันมันเหมือนหายไปกับสายลมนั้นเพราะดูเหมือนว่าคนข้างหน้าจะไม่ได้ยินเสียงเขาเลย
เมฆาพยายามคิดทวนในหัวว่าเขาไปทำอะไรให้คนรักเขาไม่พอใจหรือเปล่า เพราะหลังจากการถ่ายฉากสุดท้ายคือฉากที่เขาจะต้องเข้าไปจูบปากกับนักแสดงสาว


   ต้องเป็นเรื่องนี้แน่


   “ ริวอย่าเข้าไป” เขาตะโกนห้ามเมื่อริวเดินเข้าไปในบริเวณบ้านพักคนงานเก่าที่มีป้ายแขวนไว้ว่าห้ามเข้า แต่ดูเหมือนว่าพชรไม่ฟังสิ่งที่เขาพูดเลย


พชรก้มลอดลวดหนามเข้าไปผิวสีขาวถูกลวดหนามที่ยื่นออกมาแทงจนเป็นรอยลึกแต่เขาไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของของเขาจองมองไปข้างหน้าอย่างอาฆาตแค้น เขากระชากแขนที่โดนแทงเข้าไปจนลึกออกมาอย่างไม่ใยดี ทำให้ผิวหนังสีขาวฉีกเป็นรอยยาวลึก เลือดสีแดงไหลหยดเป็นทาง


คนที่วิ่งตามมายิ่งใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาเร่งฝีเท้าไปให้เร็วขึ้นพร้อมทั้งส่งสถานที่ที่อยู่ตอนนี้ไปยังเจ้าของไร่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ปกติแน่เพราะคนรักของเขาเป็นคนที่กลัวเลือด ตอนนี้เลือดของพชรเองก็ไหลอย่างไม่มีทีท่าที่จะหยุด แต่คนที่กลัวเลือดกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย


ดาราหนุ่มเดินมาหยุดที่หน้าบ้านร้างหลังหนึ่ง ประตูไม้เก่าๆเปิดต้อนรับการมาเยือนในทันทีราวกับว่ารู้ล่วงหน้า พชรเดินก้าวเข้าไปในบ้าน เมฆาเองก็รีบวิ่งเข้าไปก่อนที่ประตูนั้นจะปิดลงอย่างรวดเร็ว


   “ ริว” เขาพยายามเรียกคนที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่ที่มุมมืดพร้อมทั้งเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ “ ริว ริวได้ยินพี่หรือเปล่า”
พลั้ก ไม้ท่อนใหญ่จากมือของคนรักฟาดลงมาที่ข้างศีรษะ ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือรอยยิ้มอย่างสะใจของคนรักก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลง



“ ทำไมไม่รับโทรศัพท์วะ” เกรียงไกรเดินไปมาอย่างร้อนใจเพราะปลายสายไม่รับสายของตน เพราะเจ้าของพื้นที่รู้ว่าบริเวณตรงนั้นมีคนไปเสียชีวิตบ่อย


เขาเดินออกมารวมตัวกับคนงานบางส่วนที่มาช่วยที่หน้าบ้านเพื่อที่จะออกไปตามหาซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่รถคันสีขาวแล่นเข้ามาพอดี


   “ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ปิติภัทรเดินตรงไปหาทันที คนที่กลัวว่าน้องคนสนิทจะเป็นข่าวใหญ่โตกลับเงียบ “ ลุงครับผมช่วยลุงได้นะครับ”


   “ ไอ้เมฆมันอยู่ในอันตราย” เขาเลือกที่จะเชื่อใจก่อนที่จะเชื่อใจก่อนจะขวาแขนของชายหนุ่มให้วิ่งตามไป



อีกฝั่งของไร่เกรียงไกรหญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงกำลังเดินวนรอบๆคนทั้งสองที่นอนนิ่งอยู่บน คนที่ได้สติก่อนเอามือกุมหัวที่โดนฟาดไปก่อนหน้านี้  ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดที่แห้งเกรอะกรัง ดวงตาที่พร่ามัวยังลืมได้ไม่เต็มที่แต่สิ่งที่เขามองเห็นในแวบแรกคือใบหน้าขาวนวลนอนสลบแนบพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นอยู่ใกล้ๆเขา


   “ ริว” เขาพยายามประคองตัวเองให้เข้าไปใกล้มากขึ้น เขาพยายามตะโกนเรียกตะโกนที่อยู่ตรงหน้าพร้อมทั้งร้องไห้ออกมาสภาพตอนนี้เขาไม่ได้ต่างไปจากคนเสียสติ “ ริว”


ร่างตรงหน้าเริ่มขยับตัวดวงตาของพชรค่อยๆเปิดออกด้วยความอ่อนเพลีย เขาประคองร่างตัวเองขึ้นมาพร้อมกับมองไปรอบๆตัวและมาหยุดที่คนตรงหน้า


   “ พี่เมฆ พี่ไปโดนอะไรมา แล้วเรามาทำอะไรที่นี่” เขาถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ เพราะคนที่เขารักมีสภาพที่ไม่น่ามองเท่าไหร่นัก


   “ ไปจากที่นี่ก่อนเถอะเดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟัง” เขาคว้าแขนของพชรเพื่อประคองไปที่ประตู


   “ ใครจะไปจากที่นี่ไม่ได้ทั้งนั้นถ้าฉันไม่อนุญาต” เสียงของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนขื่อไม้ด้านบนตะโกนออกมา เธอยิ้มให้คนทั้งสองอย่างน่าสะอิดสะเอียน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเส้นเลือดที่แย่งกันขึ้นจนปูดนูน ปากของหล่อนแดงฉานราวกับสีเลือด แววตาแห่งความโกรธแค้นฉายออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ ไม่เจอกันนาน ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอคะ”


   “ ฉันไม่รู้จักแก” เขาตะโกนกลับพร้อมกับใช้เท้าถีบไปที่ประตู แต่นอกจากประตูนั้นยังไม่เปิดออกแล้ว คนที่เขาประคองมานั้น

กลับทรุดตัวลงไปกองพื้น เขากระแทกกลับไปที่ประตูอีกครั้ง พชรก็แสดงท่าทางเจ็บปวดทุกครั้งที่เท้าของเขาไปโดนประตู “ ริว” เขาก้มลงไปประคองคนที่นอนกุมท้องอยู่ที่พื้น เลือดสีแดงไหลออกมาจากปากเป็นระลอก “ ฉันไปทำอะไรให้แกวะ มาทำแบบนี้กับฉันทำไม”


   “ พี่เมฆจำฟ้าไม่ได้เหรอคะ” เสียงนั้นจบลงร่างของหญิงสาวที่อยู่บนขื่อก็หายวับมาปรากฏตัวที่ด้านหน้าของเมฆาในทันที “ มึงดูให้ชัดๆซิว่ามึงยังจำกูได้หรือเปล่า” เธอเอื้อมมือไปที่คอคนที่นั่งอยู่ด้านล่างขึ้นมามองหน้าตนเอง “ มึงบอกสิว่ามึงจำกูไม่ได้ พูด กูบอกให้พูด พูดสิ” เธอตะวาดก่อนจะเหวี่ยงร่างของเมฆาลงไปนอนกองอยู่บนพื้น


   “ ปล่อยริวไปเถอะนะ เรื่องนี้ริวมันไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย” เขายกมือไว้คนที่ยืนอยู่ตรงนะ “ ขอร้องล่ะนะ”


   “ พี่” พชรที่นอนอยู่บนพื้นพยายามเค้นเสียงเรียก


   “ ขอร้องเหรอ” เธอเหยียบไปบนหน้าของพชรจนแนบพื้น ชายหนุ่มหายใจโรยรินทุกที “ ตอนกูขอร้องมึงตอนนั้นทำไมมึงไม่ให้โอกาสกูบ้าง”


   “ กูบอกว่าอย่ายุ่งกับริวไง” เขาลุกขึ้นมาประจันหน้ากับหญิงสาว “ ถ้ามึงแค้นนักก็มาลงกับกูสิ มาเลย มึงอยากได้อะไรมึงเอาไปเลย แต่ปล่อยริวไปริวไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”


   “ ถ้ากูอยากได้ชีวิตล่ะ” เธอยกยิ้มไปที่มุมปากก่อนจะแบมือออกมาตรงหน้าไม่นานมีดขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้น


   “ อยากได้นักมึงก็เอาไปเลย แต่ริวมันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้มึงจะฆ่ามึงก็ฆ่ากูคนเดียว” เขาหลับตาเพื่อรอความตาย


   “ ไม่ต้องรีบตายหรอก มึงรีบตาย เรื่องมันก็ไม่สนุกสิ” เธอพูดจบมีดที่เคยอยู่ที่ฝ่ามือของเธอตอนนกลับกลับไปอยู่ในมือของ

เมฆาแขนของเขาเป็นสีดำเมื่อมและไม่สามารถที่จะควบคุมมันได้ เข่าของเขาทรุดลงตรงด้านของของพชรที่ยังมีสติ
พชรได้แต่จ้องมองมาและไม่สามารถที่จะขยับร่างกายได้เลย หยดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของชายหนุ่มอย่างไม่ขาดสาย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อมือข้างซ้ายของเมฆากดลงมาที่มือของกดลงไปที่ข้อมือด้านขวาของเขา เมฆาค่อยๆวางมีดลงตั้งฉากที่ข้างมือของพชร


   “ ปล่อยริวไปดิวะ แค้นนักก็ฆ่ากูสิฆ่ากูเลย” เขาหันไปตะคอกหญิงสาวที่ยืนยิ้มอย่างสะใจอยู่ด้านข้าง โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีดที่ตั้งฉากเมื่อครู่ค่อยๆกดลงบนนิ้วก้อยของพชรที่นอนอยู่แล้ว เสียงของพชรกรีดร้องออกมาอย่างทรมาน นิ้วก้อยถูกตัดออกอย่างช้าๆ  “ พอเถอะ ฆ่ากูสิทำไมล่ะ ทำไมไม่ฆ่า”


   “ ก็กำลังฆ่าอยู่นี่ไง การฆ่าให้ตายมันคงทรมานน้อยกว่าการฆ่าให้ตายทั้งเป็นจริงไหม” เธอหัวเราะดังไปทั่วบริเวณ
มือข้างที่จับมีดสับลงมาที่แขนของพชรอย่างไม่ยั้งมือเสียงกรีดร้องของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเลือดที่กระเซ็นไปทั่วบริเวณ น้ำตาของคนที่กระทำและถูกกระทำไหลออกมาอย่างไม่มีหยุด เลือดของพชรเต็มไปทั่วร่างกายของเมฆา มือที่ไร้การควบคุมสับลงไปที่แขนหยุดลงพร้อมกับขาที่ก้าวขึ้นไปคร่อมตัวของพชร


   “ พี่ ผมไม่ไหวแล้วอ้ากกกกกก” คำพูดสุดท้ายของพชรหายเข้าไปในลำคอเลือดของเขาทะลักออกมาราวกับท่อน้ำแตกเมื่อมีดในมือของเมฆา แทงลงทุลุกลางอกซ้ำไปซ้ำมา กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งราวกับว่าที่นี่คือโรงเชือดสัตว์ก็ไม่ปาน เสียงร้องไห้ของเมฆาสร้างความสะใจให้กับผู้หญิงในชุดแดงที่กำลังยืนดูอยู่ไม่น้อยเลย


   “ เป็นยังไงล่ะ เป็นยังไง เข้าใจหรือยังว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง เข้าใจหรือยัง ว่าการที่เราอ้อนวอนแล้วเขาไม่ให้มันรู้สึกยังไง” เธอหัวเราะร่าอย่างมีความสุข “ ตอนนี้ก็ก็กลับไปใช้ชีวิตซะ”


   “ มึงก็รู้ว่าวันนั้นกูไม่ได้ตั้งใจ กูโดนบังคับ”


   “ แต่มึงก็เลือกที่จะทำตามสิ่งที่พี่มึงสั่ง แล้ววันนี้กูก็แค่สั่งมึงบ้าง มึงจะมาเดือดร้อนอะไร ฮะ”
คำพูดของผู้หญิงตรงหน้าทำให้เขาหวนคิดไปถึงวันนั้น วันที่เขาไม่อยากจะจดจำมันเท่าไหร่นัก เพราะมันคือข้อผิดพลาดที่เขาอยากจะลืมมัน



สิบเจ็ดปีก่อน
   “ ไอ้เมฆวันนี้กูมีอะไรให้มึงทำ” รุ่นพี่สามคนเดินเข้ามาล้อมเขาเอาไว้


   “ ทำอะไรล่ะครับพี่ ผมไม่ว่างครับ” เขาตอบก่อนจะพยายามเดินแยกออกมา
 “ รุ่นพี่คุยด้วยดีๆทำไมทำแบบนี้วะ” เสียงคนในเสื้อช็อพที่ตัวใหญ่ที่สุดเอ่ย “ พวกผิดเพศมันก็เป็นแบบนี้แหละวะ”


   “ ผมไม่ได้ผิดเพศ” เขาปฏิเสธทั้งๆที่มันเป็นเรื่องจริง แต่อย่างไรเสีย การยอมรับเรื่องเพศมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งหน้าที่การงาน หน้าตาทางสังคม และการถูกยอมรับ


   “ มึงพิสูจน์สิ” คนที่ยืนข้างๆคนตัวใหญ่พูดขึ้น


   “ จะให้ทำอะไรว่ามาเลย” เขารับคำท้าทายอย่างง่ายดาย


ใครจะรู้ว่าการตัดสินใจในตอนนั้นจะส่งผลกระทบกับชีวิตเขามากมายถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการยอมรับจากคนรอบตัว มีเพื่อนใหม่ และมีรุ่นพี่ที่คอยปกป้อง ในทางกลับกัน ในความทรงจำของเขาไม่อาจลืมรอยน้ำตา และภาพใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นได้เลย หญิงสาวคนที่เขาขืนใจเธอเพื่อเปิดทางให้พี่อีกสามคนไปร่วมกระทำกับร่างกายของเธอ ราวกับว่าเธอไม่ใช่คน และวันนี้แล้วสินะ คือวันที่เขาจะต้องชดใช้ แต่เขาไม่ได้ชดใช้มันด้วยชีวิตของเขา แต่กลับกลายมาเป็นคนรักของเขาเป็นคนรับเคราะห์กรรมครั้งนั้นเอาไว้



มีดในมือของเขาร่วงหล่นลงบนพื้นเมื่อมือของเขาหลุดพ้นจากการควบคุม หญิงสาวในชุดสีแดงหายไปจากจุดที่เคยอยู่ เมฆาลุกจากออกจากร่างของพชรมานั่งข้างๆ เขามองสภาพร่างกายของพระเอกหนุ่มที่เละอย่างไม่มีชิ้นดี เครื่องในหลุดออกมาจากร่าง ดวงตาของคนรักเบิกโพลงใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เขาเอื้อมมือไปปิดตาให้กับคนรักพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างพรั่งพรู เขาหยิบมีดที่ร่วงลงที่พื้นขึ้นมาก่อนจะจ่อมันไปที่ลำคอของตัวเอง


   ปั้ง เสียงประตูที่เปิดออกทำให้คนที่กำลังจะปลิดชีพตัวเองผงะไปชั่วครู่ ลุงเกรียงไกรวิ่งเข้ามาคว้ามีดออกไปจากมือของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว


   “ ปล่อย ปล่อย ปล่อยกู เป็นเพราะพวกมึง พวกมึงทำให้ริวต้องตาย พวกมึง พวกมึง ฟ้าลดา อีฟ้าลดา” เขาตะโกนออกไปอย่างไม่มีสติ คนที่มาใหม่ถึงกับตัวชาเมื่อได้ยินชื่อที่เขาพยายามที่จะลืม


   “ ฟ้าตายไปนานแล้ว มึงจะพูดถึงเรื่องนี้ทำไมอีก”


“ มันกลับมาแล้วมันมาแก้แค้นมันกลับมาแล้ว”  เขาตะวาดพร้อมกับกระชากมีดในมือของลุงเกรียงไกรออกมา “ ริวรอพี่ก่อนนะ” สิ้นคำเขาก็เอามีดปาดไปที่ลำคอ และทันทีที่คมมีดตัดผ่านโดนเส้นเลือดที่เป็นสายหลัก เลือดก็พรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสายร่างของนักแสดงหนุ่มล้มลงตรงหน้า


เมื่อทุกอย่างในโลกมนุษย์จบสิ้นลง ในอีกมิติหนึ่งคือโลกหลังความตายดวงวิญญาณของทั้งสองยืนอยู่ที่ด้านข้างของศพตัวเอง ปณิธานใช้โซ่พันรอบตัวของทั้งสองเอาไว้เพื่อรอคนที่เป็นเจ้าของดวงวิญญาณทั้งสองมารับไป
ทุกอย่างที่เขาพยายามจะเปลี่ยนตอนนี้กลับเปลี่ยนมันไม่ได้ง่ายนักเลย ในหัวหัวปณิธานได้แต่คิดว่า ใครคือ ฟ้าลดา แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับลุงของเขากันแน่


   “ ขอโทษ”




นี่คือคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากเกรียงไกรหลังจากที่ร่างของเมฆาและพชรถูกเจ้าหน้าที่นำออกไปจากบริเวณนั้น ไม่มีการให้สัมภาษณ์ใดๆเกิดขึ้นทุกคนอยากให้เรื่องนี้จบแบบเงียบที่สุด แต่ใครจะรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น









มาต่อกันค่าาาาา รับรองเข้มข้นๆๆๆๆๆยิ่งกว่าต้อยำน้ำข้นอีกหุหุ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.3.19 บทที่ 7 1 st MURDER
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-03-2019 23:13:24
ความสยองคนแรกผ่านไป รอคนต่อไป  :o
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 11.3.19 บทที่ 8 2nd MURDER
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 11-03-2019 02:11:26
8


2nd MURDER

เสียงผู้คนจอแจเต็มไปทั่วศาลาวัด ทั้งๆที่งานศพควรจะมีความสงบมากกว่านี้ แต่อย่างว่าผู้ตายเป็นถึงนักแสดงทั้งสองคน ยิ่งศพทั่งคู่ถูกตั้งอยู่ที่ศาลาเดียวกัน แบบนี้ยิ่งทำให้นักข่าวยิ่งมากเป็นพิเศษ ความสัมพันธ์ของผู้ตายทั้งสองไม่มีใครพูดถึงในโลกออนไลน์และสื่อมุ่งประเด็นไปที่การฆาตกรรมที่มีเมฆาเป็นฆาตกร ปมที่สื่อต่างให้ความสนใจคือเหตุจูงใจที่มาจากความแค้นของนักแสดงรุ่นใหญ่ที่โดนนักแสดงรุ่นน้องอย่างพชรต่อยกลางกองถ่าย คนที่กลายเป็นเหยื่อทางสังคมก็คือ เมฆา


บรรดาแฟนคลับของนักแสดงหนุ่มต่างด่าทอคนที่เสียหายไปแล้วพร้อมกับงัดหลักฐานต่างๆที่เคยมีข่าวออกมาโพสต์กันอย่างสนุกปากราวกับว่ารู้เรื่องจริงที่เกิดขึ้น คนที่ตายเองโชคดีที่ไม่ต้องรับรู้อะไร


แต่คนที่อยู่อย่างแม่วัยหกสิบของเมฆากลับเหมือนตายทั้งเป็น ทั้งๆที่ตัวเขารู้ดีว่าความสัมพันธ์ของลูกชายของเขาและแฟนหนุ่มเป็นอย่างไรเช่นเดียวกันกับทางฝั่งของพชรเองที่ได้แต่แคลงใจว่า ทำไมทั้งสองถึงต้องตาย


   “ แม่มีปัญหาอะไรแม่โทรหาผมได้ตลอดเลยนะครับ” เกรียงไกรจับมือที่ของคนที่นั่งร้องไห้ข้างๆอย่างแผ่วเบา “ ผมรักเมฆมันเหมือนกับน้องของผมจริงๆ ไม่ต่างจากที่ผมรักแม่เหมือนกันนะครับ”





   “ ไม่เป็นไรจ้ะ” คนเป็นแม่ดึงมือกลับมาเช็ดน้ำตาตัวเอง “ แค่นี้ลูกเองก็เหนื่อยมามากพอแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ”


   “ แม่จะกลับบ้านเลยไหมครับเดี๋ยวผมแวะไปส่ง”


   “ ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่รอพี่ชายเมฆมันมารับ” เธอตอบ “ เออนี่ แม่เห็นก่อนตายแม่เห็นเมฆบ่นว่าช่วงนี้เขาทะเลาะกับริวบ่อยๆ เพราะว่าเขาชอบละเมอชื่อผู้หญิงออกมาคนนึง ชื่อ ฟ้า ฟ้าลดาอะไรนี่แหละ ไกรรู้จักไหมลูก”


   “ ชื่ออะไรนะครับ” พวงหรีดในมือของคนที่มาใหม่ร่วงลงพื้นหลังจากที่เขาถามออกไป


“ สวัสดีครับคุณแม่ขอโทษครับที่มาช้า” คนที่มาอีกคนเอ่ยทักทายตามมารยาท “ ไอ้บีมมึงไหว้แม่ก่อนสิวะ เอ๋ออะไร”


   “ ไม่เป็นไรจ้ะ บีมกับชัยมาแล้วกินอะไรกันมาหรือยัง” เธอรับไหว้พร้อมกับพยายามฝืนยิ้มรับ
ลุงเกรียงไกรประคองมารดาของผู้เสียชีวิตมานั่งที่โซฟาสีดำด้านหน้างาน ก่อนที่ทุกคนจะเดินตามเขาไปอย่างไม่ต้องรอให้สั่ง


   “ คุณแม่ครับ คุณแม่บอกว่าเมฆมันฝันเห็นใครนะครับ” ชลชาติถามด้วยความร้อนลนเหงื่อเขาออกไปทั่วทั้งร่างกาย


   “ บีมรู้จักเหรอ เห็นเมฆบอกว่าชื่อฟ้าลดา”


ชื่อและคำพูดนั้นทำให้คนถามถึงกับตัวชาไปครู่หนึ่งหูของเขาเหมือนไม่ได้ยินอะไรอีกต่อไปแล้ว เรื่องจริงที่เขาพยายามหนีมันกำลังกลับมาหาเขาอีกครั้ง


   “ ไม่รู้จักครับ” เขาตอบหลังจากที่วิชัยสะกิดเพราะแม่ของเมฆาถามเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว “ ผมไม่รู้จักครับ” เขาย้ำ


   “ จ้ะไม่รู้จักก็ไม่รู้จัก ว่าแต่ บีมไม่สบายหรือเปล่าเห็นหน้าซีดๆเชียว”


   “ ไม่ครับ” เขาปฏิเสธ “ ช่วงนี้ทำงานหนักน่ะครับ”


   “ นั่นน่ะสินะ วิศวกรมือหนึ่งก็ต้องทำงานหนักเป็นธรรมดา ยังไงก็หาเวลาพักผ่อนแล้วก็ดูแลตัวเองบ้างล่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน”


   “ แม่ครับ อย่างมันไม่ต้องดูแลตัวเองแล้วล่ะครับ เดือนหน้ามันก็จะแต่งงานแล้วครับเดี๋ยวก็มีคนมาดูแลมันแล้ว” วิชัยบอก “ คุณแม่นั่นแหละครับที่ต้องดูแลตัวเอง ผมกับเพื่อนๆเป็นห่วง ถ้าแม่มีอะไรแม่บอกพวกผมได้ตลอดเลยนะครับ”


   “ ขอบใจจ้ะ” เธอพูดพร้อมกับหันหลังกลับไปมองที่โลงศพของลูกชาย “ ถ้าเมฆมันรู้ มันคงดีใจนะ มันรักพวกลูกๆมากเหมือนกัน” เมื่อเอ่ยถึงลูกชายน้ำตาของเธอก็เอ่อล้นขึ้นมาที่ดวงตาทันที


   “ ครับ พวกผมก็รักมันครับ” ชลชาติตอบ


   “ คุณแม่ครับหมอกมาแล้วเดี๋ยวผมเดินไปส่งนะครับ” ลุงเกรียงไกรตัดบทก่อนจะประคองหญิงชราไปที่รถกระบะสี่ประตูที่จอดอยู่บริเวณหน้าศาลา


เขายืนมองจนรถออกไปจนสุดสายตาก่อนจะเดินกลับเข้ามาหาเพื่อนทั้งสองที่ยืนรออยู่ ตอนนี้งานศพไม่มีใครแล้วนอกจากพวกเขาทั้งสามคน แววตาแห่งที่เคยแสนดีของเกรียงไกรเป็นเป็นความโกรธขึ้นมาในทันที เขาคว้าคอเสื้อของคนตรงหน้าทั้งสองอย่างแรง


   “ พวกมึงทำอะไรกับฟ้า” เขาตะวาด


   “ พวกกูขอโทษ” วิชัยเอ่ยออกมา มือที่จับอยู่ที่คอเสื้อผ่อนลง


ลุงเกรียงไกรพยายามสงบสติให้ได้มากที่สุด เขาเดินไปมาอยู่ด้านหน้าคนสองคนอยู่หลายครั้ง ก่อนจะหยุดแล้วหยุดลง “ ใครที่รู้เรื่องนี้บ้าง”


   “ มีกู มีไอ้บีม ไอ้เมฆ แล้วก็ไอ้ดุ๊ก” วิชัยตอบก่อนจะถามกลับบ้าง “ แล้วมึงจะบอกพวกกูได้หรือยังว่าแม่งเกิดเรื่องบ้าอะไรกันแน่ ทำไมไอ้เมฆมันถึงตาย”


   “ ฟ้า ฟ้าลดามันกำลังจะกลับมาตามฆ่าพวกเรา มันจะมาแก้แค้นที่เราไปทำกับพวกมันแน่ๆ กูจะตายแล้วเหรอ กูยังไม่อยากตาย กูยังไม่อยากตาย มึงได้ยินหรือเปล่าว่ากูยังไม่อยากตาย”


   “ หุบปากซะทีเถอะ” วิชัยหันไปตะวาด “ มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”


   “ บังเอิญที่กูก็ฝันเห็นฟ้าเมื่อคืนก่อนด้วยหรือเปล่าวะ”


คำพูดนั้นทำให้คนฟังถึงกับนิ่ง เรื่องเมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้วกำลังจะวิ่งตามพวกเขามาอีกอย่างนั้นหรือ สายลมพัดผ่านเขาทั้งสามทำให้รู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว แต่ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนที่กำลังขวัญเสียไม่น้อยเลย


   “ ใจเย็นๆ พวกมึงต้องเล่าเรื่องให้กูฟังให้หมด แล้วเราจะมาจบเรื่องนี้กัน”



หลังจากที่ขับรถกลับมาจากงานศพปิติภัทรก็แยกจากกิตติก่อนที่ตัวเขาเองก็กลับเข้ามาที่ห้อง และทันทีที่ประตูห้องปิดลงเขาก็หันไปหาคู่หูเขาในทันที


   “ รู้จักคนที่ชื่อฟ้าลดาหรือเปล่า”


   “ ไม่นะ กูไม่เคยเห็นลุงกูพูดถึงเลย” ปณิธานปฏิเสธพร้อมกับเดินไปมาอย่างใช้ความคิด “ แต่กูคิดว่า ฟ้าลดาต้องเกี่ยวข้องอะไรกับลุงเกรียงไกร และลุงเมฆแน่ๆเขาเอ่ย”


   “ โอเค เฟิร์สคิดออกแล้วในเมื่อเราถามคนเป็นไม่ได้ เราต้องไปตามหาจากคนตายแล้วกัน” เขาพูดพร้อมกับโบกมือ “ เรย์”


   “ ครับนายท่าน” สมุดเล่มสีฟ้ากางออกอีกครั้ง “ ไปตามหาชื่อคนที่ชื่อฟ้าลดามาให้เร็วที่สุด ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะอยู่ในบัญชีของใคร”


   “ บลู นายก็ไปช่วยด้วยนะ” ปณิธานสั่งก่อนที่สมุดของเขาจะหายไปพร้อมกับสมุดของปิติภัทร


   “ เหนื่อยจังเลย” ปิติภัทรทิ้งตัวลงนอนที่ตักของคู่หู


   “ ทำบ้าอะไรเนี่ย”


   “ ก็นอนไง เฟิร์สเหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะ ขอนอนหน่อยไม่ได้หรือไง”


   “ หมอนก็มีทำไมไม่ไปหนุนหมอนเล่า”


   “ ไม่เอาอ่ะ ตักของปาร์คนุ่มกว่าตั้งเยอะ จะใจร้ายกับเค้าได้ลงคอเลยเหรอ ขอนอนแปบเดียวเองนะๆๆ” เขามองสบตาคนที่ก้มลงมา


   “ เออจะนอนก็อยู่เฉยๆ” เมื่อเจ้าของอนุญาตปิติภัทรก็นอนอยู่บนตักคู่นั้นอย่างนิ่งสงบ แต่ว่า “ จะนอนทำไมไม่หลับตาวะ ลืมตาจะเรียกว่านอนได้ยังไง”


   “ ก็นอนพักผ่อนไง”


   “ พักผ่อนก็ควรหลับตาหรือเปล่าวะ”   


   “ แต่นอนพักผ่อนของเฟิร์สคือ การมองหน้าปาร์คนะ มองแค่นี้ก็หายเหนื่อยแล้ว” เขาตอบ


   “ มึงรู้ใช่หรือเปล่าว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลง “ ช่างมันเหอะ มึงพักผ่อนไปแล้วกันกูไม่กวนละ”


   “ ที่เงียบนี่ไม่ใช่เฟิร์สไม่มีคำตอบนะ แต่เฟิร์สแค่คิดว่า ที่ปาร์คถามแบบนี้ปาร์คกำลังจะให้โอกาสเฟิร์สแล้วใช่หรือเปล่า” เขาฉีกยิ้มกว้างก่อนที่จะหัวจะกระแทกลงที่ที่เตียงเพราะตักที่เคยหนุนอยู่หายไปแล้ว “ เขินเหรอ”


   “ นอนไปเลยไป” ปณิธานนั่งหันหลังให้กับคนที่ถาม เขาฉีกยิ้มกว้างแต่ว่ามันก็เป็นรอยยิ้มที่ตัวเขาไม่ได้มีความสุขเลยเสียทีเดียวเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าความรักของเขาถ้าเขาตอบตกลงไปอะไรมันจะเกิดขึ้น เพราะเอาเข้าจริง   แล้วคู่หูของเขาก็เป็นมนุษย์ที่เขาอยู่ร่วมกันได้มันมีเหตุผลบางอย่างแน่


   “ ฝันดีครับ” พูดจบปิติภัทรก็เข้าสู่ห้วงนิทราในทันที



ร่างของยมทูติหนุ่มยืนอยู่ท่ามกลางหมอกควันสีขาว สถานที่เดิมๆที่เขาคุ้นตา เสียงสายน้ำที่เปิดจากเครื่องเล่นเอ็มพีสามดังคลอๆในบ้านสีครีม โซฟากำมะหยี่สีน้ำตาลวางเข้าชุดกับแจกันสีขาวที่มีดอกกุหลาบสีแดงที่แม่ของเขาชอบวางอยู่โต๊ะสีดำมัน พื้นกระเบื้องลายหินอ่อนสีขาวสะอาดตาที่แม่เขาชอบชมเสมอว่าลายนี้แม่เขาเป็นคนเลือกเองกับมือ


 เขาเดินตามพื้นนั้นไปเรื่อยๆ รูปถ่ายตามฝาผนังเป็นตัวบ่งบอกว่า ที่นี่เป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะบรรดารูปแห่งความสุขพวกนี้มันพังทลายไปนานแล้วพังไปตั้งแต่พ่อกับแม่ของเขาหย่าร้างกันไป
หญิงวัยกลางคนยืนอยู่บริเวณมุมห้องนั้น เธออยู่ในชุดสีขาวที่มีกระโปรงเป็นผ้าระบายลูกไม้ที่เข้ากับคนใส่จนดูน่ามองเธอฉีกยิ้มส่งมาให้กับลูกชายของตนเองจนเห็นรักยิ้มและฟันสีขาวที่เรียงตัวได้รูปไม่ต่างจากลูกชายของตัวเอง เธออ้าแขนเรียกให้คนที่มาเยือน


   “ ตามแม่มาเร็ว” เสียงใสๆนั้นทำให้ชายหนุ่มเคลิ้มตามและเดินไปอย่างง่ายดาย แต่ยิ่งเดินไปข้างหน้าเท่าไหร่มันกลับยิ่งไกลขึ้นทุกที “ ทำไมไม่มาหาแม่ล่ะ เฟิร์ส” เธอร้องเรียก


   “ ผมตามแม่ไปอยู่ครับ” เขาตะโกนกลับไปราวกับเด็ก ยิ่งเขาเข้าใกล้แม่เข้าเท่าไหร่ที่ที่เขาอยู่ก็เปลี่ยนไปจากห้องที่เคยขาวสะอาดก็เปลี่ยนมาเป็นสีดำ ไอน้ำหรือควันบางอย่างปกคลุมเต็มไปหมด


กลิ่นที่เคยหอมเหมือนกับดอกกุหลาบบัดนี้มีเพียงกลิ่งสาปและเหม็นเน่าของบางอย่าง เเละเมื่อเขาปรับสายตาเข้ากับความมืดได้อีก

ทั้งหมอกควันพวกนั้นหายไปเขาก็พบว่า เขายืนอยู่ท่ามกลางสัญลักษณ์ของยมทูติสีดำ ตรงหน้าของเขาเป็นหญิงสาวที่นอนจ้องมายังเขาเธออยู่ในชุดสีแดงในมือของหล่อนมีเลือดไหลออกมาเป็นสาย ปิติภัทรพยายามที่จะทำให้ตนเองตื่นแต่ว่ามันก็ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย


คนที่อยู่บนโซฟาสีแดงเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมกับร่างกายที่ซีดเซียวก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาปกติเหมือนเดิน เลือดที่หยดลงบนพื้นไหลย้อนกลับเข้ามาในร่างกายเธอราวกับว่ามันถูกย้อนเวลาได้ เธอฉีกยิ้มสิ่งไปยังยมทูติหนุ่ม


   “ ไม่ต้องพยายามหรอก” เธอยิ้มรับมาให้ “ จริงๆตามกฎแล้วฉันไม่ควรมายุ่งกับยมทูติสีฟ้าหรอกนะ ถ้ายมทูติสีฟ้าไม่คิดมายุ่งกับเรื่องของฉัน”


   “ เรื่องอะไร กูไม่รู้เรื่อง” เขาตะวาดกลับไปพร้อมทั้งพยามยามเดินออกจากตราสัญลักษณ์ของยมทูติสีดำแต่ว่าไม่เป็นผลเพราะทันทีที่เดินเข้าไปใกล้บางส่วนในร่างกายของเขาก็ร้อนผ่าวราวกับว่าถูกไปร้อนๆมาจี้    “ ออกไปจากความฝันกูเดี๋ยวนี้”


   “ อย่าทำเรื่องง่ายๆให้มันยุ่งยากนักสิ ไม่น่ารักเลยนะ” เธอยิ้มให้พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ขึ้น “ ทำไมเดี๋ยวนี้ทำตัวยุ่งยากนักนะ จะไปสนใจมันทำไมกับพวกคนบาป อย่าลืมสิว่าเศษชีวิตของพวกคนที่ตายก่อนมันมีค่ามากกับตัวนายมากแค่ไหน”


   “ แต่” เขาอยากจะพูดบางอย่างกลับไปแต่เหมือนมีอะไรมันจุกที่คนและเขาไม่สามารถพูดออกไปได้


   “ แต่อะไรล่ะ หรือว่าเดี๋ยวนี้อุดมการณ์เดิมๆเปลี่ยนไปแล้วเหรอ” เธอหัวเราะออกมาอย่างรู้สึกสมเพช “ คนอย่างยมทูติปิติภัทร ผู้เย็นชาต่อความรู้สึกของมนุษย์ กลายมาเป็นคนที่ลังเลและอ่อนไหวกับการตายของมนุษย์แค่ไม่กี่คนเมื่อไหร่กันนะ”


   “ แต่นี่มันเป็นคำสั่งจากยมทูติสีขาว”


   “ คำสั่ง เดี๋ยวนี้แกเชื่อฟังคำสั่งด้วยอย่างนั้นเหรอ” เธอหัวเราะออกมา “ ตลกชะมัด อ่อแล้วก็อย่าพยายามเลย ตราสัญลักษณ์นั่นมันไม่ปล่อยแกไปจนกว่าฉันจะปล่อย แกก็รู้หนิว่าฉันควบคุมแกได้เพราะในร่างกายแกก็มีส่วนที่เป็นของฉันเหมือนกัน”


เธอพูดพร้อมกับเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดของปิติภัทรที่พยายามก้าวออกมาจากสัญลักษณ์นั้น บริเวณลำคอของเขาแดงฉานขึ้นมาเป็นรอยคล้ายๆกับตราสัญลักษณ์ที่พื้น



ภายในห้องคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดต้องยอมหันหน้ากลับมามองเมื่อเสียงข้าวของของตกแตก เมื่อปณิธานหันกลับมาก็พบว่ามือของปิติภัทรปัดไปมา เหงื่อท่วมไปทั่วร่างกาย


   “ เอาไงดีวะ” เขากังวลเพราะคนตรงหน้าเคยสั่งห้ามเรื่องการเข้าไปยุ่งกับความฝัน ปณิธานจ้องคนที่นอน เขาเดินไปมาบนเตียงอย่างร้อนใจ เพราะร่างของคู่หูของเขาแดงไปทั่วทั้งร่างกาย โดยเฉพาะที่ลำคอมีแสงสว่างบางอย่างเป็นสีแดงเกิดขึ้น ตราสัญลักษณ์ที่เขาเคยเห็นตอนที่อยู่บนโลกหลังความตาย และสิ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้นก็คือ เลือดของคู่หูของเขาเริ่มไหลออกมาจาก จมูก หูและบริเวณมุมปากและดวงตา


ร่างที่อยู่บนเตียงสั่นราวกับเจ้าเข้า มือที่เคยปัดแกว่งไปมาเกร็งหงิกจนจิกเตียงเป็นรอยและยับยู่ยี่ไปหมด ร่างของปณิธานเหมือนจะสงบลงแต่หลังจากนั้นเลือดที่ค่อยๆซึมกลับไหลออกมามากขึ้นทุกที


   “ กูขอโทษนะเว้ย” เขาตัดสินใจจับตัวของปิติภัทรทันที เท้าของปณิธานมายืนอยู่ในห้องเดียวกับคู่หูของเขาที่กำลังโดนผู้หญิงในชุดสีแดงบีบคออยู่ ตัวของปิติภัทรลอยอยู่เหนือจากพื้น “ ปล่อยนะเว้ย” เสียงของปณิธานทำให้คนที่ยืนอยู่ชะงักจนมือของเธอปล่อยร่างของปิติภัทรลง


   “ แกเข้ามาที่นี่ได้ยังไง” เธอถามด้วยความตกใจ “


   “ เข้ามาช่วยคู่หูกูไง” เขาฟาดโซ่สีฟ้าไปด้านหน้า เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่ว “ กลับยังไงวะเนี่ย” เขาบ่นกับตัวเองอย่างหัวเสีย


   “ นึกถึงสิ่งที่อยากทำจริงๆ” คำสอนของเรย์ดังขึ้นมาในหัว


เขาพยายามคิดถึงห้องนอนที่ตนเคยอยู่ และหลังจากนั้นก็เหมือนมีบางอย่างดึงเขาด้วยความเร็ว จนกลับมาอย่าบนเตียงดังเดิม
ร่างที่นอนอยู่บนเตียงสงบลง เขาค่อยๆขยับเปลือกตาช้าๆก่อนจะดันตัวเองขึ้นมา แต่คงจะไวเกินไปสำหรับคนที่ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมา รอบตัวของเขาหมุนไปรอบๆราวกับม้าหมุน


   “ นอนพักก่อนเถอะ” ปณิธานพูดก่อนจะประคองตัวปณิธานลงกลับไปนอนเหมือนเดิม “ มีอะไรเดี๋ยวค่อยคุยกัน” เขาทำท่าจะลุกออกจากเตียงไปแต่มีมือของคนที่นอนอยู่คว้าแขนของเขาเอาไว้ “ ปล่อย”


“ นั่งอยู่ข้างๆเฟิร์สก่อนไม่ได้เหรอ โกรธอะไรเฟิร์สหรือเปล่า” เขาพยายามเค้นเสียงถามออกไป


   “ เปล่า จะลุกไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้เลือดเต็มหน้ามึงไปหมดแล้วเนี่ย” มือที่จับเขาอยู่ปล่อยลงทันที เขาหายเข้าไปในห้องน้ำ
สักพักก็กลับมาพร้อมกับผ้าสีขาวที่แช่อยู่ในน้ำอุ่น “ พรุ่งนี้เช้าคนมาซักผ้าให้มึงต้องตกใจแน่”


   “ ตกใจอะไรเหรอ” เลือดเปรอะเต็มไปหมดแล้วเนี่ย” เขาชี้ไปรอบๆพร้อมกับนำผ้าที่บิดหมาดๆไปเช็ดที่ใบหน้าขาวซีด “ มึงฝันอย่างนี้บ่อยเหรอวะ”


   “ เปล่าหรอก”


   “ แล้วผู้หญิง…”


   “ อย่าถามอะไรเฟิร์สเลยนะ เฟิร์สขอร้อง ทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง เฟิร์สแค่ประมาทไปเท่านั้น” ปิติภัทรพูดแทรกขึ้น “ จริงๆแล้วถ้าเฟิร์สเป็นแบบนี้อีก แค่ทำให้เฟิร์สตื่นก็พอไม่ต้องเข้าไปช่วยก็ได้นะ”


   “ ทำให้ตื่น กูเรียกมึงตั้งนาน ตัวมึงก็สั่นไปหมดไหนจะเลือดอีก” คำตอบของปณิธานทำเอาคนที่นอนอยู่บนเตียงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “ ยิ้มอะไร”


   “ เป็นห่วงเฟิร์สเหรอครับ”


   “ พูดมาก เช็ดต่อเองเลยไป” เขาโยนผ้าปิดหน้าปิติภัทรอย่างรวดเร็ว


   “ เขินเหรอครับ” เขาถามคนที่นั่งหันหลังให้กับเขาในตอนนี้


   “ กูจะเขินมึงทำไมไม่ต้องพูดมากเลย เช็ดเลือดซะแล้วก็หลับได้แล้วไป”


