พิมพ์หน้านี้ - **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: jaengsRU ที่ 15-09-2018 22:10:43

หัวข้อ: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 15-09-2018 22:10:43
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
หัวข้อ: Re: change! [บทนำ] 15/9/61
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 15-09-2018 22:19:36
Change! มีในรูป E-book แล้วนะคะ

https://bit.ly/2DaYjvA (https://bit.ly/2DaYjvA)
[/size]

(https://www.picz.in.th/images/2018/10/31/3N1lED.jpg)




ถ้าคุณฝันเห็นอนาคตคุณจะทำยังไง ?
แล้วถ้าอนาคตที่เห็นเป็นความตายของตัวเองล่ะ
จะทำยังไง ?
คุณจะยอมรับมัน/ หรือเปลี่ยนแปลงมัน

ปฐวีร์ เกิดฝันเห็นอนาคตของตัวเอง หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรืองดี ถ้าความฝันเห็นอนาคตนั่นไม่ได้เห็นความตายของตัวเอง เขาฝันเห็นคนรักและน้องต่างมารดาหักหลัง แล้วยังเป็นต้นเหตุให้เขาต้องตาย ในความฝันร่างที่ไร้วิญญาณถูกทิ้งลงในน้ำสายกว้างทั้งไหลเชี่ยว หนาวเหน็บ เขายืนมองร่างไร้วิญญาณด่ำดิ่งสู่ก้นแม่น้ำ ด้วยสายตาปวดร้าวและไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองถึงทำกับเขาอย่างนั้น ขนาดที่วิญญาณกำลังยืนมองทั้งสองเดินจากไป วิญญาณของมารดาของผู้ให้กำเนิดปรากฏขึ้นมา พร้อมทั้งบอกว่าทุกอย่างที่เห็นเป็นเพียงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ให้เลือกว่าจะเปลี่ยนสิ่งที่เห็นนี้หรือยอมรับมัน …….ตั้งแต่ที่เห็นร่างตัวเองจมลงกั้นแม่น้ำนั้น เขาก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่างด้วยมือของเขาเอง



                                                                                บทนำ



“พี่ณัฑศ์ พี่ณัฑศ์อย่าไปเลยนะ อย่าทิ้งผมไปเลยนะ ฮือ ฮือ”

“ปล่อย นี่ฟังไม่รู้เรื่องรึไงว่า พี่ไม่ได้รักเราแล้ว”

“แต่ผมรักพี่ ผมรักพี่ อย่าทิ้งผมไปเลย ฮือ ฮือ”

เสียงร้องให้ อ้อนวอน ขอร้อง ปานจะขาดใจดังแว่วออกมาจากห้องพักห้องหนึ่งในคอนโดหรู ถ้าใครผ่านมาได้ยินคงต้องหยุดฟังแล้วรู้สึกสงสาร แต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มที่ชื่อณัฑศ์วัฒน์ เขากำลังวุ่นวายเก็บข้าวของใส่กระเป๋าใบโต แล้วสายตาเหลือบมองร่างที่กอดเขาไว้แน่น แล้วยังร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิด ชายหนุ่มรีบสะบัด สลัด จนชายตัวเล็กลงไปนั่งกองอยู่บนพื้น ปฐวีร์ที่ถูกสลัดจนไปนั่งลงอยู่บนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ในใจรู้สึกเจ็บปวดสมองคิดไม่ออกว่าตนเองทำอะไรผิดทำไมอีกฝ่ายต้องทิ้งเขาไปด้วย ตอนนี้ร่างกายเขากำลังจะหมดแรง มองไม่เห็นทางที่เหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้แล้ว แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้สวมกอดอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี เขาก้าวช้า ๆ หยุดมองแผ่นหลังหนาแล้วแนบหน้าลง พยายามกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นไว้

อารมณ์ของณัฑศ์วัฒน์ถึงที่สุดจนระงับไว้ไม่ได้ เขาหันหน้ามาเผชิญกับปฐวีร์ “เรานี่มันฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง ว่าพี่ไม่ได้รักเราแล้ว” คำพูดที่ออกมาจากปากคนรักทำให้คนฟัง ถึงกับจุกพูดไม่ออกได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหล ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อยากยอมรับมัน

“ถอยไปพี่จะเก็บของ” เขาผลักปฐวีร์อย่างแรง จนคนถูกผลักเซไปข้างหลังเหยียบขวดสเปรย์น้ำหอม “โอ๊ย” แล้วถลาไปชนกับขอบประตูระเบียง

” ณัฑศ์......” และทำให้เสียหลักผลัดตกลงไปจากระเบียง

“เฮ้ย” ณัฑศ์วัฒน์มองลงไปด้านล่างเห็นร่างปฐวีร์นอนบนพื้นซีเมนต์มีเลือดเต็มไปหมด เป็นภาสยดสยองทำให้เขาทนมองไม่ได้ ทุกอย่างมันเกิดเร็วมาก เขาไม่ได้จะให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงแบบนี้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางร้อนใจ

“พิมพ์ พิมพ์ช่วยพี่ด้วย พี่ไม่ได้ตั้งใจ วีร์ตกลงไปเอง”

พิมพ์รตาเดินไปชะโงกหน้าออกไปดูที่ระเบียง ข้างล่างเห็นพี่ชายของเธอนอนจมกองเลือดอยู่ เธอยิ้มมุมปาก ไม่รู้ในใจกำลังคิดอะไรอยู่ เธอหันกลับไปมองชายหนุ่มที่ยังยืนหน้าซีดอยู่ในห้อง” ไม่เป็นไรเรื่องนี้ พิมพ์จัดการเอง พี่เก็บของเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบเธอเดินนำอีกฝ่ายออกไปจากห้อง

รถเก๋งยี่ห้อหรูกับรถกระบะสี่ประตูวิ่งตามกันมาตลอดทาง ในที่สุดก็จอดที่ใต้ใหญ่สะพานข้ามแม่น้ำในบริเวณที่ลับตาคน ช่วงเวลาโพล้เพล้ ชายฉกรรจ์สามคนช่วยกันยกร่างไร้วิญญาณที่อยู่กระสอบลงจากหลังกระบะแล้วโยนทิ้งลงแม่น้ำสายกว้างและไหลเชี่ยว

“พิมพ์ ทำอย่างนี้จะดีหรอ”

“อะไรคือไม่ดี คนอย่างมันอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ตายไปเป็นอาหารปลาก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง” หญิงสาวมองกระสอบที่ค่อย ๆ จมลงก้นแม่น้ำด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ณัฑศ์วัฒน์มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาไม่อยากเชื่อทุกอย่างจบลงอย่างนี้ ในใจลึก ๆ เขายังรักปฐวีร์อยู่ถ้าวันนั้นพิมพ์รตาไม่เอาภาพที่คนรักของเขามีอะไรกับชายอื่นมาให้ดู เขาไม่ได้สนใจว่าเขาไม่ใช่คนแรกของปฐวีร์แต่แค่เสียใจที่ปฐวีร์ไม่เคยบอกเขา ในตอนนั้นเขารู้สึกโกรธทำให้คืนนั้นดื่มจนไม่ได้สติ ตื่นขึ้นมาอีกวันก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงกับพิมพ์รตา เรื่องทุกอย่างมันเลยเถิดจนพิมพ์รตาท้อง ทำให้เขาจำเป็นต้องเลือกเธอ เขาคิดว่าแยกทางกับปฐวีร์ไปสักพักปฐวีร์ก็จะสามารถทำใจลืมเขาได้ ใครจะไปรู้เรื่องมันจะจบแบบนี้ วีร์ผมขอโทษ คำพูดที่ดังก้องอยู่ข้างใน เขาไม่มีความกล้าพอที่จะพูดมันออกมา

ห่างออกไปไม่ไกลมากนักวิญญาณของปฐวีร์กำลังยืนมองร่างของตัวเองถูกโยนทิ้งลงแม่น้ำอย่างไม่เข้าใจ ทำไมน้องสาวและคนรักต้องทำกับเขาอย่างนี้ มองร่างตัวเองที่ค่อย ๆ จมลงแม่น้ำ แล้วหันไปมองคนทั้งสองยืนกอดกันอย่างมีความสุข ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าชีวิตของเขาที่จบลงอย่างนี้เพราะฝีมือน้องสาวและผู้ชายที่เขารักมากที่สุด ทำไม เพราะอะไร ต้องทำกับเขาอย่างนี้ เขาไม่เคยทำร้ายใครเลย ทำไมทุกคนต้องทำร้ายเขาด้วย ขนาดตายไปแล้ว แค่หลุมฝังศพเดินกลบหน้ายังไม่มี ตายอย่างน่าสมเพชไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่งก็ไม่ปาน

วิญญาณโปร่งใสเหมือนกับอากาศยืนร้องไห้ไม่มีเสียง ไม่มีน้ำตา เหมือนจะขาดใจอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครคนไหนเห็นใจในโชคชะตา ดวงตาที่เคยเคยกระจ่างใสกลายเป็นแดงกร่ำใบหน้าซีกหนึ่งเต็มไปด้วยเลือด ริมฝีปากเม้มเข้าหากันกัดกรามแน่น มองตาจ้องมองรถสองคันที่เลื่อนออกไปด้วยความอาฆาตแค้น ขอเถอะใครก็ได้ช่วยให้เขาได้มีโอกาสได้แก้แค้นคนที่เคยทำร้ายเขา ต่อให้ตกนรกหมกไหม้ในขุมนรกที่เท่าไหร่ก็ได้ไม่กลัว ขอแค่ให้เขาได้แก้แค้นพวกมัน ให้พวกมันได้รับผลที่ทำกับเขาอย่างสาสม เขาสัญญาว่าพวกมันจะได้รับผลตอบแทนอย่างสาสมกันทุกคน

“แม่ แม่” วิญญาณของคนให้กำเนิดที่จากไปนานหลายปีอยู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า แม่จริง ๆ ด้วยมารับเขาไปอยู่ด้วยแล้ว ปฐวีร์วิ่งเข้าไปหาวิญญาณของผู้ให้กำเนิดกำลังส่งยิ้มอบอุ่นมาให้

“ทุกอย่างที่ลูกเห็น เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

“หมายความว่ายังไงครับ ที่ว่าอนาคต”

“จำไว้ถ้าไม่อยากให้อนาคตเป็นอย่างที่เห็น ลูกต้องเปลี่ยนมันด้วยมือของลูกเอง”

“เปลี่ยนมัน เปลี่ยนยังไง” เธอไม่ตอบแล้วร่างโปร่งแสงของเธอค่อย ๆ จางหายไป

” แม่..แม่..เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป....” ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปสัมผัสก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นมาจนต้องหลับตาลงโดยอัตโนมัติเสียงตะโกนเรียกดังลั่นห้อง ร่างที่นอนอยู่บนเตียงสะดุ้งลืมตาตื่น ลุกนั่งบนเตียง บนใบหน้าใสชื้นไปด้วยเหงื่อ ร่างกายยังสั่น กระตุก กับเหตุการณ์ที่ได้เห็น ปฐวีร์หอบหายใจเหมือนเพิ่งไปวิ่งออกกำลังกายมาสักสิบรอบได้ เขาพยายามตั้งสติ ทั้งที่ในหัวยังรู้สึกมึนงง จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นสำรวจ มือทั้งสองยังปกติ แขนไม่หักไม่มีรอยเลือด ใช้มือทั้งสองลูบคลำไปทั่วด้วยความรู้สึกดีใจ ไม่เจ็บไม่รู้สึกเจ็บ เขารีบลุกขึ้นจากเตียงวิ่งไปหยุดยืนหน้ากระจกเงาบานใหญ่ในห้องน้ำ

“ไม่มีแผล ไม่มีเลือด” มีคำพูดแค่นั้นออกมาจากริมฝีปากบาง ไม่รู้ว่าทุกอย่างที่เห็นเป็นแค่เพียงความฝัน หรือเป็นลางบอกเหตุสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาในอนาคตเหมือนที่แม่บอกไว้ แต่ทุกอย่างมันเหมือนจริงมากจนรู้สึกเจ็บไปที่หัวใจ คนรัก น้องสาว เขาพูดสองคำนี้เบาราวกระซิบแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกเจ็ดปวด สายตาเลื่อนลอย แต่ถ้ามันเป็นความจริง เขาหัวเราะดังลั่นห้อง เหมือนคนบ้า แววตาสีอ่อนมองโลกในแก่ดีเปลี่ยนเป็นแววตาที่โกรธแค้นชิงชัง ถ้ามันเป็นความจริง เขาก็จะเปลี่ยนแปลงมันเองกับมือ...

***********************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: change! ตอนที่ 1 [16/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 16-09-2018 10:19:35
ตอนที่ 1
     แสงตะวันค่อย ๆ โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา ทุกชีวิตต่างรีบเร่งตื่นแต่เช้า เพื่อแข่งขันกับเวลา ท้องถนนขวักไขว่ไปด้วยรถ แต่ใน

ห้องนอนที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย กลับมีคนกำลังนั่งเหม่อมองจ้องตัวเองในกระจกเงา ตั้งแต่เมื่อวาน ในกระจกเงาบานใหญ่ มี

ชายหนุ่มอายุประมาณ 17-18 ปี ผอม ผิวขาวซีด หัวฟู หน้าตาอิดโรย ริมฝีปากสีชมพูอ่อนแห้งแตกปรากฏอยู่ เขาคือปฐวีร์ วีร

วัฒฑณกุลธรรมไพศาลทรัพย์ เขาเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องนี้เมื่อวันก่อน

ปฐวีร์รู้สึกตื่นเต้น กังวลเล็กน้อยกับการออกมาอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง เขาหยิบเอาของที่ต้องใช้มาด้วยไม่กี่อย่าง และซื้อข้าวของ

จำเป็นเพิ่ม ก่อนหน้านั้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตว่ามีอะไรบ้างที่ต้องใช้ เมื่อต้องออกมาอยู่ข้างนอก ถึงวันที่ย้ายเข้ามา ของทุก

อย่างถูกส่งมาที่ห้องเรียบร้อย เขาเริ่มเดินสำรวจห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่กว้างนัก เริ่มจากห้องนั่งเล่นผสมกับรับแขกมีโซฟาหนึ่งชุด

โทรทัศน์จอใหญ่ ใกล้ ๆ กันเป็นโต๊ะกินข้าว มีบาร์และห้องครัว จากนั้นเข้าไปสำรวจห้องนอนมีห้องน้ำในตัว อีกห้องเป็นห้องว่าง

และยังมีระเบียงเล็กให้เดินออกไปรับลม ทุกอย่างดูเหมือนบ้านขนาดย่อ และมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่

ในตอนสายเขาเริ่มจัดของทุกอย่างให้เข้าที่ ยังดีที่ที่นี่เป็นคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ทุกอย่างตกแต่งไว้แล้วเรียบร้อย แขวนเสื้อผ้า

ไม่กี่ชุดเข้าตู้ จัดโต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นไปที่ห้องครัว    ไล่เปิดดูตู้แขวน ข้างในว่างเปล่า ตู้เย็นก็ไม่มีอะไรอยู่เลย เขาลืมคิดว่า

ต้องซื้อของกิน เขาเริ่มเขียนว่าจะต้องซื้ออะไรใส่กระดาษเพราะกลัวว่าจะลืม เขียนได้สองสามอย่างรู้สึกสมองไม่แล่น เขาเดินไป

เลื่อนผ้าม่านออกเห็นแสงพระอาทิตย์อ่อนแสงลง บอกให้รู้ว่าใกล้จะค่ำแล้ว วันนี้ทั้งวันเขามัวแต่ยุ่งจนลืมเวลา ข้าวก็ยังไม่ได้กิน

แล้วเสียงท้องก็ร้องเตือน เขาหยิบกระเป๋าเงิน โทรศัพท์และกุญแจลงจากห้อง


   จากที่สอบถามพนักงานทำให้รู้แถวนี้มีร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ ด้านหน้าคอนโดมิเนียมมีร้านอาหาร มื้อเย็นเขาตัดสินใจฝาก

ท้องกับร้านอาหารตามสั่งหน้าคอนโดมิเนียม สั่งข้าวกะเพรากับต้มยำ ไม่รู้เพราะหิวหรือกับข้าวอร่อย กับข้าวทั้งสองอย่างหมด

เกลี้ยง กินอิ่มแล้วปฐวีร์เดินตรงไปที่ร้านสะดวกซื้อ เลือกหยิบของกินของใช้ใส่จนเต็มตะกร้า กลับขึ้นห้องท้องฟ้าก็มืดแล้ว

เหนื่อยมาทั้งวันเขาอยากพักผ่อนรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกมานั่งเปิดโทรทัศน์เป็นเพื่อน นั่งดูสักพักก็ต้องกลับเข้าห้อง และ

หลับไป ใครจะคิดว่าคืนนั้นจะฝันร้าย ฝันเห็นความตายของตัวเอง ฝันเห็นคนรัก ฝันเห็นน้องสาว ฝันเห็นแม่ และนั่นทำให้เขา

สะดุ้งตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน 


   หลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายร่างกายของปฐวีร์ยังสั่นไม่หาย เขานั่งสำรวจตัวเองว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไป และเปลี่ยนมานั่ง

มองตัวเองในกระจก บางครั้งก็ต้องยิ้มหัวเราะเหมือนคนบ้าเพราะลึก ๆ รู้สึกดีใจที่มันเป็นแค่เพียงความฝัน เมื่อตื่นมันก็หายไป แต่

มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เขาก็ข่มตานอนไม่หลับ หลับตาลงทีไรภาพตัวเองนอนจมกองเลือด           ยิ่งชัดเจน

จนรู้สึกกลัว เครียดจนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำอาเจียนอยู่หลายครั้ง

เขาหันไปมองแสงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมา เลื่อนผ้าม่านปิดกั้นแสง ตัดสินใจปีนขึ้นเตียงอีกครั้ง นอนมองเพดานพยายามใช้สมองคิด

ทบทวนความฝันอีกครั้ง เขาจำได้เพียงบางส่วนและทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นกับเขาทั้งนั้น เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อคิดว่าถ้า

ทุกอย่างกำลังจะเกิดขึ้นกับเขาจริง เขาคงจะบ้าใครมันจะรู้เรื่องอนาคตกัน บางทีอาจเหนื่อยหรือเพราะแปลกที่ ทำให้เขาฝ้ายร้าย

ก็ได้ ถ้าได้นอนหลับสักตื่นความรู้สึกแย่และฝันร้ายอาจจะหายไปก็ได้ เขายิ้มให้กับความคิดมองโลกในแง่ของตัวเองที่ช่วยให้

รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก อารมณ์ตึงเครียดที่ขมวดเป็นปมมาหลายชั่วโมงคลายออก บวกกับร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนจนรู้สึกเพลีย

ร่างกายค่อย ๆ จมลงสู่ความเงียบ หนังตาหนักอึ้งจนลืมไม่ขึ้นเสียงหายใจเป็นจังหวะแล้วเขาก็หลับไป

เวลาผ่านไปช้า ๆ พระอาทิตย์จากลอยสูง จนคล้อยต่ำและลาลับขอบฟ้าไป ปฐวีร์หลับไปหลายชั่วโมงก็ตื่นขึ้นมา หลังจากได้

นอนพักทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เขาลุกจากเตียงหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัว แต่งตัวเรียบร้อยออกมา ท้องฟ้า

เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว รู้สึกปวดท้องขึ้นมาคงเป็นเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้อง นึกถึงโจ๊กสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ เดิน

เข้าไปในครัวเปิดตู้ แล้วหยิบโจ๊กสำเร็จออกมา พลิกด้านหลังซองโจ๊กอ่านวิธีทำ และนึกขึ้นได้ว่าซื้อไข่ไก่กับไส้กรอกมินิมาด้วย

เปิดตู้เย็นหยิบทั้งสองอย่างออกมา จากนั้นหยิบหม้อออกมาเทน้ำใส่ลงไปพอประมาณ เปิดเตา รอจนน้ำเดือดฉีกซองแล้วเทโจ๊ก

ลงไปในหม้อ ตอกไข่ใส่ตามด้วยไส้กรอกมินิลงไป ใช้ทัพพีคน คิดว่าทุกอย่างสุกได้ที่แล้วเขารีบปิดไฟตักโจ๊กที่กำลังส่งกลิ่น

หอมใส่ถ้วย ท่าทางการทำอาหารของชายหนุ่มดูเหมือนคุ้นเคยกับการเข้าครัวบ่อยครั้ง คงเป็นเพราะพอรู้ว่าต้องมาอยู่ข้างนอก

เขาก็ถูกเพื่อนสนิทอย่างนภาภรณ์บังคับเปิดดูพวกวิดีโอสอนทำอาหารบ่อย ๆ

“ทำไมต้องดูอะไรพวกนี้ด้วย ไปซื้อกินหรือเข้าร้านอาหารจะไม่ดีกว่าเหรอ ยุ่งยากจะตาย”

“มันก็ใช่ แต่ไม่รู้เขาใส่อะไรลงไปบ้าง”

“ภรณ์คิดมากไปรึเปล่า” เขาพูดเหมือนไม่เห็นด้วย ทำให้นภาภรณ์พยายามหาเหตุผล “งั้นคิดง่าย ๆ ถ้าร้านปิด         ร้านเดลิเวอรี่ไม่ส่ง ฝนตกหนัก..”

เหตุผลร้อยแปดที่เธอยกมาก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางเป็นไปไม่ได้ เขาจึงได้ยอมแพ้

“พอ พอ เราเข้าใจแล้วเรียนรู้ไว้ก็ไม่เสียหายอะไร จริงไหม”

ฟังแล้วทำให้เขาคิดได้ว่าจุดประสงค์การที่ออกมาอาศัยอยู่คนเดียวคือต้องพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด และเรียนรู้ที่จะทำทุกอย่าง

ด้วยตนเอง ตั้งแต่นั้นเมื่อมีเวลาว่างเขาก็เริ่มศึกษาวิดีโอสอนทำอาหาร มีบางครั้งทำเนียนเข้าไปในครัว สำรวจดูนั่นดูนี่ และยังได้

เพื่อนสนิทอย่าง ภฤดล กตติการ์ และนภาภรณ์ เป็นหนูทดลอง เขายังจำได้ตอนที่ไปยืมครัวที่บ้านของนภาภณ์ นั่นเป็นครั้งแรกที่

เขาปฏิบัติจริงหลังจากที่ศึกษาทฤษฎีมาได้สักระยะ ใครจะรู้ว่าดูวิดีโอมันดูเหมือนง่ายพอลงมือจริงไม่ใช่ ในวิดีโอแหกตากันชัด ๆ

วันนั้นครัวแทบพังแต่โชคยังดีอาหารจานแรกออกมาดี รสชาติไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ เพื่อนทั้งสามก็พยักหน้าว่าใช้ได้ มันทำให้

เขามีกำลังใจทำจานที่สองสามต่อมา รสชาติก็ดีขึ้นตามไปด้วย เขามองมื้ออาหารง่าย ๆ ตรงหน้าแล้วยักไหล่ ทำไงได้ในเมื่อในตู้

มีของแค่นี้วันนี้ก็กินแค่นี้ไปก่อน หรืออาจจะรวมถึงมื้อต่อ ๆ ไป บางวันอาจจะลงไปฝากท้องกับร้านอาหารข้างล่าง รอจนกว่าทุก

อย่างจะลงตัวค่อยว่ากันอีกที เขาถือถ้วยโจ๊กไปนั่งดูโทรทัศน์ แต่ระหว่างที่นั่งดูรายการทั่วไปรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลก ๆ เมื่อเขา

ได้ยินเสียงคนคุยกัน เขาปิดเสียงโทรทัศน์แล้วตั้งใจฟัง เหมือนคนคุยกันอยู่หน้าห้อง เขารีบเดินไปส่องช่องประตูแต่ไม่เห็นมีใคร

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงเปิดประตูออกไปยืนอยู่หน้าห้องมองซ้ายมองขวากลับไม่มีใคร แต่ยังได้ยินเสียง เขาเดินตาม

เสียงไปที่กำแพงห้องตรงข้าม เอาหูแนบ “เฮ้ย” เมื่อเสียงคนคุยกันเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเสียงคราง เล่นเอาตกใจ หันมองซ้ายขวา

รู้สึกตอนนี้ตัวเองเหมือนโรคจิตยังไงไม่รู้ เอาเถอะยังไงก็เป็นโรคจิตแล้ว ลองฟังดูอีกสักสองสามห้องไปเป็นไรไป เขาเดินไป

ห้องข้าง ๆ แล้วทำเหมือนเดิม จนแน่ใจ ปฐวีร์ก็วิ่งกลับเข้าห้อง ทำไมหูเขาถึงได้ยินชัดขนาดนี้ มันไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ เขาได้

ลองทดสอบมันอีกหลายครั้ง ผลที่ออกมายิ่งทำให้ตกใจ ยังมีอีก เมื่อไม่ใช่แค่หู แต่ยังมีจมูก และสายตาที่ดีกว่าคนปกติ นี่มัน

เรื่องบ้าอะไร เขารีบเดินไปหน้ากระจก ดูหู จมูก ตา ปาก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีโผล่เกินมา เห็นทุกอย่างปกติเขาถอนหายใจรู้สึกโล่งอก


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป


      ปฐวีร์ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทดสอบความผิดปกติที่โผล่มาโดยไม่รู้ตัว ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขารู้สึกเหมือนไม่ใช่ร่างกายตัว


เอง ไม่พอยังต่อสู้กับฝันร้ายที่โผล่มาเป็นระลอก เล่นเอาบางคืนข่มตาหลับแทบไม่ลง เขายังทดสอบว่าความฝันเป็นเรื่องที่จะเกิด

ขึ้นในอนาคตอย่างที่แม่บอกไว้หรือไม่ เมื่ออยากรู้ก็ต้องพิสูจน์เพื่อหาคำตอบที่กวนใจ แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ให้ต้องพิสูจน์อย่างเช่น

ห้าวันก่อนเขาฝันเห็นตัวเองตกบันได ตื่นขึ้นมาในเช้าวันต่อมาก็ต้องหัวเราะ ใครมันจะบ้าไปขึ้นบันได ในเมื่อลิฟต์โดยสารก็มี แต่

แล้วก็มีจดหมายแจ้งจากทางคอนโดมิเนียมว่าจะมีการซ่อมบำรุงลิฟต์ ไม่มั้งอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น สุดท้ายแล้ววันนั้นเขาก็ตก

บันไดจริง ๆ เพราะรอลิฟต์ซ่อมให้เสร็จไม่ไหว ลงไปหาอะไรกิน และก็ตกบันไดเหมือนที่เห็นในฝันไม่มีผิด แต่เขาก็ยังไม่ปักใจ

เชื่อ สามวันต่อมาก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเขาอีก สองสามวันต่อจากนั้นก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกจนทำให้เขาเริ่มเชื่อ และลอง

พยายามหลีกเลี่ยง แล้วความฝันคืนต่อมาก็เปลี่ยนไปแต่สุดท้ายก็ยังเห็นภาพตัวเองตายเหมือนเดิม จนต้องสะดุ้งตื่น แล้วเมื่อคืน

เขาก็ฝันถึงเหตุการณ์ใหม่ทุกอย่างมันดูเหมือนจะไม่ค่อยชัด แต่ก็พอจะรู้ว่าเหมือนมันกำลังจะเกิดขึ้นที่ห้องนี้  การได้รับรู้เรื่องราว

ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวไม่ได้คิดว่าตัวเองโชคดีเลยสักนิด เหมือนกำลังเล่นเดิมพันด้วยชีวิต ถ้าเดินพลาด

สุดท้ายต้องชดใช้ด้วยความตาย ถ้าลองเอาเรื่องแบบนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟังมีหวังต้องไปอยู่โรงพยาบาลบ้าแน่ ๆ แล้วใครมันจะบ้า

ไปเล่าให้คนฟังกัน แค่รับรู้ว่าตัวเองต้องมีจุดจบอย่างนั้นก็สมเพชตัวเองจะแย่อยู่แล้ว

ปฐวีร์กำมือแน่นในใจรู้สึกแค้นพิมพ์รตาและผู้ชายคนนั้น แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมให้ทั้งสองคนสมหวัง เขาสัญญากับตนเองจะ

ต้องเปลี่ยนแปลงอนาคตให้ได้ โครก!!! ท้องส่งเสียงร้องประท้วงขึ้นมา ทำให้อารมณ์รู้สึกโกรธเกลียดแค้นเมื่อครู่หายไป เขา

เหลือบมองดูนาฬิกาบนผนัง ทำให้รู้ว่าใกล้เที่ยงแล้ว ก่อนอื่นเขาต้องหาอะไรกินก่อน แล้วค่อยคิดต่อไปว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อ

จากนี้ดี เขาเข้าห้องน้ำรีบทำธุระส่วนตัว สวมชุดใหม่ แล้วหยิบคีย์การ์ดบนโต๊ะ กระเป๋าเงิน โทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายแล้วเดิน

ออกจากห้อง


   ออกมาจากคอนโดมิเนียม ทุกอย่างยังเหมือนเดิมคือวุ่นวาย อากาศก็ร้อนเหมือนเดิม เท้าเล็กในรองเท้าผ้าใบสีขาวแดง

ยี่ห้อดัง ก้าวเดินไปตามฟุตปาธ ผู้คนเดินสวนไปมา เดินไปได้สักพัก เขาหยุดอยู่ที่ร้านแผงขายหนังสือพิมพ์ เลือกหยิบ นิตยสาร

สองสามฉบับเพื่อดูข่าว และไม่ลืมหยิบนิตยสารเกี่ยวกับประกาศขายให้เช่าบ้าน และคอนโดมิเนียม ได้ของที่ต้องการแล้วมองหา

ร้านอาหาร มองหาร้านอาหารไม่นานก็เจอร้านที่ถูกใจ เปิดประตูเข้าไปข้างในเป็นร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศน่านั่ง มีลูกค้าใน

ร้านนั่งอยู่ก่อนสองสามโต๊ะ กวาดสายตามองที่ว่าง เขาเลือกนั่งติดกระจก สักพักพนักงานก็เดินมารับออเดอร์ที่โต๊ะ เขาสั่งสเต๊ก

หมูพริกไทยดำ สปาเกตตีผัดกระเทียมพริกกุ้ง และสลัดผัก จากจุดที่เขานั่งอยู่สามารถมองเห็นข้างนอกได้ชัดเจน มองดูพ่อค้า

แม่ค้ากำลังขายของอยู่บนฟุตปาธ และคนเดินไปมาจนตาลาย เขาจึงได้หยิบนิตยสารเกี่ยวกับบ้าน คอนโดมิเนียมขึ้นมาดู ถ้าเรื่อง

ที่กำลังจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับห้องที่เขาอยู่ การหาที่อยู่ใหม่จึงน่าจะเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ และทำให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้น

เมื่อไหร่ และร้ายแรงแค่ไหน การที่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรในช่วงสองสามที่ผ่านมา ใครจะไปรู้ว่าบางทีเขาอาจจะเขยิบ

เข้าใกล้ความตายมากขึ้นเร็วขึ้นก็ได้ ถึงแม้ว่าการวิ่งหนีไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่าไหร่ แต่แล้วตอนนี้เขามีทางเลือกที่ดีกว่านี้ไหม ก็ไม่

ถ้ามีเขาคงเลือกมันไปนานแล้ว อาจจะดูเหมือนบ้าแต่ขอเลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วสบายใจดีกว่า ดีกว่าต้องมานั่งกังวลนอนผวาทุกคืน

ปฐวีร์เปิดดูประกาศขาย/เช่า บ้านคอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัยไปทีละหน้าสายตาก็ไล่มองไปดูทีละประกาศ มีหลายที่น่าสนใจ ไม่

ไกลจากมหาวิทยาลัยการเดินทางสะดวก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า รถเมล์ ดูจากราคาเริ่มต้นก็สูงทีเดียว

“ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารค่ะ” พนักงานของร้านนำอาหารมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ เขาขอบคุณและลงมือกิน ระหว่างนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้น

มาเข้าอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลคอนโดมิเนียม ตั้งพิกัดระยะทางจากมหาวิทยาลัยประมาณ 10 กิโลเมตร รอระบบประมวลผลไม่นาน

ข้อมูลที่ต้องการก็ปรากฏบนหน้าจอ เท่านี้ทุกอย่างก็แคบลง แต่ก็มีคอนโดมิเนียม อพาร์ทเม้นท์ หอพัก แสดงขึ้นมาเยอะพอ

สมควร เขาเลือกไม่ถูก ตัดสินใจลองกดเสี่ยงดูสักที่ ราชารวรพฤกษ์คอนโดมิเนียมก็เด้งขึ้นมา คอนโดมิเนียมหรูใกล้รถไฟฟ้า อยู่

ไม่ไกลโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ อ้อ ดูแล้วที่นี่น่าสนใจ ดูสิว่าที่นี่เป็นของใคร เขาหาข้อมูลเบื้องต้นก็พบว่า

เป็นคอนโดมิเนียมหรูของตระกูลสุรัตนธรรมวรธิเบศณ์ เป็นตระกูลที่ทำธุรกิจด้านนี้และทำอีกหลายอย่าง เขาเข้าที่เว็บไซต์ดูรูป

ถ่ายในมุมต่างๆ รวมไปถึงภาพเคลื่อนไหว เขารู้สึกชอบ กินอิ่มเก็บของเรียบร้อยร้อย ปฐวีร์รีบโทรไปที่เบอร์ติดต่อที่ลงไว้ใน

เว็บไซต์ เขาสอบถามข้อมูลเบื้องต้น รวมถึงขอเข้าไปดูห้อง ปลายสายบอกว่าสามารถเข้าไปดูห้องได้ตลอด แค่แจ้งชื่อกับ

พนักงานแล้วจะมีคนพาขึ้นไปดูห้อง ได้คำตอบที่พอใจแล้วเขารีบมุ่งหน้าไปที่คอนโดมิเนียมทันที


   นั่งรถไฟฟ้ามาสองสามสถานีก็ถึงที่หมาย ยืนมองจากบนสถานีเห็นคอนโดมิเนียมสูง น่าจะอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เขาหยิบ

โทรศัพท์เปิดดูที่ตั้ง เพื่อเป็นเนวิเกเตอร์นำทาง เริ่มมองหาชื่อถนน ซอย โดยถามจากพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้น เพื่อความแน่ใจว่าจะไม่

หลงทาง เหลียวซ้ายมองขวาก็เห็นป้ายชื่อถนน และซอยอยู่ตรงมุมติดกับเสาไฟฟ้า ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็แทบจะมองไม่เห็น เดินไป

ตามถนนเส้นหลัก สังเกตข้างทาง และรอบๆ ตอนกลางวันแถวนี้ดูคึกคัก และยังร้านขายของตึกสำนักงานเล็กๆ เดินไม่นานก็มา

ถึงที่หมาย เขาผลักประตูกระจกเข้าไปด้านใน และตรงไปที่ประชาสัมพันธ์

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ”

“สวัสดีครับ พอดีผมต้องการดูห้องที่เพิ่งติดต่อมานะครับ”

พนักงานสาวค่อนข้างแปลกใจ ที่อีกฝ่ายบอกว่ามาขอดูห้อง      ถ้าเธอดูไม่ผิดชายหนุ่มตรงหน้าน่าจะยังไม่ถึงยี่สิบปี บางที

ครอบครัวของเขาคงจะมีฐานะ ช่างเถอะสงสัยไปก็ไม่มีประโยชน์ ขอให้มีเงินก็พอ

“รบกวนขอทราบชื่อด้วยค่ะ”

“ปฐวีร์ครับ”

“รอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวเปิดดูในรายชื่อที่พนักงานขายแจ้งชื่อเข้ามา มีรายชื่อที่ว่าจริง เธอเชิญปฐวีร์ไปนั่งที่โต๊ะรับรอง

หยิบเอกสารเกี่ยวกับห้องพักให้ชายหนุ่มได้ลองศึกษาก่อนที่จะขึ้นไปดูห้อง ปฐวีร์เปิดดูเอกสารอ่านรายละเอียด ห้องพักอย่าง

ละเอียด ราคาเริ่มที่ห้าล้านต้น ๆ ถ้าตกแต่งภายในเรียบร้อยพร้อมเฟอร์นิเจอร์อีกราคาหนึ่ง จากที่ดูเงินในบัญชีล่าสุดน่าจะพอซื้อ

ได้ เขาดูแผนผังห้องทั้งหมด ห้องที่กากบาทด้วยสีแดงหมายถึงห้องนั้นมีคนจองแล้ว โครงการนี้มีทั้งหมดห้องห้าสิบกว่าห้อง

รวมถึงห้องตัวอย่าง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีฟิตเนส สระว่ายน้ำ มีสวนให้เดินออกกำลังกาย มีสนามเด็กเล่น ลานจอด

รถกว้าง และปลอดภัย และห้องอาหารเปิดตลาด 24 ชั่วโมง นั่งอ่านข้อมูลสักพัก พนักงานสาวก็พาขึ้นไปดูห้อง


   ลิฟต์โดยสารขนาดใหญ่ เลื่อนขึ้นไปชั้นบน ประตูลิฟต์เปิดออกเห็นโถงทางเดินโล่งสว่าง พนักงานเดินนำออกจากลิฟต์

ตรงไปที่ประตู เธอหยิบคีย์การ์ดกดรหัสเปิดเข้าไปในห้อง ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องไฟก็เปิดขึ้นทันที เธอพาปฐวีร์เดินดูสำรวจ

ภายในห้อง อธิบายจุดเด่นของแต่ละส่วนในห้องให้ฟัง

“เป็นยังไงบ้างคะ คุณปฐวีร์ชอบไหมคะ” เธอเลื่อนผ้าม่านออกทำให้สามารถมองเห็นวิวด้านนอก


”ห้องนั่งเล่นสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกได้ ปิดไฟในห้อง แล้วมองออกไปข้างนอกตอนกลางคืนสวยมากเลยนะคะ”ปฐีวีร์เดิน

มาหยุดอยู่ข้างพนักงานสาว มองออกข้างนอกเห็นวิวเมืองหลวง ด้านล่างมองเห็นสระว่ายน้ำสีฟ้า และสวนสีเขียวตกแต่งอย่างดี

แต่ที่เขาชอบเป็นห้องที่ตกแต่งเรียบง่ายนี้มากกว่า พนักงานสาวบอก แต่ละห้องตกแต่งไม่เหมือนกัน ห้องกว้างมีเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่

ชิ้น มีห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ห้องน้ำในตัว ห้องนอนเล็กอีกห้อง ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่นรวมกับห้องรับแขกในตัว   

“ผมชอบครับ” คำตอบของปฐวีร์ทำให้พนักงานสาวยิ้มกว้าง จากนั้นเธอเริ่มพูดถึงสัญญาซื้อขาย ปฐวีร์ต้องการซื้อเป็นเงินสดทั้ง

สองตกลงกันได้ นัดทำสัญญาอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า

จ่ายค่ามัดจำคุยรายละเอียดอีกเล็กน้อย เขาก็ออกที่นั่น ระหว่างทางออกมาจากคอนโดมิเนียม เขาเห็นแผงขายลอตเตอรี่เห็นคน

เดินผ่านไปมาหยุดซื้อ เขาเห็นแล้วรู้สึกสนใจ บางทีเขาน่าจะเลี่ยงดวงเผื่อจะบังเอิญถูกรางวัล

“ป้า ถ้าถูกรางวัลที่ 1 ได้เงินเท่าไหร่ครับ”

“หกล้าน จ้า ไม่ซื้อชุดใหญ่ไปเลย



*****************************************************


โปรดติดตามตอนต่อไป



หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 1 [16/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-09-2018 05:43:55
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 1 [16/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 17-09-2018 14:51:17

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 2 [17/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 17-09-2018 14:58:54
ตอนที่ 2
[/size]

       กลับมาถึงห้องท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ปฐวีร์หยิบบัญชีธนาคารที่มีอยู่ออกมาดู เงินที่แม่เคยฝากไว้ให้ทุกเดือนตั้งแต่เกิด อีก

บัญชีเป็นเงินที่พ่อโอนเข้าบัญชีทุกเดือน และบัญชีเงินมรดกของแม่ทิ้งไว้ให้ เขาจำได้ว่ายังมีเครื่องเพชร ทองคำ โฉนดที่ดิน

ตึกแถว ที่อยู่ในตู้เซฟที่บ้านอีกจำนวนหนึ่ง คงต้องรบกวนเงินในบัญชีแล้ว คิดว่าเงินจำนวนหนึ่งต้องถูกถอนออกมา ก็รู้สึก

เสียดายเล็กน้อย เอาเถอะคิดซะว่าซื้อความสบายใจ ซื้อความปลอดภัยให้ชีวิต ยังไงตายไปก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้อยู่ดี       

ตึง ตึง เสียงโปรแกรมคุยออนไลน์สีเขียวดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู เป็นข้อความจากภฤดลเพื่อนรักส่งมาถามว่าเป็นยัง

ไงบ้างออกมาอยู่คนเดียว อ่านข้อความแล้วก็ต้องยิ้มออกมา สักพักแล้วที่เขายุ่งวุ่นวายกับตัวเองมากเกินไป จนลืมนึกถึงเพื่อน ๆ

ไป เขารีบพิมพ์ตอบกลับเพื่อนไปว่าสบายดี แต่เหงานิดหน่อย แล้วถามถึงเพื่อนสนิทอีกสองคน กำลังยิ้มกับข้อความ

ออด ออด เสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น เจ้าของห้องขมวดคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ ว่าใครมา แต่ที่แน่ ๆ ได้ยินเสียงคนคุยกันไม่ต่ำ

กว่าสามคนอยู่หน้าห้อง มองผ่านช่องตาแมว เห็นคนที่เพิ่งส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มาเมื่อครู่ ยืนยิ้มอยู่กับเพื่อนอีกสองคน

“surprise” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกัน ทันทีที่เจ้าของห้องเปิดประตูออกมา นภาภรณ์กระโดดกอดเพื่อนรัก

“ให้ตาย พวกนายจะมาทำไมไม่บอกก่อน”

“ถ้าบอกก่อนจะเรียกว่า surprise ขอเข้าไปข้างในนะ”

“อืม เข้ามาข้างในเถอะเสียงดังเกรงใจห้องอื่นเขา”

“วีร์ กินอะไรแล้วรึยัง ภรณ์ซื้อของกินมาเยอะเลย” เธอพูดแล้วชูถุงอาหารขึ้นให้ดู แล้วเดินตรงไปที่โต๊ะอาหาร

“หน้าตาดูเหนื่อย ๆ เป็นอะไรรึเปล่า หรือไม่สบาย”ภฤดลถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง อยู่บ้านใหญ่สบายตั้งแต่เด็ก ต้องถูกไล่ออกให้

มาคนเดียว คนที่ไม่เคยทำอะไรอย่างเพื่อนเขาจะอยู่ได้ยังไง นี่ดูสิแค่ไม่ได้เจอหน้ากันไม่นานก็ดูผอมลงไปตั้งเยอะ ได้กินอะไรบ้างรึเปล่าไม่รู้

“แปลกที่นิดหน่อยเลยนอนไม่ค่อยหลับ ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวก็ชินไปเอง”

“หนุ่ม ๆ อย่าเพิ่งคุยกัน มากินข้าวก่อน วีร์มานั่งเลย” หญิงสาวเทกับข้าวใส่จานเรียบร้อย เดินมาลากเพื่อนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ”มี

แต่ของชอบวีร์ทั้งนั้นเลย ลูกชิ้นปิ้ง ยำปลาดุกฟู สเต๊ก ข้าวมันไก่ ข้าขาหมู ผัดไทยวุ้นเส้นกุ้งสดก็มีนะ”

“ทำไมเยอะขนาดนี้”

“นี่ยังน้อยไปนะ ถ้าพวกเราไม่ดึงไว้ยัยภรณ์เหมาตลาดแล้ว”

ปฐวีร์ตักยำปลาดุกฟูขึ้นมาชิมเป็นอย่างแรก “อืม อร่อย” เป็นกับข้าวมื้อแรกที่มีคนมานั่งร่วมโต๊ะตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่  รู้สึกว่า

กับข้าวอร่อยกว่าทุกวัน ที่ทำให้รู้สึกแบบนี้คงเป็นบรรยากาศเสียงหัวเราะรอยยิ้มของเพื่อนรักทั้งสามคนนี้ต่างหาก เพื่อนคนแรก

คือภฤดล ชายหนุ่มตัวสูง หน้าตาธรรมดา ผิวเข้มและนิสัยดี ครอบครัวทำธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์กีฬาทุกชนิด และยังมีแบรนด์เป็น

ของตัวเอง ถึงขนาดส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อนอีกคน      กติกรณ์ ชายหนุ่มตัวผอม หน้าตาดี ผิวขาวเหลือง นิสัยเงียบ ๆ ไม่

ค่อยพูดดูเหมือนจะหยิ่งแต่ที่จริงขี้อาย ที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับผ้าทั้งนำเข้าส่งออก ถือว่าเป็นรายใหญ่ของประเทศก็ว่าได้ ผู้หญิง

คนเดียวในกลุ่ม นภาภรณ์ สาวสวยหุ่นนางแบบ เธอชอบทำตัวเหมือนเป็นพี่สาวคอยดูแลห่วงใยเอาใจใส่ทุกคน คงเป็นเพราะ

ครอบครัวเธอทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงพยาบาล ฟิตเนส และสปาก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันไหม ทั้งสามเป็นเพื่อนที่เขารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก

ตั้งแต่เด็กทุกคนจะมองว่าเขาเป็นน้องเล็ก ทั้งที่อายุห่างกันไม่กี่เดือน หรืออาจเป็นเพราะเขาตัวเล็ก ตัวเล็กขนาดไหน ขนาดที่

ตอนเด็กสามารถขี่หลังนภาภรณ์ได้สบาย ถ้าไม่มีรูปที่ถ่ายไว้เขาก็จำไม่ได้ และในเวลาที่ทุกข์ใจก็ได้ทั้งสามคนช่วยปลอบใจ รวม

ไปถึงช่วงเวลาที่เขาสูญเสียแม่ผู้ให้กำเนิดไป

“นี่ สเต๊กร้านนี้ภูมิใจนำเสนอ อยากบอกอร่อยมากเพิ่งไปกินกับที่บ้านมา” เธอเลื่อนจานสเต๊กให้ปฐวีร์ลองกินดู

“กินเยอะอย่างนี้ทุกวัน คอยดูจะอ้วนเป็นหมู”

“ดลปากไม่ดี อ้วนเอิ้นอะไร ไม่มีหรอก” ปากพูดไปอย่างนั้น มือก็แอบลูบพุงตัวเอง สำรวจว่าอ้วนขึ้นรึเปล่า ก็ไม่นะ

“แล้วไปไงมาไงถึงได้มาหาเราได้”

“ภรณ์คิดถึงเลยโทรตามสองคนมาเป็นเพื่อน วีร์ไม่เคยหายไปหลายวัน ไลน์ก็ไม่ตอบ” ปฐวีร์เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เปิดดู

ข้อความเข้าย้อนหลัง เป็นอย่างที่เพื่อนบอก ข้อความถูกส่งมาเมื่อสามก่อน

”อีกอย่างอยู่คนเดียวเราเป็นห่วง”

“ภรณ์มันกลัวว่าวีร์จะเอาสาว ๆ มานอนกอด”

“บ้า อย่าไปเชื่อดล แค่กลัวว่ายัยแม่มดใจร้ายกับลูก ๆ จะแกล้งอะไรวีร์อีก”

ปฐวีร์นั่งยิ้มกับคำพูดของเพื่อน และรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง ตอนนี้เขาไม่เหมือนเดิมแล้ว ความฝันในคืนนั้นทำให้เขาเห็นอะไรหลาย

อย่าง คนที่ดูภายนอกเหมือนจะทำดีกับเขามาตลอด จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เขาไม่ใช่คนเดิมที่จะปล่อยให้ใครมาทำร้ายได้ง่าย ๆ

เหมือนเดิม

“ขอบใจนะ ช่วงนี้กำลังยุ่งอะไรหลายอย่างเลยไม่ได้ติดต่อไป ขอโทษทุกคนด้วยที่ทำให้เป็นห่วง” ทุกคนได้ฟังแล้วพยักหน้ารับรู้

อย่างเบาใจ

เมื่อกับข้าวบนโต๊ะพร้อมทุกคนนั่งลงประจำที่ โดยมีเพื่อนทั้งสามคนสลับกันถามว่ามีอะไรให้ช่วย ถามว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาทำ

อะไรบ้าง เขาก็ตอบไปว่าจัดของบ้าง เดินสำรวจรอบ ๆ แถวนี้บ้าง เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมใหม่ คนที่เคยอยู่บ้านหลัง

ใหญ่มาสิบกว่าปีแล้วมาอยู่ที่แคบ ๆ ก็ต้องปรับตัวหลายอย่าง 

“นี่อย่าหาภรณ์เห่อเลยนะ วันก่อนเพิ่งไปซื้อชุดนักศึกษามา กระเป๋าด้วย” เธอเปิดรูปถ่ายในมือถือขึ้นมาเพื่อนดู

“ดูเหมาะกับภรณ์มากเลย อย่างนี้หนุ่ม ๆ วิ่งตามจีบเป็นพรวนแน่”

“บ้า แล้ววีร์ไปซื้อของเตรียมไว้แล้วรึยัง”

“ยังเลย รอสักสองสามวันจัดห้องให้ลงตัวก่อน ซื้อมาตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ตรงไหน”

“อืม” ว่าแล้วทุกคนก็มองไปรอบห้องที่มีกล่องหลายกล่องปิดผนึกวางอยู่ ดูไปแล้วไม่เหมือนเพิ่งย้ายเข้าแต่เหมือนจะย้ายออก
มากว่า

 อาหารบนโต๊ะหมดแล้ว ทุกคนช่วยกันเก็บถ้วยจานไปล้าง ทำความสะอาดจนเรียบร้อย เปลี่ยนไปนั่งเล่นหน้าโทรทัศน์ดูหนัง

ปฐวีร์ขอตัวเข้าอาบน้ำ แต่งตัวเรียบร้อยกลับออกมา ถือหมอนผ้าห่มออกมาให้เพื่อนที่นั่งจ้องหน้าจอโทรทัศน์อย่างตั้งใจ เมื่อ

ก่อนพวกเขาก็ชอบไปนอนค้างบ้านเพื่อนบ่อย ๆ ว่าไปแล้วก็คิดถึงช่วงเวลานั้นเหมือนกัน

ปฐวีร์เดินไปหยิบโน้ตบุ๊ก มานั่งบนพื้นหลังพิงโซฟา เปิดหน้าจอหาข้อมูลกล้องวงจรปิด เขาเพิ่งคิดได้ตอนที่กำลังอาบน้ำถ้ากำลัง

จะมีอะไรเกิดขึ้นที่ห้องนี้ ในเมื่อเขาย้ายออกไปแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น กล้องวงจรปิดจึงเป็นคำตอบที่ดี เขาใช้เวลาสืบค้น

ไม่นาน ระบบประมวลผลก็แสดงออกมาแยกเป็นทั้งเว็บไซต์ รูปภาพ วิดีโอให้เลือก เขาเลื่อนเมาส์คลิกที่เว็บไซต์ขายสินค้า

ออนไลน์ ชื่อดังเว็บหนึ่งคลิกเข้าไปดูรูปภาพสินค้า อ่านคุณสมบัติกล้องแต่แบบ แล้วก็เจอแบบที่ต้องการ กล้องความละเอียดสูง

สามารถถ่ายภาพเวลากลางคืนได้ เก็บภาพแบบ 360 องศา สามารถดูภาพวงจรปิดได้แบบ Real Time ผ่านมือถือ สามารถ

บันทึกวิดีโอ และภาพนิ่งได้ผ่านมือถือ ตัวนี้น่าสนใจ ราคาไม่สูงมากด้วย มีการรับประกัน และหลายคนเขียนรีวิวบอกว่าดี ถ้าเอา

กล้องตัวนี้มาติดไว้ในห้องสักสองสามตัว เขาเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโน้ตบุ๊ก กวาดสายตามองรอบห้อง ลองหาตำแหน่งที่เหมาะ

ที่จะติดกล้อง ติดตรงนั้นที่หนึ่ง เมื่อคนเปิดประตูเข้ามาก็เห็น ในห้องนั่งเล่นอีกตัว และในห้องนอนอีกสักสองตัวเท่านี้เขาก็จะได้รู้

ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่

“จะซื้อกล้องวงจรปิดเหรอ” ภฤดลนอนคว่ำอยู่บนโซฟา ชะโงกหน้ามาดูหน้าจอโน้ตบุ๊กบนตักเพื่อน ที่มีรูปกล้องวงจรหลายขนาด

พร้อมบอกราคา และคุณสมบัติเบื้องต้น

“ประมาณนั้น” เลื่อนเมาส์ขึ้น เพื่ออ่านคุณสมบัติใช้งานเพิ่มเติม และวิธีการติดตั้ง

นภาภรณ์คลานเข่ามานั่งข้าง ๆ เพื่อน “ที่นี่ก็ดูปลอดภัยดี ตอนขึ้นมามี พนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ข้างล่างด้วย” เธอกำลัง

คิดถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยตัวโตท่าทีขยัน เดินตรวจเข้ามาทักทายพวกเธอก่อนขึ้นมา

“เราก็ว่าดีนะ ยิ่งอยู่คนเดียวด้วย กันไว้ดีกว่าแก้”

“นั่นสินะ กันไว้ดีกว่าแก้”


   
เช้าวันใหม่มาเยือนอีกครั้ง แสงแรกของพระอาทิตย์ส่องเข้ามาในห้องกว้าง ที่มีคนนอนอยู่บนพื้น ปฐวีร์ขยับตัวลืมตาขึ้น แล้วลุก

ขึ้นนั่ง มองรอบห้อง เห็นเพื่อนยังนอนหลับสบาย เมื่อคืนกว่าจะนอนก็ดึกพอสมควร แต่ก็เป็นคืนที่หลับสนิท รู้สึกอบอุ่นและ

ปลอดภัย ต้องขอบคุณเพื่อนที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนั้น ลุกขึ้นเดินไปเปิดแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อย แล้วยืนมองออกไปข้างนอก เมื่อ

คืนเขาฝันเห็นห้องนี้อีกครั้ง แต่รู้สึกความฝันมันชัดเจนขึ้น นั่นทำให้เขารู้ว่าตัวเองคิดถูกที่จะย้ายออกจากที่นี่ บางทีเขาควรจะย้าย

ออกจากที่นี่เร็วกว่ากำหนด ดวงตาสีสวยมีแววตาเศร้ามองไปที่แสงแรงของวันที่ไล่ไปตามยอดตึก เขายิ้มให้ภาพตรงหน้า แล้ว

หมุนตัวเข้าห้องไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัว

แต่งตัวเรียบร้อยกลับออกมา ทุกคนก็ตื่นแล้ว กำลังนั่งกันประจำคนละมุม เขาเดินไปนั่งลงโซฟาข้างภฤดลที่กำลังนั่งดูรายการ

เหมาะสำหรับเด็ก การ์ตูนนินจาที่เติบโตมาลำพังและมีเพื่อนเพิ่มมาทีละคน พร้อมกับมีอุปสรรคต่าง ๆ เข้ามาให้ฝ่าฟัน

“ภรณ์คุยโทรศัพท์กับใครพูดเสียงหวาน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” มองเพื่อนที่นั่งหลบมุมคุยโทรศัพท์อยู่ อีกคนกำลังใช้โน้ตบุ๊กเขาเล่นเกม

“ไม่รู้เหมือนกัน นั่งไกลขนาดนั้นยังอุตส่าห์ได้ยินอีก”

“อืม” ทำไงได้หูดันดีกว่าปกติ ”แล้วนี่จะกลับกันเลยหรือไปหาอะไรกินกันก่อน”

“ไปหาอะไรกินก่อนหิว” ภฤดลพูดแล้วลูบท้องที่ส่งเสียงร้องจนน่ารำคาญ

   เวลาสิบโมงเช้า ทุกคนเดินทางฝ่าการจราจรที่เริ่มติด   มาจนถึงห้างสรรพสินค้า เพื่อมาหาอะไรกิน ขึ้นมาถึงชั้น 4 ที่ทั้งชั้น

เป็นร้านอาหารและศูนย์อาหาร  พวกเขาคุยกันว่าจะไปกินร้านไหนดี จนสายตาปฐวีร์เหลือบไปเห็นป้ายหน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง

อยู่ในช่วงโปรโมชั่นลดราคา นั่นทำให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเข้าร้านอาหารแบบหม้อร้อนบุฟเฟ่ต์ เพราะราคาไม่แพง มีอาหาร

หลากหลาย และเลือกกินได้แบบไม่อั้น แต่ในเวลาที่จำกัด

เข้าไปในร้านกลิ่นน้ำซุปหอม ๆ ก็ลอยมาเรียกน้ำย่อยทันที ทุกคนช่วยกันมองหาที่นั่งที่ยังว่าง พอดีกับยังมีที่นั่งริมฝั่งกระจกว่าง

อยู่ ได้ที่นั่งเรียบร้อยพนักงานแจ้งเวลา และช่วยตั้งหม้อ เทน้ำซุปลงในหม้อ แล้วเปิดไฟให้ ภฤดลรับอาสาไปตักของสด “เอา

เบคอนด้วยนะ หมูสไลด์หลาย ๆ ชิ้น ของภรณ์เอาแค่นี้ก่อน”

“อย่าลืมปลาหมึกกับกุ้งสดของฉันด้วย”

“ของวีร์เอา เต้าหู้ไข่ ผักแล้วก็วุ้นเส้น”

“รับทราบครับ เดี๋ยวกระผมจะตักมาให้ทุกคนเอง” เมื่อรู้เมนูที่ทุกคนต้องการ เขาก็เดินตรงที่เคาน์เตอร์อาหารสดวางไว้ให้เลือก

เต็มไปหมด เขาตักของสดใส่จาน แล้วทยอยไปวางที่โต๊ะ

กฤติกรณ์รับหน้าที่ไปเอาเครื่องดื่มมาให้ นภาภณ์ไปตักของกินที่ปรุงสุกแล้ว ส่วนปฐวีร์ทำหน้าที่เฝ้าโต๊ะ เขามองไปรอบร้านมี

ลูกค้านั่งอยู่หลายโต๊ะ และทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ ดูไปแล้วก็เหมือนวันปกติของเขาอีกวัน

“เอ๊ะ นั่นยัยพิมพ์รตา” นภาภรณ์วางจานเกี๊ยวซ่า กับขนมจีบซาลาเปาไส้ลาวาลง เห็นคนคุ้นหน้าเดินผ่านหน้าร้านไป

“ฮือ” ปฐวีร์หันออกไปมองเห็นคนที่เพิ่งจะคิดถึงยืนอยู่หน้าร้านอาหารใกล้ ๆ พร้อมกับเพื่อนสนิทของเธอ

“โชคร้ายจริง เจอยัยนั่นกับเพื่อนตั้งแต่เช้า”

“เจอใครโชคร้าย”

“ก็ยัยพิมพ์รตานะสิ นั่นยืนอยู่หน้าร้านอาหารข้าง ๆ กับเพื่อน เมืองออกกว้างโชคร้ายขนาดไหนยังเจอได้”

“ช่างเขาเถอะน่า พูดอย่างนี้เดี๋ยววีร์ไม่สบายใจ”

“เอ่อ วีร์ ภรณ์ขอโทษไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น กินเกี๊ยวซ่าที่ภรณ์ตักมาดีกว่า”

“ไม่เป็นไรหรอกเราไม่ถือ” มองออกไปนอกร้านจ้องคนที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่ ปฐวีร์กำมือแน่นควบคุมอารมณ์โกรธเกลียดที่อยู่ ๆ ก็มี

มากขึ้นจนอยากจะวิ่งออกไปบีบคอผู้หญิงคนนั้น

   “ฮือ”

“เป็นอะไรไปพิมพ์”

“ไม่รู้สิ อยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกหนาวจนขนลุกขึ้นมา” เธอรู้สึกหนาวจนสั่นเล็กน้อย

“ไม่สบายรึเปล่า”

เธอรู้สึกเหมือนมีสายตาใครสักคนกำลังจ้องมองมาที่เธอ พยายามมองหาแต่ก็ไม่เจอ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า“ไม่รู้สิ แต่รู้สึกไม่ดี

ยังไงไม่รู้ ไปจากตรงนี้เถอะ”

“เอ่อ อื้อ”

ปฐวีร์มองตามหลังคนรีบเดินออกจากหน้าร้านอาหารไป ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้น ไม่นึกว่าจะได้เจอเร็วขนาดนี้ บางทีเขาน่าจะกลับ

ไปเจอทุกคนที่บ้าน ได้ของที่ทุกคนสั่งครบแล้วภฤดลถือถ้วยน้ำจิ้มกลับมานั่งรวมกับเพื่อนที่โต๊ะ น้ำในหม้อเริ่มเดือดปฐวีร์เริ่มตัก

เนื้อหมูสไลด์ เบคอน แฮมเนื้อไก่ ลูกชิ้น ปลาหมึก กุ้ง เนื้อปลา ตามด้วยผักสองสามอย่างโดยมีนภาภรณ์ช่วย ส่วนภฤดล  กับกติ

กรณ์นั่งรออย่างใจเย็น รอไม่นานทุกอย่างในหม้อก็สุก ลดระดับไฟลงเบาสุดแล้วลงมือกิน

หนึ่งชั่วโมงครึ่งครบเวลาที่ทางร้านกำหนด ทั้งสี่คนนั่งมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาเมื่อเห็นของกินที่อยู่บนโต๊ะในหม้อแทบไม่
เหลือซาก

“อิ่มเป็นบ้าเลย เหมือนเพิ่งไปแข่งกินมาเลย” พูดแล้วก็ไม่รู้กินเข้าไปได้ยังไง ตั้งเยอะขนาดนั้น

“แล้วนี่พวกเราจะไปไหนกันต่อ”

“พาวีร์ไปดูชุดนักศึกษาไหม ไหน ๆ ก็มาที่นี่แล้ว”

“ดีเหมือนกัน” ทุกคนตกลงตามนั้น ต่างพากันไปที่แผนกเสื้อผ้าที่อยู่ชั้นล่าง


   “ทำไมชั้นนี้มีแต่ชุดนักศึกษาวะ” ดวงตาสีเข้มกวาดมองรอบ ๆ ด้วยความสงสัย

“ใกล้เปิดเรียนแล้วไง” ชายหนุ่มอีกคนตอบคำถามเพื่อน

“น้องใหม่ปีนี้จะมีสวย ๆ ไหมวะ” ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้นทำหน้าตาเหมือนกำลังฝันหวาน เพื่อนอีกสามคนรีบเดินหนีทำเป็นไม่สนใจ

“ไปหาอะไรกินเถอะหิวแล้ว ”

“เฮ้ย อย่าเดินหนีกันดิวะ รอฉันด้วย” เขารีบวิ่งตามเพื่อน ๆ ไป

ชายหนุ่มทั้งสี่คนเดินผ่านหน้าร้านขายเสื้อผ้าขึ้นไปชั้นบน โดยมีสายตาสาว ๆ หลายคู่มองตามอย่างสนใจ และอยากทำความรู้จัก

ว่าพวกเขาเป็นใครกัน


****************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป





หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 3 [17/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 18-09-2018 00:00:59

ตอนที่ 3

    รถยุโรปตีไฟเลี้ยวเข้าจอดชิดหน้าประตูรั้ว หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่มีรั้วใหญ่ มีต้นไม้สูงบังสายตา ทำให้มองเห็นแค่ป้อมยามกับ

ทางเดินเข้าไป ยังดีด้านหน้ายังเขียนด้วยหนังสือตัวโตไว้ว่าบ้านวีรวัฒฑณกุลธรรมไพศาลทรัพย์

“ให้เข้าไปส่งในบ้านไหมวีร์”

“ภรณ์ เพื่อนจะเข้าบ้านไม่ได้ไปออกรบที่ไหน”

“เหมือนกันแหละถ้าเป็นบ้านหลังนี้” เธอมองลอดผ่านรั้วสูงเข้าไปข้างใน

“ไม่ต้องห่วงหรอก เราดูแลตัวเองได้”

“อื้อ มีอะไรก็โทรมานะ”

“เจอกันวันเปิดเรียน”

“เจอกัน/โชคดี/บาย” ปฐวีร์มองตามท้ายรถที่เคลื่อนออกไป แล้วหันกลับมามองประตูรั้วสูงข้างหน้า บ้าน เขาอาศัยที่นี่มาตั้งแต่

เกิด เคยรู้สึกผูกพัน เคยคิดว่าถ้าออกไปจากที่นี่จะต้องคิดถึง แต่กลับไม่ใช่ มันกลับรู้สึกสบายใจ

“อ้าว คุณวีร์เองหรือครับนึกว่าใคร เข้าบ้านก่อนครับ แดดร้อน” ยามเดินออกมาเปิดประตูให้

ปฐวีร์เข้าไปในบ้านหลังใหญ่ผ่านห้องรับแขกที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบชุดราคาแพง ถัดมาเป็นห้องนั่งเล่นเมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ

เขาเคยนั่งเล่นที่นี่กับพี่น้อง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ พวกนั้นเขาเพิ่งรู้ว่ามันคือเรื่องโกหก เขามองโลกในแง่ดีเกินไป ที่จริงทุกคน

พร้อมจะทำร้ายเขาทุกครั้งที่มีโอกาสต่างหาก ดวงตาสีอ่อนเปลี่ยนเป็นเย็นชา

แก๊ก เสียงประตูห้องปิดลง เท้าเล็กก้าวเข้าไปในห้องนอนช้า ๆ วางกระเป๋าและถุงกระดาษในมือลงที่โซฟา แล้วหยุดยืนอยู่กลาง

ห้องกวาดสายมองไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกคิดถึง ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม เดินไปหยุดที่เตียงกว้าง มีผ้าห่มผืนนุ่มลายที่เขา

ชอบ นั่งลงบนเตียงแล้วค่อย ๆ เอนตัวลงนอนบนเตียง วางศีรษะลงบนหมอนพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออก เขาจะแก้ไขเรื่องราวร้าย ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเขาให้ได้ เขาจะไม่ใช่คนแพ้ ไม่ใช่คนที่ตายอย่างน่าสมเพชอย่างนั้น น้ำตาที่อดกลั้นไว้นานเริ่มไหลออกมา เขา

กอดตัวเองแน่นรู้สึกหนาวจนสะท้าน ความรู้สึกหลากหลายโจมตีเข้ามา ในช่วงเวลาที่อ่อนและสับสน เขาอยากได้อ้อมกอดจาก

ใครสักคนที่รักและจริงใจ ไม่รู้ว่าจะมีรึเปล่า เขาหลับตาลงและหลับไปเพราะความเหนื่อย

แสงสุดท้ายของวันหมดลงความมืดเข้ามาแทนที่ ปฐวีร์อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย มองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ แล้วเหลือบไป

มองนาฬิกาแขวนบนผนัง เวลาบนหน้าปัดบอกให้รู้ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น เขาลงจากห้องไปที่ห้องกินข้าว เข้าไปเห็นหลายคนนั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว

“อ้าว ตาวีร์กลับบ้านเหรอลูก”

“สวัสดีครับแม่รองแม่สามคุณนายสี่” เขายกมือไหว้ผู้หญิงที่เป็นเมียของพ่อทั้งสามคนพร้อมกับรอยยิ้ม

“เป็นไงบ้างออกไปอยู่คนเดียว เริ่มชินแล้วรึยัง”

“กำลังปรับตัวครับ สักพักคงจะชิน”

“พี่วีร์ เป็นไงบ้าง” เสียงคนเพิ่งมาใหม่พูดขึ้น ทำให้เขาหันไปมองพิมพ์รตา เดินเข้ามานั่งประจำที่

เขารู้สึกแปลก ๆ แทบทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นรอยยิ้มของพิมพ์รตา ต้องมาปั้นหน้ายิ้มพูดคุยเหมือนปกติ ขณะที่คุยกัน สายตาก็มอง

ที่คอของเธอ สมองคิดว่าถ้าเขาเข้าไปบีบคอเธอให้ตายตอนนี้เรื่องในอนาคตก็คงจะไม่เกิด หรือหยิบขวดซอสมะเขือเทศที่อยู่

ใกล้มือฟาดไปที่ศีรษะของเธออย่างแรงเธอก็คงไม่มีทางลุกขึ้นมาทำร้ายเขาได้อีก แต่จิตใจเขาไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ทำให้ก็

ต้องเก็บความคิดพวกนั้นไว้

ทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันที่โต๊ะอาหาร แม่บ้านยกอาหารมาวางเต็มโต๊ะ ทันทีที่หัวหน้าครอบครัวนั่งลง เสียงคุยกันก็เงียบ

ลง เปลี่ยนมาเป็นเสียงช้อนส้อมกระทบจานแทน ปฐวีร์นั่งกินข้าวไปไล่สายตามองไปรอบโต๊ะ แล้วหยุดสายตาที่พ่อของเขา ปทีป

วีรวัฒฑณกุลธรรมไพศาลทรัพย์ ชายสูงวัยแต่ยังดูดี ชอบทำหน้านิ่งตลอดเวลา นั่งอยู่หัวโต๊ะ เขาเป็นเจ้าของบริษัท AgRo

Groups บริษัทที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตร อย่างเช่นข้าวที่คนไทยทุกบ้านต้องกิน และยังส่งสินค้าออกไปขายหลายประเทศทั่วโลก

คนที่นั่งถัดมาคือ พิสมัยหรือทุกคนเรียกแม่รอง ผู้หญิงอายุล่วงเข้าเกือบวัยห้าสิบ แต่ยังดูสวยตลอดเวลาจนนภาภรณ์เรียกว่ายัย

แม่มด หรือเหตุผลอย่างอื่นเขาก็ไม่แน่ใจ เธอเข้ามาอยู่ในบ้านหลังจากที่พ่อกับแม่แต่งงานกันได้ไม่นาน เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงที่มี

พร้อมทุกอย่าง ทำไมถึงยอมแต่งเข้ามาเป็นเมียน้อย และก็เคยได้ยินคนในบ้านพูดกันว่า เธอเป็นคนมอมเหล้าปทีป ทั้งสองมี

อะไรกันจนเธอท้อง และบังคับให้อีกฝ่ายรับผิดชอบ ลูกคนแรกของเธอคือ พลพัฒน์ ผู้ชายตัวสูง หน้าตาดี นิสัยเอาตัวเองเป็นที่

ตั้ง ติดเจ้าอารมณ์นิดหน่อย เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยได้ไม่กี่เดือน ลูกคนที่สองของเธอพิมพ์รตา หญิงสาวสวย หุ่นดี ฉลาด ลูก

คนสุดท้องคือ พีรพลธ์ ยังเรียนอยู่มัธยมศึกษาตอนปลาย

คนที่นั่งตรงข้ามคุณนายรองคือ คะนึงฝัน หรือแม่สามเข้ามาอยู่ในบ้านในเวลาไล่เลี่ยกัน เธอดูเหมือนจะเป็นคนเงียบเรียบร้อย

และมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลา แต่เป็นคนร้ายลึก เธอมาจากครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง เคยได้ยินคนงานในบ้าน

แอบคุยกันเธอแต่งเข้ามาครอบครัวเป็นหนี้ เธอมีลูกสามคน คือ คชาธรณ์ แฝดชาย หน้าหวาน เรียบร้อย ฉลาด ผิดกับน้องสาว

อย่าง คณิตาร์ ที่ออกจะอารมณ์ร้อน ใช้อารมณ์มากว่าสมอง ลูกคนที่สามคือ รินนัศน์ กำลังเรียนอยู่มัธยมศึกษาตอนปลาย

และคุณนายสี่ ป่านฟ้า หญิงสาวอายุยังน้อยที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในบ้านได้ไม่กี่ปีนอกจากนั้นแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย

หลายคนในห้องนี้ปรากฏในความฝันในคืนแรกของเขา ล้วนทำให้เขาต้องเสียใจ เจ็บปวด ทำให้รู้ว่าคนที่เห็นในความฝันไม่มีดี

สักคน เมื่อก่อนเคยคิดว่าทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่วันนี้รู้สึกตาสว่างขึ้น

มื้อเย็นจบลงความรู้สึกแทบอยากจะอาเจียนเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่เสแสร้งของแต่ละคน รวมถึงคำพูดที่บอกว่าเป็นห่วงเป็นกังวล

ว่าจะอยู่คนเดียวไม่ได้ แล้วใครกันเป็นคนที่ผลักไสให้เขาต้องออกไปอยู่ข้างนอกลำพัง ทุกคำที่พูดฟังแล้วรู้สึกระคายหู ถ้าอยู่ฟัง

ต่ออีกสักนิดกลัวว่าจะทนไม่ไหว เขาต้องขอตัวกลับห้อง เพื่อไม่ให้รู้สึกสะอิดสะเอียนที่ต้องใช้ลมหายใจเน่า ๆ กับคนพวกนี้

เช้าวันใหม่อีกวันในบ้านหลังใหญ่อันเงียบสงบ ปฐวีร์ผลักประตูออกมานอกระเบียง เขารีบสูดอากาศวันใหม่ที่ยังสดใสเข้าปอด

มองลงไปข้างล่างเห็นคนสวนกำลังทำหน้าที่ช่วยกันตัดตกแต่งกิ่งต้นไม้อย่างขยัน

เวลาอาหารเช้าเจ็ดโมงครึ่ง ทุกคนที่ไม่มีธุระจะลงมานั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันเหมือนทุกครั้ง บทสนทนาบนโต๊ะกินข้าวเป็นเรื่อง

ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นละครหลังข่าว ที่นางเอกถูกพระเอกเข้าใจผิดแล้วคุณนายสี่ให้ความเห็นว่านางเอกโง่ยอมคน ถ้าเป็นเธอไม่ยอม

ต้องออกมาแก้ต่างให้ตัวเอง ทำให้หลายคนมองเธอด้วยสายตาดูถูกแล้วคิดในใจว่ามิน่าถึงเป็นได้แค่เมียน้อย ส่วนปฐวีร์ได้แต่

ส่ายหัว ทุกคนเหมือนจะกำลังพูดเรื่องเดียวกัน แต่แม่รองกับแม่สามกำลังด่าคุณนายสี่ทางอ้อมต่างหาก ช่วงเวลาปั้นหน้าเสแสร้ง

กลมเกลียวความเป็นครอบครัวจบลง เขามองดูกับข้าวบนโต๊ะยังเหลือเต็ม ที่บ้านนี้ดูเหมือนทุกคนจะกินน้อยเป็นปกติ ก็อย่างว่า

ต้องมานั่งมองหน้าพูดคุยกับผู้หญิงที่ใช้สามีร่วมกันใครมันจะทำใจได้แต่จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เคยเห็นพวกเขาทะเลาะกันมาก่อน

ลุกจากโต๊ะกินข้าว เดินออกจากห้อง ขณะที่กำลังจะกลับห้องก็มีเสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้น “พี่วีร์” เขาหยุดหันไปมองตามเสียงเรียก

ก็ต้องแปลกใจว่าเป็นใคร

“ว่าไงน้องรินมีอะไรรึเปล่า” เขาเห็นเธอมองมาตั้งแต่นั่งอยู่โต๊ะกินข้าวไม่รู้มีเรื่องอะไร

“คือ รินมีเรื่องรบกวน”

“ได้สิ” ปฐวีร์รีบตอบรับ อยากรู้ว่าเธอจะมาไม้ไหน

“ค่ะ รินนัศน์ลูกสาวคนสุดท้องของแม่สาม เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ที่มีนิสัยสดใสร่าเริง นิสัยแตกต่างกับแม่สามมาก เธอเป็นเน็ต

ไอดอลเป็นที่รู้จักของใครหลายคน และมีคนติดตามเข้าไปกดดูคลิปที่เธอถ่าย review ประเภทครีม เครื่องสำอาง เสื้อผ้าและ

เครื่องแต่งกายสำหรับวัยรุ่น ระหว่างที่เดินเธอชวนเขาคุยเรื่องทั่วไปเหมือนสนิทกันมากมาย ฟังจากที่เธอพูดความรู้สึกมันบอกว่า

เธอกำลังเสแสร้ง แต่เขาก็ทำได้แค่ยิ้ม พยักหน้าให้บางครั้งที่เบือนหน้าหนีทนไม่ได้ที่เห็นรอยยิ้มเจิดจ้า เขาเดินตามเธอไปที่

บ้านของเธอ

บ้านหลังใหญ่มีเขา และพ่ออยู่กับแม่บ้านคนงานไม่กี่คน มีบ้านอีกสามหลังอยู่ด้านหลัง หลังที่หนึ่งเป็นของแม่รอง หลังที่สอง

เป็นของแม่สาม ส่วนหลังสุดท้ายเป็นของคุณนายสี่ ทั้งสามตั้งอยู่ค่อนข้างห่างกันเพื่อความเงียบและเป็นส่วนตัว

เดินตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหิน และไม้พุ่มที่ถูกตัดตกแต่งอย่างสวยงาม จนมาถึงสวนหน้าบ้านที่ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ชื่อไพเราะ

เสริมความเป็นมงคลให้คนในบ้าน ในสวนสวยมีศาลาไม้หลังเล็ก สำหรับนั่งชมสวน นั่งหลบร้อนตอนบ่าย และมีรั้วเตี้ยความสูง

เท่าเอวกั้นบริเวณบ้านไว้ เดินข้ามสะพานไม้ที่ข้างล่างมีน้ำใสไหลอยู่ตลอดเวลา และมีปลาคาร์ฟว่ายไปมา ข้ามไปถึงอีกฟากก็มา

ถึงบ้านของรินนัศน์

“พี่วีร์นั่งรออยู่ที่ห้องนี้ก่อนนะคะ” เธอพาเขาเข้าไปในบ้านให้นั่งรอที่ห้องรับแขกที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบง่าย ดูไปแล้วเหมือนแม่

สามไม่มีผิด เขานั่งลงรอน้องสาวกวาดสายตามองที่รูปถ่ายครอบครัวมีชายหญิงหน้าตาเหมือนกันอายุเท่ากันกับเขาอยู่ในรูปนั้นด้วย

“รอนานไหมคะ นี่ค่ะพอดีว่ารินได้ครีมตัวใหม่มา เขามาทดลองใช้” เธอหยุดพูดแกะครีมที่ว่าออกจากกล่องสีฟ้า แล้วหยิบกระปุก

ครีมขนาดเล็กออกมาให้ดู

” พอดีคนที่ให้มาเขาอยากได้ภาพคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นผู้ชาย ในกลุ่มวัยรุ่น มีคนรู้จักพอสมควร รินคิดว่าพี่วีร์เป็นคนที่ตอบ

โจทย์ได้ ขอร้องนะคะ” เธอพนมมือขึ้นทำสายตาขอร้อง

ปฐวีร์ยิ้มให้น้องสาวปกติเวลาอยู่บ้านไม่มีโอกาสได้เจอกัน พูดก็แทบจะนับคำได้ ไม่รู้ว่าวันนี้คิดยังไงถึงมาขอร้องให้ช่วย

”อืม แล้วต้องทำยังไงบ้าง”

“ลองใช้แล้วถ่ายรูปผลิตภัณฑ์ ให้เห็นความแตกต่างก่อนใช้....” เธออธิบายรายละเอียดคร่าว ๆ ให้ฟัง เขาฟังดูแล้วมันก็ไม่ใช่

เรื่องยากอะไร บางทีเขาน่าจะช่วยได้ บางทีนะ

ตึ่ง ตึง ตึ่ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น “ขอตัวรับโทรศัพท์สักครู่นะคะ”

ปฐวีร์มองตามรินนัศน์เดินออกไปคุยโทรศัพท์อีกห้อง จากนั้นหยิบกระปุกครีมขึ้นมาดู ยังไม่ทันจะได้เปิดออกจมูกก็ได้กลิ่นฉุนกึก

จนต้องขมวดคิ้ว อย่าบอกนะว่าครีมกระปุกนี้มีปัญหา จมูกที่สามารถรับรู้กลิ่นได้มากกว่าปกติได้กลิ่นสารเคมีชัดเจน คิดไปแล้วใน

ความฝันรินนัศน์ก็ปรากฏอยู่ในนั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหัวรุนแรง และมีภาพปรากฏบนขึ้นในสมอง เขาทั้งสับสน ทั้งตกใจ มีเรื่อง

แปลก ๆ เกิดขึ้นกับเขาอีกแล้ว ภาพในสมองชัดเจนขึ้น ร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ในที่สุดเขาก็เข้าใจจุดประสงค์ของรินนัศน์ที่เอาครีม

กระปุกนี้มาให้เขา เมื่อภาพหายไป เขาถึงได้รู้ว่าทุกอย่างมันเริ่มจากครีมกระปุกนี้ที่ทำให้เขาเสียโฉม ถึงจะเลิกใช้ไปแล้วไปหา

หมอแต่ก็ยังมีอาการแพ้รักษาไม่หาย อากาศปวดหัวเมื่อครู่หายไป มือขาวก็กำแน่นขึ้นรู้สึกโกรธ ที่โง่ขนาดที่ถูกคนอื่นทำร้ายยัง

ไม่รู้ตัว เขาเหลือบมองไปเห็นครีมอีกกล่องวางอยู่บนโต๊ะไม่รู้ว่าครีมมีปัญหาเฉพาะกระปุกนี้หรือทุกกระปุก

“ขอโทษค่ะ พอดีมีคนจะเอาของมาให้ review อีกแล้ว ลองใช้ดูนะคะ ครีมกันแดดตัวนี้ใช้ดีมากเลย”

“ขอบใจนะ ถ้าไม่มีอะไรพี่ขอตัวก่อนนะ”

“ค่ะ ไม่ส่งนะคะ”

ปฐวีร์เดินออกบ้านโดยมีสายตาของรินนัศน์มองตาม ใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มสดใสเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง แล้วแสยะยิ้ม “โชค

ดี นะคะพี่ชาย”  ส่วนปฐวีร์มองกระปุกครีมในมือในอนาคตเขาเป็นคนแพ้แต่อย่าลืมว่าอนาคตสามารถเปลี่ยนกันได้ต้องมาดูกันต่อ

จากนี้ว่าใครกันแน่ที่จะเป็นคนแพ้

หลังจากกลับไปบ้านหลายวันทำให้เขาฉลาดขึ้น ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างรวมทั้งจิตใจคน ที่ไม่สามารถตัดสินคนจากรูปลักษณ์

ภายนอกได้ ปฐวีร์มองออกนอกรถแท็กซี่ที่วิ่งขึ้นทางต่างระดับแข่งความเร็วกับรถคันอื่น จนรถจอดอยู่หน้าสี่แยกไฟแดง

“น้องเรียงเบอร์แผ่นหนึ่ง”

“นั่นอะไรครับลุง”

“อ้อ ไอ้นี่เอาไว้ตรวจล็อตเตอรี่น่ะ คนหาเช้ากินค่ำอยากเสี่ยงดวงดูเผื่อจะรวยจะเขาบ้าง” พูดแล้วยิ้มให้ลูกค้าที่ทำหน้าตาเหมือน

แบกโลกไว้ทั้งใบ นั่งอยู่เบาะหลังผ่านกระจกมองหลัง

ปฐวีร์พยักหน้ารับรู้แล้วนั่งทอดสายตาออกข้างนอกอีกครั้ง เออ เหมือนว่าเขาเพิ่งซื้อล็อตเตอรี่มาวันก่อน กลับไปลองไปเช็กดู

บางทีเขาอาจจะมีโชคดีกับเขาบ้าง ใครจะไปรู้


***********************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 4 [18/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 18-09-2018 10:13:43
ตอนที่ 4
[/size]


ในที่สุดวันเปิดเรียนวันแรกของการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่หลายคนใฝ่ฝันก็ได้เริ่มขึ้น น้องใหม่ทยอยเดินเข้ารั้วมหาวิทยาลัย

ด้วยความภาคภูมิใจของตัวเองและครอบครัว คณะมนุษยศาสตร์ป้ายทางเข้าคณะเขียนไว้ว่าอย่างชัดเจน น้องใหม่หลายคน

เข้าไปถ่ายรูปคู่กับป้ายคณะ แล้วโพสต์ลงโซเชียลเอฟ อวดคนอื่น ปฐวีร์เดินผ่านเข้าไปในคณะ วันนี้เปิดเรียนวันแรกเขาต้องไปที่

ห้องเรียนก่อน รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยจะได้เจอเพื่อนใหม่จนนอนไม่หลับ เขาพรู่ลมหายใจ ปรับอารมณ์แล้วเดินขึ้นไปห้องเรียน

เดินหาห้องเรียนอยู่เกือบสิบนาที ในที่สุดก็มายืนอยู่หน้าห้อง เดินเข้าไปในห้องมีโต๊ะเลคเชอร์และนักศึกษาร่วมสาขาไม่กี่คนดู

เหมือนว่าเขาจะมาเร็วเกินไป เขาเลือกนั่งริมหน้าต่างรอเวลาเข้าเรียนอีกไม่ถึง 10 นาทีด้วยจิตใจตื่นเต้น ขณะที่นั่งใจลอยออกไป

นอกหน้าต่างก็มีคนมานั่งข้าง ๆ

“หวัดดี เราชื่อกาย”

“เอ่อ อ้อ หวัดดีเรา วีร์”

“ขอนั่งด้วยคนนะ”

“ได้สิ”

กายชายหนุ่มตัวสูง หน้าตาหล่อเข้ม สวมชุดนักศึกษาถูกระเบียบ เพื่อนร่วมสาขาเข้ามาทำความรู้จัก ทั้งสองคุยกันได้ไม่กี่

ประโยค ความรู้สึกของเขาบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนนิสัยดี เมื่อถึงเวลาเรียนอาจารย์ก็เดินเข้ามาพร้อมกองเอกสาร

เวลาค่อย ๆ ผ่านไป วิชาสุดท้ายของตอนเช้าหมดลง ปฐวีร์เก็บเอกสารที่รับแจกจากอาจารย์ลงในกระเป๋า เดินตามเพื่อนไปที่โรง

อาหาร ที่แน่นไปด้วยนักศึกษา ที่เพิ่งเลิกเรียนพร้อมกัน แต่ก็พอมีที่ว่างให้นั่งอยู่บ้าง ได้ที่นั่งเรียบร้อยทุกคนต่างแยกย้ายไปซื้อ

กับข้าว ปฐวีร์ได้เพื่อนใหม่มาเพิ่มอีกสามคน คนแรกชื่อน้ำขิง สาวหวานตัวเล็กน่ารัก ผมยาวและนิสัยเรียบร้อย คนที่สองพีรพัฒน์

หนุ่มแว่นตัวเล็ก ใส่เหล็กดัดฟัน นิสัยร่าเริงชอบเล่นเกม ดูอนิเมชั่นและอ่านมังงะ ส่วนอีกคนชื่อวจี สาวร่างอวบ นิสัยชอบกิน ชอบ

คุย ทุกคนต่างมาจากกันคนละที่

“กับข้าวร้านนี้อร่อยมากเลย”

“ใช่ เลือกไม่ถูกเลยว่าจะกินร้านไหน”

“ขอนั่งด้วยได้ไหม” สาวสวยผมสีน้ำตาลหยักศก ผิวขาวเหลืองเดินเข้ามา ทุกคนจำได้ว่าเธอเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่นั่งเรียนด้วย

กันในตอนเช้า

“อ้อ ได้สิ” คนเดินเข้ามาถามนั่งลงตรงที่นั่งว่างอยู่ทันทีจากนั้นก็แนะนำตัว “เราชื่อ ปิ่นอนงค์” เธอยิ้มสวยให้กับทุกคน

“เราจำได้ที่นั่งข้างหน้าพวกเราชั่วโมงเรียนสุดท้าย เราชื่อ วจี” แล้วมหกรรมการแนะนำตัวก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

“เรา วีร์ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“ยินดีที่ได้รู้จัก” ปิ่นอนงค์มองใบหน้าชายหนุ่มที่ส่งยิ้มมาให้ เป็นรอยยิ้มธรรมดาแต่กลับทำให้เธอความรู้สึกขนลุกขึ้นมา

หลังจากกินข้าวเรียบร้อยทุกคนขึ้นไปรอเรียนบนห้อง เปิดเครื่องปรับอากาศเย็น ๆ นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ เล่นโซเชียลเอฟ นอน

กลางวัน ส่วนปฐวีร์กำลังจะเปิดเพลงฟัง แต่ก็มีคนเดินมานั่งข้างๆ แล้วสะกิด

“ปิ่น ยังไม่รู้จักเบอร์โทร และชื่อของวีร์ในโซเชียลเอฟเลย”

“ได้สิ” เขาบอกในสิ่งที่เธอต้องการ และทุกคนต่างแลกเบอร์โทรติดต่อ รับเธอเป็นเพื่อนในโซเชียลเอฟรวมถึงคนอื่น

ถึงเวลาเรียนอาจารย์เข้ามาในห้องแนะนำตัว ชี้แจงเนื้อหารายวิชาที่จะเรียนตลอดทั้งเทอม แจกเอกสารหน่วยการเรียนรู้ ส่วน

หนังสือเรียนสามารถซื้อได้ศูนย์จำหน่ายเอกสารของคณะ วันแรกทุกอย่างยังไม่พร้อม อาจารย์เลยให้ทุกคนแยกย้าย

หลังเลิกเรียนบ่ายห้าโมงเย็นนักศึกษาปีหนึ่งทุกคนรวมตัวพร้อมกันที่ลานกิจกรรมคณะ เข้าแถวเป็นแถวตอนตามสาขาวิชาเรียง

ตามรหัสนักศึกษา นักศึกษารุ่นพี่เรียงแถวหน้ากระดานมองมาที่รุ่นน้องปีหนึ่ง แต่ละคนแต่งตัวเรียบร้อยแขวนป้ายชื่อไว้ที่คอ

หลายคนต่างรอคอยกิจกรรมรับน้องวันแรกอย่างใจจดใจจ่อว่าจะเป็นยังไงบ้าง เสียงทักทายของรุ่นพี่คนหนึ่งผ่านโทรโข่งดังขึ้น

ทุกคนหันไปมองเป็นจุดเดียวตั้งใจฟังว่ารุ่นพี่ต้องการจะพูดอะไร

“พวกเรา ยังไม่ยอมรับว่าพวกคุณเป็นรุ่นน้อง”

“อ้าว” เสียงรุ่นน้องทุกคนอุทานออกมาแทบพร้อมกัน

“กรุณาเงียบก่อน นั่นมันเป็นเรื่องที่พวกคุณต้องพิสูจน์ตัวเองว่าจะเหมาะกับการเป็นรุ่นน้องของพวกผมรึเปล่า พวกคุณมีเวลา

พิสูจน์ตัวเองเริ่มตั้งแต่วันนี้ การพบกันครั้งแรกประทับใจมากพวกคุณมีความรับผิดชอบ มาตรงตามเวลาที่รุ่นพี่นัด ผมขอ

ชื่นชม...” กิจกรรมวันแรกแนะนำคณะกรรมการของสโมสรนักศึกษาประจำคณะ พี่เลี้ยงที่จะมาคอยดูแลน้องในช่วงที่ทำกิจกรรม

จากนั้นแจกเอกสารหนังสือแนะนำคณะมีทั้งประวัติ แนะนำคณาจารย์ของภาควิชา/สาขา เรื่องเล่า สมุดเล่มเล็กอีกเล่มเป็นเพลง

ประจำคณะที่นักศึกษาน้องใหม่ทุกคนต้องร้องไห้ได้ กิจกรรมวันแรกสิ้นสุดลง ทุกคนต่างทยอยกลับ ก่อนกลับรุ่นพี่ยังย้ำให้ทุกคน

มาพบกันที่เก่าเวลาเดิม พร้อมกับบอกว่าเจอกันครั้งหน้าถึงจะเป็นของจริง

ปฐวีร์วางกระเป๋าสบายไว้บนโซฟาเป็นเฟอร์นิเจอร์ตัวเดียวที่มีอยู่ในห้อง ตอนนี้เขาย้ายเข้ามาอยู่ในคอนโดมิเนียมใหม่แล้ว

เรียบร้อย มีของใช้จำเป็นไม่กี่ชิ้นที่หยิบติดมือมาด้วยเพื่อทำให้เหมือนว่าเขายังอยู่ที่นั่น ทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อย หยิบ

โทรศัพท์ออกมากระเป๋าเปิดโปรแกรมดูกล้องวงจรปิดออนไลน์ ดูความเคลื่อนไหวในห้อง ย้อนภาพดูทั้งวันก็ไม่มีอะไร เขาไม่รู้ว่า

เหตุการณ์ในฝันจะเกิดขึ้นวันไหน แต่ช่วงนี้เขาฝันเห็นมันแทบทุกคืนและภาพก็ชัดเจนขึ้น นั่นทำให้เขารู้สึกว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น

อีกไม่นานแล้ว

บ่ายหลายวันต่อมาหลังเรียนเสร็จเรียบร้อย ปฐวีร์และเพื่อนนั่งรอแถวโรงอาหารรอเวลาเข้าห้องเชียร์ ต่างคนต่างก้มหน้าจ้องหน้า

จอโทรศัพท์ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้มัน ส่วนปฐวีร์หยิบหูฟังขึ้นมาฟังเพลง แล้วอ่านมังงะเล่มใหม่ การที่เขาไม่เรียนคณะที่พ่อต้องการ

อย่างบริหาร หรือเศรษฐศาสตร์ ในตอนแรกก็ถูกพ่อคัดค้านอยู่บ้างแต่ก็ได้คุณนายรองช่วยพูดอย่างน้อยลูกชายคนโตของเธอคง

หมดคู่แข่งแย่งตำแหน่งผู้บริหารไปอีกคน ความฝันของเขาอยากเปิดร้านกาแฟสักกร้าน บรรยากาศดี ตกแต่งเรียบง่าย มีเค้ก

อร่อยเต็มตู้ มีหนังสือให้อ่านเล่นเต็มชั้นวาง หรือไม่ก็เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ก็ไม่เลวเหมือนกัน จะแบบไหนก็ดีหมดเมื่อเป็นความ
ฝัน

เมื่อถึงเวลานัดหมายน้องใหม่เข้าแถวตามที่ได้จับฉลากวันก่อนเดินตามรุ่นพี่ไปจุดต่าง ๆ แต่ละจุดจะสอนร้องเพลงมีทั้งเพลงที่จะ

ได้ทดสอบในห้องเชียร์และเพลงผ่อนคลายอารมณ์

เสียงเพลงดังขึ้นพร้อมเสียงปรบมือ เสียงหัวเราะดังแว่วมา จนคนกำลังนอนฟุบหน้าบนกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความสงสัย

“พวกนั้นเขาทำอะไรกัน” เขามองไปที่กลุ่มนักศึกษา

“คณะข้าง ๆ  เขากำลังทำกิจกรรมรับน้อง สอนน้องร้องเพลง”

“พวกแกดูสิ ปีนี้คณะข้าง ๆ มีสาว ๆ น่ารักบ้างไหม”

“คณะเราน้องใหม่น่ารักต้องน้องตาร์”

“พวกแกพูดถึงใคร” คนที่หลับตานอนฟังเพื่อนคุยกันเงยหน้าขึ้นมาถามอีกครั้ง

“พูดถึงน้องใหม่ แกไม่รู้จักหรอก”

“ปีนี้มีน่ารักหลายคน มีใครที่แกสนใจใครบ้างไหม”

“หึ ใครสน สนามว่างแล้วไปกันเถอะ” ชายหนุ่มไม่สนใจ เขาลุกขึ้น เดินตรงเข้าไปที่สนามบาสที่ว่างอยู่ เพื่อนทั้งสามคนได้แต่มองหน้ากันแล้ววิ่งตามเข้าไปในสนาม

วันหยุดเวียนมาถึงปฐวีร์ออกมาข้างนอกในตอนสายเพื่อมาหาซื้อเฟอร์นิเจอร์และของใช้ที่จำเป็น เขาทนนอนบนโซฟาแคบ ๆ ห่ม

ผ้าห่มผืนบางหนุนหนังสือเรียนมาทั้งสัปดาห์ รู้สึกหลับไม่ค่อยสบาย ไม่พอกระทั่งตู้เย็นที่จะแช่น้ำดื่มยังไม่มี เป็นความผิดของ

เขาเองที่เลือกห้องเปล่า

เขาแค่ต้องการเฟอร์นิเจอร์เพิ่มไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ถ้าจะให้ทางคอนโดมิเนียมตกแต่งให้ต้องใช้เวลานานพอสมควร เขานั่งรถไฟฟ้าก็

มาถึงห้างขายของตกแต่งบ้านขนาดใหญ่ ตรงเข้าไปดูแบบตัวอย่างการตกแต่งห้องนอน ห้องทำงาน ห้องครัวและห้องรับแขก

เดินวนสองสามรอบก็ได้ของที่ต้องการ ห้องนอนเขาต้องการแบบครบชุดเพราะไม่มีอะไรเลยตอนนี้ยังเป็นแค่ห้องเปล่า ต้องการ

โต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งอ่านหนังสือทำการบ้าน ห้องครัวยังขาดชุดโต๊ะกินข้าวกับตู้เย็น เขาซื้อหม้อกระทะถ้วยจานไปด้วย ส่วนห้อง

รับแขกอาศัยนอนมาทั้งสัปดาห์เพิ่มแค่โซฟาชุดใหญ่อีกชุดก็น่าจะพอ และเพิ่มโทรทัศน์สักเครื่องก็น่าจะดี

ได้ของที่ต้องการครบแล้วเขาแจ้งที่อยู่ให้ทางร้านไปส่งและทำการติดตั้งให้เรียบร้อย ระหว่างนั้นเขาก็เข้าไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อ

ทำกิจกรรม

“วันหยุดทั้งทีแทนที่จะนอนอยู่บ้านสบาย ต้องมานั่งร้องเพลง....น่าเบื่อ” พีรพัฒน์บ่นทันทีที่มาถึง

“เอาน่า พัฒน์อย่าบ่นไปเลย อดทนอีกไม่นานก็จบแล้ว”

“นี่วจีก็นอนแทบจะละเมอลุกขึ้นมานั่งปรบมือร้องเพลงตอนกลางดึกแล้วนะ”

“แม่เราบอกว่าตอนดึก ๆ เราลุกขึ้นมาหัวเราะด้วย สงสัยจะฝันถึงท่าเต้นพวกรุ่นพี่”

“เออ ถ้ายังไงทำกิจกรรมแล้วไปเที่ยวเปล่า ไปหาของอร่อยกินกัน”

“วจีนี่กินเก่งนะ เราดูในโซเชียลเอฟมีภาพอาหารทั้งนั้น”

“ใช่ ถ้าอยากรู้ว่าของกินร้านไหนอร่อยถามเราได้”

“ดูจากขนาดตัวก็พอจะเดาได้ไม่ยาก” กายพูดจบทุกคนก็หัวเราะออกมา

” หัวเราะดังกินไปแล้ว คนอื่นเขาหันมามองกันใหญ่เลย”

“เราว่าน่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า” ทุกคนในกลุ่มหันมามองที่ปฐวีร์เป็นตาเดียว

”อย่าหาว่าวจีปากมากเลยนะ แต่เคยได้ยินคนอื่นพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับวีร์มาด้วย”

“ใช่ เราก็ได้ยิน แบบนิสัยไม่ดี หยิ่งบ้างล่ะ ไม่เคารพรุ่นพี่ อะไรเทือกนี้”

“อืม” คนถูกพาดพิงตอบรับสั้น ๆ แล้วยิ้มให้เพื่อน ๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน” แล้วเราเป็นอย่างนั้นรึเปล่า”

“พวกเรารู้ว่าวีร์เป็นยังไงแต่คนอื่นล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องแบบนี้หรอก ถ้าไม่เป็นความจริงเดี๋ยวมันก็เงียบไปเอง เราห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้หรอก” ปล่อยให้คนที่ปล่อย

ข่าวดิ้นไปคนเดียวก็พอ ถ้ายิ่งแก้ตัวก็เหมือนร้อนตัว

“มันไม่ใช่แค่นั้นสิ เพราะ” น้ำขิงหยุดพูดแล้วมองไปรอบ ๆ 

“คนที่เอาเรื่องนี้ไปพูดเป็น ปิ่นอนงค์” ทุกคนในกลุ่มได้ฟังแล้วรู้สึกโกรธแทนเพื่อนขึ้นมาทันที เห็นว่าไม่มีเพื่อนเลยให้มาเข้ากลุ่ม

ด้วยทำไมถึงมาทำอย่างนี้

“หวัดดี ทุกคนกำลังคุยอะไรกันทำหน้าเครียดเชียว”

อยู่ ๆ คนที่กำลังพูดถึงก็โผล่มา ทุกคนหันหน้าไปมองและทำให้ทุกคนคิดได้ว่าคนเราตัดสินกันจากภายนอกไม่ได้จริง ๆ แววตา

ปฐวีร์เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นตัวต้นเหตุปล่อยข่าวไม่ดีเกี่ยวกับเขา อืม บางทีเขาควรจะจำชื่อผู้หญิงคนนี้ไว้และสอนบทเรียน

ให้เรียนให้เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ยอมอะไรง่าย ๆ เหมือนเมื่อก่อน

กิจกรรมวันหยุดเริ่มในเวลาบ่ายโมง เมื่อน้องใหม่มาพร้อมกัน ทุกคนเข้าแถวเดินเข้าห้องสโลปขนาดใหญ่ เมื่อแถวสุดท้ายเข้ามา

จนครบ รุ่นพี่สั่งให้ทุกคนนั่งพร้อมกัน แล้วการทดสอบร้องเพลงก็เริ่มขึ้น ทุกคนช่วยกันร้องเพลงที่ฝึกมาทั้งสัปดาห์ แต่รุ่นพี่ก็บอก

ว่าร้องเสียงเบาบ้างล่ะ ไม่พร้อมกันบ้างล่ะ กว่าจะให้ผ่านได้เล่นเอาแทบคอแทบแตก แต่พอผ่านไปได้ทุกคนก็รู้สึกโล่งใจ

กิจกรรมวันนี้ผ่านไปอีกวันน้องใหม่ต่างแยกย้ายกันกลับ ปฐวีร์ก็ต้องโบกมือลาเพื่อนเพราะทุกคนไม่มีแรงจะไปเดินเที่ยวที่ไหนต่ออีก

กลับมาถึงคอนโดมิเนียมพระอาทิตย์ตกไปได้สักพักแล้ว ก่อนหน้าเขาแวะหาซื้อของกินติดมือมากินที่ห้อง เสียบการ์ดกดรหัส

แล้วเปิดประตู เข้าไปในห้องไฟก็สว่างขึ้นอัตโนมัติ มองไปรอบห้องทุกอย่างเรียบร้อยตามที่เจ้าหน้าที่ดูแลคอนโดมิเนียมโทรแจ้ง

ว่าทางร้านเอาของมาส่ง พร้อมทั้งติดตั้งทุกอย่างให้ด้วย และมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด วางกล่องอาหารไว้ที่โต๊ะกินข้าว

ผลักประตูเข้าในห้องนอนสีทึบคลานขึ้นไปบนเตียงที่มีผ้าปูเตียง หมอน หมอนข้าง ผ้าห่มผืนโต มือขาวลูบไปบนเตียงดูเหมือนว่า

แม่บ้านจัดการทุกอย่างได้ดีตามที่เขาต้องการ กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่เขาชอบติดอยู่ตามหมอนและผ้าห่ม เตียงนี่นอนแล้วรู้สึก

สบาย สบายกว่านอนบนโซฟาเป็นไหน ๆ ความสบายทำให้เขาไม่อยากลุกไปไหน และก็หลับไป



*****************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 5 [19/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 19-09-2018 11:49:33
ตอนที่ 5
[/size]


บ่ายปลายสัปดาห์วันสุดท้ายของกิจกรรมเข้าห้องเชียร์ วันนี้แล้วน้องใหม่ทุกคนจะได้รู้ว่าใครเป็นพี่รหัส รุ่นพี่หลายคนก็รอวันนี้

เหมือนกัน ถึงเวลาทุกคนทยอยเข้าห้องสโลปเป็นครั้งสุดท้าย ที่ทุกคนจะมีโอกาสเข้ามาทำกิจกรรมรับน้องในปีนี้ ตอนนี้น้องใหม่

ได้รับการยอมรับจากรุ่นพี่แล้ว ทุกคนเข้าแถวขึ้นไปบนเวทีรับหัวเข็มขัด กระดุมและตุ้งติ้ง จากนั้นเป็นการจับฉลาก

“พี่ชื่อพลอยค่ะ”

“สวัสดีครับ ผมวีร์”

“ดีใจจังเลยในที่สุดสายเราก็มีผู้ชาย หลงเข้ามา เดี๋ยวนะรอพี่น้ำกับพี่หมิวก่อน”

เธอมองหารุ่นพี่อีกสองคนที่โทรศัพท์เข้ามาก่อนหน้าว่ามาถึงแล้ว  “นั่นไง พี่น้ำพี่หมิวทางนี้ค่ะ”

“ได้ผู้ชายเหรอ ยัยพลอย”

“ค่ะ พี่หมิว” สองสาวมาใหม่ต่างดีใจได้น้องใหม่ร่วมสายรหัสเป็นผู้ชาย แถมยังหน้าตาดี รุ่นพี่ทั้งสามคนแนะนำตัวกับปฐวีร์อีกครั้ง

แลกเบอร์ติดต่อ รับเป็นเพื่อนในโซเชียลเอฟ สามสาวมองชายหนุ่มหน้าตาดีอย่างสนใจ

“ใช่น้องวีร์ที่มีข่าวลือว่าหยิ่ง ๆ นิสัยไม่ดี ไม่เคารพรุ่นพี่คนนั้นหรือเปล่า” พวกเธอกระซิบกระซาบคุยกันด้วยความสงสัย

“ไม่น่าจะใช่ เพราะตั้งแต่คุยกันมายังไม่เห็นว่าเป็นน้องจะเป็นคนแบบนั้นเลยออกจะตรงกันข้ามด้วยซ้ำ” ปฐวีร์เห็นท่าทางและ

สายตาสงสัยของรุ่นพี่ที่มองมาก็อดยิ้มไม่ได้ และช่วยแก้ข้อสงสัยของสามสาว

“ใช่ครับ ผมเป็นคนเดียวกับที่มีข่าวลือนั่น” สามสาวมองหน้าอย่างไม่เข้าใจ พวกเธอตัดสินใจเสียมารยาทถามว่าเรื่องราวทั้งหมด

เป็นมายังไง ปฐวีร์ก็เล่าเรื่องบางส่วนให้ฟัง เล่าไปแล้วดูสีหน้าท่าทางทั้งสาม ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าน้องใหม่ของพวกเธอกำลังถูกแกล้ง

และพวกเธอลงความเห็นเหมือนกันว่าคนที่ปล่อยข่าวอาจจะเป็นพวกเห็นคนอื่นคนดีกว่าไม่ได้ เห็นท่าทางสามสาวฟังเรื่องบาง

ส่วนก็พอจะเดาเรื่องทั้งหมดได้ เขาก็ยิ้มอย่างพอใจ ทั้งสามดูเหมือนจะไม่โง่

“ไม่เป็นไรพวกพี่ในฐานะสายรหัสจะปกป้องน้องวีร์เอง” คุยไปแนะนำโน่นนี่นั่นสักพักต่างแยกย้ายกันกลับ

เขามองตามหลังรุ่นพี่ทั้งสาม ดูเหมือนสายรหัสของเขาจะน่ารัก นิสัยดีกว่าที่คิดไว้ ส่วนเรื่องข่าวลือพวกนั้นตอนนี้ก็มีคนคอย

จัดการให้ เท่านี้ก็หมดห่วงเป็นหนึ่งเรื่อง

ออกจากมหาวิทยาลัยก็มืดแล้ว ก่อนกลับเขาแวะร้านสะดวกซื้อหาซื้อของสดไปติดตู้สองสามอย่าง กันหิว กิจกรรมรับน้องผ่านไป

แล้ว ต่อไปตอนเย็นเขาคงมีเวลาว่างพอจะทำมื้อเย็น ฝากท้องไว้กับกับข้าวถุง ข้าวกล่อง อาหารแช่แข็งมาได้สักพักรู้สึกท้องไม่

ค่อยดีเท่าไหร่ ซื้อของจนพอใจก็กลับห้อง

เขาวางของไว้บนโต๊ะกินข้าวมองเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว เขาจัดของเข้าตู้เย็น จากนั้นเข้าห้องไปอาบน้ำ เปิดน้ำเกือบเต็มอ่างปฐวีร์

ก้าวเท้าลงในอ่างที่มีน้ำอุณหภูมิพอดี แล้วนอนเอนหลังลงไป จมูกได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำมันหอมระเหยที่เขาหยดลงพื้น

รู้สึกผ่อนคลายขึ้น เพราะทุกคืนต้องฝันร้ายทำให้ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก และบ่อยครั้งที่นอนไม่หลับ เขาจึงได้เลือกกลิ่น

บำบัดมาช่วยเพื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง ดวงตาสีสวยจ้องมองที่เพดานในใจกำลังคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่ที่เห็นความฝันพวกนั้น

เขาควรที่จะเตรียมตัวรับมือเรื่องราวร้าย ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นยังไง จ๊อก จ๊อก ร่างกายผ่อนคลายท้องก็ร้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้

หยุดความคิดทั้งหมดไว้แค่นั้นแล้วออกไปหาอะไรเติมพลังงานให้ร่างกาย

แต่งตัวเรียบร้อยออกมาที่ห้องนั่งเล่น เปิดรายการสารคดีเกี่ยวกับชีวิตสัตว์โลกเป็นเพื่อน แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว เปิดถุงลูก

ชิ้น และข้าวเหนียวไก่ทอดที่แวะซื่อตรงทางลงจากสถานีรถไฟฟ้า กินไปได้สองสามคำก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดดูความเลื่อนไหว

ในโซเชียลเอฟ ว่าวันนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง


อยู่คนเดียวในห้องแคบมาได้สักพักมีบ้างที่รู้สึกเหงา ตอนกลางคืนก็รู้สึกกลัวจนต้องเปิดไฟนอน บางคืนต้องเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้

เป็นเพื่อนจนเช้า แต่พอผ่านมาได้สักพักก็เริ่มปรับตัวได้ อาจเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมามีเวลาอยู่กับเพื่อนอยู่กับกิจกรรม สมองคิด

อะไรหลายเรื่องทำให้ลืมความเหงาไปได้ชั่วคราว

เขาเลื่อนอ่านข้อความ ดูรูปภาพ ที่หลายคนโพสต์ลงไป แล้วเข้าไปคุยกับภฤดล กฤติกรณ์ นภาภรณ์ถามว่าเป็นยังไงบ้างเข้าร่วม

กิจกรรมของคณะสนุกไหม ทั้งสามคนอยู่คณะเดียวกันเป็นเรื่องที่โชคดีมาก ผิดกับเขาที่ต้องอยู่คนเดียว แต่ก็ดีที่ได้มีโอกาสได้

รู้จักเพื่อนใหม่ ภฤดลส่งข้อความกลับมาพร้อมรูปถ่ายของกิจกรรมเข้าฐาน หน้าเต็มไปด้วยแป้งสีขาว สีดำ ไม่พอปากยังมีลิปสติก

เพื่อนอีกสองคนก็มีสภาพไม่ต่างกัน เขานั่งหัวเราะจนเจ็บท้อง ไล่ดูรูปที่ถูกส่งมา

นภาภรณ์ยังใจดีส่งคลิปสั้น ๆ ที่กฤติกรณ์ และภฤดลออกไปเต้นมาให้ดูด้วย เห็นท่าเต้นของเพื่อนทั้งสองเล่นเอาเขาหัวเราะจน

ท้องแข็งแทบสำลักข้าวเหนียวไก่ทอด ดูแล้วน่าจะสนุกกว่าคณะของเขาที่วัน ๆ เอาแต่นั่งร้องเพลงแหกปากปรบมือจนเจ็บมือ

ช่วงเข้าฐานก็ไม่มีอะไรมาก นภาภรณ์บอกว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของกิจกรรมพี่รหัสของเธอเป็นผู้หญิงเสียใจนิดหน่อย แต่ภฤดล

กับได้พี่รหัสเป็นผู้ชายชื่อเทวาอะไรประมาณนี้ เขาเสียใจมาก ปฐวีร์นั่งพิมพ์ข้อความไปด้วยอ่านข้อความตอบกลับไปด้วย


ก่อนจะเข้านอนนภาภรณ์ชวนออกไปดูหนัง พรุ่งนี้วันหยุดเขาว่างไม่มีอะไรทำบางทีออกไปข้างนอกซื้อมังงะสักสองสามเรื่อง และ

นิยายกำลังภายในสักเล่มก็น่าจะดี เขาตอบตกลง ส่วนภฤดลกับกติกรณ์ก็ตอบตกลง

บ่ายวันหยุดเป็นเวลาที่เขานัดกับเพื่อนไว้ ที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เดินเตร่เตร่ดูโน่นนี่นั่นไม่นานทุกคนก็มากันครบ พวก

เขาไปที่หน้าโรงหนัง นภาภรณ์และกติกรณ์ไปจัดการเรื่องตั๋วที่จองตั๋วออนไลน์ไว้ก่อนหน้านั้น เขาและภฤดลไปซื้อน้ำและของกิน

เล่น นั่งรอไม่นานพนักงานก็ประกาศให้เข้าไปข้างใน

สองชั่วโมงกว่ากับหนังฮีโรมนุษย์สายฟ้าที่ต่อสู้กับตัวร้ายที่โผล่มาจากนอกโลก สุดท้ายด้วยพลังที่แข็งแกร่งและจิตใจที่ดีงามก็

สามารถเอาชนะความชั่วได้ โลกกลับมาสงบสุขอีกครั้ง มนุษยชาติต่างขอบคุณมนุษย์สายฟ้า เป็นการยืนยันว่าความดียังไงก็ยัง

สามารถเอาชนะความชั่วได้ ปฐวีร์คิดแล้วร้อง หึ ครั้งหนึ่งเบา ๆ เหมือนไม่ค่อยอยากจะเห็นด้วยเท่าไหร่ หลังออกจากโรงหนัง

พวกเขาไปหาอะไรกิน

“ไปกินชาบูกัน”

“ดีเหมือนกัน” ทุกคนเห็นตรงกันก็ไปร้านชาบู มองเข้าไปร้านชาบูที่มีลูกค้าแน่นร้าน พนักงานหน้าร้านทักทายถามว่ามีลูกค้ากี่คน

จากนั้นพนักงานเดินนำไปที่โต๊ะว่าง แล้วพวกเขาต่างแยกย้ายไปตักของกิน

“อ้าว นั่นน้องรหัสนี่” ชายหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งลุกจากโต๊ะทักภฤดลขึ้น

“อ้อ สวัสดีครับพี่เทวา”

“หวัดดี มาหาอะไรกินเหรอ”

“ครับ พอดีเพิ่งดูหนังเสร็จ แล้วพี่ละครับ”

“เพิ่งจะกินอิ่ม กำลังจะไปดูหนังกัน นั่นเพื่อนพี่เรียกแล้วไปก่อนนะแล้วเจอกันที่คณะ” ชายหนุ่มยิ้มให้รุ่นน้องแล้วเดินไปหาเพื่อน

ที่ยืนรออยู่หน้าร้าน

“นั่นกลุ่มพี่เทวา” นภาภรณ์เดินมายืนข้าง ๆ ในมือถือจานของกินอยู่

“ใช่”

ปฐวีร์หันไปทางหน้าร้านเห็นผู้ชายคนเมื่อครู่ยืนอยู่กับกลุ่มเพื่อน “ใครเหรอ”

“พี่รหัสกับพวกรุ่นพี่ที่คณะน่ะ แล้วคนนั้นไงพี่เทวาที่เล่าให้ฟังไง อย่างหล่อ”

“อ้อ” ปฐวีร์มองออกไปนอกร้านเห็นผู้ชายสามสี่คนยืนอยู่ตรงนั้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ “ไปกินกันเถอะหิวแล้ว”



วันหยุดสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายคนยังไม่อยากให้ผ่านไป เช้าวันแรกสัปดาห์ปฐวีร์กำลังนั่งฟังอาจารย์บรรยายอยู่หน้า

ห้อง สลับกับโน้ตย่อลงบนเอกสารที่อาจารย์แจกให้เมื่อต้นชั่วโมง การบรรยายผ่านไปเกือบชั่วโมงก็จบลงเมื่ออาจารย์ให้

นักศึกษาจับกลุ่มเพื่อทำงาน

“พอดีเลยกลุ่มเรามี 5 คน ขอชื่อทุกคนด้วยเราจะเขียนไปส่งอาจารย์” ทุกคนเขียนชื่อลงในกระดาษเปล่า

“ขอปิ่นอยู่กลุ่มด้วยคนนะ”

“ได้สิ” ปฐวีร์พูดแล้วยื่นกระดาษที่มีรายชื่อของทุกคนให้เธอเพิ่มชื่อคนสุดท้ายลงไป

”ขอบใจนะ” ทุกคนมองตามปิ่นอนงค์เดินกลับไปนั่งที่เดิม แล้วหันกลับมามองปฐวีร์ด้วยสายตาไม่เข้าใจ

”เอาไปส่งอาจารย์เถอะจะได้รู้หัวข้อที่ต้องทำ” ปฐวีรีบตัดบทก่อนที่เพื่อนจะพูดอะไรออกมา กายรับกระดาษแผ่นนั้นมารีบเดินไป

ส่งหน้าห้อง กลับมาอีกครั้งพร้อมหัวข้อที่อาจารย์เลือกให้

“บทบาทความสำคัญภาษาอังกฤษในประเทศตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน”

“หัวข้ออย่างหินเลยนะนั่น”

“ต้องไปหาเนื้อหาที่หอสมุดโน่นแหละ”

“กำหนดส่งรายงานจากวันนี้อีกสามสัปดาห์ รายงานเขียนด้วยลายมือ ถ้าอย่างนั้นช่วงหลังเลิกเรียนหรือวันหยุดเราหาเวลาทำกัน”

“วันหยุดก็ดีนะ ทำรายงานแล้วไปหาอะไรอร่อยกินกัน”

“ไปดูหนังด้วยก็ดีนะ”

“ฟังดูแล้วไม่ค่อยเหมือนออกมาทำรายงานส่งอาจารย์เลย แต่อย่างน้อยก็ดีใจที่ได้ยินว่าทำรายงานเสร็จแล้วค่อยไป” พอปฐวีร์

พูดขึ้นทุกคนก็หัวเราะ จากนั้นก็ช่วยกันคิดวันที่จะออกมาทำรายงาน โดยภาพทุกอย่างอยู่ในสายตาของคนที่นั่งอยู่แถวถัดไป

อย่างปิ่นอนงค์ เธอบีบมือแน่นอย่างไม่พอใจ ข่าวที่เธอปล่อยออกไปไม่รู้ใครช่วยแก้ข่าวให้ ไม่พอยังเหมือนเงียบไป แต่เธอก็ไม่

ยอมแพ้เพราะมันแค่เริ่มเท่านั้น

ดูเหมือนปฐวีร์ก็เข้าใจว่าสิ่งที่ปิ่นอนงค์ทำมันแค่เริ่มต้นเท่านั้น เขาแค่รอว่าที่จริงแล้วเธอทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร หรือเพราะใคร

เขาแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักและสร้างความไม่พอใจกับเธอมาก่อนแน่นอน ในใจเขามีข้อสงสัยมากมาย เขาเหลือบมองคนที่ทำหน้าไม่

พอใจ จากตรงนี้เขาเห็นสายตาที่เธอมองมาได้ชัดเจน เขาทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าไม่พอใจนั้น

เรียนวิชาสุดท้ายเสร็จปฐวีร์และเพื่อนชวนกันไปหาอะไรอร่อยกินที่ร้านกาแฟข้างมหาวิทยาลัย โดยมีวจีการันตีความอร่อย มาถึง

ร้านกาแฟที่ชื่อว่า Sweet café ตัวหนังสือสีน้ำตาลติดไว้หน้าร้านเห็นเด่นชัด

เข้าไปด้านในพนักงานประจำร้านส่งเสียงทักทาย

“Sweet café ยินดีต้อนรับค่ะ” ทุกคนส่งยิ้มให้พนักงาน แล้วมองไปรอบร้านที่ตกแต่งเรียบแต่ดูอบอุ่น กลิ่นอ่อน ๆ ของกาแฟ

ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ภายในร้านมีหลายมุมให้เลือกนั่ง ไม่ว่าจะเป็นที่นั่งเดี่ยวติดกระจกฝั่งซ้ายสำหรับคนที่มาคนเดียวต้องการ

ความเป็นส่วนตัว ที่นั่งเป็นคู่ด้วยชุดเก้าอี้หวายและมีเบาะรองสำหรับคนที่ต้องการใช้ช่วงเวลาดี ๆ กับคนสำคัญ หรือจะมาเป็นก

ลุ่มเพื่อนก็มีเป็นมุมที่นั่งโซฟา แล้วกั้นด้วยชั้นหนังสือเตี้ย ๆ ทำให้ดูเหมือนกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านเพื่อน พวกเขาเลือกที่

นั่งได้แล้วทุกคนดูรายชื่อเครื่องดื่ม

“เอาอะไรดีล่ะ”

“ที่นี่มีอะไรอร่อย” ทุกคนเริ่มปรึกษากัน วจีแนะนำเป็นเครื่องดื่มเป็นพวกสมูทตี้

“นี่ เราเอาบลูเบอรี่สมูทตี้”

“ในรูปมิกเบอรี่สมูทตี้น่ากินมาก”

“เราเอาด้วย”

“งั้นเราเอาชาเขียวปั่น” เขียนรายการเครื่องดื่มที่ต้องการ สั่งขนมหวานกับของกินเล่นสองสามอย่าง ลงในกระดาษให้พนักงานที่

อยู่ประจำเคาน์เตอร์ นั่งรอไม่นานของที่สั่ง ก็มาเสิร์ฟให้ทุกคนถึงโต๊ะ

“วีร์ไม่น่าให้ยัยปิ่นอนงค์นั่นเข้ากลุ่มด้วยเลย”

“ใช่ขิงก็เห็นด้วยกับจี คนอะไรไม่รู้นิสัยไม่น่าคบ คนสองหน้า”

“ช่างเถอะ ถ้าเขาเป็นคนอย่างนั้นจริง สักวันเขาก็คงได้รับผลกรรมที่ทำเอง” ถ้าผลกรรมมันช้าเกินไปเขานี่แหละจะเป็นคนทำให้

มันติดจรวดเอง

“พูดถึงผู้หญิงคนนี้แล้วอารมณ์เสียเปล่า ๆ นี่มีหนังเรื่องใหม่เพิ่งเข้า พระเอกหล่อมาก” ได้ยินว่าพระเอกหล่อวจีก็ทำหน้าเบ้ใส่ “มี

ดีแค่นั้นรึไง”

“เปล่าซะหน่อย เนื้อเรื่องก็น่าสนุกส่วนฉากก็เหมือนจะลงทุน” น้ำขิงกลัวเพื่อนไม่เชื่อ เธอรีบเปิดตัวอย่างหนังเรื่องให้ทุกคนดู ทุก

คนดูแล้วน่าจะสนุกดูช่วงเวลาเรื่องนี้จะเข้าฉายอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าทุกคนเลยตกลงกันว่าหลังทำรายงานเสร็จแล้วจะดูหนัง

เรื่องนี้กัน

กินจนอิ่ม นั่งคุยกันจนเบื่อ ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ ปฐวีร์แยกจากเพื่อนใช้บริการรถไฟฟ้าเหมือนทุกครั้ง ใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็

มาถึงจุดหมายปลายทาง เขาเดินลงมาจากสถานีเห็นร้านขายของอยู่เต็มข้างทาง แวะซื้อของกินติดมือขึ้นไปเผื่อว่าจะหิว

กลับมาถึงห้องก็เย็นมากแล้ว เปิดประตูเข้าไปเขากวาดสายตามองรอบห้องที่ดูรกนิดหน่อย เห็นทีคงถึงเวลาที่ต้องทำความ

สะอาดแล้ว ถึงคอนโดมิเนียมจะมีให้จ้างแม่บ้านให้ทำความสะอาด แต่ก็ใช้บริการไม่กี่ครั้ง เพราะเขาไม่ค่อยชอบให้ใครเข้ามา

วุ่นวายในห้องจึงเลือกใช้แค่บริการซัก-รีด ปฐวีร์วางของไว้บนโต๊ะ แล้วเข้าห้องไปหยิบตะกร้าผ้าออกมา หยิบเสื้อผ้าที่พาดอยู่บน

ผนักโซฟา ถุงเท้าที่ทิ้งอยู่บนพื้น แล้วจัดการแยกผ้าขาว ผ้าสีลงในถุงส่งซัก เขียนรายละเอียดลงกระดาษแบบฟอร์มส่งซักแล้ว

หย่อนลงในตู้หน้าห้องเลื่อนป้ายหน้าตู้ให้รู้ว่ามีผ้าอยู่ข้างใน เมื่อถึงเวลาแม่บ้านจะมารับไปซัก จัดการเสื้อผ้าเรียบร้อย กลับมา

มองดูรอบห้องอีกครั้งทำไมมันถึงยังดูรกอยู่อีกนะ อ้อ คงเป็นเพราะขยะเขาเริ่มเก็บขยะในห้องแยกขยะลงในถุงแล้วทิ้งลงช่องทิ้ง

ขยะ หันกลับมาดูในห้องอีกครั้งรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมเยอะต้องอย่างนี้สิ เขาคว้าไม้ม็อบดันฝุ่นฉีดน้ำยาจนทั่วแล้วถูไปทั่วห้อง ยืนมอง

ผลงานตัวเองก็ต้องปาดเหงื่อ พอเห็นห้องสะอาดก็ยิ้มได้ เขาเหลือบมองนาฬิกาสามทุ่มกว่าแล้ว ห้องน้ำยังไม่ได้ล้าง เอาไว้วัน

หลังแล้วกัน เขาเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเข้าที่ จากนั้นเดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ กลับออกมาก็ปีนขึ้นเตียง

แล้วหลับไป



แสงแรกของวันโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้ามาทักทาย อย่างที่พนักงานขายบอกห้องนั่งเล่นสามารถมองเห็นพระอาทิตย์จริง เป็นวิว

ตอนเช้าที่แสงพระอาทิตย์สีอ่อนสาดไล่ตามตึกสูงมองแล้วสวยจนต้องหยุดยืนมอง ย้ายเข้าอยู่มาที่นี่ได้สักพักเขาก็เพิ่งเคยตื่น

เช้ามานั่งดูพระอาทิตย์ก็วันนี้ คงเป็นเพราะเมื่อคืนนอนเร็วกว่าปกติและได้ยินเสียงห้องใกล้ ๆ เหมือนกำลังทะเลาะกันทำให้สะดุ้ง

ตื่นขึ้นมา จะนอนก็กลัวตื่นสายไปเรียนไม่ทัน เลยมานั่งมองแสงแรกของวันดีกว่า นั่งเหม่อจนเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นถึงได้รู้ว่า

ต้องไปเรียนแล้ว ปฐวีร์วิ่งเข้าห้องน้ำรีบอาบน้ำทำธุระส่วนตัว สวมชุดนักศึกษา หยิบกระเป๋าสะพายหลังแล้วออกจากห้อง



...


