พิมพ์หน้านี้ - || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: BlueSora ที่ 06-08-2017 12:59:09

หัวข้อ: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 06-08-2017 12:59:09
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



|| THE MACHANICAL DOLL ||
ตุ๊กตาไขลาน


ติดตามการอัพเดทนิยาย ทวงถาม พูดคุยกันได้ที่แฟนเพจนะคะ ฝากด้วยค่ะ
FANPAGE (https://www.facebook.com/Bluesora28/)



PROLOGUE

ตุ๊กตาไขลาน... โบราณกาลกล่าวไว้ว่ามักจะถูกทำขึ้นด้วยมือ ผู้สร้างจึงมักใส่จิตวิญญาณในการทำลงไปด้วยเสมอ

ผู้ผลิตตุ๊กตาไขลานจากเนื้อไม้ฝีมือดีเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้ และวิคเตอร์ บรอมฟอร์ด เจ้าของร้านขายตุ๊กตาไม้ในชนบทแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ตุ๊กตาที่ตั้งโชว์อยู่บนชั้นวางแต่ละตัวล้วนถูกสร้างสรรค์มาด้วยความปราณีต รวมถึงตุ๊กตาไขลานขนาดเท่าคนจริงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าโยกตัวหนึ่งในร้าน มันกระพริบตามองดูผู้คนที่แวะเวียนมาอยู่อย่างสม่ำเสมอ มันเคยถูกเศรษฐีขอซื้อไปด้วยจำนวนเงินมูลค่ามหาศาลแต่วิคเตอร์กลับปฏิเสธที่จะขายมันไป ตุ๊กตาตัวนี้มีค่ามากกว่านั้นมากเพราะมันเป็นตัวแรกที่วิคเตอร์ใส่กลไกต่างๆ เข้าไปให้มันทั้งกระพริบตา ขยับแขนและขาได้ อีกทั้งยังเป็นตุ๊กตาที่ชิ้นส่วนภายนอกถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากเงิน

“อุล วันนี้มีคนเข้าร้านกี่คนกันนะ ได้นับบ้างหรือเปล่า” วิคเตอร์เอ่ยถามตุ๊กตาที่เปรียบดั่งคู่ทุกข์คู่ยาก ยามเขามีปัญหาก็มักจะได้อุลรับฟังเสมอโดยไม่ปริปากบ่นใดๆ

อุลเป็นเพียงตุ๊กตาไขลานที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกได้ดีเสมอ เวลาเด็กตัวน้อยผ่านมาแถวนี้ก็มักจะแวะเข้ามาเล่นด้วยเป็นประจำ เพียงเพราะเห็นดวงตาสุกใสสีหยกกระพริบมองราวกับเชิญชวน บางครั้งก็ยกมือขึ้นทักทาย ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อยเวลาที่มันได้จ้องมองดูเด็กเหล่านั้น

“เหนื่อยหน่อยนะ อุล” วิคเตอร์เอ่ยบอกกับตุ๊กตาไขลานเมื่อเห็นว่ามีเด็กเข้ามาห้อมล้อม เล่นด้วยมากมาย

วิคเตอร์เป็นชายชราวัย 83 ปี ที่ยังคงมีใจรักในการสร้างตุ๊กตาไม้และตุ๊กตาไขลาน เขาวางแผนจะเกษียณอายุตัวเองและกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายกับญาติผู้น้องในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ แต่ทว่าเวลาแค่เพียงครึ่งปีให้หลัง สุขภาพร่างกายของวิคเตอร์กลับทรุดหนักลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามที่จะสรรสร้างผลงานอันเป็นที่รักต่อไป จวบจนกระทั่งแรงที่จะจับสิ่วจับค้อนสร้างผลงานนั้นค่อยๆ หายไปไม่เหมือนเคย

“อุล... ถ้าฉันไม่อยู่แล้วจะทำยังไง”

วิคเตอร์รู้ว่าถามออกไปอย่างไรตุ๊กตาไขลานตัวนี้ก็คงไม่ตอบ

“อุล ถ้านายเป็นคน ฉันก็อยากได้ยินความในใจของนายนะ”

อุลเป็นตุ๊กตาไขลานที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้วและทุกๆ สามเดือนจะต้องทำการไขลานหนึ่งครั้งเพื่อต่อชีวิตให้มันได้ขยับเขยื้อนร่างกายต่อไป วิคเตอร์ไม่อยากให้มันตายไปพร้อมกับเขา ยังอยากให้เจ้าตุ๊กตาไขลานตัวนี้ได้อยู่ดูความเปลี่ยนแปลงที่งดงามของโลกใบนี้ต่อไป แต่ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลก อาการของวิคเตอร์ทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจกลับมาเปิดร้านได้อีกครั้ง ตุ๊กตาไขลานยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าโยกโดยได้แต่เฝ้ารอเจ้านายผู้สร้างมันขึ้นมาอย่างมีความหวังว่าร้านนี้จะเปิดต้อนรับลูกค้าในสักวันหนึ่ง

ผ่านไปวันแล้ววันเล่า
จากหนึ่งวัน ... เป็นสองวัน
จากสองวัน ... เป็นสัปดาห์
จากสัปดาห์ ... กลายเป็นเดือน

ร้านขายตุ๊กตาของวิคเตอร์ บรอมฟอร์ดยังคงเงียบสงัดและไร้วี่แววของเจ้าของร้าน มันเป็นความเงียบที่แฝงไปด้วยความเศร้าที่เหล่าตุ๊กตาทุกตัวสัมผัสได้ การหายไปอย่างเงียบงันของผู้เป็นเจ้าของไม่ต่างอะไรจากคำบอกลา จนกระทั่งเสียงกระดิ่งที่ประตูร้านดังขึ้น

“เฮเลน ไม่วิ่งนะลูก หนูคงไม่อยากทำให้คุณปู่วิคเตอร์โกรธหรอกใช่ไหม”

หญิงวัยกลางคนกำลังพูดเตือนลูกสาววัยกำลังอยากรู้อยากเห็นไม่ให้วิ่งไปไหน เธอรู้ว่าพ่อของเธอนั้นรักตุ๊กตาไม้และตุ๊กตาไขลานพวกนี้เท่าชีวิต ไม่อย่างนั้นคงไม่เขียนจดหมายและสั่งเสียก่อนสิ้นใจให้เธอนำมาอ่านให้กับตุ๊กตาพวกนี้ได้ฟัง

“แม่คะ ตุ๊กตาสีเงินตรงนั้นเหมือนคนเลย”

เด็กน้อยชี้ไปยังตุ๊กตาไขลานตัวหนึ่งขนาดเท่าคนจริงกำลังนั่งหันหน้ามองตรงมาทางที่พวกเธอยืนอยู่ แววตาสีหยกคู่นั้นสะท้อนความหวังอันเปี่ยมล้นว่าสักวันหนึ่งวิคเตอร์จะกลับมาเปิดร้านนี้ได้อีกครั้ง มันรอคอยที่จะได้เล่นกับพวกเด็กๆ จะแย่แล้ว

“อุล ตุ๊กตาตัวนั้นชื่ออุลจ๊ะ คุณปู่น่ะรักอุลมากเลยนะ”

“รักอุลมากกว่าหนูอีกเหรอคะ” เด็กน้อยทำเสียงตัดพ้อ จ้องมองดวงตาสีหยกที่เหมือนจะกำลังมองเธออยู่ด้วยเช่นกัน

“เด็กน้อย... คุณปู่จะรักตุ๊กตามากกว่าหลานแท้ๆ ได้ยังไงล่ะจ๊ะ ที่มากกว่าอาจเป็นความผูกพัน ทั้งชีวิตของคุณปู่หลังจากที่ย่าเสียไปตั้งแต่ยังสาวก็มีแต่ตุ๊กตาพวกนี้นี่แหละที่อยู่กับคุณปู่ตลอด ลูกน่ะเพิ่งจะห้าขวบเองนะ แต่อุลและตุ๊กตาพวกนี้อยู่มาก่อนลูกจะเกิดเสียอีก”

เฮเลนพยักหน้าเข้าใจแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักของอุล

“หนูต้องเรียกว่าพี่อุลใช่ไหมคะ แม่”

เจนีวา ผู้เป็นแม่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ เธอหยิบจดหมายฉบับหนึ่งที่วิคเตอร์กำชับอย่างหนักแน่นว่าต้องมาอ่านให้กับตุ๊กตาเหล่านี้และอุลได้ฟัง

“อุล... ฉันชื่อเจนีวา เป็นลูกสาวของวิคเตอร์ คนที่สร้างเธอขึ้นมา ฉันจะอ่านจดหมายฉบับหนึ่งที่พ่อฉันเขียนขึ้นมาให้เธอได้ฟัง

เจนีวาคลี่จดหมายจากผู้เป็นพ่อที่เขียนเอาไว้ตอนอยู่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อนจะสิ้นลมหายใจออกอย่างช้าๆ พอได้เห็นลายมืออันคุ้นตาแล้วแทบใจสลาย

“อุล เมื่อเธอได้เห็นลูกสาวฉันพร้อมกับจดหมายฉบับนี้ ขอให้รู้ว่าฉันได้ออกเดินทางไปยังที่ที่แสนห่างไกลและไม่อาจกลับมาพบกับเธอได้อีก”

เจนีวานิ่งเงียบไป แค่คำว่าตาย พ่อของเธอก็ยังอุตส่าห์ประดิดประดอยคำพูดสวยหรูได้ถึงขนาดนี้ราวกับจะกลัวว่าหากตุ๊กตาเหล่านี้รวมถึงอุลได้ฟังแล้วจะใจสลาย ดูเหมือนวิคเตอร์จะใส่ใจความรู้สึกของตุ๊กตาพวกนี้มากมายเหลือเกิน

“ขอบคุณนะ อุล ที่อยู่ด้วยกันมาตลอดยี่สิบปี คอยรับฟังเรื่องราวของฉันโดยไม่ปริปากบ่นใดๆ ขอบคุณที่ทุกครั้งที่ฉันหันไปมอง เธอจะคอยส่งยิ้มและโบกมือทักทายให้ฉันเสมอ ตลอดเวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันนั้นเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุดในชีวิตของฉัน ถ้าหากความปรารถนาของฉันเป็นจริงได้ก็อยากให้เธอได้มีชีวิตและใช้มันต่อจากนี้ไปอย่างมีความสุข”

เจนีวาหยุดพูดและมองดูใบหน้าของตุ๊กตาไขลานที่เพียงเสี้ยววินาทีเหมือนเธอจะเห็นน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่ที่ดวงตาสีหยกคู่นั้น

“ฉันรู้... ฉันรู้ว่ามันคงไม่มีพรใดที่จะทำให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตกลายเป็นสิ่งที่มีชีวิตได้ แต่ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิตมาตั้งแต่แรก อุล... คือสมบัติอันล้ำค่าของครอบครัวฉันและเป็นดั่งลูกที่ฉันรักมากที่สุด”

เจนีวาเว้นจังหวะ มองดวงตาสีหยกที่ดูจะเศร้าหมองลงถนัด ริมฝีปากที่เคยแย้มยิ้มตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเห็น ทำไมตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ยิ้มเหมือนคราวแรกเลยราวกับมันมีความรู้สึก รับรู้ได้ถึงการจากไปของวิคเตอร์

“นายอยู่ที่นี่อาจจะเหงา ฉันจะให้ลูกสาวฉันรับนายกลับไปอยู่ที่บ้านนะ นายคือครอบครัวของฉันนะ อุล ด้วยรักตราบชั่วนิจนิรันดร์ วิคเตอร์”

เจนีวาเก็บจดหมายใส่กระเป๋า กวักมือเรียกลูกสาวให้ลงมาจากตักของอุล

“อีกสองวัน ฉันจะกลับมารับนะ”

เจนีวาจูงมือลูกสาวตัวน้อยเดินจากอุลมาได้ไม่ไกล ลูกสาวอย่างเฮเลนก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “แม่คะ ทำไมตัวพี่อุลถึงได้อุ่นจังเลยคะ”

“คงเป็นเพราะไออุ่นจากตัวลูกล่ะมั้ง”

‘ขอบคุณนะ’   

คำขอบคุณที่ไม่มีใครได้ยิน
น้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงสีหยกอันเศร้าหมอง
ความเสียใจที่ท่วมท้นพรั่งพรูออกมาไม่จบสิ้น
ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรับรู้ เว้นเพียงแต่ตุ๊กตาที่ยังคงอยู่ในร้านของวิคเตอร์


** ติดตามตอนต่อไป **

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || บทนำ ** 2017.08.06 **
เริ่มหัวข้อโดย: arjanlai ที่ 06-08-2017 13:11:54
แค่เปิดเรื่องมาก็ดูดีมากครับ ใช้ภาษาได้สวยงามจริงๆ อยากอ่านต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || บทนำ ** 2017.08.06 **
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 06-08-2017 13:17:02
บรรยายได้ดีมากเลยค่ะ เราถึงกับน้ำตาซึม
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || บทนำ ** 2017.08.06 **
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-08-2017 13:35:17
น่าติดตามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || บทนำ ** 2017.08.06 **
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 06-08-2017 14:39:15


ตั้งตารอติดตามเลยค่ะ ^_^

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || บทนำ ** 2017.08.06 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-08-2017 16:49:59
ตามรอย Malimaru มาค่ะ

ชอบมากกกกกกก  สำนวนภาษาสละสลวย ไม่เห็นคำผิดเลย

ติดตามและให้กำลังใจค่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || บทนำ ** 2017.08.06 **
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 06-08-2017 19:53:50
ติดตามม :katai5:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || บทนำ ** 2017.08.06 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 06-08-2017 20:16:32
เรื่องราวน่าสนใจมากเลยค่ะ แค่เริ่มก็อินแล้ว อ่านไปน้ำตาไหลๆป  :mew4:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || บทนำ ** 2017.08.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 07-08-2017 20:50:39
ตอนที่ 1

ร้านดอกไม้อุ่นไอรักเป็นร้านที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนมานานถึงสี่สิบปี ชื่อร้านถูกตั้งขึ้นให้คล้องจองกับชื่อเจ้าของร้านอย่างอุล บรอมฟอร์ดหรือที่คนในครอบครัวปัจจุบันเรียกว่า ‘ไออุ่น’

ถ้าจะให้ย้อนความว่าเพราะเหตุใดก็คงต้องย้อนไปยังช่วงก่อนหน้านี้ราวๆ เกือบร้อยปี หลังจากที่วิคเตอร์เสียชีวิตลง อุลก็ถูกพาไปอยู่กับครอบครัวใหม่ซึ่งเป็นครอบครัวของเจนีวาที่เป็นลูกสาวคนเล็กของวิคเตอร์ อาศัยอยู่ในเมืองใหม่ พบผู้คนใหม่และบรรยากาศของความเป็นเมืองหลวงที่อึกทึกครึกโครม

เฮเลนมักจะเข้ามาเล่นกับอุลเสมอจนเกิดเป็นความรักและความผูกพันระหว่างมนุษย์กับตุ๊กตาไขลาน เมื่อไรไม่รู้ที่ความคิดหนึ่งผุดเข้ามาในหัวสมอง มันอยากให้ความปรารถนาครั้งสุดท้ายของวิคเตอร์กลายเป็นความจริงจึงคอยเฝ้าอธิษฐานต่อพระจันทร์และดวงดาวทุกค่ำคืน

จนเวลาผ่านไปนานหลายปี คำอธิษฐานของมันก็เป็นจริง มันได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขยับเขยื้อนร่างกายได้ พูดได้ หากแต่ร่างของมันยังคงเป็นดั่งเช่นแรกเริ่ม สิ่งแรกที่อุลทำคือการลูบหัวเฮเลน ไม่มีใครในครอบครัวบรอมฟอร์ดรังเกียจที่มันทำได้มากกว่าการเป็นตุ๊กตาไขลานธรรมดา ทุกคนกลับรักและดูแลมันราวกับสมบัติอันล้ำค่าเพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่วิคเตอร์รักสุดหัวใจ

หลังจากที่เฮเลนเรียนจบมหาวิทยาลัยได้พักใหญ่ เธอก็แต่งงานและย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่ประเทศไทย ในขณะนั้นอุลสามารถพูดได้ เดินได้เหมือนดั่งเช่นมนุษย์คนหนึ่ง หากแต่ร่างกายยังคงทำจากเงิน เฮเลนพาอุลมาด้วยและตั้งชื่อให้ใหม่ว่าไออุ่น

ห้าปีให้หลัง... เฮเลนได้ให้กำเนิดลูกชายและตั้งชื่อว่าสเตซี่ อุลได้รับโอกาสให้คอยเลี้ยงดูสเตซี่แทนเธอและสามีที่เอาแต่โหมงานหนักเพื่อต้องการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว และอาจจะเพราะความผูกพันอันใกล้ชิดระหว่างมนุษย์กับตุ๊กตาไขลาน ผิวของอุลจึงเริ่มเหมือนมนุษย์เข้าไปทุกทีจนท้ายที่สุดก็ดูเหมือนคนปกติทั่วไปโดยที่ภายในร่างกายยังคงทำงานด้วยกลไกเครื่องจักร

 เมื่อสเตซี่โตขึ้น เฮเลนได้เปิดร้านดอกไม้ให้เป็นของขวัญเพราะเธอกลัวว่าอุลจะเหงา อุลดูมีความสุขกับการอยู่ท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้ หลังจากนั้นไม่นาน สเตซี่ก็แต่งงานกับสาวไทยและมีลูกชายหนึ่งคน เขาให้อุลเป็นคนตั้งชื่อให้กับเด็กคนนั้น และชื่อนั้นก็คือ ‘เบฟ’



เสียงกระดิ่งตรงประตูร้านดังขึ้นบ่งบอกให้เจ้าของร้านดอกไม้ได้รู้ว่ามีแขกมาเยือน ไออุ่นเดินออกมาจากหลังร้านเพื่อต้อนรับลูกค้ารายที่สามของวัน เขาส่งยิ้มทักทายเป็นอันดับแรกแต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยตอบกลับมา
 
“สวัสดีครับ จะรับดอกไม้แบบไหนดีครับ”

“ช่อลิลลี่สีขาว”

“ครับ รอสักครู่นะครับ”

ไออุ่นเดินไปเปิดประตูตู้แช่ หยิบเอาดอกได้เมืองหนาวอย่างดอกลิลลี่ออกมา ใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่งก้านและวางมันไว้บนโต๊ะ หยิบกระดาษสาออกมาพร้อมกับกระดาษฉลุลวดลายวางไว้บนโต๊ะเช่นกัน

“กลับมาแล้วครับ ป๊ะป๋า!”

เสียงที่ดังกว่ากระดิ่งของร้านไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าเป็นเสียงของเบฟ ลูกชายของสเตซี่ที่ยกให้ไออุ่นเป็นคุณพ่อทูนหัว เขาเกาะติดไออุ่นมากกว่าพ่อแม่ที่แท้จริงเสียอีก

“เบฟ!” ไออุ่นทำเสียงเข้ม ดุลูกชายตัวน้อยของเขาที่ส่งเสียงดังรบกวนลูกค้าที่นั่งรอรับช่อดอกไม้อยู่ภายในร้าน

เบฟเป็นเด็กผู้ชายที่น่ารัก หน้าตาจิ้มลิ้มคล้ายกับผู้เป็นแม่มากแต่ถึงอย่างนั้นเวลาที่เจ้าตัวทำท่าขรึมก็ดูค่อนข้างจะหล่อเหลาเอาการ ดวงตาสีฟ้าครามได้พ่อ สูงร้อยเจ็ดสิบสองเซนติเมตรแต่ก็ยังเตี้ยกว่าไออุ่นอยู่ถึงห้าเซนติเมตร

“ขอโทษครับ พี่อุ่น”

เบฟทำหน้าหงอยแล้วเปลี่ยนสรรพนามเรียกไออุ่นเสียใหม่ ด้วยเพราะอายุที่ดูจากภายนอกแล้วน่าจะใกล้เคียงกันแม้ว่าความจริงแล้วไออุ่นจะมีอายุมากกว่าเกือบจะร้อยปีก็ตาม ไออุ่นไม่อยากให้ใครสงสัย ไม่อยากให้ใครซักไซ้ว่าเพราะอะไรถึงได้เรียกไออุ่นว่าป๊ะป๋า

“มานี่” ไออุ่นกวักมือเรียกให้เบฟเดินเข้ามาหาแล้วเอื้อมมือออกไปยีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเบาๆ อย่างรักใคร่เอ็นดู

“พี่อุ่นไปพักเถอะครับ เดี๋ยวเบฟทำเอง”

“ไม่เป็นไรหรอก ใกล้เสร็จแล้ว”

“พี่อุ่น...”

เบฟถึงกับขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าร่างกายของไออุ่นเริ่มมีปัญหา ฟันเฟืองบางตัวเริ่มบิดเบี้ยวแต่เจ้าตัวกลับทำเหมือนว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังหาอะไหล่มาทดแทนไม่ได้ ไออุ่นก็จะกลายเป็นเพียงตุ๊กตาไขลานมีชีวิตที่ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้อีกต่อไป

เสียงกระดิ่งที่ประตูร้านดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็นคนที่ทั้งไออุ่นและเบฟรู้จักดี เขาเป็นลูกชายของเจ้าของร้านขายอะไหล่ อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าไออุ่นเป็นตุ๊กตาไขลาน บางครั้งเขาก็แวะมาเพื่อช่วยซ่อมในส่วนที่จัดการยาก

“พี่อุ่น อะไหล่ที่พี่ต้องการหายากมาก”

“ขอบใจนะ พีท”

“พี่อุ่นจะเปลี่ยนเลยไหม เดี๋ยวผมช่วย”

“หยุดเลย! พี่พีท ป๊ะป๋าของเบฟ เบฟจัดการเอง”

เบฟกระโดดเข้ากอดไออุ่นจากทางด้านหลังในขณะที่ไออุ่นกำลังจัดการมัดเชือกเป็นลำดับสุดท้าย

“เบฟ!”

ดูท่าว่าไออุ่นคงต้องดุเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นคงได้เรียกเขาว่าป๊ะป๋าทั้งวันแน่ เห็นลูกค้าที่นั่งรอมองมาด้วยแววตาที่มีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมดแล้วไม่รู้จะอธิบายยังไงดีถ้าเขาเกิดถามขึ้นมา

“ขอโทษครับ”

เบฟยื่นมือออกไปขอรับอะไหล่ที่พีทไปควานหามาให้ อะไหล่ของไออุ่นนั้นหายากจริงๆ กว่าจะตามหามาได้แต่ละชิ้นก็ใช้เวลาอยู่มาก บางชิ้นถึงกับต้องสั่งผลิตขึ้นมาใหม่เพราะสมัยนี้อะไหล่แบบนั้นหาไม่ได้อีกแล้ว ไออุ่นเองก็รู้ดีว่าวันสุดท้ายของการได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ใกล้เข้ามาทุกที

พีทส่งอะไหล่สองชิ้นไปให้กับเบฟที่ยื่นมือมารอก่อนจะหันไปบอกกับไออุ่นว่า “พี่อุ่นมีอะไรก็โทรมาเรียกได้ตลอดนะครับ” ไออุ่นพยักหน้ารับ พีทถึงได้เดินออกจากร้านไป

“ขอโทษนะครับที่ปล่อยให้รอนาน ช่อดอกไม้ที่สั่งไว้เรียบร้อยแล้วครับ”

ไออุ่นหยิบช่อดอกไม้ช่อนั้นขึ้นมา ตั้งใจจะเดินเอาไปส่งให้กับลูกค้าแต่แค่ก้าวไปไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดนิ่ง อะไหล่บางชิ้นในร่างกายคงจะติดขัดฝืดเคืองเข้าเสียแล้ว ได้เวลาใช้น้ำมันหล่อลื่นเสียหน่อยแต่ตอนนี้แค่ก้าวขาเดินไปให้ถึงลูกค้าที่นั่งรออยู่ยังยากลำบาก

“พี่อุ่นเอามาครับ เดี๋ยวเบฟเอาไปให้ลูกค้าเอง”

ไม่อยากตอบรับแต่ไออุ่นไม่มีทางเลือก เขายอมส่งช่อดอกลิลลี่ไปให้กับลูกชายแล้วเอี้ยวตัวไปหยิบการ์ดใบเล็ก จากลิ้นชักที่อยู่ใกล้ตัวยื่นไปให้กับเบฟพร้อมปากกาเผื่อว่าลูกค้าอยากจะเขียนข้อความเสียหน่อย เขายืนรออยู่กับที่ แค่ขยับขายังยาก การจะเดินออกไปจากที่ตรงนี้เพื่อไปนั่งพักบนเก้าอี้ด้วยการเดินแบบคนปกติคงไม่ง่ายนัก

เบฟจัดการส่งช่อดอกไม้พร้อมกับการ์ดและปากกาไปให้ลูกค้าเผื่อว่าลูกค้าอยากจะเขียนข้อความอะไรเพิ่มเติม

“ขอบคุณครับ เท่าไรครับ”

น้ำเสียงของลูกค้าที่ใช้พูดกับเบฟ ไออุ่นรู้ว่ามันช่างแตกต่างกับตอนที่พูดกับเขา คำพูดของลูกค้าคนนั้นในตอนนี้มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แววตาที่ใช้มองลูกชายของเขามันมีแต่คำว่ารัก ถ้าเขาคาดการณ์ไม่ผิดแล้วล่ะก็การเข้ามาในร้านนี้ไม่ใช่แค่ต้องการมาสั่งช่อดอกไม้แต่ต้องการเจอกับเบฟ

“แปดร้อยครับ”

ลูกค้ายื่นแบงค์สีเทาให้กับเบฟก่อนจะรับช่อดอกไม้นั่นเอาไว้แล้วเดินตรงมาที่ที่ไออุ่นยืนอยู่ ชายที่เป็นลูกค้าสบตาเข้ากับดวงตาสีหยกแล้ววางช่อดอกลิลลี่ไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้านไป ไออุ่นรู้ว่ามันหมายความว่าอะไร เพียงแต่ลูกชายเขาจะรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังถูกผู้ชายด้วยกันจีบอยู่

“อะไรอ่ะ ป๊ะป๋า~ ตังค์ทอนก็ไม่เอา ดอกไม้ก็ไม่เอา ประหลาดคน”

“ก็เขาให้เบฟไง”

“ให้เบฟเหรอ ให้ป๊ะป๋ามากกว่า เมื่อกี้เห็นจ้องตากันด้วย”

ไออุ่นได้แต่ยิ้ม ดอกลิลลี่ช่อนั้นมันไม่มีทางเป็นของเขาไปได้

“เบฟ พาป๊ะป๋าเข้าหลังร้านที”

เด็กหนุ่มวิ่งเข้าไปเปลี่ยนป้ายหน้าร้านเป็นคำว่า ‘CLOSE’ แล้วค่อยๆ พยุงกึ่งแบกร่างของตุ๊กตาไขลานเข้าไปที่หลังร้าน ไออุ่นต้องกระโดดกระต่ายขาเดียวเหมือนคนพิการแต่อันที่จริงก็แค่ข้อต่อตรงสะโพกด้านซ้ายมันฝืดเลยทำให้ขยับลำบาก หยอดน้ำมันหล่อลื่นลงไปนิดหน่อยก็กลับมาใช้การได้เป็นปกติแล้ว

“ให้เบฟช่วยไหม”

“ไม่ต้องหรอก ป๊ะป๋าทำเองได้ เบฟขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”

ไออุ่นไล่ให้เบฟขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แค่หยอดน้ำมันหล่อลื่นไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ เขาทำมันเองมาตลอดอยู่แล้ว แม้แต่การเปลี่ยนอะไหล่บางส่วนของร่างกาย ไออุ่นก็ต้องทำมันด้วยตัวเองตั้งแต่แรกเพราะทั้งเฮเลนและสเตซี่ไม่มีใครเชี่ยวชาญด้านนี้เลยสักคน

มือเพรียวบางดึงกางเกงของตัวเองลงแล้วกดไปบนสะโพกแรงๆ สิ่งที่ห่อหุ้มเครื่องกลข้างในอยู่ก็เปิดออก ดวงตาสีหยกมองดูสภาพภายในร่างกายของตัวเองแล้วต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แม้เขาจะถูกสร้างขึ้นจากเงินแต่มันก็เป็นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น ส่วนข้างในก็ทำจากทองเหล็กธรรมดาที่ชิ้นส่วนบางอย่างก็ผุพังลงไปตามกาลเวลา

ไออุ่นไม่อยากให้เบฟเห็นเขาในสภาพนี้



ผ่านมาสองวันแล้วตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์ฟันเฟืองบางตัวในร่างกายของไออุ่นเกิดอาการฝืด วันนี้ลูกค้าคนนั้นที่เคยทิ้งช่อดอกลิลลี่เอาไว้เดินเข้ามาในร้านอีกครั้ง ไออุ่นจำได้เพราะดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาก่อนออกจากร้านไป

“สวัสดีครับ วันนี้จะรับดอกไม้แบบไหนดีครับ”

“ลิลลี่สีขาว”

ไออุ่นยิ้ม ดอกลิลลี่อีกแล้ว

“คราวที่แล้วคุณลูกค้าก็สั่งลิลลี่สีขาว ผมจำได้”

ไออุ่นเดินไปเปิดประตูตู้แช่ หยิบเอาดอกลิลลี่สีขาวออกมา ช่อดอกไม้ที่ลูกค้าคนนั้นสั่งไว้คราวก่อนแต่ถูกทิ้งเอาไว้ เขาเก็บมันไว้ในตู้แช่อย่างดีเผื่อว่าลูกค้าคนเดิมจะย้อนกลับมารับมันกลับไปแต่น่าแปลก แทนที่เจ้าตัวจะมารับของเก่ากลับไปสั่งช่อใหม่ เขาจึงหวังว่าคราวนี้ลูกค้าคนนี้จะไม่ลืมทิ้งไว้อีกเหมือนคราวที่แล้ว

“ผมเก็บมันไว้ในตู้แช่อย่างดี หวังว่าวันนี้คุณลูกค้าคงรับมันกลับไปด้วยนะครับ”

“ไวน์”         

“ครับ คุณลูกค้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

“ผมชื่อไวน์”

ไออุ่นยิ้มให้ ผู้ชายคนนี้ดูท่าทางเป็นคนดุเพราะใบหน้าที่ไม่เคยยิ้มให้เขาเลย ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือเมื่อสองวันก่อน

“ผมชื่อไออุ่น จะเรียกผมว่าอุ่นก็ได้ครับ คุณไวน์”

ในขณะที่ไออุ่นกำลังหยิบกรรไกรเพื่อมาตัดแต่งกิ่งดอกลิลลี่สีขาว เขาก็รู้สึกเหมือนลานในตัวเริ่มเดินช้าลง เมื่อเช้าเบฟไม่ได้ไขลานให้เพราะรีบร้อนออกจากบ้านไปสอบคาบแรก และตัวเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเมื่อคิดว่าตามปกติแล้วลานในตัวจะเริ่มหยุดเดินจริงๆ ก็ตอนบ่ายสามโมง ยังไงตอนนี้ก็น่าจะพอมีเวลาทำช่อดอกลิลลี่ให้กับลูกค้าก่อนจะถึงเวลา

ไออุ่นรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย

“คุณไวน์รีบไปไหนไหมครับ”

“ไม่รีบ”

ไวน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แม้แต่ใบหน้าของไออุ่นก็ยังไม่มอง

“งั้น... รบกวนคุณไวน์รอสักครู่ได้ไหมครับ”

ไวน์ไม่ได้ตอบคำถามอะไร เขาทำเพียงแค่นั่งเฉยๆ เหมือนไม่ได้สนใจอะไรจริงจัง ไออุ่นเลยคาดเดาไปเองว่าอีกฝ่ายคงไม่ว่าอะไรหากเขาจะหายเข้าไปข้างหลังร้าน แต่ถึงไวน์จะไม่ยินยอม ไออุ่นก็ต้องเดินกลับเข้าไปข้างหลังร้านอยู่ดี ลานในร่างกายที่กำลังจะหยุดเดินคือระเบิดเวลาที่เตรียมนับถอยหลังรอเวลาระเบิด เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะทำอะไรไม่ได้อีก

“ถ้าคุณไวน์ไม่ว่าอะไร ผมขออนุญาตเข้าไปทำธุระที่หลังร้านสักครู่นะครับ”

ไออุ่นเดินเข้ามาที่ด้านหลังร้าน เขายืนอยู่ในมุมที่มั่นใจว่าเมื่อถูกมองมาจากทางหน้าร้านก็จะไม่เห็นเขายืนอยู่ เสียงลานที่เคลื่อนไหวไปในจังหวะที่ใกล้จะหยุดลงนั้นเด่นชัดในความรู้สึก เพียงแค่เอื้อมมือจะหยิบกุญแจที่คล้องอยู่ในสร้อยคอ ทุกอย่างก็หยุดนิ่งลง ลานสุดท้ายเคลื่อนมาถึงแล้ว... กึก!

‘แย่แล้ว’ เป็นคำแรกที่ปรากฏเข้ามาในหัวของไออุ่นก่อนที่จะนิ่งไปราวกับรูปปั้น

ไวน์เป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำทะมึนดูเป็นทางการ ใบหน้าคมคายค่อนไปทางฝั่งตะวันตก ดวงตาสีอำพันฉายแววเปล่งประกายเชิญชวนให้จ้องมอง เขานั่งรอเจ้าของร้านอยู่ที่ม้านั่งหน้าร้านอย่างกระวนกระวายใจมาเกือบสิบนาทีแล้ว ในความรู้สึกของเขาเองนั้นเจ้าของร้านไม่ควรปล่อยร้านทิ้งไว้ให้กับลูกค้าเพียงลำพังคนเดียวนานขนาดนี้

“อุ่น”

“....”

“คุณอุ่นครับ เป็นอะไรหรือเปล่า”

“....”

ความเงียบที่เป็นคำตอบให้ไวน์ทำให้เขาคิดว่ามันคงมีอะไรเกิดขึ้นข้างหลังร้านนั่นแน่ แต่กลับสองจิตสองใจ ลังเลที่จะก้าวเข้าไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ปล่อยเวลาให้ผ่านไปได้สักพักก็รู้สึกเหมือนท่าจะไม่ดี เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากม้านั่งเพื่อเข้าไปดูคนที่อยู่ข้างใน คนๆ นั้นอาจกำลังต้องการความช่วยเหลือแต่เพียงแค่เขาก้าวเดินออกไปยังไม่ถึงครึ่งทาง เสียงกระดิ่งที่บานประตูก็ดังขึ้น เขาหันกลับไปมองและพบว่าผู้ที่เดินเข้ามาในร้านคือน้องชายของเจ้าของร้าน

“ป๊ะป๋า เอ่อ... ไม่สิ พี่อุ่นล่ะครับ”

“อยู่ข้างในครับ ผมกำลังจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นหายไปนาน”

“นาน? นานขนาดไหน”

น้ำเสียงของเบฟฟังดูร้อนรน เขาอยากได้คำตอบว่ามันนานแค่ไหนเพราะจะได้เอาไปประกอบกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้แต่ดูเหมือนไวน์จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีสักเท่าไร

“ทำไมคุณถึงไม่ไปดูพี่ชายก่อนล่ะ”

“ตอบผมมาได้ไหมว่ามันนานแค่ไหนที่เขาอยู่ในนั้น”

“น่าจะสักยี่สิบกว่านาทีที่แล้ว”

เบฟก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองที่ตอนนี้บ่งบอกว่าเป็นเวลาบ่ายสองโมงครึ่งแล้ว ถ้าสำหรับคนทั่วไปมันก็ไม่มีอะไรแต่สำหรับตุ๊กตาไขลานอย่างไออุ่นนั่นคือเวลาที่บอกว่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้จะสั้นลงเรื่อยๆ

“ราวๆ บ่ายสองโมงสินะ เร็วกว่าปกติหนึ่งชั่วโมง”

เบฟพึมพำกับตัวเองเบาๆ เขารู้สึกไม่ค่อยดีนักกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ว่าอีกไม่นานวันที่ต้องกล่าวคำอำลาจะต้องมาถึง เขาหันไปคุยกับลูกค้าเพียงคนเดียวของร้านว่า “รบกวนคุณลูกค้าไปนั่งรอก่อนนะครับ เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเอง”

เบฟเดินเข้ามาข้างหลังร้าน เห็นไออุ่นยืนหันหลังให้ในสภาพที่นิ่งมาก แน่ล่ะ! ไออุ่นเป็นตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิต เมื่อลานหมดก็ย่อมต้องหยุดเดินเป็นธรรมดา แต่เบฟค่อนข้างจะหัวเสียไม่น้อยทั้งๆ ที่เขารีบโดดเรียนคาบต่อไปเพื่อกลับมาไขลานให้ทันเวลาแต่มันก็สายเกินไป ลานนั้นหยุดเดินไปแล้วแต่ไออุ่นไม่ได้ตาย เขาเพียงแค่... ทุกอย่างของร่างกายหยุดทำงานชั่วคราวเท่านั้น ถ้านำกุญแจที่คล้องคออยู่มาไขลานที่ด้านหลังก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

“แม้แต่อุ่นก็ยังไม่ทันเหรอครับ” น้ำเสียงที่เบฟใช้พูดกับตุ๊กตาไขลานฟังดูแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

“ผมไม่ทิ้งอุ่นหรอกนะ”

ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามโครงหน้าอันงดงาม

“ผมสัญญา จะดูแล ปกป้องอุ่นให้ดีที่สุด ตื่นได้แล้วครับ ที่รัก”

เบฟโอบกอดร่างที่สูงกว่าเอาไว้จากทางด้านหลัง เสียบกุญแจเข้าที่ช่องกลางหลังแล้วหมุนทวนเข็มนาฬิกาหนึ่งรอบ ดึงกุญแจออกแล้วคล้องมันไว้ที่คอของไออุ่นตามเดิม ถอยออกมาดูปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้น เปลือกตาบางค่อยๆ กระพริบอย่างช้าๆ เพียงแค่นั้นเขาก็รู้สึกโล่งใจมากแล้ว

“ป๊ะป๋า! เบฟดีใจจังครับที่ป๊ะป๋ากลับมา”

ไออุ่นยิ้มน้อยๆ ที่เห็นเบฟอยู่ตรงนี้ เขาเองก็ดีใจที่ได้กลับมา

“ป๊ะป๋าก็ดีใจครับ”

“ป๊ะป๋า เรื่องลานในตัวป๊ะป๋ามัน...”

“เบฟ ลูกค้าคนนั้นยังรออยู่ไหม”

ไม่ใช่ว่าไออุ่นไม่รู้ว่าเบฟต้องการจะพูดเรื่องอะไรแต่เพราะรู้ถึงยังไม่อยากให้พูดถึงตอนนี้ มันแค่ยังไม่ถึงเวลา

“อยู่ข้างหน้าร้านครับ เบฟบอกให้นั่งรอก่อน”

ไออุ่นพยักหน้ารับแล้วเดินไปหน้าร้าน เห็นไวน์นั่งรออยู่ที่ม้านั่งตัวเดิม มองตรงมาทางเขาแต่พอเห็นไออุ่นเดินมา เจ้าตัวก็รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ก็คงเป็นเพราะไม่ชอบหน้าเขาล่ะมั้ง

“ขอโทษด้วยนะครับที่ปล่อยให้รอนาน พอดีมีปัญหานิดหน่อย เดี๋ยวผมจะรีบจัดการให้ทันที”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

ไออุ่นทำหน้างง ผู้ชายคนนั้นกำลังคุยอยู่กับใคร เห็นมองออกไปทางนอกร้าน

“ถามผมหรือเปล่าครับ คุณไวน์”

“อืม”

“ไม่เป็นอะไรครับ”

ไออุ่นเห็นผู้ชายคนนั้นทำท่าทางโล่งอก ดูประหลาดคนดีแท้ ขนาดหน้าของเขายังไม่มองแล้วทำไมถึงได้ทำท่าทางโล่งใจอย่างนั้น แต่ก็ได้เพียงแค่คิดเมื่อลูกชายสุดที่รักเดินออกมาจากข้างหลังร้านแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เขา

“เบฟ วันนี้ไม่ไปทำรายงานกับเพื่อนเหรอ”

“ไม่ไปครับ เป็นห่วงพี่อุ่น”

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ไม่มีอะไรแล้ว นัดเพื่อนทำรายงานไว้ก็ไปเถอะ ไม่อยากให้ผิดนัดน่ะ”

“งั้น...” เบฟดูท่าทางคิดหนัก ใจน่ะเป็นห่วงแต่รายงานที่นัดกับเพื่อนว่าจะทำกันวันนี้ก็น่าห่วงไม่แพ้กัน “เอาเป็นว่าเบฟจะโทรให้พี่พีทมาอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกันนะครับ เบฟไม่อยากทิ้งให้พี่อุ่นอยู่คนเดียว”

“เอาแบบนั้นก็ได้”

ไออุ่นเองก็ไม่อยากทำให้เบฟเป็นห่วง ถึงการให้พีทมาอยู่เป็นเพื่อนจะเป็นทางแก้ของปัญหานี้แต่เขาก็ไม่อยากไปรบกวน แค่ให้ช่วยหาชิ้นส่วนอะไหล่ให้ มาคอยช่วยซ่อมแซมในส่วนที่มันชำรุดก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว
“งั้นเบฟไปก่อนนะครับ”

เบฟลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แต่ยังไม่วายมองดูไออุ่นด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“คุณไวน์รอสักครู่นะครับ ใกล้จะเสร็จแล้ว”

“ผมไม่รีบ”

ถึงไวน์จะไม่รีบแต่ไออุ่นก็ไม่กล้าปล่อยให้ลูกค้ารอนานมากกว่านี้แล้ว เขารีบลงมือทำช่อดอกลิลลี่ตามที่สั่งเอาไว้ให้เสร็จแต่ก็มีสิ่งที่นอกเหนือจากคำสั่งนั่นก็คือขนาดของช่อและความหรูหราเพื่อเป็นการขอโทษที่ทำให้ต้องเสียเวลารอนาน ในขณะที่ไวน์มองออกไปข้างนอกแต่ปลายหางตากลับเหลือบมองไออุ่นอยู่เป็นระยะ

กระดิ่งบนบานประตูร้านส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเบาๆ ไออุ่นเงยหน้าขึ้นมอง มีคนมาส่งดอกไม้ให้ตามที่โทรไปสั่ง เขาจึงวางมือจากช่อดอกไม้ของไวน์แล้วเดินไปเปิดประตูให้กว้างเข้าไว้เพื่อที่คนส่งดอกไม้จะได้แบกเข้ามาวางข้างในได้สะดวก

“ให้ผมวางไว้ตรงไหนดีครับ คุณอุ่น”

“หน้าตู้แช่เลยครับ เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง ขอบคุณมากนะครับ” ไออุ่นส่งยิ้มแล้วยืนรอเปิดประตูให้คนส่งดอกไม้

“คุณอุ่นใจดีจังเลยครับ แบบนี้แฟนคงรักตายเลย”

“ผมยังไม่มีแฟนหรอกครับ”

ไออุ่นตอบเสร็จก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน ดูความเรียบร้อยของช่อดอกไม้ที่ทำอยู่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนหยิบมันขึ้นมาส่งมอบให้กับคนที่สั่ง

“ช่อดอกไม้ที่สั่ง ได้แล้วครับ”

ไวน์มองช่อดอกไม้ที่ถูกยื่นมาตรงหน้าด้วยแววตาที่คล้ายกับแววตาที่ใช้มองเบฟในวันนั้น แต่ต่างกันที่น้ำเสียงที่ใช้พูด “ผมไม่ได้สั่ง”

“ครับ คุณไวน์ไม่ได้สั่ง ผมทำให้พิเศษแทนคำขอโทษที่ปล่อยให้ลูกค้าอย่างคุณไวน์รอนานครับ”

ไออุ่นยิ้มให้และยื่นมันไปใกล้กับไวน์มากขึ้น เขาอยากให้รับมันไว้แม้ว่าสิ่งที่เขาทำให้จะนอกเหนือคำสั่งไปเสียหน่อย

“เท่าไร”

ในที่สุด ไวน์ก็ยอมรับช่อดอกลิลลี่นั้นเอาไว้

“ฟรีครับ ผมทำให้คุณไวน์ฟรี”

“เท่าไร” ไวน์ทำเสียงเข้มถามอีกครั้ง

“หนึ่งพันบาทครับ แต่คุณไวน์ไม่ต้องจ่ายหรอกครับ คราวที่แล้วคุณไวน์ไม่ได้รับเงินทอนและครั้งนี้ผมก็ลดราคาให้คุณอีก ถือเป็นคำขอโทษที่ทำให้เสียเวลารอนะครับ”

ไออุ่นเดินตรงไปที่ตู้แช่หลังจากที่ไวน์ยอมรับช่อดอกลิลลี่ช่อนั้นไปแล้ว เขาหยิบดอกไม้ช่อเก่าที่ไวน์ไม่ได้รับไปตั้งแต่วันนั้นออกมา เอาไปมอบให้กับเจ้าของแม้มันจะไม่ได้สดเหมือนช่อดอกไม้ที่เขาเพิ่งจะทำให้ก็ตาม ไวน์ทำท่าจะไม่ยอมรับช่อดอกไม้ที่ถูกยื่นมาตรงหน้าช่อนั้น ไม่ใช่เพราะมันไม่สดเหมือนของทำใหม่แต่เป็นเพราะเขายกให้ไปตั้งแต่คราวที่แล้วต่างหาก

“ของคุณครับ”

“ขอเบอร์ติดต่อ”

“ครับ?” ไออุ่นทำหน้างง จู่ๆ ฝ่ายนั้นก็เปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ แต่พอตั้งสติได้ก็เดินไปหยิบนามบัตรของทางร้านที่โต๊ะมาให้โดยช่อดอกไม้ช่อเก่าก็ยังถืออยู่ในมือ “ผมมีแต่เบอร์ร้านนะครับ คุณไวน์”

“เบอร์มือถือล่ะ”

“ผมไม่มีหรอกครับ แต่คุณไวน์โทรเข้าเบอร์นี้ได้ตลอดเวลานะครับ ถ้าคุณไวน์ต้องการสั่งดอกไม้ล่วงหน้า”

ไวน์แอบยิ้มนิดๆ และในท้ายที่สุดดอกไม้ช่อเก่าก็ถูกรับเอาไว้พร้อมกับนามบัตรของทางร้านแต่ก่อนจะออกจากร้านไป เขากลับวางช่อดอกลิลลี่ที่ไออุ่นทำให้แบบพิเศษลงบนโต๊ะ

‘อีกแล้ว’
เป็นคำที่ไออุ่นนึกขึ้นในใจ ช่อดอกไม้ที่เขาทำให้ถูกทิ้งไว้ในร้านอีกแล้ว คราวนี้ดูเหมือนจะเป็นความตั้งใจของเจ้าตัวเสียด้วย


** ติดตามตอนต่อไป **


เราเห็นคอมเม้นท์แล้วดีใจมาก แอบมีมือสั่นหน่อยๆ ตอนโพสต์ด้วย
แบบว่า... กลัวอ่ะ กลัวว่าจะเขียนตอนต่อไปได้ไม่ดีเท่าที่ผู้อ่านคาดหวังไว้
แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะสำหรับทั้งคำคอมเม้นท์และการติดตาม

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 1 ** 2017.08.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-08-2017 21:13:32
ดูท่าไวน์จะมาจีบอุ่นนะ แล้วเบฟนี่ยังไงเอ่ย
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 1 ** 2017.08.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-08-2017 22:41:38
อ่านไปก็น้ำตาจะไหลไป ดูเหมือนนาฎกรรมอำลา
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 1 ** 2017.08.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 07-08-2017 23:16:42
สปอยล์ได้ไหมคะว่ามันจะจบแฮปปี้เอนด์ดิ้งหรือเปล่า ที่เราถามไม่ใช่ว่าเราจะทิ้งนะ เราแค่อยากจะทำใจไว้ก่อนT__T
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 2 ** 2017.08.13 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 13-08-2017 12:20:48
ตอนที่ 2

สองทุ่มคือเวลาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักปิดให้บริการ ไออุ่นกำลังเก็บกวาดสิ่งที่ทำให้ร้านดูรกและสกปรกเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้ต่างกันตรงที่ประตูเหล็กหน้าร้านยังไม่ถูกดึงลงมา เขาไม่ชอบการออกไปนอกร้านแม้ว่ามันจะน่าสนใจแค่ไหนก็ตามเพราะแค่ก้าวออกไปเพียงก้าวเดียว ใจก็กลัวว่าฝุ่นผงภายนอกร้านจะทำให้ชิ้นส่วนที่อยู่ภายในร่างกายสกปรกและนั่นมันก็ยากต่อการทำความสะอาด

เสียงครืดๆ ของแผ่นเหล็กที่เลื่อนลงมาดังขึ้น ไออุ่นที่กำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะอยู่ก็รู้ว่าพีทคงมาแล้วตามคำขอที่เบฟบอกว่าจะให้มาอยู่เป็นเพื่อนเพราะกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป

“พี่อุ่น กุญแจครับ” พีทชะโงกหน้าเข้ามาในร้าน ถามหากุญแจไว้ล็อคประตูเหล็กข้างหน้า

“อยู่ข้างกล่องใส่กรรไกร พีทเข้ามาหยิบได้เลย”

พีทเดินเข้ามาหยิบกุญแจออกไปจัดการล็อคประตูให้เรียบร้อยเพราะต่อให้มีถุงขยะอยู่ในร้าน ไออุ่นก็ไม่เดินเอามันออกไปทิ้งข้างนอกอยู่ดีและวันนี้เบฟก็ไม่กลับบ้าน ฉะนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเปิดประตูไว้เพื่ออะไร เขาเดินมาช่วยงานที่เหลืออยู่ของไออุ่น ต่อให้รู้ว่าไออุ่นไม่มีทางเหนื่อยแต่การปล่อยให้ชิ้นส่วนต่างๆ ในร่างกายทำงานหนักจนเกินไปก็จะยิ่งเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

“พี่อุ่นไปนั่งพักเถอะครับ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง”

“ไม่เป็นไรหรอก”

“ไปนั่งเถอะครับ ผมไม่อยากได้ยินเบฟโวยวายว่าผมดูแลพี่ไม่ดี”

โดนพีทไล่ให้ไปนั่งเฉยๆ แบบนี้ก็มีแต่ต้องจำยอม ไออุ่นไม่อยากให้เบฟต้องรู้สึกไม่สบายใจเพราะที่เป็นอยู่ตอนนี้เขาก็ไม่ต่างอะไรจากตัวภาระสักเท่าไร ทุกวันนี้ก็ต้องคอยให้เบฟไขลานให้ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วก็ทำเองได้ เบฟคอยช่วยซ่อมแซมอะไหล่บางส่วนให้ในที่ที่เขาไม่สามารถทำได้ด้วยสองมือของตัวเอง

“กินอะไรมาหรือยัง ให้พี่ไปทำให้ไหม”

“เรียบร้อยแล้วครับ พร้อมนอนเป็นเพื่อนพี่อุ่นแล้ว”

ไออุ่นยิ้มนิดๆ แต่ความจริงแล้วตุ๊กตาไขลานหลับไม่เป็นหรอกนะ

~ กริ๊งงงง กริ๊งงงงง กริ๊งงงงงง ~

เสียงโทรศัพท์ในร้านดังขึ้น ไออุ่นไม่มีโอกาสได้เดินไปรับเมื่อพีทรีบวางมือจากงานที่ทำอยู่แล้ววิ่งไปรับแทน เขาได้แต่มองภาพนั้นนิ่งๆ เป็นตุ๊กตาไขลานที่กำลังหมดอายุขัยนี่มันก็แย่เหมือนกันราวกับสิ่งที่เป็นอยู่คอยฉุดรั้งให้คนรอบข้างไม่ก้าวไปไหน คอยพะว้าพะวงว่าสักวันหนึ่งลานที่ไขอยู่เป็นประจำจะไขต่อไปไม่ได้อีก

“พี่อุ่น พอผมพูดด้วย เขาก็ไม่พูดอ่ะครับ”

“เขาคงกดผิดมั้ง”

พีทเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งข้างๆ ไออุ่นแล้วเอนหัวซบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

“ตัวพี่อุ่นไม่อุ่นเหมือนชื่อเลยนะครับ”

“ก็เพราะพี่เป็นตุ๊กตายังไงล่ะ”

“แต่พี่อุ่นเป็นตุ๊กตาไขลานที่พิเศษมากเลยนะครับ ผมล่ะแอบอิจฉาเบฟจัง”

~ กริ๊งงงง กริ๊งงงงง กริ๊งงงงงง ~

ไออุ่นยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงโทรศัพท์ของทางร้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปรับเอง

“สวัสดีครับ ร้านดอกไม้อุ่นไอรักครับ”

// ........ //

“ไม่ทราบว่าทางนั้นได้ยินไหมครับ”

// ........ //

“ถ้าไม่ตอบ ขออนุญาตวางสายนะครับ”

// ........ //

“ราตรีสวัสดิ์ครับ คุณไวน์”

ไออุ่นวางสายลง แอบอมยิ้มนิดหน่อย ถ้าถามว่าเขารู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายคือไวน์ ลูกค้าที่ชอบทิ้งช่อดอกไม้ที่เขาทำให้ถึงสองครั้งก็คงเพราะลูกค้าประจำของร้านที่รู้เบอร์โทรศัพท์จะไม่โทรเข้ามาหลังเวลาร้านปิดและวันนี้ไวน์ก็เพิ่งจะได้รับนามบัตรของทางร้าน แถมเขายังเป็นฝ่ายบอกเองว่าให้โทรมาหาได้ตลอดเวลา

“พี่อุ่นยิ้มอะไรเหรอครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก พีทจะเข้านอนหรือยัง พี่จะได้ไปเตรียมที่นอนให้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมนอนตรงม้านั่งนี่ก็ได้”

“พีท...”

ไออุ่นเรียกด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วฉุดให้พีทลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่

... กึก! …

ไออุ่นสะดุ้งนิดๆ เสียงทีได้ยินเมื่อครู่เหมือนจะเป็นข้อต่อที่หัวไหล่เคลื่อน มันคงแค่เคลื่อนแต่แขนข้างซ้ายของเขากลับขยับหรือหมุนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“พี่อุ่น!!”

พีทร้องลั่นร้าน เขารีบกุลีกุจอลุกขึ้นมาดูอาการด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าแค่ดึงร่างของเขาขึ้นจากเก้าอี้จะทำให้เป็นแบบนี้ไปได้

“ไม่เป็นไร พีทไปนอนเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

“ไม่ได้ครับ ถ้าเบฟรู้เข้าได้ฆ่าผมตายแน่”

พีทจัดการตรวจตราความเรียบร้อยที่หน้าร้านแล้วให้ไออุ่นเดินเข้าไปด้านหลังร้านเพียงลำพัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่ยอมลุกขึ้นมาดีๆ สุดท้ายแล้วก็ทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บตัวจนได้ ถ้าเบฟรู้เข้าคงโดนโกรธแถมอาจจะไม่ให้เขาเข้าใกล้ไออุ่นอีกเลย

ไออุ่นเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้หลังร้าน ถลกแขนเสื้อขึ้น กดตรงบริเวณหัวไหล่หนักๆ เพื่อเปิดมันออกดูกลไกและชิ้นส่วนที่อยู่ภายในว่ามีส่วนไหนได้รับความชำรุดเสียหาย ปรากฏว่าไม่มีความเสียหายที่น่ากังวลใจเท่าไร เพียงแต่ฟันเฟืองบางๆ ตัวหนึ่งบริเวณหัวไหล่บิดเบี้ยวเพียงเล็กน้อยจึงทำให้เขาขยับแขนไม่ได้ คงเป็นตอนที่ออกแรงดึงมากไปหน่อยเลยไปกระแทกเข้าไปกับส่วนอื่นของร่างกาย ยิ่งสภาพของมันดูเหมือนจะไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไรตามระยะเวลาที่ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชนด้วยแล้ว ไออุ่นหยิบคีมที่อยู่ในกล่องเครื่องมือเพื่อจะดัดให้มันกลับเข้าที่เหมือนเดิมแต่คีมที่เขาหยิบมากลับถูกแย่งไปจากมือ

“พี่อุ่นทำเองไม่ถนัดหรอกครับ ให้ผมทำให้ดีกว่า”

“ขอบใจนะ”

“ผมว่าถ้าโดนกระแทกอีกสักครั้งสองครั้ง เฟืองชิ้นนี้น่าจะหักได้ง่ายๆ เลย เอาเป็นว่าเดี๋ยวไว้กลับไปที่ร้านแล้วจะลองไปหาดูว่าพอจะมีมาเปลี่ยนได้ไหมนะครับ”

“พี่ทำให้ลำบากหรือเปล่า”

การที่จะหาอะไหล่ที่ถูกทำขึ้นเมื่อเกือบร้อยปีก่อนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บางชิ้นก็กลายเป็นของที่หาไม่ได้อีกแล้วในยุคสมัยนี้ บางชิ้นอาจถึงขั้นต้องพลิกแผ่นดินตามหา คงไม่มีใครพยายามทุ่มเทให้กับมันทั้งๆ ที่รู้ว่าทำไปแล้วตัวเองก็เหนื่อย
“ไม่เลยครับ หาอะไหล่ให้พี่อุ่นมันเป็นเรื่องท้าทายดี ผมชอบครับ”

พีทค่อยๆ ใช้คีมบิดฟันเฟืองตัวนั้นให้เข้ารูปอย่างเบามือที่สุด เพราะถ้าบิดแรงเกินไปล่ะก็โอกาสที่มันจะหักคามือมีสูงมาก

“เมื่อเช้าผมดูข่าวพยากรณ์อากาศ เขาบอกว่าพรุ่งนี้ฝนจะตกหนักมาก”

พรุ่งนี้ฝนจะตกหนักหรือแดดจะออก อากาศจะร้อนขนาดไหน สำหรับไออุ่นแล้วนั้นมันไม่เคยเป็นปัญหาเพราะเขาไม่เคยคิดที่จะออกจากร้านไปไหนอยู่แล้ว อาจมีบ้างที่เขารู้สึกเกลียดช่วงเวลาที่อากาศเย็นขึ้นเพราะมันมีโอกาสทำให้ชิ้นส่วนในร่างกายขึ้นสนิม

“ฝนตกทีไร ลูกค้าไม่ค่อยมาร้านทุกทีเลย”

ไออุ่นเฉไฉพูดเรื่องอื่นทั้งที่รู้ดีว่าพีทต้องการจะสื่ออะไร เด็กคนนี้ดูจะเป็นห่วงเขามากเกินไปแล้ว

“พี่อุ่น...”

“พี่รู้ๆ เอาเป็นว่าพี่จะไม่ทำให้ตัวเองชื้นก็แล้วกัน พีทชักจะเริ่มเหมือนเบฟเข้าไปทุกทีแล้วนะ” 

พีทได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ที่เขาเป็นห่วงขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะเบฟที่ทั้งฝากฝังและกำชับให้เขาดูแลอย่างดี ทิ้งท้ายด้วยคำขู่ที่ว่าถ้าไออุ่นเป็นอะไรแม้เพียงเล็กน้อย เขาได้ไปนอนเฝ้ายมบาลในโลกหน้าแน่ อีกส่วนก็คงเพราะเขาหลงใหลในดวงตาสีหยกกับรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นและความใจดีนั่นล่ะมั้ง

“เสร็จแล้วครับ งั้น... ผมไปนอนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้กลับไปหาอะไหล่ให้แต่เช้า”

“ขึ้นไปนอนที่ห้องพี่แล้วกันนะ นอนข้างล่างเดี๋ยวจะปวดหลังซะเปล่าๆ”

“แล้วพี่อุ่นจะนอนไหน”

“เดี๋ยวพี่นั่งข้างล่างนี่แหละ”

ไออุ่นดึงแขนเสื้อลงแล้วลองขยับแขนดู ปรากฏว่าหัวไหล่ซ้ายกลับมาขยับได้ตามปกติแล้วแต่ก็ยังวางใจไม่ได้

“พี่อุ่น ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

“อืม... ฝันดีนะ”

ไออุ่นนั่งอยู่ที่เดิม มองดูพีทเดินขึ้นไปข้างบนด้วยความอิจฉา ตุ๊กตาไขลานอย่างเขาไม่มีวันได้รู้จักกับคำว่านอนหลับ ไม่มีทางได้รู้จักกับคำว่าเลือดหรือความเจ็บปวดที่เกิดจากบาดแผลบนร่างกาย ต่อให้ต้องถูกตัดแขนตัดขาหรือร่างกายถูกทำลาย เขาก็ไม่มีวันรู้สึกอะไร เป็นได้แค่เพียงตุ๊กตาไขลายที่มีชีวิตแต่ไร้ความรู้สึก



เช้าวันต่อมา ไออุ่นเปิดร้านตามปกติโดยมีพีทคอยช่วยก่อนที่จะกลับไปยังร้านของตัวเอง

เช้านี้อากาศไม่ค่อยแจ่มใสเท่าไรนักตามคำพยากรณ์อากาศที่พีทบอกมา ท้องฟ้าดูอึมครึมแต่เช้า เมฆดำลอยมาแต่ไกล แม้แต่แสงของพระอาทิตย์ก็ยังส่องลงมาไม่ถึงพื้น ดูท่าว่าวันนี้พายุจะเข้ามากกว่าจะเป็นแค่ฝนตกหนักธรรมดา สภาพอากาศแบบนี้ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ เหงาหงอยไปตามๆ กัน แม้แต่ดอกไม้ในร้านก็ยังไม่สดชื่น

เสียงกระดิ่งที่ติดกับบานประตูดังขึ้นเบาๆ ไออุ่นที่กำลังพรมน้ำให้ดอกไม้หันไปดูต้นตอของเสียงที่เกิดขึ้น

“คุณไวน์ มารับช่อดอกไม้คืนเหรอครับ”

“เปล่า จะมาสั่ง”

“ถ้าอย่างนั้นช่วยนั่งรอสักครู่นะครับ ผมกำลังจัดร้านอยู่ แล้วจะรับเป็นดอกอะไร แบบไหนดีครับ”

ไวน์ยืนรออยู่ที่หน้าประตูร้าน ที่เขารีบมาตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดก็เพราะรู้ว่าวันนี้ฝนอาจจะตก เมฆดำตั้งเค้ามาแต่ไกล ถ้าไม่รีบมาล่ะก็ตัวเขาอาจติดฝนอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วแวะมาหาไม่ได้ เขาตอบคำถามนั้นแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่า “แบบที่อุ่นชอบ”

มือที่กำลังหยิบกระดาษห่อชะงักลงเมื่อได้ยินคำตอบนั้น วันนี้ผู้ชายคนนั้นมาแปลก เขาคาดว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าช่อดอกลิลลี่สีขาวเหมือนสองครั้งที่ผ่านมาเสียอีก

“ครับ?”

“ขอช่อดอกไม้ที่คุณคิดว่าเหมาะกับผม”

“อ๋อ! ครับ”

ไออุ่นรับคำ ครั้งแรกที่เขาได้ยินคือไวน์บอกว่าเป็นช่อดอกไม้ในแบบที่ไออุ่นชอบเลยลองถามให้แน่ใจก็กลับกลายเป็นว่าเขาเองที่หูฝาดไป อีกฝ่ายแค่ต้องการช่อดอกไม้ที่เหมาะกับตัวเองเท่านั้นแต่จะหาดอกไม้ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของไวน์ดูจะเป็นเรื่องยากเพราะเขาแทบจะไม่รู้จักผู้ชายคนนี้เลย

ดอกกุหลาบสีชมพูถูกหยิบออกมาวางบนโต๊ะ ไออุ่นคิดว่าตัวเขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรในตัวผู้ชายคนนี้จึงคิดที่จะเลือกดอกไม้ในแบบที่ตัวเองชอบไปให้แทน อีกฝ่ายคงจะไม่ว่าอะไร เขาตั้งใจจะแซมด้วยดอกกุหลาบขาว มันจะได้ไม่ดูหวานเลี่ยนจนเกินไป

“คุณไวน์ จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะทำช่อดอกไม้ในแบบที่ผมชอบให้คุณแทน”

“ก็แล้วแต่สิ”

น้ำเสียงห้วนๆ ใบหน้าของไออุ่นก็ยังไม่มอง บอกได้เลยว่าตอนนี้ไออุ่นเริ่มจะชินขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นผู้ชายที่แปลก ลูกค้าที่แวะเข้ามาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักไม่เคยมีใครเป็นแบบนี้สักนิด ตลอดสี่สิบปีที่เปิดร้านมา พบผู้คนมากหน้าหลายตา หลากหลายนิสัยและความต้องการ ไวน์เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่เห็นแค่ครั้งแรกก็จำได้

“คุณไวน์ครับ ไม่ทราบว่าเมื่อวานได้โทรเข้าร้านหรือเปล่าครับ”

“เปล่า”

“เหรอครับ เห็นที... ถ้าเขาโทรเข้ามาอีกครั้ง ผมคงไม่พูดด้วยแล้วล่ะ”

ไออุ่นแอบมองดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เห็นท่าทางของไวน์ดูจะอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาบอกว่าจะไม่ยอมพูดด้วย ไออุ่นถึงกับยิ้มขำ เขาคาดเดาไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ ว่าคนที่โทรมาเมื่อวานจะเป็นไวน์

เปรี้ยง!!! ครืนนนนน ครืนนนนนนน

เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าบ่งบอกว่าอีกไม่นานท้องฟ้าคงเทน้ำลงมาโครมใหญ่

ไออุ่นมองออกไปข้างนอกร้าน สภาพอากาศแบบนี้ เขารู้สึกไม่ชอบมันเลยจริงๆ

“เดี๋ยวผมจะรีบทำให้เสร็จก่อนฝนจะตกนะครับ”

ในขณะที่ไออุ่นจัดแจงเรียงดอกไม้ให้เป็นช่อกลม สายฝนก็สาดกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าทันที เขาคงไม่จำเป็นต้องรีบอะไรแล้ว ต่อให้ทำดอกไม้ช่อนี้เสร็จ ไวน์ก็ออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี

“คุณคงไม่ต้องรีบแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น... ระหว่างที่คุณนั่งรอฝนซา ผมจะไปทำช็อคโกแลตร้อนให้นะครับ”

ไออุ่นละจากช่อดอกกุหลาบสีชมพูแล้วเดินเข้าไปหลังร้าน ในจังหวะนั้นประตูร้านก็เปิดออก กระดิ่งที่ติดตรงประตูสั่นไหวแรง เบฟที่ร่างกายเปียกปอนสาวเท้าเร็วๆ เข้ามาข้างใน ตรงดิ่งไปหาไออุ่นที่กำลังจะไปชงอะไรร้อนๆ มาให้กับไวน์

“อุ่น! เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“เบฟ...”

ไออุ่นเรียกเสียงอ่อน เขาไม่เคยเห็นเบฟทำท่าทางจริงจังมากขนาดนี้มาก่อน ชื่อของเขาที่ไม่มีแม้แต่คำนำหน้าหรือเป็นคำปกติที่เคยเรียกทำให้คิดได้ว่าคงมีเรื่องสำคัญอะไรแต่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่เป็นของเขาที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

“เราต้องคุยกันเดี๋ยวนี้”

“ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดหัวให้แห้งแล้วค่อยคุยกันได้ไหม”

“อุ่น...”

“ได้ไหม”

“กะ... ก็ได้”

เบฟตอบตกลงทั้งที่ไม่อยาก เขารีบกลับมาในขณะที่ฝนตกหนักราวกับพายุเข้าก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จิตใจว้าวุ่นร้อนรน อยากถามให้มันคลายความกังวล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ลานไขที่หมดก่อนเวลาหรือแม้แต่ความชำรุดเสียหายของอะไหล่แต่ละชิ้นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวลมีผลต่อการมีอยู่ของไออุ่น

ไออุ่นมองดูลูกชายที่รักให้แน่ใจว่าจะขึ้นไปอาบน้ำจริงดั่งว่า ที่เขายังไม่ต้องการพูดอะไรในตอนนี้ก็เพียงแค่อยากให้เบฟอารมณ์เย็นลงกว่านี้สักหน่อย การพูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่ครุกกรุ่นไม่สามารถทำให้อะไรดีขึ้นมาได้และอาจนำพาไปสู่การทะเลาะกันในที่สุด หลังจากนั้นจึงเดินไปเข้าไปหลังร้าน ชงช็อคโกแลตร้อนให้เสร็จเรียบร้อย

ไวน์นั่งรออยู่บนม้านั่งเดิม ครั้งนี้เขาไม่ได้ใส่สูทเหมือนที่ผ่านมาแต่มาในชุดลำลอง อันที่จริงแล้วไวน์ไม่ได้ต้องการอะไรมาก เพียงแค่อยากมาเห็นหน้าของใครบางคนที่อยู่ในร้านดอกไม้อุ่นไอรักเท่านั้น แต่ด้วยนิสัยของเจ้าตัวแล้วการที่ต้องพูดความรู้สึกหรือแสดงท่าทีออกมาตรงๆ ต่อหน้าคนที่ชอบนั้นเป็นเรื่องยาก

“ช็อคโกแลตร้อนมาแล้วครับ คุณไวน์”

“ขอบคุณ”

ไวน์รับแก้วช็อคโกแลตร้อนเอาไว้ กลิ่นหอมกรุ่นที่หลงลืมไปนานแล้วชวนให้น้ำลายสอ พักหลังๆ ตั้งแต่เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ใหญ่โตขึ้นก็มักจะเอาแต่จิบกาแฟมากกว่า ดวงตาสีอำพันเหลือบมองร่างสูงโปร่งที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำช่อดอกไม้อยู่เป็นระยะ พอถูกอีกฝ่ายมองกลับมาก็รีบเบือนหน้าหนีออกไปนอกร้าน เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งหลายคราว

“ถ้าคุณไวน์อยากจะมองก็มองเถอะครับ ผมไม่ได้ว่าอะไร”

“ผมไม่ได้อยากมองแค่อยากรู้ว่าเมื่อไรจะเสร็จ”

“ใกล้แล้วครับ ผมจะรีบเร่งมือนะครับ”

“พี่อุ่น”

ในขณะที่ไออุ่นกำลังจัดช่อดอกไม้ให้กับลูกค้านของร้านอยู่นั้นเบฟก็เดินเข้ามาแล้วโอบกอดร่างที่สูงกว่าจากทางด้านหลังโดยไม่แคร์สายตาของใครอื่นที่มองมา และดูเหมือนว่าหลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วใจของเขาจะเย็นลงบ้าง เบฟคิดทบทวนดูแล้วเขาเองที่เป็นฝ่ายผิด ไม่น่าทำเสียงแข็งเสียงเข้มใส่คนที่รักไปแบบนั้น

“เบฟขอโทษ”

ไออุ่นไม่ได้ว่าอะไร เขาเพียงแค่เอื้อมมือออกไปลูบหัวปลอบใจเพราะรู้ว่าที่ทำไปนั้นด้วยความเป็นห่วง

“วันนี้จะไปเรียนไหม”

“ไม่อยากไปแต่ต้องไปครับ มีเทสต์”

“อย่าลืมเอาร่มไปด้วยนะ”

เบฟพยักหน้านิ่งๆ ในขณะที่ยังโอบกอดไออุ่นไม่ปล่อย

“เบฟปล่อยก่อนครับ พี่ทำงานไม่ถนัดนะ”

ไออุ่นยังอยากให้เบฟกอดอยู่แบบนี้แต่เขามีงานที่ต้องรับผิดชอบรออยู่ ยิ่งถูกไวน์จ้องเขม็งอยู่แบบนั้นตั้งแต่ที่เบฟเดินเข้ามากอดแล้วคงต้องรีบเร่งมือจัดช่อดอกไม้ให้เสร็จก่อนที่ร่างทั้งร่างจะพรุนไปหมดเพราะถูกจ้องไม่วางตาอย่างนี้

“ไม่อยากปล่อยพี่อุ่นเลยครับ”

ไม่อยากปล่อยแต่จำต้องปล่อย ไออุ่นกำลังทำงานและฝนกำลังตกหนัก เขารู้ว่าผู้ชายที่อยู่ท่ามกลางดอกไม้เกลียดช่วงเวลาแบบนี้ ไออุ่นไม่เคยอาบน้ำเพราะถ้าเมื่อไรที่น้ำไหลผ่านช่องว่างในส่วนต่างๆ ของร่างกายจะทำให้ชิ้นส่วนภายในขึ้นสนิม ไออุ่นไม่เคยดื่มกินอะไรทั้งสิ้นเพราะตุ๊กตาไขลานไม่มีกระเพาะอาหาร เบฟรู้เรื่องพวกนี้ดีและรู้มาโดยตลอด เขาถึงได้พยายามถนุถนอมไออุ่นทุกวิถีทาง เขาเพียงแค่รักตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิตตัวนี้มากเกินกว่าความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็น

“พี่อุ่น แด๊ดบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับพี่”

“เขาบอกหรือเปล่าว่าเรื่องอะไร”

“ไม่ได้บอกครับ แด๊ดบอกว่าถ้าไม่โทรมาหาพี่ก็อาจจะแวะมาที่ร้านเองเลย แต่เบฟว่าแด๊ดไม่มาหรอก ฝนตกหนักขนาดนี้”

ไออุ่นพยักหน้ารับและคิดว่าความเป็นไปได้ที่สเตซี่จะแวะมาหาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักมีแค่สิบเปอร์เซ็นต์

“คุณไวน์ ดอกไม้ที่คุณต้องการ ได้แล้วครับ”

พอไวน์ได้ยินว่าช่อดอกไม้ที่สั่งไว้เรียบร้อยแล้วก็เลิกจ้องหน้าและหันไปทางอื่นแทนแต่ทางอื่นที่ว่านั้นเป็นทางที่เบฟยืนอยู่ ถ้าไออุ่นคาดเดาไม่ผิด เขาว่าไวน์น่าจะแอบชอบเบฟเข้าให้แล้ว ประเมินจากสายตาที่ใช้มอง ดูจากทิศทางที่หันไปยังไงก็เป็นเบฟไม่ผิดแน่ที่เป็นสาเหตุของการแวะมาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักเป็นประจำและมักจะทิ้งช่อดอกไม้ที่เขาทำให้ไว้ในร้านเสมอ

“พันสองร้อยบาทครับ”

เบฟหยิบเอาช่อดอกไม้ไปจากมือของไออุ่นแล้วเดินเอาไปมอบให้กับลูกค้าเพียงคนเดียวในร้าน เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นที่สายตาที่เอาแต่จ้องมองเบฟเปลี่ยนไปมองไออุ่น ช่อดอกกุหลาบสีชมพูถูกรับไว้แล้วพร้อมคำขอบคุณและเงินค่าของ

“ขอบคุณนะ ไม่ต้องทอน”

“ไม่ต้องทอนเหรอครับ”

“ครับ ไม่ต้องทอนหรอกครับ ถือเป็นค่าช็อคโกแลตร้อนที่พี่คุณทำมาให้ผมด้วย”

เบฟมองเงินที่อยู่ในมือแล้วเดินเอาไปให้ไออุ่นแต่หางตาเหลือบมองไปเห็นเวลาที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาที่ติดอยู่บนฝาผนังแล้วแทบจะต้องวิ่ง เขามัวแต่เอ้อระเหยอยู่ในร้านนานสองนาน พอรู้สึกตัวอีกทีก็แทบจะไม่มีเวลาเหลือให้นั่งเล่นได้อีกแล้ว “เบฟสายแล้ว! ไปก่อนนะครับ!”

“เดี๋ยวเบฟ! ร่ม”

ถึงแม้ว่าฝนข้างนอกร้านจะไม่ได้ตกหนักเหมือนก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่ได้เบาจนถึงขั้นจะเดินออกไปตัวเปล่าโดยไม่พกร่มได้ ไออุ่นยื่นร่มกันฝนที่แขวนไว้อยู่แถวนั้นไปให้กับเบฟ เขาเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่เช้าแล้วเพราะรู้ว่าฝนอาจจะตก

“ขอบคุณครับ”

หลังจากที่เบฟเดินออกไป ไวน์เองก็ลุกขึ้นบ้าง เขาไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องอยู่ต่อ คนที่อยากจะเจอก็ได้เจอแล้ว ดอกไม้ที่ต้องการก็ได้รับแล้ว ถ้ายังขืนนั่งต่อในร้านก็คงได้ถูกถามแน่และเขาก็ไม่รู้จะตอบคำถามนั้นยังไง

“คุณไวน์ ข้างนอกฝนยังตกอยู่ ถ้าคุณไม่รีบล่ะก็เดี๋ยวค่อยออกก็ได้ครับ”

ไวน์ดูนิ่งไปเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าจะถูกอีกฝ่ายเอ่ยปากชวนให้อยู่ต่อทั้งที่เขาหมดธุระแล้ว ใจจริงของเขาเองก็อยากอยู่ที่นี่อีกสักพักแต่ติดที่ว่าช่วงบ่ายยังคงมีธุระให้ต้องไปจัดการ

“ผมมีธุระต้องไปทำต่อ”

“งั้นเอาร่มไปนะครับ ถ้าตัวเปียกฝนเดี๋ยวจะไม่สบายไปซะก่อน”

ไออุ่นเดินไปหยิบร่มสีน้ำเงินเข้มของตัวเองไปให้กับไวน์ มันเป็นร่มที่สเตซี่ซื้อไว้ให้และแทบจะไม่ถูกนำมาใช้งานเลยเพียงเพราะเขาไม่มีความจำเป็นต้องออกจากร้านไปไหน

“แล้ว...”

“ถ้าคุณว่างเมื่อไรค่อยเอามาคืนก็ได้ มันเป็นร่มของผมเอง”

~ กริ๊งงงง กริ๊งงงงง กริ๊งงงงงง ~

เสียงโทรศัพท์ของร้านดังขึ้นบังคับให้ไวน์ต้องรับร่มคันนั้นเอาไว้โดยปริยาย

“ขอบคุณ”

ไออุ่นยิ้มให้นิดๆ แล้วเดินไปรับโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุด เขารู้สึกสบายใจที่อีกฝ่ายยอมรับร่มคันนั้นเอาไว้แล้วเดินออกจากร้านไป

“สวัสดีครับ ร้านดอกไม้อุ่นไอรักครับ”

// อุล //

“สเตซี่!?”

// ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ //

“อะ... อืม ฉันเข้าใจ นายคงยังไม่มีเวลาว่าง”

// น้ำเสียงน้อยใจแบบนี้มันอะไรครับ อุล //

ไออุ่นอยากตีปากตัวเองจริงๆ เขาไม่ได้เจอหน้าสเตซี่มาเกือบห้าปีเห็นจะได้ ตั้งแต่ที่เบฟเริ่มเข้าโรงเรียน พวกเขาก็ทิ้งเด็กคนนั้นให้ไออุ่นดูแลและหันไปมุ่งมั่นกับธุรกิจส่วนตัว มีไม่กี่ครั้งที่พวกเขาแวะมาหาแล้วหลังจากนั้นก็หายหน้าไปเลย การคุยโทรศัพท์ในครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่ผ่านมา

“นายหายไปไหนตั้งห้าปี”

// จัดการกับธุรกิจแล้วก็ทำอะไรบางอย่างจนตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อย ลงตัวหมดแล้ว เบฟคงไม่เคยบ่นคิดถึงผมกับรุ้งเลยใช่ไหม //

ไออุ่นรู้ว่าสิ่งที่สเตซี่พูดคือความจริง เบฟแทบจะไม่เคยพูดถึงพ่อและแม่ตัวเองหลังจากที่ถูกปล่อยให้อยู่ภายใต้การดูแลของเขา ในช่วงที่ยังเด็กมากก็เรียกร้องหาพ่อแม่ตามปกติแต่พอเบฟโตขึ้นมาหน่อยและเข้าใจอะไรมากขึ้น เขาก็ไม่เคยได้ยินเด็กคนนี้เอ่ยถึงอีกเลย

“ฉันขอไม่พูดถึงก็แล้วกันนะ”

// ผมเข้าใจ อุล... อีกสามวันผมจะไปเยี่ยมมัม ไปด้วยกันไหม //

“เฮเลนน่ะเหรอ ฉันอยากไปนะ แต่สภาพร่างกายมัน...”

// ไปไม่นาน แค่อาทิตย์เดียวก็กลับ อุลเก็บไปคิดดูก่อนก็ได้ แต่ถ้ามัมได้เห็นหน้าตุ๊กตาไขลานที่เธอรัก เธอคงมีความสุขมาก เอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ ผมจะโทรมาขอคำตอบก็แล้วกันนะครับ คิดถึงอุลนะ //

“คิดถึงเหมือนกัน เจ้าลูกชาย”



** ติดตามตอนต่อไป **

ติดตามการอัพเดทนิยาย ทวงถาม พูดคุยกันได้ที่แฟนเพจนะคะ ฝากด้วยค่ะ
https://www.facebook.com/Bluesora28/ (https://www.facebook.com/Bluesora28/)

สำหรับคำถามที่ว่า "เรื่องนี้จบแบบแฮปปี้หรือเปล่า" .... คำตอบอยู่ข้างล่างค่ะ
















แฮปแน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 2 ** 2017.08.13 **
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 13-08-2017 15:31:31
สนุกมากกก น่าติดตามมาก ๆ เลยค่ะ ภาษาที่เขียนดีมาก ๆ เลย เก่งจัง
สารภาพว่าอ่านบทนำแล้ว นั่งร้องไห้เลยอ่ะ สงสารอุลมาก ฮือออ
โชคดีของอุล ที่ครอบครัวของวิคเตอร์ทุกรุ่น รักและดูแลอุลอย่างดี
แต่อ่านไป ก็หน่วงไปด้วย เวลาไออุ่นบอกว่า วันสุดท้ายที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ใกล้เข้ามาทุกที  :monkeysad:
ปรกติเราไม่ค่อยอ่านแนวดราม่าเลยค่ะ เป็นคนที่อ่านอะไรแล้วอินจัดจนกลัวตัวเอง
แต่อ่านเรื่องของไออุ่นแล้ว ถึงจะกลัว แต่ก็อยากติดตาม ว่าบทสรุปจะเป็นยังไง
ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้เรื่องนี้จบลงด้วยความสุข อยากให้ไออุ่นได้มีชีวิตเหมือนคนจริง ๆ
ไวน์ จีบไออุ่นแน่ ๆ อ่ะ หนุ่มซึน ชอบจัง  :o8: แต่พอไม่แสดงออกตรง ๆ ไออุ่นเลยเข้าใจไปอีกอย่าง
ส่วนเบฟ รู้สึกกับไออุ่น เกินกว่าป๊ะป๋าหรือพี่ชายแน่ ๆ เลย ฮืออ ไม่อยากเลย T ^ T
อ่านแล้วเชียร์ไวน์ ถึงไม่รู้ว่า ถ้าไวน์รู้ความจริงว่าไออุ่นเป็นตุ๊กตาแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น
ส่วนเบฟ เชียร์ให้ไปคู่พี่พีทดีกว่า ไม่อยากให้รู้สึกเกินเลยกับอุ่นไปมากกว่าคนในครอบครัวเลย
เดาไม่ออกว่าบทสรุปของเรื่องจะเป็นยังไง แต่ยังไงก็หวังว่า จะจบแบบมีความสุขทุกคนนะคะ
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 2 ** 2017.08.13 **
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 13-08-2017 15:37:58
เดาว่าทำอะไรบางอย่าง ของสเตซี่นี่คงเกี่ยวกับอุล
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 2 ** 2017.08.13 **
เริ่มหัวข้อโดย: xหยกน้อยx ที่ 13-08-2017 16:44:06
งง สรุปไวท์ไม่ได้ชอบอุ่นหรอ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 2 ** 2017.08.13 **
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-08-2017 19:07:14
ชอบบบบบ  :katai2-1:

ไวน์ ไออุ่น  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 2 ** 2017.08.13 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-08-2017 20:56:45
เคืองสเตซี่!