   “ เฟิร์สไม่มีแรง ยกมือขึ้นมาเช็ดไม่ไหวหรอก ปาร์คเช็ดให้เฟิร์สหน่อยนะครับ นะๆๆๆๆ”


   “ น่ารักตายล่ะ” เขาหันกลับไปคว้าผ้าที่หล่นอยู่ด้านข้างหมอนขึ้นมาไว้ในมือก่อนจะจุ่มลงไปในกะละมังใบเล็กแล้วบิดพอหมาดแล้วกลับมาค่อยๆเช็ดเบาๆที่ใบหน้าของคู่หู “ ไม่ต้องยิ้มถ้ายังยิ้มกูไม่เช็ดนะ” เขาสั่งพร้อมทั้งทำท่าจะลุกออกจากตรงนั้น มือของปิติภัทรกลับฉุดเขากลับมานอนทับบนหน้าอกของตันเอง ปลายจมูกที่เป็นสันของทั้งคู่แนบติดกัน ลมหายใจอันแสนอบอุ่นของปิติภัทรสัมผัสบนใบหน้า


คงจะจริงอยู่ที่มีคนเคยบอกว่า ต่อให้เราเก็บความรู้สึกสักแค่ไหนหรือพยายามที่จะโกหกอะไรอยู่ สิ่งที่ไม่สามารถปกปิดได้เลยคือสายตา


ปิติภัทรเองก็คงถือคตินี้ เขาจ้องตาคนที่อยู่ด้านบนไม่ยอมละสายตาไปไหน เขาพยายามที่จะจ้องเข้าไปในความรูสึกของคนตรงหน้า โชคยังคงเข้าข้างเขาเพราะครั้งนี้คนที่อยู่ด้านบนเองก็ไม่ละสายตาไปจากเขาเช่นกัน ใบหน้าของทั้งสองขยับเข้าหากันมากขึ้น ริมฝีปากอมชมพูสัมผัสเข้าหากันราวกับว่ามันมีแรงดึงดูดบางอย่าง มันสัมผัสค้างอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนคนที่ยืนอยู่ด้านบนจะผละมันออก แต่ว่าคนที่อยู่ด้านล่างโอบคอของปณิธานไว้เสียก่อน


   “ เป็นแฟนกับเฟิร์สนะ” เขาพูดออกมาอย่างแผ่วเบา ดวงตารีเล็กเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงใจ “ นะครับ ให้โอกาสเฟิร์สนะครับ”


ทั้งห้องเต็มไปด้วยความเงียบงัน ทั้งสองจ้องตากันอยู่สักพัก ริมฝีปากของปณิธานก็ขยับเหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่างยิ่งทำให้คนที่รอฟังถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง


   “ เจ้านายครับ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยพร้อมกับบรรยากาศที่จบลง


   “ บอกแล้วว่าควรมีมารยาท ลุงน่าจะให้สัญญาณก่อนนะ” บลูเอ่ย


ปณิธานผละออกจากปิติภัทรอย่างรวดเร็ว “ มีอะไร ได้อะไรมาบ้าง”


   “ ขอโทษครับเจ้านาย” เรย์ลอยไปอยู่ข้างๆเจ้านายของตนที่กำลังมองมายังเขาเองอย่างมาดร้าย “ ผมไม่รู้นี่ครับว่าเจ้านายกำลังจะ”


   “ ไม่ได้หรือไงว่าฉันถามว่า ได้อะไรมาบ้าง” ปณิธานพูดเสียงดังขึ้นทำเอาคนที่อยู่ในห้องสะดุ้งไปตามๆกัน


   “ ฟ้าลดา เป็นดวงวิญญาณที่หลบหนีไปเมื่อ 17 ปีก่อน ข้อมูลที่เราได้มาคือ เธอฆ่าตัวตายเพราะโดนข่มขืนโดยแฟนเก่าและ
เพื่อนๆ” เรย์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


   “ มีข้อมูลเท่านี้เหรอ” ปิติภัทรที่พอตั้งสติได้ถามขึ้น”


   “ ยังครับ คนที่ข่มขืนมีทั้งหมดสี่คนครับ หนึ่งในนั้นมีนายเมฆาที่เพิ่งตายไปด้วยครับ”


   “ โอเคฉันได้คำตอบแล้ว คนที่เหลือคือรายต่อไป เราต้องตามช่วยคนที่เหลือแล้วทุกอย่างจะจบ”


   “ แล้วมึงจะรู้ได้ยังไงว่ามีใครบ้าง”


   “ ลุงของปาร์คไง เราว่าลุงเกรียงไกรต้องมีคำตอบให้กับเรื่องนี้” เขาตอบก่อนจะหันไปสั่งสมุดทั้งสองเล่ม “ ไปตามเฝ้าลุงเกรียงไกรไว้อย่าให้คลาดสายตามีอะไรกลับมารายงานทันที” สิ้นคำสมุดสองเล่มก็หายไปในทันที


   “ นี่มึงหมายความว่าลุงกูมีส่วนรู้เห็นเรื่องการข่มขืนครั้งนั้นเหรอไม่มีทาง” เขาเดินหัวเสียไปที่ระเบียง ทั้งๆที่จริงๆแล้วตัวเขาเองก็สับสนและกลัวเสียเหลือเกินว่าคนที่เขารักและห่วงใยมากที่สุดจะทำเรื่องแบบนี้


   “ มันเป็นทางเดียวนะ เฟริ์สเข้าใจว่ามันยาก มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้นะ”


   “ นี่มึงลุกมาทำไมเนี่ย” เขาหันไปทำหน้าตกใจเมื่อคนที่ควรจะนอนอยู่บนเตียงมายืนอยู่ที่ด้านหลัง “ กลับไปนอนได้แล้ว”


   “ ไม่ได้หรอก ปาร์คไม่สบายใจแบบนี้จะให้เฟิร์สนอนหลับได้ยังไงกัน”


   “ เออ กูไม่เป็นไรละ กลับไปนอนได้แล้วไป” เขาประคองคู่หูกลับไปที่เตียง “ กูจะนั่งอยู่อย่างนี้จนกว่ามึงจะหลับ แล้วหยุดทำตัวเป็นเด็กๆซะที” เขาจับมือคนที่นอนอยู่ไว้ “ หลับตาสิ”


   “ ครับ วันนี้เฟิร์สต้องฝันดีแน่ๆเลย” เขาค่อยๆหลับตา สัมผัสจากคนข้างๆยังคงอยู่ที่มือของเขาเหมือนเดิม ถึงแม้ว่ามันจะไม่อบอุ่นแต่มันเป็นสัมผัสที่ทำให้คนที่นอนหลับยากอย่างปิติภัทรเข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างง่ายดาย


ปณิธานได้แต่มองคนที่นอนหลับไป อย่างอ่อนใจ เขาอิจฉาในตัวของมนุษย์ที่มีเวลาพักผ่อน หรือเวลานอน อย่างน้อยมันก็เป็นการช่วยลืมและหยุดคิดเรื่องบางเรื่องได้ในช่วงเวลาสั้นๆ นี่คงเป็นกรรมของเขาที่ต้องมานั่งคิดทุกเรื่องโดยไม่มีเวลาหยุดพักเช่นนี้



“ ติดต่อได้หรือเปล่า” เกรียงไกรถามพร้อมทั้งพยายามที่กดมือถือส่งข้อความหาเพื่อนอีกคนที่ยังไม่มา


   ในห้องตอนเต็มไปด้วยความตรึงเครียดเพราะหลังจากกลับจากงานศพ ทั้งสามก็มารวมตัวกันที่ห้องรับแขกที่ไร่ส้มเกรียงไกร วิชัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่ตรงด้านข้างกำแพงพยายามติดต่อเข้าไปที่เบอร์บ้านและเบอร์ของภรรยาคนที่ยังไม่มา ส่วนอีกคนที่เดินไปเดินมาอย่างร้อนใจอย่างชลชาติเป็นคนรับผิดชอบที่จะโทรเข้าไปที่เบอร์ส่วนตัวเพราะทั้งคู่สนิทสนมกันมากที่สุด


   “ ไม่ได้เลยว่ะ” ชลชาติบอกก่อนจะกดตัดสายแล้วกดโทรกลับไปอีกครั้งแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า “ หรือว่าไอ้ดุ้กมันเป็นอะไรไปอีกคนหรือเปล่าวะ”


   “ มึงก็หยุดกลัวจนเพ้อเจ้อได้แล้ว ตั้งสติหน่อยดิวะ” วิชัยลุกขึ้นมาโอบไหล่เพื่อนของตน “ เอาอย่างนี้ วันนี้แยกย้ายกันไปก่อน ตอนเย็นๆเดี๋ยวเรามาเจอกันที่นี่โอเคมั้ย”


   “ มึงจะให้เราแยกกันเหรอวะ” คนที่กลัวจนเข้าขั้นใกล้จะเสียสติเอ่ย


   “ ไอ้บีมมึงใจเย็นๆนะ มึงแค่กลับไปบ้านแค่แป๊บเดียวเอง” วิชัยพูด “ เดี๋ยวกูไปกับมึงก็ได้”


   “ จริงๆนะ” เขาดีใจออกมาทั้งน้ำตา “ กูไปบอกดาก่อนว่ากูจะไปทำธุระแล้วให้เขาไปอยู่กับแม่เขาก่อน”


   “ ดีแล้วล่ะ รีบไปรีบมานะ เดี๋ยวเรื่องของไอ้ดุ๊กกูจะพยายามติดต่อมันเองพวกมึงไม่ต้องห่วง” เกรียงไกรพูดก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินมาหาเพื่อน “ เราจะทำเรื่องนี้จบให้เร็วที่สุด และต้องไม่มีใครเป็นอะไร”






หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 11.3.19 บทที่ 8 2nd MURDER
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 11-03-2019 02:11:54
ต่อ


ตั้งแต่ออกจากไร่เกรียงไกรมาคนที่ขับรถก็คือวิชัยเพราะดูเหมือนว่าชลชาติจะไม่สามรถที่จะคุมสติได้เลย ตัวของเขาสั่นเทาไปด้วยความกลัว ภาพในอดีตที่เขาพยายามซ่อนไว้ในส่วนที่ลึกของความทรงจำย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขาราวกับว่ามันถูกเลือกให้เปิดขึ้นมา


   สิบเจ็ดปีก่อน


ใต้ต้นจามจุรีที่กำลังผลัดเปลี่ยนใบ ตามพื้นที่เป็นหินเกล็ดสีฟ้าเต็มไปด้วยเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นมาจากต้นที่แผ่ปกคลุมให้ร่มเงาไปทั่วบริเวณ ม้าหินอ่อนสีขาววางเรียงเป็นแนวยาวใต้ร่มไม้นั้น แต่อย่างว่าในเวลาพลบค่ำและฝนกำลังจะตกเช่นนี้ใครจะมานั่งอยู่ถ้าหากไม่มีนัด


ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาสีขาวกับกางเกงยีนส์ทรงกระบอกเดินกอดคอกับรุ่นน้องที่แต่งตัวถูกระเบียบเดินตรงมายังโต๊ะที่มีเพื่อนอีกสองคนนั่งรออยู่แล้ว


ชลชาติตบไหล่รุ่นน้องที่กำลังเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวสองสามทีเป็นการปลอบใจก่อนที่จะเดินไปถึงโต๊ะนั้น


   “ มาช้าจังวะ” เสียงคนที่นั่งสูบบุหรี่อยู่เอ่ยทักขึ้น เขาทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นก่อนจะดับมันลงด้วยฝ่าเท้าของตัวเอง “ แต่ก็ดีมึงยังได้ตัวมันมาด้วย”


   “ พี่มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” เมฆาถามแต่ไม่ยอมสบตากับคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย”


   “ มีคนบอกกับกูว่า มึงเก๋ามากเลยเหรอ” วิชัยที่นั่งหันหลังให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันมาสบตาคนที่เพิ่งมาใหม่ “ มึงชอบทำตัวอวดเก่ง เป็นลูกผู้ชายทั้งๆที่มึงแม่งเป็นไส้เดือน”


   “ เปล่าครับ” เขาปฏิเสธ “ พี่ปล่อยผมไปเถอะนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะไปบอกพี่ไกร”


   “ ไอ้ไกรเหรอ มึงจะเอาเรื่องของพวกกูไปบอกไอ้ไกรอย่างนั้นเหรอ แค่มันยอมมาปกป้องมึงทั้งๆที่มึงไม่ควรได้รับการปกป้องเนี่ย มันก็เสียหน้าจะแย่แล้ว” ดนัยว่า


   “ พี่หมายความว่ายังไง”


   “ ก็มึงมันเป็นพวกไส้เดือน มีสองเพศ มึงรู้หรือเปล่าว่าไอ้ไกรมันต้องเอาศักดิ์ศรีมันไปปกป้องมึง” คนที่ล็อกตัวอยู่พูดขึ้นบ้าง “ แต่ถ้ามึงจะปฏิเสธกูก็มีทางเลือกให้มึงนะ”



ชลชาติไม่มีทางรู้เลยว่าการที่เขาเสนอทางเลือกในครั้งนั้นจะทำให้เมฆาต้องมาตายในวันนี้เขานั่งมองออกไปดูแสงสว่างที่กำลังคืบคลานเข้ามาหา เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขากำลังก้าวเข้าสู่วันใหม่ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นทำให้คนที่กำลังเหม่ออยู่หลุดจากภวังค์ หน้าจอโทรศัพท์มือถือแสดงชื่อว่า ดา


   “ ครับ”


   “ ทำไมเมื่อคืนไม่กลับบ้าน ฉันโทรไปทีไรก็เป็นสายซ้อนตลอดเลยมีอะไรจะอธิบายหรือเปล่าคะ” ปลายสายกรอกเสียงตามมาโดยไม่คิดจะเว้นจังหวะให้ต้นสายฟังเลยแม้แต่น้อย “ ตอบสิคะ เงียบอยู่ทำไม หรือว่าแอบไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า”


   “ พอดีเมื่อคืนเสร็จงานศพดึกน่ะครับ ขอโทษนะครับที่ไม่ได้โทรบอก เมื่อคืนผมนอนที่ไร่ของพี่เกรียงไกรแล้วนี่ก็กำลังกลับบ้านแล้วนะครับ” เขาพยายามข่มไม่ให้เสียงสั่นให้มากที่สุด


   “ มีอะไรหรือเปล่าคะ บีมร้องไห้เหรอ” ผู้เป็นคนรักถามกลับมา


   “ เปล่าครับ แล้วเจอกันที่บ้านนะครับ” เขากดตัดสายไปก่อนจะมองกลับไปที่นอกตัวรถอีกครั้ง “ มึงว่าคนต่อไปจะเป็นใครวะ กูหรือเปล่าวะ”



   “ พูดบ้าอะไรของมึงเนี่ย นอนไปก่อนเลยเดี๋ยวถึงบ้านกูจะปลุก” วิชัยที่ขับรถอยู่ตกใจกับคำพูดของเพื่อนเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือมาปิดเพลง


   “ กูนอนไม่หลับ กูกลัวว่ากูจะไม่ได้ตื่นอีก”


   “ เออน่า หลับก่อนเดี๋ยวไปถึงบ้านมึงดาเห็นแบบนี้จะไม่สบายใจเอานะเว้ย”


   “ มึงสัญญานะ ว่าพวกเราต้องรอด”


   “ สัญญาสิวะ”


รถคันสีขาวจอดเทียบที่หน้ารั้วบ้านทรงโมเดิร์น เป็นเวลาเดียวกันกับพระอาทิตย์ส่องสว่างได้อย่างเต็มที่แล้ว ทั้งคู่เปิดประตูรถลงมาก็พบว่า รั้วไม้ที่สูงกว่าสองเมตรถูกเปิดค้างเอาไว้ ด้านในไม่มีรถจอดอยู่เลย


ชลชาติวิ่งเข้าไปในตัวบ้านก็พบว่าประตูบ้านไม่ได้ใส่กุญแจไว้ เข่าของเข่าอ่อนแรงในทันที น้ำตาของเขารื้นขึ้นมาที่ขอบตา ตัวเริ่มสั่นเท่าด้วยความหวาดกลัว เพราะเขากลัวว่าความแค้นนั้นจะไม่ได้มาลงที่เขาคนเดียวเหมือนกับเมฆา
ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสเมื่อครู่กลับส่งเสียงร้องครืนอย่างน่าตกใจ เมฆกลุ่มใหญ่ก่อตัวไปทั่วพื้นที่ที่พวกเขามองเห็น เสียงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงดังขึ้น


   “ สวัสดีครับ”


   “ คุณบีมครับ แฟนของคุณขับรถเข้าไปบริเวณโรงอบสตรอเบอรี่ครับ ผมโบกให้จอดก็ไม่จอดครับ มีผู้หญิงนั่งข้างๆมาด้วยครับ” ปลายสายตอบมา


   “ ตามดาไป เดี๋ยวผมจะรีบไปโรงงานเดี๋ยวนี้แหละ”เขาพูดพร้อมกับกดตัดสายทิ้ง


   “ มีอะไรหรือเปล่าวะ”


   “ มีคนพาดาไปโรงงานกู”



ภายในห้องสี่เหลี่ยมคนที่กำลังเพิ่งจะตื่นนอน กำลังจัดการกับธุระส่วนตัวเขาหยิบเสื้อเชิ้ตสีดำมากับกางเกงยีนส์ทรงกระบอกก่อนจะมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงเพื่อใส่ถุงเท้า



   “ เกิดเรื่องแล้ว” แสงสีฟ้าสว่างขึ้นกลางห้องพร้อมกับเสียงของเรย์


   “ พาพวกเราไปเดี๋ยวนี้” ปิติภัทรพูดพร้อมทั้งรีบใส่รองเท้าก่อนจะวิ่งเข้าไปในแสงสว่างนั้น พร้อมด้วยปณิธานที่ตามหลังมาติดๆ


ด้านหน้าของเขาตอนนี้คืออาคารผลิตขนาดใหญ่ที่บุด้วยผนังพลาสติกสีขาว ด้านบนกำลังมีไอความร้อนออกมาจากท่อ รอบตัวของพวกเขาไม่มีใครแม้แต่คนเดียวมีเพียงรถคนสีดำที่จอดเทียบอยู่เท่านั้น


ดวงตาของปิติภัทรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเพื่อให้พร้อมต่อการต่อสู้ ท้องฟ้าเหนือหัวของพวกเขาปกคลุมเป็นเงามืดราวกับว่าเป็นเวลากลางคืนทั้งๆที่เป็นเวลาเกือบจะเที่ยง


ไม่นานนักประตูด้านหน้าโรงงานก็ถูกเปิดออกมีรถคันสีขาวแล่นเข้ามาด้วยความเร็วสูงก่อนจะมาจอดเทียบตรงบริเวณที่เขียนว่าอาคารผลิตของอบแห้ง คนที่ลงจากรถมาวิ่งไปดูรถคันที่จอดอยู่อย่างร้อนรนแต่ทว่าเขากลับเตะล้อรถด้วยความโมโห ชายคนหนึ่งเดินตรงมาทางที่เขาสองคนยืนอยู่


   “ ไปดูกล้องที่ห้องทำงานผม” ชลชาติเอ่ยก่อนจะเดินทะลุร่างของยมทูติทั้งสองไป
ปิติภัทรและปณิธานเดินตามทั้งสองไปติดๆ ห้องทำงานของชลชาติ พอไปถึงเจ้าของห้องเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเร่งรีบก่อนจะไล่หาไปตามมุมกล้องที่ติดไว้ทั่วบริเวณ จนกระทั่งมาหยุดที่ภาพหนึ่งที่ภรรยาของชลชาติหยุดยืนที่หน้าเครื่องจักรบางอย่าง ก่อนที่ภาพทุกอย่างบนหน้าจอจะดับลง


   “ ดาอยู่ห้องอบ” เขาหันมาบอกก่อนจะทำท่าวิ่งออกจากประตูไปแต่มือของวิชัยคว้าไว้ที่แขนของเขาทำให้ชลชาติหยุดลง


   “ ใจเย็นๆมึง เราจะประมาทไม่ได้”


   “ แล้วมึงจะให้กูทำยังไง เมียกูกำลังอยู่ในอันตรายแล้วมึงจะให้กูยืนอยู่เฉยๆเนี่ยนะ” เขาสะบัดแขนออกก่อนจะวิ่งออกจากประตูไป
ชลชาติวิ่งไปจนมาหยุดที่ห้องขนาดใหญ่ ตรงหน้ามีเครื่องจักรทรงสีเหลี่ยมขนาดใหญ่ สี่ตู้ ด้านบนมีไฟสัญญาณติดสว่างอยู่ นั่นเป็น
สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเครื่องกำลังทำงาน ที่บริเวณหน้าตู้มีจอสั่งการเขียนว่า ขั้นตอนการไล่อากาศ อุณหภูมิค่อยๆขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ยิ่งบีบให้ชลชาติสติแตก
อีกฝั่งหนึ่งของอีกโลก


   “ ทำไงดีวะ” ปณิธานหันไปถามคู่หูเมื่อเขาเห็นว่าตู้อบด้านหน้ามีเงาสีดำของวิญญาณสัมภเวสีวนเวียนอยู่


   “ ใจเย็นๆ เดี๋ยวปาร์คตามดูนายวิชัยส่วนเฟิร์สจะตามประกบนายคนนี้เอง”
อีกฝั่งทางโลกของคนเป็นชลชาติพยายามที่จะปลดล็อกประตูแต่ว่าไม่สำเร็จ อุณหภูมิที่บริเวณจุดควบคุมยังคงสูงขึ้นไปเรื่อยๆเสียง
กรีดร้องของคนที่อยู่ด้านในยิ่งทำให้ชลชาติมั่นใจได้เลยว่าคนรักของเขาอยู่ในหม้ออบหม้อนี้ เขาเอื้อมมือเพื่อจะไปกดปุ่มการหยุดการทำงานเครื่องแบบฉุกเฉินที่ด้านข้างแต่กลับทำไม่ได้เพราะมันกลับระเบิดออกมาเป็นประกายไฟซึ่งทำให้ระบบวงจรไฟฟ้าหน้าตู้อบนั้นอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


   “ ต้องไปตัดระบบไฟฟ้า” ชลชาติพูดพร้อมทั้งหันไปสั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านข้าง
แต่ไม่ทันที่เจ้าหน้าที่คนนั้นจะวิ่งออกไปจากจุดเดิม วงจรไฟฟ้าทั้งหมดก็ดับลงรวมถึงระบบไฟฉุกเฉินที่ควรจะให้ความสว่างกลับไม่
ทำงานเอาดื้อๆ รอบตัวของทุกคนเต็มไปด้วยความมืด


ตุ๊บ !


เสียงบางอย่างล้มลงบนพื้น ก่อนที่ระบบไฟฟ้าจะกลับมาทำงานอีกครั้ง ทุกคนพยายามปรับสายตาให้เข้ากับแสงไฟที่สว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว


   “ ไอ้บีม ไอ้บีม” คนที่ตั้งสติได้ก่อนว่าเพื่อนตัวเองที่ยืนข้างๆหายตัวไปก็ตะโกนเรียกทันที “ ไฟสับคัทเอาท์ลง” เขาหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ที่กำลังตกใจอยู่


ระบบไฟฟ้าที่กลับมาใช้งานได้อีกครั้งทำให้หม้ออบที่หยุดไปเมื่อครู่กลับขึ้นมาทำงาน อุณหภูมิที่หน้าจอสูงขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับเสียงร้องอย่างทรมานภายในหม้ออบ หน้าปัดความดันที่หน้าหม้อแตกกระจายเต็มพื้น เสียงไฟฉุกเฉินที่ควบคุมความดันส่องสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงร้องที่ดังไปทั่วบริเวณ


   “ ออกไปก่อนเถอะครับ” ปิติภัทรที่เห็นท่าไม่ดีวิ่งเข้ามาหลังจากเปลี่ยนตัวเองกลับมาเป็นมนุษย์แล้ว


   “ นายที่เจอที่บ้านเกรียงไกรเนี่ย มาทำอะไรที่นี่”


   “ ไม่มีเวลาแล้วครับ ออกไปก่อนเถอะครับ” เขาดึงแขนของวิชัยกลับออกมาจากโรงงาน ไม่นานเสียงระเบิดก็ดังไปทั่วบริเวณ เปลวไฟลุกไหม้ราวกับว่าเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จให้กับใครบางคน


ไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยดับเพลิงก็เดินทางมาถึงพร้อมทั้งเข้าไปนำเอาร่างของชลชาติออกมา สภาพร่างกายของผู้เสียชีวิตมีลักษณะผิวพุพองและไหม้เกรียม ส่วนล่างหายไปเพราะแรงระเบิดของหม้ออบ คนที่ยืนมองภาพตรงหน้าถึงกับเข่าอ่อน วิชัยร้องไห้ออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้


   “ เกิดอะไรขึ้น” เสียงผู้หญิงที่คุ้นหูดังฝ่าบรรดาเจ้าหน้าที่ออกมาจากด้านใน


   “ ดา” วิชัยร้องเรียกชื่อ “ เธอไปมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”


   “ ฉันไม่รู้ รู้ตัวอีกทีฉันก็มานอนอยู่ในรถแล้ว”


   “ เป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้พี่เพิ่งไปดูที่รถกับไอ้บีมมา แต่ไม่เจอเธอเลยคิดว่าเธออยู่ในตู้นั่น”


   “ แล้วบีมอยู่ไหน” เธอถามด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก “พี่ชัยบีมอยู่ไหนคะ” เธอถามย้ำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
วิชัยไม่ตอบอะไรทำได้เพียงชี้ไปยังรถของมูลนิธิที่กำลังมัดห่อผ้าสีขาวที่ท้ายรถอยู่ แต่ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าคนรักของเธอได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว หล่อนทรุดลงกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ออกมาราวกับคนไม่มีสติ


   “ ผมขอสอบปากคำคุณด้วยนะครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินเข้ามาหาวิชัยที่กำลังยืนร้องไห้อยู่ “ คุณด้วยนะครับ” เขาบอกปิติภัทรที่ยืนอยู่ด้านหน้า


หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 11.3.19 บทที่ 8 2nd MURDER
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-03-2019 06:39:58
รายที่ 2 ผ่านไป รายต่อไปจงรีบมา  :katai4:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 15.3.19 บทที่ 9 KISS
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 15-03-2019 01:19:25
9


KISS


ตรงหน้าของปิติภัทตอนนี้คือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังจ้องมาหาเขาอย่างจับผิดมากกว่าการสอบปากคำอาจเป็นเพราะคำให้การของวิชัยก่อนหน้านี้ ที่เขากำลังสงสัยว่าปิติภัทรมีส่วนรู้เห็นกับการตายของเพื่อนเขาทั้งสองคน


“ คุณไปทำอะไรที่ไร่ส้มเกรียงไกรครับ”


“ ผมไปหาลุงเกรียงไกรครับ” เขาตอบคำถามด้วยความเหนื่อยใจเพราะเขาตอบซ้ำๆแบบนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว “คุณตำรวจจะถามผมกี่ครั้งผมก็ตอบเหมือนเดิม”


“ ผมต้องถามย้ำเพื่อความมั่นใจครับ ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริงๆคุณก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถูกไหมครับ” คนที่เป็นผู้สอบสวนว่าก่อนจะถามต่อ “ แล้วครั้งนี้ล่ะครับคุณไปทำอะไรที่โรงงานของคุณชลชาติครับ เท่าที่ผมสืบทราบมาคุณไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับคุณ
ชลชาติเลยนี่ครับ”


คนโดนถามนิ่งไปเพราะคำถามนี่เป็นคำถามปลายปิดสำหรับเขาเหลือเกินเพราะตามความเป็นจริงแล้วเขาไม่ควรอยู่ตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย


“ มึงต้องตอบอะไรสักอย่างนะ”ปณิธานที่ยืนฟังอยู่ข้างๆเอ่ยขึ้น


“ทำไมไม่ตอบล่ะครับ  ถ้าคุณไม่ตอบผมจะถือว่าคุณเป็นผู้ต้องสงสัยนะครับ”


“ ผมก็ไทยมุงทั่วไปแหละครับ เลยตามไป คุณตำรวจมีหลักฐานเหรอครับว่าผมทำถึงได้มาจี้ผมแบบนี้”


“แม้ว่าตอนนี้ผมจะไม่มีหลักฐานก็ตาม แต่ผมมักจะเชื่อในเซ้นส์ของผมเสมอ”


“ ครับ” ปิติภัทรรับคำสั้นนก่อนจะพูดทิ้งท้าย “ ผมเองก็จะพิสูจน์ว่าตัวผมเองบริสุทธิ์เช่นกันครับ สวัสดีครับ”


“ ผมเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีกแน่” เขาลุกเดินตามปิติภัทรออกจากประตูไป
ที่ประตูของห้องสอบปากคำของเขา มีชื่อ วรพล พิทักษ์ชัย เขียนติดอยู่เมื่อประตูปิดลงคนที่อยู่หน้าห้องสอบปากคำอีกคนก็เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจนัก


   “ ผมเจอเด็กคนนี้สองครั้งแล้ว และเพื่อนของผมก็ตายตลอด ทำไมคุณไม่ฟังผมบ้างคุณจับมันไปเลยผมว่ามันเป็นตัวอันตราย”


   “ ผมเป็นคนช่วยคุณออกมานะครับ” ปิติภัทรพยายามอธิบาย


   “ ยังไม่ถึงเวลาของฉันสินะ แก แก แกเป็นอะไรกับฟ้าลดาฮะ แกต้องการอะไรแกต้องการอะไร” มือหนาเขย่าร่างนั้นไปมาอย่างบ้าคลั่งปิติภัทรสั่นไปตามแรงเขย่านั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


   “ พอได้แล้ววิชัย” เสียงคนที่มาใหม่ทำให้วิชัยสงบลงในทันที เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมทั้งมองไปทางปิติภัทรด้วยแววตาที่ว่างเปล่า “ นายอยู่ห่างๆจากพวกเราก็พอ”


   “ แต่”


   “ อย่าให้เราลำบากใจไปมากกว่านี้เลย ถือว่าฉันขอก็แล้วกัน” ลุงเกรียงไกรพูดก่อนจะโอบไหล่วิชัยเอาไว้ข้างกาย “ ขอแค่นี้แหละ เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่ายแกตกลงไหมวิชัย”


   “ เออ” เขาตอบพร้อมกับมองมาทางปิติภัทรอย่างระแวง


   “ แล้วนายล่ะ” เกรียงไกรถามปิติภัทรบ้าง


   “ ครับ” เขาหลุบตาต่ำตอบพร้อมกับมองเท้าที่เดินกลับไป


ปณิธานที่อยู่ๆข้างพยายามตะโกนเรียกลุงของลุงตัวเอง แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะลุงของเขาไม่ได้ยินเสียงของเขาหรือเห็นเขาเลยแม้แต่น้อยเพราะตอนนี้ลุงเกรียงไกรได้ขับรถออกไปแล้ว


ปิติภัทรใจลอยไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่กลับจากโรงพักเขานั่งเงียบอยู่บนเตียงนานสองนาน มีเพียงปณิธานที่บ่นซ้ำไปมาเรื่องเดิมๆและเดินรอบห้องอย่างร้อนใจ


   “ มึงจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้จริงๆเหรอวะ ถ้าเรายอมทำตามที่ลุงกูขอเราจะช่วยใครไม่ได้เลยนะ”


   “ แต่ปาร์คจะให้เฟิร์สทำยังไง ถ้าเราไปในร่างของยมทูติพวกนั้นจะรู้ตัวก่อนแน่ๆ แต่ถ้าไปในร่างของเฟิร์สลุงของปาร์คคงไม่ยอมให้เราเข้าใกล้หรือไว้ใจเราแน่ๆ เฟิร์สไม่ใช่ไม่อยากช่วยนะ เฟิร์สแค่คิดไม่ออกเท่านั้นเอง ยิ่งเฟิร์สเห็นปาร์คเป็นแบบนี้เฟิร์สเองก็ไม่สบายใจเลย เฟิร์สมันคงห่วยมากเลยใช่มั้ยที่ปกป้องใครไม่ได้เลยแม้กระทั่งคนอันเป็นที่รักของคนที่เฟิร์สรัก เฟิร์สทำให้ปาร์คต้องทุกข์ใจใช่หรือเปล่า เฟิร์สมันห่วยใช่หรือเปล่า” เขายกมือขึ้นมาปิดหน้าพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกโต


   “ เฮ้ย อย่าคิดมากสิวะ” ปณิธานพยายามปรับเสียงให้ปกติที่สุด “ มึงไม่ผิดหรอกคนที่ผิดคือกูต่างหาก กูเห็นแก่ตัวที่ห่วงแต่ตัวเองไม่ได้นึกถึงมึงเลย มึงเดือดร้อนก็เพราะกูนี่” เขาโอบไหล่ดึงคนที่นั่งคิ้วชนกันเข้ามาหา “ เดี๋ยวเรามาช่วยกันคิด โอเคมั้ย”


   “ ครับ” เขาตอบสั้นๆก่อนจะเอนตัวซบหน้าอกแน่นที่มันอบอุ่นอย่างน่าประหลาด “ เฟิร์สขออยู่แบบนี้สักพักได้หรือเปล่า เฟิร์สรู้สึกว่าพออยู่แบบนี้แล้วมันเหมือนได้ชาร์ตแบตเลย”


   “ เวอร์ละ” เขาตอบทั้งๆที่ริมฝีปากเขาเองก็ยกขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้


   “ ไม่ได้เวอร์นะ เฟิร์สขออยู่แบบนี้ไปนานๆนะ” เขาพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข “ นานของเฟิร์สหมายถึงตลอดไปนะ”
คนที่ได้ฟังหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกกลัวของเขาเข้ามาแทนความสุขที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างห้ามไม่ได้ เพราะสิ่งที่คนในอ้อมอกของเขาพูดมันเป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย


   “ มึงรู้ใช่หรือเปล่าว่าสิ่งที่มึงพูดมามันเป็นไปไม่ได้” เขากอดคนที่อยู่ในอ้อมแขนเข้ามาแน่นขึ้น “ วันนึงกูอาจจะหายไปจากมึงหรือไม่ก็มึงอาจจะหายไปจากกู เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้จริงๆนะ”


   “ เป็นไปได้สิ แต่ตลอดไปของเฟิร์สมันอาจจะไม่เหมือนคนอื่นไง ของคนอื่นคือมันยาวนานแสนนาน แต่ตลอดไปของเฟิร์สคือ ถึงแค่วันสุดท้ายที่เราสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกันก็พอ” เขาผละตัวออกจากอ้อมกอดนั้นพร้อมทั้งจับมือของปณิธานอย่างแผ่วเบา “ เฟิร์สรู้ว่าปาร์คกำลังกลัวอะไร แต่ปาร์คไม่ต้องกลัวนะ ต่อให้มันต้องเจ็บสักแค่ไหนแต่เราจะจำแค่ช่วงเวลาที่เรามีความสุขก็พอไม่ใช่เหรอ ปาร์คอย่าคิดถึงพรุ่งนี้สิ เฟิร์สอยากให้ปาร์คคิดถึงแค่วันนี้ ตรงนี้ มองที่ปัจจุบัน แค่ตอนนี้เราอยู่ด้วยกัน เฟิร์สรู้สึกดีกับปาร์คและปาร์คก็รู้สึกดีกับเฟิร์ส มันเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ปาร์คจะคิดถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึงทำไมหรือว่าจริงๆแล้วปาร์คไม่ได้คิดอะไรกับเฟิร์สเลย” เขาสบตาคนที่อยู่ตรงหน้าแต่คนตรงหน้ากลับหลุบตาต่ำลง “ ทำไมล่ะ ที่เฟิร์สพูดมันจริงใช่หรือเปล่า ปาร์คไม่ได้รักเฟิร์…”


ยังไม่ทันที่จะจบประโยคคนตรงหน้าก็ดึงปิติภัทรเข้ามาใกล้แล้วโน้มใบหน้าเขามาหา ริมฝีปากสีชมพูอ่อนละมุนสัมผัสเข้าหาอย่างรวดเร็ว แต่มันกลับอ่อนโยนไม่เร่งรีบและเมื่อคนที่ถูกกระทำได้สติก็เปิดริมฝีปากรับความรู้สึกของคนที่เขารักมอบให้อย่างอ่อนโยน ปิติภัทรเก็บเกี่ยวทุกรสชาติภายในจูบนั้นลิ้นของเขาซอกแซกไปตามฟันสีขาวที่เรียงได้รูปอย่างซุกซนไม่ต่างอะไรที่ปณิธานที่ตอบสนองกลับอย่างไม่ขัดเขิน เสียงลมหายใจจากคนที่มีชีวิตอยู่กระหืดกระหอบไปทั่วบริเวณ มือของปณิธานยกขึ้นมาจับที่ใบหน้าของปิติภัทรอีกครั้งก่อนจะถอนริมฝีปากออก แต่ใบหน้าของทั้งสอบยังคงแนบชิดกันไม่ยอมไปไหน หน้าผากของทั้งคู่สัมผัสกัน ดวงตาสีน้ำเงินของยมทูติและดวงตาสีน้ำตาลเข้มของมนุษย์ส่งความรู้สึกเข้าหากันโดยที่ไม่ต้องพูดคำสวยหรูว่าทั้งสองรู้สึกอย่างไร


   “ ห้ามบอกว่ากูไม่รักมึงอีกโอเคนะ” ปณิธานกระซิบ


   “ ครับ”


   “ ไปนอนพักผ่อนได้แล้ว เดี๋ยวเรื่องลุงกูกูคิดต่อเอง”


นาฬิกาบนฝาผนังยังคงเดินไปเรื่อยๆ เหมือนกับความรักของเขาที่กำลังเดินไปข้างหน้า ปณิธานมองมันอย่างเลื่อนลอย ในใจของเขาลึกๆเขาอยากให้มันเดินหมุนเป็นวงกลมอยู่อย่างนั้น ในความเป็นจริงแล้วนาฬิกานั่นก็มีวันหยุดหมุดเช่นกันเมื่อถ่านนาฬิกานั่นหมด แต่นาฬิกานั่นก็ยังคงทำหน้าที่ของมันคือบอกเวลาในทุกๆวันที่เข็มมันเดินไปข้างหน้า เขาเองก็จะทำเช่นนี้เช่น เขาจะทำให้ทุกวันเป็นวันสุดท้ายของชีวิตเพราะหลังจากนี้เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าความรักของเขาจะไปจบลงที่ไหนแต่ขอเพียงแค่อย่างเดียว เขาขอให้คนที่เขารักและรักเขาอยู่รอดปลอดภัยก็พอ ทั้งลุงเกรียงไกรและคนที่นอนหลับใหลอยู่ตรงหน้าอย่างปิติภัทร


เขาไม่เคยรู้สึกว่าห้องแคบๆนี้น่าอยู่เลยแม้แต่น้อยจนกระทั่งวันนี้ วันที่ตัวเขาเองได้เปิดรับความรู้สึกที่เขาพยายามปิดกั้นมานานด้วยความกลัวแต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าห้องนี้เต็มไปด้วยความทรงจำทั้งดีและไม่ดี ทุกอย่างล้วนเป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับปิติภัทร


เขายกยิ้มที่มุมปากขึ้นเมื่อคนที่นอนอยู่เบียดตัวเข้ามาหาเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ วันนี้ปณิธานเลือกที่จะไม่ไปนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรดแต่เขาขอมานั่งใกล้ๆคนที่กำลังอ่อนเพลีย เพราะอย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้นกับความฝันของปิติภัทรเขาจะเข้าไปช่วยได้อย่างทันท่วงที
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ได้ สิ่งที่เป็นสัญญาณว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้วก็เมื่อแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างเข้ามาในห้อง คนที่

อยู่บนเตียงขยับตัวสองสามครั้งก่อนจะกระพริบตาเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างที่เข้ามา และเมื่อสายตาปรับเขาหาแสงได้แล้ว ภาพที่เขาเห็นคือใครบางคนนอนอยู่ข้างๆ


   “ อรุณสวัสดิ์ครับ”


   “ เฮ้ย”


   “ ตกใจอะไร กูลุกก็ได้นะ ทำแบบนี้ก็ไม่ชินเหมือนกัน”


   “ ไปไหนล่ะ” ปิติภัทรคว้าว่าที่ของตัวเองมาไว้ในอ้อมกอด


   “ มึงทำไรเนี่ย”


   “ ถามทำไมก็เห็นอยู่ว่ากำลังกอด”


   “ เออรู้แล้วว่ากอด ปล่อยก่อน” ปณิธานพยายามปล่อยมือที่เหนียวเหมือนกับกาวออก “ ปล่อย ถ้าไม่ปล่อยไม่ต้องฟังที่จะพูดนะ” เป็นไปตามที่เขาคาดมือนั้นปล่อยออกอย่างว่าง่าย เขายิ้มยิ้มที่มุมปากก่อนจะพลิกตัวหันกลับไปจ้องหน้า  “ คือกูคิดมาทั้งคืนแล้วกับเรื่องนี้ โอเคก็เข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มึงอาจจะมองว่ากูเป็นคนเห็นแก่ตัวไปแล้ว แต่กูขอลองเห็นแก่ตัวที่จะอยู่กับมึงไปจนกว่าเราจะจากกัน” คนที่อยู่ตรงหน้ายิ้มออกมาหน้าแดงไปถึงหูไม่ต่างอะไรกับคนพูดเลย “ แต่อย่าคิดว่าตัวมึงมาแทนที่ใครนะ”


   “ เป็นแฟนกันนะครับ คบกับเฟิร์สนะครับ” คนที่ควรจะเงียบฟังกลับพูดขัดขึ้นมาก่อน


   “ มึงแย่งกูพูดทำไม”


   “ ก็ปาร์คช้าอ่า เฟิร์สใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ย” คนที่พูดหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด “ เร็วๆเฟิร์สขอก่อนมาตอบเลยว่าตกลงหรือเปล่า”


   “ เออ”


   “ เออ อะไรล่ะ พูดให้ตรงที่ถามสิครับ เป็นแฟนกันนะครับ”


   “ อืม รู้ใช่หรือเปล่าว่ากูไม่ใช่”


   “ อย่าพูดเลย คำพูดที่ปาร์คจะพูดอ่ามีละครมีนิยายมีซีรี่ส์พูดไปเยอะแล้ว สรุปตรงๆเลยนะว่า เฟิร์สรักที่ปาร์คเป็นปาร์ค” เขายิ้มออกมาอย่างมาดร้าย “ ถ้าอย่างนั้น เฟิร์สขอทำในสิ่งที่เฟิร์สอยากทำมานานนะ”