โปรดติดตามตอนต่อไป



หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 6 [20/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 20-09-2018 11:50:44

ตอนที่ 6
[/size]




     เช้าวันใหม่อากาศเย็นสบายในห้องมีชายหญิงคู่หนึ่งนอนอยู่บนเตียงใหญ่ ผู้หญิงคนนั้นคือคุณนายรอง เธอรู้สึกตัวลืมตาขึ้น

มา ลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ที่ยังหลับสนิท เธอยิ้มอย่างมีความสุข แล้วค่อย ๆ ลุกจากเตียงกลัวว่าจะรบกวนคน

กำลังนอนหลับ เธอเดินเข้าห้องน้ำถอดเสื้อผ้าออกสายตามองตามตัวมีที่ร่องรอยความสุขที่สามีมอบให้เมื่อค่ำคืนที่พึ่งผ่านมา ริม

ฝีปากโค้งขึ้นมาอย่างพอใจ เปิดน้ำอุ่นลบร่องรอยความสุขบนผิวขาวย่างเสียดาย แล้วลบกลิ่นสุขสมด้วยครีมอาบน้ำ สักพักเธอ

สวมชุดคลุมอาบน้ำออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมของครีมอาบน้ำที่เธอชอบ เดินเข้าไปในห้องแต่งตัวนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้งหยิบครีม

บำรุงผิวขึ้นมาทาแล้วมองดูใบหน้าที่ยังสวยใสไร้ที่ติอย่างภูมิใจที่สามารถรักษาความสวยไว้ได้แม้จะผ่านวัยสาวมานาน นั่นคือสิ่ง

ที่เธอคิดว่าสามารถมัดใจสามีไว้ได้ จากนั้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเลื่อนประตูตู้เสื้อผ้าออก มองหาเสื้อที่จะสวม ในใจคิดว่าถ้ามีคนเห็น

ร่องรอยบนตัวของเธอที่ยังหลงเหลืออยู่จาง ๆ นี่จะรู้สึกอิจฉาขนาดไหนกันนะ กวาดสายตาจนเห็นชุดที่ถูกใจ เธอหยิบออกมา

สวมเรียบร้อย ยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่เสื้อคอไม่กว้างนักแต่ก็พอให้เห็นสิ่งที่อยากให้เห็นเหมือนเป็นแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ

เดินกลับมาที่เตียงคนที่นอนข้างเธอทั้งคืนไม่อยู่แล้ว มองออกไปที่ระเบียงเห็นสามียืนอยู่ที่นั่นกำลังทอดสายตามองลงไปที่สวน
ข้างล่างที่ถูกตกแต่งไว้อย่าสวยงาม เธอเข้าไปสวมกอดแล้วออดอ้อนเอาใจ

“ไม่นอนต่ออีกหน่อยหรือคะ เมื่อคืนกลับดึกไม่ใช่หรือคะ” เธอซบหน้าลงหน้าอกสามีในใจก็คิดถึงเรื่องราวเมื่อคืนไม่หาย

“ร่างกายมันเคยชิน” ปทีปสวมกอดภรรยาไว้ในอ้อมกอดแล้วลูบแผ่นหลังนุ่มเบา ๆ

“วันนี้ไม่ได้มีโปรแกรมออกไปไหนใช่ไหมคะ”

“อืม ช่วงนี้อยากพักผ่อนอยู่บ้าน”

“ถ้ามีงานอะไรให้ตาพลช่วยก็บอกได้นะคะ จบมาได้สักพักแล้ว” เธอยิ้มออกมาเมื่อพูดถึงลูกชายคนโต

“อืม เดี๋ยวอีกหน่อย จะให้ปฐวีร์เข้าไปช่วยงานที่บริษัท”

“อ้อ เอ่อ ค่ะ” รอยยิ้มเมื่อครู่หุบลง กลายเป็นความรู้สึกไม่พอใจ ทำไมต้องเป็นปฐวีร์อะไรก็ปฐวีร์ คุณนายรองกำมือแน่น ลูกชาย

เธอไม่ดีตรงไหน ถึงจะใช้ชีวิตร่วมกันมานายหลายปีแต่เธอก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยรักเธอเหมือนที่เธอรัก คุณนายใหญ่มารหัวใจของ

เธอ เธอตกหลุมรักปทีปตั้งแต่แรกเห็น ทำทุกอย่างเพื่อจะได้เขามาครอบครองแม้กระทั่งมอมเหล้าอีกฝ่าย เพื่อให้รับผิดชอบ เธอ

ยอมถูกตราหน้าว่าท้องก่อนแต่ง และเป็นเมียน้อย เคยคิดว่าเมื่ออยู่ด้วยกันแล้วเขาจะรักเธอบ้าง แต่ไม่ใช่ หัวใจทั้งหมดของเขา

มันเป็นของคุณนายใหญ่ วันแรกที่เธอคลอดลูกชายเขายังไม่ดีใจเท่าที่คุณนายใหญ่คลอดลูกชายด้วยซ้ำ ความน้อยใจสะสมไว้

ข้างในวันแล้ววันเล่าก็กลับกลายเป็นความเสียใจ แต่เธอยังไม่ได้ทำอะไรคุณนายใหญ่ก็ด่วนจากไปก่อน และแทนที่ความรัก

ทั้งหมดของสามีจะมอบให้เธอกลายเป็นว่า ปฐวีร์ได้ทุกอย่างไป และยังเป็นคนเดียวที่เป็นลูกถูกต้องตามกฎหมายด้วย คอย

ดูเถอะเธอจะไม่ยอมให้ลูก ๆ ของเธอต้องมีสภาพตกเป็นรองเหมือนอย่างเธอ เธอจะเปลี่ยนทุกอย่างและคว้าโอกาสดีดีให้ได้


อีกไม่ถึง 10 นาทีจะถึงเวลานัด ปฐวีร์เป็นคนแรกที่มาถึง เขายืนรอทุกคนอยู่หน้าประตูทางเข้าหอสมุด ไม่นานคนอื่นก็ทยอยมา

จนครบ “มาครบแล้วเข้าไปข้างในกันเถอะ เดี๋ยวรายงานจะไม่เสร็จ” ปฐวีร์เดินนำเข้าไปข้างใน พวกเขาเริ่มจากค้นหาหนังสือผ่าน

ระบบออนไลน์ของหอสมุด เจอหนังสือที่มีเนื้อหาที่จะเขียนรายงานหลายเล่ม หนังสือยังไม่ได้ถูกยืมออกไปหรือไม่ได้ถูกยืมใช้ใน

หอสมุด นั่นทำให้ทุกคนดีใจช่วยกันจดชื่อ และเลขที่หนังสือ คิดว่าได้รายชื่อพอสมควรปฐวีร์ก็เข้าไปสอบถามจากเจ้าหน้าที่

บรรณารักษ์ประจำหอสมุด ถึงรู้ว่ารายชื่อหนังสือที่จดมาส่วนใหญ่อยู่ชั้นสาม เมื่อรู้แล้วพวกเขาก็ตรงขึ้นชั้นสาม แยกย้ายกันหา

หนังสือตามในลิสรายชื่อที่จดมา สามสิบนาทีต่อมาทุกคนก็ถือหนังสือมานั่งรวมกันที่โต๊ะ และช่วยกันหาข้อมูลที่ต้องการ


“นี่เนื้อหา 5 เล่มนี้ใช้ได้ เอาไปถ่ายเอกสารแล้วแบ่งกันทำ” ปฐวีร์และกายรับหน้าที่ขนหนังสือไปถ่ายเอกสารที่ร้านถ่ายเอกสารใน

ห้องถัดไป พีรพัฒน์ไปซื้อกระดาษรายงาน น้ำขิงและวจีไปซื้อเครื่องดื่มที่ชั้นล่างของหอสมุด ส่วนปิ่นอนงค์นั่งเฝ้าของบนโต๊ะ

ขณะที่ทุกคนแยกย้ายกันไป เธอนั่งมองไปที่กระเป๋าสะพายหลังของปฐวีร์ เธอหันไปมองรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นใครเธอขยับเข้าไป

ใกล้กระเป๋าสีน้ำเงินคาดแถบสีขาวแล้วเลื่อนซิปเปิดออกช้า ๆ

“โอ๊ะ แปบนะกาย เราลืมเอากระเป๋าตังค์มาด้วย” ปฐวีร์รีบกลับไปที่โต๊ะ เห็นคนทำหน้าที่เฝ้าโต๊ะ กำลังพยายามทำอะไรสักอย่าง

กับกระเป๋าของเขาอยู่ ไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไร เขายืนแอบดูสักครู่เห็นทุกอย่างที่ปิ่นอนงค์ทำ แต่ขณะที่เธอยังไม่ทันได้เปิด

กระเป๋าออก เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปทัก


” อ้าว ปิ่นอยู่คนเดียวเหรอ”

เสียงเจ้าของกระเป๋าดังขึ้นข้างหลังทำให้เธอรีบปล่อยมือจากกระเป๋าทันที “เอ่อ ...เอ่อ” เธอแทบสำลักความตกใจ” ไม่..ไม่ยังไม่มีใครกลับกันเลย”

“วีร์ ไม่ต้องแล้วเราจ่ายแล้ว” กายเดินถืองานที่ถ่ายเอกสารเรียบร้อยกับหนังสือมาวางบนโต๊ะ

”อ้อ โทษทีนะ”

ทุกคนกลับมารวมที่โต๊ะการแจกแจงแบ่งงานก็เริ่มขึ้น ทุกคนจะได้เขียนรายงานเท่ากัน อาจจะต่างกันไม่เกินหนึ่งถึงสองหน้า ได้งานมาเรียบร้อยทุกคนก้มหน้าก้มตาเขียน เพราะเสร็จแล้วจะได้ไปกินของอร่อยกับดูหนังตามที่สัญญากันไว้

เวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมงรายงานที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจก็เสร็จลงอย่างเรียบร้อยสวยงาม เมื่องานเสร็จพวกเขาก็ออกจากหอสมุดตรงไปดูหนัง

“โชคดีนะ ที่ยัยปิ่นไม่มาด้วย ถ้ามาคงไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่”

“ไม่รู้ว่าขิงคิดไปเองรึเปล่า เวลาที่ปิ่นมองวีร์เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง”

“อย่าพูดให้เพื่อนกังวลสิ”

“เปล่า แค่จะบอกว่าลางสังหรณ์ของผู้หญิงมักจะแม่น” ปฐวีร์ได้ยินแล้วได้แต่ยิ้ม

บ่ายวันจันทร์หลังเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จ ปฐวีร์เดินไปคณะข้าง ๆ เพื่อไปรอเพื่อน เมื่อคืนเขาคุยออนไลน์กับนภาภรณ์สัญญาว่าจะไปกินไอศกรีมร้านข้างมหาวิทยาลัยด้วยกัน ขณะที่นั่งรออยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ มีสายตาหลายคู่มองมาด้วยความสงสัย อยากรู้อยากเห็นว่าชายหนุ่มหน้าตาดี กำลังนั่งรอใครอยู่

“นึกว่าใครที่แท้ก็นายนั่นเอง มานั่งทำอะไรคณะนี้” เสียงพูดใครสักคนดังขึ้น ทำให้ปฐวีร์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือมังงะในมือ เขามองหญิงสาวตัวเล็ก ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวประบ่า ผิวขาว สวมชุดนักศึกษารัดรูป กระโปรงทรงเอเลยเข่ามานิดหน่อย “พิศนภา” เขาเรียกชื่อเธอ จำได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของคณิตาร์

เธอไม่ชอบหน้าปฐวีร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่นึกว่าวันนี้จะมาเจอที่นี่ เธอเห็นรอยยิ้มที่อ่านไม่ออกอีกฝ่ายยิ่งรู้สึกไม่ชอบ

“เปล่าแค่มารอเพื่อนน่ะ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก อย่าสนใจเลย” เขารีบไล่เธอให้ไปพ้นหน้า อย่าได้มาทำลายความสุขขณะที่กำลังอ่านมังงะ

“พิศ ทำไมไม่เข้าเรียน” เสียงพูดดังมาก่อนตัว ไม่ต้องบอกก็รู้ใคร ปฐวีร์กลอกตาเม้มปาก รู้สึกรำคาญเมื่อมีคนน่ารำคาญเพิ่มมาอีกคน คณิตาร์เดินเข้าไปหาเพื่อนไม่รู้ว่ากำลังคุยใครอยู่

”อ้อ พี่วีร์นี่เอง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ถามพี่ชายที่เกิดห่างกันไม่กี่เดือน

คณิตาร์เดินเข้ามาใกล้ เขาก็ปรับสีหน้าให้ดูยิ้มแย้มพูดคุยไปตามมารยาท “ไม่เจอกันนานสบายดีรึเปล่า”

“สบายดีค่ะ” เธอยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจนัก ใบหน้าทั้งสองมีรอยยิ้มแต่บรรยากศรอบข้างกลับตรงกันข้าม

“วีร์” เสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้น เห็นเพื่อนสนิททั้งสามคนเดินตรงมาหา “ขอโทษที่ให้รอนานพอดีอาจารย์ปล่อยช้า ไปกันเถอะหิวแล้ว” คนมาใหม่ทั้งสามแทบไม่สนใจเปิดปากทักทายสองสาวแม้แต่นิด

“อืม” คุยกับเพื่อนเสร็จแล้วหันไปพูดกับน้องสาว “เพื่อนมาแล้วขอตัวนะ”

คณิตาร์มองคนที่กำลังจะเดินไปแล้วถามขึ้นว่า “พี่วีร์ยังอยู่ที่เดิมรึเปล่าคะ”

“อืม ยังอยู่ที่เดิม มีอะไรรึเปล่า”

“เปล่าค่ะ ถามไว้ถ้าเผื่อว่าคิดถึงจะได้แวะไปเยี่ยม”

“ยังอยู่ที่เดิม คิดถึงเมื่อไหร่เชิญมาได้ทุกเมื่อ”

“แล้วเราจะได้เจอกัน”

ปฐวีร์ยิ้มตอบกลับมา แล้วหันหลังเดินไปกับเพื่อนทั้งสามพร้อมกับรอยยิ้มที่บอกว่าเขากำลังมีความสุข มาเลย เขากำลังรอคอยอยู่นานแล้ว

พระอาทิตย์เลื่อนลงต่ำกำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายของวันเปลี่ยนเป็นสีแดง และกำลังจะหมดไป ความมืดค่อย ๆ เข้ามาแทนที่ แต่ไม่สามารถลดความสนุกของชายหนุ่มทั้งสี่คนที่แบ่งออกเป็นสองทีม ที่กำลังเผชิญหน้าในสนามบาสได้ เสียงลูกบาสกระทบลงพื้นดังเป็นระยะสลับกับเสียงรองเท้าเสียดสีกับพื้น เกิดเสียงดังเอียด อ๊าด ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกกันรับจนเลิกสนใจไปแล้วว่าตอนนี้คะแนนเท่าไหร่

ไฟในสนามสว่างขึ้นทุกคนก็เพิ่งรู้สึกได้ว่าตอนนี้มืดแล้ว “กลับกันเถอะหิวแล้ว” ชายหนุ่มตัวสูงผิวเข้มใบหน้าหล่อเต็มไปด้วยเหงื่อ ชื่อว่าเทวา สุรัตนธรรมวรธิเบศณ์ โยนบาสให้เพื่อนแล้วเดินไปนั่งที่สแตนด์พูดขึ้น

“เหนื่อยเป็นบ้าเลย แต่ก็มันมาก” ชายหนุ่มผิวขาว ท่าทางขี้เล่น ชื่อยุทธจักรนั่งลงข้างเพื่อน

“แก ไม่สนใจลงเล่นให้คณะเหรอ พี่ ๆ เขาฝากมาถาม” ชายหนุ่มสวมแว่นสำหรับเล่นกีฬา ชื่อ ตติวัฒน์พูดขึ้น

“ไม่ ขี้เกียจซ้อม” คนตอบทำหน้าเซ็ง เอนหลังพิงสแตนด์

“พูดให้เหนื่อยมันก็ไม่ไปหรอก เอาน้ำ” หนุ่มหน้าตาดีอีกคน ชื่อคฑาวุธส่งน้ำเย็นให้ทุกคนที่นั่งหมดแรง พวกเขาทั้งสี่คนเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานรู้ว่าเทวาเป็นคนที่เล่นกีฬาเก่ง แต่ก็เล่นเพื่อสนุกเท่านั้น ไม่ชอบเล่นจริงจังส่วนสาเหตุเคยได้ยินมาว่าขี้เกียจต้องตื่นแต่เช้ามาฝึกซ้อมหลายคนอาจจะเชื่อ แต่เทวาที่ปกติชอบตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกาย คฑาวุธรู้ว่าเป็นแค่ข้ออ้างเขาคิดว่าน่าจะเป็นสาว ๆ ที่พยายามเข้ามาใกล้ บุกรุกความเป็นส่วนตัว มากกว่าที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญ ถึงจะมีข่าวลือออกมาว่าอีกฝ่ายมีรสนิยมชอบผู้ชายด้วยกันเอง ไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากไหน แต่เจ้าตัวไม่เห็นเดือดเนื้อร้อนใจ แล้วข่าวก็ไม่ได้ทำให้คนสนใจเทวาน้อยลงเลย อาจจะเป็นเพราะรูปร่างหน้าตา หุ่นนักกีฬา และฐานะทางบ้านก็ได้

“หิวแล้วไปหาอะไรกินกัน” ทุกคนเห็นด้วยรีบเก็บของใส่กระเป๋า แล้วไปหาอะไรข้างมหาวิทยาลัย

รถยุโรปคันเล็กเลี้ยวเข้าไปในบ้านเสียงเครื่องยนต์ดับลงเทวาหยิบกระเป๋าลงมาจากรถเดินเข้าบ้าน ดูเวลาตอนนี้ทุกคนคงกลับขึ้น

บ้านกันหมดแล้ว หลังจากเล่นบาสเสร็จ เขาแวะไปหาอะไรกินข้างมหาวิทยาลัย แล้วไถลไปต่อที่ร้านเกมเล่นเกมออนไลน์ เล่น

เพลินจนลืมเวลา

เขาเปิดประตูเข้าไปในห้อง โยนกระเป๋าไปที่โซฟา ถอดเสื้อผ้าออกแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำ

ล้างคราบเหงื่อจนสบายตัว กลับออกมาเห็นน้ำผลไม้กับของว่างวางบนโต๊ะ เสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้บนพื้นก็ไปอยู่ในตะกร้าเรียบร้อย

เดาไม่ยากว่าใครเป็นคนจัดการให้ หยิบชุดนอนวางไว้เตียงขึ้นมาสวม แล้วถือของว่างไปนั่งกินหน้าโทรทัศน์ที่เปิดไว้ก่อนหน้านั้น

รายการแนะนำหนังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในปลายสัปดาห์จบลงเปลี่ยนเป็นรายการกีฬาที่เขาชอบ คืนนี้อัปเดตข่าวสารวงการ

กีฬาบาสเกตบอลที่กำลังจะเปิดฤดูในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หลายทีมต่างรีบดึงตัว เสนอราคาค่าตัวให้กับนักกีฬาที่ทำผลงาน

ได้ดีในช่วงฤดูกาลที่ผ่านมา ของว่างหมดไปแล้วเขาหยิบรีโมตมาปิดโทรทัศน์ จากนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูโซเชียลเอฟ

ไม่รู้ว่าวันนี้มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้างรึเปล่า ทันทีเปิดเข้าไปในโซเชียวเอฟส่วนตัวก็เห็นรูปถ่ายตัวเองกับเพื่อนกำลังเล่นบาสอยู่

ในสนามเมื่อตอนเย็น คงเป็นรุ่นน้องที่เข้ามาขอถ่ายรูปตอนนั้น เห็นชัดซะด้วย กดเลื่อนดูภาพมีคนเข้ามากดถูกใจเขียนแสดง

ความคิด กดปิดภาพลงดูจำนวนผู้เข้ามาติดตามเพิ่มขึ้นตอนนี้เป็นหลายหมื่นคนไปแล้ว ทำไมถึงมีคนสนใจในตัวเขามากขนาดนี้

นะ โยนโทรศัพท์ไว้บนโซฟาแล้วเดินไปที่เตียง ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไป

เช้าวันใหม่อากาศสดชื่นพระอาทิตย์เพิ่งโผล่ขึ้นมาได้ไม่นาน เทวาตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน และออกมาวิ่งที่สวนสาธารณะหมู่บ้าน

ถึงจะไม่กว้างเหมือนสวนสาธารณะแถวคอนโดมิเนียมแต่ก็พอแทนกันได้ ตอนเช้าอากาศดีมีคนออกมาวิ่ง ออกมาปั่นจักรยาน เขา

วิ่งรอบบึงสองสามรอบพอให้มีเหงื่อบ้างได้ แล้วเสียงนาฬิกาข้อมือก็เตือนให้รู้ว่าระยะทางในการวิ่งเพียงพอแล้วสำหรับเช้าวันนี้

เขาหยุดยืดกล้ามเนื้อสักพัก ก็ถึงเวลาต้องกลับบ้าน

“ตื่นแต่เช้า ไปวิ่งมาเหรอลูก” หญิงสูงวัยหน้าตาใจดีเดินเข้าไปมาเทวา ที่ยืนกอดอกมองปลาตัวโตอ้าปากฮุบในบ่อบัวอยู่หน้าบ้าน

“ครับ” เขายิ้มให้หญิงสูงวัย “คุกกี้เมื่อคืนอร่อยมากเลย ฝีมือแม่หรือครับ”

“แน่นอน หลานชายเราเจ้าวินกับวอม ติดใจกันใหญ่เลย”

“ครับไม่มีใครทำกับข้าวสู้แม่ได้หรอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ้อน

“อ้อนอะไรคุณแม่แต่เช้าเชียวเจ้าวา” เสียงคนเพิ่งมาถึงดังขึ้น ทั้งสองหันไปยิ้มให้ ชายหนุ่ม ผิวขาว หน้าตาดี ท่าทางขี้เล่น

“เปล่าพี่ธนา” ชายหนุ่มเกลียดคนรู้ทัน แต่ก็ทำนหน้านิ่งไม่รับรู้คำพูดพี่ชาย “แค่ชมว่าแม่ทำคุ๊กกี้อร่อย” เขาหันไปพูดเอาหญิงสูงวัย

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณแม่ได้เหยื่อทดลองรายใหม่แล้ว”

“เหยื่อ เหย่อ อะไรกันตาธนาว่าแม่” เธอค้อนใส่ลูกชายคนรองจอมกวน

“เปล่าครับ” ชายหนุ่มอารมณ์ดีที่ทำให้แม่ค้อนใส่ได้

“คุยอะไรกันแม่ลูกตรงนั้น” เสียงชายสูงวัยดังออกมาถึงหน้าบ้าน ทำให้ทุกคนต้องรีบแยกย้าย เพราะถึงเวลามื้อเช้าแล้ว

เทวากลับขึ้นห้องอาบน้ำล้างคราบเหงื่อออก ลงมาอีกครั้งทุกคนก็นั่งพร้อมหน้าพร้อมตาที่โต๊ะอาหารแล้ว ชายสูงอายุ ใบหน้าดุ

แต่ใจดีนั่งหัวโต๊ะคือ ธักศนัย สุรัตนฑรรมวรธิเบศณ์ ถัดมาคือแม่ของเขา จริญญา หญิงสูงวัยใจดี ชอบทำอาหาร คนที่นั่งอีกฝั่ง

คือพี่ชายคนโตของบ้าน ธรรม ผู้ชายที่ไม่ค่อยพูดกำลังตักอาหารให้ภรรยายคนสวยและลูกชายชายจอมซนทั้งสอง ชื่อวินกับวอม

พี่ชายอีกคนที่นั่งข้างกัน ธนา ช่วงวันหยุดเทวาจะกลับบ้าน ส่วนวันปกติเขาจะพักที่คอนโดมิเนียม ธักศนัยนั่งกินข้าวเงียบ ๆ เห็น

หน้าลูกชายคนเล็กก็ถามเรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง     เทวาบอกไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แล้วเปลี่ยนเป็นพูดคุยเรื่องทั่วไป ถึงแม้ภาย

นอกธักศนัยอาจจะดูเขาเข้มงวด แต่ที่จริงเขาให้อิสระกับลูกทุกคนพอสมควร

กินมื้อเช้าเสร็จแล้วทุกคนต่างแยกย้าย เทวาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงพาหลาน ๆ ไปนั่งดูโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น และช่วยต่อตัวต่อ

เป็นรูปร่างประหลาด ระหว่างนั้นเด็ก ๆ ต่างเล่าเรื่องที่ตัวเองไปโรงเรียนเตรียมอนุบาลให้คุณอาฟัง

“ฉันว่าวินกับวอมติดแกกว่าพี่ธรรมที่เป็นพ่ออีกนะ”

“อือ แล้วพี่ธรรมไปไหนแล้วล่ะ”

“โน่นหายเข้าไปห้องทำงาน ไปช่วยพ่อทำงาน”

คนฟังเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ช่วงนี้งานยุ่งเหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน” ชายหนุ่มยักไหล่พูดด้วยไม่ค่อยใส่ใจ “แต่บริษัทของพวกเรากำลังไปได้ด้วยดี อาจจะมีแนวโน้มขยายตลาดไปในอาเซียน” 

“อ้อ” ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นข่าวดี ที่เขาอุตส่าห์หลวมตัวทุบกระปุกเอาเงินที่เก็บไว้ไปลงทุนกับพี่ชาย ได้ยินแบบนี้คิดว่าอีกไม่นานคงจะได้กำไรกลับคืนมาบ้างในเร็ววันนี้




*********************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 6 [20/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 20-09-2018 17:28:50
 o13ชอบๆ รออ่าน
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 7 [21/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 21-09-2018 10:19:18

ตอนที่ 7
[/size]



ในห้องเรียนนักศึกษากลุ่มหนึ่งกำลังประชุมย่อยเกี่ยวกับการแสดงบนเวที Praty Freshy night ที่ใกล้จะมาถึง ทุกคนต่างช่วยกัน

แสดงความคิดเห็น สุดท้ายก็จบลงด้วยการ เต้นประกอบเพลง ส่วนคนที่ต้องทำการแสดงทุกคนช่วยกันเลือก


“ขิงอุตส่าห์ก้มหน้าแล้วยังโดนเรียกอีก”

“เอาเถอะ น่าจะดีใจ ที่กลุ่มเราโดนยกกลุ่ม” วจีอดพูดประชดขึ้นมาไม่ได้

“หมายความว่ากลุ่มเราหน้าตาดีไง”

“แต่ก็เสียดายที่วีร์ไม่ยอมลงประกวดเดือน ถ้าประกวดรับรองชนะ”

”ใช่ จีเลยอดทำป้ายไฟ ไปยืนเชียร์ชิดติดขอบเวทีเลย”

“เราว่าโชคดีแล้ว ที่วีร์ไม่ลงประกวด” กายพูดแล้วมองสองสาวที่ออกอาการตื่นเต้นกว่าเพื่อนอีกคนที่ยังนั่งยิ้มอย่างเดียวซะอีก

สรุปได้จำนวนผู้ร่วมแสดงทั้งหมดสิบห้าคน จากนั้นส่งรายชื่อ และการแสดงให้กับสโมสรนักศึกษา และนัดแนะเวลาสถานที่จะใช้ซ้อมการแสดงให้เรียบร้อย แล้วต่างแยกย้ายกันกลับไป พร้อมกับเสียงบ่นว่าไม่อยากแสดงบ้าง ขี้เกียจบ้าง

เสร็จจากประชุมปฐวีร์กลับถึงห้องพร้อมกับความขี้เกียจ เขาวางของและกระเป๋าไว้บนโต๊ะ แล้วนอนแผ่บนโซฟา หยิบรีโมตเปิด

โทรทัศน์เป็นเพื่อน มืออีกข้างล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาเล่นเกมตัวต่อ สมองก็คิดเรื่องอื่น ถ้าเขาจำไม่ผิด ในความฝันที่

ยาวนานในคืนแรกนั้นเขาได้เข้าร่วมประกวดเดือนถึงจะไม่ชนะ แต่ก็ทำให้คนรู้จักมากขึ้น และนั่นก็เป็นปัญหา ยิ่งมีข่าวไม่ดีเกี่ยว

กับเขามากขึ้น นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจที่จะปฏิเสธไม่เข้าร่วมประกวดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเข้ามา ถึงจะทำให้พี่พลอยพี่รหัส

รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่พอได้ฟังข้อแก้ตัวงี่เง่า อย่างอาการตื่นเวที แพ้คนเยอะและขี้อาย พี่รหัสแสนดีก็พยักหน้าให้อภัย หลังจาก

ที่เลี้ยงสายรหัสสองสามครั้งเขาและพี่ ๆ ในสายรหัสสนิทกันมากขึ้น บางวันพี่พลอยยังหอบหนังสือเก่ามาให้ บางวันก็เป็นขนม

จากพี่น้ำ บางครั้งพี่หมิวก็มาเลี้ยงข้าว และนั่นก็ทำให้ข่าวไม่ดีเกี่ยวกับเขาหลายอย่างเงียบไป ในใจตอนนี้รู้สึกเป็นกังวล ถึงจะ

สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ได้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง เขาอยากฝันเห็นอะไรเพิ่มเติมบ้าง แต่กลับเห็นห้อง

พักเก่า กับคนหลายคนที่ไม่รู้จักอยู่ในห้องนั้น มันไม่ช่วยอะไรเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาที่ไม่รู้อะไรเลยก็คงไม่ต้องกังวลอยู่อย่างนี้

แต่เมื่อรู้แล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงดี

ตอนบ่ายอีกวันปฐวีร์ และเพื่อนเข้าเรียนตามปกติ อาจารย์ประจำวิชากำลังบรรยายสรุปเนื้อหาในบทเรียนอยู่หน้าห้องเรียน พร้อม

กับปากกาไวน์บอร์ดสีน้ำเงินเขียนอธิบายเนื้อหาเพิ่มเติมบนกระดานสีขาว โดยมีสายตาของนักศึกษาหลายคู่คอยจับจ้องด้วย

ความตั้งใจ แต่บางคนก็แสดงสีหน้าบอกว่ากำลังเบื่อหน่ายเต็มทน

หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไปอาจารย์ปิดหนังสือลงปล่อยให้นักศึกษาได้พักก่อนจะขึ้นเนื้อหาเรื่องใหม่

“เฮื้อ อาจารย์ไปเร็วมากเลย สมองเราตามไม่ทัน”

“ใกล้จะสอบแล้วไง เนื้อหาที่จะใช้สอบพวกเรายังไปไม่ถึงไหน”

“วันหยุดเยอะ แถมมีกิจกรรมอีกอาจารย์ไม่สอนชดเชยก็บุญแค่ไหนแล้ว”

“เลิกเรียนอยากไปหาอะไรกิน แต่ต้องไปซ้อมการแสดงนี่สิ”

“อย่าบ่นเลย วันศุกร์นี้จะแสดงแล้ว”

“อือ”

วจีพยักหน้ารับรู้ แล้วหันหน้าเผชิญความจริงอันโหดร้ายในหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่เหลือ

หนึ่งชั่วโมงครึ่งอันชวนปวดหัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายคนแทบจะโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ แต่อาจารย์ก็ยังไม่วายให้แบบ

ฝึกหัดเป็นการบ้าน เป็นการทบทวนบทเรียนที่เรียนมาตลอดทั้งสามชั่วโมง ทำให้นักศึกษาหลายคนบ่นไม่หยุดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ปฐวีร์และเพื่อนมาที่ห้องเรียนที่นัดกับทุกคนไว้ ถึงเวลานัดทุกคนมาพร้อมการซ้อมก็เริ่มขึ้น

“คณะข้าง ๆ เขามีงานอะไรกัน” คนถามเห็นคนแต่งตัวแปลก ๆ เดินไปเดินมาคณะข้าง ๆ

“Party Freshy night ไง พรุ่งนี้คณะเราก็จะจัด”

“แล้วต้องแต่งตัวประหลาดอย่างนั้นด้วยรึเปล่า” คิ้วหนาขมวดขึ้นเมื่อเห็นชุดอังกฤษโบราณ

“อ้อ นั่นตรีมงานของเขาเป็นแบบย้อนยุคไง”

เทวาเลิกสนใจมองคนแต่งตัวย้อนยุคแปลกตาทยอยเดินเข้างาน แล้วไปที่ลานจอดรถเพื่อไปหาอะไรกิน หลังจากที่เพิ่งเรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จ

แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์หมดลงเป็นเวลาเดียวกับที่งาน Party freshy night เริ่มขึ้น รุ่นพี่ น้องใหม่แต่งตัวย้อนยุคต่างเริ่ม

ทยอยเข้างานด้วยชุดแปลกตา บางคนลงทุนไปเช่าที่ร้าน บางคนประยุกต์จากเสื้อผ้าที่มีอยู่ แต่เพิ่มนี่แต่งนั่นเข้าไป คนเข้ามาใน

งานเยอะขึ้นเรื่อย ๆ คนที่อยู่หลังเวทีแหวกม่านแอบมองไปด้านนอกเห็นคนเยอะรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

“ข้างนอกเป็นไงบ้าง”

“คนเยอะ และมีแต่คนแต่งตัวแปลกตาทั้งนั้นเลย”

“แหม พูดซะเหมือนว่าตัวเองแต่งตัวไม่แปลกเลย” คำพูดของวจีทำให้ทุกคนหัวเราะคิดได้ว่ากำลังสวมอะไรกันอยู่

หลังเวทีเริ่มวุ่นวายขึ้นเมื่อนักแสดงต่างเริ่มทยอยเข้ามา เสียงพูดคุยหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มนักแสดงที่ยืนเป็นกลุ่ม บางกลุ่มตรวจดู

ความเรียบร้อยของชุดอีกครั้ง บางกลุ่มกำลังเติมแป้งแต่งหน้าทาปากเพราะเริ่มซีดลง บางกลุ่มออกมาข้างนอกเพื่อซักซ้อมการ

แสดงครั้งสุดท้าย และเป็นอีกวิธีการช่วยลดความกังวลไปด้วย ปฐวีร์กำลังตั้งใจจดจำท่าทางอย่างตั้งใจ เมื่อคิดว่าจะต้องขึ้นไป

บนเวทีแสดงต่อหน้าคนเยอะแยะรู้สึกกังวล และอายอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าคนอื่นจัดการกับอารมณ์แบบนี้กันยังไงบ้าง แต่ดูเหมือนเพื่อน

เขากำลังสนุกกับถ่ายรูป กำลังคิดอะไรเพลินก็รู้สึกถึงสายตาจ้องมองมา หันกลับไปมองเห็นปิ่นอนงค์มองที่เขาด้วยสายตาไม่

ค่อยจะเป็นมิตร เขาทำได้แค่ส่งยิ้มให้ แต่เธอกลับเบือนหน้าหนีเหมือนไม่เห็น ไม่รู้ว่าคืนนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างเห็นทีต้องระวัง

ตัวให้มาก อยู่ ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นเตือน เขารีบเปิดดูหน้าจอสี่เหลี่ยม กดเข้าไปดูโปรแกรมเชื่อมต่อออนไลน์เห็นแขกไม่

ได้รับเชิญสี่คนกำลังเข้าไปในห้องเขา

หึ มากันแล้ว เขารออยู่นานแล้ว

การแสดงเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้เป็นระยะ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ปฐวีร์และเพื่อน ๆ ต้องขึ้นไปบนเวทีบ้าง พวกเขามองหน้ากัน

อย่างกังวล แต่ก็พยักหน้ายืนล้อมวงประสานมือการเรียกความมั่นใจ เสียงประกาศจากพิธีกรดังขึ้นทุกคนออกไปยืนประจำที่ตาม

ที่ซักซ้อมไว้ นักแสดงอยู่บนเวที เสียงกรี๊ด เสียงปรบมือ จากผู้ชมดังขึ้นต้อนรับ จนนักแสดงคลายความรู้สึกประหม่าไปได้บ้าง

เสียงดนตรีดังขึ้น การแสดงที่ฝึกซ้อมอย่างตั้งใจมากหลายวันก็เริ่มขึ้น

ทุกคนกำลังตั้งใจแสดงทุกอย่างเหมือนจะราบรื่นผ่านไปได้ด้วยดี แต่ด้วยร่างกายมีความรู้สึกที่ดีกว่าคนปกติหลายเท่า ปฐวีร์รู้สึก

ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ขณะกำลังถึงช่วงท่อนเพลงที่สลับสับเปลี่ยนตำแหน่ง เหมือนขาสะดุดเข้ากับเท้าใครเข้าสักคนแต่ก็ยังพยุง

ตัวไม่ให้ล้ม ส่วนเจ้าของเท้าปริศนาเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่คงเป็นส้นสูงที่เธอสวมอยู่ไม่เป็นใจ มือเธอรีบคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด

เป็นมือใครสักคนยืนมือมาเธอคว้าอย่างไม่ทันได้คิด พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นรอยยิ้มบาง ๆ ของเจ้าของมือ ตามมาด้วย “กรี๊ดดดด”

ของคนที่เห็นเหตุการณ์

เสียงกรี๊ดดังขึ้นเมื่อนักแสดงสองคนตกเวที ยังโชคดีที่ประจวบกับการแสดงจบลงพอดีทำให้มีคนเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่กี่คน

เสียงปรบมือดังขึ้น การแสดงชุดต่อไปพร้อมขึ้นเวที สวนทางกับนักแสดงที่เพิ่งแสดงจบวิ่งลงจากเวทีด้วยท่าทางเร่งรีบ

“วีร์ วีร์”

“วีร์ เป็นอะไรรึเปล่า” เพื่อน ๆ รุ่นพี่วิ่งลงมาข้างเวที เห็นปฐวีร์นั่งกุมข้อมืออยู่ มีปิ่นอนงค์นั่งเงียบอยู่

“โอ๊ย รู้สึกเจ็บข้อมือนิดหน่อย”

“แล้วเต้นกันอีท่าไหน ทำไมถึงได้ตกลงพร้อมกัน” คำถามรุ่นพี่เล่นทำให้ทุกคนเงียบ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง

“เป็นผมเองครับ ตอนท่าสลับตำแหน่งไปสะดุดกับสายไฟเข้า พอดีปิ่นอยู่ตรงนั้นด้วยเลยตกลงมาพร้อมกัน” ปฐวีร์อธิบาย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง ทุกคนหันไปมองปิ่นอนงค์ที่นั่งเงียบ เธอพยักหน้าเป็นการยอมรับว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะ

อุบัติเหตุ รุ่นพี่รับทราบไม่มีใครเป็นอะไรมากสั่งให้แยกย้ายกันไป และไม่ลืมฝากให้คนพาปฐวีร์ไปหาหมอ เพื่อน ๆ อาสารีบพา

ปฐวีร์ไปหาหมอเพราะข้อมือเหมือนจะบวมขึ้น

ปิ่นอนงค์ยืนมองคนที่ตกลงมาจากเวทีพร้อมกันด้วยอารมณ์หงุดหงิด ทำไมทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ เธอตั้งใจจะขัดขาให้

ปฐวีร์ตกจากเวทีคนเดียวแต่เธอกลับตกลงมาด้วย มีอีกเรื่องที่เธอไม่เข้าใจทำไมปฐวีร์ถึงบอกทุกคนว่าเป็นอุบัติเหตุ ถ้าคิดจะทำดี

กับเธอ คงคิดผิดเธอไม่ยอมรามือแน่นอน ครั้งนี้ฝากไว้ก่อน

ประตูห้องถูกผลักเข้าไปช้า ๆ เหมือนกำลังระแวงระวังกลัวว่าจะมีใครเห็นเข้า ไฟในห้องปกติจะเปิดขึ้นอัตโนมัติแต่กลับไม่มีอะไร

เกิดขึ้น ชายฉกรรณ์สี่คนเดินเข้าไปในห้อง พวกมันกวาดสายตาจนทั่วหาที่หลบรอเจ้าห้องกลับมา

เสียงสัญญาณเตือนบนโทรศัพท์อยู่ในกระเป๋าดังขึ้นสองสามครั้ง เรียกร้องความสนใจให้คนกำลังนั่งรอรับยาหยิบมันออกมา นิ้ว

เรียวจิ้มที่โปรแกรมบนหน้าจอ แล้วภาพถ่ายทอดสดจากกล้องในห้องที่ติดไว้ก็ปรากฏบนหน้าจอ ในห้องเห็นแขกไม่ได้รับเชิญ

เข้าไปในห้อง ท่าทางเหมือนกำลังรอใครสักคนอยู่ รู้สะด้วยว่าวันนี้เขาต้องกลับดึก ไม่รู้ว่าถ้ามีข่าวออกไปว่าคอนโดมิเนียมชื่อดัง

ระบบรักษาความปลอดภัยไม่ดีไม่รู้อะไรจะเกิดบ้าง ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นใครต้องการอะไร และใครเป็นคนส่งมา แต่ก็พอจะเดาได้

ว่าพิศนภาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย เขาปิดภาพที่ส่งตรงมาจากกล้องแล้วเลื่อนหาเบอร์ติดต่อแล้วกดออก

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้เรารับใช้คะ”

“สวัสดีครับผมปฐวีร์ โทรมาจากห้อง 1779 พอดีอยู่ ๆ ไฟในห้องก็เสีย ยังรบกวนให้คนไปดูให้ได้ไหมครับ พอดีผมต้องทำงานส่งอาจารย์พรุ่งนี้”

“ค่ะ ทางเราจะส่งช่างขึ้นไป”

“รบกวนด้วยนะครับ”

“ค่ะ”

“วีร์ ไฟที่ห้องเสียเหรอ”

“อืม เหมือนจะเป็นยังงั้น”

“นี่ได้ยาแล้วนะ ซองนี้เป็นแก้ปวด แก้อักเสษ”

“ขอบใจทุกคนนะ”

“ไม่มีอะไรแล้ว งั้นพวกเราไปหาอะไรกินกันดีกว่าพอดีวีร์ยังไม่เล่าเรื่องอุบัติเหตุให้พวกเราฟังเลย”

“ใช่ น้ำขิงเองก็หิวแล้วด้วย” เธอลูบพุงไปมาเพราะกลัวว่ากินก่อนแสดงจะทำให้เจ็บท้อง แต่พอใช้แรงไปเยอะตอนนี้ท้องเลยส่ง

เสียงร้อง ทุกคนเห็นด้วยมัวแต่ตื่นเต้นจนลืมหิว และที่จริงต่างอยากฟังเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ว่าความจริงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่

พวกเขาคิดว่าแน่นอนมันไม่ใช่เป็นอุบัติเหตุ

ออกมาจากโรงพยาบาลก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว แต่ยังโชคดีที่มีร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางเปิดอยู่ พวกเขารีบไปนั่ง สั่งก๋วยเตี๋ยวพิเศษคนละ

ถ้วยพร้อมน้ำอัดลมคนละขวด แล้วรอให้คนนั่งหัวโต๊ะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ปฐวีร์ทำเป็นไม่สนใจสายตาเพื่อนทั้งโต๊ะมองมา กิน

ก๋วยเตี๋ยวอย่างใจเย็น ทุกคนต่างรู้ว่ากำลังถูกแกล้งต่อมอยากรู้อยากเห็นกำลังทำงานเต็มที่ แต่เจ้าตัวไม่ยอมเล่าที่ทำได้ก็คือนั่ง

กดดันเท่านั้น

“ก็ได้ เล่าก็ได้” เขายอมแพ้ในที่สุด

“ก็แค่นี้ เล่นตัวอยู่ได้”

“แต่มีข้อแลกเปลี่ยน”

“อะไร” ทุกคนพูดเกือบพร้อมกัน ปฐวีร์ยิ้มกว้างแบบที่ไม่ค่อยได้ยิ้มออกมาบ่อย ๆ

น้ำขิงเห็นรอยยิ้มหวาน ๆ นั้นรู้สึกว่าเธอกำลังถูกเพื่อนขโมยหัวใจไป

วจีรู้สึกอยากขย้ำอีกฝ่ายแต่ก็ท่องไว้ในใจว่า เพื่อน เพื่อน กายกับพีรพัฒน์ก็เหมือนรู้สึกรอยยิ้มกระแทกใจ ปฐวีร์หว่านเสน่ห์แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกแล้ว

“ลูกชิ้นเราหมดแล้ว แต่เรายังไม่อิ่มเลย” ทุกคนได้ฟังแล้วก็เข้าใจยอมยกลูกชิ้นให้คนละลูก ปฐวีร์มองลูกชิ้นที่เพิ่มขึ้นมาในถ้วยอย่างดีใจ นี่แหละน้าอำนาจของความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นเขาเริ่มเล่าเรื่องเป็นฉาก ๆ

“พอจังหวะตอนสลับที่ เราถูกเท้าใครสักคนขัดเลยบังเอิญคว้าปิ่นลงไปด้วย ก็แค่นั้น”

ไม่เชื่อ สายตาทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกัน ตาปฐวีร์เป็นประกายเมื่อเห็นสิ่งที่แสดงออกมาจากดวงตาของเพื่อน

“ส่วนจะเป็นขาใครนั้น ก็คง เป็นคนที่ต้องเปลี่ยนที่กับเรา ละมั้ง”

“อ้อ” ทุกคนพูดออกมาแทบพร้อมกัน เหมือนจะคิดไว้อยู่แล้วว่าใครเป็นต้นเหตุ ได้ฟังเรื่องทั้งหมดทุกคนก็เข้าใจแล้วสั่งก๊วยเตี๋ยวเพิ่มอีกคนละถ้วยกินอย่างมีความสุข โดยไม่มีเรื่องให้ค้างคาใจอีกแล้ว

หลังจากปฐีวีร์แจ้งให้เจ้าหน้าที่คอนโดมิเนียมให้ช่างขึ้นไปดูไฟในห้อง เจ้าหน้าที่รีบดำเนินการ

“มีอะไร”

“เอ่อ คือคุณปฐวีร์ ห้อง 1779 แจ้งมาว่าไฟในห้องเสียดิฉันเลยจะแจ้งช่างค่ะ”

“ไฟเสีย เดี๋ยวฉันไปจัดการเอง เธอไปทำอย่างอื่นเถอะ” มินตราหัวหน้าฝ่ายทั่วไปไล่พนักงานให้ไปทำอย่างอื่น เมื่อไม่มีใครอยู่แถวนั้นเธอรีบติดต่อหาพิศนภา กลัวว่าแผนที่วางไว้จะมีปัญหา” คุณพิศหรือคะ เหมือนจะมีอะไรผิดพลาด”

“ว่ายังไงนะ”

“มันโทรมาแจ้งเจ้าหน้าที่บอกว่าในห้องไฟเสียเมื่อสิบนาทีที่ผ่านนี่เองค่ะ”

“เป็นไปไม่ได้ หรือว่าพวกนั้นจะเข้าห้องผิด”

“ดิฉันบอกหมายเลขห้องพวกมันเองไม่ทางผิด”

“ไม่ได้เรื่อง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด มันจะยังโทรศัพท์ลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง แค่นี้แหละเธอขึ้นมาเจอฉันที่หน้าห้องมันเดี๋ยวนี้” วางสายไปแล้วเธอรีบเดินออกจากห้องทันที นึกแล้วเชียวพวกนี้ไว้ใจไม่ได้ทำงานไม่ได้เรื่องสุดท้ายเธอก็ต้องเป็นคนลงมือเอง กดลิฟต์โดยสารลงชั้น 7 ออกจากลิฟต์เดินวนไปด้านตะวันออกก็เห็นหมายเลขห้อง 1779

มินตรายืนรอได้เกือบห้านาที ก็ยังไม่เห็นหน้าใครโผล่มาสักคน เธอจึงตัดสินใจไปยืนอยู่หน้าห้องแนบหูที่ประตู อยากรู้ว่าในห้อง

มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า แต่ทุกอย่างกลับเงียบเธอแนบหูฟังอีกครั้งทุกอย่างยังเงียบเหมือนเดิม อะไรกัน อย่าบอกนะแผนของเธอผิด

พลาดจริง ๆ เธอลองเคาะประตูหน้าห้อง เคาะสองสามครั้งก็ยังเงียบ เธอตัดสินใจใช้คีย์การ์ดพิเศษที่ถือติดมือมาเปิดเข้าไป

ทันทีที่ประตูเปิดออกเธอก็ถูกมือใครสักคนกระชากเข้าไปด้านใน

“ใคร” เธอพยายามตั้งสติคิดว่าเป็นพวกที่เธอให้มินตราจ้างมา “โอ๊ย” เธอร้องเมื่อถูกผลักลงบนเตียง

“พวกแกเข้าใจผิด ฉันไม่..” เสียงร้องปฏิเสธขาดหายไปเมื่อมีกำปั้นทุบที่ลงท้อง ร่างกายที่พยายามขัดขืนดิ้นรนเมื่อครู่หยุดลง
ทันที พิศนภากอดตัวเองในความมืดอุณหภูมิในร่างกายลดลง พวกมันเห็นเหยื่อเงียบลง รีบลงมือกลัวว่านานไปแผนจะผิดพลาด แค๊วก เสียงฉีกทึ้งเสื้อผ้าบนร่างกายเธอ อีกสองคนขึงร่างกายหมดแรงไว้บนเตียง

“ไม่..” เธอตื่นกลัวกับการกระทำของพวกมัน พยายามดิ้นรนขัดขืน

“ยังมีแรงพูดอีกแฮะ”

“จะดีเหรอพี่ เขาจ้างให้แค่มาขโมยของกับ ซ้อมแค่นั้น” หนึ่งในชายสี่คนพูดถึงจุดประสงค์ของการเข้าในห้องนี้อีกครั้ง

ชายอีกคนเถียงขึ้นพร้อมด้วยอารมณ์หงุดหงิด “ขโมยของ แกดูสิในห้องไม่มีอะไรสักอย่าง อย่างน้อยเข้ามาแล้วก็น่าจะได้อะไร
ไปบ้าง คิดซะว่าเป็นค่าเสียเวลา”

“รีบทำเถอะกูรอนานแล้ว ถ้ามึงไม่ทำก็ถอยออกไป”

น้ำตาเธอเริ่มไหลออกมา ทั้งอายทั้งเจ็บรู้สึกแค้นเมื่อคิดว่ามินตราเป็นคนหักหลังเธอ สมองกำลังคิดหลายอย่าง อยู่ ๆ ร่างกาย

บริเวณช่วงล่างก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาพร้อมเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังเป็นจังหวะ ไม่พอพวกมันอีกสองดึงมือของเธอทั้งสองข้างไป

เรื่องบ้า ๆ เธอพยายามจะส่งเสียงด่ากลับถูกบีบคางให้อ้าปากกว้างมีสิ่งไม่คาดคิดเข้าไป เธอทั้งรู้สึกขยะแขยงและอยากจะอ้วก

“ถ้ามึงกัดกูเอามึงตาย” เธอไม่แรงขัดขืนได้แต่ปล่อยให้พวกมันทำตามที่ต้องการ คนแล้วคนเล่าจนเธอสลบไป

“ไปโว้ยเรียบร้อยแล้ว”

พวกมันทยอยออกจากห้อง เดินไปข้างล่างใช้ทางหนีไฟเหมือนตอนที่ขึ้นมา

“พี่มินตราไปไหนมาคะ พอดีหนูซื้อมื้อดึกมาฝาก”

“อ้อ พี่ขึ้นไปดูความเรียบร้อยข้างบน ขอบใจ”

“ค่ะ”

มินตราฝากงานให้คนอื่นทำแล้วเข้าไปพักในห้อง รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างเมื่อขึ้นไปแล้วไม่เจอพิศนภาทั้งที่เป็นคนเรียกเธอขึ้นไป

แค่ขึ้นไปช้าหน่อยเพราะงานมีปัญหานิดหน่อย แต่ก็ไม่น่าจะใจร้อนหนีกลับขึ้นห้อง ไม่รวยมั่งให้มันรู้ไป เอาเถอะไว้ค่อยว่ากัน

ตอนนี้ขอกินอะไรก่อนแล้วกัน



**************************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 7 [21/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 21-09-2018 12:09:43
ติดตามอ่านนะค๊ะ พิศนภาเป็นแค่เพื่อนน้องสาวเท่านั้น ยังร้ายขนาดนี้
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 8 [22/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 22-09-2018 11:30:33

ตอนที่ 8
[/size]


เช้าอีกวัน เป็นวันอากาศดีท้องฟ้าค่อนข้างปลอดโปร่ง ปฐวีร์หลับสบายอยู่บนเตียง ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้น เห็นแสง

สว่างลอดผ่านเข้ามาตรงที่เป็นรอยต่อผ้าม่าน มือขาวควานหาโทรศัพท์ที่วางอยู่บนตู้ข้างเตียงเพื่อดูเวลา

7.30 เช้าแล้วเขาลุกจากเตียงบิดขี้เกียจ หยิบผ้าเช็ดตัวเดินงัวเงียเข้าห้องน้ำ

ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเขาก็อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย จากนั้นคว้ากระเป๋าสะพายออกจากห้องตรงไปที่คอนโดมิเนียมเดิม ระหว่าง

ทางไม่ลืมเปิดดูกล้องบันทึกภาพในห้อง เขาเห็นคนที่นอนสลบอยู่บนเตียงยังไม่มีท่าทางจะตื่น แน่แหละก็เล่นตั้งสี่คน กว่าพวก

มันจะออกจากห้องไปก็ตี 3 ไปแล้ว เป็นช่วงเวลาคนกำลังหลับสนิท กล้องบนหัวเตียงถ่ายให้เห็นทุกอย่างในห้องได้ชัดเจนจนน่า

ตกใจ ที่จริงเขาอยากส่งพวกมารสังคมเข้าคุกแต่แค่ภาพเท่านี้ และแน่นอนไม่มีเจ้าทุกข์ก็ทำอะไรไม่ได้ เอาไว้ให้พิศนภาเป็นคน

ลงมือเองน่าจะดีกว่า

รถแท็กซี่จอดหน้าคอนโดมิเนียม เขาเข้าไปข้างใน เห็นมินตราเขาส่งยิ้มทักทายให้ แต่พอเธอเห็นชัดว่าเป็นใครที่เพิ่งเดินเข้าไป

ในลิฟต์โดยสาร เธอถึงกลับหน้าซีด และไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ในเมื่อพวกมันโทรมาบอกว่าจัดการทุก

อย่างเรียบร้อยแล้ว แล้วที่เธอเห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ปฐวีร์แล้วจะเป็นใคร

เขากดรหัสรูดการ์ดผลักประตูเข้าไป ในห้องมีรอยรองเท้าเต็มไปหมด เขาเดินตรงไปที่ห้องนอน หยุดเท้าลงข้างเตียงเห็นสภาพ

คนนอนบนเตียง มองผู้หญิงใจร้ายพยายามทำร้ายเขาทั้งที่เขาไม่เคยทำอะไรเธอเลยแม้แต่ความคิด เธอโตมากับครอบครัวแบบ

ไหนถึงได้มีจิตใจชั่วร้ายแบบนี้ สามารถทำร้ายคนอื่นได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาเห็นสภาพเธอตอนนี้คงรู้สึกสงสาร แต่ตอนนี้ไม่ใช่

ภาพตรงหน้าแทบไม่กระทบความรู้สึกเขาเลย

“ฮ่า ฮ่า”

แต่แล้วเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า แววตาสีหน้าเต็มไปความรู้สึกสมน้ำหน้า พร้อมกับความรู้อัดอั้นลึก ๆ อยู่ข้าง

ในระเบิดออกมากลายเป็นน้ำตา เพราะถ้าไม่ใช่เธอก็ต้องเป็นเขาที่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ เขาเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาร่างกายสั่นเบา ๆ

ถ้าเขาไม่บังเอิญเห็นความฝันพวกนั้นไม่อยากคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา เขากอดตัวเองแน่นเพื่อปลอบตัวเองอย่างน้อยตอนนี้เขาก็

สามารถเปลี่ยนอนาคตได้แล้ว เขาทำมันได้ ปาดน้ำตาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อปรับอารมณ์ เขาหวังว่าครั้งนี้จะเป็นบทเรียนที่ดี

สำหรับพิศนภา เธอจะได้ไม่คิดเที่ยวไปทำร้ายคนอื่นไปทั่ว แล้วสมองก็เรื่องคิดอะไรได้ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

”ชอบทำร้ายคนอื่นดีนักใช่ไหม แชะ แชะ”

ภาพไม่น่าดูปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ พร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะพอใจของปฐวีร์ หัวเราะไม่ทันไรท้องก็รู้สึกปั่นป่วนจน

ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำ และอาเจียนออกมา ไม่รู้เพราะเห็นภาพน่ารังเกียจนั่นหรือสะอิดสะเอียนกับความคิดตัวเองกันแน่

เขาหอบหายใจเมื่ออาเจียนแทบไม่มีอะไรออกมา เปิดน้ำล้างหน้าล้างปาก เดินหมดแรงออกมาจากห้องน้ำ แล้วติดต่อเจ้าหน้าที่

ให้มาจัดการทุกอย่างในห้อง

“สวัสดีครับ พอดีผมอยากได้แม่บ้านขึ้นมาความสะอาดห้องครับ” วางสายแล้ว เลื่อนผ้าห่มห่มให้คนไม่ได้สติ


สองชั่วโมงต่อมาพิศนภาก็มาอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ในห้องพิเศษโซนในสุด หน้าห้องไม่มีชื่อผู้ป่วยติด มีแค่ป้ายห้าม

เยี่ยม ในห้องมินตรานั่งเงียบอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าท่าทางบอกว่ากำลังวิตกกังวล เธอนึกถึงเรื่องที่พึ่งเกิดไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

เมื่อเธอเป็นคนพาพิศนภาในสภาพน่าสงสารมาส่งที่โรงพยาบาล ทันทีที่มาถึงเธอเล่าเรื่องจริงบางส่วนเพื่อป้องกันเรื่องไปถึงหู

ตำรวจ และขอร้องให้หมอปิดเรื่องไว้ รวมไปถึงทั้งชื่อคนป่วยก็ถูกปิดเป็นความลับ

ในตอนนั้นปฐวีร์โทรมาบอกว่ายากได้พนักงานทำความสะอาด เธออดคิดไม่ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบนนั้นทำให้ต้องรีบขึ้นไปทันที

พอขึ้นไปถึงเห็นประตูห้องถูกเปิดไว้อยู่แล้ว เข้าไปข้างในเห็นเจ้าของห้องอยู่นั่งอยู่โซฟาและบอกให้เธอจัดการในห้องนอนให้

เรียบร้อย เธอเดินตรงเข้าไปในห้องเห็นผู้หญิงคนหนึ่งบนเตียง เธอพยายามมองให้ชัดถึงได้รู้เป็นใคร พอเลื่อนผ้าห่มออกจากตัว

พิศนภาหัวใจเธอแทบจะหยุดเต้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วคำพูดของคนที่เธอจ้างวานก็ผุดขึ้นมา มันบอกว่าทำทุกอย่าง

เรียบร้อย เธอกลืนน้ำลาย ไม่ต้องคิดอะไรอีกเธอรีบหาเสื้อผ้าในห้องนั้นสวมให้คนนอนไม่ได้สติและแบกขึ้นหลังออกห้องนั้น

ทันที แต่ก่อนออกมาได้เหลือบไปมองปฐพีเพื่อดูปฏิกิริยา เธอยังจำสายตาของเขามองมาที่เธอทำให้ขนลุกเสียวสันหลัง ไม่พอ

ยังมีคำพูดที่ทิ้งไว้ให้คิดนั่นอีก

“คุณจะปิดเรื่องนี้เงียบหรือป่าวประกาศให้คนอื่นก็แล้วแต่คุณ แต่อย่าลืมครอบครัวของพิศนภา ไม่มีทางปล่อยคุณไปแน่”

เธอไม่ได้อยากทำเรื่องแบบนี้เป็นพิศนภาต่างหากที่บังคับให้เธอทำ

“อือ” เสียงคนนอนบนเตียงรู้สึกตัวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองเพดานสีขาวเหมือนกำลังคิดอะไร

“คุณรู้สึกตัวแล้ว”

“แก แกเป็นคนทำให้ฉันเป็นอย่างนี้ แก..” พิศนภาระเบิดเสียงออกมา จ้องหน้ามินตราเขม็ง

“ตะโกนออกมาต้องการให้คนทั้งโลกรู้รึไง” มินตราเตือนอีกฝ่าย เหมือนจะได้ผล พิศนภาหยุดแทบทันที แล้วซุกหน้าลงบน

หมอนสีขาวสะอาดกัดริมฝีปากแน่น ปล่อยโฮออกมา ใช้กำปั้นทุบบนเตียงเหมือนเตียงมันมีความผิด มินตราเห็นแล้วได้แต่เบือน

หน้าหนี ทุกอย่างเป็นเพราะพิศนภาคิดทำร้ายคนอื่นผลเลยออกมาแบบนี้ มันสมควรแล้ว เธอรู้สึกดีใจที่เรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับ

เธอ เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้วพูดปลอบใจก็ไปก็เท่านั้น แค่เตรียมรอรับผลที่ตามมาก็พอ เธอถอนหายใจ เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้

เธอเดินออกมาจากห้องเงียบ ๆ ปล่อยให้พิศนภาใช้เวลาอยู่คนเดียว

กว่าจะทำความสะอาดห้องเรียบร้อยเหมือนเดิมก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว ห้องถูกเปิดไว้ชั่วคราว อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่คิดจะกลับ

ไปอยู่ที่นั่น เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปทำให้เขารู้จักระวังตัวมากขึ้น ทำอะไรต้องรอบคอบกว่าเดิม แต่อย่างน้อยระยะนี้อาจไม่มีอะไร

ให้ต้องกังวลไปสักพักคิดว่าอย่างนั้นนะ เขากลับมาถึงห้องท้องฟ้าเริ่มมืด เข้ามาในห้องไฟสว่างขึ้นอัตโนมัติ วางถุงของกินมื้อ

เย็นบนโต๊ะ เดินเข้าห้องหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ อารมณ์หลากหลายไหลไปตามสายน้ำทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก คิด

ทบทวนเรื่องราวที่เจอเมื่อเช้า จิตใจคนนั้นน่ากลัวชะมัด

เขาทำอะไรไม่ได้ตอนนี้ทำได้แค่ต้องเข้มแข็งและผ่านมันไปให้ได้ เพราะดูเหมือนทุกอย่างมันแค่เริ่มต้นเท่านั้น เขาจะต้องไม่แพ้

และต้องไม่เป็นคนที่ตายอย่างสมเพชอย่างนั้น เขาใช้กำปั้นทุบผนังห้องน้ำเพื่อระบายอารมณ์โกรธแค้น จนรู้สึกแสบที่นิ้วแล้วก็มี

เลือดซึมออกมา เห็นเลือดสีแดงซึมออกมาทำให้เขารู้ว่าตัวเองยังเป็นคนไม่ได้เป็นสัตว์ที่ไม่มีหัวใจ ลึก ๆ ในใจยังรู้สึกผิดกับสิ่งที่

เกิดขึ้นกับพิศนภา แต่เขาไม่สามารถใจอ่อนได้ สายน้ำตกลงหลังมือล้างเลือดที่ซึมออกมา จากนั้นก็ปิดน้ำดึงผ้าเช็ดมาพันรอบ

เอวแล้วเดินออกจากห้องน้ำ

หลังจากอาบน้ำเสร็จทำให้เขารู้สึกสมองโล่ง บางทีคืนนี้เขาอาจจะต้องพึ่งยานอนหลับ หลายครั้งเคยคิดที่จะทำอย่างนั้น แต่นั่น

เป็นแค่การหนีเป็นความคิดของคนขี้แพ้ เขาต้องเรียนรู้ เผชิญทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาเดินออกจากห้องมานั่งที่โซฟาแล้วหยิบ

กล่องปฐมพยาบาลออกมา แผลที่มือมีเลือดซึมออกไม่หยุดเขาล้างแผล ใช้ปลาสเตอร์ปิดแผลเรียบร้อย ก็หยิบหนังสือนิยาย

กำลังภายในที่เพิ่งซื้อติดมือมาอ่าน นี่น่าจะเป็นยานอนหลับอย่างดี และเปิดดนตรีเบา ๆ เป็นเพื่อน นิ้วเรียวไล่เปิดหนังสือไปทีละ

หน้า อ่านหนังสือไปทีละตัวอย่างใจเย็น ตัวหนังสือบนหน้ากระดาษทำให้เขารู้สึกสนุกเพลิดเพลินจนหลงลืมอะไรหลายอย่างไป

ชั่วคราว ขณะที่จมอยู่กับตัวหนังสือเวลาก็ผ่านไปช้า ๆ แต่เหมือนมีคนรู้ว่าเขากำลังอารมณ์ดีมีความสุขเกินไป เสียงสัญญาณ

เตือนโซเชียลเอฟของหน้าต่างคุยส่วนตัวดังขึ้น คนกำลังมีสมาธิกับหนังสือนิยายกำลังภายใน และถึงช่วงที่พระเอกกำลังได้รับ

เคล็ดลับวิชาและพยายามฝึกฝนมันอย่างหนัก เขาหันไปมองหน้าจอโทรศัพท์มีแสงสว่างวาบขึ้น ให้ตายใครส่งข้อความมากวน

ตอนนี้ พระเอกกำลังจะเก่งอยู่แล้วเชียว เสียงเตือนดังขึ้นอีกครั้ง เขาปิดหนังสือลงแล้วหันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา น้ำขิง วจีส่ง

ข้อความเข้ามา เปิดเข้าไปอ่านข้อความที่ส่งมา

น้ำขิงเองจะใครซะอีก : มีคนมาป่วนในโซเชียลเอฟ

I am VV : ใคร

น้ำขิงเองจะใครซะอีก : ลองเข้าไปดูแล้วเหมือนผู้ใช้รายใหม่

Do U Know วจี : คงสมัครมาเพื่อก่อกวนเฉพาะ

I am VV : ท่าทางเราจะเป็นคนสำคัญถึงทำให้คนนั้นลงทุนขนาดนี้

น้ำขิงเองจะใครซะอีก : ทำใจเย็นไป

Do U Know วจี : เราช่วยถล่มเปล่า แบบกำลังว่าง

น้ำขิงเองจะใครซะอีก : เราด้วย ไม่ชอบคนแบบนี้ว่าคนอื่นไปทั่ว ตัวเองดีอยู่คนเดียว

I am VV : ปล่อยเขาไป แค่แมลงอิเล็กทรอนิกส์ แค่บินมาส่งเสียงให้รำคาญเท่านั้น

น้ำขิงเองจะใครซะอีก : อืม

Do U Know วจี : มีอะไรก็บอก

กดปิดหน้าต่างสนทนาส่วนตัวลง เข้าไปหน้าหลักมีหลายคนเข้ามากดชอบรูปถ่ายที่ลงไม่นาน รวมทั้งแสดงความคิดเห็น ดู

เหมือนว่าชีวิตเขาจะมีคนให้ความสนใจเยอะทีเดียว ไล่สายตาอ่านข้อความแสดงความเห็นใต้รูปจนไปเห็นข้อความหนึ่ง

IamAngel#ตอแหล#สร้างภาพ

อืม น่าจะเป็นคนนี้ที่ติดตามชีวิตเขาเป็นพิเศษ นี่คงเป็นอีกข่าวที่ไม่ดี กระแสโซเชียลที่ไร้พรมแดน บางคนขาดวิจารณญาณใน

การอ่านแค่พิมพ์ตัวหนังสือลงไปไม่กี่ตัวก็เชื่อไปหมด เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วโพสต์รูปถ่ายสองสามรูปลงไป เท่านี้คงจะพอ

ช่วยให้อะไรดีขึ้นบ้าง

คนที่กำลังสนุกกับป่วนคนอื่น เมื่อเห็นรูปถ่ายที่เพิ่งถูกโพสต์ลงต้องหุบยิ้มลงแทบทันที

“ไอ้วีร์แก....”

ปิ่นอนงค์ทำอะไรไม่ได้เมื่อภาพมันขัดแย้งกับข้อความที่เธอเขียนลงไปก่อนหน้า

“คอยดูเถอะมันไม่จบแค่นี้แน่” อารมณ์ดีเมื่อครู่หายไป เธอรีบปิดโน้ตบุ๊กลงทันที


ในห้องนอนกว้างถูกตกแต่งไว้ด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง เจ้าของห้องกำลังนั่งเช็ดทำความสะอาดเครื่องเพชรที่เพิ่งหยิบออกมา

จากกล่องกำมะหยี่ เธอเช็ดทำความสะอาดอย่างมีความสุข ในใจคิดถึงงานสังคมครั้งล่าสุดที่เธอเพิ่งไปมา ถึงตอนนี้เธอจะเป็น

ใหญ่ในบ้าน เป็นรองแค่สามี ได้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่สิ่งที่ต้องการที่สุดคือทะเบียนสมรสสมควรที่จะได้สามีเธอกลับบ่ายเบี่ยง

ตลอดไม่รู้เพราะอะไร

“คุณแม่ทำอยู่อะไรคะ”

“เตรียมเครื่องเพชรจะออกงานเปิดตัวสินค้าใหม่ของคุณหญิงเฉิดฉายน่ะลูก”

“อ้อ พอดีเลยค่ะพิมพ์อยากได้รองเท้าคู่ใหม่”

“แล้วคู่เก่าล่ะลูก”

“มันตกรุ่นไปแล้วค่ะ พิมพ์อยากได้คู่ใหม่”

“เท่าไหร่ล่ะ” พิมพ์รตารีบส่งโทรศัพท์ที่มีรูปรองเท้าและราคาให้ดู “7หมื่น”

เธอพยักหน้า เป็นคู่ที่ราคาถูกที่สุดแล้ว “ค่ะ สวยใช่ไหมคะ”

“มันไม่แพงไปหรือคะ”

“ไม่หรอกค่ะ คุณแม่ซื้อให้พิมพ์นะคะ นะคะ” เธอพยายามพูดออดอ้อนเสียงหวานเหมือนทุกครั้ง และครั้งนี้ก็ได้ผลเมื่อคุณนาย
รองยอม

“แล้วพี่ชายเราล่ะ แม่ไม่เห็นหน้ามาหลายวันแล้ว ไม่รู้ช่วงนี้งานยุ่งรึเปล่า”

“เพิ่งเมากลับมาค่ะ บ่นว่าทำงานเหนื่อยอะไรประมาณนี้ค่ะ” เธอตอบอย่างไม่ใส่ใจเพราะกำลังรีบสั่งซื้อรองเท้าก่อนที่แม่จะ
เปลี่ยนใจ

“เข้าไปทำงานแรก ๆ ก็เหนื่อยเป็นธรรมดา”

“ถึงพี่ชายขยัน หึ แต่ถึงอย่างนั้นคุณพ่อก็ยังคิดอยากให้ไอ้วีร์ไปช่วยงาน” คุณนายรองนั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออกได้แต่พยักหน้า

ยอมรับ ทั้งแม่ทั้งลูกขัดขวางความสุขของเธอแม่ตายลงนรกไปแล้วยังเหลือลูกของมันที่ยังอยู่คอยขัดขวางความสุขของเธอ

บางทีเธอควรจะทำอะไรสักอย่าง


ตอนสายวันหยุดอีกวันปฐวีร์เพิ่งเดินงัวเงียออกจากห้องนอน เมื่อคืนกว่าจะนอนหลับก็เกือบเช้า เพราะนิยายกำลังภายใน

แฟนตาซีที่ซื้อมาสนุกจนวางไม่ลงเผลอแผล็บเดียวหกโมงเช้าแล้ว เขาเดินลูบท้องแฟ่บที่กำลังส่งเสียงร้องตรงไปที่ตู้เย็น เมื่อ

เปิดตู้เย็นสายตาก็มองหาของกินไปทั่ว มีน้ำเปล่า นม น้ำผลไม้ ไข่ไก่ 2-3 ฟอง บาโลน่า เบค่อนอย่างละแพคกำลังจะหมดอายุ

อีกสองสามวัน ในชั้นใส่ผักมีผักกาดแก้วที่หมดอายุไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ยังมีมะเขือเทศที่เริ่มเหี่ยวและหอมหัวใหญ่อีก ทำไม

ของที่อยู่ในตู้มันดูน่าสงสารอย่างนี้ แต่ที่น่าสงสารกว่านั้นคือเขาต้องเป็นคนกิน ช่างเถอะดีกว่าไม่มีอะไรกิน ยืนใช้ความคิดสักพัก

แล้วขนทุกอย่างออกมา เอาเป็นว่าทำแซนด์วิชแล้วกัน เขาเริ่มจากล้างผักและหั่นให้เรียบร้อย เปิดเตาไฟฟ้าวางกระทะลงไป

ปล่อยให้กระทะร้อนเติมน้ำมันเล็กน้อย เพื่อวอร์มกระทะจากนั้นตอกไข่ลงไปสองฟอง แล้วแกะบาโลน่า เบค่อนออกมาจากซอง

วางลงไปในกระทะ วางขนมปังที่ทาน้ำสลัดผสมทูน่ามาวางไว้บนจาน ทุกอย่างบนกระทะสุกส่งกลิ่นหอมปิดไฟ วางเบค่อนลงบน

ขนมปังสลับกับมะเขือเทศหั่นเป็นแว่น บาโลน่าหัวหอมใหญ่หั่นแว่น ไข่ดาวผักกาดแก้ว ประกบด้วยขนมปังทาน้ำสลัดผสมทูน่า

อีกชิ้น เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย เขาถือจานที่มีแซนด์วิชและแก้วน้ำผลไม้ไปนั่งหน้าโทรทัศน์หยิบรีโมตเปิดดูรายการสำหรับเด็ก

อย่างการ์ตูน กำลังอร่อยกับแซนด์วิชชิ้นสุดท้าย ครืน ครืน โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“สวัสดี ว่าไงดล”

“เย็นนี้ว่างไหม ไปเที่ยวกันเดี๋ยวไปรับ”

“ไปเที่ยว เที่ยวไหน”

“ไปเปิดหูเปิดตาสองคนนั้นก็ไป ตอนเย็นไปรับ”

เปิดหูเปิดตาคำนี้ฟังแล้วน่าสนุก ไหน ๆ ตอนเย็นก็ว่างไม่มีอะไรทำ “ได้ แต่เราย้ายที่อยู่นะเดี๋ยวแผนที่ให้”

“อืม แล้วเจอกัน”

วางสายจากเพื่อนไปแล้วเขานอนแผ่บนโซฟา พอท้องอิ่มหนังตาก็รู้สึกหนักขึ้นมาดื้อ ๆ บางทีเขาน่าจะหลับสักหน่อย เขาปิด

โทรทัศน์แล้วเดินหาวเข้าห้องนอน


******************************************************

โปรดติดตามตอนไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 9 [22/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 22-09-2018 22:10:14

ตอนที่ 9
[/size]

รถยุโรปคันเล็กเลี้ยวเข้าจอดในลานจอดรถแห่งหนึ่ง บนลานกว้างมีรถหลายคันจอดเรียงกันอยู่เยอะจนดูคับแคบลง ปฐวีร์เดินตาม

เพื่อนเข้าไปในร้านอาหารกึ่งผับบรรยากาศน่านั่ง บริเวณด้านหน้าของร้านมองจากด้านนอกเหมือนเป็นบ้านทั่วไป ตกแต่งด้วย

ต้นไม้ขนาดกลางไปจนถึงขนาดเล็ก บริเวณลานด้านนอกมีโต๊ะเก้าอี้หลายชุดสำหรับคนชอบสัมผัสธรรมชาติ

มองไปอีกฝั่งจะมีสนามหญ้ากว้างพอประมาณ มีพุ่มไม้ถูกตัดแต่งเป็นรูปร่างต่าง ๆ และไฟสนามเปิดไว้เป็นจุดให้มองเห็น ตึก

กระจกสองชั้นสามารถมองผ่านเข้าไปด้านใน บริเวณนี้ทั้งหมดเป็นร้านอาหารสำหรับคนชอบบรรยากาศสบาย ด้านหลังตึกกระจก

ยังมีผับที่สามารถจุคนได้ร้อยกว่าคน และชั้นบนเป็นห้องพักหลายสิบห้องสำหรับนักเที่ยวที่ต้องการพักหรือสานต่อ

คืนวันหยุดสุดท้ายนักเที่ยวนักดื่มยังทยอยเข้ามาเรื่อย มีทั้งเป็นกลุ่มเพื่อน เป็นคู่ พูดคุยหัวเราะเดินสวนผ่านไปมา ปฐวีร์เดินตาม

ไปเงียบ ๆ ทางค่อนข้างแคบลงเรื่อย ๆ จนทะลุมาถึงทางเดินเชื่อมไปอีกตึกที่แยกออกมา

โซนวีไอพีป้ายทางเข้าติดไว้อย่างชัดเจน ทางเข้ามาเจ้าที่ยืนตรวจดูบัตรก่อนเข้า โซนนี้ไม่ใช่ผับไม่ได้จำกัดอายุแต่ต้องมีบัตร

ผ่านจากทางร้าน เข้าไปในห้องด้านในเขาสอดส่ายสายตามองรอบ ๆ อย่างสนใจ ไม่บ่อยที่เขาจะได้ออกมาเที่ยวอย่างนี้ เขาไม่

ค่อยชอบเสียงดัง กลิ่นอับชื้นกลิ่นบุหรี่ และอาการหลังจากกินเครื่องดื่มมึนเมา ยิ่งตอนนี้ที่สัมผัสทุกอย่างดีกว่าคนปกติหลายเท่า

“ไอ้ดลทางนี้” เสียงเรียกจากมุมห้องเรียกภฤดลกับเพื่อนที่ยืนอยู่ประตูทางเข้า

“หวัดดีพี่” ทุกคนทักทายชายหนุ่มทั้งสามที่นั่งอยู่ก่อน

“นั่ง ๆ พี่สั่งอาหารเครื่องดื่มมาแล้ว”

“อยากกินอะไรสั่งเพิ่มได้เลย”

“ขอบคุณครับ เอ่อพี่พอดีผมพาเพื่อนมาด้วยคนหนึ่ง”

“สวัสดีครับ”

“เอ้ย ไม่ใช่ปัญหาแค่คนเดียวขนหน้าแข้งไม่ร่วง”

“ว่าแต่เพื่อนแกชื่ออะไร เรียนที่ไหน”

“ผมปฐวีร์ครับ เรียนคณะตรงข้ามคณะพี่”

“อ้อ”

แนะนำตัวทำความรู้จักกับทุกคนเรียบร้อย

ปฐวีร์นั่งมองบรรยากาศในโซนพิเศษนี้ มีที่นั่งโซฟาสิบกว่าชุดจัดไว้โดยเว้นระยะไว้ค่อนข้างห่างกันพอสมควร ตรงกลางโต๊ะมี

หมายเลขตัวใหญ่ติดไว้เห็นชัดเจน ด้านหน้าสุดมีเวทีมีนักดนตรีกำลังเล่นเพลงฟังสบาย

ในห้องตกแต่งเรียบง่าย ไฟสีอุ่นทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เขานั่งสังเกตคนที่เข้าในโซนต่างแต่งตัวดีไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแต่ละคนน่าจะ

มาจากครอบครัวที่มีฐานะพอสมควร รวมไปถึงรุ่นพี่อีกสามคน ยุทธจักรชายหนุ่มขี้เล่น คุยสนุกตั้งแต่มาถึงยังเห็นคุยไม่หยุด บาง

ครั้งมีเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ แวะเวียนมาทักทาย คนถัดมา ตติวัฒน์ชายหนุ่มสวมแว่นหน้าตี๋ดูฉลาด คนสุดท้ายคฑาวุธที่นิ่งเงียบขรึมแต่

ชอบส่งยิ้มไปทั่ว เขามองเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์สีจางในแก้วหยิบขึ้นมาจิบ สลับกับกินกับข้าวหลายอย่างบนโต๊ะ

เขาแน่ใจว่าไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อนรวมถึงตอนนี้แต่ทำไมชีวิตที่เห็นในความฝันนั้น ทำไมเขาถึงมีคนรักเป็นผู้ชาย ไม่พอยังโง่

จนถึงขนาดถูกหักหลังอีก น่าสมเพชชะมัด ความรักผิดปกตินี้ไม่รู้ว่าเริ่มขึ้นตอนไหนหรืออะไรที่เป็นตัวแปร ถึงจะโกรธแค้นทุกคน

ที่คิดจะทำร้าย แต่ถ้าเขาเลือกทำร้ายคนอื่นก่อนก็ไม่ต่างจากคนเลวพวกนั้นเท่าไหร่ สิ่งที่ทำได้คือเตรียมรับมือกับมัน มีสติ และ

ทำให้พวกนั้นได้รับผลกรรมที่ทำไป ถอนหายใจเบา ๆ กับโชคชะตาที่ยังเหมือนภาพติดตาตลอดเวลาและคอยหลอกหลอนแทบ

จะทุกคืนจนคิดว่าเป็นญาติสนิทกันด้วยซ้ำ

เขาจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีรสหวานปนขมนิดหน่อยช่วยปลอบใจ มันคงจะไม่มีอะไรขมไปกว่าชีวิตของเขาแล้ว

“เทวาทำไมเพิ่งมา” ยุทธจักรถามคนที่เพิ่งนั่งลงที่ว่างทันทีที่มาถึง

“รถติด” ทุกคนในกลุ่มพยักหน้ารับรู้ว่าเพื่อนตอบไปงั้น

“เอา ดื่มแก้คอแห้ง” เทวารับเครื่องดื่มจากเพื่อนกวาดสายตาไปทั่วโต๊ะเห็นรุ่นน้องที่รู้จักทั้งสามคนมีอีกคนที่นั่งข้าง ๆ ไม่เคยเห็น

มาก่อน เห็นอีกฝ่ายยิ้มทักทายแนะนำตัวเขาก็พยักหน้ารับรู้ เครื่องดื่มในมือยังไม่ทันถึงครึ่งก็มีสาวสวยโต๊ะข้าง ๆ แวะเวียนเข้ามา

คุยด้วย

“พี่เทวาเสน่ห์แรงมากเลย สาว ๆ ในโซนนี้มองเต็มเลย” กฤติกรณ์บอกปฐวีร์

“อืม ก็คงใช่” เขาตอบแบบไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ หล่อแล้วยังไงเขาเองก็หน้าตาดีเหมือนกัน

“แล้วบอกได้รึยังว่าทำไมต้องย้ายที่อยู่”

เพื่อน ๆ กำลังยิงคำถาม เขาคิดไว้แล้วว่าทุกคนต้องถาม และเตรียมคำตอบไว้แล้ว

“แค่ว่าระบบรักษาความปลอดภัยไม่ค่อยดี ที่อยู่ใหม่ห้องมันกว้างกว่า การเดินทางสะดวกกว่าถึงจะออกไปไกลหน่อย แต่ก็ใกล้

ห้างสรรพสินค้าและมีตลาดของกินเยอะแยะ” เขาไม่ได้โกหกแต่ตอบไม่หมดเท่านั้น เพราะคิดว่าถึงบอกไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ จะ

ให้พูดว่า เฮ้ ดล กรณ์ ภรณ์ เราสามารถเห็นอนาคตได้ และรู้ด้วยว่าตัวเองจะตายยังไง ถ้าพูดอย่างนี้ออกไปมีหวังเพื่อน ๆ ต้อง

เรียกรถพยาบาลมารับเขาแน่นอน ดีไม่ดีรังจะทำให้เพื่อนเป็นกังวลมากขึ้นเท่านั้น

ทั้งสามฟังแล้วเงียบ เพราะรู้ว่าเพื่อนไม่ใช่คนเรื่องมาก มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นเห็นเพื่อนยังยิ้มได้ไม่มีท่าทางกังวลพวกเขาก็

สบายใจ

เวลาผ่านไปเรื่อยนักเที่ยวทยอยเข้าออกโซนพิเศษบางกลุ่มเตรียมไปต่อด้านในของผับ ปฐวีร์เดินออกมาสูดอากาศ หนีจากเสียง

ดังระคายหู ออกมาจากโซนพิเศษด้านนอกเป็นทางยาวแคบแต่ยังเดินสวนทางไปมาได้ มีหลายคนออกมายืนดื่มกัน บ้างออกมา

คุยโทรศัพท์ รวมไปถึงออกมาสานสัมพันธ์กัน

เขายืนพิงกำแพงรับลมเย็นแต่ก็ยังได้กลิ่นน้ำหอม กลิ่นแอลกอฮอล์ กลิ่นบุหรี่โชยมาตามลมสถานที่แบบนี้หาอากาศบริสุทธิ์ไม่ได้

จริง ๆ เสียงดนตรีจังหวะหนักแว่วดังมาอีกทาง ถ้าให้เดาน่าจะเป็นโซนของผับ เสียงกรี๊ดเสียงโห่ดังเป็นระยะทุกคนคงกำลังสนุก

กับเสียงเพลง มองคนเดินสวนกันไปมองจนรู้สึกตาลาย เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมฆ่าเวลา จิ้มจิ้มกดกดกำลังมันก็มีเสียงคน

พูดขึ้น

“มายืนเล่นเกมอยู่นี่ เพื่อนกำลังหาอยู่”

เงยหน้าขึ้นจากเกมเห็นใบหน้าคนถามอยู่ไม่ไกล จนได้กลิ่นน้ำหอมผสมแอลกอฮอล์ จ้องดวงตาสีเข้มที่มองมารู้สึกตาพร่าไป

ชั่วคราวไม่รู้เป็นเพราะว่าดื่มเยอะไปรึเปล่า

“อ้อ ครับ ขอบคุณที่บอก”  รู้สึกแปลก ๆ กับสายตาที่มองมา

“เทวา เรียกพี่เทวา” คนพูดยืนพิงกำแพงมีอาการมึนเล็กน้อย

“ครับ จำได้ แล้วพี่เทวาออกมาสูดอากาศเหมือนกันหรือครับ”

“อือ” ชายหนุ่มครางตอบรับ แล้วจิบเครื่องดื่มในมือ

ปฐวีร์รู้สึกอึดอัด ในใจอดสงสัยผู้ชายหน้านิ่งพูดน้อยนี่ทำไมถึงมีเสน่ห์ หน้าตาก็ดูดีอยู่หรอก เขาเหลือบมองคนยืนข้าง ๆ แล้ว

ลองเปรียบเทียบว่ามีส่วนไหนที่เขาสู้อีกฝ่ายไม่ได้ คงเป็นดวงตาสีเข้มที่มองเข้าไปแล้วรู้สึกลึกลับน่าค้นหา

หรือจะเป็นริมฝีปากนั่นถ้าเป็นริมฝีปากแน่นอนริมฝีปากเขาสวยกว่าแน่นอน แถมยังสีมีสวยบอกว่าสุขภาพดีอีกด้วย ผิวเขาก็ขาว

กว่าเห็น ๆ อาจจะเป็นสวนสูงเขายืนเต็มความสูงแล้วเหลือบมองคนข้าง ๆ อีกครั้งเพื่อเปรียบเทียบ ศีรษะเขาเลยไหล่อีกฝ่ายไม่

เท่าไหร่ ผู้ชายคนนี้สูงจนน่าอิจฉา

ช่างเถอะเป็นตัวเองนี่แหละดีที่สุด แต่ยืนอยู่ข้างผู้ชายคนนี้เหมือนกำลังถูกสายตาคนที่เดินผ่านไปมาเปรียบเทียบยังไงไม่รู้ เขา

มองตามนักเที่ยวสาวที่เดินผ่านไปผ่านมา แล้วแอบส่งยิ้มหวานให้เทวา บางคนร้ายกว่านั้นเดินทำทีเข้ามาชน ปฐวีร์เห็นแล้วไม่รู้

ว่าจะทำหน้ายังไง

“หัวเราะอะไร”

“เปล่าครับ”

เขาเบือนหน้าหนีไม่อยากมองหน้าคนที่กำลังทำหน้าบึ้ง และไม่รู้จะชวนอีกฝ่ายคุยอะไร เขากลับมาสนใจเกม ก้มหน้าจิ้มจิ้มกด

กดโทรศัพท์ในมือ อ้าว แพ้ซะแล้ว ต้องเริ่มใหม่อีกแล้ว นี่เขาไม่มีความสามารถในเรื่องเล่นเกมเอาซะเลย เล่นด่านแรกมาเป็น

เดือนยังไม่ไปไหนเลย ยังดีที่เป็นเกมโหลดฟรีถ้าต้องจ่ายเงินคงเสียดายแย่

ขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินชายหญิงคู่หนึ่งพูดคุยกอดจูบไม่อายใคร จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมองภาพตรงหน้าอย่างสนใจ ถึงแสงไฟ

สลัวแต่สายตาดีกว่าปกติ ทำให้เห็นผู้ชายแต่งตัวดี ดันผู้หญิงคนหนึ่งติดกำแพงแล้วจูบเธอ เห็นใบหน้าผู้ชายแค่ซีกหนึ่งก็จำได้ว่า

เป็นใคร ”พลพัฒน์” เขาจ้องชายหนุ่มกอดจูบกับหญิงสาวอยู่นาน ในใจสงสัยว่าผู้หญิงที่มาด้วยเป็นใครหรือเพิ่งมาเจอกันที่นี่ ถ้า

คุณนายรองมาเห็นลูกชายสุดที่รักและยังเป็นความหวังของเธอกินไม่เลือกที่ ไม่เลือกเวลาไม่รู้จะทำหน้ายังไง

“ทะลึ่ง จ้องใหญ่เลย ไม่เคยเห็นรึไง”

ปฐวีร์หันทำเป็นไม่สนใจยักไหล่เบา ๆ ใครเขาอยากดูกัน พวกนั้นมาทำให้ดูในที่สาธารณะไม่ดูเดี๋ยวจะน้อยใจต่างหาก ”ไม่เคย

ครับ” เขาตอบหน้าซื่อตาใสแถมยิ้มให้ด้วย

“อืม” เทวาพยักหน้าแล้วเดินกลับเข้าข้างใน

ปฐวีร์มองตามอีกฝ่ายอะไรของเขาพูดเป็นคำเดียวรึไง หันกลับมาอีกทีชายหญิงทั้งสองก็หายไปแล้ว รู้สึกเสียดาย เลยไม่รู้ว่าผู้

หญิงคนนั้นเป็นใคร อยู่ตรงนี้ก็ไม่มีอะไรทำ อีกอย่างออกมาได้สักพัก กลัวทุกคนเป็นห่วงจึงกลับเข้าไปข้างใน

ชายหนุ่มหญิงสาวที่ปฐวีร์เห็นจูงมือกันไปที่โซนห้องพักชั้นบน ทันทีที่เข้าไปในห้องพักทั้งสองต่างถอดเสื้อผ้าออกกอดจูบกัน

ทั้งสองจึงพยายามตักตวงมันให้ได้มากที่สุด เสียงหอบหายใจหนัก ๆ ดังขึ้นเป็นระยะ จากนั้นเสียงครางสลับเสียงเนื้อกระทบเนื้อ

ดังขึ้นดังถี่ขึ้น สุดท้ายทั้งสองถึงฝั่งและเริ่มบทรักอีกครั้ง

พระอาทิตย์โผล่ขอบฟ้า แสงสว่างส่องเข้าในห้องกว่าบทรักจะจบลงก็เกือบเช้า พลวัฒน์รู้สึกตัวเมื่อคืนได้ปลดปล่อยความสุขไป

หลายรอบ เขามองร่างบอบบางนอนอยู่ข้าง ๆ เธอเป็นผู้หญิงสวย เขาชอบเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ นานวันก็เปลี่ยนเป็นความรัก

เขารู้ว่ามันผิดพยายามหักห้ามใจหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้ ความรักที่ผิดบาปมันหอมหวาน ยิ่งหนีมันยิ่ง

ดึงดูดให้เข้าใกล้ เมื่อคืนฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็มีส่วน เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเขาก็พร้อมจะเตรียมใจยอมรับผลที่ตามมา เขาเลื่อนผ้าห่ม

วางทับบนร่างหญิงสาวจูบเบา ๆ บนหน้าผากเธอ แล้วเดินเข้าห้องน้ำ

กลับออกมาแต่งตัวเรียบร้อย เขาเดินที่เตียงมองหญิงสาวนอนหลับอยู่บนเตียงแล้วใช้ปลายนิ้วไล้บนแก้มเพื่อปลุกเธอ

“จะไปแล้วหรือคะ เอ่อ เรื่องของเรา”

“ไม่ต้องห่วงผมจะรับผิดชอบเอง”

“ไม่ค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ฉันเองก็ผิดที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ ที่จริงฉันอยากให้ปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน” เธอกังวลถึงผลกระทบที่จะ

ตามมาถ้ามีคนรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับพลพัฒน์

“ได้ ผมเข้าใจ” ชายหนุ่มกอดปลอบเธอ ให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้น


***********************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 10 [23/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 23-09-2018 14:16:26
ตอนที่ 10
[/size]



เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงห้องก็เกือบตี 1 โชคดีที่วันนี้มีเรียนไม่เช้ามาก แต่ถึงอย่างนั้นปฐวีร์ยังนั่งตาปรือเอามือเท้าคางมองกระดาน แถมรู้สึกไม่ค่อยสบายเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์นี่อีก และเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เมื่อคืนไม่ฝันอะไรเลยรู้สึกตัวอีกทีก็เช้า เป็นคืนที่หลับลึกอีกคืนหนึ่ง กวาดสายตามองไปรอบห้องหลายคนมีอาการคล้ายกันกับเขา

สามชั่วโมงของการนั่งทรมานในห้องเรียนก็ผ่านไป เขาและเพื่อนลงจากห้องเรียนไปหาอะไรกินที่โรงอาหาร

            เสียงดังเอะอะในโรงอาหารยังเหมือนทุกวัน หยุดไปสองวันรู้สึกคิดถึงกับข้าวโรงอาหาร ปฐวีร์แยกกับเพื่อนหาของกิน เดินวนไปรอบหนึ่งสุดท้ายก็เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ นาทีนี้คิดว่าก๋วยเตี๋ยวต้มยำรสชาติเผ็ดนิดเปรี้ยวหน่อยน่าจะช่วยให้อาการปวดหัวของเขาดีขึ้นมาบ้าง ทุกคนได้กับข้าวแล้วกลับมารวมที่โต๊ะ

“วีร์เมื่อคืนนอนดึกเหรอ เห็นนั่งหาวทั้งชั่วโมงเลย”

“อืม ไปเที่ยวกับเพื่อนกลับตี1กว่าจะได้นอน”

“ที่ไหน”

“เหมือนจะชื่อ The Featuring อะไรประมาณนี้”

“ว้าว ขิงยังไม่เคยไปเลย เห็นเพื่อนบอกว่าบรรยากาศดี อาหารอร่อย แต่แพง”

“ก็อร่อยนะ แพงไหมไม่รู้พอดีรุ่นพี่ของเพื่อนเลี้ยงเราแค่ไปกินฟรี”

“ว้าว น่าอิจฉา”

“ที่อิจฉาคือได้ไปกินฟรีใช่ไหม”

“ใช่” ทุกคนตอบพร้อมกัน

“นั่น นั่นดูนั่น” ทุกคนกำลังคุยสนุก ได้ยินเสียงโต๊ะข้างๆสะกิดกันให้หันไปมองกลุ่มชายหนุ่มรุ่นพี่ต่างคณะกำลังเดินผ่านบริเวณโรงอาหารไป ปฐวีร์และเพื่อนหันไปมองรุ่นพี่กลุ่มนั้น

“นั่นกลุ่มพี่เทวานิ”

“ใคร เขาเป็นใคร” ปฐวีร์สงสัยทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมีคนรู้จักเยอะ ถ้าเขาจำไม่ผิดน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่เขาได้ไปเที่ยวด้วยเมื่อคืน เห็นนักศึกษาหญิงหลายคนสนใจจนรู้สึกอิจฉา

“ก็เทวาพิทักษ์ สุรัตนธรรมวรธิเบศณ์ไง”

“อ้อ” ตระกูลสุรัตนธรรมวรธิเบศณ์ มิน่าหลายคนถึงสนใจเป็นพิเศษ เทวาพิทักษ์ เป็นผู้ชายคนนั้นเองนั่นเองถึงว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้า ที่แท้ก็เคยเห็นในข่าวสังคม เขาที่ไม่ได้ไปงานแบบนั้นจึงไม่ได้มีโอกาสได้เจอ จากที่ได้คุยกันก็เป็นผู้ชายที่ไม่ค่อยพูด อัธยาศัยก็พอใช้ได้ ช่างเถอะยังไงซะก็คงไม่โอกาสได้เจอกันอีก

            เรียนเสร็จในตอนบ่ายทุกคนต่างแยกย้ายกลับ ปฐวีร์แยกจากเพื่อนแวะเข้าร้านกาแฟหาซื้ออะไรแก้ง่วงกินจะได้ไม่หลับระหว่างทางกลับ ผลักประตูเข้าในร้านกาแฟข้างมหาวิทยาลัย กลิ่นกาแฟคั่วหอม ๆ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

เขาสั่งคาราเมลมัคคิอาโต้ปั่น แล้วเดินไปนั่งที่นั่งริมกระจกหยิบนิตยสารฉบับของเดือนที่แล้วบนชั้นขึ้นมาอ่าน อ่านนิตยสารในมือสลับมองออกไปนอกร้าน เห็นคนที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น พิศนภา เธอเดินมากลุ่มเพื่อน พิศนภามองเห็นปฐวีร์ในร้านกาแฟเธอถึงกลับสะดุ้ง มันทำให้เธอคิดถึงเรื่องร้าย ๆ ในคืนนั้น

“พิศ เป็นอะไรไปทำหน้าซีด ไม่สบายรึเปล่า”

“ใช่ วันหยุดก็หายไปเลยติดต่อก็ไม่ได้”

“แน่หรือแอบไปเดท ผู้ชายที่ไหนไม่บอกเพื่อน”

“ปะ เปล่า” เธอตอบเสียงเบาเบือนหน้าไปอีกทาง ทุกคนมองหน้ากันเห็นท่าทางไม่ดีของเธอเลยเลิกถาม พิศนภาเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อระงับอารมณ์แล้วเดินตามเพื่อนไปเงียบ ๆ

            ปฐวีร์ยิ้มอารมณ์ดีเมื่อเห็นท่าทางของเธอ มินตราคงไม่ได้บอกว่าเขารู้เรื่องที่เธอถูกทำร้ายในห้อง ไม่อย่างนั้นคนอย่างพิศนภาคงเดินเข้ามาแหกอกเขาแล้ว

“คาราเมลมัคคิอาโต้ปั่น ได้แล้วค่ะ”

“ครับ”   

คืนดึกสงัดคนที่กำลังนอนบนเตียงกำลังรู้สึกทรมาน กระสับกระส่าย ไม่นานเธอก็กรีดร้องออกมาและสะดุ้งตื่นขึ้น พิศนภาหอบหายใจหนัก ตัวเธอชื้นไปด้วยเหงื่อ เธอมองไปรอบห้องมีแสงสว่างจากโคมไฟ หลังเกิดเรื่องคืนนั้นทำให้เธอกลัวความมืด เธอกอดผ้าห่มไว้แน่น ฝันร้ายยังติดตามไม่ยอมปล่อย

ร่างกายบอบบางสั่นสะท้านริมฝีปากบางเม้มแน่นถึงเธออาบน้ำพยายามล้างทุกอย่าง แต่ความทรงจำเลวร้ายก็ไม่มีทางหายไปรวมไปถึงร่างกายของเธอ ยังไงก็ไม่วันกลับมาสะอาดได้เหมือนเดิม เธอกอดเข่าแน่นนั่งร้องไห้สะอื้นบนเตียงกว้าง ใช้มือปาดน้ำตา

อยู่ ๆ ในท้องก็เกิดอาการปั่นป่วนเธอรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ชะโงกหน้าลงชักโครกอาเจียนทุกอย่างในท้องออกมา เป็นแบบนี้มาหลายคืนที่ต้องตื่นมากลางดึกพร้อมกับอาเจียนทุกอย่างออกมา ความทรมานเพราะอาเจียนของในท้องจนหมดทำให้เธอเกือบหมดแรง เธอยันตัวขึ้นช้า ๆ เดินไปหน้ากระจกมองหน้าตาตัวเองในกระจก เห็นใบหน้าผู้หญิงโทรมซีดเซียวขอบตาดำคล้ำปรากฏอยู่ในนั้น เห็นแล้วเธอแทบอยากจะกรีดร้อง ต้องอยู่กับอาการหวาดผวา ทุกคืนก็แทบหลับไม่ลง จนต้องพึ่งยานอนหลับ เธอจะเป็นบ้าอยู่แล้วไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เธอทรุดตัวลงบนพื้นเย็นหลังพิงผนังห้องน้ำหลับตาลงอย่างอ่อนล้าแล้วหลับไปในห้องน้ำอีกคืน

ห้องกินข้าวบ้านใหญ่ ทุกคนต่างนั่งพร้อมหน้ากัน เป็นภาพที่เห็นไม่บ่อย อาหารทยอยวางลงบนโต๊ะ หน้าตาน่ากินทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หลายคนเจริญอาหารขึ้นเลย อาหารพร้อมทุกคนลงมือกิน ได้ยินแค่เสียงช้อนกระทบจานเป็นระยะ

“ลองกินนี่ดูค่ะ” คุณนายรองตักกับข้าวลงในจานสามี

“อืม ขอบใจ” คุณนายสามมองทั้งคู่ด้วยความรู้สึกอิจฉาแต่เธอก็ไม่โง่พอที่จะแสดงมันออกมา เปลี่ยนเป็นตักกับข้าวอย่างอื่นให้สามีบ้าง ปฐวีร์มองหัวหน้าครอบครัวถูกภรรยาทั้งสองเอาใจแล้วนึกขำไม่ได้

 เขาเหลือบไปมองคุณนายสี่เธอยังนั่งกินข้าวเฉยไม่สนใจ ไม่รู้ว่าเธอทำใจได้หรือไม่สนใจกันแน่ อยู่ ๆ เธอก็ยิ้มขึ้นมาแล้วมองไปที่คุณนายรอง เขามองตามสายเธอไป ไม่ใช่เธอไม่ได้ยิ้มให้คุณนายรองแต่เป็นคนข้าง ๆ หันกลับมามองคุณนายสี่แต่เธอกลับนั่งกินข้าวเฉย นั่นมันอะไร รอยยิ้มของเธอเมื่อครู่เขาคิดว่าตัวเองคงไม่ได้ตาฝาดไป

“กินนี่หน่อยสิคะ พักนี้เห็นคุณไม่ค่อยเจริญอาหาร วันนี้ฉันเลยให้แม่ครัวทำของชอบของคุณมาให้” คุณนายรองส่งยิ้มให้คุณนายสาม บอกว่าเธอเป็นผู้ชนะ ไม่สนใจสายตาอีกฝ่ายมองมา “งานที่บริษัทยุ่ง ๆ หรือคะ”

“อืม งานเปิดตัวสินค้าใหม่” เธอฟังแล้วหันไปมองลูกชาย

“ตาพลช่วงนี้ก็ว่าง คุณน่าจะให้ลูกช่วยงานบ้าง”

“ดีเหมือนกัน” ได้ยินสามีเห็นด้วยกับความคิด เธอก็ต้องยิ้มกว้างแต่ก็ต้องหุบลงเมื่อได้ยินประโยคต่อมา ”วีร์ก็เตรียมตัวไว้พ่อจะให้ช่วยงานด้วย”

“เอ่อ ....”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน จะมีคนช่วยสอน”

“ครับ”

            ทุกคนมองปฐวีร์ด้วยสายตาอิจฉา ปทีปมักให้ความสำคัญอีกฝ่าย ยิ่งคุณนายใหญ่ไม่อยู่แล้ว เขายิ่งได้รับความรัก ความเอาใจใส่มากกว่าเดิม ทุกคนเปลี่ยนไปมองพลพัฒน์ลูกชายคนโตของบ้านแต่กลับไม่ได้รับสนใจ ถึงจะมีคุณนายรองที่คอยสนับสนุนคุณนายสามส่ายหน้าถอนหายใจ คิดถึงการลงทุนครั้งนี้ของคุณนายรองผิดพลาดซะแล้ว

พลพัฒน์นั่งนิ่งทำเป็นไม่สนใจ แต่ตอนนี้เขากำลังกำมือแน่นไม่พอใจเมื่อพ่อให้ความสำคัญน้องชายมากกว่าไม่พอยังถูกสายตาคนอื่นเยาะเย้ยอีก

“นั่นหน้ารินเป็นอะไร ทำไมต้องทารองพื้น ลงแป้งหนาขนาดนั้น”

รินนัศน์สะดุ้งเมื่อถูกพิมพ์รตาทัก เธอคิดว่าตัวเองอยู่นิ่งนิ่งแล้วแท้ ๆ คำพูดของพิมพ์รตาทำให้ทุกคนมองมาที่เธอ เธอแทบอยากจะลุกขึ้นไปตบปากอีกฝ่าย คิดว่าเป็นลูกสาวคนโตมีแม่รองให้ท้ายจะพูดอะไรก็ได้รึไง

“เป็นสินค้าตัวใหม่ที่เขาให้มาลองค่ะ”

“อ้อ นึกว่าหน้าเป็นอะไร ระวังเถอะใช้ไม่เลือกหน้าจะพังเอา”

“แก...”