เบฟรักอุ่น ไวน์ก็ชอบอุ่น

รอดูต่อไปว่าอุ่นจะรู้สึกอะไรกับใคร
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 2 ** 2017.08.13 **
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 13-08-2017 21:45:30
 o13
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 2 ** 2017.08.13 **
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 13-08-2017 23:23:08
น่าติดตามมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 2 ** 2017.08.13 **
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 14-08-2017 12:30:59
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 2 ** 2017.08.13 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 14-08-2017 15:20:46
ติดตามค่ะ ^^ แอบลุ้นนะคะเนี่ย ว่าใครเป็นพระเอก
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 3 ** 2017.08.20 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 20-08-2017 11:49:02
ตอนที่ 3


ร้านดอกไม้อุ่นไอรักเปิดต้อนรับลูกค้ามานานกว่าสี่สิบปีโดยไม่เคยหยุดพัก มีทั้งลูกค้าประจำและลูกค้าขาจรแวะเวียนมาเรื่อยๆ ไออุ่นจึงค่อนข้างกังวลหากต้องเปิดร้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเฮเลนและค่อนข้างเป็นห่วงเบฟ เขารู้ว่าเด็กคนนั้นไม่เคยต้องห่างไปไหนไกล ไม่เคยต้องจากกันนานกว่าหนึ่งคืน

“ป๊ะป๋า~ กลับมาแล้วครับ”

“เบฟ มานั่งข้างๆ ป๊ะป๋านี่มา”

ไออุ่นกวักมือเรียกเบฟให้ลงมานั่งข้างๆ เขา วันนี้ดูเหมือนน่าจะมีเรื่องให้คุยกันทั้งวันทั้งคืน เบฟเดินไปนั่งลงข้างๆ ตามคำเชิญชวน เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าของตุ๊กตาไขลาน รอยยิ้มที่สว่างสดใสราวกับดวงอาทิตย์ เขาก็รู้สึกมีความสุขที่สุดแล้ว สองแขนจึงโอบกอดร่างที่นั่งอยู่ก่อนเอาไว้แนบแน่นเหมือนเช่นทุกครั้ง

“เบฟ ป๊ะป๋ามีเรื่องจะคุยด้วย”

“ครับ”

“แด๊ดโทรมาชวนป๊ะป๋าไปเยี่ยมย่าเฮเลน คิดว่ายังไงครับ”

อันที่จริงแล้วไออุ่นก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าถ้าเบฟไม่ตามไปด้วยก็คงไม่อยากให้เขาไปแต่คำตอบน่าจะเป็นข้อแรกมากกว่า

“ไม่อยากให้ไปเลยครับ แต่นานๆ ป๊ะป๋าจะได้ไปเจอย่า งั้น... เบฟขอไปด้วยนะครับ”

“ถ้าไปกับป๊ะป๋าแล้วเรื่องเรียนล่ะ หยุดไปตั้งอาทิตย์เชียวนะ”

เบฟนิ่งไปเมื่อได้ยินจำนวนวัน เขาเองก็หยุดนานไม่ได้เสียด้วย เดี๋ยวจะเสียการเรียนแล้วจะไม่ได้เกียรตินิยมอย่างที่ไออุ่นหวังไว้ คำตอบอยู่ตรงหน้าแล้วเพียงแต่ยังไม่อยากที่จะยอมรับ

“ป๊ะป๋า~”

“ป๊ะป๋ารู้ครับว่าเบฟไม่อยากให้ไป ป๊ะป๋าก็ตั้งใจจะปฏิเสธแด๊ดอยู่แล้วล่ะ”

“ถ้าเบฟบอกว่าขอไปอยู่ด้วยแต่อยู่ได้แค่เสาร์ อาทิตย์ ป๊ะป๋าจะว่ายังไงครับ”

“ก็ได้ แต่เบฟคงต้องกลับก่อนนะ ป๊ะป๋าจะกลับพร้อมแด๊ด”

เบฟชะงักไปเล็กน้อย เขาไปด้วยทั้งทีแล้วทำไมถึงไม่ได้กลับพร้อมกัน ถ้าไม่เป็นเพราะติดเรียนและกลัวเกียรตินิยมจะหลุดลอยไปแล้วไม่ทำให้ไออุ่นภาคภูมิใจ ตัวเขาเองก็ไม่มีความสุขแต่ในขณะเดียวกันก็ยังทำใจไมได้ที่จะต้องห่างกันนานขนาดนั้น ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็หาทางออกที่มีความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่ายไม่ได้

“ป๊ะป๋า~ กลับพร้อมกันไม่ได้เหรอ”

“ทำไมครับ เหงาเหรอ”

ดวงหน้ากลมพยักขึ้นลงช้าๆ แล้วซบลงที่ไหล่ของไออุ่น ไม่เพียงแค่รู้สึกเหงาแต่ไออุ่นเป็นมากกว่าพ่อ เป็นมากกว่าคนที่คอยเลี้ยงดู เป็นตุ๊กตาไขลานมีชีวิตที่เขาขาดไม่ได้ เหนือสิ่งอื่นใดนั้นไออุ่นคือผู้ที่เขามอบความรักทั้งหมดให้โดยไร้ข้อกังขา

“ถ้าวันหนึ่งป๊ะป๋าไม่อยู่ เบฟต้องตายแน่เลยครับ”

ไออุ่นยิ้มนิดๆ เอื้อมมือไปลูบหัวเป็นเชิงปลอบใจ ยังไงฝ่ายที่จะต้องจากไปก่อนนั้นน่าจะเป็นเขาเสียมากกว่า

“เอาล่ะ! ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ป๊ะป๋าทำของโปรดไว้ให้ด้วยนะ”

เพียงแค่เบฟได้ยินคำว่าของโปรด เขาก็พอจะยิ้มออกมาได้บ้าง ไออุ่นไม่เคยลืมว่าเขาชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรเช่นเดียวกับที่เขารำลึกเสมอว่าต่อให้รักมากแค่ไหน ความรักระหว่างมนุษย์กับตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

“ป๊ะป๋าอาบน้ำให้เบฟหน่อยได้ไหมครับ”

ไออุ่นได้แต่ยิ้มเขิน เขาเคยอาบน้ำให้เบฟก็แค่ตอนเด็กเท่านั้น

“นะครับ”

ลูกอ้อนของเบฟ ไออุ่นไม่เคยชนะได้เลย เพียงแค่อีกฝ่ายซบลงมาที่ไหล่แล้วใช้น้ำเสียงอันอ่อนหวานกับแววตาที่เป็นประกาย เขาก็ไม่รู้จะหาอะไรไปสู้ด้วย แต่ก็ต้องตัดใจ ไม่ยอมทำตามที่ขออย่างเด็ดขาด

“เบฟโตแล้วนะ ไม่อายบ้างเหรอ”

“ป๊ะป๋า~ แค่สระผมให้ก็ได้”

“เมื่อเช้าก็เพิ่งสระไป สระอีกเดี๋ยวผมก็แห้งกันพอดี ไว้คราวหน้านะครับ”

เบฟไม่อยากจะตอบตกลงแต่ถ้าไออุ่นไม่พร้อม เขาเองก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่เดินคอตกขึ้นไปอาบน้ำคนเดียว

ไออุ่นทำได้เพียงแค่มองตามแล้วเอ่ยขอโทษในใจ ถ้าเพียงแค่เขาได้มีชีวิตอย่างมนุษย์ทั่วไป เจ็บได้ ร้องไห้เป็นก็คงไม่ทำให้เบฟเสียใจแต่เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิตจิตใจแต่ไร้ความรู้สึก และสักวันหนึ่งสุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นตุ๊กตาไขลานธรรมดาที่ตอบสนองใครไม่ได้อีก

นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาทุ่มกว่าแล้ว ถึงเวลาที่ไออุ่นต้องเตรียมตัวเก็บร้านสักที เขาลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วเดินไปตรงประตูหน้าร้าน เปลี่ยนป้ายเป็นคำว่า ‘CLOSE’ ดูท่าวันนี้น่าจะไม่มีลูกค้าแล้วและต่อให้มี ใจเขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะเอ่ยคำต้อนรับจึงเลือกที่จะปิดร้านเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า

ในขณะที่ไออุ่นกำลังเก็บกวาดร้านอยู่นั้นเหมือนเขาจะเห็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง เรือนผมสีน้ำตาอ่อนที่ตรงหัวมุมถนนฝั่งตรงข้ามกำลังมองตรงมาที่เขา สายตาแบบนั้น แววตาแบบนั้น เขาจำมันได้ดี ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้น.... ไวน์

“คุณไวน์”

ต่อให้ไออุ่นอยากเดินข้ามถนนไปทักทายก็ออกจากร้านไปไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ยืนมองนิ่งๆ ตัดใจแล้วลงมือเก็บของในร้านต่อ วันนี้เพราะฝนตกหนักตลอดครึ่งเช้าและตกๆ หยุดๆ ในช่วงบ่ายทำให้ร้านดอกไม้อุ่นไอรักแทบจะไม่ได้ต้อนรับลูกค้า ของที่จำต้องเก็บให้เข้าที่เข้าทางจึงเหลือเพียงไม่กี่อย่าง

“ป๊ะป๋า~ ทำอะไรอยู่ครับ”

“เก็บร้านอยู่ครับ กับข้าววันนี้ป๊ะป๋าทำกะหล่ำปลีผัดน้ำปลา ต้มยำเห็ดรวมมิตรกับปลาสามรสให้นะครับ”

ไออุ่นตอบกลับลูกชายที่เดินมาอยู่ข้างๆ คอยดูเขาเก็บของให้เรียบร้อยแล้วจู่ๆ ร่างของเขาก็ถูกดึงเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่นแต่ต่อให้ถูกกอดแน่นแค่ไหนก็ไม่มีทางรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของเบฟได้ สัมผัสได้ก็เพียงแต่ความรู้สึกที่มาจากใจ บางทีก็เคยถามตัวเองว่าเพราะอะไรตุ๊กตาไขลานของวิคเตอร์ตัวนี้ถึงได้มีชีวิตขึ้นมาได้แต่กลับกลายเป็นว่าคำตอบนั้นมีแต่ความว่างเปล่า

“งั้นเบฟไปปิดประตูให้นะครับ แล้วเราค่อยมานั่งกินข้าวกัน”

ไออุ่นพยักหน้า อย่าเรียกว่านั่งกินข้าวจะดีกว่า ต้องเรียกว่าให้เขาได้ไปนั่งดูเบฟกินข้าวถึงจะถูกต้อง ไออุ่นแอบมองไปที่หัวมุมถนนฝั่งตรงข้าม ไม่เห็นไวน์ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วแต่เสียงโทรศัพท์ในร้านดังขึ้นแทนจึงเดินไปรับสาย

“สวัสดีครับ ร้านดอกไม้อุ่นไอรักครับ ไม่ทราบจะรับดอกไม้แบบไหนดีครับ”

// .......... //

“คุณครับ ได้ยินผมไหมครับ”

// .......... //

“คุณครับ ยังอยู่หรือเปล่าครับ”

// .......... //

“ถ้าไม่ตอบ ขอเสียมารยาทวางสายนะครับ”

// ฝันดีครับ อุ่น //

“คุณ....”

ไม่รู้ทำไมทั้งที่หัวใจก็ไม่มีแต่เหมือนตัวจะลอย คำพูดของผู้ชายคนนั้นเหมือนเสียงของใครคนหนึ่งที่เมื่อนานมากแล้วเคยพูดประโยคคล้ายกันแบบนี้ให้เขาฟังทุกวันจนจำได้ขึ้นใจ ‘ฝันดีนะ อุล’ แล้วน้ำตาพานจะไหลแต่น่าเสียดายที่ตุ๊กตาไขลานอย่างไออุ่นไม่มีน้ำตาแม้สักหยด ความรู้สึกโหยหาที่ก่อตัวขึ้นในใจอย่างช้าๆ นี่มันอะไรกัน!

“ป๊ะป๋า~”

“..........”

“ป๊ะป๋า~ ไปกินข้าวกันครับ”

“อ๊ะ! อืม... ไปกัน เบฟคงหิวแย่แล้วเนอะ”

ไออุ่นเรียกสติของตัวเองกลับมา มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คนที่จากไปแล้วเกือบร้อยปีจะกลับมา

“ป๊ะป๋า ป้อนเบฟได้ไหมครับ”

“เบฟไม่เด็กแล้วนะ ยังจะให้ป๊ะป๋าป้อนอีกเหรอ”

เบฟเดินกอดร่างที่สูงกว่าไปตลอดทางที่เข้าไปข้างหลังร้าน เขาแค่อยากเป็นเด็กให้ถูกรักเหมือนที่เคยเพียงเพราะรู้ว่าเมื่อเด็กตัวน้อยคนนี้เติบโตขึ้น สิ่งที่เคยได้รับมาตลอดก็อาจจะเปลี่ยนไปจนท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นความห่างเหินที่ไม่อาจต่อกันติดอีกแล้ว เขาเคยสัมผัสกับความเจ็บปวดแบบนั้นมาก่อน

“ยังไงป๊ะป๋าก็รักเบฟอยู่แล้ว กลัวอะไร”

“รักตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความรักของป๊ะป๋าที่มีให้จะไม่เปลี่ยนแปลง... สัญญาได้ไหมครับ”

“อืม... ป๊ะป๋าสัญญา”

ได้ยินคำสัญญาแบบนั้น เบฟก็พอจะยิ้มออกมาได้บ้าง ถ้าวันหนึ่งไออุ่นได้รับรู้ความจริงบางอย่างที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในใจของเขาก็คงจะไม่มีวันถูกเกลียด

“งั้นเราไปกินข้าวกันดีกว่า เบฟสบายใจแล้ว”

“พูดแบบนี้ ป๊ะป๋าชักไม่แน่ใจแล้ว ไม่ได้ไปทำอะไรผิดกฎหมายมาใช่ไหม”

เบฟถึงกับหลุดขำออกมา หน้าแบบเขานี่นะจะไปทำอะไรที่ผิดกฎหมายมา

“ป๊ะป๋า! เห็นเบฟเป็นคนแบบนั้นเหรอครับ”

“ไปๆ ไปกินข้าวได้แล้ว กินดึกๆ น่ะจะทำให้อ้วนนะ รู้ไหม”

“คร๊าบบบบบ”

เบฟตอบรับแล้วรีบวิ่งไปตักข้าวรอ ถึงแม้จะรู้ว่าไออุ่นกินไม่ได้แต่ก็อยากให้อยู่ร่วมโต๊ะอาหารเดียวกัน ได้มองเห็นว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนกับการได้กินกับข้าวฝีมือของตุ๊กตาไขลานที่แม้แต่จะชิมรสชาดของอาหารที่ทำลงไปยังไม่ได้
“กับข้าวที่ป๊ะป๋าทำน่ากินทุกวันเลยครับ”

ไออุ่นได้แต่ยิ้ม เหตุที่เขาทำได้ถึงขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมีเบฟคอยช่วยชิมให้ตลอด เขาลองผิดลองถูกมาก็มากจนสุดท้ายแล้วก็ทำได้โดยไม่ต้องชิมแม้แต่น้อย

“เพราะใครกันล่ะที่ช่วยป๊ะป๋าตั้งแต่เล็ก”

“เบฟครับ!”

ไออุ่นหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับลูกชายที่รัก เลื่อนจานข้าวที่อยู่ตรงหน้าเบฟมาใกล้กับตัวเอง ตักกะหล่ำปลีผัดน้ำปลาใส่จานแล้วป้อนให้กับเด็กน้อยตรงหน้าที่บัดนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว นานมากแล้วสินะ... ที่เขาหยุดทำอะไรแบบนี้ให้กับเบฟ

“กับข้าวฝีมือป๊ะป๋าอร่อยที่สุดในโลกเลย”

“อร่อยก็กินเยอะๆ”

“ครับ”

เบฟส่งยิ้มจนตาปิดให้กับไออุ่น ความอร่อยในทุกๆ จานที่ได้ลิ้มรสไม่ใช่อร่อยเพราะไออุ่นทำอร่อยแต่เป็นเพราะไออุ่นเป็นคนทำ มันจึงอร่อย เขาชอบในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไออุ่นต่อให้เรื่องที่ชอบมันจะผิดแต่ก็ยังชอบและได้แต่เก็บมันไว้ในใจลึกๆ รู้ว่าถ้าพูดออกไปจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่ผ่านมา เขายอมเจ็บปวดคนเดียวดีกว่าจะทำให้คนที่รักเสียใจ

“ป๊ะป๋ารู้ไหมว่าเบฟรักป๊ะป๋าที่สุดในโลกเลยนะ”

“พูดแบบนี้ เดี๋ยวแด๊ดกับแม่ได้ยินเข้าก็เสียใจแย่”

ไออุ่นป้อนข้าวอีกคำเข้าปาก

“แด๊ดกับแม่ไม่เสียใจหรอก พวกเขารู้อยู่แล้วว่าเบฟรักป๊ะป๋ามากกว่า”

“เบฟ...”

“ก็มันเรื่องจริงนี่ครับ เบฟรักป๊ะป๋ามากกว่า”

ไออุ่นถอนหายใจเบาๆ เด็กน้อยของเขากลายเป็นคนชอบเถียงตั้งแต่เมื่อไรกัน สิ่งที่เบฟพูดมันอาจเป็นความจริงแต่ก็ควรนึกถึงใจคนฟังไว้บ้าง


~ กริ๊งงงง กริ๊งงงงง กริ๊งงงงงง ~


“เบฟกินไปก่อนนะครับ เดี๋ยวป๊ะป๋าไปรับโทรศัพท์ก่อน”

ไออุ่นลุกขึ้นเดินไปรับโทรศัพท์ เขารู้ว่าคงไม่ใช่สายจากลูกค้าของร้านแต่ก็แอบภาวนาให้เป็นใครคนนั้น

“สวัสดีครับ ร้านดอกไม้อุ่นไอรักครับ”

// อุล //

“สเตซี่ มีอะไรหรือเปล่า”

// ผมโทรมาขอคำตอบครับ //

“อ้าว~ ไหนว่าพรุ่งนี้ไง ทำไมรีบขนาดนี้”

// มัมอยากรู้ว่าอุลจะมาได้ไหมเลยเร่งให้ผมโทรมาเอาคำตอบ มัมบอกว่าคิดถึงอุลมากนะ //

ไออุ่นยิ้ม เขาเองก็คิดถึงเฮเลนมากเช่นเดียวกัน

“ไปได้แต่ว่าเบฟจะไปด้วยนะ อยู่แค่เสาร์อาทิตย์แต่ฉันจะกลับพร้อมนาย”

// ครับ งั้นเดี๋ยวผมโทรไปบอกมัมก่อนนะครับ มัมต้องดีใจมากแน่ถ้ารู้ว่าอุลจะไปหา //

“อืม แล้วจะคุยกับเบฟไหม”

// ไม่ครับ เดี๋ยวผมคุยทีหลัง แค่นี้ก่อนนะครับ อุล //

“ครับ”

สเตซี่วางสายไปแล้วแต่ไออุ่นยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ทำไมแต่ที่แน่ๆ เขายังอยากได้ยินเสียงที่บอกฝันดีนั้นอีกครั้ง มันทำให้เขานึกถึงคนที่สร้างเขามา คนที่อยู่ด้วยกันตลอดยี่สิบปี คนที่กล่าวทักทายอรุณสวัสดิ์และบอกฝันดีทุกคืน

“ป๊ะป๋า~ ใครโทรมาเหรอครับ”

“แด๊ดน่ะ”

“แล้วแด๊ดว่ายังไงบ้างครับ”

“แด๊ดไม่ได้ว่าอะไร บอกแค่ว่าย่าเฮเลนอยากเจอพวกเรามาก”

“ไม่ใช่แค่อยากเจอป๊ะป๋าคนเดียวเหรอครับ”

“เบฟ...”

“ขอโทษครับ”

เบฟทำหน้าเศร้า มันเป็นความจริงที่ว่าสำหรับทุกคนในครอบครัว ไออุ่นต้องมาเป็นที่หนึ่งเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องให้ความสำคัญกับไออุ่นก่อนเสมอเพราะมันเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายที่วิคเตอร์เขียนไว้ให้กับเจนีวาและทุกคนในครอบครัวจำเป็นต้องปฏิบัติตามแต่สำหรับเขาแล้วต่อให้ไม่มีคำสั่งเสียนั่น เขาก็ให้ความสำคัญกับไออุ่นมากกว่าใครมาตลอดอยู่แล้ว เพียงแค่เจ้าตัวจะรับรู้ถึงมันได้หรือไม่เท่านั้น

“ไป เตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่า เดี๋ยวป๊ะป๋าไปจัดที่นอนให้นะ”

ไออุ่นลูบหัวเบาๆ แล้วเดินขึ้นไปจัดที่นอนให้ เบฟได้แต่ยิ้มนิดๆ ไม่ว่าเขาจะเจอปัญหาอะไรหรือไม่สบายใจ พอไออุ่นลูบหัวเหมือนทุกครั้ง ความกังวลใจหรือแม้แต่ความรู้สึกแย่ๆ ก็หายไปในพริบตา

“อุ่นรู้หรือเปล่าว่าตัวเองไม่ใช่แค่สมบัติล้ำค่าของครอบครัวนะ แต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม”





ไออุ่นแทบจะไม่เคยเข้าไปนอนในห้องของตัวเองจริงจังสักครั้ง จะมีก็แต่ถูกเบฟลากให้ไปนอนที่ห้องข้างๆ และเขาก็ไปไหนไม่ได้เพราะถูกอีกฝ่ายไม่กอดก็จับมือไว้ตลอดทั้งคืน พอเขาขยับตัวทีฝ่ายนั้นก็รู้สึกตัวตื่นเกือบจะทุกครั้ง เป็นแบบนี้มาตลอดยี่สิบปีไม่เคยเปลี่ยน

“ป๊ะป๋า~”

“ครับ”

“คืนนี้ป๊ะป๋านอนกับเบฟนะครับ”

ถึงเบฟจะไม่ชวนแต่ไออุ่นก็รู้ว่าเขาไม่มีทางถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ต่อให้เขาย้ายไปนอนห้องของตัวเอง เบฟก็ยังคงตามไปนอนด้วยอยู่ดี

“มา... ป๊ะป๋าจัดที่นอนให้เรียบร้อยแล้ว”

เบฟเดินมายืนตรงหน้าไออุ่นเหมือนเช่นทุกครั้งแล้วบรรจงจุมพิตลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ไออุ่นก็ทำเช่นเดียวกันกลับคืนไปให้ พวกเขาทำแบบนี้เสมอทุกคืนก่อนนอนตั้งแต่เบฟยังเป็นเพียงแค่เด็กแบเบาะ

“ราตรีสวัสดิ์”

“เบฟยังไม่อยากนอน ป๊ะป๋าเล่าเรื่องตอนที่อยู่กับแด๊ดให้ฟังหน่อยได้ไหม”

“ไว้ลองไปถามจากแด๊ดดูสิ”

ไม่ใช่ว่าไออุ่นไม่อยากเล่าให้ฟังแต่ความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้ดูห่างเหินจนน่ากลัว ถ้าเขาเอาแต่เล่าให้ฟังอยู่ฝ่ายเดียว เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างเบฟกับสเตซี่คงไม่มีวันดีขึ้นได้แน่

“แต่เบฟอยากให้ป๊ะป๋าเล่าให้ฟังนี่ครับ”

ไออุ่นได้แต่ยิ้มให้เท่านั้นแล้วไล่ให้เบฟเข้านอน เขารู้ว่าเวลาในตอนนี้เร็วเกินไปที่เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่จะหลับกันแต่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ก็มีแต่จะเกิดความเงียบชวนให้อึดอัดเปล่าๆ ดวงตาสีน้ำตาอ่อนทอดมองใบหน้าเขาราวกับว่ามีหลายคำถามที่อยากจะถาม มีหลายเรื่องที่อยากจะคุย

“มีอะไรจะถามหรือเปล่า”

“เอ่อ... คือ...”

เบฟดูอ้ำอึ้งไป แน่นอนว่าเขามีเรื่องที่อยากจะถามไออุ่นมากมายและหนึ่งในนั้นก็เกี่ยวกับการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนต่างๆ ภายในร่างกาย

“เรื่องชิ้นส่วนกับลานในตัวป๊ะป๋า...”

ไออุ่นยิ้ม ไม่แปลกที่เบฟจะเป็นห่วงในเรื่องนี้แต่ทุกอย่างมันเป็นไปตามกาลเวลา มนุษย์เราเกิดมาสุดท้ายแล้วก็ต้องตาย นับประสาอะไรกับตุ๊กตาไขลานเก่าๆ ตัวหนึ่งที่อยู่มาถึงร้อยปี สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นอะไร ต่างฝ่ายต่างก็มีอายุขัยในตัวมันเอง

“ป๊ะป๋ารู้ครับว่ามันเริ่มพังแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ป๊ะป๋ายังอยู่ได้อีกนาน”

“แต่ถ้ามันพังเร็วกว่านี้ล่ะ”

ถ้ามันต้องพังไปเร็วกว่าที่คิด ไออุ่นก็คงจะทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของเวลาที่เขาเองก็ไม่อาจคาดเดาได้

“ป๊ะป๋าบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงไงครับ”

“แต่...”

“นอนเถอะ พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”

เบฟพยักหน้า พรุ่งนี้เขามีเรียนเช้าเหมือนที่ไออุ่นพูดแต่เขาก็ยังอยากเก็บช่วงเวลาที่มีกันและกันเพียงสองคนแบบนี้เอาไว้นานๆ

“พรุ่งนี้... ขอเบฟอยู่กับป๊ะป๋าได้ไหมครับ ไม่อยากไปเรียนเลย”

เด็กหนุ่มเอนตัวลงนอนซบไหล่ตุ๊กตาไขลานที่นั่งอยู่บนเตียง คำว่าไม่อยากไปเรียนไม่ใช่ข้ออ้างของคนขี้เกียจแต่เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเวลาที่จะมีกันและกันในแต่ละวันนั้นเหลืออีกไม่มากแล้ว เขาต้องการเพียงแค่ขอให้ทุกวินาทีที่ยังมีลมหายใจ ยังมีตุ๊กตาไขลานตัวนี้อยู่ด้วยเสมอ

“อ้อนเหรอครับ เด็กน้อย”

“เปล่าครับ เบฟแค่อยากอยู่กับป๊ะป๋า”

“ก็ได้ครับ”

ไออุ่นยิ้มแล้วเอื้อมมือออกไปลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดูก่อนที่จะขยับตัวออกมาให้เบฟได้นอนบนเตียงสบายๆ แต่กลับถูกรั้งเอาไว้ เขาอยากนอนหนุนตักตุ๊กตาตัวนี้แล้วหลับไปเพราะอย่างน้อยก็ยังมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว

“ขอเบฟนอนแบบนี้นะครับ”

“มันจะไม่สบายเอานะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

สุดท้ายแล้วไออุ่นก็ต้องยอมนั่งพิงหัวเตียงให้เบฟได้นอนหนุนตักไปทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายคงนอนไม่สบาย เบฟมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ...ขี้อ้อน เอาแต่ใจ... แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รัก





วันที่ไออุ่นต้องก้าวย่างออกจากร้านเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีก็มาถึง เมื่อสเตซี่และรุ้งเดินเข้ามาในร้าน เบฟรีบเก็บของและกวาดทุกอย่างที่จำเป็นใส่กระเป๋าเดินทางแล้วเดินออกมายืนข้างๆ ไออุ่นคล้ายกับจะแบ่งพรรคแบ่งพวก

“อุล! ขอผมกอดหน่อย”

“ก่อนที่จะกอดฉันน่ะ แวะไปกอดลูกชายก่อนดีไหม”

ไออุ่นปรามเบาๆ เมื่อเห็นว่าสเตซี่กำลังจะวิ่งถลาเข้ามากอดเขา ดูจากจังหวะการเข้าหาแล้วเกรงว่าอะไหล่ในตัวจะเคลื่อนเอาเสียก่อน รุ้งที่เดินตามท้ายเข้ามาในร้านถึงกับยิ้มขำที่เห็นสามีของตัวเองทำอะไรแบบเด็กๆ และเธอก็รู้ว่าที่จู่ๆ ขอไออุ่นกอดก็เพราะเขินอายลูกชายตัวเอง เธอเลยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

“เบฟ มาให้แม่กอดให้หายคิดถึงหน่อยสิ ลูก”

“คร๊าบ~”

เบฟเดินเข้าไปหาแม่และเข้ากอดเธอด้วยความคิดถึงเช่นกัน

“แค่กอดลูกชายเอง สเตซี่”

ไออุ่นแอบเหน็บเบาๆ เขารู้ว่าสเตซี่ไม่มีทางกอดลูกชายตัวเองต่อหน้าคนหมู่มากแน่ก็เพราะเขาเป็นพวกการกระทำสวนทางกับความรู้สึกและจะเป็นแค่เฉพาะกับเบฟเท่านั้น

“อุล!”

“มา มากอดที เจ้าลูกชาย”

ไออุ่นเดินไปกอดสเตซี่เบาๆ ก่อนที่จะผละออกมา

“ผมว่าเราไปกันเลยดีกว่าไหม ถ้าสายแล้วเดี๋ยวรถจะติดซะก่อน”

ไออุ่นเห็นด้วยว่าต้องรีบเดินทาง อีกทั้งวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คนคงออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกันมากแน่แต่ติดที่ว่าเขาไม่เคยก้าวเท้าออกจากร้านมานานมากแล้ว ได้แต่มองทุกอย่างภายนอกผ่านกำแพงกระจกจนแทบจะลืมสิ่งที่เรียกว่าลมธรรมชาติกับอากาศบริสุทธิ์ไปจนหมดสิ้นแต่ถึงอย่างนั้นต่อให้ไปยืนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิตก็ไม่สามารถสัมผัสกับอะไรได้อยู่ดี เว้นเพียงแต่ความงดงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า


** ติดตามตอนต่อไป **

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 3 ** 2017.08.20 **
เริ่มหัวข้อโดย: เฟมโตตัน. ที่ 20-08-2017 13:35:31
สำนวนภาษาสวยมากเลยยย  :impress2:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 3 ** 2017.08.20 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-08-2017 13:55:37
เย้ๆมาแล้ว
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 3 ** 2017.08.20 **
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 20-08-2017 14:03:26
ฮือออ อ่านแล้วก็ยังหน่วง ๆ เศร้า ๆ สงสารไออุ่นตลอดเลย T ^ T
คุณไวน์ น่ารักอ่ะ มีมาแอบดู โทรมาบอกฝันดี  :-[
จริง ๆ อ่านตอนแรก ก็มีแอบคิด ว่าไวน์ จะเป็นวิคเตอร์มาเกิดหรือเปล่าด้วยล่ะ
พอมาตอนนี้ เสียงของไวน์ ทำให้อุ่นคิดถึงวิคเตอร์ นี่ยิ่งคิดจริงจังมากเลยนะ ว่าใช่อ่ะ
เบฟ ก็น่าสงสาร แต่ไม่อยากให้รักไออุ่นแบบนั้นเลย เป็นลูกชายขี้อ้อนของป๊ะป๋าแบบนี้น่ารักดีออก
เอาใจช่วยไออุ่น อยากให้มีปาฎิหารย์เกิดขึ้นอีกจัง
รอตอนต่อไปค่า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 3 ** 2017.08.20 **
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 20-08-2017 14:11:50
 o13 o13
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 3 ** 2017.08.20 **
เริ่มหัวข้อโดย: xหยกน้อยx ที่ 20-08-2017 20:00:32
ชอบเรื่องนี้มากอยากใก้อัพบ่อยๆคะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 3 ** 2017.08.20 **
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 20-08-2017 20:18:18
คนบ้านนี้รักอุ่นมากๆเลย ซึ้ง..
ว่าแต่คุณไวน์นี่ใช่วิคเตอร์มาเกิดใหม่หรือเปล่าน้า ครุ่นคิสสส

ปล. ขอบคุณนะคะที่มาตอบว่าจบแบบแฮปปี้ ดีใจจจจจ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 3 ** 2017.08.20 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 20-08-2017 21:14:27
ยังคงน้ำตาไหลทุกรอบที่อ่าน

สงสารเบฟ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 4 ** 2017.08.25 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 25-08-2017 16:34:37
ตอนที่ 4


สถานที่ที่สเตซี่ขับรถพามาเยี่ยมเฮเลนนั้นอยู่ท่ามกลางป่าเขาและธรรมชาติที่สวยงาม นำพาความตื่นตาตื่นใจมาให้กับไออุ่น การเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แบบนั้นช่างน่าอิจฉานัก ออกมาข้างนอกโดยไม่ต้องคำนึงถึงอะไรผิดกับเขาที่ต้องดูถึงความชื้นภายในอากาศ ถ้าความชื้นมากเกินไปก็เสี่ยงต่ออะไหล่ในร่างกายขึ้นสนิมและเพราะเหตุนั้นเขาจึงเลือกที่จะอยู่แต่ในร้าน

“อีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านมัมแล้วนะ”

“ผมจะได้ว่าบ้านย่าไม่ได้มาทางนี้ไม่ใช่เหรอครับ แด๊ด”

สเตซี่ไม่ยอมตอบคำถามของลูกชาย จริงอยู่ว่าเมื่อก่อนนั้นเฮเลนอาศัยอยู่ในเมืองหลวงที่รายล้อมไปด้วยอาคารสูงใหญ่และตอนนี้ก็ยังคงอยู่ที่นั่น แต่การเดินทางมาไกลขนาดนี้ก็เพราะถูกเฮเลนกำชับอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะให้พาไออุ่นมาที่นี่ให้ได้

“แด๊ด~”

“นี่แหละทางไปบ้านย่าเฮเลน”

รุ้งอดไม่ได้ที่จะตอบคำถามของลูกชายแต่มันกลับไม่ช่วยให้อะไรกระจ่างขึ้นมาแม้แต่น้อย

“เอาล่ะๆ เบฟช่วยปิดตาไออุ่นให้แม่ทีสิจ๊ะ”

“ต้องปิดตาผมด้วยเหรอ รุ้ง”

อะไรกัน! กับแค่มาเยี่ยมเฮเลนถึงขนาดต้องปิดตากันด้วย จู่ๆ ไออุ่นก็ชักหวั่นใจแปลกๆ ราวกับว่าจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล

“ค่ะ คุณแม่กำชับให้ปิดตาอุ่นเอาไว้ก่อนถึงบ้าน ดูเหมือนท่านมีอะไรจะเซอร์ไพรส์คุณนะคะ”

“ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

“ค่ะ คำสั่งคุณแม่น่ะค่ะ”

รุ้งยืนกรานหนักแน่น และเมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วเบฟก็รีบยื่นมือตัวเองไปปิดตาของไออุ่นเอาไว้ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะคำสั่งของเฮเลน บางทีเขาอาจไม่มีโอกาสได้ทำอะไรอย่างนี้กับตุ๊กตาไขลานที่แสนรักแสนหวงตัวนี้ ไออุ่นจับมือของเบฟที่กำลังปิดตาเขาอยู่แล้วออกแรงดึงให้มันเคลื่อนลงมาแต่กลับไม่ได้ช่วยให้เห็นอะไรนอกเสียจากทิวทัศน์ที่เลือนรางผ่านช่องว่างระหว่างนิ้ว

“เบฟเอามือออกได้ไหม”

“ไม่ได้ครับ คำสั่งแม่”

ไออุ่นไม่แน่ใจว่าการออกมาจากร้านมันเป็นเรื่องดีแน่แล้วจริงๆ เพราะตัวเขาไม่รู้ว่าจะมีอะไรอยู่ข้างหน้า

“ใกล้ถึงแล้วๆ เลี้ยวเข้าทางนี้ก็ถึงแล้ว ถ้าอุลได้เห็นต้องชอบมากแน่ๆ”

อย่าว่าแต่ไออุ่นจะชอบ เพียงแค่เบฟเห็นมันจากที่ไกลๆ ยังรู้สึกชอบ เหมือนกับสิ่งที่เห็นผ่านตาคู่นี้มีชีวิตที่สัมผัสได้ มันดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาด

“ลืมตาได้แล้ว อุล”

เบฟปล่อยมือออกเมื่อรถจอดนิ่งสนิทและสเตซี่บอกให้เปิดตาออกได้ ไออุ่นเปิดประตูรถแล้วก้าวลงมายืน สิ่งที่เห็นอยู่เต็มสองตาคือสิ่งที่คิดถึงและโหยหามานาน บ้านหลังเล็กสไตล์ยุโรปยกพื้นสูงเล็กน้อยสีขาวเขียวกลมกลืนไปกับธรรมชาติโดยรอบเป็นแบบเดียวกับบ้านที่เจนีวาพาเขากลับมา บ้านหลังที่เขาสามารถเรียกมันว่าบ้านได้อย่างเต็มปาก ถ้าไออุ่นมีหัวใจมันคงกำลังเต้นระรัวด้วยความตื้นตันใจ ถ้าเขามีสิ่งที่เรียกว่าน้ำตามันคงไหลออกมาด้วยความปลาบปลื้ม ถ้าร่างกายของเขาถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่เรียกว่าพละกำลัง ร่างของเขาคงทรุดลงกับพื้นไปแล้วแต่ไออุ่นรำลึกเสมอว่าเขาเป็นเพียงตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิต สมบัติล้ำค่าของครอบครัวบรอมฟอร์ด

“ชอบไหม”

“ชอบสิ มันทำเอาฉันคิดถึงวันเก่าๆ”

“เข้าไปข้างในกันเถอะ มัมคงอยากเจออุลจะแย่แล้ว”

ไออุ่นไม่มีกระเป๋าสัมภาระเพราะเขาแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า พอถูกสเตซี่พูดแบบนั้นเขาก็รีบเดินนำเข้าไปในบ้านก่อน อยากโผล่หน้าเข้าไปทำเซอร์ไพรส์เฮเลนใจจะขาด ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเวลามาจนถึงป่านนี้แล้วคนที่เป็นดั่งเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ทันทีที่เหยียบย่างขึ้นบันไดไปก็รู้สึกถึงความคุ้นเคย

“เฮเลน~”

“...........”

“เฮเลน~ ฉันมาแล้วนะ”

ไออุ่นตะโกนเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา

“โอ๊ะ! อุลเหรอ”

หญิงชราวัยย่างเข้าเลขแปดเดินออกมาจากทางไปห้องครัว ใบหน้าของเธอดูแก่ลงไปมากแต่ถึงอย่างนั้นไออุ่นก็ยังจำได้ดี แววตาสีฟ้าครามคู่นั้นที่มองมายังเขามันไม่เคยเปลี่ยนไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าคือความรักและความผูกพันที่ต่อให้กาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สิ่งเหล่านั้นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม

“เฮเลน!”

“นายไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

แน่ล่ะ! ตุ๊กตาไขลานอย่างไออุ่นคงเปลี่ยนแปลงสภาพภายนอกของตัวเองไม่ได้เช่นเดียวกับความรู้สึกของเขาเอง

“เธอก็ไม่เปลี่ยนเหมือนกันนะ”

เฮเลนได้แต่ยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาไออุ่นด้วยความคิดถึง เอื้อมมือที่ไม่ได้เต่งตึงเหมือนครั้งแรกที่เจอกันออกไปลูบโครงหน้านั้นเบาๆ ไออุ่นจับมือข้างนั้นอย่างแนบแน่นราวกับพยายามที่จะซึมซับความอบอุ่นนั้นเอาไว้

“อุล! เจอมัมหรือยังครับ”

พอสเตซี่ก้าวเข้ามาในบ้าน คำถามนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบแล้ว ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าบอกได้ทุกอย่าง

“โอ้โห~ ทีกับผม อุลไม่ยอมให้กอดแต่พอเป็นมัม...”

“อ๊ะ! นั่นใช่เบฟหรือเปล่า”

เฮเลนผละออกจากไออุ่นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเบฟพยักหน้าพร้อมกับตอบรับ เธอจึงกวักมือเรียกให้เดินเข้าไปหา เบฟหันไปมองหน้าไออุ่นราวกับต้องการคำตอบว่าเขาควรทำอย่างไร พอเห็นว่าไออุ่นพยักหน้าให้ก็เลยเดินเข้าไป มันเป็นความเคอะเขินของเด็กหนุ่มอย่างเขาที่เข้าหาผู้ใหญ่ไม่เก่งและดูจะไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเบฟถึงไม่พูดอะไร ต่อให้เขารู้ว่าเฮเลนเป็นย่าและเคยพบหน้าเมื่อครั้งยังเด็กแต่มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเบฟกับเฮเลนจึงเปรียบเสมือนญาติที่เป็นคนแปลกหน้า

“ตัวโตขึ้นเยอะเลยนะ ย่าจำได้ตอนนั้นหลานยังตัวเล็กนิดเดียวเอง”

“ครับ”

“นั่งกันก่อนๆ ย่าชงชาเอิร์ลเกรย์เอาไว้ เดี๋ยวจะยกมาให้นะ”

เฮเลนรีบกุลีกุจอเดินไปทางห้องครัวเพื่อยกน้ำชาที่เพิ่งทำออกมาแต่รุ้งรีบห้ามเอาไว้และอาสาจะเป็นคนไปยกมันออกมาเอง

“นั่งเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”

“ขอบใจนะ”

เฮเลนนั่งลงบนเก้าอี้ได้ไม่ทันไรก็เหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอมีอะไรบางอย่างอยากให้ไออุ่นได้เห็น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธออยากพูดคุยและตอนนี้เธอก็อยากอยู่กับไออุ่นเพียงลำพัง

“จริงสิ สเตซี่ช่วยไปดูในเตาให้หน่อยได้ไหม แม่อบไก่เอาไว้”

“อ๋อ ครับ ได้ครับ” สเตซี่รับคำและสั่งให้ลูกชายเอาของเข้าไปเก็บในห้องให้เรียบร้อย

เมื่อต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปแล้ว เฮเลนก็ลุกขึ้นเดินไปทางห้องหนึ่ง มันเป็นห้องที่เธอทำไว้สำหรับรอการกลับมาของไออุ่น “อุล นายชอบที่นี่ไหม”

“ชอบสิ มันทำให้ฉันนึกถึงเจนีวากับวิคเตอร์”

“แต่ที่นี่มันทำให้ฉันคิดถึงนาย”

ไออุ่นชะงักไป ถึงเขาจะใช้ชีวิตมาเป็นร้อยปีแต่ประสบการณ์กลับไม่ได้สอนอะไรเขาเลย คำพูดที่ไม่ควรพูดก็เผลอพูดออกไปจนได้

“ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าในใจของนาย ปู่ย่อมมาเป็นที่หนึ่งเสมอ”

ในใจของไออุ่นไม่เคยลืมภาพของวิคเตอร์ไปได้เลย เขาจดจำทุกสิ่ง ทุกคำพูดและทุกการกระทำของผู้ชายคนนั้นเสมอมาแม้ว่าในขณะนั้นจะยังเป็นเพียงตุ๊กตาไขลานที่ตอบสนองความรักและความเอ็นดูของใครไม่ได้เลยก็ตาม

“แต่เธอก็มาเป็นที่สองนะ”

“ไม่ต้องพูดให้ดีใจเล่นหรอก มา... ฉันจะพาเธอไปดูอะไรบางอย่าง”

เฮเลนเปิดประตูห้องที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นห้องที่เธอภูมิใจนำเสนอมากที่สุดและคิดว่าเมื่อไออุ่นได้เห็นแล้วจะต้องชอบมากแน่และนั่นก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คาดไว้เลยแม้แต่นิดเดียว ไออุ่นดูนิ่งไปเมื่อได้เห็นห้องนั้นแล้วความทรงจำต่างๆ ก็ย้อนกลับเข้ามา เก้าอี้ม้าโยกริมหน้าต่างเป็นเก้าอี้ตัวแรกและตัวเดียวที่เขานั่งประจำในร้านของวิคเตอร์ ถัดไปนั้นเป็นเตียงนอนแบบเดียว ลายเดียวกับเตียงนอนของเฮเลนเมื่อสมัยก่อน ทุกอย่างในห้องถูกเนรมิตให้เป็นห้องที่เขาเคยอยู่

“เฮเลน...”

เฮเลนจูงมือไออุ่นให้มานั่งที่เก้าอี้ม้าโยกแล้วเธอจึงนั่งลงข้างกัน จับมือของไออุ่นให้มาลูบหัวตัวเธอเอง

“อุล จำได้ไหม ครั้งแรกที่อุลขยับได้ก็เอามือมาลูบหัวฉันแบบนี้”

ไออุ่นพยักหน้า เขาเองจำได้ไม่เคยลืม มันเป็นความปรารถนาครั้งแรกหากร่างกายขยับได้ เขาอยากลูบหัวเล็กๆ ที่น่าเอ็นดูนั่นแต่ตอนนี้อะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไปแล้ว เด็กตัวน้อยคนนั้นตอนนี้ตัวใหญ่ขึ้นมาก ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเสียหมดจนแทบจะจำเค้าโครงเดิมอะไรไม่ได้เลยเว้นเสียแต่ดวงตาคู่นั้น

“แต่ก่อนเธอชอบมานั่งเล่นบนตักฉันแต่ตอนนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้แล้วสินะ”

เฮเลนหัวเราะเบาๆ

“อุล จำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหม”

“จำ... ได้สิ... มั้ง”

ไออุ่นไม่แน่ใจว่าวันแรกที่เราได้เจอกันในความหมายของเฮเลนนั้นเป็นวันไหนกันแน่ เป็นวันที่เขานั่งรอวิคเตอร์กลับมาหรือเป็นวันที่เขาย้ายไปอยู่ที่บ้านของเจนีวา

“ฉันจำได้ วันนั้นที่ฉันตามแม่ไปที่ร้านของปู่ วินาทีที่เห็นอุลนั่งอยู่ตรงนั้น ฉันรู้สึกเหมือนนายมีชีวิตแล้วยิ่งตอนที่ขึ้นไปนั่งบนตักของอุล มันอุ่นมากแต่แม่กลับบอกว่าเป็นเพราะไออุ่นจากตัวฉัน มันน่าแปลกดีนะ ว่าไหม”

“เฮเลน...”

“แม่เอาแต่บอกสิ่งที่ปู่สั่งเสียไว้ว่าอุลเป็นสมบัติล้ำค่าของครอบครัวแต่ฉันกลับรู้สึกว่าอุลเป็นมากกว่านั้น เป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัว เป็นคุณครู เป็นเพื่อน... และเป็นสิ่งสำคัญของปู่”

ไออุ่นไม่คิดว่าตัวเองจะสำคัญกับเฮเลนมากขนาดนี้ ไม่คิดว่าตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิตตัวนี้จะมีค่ากับคนในครอบครัวบรอมฟอร์ดได้ถึงขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะได้มีชีวิต มีความรู้สึกเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

“ทุกคนในครอบครัวบรอมฟอร์ดก็เป็นคนสำคัญสำหรับฉันเหมือนกัน”

“อุลชอบที่นี่ไหม”

เฮเลนรีบเปลี่ยนเรื่อง ถ้าเอาแต่พูดเรื่องนี้มากเข้าก็กลัวน้ำตาจะไหลกันเสียก่อน หรืออาจจะมีแค่เธอที่เอาแต่นั่งร้องไห้ก็ได้
“ชอบสิ มันเหมือนบ้านหลังนั้นของเจนีวามากเลย”

“ฉันกับสามีทุ่มเททั้งชีวิตทำงานเก็บเงินเพื่อทำสิ่งนี้ให้นาย บ้านหลังนี้... สเตซี่กับรุ้งก็มีส่วนร่วมด้วยนะ เราขอยกมันให้กับนาย สิ่งที่มีค่าที่สุดของครอบครัวบรอมฟอร์ดก็คือนาย พวกเราอยากให้นายมีสิ่งที่เรียกว่าบ้านให้กลับ”

“ให้... ให้ฉันงั้นเหรอ!?”

ไออุ่นไม่คิดว่าเขาจะได้รับอะไรมากมายอย่างนี้มาก่อน เขาก็เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานธรรมดาตัวหนึ่งที่เมื่อลานหมด ทุกอย่างก็จะหยุดเดิน มันอาจจะหยุดในวันพรุ่งนี้หรืออีกสองวันข้างหน้า ไม่มีใครรู้ได้แม้แต่ตัวเขาเอง เตียงนอนที่ไม่ได้นอน ห้องครัวที่ไม่ได้ใช้ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยฟันเฟืองทุกชิ้น อะไหล่ทุกตัว

“อืม ตอบแทนสิ่งที่อุลทำให้มาโดยตลอด”

“ขอบคุณนะ เฮเลน”

ไออุ่นดึงร่างของเฮเลนที่นั่งอยู่ข้างๆ เข้ามากอดเอาไว้แนบแน่น เขาไม่มีอะไรจะให้ครอบครัวนี้ได้นอกจากความรัก

“มัม~ อุล~ ไก่อบเสร็จแล้ว!!”

เสียงของสเตซี่ที่ดังลอยเข้ามาในห้องทำให้ต้องปล่อยเฮเลนไปแล้วส่งยิ้มให้กันแทน

“เฮเลนไปกินข้าวเถอะ เกือบบ่ายแล้วนะ”

“แล้วอุลล่ะ ไปด้วยกันสิ”

“ฮ่าๆ ให้ฉันไปนั่งมองพวกเธอกิน เดี๋ยวได้กินกันไม่ลงกันพอดี อีกอย่างฉันว่าจะไปเดินดูรอบๆ สักหน่อย คงไม่ว่ากันใช่ไหม”
ไออุ่นเลือกที่จะพาตัวเองออกมาอยู่ข้างนอกแม้ว่าการกระทำแบบนี้อาจเสี่ยงต่อการที่อะไหล่บางชิ้นเสื่อมสภาพเร็วขึ้นแต่การเข้าไปนั่งอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงส่วนเกิน ได้แต่นั่งมองเฉยๆ ในขณะที่คนอื่นกินกันอย่างเอร็ดอร่อย บางครั้งเขาก็อดที่จะรู้สึกอิจฉามนุษย์ไม่ได้

ไออุ่นเดินดูไปเรื่อยเปื่อย ที่นี่ดูร่มรื่นและงดงามมากจริงๆ ทำให้เขารู้สึกสงบ เป็นสถานที่ที่ใช้หลีกหนีจากความอลม่าน จอแจของผู้คนในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดีทีเดียว แล้วพลันนึกถึงวิคเตอร์... ชายคนนั้นรักสงบและมักชอบพูดให้เขาฟังอยู่เสมอถึงบั้นปลายชีวิตที่จะกลับไปอยู่ในฟาร์มแกะกับญาติผู้น้อง วิคเตอร์เคยบอกว่าจะพาเขาไปด้วยกันแต่ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นก็เป็นได้เพียงแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง... วิคเตอร์จากไปแล้ว
 
“อุ่น!”

ไออุ่นหันไปตามเสียงเรียก เป็นเบฟที่ยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าเขาได้ยินไม่ผิดไปดูเหมือนว่าจะได้ยินแค่เพียงชื่อเขาห้วนๆ

“ป๊ะป๋า”

“ครับ”

“ทำไมป๊ะป๋าไม่ไปนั่งกับพวกเราล่ะครับ”

“ป๊ะป๋าแค่อยากออกมาเดินสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย แต่เดี๋ยวก็กลับเข้าไปแล้วล่ะ”

‘สูดอากาศข้างนอก’ …. ไออุ่นพลาดไปแล้วจริงๆ ตุ๊กตาไขลานอย่างเขาแค่คำว่าหายใจยังไม่รู้จักแล้วนับประสาอะไรจะไปสูดอากาศ

“เหรอครับ”

เบฟทำหน้าไม่อยากเชื่อในคำพูดของไออุ่นสักเท่าไรแต่เขาก็ไม่อยากถามอะไรมาก

“แล้วไม่อยู่กินข้าวกลางวันให้เสร็จเรียบร้อยล่ะ”

“กินเสร็จแล้วครับ”

“นี่! จะเอาแต่มาขลุกอยู่กับป๊ะป๋าทั้งวันไม่ได้นะ”

“ครับ รู้แล้วครับ”

ไออุ่นยกมือขึ้นยีผมของคนตัวเล็กกว่าอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน

“ไปอยู่กับแด๊ดกับแม่เถอะ นานๆ ทีจะได้เจอกัน รู้หรือเปล่าว่าพวกเขารักเบฟมากนะ”

เบฟหยักหน้า ถึงเขาจะอยากอยู่กับไออุ่นมากกว่าแต่ก็จำต้องจากไป เพียงเพราะไม่อยากทำให้ไม่สบายใจ

“เดี๋ยวอีกสักพักป๊ะป๋าก็จะกลับเข้าไปข้างในแล้วล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“ก็ได้ครับ งั้นเบฟเข้าไปข้างในก่อนนะครับ”

ไออุ่นมองตามร่างที่เดินจากไปแต่กลับฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบเดินตาม

“เบฟ! ป๊ะป๋าว่าป๊ะป๋าตามเข้าไปด้วยดีกว่า”

“อ้าว~”

เบฟยิ้มกว้าง สุดท้ายแล้วไออุ่นก็ยอมเข้าไปข้างในด้วยกันแต่เขาไม่ทันได้เอ๊ะใจว่าทำไมจู่ๆ ไออุ่นถึงได้ยอมเดินตามเข้าไปด้วยกันง่ายๆ

“คืนนี้เบฟนอนกับป๊ะป๋านะครับ”

“เสียใจครับ คืนนี้ป๊ะป๋าจะนอนกับย่า เบฟก็ไปนอนกับแด๊ดสิ”

“ไม่เอานะ! ไม่เอา!! เบฟจะนอนกับป๊ะป๋า”

เบฟร้องลั่น ไม่ยอมอย่างเด็ดขาดที่วันนี้จะไม่ได้นอนเตียงเดียวกับไออุ่น เหตุที่ยอมตามมาถึงที่นี่ก็เพราะอยากอยู่กับตุ๊กตาไขลานตัวนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากมีความทรงจำที่ดีร่วมกันกับไออุ่นให้ได้มากที่สุด อยากทำทุกอย่างโดยมีไออุ่นอยู่ข้างกาย แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอกับการที่จะไม่ยอมให้ไออุ่นอยู่ห่างตัว

“นานๆ จะได้เจอแด๊ดที เบฟควรใช้เวลานี้ให้คุ้มค่านะ”

“ป๊ะป๋า~”

ไออุ่นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เวลาอีกฝ่ายเอาแต่ใจ ทางเดียวที่จะรับมือได้คือต้องใจเย็นและไม่สั่นคลอนต่อเป้าหมายของตัวเอง ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา ไม่บังคับแต่ก็ไม่ทำตามเสียทีเดียว

“อยู่กับป๊ะป๋ามาตั้งยี่สิบปี เปิดโอกาสให้แด๊ดกับแม่ได้ทำคะแนนบ้างเถอะ”

“แต่... เบฟอยากอยู่กับป๊ะป๋ามากกว่านี่ครับ”

“งั้นเอาแบบนี้ไหม ตอนกลางวันเบฟก็หาเวลาอยู่กับแด๊ด แม่และย่า ส่วนกลางคืนก็ค่อยมานอนกับป๊ะป๋า”

เบฟดูจะนิ่งไป เขากำลังใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างหนัก ได้อยู่กับไออุ่นแค่ช่วงเวลากลางคืนน่ะเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยแต่การที่ต้องเข้าหาสเตซี่ผู้เป็นพ่อนั้นมันช่างเป็นเรื่องยากสำหรับเขามากนัก ในเมื่อตลอดชีวิตที่ผ่านมานี่เขามีเวลาที่ใช้ร่วมกับพ่อและแม่น้อยมากจนแทบจะลืมช่วงเวลาเหล่านั้นไปหมดสิ้นแล้ว

“มันตัดสินใจยากมากเลย”

ไออุ่นหัวเราะเบาๆ “ขนาดนั้นเชียว?”

“อืม ป๊ะป๋าสำคัญกับเบฟมากนะครับ”

“แด๊ดกับแม่ก็สำคัญนะ ถ้าไม่มีแด๊ดกับแม่ เบฟคงไม่มีโอกาสได้พูดว่าป๊ะป๋าสำคัญหรอกนะ เอาล่ะ! เข้าไปข้างในกันดีกว่า พวกเขาคงรอแย่แล้ว”

“คร๊าบ~ คร๊าบ~”

เบฟตอบรับเสียงทะเล้นแล้วเข้าไปโอบเอวของไออุ่นเอาไว้พร้อมกับเอาคางเกยไหล่นั้นไว้

“นับวัน เรานี่นะ... มันน่าตีจริงๆ”

ไออุ่นเลยตีเข้าไปที่ต้นแขนจริงๆ หนึ่งที เบฟถึงกับทำหน้ายู่แล้วพวกเขาก็หัวเราะไปด้วยกัน



หลังจากที่ไออุ่นยอมไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยก็ดูเหมือนเบฟจะคุยกับพ่อมากขึ้นด้วยข้อตกลงที่พวกเขามี

จบจากการร่วมโต๊ะอาหาร เบฟก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่กับไออุ่นตลอดเวลาจนเฮเลนถึงกับเอ่ยปากแซวพลางหัวเราะเบาๆ

“เบฟนี่ลูกใครกันล่ะเนี่ย ลูกอุลหรือสเตซี่”

“เฮเลน~ อย่าแซวกันแบบนี้สิ”

“ลูกป๊ะป๋าแล้วก็ลูกแด๊ดด้วยครับ”

เฮเลนยิ้มขัน เธอมีชีวิตอยู่บนโลกนี้มานานพอๆ กับไออุ่น ทำไมถึงจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรหรือใครคิดอะไรยังไงกับใครบ้าง และเพราะรู้ดี เธอจึงเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ในใจแล้วมองดูพวกเขาดำเนินชีวิตกันต่อไป แต่สำหรับไออุ่นผู้มองผู้อื่นในแง่ดีอยู่เสมอไม่มีทางรับรู้ได้ด้วยตัวเองแน่ๆ ว่าใครรู้สึกยังไงกับตัวเองบ้าง

“ก็ขอให้เป็นแบบนั้น ย่าเห็นหลานเอาแต่ทำตัวติดอุล”

“ก็เบฟรักของเบฟนี่ครับ”

“ฮ่าๆ ย่าเหนื่อยแล้ว ขอเข้าไปพักก่อนแล้วกันนะ”

เฮเลนหัวเราะแล้วรีบขอตัวแยกออกไป ร่างกายของเธอเริ่มร้องประท้วงอยากได้อะไรมาผ่อนคลายบ้างแล้ว อายุอานามของเธอเองก็ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าขืนยังอยู่ตรงนี้มีหวังได้ล้มฟุบอยู่แถวนี้เอาแน่

“ให้ไปส่งไหม เฮเลน”

“ไม่เป็นไรๆ”

เฮเลนเอื้อมมือไปยีผมเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดูก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป ในช่วงเวลาอาหารเย็นนั้นไออุ่นได้เสนอขอนอนห้องเดียวกับเบฟด้วยเพราะความเคยชินแต่ความจริงมันมีอะไรมากกว่านั้น เฮเลนเองก็เห็นดีเห็นงามด้วยที่จะจัดการนอนใหม่ ถึงเธอจะเคยอยู่ห้องเดียวกับไออุ่นมาตลอดจนถึงเวลาที่เธอแต่งงานออกจากบ้านไปแต่เธอก็รู้ว่า ณ เวลานี้มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วจึงกลายเป็นว่ารุ้งจะนอนห้องเดียวกับสเตซี่ ไออุ่นกับเบฟนอนด้วยกันและสุดท้ายก็จบที่เฮเลนอยู่เพียงลำพัง

“ป๊ะป๋าไปนอนกันเถอะครับ เบฟง่วงแล้ว”

“งั้นก็ไปกันครับ”

ไออุ่นและเบฟพากันเดินเข้าห้องนอนและพวกเขาก็ไม่ลืมที่จะทำเหมือนทุกครั้งก่อนนอน การจูบหน้าผากซึ่งกันและกันก่อนเข้านอนเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ทำด้วยกันมาตั้งแต่ที่เบฟยังเล็ก แม้ว่าเด็กตัวเล็กคนนั้นจะโตเป็นหนุ่มแล้วแต่การกระทำแบบนี้ก็ยังคงอยู่

“ป๊ะป๋า คืนนี้นอนกอดเบฟได้ไหมครับ”

“ได้สิ”

เบฟรู้ว่าไออุ่นใจดีและสิ่งที่เขาร้องขอนั้นไม่เคยมีคำว่าไม่ได้

“งั้นก็นอนได้แล้วนะครับ เด็กดี เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับบ้านแล้ว”

เบฟไม่ทันได้คิดถึงเวลาที่เขาจะได้อยู่กับไออุ่นว่ามันจะมีเพียงแค่เท่านี้ หนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันกว่าๆ แต่มันก็มีค่ากับเขามากมายมหาศาล จากนี้ไปอีกห้าวันยังนึกภาพไม่ออกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไงโดยที่ไม่มีไออุ่นอยู่ด้วยเหมือนทุกวันที่ผ่านมา ฟ้าคงต้องถล่ม โลกคงต้องพังพินาศแน่

“ไม่อยากกลับเลยครับ ป๊ะป๋า ขอเบฟอยู่ด้วยอีกสักวันไม่ได้เหรอ”

“แล้วที่สัญญากับป๊ะป๋าไว้ล่ะครับ”

เบฟชะงักไปเล็กน้อย “ป๊ะป๋า~”

ไออุ่นหัวเราะเบาๆ ได้แกล้งเด็กคนนี้บ้างก็ดูมีความสุขดีเหมือนกัน

“นอนเถอะครับ นอนดึกแล้วจะเป็นแพนด้าน้อยเอานะ”

“ป๊ะป๋าห่มผ้าให้หน่อยครับ”

เบฟลงไปนอนกับเตียงรอให้ไออุ่นมาห่มผ้าให้ ถ้าการเป็นเด็กในสายตาของไออุ่นจะไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไป เขาก็อยากเป็นเพียงแค่นั้นแม้ในใจลึกๆ จะหวังอะไรที่มากกว่านั้นก็ตาม ไออุ่นยกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากแล้วดึงผ้าห่มมาปิดตัวให้

“ทีนี้ก็นอนได้แล้วนะ”

“ยังไม่ได้ครับ ป๊ะป๋ายังไม่ได้มานอนกอดเบฟเลย”

เด็กหนุ่มเขยิบตัวไปอีกฝั่งของเตียงแล้วให้ไออุ่นสอดตัวเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน

“ป๊ะป๋า... ถ้าเบฟเป็นเด็กไม่ดีจะยังรักเบฟอยู่ไหม”

ไม่รู้อะไรดลใจให้เบฟถามคำถามนี้กับไออุ่นแต่มันเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองอยากรู้มาโดยตลอด ถ้าหากเขากลายเป็นเด็กไม่ดีที่คิดไม่ซื่อกับตุ๊กตาไขลานที่ชื่อว่าป๊ะป๋า อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

“รักสิครับ นอนได้แล้วนะ”

เด็กน้อยคนนั้นอมยิ้ม เพียงเท่านี้ก็มีความสุขแล้ว เขาสวมกอดร่างของตุ๊กตาไขลานตัวนี้เอาไว้แน่นแล้วซุกหน้าลงกับแผงอกของอีกฝ่าย ค่อยๆ เก็บเกี่ยวความสุขของกันและกันเอาไว้ก่อนที่วันสุดท้ายของการได้อยู่ร่วมกันจะมาถึง


** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนนี้มาย้อนวันวานกันกับเฮเลนและไออุ่นกันนะคะ
ส่วนตอนหน้านั้น... คาดว่าน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องได้เลย (ไม่แน่ใจว่านี่เราสปอยหรือเปล่า แหะๆ )

--------------------------

หลังจากที่ลงมาหลายตอนแล้วแต่ยังไม่เคยได้ตอบคอมเม้นท์ใครเลย ขออนุญาตตอบตรงนี้นะคะ ขอบคุณทุุกคำคอมเม้นท์ทั้งตอนก่อนหน้าและตอนที่ผ่านมามากค่ะ รวมถึงขอขอบคุณทุกคำคอมเม้นท์หลังจากนี้ล่วงหน้าเลยนะคะ ขอบคุณค่ะ (^/|\^)

เฟมโตตัน.
ขอบคุณค่าาาาา [/li][/list]


rockiidixon666
มาแล้วค่าาาาาาาา ^0^

TIKA_n
สงสารไออุ่นเหมือนกันเลย สำหรับเรื่องนี้ส่วนตัวเราคิดว่าไออุ่นน่าสงสารที่สุดแล้วอ่ะ ส่วนไวน์จะเป็นวิคเตอร์กลับชาติมาเกิดหรือเปล่านั้นต้องรอดูค่ะ ขอบคุณนะคะ

พิศตะวัน
ขอบคุณนะคะ

xหยกน้อยx
จะอัพให้ทุกอาทิตย์นะคะ ถ้ามีธุระก็อาจจะต้องเลื่อนไปอ่ะนะคะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีแพลนธุระอะไรค่ะ ว่างมากกกกกกกก ปั่นนิยายวนไป ฮ่าๆๆๆๆ

donut4top
ไม่ใช่แค่คนบ้านนี้รักอุ่นนะคะ เราก็รักอุ่นจนอยากแย่งมาจากทุกคนเลย ฮ่าๆๆ แล้วไวน์จะใช่วิคเตอร์หรือเปล่าต้องติดตามตอนต่อๆ ไปนะคะ แต่ก็แอบคันปากอยากเล่ามากเลย

alternative
ตอนที่3 นี่เบฟน่าสงสารจริงค่ะ และคาดว่าน่าจะน่าสงสารอีกหลายๆ ตอน

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 4 ** 2017.08.25 **
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 26-08-2017 14:37:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 4 ** 2017.08.25 **
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 26-08-2017 20:34:10
ไม่รู้เลยว่าไออุ่นจะมีคู่มั้ย หรือถ้ามีก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร555
อย่าหักดิบเรานะ แบบสุดท้ายไออุ่นก็หยุดทำงานถ้าเป็นอย่างนี้ช่วยบอกเป็นนัยๆก่อนจะได้ทำใจ555
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 4 ** 2017.08.25 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 26-08-2017 22:28:31
ใคร ๆ ก็รักอุล

ใคร ๆ ก็อกหักจากอุล
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 5 ** 2017.08.27 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 27-08-2017 12:30:36
ตอนที่ 5


เมื่อเจ้าของร้านอย่างไออุ่นไม่อยู่ ร้านดอกไม้จึงปิดให้บริการตลอดหนึ่งสัปดาห์แต่ก็ยังคงมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งที่หน้าร้านก็แปะป้ายบอกเอาไว้แล้วแท้ๆ ลูกค้าที่แวะมาส่วนใหญ่นั้นเป็นลูกค้าขาประจำที่คิดว่าเจ้าของร้านคงล้อเล่นเรื่องที่ปิดร้านไปทั้งสัปดาห์ซึ่งตามปกติแล้วต่อให้ฝนจะตก ลูกค้าจะน้อยแค่ไหน ร้านดอกไม้อุ่นไอรักก็ยังคงเปิดให้บริการเสมอ

เบฟไม่เคยรู้สึกเหงาขนาดนี้มาก่อน ความเงียบสงบภายในร้านทำให้ทุกอย่างดูนิ่งไปหมดแม้กระทั่งใจของเขาเองที่ก็เกือบจะหยุดไปเช่นกัน ความอ้างว้าง โดดเดี่ยวที่ไม่มีไออุ่นอยู่ด้วยมันช่างทรมานนักจนอยากจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรสักอย่างแต่เขารับปากกับไออุ่นเรื่องการเรียนเอาไว้แล้วจะทำให้ผิดหวังไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ผ่านมาแล้วสองวันกับการที่เบฟต้องอยู่ในร้านเพียงคนเดียวและคอยบอกลูกค้าที่แวะมาที่ร้านว่ายังไม่เปิดให้บริการเมื่อมีคนมาถามถึง

เสียงเคาะประตูร้านดังขึ้นเรียกให้เบฟหันไปมอง คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูคือพีท ลูกชายเจ้าของร้านขายอะไหล่ เขาลุกขึ้นจากม้านั่งในร้านแล้วเดินไปเปิดประตูให้ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม

“พี่อุ่นไม่ได้กลับมาด้วยเหรอ เบฟ”

“ไม่ได้อ่านป้ายหน้าร้านเหรอวะ พีท”

พออยู่ต่อหน้าไออุ่น เบฟก็เป็นเด็กที่น่ารัก ว่านอนสอนง่ายแต่พอลับหลังก็กลายเป็นคนละคน เขาไม่ใช่คนสองบุคลิกแต่ที่ทำแบบนั้นมันมีเหตุผล

“อ่านแต่คิดว่าพี่อุ่นจะกลับมาด้วย”

“ถ้ากลับมา มึงคงไม่เห็นป้ายหน้าร้านนั่น”

“พี่เอาอะไหล่มาให้ ไม่แน่ใจว่ามันจะแทนกันได้ไหม”

พีทยื่นซองใส่อะไหล่สองชิ้นที่เขาตระเวนหาไปทั่วให้กับเบฟซึ่งเจ้าตัวไม่แน่ใจว่ามันพอจะทดแทนกันได้ไหม ตอนที่ไปเสาะหามาก็อาศัยดูเอาจากรูปที่ถ่ายแล้วกะขนาดด้วยสายตาตัวเองซึ่งมันอาจผิดพลาดกันได้

“ขอบใจ”

“พี่อุ่นรู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วนายเป็นคนแบบนี้”

พีทเห็นท่าทางของเบฟที่นิ่งไปก็พอจะเดาเรื่องออกได้ลางๆ

“เบฟ ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ ถ้าพี่อุ่นรู้เข้าจะทำยังไง”

“รู้อะไร”

“คิดว่าพี่อุ่นจะรู้อะไรล่ะ”

พีทนั่งลงข้างๆ กับเบฟ เขาหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าห้าปีอย่างมีความหมาย

“จะไปรู้เหรอ มึงอย่ากวนได้ไหมวะ รู้อะไรก็รีบๆ พูดมา”

“ไปล่ะ ไม่มีใครเฝ้าร้าน”

พีทลุกขึ้นแล้วรีบเดินออกจากร้านไป ปล่อยให้เบฟได้คิดดูให้ดีว่าตัวเองกำลังปิดบังอะไรเอาไว้

“พีท!!”

เบฟจะวิ่งตามออกไปคุยไปเคลียร์กับให้รู้เรื่องว่าที่ไออุ่นจะรู้เรื่องนี่มันเรื่องอะไรกันแน่แต่ก็มีลูกค้าที่เขารู้สึกไม่ค่อยชอบหน้ามาเคาะประตูร้าน ไวน์คือชื่อของเขาคนนั้น เบฟจำมันได้ดีเพราะไออุ่นมักเรียกชื่อนั้นเสมอจึงจำต้องเดินไปเปิดประตูต้อนรับเพื่อแจ้งให้รู้ว่าวันนี้ร้านปิด

“ครับ”

“ไออุ่นอยู่หรือเปล่า ผมเอาร่มมาคืน”

ไวน์ยื่นร่มกันฝนสีน้ำเงินเข้มไปให้ แสดงให้เห็นว่าที่ตัวเขามาที่นี่แค่เพียงต้องการนำร่มที่ให้ยืมมาคืนเท่านั้น

“พี่อุ่นไม่อยู่และวันนี้ร้านปิด แต่ถ้าแค่เอาร่มมาคืน ผมจะรับมันไว้แทนให้ก็แล้วกัน”

“แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไรครับ”

“เห็นป้ายหน้าร้านตรงนั้นไหม ปิดถึงเมื่อไรก็ไม่อยู่ถึงวันนั้นแหละ”

เบฟชี้ไปที่ป้ายสีขาวหน้าร้านแจ้งสถานะการปิดร้านชั่วคราวเอาไว้ ถ้าอีกฝ่ายมีแก่ใจสังเกตดูบ้างล่ะก็คงจะรู้ว่าร้านดอกไม้อุ่นไอรักปิดให้บริการถึงวันไหนและการที่ปิดให้บริการนั้นก็หมายความว่าเจ้าของร้านไม่อยู่หรืออาจมีเหตุให้เปิดร้านไม่ได้

“แล้วถ้าผมจะขอ...”

“ถ้าจะขออะไรก็มาวันที่ร้านเปิดแล้วกันนะครับ แต่ถ้าเป็นไปได้... คุณไม่ต้องมาเลยจะดีกว่า”

“คือ... ผมแค่...”

ไวน์พยายามจะอธิบายเหตุผลว่าจริงๆ แล้วตัวเขาต้องการจะขออะไรแต่ดูเหมือนเบฟจะไม่ฟังและคิดเองเออเองไปเพียงฝ่ายเดียว

“แค่อะไร? ผมไม่รู้หรอกนะครับ แต่ถ้าคิดจะจีบเขาแล้วล่ะก็ไม่มีทาง!”

ไวน์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเบฟที่พยายามจะขวางไม่ให้เขาได้มีโอกาสจีบไออุ่น

“ที่พูดแบบนี้ ต้องการเก็บเขาไว้คนเดียวเหรอครับ”

เบฟชะงักไปเล็กน้อย ฝ่ายนั้นพูดเหมือนรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับไออุ่นแต่เบฟรู้ว่าคนที่เข้าหาไออุ่นส่วนใหญ่เป็นเพราะหลงใหลในดวงตาสีหยกคู่นั้นเช่นเดียวกับเขา ไออุ่นไม่ได้แค่ประดิษฐ์ช่อดอกไม้ได้สวยและงดงามแต่ยังมีอัธยาศัยดี แม้จะได้อยู่เพียงในร้านก็ยังมีคนแวะเวียนมาอยู่อย่างสม่ำเสมอ

“ผมพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอครับ คุณมาที่นี่บ่อยๆ แถมยังชอบทิ้งช่อดอกไม้เอาไว้ มันคงไม่ใช่เพราะว่าคุณลืมหรอกแต่เป็นเพราะตั้งใจทิ้งมันไว้ที่นี่ให้เขามากกว่า อ๋อ! อีกอย่าง... สายตาเวลาที่คุณมองเขาน่ะผมเห็นนะ ถึงคุณจะทำเป็นไม่ได้สนใจอะไรในตัวเขาแต่ผมก็พอจะรู้ว่าคุณคิดยังไง ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้ยังทันนะครับ”

ไวน์ยิ้มขันก่อนจะแจงให้รู้ว่าคนที่ควรจะตัดใจจริงๆ แล้วเป็นใครกันแน่

“คนที่ควรจะตัดใจจากเขาน่าจะเป็นคุณมากกว่านะ ครั้งก่อนที่ผมมาที่นี่เหมือนจะได้ยินคุณเรียกเขาว่าพี่ สถานะของคุณกับเขาคงเป็นได้แค่พี่กับน้อง ไม่มีทางที่จะกลายเป็นอย่างอื่นได้เพราะถ้าคิดจะเปลี่ยนสถานะก็ต้องคิดให้ดี อะไรที่ถูกเปลี่ยนไปแล้วมันคงยากที่จะเปลี่ยนกลับมา คุณว่าจริงไหม”

เบฟถึงกับสะอึก นั่นล่ะคือสิ่งที่เขากลัวมาตลอดถ้าสักวันหนึ่งไออุ่นรู้ความจริงเข้า ทุกสิ่งทุกอย่างคงไม่มีทางเหมือนเดิม

“แต่คนที่ไม่มีสถานะอะไรอย่างคุณคงยากหน่อยนะครับ คุณลูกค้า”

“ครับ มันคงจะยากเพราะผมเริ่มจากศูนย์แต่สำหรับคุณคงยากกว่าเพราะเริ่มจากร้อย”

“คุณ!! ยังไงคุณก็ไม่มีทางได้เขาไปแน่”

“ถ้าวันหนึ่งผมได้เขามา อย่ามาทวงคืนนะครับ” แววตาและน้ำเสียงของไวน์บ่งบอกว่าเขาพูดจริงทำจริง

“คุณเอาเขาไปให้ได้ก่อนเถอะครับ”

ไวน์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเดินออกจากร้านไป





“อุล! มานั่งทำอะไรตรงนี้”

เฮเลนร้องทักเมื่อเห็นไออุ่นพยายามเอากุญแจที่คล้องคออยู่ไขลานให้กับตัวเอง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ไขลานด้วยสองมือของตัวเองเลยดูติดขัดอยู่บ้างเล็กน้อย

“กำลังไขลานน่ะ”

“ให้ฉันช่วยนะ”

ไออุ่นยื่นกุญแจไปให้กับเฮเลนช่วยไขลานที่อยู่ข้างหลังให้

“เฮเลนเชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ไหม”

“กลับชาติมาเกิดเหรอ? มีอะไรหรือเปล่า”

เฮเลนส่งกุญแจคืนไปให้กับไออุ่นแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ รับลมเย็นในสวนหย่อมเล็กๆ ที่เธอทำขึ้นมาไว้สำหรับพักผ่อน นั่งเล่นยามแก่ชรา

“ฉันรู้สึกเหมือนเจอวิคเตอร์”

“ปู่เหรอ? เจอที่ไหน ยังไง”

“เขาเป็นลูกค้าที่ร้าน” ไออุ่นเงียบไปสักพัก รอดูปฏิกิริยาของเฮเลนที่ทำท่าอยากรู้อยากเห็นเอาเสียมากๆ เขาแอบหัวเราะอยู่เล็กน้อยก่อนจะที่พูดต่อ “ถึงเขาจะมีหน้าตา นิสัยไม่เหมือนวิคเตอร์เสียทีเดียวแต่ความรู้สึกฉันมันบอกว่านั่นล่ะวิคเตอร์”

“ได้ยังไง อุล~ หน้าตาก็ไม่เหมือน นิสัยก็ไม่ใช่ ทำไมถึงได้ด่วนตัดสินใจนักล่ะ”

“ความรู้สึกไง ถึงมันจะผ่านมานานมากแล้วแต่ฉันก็ยังจำวิคเตอร์ได้นะ”

ไออุ่นไม่เคยลืมวิคเตอร์ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ภาพที่ชายชราคนนั้นชวนคุย กล่าวทักทายทุกเช้า  กล่าวราตรีสวัสดิ์ทุกคืนหรือแม้แต่มานั่งปรับทุกข์อยู่ตรงหน้าเขายังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไป แม้ว่านิสัยจะแตกต่างไปจากเดิมแต่กลับมีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนั้นคือวิคเตอร์ บรอมฟอร์ด

“อุล~ ถึงจะรู้สึกว่ามันใช่แต่จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้ อาจเป็นคนที่เหมือนปู่หรือไม่ก็เป็นเพราะอุลคิดถึงปู่”

“คิดถึง... งั้นเหรอ”

ไออุ่นรู้ว่าวิคเตอร์จากไปแล้วและจะไม่มีวันกลับมาตลอดกาล ความคิดถึงไม่ได้ช่วยทำให้ได้เจอวิคเตอร์อีกครั้งแต่ในวันนั้นที่เขาคนนั้นเดินเข้ามาสั่งช่อดอกลิลลี่ที่ร้าน แววตาที่มองมานั้นช่างคล้ายกับคนที่สร้างตุ๊กตาไขลานตัวนี้ขึ้นมาแต่น่าเสียดายที่ความจริงแล้วสายตาคู่นั้นใช้มองเบฟมาโดยตลอด ไม่ใช่เขา

“อืม... ความคิดถึงบางทีก็อาจทำให้เราสับสนได้”

“เฮเลนพูดอะไรน่ะ ความคิดถึงทำให้สับสน?”

เฮเลนหัวเราะเบาๆ เธอคงพูดอะไรแปลกๆ ออกไปสินะ

“ยิ่งคิดถึงมากก็ยิ่งโหยหามากนะ อุล ช่วงเวลาแบบนี้แหละที่พอเวลาเราได้เห็นใครสักคน อะไรสักอย่างที่คล้ายกันก็จะถูกเหมารวมว่าเป็นสิ่งเดียวกับที่เราโหยหา เช่นเดียวกัน... ความคำนึงถึง ความอยากเจอ พอเราได้เจอใครสักคนที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นแม้เพียงน้อยนิดก็จะรีบคว้าเอามา ทึกทักไปเองว่าใช่ทั้งที่จริงแล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้”

“ฉัน... แค่คิดไปเองเหรอ?”

“เปล่า ฉันแค่อยากเตือนนายเฉยๆ”

“ขอบคุณนะ เฮเลน”

“ขอบคุณอะไร ฉันมันก็แค่ยายแก่ๆ คนหนึ่งที่กำลังรู้สึกแบบนั้น”

เฮเลนยิ้มขำให้กับชีวิตของตัวเอง ตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมาเธอมีความสุขกับการทำงานมากและเพื่อความมั่นคงของครอบครัวเลยมีเวลาให้กับสเตซี่และอุลน้อยมากรวมถึงลอยด์ผู้เป็นสามีด้วย โหมงานอย่างหนักจนลืมเวลาให้กับครอบครัวและคนที่รักจนกระทั่งลอยด์จากไปด้วยโรคร้ายอย่างกะทันหัน

“เฮเลน”

“ฉันพูดตรงๆ เลยนะ ตั้งแต่ที่ลอยด์จากไป ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่คิดถึงเขา ฉันเสียใจที่เอาแต่บ้างานจนลืมใส่ใจคนรอบข้าง ฉันไม่อยากให้สเตซี่ใช้ชีวิตแบบฉันแต่มันก็เป็นไปแล้ว ไม่อยากให้เขาเสียใจในภายหลังที่เอาแต่ทุ่มเทเวลาทั้งหมดที่มีไปกับการทำงาน ฉันรู้นะว่าสเตซี่กับเบฟดูไม่ค่อยจะสนิทกับเหมือนพ่อลูกคู่อื่น ตอนนี้มันอาจยังพอแก้ไขอะไรได้อยู่บ้าง ไม่เหมือนฉันที่อยากคิดกลับไปแก้ไขอะไรหลายๆ อย่างก็ทำไม่ได้อีกแล้ว”

ไออุ่นไม่รู้จะพูดปลอบใจอย่างไร อย่างน้อยๆ เฮเลนก็ยังมีเวลาอยู่กับลูกมากกว่าเมื่อเทียบกับสเตซี่และเบฟ

“ฉันว่าเราเข้าไปข้างในกันเถอะ ป่านนี้รุ้งคงทำข้าวเย็นเสร็จแล้ว”

“อุล... นั่งตรงนี้เป็นเพื่อนฉันสักพักได้ไหม”

“อืม”

ในขณะที่นั่งเฉยๆ เป็นเพื่อนเฮเลนอยู่ที่ระเบียงด้านนอก ไออุ่นก็คิดทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้น บางทีเขาอาจคิดไปเองแบบที่เฮเลนพูดก็ได้ ต่อให้คนนั้นเป็นวิคเตอร์กลับชาติมาเกิดใหม่จริงแต่คงไม่มีทางจำเขาได้แน่

“อุล”

“หืม?”

“ฉันเองก็คิดถึงปู่ แม้จะจำอะไรไม่ค่อยได้แต่ฉันก็รู้ว่าปู่รักฉันมาก ตอนที่ปู่เข้าโรงพยาบาล ฉันกับแม่ก็ไปเยี่ยมปู่ทุกวัน ทุกครั้งที่ไปปู่จะพูดกับฉันเสมอเรื่องของอุล ตั้งแต่ตอนเริ่มลงมือสร้างจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วฉันก็ได้รู้ว่าความรักที่ปู่ให้ฉันมันน้อยกว่าที่เขาให้นาย แต่ฉันไม่เคยเสียใจที่ปู่มอบความรักให้ไม่เท่ากันเพราะสิ่งที่เขาหลงเหลือไว้คือสิ่งที่วิเศษที่สุด”

ไออุ่นพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ส่งยิ้มอันอ่อนโยนไปให้

“รอยยิ้มของอุลสวยมากนะ ขนาดฉันที่เป็นผู้หญิงยังรู้สึกอิจฉาเลย”

“รอยยิ้มสวยๆ แบบนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้วิคเตอร์ล่ะนะ”

ทุกอย่างที่เป็นไออุ่นได้จนถึงตอนนี้เป็นฝีมือของวิคเตอร์ทั้งนั้น ถ้าหากชายคนนั้นไม่มีความคิดริเริ่มที่จะสร้างตุ๊กตาไขลานขนาดเท่าคนจริงที่ขยับเขยื้อนร่างกายบางส่วนได้ขึ้นมาล่ะก็ทั้งเฮเลน ทั้งสเตซี่และเบฟคงไม่เห็นมันได้มานั่งใช้ชีวิตที่ถูกมอบให้อยู่ตรงนี้แน่

“ไม่เถียง มันไม่ใช่แค่รอยยิ้มนะ แต่ทุกอย่างที่เป็นอุลมันดูงดงามไปหมด”

เฮเลนเอื้อมมือออกไปลูบใบหน้านั้นของไออุ่น เป็นความงดงามที่ถาวรจนเธอยังหลงใหลและรู้สึกอิจฉาอยู่นิดหน่อย ตุ๊กตาไขลานนั้นแตกต่างจากมนุษย์ ถึงแม้ว่าอะไหล่บางชิ้นส่วนจะเสื่อมสภาพลงก็ยังหาของใหม่มาทดแทนได้ทุกชิ้น อายุขัยที่ไม่ขยับไปไหนทำให้สามารถมีอายุยืนยาวได้ตามต้องการช่างเป็นสิ่งที่น่าอิจฉายิ่งนัก

“เฮเลนก็ยิ้มสวย จำได้ไหม... ตอนที่ลอยด์มาจีบเธอน่ะ ฉันเคยถามเขาว่าชอบอะไรในตัวเธอ คำตอบที่ฉันได้รับคือรอยยิ้ม”

“พูดให้ฉันดีใจเล่นเหรอ อุล”

“ฉันพูดความจริง”

“คุณแม่คะ อาหารเย็นตั้งโต๊ะแล้วค่ะ”

รุ้งเดินมาตามเฮเลนที่นั่งคุยเล่นกับไออุ่นที่ริมระเบียงด้านนอก เธอกับสามีช่วยกันเตรียมอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอให้ทุกคนมานั่งร่วมโต๊ะกันเท่านั้น

“ไปเถอะ เฮเลน รุ้งมาตามแล้ว ฉันจะนั่งตรงนี้อีกสักพักก็จะเข้าไปแล้วล่ะ”

“อุล”

เฮเลนจับมือของไออุ่นแล้วลูบมันเบาๆ มือของไออุ่นนั้นช่างนุ่มนิ่มแต่น่าเสียดายที่มันเย็นเฉียบราวกับร่างไร้วิญญาณ

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“อ๋อ! คุณอุ่นคะ เดี๋ยวอีกสักพักรบกวนแวะไปที่ห้องนั่งเล่นด้วยนะคะ”

“มีอะไรหรือเปล่า รุ้ง”

ไออุ่นถามกลับไป ปกติแล้วเขาก็ไม่ค่อยถูกเรียกให้ไปพูดคุยกันเป็นทางการแบบนี้มาก่อน จะมีก็แค่ตอนที่เขาถูกรุ้งและสเตซี่ขอร้องให้ช่วยเลี้ยงเบฟแทน หรือบางทีตอนนี้อาจถึงเวลาที่ต้องคืนสิ่งที่พวกเขามอบมาให้รวมถึงชีวิตนี้ด้วย

“แน่นอนว่ามีค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวฉันจะไปรอนะ”

ไออุ่นนั่งรับลมเย็นอยู่ตรงที่เดิม ไม่ว่าสายลมจะพัดมาแรงเท่าไรกลับไม่รู้สึกถึงมันได้เลย ไม่ว่าจะเคยพูดว่าเกลียดความเย็นเพราะมันจะทำให้ชิ้นส่วนในตัวชื้นและขึ้นสนิมได้ง่าย แต่ทว่าเขากลับไม่รู้จักสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย มีดีก็แค่พูดไปเพราะความกลัวว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะหายไปจากโลกนี้ สิ่งล้ำค่าที่ครอบครัวบรอมฟอร์ดเฝ้าถนุถนอมและปกป้องราวกับเขาเป็นพระเจ้า ต่อให้รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่สามารถตอบสนองใครได้อีกแต่ก็ยังอยากอยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อรำลึกถึงวิคเตอร์และตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่ครอบครัวนี้มอบให้





ไออุ่นพาตัวเองเข้ามานั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นได้ไม่นาน สเตซี่และรุ้งก็เดินเข้ามาแต่กลับไม่มีเฮเลน นั่นคงเพราะเป็นแค่เรื่องระหว่างพวกเขาเท่านั้น

“ขอโทษนะคะที่มาช้า เพิ่งพาคุณแม่ไปพักผ่อนน่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ แล้วที่เรียกให้มานี่มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“ขอโทษนะคะ แทนที่คุณจะได้พักผ่อนแต่เราจำเป็นต้องคุยจริงๆ ค่ะ คือ... เรื่องของลูกชายของเรา”

รุ้งเกริ่นนำพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับไออุ่น เหลือบมองสเตซี่ที่นั่งลงมาข้างๆ กันเป็นเชิงว่าให้เตรียมตัวเข้าประเด็นได้
“เบฟเหรอ”

ถึงแม้ว่าไออุ่นจะถามไปแบบนั้นแต่ท่าทางของเขาดูไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่เรื่องที่ทั้งสองคนต้องการจะคุยด้วยนั้นเป็นเรื่องของเบฟ เรื่องเดียวที่พวกเขาจะคุยอย่างจริงจังได้ก็มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น

“ค่ะ คือว่า... อยากถามว่าคุณรู้สึกยังไงกับเขาเหรอคะ”

คำถามของรุ้งคำถามนี้ทำให้ไออุ่นแปลกใจได้เลยจริงๆ เขานึกว่าจะพูดเรื่องขอเบฟกลับไปเสียอีก

“หมายถึงความรู้สึกแบบไหนล่ะ”

“แบบที่คุณกำลังรู้สึกอยู่นั่นแหละค่ะ ขอให้คุณตอบมาตามตรงเลยนะ เราอยากได้มันไปประกอบการตัดสินใจอะไรบางอย่าง”
ไออุ่นนิ่งไปอยู่ชั่วครู่พลางคิดทบทวนถึงความรู้สึกที่อยู่ในใจของตัวเอง ถ้าถามว่ารักไหม คำตอบคือรักแน่นอนและรักมาก เขาเป็นคนที่เลี้ยงเด็กคนนั้นมาเกือบทั้งชีวิตย่อมต้องมีทั้งความรักและความผูกพัน หากแต่ไม่เข้าใจว่าที่รุ้งถามออกมานั้นกำลังต้องการคำตอบแบบไหนจากเขากันแน่

“เบฟเป็นเหมือนลูกชายอีกคนของฉัน”

“แค่นั้นเหรอคะ”

“แล้วอยากได้ยินฉันตอบว่ายังไงเหรอ”

“ช่วยระบุให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยได้ไหมคะ”

ไออุ่นไม่เข้าใจว่าคำตอบแค่นี้ไม่เพียงพออย่างไร พอหันไปมองหน้าสเตซี่เพื่อต้องการคำอธิบายก็ได้คำตอบส่งผ่านมาทางสายตาให้ตอบสิ่งที่รุ้งถามเพราะเขาเองก็อยากรู้เช่นกัน

“ฉันเริ่มเลี้ยงเบฟอย่างจริงจังตั้งแต่ที่เขาเข้าเรียนประถม คอยสอนเขาทุกอย่างแม้ว่าฉันจะพาเขาออกไปเรียนรู้ ท่องเที่ยวเหมือนเด็กคนอื่นไม่ได้ แต่เขาไม่เคยโกรธฉัน ไม่เคยเรียกร้องจนถึงตอนนี้น่าจะรู้คำตอบนะว่าฉันรู้สึกยังไง”

สเตซี่และรุ้งไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นได้หรอก พวกเขาเป็นได้เพียงผู้ให้กำเนิดแต่ไม่ใช่ผู้เลี้ยงดูเด็กคนนั้นจนเติบใหญ่ รุ้งแค่โชคดีหน่อยที่เธอมีโอกาสได้อยู่กับลูกมากกว่าสามีแต่ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับช่วงเวลาอันยาวนานที่เบฟอยู่กับไออุ่นได้

“จะเป็นอะไรไหม ถ้าผมจะขอพูดตรงๆ ว่าเราอยากเลี้ยงเบฟต่อจากนี้เอง”

ไออุ่นชะงักไปทันทีที่ได้ยินสิ่งที่สเตซี่พูด

“ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับอุล แต่เบฟเป็นลูกของเรา เราจึงอยากรับเขากลับมา”

ไออุ่นนิ่งไปอย่างใช้ความคิด น้ำเสียงของสเตซี่ฟังดูจริงจัง แววตาที่มองมานั้นบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้พูดเล่น และไม่แปลกที่พวกเขาอยากได้เด็กคนนั้นกลับคืนไปในเมื่อทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือผู้ให้กำเนิด เป็นพ่อแม่ที่แท้จริง ส่วนเขาเป็นเพียงผู้เลี้ยงดูที่ไม่ควรคิดผูกพัน

“อืม... ได้”

“เอ๋? ได้เหรอ? แล้วอุล...”