   “ มึงจะทะ”
ไม่ทันที่ปณิธานพูดจบคนที่อยากจะเริ่มก็ประกบเข้ามาที่ปากของปณิธานอย่างรวดเร็ว ลิ้นของเขาซุกซนราวกับว่ามันอดกลั้นมานาน
มือของจับไว้ที่ข้อมือของปณิธานไว้ทั้งสองข้าง เขากลายเป็นผู้ควบคุมเกมส์ในครั้งนี้ไปเสียแล้ว


เสียงลมหายใจของคนที่มีชีวิตกระหืดกระหอบเพราะหายใจไม่ทันแต่นั่นไม่อาจห้ามให้เขาไปต่อได้เขากันทึ้งที่ริมฝีปากด้านล่างของปณิธานจนปูดขึ้นมา เสียงครวญครางออกมาจากปากของคนที่อยู่ในการควบคุม เมื่อเห็นอย่างนั้นปิติภัทรไม่คิดว่าควรหยุดอยู่แค่นี้มือของเขาปล่อยให้มือของปณิธานให้เป็นอิสระแล้วเปลี่ยนมาเป็นการถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นของเขาออก ทันที่ที่เสื้อยืดของเขาถูกถอดออกลอนกล้ามเล็กๆของเขาก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจน มือของปิติภัทรเริ่มล้วงเข้าไปในกางเกงของแฟนหนุ่มของตนก่อนที่จะกระตุ้นให้บางอย่างเริ่มตื่นตัว ทั้งสองต่างทำอย่างนี้ให้กันและกันจนคนที่อยู่ด้านล่างเอ่ยทักเพื่อปิติภัทรกำลังถอดกางเกงของตนเอง


   “ กูไม่เคย มันจะเจ็บหรือเปล่าวะ”


   “ นิดหน่อยแหละครับแต่เฟิร์สจะทำมันให้เบาที่สุด”


ปิติภัทรพูดจบก็ทำท่าทางจะปลดกางเกงลง แต่ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรต่อไปได้เนื่องจากเสียงประตูหน้าห้องมีคนเคาะเอาเสียก่อน


   “ ไปดูดิว่าใคร” ปณิธานดันตัวของปิติภัทรให้ลุกออกไป


   “ แม่งเอ้ย” ปิติภัทรเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย “ มัดจำก่อนนะ” เขาจุ้บไปที่ปากอีกครั้งก่อนจะลุกไปที่ประตู”


   “ มีคนมาหาน้องด้านล่างค่ะ” อาโปส่งยิ้มมาให้ก่อนที่จะเดินจากไป


   “ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ แค่มีคนมาเอง เขาไม่เห็นปาร์คหรอก” เขาหันมาบอกคนที่นั่งอยู่บนเตียง


   “ ทำไมหลังมึงมีรอยสีดำแบบนั้น”



มาแล้วน้าาาาาาา
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 15.3.19 บทที่ 9 KISS
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 16-03-2019 00:32:46
อูยยย ที่เฟิร์สมาเป็นยมทูตได้ต้องเกี่ยวอะไรกับยมทูตสีดำแน่ๆ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 15.3.19 บทที่ 9 KISS
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-03-2019 00:41:09
ไหน ๆ รอยอะไรอ่ะ ขอดูบ้างซิ  :o
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 15.3.19 บทที่ 9 KISS
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 16-03-2019 05:25:03
อูยยย ที่เฟิร์สมาเป็นยมทูตได้ต้องเกี่ยวอะไรกับยมทูตสีดำแน่ๆ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:



ทุกอย่างมีคนกำหนดไว้แล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 15.3.19 บทที่ 9 KISS
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 16-03-2019 05:25:32
ไหน ๆ รอยอะไรอ่ะ ขอดูบ้างซิ  :o

มันอาจไม่น่าดูก็ได้น้าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 28.3.19 บทที่ 10 FRIENDS
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 28-03-2019 02:06:49
10


FRIENDS


ในห้องเต็มไปด้วยความเงียบ รอยดำบนแผ่นหลังของปิติภัทรค่อยๆขยายตัวเพิ่มขึ้น พร้อมกับรอยแดงที่คอของเขาที่ดูเหมือนว่ามันจะร้อนจนขึ้นเป็นควันขึ้นมา เขาขบกรามไว้ เหงื่อของเขาไปทั่วทั้งตัว ผิวที่เคยขาวกลับค่อยค่อยๆแดงเป็นปื้นขึ้นมา


   “ ออกไปห่างๆ” เขาผลักปณิธานออกไปห่างตัวและดูเหมือนว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะแรงที่เขาผลักคนรักนั้นมันแรงจนปณิธานไปกระแทกตู้เสื้อผ้าอย่างจัง “ อยู่ในห้องนี้ มันจะดีขึ้นเอง” เขาพูดจบก็หายไปจากห้องอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงคำถามที่เกิดในหัวของปณิธาน


   เกิดอะไรขึ้นกับมึงนะ


ตรงด้านล่างไม่มีคนมารออย่างที่อาโปกล่าวไว้เลย เขารู้ดีว่าคนเมื่อครู่ไม่ใช่อาโปแต่เป็นอีกคนหนึ่งคนที่หายไปจากชีวิตของเขาและมีพลังในการแปลงกาย


   เธอคือดาริณ


   “ เธอหายไปไหนมา” เขาถามลอยๆออกไปก่อนที่ร่างอีกร่างหนึ่งจะปรากฏ ใบหน้ารูปไข่แต้มยิ้มเดินออกมาจากหลังเคาท์เตอร์


   “ คิดถึงฉันล่ะสิ”


   “ เธอทรยศฉันไปอยู่กับไอ้พวกยมทูติสีดำอย่างนั้นเหรอ” เขาถามพร้อมกับกระชากไปที่ข้อมือของดาริณ


   “ แล้วมันต่างอะไรกับนายล่ะ นายเองก็อย่ามาพูดถึงเรื่องความถูกต้องต่อหน้าฉันหน่อยเลย ตัวนายเองก็เลือกที่จะใช้อำนาจมืดมาดึงเวลาให้แม่นายมีชีวิตอยู่เหมือนกันแหละ ตัวนายเองก็แทบจะกลายเป็นยมทูติมืดเต็มตัวอยู่แล้วล่ะ”


   “ เดี๋ยวฉันก็จะหยุดแล้ว ขอเวลาหน่อย เธอเองเถอะออกมาจากพวกมันเถอะนะ เธอดูไม่ใช่เธอเลย” เขามองพินิจไปที่ใบหน้ารูปไข่ที่เคยสดใสขาวสะอาดตอนนี้มันมีบางส่วนที่เป็นเส้นเลือดสีดำขึ้นเชื่อมยาวไปที่แผลเป็นสัญลักษณ์ของยมทูติมืดที่ต้นคอ


   “ หยุดเหรอ ฉันขอให้นายหยุดมาตั้งนานแล้วทำไมนายไม่ทำ ทำไมนายไม่ยอมรับซะทีว่าแม่นายตายไปแล้ว” ปิติภัทรหลุบตาลงต่ำ “ นายควรยอมรับได้แล้วนะ สิ่งที่นายทำตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการยื้อเวลาหรอก ตัวนายเองก็กำลังจะกลายเป็นพวกฉันอยู่แล้ว ฉันขอล่ะ ออกมาจากเรื่องนี้ซะ”


   “ แล้วเธอจะมาสนใจฉันทำไม ในเมื่อเธอเองก็ทิ้งฉันไปเหมือนกับคนอื่นๆ ฉันจะไว้ใจเธอได้ยังไงในเมื่อเธอเองก็ไม่ใช่พวกของฉันแล้ว”


   “ แต่เราเป็นเพื่อนกันนะ”


   “ เพื่อน” เขาถามย้ำ “ เพื่อนกันเหรอ เพื่อนกันเขาทิ้งกันไปแบบนี้เหรอ”


   “ ฉันก็มีเหตุผลของฉันเหมือนกัน แต่สิ่งที่ฉันรู้ตอนนี้คือฉันอยากมาเตือนนายในฐานะของเพื่อนคนหนึ่ง ฉันอยากให้นายหยุดได้แล้ว ไม่อย่างนั้นตัวนายเองและคู่หูจะลำบาก ถ้านายยังทำหน้าที่ยมทูติของนายได้ไม่ดีไม่ใช่แค่นายนะที่จะเดือดร้อนคู่หูของนายเองก็เช่นกัน” เธอย้ำเรื่องคู่หู ปิติภัทรหน้าเจื่อนไปในทันที “ ตัวนายเองอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่นายทำอยู่มันมีผลกับคู่หูของนายด้วย อย่าลืมสิการทำสัญญาหรือการส่งวิญญาณทุกครั้งนายไม่ได้ทำคนเดียว”


คำพูดของดาริณทำให้ปิติภัทรถึงกับพูดไม่ออกราวกับว่ามีอย่างติดอยู่ที่ต้นคอ ทุกครั้งที่เขาไปส่งวิญญาณต้องมีการประทับตราจากคู่หูทุกครั้งและจะไม่สามารถเปิดประตูได้ตามลำพัง เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าการที่เขาแลกเอาเวลาของคนที่ยังไม่ถึงเวลาตายมาให้แม่ของเขานั้นมันจะมีผลต่อคู่หูของเขาด้วย


   “ ทำไมเธอไม่บอกฉันฮะ”


   “ เราเป็นเพื่อนกันนะ ตลอดชีวิตของฉันนายคือเพื่อนที่ดีกับฉันที่สุด ฉันรับมันได้ แต่ตอนนี้ฉันอยากให้นายหยุดเพราะยิ่งนายทำอะไรลงไปคู่หูของนายจะได้รับผลกระทบขึ้นมาเป็นสองเท่าจากที่นายได้”


   “ แล้วทำไมเธอเพิ่งออกมาตอนนี้”


   “ ฉันรู้ว่าตัวนายกำลังทำภารกิจบางอย่างอยู่ และถ้าวันหนึ่งเราจำเป็นต้องสู้ นายจงฆ่าฉัน เพราะฉันจะยอมตายก็ต่อเมื่อนายเป็นคนฆ่าฉันเท่านั้น ถือว่าฉันขอล่ะนะ ช่วยปลดปล่อยฉันที”


พูดจบร่างของดาริณก็ถูกกลุ่มควันสีดำกระชากให้ลงไปอยู่ใต้ดิน หยดน้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาเป็นสายตัวของเขาสั่นเทิ้มด้วยความเสียใจ เขากลัวกลัวว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นกับปณิธาน เขาทำลายชีวิตของเพื่อนไปคนหนึ่งแล้ว แต่ถ้าเขาหยุดตอนนี้แม่ของเขาที่เลี้ยงดูเขามาก็ต้องตาย


ปิติภัทรเดินกลับขึ้นมาบนห้องก็พบกับปณิธานที่นั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้ เขาเดินตรงเข้าไปกอดคนที่นั่งอยู่นั่นแล้วร้องไห้ออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ คนที่กำลังโกรธอย่างปณิธานชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเลือกจับมือของปิติภัทรเอาไว้แล้วปล่อยให้เขาร้องไห้ออกมาอย่างเต็มที่ เขาเชื่อว่าการกระทำของปิติภัทรต้องมีเหตุผลพอ


   “ ขอโทษนะ” เวลาผ่านไปเนิ่นนาน คำพูดแรกที่ปิติภัทรพูดออกมาก็คือคำนี้ “ ถึงมันจะฟังดูงี่เง่าและเป็นคำพูดที่เฟิร์สพูดกับปาร์คจนเบื่อ แต่เฟิร์สอยากให้ปาร์ครู้ไว้ว่าที่เฟิร์สทำแบบนั้นก็เป็นเพราะว่าเฟิร์สห่วงปาร์คนะ และหลังจากนี้เฟิร์สจะไม่ให้ปาร์คมาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ปาร์คไม่ได้รู้เห็นอีก”


   “ พูดบ้าอะไรเนี่ย เราเป็นแฟนกันนะเว้ยถ้าเป็นเรื่องของมึงที่กูพอจะช่วยได้กูก็จะช่วย”


   “ ขอบคุณครับ แต่เฟิร์สขอแค่ปาร์คอยู่ข้างๆเฟิร์สแบบนี้ไปก่อนนะ เวลาเฟิร์สเหนื่อยขอแค่ได้กอดปาร์คก็หายแล้ว” ไม่พูดเปล่าเขากอดไปที่คนที่นั่งอยู่อีกครั้ง พร้อมกับถอดเสื้อของปิติภัทรออก


   “ นี่มึงหื่นจัง”


   “ เปล่านะ” เขาแค่ถกเสื้อถึงกลางหลังก็พบว่ามีรอยดำกระจายเป็นจุดใหญ่อยู่ “ เฟิร์สแค่จะดูว่าแฟนของเฟิร์สช้ำหรือบาดเจ็บหรือเปล่า เฟิร์สคงผลักแรงไปใช่มั้ยล่ะ”


   “ เออ ตอนแรกจะโกรธแล้วพอดีเป็นพวกที่แพ้น้ำตาว่ะเลยโกรธไม่ลง”


   “ ขอบคุณนะที่เข้าใจกัน”


   “ ไม่เข้าใจหรอก แต่ไม่อยากถามหรือจริงๆมึงควรไปปรึกษาจิตแพทย์นะ กูว่ามึงเป็นไบโพล่าแน่ๆเลย” เขาหัวเราะออกมาพร้อมกับยีหัวคนที่เอาคางมาเกยที่ไหล่


   “ ครับว่างๆเฟิร์สจะไปตรวจเพราะถ้าเป็นจริงๆ อารมณ์สุดขั้วของเฟิร์สคงจะเป็น รักปาร์คมาก กับหึงปาร์คมาก”


   “ เวอร์ละ จะมาหึงอะไร มีคนเห็นกูแค่ไม่กี่คน”


   “ ไอ้ไม่กี่คนเนี่ย ก็เห็นปาร์คสนิทกับทุกคนแหละ”


   “ พูดมาก ไปอาบน้ำแปรงฟันได้แล้ว ลงไปไหนต่อไหนมายังไม่ได้อาบน้ำเลยเนี่ย”


   “ อะไรกัน ต่อจากเมื่อกี้ไม่ได้เหรอ”


   “ ไม่ได้ถือว่าเป็นการลงโทษจากการที่มึงทำกูเจ็บตัว”



เรื่องราวของปณิธานกับปิติภัทรกำลังเดินไปข้างหน้า แต่อีกโลกหนึ่งกำลังเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธ หญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงกำลังตรึงร่างหญิงสาวไว้ที่กลางตราสัญลักษณ์ตรงหน้าใบหน้ารูปไข่ดูอ่อนแรงมีรอยไหม้อยู่ตามตัว


ชายวัยกลางคนภายใต้ผ้าคลุมสีดำได้แต่หลบสายตาจากคนที่ตัวเองเรียกว่าเจ้านายและหลับสายตาไม่มองคนที่กำลังถูกลงโทษเพราะเขากลัวว่าจะได้รับความผิดไปด้วย ถึงแม้ลึกๆแล้วเขาอยากจะปกป้องดาริณเสียเหลือเกินแต่ว่าจะให้เขาเอาตัวเข้าไปแลกได้อย่างไร


   “ แกกล้าดียังไงถึงได้คิดจะหักหลังฉัน ลืมความเจ็บปวดในสิ่งที่มันทำกับแกไปแล้วอย่างนั้นเหรอ”


   “ ฉันเต็มใจ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงอิดโรย


   “ แกว่าอะไรนะ” เธอตะวาด


   “ ฉันบอกว่าฉันเต็มใจ ฉันเองนี่แหละที่ไม่บอกเขาเรื่องกฎบ้าๆนี่ แกอย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้”


   “ หุบปาก” เธอฟาดแซ่ไปยังหญิงสาวที่กำลังอ่อนแรงเต็มที “ แกมันโง่ แกมันเจ็บไม่รู้จักจำ ฉันเคยบอกแกแล้วว่าผู้ชายมันก็เลวทุกคนแหละ แกดูไอ้คนที่มันนั่งก้มหน้าอยู่นั่นสิ ซ้อมเมีย ตีลูก กินแต่เหล้าจนมันตาย ถ้ามันไม่เลวแบบสุดขั้วแบบนี้ฉันไม่เก็บมันไว้แน่ พวกผู้ชายเลวๆแบบนี้มันต้องเป็นเศษดินใต้รองเท้าของฉัน แกก็เหมือนกัน แกควรจะคิดแบบฉันไม่ใช่ไปรอคำว่ารักโง่ๆจากผู้ชายที่เห็นแก่ตัว อย่างไอ้เด็กนั่นหรอก ถ้าแกอย่างจะแข็งแกร่งอย่างฉัน เป็นใหญ่อย่างฉัน แกก็ควรจะออกจากโลกแห่งความฝันว่าความรักมันสวยหรูได้แล้ว”


   “ ฉันยอมตายถ้าตัวฉันจะต้องเป็นแบบแก” เธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายตะโกนออกมา โซ่สีดำที่พันธนาการมือของเธอเอาไว้บีบตัวแน่นขึ้นทุกที


   “ แกมันโง่”


   “ แกมันฉลาดมากนักหรือไง แกรู้จักความรักดีแค่ไหน แกรู้จักเฟิร์สดีแค่ไหนถึงได้มาพูดแบบนี้”


   “ ผู้ชายมันก็เหมือนกันหมด” ดวงตาของเธอแข็งขึ้นมาในทันที จากแววตาสีดำเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวทั้งดวงตา ความทรงจำที่เลวร้าย ความทรงจำที่เป็นพลังของเธอมาจนถึงทุกวันนี้ย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง




สิบเจ็ดปีก่อน
ความรักครั้งแรก เป็นสิ่งที่ทำให้คนเราจะจำมากที่สุดไม่ว่าความทรงจำนั้นจะเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดหรือเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุด


หญิงสาวในชุดนักศึกษากำลังนับวันรอคอยวันครบรอบการคบกันครบสามปีของตนกับคนรักรุ่นที่ที่คบหาดูใจกันมาตั้งแต่เธอเขามาเป็นนักศึกษาน้องใหม่ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ใบหน้ารูปไข่แต้มยิ้มมองไปยังซองจดหมายที่เธอเขียนแนบกับตุ๊กตาหมีตัวเหมาะมือ ซึ่งเป็นตุ๊กตาหมีคู่ที่มีให้เธอหนึ่งตัวและคนที่เป็นที่รักหนึ่งตัว


ใต้ต้นจามจุรีที่ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณม้าหินอ่อนซึ่งเป็นสถานที่นัดพบหรือพูดคุยของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ เธอนั่งชะเง้อมองหาชายหนุ่มของเธอที่ควรจะมาตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้วแต่ตอนนี้กลับหายหน้าไปอย่างไร้ร่องรอยจนกระทั่ง


“ มาช้าจังวะ” เสียงคนที่นั่งสูบบุหรี่อยู่เอ่ยทักขึ้น เขาทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นก่อนจะดับมันลงด้วยฝ่าเท้าของตัวเอง “ แต่ก็ดีมึงยังได้ตัวมันมาด้วย”


   “ พี่มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” เมฆาถามแต่ไม่ยอมสบตากับคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย”


   “ มีคนบอกกับกูว่า มึงเก๋ามากเลยเหรอ” วิชัยที่นั่งหันหลังให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันมาสบตาคนที่เพิ่งมาใหม่ “ มึงชอบทำตัว
อวดเก่ง เป็นลูกผู้ชายทั้งๆที่มึงแม่งเป็นไส้เดือน”


   “ เปล่าครับ” เขาปฏิเสธ “ พี่ปล่อยผมไปเถอะนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะไปบอกพี่ไกร”


   “ ไอ้ไกรเหรอ มึงจะเอาเรื่องของพวกกูไปบอกไอ้ไกรอย่างนั้นเหรอ แค่มันยอมมาปกป้องมึงทั้งๆที่มึงไม่ควรได้รับการปกป้องเนี่ย มันก็เสียหน้าจะแย่แล้ว” ดนัยว่า


   “ พี่หมายความว่ายังไง”


   “ ก็มึงมันเป็นพวกไส้เดือน มีสองเพศ มึงรู้หรือเปล่าว่าไอ้ไกรมันต้องเอาศักดิ์ศรีมันไปปกป้องมึง” คนที่ล็อกตัวอยู่พูดขึ้นบ้าง
“ แต่ถ้ามึงจะปฏิเสธกูก็มีทางเลือกให้มึงนะ”


   “ สวัสดี เห็นพี่ไกรหรือเปล่า” เธอถามแทรกไปทำให้บทสนทนาตรงหน้าหยุดลง


   “ อ่อฟ้าอยู่ตรงนี้พอดีเลย ไอ้ไกรมันจะทำเซอร์ไพรส์ให้ฟ้าน่ะ ฟ้ากลับไปรอที่ห้องก่อนนะ” วิชัยที่ยืนอยู่ข้างๆบอก เดี๋ยวให้พวกเราไปส่งที่ห้องนะ


แล้วใครจะรู้ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่เธอไม่อยากจะจดจำเลย เมื่อไปถึงห้องของตนประตูห้องถูกปิดลงอย่างรวดเร็วเสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งห้อง เธอถูกผลักลงไปบนเตียงก่อนที่มือหนาของวิชัยจะฉีกเสื้อนักศึกษาของเธออกอย่างไม่ปราณี เสียงของเธอจมหายไปในลำคอเมื่อมือของดนัยปิดลงที่ปากของเธอขาของเธอที่พยายามไม่อยู่นิ่งต้องหยุดลงเมื่อดนัยใช้อีกมือหนึ่งกระแทกไปที่ท้องอย่างจัง


   “ เห้ย มันไม่แรงไปเหรอวะ” เสียงของชลชาติที่ยืนอยู่ปลายเตียงเอ่ยขึ้น


   “ หุบปากเลย มึงไม่เห็นพี่ไกรเหรอวะ เขาอยากจะเลิกกับมันจะตาย อีนี่ก็โรคจิตตามติดอยู่ได้ พี่ของเรามันคนดีเกินกว่าจะบอกเลิกมันง่ายๆ” ดนัยตอบกับพร้อมทั้งจ้องไปที่หน้าของฟ้าลดาที่เต็มไปด้วยความหวาดผวา หยดน้ำตาของเธอไหลออกมาจากดวงตากลมโต “ อย่าร้องไห้สิ เราจะทำในสิ่งที่พี่เกรียงไกรไม่เคยทำให้เธอเอง” เขายิ้มก่อนจะสั่ง “ ถอดข้างล่างออก ไอ้เมฆถอดกางเกงในของมันออก กูให้มึงเริ่มก่อน”


เมฆทำตามด้วยมือไม้ที่สั่นด้วยความกลัว เขาดึงผ้าชิ้นน้อยออกจากตัวของหญิงสาวก่อนจะค่อยๆถอดกางเกงของตัวเองออกแล้วทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เลือดสีแดงสดที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ของเธอ ออกหลังจากบางอย่างเข้าไปสู่ด้านใน เสียงหัวเราะของรุ่นพี่ดังก้องไปทั่วห้องพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่เล็ดลอดออกมาจากปากของหญิงสาว


ฟ้าลดาดันตัวเองขึ้นมาจากกองผ้าห่มที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวคละคลุ้งที่เปรียบเสมือนคราบความเลวทรามที่พวกนั้นทิ้งไว้ให้กับเธอ เธอเอื้อมมือไปปิดหน้าต่างและผ้าม่านทั้งหมด เอามือปัดกรอบรูปที่วางอยู่บนหัวเตียงลงกับพื้นจนกระจายไปทั่ว


ภายในห้องสี่เหลี่ยมถูกปิดทึบไปทั่วทุกทิศ ไร้แสงใดๆเล็ดลอดผ่านเข้ามา มีเพียงความสว่างสีเหลืองอมส้มจากโคมไฟเล็กๆบนหัวเตียง เท่านั้นที่ทำให้มองเห็นสภาพรอบห้องในตอนนี้ ตามพื้นเต็มไปด้วยรูปถ่ายคู่กันระหว่างชายหญิงสองคนในหลายๆบริบท มือบางของหญิงสาวที่ผมเพ่ากระเซอะกระเซิงซึ่งนั่งอิงเตียงอยู่ เอื้อมไปหยิบรูปถ่ายที่วางข้างโคมไฟมากำแน่นในมือ ก่อนจะค่อยๆลูบรูปนั้นอย่างแผ่วเบา ความทรงจำอันแสนสุขที่บรรจุอยู่ในรูปนั้นมันช่างมีพลังเหลือเกิน รูปของหญิงสาวที่ฉีกยิ้มจนกว้าง ผมที่สีดำขลับยาวจนเกือบถึงบ่าปลิวไปตามแรงลมพร้อมกับการพลิ้วไหวชุดเดรสยาวสีฟ้า ด้านหลังเป็นรูปชายหนุ่ม ที่ยื่นจมูกเข้ามาชิดที่หน้าผาก มือของชายผู้นั้นกำลังโอบที่เอวของหญิงสาว ทั้งคู่ยืนกันอยู่ที่บริเวณด้านบนของเรือ ซึ่งทั้งสองไปเดทกันสองต่อสองกันครั้งแรก


รอยยิ้มจากการได้สัมผัสความสุขนั้นค่อยๆเจื่อนลงดวงตาที่เคยเปลี่ยมไปด้วยความสุขกลับค่อยๆแดงฉาน ริมฝีปากถูกฟันซี่งามกัดลงเพื่อไม่ให้เสียงของตนเล็ดลอดออกมา น้ำใสๆไหลรินออกจากดวงตาคู่งาม หยดลงไปในรูปนั้นหยดแล้วหยดเล่าอย่างไม่มีทีท่าที่จะหยุด หล่อนกำกรอบรูปในมือแน่นขึ้นๆ เมื่อภาพความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ ใบหน้ารูปไข่ ที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและรอยแตกของผิวหนัง บริเวณมุมปากมีรอยช้ำสีม่วงและรอยเลือดที่แห้งเกรอะกรัง เสื้อนักศึกษาสีขาวมีรอยขาดที่แขนเสื้อยาวมาจนแทบจะถึงคอ กระโปรงทรงเอรัดรูปปัจจุบันมันขาดวิ่นจนแทบไม่เป็นทรง เพราะผู้สวมใส่ผ่านการโดนรุมทำร้าย มาอย่างหนักหน่วง ที่ขาของเจ้าหล่อนเองเต็มไปด้วยหยดเลือดที่ไหลรินมาจากอวัยวะที่อยู่ระหว่างขาที่ผ่านการทำร้ายมาอย่างหนักหน่วง ชายชายคนรักและเพื่อนอีกสี่คน ซึ่งพวกเขากระทำราวกับเธอไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ภาพในหัวของเธอตีกันจนลบความดีในรูปถ่ายไปจนหมดสิ้น


หญิงสาวปากรอบรูปนั้นลงบนพื้น จนกระจกแตกกระจายไปทั่วทั้งพื้นห้อง หล่อนยกยิ้มที่มุมปากอย่างถูกอกถูกใจ ก่อนจะเอามือไปหยิบเศษกระจกที่อยู่ใกล้มือแล้วมองพิจาณามันราวกับว่าเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าที่สุดที่จะพาเธอไปพบกับความสุข ความสุขที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ แต่มันคือความสุขในโลกหลังความตาย


เธอยกมืออีกข้างมารอรับความสุขของเธอ ก่อนที่มือที่ถือเศษกระจกนั้นจะบรรจงทิ่มเข้าไปที่ข้อมือ อย่างเบาๆ ในรอบแรกที่กรีดลงไปมีเพียงเสียงหัวเราะแสดงออกมาแทนเสียงแห่งความเจ็บปวด ก่อนที่หล่อนจะย้ำไปที่รอยเดิมอีกสองสามครั้งสนกระทั่งมันตัดขาดเส้นเลือดใหญ่ ที่ข้อมือ น้ำสีแดงไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ร่างของหญิงสาวทิ้งตัวลงนอนทับบรรดารูปถ่ายที่เคยเป็นความทรงจำ เสื้อนักศึกษาสีขาวบัดนี้ได้กลายเป็นสีแดงฉาน ดวงตาของหญิงสาวเองเหนื่อยล้าลงทุกที พัดลมที่อยู่บนเพดานที่เธอเคยมองเห็นชัดเจน ตอนนี้เหมือนมีใครบางคนมายืนบังเอาไว้ แล้วทุกอย่างก็ดับสูญลงในโลกแห่งนี้


   “ ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกหลังความตาย” เสียงแหบแห้งจากใครสักคนเรียกเธอให้ลุกออกจากร่างเดิม หญิงสาวมองร่างตัวเองอีกครั้งก่อนจะเดินหายตามชายในเสื้อคลุมสีฟ้าไป ทว่า เส้นเชือกที่ผูกมัดที่ข้อมือหล่อนกลับขาดวิ่น ก่อนจะมีเชือกเส้นใหม่ที่เป็นสีดำเข้ามาพันไว้รอบตัวของเธอแทน


   “ วิญญาณดวงนี้ข้าขอนะ” เสียงนี้ทำให้ให้เธอได้รู้ว่ารสชาติของกามีชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร
ภายในห้องที่เต็มไปด้วยความเงียบงัน ชายในผ้าคลุมสีดำเปิดหน้าออกมา ใบหน้าของเขาอิดโรยลงทุกที ผิวหนังที่แห้งเกรอะกรังร่วงกร่อนลงบนพื้นเหมือนเกล็ดงูที่กำลังลอกคราบ


   “ แกเป็นใคร” ฟ้าลดาถามร่างนั้นด้วยความกลัวและเนื้อตัวสั่นไปหมด


   “ ฉันจะเป็นคนที่มอบชีวิตใหม่ให้กับแก” สิ้นคำร่างๆนั้นก็สลายหายไปจากสายตาของฟ้าลดากลายเป็นกลุ่มควันสีดำที่พวยพุ่งเข้ามาหาเธอ มันเข้าไปตามทุกส่วนของร่างกาย ดวงตาที่เคยเศร้าสร้อยดูแข็งกร้านขึ้นมาในทันที เธอรู้สึกได้อย่างเดียวในเวลานี้ คือความแค้น


   “ รอเวลาเท่านั้น รอเวลาที่ข้าจะได้เจอร่างใหม่ ความแค้นของแกก็จะได้ชำระ” เสียงของผู้ชายคนนั้นพูดผ่านปากของฟ้าลดา พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่น่ามอง “ เราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันแล้ว”



“ หมายความว่ายังไง”  ดาริณถามทั้งๆที่พอจะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว


   “ ฉันเลือกแกยังไงล่ะ เมื่อเรื่องของฉันจบลง แกก็จะกลายเป็นผู้มีอำนาจแทนฉัน” เธอยิ้มเยาะ “ ถ้าอย่างนั้นแกก็สบายใจได้ว่าฉันไม่มีวันฆ่าแก ส่วนแก” เขาหันไปทางชายในผ้าคลุมที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ “ ไปจับตาดูไอ้ยมทูติสองคนนั้นไว้
คำสั่งนั้นทำให้ตัวคนที่ถูกสั่งชาไปโดยอัตโนมัติเพราะคนที่เขาจะต้องไปจับตาดูเป็นลูกของเขาเอง ลูกที่เขาอยากจะชดใช้ความผิดที่เคยทำไว้ในอดีต เขาไม่สามารถทำอะไรลูกของเขาได้อีกแล้ว









มาแล้วจ้าาาาาาาาาาาขอโทษที่มาช้า เดี๋ยวอบรม เดี๋ยวหาหมอ อากาศเปลี่ยนไปมาเว่อร์
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 28.3.19 บทที่ 10 FRIENDS
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 28-03-2019 20:40:24
โอยย ลุ้น
สรุปว่าที่ปาร์คทำเพื่อยื้อชีวิตแม่ตัวเองเอาไว้
ส่วนฟ้าก็ได้รับพลังมืดมาจากตาแก่ แล้วก็จะส่งต่อให้ดาริณต่อไปใช่มั้ยคะ
เราเข้าใจถูกหรือป่าว  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 28.3.19 บทที่ 10 FRIENDS
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-03-2019 22:21:36
ความสยองใกล้จะมแล้ว ตื่นเต็น ๆ   :hao3:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 28.3.19 บทที่ 10 FRIENDS
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 05-04-2019 01:57:02
โอยย ลุ้น
สรุปว่าที่ปาร์คทำเพื่อยื้อชีวิตแม่ตัวเองเอาไว้
ส่วนฟ้าก็ได้รับพลังมืดมาจากตาแก่ แล้วก็จะส่งต่อให้ดาริณต่อไปใช่มั้ยคะ
เราเข้าใจถูกหรือป่าว  :katai1: :katai1:



เข้าใจถูกแล้วค่าาาาาาาาาาาาาาา อย่าลืมตามอ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 28.3.19 บทที่ 10 FRIENDS
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 05-04-2019 01:57:54
ความสยองใกล้จะมแล้ว ตื่นเต็น ๆ   :hao3:

สยองก่อน หรือเเวะซดมาม่าดีคะ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.4.19 บทที่ 11 TRUTH
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 07-04-2019 01:33:25
11


TRUTH


ร้านเหล้าในตอนกลางวันไม่ได้ต่างอะไรไปจากร้านร้างเพราะตอนนี้คนที่อยู่ในร้านแทบจะนับคนได้ มีพนักงานที่พักอยู่บริเวณหลังร้านสองสามคนกำลังแบกกล่องเครื่องดื่มจากรถที่มาส่งหน้าร้านเพื่อเข้าไปเก็บที่โกดังด้านหลัง พ่อครัวประจำร้านกำลังตรวจเช็คของสดของแห้งอย่างเคร่งเครียด ส่วนผู้จัดการร้านอย่างอาโปก็เร่งทำบัญชีประจำเดือนเพื่อสรุปเอาไปส่งเจ้าของร้าน ถ้าใครมองเห็นอีกมุมนึงตรงเคาท์เตอร์มีคนคนหนึ่งกำลังทำหน้าเคร่งเครียดในมือถือบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุดพร้อมกับแก้วน้ำอัดลมที่เขาไม่ได้ดื่มมานาน


ปิติภัทรนั่งจ้องไปยังบุหรี่ที่มือของตนอย่างชั่งใจ เขาเครียดจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดีเพราะทางเลือกของตัวเขาเองก็มีไม่มากนัก ถ้าเขาเลือกแม่ แม่ที่เป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ คนรักของเขาก็ต้องเดือดร้อนแต่ถ้าเขาไม่ยอมทำตามเงื่อนไขโลกหลังความตาย แม่ของเขาก็จะสิ้นอายุไขทันที


เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน


ปิติภัทรเป็นเด็กธรรมดาๆคนหนึ่งที่ยังคงอยู่ในวัยสนุกสนานและรักอิสระ เขาเที่ยวกลางคืนทุกคน รักเพื่อนกินเหล้าหนัก นอนกับผู้หญิงหรือผู้ชายทุกคนที่เขาถูกใจ เป็นเด็กนักกิจกรรมตัวยงทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาที่จะกลับไปบ้านเท่าไหร่นักถึงแม้ว่าที่บ้านจะมีแม่ที่รอเขากลับมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งระหว่างที่เขาต้องออกไปทำค่ายอาสาที่บนดอย ไร้ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลากว่าเจ็ดวัน และทันทีที่กลับลงไปด้านล่างโทรศัพท์มือถือของเขาก็มีข้อความเบอร์ที่พยายามติดต่อเขาเข้ามากว่าร้อยสาย นั่นคือเบอร์ของ แม่


เขากลับไปที่บ้านกลับไม่พบผู้เป็นมารดาอยู่จึงพยายามที่จะโทรติดต่อกลับไปที่เบอร์ของแม่ตนเองหลายต่อหลายครั้งแต่ว่าเขากลับไม่สามารถติดต่อได้จนกระทั่ง มีเบอร์จากโรงพยาบาลโทรกลับเข้ามาแจ้งอาการ มือของเขาสั่นเทาไปด้วยความกลัวและโกรธในเวลาเดียวกัน ภาพความสนุกสนานที่ลืมคนข้างหลังย้อนมาในหัวตัดสลับกับรอยยิ้มของแม่เวลาเขากลับมาที่บ้าน ดวงตาของเขาร้อนผ่าวไม่นานน้ำตาแห่งความสำนึกผิดก็ไหลออกมาเป็นทางอย่างไม่สามารถห้ามได้


ทันทีที่เขาไปถึงโรงพยาบาลอาโปที่รออยู่หน้าห้องฉุกเฉินเดินเข้ามากอดพร้อมทั้งร้องไห้ออกมา สิ่งนี้คงเป็นคำตอบได้ดีว่าเขามาไม่ทันเวลาเสียแล้ว


ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่อุณหภูมิเย็นจัด ตรงกลางห้องมีหญิงสาวใบหน้าเปื้อนยิ้มริมฝีปากซีดเซียวใบหน้าซูบตอบนอนคลุมผ้าอยู่ถึงบริเวณอก เสียงในหัวของปิติภัทรมีแต่คำก่นด่าตัวเอง และด่าความไม่ยุติธรรมบนโลกใบนี้ เขาไม่เคยรู้เลยว่าแม่ของเขาเป็นมะเร็ง เขาไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะสูญเสียแม่เขาไปได้รวดเร็วขนาดนี้ มือหนาเอื้อมไปสัมผัสฝ่ามือที่เลี้ยงดูเขามาตามลำพังหลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตไป น้ำตาลูกผู้ชายอาบแก้มทั้งสองข้าง มือนั้นมันไม่อุ่นเหมือนที่เคย มันกลับเย็นเฉียบและแข็งกระด้างเป็นการตอกย้ำว่าเขามาช้า มาช้าเกินกว่าที่จะได้ดูใจแม่ของเขาก่อนที่จะเสียชีวิต แต่ใบหน้าของแม่เขากลับมีรอยยิ้มซึ่งเป็นรอยยิ้มแบบนี้เสมอมาตั้งแต่พ่อเขาเสีย


ใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความเคียดแค้น แค้นตัวเองและแค้นคนที่ดึงแม่เขาเข้าสู่โลกหลังความตาย โลกมันไม่มีความยุติธรรมเลย แม่ของเขาเป็นคนดี แม่ของเขาควรที่จะอยู่ดูความสำเร็จ ถ้าแม่ของเขากลับมาได้เขาจะทำตัวเป็นคนดี รับโทรศัพท์ของแม่ทุกครั้งที่โทรมาหา เขาจะกลับบ้านไปเยี่ยมหาแม่เท่าที่แม่อยากเจอ แต่เขาจะทำมันได้อย่างไรในเมื่อแม่ของเขาตัดขาดจากโลกใบนี้
ไปแล้ว


   ขายวิญญาณให้ข้าสิ


เสียงๆหนึ่งดังลอยมาตามสายลม ภายในห้องไม่มีใครอยู่นอกจากเขากับแม่ เสียงๆนั้นแหบพร่าทำเขาขนของปิติภัทรลุกชันไปทั่วทั้งตัว


   ปลิดชีพสิ่งมีชีวิตเพื่อแลกชีวิต เรียกข้ามา ข้าจะช่วยเจ้า


เขาไม่สนว่าเสียงนั้นคือใครแต่สำหรับเขาแล้วนั้นเสียงนั่นคือโอกาส โอกาสที่ตัวเขาจะได้แก้ตัวอีกครั้ง ปิติภัทรสั่งห้ามฉีดสารเคมีเข้าสู่ร่างกายของแม่ตนเองก่อนที่จะกลับไปที่บ้าน โคโค่ สุนัขพันปอมเปอเรเรียนสีขาววิ่งตรงมาหาเขาพร้อมทั้งคลอเคลียไปทั่วทั้งขา เขาอุ้มมันขึ้นมามันเลียไปที่ใบหน้าแสดงความรักอย่างที่เคยทำ


   ชีวิตแลกชีวิต กรีดเลือดเจ้าเพื่อขอชีวิต


เขาอุ้มเจ้าโคโค่ตรงไปที่ห้องครัว แววตาของสุนัขที่เขาเลี้ยงมาจ้องมองมายังเขาอย่างไม่รู้ชะตากรรมของตน มือด้านขวาที่ถนัดเอื้อมไปหยิบมีดที่วางอยู่ที่ด้านข้าง เขาหลับตาเสียบมีดนั้นทะลุบริเวณคอของเจ้าโคโค่ มันร้องออกมาแค่เพียงครั้งเดียว เขาวางมันลงกับพื้นก่อนจะหลับตาเพื่อหลบภาพตรงหน้าภาพที่เจ้าโคโค่ดิ้นอยู่กับพื้นที่ชุ่มเลือดสีแดงจนตัวของมันเต็มไปด้วยเลือด เมื่อภาพตรงหน้าสงบลง เขาใช้มีดอีกเล่มกรีดลงไปที่ฝ่ามือของตนเอง


   “ ชีวิตแลกชีวิต” เลือดของเขาหยดลงบนตัวเจ้าโคโค่ น้ำตาของเขาไหลอาบไปทั่วทั้งแก้ม


เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการทำแบบนี้แม่ของเขาจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงที่เขาได้ยินเป็นเสียงของใครมีตัวตนอยู่จริงบนโลกใบนี้หรือเปล่า หรือว่าเป็นเพียงเสียงที่ตัวเขาหลอนแล้วได้ยินมันขึ้นมาเอง และคำตอบที่ยืนยันได้แน่นอนก็คือ ไม่นานหลังจากที่เขาหลั่งเลือดลงไป เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ซึ่งทางโรงพยาบาลโทรกลับมาแจ้งว่า แม่ของเขาได้ฟื้นขึ้นมาตอนนี้กำลังตรวจเช็คอาการอยู่


เขาจัดการกับศพเจ้าโคโค่โดยการนำไปฝังไว้ที่สวนหลังบ้าน เขายืนนิ่งอยู่ด้านหน้าศพของมันก่อนจะรีบกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับไปโรงพยาบาล


เมื่อไปถึง ภาพที่เคยเห็นก็เปลี่ยนไป มีคนถือสมุดใส่เสื้อคลุมสีฟ้าเดินไปมาในโรงพยาบาล บ้างกำลังยืนคุยกันบ้างกำลังฉุดกระชากวิญญาณ


   “ สวัสดี ฉันเป็นคู่หูเธอ ฉันชื่อ ดาริณเป็นคู่หูของเธอ”


หลังจากวันนั้นเขาก็ทำหน้าที่ที่คนปกติไม่ทำกัน นั่นคือการรับส่งวิญญาณ และทุกครั้งที่มีวิญญาณที่ตายก่อนเวลา เขาจะทำการแลกเปลี่ยนเวลานั้นมาให้แม่ของเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันผิดกฎ




“ น้องเฟิร์ส น้องเฟิร์ส”


   “ ครับ” เขาสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ในทันทีเมื่อเสียงของอาโปทักขึ้น


   “ เหม่อไปถึงสาวที่ไหนเนี่ย” เธอยิ้มแซว “ พี่เรียกตั้งนานแล้ว”


   “ เปล่าครับ”


   “ บุหรี่นั่นน่ะจะสูบหรือไม่สูบพี่เห็นเถือไปมาอยู่นานแล้ว” เธอชี้ไปที่บุหรี่


   “ ไม่ครับ”


   “ งั้นพี่ขอนะ” มือที่ทาเล็บเป็นสีดำยื่นมาหยิบก่อนที่จะจุดมันแล้วสูบควันเข้าไปเต็มปอดก่อนจะพ่นควันออกมา “ มีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า ปรึกษาพี่ได้นะ”


   “ ไม่มีอะไรหรอกครับพี่” เขาปฏิเสธ


   “ โอเคไม่เล่าไม่เป็นไร แต่ถ้ามีอะไรบอกพี่ได้เสมอเลยนะพี่พร้อมช่วย” เขาส่งยิ้มมาให้ “ พี่เห็นแกเป็นน้องชายคนนึงเลยนะ”


   “ อ้าววันนั้นยังบอกว่าอยากได้ผมอยู่เลย” เขาพูดติดตลก


   “ พี่น้องท้องติดกันไงล่ะจ้ะ” เธอหยิกแก้มของปิติภัทรไปหนึ่งที


   “ ไม่คุยด้วยแล้ว ขึ้นห้องก่อนนะวันนี้ผมว่าจะกลับบ้านเสียหน่อย”


   “ ดีเลยพี่ฝากเอาบิลกลับไปที่บ้านด้วยนะ คุณนายแกร้อนใจแย่แล้ว”


   “ ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมขึ้นไปข้างบนก่อนนะ”


เขาพูดจบก็เดินขึ้นตึกไปป่านนี้คนที่รออยู่ข้างบนคงร้อนใจแย่เพราะเขาเดินลงมาด้านล่างนานแล้ว และเป็นอย่างที่คาดพอขึ้นไปถึงห้องเขายังไม่ทันที่ก้าวขาเข้าไปในห้องใบหน้าบึ้งตึงก็ไปรออยู่ที่หน้าประตู


   “ ไปไหนมา คนรอมันก็รอไปดิ เป็นห่วงนะเว้ยสถานการณ์แบบนี้ถ้าจะหายไปไหนก็น่าจะบอกกันหน่อย” ไม่มีคำตอบออกจาก
ปากของปิติภัทร เขาปิดประตูลงก่อนจะกอดคนที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เสียงนั้นเงียบลง ปณิธานกลืนคำพูดที่คิดจะพูดทั้งกลับเข้าไปในความคิด “ มึงเป็นอะไร”


   “ เฟิร์สจะทำยังไงดีปาร์ค เฟิร์สจะทำยังไงดี”


   “ ถ้ามึงไม่บอกกูกูจะช่วยมึงยังไงล่ะ เราเป็นแฟนกันนะเว้ย กูเริ่มอึดอัดแล้วนะ ก่อนมึงลงไปมึงก็เป็นแบบนี้ มึงกลับเข้ามาก็
เป็นแบบนี้อีก”


   “ ช่างเถอะเดี๋ยวเฟิร์สให้ปาร์คเป็นอิสระแล้วกัน ขอโทษนะที่ทำแบบนี้” เขาโบกมือผ่านอากาศ “ แต่ปาร์คต้องระวังตัวนะ”


   “ แล้วมึงจะรีบไปไหนเห็นเมื่อกี้เดินมารีบๆ”


   “ พอดีเฟิร์สจะกลับบ้านน่ะ เดี๋ยวปาร์คไปดูลุงปาร์คก่อนเลยนะมีอะไรบอกเฟิร์สได้”


   “ เดี๋ยวกูไปกับมึง”


   “ ไม่ได้” เขาโพล่งขึ้นมา “ เอ่อเฟิร์สหมายถึง ไม่เป็นไร แยกกันไปดูก่อนดีกว่าเผื่อลุงของปาร์คต้องการความช่วยเหลือนะ”


   “ เอาอย่างนั้นก็ได้” พูดจบปณิธานก็ชูมือไปที่อากาศก่อนที่สมุดเล่มสีฟ้าจะลอยมา “ บลูพาฉันไปหาลุงเกรียงไกรเดี๋ยวนี้” สิ้นคำพูร่างของปณิธานก็หายไปในทันที


คนที่มีความลับถอนหายใจออกมาเฮือกโตก่อนจะเดินไปหยิบสมุดของตนพร้อมกับกุญแจรถเพื่อขับกลับไปที่บ้าน ทางกลับบ้านในครั้งนี้เหมือนใกล้กว่าทุกครั้ง เพราะเขายังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีแม่ของเขาเขาจะอยู่ได้อย่างไร


ตรงหน้าเป็นบ้านสีขาวที่เต็มไปด้วยความทรงจำเขามองไปที่กระจกก่อนจะลองฝึกฉีกยิ้มออกมาให้กว้างที่สุด แล้วกดเปิดประตูรั้วจากรีโมตคอนโทรลจากในรถเพื่อทำการเปิดประตูรถออก เขาดับรถก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน แม่ของเขานั่งอยู่ที่โซฟาตัวสีครีมในมือเป็นไหมพรมสีน้ำตาลที่ถูกถักเป็นผ้าพันคอไปแล้วบ้างบางส่วน เธอยกมือรีโมตขึ้นมากดเบาเสียงรบกวนจากโทรทัศน์ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้กับลูกชายที่เดินเข้ามา


   “ ไงตัวดี หายไปนานเลยนะช่วงนี้” รอยยิ้มนั้นทำให้คนที่เพิ่งฝึกยิ้มบนรถเมื่อครู่หุบยิ้มทันที


ปิติภัทรรู้สึกว่าน้ำตาตัวเองรื้นขึ้นมาที่ดวงตา เขาพยายามกลั้นมันโดยการกัดกรามจนปูดนูนขึ้นมาและดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล เขาเดินเข้าไปกอดคนที่เป็นแม่ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มือของคนเป็นแม่ประคองใบหน้าลูกของตนขึ้นมาสบตา ก่อนจะส่งยิ้มให้


   “ เป็นอะไรเรา มีอะไรบอกแม่ได้นะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่แสนจะใจดี “ หรือว่ามีใครหักอกลูกแม่”


   “ ไม่มีครับ ผมแค่คิดถึงแม่เฉยๆครับ” ปิติภัทรปฏิเสธพร้อมทั้งเช็ดน้ำตาออก   


   “ คิดถึงแล้วทำไมไม่กลับบ้าน หรือว่ามีใครกกไว้หรือเปล่า”


   “ เอ่อ”


   “ นิ่งไปแบบนี้ต้องมีแล้วแน่ๆเลย ใช่คนที่ลูกชอบเล่าให้แม่ฟังหรือเปล่า” เธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “ ก็ดีนะ ถ้าเป็นคนที่ลูกเล่าแม่ก็เบาใจ แม่จะได้ตายไปแบบสบายใจเสียที”


   “ ทำไมแม่พูดอย่างนั้นล่ะครับ”


   “ ลูกก็รู้ว่าแม่มีชีวิตอยู่ได้เพราะอะไร ลูกควรหยุดได้แล้วนะ” ยังไม่ทันพูดจบใบหน้าของเธอก็บิดเบี้ยวไปด้วยความทรมาน “
ลูกควร” เธอนิ่งไปสักพัก


   “ แม่ครับ”


   “ แกไม่ควรอ่อนแอแบบนี้” น้ำเสียงใจดีเมื่อครู่หายไปน้ำเสียงแข็งกระด้างมาแทนที่พร้อมกับรอยยิ้มที่มาดร้าย “ แกจะกลายเป็นลูกอกตัญญูหรือไงฮะ”


   “ แกออกไปจากตัวของแม่ฉันเดี๋ยวนี้นะ” ปิติภัทรตะวาด    


   “ แกอย่าลืมสิที่แม่แกมีชีวิตอยู่ได้ ครึ่งหนึ่งก็มีฉันอยู่เหมือนกัน”


   “ นั่นสินะ ฉันควรจะเชื่อแม่ของฉันว่าฉันควรจะจบเรื่องนี้เสียที” เขาลุกขึ้นจากพื้นพร้อมไปที่แม่ของเขา “ ถ้าเป็นแม่ฉันแม่ฉันก็จะให้ฉันทำแบบนี้”


   “ เอาเลย วิญญาณแม่แกเป็นของฉัน แกยกร่างแม่แกให้ฉันแล้ว”


   “ ฉันไปยกให้ตอนไหนฮะ”


   “ วันที่แกหยดเลือดลงไปในศพของหมาแกไงล่ะ แกบอกกับฉันว่า แกยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้แม่แกกลับมา”
จบคำพูดของคนตรงหน้าเข่าของปิติภัทรก็ทรุดลงกับพื้นไปในทันที เขาใช้อารมณ์มากกว่าสมองเสมอมา และการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของเขาในครั้งนั้นมันส่งผลถึงหลายๆคนรวมทั้งความรู้สึกของตัวเขาเองด้วย


   “ ช่วยแม่ด้วย”


   “ แม่”


   “ หุบปาก” ร่างของแม่เขากำลังพยายามควบคุมสติ “ แกไม่มีสิทธิ์พูดถ้าฉันไม่อนุญาต”


   “ แม่” เขาร้องเรียก


   “ กลับไปทำในสิ่งที่แกควรทำซะ” เธอพูดก่อนจะวิ่งกลับขึ้นไปที่ห้องด้านบนพร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังสนั่น


   “ เจ้านายทำดีที่สุดแล้วล่ะ” เรย์ปลอบใจ “ ผมยอมรับการตัดสินใจของเจ้านายเสมอ


ใครจะไปรู้ว่าการสนทนาเมื่อครู่จะมีอีกคนที่ยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านกำลังยืนจ้องมองอยู่ แววตาของคนที่แอบมองเต็มไปด้วยความสงสารและอยากยื่นมือเข้าไปช่วย


   “ กูจะช่วยมึงยังไงดีวะไอ้เฟิร์ส”

หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.4.19 บทที่ 11 TRUTH
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 07-04-2019 01:33:53


การใช้ชีวิตบนความหวาดระแวงทำให้คนที่เคยดูมีสง่าราศีกลับดูแย่ไปอย่างถนัดตา หนวดเคราเริ่มขึ้นบริเวณใบหน้า เขาระแวงทุกครั้งที่จับของมีคมเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าในขณะที่จับนั้นตัวเขาจะไม่ใช่ตัวเขา


ลุงเกรียงไกรนั่งจ้องวิชัยที่อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันแต่วิชัยดูแย่กว่า เขาซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด แก้มที่เคยมีน้ำมีนวลกลับตอบซีดผมที่เคยย้อมดำกลับมีสีขาวขึ้นมาแซมจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน


อาหารตรงหน้าถูกวางโดยไม่มีใครแตะจนกระทั่งมันเย็นจนไม่น่ารับประทาน ข้ามต้มฝนชามขนาดเล็กอืดขึ้นมาจนไม่เหลือน้ำ ไม่มีการพูดคุย ในห้องอาการเต็มไปด้วยความเงียบ ความเครียดและแรงกดดันสำหรับตัวของวิชัยเอง


"จะเล่าได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือจะต้องให้มีคนตายเพิ่มขึ้นอีกอย่างนั้นเหรอ" ลุงเกรียงไกรพูดฝ่าความเงียบขึ้นมา ทำให้คนที่กำลังถูกถามตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกน้ำ


" เปล่า มึงกินข้าวเถอะ" เขาหลุบตาต่ำตอบกลับไป


วิชัยตักข้าวต้มที่ขึ้นอืดเข้าปากไปอย่างไม่เต็มใจนัก คนที่ถามเองก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรแล้วเพราะยิ่งถามคนที่ถูกถามก็ยิ่งพูดน้อยลง วิชัยเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เกิดเรื่อง คนที่มาสามารถติดต่อได้อีกคนอย่างดนัยก็เป็นอีกคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดและเหมือนว่าเบื้องบนจะตอบรับความหวังของเขาเมื่อโทรศัพท์ตรงหน้าดังขึ้นแสดงหน้าจอว่า


   ดนัย


   “ มึงโทรหากูมีอะไรหรือเปล่าครับ เห็นเลขาบอกว่ามึงกับพวกไอ้ชัยโทรมาหากูหลายครั้งแล้ว” ดนัยพูดออกมาด้วยความร้อนใจ


   “ เมฆกับไอ้บีมตายแล้ว กูอยากให้เรามารวมกันไว้”


   “ อะไรนะ” เขาร้องออกมาอย่างตกใจ


   “ ฟังไม่ผิดหรอกไอ้เมฆกับไอ้บีมมันตายแล้ว ฟ้าเป็นคนทำ” เขาพยายามพูดชื่อผู้หญิงคนนั้นให้เบาที่สุด


   “ เป็นไปไม่ได้ ฟ้ามันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอวะ  แล้วมันจะมาตามฆ่าได้ยังไง” เสียงปลายสายเถียงกลับมา “ มึงอย่ามาอำกูหน่อยเลย”


   “ ไม่มีใครล้อเล่นทั้งนั้นแหละถ้ามึงไม่อยากเป็นรายต่อไปก็ระวังตัวให้ดี เดี๋ยวฉันกับไอ้ชัยจะไปหา” ลุงเกรียงไกรตอบกลับไป “ อย่าไว้ใจใครล่ะระวังตัวเองให้ดีด้วย” พูดจบลุงเกรียงไกรก็ตัดสายทิ้งไป


เขาหันมามองคนที่นั่งหมดอาลัยตายอยากตรงหน้าอย่างวิชัย ที่เขาเหมือนไม่อยากรับรู้กับเรื่องที่จะเกิดขึ้นอีกแล้ว แววตาของวิชัยล่องลอยราวกับคนไม่ได้นอน


   “ มึงไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป เดี๋ยวเราไปหาไอ้ดุ๊กกัน” ลุงเกรียงไกรพูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาวิชัย “ ยังไงมึงก็เหมือนน้องชายแท้ๆของกูอีกคนกูไม่ยอมให้แกเป็นอะไรหรอก”


พูดจบมือหนาก็ตบบ่าของวิชัยเบาๆน้ำตาจากคนที่นั่งนิ่งอยู่หยดลงมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ วิชัยหลับตาสนิท ปากของเขาพยายามที่จะพูดบางอย่างแต่มีหลายอย่างที่เขาไม่สามารถพูดออกได้ ยิ่งเกรียงไกรปลอบเท่าไหร่ความกล้าในตัวเขายิ่งมากขึ้นทุกที


   “ พี่ไกร” เสียงสั่นเครือเรียกชื่อพี่ชายเบาๆ


   “ เห้ย แค่กูบอกว่าเห็นมึงเป็นน้อง ไม่ต้องเรียกกูพี่ก็ได้”


 “ ผมเอง ผมเป็นคนที่พาพวกนั้นไปข่มขืนฟ้าเอง” มือที่แตะไหล่ของวิชัยหยุดลง เขาไม่พูดอะไรปล่อยให้คนที่กำลังพูดได้พูดต่อ “ ผมมันเหี้ยเองพี่ ตอนนั้นผมได้แต่คิดว่า ทำไมแม่งมีแต่คนรุมรักพี่ ทั้งๆที่พี่ก็เป็นเด็กซิ่วมา ทำไมมีแต่คนเคารพพี่ทำไมผมต้องให้พี่เป็นหัวหน้ากลุ่ม ทำไมผมที่เรียนเก่งกว่าต้องเป็นรองพี่ที่เรียนรั้งท้าย ทำไมทุกอย่างต้องเป็นพี่ไม่ใช่ผม ทำไมคนที่ฟ้าเลือกไม่เป็นผมทำไมเป็นพี่ ผมมองฟ้าตั้งแต่เข้ามาเรียนวันแรก ทำไมต้องเป็นพี่ที่ได้ฟ้าไปหรือแค่พี่เป็นพี่คณะของฟ้าอย่างนั้นเหรอ หรือเพราะพี่แม่งมีอำนาจแต่ผมไม่มี” เขาพูดออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลหยดออกมาเป็นสายเสียงสะอื้นดังคลอมากับเสียงคำสารภาพ “ ผมเองผมเป็นคนที่ทำให้เรื่องวันนั้นมันเกิดขึ้น ผมเห็นว่าพี่กำลังระหองระแหงกับฟ้า ผมเลยไปบอกกับทุกคนว่า พี่อยากขอความช่วยเหลือ พี่อยากให้ฟ้าออกไปจากชีวิตพี่ ผมเลย ผมเลย”


มือที่จับอยู่ที่ไหล่ของวิชัยบีบแน่นขึ้น เกรียงไกรกัดกรามแน่นจนปูดนูนขึ้นมาด้วยความโกรธ ภายในตัวของเขาร้อนไปหมดทั้งตัว เขาเองก็ไม่คิดเลยว่าคนที่เขารักเหมือนน้องแท้ๆจะทำกับเขาได้ลงคอ


   “ มึงพังชีวิตของฟ้ามึงรู้หรือเปล่า” เขาพยายามกดอารมณ์ถามกลับไป “ ฟ้าเป็นความหวังของที่บ้าน เขามีแม่ที่ต้องดูแล พ่อที่เป็นโรคความจำเสื่อม แกรู้หรือเปล่าว่าแม่ของเธอเองตายหลังจากที่รู้ว่าฟ้าฆ่าตัวตาย”


   “ ผมขอโทษพี่ ผมขอโทษ” วิชัยลุกออกจากเก้าอี้ลงไปนั่งกับพื้นก่อนจะกราบลงที่เท้าของเกรียงไกร “ ผมผิดเอง ผมเป็นคนที่เริ่มต้นเรื่องนี้ทั้งหมดผมจะจบเรื่องนี้เอง ผมจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนอีกแล้ว”


พูดจบวิชัยก็วิ่งออกจากประตูบ้านไปที่รถซึ่งจอดอยู่ตรงหน้าประตูทางออกพอดี เขาขึ้นไปนั่งและปิดมันอย่างรวดเร็ว แล้วขับออกไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีบางอย่างนั่งรอเขาอยู่บนรถนั้นแล้วด้วย บางอย่างที่กำลังรอคอยการชำระแค้น
เกรียงไกรรีบขึ้นไปนั่งบนรถอีกคันแล้วขับตามออกไป เขาพยายามที่จะติดต่อดนัยแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เพราะทางนั้นไม่ยอมที่จะรับสายของตนเลย และคนที่เขาคิดถึงในหัวอีกคนคือ คนที่เขากันออกไปจากเรื่องนี้




   ปิติภัทร


เขาโทรกลับไปยังเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกลงในสมุดโทรศัพท์ด้วยซ้ำ ไม่นานปลายสายก็รับสายด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก


   “ สวัสดีครับคุณลุง”


   “ ฉันมีเรื่องให้ช่วย” ลุงเกรียงไกรตอบกลับไปสั้นๆ “ ตอนนี้ฉันกำลังไปที่สุสาน” เขาพูดพร้อมทั้งดูที่โทรศัพท์มือถืออีกเครื่องซึ่งเชื่อมต่อกับจีพีเอสของรถคันที่วิชัยขับออกไป “ มาเจอกันที่นั่นหน่อย น้องของฉันกำลังตกอยู่ในอันตราย”


   “ ครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปครับ” ปลายสายตัดสายไปเขาจึงหันมาใจจดใจจ่อกับการเร่งรถที่เขาขับให้เร็วขึ้น
รถคันสีดำรุ่นเก่าของลุงเกรียงไกรเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว สุสานที่ฝังศพของฟ้าลดาอยู่ที่ต่างอำเภอซึ่งเป็นเขตรอบนอกที่ค่อนข้างห่างไกลผู้คน ยิ่งขับไปเขตเมืองที่มีตึกราบ้านช่องก็หายไปความเป็นธรรมชาติเข้ามาแทนที่แทน รถของเขาต้องรถความเร็วลง ซึ่งผิดกับรถของวิชัยซึ่งเป็นรถสำหรับขับขึ้นดอยยังคงความเร็วเดิมไว้ทำให้เขากำลังออกห่างจากวิชัยขึ้นเรื่อยๆ
ใจของคนที่อยู่หลังพวงมาลัยรถร้อนลนไปทุกขณะ เพราะเหมือนว่ารถของวิชัยจอดลงแล้ว แสงสว่างบริเวณรอบๆเขาค่อยๆหายลงไปทุกที ยิ่งทำให้ลุงเกรียงไกรจำเป็นต้องเร่งรถให้เร็วขึ้น จนกระทั่งมาหยุดลงบริเวณที่มีรถกระบะสีประตูจอดอยู่ ด้านหน้าเป็นสุสาน สุสานที่สำหรับบรรจุร่างของคนตายเอาไว้


เขาเดินตรงไปทางส่วนที่เก็บศพของฟ้าลดา ซึ่งตรงนั้นเป็นกำแพงปูนหนาเนียงยาวไป จนสุดสายตา ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับเก็บศพคนไร้ญาติ เพราะวันที่ฟ้าลดาตายไม่มีใครมารับศพเลยเพราะอับอายที่ฆ่าตัวตายเพราะเรื่องผู้ชาย


เมื่อสิ้นสุดเขตกำแพงปูนเปลือยด้านหน้าเป็นแท่นปูนลักษณะคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ถูกซอยย่อยเป็นช่องเล็กๆสำหรับบรรจุร่างของผู้เสียชีวิตลงไป ด้านหน้าจะเป็นปูดฉาบปิดไว้และรูปตั้งเรียงรายไว้ เขาเดินไปที่มุมด้านในสุดเพราะที่ที่ฟ้าลดาถูกเก็บไว้อยู่ด้านในสุด แสงอาทิตย์ที่กำลังจะดับลงบวกกับต้นไม้ที่เหมือนกันไปหมดและต้นหญ้าที่สูงขึ้นไปทุกที ทำให้การเดินของลุงเกรียงไกรยิ่งช้าลง เพราะเขาเหมือนกับจะหลงทางเสียแล้ว เขาหยุดลงแล้วโทรศัพท์หาวิชัยแต่ทว่ากลับไม่มีคนรับสาย แต่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์นั้นดังอยู่ไม่ไกลออกไปจากจุดที่เขายืนอยู่เลย ลุงเกรียงไกรวิ่งตามเสียงนั้นไปจนกระทั่งมาหยุดลงที่แท่นปูนแท่นสุดท้าย ตรงหน้าของเขาเขียนไว้ว่า นางสาว ฟ้าลดา นำออก พร้อมกับระบุวันที่เสียชีวิต ตรงหน้าแท่นใส่ศพนั้น มีรองเท้าของวิชัยถอดอยู่พร้อมกับจอบที่วางอยู่ เขาจึงพยายามที่จะโทรหาวิชัยอีกครั้งแต่เสียงเรียกเข้านั้นดังมาจากด้านในของแท่นปูนนั้นแท่นปูนที่มีช่องโหว่ของการทุบทำลายไปแล้วบางส่วน


ลุงเกรียงไกรหยิบจอบที่วางอยู่ที่พื้นขึ้นมาก่อนจะง้างมันขึ้นจนสุดแขนแต่ไม่ได้ฟาดจบนั้นลงที่แท่นใส่ศพ หญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้า แววตาอาฆาตจ้องมองมายังผู้มาเยือน ผมที่ยาวปกคลุมใบหน้าบางส่วนของเธอแต่สำหรับลุงเกรียงไกรแล้ว เขาจำใบหน้านั้นได้เป็นอย่างดี


   “ ฟ้า” เขาเรียกชื่อนั้นออกมาเบาๆ


   “ ยังจำกันได้อยู่อีกเหรอ” เธอถามกลับมา


   “ ปล่อยไอ้ชัยมันไปเถอะนะ เรื่องนี้มันเกิดจากผม ให้มันจบที่ผมเถอะ ถ้าจะมีคนตายแล้วจบเรื่องนี้มันควรจะเป็นผมไม่ใช่เหรอ ผมเป็นคนที่ทำให้คุณเสียใจนะ”


   “ พวกแกนี่รักกันดีนะ ตอนที่ไอ้ชัยมันมาถึงที่นี่มันก็พูดกับฉันแบบนี้ มันบอกว่ามันเป็นคนผิดกับเรื่องทั้งหมด แล้วให้ฆ่ามันแค่คนเดียวแล้วปล่อยทุกคนไปซะ ทำไมวะ ทำไมทุกคนต้องให้ทางเลือกให้กับตัวเองด้วย แล้วกูล่ะ วันนั้นกูขอไม่ให้พวกมันทำ ทำไมมันยังทำกู วันนี้กูก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรับคำขอร้องอะไรจากพวกมึงทั้งนั้น” เธอตะคอกกลับก่อนจะลดเสียงแผ่วลง “ แต่มีอย่างหนึ่งที่ฉันจะตอบสนองทางเลือกพวกแกได้ นั่นก็คือความตาย และมันจะไม่ได้ตายเพราะตัวฉันหรอกนะ มันจะต้องตายด้วยมือของแกเอง”


   “ พอได้แล้ว” เสียงของใครอีกคนดังมาพร้อมกับโซ่เส้นสีฟ้าที่พุ่งตรงมายังร่างของฟ้าลดา
คนที่มองไม่เห็นอีกโลกเห็นว่าฟ้าลดาหยุดนิ่งลงจึงใช้จอบตรงหน้าทำลายแท่นปูนตรงหน้าลง จนเห็นว่าด้านในมีวิชัยกำลังนอนไม่ได้สติอยู่ ลุงเกรียงไกรดึงร่างของรุ่นน้องลงมากองกับพื้น


   “ เสือกดีนักนะ” ฟ้าลดาดึงโซ่สีฟ้าจนขาดสะบั้น พร้อมกับฟาดโซ่เส้นสีดำทำให้ปิติภัทรกระเด็นไป อีกทางแต่ยังไม่ทันที่ร่างของยมทูติหนุ่มจะกระแทกกับอะไรก็มีอีกคนมารอรับที่ด้านหลัง


   “ มึงไปช่วยลุงกูตรงนี้กูจัดการเอง ขอโทษที่มาช้า” ปณิธานเอ่ยพร้อมกับฟาดโซ่เส้นสีฟ้ากลับไปทางฟ้าลดา แต่คงช้าไปเพราะเธอหลบไปยืนอยู่บนแท่นปูนด้านบน


   “ ขอโทษที่มาช้านะครับ” ปิดติภัทรกลับคืนเป็นร่างมนุษย์วิ่งตรงไปยังลุงเกรียงไกรที่พยายามประคองร่างของวิชัยอยู่ “ มาทางนี้ครับ” เขาประคองร่างของวิชัยไว้ก่อนจะพาเดินกลับไปที่ที่รถจอดอยู่


   “ อ้ากกก” เสียงของปณิธานจากด้านหลังดังขึ้นทำให้ขาของเขาหยุดวิ่งลง “ ลุงพาลุงวิชัยกลับไปก่อนนะครับ แล้วถ้าถึงรถแล้วไม่ต้องเป็นห่วงผม ให้ลุงไปเลย”


   “ แต่”


   “ ไม่มีข้อแม้ครับ เชื่อผมเถอะครับผมเอาตัวรอดได้” เขาส่งวิชัยกลับคืนไปยังเกรียงไกรก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาซึ่งเป็นคำตอบให้กับเกรียงไกรเลยว่า คนที่เขาคุยด้วยไม่ใช่คนธรรมดา



ภาพที่ปิติภัทรเห็นตอนนี้คือร่างของปณิธานที่กำลังถูกของเหลวสีดำกำลังพยายามที่จะไหลไปทั่วทั้งร่างกาย ที่ต้นขามีรอยช้ำจากการถูกรัดของโซ่เส้นสีดำ แต่ว่าไม่มีร่องรอยของฟ้าลดาเลยแม้แต่น้อย เขาเอื้อมมือไปดึงของเหลวที่เต้นตุบๆตรงบริเวณปากของปณิธานออก


   “ มันเป็นกับดัก มันไปดักลุงข้างหน้าแล้ว” คำพูดนั้นทำให้หน้าของปิติภัทรเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด  “ เรย์ เปิดทาง”  เขาประคองร่างของปธิธานผ่านไปตรงจุดที่เรย์เปิดทางให้ ภาพตรงหน้าที่เขาเห็นคือ วิชัยกำลังยืนอยู่ด้านหน้าของลุงเกรียงไกร เนื้อตัวของทั้งคู่เต็มไปด้วยเลือด แต่ไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นเลือดของใครจนกระทั่งแขนของวิชัยที่เคยยึดติดไว้กับตัวร่วงลงกับพื้น เขาร้องออกมาด้วยความทรมาน ลุงเกรียงไกรที่ถือมีดอยู่เขาทรุดลงกับพื้น


ไฟรถที่ดับสนิทอยู่ ติดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ปิติภัทรวางร่างของปณิธานลงก่อนจะวิ่งไปคว้าร่างของลุงเกรียงไกรให้หลบรถที่กำลังพุ่งมาทางพวกเขา รถคันนั้นขับผ่านไปอย่างหวุดหวิด มีเสียงเผละจากด้านหลังเหมือนกับลูกมะพร้าวที่โดนมีดเฉาะเพื่อเปิดเปลือก ทั้งคู่หันกลับไปก็พบว่า ขาของวิชัยขยับไปมาเหมือนเส้นกระตุก ตรงกลางลำตัวถูกรถบดทับไปจนถึงบริเวณศีรษะ


ลุงเกรียงไกรร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธวิชัยสักแค่ไหน แต่วิชัยก็เป็นเหมือนน้องชายของเขาคนหนึ่ง และเขายังไม่ได้บอกน้องชายคนนั้นเลยว่า เขายกโทษเรื่องที่น้องชายเขาทำลงไปทั้งหมด ภาพตรงหน้าถูกจัดการไปในเวลาต่อมา หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง เสียงผู้คนและบรรดานักข่าวเริ่มให้ความสนใจกับคดีนี้ รวมถึงคนใหม่ที่มาเยือน


   “ เป็นไงบ้างวะ”



มาต่อกันน้าาาาาาา
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.4.19 บทที่ 11 TRUTH
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 07-04-2019 20:17:39
ฉากฆาตกรรมน่ากลัวมากค่ะ อ่านทีไรขนลุกทุกที
ลุ้นๆว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อ  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.4.19 บทที่ 11 TRUTH
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-04-2019 22:44:59
สงสารทั้งแม่ ทั้งน้องหมาเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.4.19 บทที่ 11 TRUTH
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 10-04-2019 01:48:53
ฉากฆาตกรรมน่ากลัวมากค่ะ อ่านทีไรขนลุกทุกที
ลุ้นๆว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อ  :katai4: :katai4:

ขอบคุณค่าาาาาา อย่าลืมติดตามต่อไปนะคะ ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.4.19 บทที่ 11 TRUTH
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 10-04-2019 01:49:43
สงสารทั้งแม่ ทั้งน้องหมาเลย  :hao5:


กอดค่ะ สงสารมากจิงๆ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 11.4.19 บทที่ 12 BROKEN
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 11-04-2019 03:11:19
12



BROKEN



เสียงหวอของเจ้าหน้าที่ตำรวจกับไฟไซเรนสีแดงวุ่นวายไปทั่วทั้งบริเวณ เจ้าหน้าที่บางส่วนกลับไปดูบริเวณเกิดเหตุก่อนหน้านี้คือบริเวณที่เก็บศพของฟ้าลดาแต่ทว่ากลับไม่มีโครงกระดูกนั้นหลงเหลืออยู่เลย คนที่อยู่อีกโลกได้แต่มองอย่างสงสัยว่าใครเป็นคนเอาศพนั้นออกไป



กลับมาอีกฟากหนึ่งของสุสานศพไร้ญาติคนที่มาใหม่ยืนทำหน้านิ่งจ้องลุงเกรียงไกรและปิติภัทรอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แววตานั้นมองทะลุแว่นที่สวมไว้บนใบหน้าออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขามีคำถามมากมายอยู่ในหัว ลุงเกรียงไกรนั่งนิ่งให้พยาบาลทำแผลที่บริเวณไหล่ของต้นที่ได้เลือดมาเล็กน้อย ใบหน้าของเขานิ่งเรียบไม่พูดไม่จาอะไรมีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลออกมาที่แก้มทั้งสองข้าง เขามองตรงไปที่ศพของวิชัยที่เจ้าหน้าที่และนั่งข่าวกำลังรุมอยู่


   “ ถ้าฉันห้ามมันไว้ได้ทัน ถ้าฉันมาไวกว่านี้ทุกอย่างมันต้องเป็นแบบนี้”


   “ มันเป็นไรวะพี่” ดนัยถามด้วยเสียงสั่นเครือ “ นี่มันเกิดอะไรขึ้นพี่ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้หรือเปล่า ไอ้ชัยมันโทรหาผมแล้วให้ผมมาที่นี่แล้วทำไม”


   “ ฟ้า” ลุงเกรียงไกรพูดแทรก “ ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าออกมานอกบ้าน ทำไมไม่ฟ้งกันบ้างเลยวะ”


   “ ลุงใจเย็นก่อนครับ” ปิติภัทรคว้าแขนคนที่กำลังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ซึ่งกำลังพุ่งตรงไปยังตัวของดนัย “ นั่งลงก่อนนะครับเดี๋ยวผมคุยให้ ตอนนี้ร่างกายคุณลุงไม่ค่อยแข็งแรงนะครับ”


   “ นายเป็นใครกันแน่


   “ ผมเป็นใครไม่สำคัญหรอกครับ แต่สิ่งที่ผมจะเล่ามันอาจจะฟังดูเชื่อยากแต่ได้โปรดเถอะ ฟังที่ผมจะเล่าให้จบก็พอ” เขาพยักหน้ารับแบบขอไปที แต่สายตาที่มองผ่านแว่นออกมานั้นเต็มไปด้วยการจับผิด


 ปิติภัทรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าทุกอย่างออกไป ตั้งแต่เรื่องของเมฆา การตายของชลชาติรวมทั้งการตายของคนที่เพิ่งถูกเก็บศพไปอย่างวิชัย ใบหน้าของคนฟังนิ่งเงียบเกินกว่าจะคาดเดาได้ ทุกอย่างรอบตัวกำลังดำเนินไปอย่างเร่งรีบแต่สำหรับคนที่เล่าเรื่องอยู่นั้นมันผ่านไปช้าเหลือเกิน เขารอให้ดนัยพูดออกมาแต่กลับไม่มีคำใดออกมาจากปากของดนัยเลย


   “ แกจะเชื่อที่เด็กคนนี้หรือเปล่าฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ฉันยืนยันว่ามันเกิดขึ้นจริงๆและมันกำลังเกิดขึ้นต่อไปจนกว่าพวกเราจะ
ตายกันหมด” ลุงเกรียงไกรพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูไร้เรี่ยวแรงโดยที่ไม่หันมาสบตาคนที่กำลังยืนฟังอยู่เลยแม้แต่น้อย


ดนัยยืนนิ่งไม่ตอบสนองกับสิ่งที่พูดตรงหน้า ถึงใบหน้าของเขาจะดูว่างเปล่าแต่ในหัวของเขาสับสนไปหมด เขาพยายามต่อสู่กับความคิดที่บอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความบังเอิญแต่เพื่อนรอบตัวของตนก็ตายไปกันจนหมด


   “ แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง” เขาถาม


   “ ระวังตัว อย่าออกไปไหน”    


   “ ได้ไงพี่ ชีวิตของผมกำลังไปได้ดี ช่องรายการโทรทัศน์ที่ผมซื้อมากำลังไปได้สวย ผมกำลังมีอนาคต พี่ไม่มีคำตอบที่ดีให้ผมมากกว่านี้เลยหรือยังไง ในเมื่อคนที่พี่บอกว่ามันกำลังตามฆ่าผมอยู่มันคือแฟนเก่าพี่” เขาดูเหมือนพยายามสะกดอารมณ์ให้มากที่สุดแต่ก็เหมือนจะทำได้ยาก นี่แหละนะสันดานของมนุษย์ที่เวลากลัวหรือจนตรอกแล้วจะทำได้ทุกอย่าง


   “ ถ้าพวกมึง ไม่ไปข่มขืนฟ้า ฟ้าคงไม่เป็นแบบนี้” ลุงเกรียงไกรพูดจบก็ลุกออกจากบริเวณนั้นไปทันทีทิ้งให้คนที่เพิ่งอารมณ์ร้อนเมื่อครู่นิ่งไปราวกับถูกสาปให้เป็นหิน


กว่าเรื่องราวในคืนนั้นจะผ่านไปก็ปาเข้าไปเกือบถึงเช้า ปิติภัทรต้องไปโรงพักเป็นครั้งที่สองแต่ว่าครั้งนี้ลุงเกรียงไกรช่วยพูดและเป็นพยานให้ว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับการตายที่เกิดขึ้น ทางตำรวจเองก็สรุปคดีนี้ง่ายๆว่ารถยนต์ของเกรียงไกรระบบขัดข้องทำให้เครื่องยนต์ทำงานเอง ส่วนเรื่องศพ ลุงเกรียงไกรขอให้ทางตำรวจช่วยกันตามหาศพให้เจอเพื่อที่เขาจะทำการสวดศพส่งวิญญาณให้กับฟ้าลดา ตอนแรกปิติภัทรจะขอไปอยู่ที่ไร่ด้วยแต่ลุงเกรียงไกรบอกเกรงใจเขาเลยกลับมานอนที่บ้านของตนแต่ส่งสมุดสองเล่มไปดูแลแทน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่ในสายตาของปณิธานทุกอย่าง เขาเฝ้ามองลุงของตนที่ควรจะเป็นคนร่าเริงแต่ตอนนี้กลับเงียบเศร้ามัวหมองอย่างที่ไม่เคยเป็นยิ่งทำให้ยมทูติหนุ่มถึงกับซึมจนคนที่อยู่ข้างๆสัมผัสได้


ปิติภัทรนอนอยู่บนเตียงจ้องไปยังคนรักของตนที่กำลังนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดพร้อมกับจ้องไปที่ผนังอย่าล่องลอย ใบหน้าของปณิธานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


   “ ปาร์ค” เขาเรียกเบาๆ


   “ หืม” เขาหันมาทางต้นเสียงช้าๆ “ นอนไม่หลับเหรอ”


   “ อืม ปาร์คมานอนข้างๆเฟิร์สนะ” เขาเอามือตบเตียง “ นอนอย่างเดียวเฟิร์สสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรปาร์คหรอก”


   “ อืม” ปณิธานเดินมาทิ้งตัวนอนข้างๆปิติภัทร “ บางทีกูก็อยากหลับนะหลับแล้วได้หยุดคิดเรื่องบางเรื่องได้สักพัก กูเหนื่อยว่ะเฟิร์สทำไมวะ กูควรตายไปแล้วกูไม่ควรมารับรู้หรือต้องมาทุกข์แล้วไม่ใช่เหรอวะ ทำไมกูต้อง”


   “ ไม่เอาไม่พูดแล้ว” เฟิร์สโอบเอวคนที่กำลังเครียดจากด้านหลังก่อนจะกระชับให้เข้าหาตัวเอง “ ถ้าปาร์คไม่มาเป็นยมทูติเฟิร์สก็ไม่ได้เจอปาร์คอีกน่ะสิหรือว่าเฟิร์สก็เป็นเรื่องแย่ๆในชีวิตของปาร์คด้วย”


   “ เปล่า มึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของกูในตอนนี้เลยนะ กูเนี่ยสิกลายมาเป็นความทรงจำแย่ๆของมึง ชีวิตมึงควรสงบมากกว่านี้หรือเปล่าวะ”


   “ ถามเฟิร์สแล้วหรือไง” เขาพลิกตัวคนที่อยู่ในอ้อมแขนให้กลับมาประจันหน้า “ ปาร์คเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของเฟิร์สเลยนะ เฟิร์สเคยคิดนะว่าการที่เฟิร์สมาเป็นยมทูติในขณะที่มีชีวิตเนี่ยมันเป็นอะไรที่แย่มากจริงๆ มันแย่จนเรียกว่าเหี้ยเลยก็ได้ ทุกครั้งที่ต้องรับดวงวิญญาณของคนที่ตัวเองรู้จักหรือสนิทสนมด้วย มันยากเกินจะรับไหวจริงๆแต่ปาร์ครู้หรือเปล่าแต่นั่นทำให้เฟิร์สได้ข้อคิดนะ”


   “ ข้อคิดไร” เขาถามเพื่อรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ


   “ ก็ข้อคิดที่ว่าชีวิตของเรามันสั้น อยากทำอะไรก็ให้รีบทำ รู้สึกอะไรกับใครหรือรักใครก็ให้ทำดีกับเขาให้มากๆเราไม่สามารถรู้เลยว่าเราจะเสียเขาไปวันไหน ได้รู้ว่าเราไม่สามารถรั้งใครไว้ได้นานหรอกเราแค่ต้องยอมรับความจริงก็แค่นั้น แต่แย่หน่อยที่เฟิร์สเป็นพวกยอมรับความจริงยากบางครั้งเฟิร์สเองยังรู้สึกเกลียดตัวเองเลย”


   “ พูดอะไรเนี่ยตอนแรกกำลังๆดีแล้วมึงมาเกลียดตัวเองทำไม กูงงไปหมดแล้ว”


   “ สงสัยยาแก้ปวดที่กินเข้าไปเมื่อกี้มันออกฤทธิ์แล้ว เฟิร์สเบลอๆพูดไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ” เขาส่งยิ้มมาให้ “ วันนี้เป็นหมอนข้างให้เฟิร์สนะ”


   “ แล้วเห็นขยับไปไหนหรือเปล่าล่ะ”


   “ เย้น่ารักจัง” เขากระชับคนรักของตนเข้าไปหาตัวเองโดยไม่รู้เลยว่าคนที่กำลังถูกกอดออยู่นั้นรอฟังความจริงจากปากของเขาอยู่


ปณิธานอยากจะบอกคนที่นอนอยู่ตรงหน้าไปว่ารู้ความจริงทั้งหมดแล้วแต่ก็ไม่กล้าพอเพราะเขากลัวว่าปิติภัทรจะไม่เหมือนเดิม สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดตอนนี้คืออยู่ข้างๆและรอให้เขาร้องขอความช่วยเหลือก็พอ


เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่คนที่กระชับกอดเขานั้นเริ่มเกร็งตัว ใบหน้าของปิติภัทรบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน มือที่กอดเขาอยู่จิกลงที่กลางแผ่นหลัง ร่างของปณิธานเหมือนถูกบางอย่างดึงเข้ามา เข้ามาในความทรงจำของ ปิติภัทร


หญิงสาววัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกสีขาวอยู่บริเวณกลางสนามหญ้าหน้าบ้าน โดยมีสุนัขพันธุ์ปอมเปอเรเนียนตัวสีขาว วิ่งอยู่รอบๆ เธอส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข พร้อมกับส่งยิ้มมาให้เขา ไม่ใช่สิต้องบอกว่าส่งยิ้มมาให้ลูกชายของเขาถึงจะถูกเพราะตอนนี้ปณิธานอยู่ในร่างของปิติภัทร


เขามองภาพตรงหน้าและรับรู้ความรู้สึกผ่านมุมมองและความคิดของปิติภัทรอย่างไม่สามารถที่จะขัดขืนได้เพราะเขากลัวว่าความทรงจำแสนดีของปิติภัทรมันจะบิดเบี้ยวไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น


ปิติภัทรก้าวขาเดินไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่สวน เธออยู่ในชุดกระโปรงผ้าระบายสีขาวยาวจะถึงตาตุ่ม รองเท้าสีขาววางอยู่ด้านข้างเก้าอี้โยก ในมือของผู้หญิงคนนั้นเป็นรูปของปิติภัทรที่กำลังถ่ายรูปคู่กับตัวเอง เธอยิ้มให้กับรูปใบนั้นก่อนจะวางมันลงเมื่อปิติภัทรเดินตรงเข้าไปหา เธอส่งยิ้มรับของจากลูกชาย ในมือเป็นน้ำสีแดงมีกลิ่นคาวคล้ายเลือด เธอรับมันไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นักแล้วจัดการเทมันเข้าปาก แววตาใจดีเมื่อครู่แข็งกร้านขึ้นก่อนจะฉีกยิ้มที่ชวนสยองออกมา ไรฟันของเธอเต็มไปด้วยคราบสีแดงที่น่าสะอิดสะเอียน มือที่ถือแก้วอยู่ยื่นส่งกลับมาให้ปิติภัทร ก่อนจะก้มลงไปมองที่พื้นหมาน้อยที่เคยวิ่งเล่นอยู่เมื่อครู่นอนจมกองเลือดอยู่ พื้นหญ้าที่เป็นสีเขียว ไม่สิต้องบอกว่าเคยเป็นสีเขียวเพราะตอนนี้มันกำลังชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงเข้มที่ส่งกลิ่นคาวไม่ต่างจากเมื่อครู่ เสื้อผ้าสีขาวของแม่ปิติภัทรเปียกโชกไปด้วยเลือด เธอไม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ตรงกันข้ามเธอกลับลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นราวกับว่าเด็กๆที่กำลังเล่นน้ำฝน ปิติภัทรวิ่งตาเธอไปอย่างรวดเร็ว


เขามาหยุดตรงที่ลานกว้างที่หน้าบ้านของตัวเอง ตรงหน้ามีโครงกระดูกของผู้หญิงที่แขวนอยู่บนเสาไม้ โครงกระดูกนั้นเมื่อได้สัมผัสหยดเลือดที่ตกลงมาจากท้องฟ้าก็ค่อยๆคืนกลับสู่สภาพเดิม บริเวณที่เคยเป็นโครงกระดูกกลับมามีเนื้อหนังมังสาผมที่เคยหายไปจนเหลือแต่กะโหลกกลับคืนมาเป็นผมยามตรงเงางาม ใบหน้าที่คุ้นตากำลังประกอบกลับเข้ามาสู่สภาพเดิม และปณิธานที่อยู่ในร่างของปิติภัทรถึงกับตกใจเพราะคนที่อยู่ที่เสานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่มันคือผู้หญิงที่เขารู้จักมากที่สุด คือผู้หญิงที่เขาตามหามานานแสนนาน คือผู้หญิงที่เป็นภัยต่อคนที่เขารัก


   เธอคือ ฟ้าลดา


เสียงหัวเราะของแม่ปิติภัทรดังไปทั่วบริเวณอีกครั้งเมื่อดินตรงหน้าของศพที่แขวนอยู่บนไม้นั่นยุบตัวลงไปเป็นหลุมขนาดเท่ากับหลุมฝังศพทั้งหมดหกหลุมซึ่งสามหลุมแรกมีคนนอนรอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


หลุมแรกเป็นดารารุ่นใหญ่ที่นอนลืมตาเบิกโพลงใบหน้าบิดเบี้ยวและมีรอดปาดลึกที่ลำคอ หลุมที่สองเป็นศพของชลชาติแน่เพราะตัวของเขาไหม้ดำเป็นถ่าน และอีกคนอยู่ในสภาพที่หัวสมองของเขาเปิดออกจนเห็นมันสีเหลืองไหลเยิ้มออกมา ทุกคนนอนพนมมือหันหัวไปทางเท้าของคนที่อยู่บนเสาไม้นั่น


   “ อีกแค่สามหลุมเท่านั้น ทุกอย่างมันกำลังจะจบลงแล้ว แกต้องช่วยฉัน แล้วแกจะได้แม่ของแกคืนไป” เสียงแหลมๆของแม่ปิติภัทรตะโกนฝ่าสายฝนเลือดนั่นมาก่อนจะพุ่งตัวมาตรงหน้า แล้วอย่าทำให้ฉันโกรธอีก อย่าพยายามที่จะยื้อหรือช่วยพวกมันอีกไม่อย่างนั้น” เธอยิ้มที่มุมปากก่อนจะยกเศษกระจกที่มาจากไหนไม่รู้ขึ้นมาแล้วกรีดมันลงที่แขนสีขาวของตัวเอง “ แกจะไม่มีวันได้เห็นแม่ของแกอีก”


   “ อย่าไปฟังมัน” เสียงของใครอีกคนดังขึ้นมา


   “ ฉันไม่ให้แกพูดก็หุบปาก อีอ่อนแอลูกมึงกำลังช่วยมึงอยู่” เธอตบหน้าตัวเองอย่างแรง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วเอามือที่ชุ่มไปด้วยเลือดมาสัมผัสที่ใบหน้าของปิติภัทร “ มองหน้าแม่ไว้นะ มองหน้าแม่ไว้ อย่าคิดเนรคุณ ตัวแกจะทำผิดกับแม่อีกรอบอย่างนั้นเหรอ มองหน้าไว้สิ จะหลบหน้าทำไม” ปิติภัทรพยายามเบือนหน้าหนีแต่ไม่สามารถทำได้เพราะมือทั้งสองข้างของแม่ตนเองไม่ใช่สิคนที่อยู่ในร่างแม่ของเขาอีกคนกำลังบีบหน้าของเขาแน่น “ คนที่เหลือนั่น มันไม่ได้มีค่ากับแกหรอกนะ”


   “ ไม่” ปณิธานที่อยู่ในร่างของปิติภัทรผลักร่างนั้นจนกระเด็นก่อนที่ตัวของเขาเองจะถูกดูดกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง แรงดีดบางอย่างผลักเขาออกมาหล่นอยู่ที่พื้นเตียง เขาไม่สามารถที่จะขยับร่างกายของตัวเองได้


   “ ปาร์ค” ปิติภัทรที่หลุดออกจากความฝันวิ่งตรงมาหาคนที่หมดแรงอยู่


   “ ออกไป” เขาใช้แรงที่มีอยู่ยกมือห้าม


   “ แต่”


   “ มึงไม่ได้ตั้งใจช่วยลุงกูตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มึงรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ที่จริงแล้วมึงก็แค่กำลังหลอกใช้กู” เขาถอยหลังไปจนติดอ่านหนังสือ “ กูรู้แล้วว่าแม่มึงตายแล้ว กูนี่โง่เนอะที่กำลังคิดว่าจะช่วยมึงยังไง แต่พอได้รู้บางอย่างกูยิ่งโง่กว่าเดิม กูพามึงให้เข้าใจลุงกู ให้ลุงกูไว้ใจ แล้วมึงก็จะปล่อยให้ลุงกูตายอย่างที่คนอื่นๆตายใช่หรือเปล่าล่ะ”


   “ ปาร์คฟังเฟิร์สก่อน”


   “ หุบปาก กูมันโง่เอง โง่ให้มึงหลอกใช้ มึงหรอกให้กูรักแล้วก็ไว้ใจ มึงมันเหี้ย”


   “ เฟิร์สขอโทษที่โกหกนะ แต่เฟิร์สไม่เคยโกหกว่าเฟิร์สรักปาร์คเลยนะ เฟิร์สรักปาร์คจริงๆ” เขาพูดออกมาทั้งน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาทั้งสองแก้ม “ ปาร์คไว้ใจเฟิร์สนะ กลับมาหาเฟิร์สเหอะนะ” เขายื่นมืออกไป


   “ กูไม่เชื่อมึงแล้ว” ปณิธานเองก็ปล่อยน้ำตาออกมาอย่างไม่อายเช่นกัน เขาพยายามที่จะกั้นมันแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ “ บลู” เขาเรียกสมุดของตน


   “ จะไปไหน” ปิติภัทรถามด้วยสีหน้าที่ตกใจ


   “ ไปที่ที่ไม่มีมึง กูจะไปช่วยลุงของกู ด้วยมือของกู ถ้ามึงยังอยากที่จะฆ่าลุงกู กูก็พร้อมที่จะให้มึงฆ่ากูก่อนก่อนที่มึงจะฆ่าลุงกูจำไว้” สิ้นคำสมุดเล่มสีฟ้าของปณิธานก็ปรากฏขึ้น


   “ ครับเจ้านาย”


   “ ไปไร่เกรียงไกร” คำสั่งนั้นทำให้สมุดเปิดแสงสว่างขึ้นแล้วพาคนที่เคยนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หายไปต่อหน้าต่อตาของปิติภัทร


   “ เรย์” เขาเรียกสมุดของเขาไม่นานมันก็มาปรากฏตรงหน้า


   “ ครับเจ้านาย”


   “ ไปไร่เกรียงไกร” สมุดเปิดสว่างกว้าง ปิติภัทรกำลังจะก้าวผ่านแต่ไม่สามารถทำได้เพราะรอยสีดำที่อยู่ด้านหลังของเขามันร้อนราวกับไฟ


   “ เจ้านายเพิ่งไปเจอกับยมทูติสีดำมาใช่หรือเปล่า” เรย์ถามด้วยความเป็นห่วง


   “ ใช่” เขาตอบอย่างงๆ  “ มีอะไร”


   “ เจ้านายข้าขอดูรอยหน่อย”  ปิติภัทรหันหลังให้พร้อมกับถอดเสื้อออก “ มันมีรอยใหม่ปรากฏอยู่ ต้องรอให้รอยจางก่อน”


   “ แต่ ปาร์คมัน”


   “ ถ้าเจ้านายไปตอนนี้ร่างกายของเจ้านายอาจจะแย่ได้นะ”


   “ ฉันจะไป”


   “ เจ้านาย ถ้าไปตอนนี้เจ้านายอาจกลายเป็นยมทูติสีดำไปตลอดกาลเลยนะ รอให้รอยจางก่อน ถ้าฝืนไปตอนนี้กับดักยมทูติเปิดทางให้เจ้านายแน่”


   “ แม่งเอ้ย” เขาเตะเตียงด้วยความโมโห


ปิติภัทรลงไปหยิบกุญแจรถก่อนจะขับรถออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว เขาเหยียบคันเร่งจนสุดปลายเท้าแต่ว่ารถมันไม่ได้เร็วไปอย่างที่ใจเขาหวังเลย เส้นทางข้างหน้ารถติดยาวไปจนสุดสายตา เขาปรับสายตาเป็นสายตายมทูติก็พบว่าด้านหน้ามีอุบัติเหตุ เหตุผลนี้ยิ่งทำให้เขายิ่งร้อนใจเพราะอุบัติเหตุข้างหน้าเหมือนมันมีคนจัดฉากรอไว้ มีบางอย่างไม่อยากให้เขาไปที่ไร่เกรียงไกร
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 11.4.19 บทที่ 12 BROKEN
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 11-04-2019 03:11:43
ต่อ






สมุดเล่มสีฟ้าลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ คู่กับเจ้านายของตนที่นั่งนิ่งเหม่อมองโกศใส่กระดูกของตนเองอย่างเหม่อลอย ดอกกุหลาบสีขาวที่เคยบานสะพรั่งสวยงามตอนนี้มันกลับเริ่มเหี่ยวเฉาและโรยลาไปทีละดอกสองดอกบางต้นดอกสีขาวของมันช้ำน้ำเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ำ จนทำให้คนที่มองยิ่งหดหู่ใจ เขาไว้ใจคนผิด 


ในหัวของปณิธานตอนนี้มันตีกันไปหมด เขาไม่แน่ใจเลยว่าสิ่งที่เขากำลังพบเจอตอนนี้มันคืออะไร อะไรที่เป็นความจริงบ้างหรือนี่เป็นแค่บททดสอบของยมทูติ หรือว่ามันเป็นชะตากรรมที่เขาทำเอาไว้แต่ชาติปางไหน ทำไมเขาจะต้องกลายมาเป็นเหยื่อความรักซ้ำไปมา ทั้งเหยื่อความรักจากครอบครัวของเขาเอง เขานั่งยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวของครอบครัวของตัวเอง ภาพที่พ่อทำร้ายทุบตีแม่มันก็ตีขึ้นมาในความทรงจำ เสียงเด็กร้องไห้ระงมซึ่งเป็นเสียงของเขาเองดังขึ้นมาในหัว ภาพของมันฉายย้อนกลับไปในวันนั้นราวกับว่าเป็นเครื่องย้อนเวลาย้อนไปตอนที่พ่อของเขากลับมาจากการดื่มสุรากับเพื่อน เสียงโหวกเหวกโวยวายดังไปลั่นบ้านของแม่ ก่อนจะจบด้วยเลือดสีแดงของแม่เขาเปื้อนอยู่ตามมุ้งที่ใช้คลุมนอน เสียงนั้นสงบลง เขาจ้องตาผู้เป็นบิดาอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเขาจดจำใบหน้าที่ขาดสติและรอยยิ้มที่ไร้เยื่อใยได้เป็นอย่างดีก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆเลือนราง เขาหัวเราะกับตัวเองพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง


   “ ขนาดพ่อแม่ที่หลายๆคนบอกว่าจะเป็นคนที่รักเรามากที่สุด ยังมารักมึงเลย มึงจะคาดหวังให้คนอื่นที่ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่มารักมึงได้ยังไง ไอ้ปาร์คเอ้ย มึงมันโง่จริงๆเลย โง่ๆ โง่ฉิบหายที่ไปรักคนแบบนั้น กูไม่น่าเลย” เขานั่งหัวเราะให้กับความโง่ของตัวเองอย่างเสียสตินานเท่านาน จากท้องฟ้าที่เคยสว่างค่อยๆมืดมิดลงและมืดสนิท รอบตัวเขาเต็มไปด้วยเสียงแมลงกลางคืนที่ร้องเจื้อยแจ้ว ท้องฟ้าในวันนี้เป็นคืนเดือนดับยิ่งสร้างความมืดมิดให้กับบริเวณรอบได้อย่างสมบูรณ์


   “ เจ้านาย” บลูตัดสินใจเรียกออกไปเมื่อเห็นว่าคนเป็นเจ้านายเงียบนานเกินไปเสียแล้ว


   “ ว่าไง” คนที่ฟุบลงไปกับกับพื้นอย่างคนไม่มีแรงเงยหน้ามามองสมุดของตัวเอง


   “ เจ้านายต้องสู้นะครับ  อย่างน้อยก็สู้เพื่อคนที่เจ้านายรักและรักเจ้านายนะครับ ลุงเกรียงไกรไม่ใช่เหรอครับที่มอบความรักให้กับเจ้านายจริงๆโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ อย่าเอาไม่บรรทัดของคนอื่นมาวัดตัวเราเลยครับ พ่อแม่ที่ทิ้งลูกมีเยอะแยะไป ถ้าเราคิดดูอีกที เขาก็เป็นแค่คนที่ทำให้เราเกิดมามีชีวิตแต่คนที่ทำให้เราเป็นเรา และมีชีวิตอยู่ได้ตอนนี้คือใครครับ ตัวเราและคนที่อยู่ข้างๆเราไม่ใช่เหรอ เราแคร์คนๆนั้นก่อนดีหรือเปล่าครับ”


   “ จริงด้วย ลุงเกรียงไกร” ปณิธานเหมือนถูกเอาน้ำเย็นๆสาดหน้า เขาลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วแววตาที่เคยอ่อนแอเมื่อครู่หายไปทันตาเห็น “ นายก็พูดดีๆเป็นเหมือนนะ ขอบใจมากบลู นายก็คือเอ่อ สมุดที่ฉันรักนะ”


   “ ครับ คำพูดพวกนั้นผมก็จำๆเขามา”


   “ พาฉันไปหาลุงหน่อย”


พูดจบสมุดก็เรืองแสงแล้วพาปณิธานมายืนอยู่บริเวณห้องน้ำ พื้นกระเบื้องสีขาวสะอาดกับผนังปูนเปลือยเปล่าที่ถูกขัดจนมันขวับประดับตกแต่งด้วยแมกไม้สีเขียวที่ลุงชอบ ถึงแม้ว่ามันจะดูขัดๆกับสีพื้นที่เป็นกระเบื้องอย่างดี แต่สำหรับลุงเกรียงไกรแล้วมันคือศิลปะ เขาเองก็เคยมาที่ห้องน้ำนี้บ่อยๆตอนเด็กๆ มันไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่นาน คนที่เขากำลังคิดถึงก็เดินมาหยุดที่หน้ากระจก ใบหน้าที่มีหนวดขึ้นจนรกรุงรังตอบลงอย่างเห็นได้ชัดเขาส่องไปที่กระจก มือหนาเอื้อมไปหยิบมีดโกนหนวดด้วยความสั่นเทา ก่อนจะค่อยๆทาครีมสีขาวบริเวณหนวดเคราบนใบหน้า หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆลงมีดอย่างกล้าๆกลัวๆ เศษหนวดร่วงหล่นสู่อ่างล้างหน้าเส้นแล้วเส้นเล่าจนกระทั่ง ลุงเกรียงไกรวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า ใบหน้าที่แสนใจดีกลับมาอีกครั้ง แต่แววตาของเขากลับไม่สดใสเลยแม้แต่น้อย มีดโกนหวดในมือถูกวางลงกลับที่เดิม ปณิธานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจไม่ต่างจากคนที่เพิ่งวางใบมีดนั้นลงไปที่เดิมเลย


ปณิธานเดินออกมารอด้านนอกห้องน้ำ เพราะมันคงไม่สะดวกใจเท่าไหร่นักกับการที่ไปยืนดูลุงตัวเองแก้ผ้าอาบน้ำ เขาเดินสำรวจไปรอบๆห้อง ตรงหัวเตียงของลุงเกรียงไร มีกรอบรูปไม้วางอยู่ใต้โคมไฟ ในรูปนั้นมีเด็กผู้ชายกำลังถือเครื่องบินบังคับลายทหารอยู่เด็กคนนั้นฉีกยิ้มกว้างอยู่ในชุดทหารกับผู้ชายที่สวมเสื้อสีขาวกับกางเกงบลูยีนส์ที่ฉีกยิ้มแข่งกับเด็กผู้ชายคนนั้น ปณิธานจำได้ทันทีว่าภาพนี้เป็นภาพงานวันเด็กปีแรกที่ลุงของเขาพาไปเที่ยวที่กองบินสี่สิบเอ็ดในตัวเมืองเชียงใหม่ มันเป็นงานวันเด็กวันเด็กครั้งแรกที่เขามีคนพาไป เขาจำได้ว่าเขาตื่นตาตื่นใจกับบรรดาเครื่องบินและการแสดงโชว์เครื่องบินผาดโผนเอามากๆ พอกลับมาถึงบ้านเครื่องบินลำนี้ก็ถูกยื่นมาให้จากลุงของเขา


   ‘ ลุงจะทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ให้แกเองนะปาร์ค ‘


เป็นคำพูดที่เขาจำ จำมาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าวินาทีสุดท้ายของชีวิตเขาเขาจะตัดสินใจทำอะไรโง่ๆเพื่อคนที่เขารัก แต่เขาลืมไปเลยว่าคนที่รักเขาจะรู้สึกอย่างไร


ไม่นาน เสียงประตูห้องน้ำก็เปิดลง ลุงเกรียงไกรอยู่ในชุดนอนสีฟ้าเป็นผ้าสีมันเลื่อมเขาทิ้งตัวนั่งลงแทบจะซ้อนทับร่างของปณิธานที่นั่งอยู่


ลุงเกรียงไกรเอื้อมไปหยิบกรอบรูปนั้นมาไว้ในมือ หยดน้ำตาหยดลงบนรูปทีละหยดสองหยด ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของชายวัยกลางคนเลยแม้แต่น้อย เขาพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ให้มากที่สุดเหมือนกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน


คนที่นั่งข้างๆได้แต่นั่งมองลุงอันเป็นที่รักแต่เขาไม่สามรถบอกอะไรลุงเขาได้เลย ไม่แม่แต่จะแสดงตัวให้เห็น เขาอยากบอกความรู้สึกที่มีตอนนี้ทั้งหมด เขาอยากกอด เขาอยากขอโทษ เขาอยากเตือนในเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่มันคงเป็นไปไมได้เพราะหากลุงของเขาจะสามารถสื่อลุงเขาต้องไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้วซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ต้องการ


   “ ผมจะทำยังไงดีนะ ผมจะทำยังไงดี” เขามองลุงเกรียงไกรร้องไห้จนเสร็จหลังจากนั้นลุงเขาก็ทิ้งตัวลงนอน “ ใช่ เข้าฝัน เข้าฝันได้หนิ”


   “ มันไม่ปลอดภัยนะครับเจ้านาย”  บลูที่ลอยอยู่ข้างๆห้าม


   “ แต่มันเป็นวิธีเดียว” สิ้นคำเขาก็หายเข้าไปในร่างที่กำลังหลับตาสนิทอยู่ทันที


แสงสีขาวสว่างวาบขึ้น รอบตัวของเขาเป็นเหมือนเขตพื้นที่ที่ไม่มีวันสิ้นสุด มันว่างเปล่าไร้สิ่งปลูกสร้างใดๆ ครั้งนี้เขาไม่ได้อยู่ในร่างของลุงเกรียงไกรแต่เขาอยู่อยู่สิ่งที่เป็นตัวเขาเอง


ภาพรอบกายค่อยๆปรากฏเป็นภาพชัดเจนขึ้นกลุ่มควันที่รอยเคว้งอยู่ในอากาศประกอบเป็นรูปร่าง เขายืนอยู่กลางสนามเด็กเล่น สนามเด็กเล่นที่วันแรกเขามาเล่นกับลุงเกรียงไกรที่นี่ ใบหน้าของเด็กน้อยที่ผ่านความโหดร้ายทั้งด้านจิตใจและร่างกายไร้ซึ่งรอยยิ้ม เด็กคนนั้นดูเศร้าสร้อยและมองไปรอบๆตัวอย่างไร้จุดหมาย ตรงกันข้ามกับคนที่กำลังไกวชิงช้าให้อยู่ด้านหลัง ที่กำลังส่งเสียงหัวเราะและพยามยามชวนคุยเรื่องสนุกสนานอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อย


   “ ไม่สนุกเหรอตาปาร์ค” เสียงทุ้มถามในขณะที่มือของเขายังคงไกวชิงช้าอย่างไม่หยุด


   “ สนุกครับ แต่ผมคิดถึงพ่อกับแม่”


   “ อยู่กับลุงแล้วไม่ต้องคิดถึงใครแล้ว มีแค่ลุงคนเดียวเนอะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ ถ้าสนุกก็หัวเราะออกมาเลย เห็นเด็กที่วิ่งอยู่ตรงนั้นไหม” เขาชี้ไปยังเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับหลานชาย ที่กำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน “ เห็นไหม ว่าเขาสนุกกันแค่ไหน หลานลุงก็ต้องสนุกได้เหมือนกันนะ”


   “ ครับ”


   “ รับปากลุงแล้วนะ” เขาส่งยิ้มให้หลานชายก่อนจะหยุดไกวชิงช้า “ เดี๋ยวลุงพาไปเลี้ยงไอศกรีมเป็นของรางวัล”


   “ เย้” เด็กชายกระโดดลงจากชิงช้าก่อนจะวิ่งไปที่ถนนซึ่งมีปณิธานยืนอยู่ “ โอ้ย” เขาชนร่างของปณิธานอย่างจัง


   “ เป็นอะไรหรือเปล่า” ลุงเกรียงไกรจับหลานชายลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปทางคนที่กำลังยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกอยู่ “ น้องๆ” ลุงเกรียงไกรเรียกคนที่ยืนนิ่งอยู่


เสียงเรียกนั้นทำให้ตัวของปณิธานสั่นเทิ้มเพราะมันได้ตอกย้ำแล้วว่า ลุงของเขามองเห็นเขาจริงๆ น้ำตาแห่งความโหยหาไหลออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ เขาวิ่งตรงไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับสวมกอด คนที่ถูกสวมกอดได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก บรรยากาศรอบตัวเงียบไปชั่วขณะได้ยินเพียงเสียงสะอื้นจากปณิธานเท่านั้น


   “ ผมขอโทษครับลุง ผมขอโทษ” เขาพูดคำพวกนี้วนไปมา


   “ เดี๋ยวก่อนใจเย็นๆก่อนนะ “ ลุงเกรียงไกรพยายามตั้งสติกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น “ เรารู้จักกันด้วยเหรอครับ”


ปณิธานยิ่งร้องไห้มากกว่าเดิม เพราะเขาไม่สามารถที่จะคุยกับลุงและให้ลุงจำเขาได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ภาพรอบตัวของเขารวมถึงลุงเกรียงไกรกำลังจะค่อยๆเลือนหายไป


   “ ลุง ลุง ลุงครับตื่นๆ” เสียงของคนที่เขาคุ้นชินดังเข้ามาในหัว “ ลุงครับ”


เขาดึงตัวเองกลับมายืนอยู่ข้างเตียงก่อนจะลืมตาขึ้นมอง ลุงเกรียงไกรนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง สภาพร่างของชายวัยกลางคนตรงหน้า เต็มใบด้วยเลือดที่ไหลออกผ่านจมูก ดวงตาทั้งสองและใบหู ยมทูติหนุ่มยืนขาแข็งอยากตกใจ


   “ ลุง” เขาเรียกเบาๆ


   “ ลุง” คนที่ยืนอยู่ข้างๆเขย่าตัว “ พี่มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พะ พี่ทำอะไรลุง” เขาผละออกจากลุงเกรียงไกรแล้วถอยไปติดกำแพง “ ออกไปเลยนะ”


   “ ใจเย็นๆก่อน เดี๋ยวกูอธิบายให้ฟัง ช่วยลุงกูก่อน”


   “ แล้วพี่ทำอะไรลุงพี่เล่า”


   “ ไม่รู้เว้ย มึงค่อยถามได้หรือเปล่าวะ ช่วยลุงกูก่อน” ปณิธานตะคอกกลับไป ก่อนจะพยายามที่จะสัมผัสลุงของเขาแต่ว่ามีบางอย่าง บางอย่างที่เขาไม่ต้องการติดมือมาด้วย


   “ ปาร์ค” สิ่งที่ออกมาจากร่างของลุงเกรียงไกรเอ่ย ก่อนจะโผเข้าไปกอดปณิธาน


สัมผัสอบอุ่นที่เขาถวิลหา คนที่เป็นทุกอย่างของเขา กำลังสัมผัสเขาอยู่ น้ำตาของเขาไหลออกมาเป็นสาย คำพูดที่ปณิธานอยากพูดมันหายไปหมด แต่เขาถ่ายทอดมันผ่านอ้อมกอดอบอุ่นนั้น


   “ พี่ ลุงพี่เป็นอะไรไม่รู้” กิตติที่กำลังพยายามปลุกคนที่นอนนิ่งตะโกนเรียกทำให้ปณิธานตั้งสติได้ว่าเขาเองไม่ควรทำแบบนี้
ร่างของลุงเกรียงไกรเกร็งไปทั้งตัว เลือดกระอักออกปลากจนกระจายไปจนทั่วเตียง เสียงหายใจของลุงดังติดๆขัดๆไม่เป็นจังหวะ


   “ ยังไม่ถึงเวลาของลุงนี่” บลูที่ปรากฏตัวขึ้นเอ่ย


   “ ลุงกลับเข้าร่างไปเถอะครับ” ปณิธานร้องขอ


   “ ลุงอยากจัดการเรื่องของลุงก่อน ลุงอยากไปเจอ”


   “ ฟ้าลดา” ชื่อนี้ทำให้ลุงเกรียงไกรเงียบลงในทันที “ ครับผมรู้ และผมกำลังช่วยลุงอยู่ ลุงเชื่อในตัวผมนะครับ เพราะผมไม่รู้จะหากำลังใจที่ไหนได้ดีเท่าลุงอีกแล้ว”


   “ ลุงเชื่อในตัวแกเสมอ ไม่นานเราคงได้เจอกัน” สายตาแห่งความอาธรจ้องมายังปณิธาน


   “ ครับ แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้” ปณิธานออกแรงผลักดวงวิญญาณของลุงเกรียงไกร เข้าร่างไป


ร่างกายที่สั่นเมื่อครู่หยุดการเคลื่อนไหวเสียงลมหายใจค่อยๆกลับมาเป็นจังหวะเดิม คนที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมานั่งอย่างไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรวมถึงคนที่กำลังประคองให้เขานั่งด้วย


   “ นายเป็นใคร”


   “ เอ่อ ผมเป็นรุ่นน้องของพี่ปาร์คครับ คือพี่เฟิร์สที่เป็นเพื่อนของพี่ปาร์คเขาให้ผมมาดูแลพี่ปาร์คน่ะครับแต่”


   “ นายมองเห็นปาร์คเหรอ” ลุงเกรียงไกรถามออกไป


   “ ครับ” กิตติมองสลับระหว่างลุงเกรียงไกรกับปณิธานสลับไปมา “ แต่ผมไม่รู้ว่าพี่ปาร์คเอ่อ เสียไปแล้วน่ะครับ เพิ่งรู้ไม่นานมานี้นี่เอง”


   “ นายเป็นคนมีสัมผัสพิเศษเหรอ แต่ทำไมฉันมองไม่เห็นล่ะ”


   “ บอกลุงไปว่าฉันเป็นยมทูติ ลุงมองไม่เห็นฉันหรอก” ปณิธานพูด


   “ ยมทูติ” กิตติร้องออกมาอย่างตกใจ


   “ ว่าไงนะ” ลุงเกรียงไกรหันมาทางกิตติที่กำลังหน้าตาตื่น


   “ พี่ปาร์คบอกว่าเขาเป็นยมทูติครับ” กิตติไม่อยากเชื่อที่ตัวเองพูดเท่าไหร่แต่เหตุการณ์เมื่อสักครู่ตอบเขาได้ดีว่าทำไมเขาควรเชื่อ “ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นผมที่มองเห็น”


   “ ฉันรู้” ลุงเกรียงไกรพูดก่อนจะดึงเอาสร้อยคอของกิตติที่ห้อยอยู่ที่คออกมา สร้อยคอที่เป็นจี้รูปหัวใจทรงรี มันสามารถเปิดปิดได้หรือเรียกอีกอย่างว่าล็อกเก็ต “ ไปได้มาจากไหน”


   “ แม่ผมให้ไว้ก่อนที่จะเสียครับ”


   “ นภา”


   “ แม่” ปณิธานร้องเสียงหลง


   “ ลุงรู้จักแม่ผมเหรอครับ”


   “ อืม เป็นน้องสะใภ้ฉันเอง” ลุงเกรียงไกรยืนสร้อยคอกลับคืนไป “ แล้วนภาไปไหนแล้ว”


   “ แม่ผมเสียแล้วครับ คือแม่บอกว่าตอนที่แม่ทะเลาะกับพ่อครั้งสุดท้ายแม่ทิ้งพี่ชายของผมไว้กับพ่อ แล้วหนีออกมาแม่เองก็ไม่รู้ว่ามีผมอยู่ในท้อง ตอนนั้นแม่ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเลยกลับไปที่บ้านยาย ไม่นานแม่ก็มาป่วยอีก ตอนที่แม่ป่วยหนักๆแม่เอาแต่เพ้อถึงพี่ และวันนั้นแม่กลัวว่าผมจะอยู่คนเดียวไม่ได้เลยเอายาฆ่าแมลงใส่ลงนมให้ผม โชคดีที่ยายของผมกลับมาจากตลาดเสียก่อนผมเลยรอดมาได้แต่แม่เสียแล้วครับ พอผมฟื้นผมอยู่กับยายจนเก้าขวบยายของผมก็เสียหลังจากนั้นก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด ผมตั้งใจว่าจะตามหาพี่ชายให้เจอแล้วจะได้เอากระดูกแม่ไปลอยอังคารด้วยกันครับ แต่เมื่อกี้นี้ผมได้ยินพี่ปาร์คเรียก”


   “ ใช่ นภาคือแม่ของปาร์ค และปาร์คก็เป็นพี่ของเอ็ง”


น้ำตาของกิตติไหลออกอาบทั้งสองแก้ม ความหวังที่เขาจะได้มีญาติพี่น้องกับเขาสักคนพังครืนลงไปทันตาเห็น เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้มาเจอพี่ชายตัวเองในสภาพแบบนี้


   “ ขอโทษนะ กูคงเอ่อ พี่คงเอากระดูกแม่ไปลอยอังคารด้วยไม่ได้แล้ว”
กิตติโผกอดปณิธานทันที เขาร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร น้ำตานี้เป็นน้ำตาแรกที่ไหลออกจากตาของเขาหลังจากงานศพของยาย เขาไม่เคยร้องไห้อีกเพราะน้ำตาเป็นสัญลักษณ์ของคนอ่อนแอแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถกลั้นมันไว้ได้อีกต่อไปแล้ว


   “ ผมมาช้าไป ผมไม่เหลือใครแล้ว ผม ฮึก”


   “ จะไม่เหลือใครได้ยังไง ข้าก็เป็นลุงของเอ็งเหมือนกันนะอย่าลืมสิ” ลุงเกรียงไกรลุงขึ้นมากอดกิตติเขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าในอ้อมกอดของเขานั้นมีหลานชายอีกคนอยู่ด้วย “ เอาล่ะเดี๋ยวลุงไปอาบน้ำก่อนเลอะไปหมดแล้ว ดูซิมีแต่เลือด” เขาพูดติดตลกก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องน้ำ


   “ ลำบากมากหรือเปล่า” ปณิธานถามน้องชายตัวเอง เพราะเขาเองก็จำได้ดีว่ากว่าจะปรับตัวกับการที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่นั้นมันทรมานแค่ไหน


   “ สบายดีครับ ว่าแต่พี่เถอะทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ พี่เฟิร์สเป็นห่วงพี่มากเลยนะ เขาขอร้องให้ผมนำมาก่อน โชคดีนะที่ผมมาทำธุระกับเพื่อนที่แม่ริมพอดีเลยมาได้ทันเวลา”


   “ พี่ถามเรื่องแกอยู่อย่าพูดถึงคนอื่น”


   “ ครับ”


   “ หลังจากนี้ดูแลลุงแทนพี่ด้วยนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าอยู่ห่างจากลุงแล้วก็ลาออกจากร้านนั่นซะ” กิตติทำท่าจะท้วงแต่พี่ชายของเขายื่นคำขาดย้ำอีกครั้งเสียก่อน “ เข้าใจหรือเปล่า”


   “ ครับ”


   “ เจ้านาย ท่านเฟิร์สมา” เสียงบลูทักพร้อมกับแสงสีฟ้าปรากฏเป็นวงกว้างตรงหน้า




ปณิธานคว้าน้องชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเข้ามาประกบริมฝีปากก่อนจะสอดแทรกลิ้นเข้าไปในริมฝีปากคนตรงหน้า ทันทีที่แสงสีฟ้าดับลง คนที่มาเห็นภาพสองคนตรงหน้ากำหมัดแน่น แววตาสีฟ้าค่อยๆถูกสีดำกลืนกินรวมทั้งรอยสีดำที่คอของเขากำลังประทุขึ้นเรื่อยๆเพราะมันกำลังตอบสนองความโกรธของร่างกาย











สาธุๆๆๆๆๆ ตอนแรกเครียดมาก ทำไมวิวไม่ขึ้น จนตอนนี้ มาคิดว่า ตอนที่เริ่มเขียนเรื่องแรกๆที่แบบ เราเขียนให้เพื่อนอ่านคนเดียวแล้วพอลงเรื่องพีคๆวิวสูงๆมันสนุกกับการเขียนมาก พอตอนนี้มันเริ่มนอยที่วิวไม่ขึ้น แต่โครโชคดี ที่มีคนอ่านและคอยให้กำลังใจตลอด ขอบคุณทุกคนที่ตามเม้นนะ มันคือกำลังใจในการไปต่อในการเขียนของเรามาก


สุขสันต์วันสงกรานต์ มาสาดนิยายให้ก่อนจร้าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 11.4.19 บทที่ 12 BROKEN
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-04-2019 18:18:54
 :katai2-1:
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 11.4.19 บทที่ 12 BROKEN
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-04-2019 22:53:39
จะให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดหรอ ถึงได้ถ่ายทอดน้ำลายยายสายให้กับน้องชายน่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 11.4.19 บทที่ 12 BROKEN
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 17-04-2019 05:46:11
:katai2-1:
 :3123:
 :pig4:

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 11.4.19 บทที่ 12 BROKEN
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 17-04-2019 05:46:51
จะให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดหรอ ถึงได้ถ่ายทอดน้ำลายยายสายให้กับน้องชายน่ะ  :hao4:


555 น้ำลายยายสาย เอาซะเห็นภาพเลย
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 20.4.19 บทที่ 13 FIND
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 20-04-2019 02:00:56

13


FIND


บรรยากาศภายในห้องเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของยมทูติหนุ่มที่ยืนมองราวกับว่าอยากฉีกน้องชายที่เคยไว้ใจตรงหน้าออกให้สะบั้น แววตาของเขาร้อนผ่าว มือของเขากำหมัดแน่น กรามขบกันจนปูดอย่างเห็นได้ชัด


คนที่นั่งอยู่บนเตียงมองกลับอย่างไม่ละสายตา แววตานั้นเต็มไปด้วยความเปี่ยมล้นที่อยากจะเอาชนะ แววตานั้นกำลังมองเยาะเย้ยในสิ่งที่ตัวเขาทำนั้นชนะแล้ว โดยไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ เขาส่งยิ้มไปให้พร้อมกับจับที่ใบหน้าของน้องชายตัวเองมาประจันหน้าอีกครั้งแล้วค่อยๆดึงใบหน้านั้นกลับเข้ามาอีกครั้งแต่มือหน้าของคนที่ยืนอยู่ห่างเมื่อครู่จับมันและบีบมันแน่นจนเป็นรอย อีกมือของปิติภัทรผลักร่างของกิตติลอยไปกระแทกกับกำแพงดังลั่นไปทั่งห้อง กรอบรูปวิวภูเขาที่แขวนอยู่ร่วงลงมาแตกกระจายเต็มไปทั่วพื้น เศษกระจกนั้นบาดมือของกิตติจนเลือดไหลออกมา หัวที่กระแทกกำแพงก็ค่อยๆมีเลือดซึมออกมาเช่นกัน ปิติภัทรผลักปณิธานร่วงลงบนเตียงก่อนจะพุ่งตัวไปหาคนที่กำลังพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
มือหนาคว้าที่คอของกิตติแล้วยกตัว ขาของเขาลอยไม่ติดพื้นและเหยียดตรง ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนสี จากสีขาวค่อยๆซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ปณิธานพุ่งมาจากเตียงแล้วผลักปิติภัทรจนไถลไปกับพื้รที่มีเศษกระจกแตกกระจายอยู่ รอยที่คอของเขาแดงขึ้นเรื่อยๆ


   “ ช่วยหยุดเจ้านายที” เสียงของเรย์ร้องมาจากด้านหลัง เสียงของเขาเหมือนกับว่ากำลังจะร้องไห้ “ ช่วยหยุดเจ้านายที เจ้านายคุมตัวเองไม่ได้แล้ว” เรย์พูดพร้อมกับประกายไฟที่กำลังเผาไหม้ตัวเองอยู่


   “ มันเกิดอะไรขึ้น” ลุงเกรียงไกรที่ออกมาจากห้องน้ำทักก่อนจะเข้ามาประคองร่างของกิตติขึ้นจากพื้น


   “ เจ้านาย คู่หูของเจ้านายกำลังโดนยมทูติมืดครอบงำ” เสียงของบลูท้วงขึ้น


   “ ปา ปาร์ค” เสียงแหบแห้งของคนที่นอนอยู่บนกองเลือดตัวเองเอ่ยพร้อมทั้งพยายามยกแขนเรียกคนรักให้เข้าไปหา “ ปาร์ค

เฟิร์สขอโทษ”


   “ พี่ปาร์ค เข้าไปดูพี่เฟิร์สหน่อยเถอะครับ” เสียงของกิตติที่ลุงเกรียงไกรประคองอยู่เอ่ยขึ้น “ นะครับ พี่เขาเป็นห่วงพี่มาก
จริงๆนะครับ”


   “ โธ่โว้ย” เขาเดินดุ่มๆเข้าไปใกล้ตัวของคู่หู


“ อย่าแตะตัวนะครับเจ้านาย” บลูร้องตะโกนท้วงมา แต่คงช้าไปเพราะมือของปณิธานดึงตัวของปิติภัทรที่นอนอยู่บนพื้นมาวางบนตัวเองแล้ว


รัศมีไอดำเคลื่อนตัวจากปิติภัทรเข้าสู่ตามตัวของปณิธานอย่างรวดเร็ว อาการของคนที่นอนซมกลับมาเป็นปกติ แต่ว่าแขนของปณิธานนั้นมีไอดำเคลื่อนตัวไปมา แล้วไปกองรวมกันเป็นสัญลักษณ์ของยมทูติสีดำ ที่แผ่นหลัง


ปิติภัทรที่ตั้งสติได้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะจับปณิธานฉีกเสื้อออก แต่ปรากฏว่ารอยนั้นได้ทำการฝังตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงว่ามันจะจางเหมือนกับรอยสักที่ยังลงสีไม่เสร็จแต่มันก็มองได้ออกว่า เขาไม่สามารถทำงานให้ยมทูติสีดำได้แล้ว