“รินกินนี่ดูอร่อยนะ” เธอเกือบจะพูดออกไป พอดี      คชาธรณ์พี่ชายของเธอเรียกสติกลับมา เธอชักสายตาใส่พิมพ์รตาที่กำลังยิ้มหวาน

            มุมปากปฐวีร์โค้งขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกโต๊ะอาหารมีสีสันกว่าทุกวัน ทำให้มื้อนี้เจริญอาหารเป็นพิเศษ เห็นคุณนายรองเสียหน้า พลพัฒน์ไม่สบอารมณ์ รินนัศน์หน้าพังเพราะครีมที่เอามาเขาทดลองใช้ เฮ้อ เท่านี้ก็ทำให้เขาอารมณ์ดีทั้งวันแน่ ๆ

            แต่พอเหลือบไปมองพิมพ์รตา ทำให้รู้ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวเธอทำให้ทุกคนเปลี่ยนจุดสนใจจากพี่ชายของเธอมาเป็นรินนัศน์ ด้วยคำพูดไม่กี่คำทำให้รินนัศน์แทบจะเสียมรรยาทบนโต๊ะอาหาร หน้าตาสวย ภายนอกดูเรียบร้อย ไม่นึกว่าจะร้ายถึงทำลายชีวิตเขาได้ คิดถึงจุดจบในอนาคตก็รู้สึกแค้นขึ้นมา เขาต้องระวังเธอให้มาก ไม่ใช่สิต้องระวังทุกคนในที่นี้ต่างหากถึงจะถูก     

            “โถ่ เว้ย ไอ้บ้านั่นมันดีกว่าฉันยังไง ทำไมคุณพ่อต้องรักมัน.......” ทันทีที่เข้ามาในห้องพลพัฒน์ขว้างหมอนอิงลงพื้น ยันโซฟา เพื่อระบายอารมณ์ บนโต๊ะอาหารเขาต้องทนสายตาทุกคน ไม่พอใจกับความลำเอียงของพ่อ ทำไมเพียงเพราะเขาเป็นลูกของแม่รองรึไง ตั้งแต่เด็กแล้วของทุกอย่างมักด้อยกว่าน้องชาย ไม่ว่าจะเป็นของเล่น การเรียน จนตอนนี้มาถึงเรื่องงาน

“ใจเย็น เย็น ลูก” คุณนายรองรีบเดินเข้าไปปลอบลูกชาย

“แม่จะให้ใจเย็นยังไง ตอนที่พลเข้าไปทำงานช่วยพ่อครั้งแรก พ่อยังไม่เห็นจะสนใจอย่างนี้เลย”

“เพราะพี่เป็นแบบนี้ไงคุณพ่อถึงไม่ชอบ”

“แกหมายความว่ายังไง”

“เปล่า แล้วแต่จะคิด” เธอไม่สนใจพี่ชาย แล้วเดินออกจากห้องไป

คุณนายรองถอนหายใจเห็นลูกทั้งสองชอบทะเลาะกัน ทั้งที่เป็นพี่น้องกันแต่นิสัยกลับแตกต่างกัน ยังมีลูกชายคนเล็กอีกคนที่เหมือนจะไม่สนใจใคร แค่โผล่หน้าเข้ามาในห้องแล้วเดินกลับห้องไป

“อดทนไปก่อนลูก แม่สัญญาว่ามันจะมีความสุขได้ไม่นาน”

พลพัฒน์มองใบหน้าแม่แล้วตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “ครับ”

            “หนูขอโทษค่ะแม่” รินนัศน์นั่งหน้าเสียเมื่อนึกถึงเหตุการณ์บนโต๊ะอาหาร

“เอาเถอะ คุณพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“จะว่ารินฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ยัยพิมพ์นั่นก็ปากเสีย” พูดแล้วคณิตาร์ก็หงุดหงิด “ดีที่พี่คชาช่วยไว้ ไม่งั้นแย่แน่” เธอพูดถึงพี่ชายฝาแฝดที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่มุมห้อง “ตกลงหน้าไปแพ้อะไรมา”

“เอ่อ น่าจะเป็นครีมกันแดดค่ะ”

“ไปหาหมอมารึยัง”

“ค่ะ”  รินนัศน์ทำน่าเศร้าเมื่อคิดถึงคำพูดของหมอผิวหนังบอกว่าเธอแพ้สารเคมี สารสเตียรอยด์ เธอเอาครีมที่น่าจะมีสารที่ว่าไปให้หมอตรวจดูแล้วก็พบจริง ๆ ยังพบในปริมาณที่มาก เธอแน่ใจว่าครีมกระปุกนี้เธอให้ปฐวีร์ไปแล้ว แต่ไหนกลับมาอยู่ที่เธอได้ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจไม่ได้เห็นหน้าปฐวีร์พัง หน้าตัวเองต้องมาพังเอง ไม่พอยังโดนพิมพ์รตาขวะอีก แค้นครั้งนี้เธอจะจดจำเอาไว้มีโอกาสเธอจะต้องเอาคืนให้ได้

            หน้าอาคารเรียนคณะเศรษฐศาสตร์มีนักศึกษาบางส่วนนั่งเป็นกลุ่มคุยกันสนุกเหมือนทุกวัน  บางกลุ่มกำลังช่วยกันออกความคิดเห็นว่าจะไปที่ไหนกันดี บางกลุ่มกำลังช่วยกันทำงานส่งอาจารย์อย่างตั้งใจ

“นี่พวกเธอมาอ่านข่าวนี่ดูสิ”

“อะไร”

“ข่าวทำแท้ง ลองอ่านดูสิ” หญิงสาวเลื่อนข่าวในจอโทรศัพท์ให้เพื่อนในกลุ่มอ่าน

“น่าสงสารเด็กมากเลย” ทุกคนในกลุ่มอ่านเนื้อหาของข่าวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แล้วต่างแสดงความคิดเห็น พิศนภานั่งฟังหัวข้อข่าวรู้สึกกังวลใจขึ้นมาเธอเผลอลูบหน้าท้องตัวเองเบา ๆ พร้อมกับคิดถึงฝันร้ายคืนนั้นแล้วมือที่ลูบหน้าท้องเปลี่ยนเป็นบีบแน่นขึ้น

“ใจร้ายนะเธอว่าไหมพิศ” เธอเม้มริมฝีปากแน่นตอบเพื่อนเสียงเบาว่า “บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะมีเหตุผลจำเป็นก็ได้”

ครืน ครืน สายเรียกเข้า ตามด้วยข้อความ ทำให้พิศนภาเลิกคิดมาก เก็บของลงกระเป๋าอย่างรีบร้อน

“แล้วนั่นจะไปไหน”

“โทษทีฉันมีธุระ”

“เป็นอะไรของเขา ช่วงนี้ดูแปลก ๆ ”

“ไม่รู้สิ คงจะทะเลาะกับแฟนมั้ง ใครจะไปรู้”

            บ่ายกลางสัปดาห์ หลังจากเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จปฐวีร์มานั่งรอเพื่อนที่ม้านั่งหินอ่อนเหมือนทุกครั้ง เขามีนัดกินข้าว ขณะนั่งหยิบโทรศัพท์มาเล่นเกม ก็คิดถึงเรื่องที่ได้ยินเพื่อนในห้องนินทากันไม่ได้ เขาเรียนหนังสือไม่เก่ง หยิ่ง ชอบปาร์ตี้ ฟังดูแล้วเหมือนทุกคนจะสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของเขามาก บางครั้งการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตคนอื่นมากเกินไปมันก็ไม่ดีเท่าไหร่ เขาควรจะสอนบทเรียนให้คนปล่อยข่าวบ้าง

“นั่งยิ้มอะไรอยู่คนเดียว พ่อคนหล่อ” นภาภรณ์โบกมือเรียกสติคนนั่งใจลอยคนเดียวให้กลับมา

“เปล่า แล้วดลกับกรณ์ล่ะ”

“แวะไปส่งงานอาจารย์เดี๋ยวก็มา ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องมีอะไรดี ๆ ก็บอกมาเลย” เธอใช้สายตาจับผิดเพื่อนสนิทที่ช่วงนี้มีหลายอย่างแปลกไป แต่เธอก็ตอบไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน

“ไม่มีอะไรจริง ๆ ” ปฐวีร์ปฏิเสธเสียงสูง เบือนหน้าไปอีกทาง

“เชื่อก็ได้” เธอยอมแพ้ไม่อยากบังคับ ฝืนใจเพื่อน “แล้วไปกินข้าวบ้านใหญ่เป็นไงบ้าง”

“ก็ดี” ชายหนุ่มตอบส่งส่ง หันไปเจอคิ้วเพื่อนที่ขมวดเล็กน้อยทำให้เขาต้องขยายความเพิ่มอีกเล็กน้อย “พอดีจะมีงานเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ พ่อเลยให้เข้าไปช่วยงาน”

“อือ แล้วแบบนี้ยัยแม่มดไม่เต้นเหรอ”

“ไม่หรอก” เขาพูดได้ไม่เต็มปาก “ได้ช่วยงานกันทุกคน”

“อ้อ วีร์ได้ทำอะไร”

“ก็ ทั่วไป มีอะไรช่วยได้ก็ช่วย วันงานอย่าลืมแต่งตัวสวย ๆ นะ ดูจากการ์ดเชิญแล้วมีผู้ใหญ่มางานเยอะทีเดียว เพราะสินค้าตัวใหม่จะส่งไปขายในตลาดอาเซียน”

“โอ้ งานใหญ่อย่างที่พ่อบอกไว้จริง ๆ งั้นภาษาของวีร์ต้องเป็นประโยชน์มากเลยน่ะสิ”

“คงงั้น”

ทั้งสองนั่งรอเพื่อนอีกสองคน คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย จนสายตาปฐวีร์เหลือบไปเห็นพิศนภาเดินลงมาจากตึกเรียน เธอดูซูบไปมาก นภาภรณ์มองตามสายตาเพื่อนแล้วพูดขึ้น

“เห็นเพื่อนหลายคนบอกว่ายัยพิศนภาจะลาออกไปเรียนต่อเมืองนอก” นภาภรณ์พูดเรื่องที่เพื่อนน่าจะไม่รู้มาก่อน

“ฮือ” เขาหันมามองเพื่อนด้วยความแปลกใจ

“น่าจะจริง ภรณ์เห็นยัยพิศนภากำลังดำเนินเรื่องเตรียมเอกสารให้วุ่น แต่ท่าทางดูไม่เหมือนคนไปเรียนต่อ”

“ทำไม”

“เหมือนคนกำลังหนีอะไรสักอย่าง” แต่ไม่รู้อะไรที่ทำอีกฝ่ายกลัวถึงต้องหนีไปไกลขนาดนั้น

“อ้อ” คำพูดของเพื่อนทำให้เขาคิดอะไรได้ หนีเหรอไม่มีทาง ไกลแค่ไหนมันก็จะตามหลอกเธอไปตลอดชีวิต

นภาภรณ์สังเกตท่าทางเพื่อนดูจะไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ แล้วยังแววตาแปลก ๆ นั่นอีก “วีร์ไปรู้อะไรมาเหรอ”

“เปล่าหรอก นั่นสองคนนั้นมาแล้วไปกันเถอะ หิวแล้ว”

“อือ”

            พิศนภาแยกจากเพื่อน เดินตามทางเลียบผ่านไปที่คณะตรงข้าม ขึ้นไปบนอาคารเรียน เดินขึ้นไปชั้นบนสุด เธอดูหมายเลขห้องในข้อความที่ส่งมาเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เดินผ่านหลายห้องที่ปิดประตูเงียบไปทางทิศตะวันตก หน้าห้องแต่ละห้องที่เดินผ่านบนตารางการใช้ห้องโซนนี้บอกว่าทุกห้องว่าง

 พิศนภาหยุดอยู่หน้าประตูมองรอบ ๆ เพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นหรือตามมา ก่อนจะเคาะสองสามครั้งแล้วผลักประตูเข้าไป เห็นคณิตาร์และปิ่นอนงค์นั่งอยู่ในห้อง

“นึกว่าเธอจะไม่มาซะแล้ว”

“มาสิ” เธอมีเวลาอยู่ที่เมืองไทยอีกไม่นาน อยากทำในสิ่งที่ต้องการมากที่สุด ทันทีที่ไปถึงที่โน่นเธออยากได้ยินข่าวดี

“มาแล้วก็พูดเถอะว่ามีอะไร” ปิ่นอนงค์เริ่มถามจุดประสงค์   

“ดูเหมือนข่าวที่เธอปล่อยออกไป จะทำอะไรปฐวีร์ไม่ได้”

“มันยังใช้ชีวิตดีมีความสุข จนน่ารำคาญ” คณิตาร์ไม่ชอบปฐวีร์ที่มักจะได้ความรัก ความสำคัญจากพ่อ ตอนนี้มันไม่มีแม่คอยดูแล แล้วยังต้องออกไปอยู่นอกบ้าน มันง่ายที่จำกัด ก่อนหน้าเธอให้ปิ่นอนงค์ปล่อยข่าวเกี่ยวกับปฐวีร์ออกไป เธออยากให้มันเป็นหมาหัวเน่า อยู่ที่นี่ไม่ได้ ไม่มีเพื่อน เรียนไม่จบ กลับกันข่าวลือทำอะไรมันไม่ได้ ยังมีพิศนภาได้ให้คนเข้าไปขโมยของและทำร้ายมันในห้องแต่กลับเงียบ เป็นเพื่อนของเธอเองที่มีท่าทางแปลกไม่พออยู่ดี ๆ ก็จะไปเมืองนอกซะงั้น

“ฉันอยากให้มันอยู่ก็เหมือนตาย” พิศนภาพูดแล้วแววตาแสดงความอาฆาตออกมา เพราะมันทำให้เธอต้องเป็นอย่างนี้ทั้งสองเห็นแววตาของเพื่อนรู้สึกกลัวจนขนลุก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรถึงทำให้แววตาของพิศนภาน่ากลัวขนาดนี้


*****************************************************

โปรดติดตามต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 11 [24/9/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 24-09-2018 14:09:35
ตอนที่ 11
[/size]



ตอนกลางดึกบนเตียงนุ่มปฐวีร์กำลังนอนกระสับกระส่าย ต่อสู้กับฝันร้ายเหมือนกับทุกค่ำคืนที่ผ่านมา คิ้วสวยขมวดเหมือนเขากำลังเจ็บปวดทรมานกับความฝัน เขาพยายามบังคับฝืนตัวเองให้ลืมตาขึ้น แต่เหมือนมีคนบังคับให้เขาอยู่รับรู้จดจำความฝันนั้นต่อไปจนจบ หลังต่อสู้กับฝันร้ายสักพักร่างกายกระสับกระส่ายเหงื่อไหลซึมเต็มหน้าผากก็ดีขึ้น ร่างกายเริ่มสงบลง ลมหายใจกลับเป็นสม่ำเสมอแล้วหลับลึกอีกครั้ง

            เช้าวันใหม่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา ปฐวีร์ตื่นแต่เช้านั่งกอดเข่านั่งอยู่บนเตียง สายตาจ้องไปมุมห้อง เขากำลังคิดถึงความฝันเมื่อคืน บางส่วนในความฝันเขาเห็นว่าอนาคตของเขาเปลี่ยนไปแล้ว แต่ภาพความตายยังติดตาและมันยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขารู้สึกกลัวและโกรธแค้นทุกครั้งที่เห็นมันจนแทบอยากไปฆ่าตัวต้นเหตุอย่างพิมพ์รตาให้รู้แล้วรู้รอด เพื่อเขาจะได้หลุดพ้นความฝันนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่าถ้าทำมันลงไปแล้ว ทุกอย่างจะจบลงลงด้วยดี อีกอย่างมันเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นเขายังมีเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงมัน เอาไว้ทุกอย่างมันแก้ไขไม่ได้เขาอาจเลือกที่จะทำร้ายพิมพ์รตาเป็นวิธีสุดท้ายก็ได้ ฝันร้ายทุกครั้งเขาพยายามฝืนตัวเองให้ลืมตาตื่นแต่ก็ไม่สำเร็จ การที่ได้เห็นความตายของตัวเอง มันคอยตอกย้ำให้เขาต้องแก้ไขทุกอย่างเพื่อจะได้เปลี่ยนอนาคต หลายคืนติดต่อกันที่ฝันแบบเดิมเรื่องเดิม ที่ไหนสักที่ กับใครสักคน จนเมื่อคืนทุกอย่างมันดูชัดเจนขึ้น มันเหมือนเป็นคำเตือน กลัวว่าคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น

            ตี๊ด ตี๊ด เสียงนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงปลุกคนที่กำลังจมในความคิดให้ได้สติคืนมา เขากดหยุดมองดูนาฬิกาทำให้จำได้ว่าวันนี้ต้องเข้าไปตรวจงานดูความเรียบร้อยก่อนงานเปิดตัวสินค้าจะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมง เขารีบกระโดดลงจากเตียงคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำอาบน้ำและรีบแต่งตัว

            แต่งตัวเรียบร้อยลงจากห้อง มองดูนาฬิกาข้อมือ ยังพอมีเวลา เขาแวะเข้าห้องครัวมีโจ๊กหนึ่งถ้วย น้ำผลไม้กับแซนด์วิช ดูเหมือนวันนี้ทุกคนจะยุ่งพอสมควร ปฐวีร์จ้วงโจ๊กในถ้วยไม่นานก็หมด ตามด้วยน้ำผลไม้แล้วถือแซนวิสวิ่งออกจากครัว วิ่งออกมาจากบ้านเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ เขาเปิดประตูขึ้นไปนั่งด้านหลัง

“ขอโทษครับ” เขายิ้มแห้งทันทีที่เห็นพ่อของเขานั่งรออยู่ก่อน

“อืม เช็ดปากให้เรียบร้อย” ปทีปหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดปากให้ลูกชาย

“ขอบคุณครับ”

รถเริ่มเคลื่อนที่ออกไปช้าๆ ปฐวีร์ชะโงกหน้าไปด้านหน้ามองเวลาบนหน้าคอนโซล 8.00 เขามาทันเวลานัด

“วันนี้พ่อจะให้วีร์ไปดูความเรียบร้อยของงานกับคุณทินกร”

“ครับ” ได้ยินชื่อคุณเลขาเจ้าระเบียบคิ้วเขาอดกระตุกไม่ได้ สามสัปดาห์กว่าที่ได้ไปช่วยงานทินกรใช้งานเขายังกะทาส นี่มันบริษัทนรกชัด ๆ แต่ก็เอาเถอะถือว่าเป็นประสบการณ์ เขากำลังบ่นกับตัวเองเงียบ ๆ แล้วก็มีแฟ้มเอกสารวางลงบนหน้าตัก

“นี่เอกสารแผนงาน จำนวนผู้เข้าร่วมงาน และเอกสารที่จำเป็น”

ปฐวีร์รับแฟ้มเอกสารมา แล้วเริ่มเปิดดูคร่าว ๆ ปทีปเห็นลูกชายดูตั้งใจ เต็มที่กับงาน อดเอ็นดูไม่ได้ ถึงเขาจะเป็นพ่อแต่ก็ไม่สามารถกางปีกดูแลลูกได้ตลอดไป บางทีให้ปฐวีร์ออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตนเองน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่จะให้ลูกชายที่รักซุกอยู่ใต้ปีก มือหนาวางบนหัวทุยแล้วลูบเบาๆ ปฐวีร์หันมายิ้มให้พ่อ ไม่ค่อยบ่อยที่พ่อจะแสดงความอบอุ่นออกมา เขาเข้าใจ แค่นี้ทุกคนในบ้านก็อิจฉาแทบจะฆ่าเขาแล้ว

            ไม่ถึงสามสิบนาทีรถหรูก็เลี้ยวเข้าชะลอจอดหน้าโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง พนักงานโรงแรมเดินเข้ามาเปิดประตูรถ ปฐวีร์ลงจากรถมองรถคันหรูเคลื่อนที่ออกไปช้าๆ ยังไม่ทันเข้าไปข้างในโรงแรม ทินกรก็โทรเข้ามาบอกให้เขาไปที่ห้องจัดงาน อีกฝ่ายกำลังรออยู่ที่นั่นแล้ว

            เขาเดินตามป้ายบอกทางก็มาถึงห้องประชุมขนาดใหญ่จุคนได้หลายร้อยคน ประตูห้องประชุมเปิดกว้างมีคนเดินเข้าออกดูวุ่นวาย เวทีใหญ่ที่จะใช้เปิดงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว บนเวทีตกแต่งด้วยผ้า ดอกไม้ ดูเรียบง่าย สบายตา ด้านหน้าเวทีมีโต๊ะเก้าอี้จัดไว้ บนโต๊ะมีหมายเลขติดไว้ให้เห็นชัด ด้านหน้าสุดเป็นของแขก VIP จำนวน 20 โต๊ะ บริเวณด้านข้างมีซุ้มสำหรับแสดงสินค้า และกิจกรรมให้แขกที่สนใจเข้าร่วม

            ปฐวีร์มองหาคนที่บอกว่ารออยู่ในห้องประชุมเรียบร้อยแล้ว เขาชะเง้อมองหา แต่ก็ยังไม่เจอ เดินหาอยู่สักพักแล้วก็เจอชายหนุ่มอายุสามสิบกว่าใส่แว่นสวมชุดทะมัดทะแมงโบกมือเรียกเขาอยู่

“พี่กร สวัสดีครับ”

“สวัสดี เป็นไงบ้างเมื่อคืนนอนหลับไหม”

“หลับสบายดีครับ แต่ตื่นมาปวดตัวชะมัด” คิดถึงเมื่อวานที่เขาต้องขนนั่นแบกนี่ทั้งวัน จนอยากจะถามอีกฝ่ายว่าโกรธแค้นอะไรพ่อของเขารึเปล่าถึงได้มาลงที่เขา

“วันนี้วันสุดท้ายแล้ว คงไม่มีอะไรมากแค่ดูความเรียบร้อย บริษัทที่รับผิดชอบจัดงานก็เร่งทำงานเต็มที่”

“เวทีสวยได้ตามแบบที่ต้องการเลยนะครับ ด้านข้างบูธ ซุ้มก็ออกมาดีพอสมควร”

“อืม ที่เหลือก็จะเป็นพนักงานของเราที่จะทยอยเอาของมาลงบูธ กับสินค้าตัวใหม่”

“อาหาร กับดาราที่เปิดตัวสินค้าก็คอมเฟิร์มแล้วครับ.....” ทั้งสองคุยทบทวนความพร้อมอีกครั้ง จากนั้นทินกรแยกไปดูแลความเรียบร้อยงานที่ยังค้างอยู่

            ส่วนบ้านใหญ่ในห้องคุณนายรองกำลังวุ่นวาย ช่างแต่งหน้าทำผมกำลังช่วยเธอกับพิมพ์รตาแปลงโฉม กล่องเครื่องสำอางถูกเปิดออกมา เมคอัพเบส รองพื้นถูกเกลี่ยลงผิวหน้าเธอ

“ผิวคุณนายรองสวยมากเลยนะคะ ไม่ทราบว่าใช้อะไรบำรุงคะ”

“ครีมบำรุงธรรมดานี่ล่ะค่ะ” เธอยิ้มพอใจกับคำชมของช่างแต่งหน้า

“พี่น้ำ พิมพ์ขอสวยเป็นธรรมชาตินะคะ”

“ได้ค่ะ คุณน้องสวยอยู่แล้วรับรองงานวันนี้เด่นที่สุดแน่นอนคุณพี่รับรอง” ช่างแต่งหน้ามืออาชีพคิวทองการันตี เธอก็เชื่อใจ

             ก่อนเวลางานจะเริ่มอีกในอีกไม่กี่ชั่วโมง คณิตาร์รีบเร่งมาโรงแรม เธอแจ้งชื่อที่จองห้องพักแล้วรับกุญแจ ขึ้นไปบนห้องรอเวลานัด สักพักปิ่นอนงค์ก็มาถึง ทั้งสองอยู่ในห้องทบทวนแผนการที่วางไว้

“แล้วคนของเรา” คณิตาร์ถามด้วยสีหน้าน้ำเสียงกังวล เธอไม่อยากให้เรื่องสาวมาถึงตัวเธอ ใจหนึ่งก็เป็นกังวลว่าทำอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ยังไงปฐวีร์ก็ถือว่าเป็นพี่ชายเธอถึงจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่ควรทำให้ถึงชีวิต เธอแค่ต้องการสั่งสอนอีกฝ่ายเล็กน้อยเท่านั้น

“ไว้ใจได้ แค่นี้ไม่ถึงตายหรอก” เธอพูดให้เพื่อนรู้สึกสบายใจขึ้น ในใจรู้สึกสงสารปฐวีร์อยู่บ้างที่มีพี่น้องอย่างคณิตาร์สนับสนุนให้คนอื่นทำร้ายพี่น้องตัวเอง ได้คลุกคลีปฐวีร์มาได้สักพักไม่เห็นจะนิสัยแย่หรือเป็นคนไม่ดีตรงไหนออกจะเป็นคนมีน้ำใจด้วยซ้ำ ทำยังไงได้ในเมื่อเพื่อนของเธอเกลียดอีกฝ่าย บางครั้งก็แอบคิดว่าโชคดีที่พี่น้องของเธอไม่มีความคิดไม่ดีกับเธอ “จบงานแล้วพวกมันจะไม่เปิดปากว่าใครเป็นคนจ้างวาน อีกอย่างเงินค่าจ้างที่พวกมันได้ไปก็เยอะพอสมควร”

“งั้นก็ดี” คณิตาร์หยิบซองยาออกมา “ในนี้มียาอยู่ เธอพยายามหาทางใส่ในเครื่องดื่มของมัน แล้วฉันจะหาทางให้มันขึ้นมาบนห้อง”

“ไม่มีปัญหา”

“เสร็จงานแล้วไปรอฉันอยู่ห้องซ้ายมือ นี่ป้ายของเธอ” ปิ่นอนงค์รับห้อยคอ แล้วออกจากห้องไป

            18.00 นาฬิกาเวลาเริ่มงาน แขกทยอยเข้างาน ต่างแต่งหรูหรา แสงเพชร แสงเครื่องประดับเป็นประกายระยิบระยับจนแสบตา คุณนายรอง คุณนายสามยืนประกบซ้ายขวาปทีปต้อนรับแขกอยู่หน้างาน วันนี้พวกเธอแต่งตัวดูดีเป็นพิเศษจนแขกหลายคนอดชมไม่ได้ นั่นทำให้ทั้งสองยิ้มแทบหุบไม่ลง

“คุณนายรองวันนี้สวยมากเลยนะคะ”

“ขอบคุณค่ะคุณพี่ คุณพี่ก็สวยเหมือนกัน”

ใกล้ ๆ กันมีคุณนายสี่ยืนยิ้มเหมือนคนโง่ เป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสออกงานแบบนี้ รู้สึกทำตัวไม่ถูกและไม่ค่อยชอบสายตาผู้ดีหลายคนมองมาที่เธอ เธอทำเป็นมองไม่เห็น ถัดมาเป็นพลวัฒน์ พิมพ์รตา พีรพล แฝดคชาธรณ์ คณิตตาร์และรินนัศน์ยืนทำหน้าที่ต้อนรับแขก คุณนายรองรีบแนะนำลูกสาวลูกชายของเธอให้เพื่อนของเธอรู้จัก

“นี่หนูพิมพ์รตาหรือคะ แหมไม่ได้เจอกันไม่นานโตเป็นสาวแล้ว สวยเหมือนคุณนายรองเลย”

“สวัสดีค่ะ”

“ตาพลก็โตเป็นหนุ่มแล้ว คุณปทีปคงสบายแล้วมีคนช่วยงาน” คุณนายรองเหลือบมองสามีว่าจะตอบยังไง

“ครับ งานวันนี้ตาพลก็ช่วยได้เยอะเหมือนกัน” คำพูดธรรมดาแต่ไม่บ่อยที่พลพัฒน์ถูกพ่อพูดถึงต่อหน้าคนอื่น ทำให้เขายิ้ม

คุณนายสามก็ไม่ยอมแพ้ จูงมือลูกสาวลูกชายแนะนำให้แขกรู้จักบ้าง หลายคนเห็นแล้วไม่แน่ใจว่านี่เป็นงานเปิดตัวสินค้าใหม่ของ Agro Group หรือเปิดตัวเหล่าทายาทกันแน่ ถ้าไม่เห็นกำหนดการในบัตรเชิญพวกเขาคงคิดอย่างนั้น

“ไม่รู้ว่าวันนี้ฉันมาผิดงานรึเปล่า” เสียงแขกในงานเริ่มซุบซิบเมื่อมาถึง

“เธอก็ว่าไปนั่น ใครก็รู้ว่าคุณนายรองยังไม่จดทะเบียนกับสามีเธอ เธอก็คงกลัวว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะไม่ตกถึงลูกของเธอ”

“แต่ดูจากการแต่งตัวของเธอ ไม่ได้บอกอย่างนั้นเลย”

“ช่างเถอะอย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่นเลย เราเข้าไปข้างในกัน”

            หลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อย ปฐวีร์รีบกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด กลับมาอีกครั้งก็เห็นทุกคนยืนอยู่หน้างาน พอดีกับที่ทินกรโทรตาม เขารีบเดินเข้ายืนรวมกับคนอื่นโชคดีไม่มีใครสนใจสังเกตเห็นว่าเขาเพิ่งมาถึง แต่ก็หลบสายตาทินกรไม่ได้ เขายิ้มแห้งรีบหาข้ออ้าง

“แต่งตัวแบบนี้ ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นนะเรา” ทินกรออกปากชม รู้จักกันมาหลายสัปดาห์เห็นอีกฝ่ายใส่แต่เสื้อยืดกางเกงผ้ารองเท้าผ้าใบ ไม่ก็เสื้อยืดกางเกงยีนวันนี้เปลี่ยนมาใส่สูทเซ็ตผมหล่อจนเขาแทบจำไม่ได้

“นั่นพี่กำลังชมผมใช่ไหม”

“ชมสิ มีคำไหนบอกว่ากำลังด่าอยู่รึไง”

“งั้นก็ขอบคุณครับ” เขากวาดสายตามองรอบงานดูวุ่นวาย แล้วก็เห็นผู้หญิงหน้าคุ้นตายืนคุยกับพนักงานโรงแรมอยู่  ”ปิ่นอนงค์” เขาแปลกใจที่เห็นเธอ เธอมาทำอะไรที่นี่แล้วยังแขวนป้ายเจ้าหน้าที่อีก ตรงนี้เสียงดังและไกลเกินไปเขาไม่ได้ยินว่าเธอกำลังคุยอะไร ปิ่นอนงค์แยกจากพนักงานคนนั้นเดินไปอีกทาง ในความฝันเขามองเห็นปิ่นอนงค์ คณิตาร์ กำลังคุยอะไรกัน จากนั้นมีคนสามสี่ที่เขาไม่เคยเห็นหน้าจับเขาเข้าในห้องห้องหนึ่งเหมือนจะเป็นห้องนอน เขาเห็นแค่เพียงแค่นี้ แต่นั่นก็ทำให้รู้ว่าเขาต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ได้ ถ้าคิดไม่ผิดการที่ได้เห็นปิ่นอนงค์ที่นี่ไม่ใช่เรื่องดีไม่รู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไร อีกอย่างไม่รู้ว่าเธอกับ  คณิตาร์เกี่ยวข้องกันยังไง

“เป็นอะไรดูหน้าซีด ๆ ”

“เมาคนน่ะครับ คนเยอะจนตายลาย ยังมีแสงเพชรแยงตาด้วย” ทินกรได้ยินเสียงบ่นอีกฝ่ายอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ที่จริงปฐวีร์ไม่ค่อยชอบงานแบบนี้เท่าไหร่ ถึงจะแค่มายืนหน้างานต้อนรับยิ้มทักทายก็ตาม ผิดกับพี่น้องของเขาดูสนุกที่ได้แต่งตัวหรู สวมชุดราคาแพง เขายืนฉีกยิ้มจนเหงือกแห้งทุกครั้งที่แขกเดินเข้ามา ไหนจะแสงแฟลตนี่อีก ดูเหมือนงานวันนี้จะมีนักข่าวให้ความสนใจไม่น้อย

“วีร์” ภฤดล กฤติกรณ์และนภาภรณ์เข้ามาทัก

“อ้าว มาถึงกันแล้วเหรอ”

“สักพักแล้ว”

“ถึงว่าตอนเข้ามาไม่เห็น แอบไปแต่งหล่อมานี่เอง” ทั้งสามมองเพื่อนสวมสูทเรียบร้อย ”หล่อเหมือนคุณชาย”

“ชายน้อยรึเปล่าพี่พจมาน คืนนี้ภรณ์ก็สวยเหมือนกัน ดูสิหนุ่ม ๆ มองตามกันใหญ่เลย”

“บ้า อย่าล้อภรณ์สิ”

“กินอะไรกันรึยัง อาหารที่นี่อร่อยใช้ได้เลยนะ” พูดถึงของกินนภาภรณ์รีบดึงเพื่อนอีกสองคนไปที่มุมอาหารทันที เพื่อนทั้งสามคนไปแล้วปฐวีร์กลับมาทำหน้าที่ตัวเองต่อ

            พิมพ์รตาแยกไปคุยกับเพื่อน เธอหมุนตัวให้เพื่อนดูว่าคืนนี้เธอสวยขนาดไหน ชุดเดรสสีชมพูยาวเข้ารูปเน้นรูปร่าง ผ้าเนื้อดี ทรงผมที่เก็บเป็นมวยหลวมทิ้งปอยลงมาระแก้มใส บวกกับการแต่งหน้าบาง ๆ ทำให้เธอที่สวยอยู่แล้วดูสวยเด่นเป็นพิเศษ เวลายืนต้อนรับมีชายหนุ่มหลายคนแอบมองเธอบ่อยครั้ง พิมพ์รตาชินกับการถูกมองและชอบให้คนสนใจ เธอและเพื่อนเก็บภาพบรรยากาศรอบงานลงในโซเชียลเอฟให้คนอื่นได้รับรู้

คณิตาร์มองพี่สาวห่างกันไม่กี่เดือนด้วยสายตาหมั่นไส้ อีกฝ่ายมักคิดทำตัวเด่น ก็แค่เสื้อผ้าราคาแพงเท่านั้น หน้าตาเธอก็สวยไม่แพ้อีกฝ่าย เธอละสายตาจากพี่สาวและไม่ลืมหันไปมองปฐวีร์ที่ยืนอยู่เยื้องกันกำลังคุยกับเลขาของพ่อ เธอส่งเสียง หึ ออกมาเแล้วเลิกสนใจ

“อุ๊ย นั่นพี่เทวา” พิมพ์รตาและเพื่อนมองไปที่ชายหนุ่มหน้าตาดีเดินมาพร้อมกับครอบครัว

“ใคร” พิมพ์รตาถามด้วยความสนใจ

“สุรัตนธรรมวรธิเบศน์”

“เจ้าของอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ธนาคาร เครือข่ายมือถือ ......”

“ไม่ใช่แค่รวย หน้าตาก็ดีด้วย นี่รู้ไหมพี่เทวาเล่นกีฬาเก่งมากเลย”

“แล้วเธอไปรู้เรื่องของเขาได้ยังไง”

“ตามในโซเชียลเอฟสิจ๊ะ มีคนเข้าไปติดตามชีวิตเขาเยอะเลย เขาออกจะป๊อป อ้อ อีกอย่างเขายังโสดด้วยนะ”

“ฉันขอตัวนะ” พิมพ์รตาฟังเพื่อนพูดรู้สึกสนใจผู้ชายคนนั้นขึ้นมา

ทั้งสองมองตามพิมพ์รตาไป แล้วหันหน้ามามองหน้ากัน พวกเธอถูกทิ้ง

พิมพ์รตากลับมายืนรวมกับครอบครัว แต่สายตาเธอแอบชำเลืองมองผู้ชายตัวโตเป็นระยะ บางครั้งก็ส่งยิ้มหวานให้ ไม่ใช่แค่เธอที่กำลังมองอยู่คชาธรณ์เองก็มองตั้งแต่ที่เห็นผู้ชายคนนี้เดินเข้ามาในงาน เขารอคอยให้ชายหนุ่มมองมาที่เขา แต่อีกฝ่ายกลับมองไปอีกทาง

“มองใครวะเทวา คนรู้จักเหรอ” ธนาถามน้องชายเห็นจ้องมาตั้งนาน

“อืม เพื่อนของรุ่นน้อง เคยได้ไปเที่ยวด้วยกันครั้งหนึ่ง”

“ไปเถอะพ่อแม่ไปโน่นแล้ว”

            แขกมาร่วมงานลงชื่อเข้างานเกือบครบแล้ว ที่นั่งแทบมองไม่เห็นที่ว่าง ถึงเวลาตามกำหนดการพิธีกรชายหญิงแต่งตัวสวยหล่อไม่แพ้แขกในงานออกมาทักทายทุกคน ทั้งสองเริ่มอ่านกำหนดการโดยคร่าว


******************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 12 [25/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 25-09-2018 11:55:59
ตอนที่ 12
[/size]



งานเริ่มมาได้ครึ่งชั่วโมงปฐีวีร์หาอะไรกินจนอิ่ม แล้วเปลี่ยนมาประจำด้านหลังเวทีกับทินกร คอยดูความเรียบร้อยดูเหมือนเขาไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ ทุกคนดูวุ่นวายเขาแค่ช่วยอะไรนิดหน่อย เสียงพิธีกรพูดคุยสลับกันบนเวที พูดถึงประวัติของ Agro Group ตั้งแต่เริ่มจนมาถึงทุกวันนี้ พร้อมทั้งมีวิดีโอที่บอกเล่าเรื่องราว จากนั้นเป็นการแสดงเรียกน้ำย่อย ปฐวีร์รู้สึกอุดอู้อยากรู้ว่าข้างนอกกำลังทำอะไรอยู่ เขาแง้มม่านออกไป มองจากตรงนี้ไม่รู้ว่าเพื่อนของเขานั่งตรงไหนกันบ้าง แต่เห็นแขกให้ความสนใจบนเวที เท่านี้ก็การันตีถึงความสำเร็จ เสียงปรบมือดังขึ้น นักแสดงส่วนหนึ่งทยอยวิ่งลงมา

“นักแสดงชุดหลักเตรียมตัวค่า” นักแสดงได้ยินเสียงเรียกจากทีมงาน ต่างวิ่งไปรวมตัวเตรียมความพร้อมซักซ้อมกันอีกครั้งก่อนขึ้นเวที

“ขอทางค่ะ ขอทาง” ทีมงานแหวกทางให้ ดารานักแสดงหนุ่มสาวมากฝีมือทั้งสองที่ถูกเชิญมาเป็น ตัวแสดงหลัก การแสดงเปิดตัวสินค้าตัวใหม่กำลังเริ่มขึ้น ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น

            ระหว่างรอพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการหลายคนเดินออกมาหาอะไรกิน เทวาเดินตักของกินสองสามอย่าง

“อันนี้ก็อร่อยนะคะ” เสียงผู้หญิงดังขึ้น เขาเงยหน้าจากถาดอาหาร มองอีกฝ่ายแต่จำไม่ได้ว่าเคยรู้จักเธอมาก่อน

“พิมพ์รตา วีรวัฒฑณกุลธรรมไพศาลทรัพย์ค่ะ”

“เทวาครับ” เขายิ้มให้แล้วกลับมาเดินเลือกอาหารต่อ

พิมพ์รตาหุบยิ้มทันทีเมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจเธอ ไม่เป็นไรเธอปลอบใจตัวเอง กำลังจะชวนอีกฝ่ายคุยก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามา แล้วทั้งสองก็เดินไป พิมพ์รตาเสียความมั่นใจเมื่อถูกเมิน ในงานคืนนี้หลายคนมองมาที่เธอ แต่ผู้ชายที่ชื่อเทวาทำไมถึงเมินเธอ

อีกด้านมีคนกำลังยืนหัวเราะชอบใจ

“หัวเราะอะไรพี่ธรณ์”

“เปล่า แค่เห็นคงหลงตัวเองถูกเมิน แล้วตลกดี” คณิตาร์มองไปที่พิมพ์รตาร์ยืนหน้าหน้ามุ่ย “ยัยนั่นกำลังจะอ่อยใครกัน”

คชาธรณ์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ถึงเขาเห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้น “ใครสักคนที่ไม่โง่” ผู้ชายคนนั้นน่าสนใจดี

            อีกคนที่เดินวุ่นไปทั่วงานตามหาปฐวีร์ ตั้งแต่เปิดงานจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเจอ พบเป้าหมายแล้วเธอก็เริ่มลงมือทันทีก่อนที่จะคลาดสายตา

            “น้อง ช่วยเอาเครื่องดื่มแก้วนี้ไปให้ผู้ชายคนนั้นที” ปิ่นอนงค์ชี้ไปชายหนุ่มสวมสูทยืนอยู่ข้างเวที เธอวางแก้วเครื่องดื่มดีกรีต่ำใส่ถาดให้พนักงานเสิร์ฟ พร้อมกับยัดเงินจำนวนหนึ่งให้

“ครับ” พนักงานเสิร์ฟเข้าใจรับเงินจำนวนนั้นมาด้วยความเต็มใจ แล้วรีบเดินตรงไปหาปฐวีร์ที่ยืนอยู่ข้างเวที

“เครื่องดื่มไหม ครับ” พนักงานเสิร์ฟถามปฐวีร์         

“อ้อ ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มใจลอยดูการแสดงบนเวทีมองดูเครื่องดื่มหลายอย่างอยู่บนถาด ไม่รู้จะเลือกแก้วไหนดี

“แก้วนี้ดีกว่าครับ รสชาติไม่แรงเท่าไหร่” พนักงานเสิร์ฟเลื่อนแก้วเครื่องดื่มของปิ่นอนงค์ให้ แต่ปฐวีร์รู้สึกไม่ชอบสีของมัน

“ไม่เป็นไร ผมยังไม่ได้ดื่มแค่ถือไว้ให้ดูดีเท่านั้น”

เขาเลือกหยิบแก้วอีกใบที่อยู่ข้างกัน แล้วยืนดูการแสดงบนเวทีต่อ

พนักงานเสิร์ฟเดินกลับไปหาปิ่นอนงค์

“เป็นไงน้องเรียบร้อยรึเปล่า” ปิ่นอนงค์ถามทันทีที่พนักงานเสิร์ฟคนเดิมเดินกลับมา

“เอ่อ”

“พี่ขอเครื่องดื่มสักแก้วสิ เอาแก้วนี้แล้วกัน” เมื่องานที่ทำเรียบร้อยเธอก็อยากผ่อนคลายบ้าง เลือกหยิบเครื่องดื่มสักแก้ว มาดื่มฉลองให้ความสำเร็จ หน้าที่ของเธอตรงนี้หมดแล้ว ต่อจากนี้เป็นของคณิตาร์

“เอ่อ คือ..” พนักงานทำหน้าลำบากใจ

“ทำไมหวงรึไง” อะไรขอดื่มแค่แก้วเดียวคนอื่นยังดื่มได้ หรือเธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าราคาแพงใส่เครื่องเพชรส่องแสงจนแสบตาพวกนั้น

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แต่..”

ปิ่นอนงค์ไม่ฟังเธอรีบดื่มจนหมด ไม่พอยังเทแก้วให้อีกฝ่ายดู ว่าไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ”ขอบใจนะ ไปละ”

พนักงานได้แต่ยืนน่าเศร้าที่บอกเธอไม่ทันว่าแก้วที่เธอดื่มเมื่อครู่เป็นแก้วที่เธอบอกให้เขาเอาไปให้ผู้ชายคนนั้น แต่ผู้ชายคนนั้นไม่รับ เขาเลยกลับมาบอกเธอ เธอกลับไม่ฟังเขาเลย

“เฮ้ย เป็นอะไรยืนทำน่าเศร้า โดนแขกด่ามาเหรอ” พนักงานเสิร์ฟอีกคนเดินเข้ามาทัก

“เปล่า” ชายหนุ่มถอนหายใจไม่รู้จะพูดยังไงดี ได้แต่ถอนหายใจแล้วกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

            การแสดงเปิดตัวสินค้าใหม่บนเวทีจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือ เสียงแฟตเสียงชัตเตอร์รัวใส่ทันทีที่นักแสดงชื่อดังถือสินค้าออกมา ประธานของงานเดินขึ้นบนเวทีกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ ปฐวีร์พรู่ลมหายใจอย่างโล่งอก แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นปิ่นอนงค์ที่อยู่ตรงทางเข้างาน เขารีบเดินตามไป

            ออกมาจากงาน ลงมาด้านล่างทะลุผ่านล๊อบบี้ไปจนถึงโถงทางเดิน หายไปไหนแล้วนะ เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายเดินมาทางนี้ กวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นด้านหน้าเคาน์เตอร์พนักงานกำลังต้อนรับแขก บริเวณโซนรับรองมีแขกหลายคนกำลังนั่งอยู่เตรียมเข้าพัก ห่างออกไปเป็นห้องอาหารได้ยินเสียงดนตรีแว่วมา

ตึ่ง ตึง ตึง อยู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปฐวีร์ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า หน้าจอแสดงหมายเลขไม่คุ้น แต่ก็ยอมกดรับ ”สวัสดีครับ”

“พี่วีร์ นี่ตาร์เองนะคะ คณิตาร์”

ปฐวีร์ใช้เวลาสองสามนาทีในการประมวลผล จะมีคนที่เขารู้จักสักกี่คนกันที่มีชื่อนี้ “อ้อ ตาร์” ดูหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง เขาไม่ยักรู้ว่าเธอมีเบอร์ติดต่อของเขา ”มีอะไรรึเปล่า”

“เอ่อ ตาร์ลืมของไว้ที่ล๊อบบี้ พี่วีร์ช่วยเอามาให้ที่ห้องได้ไหมคะ”

“ที่ห้อง ห้องไหน”

“พอดีว่าตาร์เปิดห้องไว้แต่งตัวกับเพื่อนเพื่อนนะคะ และของที่ฝากไว้ค่อนข้างจำเป็น นะคะ ตาร์โทรหาใครก็ไม่มีใครรับสักคน” น้ำเสียงเธอทั้งกังวลทั้งร้อนรน

“อือ รออยู่นั่นแหละเดี๋ยวพี่ไป” ปฐวีร์รับปากไปอย่างนั้นเพื่อตัดรำคาญ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงไม่วางสายแน่นอน

“ขอบคุณนะคะ” คณิตาร์กดวางสายแล้วยิ้มทันทีแผนของเธอสำเร็จไปอีกขั้น

งานเลี้ยงผ่านไปได้ด้วยดี สินค้าได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดี หลังจากพิธีเปิดงาน ประธานเชิญแขกที่มาร่วมงานชมบู๊ทด้านข้างเพื่อชมสินค้าของตัวใหม่

“นั่นยัยคณิตาร์กำลังทำอะไร ท่าทางดูลับ ๆ ล่อ ๆ”

“ยัยนั่นสติไม่ค่อยดีเท่าไหร่อย่าไปสนใจเลย ว่าแต่วีร์ไปไหนแล้ว”

“คงวิ่งช่วยงานอยู่แถวนี้แหละ”

ทั้งสามมองหาเพื่อนไม่เห็นก็เข้าไปดูบู๊ทในงานเหมือนคนอื่น

            ปฐวีร์ยังกวาดสายตามองหาปิ่นอนงค์ เขารู้สึกทุกอย่างแปลกตั้งแต่ที่เห็นปิ่นอนงค์มาโผล่ในงาน แล้วนี่คณิตตาร์ยังโทรบอกให้เอาของไปให้ที่ห้อง เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนบังเอิญ แต่พอคิดถึงสิ่งที่ปรากฏในความฝันแล้วเขาก็คิดอะไรได้ “คณิตตาร์ ปิ่นอนงค์ ห้องนอน” ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดคนแปลกหน้าคงจะรออยู่บนห้องนั่นแล้ว

“คุณ คุณ”

“เธอเป็นอะไรไป เมารึเปล่า” เสียงคนคุยกันดังมาอีกทาง เขามองไปที่มุมมุมหนึ่งของโรงแรมเห็นคนสามสี่คนเหมือนกำลังมุงดูอะไร เขารีบเดินตรงเข้าไปดูเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งหลับตาอยู่บนโซฟา มีผู้หญิงอีกคนสวมชุดพนักงานโรงแรมนั่งข้าง ๆ กำลังเรียกเธอ และใช้ยาดมจ่อที่จมูก ส่วนคนที่ยืนอยู่ใช้หนังสือพัดให้เธอ

”ปิ่นอนงค์” ทันทีที่เห็นหน้าชัดเขาเรียกชื่อผู้หญิงที่ไม่ได้สติคนนั้น

“คุณรู้จักเธอหรือคะ” ทุกคนมองมาที่ปฐวีร์

“คะ..ครับ เพื่อนผมเอง เรามาด้วยกัน พวกเรากำลังตามหาเธออยู่พอดี” เขาไม่ได้โกหก เขากำลังตามเธอจริง ๆ แต่ทำไมเธอถึงอยู่ในสภาพนี้

“ดีเลยค่ะ ฉันเห็นเธอเดินมาอยู่ดี ๆ ก็เป็นลมหมดสติไป บนตัวเธอมีกลิ่นแอลกอฮอล์ด้วย”

ฟังจากที่พนักงานสาวบอกไม่น่าจะใช่อาการของคนเมา แต่อะไรที่ทำให้เธอมีสภาพเป็นอย่างที่เห็น “เธอคงจะเมา ขอบคุณครับ” เขาจ้องหน้าเธอเหมือนไม่ใช่ลักษณะของการแกล้ง แล้วในหัวก็ความคิดดี ๆ ขึ้นมา ถ้าคณิตตาร์ต้องการให้เขาขึ้นไปบนห้อง เขาจะขึ้นไป แต่ถ้าคนอยู่ในห้องเป็นคนอื่นล่ะ ริมฝีปากบางปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นแล้วกลับเป็นปกติจนไม่มีใครสังเกตเห็น ”เดี๋ยวผมให้คนพากลับห้องเอง” ทุกคนได้ยินแล้วต่างโล่งอกและพากันแยกย้าย

จากนั้นปฐวีร์ไปรับของที่เคาร์เตอร์ เป็นถุงกระดาษและกุญแจห้องพัก รับกุญแจมาไว้ในมือ เมื่อไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้างถ้าต้องขึ้นไป เขารู้สึกเป็นกังวลยังไงบอกไม่ถูก เขาขอให้พนักงานหาคนสักสองคนช่วยพยุงปิ่นอนงค์ตามเขาขึ้นไปข้างบน ขึ้นลิฟต์กดหมายเลขขึ้นไปชั้นบน

พนักงานชายทั้งสองแบกคนไม่ได้สติอย่างทุลักทุเล ระหว่างนั้นปฐวีร์ไม่ลืมสังเกตรอบตัวไปด้วย มันค่อนข้างเสี่ยงแต่มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เขามีทางเลือกไม่มาก เลยเลือกที่จะเดินหน้าเผชิญกับมัน คาดเดาผลที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเครียด จนเหงื่อบนฝ่ามือซึมออกมา ถ้าคืนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาจริง เขาจะเปลี่ยนให้คนอื่นรับทุกอย่างไป คิดแล้วก็มองไปที่ปิ่นอนงค์ในสภาพไม่ได้สติ ขอบคุณนะปิ่นอนงค์ที่ช่วยรับเรื่องคืนนี้ไป

งานเลี้ยงที่ทุกคนช่วยกันเตรียมมานานหลายเดือนจบลงแล้ว หลายคนถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่ง พรุ่งนี้วันหยุดพวกเขาจะนอนตื่นสายโด่ง แขกทยอยกลับกันหมดแล้ว พนักงานโรงแรมกำลังช่วยกันเก็บของ อาหารของว่างที่เหลือกำลังห่อให้เจ้าภาพ

“มีใครเห็นเจ้าวีร์บ้าง”

“ไม่เห็นพี่กร”

“สงสัยคงกลับไปแล้วมั้ง เห็นน้องบอกว่าเพลียนอนดึกมาหลายวันแล้ว”

“ปล่อยน้องมันไปเถอะพี่ มันช่วยทำงานดึกมาหลายวันแล้ว ไม่งั้นก็ลองโทรหา”

“เออ” ทินกรเลื่อนรายชื่อแล้วกดโทรออก กดออกสองสามครั้งแต่ไม่มีคนรับ หรือจะหลับไปแล้ว เขาเลิกโทรออกกลัวว่าจะรบกวนอีกฝ่าย แล้วเข้าไปคุยกับคนที่ยังอยู่ “ที่นี่ไม่มีอะไรแล้วเดี๋ยวพี่จะอยู่เก็บตกเอง พวกแกก็กลับไปพักได้ ส่วนเรื่องเลี้ยงนอกรอบค่อยคุยกัน” พนักงานทุกคนต่างยิ้มดีใจกับคำว่าเลี้ยง อย่างนี้สิมันถึงคุ้มกับที่พวกเขาทำงานอย่างถวายหัว

แก๊ก เสียงเปิดประตูห้อง ไฟในห้องสว่างขึ้นทันที เขากวาดสายตาดูข้างในทุกอย่างดูเรียบร้อย จากนั้นโทรหาคณิตตาร์

”พี่มาถึงแล้ว”

“พี่วีร์นั่งรออยู่ในห้องก่อน ตาร์อยู่ห้องข้าง ๆ นี่เองเดี๋ยวไป”

“ได้ พี่จะรอ”

วางสายแล้วเขาให้พนักงานทั้งสองพาคนไม่ได้สติไปนอนบนโซฟา ตั้งแต่ที่เขาเห็นเธอเดินออกมาจากงานเลี้ยงระยะเวลาห่างกันไม่เท่าไหร่ พอมาเจอเธออีกทีก็อยู่ในสภาพนี้แล้ว เธอดื่มอะไรเข้าไปถึงทำให้ไม่ได้สติขนาดนี้ สภาพเหมือนถูกวางยา แล้วเขาก็นึกถึงพนักงานเสิร์ฟที่พยายามหยิบเครื่องดื่มอีกแก้วให้ แต่เขาไม่สนใจ ถ้าเป็นจริงอย่างที่คิด ถ้าเขาเป็นคนดื่มเข้าไปก็คงมีสภาพไม่ต่างจากเธอ เขามองพนักงานทั้งสองช่วยจัดให้เธอนอนสบาย อยู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหัว รู้สึกปวดแรงขึ้นจนต้องใช้มือข้างหนึ่งกุมไว้ เขาหรี่ตาลงและน้ำตาคลอเพราะความทรมาน เขากัดฟันอดทนกับอาการปวดหัวที่อยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้น แล้วภาพรางเลือนก็ปรากฏขึ้นมา ประตูห้องเปิดออกชายฉกรรจ์สี่คนเดินเข้ามา เขาเบิกตากว้างลืมอาการปวดหัวไปชั่วครู่ เมื่อพวกมันเดินตรงเข้ามา เขาพยายามเดินถอยหลัง แต่พวกมันกลับเดินทะลุผ่านร่างเขาไป เขามองตามหลังพวกมันที่เข้าไปในห้องนอนด้วยความสงสัย เขารีบเดินตามไปเห็นตัวเองนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง นี่มันเรื่องบ้าอะไรตอนนี้เขากำลังตื่นอยู่หรือกำลังฝันกันแน่ อยู่ ๆ อาการปวดหัวรุนแรงขึ้นเหมือนเป็นคำตอบว่าเขาไม่ได้ฝัน ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ปีนขึ้นเตียงข่มขืนเขา เขาอยากตะโกนเรียกให้ตัวเองตื่นขึ้นมา แต่อาการปวดทำให้ไม่สามารถอ้าปากพูดอะไรได้ แล้วภาพทุกอย่างก็หายไป เสียงคนคุยกันดังขึ้นด้านนอกเขารีบวิ่งออกมาดูเห็นคณิตตาร์ พิศนภาและปิ่นอนงค์กำลังหัวเราะเสียงดัง

พนักงานทั้งสองมองปฐวีร์ด้วยความแปลกใจ ”นั่นเขาเป็นอะไรของเขาวิ่งไปวิ่งมา แล้วยังเอามือกุมหัวไว้ตลอด” ทั้งสองเห็นปฐวีร์กำลังมองไปที่ประตูสลับกับมองไปที่ห้องนอน มองอยู่นานจนทั้งสองรู้สึกกลัวขึ้นมา

“อ้าว แล้วนั่นวิ่งออกจากห้องไปแล้ว”

“เขาคงลืมของมั้ง งานเราเรียบร้อยแล้วกลับเถอะ รู้สึกห้องนี้น่ากลัวยังไงไม่รู้”

“เออ วันนี้เจอแต่แขกแปลก ๆ”   

            อาการปวดหัวเมื่อครู่ค่อย ๆ ดีขึ้นทันทีที่ออกห่างจากห้องนั้น เขาวิ่งไปที่ลิฟต์ ความรู้สึกคอยเตือนให้เขาออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุด กดปุ่มเรียกลิฟต์ซ้ำ ๆ ย้ำสองสามครั้งประตูก็เปิด เขารีบเข้าไปข้างในกดหมายเลขลงไปชั้นล่างสุด ถอยหลังไปยืนพิงกับผนังลิฟต์ ตอนนี้เขาแทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ เห็นฝันร้ายกับตาตัวเองชัดเจนจนร่างกายอดสั่นกลัวไม่ได้ บนหน้าผากแผ่นหลังและฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ ตอนนี้เขาอยากออกไปจากที่นี่แล้ว ที่นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดเขารีบเดินออกมา เขาต้องไปจากที่นี่ ต้องไปจากที่นี่ในหัวท่องคำนี้ซ้ำไปซ้ำมา พยายามลากสังขารตัวเองไปตามทางเดิน สายตาเริ่มพร่ามัวสติสัมปชัญญะเริ่มลดลง เขาไม่ทันระวังทำให้ชนกับใครสักคนเข้า “โอ๊ะ ขอโท....” ยังพูดไม่ทันจบเสียงเขาขาดหายไป พร้อมกับภาพตรงหน้าก็ค่อย ๆ เลือนรางแล้วดับวูบลง

********************************
โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 13 [25/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 25-09-2018 11:58:14

ตอนที่ 13
[/size]



ภาพสุดท้ายค่อย ๆ เลือนรางลง ออกไปจากที่นี่ ที่นี่อันตราย จิตใต้สำนึกยังบอกอย่างนั้น ก่อนที่ทุกอย่างตรงหน้าจะเปลี่ยนเป็นมืดสนิทและร่างกายไม่รับรู้อะไร แล้วเขาก็ฝัน ภาพความฝันที่เห็นมาหลายวันก็ไม่มี นั่นแสดงว่าเขาสามารถเปลี่ยนทุกอย่างได้ แต่แล้วสุดท้ายก็เห็นภาพความตายตัวเองอีกครั้ง

พรึบ ปฐวีร์ลืมตาขึ้น เขาหอบหายใจ มองเพดานสูง นี่เขาอยู่ที่ไหน หันไปด้านข้างมีผู้ชายคนหนึ่งนอนกอดเขาอยู่ “เฮ้ย” รู้สึกตกใจจนกระเด้งตัวขึ้น กระเถิบห่างจนไปอยู่ที่ขอบเตียง จากนั้นกวาดสายตาไปทั่วห้อง นี่ไม่ใช่ห้องเขาแล้วมันห้องใคร เขามาอยู่ที่ได้ไง แล้วยังมานอนบนเตียงกับใครก็ไม่รู้ เขาเริ่มสำรวจร่างกายมีแค่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวตัวเดิม ร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ เขาคงไม่ถูกทำอะไรบ้า ๆ ใช่ไหม นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่ผู้ชายด้วยกัน สลัดความคิดบ้า ๆ ออกจากหัว แล้วหันไปมองคนข้าง ๆ ยังนอนหลับสบาย คลานเข้าไปใกล้จ้องใบหน้าซีกหนึ่ง ”เทวา” เขาเรียกชื่อคนที่กำลังนอนอยู่ ทำไมถึงเป็นเขาได้ ในหัวมีคำถามผุดขึ้นมามากมาย ความทรงจำครั้งสุดท้าย เขารีบลงจากห้องนั้นแล้วชนกับใครเข้าสักคน จากนั้นทุกอย่างก็ค่อย ๆ เลือนรางและดับวูบ จนตื่นมาอีกทีอยู่ที่นี่แล้ว อย่าบอกนะว่าคนที่เขาชนเข้าก็คือเทวา

            แสงแรกของวันวิ่งไล่ความมืดให้ไปจากเมืองหลวง ไฟอัตโนมัติบนถนนสายหลักค่อย ๆ ปิดลงทีละหลอด พระอาทิตย์ยิ้มหวานโผล่หน้าออกมาจากหลังตึกสูง ปฐวีร์กอดอกมองออกไปข้างนอก เขากำลังทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน รวมไปถึงอาการที่ปวดหัวรุนแรงไม่รู้สาเหตุแล้วอยู่ ๆ ก็ปรากฏภาพเหตุการณ์บางอย่างขึ้น เขาพยายามหาคำตอบว่าภาพพวกนั้นเกิดขึ้นได้ยังไงหรือเป็นเพราะเขาปราสาทหลอน แต่นี่มันไม่ใช่ครั้งแรก นอกจากเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์นิดหน่อยแก้วเดียวนั้น อาหารอย่างอื่นก็ไม่น่าจะมีปัญหา ช่วงนี้รู้สึกว่าเขาแปลกไปหลายอย่าง ขอร้องเถอะช่วยอย่าแปลกไปกว่านี้เลย

เมื่อคืนเขายังโชคดีที่เทวาเป็นคนมาพบ แล้วพากลับมาที่ห้อง กวาดสายตามองห้องพักที่ตกแต่งเรียบง่ายมีเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น ห้องนั่งเล่นกว้างกว่าห้องเขามาก ห้องนี้ท่าทางจะแพงน่าดู เขานั่งลงบนโซฟาสีเข้มตัวโตและนุ่ม แล้วประตูห้องนอนก็เปิดออก

“ตื่นแล้วหรือ” เจ้าของห้องเดินหาว หัวฟูไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาดื่ม

“ครับ” ปฐวีร์รู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายเป็นกันเองกว่าที่คิด “เมื่อคืนพี่เทวาพาผมกลับมาที่ห้องหรือครับ” ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“อืม จะปล่อยให้นอนข้างถนนก็สงสาร”

ปฐวีร์ได้ยินคำตอบแล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่สภาพเมื่อคืนเขาดูน่าสงสารขนาดนั้นเลย “ขอบคุณครับที่ไม่ทำอย่างนั้น” เขายิ้มแห้งรู้สึกเกรงใจเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นภาระให้อีกฝ่ายแบกมาที่นี่ แถมยังให้ที่นอนอีก

“แล้วเกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย

“สงสัยคงพักผ่อนไม่เพียงพอ” ปฐวีร์ตอบโดยไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย เทวาเห็นอีกฝ่ายไม่อยากพูดถึงเขาก็ไม่อยากบังคับพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“งานเมื่อคืนออกมาดีทีเดียว” เทวามองคนที่ละเมอพูดไม่รู้เรื่อง นอนกระสับกระส่ายเหมือนฝันร้ายเกือบทั้งคืน สีหน้าตอนนั้นเหมือนกำลังทรมาน พอตื่นเช้ามากลับเป็นคนละคน เมื่อคืนเขาแยกกับที่บ้านจะกลับมาค้างที่คอนโดมิเนียม ระหว่างทางจะไปที่รถแล้วก็มีคนเดินเข้ามาชน จากนั้นก็หมดสติไป เล่นเอาเขาตกใจแทบแย่ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น แถมปากยังพึมพำพูดอะไรไม่รู้เรื่อง พอมองหน้าให้ชัดถึงได้รู้ว่าเป็นปฐวีร์ เขาพยายามจะโทรติดต่อภฤดลแต่ก็ไม่มีคนรับ หันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่มีใคร จะทิ้งไว้ที่นั่นก็ดูจะใจร้ายเกินไปจึงได้ตัดสินใจแบกขึ้นรถกลับมาที่คอนโดมิเนียมด้วย

“ที่นี่ที่ไหนครับ”

“ห้องพี่เอง”

“ครับ” ตอบเหมือนไม่ตอบ เขาก็ขี้เกียจจะถามต่อ ”ว่าแต่มีอะไรกินบ้างผมหิวแล้ว” เขาลูบท้องแบน ถามหาของกินอย่างไม่เกรงใจ

“เสียใจด้วย ดูเหมือนจะไม่มี”

“เอางี้แล้วกัน ผมจะช่วยทำมื้อเช้าให้เป็นการขอบคุณที่ให้ที่นอนกับผม” ตอบแทนอีกฝ่ายด้วยการทำอาหารให้กินสักมื้อดูยังไงก็คุ้ม

“แน่ใจว่าทำเป็น และกินได้” เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

“เชื่อมือผมได้เลย” อะไร ทำเป็น กินได้ เขาดูไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยรึไง เดี๋ยวให้ได้ลองกินก่อนเถอะ กับข้าวฝีมือเขาอร่อยจนเชฟต้องยกนิ้วให้เชียวนะ

            จากนั้นเขาก็ถามหาซุปเปอร์มาเก็ตหรือร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุด เทวาบอกใกล้ ๆ นี้มีทุกอย่างที่ต้องการ เขากลับเข้าห้องขอยืมเสื้อผ้าจากให้เจ้าของห้อง สวมแล้วรู้สึกไม่ค่อยพอดีตัวยังไงไม่รู้ แต่กว่าดีกว่าสวมชุดเดิมในสภาพยับยู่ยี่ออกจากห้อง หยิบกระเป๋าตังค์แล้วลงไปข้างล่าง มาถึงชั้นล่างก็ต้องแปลกใจที่นี่คือคอนโดมิเนียมที่เขาพัก แต่ห้องที่เขานอนเมื่อคืนอยู่ชั้นบนสุด เคยได้ยินพนักงานบอกว่าเป็นห้องของเจ้าของที่นี่ เขารีบไปตลาดสดแถวนี้ เคยไปครั้งสองครั้ง ว่าแต่เขาลืมถามเจ้าของห้องไปว่าเขาอยากกินอะไร ช่างเถอะทำอะไรง่าย ๆ แล้วกัน

            ตลาดสดขนาดเล็กใกล้ชุมชนตอนเช้ากำลังคึกคัก โดยเฉพาะเช้าวันหยุด เขาใช้เวลาเดินเลือกซื้อของในตลาดสดไปเกือบครึ่งชั่วโมง ต่อจากนั้นแวะไปเข้าร้านสะดวกซื้อ ซื้ออะไรเพิ่มอีกสองสามอย่าง สำรวจของในมืออีกครั้งว่าไม่มีอะไรขาด จากนั้นเขาแวะที่ห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าประมาณสิบห้านาที

            ใช้เวลาชั่วโมงกว่าเขากลับมาถึงห้อง กดออดเรียกเจ้าของห้อง

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ” เทวาเห็นอีกฝ่ายถือของมาเยอะแยะเหมือนจะทำเลี้ยงคนทั้งคอนโดมิเนียม

“พอดีว่าหิว เลยซื้อเพลินรู้ตัวอีกทีก็เต็มมือแล้ว ผมว่าจะทำข้าวต้มทรงเครื่องพี่กินได้ไหม”

“อืม” เทวาพยักหน้า เขาไม่ใช่คนเรื่องมาก “แล้วนั่นกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาด้วย” เห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนชุดใหม่ ปลายผมยังชื้นและได้กลิ่นครีมอาบน้ำ

“ครับ พอดีห้องผมอยู่ข้างล่างนี่เอง ”

“อ้อ” คนฟังเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ในความบังเอิญ ไม่ยักรู้มาก่อน “ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกแล้วกัน” เทวากอดอกพิงประตูมองท่าทางคล่องแคล่วอีกฝ่าย ปฐวีร์ไม่เกรงใจเมื่ออีกฝ่ายเสนอตัวเขาก็ส่งกะละมังใบหนึ่งและมีผักอยู่ในนั้นให้ “ช่วยกันครับจะได้กินเร็วขึ้น” เทวายิ้มไม่นึกว่าอีกฝ่ายใช้ตัวเองจริง รับกะละมังมาแล้วตรงไปที่อ่างล้างจาน ล้างผักด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ

            น้ำซุปกำลังเดือดปุดในหม้อ ทุกอย่างสุกได้ที่ ข้าวต้มทรงเครื่องแบบเร่งด่วนเฉพาะกิจก็เรียบร้อย มันถูกตักใส่ถ้วยทั้งสอง ไข้ต้มฝ่าซีก หมูทอดกระเทียม หมูยอหั่นเป็นแว่นถูกวางบนถ้วยแล้วสุดท้ายโรยด้วยผักชีต้นหอมซอยและกระเทียมเจียว

“เรียบร้อยครับ กินได้” ปฐวีร์วางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะ   เทวาหยิบช้อนขึ้นด้วยท่าทางลังเลเล็กน้อย แต่กลิ่นหอมก็ทำให้เขายอมตักข้าวต้มในถ้วยขึ้นมาชิม

“อืม อร่อย” พ่อครัวจำเป็นยิ้มกว้างกับคำชม มื้อเช้ากับคนที่พึ่งรู้จักกัน ทั้งสองนั่งกินมื้อเช้าเงียบ ๆ แต่แทนที่จะรู้สึกอึดอัด บรรยากาศกลับรู้สึกสบายใจกว่ากินข้าวพร้อมกับที่บ้านซะอีก หลังมื้อเช้าทั้งสองช่วยเก็บครัว จากนั้นปฐวีร์ขอตัวกลับห้อง ไม่อยากรบกวนเจ้าของห้อง เขาอยากกลับไปนอน ทำงานเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์ วันหยุดทั้งทีอยากกลับไปนอนสบายบนเตียง แล้วตื่นขึ้นมาอ่านนิยาย อ่านมังงะ ดูโทรทัศน์มากกว่า

            กลับมาถึงห้อง รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีกลิ่นอาหาร แล้วกระโดดขึ้นเตียงเริ่มคิดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เหมือนมีข้อสงสัยหลายอย่างต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาออกมาจากที่นั่น แล้วคนที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างปิ่นอนงค์ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง จะให้กลับไปที่นั่นคงไม่มีทาง ในเมื่อทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้วเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เขาตัดสินใจลืมทุกอย่างแล้วหลับตาพักผ่อน

            ในห้องพักของโรงแรม คณิตาร์ยังนอนหลับสนิทบนโซฟา เมื่อคืนเธอนั่งรอปิ่นอนงค์กลับมา รอโทรศัพท์ติดต่อกลับมา จนเข้าสู่วันใหม่ เธอรอไม่ไหวจนหลับไป

ติ๊ด ดี ครืน ติ๊ด ดี ครืน เสียงโทรศัพท์อยู่บนโต๊ะดังขึ้น คนเพิ่งหลับไปไม่กี่ชั่วโมงสะดุ้งตื่น เหลียวมองหาที่มาของเสียง

”ฮาโหล” เสียงพี่ชายฝาแฝดลอดปลายสายมา ถามว่าอยู่ที่ไหน คณิตตาร์หายง่วงทันทีเมื่อจำได้ว่าเธอไม่ได้อยู่บ้าน จนตอนนี้ไม่รู้กี่โมงกี่ยามแล้ว

“ตาร์ อยู่กับเพื่อนเดี๋ยวกลับ บอกแม่ด้วยไม่ต้องเป็นห่วง” วางสายไปแล้ว เธอมองดูเวลาบนหน้าจอ “สายป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย” ทำเธอยังไม่เห็นปิ่นอนงค์ เลื่อนโทรศัพท์ดูบันทึกโทรเข้าล่าสุดก็ไม่มี มันเกิดอะไรขึ้น เธอรีบออกจากห้องตรงไปที่ห้องข้าง ๆ ใช้กุญแจสำรองเปิดเข้าไป

            สำรวจในห้องเหมือนไม่มีคนเข้ามา เดินตรงไปที่ห้องนอนเรียบร้อย ทำไมทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้  หรือปิ่นอนงค์หักหลังเธอ ไม่น่าจะเป็นไปได้ คณิตตาร์เลื่อนโทรศัพท์กดโทรออกหาปิ่นอนงค์

“หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถ......ตืด ตืด” โทรซ้ำสองสามครั้งก็เป็นแบบเดิม เธอเปลี่ยนเป็นติดต่อไปหาพิศนภา

“อะไรนะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหมายความว่ายังไง” ปลายสายตกใจและร้อนใจ

“ฉันก็ไม่รู้ นี่รอยัยปิ่นมาทั้งคืนยังไม่ได้นอนเลย โทรหาก็ปิดเครื่อง”

“ช่างเถอะ เจอกันแล้วค่อยว่ากัน”

พิศนภาวางสายแล้วแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง มันเรื่องบ้าอะไร แทนที่ตื่นเช้าเธอจะได้รับข่าวดี กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ปฐวีร์ดวงดีหรือคนของเธอทำงานไม่ได้เรื่องกันแน่ นี่มันครั้งที่สองแล้วที่แผนของเธอล้มเหลว นี่กำหนดการเดินทางของเธอก็ใกล้เข้ามาแล้ว

            ศาลาหลบร้อนในสวนของบ้านใหญ่ คุณนายรองและพิมพ์รตากำลังนั่งเล่นใช้เวลาส่วนตัวอัปเดตข่าวสาร สลับกับจิบเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและของว่างน้ำตาลน้อย ภาพข่าวงานเปิดผลิตภัณฑ์ของเครือ Agro Group ปรากฏบนหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ออนไลน์ในเช้านี้ คุณนายรองกำลังนั่งอ่านข่าว แล้วดูรูปถ่ายที่มีเธอปรากฏอยู่ในนั้น

“คุณแม่สวยมากเลยนะคะ เสื้อผ้าหน้าผมเฟอเฟคมาก”

ถูกลูกสาวชมเธออารมณ์ดี ยิ้มแทบหุบไม่ลง

รถแท็กซี่ชะลอจอดหน้ารั้วสูง คณิตตาร์ลงจากรถเดินเข้ามาในบ้านเดินผ่านสวน เห็นคุณนายรองกับพิมพ์รตานั่งสบายใจในศาลา เธอรู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นไปอีก กลัวทั้งสองจะเห็นเธอเดินหลบไปอีกทาง

ส่วนพลพัฒน์เดินรีบเร่งออกจากบ้านตรงไปที่โรงจอดรถหลังจากได้รับโทรศัพท์

“นั่นตาพลจะออกไปไหน” เธอชะเง้อมองลูกชายที่วันหยุดไม่ยอมอยู่ติดบ้าน

“ไปหาแฟนมั้งคะ” เธอพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“ฮือ ตาพลมีแฟนแล้วเหรอ มีตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมแม่ไม่รู้” เธอร้อนใจขึ้นมา

“โถ่! คุณแม่ พี่พลโตแล้วนะคะ จะมีแฟนก็ไม่เห็นจะแปลก ไม่มีสิแปลก” พี่ชายหน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ซะหน่อย

“แม่ไม่ได้ห้ามหรอกนะเรื่องที่จะมีแฟน แต่แม่กลัวพี่ชายลูกจะไปคว้าผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มา ลูกก็เหมือนกันจะรักจะชอบใครก็ต้องดูให้ดี” เธอเป็นห่วงลูกชายแล้วเป็นห่วงลูกสาวไม่ได้

อ้าว พูดถึงพี่ชายเธออยู่ดี ๆ ไหนกลายเป็นเรื่องของเธอซะได้ นิ้วเรียวเลื่อนภาพถ่ายบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วก็หยุดลง สายตาจ้องผู้ชายอยู่ในรูป เธอเจอแล้วคนที่เหมาะกับเธอ

            “กรี๊ด......” เสียงกรีดร้องดังทั่วห้องน้ำปิ่นอนงค์นั่งอยู่ใต้ฝักบัว เธอใช้มือถูลบร่องรอยอยู่ตามเนื้อตัวจนแดงไปหมด พร้อมกับร้องไห้สะอื้นไปด้วย “ฮึก ฮึก ฮือ” เรื่องมันเป็นแบบนี้ได้ยังไง เธอตื่นขึ้นมาร่างกายบริเวณด้านล่างเต็มไปด้วยคราบน้ำคาว ขยับตัวแล้วรู้สึกเจ็บปวดไปหมด เธอทั้งตกใจและแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ กวาดสายตาไปรอบไม่มีใครอยู่สักคน เธอรีบแต่งตัวออกมาจากที่นั่น ทันทีที่ปิดประตูลงทำให้เธอรู้ว่ามันเป็นห้องเธอที่ไม่ควรจะอยู่ เธอกัดฟันลากสังขารออกมา ไม่ลืมแจ้งให้พนักงานเข้าไปทำความสะอาด เธอไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น

“กรี๊ด...” เธอกรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวล้างทุกอย่างออก แต่ก็ทำไม่ได้เธอนั่งอยู่ตรงนี้มาหลายชั่วโมง ก็ไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น สุดท้ายเธอเลือกที่จะยอมแพ้เปลี่ยนเสื้อผ้า กินยานอนหลับแล้วปีนขึ้นเตียงร่างกายเหนื่อยล้าบวกกับฤทธิ์ยาทำให้เธอหลับไปในที่สุด

*****************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 13 [25/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 25-09-2018 13:15:28
 :m31:แต่ละคนนิสัยแย่มากสงสารนายเอกจังเจอแต่พวกกัดไม่ปล่อย มาต่ออีกไวๆนะรออ่าน
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 13 [25/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 25-09-2018 13:56:39
สนุกค่ะ ลุ่นมากๆ ตามต่อนะคะอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นวีย์จะรอดปลอดภัยไหม
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 13 [25/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 25-09-2018 19:44:59
 :L1:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 13 [25/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 27-09-2018 12:30:26
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 13 [25/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 27-09-2018 18:23:33
ตอนที่ 14
[/size]



บ่ายปลายสัปดาห์นักศึกษากำลังนั่งเรียนในห้องอย่างตั้งใจ เปิดเรียนมาได้สักระยะภาคเรียนแรกกำลังจะผ่านไป อีกไม่ถึงสามสัปดาห์ฤดูการสอบกำลังจะมาถึง ทุกคนจึงตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะเกรดเฉลี่ยที่ออกมาเป็นตัวตัดสินอนาคตของพวกเขา อาจารย์เลื่อนเปลี่ยนสไลด์หลังจากสอนเนื้อหาบางส่วนเสร็จ นักศึกษารีบโน้ตย่อใจความสำคัญ

            หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไป นักศึกษาทยอยออกห้อง ปฐวีร์และเพื่อนเดินตามกันออกมาจากห้องคุยกันว่าไปที่ไหนกันต่อ อยู่ ๆ ก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามา เขาเห็นเบอร์แปลกพอกดรับก็ต้องแปลกใจกว่าเดิม

            “สวัสดีครับ”

”นี่พี่เทวานะ”

“อ้อ ครับ”

“เสื้อสูทที่ลืมไว้ที่ห้อง ส่งซักแล้วอย่าลืมมาเอา”

“ครับ ลืมไปเลย เดี๋ยวตอนเย็นผมจะขึ้นไปเอา”

“อืม ตอนเย็นมากินข้าวด้วยกันไหม”

“นั่นแน่ ติดใจฝีมือผมละสิ ได้ครับ เดี๋ยวผมจะทำอย่างอื่นให้ลองกิน ที่ห้องผมดีไหมครับ”

“แล้วเจอกัน”

เทวาวางโทรศัพท์ไปแล้วเสียงน่ารำคาญอยู่ข้าง ๆ ก็ดังขึ้น ”แกชวนใครไปกินข้าวด้วยวะ” ยุทธจักรที่นั่งข้าง ๆ ตั้งใจแอบฟังเพื่อนคุยโทรศัพท์มาตั้งแต่แรกถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“สาวที่ไหน คือคนที่โชคดีคนนั้น”

“แล้วที่บอกว่าส่งเสื้อซักให้แล้ว ให้มาเอาที่ห้องมันหมายความว่ายังไง”

ทุกคนต่างยิงคำถามใส่เทวาไม่หยุด เพิ่งจะคยได้ยินเพื่อนชวนใครสักคนมากินข้าวที่ห้อง ปกติเทวาไม่ไปกินข้าวกับใครอื่นที่ไหนนอกจากเพื่อน แล้วยังส่งเสื้อผ้าซักอะไรนั่นอีก ชวนให้พวกเขาคิดไปไกลถึงไหนต่อไหน

“นี่พวกแกไม่รู้จักคำว่ามารยาทรึไง” แค่เขาโทรชวนเพื่อนรุ่นน้องกินข้าวนี่มันแปลกนักรึไง แค่อีกฝ่ายทำกับข้าวอร่อย แล้วยังอยู่คอนโดมิเนียมเดียวกันก็เท่านั้น

“ไม่รู้จัก เป็นคนหน้าด้าน บอกได้ยังว่าใคร”

“อยากรู้” ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน ต่างไม่ยอมแพ้ เทวาหน้าดำขึ้นมาไม่นึกว่าเพื่อนที่คบกันมาหลายปีจะเป็นแบบนี้ “พวกแกดูปากฉัน ไม่-บอก-เว้ย” เทวาบอกเพื่อนแล้วลุกจากโต๊ะ ทุกคนทำหน้าผิดหวังที่ล้วงความลับจากเพื่อนไม่ได้

“ฉันต้องลวงความลับของมันให้ได้” ยุทธจักรทำหน้าตามุ่งมั่น

“เฮ้ย มันหนีไปโน่นแล้ว” เห็นเทวาเดินไปไกลทั้งสามคนวิ่งตามไป   

             กับข้าวจานสุดท้ายวางลงบนโต๊ะ พ่อครัวสุดหล่อยืนชื่นชมผลงานของตัวเองพร้อมกับปาดเหงื่อด้วยความภูมิใจ

ออด ออด เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น ปฐวีร์รีบวิ่งที่ประตู เปิดประตูออกเห็นชายหนุ่มร่างสูงยืนถือของเต็มไม้เต็มมือ

“มาพอดีเลครับ ขอโทษด้วยที่ต้องให้เอาเสื้อลงมาให้” เขาเกรงใจที่ต้องรบกวนอีกฝ่ายบ่อยครั้ง

”ผมเพิ่งทำมื้อเย็นเสร็จ เชิญครับ”

“รบกวนด้วยนะ นี่เสื้อที่ลืมไว้ ส่วนนี่ขนมเอามาฝาก”

“ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไรแลกกับอาหารมื้อเย็น” เขาเบื่อกับข้าวตามสั่งแถวมหาวิทยาลัยแล้ว อาหารญี่ปุ่นก็เหมือนกัน จะกลับบ้านเพราะไปกินข้าวฝีมือแม่นั่นก็รังเกียจรถติด ในเมื่อมีคนเพิ่งพาได้แค่ส่งเสื้อไปซักแล้วเอามาให้แค่นี้ไม่ได้หนักอะไร

“ครับ” ปฐวีร์พาแขกไปนั่งรอที่โซฟาเปิดโทรทัศน์ให้ดู เอาเสื้อเข้าไปเก็บในห้อง

เทวาทำหน้าที่แขกที่ดีนั่งเรียบร้อยกวาดสายตามองรอบห้องที่ดูโล่งกว่าห้องเขา ของตกแต่งอย่างรูปเจ้าของห้องก็ยังไม่มี ไม่รู้เจ้าของห้องเพิ่งย้ายเข้ามาไม่นานหรือห้องตกแต่งยังไม่เสร็จก็ไม่รู้ ห้องถูกตกแต่งไปด้วยโทนสีทึบ มีโคมไฟติดไว้หลายจุด จนคิดว่าเจ้าของห้องชอบโคมไฟเป็นพิเศษแต่ก็ไม่น่าใช่มันเหมือนจะเป็นโคมไฟธรรมดา สายตาเขาหยุดที่ประตูห้องที่อีกฝ่ายหายเข้าไป แล้วประตูห้องก็เปิดออกปฐวีร์เดินออกมา ชวนเทวาไปกินข้าว

            ไข่เจียวรวมมิตร ต้มยำทะเลรวมและผัดผักรวม ส่งกลิ่นหอม ปฐวีร์ตักข้าวสวยใส่จานส่งให้เทวา อีกจานเป็นของเขา เสียงช้อนกระทบจานดังเป็นระยะ ทั้งสองชวนกันคุยบ้าง ส่วนมากเป็นเรื่องทั่วไปมากกว่า กับข้าวถูกปากเทวาถึงกับขอข้าวอีกจาน ไข่เจียวฟูกรอบเนื้อกุ้งเนื้อปูยังเยอะอีก ต้มยำยังรสชาติไม่จัดมาก ผัดผักก็สุกพอดีไม่เหม็นเขียวเหมือนร้านอาหารบางร้าน มื้อเย็นจบลงด้วยความอิ่มอร่อย ทั้งสองช่วยทำความสะอาด จากนั้นมานั่งย่อยหน้าโทรทัศน์ สักพักเทวาก็กลับ

            วันหยุดวนมาถึง ในตอนสายที่รถบนท้องถนนกำลังวิ่งวุ่น ซึ่งดูจะเยอะกว่าวันปกติ ปฐวีร์กำลังนั่งหาวบิดขี้เกียจอยู่เบาะหลัง มีภฤดลทำหน้าที่เป็นคนขับนั่งคู่กับกฤติกรณ์ เขานั่งเบาะหลังกับนภาภรณ์ เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อคืนตอนดึกเขากำลังจะหลับนภาภณณ์โทรเข้ามาชวนไปดูหนัง เธอบอกว่าเป็นหนังเพิ่งเข้าฉายมาได้สองวัน เธออยากดูมากและจองตั๋วออนไลน์ไปแล้วเรียบร้อย นั่นมันมัดมือชกกันนี่นา ยังไม่ทันตกลงเธอก็กดวางสายไปแล้ว ตอนแรกยังคิดว่าตนเองฝันไป ขนาดที่กำลังหลับสบายก็มีสายเข้ารบกวน กดรับสายนภาภรณ์บอกว่ามาอยู่ที่หน้าห้องแล้ว เขาเปิดประตูออกไปเห็นนภาภรณ์ ภฤดลและกฤติกรณ์ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง เขารีบปิดประตูทันทีแต่สุดท้ายก็ถูกทั้งสามลากขึ้นรถมา

            ปฐวีร์มองออกไปนอกรถ มองคนเดินสวนกันไปมาบนฟุตปาธทุกคนดูเหมือนกำลังรีบเร่ง ทั้งที่เป็นวันหยุด ชีวิตคนเรามันสั้นควรที่ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุขถึงจะถูก ถึงเขาจะรู้ว่าสุดท้ายจะต้องตายยังไง รู้แล้วยังไง เขาต้องมานั่งกลัว นั่งร้องไห้วิตกกังวลจนเป็นบ้ารึไง นั่นก็ไม่ใช่ ถ้าจะบอกว่าเขาทำใจได้ที่จะเผชิญกับความตายแบบนั้น ต้องตอบว่าไม่ใช่ ไม่มีใครหรอกที่จะยินดีกับความตายแบบนั้น และเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด แต่เขาเลือกที่จะแก้ไขปัจจุบันเพื่อเปลี่ยนอนาคต พร้อมกับทำให้ทุกทุกวันมีความสุข ยิ้มให้มากขึ้น หัวเราะให้เยอะ ทำให้ชีวิตสนุกมากกว่าที่ผ่านมา เมื่อที่ว่าทุกอย่างจบไปแล้วหันกลับมามองจะได้ไม่รู้สึกเสียใจ เห็นห้างสรรพสินค้าอยู่ตรงหน้า เขาเริ่มหาวและบิดขี้เกียจอีกครั้ง

            ตามที่ตกลงกันว่าวันนี้จะมาดูหนัง แต่ก่อนนั้นทุกคนแวะหาอะไรรองท้องก่อน กวาดสายตาหาร้านอาหารที่คนไม่เยอะและไม่ต้องใช้เวลารอนาน สุดท้ายก็เลือกเดินเข้าร้านไก่ทอด ไก่ทอดชิ้นโตน่ากินอยู่ในจานเกือบสิบชิ้น เฟร้นฟรายกล่องใหญ่และของกินเล่นสองสามอย่าง ถูกจัดการจนหมดทุกคนอิ่มจนท้องป่อง จากนั้นพวกเขาขึ้นไปชั้นบนแวะเข้ามุมเกมก่อนเข้าโรงหนัง

            สองชั่วโมงครึ่งหนังแอ็คชั่น โรแมนติก ดราม่าก็จบลง เรียกน้ำตาความสุข ความทรงจำดี ๆ ให้คนดูหลายคน จนบางคนบ่นกับคนข้าง ๆ ว่าต้องหาเวลากลับมาดูอีกสักรอบ ปฐวีร์เดินตามหลังเพื่อนออกไป เขาหลับ ๆ ตื่น ๆ ดูไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่ รู้แต่ว่าหลับสบายมากเบาะก็นุ่มแอร์ก็เย็นสบาย ถึงบางครั้งเสียงดังไปหน่อย ได้หลับพักสายตาไปบ้างก็รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะ

“ไปเดินดูของทางนั้นดีกว่า” กฤติกรณ์ออกความเห็น ทุกคนไม่มีใครขัดข้องเดินตามหลังกันไป เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ มีทั้งร้านขายเสื้อผ้ากระเป๋า ทั้งราคาที่พอจะซื้อได้และแพงเกินไปแต่ก็ยังไม่มีของที่ถูกใจ

“วีร์ไปดูร้านนั้นกัน” นภาภณ์ชวนปฐวีร์ไปที่ร้านขายตุ๊กตาที่อยู่ถัดไป

“ไปสิ”

Dolls Café ชื่อร้านที่ถูกตกแต่งเหมือนบ้านตุ๊กตา และหน้าร้านยังมีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ยืนยิ้มหวานอยู่ ในมือของมันถือป้ายยินดีต้อนไว้ มีหลายคนผ่านมาแวะถ่ายรูปกับพวกมัน นภาภรณ์เดินนำเข้าไปข้างใน ทันทีที่เข้าไปในร้านเธอก็ถูกความน่ารักของตุ๊กตาเล่นงาน เธอวิ่งเข้ากอดตัวนั้นทีตัวนี้ที ส่วนปฐวีร์เดินดูรอบร้านกวาดสายตามองดูตุ๊กตาบนชั้นหลายขนาด บางตัวเขาเคยเห็นในโทรทัศน์ตอนเช้าช่วงวันหยุด บางตัวนำเข้าจากต่างประเทศ ถัดจากชั้นวางมีตู้กระจกสองสามหลังข้างในมีโมเดลการ์ตูนหลายตัว ลูกค้าหลายคนเกาะกระจกสนใจพวกมัน เดินดูไปเรื่อยจนสายตาเหลือบไปเห็นที่ห้อยพวงกุญแจตุ๊กตาแมวน้ำตัวเล็กแขวนอยู่หลายตัว ดูมันอ้วนกลมน่ารักดี เขาหยิบมันขึ้นมาดู

“น่ารักดี เหมือนวีร์เลย”

“ฮือ เหมือนตรงไหน”

“น่ารัก แล้วก็ตาโตเหมือนกันเลย”

คนถูกชมขมวดคิ้วไม่ค่อยรู้สึกจะดีใจเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าถูกด่าเป็นไหน ๆ แมวน้ำเนี่ยนะใครอยากจะเหมือน

            ออกจาก Dolls Café ทั้งสองมองหาเพื่อนอีกสองคน เหมือนกำลังยืนคุยกับใครอยู่หน้าตาคุ้น ๆ

“ภรณ์ก็นึกว่าใคร พี่ยุทธกับพี่วัฒน์นี่เอง มาเดตกันหรือคะ” เธอยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ทั้งสอง

“เฮ้ย น้องภรณ์อย่าพูดให้พี่ขนลุกอย่างนั้นสิ”

ชายหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันและขยับออกให้ห่างกลัวหลายคนเข้าใจผิด

นภาภรณ์เห็นแล้วต้องหัวเราะ “ล้อเล่นค่ะ กำลังจะไปเที่ยวไหนกันคะแต่งตัวซะหล่อเชียว”

“กำลังจะไปหาอะไรกินกัน แต่รอไอ้เทวาอยู่”

“ตายยากชะมัด พูดถึงก็เดินหล่อมาแล้วนั่น” ทุกคนมองคนมาใหม่ที่กำลังเดินตรงทางนี้

“โทษที ตื่นสาย แล้วนี่ทำไมอยู่กันพร้อมหน้า” เขากวาดสายตามองรุ่นน้องอยู่กันพร้อมหน้า แล้วยิ้มให้ปฐวีร์

“บังเอิญเจอน้อง ๆ กำลังเดินเล่นแถวนี้”

“อ้อ ยังไงไปกินข้าวด้วยกันไหม” เทวาออกปากชวนรุ่นน้องแต่สายตามองไปที่อีกคน ทุกคนตกลงตามคำชวน

”ไอ้วุธโทรมาบอกว่าอยู่หน้าร้านอาหารแล้ว ไปกันเถอะ”   

ทุกคนเห็นด้วยเดินตามเทวาไปหน้าร้านอาหารบุฟเฟ่ต์แต่เห็นคนเยอะเกินไปแถมต้องยืนรอคิวอีกนาน พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแทน

            ได้ที่นั่งต่างคนต่างดูรายการอาหารถามกันไปมาว่าจะเลือกอะไรดี โต๊ะข้าง ๆ มองผู้หญิงในกลุ่มคนเดียวอย่างนภาภรณ์ด้วยสายตาอิจฉา สักพักพนักงานเดินกลับมาอีกครั้งทุกคนต่างสั่งอาหาร

“เอาอาหารเซตข้าวหน้าหมูทอด แล้วก็กุ้งเทมปุระด้วย....”

“เอาเซตปลาแล้วก็...”

“ขอเป็นอาหารชุด A กับซูชิ....”

ทุกคนเวียนสั่งอาหารจนครบ พนักงานทวนรายการอาหารอีกครั้ง ไม่นานอาหารจานร้อนส่งกลิ่นหอมก็ทยอยมาเสิร์ฟ ทุกคนกินไปด้วยคุยกันไปด้วย

“นั่นตัวอะไร” เทวามองที่พวงกุญแจอยู่บนโต๊ะ และถือวิสาสะหยิบขึ้นมาดู

“ถ้าคิดไม่ผิดน่าจะเป็นแมวน้ำครับ”

“หน้าตาเหมือนเราเลย” ชายหนุ่มมองแมวน้ำสลับกับปฐวีร์แล้วยิ้ม

เหมือนได้ยินคำพูดแบบมาก่อนหน้านี้ เขาชักไม่แน่ใจในหน้าตัวเองเท่าไหร่ “ยังไงครับ”

“ดูสิ ตาโตเหมือนกันเลย” พูดแล้วเทวาก็บีบตุ๊กตาน่าสงสารจนตาโปนขึ้น ปฐวีร์เห็นแล้วไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะ แต่ก็รีบแย่งเจ้าแมวน้ำกลับมากลัวว่าจะถูกฝ่ายบีบจนตาถลนไส้ทะลัก แต่อีกฝ่ายไม่ยอม

“อะไรของแกไอ้ยุทธ” คฑาวุธกำลังเขี่ยก้างออกจากเนื้อปลาอย่างลำบากแต่พื่อนก็สะกิดยิกยิกอยู่ได้

“นั่น ๆ ไอ้วุธแกดูนั่น” เขาหันไปมองตามที่เพื่อนบอก เห็นเพื่อนอีกคนกำลังคุยอยู่กับรุ่นน้อง แต่ที่น่าแปลกใจเพื่อนของเขากำลังยิ้ม และทั้งสองเหมือนกำลังแย่งพวงกุญแจกัน

“สองคนนี้มันชักจะยังไง ยังไง แล้วว่ะ”

คฑาวุธพยักหน้าเห็นด้วย

            หลายวันต่อมา หลังจากหมดเวลาเรียนในตอนบ่ายนักศึกษาต่างทยอยเดินลงมาจากตึกเรียน พร้อมกับเสียงดังเอะอะ ต่างคุยกันหลังเรียนเสร็จแล้วจะไปที่ไหนกันต่อ บางคนนั่งรวมกลุ่มอยู่หน้าตึก

“เห็นยัยปิ่นบ้างไหม” คณิตตาร์ถามพิศนภา

“ไม่เลย” เธอมองกลุ่มนักศึกษาที่ทยอยเดินลงมาจากตึกเรียน แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่ของปิ่นอนงค์

“นั่งรออยู่หน้าตึกมาสองสามชั่วโมง รากจะงอกอยู่แล้ว ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหรือว่าเราจะดูตารางเรียนผิด” เธอเริ่มหงุดหงิดเมื่อใช้เวลาโดยไม่มีประโยชน์

“ไม่ผิดหรอกฉันถามมาแล้ว”

“หรือยัยปิ่นจะไม่มาเรียน”

“ไม่น่าใช่”

“แต่เรามาดักเจอเกือบสัปดาห์แล้วนะ โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ไม่รู้เป็นบ้าอะไร” ทำงานไม่สำเร็จไม่พอยังมาหายตัวไปอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด

“มันต้องเกิดอะไรขึ้นสักอย่างไม่อย่างนั้น ยัยนั่นคงไม่หายดื้อ ๆ และคนที่จะตอบคำถามของเราได้ก็คือยัยนั่น”

“อื้อ ไปเถอะวันนี้คงไม่เจออีกตามเคย พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”

คณิตตาร์และพิศนภารีบเดินออกจากที่นั่น ปฐวีร์และเพื่อนเพิ่งเดินลงจากตึกเรียนมองเห็นสองสาวสวยแปลกหน้าที่เพิ่งออกไปจากหน้าตึกพอดี

“สองคนนั้นใคร ไม่น่าใช่คณะเรา”

“เห็นมานั่งที่หน้าตึกหลายวันแล้ว เหมือนมารอใคร”

“อือ วันก่อนเห็นมาถามหายัยปิ่นด้วยนะ พูดถึงยัยนั่นไม่เห็นมาเรียนหลายวันแล้ว ไม่รู้เป็นอะไรรึเปล่า”

“นั่นสิ หายไปหลายวันแล้ว” ปฐวีร์เองก็อยากรู้ว่าเหตุการณ์หลังจากที่เขาออกมาจากห้องนั้นเป็นยังไงบ้าง เห็นคณิตตาร์และพิศนภาลงทุนมาดักรอปิ่นอนงค์ที่นี่ คงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างที่เขาสงสัยไว้จริง ๆ “บางทีปิ่นอาจจะป่วย พวกเราน่าจะเยี่ยมว่าอย่างนั้นไหม”


******************************************
โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 14 [27/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 27-09-2018 23:16:49
แล้วคนชื่อ"ณัฑศ์" จะเป็นแฟนวีร์จริงเหรอหรือพอวีร์เปลี่ยนอนาคตแล้วแฟนวีร์เลยเปลี่ยนตาม แล้วเทวานี้จะมาเป็นตัวแปลในอนาคตให้วีร์หรือเปล่า
อยากรู้มาต่อไวๆนะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 15 [28/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 28-09-2018 20:03:52
ตอนที่ 15
[/size]


ในผับขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของเหล่านักเที่ยว คืนวันหยุดที่นี่เป็นสวรรค์ของใครหลายคน ปลดปล่อยความรู้สึกที่อึดอัดข้างในได้เต็มที่

เสียงดนตรีจังหวะสนุกช่วยกระตุ้นดีกรีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดเหล่านักดื่มให้พลุ่งพล่านมากขึ้น สติที่มีน้อยนิดทำให้แทบไม่รู้

ว่าทำอะไรออกไป ผิดกับชายหญิงคู่หนึ่งที่ยังมองหน้ากัน ทั้งคู่ยิ้มให้กัน ชายหนุ่มอาศัยแสงสว่างสลัวโน้มลงจูบกลีบปากเธอ

เบาๆ ตามด้วยซอกคอที่เธอเอียงให้อย่างเชิญชวน

การกระทำของคู่อยู่ในสายตาของผู้หญิงต่างวัยสองคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล หนึ่งคือคุณนายรองอีกคนคือพิมพ์รตา ทั้งสองแทบอยาก

ลุกไปดึงชายหญิงทั้งสองแยกออกจากกัน คุณนายรองเป็นห่วงลูกชายคนโตที่ชอบตัวแปลก ๆ หายไปจากบ้านหลายวัน กลับมา

บ้านไม่มีแค่กลิ่นแอลกอฮอล์แต่กลับมีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิง บวกกับพิมพ์รตาคิดเห็นว่าพลพัฒน์น่าจะมีแฟน เธอไม่ได้ขัดขวางเรื่อง

แบบนั้นแต่เมื่อลูกชายอึกอักไปยอมพูด ผู้หญิงแบบไหนกันที่ทำให้ลูกชายของเธอไม่ยอมกลับบ้านหลายวัน ผู้หญิงแบบไหนที่

ลูกชายเธอไม่ยอมพูดถึง นั่นทำให้เธอตัดสินจ้างนักสืบ ใช้เวลาไม่นานก็ได้เรื่อง นักสืบโทรบอกให้รู้ว่าคืนนี้พลวัฒน์อยู่ที่ผับแห่ง

หนึ่ง เธอรีบบึ่งรถออกมาพร้อมลูกสาว มาถึงก็กวาดสายตาหาอยู่สักพักก็เจอพลวัฒน์อยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เสียดายที่นี่แสงน้อย

บวกกับผู้หญิงคนนั้นหันหลังให้เลยไม่รู้ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร พิมพ์รตากำลังหงุดหงิดเมื่อจุดประสงค์ของเธอไม่ได้มาเที่ยวแต่ก็มี

คนเทียวเข้ามาชวนดื่ม ชวนออกไปสนุก 

“นั่นคุณแม่ พี่พลลุกไปแล้ว รีบตามไปเถอะค่ะ” ทั้งสองเดินแหวกฝูงคนออกจากที่นั่น

   แรงราคะความปรารถนาปรากฏบนสายตาทั้งสองอย่างชัดเจน พลพัฒน์ดันร่างหญิงสาวนอนลงบนเตียงจากนั้นเขาขึ้นคร่อม

บทรักทั้งสองก็เริ่มขึ้น

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก...” เสียงเคาะประตูดังขึ้น ขัดจังหวะคนทั้งคู่

“อือ ใครคะ ใครมาเคาะประตู” หญิงสาวดันร่างชายหนุ่มที่กำลังมอบความสุขสมออกเบา ๆ

“ช่างเถอะ” พลวัฒน์ไม่อยากผละออกจากร่างขาวเนียนตรงหน้า เธอมีเสน่ห์แรงดึงดูดมากเกินไป แต่เสียงเคาะประตูก็ไม่มีทีท่า

ว่าจะหยุด “รออยู่นี่นะคนสวยเดี๋ยวผมมา”

   พลวัฒน์หงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ เขาหยิบชุดคลุมเดินหัวเสียตรงไปที่ประตู แล้วเปิดประตูออกไป กำลังจะถามว่าใครก็เห็น

หน้าคนที่ไม่อยากเห็นอยู่หน้าประตู “คุณแม่ ยัยพิมพ์”

“ไงพี่ชาย กำลังสนุกเลยสิ ขอโทษที่มาขัดจังหวะ”    พิมพ์รตายิ้มหวานให้พี่ชาย แล้วผลักออกไปให้พ้น เธอรีบเดินตามคุณนาย

รองเข้าไปข้างใน พลวัฒน์เดินตามไปและพยายามห้ามทั้งสองคนไว้ จนมาถึงห้องนอน

   คุณนายสี่นั่งอยู่บนเตียงเห็น คุณนายรองกับพิมพ์รตา ก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก คุณนายรองตั้งสติได้ก็เดินเข้าหาคุณนายสี่

ทันที “นังแพศยา แย่งผัวฉันแล้วยังจะมายุ่งกับลูกชายฉันอีก” เธอกระชากผมคุณนายสี่แล้วดึงลงมาจากเตียง

“โอ๊ย โอ๊ย คุณนายรอง คุณพลช่วยฉันด้วย”

“คุณแม่...” พลวัฒน์เข้ามาห้าม แต่พอเห็นสายตาของผู้ให้กำเนิดเลยต้องเงียบ หันไปหาน้องสาวขอความช่วยเหลือ แต่พิมพ์รตา

ได้แต่ยืนเงียบคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่มายุ่งกับพี่ชายเธอจะเป็นคุณนายสี่ ไม่รู้ว่าเรื่องน่าขยะแขยงนี้ทั้งสองคนทำได้ยังไง เธอมองพี่

ชายด้วยสายตาผิดหวัง 

“ฉันไม่รู้ว่าแกใช้เสน่ห์อะไรที่ทำให้ลูกชายฉัน หลงแกจนทำเรื่องต่ำอย่างนี้” เธอไม่พูดต่อแต่เป็นการใช้ฝ่ามือตบลงไปแก้มอีก

ฝ่ายแทน ในห้องเมื่อครู่ที่อบอวลไปด้วยความสุข แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ของคุณนายสี่สลับเสียงฝ่ามือตบลงบนแก้ม

เธอ พลวัฒน์กัดฟันแน่นเบือนหน้าหนีไม่อยากเห็นผู้หญิงของตัวเองถูกตบจนเลือดกบปากโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้

“พอเถอะครับคุณแม่ ผมสัญญาว่าจะไม่เจอกับเธออีก”

“คุณพล คุณพลอย่าทำอย่างนั้น คุณนายรองพวกเรารักกันจริง ๆ”

“ตอแหล ผู้หญิงที่แต่งเข้ามาเพราะหิวเงิน คุณปทีปยังขยะแขยงจนไม่อยากมีอะไรกับแกเลย”

“ไม่ใช่นะคะ พวกเรารักกัน” เธอกอดขาอ้อนวอนพลวัฒน์เพื่อให้เปลี่ยนใจ

“เลิกยุ่งกับลูกชายฉันซะ ไม่อย่างนั้นแกได้ไปนอนใต้ทะเลแน่นอน” คุณนายรองยื่นคำขาดก่อนรีบเดินออกจากห้องไป พิมพ์รตา

รู้สึกในห้องมีกลิ่นไม่ดีจึงรีบออกไปรอข้างนอก

   คุณนายสี่นั่งกอดเข่าสะอื้นบนพื้นห้อง สายตามองประตูที่พลวัฒน์เดินออกไปได้เกือบชั่วโมงแล้ว เธอปาดน้ำตาเบา ๆ แก้ม

ขาวเริ่มบวมแดง เธอเจ็บทั้งกายทั้งใจ มือเล็กกำแน่น ดวงตาที่มีน้ำตาเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง

   ในรถทุกคนนั่งเงียบ ต่างอยู่ในความคิดของตนเอง พลวัฒน์ยังเป็นห่วงว่าคุณนายสี่จะเป็นยังไงต่อไป

“มีอะไรจะแก้ตัวกับแม่ไหม”

“มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ” ชายหนุ่มพยายามพูดให้สถานการณ์มันดีขึ้น

“แต่ก็หลายครั้งที่แกออกมานอนกับนังนั่น” พลวัฒน์พูดไม่ออก เขาชอบความสุขที่เธอมอบให้ ทันทีรถจอดหน้าตึกเขารีบลงจาก

รถหลบหน้าทุกคนเข้าห้อง

“ดูท่าพี่ชายจะหลงนังนั่นมาก”

“พิมพ์ว่าพวกเราต้องทำให้ทุกอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเรื่องมันจะเป็นไปกันใหญ่” คุณนายรองหรี่ตาลงแล้วคิดหาทางกำจัด

คุณนายสี่ให้ออกจากชีวิตลูกชายเธออย่างถาวร

 
   ตอนสายวันหยุดหลังจากดูการ์ตูน เล่นกับหลานแล้ว   เทวาออกมานั่งเล่นที่ศาลาในสวน เขากำลังนั่งอ่านข้อความใน

โทรศัพท์แล้วยิ้ม และพิมพ์ข้อความตอบกลับไป จริณญาถือขนมของว่างที่เธอเพิ่งทำเสร็จมองหาลูกชายที่บอกว่าจะช่วยเป็นหนู

ทดลอง ชะเง้ออยู่นานก็เจอลูกชายสุดหล่อกำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ที่ศาลานั่งเล่นในสวนคนเดียว เธออดแปลกใจไม่ได้ว่าใคร

เป็นต้นเหตุให้ลูกชายหน้านิ่งของเธอยิ้มออกได้

“นั่นแน่ ลูกชายแม่แอบมีสาวแล้วไม่ยอมบอก”

“เปล่าครับ เพื่อนรุ่นน้อง”

“อ้อ ใช่คนที่เราเอาขนมฝีมือแม่ไปฝากบ่อย ๆ นั่นรึเปล่า” ดูท่าคงจะไม่ใช่รุ่นน้องธรรมดาแล้วล่ะ เล่นเทียวเอาขนมไปฝากบ่อย ๆ
อย่างนี้

“ครับ คนนั้นแหละ”

“ฮืม ทำยังไงแม่ถึงจะได้เห็นหน้าคนคนนั้นน้า”

“ทำไมแม่ถึงอยากจะเห็นหน้าเขาละครับ”

“แม่ก็อยากเห็นคนที่ทำให้ลูกชายแม่อารมณ์ดี”

“ไม่รู้สิครับเวลาอยู่กับเขาแล้วรู้สึกสบายใจยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก” ชายหนุ่มคิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับปฐวีร์ ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไร

พิเศษมากมาย

“อาการเหมือนคนกำลังตกหลุมรักเลยนะเรา” เธออดแซวลูกชายไม่ได้

“ยังไงครับ” เขาถามด้วยความแปลกใจ

“ก็ไอ้ที่มานั่งคิดเรื่องเขาคนนั้น อาการยิ้มคนเดียว แล้วก็บอกว่าอยู่ด้วยกันมีความสุขนี่ไง” ได้ฟังคำพูดของแม่แล้วเทวาแทบ

อยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ตกหลุมรัก เขานี่นะ “แต่เขาเป็นผู้ชายนะครับ” จริณญาตกใจเล็กน้อยกับรสนิยมทางเพศของลูกชาย

แต่ก็เปลี่ยนชวนคุยเรื่องอื่น เห็นทีเธอต้องหาเวลาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาสามีของเธอซะแล้ว

   ปฐวีร์ กิน นอน กลิ้งไปมาอยู่ในห้องสบาย ๆ มีเทวาแวะเอาขนมมาฝากบ้าง รู้ตัวอีกทีก็วันหยุดก็ผ่านไปแล้ว เขานั่งถอน

หายใจคิดถึงวันหยุดไม่หาย มือหยิบดินสอกดวาดโน่นเขียนนี่บนหนังสือเรียนไปเรื่อย ช่วงนี้เขาไม่ค่อยฝันร้ายหรือสะดุ้งตื่นขึ้น

มากลางดึก ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีรึเปล่า เงยหน้าจากหนังสือเรียนกลับมาตั้งใจฟังอาจารย์บรรยายอยู่หน้าห้อง

“นี่วีร์ดูนี่ ยัยปิ่นขอลาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปไหน”

ปฐวีร์ไล่สายตาดูชื่อปิ่นอนงค์มีปากกาสีแดงเขียนไว้ว่าลา สามชั่วโมงแล้วที่เธอลาไม่รู้ว่าไปไหน “เรียนเสร็จแล้วไปเยี่ยมกันไหม
หล่ะ”

“จะดีเหรอ ไม่ใช่ลาไปเที่ยวกับแฟนหรอกนะ” ปฐวีร์นั่งฟังเงียบ ๆ เขารู้ดีกว่าใครว่าสาเหตุที่ปิ่นอนงค์เงียบหาย เป็นเพราะเรื่องใน
คืนนั้น

“เอาน่าจี ยังไงยัยปิ่นก็ถือว่าสนิทกับพวกเราที่สุดในห้องแล้ว”

“อืม ไปก็ได้ แล้วเรื่องที่อยู่หล่ะ”

“ไม่ยาก ให้อาจารย์ที่ปรึกษาช่วยก็หมดเรื่อง”

   ตอนบ่ายหลังจากเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จปฐวีร์และเพื่อนชวนกันไปเยี่ยมปิ่นอนงค์ที่บ้านแต่ที่อยู่ที่ได้มากลับเป็นหอพัก และ

กว่าจะหาที่อยู่ปิ่นอนค์เจอไม่ใช่เรื่องง่าย รถแท็กซี่สองคันจอดชะลอหน้าหอพักแห่งหนึ่ง ปฐวีร์และเพื่อน ๆ กวาดสายตามองไป

รอบ ๆ อีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้มาผิดที่ พวกเขาเข้าไปติดต่อคนดูแลหอพักสอบถามว่าปิ่นอนงค์พักอยู่ที่นี่ไหม คนดูแล

หอพักบอกว่าเธออยู่ที่นี่แต่ไม่อนุญาตให้พวกเขาขึ้นไป เพราะกลัวเป็นมิจฉาชีพ เล่นเอาทุกคนต้องล้วงบัตรแสดงตัวตนออกมา

แทบไม่ทัน คนดูแลหอพักจึงได้อนุญาต

   กว่าจะผ่านด่านคนดูแลหอพักขึ้นมาบนห้องใช้เวลาอยู่นานพอสมควร วจีทำหน้าที่โทรหาปิ่นอนงค์แต่โทรยังไงก็ไม่มีคนรับ

ก่อนหน้านี้คนดูแลหอพักโทรขึ้นไปก็เงียบ

“พี่ครับ ผมว่าเปิดประตูเข้าไปเลยดีกว่า”

“เอ่อ มันจะดีหรือคะ” เธอทำหน้าลำบากใจ

“ดีซิคะพี่ เพื่อนหนูลาป่วยหลายวัน โทรหาแล้วยังไม่มีคนรับอีก ถ้าเพื่อนหนูเป็นอะไรไปไม่แย่กว่าหรือคะ” คนดูแลหอพักสาวได้
ฟังที่วจีพูดก็รีบเปิดห้องทันที

พอประตูเปิดออกทุกคนทยอยเดินตามคนดูแลหอพักเข้าไปข้างใน

“ทำไมห้องมืดจังเลย ยัยปิ่นอยู่ยังไงของเขากัน” คงไม่ได้ประหยัดไฟหรอกนะ

ปฐวีร์กวาดสายตามองห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ มีของตกแต่งไม่กี่ชิ้น คนดูแลหอพักเปิดไฟ ในห้องสว่างขึ้น ปฐวีร์เดินไปหยิบกรอบรูปที่

วางอยู่บนชั้นขึ้นมาดู มองผู้หญิงสามคนในรูป หนึ่งในนั้นเป็นปิ่นอนงค์ อีกสองคนถึงจะดูเด็กและใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลาย ก็พอ

จะจำได้ว่าเป็นคณิตาร์และพิศนภา ทั้งสามคนรู้จักกันจริงตามที่คิด

“ว๊าย ยัยปิ่น” เสียงร้องเอะอะของน้ำขิงดังมาจากอีกห้อง

“ขิงเป็นอะไร” ทุกคนรีบกรูเข้าไปดู ปฐวีร์วางกรอบรูปลงที่เดิม ตามทุกคนไป ทันทีที่เข้าไปในห้องก็เห็นปิ่นอนงค์นอนหมดสติอยู่

บนพื้น ใบหน้าซีดตอบ น้ำขิงและวจีกำลังช่วยตรวจดูร่างกายเบื้องต้น

“ดูท่าไม่ดีพาปิ่นส่งโรงพยาบาลเถอะ” ทุกคนเห็นตรงกัน สภาพของปิ่นนงค์สมควรที่จะอยู่ในการดูแลของแพทย์เป็นที่สุด

“เดี๋ยวพี่โทรเรียกรถพยาบาลเอง” จากนั้นคนดูแลหอพัก รีบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล สักพักรถพยาบาลก็มารับคนป่วยออกไป

ปฐวีร์และเพื่อน ๆ นั่งแท็กซี่ตามไปอีกที

   พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เตียงผู้ป่วยก็ถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉินพาคนป่วยไปพักอีกห้อง ทุกคนเห็นแล้วก็โล่งใจ วจี

กับน้ำขิงที่ไม่ค่อยชอบปิ่นอนงค์เมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพนี้ก็รู้สึกสงสาร พีรพัฒน์ปลีกตัวออกไปโทรบอกอาจารย์ที่ปรึกษาเกี่ยว

กับความคืบหน้าอาการปิ่นอนงค์ อาจารย์ที่ปรึกษารับทราบและจะช่วยรับผิดชอบเรื่องค่ารักษาพยาบาล ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มี

อะไรน่าเป็นห่วง ทุกคนก็แยกย้ายกลับกลัวว่าที่บ้านจะเป็นห่วง ส่วนปฐวีร์ยังอยู่บอกว่ากลัวคนป่วยฟื้นขึ้นไม่เจอใคร ในห้องกลับ

มาเงียบปฐวีร์มองหน้าคนป่วยเริ่มสีเลือดหลังจากน้ำเกลือหมดไปได้ครึ่งขวด เขากำลังคิดทบทวนผลตรวจร่างกายของปิ่นอนงค์

หมอบอกว่าเธอมีภาวะร่างกายขาดน้ำ ขาดอาหาร พักผ่อนไม่เพียง อาการปอดชื้นและมีไข้สูง

“ตามร่างกายผู้ป่วยพบร่องรอยการทำร่างกายตัวเอง” ฟังแล้วทำให้ปฐวีรต้องแปลกใจ ทำร้ายตัวเอง อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เธอ

ทำอย่างนั้น

“ที่สำคัญหมอพบร่องรอยการร่วมเพศ”

“ร่วมเพศ” เป็นอย่างที่เขาคิดคืนนั้นต้องมีอะไรในห้องนั้น

แพทย์สาวอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม “ค่ะ ถึงแม้ว่าจะผ่านมาได้สักพักแล้ว แต่ก็พอจะพบว่าเป็นลักษณะการร่วมเพศที่ไม่ได้

สมยอมและมากกว่าหนึ่งคน....” ยิ่งฟังหมอพูดเขายิ่งตกใจในสิ่งที่ปิ่นอนงค์เจอมา นั่นคือเหตุผลทำไมเธอถึงทำร้ายตัวเอง

   คนป่วยนอนไม่ได้สติหลายชั่วโมงก็เริ่มขยับตัว ปากก็พูดเบา ๆ ว่าหิวน้ำ ปฐวีร์รีบเอาน้ำให้เธอดื่ม ปิ่นอนงค์ลืมตามองทั่ว

ห้อง สติยังมึนงงเพราะพิษไข้ แต่ก็พอจะเดาออกว่าที่นี่คือโรงพยาบาล เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ใครเป็นคนพาเธอมา

“ฟื้นแล้วเหรอ อยากกินอะไรไหม” ปิ่นอนงค์สะดุ้งทันทีเมื่อเห็นปฐวีร์อยู่ข้างเตียง “แก เอ่อวีร์มาอยู่นี่ได้ไง”

“ไม่ต้องเล่นละครหรอก ที่นี่ไม่มีคนอยู่ เป็นตัวของตัวเองเถอะ”

ปิ่นอนงค์เลิกปั้นหน้า มองหน้าอีกฝ่าย “นายรู้มาตลอดเลยเหรอ”

“ก็เดาได้ไม่ยากหรอก”

“เหรอ” เป็นเธอเองที่โง่คิดว่าอีกฝ่ายไม่รู้มาโดยตลอด หึ เธอยิ้มเยาะตัวเอง

“แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำเธอถึงอยู่ในสภาพนี้” เธอไม่ตอบแล้วพลิกตัวไปอีกทาง “ช่างเถอะ ปล่อยฉันให้อยู่คนเดียวเถอะ” เสียง

เธอเริ่มสั่นขึ้นมา น้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง

“งั้นก็ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน คณิตาร์กับพิศนภากำลังตามหาเธออยู่” ปิ่นอนงค์รีบหันมาทันที “นายรู้อะไรบ้าง”

ริมฝีปากสวยโค้งขึ้นเมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายร้อนรน “ถ้าเป็นเรื่องคืนนั้นไม่รู้อะไรเลย” ปฐวีร์พูดแล้วออกจากที่นั่น ปิ่นอนงค์มอง

ตามแผ่นที่ออกจากห้องไป ประตูค่อย ๆ ปิดลงพร้อมกับน้ำตาของเธอไหลออกมา เธอแพ้แล้วคิดว่าตัวเองต้องมาตกอยู่ในสภาพ

นี้เพราะตัวเธอเองก็หัวเราะออกมาเยาะเย้ยตัวเอง

กรี้ดๆๆๆๆ เธอกรีดร้องออกมาสุดเสียงเพราะไม่สามารถทนเก็บทุกอย่างไว้ในใจ แล้วพยาบาลต่างวิ่งวุ่นวายเข้าไปในห้องเธอ เธอ

พยายามขัดขืนแต่ก็ถูกมัดไว้กับเตียง สุดท้ายสายตาก็ได้แต่จ้องมองเพดานสีขาวแล้วก็หลับไปด้วยฤทธิ์ยา



**************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 15 [28/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 29-09-2018 06:20:38
คบเพื่อนผิดจริงๆ :เฮ้อ:
 ตอนนึ้วีร์มาน้อยจัง
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 15 [28/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 29-09-2018 11:27:30
เนื้อเรื่องสนุกสนานเข้มข้นมาก จ้า
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 17 [29/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 29-09-2018 20:12:59
ตอนที่ 17
[/size]




รถตู้วีไอพีกำลังวิ่งไปบนถนนสายหลักด้วยความเร็วคงที่ เพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง ผู้โดยสารในรถกำลังหลับสบาย พวกเขาออกเดินทางมาได้เกือบสองชั่วโมงแล้ว  พระอาทิตย์ดวงโตค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า ปฐวีร์ขยับตัวเมื่อไหล่รู้สึกหนัก เขาลืมตามองหาที่มาความหนักเห็นกลุ่มผม และใบหน้าเทวากำลังหลับสบายไม่เกรงใจเจ้าของไหล่ เห็นอย่างนี้แล้วรู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาเขาหยิบทิชชูพันเป็นชิ้นเล็ก ๆ แหย่ไปตามหูตามจมูก คนกำลังหลับสบายใช้มือปัดไปมาแต่ก็ยังไม่หาย เทวางัวเงียลืมตาขึ้นเห็นมือขาวกำลังทำอะไรสักอย่าง เขาคว้ามือขาวนั่นมาแล้วงับเบา ๆ ปฐวีร์กำลังสนุกอยู่ ๆ ก็ถูกกัดถึงกับสะดุ้ง

            “เป็นหมารึไง”

เสียงดุไม่จริงจังของอีกฝ่ายทำให้เทวาหัวเราะ แต่ยังไม่ยอมตื่น ปฐวีร์เปลี่ยนแผนเลื่อนผ้าม่านออก แดดตอนเช้าส่องเข้ามา เทวาจับมือขาวอีกข้างขึ้นมางับและเลีย เจ้าของมือตกใจรีบดึงมือกลับมาทันที หันหน้าจะด่าอีกฝ่ายอีกครั้งแต่พอเห็นดวงตาสีเข้มกลับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เขาก็ได้แต่หุบปาก ทั้งสองเล่นเกมจ้องหน้ากันสักพักเป็นเทวาขอยอมแพ้ เขาเอนตัวลงหนุนไหล่เล็กอีกครั้ง “คนอะไรไม่รู้เอาแต่ใจชะมัด” ปฐวีร์อดบ่นไม่ได้ สายตามองมือข้างที่มีร่องรอยความรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกัน

            รถวิ่งต่อมาได้มาอีกสักพักทุกคนต่างทยอยตื่นมาพร้อมกับความหิว เริ่มปรึกษากันว่าจะแวะกินข้าวที่ไหนดี จากนั้นก็เริ่มเปิดแผนที่หาร้านอาหาร ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็น จนมาลงตัวที่ร้านอาหารข้างทางบรรยากาศร่มรื่น ลุงคนขับรถจอดรถ ทุกคนทยอยลงจากรถ ปฐวีร์เดินนวดไหล่ข้างหนึ่งที่ถูกใช้แทนหมอน  “เป็นไร”

“ปวดไหล่นิดหน่อย” เทวาเลิกคิ้วขึ้นนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ “คราวหน้าชดเชยให้”

“ยังไง”

“จะให้หนุนไหลแทนไง”

ปฐวีร์กลอกตาเม้มปากใครเขาอยากนอนหนุนไหลคุณ “งั้นก็ลืมไปเถอะ ถือซะว่าผมไม่ได้ถาม”

“เดี๋ยวนวดให้แล้วกัน” ฟังแล้วไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เขาเลิกสนใจไปนั่งรวมกับทุกคน คนหนึ่งชอบแกล้งอีกคนก็ชอบงอลเล่นเอาคนที่มาด้วยทำหน้ากันไม่ถูก

เริ่มต้นมื้อเช้าด้วยอาหารง่ายๆ เมื่อทุกคนกินอิ่มการเดินทางก็เริ่มต้นอีกครั้ง จากที่วางโปรแกรมไว้สถานที่แรกที่จะไปแวะคือฟาร์มอัลปาก้า ขับรถเรียบทางหลวงสักพักเห็นป้ายบอกทางชัดเจน ขับรถเลี้ยวไปตามลูกศรก็มาถึงฟาร์มอัลปาก้าขนาดใหญ่ ฟาร์มขนาดกว้างกว่าสองร้อยกว่าไร่ มีรั้วกั้นรอบแบ่งพื้นที่ชัดเจน

ที่นี่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเที่ยวเยอะพอสมควร นักท่องเที่ยวหลายคนกำลังสนุกกับการถ่ายรูป ให้อาหารอัลปาก้า ใกล้กันยังมีจิงโจ้ขนาดเล็กกระโดดไปมาท่าทางน่ารักของพวกมันเรียกรอยยิ้มจากนักเที่ยวได้เป็นอย่างดี

“นี่ฉันนั่งรถไกลจากกรุงเทพเพื่อมาดูเจ้าตัวที่หน้าตาเหมือนไอ้ยุทธนี่นะ” ยุทธจักรจ้องเจ้าอัลปาก้ากำลังกินหญ้าที่เขาเพิ่งยื่นให้แล้วขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังคำพูดของเพื่อน

“ว่าไปแล้วมันก็เหมือนไอ้ยุทธเหมือนกันนะ” ทุกคนมองไปที่ทรงผมของยุทธจักรที่ไปตัดมาใหม่สลับกับอัลปาก้า “ฉันว่าช่างตัดผมร้านนั้นคงไม่พอใจอะไรแกสักอย่าง”

“พวกแกพูดซะฉันสูญเสียจุดยืน คอยดูเถอะฉันจะไม่กลับไปตัดผมร้านนั้นอีกแล้ว” พูดเสร็จทุกคนก็หัวเราะ

            ถ่ายรูป ให้อาหาร สัมผัสความน่ารักของสัตว์นานาชนิดแล้ว ปฐวีร์ก็ถูกนภาภรณ์ลากไปดูของที่ระลึก มีทั้งพวงกุญแจอัลปาก้า ตุ๊กตาจิ้งโจ้ ผลิตภัณ์ที่ทำจากขนอัลปาก้า  ได้ของฝากติดมือสองสามอย่างจากนั้นหาที่นั่งหลบแดดรอทุกคน

“ไง ทำไมมานั่งอยู่นี่ ไม่ไปถ่ายรูปกับเพื่อน“

“ร้อนไม่ไหว ขอนั่งรอตรงนี้ดีกว่า”

“เอาอะไรเย็นไหม ไปซื้อมาให้”

“เลี้ยงน้ำอัดลมสักแก้วก็ดีครับ” เทวาเดินตรงไปร้านน้ำ พอดีกับยุทธจักรเดินเข้ามาหลบร้อน “นั่นไอ้เทวามันไปไหน”

“เห็นบอกว่าหิวน้ำน่ะครับ”

“ถ่ายรูปกันเสร็จแล้วเหรอ” เทวาเดินกลับมาเห็นยุทธจักรนั่งหน้ามุ่ยอยู่

“อือ ร้อนชะมัด นั่นเทวาเพื่อนรักซื้อน้ำอัดลมมาฝากผมหรือครับ” ขณะจะยื่นมือออกไปรับ แต่แก้วน้ำถูกส่งให้กับอีกคนที่นั่งข้างๆ

“เปล่า ของน้อง”

ปฐวีร์เห็นสายตายุทธจักรมองมาอย่างน่าสงสาร เขาอยากจะแบ่งให้อยู่หรอกแต่ติที่มันมีแค่แก้วเดียว

“งั้นเอางี้แกกินกับน้อง ส่วนแก้วนี้ฉันขอ” พูดแล้วก็คว้าแก้วในมือเพื่อนไปดูดจนหมด “ขอบคุณสำหรับน้ำอัดลมสดชื่นวันหลังจะเลี้ยงคืน คุณเป็นเพื่อนที่ดีมากเทวา” ยุทธจักรเห็นสายตาเพื่อนแล้วสะดุ้ง และรีบวิ่งออกจากศาลาหลบร้อนก่อนจะมีเท้าตามหลังมา

ปฐวีร์เห็นท่าทางเทวาแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “หัวเราะอะไร” คนหน้าบึ้งถาม

“เปล่า” ปฐวีร์รีบปฏิเสธก่อนจะถูกฟาดงวงฟาดงาใส่ คนตัวสูงรีบคว้าแก้วน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วมากิน “นั่น...” ปฐวีร์กำลังจะบอกว่าแก้วนั้นเขากินไปแล้ว แต่เห็นอีกฝ่ายท่าทางจะกระหายน้ำมากเลยปล่อยเลยตามเลย ช่างมันเถอะกินแล้วก็แล้วไป

            ออกจากที่เที่ยวที่แรกเวลาก็ล่วงเลยเกือบบ่าย พวกเขาแวะหามื้อเที่ยงกินก่อนไปเที่ยวต่อ กินข้าวอิ่มนั่งรถมาสักชั่วโมงก็มาถึงแก่งที่เกิดขึ้นเองธรรมชาติ ลำธารไหลเซาะโขดหินจนเกิดเป็นรูปร่างแปลกตา บรรยากาศเย็นสบาย รอบ ๆ มีต้นไม้สีเขียวขึ้นเต็ม มีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มกำลังลงเล่นน้ำ

“เฮ้ย น้ำใสน่าเล่นมากเลย อากาศร้อน ๆ อย่างนี้ด้วยไปไอ้วัฒน์ไอ้วุธ” ยุทธจักรลากเพื่อนทั้งสองลงเล่นน้ำ ภฤดลกับกฤติกรณ์ก็ไม่เว้น นภาภรณ์เดินมาถึง ก่อนจะกวักมือเรียกปฐวีร์และเทวาลงไปเล่นน้ำด้วยกัน แต่ปฐวีร์โบกมือขอผ่าน      ขอนั่งเล่นสูดอากาศในร่มไม้ดีกว่า ยิ่งเขาเห็นเพื่อนและรุ่นพี่ดำผุดดำว่ายน้ำก็อดยิ้มไม่ได้

“ว่ายน้ำไม่เป็นเหรอเรา” เทวานั่งลงเอนหลังหลับตาพิงต้นไม้

“เปล่า แค่ไม่ค่อยถูกกับน้ำ” สายตาของเขามองน้ำใสจนมองเห็นพื้นกำลังไหลเอื่อย

“เคยจมน้ำมาก่อน”

คนตัวเล็กส่ายหัว “เคยฝันว่าตายแล้วถูกโยนลงน้ำ” คำพูดที่ดูเหมือนไม่จริงจังแต่ทำให้บรรยากาศเงียบลง เทวาลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย “นั่นรึเปล่าที่ทำให้เรานอนละเมอพูดอะไรแปลก ๆ ”

“ผมพูดอะไรแปลกเหรอ” ปฐวีร์รู้สึกอายขึ้นมาไม่รู้ว่าตอนหลับทำอะไลงไปบ้าง

“ใครจะไปรู้บ่นพึมพำคนเดียว แล้วเพื่อน ๆ ไม่เคยบอกรึไง”

“ไม่ ตั้งแต่ฝันแบบนั้นก็ไม่ค่อยได้นอนกับเพื่อนเท่าไหร่”

“ดีแล้ว พวกนั้นจะได้ไม่เป็นห่วงเอา ไปเล่นน้ำกันเถอะ”

“แต่..” เขาลังเลเล็กน้อยและยังไม่ได้เตรียมใจมาก่อน

“ไม่ต้องกลัวหรอกที่นี่มีคนตั้งเยอะ ไม่มีอะไรให้กลัว ความฝันก็คือความฝัน อีกอย่างตอนนี้เราอยู่กับความจริงไม่ใช่ความฝัน” เทวาคว้ามือคนอีกฝ่ายให้เดินตามลงไปในน้ำ ปฐวีร์ต่อสู้กับความรู้สึกกลัวร่างกายสั่นเล็กน้อย เมื่อจดจำได้ว่าร่างไร้วิญญาณของตัวเองค่อย ๆ จมลงแม่น้ำ มันทั้งมืดทั้งเย็นไปถึงกระดูก เขาจับมือร่างสูงแน่นขึ้น  ดูเหมือนจะโหดร้ายกับอีกฝ่ายมากเกินเทวาเปลี่ยนใจกลับไปนั่งที่เดิม ใบหน้าที่ดูซีดค่อย ๆ ดีขึ้น ไม่รู้ว่าความฝันแบบไหน ที่โหดร้ายขนาดที่ทำให้คนคนหนึ่งต้องหวาดกลัวมาถึงโลกความจริง

            แดดค่อย ๆ อ่อนแรงอากาศเริ่มเย็นลง ทุกคนกลับขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินทางออกจากแก่ง แต่กว่าจะออกไปได้พระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว เล่นน้ำมาหลายชั่วโมงทุกคนทั้งรู้สึกเหนื่อยและหิว แต่ที่พักอยู่ค่อนข้างไกลพวกเขาจึงแวะหาอะไรกินกันก่อน กะว่าเมื่อถึงที่พักจะได้นอนเลย

            รถตู้วีไอพีเลี้ยวเข้าจอดหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ทุกคนเปิดประตูลงมา กวาดสายตามองรอบ ๆ อย่างไม่ค่อยเชื่อว่าจะต้องพักที่นี่ในคืนนี้

“เฮ้ย ไอ้ยุทธทำไมในรูปกับของจริงมันไม่ค่อยเหมือนกันเลยวะ” คฑาวุธรู้สึกแปลกใจ

“นั่นสิไม่ใช่ว่าแกพาหลงมาผิดที่นะ”

“ไม่ได้หลงทางจริง ๆ นี่ดูมันเขียนที่อยู่ไว้ชัดเจน ดูนั่นป้ายโรงแรมชื่อก็เหมือนกัน”

“แต่ภรณ์ว่ามันดูน่ากลัวยังไงไม่รู้ วีร์คิดเหมือนกันไหม” นภาภรณ์พูดแล้วก็กอดแขนเพื่อนไว้

“มันอาจเป็นตอนกลางคืนเลยดูน่ากลัวรึเปล่า ไม่มีอะไรหรอก ภรณ์อย่าคิดมากเลย” ชายหนุ่มพยายามปลอบใจเพื่อน ทั้งที่ในใจรู้สึกไม่ต่างกัน

“เฮ้ย อย่ามัวแต่เถียงกันไอ้ยุทธเข้าไปสอบถามข้างในก็รู้เอง” เทวาบอกให้ยุทธจักรเข้าไปติดต่อด้านใน ยืนเถียงกันตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร อีกอย่างนี่ก็ดึกแล้ว ทุกคนเหนื่อยอยากจะเข้าห้องไปอาบน้ำนอนพักผ่อน

            ยุทธจักรลากคฑาวุธไปเป็นเพื่อน ทั้งสองหายเข้าในโรงแรมสักพักก็โผล่หน้าออกมาพร้อมกุญแจ สรุปว่าต้องพักที่นี่จริง ๆ ทุกคนจึงรีบแบ่งกันว่าจะพักห้องไหน ยุทธจักรพักห้องเดียวกับตติวัฒน์  ถฤดลกับกติกรณ์พักด้วยกัน เทวาปฐวีร์พักด้วยกัน คฑาวุธและนภาภรณ์แยกพักคนละห้อง ตกลงกันเรียบร้อยต่างแยกย้ายเข้าห้อง เหนื่อยมาทั้งวันทุกคนอยากพักผ่อนกันแล้ว

            ลากกระเป๋าขึ้นลิฟต์จนมาถึงชั้นบน ทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้อง ปฐวีร์เปิดประตูเข้าห้องพัก หยุดยืนกวาดสายตาไปรอบ ๆ จากนั้นเขาตรงไปที่เตียงเดี่ยว แล้วกระโดดขึ้นเตียงทันที ร่างกายได้สัมผัสเตียงนุ่มแทบจะหลับทันที ยังไงเตียงก็นอนสบายที่สุด  เทวาเห็นปฐวีร์กระโดดขึ้นเตียงได้แต่ส่ายหัว แล้วไล่ให้ไปอาบน้ำ ปฐวีร์ลุกไปอาบน้ำอย่างว่าง่าย ใช้เวลาอาบน้ำทำธุระส่วนตัวไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ใส่เสื้อยืดตัวเปื่อยกับกางเกงขายาวตัวบางออกมา

            ทางด้านยุทธจักรกับตติวัฒน์เมื่อเข้าห้องต่างเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนอาบน้ำก่อน เถียงกันได้สักพักก็ตัดสินกันด้วยวิธีสากล เป่ายิ้งฉุบ สุดท้ายยุทธจักรแบกความพ่ายแพ้เดินคอตกเข้าห้องน้ำ ตติวัฒน์หัวเราะชอบใจเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อน แต่พอเพื่อนปิดประตูห้องน้ำลง บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกว่าที่นี่แปลกตั้งแต่ก่อนเข้ามา พออยู่คนเดียวรู้สึกกลัวขึ้นมา เขารีบหยิบรีโมตเปิดโทรทัศน์เป็นเพื่อน ฟังข่าวกีฬาอัปเดตตารางผลการแข่งขันฟุตบอลล่าสุด อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ อากาศในห้องก็เย็นลงจนขนทั่วตัวลุกขึ้น เขาเร่งเสียงโทรทัศน์ขึ้น ใจจริงอยากตะโกนเรียกเพื่อนให้รีบออกมาจากห้องน้ำแต่ก็กลัวถูกหัวเราะเยาะ ขณะเดียวกันเสียงแปลก ๆ ก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ เขาทนไม่ไหลจนต้องลุกจากเตียงเดินหาที่มาของเสียง สายตามองไปที่ระเบียงเห็นผู้หญิงสวมชุดสีขาวผมยาวยืนหันหลังให้ ตติวัฒน์เหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน เขาขยับตัวไม่ได้ ทุกอย่างเลวร้ายลงเมื่อผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามาส่งยิ้มให้เขา ตติวัฒน์รีบวิ่งออกจากห้องทันที

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปฐวีร์กำลังดูหนังเพลินขี้เกียจไปเปิดประตูทำเป็นไม่ได้ยิน แต่เสียงเคาะประตูกลับดังรัวขึ้น ดึกแล้วใครมาเคาะประตูกัน ลุกจากเตียงเดินลากเท้าไปเปิด เปิดประตูออกยังไม่ทันพูดอะไรตติวัฒน์รีบพุ่งเข้ามาในห้องทันที

“มีอะไรวะวัฒน์หน้าตาตื่นมาเชียว” เทวาเพิ่งออกมาจากห้องน้ำเห็นเพื่อนพุ่งเข้ามาในห้อง

“เปล่า แค่.....”  ยังพูดไม่ทันจบก็เห็นยุทธจักรวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องอีกคน “ไอ้วัฒน์ไอ้เพื่อนเลว ทิ้งกู” เทวามองหน้าเพื่อนทั้งสองสงสัยว่ากำลังเล่นอะไรกันอยู่ ปฐวีร์ยังยืนทำหน้างงอยู่ที่หน้าประตูรุ่นพี่เล่นกำลังอะไรกัน

“ก่อนจะถามอะไร น้องวีร์ช่วยกรุณาปิดประตูห้องก่อนได้ไหมครับ” ปฐวีร์กำลังจะปิดประตูห้อง  ภฤดลกับกฤติกรณ์ก็วิ่งมาดันประตูไว้ “อย่าเพิ่งปิดให้พวกเราเข้าไปก่อน/อย่าปิด”

ทั้งสองวิ่งหอบเข้ามาในห้อง ใบหน้าซีด

“พี่ว่าอย่าเพิ่งปิดเลยเดี๋ยวไอ้วุฒิมันก็มา” ตติวัฒน์พูดไม่ทันขาดคำ

“เฮอออออ” เสียงคฑาวุธมาก่อนตัว ปฐวีร์ชะโงกหน้าออกไปดูเห็นคฑาวุธวิ่งตรงมาเหมือนกำลังหนีอะไรมาสักอย่าง “น้องวีร์ รอดตายแล้ว รีบปิดประตูเร็ว”

ทุกคนมารวมตัวในห้องเดียวกัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร “นี่พวกแกเล่นอะไรกัน ไอ้ยุทธแกกลับไปอาบน้ำให้เรียบดีกว่าไหม นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียววิ่งไปมาในโรงแรมมันดูแปลก ๆ ยังไงไม่รู้ แล้วยังมีฟองยาสระผมอยู่เต็มหัวอีก” ถ้าเป็นเวลาปกติทุกคนเห็นสภาพของยุทธจักรต้องหัวเราะไม่หยุดแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่มีใครขำออก

“ดล กรณ์ เกิดอะไรขึ้น” ปฐวีร์ถามขึ้นมาบ้าง

“เอ่อ” ทั้งสองคนมองหน้ากัน สีหน้าท่าทางเหมือนกำลังลำบากใจ “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน พอดี พอดีว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดสีขาวผมยาวยืนอยู่ที่ระเบียง...”

“แล้วก็กระโดดลงไป เฉยเลย” กฤติกรณ์รีบพูดกลัวว่าเธอจะตามมา

ทุกคนได้ฟังแล้วรู้สึกขนลุกและเบียดเข้าไปใกล้เทวามากขึ้น “พอเรามองลงไปไม่เห็นอะไร คิดว่าคงเจอเข้าให้ เลยวิ่งมาที่นี่ ”

“พวกแกล่ะ เจออะไร”

“ฉันกำลังสระผมอยู่ดี ๆ ก็มีผู้หญิงสวมชุดขาวมายืนส่งยิ้มให้อยู่ข้างหลัง เห็นแบบนี้ใครจะไม่วิ่ง แต่พอวิ่งออกมาไอ้เพื่อนเลวมันหนีออกไปก่อน” พูดแล้วหันไปมองตติวัฒน์ยืนยิ้มแห้งอยู่ เกาแก้มหันไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “โชคดีที่ฉันคว้าผ้าเช็ดตัวออกมาด้วย” พูดแล้วไม่อยากนึกเลยว่าถ้ามีแขกคนอื่นเปิดประตูห้องออกมาเห็นเขาในสภาพไม่สวมอะไรวิ่งไปมาบนทางเดินไม่รู้จะเป็นยังไง แค่คิดก็เศร้าแล้ว

“แล้วแกล่ะไอ้วุธร้องซะสาวแตกเชียว”

คฑาวุธคิ้วกระตุกแต่ก็เถียงอะไรไม่ได้ในเมื่อมันเป็นความจริง “คงเป็นผู้หญิงคนเดียวกัน แต่เธอห้อยหัวลงมาจากเพดานเท่านั้นเอง” ทุกคนที่ได้เจอก่อนหน้า ต่างคิดว่าพวกเขาโชคดีชะมัด

“ภรณ์ล่ะ” ปฐวีร์ถามขึ้น เขาเริ่มเป็นห่วงผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม “ดล กรณ์ พวกเราไปหาภรณ์กันเถอะ”

“น้องวีร์ พี่ว่า...” ยุทธจักรยังพูดไม่จบปฐวีร์เดินออกจากห้องไปแล้ว มีภฤดล กฤติกรณ์รีบตามไป เทวายังตามไปอีกคน  สามคนที่เหลือหันหน้ามองกันว่าจะทำยังไงดี “จะอยู่ทำไมเขาไปกันหมดแล้ว” ทั้งสามคนรีบวิ่งแข่งกันออกจากห้อง ยุทธจักรเสียเปรียบที่สุดเพราะเขาต้องคอยระวังไม่ให้ผ้าเช็ดตัวหลุด

            ปฐวีร์ตรงไปที่ห้องนภาภรณ์ ยังไปไม่ทันจะถึง นภาภรณ์ก็วิ่งตรงเข้ามาหา “วีร์ช่วยด้วย ที่นี่น่ากลัวชะมัด” เธอกอดปฐวีร์แน่น “ไม่มีอะไรแล้ว” ทุกคนเดินตามมาเห็นทั้งสองกอดกันอยู่ก็โล่งใจ แต่ก็โล่งใจได้ไม่นานเมื่ออยู่ ๆ ไฟก็ดับ เล่นเอาทุกคนตกใจกอดกันแน่น แล้วไฟสำรองก็เปิดขึ้น

“เฮ้ย นี่มันบ้าอะไรวะอยู่ ๆ ไฟก็ดับ”

“เทวา ฉันว่าพวกเรารีบกลับห้องดีกว่า ตรงนี้มันมืด”

ครืน ครืน ครืน เสียงฟ้าร้องดังแว่วมาทำให้ทุกคนเดาว่าที่ไฟดับน่าจะมาจากฝน ทุกคนเดินต่อก้นกลับห้อง  อยู่ ๆ ปฐวีร์ก็หยุดเดินแล้วมองไปอีกทาง ทุกคนเห็นปฐวีร์ยืนจ้องอยู่นานไม่พูดอะไรรู้สึกกลัวขึ้นมา เทวาเข้าไปปิดตาอีกฝ่ายไว้ กระซิบข้างหูบอกไม่มีอะไรแล้วพาเข้าห้องไป

“ไม่มีอะไรแล้วพวกแกกลับห้องไปได้แล้ว” เทวาไล่ทุกคนกลับห้องไปพักผ่อน

ทุกคนหันไปมองเทวาที่บอกมาได้ว่าไม่มีอะไร ตากี่คู่บอกว่าเห็นผู้หญิงชุดขาว “ฉันไม่กลับ” ยุทธจักรเดินออกจากห้องน้ำปฏิเสธเสียงแข็ง

“นอนยังไงห้องมีเตียงเดียว”

“ฉันนอนโซฟา”

“พวกผมนอนพื้นก็ได้” เทวาเห็นว่าไล่ยังไงก็คงไม่กลับ จึงบอกให้ทุกคนกลับไปเอาของที่ห้องแล้วกลับมานอนที่นี่ ทุกคนตกลงรีบกลับไปขนของที่ห้องลากผ้าห่มหมอนติดมือมาด้วย ทุกคนตกลงกันว่าเตียงเสียสละให้นภาภรณ์ ที่เหลือนอนพื้นกับโซฟา

            สายฝนโปรยปรายมาตลอดทั้งคืนทำให้อากาศในห้องเย็นจนหนาวปฐวีร์ขยับเข้ากอดคนนอนข้าง ๆ ไม่รู้ตัว เพราะผ้าห่มถูกใช้ปูแทนที่นอนไปแล้ว เทวาลืมตาขึ้น มองคนกำลังหลับสบาย ร่างกายของเขากำลังถูกอีกฝ่ายกระตุ้น มันกำลังตื่นตัว สายตาที่ชินกับความมืดสลัวในห้องมองเห็นริมฝีปากที่เผยออกเล็กน้อย จมูกได้กลิ่นหอมจากอีกฝ่าย มันช่วยกระตุ้นอารมณ์ส่วนนั้นและริมฝีปากมันเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง ทำให้เขาอยากลองสัมผัสมัน เขาฉวยโอกาสจูบลงริมฝีปากบาง มันรู้สึกดีกว่าที่คิด ปากผู้ชายด้วยกันใครจะไปคิดว่ามันจะนุ่มลื่นน่าจูบอย่างนี้ เทวาเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ชั่วคราว เขาดูดเลียริมฝีปากบางสอดปลายลิ้นเข้าไปเพียงเล็กน้อย หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นร่างกายตื่นตัวมากกว่าเดิม ก่อนทุกอย่างจะเลยเถิดเทวารีบควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ จ้องมองตัวอันตรายที่กระตุ้นอารมณ์เขาจนแทบควบคุมไม่ได้ เมื่อครู่ไม่รู้เขาทำบ้าอะไรลงไป

สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้จึงรีบเข้าห้องน้ำไปจัดการกับตัวเอง ปฐวีร์ควานหาความอุ่น หาไม่เจอเขาลืมตาลุกขึ้นมองรอบห้องทุกคนยังนอนอยู่ที่เดิม เห็นเทวาเดินออกมาจากห้องน้ำ กลับมานอนแล้วเปิดปากถามเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืน

“เมื่อคืนเห็นอะไร”

“ก่อนจะเข้ามาในห้อง ผมเห็นผู้หญิงเหมือนที่ดลเล่า” ปฐวีร์ยืนจ้องอยู่นานเพราะไม่แน่ใจว่าที่เห็นเป็นคนรึเปล่า แต่ไม่มีใครเห็นแสดงว่าเธอไม่ใช่คน คงเป็นสายตาที่ดีกว่าปกติทำให้มองเห็นผู้หญิงคนนั้น

ยุทธจักรนอนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินทั้งสองคุยกัน เขาเหมือนถูกปลุกจากฝันดี รีบตื่นขึ้นมา มองปฐวีร์อย่างไม่เข้าใจ “เฮ้ย เทวาฉันว่าพวกเราออกจากที่นี่เถอะ นี่ก็ตี 4 แล้วลุงคนขับรถคงได้นอนพักผ่อนแล้ว”

“อืม” เขาเองก็คิดว่าดีเหมือนกันนอนบนพื้นอย่างไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ “ปลุกทุกคนเถอะ”

            ยุทธจักรรีบปลุกทุกคน ทุกคนงัวเงียตื่นได้ยินว่าจะออกเดินทางต่อ ต่างรีบเก็บของให้เรียบร้อย เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนยังจำฝังใจ

            รถตู้เลี้ยวออกจากโรงแรมยุทธจักรยังหันกลับไปมองว่าไม่มีอะไรตามมา ออกมาจากที่นั่นได้ทุกคนก็หลับสบายไม่ต้องกลัวว่าจะเจอกับผู้หญิงคนนั้นอีก



**********************************************************
โปรดติดตามตอนต่อไป
 

           
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 16 [29/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 29-09-2018 21:46:50
มีผีด้วย omg น่ากลัววววว
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 16 [29/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 29-09-2018 22:37:40
ตอนที่ 16

หลายวันผ่านไปและแล้วช่วงเวลาการสอบก็มาถึง หลายคนเอามือก่ายหน้าผากเมื่อเห็นกองหนังสือเรียนที่ต้องอ่านให้เสร็จภายในไม่กี่วัน มองกองข้าง ๆ กันก็เป็นเอกสารชีตงานแบบฝึกหัดที่เคยทำส่งอาจารย์ก็เยอะไม่ต่างกัน ปฐวีร์ตกลงกับเพื่อนว่าจะแยกกันอ่านเพราะรวมกลุ่มกันก็ไม่มีทางได้อ่านหนังสือแน่นอน
   ตรากตรำทนทรมานกับกองหนังสือเกือบท่วมหัวมาหลายวันปฐวีร์ตัดสินใจยกมือยอมแพ้ และใช้เวลาที่เหลือเวลาอีกสองวันก่อนถึงวันสอบวิชาแรกพักผ่อนสมอง โดยการดูหนัง อ่านมังงะ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีหยิบชีตขึ้นมาเหลือบเหลือบดูบ้าง ภฤดล กติกรณ์และนภาภรณ์ใช้ห้องเขาเป็นสถานที่ติวหนังสือทุกคนดูตั้งอกตั้งใจ แต่เขาไม่สนใจหยิบหนังสือนิยายจีนกำลังภายในขึ้นมาอ่านแก้เบื่อแทน นอนกลิ้งไปมาบนพื้นกำลังอ่านถึงช่วงสำคัญที่พระเอกจะออกไปต่อสู้โชว์พลังเทพ แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ของกระบี่ที่เพิ่งได้มา เสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น เขาทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ก็ไม่มีใครลุกขึ้นไปเปิด ทั้งสามคนก็ไม่ท่าทีว่าจะลุกไปเปิด ก็ได้วะสุดท้ายเขาก็ยอมแพ้กับสงครามเงียบ ลุกไปเปิดประตู
“อ้าว พี่เทวาลมอะไรหอบมา” ตัวโตอย่างนี้น่าจะเป็นลมพายุซะมากกว่า
“พอดีเพิ่งตื่น ไปหาอะไรกินกันชวนเพื่อนเราไปด้วย”
“อ่านหนังสือดึกหรือครับ”
“เปล่า ดูบอลดึก”
“อือ ขอให้สอบได้”
“หึ หึ” เทวาหัวเราะกับท่าทางรับมุกของอีกฝ่าย
“เข้าห้องดีกว่า เดี๋ยวผมทำอะไรให้กิน ดูสภาพพี่ไม่น่ารอด ไปถึงร้านข้าวอาจจะหลับก่อนจะได้กิน อีกอย่างผมแบกพี่กลับมาไม่ไหวหรอก”
“อือ ดีเหมือนกัน ประหยัดตังค์”
   เชิญแขกเข้าห้องเขาก็เปิดตู้เย็นสำรวจว่ามีอะไรในนั้นบ้าง หยิบเนื้อหมูเหลืออยู่ครึ่งแพ็คออกมา หัวหอมใหญ่ ข้าวโพดอ่อนและต้นหอม เทวาทำตัวเป็นแขกที่ดีนั่งรอกินข้าวที่โต๊ะอาหาร มองพ่อครัวคนเก่งตั้งหน้าตั้งตาทำกับข้าวอยู่หน้าเตา เป็นภาพที่เขาเห็นบ่อยในช่วงนี้ เกือบทุกครั้งที่มาคอนโดมิเนียมเขามักจะฝากท้องกับปฐวีร์มีบ้างที่ชวนออกไปกินข้างนอก เขามักตอบแทนมื้ออาหารเป็นขนมฝีมือแม่ ว่าไปแล้วไม่ค่อยจะลงทุนเท่าไหร่ กับข้าวที่อีกฝ่ายทำไม่ได้อร่อยเหมือนร้านอาหาร แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นเขาเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน มองพ่อครัวคนเก่งจนเพลินแล้วกับข้าวหน้าตาน่ากินก็มาอยู่ตรงหน้าพร้อมกับส่งกลิ่นหอมเล่นเอาคนที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องถึงกับน้ำลายไหลเลยทีเดียว
“ผมเพิ่มไข่ดาวให้กลัวจะไม่อิ่ม” บริการพิเศษให้คนกระเพาะโต
“ขอบใจนะ” ช่างรู้ใจคนหล่อจริง
“วีร์ทำอะไรกลิ่นหอมเชียว” ภฤดลเดินลูบท้องมาที่โต๊ะกินข้าว มองที่มาของกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยในจานรุ่นพี่ “ขอดลจานดิ”
“อือ เดี๋ยวไปตักมาให้”
ปฐวีร์กลับมาอีกทีพร้อมกับข้าว ภฤดลรับจานข้าวมาอย่างเต็มใจ “ขอบใจนะ”
“อร่อยไหมพี่เทวา” ถามรุ่นพี่ที่กินคนเดียวไม่พูดไม่จา
“ก็ดี อ่านหนังสือเป็นยังไงกันบ้าง”
“เรื่อย ๆ ครับ อืม อร่อยใช้ได้เลยมิน่าพี่เทวามากินข้าวที่นี่บ่อย ๆ” ภฤดลมองหน้ารุ่นพี่แล้วยิ้ม
“อะไรอร่อยดล ขอกินด้วยคนดิ” กฤติกรณ์และนภาภรณ์มาร่วมวง ปฐวีร์กลับเข้าครัวทำไข่เจียวกับหมูทอดมาเพิ่ม มื้อบ่ายเลยจบลงด้วยความอิ่มอร่อย
หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน เทวานั่งโงนเงนหาวอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ จะให้นอนอยู่โซฟานี่ก็ดูใจดำเกินไปปฐวีร์ไล่คนตัวโตเข้าไปนอนในห้อง เทวาไม่เกรงใจเดินตาปรือเข้าไปในห้องปีนขึ้นเตียง ดึงผ้าห่มนุ่มเข้ามากอด กลิ่นหอมอ่อนของเจ้าของเตียงทำให้เขาผ่อนคลายแล้วหลับไป
   การอ่านหนังสืออย่างมาราธอนผ่านหลายชั่วโมง ทำให้ภฤดลตัดใจจากหนังสือนอนแผ่บนพื้น กฤติกรณ์เลือกผ่อนคลายด้วยการเล่นเกม นภาภรณ์หลับคาหนังสือไปแล้ว ปฐวีร์เห็นเพื่อนแล้วรู้สึกสงสาร จึงชวนทุกคนออกไปเดินเปลี่ยนบรรยากาศที่ตลาดแถวนี้ ได้ยินว่าออกไปเที่ยวข้างนอกทุกคนก็ฟื้นคืนชีพ ตาเป็นประกาย ปฐวีร์เข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
   เทวากำลังหลับฝันหวานได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊ก ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองไปปลายเตียงเห็นแผ่นหลังขาว เขารีบลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองให้ชัดอีกครั้ง มองหน้าอกแบน ไล่สายตาลงข้างล่างจนร่างกายมีปฏิกิริยาแปลก ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เฮ้ย” ปฐวีตกใจเมื่อสวมเสื้อเสร็จเห็นคนหัวฟูยืนหน้านิ่งอยู่ในกระจก “ตื่นแล้วหรือครับ”
“อืม” เทวาจ้องใบหน้าใส แล้วยื่นมือไปจับปลายผมนุ่มที่งอ “หางเป็ด” ไม่พอเขายังดึงปลายผมมาดม “เหม็น” ปฐวีร์คิ้วกระตุกเหม็นได้ไงเขาเพิ่งสระผมเมื่อเช้า เห็นท่าทางหน้าบึ้งอีกฝ่ายเทวาก็ยิ้มกว้างที่แกล้งได้สำเร็จ ปฐวีร์หันไปมองคนตัวโตกำลังจับปลายผมเขาเล่นเหมือนเป็นเจ้าของในใจรู้สึกแปลก ๆ กับความใกล้ชิด “ผมพี่ก็ยุ่งเหมือนกัน ไม่เชื่อดูในกระจกดิ”
“ไหน” คนตัวโตยืนซ้อนข้างหลัง หันซ้ายหันขวาเสยผมแล้วหยักคิ้ว “เห็นแต่คนหล่อในกระจก” ปฐวีร์เบะปากหมั่นใส่คนหลงตัวเอง
“แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหน”
“ไปเที่ยวตลาด เห็นพวกนั้นอ่านหนังสือเลยจะพาไปเปิดหูเปิดตา ไปด้วยกันไหมครับ”
“ดีเหมือนกัน” ดวงตาสีเข้มจ้องคนอยู่หน้ากระจกเงา ก่อนจะพูดอะไรออกมา “ตัวเล็กนะเรา”
“รู้ได้ไง” ปฐวีร์ขมวดคิ้ว
“ก็แบกขึ้นห้องมาแล้วจำไม่ได้รึไง” ได้ฟังคำพูดของเทวาหน้าก็เห่อแดงขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ ไม่รู้ว่าคำพูดเมื่อกี้มีอะไรแปลก ๆ ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก
   ตลาดกลางคืนห่างจากคอนโดมิเนียมสองสามช่วงตึก คึกคักไปด้วยผู้คนแถวนี้ออกมาหาของกิน ตลาดถูกแบ่งเป็นโซน พวกเขาเลือกเริ่มต้นเดินที่โซนของกิน ตั้งแต่ที่เดินเข้ามาพวกเขาแวะเกือบทุกร้าน
“ดลแกดูสองคนนั้น” กฤติกรณ์สะกิดเพื่อนที่กินไม่ยอมหยุดตั้งแต่เข้ามาในตลาด
“ไหน” เขามองหาคนที่เพื่อนบอก
“ก็วีร์กับพี่เทวาไง”
“ทำไม” สองคนนั้นมีอะไรผิดปกติ
“สองคนนั้นเหมือนมาเดทกันเลย”
“ใช่ภรณ์ก็คิดเหมือนกัน ดูสายตาพี่เทวามองวีร์สิ เห็นแล้วชวนจิ้นมาก คนหนึ่งก็หล่อใส ๆ อีกคนก็หล่อเข้มนักกีฬา” นภาภณณ์พูดไปจินตนาการไปเล่นเอาเลือดกำเดาเธอแทบไหล
“ไม่รู้สองคนนั้นไปสนิทกันตอนไหน”
“ถ้าสองคนนี้เป็นอย่างที่ภรณ์คิด เรื่องนี้ถึงหูยัยแม่มดวีร์ต้องแย่แน่” กฤติกรณ์และนภาภรณ์พยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสามมองปฐวีร์อย่างเป็นห่วง
   เช้าวันสอบมาถึงสภาพนักศึกษาแต่ละคนที่เดินเข้าห้องสอบเหมือนผีดิบ ขอบตาดำคล้ำ ถ้าให้เดาก็คงเร่งอ่านหนังสือในคืนสุดท้ายก่อนสอบ ทุกคนนั่งประจำที่ เวลาสอบเริ่มขึ้น เวลาค่อย ๆ เดินช้า ๆ หลายคนหงุดหงิดกับข้อสอบที่โจทย์คำถามยาวเกือบสามบรรทัด รบกับข้อสอบร้อยกว่าข้ออยู่เป็นชั่วโมง ปฐวีร์ก็ได้ฤกษ์ดีออกจากห้อง เพื่อน ๆ เห็นปฐวีร์ออกมาต่างรีบถามว่าทำข้อสอบได้ไหม ข้อนั้นถามอย่างนั้นแล้วต้องตอบยังไงถึงจะถูก คุยกันเกี่ยวกับข้อสอบมาถึงโรงอาหารจนกินข้าวเสร็จ จากนั้นทุกคนแยกย้ายกลับไปอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเพื่อชดเชยข้อสอบที่ทำไม่ได้วันนี้

   ปฐวีร์เดินลากเท้าเขาห้องน้ำ รู้สึกพลังงานวันนี้ถูกข้อสอบดูดไปทั้งหมดจนแทบไม่มีเหลือ นั่งรถไฟฟ้ากลับมาก็แทบหลับเลยสถานี ยืนมองหน้าตัวเองในกระจกเงาเครียดบวกกับนอนพักผ่อนน้อยทำให้มีสิวเม็ดเล็ก ๆ กำลังโผล่ขึ้นมา หมดหล่อเลยถึงว่าพักนี้สาวไม่แล เปิดน้ำล้างหน้าเงยหน้าขึ้นมองในกระจกแทบช๊อค เมื่อเห็นคนอยู่ในกระจก ”พ่อ” เขาหันหลังกลับไปมองแต่ไม่มีใครหันกลับไปมองในกระจก พ่อยังอยู่ในนั้น ภาพในกระจกมีบางตอนที่ชัดเจนบางตอนกลับเลือนรางพยายามเพ่งมองก็ไม่เห็น จากนั้นพ่อของเขาก็ล้มลง มีหมอพยาบาลพาเข้าไปในห้องฉุกเฉิน แล้วทุกอย่างหายไปเปลี่ยนเป็นภาพ คุณนายรอง คุณนายสาม พี่น้องของเขายืนล้อมเตียงคนไข้ ปฐวีร์ยื่นมือออกไปสัมผัสกระจกตรงหน้าเพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่ตาเห็นว่าเป็นความจริงหรือความฝัน “โอ๊ย” มือยังไม่ทันจะสัมผัสถูกอะไร อาการปวดหัวไม่มีที่มาก็เกิดขึ้นอีกครั้ง อาการปวดทรมานเล่นงานจนยืนไม่ไหว ถ้ามือทั้งสองไม่เกาะเคาน์เตอร์ไว้ก็คงลงไปนอนกับพื้น เขายังไม่ยอมแพ้พยายามเพ่งสายตามองภาพเหตุการณ์ต่อจากนั้น แต่กลับกลายเป็นทุกอย่างพร่าเลือนแล้วสติของเขาดับวูบ

“วีร์ เป็นอะไรทำไมหน้าซีด” ภฤดลถามคนที่นั่งจ้องขวดน้ำบนโต๊ะ
“เพลียนิดหน่อย คงเพราะนอนดึกติดต่อกันหลายคืน” พูดแล้วก็อดหาวไม่ได้ รู้สึกไม่สบายตัวเมื่อตอนเช้าตื่นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องน้ำทั้งคืน แต่นั่นก็ทำให้รู้ว่าสิ่งที่เห็นผ่านกระจกน่าจะเป็นเค้าลางบอกอะไรสักอย่างให้รู้
“นี่ภรณ์ว่ายังไงสอบเสร็จ พวกเราไปเที่ยวกันดีกว่า” หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเสนอความคิดขึ้น
“เออ ว่าไปแล้วพวกเราก็ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันนานแล้ว” ปฐวีร์กำลังคิดว่าครั้งสุดท้ายที่พวกเขาไปเที่ยวด้วยกันมันตั้งแต่เมื่อไหร่
“จะไปที่ไหนกันดี” กฤติกรณ์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ไปทะเล ไปทะเลใกล้ ๆ นี่แหละ นั่งรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง ทุกคนว่าไง”
ทะเลทุกคนกำลังคิดถึงหาดทรายสีขาว น้ำทะเล เสียงคลื่น ท้องฟ้าสีคราม
“เห็นด้วย/ไปกัน/พร้อมเดินทาง” ทุกคนเห็นด้วย และช่วยกันคิดวางแผนต่อจากนั้น
“จะไปไหนกันเหรอ น้องๆ โดยเฉพาะน้องภรณ์คนสวย”
“พวกเราคุยกันว่าจะสอบเสร็จจะไปเที่ยวทะเลกันค่ะ พี่ ๆ สนใจไปด้วยกันไหมคะ”
“เที่ยวทะเล เฮ้ย น่าสนใจว่ะเทวา” ตติวัฒน์ที่ยืนเงียบได้ยินว่าทะเลก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา
“ไปดูสาว ๆ ชุดบิกินี่ เดินเล่นริมชายหาด” นั่นคือจุดประสงค์หลักของการไปเที่ยวทะเลของยุทธจักร
“ไอ้พวกนี้พูดเรื่องเที่ยวสดชื่นขึ้นมาเชียว เมื่อกี้ใครแทบคลานออกจากห้องสอบ”
ทุกคนเห็นด้วยแถมมีกลุ่มรุ่นพี่ร่วมเดินไปด้วยยิ่งครึกครื้นมากขึ้น เทวานั่งลงข้างปฐวีร์สังเกตสีหน้าที่ดูซีด เหมือนที่เขาเจออีกฝ่ายในคืนนั้นอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “เป็นอะไรรึเปล่า” ปฐวีร์ส่ายหัวเป็นคำตอบ
“เปล่า พี่ไปเที่ยวด้วยกันไหม”
“ไปดิ คนชวนเป็นคนเลี้ยงนะ”
ปฐวีร์กลอกตามองบน ลูกชายเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ครอบครัวทำเงินได้เดือนหนึ่งหลายร้อยล้านยังจะมาเบียดเบียนคนไม่มีอันจะกินอย่างเขาอีก “งั้นก็นอนขึ้นราอยู่ห้องเถอะ เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก” เทวาได้แกล้งอีกฝ่ายก็อารมณ์ดีจนอดหัวเราะไม่ได้ ทุกคนกำลังคุยเรื่องที่พัก สถานที่เที่ยว ร้านอาหาร ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาทุกคนต่างหันไปมองเทวาเหมือนตัวประหลาด เห็นคนต้นเหตุให้เกิดเสียงหัวเราะนั่งหน้าบึ้งอยู่ข้าง ๆ สองคนนี่มันยังไง
   การสอบผ่านไปอย่างยากลำบาก หลายคนโยนหนังสือลงกล่องทันที หลายคนขว้างออกไปให้พ้นจากชีวิตชาตินี้ไม่อยากจะเจออีกแล้ว สอบเสร็จแล้วหลายคนโทรตามเพื่อนออกมาฉลองว่าสามารถเอาชีวิตรอดจากข้อสอบได้ หลังจากคุยเรื่องเที่ยวเสร็จทุกคนไปต่อร้านอาหารกึ่งผับแถวมหาวิทยาลัย ที่ดูครึกครื้นเป็นพิเศษช่วงหลังสอบ
“กินนี่อร่อย” เทวาเลื่อนจานไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้ ปฐวีร์ลังเลเล็กน้อย “ไม่เผ็ดกินได้” การกระทำทั้งสองอยู่ในสายตาทุกคนในโต๊ะ แต่ทุกคนก็เงียบทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ยุทธจักรเลือกเบือนหน้าหนีไปคุยกับโต๊ะข้าง ๆ เพราะถ้าให้ความสนใจมากกว่านี้กลัวว่าปากจะถามออกไป ตติวัฒน์ขยับแว่นสายตาจ้องเพื่อนสนิทนั่งไหล่ชนกับรุ่นน้องทั้งที่ที่นั่งออกกว้าง แล้วไหนจะยังท่าทางดูเอาใจ และรู้ใจนี่อีก นภาภรณ์ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าตลอดกลัวว่าเลือดกำเดาจะไหลออกมาได้ตลอดเวลาที่เธอมองเพื่อนสนิทกับรุ่นพี่
   ในร้านอาหารคนหนาตาขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็มีทยอยเข้ามาเรื่อย คชาธรณ์ยืนกวาดสายตามองหาเพื่อน ก่อนจะเห็นเพื่อนโบกมือเรียก
“มาช้า”
“โทษที แล้วคิดไงชวนมากินข้าวร้านนี้”
“เพิ่งสอบเสร็จขี้เกียจไปไกล”
“หิวด้วย ที่มหาลัยสอบเสร็จยัง”
“2 วันแล้ว “ เขากวาดสายตามองร้านอาหารที่ดูคนเยอะจนน่าเวียนหัว “ที่นี่คึกคักอย่างนี้ทุกวันรึเปล่า”
“เปล่าหรอกเฉพาะช่วงนี้แหละ”   
“เฮ้ย นั่นแกพี่เทวา”
“ไหน นั่นไงนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อน”
“ธรณ์มันคงไม่รู้จักพี่เทวา ถ้าบอกว่า สุรัตนธรรมวรธิเบศน์ คงจะรู้จัก” คชาธรณ์นึกถึงผู้ชายตัวสูงสวมสูทหน้าตาหล่อในงานเปิดตัวสินค้าของครอบครัว เขามองไปที่โต๊ะที่เพื่อนกำลังพูดถึง ริมฝีปากบางโค้งขึ้นเล็กน้อย ในใจคิดไม่ได้ว่า แล้วเขาก็ได้เจอกับอีกฝ่ายอีกครั้ง “ไปห้องน้ำนะเดี๋ยวมา”
“มันเป็นอะไรของมันเห็นผู้ชายหล่ออยากเข้าห้องน้ำ”
“แกเชื่อว่าคนมันจะเข้าห้องน้ำจริง คอยดูต่อไปเถอะ”
   เพิ่งมานั่งกินข้าวได้แค่ชั่วโมงกว่าทุกคนต่างรีบแยกย้ายเพื่อกลับไปเตรียมตัวไปเที่ยวพรุ่งนี้ ปฐวีร์ถือโอกาสติดรถเทวากลับด้วยกัน “ไปนั่งรอในรถเดี๋ยวพี่ไปเข้าห้องน้ำ”
“อืม” ปฐวีร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมรอ
เทวาเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วออกจากที่นั่น ระหว่างที่ออกมาเป็นเพราะไม่ทันระวังทำให้เขาชนเข้ากับใครสักคนเข้า ”ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรครับ” คชาธรณ์ยิ้มหวานให้ ผิดคาดเมื่ออีกฝ่ายแค่พยักหน้าให้แล้วรีบเดินออกจากห้องน้ำไป เขาหุบยิ้มทันทีเมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจแม้จะคุยด้วยสักคำ ยืนมองชายหนุ่มตัวสูงเดินตรงไปที่ลานจอดรถของร้าน เขาเดินหงุดหงิดกลับที่โต๊ะ
“เดี๋ยวนี้แกอดอยากปากแห้งถึงขนาดต้องวิ่งชนเลยเหรอ”
“ดูเหมือนเขาจะไม่เล่นกับแกด้วย”
“หึหึ นั่นมันขึ้นอยู่กับว่าผู้ชายที่ฉันสนใจคนนั้นเป็นใคร”
ทุกคนไม่ตกใจคำพูดของเพื่อนเป็นใครเมื่อเจอเทวาต่างก็ชื่นชอบเขาทั้งนั้น มีหลายคนพยายามเข้าใกล้แต่ก็ต้องเลิกรา ไหนจะนิสัยเฉยชา เพื่อนในกลุ่มอีกที่คอยขัดขวาง พวกเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าคชาธรณ์จะทำยังไงให้ผู้ชายอย่างเทวาพิทักษ์มาครอบครองดูแล้วเรื่องนี้น่าสนุกทีเดียว

****************************************
โปรดติดตามตอนต่อไป

ขออภัยลงข้ามตอน อ่านตอนนี้ก่อนนะคะ ถึงไปต่อต่อที่ 16
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 15.2 [29/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 29-09-2018 23:49:15
รอต่อนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 15.2 [29/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 30-09-2018 06:30:42
ตอนที่ 16. อย่างหลอน แต่เทวาแอบจูบวีร์นึ้คือไรชอบน้องเหรอ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 18 [30/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 30-09-2018 20:21:44
ตอนที่ 18
[/size]

นอนหลับบนรถเกือบสองชั่วโมง ชดเชยที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ทุกคนเริ่มหิวโชคดีที่เจอตลาดเช้าข้างทาง พวกเขาแวะหาอะไร

กิน ปฐวีร์ไปเห็นหมูปิ้ง ตับปิ้ง กับข้าวเหนียว “พี่กินเปล่า” ถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“เลี้ยงหน่อยไม่ได้เอาตังค์ลงมาด้วย”

“ตลอด ป้าเอาอย่างละห้าไม้ ข้าวเหนียวสอง” ได้ของกินมาแล้วทั้งสองยังเดินต่อ เห็นของกินหลายอย่าง พวกเขาซื้อโน่นซื้อนี่

ใส่ท้องจนอิ่ม เห็นขนมครกใบเตยนมสด ขนมฝักบัวซื้อติดมือไปเผื่อคนอื่น กลับมาถึงรถเห็นยุทธจักรกับตติวัฒน์กำลังดูดก้นถุง

น้ำเต้าหู้คนละถุง ภฤดลกับกฤติกรณ์กำลังแย่งปาท่องโก๋นภาภรณ์ ปฐวีร์เลยเอาขนมที่ซื้อมาให้เพื่อน ๆ

เมื่อทุกคนอิ่มท้องก็พร้อมออกเดินทางต่อ เช้าแล้วทุกคนเริ่มพูดถึงเรื่องที่เจอเมื่อคืนอีกครั้ง แต่ละคนเล่าโดยรายละเอียด ทุกคน

ต่างโทษยุทธจักรเพราะเป็นคนจองที่พัก

“ภรณ์ก็ว่าแล้วโรงแรมมันดูน่ากลัวจะตาย”

“ดีนะไม่เป็นไข้หัวโกร๋น”

“แกไม่ต้องมาพูดเลยไอ้วัฒน์ไอ้เพื่อนเลวทิ้งฉันไว้คนเดียว”

“เพราะแกเลือกจองโรงแรมไม่ดูให้ดี”

“ก็ใครมันจะไปรู้ ทางโรงแรมไม่ได้ลงหมายเหตุว่ามีผีด้วยนี่หว่า” ลุงคนขับรถได้ฟังก็หัวเราะบอกให้แวะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้

หญิงคนนั้น และเป็นสิริมงคลให้กับตัวเองด้วย ส่วนจะเป็นวัดไหนนั้นให้ลุงคนขับรถเป็นคนพาไป

หลับพักสายตามาสักพักรถตู้ก็เลี้ยวเข้าไปจอดในวัดแห่งหนึ่ง ทุกคนเห็นโบสถ์ เห็นศาลา รู้สึกดีขึ้นเยอะ จากนั้นช่วยกันเอา

สังฆทาน และของทำบุญลงมาจากรถ

“นั่นลุงเขามีงานอะไรรึเปล่า”

“ป้ายทางเข้าเขียนบอกไว้ว่ามีงานบุญครับ ตอนเย็นมีงานมหรสพ”

“มีงานวัดด้วย” ทุกคนฟังแล้วรู้สึกสนใจ

“ภรณ์ก็อยากเที่ยวงานวัดเหมือนกัน”

 “ที่พักห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่ เราน่าจะอยู่เที่ยวได้”

”หวังว่าที่พักของแกจะไม่เหมือนเมื่อคืนนะ”

“ไม่แน่นอนรับรองเพราะที่นี่ฉันเคยไปพักมาแล้ว” ตกลงกันได้ทุกคนเข้าไปข้างใน

   วัดดูคึกคักเป็นพิเศษ มีชาวบ้านกำลังช่วยกันเตรียมงานบุญอยู่บนศาลา พวกเขาบอกว่าจะมาทำบุญ ชาวบ้านแนะนำให้ขึ้น

ไปพบหลวงพ่อที่กุฏิ เดินตามหลังเด็กวัดมาเรื่อยจนมาถึงกุฏิหลังใหญ่อยู่ห่างจากกุฏิหลังอื่นพอสมควร ยืนรอด้านล่างให้เด็กวัด

ขึ้นไปบอกหลวงพ่อ สักพักเด็กวัดลงมาตามให้ขึ้นไป เดินตามก้นขึ้นไปก็เห็นพระภิกษุสูงอายุสวมแว่นสายตา ใบหน้าแจ่มใส

ท่านนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะเก่าๆ ด้านข้างมีหนังสือธรรมะหลายเล่ม ทุกคนค่อย ๆ คลานเข่าเข้าไปใกล้และก้มลงกราบ เทวาเล่า

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หลวงพ่อได้ฟังเรื่องที่ทุกคนเจอแนะนำให้ทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกคนเห็นด้วย

ช่วยกันถวายสังฆทาน ของที่นำมา และบริจาคเงินร่วมทำบุญ

ได้ทำบุญกรวดน้ำแล้วจิตใจทุกคนก็ดีขึ้นมาก แต่อยู่ ๆ หลวงพ่อมองมาที่ปฐวีร์แล้วพูดขึ้นว่า “โยมอาบน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล

กับชีวิตหน่อยไหม” คนที่นั่งเงียบมาตั้งนานแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็เข้าใจว่าท่านหมายความว่าอะไร “ครับ”

“เอ่อ อย่างผมนี่อาบน้ำมนต์ด้วยได้ไหมครับ” ยุทธจักรอยากอาบบ้างจะได้มีเรื่องดี ๆ เข้ามา

“ได้สิ จะอาบทั้งหมดด้วยกันก็ได้”

   พิธีอาบน้ำมนต์ผ่านไปอย่างเปียกปอน สดชื่น และสบายใจ ทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย งานวัดก็เริ่มขึ้น ร้านขายของกิน

เริ่มคึกคัก คนในหมู่บ้านแต่งตัวหล่อสวยจูงมือลูกหลานออกมาเดินเที่ยว หนุ่มสาวก็อาศัยช่วงเวลานี้ออกมาเจอกัน ยังไม่ทันจะได้

เดินเที่ยวท้องก็ร้องขึ้นมาก่อน ปฐวีร์เห็นร้านผัดไทยน่ากิน เขาชวนทุกคนไปนั่งกินที่ร้าน  ผัดไทยในกระทะส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำ

ย่อย ทุกคนสั่งผัดไทยทะเล ผัดไทยกุ้งสด ปฐวีร์เห็นลูกค้าหลายคนสั่งผัดไทยวุ้นเส้นกล้ามปูเลยลองสั่งมากินบ้าง

“นั่นอร่อยไหม”

“ลองกินดูซิ” เทวาไม่เกรงใจลองชิมผัดไทยในจานอีกฝ่ายทันที “เป็นไงวะเทวาอร่อยไหม ถ้าอร่อยฉันจะสั่งมากินบ้าง”

“อร่อยสั่งมาเผื่อด้วย” กินผัดไทยกันไปคนละจานสองจานจนปากมันวาว ก็ได้เวลาเดินย่อย เริ่มจากปาลูกโป่ง ยุทธจักรขอโชว์

ฝีมือความแม่นยำเป็นคนแรก ต่อมาเป็นตติวัฒน์และ คฑาวุธ ปาไปหลายสิบดอกก็ยังไม่ถูกลูกโป่ง ทั้งสามเลยยอมแพ้เดินคอตก

ออกมา ทั้งสามขอแก้มือที่ซุ้มยิงปืนอัดลมที่อยู่ถัดมา ยุทธจักรเล็งรางวัลใหญ่ เขาต้องยิงตุ๊กตาให้ล้มสามตัวโดยใช้กระสุนเพียง

แค่สามลูก ยิ่งหมดไปหลายสิบลูกได้แค่เฉียด ยังถูกตุ๊กตาหน้าตาน่าเกลียดหัวเราะเยาะอยู่หลายครั้ง แต่ก็ได้รางวัลเป็นลูกอมไม่

กี่เม็ด เห็นทั้งสามเดินมือเปล่ากลับมาเทวาอดหัวเราะไม่ได้ เดินเข้าซุ้มนั้นออกซุ้มนี้หมดเงินไปหลายร้อยแต่ได้ของปลอบใจเป็น

ขนมบ้างลูกอมบ้าง

“ไม่อยากเล่นอะไรเหรอ”

“ไม่ครับ ไม่ค่อยถนัด ยืนดูสนุกกว่า แล้วพี่ล่ะไม่แสดงฝีมือหน่อยเหรอ ซุ้มนั้นก็ได้” ปฐวีร์ชี้ไปซุ้มยิงกระป๋อง เทวายอมรับคำท้า

เดินตรงไปซุ้มนั้น ถามเจ้าของร้านว่าเล่นยังไง ฟังกติกาจนแน่ใจ เขาบอกให้ปฐวีร์ดูให้ดีอย่ากะพริบตา เล็งปืนอัดลมไปที่กระป๋อง

น้ำอัดลม แป๋ง แป๋ง แป๋ง แค่สามนัดกระป๋องน้ำอัดลมเปล่าก็ปลิวตกลงจากชั้น

“เป็นไงฝีมือ พอใช้ได้ไหม” เทวายืนเก๊กท่าเสยผมยักคิ้วถาม เห็นท่าทางกวนประสาทของอีกฝ่ายแล้วปฐวีร์รู้สึกหมั่นไส้อย่าง

บอกไม่ถูก ยิงถูกทั้งสามนัดของรางวัลที่ได้เป็นน้ำอัดลมสองกระป๋อง เทวาส่งน้ำอัดลมที่ได้เป็นรางวัลให้ ปฐวีร์เลิกคิ้วขึ้นอย่าง

แปลกใจแต่ก็รับมา

“วีร์ มาอยู่ที่นี่เอง” นภาภรณ์เดินตามเพื่อนอยู่นาน จนมาเห็นที่ซุ้มยิงปืนอัดลม เธอมาทันเห็นรุ่นพี่เอาของรางวัลให้เพื่อนของเธอ

ด้วย เธออดรู้สึกเขินแทนปฐวีร์ไม่ได้ “ไปเล่นร้านนั้นกัน พี่เทวาด้วย”

ทั้งสองถูกนภาภรณ์ลากมาที่ซุ้มบิงโก เห็นยุทธจักรกำลังหัวเราะเสียงดัง “ฉันบิงโกอีกแล้ว”

“อะไรวะ ทำไมไอ้ยุทธบิงโกเอา บิงโกเอานี่มันรอบที่สามแล้วนะ”

“แพ้คนอย่างไอ้ยุทธนี่รู้สึกไม่ดีเลยว่ะ”

“ยังไงไอ้วัฒน์ พูดให้ดีนะ”

“เดี๋ยวค่ะอย่าเพิ่งทะเลาะกัน ภรณ์พาวีร์กับพี่เทวามาเล่นด้วย”

“มาเลยต่อให้เป็นไอ้เทวาฉันก็จะบิงโกให้ดู” ปฐวีร์ยืนฟังอยู่นานรู้สึกน่าสนุก “ของรางวัลจากร้านเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ มันจะไป

สนุกอะไร เอาอย่างนี้ไหมครับเรามาเพิ่มเดิมพันเป็นไง แบบเลี้ยงข้าวสักเดือน เลี้ยงหนังสักสิบเรื่องอะไรประมาณนี้จะไม่สนุกกว่า

หรือครับ”

“ดี เห็นด้วย” ทุกคนเห็นด้วยการเดิมพันครั้งใหม่ทั้งสนุกทั้งตื่นเต้นมากกว่าเดิม แต่ผ่านไปห้ารอบก็ยังไม่มีใครบิงโก จากสนุก

กลายเป็นน่าเบื่อ ทุกคนตัดสินใจออกจากซุ้ม เดินเรื่อยต่อไปจนถึงโซนเครื่องเล่น

“วีร์ ไปเล่นชิงช้าสวรรค์กัน” นภาภรณ์ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วลากเพื่อนไปที่ชิงช้าที่กำลังหยุดรอคน

“เราว่าชิงช้าสภาพมันไม่ค่อยสวรรค์เท่าไหร่ แต่ตกลงมายังไม่แน่ว่าจะสวรรค์หรือนรก” แววตาของปฐวีร์แสดงออกอย่างชัดเจน

ว่ากำลังกลัว

“เอาน่า อย่าคิดมากน่า หรือน้องวีร์กลัวความสูง” ยุทธจักรยิ้มเจ้าเล่ห์

“เฮ้ย..” ปฐวีร์ยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกผลักเข้าไปในชิงช้า

“เทวาฝากน้องด้วย” เทวายังไม่ทันทำความเข้าใจกับคำพูดของยุทธจักร เขาก็ถูกผลักเข้าไปในชิงช้าอีกคน “พี่เต็มแล้วเดิน

เครื่องเลย” ยุทธจักรรีบล็อกประตูตะโกนบอกคนคุมเครื่อง ชิงช้าสวรรค์ ชิงช้าสภาพที่ไม่ค่อยสวรรค์ขยับช้า ๆ ลอยสูงขึ้น ทุกคน

มองขึ้นไปเห็นสายตาที่ทั้งสองคนมองลงมา สายตาทั้งสองบอกชัดเจนว่าไม่พอใจ

“มันจะดีจริง ๆ เหรอพี่ยุทธ” นภาภรณ์รู้สึกเป็นกังวลกับแผลการณ์ของยุทธจักร

“ดีสิเชื่อมือพี่ ที่เหลือก็ปล่อยให้สองคนนั้นสานต่อกันเอง พวกเราทำได้แค่นี้ ไป ไปหาที่หลบตีนไอ้เทวากัน มันลงมาเตรียมโดน

เตะเรียงตัวแน่นอน” ยุทธจักรพูดจบทุกคนต่างแยกย้าย

   ชิงช้าสภาพไม่สวรรค์แกว่งไปมาจนปฐวีร์ไม่กล้าขยับตัวหายใจแรงก็ยังไม่กล้า และมันก็เล็กดูไม่ค่อยเหมาะกับผู้ชายสอง

คนมานั่งด้วยกัน ชิงช้าค่อย ๆ สูงขึ้นจนสามารถมองเห็นรอบงาน “ดูนั่นตรงนั้นมีลิเกด้วย” เทวาขยับเข้าไปใกล้เพื่อมองจุดที่อีก

ฝ่ายบอกจนปฐวีร์รู้สึกว่าใกล้เกินไป ลมหายใจอุ่นกระทบลงบนแก้มจนเขารู้สึกแปลก “กลัวความสูงเหรอ” เสียงทุ้มดังอยู่หูทำให้

รู้สึกจั๊กจี้ เขารีบหันไปจะด่าอีกฝ่ายที่ชอบแกล้ง แต่ยังไม่ทันพูดอะไรริมฝีปากก็ปิดด้วยริมฝีปากร้อน พร้อมกับชิงช้าหยุดและไฟ

ปิดลง ในหัวที่เต็มไปคำด่าตอนนี้กลับว่างเปล่า ทุกอย่างรอบตัวเงียบลงชั่วคราว ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็

เห็นดวงตาสีเข้มจ้องมองอยู่ “พี่ชอบเรานะ” ปฐวีร์ทำตาปริบ ๆ เขายังอยู่ในอาการมึนงง นี่เขาเห็นภาพหลอนหรือมันเป็นความ
จริง

“พี่สับสนอะไรรึเปล่า ผมเป็นผู้ชายนะ” ปฐวีร์ถามอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ

“รู้ หลับตาข้างเดียวก็ดูออกว่าผู้ชาย”

“เอ่อ..” เขากังวลเมื่อนึกถึงภาพความตาย เมื่อคนที่รักทั้งหัวใจเป็นผู้ชายคือต้นเหตุถึงจะไม่ใช่คนนี้ก็ตาม ใครสาบานได้ว่ามันจะ

ไม่จบลงเหมือนความฝัน เขายังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับความรัก เขากลัว เขายอมรับว่าเขาขี้ขลาด

เทวามองแววตาที่แสดงความหวาดกลัวความลังเลออกมาให้เห็นชัดเจน ทำให้เขาต้องรีบพูดความในใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้ “ไม่รู้

เหมือนกัน แต่อยู่กับเราแล้วรู้สึกสบายใจ คิดถึงเวลาไม่ได้เจอ อยากอยู่ใกล้ อยากสัมผัส ที่ไม่เคยรู้กับใครมาก่อน” เขารู้ว่าตัวเอง

พูดไม่เก่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจไหมในสิ่งที่เขาพูดออกไปไหม เขาถือโอกาสนี้โอบกอดอีกฝ่ายไว้ และเพื่อส่งความรู้สึกของเขา

ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ปฐวีร์เพิ่งเคยถูกคนที่ไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่เพื่อนกอด แต่มันกลับรู้สึกดีจนอธิบายไม่ถูก เขาไม่เคยได้สัมผัส

อ้อมกอดแบบนี้มาก่อน ในใจกลับรู้สึกหวงมันขึ้นมาเมื่อคิดว่าคนอื่นจะได้มันไปภาพความฝันความรักของเขาทุกอย่างก็เหมือนจะ

ดีมีความสุข แต่ตัวแปรที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปคือ พิมพ์รตา นึกถึงชื่อนี้ขึ้นมาแววตาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น เขาสวมกอดคนตัว

สูงแน่นขึ้นด้วยความกลัวความกังวลมากมายจนบอกไม่ถูก ในเมื่อเขาไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมที่มีคนรักเป็นผู้ชายได้ แต่

อย่างน้อยก็เลือกได้ว่าจะรักใคร งั้นก็ขอเป็นคนที่เขามีความรู้สึกดี ๆ ด้วยก็น่าจะดีกว่า และจากนี้ก็มาพนันกัน ว่าเขาจะสามารถ

เปลี่ยนแปลงอนาคตได้หรือไม่ แน่นอนเขาจะไม่ยอมเป็นฝ่ายที่ต้องถูกแย่งคนรักและตายอย่างน่าอนาถ

“เอ่อ พี่คงลืมไปว่าพวกเรายังอยู่บนชิงช้าสวรรค์” ปฐวีร์ช่วยเตือนอีกฝ่าย เทวาปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมกอดด้วยความเสียดาย

เขายังไม่ได้ฟังคำตอบที่ต้องการเลย เสียงจากข้างล่างดังขึ้นบอกให้รู้ว่าหมดรอบแล้ว ชิงช้าหยุดลงทั้งสองลงจากชิงช้า

บรรยากาศรอบ ๆ ชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วน เทวาชวนอีกฝ่ายไปรอทุกคนที่รถ รอสักพักทุกคนก็มาถึง จากนั้นก็เดินทางเข้าที่พัก

   กว่าจะได้เข้าห้องพักก็เกือบเที่ยงคืน ถึงอย่างนั้นปฐวีร์ก็ยังไม่รู้สึกง่วง เขายังนอนตาสว่างในอ่างอาบน้ำเมื่อคิดถึงช่วงเวลา

บนชิงช้าสวรรค์ ริมฝีปากบางโค้งขึ้น เขาเลื่อนมือลูบริมฝีปากที่ถูกจูบ ร่างกายเบาหวิวหัวใจอบอุ่นเมื่อได้รับความรู้สึกของเทวามา

ว่าไปแล้วเขายังไม่ได้ให้คำตอบอีกฝ่ายเลย คิดได้แล้วก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่

   เทวากำลังรอคนในห้องน้ำ ได้ยินเสียงประตูเปิด เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อน กลิ่นหอมของปฐวีร์กำลังก่อกวน

อารมณ์ของเขา แล้วสายตามองเห็นผมเส้นเล็กยังเปียกอยู่

“นั่งลงสิพี่จะช่วยเช็ดผมให้เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“ขอบคุณ” ในห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง ปฐวีร์หยิบรีโมตมาเปิดโทรทัศน์เพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น คนตัวสูงซับน้ำออกจากผม

เส้นเล็กแล้วอดแอบหอมไม่ได้ การกระทำของเทวาทำหัวใจปฐวีร์อุ่นวาบขึ้นมา เขาชอบช่วงเวลาแบบนี้ ความรู้สึกที่ไม่ได้รับจาก

ครอบครัว “ให้เวลาผมนะครับ ให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป” เทวาได้ฟังคำตอบอดยิ้มกว้างไม่ได้ เขาไม่ได้เร่งรัดอีกฝ่ายแค่ได้ใช้

เวลาอยู่ด้วยกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกันเท่านี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว

   
   บนโต๊ะกลางเต็มไปด้วยกล่องเครื่องประดับที่คุณนายรองเอาออกมาเลือกเพื่อจะใส่ไปออกงาน เธอเปิดดูว่ากล่องไหนจะ

เข้ากับชุดที่เธอสั่งตัดมา “เป็นอะไรคะคุณแม่” พิมพ์รตาแปลกใจเมื่ออยู่ ๆ แม่ของเธอก็เงียบไป

“แม่รู้สึกเหมือนเครื่องประดับของแม่จะหายไป”

ตึก หนังสือในมือพีรพลธ์หล่นลงพื้น “เป็นอะไรเจ้าพีมือไม้อ่อน”

“ปะ เปล่าครับ แม่พีง่วงแล้วไปนอนนะ”

“ไปเถอะลูก อย่าเล่นเกมดึกนักล่ะ” พีรพลธ์รีบหอบหนังสือเดินออกจากห้องนั้น

“แปลกจัง”

“อะไรแปลก” เธอเงยหน้าจากกล่องเครื่องประดับมองลูกสาวที่มองตามหลังลูกชายคนเล็กที่เพิ่งเดินออกจากห้องไป

“เจ้าพีช่วงนี้อยู่ติดบ้าน ปกติแทบจะไม่โผล่หน้ามาให้เห็น คุณแม่พูดอะไรก็เชื่อฟังไปหมด นี่ถ้าบอกว่าผีเข้าพิมพ์ก็เชื่อนะคะ”

“ก็ดีไม่ใช่รึไง ให้แม่ปวดหัวเรื่องพี่ชายเราคนเดียวก็พอ”

“บางทีคนเรามักทำตัวดีเพื่อปิดบังเรื่องไม่ดีของตัวเองก็ได้” พีรพลธ์ยืนอยู่หลังประตูได้ยินคำพูดพี่สาว ต้องกัดฟันแน่นแล้วรีบ

เดินกลับห้องตัวเอง

“ช่างเถอะปิดบังอะไรไว้เดี๋ยวเราก็รู้เอง แล้วเรื่องพี่ชายจะทำยังไงคะ คุณนายสี่นั่นยังลอยหน้าลอยตา แอบส่งสายตาให้พี่ชาย

บ่อย ๆ ” เธอเห็นแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น “เข้ามา” คนเคาะประตูได้ยินเสียงจากข้างในบอกให้เข้าไป ก็เปิดประตูเข้าไปข้างใน เห็นคนเดิน

เข้ามาพิมพ์รตาก็อดแปลกใจไม่ได้

“นี่ไงคนที่จะทำให้ยัยคุณนายสี่ออกไปจากบ้านอย่างถาวร แถมพี่ชายเราไม่มีทางหันกลับไปหามันแน่นอน” พิมพ์รตาได้ยินคำ

อธิบายก็พอจะเดาอะไรได้บ้าง ถ้าลองแม่ของเธอได้ลงมือเองทุกอย่างต้องเรียบร้อยแน่นอน


********************************************************************

โปรดติดตามตอนไป

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 17 [30/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 30-09-2018 20:41:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 17 [30/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 01-10-2018 05:40:01
เทวาเอาจริง  o13

บ้านของวีร์นี้มีแต่ตัวปัญหา
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 17 [30/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-10-2018 14:45:00
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 19 [2/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 02-10-2018 10:53:48
ตอนที่ 19
[/size]

พระอาทิตย์จอมขยัน ตื่นแต่เช้าโผล่ขึ้นมาจากทะเล แสงสีอุ่นไล่อาบไปทั่วท้องทะเลจนเป็นแสงระยิบระยับ ลมเย็นพัดโชยมาเป็น

ระลอกทำให้พื้นน้ำเกิดเป็นคลื่นเล็กๆ เล่นเอาคนตื่นเช้าอย่างปฐวีร์หลงเสน่ห์ยืนมองภาพนั้นอยู่นาน เมื่อคืนเขาหลับไปพร้อม

ความรู้สึกอบอุ่น นานแล้วไม่ได้รู้สึกแบบนี้ ถ้าจำไม่ผิดก็คงตั้งแต่ที่แม่จากไป หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่

ผ่านมาแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนจริงอันไหนคือความฝัน จนต้องตื่นขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่สัมผัสอยู่ตอนนี้ไม่ได้คิดไปเอง

“ตื่นแต่เช้าเชียว เป็นอะไรรึเปล่า” เทวายืนอยู่ข้าง ๆ คนตัวเล็กที่ทอดสายตามองทะเลสวยแต่ดูลึกลับ

“เปล่าครับ แค่อยากตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น”

“โรแมนติกนะเรา”

“มีอะไรอีกเยอะที่พี่ยังไม่รู้” ทั้งสองกำลังเล่นเกมจ้องตากัน ต่างคนต่างไม่ยอมแพ้

“ถ้าให้โอกาสพี่ก็พร้อมจะเรียนรู้”

“หึ หึ รู้จักกันได้มาสักพักเพิ่งรู้ว่าพี่ก็มีอะไรแบบนี้ด้วย”

“คบกันไปนาน ๆ จะรู้ว่ามีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ” คำพูดของเทวาเล่นเอาปฐวีร์หน้าแดงจนต้องเบือนหน้าหนี และแล้วเกมนี้เทวาก็

เป็นฝ่ายชนะ

   ตอนเช้าในห้องอาหารของโรงแรม ทุกคนมาพร้อมหน้ากัน ยุทธจักรเข้าไปหาเทวากระซิบกระซาบถามทันทีว่าเป็นยังไง

บ้าง เมื่อคืนได้กันรึยัง ปฐวีร์การรับรู้เสียงดีกว่าคนปกติ ทำให้ได้ยินคำถามของยุทธจักรชัดเจนจนอดหน้าแดงไม่ได้ ใครเขาถาม

เรื่องแบบนี้กัน ไม่เพียงแค่เทวาที่ถูกซักฟอกปฐวีร์ก็ถูกเพื่อนรุมถามเหมือนกัน “ตกลงคบกันแล้ว” ปฐวีร์เลือกตอบสั้น ๆ แต่ก็พอ

ให้ทุกคนเข้าใจ เพื่อนสนิททั้งสามมองกันทั้งดีใจและกังวล แต่ก็แยกแยะได้ว่าช่วงเวลานี้ควรทำอะไร พวกเขาควรช่วยให้เพื่อนมี

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดถึงจะถูก ส่วนเรื่องอนาคต กลับไปค่อยว่ากันอีกที ทำให้มื้อเช้าจึงผ่านไปด้วยดี

ทะเลในที่สุดมาก็ถึง ทุกคนบ่นเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาไม่คิดว่ามันจะไกลขนาดนี้ใช้เวลาสองวันกว่าจะมาถึง ทุกคนวิ่งลงทะเล

เหมือนเคยมาเป็นครั้งแรก ส่วนปฐวีร์ลดความรู้สึกกลัวน้ำได้บ้างแล้ว ทุกคนเล่นน้ำสักพักเรือที่จะพาไปดำน้ำดูปลาดูปะการังก็มา
รับ

นั่งเรือเร็วออกจากฝั่งผ่านทะเลสีฟ้ากว้างไม่ถึงสามสิบนาทีก็มาถึงเกาะ เรือเร็วจอดให้ทุกคนเล่นน้ำ คนขับเรือบอกจุดดำน้ำตื้น

บริเวณนั้นจะมีปลาสวยงามและปะการัง ปฐวีร์อาศัยเวลาที่ทุกคนไปทำกิจกรรมที่ชอบ เดินเล่นบนชายสีขาวโดยมีเทวาตามหลัง

ปฐวีร์วิ่งหนีน้ำทะเลเวลาคลื่นพัดน้ำทะเลขึ้นมา เทวาเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้กับการเล่นอะไรแบบเด็ก ๆ

เดินเล่นจนเบื่อก็เปลี่ยนมาเก็บเปลือกหอย ปฐวีร์กวักมือเรียกเทวาให้มาช่วยเก็บ ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงเปลือกหอยรูปร่างต่าง ๆ ก็

เต็มถัง ทั้งสองไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดีจึงปล่อยลงกลับที่เดิม

แดดเริ่มแรงขึ้นทั้งสองกลับมานั่งใต้ร่มชายหาดทั้งนั่งสองมองทะเลสีครามผ่านแว่นตากันแดด ความเงียบความสงบทำให้ทั้งสอง

ผ่อนคลายและเทวาผล็อยหลับไป

ปฐวีร์รู้สึกดีกับลมทะเลเขาหยิบถังมาเริ่มกอบทรายลงไปในถังจนเต็มแล้วคว่ำลงเพื่อทำเป็นปราสาท ทำอยู่อย่างนั้นหลายครั้งแต่

ดูยังไงมันก็ไม่เหมือนปราสาท เขาพยายามปลุกวิญญาณความศิลปินของตัวเองออกมาเพื่อจะสร้างสรรค์กองทรายตรงหน้า จาก

การพยายามอย่างหนักก็ได้ปราสาทหน้าตาประหลาด เขายิ้มอย่างภูมิใจหยิบโทรศัพท์ออกมาเก็บไว้ ปรับหามุมสวย ๆ จนเห็นมุม

ที่สามารถมองเห็นคนนอนหลับ แช๊ะ ได้รูปประทับใจเก็บไว้ในความทรงจำอีกภาพ

เล่นน้ำทะเลจนตัวเปื่อย ถูกแดดเผาจนตัวคล้ำ ตอนบ่ายเรือเร็วก็พามาส่งที่โรงแรม ทุกคนกลับเข้าห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ต่อ

จากนี้ไปเที่ยวตลาดหาของสดมาทำปิ้งย่างตอนเย็น สอบถามจากพนักงานบอกว่าใกล้ ๆ นี้มีตลาด พวกเขาตัดสินใจเดินไป เดิน

เท้าตามถนนเลียบชายหาดไม่ทันเหนื่อยก็เจอตลาดที่ว่า ตลาดดูคึกคักมีทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวมาหาอาหารทะเลสด

พ่อค้าแม่ค้าต่างบอกว่าเพิ่งได้มาจากทะเล เดินวนดูสักรอบก็ได้ของสดมาเยอะพอสมควร จากนั้นถือโอกาสเดินเล่นดูของฝาก

ปฐวีร์ไปสะดุดตาเข้ากับร้านขายเสื้อเล็ก ๆ ร้านหนึ่งเจ้าของร้านกำลังนั่งเพ้นท์เสื้อตามสั่งอยู่หน้าร้าน ลูกค้าหลายคนสนใจจนต้อง

หยุดดู เขาเดินเลี่ยงเข้าไปในร้านมีเสื้อเพ้นท์หลายแบบ “เสื้อตัวนี้เป็นไงบ้าง” เขาชูเสื้อที่เพ้นท์เป็นรูปทะเลและเขียนข้อความ

สั้นๆว่า ฉันรักทะเลขึ้นถามเทวา

“ดูเหมาะกับเราดี”

“พี่ซื้อตัวหนึ่งดิ จะได้รู้ว่ามาเที่ยวทะเล”

“พี่ครับ ลายแบบนี้แต่ตัวใหญ่กว่านี้ไหมครับ” เจ้าของร้านอีกคนมาช่วยหา ออกจากร้านเสื้อก็ได้เสื้อลายเหมือนกันไปคนละตัว

เดินเที่ยวจนทั่ว ถึงเวลากลับที่พัก เดินเลียบตามชายหาดมองตามดวงอาทิตย์กำลังจะตกทะเล แสงสีส้มฉาบไปทั่วท้องท้อง

ทะเลเป็นภาพที่ไม่ได้เจอทุกวัน ทุกคนจึงรวมกลุ่มกันให้ยุทธจักรช่วยเป็นช่างภาพเก็บภาพพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าเป็นฉาก
หลัง

กลับมาถึงที่พักทุกคนแยกย้ายอาบน้ำ แล้วออกมารวมตัวกันหน้าระเบียง พนักงานของโรงแรมจัดเตรียมทุกอย่างที่ขอไว้เรียบร้อย

แล้ว ภฤดล กฤติกรณ์และปฐวีร์ทำหน้าที่อยู่หน้าเตา ย่างกุ้งหอยปูและบาร์บีคิว คฑาวุธผสมเครื่องดื่มเสิร์ฟให้ทุกคน ยุทธจักรเล่น

กีต้าร์ช่วยให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาจนเกินไป

“อันนี้สุกยัง” เทวาไม่มีอะไรทำมายืนช่วยปิ้งบาร์บีคิว พลิกกลับไปมาอยู่สองสามครั้งก็ยังดูไม่ออกว่าสุกแล้วรึยัง

“แถวนี้สุกแล้วหยิบใส่จานได้เลยครับ”

“ครับผม” คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบเล่นเอาคนอยู่รอบข้างรู้สึกอิจฉาไปตาม ๆ กัน

“วีร์ กุ้งในถาดนี้ภรณ์ยกไปนะ”

“ได้ ยกไปเลย ระวังร้อนด้วยนะ”

“เฮ้ย ทุกคนกับข้าวมาแล้วมากินได้แล้ว” ตติวัฒน์เดินมาพร้อมพนักงานโรงแรมสองสามคนตะโกนเรียกทุกคน

“แกสั่งอะไรมาบ้างวัฒน์ น่ากินทั้งนั้นเลย” ยุทธจักรเสนอหน้าก่อนใครเพื่อน

“น้องวางตรงนั้นเลยครับ มีข้าวผัดทะเลถาดใหญ่ ต้มยำทะเลน้ำข้น และปลาหมึกผัดผงกะหรี่”

“พอดีเลยพี่วัฒน์ ทางนี้ก็จะเสร็จแล้ว” เมื่อปฐวีร์ถือกุ้งถาดสุดท้ายตามมาทุกคนก็เริ่มกินมื้อเย็นทันที บรรยากาศบนโต๊ะอาหาร

เป็นกันเอง กินไปคุยกันไป รองท้องด้วยกับข้าวแล้วจากนั้นก็แย่งกันกินกุ้งกินหอยกินปู

“ไอ้ดล ไอ้กร พวกแกสองคนกินเยอะไปแล้ว” ยุทธจักรเริ่มหงุดหงิดเมื่อรู้ว่าตัวเองกินไม่ทันรุ่นน้อง

“ก็พี่ยุทธมัวแต่พูดพวกผมเลยกินเผื่อไงครับ”

“เฮ้ย นั่นกุ้งที่ฉันอุตส่าห์แกะไว้ไอ้วัฒน์เอาคืนมานะ”

“ใครจะรู้ไม่เห็นแกกินสักที อะเอาหางคืนไปไอ้ขี้งก” ตติวัฒน์วางกุ้งที่เหลือแต่หางวางกลับคืนบนจานยุทธจักร ยุทธจักรคิ้ว

กระตุก แต่ทุกคนกับหัวเราะชอบใจ ปฐวีร์มองคนข้าง ๆ ที่ชอบแย่งกุ้งที่เขาแกะไปกินเหมือนกัน เทวามองสายตาปฐวีร์แล้วยิ้ม

“อยากให้แกะให้ก็ไม่บอก” เทวาแกะกุ้งวางบนจานปฐวีร์เล่นเอาปฐวีร์รู้สึกอาย แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะกินกุ้งตัวนั้น เทวายิ้มกริ่ม เป็น

ครั้งแรกที่เขาเคยทำอะไรแบบนี้ เห็นอีกฝ่ายชอบเขาก็แกะเพิ่มอีกสองสามตัว

คฑาวุธรู้จักเพื่อนมานานไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้มาก่อน ในใจแอบกังวลอยู่บ้างกลัวว่าที่บ้านของเทวาจะไม่เข้าใจ ไหนจะสังคมอีก

แต่ในฐานะเพื่อนสิ่งไหนที่ทำให้เพื่อนมีความสุขก็จะพยายามช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ ซึ่งไม่ต่างจากยุทธจักรและตติวัฒน์ก็คิด

แบบนั้นเหมือนกัน

เครื่องดื่มดีกรีต่ำในแก้วหมดไปแล้วหลายรอบแต่ยังไม่มีใครเมา จากที่แย่งกันกินตอนนี้เป็นเกี่ยงกัน ถาดที่เต็มไปด้วยกุ้งหอยปู

เหลือแต่เศษซาก บาร์บีคิวก็เหลือแต่ไม้ให้ต่างหน้า ทุกคนเริ่มเปลี่ยนจากนั่งหลังตรงเป็นเอนหลังพิงพนัก ยุทธจักรหยิบกีตาร์มา

เล่นเพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น โดยมีตติวัฒน์ช่วยร้องคลอเบา ๆ นั่งย่อยฟังเสียงเพลงสักพัก จากนั้นทุกคนต่างแยกย้ายกลับเข้า

ห้องเพราะดึกแล้ว กลัวจะรบกวนแขกบริเวณใกล้เคียง

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบปฐวีร์ออกมานั่งรับลมทะเลกลางคืน เขาแหงนหน้ามองดูดาว รู้สึกมันเหมือนกับชีวิตเขายัง

ไงไม่รู้ ไม่มีความแน่นอนในชีวิต ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ทุกอย่างดูเลือนรางและริบหรี่เหมือนแสงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าตอนนี้ไม่มี

ผิด แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีเพื่อนและเทวาที่ทำให้ในแต่ละวันผ่านไป ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ “มานั่งตากลมเดี๋ยวก็ไม่สบาย ดึก

แล้วไปนอนกันเถอะ”

“ครับ ผมก็ง่วงเหมือนกัน” ทั้งสองปีนขึ้นเตียง คงเป็นเพราะเหนื่อยมาทั้งวันทำให้หัวถึงหมอนทั้งสองก็หลับทันที


   หลายวันต่อมาก็ถึงเวลาเปิดเรียน มหาวิทยาลัยเงียบเหงามาเกือบสองสัปดาห์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นักศึกษาได้พักก

ผ่อนทั้งร่างกาย และสมอง พร้อมกลับมาเริ่มต้นเข้าสู่บทเรียนใหม่ นักศึกษาต่างพูดคุยถามว่าช่วงวันหยุดไปไหนกันมาบ้าง ปฐวีร์

เอาของฝากมาให้เพื่อน ๆ แถมเล่าเรื่องไปเที่ยวรวมเรื่องที่เจอเรื่องไม่คาดฝัน พีรพัฒน์ขี้กลัวอยู่เป็นทุนเดิมได้ฟังที่ปฐวีร์เล่าก็

รู้สึกขนลุกขึ้นมา น้ำขิงกับวจีได้ของฝากถูกใจก็ไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจที่เพื่อนไม่ชวน กายนั่งนิ่งตั้งใจฟังทริปสั้น ๆ ของเพื่อน

ขณะที่ทุกคนนั่งคุยกันเพลิน ๆ ก็มีคนเดินเข้านั่งลงข้าง ๆ ปฐวีร์

“สวัสดีทุกคน” ปิ่นอนงค์หน้าตาดูดีขึ้นพูดทักทายทุกคน ทุกคนยิ้มให้เธอ ตั้งแต่ที่เธอนอนอยู่โรงพยาบาลทุกคนต่างแวะเวียนไป

เยี่ยม น้ำขิงกับวจีจากที่เคยไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เปลี่ยนเป็นเห็นใจมากขึ้น ช่วงเวลาสั้น ๆ ในโรง

พยาบาลทำให้พวกเธอเข้ากันได้ แล้วยังเรื่องสอบยังได้โน้ตสรุปย่อจากปฐวีร์อีก

“นี่ของฝากเราไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนมา ไม่รู้ว่าปิ่นจะชอบรึเปล่า”

เธอรีบรับกระเป๋าใส่เหรียญหน้าตาน่ารัก “ชอบสิ ขอบใจนะ” เธอรู้สึกผิดบ้างเมื่อนึกว่าเคยทำอะไรไม่ดีไว้กับปฐวีร์ แต่เป็นปฐวีร์ที่

ปล่อยผ่านและช่วยพาเธอส่งโรงพยาบาล รวมทั้งช่วยปิดเรื่องนั้นไว้เป็นความลับ ถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องคืนนั้นจบลงยังไงแต่ส่วนหนึ่งก็

เป็นความผิดของเธอ กำลังคุยกันสนุกอาจารย์ก็หอบเอกสารกองใหญ่เข้ามา บอกให้นักศึกษาช่วยกันแจก พร้อมเริ่มสั่งงานชิ้น

ใหม่ หลายคนออกอาการเซ็งทันที เอกสารทยอยส่งมาเรื่อยจนมาอยู่ในมือปฐวีร์และเพื่อน พวกเขาตั้งใจอ่านทำความเข้าใจใบ

งานที่อาจารย์ให้ จากนั้นอาจารย์ก็เริ่มเข้าสู่เนื้อหา

   หลังจากเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จปฐวีร์นั่งเล่นกับกลุ่มเพื่อนอยู่หน้าตึกสักพัก จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ ปฐวีร์ได้รับ

ข้อความจากเทวาให้ไปหาที่สนามบาสคณะข้าง ๆ ไปทำอะไรที่นั่นล่ะนั่น ก่อนจะไปที่นั่น เขาแวะซื้อน้ำดื่ม ขนม ติดมือไปด้วย

เดินลัดเลาะไปเรื่อยจนได้ยินเสียงยุทธจักรตะโกนเรียกเทวาดังมาแต่ไกล นั่นทำให้รู้ว่าเขามาถูกทางแล้ว

   สี่หนุ่มในสนามสี่เหลี่ยม ที่แบ่งเป็นทีม ทีมละสองคน กำลังยื้อแย่งลูกบาสในมือยุทธจักร ตึก ตึก เสียงลูกบอลกระทบบน

พื้นกระตุ้นเลือดในร่างกายให้ตื่นตัว ยุทธจักรอยู่ในช่วงเวลาอยากลำบาก เมื่อเขาถูกตติวัฒน์ประกบอย่างแน่นหนา ไม่มีโอกาสจะ

ส่งบอลให้เทวา ส่วนเทวาก็ถูกคฑาวุธประกบไว้ ผ่านมาสิบห้านาทีทั้งสองฝ่ายยังผลัดกันบุกผลัดกันตั้งรับ คะแนนทั้งสองทีมตอน

นี้ยังเสมอกันอยู่ ถ้าบุกครั้งนี้สำเร็จพวกเขาจะมีโอกาสชนะ เทวาส่งสัญญาณให้ยุทธจักรส่งบอลมา และอาศัยความเร็วที่เหนือ

กว่าเบียดคฑาวุธแล้วรีบคว้าบอล จากนั้นโยกตัวหลบหลีกเพื่อเปิดทางให้ตัวเอง ในที่สุดโอกาสที่สร้างขึ้นก็เปิด

“โธ่เอ้ย!!!” คฑาวุธหัวเสียขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าหลงกลอีกฝ่าย ขยับกลับมาเทวาก็เทคตัวขึ้นใช้ข้อมือส่งลูกบอลไปที่ห่วงแล้ว ทุก

คนต่างมองตามลูกบอลที่ค่อย ๆ ลอยตรงไปที่ห่วง

“ซวบ!!!!” บอลลงไปในห่วงทุกคนก็หยุดการคลื่นไหว ผลการแข่งรอบแรกออกมาแล้วว่ายุทธจักรกับเทวาเป็นฝ่ายชนะ ทุกคน

ผ่อนคลายลง เทวามองไปข้างสนามเห็นปฐวีร์ส่งยิ้มโบกมือให้ เขารีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที

“น้ำกับผ้าครับ” ปฐวีร์ยื่นผ้าเช็ดหน้าของเขากับน้ำดื่ม ให้คนเหงื่อท่วมตัว

“ขอบคุณ” รับน้ำกับผ้าเช็ดหน้ามีกลิ่นน้ำหอมเจ้าของมาซับเหงื่อ

“เล่นเก่ง จังเลยนะครับ” ชายหนุ่มอยากเล่นเก่งแบบนี้บ้าง ยิ่งตอนที่แย่งลูกจากฝ่ายตรงข้ามมาได้แล้วชู้ตลูกลงห่วงมันดูเท่ไม่
เบา

เทวายิ้มชอบใจกับคำชม แปลก คนอื่นออกจะพูดบ่อยว่าเขาเล่นกีฬาเก่ง แต่คำชมของปฐวีร์ทำให้เขารู้สึกพิเศษกว่านั้น ชายหนุ่ม

อดหน้าแดงรู้สึกเขินไม่ได้

“เฮ้ย เทวาเอาน้ำมากินด้วยดิ” ยุทธจักรเห็นท่าทางของเพื่อนแล้วรู้สึกหมั่นไส้จนต้องเข้ามาเป็นก้างชิ้นโต

“เรื่อง” เทวาปฏิเสธทันที

“ขี้งก ขอน้องวีร์ก็ได้ น้องวีร์พี่ยุทธสุดหล่อขอน้ำเย็นสักขวดได้ไหมครับ”

“ได้ครับ ผมซื้อเผื่อทุกคนเลย”

“โอ้ น้องวีร์หน้าตาดีแล้วยังนิสัยดีอีกด้วย แต่ไม่น่าหลวมตัวมาคบกับคนจืดชืด นิสัยแย่อย่างไอ้เทวามันเลย”

“พูดมากเอาน้ำคืนมาเลย”

“NO NO เรื่องอะไรจะคืน วุธ วัฒน์มาพักกินน้ำก่อน น้องวีร์ใจดีซื้อมาฝาก” 

สองหนุ่มวิ่งมารับน้ำมาดื่มหน้าตาเฉย “ขอบคุณนะน้องวีร์ ขี้เกียจเดินไปซื้อพอดีเลย”

เทวาเลิกสนใจเพื่อนถามปฐวีร์สนใจอยากเล่นบาสด้วยกันไหม ปฐวีร์ส่ายหัวแทบไม่ต้องคิดเขาไม่ค่อยถูกกับกีฬาเท่าไหร่ พักกิน

น้ำพักเหนื่อยแล้วทั้งสี่หนุ่มก็กลับเข้าสู่สนามอีกครั้ง

ปฐวีร์หยิบนิยายกำลังภายในที่อ่านค้างไว้ก่อนสอบออกมาอ่านฆ่าเวลา อ่านไปได้เกือบครึ่งเล่มถึงช่วงพระเอกกำลังต่อสู้บนเวที

ประลองใกล้จะได้เหยียบตัวร้ายที่ทำร้ายพระเอกเกือบตาย แต่ก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา เขาปิดหนังสือลงกวาดสายตามองหา

ห้องน้ำใกล้ ๆ ถ้าไปยืนฉี่ข้างกำแพงนั่นก็ออกจะเกินไป เลยต้องมองหาที่ใหม่ 


*************************************************************

โปรดติดตามตอนไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 18 [2/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 02-10-2018 19:26:36
 :katai1: จะมีอะไรเกิดขึ้นกับวีร์มั้ย?
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 18 [2/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 02-10-2018 22:01:42
ตอน 15.2 มาทีหลัง อยู่ๆก็เจอผีตอน 16 มาสอบ แล้วกลับไปเที่ยวอีก ทำเอางง

ตอน 18
บาร์บีคิวก็เหลือแต่ไม้ให้ต่างหน้า >>> บาร์บีคิวก็ไม่เหลือให้ดูต่างหน้า

การเว้นวรรค ขึ้นบรรทัดใหม่ ทำให่ดูโล่งอ่านง่าย แต่ไม่ค่อยเหมาะ เนื่องจากทำให้สับสนเข้าใจผิด บางครั้งดูด้วนๆ นึกว่าจบย่อหน้า แต่ไม่จบยังมีต่อ หรือบางทีขี้นย่อหน้าใหม่คนละช่วงเวลา แต่เว้นบรรทัดเหมือนกัน เลยอ่านไม่ลื่น

ตัวอย่าง
พระอาทิตย์จอมขยัน ตื่นแต่เช้าโผล่ขึ้นมาจากทะเล แสงสีอุ่นไล่อาบไปทั่วท้องทะเลจนเป็นแสงระยิบระยับ ลมเย็นพัดโชยมาเป็นระลอกทำให้พื้นน้ำเกิดเป็นคลื่นเล็กๆ เล่นเอาคนตื่นเช้าอย่างปฐวีร์หลงเสน่ห์ยืนมองภาพนั้นอยู่นาน เมื่อคืนเขาหลับไปพร้อมความรู้สึกอบอุ่น นานแล้วไม่ได้รู้สึกแบบนี้ ถ้าจำไม่ผิดก็คงตั้งแต่ที่แม่จากไป หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนจริงอันไหนคือความฝัน จนต้องตื่นขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่สัมผัสอยู่ตอนนี้ไม่ได้คิดไปเอง

“ตื่นแต่เช้าเชียว เป็นอะไรรึเปล่า” เทวายืนอยู่ข้าง ๆ คนตัวเล็กที่ทอดสายตามองทะเลสวยแต่ดูลึกลับ

“เปล่าครับ แค่อยากตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น”
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 18 [2/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 30267 ที่ 03-10-2018 00:32:19
อ่านไปก็ลุ้นไป.. มีแต่งูพิษเต็มไปหมด วีร์สู้ ๆ

รอจ้าา :mew1:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 18 [2/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 03-10-2018 15:06:10
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 20 [3/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 03-10-2018 18:43:57
ตอนที่ 20



หลังแยกกับเพื่อน ๆ ปิ่นอนงค์ไปแอบนั่งในห้องน้ำ ทำใจปรับอารมณ์ คิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอไล่เปิดอ่านข้อความที่ถูกส่งมาก่อนหน้านี้

“แผนสำเร็จไหม”

“มันเป็นยังไงบ้าง”

“เธออยู่ไหน ทำไมติดต่อไม่ได้”

ฯลฯ ไม่มีข้อความไหนที่บ่งบอกว่าเป็นห่วง หรือสนใจว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไง เห็นแก่ตัวชะมัด นี่หรือความหมายของคำว่าเพื่อน เงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ความรู้สึกแย่ที่พยายามอดกลั้นไว้ก็ไหลออกมาเป็นน้ำตา เพื่อนเหรอ ถ้ามีเพื่อนแบบนี้ขออย่ามีดีกว่า เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ เช็ดน้ำตา แล้วตรงไปที่คณะข้าง ๆ มองหาห้องที่คณิตาร์ส่งข้อความมาบอกตั้งแต่เช้า เธอกำลังกังวลใจว่าเมื่อต้องเจอหน้าคณิตาร์กับพิศนภาเธอต้องทำหน้ายังไง ทั้งสองยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเธอ ต่างคิดไปว่าที่เธอหลบหน้าเพราะทำแผนที่วางไว้ล้มเหลว มือเล็กสั่นเล็กน้อยก่อนจะหมุนลูกบิดแล้วผลักประตูเข้าไป

“มาแล้วเหรอยัยตัวดี หายหน้าหายตาไปไหน” อารมณ์พิศนภาพุ่งสูงขึ้นทันทีที่เห็นคนหายหน้าไปนาน เห็นอีกฝ่ายยังเงียบเธอก็ยิงคำถามต่อ

“ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์”

ปิ่นอนงค์ยังยืนเงียบไม่กล้ามองหน้าทั้งสองคน ในใจได้หัวเราะเยาะตัวเอง นี่เหรอคือคำถามที่เพื่อนของเธอถามหลังจากที่เธอหายไปนานหลายสัปดาห์ งี่เง่าชะมัด

“พอก่อนพิศให้ยัยปิ่นเล่าเรื่องคืนนั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น” คณิตาร์รีบห้ามพิศนภาโวยวายไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

“ว่าไง” ทั้งสองนั่งเงียบรอคอยคำตอบ

“คืนนั้นฉันให้คนเอาเครื่องดื่มไปให้วีร์ตามแผน” เธอเงียบลงกลืนก้อนขมจุกในคอลงไป แล้วหันหน้าไปมองทั้งสอง “ฉันรู้สึกมึน ๆ คงเพราะดื่มเยอะเลยนั่งแท็กซี่กลับ” เธอพูดแล้วยิ้มเศร้าให้ทั้งสอง

“ฉันว่าแล้วมันต้องออกมาแบบนี้ เสียเวลาฟังมาตั้งนาน” พิศนภาควบคุมอารมณ์ไม่ได้ตำหนิอีกฝ่ายทันที เธออุตส่าห์วางแผนทุกอย่างไว้ดีแล้วเชียว

“เธอนี่มันไร้ประโยชน์จริง ๆ ให้ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ” ดวงตาของปิ่นอนงค์มองทั้งสองด้วยความรู้สึกว่างเปล่า

“ช่างเถอะ คืนนี้ฉันต้องบินแล้ว ยังไงไปถึงที่โน่นแล้วจะติดต่อมาอีกที” ทั้งสองเดินชนไหล่ปิ่นอนงค์ออกจากห้องไป ปล่อยให้เธอยืนนิ่งในสมองคิดเรื่องอะไรมากมาย ไม่รู้ว่ายืนอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน เธอได้สติคืนมาเพราะเสียงใครบางคนพูดขึ้น

“ทำกันอย่างนี้เขาไม่เรียกเพื่อนหรอก” เธอหันกลับไปเห็นคนยืนกอดอกพิงประตูท่าทางสบายใจอยู่

“วีร์” ปิ่นอนงค์เสียการควบคุมไปชั่วคราว ใบหน้าซีดลง

“ใช่เราเอง” เขายิ้มหวานให้เธอ กลัวว่าเธอจะเป็นกังวลมากเกินไป

“เอ่อ...” เธอลนลานไม่รู้จะรู้อธิบายยังไง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินอะไรบ้าง

“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าเราจะได้ยินเรื่องทุกอย่างรึเปล่า สนใจแค่ว่าปิ่นจะทำยังไงต่อไป” ปฐวีร์หยุดพูดดูท่าทางอีกฝ่าย และพูดกระตุ้นเธอต่อ “เราไม่รู้หรอกนะว่าเกิดขึ้นอะไรกับปิ่นบ้าง แต่มันก็คงเป็นเรื่องร้ายแรงมากพอสมควร ถึงทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งทำร้ายตัวเอง จนไม่คิดถึงครอบครัวที่อยู่ข้างหลัง” ปิ่นอนงค์ตัวสั่นเม้มริมฝีปากแน่นความรู้สึกเจ็บปวดยังไม่จางหาย เธอสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วผ่อนลมหายใจออกท่าทางของเธอเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ตัวเองตอนนี้ดี เธออยากสอนบทเรียนให้เพื่อนของเธอทั้งสอง “แล้วต้องทำยังไงต่อไป”

ปฐวีร์คลี่ยิ้ม นั่นคือสิ่งที่เขาอยากได้ยิน “ก็ทำให้ทั้งสองคนได้รับรู้ความเจ็บปวดเหมือนที่ปิ่นรู้จักยังไงล่ะ” ปฐวีร์ล้วงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เธอ

“อะไร เมมโมรี่การ์ด” ปิ่นอนงค์มองมันด้วยความแปลกใจ แต่ก็รับมันไว้

“มันเป็นของปิ่นแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับว่าปิ่นจะจัดการกับมันยังไง” เธอพยักหน้าเข้าใจแล้วรีบเดินออกจากห้อง ปฐวีร์ยืนมองปิ่นอนงค์เดินจากไป เขาเคยคิดจะลงมือเอง แต่ตอนนี้คงไม่ต้องแล้ว ให้คนอื่นลงมือแทนน่าจะดีกว่า

            ปิ่นอนงค์รับเม็มโมรี่การ์ดมาแล้วออกจากที่นั่น เธอหยิบมันออกมาดูอีกครั้ง สงสัยว่าข้างในเก็บความลับอะไรอยู่กันแน่ ใจลอยคิดอะไรหลายอย่างรู้สึกตัวอีกทีอยู่ในห้องแล้ว ไหน ๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้วคงไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว เธอเปิดโน้ตบุ๊กแล้วเสียบเมมโมรี่การ์ดที่ได้จากปฐวีร์เข้าไป สักพักดวงตาเธอก็เบิกกว้างเมื่อเห็นภาพวิดีโอ ถึงภาพจะเห็นไม่ชัดแต่ก็ดูออกว่าผู้หญิงที่อยู่บนเตียงท่ามกลางผู้ชายหลายคนนั้นเป็นพิศนภา ถึงจะไม่ได้ยินเสียงแต่ก็ดูออกว่าพิศนภาไม่สมยอม ในใจที่เคยปวดร้าวของเธอค่อย ๆ รู้สึกดีขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนอยู่ในช่วงเวลาเลวร้าย ใบหน้าสวยมีรอยยิ้มยินดีปรากฏขึ้น จากนั้นเธอหัวเราะลั่นห้องเหมือนคนบ้า “พิศนภาเธอหนีฝันร้ายไม่พ้นหรอก ถึงอยู่ไกลแค่ไหนฉันจะพามันไปส่งให้เธอถึงหน้าประตูเลย”

            เดินทางไกลมาหลายชั่วโมง กว่าจะมาถึงห้องพัก        เล่นเอาเหนื่อย ปวดเมื่อยไปทั้งตัว พิศนภาทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องอย่างอ่อนแรง ติ๊ด ติ๊ด เสียงข้อความเข้า ใครกันที่ติดต่อมาทันทีที่เธอมาถึง มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนอะไรรึเปล่า เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยความรู้สึกขี้เกียจ เปิดหน้าจอเห็นข้อความออนไลน์ส่งเข้ามา เธอเลื่อนเปิดดู ภาพเคลื่อนไหลบนหน้าจอขยับผ่านไปไม่ถึงห้าวินาที มือของเธอสั่น “กรี๊ด ไม่จริง“ เธอกรีดร้องและขว้างโทรศัพท์ทันที ร่างกายของเธอสั่นไปหมด ภาพความเจ็บปวดวันนั้นผุดขึ้นมาอีกครั้ง ปากก็พูดแต่คำเดิมว่าไม่จริง ไม่จริง ซ้ำไปซ้ำมา สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอหันหน้าไปมองเห็นแม่โทรเข้ามา เธอรีบคลานไปกดรับ “ไม่จริงแม่ ไม่จริง ไม่ใช่หนู ไม่ใช่ แม่ต้องเชื่อหนู ต้อง......”

“ยัยพิศนั่นลูกเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” แม่ของพิศนภาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอได้ยินแต่เสียงร้องห่มร้องไห้กับคำพูดที่ฟังไม่รู้เรื่องของลูกสาว แล้วสายก็ถูกตัดไป

            คลิปวิดีโอความยาวไม่ถึงห้านาทีได้เผยแพร่ไปทั่วในโลกออนไลน์ หลายคนดู หลายคนส่งต่อ ใช้เวลาไม่ถึงสี่สิบแปดชั่วโมงก็มีการส่งต่อหลายพันครั้ง บางคนพยายามสืบหาว่าใครเป็นผู้หญิงในคลิป บางคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการโปรโมทละครเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนทุกอย่างเงียบไป ถ้าวันต่อมาไม่มีข้อความขยายความเพิ่มเติมว่าเป็นลูกสาวเจ้าของคอนโดมิเนียมชื่อดังย่านคนมีเงิน นั่นทำให้คนหันกลับมาสนใจข่าวอีกครั้ง นักข่าวต่างขุดหาที่มาของคลิปวิดีโอและข้อความ เพราะหลายคนเชื่อว่าเป็นความขัดแย้งทางธุรกิจ เหล่านักธุรกิจที่เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมที่อยู่อาศัยย่านคนมีเงินต่างร้อนตัว นักข่าวจ่อไมค์สัมภาษณ์ต่างบอกปัดไม่รู้ไม่ทราบ

คนอยู่เบื้องหลังอย่างปฐวีร์นั่งอ่านข่าวออนไลน์ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นข่าวที่ออกมา เขาไม่นึกว่าปิ่นอนงค์จะทำทุกอย่างได้รวดเร็วและใหญ่โตอย่างนี้

“เป็นไงปิ่นทำทุกอย่างได้ดีไหม”

“อืม แต่มันจะไม่วุ่นวายเกินไปเหรอ”

“ไม่หรอกในคลิปที่ปิ่นเอาลงเบลอหน้าทุกคนแล้ว อีกอย่าไม่เบลอหน้าก็ไม่มีใครรู้ ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทและเจ้าตัวเอง” ปิ่นอนงค์ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข “ไม่รู้ว่าป่านนี้พิศนภาจะเป็นยังไงบ้าง ว่าไปแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมานิด ๆ” ปากพูดออกไปอย่างแต่หน้าตากลับยิ้มแย้ม ปฐวีร์รู้สึกกลัวปิ่นอนงค์ขึ้นมา

ข่าวแพร่ไปเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ในขณะที่ไม่สามารถหาที่มาของคลิปได้ คณิตาร์เริ่มสงสัย ข้อมูลทุกอย่างชี้ไปที่พิศนภา เพราะอยู่ ๆ เธอก็ลาออกจากมหาลัยแล้วเรียนต่อเมืองนอก และหลังจากที่เธอเดินทางไปได้ไม่นานข่าวนี้ก็ออกมา แต่เธอก็ตัดใจไม่พูดอะไรออกมา

เช้าวันหยุดพักผ่อนปฐวีร์ตื่นแต่เช้าไปวิ่งออกกำลังกายเป็นเพื่อนเทวาที่กำลังวิ่งนำไปไกล เขาค่อย ๆ ผ่อนความเร็วลงแล้วเปลี่ยนเป็นเดินแทน อากาศตอนเช้าในสวนสาธารณะรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง เหงื่อไหลซึมตามหน้าผากได้มาจากวิ่งรอบสระน้ำหนึ่งรอบ เขารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจึงได้หันซ้ายหันขวาหาที่นั่งพัก เดินไปเรื่อยเห็นที่นั่งม้ายาวว่างอยู่ เขารีบเดินไปนั่ง นั่งผ่อนคลายมองคนโน้นทีคนนี้ที เหงื่อบนหน้าผากก็เริ่มยุบ สายตามองหา   เทวาไม่รู้ว่าวิ่งไปถึงเขตไหนของเมืองหลวงแล้ว

“ขอนั่งด้วยคนนะครับ” ปฐวีร์หันไปมองผู้ชายที่ถามขึ้น เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเสียมารยาท พร้อมกับพูดชื่อใครสักคนออกมา “ไอ้ณัฑศ์” แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน

“เอ่อ เชิญครับ” เขารีบดึงสติกลับคืนมา ไม่นึกว่าจะเจอกับอีกฝ่ายเร็วขนาดนี้

“ชอบมาออกมากำลังกายที่นี่หรือครับ”

“เปล่าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก” เขาตอบส่ง ๆ

“ผมก็เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกเหมือนกัน พักอยู่แถวนี้หรือครับ”

ปฐวีร์มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ตอบออกไป “อืม ถามทำไมจะสำรวจสำมะโนครัวรึไง”

“หึ หึ เปล่าครับ” ชายหนุ่มมองปฐวีร์แล้วยิ้ม “คุณนี่มีอารมณ์ขันดีนะครับ” ปฐวีร์ขมวดคิ้วทันที อ้าวไอ้นี่คิดว่าเขาเป็นตลกรึไง เดี๋ยวโอปป้าก็ด่าให้หรอก

“ผมชื่อณัฑศ์ แล้วคุณล่ะ” ชายหนุ่มตัวสูงสวมชุดออกกำลังกาย ใบหน้าหล่อ แนะนำตัวเอง

ปฐวีร์กลอกตาเบะมุมปากเมื่อได้ยินอีกฝ่ายแนะนำตัวเอง ใครเขาอยากรู้จักชื่อนายกัน ไม่พอยังหน้าด้านมาถามชื่อเขาอีก “ปฐวีร์” เขาตอบสั้นและห้วน

“เรียกวีร์เฉย ๆ ได้ไหม”

“ไม่ได้” ปฐวีร์ตวัดสายตาดุใส่อีกฝ่ายทันที นึกถึงความฝันที่อีกฝ่ายเคยเรียกสนิทสนมแบบนั้น  นั่นมันความฝัน ส่วนนี่มันคือความจริง อีกอย่าง “ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” เขาเน้นทุกคำให้อีกฝ่ายเข้าใจ

ชายหนุ่มไม่สนใจท่าทีและน้ำเสียงอีกฝ่าย กลับชอบด้วยซ้ำดูแล้วน่าสนใจดี คนน่ารักทำตาดุไม่น่ากลัวสักนิด “เรียกผมว่าณัฑศ์ได้นะ เพราะผมอยากสนิทกับคุณ” พูดไปแล้วก็เกือบหลุดหัวเราะกับท่าทางของปฐวีร์ที่เขยิบให้ห่างจากเขา ทำเหมือนเขาเป็นเชื้อโรคยังไงยังงั้น

“ไอ้ณัฑศ์กลับได้แล้ว พวกฉันหิวแล้ว” เสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนมาทางนี้

“รอก่อน” ชายหนุ่มตะโกนตอบ “ผมต้องไปแล้ว แล้วเจอกันใหม่นะ” ปฐวีร์ไม่ตอบเลือกไม่สนใจอีกฝ่าย เขาฝันถึงผู้ชายคนนี้เกือบทุกคืนพร้อมกับความตายที่อีกฝ่ายมอบให้ ถึงจะเป็นอุบัติเหตุและเป็นความฝันที่ยังมาไม่ถึง แต่ก็ทำให้รู้สึกหวาดกลัวจับใจ แล้วนี่ผู้ชายคนนี้โผล่มาคงไม่ได้หมายความว่าถึงเวลาที่เขาต้องตายแล้วใช่ไหม

“ไอ้หมอนั่นใคร” เทวาไม่รู้โผล่มาจากไหนถามเสียงแข็งขึ้น สายตามองไปที่ทิศทางที่ผู้ชายคนนั้นไป

ปฐวีร์ก็ไม่รู้จะบอกว่ายังไงดี แฟน ก็ไม่ใช่ แฟนเก่า ก็ไม่ใช่อีก แฟนใหม่นั่นยิ่งไม่ใช่ คนรู้จักใครอยากรู้จักผู้ชายหลายใจกัน “แค่คนบ้าคนหนึ่ง อย่าไปสนใจเลย ผมหิวแล้วไปหาอะไรแถวนี้กินกัน ตอนเข้ามาเห็นร้านโจ๊กอยู่ตรงหัวมุมตรงนั้น” เขาไม่รอให้เทวาคิดรีบลากอีกฝ่ายไปทันที

“อื้อ” เห็นท่าทางปฐวีร์ไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้น เทวาก็ไม่อยากเก็บมาใส่ใจ คนบ้าก็คนบ้า

ทั้งสองเดินออกจากสวนสาธารณะไปทางทิศเหนือก็เจอร้านโจ๊กหม้อดินที่ว่า ตั้งอยู่อีกฟากถนน เทวามาวิ่งแถวนี้ออกบ่อยไม่ยักเห็นแต่กลับเป็นปฐวีร์ที่มาครั้งแรกกลับรู้จัก จะให้บอกว่ายังไงว่าปฐวีร์ได้กลิ่นหอมของโจ๊กตั้งแต่ที่อยู่ในสวนแล้วแค่เดินตามกลิ่นมาก็เจอ เขาก็เพิ่งรู้ว่าข้อดีของจมูกที่สามารถรับรู้กลิ่นได้มากกว่าคนปกติมันดีอย่างนี้นี่เอง

“ลุงเอาโจ๊กรวมพิเศษสอง” เข้าไปในร้านหาที่นั่งได้ก็สั่งทันที

“ตื่นมาวิ่งอย่างนี้ทุกวันหยุดเลยเหรอครับ”

“อืม”

“โจ๊กร้อน ๆ ได้แล้วครับ”

“ขอบคุณครับ” ปฐวีร์ตื่นเต้นกับโจ๊กชามใหญ่ควันฉุยมีเครื่องเยอะ แถมยังส่งกลิ่นหอมอีก เทวามองคนยิ้มพอใจกับเรื่องง่าย ๆ

“ชอบกินโจ๊กเหรอ วันหลังจะพาไปกินที่บ้านแม่ทำอร่อย ขนมที่เอามาฝากบ่อย ๆ นั่นก็ฝีมือแม่” ชายหนุ่มรีบอวดฝีมือแม่ทันที

“อืม ไปบ้านได้เหรอ ที่บ้านพ่อกับแม่ไม่ว่า” ปฐวีร์ถามด้วยลังเล

“จะว่าทำไมแค่พาแฟนไปกินข้าว” ปฐวีร์แทบสำลักโจ๊กเมื่อได้ยินเทวาพูดไม่อายโต๊ะข้าง ๆ บ้างเลย

กินโจ๊กคนละชามจนอิ่มทั้งสองกลับไปที่ห้อง ปฐวีร์อาบน้ำเรียบร้อยกะจะหลับสักหน่อย แต่ก็คนมีกดออดหน้าห้อง เปิดประตูเห็นเทวาถือของเต็มสองมือ “ไปไหนมาซื้ออะไรมาเยอะแยะครับ”

“พอดีนึกได้ว่ามารบกวนเจ้าของห้องบ่อย เลยซื้อของกินมาให้” ที่จริงเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่มีอะไรกินเลยออกไปซื้อของกินมาให้

“แล้วทำไมไม่เรียกไปด้วยกัน” เขารื้อของในถุงออกมาดูว่าอะไรบ้าง

“ซื้อร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ นี่เอง วันหลังค่อยออกไปเดินห้างกัน แล้วก็เห็นบ่นว่าอยากกินข้าวมันไก่ร้านหัวมุมถนน วันนี้อาแป๊ะแกเปิดร้านเลยซื้อแบบพิเศษไก่เยอะ ๆ มาให้” ชายหนุ่มชูถุงข้าวมันไก่ให้อีกฝ่ายดู

“ขอบคุณครับ” เขายิ้มขอบคุณให้คนใจดีซื้อของอร่อยมาฝาก เท่านี้ก็รู้ว่าอีกฝ่ายใส่ใจเขาแค่ไหน จำได้ว่าเขาชอบกินข้าวมันไก่ ร้านไหน และชอบแบบไหนอีก เทวาเห็นรอยยิ้มอีกฝ่ายก็มีความสุขไปด้วย

ทั้งสองช่วยกันจัดของ จากนั้นกินข้าวมันไก่ไปด้วยดูหนังไปด้วย มันออกจะดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ แต่ขอแค่ปฐวีร์ชอบก็พอแล้ว

“ข้าวมันร้านแป๊ะยังอร่อยเหมือนเดิม”

“แป๊ะเจ้าของร้านได้ยินคงดีใจ”

“วันหลังไปกินที่ร้านกัน”

“ไปสิ” หนังจบไปหนึ่งเรื่อง ปฐวีร์มองออกไปข้างนอกเห็นแดดกำลังแรง จำได้ว่ามีผ้าแช่ไว้ในกะละมัง เขาปล่อยให้เทวานั่งดูหนังคนเดียว แล้วรีบไปซักผ้าก่อนแดดจะหมด เทวาเห็นเจ้าของห้องหายไปนานได้ยินเสียงน้ำมาจากในห้องน้ำ จึงชะโงกหน้าเข้าไปดูว่าอีกฝ่ายทำอะไรสักอย่างอยู่ “นึกว่าหายไปไหนที่แท้ก็แอบมาซักผ้านี่เอง”

“อืม กลัวผ้าไม่แห้งเลยรีบซัก”

“ฝากซักหน่อยสิ”

“เรื่อง”

“ฝึกไว้ต่อไปจะได้ซักให้พี่ด้วย”

ปฐวีร์เม้มปาก ถลึงตาใส่อีกฝ่าย “ใครจะไปรู้ในอนาคตพี่อาจจะเป็นคนซักให้ผมก็ได้”

“แล้วทำไมมีแต่กางเกงในตัวเล็ก” เทวาไม่ถามเปล่า แถมยังยกขึ้นมาดูอีก

“เฮ้ย ทะลึ่งตัวเล็กที่ไหน” ปฐวีร์รีบแย่งกางเกงในจากมืออีกฝ่ายทันที “รอบเอวไม่ได้ตัดสินขนาดตรงนั้นซะหน่อย”

เทวาเลิกคิ้วเหลือบมองที่เอวของปฐวีร์ “อ้าวเหรอเพิ่งรู้นะเนี่ย ไม่มีสีขาวเหรอ ทำไมมีแต่เข้ม” ชายหนุ่มลองหยิบตัวอื่นขึ้นมาดู แต่ก็ถูกเจ้าของแย่งกลับไป

“เป็นคุณชายรึไงใส่แต่สีขาว อีกอย่างก็ไม่ชอบมันเปื้อนง่าย สีเข้มหน่อยมันดีกว่า”

“อืม เหมือนที่ใส่อยู่ตอนนี้ใช่ไหม” ปฐวีร์มองตามสายตาเทวาที่จ้องอยู่ที่เอวเขา “เฮ้ย ทะลึ่งมองอะไร เดี๋ยวจิ้มตาบอดเลย” ปฐวีร์รีบดึงกางเกงขาสั้นที่เลื่อนลงจนเห็นขอบกางเกงในขึ้น เทวาเห็นท่าทางอีกฝ่ายแล้วอดหัวเราะไม่ได้ แล้วเปลี่ยนมามองขาขาวที่มีขนเส้นเล็กบาง ๆ แทน ปฐวีร์เห็นสายตาอีกฝ่ายมองโน่นมองนี่ไปทั่วก็ไล่ออกไปข้างนอก เทวาเลยต้องยอมแพ้ออกมานั่งดูโทรทัศน์ตามเดิม คนอะไรหวงตัวชะมัด มองแค่นี้ถึงกับจะจิ้มตาบอดเลย อีกอย่างเขาไม่ได้ทะลึ่งซะหน่อยแต่สายตามันเห็นเอง

ดูเหมือนจะเป็นวันหยุดที่แสนจะธรรมดา แต่พวกเขาก็พอใจกับการใช้เวลาด้วยกัน นั่งดูโทรทัศน์ กินข้าวด้วยกัน แย่งมังงะกันอ่าน แบ่งขนมกันกิน บางวันก็ไปออกกำลังกาย ดูหนัง เดินห้างเท่านี้ก็มีความสุขแล้ว

            หลังจากซักผ้าตากผ้าเรียบร้อย ปฐวีร์ก็เก็บห้อง เทวาช่วยเอาถุงขยะออกไปทิ้ง ห้องดูสะอาดเรียบร้อยขึ้นมาก มองดูเวลาถึงได้รู้ว่ามันเย็นมากแล้ว จำได้วันนี้ต้องกลับบ้านใหญ่ เทวาได้ฟังว่าอีกฝ่ายจะกลับบ้าน ชายหนุ่มก็ไม่รู้จะอยู่คอนโดมิเนียมทำไมคนเดียว เขาจึงถือโอกาสแวะไปส่งปฐวีร์แล้วกลับบ้านไปด้วย เขาพอใจกับการวางแผนของตัวเอง วีรวัฒฑณ ฯ ตระกูลเศรษฐีใหม่ได้ยินแม่พูดว่าอย่างนั้น ปทีปหัวหน้าครอบครัวสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยด้วยสองมือและความสามารถล้วน ๆ ถือว่าเป็นหนึ่งในไอดอลคนสู้ชีวิตให้ใครหลายคนเลยทีเดียว ถึงร่ำรวยแต่ปทีปก็ไม่เคยปิดบังที่มาของตนเองทำให้หลายคนต่างยกย่องชื่นชม  เทวาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

 “จอดตรงนี้ก็ได้ครับ”

“แน่ใจนะว่าไม่กลับบ้านไปด้วยกัน”

“นานทีกลับมานอนบ้านใหญ่บ้าง เดี๋ยวจะถูกตัดออกจากกองมรดก”

“ถ้าได้แล้วอย่าลืมเอามาแบ่งด้วยนะ” เทวาพูดติดตลก ถ้ารับมรดกมันตัดสินกันอย่างนี้เขาคงเป็นคนแรกที่ถูกพ่อตัดออกจากกองมรดก

“สุรัตนธรรมวรธเบศน์ ก็ใช่ว่าจะมีน้อยกว่าที่ไหน”

“ใครบอก ถ้ามีเยอะคงไม่ได้ขอข้าวเรากินทุกวันหรอก จริงไหม”

“เชื่อก็ได้”

“วันหลังจะพาไปกินข้าวบ้านสุรัตนธรรมวรธเบศน์ และนอนค้างที่นั่นสักคืน”

“เอาไว้มีโอกาสแล้วจะไป แต่ตอนนี้ขอเข้าบ้านก่อน” เทวามองคนตัวเล็กเดินเข้าประตูรั้วก็ค่อย ๆ ขับออกไป



***********************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 19 [3/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-10-2018 18:35:51
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 21 [05/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 05-10-2018 18:47:35
​ตอนที่ 21

บนโต๊ะอาหารบ้านใหญ่ทุกคนต่างพร้อมหน้าโดยไม่ได้นัดหมาย บรรยากาศก็เหมือนทุกวัน แต่วันนี้ดูคุณนายรองจะความสุขเป็นพิเศษจนหลายคนรู้สึกได้ ทุกคนนั่งกินข้าวเงียบ ๆ  มีบางครั้งที่คุณนายสี่กับ พลพัฒน์แอบเหลือบมองกันเป็นระยะ จนคุณนายรองต้องสะกิดลูกชายเรียกสติคืนมา ให้รู้ว่าพ่อยังนั่งอยู่ตรงนี้ ปฐวีร์รับรู้ทุกการกระทำบนโต๊ะอาหารรวมทั้งสายตาที่รินนัศน์มองมาอย่างไม่เป็นมิตร เขามองหน้าเธอแล้วยิ้มให้

“น้องรินทร์หน้าหายดีแล้วเหรอ” รินนัศน์ถูกทักขึ้นถลึงตาใส่อีกฝ่าย

“หายแล้วค่ะ”

“ยินดีด้วย” ปฐวีร์มองหน้าเธอแล้วขยับริมฝีปากโดยไม่มีเสียงเตือนอีกฝ่ายว่า “คิดทำร้ายคนอื่นระวังหน้าจะเละจนรักษาไม่ได้”

รินนัศน์อ่านริมฝีปากอีกฝ่าย มือก็ได้แต่กำช้อนในมือแน่น มองแววตาของปฐวีร์ที่มองมาน่ากลัวจนขนลุก และนึกถึงคำพูดที่ปฐวีร์เทียวไปคอมเมนต์ใต้รูปภาพที่โพสต์ลงในโซเชียลเอฟส่วนตัว อย่าง “น่ารัก” บ้างล่ะ “หน้าใส” บ้างล่ะ ถึงแม้จะเป็นข้อความสั้น ๆ แต่ก็เล่นเธอแทบประสาท

“อึกกก” เธอเกิดสำลักข้าวขึ้นมา ทุกคนมองเธอเป็นตัวตลก เพราะทุกคนในบ้านรู้ดีว่าคุณนายสามพาลูกสาวคนเล็กวิ่งหาหมอรักษาผิวหน้าให้วุ่น คณิตาร์หันไปมองปฐวีร์คิดว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุให้น้องสาวเธอถูกหัวเราะเยาะ คอยดูเถอะสักวันเธอจะต้องจัดการอีกฝ่ายให้ได้

เกลียด เธอรู้สึกเกลียดปฐวีร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ คงเป็นตั้งแต่ที่จำความได้ เมื่อเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนมีพ่อมารับ มีพ่อพาไปเที่ยวทะเล สวนสัตว์หรือสวนสนุก แต่เธอกลับไม่มี พ่อของเธอให้เวลาส่วนใหญ่กับปฐวีร์  จนเธอรู้สึกอิจฉา ทำให้มีหลายครั้งที่ต้องแกล้งปฐวีร์ และหลายครั้งเคยสงสัยว่านั่น เป็นเพราะปฐวีร์น่ารักกว่า เรียนเก่งกว่า  สุดท้ายก็รู้ว่าเพราะพ่อรักปฐวีร์มากที่สุด ทุกคนในบ้านรู้สึกได้ นั่นทำให้เธอแค้น เกลียดพ่อที่ลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน  จนอยากให้พ่อผิดหวังกับปฐวีร์ และมองปฐวีร์ด้วยสายขยะแขยง ถึงแม้ตอนนี้จะยังทำอะไรไม่ได้ แต่เธอไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะโชคดีได้ตลอดไป

            สงครามเย็นบนโต๊ะอาหารเกิดขึ้นเป็นระลอก มีทั้งคนแพ้คนชนะ แต่หัวหน้าครอบครัวอย่างปทีปไม่พูดอะไรทุกอย่างก็ดำเนินต่อเหมือนไม่มีอะไร ทุกคนดูจะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ดี ถึงจะเบื่อหน่ายแต่ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้

“เรื่องฤกษ์วันหมั้นของตาพลกับหนูลูกศรฉันได้มาแล้วนะคะ เร็วสุดก็เดือนหน้า ช้าสุดก็อีกสามเดือน”

“อืม ยังไงคุณก็ไปคุยกับญาติอีกฝ่ายได้เลย เรื่องนี้ให้คุณจัดการ”

“ค่ะ”

พอได้ยินว่าพลพัฒน์กำลังจะหมั้นกับคนอื่นคุณนายสี่ก็นั่งนิ่งเหมือนถูกสาป สายตามองข้าวในจานที่ยังเหลืออยู่เกือบครึ่ง ผิดกับคุณนายรองเห็นท่าทางคุณนายสี่ก็อดยิ้มเยาะไม่ได้ พลพัฒน์มองคุณนายสี่ด้วยความรู้สึกเห็นใจ แต่ก็รู้สึกสงสารตัวเองเหมือนกันที่ต้องมั่นกับผู้หญิงที่แม่หาให้ ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับหุ่นกระบอก

            มื้อเย็นจบลงด้วยความรู้สึกกดดันจนรู้สึกเจ็บกระเพาะ ยังไงปฐวีร์ก็ทำใจให้ชินกับชีวิตแบบนี้ไม่ได้ เมื่อก่อนที่ไม่เคยรับรู้อะไร ไม่เข้าใจอะไร โง่ มองโลกในแง่ดี จนมองไม่เห็นสายตาที่ทุกคนในบ้านมองมา แต่ตอนนี้ไม่ใช่ จะทำอะไรต้องระมัดระวังถึงแม้จะอยู่ในบ้าน เขาเดินเข้าครัวถามแม่บ้านว่าพอจะมียาลดกรดในกระเพาะบ้างไหม แม่บ้านเห็นเจ้านายรู้สึกไม่สบายก็วิ่งหายาให้ทันที

ปฐวีร์ได้กินยาก็รู้สึกดีขึ้นบ้างเขาเดินลูบท้องกลับห้อง ในใจได้แต่คิดว่ากับข้าวราคาแพงมันคงไม่ถูกกับกระเพาะเขาจริง ๆ รสชาติก็ยังแย่อีก สู้ข้าวมันไก่แป๊ะร้านหัวมุมถนนใหญ่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าไปแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้คนขับรถมาส่งกลับถึงบ้านและกินข้าวแล้วรึยัง คิดแล้วก็อยากรีบกลับห้อง แต่ขณะที่เขาเดินผ่านโถงทางเดินก็ได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน เขาหยุดฟังอยากรู้ว่าใครมาคุยอะไรกันตรงนี้

“พี่พลนี่โชคดีจังเลยนะคะที่จะได้มั่นกับผู้หญิงดี ๆ อย่างยัยลูกศร” พิมพ์รตาพูดขึ้นเพื่อขัดจังหวะพลพัฒน์และคุณนายสี่ คุณนายสี่ถอยห่างจากพลพัฒน์ทันที

“พิมพ์รู้ได้ยังไงว่าลูกศรเป็นคนดี”

“ก็ต้องดีกว่าผู้หญิงหิวเงิน ไม่มียางอายเป็นไหน ๆ” พิมพ์รตาพูดแล้วมองหน้าคุณนายสี่ แล้วยิ้มเยาะ

“ถ้าจะพูดกระทบกระเทียบคนอื่นก็พอเถอะ” พลพัฒน์เตือนน้องสาว

“ทำไมคะ เจ้าตัวเขายังรับได้ ไม่เห็นพูดอะไรสักคำ แล้วพี่จะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนทำไม” เธอเริ่มไม่เข้าใจพี่ชายทำไมต้องปกป้องผู้หญิงพรรค์นี้ด้วย มันมีดีอะไร

“พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าพี่เป็นคนเริ่มทุกอย่างเอง” ชายหนุ่มเริ่มทนไม่ไหว มองใบหน้าคนรักที่ซีดลงจนน่าสงสาร แล้วยังต้องมาทนฟังคำพูดพวกนี้อีก เขาอยากเข้าไปกอดปลอบเธอแต่มันรังแต่จะทำให้ทุกอย่างมันเลวร้ายลงกว่าเดิม เขายืนมองหน้าเธอในใจรู้สึกเจ็บปวด หลายคืนที่ผ่านมากว่าจะข่มตาให้หลับได้ บางครั้งต้องมองดูรูปเธอในโทรศัพท์เพื่อคลายความคิดถึง เขาคิดว่าเธอก็คงไม่ต่างกัน ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังเหมือนคนขี้ขลาดดี พลพัฒน์หักห้ามความรู้สึกทุกอย่างไว้ และตัดใจรีบเดินหนีออกจากตรงนั้น

คุณนายสี่เห็นพลพัฒน์ตัดใจเดินจากไปเธอกำลังจะเดินตามไปแต่กลับถูกพิมพ์รตายืนขวางทางไว้

“จะไปไหน ที่ของเธออยู่ทางโน้น” คุณนายสี่พูดอะไรไม่ออกทำได้แค่เดินหลบออกมาจากตรงนั้น

            กลับมาถึงบ้านคุณนายสี่เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์ หยิบเหล้าที่วางอยู่รินลงในแก้ว แล้วดื่มลงไปรวดเดียวหมดแก้ว หลายต่อหลายคืนที่เธอใช้มันเป็นตัวช่วยให้เธอหลับสนิท ลืมความเจ็บปวดไปได้ชั่วขณะ

“อึก ฮึก” ดูเหมือนว่าคืนนี้มันจะไม่ได้ผล เธอปล่อยน้ำตาที่อดกลั้นให้ไหลออกมา ตั้งแต่ที่ได้ยินว่าพลพัฒน์จะหมั่น หัวใจเธอก็เหมือนจะแตกสลายหน้าอกรู้สึกปวดร้าวไปหมด

“ทำไม ทำไมเรื่องทุกอย่างต้องเป็นอย่างนี้” เธอคร่ำครวญกับตัวเอง แนบแก้มลงบนเคาน์เตอร์มองน้ำสีสวยที่คอยเป็นเพื่อนปลอบใจเธอตลอดหลายวันที่ผ่านมา ขนาดเหล้าที่เธอดื่มยังขมเลย แล้วจะไม่ให้ชีวิตเธอขมได้ยังไงกัน แอลกอฮอล์ในเหล้าที่ดื่มเข้าไปค่อนข้างแรง มันกำลังออกฤทธิ์ทำให้สติของเธอเลื่อนลอยและรางเลือน สุดท้ายเธอก็ครองสติไว้ไม่อยู่แล้วหลับไปพร้อมกับน้ำตาอีกคืน

ในบ้านเงียบลงได้ไม่นานก็มีเสียงประตูบ้านเปิดออกพร้อมกับมีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาอุ้มคนเมาไม่ได้สติออกจากบ้านไป

            สายลมตอนเช้ากำลังทักทายต้นไม้ใบหญ้าเหมือนทุกวัน ทำให้ชายสูงอายุผมแซมด้วยสีขาวยืนอยู่ในสวนอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างเขามักจะมาทบทวนความหลัง คิดถึงช่วงเวลาที่มีความสุขที่นี่ สายลมพัดแรงขึ้นจนดอกปีบทนแรงลมไม่ไหวหลุดปลิวตกลงมาเกลื่อนพื้น ปทีปเงยหน้าขึ้นมองดอกปีบสีขาวห้อยย้อยลงมาเหมือนโคมไฟ

*“ถ้าพวกเรามีบ้านหนึ่งอยากจะปลูกต้นปีบหลายต้น หนึ่งชอบเวลาลมพัดดอกปีบสีขาวร่วงจากต้น แล้วยังมีกลิ่นหอมด้วย”*  เขายังจำคำพูดนั้นได้ทำให้ที่ตรงนี้กลายเป็นสวนดอกปีบ และเขาเป็นคนปลูกเองกับมือ เวลาความสุขมักสั้นเสมอเมื่อมีเรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นความรักของทั้งสองก็ไม่เคยลดลงกลับเพิ่มขึ้น เมื่อหนึ่งฤทัยให้กำเนิดลูกชายน่ารัก ถึงจะอยากลำบากและใช้เวลานานแต่ลูกชายของทั้งคู่ก็แข็งแรง แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ต้องสูญเสียภรรยาที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ

“หนึ่งผมและลูกสบายดี ถึงวีร์ต้องออกไปอยู่ข้างนอก แต่ก็เพื่อลูกจะได้มีอิสระ ไม่เหมือนผมที่ไม่มีอิสระอะไร” ปทีบพูดกับสายลมเผื่อมันจะพาคำพูดของเขาไปถึงหนึ่งฤทัยได้

“มาอยู่นี่เองหรือคะ ตื่นขึ้นมาไม่เห็นคุณนึกว่าหายไปไหน” คุณนายรองเดินเข้ากอดสามี

“อืม เข้าบ้านกันเถอะในสวนมีแมลงเยอะ” ปทีปหวงที่นี่เขาไม่ชอบให้ใครเข้ามา เพราะมันเป็นของเขากับหนึ่งฤทัย

“ค่ะ” คุณนายรองไม่เข้าใจสามี มีเวลาทีไรต้องมาขลุกตัวอยู่ในสวนดอกปีบเป็นชั่วโมง ที่นี่ดูเงียบวังเวงจนน่ากลัว ปกติคนในบ้านก็ไม่มีใครเข้ามา เธอกวาดสายตามองรอบสวนอีกครั้งก่อนจะรีบเดินตามสามีออกไป ทั้งสองเดินคู่กันคุณนายรองชวนคุยเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที จนเดินมาถึงบ้านใหญ่

“กรี๊ด” เสียงกรีดร้องดังแว่วมา ทำให้ทั้งสองมองหาที่มาของเสียง

“เสียงอะไรน่ะ” ปทีปขมวดคิ้วรู้สึกกังวลใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในบ้าน

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะดังมาจากบ้านพักคนงาน” เธอมองหาคนงานที่อยู่แถวนี้ “แจ่ม แจ่มมานี่สิไปดูสิว่าที่บ้านพักคนงานเกิดอะไรขึ้น” หญิงคนงานรีบไปดูตามเจ้านายสั่ง สักพักก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา “คุณนายรองคะ คุณนายรอง”

“มีอะไร ตั้งสติก่อนค่อยพูด”

“คือ ไอ้มั่นมันเล่นชู้กับคุณนายสี่” บรรยากาศรอบ ๆ เงียบลง แววตาปทีปเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น มองหน้าหญิงคนงาน

“แกพูดอะไรบ้าๆ พูดแบบนี้คุณนายสี่เสียหายนะ” เธอพูดแล้วไม่ลืมเหลือบมองท่าทีของสามี

“หนูพูดความจริง” เธอลนลานเพราะกลัวจะถูกไล่ออก “คนงานคนอื่นก็เห็น ไม่เชื่อไปดูก็ได้ค่ะ หนูไม่ได้โกหก“ เธอกลัวเจ้านายทั้งสองไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด

“พาฉันไปดู” ปทีปเดินตามหญิงสาวคนงานไป คุณนายรองรีบเดินตามไปอีกคน เธอแอบเผยรอยยิ้มออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้ากังวลใจ

            ความวุ่นวายเกิดขึ้นแต่เช้าเมื่อคุณนายสี่พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในห้องของใครสักคน และมีผู้ชายอีกคนนอนร่วมเตียง จากนั้นก็มีคนเปิดประตูห้องเข้ามา หญิงคนงานคนนั้นเห็นทั้งคู่แล้วกรี๊ดร้องเสียงดังเหมือนเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเรื่องราวทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นต่อจากนี้ อาการปวดหัวจากฤทธิ์แอลกอฮอล์กำลังเล่นงานผสมกับสายตาหลายคู่อยู่หน้าประตูมองมาที่เธอ มองกวาดสายตาผ่านไปจนเห็นสายตาที่ฉายแววความเจ็บปวด พลพัฒน์หลับตากำมือแน่นระงับอารมณ์ไว้ เขาเข้าใจแล้วว่าถ้าเขาไม่ทำตามคำเตือนของแม่จะเกิดอะไรขึ้นแต่ไม่นึกว่าผู้หญิงที่เขามีใจให้ก็ต้องมีจุดจบเหมือนตายทั้งเป็นอย่างนี้ เขากำลังจะแหวกคนงานเข้าไปกลับถูกมือใครสักดึงไว้

“พี่มาทำอะไรตรงนี้” พิมพ์รตาไม่ยอมให้พี่ชายทำลายแผนที่แม่วางไว้ ยังไม่ได้พูดอะไรเสียงที่ไม่ยากได้ยินก็ดังขึ้น

“คุณนายสี่ ที่คุณทำหมายความว่ายังไง” คุณนายรองมาถึงก็เปิดคำถามทันที

“ฉ..ฉันไม่รู้ ฉันจำอะไรไม่ได้” เห็นคุณนายรองอยู่ตรงหน้าเธอก็ไม่โง่พอจะไม่รู้ว่าทุกอย่างเป็นแผนที่ถูกเตรียมมาอย่างดี และเธอคงไม่มีทางดิ้นหลุด แล้วชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้าง ๆ ก็ตื่นขึ้นมา

“นายมั่นนี่มันเรื่องอะไรทำไมแกเป็นคนอย่างนี้ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา”

“ผ..ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อคืนคุณนายสี่มาหาผมที่ห้อง จากนั้น..” คำพูดตะกุกตะกักปฏิเสธกลาย ๆ ว่าไม่ได้เป็นคนผิด และเหมือนชี้ชัดว่าตัวคนร้ายคือคุณนายสี่ เธอได้ยินแล้วอยากจะหัวเราะทั้งเจ้านายลูกน้องเล่นละครได้เก่งจริง ๆ น่าจะเปลี่ยนอาชีพจากคนสวนไปเป็นนักแสดงน่าจะดีกว่า

“ฉันไม่นึกว่าเธอจะเป็นอย่างนี้ คงจะทำมานานแล้วสิ” ปทีปได้ยินคำพูดของคุณนายรองแต่ละคำฟังแล้วระคายหูยังไงไม่รู้ “พอเถอะ”

“พอ หรือคะ คุณจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในครอบครัวเราไม่ได้นะคะ” เธอยังไม่ยอมแพ้วันนี้คุณนายสี่ต้องออกไปจากบ้านหลังนี้

“โอ๊ย” ปทีปอยู่ดี ๆ ก็ล้มลงกับพื้น “คุณ คุณ เป็นอะไร” ทุกคนแตกตื่นขึ้นมา

“คุณ คุณ” คุณนายสี่รีบถลาเข้าไปดูคนล้มไปนอนกับพื้นอย่างเป็นห่วง

“เอามือสกปรกของเธอออกไปจากพ่อฉัน” พิมพ์รตาผลักอีกฝ่ายออก “เป็นเพราะเธอพ่อฉันต้องเป็นอย่างนี้” ทุกอย่างวุ่นวายพลพัฒน์รีบโทรตามรถพยาบาล

            เสียงสัญาณรถพยาบาลดังขึ้น ปลุกคนนอนสบายบนเตียงให้ตื่น ปฐวีร์รีบลุกจากเตียงออกมาดูตรงระเบียงเห็นเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉิน พยาบาลช่วยกันแบกใครสักคนขึ้นรถ เขารีบวิ่งลงมาจากห้องเห็นคนในบ้านยืนมองรถพยาบาลเคลื่อนออกไป “ใครเป็นอะไร”

“คุณท่านค่ะ คุณท่านเป็นลมหมดสติ”

“พ่อ”



*******************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 21 [05/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 05-10-2018 20:32:12
ก็ยังเป็นครอบครัวที่วุ่นวายชิงดีชิงเด่นกันจริงๆ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 21 [05/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 30267 ที่ 05-10-2018 21:28:53
ถ้าพ่อวีร์ไม่มีเมียหลายคน บ้านคงสงบสุขกว่านี้
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 22 [07/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 07-10-2018 20:15:43
ตอนที่ 22



เหตุการณ์เหนือความคาดหมาย คุณนายรองร้อนใจในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ เธอไม่ได้ต้องการให้มันเป็นอย่างนี้ เธอแค่ต้องการเฉดหัวผู้หญิงไร้ยางอายคนนั้นออกจากบ้าน ออกจากชีวิตลูกชาย เธอผิดเหรอ สายตาที่พลพัฒน์มองมาคือการตำหนิ “ฉันทำทุกอย่างเพื่อแก”

“ผมชักไม่แน่ใจว่าเพื่อผมหรือเพื่อตัวคุณแม่เอง” พีรพัฒน์ธ์รู้สึกสูญเสียคนรัก และพ่อไม่รู้จะเป็นตายร้ายดี

“พี่อย่าว่าคุณแม่นะ ทุกอย่างมันเป็นเพราะพี่”

“ขอโทษครับ มีใครอ่านหนังอ่านหนังสือไม่ออกบ้าง หรือมองไม่เห็นป้ายหรือครับเขาบอกว่าห้ามส่งเสียงดัง” ปฐวีร์ห้ามทั้งสามไว้ ทุกคนกำลังร้อนใจเป็นห่วงคนที่ถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉินเกือบสองชั่วโมงแล้ว แล้วไฟป้ายหน้าห้องฉุกเฉินดับลง คุณหมอพยาบาลเดินออกจากห้อง ตามด้วยเจ้าหน้าที่เข็นรถผู้ป่วยเข้าห้องผู้ป่วย CCU ทุกคนเดินตามไปเงียบ ๆ

“พวกคุณเป็นญาติผู้ป่วยใช่ไหมครับ” ทุกคนพยักหน้าต่างตั้งใจฟังคำพูดของหมอ “อาการเป็นลมหมดสติครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง” ทุกคนได้ฟังต่างอยู่ในความคิดของตัวเอง ไม่ค่อยเข้าใจที่หมอพูดเท่าไหร่แต่ต่างคิดว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อเช้าล้วนมีส่วน

คุณหมอไม่สามารถบอกได้ว่าคนไข้จะฟื้นตอนไหน ขึ้นอยู่กับกำลังใจของครอบครัว และอาการยังอยู่ในช่วงวิกฤตไม่อนุญาตให้เยี่ยมในช่วงสองสามวันแรก ต่อจากนั้นจะให้เยี่ยมหรือไม่ต้องดูอาการคนไข้ต่อไปอีก ทุกคนรับทราบ แล้วแยกย้ายกันกลับ เพราะอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

            กลับถึงบ้านคุณนายรองให้คนงานช่วยกันไล่คุณนายสี่ออกจากบ้าน พลพัฒน์อยากช่วยแต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเดือดร้อนไปกว่านี้ บรรยากาศในวีรวัฒฑณกุลธรรมไพศาลทรัพย์เปลี่ยนเป็นเงียบเหงาลงทันที พวกเขาไม่รู้ชะตากรรมพวกเขาต่อจากนี้จะเป็นไปในทิศทางไหน

            คุณนายรองตระหนักได้ถึงความไม่แน่นอนในชีวิตของตัวเองและลูกขึ้นมาทันทีเมื่อขาดปทีบไป เธอเป็นแค่เมียนอกสมรสไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นของเธอ นอกจากเงินสดเครื่องประดับไม่เท่าไหร่ เธอควรจะทำอย่างไรดีถ้าเกิดปทีบไม่ฟื้นขึ้นมา เธอกลุ้มใจหาทางออกไม่ได้จนต้องโทรศัพท์ไปปรึกษาพ่อของเธอ

            หลายวันผ่านไป คุณนายรอง คุณนายสาม แวะไปเยี่ยมปทีปถึงโรงพยาบาลจะบอกว่าคุณหมอไม่อนุญาตให้เยี่ยมก็ตาม

ปฐวีร์ไม่ได้ขอเข้าเยี่ยม เขาแค่ยืนอยู่ข้างนอกมองพ่อนอนอยู่บนเตียง ด้านข้างมีเครื่องวัดสัญญาณชีพดังเป็นระยะ หน้าตาพ่อเหมือนคนกำลังหลับ ปฐวีร์กำลังสงสัยอาการป่วยกะทันหันและไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน ถึงหมอจะบอกว่าได้รับกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง คุณนายสี่กับพ่อแทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน คุยก็ไม่เคยเห็นคุยกัน แล้วอาการป่วยก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน นั่นเป็นเหตุผลที่เขายังอยู่ที่บ้านใหญ่ รอเวลาที่คุณนายรองไม่อยู่แอบเข้าไปในห้องพ่อ ห้องคุณนายรอง แต่กลับไม่เจออะไรที่น่าสงสัย แม้แต่ยาที่เกี่ยวกับอาการของพ่อก็ไม่เจอ ดูเหมือนเขาอาจจะเข้าใจผิด การทนอยู่ในบ้านใหญ่หลายวันเสียเวลาเปล่า ทุกอย่างที่เห็นผ่านกระจกวันนั้นเกิดขึ้นจริง แล้วภาพเหตุการณ์ต่อจากนั้นล่ะ เขาอยู่ในห้วงความคิดไม่สนใจว่าอาจารย์กำลังพูดอะไรอยู่หน้าห้อง ไม่ได้ยินว่าเพื่อนกำลังคุยกันว่าตอนเที่ยงจะไปหาอะไรกินกันดี

“วีร์ วีร์”

“อะ อะไรวจี มีอะไร”

“อาจารย์ให้จับกลุ่มทำงาน” ปฐวีร์ดึงสติกลับคืนมาช่วยเพื่อนทำงานกลุ่ม มัวแต่แค่คิดมากก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ตอนนี้เขาต้องตั้งสติ เพื่อเตรียมรับมือกับเรื่องที่กำลังจะตามมาดีกว่า

            หมดชั่วโมงเรียนช่วงเช้าปฐวีร์กับเพื่อน ๆ หิ้วท้องลงมาหาอะไรกินที่โรงอาหารเหมือนทุกวัน แต่วันนี้โชคดีหน่อยที่อาจารย์ยกเลิกคลาสช่วงบ่าย พวกเขาจึงไม่รีบ แต่ถึงอย่างนั้นอาจารย์ยังทิ้งงานให้เข้าหอสมุดเพื่อค้นคว้าส่งในชั่วโมง เติมพลังงานจนเต็มท้องทุกคนก็ไปที่หอสมุด วจีเห็นหนังสือบนชั้นรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เปลี่ยนเป็นหนังสือนิยายเธอคงมีความสุขที่สุด พีรพัฒน์กลับอยากให้กลายเป็นชั้นวางแผ่นเกม กับแผ่นอนิเมชั่น เขาคงหมกตัวในห้องไม่ไปไหนสักหลายเดือน  ทุกคนมองหัวข้อแล้วไม่รู้ว่าเริ่มจากตรงไหน  ปฐวีร์ออกความคิดว่าช่วยกันเพราะทุกคนต่างได้หัวข้อเดียวกัน ทุกคนเห็นด้วยและเริ่มช่วยกัน

            ทำงานเสร็จแล้วทุกคนรวบรวมงานไปส่งบนโต๊ะอาจารย์ จากนั้นต่างแยกย้าย ปฐวีร์ยังลังเลว่าวันนี้จะกลับบ้านใหญ่หรือจะกลับไปที่คอนโดมิเนียมดี เทวาชอบส่งข้อความให้กลับไปคอนโดมิเนียมแทบทุกวัน ไหนจะเอาของกินมาล่อ ชวนไปกินโน่นกินนี่ มาเรียนก็บ่นไม่มีเวลาเจอกัน

“คุณปฐวีร์” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเรียกคนใจลอยไว้ เขาหันไปมองหน้าผู้หญิงคนนั้นให้ชัด “คุณนายสี่”

“ค่ะ ฉันเอง พอดีฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”

“กับผม” เขาทำหน้าประหลาดใจร้อยวันพันปีไม่เคยคุยกัน

“ขอเป็นที่เงียบ ๆ นะคะ”

ปฐวีร์ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไร แต่ก็พยักหน้าทำตามที่เธอบอก เขาโบกมือเรียกแท็กซี่ พาหญิงสาวไปหาที่เงียบคุยกัน

นั่งรถแท็กซี่ออกมาได้สักพักใหญ่ รถก็ชะลอหน้าร้านกาแฟใกล้คอนโดมิเนียมเก่าของปฐวีร์ เขาพาเธอเข้าไปในร้านเลือกมุมในสุด สั่งสเต๊กหมูพริกไทยดำ ของกินเล่นกับเครื่องดื่มมากินรองท้อง “เป็นคุณนี่ดีจังเลยนะคะ” เห็นท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของชายหนุ่มเธอรู้สึกอิจฉา ไม่ต้องมีรถขับราคาแพง แต่งตัวธรรมดา กระเป๋าก็ดูเหมือนจะใช้จนเก่า โทรศัพท์ก็ยังเป็นรุ่นเก่าที่ออกมาเมื่อปีที่แล้ว ดูแล้วไม่เหมือนทายาทเจ้าของกิจการหลายหมื่นล้านสักนิด

“ยังไง” เขาถามเมื่อไม่เข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ

“ดูมีอิสระ มีชีวิตเป็นของตัวเอง”

“หึ หึ คุณนายสี่คุณอย่าลืมว่าผมถูกไล่ออกจากบ้านนะ”

หญิงสาวอยากจะหัวเราะมุกตลกฝืดของอีกฝ่าย คนที่ถูกไล่ออกจากบ้านจะดูมีความสุขอย่างนี้เหรอ ที่ถูกไล่ออกมานั่นมันเธอต่างหาก “ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แต่ยังไงทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายคือคุณคนเดียว คุณนายรองเป็นแค่เมียนอกสมรส ทรัพย์สินทุกอย่างกว่าครึ่งเป็นของคุณ ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าทั้งหมดถึงจะถูก อ้ออีกอย่าง กรุณาอย่าเรียกฉันว่าคุณนายสี่อีกเลย”

“อืม” เขาพอจะเข้าใจที่เธอพูด “ที่จริงผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องที่เกิดวันนั้นเหมือนกัน แต่คิดว่าคนอย่างคุณคงไม่อดยากจนไปคว้าคนสวนมาหรอกนะ ใช่ไหม” ไม่ใช่ไม่ค่อยรู้เรื่องต้องบอกว่าเขาไม่สนใจมากกว่า “แล้วเรื่องที่คุณ...”

“ป่านฟ้า”

“เรื่องที่คุณป่านฟ้าต้องการจะคุยคืออะไร”

“ฉันอยากให้คุณช่วย” เธอบอกจุดประสงค์ที่ไปดักรอชายหนุ่มตลอดหลายวัน

“อืม แล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าผมจะช่วยคุณ คนที่ทรยศพ่อ และทำให้พ่อนอนไม่ได้สติ”

“เพราะฉันเชื่อว่าฉันไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้พ่อของคุณนอนไม่ได้สติ” ชายหนุ่มประเมินผู้หญิงตรงอีกครั้ง แววตาของเธอไม่มีท่าทางบอกว่าโกหก

“ถ้าอย่างนั้นลองบอกเหตุผลที่ช่วยยืนยันคำพูดของคุณที” หญิงสาวหยิบซองเอกสารน้ำตาลออกกระเป๋ายื่นให้อีกฝ่ายดู เขามองซองเอกสารอย่างแปลกใจและรับมาเปิดดู อ่านเนื้อหาเอกสารข้างในแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยแปลกใจ ไม่นึกว่าพ่อของเขาจะทำสัญญาแบบนี้  เธอกลัวว่าชายหนุ่มจะไม่เชื่อ “คุณสามารถโทรไปสอบถามกับทนายประจำตระกูลได้ ส่วนสาเหตุที่ทำสัญญานี้ขึ้นมา....” เธอเล่าความเป็นมาของสัญญา พ่อของเธอในช่วงที่ร่ำรวยได้ช่วยปทีปไว้ หลังจากนั้นผ่านไปหลายปีมีผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งเกิดถูกใจเธอเข้า พยายามบีบครอบครัวให้ยกเธอให้ แต่พ่อไม่ยอม พ่อของเธอหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่คนส่ายหน้า ขนาดเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายปีก็หันหลังเดินหนี พ่อของเธอจึงบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากปทีป  ปทีปตกลงช่วยเหลือโดยไม่ลังเล แต่จะทำให้คนที่มีอิทธิพลคนนั้นรามือยังไง จึงได้เกิดสัญญาขึ้นมาว่าเธอต้องเข้าไปอยู่ในฐานะคุณนายสี่เมื่อเธอครบอายุ 23 ปีหรือครบเจ็ดปีเธอจะพ้นสภาพ 

“นั่นทำให้ฉันมั่นใจว่า ฉันกับคุณพ่อคุณไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันในเชิงชู้สาว ฉันกลับคิดว่าคุณปทีปเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง”

“เข้าใจแล้ว ตัดประเด็นนี้ไป แล้วเรื่องที่คุณนายรอง ทำไมถึงต้องกำจัดคุณ” ป่านฟ้าฟังคำถามแล้วต้องถอนใจ เริ่มเล่าเรื่องที่เป็นเหตุชนวนที่ทำให้เธอถูกตราหน้าว่ามีชู้ ปฐวีร์พยักหน้ารับรู้ ใบหน้าแสดงความเห็นใจ และถอนหายใจ อดคิดถึงเรื่องตัวเองไม่ได้ ขนาดป่านฟ้าเป็นผู้หญิงสวยยังถูกคุณนายรองรังเกียจ แล้วความรักแบบของเขาล่ะ มันเป็นเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับ หลายคนรังเกียจ บางคนเห็นแล้วต้องด่าว่าวิปริต พ่อแม่ของเทวาจะรู้สึกยังไงจะรับเรื่องแบบนี้ได้รึเปล่า คิดแล้วก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา

            ปฐวีร์พาป่านฟ้าไปพักที่ห้องคอนโดมิเนียมเก่า เธอรู้สึกพอใจกับห้องพัก ถูกไล่ออกมาจากบ้านวีรวัฒฑณ ฯ แทบไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ถึงจะมีเงินในบัญชีจำนวนหนึ่งแต่ใครจะรับรองว่ามันจะไม่หมด “คุณจะทำยังไงต่อไป”

“ฉันไม่รู้เหมือนกัน”

“อื้อ มีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน แต่ถ้าช่วงนี้คุณว่างก็นั่งแช่งคุณนายรองไปพลาง ๆ”

“ได้” เธอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เธอคิดอะไรมาก

“อ้อ ถ้าคุณอยากเห็นคุณนายรองบ้า ผมแนะนำว่าวันหมั้นถ้าพลพัฒน์หายไป คุณนายรองต้องเต้นแน่”

“นั่นสิ หรือฉันจะอุ้มท้องไปที่งานดี” เธอพูดจบทั้งสองก็หัวเราะแทบพร้อมกัน

            ผ่านไปอีกหลายวันอาการของปทีปทรงตัว หมออนุญาตให้เยี่ยมได้แต่จำกัดแค่วันละหนึ่งชั่วโมง เวลาถูกจัดสรรโดยคุณนายรอง วันแรกที่หมออนุญาตให้เข้าเยี่ยมทุกคนต่างอยู่กันพร้อมหน้า ยืนฟังคุณนายรองเล่าเรื่องไม่เป็นเรื่องให้คนไม่ได้สติฟัง ปฐวีร์รู้สึกหัวใจคันยุบยิบถ้าเขาเป็นพ่อก็คงไม่อยากฟื้นขึ้นมา บางทีอาจจะลุกขึ้นมาถอดเครื่องช่วยหายใจออกเอง เขากลอกตาไปมาทนภาพตรงหน้าไม่ไหวเดินปลีกตัวออกมาสูดอากาศข้างนอก

            เกือบสัปดาห์แล้วที่เทวาไม่มีโอกาสได้เจอคนรัก ถึงจะรู้ข่าวว่าหัวหน้าครอบครัววีรวัฒฑณ ฯ ป่วยหนัก คนของเขาต้องกลับไปนอนบ้านใหญ่ เรียนเสร็จต้องรีบมาดูอาการพ่อ เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ด้วยแรงคิดถึงหลังจากเรียนเสร็จเขาบึ่งรถตรงมาที่โรงพยาบาลทันที ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นบน มองหาห้องที่คนรักบอก

“นั่นคุณเทวา รึเปล่าคะ”

“เอ่อ อ้อครับ คุณ...” เทวารู้สึกไม่คุ้นหน้าหญิงสาว

“พิมพ์รตา วีรวัฒฑณ ฯ พวกเราเคยเจอกันแล้วตอนงานเปิดตัวสินค้าล่าสุด”

“ครับ” เขาตอบรับส่งส่ง ที่จริงเขาจำเธอไม่ได้

“บังเอิญจังเลยนะคะที่เจอคุณที่นี่ มาทำธุระหรือคะ”

“ครับ คือ...” กำลังจะพูดต่อแต่เห็นปฐวีร์กำลังเดินตรงมาทางนี้ เทวาส่งยิ้มให้ แต่ก็ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อปฐวีร์มองมาด้วยสายตาคนไม่รู้จักแถมยังเดินหนีไปอีกทาง ชายหนุ่มตกใจที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น “ขอโทษนะครับพอดีผมต้องไปทำธุระ”

“เอ่อ เดี๋ยวคือ...” เธอพยายามเรียกชายหนุ่มไว้ เธอรู้สึกหงุดหงิดนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอถูกปฏิเสธ

เทวารีบเดินตามปฐวีร์ “วีร์ วีร์” เรียกเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมหยุด ไม่แม้แต่จะหันมา “พี่ทำอะไรผิด พี่ขอโทษ” ชายหนุ่มไม่เคยเจออีกฝ่ายเป็นแบบนี้มาก่อน ปฐวีร์ไม่ตอบเลือกเดินหนีเข้าห้องน้ำ แต่เรื่องอะไรร่างสูงจะยอมเขาดันประตูไว้แล้วเบียดตัวเข้าไปด้วย “เฮ้ย เข้ามาทำไมคนจะเข้าห้องน้ำ”

“อย่าบอกนะที่เรียกตั้งนานไม่หยุดเนี่ยเพราะอยากเข้าห้องน้ำ”

“อื้อ รู้แล้วก็ออกไปได้แล้วปวดฉี่จะราดแล้ว” คนตัวสูงยังยืนจ้องอีกฝ่ายนิ่ง “โกรธอะไรพี่”

ปฐวีร์ตวัดสายตามองอีกฝ่าย เมื่อจำได้ว่าเห็นเทวายืนคุยอยู่กับใคร “ปึ้ง โอ้ย” ร่างสูงถูกดันจนหลังชนเข้ากับผนังห้องน้ำ ก่อนที่จะพูดอะไรเทวาเห็นความเจ็บปวดผ่านดวงตาคู่สวย ปฐวีร์ซบหน้าลงบนอกอุ่นพูดเสียงแข็งว่า “ผมไม่ชอบให้คนของผมไปคุยกับคนอื่น โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้น” เป็นคำพูดที่ค่อนข้างเอาใจ แต่เขายังจำภาพความฝันได้แม่น ว่าใครเป็นแย่งคนรักของเขาไป ถึงส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนรักของเขาไม่หนักแน่นพอจนปล่อยคนอื่นเข้าแทรกกลาง ผู้หญิงใจร้ายคนนั้นทำลายชีวิตเขายังไงบ้าง ทั้งสีหน้าแววตาและคำพูดของเธอยังชัดเจน อนาคตได้เปลี่ยนไปแล้ว เธอยังจะตามมาแย่งคนรักของเขาอีก แต่คราวนี้เขาจะไม่ยอมเขาสัญญาจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ร่างสูงลูบแผ่นหลังคนตัวเล็กที่กำลังสั่น

“ไม่มีอะไรเธอแค่เข้ามาทัก” ปฐวีร์เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงกำชายเสื้ออีกฝ่ายแน่น ต้องให้มีอะไรกันก่อนรึไง

“พี่คงไม่รู้ว่าผมขี้หวง” พูดแล้วก็งับแขนอีกฝ่ายจนเป็นรอย “เป็นหมารึไงเรา” ปฐวีร์เปลี่ยนจากแขนข้างหนึ่งไปกัดอีกข้าง ดึงคอเสื้อคนตัวสูงลง แล้วงับที่ไหล่กว้างและแถมท้ายด้วยทำรอยบริเวณต้นคอ ร่างสูงปล่อยให้อีกฝ่ายทำจนพอใจ

“เป็นไง กินพี่อิ่มรึยัง” ปฐวีร์ยังไม่ทันตอบท้องทรยศก็ร้องโครมครามเสียงดัง “ท่าทางจะยังไม่อิ่ม ไปกินข้าวมันไก่ร้านแป๊ะกัน”

“ยังงอลอยู่อย่าเอาของกินมาล่อ อีกอย่างเย็นป่านนี้แล้วแป๊ะปิดร้านแล้วอย่ามาหลอก” ปฐวีร์ทำหน้าบู๊ดแต่น้ำเสียงบอกว่าอารมณ์ดีขึ้นมาก

เทวาเกาแก้มแก้เขินเมื่อถูกรู้ทัน “ไม่ได้หลอกบอกแป๊ะว่าจะพาแฟนไปกินข้าว ให้แป๊ะปิดร้านดึกหน่อย” เทวาพยายามชวนอีกฝ่าย เขาอุตส่าห์คิดแผนนี้ขึ้นมาเพื่อให้ปฐวีร์ไปกับเขา ไม่เจอหน้าอีกฝ่ายคิดถึงเป็นบ้า

“อือ งั้นก็รีบไปเดี๋ยวแป๊ะจะรอ” ปฐวีร์จูงมือคนตัวโตไป อารมณ์เมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้น

            มาถึงร้านข้าวมันไก่ประตูร้านยังเปิดแง้มอยู่ ทั้งคู่มาถึง หมวยลูกสาวอาแป๊ะก็รีบเข้ามาต้อนรับ เธอเห็นทั้งคู่มากินข้าวที่ร้านบ่อย ๆ เห็นท่าทางไม่ค่อยเหมือนเพื่อน ถามไปถามถึงได้รู้ว่าทั้งสองเป็นคนรักกัน หมวยแทบเลือดกำเดาพุ่งคนหนึ่งหนุ่มหล่อหุ่นนักกีฬา อีกคนหนุ่มหล่อตี๋ นี่มันคือที่สุดของความฟิน พูดคุยสองสามคำเธอก็รีบเอาข้าวมันไก่ ข้าวน้อยไก่เยอะ ๆ น้ำซุปถ้วยใหญ่ร้อน ๆ มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ปฐวีร์ที่หิ้วท้องรอก็กินอย่างอร่อย คนตัวสูงตักเนื้อไก่ตักแตงกวาให้กลัวไม่อิ่ม คนแอบมองอยู่มุมร้านอย่างหมวย เห็นแล้วบิดตัวไปบิดตัวมาบางทีก็เอาหัวโขลกผนังเหมือนคนบ้า จนแป๊ะต้องส่ายหัวกับท่าทางของลูกสาว สองคนนี้มาทีไรหมวยมักเป็นแบบนี้ทุกที เจ้าของร้านเห็นลูกค้าประจำกินข้าวมันไก่อย่างอร่อยก็ทำให้ยิ้มแก้มปริพร้อมกับบอกให้วันหลังแวะมากินอีกนะ ขอบคุณแป๊ะและหมวยที่ยอมเปิดร้านรอ

ทั้งสองเดินตามฟุตปาธที่โล่ง ปกติแถวนี้จะมีรถเข็นมีแผงลอยจนแทบเดินสวนกันไม่ได้ ปฐวีร์ขอบคุณอีกฝ่ายสำหรับมื้อเย็น ถึงไม่ใช่ภัตตาคารหรูหรือโรงแรมหรูแต่ก็ทำให้เขามีความสุข

“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม”

“เลี้ยงข้าวตอบแทนเหรอ”

“ขอเป็นจูบได้ไหม” ชายหนุ่มมองอย่างคาดหวัง

“บ้า พูดอะไรที่มันที่สาธารณะนะ” ปฐวีร์กวาดสายตามองรอบ ๆ กลัวว่าจะมีใครได้ยินคำพูดเมื่อครู่

“ถ้าไม่ใช่ที่สาธารณะได้ใช่ไหม”

ปฐวีร์ยิ้มเขินไม่ตอบ เดินตัวปลิวเข้าร้านสะดวกซื้อ หยิบมันฝรั่งทอดทะเล้นรสดั้งเดิมที่เขาชอบกิน ใส่ตะกร้า ใกล้กันมีรสมันม่วงที่ออกมาได้ไม่นาน ดูแล้วท่าทางจะอร่อยเขาหยิบมาสองถุง จากนั้นหยิบนมช็อกโกแลต นมถั่วเหลืองผสมงาดำ อย่างละขวดใส่ตะกร้า ถามเทวาว่าอยากกินอะไรไหม

“กินด้วยกันนี่แหละ” ตลอดขนมที่ซื้อไปไว้ที่ห้องก็ถูกอีกฝ่ายเขมือบจนหมด เลยต้องซื้อขนมติดห้องไว้กลัวว่าวันไหนไม่มีอะไรกินคนตัวโตจะหันมาเขมือบเขาแทนขนม

            คิดว่าซื้อขนมไม่กี่ถุง นมแค่สองขวดแต่ทำไมมาถึงห้องแล้วทำไมมันเยอะกว่านั้น หยิบของออกมาจากถุง  นี่ขนมถุงนี้เขาจำได้ว่าไม่ได้หยิบมา ถุงนี้อีกถุงนี้ด้วย ชาเขียวนี่ก็ด้วย ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าใครเป็นคนหยิบมา

“ดึกแล้วไม่กลับห้องหรือครับ” ถามคนนั่งบนโซฟาไม่มีทีท่าจะกลับห้อง

“ใจร้ายพี่อุตส่าห์ไปรับ ไล่กลับห้องเฉยเลย” พูดแล้วทำน่าเศร้า

“แล้วจะเอาไง”

“ไม่ได้เจอหน้าแฟนตั้งหลายวัน อยากนอนกอด”

“อืม” ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดไหนจะเรื่องพ่อ ไหนจะเรื่องที่ต้องเปลี่ยนแปลงอนาคต ทุกอย่างประเดประดังเข้ามา เล่นเอาเขากังวลกลัวไปหมด แล้ววันนี้ยังเห็นคนของตัวเองคุยกับผู้หญิงคนนั้นอีก ทำให้อารมณ์ที่เก็บกดไว้ทะลักออก เขากลัวการถูกหักหลังอาจจะดูเหมือนเห็นแก่ตัว ไม่ยุติธรรมกับเทวาเท่าไหร่ แต่เขาหวง

“เป็นอะไรเงียบไป คิดเรื่องเมื่อตอนบ่ายอีกเหรอ” เทวาดึงอีกฝ่ายมานั่งที่โซฟาด้วยกัน มองใบหน้าที่ปรากฏร่องรอยความกังวลให้เห็นอย่างชัดเจน

“ครับ ผมขอโทษที่ทำแบบนี้” นิ้วเรียวลูบรอยช้ำบนแขน ต้นคอ ที่เริ่มเห็นชัดขึ้น

“เชื่อใจพี่นะว่าไม่มีอะไร” ปฐวีร์ไม่ตอบจ้องเข้าไปในดวงตาสีเข้ม อยู่ ๆ ก็ถูกมันเล่นงานจนหัวใจเต้นแรง ผู้ชายคนนี้เริ่มมีอิทธิพลต่อเขามากขึ้นทุกวัน

“ครับผมเชื่อ” เขารู้สึกเพลียมาทั้งวันขอไปอาบน้ำก่อน ออกมาจากห้องน้ำก็คลานขึ้นเตียงนอนมองเพดาน อยู่ ๆ ก็รู้สึกเพดานต่ำลง ต่ำลงมาจนทับเปลือกไว้ทำให้เขาลืมตาไม่ขึ้นแล้วหลับไป เทวาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาเห็นอีกฝ่ายหลับไปแล้ว มองหน้าคนหลับสบายท่าทางไม่ระวังตัวนี่หมายความว่ายังไงไว้ใจเขาขนาดนั้น เขายังไม่ค่อยไว้ใจตัวเองเลย ถอนหายใจเบา ๆ หันมามองร่องรอยบนแขนทั้งสองข้าง บนไหล่ไหนจะรอยที่ต้นคอที่ถูกอีกฝ่ายทำไว้ หวง ได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากเล็กแล้วรู้สึกดีชะมัด แต่ความเจ็บปวดที่แสดงออกมาทางแววตานั่นหมายความว่ายังไง ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเคยเจอเรื่องแบบไหนมา แล้วไหนจะฝันร้ายนั่นอีก บาดแผลทางร่างกายกินยาทายาก็หาย แต่แผลทางใจต้องใช้ความรักและความไว้ใจรักษาเท่านั้นถึงจะหาย ไม่รู้ว่าปฐวีร์จะไว้ใจเขาให้ช่วยรักษามันรึเปล่า

            ด้านหน้าประตูรั้วบ้านใหญ่ ในตอนเย็นมีชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวปอนปอน ยืนชะเง้อไปมา ท่าทางดูน่าสงสัย คนงานรีบออกมาถามว่าต้องการอะไรมาทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ หน้าบ้านคนอื่น ชายหนุ่มยิ้มอย่างเป็นมิตร บอกว่าไม่ใช่คนน่าสงสัยเป็นเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของพีรพลธ์ พีรพลธ์บอกให้มาเอาการบ้าน คนงานเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ยอมให้เข้ามานั่งรอหน้าบ้าน แล้วจะไปบอกพีรพลธ์ให้ ชายหนุ่มไหว้ขอบคุณนั่งรออย่างเรียบร้อย แต่สายตาก็กวาดไปรอบ ๆ

“บ้านใหญ่ชะมัดเลย” รอไม่นานก็เห็นคนที่ต้องพบเดินตรงมา “พี่โจ้ มาทำไม แล้วมาบ้านผมถูกได้ไง”

“ก็มารับเงินส่วนที่แกยังค้างอยู่ไง บ้านใหญ่ดีนี่หว่า ถึงว่าแกใช้ของแต่ละอย่างมียี่ห้อทั้งนั้น”

“เอ่อ ผมไม่มีเงินสดหรอก”

“หมายความว่ายังไง แกคงไม่ได้คิดจะเบี้ยวหรอกนะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วถามเสียงแข็ง

“ป เปล่า ใครจะกล้า” พีรพลธ์รีบปฏิเสธทันที เป็นเขาเองที่หลงผิดไปเล่นพนันบอลตามคำชวนของเพื่อนคนหนึ่ง

“เฮ้ย แค่ดูฟุตบอลมันจะไปสนุกอะไร ไม่ลองมาเป็นส่วนหนึ่งของเกมดู” เพียงแค่คำชักชวนไม่กี่คำและความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาเดินเข้าสู่การพนันโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้สัมผัสการพนันครั้งแรกมันทั้งตื่นเต้น สนุกและลุ้นไปด้วย ยิ่งในตอนที่ชนะพนัน แต่ขึ้นชื่อว่าการพนันมันต้องมีได้มีเสีย และครั้งสุดท้ายที่เล่นเขาเสียพนันไปเยอะพอสมควร จนเขาไม่มีเงินไปจ่ายให้เฮียเจ้าของโต๊ะ โชคยังดีที่ได้พี่โจ้เจ้าของร้านเกมที่เขาไปเล่นที่ร้านบ่อย ๆ ช่วยพูดให้ เขาถึงได้มีครบสามสิบสองมาจนถึงทุกวันนนี้

“ผมไม่มีเงินแต่มีของเดี๋ยวผมไปหยิบมาให้“ เด็กหนุ่มเดินกลับไปที่บ้าน

ปี๊ด ปี๊ด เสียงแตรรถดังขึ้น คนงานมองเห็นว่าเป็นรถใครก็รีบเปิดประตูรั้วทันที รถหรูราคาแพงเลี้ยวเข้ามาข้างใน  รถหรูจอดสนิท พิมพ์รตาออกมาจากรถเข้าไปในบ้าน มองชายหนุ่มนั่งอยู่หน้าบ้าน เธอถามคนงานว่าใคร คนงานบอกว่าเพื่อนของพีรพลธ์ ได้ยินว่าเพื่อนน้องชายเธอก็ขมวดคิ้วทำไมพีรพลธ์ไปคบคนไม่เลือก เห็นทีต้องเอาเรื่องไปบอกแม่ซะแล้ว

ชายหนุ่มมองรถหรูแล้วมองหญิงสาวที่ออกมารถด้วยความรู้สึกสนใจ พอดีกับพีรพลธ์เดินกลับมา “ผู้หญิงคนนั้นใครวะ สวยดี”

“สวยเหรอ ปีศาจล่ะไม่ว่า” เด็กหนุ่มเบะปาก เมื่อคิดได้ว่าใครต่อใครต่างก็ถูกรูปลักษณ์ภายนอกของพี่สาวหลอกลวงเอา

“อย่าบอกนะว่าเธอคือพี่สาวแกที่เคยพูดถึงบ่อย ๆ ”

“อือ คนนั้นแหละ”

“โห สวยกว่าคิดไว้อีก”

“อย่าไปสนใจยัยปีศาจนั่นเลย” เด็กหนุ่มล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง “ของนี้น่าจะมีค่าพอใช้หนี้ได้บ้าง” โจ้รับมาแล้วเปิดดู เห็นของข้างในก็พอใจ ท่าทางร้อนใจของอีกฝ่ายก็พอจะเดาได้ว่า มันถูกขโมยมาแน่นอน เขาไม่สนใจที่มาของมันขอแค่ให้มันมีค่าเท่านั้นเป็นใช้ได้

*******************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 22 [07/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kanyakorn24 ที่ 09-10-2018 16:36:51
ลุ้นได้อีกกก  :katai1:

มาต่อเร็วๆน้าาา
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 23 [09/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 09-10-2018 19:02:05
ตอนที่ 23


บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตอนนี้ค่อนข้างอึดอัด ถึงแม้จะไม่เท่าบ้านใหญ่แต่ก็ทำให้ปฐวีร์เป็นกังวลไม่น้อยกับการพบกับครอบครัวเทวาครั้งแรก เช้าวันหยุดปฐวีร์กำลังหลับสบายกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง แล้วเสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้นมันทำลายความสุขเขาทันที ปฐวีร์คลานลงจากเตียงไปเปิดประตูเห็นว่าเป็นใครมากดก็หน้างอทันที เทวาเดินตามเข้าห้อง

“วันนี้ไปกินข้าวบ้านพี่กัน”

“จะดีเหรอ” เขาถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงลังเล

“ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว” แล้วเขาก็ถูกเร่งให้อาบน้ำแต่งตัว จากนั้นก็ถูกหิวขึ้นรถตรงมาที่บ้านสุรัตนธรรมธิเบศน์

บ้านหลังใหญ่ถึงจะไม่เท่าวีรวัฒฑณ ฯ แต่กลับให้บรรยากาศรู้สึกอบอุ่น อย่างนี้สิถึงเรียกว่าบ้าน ถึงว่าเทวาถึงได้ดูอบอุ่นเพราะโตมาในบ้านแบบนี้นี่เอง ปฐวีร์ลงจากรถกวาดสายตามองพื้นที่กว้าง ในสวนดูร่มรื่นมีศาลาไม้หลบร้อนอยู่หลังหนึ่ง ใช่ที่นี่รึเปล่าที่เทวาบอกว่าชอบมานั่งเล่นบ่อย ๆ เทวาเข้ามาขัดจังหวะความคิด และชวนอีกฝ่ายเข้าบ้าน “ไปไหว้พ่อกับแม่ก่อน และจะพาออกมาเดินเล่น”

ทั้งสองมาถึงเวลาอาหารพอดี ทุกคนกำลังนั่งพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหาร ทุกคนต่างดีใจที่เห็นเทวากลับมา แต่พอชายหนุ่มแนะนำคนมาด้วยว่าเป็นคนรักเท่านั้น ทุกคนก็เงียบ เล่นเอาปฐวีร์ใจเสีย ว่าแล้วไงใครมันจะไปรับเรื่องแบบนี้ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็พร้อมเผชิญหน้า เทวาทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้เริ่มแนะนำทุกคนให้คนรักรู้จัก เริ่มจากชายสูงอายุหน้านิ่งคือ ธัศณัยพ่อของเทวา หญิงสูงวัยท่าทางใจดีคือ จริญญา แม่ของเทวา ชายอีกสองหน้าตาคล้ายเทวาคือธรรมและธนา ยังมีเด็กตัวเล็กอีกสองคนหลานชายของเทวา การแนะนำตัวไม่ค่อยเป็นทางการนัก เมื่อจบลงทุกคนก็ลงมือกินมื้อเช้า เทวาที่ปกติไม่ชอบเอาใจใครตักกับข้าวใส่จานข้าวให้คนนั่งเกร็ง ปฐวีร์ยิ้มและขอบคุณ การกระทำทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของทุกคน แต่ทุกคนก็นั่งดูเงียบ ๆ ไม่รู้ว่ากำลังตกใจเพราะลูกชายคนเล็กของบ้านพาคนรักมากินข้าว หรือรู้ว่าคนรักเป็นผู้ชายกันแน่ แต่ก็ยังมีเด็กสองคนที่ไม่ค่อยเข้าใจทั้งสองรู้แค่ว่าวันนี้มีคนมาเล่นด้วยกันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ทั้งสองจึงเรียบร้อยเป็นพิเศษ

“หนูวีร์ใช่ไหมลูก” จริญญาสังเกตชายหนุ่มอยู่นานสุดท้ายก็ตัดสินใจพูดทำลายบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้

“ครับ” ปฐวีร์นั่งหลังตรงตัวเกร็งตอบคำถาม

“ตอนนี้ทำอะไรที่ไหน” พี่ชายคนโตถาม

“ผมเรียนที่เดียวกับพี่เทวาแต่คนละคณะ”  เขาตอบอย่างระมัดระวัง

“แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง” พี่ชายคนรองถามขึ้นบ้าง

“เพื่อนผมเป็นรุ่นน้องพี่เทวา และก็ผมพักที่คอนโดมิเนียมเดียวกับพี่เทวา”

“ห้องเดียวกัน” พี่ชายคนรองยิงคำถามตรงจนทุกคนกลั้นหายใจ

“เปล่าครับ ห้องผมชั้นถัดลงมา” ทุกคนดูเหมือนจะโล่งอกกับคำตอบที่ได้ยิน

“มีคนเลี้ยง” ปฐวีร์ขมวดคิ้วคำถามแต่ละคำถามพี่ชายคนรองและไม่นึกว่าจะถูกถามอะไรแบบนี้

เทวาได้แต่นั่งขำคำถามเลยถูกปฐวีร์ถลึงตาใส่ คนอะไรไม่ช่วยแล้วยังจะหัวเราะเยาะอีก

“เอ่อ พอดีเป็นเงินที่ผมได้จากการเสี่ยงโชค”

“ทำไมไม่อยู่บ้าน ไม่ใช่คนที่นี่เหรอ แล้วพ่อกับแม่ล่ะ”

“แม่เสียไปนานแล้วครับ ส่วนพ่อป่วยนอนไม่ได้สติในห้องCCU”

“แล้ว....”

“พอเถอะคุณ กินข้าวเสร็จก่อนแล้วค่อยไปนั่งคุยกัน ลูกอุตส่าห์พาเพื่อนมากินข้าว” หัวหน้าครอบครัวอย่างธักศนัยพูดขัดจังหวะขึ้น

“นั่นสิ ก็ลืมไปว่าเสียมรรยาท” ได้เปิดปากพูดคุยกันไปบ้างบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ดีขึ้นเยอะ ไม่นานทุกคนก็อิ่ม     เทวาพาปฐวีร์เปลี่ยนไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น

            ปฐวีร์เข้าไปในห้องนั่งเล่น สิ่งที่เห็นอย่างแรกและสะดุดตาคือรูปถ่ายครอบครัวของเทวาแขวนไว้ในระดับสายตา ถัดลงมามีรูปอยู่ในกรอบขนาดต่าง ๆ ตั้งเรียงกันอยู่ ปฐวีร์จ้องเด็กชายหน้าบึ้งในรูปก็อดหัวเราะไม่ได้ “หล่อตั้งแต่เด็กเลยนะครับ”

“เดี๋ยวเถอะล้อเลียนเหรอ”

“เปล่าสักหน่อย” ปากบอกอย่างนั้น แต่ก็ยังหัวเราะน้ำตาไหล

ทุกคนมาพร้อมหน้ากันในห้องนั่งเล่น เทวารีบพาปฐวีร์ไปนั่งเรียบร้อยที่โซฟา แล้วการตอบคำถามก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ทุกสายตาจ้องมาที่ปฐวีร์สลับกับเทวา

“รู้ใช่ไหมว่าการคบกันอย่างนี้ไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคม”

ปฐวีร์พยักหน้ายอมรับเรื่องนี้ไม่มีใครไม่รู้

“ครับ แต่จะมัวรอให้สังคมยอมรับแล้วเมื่อไหร่จะมีความสุขสักที การที่ผมสองคนคบไม่ได้ถูกบังคับมันเกิดจากการที่เราสองคนคุยกันรู้เรื่อง อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก”

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเพื่อนกันไม่ได้เหรอ”

“พอดีพวกเรารู้สึกมากกว่านั้น แม่คงยังไม่รู้ว่าผมเป็นคนขอเริ่มความสัมพันธ์นี้เอง หลายคนอาจจะมองว่าแปลก แต่ผมอยากให้คุณแม่รับรู้ไว้ไม่ว่ายังไงผมก็ยังเป็นลูกคุณแม่คนเดิม”   เทวาเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง

“แต่..”

“คุณพอเถอะเจ้าเทวามันโตแล้ว ถ้าจะโง่ให้ถูกหลอก จะทำอะไรก็เรื่องของมัน หรือมันจะไปเป็นผัวใครเมียใครก็ปล่อยไป ลูกมันเลี้ยงได้แต่ตัวจิตใจความรู้สึกให้มันคิดเอง  รึกลัวว่าจะเป็นขี้ปากคนอื่น” จริญญาส่ายหัวยังไงคนอื่นก็ยังไม่สำคัญเท่าคนในครอบครัวอยู่แล้ว

ปฐวีร์มองผู้ใหญ่สองคนคุยกัน ตั้งแต่ต้นเขารู้สึกว่าพ่อของเทวาดูมีเหตุผลมากที่สุด นั่งเงียบคอยสังเกตสถานการณ์ นี่แหละคนมีประสบการณ์ผ่านอะไรมาเยอะ น้ำท่วมภูเขาถล่มอยู่ตรงหน้าก็สามารถตั้งสติได้

“เราน่ะลูกชายคุณปทีป วีรวัฒฑณกุลธรรมไพศาลทรัพย์ใช่ไหม”

“ครับ” ปฐวีร์แปลกใจที่มีคนรู้จักพ่อด้วย “คุณลุงรู้จักกับพ่อผมด้วยหรือครับ”

“อืม ก็เคยเจอกัน ไปออกรอบด้วยกันก็หลายครั้ง”

“อ้อ มิน่าทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นหน้า” ธนานึกขึ้นได้ว่าคนนี้นี่เองที่น้องชายเขาแอบมองตอนไปงานเปิดตัวสินค้า วันนั้นอยู่ไกลทำให้มองเห็นไม่ชัด ชายหนุ่มชะโงกหน้าเข้าดูอีกฝ่ายใกล้ๆ จนเทวาต้องรีบผลักพี่ชายออก หลาน ๆ นึกว่ากำลังเล่นกันอยู่รีบกระโดดเข้าไปเกาะธนาไว้ ธนาทำหน้ามุ่ยถูกน้องชายรังเกียจ ไอ้น้องบ้า ไอ้คนขี้หวง

“ลูกชายคุณนายใหญ่” จริญญาพูดแล้วหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ รู้อย่างนี้แล้วเธอก็ยิ้มออก ยอมรับในตอนแรกกังวลใจอยู่บ้างกลัวลูกชายจะถูกหลอก อยากให้ความรักของลูกชายเกิดจากความรู้สึกรักจริง ๆ ไม่มีเงินหรือผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ถึงเธอจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับความรักแบบนี้ ทำยังไงได้ก็ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถทำให้ลูกชายของเธอเปลี่ยนไป และเพื่อลูกชายเธอก็จะพยายามหลับตาข้างคิดว่าเป็นลูกชายอีกคนก็แล้วกัน

            ไม่รู้ว่าบรรยากาศชวนอึดอัดเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นและเสียงหัวเราะตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งสองกำลังนั่งข้างขอบสระน้ำมองหลาน ๆ กับเด็กโค่งอย่างธนากำลังเล่นแย่งลูกบอลกันในสระ

“เป็นไงบ้าง บอกแล้วพ่อกับแม่ใจดี” เทวาเขยิบนั้งเบียดคนรักอย่างอารมณ์ดี ที่ทุกคนในบ้านเห็นด้วยที่เขาคบกับปฐวีร์

“อืม แต่ก็แค่หวงลูกชายมากเกินไป โดยไม่รู้ว่าลูกท่านต่างหากที่เป็นคนหลอกล่อผม” ปฐวีร์ทำหน้าตาน่าสงสาร

“คำถามแต่ละคำถามแปลกทั้งนั้น” ไม่นึกว่าแม่กับพี่ชายจะถามอะไรแบบนั้นออกมา

“เหมือนกำลังเข้าประกวดเพื่อเข้ารับตำแหน่งอะไรสักอย่าง”

“แฟนพี่ไง ตำแหน่งแฟนพี่” ปฐวีร์ได้ฟังแล้วต้องขำออกมา แต่แล้วหัวใจก็สะดุดกับคำว่าแฟนทำให้อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ นึกขึ้นมาได้ว่าทั้งสองคนเป็นคนรักกัน บ้า ใครเขาอยากได้ตำแหน่งนั้นกัน คนหลงตัวเอง

“ถ้าที่บ้านไม่มีใครยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ อย่างพ่อไล่ตะเพิดทั้งพี่ทั้งผมออกจากบ้านไป หรือเอาปืนมาไล่ยิงล่ะพี่จะทำยังไง” ปฐวีร์นึกถึงฉากแบบนี้ที่เห็นบ่อยในละครโทรทัศน์

“ก็ไม่ยากอะไร ถ้าไล่ก็ไป” เทวาตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “เอาปืนมาไล่ยิงก็รีบวิ่งหนีจะอยู่ทำไม ดีซะอีกเราจะได้หนีความวุ่นวายแบบนี้”

คำว่าวุ่นวายทำให้ปฐวีร์คิดถึงเรื่องของตัวเองในตอนนี้

“คุยอะไรกันอยู่สองหนุ่ม หิวกันไหมแม่เอาขนมของว่างมาให้ เด็ก ๆ เลิกเล่นมากินขนมเร็ว” เด็ก ๆ ได้ยินว่าขนมก็รีบปีนขึ้นมาจากสระ ห่อตัวด้วยผ้าเช็ดตัวนั่งลงแย่งกันกินขนม ท่าทางจะหิวมากขนมในจานหมดไปแล้วยังไม่อิ่ม ปฐวีร์เลื่อนจานขนมเขาให้ เด็ก ๆ เห็นขนมก็ยิ้มกว้าง และคิดว่าเพื่อนอาเทวาใจดีเหมือนอาเทวาเลย

“ผมกำลังบอกน้องว่าคุณแม่ทำกับข้าวเก่ง ทำขนมอร่อยจะให้น้องมาฝากตัวเป็นศิษย์”

“อืม ได้สิน้องวีร์ทำกับข้าวเป็นด้วย”

“นิดหน่อยครับ แต่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่” เขารู้สึกอายเมื่อพูดถึงฝีมือทำอาหารของตัวเองต่อหน้าคนอื่น

“ถึงว่าตาเทวาไม่ยอมกลับบ้าน” เธอพูดเสียงติดน้อยใจ จนปฐวีร์ใช้ศอกสะกิดคนตัวโตให้ช่วยพูด

“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้นช่วงนี้น้องเลิกเรียแล้วต้องแวะไปดูพ่อบ่อย ๆ ผมเลยทำหน้าที่ไปรับ”

“ใช่ครับ” ปฐวีร์ช่วยยืนยันอีกคน

จริญญามีหรือจะมองไม่ออกว่าลูกชายของเธอกำลังโกหก เห็นทั้งสองคนเข้ากันได้ดีดูแล้วน่ารักยังไม่รู้ “คุณพ่อเป็นยังไงบ้างล่ะ ได้ยินว่าป่วย” คิดถึงเรื่องนี้ปฐวีร์ก็รู้สึกเครียดขึ้นมา ทุกคนพยายามจะปิดข่าวไว้เพื่อไม่ให้กระทบกับบริษัท และถ้าจะกระทบก็ให้มันเกิดน้อยที่สุด เพราะนั่นมันหมายถึงพนักงานหลายพันชีวิต แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปิดข่าวไว้ได้นานเท่าไหร่

            เทวาเห็นใบหน้าอีกฝ่ายแสดงความกังวลชัดเจน จนเป็นห่วงที่เขาพามาที่บ้านไม่ใช่มานั่งเครียด แต่อยากให้ผ่อนคลาย อยากให้ลืมเรื่องไม่สบายใจ จริญญาเพิ่งรู้ตัวว่าถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป

พอดีเธอคิดว่าถึงเวลามื้อเที่ยงแล้วจึงได้เรียกทุกคนเข้าบ้าน ปฐวีร์ตามเทวามาที่โต๊ะอาหารพอเห็นว่ามื้อเที่ยงของบ้าน  สุรัตนธรรมวรธิเบศณ์เป็นข้าวซอยไก่ก็รู้สึกตื่นเต้น เขานั่งเรียบร้อยที่นั่งเดิม รอทุกคนลงมือ ปฐวีร์ตัดน้ำซุปมาชิมอย่างแรก “อร่อยจังครับ” จริญญาถูกคนรักลูกชายชมก็หน้าบาน ยิ้มไม่หุบ

“ข้าวซอยไก่ของแม่อร่อยอยู่แล้ว” ธนาช่วยชมอีกคน แต่ที่ได้รับมาเป็นสายตาค้อนจากแม่แทน ชายหนุ่มงง อะไรทีน้องวีร์พูดกับยิ้มหน้าบาน

“ถ้าไม่อิ่มเติมได้” ได้ยินเทวาพูดอย่างนั้นตาปฐวีร์เป็นประกาย เห็นปฐวีร์กินได้เยอะเทวาก็เจริญอาหารไปด้วย

มื้อเที่ยงปฐวีร์กินข้าวซอยไปสองชามกับน่องไก่สามชิ้น เทวาก็ไม่ต่างกัน ทั้งสองเดินลูบท้องออกมานั่งย่อยที่ศาลาหลบร้อน นั่งไปสักพักปฐวีร์ก็หลับไปโดยอาศัยไหล่เทวาไปหมอน เทวานั่งเล่นเกมออนไลน์เพลินหันมามองปฐวีร์อีกทีก็หลับไปแล้ว  เห็นอีกฝ่ายผ่อนคลายเขาก็ดีใจ ช่วงนี้เห็นปฐวีร์แสดงสีหน้ากังวลบ่อยครั้งเขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจไปด้วย เทวาถือโอกาสนี้เปิดโปรแกรมถ่ายรูปขึ้น ยกโทรศัพท์ให้ได้มุมที่มองเห็นทั้งคู่ แต่เขาหันหน้าไปอีกทางทำให้เหมือนว่ากำลังถูกแอบถ่าย นับหนึ่งสองสามในใจ เสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้น จากนั้นเลือกรูปที่คิดว่าดูดีที่สุดแล้วโพสต์ลงโซเชียลเอฟส่วนตัว พร้อมข้อความสั้น ๆ ว่า พร้อมเดินเคียงข้าง ไม่ว่าหลับหรือตื่น โพสต์ลงไปในโซเชียลเอฟส่วนตัวของเทวา ไม่นานก็วุ่นวาย มีหลายคนสงสัยว่าผู้ชายที่หนุนไหล่เทวาอยู่เป็นใคร ทั้งคู่เกี่ยวข้องกันยังไง

ยุทธจักรนอนเล่นเกมอยู่บ้านอย่างสบายใจเห็นข้อความเตือนว่ามีโพสต์ใหม่จากเพื่อนเด้งขึ้นมาพอเปิดดูก็ต้องหน้าดำทันที พร้อมกับด่าเพื่อนในใจ ไอ้เทวาไอ้คนใจดำไม่เห็นใจคนไม่มีแฟนเลยรึไง ดีล่ะ ชายหนุ่มรีบกดรูปโกรธลงใต้รูปภาพทันที แล้วนอนหัวเราะกลิ้งไปมาบนเตียงคนเดียว คฑาวุธกับตติวัฒน์กดรูปหัวใจให้ ส่วนคนทิ้งระเบิดอย่างเทวากับออกจากระบบไม่อยากให้เสียงเตือนข้อความรบกวนเวลานอนของปฐวีร์ มือหนาวางโทรศัพท์ลงแล้วขยับคนกำลังนอนหลับให้เอนตัวนอนลงโดยใช้ตักเป็นหมอน อาจจะไม่นุ่มแต่ก็แข็งแรงแน่นอน

ปฐวีร์รู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเทวาปลุกให้เข้าไปนอนในบ้าน ปฐวีร์บอกไม่เป็นไรตอนนี้ไม่ง่วงแล้ว แดดตอนบ่ายส่องเข้ามาในศาลา อากาศร้อนอบอ้าว เทวาจึงชวนกลับเข้าบ้าน

พอดีจริญญาจะเข้าครัวเห็นลูกชายกับคนรัก เธอจึงชวนปฐวีร์เข้าในครัวช่วยเตรียมมื้อเย็น ได้ยินของกินปฐวีร์ก็รีบพยักหน้า จริญญาชวนคุยไปด้วยสังเกตคนรักลูกชายไปด้วย ปฐวีร์มีเหรอจะไม่รู้ เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่างหาก เข้ามาในครัวเห็นคนงานอีกสองคนกำลังทำโน่นทำนี่อยู่ จริญญาถามว่ามื้อเย็นจะทำอะไรดี

“แกงเขียวหวานไก่ดีไหม วันก่อนคุณธักบ่นอยากกิน “

“อ้อ ใช่ค่ะได้ยินจากเจ้าบอยคนขับรถพูดเหมือนกัน มันคุยให้ฟังว่าคุณท่านไปประชุมที่ไหนสักที่ที่ชื่อฝรั่งหน่อย ท่านได้กินแกงเขียวหวานแล้วถูกปาก”

“ตกลงทำแกงเขียวหวาน ผัดผักรวมก็ดีนะ แกงจืดฟักมะนาวดอง ไข่เจียวกุ้งกับไก่ทอดให้เด็ก ๆ ด้วย น้องวีร์อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมลูก”

“ไม่ครับ”

“งั้นป้าวันนี้ทำมื้อเย็นตามนี้นะ ฝากน้องวีร์ด้วย น้องวีร์แม่ฝากทางนี้ด้วยนะ” จริญญาปล่อยเรื่องในครัวให้ทุกคนจัดการ เธอออกมาจากครัวก็สวนทางกับลูกชายคนเล็ก ไหนบอกว่าจะไปนั่งดูโทรทัศน์ เพิ่งผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาตามหาแฟน อะไรจะเป็นห่วงขนาดนั้น

            จริญญาออกจากครัวทุกคนก็ไม่รู้จะพูดอะไรถึงจะบอกว่าฝากให้ดูแล ยังไงชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นคนรักของลูกชายเจ้าของบ้านใครจะกล้าใช้ทำงานกัน ป้าคนงานเลยได้แต่ยิ้มให้ ปฐวีร์เลยรีบเสนอตัวช่วยงานและพยายามดูดความรู้ทำอาหารจากป้าคนงานให้ได้มากที่สุด เทวาแอบย่องมาเงียบ ๆ ยืนกอดอกมองพ่อครัวตัวเล็กช่วยงานอย่างตั้งใจ ปากก็ถามโน่นถามนี่ ถ้าเป็นเรื่องของกินคนรักเขานี่จริงจังตลอด นี่ถ้าเขาทำอาหารเป็นสักอย่างสองอย่างคงทำให้อีกฝ่ายรักเขามากขึ้นไหมนะ คิดได้อย่างนั้นเทวาก็เข้าไปช่วยอีกคน ป้าคนงานกับคนงานอีกคนเห็นเจ้านายหนุ่มที่ปกติไม่สนจะเดินเข้ามาในครัว วันนี้กลับมาช่วยทำโน่นหั่นนี่ แถมยังยิ้มเยอะหัวเราะบ่อย เห็นทั้งสองคุยกระหนุงกระหนิง คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ พวกเธอมองแล้วไม่เห็นจะแตกต่างคนที่เป็นคนรักทั่ว ๆ ไปเท่าไหร่ ออกจะน่ารักด้วยซ้ำ

            แกงจืดฟักมะนาวดองในหม้อกำลังเดือดปุด ๆ ทุกอย่างสุกจนได้ที่ พ่อครัวตัวเล็กปิดเตา กับข้าวอย่างแรกเสร็จแล้ว เขาตักแกงจืดตักใส่ถ้วยเล็กออกมาให้เทวาทำหน้าที่เป็นคนชิม เทวารับถ้วยมาใช้ช้อนตักชิ้นฟักขึ้นมาเป่าให้หายร้อนแล้วลองชิม

“อืม เอาข้าวสวยมาเลย” คำชมธรรมดาเล่นเอาพ่อครัวตัวเล็กหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง คนงานทั้งสองก็ชมว่าอร่อยเหมือนกัน จากนั้นก็เริ่มทำเมนูต่อไปทันที จริญญากลับเข้าครัวอีกครั้งหลังหายไปสองชั่วโมง กับข้าวมือเย็นเหลืออีกหนึ่งอย่างก็จะเสร็จ เธอค่อนข้างพอใจ ยิ่งได้ลองชิมรสชาติแล้วก็ถูกปากกว่าที่คิด และได้รับการบอกเล่าจากคนงานทั้งสองว่าฝีมือทำอาหารทั้งหมดเป็นของปฐวีร์ก็แปลกใจเล็กน้อย ปฐวีร์เห็นท่าทางพึงพอใจของจริญญาก็โล่งอก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแม่คนรักทดสอบยังไงยังงั้น เข้าใจว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะให้ทุกคนทำใจยอมรับได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงนั้นเป็นไปไม่ได้ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป คนปกติเมื่อไม่ชอบอะไรแล้วจะแสดงอาการออกมาทั้งทางหน้าตา คำพูดและการกระทำ แต่ถ้าใครไม่แสดงออกมาเลยนั่นมันก็น่ากลัวเกินไปแล้ว โชคดีที่เขาเจอคนที่คิดยังไงก็แสดงออกมาแบบนั้นในบ้านหลังนี้ จริญญาเห็นใบหน้าทั้งสองเต็มไปด้วยเหงื่อ ผ้ากันเปื้อนทั้งเปียกทั้งเลอะไปด้วยคราบอาหาร ก็บอกให้ทั้งสองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า



****************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 23 [09/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 09-10-2018 19:54:10
เสน่ห์ปลายจวักที่แท้จริง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 23 [09/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 09-10-2018 22:53:32
ผ่านไปหนึ่งด่าน ก็ยังหวังว่าเทวาจะเป็นคนมาเปลี่ยนอนาคตของวีร์อยู่ ส่วน ผช ที่อยู่ต้นเรื่องจะเป็นแค่ตัวประกอบ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 24 [11/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 11-10-2018 18:55:56

ตอนที่ 24


ปฐวีร์อาบน้ำเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าของเทวา เดินสดชื่นออกมาจากห้องน้ำ เปลี่ยนให้เทวาเข้าไปอาบบ้าง เมื่อเจ้าของห้องไม่อยู่เขายิ้มกว้างทันที เดินตรงไปที่เตียงแล้วกระโดดขึ้นไป จากนั้นใช้สายตาสำรวจไปรอบ ๆ เห็นห้องนอนที่ตกแต่งเรียบง่ายและค่อนข้างรก โดยเฉพาะโต๊ะเขียนหนังสือ เขาลุกจากเตียงเดินไปหยุดที่โต๊ะรกหยิบหนังสือนิตยสารกีฬารายสัปดาห์ขึ้นมาดู บนโต๊ะดูวุ่นวายไปหมด มีทั้งหนังสือเรียน มังงะ นิตยสาร ถัดจากโต๊ะรกนั้นด้านหลังมีชั้นวางหนังสือเขาไล่อ่านชื่อหนังสือตามสัน ที่เรียงกันเป็นระเบียบ ลองสุ่มหยิบออกมาเปิดดูสักเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกันเทคโนโลยี ยานยนต์หนังสือดูใหม่ไม่มีรอยยับให้เห็นท่าทางเจ้าของจะรักษาอย่างดี เก็บหนังสือเข้าที่เดิม เลื่อนสายตาไปมองรูปถ่ายในกรอบสองสามรูป มีรูปครอบครัว รูปกับเพื่อน เขาหยิบรูปรวมเพื่อนขึ้นมา ดูจากหน้าตาคนในรูปน่าจะเป็นรูปที่ถ่ายก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ในนั้นมียุทธจักรผู้ชายจอมกวน แถมขี้เล่นมือข้างหนึ่งกำลังชูสองนิ้ว ตติวัฒน์ชายสวมแว่นท่าทางฉลาดยิ้มให้กล้อง คฑาวุธคนที่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่เสมอยืนตัวตรงเหมือนถ่ายรูปติดบัตร และเทวาพิทักษ์ผู้ชายที่ชอบหน้าทำนิ่งยืนกอดอกแต่อย่าให้ภายนอกหลอกเอา เพราะยิ่งรู้จัก ปฐวีร์ก็รู้ว่าสิ่งที่เห็นภายนอกมันเป็นแค่ภาพลวงตา ผู้ชายหน้านิ่งคนนี้ทั้งฉลาด เจ้าเล่ห์ อบอุ่น และเอาแต่ใจ

“นั่นแอบดูรูปคนหล่ออีกแล้ว” คนเพิ่งอาบน้ำเสร็จยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง

“ไม่ได้แอบเห็นวางอยู่บนชั้น แค่หยิบขึ้นมาดู รูปนี้ถ่ายตอนไหนครับ”

“น่าจะช่วงมัธยมปลายไปเที่ยวด้วยกันที่ไหนสักที่”

“โห เป็นเพื่อนกันตั้งหลายปีแล้วซิ ถึงว่าดูสนิทกัน”

“อืม รู้จักกันมาตั้งแต่ มัธยมต้น แล้วเรากับเพื่อน ๆ ล่ะ”

“ก็ตั้งแต่เด็ก พวกนั้นชอบมาเล่นที่บ้านบ่อย ๆ นอนค้างบ้างก็มี” พูดแล้วก็ทำให้นึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้น

“ถึงว่าไอ้ดลชอบมานอนที่ห้องเราบ่อย ๆ ”

“คงชดเชยช่วงเวลาที่หายไปหลายปีมั้ง เพราะแม่เสียก็ไม่ได้มาที่บ้านอีกเลย” ปฐวีร์พูดเสียงเศร้า

“ทำไม”

“เขากลัวคุณนายรองกัน ภรณ์ถึงขนาดเรียกว่า ยัยแม่มด” เทวาพยักหน้ารับรู้ คุณนายรองที่ว่าเธอคงน่ากลัวน่าดู ขนาดทำให้ผู้หญิงอย่างนภาภรณ์เรียกอย่างนั้นได้

ใกล้ถึงเวลามื้อเย็นหลาน ๆ ขึ้นมาตามลงไปกินข้าว ปฐวีร์กำลังนั่งอ่านมังงะอยู่มุมห้อง ส่วนเทวานั่งเล่นเกม เห็นเด็ก ๆ โผล่หน้าเข้ามาในห้อง ยังไม่ทันบอกว่าคุณย่าให้มาตามไปกินข้าวก็ลืมซะแล้ว

“พี่ทำไร” เด็กชายชะโงกไปดูด้วยความสนใจ

“อ่านมังงะครับ” เห็นเด็กชายจ้องหนังสือมังงะที่มีรูปภาพอยู่เต็มหน้ากระดาษ เห็นท่าทางสนใจของทั้งสองปฐวีร์รู้สึกเอ็นดูไม่ได้ “ไหนใครชื่ออะไรบ้าง พี่ลืมแล้ว”

“ผม วิน นี่น้องวอม” เด็กชายกอดน้องแล้วยิ้มอาย ๆ เมื่อคุยกับพี่ชายท่าทางใจดี “น่ารักทั้งคู่เลย” พูดแล้วก็หยิกแก้มนุ่มเบา ๆ

“ถ้าอยู่เฉย ๆ ก็น่ารักดีหรอก ถ้าสนิทกันเมื่อไหร่จะไม่มีทางพูดคำนี้ออกมาแน่นอน” เด็ก ๆ ไม่เข้าใจได้แต่ยิ้มหวาน จากที่นั่งเรียบร้อยอยู่บนพื้นทั้งสองเขยิบเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ จนขึ้นไปนั่งบนตักปฐวีร์ ไม่พอยังชวนคุยถามโน่นถามนี่ไม่หยุดจนลืมไปว่าเพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมง ลำบากให้ธนาขึ้นมาตามอีกคน ชายหนุ่มชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง เห็นเด็ก ๆ กำลังคุยสนุกกับเพื่อนใหม่เห็นแล้วรู้สึกดีไปด้วย

“ไปกินข้าวได้แล้ว ว่าแล้วเชียวเจ้าวินกับเจ้าวอมเชื่อใจไม่ได้ คุณย่าให้มาเรียกคุณอาไปกินข้าวแต่มาชวนเล่นอยู่นี่เอง” เด็กชายทั้งสองมองหน้ากันตกใจเมื่อนึกได้ว่าขึ้นมาทำไม ทั้งสองจึงรีบจูงมือปฐวีร์กับเทวาลงไปข้างล่าง

มื้อเย็นผ่านไปอย่างอิ่มอร่อย และรอยยิ้ม อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่ากินข้าวพร้อมกับครอบครัว ไม่ใช่อย่างที่เขาเจอทุกครั้งที่กลับบ้านใหญ่นั่น กินข้าวอิ่มตามด้วยผลไม้ช่วยย่อยอีกจาน จากนั้นก็ถูกเด็ก ๆ ลากมานั่งดูการ์ตูนที่เพิ่งได้มาการ์ตูนเปิดขึ้นทั้งสองก็นั่งประจำที่เรียบร้อย ดูยังไม่จบเรื่องลิงน้อยสองตัวก็หลับ พี่ชายคนโตกับภรรยาช่วยกันอุ้มลิงน้อยกลับห้อง ปฐวีร์กับเทวาก็ขึ้นห้อง เข้าห้องปฐวีร์หยิบมังงะที่อ่านค้างไปนอนอ่านบนเตียงโดยมีเทวานอนเล่นเกมในมือถืออยู่ข้าง ๆ ลงฟาร์มออกมาจากหอคอยแห่งโชคชะตาได้ของดีติดมือมาหลายอย่าง เวลาก็ทำได้ดีเกินคาด หันไปมองคนข้าง ๆ อีกทีก็หลับไปแล้ว อ้าว เขาถูกทิ้งซะแล้ว

ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนความวุ่นวายเพิ่งส่อเค้าว่ากำลังจะเริ่มขึ้น เมื่อข่าวการป่วยไม่ได้สติของประธานใหญ่ของ Ago Group เล็ดลอดออกมาพร้อมภาพนอนสวมเครื่องหายใจในห้องวิกฤต ทำให้นักลงทุนเกิดอาการร้อน ๆ หนาว ๆ ถึงจะไม่ใช่ข่าวอย่างเป็นทางการแต่ก็มีผลกระทบทันทีกับตลาดหุ้น นักลงทุนหลายกลุ่มชะลอการลงทุนเพราะไม่รู้ว่าภาพที่ออกมาเป็นจริงรึเปล่า ถึงก่อนหน้านั้นจะได้ยินข่าวมาบ้างประธานบริษัท Ago Group ป่วยเข้าโรงพยาบาล แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหนักถึงขั้นนอนไม่ได้สติ นั่นทำให้หลายคนรีบให้คนสืบหาที่มาของข่าวว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงแค่การสร้างความเสียหายให้ Ago Group เท่านั้น ประเด็นในค่ำคืนหนึ่งล่วงเลยมาถึงอีกวัน ข่าวพร้อมภาพก็ได้การรับรองว่าเป็นความจริง เหล่าคู่แข่งต่างดีใจและกังวลไปพร้อมกัน แต่ช่วงเวลานี้ก็ไม่มีใครกังวลใจไปเท่า Ago Group เหล่าผู้บริหารต่างมีความเห็นตรงกันว่าสมควรออกจดหมายด่วนเชิญประชุมผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทุกคน เพื่อเดินหน้าช่วยกันแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ของบริษัท

วีรรัตนฑณกุลธรรมไพศาลทรัพย์ยังปิดบ้านเงียบปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์หรือข่าวใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้นักข่าวหลายสำนักส่งนักข่าวมาดักรอหน้าประตูใหญ่ สร้างความอึดอัดให้กับทุกคนในบ้านไม่น้อย คุณนายรองมีคำสั่งใครที่ไม่มีธุระจำเป็นห้ามออกจากบ้านเด็ดขาดและให้ระวังไม่ให้นักข่าวเข้ามาในบ้านหรือพูดอะไรที่ไม่สมควร นักข่าวบางส่วนไปดักรอสัมภาษณ์หน้าสำนักงานใหญ่ของ Ago Group นั่นทำให้ข้างบนสั่งลงมาห้ามให้พนักงานให้ข่าวให้สัมภาษณ์ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษโดยการไล่ออก พนักงานหลายคนอดจับกลุ่มคุยกันไม่ได้ถึงทำงานใน Ago Group แต่ก็ไม่มีใครทราบเรื่องอาการป่วยของประธานบริษัท พวกเขาต่างก็รู้พร้อมกับคนอื่น ๆ

เหมือนกันกับหน้าโรงพยาบาลมีนักข่าวไปสืบหาข่าว แต่ก็ถูกไล่ออกมา เสียงโทรศัพท์ดังแทบไม่ขาดสาย เล่นเอาเจ้าหน้าที่ พนักงานปวดหัวกับการต้องมานั่งตอบคำถามเดิมซ้ำๆ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรีบต่อสายตรงถึงวีรวัฒฑณฯ เพื่อกราบขอโทษและยอมรับผิดที่ปล่อยให้ภาพและข่าวออกมา พร้อมทั้งวางแผนเตรียมรับมือในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

ปฐวีร์นั่งอ่านข่าวในมือถือมาเกือบสิบห้านาที อ่านไปแล้วก็ทั้งถอนหายใจสลับขมวดคิ้วไม่รู้ว่าข่าวพวกนี้ออกมาได้ยังไงไหนจะรูปถ่ายนั่นอีก ทั้งที่ทางโรงพยาบาลรับรองเองทุกอย่างจะปิดความลับจนกว่าทางวีรวัฒฑณฯ พร้อมจะเปิดเผย แล้วนี่อะไร รูปออกมาโชว์หราขนาดนี้ไม่ใช่ภาพเดียวด้วย จากมุมรูปที่เห็นแน่นอนว่าแอบถ่ายแต่ถ้าไม่ใช่กล้องมืออาชีพระยะทางจากเตียงผู้ป่วยกับด้านนอก ภาพคงไม่ออกมาดูดีขนาดนี้ ใครกันเป็นคนทำเรื่องแบบนี้ คุณนายรอง คุณนายสามถ้าพวกเธอทำแล้วก็มีไม่มีอะไรดีขึ้นไม่ใช่รึไง

หลายคนควานหาตัวการปล่อยข่าว อีกทางด้านทศพลบิดาของคุณนายรองกำลังหัวเราะนั่งจิบกาแฟกับของว่างกับลูกสาวอย่างสบายใจ และยอมรับว่าเขาเป็นคนลงมือทำทุกอย่างเอง

“ทำไมคุณพ่อถึงทำอย่างนี้คะ” เธอรู้สึกผิดที่เป็นฝ่ายโทรไปขอคำปรึกษาจากบิดา แต่ไม่นึกว่าผลจะออกมาอย่างนี้

“หึ หึ ช่วงเวลาอย่างนี้สิเราถึงต้องรีบคว้า แกเป็นเมียมันหลายปีได้อะไรบ้าง แค่ทะเบียนสมรสสักใบมันยังไม่มีให้ แล้วเป็นไงเวลานี้แกแทบไม่มีสิทธิ์อะไรเลย” ทศพลพูดให้ลูกสาวให้สติ

“พ่อ คุณปทีปยังไม่ได้เป็นอะไร”

“ไม่ได้เป็นอะไรแต่นอนเป็นเจ้าชายนิทรามาเกือบครึ่งเดือน ใช่ว่าฉันเป็นคนทำให้สามีแกเป็นอย่างนั้นเมื่อไหร่ ฉันแค่ช่วยให้เรื่องทุกอย่างมันเดินเร็วขึ้นเท่านั้น” ทศพลยิ้มเจ้าเล่ห์

“คุณพ่อหมายความว่ายังไง” เธอเห็นยิ้มของพ่อแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ลางสังหรณ์บอกว่าพ่อต้องคิดที่จะทำอะไรมากกว่านี้แน่นอน

“แน่นอนตอนนี้ตำแหน่งประธานขาดไม่ได้ จะต้องมีการสรรหา แน่นอนว่าเจ้าพลพัฒน์ไม่มีสิทธ์ แต่เราพอจะสนับสนุนคนได้ หรือไม่ก็ใช้ช่วงเวลานี้กอบโกยให้ได้ที่สุด”

“ยังไงคะ กอบโกย”

“ก็แค่ทำให้ศาลสั่งให้ปทีปเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ จากนั้นแกก็ขอเป็นผู้อนุบาล”

คุณนายรองตั้งใจฟังเรื่องทั้งหมดก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างในตอนนี้ดี ถ้าเธอไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง บางทีอาจจะไม่มีอะไรเหลือให้เธอ อาจจะดูใจร้ายที่ทำกับสามีอย่างนี้ แต่ทำยังไงได้เธอยังต้องกินต้องใช้แล้วลูกอีกสามคน เธอไม่ยอมให้ทุกอย่างตกไปอยู่ในมือปฐวีร์เด็ดขาด

หมดเวลาเรียนวิชาสุดท้ายในช่วงบ่ายทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ แต่เทวากำลังนั่งอ่านข่าวความเคลื่อนไหวรอปฐวีร์อยู่โรงอาหาร โดยมีเพื่อน ๆ นั่งกินขนมเล่นเกมนั่งอยู่ข้าง ๆ ทุกอย่างอาจดูเหมือนปกติ แต่ทุกคนกำลังเป็นห่วงเพื่อน เริ่มมองหน้ากันเกี่ยงว่าใครจะเป็นคนพูด สุดท้ายยุทธจักรได้รับหน้าที่อันมีเกียรตินั้น

“เอ่อ เทวาน้องเป็นยังไงบ้าง”

“เมื่อเช้าดูเหมือนซึม ๆ หน่อย”

ทุกคนได้ฟังคำตอบแล้วก็ช่วยพูดให้เพื่อนคลายความกังวล และบอกว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วยพวกเขาพร้อมเสมอ เทวาพยักหน้ารับความห่วงใยและความหวังดีแทนปฐวีร์ สักพักทั้งสามก็แยกย้ายกลับ

ปฐวีร์เลิกเรียนเดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนลงมาจากตึก จากนั้นก็แยกกับเพื่อนบอกว่าต้องรีบกลับ ทุกคนเข้าใจและเห็นใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่

“รอนานไหมครับ” ปฐวีร์ถือน้ำปั่นในมือ แก้วหนึ่งของเขาอีกแก้วส่งให้อีกฝ่าย

“ไม่นานหรอก ขอบใจนะ เรียนเป็นไงบ้างวันนี้”

“ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ว่าอาจารย์สอนอะไรบ้าง จิตใจอยู่แต่กับไอ้ข่าวบ้านี่ อ่านแล้วโมโห ทุกคนทำเหมือนกับว่าพ่อตายไปแล้ว เหลือแค่จองวัดเผาเท่านั้น” พูดแล้วก็หงุดหงิดอย่าให้รู้นะว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวพวกนี้ออกมา ถ้ารู้จะด่าให้จนไม่กล้าออกจากบ้านเลย

“เอาน่า ใจเย็นก่อน เดี๋ยวเรื่องทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง” เทวากุมมือขาวเพื่อให้กำลังใจ ความอบอุ่นของมือหนาช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขารู้สึกดีที่มีคนคอยอยู่ข้างๆ คอยพูดให้กำลัง คอยถามว่าเหนื่อยไหม ถามว่าอยากกินอะไร เท่านี้ก็ทำให้มีแรงเดินต่อไปแล้ว ทั้งสองกำลังมองตากัน เสียงโทรศัพท์ปฐวีร์ก็ดังขัดจังหวะ เทวายิ้มแก้เขินแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นรู้สึกอายที่คิดอกุศลกับคนตรงหน้า ปฐวีร์มองโทรศัพท์เห็นชื่อคนโทรเข้ามาก็อดแปลกใจไม่ได้ เขารีบเลื่อนรับสายแล้วนั่งคุยอยู่ตรงนั้น

ปฐวีร์นั่งคุยโทรศัพท์กับทินกรไม่ถึงสิบนาที รถหรูสีดำก็มาจอดชะลอหน้าคณะ ก่อนขึ้นรถไปเขาเล่าเรื่องการประชุมของ Ago Group ที่จะมีขึ้นเย็นนี้ เทวาเข้าใจและบอกจะไปรอรับ เขาขอบคุณแล้ววิ่งขึ้นรถไป ขึ้นไปบนรถเห็นหน้าทินกรที่ดูซูบซีดจนน่าเป็นห่วง “พี่กรสวัดดีครับ”

“สวัสดี เป็นไงสบายไหมเรา”

“สบายดีครับ”

“ดี เพราะต่อจากนี้จะไม่สบายดี เตรียมตัวเตรียมใจ เราจะต้องเข้าไปประชุมทั้งในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้บริหาร และเตรียมหูเตรียมสมองให้พร้อมพี่จะพูด...” ทินกรไม่อยากเสียเวลาเริ่มหยิบเอกสารที่จะใช้ประชุมออกมา เล่าสรุปสถานการณ์คร่าว ๆ ของบริษัทที่กำลังเผชิญอยู่ สาเหตุและจุดประสงค์ที่มีการประชุมครั้งนี้ และอีกหลายอย่าง ทินกรพูดไม่หยุดตั้งแต่ขึ้นรถมา ใช้ปากกาเน้นจุดสำคัญเพื่อให้อีกฝ่ายจดจำได้เยอะที่สุด ปฐวีร์รู้สึกเครียดกังวลที่ต้องเข้าห้องประชุมที่มีแต่ผู้ใหญ่ อย่างเขาจะไปทำอะไรได้ รถหรูเลี้ยวเข้าจอดชะลอหน้าสำนักงานใหญ่ ทำให้เขารู้ว่าไม่มีเวลาให้ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว

คณะผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต่างทยอยเดินเข้าห้องประชุมนั่งประจำที่ใบหน้าแต่ละคนแสดงถึงความเป็นกังวล ปฐวีร์สวมสูทตัวใหม่ที่ทินกรให้คนเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วเข้าไปในห้องประชุม ทุกสายตามองตรงมาที่เขาอย่างสงสัยว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน เขานั่งลงหลังป้ายชื่อทุกคนก็หายสงสัย เมื่อทุกคนมาพร้อมรองประธานทำหน้าที่เป็นประธานในการเปิดประชุมอย่างเป็นทางการ ชายวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานด้วยสูทราคาแพงนั่งอยู่หัวโต๊ะสายตาของเขากวาดมองทุกคนแล้วพูดผ่านไมโคโฟนเล็กว่า

“เรื่องที่จะแจ้งให้ทุกท่านทราบก็คืออาการป่วยของท่านประธาน” ทุกคนมองมาที่ปฐวีร์ที่นั่งเงียบเหมือนไม่ได้ยินอะไร “พวกเราจำเป็นต้องสรรหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานชั่วคราว จนกว่าอาการท่านจะดีขึ้นแล้วกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม ดังนั้นวันนี้ผมอยากให้ทุกคนในที่นี้เสนอรายชื่อคนที่มีความสามารถนั้น” เจ้าหน้าที่ที่นั่งเงียบอยู่อีกมุมห้องลุกขึ้นเดินแจกเอกสารให้ทุกคน ปฐวีร์เปิดดูรายชื่อประวัติโดยย่อของผู้สิทธิ์เข้าดำรงตำแหน่ง เลื่อนเปิดอ่านไปทีละแผ่นจนหยุดลงที่แผ่นหนึ่ง เห็นคนคุ้นหน้าทำให้เขาหยุดอ่านประวัติคนในรูปอย่างตั้งใจไม่ได้ ชื่อธีรณัฑศ์ วีรวัฒฑณกุลธรรมไพศาลทัพย์ ทั้งที่ไม่อยากเจอแต่โชคชะตากลับให้ต้องมาเกี่ยวข้องกันได้ ที่เห็นในความฝัน เขาเจออีกฝ่ายครั้งแรกที่มหาวิทยาลัย และอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ต่างคณะ ดูเหมือนหลายอย่างจะเปลี่ยนไป ดูจากประวัติการศึกษา อายุ ประสบการณ์ทำงานของอีกฝ่ายในกระดาษแทบจะไม่ใช่คนในฝันนั่นเลย แล้วยังมีนามสกุลเดียวกันกับเขาอีกเป็นญาติฝ่ายไหนกันล่ะเนี่ย เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ

เงยหน้าขึ้นเอกสารเพื่อดูปฏิกิริยาคนเข้าประชุมคนอื่น แต่ก็ตกใจเมื่อเห็นคนนั่งข้าง ๆ ยิ้มให้

“สวัสดีครับ เราเจอกันอีกแล้ว” คนที่น่าจะอยู่ในเอกสารกลับนั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ มาตอนไหนล่ะเนี่ย

“สวัสดีครับ เพิ่งรู้ว่าเราเป็นญาติกัน”

ชายหนุ่มยิ้มให้ปฐวีร์ เขาเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีที่ซุกหัวนอน เดินเร่ร่อนเข้ามาในเมืองใหญ่ อาศัยขอทานประทังชีวิตไปวัน ๆ จนวันหนึ่งได้เจอคนใจดีอย่างปทีปช่วยเหลือไว้ ให้อนาคต ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสได้พบกับปฐวีร์ เด็กผู้ชายตัวเล็กและผอม หน้าตาน่าเอ็นดู เขาเคยได้เข้าไปคุยด้วยไม่กี่ครั้ง เพราะต่อจากนั้นไม่นานก็ถูกส่งไปเรียนถึงต่างประเทศ หลายปีที่เขาอยู่ที่นั่น เคยคิดอยากหนีกลับมาแต่ก็กลัวผู้มีพระคุณต้องผิดหวังเสียใจ แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้ก็มีจดหมายจากปทีปบอกให้เตรียมตัวกลับมาที่นี่ นั่นทำให้เขาดีใจ เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยลุงปทีปให้เขาเรียนรู้งานเบื้องต้น ทำให้จำเป็นต้องรู้จักทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคณะผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น คู่แข่ง แต่คนที่ทำให้เขาสนใจตั้งแต่เห็นรูปก็คือผู้ชายตัวเล็กคนนี้ที่โตขึ้นมาก และชอบทำหน้าตาเหมือนไม่ชอบขี้หน้าเขาตั้งแต่แรกเจอ

“อืม พอดีพี่คงอยู่ที่ต่างประเทศนานไปหน่อย ที่กลับมาเพราะคุณลุงปทีปเรียก” ในใจปฐวีร์คิดว่าทำไมไม่อยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิต พ่อเรียกกลับมาทำไม แล้วไอ้ที่เรียกพ่อว่าลุงกับท่าทางสนิทสนมนี่มันหมายความว่ายังไง

ประธานในที่ประชุมให้เวลาศึกษาผู้มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งประธานเบื้องต้น จากนั้นเป็นแนะนำตัวพูดคุยตอบคำถาม ปฐวีร์ยังแอบคิดขำขำว่าเหมือนประกวดนางงามไม่มีผิด

“โปรเจคจุลินทรีย์กินแมลงนี่เป็นของคุณใช่ไหม”

“ครับ พอดีได้รับการแนะนำจากผู้อาวุโสหลายท่าน ทำงานออกมาดีกว่าคาดไว้” ธีรณัฑศ์ตอบคำถามอย่างมั่นใจ ถึงอายุของเขาน้อยที่สุดแต่เรื่องความสามารถเขาไม่น้อยเหมือนอายุ

และแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนต้องเลือก ผลคะแนนออกมา ค่อนข้างแน่นอนว่าธีรณัฑศ์ได้รับเลือก ผลเป็นอย่างที่ทุกคนคาดคิด เพราะธีรณัฑศ์มีระดับการศึกษาสูง มีความสามารถ มีประสบการณ์ในระดับหนึ่ง คุณสมบัติเบื้องต้นเหมาะสมที่สุด ผู้บริหารหลายคนรู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นคนที่ท่านประธานเรียกตัวกลับมาเพื่อเรียนรู้งาน พวกเขาได้แอบสังเกตห่าง ๆ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ชายหนุ่มทำได้ดีกว่าที่พวกเขาคิด ท่านประธานไว้วางใจขนาดนี้พวกเขาก็พร้อมจะสนับสนุน

การประชุมลากยาวจากชั่วโมงกลายเป็นสามชั่วโมงกว่า ในที่สุดการประชุมก็เสร็จสิ้นลง เล่นเอาปฐวีร์แทบสลบเมื่อเดินออกจากห้องแต่ดูเหมือนจะไม่จบลงเพียงแค่นี้

“วีร์ไปพักกินของว่างที่ห้องนั้น อีกครึ่งชั่วโมงจะเปิดแถลงข่าวอาการของท่านประธานและผลการคัดเลือกประธานคนใหม่” ยังไม่ทันพูดอะไรทินกรก็เดินหายไปอีกห้อง ปล่อยปฐวีร์ยืนน่าเศร้า อะไรนี่ เขาอยากกลับไปนอนแล้วนะหิวข้าวแล้วด้วย

“พี่ว่าพวกเราไปนั่งพักห้องนั้นกันดีกว่า” ทำอะไรไม่ได้เขาเดินคอตกเข้าไปในห้องพักที่ว่า โดยมีธีรณัฑศ์เดินตามมาเงียบ ๆ ปฐวีร์นั่งบนโซฟาถอดเสื้อสูทออกนั่งกินของว่างเงียบ ๆ “ช่วงนี้ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่ก็คงวุ่นวายน่าดู”

“ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกได้นะ”

“อืม เป็นประธานวุ่นทั้งวัน คงมีเวลาหรอก”

“ใครว่า เป็นแค่ชั่วคราวยังไงหน้าที่หลักก็ยังเป็นคณะผู้บริหารอยู่ดี แล้วอีกอย่างวีร์ก็ต้องเข้ามาช่วยงานที่บริษัทด้วยนะ”

“เฮ้ย ใครบอก”

“ท่านประธาน รู้สึกว่าจะเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน คณะผู้บริหารก็เห็นด้วย” ปฐวีร์นั่งตกใจกับคำพูดอีกฝ่าย และก็คิดได้ว่าพ่อคงจะกลัวว่าเขาสบายเกินไปเลยอยากหาอะไรให้ทำ เรื่องนั้นไม่เท่าไหร่หรอก ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำ แต่เวลาที่ไม่เข้าใจก็ยังมีทินกรคอยช่วย ถ้าคุณนายรองรู้ว่าเขาเข้ามาทำงานที่บริษัทมีหวังได้เต้นแน่นอน แต่ว่าต้องมาทนเจอหน้าคนตรงหน้าบ่อย ๆ เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เอาเถอะถือเป็นเวรเป็นกรรมที่ต้องเผชิญก็แล้วกัน





*********************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 24 [11/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 11-10-2018 20:30:22
เรื่องมันช่างซับซ้อนและน่าติดตาม  งื้อออออ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 24 [11/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kanyakorn24 ที่ 12-10-2018 03:00:31
วีร์จะผ่านไปไงเนี่ยย แต่ละตอนเจอแต่ปัญหา

พี่เทวาช่วยน้องด่วนนน :katai1:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 24 [11/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 12-10-2018 19:56:49
เริ่มซับซ้อนอีกแล้ว ในที่สุดคนชื่อณัฑศ์ก็เริ่มมีบทบาทแล้วอยากรู้ๆจะเหมือนความฝันของวีร์ไหม. อยากให้มาช่วยวีร์มากกว่าไม่อยากให้มาทำร้ายกันเลย
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 25 [13/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 13-10-2018 18:44:17
ตอนที่ 25



ภาพถ่ายทอดสดภายในห้องประชุมของตึกสำนักงานใหญ่  Ago Group รองประธานกำลังทำหน้าที่ตอบข้อสงสัยของนักข่าว  นักข่าวสายเศรษฐกิจต่างมีข้อมูล คำถามและข้อสงสัยในมือ ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าคำถามและไหวพริบของใครมีมากกว่ากัน

เทวากลับห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นไม่นานก็ได้รับข้อความจากปฐวีร์ว่าประชุมเสร็จแล้ว และจะมีแถลงณ์ข่าวต่อ

เทวาขับรถออกมารอรับปฐวีร์ จนมาถึงหน้าตึกสำนักงานใหญ่ Ago Group ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ซึ่งเลยเวลาเลิกงานแล้วลานจอดรถจึงพอจะมีที่ให้จอดรถ พอจอดรถเรียบร้อยแล้วเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข่าวผ่านมือถือ เห็นคนรักสวมสูทสีเข้มพอดีตัวนั่งนิ่งอยู่ฝั่งซ้ายของชายคนหนึ่งกำลังให้สัมภาษณ์ แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อฝั่งขวาเป็นผู้ชายที่เคยเจออยู่สวนสาธารณะเมื่อไม่นานมานี้ ไอ้หมอนี่เป็นใครกัน

“จากข่าวที่ออกมาหลายคนอาจจะอยากรู้ข้อเท็จจริง ทางเราจึงได้เปิดแถลงข่าวเพื่อให้ทุกรับรู้ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางผม ชรรภวัฒณ์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธาน ฝั่งขวามือคือคุณธีรณัฑศ์  วีรวัฒฑณกุล ฯ ทางคณะผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของ Ago Group เห็นพ้องต้องกันว่าเขาเหมาะสมที่ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทชั่วคราว” หลังจากเขาพูดจบทั้งเสียงชัตเตอร์แสงแฟลชรัวใส่ชายหนุ่มแทบลืมตาไม่ขึ้น ไม่พอนักข่าวยังตั้งคำถามมากมาย สงสัยที่มาที่ไปของชายหนุ่มว่ามีที่ไปยังไงทำไมถึงได้รับความเชื่อใจ แต่ก็ถูกรองประธานห้ามไว้

“ส่วนคนที่นั่งฝั่งซ้ายของผมคือ ลูกชายของท่านประธาน คุณปฐวีร์” ปฐวีร์ไหว้ทักทายนักข่าว โชคดีหน่อยที่เขาพอจะเป็นที่รู้จักในสังคมพอสมควรนักข่าวจึงไม่กล้าเสียมรรยาท

“ก่อนอื่นผมจะให้คุณปฐวีร์เปิดเผยข้อมูลอาการป่วยของท่านประธานในส่วนที่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนทำไมถึงไม่ให้แพทย์ประจำตัวท่านมาพูดนั้นเราขอไม่ตอบ” ไม่ใช่แต่แค่นักข่าวที่สงสัยประเด็นนี้ปฐวีร์ก็สงสัยไม่ต่างกัน อาจจะเป็นเพราะแพทย์ไม่สามารถโกหกได้หรือเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างได้ ชั่งเถอะคิดไปก็เปล่าประโยชน์เขาเริ่มตอบคำถามนักข่าวทีละคน หรือสำนักข่าวละคำถาม เท่าที่ทางทินกรได้บอกว่าสิ่งไหนควรพูดสิ่งไหนไม่ควรพูด เพราะทุกคำที่เขาพูดจะมีผลต่ออนาคตบริษัท และชีวิตพนักงานหลายพันคน เขาได้แต่ถอนหายใจ แล้วทำไมต้องเอาเรื่องสำคัญแบบนี้มาให้เขารับผิดชอบด้วย

            บ้านวีรวัฒณกุล ฯ คุณนายรองนั่งหงุดหงิดอยู่หน้าโทรทัศน์ตั้งแต่ที่ได้ยินรองประธานแนะนำปฐวีร์เป็นลูกชายท่านประธาน แล้วลูกชายเธอไม่ใช่รึไง ที่ตรงนั้นสมควรเป็นของลูกชายเธอถึงจะถูก สุดท้ายเด็กนั่นก็หน้าด้านเอาทุกอย่างที่สมควรจะเป็นของเธอและลูกไป นั่นทำให้ในใจเธอไม่กังวลที่จะทำทุกเพื่อลูก ๆ พลพัฒน์ลุกเดินออกจากห้องเงียบ ๆ เกลียด ไม่ชอบขี้หน้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกอย่างนั้นอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รู้สึกไม่ชอบน้องชายที่กำพร้าแม่ เมื่อไหร่ที่เขาอิจฉาอีกฝ่าย พยายามทำทุกอย่างตามคำสั่งแม่ ทำให้ดี แล้วยังไง เขาไม่รู้จะทำไปทำไม ทำเพื่อตัวเองหรือแม่ที่อยากได้สมบัติไม่สนใจว่าเขาจะมีความสุขกับมันรึไม่ แต่กลับเป็นปฐวีร์ที่ช่วยดูแลผู้หญิงที่เขาไม่สามารถดูแลไว้ ที่จริงเขาควรจะอิจฉาน้องชายที่สามารถทำอะไรได้ตามใจคิด ไม่ต้องฟังเสียงคนรอบข้างจนไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนเขาทุกวันนี้ 

            บ้านสุรัตนธรรมวรธิเบศณ์ ทุกคนนั่งดูข่าวถ่ายทอดสด ถึงได้เจอปฐวีร์ไม่กี่ครั้งพูดคุยไม่กี่ประโยค แต่นั่นก็ทำให้ทุกคนก็รู้สึกชอบและหลงเสน่ห์ปฐวีร์โดยไม่รู้ตัว “ดูแล้วแฟนเจ้าเทวาตอบคำถามได้ฉลาดและควบคุมอารมณ์ได้ดีทีเดียว”

“ใช่พี่ธรรมผมก็ว่าอย่างนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันอย่างนั้นยังนั่งมีสมาธิ” หัวหน้าครอบครัวเห็นด้วยกับคำพูดของลูกชายทั้งสอง ส่วนในใจกำลังคิดอะไรหลายอย่าง

“แม่ว่า น้องวีร์ดูผอมไปนะ แม่ไปทำขนมฝากไปให้ดีกว่า” จริญญาพูดแล้วก็เดินเข้าไปในครัว

            ภฤดล กฤติกรณ์ นภาภรณ์และเพื่อนของเปฐวีร์ต่างก็ทยอยส่งข้อความให้กำลังใจ จนมือถือบนโต๊ะสั่นจนเกือบตกพื้น ทำให้เขาได้รู้ว่าเวลาแบบนี้มีเพื่อนที่คอยเป็นห่วงไม่กี่คนดีกว่ามีคนในครอบครัวเยอะแยะ แต่กลับไม่มีความจริงใจให้กันเป็นไหน ๆ

            การแถลงข่าวเป็นไปอย่างราบรื่นทุกคนช่วยกันขอบคุณนักข่าวจากหลายสำนักที่ให้เกียรติมา นักข่าวทยอยกลับ ปฐวีร์สะกิดทินกรว่าเขาจะกลับได้รึยัง ทินกรบอกได้ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว แต่หลังจากนี้เขาจะติดต่อไปอีกที ได้กลับแล้วเขารีบออกจากห้องโทรหาเทวาถามว่าอยู่ตรงไหน ปลายสายตอบกลับมาว่าอยู่ลานจอดรถ ปฐวีร์ชะเง้อมองหา แล้วก็มีคนเดินเข้ามาคุยด้วย “กลับยังไงให้พี่ไปส่งไหม”

“ไม่รบกวนครับ พอดีมีคนมารับ”

“อืม เดินทางปลอดภัย แล้วเจอกันใหม่” ปฐวีร์ไม่ตอบรับแต่เดินตรงไปที่รถจอดอยู่

ธีรณัฐศ์มองรถเลี้ยวออกไปจากลานจอดรถไป ดวงตาสีเข้มฉายแววความรู้สึกหลากหลายออกมาก่อนจะหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            เหนื่อยมาทั้งวันเทวาพาปฐวีร์แวะหาอะไรกินก่อนกลับขึ้นห้อง ปฐวีร์เห็นด้วยตอนนี้รู้สึกปวดแสบกระเพาะไปหมดไม่รู้ว่าเครียดจากประชุมต่อด้วยแถลงข่าวที่ไม่ได้ตั้งตัวนั่น หรือหิวกันแน่ ดึกมากแล้วแต่โชคดียังดี ร้านโจ๊กใกล้ที่พักยังเปิด ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะเจ้าของร้านก็รีบเข้ามาถามทันทีว่าต้องการสั่งอะไรบ้าง เขาสั่งโจ๊กทรงเครื่องพิเศษ หันไปถามคนข้าง ๆ เทวาบอกเอาเหมือนกัน รอไม่นานโจ๊กถ้วยโตเต็มไปด้วยเครื่องก็ถูกมาเสิร์ฟ

“เป็นยังไงบ้างประชุมครั้งแรก”

“น่าเบื่อ ฟังไม่รู้เรื่องพูดอะไรก็ไม่รู้ ผมแค่เข้าไปยกมือกับพยักหน้า” น่าจะเท่านั้นนะที่จำได้ “พี่ได้ดูตอนที่ผมให้สัมภาษณ์เปล่า”

“บันทึกเก็บไว้เรียบร้อย อยากดูไหม”

“อืม พอดีเลยอยากเห็นว่าตัวเองเป็นยังไงบ้าง”

“กินเสร็จขึ้นห้องแล้วค่อยดู” ปฐวีร์พยักหน้าเป่าโจ๊กในช้อนให้หายร้อนแล้วตักเข้าปาก ไม่นานโจ๊กในถ้วยก็มาอยู่ในท้องเขาลูบท้องที่ป่องขึ้นเล็กน้อย ได้กินอะไรอุ่น ๆ ย่อยง่าย กระเพาะก็รู้สึกสบายขึ้นมาก

กลับขึ้นห้องก็เกือบเที่ยงคืน เทวาปิดไฟห้องข้างนอกเข้ามาในห้องนอน เห็นอีกฝ่ายนอนดูคลิปที่เขาบันทึกไว้ ปฐวีร์ดูไปหัวเราะตัวเองไป ตอนที่ตอบคำถามเหมือนไม่ใช่ตัวเองยิ่งใส่สูทนั่งตัวตรงทำหน้าจริงจังแบบนั้นแล้วด้วย ไม่นึกว่าตนเองจะสามารถเล่นละครได้เก่งแบบนี้ เห็นทีถ้าภายในสองสามวันนี้มีผู้จัดหรือผู้กำกับติดต่อไปถ่ายละครก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

            ข่าวอาการป่วยของประธาน Ago Group ได้รับการยืนยันเป็นที่เรียบร้อยจากบุตรชาย และยังเป็นถึงหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถึงหลายต่อหลายคนสงสัยว่าทำไมถึงไม่ให้ทางโรงพยาบาลและแพทย์ประจำตัวของท่านประธานออกมาพูด แต่ทาง Ago Group ก็ประกาศประธานคนใหม่ขึ้นมาแทนชั่วคราว พอที่จะทำให้ทุกคนหันมาสนใจประธานหนุ่มคนใหม่แทน หลายคนเร่งสืบหาข้อมูลประธานคนใหม่เพิ่มเติม ในขณะเดียวกันนักลงทุนเริ่มให้ความไว้วางใจ Ago Group ถึงจะยังไม่เชื่อใจเหมือนเดิม แต่หุ้นของบริษัทก็ยังไม่ร่วงลงจนน่าตกใจเหมือนในช่วงหลายวันที่ผ่านมา คณะผู้บริหารต่างหายใจโล่งขึ้น และเตรียมที่จะวางแผนรองรับในระยะยาวหากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก

คุณนายรองอาศัยช่วงเวลานี้รวบรวมเอกสารยื่นต่อศาลเพื่อขอให้ปทีปเป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ และให้เธอคู่สมรสเป็นผู้อนุบาลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตามที่พ่อของเธอแนะนำ

            ปฐวีร์ยังใช้ชีวิตปกติ ถึงจะแตกต่างตรงที่เลิกเรียนบางวันต้องไปแวะไปดูอาการพ่อหรือสอบถามอาการความคืบหน้าจากคุณหมอ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ช่วงเวลาสอบก็ใกล้เข้ามาอีกครั้งมีหลายเรื่องทำให้ไม่สบายใจ ทำให้ไม่เข้าใจบทเรียนไปบ้าง ยังดีมีเพื่อน ๆ คอยช่วย ส่วนเรื่องที่ต้องเข้าไปเรียนรู้งานเขาขอเวลาอีกสักพัก ในเมื่อบริษัทมีคนเยอะแยะก็ให้ทำกันไป เพิ่มเขาที่ทำอะไรไม่เป็นก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เรียนช่วงเช้าผ่านไปเขาลงไปหาอะไรกินกับเพื่อนที่โรงอาหาร วางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะต่างแยกย้ายไปหาของกิน มัวแต่สนใจเรื่องตัวเองมากเกินไปจนลืมมองรอบข้างว่ามีคนสายตาหลายคู่มองมา คงเป็นผลมาจากการแถลงข่าววันนั้น เดินตามกลิ่นอาหารไปถึงหน้าร้านข้าวแกง เขาเลือกข้าวแกงสองสามอย่าง ได้ไข่พะโล้สองฟอง ผัดเต้าหู้ทรงเครื่องและปีกไก่ทอดอีกชิ้น ซื้อน้ำหวานสักแก้วกลับมาที่โต๊ะนั่งฟังเพื่อนคุยเรื่องซีรีย์เกาหลีเรื่องใหม่ที่เพิ่งฉายได้ไม่กี่ตอน แต่พระเอกหล่อนางเอกสวย แล้วเนื้อเรื่องล่ะทำไมไม่มีใครพูดถึง

”พระเอกเป็นนักร้องวงบอยแบนด์ด้วยนะ ชื่อวงอะไรจำไม่ได้ ร้องเพลงอะไรฟังไม่รู้เรื่องรู้แต่ว่าหล่อ”

“ขิงฟังแล้วรู้สึกสงสารพระเอกซีรีย์คนนี้ชะมัด”

“ใช่สิผู้หญิงเดี๋ยวนี้ชอบแต่ขาว ๆ โอปป้า หล่อเข้มแบบนายหัวเลยไม่เป็นที่นิยม” กายอดบ่นไม่ได้ตั้งแต่นั่งลงได้ยินแต่เพื่อนพูดถึงผู้ชายในลักษณะนั้น สองสาวต่างรีบพูดปลอบใจกลัวเพื่อนเสียความมั่นใจ ปฐวีร์นั่งฟังไปยิ้มไป เรื่องแบบนี้เขาไม่ขอออกความคิดใด ๆ ก็คงเพราะที่มองจากภายนอกอย่างเดียวนี่แหละทำให้เขาต้องฝันเห็นตัวเองตายอย่างน่าสงสาร ขณะที่นั่งเศร้ากับชีวิตก็ได้ยินเสียงข้อความดังขึ้น เขาหันไปมองปิ่นอนงค์กำลังเปิดอ่านข้อความในโทรศัพท์ ริมฝีปากสีสวยของเธอปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ แต่เขาเห็นแล้วรู้สึกขนลุก เขากำลังจะถามว่ามีเรื่องอะไรดี ๆ ปิ่นอนงค์เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้แล้วใช้นิ้วชี้ชิดริมฝีปากบอกให้รู้ว่าเป็นความลับตอนนี้ยังบอกไม่ได้ เขาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ผู้หญิงคนนี้กำลังมีความสุขกับการทำให้เพื่อนสนิทของเธอได้รับความรู้สึกเดียวกันกับเธอ คนแรกคือพิศนภาคนต่อไปคงเป็น.....พิมพ์รตา

“เออนี่ เรียนเสร็จแล้ววันนี้ไปร้องคาราโอเกะกัน” พีรพัฒน์พูดแทรกขึ้น

“ฮือ อยู่ดี ๆ ทำไมถึงอยากไปร้องคาราโอเกะ”

“ไม่มีอะไรแค่อยากไปแหกปากเท่านั้น”