ทั้งสเตซี่และรุ้งมีสีหน้าตกใจ พวกเขาไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้

“ไม่เป็นไร เบฟเป็นลูกของพวกเธอ เขาก็ควรจะอยู่กับพวกเธอมากกว่าฉัน และตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้วก็แค่นั้น”

“อุลไม่คิดจะรั้งไว้เลยเหรอ”

ไออุ่นยิ้มแต่รอยยิ้มนั้นกลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เขาเสียใจที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ พวกเขาทั้งคู่มีสิทธิ์ในตัวเบฟสมบูรณ์ทุกประการต่างจากเขาที่เป็นเพียงแค่จุดรับฝาก เมื่อคนฝากมาขอคืนก็ย่อมต้องคืนอย่างไม่มีเงื่อนไข

“ไม่ล่ะ ฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วคิดว่าจะไปรับเขากลับวันไหนล่ะ”

“อีก... อีกสองอาทิตย์”

“เดี๋ยวฉันจะเป็นคนพูดกับเขาเอง เตรียมตัวรอรับได้เลย ฉันขอไปพักก่อนนะ รู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อย เหมือนอะไหล่บางส่วนมันฝืดอีกแล้ว”

ในขณะที่ไออุ่นกำลังเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป สเตซี่ก็เอื้อมมือออกไปรั้งเอาไว้ก่อน

“ขอบคุณนะ อุล”

ไออุ่นทำแค่พยักหน้าแล้วเดินจากไป

“คุณคะ ทำแบบนี้ดีแล้วแน่เหรอคะ”

รุ้งดูค่อนข้างเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่น้อย เธอเห็นสีหน้าของไออุ่นแล้วรู้สึกสงสารที่ทำแบบนี้ลงไป

“ดีสิ เห็นสีหน้าของอุลตอนที่พูดถึงเบฟหรือเปล่าล่ะ บอกเลยว่าตั้งแต่ที่ผมอยู่กับเขามา ยังไม่เคยเห็นทำหน้าแบบนี้สักครั้ง แล้วจะได้ถือโอกาสดัดนิสัยเจ้าลูกชายคนนั้นด้วย”

“คุณก็เอาแต่เล่นสนุกเป็นเด็กๆ ไปได้ ฉันสงสารคุณอุ่นนะคะ”

สีหน้าของรุ้งดูเป็นกังวลอย่างชัดเจน แม้เธอจะรู้ว่าสามีทำลงไปก็เพื่อจะเอาคืนลูกชายที่ไม่ค่อยสนใจตนแต่กลับให้ความสำคัญกับไออุ่นมากกว่า แต่ไม่คิดว่าจะมีคนโดนลูกหลงไปด้วย

“แล้วจะให้ผมทำยังไง”

“ฉันกลัวคุณอุ่นจะโกรธเอาน่ะสิคะ”

“โกรธก็ดีสิ รายนั้นน่ะทำเป็นอยู่หน้าเดียว ผมก็อยากเห็นสีหน้าแบบอื่นๆ ของเขาบ้างนะ”

“เอาเถอะค่ะ ถ้าคุณอุ่นโกรธขึ้นมาจริงๆ ฉันจะบอกว่ามันเป็นความผิดของคุณ”

รุ้งหัวเราะเบาๆ สามีของเธอเจ้าแผนการดีนัก เธอไม่เข้าข้างหรอก

“แต่คุณเองก็ร่วมมือกับผมด้วยนะ อย่าลืมสิ รุ้ง”

รุ้งชะงักไปเล็กน้อย ดูเหมือนเธอจะลืมไปว่าตัวเธอเองก็รู้เห็นเป็นใจกับสเตซี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ค่ะ ถูกบังคับให้ร่วมมือจะถูกต้องกว่า”

สเตซี่หัวเราะชอบใจที่ภรรยาของเขาทำท่าไม่พอใจ ความจริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่อยากใช้วิธีนี้เท่าไรนักเพราะมันกะทบกับไออุ่นโดยตรง แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วล่ะก็เขาจะไม่ได้คำตอบอะไรเลย

“คุณอุ่นนี่ปิดความรู้สึกเก่งเหมือนกันนะคะ”

“อุลก็เป็นแบบนี้ล่ะ คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ต่อให้เขาบอกว่าไม่เป็นไรแต่ในใจอาจกำลังร้องไห้อยู่ก็ได้”

“แล้วคุณก็ทำเขาร้องไห้”

“ใช่ผมที่ไหนกันล่ะ”

“ไม่คุยกับคุณแล้ว ฉันไปนอนพักดีกว่า”

รุ้งลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปแบบงอนๆ เธอกลัวไออุ่นจะไม่พอใจแล้วโกรธเข้าจริงๆ แต่ดูเหมือนสเตซี่จะไม่ทุกข์ร้อนอะไรทั้งสิ้นทั้งที่เป็นคนเริ่มเรื่องแท้ๆ


** ติดตามตอนต่อไป **

เราคิดว่าจะเอานิยายเรื่องนี้มาลงทุกวันอาทิตย์นะคะ ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

ขอโทษด้วยนะคะที่เรื่องนี้มีคำพูดที่ไม่สุภาพอย่างกูมึงด้วย จริงๆ ไม่อยากใส่เลยคำพูดแบบนี้ ถ้าไม่ชอบ เดี๋ยวตอนต่อไปพยายามจะไปปรับแก้ดูนะคะ

ขอบคุณคุณKARMI ,คุณพิศตะวัน, คุณalternative มากนะคะ สำหรับคอมเม้นท์
ยังไม่อยากบอกเลยว่าไออุ่นจะมีคู่ไหม หรือถ้ามีแล้วจะได้คู่กับใคร อยากให้ลุ้นกันไปเรื่อยๆ ^^

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 5 ** 2017.08.27 **
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-08-2017 12:59:50
อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน พอจะจากกันก็ต้องเศร้าเป็นธรรมดา
ไม่รู้งานนี้เบฟจะอาละวาดแค่ไหน
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 5 ** 2017.08.27 **
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 27-08-2017 14:38:51
ชอบความรักและผูกพันธ์ของอุลกับเฮเลนมากเลย อ่านแล้วน้ำตาคลอ
ทำไม อ่านที่สเตซี่กับรุ้งคุยกัน ไม่ใช่ว่าอุ่นก็รู้สึกับเบฟเกินกว่าลูกชายด้วยหรอกนะ
หรือไป ๆ มา ๆ เบฟจะเป็นพระเอกหรือเปล่า T ^ T  ฮือออ ไม่นะ
เอาจริง ๆ อ่านตอนนี้นี่ ไม่ชอบนิสัยจริง ๆ ของเบฟเลยนะ เป็นเด็กก้าวร้าวมาก
พูดจากับพี่พีทไม่ดีเลย พี่พีทอายุมากกว่า แล้วก็ถือเป็นผู้มีบุญคุณกับอุ่นเลยนะ
ยังไงก็เชียร์ไวน์อ่ะ จะใช่หรือไม่ใช่วิคเตอร์กลับมา ก็เชียร์ไวน์อยู่ดี ไม่ชอบเบฟ
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 5 ** 2017.08.27 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-08-2017 17:19:44
อ่านแล้วรู้สึกว่า คาแรคเตอร์ของเบฟจะไม่เนียน มันดูกระโดด ๆ พยายามกลับไปหาว่าเบฟอายุเท่าไร แต่ก็หาไม่เจอ (ฉันอาจจะพลาดเอง) คิดว่าน่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนต้น (13 - 15 ปี) ถ้าอย่างนั้นก็พอจะเข้าใจอาการออดอ้อนเป็นเด็กเล็ก ๆ ได้ และทำไปก็พอจะดูน่ารักได้บ้าง แต่ถ้าโตกว่านั้น คือ 16 ไปถึง 20 ปี เด็กหนุ่มวัยนี้จะแสดงออกแบบที่อยากให้คนอื่นเห็นว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่ โตแล้ว อยากให้คนที่ตนสนใจเห็นว่าตนเองแข็งแกร่ง อาการออดอ้อนเป็นเด็กดูจะไม่เข้ากับวัยนี้

รู้สึกขัดตรงที่พูดกับไวน์กับพีทเช่นกันกับพีทที่สนิทกันนั้นอาจจะปากกล้า ขึ้นกูมึงได้ แต่จะให้ลุกมาไขว้กับผู้ใหญ่อย่างไวน์ (ที่ฉันก็เดาเองว่า ว่าเขาน่าจะอายุราว 25 ปีขึ้นไป) ก็ดูจะข้ามรุ่นไปหน่อย


ส่วนตอนนี้ สเตซี่กับรุ้งกำลังหักด้ามพร้าด้วยเข่า มีแต่จะเจ็บปวดกันทุกฝ่าย

ให้กำลังใจคุณ BlueSora ค่ะ

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 5 ** 2017.08.27 **
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 27-08-2017 22:58:09
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 6 ** 2017.09.03 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 03-09-2017 16:44:34
ตอนที่ 6


ไออุ่นกลับมาที่ร้านได้หลายวันแล้ว หลังจากที่สเตซี่ขอเบฟกลับคืน เขาก็ดูไม่สดใสเหมือนเคย แม้จะยิ้มให้กับผู้คนรอบข้างแต่ก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าในรอยยิ้มนั้น แม้แต่เบฟก็ยังรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ มีลูกค้าเข้ามาในใช้บริการที่ร้านค่อนข้างเยอะแต่ส่วนมากก็เข้ามาถามไถ่ถึงการปิดร้านไปทั้งสัปดาห์โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า

“เบฟ วันนี้เลิกเรียนแล้วรีบกลับนะครับ มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ”

ไออุ่นบอกกับลูกชายในขณะที่กำลังจัดช่อดอกไม้ให้กับลูกค้าที่โทรมาสั่งตั้งแต่ร้านเพิ่งจะเปิด

“มีอะไรหรือเปล่าครับ เรื่องสำคัญเหรอ”

“ครับ ไปเรียนได้แล้วนะ”

“โอเคครับ งั้นเบฟจะรีบกลับนะครับ”

เบฟพุ่งเข้าไปสวมกอดไออุ่นจากทางด้านหลังเหมือนเช่นที่ทำทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาอยากกอดร่างนี้เอาไว้ให้นานที่สุดตราบเท่าที่จะทำได้ ความรู้สึกเหมือนจะต้องห่างกันมันเข้าใกล้มาทุกทีแล้ว

“ไปนะครับ”

เบฟผละออกมาแล้วเดินออกจากร้านไป ตั้งแต่ที่สเตซี่พาไออุ่นกลับมาจากบ้านหลังนั้น เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจอย่างไรชอบกลแต่ไออุ่นกลับไม่พูดถึง ไม่อธิบายอะไร เอาแต่ยิ้มแย้มอยู่ทุกวันทั้งที่ในใจนั้นอาจจะตรงกันข้าม

“ขอโทษนะ เบฟ”

ไออุ่นเอ่ยขอโทษลูกชายที่รักยิ่ง มันเป็นคำพูดที่พออยู่ตรงหน้าแล้วคงจางหายไปกับสายลม

เสียงกระดิ่งตรงประตูหน้าร้านดังขึ้น ไออุ่นจึงละสายตาจากงานที่ทำอยู่ ส่งยิ้มให้กับลูกค้าเหมือนเช่นเคยแล้วจึงเอ่ยทักทายด้วยประโยคที่กล่าวเป็นประจำ

"สวัสดีครับ ต้องการรับดอกไม้แบบไหนดีครับ”

“เอ่อ...” หญิงสาวในชุดสีทึมมองไปรอบๆ ร้านแล้วจึงตัดสินใจถาม “รับทำพวงหรีดงานศพไหมคะ”

“ขอโทษนะครับ เรารับทำเป็นช่อกับกระเช้าเท่านั้น คุณคงต้องไปถามร้านอื่นดูนะครับ”

หญิงสาวคนนั้นทำหน้าสลดก่อนจะเอ่ยขอบคุณ และในขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้านไป ไออุ่นก็รีบรั้งเอาไว้ก่อนแล้วเดินไปหยิบดอกคาร์เนชั่นมายื่นให้

“รับไว้นะครับ แทนคำปลอบใจ”

“ขะ... ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาววัยกลางคนเอื้อมมือที่สั่นเทารับดอกไม้ที่ไออุ่นให้แทนคำปลอบใจเอาไว้ แล้วจู่ๆ น้ำตาเธอก็ไหล

“คุณแม่ชอบดอกคาร์เนชั่นมาก ฉันจะเอาดอกนี้วางไว้หน้าโลงของเธอ ขอบคุณนะคะ”

ไออุ่นยิ้มให้ เขาไม่คิดว่าแค่การหยิบดอกไม้เพื่อมาปลอบใจเรื่องการสูญเสียและการที่ทำพวงหรีดดอกไม้ให้ไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นดอกไม้ที่แม่ของผู้หญิงคนนั้นโปรดปรานแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ดี เธอคนนั้นเดินออกจากร้านไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มกว่าเดิมแม้ว่าจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ

ไออุ่นกลับมาจัดการงานที่ยังค้างไว้อยู่ให้เสร็จเรียบร้อย อีกไม่นานลูกค้าที่โทรมาสั่งดอกไม้กระเช้านี้เพื่อไปเยี่ยมไข้คงใกล้มาถึงแล้ว ในขณะที่ไออุ่นกำลังจัดร้าน พีทก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือของบางอย่างมาด้วย

“พี่อุ่น!”

“ว่ายังไง พีท”

“ผมเอาของมาให้ครับ”

พีทแบมือให้เห็นอะไหล่สองสามชิ้นที่เขาไปเสาะหามาจากทั่วทุกสารทิศ มันอาจจะแทนของเดิมที่มีอยู่ไม่ได้แต่ก็ดีกว่าการนั่งอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้อะไหล่ในร่างกายแต่ละชิ้นค่อยๆ พังลงไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็ใช้การไม่ได้อีก

“ขอบใจนะ”

ไออุ่นรับมันเอาไว้แล้วเดินขึ้นไปเก็บรวมกันไว้ในกล่องข้างบนห้องก่อนจะเดินกลับลงมาก็พบว่าลูกค้าที่โทรมาสั่งกระเช้าดอกไม้เอาไว้มาถึงแล้ว เขาเดินไปหยิบกระเช้าที่ทำเสร็จเรียบร้อยตามที่สั่งไปส่งให้ถึงมือลูกค้าพร้อมกับรับเงินมา พอเห็นว่าพีทกำลังมองอยู่อย่างไม่วางตาเลยถามออกไป

“มีอะไรจะพูดหรือเปล่า”

“ก็มีครับ แต่ไม่พูดจะดีกว่า”

“มีอะไรก็พูดมาเถอะ”

พีทอ้ำอึ้งแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกไป “รอยยิ้มพี่อุ่นไม่เหมือนเดิม”

ไออุ่นชะงักไป จริงอยู่ว่าช่วงนี้อารมณ์ของเขาดูไม่มั่นคงจึงอาจทำให้บางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนอย่างที่เคยแต่ไม่คิดว่าพีทจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย

“ไม่มีอะไรหรอก พีทคงจะคิดมากไปเอง พี่แค่เหนื่อยน่ะ”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีครับ”

พีทรู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้น ต่อให้เขารู้จักไออุ่นไม่ดีเท่ากับที่เบฟรู้จักแต่ทั้งสีหน้าและแววตาสีหยกกำลังสะท้อนความเจ็บปวดออกมา แม้เพียงน้อยนิด... คนนอกอย่างเขายังสัมผัสได้ แล้วกับเบฟที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกอะไร

“พี่อุ่น ผมก็อยากจะบอกนะครับว่าพักผ่อนให้เยอะๆ แต่สำหรับพี่อุ่นที่เป็นแบบนี้ ผมเลยไม่รู้จะพูดปลอบยังไงดี”

“แค่ทำหน้าเหมือนเดิมก็พอแล้ว”

ทำหน้าเหมือนเดิม? พีทนิ่งไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรกันที่แสดงสีหน้าที่แตกต่างออกไปจากเดิม

“คือ... ยังไงครับ”

ไออุ่นยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนที่จะอธิบายให้ฟัง

“ตั้งแต่ที่พีทก้าวเข้าร้านมา ถึงจะทำหน้านิ่งๆ แต่พี่ก็รับรู้ว่าพีทรู้สึกยังไง แล้วรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มแต่ความจริงแล้วยิ้มไม่ออกนั่น รอยยิ้มพีทก็ไม่เหมือนเดิมเหมือนกัน”

บรรยากาศชวนอึดอัดดูอึมครึมเหมือนฝนจะตกแต่ไม่ตก มีเมฆมากแต่ก็พอจะเห็นแสงแดดรำไรรอบตัวไออุ่นนั้นช่างดูหดหู่ ดอกไม้ในร้านที่ปกติแล้วดูสดชื่นและงดงามอยู่เสมอ ในเวลานี้กลับพร้อมที่จะเหี่ยวเฉาลงได้ทุกเมื่อ ไม่มีทางที่เบฟจะไม่รับรู้ถึงมันแล้วยังทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

“พี่อุ่น ผมขอถามตรงๆ นะครับ มีอะไรเกิดขึ้นตอนที่พี่ปิดร้านหรือเปล่าครับ”

“ถ้าอยากรู้ก็จะบอก แต่สัญญาได้ไหมว่ามันจะเป็นความลับแค่เรา”

พีทพยักหน้ารับคำสัญญานั้น

“เวลาของพี่เหลืออีกไม่มากแล้ว”

“อะ... อะไรนะครับ! แล้วเบฟ...”

สีหน้าของพีทดูตกตะลึงอยู่ไม่น้อย ทั้งที่เขาพยายามเสาะหาอะไหล่ชิ้นใหม่มาเปลี่ยนให้อยู่เรื่อยๆ แม้ว่ามันจะยากเย็นแค่ไหนก็ตามแล้วทำไมถึงยังไม่เหลือเวลาอีกแล้ว

“เขายังไม่รู้ ห้ามบอกเด็ดขาดเลยนะ ถ้าเด็กคนนั้นรู้เข้าจะต้องโวยวายแน่”

“แล้วทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้น”

“อะไหล่พังน่ะก็หามาเปลี่ยนใหม่ได้ใช่ไหม คิดว่าเป็นตุ๊กตาไขลานยังไงก็ต้องมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าใช่ไหม แต่อย่าลืมว่าต่อให้ใช้ชีวิตมายาวนานมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ต้องมีวันหยุดเดิน ไม่มีอะไรคงอยู่จนถึงโลกอวสานหรอกนะ”

“พี่อุ่น...”

พีทไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีหรือเรียกว่าพูดไม่ออกจะฟังดูเข้าใจง่ายกว่า เขาคิดมาเสมอว่าไออุ่นน่าจะเป็นตุ๊กตาไขลานที่มีความสุขที่สุดในโลก ได้ถูกห้อมล้อมด้วยคนที่รักและเอ็นดูมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มาจากคนในครอบครัวอย่างเบฟหรือแม้แต่ความเอ็นดูจากลูกค้าของร้านแต่กลับนึกไม่ถึงว่าคนแบบนั้นจะเก็บซ่อนความเจ็บปวดที่แสนโหดร้ายเอาไว้ตลอดมาภายใต้รอยยิ้มอันงดงามและเป็นมิตร

“อย่าบอกเรื่องนี้ให้เขารู้เด็ดขาดนะ”

ไออุ่นเอ่ยย้ำอีกครั้ง เพราะแค่เรื่องจะต้องย้ายไปอยู่กับสเตซี่ เขาก็พอจะนึกภาพออกว่าเด็กคนนั้นจะแสดงอาการอย่างไรออกมา ยังไม่นับถึงถ้าหากรู้เรื่องนี้ด้วยแล้วล่ะก็ร้านดอกไม้อุ่นไอรักคงได้เวลาปิดกิจการถาวร

“แต่ถ้าเขารู้ทีหลัง”

“รู้ทีหลังก็ยังดีกว่าให้รู้ตอนนี้ เพราะเมื่อถึงตอนนั้นแล้วเขาคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว”

“ไม่ใจร้ายกับเขาไปหน่อยเหรอครับ ถ้าให้เขารู้ตอนนี้อาจจะทำอะไรได้ก็ได้”

ไออุ่นได้แค่ยิ้ม จริงอยู่ว่าถ้าเบฟรู้ตอนนี้อาจพอมีทางออกให้กับเรื่องนี้แต่เขาคิดมาดีแล้ว

“พี่อุ่น ผมเริ่มไม่ชอบรอยยิ้มของพี่แล้วนะ”

ไออุ่นหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากัน ตีหน้ายุ่งจ้องมองมาที่เขา

“รอยยิ้มของพี่มันไม่ถูกใจพีทแล้วเหรอ”

“ผม...” ดวงตาเรียวเล็กของพีทหลุบต่ำลงเล็กน้อยราวกับพยายามครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ผมยังชอบรอยยิ้มของพี่เสมอนั่นแหละครับ แต่บางทีการที่พี่ยิ้มเพื่อบอกว่าพี่กำลังมีความสุขดีก็แค่การหลอกคนอื่นและหลอกตัวเอง”

“พูดเหมือนมานั่งอยู่ในใจพี่เลยนะ”

“คนที่นั่งอยู่ในใจพี่จริงๆ ไม่ใช่ผมหรอกครับ”

ไออุ่นชะงักไปแล้วเข่นยิ้มออกมาเล็กน้อย

“พูดแบบนี้... อยากเข้ามานั่งในใจพี่เหรอ”

พีทหัวเราะขำขันอย่างเสแสร้ง ต่อให้เขาหรือใครอยากเข้าไปนั่งในใจของไออุ่น ยังไงก็ต้องฝ่าด่านกำแพงหินของเบฟให้ได้ก่อนซึ่งมันไม่ได้ง่ายเลย รายนั้นไม่มีทางยอมปล่อยให้ไออุ่นได้เป็นของใครแน่

“ผมกลับก่อนดีกว่า”

พีทขอตัวกลับร้านก่อน ไออุ่นพยักหน้าตอบรับพร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่ก่อนที่จะได้ก้าวออกจากร้านไป พีทก็พูดขึ้นลอยๆ ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาที่ภายในร้านอันเงียบสงัดนั้นยังฟังได้ชัดเจนว่า “การที่พี่ยิ้มแต่ในใจกำลังเจ็บปวด อย่าคิดว่าเขาไม่รู้นะครับ เขารู้ดีแต่เลือกที่จะไม่พูด”

อะไรที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว อะไรที่ควรบอกก็บอกไปหมดแล้ว จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับไออุ่นเพียงคนเดียวว่าจะจัดการอย่างไร

ไออุ่นเก็บเอาคำพูดของพีทมาคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่คนเดียวจนกระทั่งเสียงกระดิ่งตรงประตูดังขึ้น เขาจึงหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองแล้วเหลือบสายตามองไปยังประตู พอเห็นว่าเป็นใครก็ยกยิ้มน้อยๆ

“สวัสดีครับ คุณไวน์ วันนี้จะรับดอกไม้แบบไหนดีครับ”

“เหมือนเดิม”

เหมือนเดิม? แววตาของไออุ่นมีแต่ความงุนงงในขณะที่กำลังส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย เขาบอกไม่ถูกว่าที่เหมือนเดิมนั้นคือช่อดอกลิลลี่ที่อีกฝ่ายสั่งหรือเป็นช่อดอกกุหลาบสีชมพูที่เคยทำวันนั้น แต่เอาเถอะ! วันนี้เขาจะทำช่อดอกลิลลี่และดอกกุหลาบรวมเป็นช่อเดียวกันให้ก็แล้วกัน

ไออุ่นเดินไปจัดแจงหยิบดอกไม้ที่จำเป็นต้องใช้มาวางไว้บนโต๊ะทำงาน ช่อดอกไม้ช่อนี้ ไออุ่นคิดว่าจะทำให้เป็นกรณีพิเศษโดยไม่คิดเงิน ไม่รู้ทำไมถึงอยากทำแบบนี้ให้ อาจเป็นเพียงแค่ต้องการเอ่ยขอบคุณและบอกลาไปในตัว

“หายไปไหนมาเหรอครับ”
คนที่นั่งอยู่บนม้านั่งในร้านเอ่ยถามเสียงเรียบในขณะที่กำลังมองออกไปข้างนอกร้าน อยากจะถามเขาแต่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาด้วย ไออุ่นยิ้มขันให้กับท่าทีแบบนั้นแล้วเอ่ยตอบ “ผมไปเยี่ยมญาติมาครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า”

“ครับ”

บทสนทนาของทั้งคู่เกือบจะจบลงเพียงสั้นๆ แค่นี้แต่ไออุ่นก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“คุณแวะมาตอนร้านปิดเหรอครับ”

“ผมก็แค่เอาร่มที่คุณให้ยืมมาคืนเท่านั้น”

ไวน์ตอบกลับไปโดยไม่มองหน้าคนถามอีกเช่นเคย ที่ไม่มองนั้นไม่ใช่เพราะรังเกียจแต่พอเวลาได้สบตาสีหยกคู่นั้นแล้วหัวใจกลับเต้นแปลกๆ รู้สึกประหม่า เคอะเขินทุกครั้ง

“อ๋อครับ”

บทสนทนาของทั้งคู่ดูจะจบลงเท่านี้แล้วจริงๆ ไออุ่นไม่รู้จะถามอะไรต่อหรือชวนคุยเรื่องอะไรดี อีกฝ่ายดูไม่มีทีท่าอยากพูดคุยด้วยเลย บรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดแต่กลับอบอุ่นอย่างประหลาดนี่มันคืออะไรกัน!?

“วันนี้ผมไม่รีบนะ”

คำพูดลอยๆ ที่เหมือนจะพูดกับดินฟ้าอากาศของไวน์เรียกรอยยิ้มตรงมุมปากของไออุ่นได้ เขาวางมือจากดอกไม้ที่กำลังจัดอยู่แล้วเดินหายไปยังข้างหลังร้าน วันนี้ตอนเช้าเขาทำนมเย็นเอาไว้ ตั้งใจว่าหลังจากที่เบฟกลับมาแล้วจะเทให้ดื่มแต่ดูเหมือนจะมีคนชิงตัดหน้าไปก่อนเสียแล้ว

ไออุ่นเดินกลับออกมาพร้อมกับถือแก้วน้ำใส่เครื่องดื่มสีนมชมพู

“คุณดื่มนมเย็นได้ไหมครับ”

“ได้”

น้ำเสียงห้วนๆ กลับมาเหมือนเดิมแล้ว สายตาของคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งก็ยังคงมองไปนอกร้านเช่นเดิม จวบจนแก้วใบกลางทรงสูงถูกยื่นมาให้ตรงหน้าจึงเงยขึ้นไปมอง สายตาที่สบกันเพียงครู่ช่างเต็มไปด้วยความอบอุ่นแต่เพียงไม่นาน ต่างฝ่ายต่างก็เบือนหน้าหนี แก้วน้ำที่ถูกยื่นให้ยังคงค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น

“ให้ผมป้อนไหมครับ”

ไวน์ชะงักไปเล็กน้อยแล้วรีบรับแก้วใบนั้นมาถือเอาไว้ก่อนที่จะเสมองไปข้างนอกร้านด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มจางๆ ไออุ่นอมยิ้มแล้วจึงเดินกลับไปทำงานที่ค้างไว้ต่อให้เสร็จ จริงๆ แล้วชายคนนั้นอาจเป็นประเภทที่ไม่เก่งเรื่องการเข้าสังคมก็อาจจะเป็นได้ถึงได้มีท่าทีราวกับจะเมินเฉยกันตลอดอย่างนี้

เสียงกระดิ่งตรงประตูร้านดังขึ้นเป็นครั้งสามของวัน ไออุ่นเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับยิ้มทักทาย

“สวัสดีครับ พี่นิตย์”

นิตย์ที่ไออุ่นกล่าวถึงนั้นเป็นพนักงานบริษัทวัยกลางคนที่ทุกสัปดาห์จะแวะมาเลือกดอกไม้ประมาณห้าดอกไปประดับแจกันที่โต๊ะทำงานและคราวนี้ก็เช่นกัน เขาจึงไม่ถามอะไรมาก

ดอกเยอบีร่าหลากสีถูกหยิบออกมาจากกระถางข้างล่างแล้วมาวางลงบนโต๊ะทำงานของไออุ่น

“รับอีกสักดอกไหมครับ พี่นิตย์ ผมแถมให้”

“ไม่เอาแล้วล่ะ แค่นี้ก็พอแล้วอุ่น เอาให้โต๊ะทำงานพี่พอมีสีสันบ้าง”

ไออุ่นยิ้มนิดๆ ครั้งแรกที่นิตย์แวะเข้ามาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักก็เพื่อจะซื้อดอกไม้เพียงดอกเดียวไปประดับที่โต๊ะทำงานให้มีสีสันขึ้นมาบ้าง ในตอนนั้นเพราะดอกไม้เพียงดอกเดียว ไออุ่นจึงยกให้ฟรีโดยไม่คิดเงิน หลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นลูกค้าประจำที่แวะมาร้านทุกสัปดาห์โดยจะเลือกซื้อดอกไม้ไปห้าดอกทุกครั้งเพราะกลัวว่าไออุ่นจะยกให้ฟรีเหมือนครั้งแรกอีก

ไออุ่นใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อช่อดอกไม้ที่ถูกวางบนโต๊ะก่อนจะหยิบกระดาษสีน้ำตาลมาห่อทับให้อีกชั้นโดยไม่ลืมหยิบดอกเยอบีร่าสีสันสวยสดใส่เข้าไปอีกหนึ่งดอกเป็นการแถมให้แม้จะถูกปฏิเสธ

“อุ่น~ พี่บอกแล้วไงว่าไม่เอา”

“ผมให้”

“งั้นเอาไปเลย ไม่ต้องทอน”

นิตย์วางเงินเกินจำนวนราคาของของแล้วรับดอกไม้พวกนั้นเอาไว้แต่ก่อนจากไป เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงแกมตัดพ้อเล็กน้อยว่า “อุ่นใจดีเกินไปแล้วนะ ดีเกินไปมากจริงๆ”

ใครๆ ก็มักพูดว่าไออุ่นคนนี้ใจดีเสมอ คงเป็นเพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ล่ะมั้ง

หลังจากที่นิตย์เดินออกจากร้านไปแล้ว ไออุ่นจึงกลับมาทำช่อดอกไม้ให้ไวน์ต่อ

“ชอบไหมครับ”

ไวน์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับมามองหน้าคนถาม และเหมือนไออุ่นจะเพิ่งรู้ตัวว่าถามอะไรกำกวมออกไปจึงยิ้มแก้เขิน แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้ไวน์ต้องเบือนหน้าหนี เขาไม่กล้าแม้เพียงจะจ้องหน้าเพราะกลัวเผลอยิ้มตามไปด้วย

“คือ... ผมหมายถึงคุณชอบน้ำแก้วนั้นไหมครับ”

“อืม... ชอบ”

คำตอบของไวน์ก็ยังฟังดูห้วนๆ เช่นเดิมแต่กลับรู้สึกอบอุ่นราวกับคำว่าชอบนั้นไม่ได้หมายถึงน้ำในแก้วที่ถืออยู่ในมือแต่เป็นคนที่เอ่ยถามถึงมันต่างหาก

“ผมดีใจนะครับที่คุณชอบ”

“อร่อยดี ไม่หวานเกินไป กลิ่นนมไม่โดดแล้วก็... เข้มข้น”

คำวิพากษ์วิจารณ์นมเย็นแก้วนี้ทำให้ไออุ่นเผลอยิ้มออกมาอีกแล้ว

“คุณไวน์ ชอบเครื่องดื่มแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

คำถามที่ถูกถามออกมาราวกับเขาเป็นคนพิเศษ เร่งจังหวะการเต้นของหัวใจให้เร็วขึ้น ใบหน้าคมคายนั้นเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อจางๆ หากแต่สายตาที่สั่นไหวยังคงมองออกไปนอกร้านเช่นเคย เขาพยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้ดูมีพิรุธไปมากกว่านี้

“คุณทำอร่อย ผม... ชอบทุกอย่างที่คุณทำ”

คำตอบแสนจะเบาหวิวแต่ไออุ่นกลับได้ยินชัดทุกคำ แม้เฮเลนจะเคยบอกว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามซึ่งมีลักษณะนิสัยแทบจะไม่เหมือนวิคเตอร์อาจจะเป็นเพียงเพราะความโหยหา คำนึงถึงของเขาเองที่ทำให้รู้สึกไปเองแบบนั้น แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่เป็นอะไร ต่อให้ผู้ชายคนนั้นจะไม่ใช่วิคเตอร์กลับชาติมาเกิด ต่อให้ผู้ชายคนนั้นจะมีความเหมือนแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ที่แทบมองไม่เห็นหรือต่อให้เขาเป็นคนที่ถูกผู้ชายคนนั้นเย็นชาใส่ หรือแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานในร่างมนุษย์ที่ไม่เคยสะท้อนอยู่ในดวงตาสีอำพันดวงนั้นก็ตาม

“ขอบคุณครับ”

ไออุ่นหยิบริบบิ้นมาพันรอบช่อดอกไม้ก่อนจะผูกให้เป็นโบว์ เขาทำช่อดอกไม้ให้กับไวน์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ส่งมอบมันให้กับเจ้าของ ช่อดอกไม้ที่มีดอกกุหลาบสีชมพูแซมอยู่ในนั้น หวังว่าผู้ที่รับมันไปคงไม่โกรธที่วันนี้ช่อดอกไม้นั้นจะกลายมาเป็นแบบนี้

“ผม... ไม่รู้ว่าเหมือนเดิมของคุณคืออะไร คงไม่โกรธนะครับที่ผมเอาดอกลิลลี่กับดอกกุหลาบไว้ในช่อเดียวกัน”

ไออุ่นยื่นช่อดอกไม้ที่ทำเสร็จแล้วไปตรงหน้าไวน์ด้วยท่าทางประหม่าเล็กน้อยเพราะกลัวจะถูกโกรธที่ตัดสินใจทำลงไปโดยไม่ถามสักคำแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มให้แล้วรับดอกไม้ช่อนั้นเอาไว้ รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นจากคนๆ นี้มาก่อน ไออุ่นชะงักไปเล็กน้อยแล้วถอยหลังออกมาก่อนจะวิ่งเข้าไปหลังร้าน แต่ในจังหวะนั้นเขารู้สึกมีอะไรบางอย่างติดขัดอยู่ที่ข้อหัวเข่า ด้วยความเคยชินจึงก้มลงไปจับ

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

น้ำเสียงห้วนๆ แต่แสดงถึงความห่วงใยดังมาจากทางด้านหลัง ไออุ่นจำต้องหันกลับไปแล้วฝืนยิ้มส่งไปให้เพื่อบอกให้รู้ว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นคือตัวเขาเองรู้สึกเหมือนอะไหล่ตรงข้อหัวเขามันเริ่มหลวมทำท่าจะหลุดจึงส่งเสียงดังก๊องแก๊งเป็นการเตือน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ปวดเข่านิดหน่อย คนมีอายุก็เป็นซะแบบนี้แหละครับ”

ไออุ่นรีบบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังร้านแล้วรีบกลับออกมาพร้อมกับกระบอกใส่น้ำที่เต็มไปด้วยนมเย็นในส่วนที่เหลือ เขายื่นมันไปตรงหน้าไวน์ทันทีที่เดินออกมาราวกับจะยกให้ ไวน์ทำท่าจะไม่รับ เขาไม่รู้เหตุผลว่าที่ยื่นมาให้นี่เพราะอะไรกัน

“รับไปเถอะครับ เห็นคุณบอกชอบ ผมเลยยกส่วนที่เหลือให้คุณ”

ไวน์ทำท่าอึกอัก จะรับแต่ก็ไม่รับเหมือนกับตัดสินใจยังไม่ได้ว่าจะทำยังไงกับสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาให้

“รับไปนะครับ”

ไออุ่นยังยื่นกระบอกน้ำไปตรงหน้าอย่างมีความหวัง ในท้ายที่สุดไวน์ก็จำต้องรับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ขอบคุณนะ แล้วค่าดอกไม้เท่าไร”

“ผมให้ครับ”

“เอ๊ะ?”

ไวน์ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยกดอกไม้ช่อนั้นให้จึงมีสีหน้าแปลกใจ ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไร ประตูร้านก็ถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็วและแรงพอที่จะทำให้คนทั้งคู่พร้อมใจกันหันไปยังต้นตอของเสียง

“เบฟ! ทำไมกลับมาตอนนี้ โดดเรียนเหรอ”

“จะโดดเรียนได้ยังไงล่ะครับ อาจารย์ติดประชุมด่วนเลยยกเลิกคลาส แล้วพี่อุ่นก็บอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าให้รีบกลับ”

เบฟเดินอ้อมหลังไออุ่นไปวางกระเป๋ากับหนังสือเรียนลงบนโต๊ะว่างแต่สายตายังคงพยายามจับจ้องอีกฝ่ายอยู่ตลอด ไออุ่นไม่รู้จะตอบยังไงเพราะเป็นเขาเองที่บอกให้เบฟรีบกลับมาแต่เขาก็ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะรีบกลับมาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังคงส่องแสงเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้าผิดจากที่คาดการณ์ไปเล็กน้อย

“เอ่อ...”

เสียงของไวน์เรียกให้ไออุ่นหันกลับมามอง เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วย้ำสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจไปแล้วอีกครั้ง

“รับเอาไว้เถอะนะครับ ถือว่าผมทำให้”

ไวน์ทำหน้าบอกไม่ถูกเหมือนจะดีใจแต่ก็นิ่งเฉยในขณะเดียวกัน

“แต่...”

“ถือซะว่ามันเป็นค่าเสียหายที่ผมทำแล้วไม่ถูกใจคุณก็แล้วกันนะครับ”

เบฟรู้สึกแปลกๆ ในคำพูดของไออุ่นเสียเอง เขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วเดินย้อนกลับมา ไออุ่นไม่เคยทำพลาดและต่อให้พลาด คนที่สั่งยังยินดีรับเสมอโดยที่ยังคงจ่ายเงินเต็มจำนวนอย่างไม่ถือโทษโกรธเคือง แต่คราวนี้กลับแปลกไป ฝ่ายนั้นดูไม่เหมือนคนที่ได้รับของผิดออเดอร์แต่ไออุ่นกลับพูดราวกับว่าตัวเองทำไม่ได้ดั่งใจคนสั่ง

“ช่อนั้นพันสองร้อยบาทครับ แต่ถ้ามันผิดจากที่คุณลูกค้าสั่งและยินดีที่จะรับมัน ทางเราจะลดให้ครึ่งราคา”

ไออุ่นได้แต่มองเบฟด้วยสายตาอ่อนใจแต่ก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ ดูจากสถานการณ์ที่เหมือนจะเริ่มตึงเครียด ไวน์จึงจ่ายเงินค่าดอกไม้ช่อนั้นเต็มจำนวน แต่ก่อนจะลุกจากไป เขาก็กระตุกยิ้มมุมปากหนึ่งครั้งราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ กระบอกน้ำที่เต็มไปด้วยนมเย็นฝีมือของไออุ่นถูกชูขึ้นมาในระดับที่พอจะให้เบฟได้เห็น ริมฝีปากบางเฉียบยกยิ้มเพียงเล็กน้อยอีกครั้งก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยออกมาเบาๆ “ขอบคุณสำหรับนมเย็นที่ทำให้นะครับ มันอร่อยมาก”
ไออุ่นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เขานึกว่าฝ่ายนั้นจะทำเป็นเมินเฉยแต่กลับกลายเป็นว่าคนคนนั้นทั้งยิ้มให้ทั้งเอ่ยขอบคุณ ถ้าไออุ่นมีหัวใจเหมือนคนทั่วไปมันคงพองโตอย่างน่าประหลาด แต่ในขณะเดียวกันนั้นคำพูดของไวน์กลับสร้างความฉุนเฉียวในใจลึกๆ ให้กับเบฟได้เป็นอย่างดีราวกับมีดที่กรีดถูกแผลเดิม

“เดี๋ยวผมเปิดประตูให้นะครับ ดูเหมือนมือคุณจะไม่ว่างน่ะ”

ในขณะที่ไออุ่นกำลังจะเดินไปเปิดประตูให้ เบฟก็รีบทำตัวเป็นเด็กดีรีบเข้าไปเปิดประตูแทน เขายิ้มอย่างนอบน้อมเชิญชวนให้ไวน์พาตัวเองออกจากร้านให้ไวก่อนจะทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงราวกับจะข่มขู่กันอย่างไม่เกรงกลัว “อย่าคิดว่าจะเอาตัวเขาไปได้ง่ายๆ นะครับ”

ไวน์เพียงแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วเดินออกจากร้านไปโดยที่ไมได้พูดอะไรต่อ


** ติดตามตอนต่อไป **



sirin_chadada
ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวตอนหน้าก็ได้รู้แล้วค่ะว่าเบฟจะอาละวาดขนาดไหน หรือออาจจะไม่เลย

TIKA_n
เราเองก็ไม่ค่อยชอบเบฟเหมือนกัน เหมือนคนหวงของ หวงไออุ่น ไม่อยากยกให้ใคร ไม่อยากให้ใครมาแตะมายุ่ง แบบไออุ่นเป็นของเขานะอะไรทำนองนี้
คงเพราะอยู่กับไออุ่นแค่สองคน มีกันแค่สองคน เขาเลยกลายเป็นคนแบบนี้ เขียนเองแล้วแอบหงุดหงิดเอง
เบฟจะเป็นพระเอกของเรื่องไหม ต้องแบบ... ดูกันไปค่ะ
แต่เราเชียร์ไวน์สุดตัวมาก ช่วยอยู่เชียร์เป็นเพื่อนกันก่อนนะคะ ขอบคุณค่ะ

alternative
หลังจากที่ได้อ่านคอมเม้นท์แล้ว... เราเลยย้อนกลับไปหาดู จำได้ว่าเหมือนจะเห็นอยู่ อันนี้มาจากตอนที่3 ค่ะ
'เบฟเดินกอดร่างที่สูงกว่าไปตลอดทางที่เข้าไปข้างหลังร้าน เขาแค่อยากเป็นเด็กให้ถูกรักเหมือนที่เคยเพียงเพราะรู้ว่าเมื่อเด็กตัวน้อยคนนี้เติบโตขึ้น สิ่งที่เคยได้รับมาตลอดก็อาจจะเปลี่ยนไปจนท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นความห่างเหินที่ไม่อาจต่อกันติดอีกแล้ว เขาเคยสัมผัสกับความเจ็บปวดแบบนั้นมาก่อน'

เลยกลายเป็นว่าเบฟเลยทำเหมือนตัวเองเป็นเด็กตอนที่อยู่ต่อหน้าไออุ่นทั้งที่ตัวเองโตแล้ว ส่วนอายุไวน์ในเรื่องก็ 30 แล้วอ่ะค่ะ อายุของเบฟคือเด็กมหาวิทยาลัย
ส่วนทำไมเบฟอยู่กับไออุ่นแล้วกลายเป็นเหมือนเด็ก เขาเป็นคนมีปมค่ะ เรียกว่าปมได้ไหมนะ? ประมาณว่าเขาก็มีเหตุผลของเขาที่ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ตอนอยู่ต่อหน้าไออุ่น แต่พอลับหลังก็กลายเป็นคนละเรื่องไปเลย
ส่วนเหตุผลหรือปมที่ว่านั้นจะถูกเฉลยเอาตอนท้ายเรื่องค่ะ
ขอบคุณมากนะคะที่ทักเตือนมา เพราะเราเองก็คิดว่าที่เขียนออกมามันดีแล้วแต่บางทีมันก็เป็นการมองในมุมๆ เดียว มีอะไรที่เห็นต่างบอกได้เลยนะคะ  ยินดีรับฟังทุกสิ่งอย่างเลยค่ะ

พิศตะวัน
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 6 ** 2017.09.03 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-09-2017 19:12:36
อุ่นน่ะ ฉันจะร้องไห้แล้วนะ!

สงสารเบฟต่อไป

หมั่นไส้ไวน์ด้วย ท่ามาก!

ปล. ขอบคุณที่ชี้แจงค่ะ ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติม

เรื่องสเตซี่และรุ้งมาขอเบฟกลับไปเลี้ยงดู ตรงนี้ดูขัดกับความเป็นจริงอยู่บ้าง เพราะเบฟเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว นั่นคืออายุ 19 ปีขึ้นไป ในวัฒนธรรมตะวันตก (ที่สเตซี่โตมา) การเรียนจบไฮสคูลคือช่วงเตะโด่งออกจากบ้าน เพราะถือเป็นผู้ใหญ่แล้ว หรือเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ดูตนเอง ลัษณะของเบฟเองก็แสดงท่าทางเด็ก ๆ เพียงตอนอยู่กับอุ่นเท่านั้น  การจะพากลับมา "เลี้ยงดู" เพราะหวังชดเชยที่ห่างเหินไป มันดูไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควรค่ะ

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะ ฉันเคารพการตัดสินใจของคุณ BlueSora
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 6 ** 2017.09.03 **
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-09-2017 19:33:45
ก็อยากจะเชียร์ไวน์อยู่หรอกนะคะ แต่พ่อคุณขี้เขินแล้วชอบทำปั้นปึ่งเหลือเกิน เวลาของอุ่นเหลือไม่มากแล้ว ถ้าเชียร์คุณไวน์จริงไม่รู้จะทันไหม นี่มาสั่งดอกไม้หลายทียังได้คุยแค่นี้เองง่ะ ดูเหมือนความสัมพันธ์จะคืบหน้าช้าเหลือเกิน แต่ที่ได้เปรียบคือดูท่าแล้วอุ่นจะมีความรู้สึกพิเศษให้นี่ล่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 6 ** 2017.09.03 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 03-09-2017 21:25:31
แอบเชียร์ไวน์อยู่นะคะ (ชูป้ายไฟ)
ไม่ค่อยชอบเบฟเลย นางดูเป็นเด็ก เด็กเกินไป เป็นเด็กหวงของ โดยเฉพาะหวงอุลมากเกินไปด้วยค่ะ  อยากให้ความสัมพันธ์ของเบฟและอุลเป็นได้แค่คนในครอบครัว สถานะเปรียบเหมือนพ่อลูก หรือ พี่น้อง แต่ก็รอติดตามค่ะว่าใครจะเป็นพระเอก
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 6 ** 2017.09.03 **
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 10-09-2017 12:10:12
ชอบการพูดคุยกับดินฟ้าอากาศของคุณไวน์ 555  คนอะไรเขินน่ารักอ่ะ หน้าแดงด้วย ชอบ  :-[
แต่เพราะการไม่กล้าแสดงออกของคุณไวน์ ไออุ่นก็เลยคิดว่าโดนทำเย็นชาใส่ซะงั้นอ่ะ โถ
ไออุ่น รู้สึกจริง ๆ กับเบฟยังไงไม่รู้  ใครนั่งอยู่ในใจไออุ่นจริง ๆ ก็ไม่สน
ยังไงก็ยังคงเชียร์คุณไวน์ สุดใจขาดดิ้นเลย 
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 7 ** 2017.09.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 10-09-2017 16:19:39
ตอนที่ 7    

หลังจากที่ไวน์ออกจากร้านไปแล้ว ไออุ่นก็เดินไปล็อคประตู พลิกแผ่นป้ายหน้าร้านจากคำว่า ‘OPEN’ เป็นคำว่า ‘CLOSE’ จากร้านที่ไม่เคยปิดหรือหยุดพัก หากไม่นับช่วงที่ถูกสเตซี่ชวนไปเยี่ยมเฮเลน ร้านดอกไม้อุ่นไอรักก็จะปิดแค่เฉพาะช่วงที่ถึงเวลาแล้วเท่านั้น

“ป๊ะป๋า~ ทำไมปิดร้านเร็วนักล่ะครับ คิดถึงเบฟเหรอ”

เด็กหนุ่มเข้าไปโอบกอดร่างของไออุ่นจากทางด้านหลังแม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่าเพียงเล็กน้อย แม้ว่าแผ่นหลังของไออุ่นจะไม่ได้อุ่นสมชื่อ มันเย็นเฉียบเสียจนถ้าไม่มองหน้าหรือพูดคุยก็คงจะคิดว่าร่างนี้เป็นร่างที่ไร้ชีวิตไปแล้ว

“คิดถึงสิครับ แต่... ป๊ะป๋ามีเรื่องสำคัญจะพูด”

ไออุ่นยิ้มอ่อน แตะมืออีกฝ่ายที่โอบกอดเอวเขาเอาไว้เบาๆ ขยับใบหน้าออกห่างเล็กน้อยเพื่อที่จะเอี้ยวตัวกลับไปมองเด็กหนุ่มที่ซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของเขาราวกับเด็กสามขวบทำให้เบฟต้องค่อยๆ คลายแรงกอดแล้วปล่อยออกมาในที่สุด

“เบฟก็มีเรื่องสำคัญจะพูดเหมือนกันแต่ให้ป๊ะป๋าพูดก่อนก็แล้วกัน”

ไออุ่นถอนหายใจเบาๆ จับมือของเบฟแล้วพาขึ้นไปนั่งคุยกันบนห้องนอนของตัวเขาเอง ในระหว่างทางที่เดินกันอยู่นั้นเขาต้องพยายามเรียบเรียงคำพูดที่ไม่จำเป็นต้องสวยหรูแต่ต้องเป็นคำพูดที่กระทบกระเทือนจิตใจคนฟังให้ได้น้อยที่สุด แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็คงต้องเสียใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย

“เบฟ...”

ไออุ่นทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนอนเมื่อขึ้นมาถึงบนห้อง เอ่ยเรียกชื่อลูกชายสุดรักสุดหวงแหนด้วยเสียงอันเบาหวิว

“เบฟรักแด๊ดกับแม่ไหมครับ”

เบฟคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วพยักหน้าช้าๆ

“เบฟรักป๊ะป๋าไหมครับ”

เบฟพยักหน้าอีกครั้ง เขารักไออุ่นมากกว่าอะไรทั้งหมดบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น

“ถ้า...” ไออุ่นนิ่งไปสักครู่ พยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเครือ “ถ้าเบฟต้องเลือกระหว่างแด๊ดกับป๊ะป๋า”

คำถามของไออุ่นช่างเป็นคำถามที่บีบคั้นหัวใจของคนที่นั่งอยู่ข้างล่าง คนหนึ่งคือผู้ให้กำเนิด ส่วนอีกคนก็เป็นดั่งชีวิตของเขา สีหน้าของเบฟแสดงความเจ็บปวดออกมาให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง คำถามนี้มีคำตอบแต่กลับตอบออกไปไม่ได้ เพียงเพราะรู้ว่าตัวเองจะตอบอะไรและผู้ถามคาดหวังคำตอบแบบไหน

“ถ้าผมไม่เลือกล่ะ”

‘ถ้าผมไม่เลือกล่ะ’ ... คำตอบที่เห็นแก่ตัวราวกับจะอยากเก็บไว้ทั้งสอง หากแต่ความจริงแล้วเบฟเพียงต้องการปกป้องความรู้สึกของตัวเอง ปกป้องความรู้สึกของไออุ่น ถ้าตอบออกไป เราทั้งคู่ย่อมเสียใจแน่

“เบฟ...”

เสียงของไออุ่นฟังดูอ่อนลงไปมากราวกับจะทอดถอนใจให้กับความดื้อด้านของอีกฝ่าย

“อุ่นก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว ยังจะให้ผมตอบอะไรอีก”

สรรพนามที่เคยใช้เรียกเปลี่ยนไป น้ำเสียงที่ใช้ฟังดูจริงจังมากขึ้น ไม่ทะเล้น ไม่ขี้อ้อนเหมือนอย่างที่ผ่านมา แววตาที่สะท้อนมาจากเบื้องล่างทำเอาหัวใจของไออุ่นสั่นไหว เด็กที่เขาเรียกว่าลูกชายมาตลอด... ไม่คิดว่าจะรู้สึกอะไรกับเขามากไปกว่าสถานะของพ่อกับลูกอย่างที่ควรจะเป็น

“บะ... เบฟ”

“ผมรักอุ่นมาก รักเท่าชีวิตของผม ถ้ามันจำเป็นต้องเลือกระหว่างพ่อกับคนรัก...”

“อะ... อะไรนะ! คนรัก?”

เบฟก้มหน้าลงซบตักของคนที่นั่งอยู่บนเตียง เขากลัวว่าถ้าหากเงยหน้าขึ้นมา สบเข้ากับดวงตาสีหยกคู่นั้นจะทำให้หัวใจเขาสั่นคลอนจนร้องไห้

“อุ่น... ขอโทษนะ ขอโทษ”

ไออุ่นทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่กลับพูดไม่ออกราวกับมีบางสิ่งกำลังดูดกลืนเสียงของเขาเอาไว้ ภายในใจยังคงสับสนวุ่นวาย หลากหลายเรื่องราวตีรวนอยู่ในสมองจนจับต้นชนปลายไม่ถูก เขารู้เสมอว่าเบฟรักและห่วงใยในสิ่งที่เขาเป็นแต่กลับไม่ได้คาดคิดเลยว่าภายใต้สิ่งเหล่านั้นกำลังแอบซ่อนบางสิ่งอยู่

“อุ่น อย่าเพิ่งพูดอะไร ช่วยรับฟังก่อนได้ไหม”

“.........”

“ผม... ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมจะพูดต่อจากนี้ไปอาจทำให้อุ่นเกลียดผมไปตลอดชีวิต แต่ผมรักอุ่น อยากมีอุ่นอยู่ข้างๆ ตลอดไป จะไม่รักผมตอบก็ช่าง จะเกลียดผมก็ไม่เป็นไร จะทำเป็นเมินเฉยกันไปเลยก็ได้แต่ขอแค่ให้ผมได้รักอุ่นได้ไหม... อย่าผลักไสกันไปเลยนะ”

ความเงียบเข้าครอบงำคนทั้งคู่เมื่อเสียงของเบฟเงียบไป

“ผมขอโทษนะ อุ่น”

น้ำเสียงที่สั่นเครือเบาหวิวพร้อมจะหายไปในอากาศ เบฟยังคงก้มหน้านิ่งซบลงบนตักของไออุ่นอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นมามอง เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะมองด้วยสายตาที่รังเกียจหรือตัวตนของเขาในแววตาของไออุ่นจะถูกลบเลือนหายไป ใจมันสั่นไหวแปลกๆ

“ผมขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก ป๊ะป๋า... ไม่สิ อุ่น... อุ่นไม่โกรธ ไม่เกลียดเบฟหรอก”

ไออุ่นแนบใบหน้าลงกับเรือนผมของอีกฝ่าย สูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อจะได้พูดต่อไป

“อุ่นจะไปรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง จริงไหม? เราสัญญากันไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความรักที่อุ่นมีให้จะไม่เปลี่ยนแปลง ยังรักเบฟเหมือนวันแรกที่เจอกัน ยังคิดถึงและห่วงหาเหมือนที่ผ่านมาแม้ตอนนี้จะอยู่ในสถานะเดิมไม่ได้อีกแล้วก็ตาม”

ไออุ่นดีเกินไป... ดีเกินไปจนเบฟรู้สึกผิด

“ผมขอโทษจริงๆ”

“ขอโทษมากไปแล้วนะ”

ไออุ่นยังคงซบหน้าอยู่กับเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน เขายิ้มไม่ออก หัวเราะไม่ได้ราวกับตัวเองกำลังถูกดูดเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง เฝ้าบอกกับตัวเองอยู่เงียบๆ ว่าไม่เป็นไร จะให้เขาเป็นอะไรก็ได้ในสายตาของเบฟ จะเป็นคนรักหรือเป็นพ่อหรือเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ก็ได้ ขอเพียงสุดท้ายแล้วเบฟมีความสุขก็เป็นสิ่งที่เขาพึงพอใจที่สุดแล้ว

“เพื่อเบฟแล้ว อุ่นเป็นได้ทุกอย่าง ไม่ต้องขอโทษแล้วนะ”

ไออุ่นเงยหน้าขึ้น นั่งตัวตรงในขณะที่เบฟค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขากล้ามากพอที่จะจ้องมองดวงตาสีหยกคู่นั้นแล้ว

“เบฟ... จริงๆ แล้วอุ่นควรเป็นฝ่ายขอโทษมากกว่า ขอโทษนะ”

“.........”

“ขอโทษที่สุดท้ายแล้วเบฟ...” จู่ๆ เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างอัดแน่นอยู่ที่คอจนเปล่งเสียงออกไปไม่ได้ ความขาดห้วงที่มีอยู่ทำให้ไออุ่นอยากร้องไห้แต่ตุ๊กตาไขลานย่อมไม่มีน้ำตาแม้ว่าจะให้เสียใจมากเท่าไรก็ตาม กว่าจะพูดออกมาเป็นคำต่อจากประโยคเดิมได้ น้ำตาก็ท่วมท้นหัวใจทั้งดวงไปแล้ว “เบฟ... ต้องไปอยู่กับแด๊ดนะ”

“อะ... อะไรนะ!”

ราวกับสายฟ้าฟาดลงมากลางศีรษะเข้าอย่างจัง หลังจากได้ยินคำพูดของไออุ่นแล้วหัวสมองของเบฟก็ขาวโพลนไปหมด

“แด๊ดกับรุ้งบอกว่าอยากเลี้ยงเบฟเอง”

สายฟ้าเส้นที่สองผ่าเปรี้ยงลงมากลางใจ ไม่ต้องพูดอะไร เบฟก็เข้าใจเรื่องราวต่อจากนี้

“มะ... ไม่! อย่าให้เราต้องจากกันเลยนะ”

ไออุ่นดึงเบฟเข้ามากอดเอาไว้ราวกับจะปลอบโยนให้หายจากความเจ็บปวด แต่เขาทำอะไรไม่ได้กับความจริงที่ว่าตัวเขาเองเป็นฝ่ายเปิดโอกาสให้สเตซี่และรุ้งรับช่วงต่อดูแลเบฟโดยไร้คำโต้แย้งใดๆ หากในวันนั้นเขารวบรวมความกล้าปฏิเสธออกไป เรื่องราวในวันนี้คงไม่เกิดขึ้นและพวกเขาจะมีสถานะเป็นเพียงแค่พ่อลูกกันเท่านั้น

“เบฟ อาทิตย์หน้าแด๊ดจะมารับนะ”

“แล้วอุ่นล่ะ ผมทิ้งให้อุ่นอยู่คนเดียวไม่ได้”

เบฟเงยหน้าขึ้นมอง แววตาสีหยกคู่นั้นดูเจ็บปวดไม่แพ้กันแต่ฝ่ายนั้นกลับนิ่งเฉยราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นแต่ตัวเขาเองกลับไม่เข้าใจว่าทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ทำไมถึงไม่ทำอะไรสักอย่าง ทำไมถึงยังปล่อยให้เขาต้องเสียใจ

“ไม่เป็นไร อุ่นอยู่ได้”

“อยู่... ไม่ได้”

“รู้ได้ยังไง อุ่นอยู่ได้ แค่นี้สบายมาก” ไออุ่นพยายามยิ้มแต่เบฟกลับรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนเอามากๆ “ลูกก็ควรจะต้องอยู่กับพ่อแม่ไม่ใช่หรือไง ไม่คิดบ้างเหรอว่าพวกเขาจะคิดถึงแค่ไหน"

“แล้วไม่คิดบ้างเหรอครับว่าผมจะคิดถึงอุ่นแค่ไหน”

“คิดถึงก็โทรมาสิครับ”

เบฟได้แต่มองหน้าคนพูดนิ่งงันไปชั่วขณะ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้นมายืนประจันหน้า สิ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาสีหยกคู่นั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวดเฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกของเขาเอง หากแต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนดวงหน้าอันแสนอ่อนโยนนั้นราวกับกำลังจะปลอบประโลมหัวใจที่รวดร้าวดวงนี้ เขาฝืนยิ้มตอบกลับไปให้อย่างจนใจ

“ถ้าอุ่นไม่อยู่แล้วผมจะกอดใคร จะมีใครจูบหน้าผากราตรีสวัสดิ์ก่อนอนได้อบอุ่นเหมือนอุ่น แล้วใครจะช่วยไขลานที่ข้างหลังให้อุ่น จะมีใครเห็นเรื่องของอุ่นสำคัญเป็นที่หนึ่งเหมือนผมอีกไหม จะมีใครรักผมเท่าอุ่นอีกไหม...”

น้ำเสียงของเบฟขาดหายไป เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ จะพูดก็พูดไม่ออก จะหายใจแต่ละทีก็ยังลำบาก แต่แล้วน้ำใสๆ ก็เอ่อล้นออกมาจากดวงตาสีฟ้าครามที่ยังคงฉายแววแห่งความเจ็บปวดที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้

ไออุ่นเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างดีแต่เขาทำอะไรไม่ได้ ได้เพียงแค่ยอมรับความจริง เบฟไม่มีวันได้อยู่กับเขาไปตราบเท่าชีวิตหากพ่อแม่ที่แท้จริงยังคงอยู่ เขาไม่มีสิทธิ์รั้งเด็กคนนี้เอาไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง

“เบฟ… ฟังนะ”

ไออุ่นแหงนหน้ามองร่างที่บัดนี้ยืนอยู่สูงกว่า

“อุ่น… อยากให้เข้าใจว่าที่ทำแบบนี้ก็เพราะอุ่นเข้าใจในสถานะของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกของตัวเอง พวกเขาแค่ต้องการสิ่งที่พวกเขารักกลับคืนไป หากไม่รัก ไม่ใส่ใจ มองว่าเบฟเป็นภาระสำหรับพวกเขา พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรับเบฟกลับคืนไปก็ได้ ยังไงก็ตาม… เพราะเบฟเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับพวกเขา”

“ถ้ารักกันจริง ทำไมถึงได้ปล่อยทิ้งไว้กับอุ่นเกือบทั้งชีวิต ติดต่อมาก็แทบนับครั้งได้”

เบฟหลุดถามออกมาในสิ่งที่เขาแคลงใจมาโดยตลอด ในขณะที่น้ำตายังคงไหลไม่หยุด ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันที่เขาเสียใจมากที่สุดแล้วล่ะมั้ง

“พวกเขามีเหตุผล”

“เหตุผลอะไร”

“ขอโทษนะที่บอกได้เท่านี้”

ถ้าหากไออุ่นมีน้ำตา เขาคงร้องไห้ออกมาไม่หยุดเช่นกัน ความเจ็บปวดที่ไม่มีทางระบายมันอัดแน่นอยู่ในความรู้สึกจนทำให้ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านจนเกินการควบคุม เขาไม่เคยรู้สึกแย่เช่นนี้มาก่อนตลอดช่วงการใช้ชีวิตในฐานะตุ๊กตาไขลานที่มีความรู้สึกและคิดเป็น

“อุ่น! อุ่น!”

เบฟตกใจกับอาการของไออุ่นที่เกิดขึ้น เขาไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ ไม่รู้วิธีการรับมือ ได้แต่โผเข้ากอดเอาไว้แนบกายหวังให้อีกฝ่ายได้ผ่อนคลาย ไม่นาน… สิ่งที่ไออุ่นเป็นอยู่ก็ค่อยๆ สงบนิ่งลงอย่างช้าๆ

“พอแล้ว… อุ่น พอแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว”

ยิ่งเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับไออุ่นผู้ที่เบฟรักสุดหัวใจ หัวใจของเขาก็ปวดหนึบขึ้นมาเสียดื้อๆ ขอเพียงแค่เศษเสี้ยวเวลาเล็กๆ ให้เขาได้แบกรับความเจ็บปวดนั้นเอาไว้บ้างก็ยังดี

“ผม… ผมจะไปอยู่กับแด๊ดอย่างที่อุ่นต้องการ”

“……..”

“อะไรที่ทำให้อุ่นมีความสุข ผมยอมทำทุกอย่าง ขอเพียงอย่างเดียวได้ไหม อย่าเก็บความทุกข์ไว้กับตัวเอง ไม่ต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลา อยู่กับผมน่ะอ่อนแอบ้างก็ได้นะ เพราะผมชอบที่อุ่นเป็นแบบนั้น มันรู้สึกเหมือนผมได้ปกป้องคนที่ผมรักบ้าง…”

เบฟยังคงกอดร่างของไออุ่นไว้แนบแน่นในขณะที่พรั่งพรูความรู้สึกของตัวเองออกมา ไออุ่นทำได้แค่เพียงกอดตอบแต่ไม่อาจแบ่งเบาสิ่งที่อยู่ในใจไปให้กับใครได้

“เบฟ…”

“นะครับ”

“จะพยายามนะ”

ไออุ่นไม่รู้จะพูดอะไร คำว่า ‘จะพยายาม’ ก็แค่รับปากออกไปส่งๆ เพื่อให้อีกฝ่ายได้สบายใจที่อย่างน้อยเขาก็ยังเผยมุมที่อ่อนแอออกมาให้ได้เห็น หากแต่แท้จริงแล้วก็คือคำลวง

“รู้ไหมครับว่าผมรักอุ่นที่สุด ไม่มีอุ่นอยู่ด้วย… ผมก็อยู่ไม่ได้หรอกนะ”

ไออุ่นไม่อยากนึกถึงวันนั้น วันสุดท้ายของการเคลื่อนไหวของลานที่อยู่ในตัวเพราะมันคงเจ็บปวดเหลือคณานับเฉกเช่นเดียวกับวันที่วิคเตอร์จากไปโดยที่เขาได้แต่เฝ้ารออย่างมีความหวัง

“เบฟ…”

“อุ่นคงเหนื่อยแล้ว นอนพัก หลับตาสักหน่อยนะครับ”

เบฟผละออกจากร่างที่กอดเอาไว้ ค่อยๆ จับตัวไออุ่นให้นอนราบลงไปกับเตียง ดวงตาสีฟ้าครามมองดูร่างที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสารและทั้งรักจับใจ

“หลังจากนี้… เรามาใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขก่อนถึงวันที่เราจะแยกจากกันเถอะนะครับ”

“อืม”

คำตอบรับของไออุ่นแม้จะเบาแสนเบาแต่กลับช่วยชโลมหัวใจที่ปวดร้าวให้มีรอยยิ้มขึ้นมาได้บ้าง เบฟทิ้งตัวลงนอนทับทั้งร่างราวกับจะขอบคุณที่ยังให้โอกาสตัวเขาได้มีความสุข

“ถ้าอุ่นเป็นคน ป่านนี้คงตายไปแล้วล่ะ"


“หืม?”

เบฟขืนตัวขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะจ้องไปยังดวงตาสีหยกด้วยความไม่เข้าใจ

“ก็…” ไออุ่นเบือนหน้าหนีเล็กน้อย “เล่นทิ้งตัวลงมาขนาดนี้ ขยับไม่ได้เลย”

“โอ๊ะ! ขอโทษครับ”

เบฟทำท่าจะลุกขึ้นแต่กลับถูกอีกฝ่ายดึงรั้งเอาไว้

“ไม่เป็นไรหรอก นอนอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

“งั้น… วันนี้ปิดร้านเลยนะครับ”

ไม่ต้องบอกให้ปิดร้าน ไออุ่นก็ตั้งใจไว้แบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“แล้วเราจะทำอะไรกันดี”

“ไม่ทำครับ อยากนอนกอดอุ่นแบบนี้ไปนานๆ”

ไออุ่นยอมให้เบฟกอดอยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้รู้สึกหนักหรือทรมานอะไร เพียงแค่ขยับตัวลำบากเท่านั้น ดูเหมือนเขาเพิ่งจะเห็นข้อดีจริงๆ ของการเป็นตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิตเข้าแล้ว

“เบฟช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่ากี่โมงแล้ว”

เมื่อได้ยินไออุ่นถามถึงเวลา เบฟจึงขยับตัวออกมาและเพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเขาเองอาจทำความลำบากให้กับคนที่นอนอยู่ข้างใต้ เพียงแต่ไออุ่นก็ยังคงเป็นไออุ่นที่ใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้างมากกว่าตัวเอง

“ขอโทษนะ เมื่อกี้คงทำให้อุ่นอึดอัดแย่”

“ไม่เป็นไร ว่าแต่… กี่โมงแล้วครับ”

ไออุ่นไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร พอเบฟขยับตัวออกมา เขาจึงเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่งที่เอาหลังพิงกับหัวเตียง นาฬิกาที่อยู่ในห้องมีเพียงเรือนเดียวซึ่งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่นอนจ้องเพดานและขยับไปไหนไม่ได้

“บ่ายสอง… ยี่สิบห้า”

“สนใจจะเป็นลูกมืออุ่นทำข้าวเย็นไหม”

“ตอนนี้เหรอครับ”

“อืม”

เบฟพยักหน้า เขาลุกออกมาจากตัวของไออุ่นแล้วเดินไปยืนรออยู่ที่ปลายเตียงแม้ในใจลึกๆ ยังคงอยากที่จะกอดไออุ่นไปแบบนี้อีกสักพัก แต่เมื่อถูกชวน เขาก็ไม่อยากปฏิเสธเช่นกัน

“แล้ววันนี้อุ่นจะทำอะไรครับ”

“อยากกินอะไรล่ะ”

ไออุ่นลุกขึ้นจากเตียง จัดเสื้อผ้าที่ยับให้เข้าที่

“ได้ทุกอย่างที่อุ่นเป็นคนทำ”

“ข้าวกับไข่ต้ม น้ำปลาพริกเนอะ”

ไออุ่นแกล้งพูดกวนประสาทพลางเหลือบสายตามองดูปฏิกิริยาของคนที่บอกรักเขาปาวๆ เมื่อครู่ ใบหน้าลูกครึ่งดูเหวอไปถนัดด้วยเพราะคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำเมนูง่ายๆ ขนาดปล่อยให้เด็กประถมทำคนเดียวยังได้

“อุ่น~ เอาจริงเหรอ”

“อืม… ก็อยากทำอะไรง่ายๆ บ้าง เบฟไม่ชอบเหรอครับ”

น้ำเสียงสลดลงเล็กน้อย ดวงตาสีหยกช้อนมองร่างที่ทำท่าทางเหมือนไม่อยากเชื่อว่ามื้อเย็นจะมีเพียงแค่ไข่ต้มกับน้ำปลาพริก แต่ทว่าเพียงแค่เห็นสายตาที่มองมากับท่าทางของไออุ่น เขาก็เผลอยิ้มออกมาแล้วอดคิดไม่ได้ว่าถ้าตัวเขาเองสารภาพรักไปก่อนหน้านี้มันคงจะดีกว่านี้มาก

“ชอบสิ ผมชอบทุกอย่างที่อุ่นทำนั่นแหละ”

“งั้นช่วยลงไปตั้งน้ำให้หน่อยได้ไหม เดี๋ยวอุ่นขอจัดเตียงก่อน เห็นผ้าปูมันยับแล้วขัดใจนิดหน่อยน่ะ”

“ก็ได้ครับ”

เบฟเดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายที่กำลังยืนจัดผ้าปูเตียงเสียใหม่ เมื่อได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา เขาก็อุ่นใจ เดินลงไปตั้งน้ำสำหรับต้มไข่ได้อย่างสบายใจที่สุดราวกับได้ปลดล็อคทุกสิ่งทุกอย่างที่เก็บเอาไว้ในใจมาเนิ่นนาน
ไออุ่นมองแผ่นหลังอันกว้างใหญ่เดินจากไปจนลับสายตา เขาจึงพูดกับตัวเองด้วยเสียงอันเบาหวิวราวกับจะขาดอากาศหายใจ

“เบฟ… ขอบคุณนะที่ชอบทุกสิ่งที่อุ่นทำ มันก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแต่หลังจากนี้อุ่นก็คงกลายเป็นคนที่ถูกเกลียด”

ไออุ่นนั่งลงกับเตียงที่ถูกขึงใหม่จนตึงเรียบแล้ว เขาทำได้แต่กอดปลอบตัวเองเอาไว้แนบแน่น แค่คิดถึงอนาคต คิดถึงสิ่งที่จะทำหลังจากที่เบฟได้ย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ เขาคงกลายเป็นคนที่ถูกลืมเข้าสักวัน
ไออุ่นไม่ได้เข้มแข็งพออย่างที่พยายามมาโดยตลอด เขาเพียงแค่อยากเข้มแข็งเพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นภาระของใคร ในบางครั้งสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจก็กลายเป็นแรงผลักดันให้อยากร้องไห้ แต่น่าเสียดายที่ต่อพยายามเท่าไรน้ำตาก็ไม่ไหลสักหยด สิ่งที่ถูกเก็บไว้และไม่ได้รับการบรรเทาค่อยๆ กัดกินความรู้สึกของเขาอย่างช้าๆ

“อุ่นขอโทษนะ อุ่น… ขอโทษถ้าสักวันหนึ่งจะกลายเป็นคนที่ทำร้ายคนที่รักอุ่นมากที่สุด ขอโทษนะ เบฟ… ขอโทษจริงๆ”

ไออุ่นนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ไม่ใช่การย้ำคิดย้ำทำ หากแต่กำลังกำจัดสิ่งที่ทำให้ตัวเองทุกข์ใจออกไปทีละอย่าง เพื่อความสุขของเบฟ เพื่อความสุขของกันละกันอันแสนสั้น




เบฟลงมาต้มน้ำใส่ในหม้อไว้ให้กับไออุ่น ความรู้สึกเป็นสุขที่ท่วมท้นอยู่ในใจพลอยทำให้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องดีไปเสียหมด ไม่ว่าเขาจะเผลอทำน้ำหกตอนที่กำลังรองน้ำใส่หม้อ หรือเผลอทำไข่แตกไปหนึ่งฟองเพราะคิดว่ามือของตัวเองใหญ่พอที่จะหยิบไข่สามฟองพร้อมกันได้ ไม่คิดแม้กระทั่งว่าถ้าไออุ่นลงมาเห็นสภาพห้องครัวที่เกือบจะเละเทะจะต้องโดนเอ็ดแน่

“เบฟ! นี่มันอะไรกัน แค่ต้มน้ำ”

“แค่ต้มน้ำนี่แหละครับ”

เบฟยังคงตีหน้ามึน ยิ้มแย้ม เช็ดน้ำที่หกเลอะพื้น

“ถ้าอุ่นไม่กลัวขึ้นสนิมก็คงช่วยแล้วล่ะ”

ไออุ่นพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ เขาจะพยายามทำให้ตัวเองมีความสุขเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายกำลังมีความสุขอยู่ในขณะนี้

“นั่งลงแล้วรอดูผมโชว์ฝีมือต้มไข่กับทำน้ำปลาพริกนะ”

“เบฟทำมันจะกินได้เหรอ”

ถึงเบฟจะเคยเป็นผู้ช่วยชิมแต่การลงครัวทำอะไรด้วยตัวเองอย่างจริงจังก็เพิ่งจะมีครั้งนี้เป็นครั้งแรก ปกติแล้วถึงไออุ่นจะไม่ค่อยถูกกับน้ำแต่เขามักจะใส่ถุงมือกันเปื้อนเอาไว้ตลอดเวลาที่ทำกับข้าวหรือบางครั้งที่ต้องทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ

“ต้องลองครับ”

“ถ้ามันไม่ได้เรื่อง อุ่นคงช่วยอะไรไม่ได้นะ”

“ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมกินฝีมือห่วยๆ ของตัวเองสิครับ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้สารภาพความในใจออกไปจนหมดแล้วหรือเปล่า เบฟถึงได้ดูผ่อนคลายและมีความสุขกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เขาเดินไปหยิบเศษไข่ที่แตกอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ทิ้งมันลงไปในถังขยะแล้วเอาผ้ามาเช็ดคราบเหนียวออกไป

“ถ้าแค่ต้มไข่กับทำน้ำปลาพริกออกมาแล้วกินไม่ได้ อุ่นว่า… ฝีมือเบฟคงเข้าขั้นแย่มากจริงๆ”

“ผมยังไม่ได้ทำเลยนะครับ อย่าเพิ่งดูถูกกันสิ”

ไออุ่นได้แต่ยิ้ม เบฟในตอนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยจนเขารู้สึกแปลกใจไม่ได้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ยังเป็นเด็กงอแง ขี้อ้อนคนหนึ่งแต่พอได้ผ่านเหตุการณ์นั้นมาก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นราวกับว่าก่อนหน้านี้เด็กคนนั้นพยายามซ่อนความรู้สึกของตัวเองไว้ภายใต้ตัวตนของความเป็นเด็ก

“ตั้งแต่เมื่อไร”

“ครับ?”

เบฟหันหน้ามามองอย่างงุนงง เขาไม่ค่อยเข้าใจคำถามเท่าไรนัก

“รู้สึกแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร”
 
เบฟยิ้มและไม่ยอมตอบคำถามนั้นทันที แต่แกล้งทำเป็นสนใจเรื่องไข่มากกว่า “ต้องใส่ไข่ลงไปตอนไหน แล้วเมื่อไรถึงจะใช้ได้”

“รอน้ำเดือดก่อน ทิ้งไว้สักพักแล้วปิดเตา รออีกสักครู่ก็เอาขึ้นได้แล้วล่ะ ส่วนน้ำปลาพริกก็มีพริกหั่นฝอย น้ำปลา มะนาวและน้ำตาลเล็กน้อย ทำตามรสที่เบฟชอบนั่นแหละ”

ไออุ่นตอบคำถามรวดเดียวเสร็จสรรพรวมไปถึงวิธีการทำน้ำปลาพริกที่อีกไม่นานเจ้าตัวคงถามออกมาต่อจากนี้หรืออาจเป็นตอนที่เขาถามย้ำคำถามเดิม

“อุ่นไม่เปิดโอกาสให้ผมถามต่อเลย”

เบฟเดินไปชะโงกดูน้ำในหม้อต้มที่เริ่มเดือดปุดๆ ขึ้นมาบ้างแล้วก่อนจะลังเล ละล้าละลังไม่รู้ว่าควรจะหย่อนไข่ลงไปตอนไหนดีจนกระทั่งไออุ่นเดินมายืนมองอยู่ข้างๆ แล้วกระซิบเบาๆ ข้างหู

“ใส่ไปเลยสิ”

คำพูดอันแผ่วเบาที่ดังอยู่ข้างหูเมื่อครู่จะพาลทำให้ไข่ที่ถืออยู่ในมือตกพื้นแตกเสียก่อนที่จะได้ลงไปนอนอยู่ในน้ำเดือดๆ

“อุ่น~”

“เดี๋ยวมานะ ไปปิดไฟหน้าร้านก่อน ไม่ได้เปิดร้านก็ไม่รู้จะเปิดไฟทิ้งไว้ทำไม”

ไออุ่นหาทางเดินเลี่ยงออกมา เขารู้ตัวว่าถ้าอยู่ตรงนั้นคงได้อยู่ยาวอีกสักพักใหญ่แน่ แววตาสีฟ้าครามที่มองมาตรงหน้าก็พอจะเดาภาพหลังจากนี้ได้ลางๆ


** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนนี้อย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่าสุดท้ายแล้วเบฟจะได้คู่กับไออุ่นนะคะ เพราะนิยายมันยังไม่จบเลย คงอีกหลายตอนอยู่
เช่นเดียวกับที่เขาว่ากันว่า "สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร"
สารภาพเลยว่าตอนนี้เขียนยาก เหมือนคนสับสนอะไรบางอย่างในชีวิต ตอนเขียนก็นั่งดมยาดม อ่านทวนอยู่หลายรอบ พอเขียนไปจนเสร็จแล้วก็ถามตัวเองว่าโอเคแน่แล้วใช่ไหม แล้วคำตอบที่ได้ก็คือความเงียบ ถามตัวเองยังตอบตัวเองไม่ได้เลย ถ้ามันอ่านแล้วดูมึนๆ งงๆ หรือแบบรู้สึกแปลกๆ ก็ขอโทษด้วยนะคะ T^T


-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

alternative
ขอบคุณนะคะ คิดว่าตอนที่ 7 นี้น่าจะไม่สงสารเบฟแล้วเนอะ แต่น่าจะไปสงสารไวน์แทน โดนเบฟสารภาพตัดหน้าไปซะก่อน

อ้างอิงจากตอนที่ 1 นะคะ
'หลังจากที่เฮเลนเรียนจบมหาวิทยาลัยได้พักใหญ่ เธอก็แต่งงานและย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่ประเทศไทย ในขณะนั้นอุลสามารถพูดได้ เดินได้เหมือนดั่งเช่นมนุษย์คนหนึ่ง หากแต่ร่างกายยังคงทำจากเงิน เฮเลนพาอุลมาด้วยและตั้งชื่อให้ใหม่ว่าไออุ่น ห้าปีให้หลัง... เฮเลนได้ให้กำเนิดลูกชายและตั้งชื่อว่าสเตซี่'
อันนี้อาจจะหมายความได้ว่าเครือญาติของสเตซี่คือชาวตะวันตก แต่เกิดในไทยแล้วยิ่งแต่งงานกับรุ้งที่เป็นคนไทยก็อาจจะมีซึมซับความเป็นไทยมาบ้างในบางเรื่องอ่ะค่ะ

ส่วนอันนี้อ้างอิงจากตอนที่ 5 นะคะ
“คุณก็เอาแต่เล่นสนุกเป็นเด็กๆ ไปได้ ฉันสงสารคุณอุ่นนะคะ”
ข้างบนเป็นประโยคที่รุ้งพูดกับสเตซี่หลังจากที่พวกเขาคุยกันเรื่องขอเบฟกลับคืนและตอนนั้นไออุ่นไม่อยู่แล้ว

'สเตซี่หัวเราะชอบใจที่ภรรยาของเขาทำท่าไม่พอใจ ความจริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่อยากใช้วิธีนี้เท่าไรนักเพราะมันกระทบกับไออุ่นโดยตรง แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วล่ะก็เขาจะไม่ได้คำตอบอะไรเลย'
นั่นคือ... เป้าหมายหลักของสเตซี่จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่การขอเบฟกลับไปเลี้ยง แต่มันเป็นอย่างอื่นที่ยังไม่ถูกเฉลย ซึ่งคำตอบจะอยู่ในอีกไม่กี่ตอนข้างหน้านี้ค่ะว่าทำไมสเตซี่ถึงพูดกับไออุ่นว่าเขาอยากขอเบฟกลับไปเลี้ยงเอง

นิยายเราสร้างความลำบากให้หรือเปล่าคะ ต้องย้อนทวนกลับไปกลับมาแบบนี้ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ 


sirin_chadada
เชียร์ไวน์ตอนนี้ยังทันอยู่นะคะ แม้ว่าตอนที่ 7 นี้จะถูกเบฟตัดหน้าชิงสารภาพรักไปซะก่อน ขอบคุณนะคะ


rockiidixon666
เราก็ไม่ชอบเบฟเช่นกันค่ะ แต่ก็รู้สึกแบบ... เขาก็รักของเขาอ่ะเนอะ แต่ยังไงสำหรับเราแล้วเรายังเชียร์ไวน์อยู่ค่ะ ขอบคุณนะคะ

TIKA_n
ขอบคุณนะคะ ตอนนี้ไออุ่นก็ยังไม่ได้บอกเนอะว่าคิดยังไงกับเบฟ เขาแค่ยกคำสัญญาที่เคยพูดเอาไว้มาตอบเฉยๆ
ยังไงยังเชียร์ไวน์เหมือนเราอยู่ไหมคะ

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 7 ** 2017.09.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 10-09-2017 16:37:50
คุณไวท์ต้องรีบทำคะแนนแล้วน้าา
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 7 ** 2017.09.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 10-09-2017 17:59:31
อุ่นจะทำอะไรหลังจากเบฟไปล่ะเนี่ย ทำไมต้องคิดว่าจะถูกเบฟเกลียดด้วย
ทำไมจะเป็นเรื่องที่ทำร้ายเบฟล่ะ ฮืออ ดราม่า ๆ  :hao5:
จริง ๆ ก็สงสัยอยู่นะ ว่าสเตซี่กับรุ้งทำอะไร ถึงต้องทิ้งเบฟไว้ให้อุ่นเลี้ยง
ให้เลี้ยงแบบทิ้งลืม แทบไม่ติดต่อมาเลย มีความลับอะไรที่บอกเบฟไม่ได้
ตอนนี้ไม่มีคุณไวน์ของเราเลย เดี๋ยวเบฟไปอยู่กับพ่อแม่แล้ว
คุณไวน์ก็รุกจีบอุ่นเลยนะ เอาแบบดี ๆ อย่าให้อุ่นเข้าใจผิดอีกเน้อ 555
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 7 ** 2017.09.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-09-2017 19:03:29
เหมือนจะจำได้ว่าอุ่นต้องพยายามอย่าให้ร่างกายถูกความชื้น ว่าแต่... ทำอาหารก็ได้เหรอ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 7 ** 2017.09.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 10-09-2017 20:14:02
ขนาดคนเขียนยังเชียร์ไวน์แบบตรงไปตรงมาเลย แสดงว่าไวน์คือพระเอกรึเปล่าคะ5555555
ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆยังไม่เชียร์ใครเป็นพิเศษ รอเดาพระเอกดีกว่า
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 7 ** 2017.09.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 11-09-2017 15:24:42
ปวดใจ สงสารอุ่น สงสารเบฟ (ที่ไม่น่าจะสมหวัง)


ปล. ขอบคุณที่ช่วยไขข้อข้องใจค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 8 ** 2017.09.26 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 26-09-2017 13:45:41
ตอนที่ 8


วันรุ่งขึ้น เบฟขอร้องให้ไออุ่นอนุญาตให้เขาหยุดเรียนได้หนึ่งวัน แต่กว่าจะได้รับคำอนุญาตก็ต้องทั้งขอร้อง อ้อนวอนอยู่เป็นนานสองนาน ไออุ่นไม่ค่อยอยากให้เขาขาดเรียนสักเท่าไรโดยเฉพาะต้องมาหยุดเรียนกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ขอบคุณคร๊าบบบ”

ไออุ่นยิ้มอ่อน ถูกลูกตื้อของเบฟเข้ามากๆ เป็นต้องแพ้ทุกที

“เรื่องที่ถามเมื่อวานน่ะ ยังไม่ได้ตอบเลยนะ”

“ก็…” เบฟละล่ำละลัก ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กจนโตก็มีไออุ่นอยู่ข้างกายตลอด เห็นไออุ่นเป็นคนสำคัญมาเสมอจนไม่ว่าจะทำอะไรก็จะนึกถึงไออุ่นก่อนใครเพื่อน “ก็… ลูกค้าเข้าร้านครับ”

ไออุ่นหันไปมองตรงประตู เห็นชายวัยเกษียณเปิดประตูเข้ามาในร้านจึงยิ้มทักทาย “สวัสดีครับ ลุงวุฒิ วันนี้จะรับแบบเดิมใช่ไหมครับ”

“สวัสดีอุ่น เอาแบบเดิมนั่นแหละครับ”

“ครับ”

ไออุ่นเดินไปหยิบดอกกุหลาบสีขาวหนึ่งดอกจากแจกันที่วางอยู่แล้วยื่นไปให้โดยไม่คิดราคาเช่นเดิม

“ผมให้ครับ ฝากสวัสดีป้าสายแทนผมด้วยนะครับ”

“ใจดีแบบนี้อีกแล้ว เดี๋ยวเธอก็ขาดทุนกันพอดี”

“เดือนละดอก ไม่ขาดทุนง่ายๆ หรอกครับ”

ผู้ชายวัยเกษียณอายุคนนี้เคยแวะมาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักเมื่อสิบเดือนก่อนหน้านี้ เขาแวะมาทุกวันเพื่อซื้อดอกกุหลาบสีขาวซึ่งเป็นที่โปรดปรานของภรรยาจนค่อนข้างจะสนิทกับไออุ่นอยู่พอประมาณ แต่เพียงไม่นานชายคนนี้ก็ไม่แวะมาที่ร้านอีกเลย จนกระทั่งเมื่อหกเดือนก่อนเขาแวะมาอีกครั้งพร้อมกับบอกข่าวร้ายเรื่องที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคร้าย และเขาต้องการดอกกุหลาบเพียงดอกเดียวเพื่อจะนำไปวางไว้หน้าหลุมศพของเธอในทุกเดือน

“ขอบใจนะ”

“ยินดีครับ”

“เธอนี่เป็นคนที่จิตใจดีจริงๆ”

ไออุ่นได้แต่ยิ้มนิดๆ คำชมนี้เขาได้ยินค่อนข้างบ่อยจากลูกค้าที่แวะมายังร้านดอกไม้อุ่นไอรักแห่งนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกไม่ชินเท่าไร

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”

“ขอบใจนะ งั้นลุงไปก่อนล่ะ ขอให้ขายดิบขายดี”

“ขอบคุณครับ”

ชายวัยเกษียณอายุเดินออกจากร้านไปพร้อมด้วยดอกกุหลาบขาวอย่างที่หวังไว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแม้จะผ่านเรื่องเลวร้ายในชีวิตมาแต่เป็นเพราะได้ไออุ่นคอยปลอบประโลมเสมอจนกระทั่งถึงวันที่คนรักจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

“อุ่นใจดีแบบนี้กับทุกคนเลยหรือเปล่าครับ”

“ลุงแกน่าสงสารออก จะให้อุ่นใจร้ายได้ยังไง”

“แต่ผมอยากให้อุ่นใจดีกับผมคนเดียวนี่ครับ”

เบฟเดินเข้ามาสวมกอดไออุ่นจากทางด้านหลัง แม้อีกฝ่ายจะสูงกว่าเล็กน้อยแต่เขาก็พยายามที่จะเอาคางขึ้นไปเกยไหล่มนแต่ก็ทำได้แค่เพียงเอาหน้าตัวเองจมลงกับแผ่นหลังนุ่ม

“เบฟ…”

ไออุ่นทอดถอนใจ เด็กก็ยังคงเป็นเด็กต่อให้รู้สึกว่ามีบางมุมที่โตขึ้นแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยนั่นก็คือความเอาแต่ใจ

“ก็ได้ครับ แต่อุ่นจะต้องใจดีกับผมมากกว่าคนอื่นนะ”

“ครับๆ อุ่นก็ใจดีกับเบฟมากที่สุดอยู่แล้ว”

“ผมรักอุ่นที่สุดนะ”

เสียงกรุ๊งกริ๊งที่หน้าประตูร้านขัดจังหวะความหวานของพวกเขาสองคน เบฟถึงกับออกอาการหงุดหงิดทันทีที่เห็นว่าใครมาพรากความสุขของเขาไป แต่ไออุ่นกลับยิ้มต้อนรับแล้วแกะมือใหญ่ที่แอบเอามาโอบเอวเขาไว้หลวมๆ ออก

“พีท มาก็ดีเลย พี่มีเรื่องจะให้ช่วยนิดหน่อยน่ะ”

“ครับ”

พีทตอบรับอย่างมึนๆ บรรยากาศแปลกๆ ระหว่างสองคนนั้นที่อบอวลไปทั้งร้านดูเลี่ยนกว่าดอกไม้ที่รายล้อมอยู่รอบๆ เสียอีก จนรู้สึกเหมือนตัวเองจะกลายเป็นส่วนเกินไปแล้ว

“ว่าแต่… พี่อุ่นกับเบฟ”

“มีอะไรเหรอ”

ไออุ่นถามพลางเดินไปจัดเรียงดอกไม้ที่ปักอยู่ในแจกัน

“บรรยากาศระหว่างพี่กับเบฟเหมือนกำลังอยู่ในทุ่งดอกลาเวนเดอร์เลย”

“แหงสิ! พี่พีทอยู่ในร้านดอกไม้นี่ครับก็ต้องเหมือนอยู่ท่ามกลางดอกไม้อยู่แล้ว ไม่ใช่ไปอยู่ท่ามกลางกลิ่นอาหารทั้งๆ ที่เป็นร้านดอกไม้”

“เนอะ พี่ก็นะ… ลืมไป”

เบฟมองหน้าพีทเหมือนกับรู้ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร แน่นอนว่าในตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไออุ่นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วราวกับว่าการที่มีไออุ่นอยู่รอบตัวทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม

“เบฟเฝ้าร้านให้หน่อยนะ พีทมาหลังร้านเป็นเพื่อนหน่อยสิ มีเรื่องให้ช่วยน่ะ”

ไออุ่นเดินไปรออยู่ที่หลังร้านโดยที่ไม่ฟังเสียงทัดทานของเบฟที่อยากจะเข้าไปฟังด้วยว่าคุยเรื่องสำคัญอะไรกัน เขาได้แต่ยืนหน้าบึ้งเป็นหุ่นไล่กาแต่อันที่จริงสีหน้าแบบนั้นน่าจะไล่ลูกค้าได้ดีกว่า

พีทเดินตามเข้าไป เรื่องที่จะพูดกับเขาคงสำคัญมากถึงขั้นต้องแยกออกมาคุยโดยไม่ให้เบฟได้มีส่วนร่วม หรือบางทีเรื่องสำคัญที่ว่านี่อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเบฟเอง

“พีท… ขอโทษนะ ทั้งที่แวะมาหาแต่พี่กลับเรียกให้มาคุยด้วยซะงั้น ยังไม่ทันได้ถามเลยว่ามีอะไรหรือเปล่า”

“อ้อ ไม่เป็นไรครับ ผมแค่จะมาดูว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นเมื่อวานปิดร้าน แล้ว… พี่อุ่นมีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“สัญญากับพี่นะว่าจะไม่เอาเรื่องที่เราคุยกันวันนี้ไปบอกเบฟ”

นั่นปะไร! พีทเดาไม่ผิดเลยว่าเรื่องสำคัญของไออุ่นก็คือเรื่องของเบฟ เรื่องสำคัญของเบฟก็คือเรื่องของไออุ่น พวกเขาต่างฝ่ายต่างก็สำคัญซึ่งกันและกัน

“ครับ”

“เวลาที่เหลืออยู่ของพี่มันมีไม่มากแล้ว พี่ไม่รู้ว่าลานจะหยุดเดินเมื่อไร”

“เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมพี่ถึงห้ามไม่ให้บอก” เสียงพีทเข้มขึ้น จริงจังขึ้น เขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรถึงต้องปิดเอาไว้เป็นความลับ ถ้าเบฟเป็นคนสำคัญ เรื่องสำคัญแบบนี้ก็ควรจะต้องรู้

“รู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นเด็กที่ดื้อ เอาแต่ใจ”

พีทพยักหน้า

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าเด็กดื้อที่เอาแต่ใจ เวลาโดนแย่งของรักไป สภาพจะเป็นยังไง”

พีทพยักหน้าอีกครั้ง เขาพอจะนึกภาพได้ลางๆ

“ถ้าปล่อยให้เด็กดื้อคนนั้นรู้เรื่องตอนนี้ พอจะนึกออกไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

พีทส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า “ไม่รู้หรอกครับแต่พอจะเดาภาพออก”

“เด็กดื้อคนนั้นจะไม่ยอมไปเรียน จะไม่สนใจอนาคตของตัวเอง และอาจจะไม่ให้เปิดร้านอีกตลอดไป จะไม่ยอมให้ของรักห่างกาย แบบนั้น… คิดว่าดีเหรอ”

น้ำเสียงของไออุ่นราบเรียบแต่จิตใจกลับสั่นไหว

“แล้วถ้าเขารู้หลัง…”

“เรื่องนี้เราเคยคุยกันไปครั้งหนึ่ง จำได้ใช่ไหม พี่ไม่อยากพูดถึงมันซ้ำสอง และเรื่องที่พี่อยากจะพูดก็คือ…” ไออุ่นนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ เขาพยายามรวบรวมสมาธิ ไม่ให้เสียงตัวเองสั่นพอๆ กับใจของเขาที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง “หลังจากที่พี่ไม่อยู่แล้ว ช่วยดูแลเขาแทนพี่ได้ไหม เขาต้องอาละวาดแน่”

“ครับ”

พีทตอบรับง่ายๆ อย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด

“พีท… ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง พี่เองก็เปรียบเสมือนพี่ชายผมคนหนึ่ง เบฟก็เหมือนน้องชาย ถึงเราจะเป็นแค่เพื่อนบ้านกันแต่สำหรับผม พี่อุ่นกับเบฟก็เหมือนครอบครัว”

ไออุ่นซาบซึ้งในความรู้สึกของพีทเป็นอย่างมาก แต่ตุ๊กตาไขลานแบบเขาไม่มีน้ำตา จึงทำได้เพียงแค่ยิ้มให้เท่านั้นแล้วโผเข้ากอดด้วยความขอบคุณ

“ขอบคุณนะ”

“พี่อุ่น… ผมขอถามอะไรสักอย่างสองอย่างได้ไหม”

“ได้สิ” 

“เรื่องพี่กับเบฟนี่คือยังไงเหรอครับ คือ…แบบ อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวเลยนะครับ แต่บรรยากาศระหว่างพี่กับเบฟดูแตกต่างออกไปจากเดิมน่ะ มันดู… ว่ายังไงดีนะ ละมุนขึ้น”

ไออุ่นยิ้มก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ พยายามเรียบเรียงเรื่องราวในหัวเสียใหม่เพราะถ้าให้เล่าทั้งหมด คนที่รออยู่ข้างหน้าร้านคงจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงเข้ามาตามแล้วพีทอาจจะโดนลูกหลงได้ง่ายๆ

“จะพูดยังไงดี”

“เอาแบบนี้ดีกว่าครับ ผมมีช้อยส์”

ฟังดูน่าสนใจ ไออุ่นแค่เพียงเลือกคำตอบและคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก

“อืม ว่ามา”

“ข้อแรก พี่อุ่นกับเบฟคบกัน”

แค่ข้อแรก ไออุ่นก็ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย พีทมองดูปฏิกิริยานั้นแล้วพูดต่อไปว่า “ข้อสอง ยังไม่ได้คบกันแต่รักกัน”

“เอ่อ… พีท พี่ว่า…”

“อย่าเพิ่งขัดสิครับ ยังไม่หมดเลย ข้อสาม พี่อุ่นกับเบฟรักกันแต่พี่อุ่นไม่ได้สารภาพรัก คนที่พูดคือเบฟ”

ช้อยส์ข้อสามนี้ ไออุ่นถึงกับเบือนหน้าหนีด้วยความเขินแต่โชคดีที่ว่าเขาเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานจึงไม่มีเลือดเนื้อ ใบหน้าของเขาจึงแทบจะไม่แสดงพิรุธอะไร

“ข้อสี่ ข้อแรกกับข้อสามรวมกัน”

“หมดแล้วหรือยัง”

“หมดแล้วครับ”

ไออุ่นแสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่สักพักราวกับว่าสิ่งที่ให้เขาเลือกนั้นเป็นสิ่งที่ตอบยากหรืออาจไม่มีคำตอบที่แท้จริงอยู่ในตัวเลือกเหล่านั้น เขาทำท่าลังเลอยู่เล็กน้อย กระตุ้นให้คนถามเกิดอาการอยากรู้มากกว่านี้อีกสักนิด แค่เพียงอีกนิดแล้วเขาก็จะไม่จำเป็นต้องตอบคำถามอะไร

“พี่อุ่น…”

พีทเร่งเร้า ปฏิกิริยาตอบสนองแบบนั้นนั่นแหละที่เขากำลังต้องการ ความอยากรู้อยากเห็นจนอดรนทนไม่ไหวจะทำให้เขาไม่ต้องพูดอะไรเลย

“พี่อุ่นอย่าเงียบสิ ผมอยากรู้จริงๆ นะ”

“อืม… จะว่าไป…”

ไออุ่นทำหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง ทำเหมือนกับว่าตัวเองกำลังเลลังที่จะพูดความจริงออกไปเป็นบางครั้ง สิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้พีทเปิดปากตอบออกมาเอง และเป็นจริงดั่งคาดการณ์ ความอึดอัดที่สุมอยู่ในอกเพราะความอยากรู้อยากเห็นนั่นทำให้ชายวัยยี่สิบห้าปีคนนี้ต้องยอมแพ้

“คำตอบคือข้อสี่ใช่ไหมครับ”

ไออุ่นไม่ตอบแต่แค่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เพียงแค่นั้นคำตอบทุกอย่างก็กระจ่างแจ้ง

“พี่อุ่น! ใช่ไหมครับ”

“ก็รู้อยู่แล้วว่าพี่จะตอบอะไรไม่ใช่เหรอ”

“ไม่รู้หรอกครับ เพราะถ้าผมรู้ก็คงไม่ถาม ขอถามอีกเรื่องนะครับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ถึงได้แทนตัวเองว่าของรักทั้งที่ควรจะเป็นคำว่าคนรัก ”

ไออุ่นกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป “พี่เป็นแค่ตุ๊กตาไขลาน จะให้มาเรียกว่าคนรักไม่ได้หรอก อีกอย่าง... สิ่งที่เด็กคนนั้นทำ ถ้าพูดว่ารักแท้มันคงไม่ใช่ พี่อยากให้พีทลองนึกถึงของเล่นชิ้นสำคัญ ถ้ามันสำคัญกับพีทมากก็จะรักษาถนุถนอมเอาไว้อย่างดี ไม่ยอมให้ใครมาเล่น ไม่ยอมให้ใครมาแตะเพราะกลัวว่ามันจะพังใช่ไหม หรือไม่ยอมยกให้ใครง่ายๆ เพราะคิดว่านี่เป็นของของเขา เด็กคนนั้นก็เป็นแบบนั้น”

“แล้วทำไม...”

ราวกับคำถามของพีทถูกความรู้สึกบางอย่างดูดกลืนเข้าไปจนเขาไม่สามารถกลั่นมันออกมาเป็นคำพูดได้

“เด็กคนนั้นแค่คิดว่าสิ่งที่เขาทำคือความรัก แต่พี่ไม่ได้บอกนะว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้รักพี่ เขาอาจจะรักแต่รักในอีกความหมายหนึ่ง”

“แล้วพี่ก็ยอมที่จะให้เขาเข้าใจผิดๆ ไปแบบนั้น”

“พี่ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่ถ้าสิ่งที่พี่ทำลงไปแล้วเขามีความสุข พี่ก็จะทำเพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พี่จะทำเพื่อเขาได้ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง”

“ผม... ผมไม่เข้าใจพี่เลย”

“ความจริงแล้วมันก็ผิดที่พี่เองด้วยที่มองเห็นเขาเป็นเด็กมาตลอด ทำเหมือนว่าเขาเป็นเด็กตัวน้อยมาตลอด เขาเลยไม่ยอมโตเวลาที่เขาอยู่กับพี่และพี่ก็ยินดีที่จะให้เขาเป็นเด็กอยู่แบบนั้น พี่ไม่รู้ว่าหลังจากที่เขาออกจากร้านไปแล้วเป็นยังไง เขาก้าวร้าวหรือมีนิสัยที่แตกต่างไปจากที่อยู่กับพี่หรือเปล่าเพราะโลกของพี่มันอยู่แค่ในร้าน”

“สรุปให้ผมฟังอีกทีได้ไหม คือ... ผมสับสนไปหมดแล้ว”

ยิ่งฟังไออุ่นพูด คำถามก็ยิ่งมีตามมามากขึ้นในหัวสมองของพีทเป็นพรวน

“พี่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดว่ารัก แท้จริงแล้วมันไม่ใช่คำว่ารักอย่างที่เขาเข้าใจ รักที่อยากเก็บไว้กับตัว รักที่ทำลงไปเพราะทำให้ตัวเองมีความสุขไม่อาจเรียกว่ารักได้หรอก เด็กคนนั้นแค่ยึดติดกับพี่เหมือนคนหวงของ และถ้าวันหนึ่งเขาเข้าใจคำว่ารักจริงๆ เขาก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร”

“แล้ว... ทำไมพี่ไม่บอกเขาไปตรงๆ”

“พี่พูดไม่ได้”     

“แล้วที่ผมถามไป... จริงๆ แล้วคำตอบมันไม่มีอยู่ในตัวเลือกไหนเลยใช่ไหมครับ เพราะพี่ไม่ได้รักเขา”

ไออุ่นเงียบไปอยู่ชั่วอึดใจ เขานึกทบทวนสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักเด็กคนนั้นและเพราะรักจึงอยากให้อีกฝ่ายได้มีความสุขแต่ทว่าบางครั้งการกระทำของเขาอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป “พี่ขอโทษนะ พีท พี่คิดว่าบางทีตัวพี่เองอาจเป็นต้นเหตุให้เขากลายเป็นคนแบบนั้น เวลาเขาอยู่กับพี่ เขาขี้อ้อนเพราะเขารู้ว่าถ้าเขาทำแบบนี้แล้วเขาจะได้อะไร เขาเอาแต่ใจเพราะเขารู้ว่าพี่ตามใจเขาตลอดแม้ว่าพี่อาจจะดุบ้างแต่มันไม่เคยมีครั้งไหนที่จริงจังเลย เขางอแงเพราะเขารู้ว่าพี่จะโอ๋ แต่ถ้าเขาอยู่กับพี่ต่อไป เขาจะไม่มีวันโตขึ้นเลย เพราะฉะนั้นรับปากพี่สักอย่างได้ไหม ถ้าพี่จากไปแล้ว พีทช่วยเข้าใจเขา สอนให้เขารู้จักคำว่ารัก ช่วยดูแลเขาแทนพี่ได้ไหม”

“ครับ”

ไม่มีคำตอบไหนที่ไออุ่นอยากได้ยินนอกจากคำนี้ แค่เพียงพีทรับปากให้เขาได้อุ่นใจ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

“ออกไปข้างนอกกันเถอะ ก่อนที่ข้างนอกจะเปลี่ยนจากร้านดอกไม้กลายเป็นสนามรบ”

ไออุ่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินนำออกไปก่อนด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย อะไรที่ต้องทำก็ได้ทำแล้ว เหลืออยู่เพียงแค่เก็บเกี่ยวเวลาระหว่างกันและกันเอาไว้ให้ได้มากที่สุดอย่างที่เด็กคนนั้นต้องการ ดวงตาสีดำมันขลับคู่หนึ่งมองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ท่าทีผ่อนคลายราวกับยกปัญหาที่หนักอกหนักใจออกไปได้แล้ว พีทรู้สึกเหมือนมันมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่ค่อยเข้าใจ

“อุ่น! คุยอะไรกันตั้งนาน”

เสียงของเบฟดังเข้ามาถึงข้างหลังร้าน พีทจึงต้องรีบเดินออกไป แต่เห็นภาพที่เด็กคนนั้นโอบกอดไออุ่นด้วยความรักอันอ่อนโยนแล้วหัวใจกลับรู้สึกแปลกๆ … ความรู้สึกเหมือนมีใครพรากสิ่งที่รักไปต่อหน้าแต่ทำอะไรไม่ได้ ด้วยสถานะที่เป็นได้เพียงน้องชายสำหรับเขาคนนั้น

“แค่แวะเข้าไปคุยกับพีทแปปเดียว นี่ถึงกับต้องปิดร้านเลยเหรอ”

ดวงตาสีหยกเหลือบมองป้ายหน้าร้านที่ตอนนี้เขาเห็นคำว่า ‘OPEN’ หันเข้ามาด้านในแล้วได้แต่ยิ้มปนหัวเราะ

“ก็ไม่อยากรับลูกค้า”

ไออุ่นพยักหน้าอย่างเอ็นดู ใบหน้าของเบฟตอนนี้เหมือนเด็กขี้หวงคนหนึ่งที่กำลังเฝ้ารอของรักอย่างใจจดใจจ่อจนไม่มีกระจิตกระใจจะไปทำอะไร

“พีท… ขอบคุณมากนะ สำหรับเรื่องที่ขอให้ช่วย”

“อ่อ ไม่เป็นไรครับ มีอะไรก็โทรมานะครับ… แต่พี่ก็ไม่เคยโทร”

ประโยคท้ายๆ ราวกับพีทจะพูดบอกแค่ตัวเองแต่ไออุ่นกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความน้อยใจผิดกับสีหน้าที่แสดงออกมาไปคนละเรื่อง

ไออุ่นผละออกจากอ้อมกอดของเบฟ เดินเข้าไปยืนดักหน้าพีทที่ทำท่าจะเดินออกจากร้าน เขาเอื้อมมือออกไปลูบเส้นผมที่ผ่านการย้อมสีมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ยังนุ่มมืออย่างแผ่วเบา ความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมือคู่นี้มาช่วยพัดพาความน้อยอกน้อยใจให้จางหายไป ราวกับจะช่วยเยียวยาหัวใจที่แสนเจ็บปวดนี้ให้ผ่อนคลายลงและกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง

คำตอบที่อยากรู้ก็ได้รู้แล้ว แต่ความรู้สึกรักยังคงไม่จางหายไปไหน มันยังเจ็บปวดทุกครั้งที่รู้สึก เจ็บปวดมาโดยตลอดแต่ก็ฝืนบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร เขายินดีทำทุกอย่างเพื่อไออุ่น ทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างคนๆ นี้แม้จะรู้ว่าที่ตรงนั้นไม่มีโอกาสให้เขาไขว่คว้ามาอยู่ในมือได้เลย

ฝ่ามือที่เย็นเฉียบแต่กลับอบอุ่นเหมือนชื่อเจ้าของดึงรั้งให้ร่างของพีทโน้มต่ำลง จู่ๆ หัวใจของเขาก็เหมือนจะเต้นช้าลงจนคล้ายกับจะขาดใจตายเสียตรงนั้น ท่าทางแบบนี้… เขาไม่เคยได้รับมันมาก่อน

“ขอบคุณนะที่เป็นห่วงกัน”

คำพูดอันแผ่วเบาข้างหู อ่อนโยนมากกว่าทุกครั้งที่เสียงนี้ถูกเปล่งออกมาในขณะที่กำลังพูดคุยกับเขา ร่างทั้งร่างชาวาบด้วยเพราะไม่คิดว่าจะได้รับสิ่งที่เฝ้าใฝ่หามาตลอด

‘อยากให้คนนั้นอ่อนโยนกับเขาบ้าง แม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี’

“พี่...”

ไออุ่นละออกมาแล้วจึงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง ดวงตาของคนเรามักไม่โกหก ไออุ่นรับรู้มาโดยตลอด

“ขอบคุณนะที่ช่วย”

เบฟมองหน้าคนสองคน เขาไม่ได้ยินที่ไออุ่นพูดกับพีทเพราะมันบางเบาเสียจนคล้ายจะกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันเพียงสองคน ขัดใจ! เป็นคำที่ผุดเข้ามาในหัวขณะที่เห็นภาพเหล่านั้น

“คะ… ครับ ไม่เป็นไรครับ งั้น… งั้นผมไปก่อนนะครับ”

พีทเดินจากไปแล้ว เหลือเพียงเด็กดื้อที่ทำหน้างอกับตัวเขาที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจ

“เบฟครับ”

“…….”

“เบฟครับ จะไม่ไปเปลี่ยนป้ายหน้าร้านเหรอครับ”

“อุ่น!!”

ไออุ่นรู้ว่าเบฟต้องการจะพูดอะไรแต่เขากลับแกล้งทำเป็นหูทวนลม

“อุ่น มานี่เลย”

เบฟออกแรงลากไออุ่นมาหลังร้าน แม้มันจะไม่รุนแรงเหมือนจะบังคับกันเท่าไรนักแต่ผู้ที่ถูกลากมาก็แทบจะล้มลงกับพื้น

“คุยอะไรกับพี่พีท”

น้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง แต่กลับทำให้ไออุ่นอยากแกล้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาทำเพียงแค่ยิ้มที่มุมปากก่อนจะเอานิ้วชี้แนบริมฝีปากตัวเอง “ความลับ”

คงเป็นความลับที่ชวนให้หงุดหงิดเสียเต็มประดา เบฟถึงได้ดึงแขนเล็กให้โน้มต่ำลงมา ประกบริมฝีปากตัวเองเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่าย ไม่ได้ค้างไว้นานนักหรือพยายามจะรุกล้ำไปมากกว่านี้… ก็แค่เพียงต้องการขู่

“ถ้าไม่บอกอีก ผมก็จะทำอีก”

ไออุ่นชะงักไป เขาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงเมื่อริมฝีปากสัมผัสกัน รสจูบอันแผ่วเบาไม่ได้หวานซาบซ่านถึงใจ ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขเหมือนเช่นอีกฝ่ายที่กำลังมีความสุข 

“ว่ายังไงครับ”

“อะ… เอ่อ…”

ถึงคราวที่เบฟจะได้ถือไพ่เหนือกว่าบ้างแล้ว เขาพยายามเร่งเร้าแกมข่มขู่ให้อีกฝ่ายรีบตอบออกมาและก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่จะได้รับคือการปิดปากเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนึกสนุก

“ไม่ตอบ ผมจูบจริงนะครับ”

ไออุ่นนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรออกไปทั้งสิ้น ได้แต่ก้มหน้าอยู่นิ่งๆ   

“กลัวเหรอครับ”

ไออุ่นส่ายหน้า เขาไม่ได้กลัวเพราะมันไม่มีอะไรให้กลัวแต่ไม่อยากให้ทุกอย่างมันเลยเถิดไปไกล

 “ถ้าอย่างนั้น… เราทำอีกสักครั้งได้ไหม”

ดวงตาสีฟ้าครามเป็นประกายสะท้อนเงาของผู้ที่รักสุดหัวใจ เบฟไม่พยายามไล่ต้อนอย่างเอาเป็นเอาตายแต่กลับเอ่ยถามความคิดเห็นแกมขอร้อง

“อืม…”

ไออุ่นตอบรับพร้อมกับเบือนหน้าหนี ไม่กล้าที่จะประสานสายตาโดยตรง ยิ่งมองเด็กคนนั้นก็ยิ่งเห็นแววตาที่รักใคร่ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบรัดด้วยสายตาอันเร่าร้อน ความต้องการของเด็กคนนั้นที่ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยสถานะที่ต่างกันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะระเบิดออกมา

“อุ่น”

ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าอันงดงามนั้นให้หันมอง ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบเย้ายวนชวนมองเผยอขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกรั้งมา ดวงตาสีหยกหลุบต่ำลง ไม่กล้าแม้เพียงจะสบสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาเพียงเพราะกลัวจะหลงมัวเมา

“ขอนะครับ”

ไออุ่นไม่มีทีท่าขัดขืนแต่อย่างใด ใบหน้าเรียวขยับขึ้นลงเล็กน้อยอย่างเชื่องช้าราวกับจะเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายได้ทำในสิ่งที่ต้องการ ถ้ามันจะทำให้เบฟมีความสุข

“แค่จูบนะ”

“ครับ ผมจะจูบอย่างถนุถนอมที่สุด”

เห็นทีคำว่าถนุถนอมคงไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของเบฟเสียแล้วล่ะมั้ง เพราะถ้าถนุถนอมจริงดั่งว่าไออุ่นคงไม่มีสีหน้าราวกับจะขาดใจแต่ทว่ากลับมีความสุขในคราวเดียวกัน

ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดควานหาความหวานไปเสียทุกส่วน บ้างก็หยอกล้อกับปลายลิ้นของอีกฝ่ายที่พยายามกระถดถอยหนีไปจนสุดทางแล้วก็ละออกมาให้คนในอ้อมกอดได้สงบจิตสงบใจ ก่อนจะรุกล้ำเข้าไปช่วงชิงพื้นที่ใหม่อีกครั้ง ลิ้นของเบฟที่สอดแทรกเข้ามาในโพรงปากนั้นชำนาญเหนือความคาดหมายของไออุ่นอยู่มาก เขาพยายามขยับลิ้นหนีแต่อีกฝ่ายกลับชอบเข้ามาหยอกเย้าแล้วก็ถอนหนีออกไปเพื่อให้เขาได้ตั้งหลัก

“อืมม… เบฟ”

“ครับ”

“ไม่… อืมมมมมม”

ยิ่งท่าทางของไออุ่นเหมือนจะทรมานแต่ก็สุขสมในคราวเดียว เบฟก็ยิ่งอยากจะกอดรัดร่างนี้เอาไว้แนบแน่น เพียงแค่จูบ… อีกฝ่ายก็ดูมีปฏิกิริยาขนาดนี้ ถ้าหากทำมากกว่า รายนั้นคงแสดงสีหน้าและท่าทางออกมาได้ตราตรึงใจแน่

เบฟละริมฝีปากออกมาแต่ก็ยังโอบกอดร่างของตุ๊กตาไขลานเอาไว้แนบแน่น ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดทรุดลงเล็กน้อย ถ้าไออุ่นเป็นมนุษย์ ป่านนี้ใบหน้าเขาคงร้อนผ่าว เลือดลมคงสูบฉีดดีขึ้นกว่าเดิมทำให้แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อ หัวใจของเขาคงกำลังเต้นๆ หยุดๆ เป็นจังหวะแปลกๆ

“อุ่นชอบไหมครับ”

ไออุ่นนิ่งเงียบ เอาแต่ก้มหน้ามองพื้น

“ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ แค่อุ่นไม่ปฏิเสธ ผมก็ดีใจแล้ว”


** ติดตามตอนต่อไป **


--------------------------------------------------------------


ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอโทษทุกคนที่หายไปสองอาทิตย์นะคะ คือ... แม่เข้าโรงพยาบาลกะทันหันเลยไม่ทันได้มาแจ้ง ปกติแม่เป็นคนที่ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลย เราเลยช็อคๆ ไปเหมือนกัน ส่วนตอนนี้แม่พอจะดีขึ้นมาบ้างและไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ขอโทษอีกครั้งนะคะที่หายไปนานเลย เราไม่ได้คิดทิ้งนิยายเรื่องนี้นะคะ

แอบอยากบอกว่ามีคำสารภาพแหละค่ะ ว่า... ไม่ถนัดเขียนฉากหวานๆ โรแมนติกเลย มันนึกภาพในหัวไม่ออกเลยว่าต้องอะไรยังไง เริ่มตรงไหน ถ้ามันดูแบบอ่านแล้วไม่สมูทก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ

แอบแจ้งอีกนิดนึงนะคะ ในส่วนของตอนที่ 9 จะเจอกันในวันที่ 8 เดือนตุลาคมนะคะ อาทิตย์ที่จะถึงนี้ไม่ว่างจริงๆ ค่ะ ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ


-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

rockiidixon666
ไวน์จะทำคะแนนทันหรือเปล่านี่สิ เบฟติดสปีดสี่จีใส่แล้ว ขอบคุณนะคะ

TIKA_n
ดูเหมือนเรื่องนี้มีปมเยอะเลย เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันในบางที (เขียนเองก็ไม่เข้าใจเอง เอาสิ! ฮ่าๆ ) เดี๋ยวตอนหน้าคุณไวน์ก็มาหาแล้วนะคะ ขอบคุณนะคะ

sirin_chadada
ดีใจที่จำได้ด้วยว่าอุ่นทำให้ร่ายกายชื้นไม่ได้ เดี๋ยวขึ้นสนิม แต่ว่ามันจะมีอยู่ประโยคหนึ่งในตอนที่ 7 เขียนไว้ว่า [ ปกติแล้วถึงไออุ่นจะไม่ค่อยถูกกับน้ำแต่เขามักจะใส่ถุงมือกันเปื้อนเอาไว้ตลอดเวลาที่ทำกับข้าวหรือบางครั้งที่ต้องทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ] เราว่าเราต้องสื่อผิดพลาดแน่เลยค่ะ คืออยากให้นึกถึงตอนใส่พวกถุงมือยางของหมอ หรือแบบถุงมืออันใหญ่ๆ ที่ใส่เวลาล้างจานน่ะค่ะ ขอโทษด้วยค่าาาา (^/|\^")

คนคิ้วท์คิ้วท์
เอาจริงๆ ตอนแรกที่เราเริ่มแพลนเรื่องนี้ เราเชียร์เบฟด้วยซ้ำนะคะ แต่พอไปๆ มาๆ ขอเปลี่ยนฝั่งดีกว่า แบบเอนเอียงไปทางไวน์เรื่อยๆ แหะๆ ขอบคุณนะคะ

alternative
ยินดีค่ะ สงสัยอะไรหรืออ่านแล้วรู้สึกเหมือนว่ามันไม่เคลียร์ตรงไหน ถามได้ตลอดเลยนะคะ เรายินดีตอบทุกคำถามค่ะ ขอบคุณนะคะ


หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 8 ** 2017.09.26 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-09-2017 14:29:51
เบฟพุ่งไปไกลแล้ว พี่ไวน์ยังไม่ขยับเลย  :hao7: จูบขนาดนี้กลัวอุลสนิมขึ้นจัง
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 8 ** 2017.09.26 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-09-2017 23:30:02
อ่านแล้วปวดใจ

สงสารเบฟจริง ๆ รักที่ไม่ใช่รักดั่งที่หวัง
สงสารพีท
แต่ก็เข้าใจอุ่น ไม่รักก็คือไม่รัก ต่อให้ผูกพันแค่ไหน ก็ไม่รักแบบคนรักไปได้

ปล. ขอให้คุณแม่แข็งแรงไว ๆ นะ คุณ Bluesora ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 8 ** 2017.09.26 **
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 28-09-2017 11:57:47
 :hao5: สู้ๆนะอุล
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 8 ** 2017.09.26 **
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 29-09-2017 11:27:58
สู้ๆนะอุ่น สู้ๆนะไรต์  :mew1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 8 ** 2017.09.26 **
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 29-09-2017 14:29:17
ดูหวานปนเศร้า เอ๊ะยังไง 555 คุณไวน์ได้เวลาออกโรงยังคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 8 ** 2017.09.26 **
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 29-09-2017 19:30:40
เรื่องนี้อ่านจบแต่ละบทต้องถอนหายใจยาวๆ
นึกๆ ไปคนที่เรารักก็เหมือนตุ๊กตาไขลาน ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ๆ ลานจะหมดวันไหน เราจึงต้องทำทุกวันให้ดีที่สุด ออกไปทางธรรมะเข้าโน่น
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 9 ** 2017.10.08 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 08-10-2017 13:23:40
ตอนที่ 9


ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน ความทุกข์ก็เช่นกัน

อยู่ที่คนเราเลือกที่จะเก็บทุกข์หรือสุขไว้กับตัว

แต่สำหรับไออุ่น เขาเลือกที่จะเก็บสองอย่างไว้ด้วยกันเพราะมันแสดงถึงว่าตัวเขายังคงมีชีวิตอยู่




เหลือเวลาอีกเพียงแค่วันเดียวที่เบฟจะได้อยู่ที่นี่ อยู่เคียงข้างกันแบบนี้ ทุกวันเรากอดกัน จูบกัน ทำทุกอย่างที่เด็กคนนั้นต้องการ ไออุ่นพยายามถนอมช่วงเวลาที่มีกันและกันไว้ให้ดีที่สุดก่อนที่สุดท้ายแล้วมันจะหลงเหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำ

เสียงกระดิ่งที่บานประตูดังขึ้นเบาๆ มีชายแปลกหน้าท่าทางดุดันเดินตรงมาหยุดอยู่หน้าไออุ่น เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลแต่ก็ยังทำเป็นนิ่งไว้แล้วเอ่ยทักทายอย่างเช่นทุกครั้ง

“สวัสดีครับ จะรับดอกไม้แบบไหนดีครับ”

“แบบไหนก็ได้ เสร็จแล้วช่วยเอาไปส่งให้ที่รถคันนั้นด้วยนะ รีบทำล่ะ เจ้านายอยากได้เร็วๆ”

“ครับ”

ไออุ่นรับปาก ดวงตาสีหยกเหลือบมองออกไปนอกร้าน รถสีดำคันหนึ่งจอดเยื้องออกไปไม่ไกลก็คงจะเป็นคนนั้นที่ถูกพูดถึง แต่จอดใกล้สี่แยกแบบนี้ อีกไม่นานคงถูกล็อคล้อเอาแน่จึงรีบลงมือทำช่อดอกไม้อะไรก็ได้ ที่ทำบ่อยและชินมือในช่วงนี้เห็นทีจะเป็นช่อดอกลิลลี่

พูดถึงช่อดอกลิลลี่ก็เผลอนึกถึงคนสั่งอย่างไวน์ ไออุ่นไม่เห็นลูกค้าคนนั้นแวะเข้ามาตลอดทั้งสัปดาห์ ไม่โทรเข้ามาทั้งที่ขอเบอร์โทรศัพท์ไปแล้ว ….. เขาเป็นบ้าอะไร! ทำไมถึงได้คิดถึงฝ่ายนั้นทั้งๆ ที่เบฟก็ยังอยู่ตรงนี้

“เพ้อเจ้อจังแฮะ ตัวเรา”

หัวกลมๆ สลัดไล่ความคิดโง่เง่านั่นออกไป เดินไปหยิบอุปกรณ์สำหรับทำช่อดอกไม้มาเรียงเอาไว้ ต้องรีบลงมือทำ ไม่อย่างนั้นเจ้าของรถที่จอดอยู่ตรงนั้นคงลำบาก

“จะเป็นอะไรไหมเนี่ย ถ้าหยิบไปให้แค่ลิลลี่ดอกเดียว”

ไออุ่นถามกับตัวเองด้วยท่าทีลังเลไม่น้อยแต่เพราะเป็นห่วง กลัวว่าจะถูกล็อคล้อเข้าเสียก่อน เอาล่ะ! ไม่ลองก็ไม่รู้ เจ้าของรถคันนั้นอาจต้องการดอกไม้อะไรก็ได้เพียงดอกเดียวแต่ถ้าไม่ใช่ก็คงบอกความประสงค์ของตัวเองออกมาเอง เมื่อคิดได้แบบนั้นจึงเดินไปเลือกดอกลิลลี่ดอกที่งามที่สุดมาแล้วเดินตรงไปยังรถที่จอดรออยู่ข้างนอก

ไออุ่นต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะต้องเผชิญกับอากาศที่แตกต่างออกไปจากทุกครั้ง ตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมาก็เคยชินกับอุณหภูมิในห้องแอร์

ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากร้านก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกลัว

ไออุ่นเดินตรงไปยังรถยนต์สีดำจอดอยู่เยื้องจากร้านไปเพียงเล็กน้อย เคาะกระจกรถสองครั้งเพื่อแจ้งให้คนที่นั่งอยู่ด้านในทราบแต่เมื่อลองมองดูดีๆ แล้วกลับไม่พบใครที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังเลยสักคน

“ช่วยเอาดอกไม้นั่นไปส่งให้ถึงมือเจ้านายด้วยครับ”

“ครับ?”

ไออุ่นทำหน้างงแต่ไม่ทันไรก็เข้าใจ

“เชิญขึ้นรถครับ”

ประตูข้างหลังถูกเปิดออกโดยชายที่เดินเข้ามาสั่งดอกไม้ในร้านคนนั้น จะวิ่งกลับเข้าร้านไปก็ดูเหมือนจะต้องสู้กับคนๆ นี้ก่อน แต่ถ้ายอมตามไปแล้วเบฟกลับมา…. ไออุ่นไม่อยากจะนึกภาพต่อจากนี้เลย

“เอ่อ… ขอไปล็อคประตูร้านหน่อยได้ไหม”

“เชิญขึ้นรถครับ”


… ดูเหมือนจะไม่ได้สินะ …


“ถ้าอย่างนั้นขอโทรบอกน้องชายก่อนได้ไหม ไม่อยากให้เขาเป็นห่วงน่ะ”

“อย่าทำให้พวกเราเสียเวลาเลย เชิญขึ้นรถได้แล้วครับ เจ้านายกำลังรอดอกไม้จากคุณอยู่”

ไออุ่นทำท่าลังเล แบบนี้เหมือนตัวเองกำลังถูกลักพาตัวไปที่ไหนสักที่ ดวงตาสีหยกจ้องมองไปยังหน้าร้านดอกไม้อุ่นไอรักด้วยความอาลัยอาวรณ์ ถ้ายอมขึ้นรถไปตอนนี้อาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลย

“แล้ว… เจ้านายคุณอยู่ไหนเหรอครับ”

“ไปถึง เดี๋ยวก็รู้เอง”

“แล้วจะพาผมกลับมาไหม”

“แน่นอนครับ ถ้านั่นเป็นคำสั่งของเจ้านาย”

ไออุ่นก้าวขึ้นรถไปอย่างจำยอม

… ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
… ไม่รู้ว่าต้องไปพบใคร
… ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกลับมาอีกไหม
… บางทีนี่อาจเป็นการจากลาที่ดีที่สุดแล้วก็ได้



“ลาก่อน เด็กน้อยที่รัก”





เบฟกลับมาจากมหาวิทยาลัย ก้าวเข้าร้านมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ไฟในร้านยังคงเปิดอยู่ ข้าวของที่ไออุ่นใช้ยังคงวางอยู่ที่เดิมแต่เจ้าตัวไม่อยู่หน้าร้าน

“อุ่น! อุ่นครับ!!”

“…….”

“อุ่นครับ!! อยู่หลังร้านเหรอ”

ยังคงไร้เสียงตอบรับเช่นเคยจนเบฟรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี สองเท้ารีบก้าวอย่างเร็วตรงไปยังหลังร้านแต่สิ่งที่เห็นเป็นเพียงความว่างเปล่า

“อุ่นอยู่ข้างบนเหรอครับ”

ความเงียบสนิทที่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของตัวเอง ความผิดปกติที่เกิดขึ้นทำเอาใจหวิวแปลกๆ … ไออุ่นควรอยู่ที่ร้าน ควรอยู่รอรับเขากลับมา

ไวเท่าความคิด เบฟรีบวิ่งออกจากร้านตรงไปหาพีทที่คิดว่าน่าจะอยู่ที่ร้านของตัวเองซึ่งอยู่ห่างออกไปห้าหลัง ทันทีที่มาถึงก็ตะโกนเรียกชื่อสุดเสียง

“พีท!!”

“มีอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

พีทที่กำลังนั่งหงอยเพราะไม่มีอะไรทำ ถูกพ่อกับแม่สั่งให้อยู่เฝ้าร้านคนเดียว อ้าปากหาวหวอดๆ ท่าทางสะลืมสะลือแต่ก็ยังพอจับความผิดสังเกตของเบฟได้จึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้ามาหา

“อุ่น… อุ่น…”

“พี่อุ่นเป็นอะไร”

“อุ่น… อยู่ที่นี่หรือเปล่า”

แน่นอนว่าคำตอบของคำถามคือคำว่า ‘ไม่’ แต่ถึงอย่างนั้นเบฟก็ยังคงหวังและภาวนาขอให้ไออุ่นอยู่ที่ร้านนี้ด้วยเถิด แม้เปอร์เซ็นของความเป็นไปได้คือศูนย์ก็ตาม

“เปล่า เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”

“อุ่น… หายไป”

ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าไออุ่นจะต้องจากไปสักวันแต่พีทก็ยังรู้สึกช็อคอยู่ดี

“หายไป… ได้ยังไง”

“พีท อุ่นไม่อยู่ที่ร้านจริงๆ นะ อุ่น…”

พีทดึงร่างที่อยู่ตรงหน้าเข้ามากอด

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่อุ่นก็กลับมา พี่อุ่นจะไม่เป็นอะไร เขาต้องกลับมาแน่”

ไม่ใช่เพียงแค่ปลอบใจเด็กที่อยู่ตรงหน้าแต่พีทปลอบใจตัวเองด้วยเช่นกัน เขาคาดไม่ถึงว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าไออุ่นจะจากกันไปโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา

“ถ้าเขาไม่กลับมาล่ะ”

“ต้องกลับสิ”

พีทยืนยันแม้จะรู้ว่าโอกาสที่จะกลับมานั้นน้อยมากแค่ไหน ต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าไออุ่นไม่เคยก้าวเท้าออกจากร้านเพราะเขากลัวสภาพแวดล้อมด้านนอกมันจะทำร้ายร่างกายให้จากไปก่อนเวลาอันควร ไม่มีทางที่จะจากไปทั้งๆ แบบนี้แน่

“เขาทิ้งไปแล้ว อุ่น… ใจร้าย”

“พาไปดูที่ร้านหน่อยได้ไหม พี่อยากยืนยันอะไรนิดหน่อย”

“ยืนยันอะไร”

เบฟผละออกมาจากอ้อมกอดปลอบใจของพีท

“ยืนยันว่าพี่อุ่นออกไปเองหรือมีใครพาออกไป”

เบฟนิ่งคิดทบทวนอยู่สักพัก สิ่งที่พีทพูดก็ฟังดูเป็นสิ่งที่ควรทำ เขาไม่น่าขาดสติถึงขึ้นพอเห็นว่าไออุ่นไม่อยู่ในร้านก็คิดไปแล้วว่าตัวเองถูกทิ้ง ทั้งที่ความเป็นจริงเราออกจะรักกันขนาดนั้น

“แล้วใครพาอุ่นไป”

“พี่ถึงได้บอกไงว่าต้องไปดูก่อน ไปดูให้แน่ใจ”

“ถ้ากลับไปก็อยากเห็นอุ่นยังอยู่ในร้าน”

พีทพยักหน้า เขาเองก็ภาวนาขอให้ไออุ่นยังอยู่ในร้าน ขอให้สิ่งที่เบฟเห็นนั้นไม่เป็นความจริง ขอให้ไออุ่นไม่จากกันไปด้วยวิธีการแบบนี้

พวกเขาพากันเดินเข้ามาในร้านดอกไม้อุ่นไอรัก ทุกอย่างยังคงวางอยู่เหมือนเดิมในที่ของมัน บนโต๊ะทำงานมีอุปกรณ์ทำช่อดอกไม้วางอยู่นั่นหมายความว่าไออุ่นไม่ได้ออกไปเพราะต้องการจะจากไปจริงๆ

“มีกล้องวงจรปิดไหม”

เบฟส่ายหน้า ที่ร้านไม่เคยติดกล้องวงจรปิดเพราะไออุ่นบอกว่าตัวเขาเองมักจะอยู่หน้าร้านตลอด โอกาสที่จะมีใครเข้ามาขโมยของข้างในนี้น้อยมาก

“พี่เชื่อนะว่าพี่อุ่นจะกลับมา”

“ถ้าเขาไม่กลับมาจะทำยังไง ถ้าแด๊ดถามถึงจะตอบยังไง หรือมันเป็นเพราะเราไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมอีกแล้ว”

เบฟทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งในร้านอย่างหมดแรง พึมพำกับตัวเองราวกับคนเสียสติ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้ หัวใจปวดหนึบคล้ายกับมีอะไรบางอย่างมาบีบรัดเอาไว้ ลมหายใจขาดห้วงเป็นบางช่วง

“รู้เหรอ?”

“รู้?”

เบฟทวนถามกลับ รู้อะไร รู้เรื่องอะไร

“เอ่อ…”พีทชะงักไป ดูเหมือนเขาจะพลาดเสียเองที่พูดขึ้นมาจึงรีบกลบเกลื่อนด้วยเรื่องอื่น “ที่บอกว่าไม่มีโอกาสแล้วนี่รู้ได้ยังไง”

“อุ่นไม่ได้บอกเหรอว่าผมจะย้ายไปอยู่กับแด๊ดอาทิตย์นี้แล้ว พรุ่งนี้คือวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกันจริงๆ”

“อ่า….”

เรื่องนี้พีทยอมรับว่าไม่รู้จริงๆ เขาจึงส่ายหน้าแทนคำตอบ บอกตามตรงว่าเขารู้สึกสับสนไปหมด ทั้งเรื่องที่เบฟจะย้ายออกไป ทั้งเรื่องที่ใกล้จะถึงเวลาที่ไออุ่นจะจากไปเพราะลานในตัวเริ่มจะมีปัญหาบ้างแล้ว ทั้งเรื่องที่ไออุ่นหายไป ดูจะไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันได้สักอย่าง

“พี่ว่ามันมีอะไรแปลกๆ”

เบฟเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย

“ลองคิดดูนะ นายกับพี่อุ่นรักกันถูกไหม แล้วคนที่รักกันก็ย่อมต้องอยากอยู่ด้วยกันจนวินาทีสุดท้าย ตามหลักแล้วพี่อุ่นที่รักนายมากน่าจะอยู่ถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็ต้องรอส่งนายก่อน”

“จะพูดอะไรน่ะ”

“ถ้าที่พี่อุ่นหายไปเป็นเพราะถูกใครพาไปล่ะ”

“อุ่นไม่ออกจากร้านเด็ดขาด”

เรื่องที่ไออุ่นจะไม่ออกจากร้านอย่างเด็ดขาด ทั้งเบฟและพีทต่างรู้ดีด้วยกันทั้งคู่เพราะฉะนั้นแล้วการที่ไออุ่นจะออกไปได้ก็ต้องมีแรงจูงใจหรือเหตุการณ์บังคับ

“พี่อุ่นน่ะไม่ออกก็จริงแต่เขาก็เป็นคนใจดี ถ้ามีใครขอร้องล่ะ เขาก็คงยอมเพราะคิดว่าแค่นี้คงไม่เป็นไร”

“พูดเหมือนรู้จักอุ่นดีเลยนะ”

พีทยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดีเท่าไรนักเพราะมันแฝงไปด้วยความเจ็บปวด ขนาดรู้ดีก็ยังไม่สามารถครองที่หนึ่งในใจของไออุ่นได้

“เอาเป็นว่ารอดูถึงคืนนี้ก่อนว่าเขาจะกลับมาไหม เลิกคิดฟุ้งซ่านสักพักนะ”

เลิกคิดฟุ้งซ่านเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเบฟแน่ คนที่รักหายไปทั้งคน ติดต่ออะไรก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าออกไปที่ไหนและกับใคร คงไม่มีทางนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่รู้สึกอะไรไม่ได้

“ทำได้เหรอ… พีททำได้เหรอ”

พีททิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ตรงหน้า ภาพความทรงจำที่ไออุ่นเดินวนไปเวียนมาในร้านค่อยๆ ปรากฏขึ้นจางๆ รอยยิ้มหวานละมุนที่มักจะยิ้มให้กับทุกคนเสมอเป็นภาพที่เขาชอบมากที่สุด ไออุ่นที่ใจดีและอ่อนโยนกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้คือคนที่เขาชอบมากที่สุด แต่เวลานี้กลับแสดงความรู้สึกออกไปได้ไม่ทั้งหมด ความเสียใจที่อัดแน่นอยู่ภายใน ความรักที่ได้แต่เก็บใส่กล่องเอาไว้แล้วซ่อนมันให้ลึกสุดหัวใจแทบจะบีบรัดให้ตัวเขาเองขาดอากาศหายใจเหมือนจะตายลงเสียตรงนี้ ทรมานจนอยากจะระบายออกมาแต่ก็ต้องทำเป็นเข้มแข็งเพื่อปลอบใจคนข้างๆ อย่างที่เคยได้รับปากกับคนๆ นั้นเอาไว้

“ทำไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ทำได้สักอย่างนอกจากรอ”

“ขอบคุณนะ”

“หืม?”

“ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อน”





ไออุ่นถูกพามาที่ไหนสักที่ ดูคล้ายคอนโดมิเนี่ยมหรู ระหว่างทางที่มาก็คอยมองดูข้างทางตลอดแต่ก็ยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เขาไม่ได้ถูกคุมตัวหรือล็อคแขน ใช้ปืนจี้ด้านหลังเหมือนเป็นตัวประกันนั่นย่อมหมายความว่าเขาไม่ได้ถูกลักพาตัวมาเพื่อต้องการทำร้ายร่างกายแน่

“ขอโทษนะครับ ทำไมต้องมาพาถึงที่นี่ด้วย” ไออุ่นลองเลียบเคียงถาม

“เจ้านายสั่ง”

“แล้ว… ที่นี่ที่ไหนเหรอครับ พอบอกได้ไหม”

“คอนโดครับ”

ไออุ่นแอบถอนหายใจเงียบๆ

“เดินตามมาเฉยๆ เถอะครับ”

ไออุ่นจำต้องเดินตามไปอย่างเงียบเฉียบ ไม่คิดที่จะถามอะไรต่อเพราะดูจากรูปการณ์แล้วเป็นไปได้สูงว่าเขาจะไม่ได้คำตอบอะไรเลย

ไออุ่นถูกพาขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นที่สิบห้า ถูกพาเข้าห้อง1508 ถูกสั่งให้นั่งรออยู่ในห้องและห้ามคิดหนีโดยมีคนที่พาขึ้นมายืนเฝ้าอยู่หน้าประตู แต่อันที่จริงต่อให้คิดที่จะหนีก็จำทางกลับไม่ได้อยู่ดี เป็นเพียงความโง่เง่าของตัวเองที่ไม่คิดจะจดจำเพราะคิดว่าตัวเองจะไม่มีวันได้ออกห่างจากร้านดอกไม้มาไกลแสนไกลขนาดนี้

ไออุ่นเดินไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายมองออกไปข้างนอก ท้องฟ้าสีครามช่างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นบ้านเมืองจากมุมสูง มันดูแปลกตาและเป็นภาพที่น่าจดจำ พอได้มองจากตรงนี้ก็เห็นอะไรที่เคยเห็นกลายเป็นสิ่งที่เล็กเพียงฝ่ามือราวกับตัวเองได้มาอยู่ในเมืองของเล่น

นานเท่านาน ไออุ่นยังคงมองดูทิวทัศน์และซึมซับความสุขในครั้งนี้นิ่งๆ อยู่ที่เดิม จวบจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีกลายเป็นสีโอล์ดโรสเหมือนดอกกุหลาบที่เขาชื่นชอบและค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะแดงฉานแต่ยังไม่ทันจะได้เห็นภาพที่ความมืดมิดอาบไล้ลงมาอย่างเชื่องช้า ประตูห้องที่ถูกปิดสนิทมาเนิ่นนานก็เปิดออก ไออุ่นหันกลับไปมองต้นตอของเสียงแล้วก็ต้องชะงักไป

“คุณ… ไวน์”

“ครับ” อีกฝ่ายตอบรับนิ่งๆ

“คุณพาผมมาที่นี่ทำไมครับ”

“ผมอยากได้ดอกไม้ที่ผมสั่ง”

ไออุ่นชำเลืองมองดอกไม้ในมือของตัวเอง ‘ลิลลี่’

“ผม… ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณ ไม่อย่างนั้นผมคงทำเป็นช่อสวยๆ มาให้แล้วล่ะ”

ดอกลิลลี่สีขาวในมือเล็กๆ ดอกไม้ที่ไออุ่นคัดสรรมาอย่างดีถูกยื่นมาตรงหน้าชายหนุ่มวัยสามสิบในชุดสูทเนียบสีดำสนิท เขารับมันไว้แล้วเดินไปหยุดที่ริมหน้าต่าง

“ทำไมถึงไม่หนี”

“ครับ?”

ไออุ่นไม่ใช่คนไม่ฉลาดสักเท่าไรนัก เขาแค่ใจดีกับทุกคนมากเกินไป มองโลกในแง่ดีกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้เขาต้องหนีไปไหน

“ทำไมถึงตามมาทั้งที่ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ไหน ไปพบใคร อาจเป็นการลักพาตัวก็ได้”

“ผมก็ว่าแบบนั้นล่ะครับ อาจเป็นการลักพาตัวอย่างที่คุณว่าก็ได้” ไออุ่นยิ้มนิดๆ ราวกับเรื่องลักพาตัวเป็นเรื่องขำขันแล้วจึงพูดต่อ “แต่ผมรู้แค่ว่าลูกค้าต้องการให้นำดอกไม้ไปส่งแค่นั้นครับ”

เห็นใบหน้าของไออุ่นที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไรแล้วไวน์ชักเริ่มหงุดหงิด

“ทำไมมองโลกในแง่ดีอย่างนั้น”

“ทำไมคุณไวน์ถึงได้ตั้งแต่คำถามว่าทำไม ทำไมล่ะครับ”

ไออุ่นเดินตามมายืนข้างๆ แค่ละสายตาไปไม่นาน ท้องฟ้าก็เริ่มจะกลายเป็นสีกรมท่าเกือบทั้งหมดแล้ว เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ปกติก็ได้แต่แหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่ที่ร้านหรือบางครั้งพอรู้สึกตัวอีกที ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว

“นี่!!”

ไม่รู้ว่าตัวเองจะหงุดหงิดอะไรนักหนา เพียงแค่เห็นไออุ่นทำตัวตามสบายเหมือนไวน์เดินเข้าร้านมาเพื่อสั่งดอกไม้แล้วอีกฝ่ายก็ต้อนรับเขาเป็นอย่างดี มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น ไออุ่นควรร้อนรนบ้าง จู่ๆ มือใหญ่ก็ดันไหล่ขวาของคนข้างๆ ให้กระแทกเข้ากับหน้าต่างที่เป็นกระจกอย่างแรง ส่งผลให้ร่างกายภายในเกิดการกระทบกระเทือน

‘แย่แล้ว’

ไออุ่นได้แต่นึกร้องไห้อยู่ในใจ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงได้กลายเป็นตุ๊กตาไขลานที่ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้อีกต่อไปแน่

“ผมเจ็บครับ”

‘เจ็บ’ ไออุ่นยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าอะไรคือคำว่าเจ็บ ความเจ็บปวดมีรูปร่างแบบไหนแล้วต้องแสดงสีหน้าอย่างไรเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเจ็บ ก็เขาน่ะเป็นตุ๊กตาที่ไร้ความรู้สึกยังไงล่ะ

ไวน์ทุบมืออีกข้างลงที่บานกระจกแต่ก็ไม่แรงพอที่จะทำให้มันแตกได้ อารมณ์หงุดหงิดที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในหัวใจไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ เลย

“คุณไวน์ ผมกลับนะครับ”

“ไม่ได้!! ห้ามกลับ!!”

เสียงตะโกนดังลั่นแสดงออกถึงความไม่พอใจอะไรบางอย่างทำเอาไออุ่นสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงที่เกือบจะสั่นเครือ  “ทำ… ทำไมครับ”

“บอกว่าห้ามกลับก็คือห้ามกลับ”

“เพราะ… อยากเก็บผมไว้เป็นตัวประกันใช่ไหมครับ”

ไวน์หันกลับไปมองหน้าคนพูดด้วยแววตาขุ่นเคือง ดูท่าฝ่ายนั้นจะไม่ได้เข้าใจอะไรเลยว่าเขารู้สึกยังไง สายตาที่คอยแอบมองอยู่ตลอดเวลาที่เขาแวะเวียนไปที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักก็น่าจะพอบอกอะไรได้บ้าง หรือแม้แต่การวางช่อดอกไม้ทิ้งไว้ให้ก็น่าจะต้องเข้าใจว่ามีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงแต่กลับกลายเป็นว่าคนๆ นั้นไม่รับรู้อะไรเลย ไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรสักอย่าง

“พูดอะไรน่ะ”

“คุณไวน์ชอบเบฟ น้องชายผมใช่ไหมครับ เลยคิดที่จะเก็บผมไว้เป็นตัวประกัน ประมาณว่าถ้าผมหายไป เบฟก็คงออกตามหา พอถึงเวลานั้นคุณก็จะเสนอตัวเข้าไปช่วย”

สิ่งที่ไออุ่นคิดแทบจะทำให้ไวน์ประสาทเสีย คนๆ นี้มองโลกในมุมแปลกๆ แต่จะโกรธก็โกรธไม่ลง แววตาและท่าทางของไออุ่นดูใสซื่อราวกับว่ากำลังบอกว่าเจ้าตัวคิดแบบนั้นจริงๆ

“ผม… พูดอะไรไม่ออกเลย”

“เข้าใจครับ เป็นเพราะคุณคงไม่คิดว่าผมจะรู้ใช่ไหมล่ะครับ”

‘เป็นเพราะนายไม่รู้อะไรเลยต่างหาก’
ไวน์ได้แต่ตอบคำถามนั้นอยู่ในใจ

“ที่กระแทกเมื่อกี้ เจ็บมากไหม”

ไออุ่นทำหน้าครุ่นคิดเมื่อถูกถามอย่างอ่อนโยน เขาตอบไม่ได้ว่ามันควรจะต้องเจ็บมากหรือเจ็บน้อยแค่ไหน เขารู้เพียงแค่ว่าเมื่อโดนกระแทกกับอะไรสักอย่างมันน่าจะต้องเจ็บ

“นิดหน่อย… มั้งครับ”

“มั้ง? ทำไมต้องมั้ง เจ็บมากก็บอกว่าเจ็บมาก พูดเหมือนไม่แน่ใจทั้งที่ตัวคุณเองแท้ๆ”

พูดแล้วก็ให้น่าโมโหอีกสักรอบ คราวนี้จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าที่ไหล่โดนกระแทกกับบานหน้าต่างมันควรจะเจ็บขนาดไหนกันแต่ไวน์ก็ทำไม่ลง

“เจ็บ เอ่อ… ไม่มากไม่น้อยครับ”

คำตอบกลางๆ แบบนี้น่าจะพอใช้ได้ เห็นไวน์ถอนหายใจเหมือนกับจะถอดใจในคำตอบแล้วไออุ่นก็คิดว่ามันน่าจะดีแล้ว ยิ่งถูกถามมากก็ยิ่งตอบยาก

“ถ้างั้นก็ช่วยอยู่ที่นี่สักระยะนะ ได้ไหม”

“ครับ”

ไวน์มองหน้าคนที่ตอบออกมาอย่างไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยๆ การถูกพาตัวมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ อยู่นานเท่าไรก็ไม่บอก คนๆ นั้นควรจะมีความวิตกหรือกระวนกระวายใจให้เห็นบ้างแต่กลับไม่มีอะไรเลยสักอย่างราวกับว่าเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว



** ติดตามตอนต่อไป **

เราว่าในตอนนี้ต้องมีคนไม่ชอบไวน์แน่เลยอ่ะ T^T พาตัวไออุ่นออกมาจากร้าน พาออกมาจากเบฟ

สุดท้ายนี้ ขอยืมพื้นที่นี้ฝากนิยายอีกเรื่องของเราไว้ด้วยนะคะ ลงไว้ถึงตอนที่ 2 แล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ
✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62291.0)

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-


rockiidixon666

ตอนที่ 9 พี่ไวน์ เร่งสปีดตามมาแล้วนะคะ มาแบบ... สคิปข้ามขั้นไปเลย ฮ่าๆๆๆๆ ขอบคุณนะคะ

alternative
ขอบคุณค่ะ ตอนนี้แม่ดีขึ้นแล้วค่ะ ใกล้หายเป็นปกติแล้วค่ะ .... เราแอบสงสารอุ่นล่ะ เหมือนจะไปซ้ายก็ไปไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ แต่พอจะไปทางขวาก็ดันติดคนทางซ้าย มันดูน่าอึดอัดเนอะ

KARMI

ขอบคุณนะคะ

Nekosama
ขอบคุณค่ะ

shoky_9

ขอบคุณนะคะ ตอนนี้คุณไวน์มาแล้วนะ

insomniac
เราไม่ได้ถอนหายใจเลยค่ะ ในแต่ละตอน แต่เรานั่งกุมขมับเลย บอกตรงๆ ค่ะว่านิยายแนวดราม่าเป็นอะไรที่เราไม่ถนัดเลย ไม่เคยแต่งแนวนี้มากก่อนด้วยค่ะ แต่ทำไมถึงแต่งก็เพราะตอนที่คิดเรื่องนี้ เรานั่งฟังเพลง ookina furui dokei ของ Hirai Ken ค่ะ... เป็นเพลงที่เราชอบมากเพลงหนึ่งอ่ะค่ะ โทนเรื่องมันเลยมาแนวนี้
(เราตอบตรงประเด็นไหมเนี่ย - -")


หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 9 ** 2017.10.08 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 08-10-2017 14:23:09
หงุดหงิดพี่ไวน์ลักพาตัวเขามาขนาดนี้ ก็บอกไปสิว่าชอบเขา ไม่ได้ชอบเบฟสะหน่อยย  :katai1:  :z3:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 9 ** 2017.10.08 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-10-2017 21:46:08
ไวน์ครับ ตอนนี้ไม่น่ารักเลย

ปล. ตามไปเข้ารั้วคฤหาสน์มาแล้วจ้ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 9 ** 2017.10.08 **
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 09-10-2017 00:13:03
หยอดมาขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีกอุ่นเอ๊ย :z3:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 9 ** 2017.10.08 **
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 09-10-2017 08:44:36
อ่านแล้วมีคำถาม ซึ่งจะขอถามตรงๆเลยนะคะ
1 สรุปแล้วใครเป็นพระเอก (ในใจอยากให้เป็นไวน์ แต่บทน้อยเหลือเกิน ความสัมพันธ์ก็ไม่คืบหน้าสักที)
2 อุลรักเบฟแบบชู้สาวหรือเปล่า (เพราะอ่านแล้วงงกับความรู้สึกของอุลมาก ถ้าไม่ใช่แบบชู้สาว ทำไมยอมให้เบฟจูบ แบบนั้นมันยิ่งเพิ่มความหวังให้เบฟไม่ใช่เหรอ ตอนนี้อ่านแล้วเหมือนความรู้สึกมันปนเปไปหมด ทั้งความผูกพันแบบครอบครัว ทั้งรักแบบชู้สาว อยากรู้ว่าอุลรักเบฟแบบชู้สาวหรือเปล่า โดยที่ตัดประเด็นเรื่องความผูกพันและความสัมพันธ์เชิงครอบครัวไปก่อน)
3 (ข้อนี้เหมือนเป็นขอร้องมากกว่า) ถ้าเบฟไม่ใช่พระเอก รบกวนช่วยจัดการกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างอุลกับเบฟทีเถอะค่ะ รู้สึกเหมือนถ้าไม่จัดการกับความสัมพันธ์นี้ให้เรัยบร้อยจะสงสารพระเอกมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 10 ** 2017.10.15 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 15-10-2017 12:31:31
ตอนที่ 10


สี่ทุ่มแล้วยังไร้วี่แววการกลับมาของไออุ่น แต่เบฟและพีทยังคงนั่งรออย่างมีความหวัง ในขณะที่ตอนนี้มืดแปดด้าน ติดต่อไปก็ไม่ได้ บอกใครก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

“เบฟ พักสักหน่อยไหม”

“ไม่ จะรอจนกว่าอุ่นจะกลับมา”

พีทเองก็ไม่อยากถอดใจแต่ดึกขนาดนี้แล้ว ไออุ่นคงไม่กลับมาวันนี้ นั่งรอไปก็ดีแต่ทรมานตัวเองเปล่าๆ อีกทั้งเขายังถูกไออุ่นฝากให้ช่วยดูแลคนที่นั่งข้างๆ เป็นอย่างดีแล้วมีหรือที่จะละทิ้งหน้าที่นั้นได้แต่ต่อไม่ได้รับปากกับไออุ่นเอาไว้ เขาก็ต้องดูแลเบฟให้ดีที่สุดอยู่แล้วในเวลาแบบนี้

“งั้นแล้วเรื่องเรียนล่ะ”

“ไม่ไป ถึงไปก็เรียนไม่รู้เรื่องหรอก”

“แล้วจะทรมานตัวเองแบบนี้ไปถึงเมื่อไร”

ถึงเมื่อไร? …. คำถามที่ไม่จำเป็นต้องถามก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าตราบใดที่ไออุ่นยังไม่กลับมา เบฟก็ยังคงจะเฝ้ารออยู่อย่างนี้เหมือนที่ไออุ่นเคยพูดไว้ไม่มีผิด เด็กคนนี้เมื่อรู้ว่าคนที่รักหายไปจะไม่ยอมไปเรียนและไม่สนใจอนาคตตัวเองอีก

“จนกว่าอุ่นจะกลับมา”

“งั้นถ้าอยากนั่งรอก็อยู่นี่ เดี๋ยวพี่จะไปซื้อข้าวมาให้ กินอะไรสักหน่อยระหว่างที่กำลังรออยู่ก็แล้วกันนะ”

เบฟไม่ได้พูดอะไรเป็นอันเข้าใจว่าคงไม่ต่อต้านหรือไม่ยอมให้พีทไปซื้ออะไรเข้ามาให้ เขาจึงเดินออกไปและปล่อยอีกฝ่ายทิ้งไว้ที่ร้านเพียงลำพัง อันที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไรที่จะปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น เขากลัวว่าการที่เบฟอยู่คนเดียวจะเกิดอาการคิดมาก ฟุ้งซ่าน จิตตกไปต่างๆ นาๆ

การที่เบฟไม่มีไออุ่นอยู่ด้วยแบบนี้ ใจมันอ่อนไหวแปลกๆ เหมือนจะหมดแรงบีบรัดสูบฉีดเลือดให้ไหลไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ในหัวสมองขาวโพลนแต่ก็ยังมีคำถามว่าไออุ่นหายไปไหน ไปกับใครวนเวียนอยู่ตลอดเวลา

“ถ้าอุ่นกลับมา ผมจะไม่ยอมห่างไปไหนอีกเลย”

ดวงตาสีฟ้าครามทอดมองไปรอบๆ ตัว บรรยากาศที่เคยอบอุ่น ในตอนนี่กลับเย็บเฉียบราวกับน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ การไม่มีไออุ่นอยู่เคียงข้างสักคน ทุกอย่างก็ดูเหมือนหยุดนิ่ง ไร้ชีวิตชีวาทั้งที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยสีสันของดอกไม้หลากชนิด

“ถ้าอุ่นกลับมา…”

น้ำเสียงอันแสนเศร้าขาดห้วงไปราวกับมีอะไรบางอย่างมาอัดแน่นจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ดั่งใจนึก หยาดหยดน้ำตาหลั่งรินลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ทั้งที่อยากจะเข้มแข็งแต่กลับทำไม่ได้เมื่อเขาคนนั้นไม่ได้อยู่ข้างกายเหมือนเช่นทุกครั้ง

“แค่… อึก อุ่นกลับมา”

มือใหญ่ยกปาดน้ำตาที่ไหลเปรอะแก้ม เบฟปล่อยร่างกายทิ้ง พิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ดวงตาเลื่อนลอยทอดมองไปตรงหน้า นั่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ใจไหลไปกับกาลเวลาจวบจนกระทั่งเสียงกระดิ่งที่บานประตูดังขึ้น คนที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งรีบเด้งตัวขึ้นมาด้วยหวังว่าน่าจะเป็นไออุ่นที่เป็นคนเปิดมันแต่กลับต้องผิดหวัง คนที่เดินเข้ามาคือคนที่เพิ่งออกไปซื้ออะไรกลับเข้ามากิน เขาถอนหายใจเบาๆ เมื่อไม่ใช่คนที่อยากเจอ

“เดี๋ยวกินอะไรหน่อยนะ พี่ซื้อข้าวต้มมาให้”

“อืม”

เห็นเบฟเป็นแบบนี้แล้วพีทก็อดสงสารไม่ได้ เขาจึงเอื้อมมือออกไปลูบหัวเบาๆ ปลอบโยนก่อนที่จะเดินเข้าไปหลังร้านแต่กลับถูกอีกฝ่ายรั้งเอาไว้ก่อน

“พีท”

“ว่าไง”

“ทำไมต้องดีกับกูขนาดนี้ด้วยวะ”

“เพราะนายเป็นน้องพี่อุ่นไง”

“เหรอ”

พีทหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย “อืม”

“มีอะไรที่กูไม่รู้หรือเปล่า อะไรที่ยังไม่ได้บอก”

พีทชะงักไปเล็กน้อย พยายามยิ้มกลบเกลื่อนว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นความลับ ไม่มีเรื่องไหนที่ยังไม่ได้พูด

“คิดว่าพี่จะปิดบังอะไร”

“อะไรสักอย่าง ความรู้สึกมันบอกเหมือนว่ามึงกับอุ่นมีความลับที่กูไม่รู้”

“จะไปมีได้ยังไง นายนั่นล่ะที่น่าจะมีความลับระหว่างพี่อุ่นที่พี่ไม่รู้ อย่างเช่น… ไปสารภาพรักกับพี่อุ่นตอนไหน”

เบฟทำหน้ายุ่ง เขากำลังสงสัยว่าคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้ารู้ได้ยังไงว่าเขาสารภาพรักกับไออุ่นไปแล้ว

“รู้ได้ไง”

“บรรยากาศมันบอก”

พีทตอบแบบผ่านๆ อย่างวันนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบตัวไออุ่นและเบฟเวลาที่อยู่ด้วยกันมันอวลไปด้วยความหวานที่ไม่ถึงกับเลี่่ยน ความเบาบางของความห่วงหาอาธรณ์ซึ่งกันและกันเลยทำให้พอเดาได้ลางๆ ว่าต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้น

“มึงเป็นนักเดาหรือไง”

“ทำไม พี่เดาถูกเหรอ”

เบฟนิ่งเงียบแล้วก็ยิ้มออกมานิดๆ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้พีทสามารถคาดเดาอารมณ์ได้แล้ว

“นายพอจะยิ้มได้แล้วสินะ”

พีทพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น เขารีบเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อจัดการเทข้าวต้มร้อนๆ ออกมาจากถุง ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งในร้านก็ได้แต่นิ่งไปพลางครุ่นคิดในใจ





หลังจากที่ไวน์บอกแกมสั่งให้ไออุ่นอยู่ที่ห้องนี้ก่อนสักระยะ เขาได้สั่งให้ลูกน้องซื้อข้าวขึ้นมาให้แต่ไออุ่นกลับไม่ยอมแตะต้องมันเลยสักนิด เอาแต่จ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ในขณะที่เขาเองก็ได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยอารมณ์หงุดหงิด

“ทำไมไม่กิน”

“ไม่หิวครับ”

“ไม่หิวหรือกลัวผมใส่ยาพิษลงไปในนั้น”

ใบหน้าอันงดงามนั้นประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อถูกถาม ไออุ่นอยากจะหัวเราะเสียด้วยซ้ำเพราะต่อให้อาหารตรงหน้ามียาพิษจริงก็คงไม่ตายด้วยฤทธิ์ของมันแต่คงจะตายเพราะเป็นอาหารมากกว่า

“ยิ้มอะไร”

“เปล่าครับ เพียงแต่ผมยังไม่อยากกิน”

“ไม่อยากกิน? หรือจะเอาเป็นอย่างอื่น จะได้บอกลูกน้องให้ซื้อขึ้นมา”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”

“แล้วยังไง”

“ผมจะไปมีกะจิตกะใจกินลงได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อถูกคุณรั้งตัวไว้ที่นี่ ถ้าคุณให้โอกาสผมได้ติดต่อกลับไปที่บ้านสักหน่อยมันคงจะดีกว่านี้”

ไออุ่นลองยื่นข้อเสนอดู ถึงจะเตรียมใจไว้บ้างแล้วแต่การได้โทรไปพูดคุยกับเบฟก่อนก็พอจะทำให้ฝ่ายนั้นคลายความกังวลไปได้บ้าง ตอนนี้เขาพอจะนึกภาพของเด็กคนนั้นออกเลยว่าคงจะซึมกะทือ ไม่เป็นอันทำอะไรแน่

“ขอโทษนะ ผมคงให้ทำแบบนั้นไม่ได้”

“ครับ ไม่เป็นไร ผมก็พอจะเข้าใจอยู่ ว่าแต่... ผมถามได้ไหมครับว่าทำไมคุณถึงพาผมมาที่นี่”

ไวน์นิ่งอยู่สักพักใหญ่ เขาไม่รู้ว่าจะพูดออกไปตรงๆ ดีหรือไม่ว่าเพราะเหตุผลส่วนหนึ่งที่เขาพาไออุ่นมาที่นี่ก็เป็นเพราะคำพูดของเด็กคนนั้น มันคงจะกลายเป็นว่าเขาทำสิ่งที่ไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลยในสายตาของไออุ่น ทั้งที่รู้ดีแต่ก็ยังทำลงไป

“คุณอยากรู้จริงๆ เหรอ”

“ถ้าไม่สะดวกใจที่จะบอกก็ไม่เป็นไรครับ”

ไออุ่นไม่คิดที่จะบังคับให้ตอบและเขาก็พึงใจกับการที่ได้มาอยู่ที่นี่ ที่ที่จะทำให้เขาจากไปได้อย่างไร้ความกังวลและไม่เจ็บปวดเกินไปนักเพราะถ้าหากยังอยู่ที่ร้านมันคงยากต่อการตัดใจจาก

“ผมขอโทษที่พาตัวคุณมาแบบนี้ คุณคงโกรธผมมากสินะ”

“ผมไม่โกรธคุณเลยสักนิดครับ”

ไวน์นิ่งไปชั่วครู่ ทั้งที่ดูก็รู้แล้วว่านี่เป็นการกระทำของผู้ชายที่ไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายแต่ทำไมไออุ่นถึงยังทำเป็นนิ่งเฉย ยิ่งเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มราวกับไม่รู้สึกโกรธเคืองอะไรเลยแม้แต่น้อยนั่นก็ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก ใบหน้าที่แสดงถึงความยินดีในทุกสิ่งที่เขาได้ทำลงไปไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน

“ทำไมถึงไม่โกรธทั้งที่ผมทำเรื่องที่ไม่ควรทำ”

“ไม่โกรธเพราะคุณรู้ว่าสิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ อีกอย่าง... ผมเองก็มีเหตุผลของผมที่ไม่โกรธคุณ อันที่จริงอยากจะบอกว่าขอบคุณมากกว่าโกรธด้วยซ้ำครับ”

ไวน์ไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจในการกระทำนี้เลยแม้สักนิด เขาควรจะถูกอีกฝ่ายโกรธหรือไม่ก็ต้องแสดงอาการขัดขืนออกมาบ้าง แต่ทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงนั้นกลับเป็นปกติราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายสักเท่าไรจนอดที่จะเป็นฝ่ายโมโหแทนไม่ได้ เขาจึงได้แค่ทำน้ำเสียงเข้มเป็นเชิงขู่ให้ฝ่ายนั้นได้รู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง

“คุณอยู่ที่นี่ก็ทำตัวตามสบายได้เลย อยากได้อะไรก็บอกแต่ห้ามออกไปไหน”

น้ำเสียงจริงจังราวกับเป็นคำสั่งเด็ดขาดของไวน์ ไออุ่นไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิดกลับรู้สึกขำเสียด้วยซ้ำแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะหัวเราะออกไปตรงๆ จึงได้แต่ยกยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น

“ยิ้มอะไร”

“เปล่าครับ คุณไวน์ไม่ผิดจากที่ผมคาดไปเท่าไรเลยนะครับ”

คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามขมวดคิ้ว

“คุณเป็นประเภทแข็งนอกอ่อนใน ภายนอกดูเย็นชาแต่จริงๆ แล้วใจดีและอบอุ่น”

ข้อดีและข้อเสียของไออุ่นก็คือมักจะมองฝ่ายตรงข้ามออกว่ามีอุปนิสัยอย่างไร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพบเจอผู้คนมามากมายในช่วงหลายทศวรรษหรือมันเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกกันแน่

ไวน์นิ่งไปสักพักใหญ่ถึงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

“อุ่น ถ้าเบื่อที่จะอยู่ในห้องก็บอก ผมจะพาออกไปเองแต่ไม่ให้ออกไปคนเดียวนะ”

“ครับ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้อยากไปไหนนอกจากกลับไปที่ร้าน”

ไวน์พยักหน้า เป็นอันว่าเขาเข้าใจ

“ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำเถอะ ผมให้ลูกน้องเตรียมชุดไว้ให้แล้ว”

“ครับ”

ไออุ่นรับคำแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป เขาพอจะมีวิธีรับมือกับเรื่องนี้อยู่ในหัวบ้างแล้ว เพียงแค่เปิดน้ำฝักบัวให้ไหลไปเรื่อยๆ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ รอให้เวลาเดินไปสักพัก จึงค่อยออกมาจากห้องน้ำแต่ไวน์ก็ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงลูกน้องคนนั้นที่เข้ามาข้างในแทน

“นายบอกว่าให้คุณอยู่แต่ในห้องแล้วพรุ่งนี้นายจะกลับมา อยากได้อะไรก็ให้บอกผมไว้ได้เลยแล้วพรุ่งนี้จะเอามาให้ครับ”

“ถ้าไม่รบกวนมากเกินไป ผมขอชุดอุปกรณ์ไขควงขนาดเล็กได้ไหมครับ”

คำขอของไออุ่นดูจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ฝ่ายนั้นจึงได้ไม่รับปากในทันทีแต่กลับบอกให้เป็นการตัดสินใจของผู้เป็นนายเอง ส่วนตัวไออุ่นเองก็เข้าใจเพราะเขาเรียกร้องในสิ่งที่คนปกติไม่เรียกร้องกัน

“แล้ว… ไวน์ไปไหน”

“ไม่ทราบครับ ลูกน้องไม่ยุ่งเรื่องของเจ้านาย”

“อ่า….”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ แล้วพรุ่งนี้เช้าจะเอาข้าวมาส่งให้ตอนเจ็ดโมงนะครับ ขอให้คุณอย่าออกจากห้องไปไหนเด็ดขาด”

ไออุ่นพยักหน้าเข้าใจ มองส่งลูกน้องของไวน์เดินออกจากห้องไปจนลับสายตาแล้วถอนหายใจเบาๆ เขาเกือบจะไม่รอดเสียแล้ว ถ้าไวน์ยังอยู่ในห้องก็คงถูกจับได้ว่าน้ำยังไม่โดนตัวเลยด้วยซ้ำ อย่าหวังว่าจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่เหลวในห้องน้ำเลย เขาอาจจะตายอยู่ในนั้นก่อนถ้าต้องทำจริงๆ

“อีกไม่นานแล้วสินะ”

ตุ๊กตาไขลานเดินไปหยุดอยู่ตรงบานกระจกตรงที่ไวน์เคยเอามือกระแทกลงไป เขาลูบไล้มันอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังซึมซับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นแต่แล้วก็ต้องทอดถอนใจออกมาเบาๆ อีกครั้งราวกับกำลังพยายามคลายความกลัดกลุ้มใจที่มีทั้งหมดออกไป





เช้าวันใหม่ เบฟถูกพีทบังคับให้ไปเรียนทั้งที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาเฝ้าอดตาหลับขับตานอนรอไออุ่นกลับมาแต่จนแล้วจนรอดเมื่อรุ่งอรุณของวันถัดไปมาเยือนก็ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แวว ไม่มีแม้กระทั่งเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเพื่อบอกข่าวคราวให้ได้รับรู้ว่ายังปลอดภัยดีอยู่

หลังจากที่ไปมหาวิทยาลัยด้วยสภาพอิดโรย ขอบตาดำคล้ำ สติแทบจะไม่มีเหลืออยู่ คำบรรยายของอาจารย์ประจำวิชาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาและไม่ได้ผ่านสมองแม้แต่นิด เบฟก็กลับมาที่ร้านด้วยความหวังว่าจะได้เห็นร่างที่คุ้นเคย ได้เห็นรอยยิ้มที่ชโลมหัวใจให้อิ่มเอมเปรมปรีดิ์ ได้ฟังน้ำเสียงรื่นหูที่มักพูดตามใจเขาเสมอ แต่ความหวังก็ยังเป็นเพียงแค่ความฝัน

เสียงโทรศัพท์ของทางร้านดังขึ้น ร่างที่ซึมกะทือก็ตื่นตัวขึ้น รีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วตรงไปยังโต๊ะที่วางโทรศัพท์เอาไว้ มือใหญ่รีบคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมารับแล้วเงียบฟัง

// อุล //

แค่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย ความหวาดกลัวต่างประดังประเดเข้ามา มือที่ัจับหูโทรศัพท์นั้นสั่นเทาไม่หยุด เบฟพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตัวเองสั่นเครือแต่มันกลับเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน

“คะ… ครับ แด๊ด”

// เบฟ? ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น แล้วอุลล่ะ //

“อ่า… ป๊ะป๋า ไม่… อยู่ครับ”

// ไม่อยู่? ไปไหน? //

เบฟแทบจะไม่เคยคุยกับผู้เป็นพ่ออย่างจริงจังสักครั้ง พอจะคุยทีก็กลายเป็นเรื่องซีเรียสที่ตัวเขายังรู้สึกหวาดกลัวในน้ำเสียงที่ผ่านมาตามสายโทรศัพท์

“ป๊ะป๋าออกไปข้างนอกครับ เดี๋ยว… เดี๋ยวก็คงกลับ”

// กลับ? อุลไม่ออกไปข้างนอก //

เรื่องนี้เบฟเองก็รู้ดี ไออุ่นไม่เคยออกไปนอกร้านและรู้เช่นกันว่าคำตอบนี้มันไม่น่าจะได้ผล

“ครับ”

// ไปเรียกอุลมาคุยเดี๋ยวนี้ //

“แด๊ด…”

เบฟควบคุมทั้งน้ำเสียงและจิตใจให้มั่นคงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาแทบจะประคองหูโทรศัพท์ไม่มั่นคง เรี่ยวแรงที่มีมันหายไปไหนไม่รู้

// แด๊ดจะถามอีกครั้ง อุลไปไหน //

“แด๊ดอย่าโกรธผมนะ คือ… ผมไม่รู้ว่าป๊ะป๋าไปไหน ไม่เห็นอยู่ที่ร้านตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ไม่กล้าโทรไปบอก”

เบฟนิ่งเงียบ ยอมรับชะตากรรมว่าจะต้องถูกต่อว่ายกใหญ่หรือไม่ก็ต้องโดนตัดพ่อตัดลูกกันแน่ ไออุ่นหรืออุลถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของครอบครัว เขาที่อยู่กับตุ๊กตาไขลานตัวนั้นมาตลอดก็ต้องรับผิดชอบต่อการหายไป อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจเช่นกันก่อนที่จะได้ยินเสียงสบถออกมาเบาๆ

// แล้วทำไมไม่โทรบอกตั้งแต่แรก //

น้ำเสียงของสเตซี่ราบเรียบไม่แฝงไปด้วยความรู้สึกโกรธเคืองใดๆ ยังความประหลาดใจมาให้กับเบฟ

“คือ… กลัวแด๊ดจะโกรธ”

// ใช่! แด๊ดโกรธแต่โกรธไปแล้วได้อะไร //

“แล้วแด๊ดจะทำยังไงครับ”

// พรุ่งนี้จะไปหาที่ร้าน คุยกันตรงนี้ไม่สะดวก //

“ครับ”

// วันนี้ก็… ฝากด้วยนะ รออุลกลับมาด้วยนะ //

“ครับ แด๊ดไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะอยู่รอจนกว่าป๊ะป๋าจะกลับมา”

// อืม… ดูแลตัวเองด้วยล่ะ //

“ครับ แด๊ดก็เหมือนกันนะครับ”

โทรศัพท์ถูกวางลงแล้ว เบฟทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง น้ำตาไหลอาบสองแก้ม สะอื้นไห้ไม่เกรงใจใคร สิ่งที่หวาดกลัวมาตลอดตั้งแต่ไออุ่นหายออกจากร้านไปถูกคลี่คลายลงแล้ว ความกังวลที่มีอยู่ในใจหายไปเพียงหนึ่ง





ท่ามกลางแสงสีของเมืองหลวง ความครึกครื้นที่มีให้เห็นแม้ยามดึกดื่น ไออุ่นที่ยืนมองผ่านกระจกหน้าต่างเกลียดสถานที่แบบนี้ สถานที่ไร้ซึ่งความสงบชวนให้หวนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปพร้อมกับวิคเตอร์ แม้ตอนนั้นจะไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายใดๆ ได้แต่นั่นเป็นเวลาที่เขามีความสุขที่สุด ได้มองเห็นคนที่รักตั้งใจทำงานอย่างแข็งขัน ได้ฟังเสียงแหบพร่าพูดคุย ได้ดูเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ตรงหน้า ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก

ไออุ่นเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงวันเวลาเหล่านั้น

เสียงประตูห้องที่เปิดเข้ามาเรียกให้ไออุ่นหลุดจากภวังค์ความคิดของตนเองแล้วหันไปมอง ไวน์ในชุดสูทสีดำเนี๊ยบดูอิดโรยคล้ายกับอดหลับอดนอนมาค่อนคืนเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ยกมือนวดหัวคิ้วคลายความเครียดที่สะสมมาตั้งแต่คืนวาน

“คุณไวน์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ สีหน้าไม่ดีเลย เดี๋ยวผมไปเอานำเย็นๆ มาให้ดื่มนะครับ”

ไออุ่นกุลีกุจอไปรินน้ำใส่แก้วมาให้ด้วยความเป็นห่วง

ไวน์รับแก้วนั้นไว้ ยกขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมไม่หนีไป”

“ไม่หนีหรอกครับ ในเมื่อคุณบอกให้อยู่ ผมก็จะอยู่”

“ถ้าผมบอกให้คุณตาย คุณก็จะตายด้วยอย่างงั้นสิ”

“ถ้ามันเป็นความต้องการของคุณ” ไออุ่นพูดเท่านี้ก่อนจะต่อท้ายประโยคนั้นในใจ ‘อีกไม่นานหรอกครับ’

ไวน์วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงกับพนักที่นั่ง มีอีกหนึ่งสิ่งที่เขาไม่เข้าใจและมันรบกวนสมาธิในการทำงานตลอดทั้งวัน จวบจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรถึงได้ขอสิ่งนั้นทั้งที่ไม่ได้คิดจะหนี
“คุณอยากได้ชุดไขควงขนาดเล็กไปทำอะไรเหรอ”

“ซ่อมอะไรนิดหน่อยครับ”

“อะไร”

“ความลับ”

อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนักหนาเพราะวันหนึ่งไวน์จะเข้าใจเองว่าไออุ่นต้องการของพวกนั้นไปทำอะไร เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดความจริงออกไป

“ความลับ? คุณคงไม่เอามันไปใช้เพื่อหนีหรอกเพราะคุณบอกแล้วว่าจะไม่หนี”

“เชื่อใจผมขนาดนั้นเลยเหรอครับ” เมื่อถามจบ ไออุ่นจึงเดินไปยืนที่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปยังที่ที่ไกลแสนไกลแล้วพูดต่อ “ทั้งที่ผมเป็นแค่คนแปลกหน้า”

“ไม่ได้เชื่อใจแต่ผมแค่ให้โอกาสคุณเพื่อทำให้ผมเชื่อใจ”

ดวงตาสีน้ำตาลของคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาลอบมองปฏิกิริยาอีกฝ่ายแต่มันกลับสงบนิ่งก่อนที่เงาสะท้อนจากกระจกจะแสดงให้เห็นว่าผู้ที่กำลังหันหลังให้อยู่นั้นกำลังยิ้มขันกับคำตอบของเขา

“คุณไวน์ใจดีจริงๆ ด้วยสินะ”

ไวน์เบือนหน้าที่ร้อนผ่าวราวกับถูกจับได้ ในขณะที่ไออุ่นยังคงพูดต่อไป “จริงๆ แล้วต้องเป็นผมต่างหากที่ทำให้คุณเชื่อใจว่าไม่คิดจะหนีจริงๆ ไม่ใช่คุณที่เปิดโอกาสให้ผมแสดงความเชื่อใจ ผมถึงได้บอกว่าคุณน่ะใจดีจนผมไม่คิดจะหนีเพราะรู้ว่าวันหนึ่งคุณจะส่งผมกลับบ้านเอง”

คำพูดที่ทิ้งไว้ช่วงท้ายนั้นไออุ่นไม่รู้ว่าไวน์จะเข้าใจมันได้มากน้อยแค่ไหน

“ถ้าผมไม่พาคุณกลับล่ะ”

“ไม่มีทาง คุณต้องพาผมกลับแน่ ผมเชื่อแบบนั้น”

ไวน์ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ไออุ่นมั่นใจแบบนั้น บางทีเขาอาจจะเก็บไออุ่นไว้กับตัวตลอดกาลจนกว่าจะตายจากกันก็ได้

“คุณไวน์ครับ จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะขอกระดาษกับปากกาด้วย อยู่แต่ในห้องมันเบื่อๆ น่ะครับ เลยอยากจะขีดเขียนอะไรเล่นฆ่าเวลาสักหน่อย”

“อืม เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะให้คนเอามาให้”

“ขอบคุณครับ”

“อืม”

ไออุ่นลอบประเมินคนที่นั่งอยู่บนโซฟา เห็นชัดว่าเป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่ตัวเขาแต่เป็นเบฟเพราะไม่อย่างนั้นคนๆ นั้นคงจะทำอะไรสักอย่างกับเขาไปแล้วแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้

“จะนอนแล้วหรือยัง”

“ใกล้แล้วครับ”

“ช่วยนั่งเป็นเพื่อนก่อนได้ไหม”

ไวน์ตบลงตรงที่ว่างข้างๆ ตัว เรียกให้ไออุ่นลงมานั่ง ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันและไออุ่นรู้ว่าเวลาแบบนี้ควรเลือกที่จะเงียบเอาไว้เป็นดีที่สุด แต่พวกเขาอยู่ท่ามกลางความเงียบซึ่งกันและกันได้ไม่นาน ไวน์ก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน

“อุ่น”

“ครับ”

“กอดหน่อยสิ”

“ครับ?”