   “ โอเคหรือเปล่า” ปิติภัทรถามคนรัก “ ตอบอะไรเฟิร์สหน่อยสิ”


   “ อืม กูก็ปกติดี มึงนั่นแหละโอเคขึ้นหรือยัง” คนที่นอนอยู่บนพื้นถามกลับ


   “ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย บอกลุงหน่อยได้หรือเปล่า” ลุงเกรียงไกรที่กำลังจ้องมองพื้นที่ตรงหน้าที่ว่างเปล่า


ร่างของปฎิภัทรค่อยๆปรากฏตัวขึ้นในมิติของโลกมนุษย์ ลุงเกรียงไกรจำภาพครั้งก่อนได้ดี แต่เขาไม่คิดว่าจะมาเห็นอีกครั้ง ในวันนี้ เขาตรงไปหาเพื่อนของหลานชายในทันที


   “ ปาร์คเป็นไงบ้าง” เขาถามออกมาอย่างรวดเร็วเพราะสภาพของคนตรงหน้าตอนนี้โทรมเหมือนผ่านการสู้รบมา เลือดที่ไหลออกที่มุมปากและจมูกทำเอาคนที่มองไม่เห็นหลานชายเริ่มใจคอไม่ดี



   “ ปาร์คสบายดีครับ” เขาฝืนยิ้มออกไปก่อนจะหันไปมองคู่หูตัวเองที่กำลังมองดูรอยที่เกิดใหม่


   “ แต่นาย มีเรื่องต้องเคลียกับฉัน” เขาชี้ไปยังกิตติที่นั่งอยู่บนเตียง


   “ จะเคลียอะไรกับหลานฉัน ไม่เห็นหรือไงว่ามันบาดเจ็บอยู่ มีอะไรก็คุยกันตรงนี้ หรือว่ามันเป็นเรื่องอะไรที่ฉันรู้ไม่ได้” ลุง
เกรียงไกรมายืนบังหลานชายคนเล็กของตัวเองไว้


   “ เมื่อกี้ลุงว่ายังไงนะครับ” เขาถามออกไปด้วยความตะกุกตะกัก


   “ ใช่ หลานของฉัน” ลุงเกรียงไกรยืนยันเสียงแข็ง “ โก้เป็นน้องชายแท้ๆของปาร์ค”


คำพูดของลุงเกรียงไกรทำให้ปิติภัทรหันไปมองปณิธานที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ตาของเขาเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินตัดขาดจากทางโลก


   “ นี่มันเรื่องอะไรกัน”


   “ เรื่องของคนรักกันครับ” โก้ตอบลุงเกรียงไกรก่อนจะพาลุงของตนเดินออกห้องไป


ภายในห้องตอนนี้ทิ้งไว้เพียงห้องว่างเปล่าแลเศษซากของความรุนแรงที่เกิดไปไม่นานมานี้แต่สำหรับอีกโลกหนึ่งแล้ว มีผู้ชายสอง
คนที่กำลังยืนจ้องมองกันโดยไม่พูดอะไร


   “ ทำแบบนี้ทำไม” ปิติภัทรถามออกไป สายตานั้นยังคงจ้องไปที่คนรักของตนอย่างเอาจริงเอาจัง “ ทำไมไม่ตอบเฟิร์สล่ะ ตอ
บดิวะ”


   “ เออ มึงมันเหี้ยไง มึงหลอกใช้กู มึงทำทุกอย่างให้แม่มึงมีชีวิต จริงๆแล้วมึงก็เป็นพวกเดียวกับไอ้พวกเหี้ยพวกนั้นใช่ไหมล่ะ ลุงกูกับเพื่อนๆของลุงกูมึงก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะช่วยตั้งแต่แรกใช่ไหมล่ะ กี่คนแล้ว กี่คนแล้วที่ต้องตายเพื่อรักษาชีวิตแม่มึง แม่มึงที่ตายไปแล้ว ฮะ มึงตอบกูสิ” ดวงตาของปณิธานจ้องกลับอย่างไม่ลดละ แต่ในแววตานั้นกำลังปล่อยน้ำตาที่คลอเอ่อออกมาอย่างไม่ขาดสาย “ มึงมันเหี้ย” เขาทุบอกคนตรงหน้าเรื่อยๆ คนตรงหน้าได้แต่นิ่ง “ แล้วเหลืออีกสองคน มึงจะเอาชีวิตใครก่อนดีล่ะ แต่กูบอกเลยนะว่า กูจะเป็นคนขัดขวางทุกอย่างเอง”


   “ ไม่ต้องหรอก”  คนที่โดนทุบเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่อาบทั้งสองแก้ม “ เฟิร์สจะจบเรื่องนี้เอง” เอาดึงมือของปณิธานมาไว้แล้วทาบลงที่กลางอก “ แต่เฟิร์สอยากจะบอกปาร์คไว้นะว่า เฟิร์สไม่เคยหลอกใช้ปาร์ค เฟิร์สไม่เคยโกหกปาร์ค ทั้งเรื่องที่เฟิร์สรักปาร์ค เฟิร์สโกหกปาร์คเรื่องเดียวคือเรื่องแม่และยมทูติสีดำ เชื่อเฟิร์สเถอะนะ”


   “ กู ไม่ ไว้ ใจมึง”


   “ ทะ…”


   “ กูยังพูดไม่จบ” เขาพยายามกลั้นยิ้ม “ แต่กูจะทำตามความรู้สึกสักครั้ง”


   “ ขอบคุณนะ ขอบคุณนะครับ” ปิติภัทรดึงคนที่อยู่ตรงหน้ามากอดอย่างอบอุ่น สัมผัสที่เขาอยากได้คืนกลับมา มันกลับมาอยู่ที่เขาแล้วถึงแม้ว่ามันจะมีปัญหาบ้างก็ตาม แต่เขาจะพยายามจบเรื่องแบบนี้ให้เร็วที่สุด เขาจะไม่ยอมให้เรื่องผิดธรรมชาติเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว และเรื่องนี้ควรหยุดลงเสียที


ทั้งสองประคองกันเละกันขึ้นมาจากพื้น ปณิธานดึงแขนเสื้อของคนตรงหน้าขึ้น รอยสัญลักษณ์ของดาวหกแฉกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เส้นเลือดสีดำเส้นเล็กๆปรากฏลากไปเป็นรอยยาว ความกังวลฉายบนใบหน้าอย่างชัดเจน เพราะเวลาน่าจะใกล้หมดเต็มที


   “ เฟิร์สไม่เป็นไรหรอก เรามาจบเรื่องนี้กันนะครับ” เขาดึงคนตรงหน้าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด สายตาของเขาก็ไปพบเข้ากับบางอย่างที่บริเวณลำคอของคนรัก มันคือร่องรอยของยมทูติสีดำ เหมือนกับเขาที่เคยได้มันมาในตอนแรก “ สัญญากับเฟิร์สได้ไหมว่าหลังจากนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเฟิร์ส ปาร์คจะทำตามที่เฟิร์สบอกอย่างไม่ลังเลแม้ว่า”


   “ ไม่ต้องพูดตอนนี้หรอก ไม่ต้องพูด”


ทั้งคู่ต่างเงียบทุกอย่างลงปล่อยให้ความรู้สึกต่างๆผ่านอ้อมกอดนั้น ความรักและความไว้ใจมักจะมาคู่กันเสมอ แต่บางครั้งความรักมักจะชนะทุกอย่าง แม้ในใจของปณิธานเองยังมีข้อกังขาหลายข้อในตัวของคนรัก แต่เขาเลือกที่จะเก็บมันไว้ในส่วนลึกที่สุดเพราะความรักมันมากกว่าที่จะไม่เชื่อใจแล้ว


เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอสมควร ปิติภัทรเดินออกจากห้องมายังห้องรับแขกด้านล่างซึ่งกิตติและลุงเกรียงไกรกำลังนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้สถานการณ์ในตอนนี้จะแย่ กิตติก็ยังคงสร้างเสียงหัวเราะได้เสมอ


   “ เราต้องไปตามหาคนที่เหลือครับ” ปิติภัทรตัดสินใจพูดแทรกเสียงหัวเราะนั้นออกไป “ มีทางเดียวที่เรื่องนี้จะจบ เราต้องตามหาคนที่เหลือมาอยู่ใกล้ๆตัวเราเข้าไว้ และเราต้องหาร่างที่หายไปของฟ้าลดาให้เจอครับ ผมหวังว่ามันจะทันนะครับเพราะตอนนี้ผมว่ามันน่าจะต้องการทำอะไรสักอย่าง เพราะในฝันของผมผมเห็นหลุมศพทั้งหมดหกหลุม ตายไปสามเหลืออีกสาม มีใครบ้างครับที่รู้เรื่องนี้อีก เพราะหกศพนั่นจะเท่ากับจำนวนแฉกของสัญลักษณ์ของยมทูติสีดำ มันกำลังทำพิธีสืบอำนาจใหม่ครับ”


   “ ไม่มีแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ไอ้ดุ้ก แล้วก็” ลุงเกรียงไกรพูดไม่ออกเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่แต่เขาก็เค้นมันออกมาจนได้ “ ฉันเอง”


   “ ผมจะไม่ยอมให้ลุงเป็นอะไรครับ” กิตติพูดด้วยหน้าตาจริงจัง


   “ นายกลับไปเถอะ นายไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”


   “ จะไม่เกี่ยวได้ยังไงเพราะคนที่จะตายเป็นคนต่อไปก็คือลุงของผม ผมเสียพ่อ แม่ พี่ชายของผมไปแล้ว ผมไม่เหลือใครแล้วพี่จะให้ผมอยู่เฉยๆรอเห็นใครสักคนจากไปอีกเหรอ มันเหนื่อยนะเว้ยที่จะต้องทนผ่านเรื่องพวกนี้ไป ผมเบื่อ ผมอยากสู้เพื่อคนที่ผมรักบ้าง” ดวงตาของเขาแดงฉานกราบที่ถูกกัดเพื่อกลั้นความรู้สึกเอาไว้ปรากฏอย่างชัดเจน


   “ ลุงจะไม่เป็นไร เชื่อที่เฟิร์สบอกเถอะ” ลุงเกรียงไกรเอื้อมมือมากุมมือหลานชายตัวเอง


   “ เดี๋ยวพี่จะดูแลลุงเองนะ”


   “ ไม่ครับผมตัดสินใจแล้ว” เขายังคงดื้อดึง


   “ เออ ได้ ตามนี้” ปิติภัทรตัดสินใจแทนทุกคน ทุกสายตามองมาที่เขาอย่างตกใจ ปณิธานทำท่าจะท้วงแต่ปิติภัทรพูดขัดก่อน “ สิ่งที่นายต้องทำคือ อยู่ใกล้คุณลุงกับเพื่อนให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าอะไรแปลกๆเกิดขึ้นให้เรียกฉันทันที”


   “ ครับ”


   “ ส่วนลุงรอผมอยู่ที่นี่นะครับ เดี๋ยวผมจะไปตามหาเพื่อนของลุงอีกคนเอง”


   “ ไปด้วยกันหมดนี่แหละจะได้ไม่ต้องมัวแต่ห่วงกันไปห่วงกันมา” ลุงเกรียงไกรยื่นคำขาด


รถกระบะโฟวิลสี่ประตูสีดำถูกขับออกไปจากไร่เกรียงไกรอย่างรวดเร็วโดยที่ท้องฟ้าที่เป็นลักษณะคล้ายๆกลุ่มเมฆสีดำได้เริ่มแผ่กระจายตามรถคันนั้นเช่นกัน


บนรถทุกคนต่างนิ่งเงียบไร้การพูดจา ลุงเกรียงไกรเองก็วุ่นอยู่กับการติดต่อเพื่อนสนิทที่ยังคงติดต่อไม่ได้และขาดการติดต่อ กิตติมองออกไปนอกรถอย่างเหม่อลอย ตอนนี้เขากลัวไปหมดกลัวว่าจะสูญเสียทุกอย่าง ทั้งครอบครัวและชีวิตของตัวเอง ตัวปณิธานเองก็นั่งอยู่ข้างๆลุงของเขาไม่ยอมห่างไปไหน


ท้องฟ้าที่เคยสลัวตอนนี้กลัวมืดลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หนทางด้านหน้ามืดแบบไร้แสงนำทาง ไฟตามถนนที่ควรจะสว่างก็เหมือนขัดข้องมันติดๆดับๆยิ่งสร้างความไม่สบายใจให้กับคนร่วมทาง ยิ่งเส้นทางจากอำเภอฝางเข้าตัวเมืองไม่ใช่หน้าเทศกาลรถลาที่สวนมาก็จะนานๆครั้ง ทำให้รถของพวกเขาในตอนนี้คือรถเพียงคันเดียวที่แล่นอยู่บนถนน


ปิติภัทรเองก็พยายามที่จะควบคุมสติให้มากที่สุด เพราะยิ่งเงามืดที่ปกคลุมตอนนี้มืดสนิทเท่าไหร่ แผลที่ลำคอและสัญลักษณ์ที่บริเวณข้อมือก็ร้อนเหมือนมีใครเอาเหล็กร้อนๆมาวางทาบทุกที ดวงตาของเขาอยากจะเปลี่ยนสีเป็นพลังด้านมืดให้รู้แล้วรู้รอด มือของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อที่ชุ่มแม้ว่าในรถจะมีแอร์เปิดอยู่ตลอดเวลา หัวใจของเขาเต้นเร็วแรงราวกับจังหวะกลองชุด


   “ พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” กิตติที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับถามขึ้นหลังจากหันกลับมาจากนอกตัวรถ


   “ เปล่า”


   “ แต่พี่เหงื่อออกเต็มไปหมดเลยนะครับ”


   “ ร้อนมั้ง”


   “ ไหวแน่นะ” เสียงคนที่อยู่เบาะด้านหลังถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ ถ้ามึงไม่ไหวให้โก้มันลงไปขับแทนก่อนก็ได้นะ”


   “ ไหวครับ” เขาตอบพร้อมกับส่งยิ้มผ่านกระจกไป ทั้งๆที่ภายในตัวของเขาร้อนไปหมด “ ขอเร่งแอร์หน่อยนะครับ” เขาบิดแอร์ไปจนสุดพร้อมกับเหยียบคันเร่งไปจนสุดแรงเหมือนกัน


ไม่นานจากรอบข้างมีแต่ป่าสีเขียวตอนนี้กลับเข้ามาเป็นเขตเมืองแม้ว่ามันมืดเหมือนกับว่าท้องฟ้าปิดแต่ก็มีไฟรถที่ช่วยส่องสว่างได้พอสมควร แต่ข้อเสียคือ พวกเขาไม่สามารถขยับรถไปไหนได้เลยเพราะรถติดเหลือเกิน


   “ ทำไมมึงเพิ่งรับสาย” เสียงที่เงียบไปตลอดทางโพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ มึงอยู่ไหน” ทุกคนหันมาให้ความสนใจกับคนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่เป็นสายตาเดียว “ จอดรอตรงนั้นแหละ หาที่ที่คนเยอะๆเดี๋ยวไปหา”


   “ อยู่ที่ไหนครับ”


   “ เส้นเชียงใหม่ลำพูน เราต้องกลับรถไป”

รถคันสีขาวที่เพิ่งวางสายไปจากเพื่อนเปิดไฟเลี้ยวเพื่อที่จะกลับไปยังปั้มน้ำมันที่เขาเพิ่งผ่านมาเพราะตรงนั้นน่าจะมีคนเยอะและปลอดภัยอย่างที่มีคนเตือนเขามา


ท้องฟ้าที่เคยสว่างกลับมืดลงอย่างกะทันหันที่ที่อยู่ในรถเริ่มมองรอบตัวอย่างหวาดระแวงก่อนจะขับรถเดินหน้าไปยังจุดหมายของตนที่ตั้งใจจะไปเข้าไว้ เขามองตรงไปด้านหน้าแม้ว่าหางตาของเขาจะเห็นบางอย่างอยู่ข้างทางตลอด


หญิงสาวในชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอที่มีเลือดไหลลงมาที่ขาโบกมือเรียกเขาอยู่ข้างทาง เขาจำได้ดีว่าเธอคนนั้นเป็นใคร ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเสี้ยวนาทีก็ตาม เธอคือฟ้าลดา


เขาขับรถตรงมาจะกระทั่งเห็นป้ายสีฟ้าที่เป็นตราสัญลักษณ์ของปั้มน้ำมันปรากฏขึ้น ดนัยเปิดไฟเลี้ยวเพื่อให้สัญญาณและดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเป็นใจเมื่อ สัญญาณไฟจราจรตรงหน้าขึ้นเป็นไฟสีแดง เขาจึงเบรกรถอย่างกะทันหัน


แปร้นนน เสียงแตรรถจากด้านหลังดังขึ้นคนที่อยู่ในรถดวงตาเบิกโพลงเมื่อรถสิบล้อที่บรรทุกท่อเหล็กเบรคอย่างรวดเร็วสายเคเบิลที่มัดติดไว้ขาดสะบั้นเหมือนมีอะไรมาตัดให้ขาด ท่อเหล็กขนาดใหญ่เทลงมาทางหน้าหน้าตามแรงโน้มถ่วงทะลุกระจกรถของดนัยเข้ามา ชายวัยกลางคนถูกเหล็กที่แทงทะลุเบาะตรึงติดกับร่างกาย แต่ในความโชคร้ายเขาโชคดีตรงที่เขาก้มหัวลงในจังหวะที่แท่งเหล็กแทงทะลุเบาะบริเวณที่หัวของเขาเคยอยู่มาได้


เสียงผู้คนรอบตัวโหวกเหวกโวยวาย ตามถนนมีคนมาเริ่มมุงดูพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พยายามควบคุมสถานการณ์ คนที่นั่งอยู่ในรถนั่งน้ำตาไหลออกมา เพราะรู้ดีว่านี่คงเป็นคราวของเขาแล้ว ความเจ็บปวดบริเวณหัวไหล่ที่ถูกตรึงค่อยๆจางหายไปเพราะมันเจ็บจนเริ่มชา เขาหันหัวที่ยังคงขยับได้ไปมองเหล็กที่แทงทะลุเบาะออกมาอย่างหวาดระแวง


   “ เป็นไงบ้างคะ กับการที่ขยับตัวไม่ได้ จะไปไหนก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่ได้” เสียงของใครบางคนดังมาจากเบาะด้านข้าง
หญิงสาวในชุดนักศึกษาที่คุ้นตาฉายยิ้มอันหน้าสะอิดสะเอียนมาให้ พร้อมกับรอยน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายเลือด กลิ่นคาวเริ่มคละคลุ้งไปทั่วเมื่อบริเวณระหว่างขาของเธอมีเลือดไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย
   


“ จับมันแน่นๆสิวะ” เสียงของชายหนุ่มรุ่นพี่ตะโกนขึ้นตอนที่ตนรับไม้ต่อจากรุ่นน้อง ใบหน้าของเขาไร้ความปราณี แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะขอร้องทั้งน้ำตาเท่าไหร่ก็ตาม


   “ พี่พอเหอะ มันเลือดไปหมดแล้วเนี่ย” คนที่กดไหล่หญิงสาวเอ่ยขึ้น


   “ มึงกดๆไปเหอะ ตอนกูกดกูยังไม่บ่นเลย กูเอานานไปหน่อยแค่เนี้ยทำเป็นบ่น” เขาตะวาดอย่างหัวเสียก่อนจะหันมาสนใจบทเพลงสวาทที่กำลังทำอยู่ เสียงหวีดร้องของคนตรงหน้าสร้างความพึงพอใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก ความรู้สึกเกลียดชังหญิงสาวตรงหน้าที่มาเป็นแฟนของคนที่เขาแอบรักมันทวีความรุนแรงขึ้น ทุกขณะมันควรต้องจบแบบนี้ คนที่เขารักไม่ควรยุ่งกับมันแบบนี้ ดนัยมองหญิงสาวที่หลับตาร้องไห้ตรงหน้าอย่างสมเพชเขาไม่เคยถูกแย่งของรักเพราะฉะนั้นคนที่แย่งของของเขาต้องได้รับบทเรียน


   “ กูว่าพอเหอะ มันจะตายแล้วเนี่ย เลือดมันไหลด้วย” วิชัยมองไปตรงเตียงสีขาวที่เต็มไปด้วยคราบเลือด


   “ มึงจะมาคนดีอะไรตอนนี้วะ จำที่เราคุยกันไม่ได้หรือไง มึงจะได้ขึ้นมาเป็นที่หนึ่งไง”


   “ ผมไม่เอาแล้วนะพี่” คนที่นั่งทำหน้าเหมือนจะอาเจียนรีบพุ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว


   “ ไอ้ไก่อ่อนเอ้ย” ดนัยส่ายหัวให้กับรุ่นน้องที่วิ่งออกไปก่อนจะหันกลับมาสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาดึงของของตัวเองออกมาแล้วดึงแผ่นยางใสๆออกก่อนจะทำในสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด


   “ มึงทำเหี้ยไรเนี่ย” คนที่กดไหล่อยู่ผงะกับการกระทำตรงหน้า “ มึงจะบ้าไปแล้วเหรอวะ เราคุยกันแล้วไงถ้าเรื่องมันเลยเถิดจะทำยังไง”


   “ หุบปาก แล้วเตรียมกลับ” เขาจัดการใส่กางเกงแล้วเดินออกจากห้องปล่อยให้หญิงสาวที่นอนหมดแรงอยู่บนเตียงอย่างไม่ใยดี สภาพตอนนั้นเธอไม่ต่างจากขยะเปียกที่ถูกทิ้งลงในบ่อน้ำเน่า กลิ่นคาวในห้องคละคลุ้งไปหมด ความเจ็บปวดที่ตรงจุดสำคัญเป็นการบอกว่าเธอไม่ใช่แค่ฝันร้ายแต่มันคือเรื่องจริง



“ มึงจำได้ไหมว่ามันเจ็บแค่ไหน”  สิ้นเสียงของฟ้าลดาเหล็กที่อยู่เฉยเมื่อครู่กลับขยับขึ้นมาอีกครั้งมันเคลื่อนตัวมาด้านหน้าทำให้คนที่ถูกตรึงไว้ร้องโอดครวญขึ้นมาอย่างเสียสติ น้ำตาจากแววตาที่เจ็บปวดไหลออกมาเป็นสาย เขาพยายามประคองมือขึ้นมาพนมแล้วหันไปทางหญิงสาวที่นั่งนิ่งแทบจะไม่หันมามองเขาด้วยซ้ำ


   “ ขอโทษ พี่ขอโทษ” ไม่มีแม้แต่การตอบสนองของหญิงสาว


คนที่อยู่ด้านนอกตัวรถได้แต่ตะโกนร้องเรียกให้คนที่อยู่ด้านในมาเปิดประตูให้แต่ดูจะไม่เป็นผลเพราะคนที่อยู่ในรถกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งเสียงโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาก็ตาม


หน้าจอสี่เหลี่ยมแสดงเบอร์ของ เกรียงไกร  ซึ่งมันถูกกดรับสายอัตโนมัติแม้ไม่มีคนไปยุ่งกับมัน คนที่อยู่ปลายสายได้แต่รับฟังเสียงที่เซงแซ่


   “ สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยการทั้งหมดทั้งสิ้น” เขาท่องออกมาทั้งน้ำตา


   “ ท่องทำเหี้ยอะไร” เธอหันมาตะวาด “ คนใจบาปอย่างมึงไม่มีใครช่วยหรอก”
เธอส่งยิ้มให้เบาๆก่อนที่ท่อเหล็กจะแทงทะลุมาจากด้านหลังบริเวณหน้าท้องอีกหนึ่งครั้ง เสียงของดนัยดังก้องไปทั่วแต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าไปช่วยได้เลย






“ ไอ้ดุ้ก ไอ้ดุ้ก มึงได้ยินกูไหม” 







มาแล้วน้าาาาาาาาาา มาหลอนต่อกันเถอะ จะจบแล้วเด้อ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 20.4.19 บทที่ 13 FIND
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-04-2019 23:43:42
และแล้วก็ตามไปอีกหนึ่งแล้ว  :sad3:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 20.4.19 บทที่ 13 FIND
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 25-04-2019 11:14:50
และแล้วก็ตามไปอีกหนึ่งแล้ว  :sad3:


ใครจะเป็นรายต่อไป โปรดติดตามงับ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 3.5.19 บทที่ 14 FAH LADAH
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 03-05-2019 17:19:56

14


FAH LADAH


   อีกฝากฝั่งของถนนรถสีดำเพิ่งมาจอดเทียบข้างทางเมื่อทางข้างหน้ากำลังถูกปิดไปบางส่วน บรรดาเจ้าหน้าที่และไทยมุงกำลังทำหน้าที่ของตัวเอง รถสิบล้อที่บรรทุกเหล็กมาจอดอยู่หลังรถสีขาวโดยมีท่อเหล็กแทงทะลุเชื่อมถึงกันอยู่ เป็นภาพที่ไม่น่ามองเท่าไหร่นัก


คนที่นั่งอยู่ในรถได้แต่ภาวนาว่าอย่าเป็นคนที่เขารู้จักเลย มือหนาพยายามกดติดต่อถึงคนที่นัดหมายเอาไว้ เสียงสัญญาณทำให้เขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่ง


“ สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยการทั้งหมดทั้งสิ้น” เสียงของปลายสายดังตอบกลับมา น้ำตาของลุงเกรียงไกรไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เขามาช้าเกินไปหรือเปล่า


“ ลุงรออยู่ที่นี่นะครับ” พูดจบร่างของเฟิร์สที่นั่งอยู่ที่เบาะคนขับหายวาบไปสู่โลกหลังความตาย คนที่มองเห็นอย่างกิตติได้แต่มองออกไปนอกรถเพื่อรับรู้ความเป็นไปแค่นั้น มืออีกข้างเขาเอื้อมไปจับมือลุงของตนที่ด้านหลังของรถ


“ มันจะต้องสำเร็จครับ”


รอบรถคันสีขาวผู้คนต่างถอยห่างเมื่อตัวรถสิบล้อด้านหลังเริ่มเคลื่อนตัว บรรดาเหล็กแหลมร่วงหล่นบนทำให้เจ้าหน้าที่ที่กำลังมาให้ความช่วยเหลือต้องถอยออกห่างเพราะว่าไม่มีความปลอดภัย เช่นเดียวอีกภพที่มีรัศมีไอดำห้อมล้อมรถเอาไว้กลิ่นคาวปนเหม็นเน่าลอยฟุ้งทั่วไปทั้งบริเวณ


ยิ่งใกล้ไอดำเท่าไหร่รอยที่อยู่ด้านหลังของปิติภัทรยิ่งตอบสนองต่อมันเท่านั้น รอยสีดำค่อยๆปรากฏและเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนรอยไหม้ เหงื่อของชายหนุ่มเต็มไปหมดดวงตาสีน้ำเงินเหมือนถูกกลืนไปด้วยสีดำ ดวงตาสีขาวของเขาตัดสลับสีไปมาเหมือนคนที่กำลังถูกครอบงำกำลังควบคุมมันอยู่จนคนที่อยู่ข้างๆสังเกตได้


   “ มึงไหวหรือเปล่าวะ” ไม่มีการตอบรับ “ ไอ้เฟิร์ส เฟิร์ส”


   “ คะ…ครับ”


   “ มึงไหวหรือเปล่าวะ”


   “ ไหว” เขาเรียกโซ่ที่เป็นอาวุธคู่กายออกมาแต่ทว่า โซ่นั่นควรเป็นสีน้ำเงินแต่ว่า กว่าครึ่งของเส้นนั้นถูกกลืนไปด้วยสีดำ คนที่เรียกได้แต่จ้องมันอย่างตกใจ


   “ มึงอยู่เฉยๆ เดี๋ยวกูเอง”  พูดจบปณิธานก็เหวี่ยงอาวุธของตัวเองไปในรถ ซึ่งแน่นอนมันถูกตวัดกลับด้วยแรงบางอย่าง เสียง
หัวเราะอันแสนคุ้นหูดังไปทั่ว พร้อมกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มราวกับว่าเป็นเวลากลางคืน ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นต่างยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปราวกับว่าตนเป็นนักข่าวมือสมัครเล่นไปเสียแล้ว


   “ ปาร์คไม่ไหวหรอก “


   “ มึงอยู่เฉยๆไป”


เพล้ง ! เสียงกระจกด้านหน้าแตกทำเอาคนที่กำลังยืนเถียงกันต้องหยุดลง ตรงหน้ามีคนที่กำลังถือแท่งเหล็กขนาดใหญ่ในกำมือ


   “ โก้” 


   “ มาช่วยคนข้างในก่อนครับ” เสียงของโก้เป็นเหมือนเสียงเตือนสติทั้งมนุษย์และยมทูติเพราะเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นวิ่งเข้ามาในที่เกิดเหตุใหม่อีกครั้งแต่ดูเหมือนว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด รถบรรทุกเริ่มเคลื่อนตัวทำเอาท่อเหล็กด้านบนหล่นลงมาอีกครั้ง


   “ ออกไปก่อน” ปณิธานร้องบอกน้องชายที่ยังพยายามเปิดประตู


   “ ไม่ อร้ากกก” ร่างของโก้ลอยออกไปจากบริเวณนั้นด้วยแรงผลักของปณิธาน


   “ แค่นี้ก็พอแล้ว” เขาส่งยิ้มไปให้ก่อนจะหันมาสนใจกับสิ่งตรงหน้า


หญิงสาวในเงาสีดำกำลังนั่งยิ้มต้อนรับของเขาราวกับว่ารอเวลานี้อยู่ แต่ในแววตาอีกแววตาหนึ่งที่ปณิธานสัมผัสได้คือแววตาแห่งความเศร้าและความเหนื่อยล้า


   “ เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นะฟ้าลดา ฉันเชื่อว่าลึกๆแล้วเธอไม่อยากทำแบบนี้หรอก อย่าปล่อยให้มันครอบงำเธอเลยนะ”


   “ อีฟ้าคนเก่ามันน่าสมเพช มันอ่อนแอ มันถึงได้ตายอย่างอนาถอย่างนั้นไงล่ะ ดูตอนนี้สิฉันมีอำนาจ จะเล่นกับไอ้พวกสวะนี้ยังไงก็ได้” มือของเธอเกร็งเหมือนพยามยามควบคุมแท่งอะลูมิเนียมตรงหน้าที่แทงทะลุกลางอกของดนัย เสียงร้องนั้นทำให้หญิงสาวยิ่งคลั่ง


   “ พอได้แล้ว เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ” ปณิธานกระโดดไปคว้าร่างของยมทูติสีดำทะลุไปอีกฝั่ง แต่ทว่าเหมือนปณิธานกำลังคว้าอากาศอยู่เพราะร่างของฟ้าลดายังคงนั่งอยู่ที่เดิม เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกรครั้งและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อร่างของฟ้าลดากำลังเพิ่มจำนวนขึ้นทั้งหลังรถบรรทุก หลังรถของดนัย หน้ากระโปงรถ ในมือของเขา


   “ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกไอ้โง่”


เสียงแตรรถจากด้านหน้าที่กำลังพุ่งตรงมายังรถของดนัย ทำให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างหลบหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
ปิติภัทรพยายามใช้โซ่ของคนลดความเร็วของรถเก๋งสีขาวให้ได้มากที่สุด และสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือรถสีดำที่จอดนิ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามขับเข้ามาขวางเอาไว้ รถเก๋งสีขาวเองก็ไม่มีทีท่าที่จะหยุด มันไถลยาวมาจนติดกับรถของดนัย แต่ใครจะไปคิดว่าแรงกระแทกเบาๆทำเอาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดอัตตาการเสียชีวิตอย่างถุงลมนิรภัยพองขึ้นมา คนที่นั่งอยู่ในรถดวงตาเบิกโพลงเมื่อถุงนั้นขยายออกมาด้วยความเร็ว หัวของเขาเสียบทะลุกับท่อนเหล็กที่แทงทะลุเบาะออกมา เสียงกรีดร้องดังไปทั่วบริเวณ เมื่อเจ้าหน้าที่ถ่ายรูปทำแผนเสร็จ ถุงลมที่อยู่ตรงหน้าที่น่าจะรั่วค่อยๆยุบตัวลง ไขมันกึ่งแข็งกึ่งเหลวร่วงหล่น ใบหน้าของดนัยอาบไปด้วยเลือดสีแดง เขาตายสนิทด้วยดวงตาที่เบิกโพลงและใบหน้าที่บิดไม่ได้รูป เจ้าหน้าที่ประคองร่างหนึ่งออกจากรถสีดำที่โชคดีว่าชนแค่

บริเวณท้ายกระบะมาตรงจุดเกิดเหตุ น้ำตาแห่งความกลัวปนความอาลัยไหลออกมาเป็นสาย ลุงเกรียงไกรทรุดลงกับพื้นอย่างห้ามไม่ได้ เขาตัวสั่นเทิ้มมือหนายกขึ้นมาพยายามจับร่างตรงหน้าแต่ว่าเจ้าหน้าที่ห้ามไว้ กิตติที่อยู่ใกล้จึงเข้ามาช่วงพยุงร่างของลุงตัวเองมานั่งพักที่ท้ายรถพยาบาลที่เพิ่งมาถึงไม่นาน
ตรงมุมหนึ่งของอีกโลก หญิงสาวในผ้าคลุมสีดำจ้องเขม็งมายังคนที่กำลังเสียใจอยู่ ก่อนจะค่อยๆยิ้มออกมาอย่างรู้สึกดีแล้วค่อยๆสลายไป



“ ผู้ตายเป็นอะไรกับคุณครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจถามขึ้นหลังจากลุงเกรียงไกรเข้ามานั่งในห้องนี้ได้ไม่นาน บรรยากาศในห้องเงียบและอุดอู้แม้จะมีเครื่องปรับอากาศก็ตาม


   “ เขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของผมตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยครับ”


   “ เหมือนกับคนก่อนหน้านี้สินะครับ ทั้งคุณเมฆา คุณชลชาติ คุณวิชัย ตอนนี้มาคุณดนัย”


   “ …” ไม่มีการตอบโต้


   “ คุณว่ามันบังเอิญเกินไปไหมครับ”


   “ บังเอิญ” ลุงเกรียงไกรทวนคำพูด


   “ ครับ มันบังเอิญตรงที่ทุกคนที่ตายเป็นคนรอบตัวคุณทั้งหมดอีกทั้ง บางคนการตายของเขาคุณก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยซ้ำ”


   “ คนต่อไปอาจเป็นผมก็ได้” ลุงเกรียงไกรตัดสินใจพูดออกไป


   “ คุณหมายความว่ายังไงครับ”


ไม่เว้นแต่คนที่ยืนเฝ้ามองอย่างเป็นห่วงอีกโลกหนึ่ง ซึ่งตกใจไม่แพ้ตำรวจคนนั้นเลย เขาไม่คิดว่าลุงเขาจะคิดแบบนี้ ใบหน้าของคนที่เคยยิ้มแย้มดูย่ำแย่ลงทุกที ในห้องเองก็เช่นกัน
   “ ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี”


   “ คุณเสพยาหรือเปล่าครับ”


   “ ไม่ครับ”


ผ่านไปนานสองนานกับการถามคำถาม แต่ก็ได้เพียงคำตอบเดิมๆบวกกับการไม่มีหลักฐานทำเอาคนสอบสวนถึงกับปวดหัว


   “ ครับ หวังว่าจะไม่เจอกันอีกนะครับ”
การสอบสวนผ่านไปได้ด้วยดีลุงเกรียงไกรพ้นความผิด กิตติมารับที่หน้าห้องสอบสวนซึ่งเขาได้ถูกสอบสวนเสร็จไปแล้วก่อนหน้านี้


   “ อยู่เป็นเพื่อนลุงนะ” ปณิธานบอกน้องชายก่อนจะหายวาบไปพร้อมกับคู่หูของตนเอง




ภายในห้องพักของปิดติภัทร เงียบทันทีที่มาถึง เขาประคองร่างของชายหนุ่มลงบนเตียงก่อนจะดึงเสื้อที่ใส่ออกมา รอยดำที่อยู่บนหลังชัดเจนขึ้นและมันกำลังจะกลืนกินตัวตนของคนตรงหน้า


   “ ถ้าไม่รีบจบเรื่องนี้คู่หูเจ้านายต้องกลายเป็นยมทูติมืดแน่ๆ” บลูที่อยู่ข้างๆเอ่ย


   “ เราจะทำยังไงกันดี”


   “ ทางที่ดีห้ามให้เจ้านายใกล้ยมทูติสีดำอีกน่าจะเป็นทางดีที่สุด” เรย์เอ่ยด้วยน้ำสียงที่ไม่สู้ดีเพราะอาการของเขาเองก็อ่อน

แรงลงทุกที สมุดที่เคยส่องประกายสีน้ำเงินก็เริ่มเปลี่ยนสีไปตามเจ้านายของต้นเอง


   “ ลุงพักเถอะ”


   “ ใช่นายควรได้พักผ่อน” ปณิธานโบกมือในอากาศ สมุดเล่นนั้นหล่นลงมาอยู่ด้านข้างเจ้านายของตัวเอง
ตัวของปิติภัทร มีเหงื่อไหลตลอดเวลา ใบหน้าของชายหนุ่มมีเส้นเลือดสีดำขึ้นลางๆลากยาวมาถึงบริเวณข้อมือที่ปรากฏสัญลักษณ์ของดาวหกแฉกอยู่


น้ำตาเป็นทางออกเดียวที่เขาสามารถระบายออกมาได้ตอนนี้ มันไหลออกมาผ่านแก้มสีซีดของปณิธานหยดแล้วหยดเล่า ยมทูติหนุ่มพยายามที่จะเก็บเสียงให้ได้มากที่สุด มือของเขากุมมือของคนตรงหน้าอย่างไม่ห่าง มันเป็นความรู้สึกเป็นห่วง กลัว และเสียใจปะปนไปหมด


   “ เป็นไรครับ” คนที่นอนอยู่ปรือตามองอีกคนที่กำลังร้องไห้ “ ไม่สมกับเป็นปาร์คเลยนะ”


   “ มึงเป็นอะไร แล้วกูต้องทำยังไง ฮือๆ…” เขาโผเข้าไปกอดร่างที่นอนอยู่บนเตียงอย่างห้ามไม่ได้ เขารู้แล้วว่าตอนนี้นอกจากลุงและน้องของเขาก็มีอีกคนที่เขารักจนสุดหัวใจ


   “ เฟิร์สไม่เป็นอะไรหรอก อย่าร้องไห้นะ”


   “ ไม่เป็นไรได้ยังไง ตอนนี้มึงแทบจะขยับตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำไป”


   “ เฟิร์สแค่นอนเดี๋ยวเดียวก็หายแล้ว ยิ่งรู้ว่าปาร์คเป็นห่วงเฟิร์สขนาดนี้นะรับรองหายเป็นปลิดทิ้ง” เขากระชับอ้อมกอดให้แน่นมากขึ้น “ ดูสิเฟิร์สยังมีแรงกอดปาร์คอยู่เลย มีแรงหอมด้วย” ไม่ว่าเปล่าชายหนุ่มก็เอาปากของตัวเองประทับลงบนปากของฝ่ายตรงข้าม “ ให้ทำอย่างอื่นก็ไหวนะ”



   “ อย่าฝืนเลย” ปณิธายเอ่ยเพราะว่ายิ่งชายหนุ่มฝืนร่างกายตัวเองเท่าไหร่ เลือดก็เริ่มไหลออกตามจมูกของเขาแล้ว “ มึงพักเถอะ กูจะจบเรื่องนี้เอง”



   “ ปาร์คจะไปไหน”


   “ ไปหาฟ้าลดา”
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 3.5.19 บทที่ 14 FAH LADAH
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-05-2019 23:10:02
ฟ้าลดาทำเองจริง ๆ หรอ หรือจะเป็นเหยื่อล่อ  :hao4:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.5.19 บทที่ 14 FAH LADAH 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 07-05-2019 23:32:08
ต่อง้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

สิ้นคำพูดของเขาประตูที่หน้าห้องก็มีคนเคาะขึ้น และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ล็อกเพราะมันค่อยๆบิดและเปิดอ้าออก ชายหนุ่มสองคนที่แสนคุ้นหน้าปรากฏตัวขึ้นที่หน้าห้อง


   “ ไอ้นนท์ จักร”


   “ โก้มันโทรไปหาเราน่ะ แล้วเราก็เห็นข่าวเมื่อตอนเย็นผ่านทีวี แล้วก็แชร์ผ่านโซเชียลเต็มไปหมด เลยคิดว่ามันไม่ปกติเลยกลับมาช่วยน่ะ” รณจักรพูดเพราะเป็นคนเดียวที่เห็นว่ามีปณิธานยืนอยู่


   “ มึงไม่ต้องปฏิเสธนะไอ้ปาร์ค พวกกูกลับมาช่วยมึงเพราะมึงเป็นเพื่อนไม่ใช่เพราะติดหนี้บุญคุณมึง” ชยานนท์พูดอย่างรู้ใจเพื่อนสนิทของตน


   “ ขอบคุณมากนะเว้ย” ปณิธานยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “ อาการไอ้เฟิร์สมันไม่สู้ดีเลยว่ะ “


   “ แล้วมีอะไรให้พวกเราช่วยบ้างล่ะ”


   “ หาร่างของฟ้าลดาให้เจอ”


ปณิธานเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้รณจักรฟังและรณจักรก็เป็นล่ามให้คนรักของตัวเองฟังอีกครั้ง ในห้องเต็มไปด้วยความเงียบเพราะทั้งสามกำลังช่วยกันคิดว่าควรเริ่มจากที่ไหนก่อน


   “ มีอะไรที่ยังไม่เล่าอีกหรือเปล่า”   


   “ คือ” เขาเองก็ไม่กล้าที่จะเล่าเรื่องฟ้าลดา แม่ของปิติภัทรเท่าไหร่นัก


   “ ไปที่บ้านกู” คนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงเอ่ยขึ้น


   “ กูคิดว่ามึงหลับแล้ว” ปณิธานพูดด้วยใบหน้าที่ตกใจ


   “ มันอยู่สักที่ในบ้านกู”


   “ ขอบคุณมาก” ชยานนท์พูดก่อนที่ทุกคนจะวิ่งออกจากห้องไป


ทั้งสามคนได้แผนที่บ้านของปิติภัทรมาจากเจ๊อาโปก่อนจะขับรถตรงดิ่งไปแถวเขตชานเมือง ชยานนท์ที่เป็นคนขับรถขับเลี้ยวเข้าไปในหมู่บ้านโดยใช้ใบผ่านทางของปณิธาน