“ถ้างั้นเราขอผ่าน เรายังไม่อยากให้หูพิการ” ปฐวีร์ได้ยินคำตอบแล้วปฏิเสธเป็คนแรก

“เฮ้ย ล้อเล่นก็อยากชวนไปเปิดหูเปิดตาบ้างเดี๋ยวสอบแล้วก็ต้องมานั่งอ่านหนังสือปวดหัวอีก” ทุกคนเห็นด้วยกับพีรพัฒน์ หลังจากเรียนเสร็จทุกคนตรงไปที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัย ไปถึงโซนคาราโอเกะเสียงเพลงกำลังฮิตช่วงนี้ดังแว่วออกมาจากแต่ละห้อง

พีรพัฒน์บอกพนักงานว่าอยากได้ห้อง VIP พนักงานบริการด้วยรอยยิ้มและความเต็มใจ บอกหมายเลขห้องที่ว่างให้ทราบ ทุกคนช่วยกันเลือกห้องและเดินตามกันเข้าไปในห้อง VIP ในห้องมีโซฟาตัวโต และจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ พวกเขาสั่งของกินเครื่องดื่มมาสามสี่อย่าง พีรพัฒน์รีบคว้าไมค์เป็นคนแรก กดเลือกเพลงที่อยากร้อง วจีกับน้ำขิงก็แย่งกันเลือกเพลง กายไม่ถนัดเรื่องแบบนี้เขาขอนั่งฟังเงียบ ๆ ส่วนปฐวีร์เลือกกินแล้วร้องคลอไปกับเสียงเพลงเบา ๆ พร้อมพิมพ์ข้อความคุยกับเทวาบอกว่าออกมาเที่ยวกับเพื่อนอีกฝ่ายจะได้ไม่เป็นห่วง ข้อความตอบกลับบอกว่าจะรอกินข้าวเย็น เท่านั้นเขาก็วางเฟร้นฟรายในมือลงกลัวว่าจะอิ่มก่อน  เพลงแรกจบลงพีรพัฒน์ได้รับเสียงปรบมือจากเพื่อน ๆ อย่างคาดไม่ถึงว่าเพื่อนตัวเล็กจะมีความสามารถร้องเพลงได้เก่งขนาดนี้ คนได้รับเสียงปรบมือเสียงชมยิ้มกว้างรีบเลือกเพลงต่อไป วจีกับน้ำขิงไม่ยอมแพ้พวกเธอจะร้องบ้าง ปฐวีร์มองทุกคนก็ยิ้มออก บางครั้งได้ออกมาสนุกกับเพื่อนทำอะไรเรื่อยเปื่อยแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนก็ดีเหมือนกัน เพลงเริ่มเปลี่ยนจังหวะทุกคนก็ลุกขึ้นขยับตามเสียงเพลง

“วีร์ไปเข้าห้องน้ำกัน” พีรพัฒน์กลั้นอยู่นานลากเพื่อนออกไปห้องน้ำ “เฮ้ย อะไรจะรีบขนาดนั้น”

“ไม่รีบได้ไงเดี๋ยวกลับมาอดร้องเพลงทำไง”

“เป็นโรคติดไมค์รึไง”

“ใช่ ไปกันเถอะ”

ทั้งสองเดินตามทางลูกศรชี้ ระหว่างที่เดินออกมาเห็นบางคนออกมายืนสูบบุหรี่ คุยโทรศัพท์ เข้าไปในห้องน้ำปฐวีร์บังเอิญเห็นพีรพลธ์กำลังยืนคุยกับผู้ชายสองคนอยู่มุมห้อง เขาเลือกทำเป็นมองไม่เห็น แต่ไม่ทันแล้วดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นเขาเข้าแล้ว เขารีบเดินเข้าห้องน้ำที่ว่างอยู่ มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยรู้สึกดีใจคุณนายรอง เธอจะรู้ไหมว่าลูกชายคนเล็กที่บอกว่าต้องไปเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน ขยันถึงขั้นแอบมาเรียนพิเศษอยู่ที่โซนคาราโอเกะในห้างสรรพสินค้า

“ใคร” โจ้ถามพีรพลธ์ที่มีท่าทางตกใจเมื่อเห็นใครสักคน

“เอ่อ พี่ชายอีกคน”

โจ้มองตามผู้ชายสองคนที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ หนึ่งในนั้นมีคนหน้าตาคล้ายพีรพลธ์อยู่บ้าง “แกนี่มีพี่กี่คน แต่คนนี้ดูดีถูกใจ”

“แต่นั่นผู้ชายนะพี่ อดยากขนาดนั้นเลยรึไง” พีรพลธ์อดบ่นไม่ได้

“ฉันไม่ได้โง่ขนาดแยกไม่ออก ผู้ชายแล้วไงถ้าฉันถูกใจ” โจ้พูดแล้วก็เลียริมฝีปากจ้องไปที่ประตูที่ร่างปฐวีร์หายเข้าไป คนถูกพูดถึงกำลังรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว เขาได้กลิ่นอันตรายแต่ไม่รู้มาจากไหน ปฐวีร์ทำธุระเรียบร้อยออกมาล้างมือเห็นผู้ชายที่ยืนอยู่กับพีรพลธ์ยืนกอดอกพิงผนังห้องน้ำมองตรงมาที่เขาพร้อมรอยยิ้มที่ชวนขนลุก เขาทำเป็นไม่สนใจ โจ้เห็นท่าทางอีกฝ่ายยิ่งรู้สึกอยากแกล้ง เขาเดินเฉียดเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วเป่าลมใส่ต้นคอขาวก่อนเดินออกไป ปฐวีร์ตัวแข็งไปแล้วไม่กล้าขยับตัว เขาได้กลิ่นอันตรายมาจากผู้ชายคนนั้นอย่างชัดเจน กลิ่นเมื่อครู่ทั้งรุนแรงและฉุนจนอยากอาเจียน ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครแต่สัญชาตญาณเตือนให้อยู่ให้ห่างจากผู้ชายคนนั้น สงบสติอารมณ์แล้วกลับเข้าไปในห้อง ฟังน้ำขิง กับวจีร้องเพลงต่ออีกสองสามเพลง จากนั้นทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ

            ปฐวีร์นั่งรถไฟฟ้ากลับโชคดีวันนี้มีที่ว่างให้นั่ง ปกติแทบไม่มีที่จะให้ยืน กลับมาถึงห้องเห็นคนนอนหลับให้โทรทัศน์ดู หืม จำได้ว่านี่คือห้องเขา วางกระเป๋าและของกินไว้บนโต๊ะกับข้าว แล้วไปนั่งลงข้างล่างโซฟามองหน้าคนหลับอย่างมีความสุขก็อดยิ้มไม่ได้ อะไรที่ทำให้เขาเลือกคบกับอีกฝ่าย เพื่อเปลี่ยนอนาคตหรืออะไร ตอนแรกอาจจะเป็นเพราะต้องการเปลี่ยนอนาคต แต่ตอนนี้มันมีอะไรมากกว่านั้นที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เทวาพิทักษ์ สุรัตนธรรมวรธิเบศณ์ ลูกชายคนเล็กเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เคยได้ยินคนพูดถึงบ่อย ๆ พอได้มองหน้าอีกฝ่ายใกล้ ๆ ชัด ๆ อย่างนี้ว่าไปแล้วก็หล่อจนน่าอิจฉา ขนตาก็ยาว จมูกนี่อีก เขาใช้นิ้วลูบริมฝีปากเบา ๆ

“โอ๊ย เป็นหมารึไงงับมาได้” นิ้วเรียวถูกคนที่คิดว่าหลับอยู่งับเบา ๆ

“อืม กลับมานานแล้วเหรอ”

“เพิ่งมาถึงเห็นโจรแอบย่องเข้ามานอนในห้อง ถึงว่าค่าไฟเดือนนี้ขึ้นตั้ง 200”

“โจรอะไรจะหล่อขนาดนี้” เทวาลืมตาข้างเดียวดึงอีกฝ่ายขึ้นมานอนเบียดบนโซฟา ถือโอกาสซบหน้าลงบนซอกคอดมกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ผสมเหงื่อ

“ใครบอก” ปฐวีร์เบื่อจะพูดกับคนหลงตัวเอง

“ไม่มีใครบอกแต่ขนาดหลับอยู่ก็มีใครบางคนแอบมาจับ ๆ ลูบ ๆ หรือไม่จริง” ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม รู้สึกดีเมื่อคิดว่าตัวเองสามารถดึงดูดอีกฝ่ายได้

“เปล่า แค่ไล่ยุงให้กลัวไม่สบายเป็นห่วง” ปฐวีร์ปฏิเสธไม่เต็มปาก แล้วรีบแก้ตัว ใครจะยอมรับว่าทำเรื่องอะไรแบบนั้นน่าอายจะตาย “แล้วดมอยู่ได้ไม่เหม็นรึไง” เขารู้สึกจั๊กจี้ที่คอ ท่าทางจะเป็นหมาถ้าไม่กัดก็ดม

“ไม่รู้สิบอกไม่ถูกแต่ชอบกลิ่นนี้ ฟอด” พูดแล้วก็พิสูจน์โดยการหอมแก้มอีกฝ่าย คนถูกฉวยโอกาสถึงกับพูดไม่ออก หน้าเห่อแดงเพราะกำลังเขิน แต่ปากก็ยังไม่ยอมแพ้

“จมูกมีปัญหารึเปล่า หรือไม่ก็สมอง” ปฐวีร์ขยับยุกยิกไปมาเพื่อหนีจมูกจอมฉวยโอกาส

“หึ หึ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้” มือหนาลูบแผ่นหลังอีกฝ่ายเบา ๆ “แล้วไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกไหม”

“สนุกดีครับ นานทีไปแหกปากเสียงดัง เต้นแร้งเต้นกาก็ดีเหมือนกัน”

“ไม่รู้ว่าเราชอบอะไรแบบนั้น“

“เปล่า แค่เพื่อนชวนไป ใกล้จะสอบแล้วด้วยเลยไปผ่อนคลาย”

“อืม หิวยังไปหาอะไรกินกัน” เทวาลูบผิวเนียนจนรู้สึกหิวคนตัวเล็กจนส่วนนั้นปวดทรมานไปหมดปฐวีร์กลับเข้าใจคนละเรื่อง “ผมซื้อสเต๊กกับสปาเกตตี มีน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องหน้าร้านสะดวกซื้อที่พี่ชอบด้วย” เทวาขอบคุณ บอกให้อีกฝ่ายไปอาบน้ำแล้วมากินมื้อเย็นด้วยกัน ส่วนเทวานอนสงบอารมณ์บนโซฟา สัมผัสนุ่มเนียนติดอยู่ที่ปลายนิ้ว กลิ่นปฐวีร์ยังวนเวียนอยู่ปลายจมูก เล่นเอาเขาแทบควบคุมความรู้สึกไว้ไม่ได้ คลื่นพายุค่อย ๆ ผ่านไปจนลมสงบลงในเวลาต่อมา จากนั้นเทวาไปเตรียมมื้อเย็น

ปฐวีร์อาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยออกมากลิ่นหอมสเต๊กหมูพริกไทยดำก็โชยมาเรียกน้ำย่อย เทวาจัดหยิบจานออกมาจากไมโครเวฟมาวางบนโต๊ะ ทั้งสองนั่งพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหารมื้อเย็น ปฐวีร์เล่าเรื่องไปเที่ยวให้เทวาฟังต่อ เทวายังบอกอีกด้วยว่าเขาก็ร้องเพลงเพราะเหมือนกัน ไว้วันหลังจะร้องให้ฟัง

“แล้วผมจะล้างหูรอ”

“ได้สำหรับคนพิเศษเท่านั้น”

บ้า ปฐวีร์ค้อนใส่อีกฝ่าย เทวายิ้มชอบใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขาไม่ได้พูดอะไรผิดสำหรับคนพิเศษของเขา ก็อยากทำอะไรพิเศษให้



****************************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 25 [13/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mizunoe ที่ 13-10-2018 19:56:56
วีร์เจอคนอันตรายๆตลอดเลย
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 25 [13/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 13-10-2018 20:09:41
ท่าทางวีร์จะเจอผู้ไม่หวังดีเพิ่มอีกคนแล้ว
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 25 [13/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 13-10-2018 20:13:16
คนมาใหม่ดูอันตรายแฮะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 25 [13/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-10-2018 20:23:06
ตัวอันตรายเยอะเกินจนอยากให้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าบ่อยๆแบบไม่ต้องฝันก้เห็นได้
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 25 [13/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Pupay ที่ 13-10-2018 23:41:06
อ่านรวดเดียวเลย สนุกมากค่ะ ลุ้นตามวีร์ทุกตอน พี่เทวาก็น่ารักเชียวว
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 25 [13/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 14-10-2018 06:55:33
อันตรายรอบทิศทางมาก
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 26 [14/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 14-10-2018 10:30:48
ตอนที่ 26
[/size]



ตารางสอบประกาศออกมาแล้ว หลายคนเริ่มวางแผนอ่านหนังสือ แต่ก็มีหลายคนยังวิ่งส่งงานที่ยังค้างอยู่ บางวิชาปิดคอร์สแล้วเรียบร้อย ทำให้นักศึกษาบางคนว่างพอจะวิ่งตามเก็บวิชาอื่น หลังจากเรียนเสร็จและส่งงานเรียบร้อยปฐวีร์กำลังนั่งรอเทวาอยู่โรงอาหารเหมือนทุกครั้ง แต่ก็มีหมายเลขโทรศัพท์ปริศนาโทรเข้ามา เขาตัดสินใจลองกดรับดู

“สวัสดีครับ” ปฐวีร์กำลังรอฟังว่าเป็นใครโทรมา

“สวัสดีครับ ผม....”  ทันทีที่ได้ยินเสียงพูดฟังดูแล้วไม่คุ้น เหมือนเป็นเสียงผู้ชายที่มีอายุหน่อย

ปลายสายเริ่มแนะนำตัวเองเบื้องต้นและต้องการที่จะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว เขายินดี ทั้งสองนัดเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่มหาวิทยาลัยมากนัก

เทวาเดินมานั่งข้าง ๆ เห็นสีหน้าท่าทางปฐวีร์ก็อดถามไม่ได้ “ใครโทรมา”

“เขาบอกว่าเป็นทนาย”

“ทนาย” คิ้วหนาขมวดเล็กน้อยรู้สึกไม่ค่อยดีกับอาชีพนี้เท่าไหร่

“ครับ เป็นทนายคนสนิทของพ่อ” พูดถึงทนายคนสนิทของพ่อเขานึกถึงชายวัยห้าสิบกว่า ใบหน้ามีรอยยิ้มให้เห็นเสมอ เหมือนจะเคยเจอกันบ่อยครั้งเป็นทนายที่ใจดี เคยพูดคุยกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายติดต่อมาเพื่อมาขอพบ ไม่รู้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หรือจะเกี่ยวกับอาการป่วย คิดแล้วก็อดกังวลใจไม่ได้    เทวาเห็นท่าทางไม่สบายของอีกฝ่าย เขาบอกอย่าคิดมาก ไปเจอก็จะรู้เองว่ามีเรื่องอะไร

            ทั้งสองออกจากมหาวิทยาลัย มาถึงร้านอาหารที่นัดไว้ อีก 10 นาทีจะถึงเวลานัด ปฐวีร์มาถึงก่อนเวลา เมื่อเข้าไปในร้านเขาเลือกนั่งบริเวณที่สังเกตเห็นได้ง่าย ส่วนเทวาหลบไปนั่งอีกมุม นั่งรอไม่นานผู้ชายสูงวัยสวมสูทเข้ามาในร้านสายตาของเขาเหมือนกำลังมองหาใครสักคน จนไปหยุดที่ปฐวีร์ที่นั่งอ่านนิตยสารที่โต๊ะ เขาเดินตรงเข้าไปหาและทักทาย “สวัสดีครับ คุณปฐวีร์”

“เอ่อ สวัสดีครับ คุณ...” เขาพยายามนึกชื่ออีกฝ่าย “คุณลุงทนาย” เป็นปกติที่เรียกมักจะเรียกอีกฝ่ายอย่างนั้น

ชายสูงวัยแต่หน้าตายังดูหนุ่มยิ้มให้ปฐวีร์อย่างไม่ถือสาที่อีกฝ่ายจำชื่อเขาไม่ได้ และแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง “ผมทนายเรืองโรจน์ครับ” หยิบนามบัตรออกมายื่นให้อีกฝ่าย เป็นการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

“ครับ ขอโทษด้วยที่จำชื่อคุณลุงไม่ได้” เขายิ้มแห้งทั้งที่รู้จักกันนานหลายปี รับขนม รับของเล่นจากมืออีกฝ่ายก็บ่อยครั้ง

“ไม่เป็นไรครับ เจอกันล่าสุดก็เมื่อครึ่งปีก่อน เป็นธรรมดาที่จะจำไม่ได้” เรืองโรจน์ยิ้มให้ปฐวีร์

ปฐวีร์แทบสำลักน้ำลายตัวเองตายเขาไม่ได้เป็นคนความจำสั้นเมื่อไหร่ แค่ครึ่งปีไม่ใช่ครึ่งทศวรรษซะหน่อย ปกติก็เรียกแต่คุณลุงทนายตลอด

เรืองโรจน์ยิ้มบางอย่างเข้าใจ “ที่ผมมารบกวนเวลาของคุณวันนี้มีเรื่องบางเรื่องที่ต้องการจะบอกให้คุณทราบ”

“ครับ เรื่องของพ่อ” เขาคาดเดาว่าต้องเป็นเรื่องนี้

“ก็ไม่เชิง แต่ก็เกี่ยวข้อง” เขาหยุดพูด มองชายหนุ่มที่หน้าตาคล้ายปทีปกับหนึ่งฤทัย เขารู้จักทั้งสองตั้งแต่ที่ยังไม่มีอะไร จนค่อย ๆ เติบโต เด็กต่างจังหวัดกับเด็กกำพร้ามาเจอกันและเป็นเพื่อนกัน พวกเขายังคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าจะมีวันนี้ วันที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในตอนแรกที่ปทีปบอกว่าอยากเป็นเจ้าของบริษัท อยากรวย เขาได้แต่นั่งหัวเราะ เพราะวันนั้นเงินในกระเป๋าของพวกเขาทั้งสองรวมกันยังไม่ถึงห้าร้อยด้วยซ้ำ ใครจะคิดว่าหลายปีต่อจากนั้นพวกเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ เขายังดีใจที่ในวันนั้นพวกเขาไม่ยอมแพ้ให้กับปัญหาและอุปสรรค เขาหยุดความคิดทุกอย่างไว้แล้วมองปฐวีร์ให้ชัดอีกครั้ง พูดถึงจุดประสงค์ของการมาพบปฐวีร์วันนี้

 “คุณนายรองทำเรื่องยื่นต่อศาลให้คุณพ่อคุณเป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ จากนั้นเธอทำเรื่องขอให้เธอเป็นผู้อนุบาล”

“หึ” ปฐวีร์ทำเสียงขึ้นจมูก “นี่ขนาดพ่อยังไม่ตายก็อยากได้สมบัติกันตัวสั่นแล้ว ที่ได้กันทุกวันมันยังไม่พอรึไง หรือความโลภมันบังตาจนตาบอด จนไม่รู้ว่าสิ่งควรที่จะทำคือทำให้พ่อฟื้น ไม่ใช่เรื่องงี่เง่าแบบนี้”  ปฐวีร์พูดออกแล้วก็ยิ่งโมโห เวลานั้นเห็นรักพ่อจะเป็นจะตาย เอาอกเอาใจจนน่าหมั่นไส้

“ถ้าคิดในแง่ดีบางทีการป่วยของพ่อคุณอาจจะช่วยให้เห็นอะไรหลายอย่าง” ปฐวีร์มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่โง่ พอจะรู้อยู่บ้างการแต่งงานเกิดจากผลประโยชน์ แล้วมันยังไง หรือ....

“อย่างที่คุณเข้าใจ หลายเรื่องที่เกิดบริษัทคุณนายรองมีส่วน รวมถึงเรื่องที่เธอยักยอกเงิน ที่จริงไม่ถูกคนที่ยักยอกคือนายทศพล“

ปฐวีร์ได้ฟังแล้วแปลกใจ เขารู้จักทศพล พ่อของคุณนายรอง หน้าตาเหมือนคนไม่ดีเขาเคยคิดอย่างนั้น แต่ไม่นึกว่าจะเป็นความจริง นี่ขนาดยักยอกเงินในบริษัทพ่อ มันจะมากไปแล้ว

“เขากำลังจะทำอะไร คงไม่ได้อยากได้บริษัทพ่อหรอกนะ” เขาพูดในสิ่งที่สงสัยออกไป

“พวกเราคิดไว้น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะพนักงานในบริษัทส่วนหนึ่งเป็นคนของทศพล และข่าวอาการป่วยของพ่อคุณก็น่าจะเป็นเขาปล่อยออกมา”

“อือ เท่านี้ก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนทำ ส่วนจุดประสงค์ก็ชัดเจน นายธีรณัฑศ์อะไรนั่นเป็นคนของคุณนายรองรึเปล่าครับ”

“ไม่ใช่เขาเป็นคนที่พ่อแม่ของคุณอุปการะไว้ตั้งแต่เด็ก เชื่อใจได้ ถ้าพ่อคุณรู้ว่าผมเอาเรื่องพวกนี้มาพูดให้ฟังคงถูกตัดเงินเดือนแน่ ๆ” เรืองโรจน์รู้ว่าตัวเองยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่ไม่ว่าช้าหรือเร็วปฐวีร์ก็ต้องรู้เรื่องในบริษัทเขาคิดว่าเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

หึ ลุงทนายเจ้าเล่ห์ ทำไมเขาถึงนึกไม่ถึงว่าภายใต้รอยยิ้ม และหน้าตาอบอุ่นนี้ซ่อนอะไรไว้หลายอย่าง ปฐวีร์ถอนหายใจกลอกตาเม้มปากอย่างยอมแพ้ “บอกมาเถอะครับคุณลุงต้องการให้ผมช่วยทำอะไร” เรืองโรจน์มองชายหนุ่มตรงหน้าแล้วยิ้มอย่างพอดี ยังไงลูกชายปทีปก็ต้องเหมือนปทีป สมกับเป็นหลายชายของเขาจริง ๆ

“คุณฉลาด เข้าใจอะไรง่ายกว่าที่ผมคิด สิ่งที่คุณต้องทำคือเข้าไปช่วยงานบริษัท เข้าไปแล้วคุณก็รู้เอง” ปฐวีร์ขมวดคิ้วอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจขนาดนั้นกัน

“ผมต้องอยู่ที่นั่นนานเท่าไหร่”

“สักระยะ”

ปฐวีร์นั่งเงียบอยู่บนโซฟาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่กลับมาจากร้านอาหาร คำพูดทุกคำพูดของลุงทนายนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัว เรื่องทุกอย่างมันเชื่อมโยงกัน แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่คิดยังไงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ลุงทนายยังไม่ได้บอกทุกอย่างกับเขา ส่วนทำไมเอาเรื่องพวกนี้มาบอกกับเขาไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย แล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากทำตามแผนของลุงทนาย เทวานั่งมองคนแสดงสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างเป็นห่วง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคุยอะไรกันกับทนายคนนั้น คนถูกจ้องเริ่มรู้สึกตัวว่าทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วง จึงได้พูดอะไรสักอย่าง

“ผมต้องเข้าไปช่วยงานที่บริษัท” เขาพยายามพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ คิ้วหนาขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ถ้าอีกฝ่ายตัดสินใจที่จะทำเขาก็พูดอะไรได้อีก

            จากนั้นหลายวันปฐวีร์ติดต่อไปทางทินกรว่าหลังปีใหม่จะเข้าไปที่บริษัท ทินกรตอบตกลงและจะเตรียมทุกอย่างไว้ให้

ต่อจากนั้นอีกหลายวันก็เข้าสู่การสอบ ปฐวีร์แค่กางหนังสือออกก็ง่วงแล้ว ยังดีที่ได้ชีทสรุปย่อที่เพื่อน ๆ ช่วยกันทำขึ้นช่วยชีวิตไว้ ใกล้ถึงปีใหม่อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ หลายคนอยากเร่งวันเร่งคืนให้สอบเสร็จเร็ว ๆ จะได้เตรียมตัววางแผนไปเที่ยวช่วงปีใหม่ ปฐวีร์กลับไม่อยากถึงเพราะปีนี้ไม่รู้จะต้องทนเหงาข้ามปีอีกรึเปล่า จะกลับบ้านใหญ่พ่อก็นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล สายตายังจ้องตัวหนังสือบนกระดาษแต่สมองคิดเรื่องอื่น เทวาเห็นท่าทางใจลอยอีกฝ่ายจนต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“เปล่า แค่ไม่รู้ว่าปีใหม่จะไปไหน”

“อืม วันแรกยังไม่ทันสอบจะไปเที่ยวซะแล้ว” พูดแล้วก็คิดได้ว่าพ่อของอีกฝ่ายยังป่วยอยู่โรงพยาบาล “กลับบ้านกับพี่สิ”

“จริงเหรอ ได้เหรอ”

“อืม ทุกคนยินดีต้อนรับเราเสมอ คุณแม่ยังบอกว่ากลับบ้านอย่าลืมพาน้องวีร์กลับมาด้วยนะ”

“พูดอย่างนี้แสดงว่าพี่เทวาอิจฉาน้องวีร์ล่ะสิ” ปฐวีร์ล้อเลียนอีกฝ่าย

“เปล่า พี่เทวาอิจฉาคุณแม่” ปฐวีร์อดหน้าแดงกับคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ “บ้าจะอิจฉาทำไม” เห็นคนหน้าแดงเทวาก็ยิ้มอารมณ์ดี เขยิบเข้าใกล้แล้วหอมลงแก้มใส คนถูกจู่โจมแบบไม่ได้ตั้งตัวหน้าแดงกว่าเดิมและก็มีความสุข ปฐวีร์ได้แต่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะญี่ปุ่นแอบยิ้มคนเดียว

“อ่านหนังสือต่อเถอะ” เขาอยากเถียงว่าใครจะไปมีสมาธิอ่านหนังสือ มือข้างหนึ่งเลื่อนมาวางที่หน้าอกรู้สึกหัวใจกำลังเต้นแรงกว่าปกติ ทำไมกันนะแค่คำพูดไม่กี่คำ การกระทำแค่เล็กน้อยกลับทำให้เขามีความสุข หรือเขาจะตกหลุมรักผู้ชายคนนี้เข้าให้แล้ว นี่เขาใจง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ

            การสอบวันแรกผ่านไป วันที่สอง วันสาม และวันสุดท้าย ปฐวีร์ออกมาห้องสอบไม่ต่างจากซากศพ เขาออกจากห้องสอบเป็นคนสุดท้ายในกลุ่ม เพื่อน ๆ ต่างถามว่าเขาทำข้อความสอบได้ไหม ทำข้อนี้ได้ไหม ข้อนี้ตอบอะไร ข้อนี้ตอบอย่างนี้ถูกไหม เฮ้ย นี่เขาไม่ได้เป็นคนออกข้อสอบนะ จะได้รู้คำตอบได้ไง อ่านหนังสือก็เล่มเดียวกัน เวลาเรียนก็เท่ากัน แต่อาจจะแค่ความจำดีกว่าคนปกติทั่วไปเท่านั้นเอง “หิวแล้วไปหาอะไรกินกันเถอะ”

“ป่านนี้โรงอาหารปิดแล้ว ไปหาอะไรกินหน้ามหาวิทยาลัยดีกว่า”

“ไปเถอะไปกินที่ไหนก็ได้ ข้อสอบมันดูดพลังงานไปหมดจนไม่เหลือแล้ว”

ทุกคนตรงไปที่หน้ามหาวิทยาลัย เห็นร้านสเต๊กเลยตกลงกันไปที่นั่น เข้าไปในร้านบรรยากาศหน้านั่งกว่าที่คิด มองไปรอบร้านมีลูกค้านั่งอยู่หลายโต๊ะ เลือกที่นั่งได้ทุกคนต่างสั่งอาหาร ระหว่างรอก็ยังคุยเรื่องข้อสอบ ปฐวีร์คิดว่าอุตส่าห์เอาชีวิตรอดออกมาจากห้องสอบแล้วนะ แต่ก็ตอบส่ง ๆ ไป พอทุกคนได้ฟังคำตอบก็ทำน่าเศร้า นั่นไงแล้วจะอยากรู้ทำไม รอไม่นานสเต๊กก็ทยอยมาเสิร์ฟ ได้กินอะไรเข้าไปร่างกายก็ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

“ใกล้จะปีใหม่แล้วไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง” พีรพัฒน์ถามขึ้น

“วจีไม่ได้ไปไหนพอดีได้ซีรีย์มาหลายเรื่อง กะจะดูให้ฉ่ำปอด”

“ขิงจะไปเที่ยวกับครอบครัว”

“เราคงไปเที่ยวแถว ๆ นี้แหละ”

“แล้ว วีร์ล่ะ” ทุกคนต่างมองมาที่เพื่อน

“ไปเที่ยวบ้านแฟน” คำตอบของปฐวีร์เล่นเอาทุกคนเงียบ

“เฮ้ย ได้ไงวีร์มีแฟนแล้วทำไมพวกเราไม่เห็นรู้เลย”

“หน้าตาเป็นไง สวยไหม”

“เรียนที่ไหน คณะอะไร”

“เฮ้ย ทุกคนเงียบพวกคุณกำลังล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของเพื่อนอยู่ แล้วมีรูปไหม” พีรพัฒน์พูดจบเพื่อน ๆ อดเคืองไม่ได้ ส่วนปฐวีร์ถูกยิงคำถามจนพรุน

“จะว่ายังไงดี หน้าตาไม่สวยแต่หล่อ ส่วนเรียนอยู่ที่ไหน เรียนอยู่คณะข้าง ๆ เรานี่เอง แล้วก็ทุกคนก็รู้จักและเคยเห็นหน้ามาก่อน” ทุกคนตกใจตั้งแต่ที่ได้ยินว่าหล่อแล้ว พวกเขายังคิดว่าฟังผิดคิดว่าสมองเกิดรัดวงจรหลังจากเจอเรื่องหนักจากการสอบมา

“อย่าบอกนะว่าวีร์มีแฟนเป็นผู้ชาย” พีรพัฒน์ตั้งสติได้ก่อนเพื่อน

“พลั๊ว” มือวจีตีบนไหล่พีรพัฒน์ไปทีหนึ่ง

“โอ๊ย เจ็บนะ เราถามแค่สงสัยเท่านั้นไม่ได้มีเจตนาอื่น รู้ว่าเรื่องแบบนี้เป็นความชอบส่วนตัว แล้วเขาชื่ออะไร”

“ยังจะถามอีก”

“ไม่เป็นไรถามได้ ไม่มีอะไรต้องปิด” พูดแล้วสังเกตปฏิกิริยาของเพื่อนแต่ละคน วันนี้ไม่รู้ยังไงสักวันก็ต้องรู้ สู้ให้เพื่อน รู้จากปากเขาเองยังจะดีกว่า “ชื่อว่าเทวา” วจีได้ฟังแล้วต้องหันไปมองกันกับน้ำขิงแล้วยิ้ม

            หลังสอบเสร็จแค่กินสเต็กไม่กี่ชิ้นยังไม่พอใจ พวกเขาย้ายจากสเต๊กไปร้านเหล้าแถวมหาวิทยาลัย เป็นร้านที่พี่รหัสพามาเลี้ยงบ่อย ๆ ปฐวีร์ถูกทุกคนลากมาบอกว่าเลี้ยงฉลองสอบเสร็จ เคยปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่งจะปฏิเสธอีกครั้งก็ออกจะน่าเกลียดเกินไปเลยต้องปล่อยเลยตามเลย

เครื่องดื่มหลายดีกรีทยอยมาเสิร์ฟ ตามมาด้วยกับแกล้มอีกหลายอย่าง คนคอไม่แข็งอย่างเขาขอแบบที่ดีกรีต่ำ นั่งจิบไปสลับกินกับแกล้มไปด้วย สายตามองรอบเห็นคนกำลังทยอยเข้ามาในร้านมากขึ้น วันนี้เทวาก็ออกไปฉลองกับเพื่อน ๆ เหมือนกันไม่รู้ร้านไหน แต่ก็ยังอุตส่าห์บอกเขาว่าอย่าดื่มเยอะถ้าจะกลับให้โทรบอกจะมารับ แหมความรู้สึกของการมีคนคอยเป็นห่วงมันดีอย่างนี้นี่เอง ดนตรีเริ่มขยับจังหวะขึ้นเล็กน้อย โทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นเตือน เขาหยิบออกมาเป็นเบอร์แปลกโทรมาอีกแล้ว คราวก่อนก็เป็นคุณลุงทนาย คราวนี้จะเป็นใครอีกล่ะ เขาเลื่อนหน้าจอรับ ปลายสายตอบกลับมาเป็นเสียงไม่คุ้น

“พี่เองพี่ณัฑศ์” พี่ณัฑศ์ พี่ณัฑศ์ไหนล่ะเนี่ยจำไม่เคยได้ว่ามีพี่ชายชื่อนี้

“อ้อ จำได้แล้ว แต่จำไม่ได้ว่าสนิทถึงขนาดเคยให้เบอร์ติดต่อไปนี่ พี่เอาเบอร์ผมมาจากไหน”

“ได้มาจากทินกร”

“อ้อ แล้วมีไรโทรมารบกวนคนอื่นเขา”

“หึ หึ” ปลายสายหัวเราะได้ยินเสียงบ่นแว่วมา แทนที่จะรู้สึกโกรธแต่กลับมีความสุขที่ได้ยิน “พอดีทินกรวานให้เอาเอกสารมาให้”

“อ้าว ไหนพี่กรบอกว่าจะแวะเอามาให้” พี่กรคนโกหก

“พอดีทินกรติดงานด่วนน่ะ แล้วเราอยู่ไหนทำไมเสียงดัง”

“มาเที่ยวตามประสาวัยรุ่น จะเอาเอกสารมาให้ก็รีบมา เดี๋ยวส่งแผนที่ให้” วางสายไปแล้วส่งแผนออนไลน์ที่ไปให้ จะมาถูกรึเปล่านั่นก็อีกเรื่อง แบร่ เขาแลบลิ้นใส่โทรศัพท์เชิญตามหาได้เลยทั้งคืนหายังไงก็ไม่เจอหรอก แต่ก็ผิดคาดเมื่อธีรณัฑศ์โทรกลับมาอีกครั้งบอกว่าอยู่หน้าร้านแล้ว นั่นทำให้เขาแปลกใจมันยังไม่ถึงชั่วโมงเลยนะ ปฐวีร์เดินเซไปหน้าร้านเห็นชายหนุ่มยืนยิ้มโบกมือให้ มาจริง ๆ ด้วยไม่ได้โกหก “ทำไมมาเร็ว”

“กลัวใครบางคนเมา แล้วจะคุยไม่รู้เรื่อง”

“อืม ไหนเอกสารที่ว่า”

“หน้าแดงเชียว คงยังไม่เมาหรอกนะ”

“เมา” ปฐวีร์พยักหน้ายอมรับ เขารู้สภาพตัวเองดี “เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว” 

“ให้พี่ไปส่งไหม” ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้ปฐวีร์ที่ยืนเอียงจนกลัวว่าจะล้มเอา 

“ไม่ต้องคนของผม ผมพากลับเองได้” เทวาเพิ่งเดินมาถึงพูดแทรกขึ้น

“พี่เทวามาแล้ว” ปฐวีร์เดินเซเข้าไปหาอีกฝ่าย ไม่พอยังซบหน้าลงอกกว้างใช้หน้าถูไปถูมาเหมือนแมว เขาชอบกลิ่นนี้จำกลิ่นนี้ได้ ธีรณัฑศ์มองคนมาใหม่และภาพตรงหน้าอย่างไม่พอใจแต่ก็แค่แวบเดียว แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติ

“น้องวีร์นี่เอกสารที่ทินกรฝากมาให้” ปฐวีร์หันมารับเอกสารไว้ “อืม ขอบคุณ”

“แล้วเจอกันที่ทำงานนะ” ธีรณัฑศ์ยิ้มให้แล้วเดินขึ้นรถไป

เทวามองรถเคลื่อนออกไป เขารู้สึกไม่ชอบขี้หน้าไอ้หมอนี่เลย ดูยังไงก็รู้ว่ามันชอบคนของเขา นี่ก็อีกคน “กินเยอะแค่ไหนถึงได้เมาได้” คนเมาชูนิ้วขึ้น เทวาถึงกับขมวดคิ้วอะไรจะคออ่อนขนาดนั้น



**********************************************

โปรดติดตามตอนไป

 :pig4: :pig4: :pig4:

ถ้านักอ่านท่านใดสนใจ สามารถสั่งจองหนังสือได้ค่ะ

❌❌ เปิดจอง Change! ❌❌
ระยะเวลาจอง 19 กันยายน - 20 ตุลาคม 2561
จัดส่งหนังสือได้หลังจากปิดจอง 20 วัน
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 26 [14/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-10-2018 15:28:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 26 [14/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 14-10-2018 15:52:30
พี่เทวาต้องดูแลน้องดีๆนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 27 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 17-10-2018 20:32:52
ตอนที่ 27
[/size]



วันสุดท้ายของปีเวียนมาถึงอีกครั้ง หลายคนอาจจะมีอะไรพิเศษอย่างออกเดินทางไปเที่ยวกับครอบครัว เดินทางไกลออกต่างจังหวัดกลับภูมิลำเนา หรือบางคนอาศัยช่วงเวลาหยุดยาวจูงมือคนรักไปสัมผัสอากาศหนาวบนภูเขามองพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก

วันสุดท้ายของปีรถบนถนนเส้นหลักยังคงคับคั่งไปด้วยรถที่ทยอยเดินทางออกต่างจากจังหวัด ถนนในเมืองหลวงจึงได้ดูโล่งกว่าปกติ แต่อย่างเมืองหลวงใช่ว่าจะเงียบเหงา ยังคงดูคึกคักไม่ต่างจากทุกวัน เมื่อหลายหน่วยงานร่วมมือกันมอบความสุขผ่านไฟประดับหลากสีสันรอบเมือง ให้คนที่ไม่มีโอกาสกลับบ้านต่างจังหวัด ให้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง หรือคนที่ยังทำงานในช่วงปีใหม่ ได้ชมความสวยงามและถ่ายรูปเก็บความประทับใจ ไม่พอห้างสรรพสินค้าชื่อดังยังได้จัดตั้งเวที เชิญเหล่าศิลปินและนักแสดงเวียนขึ้นเวทีมอบเสียงเพลงให้คนที่มาร่วมงาน และมีกิจกรรมนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ด้วย

ปฐวีร์นั่งมองภาพข่าวในจอโทรทัศน์ทางช่องดิจิตอลร้อยกว่าที่อยู่นอกห้อง มีพยาบาลหลายคนยืนดูข่าว นักข่าวกำลังเชิญชวนคนออกไปร่วมงานคืนนี้ ชายหนุ่มกำลังคิดถึงช่วงเวลาที่เขาได้ออกไปดูไฟกับเพื่อน ๆ นับถอยหลังเข้าปีใหม่ยืนมองพลุหลายร้อยลูกกระจายเต็มท้องฟ้าจนสว่างไสวอยู่นานหลายนาที เขาหันกลับมามองคนที่นอนไม่ได้สติบนเตียงเป็นปีใหม่ที่แปลกอีกปีที่ต้องมานั่งเห็นคนสำคัญป่วย ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจเแล้วพูดขึ้นว่า

 “พ่อปีนี้วีร์ไม่กลับบ้านนะ วีร์จะไปบ้านพี่เทวา ไม่มีพ่ออยู่ก็ไม่รู้จะกลับไปทำไม” ชายหนุ่มบ่นให้คนป่วยฟัง เป็นคำแนะนำของคุณหมอบอกให้พูดหรือสัมผัสผู้ป่วยบ่อย ๆ เป็นการกระตุ้นให้คนป่วยรับรู้และสัมผัสถึงความอบอุ่น เขาลูบมือหนาและกร้านเล็กน้อยแล้วนวดคลึงเบา ๆ เพื่อให้เลือดไหลเวียน จากนั้นเปลี่ยนไปนวดบริเวณแขน

“ไม่ต้องสงสัย ไม่บอกหรอกว่าพี่เทวาเป็นใคร ไม่เล่าให้ฟังด้วย ถ้าอยากรู้ตื่นขึ้นมาจะเล่าให้ฟังทั้งหมด แต่ห้ามไม่ชอบพี่เทวานะ” เหมือนเขากำลังพยายามหลอกล่อให้คนป่วยตื่นขึ้นมา ปฐวีร์เปลี่ยนเรื่อง พูดเรื่อยเปื่อย บ่นเรื่องเรียนเรื่องสอบที่เพิ่งผ่านไม่กี่วัน ที่อดหลับอดนอนถ่างตาอ่านหนังสือ ยังมีเรื่องที่ไปกินเหล้ากับเพื่อนแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เมื่อจำได้ว่ากินวอดก้าไปแค่ขวดเล็กขวดเดียว ก็เดินเซแล้วแต่ก็โชคดีที่ยังไม่ถึงขนาดไปนั่งคุยกับชักโครก และสุดท้ายบ่นเรื่องไม่อยากไปทำงานที่บริษัท

“เมื่อไหร่พ่อจะฟื้นซะที” คนพูดทำน่าเศร้า แล้วโทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่น เขารีบเดินออกจากห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันทีเมื่อออกมาข้างนอก เห็นหน้าจอปรากฏชื่อใครก็รีบรับ

”ครับ จะมารับเหรอ มาถึงแล้ว กำลังขึ้นมา ได้ แล้วเจอกัน” วางสายไปแล้วกวาดสายมองไปรอบ ๆ เห็น คุณนายรองกำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุม ใกล้กันยังมี พิมพ์รตา อีกด้านมีคุณนายสามและลูก ๆ ดูแล้ววันนี้เหมือนเป็นวันรวมญาติ แต่เป็นการรวมที่โรงพยาบาล สิบนาทีสำหรับเวียนเข้าเยี่ยมเข้าพบพ่อ ต่อจากนี้เปลี่ยนให้คนอื่นเข้าไป เขามองเข้าไปในห้องผู้ป่วยอีกครั้งแล้วเดินไปรอเทวาที่โทรมาบอกว่ามาถึงแล้ว

            เทวาและธนาถือกระเช้ามาเยี่ยมคนป่วย ถึงทางโรงพยาบาลจะห้ามเยี่ยมแต่ก็แค่อยากแสดงน้ำใจเหมือนคนอื่นที่ส่งกระเช้ามาเรื่อย ๆ สอบถามกับทางโรงพยาบาล ก็มาถึงหน้าห้องผู้ป่วยมีกระเช้าหลายขนาดวางไว้บนโต๊ะ พิมพ์รตาเห็นคนมาเยี่ยมเป็นใครเธอก็รีบเข้าไปทัก “พี่เทวามาเยี่ยมคุณพ่อหรือคะ”

คิ้วหนาขมวดเล็กน้อยกับคำทักทายที่ดูเหมือนสนิทสนมกว่าปกติ ”ครับ ผมกับพี่ชายเอากระเช้ามาเยี่ยม” ธนาเห็นท่าทางน้องชายไม่ค่อยเป็นมิตรและไม่อยากจะสนิทกับหญิงสาวตรงหน้าเท่าไหร่ เขาก็รีบเข้ามาเข้ามาแทรก “นี่เป็นกระเช้าเยี่ยมจากสุรัตนธรรมวรธิเบศณ์”

“อ้อ ขอบคุณนะคะ” ทั้งสองยังคุยกัน ส่วนเทวามองหาคนรักไม่รู้อยู่ไหน

“ไปนั่งตรงโน้นก่อนไหมคะ” ชายหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันเหมือนกำลังปรึกษา เอาไงดี ถ้าจะกลับเลยก็ดูเสียมารยาท ยังไงไหว้ผู้ใหญ่ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร เทวาพยักหน้าเห็นด้วย แต่นั่นเป็นเรื่องที่เขาคิดผิด เมื่อหญิงสาวชวนคุยไม่หยุดจนน่ารำคาญ เล่าในไม่เรื่องที่เขาไม่สนใจอยากรู้ พูดในเรื่องที่เขาไม่ได้ถาม ธนาเป็นคนมีความอดทนต่ำรู้ว่าหญิงสาวพยายามเข้าใกล้น้องชาย แต่เสียดายเธอไม่ใช่แบบที่น้องชายเขาชอบ เขาเป็นพี่ชายที่แสนดีจึงได้ขอตัวเข้าห้องน้ำ เทวาตวัดสายตาไปมองพี่ชาย คนอย่าง ธนาหรือจะกลัวเขายิ่งรีบเดินออกจากตรงนั้น

ปฐวีร์เดินจะรอบทั้งชั้นยังไม่เห็นคนที่บอกจะมารับ จึงเดินกลับมาที่หน้าห้องเห็นชายหนุ่มกำลังคุยอยู่กับพิมพพ์รตา เขายืนฟังคำพูดที่ดูสนิทสนมจนรู้สึกระคายหู พอดีกับที่เทวาหันหน้ามาเห็นเขาแล้วยิ้มให้ พิมพ์รตาเห็นรอยยิ้มชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าเขายิ้มให้เธอ แต่ก็ต้องฝันสลายเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนพูดขึ้น “พี่เทวามานานรึยัง ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้”

“ไม่นานพี่เพิ่งจะมาถึง พอดีพี่ธนาไปเข้าห้องน้ำ” เทวารีบพูดแก้ตัวทันทีที่เห็นสายตาของอีกฝ่าย พิมพ์รตามองเทวาสลับปฐวีร์ ฟังน้ำเสียงและคำพูดเหมือนทั้งสองจะสนิทสนมกว่าที่คิด แต่แล้วไง

“พี่เทวารู้จักพี่วีร์หรือคะ” เธอถามไปอย่างนั้น

“วีร์เป็นคนรักของผม”

พิมพ์รตาเงียบกำลังคิดว่าตัวเองหูฟาดหรือฟังอะไรตกหล่นไป “แหม พี่เทวานี่ชอบพูดเล่นนะคะ” ถึงจะพูดอย่างนั้นเธอก็หัวเราะไม่ออก

“ผมไม่ได้พูดเล่น” ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปหาปฐวีร์แล้วจูบลงริมฝีปากบางเพื่อเป็นการยืนยัน พิมพ์รตาตกใจอ้าปากกว้าง ปฐวีร์ยิ่งตกใจไม่นึกว่าจะถูกจู่โจมในที่สาธารณะ แต่คิดได้ว่าพิมพ์รตากำลังมองอยู่ เขาก็ให้ความร่วมมือ ธนาแอบดูทุกอย่างเงียบ ๆ ก็ตกใจไม่แพ้กันไม่นึกว่าน้องชายจะเด็ดขาดอย่างนี้

“ขอตัวก่อนนะคะ” พิมพ์รตาได้สติเธอรีบเดินออกมาจากตรงนั้น ไม่อยากเห็นภาพบาดตา ในใจทั้งโกรธทั้งเกลียดที่ถูกผู้ชายปฏิเสธ ไม่พอยังไปเลือกผู้ชายอีกคน แถมยังเป็นคนที่เธอเกลียดอีก “ไอ้วีร์ แกแย่งเขาไปจากฉันอย่างหวังว่าจะได้มีความสุขเลย” ใบหน้าสวยหวานกลายเป็นน่าเกลียดขึ้นมาทันที 

ธนาเห็นทางสะดวกแล้ว รีบเข้าไปห้ามน้องชาย “กลับได้แล้ว คุณแม่ให้มารับน้องกลับบ้าน ถึงบ้านแล้วค่อยทำต่อ” เทวาค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกเห็นแก้มอีกฝ่ายแดง “กลับบ้านแล้วทำต่อ” ปฐวีร์แทบเสยหมัดใส่คางคนพูด แต่จะโทษเทวาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เพราะเขาก็ให้ความร่วมมือ ตอนนี้เขาทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็รู้สึกสะใจที่เห็นใบหน้าซีดเผือดของพิมพ์รตา เห็นได้ว่าการลงทุนครั้งนี้ได้ผลกำไรกว่าที่คิด เทวาจูงมือปฐวีร์ออกจากที่นั่น เขาไม่คิดเหมือนกันจะทำอะไรอย่างนั้น แต่เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม บางทีการอธิบายด้วยคำพูดอาจจะไม่เข้าใจ แสดงให้เห็นอาจจะเข้าใจได้มากกว่า เขากุมมือขาวแน่นมองคนที่ไม่กล้าสบตา

 ตั้งแต่ขึ้นรถมา ปฐวีร์นั่งเงียบไม่กล้าพูดกับใคร ส่วนเทวาอารมณ์ดีจนธนาหมั่นไส้ อยากจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องแม่ให้แม่ดุ แต่ก็นึกได้ว่าแม่กำลังเห่อลูกชายคนใหม่ ขนาดให้ไปรับมาค้างที่บ้านช่วงปีใหม่ พี่สะใภ้เข้ามาบ้านแรก ๆ คุณแม่ยังไม่แสดงท่าทางว่าชอบขนาดนี้เลย

ไม่นานก็มาถึง ธนาเลี้ยวรถเข้าจอดในบ้าน เด็กชายทั้งสองได้ยินเสียงรถรีบวิ่งออกมารับ เห็นปฐวีร์ลงมาจากรถ เด็ก ๆ รีบเข้าไปจูงมือเข้าบ้าน เด็ก ๆ หอบเอาของเล่นใหม่ออกมาโชว์ เป็นตัวต่อเพิ่งได้มาไม่กี่วัน จริญญาได้ยินเสียงรถเสียงหลาน ๆ ก็รู้ว่าปฐวีร์มาถึงแล้ว เธอเข้าไปในห้องนั่งเล่นเห็นเด็กชายตัวเล็กนั่งบนตักปฐวีร์ พยายามต่อตัวต่อในมือ “น้องวีร์มาแล้วเหรอลูก”

”สวัสดีครับคุณแม่”

“ไหว้พระลูก วันนี้แม่ทำของอร่อยไว้เยอะเลย”

ได้ยินว่าของอร่อยตาลุกวาวขึ้นมาทันที “ให้ผมช่วยไหมครับ”

“ไม่ต้องลูก มาเหนื่อย ๆ เล่นกับหลานดีกว่า” พูดคุยถามอาการคนป่วยสองสามคำเห็นสีหน้าท่าทางอีกฝ่ายขณะพูด ดูสดชื่นและมีรอยยิ้มบาง ๆ ให้เห็น เท่านี้เธอก็เบาใจ จากนั้นปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นกันต่อ ส่วนเธอกลับเข้าไปในครัว

            พระอาทิตย์คล้อยลงต่ำ แสงสีแดงบนท้องฟ้าค่อย ๆ จางหายกลายเป็นสีดำมาแทน อากาศเย็นลง พระอาทิตย์เลยรีบหลบไปพักผ่อนเร็วกว่าปกติ และก็เป็นเวลาเดียวกับงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ในสวน บรรยากาศอบอุ่นได้เริ่มขึ้น กับข้าวหลายอย่างทยอยนำวางบนโต๊ะ ทุกคนนั่งพร้อมหน้ามื้อเย็นก็เริ่มขึ้น เด็ก ๆ นั่งประจำที่กำลังกินไก่ทอดของโปรดอย่างอร่อยโดยมีธรรมและภรรยาขนาบซ้ายขวา ถัดมาเป็นธักศนัยและ จริญญา ปฐวีร์กับเทวานั่งกินได้สักพักก็ลุกไปช่วยกันปิ้งกุ้งตัวโต ปลาหมึก และบาร์บีคิว ส่วนธนาช่วยทำหน้าที่เสิร์ฟเครื่องดื่มให้ทุกคน

“น้องวีร์กินบ้างนะลูกยิ่งตัวเล็กอยู่ด้วย เดี๋ยวหลานก็โตทันแล้ว”

“แม่ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าเทวามันไม่ปล่อยให้น้องอดหรอก อืม บาร์บีคิวฝีมือแม่ยังอร่อยเหมือนเดิมเลย”

“ลองแกพูดไม่อร่อยดูสิรับรองแกอดข้าวไปหลายวันเลย”

“โห พ่อใครจะกล้า”

“ตาธนาหมายความว่ายังไงว่าไม่กล้า”

“ไม่ใช่อย่างนั้น นั่นกุ้งของโปรดของคุณแม่ใกล้หมดแล้ว เดี๋ยวผมไปช่วยน้องวีร์ปิ้งดีกว่า ปะน้องวีร์” ธนารีบลากปฐวีร์ไปที่เตา ทุกคนเห็นอย่างนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ ปาร์ตี้เล็ก ๆ ดำเนินไปด้วย รอยยิ้ม เสียงพูดคุยสลับกับเสียงหัวเราะ สุดท้ายก็จบลงด้วยความสุข ก่อนจะแยกย้ายขึ้นห้องไปพักผ่อน

ปฐวีร์อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยกำลังนอนแผ่บนเตียงมองเพดานคิดเรื่องราวที่ผ่านทั้งวัน เป็นวันส่งท้ายปีที่แปลกกว่าทุกปี ที่แปลกที่สุดก็คือปาร์ตี้บรรยากาศอบอุ่นนั่น เทวาเดินออกมาจากห้องน้ำเห็นคนนอนบนเตียงกำลังยิ้มไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาปีนขึ้นเตียงใช้นิ้วบีบแก้มใสแล้วถาม “ยิ้มอะไรคนเดียว”

“เปล่า พี่เทวาอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ”

“แบบไหน”

“ก็เรื่องจูบที่โรงพยาบาล”

“อืม ทำไมพี่แค่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นคนรักกัน อีกอย่างท่าทางของเธอแค่พูดก็ยังทำเป็นไม่รู้เรื่อง อธิบายไปก็เท่านั้นสู้ให้เห็นกับตาเลยง่ายกว่า”

“อื้อ” ปฐวีร์เข้าใจ คนพวกนี้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ “แต่บางคนก็ไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ คนอื่นจะมองไม่ดี อีกอย่างคนอย่างพิมพ์รตาเธอไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่าย ๆ”

เทวาขมวดคิ้วไม่อยากให้อีกฝ่ายเก็บเรื่องพวกนี้มาคิดมาก “พี่กับเธอเจอกันไม่กี่ครั้ง พูดกันไม่กี่คำ เธอคงไม่ได้คิดอะไรหรอกมั้ง” อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ชอบเธอ

หึ ปฐวีร์ทำเสียงขึ้นจมูก รู้จักพิมพ์รตาน้อยไปแล้ว ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเจออะไรบ้าง ช่างเถอะตอนนี้ขอให้มีความสุขกับปัจจุบันก็พอไม่อยากกังวลในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง เสียงพลุแว่วดังมาแต่ไกลนั่นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเข้าสู่ปีใหม่แล้ว

“สวัสดีปีใหม่ครับ”

“สวัสดีปีใหม่ อยู่ด้วยกันอย่างนี้ทุกปีนะ” เทวากดจมูกลงหน้าผากอีกฝ่าย แล้วทั้งสองก็หลับไปพร้อมกัน

คืนก่อนปีใหม่หลายคนออกมาเที่ยวเพื่อฉลองเข้าสู่วันแรกของปี ปิ่นอนงค์กับคณิตาร์ก็เหมือนกัน ทั้งสองออกมาสนุกที่ผับแห่งหนึ่งคืนนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ เนืองแน่นไปด้วยนักเที่ยว คณิตตาร์ทั้งกินทั้งดื่มทั้งจากแก้วของเพื่อน ทั้งโต๊ะข้าง ๆ มาขอชนแก้ว จนจำไม่ได้ว่าดื่มอะไรลงไปบ้าง ทำให้เธอรู้สึกมึนหัวห้องกำลังหมุนติ้วจนยืนไม่อยู่ เธอไม่เคยดื่มเยอะขนาดนี้มาก่อน แต่เธอกลับมีความสุข ฮ่า ฮ่า เธอหัวเราะออกมา เสียงนับถอยหลังดังขึ้น 9 8 7... เธอขยับริมฝีปากนับตาม มองภาพทุกคนกำลังยิ้มหัวเราะชนแก้วกันอย่างสนุก แล้วภาพตรงหน้าก็ค่อย ๆ พร่าเลือนและดับวูบลง

            วันแรกของปีเป็นเช้าที่มาพร้อมอากาศเย็น หลายคนยังหลับสบายไม่อยากลุกจากเตียง ขนาดพระอาทิตย์ยังตื่นสายกว่าปกติ ผิดกับปฐวีร์และเทวาออกมายืนอยู่หน้าบ้านทั้งสองกำลังรอใส่บาตร “หนาวไหม” ปฐวีร์ส่ายหน้า เทวากอดเอวอีกฝ่ายไว้กลัวจะหนาว ธนาเห็นท่าทางคู่รักแล้วรู้สึกอิจฉาหันไปอีกทางก็เห็นพี่ชายกับพี่สะใภ้กำลังยิ้มให้กัน อีกทางก็เห็นพ่อกับแม่ สรุปแล้วมีแต่เขาที่ยังไม่มีคู่ ทำไมถึงรู้สึกหดหู่ตั้งแต่เช้าวันแรกของปีอย่างนี้

“นิมนต์เจ้าค่ะ” จริญญานิมนต์พระ ทุกคนใส่อาหารคาวหวานลงบาตร จากนั้นพระท่านก็ให้พร

“โยม” พระรูปหนึ่งพูดขึ้นมองไปที่ปฐวีร์ “โยมนั่นแหละ คิดจะทำอะไรให้ใช้สติมากกว่าอารมณ์แล้วเรื่องร้าย ๆ จะผ่านไป”

“ครับ” ปฐวีร์ตอบรับมองตามหลังพระท่านเดินค่อย ๆ เดินไกลออกไป หมายความว่ายังไง ใช้สติมากกว่าอารมณ์ คงไม่ได้หมายความว่าเขากำลังจะมีเคราะห์หรอกนะ เพราะเมื่อคืนก็ฝันแปลก ๆ อีกแล้วทุกอย่างในฝันมันดูไม่ชัดเจน เหมือนทุกครั้งจนอดนึกกังวลไม่ได้ว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น และยิ่งมาได้ยินพระท่านทักขึ้นมาแบบนี้ยิ่งรู้สึกกลัวขึ้นมา

“ไม่มีอะไรหรอก” เทวากุมมือขาวไว้ คำพูดธรรมดาแต่ก็ทำให้เขาลืมความรู้สึกแย่ไปชั่วคราว

            วันแรกของปีผ่านไป วันที่สองเป็นวันหยุดอีกวันตอนเช้าปฐวีร์ไปทำบุญที่วัดกับทุกคน นั่งฟังพระสวดมนต์ และไปให้อาหารปลา ทำให้จิตใจรู้สึกสงบและผ่อนคลาย

ในตอนสายปฐวีร์ไปกราบแม่ เขายืนอยู่หน้าเจดีย์สีขาวใส่กระดูกด้านหน้ามีรูปผู้หญิงสวยคนหนึ่งกำลังยิ้มอยู่ รอบ ๆ มีฝุ่นเกาะ เขาปัดกวาดเปลี่ยนดอกไม้จุดธูปที่เตรียมมา และบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาฝันเห็นความตายของตัวเอง แล้วยังถามรูปถ่ายแม่ว่าทุกอย่างที่เขาเห็นเป็นเพราะแม่ใช่ไหม เงียบอยู่นานก็ไม่มีคำตอบที่ต้องการ ทำให้เปลี่ยนมาพูดโกหกบอกว่า พ่อสบายดีแต่ช่วงนี้งานยุ่งไม่มีเวลามาเยี่ยม และไม่ลืมแนะนำเทวาให้รู้จัก

“แม่ นี่เทวาคนรักของวีร์” เทวาเลิกคิ้วขึ้นไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดออกมา เทวากราบทักทายและให้สัญญาว่าจะดูปฐวีร์ให้ดี  ปฐวีร์ทำเป็นไม่ได้ยินไม่สนใจ อากาศเริ่มร้อนแสงพระอาทิตย์คล้อยมาตรงหัว ทั้งคู่ก็ออกจากที่นั่น

“ไปกินก๊วยเตี๋ยวเรือกัน อยากกินมาหลายวันแล้ว”

“แถวนี้มีร้านไหนอร่อย”

“แปบ เดี๋ยวหาข้อมูลทางเน็ต” ปฐวีร์จิ้มกดเลื่อนหน้าจอดโทรศัพท์สักพักก็เงยหน้าขึ้น “นี่ไง เจอแล้วร้านนี้ห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่ คนที่ไปกินยังบอกอีกว่ามีที่จอดรถด้วย”

“โอเค งั้นก็ไปกัน”

หลังจากกินก๊วยเตี๋ยวเรือคนละถ้วยสองถ้วย ทั้งสองก็เดินอิ่มพุงกางออกมาจากร้าน

ในตอนบ่ายปฐวีร์แวะไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล ไปเล่าเรื่องงานปาร์ตี้ที่บ้านเทวาว่าสนุกยังไง มีของอร่อย ๆ อะไรให้กินบ้าง และไม่ลืมเล่าเรื่องที่ไปเยี่ยมแม่มาด้วย

ออกมาจากโรงพยาบาลท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีแล้ว ท้องก็ส่งเสียงร้อง ร้านอาหารแถวที่พักก็ไม่มีร้านไหนเปิด เลยต้องเพิ่งบริการอาหารส่งถึงที่ “อาหารญี่ปุ่นไหม สเต๊กก็อยากกิน ไก่ทอดก็อร่อย พิซซ่าก็น่าจะดีไม่ได้กินานแล้ว” ทั้งสองกำลังช่วยคิดว่าจะกินอะไรกันดี

“อากาศเย็น ๆ กินสุกี้กัน”

“แต่ไม่มีหม้อสุกี้หรือเตาไฟฟ้านะ”

“อืม” เทวากำลังใช้ความคิด

ออด ออด เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น ทั้งสองมองหน้ากันสงสัยว่าใครมา ปฐวีร์ส่ายหน้าไม่รู้ เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง ปฐวีร์ลุกไปเปิด

“เซอร์ไพรส์” เมื่อเปิดประตูออกเขาถูกนภาภรณ์กอดแน่นแล้วยังมีภฤดล กฤติกรณ์ ยุทธจักร ตติวัฒน์และคฑาวุธยืนยิ้มหวานให้

“อ้าว พวกแกมาได้ไง ไหนว่าไม่ว่างไปเที่ยวต่างจังหวัด เมื่อคืนไอ้ยุทธยังเอาภาพลงอยู่เลย”

“อืม สามคนนี้ก็บอกไม่ว่างสักคน แล้วอยู่ ๆ ก็โผล่มา”

“ถ้าบอกจะเรียกว่า เซอร์ไพรส์ เหรอ เป็นไง เซอร์ไพรส์ไหม”

“อื้อ เซอร์ไพรส์ ยิ่งกว่าที่นี่ไม่มีอะไรกิน”

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นพวกพี่ซื้อของกินมาหมดแล้ว ปีใหม่อย่างนี้ต้องสุกี้”

“แต่ห้องผมไม่มีเตาไฟฟ้า” ทุกคนเงียบลงทันที นี่สิถึงเรียกว่าเซอร์ไพรส์จริง “ไอ้ยุทธแกไปซื้อดิ”

“ทำไมต้องเป็นฉันวะ” ยุทธจักรถามอย่างไม่เข้าใจทำไมต้องเป็นเขา

“เพราะแกเป็นคนบอกให้มา เซอร์ไพรส์ไง” ทุกคนเห็นด้วย ยุทธจักรเลยต้องเป็นคนไป ปฐวีร์ดูแล้วกลัวจะไม่ได้เรื่องเขาเลยไปด้วยและถือโอกาสของกินมาเพิ่ม

            เกือบสองชั่วโมงปฐวีร์และยุทธจักรก็กลับมาพร้อมเตาไฟฟ้า ของสด ขนมและน้ำอัดลม เทวาและเพื่อนช่วยกันเตรียมของทุกอย่างไว้แล้ว ระหว่างนั้นก็กินขนมรองท้อง เมื่อเตามาถึงทุกคนก็รีบช่วยกัน ยกหม้อน้ำซุปที่ยังร้อนมาวางบนเตา เท่านี้ปาร์ตี้สุกี้ก็เริ่มขึ้น ปฐวีร์เริ่มตักของสดอย่าง เนื้อหมูสไลน์ เนื้อไก่หมัก สามชั้นสไลน์ เบคอน กุ้ง ปลาหมึก ลูกชิ้น จากนั้นตามด้วยผักและเห็ดหลายอย่างลงไปในหม้อ ในระหว่างที่รอทุกคนนั่งดูหนังไปด้วย “สุกแล้ว” ปฐวีร์เปิดฝาออกควันฟุ้ง น้ำในหม้อเดือนปุดปุด ทุกคนก็รีบลงมือตักของกินที่ตัวเองชอบใส่จาน

            แย่งกันตักของอร่อยในหม้อกินจนอิ่ม ของสดที่ซื้อมาก็หมดไม่มีเหลือ ปฐวีร์กับนภาภรณ์ช่วยกันเก็บกวาด ที่เหลือก็เปลี่ยนไปนั่งย่อยหน้าโทรทัศน์ ห้องที่เมื่อครู่คลุ้งไปด้วยกลิ่นอาหารก็กลับมีกลิ่นดีขึ้นด้วยสเปร์ปรับอากาศ

             เช้าวันที่สามของปีทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ร้านค้ากลับมาเปิดทำการ รถบนท้องถนนกลับมาติดเหมือนทุกวัน ผู้คนรีบเร่งเดินสวนไปมา และยังดูวุ่นวาย กว่าเมื่อคืนทุกคนจะกลับไปก็เที่ยงคืนไปแล้ว



*********************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ถ้านักอ่านท่านไหนชื่นชอบ อย่าลืมจองหนังสือนะคะ
 ยังสามารถจองได้ถึง 20 ตุลาคม 61
สอบถามรายละเอียดที่เพจได้เลยค่ะ
 https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/ (https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/)

(https://www.picz.in.th/images/2018/09/22/fL4FaN.jpg)
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 27 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 17-10-2018 21:26:00
ขอพี่เทวาจงอย่าทำให้น้องผิดหวังนะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 27 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-10-2018 13:11:09
กว่าวีร์จะหมดเคราะห์หมดโศกคงแทบ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 27 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 18-10-2018 22:49:58
 :mew6:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 28 [19/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 19-10-2018 20:11:00

ตอนที่ 28



เปิดเรียนวันแรกสติหลายคนยังอยู่กับปาร์ตี้ บางคนยังอยู่ที่ต่างจังหวัด อาจารย์จึงเรียกสติทุกคนกลับมาด้วยแบบทดสอบย่อย วันที่สามของปีเริ่มต้นด้วยแบบทดสอบหลายคนแทบร้องไห้ แต่ออกมาจากห้องเรียนหลังเรียนเสร็จก็ต้องตกใจไปอีกเมื่อเห็นเทวามาอยู่หน้าห้อง “ไปจากที่นี่ก่อน แล้วค่อยพูดกัน”

            ปฐวีร์ถูกพามาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และมีเพื่อน ๆ ของเขาขอมาด้วย วจีกับน้ำขิงกำลังมองเทวาและเพื่อนของเทวาอย่างใจลอย ปฐวีร์กำลังรอฟังคำตอบว่าทำไมเทวาถึงไปรอหน้าเรียนแล้วยังพามาที่ร้านอาหารนี่อีก

“พอดีมีคนปล่อยข่าวเรื่องที่น้องวีร์คบกันกับไอ้เทวาออกมา”

“อือ แล้วไงครับ” ปฐีร์ไม่ค่อยจะแปลกใจเท่าไหร่

“พอดีมันใช้คำที่ไม่ดีเท่าไหร่ เหมือนจะทำให้ทั้งสองคนเสียชื่อเสียง” ตติวัฒน์ยื่นข้อความในโทรศัพท์ให้ดู ทุกคนอดชะเง้อหน้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เมื่อทุกคนเห็นข้อความก็รู้สึกโกรธแทนขึ้นมา

“พวกขี้อิจฉาเห็นคนอื่นได้ดีมีความสุขไม่ได้” วจีบ่นขึ้นมาลอย ๆ ทำให้ปฐวีร์อดยิ้มไม่ได้

“วีร์ไปมีเรื่องผิดใจกับใครเข้ารึเปล่า” ได้ฟังคำถามเพื่อนก็เหมือนจะนึกออก

“อ้อ” เท่านี้เขาก็พอจะเดาออกคนที่จะทำอะไรแบบนี้ได้มีไม่กี่คน “ใครจะไปรู้อาจจะเป็นสาว ๆ แฟนคลับที่ชื่นชอบพี่เทวาก็ได้” เทวาได้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง “แล้วพวกพี่รู้ที่มาข้อความพวกนี้รึยัง” ทุกคนมองหน้ากันแล้วส่ายหน้า

“ยังไงช่วงนี้ พี่อยากให้เราระวังตัวไว้ พยายามอย่าไปไหนคนเดียว ไม่รู้คนที่ทำต้องการอะไร”

“ครับ” ฟังน้ำเสียงและท่าทางเป็นห่วงที่แสดงออกมาของเทวาเล่นเอาเลือดกำเดาวจีกับน้ำขิงแทบพุ่ง พวกเธอคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ตามมา

            ข้อความที่ออกมาว่าปฐวีร์กับเทวาเป็นแฟนกันแผ่ไปอย่างรวดเร็วนักศึกษาทั้งสองคณะไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้ และลามไปทั่วมหาวิทยาลัยในวันต่อมา หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลใครจะรักใครคบกับใครก็เรื่องของเขา บางคนที่ชื่นชอบเทวาก็แสดงความไม่ใจอยู่บ้างแต่พอได้เห็นหน้าปฐวีร์หนุ่มน้อยหน้าใสก็ทำให้พวกเธอเปลี่ยนความคิด เนื้อหาของข้อความที่ปล่อยออกมาโดยรวมตั้งใจทำลายชื่อเสียงและทำให้ทุกคนรู้สึกรังเกียจความสัมพันในลักษณะนี้ ข้อความและรูปเป็นไปในลักษณะของการส่งต่อทำให้ยังไม่ทราบที่มา

ปฐวีร์เข้าโซเชี่ยวเอฟเหมือนทุกวันแต่วันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษมีคนเข้ามาแสดงความเห็นทั้งในแง่ลบ อย่าน่าขยะแขยง น่ารังเกียจ วิปริต และอีกหลายข้อความที่ทำให้อ่านแล้วต้องยิ้ม ดูเหมือนตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ถูกจับได้ว่าเป็นชู้กับสามีคนอื่น แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนเข้ามาด่า ข้อความแสดงความเห็นใจ ให้กำลังใจ สนับสนุนก็มีไม่น้อยเหมือนกัน อย่างสู้ ๆ นะเป็นกำลังใจให้ น่ารักทั้งคู่เลย เหมาะสมกันมาก ส่วนอันนี้ก็คงเหมือนสถานการณ์ดาราถูกจับได้ว่ามีคนรัก กำลังอ่านเพลินหน้าจอโน้ตบุ๊กก็ถูกพับลง

“ไม่ต้องอ่านหรอกข้อความพวกนี้อ่านแล้วก็ไม่สบายใจ”

“อืม” ปฐวีร์เลิกคิ้วมองอีกฝ่าย ”ใครบอกว่าผมไม่สบายใจ ดีซะอีก มีคนบอกให้ทุกคนรู้ว่าพี่มีเจ้าของแล้ว”

“แต่มันมาในลักษณะทำลายชื่อเสียงนะสิ”

“หึ หึ คนเรามีใครบ้างไม่มีคนเกลียด ถ้าเราอยู่เงียบ ๆ ไม่เต้นตาม เดี๋ยวเขาก็เงียบไปเอง” พูดจบสายตาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังนึกถึงคำพูดของพระที่เคยพูดเตือนไว้ว่าให้ใช้สติ ตอนนี้เขาไม่มีทั้งสติและอารมณ์ให้ใช้ รู้สึกเบื่อหน่ายขี้เกียจไปหมด

ดึกแล้วคณิตตาร์ยังนั่งเล่นโทรศัพท์ อ่านข้อความล่าสุดที่เพื่อนส่งมา อ่านแล้วทั้งตลกและสมน้ำหน้า ไม่นึกว่าคนอย่างปฐวีรก็มีช่วงเวลาอย่างนี้เหมือนกัน “ยิ้มอะไรคนเดียวยัยตาร์”

“อ๋อ พอดีเพื่อนส่งข้อความตลกมาให้อ่าน”

“ข้อความอะไรมาอ่านบ้างสิ” คณิตาร์ส่งโทรศัพท์ให้พี่ชายดู คชาธรณ์ไล่สายตาอ่านข้อความที่น้องสาวกำลังหัวเราะ ใบหน้ามีร่องรอยไม่พอใจปรากฏ “เห็นไหมคะก็แค่เรื่องตลกไร้สาระ ไอ้วีร์นี่ก็แปลกวิปริตไปชอบผู้ชายด้วย พี่เทวานี่ก็อีกคนหน้าตาก็ดี เรียนก็เก่งฐานะทางบ้านก็ดีไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย”

“เป็นอย่างนี้คือเป็นยังไง” คชาธรณ์ถามเสียงแข็งแต่สายตายังมองรูปในโทรศัพท์

“ก็เป็นพวกวิปริตไง ชอบผู้ชายด้วยกัน ไม่รู้ชอบไปได้ไง แค่คิดก็รู้สึกขยะแขยง” คณิตตาร์ยังพูดความรู้สึกของเธอต่อไม่ได้สังเกตท่าทางของคชาธรณ์ที่เม้มริมฝีปาก กำโทรศัพท์ในมือแน่น จนคชาธรณ์ทนไม่ไหวต้องตะโกนออกมา”ชอบผู้ชายด้วยกันมันผิดตรงไหน” คณิตตาร์ตกใจกับท่าทางพี่ชาย คชาธรณ์รู้สึกตัวว่าเพิ่งหลุดคำพูดที่ไม่ควรพูดออกไปสมองรีบคิดหาข้อแก้ตัว “เอ่อ เปล่าแต่ยังไงวีร์ก็เป็นพี่ พูดอะไรให้ระวังไว้บ้าง ถ้าวีร์เสียหายแล้วคนจะมองวีรวัฒฑณ ฯ ยังไง”

“แล้วจะให้ทำยังไง เรื่องมันออกมาอย่างนี้ พี่คงไม่ได้คิดจะช่วยไอ้วีร์หรอกนะ”

“เปล่า แค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนทำ” ถ้าเป็นที่เขาคิดแล้วละก็งานนี้สนุกแน่ คณิตตาร์มองรอยยิ้มพี่ชายอดรู้สึกขนลุกขึ้นมาไม่ได้

วันต่อมาปฐวีร์ไปเรียนเหมือนทุกวัน ทำตัวตามปกติ แต่ก็มีสายตามองมาและหันกลับซุบซิบกันแต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ปฐวีร์เห็นอย่างนั้นแล้วอยากจะหัวเราะ อยากจะนินทาคนอื่นทั้งที ยังต้องหลบต้องซ่อนยุ่งอยากไปไหม

ต่อมาอีกวันข้อความลูกโซ่ก็ยังถูกส่งต่อ แต่มันก็แทบไม่ได้สร้างปัญหาให้ปฐวีร์เลย เทวายังแวะเวียนมาส่งตอนเช้า เที่ยงแวะมาหา ตอนบ่ายแวะมารับ ผู้หญิงหลายคนกับชอบใจที่ได้เทวากับเพื่อนบ่อยขึ้น

ช่วงหลายวันที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์อะไรขึ้น ถึงอย่างนั้นเทวาและเพื่อนยังตามหาคนที่สร้างความรำคาญนี้ และเพื่อความอุ่นใจปฐวีร์ได้ไปแจ้งความบันทึกประจำวัน เมื่อทั้งสองคนไม่เป็นทุกข์ แต่เป็นคนที่สร้างเรื่องขึ้นมา กลับเป็นทุกข์เพราะทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด พิมพ์รตานั่งอยู่บนรถเลื่อนกระจกลงมองไปที่กลุ่มปฐวีร์และเพื่อนนั่งกินขนมอยู่โรงอาหารอย่างสบายใจ “ไหนเธอบอกว่าปล่อยข่าวออกไปแล้ว ทำไมมันเงียบอย่างนี้” เธอถ่อมาไกลถึงที่นี่ไม่ได้อยากเห็นภาพนี้ เธออยากเห็นใครหลายคนเดินไปตบหน้าหรือทำร้ายร่างกายปฐวีร์ หรือมันอายจนไม่กล้าโผล่หน้ามาเรียน

“นี่คุณ คนเขามีการศึกษา ไม่ใช่แค่อ่านข้อความไม่กี่บรรทัด รูปไม่กี่รูป แถมไม่มีที่มาที่ไปอาศัยแค่นี้จะให้วิ่งเข้าไปทำร้ายคนอื่นไม่มีใครเขาทำกันหรอก อีกอย่างเรื่องนี้มันก็สิทธิส่วนบุคคล ซุบซิบเป็นขี้ปากวันสองเบื่อก็เบื่อแล้ว” พิมพ์รตาเม้มปากไม่รู้จะจัดการเรื่องนี้ยังไง “ทำต่อไปเปลี่ยนรูป ทำข้อความให้น่าสนใจมากกว่าเดิม”

“อืม ได้” เธอลงมาจากรถ แล้วรถคันหรูก็เคลื่อนที่ออกไป

คณิตตาร์ยืนหลบมุมดูรถที่เพิ่งขับออกไป เห็นป้ายทะเบียนก็รู้ว่าเป็นรถใครอย่างที่พี่ชายเธอคิดไว้หลักฐานทุกอย่างชี้ไปที่ตัวการอย่างพิมพ์รตา แต่เธอยังไม่เข้าใจว่าทำไมพิมพ์รตาถึงทำเรื่องงี่เง่าอย่างนี้ได้ อะไรเป็นต้นเหตุ

            ผ่านมาอีกวันหลังจากที่ปฐวีร์และเพื่อนเรียนเสร็จลงมาจากห้องกำลังจะไปอะไรกินข้างนอก ก็มีนักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทัก

“สวัสดี นายใช่คนที่เป็นข่าวช่วงนี้รึเปล่า” เธอโชวร์รูปและข้อความในโทรศัพท์ให้ดู เพื่อน ๆ เห็นคนไม่รู้จักเข้ามาทักต่างรู้สึกไม่ไว้ใจและช่วยกันล้อมเธอไว้ พวกเขาต่างใช้สายตา สังเกตหน้าตาการแต่งตัวว่าเธอเป็นใครมาจากไหน

“ใช่ผมเอง เธอมีอะไร” ปฐวีร์ไม่นึกว่าจะมีคนเข้ามาทักหลังจากที่มีข่าวเกี่ยวกับเขาหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าเธอมาเข้ามาหาเขาด้วยความตั้งใจหรือใครสั่งให้มา

หญิงสาวเห็นท่าทางหวาดระแวงกับสายตาไม่ค่อยเป็นมิตหลายคู่รู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ “งั้นก็ถูกแล้ว พอดีฉันรำคาญไอ้ข้อความบ้า ๆ ที่มันส่งมาทุกวัน ยังไงนายช่วยไปทำอะไรสักอย่างที”

ได้ยินคำพูดของหญิงสาวปฐวีร์กลับรู้สึกแปลกใจไม่นึกว่าจะได้ยินประโยคพวกนี้ “ยังไง” เขาถามด้วยท่าทางที่เป็นมิตร

“ตามฉันมา”

ทุกคนมองหน้ากันแล้วตามหญิงสาวไป เดินผ่านคณะหนึ่งไปอีกคณะหนึ่งจนไปถึงอีกคณะหนึ่ง ในที่สุดเธอก็หยุดแล้วชี้ไปที่ผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ม้าหินอ่อนข้างอาคารเรียน “นั่นถ้าเดาไม่ผิดยัยนั่นเป็นตัวการ” ทุกคนทำหน้าไม่อยากเชื่อ พวกเขาครวาญหาตัวต้นเหตุมาหลายวันอยู่ ๆ ก็มีคนเดินมาบอกว่ารู้ว่าใครเป็นตัวการดูมันจะง่ายไปหน่อยไหม ปฐวีร์จ้องผู้หญิงตรงหน้าพยายามจับผิดทางสีหน้าและแววตา แต่ไม่มีท่าทางร้อนรนหรืออะไรที่ผิดปกติให้เห็น นั่นยิ่งทำให้เขาอยากรู้ว่าเธอต้องการอะไร สงสัยไปก็เท่านั้นพวกเขาเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น หญิงสาวนั่งอยู่ม้าหินอ่อนเธอกำลังสนใจหน้าจอโน้ตบุ๊ก จนไม่ได้สังเกตว่ามีคนมายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่

“ผมว่ารูปนี้ผมไม่ค่อยหล่อเลย เปลี่ยนรูปใหม่ดีกว่าไหม”

หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวหันขวับไปมองที่มาของเสียงด้านหลัง มองหน้าคนพูดกับรูปในบนหน้าจอสลับไปมา “ป ปฐวีร์”

“ใช่ ผมเองตัวจริงเสียงจริง ทำไมเจอตัวจริงถึงกับติดอ่าง ทำอะไรไม่ถูกเลย”

“โห ในโน้ตบุ๊กมีรูปวีร์กับพี่เทวาเต็มเลย ยัยนี่ท่าทางจะเป็นโรคจิต พวกเรามาดูเร็วขนาดรูปวีร์แคะขี้ตายังมีเลย” ปฐวีร์ได้ยินแล้วคิ้วกระตุก ตอนแรกแค่อยากเห็นหน้าคนทำ แต่ตอนนี้อยากระทืบคนแล้ว นี่มันจะละเมิดความเป็นส่วนตัวมากเกินไปแล้ว

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ถ่ายรูปพวกนี้นะ ไม่ใช่ฉัน” เธอส่ายหน้าบอกปฏิเสธ

“งั้น ก็มีคนถ่ายแล้วส่งมาให้ สารภาพมาดี ๆ ว่าใครสั่งให้เธอทำเรื่องชั่ว ๆ แบบนี้ หน้าตาก็ใช่ว่าจะดี ความคิดจิตใจก็ไม่สูงกว่าหญ้าเลย”

“เอ่อ” ไม่รู้จะพูดยังไงดี เธอกลัวสายตาและท่าทางคุกคามของทุกคน

“ไม่ตอบ เจอตบสักทีสองทีคงจะช่วยให้พูดง่ายล่ะมั้ง” วจีเริ่มหมดความอดทนเธอถลกแขนเสื้อขึ้นเดินปรี่เข้าไปหาอีกฝ่ายทันที

“อย่า วจี” ปฐวีร์เข้ากอดห้ามเพื่อนไว้

“จะห้ามทำไมดูยัยนี่มันทำดิ”

“เราว่าเรื่องนี้ให้ตำรวจจัดการดีกว่า พวกเราไปเถอะหิวข้าวแล้ว”

“แต่..” วจีรู้สึกลังเล ไม่อยากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ อย่างน้อยควรจะทิ้งรอยนิ้วมือบนแก้มคนทำสักรอยถึงจะถูก

“เชื่อวีร์เถอะ เคารพการตัดสินใจของเพื่อน” กาย พีรพัฒน์และน้ำขิงช่วยห้ามวจี แล้วลากให้เดินออกไปจากตรงนั้น ที่จริงวจีก็ไม่อยากเสียเวลาคนอย่างนี้เหมือนกัน

ทุกคนเดินไปหมดแล้วปฐวีร์เดินเข้าไปหญิงสาว “เสียดายจริงเอาความรู้ที่เรียนมาทำเรื่องแบบนี้”

”โน้ตบุ๊กนี่ผมขอนะ แล้วอย่าลืมเตรียมข้อแก้ตัวไว้พูดกับตำรวจด้วยนะ” เธอทำอะไรไม่ได้ได้แต่มองทุกคนเดินจากไป เพราะไปหลงเชื่อคำพูดของผู้หญิงบ้าคนนั้นเธอถึงได้เป็นอย่างนี้ไม่รู้ว่าเรื่องถึงตำรวจจะเป็นยังไงบ้าง ไหนจะที่ทางมหาวิทยาลัยรู้ ไหนจะทางบ้านอีก โว๊ย เธอตะโกนออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดและรีบโทรหาพิมพ์รตา

“วีร์น่ะไม่น่า จีกะจะได้ออกกำลังกายซะหน่อย” เธอยังรู้สึกคันไม้คันมือไม่หาย

“แล้วก็ไปนอนในคุกในข้อหาทำร้ายร่างกาย แถมยังถูกไล่ออกข้อหาทะเลาะวิวาทในสถานศึกษา” ปฐวีร์พูดจบทุกคนต่างเงียบ โดยเฉพาะวจีถึงกับอ้าปากหวอ “จะโกรธแทนเรา เราไม่ว่า เป็นทุกข์แทนเรา เราก็ดีใจ เป็นห่วงเรา เราก็ขอบคุณ แต่ต้องดูสถานการณ์ด้วย ไม่คิดรึไงว่ามันแปลก อยู่ ๆ ก็ไม่รู้ใครที่ไหนเดินมาบอกว่าพบตัวคนร้าย” ฟังถึงตรงนี้ทุกคนก็เหมือนจะคิดได้

“เออ วีร์พูดมาก็ใช่ ว่าแล้วก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่ที่เราเข้าไปหายัยคนนั้น” น้ำขิงเริ่มจะเข้าใจ สถาการณ์ขึ้นมาบ้าง

“เธอไม่ได้ไปไหนหรอก คงแอบมองพวกเราอยู่แถวนั่นแหละ”

“อย่าบอกนะว่านี่เป็นแผน ถ้าใช่นี่มันออกจะเกินไปหน่อย ถ้าพวกเราทำร้ายผู้หญิงคนนั้น แล้วแบบมีคนถ่ายภาพไว้ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรตามมา”

“โห นี่มันกะเล่นทุกคนเลย” วจีรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม

“ใช่ แล้วทุกคนไม่อยากรู้เหรอว่าใครเป็นคนสั่งให้ผู้หญิงคนนั้นทำ”

ทุกคนต่างถูกกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นโดยปฐวีร์ ต่างรีบพยักหน้าทันที

            เป็นไปตามที่ปฐวีร์คิดไว้ไม่นานหลังจากนั้นผู้หญิงที่ปล่อยข่าวต้องติดต่อตัวการแน่นอน พวกเขาแอบตามผู้หญิงคนนั้นไปห่าง ๆ เห็นเธอเหมือนกำลังรอใครสักคนอยู่ สักพักเธอก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนผิดหวังเมื่อมีรถหรูขับมารับเธอไป ทันทีที่รถขับไกลออกไปปฐวีร์ก็ยิ้มออกทันที ตัวการเป็นคนที่เขาคิดไว้จริง ๆ

“เลยไม่รู้ว่าใครเป็นคนบงการ”

“ไม่หรอกแค่ขู่ว่าเรื่องจะถึงตำรวจตัวการก็ไม่กล้าทำอะไรแล้ว”

            พิมพ์รตาหงุดหงิดที่แผนของเธอไม่ได้ผล แถมยังถูกจับได้อีก ไม่รู้ว่าเรื่องจะถึงตำรวจรึเปล่า แต่เธอก็แก้ปัญหาด้วยการจ่ายเงินให้ผู้หญิงคนนั้นรับผิดทั้งหมด เธอก็ยินยอมเพราะถ้าเรื่องถึงตำรวจคิดดูแล้วโทษไม่ได้ร้ายแรงมาก

            ผู้หญิงอีกคนติดต่อไปหาคณิตตาร์บอกเรื่องราวทั้งที่เกิดขึ้น คณิตาร์วางสายอย่างผิดหวังนึกว่าจะได้เห็นพี่ชายขึ้นหน้าหนึ่งซะอีก แต่ก็ช่างเถอะวันพระไม่ได้ครั้งเดียว   

            วันต่อมาทุกอย่างก็เข้าสู่ความปกติอีกครั้ง แต่ปฐวีร์ไม่ได้มาเรียนเพราะคุณทนายทำหนังสือลา โดยให้เหตุผลมีความจำเป็นต้องไปดูแลบิดาที่นอนป่วยไม่ได้สติ ปฐวีร์คิ้วกระตุกเมื่ออ่านข้อบนจดหมายที่อธิการบดีส่งให้ดูเมื่อตอนที่เขาถูกเรียกเข้าไปพบ อธิการแสดงความเห็นใจและเป็นห่วงเพราะข่าวที่ออกมาทุกคนต่างรู้ดีและอนุญาตให้ลาหยุดได้ และทำให้วันต่อมาปฐวีร์ต้องตื่นแต่เช้ามานั่งรอในห้องประชุม สัปหงกรอทินกรมาสอนงาน ไม่รู้ว่าหัวโขกกับโต๊ะไปกี่รอบลืมตาอีกทีก็เห็นธีรณัฑศ์กำลังนั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ

“ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงหลับสบายไหม”

“ก็ดี แอร์เย็นสบายดีไว้วันหลังแบกผ้าห่มกับหมอนมาด้วย” ปฐวีร์ไม่ค่อยแปลกใจที่เจออีกฝ่ายที่นี่

“ห้องพี่ก็นอนสบายนะ” ปฐวีร์เงียบทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดอีกฝ่าย “แล้วพี่กรไปไหนล่ะบอกให้รออยู่ที่นี่ นี่รอจนหลับไปแล้ว” บ่นไปพร้อมกับหาวไปด้วย

“ทินกรไม่ว่างพี่เลยมาช่วยสอนงานให้”

“อ้อ ว่างว่างั้น”

“ก็ ไม่เชิง ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ นั่นเอกสารที่ทินกรให้คนเอามาให้บางส่วนแล้ว สงสัยอะไรถามได้” ปฐวีร์มองเห็นกองเอกสาร แฟ้มหนาวางอยู่โต๊ะต้องถอนหายใจ ให้มานั่งอ่านเอกสารพวกนี้ พวกเขาไม่รู้รึไงว่าเขายังไม่บรรลุนิติภาวะ นั่นหมายความว่าเขายังเด็ก เขายังอยากเที่ยว อยากกิน อยากสนุก อยากนอนตื่นสาย นั่งอ่านมังงะแทนเอกสารพวกนี้ อยากดูอนิเมะ อยากโหลดหนังโป๊ แต่ตอนนี้ทำไมเขาต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย ธีรณัฑศ์เห็นท่าทางคนข้าง ๆ เดี๋ยวก็ถอนหายใจ เดี๋ยวก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ไม่รู้ว่าสงสารหรือเห็นใจ

            วันแรกของการเข้าบริษัทไม่มีอะไร แทบจะไม่ได้เดินออกห้อง ปฐวีร์ใช้เวลาทั้งวันกับกองเอกสารเก่า ๆ ดูตัวเลขหลายหลัก มีกราฟแปลก ๆ ชื่อไม่รู้จัก อ่านศึกษาข้อมูลที่ไม่ค่อยเข้าใจ จนบางครั้งต้องถามตัวเองว่ากำลังนั่งทำบ้าอะไรที่นี่ แล้วก็ได้คำตอบว่าเพื่อพ่อ เลยต้องอดทนมันต่อไป กลับมาถึงห้องแทบไม่มีแรงอาบน้ำก่อนนอน เทวาเห็นอีกฝ่ายหลับตั้งแต่ไม่ถึงสี่ทุ่มก็ไม่ต้องถามเลยว่าวันนี้เหนื่อยไหม เขาใช้นิ้วเกลี่ยแก้มใส คนหลับพึมพำอะไรสักอย่างแล้วหลับต่อ ทำให้เขาอดหัวเราะไม่ได้ อยู่ ๆ เสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าก็ดังขึ้น เทวาเหลือบไปมองโทรศัพท์บนตู้หัวเตียงหยิบมันขึ้นมาดู

“พรุ่งนี้อยากกินอะไรพี่จะซื้อไปฝาก” อ่านข้อความที่ถูกส่งมาเล่นเอาเทวาแทบอยากขว้างโทรศัพท์ทิ้ง ท่าทางผู้ชายคนนั้นจะไม่ยอมเลิกยุ่งกับคนของเขาง่ายๆ.....



********************************************************

โปรดติดตามตอนไป

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

นักอ่านท่านใดสนใจรูปแบบหนังสือยังสามารถจองได้ถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2561 นี้นะคะ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/ (https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/)
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 28 [19/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-10-2018 21:28:16
 :pig4: :pig4:ย
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 28 [19/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 19-10-2018 22:26:31
วีร์นี้ศึกรอบด้านจริงๆ แต่ยังดีนะคนข้างกายยังช่วยเหลือ ห่วงใยดี

สู้ต่อไปปฐวีร์ :ped149: :ped149: :ped149:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 28 [19/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 19-10-2018 23:25:46
ศัตรูรอบทิศทางจริงๆ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 28 [19/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kanyakorn24 ที่ 29-10-2018 05:49:36
รีบมาต่อเร็วๆน้า  :m15:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 29 [31/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 31-10-2018 11:28:42
ตอนที่ 29
[/size]


เช้าวันใหม่ในเมืองที่แสนจะวุ่นวาย หลายคนกำลังเบื่อหน่ายปัญหารถติด พยายามหลบหนีไม่ว่าจะเปลี่ยนเส้นทางจากรถเมล์เปลี่ยนมาเป็นรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน แต่ก็ไม่ต่างกันเมื่ออยู่ในช่วงเวลาเร่งด่วน ผู้คนถูกเบียดกันเหมือนปลากระป๋อง ปฐวีร์ยืนถอนหายใจ ถึงวันนี้คนจะไม่แน่นเท่าไหร่แต่ก็รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตที่ต้องตื่นแต่เช้า เร่งรีบแข่งกับเวลา ร่างกายรู้สึกเครียดจนเจ็บกระเพาะ เมื่อคิดว่าเรียนจบแล้วต้องมาเผชิญสภาพแบบนี้ก็แทบจะอ้วกออกมา  เสียงประกาศเตือนให้รู้ว่าสถานีต่อไปเป็นสถานีจุดหมายปลายทาง เขาเริ่มขยับไปใกล้ประตูมากขึ้น ทันทีรถไฟหยุดเสียงสัญญาณประตูเปิดออกเขารีบเดินออกไป แต่ก็ถูกชนเข้ากับคนที่เดินเบียดเข้ามา “เฮ้ย” ปฐวีร์เสียหลักแต่ก็ใครสักคนกอดไว้ “ระวังหน่อยสิ” เขารีบหันไปมองคนที่บ่นให้ทันที ” อ้าว มาไงทำไมทุกวันไม่เคยเห็น เอ่อ ขอบคุณ”
ธีรณัฑศ์ยิ้มให้คนฟอร์มเยอะ กว่าจะพูดขอบคุณได้ต้องพูดอย่างอื่นก่อน “ขึ้นมาตั้งแต่สถานีที่ 5 เห็นเรายืนทำหน้าง่วงอยู่ไม่กล้าเข้าไปทัก”
“เฮ้ย โรคจิตเปล่าเทียวแอบมองชาวบ้านเค้า”
“หึ หึ แล้วชาวบ้านเป็นอะไรทำไมหน้าง่วงนอนแต่เช้า”
“เปล่า แค่เบื่อที่ต้องตื่นแต่เช้า ไม่พอยังต้องมาเจอคนเยอะเบียดเป็นปลากระป๋องอีก”
“สักกพักเดี๋ยวก็ชิน รีบไปเถอะเดี๋ยวไปทำงานสาย” ปฐวีร์พยักหน้ารีบเดินตามอีกฝ่ายไป ระหว่างนั้นทางก็แวะซื้อของกินไปด้วย
อีกไม่ถึงสิบนาทีจะถึงเวลาทำงาน ปฐวีร์รีบสแกนลายนิ้วมือ วางกระเป๋าไว้ที่ห้อง จากนั้นเข้าห้องครัวกินมื้อเช้า กินไปด้วยส่งข้อความไปบอกเทวาด้วยว่าถึงที่ทำงานแล้วกำลังหาอะไรกินไม่ต้องเป็นห่วง เทวางัวเงียตื่นมาอ่านข้อความ รู้ว่าอีกฝ่ายถึงที่ทำงานแล้วก็หลับต่อ
ปฐวีร์เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์เห็นธีรณัฑศ์ชะโงกหน้ามามอง เขาแทบอยากจะด่าว่าไม่มีมรรยาท แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้และยอมรับ “เห็นดูโทรศัพท์ไปยิ้มไป เลยคิดว่ามีเรื่องอะไรน่าสนุก”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“อ้อ แล้วผู้ชายที่ชื่อเทวานี่ใครเหรอ” ปฐวีร์มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถามเพื่อต้องการอะไร เขาเลือกที่จะไม่ตอบ เลื่อนแซนด์วิชที่ซื้อมาปิดปากอีกฝ่ายไม่ให้พูดมาก ธีรณัฑศ์ยิ้มหยิบขึ้นมากินอย่างไม่เกรงใจแล้วพูดว่า “ชอบแซนด์วิชก็ไม่บอก” ปฐวีร์แทบสลักโอวัลตินกับคำพูดสองแง่สองง่าม
   เรียนรู้งานมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดปฐวีร์ก็สามารถเป็นไทจากกองเอกสารได้สำเร็จ วันนี้เขาเริ่มต้นที่งานธุรการ พิมพ์งาน ถ่ายเอกสาร ค้นเอกสาร และเดินส่งเอกสารไปตามแผนกต่างๆ นั่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขานั่งพิมพ์เอกสารไปสายตามองหน้าจอคอมพิวเตอร์สลับกับเนื้อหาบนเอกสาร มือกดลงไปตามตัวอักษร ส่วนหูยังคอยฟังรอบ ๆ ตัว ดูเหมือนว่าการที่หูรับรู้ได้มากกว่าปกติจะช่วยได้มาก แต่สิ่งที่ลอยเข้าหูมาได้หลายชั่วโมงที่ผ่านมาส่วนมากจะเรื่องน่ารำคาญอย่างกับข้าวร้านนั้นอร่อย ลิปติกยี่ห้อไหนกำลังลดราคา กระเป๋ารุ่นไหนสวย และประธานคนใหม่หนุ่มและหล่อ แหว่ะ หล่อพูดมากได้ เขาพยายามชะเง้อมองหาคนพูด “เฮ้ย” แต่กลับเห็นธีรณัฑศ์ยืนยิ้มอยู่
“ขวัญอ่อนจริงนะเรา”
“ครับ” คนบ้าทำตัวเหมือนผีโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง “ว่างหรือครับ หรือคิดถึงกาแฟฝีมือผม” ปฐวีร์ยิ้มให้ร่างสูงพูดถึงกาแฟเขายังขำไม่หาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายกินกาแฟขม ๆ ที่เขาชง
“เปล่า คิดถึงคนชงกาแฟมากกว่า” ชายหนุ่มพูดจบเป็นปฐวีร์ที่หุบยิ้ม ถลึงตาใส่แทน “อยากให้ช่วยถ่ายเอกสารให้หน่อยสิ”
“ครับ เครื่องถ่ายเอกสารอยู่ตรงนั้น” เขาชี้ไปที่เครื่องถ่ายเอกสารเครื่องใหญ่อยู่หลังห้อง
“รู้ แต่ใช้ไม่เป็น” ปฐวีร์อยากถามอีกว่ามีคนอื่นว่างเยอะแยะทำไมไม่ใช้ ทำไมต้องเป็นเขาด้วย แต่ก็ยอมแพ้ รีบเดินไปทำให้มันเสร็จ ๆ ธีรณัฑศ์เดินตามไปป่วน เขามีความสุขทุกครั้งได้เห็นท่าทางหงุดหงิดของคนตัวเล็ก คนอะไรหงุดหงิดแล้วน่ารักชะมัด
   ช่วงเช้าผ่านไป ปฐวีร์มองพนักงานทยอยออกไปพัก เขารอใครสักคนชวนไปกินข้าว จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครชวน เขารีบเดินไปหาทินกรพนักงานถามคนอื่นต่างบอกว่า ทินกรออกไปข้างนอก ปฐวีร์เศร้าขึ้นมาทันสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาก็ข้าวกับทินกรทุกวันแล้วทำไมวันนี้ถึงทิ้งเขาได้ลงคอ เขาไม่มีทางเลือกเดินบากหน้าไปหาธีรณัฑศ์ เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ชายหนุ่มตะโกนบอกให้เข้ามาได้ เห็นปฐวีร์เดินเข้ามา ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างคิดไม่ถึง แต่ก็ไม่พูดอะไร ปฐวีร์เห็นท่าทางอีกฝ่ายนั่งทำงานไม่สนใจทำให้ต้องพูดอะไรสักอย่าง “ทำงานเสร็จยัง”
“ยังเลยวันนี้งานเยอะมาก เรามีอะไรกับพี่รึเปล่า” ชายหนุ่มขมวดคิ้วทำสีหน้าท่าทางเหมือนกำลังยุ่งกับเอกสารบนโต๊ะ
ปฐวีร์เห็นแล้วก็ต้องเศร้าคิดว่าตัวเองคงต้องลงไปกินข้าวคนเดียว “เปล่า แค่อยากชวนไปกินข้าว”
“อืม พอดีเลยกำลังหิว” ชายหนุ่มรีบวางปากกาในมือ เปิดแฟ้มเอกสารหยิบกระเป๋าตังค์ เดินไปคว้ามือปฐวีร์เดินออกห้องไป ปฐวีร์ทำหน้างง ไหนบอกว่างานเยอะ เขาเดินเข้าไปในห้องยังไม่สน แล้วทำไมถึงเปลี่ยนอารมณ์เร็วชะมัด เขาดึงมือกลับมาบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเดินเองได้ไม่ต้องจูง ทั้งสองเดินตามกันลงไปข้างล่างมองหาร้านอาหาร ทั้งสองเลือกร้านอาหารใกล้ ๆ เข้าไปในร้านอากาศเย็นสบาย มีคนในร้านค่อนข้างเยอะคงเพราะเป็นเวลาช่วงพักเที่ยง หาที่นั่งได้แล้วทั้งสองก็เริ่มสั่งอาหาร
“กับข้าวทั้งสามจานขอไม่เผ็ดนะครับ”
“เรากินเผ็ดไม่ได้เหรอ”
“เปล่า บอกไว้เผื่อคนแถวนี้” ชายหนุ่มแปลกใจไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาไม่กินเผ็ด ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ เขาแน่ใจว่าไม่เคยบอกใครเรื่องนี้มาก่อน ปฐวีร์ไม่สนใจที่อีกฝ่ายมองมา เขาหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความหาเพื่อนถามว่าเรียนวันนี้เป็นไงบ้างมีงานอะไรไหมและอย่าลืมจดเลคเชอร์ไว้ให้เขาด้วย เพื่อน ๆ ต่างบอกอิจฉาคนไม่ได้มาเรียนแต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาต้องมาเจอเรื่องแย่กว่าไปเรียนอีก จากนั้นก็ส่งข้อความหาเทวาถามว่ากินข้าวรึยัง เทวาบอกว่าเรียนเสร็จแล้วกำลังออกไปหาอะไรกินกับทุกคนและจะแวะไปหาซื้อของขวัญวันเกิด พอพูดเรื่องวันเกิดก็เพิ่งนึกได้ว่าใกล้จะถึงแล้ว 
   ช่วงบ่ายปฐวีร์ได้ทำงานเดินเอกสาร เดินส่งเอกสารจากแผนกนั้นไปแผนกนี้ แอบสังเกตพนักงานคนอื่นไปด้วย จากรายชื่อที่คุณทนายบอกมีหลายคนที่เป็นคนของทศพล รู้สึกเหมือนกันตัวเองกำลังทำเรื่องไร้สาระอยู่ยังไงไม่รู้เดินส่งเอกสารไม่รู้ว่าอะไรที่ลุงทนายบอกว่าเข้าบริษัทแล้วจะรู้เอง
ปฐวีร์เข็นรถเอกสารผ่านไปแต่ละแผนกหลายคนก็มองเขาด้วยสายตาสงสัย บางคนยังจับกลุ่มกระซิบกระซาบกัน จนเขารู้สึกอายที่กลายเป็นที่สนใจ ขณะนั้นเขาเห็นพลพัฒน์เดินเข้าไปในห้องหนึ่ง ในใจเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เขาเข็นรถเอกสารมาหยุดข้าง ๆ ห้องห้องนั้นทำทีเหมือนกำลังหา และจัดเอกสารแต่หูกำลังแอบฟังคนในห้องว่ากำลังพูดหรือคุยอะไรอยู่เผื่อจะมีเรื่องน่าสนใจ เงี่ยหูฟังยังไม่ถึงประโยคประตูห้องก็เปิดออกทำให้เขาต้องรีบเดินออกจากที่ตรงนั้น
พลพัฒน์เดินออกจากห้องเห็นปฐวีร์เข็นรถเอกสารไปอีกทาง ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าช่วงวันสองสามวันนี้เห็นน้องชายเดินไปทั่วบริษัทเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง
เดินเอกสารจนเสร็จจากนั้นกลับมานั่งพิมพ์งานต่อ จนเทวาโทรศัพท์เข้าบอกว่ารอข้างล่างถึงได้รู้ว่าเลยเวลาเลิกงานมานานพอสมควร หันไปมองรอบ ๆ หลายคนกลับกันแล้ว เขารีบเก็บของลงกระเป๋าสแกนลายนิ้วมือก่อนวิ่งเข้าไปในลิฟต์
“เด็กนั่นเป็นใคร” ชายสูงอายุมองตามชายหนุ่มที่เพิ่งวิ่งออกไป
“ลูกชายคุณปทีปครับ”
“ยังไงก็ระวังมันหน่อยแล้วกัน ช่วงนี้เหมือนประธานคนใหม่กำลังทำผลงาน อยู่ ๆ ไอ้เด็กนี่ก็เข้ามาทำงาน ระวังไว้ก็ไม่เสียหาย เพราะถ้าเราพลาดมันพังกันหมด”
“ครับผมจะระวัง”

   ตอนบ่ายอีกวันหลังจากกินข้าวเสร็จปฐวีร์ก็ถูกลากขึ้นรถออกมาจากที่ทำงาน และมานั่งในห้องประชุมฟังเจ้าหน้าที่พูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการค้าในกลุ่มอาเซียน เพิ่งกินข้าวอิ่ม ๆ มาเจอแอร์เย็น ๆ ทำให้รู้สึกง่วงอย่างช่วยไม่ได้ คิดว่านั่งฟังอาจารย์บรรยายหน้าห้องว่าน่าเบื่อแล้วที่ฟังอยู่ตอนนี้น่าเบื่อกว่านั้นเยอะ โชคดีที่เขามาแค่เพียงเรียนรู้งาน เขาสอดส่ายสายตามองผู้เข้าประชุมคนอื่นเห็นหลายคนดูตั้งใจฟัง แต่บางคนก็มีคุยกัน หยิบโทรศัพท์มาจิ้มกด เขาเลื่อนสายตาไปมองธีรณัฑศ์ ผู้ชายคนนี้ดูฉลาดเป็นผู้นำที่ดี นิสัยก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรจากที่ได้รู้จักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เขาฝันเห็นอนาคตว่าถูกผู้ชายคนนี้หักหลัง พวกเขาคงเป็นเพื่อนกันได้ ไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มใจดีกำลังซ่อนอะไรอยู่ แต่สามารถทำให้ผู้ใหญ่ในบริษัทไว้วางใจในความสามารถจนมาอยู่ตำแหน่งได้ถึงจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว และมีผู้บริหารหลายคนจับตาดู ถึงจะไม่มีอำนาจในมือจริง ๆ เขากลับดูไม่กดดัน จากที่ได้ฟังจากทินกรเล่าพอจะรู้มาบ้างว่าอีกฝ่ายไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ธีรณัฑศ์กลับมาก่อนที่พ่อจะป่วยได้ไม่นานทุกอย่างเหมือนถูกเตรียมไว้หมดแล้ว คำถามก็คือมันถูกเตรียมขึ้นโดยใคร
   กว่าการประชุมจะเสร็จก็ผ่านไปสองชั่วโมง ประชุมเสร็จปฐวีร์ก็ถูกลากกลับมาที่ทำงานแต่ก็เป็นเวลาเลิกงานแล้ว กวาดสายตามองในสำนักงาน ยังมีพนักงานบางคนยังนั่งทำงานอยู่ ห้องผู้จัดการแผนกต่าง ๆ ปิดไฟล๊อกห้องกันหมดแล้ว ฮื้อ ถอนหายใจไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่จริงที่ลุงทนายให้เข้ามาที่นี่คืออะไร เขาเริ่มทบทวนหลายอย่างในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หรือลุงทนายต้องการให้ทุกคนคิดว่าวีรวัฒนฑณ ฯ สนับสนุนประธานคนใหม่ แล้วจะไม่มีใครมาแทน ถ้าเป็นอย่างที่คิด ถ้าทำแบบนี้แล้วคนที่สนับสนุนทศพลก็คงรู้สึกไม่มั่นคง และหันมาสนับสนุนประธานคนใหม่แทน
   ปฐวีร์กลับไปพร้อมความคิดมากมายในสมอง ทำให้ฝันร้ายเห็นตัวเองวิ่งหนีอะไรสักอย่าง แต่ในฝันบอกว่ามันน่ากลัวมาก เขาวิ่งไม่หยุดมันก็วิ่งตามมาไม่ยอมหยุดเหมือนกัน ตื่นขึ้นมาอีกวันเพราะเสียงนาฬิกาปลุกร้องลั่นห้อง เขาควานหาโทรศัพท์เพื่อปิดนาฬิกาปลุก จากนั้นลุกจากเตียง เดินงัวเงียเข้าห้องน้ำ มองตัวเองในกระจกคิดถึงความฝันเมื่อคืน เขาคิดว่าคงมีเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น เอาเถอะยังไงมันก็ยังมาไม่ถึงเขารีบอาบน้ำทำธุระส่วนตัวรีบไปทำงาน
   วันต่อมาตอนเย็นหลังเลิกงานเทวามารับเพราะวันนี้เป็นวันคล้ายวัดเกิดปฐวีร์ ในตอนแรกปฐวีร์อยากกินปิ้งย่างแต่คิดว่ากินอิ่ม ๆ แล้วไม่อยากขยับไปไหนเลยเปลี่ยนมาฉลองที่ห้อง มาถึงห้องทุกคนมาอยู่ที่ห้องแล้ว เจ้าของวันเกิดปรากฏตัวทุกคนต่างรีบเอาของขวัญให้และไม่ลืมอวยพร ปฐวีร์ได้ของขวัญก็ดีใจเขาตื่นเต้นอยากรู้ว่าภฤดล กติกรณ์และนภาภรณ์ให้อะไร
“น้องวีร์นี่ของขวัญของพวกพี่พวกเรารวมเงินกันซื้อ ไม่รู้ว่าจะถูกใจรึเปล่า”
“ขอบคุณครับ ที่จริงไม่ต้องก็ได้ แค่ทุกคนมาก็ดีใจแล้ว” คืนนี้เป็นอีกคืนที่กินสุกี้อย่างอร่อย กินของคาวอิ่มแล้ว ก็ถึงเวลาเป่าเทียน ไฟในห้องปิดลงเทวาถือเค้กก้อนโตจุดเทียนตรงมาที่เจ้าของวันเกิด ปฐวีร์ อธิษฐานในใจแล้วเป่าเทียนจนหมดแล้วไฟในห้องก็สว่างขึ้น ทุกคนปรบมือดีใจที่จะได้กินเค้กหลังจากที่นั่งจ้องมานานหลายชั่วโมง
   ปาร์ตี้วันเกิดเล็ก ๆ จบลงในเวลาเที่ยงคืน ทุกคนต่างแยกย้ายกลับ ปฐวีร์อาบน้ำเสร็จก็กระโดดขึ้นเตียง เพราะทั้งอิ่มทั้งเหนื่อยทำให้หัวถึงหมอนก็หลับไป แต่กลางดึกก็ยังฝันร้ายอีกคืน คืนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าวิ่งหนีอะไร



**************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

Change! ในรูปแบบ E-book
[/size]

(https://www.picz.in.th/images/2018/10/31/3N1lED.jpg)
https://bit.ly/2DaYjvA (https://bit.ly/2DaYjvA)
[/size]
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 29 [31/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-10-2018 13:44:47
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 29 [31/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 31-10-2018 15:01:04
เอาใจช่วยน้องวีร์
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 29 [31/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 31-10-2018 22:17:04
ลางบอกเหตุมาอีกแล้ว ไม่ใช่ไอ้คนที่วีร์เจอที่ห้องน้ำจะทำอะไรวีร์นะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 29 [31/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-11-2018 16:26:54
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 29 [31/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 01-11-2018 21:49:03
เดาทางเรื่องไม่ออกเลย น่าติดตามมากๆ ครับ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 30 [2/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 02-11-2018 08:19:00
ตอนที่ 30
[/size]

วีรวัฒฑณ ฯ รู้สึกไม่ค่อยมั่นคงทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็มีเรื่องน่ายินดีอย่างงานหมั้นของพลพัฒน์ที่กำลังจะมาถึง โดยเฉพาะคุณนายรอง เธอตื่นเต้นดีใจเหมือนเป็นงานหมั้นของเธอซะเอง ผิดกับพลพัฒน์กลับไม่ได้รู้สึกดีใจสักนิด เหมือนกับป่านฟ้าที่ยังไม่อยากให้คนรักต้องไปหมั้นกับคนอื่นแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ตั้งแต่ออกมาจากบ้านใหญ่เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยการหางานประจำทำ เงินเดือนไม่ได้มากมายแต่การได้วุ่นวายกับงานก็พอจะทำให้เธอไม่ต้องคิดมาก

            พลพัฒน์ขับรถออกจากที่ทำงานตรงไปที่ร้านอาหารที่ห่างจากที่ที่นี้ไปสามไฟแดง ขับมาสักพักก็เห็นป้ายร้านอาหารที่นัดไว้ เขาตบไฟเลี้ยวเลี้ยวเข้าที่จอดรถ ไม่กี่วันก่อนเขาได้รับโทรศัพท์จากลูกศร ผู้หญิงที่กำลังจะหมั้นกับเขา เขามีโอกาสได้เจอกับเธอไม่กี่ครั้งและทุกครั้งมักจะมีผู้ใหญ่คอยสนับสนุน ครั้งนี้แปลกที่เธอโทรมาบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย พลพัฒน์ผลักประตูเข้าไปในร้านสอดส่ายสายตามองหาหญิงสาว

“คุณพลพัฒน์ ทางนี้ค่ะ” หญิงสาวนิ่งริมกระจกโบกมือเรียกชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาในร้าน

“ขอโทษที่มาช้าครับ”

“ไม่เป็นค่ะ ลูกศรก็มารอไม่นาน คุณพลพัฒน์เชิญนั่งก่อน”

“ขอบคุณครับ”

“คุณพลพัฒน์สั่งอะไรก่อนไหมคะ”

“ครับ ดีเหมือนกัน” เขาเรียกพนักงานสั่งเครื่องดื่มเย็นสักแก้ว ทั้งสองนั่งเงียบรอจนพนักงานนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มใช้สายตามองสาวสวยในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนผมยาว ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาว เธอเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง แต่ยังไงก็ไม่ใช่คนที่เขารัก

ลูกศรเม้มริมฝีปาก เธอกำลังรู้สึกกังวลไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี กว่าเธอจะกล้าตัดสินใจนัดชายหนุ่มออกมาก็ใช้ความกล้าพอสมควร ทั้งสองได้พบได้คุยกันไม่กี่ครั้ง แล้วอยู่ ๆ ผู้ใหญ่ก็บอกให้รู้ว่าเธอต้องหมั้นกับเขา เล่นเอาเธอช๊อคไปหลายวัน วันงานก็ใกล้เข้ามาโดยที่เธอไม่เต็มใจ ได้รู้จักกันไม่นานทำให้เธอเดาอารมณ์คนตรงหน้าไม่ออกว่าหากเธอพูดออกไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วไม่อยากให้มันเลยเถิดไปไกลกว่านี้ เธอสูดหายใจเรียกความกล้า แล้วพูดออกมาว่า

“ลูกศรอยากยกเลิกการหมั้นครั้งนี้” เธอพูดออกไปแล้วมองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง ในใจกังวลคำตอบอีกฝ่าย พลพัฒน์เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจที่ได้ยินคำพูดอีกฝ่าย เป็นคำพูดที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยิน ตอนนี้เขากำลังดีใจแต่ก็ไม่แสดงท่าทางอะไรออกมา เพราะเรื่องทุกอย่างไม่ง่ายแค่เพียงบอกว่าอยากยกเลิกก็จะสามารถทำได้ “เหตุผลละครับ” เขามองใบหน้ารูปไข่

“ลูกศรมีคนรักอยู่แล้ว เอ่อ ที่จริงก็ไม่คิดจะปิดบัง แต่แค่ไม่มีโอกาสบอก” เธอพูดเสียงเบาลง

“อืม ผมยังไงก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าทางผู้ใหญ่ของคุณคงไม่เห็นด้วยกับเรื่องถอนหมั้น และเรื่องคุณกับคนรัก”

“ใช่ค่ะ” เธอตอบแทบไม่ต้องคิด “ลูกศรเลยอยากให้คุณช่วยถ้า...”