ไออุ่นไม่รู้จะทำยังไง เขาไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธอะไรได้และนี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเองถูกใครขอให้กอดแต่ก็ยอมทำตามคำขอ เขาโอบกอดร่างที่สูงกว่าเอาไว้หลวมๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรับรู้ได้ถึงมวลแห่งความอบอุ่นที่ห้อมล้อมอยู่รอบกาย แม้สัมผัสไม่ได้ด้วยกายแต่เขาสัมผัสได้ด้วยใจ

“อุ่น”

“ครับ?”

“กอดให้แน่นกว่านี้ได้ไหม”

“เอ๊ะ?”

ถ้าจะให้ไออุ่นกอดให้แน่นกว่านี้ก็เท่ากับว่าจะต้องเอาหน้าซบลงบนแผ่นอกกว้างนั่นน่ะสิ พอคิดว่าต้องทำแบบนี้ก็รู้สึกแปลกๆ แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกับที่เกิดขึ้นตอนที่เบฟกอด มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปจากทุกครั้ง บางทีอาจเป็นความประหม่าเพราะคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่รู้จักมักคุ้น

“กอดผมแบบนี้เหมือนไม่ได้กอด”

ไออุ่นแอบเหลือมองอีกฝ่ายตาเขียว เขารู้สึกโกรธหน่อยๆ ที่ถูกกล่าวหาว่าอ้อมกอดของเขานั้นมีอยู่ก็เหมือนไม่มี ฝ่ายนั้นกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแต่ก็ยังคงปฏิกิริยานิ่งเฉย

“งั้นคุณกอดผมให้ดูได้ไหมล่ะครับ จะได้รู้ว่าต้องประมาณไหนถึงจะรู้สึกว่ากอด”

พูดจบ ไออุ่นถึงได้รู้สึกว่าตัวเองพลาดแล้ว เขาทำหน้าเหวอไปพักหนึ่ง ไวน์หันมาหาเขาแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเป็นฝ่ายพลิกตัวเขาให้นอนลงกับพื้นโซฟา แขนแกร่งสอดเข้ามาด้านหลัง โอบรอบกายที่เล็กกว่าอย่างเชื่องช้า ร่างสูงใหญ่โน้มกายทาบทับลงมาที่ร่างของไออุ่น

“คุณ… ไวน์”

“เรียกไวน์สิ แค่ไวน์”

ไออุ่นเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายเสียงเบา “วะ… ไวน์”

“อุ่น แบบนี้นะ ที่เขาเรียกว่ากอด”

ไออุ่นพยักหน้าแต่ยังไม่กล้าที่จะสบสายตา อ้อมกอดที่คล้ายคลึงกับของเบฟกลับนุ่มนวลอ่อนโยนกว่าทำเอาความรู้สึกของเขาปั่นป่วนไปหมด หวังว่านี่… คงไม่ใช่อาการตกหลุมรักหรอกนะ

ไวน์ขยับตัวอีกเล็กน้อย ปัดปรอยผมของอีกฝ่ายที่เลื่อนลงมาปรกใบหน้าออกแล้ว จ้องมองดวงตาสีหยกด้วยความรักใคร่พร้อมกับประทับรอยจูบลงบนหน้าผากกลมมนอย่างแผ่วเบา “แบบนี้เขาเรียกว่าจูบหน้าผากนะ”

“อ๊ะ! คุณไวน์...”

ไวน์เลื่อนตัวลงมาอีกเล็กน้อยให้หน้าผากทั้งสองได้อยู่ในระนาบเดียวกัน ใบหน้าที่อยู่ข้างใต้ห่างออกไปเพียงแค่ลมหายใจคั่น ดวงตาสีหยกอยู่ใกล้แค่เพียงสันจมูกโด่งชนกัน ลมหายใจร้อนผ่าวรดรินริมฝีปากรูปกระจับ ไออุ่นอยากจะเบือนหน้าหนีแต่เขากลับทำมันไม่ได้เมื่อถูกวงแขนกว้างห้อมล้อมเอาไว้ ถ้าหากตุ๊กตาไขลานอย่างเขาแสดงอาการออกมาได้ ใบหน้านั้นคงจะร้อนผ่าวเช่นกัน เผลอๆ มันอาจจะขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย

“คุณไวน์... ใกล้...”

“เรียกแค่ไวน์สิ”

“ไวน์ครับ ปล่อยเถอะ นอนอยู่แบบนี้ คุณจะไม่สบายตัวเอานะครับ”

ไวน์ไม่อยากปล่อยให้ร่างนี้หลุดลอยไป ร่างที่เขารู้สึกทั้งอิจฉาทั้งหวงแหนราวกับไออุ่นเป็นรักแรกพบที่เขาเฝ้ารอมานาน เขาจึงทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงไปทั้งอย่างนั้น นอนกอดร่างที่คล้ายกับจะเย็นเฉียบเอาไว้แนบแน่นพลางซุกใบหน้าลงตรงต้นคอของอีกฝ่าย “อุ่น ขอผมอยู่แบบนี้สักพักนะ”

ไออุ่นตอบรับในลำคอเบาๆ เพียงสั้นๆ  เขาเองก็อยากอยู่แบบนี้ไปสักพักด้วยเช่นกัน


** ติดตามตอนต่อไป **


ไออุ่นก็ยังไม่รู้อีกว่าไวน์ชอบตัวเองเหมือนเดิมค่ะ -*-
เรารู้สึกแบบ... เขียนไปแล้วกลัวว่ามันไม่ดีพอจังเลย (จริงๆ ก็รู้สึกมาทุกตอนที่เขียนอ่ะนะ)
แต่เรื่องนี้ก็เดินทางมาถึงครึ่งเรื่องแล้วนะคะ อีกประมาณ 10 กว่าตอนก็จะถึงตอนจบแล้วล่ะ
ยังไงก็อยู่ตามไออุ่นกันก่อนนะคะ ขอบคุณค่ะ




-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-



rockiidixon666

 ขอบคุณะนคะ พี่ไวน์คงคิด... "ทำขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอ"

alternative

เนอะ ไวน์ไม่น่าพาตัวอุ่นมาเลย แต่ถ้าไม่พามามันจะไปต่อตอนต่อไปไม่ได้ไง
ปล. ขอบคุณนะคะ เข้าไปในรั้วแล้วเจออะไรบ้างหรือยังคะ น่าจะยังไม่เจอเพราะคนแถวนั้นยังไม่ออกฤทธิ์

Nekosama
ไออุ่นเป็นผู้มองโลกในแง่ดี ดีเกิน 555+ ขอบคุณนะคะ

Altasia

ขอบคุณนะคะ
1. เป็นไวน์ค่ะ
2. จริงๆ คำตอบของคำถามนี้จะถูกบอกช่วงเกือบท้ายเรื่องเลยค่ะ ในช่วงที่อุลได้เคลียร์ทุกอย่างกับเบฟ
อุลไม่เคยรักเบฟแบบชู้สาวค่ะ เอ็นดูและรักแบบคนในครอบครัว ส่วนเหตุผลที่ยอมให้เบฟจูบ ยอมเบฟทุกอย่างเพราะรู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะต้องจากไปในสักวันซึ่งมันอีกไม่นานนี้ เขาจึงทำทุกอย่าง ยอมทุกเรื่องเพื่อให้เบฟได้มีความสุข แม้ว่าในใจของตัวเองไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยก็ตาม (อุลรู้ค่ะว่าเบฟมีตัวเองคนเดียว จริงๆ คือ... มีทั้งพ่อและแม่ แต่เบฟยึดติดกับอุลมากกว่าใคร)
3. มีเคลียร์ประเด็นนี้แน่นอนค่ะ ยังไงเราเองก็ไม่อยากให้มันค้างคาแบบนี้เหมือนกัน มันน่าอึดอัดนะกับความสัมพันธ์แบบนี้แต่กว่าจะได้เคลียร์ความสัมพันธ์นี้ ขอสารภาพเลยค่ะว่าอีกหลายตอนกว่าจะถึงตอนนั้นค่ะ


หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 10 ** 2017.10.15 **
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-10-2017 14:13:59
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 10 ** 2017.10.15 **
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 15-10-2017 14:46:51
อุลลลล
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 10 ** 2017.10.15 **
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 15-10-2017 15:09:58
แอบหวาน
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 10 ** 2017.10.15 **
เริ่มหัวข้อโดย: Chacha ที่ 15-10-2017 19:18:24
ชอบภาษามากเลยค่ะ รอตอนต่อไปน้า
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 10 ** 2017.10.15 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-10-2017 00:03:18
เวรกรรม อุ่นไร้เดียงสาได้อย่างน่าเอ็นดู

พยายามเข้านะไวน์ แต่ว่า...อย่านอนทับอุ่นดีไหม ไขข้อปู่แกไม่ค่อยดี

ฉันยังคงสงสารเบฟเช่นเดิม เพิ่มเติมพีทมาอีกคน
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 11 ** 2017.10.22 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 22-10-2017 15:17:21
ตอนที่ 11


ร้านดอกไม้อุ่นไอรักปิดให้บริการอย่างไม่มีกำหนดเปิด แม้จะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาเพราะไม่เชื่อว่าร้านที่ไม่เคยปิดทำการจะปิดแบบไม่มีกำหนดอย่างนี้ ลูกค้าบางรายถึงกับน้ำตาซึมเพราะไม่ได้ช่อดอกไม้ฝีมือของไออุ่นติดไม้ติดมือกลับไป
เบฟใช้เวลารอไออุ่นมาร่วมสองคืนแต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวหรือข่าวคราวใดๆ ให้เขาดีใจ ยิ่งปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ หัวใจก็เริ่มอ่อนแอ เขาเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ เกลียดความรู้สึกที่แม้แต่คนรักก็ยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้ เสียน้ำตาให้กับความไม่เอาไหนของตัวเองมามากพอที่มันจะไม่เหลือให้ร้องไห้ได้อีก

พีทแวะมาอยู่เป็นเพื่อนเบฟตลอดช่วงเช้า หาข้าวให้กิน นั่งปลอบใจก่อนที่จะกลับไปที่ร้านของตัวเองตอนเที่ยง หลังจากนั้นไม่นานสเตซี่และรุ้งก็เข้ามาในร้าน สีหน้าของสเตซี่ดูไม่ดีเอาเสียเลย ขนาดที่ว่ามันย่ำแย่ไม่ต่างไปจากตัวลูกชาย

“อุลกลับมาหรือยัง”

คำถามแรกที่สเตซี่มาถึง เบฟไม่แปลกใจหรอกหากผู้เป็นพ่อจะรักไออุ่นมากกว่าลูกแท้ๆ

“ยังครับ”

สิ้นคำตอบของเบฟ ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบที่ชวนให้อึดอัด ต่างฝ่ายต่างก็เฝ้ารอการกลับมาของไออุ่นอย่างใจจดใจจ่อ เรื่องที่พอจะทำให้สองพ่อลูกพูดคุยกันได้ด้วยดีเห็นทีจะมีแค่เรื่องของไออุ่นเท่านั้น

“ลูกดูโทรมมากเลยนะ ไม่เหมือนคราวนั้นที่เจอกันเลย ให้แม่ทำอะไรให้กินสักหน่อยไหม”

รุ้งทนไม่ได้กับความเงียบระหว่างคู่พ่อลูก ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน คำพูดที่พวกเขาสองคนพูดกันมาตลอดทั้งชีวิตก็คงถึงขั้นนับคำได้จึงคิดอยากทำลายบรรยากาศหมองๆ ให้มีสีสันขึ้นมาสักหน่อย อย่างน้อยๆ ในนี้ก็เป็นร้านดอกไม้

“ผมกินแล้วครับ”

“ถ้างั้นไปพักผ่อนสักหน่อยไหม ตาคล้ำหมดแล้วน่ะ เดี๋ยวแม่นั่งรอให้เอง”

เห็นสภาพร่างกายที่แทบจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดของลูกชายแล้ว หัวใจของรุ้งก็เจ็บแปลบขึ้นมา เธอสงสารลูกชายที่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ อีกทั้งยังเป็นห่วงไออุ่นที่ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรือไปตกระกำลำบากที่ไหน

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไหว”

“ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนนะ แม่เป็นห่วง”

“ครับ”

เบฟรับรู้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่ผู้เป็นแม่มอบให้แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากไปไหน

“เบฟ แด๊ดมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”

น้ำเสียงจริงจังของสเตซี่ทำให้รุ้งรู้ว่าเรื่องที่จะคุยนั้นเป็นเรื่องอะไรจึงเดินเลี่ยงไปที่ครัว ปล่อยให้สองพ่อลูกได้พูดคุยเจรจากันเองแต่ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ เธอกลัวว่าพวกเขาจะเผลอทะเลาะกัน

“แด๊ดจะคุยเรื่องอะไร”

เบฟออกจะแปลกใจอยู่นิดหน่อย ปกติพวกเขาก็ไมค่อยมีเรื่องอะไรให้คุยกันอยู่แล้ว บางครั้งที่อยู่ต่อหน้ากันและกันก็ยังไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรกันดี มีเพียงเรื่องของไออุ่นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่พอจะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันดีขึ้นได้บ้าง

“อุลได้พูดอะไรหรือเปล่าตั้งแต่ที่กลับมา”

“ป๊ะป๋าบอกว่าแด๊ดจะรับผมกลับ”

“แค่นั้นเหรอ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีกเลยเหรอ”

“ไม่ครับ”

สเตซี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมไออุ่นถึงได้พูดแค่นี้ ทั้งที่สิ่งที่เขาอยากให้เป็นมันไม่ใช่แบบนี้เลยแท้ๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันผิดแผนไปหมด “เฮ้อ~ นี่ฉันทำอะไรพลาดไปหรือเปล่า”

เบฟไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อพูดเลยแม้แต่น้อย

“เรามานั่งคุยกันเป็นกิจจะลักษณะดีกว่า ยืนคุยแบบนี้ไปนานๆ ขาแด๊ดคงตะคริวกินก่อน”

สเตซี่ทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งที่อยู่ภายในร้าน ส่วนเบฟเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้บาร์ที่อยู่หลังเค้าท์เตอร์ ระยะห่างขนาดนี้ดูก็รู้ว่าพ่อลูกคงไม่กินเส้นกันเท่าไร

“รู้หรือเปล่าว่าวันนั้นที่แด๊ดคุยกับอุลเรื่องรับแกกลับมาอยู่ด้วยกัน เขามีสีหน้ายังไง”

เบฟจะไปรู้ได้ยังไงในเมื่อเขามีโอกาสอยู่ที่บ้านหลังนั้นแค่สองวันและเขาก็ทำตัวติดกับไออุ่นตลอดเวลา จะมีแยกจากกันก็แค่ตอนไปอาบน้ำกับตอนที่เข้าไปช่วยทำครัวเท่านั้นและหลังจากนั้นก็กลับมาอยู่ที่ร้านโดยที่ปล่อยไออุ่นไว้ที่บ้านหลังนั้นตั้งเกือบหนึ่งสัปดาห์ ถ้าหากมันจะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างนั้น เขาย่อมต้องไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว

“อุลดูเจ็บปวดมากนะตอนที่รู้ว่าแด๊ดจะขอให้แกกลับไปอยู่ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตกลงโดยไม่ปฏิเสธสักคำ เพราะอะไรรู้ไหม… อุลน่ะมักจะคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ”

“แด๊ดรู้ว่าป๊ะป๋าเจ็บก็ยังจะให้ผมไปอยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ! แด๊ดจำไม่ได้เหรอว่าทวดบอกว่ายังไง! แด๊ดลืมไปแล้วเหรอว่าเรื่องของป๊ะป๋าต้องมาก่อนเสมอ! แด๊ดโคตรใจร้ายเลย!!”

สเตซี่รู้อยู่แล้วว่าเมื่อเบฟรู้ความจริงจะต้องโกรธมากจึงยังเงียบอยู่และความจริงที่เขาพูดไปนั้นเป็นเพียงแค่ครึ่งเดียว เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เลิกสนใจอารมณ์ของลูกชายแล้วเตรียมรับมือกับความโกรธครั้งใหม่ที่อาจจะรุนแรงกว่าเดิม

“ใช่! แด๊ดใจร้าย ที่บอกว่าจะขอแกกลับไปเป็นเรื่องโกหก”

หัวใจของเบฟเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตแล้วตามด้วยการยัดมันเข้าไปในช่องฟรีซ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้มันยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้ ทั้งสับสนทั้งโมโห หลากหลายอารมณ์ในคราวเดียว

“โกหกงั้นเหรอ”

เบฟลุกขึ้นยืนพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ คล้ายกับจะระบายอารมณ์ทั้งหมดของตัวเองออกมา จ้องมองผู้เป็นพ่อด้วยความโกรธเคืองระคนไม่พอใจ ริมฝีปากบางบิดเป็นรูปทรงประหลาดเมื่อเจ้าตัวพยายามระงับอารมณ์ที่พุ่งพล่านราวกับภูเขาไฟระเบิด “เป็นเพราะแด๊ด!! เพราะแด๊ดคนเดียว!!”

สเตซี่ไม่ได้โต้ตอบอะไร เขารู้ตัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับไออุ่นเป็นความผิดของตัวเองทั้งหมดจึงยอมรับชะตากรรม ต่อให้ถูกลูกชายเพียงคนเดียวเกลียดเข้ากระดูกดำก็จะไม่มีวันโกรธหรือโทษใครเลย

“ถ้าไม่เป็นเพราะแด๊ด ป๊ะป๋าคงไม่หายไปแบบนี้!!!”

“อุลไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นด้วยการน้อยใจแล้วหนีออกไปหรอก แกคิดว่าแด๊ดอยู่กับอุลมานานแค่ไหน! มากกว่าอายุแกด้วยมั้ง”

เป็นความจริงที่ว่าสเตซี่ถูกอุลดูแลเลี้ยงดูมาตลอดสามสิบกว่าปีจนกระทั่งแต่งงานไป เบฟที่อยู่ด้วยกันมาตลอดยี่สิบปีจะไปสู้อะไรได้ เขาย่อมรู้จักอุลมากกว่าที่เบฟรู้จักจริงๆ เสียอีก

“อยู่ด้วยกันนาน ไม่ได้จะแปลว่ารู้จักกันดี”

เสียงของเบฟเข้มขึ้น เขาทั้งโกรธทั้งโมโหแต่พยายามสกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้ระเบิดไปมากกว่านี้ พอดีกับที่รุ้งเดินออกมาพร้อมช็อคโกแลตเย็นแก้วหนึ่ง เธอหวังว่ามันจะช่วยคลายความร้อนรุ่มที่สุมอยู่ในอกของลูกชายไปได้บ้าง

“เบฟ แม่ว่าลูกใจเย็นๆ ก่อนนะ”

“เย็น?”

“ฟังแด๊ดพูดให้จบก่อนแล้วค่อยโมโหก็ยังไม่สายนะ”

สเตซี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ภรรยาเขาตั้งใจจะช่วยชีวิตเขาจากอารมณ์โมโหของลูกชายหรือตั้งใจจะให้เขาถูกลูกชายเหวี่ยงใส่แบบคอมโบ้เซ็ตกันแน่

“ให้ผมฟังอะไร! ไม่ใช่เพราะแด๊ดเหรอที่ทำให้ป๊ะป๋าหายไป”

เบฟพาลฟาดงวงฟาดงาใส่ผู้เป็นแม่ เอาแต่คิดว่าการที่ไออุ่นหายออกไปจากร้านโดยไม่ติดต่อกลับมานั้นเป็นความผิดของสเตซี่ฝ่ายเดียว หากไม่ยื่นคำขอบ้าบออะไรนั่นปัญหาแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

“ก็จริงที่แด๊ดก็มีส่วนผิดแต่ไม่คิดบ้างเหรอว่าแด๊ดเสียใจแค่ไหนที่เกิดเรื่องขึ้น แม่อยากให้ลูกใจเย็นแล้วตั้งสตินะ”

เบฟคว้าแก้วน้ำที่อยู่ในมือรุ้งเอามาดูดเผื่อว่าความเย็นของมันจะขึ้นสมองแล้วไล่ความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้ออกไปได้บ้าง รุ้งเห็นลูกชายพอจะสงบลงได้บ้างเล็กน้อยแล้วจึงพยักพเยิดให้สเตซี่ได้พูดต่อ

“เอาล่ะ! แด๊ดก็พูดไปแล้วว่ามันเป็นความผิดของแด๊ดเองที่แค่อยากลองใจอุล เห็นเขารักแกถึงขนาดยอมปล่อยให้มาอยู่กับแด๊ดทั้งที่ตัวเองก็เสียใจ แด๊ดก็รู้แล้วแต่ไม่คิดว่าวันที่โทรมาเพื่อจะขอโทษเรื่องที่แด๊ดโกหกว่าจะขอรับแกไปอยู่ด้วย อุลก็ดันไม่อยู่ฟัง”

“ลองใจ?”

ยิ่งฟังเบฟก็ยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมต้องลองใจ

“แกไม่รู้สินะ อุลน่ะชอบเก็บความรู้สึกของตัวเอง ต่อให้เขาไม่อยากคืนแกให้กับแด๊ดแต่เขาก็จะไม่ปฏิเสธแล้วบอกว่าเข้าใจเหตุผล วันนั้นที่แด๊ดพูด สีหน้าของอุลดูไม่ดีเลยแต่เขาก็ยังยิ้ม ทั้งที่เขาจะปฏิเสธสิ่งที่แด๊ดขอก็ได้แต่เขากลับไม่ทำ เขาน่ะรักแกมากนะ รักจนเผลอทำร้ายตัวเอง”

เบฟไม่รู้จะยินดีปรีดาที่ไออุ่นรักเขามากหรือควรจะเสียใจดีที่วันนั้นยอมตามใจไออุ่นด้วยการรับปากว่าจะไปอยู่กับพ่อแม่ตามที่ต้องการ

“แล้วทำยังไงดี”

“รอ ทำอะไรไม่ได้ พวกเราทำได้แค่รอ”

คำตอบของสเตซี่เหมือนกับคำตอบของพีทในวันนั้นที่เบฟเปรยถาม

“ทำไม ทำไมถึงทำอะไรไม่ได้เลย ตามหาไม่ได้เหรอ แจ้งความได้ไหม ผม… อยากทำอะไรก็ได้ที่พอจะหาเบาะแสการหายไปของป๊ะป๋าแม้มันจะไม่ได้ผลก็ตาม”

“อุลไม่รู้จักใคร ไม่เคยออกไปไหน ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีบัตรประชาชน จะให้ไปตามหายังไง”

เบฟยอมรับในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อพูด พวกเขาไม่มีอะไรสักอย่างแล้วจะต้องไปเริ่มต้นหาจากที่ไหน ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือรอและภาวนาให้ไออุ่นกลับมาอย่างปลอดภัย

“ก็ได้ ผมจะรอ”





ผ่านไปหลายวันแล้วสำหรับการที่ไออุ่นได้อยู่แต่ในห้อง เขาได้กระดาษ ปากกาตามคำขอรวมถึงอุปกรณ์ไขควงขนาดเล็ก ในช่วงที่ผ่านมานั้นไวน์แวะมาทุกวันแต่ไม่เคยอยู่ค้าง นั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากที่อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องสรรหาเหตุผลว่าทำไมเนื้อตัวถึงไม่มีกลิ่นหอมของสบู่ แต่ใช่ว่าจะได้อยู่ดีมีสุขเสียเมื่อไรเพราะไออุ่นยังต้องคอยตอบคำถามเรื่องปริมาณอาหารที่แทบจะไม่ลดลงเลย เขาอ้างนู้นอ้างนี่จนไม่รู้จะยกอะไรขึ้นมาอ้างได้อีกแล้ว

“อุ่น ทำไมไม่กิน”

“เอ่อ… เดี๋ยวค่อยกินครับ ผมยังไม่หิว”

คำอ้างแรกๆ ถูกวนลูปกลับเอามาใช้ใหม่อีกรอบจนไออุ่นเองก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ถ้าวันนี้ไม่ถูกไวน์จับกรอกปากก็คงถูกสั่งให้ไปอาบน้ำตามสเต็ปเดิมที่พอเวลาถูกปฏิเสธ ฝ่ายนั้นก็บอกให้ไปอาบน้ำ เขาที่เป็นแค่ตัวประกันย่อมไม่มีสิทธิ์ขัดคำสั่งอยู่แล้ว

“ทำไม ผมอยู่ด้วยแล้วกินไม่ลงหรือไง”

ไวน์ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ทุกครั้งที่มาหา ฝ่ายนั้นก็เอาแต่นั่งจ้องอาหารไม่วางตาจนอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้

“เปล่าครับ ว่าแต่ไวน์เถอะครับ เอาแต่จ้องหน้าผมอยู่อย่างนี้ ไม่กินเหรอครับ”

“ผมกินมาแล้วล่ะ”

ไม่มีคำพูดอะไรระหว่างกันนอกเหนือจากนี้เหมือนหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาพูดคุยกันแค่เรื่องอาหารและการอาบน้ำเหมือนสมองถูกเซตคำถามให้มีอยู่แค่นี้จนไออุ่นเป็นฝ่ายที่อดรนทนไม่ได้เอง

“เรา... ไม่คิดจะคุยกันเรื่องอื่นบ้างเหรอครับ”

สายตาคมเฉียบที่มองตรงมาทำเอาไออุ่นรู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรพลาดไป

“อุ่นอายุเท่าไร”

ไออุ่นไม่คิดว่าจะถูกถามเรื่องอายุเลยนิ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าหากเขาบอกความจริงออกไป อีกฝ่ายต้องไม่เชื่อแล้วคิดว่าเขาโกหกแน่

“ถามเรื่องอายุคนอื่นนี่มันเสียมารยาทนะครับ ผมก็อายุน้อยกว่าคุณไม่กี่ปีหรอก”

“ผมก็คิดแบบนั้น”

“อ่า…”

“แล้วจบอะไรมา”

คำถามของไวน์คำถามนี้ดูเป็นคำถามที่ตอบยากเพราะไออุ่นไม่ได้เรียนจบทางไหนมาทั้งนั้น ที่อ่านออกเขียนได้ในทุกวันนี้ก็ได้เจนีวา เฮเลน สเตซี่และเบฟช่วยสอนให้ ความรู้ที่มีอยู่น้อยนิดก็อาศัยค้นคว้าในอินเตอร์เน็ต

“ไม่จบครับ”

“ไม่จบ? แปลกนะ ทั้งที่น้องชายเรียนมหาวิทยาลัยแต่คนเป็นพี่กลับเรียนไม่จบ”

“ครับ พอดีทางบ้านประสบปัญหาทางการเงินก่อน เลยจำเป็นต้องส่งเสียได้คนเดียว ผมเลยคิดว่าให้น้องชายเรียนต่อน่าจะดีกว่า”

ไออุ่นคิดเรื่องโกหกสดๆ ร้อนๆ ในขณะที่รู้สึกกลัวว่าจะถูกจับเท็จได้ แต่คาดว่ามันไม่น่าจะมีพิรุธอะไรในเมื่อไวน์ไม่ใส่ใจที่จะซักไซ้เรื่องการศึกษาต่อ เขาแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“แล้วเปิดร้านมาได้กี่ปีแล้วล่ะ”

“สี่สิบปีแล้วครับ”

“ถ้างั้นก็เปิดก่อนคุณเกิด ถูกต้องไหม”

“ครับ”

ไออุ่นรู้สึกเหมือนคำถามของไวน์เริ่มต้อนให้เขาจนมุม สายตาที่มองมานั้นนิ่งเฉยแต่แฝงไปด้วยความครุ่นคิดอะไรบางอย่าง บางอย่างที่สังหรณ์ใจได้ว่าถ้าไม่รีบเบี่ยงประเด็นก็จะถึงคราวซวยของตัวเองอย่างถาวร แม้จะรู้สึกดีต่อฝ่ายนั้นมากแค่ไหน แต่ถ้ารู้ความจริงขึ้นมา บางทีสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้อาจพลิกกลับจากหน้ามือกลายเป็นหลังมือได้ในทันที

“ว่าแต่คุณจะไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ลองตั้งคำถามดูบ้างเหรอครับ”

ไวน์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้ไออุ่นเป็นฝ่ายถามกลับมาบ้าง เขาเองก็ถามไปหลายคำถามจนเริ่มแน่ใจอะไรบางอย่างแล้วเหมือนกัน

“ถ้างั้นผมขอถามคุณกลับสี่คำถามเท่ากับที่คุณถามผมมาก็แล้วกันนะครับ คำถามแรกคือคุณชอบเบฟ น้องชายผมเหรอครับ”

ไวน์หลุดหัวเราะเบาๆ เขาไม่คิดว่าจนถึงตอนนี้ไออุ่นจะไม่รู้เลยว่าเขาชอบใครกันแน่ “เปล่า ผมไม่ได้ชอบเขา”

ไออุ่นทำหน้างงแต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะยิงคำถามต่อไป “แล้วคุณไม่ได้ชอบน้องชายผมแน่เหรอครับ”

“อืม แน่สิ”

ไออุ่นออกอาการโล่งใจ ถ้าหากไวน์ชอบเบฟจริงๆ ก็คงเสียใจและผิดหวังมากแน่ถ้ารู้ความจริงว่าในใจของคนที่แอบชอบกลับไม่มีตัวเองอยู่เลย และเขาเองก็ไม่อยากให้ใครเสียใจ แต่กลับกลายเป็นว่าอาการแบบนั้นของเขาทำให้ไวน์เข้าใจผิด

“สองคำถามแล้วนะ” ไวน์เตือนสติ

“ครับ แต่ผมไม่รู้จะถามอะไรดีแล้ว งั้นจะยกประโยชน์ให้คุณถามผมในส่วนของคำถามที่เหลือก็แล้วกันครับ”

ความใจดีของไออุ่นย้อนกลับมาเล่นงานเจ้าตัวเสียแล้วเมื่อฝ่ายตรงข้ามกระตุกยิ้มมุมปาก เขากำลังมีเรื่องที่อยากถามต่อจากเมื่อครู่อยู่พอดี ไม่คาดฝันว่าจะถูกโยนโอกาสที่มันควรจะหลุดลอยไปกลับคืนมาให้ ไวน์ดูพึงพอใจเป็นอย่างมากก่อนที่แววตาสีอำพันคู่นั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย

“คำตอบที่คุณตอบผมมาทั้งหมดคือเรื่องโกหกใช่ไหม”

“เอ๊ะ?”

ไออุ่นมีสีหน้าแปลกใจแต่มันไม่เนียนเลยสักนิด

“หึ! คิดว่าผมโง่เหรอ ร้านดอกไม้นั่นเป็นชื่อของรุ้งลาวัลย์ พรมี มีสามีคือสเตซี่ บรอมฟอร์ด และพวกเขามีลูกชายคนเดียวคือเด็กที่ชื่อเบฟ”

ไออุ่นชะงักไปเล็กน้อยแต่ใบหน้านั้นก็กลับมาเปื้อนรอยยิ้มได้ไม่ยาก

“ถ้าผมบอกว่าผมเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงก่อนเบฟจะเกิดล่ะครับ”

“ตามฐานระบบทะเบียนราษฎร์เท่าที่ผมไปตรวจสอบมานะ ไม่มีชื่อของไออุ่น บรอมฟอร์ดหรือไออุ่น พรมี หรือแม้แต่หลักฐานอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอุ่นในระบบเลยสักที่”

“สงสัยในตัวผมถึงขั้นต้องไปสืบหาความจริงเลยเหรอครับ จริงๆ แล้วผมกับคุณไม่ได้มีอะไรที่จะต้องมาข้องเกี่ยวกันเลยสักนิด คุณแค่เป็นลูกค้า ส่วนผมก็แค่เจ้าของร้าน ผม… ไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณทำเลยครับ ไวน์”

อย่าคิดว่าจะมีเพียงไออุ่นที่ไม่เข้าใจในการกระทำของไวน์ ตัวไวน์เองก็ไม่เข้าใจว่าทั้งที่เขาพูดถึงขนาดนี้แล้วฝ่ายนั้นก็ยังไม่แสดงอาการร้อนรนและคายความจริงออกมาให้ได้ยินแม้แต่คำพูดเดียว … ทำไมถึงยังต้องปิดบังความจริงกันอยู่อีก หรือเขาที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนสำคัญที่จะให้รับรู้ได้ ความน้อยอกน้อยใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำนั้นย่อมมี เพียงแต่ไวน์แค่เก็บมันเอาไว้ในใจ ไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่ทว่าน้ำเสียงกลับปิดเอาไว้ไม่มิด “ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังดันทุรังปิดบังความจริงอยู่อีก”

ไออุ่นยิ้มหวานให้แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ไวน์รู้สึกว่ามันกำลังเยาะเย้ยความโง่เขลาของตัวเขาอยู่ รอยยิ้มที่สวยงามในตอนนี้เขารู้สึกเกลียดมันจับใจ

“ผมเองก็ไม่เข้าใจครับว่าทำไมคุณถึงได้อยากรู้ความจริงนักว่าผมเป็นใคร มาจากไหน รู้ไปแล้วมันไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอกครับ เผลอๆ มันอาจจะทำให้คุณเกลียดผมมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้”

ไออุ่นไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ จนสร้างบันดาลโทสะให้กับไวน์ไม่รู้ตัว ร่างที่สูงกว่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ตรงเข้าไปกระชากแขนของไออุ่นซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจนเก้าอี้ล้ม ร่างที่เล็กกว่าเซถลาไปด้านหลังแล้วถูกลากไปจนหลังกระแทกเข้ากับกำแพงปูนเสียงดัง

ร่างสูงโน้มตัวลงต่ำเข้าบดเบียดริมฝีปาก ความโกรธยังคงครุกกรุ่นอยู่ในใจ โกรธที่ไออุ่นไม่พยายามเข้าใจในการกระทำของเขาเลยแม้แต่น้อยส่งผลให้รอยจูบนั้นทวีความรุนแรงขึ้น ร่างที่อยู่ต่ำกว่าพยายามเบือนหน้าหนีแต่กลับสู้แรงไม่ได้ เขาที่ถูกล็อคตัวให้ติดกับกำแพงไม่มีทางให้ดิ้นหนี

“อื้อ~ ยะ…”

เสียงครวญครางของร่างที่อยู่ในอ้อมแขนพาให้สติของไวน์เตลิด เสียงอันแสนไพเราะที่เขาอยากได้ยิน ริมฝีปากนุ่มนิ่มที่เขาอยากสัมผัสมาตลอด ร่างกายอันบอบบางที่อยากทาบทับลงไป ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ตรงหน้าแล้ว ริมฝีปากบางรุกไล้โลมเลียไปทั่วใบหน้าด้วยความโหยหาหน้ามืดตามัว มือใหญ่สอดเข้าใต้เสื้อตัวบางลูบไล้ไปตามร่างกาย แม้ไออุ่นจะพยายามขัดขืนเท่าไรมันก็ไม่เป็นผล การรุกรานผสานความอยากครอบครองของคนตรงหน้านั้นรุนแรงจนเขาอยากร้องไห้

“มะ… ไม่ ไม่”

เมื่อริมฝีปากไม่ได้ถูกยึดครอง ไออุ่นจึงมีโอกาสที่จะพูดขอร้องให้หยุดการกระทำแบบนี้

“ขอร้อง…. อย่า…”

มือเล็กพยายามป่ายปัดไปรอบตัวป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกล่วงล้ำไปมากกว่านี้แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อไหล่ซ้ายที่พอขยับได้หน่อยก็ติดกับอะไรสักอย่างเข้าจนไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหนมันก็ยังนิ่งเฉย

“ไวน์… ขอร้อง”

คำขอร้องของไออุ่นดูจะไม่มีผลอะไรเลย ไวน์ยังไม่หยุดการกระทำกับร่างกายของเขาแม้ว่าการเล้าโลมพวกนี้จะไม่ทำให้ตุ๊กตาไขลานรู้สึกเหมือนที่มนุษย์ทุกคนควรจะรู้สึกแต่ไออุ่นไม่อยากให้มันเลยเถิดไปมากกว่านี้ เขาควรต้องหยุดไวน์เสียแต่เนิ่นๆ

“หยุดเถอะนะ ขอร้องล่ะ หยุดเถอะ ได้โปรด”

ผู้ที่กำลังทำการยึดครองทุกส่วนสัดของร่างกายหยุดชะงักไปดื้อๆ ราวกับคำพูดเหล่านั้นช่วยดึงสติเขากลับมา หากไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถลำลึกไปมากเท่าไร

“ขอบคุณนะ”

ไออุ่นก้มหน้านิ่งกล่าวขอบคุณที่อีกฝ่ายยั้งมือ ไม่ทำอะไรไปมากกว่านี้เพราะเขากลัวว่าเมื่อทุกอย่างดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถหยุดได้อีกแล้ว ความจริงที่เขาเฝ้าปิดบังมาตลอดจะต้องปรากฏขึ้นแน่
มือเล็กจับแขนข้างซ้ายของตัวเองไว้แน่นเพื่อปกปิดว่ามันไม่อาจขยับได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ร่างทั้งร่างที่ถูกกระแทกเข้ากับผนังห้องอย่างแรงคงใกล้จะใช้งานไม่ได้เต็มที วันที่ไออุ่นจะต้องจากไปอยู่ใกล้แค่เอื้อมเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มากนัก ร่างเล็กค่อยๆ ขยับตัวหนีไปด้านข้างด้วยการเอาหลังชิดพิงกำแพงเอาไว้

“ขอโทษ”

ไออุ่นไม่ได้นึกถือโทษโกรธเคืองอะไรแต่ยังไม่พร้อมเผชิญหน้า เขาจึงเดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำไปแต่สำหรับไวน์ที่เป็นผู้กระทำผิด เขากลับคิดว่าฝ่ายนั้นต้องโกรธมากแน่ที่เขาเผลอตัวเผลอใจทำอะไรไม่ให้เกียรติลงไป
ไออุ่นยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในบานกระจก สีหน้าที่ปรากฏอยู่ตรงนั้นไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา ไม่ว่าจะเป็นความตกใจ ความวาบหวามที่เกิดขึ้นในหัวใจ ความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อถูกประทับริมฝีปาก หรือแม้แต่ทุกความรู้สึกที่ตีรวนอยู่ในหัวสมองเวลานี้

“ทำไม...”

ไออุ่นยกมือขึ้นแตกริมฝีปากตัวเองเบาๆ ลูบไล้ไปมาอย่างไม่เข้าใจ

“ขอโทษนะ เบฟ... ขอโทษ”

บางที... เขาอาจจะหลงรักไวน์เข้าจริงๆ เสียแล้ว




ไวน์นั่งสำนึกผิดอยู่บนโซฟาเงียบๆ เพียงลำพังในขณะที่ไออุ่นก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องน้ำ ไม่ยอมออกมาร่วมชั่วโมง เขาวู่วามเกินไปรวมทั้งตอนนั้นกำลังโมโห ทุกอย่างเลยดูแย่อย่างนี้อีกทั้งบรรยากาศระหว่างเขากับไออุ่นอาจจะเริ่มเปลี่ยนไปในทางติดลบ

กว่าที่ไออุ่นจะยอมเดินออกมา เหน็บก็กินร่างของผู้ที่นั่งอยู่บนโซฟาไปครึ่งท่อนแล้ว เขาดีใจมากที่ได้เห็นหน้าไออุ่นอีกครั้งหลังจากที่ตัวเองได้กระทำผิดลงไป กำลังจะลุกขึ้นไปหาแต่ก็ล้มลงโซฟาด้วยเพราะขาที่ชาจนไม่มีแรงจะทรงตัว
“ไวน์! ระวังครับ”

ไออุ่นรีบวิ่งไปดูอาการด้วยความเป็นห่วง

“ระวังหน่อยสิครับ อย่าลุกเร็วแบบนั้น เดี๋ยวก็หน้ามืดเป็นลมล้มไปกับพื้นแทนที่จะเป็นโซฟานะครับ”

“อุ่น”

เสียงเข้มเรียกชื่อของไออุ่น เจ้าของชื่อถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าทำเกินกว่าหน้าที่ของตัวประกันไปแล้ว เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนอีกทางที่ทิ้งระยะห่างระหว่างกันเอาไว้พอประมาณ

“ขอโทษนะครับที่ผมเป็นห่วงคุณ”

“เป็นห่วงผม? แล้วทำไมต้องขอโทษ”

“ผมที่อยู่ที่นี่ในฐานะเชลยหรือตัวประกันไม่มีสิทธิเป็นห่วงใครได้หรอกครับ”

เพราะอยู่ห่างกันเป็นวา อีกทั้งไฟในห้องก็แค่แสงสลัวจากหลอดไฟดรีมไลท์ ไวน์จึงเห็นไม่ชัดว่าไออุ่นกำลังมีสีหน้าแบบไหนแต่จากน้ำเสียงที่ได้ยินกลับทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก

“อุ่น โกรธหรือเปล่า”

“เรื่องอะไรครับ”

“ทุกเรื่องที่ผมทำ มันทำให้อุ่นโกรธ เกลียดผมหรือเปล่า”

“ไม่ครับ ผมไม่โกรธ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าคุณทำแบบนั้นไปทำไมก็เถอะ”

มันน่าแปลกและแปลกมากเสียด้วย โดยปกติแล้วผู้ที่ถูกลวนลามควรร้องไห้ฟูมฟายหรือไม่ก็ต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปแล้วแต่เรื่องแบบนี้กลับไม่เกิดขึ้นกับไออุ่น ความอ่อนโยนที่สื่อผ่านน้ำเสียงของผู้พูดยิ่งตอกย้ำให้ไวน์รู้สึกผิดกับการกระทำเพียงชั่ววูบของตัวเอง

“เพราะผมรักอุ่น”

แววตาสีหยกไหววูบอยู่ครู่หนึ่ง ไม่คาดคิดว่าคนที่ไวน์รักจะกลายเป็นเขาเสียได้ ก่อนเอื้อนเอ่ยเสียงอันแผ่วเบาของตัวเองออกมาอย่างเชื่องช้า “รัก… ผมเหรอครับ”

“เพราะรัก ผมเลยอยากรู้เรื่องอุ่น อยากรู้จักอุ่นให้มากกว่านี้ อยากได้ยินความจริงจากปากของอุ่นแต่อุ่นก็ยังปิดบัง ไม่ใช่ทำได้แค่เดินเข้าร้าน สั่งดอกไม้ แล้วทุกอย่างก็จบหลังจากที่ผมเดินออกมา”

ไวน์ว่าตัวเองช่างโง่เขลากับเรื่องของความรักมากนัก ทั้งที่รักชอบอยู่เต็มอกแต่กลับหาวิธีสารภาพรักได้แย่มาก คงไม่มีใครคิดที่จะพาคนรักมากักขังหน่วงเหนี่ยว เผลอคิดล่วงเกินร่างกายนั้นแล้วบอกว่าทำไปเพราะว่ารัก มันดูไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย

“ขอโทษนะครับที่ผมตอบเรื่องที่ไวน์อยากรู้ไม่ได้ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะอะไร ไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรแล้วเพราะผมไม่โกรธหรือเกลียดไวน์หรอกครับ”

ไออุ่นได้แต่ยืนมองดูร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาห่างๆ เขาทั้งนึกขอบคุณที่อีกฝ่ายมอบความรักมาให้แต่ในขณะเดียวกันก็นึกขอโทษที่ไม่อาจเอ่ยปากตอบรับรักนั้นได้อย่างเต็มคำ ทั้งที่แววตาสีอำพันนั้นช่างคุ้นเคยอย่างประหลาด ทั้งที่เขาน่าจะรู้สึกยินดีปรีดามากกว่านี้แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันไปต่อไม่ได้

“ไม่โกรธ? ไม่เกลียด?”

“ครับ ไวน์รู้แค่นั้นก็พอแล้วครับ”

ไออุ่นพูดออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำไม่ได้ว่าตัวเองคิดอย่างไรกับผู้ชายคนนี้ บางสิ่งบางอย่างกำลังผูกมัดเขาเอาไว้จนไม่สามารถกระทำได้ตามใจชอบ เขาส่งยิ้มจางๆ อย่างอ่อนโยนไปให้พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้างกายแล้วเอนตัวซบอิงไหล่กว้างอย่างช้าๆ

“ขออยู่แบบนี้ไปสักพักนะครับ ได้ไหม”

ไวน์ตอบรับในลำคอเพียงสั้นๆ แล้วเอื้อมมือประคองกอดร่างนั้นเอาไว้อย่างแนบแน่น ถ้าไออุ่นจะให้เขารู้เพียงเท่านี้ เขาก็ต้องรู้เพียงเท่านี้แม้ในใจจะมีคำถามอีกมากมายที่อยากจะถามออกไปก็ตาม   


** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนนี้สำหรับเราแล้วไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่คือว่า... อุ่นก็รู้แล้วเนอะว่าไวน์ชอบตัวเอง
คิดเองเออเอง เข้าใจผิดมาหลายตอนแล้ว แต่มันยังติดปัญหาที่เบฟอยู่อีก T^T

ยังไงก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ แอบขอฝากเรื่องหนูจ้าวกับพี่ตฤณ (คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ) อีกเรื่องด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ


-----------------------------------------------------


sirin_chadada
ขอบคุณค่ะ

KARMI
ขอบคุณค่ะ

shoky_9
ก็แอบหวานนิดหน่อย มันต้องมีบ้างเนอะ นิดนึงก็ยังดี ขอบคุณนะคะ

Chacha
ขอบคุณนะคะ

alternative
ฮ่าๆๆๆ อุ่นก็นะ... แบบว่า... จริงๆ อยากจะบอกอุ่นว่า "ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย...."
ขอบคุณนะคะ

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 11 ** 2017.10.22 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-10-2017 16:30:16
ไวน์ ๆๆๆๆๆๆ

เบามือหน่อยเถอะ อุ่นตัวนิดเดียวเองนะ

และ...เย้! อุ่นรู้อะไรขึ้นมาบ้างแล้ว!
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 11 ** 2017.10.22 **
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-10-2017 17:58:57
รักอุ่น แต่ทำไมชอบทำร้ายร่างกาย กระชากเอย ผลักไปกระแทกผนังเอย ตอนอยู่กับครอบครัวบรอมฟรอดพวกเขาดูแลไออุ่นอย่างดีมาตลอด พอคุณไวน์ลักพาตัวไปนี่ทำร้ายอุ่นหลายทีแล้วนะ ถ้าอุ่นจะขยับตัวอีกไม่ได้วันนี้พรุ่งนี้นี่โทษตัวเองเลยนะไอ้คุณไวน์ รักยังไงใช้กำลังตลอด ไม่รู้จักถนอมเอาเสียเลย
แต่ก็นั่นแหละ ใครจะไปคิดล่ะเนอะว่าคนที่ตัวเองชอบจะเป็นหุ่นยนต์ แถมเป็นหุ่นยนต์ที่เครื่องรวนใกล้เจ๊งเต็มทีแล้วด้วย
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 11 ** 2017.10.22 **
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 22-10-2017 22:26:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 11 ** 2017.10.22 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 22-10-2017 23:55:07
พี่ไวน์คนแปลก เข้าหาคนที่ชอบแบบแปลกๆ เหมือนพี่เขางงๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 11 ** 2017.10.22 **
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 23-10-2017 00:22:16
ถ้าไวน์รู้จะทำยังไงนะ จะทำทุกอยากให้ได้อยู่ต่อไปกับอุ่นอีกไหม
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 11 ** 2017.10.22 **
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-10-2017 03:06:50
หนูจ้าวมากระซิบให้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ หนุกหนาน ๆ รอตอนต่อไปจ้า  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 11 ** 2017.10.22 **
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 23-10-2017 11:00:02
ติดที่เบฟแล้วสินะ ... เบฟหวงและห่วงอุ่นมากๆเลย ...
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 11 ** 2017.10.22 **
เริ่มหัวข้อโดย: Death_note ที่ 24-10-2017 23:29:00
อยากจะรู้ถ้าไวน์รู้ความจริงจะทำยังไงงต่อไป รักอุ่น เชียไวน์เต็มที่
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 11 ** 2017.10.22 **
เริ่มหัวข้อโดย: Misakiiz ที่ 25-10-2017 20:57:30
สำนวนดี นิยายสนุกมากเลยค่ะ รอติดตามนะคะ สู้ๆ  :yeb:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 12 ** 2017.10.29 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 29-10-2017 17:06:39
ตอนที่ 12


ตั้งแต่วันนั้นที่ไวน์เผยความในใจ เขาก็หายไปหลายวัน ไม่แวะเข้ามาหาหรือแม้แต่ถามไถ่ข่าวคราวจากพวกลูกน้องก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ ในตอนนี้ร่างกายของไออุ่นเองก็ไม่เหมือนเดิม หัวไหล่ซ้ายที่ควรจะขยับได้กลับฝืดเคืองเหมือนต้องการน้ำมันหล่อลื่น ในช่วงระยะหลายวันที่อาศัยอยู่ในคอนโดของไวน์ ไออุ่นพยายามไขลานให้ตัวเองทุกวัน เขากลัวว่าถ้ามัวแต่นับวันจะลืมเข้าเสียเปล่าแล้วพอถึงเวลานั้นถ้าลานในตัวหยุดเดินขึ้นมากลางทาง เขาไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้นเลย

การอยู่เพียงลำพังในห้องนานติดต่อกันถึงสามวันสองคืน ไออุ่นเพิ่งรู้สึกได้ถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยว ปกติต่อให้ได้อยู่แต่ในร้านดอกไม้แคบๆ ก็ยังมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาบ้างหรือไม่ก็นั่งมองผู้คนที่เดินสวนทางผ่านหน้าร้านไปมา ยังมีพีทที่ชอบเข้ามาหาเขา สอบถามสารทุกข์สุกดิบและนำอะไหล่ที่ไปตระเวนหามาให้ แม้บางชิ้นจะใช้การไม่ได้แต่ก็ยังอุตส่าห์หามาด้วยความปราถนาดี เวลาว่างในช่วงที่ต้องอยู่คนเดียวก็ยังมีใครบางคนที่เขากำลังรอให้กลับมาอยู่ แต่ตอนนี้แม้หันไปรอบกายก็ยังไม่พบใคร

ไออุ่นเดินไปหยุดยืนที่ริมหน้าต่าง เหม่อมองสายตาออกไปข้างนอก รถยังแล่นอยู่เกือบเต็มซอยถนนแม้ว่ามันค่อนข้างจะดึกแล้ว วิวทิวทัศน์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นไออุ่นเคยมองด้วยความประทับใจแต่พอนานวันเข้ากลับเป็นภาพเดิมๆ ที่เห็นจนคุ้นตาและเขาไม่ปรารถนาที่จะเห็นมันอีก

“มันคงถึงเวลาแล้วสินะ”

ไออุ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วหลุบสายตาลงต่ำ ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยราวกับพึงพอใจในการใช้ชีวิตเพียงเท่านี้

ปากกากับกระดาษที่เคยขอจากไวน์เอาไว้ ไออุ่นไม่เคยได้ใช้มันเลยสักครั้งแต่ครั้งนี้เขาคงต้องใช้มันอย่างเลี่ยงไม่ได้ อุปกรณ์ขีดเขียนถูกวางเรียงไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอน ไออุ่นลูบไล้สิ่งของพวกนั้นเบาๆ ราวกับจะซึมซับถึงความอบอุ่นของเจ้าของมันก่อนจะลงมือจรดปากกาลงบนกระดาษสีขาวสะอาดตา

คำแรกที่ไออุ่นเขียนลงไปคือคำว่าเบฟ เด็กน้อยที่บัดนี้เริ่มโตเป็นหนุ่มขึ้นมาแล้ว บรรจงเขียนทุกอย่างที่อยากพูด อยากบอกกล่าวเพราะรู้ว่าโอกาสที่มีอยู่นั้นแทบไม่เหลืออีกแล้ว ถ้าหากว่ามัวแต่ลังเลจะกลายเป็นว่าสิ่งที่ควรพูดก็จะไม่ได้พูดไม่ได้บอกออกไป

ถัดมานั้นจึงหยิบกระดาษอีกใบขึ้นมา คราวนี้เขาเลือกที่จะเขียนถึงไวน์และพร้อมกับคำตอบที่คนๆ นั้นอยากรู้มาโดยตลอด แม้ในใจลึกๆ จะหวาดกลัวว่าเมื่ออีกฝ่ายรับรู้ความจริงไปแล้วทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิมได้อีก ไออุ่นเขียนถึงไวน์มากพอสมควร มีหลายประโยคที่แสดงถึงความรู้สึกของตัวเองออกไปไม่น้อย หลังจากนั้นจึงหยิบมาอ่านทวนซ้ำอีกครั้งทั้งสองฉบับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ยังไม่เขียน ไม่มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกกล่าว ทันทีที่ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าจดหมายพวกนี้มีใจความครบถ้วนสมบูรณ์ เขาจึงยิ้มออกมาอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างและจริงใจราวกับจะจารึกลงบนกระดาษพวกนั้น

ไออุ่นถอดสร้อยคอที่มีจี้กุญแจออกมาแล้ววางมันลงบนโต๊ะ หยิบกระดาษจดหมายที่เขียนไว้มาพับทีละแผ่นแล้วจึงลงชื่อผู้ที่ต้องการจะเขียนถึงไว้ด้านหน้า ใบหนึ่งวางลงบนโต๊ะ ส่วนอีกใบเลือกที่จะวางไว้คู่กับสร้อยเส้นนั้น แต่ก่อนที่มันจะได้อยู่คู่กัน ไออุ่นหยิบกุญแจมาไขลานที่อยู่ข้างหลัง ไม่ใช่เพื่อให้มันเดินถอยหลังกลับไปเริ่มต้นใหม่แต่ไขเพื่อที่จะให้มันเดินหน้าไปสู่จุดจบ

กระดาษจดหมายใบหนึ่งถูกรวบเข้ากับสร้อยคอพร้อมจี้ ไออุ่นเลือกที่จะวางมันไว้ในที่ลับตาคนก่อนจะหยิบจดหมายอีกฉบับที่วางอยู่บนโต๊ะใบแรกมาถือเอาไว้ สอดตัวเข้าไปใต้ผืนผ้านวม วางมือทั้งสองข้างไว้บนกระดาษจดหมายฉบับนั้นที่อยู่บนหน้าท้อง นึกกล่าวขอบคุณสวรรค์ที่ให้โอกาสเขาได้ใช้ชีวิตคล้ายมนุษย์มาจนกระทั่งถึงตอนนี้

สำหรับตัวเขาแล้วนั้นไม่มีอะไรค้างคาใจ สิ่งที่ต้องทำก็ทำไปเรียบร้อยแล้ว เติมเต็มความสุขของเบฟอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ รับฟังคำบอกรักของไวน์ที่พาให้เขารู้สึกราวกับลอยอยู่บนอากาศ เปลือกตาบางปิดลง หลังจากนี้จะไม่มีใครได้เห็นดวงตาสีหยกอันสุกสกาวทอดมองออกไปนอกร้านอีก จะไม่มีใครได้เห็นรอยยิ้มอันจริงใจที่แสนงดงามนั้นอีก จะไม่มีใครได้เสียงที่ออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับนั้นอีกแล้ว

ไออุ่นเอื้อนเอ่ยคำอำลาสุดท้ายที่ไม่อาจมีใครได้ยิน ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเดินทางมาถึงแล้ว “ลาก่อน”





ร้านดอกไม้อุ่นไอรักยังคงปิดบริการเช่นเคย ดอกไม้ที่อยู่ในร้านถูกทิ้งให้แห้งเหี่ยวอยู่ที่เดิม บรรยากาศภายในร้านที่เคยสดใสแลอบอวลไปด้วยความอบอุ่นจากเจ้าของร้านอย่างไออุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความหว้าเหว่ เยือกเย็นคลุกเคล้าด้วยความเศร้าสร้อยที่ชวนให้รู้สึกหดหู่

เบฟไปมหาวิทยาลัยทุกวันเพียงกลัวว่าถ้าหากไออุ่นกลับมาแล้วเห็นเขาเอาแต่นั่งรออยู่ในร้าน ละทิ้งการเรียนที่อีกฝ่ายพร่ำเพียรบอกให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและคว้าเกียรตินิยมมาให้ได้แล้วจะถูกโกรธเอา แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามตั้งใจเรียนขนาดไหน ทำตัวเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายมากเท่าไรไออุ่นก็ไม่กลับมา

วันนี้เบฟกลับมาที่ร้านด้วยความคาดหวังเหมือนทุกวัน แต่ก็ยังไร้วี่แวว ไม่มีการติดต่อกลับมา ไม่มีการบอกกล่าวให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ จนเวลาผ่านมาเกือบสองสัปดาห์กับการหายไปของไออุ่น ความคาดหวังแปรเปลี่ยนเป็นคาดคิดในแง่ร้าย เขาไม่อยากรู้สึกแบบนั้นแต่อดคิดไม่ได้ ไออุ่นอาจตายจากโลกนี้ไปแล้วก็ได้



~ กริ๊งงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงง ~



เสียงโทรศัพท์ในร้านดังขึ้นเพียงสองครั้ง เบฟก็กระวีกระวาดไปรับสายด้วยใจลุ้นระทึก แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย ฉับพลันนั้นหัวใจก็ห่อเหี่ยว ร่างกายหมดเรี่ยวแรงเอาเสียดื้อๆ

// เบฟ อุลกลับมาหรือยัง //

“ยังครับ”

// อืมมมม เอาไงกันดี //

เสียงของสเตซี่ฟังดูคล้ายกับกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง

“แด๊ดเคยบอกให้รอ เราก็ทำได้แค่รอ”

// รู้ แต่นี่มันนานเกินไปแล้ว ไม่เป็นห่วงอุลบ้างหรือไง //

ไม่มีวันไหนที่เบฟไม่รู้สึกเป็นห่วงไออุ่น ไม่มีแม้วินาทีไหนที่ไม่คำนึงถึง ทุกเศษเสี้ยวของลมหายใจที่ใช้ไปในแต่ละวันมีเพียงชื่อของไออุ่นสลักไว้เท่านั้น

“ห่วงสิครับ แต่แด๊ดบอกว่าเราทำอะไรไม่ได้”

// งั้นถ้าอุลกลับมาแล้วรีบโทรมาบอกด้วยนะ แล้วอย่าให้ย่ารู้เด็ดขาดว่าอุลหายไป //

“ครับ”

หลังจากที่เบฟรับปากว่าจะโทรหาทันทีที่ไออุ่นกลับมาและสายถูกวางไปแล้ว เขาก็เดินไปนั่งที่ม้านั่งในร้าน หากมองจากมุมนี้จะเห็นการกระทำของไออุ่นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าการเดินไปรอบร้าน รอยยิ้มทุกรอยที่มอบให้กับลูกค้า แววตาแห่งความมุ่งมั่นตั้งอกตั้งใจ เพียงแต่ตอนนี้ภาพที่เห็นนั้นเป็นแค่เงาลางๆ ของความทรงจำ

ความคิดถึงคำนึงหา หากมันจะเกิด ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่ได้ แต่ทว่าเบฟนั่งเศร้าเสียใจได้ไม่นานก็มีคนมาเคาะที่ประตูร้าน เขาจึงลุกขึ้นเพื่อเดินไปบอกว่าร้านไม่ได้เปิดแล้ว หากว่าต้องการจะมาสั่งช่อดอกไม้

“ขอโทษนะครับ ร้านปิดแล้ว เจ้าของร้านไม่อยู่ และไม่แน่ใจว่าจะกลับมาวันไหน”

“นายสั่งให้ผมมาพาคุณไปพบคุณอุ่นครับ”

หัวใจเหมือนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อของไออุ่น เบปยืนนิ่งไปอยู่พักใหญ่ราวกับสิ่งที่เฝ้าคอยมานานแสนนานจะได้กลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง เขาไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้จะมาถึง วันที่จะได้เห็นหน้าคนที่รักอีกครั้ง ความดีอกดีใจมันล้นปรี่อยู่เต็มอกข้างซ้ายจนน้ำตาซึมออกมาไม่รู้ตัว

เบฟทำอะไรไม่ถูก รู้เพียงแค่ว่าเขาจะต้องพาพีทไปเป็นพยานว่าคนที่จะไปพบนั้นคือไออุ่นจริงๆ

“รอ… รอเดี๋ยวนะ”

สองเท้ารีบก้าวกึ่งวิ่งไปยังร้านขายอะไหล่ พอมาหยุดอยู่หน้าร้านก็เห็นพีทยืนอยู่ด้วยท่าทางสบายๆ เขาไม่รอช้ารีบคว้าข้อมือลากให้อีกฝ่ายเดินตามมาทั้งที่ยังคงอยู่ในความมึนงง

“เดี๋ยว! เบฟ จะพาพี่ไปไหน”

“อุ่น… อุ่น…”

แค่ได้ยินชื่อของไออุ่น เท้าพีทก็ก้าวไวเสียกว่าคนที่กำลังลากเขาอยู่นี่ จนตอนนี้กลายเป็นว่าเขากำลังจูงเบฟให้เดินตามมาแทนพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความดีใจที่ในที่สุดทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ เบฟจะไม่นั่งเศร้าหรือเหม่อลอยอีกแล้ว  “พี่อุ่นมาเหรอ”

เบฟไม่ได้ตอบอะไร พอพวกเขาเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านก็ถูกชายคนเดิมเชิญให้ขึ้นรถ เบฟเดินตามไปแต่โดยดี ในขณะที่ีพีทกลับลังเลที่จะไปด้วย เขารู้สึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกลว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับไออุ่น แต่ถึงอย่างนั้นใจกลับเรียกร้องให้ไปเห็นกับตาตัวเอง

สุดท้ายพวกเขาสองคนก็ก้าวขึ้นรถไป





ร่างของไออุ่นนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนอย่างสงบโดยมีเพียงร่างของเจ้าของห้องยืนมองด้วยความอาลัยอาวรณ์ กล่าวโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เป็นต้นเหตุให้ไออุ่นจากไปแบบนี้

ย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้านี้ราวๆ หนึ่งวันก่อน ไวน์ที่กำลังดูงานด่วนอยู่ที่สิงคโปร์ได้รับข้อความสั้นๆ จากลูกน้องคนสนิทเกี่ยวกับไออุ่น เขาละทิ้งทุกอย่างไว้ตรงนั้น ให้พนักงานในบริษัทที่ติดสอยห้อยตามไปด้วยจัดการแทนแล้วจับเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุดบินกลับประเทศในทันที พอกลับมาถึงห้องที่คอนโด เขาเข้าไปดูอาการของไออุ่นให้แน่ชัดแม้ว่าจะได้ยินคำบอกเล่าจากลูกน้องมาบ้างแล้วแต่ยังไม่อาจเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าไออุ่นจะจากไปแล้วจริงๆ

หัวใจของไวน์ร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟสุมทันทีที่เปิดประตูห้องนอนเข้าไป ร่างที่อยู่บนเตียงเหมือนเจ้าหญิงนิทราที่รอให้เจ้าชายมาจุมพิตแต่เจ้าชายมาแล้ว จุมพิตแล้วร่างนั้นก็ยังไม่ตื่นเหมือนในนิทาน ดวงตาสีอำพันทอดมองร่างที่นอนนิ่งด้วยความเจ็บปวด ไม่ว่าทำอย่างไรไออุ่นก็ไม่ฟื้น

เสียงประตูห้องถูกเปิดออกดึงสติของไวน์ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เขาต้องเตรียมรับมือกับเด็กคนนั้นที่อีกไม่กี่วินาทีก็จะก้าวมาถึงห้องนี้แล้ว เขาเริ่มนับถอยหลังในใจ

“อุ่น! อุ่น!”

ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าครามคือภาพที่ไออุ่นนอนนิ่ง หลับตาพริ้มไม่ไหวติงใดๆ อยู่บนเตียงพรากเอาความดีใจที่ท้วมท้นอยู่ในอกหายวับไปในพริบตาแทนที่ด้วยความหนักอึ้งเหมือนมีใครโยนหินก้อนโตลงใส่ ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เรี่ยวแรงที่ควรมีเหมือนถูกดูดออกจากร่างไปจนหมด เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่มีอยู่ด้วยคำพูดไหนดีแต่ตอนนี้เขาเสียใจยิ่งกว่าเสียใจ อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก อยากเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับไออุ่นแต่ก็มีก้อนอะไรบางอย่างจุกแน่นอยู่ที่คอคอยดูกลืนคำพูดให้หายไป

พีทเตรียมใจมาแล้วว่าอาจจะพบกับไออุ่นที่ตายจากไปแล้วแต่เขาก็ยังรับมันไม่ได้อยู่ดีเมื่อได้เห็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นมันตลอดการที่ได้รู้จักกับตุ๊กตาไขลานตัวนั้นมา

“เบฟ… พี่อุ่นอาจยังไม่ตาย เขาอาจแค่หลับไป”

เบฟไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้นเลยสักนิด พอได้ยินคำเตือนของพีทเข้าเลยเพิ่งได้สติ เขารีบวิ่งตรงไปที่ร่างนั้น ไวน์ที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเตียงนอนไม่ได้อยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ

“แต่… เขาตัวเย็น ไม่ขยับ”

ไวน์ที่ยืนอยู่ตรงนั้นเปิดปากพูดเป็นครั้งแรกและพูดถึงร่างของไออุ่นที่เขาเจอเมื่อครั้งแรกตอนเปิดประตูเข้ามา พีทยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมแต่เขาแค่อยากจะยิ้ม ผู้ชายวัยสามสิบปีคนนี้ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับไออุ่นเลยสักนิด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าร่างนั้นเป็นตุ๊กตามีชีวิต

“นั่นปกติ”

“พีท! หยุด! ไม่ต้องพูด!”

พีทเงียบลงตามคำพูดของเบฟ แล้วยืนมองอยู่ห่างๆ คอยสังเกตท่าทางหรือปฏิกิริยาของเจ้าของห้อง

“เขาเขียนจดหมายถึงนายด้วย แต่ผมไม่ได้อ่านหรอกนะ ไม่ต้องห่วง”

ไวน์ยื่นกระดาษพับสองทบไปให้กับเบฟที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน เขาค่อยๆ ยื่นมือที่สั่นไม่หยุดไปรับมันมา นิ้วเรียวคลี่กระดาษออกอ่านเนื้อความที่อยู่ข้างใน ใจเริ่มสั่นเมื่อเห็นคำแรกที่ปรากฏอยู่บนนั้น



ถึง… เบฟ

อุ่นไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรดี แต่อุ่นขอโทษนะที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อุ่นรู้ว่ามันทำใจลำบากแต่อยากให้เข้าใจว่ามันถึงเวลาที่จะต้องจากกันแล้ว อุ่นเสียใจที่ไม่ได้กล่าวคำลาด้วยตัวเอง แต่ไม่เป็นไรเพราะถ้าต้องบอกลาต่อหน้าเบฟจริงๆ อุ่นก็ไม่แน่ใจว่าจะพูดมันออกมาได้ไหม ไม่แน่ใจว่าจะจากไปได้หรือเปล่า อุ่นเป็นห่วงเบฟนะ ดูแลตัวเองให้ดี
จากนี้ไปก็ขอให้เข้มแข็งเข้าไว้นะ เป็นเด็กดีของแด๊ดกับแม่ รักแด๊ดกับแม่ให้มากๆ
แล้วอย่าร้องไห้นะเพราะอุ่นคงไปปลอบใจไม่ได้ และสุดท้ายก็อยากให้รู้ไว้ว่าอุ่นรักเบฟมากนะ

สักวัน… เราอาจได้พบกันที่ไหนสักแห่ง

ลาก่อน
ไออุ่น



ถึงในจดหมายจะบอกว่าห้ามร้องไห้แต่ความเสียใจมันห้ามกันได้ที่ไหน เช่นเดียวกับน้ำตาที่ไม่ว่าจะพยายามกลั้นเท่าไรก็ไหลร่วงออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นไห้ดังออกมาเบาๆ จากริมฝีปากที่ห้อเลือด

พีทที่ยืนอยู่ข้างหลังเห็นเบฟร้องไห้เสียใจมากมายขนาดนี้ ตัวเขาเองก็เสียใจไม่แพ้กันแต่จำต้องเข้มแข็งเอาไว้ เขากัดริมฝีปากข่มความเจ็บปวดที่มีเอาไว้ภายใน แม้รู้ว่ามันยากแต่เขาก็จะพยายามทำให้ได้อย่างที่ได้รับปากกับไออุ่นเอาไว้

“เบฟ ใจเย็นก่อน พี่อุ่นอาจยังไม่ตาย”

กระดาษจดหมายที่ไออุ่นเขียนถึงถูกยื่นมาตรงหน้าพีท เขากวาดสายตาอ่านใจความทั้งหมดแล้วต้องกัดฟันทนกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในหัวใจ แม้อาจช่วยยื้อร่างนั้นเอาไว้ได้แต่ใจกลับพร้อมจากไปได้ทุกเมื่อ

“อุ่นจากไปแล้ว”

“เบฟตั้งสติ”

เหมือนเบฟจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขารีบก้มไปดูที่ร่างของไออุ่น แหวกปกเสื้อเชิ้ตออก ควานหาบางอย่างที่อยู่ตรงคอแต่กลับไม่พบสร้อยคอเส้นนั้น เส้นสำคัญที่จะพาไออุ่นกลับมาอยู่กับเขาได้อีกครั้ง

“ไม่มี… ไม่มี พีท! มันไม่มี”

“พี่อุ่นไม่เคยถอด มันต้องมีสิ”

“เดี๋ยว! กำลังหาอะไร…”

หมัดหลุนๆ กระแทกเข้าหน้าทันทีแม้ว่าไวน์จะยังถามไม่จบประโยค ตามด้วยอีกหมัดซ้ำที่เดิม ไวน์ไม่หลบ ไม่ตั้งรับและไม่สวนกลับเพราะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเองก็สมควรแล้วที่จะได้รับผลกรรมนั้น ถึงเลือดจะซึมออกมุมปากนิดๆ เขาก็ทำแค่เอานิ้วปาดมันออกแล้วไม่พูดอะไร ความเจ็บปวดที่แล่นริ้วไปทั่วใบหน้ายังเทียบได้ไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ

“เบฟ! พอ”

พีทเข้าไปดึงรั้งเบฟให้ออกมา ความเดือดดาลยังคงแล่นปะทุอยู่ในอก ไม่มีทีท่าว่าจะมอดดับลงง่ายๆ สองแขนป่ายปัดไปทั่ว สองเท้าออกแรงถีบแม้จะทำได้แค่เตะลมเตะอากาศ

“อยู่ไหน!! สร้อยของอุ่นอยู่ไหน!! มึงเอามันไปซ่อนใช่ไหม!! ไม่อยากคืนเขาจนต้องทำแบบนี้เลยเหรอวะ!!”

“ไม่เห็น”

ไวน์ไม่เคยเห็นสร้อยของไออุ่นมาก่อนจึงไม่รู้ว่ามันมีอยู่เลยตอบไปตามนั้นแต่กลับกลายเป็นว่าคำตอบของเขาเป็นเครื่องเร่งความฉุนเฉียวของเบฟให้แรงขึ้นอีกครั้ง เบฟทำท่าจะเข้ามาทำร้ายร่างกายแต่ยังดีที่ได้พีทช่วยรั้งเอาไว้ให้
“ไม่เห็น!!! ไม่เห็นได้ไงวะ!! อยู่กับเขาตั้งเกือบสองอาทิตย์ เอาเขาไปจากกูโดยที่มึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย มึงทำแบบนี้ได้ไง!! มึงอยากเอาคืนกูก็มาลงกับกูนี่!! ทำไมต้องเอาเขามาเกี่ยวด้วย!”

พีทแทบจะรั้งร่างในอ้อมแขนที่กำลังขาดสติเอาไว้ไม่อยู่ เขาพยายามบอกกับเบฟด้วยความใจเย็นแม้ในใจตัวเขาเองจะร้อนรุ่มเป็นไฟ “เบฟ! ใจเย็นก่อน”

“ไม่ยงไม่เย็นอะไรทั้งนั้น!! มึงไม่เห็นเหรอ พีท มันเอาอุ่นไปแล้วก็ทำให้อุ่นเป็นแบบนี้! ยังหน้าด้านหน้าทนทำเป็นไม่รู้สึกอะไร!! ไอ้คนใจร้าย!”

“เบฟ… ใจเย็น สงบสติอารมณ์นิดนึง หรือไม่ก็ช่วยเห็นแก่พี่อุ่นที่นอนอยู่ตรงนั้นด้วย”

แค่คำพูดเพียงประโยคเดียวเกี่ยวกับไออุ่นก็ทำให้เบฟชะงักไปทันที ถ้าไออุ่นยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็เขาคงต้องโดนดุแน่เพราะไออุ่นเกลียดการทะเลาะกัน เกลียดการพูดคุยกันโดยใช้แต่อารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่ไออุ่นผู้รักสงบคนนั้นกำลังนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง

“เบฟ ออกไปรอข้างนอกก่อน พี่ขอคุยอะไรกับเขาหน่อย”

“พีท แต่…”

พอเห็นสายตาที่จริงจังของพีท เบฟก็ยอมล่าถอย ไม่ทำตัวดื้อด้านเอาแต่ใจ เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงโมโหทั้งตัวเอง ทั้งเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นออกจากห้องไป ยังไม่วายกระชากประตูปิดตามหลังเสียงดังโครมใหญ่ ระบายความอัดอั้นตันใจที่สุมอยู่ในอกจนจะระเบิดอยู่รอมร่อ เสียงลากเก้าอี้โครมครามข้างนอกทำเอาพีทถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถ้าหากเขาไม่ใช้ไออุ่นมาเป็นชื่อห้ามทัพล่ะก็งานนี้คงไม่มีวันจบลงง่ายๆ แน่

“ขอโทษด้วยที่เบฟแสดงกิริยาไม่ดีต่อคุณ”

“อืม ไม่เป็นไร มันก็สมควรโดนแล้วล่ะ”

ไวน์ยกมือลูบมุมปากของตัวเองเบาๆ หมัดของเด็กคนนั้นหนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน จะบอกว่าไม่เจ็บก็คงไม่ใช่ แค่ยังพอทนได้มากกว่า

“ขอเข้าประเด็นเลยแล้วกันนะ คุณไม่เห็นสร้อยที่มีจี้เป็นรูปกุญแจของพี่อุ่นจริงๆ น่ะเหรอ แล้วก็ขอร้องนะ อย่าปิดบังเพราะมันสำคัญกับเรามากจริงๆ”

“อืม ก็ไม่เชิงว่าไม่เห็น เอาเป็นว่าผมไม่ได้สังเกตดีกว่าเลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีหรือมันไม่มี ว่าแต่คุณเถอะ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ”

“รู้สึกสิ ผมรู้สึกมานานแล้วและก็รู้ว่าวันนี้จะมาถึง” พีทตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบและไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาให้เห็น ทว่าภายในใจนั้นกลับเจ็บปวดเหลือแสน

“หมายความว่ายังไง”

“ถ้าคุณรู้จักพี่อุ่นดีกว่านี้ คุณจะรู้เองว่าที่ผมพูดมันหมายความว่ายังไง อ้อ! ถ้าไม่ว่าอะไรล่ะก็ขอพาตัวพี่อุ่นกลับเลยก็แล้วกันนะครับ และถ้าไม่รบกวนมากไป หากเจอสร้อยเส้นนั้นช่วยนำมันมาคืนด้วย”

“มันสำคัญมากเลยเหรอ”

“สิ่งที่อยู่บนสร้อยเส้นนั้นคือชีวิตของพี่อุ่น”

มือแกร่งสอดเข้าใต้ร่างที่นอนอยู่แล้วช้อนตัวขึ้นมา อุ้มออกไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้พูดะไรขึ้นมาอีก เขารู้ว่าการจากไปของไออุ่นไม่ได้เป็นเพราะไวน์แต่มันคือความต้องการของเจ้าตัวเองจึงไม่ได้โกรธอะไร แต่ไม่ใช่กับคนที่นั่งปั่นปึ่ง เศร้าเสียใจอยู่ข้างนอกนั่นแน่

ไวน์ยืนอยู่เงียบๆ ตรงมุมห้อง หัวสมองมึนตื้อ จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก ได้แต่มองเตียงที่ว่างเปล่านั้นแล้วกล่าวโทษตัวเอง หากไม่เป็นเพราะเขารีบร้อนไปทำงานต่างประเทศโดยไม่บอกก่อนล่วงหน้า ไออุ่นอาจจะยังอยู่ตรงนี้

ทุกครั้งที่เขาเดินเข้ามาในห้องก็มักจะเห็นร่างนั้นยืนอยู่ตรงหน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก แววตาและท่าทางที่สะท้อนออกจากกระจกหน้าต่างนั้นดูมีความสุขแม้จะได้แค่อยู่แต่เพียงในห้องแคบๆ  ได้เห็นไออุ่นหาข้ออ้างร้อยแปดประการในการไม่กินข้าว เขาไม่เคยโกรธที่ไออุ่นไม่ยอมกินแต่กลับเป็นห่วงมากกว่าและเขาสนุกมากที่ในแต่ละวันจะได้รับฟังเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป ได้นั่งจ้องดวงตาสีหยกโดยไม่ต้องพูดอะไรจนกว่าจะพอใจ ได้เห็นรอยยิ้มที่มอบให้เขาทุกครั้งเวลาที่พูดคุยกันแต่ตอนนี้กลับไม่มีอีกแล้ว

“ขอโทษนะ อุ่น ผมขอโทษ”

ไวน์นั่งรวบรวมสติอยู่พักใหญ่หลังจากที่ไออุ่นถูกพาออกจากห้องไปแล้ว คำพูดที่พีททิ้งไว้ให้เป็นปริศนา ‘ถ้าหากคุณรู้จักพี่อุ่นดีกว่านี้’ ‘สิ่งที่อยู่บนสร้อยนั้นคือชีวิตของพี่อุ่น’ ยังคงค้างคาอยู่ในใจ เขายอมรับว่าอาจจะไม่ได้รู้จักไออุ่นดีเท่าสองคนนั้นแต่ที่ไม่เข้าใจเลยคือทำไมสร้อยเส้นนั้นมีความสำคัญถึงขนาดที่ว่าสามารถชี้เป็นชี้ตายชีวิตใครได้

“ถ้ามันสำคัญมาก ถ้ามันพาคุณกลับมาได้ ผมจะหาให้”

ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ไวน์กลับรู้สึกว่ามันตลกสิ้นดี คนที่ถูกยมทูตพรากวิญญาณไปแล้วไหนเลยจะกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง

“ทำไมพวกเขาถึงได้ดูมั่นใจนักนะว่าอุ่นจะกลับมา”

ไวน์เปรยถามตัวเองในขณะที่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงในจุดเดียวกับที่ที่ร่างของไออุ่นเคยนอนอยู่ ทั้งที่เนื้อตัวเย็นเฉียบเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ในหิมะขั้วโลกเหนือ ทั้งที่ร่างนั้นไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนหรือตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบกาย ไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจ แล้วทำไมทั้งสองคนนั้นถึงยังเชื่อว่าไออุ่นยังมีชีวิตอยู่ เขาพยายามเค้นสมองคิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อลองย้อนกลับไปคิดดูให้ดีอีกครั้งก็พบว่ามันประหลาดนักตั้งแต่พาไออุ่นมาอยู่ที่นี่ ทั้งเรื่องการขอชุดไขควงขนาดเล็ก ทั้งการปฏิเสธการกินข้าวในทุกครั้งทั้งต่อหน้าและลับหลัง เรื่องที่ไออุ่นพูดเหมือนตัวเองไม่รู้จักความเจ็บปวดราวกับตัวเองเป็นอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป

ในตอนนี้คงไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับหาสร้อยคอที่หายไปคืนแก่เจ้าของ เขาเองจะได้ไม่รู้สึกผิดมากไปกว่านี้





ร่างของไออุ่นถูกพากลับมาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรัก กลับมายังสถานที่ที่เคยรายล้อมไปด้วยดอกไม้ที่รัก ร่างนั้นนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนในห้องของตัวเอง สีหน้าของเบฟดูไม่ดีเอาเสียเลยตั้งแต่ที่กลับมาถึง เขาเอาแต่นั่งจ้องดวงหน้าเรียวที่เคยได้สัมผัสนั้นอยู่นิ่งๆ

“เบฟ พักก่อนเถอะนะ นายนั่งจ้องหน้าพี่อุ่นแบบนี้มาสามชั่วโมงแล้วนะ”

ร่างที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงไม่ขยับ ไม่มองหน้าและไม่รับฟัง คำบอกลาที่ถูกเขียนด้วยลายมือบรรจงยังคงฝังอยู่ในใจ เบฟไม่ได้คาดคิดว่าสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นแบบนี้ ไออุ่นไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ยึดยื้อเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ

 “เบฟ พี่เข้าใจนะว่านายกำลังเสียใจ แต่พักบ้างเถอะ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยนึกถึงพี่อุ่นบ้าง อยากให้เขาจากไปโดยยังต้องคอยเป็นห่วงเหรอ”

“ไหนบอกว่าอุ่นยังไม่ไปไหนไง”

พีทชะงักไปเล็กน้อย เขาก็แค่หวังว่าไออุ่นจะกลับมาแต่ในเมื่อสิ่งสำคัญอย่างกุญแจที่อยู่บนสร้อยคอหายไปและไวน์ไม่ได้นำมันไปซ่อนเพื่อไม่ต้องการให้ไออุ่นมีชีวิตต่อ โอกาสที่จะได้เห็นตุ๊กตาไขลานตัวนั้นลืมตาขึ้นมาก็แทบจะไม่มีเหลือ

“แต่เราไม่มีกุญแจ”

“อุ่นต้องกลับมา! ยังไงอุ่นก็ต้องกลับมา”

เบฟเชื่อแบบนั้น เขาเริ่มจะสงบสติลงได้บ้างแล้วหลังจากที่นั่งจ้องหน้าคนรักมาตลอดสามชั่วโมง

“ถ้าเราไม่มีกุญแจนั่น มันก็จะเป็นเรื่องยากที่จะพาพี่อุ่นกลับมา”

“ไม่มีก็ไม่เป็นไร เราหมุนมันเองก็ได้”

“จะแยกชิ้นส่วนพี่อุ่นออกมาเหรอ”

พอสงบจิตสงบใจกันได้แล้ว พวกเขาก็สามารถคุยกันดีๆ ได้

“ถ้ามันจำเป็นนะ”

พีทไม่อยากนึกสภาพตอนที่แยกร่างไออุ่นออกมาทีละชิ้นทีละส่วนเพื่อหาทางไขลานโดยไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจดอกนั้น “พี่ขอให้มันไม่ต้องจำเป็นจนถึงขั้นนั้นก็แล้วกันนะ พี่ไม่อยากรู้สึกว่าพี่อุ่นเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่คน”

เบฟพยักหน้านิ่งๆ เขาเองก็ไม่อยากที่จะต้องทำอย่างนั้น อย่าว่าแต่พีทจะรู้สึกรับไม่ได้ เขาเองก็รับไม่ได้เช่นกัน

ไออุ่นไม่ใช่สิ่งของที่อยากจะรื้อตรงนู้น แงะดูตรงนี้ก็ทำได้ ไม่ใช่ศพที่ต้องมาชำแหละชันสูตร แม้ร่างกายจะเป็นตุ๊กตาไขลานแต่พวกเขาไม่เคยรู้สึกว่าไออุ่นเป็นแค่ตุ๊กตาไขลาน

“ถ้างั้นก็นอนพักเถอะ พักข้างๆ พี่อุ่นนั่นแหละ เดี๋ยวพี่ไปนอนข้างล่างเองแล้วก็หยุดเรียนสักวันสองวันนะ สภาพนายเป็นแบบนี้ยังไงก็เรียนไม่รู้เรื่องหรอก ถ้ามีอะไรก็ลงมาเรียกล่ะ อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่านจนนอนไม่หลับ ระวังพี่อุ่นจะตื่นขึ้นมาดุเอา”
ก่อนเดินออกจากห้องไป พีทเหลียวมองอีกฝ่ายที่นั่งนิ่ง เริ่มไม่หือไม่อืออีกครั้งแล้วต้องแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาไม่อยากให้เบฟเป็นแบบนี้เลย มันทำให้เขารู้สึกแย่ตามๆ กัน ทั้งที่พยายามทำใจตัวเองให้เข้มแข็งแล้วแท้ๆ น้ำตากลับไหลออกมาเสียได้

“ถ้าจะต้องถูกอุ่นดุ ถูกโกรธก็ยอม ขอแค่ตื่นขึ้นมาได้ไหม”

เสียงของเบฟแม้จะเบาแค่ไหนแต่มันก็ยังดังเข้าหูพีทที่ยังยืนหันหลังอยู่ตรงประตู เขาเองก็อยากจะขอไออุ่นเช่นกัน ถ้าหากคำอธิษฐานของเขาสามารถเป็นจริงได้ก็อยากจะขอให้คำขอของเบฟเป็นจริง






** ติดตามตอนต่อไป **


การตายครั้งนี้ของไออุ่นก็ดูเป็นความตั้งใจของเจ้าตัวเอง
จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนให้อุ่นจากไปตอนนี้แต่... อารมณ์มันพาไป แหะๆ
ฝากติดตามด้วยนะคะว่าสุดท้ายแล้วไออุ่นจะกลับมาได้ไหม ขอบคุณนะคะ



-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



alternative
ขอบคุณนะคะ ไวน์ก็อยากจะเบานะ แต่อารมณ์พาไป

sirin_chadada
ใช่ค่ะ อีกอย่างอุ่นก็ไม่ยอมพูดอะไรเลยด้วย ขอบคุณนะคะ

about
ขอบคุณนะคะ

rockiidixon666
คนเขียนอย่างเราก็น่าจะแปลกด้วยค่ะ คิดอะไรประหลาดๆ ฮ่าๆๆ ขอบคุณนะคะ

KARMI
อย่างนี้ต้องติดตามค่ะ ขอบคุณนะคะ

areenart1984
ขอบคุณนะคะที่ติดตามทั้งสองเรื่องเลย

Nekosama
ใช่ค่ะ ตอนนี้เหลือแค่ปัญหาที่เบฟแล้วล่ะ ขอบคุณนะคะ

Death_note
เราก็เชียร์ไวน์เหมือนกันค่ะ ขอบคุณนะคะ

Misakiiz
ขอบคุณนะคะ

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 12 ** 2017.10.29 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-10-2017 21:54:35
อุ่นใจเด็ดมาก
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 12 ** 2017.10.29 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 29-10-2017 21:59:09
อุลจะต้องกลับมานะ  :hao5: พี่ไวน์ไปหาสร้อยมาเลยยย  :angry2:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 12 ** 2017.10.29 **
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 29-10-2017 22:49:15
 :katai1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 12 ** 2017.10.29 **
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-10-2017 23:07:39
ถ้าพ่อเบฟไม่หลอกอุ่น ถ้าไวน์ไม่ลักพาตัวอุ่นไป อุ่นคงไม่คิดอย่างนี้หรอก แล้วอุ่นวางสร้อยไว้กับจดหมายอย่างไง มันถึงหายไป  :m16:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 12 ** 2017.10.29 **
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 30-10-2017 00:45:15
เบฟเดือดมาก... จะว่าไรมั้ยถ้าเรามองเห้นเรือพีชเบฟอยู่ไกลๆ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 12 ** 2017.10.29 **
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-10-2017 08:42:23
ไวน์เอ๊ย รีบหาสร้อยเถอะ หาในห้องก่อนเพราะนายขังอุ่นไว้ในนั้นนะ เกณฑ์คนมาค้นให้ทั่วเดี๋ยวก็เจอ เจอสร้อยแล้วเราจะได้อ่านจดหมายด้วย แฮร่
ตอนนี้อยากโทรไปบอกไวน์มาก เสียดายไม่รู้เบอร์ ฮุฮุ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 12 ** 2017.10.29 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-11-2017 07:22:57
อุ่นใจเด็ดมาก
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 12 ** 2017.10.29 **
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 02-11-2017 14:03:26
อุ่นจะกลับมาได้มั๊ยนะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 13 ** 2017.11.05 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 05-11-2017 14:43:28
ตอนที่ 13


ตั้งแต่วันที่รับตัวไออุ่นกลับมาอยู่ที่ร้าน เบฟพยายามทำจิตใจให้เข้มแข็งแล้วออกไปเรียนหนังสือ แม้มันจะเป็นเรื่องยากเอาการแต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่ไออุ่นคาดหวังในตัวเขา การเรียนจบมหาวิทยาลัยและได้รับเกียรตินิยมจะทำให้ไออุ่นภาคภูมิใจ แม้ว่าสุดท้ายแล้วคนๆ นั้นอาจจะไม่อยู่แสดงความยินดีร่วมกับเขา

พีทแทบจะทิ้งร้านของตัวเองเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเบฟที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรัก คำพูดที่เป็นเหมือนดั่งคำสั่งเสียของไออุ่นทำให้เขาทิ้งไปไม่ได้ และในเวลานี้คนที่ต้องการใครสักคนเพื่ออยู่เคียงข้างก็คือเด็กคนนั้น

“เรียนเป็นไงบ้าง”

“ก็งั้นๆ แล้วมายืนทำอะไรหน้าร้าน”

เบฟตอบกลับผู้ที่ยืนพิงกำแพงกระจกร้านรอ ไม่ได้เปิดประตูเข้าไปแต่เลือกที่จะยืนอยู่ข้างๆ กัน มองดูผู้คนเดินผ่านไปมาในบริเวณนั้น แต่ใจกลับลอยหายไปหาคนที่นอนรอเพื่อมอบชีวิตใหม่อีกครั้งอยู่บนเตียงนอนข้างบนห้อง

“มารอ”

“รอ? รอทำไม ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วน่า นี่มันก็ผ่านมาตั้งอาทิตย์แล้ว”

“เหรอ”

พีทไม่อยากเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะลืมความเจ็บปวดไปได้จริงๆ ขนาดเขาเองยังทำไม่ได้เลย การเลือกที่จะให้ไออุ่นอยู่เพียงแค่ในความทรงจำมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ ลึกๆ แล้วเขาก็แค่หวังว่าจะได้ไออุ่นกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

“กูไม่ได้ลืมอุ่นนะ แต่กูแค่จะพยายามยอมรับความจริงซึ่งมันโคตรยากเลย เวลาที่กูอยู่ในร้าน… มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพเขาเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาตั้งใจทำช่อดอกไม้ หรือตอนที่เขานั่งรอกูกลับ เวลากูจะนอนก็เหมือนหลับไม่สนิท ชีวิตที่ไม่มีเขานี่มันโคตรทรมานเลย”

“เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป แล้ว… บอกที่บ้านเรื่องพี่อุ่นหรือยัง”

เบฟส่ายหัวแทบจะทันทีที่ถูกถาม เขาไม่กล้าจะบอกออกไปว่าไออุ่นได้จากทุกคนในครอบครัวไปแล้ว เขาไม่รู้จะเอาคำตอบไหนไปตอบระหว่างความจริงที่แสนเจ็บปวดกับคำโกหกที่ทำให้รู้สึกแย่

“ไม่มีใครโทรมาถามเลยเหรอ”

“แด๊ดโทรมาแต่ก็โกหกไปว่ายังไม่เจอ”

“ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”

เบฟพยักหน้า เขารู้ตัวว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันไม่ใช่เรื่องดีเลยแต่ก็ยังปล่อยให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน

“มึงคิดว่ามีโอกาสแค่ไหนที่อุ่นจะได้กลับมา”

“พี่ไม่รู้หรอก แต่ถ้าเมื่อไรที่มีโอกาสก็จะคว้าเอาไว้ไม่ปล่อย พี่ยังอยากให้พี่อุ่นมีชีวิตอยู่นะ เพราะฉะนั้นต่อให้โอกาสแทบเป็นศูนย์ พี่ก็จะคว้าไว้อยู่ดี”

เบฟไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ แล้วคิดตาม เขาเองก็เช่นกัน ถ้าหากมีโอกาสแค่เพียงน้อยนิดในการพาไออุ่นกลับมาก็จะคว้าเอาไว้ แต่ถ้าไม่มีโอกาสนั้น เขาก็จะสร้างมันขึ้นมาด้วยสองมือของตัวเอง ไม่ว่าจะพาไออุ่นกลับมาจากความตายได้หรือไม่ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง

“ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนไหม”

“ไม่เป็นไร”

“มีอะไรก็โทรมา หรือไม่ก็มาเรียกที่ร้านได้นะ”

เบฟพยักหน้า เขารอให้พีทเดินจากไปก่อนแล้วจึงค่อยเข้าร้าน

บรรยากาศของร้านดอกไม้อุ่นไอรักไม่เหมือนเช่นเคยเมื่อเจ้าของร้านอย่างไออุ่นไม่อยู่ ดอกไม้ที่เคยส่งกลิ่นหอมอวลไปทั้งร้านแห้งเหี่ยวลงไม่นานหลังจากที่ไออุ่นหายไปและดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งนั้นก็ยังถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นราวกับว่าเมื่อไออุ่นกลับมาที่ร้าน พวกมันจะพากันเบ่งบานอีกครั้ง

แม้อากาศในร้านจะไม่ได้เย็นแต่หัวใจของเบฟกลับสั่นสะท้าน การที่ไออุ่นไม่อยู่ทำให้ทุกอย่างดูเลวร้ายลงได้ถึงขนาดนี้เชียว สีหน้าของเบฟเปลี่ยนไปเมื่อย่างเท้าเข้ามาในร้าน เขาอยากจะสลัดความทุกข์เศร้าให้หายออกไปแต่นั่นจะหมายความว่าเขาสามารถลืมไออุ่นได้แล้ว

เบฟเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเอื่อยเฉื่อยเลื่อนลอย เข้าไปในห้องที่มีร่างของไออุ่นนอนอยู่แล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ร่างที่ไม่ไหวติงราวกับเป็นตุ๊กตาที่เขาไม่เคยรู้จัก

“อุ่น ลูบหัวหน่อยสิ”

“…….”

“อุ่น กอดหน่อยได้ไหม”

“…….”

“อุ่น วันนี้เหนื่อยไหม”

“…….”

ไม่ว่าเบฟจะถามออกไปอีกสักกี่คำถาม คำตอบที่ได้รับก็คือความเงียบที่ทำให้หัวใจแทบแหลกสลายกลายเป็นผุยผง

“อุ่น” น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ “รู้ไหมว่าผมเหนื่อยมากเลย อยากหลับไปพร้อมกับอุ่นจัง” หยาดหยดน้ำใสเอ่อคลอรอบดวงตาสีฟ้าคราม “แต่ผมหลับไม่ได้เลย พอหลับตาทีไรมันก็คิดถึงอุ่น พอคิดถึงก็รู้ตัวว่า… ความคิดถึงของผมคงส่งไปไม่ถึงอุ่นอีกแล้ว”

ร่างสูงโปร่งขยับตัวให้เข้าใกล้ตุ๊กตาไขลานขึ้นอีกนิดแล้วเอื้อมมือออกไปลูบโครงหน้าสวยนั้นอย่างเบามือ

“อย่าทรมานผมแบบนี้เลยนะ”

“………”

“ขอร้องล่ะ ตื่นมาคุยกันหน่อยได้ไหม ไม่… ไม่ต้องคุยก็ได้ แค่ลืมตาขึ้นมามองหน้าผมหน่อยได้ไหม ตอบสนองอะไรก็ได้ แค่… ยิ้มก็ได้ ขยับตัวนิดก็ได้”

“………”

“อุ่น”

แขนแกร่งยันตัวเองให้พลิกขึ้นคร่อมร่างที่นอนนิ่ง บรรจงจูบอย่างเนิบนาบและอ่อนโยนลงบนริมฝีปากสีเชอรี่ ไม่มีการตอบสนองใดๆ จากร่างข้างใต้พาให้น้ำตาที่เอ่อล้นเบ้าตาไหลออกมาเป็นสาย หนึ่งสายไหลลงเลอะเปรอะข้างแก้มเนียนนุ่มที่เขาชอบลูบไล้

“อุ่นชอบจูบของผมไหม”

“……..”

“ผมชอบจูบของอุ่นมากเลย”

“……..”

“ตอนนี้ก็ยังชอบ แต่ชอบน้อยกว่าปกตินิดนึง”

“……..”

“ตื่นขึ้นมาทำให้ผมชอบจูบของอุ่นมากขึ้นกว่านี้ได้ไหม ฮึกๆ… ไม่ได้เหรอ ไม่ได้สินะ”

เบฟทิ้งตัวซบลงกับแผ่นอกที่เย็นเฉียบดุจน้ำแข็งที่หยิบออกมาจากช่องแช่แข็ง เย็นเสียจนชั่ววินาทีหนึ่งหัวใจของเขารู้สึกชาวาบ ปกติตัวของไออุ่นก็ไม่ได้อบอุ่นเหมือนชื่ออยู่แล้วแต่คราวนี้กลับเยียบเย็นเสียจนขนแขนลุกไปหมดราวกับใครสาดเอาน้ำผสมน้ำแข็งลงมาที่เขาในกลางดึกฤดูหนาว

“ถ้าอุ่นได้ยิน ผมจะบอกว่า… ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้อุ่นกลับมานะ รอผมหน่อยนะ”





ตั้งแต่วันที่เบฟพาไออุ่นกลับไป ไวน์ก็แทบจะไม่มีกะจิตกะใจทำงาน เขาว้าวุ่นกับเรื่องของไออุ่นตลอดเวลาจนแทบจะกลายเป็นว่างานทั้งหมดที่กำลังทำอยู่นั้นสุดท้ายก็ถูกส่งต่อให้กับลูกน้องในบริษัทเป็นผู้จัดการเสียส่วนใหญ่

เขากลับไปที่คอนโด รื้อข้าวของทุกชิ้นออกมาตรวจหาสร้อยคอที่ไม่รู้รูปพรรณสัณฐาน สร้อยเส้นบางๆ ที่เขาไม่เคยได้สังเกตมัน แม้ในห้องจะมีข้าวของเครื่องใช้ไม่กี่อย่างแต่ก็สามารถทำให้ห้องรกได้ในพริบตา

สถานที่บริเวณริมหน้าต่างที่ไออุ่นชอบไปยืนชมทิวทัศน์และมักพูดอยู่เสมอว่าอิจฉาคนที่ได้อยู่ข้างนอกจวบจนตอนนี้ไวน์ก็ยังไม่เข้าใจถึงความหมายของมันอย่างถ่องแท้ รับรู้เพียงแค่ว่าเจ้าตัวคงอยากออกไปจากที่นี่เต็มทน เขาได้แต่มองมันด้วยความอาลัย ถ้าไออุ่นจะพูดมันขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ยินดีที่จะพาออกไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างที่เจ้าตัวต้องการ

ไวน์หันกลับไปแล้วพบว่าเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวที่ไออุ่นมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งเฉยๆ ให้เขาได้จ้องหน้า และหาเรื่องมาปฏิเสธการกินข้าวได้ตลอดเวลามันกลายเป็นที่ที่ว่างเปล่า หลงเหลือไว้เพียงเงาแห่งความทรงจำ

ความรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้ไออุ่นจากไปมันเกาะกินหัวใจเขามาตั้งแต่วันนั้น หากไม่สามารถหาสร้อยเส้นสำคัญนั้นกลับไปคืนเจ้าของได้ก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่จะชดใช้แทนกันได้มีเพียงแค่ความตายเท่านั้น

ไม่ว่าไวน์จะควานหาที่ไหน มุมไหนของห้องก็กลับไม่พบสร้อยคอเส้นนั้นจนอดคิดไม่ได้ว่าไออุ่นอาจจะทิ้งมันลงไปในท่อระบายน้ำหรือไม่ก็อาจจะทิ้งลงในชักโครกไปแล้ว ทั้งที่มันสำคัญแต่ทำไมเจ้าตัวถึงได้เลือกที่จะทำให้มันหายไปจากสายตา ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งคิดเท่าไรก็มีแต่คำถามว่าทำไมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่มีใครให้คำตอบกับคำถามของเขาได้เลยสักคน แม้แต่ตัวเองที่เป็นผู้ตั้งคำถามนั้นก็ยังตอบไม่ได้ ไวน์เลิกหาแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เรียวคิ้วคมเข้มขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ดวงหน้าแสดงความเหนื่อยล้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วเขาก็ผุดลุกขึ้นมานั่งราวกับนึกอะไรบางอย่างออก

ร่างสูงเดินตรงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ ดึงลิ้นชักให้เปิดออกกว้าง ควานมือเข้าไปหาของชิ้นหนึ่งที่น่าจะอยู่ข้างใน ก่อนหน้านี้เขาเคยกำชับกับไออุ่นไว้ว่าอนุญาตให้ใช้โต๊ะเขียนหนังสือได้แต่ห้ามเปิดลิ้นชักเด็ดขาด และเพราะแบบนั้นในหลายวันที่ผ่านมาเลยไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้ บางทีสร้อยเส้นนั้นอาจอยู่ในที่ที่เขาห้ามให้แตะต้อง

ในที่สุดก็เจอ

มือใหญ่คว้าเอาสร้อยเส้นหนึ่งที่อยู่ในนั้นออกมาและพบว่ามีกระดาษพับสองทบแผ่นหนึ่งแนบติดออกมาด้วย เมื่อได้เปิดอ่านก็พบว่าเนื้อความที่อยู่ในนั้นถูกเขียนถึงเขา



ถึง คุณไวน์
ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และผมก็ดีใจที่คุณหามันจนเจอ ผมคิดว่าก่อนหน้านี้เบฟคงพูดอะไรให้คุณรู้สึกว่ามีเรื่องไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้น และผมคิดว่าคุณคงเชื่อในสิ่งนั้นด้วยเลยหาของที่หายไป จำได้ไหมครับที่คุณเคยถามหาความจริงจากผม ตอนนี้ผมพร้อมจะพูดแล้วแต่เมื่อคุณได้ฟัง คุณอาจจะรับไม่ได้หรืออาจจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้

ผมคิดว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ได้ใช้ไปพร้อมกับคุณ คุณคงตั้งคำถามและสงสัยผมในหลายเรื่อง ผมขอโทษด้วยที่ตอนนั้นตอบอะไรออกไปไม่ได้เพราะผมรู้ว่าคุณจะไม่เชื่อ และผมไม่เคยโกรธที่คุณไปสืบหาประวัติของผมมา ที่คุณทำไปก็เพราะอยากรู้จักผม ผมเข้าใจครับ แต่ผมอยากจะขอให้ช่วยรับปากอะไรสักเรื่อง นั่นก็คือ… ไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงหลังจากนี้ ขอให้คุณนำสร้อยเส้นนี้ไปคืนเบฟได้ไหมครับ

คำตอบของผม…. “เพราะผมเป็นเพียงตุ๊กตาไขลานยังไงล่ะครับ”

สุดท้ายนี้ ผมดีใจนะครับที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่กับคุณ มันมีค่ากับผมมาก
ไออุ่น




“ตุ๊กตาไขลาน… งั้นเหรอ” ไวน์เข่นเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น เรื่องตลกที่ไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้นแล้ว

“คุณล้อเล่นแบบนี้ ไม่สนุกเลยนะ”

ราวกับไออุ่นจะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าไวน์ไม่มีทางเชื่อเรื่องที่เขาเป็นตุ๊กตาไขลานจึงทิ้งท้ายไว้ให้อีกประโยคหนึ่งที่ด้านใต้ของกระดาษว่า ‘ลองไปถามเบฟดูสิครับ’

ไม่ว่ายังไงไวน์ก็ยังคงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น ถึงจะนำสร้อยคอเส้นสำคัญกลับไปคืนได้ก็ใช่ว่าจะได้ไออุ่นกลับมาเสียเมื่อไร แต่ในใจลึกๆ แล้วก็ยังอยากให้ความสงสัยนั้นกระจ่างขึ้นมาบ้าง ตอนนี้สิ่งนั้นยังคลุมเครือเหมือนฟ้าจะโปร่งแต่อีกครึ่งฝนกำลังตั้งเค้าจะตก

มือแกร่งกำสร้อยเส้นนั้นเอาไว้แน่นพร้อมกับจดหมายที่ไออุ่นเขียนถึง เขารีบรุดออกจากคอนโดตรงไปยังร้านดอกไม้อุ่นไอรัก ต่อให้มันจะดึกดื่นเที่ยงคืนหรือมากกว่านั้นก็จะต้องออกไปพบกับเบฟให้ได้ ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกตอนนี้กำลังเรียกร้องหาความจริง





>>> ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 13 ** 2017.11.05 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 05-11-2017 14:44:24
>>> ต่อจากข้างบนค่ะ



ไวน์หยุดยืนอยู่หน้าร้านที่ติดป้ายไว้ว่า ‘CLOSE’ ภายในนั้นมืดสนิทแต่กลับรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าในการจากไปของเจ้าของร้าน ดอกไม้ที่เคยงดงามอยู่เสมอยามที่เขาแวะเยือน บัดนี้ไร้ซึ่งสีสันและความมีชีวิตชีวา การจากไปของไออุ่นส่งผลกระทบต่อสิ่งรอบข้างได้มากมายถึงขนาดนี้เชียวหรือ

กริ่งที่อยู่ข้างประตูถูกกดลงไปถึงสามครั้ง และถูกกดอีกสามครั้งเมื่อภายในร้านไร้การเคลื่อนไหว

คราวนี้ไวน์ยืนรออยู่หน้าประตูไม่นาน ไฟในร้านบางดวงก็สว่างขึ้นก่อนจะปรากฏร่างของคนๆ หนึ่งที่กำลังเดินตรงมายังประตูร้าน แต่พอเจ้าตัวได้เห็นว่าใครมือบอนมากอดกริ่งกลางดึกชนิดที่ไร้ซึ่งความเกรงใจก็เป็นอันต้องชะงักไปเล็กน้อย ดวงหนาอันน่ารักน่าเอ็นดูนั้นแลบึ้งตึงขึ้นมาราวกับมีใครไปสับสวิตซ์เข้า

เบฟหยุดอยู่ตรงหน้าไวน์โดยมีเพียงแค่ประตูกระจกและประตูเหล็กกั้นเอาไว้เท่านั้น เขาเปิดประตูกระจกออกเล็กน้อยแล้วยืนนิ่งๆ รอฟังเหตุผลดีๆ ในการปลุกเขาขึ้นมากลางดึก

“ขอเข้าไปหน่อย”

“เสียใจ ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องมา”

ไวน์ชูสร้อยคอของไออุ่นให้ดู ประตูร้านถึงได้เปิดกว้างมากขึ้นในขณะที่เบฟเอื้อมมืออกไปเพื่อจะคว้าสร้อยเส้นนั้นเอาไว้แต่ไวน์กลับชักมันกลับแล้วบอกว่า “เปิดประตูให้เข้าไปก่อนสิ แล้วจะให้”

เบฟไม่มีทางเลือก เขาเหวี่ยงประตูกระจกเปิดดังโครมแล้วเดินไปหยิบกุญแจเพื่อมาไขประตูเหล็กด้านนอกให้ไวน์ได้ก้าวเข้ามาในร้าน

“เข้ามา เอาสร้อยวางไว้แล้วก็ไปได้แล้ว!”

“ขอเจออุ่นหน่อย”

“คิดว่านี่มันกี่โมง! จะตีหนึ่งแล้วไหม! เสร็จธุระแล้วก็กลับไปได้แล้ว”

“ธุระของผมคือการมาเจออุ่นและฟังความจริง”

“ความจริงอะไร! คุณก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือไง กลับไปได้แล้ว!! ที่นี่ไม่ต้อนรับคนที่ทำให้อุ่นตาย!”

แม้ความจริงไออุ่นอาจจะยังไม่ตาย เขาอาจจะช่วยยื้อร่างนั้นเอาไว้ได้ด้วยกุญแจที่อยู่บนสร้อยคอเส้นนั้นแต่ความเดือดดาลที่มีให้กับคนที่พรากคนรักไปจากเขามันไม่หมดไปจากใจได้ง่ายๆ

“ถ้าไม่ให้เจอ ถ้าไม่บอกความจริง งั้นผมคงต้องกลับแต่จะกลับไปพร้อมกับสิ่งสำคัญที่นายตามหามันมาตลอด”

กุญแจชิ้นสำคัญถูกชูแกว่งไปมาจนเบฟออกอาการหงุดหงิด จะปิดประตูใส่หน้าก็กลัวว่าจะไม่ได้กุญแจที่อยู่บนสร้อยเส้นนั้นกลับมา แต่ถ้าบอกความจริงออกไปก็คงไม่มีใครคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง

“จะไปเจออุ่นก่อนหรือฟังความจริงก่อน”

“ขอฟังความจริงก่อน ความจริงที่เกี่ยวกับอุ่นนะ”

เบฟทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งในร้าน สงสัยว่าเรื่องนี้อาจจะยาวจนเกือบโต้รุ่ง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ การที่จะเล่าเรื่องไออุ่นให้ใครสักคนได้ฟังมันไม่ใช่เรื่องง่ายในเวลาแบบนี้เลยจริงๆ

“อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”

“เขาบอกว่า… เขาเป็นตุ๊กตาไขลาน”

ไวน์ตัดสินใจถามออกไปตรงๆ แล้วกระเถิบเข้าใกล้เบฟมากขึ้นด้วยใจลุ้นระทึก

“อืม… ก็ตามนั้น อุ่นเป็นตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิตอยู่กับครอบครัวเรามาเกือบร้อยปี ไม่กิน ไม่นอน ใช้ชีวิตอย่างไม่หยุดพัก ไม่รู้จักความเจ็บปวด ร้องไห้ไม่ได้แม้จะเสียใจแค่ไหน น้ำตาของอุ่นก็ไม่เคยไหล”

คำอธิบายของเบฟช่วยไขข้อสงสัยที่เกิดขึ้นกับเขาจนหมดเกลี้ยง ในตอนนั้นที่เขาถามว่าเจ็บไหม ไออุ่นกลับมีท่าทีลังเลใจ ในตอนที่เขาให้ไออุ่นกินข้าว ฝ่ายนั้นกลับหาทางเลี่ยงทุกครั้ง ในตอนที่เขานึกสงสัยว่าไออุ่นต้องการชุดไขควงไปทำอะไรก็คงเพราะอยากซ่อมแซมร่างกายของตัวเอง

“แบบนี้เอง… หึ แบบนี้เองเหรอ”

ไวน์แหงนหน้าขึ้นมาเพดานห้อง กลั้นน้ำตาที่จะไหลลงมาให้ไหลย้อนกลับไป ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร โล่งใจหรือเจ็บปวด รู้สึกดีหรือรู้สึกแย่ ทุกอย่างที่เป็นความรู้สึกมันตีรวนจนสับสนไปหมด

“แบบไหน”

“ไม่ต้องเข้าใจหรอก พาไปเจออุ่นหน่อย”

เบฟพยักหน้า เขาลุกขึ้นแล้วเดินนำไปข้างบน ห้องนอนของไออุ่นดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา มีเพียงแค่ของใช้จำเป็นเท่านั้น ถ้าไม่เห็นว่ามีใครบางคนนอนอยู่บนเตียง สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของไวน์มันคือห้องว่างดีๆ นี่เอง

“อุ่นอยู่นั่น เอาสร้อยมาได้แล้ว”

ไวน์เห็นแล้ว เห็นไออุ่นนอนนิ่งอยู่บนเตียงและแล้วภาพในวินาทีแรกที่เขาเปิดเข้ามาในห้องนอนเมื่อได้รับคำบอกเล่าจากลูกน้องสะท้อนเข้ามาในดวงตา เสี้ยววินาทีหนึ่ง หัวใจของเขากระตุกวูบเหมือนถูกไฟช็อต

“ขอสร้อยด้วย”

เบฟที่กำลังพยุงร่างของไออุ่นให้ลุกขึ้นนั่ง ร้องเรียกขอสร้อยคอคืน แต่ก็ต้องย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงยืนเฉยอยู่กับที่ “สร้อย”

ไวน์เพิ่งได้สติจึงเดินเอาสร้อยของไออุ่นไปคืนให้ แต่เขาไม่ได้หนีหายไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างเตียงนอน รอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรกับสร้อยเส้นนั้น

คนที่นั่งอยู่บนเตียงรับสร้อยกลับคืนมาแล้วปล่อยให้ร่างของไออุ่นทิ้งน้ำหนักตัวลงมาที่เขา อีกมือที่ว่างอยู่นั้นสอดเข้าไปใต้เสื้อ คลำหาช่องเสียบกุญแจ อีกมือที่ถือสร้อยอยู่พยายามที่จะเสียบกุญแจเข้าช่องแต่มันไม่ง่ายเลยในเมื่อเขามองไม่เห็น

“ให้ช่วยไหม”

“ไม่ต้อง ทำเองได้”

เบฟใช้เวลาพยายามอยู่ไม่นานนัก กุญแจที่อยู่ในมือก็ลงล็อค เพียงแค่บิดหมุนมันทวนเข็มนาฬิกา ไออุ่นก็จะกลับมาหาเขาเหมือนเดิม กลับมาอยู่กับร้านที่รัก กลับมาให้เขาได้บอกรักทุกวัน แต่สวรรค์มักเล่นตลกกับมนุษย์เสมอจึงไม่มีทางที่จะให้สมหวังได้โดยง่าย… ลานฟรี

“ไม่นะ ไม่…”

เบฟลองกดกุญแจลงไปให้ลึกแล้วหมุนมันอีกครั้ง สีหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดลงถนัดเมื่อลานมันฟรี หมุนยังไงมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นจนไวน์ต้องเสนอความช่วยเหลืออีกครั้ง คราวนี้เขายอมเพราะคงทำเองคนเดียวไม่ได้ ใจมันสั่นจนไม่สามารถควบคุมให้มือนิ่งได้อีกแล้ว

ไวน์รับกุญแจมา ถลกเสื้อของไออุ่นขึ้น เขาไม่เคยสังเกต ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าไออุ่นจะเป็นตุ๊กตาไขลานจริงๆ จนได้มาเห็นกับตาตัวเองในครั้งนี้ มือข้างหนึ่งของเขาเกิดสั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ ความรู้สึกในตอนนี้ยากจะอธิบายให้เข้าใจเมื่อได้รับการยืนยันด้วยตาตัวเองว่าไออุ่นไม่ใช่มนุษย์อย่างเราๆ

กุญแจรูปทรงเฉพาะถูกเสียบลงกลางหลัง ทันทีที่หมุนย้อนกลับมันช่างง่ายดายเหมือนเราหมุนอะไรสักอย่างที่ข้างในมีความกลวงจนเกือบจะครบรอบ เขาได้ยินเสียงดังกึกอยู่สามสี่ครั้งแล้วราวกับลานในตัวเริ่มขยับ เขาถอนกุญแจออกแล้วยื่นมันคืนให้กับเจ้าของ ถอยหลังออกมาสองก้าวเพื่อให้ตัวได้ยืนอยู่ด้านหลังเบฟและมองเห็นภาพไออุ่นลืมตาขึ้นมาได้ชัดเจนขึ้น

ร่างกายที่เคยแน่นิ่งไปกลับมาขยับเขยื้อนได้อีกครั้ง

“อุ่น อุ่น… อุ่นกลับมาแล้ว” เบฟเรียกชื่อของคนที่รักสุดหัวใจซ้ำไปซ้ำมาด้วยความดีใจ

ไออุ่นโอบกอดร่างที่เขาซบพิงอย่างแนบแน่นพลางเหลือบมองคนที่อยู่สูงกว่าแล้วส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มที่ไม่ใช่ความโกรธเกลียด ไม่ใช่การกล่าวโทษ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของการตำหนิติเตียนพาให้หัวใจของผู้ที่ได้รับรอยยิ้มนั้นแข็งทื่อ ทั้งที่ตัวเขาเองพยายามหาทางแก้ไขความผิดนั้นแต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่แม้แต่จะใส่ใจ

“แต่อุ่นคงบอกได้แค่ว่า… ลาก่อน”

“เอ๊ะ?”

“อุ่นอยู่มานานแล้วนะ ยังไงวันหนึ่งก็ต้องจากไปอยู่ดี เพียงแต่วันนั้นมันมาถึงเร็วกว่าที่คิดก็เท่านั้นเอง เบฟต้องเป็นเด็กดีของแด๊ดกับแม่นะ”

“อุ่น… ไม่เอาๆ ไม่ให้ไป”

เบฟกอดร่างนั้นเอาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม พอรู้ว่าไออุ่นจะต้องหายไปจากชีวิตเขา น้ำตาก็ร่วงพล็อยลงมาทีละหยด พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้เอาไว้ พยายามบังคับร่างตัวเองไม่ให้สั่นไหวทั้งที่รู้ว่ามันยาก หัวใจเขาในตอนนี้เหมือนมีใครบางคนโยนมันทิ้งลงมาจากที่สูง ทันทีที่ตกถึงพื้นก็แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี

“ไม่ร้องสิครับ เด็กดี”

“ไม่ได้ร้อง”

ไออุ่นหลุดยิ้มเล็กน้อย “ครับๆ ไม่ได้ร้องก็ไม่ได้ร้อง…” แล้วเงยหน้ามองร่างที่อยู่สูงกว่า “ขอโทษนะ”

ไม่รู้ว่าไวน์จะเข้าใจไหมว่าเขากำลังเอ่ยขอโทษอยู่ ขอโทษที่ไม่ได้บอกความจริง ขอโทษที่เด็กคนนี้อาจก่อเรื่องวุ่นวายให้ ขอโทษที่เขาไม่อาจตอบรับความรู้สึกนั้นได้แม้ในใจจะรู้สึกแบบเดียวกันก็ตาม

“ขอกอดอุ่นแบบนี้ไปตลอดเลยได้ไหม”

ไออุ่นพยักหน้าแต่ดวงตาสีหยกนั้นยังคงจ้องมองใบหน้าของไวน์ไม่วางตา เสียงบางอย่างในร่างกายเริ่มลั่นร้อง มันคงเหลือเวลาให้เขาได้เก็บเกี่ยวความสุขที่อยู่ตรงหน้าอยู่เพียงไม่กี่อึดใจแล้ว

“อืม ได้สิ”

ไออุ่นยื่นมือข้างหนึ่งของตัวเองไปตรงหน้าไวน์พร้อมกับส่งยิ้มหวาน มันช่างงดงามตอบรับกับรูปหน้าเรียวและดวงตาสีหยกคู่นั้น ประทับติดตรึงใจจนยากแก่การลบเลือน หากแต่ถ้าไวน์จะเข้าใจคงรับรู้ได้ไม่ยากว่านี่เป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่บ่งบอกถึงการจากลานิรันดร์กาล

เพียงแค่มือใหญ่แตะสัมผัสอย่างแผ่วเบา เปลือกตาบางก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวปิดลงอย่างช้าๆ ค่อยๆ ซึมซับทุกสิ่งที่ส่งผ่านมือคู่นั้นมา รอยยิ้มอันงดงามยังคงประดับอยู่บนใบหน้า หากแต่มือที่เกาะกุมกันไว้ลู่ลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไออุ่นถูกดึงรั้งให้กลับคืนสู่ผืนแผ่นดิน

“อุ่น… อุ่น… อย่าเงียบสิ อุ่น”

“…….”

ไวน์ได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตา เขาเม้มปากแน่นพยายามกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้

“อุ่น!! ไม่ๆ อุ่น!!”

เบฟดึงร่างที่ซบตัวเขาออกอย่างช้าๆ วินาทีที่เห็นว่าไออุ่นพลิ้วไหวตามแรงเหวี่ยง ขยับไปอย่างไร้ทิศทาง บังคับให้ไปซ้ายก็ไปซ้าย บังคับให้ไปขวาก็ไปขวา ความรู้สึกที่อิ่มเอมอยู่ในอกพลันหายวับไปในพริบตาแทนที่ด้วยความปวดร้าว

“อุ่น!!! ม่ายยยยยยยยย”

มือแกร่งรั้งร่างนั้นเอาไว้ โอบกอดแนบแน่นด้วยความรักสุดหัวใจ น้ำตาร่วงรินจากดวงตาคู่สวยอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ หากไออุ่นไม่กลับมา และดูเหมือนว่าไออุ่นจะตั้งใจทิ้งเขาเอาไว้เบื้องหลังโดยไม่รับรู้ว่าตัวเขาจะรู้สึกอย่างไรกับการจากไปในครั้งนี้ การจากไปที่ไม่อาจรับปากได้ว่าเมื่อไขลานอีกครั้ง ไออุ่นจะกลับมายิ้มให้เขาได้อีกหรือไม่ เขารีบคว้าเอากุญแจมาเสียบใส่ช่องที่หลัง หมุนวนทวนเข็มนาฬิกาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ในความเงียบ ไร้การเคลื่อนไหวไม่ว่าจะลองพยายามอีกสักกี่ครั้ง จะหมุนจนกุญแจหักคาช่องก็ไม่มีวันพาไออุ่นกลับมาจากความตายได้อีก

“อุ่น!!! ฟื้นสิ!! ลืมตาขึ้นมาสิ!!! ลืมตาเดี๋ยวนี้นะ!!!”

“เขา… จากไปแล้ว… ใช่ไหม”

ไวน์เองก็อยากได้คำยืนยันให้แน่ใจว่าไออุ่นจะไม่กลับมาอีกแล้ว เขาจะไม่ได้รับช่อดอกไม้ฝีมือไออุ่น ไม่ได้สบดวงตาสีหยกคู่นั้น ไม่มีโอกาสได้ฟังเสียงอันไพเราะเอ่ยทักทาย ไม่มีโอกาสได้ชิมน้ำฝีมือไออุ่นอีกแล้ว

เบฟนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร เขาประคองร่างของไออุ่นให้นอนราบลงบนเตียงอย่างเบามือราวกับถ้าออกแรงมากกว่านี้เพียงเล็กน้อย ร่างนั้นจะสูญสลายไป สองมือกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน ความเดือนดาลที่ครุกกรุ่นอยู่ในใจปะทุแตกออกมาเป็นสาย ความรู้สึกในเวลานี้เต็มไปด้วยความเสียใจ โกรธแค้นและกล่าวโทษ

หมัดหนักๆ ของคนที่นั่งอยู่บนเตียงกระแทกเข้าหน้าของไวน์เต็มแรงจนถึงกับทำให้ร่างนั้นเซถอยหลัง เบฟตามเข้าไปซ้ำอีกหลายหมัด ระบายความโกรธและแค้นเคืองบนใบหน้าอันหล่อเหลา ร่างสูงล้มลงกับพื้นและเขาก็ไม่พลาดที่จะกระหน่ำความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้ลงบนใบหน้าของคนที่พรากเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากชีวิตเขาไป

ไวน์ไม่ปัดป้อง ไม่โต้กลับ อยู่นิ่งๆ รอรับหมัดที่ถูกประเคนใส่หน้าหลายต่อหลายหมัดจนกระทั่งล้มลงไปก็ยังปล่อยให้ตามเข้ามาซ้ำ ความผิดบาปที่ทำให้ไออุ่นจากไปทำให้เขาอยู่เฉย รอรับบทลงโทษ

หลังจากที่ระบายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกจนแทบจะหมดแรง เบฟก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าการกระทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้ไออุ่นกลับมา

“เจ็บไหม”

เจ็บไหม… แน่นอนว่าถ้าเป็นร่างกายมันคงตอบว่าเจ็บมากแต่ที่เจ็บกว่า เห็นทีคงจะเป็นหัวใจ

“ก็ไม่เท่าไร”

“เอาอีกสักสิบหมัดไหม”

“เอาสิ จะอีกสักร้อยหมัดก็ได้ เอาที่สบายใจเลย”

“หึ! ต่อยไปก็ทำให้อุ่นกลับมาไม่ได้ อีกอย่าง… มันเจ็บมือด้วย”

คำตอบของเบฟเรียกรอยยิ้มจากไวน์ได้นิดหน่อย ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ระบายโทสะลงกับเขาไปตั้งมากมาย

“อย่าตัดความหวังตัวเองแบบนั้นสิ ไออุ่นเป็นตุ๊กตาไขลาน ยังไงก็ต้องพาเขากลับมาได้ เรา… มาพักรบแล้วร่วมมือกันสักหน่อยไหม”

“ร่วมมือ? กับคุณเนี่ยนะ! เหม็นขี้หน้า!” ร่างข้างๆ จิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะว่าต่อ “แต่เพื่ออุ่น… ก็ได้ ยกธงพักรบชั่วคราว อุ่นกลับมาเมื่อไรค่อยรบกันต่อยังไม่สาย”

“โอเค งั้นกลับก่อนล่ะ”

ไวน์ยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ปาดเลือดที่ไหลเปรอะมุมปากออกแล้วลุกขึ้นยืน ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องไป

“ขอโทษนะที่เมื่อก่อนเคยพูดไม่ดีเอาไว้ทั้งที่คุณอายุมากกว่าและก็เป็นลูกค้าของร้าน”

 จู่ๆ เบฟก็พูดขึ้นมาถึงเรื่องเมื่อครั้งนั้นที่เขาเคยพูดจาหวงก้างไม่ดีไว้กับไวน์ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วฝ่ายนั้นตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ แต่ไวน์กลับไม่ได้ติดใจหรือถือสาหาความอะไรกับเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย

“ผมกับอุ่น เรามีกันอยู่แค่สองคน ผม... ไม่อยากเสียเขาไปไม่ว่าจะให้กับใครหรือกับอะไร”

“ผมก็ขอโทษเหมือนกันที่พาตัวเขาไป”

เบฟนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะพยักหน้าเป็นเชิงว่าตัวเขาให้อภัยในสิ่งที่อีกฝ่ายทำลงไป “ไวน์ แล้วเจอกัน”

“อืม… แล้วเจอกัน”





** ติดตามตอนต่อไป **




เอิ่มมมมม อุ่นมาแล้วก็จากไป T^T
ในจดหมายของอุ่นก็ไม่มีอะไรมาก แต่คิดว่าน่าจะมีประโยคสำคัญประโยคหนึ่งที่เขียนให้ไวน์ ไม่รู้จะรู้หรือเปล่าว่าอุ่นต้องการบอกอะไร
มาลุ้นด้วยกันนะคะว่าสุดท้ายแล้วจะช่วยไออุ่นกลับมาได้ไหม หรือว่าเขาจะจากไปตลอดกาล

นอกจากนี้ยังมีเรื่องแจ้งให้ทราบด้วยค่ะ คือ...
ขออนุญาตแจ้งผู้อ่านทุกท่านว่าจะงดอัพนิยายประมาณ 1 เดือนนะคะ
เนื่องจากว่าผู้แต่งซึ่งคือเราเองจะออกไปท่องโลกกว้าง ณ แดนอาทิตย์อุทัยเป็นระยะเวลาราวๆ 2 สัปดาห์ค่ะ
จึงคิดว่าชีวิตค่อนข้างวุ่นวายแน่นอน ไหนจะเช็คแพลนรอบสุดท้าย เตรียมของ คอนเฟิร์มโรงแรม บลาๆๆ อีกมากมายเลย
เห็นช่วงระยะเวลาที่จะเงียบหายไปแล้วค่อนข้างจะนานอยู่พอสมควรเลย
อย่าเพิ่งลืมนิยายเรื่องนี้กันก่อนนะคะ อย่าเพิ่งลืมไออุ่นกับไวน์กันนะคะ ขอบคุณมากค่ะ



-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-



alternative
ขอบคุณนะคะ ไออุ่นก็ใจเด็ดนิดนึงค่ะ แต่ว่าเหมือนเขารู้ว่าไม่วันนี้ก็วันข้างหน้า ลานในตัวจะหยุดเดินแล้วตอนนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมที่จะจากที่สุดแล้วอ่ะค่ะ

rockiidixon666
ขอบคุณนะคะ พี่ไวน์หาสร้อยมาคืนได้แล้วค่ะ แต่ก็.... นะ T^T

KARMI
ขอบคุณนะคะ ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ

areenart1984
ขอบคุณนะคะ อุ่นวางสร้อยกับจดหมายไว้ในที่ลับตาคนค่ะ เห็นได้คนเดียวคืออุ่น เพราะอุ่นเป็นตุ๊กตา แหะๆ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ เรือพีทเบฟน่าจะอีกไกลเลยกว่าจะถึงฝั่ง มันอยู่ลิบๆ นู้นเลยค่ะ

sirin_chadada
ขอบคุณนะคะ เจอจดหมาย เจอสร้อยแล้วนะคะ แต่... ข้อความในจดหมาย อุ่นเขียนได้สั้นมาก ฮ่าๆๆ

shoky_9
ขอบคุณนะคะ กลับมาแล้วและก็ไปแล้วค่ะ T^T


หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 13 ** 2017.11.05 **
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-11-2017 22:57:08
พีททททททท อยู่ไซ  เตรียมหาอะหลั่ยอุ่นด่วนนนนนนนนนนนนนนนน  :dont2:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 13 ** 2017.11.05 **
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 06-11-2017 00:23:30
 :mew4:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 13 ** 2017.11.05 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-11-2017 00:42:35
ใจสลายอีกรอบ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 13 ** 2017.11.05 **
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 07-11-2017 12:31:33
เสียใจ ฮือ  :m15:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 13 ** 2017.11.05 **
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 07-11-2017 16:27:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 13 ** 2017.11.05 **
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 11-11-2017 14:33:11
เป็นเริ่องที่เดาอะไรไม่ได้เลย และไม่ควรเดาด้วย เบฟคือเด็กก็คือเด็กจริงๆ เสียสติสุดก็เบฟนี่แหละ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 14 ** 2017.12.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 10-12-2017 18:06:27
เบฟทำใจอยู่สักพักใหญ่ นั่งจดๆ จ้องๆ โทรศัพท์มือถืออยู่นานสองนานจนในที่สุดก็ตัดสินใจกดโทรหาผู้เป็นพ่อด้วยหัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ มือไม้สั่นเทาเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย

// เจออุลแล้วเหรอ //

“เอ่อ… ครับ เจอแล้วครับ”

// อุลเป็นยังไงบ้าง ขอแด๊ดคุยหน่อย //

คำนี้แหละที่เบฟกลัว

“เอ่อ… แด๊ด ทำใจดีๆ ไว้นะ”

// เกิดอะไรขึ้นกับอุล เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม //

“เอ่อ… ป๊ะป๋าจากไปแล้วครับ”

// พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า อุลเนี่ยนะจะจากไปแล้ว มันหมายความว่ายังไง อย่ามาพูดจาติดตลกกับแด๊ดนะ //

เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ เบฟไม่กล้าจะเอามาเป็นเรื่องล้อเล่นได้หรอก ไออุ่นจากไปแล้วนั่นคือสิ่งที่เขาหมายความแบบนั้นจริงๆ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พร้อมตั้งสติเตรียมรับมือกับคำต่อว่าที่อาจจะบั่นทอนจิตใจ

“ผมหมายความตามนั้นเลย ลานในตัวของป๊ะป๋ามันหยุดเดินไปแล้ว”

// โกหก! แกโกหกใช่ไหม! แกยังไม่เจอเขาแต่แกอ้างว่าเขาจากเราไปแล้วใช่ไหม! แกเห็นแด๊ดเป็นอะไร! //

“ผม… ไม่ได้โกหก”

// แกโกหก!! //

“ผมเองก็อยากให้มันเป็นเรื่องโกหกแต่มันคือความจริง ถ้าแด๊ดไม่เชื่อก็มาดูให้เห็นกับตาตัวเองที่ร้าน”

ปลายสายเงียบไปสนิทจนเบฟใจคอไม่ค่อยดี

“แด๊ด อยู่หรือเปล่า”

ปลายสายก็ยังคงไว้ซึ่งความเงียบแต่เพียงไม่กี่อึดใจ เบฟถึงเพิ่งจะได้ยินเสียงตอบกลับ น้ำเสียงฟังไม่สู้ดีเท่าไรนัก

// ตั้งแต่เมื่อไร อุลจากเราไปตั้งแต่เมื่อไร //

“เมื่อวานครับ”

// เมื่อวาน? //

“ครับ”

// อุล… ได้พูดอะไรไหม //

“ไม่ครับ บอกแค่ว่ามันถึงเวลาแล้ว และก็ลาก่อน”

เป็นอีกครั้งที่สเตซี่เงียบไป

“แด๊ด…”

// อืม พรุ่งนี้จะเข้าไปหานะ //

“แล้วต้องบอกย่าไหม”

// เดี๋ยวแด๊ดบอกเอง //

“ครับ”

หลังจากที่วางสายจากสเตซี่ไป พีทก็แวะเข้ามาที่ร้านพร้อมด้วยของกินมากมาย เขาหวังจะเอามาปลอบใจให้หายเศร้าแต่ก็พอรู้ว่ามันคงจะไม่ได้ผลสักเท่าไร

“เบฟ เป็นยังไงบ้าง”

“พีท”

น้ำเสียงของเบฟฟังดูก็รู้ว่ามีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่เมื่อวานนี้ แถมขอบตายังดำคล้ำ บวมเป่งบ่งบอกถึงว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง

“เกิดอะไรขึ้น”

“กูได้กุญแจมาแล้วนะ แต่อุ่น… ไปแล้ว”

พีทวางของที่ถือมาลงบนโต๊ะทำงานของไออุ่น

“ไปแล้ว?”

“เมื่อคืนไวน์เอาสร้อยของอุ่นมาให้ ลองไขแล้วแต่ลานมันฟรี มันไขไม่ได้อีกแล้วว่ะ อุ่นไม่กลับมาแล้ว”

พอพูดถึงไออุ่นอีกครั้ง น้ำตาก็พานจะไหลลงมาอีกรอบ เมื่อคืนเบฟก็เสียน้ำตาไปทั้งคืนแล้วจนตอนนี้มันไม่เหลือให้แสดงถึงความเสียใจได้อีก

ไร้ซึ่งคำพูด มีเพียงอ้อมกอดจากพีทเท่านั้นที่แสดงให้เห็นถึงคำปลอบใจ

“แต่กูจะพาเขากลับมา กูต้องพาเขากลับมา มึงต้องช่วยกูนะ พีท”

พีทอยากจะบอกให้เข้าใจถึงความจริงที่ว่าต่อให้พาไออุ่นกลับมาได้ บางทีอาจจะได้มาแค่ตัวแต่จิตวิญญาณที่เป็นไออุ่นอาจหายไป ทว่าเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดสิ่งที่บั่นทอนจิตใจของอีกฝ่ายได้

“อืม แต่มีข้อแม้นะ นายต้องเรียนให้จบก่อน เมื่อถึงตอนนั้นพี่จะช่วยทุกอย่าง”

“รอให้จบ!? อีกตั้งหลายเดือน ไม่ไหวว่ะ”

“อยากให้พี่อุ่นตื่นขึ้นมาแล้วเจอว่านายกลายเป็นศพไปแล้วเหรอ หรืออยากให้พี่อุ่นไม่ภูมิใจว่าคนที่เขารักมากที่สุดไม่ได้คว้าเกียรตินิยมมาให้น่ะ หรือ… บางทีนายอาจจะน็อคตายไปก่อนจะพาพี่อุ่นกลับมาก็ได้”

คำสันนิษฐานของพีทแต่ละอย่างสยดสยองต่อใจทั้งนั้น จะทำอะไรทีมีผลกระทบต่อไออุ่นทุกอย่าง เขารีบส่ายหน้า ให้ตายก็ยังไม่อยากทำให้ไออุ่นผิดหวังหรือทำให้ตัวเองหมดโอกาสก่อนที่จะพาไออุ่นกลับมาจากความตายได้

“จะให้กูทนถึงตอนนั้นเลยเหรอวะ มึงคิดว่าใจกูเข้มแข็งมากเลย?”

“เปล่า แต่ถ้านายตั้งใจเรียนจนจบมันจะเป็นผลดีกับตัวนายมากกว่า”

“มึงต้องการทรมานกูระหว่างนั้นเหรอ ให้กูเห็นเขานอนนิ่งๆ ตั้งหลายเดือนโดยที่รู้ว่ากูมีโอกาสทำให้เขากลับมาได้แต่กูต้องรอจนกว่าจะถึงเวลา”

พีทหลุดขำนิดหน่อยก่อนจะทำเสียงเข้มเหมือนเดิม

“ไม่ได้จะทรมานแต่เพื่อตัวนายเองต่างหาก ใช่ว่าจะมีนายคนเดียวที่ทรมานนะ”

เบฟเลิกพูด เขาเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองจะพ่ายแพ้ เถียงไปก็เสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ สู้เอาเวลานั้นไปจัดการของกินที่พีทหอบหิ้วมาให้จะดีกว่าจึงคว้าเอาถุงของกินหลายถุงบนโต๊ะทำงานของไออุ่นแล้วเดินเข้าข้างหลังร้านไป

“สรุปยังไง! เบฟ!”

“ตามที่มึงว่านั่นแหละ! กูยังตายไม่ได้จนกว่าอุ่นจะกลับมา เพราะงั้นมึงไม่ต้องห่วง!”

เบฟตะโกนกลับไปแล้วชูให้เห็นว่าเขาจะเอาของที่อยู่ในมือไปทำให้ตัวเขามีชีวิตอยู่ต่อ

เห็นแบบนั้นพีทก็เบาใจไปได้เปราะหนึ่ง อย่างน้อยๆ เขาก็ได้รู้ว่าเด็กคนนั้นจะไม่ทรมานตัวเองหลังจากนี้ แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าความเข้มแข็งที่พยายามสร้างขึ้นมามันจะพังทลายลงไปเมื่อไร เช่นเดียวกับที่เขาต้องข่มใจไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดกับการจากไปของไออุ่นเวลาที่อยู่ต่อหน้าเบฟ แม้เขาอยากจะร้องไห้ทันทีที่ได้ยินข่าวร้ายก็ต้องกล้ำกลืนน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาให้ไหลกลับไป


------------------------------------------------


หลังจากที่พีทออกจากร้านไปได้ไม่นาน สเตซี่ก็เข้ามาพร้อมกับรุ้ง สีหน้าของเขาดูอิดโรยเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายคืน ร่างกายซูบผอมลงถนัดตา

“อุลล่ะ”

“ข้างบนครับ”

เบฟปล่อยให้ผู้เป็นพ่อเดินขึ้นไปข้างบนเพียงลำพัง ในช่วงเวลาแบบนี้คนเรามักต้องการพื้นที่ที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับตุ๊กตาไขลานอันเป็นที่รักแค่สองคน

“ลูกดูโทรมไปเยอะเลยนะ”

รุ้งเอื้อมมือออกไปลูบโครงหน้าลูกชาย จับไปแล้วเจอแต่กระดูกทั้งนั้น ขอบตาทั้งช้ำทั้งดำคล้ำดูก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงอีกทั้งยังคงอดหลับอดนอนด้วยล่ะมั้ง ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไออุ่นยังอยู่ด้วย ตอนนั้นลูกชายของเธอดูมีเนื้อมีหนังมากกว่าแถมใบหน้ายังแจ่มใสสดชื่น ดูน่ารักน่าเอ็นดูกว่าตอนนี้เป็นไหนๆ

“นิดหน่อยครับ ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วด้วย”

“อย่าหักโหมมากล่ะ แม่มีลูกชายอยู่คนเดียวนะ”

“ครับ รู้ครับ”

“แม่ตุ๋นน้ำแกงฟักมาให้ลูกด้วย เดี๋ยวแม่เอาไปอุ่นให้กินสักหน่อยดีกว่า”

ในขณะที่รุ้งกำลังจะเดินเข้าครัวที่อยู่ข้างหลังก็ถูกใครคนหนึ่งโอบกอดเอาไว้จากทางด้านหลัง เธอยืนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น

“แม่ครับ ถ้าป๊ะป๋าไม่กลับมาแล้วแด๊ดจะโกรธไหม”

“เด็กโง่! แด๊ดจะโกรธทำไม”

“เพราะเบฟทำให้ป๊ะป๋าตาย เบฟดูแลเขาไม่ดีพอ ทั้งๆ ที่ป๊ะป๋าเป็นสิ่งสำคัญของทุกคนในครอบครัว เบฟกลับปล่อยให้ป๊ะป๋าหายไป พอได้เขากลับมาก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”

“ไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของลูกทั้งนั้น อุ่นน่ะถึงจะเป็นตุ๊กตาไขลานแต่เขาก็มีอายุขัยนะ เขาจะมีชีวิตที่ยืนยาวหรือสั้นแค่ไหนมันขึ้นอยู่กับสภาพอะไหล่ในร่างกาย ลูกลองนึกถึงสภาพรถยนต์สิ ครั้งแรกที่ใช้งาน ทุกอย่างยังดูใหม่เอี่ยมไม่มีอะไรเป็นปัญหา แต่พอผ่านไปหลายปีก็จะต้องมีการสึกหรอไปตามการใช้งาน สุดท้ายแล้วเมื่อนานวันเข้ารถคันนั้นก็จะกลายเป็นเพียงเศษเหล็กที่ใช้งานไม่ได้อีก ชีวิตของไออุ่นก็เป็นแบบนั้นแหละ”

รุ้งเอี้ยวตัวกลับมาลูบหัวลูกชายอย่างอ่อนโยนเป็นเชิงปลอบใจไม่ให้คิดมาก ชีวิตคนเรานั้นย่อมเป็นไปตามวัฏสงสาร แม้แต่ตุ๊กตาไขลานอย่างไออุ่นก็ยังหนีไม่พ้น 

“แม่…”

ไม่รู้เมื่อไรที่เบฟกลายเป็นเด็กบ่อน้ำตาตื้น เขาร้องไห้ไม่หยุด คำปลอบโยนของผู้เป็นแม่แม้จะไม่อ่อนหวานเท่าไรนักแต่ก็ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ที่กองสุมกันจนล้นใจ

“ลูกแม่เป็นเด็กขี้แยเหรอเนี่ย หืม…?”

“แม่…”

ริมฝีปากบางถูกขบเข้าหากัน โดนแม่ล้อแบบนี้ น้ำตาเขาเลยหยุดไหลเสียดื้อๆ

“แม่ไปอุ่นน้ำแกงให้ดีกว่า”

เบฟปล่อยให้ผู้เป็นแม่นำน้ำแกงฟักที่นำมาไปอุ่นร้อน ส่วนเขาได้แต่นั่งรอนั่งเล่นอยู่ตรงที่ที่ไออุ่นมันจะนั่งประจำ ภาพความทรงจำเก่าๆ ตอนที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับตุ๊กตาไขลานตัวนั้นก็ผุดพรายขึ้นมาราวกับดอกเห็ดในป่าชื้น


“ป๊ะป๋า กินติม กินติม!”
เด็กตัวน้อยวัยห้าขวบกระโดดหย๋อยๆ อยู่ในร้านพลางชี้ออกไปข้างนอกเมื่อเห็นรถเข็นไอศกรีมแล่นผ่านไป
“ออกไปซื้อสิ แล้วค่อยมาเอาเงิน ถามเขาด้วยนะว่าเท่าไร”
เด็กน้อยคนนั้นเมื่อได้รับคำอนุญาตก็วิ่งโร่ออกจากร้านไปด้วยความดีอกดีใจ ปืนขึ้นรถขายไอศกรีมเพื่อเลือกอันที่อยากกินแต่ไม่ลืมที่จะหยิบเผื่อป๊ะป๋าด้วย พอกลับเข้ามาในร้านพร้อมไอศกรีมสองแท่ง รับเงินไปจ่ายให้คนขาย ป๊ะป๋าของเขาก็อมยิ้ม
“เบฟซื้อให้ป๊ะป๋าด้วย”
เด็กน้อยยื่นไอศกรีมแท่งหนึ่งไปให้กับป๊ะป๋า
“ป๊ะป๋ากินไม่ได้หรอกครับ”
“งั้นของเบฟสองอันเลยนะ”
“เด็กเจ้าเล่ห์เอ๊ย!"


เบฟหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อนึกย้อนถึงตอนตัวเองยังอยู่อนุบาล ตอนนั้นอยากกินไอศกรีมมากแถมยังตื่นเต้นไปหน่อยเลยลืมไปว่าไออุ่นกินไม่ได้ แต่หลังจากนั้นเวลาที่ได้ออกไปซื้อไอศกรีมข้างนอกก็มักจะชอบทำเป็นลืมทุกครั้ง เพราะเขาจะได้กินไอศกรีมในส่วนของไออุ่นด้วย

“ป๊ะป๋า!! เบฟเก่งไหมๆ”
หลังจากได้รับสมุดพกจากทางโรงเรียน เบฟก็รีบกลับบ้านเอาเกรดสวยๆ มาอวดด้วยความตื่นเต้นดีใจที่คราวนี้ได้เกรดดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ ไออุ่นรับสมุดพกไปเปิดดูแล้วลูบหัวชื่นชม
“เอาแรงฮึดมาจากไหนเนี่ยเรา ได้เกือบสี่เชียว”
“ก็ป๊ะป๋าบอกอยากได้เกรดดีๆ ให้รางวัลเบฟด้วยครับ”
“แล้วเราอยากได้อะไรล่ะ”
เด็กน้อยวัยสิบขวบทำแก้มป่อง เอียงข้างเล็กน้อยพร้อมกับเอานิ้วจิ้มแก้มตัวเองไปมา ไออุ่นโน้มตัวลงประทับรอยจูบลงบนแก้มกลมๆ ของลูกชาย
“เอาอีกๆ ตรงนี้ด้วย”
นิ้วกลมๆ จิ้มไปที่ปากของตัวเอง ได้คืบจะเอาศอก… แน่นอน! ก็เพราะเขาตั้งอกตั้งใจเรียนจนได้ดีขนาดนี้ รางวัลเดียวสำหรับเด็กคนนี้มันยังน้อยเกินไป
“แหนะ! ป๊ะป๋าจุ๊บแก้มอีกข้างแทนได้ไหม”
“ไม่ได้ ต้องตรงนี้เท่านั้นครับ”
เด็กน้อยช่างเอาแต่ใจ จิ้มที่ปากของตัวเองเรื่อยๆ จนไออุ่นถึงกับต้องยอมตามใจ ไม่อย่างนั้นก็คงร้องโยเยไม่เลิก เมื่อริมฝีปากถูกสัมผัสเพียงแผ่วเบาก็เหมือนกับจะมีสายฟ้าแล่นผ่านเข้าร่าง ถึงเบฟจะอายุแค่สิบขวบแต่เขากลับรู้สึกแปลกๆ กับรอยจูบนั้น เขาอยากได้มันอีก


นึกถึงตอนนั้นแล้วก็เผลอเอามือลูบปาก จูบครั้งนั้นแม้จะแผ่วเบาเหมือนแค่แตะโดนธรรมดาแต่กลับเปลี่ยนความรู้สึกของเบฟไปจนหมด และตั้งแต่วินาทีนั้นเขาก็มองไออุ่นด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเคยอีก

“เบฟ”

“คะ… ครับ”

เบฟหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองแล้วหันไปมองผู้เป็นพ่อที่เดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ขอแด๊ดคุยด้วยหน่อย”

“ครับ”

“แกคิดจะเอายังไงต่อจากนี้”

“ผมจะอยู่ที่นี่ จะพาป๊ะป๋ากลับมาอยู่กับเราอีกครั้งให้ได้”

“เบฟ… อุลไปแล้ว เราทำอะไรไม่ได้แล้ว”

สเตซี่ไม่อยากทำลายความฝันของลูกชาย แต่สิ่งที่เขาพูดคือความจริง ไออุ่นมีชีวิตอยู่ได้ด้วยปาฏิหาริย์ทั้งที่เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานธรรมดา และตอนนี้ปาฏิหาริย์นั่นจากไปแล้ว

“ทำได้ ต้องทำได้”

ทั้งที่พูดออกไปแบบนั้นแต่ทำไมหัวใจถึงได้รู้สึกว่าวันนั้นจะไม่มาถึง

“แกตั้งใจฟังให้ดีนะ อุลไม่กลับมาแล้ว มันคือความจริง”

“ไม่!! ป๊ะป๋าต้องกลับมา! ยังไงก็ต้องกลับมา!”

เบฟระเบิดเสียงดังลั่น ความรู้สึกของเขาเหมือนก้อนกลมๆ ที่พร้อมจะเปราะแตกและตอนนี้มันก็กลายเป็นเสี่ยงๆ ความหวังกับความเป็นจริงที่สวนทางกันตอกย้ำความเจ็บปวดให้ลึกลงไปในใจ หยาดหยดน้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสายท่วมท้น ร่างกายอ่อนแรงฉับพลัน ทรุดลงกับพื้น

“อุลไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว ต่อให้แกใช้ทั้งชีวิตก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้”

“เราซ่อมได้ มัน… ฮึก! ต้องซ่อมได้”

“จะซ่อมอะไร แกจะซ่อมตุ๊กตาไขลานหรือซ่อมชีวิตของอุล”

นิ้วเรียวปาดน้ำตาที่ไหลรื้นออกมาจากดวงตาสีฟ้าคราม สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลั้นเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองเอาไว้ แหงนหน้ามองผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่สูงกว่า

“ซ่อมป๊ะป๋า… ถ้าซ่อมได้ ป๊ะป๋าก็ต้องกลับมา”

“แกตอบไม่ตรงคำถามนะ”

“ซ่อมป๊ะป๋า” เบฟยังคงยืนกรานอยู่เช่นนั้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“แกฟังให้ดีนะ ต่อให้แกซ่อมตุ๊กตาไขลานที่ชื่อว่าป๊ะป๋าได้ แล้วชีวิตของอุลล่ะ แกจะตามหามันมาจากที่ไหน มันก็เหมือนกับแกยื้อร่างนั้นทั้งๆ ที่เขาจากไปนานแล้ว สิ่งที่แกจะได้ก็มีแค่ร่างกายเท่านั้น”

“ม่ายยยย แด๊ดไม่เข้าใจ!!!”

“ฉันเข้าใจดีเลยล่ะ เข้าใจดีกว่าแกด้วย”

สเตซี่ทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งในร้าน ทอดสายตาที่เจ็บปวดมองร่างลูกชาย “แกคิดว่าฉันไม่เสียใจเหรอที่อุลจากไป คิดว่าฉันไม่อยากได้อุลกลับมาเหรอ แกคิดว่าฉันไม่พยายามทำอะไรเลยเหรอ”

ความเงียบเข้าครอบงำอยู่เพียงชั่วอึดใจ สเตซี่ก็พูดขึ้นมาต่อ “แต่แค่ฉันยอมรับความจริงได้เร็วกว่าแก”

“ผมจะพาป๊ะป๋ากลับมา! ต่อให้มันต้องใช้ทั้งชีวิตของผมเพื่อแลกกับเขาก็จะทำ! เพราะอย่างน้อยผมก็ได้พยายามแล้ว ไม่ใช่เอาแต่พูดว่ายอมรับความจริงเหมือนที่แด๊ดพูดแล้วไม่พยายามอะไรเลย”

“แกคิดว่าฉันไม่พยายามอย่างนั้นเหรอ!! ฉันพยามรอ อดทนรอ!! แกรู้ไหมว่ามันแย่แค่ไหนที่ทำได้แค่รอ! ทั้งที่ฉันอยากจะออกไปตามหาแต่มันต้องไปเริ่มที่ไหนล่ะ! แกรู้งั้นเหรอ! แกเองก็ทำได้แค่รอเหมือนกัน!”

“แต่แด๊ดไม่ทำอะไรเลย ป๊ะป๋าอยู่นี่แล้วแต่แด๊ดก็ยังเฉย”

เสียงเบฟฟังดูอ่อนลง ประโยคก่อนหน้านี้เขาไม่เถียงหรอกเพราะมันคือความจริง แต่คงไม่อยู่เฉยแล้วปล่อยให้คนที่รักจากไปทั้งๆ อย่างนี้แน่ เขาต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแม้ว่ามันจะไม่ได้ผล เพราะสุดท้ายแล้วเขาไม่อยากนึกเสียใจในภายหลังว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะพยายาม หากสักวันหนึ่งไออุ่นรับรู้ถึงมันได้ก็อาจจะกลับมาหาเขา

“นี่! แกเข้าใจคำว่าความจริงบ้างไหม”

“ก็นี่ไง ความจริง ความจริงที่เราควรพยายามเพื่อป๊ะป๋าไง”

“ฉันเบื่อจะเถียงกับแกแล้ว! อยากทำอะไรก็เชิญ”

สเตซี่พูดอย่างตัดรำคาญ เถียงกันเรื่องความจริงกับความพยายามที่ดูท่าว่าถกกันทั้งวันคงหาทางจบไม่ได้ง่ายๆ

“รุ้ง! กลับกันได้แล้ว! เราต้องไปหาเฮเลนอีกนะ” สเตซี่ตะโกนเรียกหาภรรยาที่คงจะหลบฉากไปตอนที่เขากำลังถกกับลูกชายอยู่

“แต่ยังไง… ฉันก็ดีใจนะที่แกรักอุลมากขนาดนั้น เขาเองก็รักแกมาก ถ้าแกได้เขากลับมาก็ถนอมเขาดีๆ ล่ะ”

สเตซี่รีบรุดออกจากร้านไปทันทีที่พูดจบ เขากลัวลูกชายจะตอบอะไรกลับมา ปล่อยให้มันเป็นคำพูดดีๆ สักประโยคสองประโยคที่เขาจะได้มีโอกาสพูดกับลูกชายที่ความสัมพันธ์ห่างเหินอย่างเบฟบ้าง

“ขอบคุณครับ แด๊ด”

คำขอบคุณที่พ่ออย่างสเตซี่คงไม่ได้ยินแต่รุ้งที่เดินออกมาทีหลังได้ยินเต็มสองหู เธออมยิ้มเล็กน้อยอย่างสบายอกสบายใจ ต่อให้สองพ่อลูกดูจะไม่ค่อยถูกกันแต่สายสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นตัดไม่ขาด

“ออกไปบอกแด๊ดข้างนอกสิ พูดในนี้มันจะไปได้ยินอะไร”

“แม่~ ไม่เอาหรอก ใครจะกล้าพูด”

“ให้แม่อัดเสียงไปให้แด๊ดฟังไหม”

“ไม่เอาแล้ว ผมไปนั่งซดซุปฝีมือแม่ดีกว่า”

เบฟบอกพร้อมกับหันหลังเดินเข้าข้างหลังร้านไป ไม่รอให้ผู้เป็นแม่เดินลับสายตาไปก่อน




** ติดตามตอนต่อไป **

กลับมาแล้วค่ะ หายหน้าไปหนึ่งเดือนเต็มเลย
งานนี้.... จะช่วยไออุ่นกลับมาได้ไหม คงต้องคอยลุ้นกันต่อไปนะคะ
ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนตัวเองจะเขียนมันออกมาได้ไม่ดีเท่าไรเลยค่ะ
ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่ามันขัดๆ อยู่บ้าง
และใกล้จะจบแล้วล่ อีกไม่กี่ตอนเองค่ะ
ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่คอยติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ 


++++++++++++++++++++++++++++++++


areenart1984
ขอบคุณนะคะ

KARMI
ขอบคุณค่ะ

alternative
ขอบคุณนะคะ ปลอบๆ

shoky_9
ขอบคุณนะคะ โอ๋ๆ ปลอบๆ ค่ะ

JustWait
ขอบคุณค่ะ

larynx
ขอบคุณค่ะ เราก็ว่าถึงยังไงเบฟก็ยังเด็กอยู่ดีนั่นแหละค่ะ แต่ที่เสียสติขนาดนั้นคงเป็นเพราะรักมากด้วยแหละค่ะ

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 14 ** 2017.12.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 10-12-2017 18:27:08
รอจ้า
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 14 ** 2017.12.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 10-12-2017 19:29:57
 :sad4:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 14 ** 2017.12.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-12-2017 22:56:26
เบฟรีบ ๆ ไปเรียนให้จบ ๆ จะได้มาปลุกอุ่นให้ตื่น  :กอด1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 14 ** 2017.12.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 11-12-2017 00:00:25
ถ้าไวน์คือคุณทวดกลับมาเกิดจริงๆ น่าจะคืนจิตวิญญาณให้ร่างอุ่นได้นะ ... เราคิดว่างั้น  :hao5:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 14 ** 2017.12.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 11-12-2017 11:56:36
รอไออุ่นกลับมานะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 14 ** 2017.12.10 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 12-12-2017 00:19:03
เบื่อจะเถียงกับเบฟ แบบที่สเตซี่บอกเลยค่ะ  :z3: พี่ไวน์ค่าตัวแพงแน่ๆ นานน๊านน จะออกมาสักที  :laugh:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 15 ** 2017.12.17 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 17-12-2017 15:28:01
ตอนที่ 15



หลังจากวันที่สเตซี่กับรุ้งแวะมาที่ร้าน เบฟตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือตามที่รับปากไว้กับพีทและเขาก็ไม่เห็นไวน์แวะมาที่ร้านอีกเลย จนกระทั่งถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ คนที่คิดว่าน่าจะหายไปจากวงจรชีวิตแล้วดันมายืนกดกริ่งเรียกอยู่ที่หน้าร้าน เบฟที่เอาแต่ขลุกตัวอยู่กับร่างของตุ๊กตาไขลานอยู่บนห้องค่อยๆ เดินอย่างอ้อยอิ่งลงมาข้างล่าง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็เดินไปเปิดประตูให้โดยไม่คิดพูดจาหาเรื่องอีก

“อุ่นเป็นยังไงบ้าง พอซ่อมได้ไหม”

“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย รอให้ผมเรียนจบก่อนได้ไหม อีกไม่นาน แล้วพอถึงตอนนั้นผมจะลงมือซ่อมเขาอย่างจริงจัง คุณค่อยมาอีกทีตอนผมซ่อมก็ได้”

ในหัวของไวน์ตอนนี้มีแต่เครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด เขาไม่เข้าใจว่าจะปล่อยให้เวลาที่มีอยู่นั้นสูญเปล่าไปเพื่ออะไร “แล้วทำไมไม่ทำตอนนี้”

“จะซ่อมตุ๊กตาไขลานที่พังไปแล้วมันต้องใช้เวลา แล้วอีกอย่างไหนๆ ก็จะซ่อมแล้วก็คงต้องเปลี่ยนอะไหล่บางชิ้นที่มันดูน่าจะไม่รอดด้วย ผมไม่อยากซ่อมตอนเขาตื่นน่ะ”

แน่สิ! ซ่อมตอนไออุ่นกลับมามีชีวิตแล้ว เบฟทำใจไม่ค่อยได้ อย่างน้อยในช่วงเวลาแบบนี้เขายังพอใช้คำว่าตุ๊กตาไขลานตอกย้ำความรู้สึกตัวเองได้อยู่

“อืม… ถ้างั้นผมจะมาอีกทีตอนเริ่มซ่อมก็แล้วกัน ยังไงตอนนี้ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”

ไวน์ไม่เคยเรียนทางด้านวิศวะมา ฉะนั้นเขาจึงทำได้แค่ให้กำลังใจ ถ้าต้องมานั่งเป็นลูกมือช่วยซ่อมก็คงได้ทำมันพังก่อนที่ไออุ่นจะได้ฟื้นกลับมา หรือบางทีอาจเป็นเขาที่ทำโอกาสที่แทบจะไม่เหลืออยู่เลยนั้นพังลงไปด้วยมือของตัวเอง

“จะมาเมื่อไร”

“อีกสองเดือนแล้วกัน ขอผมไปเรียนรู้วิธีการซ่อมก่อน”

“อ้าว~ นี่คุณซ่อมไม่เป็นเหรอ”

สีหน้าของเบฟแสดงความประหลาดใจออกมาไม่น้อยด้วยคาดไม่ถึงว่าไวน์จะไม่รู้เรื่องการซ่อมเครื่องกลอะไรพวกนี้เลย

“ผมจบบริหารเอ็มบีเอ โทการตลาด ไม่เคยเรียนพวกช่างกลอะไรนี่หรอก”

คำอธิบายของไวน์พอจะช่วยให้เด็กหนุ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น ถึงอีกฝ่ายจะทำอะไรไม่ได้เลยแต่ก็ยังแสดงความมีน้ำใจอยากช่วยเหลือออกมาให้เห็นบ้าง อันที่จริงแล้วในสายตาของเขาตอนนี้ไวน์ก็เป็นผู้ชายที่ไม่ได้แย่เท่าไรนัก เสียก็แต่เรื่องที่ชอบแย่งไออุ่นไปจากเขานี่ล่ะที่ทำยังไงก็ยังยอมรับไม่ได้

“งั้นเอาเป็นว่า... ไว้เจอกันอีกทีก็แล้วกัน”

“ผมรู้ว่าคุณคงไม่ชอบใจแต่ขอผมไปเจออุ่นหน่อยได้ไหม”

“ครั้งเดียวนะ ผมให้คุณได้เจออุ่นแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว จนกว่าจะถึงเวลาซ่อม ตอนนั้นคุณค่อยมาเจอเขาอีกครั้งก็แล้วกัน”

ไวน์ตอบรับในลำคอ แค่ครั้งเดียวก็ดีสำหรับเขามากแล้วเพราะอย่างน้อยๆ อีกฝ่ายก็ยังเปิดโอกาสให้ได้ไปเจอไออุ่น คนที่เขารักแต่ในขณะเดียวก็ได้ทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยลงไป

หลังจากที่เบฟอนุญาติให้เขาไปพบกับไออุ่นได้ หัวใจที่เคยสูบเลือดหล่อเลี้ยงร่างกายให้ยังอยู่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ก็พลันจะหยุดเต้นไปอีกครั้ง ภาพที่ไออุ่นนอนนิ่งอยู่บนเตียงสะท้อนเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่เขาได้ตระหนักว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดบางอย่างลงไป การจากไปของตุ๊กตาไขลานตัวนั้นโดยที่ไม่ได้บอกให้ใครได้รับรู้เป็นดั่งสิ่งที่พรากเอาหัวใจของเขาจากไปด้วย

“อุ่น... ผมขอโทษนะ”

ไวน์ไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้มากกว่านี้ ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าตรงๆ เพราะร่างนั้นกำลังทิ่มแทงความรู้สึกของเขาอยู่ แววตาในวันนั้นที่อีกฝ่ายมองตรงมาที่เขาในขณะที่เอ่ยคำขอโทษไร้ซึ่งความเกลียดชัง มีแต่ตัวเขาเองที่เกลียดตัวเอง เกลียดที่ทำได้แม้กระทั่งทำลายความรู้สึกของคนที่รัก

บางทีความรักก็ทำให้คนเราหน้ามืดตามัว เห็นผิดเป็นชอบ

 

ถ้าหากเขาไม่เป็นฝ่ายเริ่มพาตัวไออุ่นมา

ถ้าหากวันนั้นเขามีความพยายามที่จะพูดคุยมากกว่านี้อีกสักนิด

ถ้าหากวันนั้นเขาได้บอกกล่าวอะไรก่อนที่จะบินไปสิงคโปร์

ไออุ่นคงไม่จากเขาและทุกคนไปแบบนี้

 

“ทั้งที่คุณควรจะโกรธผม เกลียดผม ทำไมคุณถึงได้ให้อภัยในทุกสิ่งที่ผมทำลงไป”

คำถามที่ไร้คำตอบ คำถามที่ไวน์รู้แก่ใจว่าถ้าหากไออุ่นยังไม่สามารถลืมตาตื่นขึ้นมาได้ ความผิดบาปที่อยู่ในใจคงไม่จางหายไปได้ง่ายๆ

“ผมไม่กล้าเข้าใกล้คุณเลย ผมกลัวว่าถ้าผมยืนใกล้กับคุณมากกว่านี้ ผมอาจจะเห็นสายตาของคุณที่มองมาแล้วมันจะทำให้ผมรู้สึกผิดมากไปอีก ผม... ผมขอโทษนะที่ทำอะไรหลายอย่างโดยพละการ ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะทำความรู้จักกับคุณใหม่ จะไม่บังคับฝืนใจอีกและจะบอกคุณอย่างตรงไปตรงมาว่าผมรักคุณ”   

ไวน์รู้ว่าวันเวลาไม่เคยหวนกลับ เรื่องที่ผ่านไปแล้วคืออดีต ปัจจุบันคือสิ่งที่จะนำพาไปสู่อนาคต

“ผมกลับก่อนนะ ไว้ผมจะมาหาใหม่”

ก่อนที่จะทันได้ก้าวเท้าออกจากห้องไป เสียงหัวใจกลับเรียกร้องให้อยู่ก่อนอีกสักเสี้ยววินาทีก็ยังดี แต่ยังไม่ทันจะได้ตัดสินใจอะไร ปลายเท้าก็ก้าวฉับๆ ตรงไปยังเตียงนอนที่มีร่างนั้นอยู่ ดวงตาสีอำพันทอดมองร่างที่ไม่ไหวติง สองมือเอื้อมออกไปลูบไล้โครงหน้านั้นอย่างแผ่วเบา

 

เคยมีคำกล่าวว่า ‘ห้ามอะไรนั้นห้ามได้ แต่ห้ามใจนั้นยากยิ่ง’ เห็นท่าว่าจะจริงก็คราวนี้

 

ขนาดไวน์ตั้งใจจะเดินออกจากห้องไปแล้วกลับกลายเป็นว่าตอนนี้มาหยุดยืนอยู่ที่ข้างเตียงเสียอย่างนั้น

“ขอโทษ ผมจะไม่แตะคุณอีกถ้าคุณไม่ชอบนะ”

ไวน์บอกเพียงเท่านี้ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป คราวนี้เขาออกไปจริงๆ ต่อให้หัวใจยังคงเรียกร้องให้อยู่ต่ออีกสักนิดก็ต้องทำเป็นกัดฟันทนต่อต้านความรู้สึกเหล่านั้น ยังไม่ทันจะพ้นขอบประตูก็เหลียวกลับไปมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำว่าขอโทษ

 

ชั้นล่างของร้านมีเพียงเบฟเท่านั้นที่นั่งอยู่ เขาปล่อยให้ไวน์ขึ้นไปข้างบนคนเดียวเพราะรู้ว่าถ้าหากตัวเองตามขึ้นไปด้วยคงทนเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างบนนั่นไม่ได้ เขากลัวว่าจะสติหลุดแล้วเผลอตัวออกหมัดทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย ซึ่งแค่คราวนั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับโทษที่ควรได้รับ

ดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวในแจกันใบใหญ่ถูกหยิบรวบออกมากองรวมกันเอาไว้ นานมากแล้วที่เบฟเอาแต่จมปลักกับความรู้สึกแย่ของตัวเองจนลืมใส่ใจที่จะดูแลสภาพแวดล้อมรอบกาย ปล่อยให้มันสกปรก มีฝุ่นเกาะไปทั่วแม้กระทั่งดอกไม้แห้งกรอบที่ตายไปนานแล้ว

ร้านดอกไม้อุ่นไอรักได้ปิดตัวลงไปตั้งแต่วันที่ไออุ่นกลับมาในสภาพที่ไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบกาย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะทิ้งดอกไม้ที่ยังเหลืออยู่ในร้านไว้อย่างนั้นเพื่ออะไร สู้เก็บกวาดให้มันสะอาดตารอรับวันที่ไออุ่นจะฟื้นกลับมาอีกครั้งจะดีกว่า

“ทำอะไรน่ะ”

เสียงของไวน์ดังขึ้นไม่ไกล เรียกให้เบฟหันไปมองแต่ก็กลับมาสนใจกับดอกไม้แห้งจนกรอบ แตะนิดหน่อยก็ทำท่าจะแตกหักคามือ เขาไม่ตอบอะไรเพราะเห็นว่าก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ คำถามโง่ๆ แบบนั้นตอบไปก็เปลืองแรง

“ให้ช่วยไหม”

เห็นว่าเบฟไม่ตอบ ไวน์เลยทำตัวเป็นคนดีมีจิตอาสา เสนอตัวช่วยเหลือ

“ทำเป็นเหรอ”

“ไม่อ่ะ คิดว่าถ้ายอมให้ช่วย จะไปโทรเรียกลูกน้องมา”

“อืม... ดีเนอะ! ทำไม่เป็นก็ไม่ต้องเสียเวลาถามได้ไหม อยู่เฉยๆ หรือไม่ก็ออกไปจากร้านเลยก็ได้”

“งั้นไปนะ เจอกันวันนั้นเลยแล้วกัน”

เบฟหยักหน้าตอบรับแล้วโกยกองดอกไม้แห้งใส่ถุงขยะสีดำ เขาไม่มองหน้า ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว สนอยู่อย่างเดียวตอนนี้ก็คือทำยังไงก็ได้ให้ไวน์ออกจากร้านไปให้เร็วที่สุดก่อนที่สติเขาจะแตกกระเจิงแล้วเผลอประเคนหมัดใส่หน้าด้วยความโมโหอีกระลอก

“ไม่ต้องมาเลยก็ได้!!!”