บ้านของปณิธานตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรเป็นบ้านปูนสองชั้นสีขาวออกไปทางครีมหลังคาสีส้มอิฐเข้ม ส่วนใหญ่หน้าบ้านของทุกหลังจะเป็นสวนและมีที่จอดรถ พวกเขาขับมาจนสุดซอยซึ่งในบริเวณหน้าบ้านหลังนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับหลังอื่นๆคือเป็นสวนขนาดเล็กมีดอกไม้นานาพันธุ์ปลูกประดับเป็นสัดเป็นส่วนรวมถึงพื้นหญ้าที่เขียวขจี เหมือนกับว่าที่นี่เป็นบ้านปกติหากมองในตาของมนุษย์ แต่อีกโลกหนึ่งนั้น ไอดำจากยมทูติสีดำปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งบริเวณ ปณิธานเพ่งมองไปรอบๆ ประตูหน้าบ้านมีคนในเสื้อคลุมสองคนกำลังยืนรออยู่


   “ มีพวกมันสองคนตรงประตู” เขาร้องบอกรณจักร


   “ โอเค นายรออยู่ตรงนี้ก่อนเดี๋ยวเรากับนนท์จะเข้าไปดูด้านในว่ามีอะไรผิดปกติหรือน่าสงสัยหรือเปล่า ยังไงเราจะส่งสัญญาณบอก” รณจักรเดินลงจากรถไปพร้อมกับแฟนของตัวเอง


เขาเดินตรงเพื่อไปกดกริ่งแต่ประตูบ้านก็เปิดออกอัตโนมัติ หญิงวัยกลางคนในชุดพื้นเมือง คือเสื้อสีขาวทำจากผ้าฝ้ายแล้วใส่ซิ่นสีดำ ยืนยิ้มตอนรับอยู่ ในมือของเธอมีแมวสีดำที่กำลังจ้องเขม็งมาทางผู้มาเยือน


   “ สวัสดีครับ” ทั้งสองยกมือไหว้อย่างรวดเร็ว


   “ มาหาใครเหรอจ้ะ ไม่คุ้นหน้าเลย”  เธอส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน


   “ อ่อครับ ผมสองคนเป็นเพื่อนกับเฟิร์สน่ะครับพอดีว่าเฟิร์สให้แวะมารอที่นี่ก่อนเดี๋ยวเขาจะตามเข้ามาครับ” รณจักรพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ลอกแลก


   “ แปลกนะ ปกติแล้วเฟริ์สจะไม่ค่อยนัดใครมาที่บ้าน”


   “ เขาบอกว่าจะให้ผมมาคุยกับคุณแม่เรื่องโปรโมทร้านน่ะครับ พอดีว่าผมทำโปรเจคจบเลยเลือกที่ร้านเพื่อทำการขายน่ะครับ” รณจักรตอบ


   “ เขามาก่อน บ้านรกหน่อยนะป้าอยู่คนเดียว ไอ้ลูกตัวดีนั่นก็ไม่ค่อยกลับป้าเลยไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาดเท่าไหร่ คนแก่ก็อย่างนี้แหละ” เธอพาเดินเข้ามาในตัวบ้าน “ นั่งก่อนสิ” เธอผายมือไปที่เก้าอี้ตัวสีแดงตรงหน้า


   “ ครับ”


   “ เดี๋ยวป้าไปหาน้ำมาให้ก่อนแล้วนี่ทานอะไรกันมาหรือยังล่ะ”


   “ เรียบร้อยแล้วล่ะครับ”


เมื่อฟังผู้มาเยือนจบเจ้าของบ้านก็เดินกลับหายไปในครัว ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มใครจะรู้ว่าร่างนั้นเต็มไปด้วยไอดำที่ลอยอยู่รอบตัว และดวงวิญญาณอีกดวงที่ซ้อนอยู่ในร่างนั้นกำลังทุกทรมาน ชยานนท์กำมือจักรแน่นเพราะตนเองเห็นดวงวิญญาณของแม่ปิติภัทรซ้อนอยู่


   “ มีอะไรหรือเปล่า”


   “ นี่ไม่ใช่แม่ไอ้เฟิร์สแน่ๆ”


   “ นนท์เห็นยมทูติแล้วเหรอ”


   “ เปล่า เราเห็นแม่อยู่ในร่างนั้นแต่ไม่ได้ควบคุมร่างนั้น จริงๆแม่มันคงตายไปนานแล้วสินะที่อยู่ได้คงเป็นเพราะ…”


   “ น้ำมาแล้วจ้ะ” คนที่หายไปเมื่อครู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับวางถาดน้ำลงบนโต๊ะที่ทำจากกระจกตรงหน้า


   “ ขอบคุณครับ”


   “ แม่อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอครับ” รณจักรถาม


   “ เหงานะ แต่ให้ทำไงได้ลูกมันไม่ยอมกลับมาบ้านเท่าไหร่ ดื่มน้ำหน่อยสิ แม่ไม่รู้ชงหวานเกินไปหรือเปล่า” เธอชี้ไปยังน้ำแดงที่เพิ่งถูกยกมาวางเมื่อครู่


คนที่มองเห็นโลกของยมทูติได้นั่งจ้องไปที่น้ำแก้วนั้นอย่างกล้ำกลืนเพราะในน้ำนั่นนอกจากมีน้ำแดงแล้วเหมือนมีเส้นพยาธิหรืออะไรสักอย่างสีดำลอยอยู่


   “ ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เดี๋ยวผมถามเรื่องงานแม่ก่อนดีกว่า” รณจักรปฏิเสธ


   “ ไหนบอกว่าจะรอเฟิร์สก่อนไงล่ะ”


   “ อ่อ ผมเกรงใจคุณแม่น่ะครับ เดี๋ยวผมถามคุณแม่เสร็จเดี๋ยวโทรบอกมันไปเจอข้างนอกก็ได้ครับ”


   “ เธอสองคนต้องการอะไรกันแน่”


   “ เปล่าครับเราแค่อยากจะ”


   “ โกหก” แววตาที่เคยแสนดีเปลี่ยนไปเป็นดุดัน บานหน้าต่างที่เคยเปิดให้แสงสว่างผ่านมาได้ปิดลงอย่างรวดเร็ว ผ้าม่านถูกรูดอัตโนมัติ แสงด้านนอกพลันดับลงวูบลงทำให้ในบ้านมองไม่เห็นอะไรเลย กลิ่นเหม็นสาบลอยเข้ามาเตะจมูกทั้งสองคน ทั้งคู่จับมือกันแน่น รณจักรยกโทรศัพท์ขึ้นมาส่องไปรอบๆ ที่นี่เหมือนบ้านร้างไม่มีคนอยู่ หยากไย่และเก้าอี้วางอย่างไม่เป็นระเบียบ


   “ แกคิดว่าฉันโง่เหรอ” เสียงโหยหวนดังออกมาจากความมืด


พวกเขาติดกับฟ้าลดาเสียแล้วล่ะ

คนที่นั่งรออยู่ในรถเริ่มกระวนกระวายเพราะเขาไม่สามรถมองเข้าไปด้านในได้เลย จู่ๆท้องฟ้าด้านนอกก็มืดลงอย่างกะทันหัน


ปณิธานเริ่มร้อนใจเพราะสองคนนั้นยังคงอยู่ข้างใน


ปัง ปัง ปัง เสียงบานหน้าจากพับปิดเข้ากับตัวบ้านทำให้เขาทนไม่ไหวที่จะทนเก็บตัวเองในรถได้อีกต่อไป ปณิธานโบกมือไปใน

อากาศเรียกสมุดของตัวเองออกมา
   “ พาฉันเข้าไปด้านใน”


สิ้นคำแสงสว่างก็จ้าขึ้นในทันที ขาของปณิธานก้าวออกจากประตูมิติที่บลูพามา เขายืนอยู่ใจกลางห้องโดยด้านหน้าของเขาคือฟ้าลดา ส่วนรณจักรและชยานนท์ล้มลงอยู่ที่พื้นตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผล


   “ เจอกันอีกจนได้นะ” ฟ้าลดาเอ่ย


ที่นี่ช่างคุ้นตาเขาเสียเหลือเกิน ใช่แล้ว มันคือภาพในความฝันของปิติภัทรที่เขาเคยเข้ามาในความฝันนี้ ทั้งเก้าอี้โซฟาแสดงว่าร่าง
ของฟ้าลดายังคงอยู่ไม่ไกล


   “ แกควรหยุดเรื่องนี้ได้แล้ว”


   “ แกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉันฮะไอ้ยมทูติกระจอก”


   “ สองคนนี้ไม่เกี่ยว” เขาชี้ไปยังคนที่กองอยู่บนพื้น


   “ ในเมื่อมันเข้ามาอยู่ในที่ของข้า มันก็เป็นของของข้า”


ไม่พูดเปล่าแสงสีดำพุ่งตรงมาทางพวกเขาจู่ๆก็มีโซ่สีน้ำเงินมาขวางไว้ ร่างของปิติภัทรยืนอ่อนแรงอยู่ด้านหลัง เขาส่งยิ้มมาให้คู่หูตัวเองอย่างฝืนๆ


   “ เรามาจบเรื่องที่เราเริ่มไว้ด้วยกันเถอะ” พูดจบเขาก็พุ่งไปยังฟ้าลดายืนโกรธอยู่ “ ไปตามหาร่างของฟ้าลดาเร็ว” ปิติภัทรตะโกนเรียกสติทุกคนที่กำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น



   “ กูจะช่วยมึง” ปณิธานว่าแต่ถูกพลังงานจากตัวของปิติภัทรดีดออกมา


   “ ไม่ต้อง ไม่หาร่างฟ้าลดาให้เจอแล้วเผามันซะ” ปิติภัทรหันหน้ามาตะวาดแล้วผลักทุกคนออกไปจากบริเวณนั้นด้วยพลังมหาศาลที่ไม่อาจควบคุมมันได้อีกแล้ว



   


ใบหน้ากว่าครึ่งของปิติภัทรซูบตอบลงอย่างเห็นได้ชัดเส้นเลือดสีดำปูดนูนขึ้นมาจนหน้ากลัว ดวงตาข้างขวาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด น้ำตาของเขาไหลออกมาเมื่อจองมองไปยังมารดาของตัวเองที่กำลังทรมานตรงหน้า มือหนายื่นมือไปตรงหน้า ก่อนจะพยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด

   “ ดวงวิญญาณ นาง สุชาดา ปาติณมา ชาตะ สี่ สิงหาคม  มรณะ ฮึก “ เขาร้องไห้ออกมาอย่างหนัก


   “ ลูกทำได้เชื่อแม่”  น้ำเสียงที่คุ้นหูดังมาจากร่างตรงหน้าก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน “ แกทำได้จริงๆเหรอ แกจะฆ่าแม่ของแกจริงๆเหรอ  แกเคยทิ้งแม่แกมารอบนึงแล้ว ครั้งนี้แกจะฆ่าแม่แกจริงๆเหรอ”


   “ อ้ากกกก” แรงจากผู้หญิงตรงหน้าพุ่งเข้าใส่ยมทูติหนุ่มที่กำลังลังเลอยู่
ปิติภัทรลงไปนอนทุราทุรายอยู่กับพื้น ไอสีดำลอยฟุ้งไปในอากาศ เขากรีดร้องออกมาด้วยความทรมาน เสียงหัวเราะจากฟ้าลดาดัง
เข้าหูจนแสบแก้วหูไปหมด


    “ หึ ฟ้าลดายิ้มเยาะก่อนจะยกร่างที่กำลังมีแต่ไอดำรอบตัวลอยขึ้นฟ้า “ อ้ากกก” เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อแสง
สีดำพุ่งมาที่แขนของตัวเธอเอง “ แก”


   “ พอได้แล้ว” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้น


   “ แกอย่ายุ่งกับเรื่องนี้”


“ ดา…ริณ”


   “ จำได้ไหม ว่าฉันจะคอยช่วยเธอเอง” เธอส่งยิ้มให้ก่อนจะพุ่งไปด้านหน้าเข้าห้าฟ้าลดาที่กำลังตั้งรับอยู่


“ ในความฝัน ฉันจำได้ว่ามันมีหลุมฝังศพคนที่ตายอยู่แถวๆนี้”


ปณิธานเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทุกคนวิ่งแยกออกมาจากตัวบ้าน แม้ในใจจะห่วงกับคนที่อยู่คนเดียวในตัวบ้าน เขาต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเพราะคนที่จะเป็นรายต่อไปก็คือลุงของเขา


   “ ขุดตรงนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นระหว่างที่ทุกตร่ำเคร่งอยู่กับการขุดไปทั่วบริเวณ


   “ คะ…คุณ” ปณิธานหันมาด้วยความตกใจพร้อมทั้งเตรียมตั้งรับการต่อสู้


   “ ผมไม่ไว้ใจคุณ” ปณิธานตอบกลับทำให้ที่อยู่ด้านหลังเตรียมพร้อมที่จะทำการต่อสู้ด้วย


   “ แต่”


   “ ถ้าคุณหวังดีกับเราจริง ขอบคุณมากแต่ไปเหอะ” เขาพูดโดยไม่สบตาด้วยซ้ำ


รณจักรกับชยานนท์ที่ยืนดูสถานการณ์เริ่มทำการขุดเมื่อปณิธานให้สัญญาณ กองดินด้านข้างเริ่มเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับความมืดและ
อุณหภูมิที่ค่อยๆลดต่ำลงอย่างผิดปกติ รังสีดำพุ่งออกมาจากหลุมตรงหน้า คนที่เพิ่งใช้พลั่วแทงดินลงไปกระเด็นไปคนละทาง
ลำแสงสีดำลอยเคว้งอยู่ในอากาศเคลื่อนที่วนไปวนมาเป็นวงกลมคล้ายกับพายุขนาดเล็ก อากาศที่เคยสงบนิ่งกลับเคลื่อนไหวแรงขึ้น ไม่ช้าเสียงเหมือนฟ้าผ่าก็ดังสะท้านไปทั่วบริเวณ


   “ ระวัง” ยมทูติสีดำที่ยืนตรงหน้าพุ่งเข้าขวาง ลำแสงสีดำที่ก่อตัวอยู่บนฟากฟ้าเข้าสู่ร่างตรงหน้าร่างของผู้เป็นพ่อนึ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้น ตามผิวหนังของเขาบวมและพองและเหมือนมีก้อนพลังงานเคลื่อนที่อยู่ภายใต้ผิวหนังก็ไม่ปาน มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปตามส่วนแขนขา และใบหน้าจนแทบไม่เป็นทรง


   “ นั่นไง” เสียงของรณจักรตะโกนพร้อมทั้งหยิบถังน้ำมันที่อยู่บริเวณนั้นราดลงไปบนโครงกระดูกที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น


   “ จบกันสักที” ปณิธานปล่อยไฟในมือลงสู่หลุมด้านล่างก่อนจะหันกลับมามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า “คุณทำแบบนี้ทำไม” เสียงของเขาเริ่มสั่น แม้ว่าตอนเด็กๆของเขาจะไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควรแต่คนตรงหน้าก็เคยทำให้เขามีความสุขกับช่วงเวลาสั้นๆก่อนที่พ่อของเขาจะเข้าสู่วงจรอบายมุข



“ พ่อกลับมาแล้วมากินขนมเร็วพ่อซื้อขนมที่ปาร์คชอบมาฝากด้วย” ภาพใบหน้าที่ยิ้มแย้มผลุดขึ้นมาในความทรงจำ “ วันนี้พ่อเช่าวีดีโอมาให้ด้วยนะมาดูด้วยกันเร็ว”



   “ พ่อขอโทษนะลูก พ่อขอโทษ พ่อไม่น่าทำกับปาร์คแบบนี้เลย แต่พ่อดีใจนะที่วันนี้พ่อได้ทำในสิ่งที่พ่อคนนึงควรจะทำบ้าง นั่นคือการปกป้องลูก” น้ำตาของนพพรไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ แม้ว่าจะเป็นตอนตายก็ตามเถอะ พ่อมันบาปหนาต้องทนทุกข์ทรมาน ลูกช่วยบอกรักพ่อสักครั้งได้ไหม”


   “ คุณรักผมเหรอ” เขาค่อยๆเดินไปทิ้งตัวลงตรงด้านหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด “ ทำไมคุณไม่เคยบอกผมบ้าง”


   “ พ่อรักลูกนะ พ่อขอโทษ” เขาเอื้อมมืออันอ่อนแรงมาสัมผัสที่ใบหน้าของลูกชาย “ ลูกหน้าเหมือนแม่มากเลยนะ อ้ากกก”  ผิวหนังของเขาเหมือนจะระเบิดออกมาเต็มที “ บอกรักพ่อสักครั้งเถอะ ได้โปรด”


   “ ผม…”  เขาหันหลังหนี


   “ อ้ากกกกกก” แสงสีดำภายในร่างกายระเบิดร่างของยมทูติสีดำแหลกเป็นจุล พร้อมกับการหายไปของร่างฟ้าลดา


   “ ผมรักพ่อนะครับ” เขามองขึ้นไปบนฟ้าที่เป็นเศษธุลีจากการระเบิด


   “ กรี้ด” เสียงของหญิงสาวดังมาจากในบ้าน


   “ ไปกันเถอะ” ชยานนท์วิ่งนำหน้าเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว



ตรงหน้าของเขาคือร่างของปิติภัทรที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอม ดวงวิญญาณของฟ้าลดาหลุดออกจากร่างของแม่ปิติภัทรแล้ว ร่างของแม่ปิติภัทรค่อยๆแปรสภาพจากผิวขาวนวลเป็นซีดเผือดเป็นร่างที่ไร้วิญญาณอีกครั้ง ตรงมุมห้องทางขึ้นชั้นสองมีร่างของดาริณกำลังถูกพันธนการบางอย่างตรึงยึดเข้าไว้กับกำแพง


   “ ฆ่าฉัน” เสียงของดาริณร้องบอกมาจากตรงนั้น


   “ ไม่” ปิติภัทรพยุงร่างของตัวเองจากพื้นมาสมทบกับกลุ่มของปณิธานที่เพิ่งเข้ามา


   “ เธอสัญญากับฉันแล้วนะ ฉันไม่อยากทรมานอย่างฟ้าลดา ขอร้องล่ะ ทำลายฉัน” ยังไม่ทันสิ้นคำพูดโซ่เส้นสีฟ้าก็พุ่งตรงไปรัดคอของดาริณแล้วกระชากออกจนหัวกับร่างของหญิงสาวขาดวิ่น ไอสีดำที่กำลังเคลื่อนที่เข้าร่างของดาริณ กรีดร้องออกมาเป็นเสียงผู้ชายดังก้องห้องไปหมด


   “ ดาริณ” เข้าตะโกนเรียกร่างที่ค่อนๆสลายไปในอากาศ


   “ ขอบคุณนะ” เสียงของฟ้าลดาดังขึ้นมาทำให้ทุกอย่างต้องสิ้นสุดลง “ ยมทูติสีดำมันเอาดวงวิญญาณของฉันไปไล่ฆ่าผู้คนมากมายเลย ฉันไม่ได้ตั้งใจเลยนะ” เธอส่งยิ้มมาให้ ใบหน้ารูปไข่ของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหล่เอ่อออกมา



   “ ฟ้า” เสียงของผู้มาเยือนคนใหม่ดังขึ้น


   “ พี่ไกร”


   “ พี่ขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยนะ ถ้าพี่รู้สักนิดพี่จะห้ามพวกมันไม่ให้ทำแบบนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากพี่ ฟ้ายกโทษให้พี่ด้วยนะ”


   “ จ้ะ ฟ้าไม่เคยโกรธพี่เลยนะ ฟ้ารู้แล้วว่าพี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนี้ฟ้าต้องไปชดใช้กรรมแล้วนะ”


พูดจบดวงวิญญาณของเธอก็หายไปพร้อมกับความไม่ปกติที่กลับเข้ามาอีกครั้ง เมื่อสัญลักษณ์ตรายมทูติสีดำของปิติภัทรส่องประกายขึ้นมาอีกครั้ง อณูของยมทูติสีดำในอากาศพุ่งกลับเข้ามาในร่างของเขาอีกครั้ง ดวงตาของชายหนุ่มเบิกโพลงด้วยความเจ็บปวด เข้าลงไปกองลงกับพื้น


   “ อย่าเข้าไปเจ้านาย” บลูร้องห้ามหลังจากที่ปณิธานทำท่าขยับตัวเข้าไปหาคนรัก


   “ อ้ากกกกกกก” เสียงของเรย์ดังขึ้นจากด้านหลัง ไฟสีดำแผดเผาจนร่างนั้นสลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี


   “ มันเกิดอะไรขึ้นบลู”


“คู่หูเจ้านายกำลังเข้าสู่ความมืด เวลาของโลกมนุษย์กำลังจะจบลงแล้ว”


   “ ไม่จริง” เขาเดินเข้าไปหาปิติภัทร รังสีสีดำแผ่ไปทั่วร่างกายของปิติภัทร เลือดเริ่มไหลออกจากดวงตา หู จมูกและปาก


   “ อย่าเข้าไปเจ้านาย”


เขาไม่คิดจะฟังคำทัดทานเลยเพราะใจของเขาแทบขาดเมื่อเห็นคนรักกำลังจะตายไปต่อหน้าต่อตา ปณิธานเดินตรงไปโอบร่างที่กำลังทรมานตรงหน้าเอาไว้ เขาบรรจงจูบไปที่ริมฝีปากของปิติภัทร ไอดำทั้งหมดเคลื่อนตัวเข้ามาหาปณิธานอย่างรวดเร็ว ร่องรอยยมทูติสีดำในตัวของเขาตอบสนองเป็นอย่างดี เขาทิ้งร่างปิติภัทรลง


   “ ลาก่อน” เขาบอกก่อนจะหันไปสั่งบลู “ พาฉันไปโลกหลังความตาย”


   “ ไม่ได้เจ้านายไปแบบนี้ไม่ได้ไม่อย่างนั้น”


   “ เดี๋ยวนี้”


สิ้นคำสั่งของเจ้านาย บลูจำต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้ วงแหวนสีน้ำเงินปรากฏขึ้น ปณิธานหันมายิ้มให้ทุกคนที่กำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะหายเข้าไปในช่องว่างนั้น







มาต่อแล้วน้าาาา
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 3.5.19 บทที่ 14 FAH LADAH
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 08-05-2019 22:29:39
ฟ้าลดาทำเองจริง ๆ หรอ หรือจะเป็นเหยื่อล่อ  :hao4:


ต้องตามต่อแล้วววววววววววววว
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.5.19 บทที่ 14 FAH LADAH 100%
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-05-2019 23:44:01
ทำไมมันง่ายจัง มีอะไรแอบแฝงอะป่าว  :hao4:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.5.19 บทที่ 14 FAH LADAH 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 11-05-2019 03:48:59
แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อันนี้เป็นไง
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 7.5.19 บทที่ 14 FAH LADAH 100%
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-05-2019 00:16:01
แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อันนี้เป็นไง

 :sad3: o21 :ling3:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 12.5.19 บทที่ 15 FOREST
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 12-05-2019 20:57:33
15
FOREST


   แมกไม้นานาชนิดที่ไม่คุ้นตา บางต้นเหมือนเพิ่งการเผาไหม้มา บ้างมีหนามที่เป็นเหล็กแหลมยาวงองุ้มอยากไม่เป็นรูปอยู่เต็มต้น สิ่งที่แปลกสำหรับป่านี้คือเหมือนรอบตัวของเขามันมีชีวิต


ความมืดมิดมักจะมาพร้อมกับความเยือกเย็นเสมอ เสียงสัตว์ภายในป่าที่ควรจะมีเสียงร้องบ้างของสัตว์กลางคืน ตอนนี้กลับเงียบลงราวกับว่าในป่านี้ไม่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่เลย


ยมทูติหนุ่มที่เพิ่งผ่านการทำผิดกฎของโลกหลังความตายมากำลังนอนอยู่บนพื้น ร่างกายของปณิธานที่นอนกองสะบักสะบอมค่อยๆขยับร่างกาย ดวงตาของเขาที่เพิ่งลืมพยายามปรับสายตามองฝ่าความมืดแล้วมองไปรอบๆก่อนจะลุกขึ้นเดินสำรวจกับดินแดนที่เรียกว่ากับดักยมทูติ ความเจ็บปวดของร่างกายที่เพิ่งผ่านการโจมตีมามันยังคงอยู่ แววตาและเสียงเรียกสุดท้ายของคนรักมันยังคงก้องอยู่ในความทรงจำ เขาพยายามนึกถึงและจดจำทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น น้ำตาแห่งความอาวรณ์ก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้เพราะตอนนี้มันคงไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้วเพราะตอนนี้เขาและปิติภัทรอยู่กันคนละโลกอย่างแท้จริงแล้ว


บรรยากาศรอบตัวของเขาเย็นลงทุกขณะและสิ่งที่เขารับรู้ได้ตอนนี้คือ ความไม่ปลอดภัยเพราะเหมือนมีบางอย่างกำลังจ้องเขาและเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา


   ‘ นี่คือกับดักยมทูติ อย่าไปสนใจมัน’


เสียงของปิติภัทรดังผุดขึ้นมาในหัว แต่เขาไม่เคยรู้รายละเอียดอะไรเกี่ยวข้องกับที่นี่เลยแม้แต่น้อย


   “ สวัสดีเจ้ายมทูติผู้กระทำความผิดและหลงใหลในชีวิตดำมืด ที่นี่คือสถานที่ที่ใช้ลงทัณฑ์ของคนอย่างเช่นพวกเจ้า” เสียง
ของใครสักคนดังฝ่าความมืดเข้ามา “ เจ้าต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีคนมีดวงวิญญาณที่ยังไม่สินบุญมาแลกตัวเจ้ากลับมา” เสียงนั่นหัวเราะกับมุกตลกของตัวเอง “ แต่มันคงไม่มีมนุษย์คนไหนแวะมาที่นี่ได้จริงไหมล่ะ”
เสียงของเราะของเขาดังสนั่นไปทั่วทั้งป่า มันเหมือนเป็นเช่นดังนาฬิกาปลุกที่ปลุกทุกสรรพสิ่งที่หลับใหลมานานให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง



ไม้เลื้อยที่เคยเกาะแน่นสงบนิ่งอยู่บนซากค่อยๆเคลื่อนตัวราวกับงูที่รอจะเข้ามาทำร้ายเหยื่อ ปณิธานถอยหลังช้าๆตามสัญชาตญาณแต่คงช้าไปเพราะไม้เลื้อยที่อยู่ด้านหลังได้พันที่รอบขาของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันดึงเขาให้ล้มลงบนพื้นก้นจะลากไปตรึงติดกับต้นไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุด


   “ มันจะดึงเอาความทรงจำที่แกอยากลืมมาทำร้ายตัวแกเอง” เสียงปริศนากล่าวขึ้นหลังจากที่ไม้เลื้อยอีกเส้นจะเข้ามาพันที่รอบหัวของเขา มันเจาะแกนแหลมของมันเข้าไปในหัวของปณิธาน ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนที่แสงสว่างในหัวจะปรากฏ



ภายในห้องสีขาวสะอาดร่างที่นอนอยู่บนเตียงขยับส่วนที่เคลื่อนไหวง่ายที่สุดอย่างนิ้วมือก่อนค่อยๆขยับเปลือกตาให้เปิดออกมารับรู้สิ่งแวดล้อมรอบข้างภายในห้องแห่งนี้ ตรงบริเวณมุมห้องมีโซฟาสีดำที่มีคนที่กำลังนอนฟุบอยู่อย่างไม่มีสติ ที่มือของเขาเองก็มีเข็มที่เจาะอยู่ ตามตัวก็มีสายระโยงรยางค์เต็มไปหมด เขาเอื้อมมือไปหยิบที่ควบคุมเตียงมาเพื่อปรับพนักพิงให้อยู่ในสภาพที่นั่งง่ายขึ้น ตอนนี้คอของเขาแห้งผาด คนที่เพิ่งฟื้นเอือมไปหยิบแก้วหวังที่จะรินน้ำเพื่อดับกระหาย


เพล้ง ! แก้วที่เขาพยายามคว้าร่วงลงสู่พื้นจนแตกกระจาย คนที่นอนอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่นจากภวังค์พร้อมทั้งวิ่งตรงมายังจุดเกิดเหตุอยากดีอกดีใจซึ่งเป็นเวลาเดียวกับประตูห้องถูกเปิดออก


   “ น้องเฟิร์สฟื้นแล้ว” คนที่มาใหม่พูดด้วยความดีใจ “ นี่แกทำอะไรของแกเนี่ย “ อาโปหันไปแหวใส่คนที่กำลังก้มเก็บเศษแก้วอยู่ที่พื้นพร้อมทั้งวางข้าวของที่ถือมาลงบนพื้นแล้วตรงดิ่งไปหาคนที่เพิ่งฟื้น “ เป็นไงบ้าง”


   “ ผมโอเคครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ พี่อย่าไปว่าไอ้อาร์มมันเลยครับ ผมไม่เรียกมันเอง”


   “ นี่จะดื่มน้ำเหรอ รอเดี๋ยวเดียวนะ” อาโปหันไปหยิบน้ำรินใส่แก้วพร้อมทั้งใส่หลอดป้อนคนที่อยู่บนเตียง “ จะไม่ให้ว่าได้ยังไง พี่ฝากมันไว้แค่แป้บเดียวเอง “ อาโปบ่นออกมาอย่างหัวเสีย “ เอาล่ะๆ พี่มัวแต่หงุดหงิด ลืมเลย เราต้องตามหมอก่อน” เธอกดออดที่หัวเตียง “ คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ” เธอบอกกับสายนั้นก่อนจะกลับมาสนใจคนที่อยู่บนเตียง “ เป็นไงบ้างหลับไปนานเลยนะ” เธอลูบที่ศีรษะอย่างเบามือด้วยความอ่อนโยน


   “ พี่อาโปครับ แม่”


   “ พี่เสียใจด้วยนะ แม่ของน้องเสียแล้วตอนนี้พี่เก็บศพไว้ที่ห้องเก็บศพนะ พี่รอเฟิร์สฟื้นมาก่อนแล้วค่อยจัดการต่อ”


   “ ครับขอบคุณครับ” น้ำตาของเขาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้


   “ ไม่เป็นไรจ้ะ พี่เคยบอกแกแล้วใช่ไหม ว่าพี่เห็นแกเป็นน้องชายของพี่เลยนะอีกอย่างถ้าไม่มีแม่แกป่านนี้พี่เองก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน” เธอน้ำตารื้นขึ้นมา “ ทำไมหมอยังไม่มาสักทีนะ” เธอหันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปเพื่อไม่อยากให้คนไข้เห็นเธอในมุมที่อ่อนแอ


   “ อาร์ม”


   “ ครับ” คนที่เพิ่งเก็บเศษแก้วเสร็จขานรับ


   “ พี่หลับไปกี่วัน”


   “ สามวันครับ ทุกคนคิดว่าพี่จะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วนะครับพี่เล่นนอนแน่นิ่งไปเลย “ อาร์มที่เป็นเด็กที่ร้านตอบกลับติดตลก “ ตอนที่ผมกับเจ๊อาโปมาถึงโรงพยาบาลเพื่อนของพี่ที่ชื่อ ชื่ออะไรนะ” เขาทำท่าทางคิด “ อ๋อพี่นนท์บอกว่าพี่ตกบันไดอาการหนักมาก เจ๊อาโปแกนี่ร้องไห้โฮเลย ไม่น่าเชื่อเจ๊แกจะอ่อนไหวง่ายขนาดนี้”


   “ พูดมากไปแล้วนะ” คนที่เพิ่งถูกพูดถึงเดินเข้ามาพร้อมกับหมอ




   “ เป็นไงบ้างครับ”



   “ มึนๆนิดหน่อยครับ หมอครับผมจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหนครับ”


   “ เพิ่งฟื้น รอดูอาการหน่อยเถอะ” อาโปตอบแทน


   “ คือผม”


   “ ใจเย็นๆนะครับ” หมอยกมือห้ามศึกระหว่างคนป่วยกับคนห่วง “ หมอขอดูอาการก่อนนะครับแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกที”


   “  ขอบคุณครับ”


หลังจากที่หมอออกไปไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง น้ำตาของเขาไหลออกมาทันทีเพราะเขาหวังว่าจะได้พบคนที่เขาอยากเจอมากที่สุด


   “ เป็นไงบ้าง” ลุงเกรียงไกรเอ่ยทักพร้อมกับเดินเข้ามาที่ข้างเตียง


   “ ดีขึ้นแล้วครับ”


   “ สวัสดีครับ” คนที่มาใหม่ยกมือไหว “ สวัสดีครับเจ๊อาโป”


   “ โก้ ปาร์คอยู่ไหน ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”


   “ เอ่อ…คือว่า”


   “ ทำไมไม่ตอบพี่ล่ะ ปาร์คไปไหน” เขาถามด้วยความร้อนใจ


   “ เดี๋ยวพี่กับไอ้อาร์มไปซื้อของก่อนนะ” อาโปที่เห็นว่าสถานการณ์นี้ไม่ควรอยู่เลยจูงมือเด็กที่กำลังยืนสอดรู้สอดเห็นอยู่ให้เดินตามออกมา


เสียงประตูปิดลง ในห้องยังคงเงียบได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานอยู่


   “ ทำไมไม่มีใครพูดอะไรล่ะครับ”


   “ ทุกอย่างมันจบแล้ว” ลุงเกรียงไกรถอนหายใจ “ วันที่นายสลบไป”


   “ ไม่มีใครเจอพี่ปาร์คอีกเลยครับ หลังจากที่เขาเข้ามาช่วยพี่ที่กำลังทุรนทุรายผมจำได้ว่า ตามตัวพี่มีรอยสีดำเต็มไปหมด
แล้วพี่ปาร์คเขาก็สัมผัสที่ตัวพี่จนอาการของพี่เป็นปกติ หลังจากนั้นพี่ปาร์คก็หายไปเลยครับ”


   “ ไม่จริง” เขาโพล่งออกมาด้วยความตกใจ “ ปาร์คจะมาเป็นคนที่รับผลในสิ่งที่ผมทำไม่ได้”


   “ หมายความว่ายังไง” ลุงเกรียงไกรถามด้วยสีหน้าตกใจ


   “ คือผมทำผิดกฎของยมทูติเรื่องช่วยแม่ครับ ผมควรจะต้องถูกจองจำอยู่ที่กับดักยมทูติที่เป็นเหมือนคุกของบรรดายมทูติครับ”


   “ แล้วจะทำยังไงครับ”


   “ พี่รู้แค่ว่า ต้องดวงวิญญาณที่ยังไม่ถึงฆาตไปขอปล่อยตัวยมทูติออกมาได้”


   “ ผมไปเองครับ” โก้อาสา


   “ ไม่ได้ ลุงไปเองถ้าพลาดขึ้นมาล่ะ”


   “ ไม่ต้องห่วงครับผมจะไปช่วยพี่ปาร์คเอง”


   “ เราก็จะช่วยด้วย”


คนที่มาใหม่เดินเข้ามาสมทบที่บริเวณข้างเตียง


   “ ขอโทษนะครับที่เสียมารยาทเราได้ยินตอนที่เข้ามาในห้อง ถ้าเป็นการช่วยปาร์คเราจะช่วยด้วยครับ” ชยานนท์เสนอ


   “ ไม่มีใครต้องเดือดร้อนทั้งนั้น ผมจะไปเองครับ”


   “ นายที่นอนเดี้ยงบนเตียงอย่างนี้น่ะเหรอ” รณจักรว่า “ นายแค่บอกทางเข้าและการเอาตัวรอดมาก็พอเราจะเป็นคนไปเอง”


   “ ไม่มีทาง นนท์ไม่ให้จักรไปแน่”


   “ โอ้ย เราจะไม่เถียงกัน เอางี้ มาจับไม้สั้นไม้ยาวกัน” เขาหยิบไม้จิ้มฟันที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารมา “ ไปกันสองคนคนที่ได้ไม้ยาวอยู่”


   “ ทำไมมีสามอันล่ะ” ลุงเกรียงไกรถาม


   “ ลุงอยู่ที่นี่รอดูอาการเถอะครับ ผมเชื่อว่าลุงเรียกวิญญาณพวกเราได้” รณจักรว่า “ มาเริ่ม”


ทุกคนต่างหยิบไม้จิ้มฟันที่อยู่ในมือของรณจักรไปอย่างรวดเร็ว เขาแบมืออกมาปรากฏว่าทั้งสองได้ไม้สั้นและเป็นที่จะต้องไปช่วยวิญญาณของปณิธานที่โลกหลังความตาย


   “ เราจะทำพิธีกันที่นี่อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้มีหมอคอยช่วยอีกแรง” ลุงเกรียงไกรเสนอ “ ส่วนเรื่องห้องไม่ต้องห่วง ลุงจะโทรไปขอให้เพื่อนลุงช่วย โรงพยาบาลนี้มันเป็นผู้อำนวยการอยู่”


   “ ขอบคุณครับ” ชยานนท์เอ่ย


   “ เราต้องใช้อะไรบ้าง”


ลุงเกรียงไกรหันไปหยิบกระดาษออกมา เพื่อจดอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งยื่นของให้คนตรงหน้า “ ไปตามหาของพวกนี้มา เราจะเริ่มพิธีกันตอนห้าทุ่มห้าสิบห้าเพื่อให้คาบเกี่ยวกับช่วงเวลาเปลี่ยนผันวัน ประตูทางโลกของทั้งสองจะเปิดพร้อมกัน ห้ามสายกว่านี้ เพราะเราจะมีเวลาทำพิธีแค่ถึงตอนตีสามหากสายกว่านี้วิญญาณที่ถูกถอดออกไปจะไม่สามารถที่จะกลับเข้าร่างได้”


   “ ผมอยากช่วยด้วย” ปิติภัทรหัวเสียเพราะตัวเองเหมือนเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย


   “ นายเขียนทุกอย่างที่เกี่ยวกับที่นั่นมาให้พวกเราก็พอ” ลุงเกรียงไกรว่าก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษมาให้กับรณจักร “ ฝากด้วยนะ”


   “ ครับ”


สิ่งที่ต้องเตรียม


เทียนสีขาว  7 เล่ม 


ไดอารี่ของปาร์ค เศษกระจกจากคนตาย


    “ จำไว้จะต้องกลับมาที่นี่ก่อนห้าทุ่ม” ลุงเกรียงไกรกำชับ


ไม่รอช้าทุกคนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งกิตติที่รีบวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว “ เดี๋ยวครับ”


   “ ว่าไง” รณจักรถาม   


   “ ผมรู้จักที่ที่นึงที่เราจะไปเอาของมาได้ พี่ไปเอาไดอารี่พี่ปาร์คกับเทียน เดี๋ยวผมไปหากระจกคนตายเอง”



   “ นายไปเอามาจากไหน”



   “ เพื่อนผมทำงานมูลนิธิครับ”


พูดจบเขาก็เดินแยกออกไปทันที ตอนนี้กิตติกำลังมุ่งตรงไปยังหน่วยงานที่เป็นหน่วยกู้ภัยหรือโดยทั่วไปเรียกว่า ปอเต็กตึ้งหรือมูลนิธิร่วมกตัญญูอะไรเทือกนี้


20.00 นาฬิกา


ด้านหน้าในตอนกลางวันมีแค่ผู่คนบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ ในบริเวณนั้นมีรถกระบะสีขาวจอดอยู่ ที่ตัวรถคาดตราสัญลักษณ์ของ
มูลนิธิเอาไว้ คนที่นอนอยู่ที่กระบะหลังรถดีดตัวขึ้นมาทันทีเมื่อมีคนเดินเข้ามา


   “ ไงวะ” เขาเอ่ยทัก “ หายหน้าหายตาไปเลยนะช่วงนี้”


ก่อนหน้านี้หลังจากที่กิตติสูญเสียแม่ไปนอกจากที่เขาจะเป็นนักดนตรีกลางคืนแล้วที่ที่นึงที่เขาเคยอยู่เหมือนบ้านก็คือที่นี่แหละ ที่ที่
มีทั้งที่พักและอาหาร


ที่นี่ไม่ใช่สาขาใหญ่คนจึงไม่ค่อยมาก จะมีก็แค่คนที่แวะเวียนมาบริจาคโลงศพซึ่งไม่ได้ใหญ่โตหรือมีพิธีรีตองอะไร ซึ่งที่นี่จะเป็นจุดที่เอาไว้เพื่อให้ญาติหรือรอเตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อผู้ตายเสียชีวิตไปแล้วจะมีการเก็บของเพื่อรอญาติมารับ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่เขามาในวันนี้


   “ไอ้นัท กูมีเรื่องให้ช่วยว่ะ”


   “ เรื่องอะไรวะ”


   “ กูอยากได้ของของคนตาย” คนที่ได้ฟังตาโต


   “ มึงจะเล่นของเหรอวะ”


   “ กูอยากช่วยพี่กู มึงรู้แค่นี้ก็พอ” คนที่ได้ฟังไม่พูดอะไรมากเพราะปกติแล้วกิตติจะเป็นคนที่ไม่ชอบพึ่งพาใครจะขอร้องคนอื่นก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ


   “ เออ อยากได้อะไรวะ เพิ่งมีคนถูกรถชนเมื่อวานนี้เอง”


   “ กระจก”


   “ ฮะ”


   “ เออ ฟังไม่ผิดหรอก กูอยากได้กระจก”


   “ เดี๋ยวกูไปดูให้มึงรู้ใช่ไหมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่”


   “ เออ กูรับผิดชอบเอง”


   “ เออๆๆๆๆ มึงคงไม่เปลี่ยนใจแล้วล่ะ” เพื่อนของกิตติเดินหายลับไปด้านในก่อนจะกลับมาพร้อมกับตลับแป้งในมือ “ อันนี้ได้หรือเปล่าวะ ด้านในมันมีกระจกอยู่ร้าวด้วย ของศพเมื่อวาน”


   “ กูเอาแค่กระจกไป ส่วนนี้มึงเอาไปคืนเถอะ” เขาเคาะๆเอากระจกออกมาจากตลับแป้ง “ ขอบคุณมากนะเว้ย”


   “ เออ ยังไงมึงก็กลับมาที่นี่บ้างนะเว้ย มีแต่คนคิดถึงเสียงกีต้าร์มึง”


   “ เออถ้าไม่ตายก่อนนะเว้ย”