“ไม่มีประโยชน์ครับ ผมก็ปฏิเสธงานหมั้นไม่ได้”

“หรือคะ” เธอยิ้มเศร้า อย่างเข้าใจสถานการณ์ไม่ใช่แค่เธอต้องเจอเรื่องแบบนี้  “คงมีทางออกอย่างเดียวคือต้องหนี งานหมั้นถึงจะไม่เกิดขึ้น”

พลพัฒน์มองหน้าเธออีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อ เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อความรักของเธอ สายตาเธอดูมุ่งมั่น ผู้ชายที่เธอรักเป็นคนที่โชคดีมาก เขาเองกลับที่จะเดินหนีไม่ยอมปกป้องความรัก เขาอ่อนแอจริงๆ “มันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้”

เธอส่ายหน้า “ไม่มีค่ะ ฉันลองทุกอย่างแล้ว อีกอย่างถ้าคุณยอมยกเลิกทางบ้านก็ต้องหาคนใหม่” ชายหนุ่มมพยักหน้า เขาพอจะเข้าใจเรื่องทุกอย่าง “งั้นผมจะช่วย” หญิงสาวยิ้มออกเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ ถ้าเรื่องทุกอย่างมันถึงที่สุดหาทางออกไม่ได้ก็คงต้องถอยหลังหรือหลบหนีจากมัน บางทีมันอาจจะเป็นทางออกที่ดีใครจะไปรู้

            ปฐวีร์ยังไปทำงานตามปกติ เขาเริ่มปรับตัวกับชีวิตคนทำงานให้มากขึ้น พยายามเรียนรู้เรื่องทุกอย่างที่พอจะทำได้ เพราะคนอื่นทำได้ แล้วทำไมเขาจะได้มันไม่ได้ในเมื่อมีทุกอย่างเหมือนกัน ไม่มีอะไรจะเกินความพยายามของเขาไปได้  เคยถูกทินกรพาออกไปประชุมข้างนอกครั้งหนึ่ง แน่นอนครั้งที่สองครั้งสามก็ต้องตามมา เหมือนกับวันนี้เขาได้มางานประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศในแถบอาเซียน การประชุมครั้งนี้เขาได้มีโอกาสเจอนักธุรกิจหลายคนที่เห็นในโทรทัศน์ ได้เจอเจ้าของธุรกิจชื่อดังที่ลงนิตยสารก็มี และยังมีคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอก็เจออย่างธนา ผู้ชายที่ดูปกติเหมือนขี้เล่นวันนี้ใส่สูทผูกไทกลับดูน่าเชื่อถือจนแปลกตาแทบจำไม่ได้ คุยกันได้สักพักถึงได้รู้ผู้ชายคนนี้เป็นถึงเจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเทวายังเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญอีกด้วย กำลังจะขยายตลาดไปแถบเพื่อนบ้าน ทั้งสองคุยกันด้วยท่าทางเป็นกันเองจนหลายคนอดแปลกใจไม่ได้ ก่อนแยกย้ายธนาไม่ลืมบอกให้ไปเที่ยวที่บ้านบ้างทุกคนคิดถึง ปฐวีร์ตกลงบอกว่าวันหยุดจะไป

ถ้าไม่ติดสอยห้อยตามประธานคนใหม่ออกไปข้างนอก ปฐวีร์ก็ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ วนเวียนอยู่อย่างนี้เป็นสัปดาห์ ชีวิตการทำงานของปฐวีร์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และตอนเย็นวันนี้หลังจากเลิกงานที่บริษัทมีงานเลี้ยงเล็ก ๆ เลี้ยงฉลองโอกาสการได้เซ็นสัญญาร่วมทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน และการเลื่อนตำแหน่งใหม่ของพนักงาน ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้นเพราะงานเลี้ยงช่วงปีใหม่ถูกยกเลิกด้วยเหตุผลหลายอย่าง งานเลี้ยงนี้เลยกลายเป็นรางวัลให้พนักงานได้กินดื่ม สนุกกับมัน หลายคนกินดื่มเมาฟุบเฝ้าโต๊ะไปตั้งแต่สองทุ่ม หลายคนยังออกไปสนุกหน้าเวทีกับวงดนตรีที่ทางบริษัทจ้างมา ปฐวีร์นั่งโยกไปตามเสียงดนตรีดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นถ้าไม่ได้สังเกตใบหน้าของเขาที่แดงขึ้นตัดกับสีผิว ธีรณัฑศ์นั่งยิ้มกับท่าทางของคนตัวเล็ก เขาเขยิบเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่นั่งไม่ตรง “พอแล้วเมาแล้ว เดี๋ยวปล่อยให้นอนที่นี่เลย”

“อืม เมาแล้ว” คนเมาพยักหน้ายอมรับ หันมาส่งยิ้มหวานที่ไม่เคยได้เห็นให้  ทำให้ธีรณัฑศ์ควบคุมตัวเองไม่ได้ใช้นิ้วลูบแก้มใสเบา ๆ ก่อนจะรู้สึกหงุดหงิดกับประโยคต่อมา “ไม่เป็นไรพี่เทวามารับ”

“พี่เทวาเป็นใคร ทำไมเขาต้องมารับ” ธีรณัฑศ์ถามเบา ๆ ข้างหูคนเมา “อยากรู้เหรอ ไม่บอกหรอกความลับ” คนเมาตอบเสียงยานคางแล้วก็ซบหน้าลงหน้าอกอีกฝ่าย ชายหนุ่มเรียกปฐวีร์แต่ก็ไม่ขยับถึงได้รู้ว่าหลับไปแล้ว “หลับซะแล้ว เอาไงดี” เขากวาดสายรอบงานมองหาทินกรแต่ไม่เจอคงกลับไปแล้ว พนักงานเริ่มทยอยกลับกันแล้ว เขารีบแบกคนไม่ได้สติออกจากงานไป

            เทวาไม่ได้กลับห้องมาสองวันแล้วเพราะต้องเร่งทำงานโปรเจคให้เสร็จ สี่หนุ่มหน้าอิดโรยสภาพเหมือนคนอดนอน ในที่สุดการทุ่มเทมาตลอดยี่สิบกว่าชั่วโมงก็สำเร็จ ยุทธจักรแทบอยากแหกปากร้องตะโกนให้โลกรู้ แต่ก็ไม่มีแรง เขาทำได้แค่นอนหงายแผ่อยู่บนพื้นห้องมองเพดานยิ้มเหมือนคนบ้า คนอื่นก็มีสภาพไม่ต่างกัน เทวาถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรถามปฐวีร์ว่ากลับถึงห้องรึยัง

            ธีรณัฑศ์ค่อย ๆ วางคนเมาลงเตียง ปฐวีร์ได้นอนสบายบนเตียงก็ครางออกมาแล้วหลับต่อ เห็นคนเมาหลับสบายเขาก็เข้าห้องน้ำอาบน้ำทำธุระส่วนตัว เหนื่อยมาทั้งวันแถมตอนเย็นยังมีงานเลี้ยงอีก คนนั้นคนนี้ชวนดื่มแทบจะล้มพับลงกับโต๊ะ ดีที่เขาแค่จิ๊บแทน อาบน้ำเสร็จสวมชุดใหม่เดินออกจากห้องน้ำธีรณัฑศ์นั่งบนเตียงมองซีกหน้าข้างหนึ่งของปฐวีร์ สักพักเขาโน้มใบหน้าลง ทาบริมฝีปากลงริมฝีปากบาง ความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขาเริ่มดูดเม้มริมฝีปากบางเบา ๆ ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้เมื่อส่วนนั้นตื่นตัวขึ้น ร่างสูงเลื่อนหน้าซบซอกขาวสูดกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ที่เขามักจะกลิ่นบ่อย ๆ เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ จมูกโด่งสูดกลิ่นหอมจนพอใจริมฝีปากก็เริ่มดูดเม้มต่อ จากนั้นก็มีได้เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ธีรณัฑศ์ยังไม่สนใจเมื่อมีช่วงเวลาที่หาได้ยากเขาไม่จะปล่อยมันไป

“พี่เทวาเสียงโทรศัพท์....” คนหลับบ่นพึมพำ นั่นทำให้ชายหนุ่มหยุดมองหน้าอีกฝ่าย สติสัมปชัญญะที่หล่นหายไปเมื่อครู่ค่อย ๆ กลับ เขาสูดอากาศเข้าปอดปรับอารมณ์ให้คงที่ เด็กนี่อันตรายชะมัดแค่จูบนิดเดียวเขาก็แทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขาล้มตัวนอนข้าง ๆ อีกฝ่ายแล้วหยิบโทรศัพท์มารับ

“วีร์ ฮัลโหล วีร์ได้เสียงพี่ไหม” ชายหนุ่มรู้ว่าเป็นใครโทรมาก็รู้สึกอยากเอาคืน

”น้องวีร์ หลับไปแล้วคุณมีอะไรครับ”

“คุณเป็นใคร รับโทรศัพท์แฟนผมได้ยังไง” ปลายสายเงียบนั่นทำให้เทวาโกรธ ไม่พอยังวางสายใส่ เขารีบโทรกลับไปแต่ก็ไม่มีคนรับ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรวีร์อยู่กับใครวะ” เขายืนหงุดหงิดเดินไปเดินคนเดียวอยู่ข้างถนน เทวารีบต่อสายทินกรทันที ทินกรต้องรู้ว่าปฐวีร์อยู่กับใคร เสียงเตือนดังไม่กี่ครั้งทินกรก็รับด้วยน้ำเสียงัวเงีย เทวาไม่เกรงใจถามคำถามที่ต้องการรู้ทันทีทินกรหลับไปแล้วตื่นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ตั้งสติได้ว่าใครโทรมาก็ต้องแปลกใจเมื่อรู้ว่าปฐวีร์ยังกลับไม่ถึงห้อง เขาเล่าเรื่องที่พอจะรู้ให้อีกฝ่ายฟัง เทวาตั้งใจฟังทินกรบอกทุกอย่างก็พอจะจำได้ว่าปฐวีร์เคยบอกไว้ว่าที่บริษัทจะมีงานเลี้ยง ถ้าเดาไม่ผิดคนที่พาคนของเขาไปน่าจะเป็นธีรณัฑศ์ เขาได้ที่อยู่อีกฝ่ายมาจากทินกรแล้วก็รีบตรงไปตามที่อยู่ที่ได้มาทันที

ผ่านไปชั่วโมงกว่าก็มีพนักงานโทรขึ้นมาหาธีรณัฑศ์บอกว่ามีคนมาหา เป็นผู้ชายชื่อเทวา เขาบอกให้พนักงานปล่อยเทวาขึ้นมา วางสายไปแล้วหันไปมองปฐวีร์ยังหลับสบายไม่รู้เรื่องว่าทำให้ผู้ชายสองคนปวดหัวแค่ไหน ไม่นานเสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น ธีรณัฑศ์เปิดประตูออกเห็นเทวายืนทำหน้าบึ้งอยู่

“มาเร็วเหมือนกันนี่”

เทวาไม่สนใจไม่อยากเสียเวลากับอีกฝ่าย “วีร์อยู่ที่ไหน”

“นอนหลับอยู่ในห้องแน่ะ” ชายหนุ่มพูดแล้วยิ้ม

“ถอย” เทวาเห็นรอยยิ้มกวนประสาทนั้นแล้วแทบจะถลาเข้าไปชกหน้าอีกฝ่าย

ธีรณัฑศ์เห็นท่าทางอดกลั้นอีกฝ่ายแทบอยากจะระเบิดหัวเราะออกมา “เชิญ” เขายอมหลีกให้แต่โดยดี

เทวาไม่สนใจอีกฝ่ายเขาเดินเข้าไปในห้องเห็นปฐวีร์นอนหลับอยู่เตียง เปิดผ้าห่มเห็นเสื้อยังครบมีกระดุมเสื้อปลดออกเม็ดสองเม็ดจนเห็นผิวขาว เขารีบแบกปฐวีร์ออกจากห้อง ไม่ลืมทิ้งคำพูดไว้

“อย่าเข้าใกล้คนของผมอีก”

ธีรณัฑศ์ใช้สายตาท้าทายมองอีกฝ่าย “ก็ขึ้นอยู่กลับว่าคุณจะมีความสามารถแค่ไหน”

เทวาไม่สนใจฟังคำพูดอีกฝ่ายเขารีบออกมาจากที่นั่น

            กลับมาถึงห้องอารมณ์โกรธ ความหงุดหงิดก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เขาคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ อาบน้ำทำธุระส่วนตัวเปลี่ยนชุดออกมานั่งข้างเตียง เขาได้กลิ่นแอลกอฮอล์ทำให้รู้ว่าปฐวีร์เมา เขาถอดเสื้อผ้าออกจากตัวคนเมาทีละชิ้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตัว ปฐวีร์กำลังถูกรบกวนเวลานอน ปากบ่นออกมา

“จะนอนพี่เทวาอย่ากวน” เทวาได้ยินเสียงอีกฝ่ายเรียกชื่อเขาก็รู้สึกดี แต่ก็ต้องหงุดหงิดอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นรอยแดงเล็ก ๆ บนซอกคอขาว คนโง่ก็ดูออกว่ามันเป็นรอยอะไร

“ไอ้บ้านั่นมันฉวยโอกาส” เขากำหมัดแน่นไม่อยากนึกถึงถ้าเขาไปถึงที่นั่นช้าจะเกิดอะไรขึ้น         

            เช้าวันใหม่แสงสว่างจากข้างนอกลอดผ่านช่องว่างผ้าม่านเข้ามา แต่คนนอนบนเตียงยังไม่ขยับ แล้วอยู่ ๆ ก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งบนเตียง

“สายแล้ว สายแล้ว” ปฐวีร์ควานหาโทรศัพท์ “ทำไมโทรศัพท์ไม่ปลุกวะ” แต่ดูหน้าจออีกครั้งก็นึกได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุด หันไปมองคนนอนข้าง ๆ นอนมองอยู่ก็ต้องแปลกใจว่าตัวเองมาอยู่ห้องได้ไง

“อรุณสวัสดิ์ พี่เทวาพาผมกลับมาที่ห้องเหรอ” เทวามองหน้าอีกฝ่ายแต่ก็เงียบ

“งานโปรเจคเป็นยังไงบ้าง” เทวายังเงียบอีก ปฐวีร์เริ่มใจไม่ดีไม่รู้ว่าเมื่อคืนเผลอทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจรึเปล่า เขาเขยิบเข้าไปหา เทวาพลิกตัวหันไปอีกทาง เห็นท่าทางชัดเจนขนาดนี้ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธอยู่ แต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโกรธเรื่องอะไร เขาพยายามถามไปก็แล้ว ใช้หน้าซุกแผ่นหลังอีกฝ่ายก็แล้ว กอดก็แล้ว เทวายังนอนเงียบ แต่ที่จริงอีกฝ่ายกำลังยิ้มมีความสุขกับวิธีง้อของปฐวีร์ ปฐวีรู้สึกใจไม่ดีเขาไม่เคยเห็นเทวาเป็นแบบนี้มาก่อน เขาปล่อยให้อีกฝ่ายได้อยู่เงียบ ๆ ถือผ้าเช็ดตัวเดินคอตกเข้าห้องน้ำถอดเสื้อผ้าออกมองตัวเองในกระจกก็ต้องตกใจ เขารีบเปิดประตูออกมา

“เฮ้ย พี่เทวาไม่รู้ตัวอะไรกัดเป็นรอยเต็มตัวเลย” ตัวการทำให้เกิดรอยนั่งยิ้มตาหยีอยู่บนเตียง

“อย่าบอกนะ....” ปฐวีร์เห็นอีกฝ่ายยอมรับก็รีบกลับเข้าห้องน้ำอาบน้ำเปลี่ยนชุดออกมา

“จะบอกได้ยังว่าโกรธอะไรผม แล้วนี่ยังทำรอบพวกนี้ไว้อีก” คนถามทำหน้างอ

“แสดงความเป็นเจ้าของไง พวกแมลงจะได้ไม่มารบกวน” เทวาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“อืม หายโกรธแล้วเหรอ”

“เปล่า ยังโกรธอยู่ ใครให้กินเหล้าจนเมาขนาดนั้น ก็รู้อยู่ว่าตัวเองคออ่อน”

“ก็ไม่รู้ พี่ ๆ เค้าบอกว่าไม่เมากินได้ อย่าโกรธนะคราวหน้าไม่กินอะไรพวกนี้แล้ว สัญญา” ปฐวีร์ทำหน้าสำนึกผิด พูดเสียงออดอ้อนสุดขีด

“กินได้พี่ไม่ว่าแต่อย่ากินจนหลับขนาดนั้น อืม อย่ากอด”

“ทำไม” คนถามทำหน้ามุ่ย

“เดี๋ยวมันตื่น เมื่อคืนก็เกือบไปแล้ว”

“ง่ะ ทำได้ไงจำที่คุณแม่บอกไม่ได้เหรอ ท่านบอกว่าน้องยังเด็กห้ามทำอะไรน้อง และต้องให้พ่อรู้เรื่องนี้ก่อน”

“ดูจากเมื่อคืนก็พอจะรู้ว่ายังเด็กจริงๆ” ปฐวีร์กลอกตา ขอยอมแพ้เดินออกจากห้องไปหาอะไรกินแทนเผื่อจะได้โตขึ้นมาหน่อย                 

            ตอนเย็นวันหยุดทั้งสองออกมากินข้าวข้างนอก กินข้าวเสร็จเทวาชวนไปดูหนัง ปฐวีร์เห็นด้วย ทั้งสองมาถึงโรงหนัง ยืนดูโปรแกรมหนังที่กำลังเข้าฉายแล้วช่วยกันเลือกว่าจะดูเรื่องไหนดี

 “ดูเรื่องนี้กัน” ปฐวีร์ชี้ไปหนังตัวอย่างที่กำลังฉายอยู่บนจอใหญ่หน้าทางเข้าโรงหนัง

“ไม่กลัวรึไง” เทวาถามคนที่เวลานอนก็ไม่ยังกล้าปิดไฟนอน บางวันยังเห็นเปิดโทรทัศน์นอนเป็นเพื่อน อะไรจะกลัวขนาดนั้น

“นาน ๆ ทีดูไม่เป็นหรอก เวลานอนก็เปิดไฟหลอดเล็กเอา” เทวาส่ายหัวกับคนขี้กลัวแต่ยังอยากดู

“งั้นเอารอบนี้ไหม มันเหลือแค่รอบสุดท้ายแล้ว” เขาถามความเห็นคนขี้กลัว

ปฐวีร์พยักหน้าเห็นด้วย ดูหนังสยองขวัญรอบดึกรู้สึกว่ายิ่งได้อารมณ์ “อื้อ พี่ไปซื้อตั๋วผมจะไปซื้อขนม” ทั้งสองแยกย้ายกัน

ปฐวีร์เดินไปต่อแถวซื้อขนมและน้ำ สั่งเป็นชุดเล็กก็เพราะคิดว่าคงมัวแต่นั่งกลัวจนไม่อยากกินอะไรปฐวีร์เดินถือน้ำขนมมานั่งข้าง ๆ เทวาที่ซื้อตั๋วมาแล้ว นั่งรอไม่นานหนังรอบสุดท้ายพนักงานประกาศเรียกหลายคนนั่งทยอยเข้าไป เข้าไปข้างใน หนังรอบดึกโรงหนังดูว่างจนน่ากลัวแต่ก็เข้ากับบรรยากาศหนังผี ที่นั่งพิเศษแถวบนมีคนนั่งเยอะมากที่สุด นั่งดูหนังตัวอย่างที่กำลังเข้าฉายและจะเข้าฉายโปรแกรมหน้าจนลืมไปว่าซื้อตั๋วมาดูหนังเรื่องอะไร แล้วหนังที่รอก็เริ่มฉาย เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อย มีบางช่วงที่ผีโผล่มาคนดูบางคนตกใจจนต้องกรี๊ดเสียงดัง บางฉากก็ตลกเรียกเสียงหัวเราะลั่นโรงหนัง บางฉากก็ซึ้งจนหลายคนต้องกลั้นน้ำตาไว้ หนังผ่านมาค่อนเรื่องอยู่ ๆ ปฐวีร์ก็เห็นภาพบนจอเปลี่ยนไปเป็นภาพตัวเองปรากฏอยู่บนจอกำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่าง เขามองรอบ ๆ โรงหนังที่มืดกลายเป็นป่า เขาหันขวับไปมองคนนั่งข้าง ๆ เทวายังนั่งดูหนังปกติ

“พี่รู้สึกอะไรแปลก ๆ รึเปล่า อย่างโรงหนังหรือภาพบนจอ”

“ไม่นิ โรงหนังก็มืดปกติแค่คนดูน้อย ส่วนจอภาพก็ชัดหรือเรามองไม่เห็น” เทวาจ้องหน้าคนถามเสียงสั่นเหมือนกำลังกลัวอะไร เทวาฟังแล้วรู้สึกเป็นห่วง

“ปะ เปล่า” เขารีบปฏิเสธ แสดงว่าไม่มีใครมองเห็นสิ่งที่เขาเห็น เป็นแบบนี้อีกแล้ว ครั้งก่อนก็เห็นบนกระจก ครั้งนี้เห็นบนหน้าจอ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก เขาตั้งสติมองภาพหน้าจอที่ยังเห็นภาพตัวเองวิ่งหนีอะไรสักอย่างไม่นานภาพก็เปลี่ยน เป็นโรงพยาบาล เขากำลังรอที่จะเห็นภาพต่อจากนั้น แต่ไฟในโรงหนังก็สว่างขึ้น

            คืนนั้นกลับมาถึงห้องเขาก็ฝันเรื่องเดิมอีกครั้งความฝันเริ่มชัดขึ้น ส่วนความฝันที่ต้องตายเริ่มพร่ามัวลงแต่ก็มีภาพเลือนราง ซ้อนทับขึ้นมาเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่มองเห็นไม่ชัด


*************************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป


Change! ในรูปแบบ E-book
[/size]

(https://www.picz.in.th/images/2018/10/31/3N1lED.jpg)
https://bit.ly/2DaYjvA (https://bit.ly/2DaYjvA)
[/size]
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 30 [2/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-11-2018 17:31:25
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 30 [2/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 04-11-2018 19:48:56
อนาคตเริ่มเปลี่ยนแล้วแต่จะเปลี่ยนไปในทางไหนรอลุ้นค่ะ o13
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 31 [10/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 10-11-2018 22:18:49
ตอนที่ 31
[/size]

พระอาทิตย์ตกไปได้หลายชั่วโมงแล้ว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำและมีดาวส่องแสงระยิบบนท้องฟ้า ค่ำคืนวันหยุดรถบนท้องถนนดูคึกคักเป็นพิเศษ หลายคนต่างมีจุดหมายปลายแทบไม่แตกต่างกันคือหาที่ผ่อนคลาย ร้านอาหารย่านชุมชนเมืองจึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่ออกมากินข้าวกับครอบครัว เพื่อนและคนรู้ใจ รถเก๋งสีขาวคันเล็กจอดติดรถไฟแดงมาได้สักพักแล้ว คนนั่งอยู่ในรถกำลังเปิดเพลงฟังอย่างสบายใจ คณิตตาร์กำลังมีความสุขเพราะคืนนี้เธอมีนัดเลี้ยงวันเกิดกับเพื่อน ๆ ที่ผับแห่งหนึ่ง สัญญาณไฟเปลี่ยนสีเธอรีบขับรถตามรถข้างหน้าไป ผ่านไปอีกสี่แยกก็ถึงจุดหมาย เธอเลี้ยวเข้าที่ลานจอดรถ สาวสวยในชุดเกาะอกรัดรูปลงมาจากรถทำให้ใครหลายคนต้องมองตาม เมื่อเข้าไปข้างในเธอกดโทรศัพท์หาเพื่อนพร้อมกวาดสายตามองรอบร้าน ปิ่นอนงค์คือเพื่อนหนึ่งในนั้นที่กำลังโบกมือเรียกหญิงสาวอยู่ ถึงเธอจะไม่พอใจปิ่นอนงค์อยู่บ้างแต่ก็หลับตาคบไป เธอเข้าไปด้านในผู้ชายหลายคนมองเธอด้วยสายตาสนใจ เธอทำเป็นไม่เห็นเดินผ่านเลยไปที่โต๊ะที่มีเพื่อนนั่งอยู่ “แหม เพิ่งเข้ามา หนุ่ม ๆ ก็มองค้างเชียว”

“เสน่ห์แรงจริงเพื่อนเรา”

“ท่าทางคืนนี้คงนี้เพื่อนคงไม่โสดแล้ว” คำพูดชื่นชมของเพื่อนแต่ละคนทำให้เธอยิ่งรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น “อยากกินอะไรสั่งได้เลยวันนี้ฉันเลี้ยงเอง” ทุกคนได้ยินต่างก็ยิ้มกว้างและไม่ขัดศรัทธา พวกเธอรีบโบกมือเรียกพนักงานมารับออเดอร์ สั่งเครื่องดื่มไปหลายอย่าง รอไม่นานพนักงานก็กลับมาอีกครั้งพร้อมถาดเครื่องดื่ม พวกเธอชนแก้วฉลองให้เจ้าของวันเกิดพร้อมทั้งอวยพร

            ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ แอลกอฮอล์ในร่างกายก็ยิ่งออกฤทธิ์ คณิตตาร์ออกไปสนุกหน้าเวทีกับเพื่อนสักพักก็กลับมาที่โต๊ะ “สนุกเป็นบ้าเลย ผู้ชายคนนั้นสีหลังฉันใหญ่เลย”

“ไหน ๆ คนนั้น” หญิงสาวชี้ให้เพื่อนดู “หน้าตาดีใช้ได้เลย แกอย่าบ่อยให้หลุดมือล่ะ”

“ไม่หล่ะฉันไม่ชอบผู้ชายท่าทางแบบนี้” ทุกคนเห็นท่าทางเลือกมากของเพื่อนรู้สึกอิจฉาอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

“ตาร์ดื่มนี่สิเราเพิ่งสั่งมาให้”

“ขอบใจ” เธอรับเครื่องดื่มจากปิ่นอนงค์ และดื่มมันจนหมด จากนั้นพวกเธอก็ออกไปสนุกต่อ ผ่านไปสักพักคณิตตาร์ก็รู้สึกมึนจนต้องกลับมาที่โต๊ะ “อ้าว นั่นยัยตาร์เป็นอะไร เมื่อกี้ยังเต้นดี ๆ อยู่เลย”

“สงสัยจะเมาแล้ว เล่นดื่มไปหลายแก้วขนาดนั้น”

“ก็น่าจะใช่ แล้วเอาไงจะต่อหรือจะกลับ”

“กลับดีกว่านี่ก็เที่ยงคืนแล้ว”

“เออ” ทุกคนเห็นด้วยเมื่อเห็นเจ้าภาพเมาพับไปแล้ว ปิ่นอนงค์ทำหน้าพาคณิตตาร์กลับ จ่ายเงินเรียบร้อยทุกคนต่างแยกย้ายกัน

            คณิตตาร์ไม่รู้ว่าเมาพับไปตั้งแต่ตอนไหน เธองัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอะไรสักอย่าง เธอมองไปรอบ ๆ ถึงได้รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในห้องนอนใครสักคน ดันตัวเองลุกขึ้นนั่งรู้สึกปวดจี๊ดที่หัว คงเป็นเพราะดื่มไปเยอะแทบจำไม่ได้ว่าดื่มอะไรลงไปบ้าง เธอค่อย ๆ ลุกจากเตียงเดินตามหาที่มาของเสียง เดินออกมาจากห้องนอนถึงห้องนั่งเล่นเธอก็ต้องหยุดยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเมื่อที่มาของเสียงอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์จอใหญ่ เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นชัดว่าคนที่อยู่ในนั้นเป็นเธอกับผู้ชายอีกสองคน “ตื่นแล้วเหรอมาดูด้วยกันซิ” ปิ่นอนงค์นั่งอยู่บนโซฟาหันมาเรียกคณิตตาร์

“นี่ นี่ มันหมายความว่ายัง” คณิตตาร์รู้สึกสับสนก้าวเข้าไปดูใกล้ ๆ

“อิ อิ ตาร์ดูไม่ออกว่าผู้หญิงอยู่ในวิดีโอคือตาร์ ถึงจะไม่ได้สวมเสื้อผ้าก็เถอะ ไม่น่าจะจำตัวเองไม่ได้ เป็นไงภาพออกมาสวยไหม ดูมุมนี้สิตาร์แสดงอารมณ์ได้ดีมาก”

“เธอหมายความว่ายังไง”

“ก็วิดีโอนี้ปิ่นเป็นคนถ่ายเองกับมือ” เธอยิ้มหวาน

ร่างกายของคณิตตาร์หมดเรี่ยวแรงลงไปดื้อ ๆ ดวงตาที่จ้องบนภาพก็เบลอเพราะน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ “ตั้งแต่เมื่อไหร่” เธอเค้นเสียงถามอีกฝ่าย

“อือ ก็ตั้งแต่คืนที่พวกเราไปเที่ยวนับถอยหลัง อย่าบอกนะตาร์กำลังโกรธ แต่เห็นคืนนั้นตาร์ดูมีความสุขดีออก”

“แกทำยังนี้ทำไม แกต้องการอะไร” เธอตะโกนเสียงดังลั่นห้อง ตัวเธอสั่นด้วยความโกรธ

“ตาร์ไม่ดีใจเหรอ ปิ่นอุส่ารีบตัดต่อให้ทันเป็นของขวัญวันเกิดตาร์เลยนะ” ปิ่นอนงค์ลุกจากโซฟาเดินเข้าไปหาคณิตาร์ เธอยิ้มให้อีกฝ่าย เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คณิตาร์ขนลุก ”ตาร์ไม่ดีใจเหรอ ปิ่นอุส่าตั้งใจทำให้เลยนะ”

“ไม่” คณิตตาร์ส่ายหน้าขยับให้ห่างจากปิ่นอนงค์

“ปิ่นว่าไปนั่งดูที่โซฟาดีกว่า บางทีถ้าดูแล้วตาร์อาจจะชอบมัน” เธอกำแขนคณิตาร์แน่นแล้วลากไปที่หน้าโทรทัศน์ จากนั้นก็ผลักคณิตตาร์ให้นั่งลงไป คณิตตาร์รู้สึกกลัวเธอไม่เคยเห็นปิ่นอนงค์ในลักษณะนี้มาก่อน

“อ้าวจบซะแล้ว เดี๋ยวเปิดดูใหม่นะ” เธอหยิบรีโมทมาเปิดวิดีโอให้เล่นอีกครั้ง คณิตตาร์ยังสับสนไม่เข้าใจว่าทำไมปิ่นอนงค์ถึงต้องทำกับเธออย่างนี้ เธอเหลือบไปมองโต๊ะกลางเห็นซองยาวางอยู่หลายซอง เธอหยิบมันขึ้นมาดูก็ต้องตกใจกว่าเดิม

”แก แก แกเป็นบ้า”

“อาจจะใช่หมอบอกเป็นอาการคล้าย ๆ อย่างนั้น”

“อย่างมาใกล้ฉันอีบ้า ถอยไปไกล ๆ” เธอพยายามต่อสู้กับความรู้สึกกลัว สุดท้ายร่างกายก็ทนไม่ไหวทำให้เธอหมดสติไปในที่สุด “ว้า สลบไปซะแล้วแต่ไม่เป็นไรปิ่นดูคนเดียวก็ได้” ปิ่นอนงค์ยังนั่งดูวิดีโอคนเดียว เธอดูไปยิ้มไปอยู่คนเดียวบางทีก็หัวเราะ

            ในที่สุดปฐวีร์ก็กลับมาเรียนตามปกติเพราะถึงเวลาที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้ ความสุขของเขากลับมา ชีวิตเดิม ๆ กลับมา ได้เจอเพื่อน หลายคนเลิกสนใจเรื่องของเขากับเทวาแล้ว เพราะในแต่ละวันมีเรื่องราวอื่น ๆ ให้สนใจมากกว่า คนที่สร้างเรื่องน่ารำคาญก็มาขอโทษเขาด้วยตัวเองโดยให้เหตุผลส่วนตัวหลายข้อที่ฟังไม่ขึ้น แต่ปฐวีร์ก็ยอมให้อภัยพูดตักเตือนไปหลายคำและแจ้งเรื่องความประพฤติของเธอให้ทางมหาวิทยาลัยทราบเพื่อทำทัณฑ์บนถ้าทำผิดอีกครั้งจะถูกหักคะแนนความประพฤติ พิมพ์รตารอดจากเรื่องนี้แต่ก็น่าจะทำให้เธอเงียบไปได้สักพัก

ขาดเรียนไปนานทำให้เขาต้องมานั่งทบทวนบทเรียนและเร่งทำงานส่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะมันรู้สึกดีกว่ากองเอกสารที่เจอก่อนหน้าด้วยซ้ำ และโชคยังดีที่ได้เลคเชอร์จากเพื่อน ๆ ขณะที่ทุกคนนั่งเป็นเพื่อนเขาทำงานส่ง ก็สังเกตเห็นเห็นปิ่นอนงค์อารมณ์ดีเป็นพิเศษไม่รู้ว่าไปเจออะไรดีเข้า

“อยากรู้เหรอดูนี่ซิ” เธอส่งโทรศัพท์มีภาพวิดีโอมาให้ เล่นเอาปฐวีร์ทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นว่าใครอยู่ในนั้น ถึงว่าช่วงนี้เห็นคณิตตาร์เก็บเนื้อเก็บตัว เจอหน้ากันแล้วเธอได้แต่เดินหนี อาจดูว่าปิ่นอนงค์ทำเกินไปบ้างแต่อย่าลืมว่าคณิตตาร์มีส่วนทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น ถ้าคนหนึ่งไม่เริ่มปัญหาก็ไม่เกิด

จากนั้นสองสามวันเขาได้ข่าวจากทนายเรืองโรจน์ว่าคำร้องของคุณนายรองที่ต้องการขอเป็นผู้อนุบาลไม่ผ่านถึงอย่างนั้นเขาก็คิดว่าคุณนายรองคงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เธอต้องหาทางทำอะไรอีกแน่นอน และการเข้าไปในบริษัทของเขาในระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้หลายคนมีการเคลื่อนไหว บางคนเริ่มเปลี่ยนมาสนับสนุนประธานคนใหม่ สถานการณ์ภายในเริ่มดีขึ้นหลังจากตึงเครียดมาได้สักพัก

            ผิดกับอีกด้านที่ดูตึงเครียดเมื่อทุกอย่างไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ ในห้องทำงานทศพลนั่งหลับตาฟังที่เลขาคนสนิทพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันอย่างใจเย็น ก่อนลืมตาขึ้นเพราะประโยคต่อมา

“ท่านครับเอกสารสำคัญบางส่วนหายไป”

“คงเป็นไอ้เด็กนั่น ให้คนของเราเอาเอกสารคืนมา”

“ครับ”

            ดึกแล้วพระจันทร์เกือบเต็มดวงลอยสูงเด่น มันส่องแสงสว่างนวลอยู่บนท้องฟ้า หลายคนหลับไปแล้ว หลายคนยังใช้ชีวิตสนุกอยู่ข้างนอก ส่วนปฐวีร์ยังนั่งหลังแข็งหาวแล้วหาวอีกทำงานส่งอาจารย์อย่างตั้งใจ กว่าสามชั่วโมงในที่สุดเขาก็วางปากกาในมือลง มองรายงานร้อยกว่าหน้าบนโต๊ะแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก งานชิ้นสุดท้ายที่ต้องส่งเสร็จซะที เขารีบเก็บงานบนโต๊ะเข้าแฟ้มใสให้เรียบร้อย บิดขี้เกียจขยับร่างกายให้หายเมื่อย แล้วเสียงเตือนในโทรศัพท์ว่ามีข้อความเข้าก็ดังขึ้น เขาเปิดข้อความอ่านก็อดยิ้มไม่ได้ เป็นเทวาส่งข้อความมาบอกให้พักผ่อนได้แล้ว ดึกแล้ว และถามอีกว่าพรุ่งนี้อยากกินอะไรแม่ฝากมาถาม เขาพิมพ์ข้อความตอบกลับว่า อะไรก็ได้กับข้าวฝีมือคุณแม่อร่อยทุกอย่าง คุยกันสักพัก เทวาก็บอกให้ปฐวีร์ไปพักผ่อน ปฐวีร์เป็นเด็กดีรีบเข้าห้องเปิดไฟหลอดเล็กไว้เป็นเพื่อนปีนขึ้นเตียงแล้วรีบนอนพักผ่อน สักพักหนังตาก็หนักขึ้นแล้วหลับไป

            พระจันทร์อ่อนแสงลงแต่ยังไม่ทันกลับไปนอน เสียงโทรศัพท์ในห้องก็แผดเสียงลั่น เล่นเอาคนกำลังหลับสบายสะดุ้งตื่นขึ้นมา “ฮัลโหล ใคร ไม่รู้รึไงว่าตอนนี้มันยังเช้าอยู่ .......” ปฐวีร์ด่าปลายสายจนพอใจแล้วถามปลายสายว่าเป็นใคร

“ฉันก็นึกว่านายจะด่าจนถึงเช้า แล้วไม่ยอมถามว่าใครโทรมาซะอีก” ปฐวีร์ยังหลับตาฝังหน้าลงบนหมอนในหัวรู้สึกเสียงปลายสายคุ้น ๆ เหมือนได้ยินที่ไหน “พลพัฒน์”

“อืม ฉันดีใจที่นายจำเสียงพี่ชายอย่างฉันได้ ทั้งที่เราแทบจะไม่ได้คุยกัน”

“มีไร คงไม่มีเวลาว่างมากพอจะโทรมาเล่นทายเสียงหรอกนะ”

“เปล่าหรอก ฉันไม่ได้มีรสนิยมอย่างนั้น แต่พอดีมีเรื่องอยากให้ช่วย” เสียงปลายสายมีความลังเลก่อนพูดต่อว่า “เรื่องสำคัญเกี่ยวกับบริษัท” ปฐวีร์ตาสว่างทันทีถามเรื่องราวต่อจากนั้นแต่พลพัฒน์บอกให้ออกมาคุยกันข้างนอก เขาถามสถานที่นัดเจอ วางโทรศัพท์ไปปฐวีร์นั่งนิ่งบนเตียงเป็นเพราะเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อยทำให้สมองประมวลผลช้า เรื่องสำคัญเกี่ยวกับบริษัทที่ว่ามันคืออะไร แล้วทำไมพลพัฒน์ถึงเลือกที่จะบอกเขา แล้ว.....โอ๊ยปวดหัว ช่างเถอะออกไปเดี๋ยวก็รู้เอง จากนั้นเขารีบอาบน้ำเปลี่ยนชุด พอดีกับที่เทวาที่เพิ่งกลับมาถึงห้อง

*************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป


Change! ในรูปแบบ E-book
[/size]

(https://www.picz.in.th/images/2018/10/31/3N1lED.jpg)
https://bit.ly/2DaYjvA (https://bit.ly/2DaYjvA)
[/size]

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 31 [10/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 13-11-2018 12:10:00
ลุ้นๆอะไรจะเกิดกับวีร์อีก วีร์จะไปตามนัดก็เอาเพื่อนไปด้วยนะอย่าไปคนเดียว :katai1:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 31 [10/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 13-11-2018 18:30:08
น้องวีร์อย่าเพิ่งไปตกหลุมพรางเค้านะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 31 [10/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 14-11-2018 11:38:45
เริ่มต้นเรื่องอ่านแล้วดูเนื่อยๆ ไปนิด แต่อ่านไปเรื่อยๆ แล้วติดใจอยากอ่านต่อ
เรื่องนี้วีร์ดูทั้งโชคร้ายและโชคดีไปพร้อมๆ กันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 31 [10/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-11-2018 23:56:15
 :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 32 [19/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 19-11-2018 08:18:45
ตอนที่ 32
[/size]



พระอาทิตย์โผล่ขึ้นได้ครึ่งดวง แสงแรกของวันส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ปฐวีร์ก็มาถึงที่นัดปั๊มน้ำมันนอกเมือง ระหว่างทางเขาพยายามคิดหาเหตุผลของการที่พลพัฒน์อยากคุยเรื่องเกี่ยวกับบริษัท ทำไมถึงไม่ไปคุยกับคนที่มีบทบาทสำคัญ ตอนนี้ในสมองมีคำถามมากมายที่อยากรู้ เขาลงจากรถมองหาพลพัฒน์ พลพัฒน์โบกมือเรียก ชายหนุ่มกำลังยืนอยู่หน้าร้านกาแฟ “ขอโทษที่เรียกออกมาแต่เช้า และไกล แต่ฉันคิดไม่ออกว่าใครจะสามารถจัดการเรื่องนี้ดีเท่านาย”

“ผมดูน่าเชื่อถือ” เขาสังเกตท่าทางชายหนุ่มที่ดูสบาย ๆ เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติเห็นทำแต่หน้าบึ้งและสายตาไม่สนโลก วันนี้ดูชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคน ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น อารมณ์เย็นขึ้น แต่ถึงยังไงก็ยังไม่น่าไว้ใจไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

“อืม ป่านฟ้าบอกว่าอย่างนั้น” พูดถึงหญิงสาวเขาก็มีร่องรอยของรอยยิ้มอบอุ่นปรากฏให้เห็น

“อ้อ ได้คุยกันแล้วสิ” เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้คนตรงหน้าเปลี่ยนไป คงเป็นความรัก

“ใช่ ขอบคุณนายมากสำหรับเอกสารสัญญาที่ส่งมาให้ มันช่วยทำให้ฉันตัดสินใจทำอะไรได้ง่ายขึ้น” พลพัฒน์พูดถึงสัญญาที่ป่านฟ้าทำไว้กับปทีปก่อนหน้า มันทำให้เขาเข้าเรื่องราวหลายอย่างได้มากขึ้น

“ไม่เป็นไร แค่รู้สึกสงสารคุณป่านฟ้าเท่านั้น”

“ยังไงก็ต้องขอบคุณที่ช่วยเธอไว้ ฉันซะอีกกลับทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นไฟล์เอกสารสำคัญในนี้สามารถเอาผิดทุกคนได้”

“รวมทั้งทศพลและคุณนายรองด้วยไหม”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ใช่ ส่วนเอกสารตัวจริงเก็บไว้ในที่ปลอดภัย” เขาส่งกุญแจให้ปฐวีร์ ปฐวีร์แสดงสีหน้ากังวลและลังเลเล็กน้อย “แล้วมีเหตุผลอะไรทำไมต้องเอามาให้ผม” เขาจ้องหน้าอีกฝ่ายเพื่อหาคำตอบว่าต้องการอะไร แต่สิ่งที่เห็นคือแววตาที่แน่วแน่มันคงเหมือนอีกฝ่ายตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว ทำให้เขาตัดสินใจรับกุญแจมาและเก็บมันไว้ในกระเป๋า

“ถือว่าเป็นคำขอร้องในฐานะพี่ชาย จริง ๆ แล้วคุณแม่ไม่ได้เป็นคนเลวร้าย คุณตาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ท่านอยากได้บริษัทของคุณพ่อ ดูเหมือนจะวางแผนมานานพอสมควร อีกอย่างฉันไม่อยากให้คุณแม่ถลำลึกไปมากกว่านี้ เพราะบริษัทเป็นของคุณพ่อสร้างขึ้น มันเป็นของวีรวัฒฑณ ฯ อย่างถูกต้อง” ปฐวีร์เริ่มจะเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายทันที คุณนายรองเธอมีลูกชายที่ดี

“ผมเข้าใจ แล้วนายจะทำยังไงต่อไป”

“ต่อจากนี้ฉันจะเป็นอิสระ ทำอะไรก็ได้ไม่ต้องให้คุณแม่ชี้นิ้วบอก ไม่ต้องอิจฉานาย”

“งานหมั่นล่ะ”

“มันจะไม่เกิดขึ้น เพราะคุณลูกศรหนีไปกับคนรักเธอแล้ว” เขาแปลกใจที่ได้ยินอย่างนั้นเรื่องมันเลวร้ายกว่าคิดไว้ “รบกวนเวลานายนานแล้ว ฉันคงต้องไปก่อน”

การออกมาพบเจอกันของทั้งสองมีสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ พวกมันนั่งสังเกตการณ์รอบ ๆ และรอคอยอย่างใจเย็น เมื่อเห็นพลพัฒน์ยื่นไอแพดให้ปฐวีร์ พวกมันรีบโทรหาเจ้านายทันที ปลายสายตอบกลับมาให้รอก่อน รอจนกว่าทั้งสองจะออกจากร้านแล้วค่อยพาตัวมา

การสนทนาเกือบชั่วโมงสิ้นสุดลง ทั้งสองเดินออกมาจากร้านกาแฟ ยังไม่ทันเดินแยกจากกันก็มีชายสองคนเดินเข้ามาประกอบ มันใช้ปืนจี้ที่เอว พร้อมกระซิบเบา ๆ

“อยู่นิ่ง ๆ อย่าขยับ พอดีว่ามีคนอยากพวกคุณ” ทั้งสองมองหน้ากัน ปฐวีร์มึนงงที่ถูกชายแปลกหน้าเดินเข้ามาประกบแล้วก็เหลือบไปเห็นปืนจี้อยู่ที่เอวทำให้หัวใจเกือบหล่นไปที่ตาตุ่ม เขารู้สึกกลัวเพราะไม่เคยตกอยู่สถานการณ์แบบนี้มาก่อน ตัวเกิดแข็งเกร็งขึ้นมาดื้อ ๆ

“เดินไปแล้วอย่าคิดเล่นตุกติก ไม่งั้นยิงไส้แตกแน่” เขาก้าวขาไม่ออกแต่ก็ถูกพวกมันผลักให้เดินตรงไปที่รถตู้ที่เปิดประตูรออยู่ทันที เขาไม่ลืมมองไปที่รถภาวนาให้เทวาเห็นเหตุการณ์แล้วตามคนมาช่วย

“มองอะไรไอ้หนู ขึ้นรถไป” ปฐวีร์ถูกผลักขึ้นไป ตามด้วยพลพัฒน์ จากนั้นประตูก็ถูกปิดลง รถก็รีบเคลื่อนออกจากที่นั่น ปฐวีร์นั่งอยู่บนรถตัวเกร็งพยายามรวบรวมสมาธิตั้งสติที่มีอยู่เล็กน้อย สังเกตรอบ ๆ ถึงได้รู้ว่าพวกมันมีด้วยกันสี่คน คนหนึ่งตัวผอมเป็นคนขับรถ อีกคนรูปร่างไม่สูงไม่ใหญ่นั่งข้างเบาะคนขับ ส่วนอีกสองคนที่พาพวกเขาขึ้นรถมานั่งเบาะหลังพวกเขา พวกมันนั่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรสักคำ แต่สายตากลับจ้องพวกเขา ไม่รู้ว่าพวกมันจะพาไปที่ไหนคนที่พวกมันว่าอยากเจอไม่รู้ว่าเป็นใคร ต่อจากนั้นถ้าได้เจอแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้น สมองกำลังคิดเรื่องฟุ้งซ่านจนเหงื่อซึมออกตามมือและหน้าผาก

“ขอถามได้ไหมว่าคนที่ต้องการเจอพวกผมสองคนเป็นใคร” พลพัฒน์พูดขึ้นเพื่อให้บรรยากาศลดความตึงเครียดลง แต่ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรสักคำ รถยังวิ่งด้วยความเร็วคงที่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

“ได้ตัวมาแล้วครับนาย จะให้พวกผมพาไปที่ไหน ครับ ได้ครับ”

“พี่ นายโทรมาบอกว่ายังไง”

“ขับรถตรงไปที่กิโลเมตร108 นายจะรออยู่ที่นั่น”

            เทวาเอนหลังนอนกำลังเล่นเกมต่อจากเมื่อคืน เงยหน้าขึ้นมาเห็นคนรักขึ้นรถไปกับพลพัฒน์และมีผู้ชายแปลกหน้าท่าทางไม่น่าไว้ใจอีกสองคน เขารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เพราะปฐวีร์บอกว่าจะไปคุยธุระในร้านกาแฟ และท่าทางของปฐวีร์เหมือนไม่เต็มใจ คิดจะโทรหาปฐวีร์ถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่โทรศัพท์ก็ดันวางอยู่บนเบาะนั่งข้าง ๆ ชายหนุ่มเห็นท่าทางไม่ดีเขารีบตามรถตู้ที่ไม่มีป้ายทะเบียนไปห่าง ๆ

            สองชั่วโมงหรือนานกว่านั้นรถตู้ก็ชะลอจอดที่หลักกิโลเมตรที่108 ใกล้กันมีรถเก๋งยี่ห้อหรูสีดำจอดอยู่ก่อนแล้ว รถตู้จอดสนิทประตูก็ถูกเปิดออก ทั้งสองถูกพาไปที่หน้ารถตู้ แล้วประตูของรถเก๋งที่จอดอยู่ด้านหน้าก็เปิดออก “ทศพล” ปฐวีร์เรียกชื่อชายสูงวัยลงจากรถเบา ๆ

“เป็นไงดูเหมือนไม่ค่อยแปลกใจที่เจอหน้าฉัน โดยเฉพาะแกไอ้หลานไม่รักดี ฉันไม่นึกว่าแกจะกล้าหักหลังฉัน” ทศพลจ้องพลพัฒน์เขม็ง ไม่นึกว่าหลานชายที่ดูเหมือนหัวอ่อน จะกล้าทำเรื่องแบบนี้กับเขา

“แต่สิ่งที่คุณทำมันไม่ถูกต้อง”

“ไม่ถูกต้องยังไง มันเป็นสิ่งที่แกและแม่ของควรจะได้ ไม่ใช่ไอ้เด็กนี่ ไอ้ปทีปมันใจร้ายใจดำกับแม่แกขนาดไหน แค่ทะเบียนสมรสแค่ใบเดียวมันยังไม่ยอมเซ็นให้”

ปฐวีร์ยืนฟังเงียบ ๆ เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่เท่าไหร่ แต่การอยากได้ของคนอื่นต้องหาข้ออ้างมาร้อยแปด คิดหาวิธีกลโกงมากมาย แล้วหาเรื่องที่เป็นข้ออ้างเพื่อให้ตนเองเป็นฝ่ายถูกอย่างนี้ก็มีด้วย

“เอาเอกสารพวกนั้นมาให้ฉัน” ทศพลหรี่ตามองพลพัฒน์

“ไม่ครับ”

“เอาเอกสารมาให้ฉัน แกก็รู้ว่ามันสำคัญกับฉันและแม่แกแค่ไหน”

“ผมไม่เชื่อ คุณกำลังหลอกใช้แม่ หลอกใช้ทุกคน เพื่อให้ได้สิ่งที่คุณต้องการ”

“หึ หึ แกนี่มันฉลาดเหมือนพ่อไม่มีผิด แต่ก็แล้วไงฉลาดก็ต้องไปนอนเป็นเจ้าชายนิทรารอวันตายอยู่อย่างนั้น เชื่อฉัน ฉันจะทำให้บริษัทดีขึ้น”

หึ ปฐวีร์ทำเสียงขึ้นจมูกทนฟังอยู่นานก็เพิ่งได้ยินได้เจอคนหน้าด้านหน้าทนอย่างนี้

“แกไอ้เด็กเหลือขอไม่มีแม่แกตายไปแล้วเดี๋ยวพ่อก็จะตามไป ส่วนแกฉันจะส่งไปอยู่กับพวกมันแกว่าดีไหม” เขาไม่สนใจคำขู่อีกฝ่าย พลพัฒน์ยังนิ่งไม่ยอมคืนเอกสารให้ ทศพลเริ่มหมดความอดทน เขาควักปืนออกมาจ่อขมับพลพัฒน์ทันที

“ฉันเตือนแกแล้วนะ”

“ถ้าคุณยิงผมแล้วจะตอบแม่ว่ายังไง”

“ทุกอย่างฉันเตรียมไว้หมดแล้ว จะไปยากอะไรก็บอกว่าแกสองคนยิงกันตาย”

“ใครจะไปเชื่อ”

“ใช่ไม่มีใครเชื่อ แต่ดูรอบ ๆ สิไม่มีใครอยู่ที่นี่ ที่นี่มีแต่ป่า ไม่มีพยานเพราะแกทั้งสองต้องตาย และที่สำคัญหลักฐานคือพลพัฒน์โทรเรียกแกออกมา”

ทั้งสองนึกภาพตามก็เป็นอย่างทศพลพูดไว้ ถึงจะดูไม่น่าเชื่อแต่หลักฐานทุกอย่างก็บอกอย่างนั้น ใครจะเชื่อพี่น้องที่ไม่ถูกกัน ผิดใจกันบ่อยครั้ง จะนัดเจอกันเพื่อกินข้าวดูหนัง ทศพลยิ้มอย่างผู้ชนะ ปฐวีร์รู้สึกขนลุกกับรอยยิ้มนั้น เขาได้กลิ่นอันตรายกลิ่นความตายมาจากทศพลมันแรงกว่าเดิม เขาเป็นห่วงพลพัฒน์อยากช่วยแต่เขาก็ถูกชายอีกคนจับตัวไว้ ในใจได้แต่คิดไม่ถึงว่าเพื่อผลประโยชน์กลับต้องมาฆ่าญาติพี่น้องผู้ชายคนนี้จิตใจอำมหิตจริง ๆ

“เอาล่ะฉันจะให้แกตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเอาเอกสารนั่นมาให้ฉันรึเปล่า” พลพัฒน์เงียบเขาหลับตาลงพร้อมรับชะตากรรมที่หนีไม่ได้ ทศพลรู้สึกรำคาญกับคนที่ดื้อด้านไม่รักชีวิต

“บรี๊นนนนนนนนนน “ เสียงแตรรถดังลั่นทุกคนต่างหันไปมองรถยุโรปขับตรงที่พวกเขา ปฐวีร์ที่ประสาทสัมผัสดีกว่าคนอื่นหลายเท่าอาศัยช่วงเวลานั้นกระทุ้งศอก ตามด้วยหมัดและเท้าใส่คนที่จับตัวเขาไว้ พลพัฒน์เหมือนได้สติเขาปัดปืนในมือทศพลออกตามด้วยหมัดและเท้าทำให้ทศพลเสียการทรงตัวจนลงไปนอนกับพื้น

ปฐวีร์และพลพัฒน์รีบวิ่งออกจากตรงนั้น ที่เหลือเห็นรถวิ่งตรงมากระโดดลงข้างถนนคนละฝั่ง “โครม” รถยุโรปคันนั้นชนเข้ากับท้ายรถตู้อย่างแรง ทำให้รถตู้ที่จอดอยู่พุ่งชนท้ายรถเก๋งสีดำที่จอดข้างหน้า ทำให้เสียงสัญญาณกันขโมยร้องระงม ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ปฐวีร์มองไปที่รถยุโรปเห็นเทวาเปิดประตูออกมา เขารีบวิ่งเข้าไปหา

“พี่เทวาเป็นยังไงบ้าง แล้วนี่ใครบอกขับรถชนชาวบ้าน” เทวาไม่ตอบเขากำลังจุกมองดูสภาพรถเหมือนไม่เป็นอะไรมากเขาโชคดีโครงสร้างรถแข็งแรง ก่อนจะพูดอะไรอีกพลพัฒน์พูดเตือนให้รู้ว่าตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ไหน

“พวกเรารีบไปจากที่นี่เถอะ”

ทุกอย่างเงียบลงทศพลและพวกโผล่ออกมาจากข้างทางเห็นสภาพรถก็ตกใจ มองหาคนต้นเหตุ แต่ไม่เจอ พลพัฒน์กับปฐวีร์ก็หายไป “เอาไงดีครับนาย”

“ตามพวกมันไป และเก็บมัน”

“ครับ”

            “ปัง ปัง ปัง” เสียงปืนดังลั่นป่า ทั้งสามวิ่งหนีมาได้สักพักเริ่มรู้สึกเหนื่อยถ้ายังหนีต่อไปอย่างนี้มีหวังได้ตายทุกคนแน่ “พวกเราต้องแยกกัน” พลพัฒน์เสนอความคิดขึ้นมา “พี่จะล่อพวกมันไปอีกทาง พวกนายไปอีกทาง”

“ผมเห็นด้วย”

“ระวังตัวด้วยนะ”

“อืม เจอกันที่บ้านใหญ่” ทั้งสองมองพลพัฒน์ไปอีกทางแล้วพี่พวกมันสองคนวิ่งตามไป พวกเขาวิ่งออกที่ซ่อนไปอีกทางและมีพวกมันอีกสองคนตามมา

            หนีตายแทบไม่ได้พัก วิ่งไม่หยุดเข้าในป่ารก ทำให้ทั้งสองไม่รู้ทิศทางเพราะต้นไม้ใบหญ้าเหมือนกันไปหมด ทั้งสองตกลงพักเอาแรงกันก่อน “เหมือนว่าพวกเราจะหนีพ้นแล้ว” ถึงจะพูดอย่างนั้นเทวายังกวาดสายตามองรอบ ๆ ก้มลงต่ำ ปฐวีร์ยังยืนหอบหน้าแดงเหงื่อซึมเต็มแผ่นหลัง เจ็บจุกท้องไปหมด หัวใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาข้างนอก เขาโชคร้ายเป็นคนที่ไม่ชอบออกกำลังการยิ่งวันนี้เหมือนกำลังวิ่งมาราธอน อยากหยุดก็หยุดไม่ได้ แค่ได้ยินเสียงปืนแว่วมาขาทั้งข้างก็รีบวิ่งไม่คิดชีวิต พอได้หยุดพักปรับลมหายใจร่างกายก็เหมือนจะหมดแรง ร่างกายของเขากำลังสั่นเล็กน้อยไม่รู้เป็นเพราะกลัวเสียงปืนหรือร่างกายเกินขีดจำกัดกันแน่ เทวาเห็นแล้วรู้สึกสงสาร ใช้มือลูบแก้มแดงปาดเหงื่อตามหน้าออกให้

“ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวก็ได้พักแล้ว” เขามองนาฬิกาบนข้อมือทำให้รู้ว่าพวกเขาวิ่งติดต่อกันมาหลายชั่วโมง ถ้าเป็นอย่างนี้พวกเขาอาจจะตายเพราะหมดแรง เขาเริ่มสอดส่ายสายตาหาที่พักที่ปลอดภัยกว่านี้เพราะเดินต่อไปโดยไม่รู้ทิศอาจจะเข้าไปในป่าลึกมันจะแย่กว่าเดิม

            และแล้วแสงสุดท้ายของวันก็หายลับไปจากขอบฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ มีดวงจันทร์เต็มดวงและดาวดวงเล็กโผล่ขึ้นมาแทน ปฐวีร์นั่งพิงต้นไม้มองพระจันทร์ หลังจากปรับพื้นที่รอบ ๆ กวาดใบไม้ออก กันไม่ให้แมลงและสัตว์ร้ายเข้ามาใกล้ แสงสีนวลกับดาวบนท้องฟ้าทำให้จิตใจรู้สึกสงบขึ้นมาก เสียงแมลงกลางคืนร้องดังก้องป่าจากที่รู้สึกรำคาญจนกลายเป็นรู้สึกชิน หลังจากได้พักจนหายเหนื่อยปฐวีร์ก็คอยเงี่ยหูฟังตลอดบ่ายว่าพวกมันจะตามรึเปล่า แต่แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงปืนหรือเสียงฝีเท้าไล่ตามมา จนเขานึกกังวลว่าพวกนั้นจะจับตัวพลพัฒน์ได้แล้ว จากนั้นทั้งสองก็หาที่พักไม่เพียงต้องระวังพวกมันที่จะตามมา ไหนจะต้องระวังสัตว์ป่า และแมลงอีก “นี่ แล้วรถพังอย่างนั้นทำยังไง” ปฐวีร์เอนตัวพิงไหล่เทวาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

“ไม่เป็นหรอกบอกพ่อไว้แล้วอยากได้รถใหม่ ส่วนเราเป็นต้นเหตุก็ต้องรับผิดชอบด้วย”

“อืม คิดไว้แล้วดิ”

“ใช่ ถ้ามีคนเห็นรถสภาพนั้นก็ต้องมีคนใจดีโทรบอกตำรวจบ้าง”

“เสียดายไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดตัวมาด้วย”

“ใครจะไปคิดล่ะว่าจะอยู่ในสภาพนี้ นอนเถอะไม่ต้องคิดมากพอเช้าแล้วพวกเราจะมองเห็นทางและออกจากที่นี่กัน” ปฐวีร์เงียบแล้วหลับตาลง หูที่ดีกว่าปกติได้ยินเสียงหลายเสียงในบริเวณใกล้ ๆ ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไรบ้างแต่ยังไงก็ดีกว่าเสียงปืนเป็นไหน ๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้พลพัฒน์จะเป็นยังไงบ้างเขายังโชคดีที่มีเทวาอยู่ด้วยถ้าต้องอยู่คนเดียวในป่าที่มองไปทางไหนก็มองไม่เห็นอะไรเขาต้องประสาทตายแน่ ๆ เขาจับมือหนาแน่นกลัวอีกฝ่ายจะหายไป รู้ว่ามีอีกคนนั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ปล่อยมือทำให้หัวใจที่ตื่นตระหนกรู้สึกอุ่นขึ้นมา ความฝันในช่วงหลายวันที่ผ่านรวมกับที่เห็นในโรงหนังตอนนี้รู้แล้วว่าเขากำลังวิ่งหนีอะไร แต่จากนั้นล่ะสิ่งที่เขาเห็นคือภาพโรงพยาบาลหมายความว่ายังไง เขาลืมตาขึ้นมามองหน้าเทวา

“เป็นอะไรนอนไม่หลับหรอ”

“คงนอนหลับหรอกเสียงปืนยังดังก้องอยู่ในหูอยู่เลย ในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะต้องมาวิ่งหนีกระสุนอย่างนี้ แล้วยังยุงนี่อีกกัดอยู่ได้ไม่รู้จักไปหลับไปนอนรึไง”

“นับแกะสิ จะได้นอนหลับ”

“หึ เปลี่ยนเป็นนับอย่างอื่นได้เปล่า อย่างลูกหมาตัวเล็กอ้วนๆ”

“ตามใจเลยอยากนับอะไรก็ได้” เทวากดจมูกลงบนหน้าผากชื้นเหงื่ออย่างหมั่นไส้ “เอางี้ถ้านอนไม่หลับก็คุยกัน มีอะไรอยากถามพี่ไหม”

“ได้” ปฐวีร์เงียบลองใช้ความคิด ว่าเขาต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับเทวาบ้าง “พี่มีแฟนมาแล้วกี่คน? แล้ว xxx ครั้งแรกตอนไหน?”

“อือ เอาความจริงเปล่า” เทวาเลิกคิ้วขึ้น อยากหัวเราะเรื่องที่อีกฝ่ายอยากรู้

“ความจริงห้ามโกหก”

“เคย xxx ครั้งแรกตอน ม.ปลายพวกไอ้ยุทธพาไป เป็นผู้หญิงที่เป็นพวกมันหามาให้”

“แล้วเป็นไงบ้างถูกใจไหม”

“ไม่รู้สิก็เคยศึกษาจากหนัง จากวิดีโอ พอเจอของจริงมันไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด ส่วนถามว่าถูกใจไหมก็ต้องบอกว่าไม่เพราะทำกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีความรู้สึกเข้าเกี่ยวข้อง แฟนไม่เคยมีไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้ แต่ก็มีคนเข้ามาคุยด้วยเรื่อย ๆ ยังไงชีวิตวัยรุ่นอยู่กับเพื่อนสนุกกว่า ไปไหนไปกัน เที่ยวไหนเที่ยวกัน และขี้เกียจไปนั่งเอาใจใครหรือสนใจ คงเป็นเพราะว่ายังไม่เจอคนที่ถูกใจรึเปล่าก็ไม่รู้”

“แสดงว่าตอนนี้เจอคนที่ถูกใจแล้ว”

“แน่นอน ถูกใจตั้งแต่แรกเห็น อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่ต้องพูดอะไรมาก ทนผู้ชายอย่างพี่ได้ พี่เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูดแต่จะแสดงให้เห็นมากกว่า อาจจะไม่ได้บอกรักทุกวันเหมือนคนอื่น แต่ก็จะพยายามทำทุกวันของเราให้มีความสุข”

ปฐวีร์นั่งฟังเงียบ ๆ อดยิ้มไม่ได้ ผู้ชายคนนี้น่ารักชะมัด เขาจูบลงริมฝีปากหนาเป็นรางวัลที่ตอบคำถามได้ดี เล่นเอาเทวาอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจเพราะเป็นครั้งแรกที่ปฐวีร์เป็นคนจูบเขาก่อนจะไม่ให้ดีใจได้ยังไง ทั้งสองนั่งเงียบต่างคนต่างอยู่ในความคิดของตัวเอง

“ขอโทษนะครับที่ทำให้ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ และก็ขอบคุณที่ไม่ปล่อยมือจากผมทั้งที่จริงพี่ไม่ต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ก็ได้”

“นี่พี่เหมือนคนเลวร้ายขนาดนั้นเหรอ”

“ป เปล่าไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่...แต่” เขารู้สึกผิดที่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ”ผมขอโทษ”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่รู้ว่าเรากังวล แต่อยากให้รู้ไว้ว่าพี่จริงจังกับความรักครั้งนี้” เทวาดันหน้าผากอีกฝ่ายมาชิดกัน “อืม” เขาก็อยากบอกเทวาเหมือนกันว่าเขาก็เดิมพันกับความรักครั้งนี้ด้วยชีวิตเหมือนกัน   อีกด้านทศพลให้คนตามหาจนทั่วไม่มีวี่แววทั้งสองพอมืดเขาสั่งให้ทุกคนกลับออกมา “ถ้าพวกมันไม่ตายในป่า ก็ต้องรอดออก พวกแกส่งคนไปดักรอที่บ้านของมัน คอนโดมิเนียมไอ้เด็กนั่น มหาวิทยาลัยและหน้าบริษัท ฉันไม่เชื่อหรอกว่าฉันจะจับพวกมันไม่ได้” ทุกคนออกไปจากห้องหมดเขานั่งเงียบใช้ความคิด บางทีเขาน่าจะแผนสำรองเผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นและฉวยโอกาสนี้เร่งแผนของเขาให้เร็วขึ้น

            พลพัฒน์หลังจากแยกกับปฐวีร์เขาโชคดีที่เจอถนนและมีคนใจดีจอดรับให้เขาไปด้วย เขามองกลับไปในเส้นทางที่เดินออกมา ภาวนาขอให้ปฐวีร์รอดกลับมาด้วยเถอะ หนึ่งชั่วโมงผ่านไปเขาก็มาถึงเขตรอบนอก เขายังไม่กล้ากลับบ้านหรือไปเอารถ เขาเลือกใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะโทรหาป่านฟ้าเล่าเรื่องคร่าว ๆ ให้เธอฟัง เธอได้ฟังก็ตกใจไม่นึกว่าเรื่องราวจะเลวร้ายถึงขนาดต้องฆ่าต้องแกงกัน เธอวางสายพลพัฒน์แล้วรีบนั่งแท็กซี่ไปหาชายหนุ่มทันที

*****************************************
โปรดติดตามตอนต่อไป


Change! ในรูปแบบ E-book
[/size]

(https://www.picz.in.th/images/2018/10/31/3N1lED.jpg)
https://bit.ly/2DaYjvA (https://bit.ly/2DaYjvA)
[/size]
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 32 [19/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-11-2018 10:45:39
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 32 [19/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 19-11-2018 20:08:26
ขอให้ปลอดภัยทั้งคู่นะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 32 [19/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-11-2018 08:53:20
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 32 [19/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 22-11-2018 09:44:13
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 32 [19/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-11-2018 10:18:03
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 33 [25/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 25-11-2018 20:36:01
ตอนที่ 33



พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้าแสงแรกของวันยังไม่ทันได้เห็น ทั้งสองก็รีบหาทางออกจากป่าทันที พวกเขากลัวว่าเช้าแล้วพวกมันจะแห่กันมา หรือดักอยู่ตรงทางออก ปฐวีร์พยายามเงี่ยหูฟังเสียงรถเสียงเครื่องยนต์ตลอด เดินหลงทิศหลงทางอยู่หลายชั่วโมงจากพระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่ขึ้นมาจนตอนนี้โผล่ขึ้นมาอยู่ตรงหัวแล้ว ในป่ารกต้นหญ้าขึ้นสูงไม่มีลมพัดทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าว ปฐวีร์เหนียวตัวและเหม็นเหงื่อ เขาคิดถึงอ่างอาบน้ำถ้าออกที่นี่ไปได้สิ่งแรกที่อยากทำคือนอนแช่ในอ่างน้ำ กำลังคิดถึงอ่างอาบน้ำท้องก็ส่งเสียงร้องประท้วงขึ้นมาเตือนให้รู้ว่าเขาไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว เหมือนเจ้าป่าเจ้าเขารำคาญเสียงบ่นปฐวีร์ ในที่สุดเขาก็ยินเสียงเครื่องยนต์ดังมาอีกทาง

“พี่เทวาผมได้ยินเสียงรถมาจากทางนี้” ไม่รอให้เทวาตอบเขารีบเดินนำอีกฝ่ายไป ยิ่งเดินเสียงยิ่งชัด เขาเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง ก่อนที่จะถึงถนนใหญ่เขาชะลอฝีเท้าและหยุดลงกลัวว่ามีพวกมันดักรออยู่ ทั้งสองนั่งอยู่หลังพุ่มหญ้าสังเกตรอบ ๆ นั่งรออย่างใจเย็น จนเหงื่อบนหน้าผากไหลย้อยลงบนแก้มก็ยังไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้น

“อยู่นี่ก่อนพี่จะเดินออกไปก่อน” เทวาเดินออกไปและไม่ลืมระวังตัว มองซ้ายมองขวา สักพักก็ไม่เห็นใคร เขากวักมือเรียกให้ปฐวีร์ออกมา ปฐวีร์ยิ้มกว้างรีบเดินออกมา

“ที่นี่มันที่ไหน คงไม่ได้เดินมาไกลมาถึงชายแดนหรือข้ามชายแดนมาแล้วนะ”

“ถ้ามันข้ามกันง่ายขนาดนั้นคงไม่ต้องทำพาสปอร์ตกันแล้ว”

“พวกเราไปทางไหนกันดี” ปฐวีร์มองไปซ้ายเห็นถนนไกลสุดลูกดูลูกตา หันไปมองทางขวาก็ไม่ต่างกัน “หรือจะโบกรถดี”

“ไม่ดี ไม่รู้ว่าจะเจอกับคนแบบไหนบ้างพวกเราต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เห็นหลักกิโลเมตรหรือป้ายข้างทางก็จะรู้เองว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน” ชีวิตเพิ่งผ่านช่วงเวลาความเป็นความตายมาพวกเขารู้สึกว่าโลกใบนี้โหดร้ายและไม่กล้าไว้ใจใครทั้งนั้น ทั้งสองตกลงกันได้ก็เดินไปทางซ้าย เดินฝ่าแสงแดดตอนเที่ยงจนถึงบ่ายก็เห็นหลักกิโลเมตรแรก ปฐวีร์ไม่เคยเห็นหลักกิโลเมตรแล้วดีใจอย่างนี้มาก่อน คำนวณจากหลักกิโลเมตรปัจจุบัน ทำให้พวกเขารู้ว่าตอนนี้อยู่ห่างจากหลักกิโลเมตรที่ 108 ไกลพอสมควร พวกเขารู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที ก่อนจะเดินทางต่อทั้งสองตัดสินใจหาที่พักใต้ต้นไม้ริมทาง ร่างกายขาดน้ำมาหลายชั่วโมงทำให้ร่างกายอ่อนแรง ริมฝีปากแห้งแตก

“ตอนนี้อยากได้น้ำเย็น ๆ สักแก้วไม่สิต้องสักขวด เป็นน้ำอัดลมเย็น ๆ ก็ดี” ปากแทบไม่มีแรงพูดส่วนในใจคิดว่าถ้ากลับไปได้เขาจะจัดการทศพลและพวกให้ถึงที่สุด ให้ทรมานกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ หลายร้อยเท่า หายเหนื่อยแล้วทั้งสองเร่งฝีเท้าเดินต่อกลัวว่าค่ำแล้วจะต้องได้นอนอยู่กลางป่าอีกคืน พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเป็นเวลาสี่โมงเย็น พวกเขาเดินมาเจอตลาดนัดข้างทาง ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม ในที่สุดพวกเขาก็รอดตาย ปฐวีร์แทบวิ่งเข้าไปในตลาด แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรง เข้าไปในตลาดสิ่งแรกที่ต้องการคือน้ำเปล่า เขาเดินตรงไปที่ร้านขายน้ำทันที

“พี่น้ำเปล่า 2 ขวด เครื่องดื่มเกลือแร่ 2 ขวด” แม่ค้าสาวเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีเนื้อตัวมอมทั้งสองเธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เธอหยิบน้ำใส่ถุงให้ ได้น้ำมาทั้งสองรีบจิบน้ำทีละนิดทันที เพราะร่างกายขาดน้ำมานานและยังเหนื่อย เมื่อกินน้ำกินเครื่องดื่มผสมเกลือแร่น้ำหมดไปคนละสองขวดร่างกายก็รู้สึกสดชื่นทันที แต่ท้องกลับรู้สึกจุก นั่งพักสักครู่ให้ร่างกายปรับตัวมองผู้คนเดินสวนไปมา พวกเขาเริ่มตาลาย

“ไปหาอะไรกินกัน ผมหิวมากเลย” ทั้งสองเดินหาของกิน ปฐวีร์เดินตามกลิ่นไปที่ร้านขายลูกชิ้นปิ้ง ต่อด้วยร้านหมูปิ้ง ตลาดนัดขนาดไม่ใหญ่มากแบ่งเป็นโซนของกินและของทั่วไป ใช้เวลาไม่นานก็เดินจนทั่วโซนของกิน เติมพลังงานใส่ท้องจนเต็มทั้งสองก็เปลี่ยนไปเดินโซนของใช้เห็นเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทั้งสองถือโอกาสซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับเปลี่ยน เดินเพลินจนลืมคิดไปว่าคืนนี้พวกเขาไปนอนกันที่ไหน เทวาถามพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นว่ามีโรงแรมที่พักใกล้ ๆ นี้ไหม ทุกคนบอกโรงแรมที่ใกล้ที่สุดอยู่ในเมืองซึ่งห่างจากที่นี่เกือบสามสิบกิโล ทั้งสองมองหน้ากันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเดินได้ไกลขนาดนั้น แม่ค้าบอกว่าหน้าตลาดมีรถเข้าเมืองรอบสุดท้ายหกโมง ทั้งสองขอบคุณแล้วตรงไปที่ท่ารถเห็นรถจอดอยู่ท้ายรถแขวนป้ายว่าเข้าเมือง ทั้งสองรีบขึ้นทันที

            พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าแล้วทั้งสองนั่งเงียบอยู่บนรถ ปฐวีร์มองฝ่าความมืดออกไปลมเย็นปะทะหน้ารู้สึกแสบร้อนเพราะถูกแดดเผา ผ่านไปสักพักรถก็เลี้ยวจอดท่ารถ ทั้งสองถามคนขับทันทีว่ามีที่พักแถวนี้ไหม ชายสูงอายุชี้ไปที่ป้ายติดไฟมองเห็นไกล ๆ ทั้งสองขอบคุณ และรีบตรงไปที่นั่นทันทีพวกเขาเหนื่อยอยากจะพัก ปฐวีร์เหนียวตัวอยากอาบน้ำ อยากนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ระหว่างทางเจอร้านสะดวกซื้อ พวกเขาซื้อของใช้ส่วนตัวอย่างครีมอาบน้ำ แปรงสีฟัน และขนมของกิน ปฐวีร์กำลังเลือกซื้อกางเกงใน

“หยิบให้พี่สักตัวดิเอาเบอร์ L นะ” ปฐวีร์ไม่ตอบแต่กลับรู้สึกอาย เขาไม่เคยซื้อกางเกงในให้ใครมาก่อน เทวาเดินไปที่เคาน์เตอร์เขาอยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่เอาไว้ชั่วคราว ไม่รู้ป่านนี้ที่บ้านรู้เรื่องที่รถเกิดอุบัติเหตุจะเป็นห่วงแค่ไหน ได้ของครบพวกเขาไปที่โรงแรมที่อยู่ถัดจากร้านสะดวกซื้อ

            เข้าไปในโรงแรมบอกพนักงานว่าต้องการห้องพักสักห้องสำหรับสองคนพักสองวัน โชคดีที่นี่เป็นโรงแรมต่างจังหวัดไม่ค่อยเข้มงวดแขกเข้าพักเท่าไหร่ ได้กุญแจห้องพวกเขาเดินขึ้นชั้นสาม โรงแรมค่อนข้างใหม่บรรยากาศเหมือนรีสอร์ต มีกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาตามลม ขึ้นมาถึงชั้นสามห้องพวกเขาอยู่ทางตะวันตก เดินผ่านห้องอื่น ๆ มาปฐวีร์รู้ได้ทันทีว่าทุกห้องมีคนพัก เปิดประตูห้องเห็นห้องพักไม่กว้างมากเตียงเดียวแต่ก็กว้างพอสำหรับนอนสองคน ปฐวีร์วางของลงบนโต๊ะแล้วไปเลื่อนผ้าม่านเปิดประตูระเบียงออก มองลงไปข้างล่างเห็นสระน้ำใสพื้นสีฟ้า มีแขกบางห้องกำลังเล่นน้ำกันอยู่

“ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เทวากอดปฐวีร์จากด้านหลัง “ไม่เหม็นรึไงกอดมาได้”

“ดีออกได้อารมณ์ไปอีกแบบ”

“งั้นผมไปอาบน้ำก่อนเหนื่อยแล้วง่วงนอนเป็นบ้า”

“อาบด้วยกันไหม” เทวาส่งสายวิบวับให้

“ทะลึ่งเถอะ” เขาไม่สนคำพูดและสายตานั่นรีบเข้าเดินเข้าห้องน้ำ ล็อกประตูเรียบร้อยถอดเสื้อผ้าจนหมด เดินเข้าตู้อาบน้ำ ปล่อยให้อุ่นค่อยๆชำระล้างความเหนื่อยล้าออกไป ร่างกายได้สัมผัสน้ำอุ่นรู้ดีขึ้น คราบเหงื่อไปชำระไปพร้อมครีมอาบน้ำ แต่ความรู้สึกกลัวยังเกาะกุมหัวใจไม่จางหาย เขารีบอาบน้ำเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเดินออกมาจากห้องน้ำ เปลี่ยนให้เทวาอาบบ้าง เขาปีนขึ้นเตียงเปิดโทรทัศน์เป็นเพื่อน ก่อนนอนหยิบยาพารามากินกันป่วย ไม่นานร่างกายที่เหนื่อยล้ามาหลายชั่วโมงก็ถึงขีดจำกัดเปลือกตาอยู่ ๆ ก็หนักขึ้นมาดื้อ ๆ และผล็อยหลับไปในที่สุด

เทวาอาบน้ำเรียบร้อยเดินออกมาจากห้องน้ำมีผ้าขนหนูตัวเดียวพันรอบเอว เห็นคนบนเตียงหลับไปแล้ว เขาหยิบยาหม่องออกมาถุงที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อมาทาบนแขน คอ และแก้มของปฐวีร์ที่มีตุ่มแดงที่เกิดจากยุงและแมลงกัด และทาให้ตัวเองด้วย จากนั้นหยิบโทรศัพท์ที่เพิ่งซื้อมาโทรหาพี่ชาย ธนาเห็นเบอร์แปลกโทรเข้ามากดรับถึงได้รู้ว่าเป็นน้องชาย

“ว่าไงน้องชายไปทำอีท่าไหนทำไมรถมีภาพแบบนั้น ตอนที่ตำรวจติดต่อมาคุณแม่ตกใจแทบแย่ แล้วน้องวีร์ของฉันเป็นยังบ้าง” เทวานิ่วหน้าปฐวีร์เป็นคนของเขา เขาไม่ตอบคำถามพี่ชายเขาเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้พี่ชายฟัง ธนาฟังแล้วก็ตกใจไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย รู้สึกเป็นห่วงน้องชายขึ้นมาแต่เห็นติดต่อมาก็คิดว่าน้องชายคงจัดการปัญหาเองได้ เพราะถ้ามีเรื่องที่เกินความสามารถอีกฝ่ายคงขอความช่วยเหลือจากเขาแล้ว “ยังไงก็ต้องบอกเรื่องนี้ให้พ่อได้รับรู้ไว้”

“งั้นฝากรบกวนพี่ด้วย”

วางสายจากธนาเขาติดต่อไปที่ยุทธจักรและให้ยุทธจักรประชุมสาย

“ไอ้ยุทธแกเรียกประชุมสายไมวะ ฉันกำลังดูหนังโป๊อยู่” เสียงคางเบา ๆ ดังแว่วมาทำให้ทุกคนรู้ตติวัฒน์ไม่ได้โกหก “ไม่ใช่ไอ้ยุทธเรียกหรอกเป็นฉันเอง”

“อ้าวนั่นแกเหรอไอ้เทวา หายไปไหนมาวะไม่ยอมมาเรียน โทรไปก็ไม่รับสาย แน่แอบไปฮันนีมูลกับน้องวีร์สองคนอะดิ” ฮันนิมูลเกือบได้ไปแล้วในนรก “อย่าไปสนใจพวกมันเลยแกมีเรื่องอะไรสำคัญถึงประชุมสาย”

“พวกแกตั้งใจฟังนะ......” เทวาเล่าทุกอย่างให้ทุกคนฟัง ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปเรียนในช่วงนี้ เพราะคนของทศพลอาจจะดักรออยู่ที่มหาวิทยาลัย หรือที่คอนโดมิเนียม และเตือนให้ทุกคนระวังตัว พวกมันต้องมาถามแน่นอนว่าเขาติดต่อไปรึเปล่า หรือถามว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน “ขอโทษที่ทำให้พวกแกยุ่งยาก”

“เฮ้ยเพื่อนกันพูดแบบนี้เหรอวะ”

“แล้วแกเป็นยังไงบ้างวะ”

“ก็เกือบแย่เหมือนกัน ยังไงพวกแกระวังตัวไว้ก็ดีฝากเตือนเพื่อน ๆ ของวีร์ด้วย มีอะไรก็ติดต่อมาเบอร์นี้ได้” ทุกคนรับปาก เทวาวางสายไปแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ เขาหันไปมองปฐวีร์กำลังหลับสบายขอบตามีรอยคล้ำเล็กน้อย หนึ่งคืนในป่าจะบอกว่าเป็นคืนที่ดีหรือจะเรียกว่าเลวร้ายก็ได้ แต่มันกลับทำให้ความรู้สึกของพวกเขาเติบโตขึ้น เขาจูบลงบนหน้าผากมน นอนลงข้าง ๆ ปฐวีร์แล้วหลับไป

            เที่ยงวันต่อมาปฐวีร์งัวเงียตื่นเพราะหิว เขานั่งบนเตียงมองไปรอบ ๆ ถึงจำได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เมื่อคืนเขาหลับลึกมาก ขยับตัวรู้สึกปวดขา ไม่รู้ระยะทางที่เดินทั้งหมดในสองวันที่ผ่านเป็นเท่าไหร่แต่คงทำลายสถิติการเดินทางไกลตอนที่เรียนลูกเสือสามปีในมัธยมต้น เขาหันไปมองคนนอนข้าง ๆ ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวนอน ไม่รู้ว่าใส่กางเกงในด้วยรึเปล่า ปฐวีร์คิดพิเรนทร์แง้มขากางเกงขาสั้นดู

“ทำอะไรน่ะ อยากดูก็บอกจะแก้ให้ดู”

“ป เปล่า” เขาปฏิเสธไม่เต็มเสียง อายเมื่อถูกอีกฝ่ายจับได้ว่ากำลังทำเรื่องน่าอาย “จะอยากดูทำไมมีเหมือนกัน”

“ใครจะไปรู้ขนาดมันอาจจะไม่เท่ากันก็ได้” ปฐวีร์ถูกแกล้งจนอาย เทวากอดอีกฝ่ายไว้ “เป็นไงบ้างเมื่อคืนหลับสบายไหม”

“ที่สุด ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด แต่ตอนนี้หิวแล้วไปหาอะไรกินกัน” ทั้งสองรีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดเข้าไปหาอะไรง่าย ๆ กินในร้านสะดวกซื้อ และถามพนักงานถ้าจะเดินทางเข้ากรุงเทพด้วยรถไฟต้องไปขึ้นที่ไหน พนักงานช่วยอธิบายเส้น จากนั้นทั้งสองรีบเช็คเอาส์จากโรงแรมไปขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้าย

            รถไฟเที่ยวสุดท้ายเข้ากรุงเทพชั้น 2 ที่นั่งปรับอากาศในวันปกติค่อนข้างว่างหรือว่างเป็นปกติก็ไม่รู้ ผู้โดยสารทยอยขึ้นรถไฟ โดยมีเจ้าหน้าที่เดินดูความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวก ปฐวีร์กำลังมองออกไปข้างนอก ทศพลคงกำลังตามหาเขาให้ควั่กแต่คงไม่คิดว่าเขาจะเลือกเดินทางด้วยรถไฟ อย่างน้อยเขาก็มีเวลาตั้งหลัก ถ้ากลับไปแล้วยังไม่รู้จะทำยังไงต่อไป

“ขนมจีบซาลาเปาหน่อยไหม เผื่อกินแล้วจะคิดออก” กลิ่นหอมขนมจีบซาลาเปาทำลายสมาธิ กลิ่นของมันกำลังเชิญชวนน้ำย่อยในกระเพาะ

“อืม ขอบคุณ” เขาหยิบขนมจีบเข้าปากรู้สึกอร่อยถูกปาก เขาจิ้มชิ้นที่สองต่อด้วยชิ้นที่สาม “อร่อย ซื้อมาจากไหน” เทวายิ้มให้คนเจริญอาหารไม่ได้กินอะไรเกือบสองวันปฐวีร์ดูผอมไปเยอะ แล้วยังคิดมากเขากลัวอีกฝ่ายจะป่วยเอา “ก็ตอนก่อนขึ้นรถมาไงเอาอีกกล่องไหม” ปฐวีร์พยักหน้า เขาจิ้มขนมเข้าปากเห็นสายตาคนหล่อมองมารู้สึกเขิน เขาหาวิธีแก้เขิน “กินไหมป้อน” เทวาไม่ขัดศรัทธาอ้าปากรับอย่างเต็มใจ

“กุญแจนั่นมันใช้สำหรับอะไร”

“เอกสารสำคัญฝากไว้ในที่ปลอดภัย คนที่มีกุญแจนี้เท่าไหนถึงจะสามารถเอาเอกสารนั่นออกมาได้”

“ถ้ายังไงเราไปเอาเอกสารนั่นแล้ว ให้คุณนายทนายช่วยดีไหม”

“ใช่ ถ้าเป็นลุงทนายต้องจัดการปัญหาทุกอย่างได้แน่นอน” แววตาของเขาเป็นประกายคราวนี้รับรองทศพลไปไหนไม่รอดแน่

             ผ่านไปสองวันแต่ทศพลกลับไม่ได้ข่าวของปฐวีร์และพลพัฒน์เลยให้คนไปเฝ้าตามบ้าน มหาวิทยาลัยหรือที่คอนโดมิเนียมก็ไม่มีวี่แวว เขาทั้งกลุ้มใจและร้อนใจหรือเขาจะคิดผิดทั้งสองคงยังไม่ได้ออกจากป่านั่น

“นายครับ รถที่ชนท้ายพวกเราผมตรวบสอบแล้วเป็นของ เทวาพิทักษ์ สุรัตนธรรมวรธิเบศณ์” ทศพลรับแฟ้มเอกสารมาดู เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าสุรัตนธรรมฯมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย ดูเหมือนเรื่องมันจะยุ่งยากมากขึ้น เห็นทีเขาต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วขึ้น

วันต่อมาทศพลไปพบคุณรองที่บ้านทั้งสองปิดห้องคุยกันเงียบ แต่บางครั้งก็มีเสียงเหมือนทั้งคู่กำลังทะเลาะกันดังลอดออกมาจากห้อง เงียบลงได้สักพักก็มีเสียงดังขึ้นอีก พิมพ์รตาเพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยถามคนงานว่าใครมาที่บ้าน คนงานบอกว่าทศพลมาพบคุณนายรองตั้งตอนบ่ายแล้ว และบอกห้ามให้ใครไปรบกวน พิมพ์รตาพยักรับรู้แต่เธอก็ยังเดินตรงไปที่ห้องนั้น เธออยากรู้ว่าทั้งสองกำลังคุยเรื่องอะไรกันถึงต้องปิดห้องเงียบและยังบอกไม่ให้รบกวน เธอแนบหูชิดประตูแต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไร เธอลองผลักประตูออกเบา ๆ เห็นทั้งสองเหมือนกำลังทะเลาะกันมากกว่าคุย

“มีอะไรให้พิมพ์ช่วยไหมคะ” ทั้งสองหันมามองคนเดินเข้ามาในห้อง

“พิมพ์มีอะไรรึเปล่าลูก คนงานไม่ได้เหรอ ว่าแม่กำลังคุยธุระกับคุณตาอยู่ อย่ารบกวน”

“บอกค่ะ แต่พิมพ์แค่สงสัยว่าคุยอะไรกันทำไมถึงต้องขึ้นเสียงกันด้วย” ทั้งสองเงียบไม่มีใครพูดอะไร ทศพลคิดได้ว่าถ้ากล่อมลูกสาวไม่ได้ทำไมเขาพูดกับหลานสาวล่ะ บางทีมันอาจจะจะง่ายกว่า

“ไม่มีอะไรมากแค่..”

“คุณพ่อ ยัยพิมพ์ยังเด็กอย่าดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยค่ะ” คุณนายรองไม่เห็นด้วยกับการกระทำของทศพล พิมพ์รตารู้สึกท่าทางแปลก ๆ ของทั้งสอง “คุณแม่พิมพ์ไม่เด็กแล้วนะคะ ”

“ดูเหมือนลูกสาวแกจะพูดจารู้เรื่องกว่าแก” ทศพลยิ้มอย่างพอใจ “ไม่มีอะไรมากแค่เรื่องทุกอย่างมันสมควรจบได้แล้ว”

“คุณตาหมายความว่ายังไง” ทศพลมองไปทางคุณนายรอง เธอเบือนหน้าหนีปฏิเสธไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว

“บางทีถ้าปล่อยให้พ่อแกไปสบายทุกอย่างจะดีขึ้น”

“คุณตาหมาย.....” เธอแทบพูดไม่ออก หันมองแม่ที่ยืนนั่ง เธอรู้แล้วว่าทั้งสองทะเลาะเรื่องอะไรกัน แต่ที่คุณตาเธอพูดมาก็ถูก พ่อของเธอนอนเป็นเจ้าชายนิทรามาได้สักระยะแล้ว หมอก็แค่รักษาไปตามอาการ เปล่าประโยชน์ที่จะยื้อให้อยู่ แม่ของเธอต่างหากที่ต้องทุกข์ เมื่อเห็นพ่อนอนไม่ได้สติ

“พิมพ์เห็นด้วยค่ะ” คุณนายรองหันไปมองลูกสาวอย่างเชื่อว่าจะได้ยินคำพูดนี้

“ดี แกมันพูดเข้าใจง่ายกว่าแม่ของแก เท่านี้ทุกอย่างก็จะเป็นของพวกเรา” พิมพ์รตามองหน้าทศพลอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าปทีปไม่อยู่ ปฐวีร์หายสาบสูญ สมบัติก็จะเป็นของแม่แกและพี่ชายแก” พิมพ์รตาไม่สนใจเรื่องสมบัติแต่หูเธอสะกิดประโยคที่ว่า ปฐวีร์หายสาบสูญ มันทำให้หัวใจเธอเต้นแรงและยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทศพลสังเกตสีหน้าแววตาของพิมพ์รตาที่เปลี่ยนไป เขาเริ่มพูดจาหว่านล้อมต่อ เขาต้องการให้ใครสักคนไปถอดสายออกซิเจนออก ทุกอย่างต้องทำให้เป็นเหมือนอุบัติเหตุ การจะเข้าไปไม่ใช่ว่าใครก็เข้าได้ ฟังมาถึงตรงนี้พิมพ์รตารู้สึกหัวใจกระตุกขึ้นมาทันทีหมายความว่าต้องเป็นเธอ

“นี่เป็นตารางเข้าเวรของหมอและพยาบาล หกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มจะมีหมอเข้าตรวจเช็คเป็นประจำ ต่อจากนั้นอีกนั้นอีกทุกหนึ่งชั่วโมงจะมีพยาบาลเที่ยวเข้าไป” ทศพลส่งแผ่นกระดาษให้พิมพ์รตา เธอจ้องไปที่แผ่นกระดาษ แล้วยื่นมือออกไปรับ มือที่ถือกระดาษไว้สั่นเบา ๆ

“ช่วงเวลาระหว่างนี้จะไม่มีคนอยู่แถวนั้น ถ้าแกลงมือทุกคนจะคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ”

“พิมพ์อย่าทำเลยนะลูก” เธออ้อนวอนพิมพ์รตาให้คิดทบทวนดูใหม่อีกครั้ง

“ตัดสินใจเองนะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแกแล้ว ตอนนี้พ่อแกก็เหมือนคนตายไปแล้ว แต่ถ้าตายแล้วมีประโยชน์กับคนข้างหลังก็ดีไม่ใช่เหรอ” พิมพ์รตารู้สึกลังเลในหลายอย่าง หัวใจรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาเมื่อคิดว่าเธอต้องเป็นคนลงมือทำ เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังจะทำเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ตั้งแต่ที่พ่อป่วยเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย บางครั้งยังคิดว่าจะมีพ่อหรือไม่มีก็คงไม่ต่างกันคงเพราะเธอเคยได้ยินว่า เธอพี่ชายและน้องชายต่างไม่เกิดมาจากความรัก ความรักทั้งหมดพ่อได้ให้คุณนายใหญ่กับปฐวีร์ไปหมดแล้ว สิ่งที่ทำให้พวกเธอคือหน้าที่เท่านั้น เธอพยายามค้นหาคำปลอบใจตัวเอง และบอกตัวเองว่าเธอทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วอย่างได้กลัวอย่าได้กังวล ทศพลและคุณนายรองต่างรอคอยการตัดสินใจของพิมพ์รตา เธอสูดลมหายใจเข้าก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนมันออก “พิมพ์ตัดสินใจแล้วค่ะ พิมพ์จะทำ”

            ขณะที่คุณนายรองกังวลเรื่องงานหมั่นลูกชายคนโตอย่างพลพัฒน์ พยายามเกลี้ยกล่อมให้พิมพ์รตาคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง แต่เธอกลับลืมสนใจลูกคนเล็กอย่างพีรพลณ์ไปเสียสนิท ตอนนี้พีรพลธ์กำลังคิดหาทางเพื่อหาเงินไปใช้หนี้ส่วนที่เหลือ ขโมยเครื่องเพชรของแม่ก็ทำแล้ว แต่ถ้าทำบ่อยเกินไปก็จะถูกจับได้

“แล้วพี่ชายแกล่ะ”

“ผมไม่กล้าเงินเยอะขนาดนั้นไปขอมีหวังต้องโดนถามแน่นอน”

“แล้วทีนี้เอาไง”

“ผมไม่รู้เหมือนกันพี่ พี่ช่วยผมหน่อยสิ ผมยังไม่อยากถูกซ้อมจนตาย”

“เอาน่ายังไงเสี่ยก็ต้องอยากได้เงินมากกว่าชีวิตแกอยู่แล้ว ว่าแต่พี่สาวแกล่ะ”

“อยากพูดถึงผู้หญิงคนนั้นเลย”

“ทำไมวะ พูดถึงพี่สาวแกทีไร ทำไมแกต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย”

“ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากมีพี่สาวแบบนั้นหรอก ชอบจับผิดผมอยู่เรื่อย ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง คิดว่าตัวเองวิเศษคนเดียวรึไง เรื่องมากจนไม่มีผู้ชายเขาสนใจ”

“แกนี่ท่าทางจะเป็นเอามาก เอายังงี้ฉันคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว”

”ยังไงพี่” โจ้เรียกพีรพลธ์กระซิบเบา ๆ บอกแผนการของเขาให้ฟัง พีรพลธ์ได้ฟังแล้วก็ต้องขมวดคิ้วแต่พอฟังไปเรื่อย ๆ ก็ยิ้มกว้างเริ่มเห็นด้วยกับความคิดของโจ้

            เมื่อเดินทางมาถึงกรุงเทพ ปฐวีร์และเทวารีบไปเอาเอกสารหลักฐานทันที ทั้งสองช่วยกันตรวจดูเอกสารอีกครั้ง เทวาโทรถามข่าวเพื่อนว่าเป็นยังไงกันบ้าง ยุทธจักรบอกว่าตอนบ่ายเห็นชายแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนแถวคณะข้าง ๆ และถามคนโน้นคนนี้ว่าเห็นปฐวีร์มาเรียนรึเปล่า แต่ก็ไม่มีใครรู้ เทวาบอกให้เพื่อนระวังตัวไว้

วันต่อมาทั้งสองเอาเอกสารที่ได้ไปที่บ้านของทนายความเรืองโรจน์ ในตอนแรกที่ได้รับการติดต่อมาเรืองโรจน์ยังแปลกใจ ยิ่งได้เห็นเอกสารที่ปฐวีร์เอามาให้เขายิ่งแปลกใจ ตรวจสอบอยู่หลายรอบก็แน่ใจว่ามันเป็นเอกสารสำคัญ เขาอยากรู้ว่าทั้งสองได้เอกสารพวกนี้มายัง ปฐวีร์ไม่มีอะไรปิดบังเขาเริ่มเล่าตั้งแต่ที่พลพัฒน์ติดต่อมาจนถึงทศพลให้คนตามฆ่า เรืองโรจน์ตั้งใจฟังเงียบๆ  เขาไม่แสดงท่าทีอะไรแต่ในใจกลับรู้สึกโกรธ ทศพลเลวกว่าเขาคิดไว้

“ท่าทางพวกคุณจะเจอช่วงเวลาที่ไม่ดีเท่าไหร่” เรืองโรจน์มองหน้าทั้งสองที่มีรอยยุงกัดเต็มไปหมด “แต่ก็โชคดีที่พวกคุณปลอดภัย ถ้าไม่อย่างนั้นผมไม่รู้จะตอบคำถามพ่อคุณยังไง”

“เอกสารพวกนี้จะสามารถเอาผิดทศพลและพวกได้” เขากังวลถ้าจัดการทศพลไม่ได้ชีวิตเขาคงกลับไปเป็นปกติไม่ได้ ตอนนี้ต้องหลบต้องซ่อนเหมือนคนหนีความผิดยังไงยังงั้น แล้วไหนจะเพื่อนและคนรอบยังต้องมาพลอยเดือดร้อนด้วยอีก

“แน่นอน เขาคงจะได้ไปนอนในคุกหลายปีทีเดียว แค่ข้อหาพยายามฆ่านี่ก็ตลอดชีวิตแล้ว” ปฐวีร์พอใจกับตอบมาก ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ทศพลจะได้รับกรรมซะที เมื่อไม่มีเหตุผลอะไรต้องอยู่ทั้งสองก็ออกมาจากที่นั่น

            ผ่านไปเกือบชั่วโมงพระอาทิตย์ก็ตกดิน ประตูรั้วหน้าบ้านทนายเรื่องโรจน์ก็เปิดออก ทนายเรืองโรจน์ขับรถยุโรปสีขาวออกมา “นี่ใช่ไหมที่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องรีบออกมา และนั่งรออยู่ตรงนี้เป็นชั่วโมง”

“ใช่ ผมแค่อยากรู้ว่า ทันทีที่เขาได้เอกสารแล้วเขาจะไปที่ไหน พี่ครับช่วยตามรถคันสีขาวไป อย่าให้คาดสายนะตานะครับ” คนขับแท็กซี่ค่อย ๆ เคลื่อนรถออกไป เขาเว้นช่วงระยะพอสมควรเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังถูกตาม ขับผ่านโค้งเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจอดติดไฟแดงสองสามครั้ง สุดท้ายก็เห็นรถของเรืองโรจน์เลี้ยวเข้าไปในโรงพยาบาล เขามาทำอะไรที่นี่ เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว เขาไม่ได้สั่งแท็กซี่ให้เลี้ยวเข้าไปแต่ให้ไปจอดด้านหลัง รอสักพักแต่ก็ไม่เห็นรถคันสีขาวโผล่มา นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าทนายเรืองโรจน์ตั้งใจมาที่โรงพยาบาลจริง ๆ


*************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป


         
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 34 [25/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 25-11-2018 20:39:56
ตอนที่ 34

  เรืองโรจน์ลงจากรถ เดินตรงขึ้นลิฟต์โดยสารตรงไปที่ห้องผู้ป่วยวิกฤตทันที พยาบาลหน้าห้องเห็นหน้าเขาก็จำได้อนุญาตให้เข้าไปในข้างในทันที ผลักประตูเข้าไปข้างใน เสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพยังขยันทำงาน มันส่งเสียงเตือนเป็นระยะ เรืองโรจน์นั่งลงเก้าอี้ข้างเตียงมองใบหน้าคนป่วย

“ฉันได้เอกสารเอาผิดคนที่มันโกงบริษัทแล้ว” เขาพูดขึ้นมาลอย ๆ เหมือนจะพูดกับตัวเอง แต่แล้วคนที่นอนบนเตียงกลับลืมตาขึ้น “มันเป็นใคร” ปทีปถามเสียงเบา

“ทศพลกับพวกอีกหลายคน แกนี่มันเลี้ยงงูเห่าไว้จริง ๆ”

“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงในเมื่อไม่มีหลักฐานและคนบางส่วนเป็นคนของเขา แล้วไหนจะยังเป็นพ่อตาฉันอีก”

“หึ ก็ไอ้คนที่เป็นพ่อตาแกนั่นแหละที่สั่งคนไปฆ่าลูกชายทั้งสองคน”

“ใคร” ปทีปถามเสียงแข็ง

“ก็จะใคร พลพัฒน์กับปฐวีร์ หลักฐานทุกอย่างเป็นพลพัฒน์เอาออกมาให้ปฐวีร์ แต่ไอ้ทศพลมันรู้เข้าเลยส่งคนตามเก็บ ปฐวีร์หนีรอดมาได้ ส่วนพลพัฒน์ยังไม่รู้เป็นตายร้ายดี บางทีคนต่อไปอาจจะเป็นแกก็ได้”

ปทีปผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินว่าปฐวีร์ปลอดภัย แต่อีกใจก็ยังเป็นห่วงพลพัฒน์ “ใช่ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

“แล้วเมื่อไหร่จะเลิกแกล้งป่วยซะที”

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นปทีปหลับตาเหมือนเดิม ประตูห้องเปิดออกเรืองโรจน์ก็โล่งใจ “ธีรณัฑศ์ นั่งก่อน”

“มีอะไรรึเปล่าครับ หรือเรื่องที่คุณลุงแกล้งป่วยมีคนรู้แล้ว” ปทีปลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงธีรณัฑศ์

“เปล่าหรอกพอดีลุงได้หลักฐานสำคัญมา” เรื่องโรจน์ส่งเอกสารให้ชายหนุ่มดู ธีรณัฑศ์ดูไปได้สักพักแทบเสียการควบคุม “อย่างนี้ทศพลกับพวกไม่รอดแน่”

“แน่นอน สองสามวันนี้เตรียมรอฟังข่าวใหญ่ที่สุดในรอบสิบปีได้เลย”

“แล้ว...” ชายหนุ่มกำลังจะพูดต่อ แต่ถูกเรื่องโรจน์ห้ามไว้ “ชู่ เหมือนมีคนอยู่ข้างนอก” ทั้งสองรีบไปหลบอยู่ห้องกระจกข้าง ๆ ส่วนปทีปนอนลงที่เตียงตามเดิม ไม่นานประตูก็เปิดออกช้า ๆ พร้อมกับใครสักคนเดินเข้ามา พิมพ์รตากวาดสายตามองไปรอบห้องเหมือนก่อนเข้ามาเธอจะได้ยินเสียงคนคุยกัน ไม่รู้ว่าหูฝาดหรือคิดไปเอง เมื่อไม่เห็นใครก็รู้สึกโล่งอกทันที เธอมองไปที่คนนอนเตียงเครื่องช่วยหายทำงานสัญญาณชีพบนหน้าจอเตือนให้รู้ว่าคนนอนบนเตียงยังมีชีวิตอยู่ เธอล้วงถุงมือออกมาจากกระเป๋าแล้วสวมมัน

“นั่นเธอกำลังจะทำอะไร”

“ก็ปลดสายออกซิเจนน่ะซิ”

“อ้อ” ธีรณัฑศ์หันขวับทันทีเมื่อนึกได้ว่าไม่ใช่เสียงของเรืองโรจน์ “วีร์”

“ครับ ผมเอง ทำไมไม่ตะโกนให้ดังกว่านี้ให้พิมพ์รตาได้ยิน” เขามองคนที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นยืนอยู่ข้าง ๆ

พิมพ์รตามองไปที่กระจกบานใหญ่เธอรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมองเธออยู่ เธอเดินไปผลักประตูแต่มันเปิดไม่ออก ทำให้เธอสบายใจ คงไม่มีใครอยู่ในนั้นเธอคงคิดไปเอง เธอเดินตรงไปที่เตียง “คุณพ่อพิมพ์ขอโทษ” จากนั้นปลดสายออกซิเจนทันที ทุกคนเห็นการกระทำทุกอย่างผ่านห้องกระจกต่างก็ตกใจ ทำทุกอย่างเสร็จแล้วเธอรีบออกจากที่นั่นก่อนจะมีคนเข้ามาเห็น ออกมาจากห้องผู้ป่วยได้เธอแอบอยู่ที่นั่นสักครู่กว่าจะมีหมอพยาบาลเข้าไปก็นานพอสมควร จากนั้นทุกคนก็วิ่งวุ่นหายเข้าไปในห้องผู้ป่วยวิกฤติ นั่นเป็นการยืนยันว่างานของทำสำเร็จ

ทุกอย่างในห้องไม่เป็นอย่างที่พิมพ์รตาเห็น ที่หมอพยาบาลวิ่งวุ่นเป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่ปทีปต้องการให้คนลงมือเห็น

“ไม่นึกว่าพิมพ์รตาจะกล้าทำเรื่องแบบนี้”

“มากกว่านี้เธอก็ทำได้”

“แล้วเรามาอยู่ในห้องกระจกนี่ได้ยังไง”

ปฐวีร์ชี้ไปทางประตูทางเข้าอีกทาง “เข้ามาทางประตูนั่น คงไม่ลืมว่าห้องนี้เปิดไว้ตลอด เวลาที่อาการทรุดคุณหมอก็ให้เข้าเยี่ยมมองคนป่วยจากห้องนี้” เรืองโรจน์ยิ้มแห้งเป็นความของเขาเองที่ไม่ตรวจสอบทุกอย่างก่อน เป็นอย่างที่ปฐวีร์คิดไว้ความฝันและสิ่งที่เห็นคือโรงพยาบาลหมายถึงเรื่องนี้เอง คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจตามเรืองโรจน์มา “ผมว่าเรื่องนี้คนป่วยคงต้องเตรียมคำตอบไว้ตอบผมแล้วล่ะ”

            ในห้องผู้ป่วยวิกฤติกลับมาเป็นปกติ ละครฉากเล็ก ๆ ฉากหนึ่งจบไปลงแล้ว แต่บรรยากาศในห้องกลับดูตึงเครียดจนชวนอึดอัดเมื่อปฐวีร์ยืนหน้าบึ้งกอดอกกวาดสายตามองทั้งสามรอคำตอบว่าทำไมทุกคนต้องทำอย่างนี้ ธีรณัฑศ์เบือนหน้าหนีไปอีกทางปฏิเสธว่าแผนการทุกอย่างไม่ได้เกิดจากเขาเป็นคนต้นคิด เรืองโรจน์ปฏิเสธไม่ได้เมื่อเขาก็เป็นคนช่วยคิดแต่วินาทีเขาต้องการเอาตัวรอด จึงได้หันหน้าอีกทาง ในตอนนี้ทั้งสามดูเหมือนว่าห้องผู้ป่วยวิกฤติจะวิกฤติกว่าทุกวัน โดยเฉพาะปทีป เขายังไม่กล้ามองหน้าลูกชายไม่พอยังเหงื่อซึมออกจากหน้าผาก “อุ้ย” ปทีปสะดุ้งเมื่อหันไปเจอสายตาของปฐวีร์ที่มองมาพอดี

“คือเรื่องมันยาว” ปทีปหน้าซีดเหงื่อตก รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว

“งั้นก็ค่อยเล่าวันหลังแล้วกัน วันนี้ผมไม่ว่าง”

“ วีร์จะไปไหนลูก” ปฐวีร์ไม่ตอบ รีบเดินออกจากห้อง รอสักพักทั้งสามก็มองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

“ทำไมมันง่ายนักวะ มันเกิดอะไรขึ้นเรืองโรจน์” ปทีปยังเทียวมองที่ประตูกลัวปฐวีร์เปลี่ยนใจกลับมา

“ไม่รู้เหมือนกัน เวลาวีร์โกรธน่ากลัวเหมือนหนึ่งฤทัยเลย”

ทั้งสองพยักหน้าเห็นด้วย

            ปฐวีร์เข้าไปด้านในได้ชั่วโมงกว่าปล่อยให้เทวานั่งอยู่บนรถแท็กซี่ ขณะคิดที่จะไปตาม ปฐวีร์ก็เปิดประตูเข้ามานั่งในรถ “พี่ออกรถเลย” เทวาอยากถามว่าเกิดอะไรแต่อยู่ ๆ ปฐวีร์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา อย่างไม่มีสาเหตุ เล่นเอาเขาทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้มาก่อน ปฐวีร์แทบทนอยู่ในห้องนั่นไม่ไหวยิ่งได้เห็นหน้าทั้งสามคนนั้น ถ้าเขาอยู่ในห้องนั่นนานกว่านี้เขาหลุดหัวเราะออกมาแน่ ๆ เขาเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด ในตอนแรกยอมรับว่าโกรธที่ถูกหลอก แต่พอคิดถึงความจำเป็นทุกอย่างก็สามารถให้อภัยได้ ความรู้สึกไม่สบายใจ ความกังวล ได้หายไปแล้ว ยังไงซะเขาก็ยินดีที่จะเห็นพ่อโกหกดีกว่าต้องเห็นพ่อป่วยจริง ๆ เทวาเห็นปฐวีร์เลิกหัวเราะแล้ว ตอนนี้ปฐวีร์กำลังยิ้มบาง ๆ เห็นอย่างนี้เขาก็พลอยรู้สึกสบายใจไปด้วย

            นั่งแท็กซี่มาได้สักพักก็ถึงจุดหมายบ้านสุรัตนธรรมฯ เข้าไปข้างในเห็นทุกคนนั่งพร้อมหน้าตากันเหมือนกำลังรอคอยใครสักคน พอเห็นทั้งสองเข้ามาในบ้านจริญญารีบเดินเข้ากอดชายหนุ่มทั้งสองไว้

“ขวัญเอ๋ย ขวัญมาลูก” เธอรีบสำรวจร่างกายทั้งสองว่ามีบาดแผลหรือบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า เมื่อไม่เห็นบาดแผลเธอก็สบายใจ ลากทั้งสองไปนั่งในห้องนั่งเล่น เธอให้ทั้งสองเล่าเรื่องทุกอย่างขึ้นให้ฟังโดยละเอียด ทั้งสองเล่าเรื่องทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง จริญญาฟังแล้วแทบอยากไปตบพวกนั้นจริงลูกชายเธอเลี้ยงมากับมือยังไม่เคยทำร้ายแล้วพวกมันเป็นใครถึงจะมาฆ่ามาแกงลูกชายเธอ ธักศนัยนั่งฟังเงียบ ๆ ก็แทบอยากคว้าปืนในห้องไปยิงพวกมันให้ไส้แตก

“น้องวีร์มีอะไรให้ช่วยก็บอกคุณพ่อคุณแม่ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณครับ”

“พ่อทำไมไม่สั่งสอนให้พวกมันรู้หน่อยว่าคนของสุรัตนธรรมฯ ไม่ใช่จะมารังแกกันได้ง่าย ๆ” ธนาโกรธขึ้นมาบ้าง ธรรมพี่ชายคนโตก็เห็นด้วยไม่ชอบความรุนแรงก็ไม่ได้หมายความว่าอยู่เฉย ๆ แล้วจะยอมให้ใครจะมาทำอะไรก็ได้

“จริงพ่อดูน้องวีร์ของแม่สิอดข้าวอดน้ำจนผอม ยิ่งตัวเล็กอยู่ด้วย คงหิวกันแล้วปะพ่อพาลูก ๆ ไปกินข้าวกัน”

ทั้งสองรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่อกลับมาที่บ้าน กินข้าวพร้อมหน้าทุกคนในวันธรรมดา หลังจากผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ปฐวีร์ก็เปลี่ยนความคิดหลายอย่าง ความตายไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดและมันน่ากลัวกว่าที่ฝันเห็นทุกคืน

            กินมื้อเย็นเสร็จทั้งสองขึ้นห้องพักผ่อน ปฐวีร์เล่าเรื่องที่เจอในโรงพยาบาลให้เทวาฟัง เทวาได้ฟังทั้งตกใจทั้งแปลกใจ ถึงว่าตั้งแต่ที่ออกมาจากโรงพยาบาลปฐวีร์ถึงได้อารมณ์ดี ทั้งสองคุยกันจนพลอยหลับไป เทวาสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะมือไปถูกตัวคนข้าง ๆ เข้า เขาวางมือบนหน้าผาก แก้มซอกคอปฐวีร์

“ตัวร้อนชะมัด ทำไงดีวะ” เทวาลุกไปเคาะประตูเรียกแม่ให้มาดู

“น้องตัวร้อนมากเลย ไปหยิบยาพารากับน้ำเปล่ามา แล้วก็เอาน้ำใส่กะละมังกับผ้ามาเช็ดตัวด้วย” เทวารีบไปเอาน้ำกับยา ปลุกคนป่วยให้ตื่นมากินยา ปฐวีร์กินยาแล้วก็หลับไปอีก จากนั้นเทวาก็เช็ดตัวให้ไม่นานอุณหภูมิก็ค่อยลดลง

“ค่อยยังชั่วตัวไม่ค่อยร้อนแล้ว” เทวารู้สึกโล่งอก คิดถึงว่าหลายวันผ่านอะไรมาบ้างก็พอจะเข้าใจ เขาออกกำลังกายเล่นกีฬาเป็นเรื่องปกติยังรู้สึกว่าเป็นวันเวลาที่ยากลำบาก แต่อีกฝ่ายแทบไม่ได้ออกกำลังกายเป็นธรรมดาที่จะป่วย เทวาคอยดูแลคนป่วยทั้งคืนแทบไม่ได้หลับ ทำให้ผล็อยหลับไปช่วงใกล้เช้า รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงคนเหมือนกำลังพูดอะไร ลืมตาขึ้นเห็นแม่กับคนงานกำลังคุยกันอยู่

“ตื่นแล้วเหรอลูก แม่เอาโจ๊กกับยามาให้น้อง”

“ครับ น้องเป็นไงบ้าง”

“กินโจ๊กไปได้สองสามคำ บ่นว่าเจ็บคอกลืนไม่ลง แม่เลยให้กินยาแล้วนอนต่อ นี่ก็เพิ่งหลับไป” เทวาขยับเข้าไปใกล้คนป่วยวางมือบนหน้าผากแก้มรู้สึกว่าตัวจะไม่ร้อนเท่าไหร่

“เราก็ไปกินข้าวได้แล้วเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน”

“ครับ”

วันหยุดสองวันปฐวีร์นอนป่วยอยู่บนเตียง ไม่ได้ไปไหน จะทำอะไรก็ไม่มีแรงปวดตัวปวดหัวไปหมด แถมยังเจ็บคอกินอะไรก็ไม่อร่อย แล้วยังตัวร้อนแต่กลับรู้สึกหนาวจนสั่น ยังดีที่เหงื่อออกทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้างแต่ก็เหนียวตัวจนอยากอาบน้ำ เป็นอยู่อย่างนี้จนรู้สึกรำคาญตัวเอง ยังดีในช่วงสองวันมีเทวาเป็นคนคอยดูแล ทั้งป้อนข้าวป้อนยา เช็ดตัวให้ ปฐวีร์ลืมตาตื่นขึ้นมาทีไรก็เห็นเทวานั่งอยู่ข้างเตียงถ้าไม่นั่งเล่นเกม ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือก็นอนหลับ เห็นแล้วรู้สึกอุ่นใจ ในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดก็มีคนที่คอยอยู่เคียงข้าง ไม่ไปไหนไกล เขามองคนกำลังหลับสบายอยู่ข้าง ๆ ลื่นมือไปกุมมือหนาไว้แล้วหลับตาลงพักผ่อนอีกครั้ง

******************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

Change! ในรูปแบบ E-book
[/size]

(https://www.picz.in.th/images/2018/10/31/3N1lED.jpg)
https://bit.ly/2DaYjvA (https://bit.ly/2DaYjvA)
[/size]
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 34 [25/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-11-2018 22:23:40
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 34 [25/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 26-11-2018 01:44:42
ดีใจกับน้องวีร์ที่ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 34 [25/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kanyakorn24 ที่ 26-11-2018 02:17:37
ลุ้นทุกตอนเลยยย
ได้เวลาจัดการพวกทศพล คุณนายรอง กะลูกสาว :fire:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 34 [25/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-11-2018 10:32:16
ทั้งเมีย ทั้งลูกสาว ทั้งพ่อตา เอาให้หนักเลยนะคุณปทีป

 :beat: :beat: :beat:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 34 [25/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 30-11-2018 22:04:05
 :fire: นังลูกสาวเธอเลวมากถึงกับฆ่าพ่อตัวเอง
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 35 [02/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 03-12-2018 08:29:53
 
ตอนที่ 35
[/size]

หลังจากนอนป่วยมาหลายวันทันทีที่ดีขึ้นปฐวีร์ก็ไปที่โรงพยาบาลแต่เช้า พบว่าปทีปกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ท่าทางเหมือนกำลังรอใครสักคนอยู่ ปฐวีร์วางของเยี่ยมบนโต๊ะ เดินไปนั่งข้างเตียง

“พ่อกินอะไรรึยังครับ” บรรยากาศของครอบครัวที่แตกต่างไปกว่าทุกครั้ง ไม่บ่อยที่เขาจะมีโอกาสคุยกับพ่อด้วยท่าทางสบายอย่างนี้ การสูญเสียแม่ตั้งแต่เด็กทำให้เขาไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับพ่อด้วยเหตุผลหลายอย่าง แต่นั่นเขาก็ไม่เคยโทษใคร ปทีปมองลูกชายที่เหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในช่วงที่เขาไม่อยู่ด้วย มันเป็นการลงทุนที่ให้ผลกำไรกว่าอะไรทั้งนั้นเมื่อมีโอกาสให้ลูกชายเข้มแข็ง

“พ่อเรียบร้อยแล้ว เป็นไงบ้างกับข้าวบ้านผู้ชายที่ชื่อเทวานั่นอร่อยไหม”

ปฐวีร์เลิกคิ้วขึ้น เขารู้อยู่แล้วว่าต้องถูกถามเกี่ยวกับเทวา “อร่อยมากเลย ทุกคนก็ใจดีมาก”

“หึ” ปทีปทำเสียงขึ้นจมูก รู้สึกไม่ค่อยพอใจที่ลูกชายเห็นความสำคัญของคนอื่นมากกว่าตัวเอง ปฐวีร์เห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็แทบขำ “พ่อไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่วีร์คบกับพี่เทวา”

“อืม” ปทีปพยักหน้า ปฐวีร์รู้สึกแปลกใจสงสัยว่าทำไมมันถึงง่าย พ่อไม่คิดจะเป็นห่วงหรือขัดขวางหน่อยรึไง พยักหน้ายอมรับง่าย ๆ แบบนี้มันอะไรเหมือนเตรียมไว้แล้ว

“ถึงพ่อจะนอนสบายอยู่โรงพยาบาล แต่ก็ไม่ได้หูหนวกตาบอด มีไอ้หนุ่มที่ไม่รู้แอบเข้าห้องลูกชายก็ต้องให้คนสืบเป็นธรรมดา” ปฐวีร์รู้สึกเขินนิดหน่อย แววตาฉายความรู้สึกดีใจเมื่อรู้ว่าพ่อเป็นห่วงถึงขนาดให้คนไปสืบเรื่องของเทวา “ส่วนเรื่องทำไมไม่ห้ามให้วีร์คบกับไอ้หนุ่มนั่น” เขาหยุดพูดแล้วมองหน้าลูกชายที่มีหน้าตาคล้ายภรรยาที่จากไป “มันเกี่ยวกับเรื่องที่วีร์ฝันเห็นอนาคต” ปฐวีร์หุบยิ้มตัวแข็ง มองหน้าอีกฝ่ายเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้ฟังผิดหรือหูฟาด “พ่อรู้”

“ใช่” เขาพยักหน้า “ลูกเหมือนแม่ แม่ก็ฝันเห็นอนาคตเหมือนกัน”

“หมายความว่าผมไม่ได้ประหลาด อย่างน้อยก็มีคนเหมือนผม”

“ใช่ แต่หลังจากคลอดลูกได้ไม่นานความฝันของแม่ก็หายไป พ่อกับแม่คิดว่ามันคงถ่ายทอดมาถึงลูก เพราะตอนเด็กลูกชอบพูดว่าฝันเห็นนั่นเห็นนี่เรื่อย พวกเรากังวลอยู่บ้างแต่หลังจากที่แม่เสียลูกก็ไม่เคยพูดถึงมันอีกเลย”

“ผมจำไม่ได้ แต่ตอนที่ฝันเห็นพวกมันครั้งแรกผมเห็นว่าตัวเองต้องตายยังไง และเห็นแม่”

ปทีปพยักหน้ารับรู้ “เพราะเห็นอนาคตแม่ถึงได้ให้พ่อแต่งคุณนายรองเข้ามา เพื่อยุติความรักจะเปลี่ยนเป็นความแค้น และเพื่อช่วยตระกูล ต่อมาแต่งงานคุณนายสามเข้ามาเพื่อทดแทนบุญคุณ “ ปฐวีร์เพิ่งเข้าใจสาเหตุที่พ่อทำไมถึงแต่งทั้งสองคนเข้ามา

“หลักจากที่แม่คลอดลูกได้ไม่นานก็มองเห็นอนาคตของลูก และบอกว่าลูกจะมีคนรักเป็นผู้ชาย พ่อถึงได้ทำใจตั้งแต่นั้น”

ปฐวีร์พยักหน้าเข้าใจ เรื่องหลายเรื่องบนโลกนี้ไม่สามารถอธิบายหรือคำตอบได้ ไม่รู้ว่าการที่เห็นอนาคตเป็นพรหรือคำสาปที่ส่งต่อไปเรื่อยกันแน่ บางคนที่ต้องเห็นตัวเองต้องตายอาจกลัวกังวลหรือเป็นบ้าไปเลยก็ได้ แต่สำหรับปฐวีร์มันทำให้เขาอยากเอาชนะ ต่อสู้กับมัน เป็นอีกเรื่องที่ท้าทายเพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึงขึ้นอยู่กับเราเลือกที่จะยอมรับมันหรือเปลี่ยนมันด้วยมือของเราเอง ปฐวีร์ถามเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น หน้าปทีปหม่นลงถึงจะเป็นเพราะทศพลหลอกให้พิมพ์รตาให้ทำอย่างนั้น แต่ก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง และก็เลือกที่ลืมมันไปทำเหมือนไม่มีเกิดขึ้น ปฐวีร์เข้าใจ ไขทุกข้อสงสัยที่ค้างใจแม้จะไม่ทั้งหมด อย่างทำไมต้องเป็นเขา ทำไมไม่ใช่คนอื่น แน่นอนเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องอยากที่ใครจะตอบคำถามได้ ก็คงพอ ๆ กับทำไมคนสองคนถึงมารักกันได้ทั้งที่มีคนตั้งมากมายบนโลกใบนี้ ปฐวีร์รีบกลับไปที่สุรัตนธรรมฯเพราะทศพลและพวกยังไม่ถูกจับ ตอนนี้ชีวิตพวกเขายังไม่ปลอดภัย

            และเหมือนเวรกรรมจะมีจริงในวันเดียวกันนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่ถือหมายจับเข้าจับกุมทศพลและพวก ทศพลที่นั่งดีใจหลังจากรู้ว่าหลานสาวได้ลงมือทำตามที่วางไว้แล้วเรียบร้อย เขากำลังจะดำเนินแผนต่อจากนั้น ใครจะไปรู้อยู่ ๆ ก็มีตำรวจแห่เข้ามาที่บ้านพร้อมหมายจับ เขาไม่เวลาเตรียมตัวและไม่สามารถขัดขืน และให้คนรีบติดต่อคุณนายรองเพื่อช่วยเหลือ ทศพลถูกจับตัวไปที่โรงพักเขาไม่เปิดปากพูดอะไรทั้งนั้นเขาใช้สิทธิ์ขอทนาย แต่จนแล้วจนรอดทนายมือดีก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ ทรัพย์สินที่มีหลายอย่างก็ไม่สามารถช่วยประกันตัว เมื่อรู้ว่าต้องนอนอยู่ในคุกเขาก็กระวนกระวายใจ จนคุณนายรองโผล่มาที่โรงพัก เธอพยายามหาทางช่วยเหลือทศพล ติดต่อคนรู้จัก ติดต่อญาติขอความช่วยเหลือแต่ทุกคนก็ปฏิเสธ บางคนตัดสายทิ้งก่อนที่จะพูดจบด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันพลพัฒน์ที่หายไปหลายวันก็โผล่มาที่โรงพัก

“พลลูก พลช่วยคุณตาด้วยลูก”

“คุณแม่ที่ผมมาวันนี้ไม่ได้มาช่วยคนคนนี้ แต่ผมจะมาแจ้งให้ตำรวจจับข้อความพยายามฆ่า”

“นี่ นี่ ลูกพูดอะไรฆ่าอะไร ฆ่าใคร”

“คุณแม่รู้ไหมครับที่ผมหายไปหลายวันนี่เพราะใคร” พลพัฒน์เดินเข้าไปใกล้ทศพลที่เริ่มกังวล “คนคนนี้พยายามจะฆ่าผม คุณตำรวจจับเขาได้เลย ส่วนนี่คือหลักฐาน” เขาส่งหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทุกอย่างเหมือนบังเอิญแต่ที่จริงทนายเรืองโรจน์ติดต่อให้พลพัฒน์ให้เข้าแจ้งความและให้เขามอบหลักฐานทุกอย่างให้ตำรวจ เมื่อทศพลถูกมัดด้วยหลักฐานก็ไม่มีทางหลบหนีได้ เหมือนเสียงฟ้าผ่าลงมากลางวันแสก ๆ คุณนายรองแทบยืนไม่ไหวต้องทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ไม่คิดไม่ฝันว่าผู้ให้กำเนิดมีจิตใจชั่วร้ายขนาดที่คิดจะฆ่าลูกของเธอ เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตัดสินใจหันหลังเดินออกจากที่นั่น ไม่ฟังเสียงตะโกนเรียกของทศพลให้กลับไปช่วย จากเสียงอ้อนวอน จนกลายเป็นเกรี้ยวกราด ด่าทอตามหลังมา เธอรู้สึกเจ็บปวดใจเรื่องที่พิมพ์รตาทำเรื่องแย่ ๆ นั่นก็ทำร้ายจิตใจมากพอแล้ว แล้วยังต้องมาเจอเรื่องนี้อีกเธอรับไม่ไหวแทบไม่อยากเชื่อผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ชายแสนใจดี อบอุ่น ไม่รู้ผีห่าซาตานตนไหนมาสิงทำให้ผู้ชายแสนดีคนนั้นหายไป

จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็มีข่าวทศพลและพวกถูกจับทำให้หลายคนตกใจ โดยเฉพาะปฐวีร์ไม่นึกว่าทนายเรืองโรจน์จะสามารถจัดการทุกอย่างได้รวดเร็วทันใจอย่างนี้ พิมพ์รตานั่งดูข่าวอย่างอกสั่นขวัญแขวน รู้สึกกังวลในสิ่งที่ทำลงไป ข่าวที่ออกมาเล่นเอาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหนาว ๆ ร้อน ๆ พวกเขาโทรหากันว่าข่าวที่ออกมาเป็นความจริงรึเปล่า ใช้เวลาตรวจสอบไม่นานพวกเขาก็พร้อมเตรียมตัวออกเดินทางพักผ่อนต่างประเทศ แต่ใครจะไปคิดว่านั่นเป็นแผนที่ทนายเรืองโรจน์ต้องการให้คนพวกนั้นเคลื่อนไหว และมันก็ได้ผลเจ้าหน้าที่ดักรอพวกอยู่หน้าประตูรั้วอยู่แล้ว พวกเขาคิดว่าสามารถหนีรอดได้แล้ว จะได้ไปกินนั่งนอนสบายที่ต่างประเทศ แต่ใครจะไปคิดว่ากลับต้องไปนั่งถูกสอบปากคำอยู่ในโรงพัก

            ข่าวการฉ้อโกง ยักยอกเงินและพยายามฆ่าทายาทเจ้าของ Ago Group เป็นข่าวที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ เมื่อประชาชนสนใจแน่นอนว่าคดีต้องดำเนินการเข้มงวด ละเอียดรอบคอบและรวดเร็ว รายชื่อผู้เกี่ยวข้องต่างตบเท้าเข้ารายงานตัวให้ปากคำ ผ่านไปสัปดาห์กว่าข่าวค่อยซาลงเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เอกสารหลักฐานเพียงพอ ต่อจากนั้นเป็นหน้าที่ของศาล ปฐวีร์ พลพัฒน์เทียวไปให้การที่ศาลระหว่างนั้นก็ได้การคุ้มครองพยานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เดือนแรกของปีผ่านไปมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น ล่วงเลยเข้าเดือนแห่งความรัก ความรักของปฐวีร์และเทวาค่อย ๆ เติบโตแต่แข็งแรง ปลายเดือนแห่งความรักก็มีข่าวใหญ่เมื่อหนังสือพิมพ์ธุรกิจชื่อดังกลับพาดหัวข่าว ข่าวการหายป่วยปทีปประธานบริษัท Ago Group อย่างปฏิหาริย์ เล่นเอาใครหลายคนแทบไม่เชื่อ แต่ก็มีหลายคนดีใจที่ Ago Group จะกลับมาเหมือนเดิม เป็นช่วงฟ้าหลังฝน หลายคนเชื่ออย่างนั้น

ปฐวีร์และเทวาสามารถกลับไปเรียนตามปกติได้ เขาหวังว่าครั้งนี้คงไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้ต้องหยุดเรียนอีกแล้วนะ เพื่อน ๆ เห็นปฐวีร์กลับมาเรียนได้ก็โล่งอก

หลังจากข่าวการหายป่วยได้ไม่กี่วันปทีปก็กลับบ้าน เขาลงจากรถกวาดสายตามองทุกคนออกมายืนต้อนรับ บนใบหน้าคุณนายรองมีทั้งร่องรอยดีใจและรู้สึกเสียใจ พิมพ์รตายืนนิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น ในเมื่อคนที่รู้มีแค่ เธอ แม่และทศพล ทศพลก็อยู่ในคุกไม่ทางพูดเรื่องนี้แน่นอน ความผิดแค่นั้นไม่รู้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในนั้นกี่ปี บางทีอาจจะไม่มีทางได้ออกมาก็ได้ใครจะไปรู้ ส่วนแม่ของเธอแน่นอนว่าไม่มีทางหักหลังเธอ แล้วทำไมต้องใส่ใจสู้ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดีกว่า ปทีปยิ้มและขอบใจทุกคนที่ออกมาต้อนรับ กลับมาถึงบ้านจิตใจเขาก็รู้สึกปลอดปล่องขึ้นมาก ทนนอนนิ่งอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานานไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ทุกคนเดินตามหลังปทีปเข้าไปในบ้าน บรรยากาศตอนนี้เปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่ปทีปหายดี คุณนายรองและคุณสามก็มีความคิดหลายอย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะคุณนายสามที่มีเรื่องที่ทำให้เธอตกใจเมื่อเธอรู้ว่ารสนิยมทางเพศของคชาธรณ์ ทำให้เธอเข้าวัดใช้ธรรมมาเยียวยาจิตใจและพยายามเข้าใจลูกชายให้มากขึ้น บางครั้งเธอชวนคณิตตาร์ไปด้วย หลายที่เธอสังเกตเห็นลูกสาวแปลกไปแต่หลังจากนั้นคณิตตาร์ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เธอใจเย็นมากขึ้น ใช้สติ ควบคุมอารมณ์

บ้านค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบ้านมากขึ้น ปทีปพักผ่อนอยู่สองสามวัน วันที่สี่ธีรณัฑศ์ก็มาตามกลับไปทำงาน เพราะมีเรื่องสำคัญชายหนุ่มไม่สามารถตัดสินใจได้ ช่วงที่ปทีปอยู่บ้านปฐวีร์ก็กลับบ้านทุกวัน เทวาแอบเหงาอยู่บ้าง ตอนนี้ปทีป ปฐวีร์ พลพัฒน์และธีรณัฑศ์นั่งคุยกันที่ศาลาในสวน

“ตอนนี้คดีคืบหน้าไปมาก อีกนานทุกอย่างก็จะเรียบร้อย ในบริษัทตอนนี้ค่อนข้างวุ่นวาย รอให้คุณลุงเข้าจัดการ” ปทีปได้ยินแล้วคิ้วกระตุก ไอ้เด็กนี่กำลังกดดันให้เขากลับไปทำงานทั้งที่เขาอยากวางมือใช้ชีวิตสบาย ๆ

ภายในบริษัทหลายอย่างเปลี่ยนไป พลพัฒน์ก็รู้สึกปวดหัวเหมือนกันเมื่อต้องเพิ่มความรับผิดชอบที่มากขึ้น “น้องวีร์สนใจกลับไปช่วยงานที่บริษัทอีกไหม” ปฐวีร์นั่งฟังเงียบถูกถามขึ้นมา ทำหน้าไม่พอใจใส่ธีรณัฑศ์ ทำให้ธีรณัฑศ์อดยิ้มกับท่าทางอีกฝ่ายไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ในสายตาปทีป ทำให้เขาต้องเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วรีบไล่ธีรณัฑศ์กลับ

***********************************
โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 36 [3/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 03-12-2018 08:32:34
ตอนที่ 36
[/size]

เดือนที่สองผ่านไปเวลาของวันรับปริญญามาถึงรุ่นพี่ที่จบไปแล้วกลับมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัยหนึ่งปีนั้นได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง ปฐวีร์ก็มีโอกาสได้เจอกับรุ่นพี่ที่จบออกไปได้ถ่ายรูปแสดงความยินดี และตอนกลางคืนมีเลี้ยงสายรหัส เขาและสายรหัสได้รวบรวมเงินเพื่อซื้อขวัญยินดีให้รุ่นพี่ เป็นอีกคืนที่ได้เมาและเป็นเทวามารับ

ช่วงเวลาแห่งการยินดีกับบัณฑิตใหม่ได้ผ่านไป ต่อจากนั้นช่วงเวลาสอบก็มาถึงจะมาถึง นักศึกษาปีสุดท้ายหลายคนมีความคิดในปีหน้าที่พวกเขากลับมาจะต้องพูดกับรุ่นน้องได้เต็มปากว่าทำงานตำแหน่งอะไร ที่ไหน เงินเดือนเท่าไหร่ หลายคนเริ่มมองหาอนาคตว่าจะทำอะไรต่อไป บางคนพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่วัยทำงาน บางคนเลือกที่จะเรียนต่อเพราะคิดว่าความรู้ที่ร่ำเรียนตลอดสี่ปียังไม่เพียงพอ บางคนต่อยอดสืบทอดกิจการงานของครอบครัว แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร

โชคดีที่ผ่านมาปฐวีร์ทำคะแนนค่อนข้างดี จึงไม่ได้กดดันอะไรมากมาย แต่ก็ต้องทรมานอ่านหนังสืออยู่ดี อ่านหนังสือบ้าง เล่นเกมบ้าง ดูการ์ตูนบ้าง จนมาถึงวันสอบวันแรก เขาใช้เวลาทำข้อสอบไม่นานคิดว่าอย่างนั้นแต่ออกมาจากห้องสอบก็เห็นเพื่อนออกมากันครบแล้ว อะไรจะทำข้อสอบเร็วขนาดนั้น อ่านคำถามกันรึเปล่าหรือนั่งลงแล้วฝนกระดาษอย่างเดียว คุยกันพอหายคิดถึงทุกคนต่างแยกย้ายกลับไปอ่านหนังสือสอบวันพรุ่งนี้ ปฐวีร์โบกมาลาทุกคนแล้วหยิบโทรศัพท์นั่งรอเทวา เล่นเกมตัวต่อผ่านไปสองด่าน กินขนมหมดไปหนึ่งถุง เทวาก็เดินใต้ตาคล้ำมานั่งข้าง ๆ “กลับกัน”

“อืม“ ปฐวีร์รีบเก็บของ ยัดลงกระเป๋า “เป็นไงบ้างทำข้อสอบได้เปล่า” ทั้งสองเดินไปด้วยกันคุยโน่นคุยนี่ไปด้วยมีหัวเราะ หยอกล้อกันบ้าง เป็นภาพที่ใครหลายคนเคยเห็น แต่ไม่เคยชินจนต้องหันกลับไปมอง

ช่วงนี้รถเทวาซ่อมยังไม่เสร็จทั้งสองจึงได้เพิ่งรถไฟฟ้า จะซื้อคันใหม่ก็รู้สึกเสียดายคันเก่าเพราะเพิ่งได้มาไม่นานและก็เพราะมันทั้งสองถึงได้รอดมาได้ เดินจากหน้ามหาวิทยาลัยไปหนึ่งไฟแดงก็ถึงสถานีรถไฟฟ้า สถานีนี้มีนักเรียนนักศึกษาและคนทั่วไปใช้บริการเยอะพอสมควร แต่ช่วงนี้มีหลายโรงเรียนและมหาวิทยาลัยอยู่ในช่วงสอบทำให้ดูโล่งกว่าปกติ เสียงสัญญาณเตือนและเสียงรถไฟกำลังใกล้มาถึงทำให้ทุกคนเตรียมพร้อม จอดรับผู้โดยสารไม่นานรถไฟก็เคลื่อนขบวนต่อ นอนดึกใช้สมองแถมยังมาเจออากาศเย็นสบายทำให้ปฐวีร์อาศัยไหล่เทวาเพื่อพักผ่อนสายตา เทวายิ้มบาง ๆ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งสวมชุดมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่ไม่รู้คณะไหนมองมาที่พวกเขา พวกเธอเห็นสายตาเทวามองมาก็ยิ้มให้ แล้วหันไปพูดกันเบา ๆ “เธอดูนั่น ดูผู้ชายสองคนนั้น น่ารักชะมัด ซบไหล่กันด้วย”

“พวกเขาเป็นแฟนกันรึเปล่า”

“น่าจะใช่ แต่คนที่กำลังหลับน่ารัก ต้องเป็นรับแน่นอนเลย”

“ใช่ ตัวเล็ก ผอมบาง ขาว ท่าทางน่ารังแกมาก” กลุ่มสาว ๆ พูดคุยกันสนุกหันมาอีกทีเทวาก็จูงมือปฐวีร์ลงจากรถไฟฟ้าไปแล้ว สาว ๆ ทำหน้าเสียดายไม่ได้ดูคนน่ารักหนอนหลับเลย ระหว่างเดินกลับห้อง  เทวาคิดถึงคำพูดสาว ๆ ที่พูดกันในรถไฟฟ้าพวกเธอคงไม่รู้ว่าเขาได้ยินทำให้เขายิ้มกับความคิดพวกเธอ

            ก่อนกลับเข้าห้องทั้งสองแวะร้านสะดวกซื้อเหมือนทุกวัน “ขนมนี่อร่อยซื้อไปอีกถุง”

“นมรสนี้เพิ่งออกใหม่ไอ้ยุทธมันเอามาลองกินอร่อย ลองดูไหม”

“อือ”

“คืนนี้อ่านหนังสืออีกไหม มีสอบอีกวันไหน”

“สอบพรุ่งนี้บ่าย พี่ล่ะ”

“เหมือนกัน ซื้ออันนี้ไปกินบำรุงสมอง เพื่อจะได้ฉลาดจนไม่ต้องอ่านหนังสือ”

“งั้น เหมาทั้งชั้นเลย เผื่อกินแล้วจะได้ไม่ต้องอ่านหนังสือ” พนักงานได้ยินทั้งสองคุยกันก็แอบยิ้ม พนักงานสาวแอบสะกิดเพื่อนให้มองทั้งคู่ “นั่นไงแก สองคนนั้นไงเป็นแฟนกันน่ารักไหม”

“แกรู้ได้ไง”

“ก็เห็นพวกเขามาสักพักใหญ่แล้ว นี่พวกเขาพักอยู่ที่คอนโดมิเนียมใหญ่ ๆ นั่น ยัยหมวยร้านข้าวมันไก่ก็ยืนยันว่าพวกเขาเป็นแฟนกัน”

“ถึงว่าเขาไม่สนใจฉันเลย” เธอมองไปที่เทวาด้วยสายตาเสียดาย เพื่อนร่วมงานมองเธอตั้งหัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นเขาฉันก็ไม่เอาเธอเหมือนกัน" หญิงสาวหันขวับมามองเพื่อนด้วยตารู้สึกเคือง

ทั้งสองออกจากร้านสะดวกซื้อแวะซื้อกับข้าว ปฐวีร์ขอบคุณเทวาที่มาส่ง เขาโยนกระเป๋าไว้บนโซฟา วางของไว้บนโต๊ะแล้วเข้าห้องอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วปีนขึ้นเตียง เพราะตอนนี้ร่างกายของเขาไม่หลงเหลือพลังอยู่เลย เขาต้องการพักผ่อนชาร์ตพลัง

            สอบวันที่สองผ่านไปอย่างราบรื่น สอบวันที่สามผ่านไป จนมาถึงวันสุดท้าย ปฐวีร์วางปากกาส่งข้อสอบ แล้วเดินออกจากห้องไปหาเพื่อนที่นั่งรออยู่หน้าห้อง สอบวิชาสุดท้ายเสร็จสีหน้าทุกคนดูสดชื่นแจ่มใสขึ้นมาก ทุกคนต่างคุยกันว่าจะไปเลี้ยงฉลองกัน เพราะปิดเทอมแล้วคงหาโอกาสเจอกันยากขึ้น วจีบอกปฐวีร์ให้ชวนเทวากับเพื่อนไปด้วย ไปหลายคนสนุก ปฐวีร์เห็นด้วย เขาส่งข้อความไปถามอีกฝ่ายตอบกลับมาว่าตกลง เขาส่งข้อความไปชวนภฤดล กฤติกรณ์และนภาภรณ์ ทั้งสามก็ตอบตกลง

            สองทุ่มเป็นเวลานัด ที่ร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง ทุกคนมาพร้อมกันช่วยกันสั่งอาหารเครื่องดื่ม ได้กลับไปหลับสักสองสามชั่วโมงพลังงานก็กลับคืนมาพร้อมกินพร้อมดื่มพร้อมสนุกให้เต็มที่ พวกเขาถือเป็นรางวัลสำหรับการทุ่มเทกับการอ่านหนังสือสอบในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ในร้านบรรยากาศค่อนข้างคึกคักไปด้วยผู้คนที่ออกมาดื่มพร้อมเพื่อนฝูง เหมือนกันกับพิมพ์รตา เธอมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนสนิท เธอสอบเสร็จไปแล้วเมื่อสามวันก่อน คืนนี้เลยถูกเพื่อนโทรตามออกมาสนุกใครจะไปรู้เมื่อเธอมาถึงก็เจอคนที่ไม่อยากเจอมากที่สุด ยิ่งเห็นรอยยิ้มเทวายิ้มให้ปฐวีร์ เธอก็รู้สึกหมั่นไส้ เธอไม่เข้าใจว่าเธอสู้ปฐวีร์ไม่ได้ตรงไหน เธอกำลังจ้องมองปฐวีร์กับกลุ่มเพื่อนขณะเดียวกันก็มีคนจ้องมองมาที่เธอเหมือนกัน

“พี่แผนเราจะสำเร็จไหม นี่มันใกล้ถึงกำหนดต้องจ่ายเงินแล้วด้วย”

“สำเร็จสิเชื่อมือพี่โจ้คนนี้ได้เลย นั่นผู้ชายที่นั่งโต๊ะนั้นพี่ชายแกรึเปล่า” พีรพลธ์ชะโงกหน้ามองตามนิ้วชายหนุ่มที่ชี้ไป “ใช่ นั่นพี่วีร์”

“ได้เจอกันอีกแล้วท่าทางจะเป็นเนื้อคู่”

“เอ่อ พี่โจ้นั่นผู้ชายนะครับ” เขาเตือนอีกฝ่ายอีกครั้งกลัวว่าดื่มเยอะและตาลาย “ฉันรู้น่า พูดมากจริงแก เดี๋ยวก็ไม่ช่วยใช้หนี้เลยนิ”

“โทษทีพี่ แฮะ แฮะ” เขารีบหัวเราะกลบเกลื่อนเลิกพูดถึงปฐวีร์อีก

ปฐวีร์นั่งจิ๊บเครื่องดื่มฟังคนอื่นคุยกัน อยู่ ๆ ก็สึกเสียงสันหลังวาบเขาหันหลังกลับไปมอง กวาดสายตามองรอบ ๆ แต่ก็ไม่มีเห็นว่ามีใครกำลังมองมาที่เขา หรือจะคิดไปเอง คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง

            ผ่านไปสักพักคนเข้ามาในร้านเยอะขึ้น เครื่องดื่มหลายดีกรีบนโต๊ะหมดไปหลายขวด ปฐวีร์เพิ่งหมดขวดแรก แก้มเริ่มแดงแต่ยังไม่มีอาการเมาให้เห็น ยุทธจักรและตติวัฒน์ก็ถูกสาว ๆ ชวนไปนั่งด้วย วจีกับน้ำขิงออกไปสนุกโดยมีกายและพีรพัฒน์ไปเป็นเพื่อน ที่เหลือก็นั่งคุยกันขยับโยกไปตามเสียงเพลงบ้าง

            พิมพ์รตากำลังสนุกกับเพื่อน แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นภาพบาดตาบาดใจ เธอวางแก้วเครื่องดื่มอย่างแรงจนน้ำกระฉอกออกมา เพื่อนของเธอต่างแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น “พิมพ์เป็นอะไรเปล่า”

“อารมณ์ไม่ดี พอดีเห็นพวกวิปริตแล้วรู้สึกขยะแขยง” ทุกคนไม่เข้าที่พิมพ์รตาพูด และไม่รู้เธอต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่ “ถ้ามีอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีก็แค่กำจัดมันก็สิ้นเรื่อง” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น พิมพ์รตาอารม์ดีขึ้นเมื่อได้ฟังคำแนะนำ บางทีเธอน่าจะอาศัยช่วงเวลานี้ ทำอะไรสักอย่าง เธอหยิบกระเป๋าถือใบเล็กเปิดมันออกค้นหาอะไรสักอย่าง แล้วเธอก็เจอสิ่งที่ต้องการ เธอหยิบมันขึ้นมา เทผงสีขาวลงในแก้วเครื่องดื่มที่เด็กเสิร์ฟเพิ่งนำมาเสิร์ฟ ทุกคนมองพิมพ์รตาด้วยสายตาสงสัยว่ากำลังจะทำอะไร และใครคือเป้าหมายที่น่าสงสารคนนั้น เมื่อผงสีขาวละลายหมดแล้วเธอเรียกพนักงานเสิร์ฟให้เอาเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ เธอกระซิบบอกอะไรสองสามคำพร้อมกับยัดเงินแบงก์หนึ่งใส่มือพนักงานให้ไปด้วย เด็กเสิร์ฟเห็นแบงก์สีเทาก็ตาโตรีบรับเครื่องไปเสิร์ฟทันที โจ้คอยมองการกระทำของพิมพ์รตาก็อดหัวเราะไม่ได้

”พี่สาวแกนี่ร้ายเหมือนที่บอกจริง ๆ”

“เชื่อผมยัง”

“ผู้ชายคนนั้นคงเป็นแฟนคนที่ชื่อวีร์”

“อืม เหมือนจะใช่เคยได้ยินพี่พิมพ์แกโวยวายอยู่ว่า พี่วีร์แย่งแฟนเธอไป แต่ผมว่าไม่น่าใช่”

“ถ้าฉันเป็นผู้ชายคนนั้นก็เอาพี่สาวแกหรอก”

“แล้วแก้วนั่นจะเอาไปให้ใคร”

“อยากรู้เป็นอะไรถามเด็กเสิร์ฟก็รู้” โจ้กวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟที่กำลังถือเครื่องตรงไปที่โต๊ะปฐวีร์ “ผู้หญิงคนนั้นให้แกทำอะไร” เด็กเสิร์ฟเล่าทุกอย่างที่รู้ให้โจ้ฟัง เขาหันหน้าไปยิ้มพีรพลธ์ ตอนแรกเขากังวลอยู่บ้างว่าทำแบบนี้แล้วมันออกไม่ยุติธรรมกับหญิงสาวเท่าไหร่แต่พอรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ร้ายขนาดไหนเขาไม่เสียใจที่จะช่วยพีรพลธ์ แต่กลับรู้สึกเสียดายที่ปฐวีร์มีแฟนแล้ว

อีกมุมคนที่นั่งมองพิมพ์รตาแทบไม่กะพริบตา ก็ถูกเพื่อนสะกิด “เฮ้ย ถ้าไม่บอกว่าแกชอบผู้ชายฉันคงนึกว่าแกเปลี่ยนรสนิยมแล้ว”

“ใช่ แล้วนั่นแกให้เด็กเสิร์ฟเอาอะไรไปให้ยัยนั่นวะ”

“เดี๋ยวก็รู้” คชาธรณ์ยิ้มมุมปาก เขาแทบจะรอให้พิมพ์รตาดื่มเครื่องดื่มนั่นไม่ไหว เป็นเพราะพิมพ์รตาที่เอาเรื่องรสนิยมทางเพศของเขาไปบอกแม่ ทำให้แม่ต้องตกใจและเสียใจ ถึงแม่จะไม่ได้พูดอะไรแต่เขาก็อยากที่จะเป็นคนบอกเรื่องนี้ด้วยตัวเองไม่ใช่ให้พิมพ์รตาเอารูปที่เขากำลังจูบกับผู้ชายไปให้แม่ดู

            เวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว นักท่องราตรีกลับไม่มีท่าทีจะยอมแพ้ หลายคนยังสนุกกับเสียงเพลงและเครื่องดื่ม แต่ก็มีหลายคนยอมที่ยอมแพ้ถูกเพื่อนแบกกลับไปแล้วก็หลายคน “ ไปห้องน้ำเดียวมานะครับ”

“ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”

“ไม่เป็นไรแค่นี้เอง” ปฐวีร์เดินเซนิด ๆ ไปที่ห้องน้ำ ระหว่างทางเห็นหลายคนออกมาสูบบุหรี่ หนุ่มสาวออกมาสานสัมพันธ์กัน เขาไม่สนใจเดินผ่านตรงไปที่ห้องน้ำ เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยออกมาล้างมือล้างหน้า รู้สึกสดชื่น เงยหน้าขึ้นมาเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง เขาไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นยิ้มให้เขาหรือใคร แต่เท่าที่จำได้เขาไม่มีเพื่อนหน้าตาแบบนี้

“สวัสดีครับ เจอกันอีกแล้ว” โจ้เดินมายืนอยู่ข้าง ๆ ปฐวีร์กำลังทบทวนความคิดว่าเขาเคยเจออีกฝ่ายที่ไหน เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้สมองประมวลผลช้าลง แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “แล้วเจอกันใหม่กันนะครับ” โจ้กระซิบเบา ๆ ข้างหูเล็ก ปลายจมูกเฉียดแก้มใสเล็กน้อย แล้วเดินยิ้มออกจากห้องน้ำ พีรพลธ์เห็นโจ้กลับมาจากห้องน้ำพร้อมรอยยิ้มอดถามไม่ได้

“เป็นไรพี่ ไปเจออะไรเด็ด ๆ มา”

“พอดีเจอเนื้อคู่มา คนอะไรตอนเมาน่ารักเป็นบ้า ตัวยังหอมอีก” กลิ่นน้ำหอมยังติดที่ปลายจมูกอยู่เลย พีรพลธ์พอจะเดาออกว่าใครเป็นเนื้อคู่ของโจ้ “พี่แล้วเอาไงต่อ” โจ้มองไปที่พิมพ์รตาที่เมาไม่ได้สติ “พาขึ้นไปข้างบนทำตามแผน” เด็กเสิร์ฟพาพิมพ์รตาขึ้นไปชั้นบน ปล่อยเธอให้นอนเตียง แล้วคนที่เมาก็ครางออกมาเบา ๆ ทุกคนต่างมองหน้ากันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

“เฮ้ย พี่ทำไมมันเป็นยังงี้ มันไม่ใช่ยานอนหลับเหรอ”

“ใครจะไปรู้วะ พี่แกดื่มอะไรเข้าไปบ้าง”

“แล้วไงต่อ” คนบนเตียงครางเบา ๆ แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าตัวเองออก ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร คนที่พีรพลธ์ไม่อยากเจอที่สุดก็โผล่เข้ามาในห้อง “พวกแกทำอะไรกันที่ร้านฉันวะไอ้โจ้”

“สวัสดีครับ” พีรพลธ์ทักทายคนที่เพิ่งเดินเข้ามาแล้วขยับไปด้านหลังโจ้

“สวัสดีเฮีย เอ่อ พอดีผมกำลังช่วยน้องคิดวิธีหาเงินใช้หนี้เฮียอยู่ครับ”

“โอ้ ไอ้พีเป็นลูกหนี้ที่ดีมาก อีกไม่กี่วันก็จะถึงแล้วนี่นา แล้วนั่นผู้หญิงที่อยู่บนเตียงนั่นใครวะ หน้าตาสวยใช้ได้เลย”

“เอ่อ” พีรพลธ์ไม่รู้จะพูดยังไง โจ้มองไปที่คนนอนเตียงสลับกับเฮีย เขาคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว “นี่ไงครับวิธีใช้หนี้” โจ้พูดโพล่งออก พีรพลธ์หันขวับไปมองทันทีที่ตกลงกันมันไม่ใช่อย่างนี้นี่

“อ้อ เป็นวิธีที่ดีทีเดียว งั้นเฮียจะยกหนี้ทั้งหมดเลยแล้วกัน ดีไหมไอ้พี” พีรพลธ์ยังจับต้นปลายไม่ถูก ไม่รู้ควรจะตัดสินใจอย่างไหนดี ทางหนึ่งก็พี่สาว ทางหนึ่งก็ชีวิตตัวเอง โจ้รีบสะกิดเตือนให้รับปากก่อนที่เฮียจะเปลี่ยนใจ “ค ครับ”

โจ้รีบลากพีรพลธ์ออกมาจากห้องพูดปลอบใจไปหลายคำ “เป็นเมียเฮียดีกว่าไปเป็นเมียไอ้หน้าไหนก็ไม่รู้ อีกอย่างหนี้แกก็หมดแล้ว” เขาตบบ่าอีกฝ่ายให้ทำใจ พีรพลธ์พยักหน้าเข้าใจเดินคอตกตามโจ้ออกจากร้านไป

            ดึกมาแล้วทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับเทวาและปฐวีร์โบกรถแท็กซี่กลับ ถึงห้องก็เกือบตีสอง ทั้งสองแยกย้ายกับห้อง ปฐวีร์อาบน้ำเรียบร้อยกำลังจะปิดไฟนอน ออดหน้าห้องก็ดังขึ้น เปิดประตูออกไปเห็นเทวาอาบน้ำเรียบร้อยเปลี่ยนชุดใหม่ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง “คืนนี้นอนด้วยนะ ดึกแล้วพ่อไม่รู้หรอก” ตั้งแต่ที่ปฐวีร์เล่าเรื่องที่พ่อรู้ว่าเทวาแอบเข้าห้อง เทวาก็ไม่ได้มานอนที่ห้องนี้อีกเลย เขากลัวผู้ใหญ่ไม่พอใจและห้ามให้พวกเขาคบกัน แต่คืนนี้เขารู้สึกอดใจไม่ไหวอยากนอนกอดแฟน “อืม เข้ามาเถอะ” ปฐวีร์อยากหัวเราะท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายที่กลัวพ่อจะรู้เรื่อง

            ไฟในห้องนอนดับลงปฐวีร์นอนตะแคงหันไปอีกด้าน เทวาเขยิบเข้าไปใกล้เลื่อนมือไปกอดเอวอีกฝ่ายไว้ จมูกก็กดลงซอกคอ สักพักส่วนนั้นก็ตื่นตัวขึ้นมา

“อืม ไอ้นั่นมันทิ่มก้นผม” ปฐวีร์พลิกตัวกลับมามองหน้าอีกฝ่ายในความมืด “ไม่ได้ทำเลยเหรอช่วงนี้” เทวากอดคนตัวเล็กเลื่อนมือข้างไปในเสื้อลูบแผ่นหลังเนียน

“ใช่” ฟังเสียงอีกฝ่ายก็รู้ว่ากำลังทรมาน “ช่วยพี่หน่อยสิ ที่รัก” เขากำลังเชิญชวนและหลอกล่อคนในอ้อมกอด ปฐวีร์ยังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธมือก็ถูกดึงไปสัมผัสส่วนที่ตื่นตัวซะแล้ว คนถูกสัมผัสครางออกมาเบา ๆ ในลำคอบอกให้รู้ว่าเขารู้สึกดี ปฐวีร์รู้สึกอายจนหน้าแดงแต่โชคดีที่ตอนนี้ในห้องมืดมองไม่เห็น

“ขยับมันสิ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู ปฐวีร์เริ่มขยับมือขึ้นลงช้า ๆ เป็นจังหวะ “ดีมากที่รัก” เทวาบอกให้รู้ว่าเขาพอใจ จากนั้นเขาทาบริมฝีปากลงริมฝีปากบาง เขาดูดเม้มเลียมันแล้วล่วงล้ำเข้าไปข้างในทักทายลิ้นเล็กดูดกลืนมันอย่านุ่มนวล อุณหภูมิรอบ ๆ ตัวทั้งสองสูงขึ้น เสียงหอบหายใจดังขึ้น เทวาเลื่อนริมฝีปากสัมผัสกับแก้มนุ่ม ใบหู และซอกคอ เขาวนเวียนอยู่ตรงนั้นทั้งดูเม้มมันจนปฐวีร์สั่นเพราะถูกกระตุ้น ริมฝีปากหนาโค้งขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขาเลื่อนมือไปสัมผัสตุ่มไตเล็ก ๆ ที่กำลังตื่นตัว เขาใช้ปลายนิ้วสะกิดทักทายมันเบา ๆ จนได้ยินเสียงครางออกมา ทุกปฏิกิริยาตอบสนองทำให้เทวารู้สึกดี เขาเปลี่ยนเป็นขึ้นคร่อมคนตัวเล็กใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกางเกงผ้า ให้ส่วนตื่นตัวทั้งสองได้สัมผัสแนบชิดกัน ปฐวีร์รู้สึกแปลก ๆ แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนร่างกายรู้สึกร้อนและไม่มีเรี่ยวแรง สมองโล่งไปหมด  เทวาโน้มหน้าลงไปใกล้จูบริมฝีบางอีกครั้ง เขาใช้มือข้างหนึ่งรวบสัมผัสส่วนตื่นตัวทั้งสองควบคุมจังหวะขึ้นลง แล้วเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น “พร้อมกันนะ” เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหู ปฐวีร์กอดอีกฝ่ายแน่นเป็นคำตอบ ร่างกายทั้งสองเกร็งขึ้นและเปลี่ยนเป็นกระตุก แล้วความสุขก็หลั่งทะลักไหลออกมาพร้อมกัน เทวาพลิกตัวลงนอนบนเตียงดึงอีกฝ่ายเข้ากอด

“ขอบคุณนะ พี่รักวีร์นะ” เสียงทุ้มบอกรักอยู่ข้างหูเล่นเอาคนฟังทำอะไรไม่ถูก เหมือนทุกอย่างจะจบลงตรงนี้แต่เทวากลับแบกปฐวีร์ขึ้นจากเตียงเข้าไปในห้องน้ำ การกระทำแบบไม่บอกไม่กล่าวเล่นเอาคนถูกแบกตกใจกอดอีกฝ่ายไว้แน่นเพราะกลัวตก “ทำอะไร”

“อาบน้ำไง”

“รู้แล้ว แต่ไม่เห็นต้องแบกเลยไม่รู้รึไงว่าน่าอาย”

“งั้นต้องทำบ่อย ๆ จะได้ชิน” เขาวางปฐวีร์ให้นั่งบนชักโครก กำลังจะเปิดไฟแต่ถูกปฐวีร์ห้ามไว้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไปเทวาเข้าใจจากนั้นเขาเปิดอุ่นลงในอ่างอาบน้ำ ปฐวีร์นั่งกอดเข่ามองเทวาจับโน่นทำนี่ ในห้องตอนนี้มีแค่แสงไฟข้างนอกลอดเข้ามาทางอิฐบล็อกกระจกแต่พอมองเห็นว่าเทวากำลังทำอะไร กะปริมาณน้ำในอ่างได้แล้วเขาก็หันไปพูดกับคนนั่ง ”อาบน้ำกัน” เขาถอดเสื้อผ้าออก

“อืม” ปฐวีรไม่มีทางเลือกถอดเสื้อออก เทวาจูงมืออีกฝ่ายลงในอ่าง “เป็นไรโกรธพี่เหรอ” เขาถามคนนั่งเงียบ

“เปล่า แค่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เท่านั้น” เทวาเขยิบเข้าไปใกล้กอดอีกฝ่ายวางเกยคางไว้บนไหล่ เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองใกล้ชิดแบบนี้ ปฐวีร์พิงแผ่นหลังกับอกกว้าง อาบน้ำในความมืดผ่านไปด้วยดี ทั้งสองเช็ดตัวสวมเสื้อผ้าชุดใหญ่ ปีนขึ้นเตียงจากนั้นก็หลับไปด้วยกัน

***********************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

Change! ในรูปแบบ E-book
[/size]

(https://www.picz.in.th/images/2018/10/31/3N1lED.jpg)
https://bit.ly/2DaYjvA (https://bit.ly/2DaYjvA)
[/size]
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 36 [3/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-12-2018 12:33:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 36 [3/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 03-12-2018 19:14:18
ทุกเรื่องดูท่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี แต่พวกนางร้ายนี่เจอข่มขืนหมดเลยนะนี่
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 36 [3/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 03-12-2018 21:08:20
 :o8: :o8: :o8:


หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 36 [3/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 04-12-2018 01:15:28
ระแวงไอ้โจ้มากตอนนี้​
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 36 [3/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 04-12-2018 10:45:15
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 36 [3/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 05-12-2018 06:49:20
เหมือนจะผ่านไปด้วยดีแต่ก็เหมืนจะยังมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นอีก รอลุ้นตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 37 [10/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 10-12-2018 11:18:34
ตอนที่ 37
[/size]

ในห้องนอนมีแค่เสียงเครื่องปรับอากาศกำลังทำงานแข่งกับเสียงกรนของผู้ชายที่กำลังสนิทบนเตียงหลังผ่านช่วงเวลาปลดปล่อย ผู้หญิงที่นอนอยู่ข้าง ๆ ในสภาพเปลือยเปล่าเริ่มขยับตัวและลืมตาขึ้น เธอรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย ตาที่ลืมไม่เต็มที่กวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียง แต่ร่างกายกับรู้สึกปวดไปหมดโดยเฉพาะช่วงล่าง เธอเลื่อนผ้าห่มผืนบางที่อยู่บนตัวออกต้นขาเลอะไปด้วยคราบน้ำขุ่นรวมทั้งผ้าปูเตียงด้วยนั่นทำให้เธอตกใจหันไปมองรอบ ๆ อีกครั้ง “มันเกิดอะไรขึ้น” เธอถามตัวเอง เห็นผู้ชายแปลกหน้ากำลังเปลือยท่อนบนอยู่ข้าง ๆ อาการปวดหัวเมื่อครู่เริ่มปวดแรงขึ้น เธอจำไม่ได้ว่ามานอนกับผู้ชายแปลกหน้าได้ยังไง เธอนั่งสงบสติอารมณ์ทบทวนความคิดเท่าที่จำได้เธอสนุกกับเพื่อนจำได้แค่นั้น เธอมองหน้าผู้ชายที่กำลังหลับอีกครั้งแต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาเธอต้องรีบออกไปจากที่นี่ เธอรีบควานหาเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นสวมมันทีละชิ้นแล้วออกมาจากที่นั่นทันที

            หลังสอบผ่านไปปิดเทอมใหญ่ก็มาถึง หลายคนวางแผนไปเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นทะเลหรือไปไกลถึงต่างประเทศและก็มีหลายคนใช้ช่วงเวลานี้ทำตัวให้เป็นประโยชน์อย่างหางานพิเศษทำ ปฐวีร์ก็เหมือนกันเขาได้มานั่งแกร่วอยู่ที่ห้องทำงานพ่อมาเป็นสัปดาห์แล้วเพื่อทำงานแลกเงินค่าขนม ถึงจะเป็นงานเอกสารเล็กน้อย ๆ ก็ทำให้ปวดหัวได้เหมือนกัน เอกสารสัญญาหรือเอกสารเกี่ยวกับต่างประเทศเขาได้รับผิดชอบ รวมไปถึงข้อมูลบริษัทต่างชาติที่เข้ามาร่วมลงทุน เอกสารหลายอย่างค่อนข้างซับซ้อนละเอียดอ่อนและมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ต้องใช้เวลา หาว เขาหาวไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่ของเช้านี้คงเป็นเพราะเมื่อคืนคุยกับเพื่อนจนดึก ตอนแรกก็เป็นภฤดล กติกรณ์และนภาภณ์ทั้งสามทักมาบ่นว่าเหนื่อย เบื่อ ที่ต้องช่วยงานที่บ้าน นั่งอ่านข้อความที่ส่งมาเป็นชั่วโมงอยู่ ๆ ก็พากันบอกว่าง่วงแล้วไปนอนก่อน ต่อมาก็น้ำขิงกับวจีสองสาวไปทำพิเศษเพื่อหาเงินไปดูคอนเสิร์ตที่เกาหลีและไปเที่ยวด้วย พวกเธอไปทำงานร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง พวกเธอบอกว่าที่นั่นให้ค่าตอบแทนเยอะไม่รวมทิปอีกแต่ก็ใช้งานหนักทีเดียวแล้ววันไหนอยู่กะบ่ายต้องเก็บของทำความสะอาดร้านกว่าจะได้กลับก็ตีสองเข้าไป แต่พอคิดว่าจะได้ไปเห็นหน้าหล่อของศิลปินที่ชอบความเหนื่อยของพวกเธอก็หายไป ปฐวีร์อ่านข้อความแล้วไม่รู้ว่าจะพูดยังไงได้แต่ส่งรูปอีโมชั่นยิ้มกว้างไปให้ ถัดจากสองสาวก็เป็นพีรพัฒน์และกายส่งข้อความชวนเล่นเกมออนไลน์ เขาได้ปฏิเสธไปเพราะช่วงนี้ยังไม่ว่าง ก่อนจะนอนก็เห็นรูปโผล่ขึ้นมาบนทามไลน์จนต้องหยุดดูเห็นเป็นปิ่นอนงค์ถ่ายรูปคู่กับพิศนภาที่ต่างประเทศพร้อมข้อความสั้นๆว่า “เพื่อน” ดูเหมือนพวกเธอจะปรับความเข้าใจกันได้แล้ว

หันไปมองทางขวาก็เห็นพ่อกำลังนั่งทำงานหันไปอีกทางก็เห็นธีรณัฑศ์นั่งทำงานบางครั้งก็ส่งยิ้มหวานมาให้ ไอ้หมอนี่ท่าจะบ้า คงทำงานเยอะเกินไปเลยเพื้ยนไปรึเปล่า เลยทำให้คิดถึงเทวาที่ช่วงนี้บอกว่าถูกธนาใช้ทำงานหนักไม่รู้เป็นยังไงบ้าง นั่งหาวอยู่พักใหญ่ก็ถึงเวลาพักเที่ยง วันนี้พ่อมีนัดออกไปกินข้าวกับลูกค้าทินกรก็ออกไปด้วยเขาเลยต้องออกไปกินข้าวกับธีรณัฑศ์ ระหว่างที่เดินออกมาเห็นพลพัฒน์กับผู้หญิงคนหนึ่งถ้าดูไม่ผิดน่าจะเป็นป่านฟ้าทั้งสองนั่งรถออกไปด้วยกัน เขาดีใจที่พ่อไม่ขัดขวางทั้งคู่และยังให้โอกาสป่านฟ้าเข้ามาทำงานที่บริษัท ด้วยรูปลักษณ์หลายอย่างที่เปลี่ยนไปทำให้หลายคนจำเธอไม่ได้คุณนายรองที่คอยขัดขวางความรักเมื่อทราบเรื่องทุกอย่างก็อนุญาต เดี๋ยวนี้เธอดูเปลี่ยนไปค่อนข้างมากรอยยิ้มและใบหน้าจอมปลอมที่เห็นบ่อย ๆ ก็ไม่มีแล้วกลับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเศร้าแล้วยังแววตาที่บอกว่ากำลังทุกข์ใจแทนเวลาผ่านไปไม่นานดูเหมือนหลายอย่างเปลี่ยนไปรวมถึงความฝันนั่นอีกมันเลือนรางลงมากแต่กลับมาภาพทับซ้อนขึ้นมาที่เห็นไม่ชัด นั่นทำให้เขารู้สึกกังวลอยู่ลึก ๆ ว่าเวลาของเขากำลังหมดลงในอีกไม่นาน

“กินอะไรกันดี” มองฝ่าแสงแดนตอนเที่ยงออกไป

“แล้วเราอยากกินอะไร”

“สเต๊กไหมร้านนั้นเป็นไง”

“อืม” ธีรณัฑศ์พยักหน้าเห็นด้วย

            ตกลงกันได้แล้วทั้งสองเดินตรงไปที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดจากร้านอาหารตามสั่งไปทางซ้ายมือป้ายหน้าร้านติดชื่อไว้ว่าSteak café ผลักเข้าไปในร้านได้กลิ่นหอมกาแฟและเสียงเพลงเบา ๆ ทั้งสองหาที่นั่งสักพักก็มีพนักงานมารับออเดอร์ ปฐวีร์สั่งสเต๊กหมูกับสปาเกตตี ส่วนธีรณัฑศ์สั่งเป็นสเต๊กปลากับสลัด พนักงานเดินจากไป ธีรณัฑศ์เพิ่งจะสังเกตเห็นนาฬิกาบนข้อมืออีกฝ่าย จนอดถามไม่ได้

”นาฬิกาข้อมือสวยดีนะ”

“นี่น่ะเหรอ ของขวัญวันเกิดคนพิเศษให้มา”

“อ้อ คนที่ชื่อเทวานั่นน่ะเหรอ”

“ครับ”

“นึกว่าเลิกกันไปแล้ว”

“อะไรนะครับ”

“เปล่า ไม่ได้พูดอะไร แค่พูดว่าเมื่อไหร่อาหารจะมา” เขานึกว่าคืนนั้นจะทำให้ทั้งสองจะทะเลาะกันจนถึงขนาดเลิกกัน ไม่นึกว่าไม่เพียงไม่เลิกกันแต่ยังดูมีความสุข

“พึ่งสั่งไปไม่ถึงห้านาที”

“ก็นั่นสินะ พอดีเมื่อเช้าไม่ได้กินอะไรเลยหิว”

“อือ บอกดิวันหลังจะซื้อมื้อเช้าเผื่อ” ธีรณัฑศ์ได้ฟังแล้วก็ต้องถอนหายใจไอ้ท่าทางน่ารักเข้ากับคนง่ายแบบนี้แหละที่ใครเห็นใครก็ชอบ ยิ่งสาว ๆ ในออฟฟิศด้วยแล้ว “เออ นี่คุณเล่าเรื่องตอนที่เรียนอยู่ที่โน่นให้ฟังหน่อยดิ”

“อยากฟังเรียกพี่ณัฑศ์ก่อนจะเล่าให้ฟัง” ปฐวีร์นิ่วหน้ามองหน้าคนเรื่องมากแต่ก็ต้องยอมแพ้ “พี่ณัฑศ์ พอใจยัง”

ธีรณัฑศ์ยิ้มพอใจ “อืม ถึงจะไม่เต็มใจเท่าไหร่ เห็นแก่ที่อยากรู้เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง” เขาเริ่มเล่าเรื่องที่ไปเรียนต่างประเทศให้อีกฝ่ายฟัง ขณะกำลังเล่าเพลิน ๆ อาหารที่สั่งก็มาเสิร์ฟ กลิ่นหอมอาหารทำให้บทสนทนาจบลงแค่นั้น ปฐวีร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปสเต๊กจานโตกับสปาเกตตีหน้าตาน่าอร่อยกะจะส่งไปอวดเทวาให้อิจฉากดปุ่มถ่ายรูปสองสามรูปเลือกรูปที่ดูน่ากินที่สุดแล้วส่งไป

            ตึง ตึ่ง ตึ๊ง เสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าดังขึ้น เทวากำลังจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นชื่อคนส่งข้อความมา ก็ต้องยิ้ม เขาเปิดดูรูปที่ถูกส่งมายิ้มได้ไม่นานก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นในรูปมีมือใครสักคนติดมาด้วย

“เทวาไปกินข้าวกัน นั่นดูอะไร” ธนาไม่รอให้น้องชายตอบ เขาชะโงกมามองหน้าจอ เห็นรูปสเต๊กหน้าตากิน “เฮ้ย น่ากินดีว่ะใครส่งมาวะ ร้านไหน”

“วีร์ส่งมา”

“อ้อ ไอ้ที่ทำให้บูดอยู่นี่เพราะไม่ได้ไปกินข้าวกับน้องว่างั้น”

“เปล่า พอดีมันมีพวกบ้าชอบมาเกาะแกะวีร์”

“ทำใจว่ะ” ธนาตบไหล่น้องชายเบา ๆ ”คนของแกน่ารักขนาดนั้น ขนาดเจ้าวินเจ้าวอมยังติดแจ ไหนจะคุณแม่อะไรเอ๊ะอะก็น้องวีร์อย่างโน้นน้องวีร์อย่างนี้”

“แต่ไอ้หมอนั้นมันก็รู้ว่าน้องมีเจ้าของแล้ว”

“ถ้าน้องไม่มีท่าทีอะไรก็อย่าไปใส่ใจ ปล่อยให้ไอ้หมอนั่นมันบ้าไปคนเดียว”

“ผมก็ว่างั้น” เขาถอนหายใจพยายามจะเข้าใจ ”ไปหาอะไรกินเถอะผมหิวแล้ว” เทวาส่งรูปอีโมชั่นยิ้มกลับไปพร้อมข้อความบอกว่ากำลังจะไปหาอะไรกินกับธนา

            ตอนบ่ายกลับเข้าทำงานปฐวีร์ยังยุ่งอยู่กับเอกสารบนโต๊ะจะหันหน้าไปถามใครก็ไม่มีใครว่างสักคน จนถึงเวลาเลิกงานเขาก็ลากสังขารขึ้นรถไฟฟ้ากลับห้อง ชีวิตดูเหมือนจะเคยชินกับคอนโดมิเนียมมากกว่าบ้าน บางครั้งก็รู้สึกว่าที่นั่นไม่เหมาะกับเขา มันมีความทรงจำหลายอย่างอยู่ที่นั่นทั้งที่จำได้และหลงลืมมันไป เกือบจะหลับบนรถไฟฟ้าพอดีที่มีเสียงเตือนบอกให้รู้ว่าสถานีถัดไปเป็นที่จุดหมายปลายทาง เดินลงจากสถานีรถไฟท้องฟ้ายังสว่างอากาศยังร้อนอบอ้าวเขายังไม่อยากกลับห้อง เลยแวะร้านหนังสือแถวนั้น หาซื้อมังงะหรือนิยายกำลังภายในเล่มใหม่สักเรื่อง ทันทีที่เข้าไปในร้านได้กลิ่นหนังสือกลิ่นกระดาษ เขาเดินตรงไปที่มุมแนะนำหนังสือ ตรงมุมนี้จะมีทั้งหนังสือออกใหม่หนังสือแนะนำและหนังสือขายดี เขาหยิบหนังสือออกใหม่พลิกดูด้านหลังเพื่ออ่านเรื่องย่อ อ่านไปเล่มหนึ่งก็ต้องวางลง เปลี่ยนเป็นหยิบเล่มใหม่ขึ้นมาอ่าน อ่านเรื่องย่อไปสามเล่ม เล่มที่สี่ก็เจอเรื่องน่าอ่าน จากนั้นเขาก็เดินหามุมว่างอ่านหนังสือเล่มนั่นต่อ หลบมุมอ่านหนังสือเพลิน จนกระทั่งท้องส่งเสียงร้องเตือนทำให้เขาต้องปิดหนังสือในมือเก็บเข้าที่เดิม ออกจากร้านได้หนังสือใหม่ติดมือไปสองสามเล่ม

********************************
โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 38 [10/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 10-12-2018 11:23:01
ตอนที่ 38

  ในห้องนั่งเล่นคชาธรณ์เพิ่งวางสายจากเพื่อน เขานั่งอยู่บนโซฟามองรินนัศน์กำลังอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนเขาคงไม่ได้เห็นภาพนี้ รินนัศน์ที่ชอบแต่งหน้าแต่งตัวตัวสวยไปเที่ยวกับเพื่อนเริ่มเปลี่ยนไปคงเป็นตั้งแต่พ่อป่วยหรืออะไรก็ไม่มีใครรู้ คณิตาร์นั่นก็อีกคนที่เปลี่ยนไปมาก “นั่นเตรียมเสื้อผ้าจะไปไหน”

“ตาร์จะไปปฏิบัติธรรมกับคุณแม่”

“อืม” อย่างน้อยเธอก็เปลี่ยนไปในทางที่ดี “ทำไมชวนยัยพิมพ์ไปด้วยล่ะ เห็นยัยนั่นเมากลับมาบ้านแทบทุกวัน” พูดไปแล้วก็ทำให้คิดถึงคืนนั้นที่เขาวางยาในเครื่องดื่มของพิมพ์รตา เขาแค่อยากสั่งสอนให้อีกฝ่ายได้รับบทเรียนซะบ้าง เช้าวันต่อมาเขารอดูเหตุการณ์เห็นพิมพ์รตากลับมาในสภาพที่ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงจะนึกเสียใจอยู่บ้างแต่พอนึกอีกทีก็รู้สึกโล่งใจนิด ๆ ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            พระอาทิตย์โผล่มาได้ไม่กี่ชั่วโมงอากาศก็เริ่มร้อนจนหลายคนบ่น คชาธรณ์จอดชะลอรถหน้าโรงเรียนกวดวิชาชื่อดังแห่งหนึ่ง และหันไปคุยกับคนข้าง ๆ “ถ้าจะให้พี่มารับก็โทรบอกนะ”

“ขอบคุณค่ะพี่ธร แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวรินกลับเองได้”

“อือ แล้วเจอกันที่บ้าน” รินนัศน์รีบลงจากรถยืนโบกมือมองรถที่เคลื่อนออกไป จากนั้นเธอมองหาเพื่อนที่นัดเจอกันที่หน้าโรงเรียนยืนชะเง้อมองหาก็เห็นกลุ่มเพื่อนโบกมือเรียก เธอเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อน

“ขอโทษที่มาช้าพอดีต้องไปแวะส่งแม่กับพี่สาวไปปฏิบัติธรรมที่วัดนอกเมือง”

“อืม ไม่เป็นไรถ้ายังไงพวกเราเข้าไปจองที่นั่งกันเถอะ”

“ใช่ แล้วค่อยออกมาหาซื้ออะไรกิน” ทุกคนเห็นด้วยต่างรีบเดินเข้าข้างในไปจองที่นั่ง

หน้าโรงเรียนกวดวิชาดูคึกคักเข้ามาด้านในกลับเงียบ เพราะทุกคนจ่ายเงินมาที่นี่เพื่อจะเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด หลายคนพยายามเพื่ออนาคตของตนเอง และหลายคนพยายามเพื่อครอบครัว ด้านในถูกแบ่งออกเป็นห้องเรียนหลายห้อง พวกเธอเดินขึ้นบันไดขึ้นไปชั้นบน มีเสียงแว่วออกมาทำให้รู้ว่ามีหลายห้องที่กำลังเรียนอยู่ เดินขึ้นมาถึงชั้นสามห้องที่สองคือห้องเรียนของพวกเธอ  หน้าห้องเรียนติดหมายเลขห้องและตารางเรียนขนาดใหญ่ ยังไม่ถึงเวลาเรียนมีเด็กนักเรียนหลายคนต่างทยอยเดินเข้าห้องเรียน แต่ก็มีบางคนหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาทบทวนบทเรียนของเมื่อวาน และบางคนก็หัดทำแบบฝึกหัดล่วงหน้า  รินนัศน์และเพื่อนเข้าห้องเรียนเลือกนั่งที่ประจำ ก่อนจะชวนออกมาหาซื้ออะไรกินรองท้อง

“นั่นมันนายพีไม่ใช่เหรอริน” เพื่อนคนหนึ่งสะกิดรินนัศน์ให้หันไปมองพีรพลธ์กับกลุ่มเพื่อน

“อือ”

“นายนั่นก็เรียนกวดวิชาที่นี่เหรอไม่ยักจะเคยเห็น”

“แต่ฉันก็ได้ยินว่ามาว่าเทอมนี้เกรดตกนิ”

“ไม่รู้เหมือนกัน เราว่าอย่าไปยุ่งเรื่องของนายนั่นเลย กลับเข้าห้องเรียนดีกว่านี่ก็ใกล้ถึงเวลาอาจารย์จะเข้าสอนแล้ว”

เมื่อรินนัศน์ไม่พูดอะไรพวกเธอก็เงียบ “ไปเข้าห้องกันเถอะ”

            พีรพลเดินคุยกับเพื่อนออกมาจากโรงเรียนกวดวิชา “เฮ้ย ไปไหนกันต่อวะ”

“ไปเล่นเกมกัน”

“ฉันขอผ่านวะ อยากกลับบ้านไปนอนแล้ว”

“เออ งั้นเจอกันพรุ่งนี้” เพื่อน ๆ มองพีรพลเดินไปที่ป้ายรถเมล์ “ไม่รู้พักนี้ไอ้พีมันเป็นอะไร”

“ก็ตั้งแต่ที่มันเป็นหนี้นั่นแหละ”

“แต่มันก็บอกแล้วว่าพี่โจ้ช่วยหาเงินใช้หนีหมดแล้ว”

“มันคงเจออะไรมาเยอะ ให้เวลามันหน่อย”

“ช่างเถอะ ถ้ามันมีอะไรให้ช่วยก็บอกเองล่ะ”

“ไปเถอะพวกเราไปเล่นเกมกัน เดี๋ยวเครื่องเต็มก่อน”

พีรพลนั่งอยู่ป้ายรถเมย์ในใจคิดกังวลหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องพิมพ์รตา ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่กล้ามองหน้าเธอ ในใจลึก ๆ รู้สึกผิดที่ทำกับเธออย่างนั้น แล้วช่วงนี้พิมพ์รตาก็เที่ยวบ่อยบางวันเมากลับมา คืนหนึ่งเขาแอบได้ยินพิมพ์รตาร้องไห้คร่ำครวญด่าปฐวีร์ว่าเป็นคนแย่งทุกอย่างไปจากเธอ คืนนั้นเขายืนมองพี่สาวที่เคยอิจฉาเพราะเธอได้ความรักความรักจากแม่ ได้ใส่เสื้อผ้าใช้ของราคาแพง ได้ของที่เขาอยากได้ แต่เธอกลับไปอิจฉาปฐวีร์ที่ไม่มีแม้แม่จะให้กอดแถมยังต้องออกไปอยู่ข้างนอก เธอยังไม่พอใจอะไรอีก นั่นทำให้เขารู้ว่าเขาก็ไม่ต่างจากพิมพ์รตาที่ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นในสิ่งที่ตนเองมี ถ้ายังคิดไม่ได้สักวันเขามีสภาพเหมือนกับเธอในตอนนี้ เขาเข้าใจแล้วที่ช่วงนี้ที่พี่เปลี่ยนไป เข้ากับปฐวีร์ได้ดี บางครั้งก็ยังเห็นนั่งคุยกับพ่อในสวน ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่มีทางได้เห็นอะไรแบบนี้แน่นอน เขาหันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นพร้อมกับความคิดหลากหลายที่เกิดขึ้นในหัว

            เย็นวันศุกร์หลายคนกำลังเร่งทำงานที่เหลือให้เสร็จ เหมือนกันกับปฐวีร์ที่ยังนั่งอยู่โต๊ะทำงานกับกองเอกสารและแฟ้มเอกสารซื้อขายจากต่างประเทศย้อนหลังหลายปี ที่จริงมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากแต่เขาอยากศึกษามันให้เสร็จหรือลดจำนวนลงไปบ้าง เพราะจะได้ใช้เวลาช่วงวันหยุดไปกับการนอน ดูอะนิเมะตอนใหม่ อ่านนิยายหรือออกไปกินของอร่อย กำลังฝันหวานถึงวันหยุดเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขารีบรับมันทันที “ยังทำงานไม่เสร็จเลยครับ รออีกนิดนะ เอ่อ เอางี้ไหมขึ้นมานั่งรอข้างบนดีกว่า” เขายังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กับแฟ้มบนโต๊ะ และไม่อยากให้เทวาต้องทนนั่งรออยู่ในรถ เขาวางสายแล้วรีบลงไปข้างล่าง ไปรับเทวาให้ขึ้นมานั่งรอที่ห้องพักและยังหาเครื่องดื่มกับขนมรองท้องให้

“ขอบคุณครับ ไปทำงานเถอะพี่รอได้”

“ครับ มีอะไรก็บอกนะครับผมอยู่ห้องข้าง ๆ” ปฐวีร์กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานต่อ ส่วนเทวาก็หยิบนิตยสารบนโต๊ะมานั่งเปิดอ่าน เปิดอ่านหมดไปเล่มหนึ่งประตูห้องก็เปิดออกเทวาเงยหน้าขึ้นมองและก็ก้มลงดูอ่านนิตยสารต่อ

“อ้อ ขอโทษนึกว่าไม่มีคนอยู่ในนี้” เทวานั่งเงียบเหมือนไม่ได้ยินที่ธีรณัฑศ์พูด ธีรณัฑศ์นั่งลงที่โซฟาอีกตัวหยิบนิตยสารอีกเล่มขึ้นมาอ่าน “มารอน้องวีร์หรือครับ”

“ครับ”

“ขอโทษนะครับถามได้ว่าคุณเป็นอะไรกับน้องวีร์” เทวาจ้องอีกฝ่ายไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องอะไรกันแน่ “เป็นคนรัก”

“อ้อ แต่ไม่ยักเคยได้ยินน้องวีร์พูดให้ฟังเลย บางทีคุณอาจจะคิดไปเองรึเปล่า” เทวากำมือแน่น เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังกวนประสาท “แล้วคุณเป็นใครทำไมน้องต้องบอกคุณด้วย”

“เป็นใครไม่รู้ แต่ก็ใช้นามสกุลเดียวกัน ทำงานด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน และบางวันก็มาทำงานพร้อมกันด้วยนะครับ”

“คุณต้องการอะไร”

“เปล่า แค่อยากบอกว่าคุณไม่เหมาะกับน้อง”

“จะบอกว่าคุณเหมาะกับน้องว่างั้น”

“นั่นแล้วแต่คุณจะคิด”

เทวารู้สึกอากาศในห้องกลิ่นไม่ค่อยดี “ถ้าไม่มีอะไรพูด ผมขอตัวนะครับ” เขารีบเดินออกจากห้องเพื่อไปสูดอากาศข้างนอก เขาใจเย็นที่สุดแล้วลองเป็นคนอื่นไอ้หมอนั่นคงไม่ได้มานั่งพูดด้วยท่าทางสบายอกสบายใจอย่างนั้นหรอก

ธีรณัฑศ์เห็นเทวาเดินออกไปพร้อมอารมณ์หงุดหงิด เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีจนต้องหัวเราะออกมา

“อ้าว ยังไม่กลับหรือครับนึกว่ากลับไปตั้งนานแล้ว แล้วนั่งหัวเราะอะไรอยู่คนเดียว ทำงานเยอะจนป่วยรึไง” ปฐวีร์ถามธีรณัฑศ์แต่สายตากลับมองหาอีกคนที่น่าจะนั่งอยู่ในห้อง “แล้วพี่เทวาหายไปไหนแล้ว”

“ไปห้องน้ำมั้ง”

“อ้าวเหรอ” ปฐวีร์นั่งลงโซฟาอีกตัว มองเห็นเค้กในจานของว่างของเทวายังไม่ได้แตะ ด้วยความหิวจึงตักเข้าปาก ธีรณัฑศ์มองท่าทางกินเอร็ดอร่อยแล้วอดยิ้มไม่ได้ “หิวเหรอเรา”

“อืม สงสัยกินมื้อเที่ยงน้อยไปหน่อย ตอนที่ทำงานท้องก็ร้องอยู่นั่น”

“ถ้าหิวก็พักไปหาอะไรกินสิ ไม่มีใครห้ามซะหน่อย”

“ก็กลัวพักแล้วมันจะขี้เกียจไง” ขณะคุยกันเพลิน ๆ ธีรณัฑศ์สังเกตเห็นเงาคนอยู่ที่หน้าประตู แล้วหันไปมองปฐวีร์ เขาคิดอะไรดี ๆ ออก เขายื่นมือออกไปลูบที่แก้มปฐวีร์เบาๆ “อือ ทำอะไร”

“ขนมติดแก้มไง เลยเช็ดออกให้”

“อ้อ ขอบคุณครับ แต่คราวหน้าบอกก็พอผมเช็ดเองได้” เพราะปฐวีร์ไม่เชื่อว่าขนมติดอยู่ที่แก้มจริง เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะแกล้งมากกว่า

ธีรณัฑศ์ไม่มีท่าทีโกรธหรือหงุดหงิดกับคำพูดอีกฝ่าย “ทำงานเสร็จแล้วเหรอมานั่งขโมยกินขนมคนอื่นสบายใจอยู่นี่” ปฐวีร์ยักไหล่ไม่สนใจคำพูดอีกฝ่าย ตอนนี้เขากำลังหิว “ยัง ไม่ใช่ซุปเปอร์แมนนะ จะได้เก่งขนาดนั้น” พูดถึงงานก็หงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย

“อ้อ แล้วผู้ชายที่ชื่อเทวาเป็นใคร”

ปฐวีร์มองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะพูดออกมาอย่างชัดเจน “แฟนผมไงครับ ถามทำไม”

ธีรณัฑณ์เลิกคิ้วขึ้นไม่นึกว่าอีกฝ่ายพูดออกมาตรง ๆ “เปล่า” เขาแค่นยิ้มออกมา ความรู้สึกตอนนี้เหมือนถูกปฏิเสธกลาย ๆ ยังไงไม่รู้ เขาถอนหายใจเบา ๆ แถมรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย “เย็นแล้วพี่กลับก่อนนะเจอกันวันจันทร์”

“ครับ เดินทางปลอดภัย” ปฐวีร์รีบโบกมือไล่

“ขอบใจ” ธีรณัฑณ์เปิดประตูออกมาเห็นเทวายืนยิ้มกอดอกพิงผนังมองมาที่เขา “อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าผมกับน้องเป็นอะไรกัน ได้คำตอบแล้วหายข้องใจรึยังครับ”

“หึ” ธีรณัฑณ์ทำเสียงขึ้นจมูกแล้วเดินผ่านเทวาไป เทวาเห็นท่าทางอีกฝ่ายก็แทบจะระเบิดหัวเราะออกมา จากนั้นผลักประตูเข้าไป ปฐวีร์เห็นเทวาเข้ามาในห้องก็รีบสารภาพว่าเป็นคนกินเค้กหมดแล้ว

“ไม่บอกก็รู้ว่าใครเป็นคนขโมย” เทวายื่นหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายแล้วเลียแก้มใส “ขนมยังติดแก้มอยู่เลย” ปฐวีร์นั่งตัวแข็งทำตาโตด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นรอยยิ้มของเทวายิ่งทำอะไรไม่ถูก “บ บ้า ทำอะไรไม่รู้” เขาแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอหัวใจก็เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ คนต้นเหตุกลับยิ้มพอใจที่เห็นหน้าอีกฝ่ายแดงเห่อ

“เป็นอะไรหน้าแดง” ปฐวีร์แทบอยากอยากจะเอาหัวโหม่งคนตรงหน้า ถามมาได้ทำไมถึงหน้าแดง

”อากาศร้อน สงสัยแม่บ้านปิดแอร์แล้ว” พูดแก้ตัวออกมาก็เห็นสายตาวิบวับอีกฝ่ายมองมา บรรยากาศรู้สึกร้อนขึ้น โครก เสียงท้องปฐวีร์ดังขัดจังหวะ

“ท่าทางคนแถวนี้จะหิวจริง ๆ พวกเราไปหาอะไรอร่อยกิน กันเถอะ” ปฐวีร์ได้แต่พยักหน้า เดินเลี่ยงกลับไปเก็บของในห้อง 

            ทั้งสองออกบริษัทไปหาอะไรอร่อยกินแถวนอกเมือง ปฐวีร์เห็นในโซเชียลเอฟช่วงหลายวันนี้เห็นหลายคนแนะนำร้านอาหารร้านหนึ่ง เขาเลยอยากลองไปกินดูสักครั้ง ว่าอาหารจะอร่อยเหมือนที่หลายคนบอกรึเปล่า เย็นวันศุกร์ออกมานอกเมืองถนนค่อนข้างโล่ง ภาพสองข้างทางเห็นเป็นตึกสูงแล้วเปลี่ยนเป็นภาพบ้านเรือนสลับทุ่งนาแห้งแล้งและพระอาทิตย์ส่องแสงสีอ่อนกำลังเคลื่อนต่ำลงช้า ๆ  ทั้งสองนั่งฟังเพลงในรถไปด้วยคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย จนมาถึงร้านอาหาร จอดรถเรียบร้อยแล้วเข้าไปข้างใน พนักงานเดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทายมาต้อนรับและช่วยแนะนำที่นั่ง พวกเขาอยากได้ที่นั่งเงียบ ๆ พนักงานเดินนำทั้งสองไปที่มุมหนึ่งของร้าน ทั้งสองกวาดสายตามองร้านอาหารที่ถูกตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ให้ความรู้สึกสบายผ่อนคลายทำให้พวกเขาไม่แปลกใจเลยที่ใครหลายคนจะชอบที่นี่ จากตรงนี้พวกเขาสามารถมองออกไปเห็นสวนด้านนอกที่ตกแต่งแสงไฟอย่างสวยงาม ได้ที่นั่งถูกใจแล้วทั้งสองก็สั่งอาหารขึ้นชื่อของทางร้าน ปลากะพงนึ่งบ้วย กุ้งผัดพริกไทยดำ ต้มยำทะเลน้ำข้น และปลาหมึกทอดกระเทียม ระหว่างนั่งรออาหารทั้งสองก็คุยเรื่องในที่ทำงานระหว่างวันเจออะไรมาบ้าง สักพักอาหารหน้าตาน่ากินก็ทยอยมาเสิร์ฟจนครบ ปฐวีร์ที่แขวนท้องรออยู่นานพอเห็นอาหารก็ลงมือทันที เทวาเห็นอีกฝ่ายเจริญอาหารก็ยิ้มกว้างและตักต้มยำใส่ถ้วยเล็กให้ “ขอบคุณครับ จานนี้อร่อยลองกินดู” เขาตักกุ้งตัวโตใส่จานอีกฝ่าย

“ขอบคุณ”

“ไม่รู้พรุ่งนี้จะเป็นยังไงบ้าง”

“ทำไม”

“เปล่า แค่กังวลนิดหน่อย”

“ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกผู้ใหญ่ก็รู้อยู่แล้วว่าเราคบกันอยู่ ถึงพี่จะได้เจอกับพ่อเราครั้งแรกก็ตาม” พูดไปแล้วเทวาก็กังวลใจนิดหน่อย “เอาเถอะเรื่องยังมาไม่ถึงกังวลใจไปก็เท่านั้น กินปลาหมึกทอดนี่ดีกว่า”

“อืม” ปฐวีร์พยักหน้าเห็นด้วย จะไปกังวลในเรื่องที่ยังมาไม่ถึงทำไมกัน สู้สนใจกับข้าวอร่อยตรงหน้านี่ดีกว่า

            กินมื้อเย็นอย่างอิ่มอร่อยแล้วเทวาก็ไปส่งปฐวีร์ที่บ้าน ปฐวีร์โบกมือให้รถที่ขับห่างออกไป จากนั้นเดินเข้าบ้าน เขารู้สึกวันนี้เป็นวันดีอีกวัน ขณะเดินเข้าไปเห็นใครสักคนยืนมองมาที่เขา ปฐวีร์เพ่งสายตามองอีกครั้งถึงได้รู้ว่าคนที่อยู่ตรงนั้นคิอพิมพ์รตาไม่รู้ว่าเธอต้องการ แต่เขาไม่มีเวลามาสนใจอีกฝ่ายเขารีบกลับขึ้นห้อง

“พิมพ์มายืนทำอะไรมืด ๆ ตรงนี้คนเดียวลูก”

“เปล่าค่ะ แค่มามองหน้าคนหน้าด้านที่แย่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นของพิมพ์ไป”

“พิมพ์ฟังแม่นะลูกเรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้หรอกนะลูก ในเมื่อเขาไม่ได้รักเรา”

“ยังไงคะ ทีคุณแม่ยังมอมยาคุณพ่อจนท้องได้เลย”

“พิมพ์..” เธอไม่นึกว่าจะได้ยินคำพูดพวกนี้ออกมาจากปากลูกสาว เธอทั้งตกใจและเสียใจ

“หึ อย่าเอาสิ่งที่คุณแม่ทำไม่ได้มาสอนหน่อยเลยค่ะ”

“พิมพ์..”

“หนูง่วงแล้ว ไปนอนก่อนนะคะ” คุณนายรองพยายามจะเรียกลูกสาวอีกครั้งแต่อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้ว

พิมพ์รตากลับขึ้นห้องเธอนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงร้องไห้ออกมาเบา ๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นเพราะปฐวีร์คนเดียว ถ้าไม่มีมันชีวิตเธอคงไม่เป็นแบบนี้ ถ้าไม่มีมันเทวาก็จะต้องรักเธอเป็นของเธอ คิดถึงใบหน้าเทวาเธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

ปฐวีร์อาบน้ำเปลี่ยนชุดกระโดดขึ้นเตียง นอนกลิ้งไปมาอย่างมีความสุข ร่างกายปวดเมื่อยจากต้องทนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานรู้สึกดีขึ้น จากนั้นมีหยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความหาเทวาว่ากลับถึงบ้านรึยังหรือทำอะไรอยู่ ส่งข้อความคุยกันสักพักเทวาก็ไล่ให้ไปนอน ปฐวีร์บอกราตรีสวัสดิ์แต่ก็ไม่ลืมเข้าไปดูความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลว่าวันนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เปิดอ่านนั่นดูนี่ไปได้สักพักหนังตาก็เริ่มรู้สึกหนักและหลับไปในที่สุด

            ค่ำคืนเงียบสงัด ทุกคนกำลังหลับสบายบนเตียง แต่ปฐวีร์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยอาการกระสับกระส่าย อากาศในห้องเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศแต่แผ่นหลังเขากลับมีเหงื่อออกมาจนเปียกชื้น ท่าทางกระสับกระส่ายไม่มีทีท่าจะหยุดกลับดูรุนแรงขึ้น จนในที่สุดปฐวีร์ก็สามารถสู้กับฝันร้ายและลืมตาขึ้น เขาหอบหายใจถี่เหมือนเพิ่งไปวิ่งออกกำลังมาหลายรอบ ในหูได้ยินแต่เสียงหัวใจเต้นแรง เขามองเพดานห้องนอนถึงได้รู้ว่าฝันไป ยันตัวเองลุกขึ้นนั่งบนเตียง กวาดสายตามองรอบห้อง ไฟในห้องยังสว่างข้าง ๆ มีโทรศัพท์วางอยู่ ไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหน เขามองมือที่กำลังสั่นเพราะหวาดกลัวภาพความฝันที่เหมือนจริงนั้น

“อึก..” ปฐวีร์รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไม่รู้ว่าเพราะความหวาดกลัวหรืออะไรเล่นงานทำให้กระเพาะคายของเก่าของมา อาเจียนไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แต่ตอนนี้มีแค่ลมออกมาเท่านั้น ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียท้องรู้สึกปวดเกร็ง ลำคอรู้สึกแห้งหน้าอกรู้สึกแสบไปหมด เขาสูดหายเข้าเต็มปอดล้างหน้าล้างปากแล้วเงยหน้ามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ใบหน้าที่เคยดูขาว ตอนกลับดูซีดริมฝีปากเขียวคล้ำ เขาฝืนตัวเองเดินกลับไปที่เตียงหยิบขวดน้ำที่วางอยู่ตู้หัวเตียงขึ้นมากรอก แล้วนอนแผ่บนเตียงกว้างสายตาเหม่อมองเพดาน นี่เขากำลังจะตายแล้วใช่ไหม เขาเห็นตัวเองนอนจมกองเลือด เลือดสีแดง กลิ่นคาวนั่นยังติดที่จมูกอยู่เลย คิดถึงความฝันร่างกายก็สั่นขึ้นมา เขาพลิกตัวนอนตะแคงกอดผ้าห่มไว้แน่น ร้องไห้เสียงเบาพูดพึมพำว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว สักพักร่างกายที่อ่อนล้าก็ทานทนไม่ไหวทำให้ปฐวีร์ผล็อยหลับไปอีกครั้ง

*******************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 38 [10/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 10-12-2018 11:28:03
อยากให้วีร์มีชีวิตใหม่ที่ดี แต่ดูเหมือนคู่อาฆาตจะไม่ยอมปล่อยจริงๆ
หวังว่าจะฟันฝ่าอุปสรรคแล้วก็รอดพ้นคนใจร้ายได้นะ
รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 38 [10/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-12-2018 12:51:37
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 38 [10/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 12-12-2018 18:22:34
 :110011: :z7:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 38 [10/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 12-12-2018 22:44:11
นังพิมนี้ไปว่าจะเป็นก่อนที่จะวีย์รู้อนาคตหรือตอนนี้ก็เป็นคนเดียวที่จะแย่งคนรักของวีย์แถมคิดฆ่าวีย์นังเป็นเจ้ากรรมนายเวรกับวีย์เหรอรึเป็นสัน..นนางเอง?
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนที่ 38 [10/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 13-12-2018 20:07:50
น้องวีต้องสู้นะจ๊ะ​ อย่ายอมแพ้ล่ะ
หัวข้อ: Re: * / ..change!.. / * ตอนที่ 39 [17/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 17-12-2018 10:09:17
​ตอนที่ 39

เช้าวันหยุดแสงแรกของวันส่องสว่างไปทั่ว ท้องฟ้าดูปลอดโปร่ง ผู้คนต่างกำลังรีบเร่งแข่งขันกับเวลา บนถนนเต็มไปด้วยรถติดเป็นทางยาว เป็นภาพที่เห็นได้เป็นปกติในเมืองหลวง พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงแรงขึ้น ทำให้อากาศร้อนอบอ้าวขึ้นจนใครหลายคนต้องวิ่งหาร้านกาแฟเข้าไปนั่งหลบร้อน บางคนจูงมือคนรู้ใจไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าหาของอร่อยกินและต่อด้วยดูหนังโรแมนติกสักเรื่อง ปฐวีร์ยังหลับสนิทอยู่บนเตียงหลังจากที่ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้าย และหลับอีกครั้งก็เกือบเช้า เปลือกตาที่ปิดสนิทเริ่มขยุกขยิกแล้วค่อย ๆ เปิดขึ้น และก็ต้องแปลกใจเมื่อภาพแรกที่เห็นเป็นเห็นดวงตาสีเข้มที่กำลังจ้องมองมาที่เขา

“อรุณสวัสดิ์”

เขาตื่นขึ้นมายังไม่ทันเต็มตาก็เห็นเทวานอนอยู่ข้าง ๆ ตอนแรกยังคิดว่าตัวเองฝันไป แต่พอได้ยินเสียงทุ้มบอกอรุณสวัสดิ์ทำให้รู้ว่าไม่ได้ฝัน คำพูดบอกอรุณสวัสดิ์ง่าย ๆ ฟังแล้วกลับทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

“อือ มาได้ไง” เขาบิดขี้เกียจเล็กน้อย มองหน้าคนรักให้ชัดอีกครั้งแล้วเลื่อนมือไปวางบนแก้มอีกฝ่าย “จำไม่ได้เหรอว่าวันนี้พี่จะมากินข้าวเที่ยงด้วย”

“จำได้ แล้วนี่มันกี่โมงแล้ว”

“สิบเอ็ดโมงแล้ว” ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปตามแก้มใส มองดวงตาสีอ่อนที่บอกว่ายังง่วงอยู่ “ตื่นเถอะคุณแม่บ่นคิดถึงอยากเจอหน้าน้องวีร์”

ริมฝีปากบางโค้งขึ้นกับคำพูดอีกฝ่าย แต่แทนที่จะรีบลุกจากที่นอนกลับทำตัวเกเรขยับเข้ากอดคนตัวโตไว้และซุกหน้าลงหน้ากว้างสูดกลิ่นน้ำหอมเข้าเต็มปอด เขายังหวาดกลัวฝันร้าย กลัวว่าจะไม่ได้เจออีกฝ่ายอีก กลัวจะไม่ได้สัมผัสอ้อมกอดนี้หรือไม่ได้เสียงบอกอรุณสวัสดิ์ แต่ทั้งกลิ่นและการได้สัมผัสคนตัวโตทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น

เทวาเห็นท่าทางที่แปลกไปของอีกฝ่ายก็อดที่จะถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหน”

“เปล่า” ปฐวีร์ถูหน้ากับอกกว้างทำให้เทวาเกิดควบคุมตัวเองไม่ได้ขึ้นมา ยิ่งบนเตียงและในห้องมีแต่กลิ่นของปฐวีร์เต็มไปหมด เขาเลื่อนมือเข้าไปในเสื้อตัวบางลูบแผ่นหลังเนียนอย่างเอาแต่ใจ “ลุกเถอะคุณแม่รอแย่แล้ว” เขากระซิบเตือนอีกฝ่ายอีกครั้งก่อนจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ปฐวีร์ก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรแข็ง ๆ ทิ่มที่ขา เขายันตัวลุกขึ้นขอเวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

            อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาข้างล่าง ธักศนัย จิญญา ปทีป คุณนายรองและเทวานั่งพร้อมหน้าอยู่โต๊ะกินข้าวแล้ว ปฐวีร์ไหว้ทักทายธักศณัย และจริญญา และขอโทษทุกคนที่ลงมาช้า แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าก็ลงมือกินข้าวกัน ทุกคนนั่งกินข้าวเงียบ ๆ มีแค่ปฐวีร์และเทวาคุยกันบ้างตักกับข้าวให้กันบ้าง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมองท่าทางเป็นธรรมชาติของทั้งสองแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ถึงจะเป็นความรักที่แปลกไปหน่อยแต่เห็นทั้งสองมีความสุข พ่อแม่ก็ทำได้แค่ทำใจยอมรับ คุณนายรองนั่งเงียบมองชายหนุ่มสองคนด้วยสายตาไม่เข้าใจ ทำไมเทวาถึงเลือกปฐวีร์แทนที่จะเป็นพิมพ์รตาหรือผู้หญิงคนอื่น เธอไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความรักแบบนี้เท่าไหร่ แถมในใจรู้สึกขยะแขยงอยู่บ้าง เธอเหลือบมองปทีปที่ยังนั่งกินข้าวเงียบเหมือนไม่สนใจไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

            เที่ยงวันนักเรียนต่างทยอยออกจากโรงเรียนกวดวิชาเพื่อไปหาอะไรกิน หน้าโรงเรียนและร้านอาหารแถวนั้นดูคึกคักขึ้นมาทันที พีรพลธ์เรียนวิชาสุดท้ายเสร็จแต่ยังไม่อยากกลับบ้าน เขาแวะไปหาโจ้ที่ร้านเกม “ลมอะไรหอบแกมาวะ” โจ้ถามคนที่ไม่คิดว่าจะโผล่หน้ามาหลังจากที่หายหน้าไปสักพัก

“เปล่า แค่ยังไม่อยากกลับบ้าน”

“พูดเหมือนเด็กมีปัญหาเลย”

“อืม อาจจะเป็นยังงั้น” เขาเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ทั้งที่มีทุกอย่างแต่มันกลับดูว่างเปล่าเหมือนไม่มี

“แล้วเป็นไงไม่เห็นหน้าตั้งนาน สบายดีรึเปล่า”

“สบายดีพี่ ช่วงนี้กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย”

“ยุ่งเลยสิ จะเล่นเกมหน่อยไหม”

“ไม่ดีกว่าพี่”

“กินอะไรมารึยัง ไปหาอะไรกินกัน”

“ดีเหมือนกัน พี่เลี้ยงนะ”

“อือ ไปกินตามสั่งร้านเดิมแล้วกัน” พีรพลธ์เดินตามหลังโจ้ไปร้านอาหารตามสั่งใกล้ ๆ สั่งข้าวกระเพราหมูสับเพิ่มไข่ดาวคนละจาน ทั้งสองไปคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ โจ้ตัดสินใจถามเรื่องที่ค้างคาใจมากที่สุดออกมา “พี่สาวแกเป็นยังไงบ้าง”

“ผมนึกว่าพี่จะไม่ถามซะแล้ว” เขามองน้ำหวานในแก้ว ”พี่พิมพ์สบายดี” โจ้ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง

“ก็ดีแล้ว ที่ผ่านมาก็ถือซะว่าเป็นบทเรียน”

“อื้อ ผมจะจำไว้” ไม่รู้ว่าเพราะใจลอยหรือเพราะอะไร แก้วน้ำหวานอยู่ ๆ ก็คว่ำ

“เฮ้ย ไอ้นี่แกหิวจนมือไม้อ่อนไปหมด โต๊ะเปียกหมดเลย เหม่ออะไรวะรีบเอาผ้าตรงนั้นมาเช็ดสิ”

“โทษทีพี่” เขารีบเดินไปหยิบผ้ามาเช็ด

“เฮียเร็ว ๆ หน่อยน้องผมมันหิวจนมือไม้อ่อนหมดแล้ว”

พีรพลธ์มองน้ำหวานสีแดงไหลเต็มโต๊ะ เห็นแล้วรู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้

            หลังจากกินข้าวอิ่มปฐวีร์ปล่อยให้ผู้ใหญ่คุยกัน เขาและเทวาออกมาเดินเล่นรอบบ้าน สักพักก็เปลี่ยนไปนั่งเล่นที่ศาลาในสวน นั่งรับลมเย็นทำให้รู้สึกสบายจนอยากได้หมอนสักใบมานอนกลางวัน พิมพ์รตายืนแอบมองทั้งสองอยู่บนห้อง มองรอยยิ้มและท่าทางหยอกล้อของทั้งสองดูแล้วรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เธอเลื่อนผ้าม่านปิดไว้จะได้ไม่เห็นภาพบาดตา นั่งลงบนเตียงขยำผ้าคลุมเตียงจนยับย่น เม้มริมปากแน่น ทำไมคนที่อยู่ตรงนั้นถึงไม่ใช่เธอ ทำไมรอยยิ้มนั่นไม่ใช่ของเธอ ทำไมต้องเป็นปฐวีร์ นั่งคิดใจลอยไปเรื่อย อยู่ ๆ ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างแว่บโผล่เข้ามาในสมองทำให้เธอเลื่อนสายตาไปที่ตู้หัวเตียง เธอค่อย ๆ เปิดลิ้นชักออกเห็นปืนกระบอกเล็กอยู่ในนั้น เธอยิ้มกว้างแล้วหยิบมาออก

“ใช่แล้วถ้าไม่มีไอ้วีร์ คุณเทวาและทุกอย่างก็จะเป็นของฉันคนเดียว”

            คุณนายรองปลีกตัวออกมา บอกว่าเธอมีธุระต้องทำ และไม่อยากรับรู้เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเธอ แต่ก็ต้องทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดี เธอสั่งคนงานเตรียมของว่างจากนั้นเดินนำคนงานไปที่ศาลาในสวน เธอยืนมองผู้ชายสองคน อะไรที่ทำให้ทั้งสองเชื่อว่าความรักแบบนี้จะยืนยาวและมั่งคง ในขณะที่ความรักของเธอทั้งที่พยายามไขว่คว้าทำทุกอย่างเพื่อจะได้มันมา ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีหรือวิธีการขอแค่ได้อยู่กับคนที่รัก แต่เวลาผ่านมาหลายสิบปีความรักของเธอก็ยังสู้คนที่จากไปแล้วคนหนึ่งไม่ได้

“คุยอะไรกันอยู่หนุ่ม ๆ ท่าทางสนุกเชียว”

ปฐวีร์แปลกใจเมื่อเห็นใครมาขัดจังหวะเวลาส่วนตัว อย่างไม่มีมรรยาท

“อ้อ พอดีพี่เทวาบอกว่าสวนนี้ร่มรื่นดีน่ะครับ”

“ถ้าคุณเทวาชอบก็เที่ยวบ่อย ๆ สิคะ” เธอยิ้มให้เทวา ส่วนเทวานั่งเงียบไม่ตอบ “ยังไงกินของว่างกันก่อนนะคะ ท่าทางในห้องคงจะคุยกันอีกนาน” เธอให้คนงานวางของว่างแล้วไล่กลับไปทำงาน

“ขอบคุณครับ/ขอบคุณครับ”

คุณนายรองนั่งมองทั้งสองกินของว่างที่เธอเอามาให้ โดยไม่ระแวงระวังว่าเธอจะผสมอะไรลงไป เธอก็เหมือนแม่ทุกคนที่อยากเห็นลูกตัวเองมีความสุข เธอจึงได้คิดที่จะวางยานอนหลับในของว่าง ในขณะที่ทุกคนยังอยู่ในห้อง ปฐวีร์ก็จะหลับไม่รู้เรื่องแต่ตื่นขึ้นมาก็ต้องรู้ว่าคนรักกับน้องสาวมีอะไรกัน นั่นคือแผนของเธอ “ขอถามได้ไหมคะว่าทั้งสองคบกันมานานเท่าไหร่แล้ว”

“ก็สักพักแล้วครับ”

“ไม่รู้หรือคะว่าความรักแบบนี้มันผิดปกติ ดูเหมือนจะมีการศึกษาทั้งคู่น่าจะรู้” ทั้งสองได้ฟังคำถามทำให้ต้องหันหน้าไปมองกัน ไม่รู้ว่าเธอพูดขึ้นมาเพื่อต้องการอะไร เทวาไม่ใส่ใจอยู่แล้วไม่สนด้วยซ้ำว่าเธอจะพูดอะไร

ขณะที่ในศาลาเงียบลงบรรยากาศชวนอึดอัด ก็มีคนที่คิดไม่ถึงเดินเข้ามา “ท่าทางกำลังดูสนุกกันนะคะ” ยังไม่มีใครตอบคำถาม ทุกคนหันไปมองพิมพ์รตาที่กำลังยืนยิ้ม ในมือของเธอมีปืนที่กำลังเล็งตรงมา

“ไม่ พิมพ์อย่าลูก” เสียงคุณนายตะโกนลั่น ทุกคนในศาลาเบิกตากว้าง ปัง ปัง ปัง เสียงปืนดังลั่นจนแสบแก้วหู เสียงหยุดลงพร้อมกับคุณนายรองก็ล้มลง “ไม่มมมม คุณแม่” พิมพ์รตากรีดร้องเมื่อเห็นคุณรองลงไปนอนอยู่บนพื้น ตัวเต็มไปด้วยเลือดไม่รู้ไหลออกมาตรงไหน ปืนในมือพิมพ์รตาร่วงออกจากมือ ร่างกายเธอสั่นเทิ้ม เธอก้าวเท้าช้า ๆ เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงเข้าไปหาคุณนายรอง คุกเข่ามองใบหน้าคุณนายรองที่ซีดลงเรื่อย ๆ เห็นเลือดที่ไหลออกมาเธอทำอะไรไม่ถูก ได้แต่กอดแม่แล้วร้องไห้

“คุณแม่ พิมพ์ พิมพ์ขอโทษ พิมพ์ พิมพ์ไม่ได้ตั้งใจ” กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำ

“ไม่ ไม่เป็นไร ลูก แม่เข้าใจ  แม่ รัก ลูก” เธอยิ้มพร้อมน้ำตาให้พิมพ์รตา เธอไม่อยากให้ลูกต้องทำผิดซ้ำซาก เธอมองหน้าลูกสาวที่เธอรัก เธอยกมือที่สั่นเทิ้มขึ้นเช็ดน้ำตา “อย่าร้อง แม่ แม่ไม่เป็นไร” เธอพูดด้วยเสียงแผ่วเบาพยายามปลอบใจ เธอยังอยากเห็นลูกสาวสวมชุดแต่งงาน อยากเห็นลูกของพีรพลธ์ และอยากเห็นลูกชายคนเล็กมีอนาคตที่ดี แต่ดูเหมือนว่าเธออาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นมันแล้ว เธอยิ้มพร้อมน้ำตาก่อนที่ทุกอย่างจะค่อย ๆ เลือนรางลงก่อนที่จะหมดสติไปเธอมองเห็นคนที่เธอรักที่สุดวิ่งเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางเป็นห่วง เป็นครั้งแรกที่เธอได้มีโอกาสเห็นท่าทางแบบนี้ของปทีปและอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย เธอยิ้มให้ความรักสิบกว่าปีของเธอแล้วหมดสติไป

“คุณแม่ คุณแม่....” พิมพ์รตาตะโกนทั้งเขย่าเรียกแม่ แต่ตะโกนหรือเขย่ายังไงแม่ก็ไม่ได้ยินและไม่ขานรับเธอเลยสักนิด 

ปฐวีร์มองภาพเลือดบนพื้น สติที่ลอยกระเจิงเมื่อครู่ค่อย ๆ กลับมา และนึกได้ว่ามีอีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แต่ยังไม่ทันจะหันไปร่างกายกลับรู้สึกชาและไม่เรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อ ๆ “วีร์ วีร์เป็นอะไร” ปฐวีร์มองหน้าเทวา แล้วยิ้มยื่นมือไปสัมผัสหน้าแก้มอีกฝ่ายแล้วพูดว่า ”ผมรักพี่นะ” เสียงบอกรักแผ่วเบาแต่เทวาก็ได้ยินชัดทุกคำ ก่อนที่จะพูดอะไรอีกภาพตรงหน้ามืดสนิท

            ปัง ปัง ปัง เสียงดังขึ้นจนทั้งคนที่นั่งคุยกันในห้องต้องตกใจ ถามว่าเสียงอะไร และดังมาจากตรงไหน  ทั้งสามรู้สึกเป็นกังวลรีบเดินออกมาจากห้อง พอดีเจอกับคนงานวิ่งมาบอกว่าคุณนายรองและปฐวีร์ถูกยิง หัวใจปทีปหล่นลงที่ตาตุ่ม วิ่งหน้าตื่นเข้าไปในสวน เห็นทั้งสองนอนจมกองเลือด

            เสียงไซเรนรถพยาบาลเปิดขอทางตลอดทาง จนถึงโรงพยาบาล รถเลี้ยวขึ้นตึกฉุกเฉินและรถจอดสนิทเจ้าหน้าที่ช่วยกันเข็นรถผู้ป่วยเข้าห้องฉุกเฉิน มีพยาบาลและหมอตามเข้าไป หมอพยาบาลวิ่งวุ่นในห้องฉุกเฉิน คนเจ็บบนเตียงทั้งสองคนยังอยู่ในอาการน่าเป็นห่วง ทีมแพทย์พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด จนสุดท้ายทุกอย่างก็สามารถควบคุมทุกอย่างได้ ผิดกับเทวาที่เดินกลับไปกลับมาและชะเง้อมองเข้าไปในห้องฉุกเฉินเป็นระยะ เป็นกังวลไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างในเป็นยังไงบ้าง เขานั่งอยู่ในศาลาในสวนกำลังกินของว่าง อยู่ ๆ พิมพ์รตาก็โผล่มาพร้อมกับปืนในมือ เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงปืนก็ดังขึ้น ต่อจากนั้นก็เห็นคุณนายรองล้มลงจมกองเลือด แล้วปฐวีร์ก็ล้มลงอีกคน เห็นปฐวีร์ล้มลงไปต่อหน้าต่อตาไม่พอยังมีเลือดออกเต็มไปหมด เล่นเอาเขาสติกระเจิง ไม่รู้จะทำอะไรก่อนดี ตอนนั้นรู้สึกร่างกายชาไปหมดแน่นที่อกและกลัวที่จะต้องสูญเสียคนที่รักไป แล้วเสียงของปฐวีร์ก็ทำให้เขาได้สติกลับคืนมา เขาได้ยินคำพูดที่เขาอยากได้ยินมากที่สุดจากปากปฐวีร์ แต่มันต้องไม่ใช่เวลาแบบนี้สิ เมื่อปฐวีร์พูดเสร็จแล้วหมดสติไปนั่นยิ่งทำให้ใจเสีย ไอ้เด็กบ้าเล่นมาบอกรักแล้วถ้าไม่อยู่รับผิดชอบเขาไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ส่วนปทีปอยู่กับพิมพ์รตาที่ยังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง พูดจาไม่รู้เรื่อง ปากพูดไม่กี่กลับไปกลับมา จากนั้นก็ร้องไห้ สลับอยู่อย่างนี้ ปทีปยืนอยู่นอกห้องมองพิมพ์รตาถูกเจ้าหน้าที่ช่วยกันฉีดยานอนหลับให้เธอ ไม่นานเธอก็ค่อย ๆ สงบลงแล้วหลับไป ปทีปถอนหายใจไม่รู้ว่าเกิดขึ้นทำให้คนที่ดูเรียบร้อยอย่างพิมพ์รตาเกิดคลุ้มคลั่งถึงขนาดถือปืนไปยิงปฐวีร์ และมีคุณนายรองอีกคนได้รับเคราะห์ เขาที่เป็นพ่อคงเลี้ยงลูกไม่ดีพอ สนใจแค่งานเป็นส่วนใหญ่ เขายอมรับว่าตัวเองไม่ใช่พ่อและสามีที่ดีเท่าไหร่ แต่เขาก็ได้พยายามในแบบของเขาเอง ถึงลูกทุกคนไม่มีเขาที่เป็นพ่อแต่ก็ยังมีแม่ที่อยู่ข้าง ๆ ผิดกับปฐวีร์ทำให้เขาต้องใส่ใจมากเป็นปกติ แต่กลับเป็นผลร้ายทำร้ายในตอนเด็กปฐวีร์มักถูกพี่น้องแกล้งบ่อย ๆ นั่นทำให้เขาพยายามออกห่างปฐวีร์และเปลี่ยนให้ปฐวีร์เผชิญกับปัญหาและหาทางแก้ไขมันด้วยตัวเองแต่เขาก็ยังแอบมองอยู่ห่าง ๆ เพราะคิดว่ายังไงสักวันเขาก็ต้องจากไป มาวันนี้ชักไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นถูกต้องหรือไม่ เขาคงเป็นพ่อไม่ดีเพราะยังไม่เข้าจิตใจลูกแต่ละคนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หนึ่งฤทัยช่วยลูกของเราด้วยนะ เสียงภาวนาแผ่วเบาไม่รู้ว่าจะส่งไปถึงคนที่อยู่อีกโลกรึเปล่า

*****************************************
โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 17-12-2018 10:11:14
“ยัยพิมพ์เป็นยังไงบ้างครับ” พลพัฒน์วิ่งหน้าตื่นเข้ามาถาม

“คลุ้มคลั่งอยู่นาน คุณหมอฉีดยานอนหลับให้แล้ว แล้วทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

“ยังไม่มีใครออกมาจากห้องฉุกเฉินเลยครับ อยู่ในมือหมอแล้วคงไม่มีปัญหาอะไร ผมเลยมาดูทางนี้”

“อืม ทางนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วไปกันเถอะ”

พลพัฒน์เห็นน้องสาวนอนนิ่งอยู่บนเตียงแล้วเดินกลับไปที่หน้าฉุกเฉิน ระหว่างทางเขาก็ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น  ตอนที่ได้รับโทรศัพท์บอกว่าแม่ถูกยิงเขาตกใจแทบแย่ แล้วยิ่งรู้ว่าคนที่ยิงเป็นใครยิ่งทำอะไรไม่ถูก ปทีปส่ายศีรษะเขาก็ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดเป็นยังไงคนที่รู้เรื่องสองคนยังอยู่ในห้องฉุกเฉินอาการเป็นยังไงไม่รู้ อีกคนก็คลุ้มคลั่งจนพูดไม่รู้เรื่อง ส่วนเทวาก็เงียบไม่พูดไม่จากับใคร

ปฐวีร์ลืมตาขึ้นสิ่งที่เห็นคือความมืด รอบ ๆ ดูมืดไปหมดจนมองไม่เห็นอะไร ปฐวีร์ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนจำได้ว่านั่งเล่นกับเทวาที่สวน จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ พี่เทวาหายไปไหน เขาตะโกนเรียกเทวา “พี่เทวา พี่เทวา อยู่ไหน” แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เขาลองเดินไปข้างหน้า ก้าวเท้าช้า ๆ ไปข้างหน้าทีละก้าว รอบด้านก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาจึงตัดสินใจวิ่ง วิ่ง และวิ่ง ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนหันซ้ายหันขวาก็ยังไม่เห็นใคร ในใจพลันเกิดความกลัวขึ้น

            “แม่ แม่ ช่วยวีร์ด้วย วีร์ไม่รู้อยู่ที่ไหน” เขาตะโกนอยู่อย่างนั้นอยู่หลายครั้ง ความกลัวแล่นเข้ากะกุมหัวใจจนต้องนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่คนเดียว

            “วีร์ วีร์” ไม่รู้ร้องไห้นานเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงคนเรียก เขาเงยหน้าขึ้นมา รอบข้างเปลี่ยนเป็นสีขาว เห็นแม่ยืนยิ้มให้เขาอยู่ “แม่ แม่ มารับวีร์แล้ว” เขาพยายามที่โผเข้ากอดแม่แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสได้

            “วีร์ ยังไม่ถึงเวลาของลูก กลับไปซะ”

            “กลับไป กลับไปไหน” เขารู้สึกไม่พอใจเพิ่งได้เจอหน้าแม่ พอเจอก็ถูกไล่ซะแล้ว เขาพยายามเดินเข้าไปหาแม่ แม่กลับห่างออกไปเรื่อย จนต้องวิ่งตาม “แม่ อย่าไป รอวีร์ด้วย อย่า...”

            ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงหรือนานกว่านั้นก็จำไม่ได้เพราะทันทีที่ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก ทุกคนก็ลืมทุกอย่างเปลี่ยนมาสนใจคุณหมอชุดเขียวที่เพิ่งเดินออกมา ทุกคนต่างเดินตรงเข้าไปหาคุณหมอ “คุณหมอ วีร์เป็นยังไงบ้างครับ” เทวาใจร้อนถามขึ้นทันที

“เอ่อ หมอขอคุยกับญาติคนไข้ได้ไหมครับ ไม่ทราบใครคือญาติ”

“ผมเป็นญาติของทั้งสองครับ”

“ครับ พอดีหมอมีทั้งร้ายและข่าวดีจะแจ้งให้ทราบ” พอได้ยินคำพูดของหมอทุกคนต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป ปทีปถึงกับเซดีที่พลพัฒน์ช่วยพยุงไว้ ในเวลานี้เทวาเกิดความรู้สึกเห็นแก่ตัวอยากให้ข่าวดีเป็นของปฐวีร์

“ผมพร้อมแล้วครับเชิญคุณหมอพูดมาเลย”

“คนไข้เสียชีวิตแล้วครับ หมอเสียใจด้วย” คุณหมอหยุดพูดปล่อยโอกาสให้ญาติคนไข้ได้ปรับอารมณ์เล็กน้อย “เธอถูกยิงที่ท้องหนึ่งนัดกระสุนฝังใน และอีกหนึ่งนัดที่หน้าอกกระสุนทะลุออกทางด้านหลัง สาเหตุการตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ส่วนคนไข้อีกคนตอนนี้ปลอดภัยแล้วหมอผ่ากระสุนออกให้แล้ว โชคดีกระสุนไม่ถูกบริเวณสำคัญ พักผ่อนสักระยะก็จะหาย”

“ครับ ผมสามารถเข้าไปเยี่ยมเธอได้ไหมครับ”

“เชิญครับ” ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกอีกครั้งเจ้าหน้าที่รถเข็นผู้ป่วยออกมาเพื่อไปห้องพักฟื้น ปทีปมองใบหน้าลูกชายไร้สีเลือดนอนไม่ได้สติก็รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เทวาเห็นเจ้าหน้าที่เข็นรถออกมาจากห้องอารมณ์กระสับกระส่ายเหมือนคนบ้าก็ดีขึ้น

ปทีปและพลพัฒน์ยืนนิ่งมองเข้าไปในห้องฉุกเฉินเห็นร่างไร้วิญญาณของคุณนายรองนอนอยู่บนเตียง ทั้งสองเดินเข้าในห้องหยุดยืนอยู่ข้างเตียง พลพัฒน์กำลังตกใจทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านเขายังคุยกับแม่อยู่เลย เวลาผ่านไปยังไม่ถึงวันกลับต้องมาเห็นแม่ในสภาพแบบนี้ ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง ปทีปมองคนที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปีผ่านเรื่องราวมากมายด้วยกันถึงจะไม่ได้รักแต่ก็รู้สึกผูกพัน “บอกลาแม่ครั้งสุดท้ายเถอะ”

“ครับ” พลพัฒน์พยักหน้าแล้วอยู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว “ผมรักแม่นะครับ” เขากราบลงบนเท้าร่างไร้วิญญาณ แล้วพีรพลธ์ที่เพิ่งรู้เรื่องก็เดินเข้ามาในห้อง “คุณแม่ ไม่จริงใช่ไหม” เขาเดินช้า ๆ ไปหยุดข้างเตียงมองใบหน้าแม่ให้ชัดอีกครั้ง “ไหนบอกว่าอยากเห็นผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยไง” พลพัฒน์เห็นพีรพลธ์ เขาสวมกอดอีกฝ่ายไว้ พีรพลธ์ปล่อยน้ำตาออกมากอดพี่ชายไว้ ปทีปโน้มใบหน้าจูบแผ่วเบาลงหน้าผากเย็นเพื่อบอกลาครั้งสุดท้ายและขอบคุณทุกอย่างที่เธอมอบให้ และขอโทษที่ไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกของเธอได้ “หลับให้สบายนะ ผมสัญญาจะดูแลลูก ๆ ให้ดี”

            ถึงจะรู้สึกเสียใจกับสูญเสียคนสำคัญไปแต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป วันต่อมางานศพก็ถูกจัดขึ้น มีคนมาร่วมงานไม่กี่คนเพราะพวกเขาไม่ต้องการมานั่งตอบคำถามใคร ทุกคนคุยกันแล้วจะปล่อยให้เรื่องเกิดขึ้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ หน้าที่นี้จึงตกอยู่กับทนายเรืองโรจน์ เมื่อทนายเรืองโรจน์เป็นคนจัดการทุกอย่างจึงเรียบร้อย

            คุณนายสามแต่งเข้ามาเพราะบุญคุณและผลประโยชน์ต่อสู้กับคุณนายรองเพื่อตัวเองได้รับความรักความจากปทีป เพื่อให้ลูกของเธอมีที่ยืน แต่วันนี้คนที่ต่อสู้กันมานานต้องจากไป เธอกลับไม่มีความสุข ทำให้รู้ว่าชีวิตคนเรามันสั้น ให้ถนอมทุกช่วงเวลาไว้ดีกว่า

            ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ปฐวีร์รู้สึกตัวแค่ครั้งสองครั้งแล้วก็หลับลงไปอีก ข้างเตียงมีเทวานั่งเฝ้า รอคอยให้ปฐวีร์ฟื้นขึ้นมาอย่างเป็นห่วง ยังมีคุณหมอแวะเวียนเข้ามาตรวจดูอาการคนไข้สลับกับพยาบาลที่เข้ามาตรวจดูนั่นเช็คดูนี่ แล้วตอนสายของอีกวันคนบนเตียงก็เริ่มขยับตัวอีกครั้งเปลือกตาเริ่มขยุกขยิกและค่อย ๆเปิดขึ้นแล้วก็ต้องปิดตาลง เขาพยายามปรับสายตาให้ชินกับแสง นอนหลับหลายชั่วโมงและร่างกายอ่อนเพลียจากการเสียเลือดเยอะทำให้สมองรู้สึกมึนงง “ตื่นแล้วเหรอ นอนนานเกินไปนะเรา”

ปฐวีร์ลืมตาขึ้นมาเห็นเทวาเป็นคนแรกก็รู้สึกดีใจ “อืม” 

“รู้สึกเป็นไงบ้าง”

“ง่วง แล้วเจ็บตรงซี่โครงข้างซ้ายยังไงไม่รู้” เขากวาดสายตามองไปรอบห้องสีขาว เห็นสายระโยงรยางค์อยู่ใกล้ ๆ เท่าที่เห็นก็จะเดาออกว่าที่นี่คือที่ไหน “โรงพยาบาลผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ” ปฐวีร์ส่ายหัวมองหน้าเทวาให้ชัด เห็นใบหน้าหล่อขอบตาดำคล้ำเหมือนคนอดนอน ทั้งสองกำลังมองหน้ากันด้วยความรู้สึกหลากหลาย แล้วเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ประตูห้องเปิดออกพยาบาลก็เข็นอุปกรณ์อะไรสักอย่างเข้ามา พยาบาลสาวเธอทักทายคนไข้และเทวา ตรวจเช็คดูโน่นดูนี่ถามอาการคนไข้หลังจากที่ฟื้น จากนั้นก็ทำความสะอาดแผล และเตรียมเช็ดตัวให้คนไข้ เทวาเห็นแล้วรีบอาสาขอเป็นคนเช็ดตัวให้ปฐวีร์ พยาบาลสาวอนุญาตแล้วออกจากห้องไป

“ทำไม ผิดหวังเหรอที่ไม่มีพยาบาลสาวสวยมาเช็ดตัวให้”

“ประมาณนั้น” ปฐวีร์พูดยิ้ม ๆ แล้วก็รีบพูดขึ้นก่อนอีกฝ่ายจะโกรธ ”ขอบคุณนะครับที่คอยเฝ้าตลอด”

“ไม่หรอก พี่คิดว่าถ้าเรื่องนี้แบบนี้เกิดกับพี่เราก็คงทำแบบนี้เหมือนกัน”

“ใครว่า ถ้าเป็นผมป่านนี้ไปเที่ยวสนุกกับเพื่อนแล้ว”

เทวาส่ายหัวคนปากแข็งจะพูดอะไรน่าฟังสักคำให้เขารู้สึกดีก็ไม่ได้ เดี๋ยวเถอะ

“เฮ้ย ตรงนั้นไม่ต้องเช็ดก็ได้มั้ง” ปฐวีร์ตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายล้วงเข้าไปในกางเกง

“ไม่เช็ดหลายวันมันสกปรกแล้ว” ปฐวีร์เห็นท่าทางของเทวาก็ต้องยอมแพ้ รู้ว่ากำลังถูกเอาคืน ให้ตายเถอะเอาแต่ใจตัวเองชมัด

คุณพยาบาลสาวหลังออกจากห้อง เธอรีบเดินตรงเข้าไปจับกลุ่มกับเพื่อน ”นี่เธอคนไข้ห้องนั้นฟื้นแล้วนะ”

“ห้องที่ผู้ชายหล่อ ๆ นั่งเฝ้าข้างเตียงตลอดนั่นน่ะเหรอ”

“ใช่ห้องนั้นเลย นี่ฉันเตรียมจะเช็ดตัวคนไข้ ผู้ชายคนนั้นไม่ยอมจะทำเอง”

“นั่นไง” พยาบาลสาวอีกคนพูดขึ้น “ฉันบอกแล้วว่าเขาเป็นแฟนกัน นี่พวกเธอไม่ได้เข้าไปในห้องบ่อยเหมือนฉัน ฉันเข้าไปบางครั้งก็เห็นผู้ชายคนนั้นนั่งกุมมือคนป่วย บางครั้งก็เจอเขาหอมหน้าผากก็มี โอ๊ยเห็นโคตรโรแมนติก” พยาบาลสาวพูดแล้วทำหน้าตาเหมือนกำลังฝัน เพื่อนพยาบาลอีกสองคนได้แต่หันหน้าไปมองกันแล้วแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง

            ผ่านไปอีกสองสามวันอาการของปฐวีร์ก็ดีขึ้นจนหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ วันที่ปฐวีร์ออกจากโรงพยาบาลเป็นวันเดียวกับที่เป็นพิธีเผาศพคุณนายรอง เขายืนมองดูรูปถ่ายวางดอกไม้จันทน์ไว้หน้าเตาเผาพร้อมขออโหสิกรรมในทุก ๆ อย่างให้เธอ ไม่ว่าทุกสิ่งอย่างที่เขาและเธอทำมาจะเกิดจากความตั้งใจหรือไม่ ให้มันจะจบลงที่ตรงนี้ และขอบใจที่เธอตัดสินใจเอาตัวมาบังเขาจากลูกปืนนั่นไว้ ถ้าวันนั้นเธอไม่ทำอย่างนั้นที่ต้องจากไปก็คงเป็นเขา ปฐวีร์มองไปที่พิมพ์รตา เธอนั่งนิ่งบนรถเข็นสายตาเลื่อนลอยมองไกลออกไป เธอเสียสติตั้งแต่วันนั้นต่อจากนี้เธอคงใช้ชีวิตกลับความรู้สึกผิดและไม่มีวันลบมันไปชั่วชีวิต  ควันสีขาวลอยขึ้นสูงทุกคนต่างอยู่ในอาการสงบส่งคุณนายรองครั้งสุดท้าย

            เรื่องร้าย ๆ ผ่านไปทุกคนเริ่มทำใจยอมรับมันได้ บริเวณสวนที่เกิดเรื่องถูกรื้อทิ้ง บ้านวีรวัฒฑณ ฯ ถูกปรับปรุงซ่อมแซมครั้งใหญ่ ทุกคนรวมอยู่ในบ้านหลังเดียวกันทั้งหมด ปทีปพยายามใกล้ชิดลูกทุกคนให้มากขึ้น และจะใช้ความรักอยู่ช่วยรักษาแผลใจ อาจจะดูช้าเกินไป แต่ก็ยังไม่สายที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาดในชีวิต และความรักจากพ่อคือสิ่งที่ลูกทุกคนต้องการ

ปฐวีร์หลังจากแผลหายสนิทก็กลับไปทำงานปกติ มีเทวาแวะมารับกลับทุกวันที่มีโอกาส

“นี่ดึกแล้วทำไม่นอน นั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”

“อากาศร้อนเลยมานั่งรับลม”

“วันหยุดไปเที่ยวทะเลกัน”

“แล้วก็ไปดูสาว ๆ ใส่ชุดบิกินี่”

“เดี๋ยวเถอะ”

“พูดเล่น ชอบหน้าอกแข็ง ๆ แบน ๆ อย่างนี้มากกว่า” พูดแล้วเขาซบหน้าลงบนอกอุ่น “นี่ถามอะไรหน่อย”

“อืม”

“ถ้าวันนั้นคนที่ไม่รอดเป็นผมล่ะ”

“ไม่มีถ้า อีกอย่างพี่ยังไม่ได้จัดการเราเลยนะ เล่นบอกรักกันแล้วหมดสติไป”

“ใครบอกใคร ไม่มี” ปฐวีร์พูดเสียงสูงกลอกตาไปมาไม่อยากยอมรับ

“ช่วยพูดให้พี่ฟังอีกครั้งได้ไหม” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหู เล่นเอาหัวใจปฐวีร์เต้นไม่เป็นจังหวะ        ”เอ่อ” เห็นสายตาอ้อนวอนกับเสียงทุ้มแล้วเขาก็แทบละลาย “รัก”

“ไม่ได้ยิน“ เทวาไม่ยอมแพ้พยายามทำให้ปฐวีร์จนมุม “ผมรักพี่เทว...” พูดยังไม่ทันจบริมฝีปากบางก็ถูกครอบครองโดยอีกฝ่าย เทวาดูดเลียขบเม้มสอดลิ้นเข้าไป เมื่อเจอสิ่งที่ต้องการเขาก็ดูดเลียมันอย่างกระหาย ก่อนที่ทุกอย่างจะเตลิดไปไกลจนควบคุมไม่ได้ เขาก็แบกคนในอ้อมกอดเข้าไปข้างใน

“ไปต่อข้างในกัน” ปฐวีร์ยังไม่ได้ทันตั้งตัวรู้สึกอีกทีแผ่นหลังก็สัมผัสกลับเตียงแล้ว เขามองใบหน้าคนที่รักโน้มลงมา ในความฝันเคยคิดว่าต้องตายด้วยมือคนรัก ทำให้หวาดกลัวและหนีมัน แต่กลับมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาทำให้ชีวิตและช่วยให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป ความอบอุ่น ความเข้าใจ และความไว้ใจเวลาช่วยเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็นความรัก ในเวลาที่ใกล้กับความตายผู้ชายคนนี้แทนที่จะปล่อยมือแต่กลับกุมมือเขาแน่นขึ้นและพร้อมฝ่าฟันมันไปด้วยกัน ในเวลาที่ฟื้นขึ้นมาจากช่วงเวลาความตายก็เห็นอีกฝ่ายรอคอยและอยู่ข้าง ๆ ไม่มีคำไหนจะอธิบายคำพูดที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจได้นอกจากคำพูดนี้

“ผมรักพี่เทวานะครับ” คำบอกรักของปฐวีร์เล่นเอาเทวาทำตัวไม่ถูก ในตอนนี้เขาไม่มีความรู้สึกอยากแกล้งอีกฝ่ายแล้ว เขาดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอด “พี่ก็รักวีร์เหมือนกัน” จูบลงหน้าผากอีกฝ่าย ปฐวีร์คางออกมาเล็กน้อยบอกให้รู้ว่าเขารับรู้ หัวใจทั้งสองต่างพองโต มีความสุข แล้วทั้งสองก็หลับไปด้วยกันในค่ำคืนที่อบอุ่น

*****************************
ขอบคุณทุกการติดตามจ้า
Change! มีในรูป  E-book ด้วยนะคะ
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=83909 (https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=83909)
รูปแบบหนังสือยังเหลือบางส่วน สนใจอินบ๊อกเข้าไปสอบถามได้จ้า

https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/ (https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/)
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 17-12-2018 11:31:57
บทสรุป ที่ทุกคนจะได้รับผลจากการกระทำของตน
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-12-2018 13:07:40
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 17-12-2018 19:25:24
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 18-12-2018 13:16:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณค่ะ
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 19-12-2018 16:24:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 20-12-2018 20:32:34
สนุกมากค่ะ เห็นชัดเจนเลยว่าคนที่คิดอะไรทำอะไรก็ได้ผลนั้นกลับ วีร์เป็นคนที่ทำให้เห็นเลยว่าใช้สติดีกว่าอารมณ์จริงๆ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 24-12-2018 11:31:47

ได้รับผลแห่งกรรมกันไป

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 25-12-2018 00:28:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 26-12-2018 23:46:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-01-2019 16:28:58
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 05-04-2019 20:07:55
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 06-04-2019 00:52:28
 :กอด1: สนุกมากเลยค่ะระทึกทุกตอนแบบอ่านวันเดียวจบเลย ช่วงแรกๆดำเนินเรื่องได้น่าชวนติดตามมากกกกแต่ว่ามีท้ายๆแอบแผ่วแบบเอ๊ะ!! ตัวร้ายนี่ถูกข่มขืนหมดเลย บางตัวละครมาเหมือนมีอะไรก็จบไปแบบไม่มีอะไร บางอันก็แอบไม่สมเหตุผลนิดนึงแต่แค่นิดเดียวนะจ๊ะ โดยรวมคือมันดีมากสนุกมากน่าติดตามทักตอนเลย
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 06-04-2019 14:53:38
 :katai2-1: เนื้อเรื่องสนุก เดินเรื่องดีค่ะ แต่เขียนสลับตัวละคร อ่านไปก็จะมี งง งง :katai2-1: :katai1:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-04-2019 06:23:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 08-04-2019 17:47:24
ระทึกลุ้นมากค่ะ สนุกกกกกกก ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายสนุก ๆ แบบนี้
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 08-04-2019 22:29:05
ดีใจที่สุดท้ายคนที่รักก็ไม่ใช่คนที่ทำร้ายแบบที่ฝัน ทุกคนก็ได้รับผลไปตามๆกันไป ขอบคุณคนเขียนมากสำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 09-04-2019 23:01:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 10-04-2019 12:36:48
สนุกมากค่ะ ลุ้นทุกตอน เป็นนิยายที่ครบรสจริงๆ

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:02:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 18-04-2020 02:17:28
ทุกคนได้ผลจากการกระทำของตัวเอง แอบปากหนักนะเราวีร์ รักกันนานๆนะ
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 22-04-2020 02:31:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: **** /// ...change!.... //// *** ตอนจบ [17/12/61] [END/END/END]
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 04-05-2020 14:17:19
เป็นเรื่องที่เข้มข้นมากจริมๆ ใครทำอะไรก็ได้แบบนั้น ทุกการกนะทำที่ตัวเองทำ มันส่งผลจริงๆ อ่านไปลุ้นไป นายเอกจะรอดไหมทุกตอน ดีที่ฝันเห็นอนาคตได้ และมาเจอกับเทวา แฮปปี้เอ็นดิ้งมากก จบแบบสวยๆ ขอบคุณนิยายสนุกๆแบบนี้นะงับบ