คนที่อยู่ในร้านตะโกนไล่หลังกลับไปทันทีที่ฝ่ายนั้นเปิดประตูเดินออกไปแล้ว แต่ไม่ทันได้หายใจหายคอให้คล่อง ร่างของใครบางคนก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูร้านเสียก่อน ประตูนั้นถูกผลักเข้ามาอย่างช้าๆ มีเพียงหัวที่โผล่เข้ามาในร้าน ส่วนตัวนั้นอยู่ข้างนอก ดูเหมือนว่าคนๆ นั้นจะไม่ค่อยอยากก้าวเข้าไปสักเท่าไรนัก

“เบฟ เป็นยังไงบ้าง”

“ตามที่เห็นนั่นแหละ มึงจะเข้ามาช่วยไหม”

“ไม่ล่ะ แค่แวะมาดูเฉยๆ”

“มึงโคตรใจร้ายเลยว่ะ ถ้าอุ่นตื่นมาเมื่อไรกูจะเอาไปฟ้องให้หมดเลย แล้วคอยดูนะ! ความดีความชอบที่มึงมีอยู่ก็เอามาลบล้างความผิดไม่ได้หรอก อุ่นจะต้องโกรธมึงมากแน่ คอยดูๆ”

พีทถึงกับหลุดขำออกมาเล็กน้อยที่เบฟอยากได้คนช่วยแต่กลับทำเป็นปากแข็ง ทั้งที่แค่พูดขอร้องนิดหน่อย เขาก็ยอมแล้วแท้ๆ

“ขำอะไร!”

“ขำคนปากแข็ง ทำไมนายไม่พูดมาตรงๆ ล่ะว่าอยากให้พี่ช่วย กลัวหลุดฟอร์มหรือไง”

“ใครกลัวหลุดฟอร์ม ไม่มีเถอะ กูแค่โวยวายไปตามเรื่อง ถ้ามึงยอมช่วยแต่แรก กูก็ไม่โวยวายแล้วไง”

“เอ๊า! ช่วยก็ช่วย”

บานประตูถูกผลักเข้ามามากขึ้น พีทที่พอจะคุ้นชินกับร้านดอกไม้นี้อยู่บ้างจึงเดินไปเปิดตู้แช่ หยิบเอาดอกไม้ที่อยู่ในนั้นทั้งหมดทิ้งลงในถังขยะ ถอดปลั๊กจ่ายไฟให้กับตู้พวกนั้นออกทีละเส้น เบฟไม่ได้พูดอะไรที่ดอกไม้ในตู้แช่ถูกโยนทิ้งลงถุงเหมือนมันไม่มีค่าอะไรแล้ว

“เออ… พีท กูว่าถ้าเรียนจบเมื่อไร กูจะปิดร้านนี้แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น”

“ย้าย? ย้ายไปไหน”

“กูอยากไปที่ที่มันสงบกว่านี้ แด๊ดพอจะมีบ้านพักตากอากาศอยู่บนเขา แถวนั้นบรรยากาศดีใช้ได้เลยล่ะ แล้วก็คิดว่าพออุ่นตื่นขึ้นมาได้เห็นธรรมชาติบ้าง มันคงจะดีกว่าถ้าอยู่ที่นี่อ่ะนะ แต่เรื่องนี้กูยังไม่ได้บอกแด๊ดเลย”

พีทไม่คิดไม่ฝันว่าวันที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักจะปิดตัวลงจะมาถึงจริงๆ ไม่ได้คิดเลยว่าวันหนึ่งคนที่เขารักดั่งครอบครัวมีความคิดจะย้ายจากที่นี่ไป สีหน้าที่แสดงออกมานั้นจึงดูจะตกใจอยู่ไม่น้อยแต่แล้วก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“เบฟ… พี่คิดว่าพี่อุ่นรักร้านนี้มากนะ แต่ถ้านายตัดสินใจดีแล้วก็ไม่เป็นไร”

“ก็เพราะกูก็คิดแบบนั้นด้วยนั่นแหละเลยต้องย้าย มึงลองคิดดูนะ ถ้าสมมติว่าอุ่นรักที่นี่มากแล้วรู้ว่าร่างตัวเองถูกย้ายที่ก็จะต้องรีบกลับมาใช่ไหมล่ะ กูเลยคิดว่ามันอาจจะช่วยให้อุ่นกลับมาได้เร็วขึ้น”

“ตรรกะบ้าอะไรของนายเนี่ย”

“ตรรกะมั่วๆ ของกูนี่แหละ ถ้ามันเวิร์คก็ดีไปแต่ถ้าไม่เวิร์คก็ถือว่าไปอยู่ที่นั่นเอาสมาธิก็แล้วกัน”

พีทเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคงจะเริ่มปลงได้แล้วเลยไม่ได้พูดอะไรต่อ ก้มหน้าก้มตาช่วยเก็บกวาดร้านแถมด้วยการปัดกวาดเช็ดถูเอาคราบสกปรกและฝุ่นผงที่มันเริ่มเกาะกันเป็นก้อน

“พีท มึงเคยคิดไหมว่าเราอาจจะพาอุ่นกลับมาไม่ได้”

พีทเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนถามก่อนที่จะพูดออกไปว่า “อะไรดลใจให้นายถามแบบนั้น”

“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่อยากรู้เฉยๆ ว่ามึงเคยมีความคิดแบบนี้บ้างไหม”

“ไม่เคย พี่คิดว่าจริงๆ แล้วพี่อุ่นไม่ได้หนีเราไปไหนด้วยซ้ำ เขาแค่กำลังพักผ่อนอยู่ที่ไหนสักที่ เราก็แค่ตามเขากลับมาแต่มันก็ต้องใช้เวลา”

“กูก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่… จนกูได้ยินคำพูดของแด๊ดบางประโยค มันเลยทำให้กูกลับมานั่งคิดทบทวนดู แด๊ดบอกว่าอุ่นเกิดขึ้นจากปาฏิหาริย์และตอนนี้ปาฏิหาริย์นั่นก็หมดไปแล้ว ถึงจะพาเขากลับมาได้ก็ได้แค่ร่างกายเท่านั้น”

พีทเดินเข้ามาลูบหัวเป็นเชิงปลอบแล้วพูดให้กำลังใจ “นายคิดมากไปแล้ว ถ้าเชื่อว่าพี่อุ่นจะต้องกลับมา ยังไงพี่อุ่นก็ต้องกลับมา จริงไหม”

“มันก็จริง… แต่บางทีมันอดคิดไม่ได้”

“ขอให้นายทำมันให้เต็มที่ สักวันปาฏิหาริย์ก็คงเกิดขึ้นอีกครั้ง”

คำพูดปลอบใจของพีทพอจะช่วยบรรเทาความคิดฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัวลงได้บ้าง อย่างน้อยมันก็เบาบางเสียจนเกือบจะหายไปจนหมดแล้ว แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่เขากลัวคือปาฏิหาริย์อาจไม่เกิดขึ้นกับคนเดิมซ้ำสอง

 

ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงกว่าจะเก็บกวาด เช็ดถูให้สะอาดเรียบร้อยด้วยแรงงานของคนสองคน พีทกลับไปแล้วเมื่อไม่มีอะไรให้เขาต้องช่วยอีก ในขณะที่เบฟยังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดิม ทอดสายตามองตรงไปข้างหน้า ที่ที่ควรจะมีของของไออุ่นอยู่นั้นตอนนี้ว่างเปล่าเช่นเดียวกับคนที่มักจะยืนอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวนั้นด้วย

เบฟนั่งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่กว่าจะเดินขึ้นไปข้างบนเพื่อหาคนที่เขารักสุดหัวใจ

ร่างของไออุ่นยังคงอยู่ในท่าเดิมเหมือนวันแรก ไม่ได้ถูกขยับเขยื้อนไปไหน เบฟเดินเข้าไปใกล้แล้วทิ้งตัวลงนอนในพื้นที่ว่างข้างกันเหมือนทุกครั้ง เขาชอบที่จะใช้เวลาว่างอยู่กับไออุ่นแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถตอบสนองอะไรกลับมาได้เลยก็ตาม

“อุ่นรู้ไหม วันนี้ไวน์แวะมาหาด้วยนะ”

“.........”

“เขาคุยอะไรกับอุ่นบ้างหรือเปล่า ผมไม่กล้าขึ้นมาดูเลยกลัวทำใจไม่ได้ตอนที่เห็นเขากับอุ่นอยู่ด้วยกัน”

“.........”

“ผมว่าถ้าผมเรียนจบจะพาอุ่นไปอยู่ที่บ้านพักตากอากาศบนเขาดีไหม อุ่นจะได้ถือโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศไปด้วยเลย ตื่นขึ้นมาก็เห็นสีเขียวของธรรมชาติ ได้รับลมธรรมชาติ ไม่ต้องกลัวว่าฝุ่นผงมันจะเข้าไปทำให้ภายในของอุ่นสกปรกอีก แต่พี่พีทบอกว่าอุ่นรักร้านนี้มากคงไม่อยากจากไป อุ่นคิดว่ายังไง”

“.........”

“อุ่นยังจำคำพูดของแด๊ดที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้ไหม”

“.........”

ความเงียบของไออุ่นที่สะสมมาตลอดเป็นเวลานานเริ่มสะท้อนผลของมันแล้ว

“อุ่น... ถ้าปาฏิหาริย์ไม่มีจริง ผมควรจะทำยังไงดี แล้วถ้าผม... พาอุ่นกลับมาไม่ได้ล่ะ ผมจะอยู่ได้ยังไง อุ่นคิดบ้างหรือเปล่าว่าการที่ไม่มีอุ่นอยู่แบบนี้ผมทรมานแค่ไหน อุ่นจะทรมานผมไปจนตายเลยเหรอ ต้องให้ผมตายจากอุ่นไปก่อนเหรอ อุ่นถึงจะยอมกลับมา.... อุ่น! ตอบผมสิ ตอบผมได้ไหม”

ถึงจะพูดออกมาอีกสักร้อยพันคำ ไออุ่นก็ทำได้แค่นิ่งเฉยเป็นหุ่นยนต์ที่ยังไม่ได้เปิดเครื่อง

“อุ่นครับ ถ้าอุ่นไม่ตอบ ผมจะร้องไห้แล้วนะ”

“..........”

“ผมร้องจริงนะ”

เบฟอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ แต่ก็ร้องไม่ออก เขาเพียงแค่ต้องการให้ไออุ่นตื่นขึ้นมาปลอบใจ เช็ดคราบน้ำตาที่เปรอะข้างแก้มให้เหมือนทุกทีที่เขาร้องไห้ เพียงแค่นิ้วเรียวเล็กข้างหนึ่งแตะสัมผัสลงมาบนใบหน้า เขาก็จะหยุดร้องทันที ไม่รู้ว่าทำไมถ้าไม่ใช่ไออุ่นคอยปลอบ ถึงจะหยุดร้องไห้ได้แต่ใจมันไม่เคยสงบลงเลย เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว

“ผมต้องซ่อมอุ่นจริงๆ ใช่ไหม ไม่มีทางอื่นเลยเหรอที่จะพาอุ่นกลับมาได้”

เบฟได้แต่นอนกอดร่างที่เย็นเฉียบจนเหมือนกับจะแล่นผ่านมาถึงหัวใจเขาได้อย่างง่ายดาย เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมาทำให้เขาเริ่มตระหนักได้ว่าคนเรามีความหวังได้แต่อย่าหวังมากเกินไป เพราะถ้าวันหนึ่งที่สิ่งหวังไว้ไม่ได้เป็นไปตามคาด คนที่จะเสียใจที่สุดก็คือตัวเอง แต่จะไม่หวังเลยก็ไม่ได้ ถ้าหากอยากจะให้ชีวิตก้าวเดินต่อไปก็ย่อมต้องหวังไว้บ้าง เผื่อใจไว้บ้างทว่าสำหรับเขานั้นไม่อยากจะเผื่อใจไว้สำหรับอะไรเลย





<< ต่อข้างล่างค่ะ >>
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 15 ** 2017.12.17 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 17-12-2017 15:29:16
<< ต่อจากข้างบนค่ะ >>




วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งเบฟใกล้เรียนจบ ไวน์ไม่ได้แวะมาหาอีกเลยหลังจากนั้นตามที่ได้รับปากไว้ตั้งแต่คราวที่แล้วซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีเพราะอย่างน้อยๆ เขาจะได้ใช้เวลาที่มีอยู่ไปกับไออุ่นเพียงสองคนแต่ทว่าความสุขก็อยู่กับตัวได้ไม่นาน

เสียงกริ่งของร้านดังขึ้นสามครั้งและอีกสามครั้งในเวลาต่อมา คนที่อยู่บนห้องออกอาการหัวเสียเล็กน้อยแต่ก็ยอมทิ้งร่างที่แน่นิ่งไว้บนเตียงนอนแล้วลงมาเปิดประตูต้อนรับอย่างไม่เต็มใจ

ทันทีที่ประตูร้านถูกเปิดออก เบฟไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดหรือถามอะไรก่อน

“มาทำไมอีก”

“นี่คือคำทักทายเหรอ”

เบฟส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความขัดใจแต่ก็ยอมเปิดประตูร้านออกกว้างต้อนรับ มีหรือที่เขาจะไม่รู้เหตุผลของการที่ไวน์มาที่นี่อีกครั้งคงหนีไม่พ้นเรื่องของไออุ่น

“อุ่นอยู่ข้างบน จะขึ้นไปหาเขาก็ได้ ผมอนุญาต”

ไวน์ไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีโอกาสได้พบกับไออุ่นอีกเป็นครั้งที่สอง ที่เขามาในวันนี้ก็เพื่อที่จะถามข่าวคราวและวันที่จะเริ่มลงมือซ่อมตุ๊กตาไขลานที่ชื่อว่าไออุ่น แต่อีกฝ่ายกลับยื่นข้อเสนอนั้นให้เขาเอง จะไม่รับไว้ก็ดูจะเป็นการกระทำที่หักหาญน้ำใจกันเกินไป

“แปลกนะ”   

“หรือจะไม่อยากขึ้นไปหาอุ่น ก็ได้นะ งั้นก็กลับไปเลย”

ผู้มาเยือนอย่างไวน์กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเดินขึ้นไปข้างบนโดยไม่ได้พูดตอบอะไร 

มีเพียงเบฟที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังแต่หลังจากนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงวิ่งตามไปข้างบนด้วยฝีเท้าที่คล้ายกับนักย่องเบา หลบฉากผ่านหน้าประตูห้องของไออุ่นไป ทำทีเหมือนว่าต้องการแค่ขึ้นมาหยิบของบางอย่างเท่านั้นแต่พอผ่านเลยประตูห้องไม่กี่ก้าว เขากลับพลิกตัวให้หลังพิงกับกำแพงเอาไว้แล้วเงี่ยหูฟังบทสนทนาเพียงฝ่ายเดียวที่จะเกิดขึ้นในห้องนั้น

“อุ่น ผมขอโทษนะที่แวะมาหาอีกแล้ว แต่ผมจำเป็นต้องมา คุณรู้หรือเปล่าว่าผมไม่มีกะจิตกะใจทำงานเลย ขนาดจับปากกาเซ็นชื่อรับทราบในเอกสาร ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองรับทราบเรื่องอะไรเพราะในหัวผมมันมีแต่เรื่องของคุณ”

เสียงในห้องเงียบลงเพียงชั่วอึดใจก่อนที่จะดังขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณรู้หรือเปล่าว่าเขาโกรธผมมากเลยนะ ไม่ได้จะมาฟ้องหรอกแต่แค่อยากบอกให้รู้ จริงๆ แล้ว... ผมเองที่เป็นฝ่ายผิด ถ้าวันนั้นไม่คิดจะพาตัวคุณมาจากเขา คุณคงไม่จากไปแล้วบางทีผมกับเขาอาจเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ถ้าคุณฟื้นขึ้นมาก็ฝากบอกเขาด้วยนะว่าจะโกรธผม เกลียดผม โทษว่าผมเป็นคนทำให้คุณจากไปก็ได้ เพราะผมรู้ว่าผมผิดและผมยอมรับผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

คำพูดของไวน์แม้จะเบาแค่ไหนแต่มันกลับฟังชัดถ้อยชัดคำ คำขอโทษสำนึกผิด เบฟได้ยินแล้วและเขาก็ยินดีที่จะให้อภัยด้วยเพราะไออุ่นมักสอนเสมอว่าหากคนทำผิดรู้จักยอมรับผิดและได้รับผลของการกระทำนั้นไปแล้วก็จงให้อภัยเขาเสีย ไม่มีใครบนโลกใบนี้ไม่เคยทำผิดและเช่นเดียวกัน ไม่มีผู้ใดในโลกใบนี้ที่ไม่เคยทำดี หากแต่ต่างกันที่ปริมาณเท่านั้น

 “อุ่น ขอบคุณที่ให้ผมได้ยืนมองดูหน้าคุณอยู่อย่างนี้... ผมกลับก่อนนะ”

เบฟขยับตัวให้ห่างออกมาจากบานประตูห้อง ทำทีเป็นว่าเพิ่งเดินออกมาจากห้องของตัวเองแล้วบังเอิญมาเจอกันเข้าแต่ใช่ว่าไวน์จะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ยืนแอบฟังบทสนทนาที่เขาพูดกับไออุ่นอยู่ในห้อง เขาทำเพียงแค่ปล่อยไปตามน้ำ ให้รู้สึกว่าการเจอกันที่หน้าประตูห้องนั้นเป็นแค่ความบังเอิญอย่างที่อีกฝ่ายตั้งใจอยากให้เป็นจริงๆ

“อ้าว~”

“มีไปไหนต่อไหม” เบฟชิงถามขึ้นมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ขอตัวกลับออกไป

“ก็ว่างอยู่ มีอะไร”

“กินข้าวเย็นกันหน่อยไหม มีเรื่องจะคุยด้วย เรื่องของอุ่นน่ะ”

ไวน์พยักหน้าตกลง พวกเขาจึงลงไปข้างล่างพร้อมกัน



ทั้งที่ชวนกินข้าวเย็นแต่ดูเหมือนว่าในห้องครัวที่อยู่ด้านหลังจะไม่มีอะไรเลย เว้นเพียงแค่โต๊ะเปล่าๆ หนึ่งตัวกับผู้ชายสองคนที่นั่งเผชิญหน้ากัน บรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งคู่ไม่อาจเรียกได้ว่าผ่อนคลายแต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ไม่ได้ตึงเครียดเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา พอมีจังหวะให้หายใจหายคอได้คล่องขึ้นกว่าแต่ก่อน

“ไหนล่ะข้าวเย็น หรืออยากให้ผมเลี้ยง” ไวน์เป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน

“คุยก่อนแล้วค่อยกิน”

“งั้นก็ว่ามา”

“ผมเหลือสอบตัวสุดท้ายวันพรุ่งนี้เลยคิดว่าอาทิตย์นี้แหละผมจะเริ่มลงมือซ่อมอุ่นอย่างจริงจัง ถ้าคุณอยากจะมาช่วยก็มาแต่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ใช่ที่นี่ ผมจะย้ายเขาไปอยู่ที่บ้านพักตากอากาศบนเขา”

ไวน์ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนักกับเรื่องที่เพิ่งจะได้ยิน นี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้บริหารอย่างเขามากเลยทีเดียว และไม่ได้คิดถึงว่าตัวเองจะต้องย้ายไปอยู่บนเขาอะไรเทือกนั้นมาก่อน ถ้าหากต้องไปกลับระหว่างภูเขากับที่ทำงาน เห็นทีว่าคราวนี้อาจจะได้ตามไออุ่นไปติดๆ

“ทำไมต้องย้ายเขาด้วย”

“ผมไม่สะดวกที่จะซ่อมเขาที่นี่น่ะ มันวุ่นวายเกินไป”

“ถ้าอย่างนั้น...” ไวน์ทำท่าครุ่นคิดอีกครั้ง ถ้าเหตุผลของการต้องย้ายไออุ่นไปจากที่นี่มีเพียงแค่นั้น เขาก็พอจะมีตัวเลือกที่ดีกว่าการที่ต้องไปอยู่บนเขานั่น “ผมมีบ้านพักตากอากาศอยู่ริมทะเล พาเขาไปที่นั่นแทนได้ไหม”

“ถามจริง นี่คุณคิดอะไรอยู่ ให้อุ่นไปอยู่ใกล้ทะเลแบบนั้นเดี๋ยวขี้เกลือก็ได้เกาะกันพอดี”

“ถ้าเป็นบ้านในสวนล่ะ พอจะเป็นไปได้ไหม” 

บ้านในสวนดูเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถึงอย่างไรเบฟก็ยังอยากสบายใจว่าที่แห่งนั้นจะสงบเงียบจริงๆ ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน ไม่มีเสียงจอแจอึกทึกครึกโครมให้รำคาญใจ หรือบางทีสุดท้ายแล้วการปล่อยให้ไออุ่นอยู่ในร้านดอกไม้อุ่นไอรักเหมือนที่พีทเคยบอกจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงๆ

“ผมว่า... สรุปแล้วให้อุ่นอยู่ในที่ที่เขารักมันน่าจะดีกว่า”

ไวน์พยักหน้ารับแต่เมื่อไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรต่อจึงคิดที่จะขอตัวกลับก่อน

เบฟไม่ได้รั้งเอาไว้ เขาปล่อยให้อีกฝ่ายเดินออกจากร้านไปเพราะถึงยังไงอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะต้องกลับมาเจอกันใหม่อีกครั้งอยู่ดี แต่เพียงไม่นานนักเสียงกระดิ่งตรงประตูก็ดังกรุ๊งกริ๊ง เขาจึงชะโงกหน้าออกไปดูให้แน่ใจว่าใครเป็นคนเปิดมัน คนที่เดินเข้ามาในร้านคือคนที่เพิ่งจะเดินออกไปเมื่อสักครู่พร้อมด้วยพี่ชายข้างบ้านอย่างพีท

“พี่เอาข้าวมาให้น่ะ พอดีเจอเขาอยู่หน้าร้านเลยชวนมากินด้วยกัน”

เบฟถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาเดินไปรับถุงกับข้าวมาจากมือพีทเพื่อมาเทใส่จานด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับอย่างที่สุด

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ได้ข่าวว่าเมื่อกี้คนแถวนี้ชวนเขากินข้าวอยู่ไม่ใช่เหรอ”

เบฟปฏิเสธไม่ออกเลยจำต้องเดินเข้าไปยังหลังร้าน แสร้งทำเป็นว่าจะเอาถุงกับข้าวพวกนี้ไปใส่จาน

ในระหว่างที่รอให้เจ้าบ้านที่ดีอย่างเบฟจัดการเตรียมกับข้าวมื้อเย็น พีทจึงถือโอกาสนี้เอ่ยถามถึงเรื่องที่เขาคิดว่าควรจะรับรู้ไว้เสียหน่อย “ว่าแต่คุณรู้หรือยังครับว่าเดี๋ยวเบฟจะย้ายพี่อุ่นไปอยู่ที่อื่นน่ะ”

“อ๋อ รู้แล้วครับ เขาบอกแล้ว”

“หืม? บอก?”

เอาเข้าจริงๆ พีทก็ไม่ได้คิดว่าเบฟจะบอกเรื่องนี้กับไวน์ด้วยซ้ำเพราะดูจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เด็กคนนั้นลึกๆ อาจจะยังคงกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของไวน์ที่ทำให้ไออุ่นจากไป แต่เขานึกไม่ถึงว่าเลยทั้งสองคนนี้จะดูเข้าขากันมากกว่าที่คิดอยู่สักหน่อย

“ครับ เขาบอกแล้วแต่ว่าสรุปแล้วก็ไม่ได้จะย้ายไปไหน เห็นเขาว่าอยากให้อุ่นได้อยู่ในที่ที่รักมากกว่าน่ะ”

“แล้ว... ไปคุยกันดีๆ ตอนไหนเหรอครับ เห็นทุกทีดูเหมือนเบฟจะไม่ชอบหน้าคุณเอามาก”

ไวน์หัวเราะเล็กน้อย “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมคิดว่าเขาจะเกลียดผมมากกว่านี้ซะอีก”

“เขาเกลียดแน่ครับ แต่เบฟไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลขนาดที่จะเกลียดใครไม่ลืมหูลืมตา คุณคงเผลอไปทำอะไรสักอย่างเข้าให้เขารู้สึกว่าการให้อภัยมันดีกว่าจะเกลียดกันไปตลอดชาติล่ะมั้ง” พีทเหลือบมองไปทางหลังร้านก่อนจะพูดสำทับขึ้นมาต่อ “ผมจะบอกอะไรให้ฟังอีกอย่างนะ เด็กคนนั้นน่ะถ้าเป็นเรื่องของอุ่นล่ะก็ไม่มีวันให้อภัยได้ง่ายๆ หรอก”

“งั้นก็แปลว่าจริงๆ แล้วเขายังไม่ให้อภัยผม”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก บอกแล้วว่าเขาเป็นคนมีเหตุผล ส่วนเหตุผลที่ว่านั่นน่ะคุณอาจจะยังไม่รู้แต่ผมรู้ เราทุกคนรู้”

ยิ่งฟัง ไวน์ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน ปะติดปะต่อเรียบเรียงคำพูดที่อยู่ในหัวสมองไม่ถูกว่าสรุปแล้วความจริงที่พีทต้องการจะสื่อให้เขาฟังนั้นคืออะไร ถึงกับต้องนิ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่งเพื่อทวนทุกสิ่งเสียใหม่

“คุณรู้หรือเปล่าว่าความจริงแล้วพี่อุ่น...”

ยังไม่ทันที่พีทจะได้พูดจนจบ เบฟก็โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังร้านแล้วตะโกนใส่เสียงดังลั่น “ถ้าว่างขนาดนินทาคนอื่นระยะเผาขนขนาดนี้ได้ล่ะก็มาช่วยจัดโต๊ะกินข้าวกันดีกว่าไหม!!”

เสียงหัวเราะของพีทดังพอๆ กับเสียงที่เบฟตะโกนใส่ เขาตั้งใจที่จะพูดให้ได้ยินตั้งแต่แรกอยู่แล้วถึงได้คอยมองว่าฝ่ายนั้นจะอารมณ์เสียจนโผล่หน้าออกมาเมื่อไร แต่พอได้เห็นเข้าจริงๆ ก็ถูกอกถูกใจไม่น้อย คราวนี้อะไรหลายๆ อย่างที่ดูเป็นความลับหรือเรื่องที่ยังมีความแคลงใจหลงเหลืออยู่ก็คงจะได้จบลงที่โต๊ะอาหารมื้อนี้แน่ เขามั่นใจแบบนั้น

“หัวเราะอะไร! พีท ตลกมากเหรอ ระวังเถอะ!  ไว้อุ่นตื่นมาเมื่อไรจะเอาไปฟ้องให้หมดเลย”

ยิ่งเห็นสีหน้าที่มีอารมณ์โกรธของเบฟอยู่มากขนาดนี้ พีทก็ดูจะยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่จึงหันไปหาไวน์ที่ดูจะเงียบลงถนัดเมื่อเห็นเด็กคนนั้นหัวเสียได้ขนาดนี้

“นี่! จริงๆ แล้วพี่อุ่นน่ะ...”

“พีท! บอกให้หยุดไง หยุด! หยุดไปเลย ข้าวน่ะจะกินไหม”

พีทแกล้งทำเป็นเงียบแล้วพยักพเยิดให้ไวน์ตามเข้าไปนั่งกินข้าวด้วยกันถ้าอยากจะฟังหรือเห็นอะไรดีๆ ต่อจากนี้ ไวน์ไม่ปฏิเสธอาหารมื้อนี้แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตอบรับอะไร เขาเพียงแค่เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปข้างในแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมที่เคยนั่งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

“แถวนี้มีคุณชายด้วยเหรอวะ”

คำพูดลอยๆ ที่ดังออกมาจากปากเบฟ เรียกเสียงหัวเราะจากพีทได้อีกครั้ง เขาเลยทำท่าบอกใบ้ไม่ให้ไวน์ใส่ใจอะไรมาก ก็แค่เด็กคนนี้พูดจาไพเราะกับแค่กับคนในครอบครัวเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่ความสำคัญรองลงมาแม้จะไม่ได้โกรธเกลียดกันแต่ชาติปางไหน ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญอะไร เด็กคนนั้นก็มักจะพูดด้วยคำพูดและน้ำเสียงแบบนี้เสมอ

“พีท หัวเราะอีกที ออกจากร้านไปเลยนะ”

“อ้าว~ พี่แค่หัวเราะเฉยๆ ก็ผิดด้วยเหรอ”

เบฟไม่ได้ตอบอะไร เขาเดินไปตักข้าวใส่จานแล้ววางไว้ที่หน้าไวน์เป็นจานแรก และตักให้กับพีทเป็นรายถัดมา ส่วนของตัวเขาเองเป็นจานสุดท้ายก่อนที่จะกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่อยู่ตรงข้ามกับไวน์โดยมีพีทนั่งคั่นกลางระหว่างคนสองคน

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วพี่อุ่น...”

พีทยังพูดย้ำเรื่องเดิมไม่เลิกราแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเว้นช่วง รอดูปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของเขาจากเบฟ ปรากฏว่าคราวนี้กลับผิดคาดไปไหล ไม่เพียงแต่ฝ่ายนั้นจะนิ่งเฉยแล้วยังเป็นคนพูดต่อจากนั้นเอง “อุ่นใกล้พังมานานแล้ว”

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไวน์เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

“ผมโกรธคุณไม่ใช่เพราะคุณทำให้อุ่นจากไป แต่ผมโกรธคุณที่คุณพาตัวอุ่นไปโดยที่ผมไม่ได้ทันพูดแม้แต่คำลา โกรธที่คุณเอาเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากของผมกับอุ่นไป โกรธที่คุณเอาเขาไปแล้วไม่ดูแลเขาให้ดี”

ไวน์นิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ความรู้สึกในเวลานี้ของเขามันตีรวนอยู่ในหัวใจจนมั่วไปหมดแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะไขความกระจ่างอะไร เบฟก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาต่อ “หยุดขอโทษอุ่นได้แล้ว คนที่คุณควรขอโทษจริงๆ น่ะคือผมนี่”

คำพูดไม่แรงแต่สะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ

“แต่ช่างเถอะ ผมให้อภัยคุณไปแล้ว ไม่ต้องขอโทษหรอก”

คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมีท่าทีอึกอักเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็เลือกที่จะเงียบไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ให้อภัยกันง่ายดายถึงขนาดนั้นทั้งที่ควรจะโกรธ เกลียดเขามากกว่านี้จนความรู้สึกที่มีอยู่ภายในถูกแสดงผ่านออกมาทางสีหน้าและแววตา

เบฟรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้อภัยใครสักคนที่พรากคนรักของเขาไป แต่ด้วยเพราะคำสอนของไออุ่น ด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่จะต้องร่วมงานด้วยในอนาคต ถ้าหากว่ายังมีอะไรบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ การทำงานร่วมกันคงจะไม่ราบรื่นเท่าไรนัก เขาจึงเลือกที่จะตัดใจจากความโกรธและให้อภัยในการกระทำนั้นเสียดีกว่า

“ผมไม่อยากทำงานกับคนที่เอาแต่พูดว่าขอโทษโดยที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย... เอาล่ะ! กินข้าวเถอะ จะได้กลับไปได้แล้ว”




** ติดตามตอนต่อไป **


ใกล้แล้วนะคะ ใกล้ได้เวลาจะซ่อมไออุ่นแล้ว
มาคอยลุ้นกันในตอนต่อๆ ไปนะคะว่าไออุ่นจะสามารถกลับมาได้ไหม

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านแล้วก็ขอบคุณทุกคำคอมเม้นท์มากๆ นะคะ


+++++++++++++++++++

KARMI
ขอบคุณค่าาาา

numay
ขอบคุณนะคะ

areenart1984
ขอบคุณค่ะ ใกล้แล้วค่ะ เบฟใกล้จะเรียนจบแล้วค่ะ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ เราเองก็อยากให้ไออุ่นกลับมาเหมือนกันค่ะ

shoky_9
ขอบคุณค่ะ เราเองก็รออยู่เหมือนกันค่ะ

rockiidixon666
ขอบคุณค่ะ ค่าตัวไวน์แพงมหาศาลเลย นานๆ ออกที เป็นพระเอกที่ไม่เหมือนพระเอกเลย 555+
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 15 ** 2017.12.17 **
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-12-2017 20:30:28
ไม่รู้ทำไม อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่า ไวน์จะคู่กับเบฟนะ  :confuse:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 15 ** 2017.12.17 **
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-12-2017 21:22:22
ู^
^
^
แอบเห็นด้วยค่ะ รู้สึกถึงอะไรบางอย่างระหว่างสองคนนี้อยู่เหมือนกัน ฮา
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 15 ** 2017.12.17 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 17-12-2017 21:51:28
ไม่รู้ทำไม อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่า ไวน์จะคู่กับเบฟนะ  :confuse:
แอบคิดเหมือนกันค่ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 15 ** 2017.12.17 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-12-2017 22:23:53
เออเนอะ สิ่งที่ถูกพรากไปไม่ใช่อุ่น แต่เป็นเวลาของไวน์กับอุ่น อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาไหล
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 15 ** 2017.12.17 **
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 18-12-2017 23:59:34
^
^
^
เราก็นึกว่าคิดไปเอง 5555 มันดูมีซัมติง เจอเรือเดี่ยวพายอยู่ไกลๆ แต่ไม่ชัวร์ 555555 :a5:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 16 ** 2017.12.24 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 24-12-2017 19:00:04
​ตอนที่ 16

ก่อนที่จะทำการซ่อมแซมตุ๊กตาไขลานที่ชื่อว่าอุล บรอมฟอร์ดหรือที่รู้จักกันในชื่อของไออุ่น ไวน์ได้แวะกลับมาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักอีกครั้ง เขาอยากทำความรู้จักและทำความเข้าใจกับเบฟเสียแต่เนิ่นๆ เพราะคงต้องแวะมาอีกหลายครั้งในระหว่างนั้น หากไม่ทำความสนิทสนมกันเอาไว้บ้างก็คงจะกลายเป็นว่าได้เขม่นกันทุกครั้งแน่

ร้านดอกไม้อุ่นไอรักปิดตัวลงไปแล้วตั้งแต่วันนั้น บานประตูด้านหน้าจึงล็อคอยู่เสมอ เสียงกริ่งดังขึ้นสามครั้งติดกันและเว้นช่วงไว้ก่อนดังขึ้นอีกสามครั้งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของไวน์ เบฟลงมาข้างล่างเมื่อได้ยินเสียง เขาไม่ได้แสดงท่าทีปั้นปึ่งหรือโมโหใดๆ ที่ถูกรบกวนเวลาระหว่างเขากับไออุ่น

“มาหาอุ่นใช่ไหม”

“เปล่า มาหานาย”

เบฟทำท่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทุกครั้งที่ไวน์มาที่นี่ก็มักจะมาหาไออุ่นเสมอ แต่คราวนี้กลับบอกว่าเป็นตัวเขาเอง ขั้วโลกเหนือคงได้ย้ายไปอยู่ขั้วโลกใต้แล้วล่ะ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

ถูกไวน์ถามแบบนี้ เบฟก็ยิ่งหน้าไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ท่าทางอึกอักของเขาทำให้ไวน์หลุดขำออกมาเล็กน้อยก่อนจะเฉลยให้ฟังว่าแท้จริงแล้วเขามาหาเบฟเพราะเรื่องอะไรกันแน่ก่อนที่จะถูกคิดเตลิดไปไกลจนกู่กลับมายาก “ที่มาหาก็เพราะเรื่องของอุ่นนั่นแหละ”

“อ้าว~”

“คิดว่าจะมีเรื่องอื่นหรือไง ก็แค่อยากจะมาพูดให้เคลียร์เพราะเราคงต้องทำงานร่วมกันไปอีกสักพัก อะไรที่มันค้างคาใจก็อยากให้จบลงในวันนี้”

เบฟอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนว่าตัวเองหน้าแตกจนหมอไม่รับเย็บแต่อันที่จริงแล้วความผิดนั้นก็ควรเป็นเพราะไวน์มากกว่าที่ทำให้เข้าใจผิดไป เขาชี้เชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงบนม้านั่งตัวเดิมที่อยู่ในร้าน ส่วนเขานั้นลากเก้าอี้บาร์ที่อยู่ด้านหลังเค้าท์เตอร์ออกมานั่งเผชิญหน้ากัน พวกเขานิ่งเงียบอยู่สองสามอึดใจก่อนที่สุดท้ายแล้วเบฟจะเป็นฝ่ายที่ทนไม่ไหวและเอ่ยถามจุดประสงค์ของการมาที่นี่

“สรุปคุณอยากจะพูดเรื่องอะไรกันแน่”

“ก็อย่างที่บอก นายไม่พอใจอะไรผมตรงไหนก็พูดมา ไม่ชอบให้ผมทำอะไรก็บอกมาตรงๆ ได้ เพราะจากนี้ไปเราต้องร่วมมือกันซ่อมอุ่น ผมไม่อยากให้เรื่องพวกนั้นมาเป็นปัญหาทำให้มันไม่ราบรื่น”

เบฟจ้องมองหน้าไวน์แน่นิ่ง ถ้าพูดถึงเรื่องไหนที่ไวน์ทำแล้วรู้สึกไม่ชอบใจมันคงมีเยอะจนพูดออกมาได้ไม่หมดแต่แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาราวกับว่าพยายามจะปลงกับเรื่องบางเรื่อง “มันเยอะมาก อยากฟังไหมล่ะ”

“อืม ผมมีเวลาว่างทั้งวันหรือถ้ามันไม่จบวันนี้ก็นัดวันเพิ่มได้นะ”

“โอ๊ย! วันเดียวก็พอ ไม่อยากเจอหน้าบ่อยๆ”

ไวน์อมยิ้มเล็กน้อยแต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่เบฟจะพูด

“ผมไม่ชอบที่คุณพาเขาไปจากผม ผมไม่ชอบสายตาคุณเวลาที่มองเขา ผมไม่ชอบการกระทำของคุณแต่เอาเถอะ! ผมเคลียร์ความรู้สึกตัวเองไปแล้ว” เบฟเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณชอบเขา ผมเองก็ชอบเขา แต่ถ้าเขากลับมาได้ล่ะก็ผมจะใจดีเปิดทางให้คุณได้เดินหน้าจีบเขาได้เต็มที่”

“ทำไม...”

ยังไม่ทันที่ไวน์จะได้ถามออกมาจนจบประโยค เบฟก็ตอบมาทันทีราวกับว่าเขาต้องการอธิบายมันอยู่แล้ว “ก็เพราะสายตาเวลาที่อุ่นมองคุณมันต่างออกไป ผมรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่แบบเดียวกับที่เขาใช้มองผมหรือคนอื่น ผมหวง... ผมอิจฉา อยากให้เขามองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักแบบนั้นบ้างแต่อุ่นก็ไม่เคยมอง เขา... เขามองแค่กับคุณคนเดียวเท่านั้น ทั้งที่ผมมาก่อน...” เบฟเบือนหน้าหนีสายตาที่จ้องมองมา รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาพูดมันต่อไม่ได้ก่อนจะย้ายที่นั่งไปยังม้านั่งตัวเดียวกับที่ไวน์นั่งอยู่ ชันเข่าขึ้นมาแล้วซุกใบหน้าลงไป หลบซ่อนอารมณ์ ความรู้สึกที่น่าอายของตัวเองในเวลานี้เอาไว้

ไวน์ทำท่าเหมือนกับจะพูดอะไรขึ้นมาสักอย่างแต่ก็เงียบไป เขาหันไปมองร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ และรับรู้ว่ามันทรมานมากกับการที่ต้องปล่อยมือจากคนที่ตัวเองรักเพื่อความสุขของอีกฝ่าย

“ผมอยู่กับเขามาตลอดทั้งชีวิต ผมมีแค่เขาและเขาก็สำคัญกับผมมาก แต่พอวันที่คุณเดินเข้ามาในชีวิตเขา ผม... ผมถึงได้รู้อะไรบางอย่าง ผมไม่อยากโต ผมอยากเป็นแค่เด็กคนหนึ่งในสายตาของอุ่น ผมแค่อยากเป็นเด็กที่เอาแต่ใจเก็บเขาไว้คนเดียวโดยไม่แบ่งใคร อยากให้เขาเป็นแค่ตุ๊กตาไขลานที่ทำได้แค่อยู่ในร้านรอผมกลับมา ผมอยากเป็นคนที่เห็นแก่ตัวแต่คนเราสักวันก็ต้องโต ไม่ช้าก็เร็วเราจะต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ ผมไม่อยากให้วันนั้นมาถึงเพราะผมกลัวว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม แต่ตอนนี้...”

ในขณะที่เบฟเงียบไปและไวน์กำลังยกมือขึ้นเพื่อจะลูบหัวปลอบ ไวน์รีบชักมือกลับเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เบฟอาจแค่ต้องการให้รับฟังแต่ไม่ได้อยากได้คำปลอบใจ เพียงไม่นานนักเบฟก็พูดขึ้นต่อราวกับว่าที่หยุดไปเมื่อครู่นั้นแค่พักหายใจเท่านั้น

“ผมไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง ผมไม่รู้ว่าตอนที่อุ่นมีคุณแล้วผมกับเขาจะเป็นเหมือนเดิมได้อีกไหม ผมไม่รู้ว่าถ้าผมปล่อยเขาไปให้คุณแล้วคุณจะรักเขามากกว่าหรือเท่ากับที่ผมรักหรือกเปล่า ผม... ผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง”

“เบฟ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น ผมสัญญาว่าจะดูแลเขาให้ดี”

เบฟเงยหน้าขึ้นมองไวน์ครู่หนึ่งก่อนกลับไปซบกับเข่าที่ชันขึ้นมา สีหน้าของผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งเขาเห็นเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเต็มไปด้วยความจริงใจที่ไม่เสแสร้งยามพูดประโยคนั้นออกมา เบฟไม่อยากปล่อยมือจากไออุ่นแต่ในขณะเดียวกันด้วยคำยืนยันนั้นเขากลับเชื่อมันเกินครึ่งว่าไวน์จะดูแลไออุ่น ตุ๊กตาไขลานที่เขารัก ถนุถนอมและหวงแหนได้เป็นอย่างดี

“ผมปล่อยเขาให้คุณไม่ใช่เพราะว่าผมไม่รักแต่เพราะผมยังรักและรักมาก ผม... ผมนอนคิดมาตลอดหลายคืน ผมพูดกับเขา คุยกับเขาแต่เขาก็ไม่ตอบสนองอะไร มันเลยทำให้ผมเริ่มคิดได้ ความรักที่ไม่ได้รับการตอบสนอง สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บที่สุดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ตัวเองนั่นแหละ”

น่าแปลกที่พอเบฟได้ใช้เวลาอยู่กับไออุ่นมากเข้ากลับทำให้เขาคิดได้ ตระหนักได้ หากเป็นเมื่อก่อนก็คงทำตัวดื้อแพ่ง ขวางโลก หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่ยกไออุ่นให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น แม้แต่ไวน์เองก็จะไม่ได้ไป ทว่าพอมาตอนนี้ นึกจะปล่อยก็ปล่อยอย่างง่ายดายราวกับว่าวันเวลาที่ผ่านมาช่วยไขคำตอบให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง

“ขอบคุณนะ”

“แค่ขอบคุณไม่พอหรอก”

เบฟเงยหน้าขึ้นมองสบตาผู้ชายที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์แสนกล มุมปากกระตุกเล็กน้อยแต่กลับไม่ทำให้ไวน์รู้สึกหวั่นใจอะไรเลยสักนิด

“จะเอาอะไร”

“ขอจูบทีได้ป่ะ”

ตอนนั้นไม่หวั่นใจแต่ตอนนี้... ไวน์ขนลุกไปทั่วทั้งร่างเหมือนเจอสิ่งที่สยองขวัญ สั่นประสาทที่สุดในโลกเข้าให้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากบางขยับไปมาราวกับว่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดมันไม่ออก หัวใจของเขาใกล้จะหยุดเต้นเข้าไปทุกที ดวงตาสีอำพันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนี้จากผู้ชายคนนี้มาก่อนในชีวิต

“นาย... นาย... อย่าบอกนะว่า...”

“อำเล่น เห็นทำหน้าแบบนี้แล้วมันตลกว่ะ ขอขำเถอะนะ กลั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้ว”

เบฟหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงใจและไม่คิดจะเกรงใจ เขาเห็นไวน์ทำหน้ามึนตึงก็พยายามรีบกลั้นหัวเราะแต่กว่าจะหยุดได้ก็เล่นเอาเหนื่อยจนเกือบจะหมดแรง

“มันไม่ตลก!”

“โอ๊ย~ ขอโทษ ก็แค่อยากลองดูเฉยๆ ใครจะบ้าไปนึกพิศวาสคนที่ชอบปั้นหน้ายักษ์ตลอดเวลาแบบคุณ”

เบฟยกมือกุมท้องที่ขำจนท้องคัดท้องแข็งไปหมดเอาไว้ ตัวงอเป็นกุ้งต้ม ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มที่พยายามจะไม่ยิ้ม ท่าทางถูกอกถูกใจอยู่ไม่น้อยที่ได้เห็นไวน์ในมุมอื่นบ้าง ถือเป็นการแก้เผ็ดเอาคืนในส่วนเรื่องของไออุ่นที่เคยทำเอาไว้กับตัวเขาก่อนหน้านี้เสียเลย แต่พอถูกไวน์มองด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกที่จะมาหัวเราะกันไม่หยุด เบฟจึงได้รีบปรับสีหน้าของตัวเองให้ดูจริงจังขึ้นอีกเล็กน้อย

“ก็รู้ว่ามันไม่ตลก แต่ช่วยลดความจริงจังในชีวิตลงหน่อยก็ดีนะ”

“ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

“เหรอ? ไม่คุยด้วยล่ะ เลี้ยงพิซซ่าด้วยนะ ผมจะไปหาพีทแปปนึง คุณจะขึ้นไปหาอุ่นก็ได้ เดี๋ยวกลับมา”

เบฟลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วเปิดประตูเดินออกไป ไม่รอให้ไวน์ได้ปฏิเสธหรือรับคำใดๆ จนกระทั่งเบฟลับสายตาไปแล้วไวน์จึงเดินขึ้นไปบนห้องเดิม ห้องนอนของไออุ่นที่ทำเอาเขาปวดใจทุกครั้งที่ได้เห็นแต่ในวันนี้มันกลับเต็มไปด้วยความยินดีและมีความหวัง

บานประตูห้องนอนถูกผลักเข้าไป ไออุ่นยังคงนอนนิ่งอยู่ใต้ผืนผ้าห่มเหมือนเช่นทุกครั้งที่ไวน์ได้แวะเข้ามา ร่างนั้นเพียงแค่หลับลึกจนปลุกเท่าไรก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาแต่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี ดวงหน้าเรียวงามที่เย็นเฉียบยังคงเปล่งประกายงดงามเสมอในสายตาของเขา

ไวน์หยุดลงแค่เพียงที่หน้าประตู

“อุ่น วันนี้เขาทำผมแปลกใจมากนะ” ไวน์เว้นช่วงเอาไว้เล็กน้อยราวกับอยากจะได้ยินอีกฝ่ายถามว่ามันเป็นเรื่องอะไรแต่เขารู้ดีว่าไออุ่นในตอนนี้ตอบสนองอะไรไม่ได้แม้เพียงอย่างเดียว “ผมรู้ว่าเขาน่าจะยังไม่ชอบผมอยู่บ้าง แต่การที่จู่ๆ มาบอกผมว่าเปิดโอกาสให้ผมได้เดินหน้าจีบคุณ ผมว่าเขาคงเจ็บปวดไม่น้อย คุณคิดแบบนั้นไหม”

“......”

ไวน์เดินเข้าไปใกล้เตียงนอนของไออุ่นแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง เอนหัวพิงซบลงบนฟูกนอน

“เขายอมถอยให้ขนาดนี้ ผมไม่รู้จะพูดยังไงดีเลย... เพราะถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่ยอมปล่อยคุณไปง่ายๆ แต่เขายอมเจ็บเพื่อคุณ ยอมปล่อยมือจากคุณเพราะอยากให้คุณได้มีความสุข อุ่น... รีบกลับมาเร็วๆ นะ ผมรอคุณอยู่ เขาก็กำลังรอคุณอยู่ เราทุกคนรอคุณกลับมาอีกครั้งนะ มาทำให้ร้านดอกไม้อุ่นไอรักของคุณกลับมามีชีวิตชีวา กลับมาทำให้ใจของผมเข้มแข็งขึ้น กลับมาฟังคำขอโทษและคำบอกรักจากปากของผมเถอะนะ ผมอยากให้คุณได้ยินมันแล้ว”

ไวน์ทอดสายตามองนิ้วมือที่เกี่ยวประสานกันไปมา เขาเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง เป็นความเงียบที่ทำให้ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองชัดเจนมากขึ้น “อุ่น... ผมทรมาน ผมเห็นคุณอยู่ตรงหน้าแต่ผมก็ทำได้แค่ยืนมอง จะเข้าไปช่วยซ่อมร่างกายของคุณก็กลัวว่าจะเป็นต้นเหตุทำให้คุณกลับมาไม่ได้อีก ผมนี่มัน... เป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหม เบฟยังดีกว่าผมเยอะ เพราะอย่างน้อยๆ ในหัวของเขาก็มีแต่เรื่องของคุณเต็มไปหมด เขาพยายามเพื่อคุณโดยที่เขาไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ผม...”

ราวกับมีก้อนความรู้สึกบางอย่างจุกแน่นอยู่ตรงหน้าอก เขาหลั่งน้ำตาออกมาเพื่อที่จะระบายสิ่งที่อยู่ในใจ ความทุกข์ทรมาน การกล่าวโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมากับเรื่องที่เกิดขึ้น ความรู้สึกผิดที่ตนเป็นคนก่อ มันไม่เคยจางหายไปไหนจนกระทั่งวันนี้ที่น้ำตาคือสิ่งที่อธิบายสิ่งที่เก็บเอาไว้ภายใน

“ขอ... ขอโทษที่ร้องไห้ต่อหน้าคุณ”

มือแกร่งยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลเปรอะสองแก้ม เก็บเสียงสะอื้นไห้เอาไว้ไม่ให้มันได้เล็ดลอดออกมาให้ไออุ่นได้ยินแล้วเกิดความไม่สบายใจ

“ผม... ทำอะไรเพื่อคุณไม่ได้เลย จะซ่อมร่างกายของคุณก็ทำไม่เป็น ได้แต่อยู่เฉยๆ แล้วมองคุณอยู่อย่างนี้ มันอึดอัดมากนะ อุ่น แต่ผมก็ดีใจนะที่เขายอมให้ผมได้จีบคุณ จากนี้มันก็เหลือแค่ว่าคุณจะตอบรับความรู้สึกของผมไหม แต่ก่อนอื่นก็ต้องพาคุณกลับมาให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีทางได้คำตอบจากคุณ”

ความเงียบก็ยังคงเป็นคำตอบของไออุ่น

“อุ่น ขอผมนั่งอยู่แบบนี้สักพักได้ไหม ให้ผมได้อยู่กับอุ่นแบบนี้สักพักนะ”


-----------------------------------

 

เบฟออกมาจากร้านได้ก็รีบตรงดิ่งไปหาพีททันที ท่าทางอารมณ์ดีเหมือนได้ปลดปล่อยพันธนาการอะไรบางอย่างออกไปจากใจเสียที พอมาถึงร้านก็พบว่าพีทนั่งอยู่หน้าร้านราวกับล่วงรู้ว่าเขาจะมาหา เบฟพุ่งตรงเข้าไปพร้อมกับตบลงบนโต๊ะจนเสียงดังลั่นร้าน ชามะนาวที่กำลังจะเข้าปากพีทกลับพุ่งออกมาใส่ร่างคนที่มาเยือนจนเสื้อเป็นด่างเป็นดวง

“พีท! ทำบ้าอะไรวะ!”

“แล้วตบโต๊ะทำไม ตกใจหมด”

เบฟเดินเข้าไปใกล้ จับเสื้อของตัวเองที่เปรอะนำชามะนาวเช็ดไปบนเสื้อของอีกฝ่าย พีททำแค่ขมวดคิ้วมองแต่ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรก่อนจะย้ำถามอีกครั้งด้วยความสงสัยในความอารมณ์ดีเกินพิกัด “มีอะไร ทำหน้าระรื่นขนาดนี้”

“ไปกินพิซซ่ากัน มีคนเลี้ยง”

“พิซซ่าฟรีแค่นี้ทำให้อารมณ์ดีได้เลยเหรอ อยากกินก็บอก พี่เลี้ยงก็ได้”

“มันเหมือนกันที่ไหน นี่น่ะ! พิซซ่าไวน์”

พีทเบิ่งตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ พิซซ่านั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทำให้ตกใจแต่เป็นชื่อของไวน์มากกว่า อีกทั้งอารมณ์ของเบฟยังดีเกินคาดนั่นยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่างวันก่อนก็ยังเห็นเบฟทำหน้าป่วยเหมือนคนใกล้ตายเข้าไปทุกทีแต่พอมาวันนี้ ตอนนี้ก็เปลี่ยนจากหลังมือกลายเป็นหน้ามือได้อย่างง่ายดาย

“ขอคำอธิบาย”

“คือ...” เบฟไม่รู้จะไปเริ่มที่ตรงไหน เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างพีท คว้าชามะนาวที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วขึ้นมาดูดแต่ยังถูกพีทจ้องเขม็งคล้ายว่าจะพยายามคาดคั้นความจริงจากปากของเขาให้ได้เดี๋ยวนี้ “อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นสิวะ ไม่รู้จะไปเริ่มตรงไหนเลย”

“ตรงที่ทำไมอารมณ์ดีขนาดนี้ หาทางซ่อมพี่อุ่นได้แล้วเหรอไง”

“เปล่า แค่เคลียร์ความรู้สึกตัวเองได้ มันเหมือนนกที่หลุดจากกรงขังเลยว่ะ”

“คือ...?”

“กูปล่อยมือจากอุ่นแล้ว กูจะให้เขาได้มีอิสระ กูจะไม่เอาตัวเองไปผูกมัดเขาไว้ กูรู้ว่าที่ผ่านมา... กูทำตามใจตัวเองโดยไม่เคยสนเลยว่าเขาจะรู้สึกยังไง ที่ผ่านมากูไม่เคยรู้อะไรเลยจน...” เบฟนิ่งเงียบไปแล้วแกล้งหยิบแก้วน้ำของพีทมาดื่มไปอีกหลายอึก รอดูปฏิกิริยาอยากรู้อยากเห็นของพีทแต่เขาก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย นอกจากคำว่า “แล้วยังไงต่อ”

“ช่วยอินกับที่กูเล่าไม่ได้เลยเหรอ”

“จะเล่าไหม กำลังตั้งใจฟังอยู่”

“เออๆ” เบฟออกอาการหัวเสียเล็กน้อยก่อนจะยอมเล่าต่อ “จนกูได้อยู่กับตัวเองลำพัง หลายวันเข้า กูถึงเพิ่งเข้าใจว่าสายตาที่เขามองไวน์มันไม่เหมือนที่เขามองกู เวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมันเหมือนกูกลายเป็นส่วนเกิน กูเป็นฝ่ายบอกรักเขาก่อนมาตลอด ถ้ากูไม่ถามเขาว่ารักกูไหมก็คงไม่ได้ยินคำว่ารักจากปากของเขา แล้วแบบนี้จะให้กูยึดเขาไว้กับตัวเพื่ออะไรวะ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีความสุขด้วยกันทั้งคู่”

“คิดได้แล้วสินะ”

“พูดอะไรแปลกๆ ทำตัวก็แปลกๆ โกรธที่กูเอาเสื้อไปเช็ดเหรอ”

“พี่ถามจริงๆ นะ ที่บอกว่าปล่อยมือจากพี่อุ่นแล้วเป็นเพราะนายชอบไวน์ใช่ไหม”

ถ้าตอนนี้ในปากของเบฟมีอะไรสักอย่างอยู่ มันคงพุ่งออกมาหมด เขากรอกตาไปมาด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของพีท ถ้าเขาชอบไวน์จริงก็คงไม่บอกให้จีบไออุ่นได้ตามสบายแต่พีทคงยังไม่รู้เลยเข้าใจไปผิดๆ แบบนั้น

“ถามจริง ทำไมถึงคิดว่ากูชอบเขา”

“ไม่รู้ แล้วชอบเขาหรือเปล่าล่ะ”

“เปล่า ไม่ได้ชอบ”

“อืม”

“แล้วยังไง จะไปด้วยกันไหม ไวน์เลี้ยง”

พีทนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบรับแต่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นยิ่งทำให้เบฟรู้สึกว่ามันแปลก มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ท่าทีของพีทยังมึนตึงใส่เขาทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็น เบฟจึงลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปยืนด้ายหลัง ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดใส่พีทที่นั่งอยู่จนหน้าเกือบทิ่มลงบนโต๊ะ สองแขนโอบรอบคอ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วจึงกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่ว “พีท มึงโกรธกูเหรอ”

“เปล่า จะให้พี่โกรธเรื่องอะไร”

“ไวน์ไง แล้ว... มึงชอบกูใช่ไหม”

“......”

ยิ่งพีทไม่ตอบก็ยิ่งทำให้เบฟคิดว่ามันใช่ เขาทำท่าจะถามย้ำอีกครั้งแต่ก็เงียบไปเมื่อได้ยินพีทพูดขึ้นมา “ถ้าเรารู้ว่าเขาไม่ได้รักเรา ยิ่งตัดใจได้เร็วเท่าไรมันก็ยิ่งเป็นผลดีกับตัวเราเอง แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไรเลย นานวันเข้ามันจะถลำลึกจนหันหลังกลับมาไม่ได้อีกแล้ว”

“มึง... ต้องการพูดอะไรกันแน่ พีท”

“จริงๆ แล้วนายยังรักพี่อุ่นอยู่ นายรักเขามาทั้งชีวิต พอมาวันนี้กลับบอกว่ายอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ การกระทำของนายน่ะปล่อยแล้วก็จริงแต่ใจนายปล่อยเขาด้วยหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแล้วคนที่ยังเจ็บก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือตัวนายเองนะ เบฟ”

 เบฟนิ่งชะงักก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่ของอีกฝ่าย ปล่อยให้น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ที่แทบจะจับใจความไม่ค่อยได้สักเท่าไร “กูยังรักเขาแต่จะให้ทำยังไง...”

ไม่มีคำปลอบใจใดจากพีท นอกจากความอบอุ่นจากมือข้างหนึ่งที่กำลังลูบหัวอย่างเบามือและอ่อนโยนมากที่สุด แต่นั่นกลับทำให้เบฟร้องไห้ไม่หยุด

“ทำไมกูไม่รักมึงวะ พีท”

มือที่กำลังลูบหัวอยู่หยุดค้างกลางอากาศ

“พะ... พูดอะไร เบฟ”

“ถ้ากูชอบมึงตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บขนาดนี้ไง”

“.......”

พีทพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว เขานั่งอยู่แบบนั้นนิ่งๆ ปล่อยให้เบฟได้ซบไหล่ ถ้าหากคำพูดของเบฟเป็นคำสารภาพที่มาจากใจจริงๆ ไม่ใช่ความต้องการเพื่อที่จะให้เขาไปแทนที่ใครสักคนก็คงจะเป็นเรื่องที่เขาตอบได้ง่ายกว่านี้

“แต่กูรู้ว่ามึงไม่ได้ชอบกูหรอก มึงชอบอุ่นมาตลอดเหมือนอย่างกู”

“.......”

“ไปเถอะ ไปดูกันดีกว่าว่าจะสั่งพิซซ่าหน้าอะไรมากินกันดี”

เบฟขยับตัวออกมาแต่กลับถูกพีทรั้งเอาไว้จนขยับออกไปได้ไม่ไกล พีทไม่ได้หันหน้าไปหาแต่มือที่จับอยู่นั้นแน่นถึงขนาดที่เบฟสะบัดไม่ออกราวกับว่าไม่อยากให้เขาจากไปไหนไกล พวกเขาอยู่ในสภาพนั้นเนิ่นนานโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวจนกระทั่ง... “ขี่หลังพี่ไหม เบฟไม่ได้ขี่หลังพี่นานแล้วนะ”

เบฟทิ้งตัวลงใส่พีทอีกครั้ง ทำตัวเหมือนพวกงูไร้กระดูกสันหลัง สองแขนยกขึ้นโอบรอบคอเป็นที่เรียบร้อย กำลังจะยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดเอวแต่ถูกปรามเอาไว้ก่อน “ให้พี่ลุกก่อนได้ไหม แบบนี้เดี๋ยวได้ล้มหงายหลังด้วยกันทั้งคู่หรอก”

“ถ้าล้ม มึงก็ฉุดกูขึ้นมาสิ พีท”

“ถ้าพี่ฉุดแล้วนายไม่ยอมตามขึ้นมาล่ะ”

“ไม่มีทาง! ลุกได้แล้ว พีท”

เบฟตบลงบนหน้าอกของพีท เร่งเร้าให้เขาลุกขึ้นทั้งที่ตัวเองทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไป ดูยังไงก็รู้ว่างานนี้คือการแกล้งกันแต่ใช่ว่าพีทจะโวยวายออกมา ในเมื่อเบฟบอกให้ลกขึ้นยืนทั้งอย่างนี้และเจ้าตัวดูเหมือนจะกลายร่างเป็นลูกตุ้มถ่วงน้ำหนัก เขาก็จะทำแม้ว่ามันอาจทำให้เราทั้งคู่ต้องล้มลงไปพร้อมกันก็ตาม

ร่างของเบฟดูเหมือนจะเบาแต่พออยู่ในลักษณะท่านั่งทำให้พีทแบกร่างนั้นยากขึ้น กว่าจะลุกขึ้นได้ก็ใช้แรงไปเยอะและต้องพยายามอยู่หลายครั้งกว่าจะแบกขึ้นหลังและลุกยืนได้สำเร็จ ไม่มีคำพูดบ่นใดๆ ให้ได้ยินจากคนทั้งคู่นอกจากคำว่า “คิดถึงเนอะ” และตามด้วยเสียงหัวเราะที่ดังลั่นร้าน

“ตอนนั้นนายขอพี่อุ่นออกไปเล่นข้างนอกกับพี่ จำได้ไหม แล้วนายก็งอแงเพราะว่าล้มจนได้แผลที่เข่า นายกลัวเจ็บแล้วก็กลัวพี่อุ่นจะดุเอา พี่เลยอาสาจะให้นายขี่หลังกลับ นายถึงยอม”

“ตอนนั้นกูเก้าขวบ ส่วนมึงสิบสี่”

“แต่ตอนนี้พี่ยี่สิบห้า เบฟยี่สิบแล้ว นานมากจริงๆ”

“อืม ว่าแต่จะกินหน้าอะไร จะได้โทรไปสั่ง” เบฟแกล้งกระซิบข้างหูในขณะที่ถูกแบกกลับ

“ฮาวายเอี้ยนกับซีฟู๊ดค็อกเทล หน้าโปรดนาย พี่จำได้”

“แต่ตอนนี้ไม่อยากกินหน้านั้นแล้ว พีท”

“เป็นอะไร เบื่อแล้วเหรอ”

“ไม่เบื่อแต่อยากกินหน้าที่มึงชอบบ้าง ทุกทีที่สั่งก็เป็นมึงที่กินตามใจกูตลอด กูแค่อยากตามใจมึงบ้าง”

เท้าที่ก้าวอยู่หยุดชะงักไปชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะพยายามก้าวให้เป็นจังหวะปกติพร้อมกับบังคับการเต้นของหัวใจให้คงเส้นคงวา เมื่อก่อนอาจจะทำไม่ยากแต่ตอนนี้สำหรับพีทมันเริ่มยากขึ้นมาบ้างแล้ว ตั้งแต่ที่เขารู้จุดยืนของตัวเอง

“ไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าเนี่ย ยังไงพี่ก็ตามใจนายอยู่แล้ว”

“ถ้างั้นก็ตามใจอีกนิดได้ไหม”

“ได้ อะไรล่ะ”

“ให้กูได้เป็นคนเดียวที่ขี่หลังมึงแบบนี้ได้ไหมวะ”

“ทำไมจะไม่ได้”

ระยะทางระหว่างร้านของพีทกับอดีตร้านดอกไม้อุ่นไอรักไม่ได้ไกลกันมากนักแต่จนถึงตอนนี้แล้วพวกเขาก็ยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางสักที

“กูรักอุ่นนะ พีท แล้วกูก็คงทนไม่ได้ถ้ากูยังรักเขาอยู่แล้วเห็นเขาอยู่กับใครที่ไม่ใช่กู”

พีทหยุดเดินเมื่อยินประโยคนั้นจากปากของเบฟ ความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูกผุดขึ้นในใจ

“เบฟ...”

“หืม?”

“เรามาลองคบกันไหม”

“ห๊ะ!!”

เบฟเกือบจะร่วงตกลงมาเมื่อได้ยินพีทที่จู่ๆ ก็ขอให้คบกันเสียอย่างนั้น ถึงแม้เขาจะเคยพูดออกไปว่าถ้าตนได้รักกับพีทตั้งแต่แรกก็คงจะไม่เจ็บเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราสองคนจะต้องมาคบกันเพียงเพื่ออยากตัดปัญหา

“ลองคบกันดู มันก็ไม่เสียหายอะไรไม่ใช่เหรอ”

“ตะ... แต่... มึงก็รู้ว่ากูยังรักอุ่นอยู่”

“ก็เพราะรู้เลยบอกว่าให้ลองคบกันดูไง ไม่อย่างนั้นนายจะตัดใจจากเขาได้ยังไง พี่อุ่นน่ะเป็นรักทั้งชีวิตของนาย จู่ๆ จะให้เลิกรักทันทีมันไม่ใช่เรื่องง่าย และพี่ก็ไม่ได้บอกว่าให้นายต้องมารักพี่”

“.......”

เอาเข้าจริง เบฟไม่เข้าใจการกระทำของพีทเลยสักนิด

“เพื่ออะไรวะ คบกันแต่ไม่ได้รักกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนจากลองคบกันมาเป็นลองรักกันไหม”

“พูดบ้าอะไรวะ!! พีท!!”

เบฟทุบเข้าที่กลางหลังของคนที่เขากำลังเกาะอยู่ไปหนึ่งครั้ง ขยับตัวทำท่าจะลงแต่พีทยังคงยึดเอาไว้แน่นกระชับ ต่อให้อยากจะลงก็ลงไม่ได้ เขาทำได้แค่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น สองมือที่คล้องคออยู่คลายออกเล็กน้อย ถ้าเพียงแต่พีทหันกลับมาก็คงเห็นใบหูที่แดงเถือกเป็นลูกเชอรี่เข้าแน่







<< ต่อด้านล่างค่ะ >>
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 16 ** 2017.12.24 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 24-12-2017 19:00:50
<< ต่อจากข้างบนค่ะ >>





“พูดจริง”

“บะ... บอกเลยนะว่าไม่ตลก”

“ก็ไม่ตลกเหมือนกัน ว่ายังไงล่ะ ตกลงไหม”

“.......”

“ถ้าไม่ตอบ พี่ก็จะยืนแบกนายอยู่แบบนี้”

“ปะ... ปะ... ปล่อยลงก่อนสิ แล้วจะตอบ”

พีทปล่อยเบฟให้ลงยืนกับพื้นตามคำขอ และทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสพื้นก็ราวกับว่าได้ติดจรวดเอาไว้ เบฟวิ่งกลับเข้าร้านไปอย่างไม่คิดชีวิตแต่ก็ยังไม่วายหันกลับมาตอบคำถามด้วยท่าทางเขอะเขินอยู่เล็กน้อย “คำตอบน่ะ รอไปก่อนนะ แต่เมื่อไรไม่รู้!”

พีทไม่รีบร้อนเดินตามไป เขาปล่อยให้เบฟกลับเข้าร้านไปได้สักพักแล้วจึงเข้าตามไปทีหลัง ให้เบฟได้มีเวลาอยู่กับตัวเองสักนาทีสองนาทีเพื่อค้นหาคำตอบให้กับคำถามที่เขาได้ถามไป แต่พอเข้าไปในร้าน เบฟกลับทำเป็นเหมือนเรื่องเมื่อครู่มันไม่เคยได้เกิดขึ้น

“กูโทรไปสั่งแล้วนะ พิซซ่าอ่ะ”

“อืม”

พีทตอบรับเสียงเบา แต่ในสายตาของเบฟแล้วนั่นเป็นการกระทำที่แสนเย็นชา

“พีท มึงโกรธกูจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”

“เปล่า ลืมที่พี่ถามไปเลยก็ได้นะ”

“พีท~”

“ไวน์อยู่ข้างบนกับพี่อุ่นใช่ไหม พี่จะขึ้นไปหาเขาหน่อย”

แค่เพียงพีทก้าวเท้าจะเกินจากไปก็ถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือเอาไว้ เขาไม่หันกลับไปเผชิญหน้าแต่ยืนนิ่งรอฟังสิ่งที่เบฟจะพูดออกมาอยู่ตรงนั้น อันที่จริงแล้วเขาไม่ควรจะเริ่มต้นพูดเรื่องนั้นด้วยซ้ำ เพราะคำตอบนั้นไม่จำเป็นต้องตอบ เขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันคืออะไร

“พีท... มึงชอบกูเหรอ”

“อืม”

“ตั้งแต่เมื่อไร”

“ตั้งแต่เมื่อไรมันไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่ว่าอีกฝ่ายจะตอบรับความรู้สึกของเราหรือเปล่า”

เบฟปล่อยมือจากพีทแล้วเดินอ้อมไปข้างหน้า ท่าทางของเขาดูจริงจังขึ้นมากกว่าปกติ นี่เป็นเรื่องของความรู้สึกที่ไม่ใช่ใครจะเอามาพูดกันเล่นๆ และดูแล้วพีทเองก็ไม่ได้พูดเล่นด้วยเช่นกัน

“พีท... ถ้ามึงถามกูหลังจากนี้ คำตอบมันอาจจะเปลี่ยนไปเพราะตอนนี้กูก็ไม่รู้ว่ากูควรทำยังไง กูยอมรับนะว่ากูปล่อยอุ่นให้ไวน์ไปแล้วแต่ก็ยังรักอยู่ ความรักที่กูมีให้เขามันไม่ใช่แค่วันสองวันหรือเดือนสองเดือนก็จางหายไป อย่างที่มึงบอกนั่นแหละว่ากูรักเขามาทั้งชีวิตแล้วจะให้เลิกรักเลยมันคงทำไม่ได้ และที่กูปล่อยเขาไปก็เพราะอยากเห็นเขามีความสุข อยากเห็นเขาทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง ขอเวลาให้กูสักพักนะ พีท ให้ความรู้สึกของกูมันคงที่กว่านี้หน่อยแล้วกูจะตอบคำถามนั้นของมึง รอกูหน่อยนะ”

“อืม จะรอจนกว่าจะตอบรับ”

“เฮ้ย! ไม่ได้บอกว่าจะตอบรับ แค่จะตอบคำถามเฉยๆ”

พีทยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือขึ้นลูบหัวกลมๆ ที่ไม่ได้สูงไปกว่าเขาด้วยความเบามือและอ่อนโยนจนเบฟสัมผัสถึงมันได้ ทั้งที่เมื่อก่อนก็ถูกพีทลูบหัวอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยรู้สึกได้เหมือนกับวันนี้

“คำตอบที่เบฟจะให้พี่ได้ก็มีแต่คำว่าตกลง”

“เฮ้ย! มัดมือชกเหรอ!”

“พี่เสียเวลารอได้แล้วทำไมถึงตอบตกลงไม่ได้ล่ะ”

“เดี๋ยว! อะไรคือรอ เพิ่งพูดจบไปยังไม่ถึงสิบนาที จะให้ตอบตกลงได้ยังไง ขอเวลาสักปีสองปีไม่ได้เหรอไง ให้ได้ทำใจให้มันคงที่ก่อนไม่ได้เหรอ อย่าขี้โกงไปหน่อยเลย”

เบฟชี้หน้าพูดปาวๆ ท่าทางไม่ยอมความกันง่ายๆ เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกเอาเปรียบอยู่

“ถ้าคำตอบคือตกลงอยู่แล้ว จะตกลงตอนนี้หรืออีกปีสองปีข้างหน้ามันก็ยังคือคำว่าตกลงไม่ใช่เหรอ แล้วจะรอไปทำไม เสียเวลาเปล่าๆ”

“พีท! ถ้ากูรู้ว่ามึงเป็นคนแบบนี้นะ กู... กูขึ้นไปหาอุ่นดีกว่า”

เบฟหันหลังให้ รีบสาวเท้าก้าวจากไปแต่เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ไวน์ก็ลงมาจากข้างบนพอดี เห็นพีทยืนอยู่จึงเข้าไปทักทายตามมารยาท พีทจึงคว้าตัวเบฟเข้ามากอดคอเอาไว้และแนะนำสถานะใหม่ให้รู้จักเสียเลย “ไวน์ ผมกับเบฟคบกันแล้วนะ จากนี้ไปก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วว่าเด็กคนนี้จะไปเป็นมารขวางความรักอีกแล้ว”

“พีท! ปล่อยสิโว้ย! ใครคบใคร! กูไม่ได้คบมึง! อย่าเพิ่งมโน!”

พีทหัวเราะหึๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ไวน์ เป็นอันว่าเข้าใจตรงกันแต่ที่จะเข้าใจไม่ตรงกันก็เห็นจะมีแค่เบฟเท่านั้น เบฟยังแสดงอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง พอเห็นว่าพิซซ่าที่สั่งเอาไว้มาส่งแล้วก็รีบแกะมือที่ล็อคคอตัวเองออก หมุนตัวพริ้วไปรับของจากพนักงานโดยปล่อยพีทกับไวน์เอาไว้ตรงนั้น

ไวน์เดินแทรกออกมาพร้อมกับจ่ายเงินให้พนักงานส่งพิซซ่าแล้วขอตัวกลับในทันที

เบฟรับพิซซ่าที่สั่งเอาไว้ วางมันลงบนโต๊ะว่างๆ เปิดฝาถาดออกมา หนึ่งถาดเป็นหน้าฮาวายเอี้ยน ส่วนอีกหนึ่งถาดเป็นหน้าซีฟู๊ดค็อกเทล ขอบชีสด้วยกันทั้งคู่ ชิ้นแรกที่เขาหยิบมาเป็นหน้าซีฟู๊ดค็อกเทลแล้วจึงเดินไปนั่งบนม้านั่งเพียงตัวเดียวในร้าน จ้องมองพีทที่เลือกหยิบหน้าฮาวายเอี้ยนออกมา “ตั้งแต่เมื่อไร มึงชอบกูตั้งแต่เมื่อไร”

“ตั้งแต่ที่พี่อุ่นฝากให้พี่ดูแลนายแทนเขา”

“แล้วมึงไม่ได้ชอบอุ่นแล้วเหรอ”

“ชอบสิ แต่พี่รู้ว่าพี่ควรอยู่ตรงไหน ความรักของพี่มันไม่สมหวังตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาพี่จึงพยายามตัดใจจากเขามาตลอดแล้วยืนอยู่ในที่ที่เป็นของตัวเอง”

“พีท...”

เบฟเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า จ้องมองพิซซ่าชิ้นหนึ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายก่อนจะงับตรงปลายชิ้นที่มีสัปปะรดอยู่

“มึงไม่กินสัปปะรดแล้วทำไมถึงหยิบหน้านี้”

“ก็เพราะนายชอบกินหน้าซีฟู๊ดค็อกเทลไง พี่ไม่อยากไปแย่ง”

“แล้วมึงชอบกินหน้าอะไร”

“ซีฟู๊ดค็อกเทล แต่ไม่เป็นไร พี่กินหน้านี้ได้”

เบฟยื่นพิซซ่าหน้าซีฟู๊ดค็อกเทลที่ตัวเองกัดไปแล้วเกินครึ่งไปตรงหน้าพีทจนมันแทบจะเข้าปาก พีทจึงต้องกัดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เบฟเห็นแบบนั้นจึงยกยิ้มเล็กน้อยแล้วรีบหันไปทางอื่นก่อนจะพูดอ๋อมแอ้มเสียงเบา “คราวหน้า ถ้าสั่งพิซซ่าอีก กูจะสั่งซีฟู๊ดค็อกเทลมาสองถาด ของมึงถาดนึง ของกูถาดนึงนะ”

พีทยกยิ้มเล็กน้อย แล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งก่อนที่จะตบลงบนพื้นที่ว่างข้างตัว เรียกให้เบฟลงมานั่งข้างกัน เบฟเดินมานั่งลงข้างๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เรื่องที่มึงขอน่ะ รอก่อนนะ กูยังให้คำตอบตอนนี้ไม่ได้”

“อืม พี่รู้อยู่แล้วว่ามันอาจต้องใช้เวลา แต่อยากให้เข้าใจว่าบางทีเวลามันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ ถ้าใจของนายมันไม่คิดจะตัดใจจากเขาจริงๆ วันเวลามันไม่ได้ช่วยเยียวยาอะไรแค่มันอาจทำให้นายลืมแต่ความจริงแล้วมันไม่ได้หายไปไหนเลย”

“แล้วกูต้องทำไง”

“มารักกับพี่ไง”

“.......”

เบฟทำหน้าเหวอ พิซซ่าที่ถืออยู่ในมือเกือบจะร่วงตกพื้น แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพีทที่ไม่ได้ดังมากและไม่ได้เบามาก แต่น้ำเสียงนั้นทำให้เขารู้ได้เลยว่าคนหัวเราะนั้นอารมณ์ดีแค่ไหน

“กูบอกว่าขอเวลา!! You know? I need time. Ok?”

“ไม่โอเค”

“ไอ้พี่พีท!! โอ๊ย!! นี่กูต้องพูดกับมึงภาษาไหนเนี่ยถึงจะเข้าใจ jikan ga hoshii! wakatta?”

“พูดภาษาญี่ปุ่นใส่พี่ พี่ก็ไม่เข้าใจหรอก”

“งั้นกูไม่พูดแล้ว มึงก็ไม่ต้องมาแย่งซีฟู๊ดค็อกเทลของกูด้วยล่ะ”

เบฟย้ายที่ไปยืนอยู่หน้าถาดพิซซ่า หยิบขึ้นมาอีกชิ้นแล้วยัดใส่ปาก ระบายความโมโหที่เริ่มจะสุมเป็นไฟกองโตอยู่ในใจ เขาได้ยินเสียงหัวเราะของพีทดังอยู่ข้างหลัง ไม่ต้องบอกว่าฝ่ายนั้นคงกำลังยิ้มน่าระรื่นอยู่แน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห พอโมโหเข้าก็รีบกินจนจุก แต่เสียงหัวเราะนั่นก็ยังดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระรอก

“รอให้อุ่นฟื้นก่อนเถอะ!! กูจะไปฟ้องให้หมดเลย!!”   




** ติดตามตอนต่อไป **

สำหรับตอนนี้เบฟก็คิดได้ คิดตกแล้วนะคะ
ใกล้แล้ว... ใกล้ความจริงแล้วค่ะ ใกล้จะได้ซ่อมไออุ่นแล้วนะคะ


++++++++++++++++++++++++++++++++++


areenart1984, sirin_chadada, rockiidixon666, Nekosama

ขอบคุณนะคะ ขอตอบรวมกันเลยนะคะ ว่า... เราคว่ำเรือไวน์เบฟเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ คว่ำกันง่ายๆ งี้เลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ
คือ... ยังอยากให้ไวน์ได้คู่กับไออุ่นอยู่นะ เลยไม่อยากให้ไวน์ปันใจไปให้ใคร
แต่ตอนนี้ก้าวขึ้นเรือพีทเบฟยังทันนะคะ เรือกำลังจะออกจากท่าแล้วค่ะ

alternative
ขอบคุณนะคะ ใช่แล้วค่ะ เบฟสูญเสียเวลาที่อยู่กับไออุ่นไป เขาถึงได้ยังโกรธไวน์ แต่ตอนนี้เคลียร์กันแล้วน๊าาาาา

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 16 ** 2017.12.24 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 24-12-2017 19:32:48
55555 เห็นคนเขียนชัดเจนขนาดนี้เราก็วางใจค่ะ จะได้เชียร์เต็มที่หน่อย ตอนแรกรู้สึกคลุมเครือนิดนึงค่ะ มันเหมือนมีเคมีอะไรบางอย่างระหว่างพี่ไวน์กับเบฟ เลยทำให้มโนไปว่าหรือจะหักมุมคู่เบฟแทน  :laugh: ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยค่ะ  คราวนี้จะได้เชียร์พี่ไวน์-อุ่นได้อย่างสบายใจสักที แอบโดดลงเรือพีทเบฟด้วยคนน555555
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 16 ** 2017.12.24 **
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 24-12-2017 21:39:44
เราบอกแล้วว่าเราเห็นเรือนี้ตั้งนานแล้ว 5555 พีทเบฟอิสเรียลจริงๆ เห็นเบฟเป็นฝั่งเป็นฝาเราก็ดีใจแล้วค่ะ ((เช็ดน้ำตา)) ต่อไปก็ต้องมาลุ้นมาจะซ่อมอุ่นสำเร็จมั้ย
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 16 ** 2017.12.24 **
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-12-2017 01:04:36
โอเค ไวน์คู่กับอุ่น  :hao3:
คิดเสียว่าตอนที่แล้ว เป็นการปรองดองระหว่างพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง (หรือเปล่าหว่า)  :laugh:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 16 ** 2017.12.24 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-12-2017 19:56:38
เรือใหม่ไฉไลมาก
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 16 ** 2017.12.24 **
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 25-12-2017 22:39:05
ตามมมมม
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 17 ** 2018.01.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 07-01-2018 13:28:04
​ตอนที่ 17


พีทกลับมาที่อดีตร้านดอกไม้อุ่นไอรักอีกครั้งพร้อมด้วยอะไหล่สองสามชิ้นในซองพลาสติกสำหรับซ่อมร่างกายของไออุ่นแต่กลับถูกเบฟต้อนรับด้วยการปรายตามอง ไม่เพียงเท่านั้นยังแอบเหน็บเขาเบาๆ ด้วยคำพูดคำจาเสียดแทงความรู้สึกให้ได้รู้สึกแสบๆ คันๆ

“พี่เอาอะไหล่มาให้”

“วางไว้บนโต๊ะนั่นล่ะ”

พีทวางซองใส่อะไหล่ที่ตนหามาได้ลงบนโต๊ะแล้วเดินไปชะโงกหน้าดูบทเรียนที่แฟนแบบมัดมือชกกำลังอ่านมันอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ เขาไม่มีทางเข้าใจภาษาที่เขียนอยู่ในนั้นได้เลย แม้จะเป็นภาษาไทยแต่ก็มีศัพท์เฉพาะทางที่เขาไม่รู้จักอยู่หลายคำ

“ทำไมถึงได้ดูเย็นชากับพี่จัง”

“ก็ปกติ”

หนังสือเรียนถูกปิดลง เบฟลุกจากที่นั่งพร้อมกับชำเลืองมองร่างข้างๆ ด้วยสายตาไม่ค่อยพออกพอใจแล้วจึงวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะว่าง เขาเอ่ยชวนพีทขึ้นไปหาไออุ่นด้วยกันโดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าหรือสบตาด้วย “จะไปหาอุ่น ไปด้วยกันไหม” อีกทั้งยังไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบกลับมาก็เดินลิ่วนำหน้าไปก่อนแล้ว

คนทั้งคู่เดินขึ้นไปหาไออุ่นที่นอนอยู่ในห้องด้วยกัน แม้เบฟจะเคยเห็นภาพของไออุ่นที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มาหลายครั้งจนกลายเป็นภาพที่ชินตาไปแล้วแต่ใจนั้นยังรู้สึกหดหู่ทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ พีทเองก็รู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไรนัก แม้เขาจะไม่ได้มีโอกาสขึ้นมาหาไออุ่นบ่อยนักแต่ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้นึกย้อนไปถึงวันที่ไออุ่นยังเป็นตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิต

“พี่มีเรื่องอยากบอกให้พี่อุ่นรับรู้”

“เรื่อง?”

พีทเดินเข้าไปใกล้เบฟมากขึ้นจนร่างของทั้งคู่เกือบจะชิดติดกัน ในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังสงสัยว่าเรื่องที่เขาจะพูดบอกนั้นเป็นเรื่องอะไรก็เอื้อมมือออกไปโอบไหล่นั้นเอาไว้ กระชับร่างนั้นให้เข้ามาอยู่ภายใต้วงแขน แนบชิดกันมากขึ้นเล็กน้อยพร้อมทั้งชำเลืองมองดูปฏิกิริยาของร่างข้างๆ ที่ยังคงขมวดคิ้วคิดสงสัยก่อนจะเฉลยมันออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมกับเบฟ เราเป็นแฟนกันแล้วนะ พี่อุ่น”

“ห๊ะ! ใครบอก”

เบฟยกมือดันร่างที่สูงกว่าออกไปแต่มือข้างที่เกาะไหล่เขานั้นแน่นเสียยิ่งกว่าตีนตุ๊กแกจนต่อให้ออกแรงผลักมากเท่าไรก็ดูท่าว่ามันจะไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนเลย

“พี่บอก”

“คิดเองเออเอง! กูจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องอุ่น คอยดูเถอะ”

“ครับ พี่จะรอดู แล้วพอถึงวันนั้นพี่กลัวว่าเขาจะเอ่ยคำยินดีกับเรามากกว่าน่ะสิ”

“ปล่อยได้แล้ว! อึดอัด!”

เบฟค่อยๆ แกะนิ้วที่เกาะไหล่อยู่ออกทีละนิ้วแต่มันก็ยังกลับมาอยู่บนไหล่เขาตามเดิมจนสุดท้ายก็จำต้องพูดออกมาอย่างเหลืออดเหลือทน แต่พีทกลับยังยิ้มหน้าระรื่น ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจคำพูดนั้นด้วยซ้ำไป เขาถอนหายใจคล้ายว่าจะปลงแล้วแต่ก็แอบยิ้มกรุ้มกริ่มราวกับนึกแผนการอะไรดีๆ ออกมาได้

“พีท มึงขยับแขนเข้ามาคล้องคอกูเอาไว้สิ แตะแค่ไหล่แบบนี้ อุ่นมองไม่เห็นหรอก”

“อ้อ!”

พีทไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจในคำพูดของเบฟเลยสักนิด เขาขยับแขนเข้าคล้องคอตามนั้น เบฟจึงรีบหันกลับไปงับเข้าตรงท่อนแขนแกร่งนั้นเต็มแรงจนฝ่ายนั้นรีบชักมือกลับแทบไม่ทัน ส่งเสียงร้องโอดโอย มองเห็นรอยฟันเกือบจะทุกซี่เด่นชัดเป็นร่องบนแขนของตัวเองแล้วจะโกรธก็โกรธไม่ลงก็เพราะคนทำให้เจ็บเป็นคนที่เขาเพิ่งจะแนะนำตัวกับไออุ่นว่าเป็นแฟน

“ไอ้พี่พีท! ไอ้คนขี้มโน! ไม่เคยรับปากตกลงเป็นแฟนด้วยเลย!”

เบฟพุ่งตัวถอยห่างออกไปยืนอยู่ข้างไออุ่น ทำท่าจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วที่พีทไม่เข้าใจว่าเขาต้องการเวลาเพื่อที่จะถอยหลังกลับออกมาจากความรู้สึกรักที่มีต่อไออุ่น ตุ๊กตาแสนวิเศษแต่พีทกลับไม่ให้แม้แต่เสี้ยววินาที เขายืนชี้หน้าพูดด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจเชิงตัดพ้อ แต่เมื่อพีทไม่ตอบโต้อะไร เขาจึงพูดต่อไปว่า “แค่รอกูตัดใจจากอุ่น แค่รอเขากลับมาแล้วให้กูได้เคลียร์กับเขาก่อน ทำไมมึงรอไม่ได้วะ”

“เบฟ พี่ขอโทษ ไม่ใช่พี่รอไม่ได้แต่พี่เห็นนายจนกับความทุกข์มานานแล้ว พี่แค่อยากเห็นนายยิ้มบ้าง”

“อุ่นเป็นแบบนี้ มึงจะยังยิ้มได้อีกเหรอ”

“พี่อุ่นเป็นแบบนี้ พี่เองก็ยิ้มไม่ออกแต่มันคงจะดีกว่าถ้าเขาตื่นมาแล้วเห็นนายยิ้ม”

เบฟไม่ตอบคำ เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักเช่นเดียวกับพีทที่ไม่พูดอะไรออกมา เขาคิดว่าเด็กคนนั้นอาจกำลังโกรธเลยไม่ยอมพูดจาด้วย แต่แล้วเมื่อเบฟเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจจนกระทั่งมือคู่หนึ่งจับแขนเขายกขึ้น

“เจ็บไหมวะ”

“ไม่เจ็บเท่าไรหรอก ไม่เป็นไร”

“งั้นกูกัดอีกรอยน่าจะดีเนอะ”

เพียงแค่เบฟชำเลืองมองรอยฟันของตัวเองที่ไม่ได้ตั้งใจกัดลงแรงให้มันลึกขนาดนั้น แขนอีกข้างที่ไร้รอยฟันก็ถูกยื่นมาตรงหน้า เตรียมพร้อมให้ลงรอยเป็นที่ระลึกอีกข้าง เบฟจึงก้มลงงับแขนข้างนั้นทันทีโดยไม่มีความลังเล แต่แทนที่จะมอบรอยฟันเป็นที่ระลึกให้อีกข้าง เขากลับงับมันเบาๆ ให้แขนข้างนั้นเปรอะน้ำลายแทน

“แถมน้ำลายให้”

พีทก้มลงมองดูแขนข้างนั้นของตัวเอง โดยไม่พูดไม่จาอะไร เขายกมันขึ้นเช็ดกับเสื้อของเบฟทันทีและเอ่ยขอบคุณที่แถมของให้ตัวเขา “ขอบใจนะ แต่พี่อยากแบ่งมันให้นายบ้าง คงไม่ว่ากันนะ”

“พีท! มันสกปรก!!”

“พี่ไปแล้วดีกว่า ไม่อยากกวนนายอ่านหนังสือ ไว้สอบเสร็จแล้วพี่จะแวะมาหาใหม่”

พีทโบกมือลาแต่ก่อนที่เขาจะได้เดินออกไปก็ถูกเบฟรั้งเอาไว้ก่อน “เดี๋ยว! พีท! อีกสองวันกูจะสอบเสร็จ มึงโทรตามไวน์ให้กูด้วยนะ กูว่าจะลงมือซ่อมอุ่น”

“อืม ตั้งใจทำข้อสอบล่ะ”

เบฟพยักหน้ารับ หลังจากนั้นพีทจึงเดินออกไป 

 

--------------------------------------

 

ในที่สุดวันที่เบฟเรียนจบ ไม่มีตารางสอบใดๆ ให้เขาต้องสนใจไปกับมันอีก เขาเอาแต่นั่งอยู่บนเตียงนอน จ้องมองใบหน้าของตุ๊กตาไขลานราวกับว่าถ้าหากละสายตาจากแม้เพียงเสี้ยววินาทีอาจจะพลาดอะไรบางอย่างที่สำคัญไป ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกทำใจได้ยากเมื่อสุดท้ายแล้วต้องรื้อร่างของไออุ่นออกมาเพื่อซ่อมแซม

“อุ่น วันนี้ผมจะเริ่มซ่อมแล้วนะ”

แต่ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น เขาก็ยังคงทำแค่มองดูร่างที่ไม่ไหวติงใดๆ ของตุ๊กตาไขลานตัวนั้น จดๆ จ้องๆ อยู่อย่างนั้นพักใหญ่คล้ายว่าจะจรดมีดกรีดลงบนผิวหนังแต่ก็กลัวที่จะเห็นเลือด ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจยอมรับกันได้ง่ายๆ เขากลัวว่าการซ่อมในครั้งนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จ ไออุ่นจะไม่ตื่นขึ้นมาเจอหน้าเขาอีก

พอตั้งท่าจะจัดการกับร่างที่นอนอยู่บนเตียง เสียงกริ่งที่ดังขึ้นมาข้างบนก็พาให้สติเตลิด

ครั้งนี้เบฟไม่ได้ออกอาการหัวเสียหรือหงุดหงิดแม้แต่น้อยกับเสียงกริ่งที่พรากเอาช่วงเวลาระหว่างเขากับไออุ่นไป อีกทั้งยังนึกขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่มีผู้ร่วมชะตากรรมบั่นทอนความรู้สึกที่เกิดขึ้นในหัวใจยามต้องเปิดร่างของไออุ่นออกมาเพื่อซ่อมแซมสิ่งที่อยู่ภายในนั้นให้กลับมาสมบูรณ์เท่าที่จะทำได้

ทันทีที่เบฟเดินมาเปิดประตูต้อนรับ เขาก็เห็นทั้งไวน์และพีทยืนรออยู่คู่กันที่ด้านนอกร้าน ไม่มีใครพูดคุยอะไรในเรื่องไร้สาระและดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจกับเดินขึ้นไปหาไออุ่นที่อยู่ข้างบนห้อง

“พีท ได้ลานใหม่มาหรือเปล่า”

“อืม แต่ไม่รู้ว่าจะเข้ากันได้หรือเปล่านะ พี่พยายามหาอันที่ใกล้เคียงที่สุดแล้ว”

ลานสองชิ้นในถุงพลาสติกใสแบบมีซิปล็อคถูกยื่นไปตรงหน้าเบฟ เขารับมันมาไว้ในมือแล้วถึงกับต้องขมวดคิ้ว แค่สองชิ้น... พวกเขามีโอกาสแค่เพียงสองครั้งเท่านั้นในการจะพาไออุ่นกลับมา

“ช่วยพลิกตัวอุ่นให้หน่อย ผมจะเปลี่ยนลานให้อุ่น”

ไวน์กับพีทช่วยกันจับร่างของไออุ่นให้พลิกคว่ำลงบนเตียงนอน ก่อนจะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย เบฟก็อยากจะแน่ใจว่าลานชิ้นใหม่ที่ได้มาจะเข้ากันได้ดีกับร่างกายนี้จนสามารถทำให้ตุ๊กตาไขลานตัวนี้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีกครั้งหรือไม่

“ทำไมไม่ซ่อมเขาก่อน”

เบฟก็อยากจะซ่อมไออุ่นก่อนเป็นอันดับแรกเหมือนที่ถูกพีทถามขึ้นมาแต่ทว่าความอยากเจอ อยากพูดคุย อยากโอบกอด อยากให้อีกฝ่ายตอบรับทุกการกระทำ ทุกความรู้สึกของเขามันมีมากกว่าอะไรทั้งปวง

“ถ้าซ่อมเขาก่อนแล้วเกิดลานที่ได้มามันใช้ไม่ได้ล่ะ ที่ซ่อมไปก็สูญเปล่าน่ะสิ”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน เบฟจึงเริ่มลงมือกดลงไปยังบริเวณรอบๆ กลางหลังทั้งหมดจนเผยให้เห็นกลไกต่างๆ ที่อยู่ภายในร่างกาย กลไกที่ปรากฏแก่สายตาไม่ได้ดูสลับซับซ้อนอะไรสำหรับเขาเลย มันง่ายพอๆ กับการกะเทาะเปลือกเม็ดกวยจี๊แล้วโยนมันเข้าปาก เขาถอดชิ้นส่วนสำคัญในร่างกายที่จำเป็นต้องเปลี่ยนออกมาอย่างเบามือที่สุดโดยมีพีทและไวน์คอยให้กำลังใจอยู่ใกล้ๆ

“ไหนคุณบอกว่าจะไปเรียนซ่อมมาไง ทำไมถึงเอาแต่ดู”

“ไม่ว่าง ผมรีบเคลียร์งานทุกอย่างในบริษัทเพิ่งจะเสร็จถึงได้มาช่วย”

“ไม่ว่างหรือไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรกันแน่”

เบฟอดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้ไวน์ถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาจึงแก้เขินด้วยการหลบฉาก เดินไปอยู่ด้านหลังพีทแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกสายตาของอีกฝ่ายมองมาอย่างจับผิด

“อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลยนะ” พีทเป็นฝ่ายเอ่ยห้ามออกมา

“พูดตรงๆ ว่ามัวแต่เอาเวลาไปคิดถึงอุ่นก็ได้ ไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย”

ไวน์ไม่ได้ตอบและเขาก็ไม่ยิ้มไปกับคำพูดนั้น เบฟพูดถูก เขาคิดถึงไออุ่นเสมอแม้กระทั่งเวลาเข้าประชุม ครึ่งหนึ่งของความคิดของเขาก็ยังมีไออุ่นอยู่ในนั้น เขาทำงานช้าลง เขาคิดช้าขึ้นแม้ว่าจะมีหลายคนบอกว่าการทำตัวให้ยุ่งมักจะทำให้เราลืมได้ชั่วขณะ แต่เขากลับลืมไออุ่นไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว

เมื่อมีลานใหม่ก็ย่อมต้องใช้กุญแจดอกใหม่ที่มาคู่กันเพื่อทำให้ชิ้นส่วนที่อยู่ในร่างกายกลับมาทำงานได้อีกครั้ง แต่ทว่าเพียงแค่เสียบกุญแจลงไป ความไม่ปกติก็เกิดขึ้น ลานถูกหมุนทวนเข็นนาฬิกาจนครบรอบแล้วแต่ทุกอย่างกลับนิ่งสงัด ไร้การตอบสนองเคลื่อนไหวใดๆ แต่เบฟยังไม่ยอมละความพยายาม ในเมื่อไขลานด้วยสองมือของตัวเองแล้วไม่ได้ผลจึงยื่นกุญแจดอกนั้นไปให้ไวน์ได้จัดการ แต่ไม่ว่าจะหมุนมันอีกสักกี่รอบกี่หน ตุ๊กตาไขลานตัวนั้นยังคงไม่ขยับเขยื้อน 

ไม่มีใครคาดคิดว่าแม้จะเปลี่ยนลานตัวใหม่แล้วแต่ไม่สามารถช่วยชีวิตของไออุ่นเอาไว้ได้

“เป็นไปไม่ได้... เป็นไปไม่ได้” เบฟพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิว สายตายังคงจ้องมองดูกุญแจที่ปักคาอยู่กลางหลัง ความหวังที่ไออุ่นจะได้กลับมาอยู่กับพวกเขาอีกครั้งเริ่มริบหรี่ลงแล้ว

พีทจึงรีบเสนอลานอีกอันที่เขาควานหามาได้ “ลองอีกอันดูไหม”

เบฟรีบคว้าลานชิ้นสุดท้ายที่มีอยู่ในตอนนี้มาและภาวนาขอให้มันได้ผล

ในขณะที่กำลังแกะเอาชิ้นที่ใช้งานไม่ได้ออกมาจากร่างของไออุ่น มือเบฟก็สั่นเทาไม่หยุด ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็ห้ามไม่อยู่ ยิ่งรู้ว่านี่เป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ก็ยิ่งทำให้เขาคาดหวังกับมันมากกว่าปกติ

 ทุกคนในห้องต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ทุกลมหายใจที่ใช้ไปในแต่ละวินาทีนั้นคอยภาวนาให้ไออุ่นกลับมาอย่างปลอดภัย ขอให้ลานชิ้นนั้นได้ผล ขอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับตุ๊กตาไขลานตัวนี้อีกครั้ง

“เบฟ” พีทเอ่ยเรียก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นกำลังจะไม่ไหวแล้ว มือที่สั่นเทาคู่นั้นไม่มีทีท่าว่าจะนั่งลงเลยทำให้เขาเป็นห่วง “เดี๋ยวพี่ทำเอง”

“ไม่ ไม่”

“นายไม่ไหวแล้ว”

ริมฝีปากบางเฉียบถูกขบกัดแน่นจนเกือบจะห้อเลือด เบฟเอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ยอมปล่อยมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่

“เบฟ วางมันลง พี่จะทำต่อให้เอง”

ดวงตาสีฟ้าครามสบประสานกับคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แววตาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นนั้นทำให้พีทยอมถอยออกมาอยู่ห่างๆ เขายืนมองดูเด็กคนนั้นอยู่ข้างไวน์อย่างเอาใจช่วย แม้จะเห็นว่ามือที่ถืออะไหล่ชิ้นสุดท้ายที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้กำลังสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวกับอนาคตข้างหน้าแต่ทว่ากลับไม่ยอมแพ้ต่อความรู้สึกของตัวเอง

ใช้เวลาอยู่นานกว่าลานชิ้นนี้จะถูกต่อเข้ากับแผงวงจรจนเสร็จเรียบร้อย

“พีท กุญแจ”

กุญแจที่เข้าคู่กับลานอันนั้นถูกส่งไปให้กับเบฟแต่เจ้าตัวกลับมีความลังเลใจที่จะหมุนมันจึงส่งต่อไปให้กับไวน์อีกที เขารับมันเอาไว้เหมือนครั้งแรก และในจังหวะที่เสียบกุญแจลงไปยังช่องกลางหลัง ความรู้สึกหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามายังหัวใจ มันกำลังร่ำร้องบอกว่าไออุ่นจะไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้วตราบนานเท่านานหากปาฏิหาริย์ไม่เกิด

ลานที่หมุนทวนเข็มนาฬิกากำลังเดินไปข้างหน้า พวกเขาจึงช่วยกันพยุงร่างของตุ๊กตาไขลานขึ้นมาพิงกับหัวเตียง เสียงลานที่เดินอยู่ลั่นร้องเบาๆ แต่ทว่าตุ๊กตาตัวนั้นยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ไร้การเคลื่อนไหว เพียงเท่านั้นราวกับความหวังที่มีอยู่อันน้อยนิดหนึ่งเดียวถูกโค่นล้มลงอย่างไม่เป็นท่า หัวใจเจ็บแปล๊บแทบเจียนตาย

ร่างของเด็กหนุ่มทรุดลงข้างเตียงนอนอย่างหมดเรี่ยวแรง ดวงตาสีฟ้าครามไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวาเอ่อคลอไปด้วยหยาดหยดน้ำใสที่พร้อมใจกันไหลลงมาเป็นสายเปรอะพวงแก้มสีชมพูอ่อน

ในช่วงเวลาแห่งความเศร้าเข้าปกคลุมทุกสิ่งภายในห้อง พระเจ้าไม่ทรงใจร้ายเกินไปที่จะปล่อยให้พวกเขาทั้งสามทนกับความทุกข์ที่กัดกินหัวใจได้นาน เปลือกตาบางของตุ๊กตาไขลานตัวนั้นกระพริบขึ้นลงถี่ๆ

“อุ่น!”

ไวน์เป็นคนแรกที่เห็นการเคลื่อนไหวนี้จึงร้องเรียกแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งใกล้ๆ ทั้งพีทและเบฟต่างหันมามอง ตุ๊กตาไขลานตัวนั้นกำลังขยับ

“อุ่น!! ได้ยินไหม” อีกครั้งที่ไวน์ร้องเรียก

ตุ๊กตาไขลานกลับมากระพริบตาตามปกติ หันหน้าอย่างช้าๆ ไปหาไวน์แล้วส่งยิ้มให้เหมือนทุกครั้งก่อนจะหันกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม ยกมือข้างซ้ายขึ้นโบกไปมาเพื่อทักทายแล้วค้างอยู่อย่างนั้น ดวงตาสีหยกคู่นั้นกำลังจ้องมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย มันเอียงคอเล็กน้อยในจังหวะที่หันไปมองหน้าเบฟก่อนจะฉีกยิ้มกว้างอย่างที่เคยทำทุกครั้งเมื่อยามที่ถูกเด็กๆ วิ่งเข้ามาห้อมล้อมเล่นด้วยมากมาย

“พี่อุ่น...”

มือแกร่งยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไห้ที่อาจจะเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน เขารีบหันหลังให้กับภาพตรงหน้าที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ ความเจ็บปวดที่ถูกกักเก็บเอาไว้ในใจมาเนิ่นนานถูกระบายออกมาเป็นหยาดหยดน้ำตาหลั่งรินไหลอาบสองแก้มซึมลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ

“อุ่น! ตอบสิ... ตอบ...”

ไวน์ย้ำถามอีกครั้ง เสียงที่ควรจะได้ยินจากตุ๊กตาไขลานถูกใครบางคนพรากมันไปพร้อมกับจิตวิญญาณของไออุ่นราวกับจะตอกย้ำว่าคนที่พวกเขารักจะไม่มีวันได้กลับมาอยู่เคียงข้างกันอีกแล้ว เฉกเช่นเดียวกับตัวเขาที่เหมือนมีคนกำลังแยกร่างกับความรู้สึกของเขาให้ขาดออกจากกัน

“พี่จะไปหาลานอันใหม่... มันต้องมีสักอันที่ทำให้พี่อุ่นกลับมา”

“พีท... มันไม่มีแล้ว ไม่มีอะไรที่จะพาอุ่นกลับมาได้อีกแล้ว มัน... ไม่เหลือแล้ว”

“มันต้องมี! เบฟ! มันต้องมี! พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้”

เบฟลุกขึ้นไปยืนประจันหน้ากับพี่ชายข้างบ้าน ถึงแม้จะเสียใจและอยากให้ไออุ่นกลับมามากแค่ไหนแต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาประจักษ์แล้วว่าไม่ว่าจะหาอะไหล่ที่ดีที่สุดมาเปลี่ยนให้กับไออุ่น สิ่งที่จะได้กลับมาก็จะเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานธรรมดาที่ขยับเขยื้อนร่างกายไปตามคำสั่งที่ถูกตั้งค่ามาเท่านั้น

“ปาฏิหาริย์มันหมดไปนานแล้ว พีท”

เบฟพุ่งตัวเข้ากอดร่างตรงหน้าเอาไว้ ซบลงกับแผงอกกว้าง ปล่อยให้น้ำตาที่มีอยู่ไหลออกมาให้หมดเผื่อว่าจะนำพาความเศร้าเสียใจจากตัวเขาไปด้วย

“แล้วใครกันที่บอกพี่ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้พี่อุ่นกลับมา อย่าเอาความล้มเหลวแค่ครั้งสองครั้งไปตัดสินอนาคตเลยนะ ขอให้พี่ได้ทำอะไรเพื่อพี่อุ่นบ้างเถอะ”

“พอแล้ว พีท”

“ไม่ อยู่นี่นะ พี่จะไปหามาให้ ยังไงก็ต้องพาพี่อุ่นกลับมาให้ได้”

พีทดึงมือที่กอดเขาเอาไว้อยู่ออกแล้วเดินจากไป เบฟยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นนานสองนาน กว่าจะได้สติก็ตอนที่ไวน์เดินมายืนอยู่ข้างๆ แตะมือลงมาบนไหล่หนักๆ ราวกับจะปลอบใจในเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้

“ไวน์ รู้หรือเปล่าว่าแด๊ดเคยพูดกับผมประโยคหนึ่ง ผมไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นจริงจนได้มาเจอกับตัวเอง แด๊ดถามว่าผมจะซ่อมตุ๊กตาไขลานหรือซ่อมชีวิตของอุ่น ผมเพิ่งรู้ว่าชีวิตมันซ่อมกันไม่ได้”

ไม่มีคำปลอบใจใดจะดีเท่ากับอ้อมกอด ไม่จำเป็นต้องประดิดประดอยคำพูดสวยหรูดูดีก็รู้ได้ว่านี่คือคำปลอบใจที่ดีที่สุด

“ถ้าอุ่นเกิดมาจากปาฏิหาริย์ก็ต้องรอแค่ปาฏิหาริย์เท่านั้น”

ไวน์ไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาปลอบใจ เขาพูดได้เท่านี้และหวังพึ่งได้เท่านี้จริงๆ ถ้าเพียงแค่มีปาฏิหาริย์อีกสักครั้ง ถึงคราวนั้นไออุ่นอาจจะได้กลับมา

“แด๊ดเคยบอกว่าเราอาจจะซ่อมตุ๊กตาไขลานได้แต่จะหาชีวิตของอุ่นกลับมาไม่ได้ ปาฏิหาริย์มันไม่มีทางเกิดขึ้นซ้ำๆ หรอก”

อ้อมกอดของไวน์แนบแน่นขึ้นกว่าเดิมแต่เบฟกลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย ราวกับจะผ่อนคลายมากกว่าแต่ก่อน เขาอยากจะทำใจยอมรับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็ยังคาดหวังว่าไออุ่นจะได้กลับมาอยู่กับพวกเขาอีกครั้ง

“เชื่อมั่นในตัวอุ่นหน่อยสิ”

ไม่รู้ทำไม... คำพูดของไวน์ทำให้เขายิ้มได้ อาจเป็นเพราะเขาเลิกถืออคติ เลิกมองว่าไวน์เป็นศัตรูของหัวใจไปแล้ว

“ปล่อยได้แล้ว อึดอัด”

เมื่ออ้อมกอดถูกคลายออก เบฟจึงได้เดินเลี่ยงไปทิ้งตัวลงนั่งข้างตุ๊กตาไขลานที่ทำเพียงแค่ขยับเขยื้อนร่างกายไปมาซ้ำเดิมอยู่หลายครั้ง เขาตัดสินใจหมุนลานกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเพียงเพราะทนเห็นสภาพแบบนี้ของไออุ่นไม่ได้

“ทำไมคุณถึงชอบเขา”

ไวน์เดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน ข้างตุ๊กตาไขลานอีกฝั่งหนึ่ง “ผมชอบสีตาของเขา มันแปลกดี ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหล”

นั่นคือเรื่องจริง... ไม่ว่าใครต่างก็หลงใหลดวงตาสีหยกคู่นั้นดั่งต้องมนต์ ชมชอบรอยยิ้มหวานที่ไม่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างเสแสร้ง ความใจดี มีน้ำใจให้กับทุกคน

“ไม่แปลกใจเลย ใครๆ ก็มักชอบอุ่นเพราะสีตาแปลกๆ นั่นแหละ”

เบฟกอบกุมมืออันเย็นเฉียบของตุ๊กตาไขลานแล้วเอนกายซบพิงไหล่ด้วยความโหยหา คำนึงถึง

“แล้วคุณล่ะ ชอบอุ่นที่ตรงไหน”

“ไม่ต้องอยากรู้ได้ป่ะ”

เสียงหัวเราะหลุดเล็ดลอดออกมาเพียงเล็กน้อย ถึงไวน์จะไม่เห็นสีหน้าและแววตาใดๆ ของอีกฝ่ายแต่จากน้ำเสียงที่ได้ยินก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงอาจจะสบายใจขึ้นมาบ้างแล้วแต่เขาก็รู้ว่าลึกๆ แล้วไม่มีใครทำใจได้กับการจากไปของไออุ่นแม้แต่ตัวเขาเอง ถึงจะหัวเราะออกมาแต่ทว่ามันก็มาพร้อมกับน้ำตา





<< ต่อข้างล่างค่ะ >>
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 17 ** 2018.01.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 07-01-2018 13:29:01
<< ต่อจากข้างบนค่ะ >>





“ชีวิตของอุ่นน่าอิจฉามากเลยนะ ว่าไหม”

เบฟทำแค่พยักหน้ากับคำพูดที่ได้ยินแล้วเอี้ยวตัวฝังใบหน้าซุกลงกับท่อนแขนเล็กที่เยียบเย็นราวกับถูกแช่ไว้ในช่องแช่แข็ง เมื่อยามที่ความเย็นแล่นริ้วผ่านผิวกาย มันตรงดิ่งเข้าสู่ขั้วหัวใจจนแทบจะเกาะกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง หนาวเสียจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“มีคนรักเขามากมาย ถึงขนาดเขาจากไปแล้วก็ยังพยายามหาทางทำให้เขากลับมา ถ้าไม่ใช่เพราะความรักแล้วมันจะเป็นอะไรไปได้อีก”

“ความเห็นแก่ตัว”

ร่างที่นอนอยู่ทางด้านขวาของตุ๊กตาไขลานถึงกับสะดุ้งเฮือก ตัวเขาพลาดไปแล้วที่ตอบออกไปแบบนี้ บรรยากาศที่ควรจะดีขึ้นอย่างที่ไวน์พยายามสร้างมันเป็นต้องพังครืนลงมาเพราะตัวเขาเองที่ตอบไม่คิด

“แต่ผมกลับคิดว่าเพราะนั่นเป็นไออุ่น”

เบฟไม่ได้ตอบอะไรแต่ภายในใจลึกๆ แล้วเขารู้สึกเห็นด้วยกับคำตอบนี้ เพราะเป็นไออุ่น ทุกคนจึงพยายาม

“ผมกลับก่อนดีกว่า ยังมีงานรอให้ผมไปสะสางอยู่อีกเยอะ”

“ไหนว่าเคลียร์งานหมดแล้วไง”

“ก็เสร็จในส่วนของอดีตกับปัจจุบัน แต่อนาคต งานก็กลับมากองพะเนินไม่จบไม่สิ้นอยู่ดี ทำให้ตายทั้งชีวิตมันก็ไม่มีวันหมดหรอก ไปนะ ได้ข่าวอะไรก็บอกกันด้วย”

ในขณะที่ไวน์กำลังจะลุกลงจากเตียง ขาข้างหนึ่งของเขาแตะถึงพื้นแล้ว คำพูดของเบฟกลับทำให้ชะงักไปชั่วครู่ “ไม่คิดถึงอุ่น ไม่เป็นห่วงอุ่นบ้างเลยเหรอวะ”

ไม่ใช่ไม่คิดถึง ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วงแต่ในขณะนี้ไวน์ทำอะไรไม่ได้และเขาก็เพียงแค่หาเหตุผลให้กับตัวเองเพื่อไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน การกลับไปนั่งหมกตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม จมจ่อกับกองงานเอกสารที่ไม่เคยลดน้อยลงเลยในแต่ละวันจะทำให้ความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้น ความคำนึงถึงตุ๊กตาไขลานตัวนั้นถูกซ่อนเอาไว้ได้บ้าง

“ไม่อยากอยู่กับอุ่นอีกสักนิดเหรอวะ”

ไวน์รู้สึกแปลกที่เบฟเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่กับไออุ่นโดยที่ไม่ได้ร้องขอ

“ผมจะออกไปรอข้างนอก อยู่กับเขาจนกว่าคุณจะกลับก็ได้”

ไวน์ไม่คาดคิดว่าเบฟจะใจดีกับเขาขนาดนี้จนอดที่จะแปลกใจไม่ได้แม้จะรู้ว่าเบฟปล่อยมือจากไออุ่นไปแล้วแต่ใช่ว่าตัวเขาจะถูกยอมรับได้ง่ายๆ โดยไร้ข้อกังขาใดๆ ยังไม่ทันจะได้ถามให้หายสงสัย อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วสาวเท้าอย่างรวดเร็วออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมาอีก ทิ้งให้เขากับไออุ่นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง แต่ทว่าเพราะการอยู่ด้วยกันในสถานการณ์แบบนี้ อนาคตที่ไม่แน่ไม่นอน ปัจจุบันที่ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากรอคำว่าปาฏิหาริย์ กับอดีตอันเลวร้ายที่เขาสร้างไว้กับไออุ่นพาให้หยาดหยดเม็ดเล็กไหลกลิ้งไปรอบดวงตาสีอำพันก่อนที่จะไหลร่วงลงมาราวกับเขื่อนที่แตกร้าว

“ผม... จะไม่พูดนะว่าผมไม่เสียใจ ผมเชื่อว่าคุณยังไม่ได้จากไปไหน... กลับมาเร็วๆ นะ ผมสงสารเด็กคนนั้น”

“.........”

“ถึงเขาจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนแต่ผมก็รู้เพราะผมเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เขาเสียใจที่พาคุณกลับมาไม่ได้ ผมก็เสียใจที่ทำอะไรเพื่อคุณไม่ได้เลย ช่วยกลับมาฟังคำขอโทษจากปากของผม  ผมอยากให้คุณได้ยินมันด้วยตัวเองนะครับ รีบกลับมานะ อุ่น ทุกคนกำลังรอคุณอยู่”

“.........”

“ตลกดีนะ” ใบหน้าคมคายแหงนมองเพดาน กล้ำกลืนน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาให้ไหลย้อนกลับ “เหมือนผมกำลังเป็นบ้าเลย พูดอยู่คนเดียวแล้วก็คิดไปเองว่าคุณจะได้ยิน ผม... ผมอาจจะพูดเรื่องนี้มากไปหน่อยแต่ช่วยทนฟังเถอะนะ ถ้าตัวคุณเกิดมาจากปาฏิหาริย์ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยปาฏิหาริย์แล้วมันจะเป็นไปได้ไหมที่คุณจะกลับมาเพราะปาฏิหาริย์เหมือนกัน ถ้ามันเป็นแบบนั้น... ผมก็ยินดีที่จะรอ แต่ถ้ามันไม่เป็นแบบนั้น ยังไงผมก็ยังจะรอ”

ดวงตาสีหยกยังคงมองตรงไปข้างหน้าในขณะที่มันหยุดนิ่งไปแล้ว ภาพที่ไออุ่นเป็นแบบนี้สร้างความเจ็บปวดทรมานให้กับไวน์ไม่น้อย เขาจึงเอื้อมมือออกไปเพื่อปิดเปลือกตาบางนั้นลงด้วยตัวเอง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าสะท้อนเงาเบาบางไปยังหัวใจที่เริ่มจะตายลงไปอย่างช้าๆ ทุกเสี้ยววินาทีที่เห็นไออุ่นในสภาพแบบนี้มันบั่นทอนความรู้สึกที่มีอยู่ไปทีละเล็กทีละน้อย จนท้ายที่สุดแล้วหยาดหยดน้ำตาหลั่งรินลงมาเป็นสายอีกครั้ง เพียงเพื่อบรรเทาความทุกข์เศร้าที่กำลังถาโถมอยู่ในใจ

“ผมไปก่อนนะ นั่งมองคุณนานๆ แล้วรู้สึกเหมือนจะตายตามคุณไปด้วย ผมยังอยากมีชีวิตอยู่รอเจอคุณอีกครั้งนะ อุ่น”

ดวงตาสีอำพันจดจ้องใบหน้าอันแสนงดงามนั้นอีกครั้งราวกับจะบันทึกมันเอาไว้ในความทรงจำให้ได้นานที่สุด มองริมฝีปากบางเฉียบสีกลีบกุหลาบที่เอิบอิ่มแล้วนึกถึงวันที่ตัวเขาได้เผลอล่วงเกินร่างกายนั้น เก็บทุกรายละเอียดของตุ๊กตาไขลานไว้ให้ได้มากที่สุดอยู่เนิ่นนานจนสุดท้ายจึงตัดสินใจเดินออกจากห้อง

ในขณะที่เท้าข้างซ้ายก้าวพ้นขอบประตูห้อง เสียงสะอื้นไห้ก็ดังเข้ามากระทบโสตประสาทจนเท้าอีกข้างที่ควรจะก้าวออกมาชะงักไปกลางคัน ถ้าไม่ฉุกคิดได้ก่อนว่าที่นี่มีใครอีกคนนอกจากเขาและไออุ่นอยู่ อาจได้เปิดแนบเผ่นออกจากร้านไปทันที แต่เพราะรู้ว่ามีคนอยู่ เท้าคู่นี้จึงมุ่งหน้าตามเสียงที่ได้ยิน

ไวน์หยุดอยู่หน้าประตูห้อง ยกมือขึ้นเตรียมเคาะเรียกแต่เสียงร้องไห้กลับทำให้มือข้างนั้นชะงักไป เขายกมันค้างไว้กลางอากาศอยู่ครู่หนึ่งก่อนปล่อยลง บางทีเด็กคนนั้นอาจกำลังต้องการเวลาและเวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำนั้นเอง เขาเพียงแค่ก้าวถอยออกมา และเช่นเดียวกันทุกคนย่อมมีวิธีการจัดการกับความรู้สึกของตัวเองที่แตกต่างกันออกไป

 



ผ่านไปหลายวันหลังจากนั้น พีทเฝ้าเพียรเสาะหาชิ้นส่วนอะไหล่มาเปลี่ยนให้กับไออุ่นหลายต่อหลายชิ้นแต่มันไม่เคยพาไออุ่นกลับมาอยู่กับพวกเขาได้เลยแม้สักครั้ง และทุกครั้งที่มีการซ่อมแซมตุ๊กตาไขลานตัวนั้น ไวน์จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วมาคอยให้กำลังใจเสมอ

วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์กลายเป็นเดือน พวกเขาลองทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้อย่างสุดความสามารถแล้วแต่ปาฏิหาริย์กลับไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งนานวันเข้า... แม้จะพยายามแค่ไหนแต่สุดท้ายก็หนีความจริงไปไม่พ้น

 


ท้ายที่สุด... บางทีวิคเตอร์อาจมารับไออุ่นไปอยู่ด้วยกันแล้ว





** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนนี้มันยังไม่จบนะคะ.... ยังมีตอนต่อไปอีกค่ะ ให้ลุ้นๆ กันว่าสุดท้ายแล้วจริงๆ ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นอีกครั้งไหม


-*-*-*-*-*-*-

rockiidixon666
ขอบคุณนะคะ ขอสารภาพค่ะว่าเคยอยากเปลี่ยนคู่จากไวน์อุ่นเป็นไวน์เบฟเหมือนกัน แต่สงสารไออุ่นอ่ะค่ะ ทำไม่ลงจริงๆ  ส่วนเรือพีทเบฟนี่อาจจะออกไม่ค่อยบ่อยนะคะ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ เห็นเรือพีทเบฟจากไกลๆ ใช่ไหมคะ 555+

areenart1984

ขอบคุณค่ะ จะว่าไปก็... ประมาณนั้นค่ะ ถ้าเบฟไม่ปล่อยอุ่นไป สงสัยงานนี้สำหรับไวน์จะไม่หมูเลย

alternative
ขอบคุณนะคะ

GBlk
ขอบคุณนะคะ เรื่องนี้ใกล้จะถึงตอนจบแล้วค่ะ


หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 17 ** 2018.01.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-01-2018 23:18:11
ตอนนี้อุ่นไม่ฟื้น ตอนหน้าค่อยฟื้นก็ได้นะ เบฟไม่ต้องคิดมากนะลูก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 17 ** 2018.01.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 07-01-2018 23:51:10
ทีมซ่อมอุ่นสู้ๆนะ คนอ่านจะคอยเป้นกำลังใจอยุ่ห่างๆอย่างห่วงๆ อุ่นต้องกลับมาแน่ เพราะเรื่องนี้ต้องมีนายเอกค่ะ 55555 #ผิด
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 17 ** 2018.01.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-01-2018 20:47:18
ใจสลายซ้ำ ๆ เลย

คิดถึงอุ่นแล้ว
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 17 ** 2018.01.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-01-2018 22:48:02
จะมีปาฏิหาริย์ไหม  :ling3:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 17 ** 2018.01.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 09-01-2018 23:29:42
อุ่นนนน ไปเกิดเหรอ หรืออะไรร ฮรือออ
ขอให้อุ่นกลับมาาา
 :hao5: :sad4:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 14-01-2018 13:38:12
ตอนที่ 18 (END)



2 ปีต่อมา

 

ร้านดอกไม้อุ่นไอรักไม่อาจเรียกได้แบบนั้นอีกแล้ว บรรยากาศภายในร้านที่ปิดตัวลงหลังจากไออุ่นไม่กลับมาคละคลุ้งไปด้วยความโศกเศร้าที่ไม่เคยจางหายไปไหน ความอบอุ่นที่เคยมีอยู่เลือนหายไปตามกาลเวลาที่ผ่านเลย ปาฏิหาริย์ไม่เกิดขึ้นอีกเลยหลังจากวันนั้นจวบจนวันนี้ ไม่ว่าจะพยายามอีกสักเท่าไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่เคยแตกต่างไปจากเดิม ไออุ่นยังคงเป็นเพียงตุ๊กตาไขลานที่วางอยู่บนตู้โชว์ธรรมดาตัวหนึ่ง

ทุกวันผ่านไปด้วยความรู้สึกเดิมๆ ที่นับวันจะฝังรากลึกเข้าไปในจิตใจของเบฟ วันเวลาที่ผ่านมาไม่เคยเยียวยารักษาหัวใจที่บอบช้ำได้เลย หากแต่วันนี้กลับแตกต่างออกไป ความรู้สึกของคำว่าจะได้พบกันอีกครั้งมันเอ่อล้นออกมาทั้งที่ควรจะหายไปนานแล้ว เขากลายเป็นคนนั่งไม่ติดที่ เดินวนไปเวียนมาอยู่รอบเตียงนอนของไออุ่นราวกับหนูติดจั่น

เสียงกริ่งของร้านดังขึ้น ไม่ว่าจะเป็นใครที่กดมัน เขาอยากจะลงไปเปิดประตูต้อนรับแล้วปรึกษาเกี่ยวกับความรู้สึกบางอย่างที่มันเพิ่งเกิด

พอได้เห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูร้าน เบฟก็รีบเปิดทันที

“พีท!”

“เบฟ พี่มีอะไรจะให้ดู”

พีทสาวเท้าอย่างรวดเร็วเข้ามาในร้าน แบมือข้างขวาที่กำอะไรบางอย่างมาตลอดทางออก มันเป็นแค่ลานชิ้นหนึ่งที่ดูไม่มีความพิเศษอะไรเลยแต่ในความไม่พิเศษกลับแฝงไปด้วยบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องพูดออกมาก็เข้าใจกันได้

“คุ้นๆ บ้างไหม”

“ได้มันมาได้ยังไง”

“มียายคนหนึ่งลืมมันไว้ที่ร้านเมื่อสองวันก่อน พี่คิดว่าเขาน่าจะกลับมาเอาแต่ไม่มีวี่แววเลยหยิบมันมา... มันอาจสร้างปาฏิหาริย์เล็กๆ ให้กับเราอีกครั้งก็ได้นะ”

“ต้องบอกไวน์”

เบฟไม่ใช่คนใจจืดใจดำที่ขนาดมีข่าวดีจะไม่บอกให้รู้เพราะทุกครั้งไม่ว่าการซ่อมตุ๊กตาไขลานตัวนั้นจะสำเร็จหรือไม่ ไวน์ก็จะมาคอยยืนอยู่ข้างๆ เสมอ ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ผู้ชายคนนั้นไม่เคยทิ้งไออุ่นไปไหนจึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปิดบังกัน

“อืม เดี๋ยวพี่โทรบอกเอง นายลองเอาไปเช็คดูก่อนว่ามันใช่ไหม”

เบฟรับลานชิ้นนั้นมาด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ความสิ้นหวังที่ทำได้เพียงแค่ภาวนา เฝ้ารอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นมาตลอดสองปีที่ผ่านมาค่อยๆ มลายหายไปอย่างช้าๆ ลานอันคุ้นตาที่อยู่ในมือคือความหวังสุดท้ายเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้

“มันใช่แน่อยู่แล้วล่ะ”

“ถ้างั้นก็ดีเลย พี่หวังว่ามันจะพาพี่อุ่นกลับมาได้”

เบฟก็หวังว่าสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้จะพาไออุ่นกลับมาได้เช่นกัน เขาทนทรมานกับความสูญเสียมานานมากพอแล้ว

“งั้นจะรอนี่แล้วกัน”

พีทพยักหน้าแล้วจึงเดินเลี่ยงออกไปกดโทรศัพท์หาไวน์ แต่เพียงไม่นานเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงไวน์จะมาถึง เบฟเอาแต่จ้องลานที่อยู่ในมือไม่วางตา ถ้าปาฏิหาริย์มีอยู่จริง ทำไมถึงต้องปล่อยให้พวกเขารอนานขนาดนี้

“พีท มึงว่าถ้ามันไม่ได้ผล...”

“ถ้ามันเป็นลานแบบเดียวกัน พี่คิดว่ามันน่าจะได้ผลนะ”

“ก็ขอให้เป็นแบบนั้น มึงรอไวน์อยู่ข้างล่างนะ เดี๋ยวกูไปดูอุ่นแปป”

พีทหยักหน้าแล้วปล่อยให้เบฟเดินขึ้นไปหาไออุ่นข้างบน ส่วนตัวเขาเองก็ต้องยืนรออยู่ข้างล่างจนกว่าคนที่โทรไปตามจะมาถึงแต่เพียงไม่นานเกินรอ ไวน์ก็มายืนอยู่ที่หน้าประตูร้านแล้ว

“ทำไมมาเร็วจัง” พีทถามเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นเดินเข้ามาในร้าน

“อ๋อ! พอดีผมทำธุระอยู่แถวนี้”

“งั้นไปกันเลยไหม เบฟรออยู่ข้างบนแล้ว”

ไวน์พยักหน้าตอบรับ เขาพร้อมที่จะไปเจอไออุ่นอีกครั้งแล้วหลังจากที่ห่างหายมานานพอสมควร เช่นเดียวกับพีทที่มีความรู้สึกอยากไปคอยลุ้นให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับไออุ่นอีกครั้ง พวกเขาเดินขึ้นไปข้างบนพร้อมกัน พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าเบฟกำลังแกะลานอันเก่าออกและกำลังจะใส่ชิ้นใหม่เข้าไป ท่าทางของเด็กคนนั้นดูมุ่งมั่นในการซ่อมแซมตุ๊กตาไขลานตัวนั้นมากกว่าทุกครั้งราวกับเชื่อว่าปาฏิหาริย์จะต้องเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน

ไม่รู้ทำไม... แต่เบฟกลับมั่นใจอย่างนั้น ตอนที่เห็นลานที่แทบจะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วทั้งสองชิ้น ความหวังที่ห่างหายไปนานได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้ง

บรรยากาศในห้องเงียบกริบ ทั้งพีทและไวน์ต่างส่งกำลังใจช่วยให้การเปลี่ยนลานอันใหม่นี้ประสบความสำเร็จ

“พีท กุญแจล่ะ”

พีทชะงักไปเมื่อถูกเบฟทวงถามถึงกุญแจที่มันควรจะมาคู่กับลานชิ้นนั้น แล้วรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ลานที่หญิงชราทิ้งไว้ให้มันเป็นแค่ลานและไม่มีกุญแจ

“ไม่มี แต่พี่คิดว่ากุญแจของพี่อุ่นน่าจะใช้แทนกันได้ ลองดูก่อน”

“อืม”

กุญแจของไออุ่นถูกเก็บไว้ที่เดียวกับลานชิ้นแรก เบฟหยิบมันมาจากลิ้นชักข้างหัวเตียง ยื่นไปให้กับไวน์เป็นคนไขลานอย่างเช่นที่เคยทำทุกครั้ง เขายังคงกลัวแม้จะมีความหวัง

กุญแจรูปทรงเฉพาะถูกเสียบเข้าไปในตัวของไออุ่น มันลงล็อคพอดิบพอดีอย่างน่าประหลาดทั้งที่เป็นลานคนละชิ้น แม้ภายนอกจะเหมือนกันราวกับออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันแต่ก็ควรจะใช้กุญแจที่ต่างกัน ในเสี้ยวจังหวะหนึ่งที่ไวน์หมุนทวนเข็มนาฬิกา ความรู้สึกบางอย่างก็แล่นผ่านเข้ามาในหัวใจจนมันเต้นระรัว

ลานในร่างกายของไออุ่นเริ่มขยับช้าๆ มันนำพาความสุขมาให้กับพวกเขาอีกครั้ง ทว่าแม้ลานจะเดินแต่ร่างกายนั้นกลับยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ไร้วี่แววของการมีชีวิตหรือบางทีแม้กระทั่งลานที่เหมือนกัน กุญแจดอกเดียวกันก็ยังพาไออุ่นกลับมาอยู่กับพวกเขาอีกครั้งไม่ได้

“อุ่น...”

เบฟดึงร่างของไออุ่นเข้ามาในอ้อมกอด กระซิบเรียกด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“อุ่น... ได้ยินไหม อุ่น”

อีกครั้งที่ไม่มีเสียงตอบรับหรือการเคลื่อนไหวใดๆ ให้คนที่อยู่ในห้องได้รับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ของไออุ่น

“พี่พีทก็อยู่นี่นะ ไวน์ก็อยู่ ตื่นขึ้นมาหน่อยสิ”

“พี่ไม่อยากจะพูดให้เสียกำลังใจไปมากกว่านี้นะ แต่... นานขนาดนี้ พี่อุ่นคงไม่กลับมาแล้ว”

ไม่มีใครในที่นี้เตรียมใจรับกับการไม่กลับมาของไออุ่นอีกครั้ง ทุกคนหวังเฝ้าภาวนาให้ปาฏิหาริย์มีจริงแต่สุดท้ายแล้วมันก็กลายเป็นเพียงแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ที่ไม่ว่าจะพยายามอีกสักกี่สิบร้อยพันครั้ง ไออุ่นก็ยังคงเป็นตุ๊กตาไขลานธรรมดาไม่ใช่ตุ๊กตาไขลานที่พวกเขารู้จักอีกต่อไป

“อุ่นต้องกลับมา! ใช่ไหม ไวน์”

รอยยิ้มเนือยๆ ปรากฏบนใบหน้าคมคาย เหมือนจะตอบรับแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่อาจปฏิเสธความจริงที่อยู่ตรงหน้าไปได้

“คุยอะไรกัน เสียงดังเชียว”

“พีท! ใครเสียงดัง!”

พอได้มองไปตามนิ้วที่ชี้ตรงมาของพีทก็กลายเป็นว่ามันพุ่งตรงมาที่เบฟคนเดียว แต่ทว่าสายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มระคนตกใจ เฉกเช่นเดียวกับไวน์ที่มองมาอย่างไม่วางตา ทุกสายตาต่างจ้องมองไปยังร่างข้างๆ เบฟด้วยกันทั้งนั้น

“กูเหรอ?”

“พูดไม่เพราะเลยนะ”

“นี่! มึงไม่ชินอีกเหรอวะ”

“เบฟ...”   

น้ำเสียงกดต่ำลากยาวที่ดังอยู่ข้างกายเพิ่งจะทำให้เขารู้สึกตัว จังหวะเสียงเวลาดุเขามันช่างคุ้นหู เสียงเหมือนไออุ่นแต่ทว่าร่างในอ้อมแขนไม่ขยับเขยื้อนแล้วจะเป็นไออุ่น คนที่เขาอยากเจอมากที่สุดไปได้อย่างไร

“ไม่ตลกนะ พีท เลียนเสียงอุ่นเหรอ”

“พี่อุ่น ช่วยทีเถอะครับ”

ได้ยินคำขอร้องของพีท ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดจึงค่อยๆ ขยับตัวอย่างช้าๆ ให้พอรู้สึกตัวบ้างแต่คนที่กำลังกอดร่างของตุ๊กตาไขลานยังคงนั่งนิ่งเหมือนไม่รับรู้การเคลื่อนไหวใดๆ ภายในอ้อมกอดนั้น ใจของเขายังคงทุกข์โศกกับการจากไปของไออุ่นไม่หาย ปาฏิหาริย์เพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่พังลงมาต่อหน้าต่อตา ลานที่ขับเคลื่อนร่างกายยังคงเดินหน้าไปเรื่อยแต่ไออุ่นไม่กลับมา นั่นคือความคิดที่กำลังหมุนวนอยู่ในหัวของเบฟตอนนี้จนลืมอะไรบางอย่างไป

“ยินดีต้อนรับกลับนะ อุ่น” ไวน์ส่งยิ้มบางๆ ไปให้

“ไวน์ก็อีกคนเหรอวะ!”

“ไม่อยากให้อุ่นกลับมาขนาดนี้เลยเหรอ รู้ไหมว่าอุ่นน้อยใจนะ”

ท้ายที่สุดแล้วเบฟก็หันไปมองใบหน้าของตุ๊กตาไขลานที่อยู่ในอ้อมกอด ความเศร้าโศกพลันมลายหายไปจากใจแทนที่ด้วยความดีอกดีใจที่ล้นปรี่ออกมาทางสีหน้าและแววตาเมื่อยามสบกับดวงตาสีหยกที่กำลังกระพริบมอง

“อุ่น!!”

อ้อมแขนที่โอบกอดร่างของไออุ่นกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิมจนคนในอ้อมกอดเกิดความรู้สึกประหลาดราวกับว่ามันเป็นครั้งแรกที่ถูกกอดแบบนี้ แน่นขนาดนี้ อบอุ่นได้มากเพียงนี้จนทุกสิ่งที่สัมผัสซึมลึกลงไปในความรู้สึก

“ก็อุ่นไง”

“พี่อุ่น! ในที่สุดก็กลับมา พวกเรารอพี่นานมากเลยนะครับ”

พีทและไวน์ต่างเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ ร่างของตุ๊กตาไขลานที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานที่ทำแค่นั่งเฉยๆ ตอบสนองอะไรไม่ได้อีกเหมือนที่ผ่านมาได้กลับมาหาพวกเขาทั้งสามคนอีกครั้งแล้วแต่ทว่ามีบางสิ่งบางอย่างในตัวไออุ่นแปลกไปจากเดิม อาจไม่มีใครได้ทันสังเกตมันแม้แต่เบฟที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

“ผ่านมานานเท่าไรแล้วล่ะ”

“สองปีครับ”

ไออุ่นอมยิ้มเล็กน้อย มิน่าล่ะทุกคนถึงได้ดูโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นรวมถึงเบฟที่ดูเหมือนจะสูงใหญ่กว่าเขาแล้วด้วย

“อุ่น...” จู่ๆ เบฟก็โผล่งออกมาอย่างไม่ให้สุ่มให้เสียง

“ครับ”

“อุ่นอุ่น”

“ครับ”

“ทำไมอุ่นอุ่น”

“ครับ?”

เรียวคิ้วงามเริ่มขมวดเข้าหากัน คำพูดของเบฟชวนให้ไออุ่นสับสน

“ตัวอุ่นอุ่น”

“หืม?”

“พีท ไวน์ ลองจับ” 

พอสิ้นเสียงเบฟก็กลายเป็นว่าทุกคนต่างมารุมล้อมตุ๊กตาไขลาน แตะแขนข้างซ้ายบ้าง สัมผัสแขนขวาบ้าง ลามไปถึงลูบไล้ซอกคอและใบหน้าเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายที่ดูจะแตกต่างไปจากเดิม ไออุ่นตัวอุ่นสมชื่อ ไม่ได้มีร่างกายเย็นเฉียบราวกับร่างไร้วิญญาณเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

“ขอโทษนะครับ พี่อุ่น”

ยังไม่ทันจบประโยคดี พีทก็ตีเข้าไปบนต้นแขนของไออุ่นด้วยความแรงพอให้รู้สึก

“เจ็บ ตีพี่ทำไม”

ไออุ่นยกมือลูบแขนตัวเองบริเวณที่ถูกตีป้อยๆ เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักว่าพีทมีเหตุผลอะไรในการตีลงไปบนแขนเขาโดยไม่คำนึงถึงว่ามันจะเจ็บ... เจ็บ!? เรียวคิ้วงามขมวดเข้าหากันอีกครั้ง ลองนึกทบทวนถึงความผิดปกติในร่างกายของตัวเองแล้ว ใครๆ ก็บอกว่าตัวเขาอุ่นแถมยังรู้สึกเจ็บเวลาถูกตี ความรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้อบางอย่างเต้นเป็นจังหวะอยู่ที่อกข้างซ้าย โดยรวมแล้วนี่เขากำลังกลายเป็นอะไร

“คุณร้องไห้ได้ไหม”

“หา! ร้องไห้... ไม่ได้หรอก ตุ๊กตาไขลานไม่มีน้ำตานะครับ ไวน์”

“งั้นก็... ขอโทษอีกครั้งนะ อุ่น”

เบฟเอามือบีบจมูกร่างที่อยู่ในอ้อมกอดแน่น ถ้าไออุ่นเป็นตุ๊กตาไขลานจริงดั่งว่าก็จะไม่รู้จักวิธีการหายใจหรือการถูกปิดจมูกเอาไว้แบบนี้ย่อมไม่มีผลอะไรแน่อยู่แล้ว หากแต่ไม่ใช่... ไออุ่นจะต้องแสดงปฏิกิริยาอะไรบางอย่างออกมา

ไออุ่นอยากจะร่ำร้องออกมาว่าพวกเขาทั้งสามคนกำลังเล่นอะไรกันอยู่แต่ลักษณะเหมือนตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจตายไปเสียเดี๋ยวนี้ทำเอาหัวสมองตื้อตึง หมดคำพูด ริมฝีปากบางเผยอออก หอบเอามวลอากาศรอบตัวให้เข้ามาภายในร่างกายก่อนที่อะไรๆ จะทำให้เขาหายไปอีกครั้ง ฝ่ามือเล็กตีเข้าที่แขนของเด็กคนนั้นให้ยอมปล่อยปลายจมูกเขาให้เป็นอิสระ

มือที่บีบจมูกเรียวสวยได้รูปถูกคลายออกพร้อมกับความแคลงใจทั้งหมดทั้งมวลก็หายไปด้วยเช่นกัน

“อุ่น ที่พี่พีทตีเมื่อกี้เจ็บไหม”

ไออุ่นพยักหน้าตอบคำถามของเบฟ

“แล้ว... เมื่อกี้หายใจออกไหมครับ”

“หายใจไม่ออกหรอก คราวหลังอย่าเล่นอะไรแบบนี้อีกนะ อุ่นเกือบตาย”

“สรุปพี่อุ่นเจ็บแล้วก็... หายใจไม่ออกใช่ไหมครับ”

พีทลองถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ แต่พอได้เห็นไออุ่นพยักหน้ารับ สิ่งเดียวที่เขานึกขึ้นมาได้ในตอนนี้นั่นคือ ‘สภาพความเป็นมนุษย์’

“อุ่นไม่ใช่ตุ๊กตาไขลานแล้วนะ”

ไออุ่นนิ่งไปพักใหญ่กับคำตอบของเบฟที่ย้ำชัดถึงความจริงที่ว่าไออุ่นกลายเป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก เจ็บได้ร้องไห้เป็นอย่างที่เคยอิจฉามานาน

“ไม่ใช่ตุ๊กตาไขลานแล้ว... เป็นอะไร”

ไม่จำเป็นต้องพูด คำตอบก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ตุ๊กตาไขลานที่มีลมหายใจไม่อาจเรียกได้ว่าตุ๊กตา เช่นเดียวกับตุ๊กตาไขลานที่มีความรู้สึกเจ็บปวดก็ไม่อาจเรียกได้ว่าตุ๊กตาเช่นกัน หรือแม้แต่ตอนนี้ตัวเขายังรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากอ้อมกอดของเบฟ

“อุ่น ขอดูข้างหลังหน่อย”

เบฟดันร่างของไออุ่นให้ก้มต่ำลง ถลกปลายเสื้อด้านหลังขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่ควรจะอยู่กลางหลังยามเสียบกุญแจเพื่อไขลานนั้นอันตรธานหายไปจากร่างเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าไออุ่นเป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีความรู้สึกเหมือนอย่างที่มนุษย์ทุกคนควรมี

รอยยิ้มแห่งความเปรมปรีดิ์ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้ากลมมน สิ่งที่เขาหวาดกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นกับไออุ่นนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว ร่างกายที่ไม่จำเป็นต้องไขลานเพื่อความอยู่รอด ไม่จำเป็นต้องคอยระแวดระวังว่ามันจะพังลงไปต่อหน้าต่อตานำพาความสุขกลับมาหาเขาอีกครั้ง

“อุ่นเป็นคนจริงๆ”

ปาฏิหาริย์ไม่เพียงแต่นำวิญญาณของไออุ่นกลับมา ปาฏิหาริย์ยังทำให้เขากลายเป็นสิ่งที่เฝ้าฝันมาตลอดชั่วชีวิต

“พี่อุ่น!!” พีทร้องเรียกด้วยความดีใจ

“เอ่อ...”

ดวงตาสีหยกสบประสานกับดวงตาสีอำพันของร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้า ท่าทางละล้าละลังเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไปของไออุ่นทำให้พีทพอรู้ว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องอะไรแต่สำคัญที่เบฟยังนั่งอยู่ตรงนี้

“เบฟ... พี่ว่าเราไปหาอะไรให้พี่อุ่นกินกันดีกว่า”

“ไม่เอา” เบฟตอบปฏิเสธพร้อมกับกอดร่างที่อยู่ในวงแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม เขามีเรื่องที่จะต้องพูดกับไออุ่นอยู่อีกมาก โดยเฉพาะเรื่องนั้นแต่เขายังไม่กล้าที่จะพูดมันออกมาตอนนี้ต่อหน้าทุกคน “ถ้าไปแล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนอุ่น”

“เดี๋ยวให้ไวน์อยู่เป็นเพื่อนก็ได้”

ดวงตาสีหยกช้อนมองร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าราวกับจะขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นว่าไวน์พยักหน้าตอบรับก็ดูจะโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ท่าทางของเบฟดูจะไม่ยอมที่จะปล่อยให้ไออุ่นต้องอยู่เพียงลำพังกับไวน์ เขาอยากจะพูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ สิ่งที่ผูกมัดเราสองคนเอาไว้ตลอดมา

“เบฟ ไปกับพี่เถอะ ไม่เป็นไรหรอก”

เบฟชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง อีกทั้งเขายังเห็นสายตาของไออุ่นที่มองมาเพื่อบอกว่าต้องการอยู่ลำพังกับไวน์สองคนจริงๆ เขาจึงพยักหน้าอย่างจนใจ ยอมตามพีทออกไปข้างนอกแต่ก็ยังไม่วายที่จะเป็นห่วง เรื่องที่เขาต้องการจะพูดนั้นมันสำคัญเช่นเดียวกับการที่ปาฏิหาริย์ได้พาให้ไออุ่นกลับมาพบกับพวกเขาอีกครั้ง

“เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับนะ”

เบฟยอมปล่อยร่างในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ ในขณะที่ลุกจากเตียงก็ยังมองร่างของตุ๊กตาไขลานที่กลายเป็นมนุษย์เต็มตัวด้วยความเป็นห่วง เขาที่เพิ่งได้เห็นหน้า ได้พูดคุยกับตุ๊กตาที่รักอีกครั้งจึงยังไม่อยากจากไปไหนแต่ความหิวของไออุ่นนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน




<<ต่อข้างล่าง>>
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 14-01-2018 13:38:59
<< ต่อจากข้างบน >>



เมื่อในห้องมีกันเพียงลำพังแค่สองคนจึงก่อเกิดเป็นความเงียบที่ชวนให้รู้สึกอึดอัด ท้ายที่สุดจึงเป็นไวน์ที่ทำลายความรู้สึกที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างให้เวลานี้ลง

“อุ่น ผมขอโทษนะ”

ไออุ่นยังนั่งอยู่บนเตียงนอน มองดูใบหน้าคมคายนั้นด้วยความสับสนระคนไม่เข้าใจถึงสาเหตุของคำขอโทษนั้นแต่เพียงไม่นาน เมื่อความทรงจำครั้งล่าสุดผ่านเข้ามาในหัว เขาร้องอ๋อเบาๆ ก่อนจะยกยิ้มเพียงเล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้สบายใจว่าตัวเขาไม่ได้ติดใจเอาความอะไรเลย

“ขอโทษทำไม ผมไม่ได้โกรธอะไรเลยครับ”

“ผมขอโทษที่เคยทำอะไรไม่ดีกับคุณ”

“ผมไม่คิดมากหรอกครับ ไวน์ จริงๆ แล้วน่าจะเป็นผมเองมากกว่าที่ต้องขอโทษคุณ”

“เรื่องอะไรครับ”

ก่อนที่ไออุ่นจะหายไปจากวงจรชีวิตของไวน์นานถึงสองปี คำพูดสุดท้ายที่ได้ยินมันเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากสีกุหลาบนั้นก็คือคำขอโทษที่ยังค้างคาอยู่ในใจเขามาตลอดว่าเพราะเหตุใดไออุ่นถึงต้องขอโทษเขาทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด

ไออุ่นลุกขึ้นจากเตียงนอน เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าผู้ชายร่างสูง แหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย สบกับดวงตาสีอำพันของอีกฝ่ายที่จ้องมองมายังเขา “ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกความจริงตั้งแต่แรกแต่พอได้เห็นคุณอยู่ตรงนี้... เป็นผมซะอีกที่ควรรู้สึกผิด ไม่ใช่คุณ”

ยังไม่ทันที่ไวน์จะได้ตอบอะไร ไออุ่นก็ชิงพูดต่อ “ตอนนั้นผมแค่กลัวว่าถ้าคุณรู้ว่าผมเป็นอะไร คุณอาจจะไม่เชื่อ แล้วอีกอย่างตุ๊กตาไขลานมันมีชีวิต มีจิตใจไม่ได้ โต้ตอบหรือตอบสนองใครไม่ได้ คุณอาจมองว่ามันเป็นเรื่องตลกขำขัน แต่ตอนนี้ผมได้เห็นมันกับตาแล้วว่าถึงผมจะเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิต คุณก็ยังยืนอยู่ข้างผม นั่นมันทำให้ผมรู้สึกอยากขอโทษคุณมาก เพราะถ้าเพียงแค่ผมบอกความจริงกับคุณไปตั้งแต่แรก ทุกอย่างอาจไม่ลงเอยแบบนี้”

“อุ่น...”

“ไวน์ เด็กคนนั้นได้ทำอะไรคุณ โมโหใส่คุณ ตอนที่ผมไม่อยู่หรือเปล่าครับ”

“ก็... โดนต่อยนิดหน่อย แค่สิบยี่สิบหมัดเอง”

มือแกร่งแตะสัมผัสลงบนริมฝีปาก ทบทวนความเจ็บปวดในคราวนั้น กว่าปากจะหายบวมและแผลจะหายสนิทก็ใช้เวลาไปราวๆ อาทิตย์ พลันนั้นมือของเขาก็รู้สึกถึงความนุ่มและอบอุ่น พอเหลือบสายตาไปมองก็พบว่ามือของไออุ่นกำลังกอบกุมมือของเขาอยู่

“เจ็บมากไหมครับ”

“เอ่อ... นิดหน่อย”

“ขอโทษแทนเขาด้วยนะครับ”

“อุ่น...”

ไออุ่นปล่อยมือออกแล้วเดินไปหยุดที่ริมหน้าต่าง มองออกไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย “ผมดีใจนะครับที่ได้กลับมาแต่ผมกลับรู้สึกว่าจริงๆ แล้วผมไม่ควรกลับมา” เขานิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะพูดต่อ “สองปีกับการรอคอยมันนานมากนะครับ พอผมกลับมา... อะไรหลายๆ อย่างก็ต้องเปลี่ยนไปหมดแล้ว”

ไวน์ก้าวมายืนข้างๆ เขาไม่ได้พูดอะไร เอาแต่จ้องมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเช่นเดียวกัน

“จนถึงตอนนี้คุณอาจจะแต่งงาน มีลูกกับผู้หญิงสักคนไปแล้วก็ได้”

“จะให้ผมไปแต่งกับใครล่ะ สองปีที่ผ่านมา ผมทรมานกับความรู้สึกผิดมาตลอด แล้วที่ผ่านมาผมก็เอาแต่คิดถึงคุณแล้วจะให้ผมเอาเวลาไหนไปรักกับผู้หญิงคนอื่น”

“สองปีทำคุณเปลี่ยนไปด้วยนะ แต่เป็นแบบนี้ล่ะดีแล้ว”

ไวน์ดูเปลี่ยนไปมากในสายตาของไออุ่น ไม่เพียงแค่ฝ่ายนั้นจะดูภูมิฐานขึ้น การแสดงออกก็ยังเปลี่ยนไปด้วย ดูกล้าที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา อ่อนโยนขึ้น คำพูดคำจาน่าฟังมากขึ้นเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกัน

“ผมอาจจะเปลี่ยนไปบ้างแต่ความรู้สึกที่มีต่อคุณมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะ อุ่น”

ไออุ่นยกยิ้มอ่อนโยนแต่ทว่าสายตายังคงจ้องมองออกไปยังท้องฟ้าสีขาวโพลน

“ถ้ามีให้คุณเลือกระหว่างความรักกับความผูกพัน คุณจะเลือกอะไร”

ไวน์นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ สองสิ่งที่ถูกถามมันเป็นคำตอบที่เลือกยาก

“ทำไมจู่ๆ ถึงได้ถามคำถามนี้ขึ้นมาล่ะ”

“ตอบผมมาก่อนเถอะครับ แล้วผมจะบอกว่าทำไม”

ความรักกับความผูกพันควรเป็นสิ่งที่มาคู่กัน เมื่อรักย่อมต้องผูกพัน เมื่อผูกพันย่อมต้องรัก แต่หากจำเป็นต้องเลือกแล้วล่ะก็สำหรับไวน์คงหนีไม่พ้นคำว่าความรัก สีหน้าของเขาดูเหมือนคนกำลังขบคิดอย่างหนัก จนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจตอบออกมา “มันเลือกยากนะ แต่ถ้าต้องเลือกจริงๆ ผมขอเลือกความรัก”

“ถ้าคุณถามคำถามนี้กับผม ผมจะตอบว่าความผูกพัน ไม่ใช่ความรักมันไม่ดีแต่ถ้าเลือกความผูกพัน ผมมองเห็นอนาคตมากกว่า สำหรับความรักน่ะวันนี้อาจจะพูดว่ารักแต่วันข้างหน้าเราอาจจะพูดมันออกมาได้ไม่เต็มปาก เมื่อความรักเดินมาถึงทางตัน ทุกอย่างก็จบแต่ถ้าเป็นความผูกพัน สำหรับผมแล้วมันดูมั่นคงยาวนานกว่า คุณว่าจริงไหม”

“มันก็จริงแต่ผมไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณต้องการพูดอะไร”

“ผมอยากเป็นคนที่เห็นแก่ตัวนะ เลือกทั้งความรักและความผูกพันไปพร้อมๆ กันแต่ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะมันเห็นแก่ตัวเกินไป”

คำอธิบายของไออุ่นไม่ได้ช่วยคลายความสงสัยให้กับไวน์ได้เลยแม้แต่น้อยกลับเพิ่มเครื่องหมายคำถามเข้ามาอีกเป็นกระบุงโกย

“คุณจำวันนั้นได้ไหมครับ วันที่คุณบอกว่ารักผม”

ไวน์พยักหน้ารับ ถึงแม้จะผ่านมานานมากแล้วแต่เขายังคงจำได้ดี วันนั้นเป็นวันที่เขาทั้งสารภาพรัก ทั้งทำเรื่องไม่ดีกับไออุ่นเอาไว้ เขาไม่มีทางลืมมันลงได้ง่ายๆ

“ผมยังไม่ได้ตอบคุณเลยว่าผมรู้สึกหรือคิดยังไงกับคุณ”

“คุณตอบผมแล้ว คุณเลือกความผูกพันและมันเดาได้ไม่ยากเลยว่าคุณเลือกเบฟ”

ไออุ่นดูจะชะงักไปเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองร่างที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างช้าๆ สีหน้าและแววตาที่สะท้อนกลับมาบ่งบอกให้เขารู้ได้ว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดกับคำตอบนั้นมากแค่ไหน

“ถ้าคุณบอกว่าความผูกพันที่ผมพูดถึงคือเบฟ แล้วความรักล่ะจะหมายถึงใคร”

ไออุ่นยังคงยืนจ้องตาอยู่อย่างนั้นแต่ยิ่งถูกจ้อง หัวสมองของไวน์ก็ขาวโพลนไปหมด ที่เด่นชัดที่สุดเห็นทีจะเป็นรูปหน้าอันงดงามราวกับภาพวาด ดวงตาสีหยกเปล่งประกายราวกับอัญมณีมีชีวิต ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบที่ชวนให้น่าหลงใหลลิ้มลอง

“ไวน์”

“อ๊ะ! ครับ” ไวน์สะดุ้งเล็กน้อย

“ตอบผมสิครับ ไวน์”

“เอ่อ...”

“คุณคิดว่าที่ผมพูดนั่นหมายถึงใคร”

ถูกไออุ่นถามย้ำพลางเดินเข้ามาใกล้จนจะประชิดตัวแล้วเขาจะนึกคำตอบเป็นอื่นไปได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่... “อุ่น”

นิ้วเรียวเล็กจิ้มไปบนหน้าอกของไวน์อยู่สองสามครั้งก่อนที่เจ้าของนิ้วจะยกยิ้มบางๆ คล้ายกับกำลังขบขันกับท่าทีของคนตรงหน้า “คุณต่างหากล่ะ”

ไวน์พยักหน้าเหมือนว่าจะเข้าใจแต่สักพักกลับนิ่งไปราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ความรักที่ไออุ่นพูดถึงทำไมถึงกลายเป็นเขาไปได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ได้คำตอบอะไรจนไออุ่นหลุดหัวเราะเบาๆ กับหน้าตาที่ดูจะเหวอไปเล็กน้อยของเขา

“ทำไมเป็นผม”

ไออุ่นไม่ได้ตอบว่าเพราะอะไร ทำไมความรักถึงหมายถึงไวน์และเบฟถึงได้กลายเป็นความผูกพัน เขาเดินมาอยู่ที่เตียงนอนกลางห้อง หันหลังให้กับผู้ชายคนนั้น “มันไม่มีคำตอบว่าทำไม ความรักไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล รักก็คือรัก ผูกพันก็คือผูกพัน”

“แล้วทั้งที่คุณรักผม ทำไมคำตอบถึงได้กลายเป็น...”

“คนเราน่ะไม่มีใครทำอะไรได้ตามใจปรารถนาไปซะทุกเรื่องหรอกนะ ผมแค่เลือกมันเพราะดีกับเราทุกคน หากผมเลือกคุณ คนที่จะเสียใจมากที่สุดก็คือเด็กคนนั้นและผมเองก็ทนเห็นเขาเสียใจไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าถ้าผมเลือกเบฟแล้วผมจะทนเห็นคุณเสียใจได้หรอกนะ อย่างที่ผมบอก... ความผูกพันมันจีรังยั่งยืนกว่าความรักแต่ผมก็ไม่ได้คิดจะดูถูกความรักของคุณ เพียงแต่ถ้าสุดท้ายแล้วมันจำเป็นต้องเลือก ผมก็จะเลือกเขา”

ไออุ่นหันกลับมาเผชิญหน้ากับไวน์อีกครั้ง

“ผมไม่รู้หรอกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเด็กคนนั้นทำอะไรบ้างแต่วันนี้ผมรู้อยู่อย่างหนึ่งคือเขาไม่ยอมปล่อยมือจากผม ผมถึงได้กลับมาอยู่ตรงนี้อีกครั้งทั้งที่ควรจากไปตั้งนานแล้วและเพราะแบบนั้น ผมถึงได้บอกว่าการเลือกเขาคือการมองเห็นอนาคตมากกว่า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เด็กคนนั้นจะไม่มีวันทิ้งผมเช่นเดียวกับที่ผมจะไม่มีวันทิ้งเขาอีก”

ยิ่งพูดก็ดูเหมือนจะตอกย้ำความเจ็บปวดให้ลึกลงไปในใจของทั้งสองฝ่าย

“แล้วคุณไม่อยากสร้างอนาคตไปพร้อมกับผมเหรอครับ”

“ผมทำร้ายเด็กคนนั้นไม่ได้ ทั้งชีวิตของเขามีผมแค่คนเดียว ถ้าผมปล่อยมือจากเขาแล้วเขาจะเหลือใคร หวังว่าคุณคงเข้าใจนะครับ”

“คุณ...” ไวน์พูดอะไรไม่ออก ความจริงแล้วสิ่งที่ไออุ่นทำนั่นคือการทำร้ายตัวเอง ทำร้ายทั้งเบฟและตัวเขาเอง มีแต่เจ็บกับเจ็บด้วยกันทุกฝ่าย ต่างกันแค่จะมากหรือน้อย

“จริงๆ แล้วเด็กคนนั้นนอกจากผมยังเหลือพ่อแม่และย่าให้รัก แต่เขากลับผูกมัดตัวเองไว้กับผม ในเมื่อเขาไม่ปล่อย ผมจะไม่พยายามแกะมือเขาออก ถ้าวันหนึ่งซึ่งเมื่อไรไม่รู้ เขาพร้อมที่จะปล่อยผมไป ผมก็จะปล่อยเขาเช่นกัน แต่ตอนนี้ผมทำแบบนั้นไม่ได้”

“ทำไม...”

“ถ้าผมพยายามแกะสิ่งที่พันธนาการเราสองคนเอาไว้ด้วยกันออก สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดจะพังทลายลงในพริบตา แต่ถ้าเขาเข้าใจมันได้ด้วยตัวเองเมื่อไร ยอมรับได้เมื่อไร เขาจะรู้เองว่าตัวเขาควรทำอย่างไร แค่ตอนนี้เด็กคนนั้นไม่โตขึ้นเลยจากเมื่อก่อน”   

“ผมสู้ไม่ได้เลยสินะ”

ไออุ่นไม่ได้ตอบอะไร เขาทำเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ

“ไวน์ ขอโทษนะ”

ถึงไวน์จะยิ้มไม่ออกแต่พอได้ยินคำขอโทษ เขาก็จำต้องยิ้มตอบกลับไป สุดท้ายแล้วไม่ว่าเบฟจะพูดว่ายกไออุ่นให้เขาเดินหน้าจีบได้อย่างเต็มที่แล้วแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาในวันนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองพ่ายแพ้ ต่อให้เขาเป็นคนที่ไออุ่นรักแต่ท้ายที่สุดแล้วคนที่ถูกเลือกก็ไม่ใช่เขา

“ดูคุณแคร์เขามากเลยนะ”

“ผมแค่เลือกไม่ได้ต่างหาก”

“เลือกไม่ได้หรือไม่พยายามเลือกครับ”

ไออุ่นยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาพูดไม่ออกเพราะไวน์พูดถูก เขามีชนักคำสัญญาที่มีต่อเบฟติดหลัง ต่อให้ไม่ว่าเขาจะเลือกไวน์หรือไม่ คำตอบนั้นก็ยังจะคงเป็นเบฟไม่เปลี่ยน

“อุ่น คุณ... เอาเถอะครับ ผมไม่ได้อยากจะยอมแพ้แต่ถ้าพูดกันขนาดนี้แล้ว ผมก็คงต้องถอยออกมา ถ้างั้นก็... ผมกลับก่อนก็แล้วกันนะ”

ยังไม่ทันที่ไวน์จะได้ก้าวออกไปไหน เสียงอันคุ้นหูก็ดังเข้ามาจนเท้าที่เตรียมจะก้าวเป็นอันชะงักไป ไออุ่นยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อบานประตูถูกเปิดออก เบฟรีบคว้าข้อมือไวน์แล้วลากให้เดินตรงเข้าไปหาไออุ่นพร้อมกับจับมือของไออุ่นขึ้นมา เมื่อครู่ที่พีทชวนให้ออกไปซื้อของกินมานั้นก็ไม่ได้ไปไหนไกลเกินกว่าหน้าประตูห้อง เขาได้ยินทุกอย่าง ทุกคำพูดของทั้งคู่ด้วยการเปิดประตูเอาไว้เล็กน้อยให้เสียงในห้องเล็ดลอดออกมาแล้วตั้งใจเงี่ยหูฟัง

“นี่แหละ! ที่ยังไม่อยากไปไหนก็เพราะแบบนี้ล่ะ!”

ไออุ่นได้แต่มองหน้าอย่างงุนงง ไม่เข้าใจในสิ่งที่เบฟพูด แบบนี้ที่ว่านั้นคือแบบไหนกันแน่

“อุ่น ฟังนะ เอาจริงก็ไม่อยากพูดอะไรตรงนี้เลย แต่... ผมกับพีท เราเป็นแฟนกันแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าอุ่นจะรู้สึกรักไวน์ก็พูดมันออกมาให้เต็มปากไปเลยว่ารัก แล้วคำสัญญาที่เราเคยให้ไว้ก็ถือซะว่ามันโมฆะเพราะผมผิดสัญญาก่อน อุ่นไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แค่ความรู้สึกของตัวเอง รู้สึกยังไงก็พูดมันออกไปแบบนั้นเลย”

เบฟพูดเสียรัวเร็วราวกับว่ากลัวใครจะแย่งพูดหรือถ้าเพียงแค่หยุดไปช่วงจังหวะหนึ่งแล้วจะทำให้คำพูดที่เหลือจางหายไปกับอากาศเสียก่อนที่จะพูดมันออกมาจนหมด ไออุ่นฟังมันไม่ทันและต่อให้ทัน สมองเขาก็ประมวลผลมันไม่ทัน เขายืนอ้ำอึ้งเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็เงียบไป

“อุ่น รักไวน์ใช่ไหม”

“แต่เบฟ...”

“รักก็พูดว่ารัก มันไม่ยากหรอก”

ไออุ่นพยักหน้าแทนการตอบคำถามนั้นของเบฟ

“ถ้าอย่างนั้นมันไม่เห็นมีอะไรให้ต้องไปปฏิเสธความรักของไวน์ที่มีให้อุ่นเลย” เบฟพูดจบก็หันไปเกาหัวตัวเองหยิกๆ ไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองที่เหมือนจะถือหางไวน์ขึ้นมาหน่อยๆ สนับสนุนความรักที่ไวน์มีต่อไออุ่นทั้งที่ตัวเองต้องการให้ไวน์เดินหน้าจีบไออุ่นเองแท้ๆ “โอ๊ย! นี่กูทำอะไรเนี่ย เป็นพ่อสื่อแม่สื่อให้คนที่เขารักกันอยู่แล้วงั้นเหรอ!”

“เอ่อ...”

“โอเคๆ ผมจะให้เวลาส่วนตัวก็แล้วกัน เคลียร์กันให้ชัดๆ ไปเลยนะ ทางเปิดโล่ง กว้าง สบาย ลงไปวิ่งเล่นบนถนน รถก็ไม่ชนตายขนาดนี้แล้วหวังว่ามันคงจะ... นะ”

เบฟเหล่มองไวน์เป็นเชิงบอกให้รู้ว่าตัวเขาเคลียร์ทางเปิดโล่งให้ขนาดนี้แล้ว กรุณาทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงเสีย ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ไวน์กับไออุ่นได้อยู่กันตามลำพังจริงๆ เพราะพอออกจากห้องมาได้ก็วิ่งลงไปรอข้างล่างทันที

“ไวน์...”

“ว่ายังไงครับ”

“คือ... แล้วอุ่นต้องพูดยังไง”

ไวน์ยกยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับเอื้อมมือไปแตะลงบนหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างเบามือ “พูดอย่างที่ใจรู้สึก”

“พูดไปแล้ว”

“พูดอีกทีสิครับ ผมอยากได้ยิน”

ไออุ่นเบือนหน้าหนี ให้เขาพูดอีกครั้งตอนนี้คงไม่ได้ มันเขินจนเกินกว่าที่จะพูดคำเดิมซ้ำๆ เขาหันหลังให้กับไวน์แล้วเดินออกไปอีกเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองมือของตัวเองที่เริ่มจะเย็นเฉียบเพราะความตื่นเต้น ได้ยินเสียงหัวใจเต้นระรัวราวกับกลองที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้สัมผัสกับมัน เขากำลังประหม่า

“ก็... ผม...”

ไออุ่นพูดยังไม่ทันจบ เขาก็รู้สึกเหมือนกับมีใครเดินเข้ามาด้านหลัง ประชิดตัวจนรับรู้ได้ถึงไอร้อนผ่าวที่แผ่ออกมา เสียงกระซิบดังข้างหูเบาๆ จนขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิตของการเป็นได้เพียงแค่ตุ๊กตาไขลานที่ไร้ความรู้สึก “ก็อะไรครับ อุ่น” 

“รัก... รัก... ไวน์ครับ”

“ผมก็รักคุณนะ อุ่น”

ไออุ่นยิ้มแต่เขาไม่กล้าหันมามองสบตา เขากลัวว่าเขาจะหลงผู้ชายคนนี้มากไปกว่านี้

“กว่าจะได้ยินคำว่ารักจากปากอุ่น ผมรอตั้งนาน”

รอยยิ้มเขินอายปรากฏจางๆ บนใบหน้างาม ไออุ่นเองก็รออยู่นานกว่าจะพูดว่ารักออกไปได้เช่นกัน คำว่ารักของเขาไม่ใช่การฝืนใจเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว เขาสามารถพูดมันออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำโดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับใครอีก

 “งั้นเราลงไปข้างล่างกันดีไหม หรือว่าอยากให้ผมจูบต้อนรับกลับมาก่อนแล้วค่อยลงไปกันดี”

ถูกไวน์แกล้งพูดแหย่อยู่ข้างหูอย่างนี้ ไออุ่นมีแต่ต้องก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าที่ร้อนผ่าวราวกับน้ำเดือดเอาไว้

“ผมไม่หยอกแล้วก็ได้ครับ เราลงไปข้างล่างกันดีกว่า ป่านนี้พีทคงซื้อข้าวมาให้เรียบร้อยแล้วล่ะมั้ง” ไออุ่นพยักหน้าพร้อมกับตีลงไปที่ต้นแขนของอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ ไวน์หัวเราะออกมาเล็กน้อย วันนี้ดูจะเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการที่ไออุ่นกลับมาหาพวกเขาอีกครั้งหรือแม้แต่ความทุกข์ที่อยู่ในใจได้ถูกคลายออก ความรักของพวกเขาสมหวัง ทุกอย่างดูลงตัวจนบอกได้เพียงว่าถ้าถูกถามว่าวันไหนในชีวิตเป็นวันที่ประทับใจที่สุด คำตอบก็คงจะเป็นวันนี้


** END **


จบลงไปแล้วนะคะ สำหรับเรื่อง "ตุ๊กตาไขลาน"
ไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่สิ่งหนึ่งที่อยากบอกคือขอบคุณทุกคนมากนะคะที่แวะเข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
นิยายเรื่องนี้อาจไม่ใช่นิยายที่ดีอะไรเท่าไร ทั้งเรื่องภาษาที่ใช้ ทั้งพลอตและการดำเนินเรื่อง
แต่ก็เป็นนิยายที่เราใส่ความตั้งใจลงไปในการเขียนทุกครั้งค่ะ
สำหรับเรื่องนี้ ตัวละครที่เรารักมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นไออุ่น (ก็เป็นตัวหลักของเรื่องเลยนี่เนอะ)
แต่บางทีเราเองก็ไม่ค่อยชอบความคิดของไออุ่นเท่าไรเหมือนกัน เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเกิน แคร์คนอื่นมากเกินจนลืมแคร์ตัวเอง

สุดท้ายนี้ก็... ขอขอบคุณทุกคนมากที่ตามอ่านนิยายเรื่องนี้จนจบเรื่อง
แล้วพบกันใหม่ในเรื่องหน้านะคะ
 


หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 14-01-2018 15:21:42
ละมุนมากค่ะ ขอบคุณค่า  :mew1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-01-2018 17:28:38
อุ่นน่าร้ากกกกกก
พอเป็นคนแล้วอยากจะฟัดขึ้นมาเลย กอดได้แบบไม่ต้องกลัวลานเบี้ยว ฮ่า ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-01-2018 17:37:44
ดีจังเลยเป็นคนแล้ว เจ็บได้ตายได้ ไม่ต้องอยู่โดดเดี่ยวในวันที่ไม่เหลือคนรอบข้าง
ถ้าพี่อุ่นยังเป็นตุ๊กตานี่เราก็แอบกลัวว่าคุณไวน์ผู้มือหนักจะทำอะไหล่ของอุ่นพัง ฮา
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-01-2018 18:39:37
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 15-01-2018 00:47:20


ลุ้นมากกว่าจะมาถึงจุดนี้

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-01-2018 04:58:31
อยากเจอคะ อยากเจอคุณยายคนที่ลืมลานไว้ที่ร้านพีท สงสัยจะเป็นนางฟ้าแน่ ๆ เลย ลงมาช่วยให้อุ่นกลายเป็นคน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 15-01-2018 07:29:23
ดีใจจังที่อุ่นเป็นมนุษย์แล้ว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 22-01-2018 20:00:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 23-01-2018 21:06:09
 :m31:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 24-01-2018 16:50:50
ดีใจที่อุ่นกับมีและมีปฏิหารย์อีกแล้ว
ฮืออ อุ่นเป็นคนแล้วนะ ดีจริงๆเลย
ยินดีด้วย ขอให้มีความสุขทุกคนเลยย
ขอบคุณที่แต่งนะคะ เป็นเรื่องที่ดีมากๆ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 1 ** 2017.08.07 **
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-01-2018 05:42:00
 :katai1: ไม่นะ ฮือ น้ำตาคลอนี่แค่ไม่กี่ตอนเอง

บ้าไปแล้ว อ่านไปลุ้นไปว่าอุ่นจะเป็นอะไรไหม

ไม่อยากนึกถึงตอนจบเลย :m15:

แค่ตอนเป็นอุลเรายังจะร้องตาม อ่านไปบีบหัวใจไป

ฮือ จะเป็นยังไงต่อไปนะ ไวน์นี่ชอบอุ่นใช่มะ

แล้วเบฟที่เรียกอุ่นตอนก่อนจะไขลานให้นี่คือยังไง :z3:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 12 ** 2017.10.29 **
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-01-2018 08:21:31
 :m15: :hao5: อุ่นนนนนนนนนนนนนนนน ฮืออออออ  :ling1:
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 13 ** 2017.11.05 **
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-01-2018 08:42:19
 :z3:  :m15: :o12: ร้องไห้เป็นเขื่อนแตกเลยจ้า ฮือออ

ร้องตั้งแต่ไวน์อ่านถึงคำที่บอกว่าอุ่นเป็นตุ๊กตาไขลาน

จางหายไปตอนไวน์หมุนแล้วอุ่นตื่น แต่ตอนอุ่นตายอีกรอบ

มันกลับพังลงมาราวกับห่าฝน ฮือออ หยิบทิชชู่ไม่ทันทีเดียว

สงสารพีทคนเดียวเลยตอนนี้ แม้อุ่นจะรู้ว่าคิดอะไร

แต่ไม่มีโอกาสได้สารภาพเหมือนกับคนอื่นเขา

ไหนจะเฮเลนล่ะ รู้เรื่องอุ่นแล้วจะเป็นยังไงนะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 16 ** 2017.12.24 **
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-01-2018 09:18:33
 :a5: ตกใจหม๊ดด นึกว่าจะจูบไวน์จริงๆ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-01-2018 09:33:19
แง้งงง ดีมาก ขอบคุณมากค่ะ ฮือ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 27-01-2018 12:31:04
 จบสวยค่ะ ชอบภาษา
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 28-01-2018 15:51:07
ซึ้ง
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 29-01-2018 08:50:20
เสียน้ำตาให้เรื่องนี้ไปเป็นปีบ

แต่จบแบบนี้ก็ดีแล้ว ดีแล้วจริงๆ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 31-01-2018 17:13:54
ที่ต้องขอบคุณมากกว่าปาฏิหาริย์ก็ความพยายามของทุกคนนี่แหละ น่ารักมาก ขอบคุณคนเขียนที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆให้อ่านนะ
หัวข้อ: Re: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
เริ่มหัวข้อโดย: FeRnChOi ที่ 01-02-2018 09:41:02
แต่งดีมากๆเลยค่ะ ภาษาเราอ่านแล้วรู้สึกว่าอ่านง่าย
อ่านตอนแรกคิดว่าน่าจะดราม่าแต่ๆ พอมากลาางๆเรื่องนี่คือหน่วงมาก
ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่าน