เขาพูดติดเล่นก่อนจะเดินออกไปใครจะรู้ว่าในเงาของเขาที่กระทบลงกับพื้นจะทำเอาคนที่ดีใจว่าเพื่อนรักกลับมาถึงกลับเขาอ่อนเพราะเงาของกิตติที่เขาเห็นนั้นไม่มีหัว


มาต่อกันน้า จะจบเเล้ว ยอดรีดไม่ขยับเลย งื้อออออออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 12.5.19 บทที่ 15 FOREST
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-05-2019 23:59:57
ไม่นะ หนูกิตติจะไปอีกคนหรอ วานสาว ๆ คนไหนก็ได้ ช่วยเอากระโปรงคลุมหัวหนูกิตติให้หน่อยซิ  :m5:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 20.5.19 บทที่ 15 FOREST 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 20-05-2019 12:40:50
ต่อกันน้าาาาาาาาา

22.30 นาฬิกา


   ที่โรงพยาบาลภายในห้องกำลังจัดเตรียมโดยส่วนของห้องพักคนมาเยี่ยมไข้ถูกจัดเป็นสถานที่ทำพิธีกรรมโดยได้รับความร่วมมือจากเพื่อนของลุงเกรียงไกร ปิติภัทรถูกจับมานอนแยกจากห้องนั้นโดยมีผ้าม่านกั้นเพื่อไม่ให้มีใครสงสัยเวลามาตรวจ


   “ ลุงครับ”


   “ นอนไปเถอะกินยาแล้วไม่ง่วงหรือไง”


   “ ครับเริ่มง่วงแล้วครับ”


   “ ดีแล้วล่ะ” เขาส่งยิ้มให้พร้อมกับหันไปดูเพราะมีคนกำลังเปิดประตูเข้ามาให้ห้อง “ อ้าวแล้วโก้ล่ะ”


   “ เราแยกกันครับ โก้ยังมาไม่ถึงอีกเหรอครับ”


   “ ตายจริงไม่ไม่นานแล้วนะ”


   “ มาเหนื่อยๆดื่มน้ำกันก่อนสิ” ปิติภัทรยื่นแก้วน้ำไปให้ทั้งสอง


   “ ขอบใจนะ”


พวกเขานั่งรอคนที่ยังมาไม่ถึงด้วยความร้อนรน นาฬิกาที่เดินไปด้านหน้าตามที่มันควรจะเป็นแสดงเวลาห้าทุ่มตรง ลุงเกรียงไกรเดินวนไปมาอย่างร้อนใจ


   “ ขอโทษครับที่ช้า” เสียงของกิตติทำให้คนที่กำลังรอใจชื้นขึ้นมา “ รถติดมากเลยครับ”


   “ มาเริ่มกันเลย ไปปลุกสองคนนั้นเร็ว”


ลุงเกรียงไกรเดินแยกไปบริเวณที่จะทำพิธี ปล่อยให้กิตติเดินไปปลุกคนที่กำลังนอนสลบแต่ดูเหมือนว่าทั้งสองยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย


   “ ทำไมยังไม่มากันอีก” คนที่อยู่ในห้องพิธีกรรมตะโกนขึ้น


   “ พี่นนท์กับพี่จักรไม่ตื่นครับ”


 คนที่หลับตาอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมาแล้วเด้งตัวออกจากเตียงอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งคว้ามือกิตติที่กำลังปลุกสองคนนั้นแล้วเดินตรงดิ่งมายังโถงที่เตรียมทำพิธีการ


   “ เร็วไม่มีเวลาแล้ว” ลุงเกรียงไกรหลับตาพร้อมทั้งยื่นอุปกรณ์ที่เตรียมมาให้หลานชาย


   “ ลุงครับ”


   “ อะไรอีก” เขาลืมตาขึ้นมามอง “ เฮ้ย ! ทำไมมานั่งตรงนี้”


   “ ยาที่ลุงให้ผมสองคนนั้นกินไปหมดแล้วครับ มาเลยครับไม่มีเวลาแล้ว” ปณิธานทิ้งตัวลงบนเตียง


ตรงบริเวณที่จัดพิธีตรงกลางมีโต๊ะที่วางเทียนสีขาวอยู่รวมกับ สมุดไดอารี่และรูปถ่ายของปณิธาน ที่พันด้วยสายสิญจน์ สีขาวซึ่งโยงไปที่เตียงของโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ทั้งสองด้าน ด้านซ้ายเป็นปิติภัทรที่เพิ่งทิ้งตัวลงนอนไป ฝั่งทางด้านขวาเป็นกิตติที่ก้มตัวลงนอนอย่างงงๆ


ลุงเกรียงไกรหยิบเทียนสีขาวทั้งสองเล่มมาไว้ในมือแล้วนำเส้นผมของทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนเตียงแล้วมัดเพื่อแสดงเป็นเจ้าของของแต่ละอันก่อนที่จะนำมาโยงกับสายสิญจน์อีกครั้ง ยื่นเทียนไปให้ทั้งสองและใช้กระจกคนตายกรีดลงไปที่ฝ่ามือเทียนนั่นชุ่มไปด้วยเลือด


   “ ตั้งจิตให้มั่นแล้วบอกชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดไว้ซะ กลับมาให้พูดวันเดือนปีเกิดกับข้าทันที ข้าจะได้รู้ว่าเป็นพวกแก
จริงๆ” พูดจบทั้งสองก็รับเทียนมาอยู่ในมืออย่างว่าง่าย “ เอาล่ะทิ้งตัวนอนลงไป ฟังเสียงข้าอย่างเดียวข้าจะเปิดทางยมโลกให้ โอม พะยามะราชะ อุปาทะวะตายะ มะหิสสะ พาหะนายะ ทักขิณะทิสะ ฐิตายะ อาคัจฉัญภุญชะตุ ขิปปะยะตุ วิปปะยะตุ สะวาหะ สะวาหะยะ สัพพะ อุปาทะวะ วินาสายะ สัพพะ อันตะรายะ วินาสายะ สุขขะวัฑฒะโก โหตุ อายุ วัญญะ สุขะ พะลัง อัมหากัง รักขันตุ สะวาหะ สะวาหายะโอม พะยามะราชะ อุปาทะวะตายะ มะหิสสะ พาหะนายะ ทักขิณะทิสะ ฐิตายะ อาคัจฉัญภุญชะตุ ขิปปะยะตุ วิปปะยะตุ สะวาหะ สะวาหะยะ สัพพะ อุปาทะวะ วินาสายะ สัพพะ อันตะรายะ วินาสายะ สุขขะวัฑฒะโก โหตุ อายุ วัญญะ สุขะ พะลัง อัมหากัง รักขันตุ สะวาหะ สะวาหายะโอม พะยามะราชะ อุปาทะวะตายะ มะหิสสะ พาหะนายะ ทักขิณะทิสะ ฐิตายะ อาคัจฉัญภุญชะตุ ขิปปะยะตุ วิปปะยะตุ สะวาหะ สะวาหะยะ สัพพะ อุปาทะวะ วินาสายะ สัพพะ อันตะรายะ วินาสายะ สุขขะวัฑฒะโก โหตุ อายุ วัญญะ สุขะ พะลัง อัมหากัง รักขันตุ สะวาหะ สะวาหายะ” เสียงท่องคาถาทำให้ตัวของทั้งสองเบาขึ้นแล้วออกมายืนอยู่ด้านข้างร่างของตัวเองทันที “ เดินตามแสงไป” ลุงเกรียงไกรเอ่ย


00.00 นาฬิกา


ด้านหน้าของทั้งสองเป็นทางมืดมีเพียงแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์เท่านั้น พอทั้งคู่เดินเข้าไปรอบข้างก็พลันมืดสนิททันที เสียงร้อยโหยหวนของสัมภเวสีเข้ามาทักทายกลิ่นกายละเอียดที่เพิ่งหลุดออกจากร่างในทันที บ้างอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มองผิวเผินเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป บ้างแขนขาดวิ่นร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แต่จริงๆแล้วหาได้รู้สึกไม่ บ้างกำลังทำกิจวัตรประจำวันอยู่ราวกับว่ายังไม่รู้ว่าตัวเองตาย บางคนนั่งจ้องมองผู้มาเยือนแล้วยิ้มให้จนน่าขนหัวลุกซึ่งสร้างความหวาดหวั่นให้กับคนที่เพิ่งเข้ามาในโลกนี้เป็นครั้งแรกใหม่


   “ มองไปที่แสงสว่างข้างหน้าอย่างเดียวอย่าไปสนใจพวกมัน” ปิติภัทรเรียกดึงสติพร้อมทั้งดันตัวกิตติไปอยู่หน้าตัวเอง “ อย่าออกนอกเส้นทาง อย่าทักเข้าใจไหม”


   “ ครับ”


ทั้งคู่เดินเข้ามาสู่ความมืดที่แสนเยือกเย็นคนที่มาใหม่สัมผัสได้ตอนนี้คือ กลิ่นที่นี่ค่อนข้างเหม็นอับ ไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้น เสียงที่เขาได้ยินคือเสียงฝีเท้าของคนที่มาด้วยเท่านั้น ภายในห้องนี้เหมือนไม่ได้มีแค่พวกเขา แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างคอยจับตามองเขาอยู่ตลอดเวลา


“ ระวังตัวให้ดี ตามมาทางนี้” ปิติภัทรกึ่งลากกึ่งจูงเพราะตอนนี้เขาได้เข้าสู่โลกหลังความตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อสายตาปรับเข้ากับความมืดได้ เขาเริ่มสังเกตได้ว่าตอนนี้สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้เลื้อยที่เคลื่อนตัวพันกันไปมาเหมือนว่ามันมีชีวิต


ตรงหน้ามีประตูไม้เก่าๆกับพวกไม้เลื้อยเมื่อครู่พันบริเวณโซ่พันล็อกเอาไว้ เพื่อไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องผ่านเข้าไป ปิติภัทรดึงกิตติเข้าไปหลบหลังมุมเสาหินที่เปรอะเปื้อนซึ่งตั้งอยู่ด้านข้าง


“ เราต้องรอคนมาเปิด”


ไม่นานก็มียมทูติสองคนกับดวงวิญญาณตรงมาเปิดประตูนั้นออกโซ่ตรงหน้าปลดล็อคตัวเองไม้เลื้อยที่เคยพันติดไว้ เลื้อยกลับไปชิดที่ขอบประตูไม้มันนิ่งสงบราวกับว่ามันไม่เคยมีชีวิตมาก่อน ดวงไฟที่คบเพลิงซึ่งติดอยู่ตรงประตูติดขึ้นทำให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้น


“ ที่นี่คือปากทางเข้าสู่โลกหลังความตาย” 


คบเพลิงที่เรียงรายตลอดสองข้างทางสว่างต้อนรับผู้มาเยือน ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆอย่างกลมกลืนจนกระทั่งมาถึงปลาทางที่คนมาด้วยหยุดชะงักตรงหน้าของทั้งสองเป็นเหวลึกที่มองอย่างไรก็ไม่มีทางไป คนที่นำทางอย่างปิติภัทรก็ยังคงก้าวขายาวไปอย่างไม่ยอมลดละ เขาก้าวไปในอากาศ


“ ก้าวมาเถอะมันเป็นภาพลวงตา”


กิตติกลั้นใจเดินตามมากไม่มีใครหล่นไปสู่ด้านล่างเพราะทันทีที่เท้าสัมผัส สะพานเหล็กกล้าก็ปรากฏขึ้นในทันที ท้องฟ้าด้านบนเปลี่ยนเป็นแสงสีเขียวสะท้อนแสงเพื่อเป็นการตอนรับอีกครั้ง ใต้สะพานเป็นลำธารลาวาไหลส่งไอร้อนขึ้นมาให้คนที่อยู่ด้านบ้าง กิตติทั้งตื่นตาตื่นใจและตกใจในคราเดียวเพราะรอบตัวมีทั้งอสูรกายหน้าตาประหลาดและจุดที่เป็นจุดลงโทษพวกคนบาปเมื่อเดินมาเหมือนว่าจะเป็นทางตันเพราะตรงหน้าไม่มีทรงไปมีเพียงกำแพงหินเท่านั้น   


    “ ตรงหน้า เป็นประตูแลกเศษวิญญาณ” พวกเขาหยุดลงเพราะมีเปลวไฟพุ่งมาใส่


   “ พวกแกไม่ใช่ยมทูติ”


   “ ข้าเคยเป็น ดวงวิญญาณที่อยู่ด้านข้างข้านี้ยังไม่ถึงฆาตและต้องการเข้าไปในกับดักยมทูติ” เขาตะโกนตอบกลับไป เปลวเพลิงที่เคยแผดเผาพวกเขาสงบลง


   “ ไหลเอาเลือดของเจ้าใส่ลงไปในอ่างซิ”


   ผู้ตายก่อนกำหนด


   “ เราขอเข้าไปที่ กับดักยมทูติ”


   “ หึ หึ หึ ย่อมได้” สิ้นเสียหัวเราะอันน่าสะพรึงกลัวร่างของทั้งสองก็หายวับไป


ทันทีที่พวกเขาสัมผัสกับพื้น ไม้เลื้อยต่างถอยตัวกลับด้วยพลังชีวิตของคนที่มาเยือนตรงสุดโถงทางเดินมีร่างของใครบางคนที่ถูกตรึงติดกับต้นไม้อยู่ ใบหน้าของคนนั้นแม้ไม่ชัดเจนแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมองไม่ออก นั่นคือ ปณิธาน
ร่างของปณิธานถูกหนามที่เป็นเหล็กของไม้เลื้อยแทงทะลุเข้าไปด้านในจนรอบร่างกาย ดวงตาของเขาเบิกโพลงไร้นัยน์ตาเหลือเพียงตาขาวที่ออกเทาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ที่หูทั้งสองข้างมีไม้เลื้อยแทงทะลุอยู่เหมือนมันเข้าไปในร่างกายของคนที่ถูกตรึงเอาไว้


   “ พี่ปาร์ค” กิตติวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว


   “ ระวัง” ปิติภัทรกระโดดไปดึงตัวของรุ่นน้องออกเพราะมีต้นไม้โค่นลงมาขวางเอาไว้


   “ ออกไป ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเจ้า” เสียงนั้นดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ


   “ พวกเรามาช่วย”


   “ เอาอะไรมาแลก” ไม่ต้องรอให้กิตติพูดจบเสียงนั้นก็ตอบกลับมาราวกับว่ารู้จุดประสงค์นั้นชัดเจนอยู่แล้ว


   “ แลกอะไร” ปิติภัทรถาม


    “จะเอาออกไปหนึ่งสิ่ง ต้องทิ้งไว้ที่นี่หนึ่งสิ่ง จริงๆเจ้าควรรู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่ก่อนที่จะเข้ามานะ” พูดจบมันก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะตัวเขาเป็นผู้ชนะแล้ว


   “ ผมจะอยู่ที่นี่เอง” ปิติภัทรเดินเข้าไปหา “ ผมขอคุยกับปาร์คก่อนได้หรือเปล่า”


   “ มนุษย์นี่เยอะสิ่งจริง”


พูดจบร่างของปณิธานก็ร่วงสู่พื้นดังตุ้บ ปิติภัทรและกิตติวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว คนที่ไปถึงก่อนประคองร่างของคนรักเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน


ปณิธานค่อยๆปรือตาขึ้นมาช้าๆอย่างอ่อนแรง เขาพยายามจะพูดอะไรแต่เสียงนั่นกลับไม่ออกมาเพราะพลังงานในชีวิตของเขาแทบไม่เหลือแล้ว


   “ ปาร์ค ไม่ต้องห่วงนะเฟิร์สมาช่วยแล้ว” เขาอุ้มร่างหน้ามาไว้ในอ้อมอกแล้วลุกขึ้น “ เห็นทางนั้นหรือเปล่า” เขาส่งสัญญาณ
ให้กิตติมองไปที่ด้านหลัง “ ต้นไม้พวกนั้นมันกลัวพลังชีวิตของเรา พี่นับสามแล้ววิ่งเลยนะ”


   “ ครับ”


   “ หนึ่ง” สายตาของเข้ามองไปยังปลายทางอย่างมุ่งมั่น “ สอง” ชายหนุ่มสูดหายใจ “ สะ…อร้ากกกกกก” จู่ๆร่างของปิติภัทรก็ค่อยๆจางลงคนที่อยู่ในอ้อมอกร่วงสู่พื้น ดวงตาของเขาพร่ามัวมองไม่เห็นอะไรอีกจนกระทั่งเขากลับมาสู่โลกใบเดิมที่พวกเขาเคยก้าวข้ามมา


ในห้องมีพยาบาลจำนวนหนึ่งกำลังช่วยปั้มหัวใจของเขาอย่างเร่งด่วน เขาควรจะนอนอยู่บนเตียงเดิมแต่ไม่เลยตอนนี้เขาอยู่ที่เตียงคนไข้มีสายระโยงรยางค์เต็มไปหมด


   “ เกิดอะไรขึ้นครับ” เขาถามขึ้นทำให้คนที่อยู่ตรงนั่นถอนหายใจอย่างโล่งอก


   “ โอเคแล้วค่ะลุง” ปริยาหันหน้ามาบอก


   “ ขอบคุณมากนะปายที่มาช่วยลุงอีกแล้ว”


   “ เดี๋ยวนะครับเกิดอะไรขึ้น”


   “ ร่างกายของนายไม่ไหวเลยช็อคไป ข้าก็บอกแล้วใช่ไหมว่าให้พัก” ลุงเกรียงไกรลุง


   “ แล้วโก้ล่ะครับ”


   “ ยังไม่กลับมา” เขาหันไปมองคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงอีกฝั่ง จากนั้นเทียนก็พลันดับลงไปทันที “ ไม่นะ ไม่ๆๆๆ เกิดอะไรขึ้น”


   “ ลุงครับมีอะไร” ทุกคนในห้องต่างถามเพราะท่าทีของลุงเกรียงไกรไม่ดีเลย


   “ ดวงวิญญาณของโก้ตัดขาดจากโลกนี้แล้ว” เขาตอบ “ โก้ โก้ โก้ ปายมาช่วยลุงหน่อย”    


   “ ค่ะ” เธอเดินตรงไปพร้อมกับเข็มฉีดยาที่บรรจุยากระตุ้นหัวใจไว้อยู่


พรึ้บ ไม่นาเทียนที่อยู่หัวเตียงของโก้ก็ติดขึ้นมาอย่างช้าๆ คนที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรง เขามองไปรอบตัวอย่างงุนงง


   “ โก้ โก้ได้ยินเสียงลุงหรือเปล่า” เท่านั้นน้ำตาของเขาก็ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย เพราะประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนที่จะฟื้นกลับมาคือ


   “ สิ่งที่ผมอยากเจอมากที่สุดในชีวิตคือครอบครัว ตอนนี้ผมเจอแล้ว ผมพอแล้วครับ แล้ววันนี้ผมก็จะทำเพื่อแม่ด้วย ผมจะดูแลพี่เอง”




มาต่อกันน้า ตอนจบอาจไม่ถูกใจใครหลายๆคน ขอโทษล่วงหน้าเลย
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 20.5.19 บทที่ 15 FOREST 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-05-2019 22:17:28
แล้วไงต่อล่ะ อยากเผือก ๆ  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 24.5.19 บทที่ 16 NEW LIFE 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 24-05-2019 10:28:24
16


NEW LIFE


สองวันหลังจากออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็กลับสู่ความปกติ ไม่มีคนตายเพิ่มด้วยคดีที่แปลกๆ ไม่มีใครมาคอยตามราวีลุงเกรียง
ไกรอีก ส่วนกิตติที่ฟื้นขึ้นมานั้นก็ไม่ค่อยพูดค่อยจาร่าเริงเหมือนเดิม เขาลาออกจากร้านกลับมาอยู่ที่ไร่ส้มกับลุงเกรียงไกรระหว่างที่รอเปิดเทอมใหม่ ใครจะรู้ว่าเขาไม่ดีใจเลยด้วยซ้ำกับการมีชีวิตใหม่ ในร่างของน้องชาย


   “ พี่ปาร์ค พี่ได้ยินผมไหม” เสียงของน้องชายเขาร้องเรียกหลังจากที่เขาลืมตามอง “ พี่เฟิร์สเขาพาผมมาช่วยพี่นะ ตอนนี้พี่เขาน่าจะไปแล้ว พี่วิ่งตามแสงนั่นไปนะ”


   “ พูดเรื่องอะไรแล้วนายล่ะ”


   “ ผมเอ่อ ผมก็จะวิ่งตามพี่ไปไง พี่ไม่ต้องห่วงผมจะถ่วงเวลาไว้”


   “ ถึงเวลาต้องแลกแล้ว ถ้าแกแลกแกจะได้เป็นอย่างที่พี่แกเป็นแล้วไม่ต้องอยู่ที่ป่านี้ ถ้าแกกลับพี่แกต้องทรมานที่นี่ ” เสียงปริศนาดังขึ้น


   “ มันต้องแลกอะไร ใครจะอยู่ใครจะไปอะไรกัน”


   “สิ่งที่ผมอยากเจอมากที่สุดในชีวิตคือครอบครัว ตอนนี้ผมเจอแล้ว ผมพอแล้วครับ แล้ววันนี้ผมก็จะทำเพื่อแม่ด้วย ผมจะดูแลพี่เอง” สิ้นคำกิตติก็ผลักปณิธานไปสู่แสงสว่างตรงหน้าและน้อมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นที่นั่นเอง


   “ โก้ โก้” เสียงเรียกจากหน้าห้องทำให้เขาต้องหลุดจากภวังค์


   “ ครับลุง”


   “ พี่เฟิร์สมาน่ะ พาพี่เขาไปเยี่ยมพี่ปาร์คที ร่างกายยังไม่แข็งแรงเลย”


   “ ครับ”


เขารีบเปิดประตูห้องวิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มออกมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่เคยเจอหน้าปิติภัทรเลย


   “ ไงมึง” ปิติภัทรตบบ่าของคนตรงหน้า


   “ มึงล่ะเป็นไง” คนในร่างของกิตติถามกลับ


   “ ไอ้นี่ลามปามใหญ่แล้วนะ” เขาฟาดลงไปบนหัวของกิตติ


   “ ครับ พี่เฟิร์สมาหาพี่ปาร์คเหรอ”


   “ อืม พี่เฟิร์สหายดีหรือยัง กินข้าวมาหรือยัง นอนหรือยัง”


   “ ถามอะไรมากวะ เดี๋ยวกูไปหาปาร์คก่อนนะ”


   “ พี่เฟิร์สเอาขนมไปด้วยดีไหมครับเผื่อหิว ผมว่าพี่ยังไม่น่าได้กินอะไร”


   “ เออๆ เซ้าซี้จังวะ” พูดจบเขาก็เดินออกไปจากตรงนั้น


วันนี้โชคดีที่นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่น้อยเพราะไม่ใช่วันหยุดยาวหรือเสาร์อาทิตย์ทำให้นี่นี่ไม่ครึกครื้นและสงบได้มากทีเดียว เขาเดินนำหน้าคนที่ไปเอาขนมมาไกลพอสมควรจนกระทั่งมาถึงบริเวณที่มีทุ่งกุหลาบสีขาวที่ถูกดูแลอย่างดี โกศสีขาวตั้งอยู่อย่างกลมกลืนเป็นอย่างดี ปิติภัทรทิ้งตัวลงนั่งอยู่ด้านหน้าแล้วมองรูปที่แปะอยู่ที่ด้านหน้าอย่าอาวรณ์ เขาหยิบไดอารี่มาอ่านให้คนตรงหน้าฟัง เขาหัวเราะเขาโมโหราวกับว่าคนที่ฟังจะได้ยินด้วย แต่ถ้ามองจริงๆแล้วคงได้ยินจริงๆแหละหากแต่ว่าเขาไม่รู้เท่านั้นเอง


อีกมุมหนึ่งไม่ไกลจากตรงนั้นคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้มองมาทางปิติภัทรอย่างอาวรณ์ เขากัดฟันแน่นเพราะว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย น้ำตาของเขาไหลออกมาเช่นกันมันห้ามไม่ได้ เขาอยากออกไปตะโกนตรงหน้าว่าตัวเขาอยู่ตรงนี้ เขาอยู่ใกล้ๆตรงนี้แต่ทำได้แค่แอบมอง จนคนที่คุยจ้อเมื่อครู่นอนหลับแนบไปกับพื้นหญ้าสีเขียวหน้าโกศกระดูก


 ปณิธานในร่างกิตติเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น เขาอยากสัมผัสใบหน้า อยากกอด อยากจับมือและปลอบคนตรงหน้าเหลือเกิน เขาทิ้งตัวนั่งข้างๆเมื่อเห็นว่าคนนอนอยู่หลับตาพริ้มจึงประทับริมฝีปากลงบนปากของอีกฝ่าย


พลั้ก !!  ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเมื่อใบหน้าของเขาร้อนและปวดไปพร้อมๆกันเมื่อคนที่นอนหลับอยู่เมื่อครู่ลืมตาขึ้นมาแล้วต่อยเข้ามาที่ใบหน้าของเขาอย่างจัง


   “ มึงทำเหี้ยอะไร”


   “ กูขอโทษ”


   “ ถึงกูจะชอบผู้ชายกูก็ไม่ได้รักได้ทุกคนนะเว้ย มึงออกไปเลยนะ ออกไป อย่าให้กูต้องต่อยมึงอีกครั้งนึง” เขาตะวาด


   “ แต่กู”


   “ มึงว่าไงนะ มึงกูมึงกับกูเหรอ เราสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอฮะ”


“ มึงมันไม่เคยรักกูเลย มึงบอกว่ารักกูที่กูเป็นกู ตอนนี้กูอยากรู้ว่ามึงเคยรักกูบ้างไหม กูกลับมาอยู่ตรงนี้แล้วไง ไหนมึงว่าไม่ต้องกลัวไงว่าเจ็บสักแค่ไหน เราแค่จำช่วงเวลาที่มีความสุขก็พอไม่ใช่เหรอ” น้ำตาของคนที่กองอยู่กับพื้นจ้องไปยังคนที่เขารัก กลิ่นคาวเลือดที่ซึมที่มุมยิ่งสร้างความเจ็บปวดทวีคูณเมื่อถูกกระทำจากคนตรงหน้า “ มึงเคยจำกูได้บ้างไหม จำที่กูเป็นกู” เขาดันตัวเองลุกขึ้นมาไปคว้าของในมือของปิติภัทร “มามาเลดที่กูเคยทำ ไดอารี่ของกูเนี่ยไม่ต้องอ่าน กูอยู่ตรงนี้แล้วไง มึงหันมามองกูสิ มองมา ไม่ต้องบอกแล้วหลุมศพของกู กูอยู่นี่ไง” น้ำตาของเขาไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน “ มึงกลับไปเหอะไมต้องกลับมาที่นี่อีก”


   “ ปาร์คจริงๆเหรอ”


   “ กลับไปซะ แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก” พูดจบเขาก็เดินออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว


   “ เฟิร์สขอโทษ” เขาวิ่งไปโอบกอดคนที่กำลังเดินไปเหมือนคนไร้ชีวิต “ เฟิร์สขอโทษ เฟิร์สแค่สับสน แต่ตอนนี้เฟิร์สไม่สน
แล้วนะว่าปาร์คจะอยู่ในร่างนี้หรือร่างไหนก็แล้วแต่ กลับมานะมาอยู่กับเฟิร์ส” เขาร้องไห้ยืนมองแผ่นหลังของคนที่เขาเพิ่งชกไป
น้ำตาของทั้งคู่ไหลออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ คนที่กอดอยู่กระชับอ้อมกอดนั้นเข้ามาหาตนด้วยความถวิลหา มานานแสนนานตอนนี้กลับมาสู่เขาอีกครั้ง สัมผัสอบอุ่นในยามเช้า แสงแรกของวันในตอนเช้าเหมือนเปิดต้อนรับความรักของทั้งสองในฐานะของคนที่มีลมหายใจ ปณิธานหันหน้ามาจ้องมองคนรักของตัวเอง มือหนาของคนที่ร้องไห้หนักกว่าประคองใบหน้าของปณิธานที่อยู่ในร่างของกิตติเข้ามาหาตัวเอง


   “ ถ้ามองตาแบบนี้ตั้งแต่แรก เฟิร์สก็จำได้ตั้งนานแล้วเพราะโก้มันไม่ใช่คนเกรี้ยวกราดใส่เฟิร์สแบบนี้”


   “ เหรอ ที่กูจูบมึงเมื่อกี้แล้วมึงต่อยกูเนี่ยนะที่เรียกว่าจำได้”


   “ ขอโทษครับ” เขาจับใบหน้าของคนรักอย่างเบามือ “ เจ็บหรือเปล่าครับ”


   “ ลองไหมล่ะ” คนที่ถูกถามทำท่าง้างมือขู่


   “ อืม เอาเลยครับ” เขาหลับตารอหมัดหนักจากคนตรงหน้า


ใครจะรู้ว่าไม่มีความเจ็บปวดสัมผัสใบหน้า มีเพียงแต่สัมผัสนุ่มๆมาสัมผัสลงที่ริมฝีปาก มันเป็นสัมผัสที่มีชีวิต ดวงตาทั้งสองมองเข้าหากัน ปิติภัทรตอบสนองสัมผัสนั้นอยากรวดเร็วอย่างนุ่มนวล เขาประคองมุมหน้าให้เข้าเข้าหากันมากที่สุด  แม้มันไม่เย็นยะเยือกเหมือนตอนสัมผัสในครั้งแรก ตอนนี้มันอบอุ่นและมีเสียงของลมหายใจที่แสดงว่าทั้งสองอยู่ในโลกดัวยกันแล้ว


   “ กูไม่ใช่คนที่หวานหรือพูดจาดีๆแบบคนอื่นนะ จะให้กูมาพูดจาดีๆกับมึงหรือหวานกันมากๆคงไม่ได้นะ”


   “ อย่าหวานไปมากกว่านี้เลย แค่นี้เฟิร์สก็ไม่ไหวแล้ว” เขายิ้มให้


   “ ปากดี”


   “ ดีสิ ไม่เชื่อมาลองชิมอีกได้”


   “ กูมีเรื่องจะขอมึงนะ”


   “ ได้ครับ”


   “ หลังจากนี้เรียกกูว่าโก้ได้หรือเปล่า” ปิติภัทรมองกลับด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ “ขอแค่ต่อหน้าคนอื่นโดยเฉพาะกับลุงกูก็ได้ อยู่กับมึงกูก็จะเป็นกู กูไม่อยากให้ลุงกูเสียใจเพราะว่าโก้มันต้องมาตายกับเรื่องที่เกิดขึ้น”


   “ ครับ เฟิร์สเข้าใจครับ”


   “ แล้วจะว่าอะไรไหมครับถ้ากูจะขออยู่กับลุงที่นี่”


   “ ไม่ว่าครับ แค่นี้เองสบายครับ” เขาฉีกยิ้มกว้าง “ มีอะไรอีกหรือเปล่า”


   “ มะ…อื้อออ”


ยังไม่ทันพูดจบคนที่อยู่ตรงหน้าก็ประทับริมฝีปากลงมา ของริมฝีปากนุ่มกดลงอย่างเป็นจังหวะ เสียงลมหายใจของทั้งสองสอดรับเป็นจังหวะเดียวกัน ลิ้นของปิติภัทรสอดแทรกเข้าไปเกลี่ยฟันของอีกฝ่ายอย่างรู้งาน สายลมอ่อนๆในยามเช้าของฤดูหนาวพัดผ่านทั้งสองโดยที่ทั้งคู่ไม่สามารถรับรู้ถึงความหนาวนั้นได้เลย เพราะความอุบอุ่นของทั้งสองกำลังส่งผ่านถึงกันและกันได้เป็นอย่างดี
บางคนบอกว่ากว่าจะรักกันก็เกือบจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตเพราะเราไม่สามารถรู้เวลาตายของเราได้ บางคนตองรอให้มีการจากลาเสียก่อนถึงจะมาหวนคิดถึงวันดีๆที่เคยผ่านมากับคนรักได้ หลายคนที่พลาดความรักไปแล้วไม่เคยมีโอกาสได้แก้ไข จะมีสักกี่คนที่จะได้โอกาสนั้นอีกครั้ง หาคุณยังมีโอกาสอยู่ จงโอบกอดคนที่คุณรักไว้ให้แนบแน่นที่สุด แต่อย่าแน่นจนลืมผ่อนให้เขาได้สบายบ้าง หากใครที่กำลังวิ่งตามหามัน จงมอบความรักที่เรามีอยู่ให้กับคนรอบตัวก่อนสักวันมันจะเป็นวันของคุณ



สวัสดีอย่างเป็นทางการนะคะ ก่อนอื่นขอขอบคุณรีดเด้อทุกท่าน ที่ตามอ่านตามเม้น 5555 ภาคต่อจาก YOU SAW ME แอบแป้กเบาๆ เพราะไม่ตามเป้า ตอนแรกถอดใจไปแล้ว แต่คิดได้ว่า ยังมีคนอ่านอยู่ถึงแม้จะคนเดียวหรือสองคน นี่ก็ต้องลงให้จบ ตอนหน้าจะเป็นตอนเกริ่นไปเล่มสามนะ ขอบคุณทุกการติดตาม รัก SAILOM CC.
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 24.5.19 บทที่ 16 NEW LIFE 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-05-2019 23:35:41
หลานโก้ของฉานนนนนนนนนนนนนน หวังว่าจะไปปรากฏตัวในเล่ม 3 นะ   :hao5:
ส่วนคู่รักกันด้วยลำแข้ง ขอให้รักกันไปนาน ๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 27.5.19 บทส่งท้าย 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 27-05-2019 15:07:12
บันทึก(รัก)ยมทูติ


บทส่งท้าย


ฝันที่กำลังกลายเป็นจริง


เสียงดนตรีในงานศพดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ บรรดาสื่อต่างให้ความสนใจกับการจากไปของเจ้าของสื่อใหญ่อย่างช่องพีเพิ้ลแชแนล อย่างดนัย ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงว่าการจากไปนั้นเกิดจากสาเหตุใด รู้เพียงว่าการจากไปในครั้งนี้เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุใหญ่ที่เป็นข่าวดังอยู่หลายวัน เพราะเป็นการตายที่ผิดธรรมชาติ


ผู้คนในงานต่างเดินใส่ชุดดำมานั่งอยู่ตามเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงินที่วางเอาไว้จนเกือบจะเต็มไปทั่วศาลา บริเวณใกล้สุดมีโซฟาสีขำที่ถูกขัดจนมันขวับอยู่สามตัวยาวๆซึ่งมีหลายคนกำลังนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นคือลุงเกรียงไกร ที่กำลังนั่งจ้องไปยังโลงศพที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางศาลา


   “ สวัสดีครับลุง” ชายหนุ่มหน้าตาออกไปทางจีนอยู่ใยชุดเสื้อเชิร์ตแขนยาวสีดำที่เข้าชุดกับกางเกงแสล็คดำยกมือไหว้พร้อมทั้งทิ้งตัวลงนั่งข้างๆลุงเกรียงไกร “ ผมชื่อเต้นะครับเป็นหลานของลุงดนัยนะครับ ลุงจำผมได้ไหม” ลุงเกรียงไกรพยักหน้ารับ “ ก่อนที่ลุงจะออกไปวันนั้นลุงฝากจดหมายฉบับนี้ไว้ให้ลุงครับ”


   “ ขอบคุณนะ” ท่านส่งยิ้มไปให้ชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน “ ส่วนเราก็ พักผ่อนบ้างนะ ดูตาโหลๆ คงยุ่งๆใช่ไหม”


   “ ครับ ช่วงนี้ผมต้องวิ่งตามงานหลายงานเลยครับ แต่มันกำลังจะเข้าที่แล้วล่ะครับ”


   “ ดีแล้วล่ะ อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ”


   “ ครับ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ”


ชายหนุ่มทิ้งชายวัยกลางคนนั่งอยู่พร้อมกับจดหมายฉบับนั้น เขาบรรจงแกะมันออกอย่างช้าๆแล้วกางมันออก มันเป็นลายมือของรุ่นน้องของเขาไม่ผิดแน่   


   ถ้าพี่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ผมคงไม่ได้อยู่แล้ว ผมบอกตัวเองเสมอว่าถ้าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ทุกคนตายเพราะฟ้าลดาจริงๆผมเองก็คงเจ็บปวดที่สุด ผมเองที่เป็นคนเริ่มเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมาเพราะว่า ตลอดเวลาที่ผมอยู่ข้างพี่ ผมรู้ตัวเองตลอดว่าพี่คงไม่ใช่คนที่จะหันมามองผู้ชายอย่างผม ผมพยายามทำตัวเองให้ไม่แตกต่างจากคนอื่นเพราะมีอาการชอบผู้ชายด้วยกัน ผมพยายามแข็งแกร่งเมื่ออยู่ข้างๆพี่ พี่บบอกผมตลอดว่าให้เรียกพี่กูมึงปกติได้เหมือนเพื่อน ผมพยายามทำมันเพราะคิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่พี่ชอบ ฟ้าลดา ตั้งแต่มีเธอเขามาในชีวิตของพี่มันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของผมว่า พี่กับผมมันไม่มีทางบรรจบกันได้เลย วันนั้นผมเองก็ขาดสติเพราะเห็นพี่ไปเที่ยวกับฟ้า ผมเลยสร้างเรื่องพาทุกคนไปข่มขืนฟ้าลดา แต่ผมไม่รู้ว่าเรื่องมันจะเลยเถิดมาได้ขนาดนี้ ผมไม่หวังว่าพี่จะยกโทษให้ผมหรอกครับ


สุดท้ายนี้หวังว่าพี่จะไม่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แต่ถ้าได้อ่านจริงๆ ผมขออย่างเดียวพี่อย่าเกลียดผมนะ
น้ำตาแห่งความผิดหวังในตัวน้องชายและน้ำตาแห่งการสูญเสียไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย ผู้คนที่นั่งอยู่ใกล้ดึงลุงเกรียงไกรเข้าไปสวมกอด


   “ มันจบแล้ว” เขาเอ่ยออกไปเพราะรู้ดีว่าน้องชายที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเขายืนอยู่ตรงหน้า


   “ ขอโทษครับ” สิ้นเสียงนั้นร่างของดนัยก็ค่อยๆสลายหายไปในอากาศทิ้งไว้เพียงความโศกาอยู่เบื้องหลัง


อีกมุมหนึ่งของศาลา คนที่มองเห็นดวงวิญญาณได้ก็ยิ้มออกและกันมาหาคนรักและเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกันเพื่อเป็นการคอนเฟิร์มว่าเรื่องมันจบแล้ว


   “ ลุงดนัยแกไปแล้วว่ะ”


   “ มึงพูดอะไรของมึงวะ กูยิ่งกลัวๆอยู่” เสียงของธนาโพล่งขึ้นมา


   “ จริงเหรอนนท์ มันจบแล้วสินะ”


   “ หวัดดีครับพี่นนท์ หวัดดีครับพี่จักร” คนที่มาใหม่ยกมือไหว้ลกๆอย่างไม่เคยชิน


   “ เป็นไงบ้างวะไม่ได้เจอนานเลยตั้งแต่ฟื้นแล้วใช่ไหม” ชยานนท์เอามือโอบไหล่ของรุ่นน้องให้เข้าไปหาโดยไม่รู้ว่ามีอีกคนอยู่ในนั้น


   “ มึงปล่อยมันเลย มันยังเจ็บอยู่ ไอ้โก้มึงมานั่งนี่” ปิติภัทรชี้ไปที่เก้าอี้ที่ว่างข้างๆตัวเอง


   “ อะไรวะ ทำไมมึงดูห่วงไอ้โก้จังเห็นแต่ก่อนกัดกันจะตาย” ธนาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถามขึ้น


   “ ปาร์คมันฝากให้ดูแลว่ะ”


   “ เหมือนมึงจะเครมมันมากกว่าดูแลนะ”


   “ พูดมากจังวะไอ้ปอนด์” ปิติภัทรบ่นออกมาอย่างหัวเสีย “ เรื่องของมึงเถอะ เป็นไงบ้างวะ แล้วแฟนมึงไปไหนเนี่ย”


   “ เต้มันไปช่วยดูความเรียบร้อยข้างในว่ะ” พอเริ่มพูดถึงคนรักของตัวเองใบหน้าที่ร่าเริงเมื่อครู่ก็หายไป “ ช่วงนี้เต้มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ดูมันเหมือนไม่ค่อยได้นอน บางครั้งมันก็ดูหงุดหงิด มึงจำที่กูเล่าให้ฟังที่ร้านเหล้าได้หรือเปล่าวะ” ทุกคนพยักหน้า “ ช่วงนี้มันก็ยังเป็นอยู่


   “ คุยอะไรกันอยู่เหรอ” คนที่กำลังถูกพูดถึงเอ่ยขึ้น


   “ จักร นนท์เห็น” เขาเอี้ยวตัวไปกระซิบที่ข้างหูของคนรัก นนท์เห็นเงาดำๆเดินตามเต้อยู่”





THE END
LIFE OR DEATH พบกันต่อใน IN MY DREAM




จบแล้วน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
บะบุยยยยย ไปไล่ตามกันในฝันนะ
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 27.5.19 บทส่งท้าย 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-05-2019 23:16:30
ดนัยเป็น.......  :a5:
ไปเรื่องหน้าโลด เผื่อได้เจอหลานก้อง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 27.5.19 บทส่งท้าย 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 06-06-2019 01:33:45
สนุกดีค่ะ
อยากให้มีตอนพิเศษเรื่องโก้
ต้องหาคู่หูยมฑูติคนใหม่
จะเป็นยังไงบ้าง
แล้วทำไมนนท์ถึงมีเซ้นต์เหมือนจักร?
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 27.5.19 บทส่งท้าย 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 10-06-2019 09:56:50
สนุกดีค่ะ
อยากให้มีตอนพิเศษเรื่องโก้
ต้องหาคู่หูยมฑูติคนใหม่
จะเป็นยังไงบ้าง
แล้วทำไมนนท์ถึงมีเซ้นต์เหมือนจักร?


เรื่องของนนท์จักร เรื่อง you saw me รักมากมายนายเห็นผีค่ะ อยู่ในธัญวลัย เคยลงในเล้าแล้วโดนลบไปค่ะ

http://www.tunwalai.com/story/290153/you-saw-me-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B5?page=1
หัวข้อ: Re: LIFE OR DEATH บันทึก(รัก)ยมทูต 27.5.19 บทส่งท้าย 100 %
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:24:05
 :pig4: