พิมพ์หน้านี้ - ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] | แจ้งข่าวหน้า 4 [07/07/2019]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: be-silent ที่ 22-09-2018 19:43:42

หัวข้อ: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] | แจ้งข่าวหน้า 4 [07/07/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 22-09-2018 19:43:42
อ้างถึง
**********************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*********************************************************************

(https://sv1.picz.in.th/images/2019/06/15/1cQRo9.jpg)

กลิ่นฝนฤดูหนาว

เมื่อคดีฆ่าตัวตายถูกสงสัยว่าเป็นเหตุฆาตกรรม

‘ธารางกูร’ จึงถูกจับตาโดยสารวัตรสืบสวนอย่าง ‘วัสสะ’

หลักฐานน่าฉงนเชื่อมโยงธารางกูรเข้าสู่เรื่องราวมากขึ้นเรื่อย ๆ

ขณะที่วัสสะเริ่มกระวนกระวายใจกับผู้ต้องสงสัยคนนี้มากขึ้นทุกที

ท่ามกลางค่ำคืนเหน็บหนาว กลิ่นไอฝนกรุ่นขึ้นมาหลอกล่อให้ดีใจ

ทว่าคืนนี้ฝนไม่ได้ตก ฤดูเหมันต์ยังคงอยู่กับพวกเขาเช่นเดิม




กลิ่นฝนฤดูหนาว



BE SILENT



อย่าลืมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดผ่านทวิตเตอร์กันนะคะ

#กลิ่นฝนฤดูหนาว



นิยายเรื่องอื่น ๆ ของ BE SILENT

[END] Who is he ? ❤ แฟนผม...คนไหน
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66603.0
[END] THAT CRAZY GUY★★★ไอ้บ้าแฟนผม
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67793.0
[END] The Faded Memory ▲ หมอกสีจาง
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63162.0
[END] ◄◄◄ VILLAIN | ร้ายออกฤทธิ์ ►►►
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66336.0
Route เส้นทางการเดินรัก (Only at Fictionlog)
https://fictionlog.co/b/5b0e540e9c4f5f1b4d74e4a2

ฝากติดตามนักเขียน
ทวิตเตอร์ @BESILENT1993
เพจ https://www.facebook.com/besilentnovel/


แจ้งข่าวตีพิมพ์กับสนพ.นาบู

ชื่อเรื่อง: กลิ่นฝนฤดูหนาว (เล่มเดียวจบ)
ชื่อผู้แต่ง: BE SILENT
ชื่อนักวาดภาพปก: Dreamworm
ประเภทนิยาย: Romantic Drama ,  Detective
ISBN: 978-616-496-001-5
จำนวนหน้า: 368
ราคาปก: 369
ราคารอบ Pre-Order: 349

เรื่องย่อ:
เมื่อคดีฆ่าตัวตายถูกสงสัยว่าเป็นเหตุฆาตกรรม ‘ธารางกูร’ จึงถูกจับตาโดยสารวัตรสืบสวนอย่าง ‘วัสสะ’ หลักฐานน่าฉงนเชื่อมโยงธารางกูรเข้าสู่เรื่องราวมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่วัสสะเริ่มกระวนกระวายใจกับผู้ต้องสงสัยคนนี้มากขึ้นทุกที
ท่ามกลางค่ำคืนเหน็บหนาว กลิ่นไอฝนกรุ่นขึ้นมาหลอกล่อให้ดีใจ ทว่าคืนนี้ฝนไม่ได้ตก ฤดูเหมันต์ยังคงอยู่กับพวกเขาเช่นเดิม

ยังเปิด Pre-Order อยู่นะคะ
ของแถมรอบ Pre-Order : การ์ดลายChibi ขนาด 4x4 นิ้ว

สั่งจองแบบออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 10-30 มิถุนายน 2562
ช่องทางการสั่งจองออนไลน์
www.reading.co.th
*FB:  readingroombookstore
*Line Official: @reading.room
*Facebook และ Line เปิดบิลเฉพาะวันจันทร์ - ศุกร์ 10.00 น. - 16.00 น.
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในลิ้งค์นี้ค่า https://www.facebook.com/pg/Nabupublishing/photos/?tab=album&album_id=2492381010807354&__tn__=-UC-R

ช่องทางการรับสินค้า
1. รับที่งาน “Y Bookfair” วันที่ 7 กรกฎาคม 2562
2. จัดส่งทางไปรษณีย์ เริ่มทยอยจัดส่งตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2562 จัดส่งแบบลงทะเบียนสิ่งตีพิมพ์ฟรี

 E-Book จำหน่ายวันที่ 7 กรกฎาคม 2562

ร้านค้าทั่วไป กระจายสินค้าภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 ค่ะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 22-09-2018 19:46:22
บทนำ กลิ่นฝนหอมกรุ่น

กลิ่นไอฝนคละคลุ้งลอยละล่องขึ้นมาแตะปลายจมูก เจ้าของลมหายใจสม่ำเสมอสูดเอาความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเข้าไปเต็มปอด ว่ากันว่าไอดินกลิ่นฝนเช่นนี้มักจะตามมาหลังฝนตกหนัก และท้องฟ้าเริ่มฉายความสดใสอีกครั้ง อีกนัยหนึ่งนั้นเป็นสัญญาณเตือนให้มนุษย์เราเตรียมตัวรับมือกับความเปียกปอนที่กำลังจะเคลื่อนตัวมาเยือน ทว่ากลิ่นกรุ่นที่ร่างหนึ่งกำลังสัมผัสได้ ณ ยามนี้ กลับมาพร้อมบรรยากาศแห้งเหือดหนาวจับจิต ไร้เม็ดฝนเย็นชื่นใจ ไม่ว่าจะก่อนหน้า หรือวินาทีต่อไป หยาดน้ำก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยดเม็ดลงมาชโลมร่างกายคนที่อยากพบเจอฤดูฝนจะขาดใจ



หยาดฝนแห้งเหือด กลิ่นฝนหอมกรุ่นพวกนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งลวง หลอกล่อให้เขาดีใจ



“ผมได้กลิ่น ได้กลิ่นหอมเย็นชื่นใจของมัน… เชื่อผมสิว่าฝนกำลังจะตก”

“คุณก็รู้ดีอยู่แล้วว่านี่มันฤดูหนาว ฝนไม่มีทางตก มีแต่เราจะหนาวเย็นขึ้นทุกทีเท่านั้น” ลำแขนแกร่งกระชับกอดให้แผ่นหลังที่เล็กกว่าแนบสนิทกับแผงอกมากขึ้น ปลายจมูกโด่งคมสันได้รูปกดลงบนกลุ่มผมของร่างโปร่งบางด้วยความรักใคร่ ลมพัดต่อเนื่องหลายระลอกบนดาดฟ้าสูงบังคับให้เขาต้องหาไออุ่นให้กับตัวเองและคนในอ้อมกอด อีกทั้งพื้นซีเมนต์หยาบกระด้างยังเก็บความเย็นยะเยือกเอาไว้เสียจนสองร่างที่ทิ้งตัวลงนอนอยู่แทบจะสั่นสะท้านไปกับอากาศเย็นเฉียบของฤดูหนาว

“หรือว่าคุณไม่ได้กลิ่น ลองหลับตาเหมือนที่ผมทำดูสิ”

“ผมได้กลิ่น ผมรู้สึกแบบเดียวกับที่คุณรู้สึกได้นั่นแหละ เพียงแต่ผมเลิกหวังไปแล้วว่าจะมีฝนตกลงมาจริง ๆ … สุดท้าย ความหนาวเย็นอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เราจะได้สัมผัสในฤดูนี้”

“ฝนตกในฤดูหนาวเพราะลมมรสุมออกจะบ่อยไป”

“ดูคุณจะอยากให้ฝนตกจังเลยนะ ทำไมถึงชอบมันนักหนา”

“คุณจะถามผมอีกกี่ครั้งครับ ผมว่าผมเคยตอบไปหลายครั้งแล้วนะ”

“ผมจะถามทุกครั้งที่เราเจอกันนั่นแหละ ผมอยากฟังคำตอบเดิมซ้ำ ๆ จะได้รู้ว่าเป้าหมายว่าเรารออะไรอยู่ไง”

“ผมชอบมัน ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าถ้าฝนตกลงมา อากาศเย็นทรมานแบบนี้คงจะชื่นใจขึ้นมาน่าดู แม้จะเย็นกว่า ทรมานกว่า แต่มันคงจะทำให้เรามีชีวิตชีวาราวกับคืนชีวิตให้เราอีกครั้ง ...ไม่รู้สิ ผมคิดว่าเป็นแบบนั้นนะ”

“จริงด้วยสินะครับ” เจ้าของอ้อมกอดออกแรงกระชับเพื่อสร้างไออุ่นให้ทั้งสองร่างอีกครั้ง เรียวมือและแขนที่เล็กกว่าเอื้อมจับแขนของอีกฝ่ายตามไปในทุกทิศทาง ไม่ใช่เพราะเรียกร้องหาสัมผัส แต่เป็นเพราะทั้งคู่ถูกเชื่อมติดกันไว้ด้วยกุญแจมือเหล็กหนาขัดเงา ทว่าสายใยที่แน่นหนายิ่งกว่ากลับเป็นเพียงเสียงหัวใจดวงสองดวงที่ดังก้องพร้องไปกับเสียงสายลม

“ทุกอย่างคงจะดีขึ้นหลังฝนตก เว้นเสียแต่ว่า...” ดวงตากลมเลื่อนลอยมองไปเบื้องหน้า แม้ในระนาบสายตาจะมีเพียงพื้นดาดฟ้าตึกแสนสกปรกและคราบเกรอะกรังไม่พึงประสงค์ อากาศรอบตัวค่ำคืนนี้ย่ำแย่กว่าทุกวัน ยิ่งหนาวกลิ่นฝนที่เขาชอบใจยิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะ

“เว้นเสียแต่ว่าฝนจะหลอกเราเหมือนทุกที” ท้องฟ้ามืดสนิทสีครามเข้ม แม้จะไร้เมฆหมอกแต่ก็ไม่ได้เผยแสงสว่างจากดวงดาวดังที่ฤดูหนาวควรจะเป็น การเคลื่อนไหวบนท้องฟ้านิ่งสนิท มีเพียงดวงจันทร์ที่ยังกลมไม่เต็มรูปส่องแสงลงมาให้รู้ว่าเวลายังดำเนินต่อไปเท่านั้น สองชีวิตตรงนี้ได้แต่รอคอยอย่างมีความหวัง หวังว่าคืนนี้กลิ่นไอฝนจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังเหมือนอย่างเคย





กลิ่นฝนฤดูหนาว



Talk

สวัสดีค่าผู้อ่านทุกคน ทั้งที่เคยติดตามกันมาและเพิ่งเคยพบกันเรื่องนี้เรื่องแรก สำหรับนิยายเรื่องกลิ่นฝนฤดูหนาว ผู้เขียนอยากจะขอแนะนำทิศทางของเรื่องคร่าว ๆ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน นิยายเรื่องนี้จะไม่ใช่นิยายสืบสวนสอบสวนเต็มรูปแบบ เพียงแต่ใช้มาเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่องเท่านั้น ถึงแม้จะดูสืบสวนอย่างเข้มข้นในระยะแรก แต่หลังจากกลางเรื่องไปแล้วทุกอย่างจะเน้นหนักที่เรื่องของความรักนะคะ ฝากติดตามและติชมนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 22-09-2018 21:04:11
บทที่ 1 ฝนตั้งเค้า

“สวัสดีครับ ผมพันตำรวจตรีวัสสะ อิสระบริรักษ์ สารวัตรสืบสวนที่ดูแลคดีนี้” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบสงัดในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อวัสสะมียศมีตำแหน่งสูงพอควรเมื่อเทียบกับช่วงวัยยี่สิบเก้าปี นายตำรวจหนุ่มจ้องมองร่างที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะไม่วางตา สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องสอบพยานตอนนี้คงจะทำให้เจ้าตัวประหม่าเกร็งและกังวลอยู่พอควร แม้จะไม่ได้มีโคมไฟส่องหน้าสร้างความกดดันราวกับเหตุในละครทีวี แต่สีหน้าจริงจังเข้มดุของนายตำรวจที่ยืนค้ำโต๊ะอยู่กลับยิ่งทำให้การเอื้อนเอ่ยคำใดออกไปยากขึ้นทุกที

“...”

“คุณครับ คุณจะไม่แนะนำตัวกับผมสักหน่อยเหรอ” เจ้าของร่างที่บางกว่าเมื่อเทียบกับวัสสะเบิกสายตาเลื่อนลอยขึ้นมองนายตำรวจที่กำลังจ้องมองเขา ก่อนจะปรายตามองกล้องวิดีโอที่กำลังส่งแสงไฟสีแดงกะพริบอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ว่าอะไรน่ากลัวกว่ากัน ระหว่างวิดีโอที่จะจัดเก็บทุกคำพูดของเขา หรือสารวัตรวัสสะที่ส่งรังสีความน่ากลัวโดยไม่เกรงใจรูปหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นของตน

“ผมชื่อธารางกูร ประสิทธิจามร เรียกผมกูรเฉย ๆ ก็ได้”

“ขอบคุณครับคุณธารางกูร ผมว่าเรามาเริ่มพูดคุยกันเลยดีกว่า ออ ผมต้องเรียนว่าในการสอบสวนจำเป็นต้องใช้ชื่อจริงของคุณเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานต่อไปนะครับ” วัสสะเลื่อนเก้าอี้ข้างตัวออกส่งเสียงดังครืดยาว ก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงไปนั่งขณะที่ยังใช้สายตาเล่นเกมจิตวิทยากับธารางกูร ชายหนุ่มรูปร่างสมส่วนสมเป็นชาย ขนาดตัวเล็กกะทัดรัดลงมากเมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อที่ถูกปั้นแต่งมาของวัสสะ ในยามนี้ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถูกแทนที่ด้วยรอยคล้ำแสนหมองเศร้าจนบดบังความน่ารักสดใสที่เคยมีไปเสียหมด ดวงตากลมที่ควรจะวาววับหม่นไปด้วยร่องรอยจากคราบน้ำตาที่เพิ่งจะแห้งไป

“คุณสารวัตรจะคุยกับผมเหรอ… ผมว่าผมให้ปากคำกับร้อยเวรไปหมดแล้วนะครับ” ธารางกูรเปล่าหาข้ออ้างที่จะไม่พูดคุย เพียงแต่เขาเริ่มเหนื่อยล้ากับการอยู่ในสถานีตำรวจยาวนานหลายชั่วโมง หากสังเกตจากน้ำเสียงแผ่วเบาของเขาก็คงจะพอรู้ว่าอ่อนแรงกับเรื่องที่กำลังเจอมากแค่ไหน

“มันไม่เหมือนกันหรอกครับ ผมต้องการข้อมูลที่ลึกกว่านั้น”

“ถ้างั้นคุณอยากพูดอยากถามอะไรผมก็เชิญ เพราะยังไงคำตอบผมก็เหมือนเดิม”

“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะครับคุณธารางกูร” แวบหนึ่งวัสสะสังเกตเห็นความอ่อนแอจากสายตาของธารางกูร เขายังคงมองส่วนหนึ่งในคดีด้วยความรู้สึกหลากหลาย คนคนนี้กำลังพยายามเข้มแข็งทั้งที่ร่างกายแสดงออกมาจนเสียหมดแล้วว่ารับไม่ไหว ดวงตาคู่นี้กำลังหลบเลี่ยงการสบมองจนเหม่อลอยไปเสียหมด

“ครับ”

“คุณเป็นคนที่ไหนครับ ครอบครัวเป็นยังไง”

“ผมเป็นคนกรุงเทพแต่กำเนิด ครอบครัวไม่มี อยู่ตัวคนเดียว”

“ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วครับ”

“ยี่สิบเจ็ด”

“คุณพักอยู่ที่ไหน พักอยู่กับผู้ตายรึเปล่า”

“เปล่า ผมพักอยู่คนโดของผมเอง”

“ตามประวัติ คุณเรียนจบด้านรัฐศาสตร์ แล้วทำไมถึงมาทำงานกับผู้ตายล่ะ”

“มีกฎข้อไหนของโลกที่ห้ามคนเราทำงานข้ามสายที่เรียนมาเหรอครับ” วัสสะยกยิ้มเพราะเหตุใดคงไม่มีใครรู้ได้ แต่ที่แน่ ๆ คำตอบนี้ของธารางกูรทำให้เขาเห็นชัดขึ้นว่าร่างบางไม่ใช่เพียงคนที่จะนั่งรอเพื่อตอบคำถามเพียงอย่างเดียว

“คุณอายุยี่สิบเจ็ดแต่ไม่มีครอบครัว แล้วคุณมีแฟนหรือคนคุยบ้างรึเปล่า”

“...ขอโทษนะครับคุณสารวัตร เรื่องส่วนตัวของผมเกี่ยวกับคดีนี้ด้วยเหรอครับ” ธารางกูรเงียบไปเพียงครู่ และพ่นคำถามน่าสนใจออกมาได้ตรงใจวัสสะจนร่างสูงมีอาการหน้าเสียออกมาเล็กน้อย

“ออ ขอโทษที ถ้ายังงั้นผมคงต้องเปลี่ยนคำถาม”

“ก็ดีครับ”

“คุณกับผู้ตายรู้จักกันได้ยังไง”

“ผมเคยทำงานพาร์ทไทม์แล้วเจอคุณรัณน่ะครับ เราได้คุยกันนิดหน่อย ประกอบคุณรัณกำลังหาผู้ช่วยคนใหม่เลยชวนผมมาทำด้วย ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธ”

“ตั้งแต่วันนั้นมา นานรึยัง”

“ราว ๆ ปีครึ่งเห็นจะได้”

“แล้วงานของคุณที่ทำให้ผู้ตายคืออะไรบ้าง”

“ดูแลเรื่องคิวงาน ประสานงานเป็นหลัก แต่ก็มีบ้างที่คุณรัณจะให้ผมเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัว จัดการเรื่องบ้าน รถ เงินทอง”

“แปลว่าคุณอยู่กับผู้ตายตลอด”

“ไม่เชิงหรอกครับ ผมจะอยู่กับคุณรัณก็ต่อเมื่อมีคิวงาน หรือคุณรัณเรียกใช้”

“แล้วเรื่องบ้าน รถ เงินทองที่คุณว่า มันเป็นยังไง”

“ก็แค่จัดการเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อย ขึ้นเช็ค โอนเงิน จ่ายค่าของ แล้วแต่คุณรัณจะสั่ง”

“คุณกับผู้ตายไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินกันใช่มั้ย”

“ไม่มีครับ” ธารางกูรสบตากับวัสสะตรง ๆ เพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้โกหก และวัสสะเองก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจในคำตอบข้อนี้

“แล้วกับคนอื่นล่ะ ผู้ตายมีปัญหาเรื่องเงิน หรือเรื่องธุรกิจกับใครรึเปล่า”

“ผมไม่ทราบครับ ผมไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณรัณ รู้แค่อย่างเดียวว่าคุณรัณกำลังจะเปิดร้านอาหารกับคุณพอลเพื่อนสนิท”

“แล้วเรื่องอื่นล่ะ คุณพอจะรู้อะไรบ้างมั้ย”

“เช่นอะไรครับ”

“เรื่องชู้สาว”

“นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย ผมไม่เคยเข้าไปยุ่งหรอก อีกอย่างคุณรัณปกปิดเรื่องพวกนี้อย่างกับอะไรดี” สองมือของธารางกูรประสานกันอยู่บนโต๊ะ เรียวนิ้วของเขากระตุกเกร็งเป็นระยะอย่างเห็นได้ชัด วัสสะมองมือของร่างบางสลับกับการเคลื่อนขึ้นไปมองใบหน้า เขาทิ้งตัวพิงไปกับพนักเก้าอี้และตอกย้ำความไม่เชื่อใจด้วยการถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ถ้าคุณพูดได้ว่าผู้ตายปกปิด แปลว่าคุณเองก็พอจะรู้อะไรมาบ้าง จริงมั้ย? ”

“ผม...”

“พูดมาเถอะ ผมว่ามันเป็นข้อดีกับผู้ตาย แล้วก็ตัวคุณเองด้วย”

“ผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดได้”

“คุณธารางกูร หากคุณยืนยันว่าคำให้การที่คุณให้ไว้กับพนักงานสอบสวนเป็นความจริง ณ ที่ตรงนี้คุณต้องยืนยันกับผมด้วยการพูดความจริงทั้งหมดนะครับ”

“มันเป็นแค่ความสงสัยของผม”

“คุณสงสัยว่าอะไร...”

“คุณรัณกับคุณพอลเพื่อนสนิทอาจจะมีความสัมพันธ์ที่เกินเพื่อน” เรียวเล็บของธารางกูรจิกลึกลงไปที่หลังมือของตนจนเกิดรอยกดลึก แม้เจ้าตัวจะไม่รู้สึกเจ็บแต่คนมองกลับรับรู้ความเจ็บปวดจากความกดดันออกมาเสียหมด คงไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่แสดงท่าทีสบายอกสบายใจเมื่ออยู่ต่อหน้าตำรวจ และตกเป็นเป้าของทุกคำถามแต่เพียงผู้เดียว ร่างบางพยายามผ่อนคลายตัวเองแล้วแต่มันกลับไม่เป็นผลสำเร็จ และยิ่งทวีความประหม่ามากขึ้นทุกที

“ลองอธิบายได้มั้ยครับ ว่าทำไมคุณถึงสงสัยแบบนั้น”

“มีหลายครั้งที่ผมเห็นคุณพอลกับคุณรัณแตะเนื้อต้องตัวกัน พวกเขามักจะขลุกอยู่ในห้องด้วยกันบ่อย ๆ อีกอย่างเวลาที่ผมอยู่กับคุณรัณ คุณพอลชอบมองผมแปลก ๆ แปลกจนบางทีผมนึกกลัวไปหมด”

“แล้วคุณล่ะ”

“ผมทำไม? ”

“คุณมีความสัมพันธ์ที่เกินเลยกับผู้ตายรึเปล่า”

“ทำไมคุณถามแบบนี้”

“ผมแค่ถามเพื่อหาทิศทางที่เป็นไปได้ของคดี ว่าแต่คุณสะดวกใจที่จะตอบรึเปล่าล่ะ”

“ผมกับคุณรัณไม่เคยมีอะไรเกินเลยมากกว่าการเป็นเจ้านายกับลูกน้อง”

“อืม ครับ” วัสสะเคาะนิ้วชี้สลับกับนิ้วกลางลงกับโต๊ะ เสียงตึกตักเบา ๆ ทำลายความเงียบในช่วงเวลาหลังจากนั้นได้เป็นอย่างดี ในสมองของเขากำลังประมวลผลหลาย ๆ เรื่อง รวมถึงการคิดหาคำถามใหม่ ๆ ที่มากกว่าคำถามที่ได้รับมอบหมายมา คำถามแบบนี้คงไม่มีประโยชน์กับรูปคดีตามที่เขาอยากจะให้เป็น ทว่าคนที่เป็นคำตอบของเขากลับตีความสายตาครุ่นคิดคู่คมไปเป็นอีกอย่าง

“คุณไม่เชื่อผม คุณคิดว่าผมโกหก”

“อะไรกัน ผมยังไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย”

“สายตาคุณมันแสดงออกแบบนั้นไงครับคุณสารวัตร”

“อย่าพูดเหมือนคุณรู้จักผมดีเลยครับคุณธารางกูร พูดเป็นเล่น แค่มองตาผม คุณจะรู้ได้ยังไงว่าผมคิดอะไรอยู่”

“...” ร่างบางเงียบไปเมื่อสิ่งที่วัสสะพูดมันถูกต้องทุกอย่าง เขาไม่อาจสรุปเรื่องราวจากสายตาของคนที่เพิ่งจะเจอกันได้ กับนายตำรวจสืบสวนคนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ทุกอย่างถูกวางเกมมาให้อ่านยากไปเสียหมด

“ที่ผมถาม เพราะคุณเป็นคนพูดเองว่าคุณพอลชอบมองคุณแปลก ๆ ขณะที่อยู่กับผู้ตาย ผมแค่สอบสวนไปตามข้อมูลที่ได้มาจากคุณเท่านั้น”

“ผมขอยืนยัน ถ้าใครสักคนจะมีความสัมพันธ์กับคุณรัณ คนคนนั้นไม่ใช่ผมแน่นอน”

“ช่างเถอะ เรามา...”

ก็อก ๆ ๆ เสียงเคาะกระจกใสบานกว้างทำให้ประโยคของวัสสะสะดุดไป เขาเหลือบตามองนายตำรวจอีกหลายคนที่ยืนมองการสอบปากคำอยู่อีกฟากหนึ่งของกระจกพร้อมกับเครื่องหมายคำถาม เจ้าของเสียงเคาะผู้เป็นนายตำรวจไฟแรงอีกคนใช้เรียวนิ้วกระดิกเข้าหาตัวสองสามครั้งเป็นสัญญาณว่าอยากให้วัสสะออกมาคุยกันนอกห้อง วัสสะผู้ไม่มีทางเลือกจึงต้องลุกขึ้นจากโต๊ะโดยไม่ลืมที่จะหันไปมองธารางกูรเป็นการทิ้งท้าย ธารางกูรมองแผ่นหลังเปียกเหงื่อของวัสสะพร้อมกับการถอนหายใจโล่งอกออกมา แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสบายใจช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เพราะไม่กี่วินาทีหลังจากนี้คงจะมีตำรวจสักคนจากจำนวนที่ยืนดูและฟังคำตอบของเขาผ่านกระจกเมื่อครู่เข้ามาแทนที่





“มีอะไร”

“ฉันสอบพอลเสร็จแล้ว อยากได้สมองนายมาวิเคราะห์ร่วมกัน”

“เร่งด่วนขนาดนั้นเลยหรอ ฉันยังสอบนายกูรนั่นได้ไม่ถึงครึ่ง”

“ไม่เชิง แค่มีหลายอย่างน่าสนใจ นายปล่อยให้คนอื่นสอบกูรต่อแล้วมากับฉันดีกว่า” ร้อยตำรวจเอกปองภพ ดันไหล่ผู้เป็นเพื่อนสนิทร่วมสายงานให้เดินตามในทิศทางที่ต้องการ แม้ว่าอายุเขาจะเท่ากันกับวัสสะ ทว่าตำแหน่งในสายงานของเขายังคงอยู่เพียงระดับภาษาปากที่เรียกว่าผู้กองเท่านั้น แต่ด้วยเนื้องานที่อยู่ในส่วนสืบสวนร่วมกันจึงทำให้ไม่มีเส้นใดกั้นกลางพวกเขาได้ การร่วมมือทั้งในฐานะเพื่อนสนิท และในฐานะเพื่อนร่วมงานจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะกับคดีที่เป็นที่จับตามองของประชาชน

“ประเด็นร้อนประเด็นใหญ่สำหรับวันนี้คงจะหนีไม่พ้นข่าวการฆ่าตัวตายของนักแสดงหนุ่ม ดารัณ จิตดารุณ พระเอกแถวหน้าของเมืองไทยนะคะ เรียกได้ว่าช็อกกันแทบจะทั้งประเทศ สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเลขาส่วนตัวได้พบศพของหนุ่มดารัณในบ้านพัก จึงนำมาถึงการสอบสวนเพื่อหาชนวนเหตุและพิสูจน์ว่าเป็นเพียงการฆ่าตัวตาย หรืออาจเป็นคดีฆาตกรรมอย่างที่หลายคนสงสัยหรือไม่ ตอนนี้คนรอบตัวหนุ่มดารัณถูกเรียกตัวกันจ้าระหวั่น ไม่เว้นแม้แต่หนุ่มพอล พีรพล พระเอกเพื่อนซี้ของหนุ่มดารัณที่เพิ่งถูกปล่อยตัวออกจากห้องสอบสวนเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ...”

วัสสะเหลือบมองข่าวในหน้าจอทีวีก่อนจะเดินผ่านเข้าไปในห้องประชุมเล็กของเขาและปองภพ ภาพในจอกับภาพความจริงคงจะต่างกันเพียงแค่เสียงบรรยายประกอบ เพราะภาพพระเอกอย่างพอลให้สัมภาษณ์กับสื่อด้วยสีหน้าไม่สู้ดีมันสอดคล้องไปกับสถานการณ์ปัจจุบันไม่มีผิดเพี้ยน

“ไหน อะไรที่นายว่าน่าสนใจ”

“ดูนี่” ปองภพยังไม่ยอมพูดสิ่งใด เขาเสียบเมมโมรี่การ์ดที่ได้มาจากกล้องเข้าไปกับโน้ตบุ๊ค คลิกเมาส์อยู่ไม่กี่ครั้งเพื่อเปิดคลิปวิดีโอที่ถูกบันทึกเอาไว้ล่าสุดขึ้นมา ภาพหน้าตรงของดาราหนุ่มถูกเลื่อนไปเรื่อย ๆ จนเกือบจะถึงช่วงท้ายของการบันทึก วัสสะทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่เพื่อนของเขากำลังมั่นใจอกมั่นใจว่าวัสสะจะต้องมีปฏิกิริยากับสิ่งที่จะได้เห็นและได้ฟังแน่นอน

“อะไรของนายกันภพ ถ้ามันไม่เจ๋งพอจะใช้ในคดี นายเจอฉันอัดแน่”

“ชู่วววว” แน่นอนว่าวัสสะยังไม่มีโอกาสได้อัดปองภพคามืออย่างที่ใจคิด ภาพที่ถูกเลื่อนไปด้านหน้าเมื่อครู่ถูกเพลย์ขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าและน้ำเสียงที่ชัดเจนของคนถูกสอบสวน และที่น่าสนใจเป็นอย่างมากคือพอล พีรพล คนดังจ้องมองกล้องตลอดเวลาอย่างไม่เกรงกลัว

“รัณกับกูรมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกัน ผมยืนยันได้ กูรนั่นแหละที่ทำให้รัณตาย ระยะหลังรัณเคยเล่าให้ผมฟังหลายครั้งว่ากูรมีท่าทางแปลก ๆ และผมขอยืนยันตรงนี้เลยว่าเพื่อนผมไม่มีทางคิดสั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนอย่างดารัณจะทิ้งทุกอย่างที่เขาสร้างมาง่าย ๆ เชื่อผมเถอะคุณตำรวจ คดีนี้ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย”

“ที่คุณพยายามพูด หมายถึงคุณสงสัยว่าธารางกูรมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายครั้งนี้อย่างนั้นหรอครับคุณพีรพล”

“ไม่ใช่แค่สงสัย ผมมั่นใจว่ากูรเป็นคนฆ่ารัณ… และผมจะรอวันที่มันต้องเข้าคุกชดใช้กรรม แต่ถ้ากฎหมายทำอะไรเพื่อเพื่อนผมไม่ได้ ผมก็คงปล่อยกูรไว้ไม่ได้เหมือนกัน”

วัสสะผุดตัวลุกขึ้นเมื่อเกิดอาการนั่งไม่ติด คดีฆ่าตัวตายธรรมดาเพิ่มดีกรีความซับซ้อนขึ้นมาหลายระดับ เมื่อคนใกล้ชิดของผู้ตายให้การไม่ตรงกันแม้แต่น้อย ซ้ำยังมีอากัปกิริยาในห้องสอบสวนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ธารางกูรท่าทางเหนื่อยล้าเหม่อลอยไม่คิดแม้จะสบตาเขา ส่วนพีรพลกลับมีสายตาเคียดแค้นมุ่งมั่นมองเข้ามาในกล้องพร้อมกลุ่มน้ำตาเอ่อล้นราวกับเจ็บแค้นอยู่เต็มอก

“กูรเพิ่งพูดกับฉันว่าสงสัยในความสัมพันธ์ของพอลกับรัณ”

“หืม… งั้นแปลว่า...”

“สองคนนี้ต้องมีสักคนที่พูดไม่จริง… หรือไม่ก็พูดไม่จริงทั้งคู่”

“คดีนี้จบง่าย ๆ ไม่ได้แล้วสินะ”

“นอกจากจะจบไม่ลง อาจจะมีใครสักคนเปลี่ยนสถานะจากพยานเป็นคนร้าย”

“งั้นเราจะเอายังไงกันดีล่ะคุณสารวัตรวัสสะ”

“นายจับตามองพีรพล แล้วปล่อยธารางกูรให้เป็นหน้าที่ของฉัน” สองนายตำรวจใช้สายตามองกันด้วยความมุ่งมั่น คงหมดยุคแล้วสำหรับการทำคดีแบบสุกเอาเผากิน อีกอย่าง คดีคนดังคดีนี้มีความน่าสนใจเกินกว่าที่วัสสะจะปล่อยไปได้ง่าย ๆ





โดยเฉพาะความน่าสนใจที่เขาเห็นผ่านดวงตาของธารางกูร








หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 22-09-2018 21:40:59
บทที่ 2 ฤดูเหมันต์

ไม่บ่อยนักที่งานของวัสสะจะลากยาวถึงดึกดื่น ค่ำคืนนี้เขาใช้เวลาอยู่กับสำนวนคดีและการสอบพยานหลักฐานหลายปากจนเวลาล่วงเลยไปจนเกือบตีสอง ร่างสูงลุกออกเก้าอี้ห้องประชุมพร้อมความเมื่อยขบร้าวรานไปทั่วตัว คำถามและข้อสงสัยมากมายยังคงค้างอยู่ในสมองของเขา แม้ว่าร่างกายจะสั่งให้หยุดพักแต่ระบบประมวลผลนั้นยังทำงานต่อเนื่องไม่รู้จบ เมื่อบอกลาเพื่อนร่วมงานและเจ้านายระดับสูงจนพอแก่สมควร เขาจึงตัดสินใจคว้าเสื้อแจ็คเก็ตสีดำตัวเก่งของตัวเองขึ้นสวมและผลักประตูกระจกออกมาจากตัวอาคารทันที

วันเวลา ณ ปัจจุบันอยู่ในช่วงเวลาของฤดูหนาว ดูเหมือนว่าอากาศปีนี้จะเย็นกว่าทุกปี แม้จะไม่ถึงขั้นควันออกปากหรือหนาวเหน็บจนปลายมือชา แต่ความเย็นที่เกินกว่าอุณหภูมิร่างกายปกติจะรับได้ไหวก็ทำให้วัสสะอดจะสะดุ้งเมื่อออกมาพบเจอกับสภาพอากาศด้านนอกไม่ได้ ร่างสูงซุกมือหนาเข้าไปในกระเป๋ากางเกง พลางควานหาเรื่องโทรศัพท์ที่นิ่งสนิทมาแทบจะตลอดวัน รวมไปถึงกุญแจรถยนต์ยานพาหนะสำคัญที่จะทำให้เขากลับไปพักผ่อนได้อย่างปลอดภัย แต่แล้วกลับมีสิ่งหนึ่งดึงดูดความสนใจของเขาเอาไว้ได้ ก่อนจะเดินไปถึงจุดจอดรถคันเก่ง

“สำหรับข่าวการจากไปของดารัณ จิตดารุณ คงจะเป็นที่สะเทือนใจกับประชาชนไม่มากก็น้อยนะคะ โดยเฉพาะกับคนในวงการบันเทิงของเราที่ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น...”

เสียงรายการข่าวดังขึ้นใกล้หูจนวัสสะต้องมองหาต้นตอ เขามองซ้ายขวาอยู่ไม่กี่ครั้งจนกระทั่งมองเห็นด้านหลังของร่างบางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อนด้วยเสื้อยืดตัวเดิม แสงจากสมาร์ทโฟนพาดกับสันข้างของใบหน้าของเจ้าตัวจนดวงตากลมสะท้อนเป็นเงา เสื้อผ้าที่ไม่สามารถป้องกันอุณหภูมิต่ำช่างขัดกันกับสภาพอากาศตอนนี้ ขนาดวัสสะเองที่ว่าแข็งแรงมากมายยังรู้สึกหนาวสะท้านอยู่ไม่น้อย เหตุใดเล่าคนที่ดูบอบบางเช่นนี้จึงนั่งอยู่ได้ราวกับไม่รู้สึกอะไร

“เมื่อเจ็ดนาฬิกาที่ผ่านมา ตำรวจได้รับแจ้งจากนายธารางกูร หรือคุณกูรเลขาส่วนตัวของดารัณพระเอกหนุ่มรายดังกล่าว ว่าพบศพเจ้าตัวอยู่ในบริเวณห้องน้ำชั้นสองห้องบ้าน เบื้องต้นตำรวจได้รุดเข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุโดยทันที จากการตรวจสอบ คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง สภาพศพนอนเปลือยภายในอ่างอาบน้ำและมีรอยกรีดลึกที่ข้อมือขวา โดยมีคัตเตอร์ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ไม่พบจดหมายหรือข้อความใดที่จะเป็นมูลเหตุในการฆ่าตัวตาย”

วัสสะตัดสินใจเดินเข้าใกล้ธารางกูรอย่างเงียบฝีเท้าที่สุด ร่างบางสัมผัสนิ้วลงบนหน้าจอเพื่อเปลี่ยนรายการข่าวย้อนหลังไปเรื่อย ๆ ราวกับไม่พอใจในเนื้อหาข่าวเสียที ร่างสูงหยุดยืนอยู่เบื้องหลังและมองการกระทำเหล่านั้นโดยพยายามทำความเข้าใจในทุก ๆ ทาง แม้ว่าเหตุความจำเป็นจากพยานหลักฐานบางประการจะทำให้เขาต้องตั้งแง่กับธารางกูร แต่เขากลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่าจากคนคนนี้ ตำรวจอย่างเขาเจอมานักต่อนัก ดวงตาไม่คงที่จนดูหนักหนาเอาการเช่นนี้ไม่ใช่แววตาของคนที่หวาดกลัวความผิด ในหัวของร่างบางอาจจะมีเรื่องที่สมควรต้องคิดวิ่งวนอยู่เท่านั้น

“ล่าสุดผลการตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดภายในบ้านของดารัณทุกจุด ไม่พบผู้ต้องสงสัยเข้าออกในเวลาที่คาดว่าจะเกิดเหตุ และมีการยืนยันว่านอกจากดารัณแล้วมีแม่บ้านเพียงคนเดียวที่ปรากฏตัวในกล้องวงจรปิดราวสี่สิบแปดชั่วโมงก่อนหน้าค่ะ งานนี้คงต้องลุ้นกันต่อไปนะคะว่าสุดท้ายแล้วคดีช็อกประเทศนี้จะจบลงอย่างไร”

“แม่ของดารัณพระเอกหนุ่มถึงกับหมดสติขณะขอพบลูกชายก่อนจะส่งร่างให้ทางนิติเวชตรวจสอบโดยละเอียด คุณแม่ยังคงยืนยันกับสื่อนะครับว่าลูกชายไม่เคยปรับทุกข์เรื่องใดให้ฟังมาก่อน”

“ผมไม่เชื่อครับว่ารัณจะฆ่าตัวตาย รัณไม่ใช่คนยอมแพ้กับชีวิต อย่างน้อยถ้ามีอะไรเพื่อนสนิทอย่างผมต้องรู้บ้าง แต่นี่ไม่เคยมีสัญญาณเตือนอะไรเลย…. ผมให้การกับตำรวจไปหมดแล้วครับ ...สิ่งเดียวที่ผมอยากจะฝากคือผมอยากบอกรัณว่า เพื่อนอย่างไอ้พอลคนนี้นี่แหละจะทำทุกทางเพื่อลากคนผิดมาเข้าคุกให้ได้”

“ต้นสังกัดของดารัณออกมายืนยันแล้วนะคะว่าพระเอกสุดฮอตไม่เคยมีอาการของโรคซึมเศร้า และไม่เคยรักษาโรคทางจิตเวชมาก่อน และยังยอมรับอีกด้วยว่าติดใจสาเหตุการตาย แม้หลักฐานในที่เกิดเหตุจะพุ่งตรงไปที่การฆ่าตัวตายก็ตาม”


“ข่าวรายการไหนก็ไม่ถูกใจคุณเหรอ”

“....” ธารางกูรเกือบจะสะดุ้งออกมาเฮือกใหญ่เมือได้ยินเสียงทุ้มจากด้านหลัง เขาหันขวับไปมองทันทีว่าคนที่ถือวิสาวะมายืนแอบดูเป็นใคร และเมื่อเขาได้เห็นว่าเป็นวัสสะนอกจากจะไม่โล่งใจแล้ว ยังดูท่าว่าจะยิ่งทำให้เขาหนักใจมากขึ้นกว่าเดิม

“ทำไมคุณมานั่งอยู่ตรงนี้ ยังไม่กลับอีกเหรอ”

“ผมไม่อยากเจอนักข่าว ก็เลยรอให้กลับกันไปให้หมดก่อน”

“อ่อ… แล้ว...”

“ผมเรียกแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันแล้ว เดี๋ยวก็คงมา” วัสสะพยักหน้าเข้าใจในคำตอบ แต่แทนที่เขาจะเดินแยกออกไป เขากลับเลือกที่จะทรุดตัวลงนั่งกับม้าหินอ่อนข้าง ๆ กัน

“ดูคุณเครียด ๆ นะ โอเครึเปล่า”

“เจ้านายทีคุ้มกะลาหัวอยู่ตายทั้งคน ศพก็เห็นกับตา แถมยังโดนตำรวจสอบเครียดมาทั้งวัน ผมคงอารมณ์ดีได้อยู่มั้งครับคุณสารวัตร”

“ผมชื่อวัสสะ เรียกวัสเฉย ๆ ก็ได้” วัสสะเอ่ยขึ้นว่าคล้ายกับแนะนำตัวซ้ำอีกครั้ง การวางมาดตลอดเวลาไม่ใช่วิสัยของเขา อีกอย่างเขาคงไม่สบายใจหากยังทำตัวเป็นตำรวจต่อหน้าความไม่สบายใจของธารางกูร

“ผมสามารถเรียกตำรวจด้วยชื่อคำเดียวสั้น ๆ ได้ด้วยเหรอครับ หึหึ” ธารางกูรเลิกคิ้วถามขณะส่งเสียงหัวเราะเย็น ๆ ในลำคอ วัสสะพยักหน้าพร้อมกับการคลี่ยิ้มบางออกมา การผูกมิตรกับพยานบุคคลในที่เกิดเหตุไม่ใช่เรื่องผิด อาจจะด้วยเหตุผลข้อมนุษย์ธรรมแล้วหนึ่ง และเหตุผลในแง่หน้าที่ความจำเป็นอีกหนึ่ง

“นี่มันนอกเวลางานแล้ว ผมก็แค่คนคนหนึ่งเท่านั้นแหละครับ… คุณกูร” วัสสะเอ่ยชื่อเล่นสั้นได้ใจความของธารางกูรออกมา เจ้าของชื่อเลิกคิ้วมองคล้ายแปลกใจก่อนจะทำทีเหมือนไม่ได้ไยดีอะไรกับคำของร่างสูงมากนัก

“ดีนะ… ที่คุณยังมีความเป็นมนุษย์อยู่”

“...”

“มุขผมไม่ขำเหรอครับ” ธารางกูรยกยิ้มขึ้นมาเมื่อเขาทำให้วัสสะนิ่งสนิท คราวนี้ร่างสูงจึงยิ้มกว้างออกมาเพื่อขำให้กับความไม่ขำเมื่อครู่ นั่นสินะ ยังโชคดีที่เขายังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ ไม่ได้ถูกกลืนกินด้วยหน้าที่การงานเสียจนขาดชีวิตจิตใจ

“ขำดีครับ น่าขำจะตายไป”

“ขอบคุณครับคุณวัส”

“....” วัสสะเงียบไปอีกครั้งหลังได้ยินว่าร่างบางยอมเรียกชื่อเล่นของเขา เขาใช้ความพยายามเท่าที่มีในการลอบมองใบหน้าของธารางกูรในทุกสัดส่วน ถึงอย่างไรใบหน้าขาวละเอียดและองค์ประกอบละมุนละไมก็คงจะดูดีกว่านี้หากไม่มีรอยหมองคล้ำจากความเครียด ถ้ารอยผูกเป็นปมที่หัวคิ้วคลายออกพร้อมกับการฉายรอยยิ้มสดใส ธารางกูรคงจะน่ามองจนหลายคนไม่อยากละสายตา แต่ไม่รู้ว่าหลายคนที่มาจะหมายถึงดวงตาคู่คมที่มองอยู่ตอนนี้ด้วยรึเปล่า

“คุณวัส… คุณวัส”

“ค...ครับ” มือของธารางกูรที่โบกอยู่ตรงหน้าทำให้วัสสะกลับมาจากภวังค์ความคิดบางอย่าง นั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับสายลมระลอกใหญ่พัดเข้ามาจนร่างสูงรู้สึกว่าขนลุกซู่ไปทั้งตัว แต่คนที่นั่งใส่เสื้อแขนสั้นอย่างธารางกูรกลับนิ่งเฉย ราวกับผิวพรรณของเขาไม่สะท้านกับอุณหภูมิใด ๆ

“คุณมานั่งทำอะไร คุณไม่กลับไปหรือไงครับ”

“กลับสิ แต่ผมว่าผมจะรอส่งคุณขึ้นรถก่อน นี่มันก็ดึกแล้ว”

“ไม่จำเป็นหรอก ที่นี่สถานีตำรวจ คงไม่มีอะไรอันตราย”

“อย่างน้อยคุณก็ควรเข้าไปรอด้านใน ถึงยังไงมันก็เปลี่ยว อีกอย่างอากาศเย็นขนาดนี้เดี๋ยวคุณจะพาลไม่สบายเอา” วัสสะไม่ได้ใช้ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยในการพูดประโยคเหล่านี้ เขาใช้เพียงหน้าที่ของตำรวจที่ดีดูแลประชาชนเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ว่าวัสสะจะพูดออกไปด้วยเหตุผลหรือหน้าที่ใด ธารางกูรก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธมันอยู่ดี

“ผมชอบอากาศแบบนี้ คุณกลับไปอย่างสบายใจเถอะ”

“งั้นผมคงต้องขอนั่งคุยเป็นเพื่อนคุณเพื่อความสบายใจที่มากกว่า”

“แล้วแต่คุณ” ธารางกูรเก็บสมาร์ทโฟนของตัวเองลงในกระเป๋ากางเกง เพราะถึงอย่างไรเขาคงไม่ได้เปิดวิดีโอชมภาพข่าวในช่วงเวลานี้ เอาเวลามาซึมซับอากาศดี ๆ รอบตัวเสียคงจะดีกว่า กรอบดวงตากลมค่อย ๆ ปิดลง ธารางกูรปล่อยให้สายลมพัดผ่านร่างแม้ร่างกายจะเริ่มมีปฏิกิริยาในการป้องกันตนเอง ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกหนาว แต่ความหนาวเย็นกลับทำให้หัวใจห่อเหี่ยวของเขารู้สึกดีขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด

“ดูคุณจะชอบใจกับอากาศตอนนี้นะ”

“อากาศเหรอ ครับ… ผมชอบมัน ผมชอบความหนาวเย็น ยิ่งหนาวยิ่งดี จะดีกว่านี้ถ้าฝนตกซ้ำลงมา แต่น่าเสียดาย คืนนี้ไม่มีกลิ่นฝน”

“กลิ่นฝน? ” เพราะร่างบางยังคงหลับตาจึงรับรู้ได้เพียงน้ำเสียงฉงนสงสัยของวัสสะเท่านั้น เขาไม่มีทางรู้ว่าวัสสะมีสีหน้าเช่นไร แต่ช่างเถอะ เพราะนั่นไม่สำคัญเท่ากลิ่นฝนที่เขาพยายามเสาะหาในค่ำคืนนี้ อาจจะฟังดูเป็นความชอบที่แปลกประหลาด แต่เชื่อเถอะ ว่าคงไม่ใช่ธารางกูรคนเดียวที่ชื่นชอบที่จะดื่มด่ำกับอะไรเช่นนี้

“ไอดินกลิ่นฝน กลิ่นใบไม้ใบหญ้าคละคลุ้งปนกับกลิ่นดินโคลนโชยขึ้นมา กลิ่นแบบนั้นแหละ คุณรู้ใช่มั้ย”

“รู้สิครับ กลิ่นฝนที่มักจะมาก่อนหรือหลังฝนตก”

“ถูกเผงเลย”

“สีหน้าคุณดูชอบมัน”

“คงงั้นมั้งครับ”

“ผมควรถามมั้ยว่าทำไมคุณถึงชอบอากาศหนาวหรือว่ากลิ่นฝนอะไรนั่น”

“นี่คุณไม่ได้คิดจะสอบสวนผมใช่มั้ย” ธารางกูรเปิดตาขึ้นมาก็พบว่าวัสสะกำลังจดจ้องเขาอยู่ด้วยสายตาอ่านยาก ร่างสูงส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่จุกอกอยู่ไม่น้อยกับคำถามนี้ ในฐานะของตำรวจ เขาไม่สามารถจะบอกกับร่างตรงหน้าได้ว่า ณ ตอนนี้เจ้าตัวอยู่ในลิสต์รายชื่อผู้สมควรสงสัยและสมควรจับตามอง สิ่งเดียวที่จะทำให้ความเป็นตำรวจสมบูรณ์ได้คือการเก็บเกี่ยวสิ่งที่สังเกตได้จากธารางกูร ณ ที่นี้เข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์หาความเป็นไปได้ต่อไป แต่ถ้าถามใจของวัสสะเอง คำพูดที่เขาจะเอ่ยกับเพื่อนตำรวจได้ก็คงจะเป็นแค่คำว่าน่าสงสัย





น่าสงสัยเหลือเกินว่าทำไมพีรกุลถึงมั่นใจนักว่าคนที่มีแววตาอ่อนแอเช่นนี้จะฆ่าดารัณได้ลง





“เปล่านะครับ ผมแค่ถามในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไง ไม่ได้คิดจะสอบสวนอะไรทั้งนั้น คุณพูดอย่างกับว่าเรื่องฟ้าฝนจะใช้ในคดีได้อย่างนั้นแหละ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ ผมโดนสอบมาทั้งวันจนแทบจะพูดคุยเรื่องอื่นไม่ได้อยู่แล้วนี่นา”

“ขอแค่คุณยืนหยัดให้ไหว ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีครับคุณกูร” คำพูดของวัสสะทำให้ธารางกูรเกิดพลังขึ้นมาอย่างประหลาด ราวกับกำลังใจของเขาได้ถูกเติมเต็มขึ้นมาในยามยาก ดวงตากลมสบมองดวงตาของวัสสะกลับไป จริงสินะ ทุกอย่างจะผ่านไป ธารางกูรกำลังหวังให้ทุกอย่างผ่านไปและก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยดี

“ขอบคุณครับ… ส่วนเรื่องที่ผมชอบให้ฝนตกในฤดูหนาว… ฝนมันคืนชีวิตให้อากาศหนาวแห้งแบบนี้ ผมก็แค่อยากให้เม็ดฝนคืนชีวิตให้ผมในยามที่รู้สึกหนาวเหมือนกัน”

“คืนชีวิต...”

“ผมอยากมีชีวิต มีคนที่ผมรัก และมีวันพรุ่งนี้ ต่อให้มันหนาวเย็นจับใจแค่ไหนผมจะทน แต่น่าเสียดายที่คืนนี้ฝนไม่ตก… คืนนี้ก็เลยกลายเป็นแค่คืนหนาวเย็นธรรมดา”

“...” วัสนิ่งเงียบเพราะกำลังคิดตามในทุกคำพูด ลมหนาวระลอกใหม่พัดเข้ามาตอกย้ำคำพูดของธารางกูร ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองฟ้าเพื่อหาคำตอบว่าคืนที่เย็นยะเยือกฟ้าใสจนเห็นดาวเช่นนี้พอจะมีทางให้เม็ดฝนตกลงมาเพื่อต่อชีวิตให้ใครหรือไม่

“เห้อ ดูเหมือนว่าผมคงจะต้องเรียกรถใหม่เป็นคันที่สาม” ธารางกูรมองหน้าจอโทรศัพท์ที่คว้าขึ้นมาอีกครั้งอย่างท้อใจ สัญญาณเตือนจากแอปพลิเคชันแจ้งว่ารถแท็กซี่รอบดึกปฏิเสธเขากลางคันอีกครั้ง วัสสะหันกลับมามองร่างบางเมื่อประเด็นสนทนาเปลี่ยนไปฉับพลันด้วยหัวเรื่องแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร

“อ้าว ไหงเป็นงั้น”

“ช่างเถอะ ผมก็แค่ต้องรอต่อไป”

“ถ้างั้น… ผมว่าผมแวะไปส่งคุณก่อนดีกว่า”

“ไปส่งผม? ”

“อืม ไปส่งคุณในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง”









หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 2 ฤดูเหมันต์ 22/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 22-09-2018 22:10:54
บทที่ 3 หนาวกายใจคิดหนัก

“นายดูรอยช้ำใต้ตาขวานั่นสิ ฉันว่าค่อนข้างน่าสนใจ”

“นิติเวชให้ผลว่ายังไง”

“Livor mortis”

“ตกเลือดบริเวณใต้ตาเพียงข้างเดียว ทั้งที่สภาพศพอยู่ในท่านั่งกึ่งนอน และหงายขึ้นในทิศทางปกติ ฉันว่ามันแปลกไปหน่อยมั้ง”

“คิดไว้ไม่มีผิด ว่านายต้องเห็นว่ามันแปลกเหมือนกัน” ปองภพกระตุกยิ้มอย่างพอใจเมื่อวัสสะมีความเห็นไม่ต่างไปจากเขา สองนายตำรวจกำลังเพ่งลงไปบนจอคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องเดียวกันเทียบเคียงไปกับแฟ้มเอกสารผลการชันสูตรเบื้องต้นของคดีที่ยังเป็นข่าวคึกโครมไม่หยุด รูปภาพที่ถ่ายเน้นแต่ละจุดของศพดารัณเป็นหลักฐานที่มีความสำคัญอยู่มาก แม้ว่าทั้งปองภพและวัสสะจะไม่ได้มีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ แต่หน้าที่ของพวกเขาคือการตั้งข้อสงสัยและหาทิศทางความเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นการอยู่กับภาพไม่น่ามองนับชั่วโมงจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

“ฉันว่าแปลกในความไม่แปลกมากกว่า”

“ยังไง”

“ถึง Livor จะตกอยู่เต็มช่วงเอวถึงก้นแล้วก็ท้องขา แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ทั้งหมดมันเทไปทางด้านขวา” วัสสะกดเปลี่ยนภาพและชี้ให้ปองภพดูเป็นจุด ๆ ตามสิ่งที่เขาพูด Livor mortis ที่วัสสะพูดถึงคือรอยช้ำแดงจนเกือบคล้ำจากการตกเลือดหลังการตาย แน่นอนว่ารอยช้ำเหล่านั้นจะต้องตกลงไปในทิศทางเดียวกับแรงโน้มถ่วงของโลก การที่ร่องรอยเหล่านั้นปรากฏในทิศที่ผิดไปจากท่านอนของศพจึงทำให้มันเป็นเรื่องประหลาดไปโดยปริยาย

“จ่า ในรายงานของนิติเวชมีการสังเกตข้อนี้มั้ย” ปองภพหันไปถามเพื่อนร่วมอาชีพอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะประชุมอยู่ด้วยกัน อันที่จริงเขาได้อ่านรายงานของนิติเวชที่เพิ่งจะมาถึงแล้วทั้งหมด แต่ต้องการความแน่ใจจากหลาย ๆ เสียงอีกครั้งเพื่อป้องกันการตกหล่น

“มีครับ แต่แพทย์ให้เหตุผลว่าอาจเกิดจากการเคลื่อนตัวของศพหลังกลุ่มเลือดเริ่มคลั่งแล้ว” นายจ่าตำรวจพลิกเอกสารในมือและยื่นยืนยันให้กับปองภพ ปองภพคว้ามาอ่านขณะที่วัสสะเริ่มใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะเพราะความหนักใจ

“อันนี้ฉันเห็นด้วยนะวัส เพราะอ่างอาบน้ำที่พบศพค่อนข้างลาดเอียงและมีโอกาสเป็นไปได้ที่ผู้ตายตะแคงขวาเล็กน้อยก่อนจะหมดสติไป พอเวลาผ่านศพจึงค่อย ๆ ไหลลงมาหงายเต็มแผ่นหลัง”

“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิภพ นายอย่าลืมว่าผู้ตายมีรอยกรีดที่ข้อมือและเลือดกองใหญ่”

“จริงด้วย”

“ถ้าตายด้วยภาวะขาดเลือด ศพไม่ควรมี Livor เยอะขนาดนี้ หรือไม่ควรมีเลยด้วยซ้ำ” วัสสะปิดเปลือกตาลงและพยายามคิดต่อเนื่องไปต่าง ๆ นานา เท่าที่เขาเรียนรู้มาหากศพมีบาดแผลและตายจากการเสียเลือด ร่องรอยช้ำเป็นปื้นเหล่านี้ไม่ควรจะปรากฏออกมาให้เห็น หรือถ้ามีมันก็ควรจะหลงเหลืออยู่ในจำนวนที่น้อยมาก

“หรือว่าดารัณจะไม่ได้ตายเพราะกรีดข้อมือ” ปองภพว่า เท่ากับตอนนี้ความซับซ้อนจากรายละเอียดเล็กน้อยเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตำรวจอีกหลายคนในห้องเริ่มมีสีหน้าไม่ต่างกับวัสสะ ทุกคนต่างพยายามคิดหาทางลงที่เป็นไปได้ที่สุดของคดีนี้

“เราพอจะมีทางตรวจสอบกองเลือดในที่เกิดเหตุได้มั้ยภพ ว่าที่ไหลออกมาทั้งหมดจะมากพอให้คนคนหนึ่งตายรึเปล่า”

“ไม่แน่ใจนะว่าจะมีวิธีมั้ย”

“หรือว่ามันตรวจจากเลือดที่ยังเหลือเลือดในร่างกายได้”

“ไม่รู้โว้ย เป็นตำรวจไม่ได้เป็นหมอ แค่ฉันรู้เรื่อง Livor ก็บุญหัวแล้วล่ะ”

“หรือว่าพวกเราเข้าใจเรื่อง Livor ผิดไป”

“ไม่รู้สิ เอายังไงดีวะเนี่ย” ปองภพถึงสบถออกมาเมื่อหมิ่นเหม่เหลือเกินว่าคดีนี้ต้องไม่ใช่คดีฆ่าตัวตายธรรมดา แน่นอนว่าหากการตายของดารัณเป็นการฆาตกรรมจริงหลังจากนี้คงไม่ใช่เรื่องสนุก แม้ว่าเขาจะคาดการณ์เอาไว้บ้างและมีเป้าผู้ต้องสงสัยไว้ในใจอยู่แล้วก็ตามที

“ให้ผมนัดนิติเวชมาให้การ หรือขอหนังสือชี้แจ้งผลชันสูตรเพิ่มเติมมั้ยครับผู้กอง”

“ว่าไงวัส”

“ดีจ่า อย่างน้อยแพทย์ชันสูตรต้องมีความรู้เรื่องนี้มากกว่าเราแน่ ๆ แจ้งท่านผู้กำกับและนัดให้เร็วที่สุด ผมอยากให้เขามาช่วยวิเคราะห์ร่วมกัน อย่างน้อยเราควรได้เหตุผลที่ดีมากพอก่อนที่เบื้องบนจะลงมาเล่นคดีมากกว่านี้” วัสสะอาศัยอำนาจในห้องประชุมสั่งการเบื้องต้นทันที คดีดังแบบนี้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มองเป็นเรื่องดีสำหรับตัวอยู่แล้ว ยิ่งผู้ตายเป็นดาราข่าวไม่เงียบมาสามวันติดย่อมอยากออกมาเผชิญหน้ากับสื่อเพื่อให้ได้พื้นที่ของตน แล้วคนที่ไม่ได้คำคดีแต่คว้าเล่มรายงานไปพูดจ่อไมค์เหล่านี้นี่แหละที่ทำให้คดีผิดเพี้ยนไปนักต่อนัก

“ออ เร่งเรื่องการตรวจอวัยภายในกับสารพิษในร่างกายด้วยนะจ่า ขอลัดคิวก่อนมีใบสั่งจากเบื้องบนไปเลย แล้วอย่าลืมประสานกับทีมสอบสวน เดี๋ยวจะหาว่าข้ามหน้าข้ามตากันอีก”

“รับทราบครับ” ปองภพกำชับเสริม ก่อนที่นายตำรวจคนดังกล่าวจะรับคำและเดินออกไปพร้อมความสงสัยครุ่นคิดที่ยังคงอยู่ แต่ถ้าจะให้เทียบสีหน้ากันในนาทีนี้ สีหน้าของวัสสะคงจะเป็นสีหน้าคิดหนักที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงมากที่สุด คิ้วเข้มตึงเข้าหากันจนแทบจะเป็นเส้นตรง ดวงตาคมจ้องเขม็งไปยังพื้นที่ว่างเพื่อปล่อยให้สมองได้ใช้ความคิด ริมฝีปากหนานิ่งสนิทเมื่อเขาไม่อาจจะคลี่ยิ้มเพื่อแสดงความรู้สึกสดใสใด ๆ ถ้าจะให้คนมองอย่างปองภพตีความ อาจจะเพราะคดีใหญ่ในความรับผิดชอบตอนนี้มันยังไม่ตกผลึกเสียที

“พวกคุณไปทำงานอื่นเถอะครับ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมเราค่อยมาคุยกันอีกที” ปองภพเอ่ยกับนายตำรวจราวสามคนที่ยังนั่งอยู่ พวกเขาจึงต่างแยกย้ายออกไปทำหน้าที่ของตน โดยทิ้งสารวัตรและผู้กองของพวกเขาไว้กับความฉงนสงสัยที่ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย

“ถ้าดารัณไม่ได้ฆ่าตัวตาย ทำไมไม่มีพยานหลักฐานอื่นเลย” วัสสะพึมพำออกมาให้ปองภพพอจะได้ยิน เขาทิ้งตัวพิงลงไปกับพนักเก้าอี้มากขึ้น มือหนายังคงเร่งจังหวะเคาะลงกับโต๊ะไม่หยุด ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก ปองภพเห็นภาพการใช้สมองผ่านเรียวนิ้วของวัสสะมาจนชินชาเสียแล้ว

“เห้อ มีแต่ความน่าสงสัยเต็มไปหมด ทั้งร่างกายไร้วิญญาณนั่น แล้วก็คนใกล้ชิดของผู้ตาย ส่วนหลักฐานที่จะโยงไปถึงการฆาตกรรมไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว” ปองภพทอดถอนหายใจออกมาเพราะในสถานที่เกิดเหตุและพยานแวดล้อมไม่มีสิ่งใดหนักแน่นพอที่จะทำให้เขาฟันธงได้ว่าคดีนี้เป็นการตายอย่างผู้ถูกกระทำ กล้องวงจรปิดทางเข้าออกจำนวนสามจุดยืนยันว่าดารัณอยู่ในบ้านหลังนั้นเพียงคนเดียวในช่วงเวลาที่เสียชีวิต ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ทรัพย์สินสูญหาย หรือแม้แต่การติดต่อที่ผิดแปลกไปในเครื่องโทรศัพท์ ไม่มีอะไรยืนยันว่าดารัณถูกฆ่าตาย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรยืนยันถึงเหตุจูงใจที่ดารัณจะฆ่าตัวตายเช่นกัน

“คนใกล้ชิดของผู้ตาย นายหมายถึง...” วัสสะถามย้ำทั้งที่รู้ดีว่าปองภพหมายถึงใคร

“พอลกับกูรไงล่ะ”

“จริงด้วยสิ ที่นายจับตาดูพอลได้ผลเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“เท่าที่ดูแล้วก็ได้ข้อมูลมา พื้นฐานพอลค่อนข้างเป็นคนฉุนเฉียวนะ ในห้องสอบสวนวันนั้นน่าจะใช้อารมณ์อยู่พอสมควร ออ แล้วเมื่อคืนฉันไปเจอเขาที่งานศพของดารัณมา สภาพพอลดูไม่ได้เลย ดูเสียใจหนักเอาการอยู่ เริ่มคิด ๆ เหมือนกันว่าที่นายกูรพูดจะจริงรึเปล่า” ปองภพอธิบายภาพที่เขาเห็นมากับตา พีรพลมีท่าทางซึมเศร้าร้องไห้หนักตลอดเวลาจนต้องหาที่นั่งหลบสื่อจ้า เผลอ ๆ งานนี้พีรพลอาจจะเสียน้ำตามากกว่าแม่คนตายเสียด้วยซ้ำ

“เริ่มคิด? ” ใบหน้าของปองภพแสดงออกชัดเจนว่าเขาคิดไปไกลกว่านั้น และแน่นอนว่าวัสสะสัมผัสมันได้ในทันที

“ก็คิดมาแล้วทั้งคืนแหละ ว่าถ้ามันพลิกไปเป็นการฆ่ากันตายจริง ๆ คงไม่พ้นเรื่องชู้สาว”

“เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนนะภพ ถ้าหลุดออกไปจากเราสองคนมันจะเสียรูปคดี และคงไม่ดีแน่ ๆ ถ้าสื่อประโคมข่าวก่อนเราได้ข้อเท็จจริง”

“รู้แล้วน่า” ปองภพโคลงศีรษะคล้ายไม่ต้องการให้วัสสะย้ำบ่อย ๆ เขาเข้าใจดีอยู่แล้วว่าการคาดเดามันละเอียดอ่อนกับคดีที่อยู่ในความสนใจเช่นนี้มากแค่ไหน ถึงการให้การไม่ตรงกันจะพอยกมาใช้ได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่มีหลักฐานอื่นใดมากไปกว่านั้นอยู่ดี

“เรื่องชู้สาว พระเอกดังสองคนกับเรื่องชู้สาวเนี่ยนะ” วัสสะแค่นยิ้มออกมาราวกับพูดถึงเรื่องเหลือเชื่อ นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าหากบทสรุปมันเหนือความคาดหมายคนทั่วไปขนาดนั้น สังคมจะนำเรื่องนี้ไปเป็นหัวข้อสนทนามากแค่ไหน เผลอ ๆ มันอาจจะกลายเป็นเรื่องที่ถูกจดจำไม่ลืมเลยก็ได้

“กลัวจะไม่ใช่พระเอกสองคน แต่เป็นผู้ชายสามคนน่ะสิ”

“หืม นายหมายถึงกูรน่ะหรอ”

“กูรให้การว่าพอลกับดารัณอาจมีความสัมพันธ์กัน ส่วนพอลมั่นอกมั่นใจว่าดารัณกับกูรมีความสัมพันธ์กัน ฉันว่ามันชัดอยู่แล้วว่าต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่ ๆ ”

“แต่ฉันว่ากูรไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้” ปองภพเลิกคิ้วสงสัย เพราะจู่ ๆ ก็ดูเหมือนว่าวัสสะจะหายเคลือบแคลงสงสัยธารางกูรไปเสียง่าย ๆ

“ทำไมนายคิดแบบนั้น”

“ไม่รู้สิ สัญชาตญาณมันบอก เมื่อวันก่อนฉันแวะไปส่งกูร เห็นอยู่เป็นคอนโดธรรมดา ๆ เลยนะ รถราก็ไม่มีขับ ถ้าคนที่มีความสัมพันธ์กับดาราระดับดารัณ อย่างน้อยก็ควรจะอยู่คอนโดสุดหรู หรือมีรถอีโคคาร์สักคัน บวกกับข้อมูลจากพยานปากอื่น ๆ ก็ยืนยันว่ากูรเป็นคนเงียบ ๆ เรียบร้อย นิสัยดี และค่อนข้างเคารพดารัณเหมือนผู้มีพระคุณคนนึง”

“เดี๋ยวนะ”

“หึม นายเห็นต่างเหรอ”

“ไอ้ที่นายว่ามามันก็มีส่วนจริงอยู่หรอก แต่ไม่เห็นนายเคยเล่าให้ฟังว่าไปส่งนายกูรนั่นมา”

“ไม่ได้ตั้งใจน่ะ วันนั้นมันดึก แล้วเขาก็ไม่มีรถกลับ เลยถือโอกาสสังเกตแล้วก็สอบถามเรื่องที่เป็นประโยชน์ด้วย” วัสสะไหวไหล่คล้ายกับไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย ปองภพพยักหน้าเข้าใจตามที่ร่างสูงพูด

“แล้วยังไง นายได้ข้อมูลอะไรบ้าง”

“ไม่เลย กูรดูมีอาการเครียด ฉันเลยไม่อยากเค้นถามอีก นั่งเงียบกันไปจนส่งถึงที่นั่นแหละ”

“น่าเสียดาย” ปองภพแสดงความเสียดายออกมาผ่านน้ำเสียงอย่างชัดเจน ส่วนวัสสะไม่ได้มีท่าทางเสียดายอะไร อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้พูดคุยเรื่องกลิ่นฝนและความหนาวเย็นกับธารางกูร

“ไม่เห็นเป็นไร วันนี้ทีมสอบสวนเรียกกูรมาให้ปากคำเพิ่มเติมแล้วนี่ น่าจะได้อะไรมากกว่าเดิมอยู่นะ”

“เป็นสิ ก็วันนี้กูรไม่ได้มาให้ปากคำตามนัด”

“อ้าว ทำไมล่ะ” วัสสะแสดงสีหน้าแปลกใจออกมาทันที ร่างสูงมัวแต่ขลุกอยู่กับสำนวนคดี ผลการชันสูตรและภาพศพจนไม่ได้สนใจเรื่องการสืบพยานเพิ่มเติมในวันนี้

“จะไปรู้เหรอ”

“เขาอาจจะแค่ลืมรึเปล่า อาจจะมาหลังเวลานัดอะไรแบบนั้น”

“นี่มันเลยเวลาราชการไปแล้วนะครับคุณสารวัตร แล้วเห็นว่าโทรไปก็ไม่รับสาย เป็นไงล่ะ นายยังคิดว่านายกูรนั่นไม่เกี่ยวอีกเหรอ กลิ่นออกขนาดนี้”

“ทำไมถึงไม่มา” วัสสะพูดออกมาเสียงเข้มคล้ายคนหงุดหงิด เรียวนิ้วที่ยังเคาะโต๊ะส่งเสียงเป็นจังหวะหนักขึ้นจนปองภพคิดได้ว่าวัสสะคงจะเซ็งอยู่ไม่น้อยที่มองโลกในแง่ดีกับธารางกูรมากจนเกินไป

“อันนี้ฉันก็ให้คำตอบนายไม่ได้หรอกนะ ถ้าคืนนี้หายไปจากงานศพดารัณอีกก็ชัวร์ ตีความไปในทิศทางเดียวได้เลย”

“ไม่รู้สิภพ ฉันว่าคนที่มีสายตาแบบนั้นไม่น่าจะวางแผนฆ่าใครได้” ร่างสูงนึกถึงใบหน้าของธารางกูรที่เขาจดจำมันได้ดี เขาไม่อาจจินตนาการถึงภาพที่ชายหนุ่มคนนั้นถูกจับข้อหาฆาตกรรมได้เลยแม้แต่น้อย

“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจหรอกวัส”

“นั่นสินะ”

“แต่ยังไงก็คงต้องตามมาให้ปากคำให้ได้ก่อน ยังมีอีกหลายประเด็นที่เป็นประโยชน์ ทั้งเรื่องเกี่ยวกับพอลแล้วก็เรื่องการใช้จ่ายเงินของดารัณที่กูรดูแลให้”

“ออกหมายเรียกเร่งด่วนซ้ำไปเลยก็ได้นะ อย่าปล่อยให้คลาดไปนาน”

“จริง ๆ นายน่าจะไปดูก่อน”

“ฉัน? ” วัสสะชี้นิ้วเข้าหาตัวอย่างไม่เข้าใจ ปองภพพยักหน้ายืนยันก่อนจะพยายามอธิบายเหตุผลที่วัสสะควรจะทำตามที่เขาพูด

“นายเคยไปแล้วนี่ พาทีมไปด้วยสักคนสองคนก็ได้ ไปเช็คสักหน่อยว่ายังอยู่ดี หรือเก็บของหนีไปแล้ว”

“ฉันไปส่งแค่หน้าคอนโดเขามั้ยล่ะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ห้องไหนยังไง” วัสสะกำลังอิดออดอย่างไม่มีเหตุผล เหตุผลเดียวที่พอจะอ้างกับปองภพได้คือเขาไม่ได้มีเวลามากพอที่จะไปตามพยานบุคคลถึงที่ขนาดนั้น

“ในประวัติที่ทำไว้ก็มีรายละเอียดนี่ ไม่รู้สิ ฉันว่าอย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่เฉย ๆ ”

“งั้นนายนั่นแหละไปกับฉัน”

“คงไม่ได้หรอก วันนี้ฉันต้องไปที่งานศพ เจรจาขอให้พอลเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมอีกคน เอาน่าวัส อย่างน้อยก็กันไว้กว่าแก้ ถ้าเกิดกูรหนีไปจริง ๆ เราจะได้ไม่เหนื่อยมากไง”

“รู้แล้วน่า ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไปสักหน่อย” แม้จะแสดงอาการไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ แต่วัสสะก็ไม่ได้ปฏิเสธเสียงแข็งให้กับงานของเขา ช่างเถอะ ถือว่าใช้เวลาทำหน้าที่ของตนให้คุ้มค่ากับอากาศหนาวเย็นตามคำพยากรณ์ก็แล้วกัน





หวังว่าจะเจอกันนะธารางกูร




หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 2 ฤดูเหมันต์ 22/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 22-09-2018 23:52:39
บทที่ 4 กลิ่นลางร้ายปรากฏ

เสียงเครื่องยนต์เงียบสงบลงเมื่อรถแลนด์โรเวอร์สีดำเทียบจอดที่ข้างฟุตปาธ คนขับไม่ได้คว้าเสื้อโค้ตสีดำปลุกคลุมร่างกายเพื่อเตรียมตัวออกไปเผชิญกับอาการเย็นเฉียบด้านนอก เขาทำเพียงปลดสายซองปืนคาดอกออกและยัดมันเก็บเอาไว้ที่คอนโซลหน้ารถ ปืนพกขนาดเหมาะมือถูกเหน็บเข้าที่ข้างเอวใต้ร่มผ้าก่อนที่เขาจะดึงชายเสื้อยืดสีขาวออกมาปิดเอาไว้จนแนบสนิท จริงอยู่ที่วัสสะสามารถพกปืนในที่สาธารณะได้อย่างชอบธรรม แต่เขากลับสบายใจมากกว่าที่จะอยู่ในชุดตำรวจนอกเครื่องแบบและเก็บอาวุธร้ายแรงเอาไว้ให้ลับสายตา

“ห้าศูนย์หนึ่งศูนย์” วัสสะอ่านเลขห้องผ่านรูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือซ้ำอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจลงจากรถ เมื่อเท้าสัมผัสพื้น ลมแรงก็กรรโชกเข้ามาย้ำเตือนว่าปีนี้ฤดูหนาวทำหน้าที่ได้ดีเสียเหลือเกิน ลำแขนแกร่งยกขึ้นกอดตัวเองเบา ๆ ขณะที่เจ้าของร่างกำลังเดินเข้าไปในตัวอาคาร

ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ไม่มีใครมีเวลามากพอจะมาที่นี่พร้อมกับเขา สารวัตรหนุ่มจึงจำยอมมาหาพยานปากเอกตามคำแนะนำของเพื่อนสนิทเพียงลำพัง และด้วยรูปถ่ายประวัติของธารางกูรเพียงรูปเดียว ไร้หมายค้น หมายจับ หมายเรียก หรือเอกสารราชการอื่นใด เรียกได้ว่าถ้าสถานการณ์พลิกผัน ธารางกูรคิดจะหัวหมอขึ้นมา ตำรวจอย่างเขาก็คงจะลำบากอยู่เหมือนกัน

“ไปด้วยครับ” วัสสะอาศัยจังหวะที่กำลังจะมีคนขึ้นลิฟต์แทรกตัวเข้าไปทันที ดูเหมือนว่าโชคชะตาเข้าข้างเขาไปเสียหมด เพราะเขาสามารถกดหมายเลขชั้นที่ต้องการโดยไม่ต้องใช้คีย์การ์ด และแน่นอนว่านี่เป็นความหละหลวมของสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผู้อยู่อาศัย

บรรยากาศภายในที่นี่คล้ายคลึงกับคอนโดระดับกลางทั่วไป ออกจากโถงลิฟต์ก็พบห้องพักมากมายเรียงรายอยู่ติดกันไม่ต่างกับชุมชนแออัดที่ผ่านการยกระดับ วัสสะหยิบสิ่งที่เคยพูดกับปองภพขึ้นมาคิดอีกครั้ง หากธารางกูรคบหากับดารัณจริงหรือแม้แต่ยักยอกทรัพย์ของดาราดังมาไว้กับตัว คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาอยู่ในที่พักระดับมนุษย์เงินเดือนขั้นต้นเช่นนี้ หวังว่าสุดท้ายแล้วปองภพจะได้มาเห็นที่นี่สักครั้งและมีความคิดเช่นเดียวกันกับเขา

ก๊อก ๆ ๆ เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นที่วัสสะพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักที่ถูกระบุว่าเป็นห้องของธารางกูร หมายเลขห้องพร้องตรงกับรูปถ่ายเอกสารในโทรศัพท์มือถือ สีหน้าของนายตำรวจหนุ่มค่อนข้างเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด คงไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดถึงสิ่งใดอยู่ แต่ที่แน่ ๆ คือเขากำลังจดจ่อกับบานประตูไม้สีขาว ดวงตาคมกริบจ้องเข้าไปในช่องมองตาแมวเล็ก ๆ เพื่อหวังให้คนด้านในรับรู้ว่าเขาเป็นใครในทันทีที่มองออกมา แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นน่ะสิ ปัญหามันอยู่ที่ว่า ณ ตอนนี้วัสสะไม่รู้ว่าธารางกูรอยู่ด้านในห้องรึเปล่า

“คุณกูร… นี่ผมเองนะ สารวัตรวัสสะ” เสียงทุ้มเอ่ยออกไปในระดับที่ไม่ได้ดังมากนัก ร่างสูงเหลือบมองช่องว่างที่ขอบประตูด้านล่างและไม่พบว่ามีแสงไฟใดเล็ดลอดออกมา เขาตัดสินใจเคาะประตูซ้ำอีกครั้งในจังหวะเสียงที่ดังมากกว่าเดิม

ก๊อก ๆ ๆ

“คุณกูร คุณอยู่ในห้องรึเปล่า ผมวัสเอง” อีกไม่นานร่างสูงคงจะถอดใจและเลิกล้มความตั้งใจมาเยี่ยมเยียนอย่างประนีประนอมในครั้งนี้ หากไม่ได้รับสัญญาณใด ๆ จากภายในห้อง ทว่าในเสี้ยววินาทีหนึ่งกลับมีเสียงขยับเขยื้อนบางสิ่งเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน เสียงกุกกักวิ่งวนในโสตประสาทก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสนิทไปอีกครั้ง

ก๊อก ๆ ๆ

“ธารางกูร” ร่างสูงพยายามเงี่ยหูฟังเพราะความวุ่นวายจากห้องใกล้ ๆ ทำให้การรับรู้ของเขาแย่ไปเสียหมด ยิ่งใช้เวลานานอากัปกิริยาของวัสสะยิ่งไม่สู้ดีนัก มันคงเป็นเรื่องยากถ้าจะให้เขามานั่งอธิบายว่าเรื่องราวในสมองตอนนี้เต็มไปด้วยสิ่งใด เอาเป็นว่าเขาต้องการให้ความมั่นใจที่ว่าธารางกูรยังอยู่ดีในห้องเกิดขึ้นจริง อย่างน้อยผลดีข้อแรกคือความคิดในแง่ร้ายของปองภพนั้นผิดไป

แกร๊ก ทันใดนั้นบานประตูห้องก็ค่อย ๆ เปิดออก ความมืดด้านในทำให้วัสสะเห็นเพียงดวงตาของคนในห้องสะท้อนกับแสงไฟภายนอกเท่านั้น คนเปิดประตูทิ้งใบหน้าเอนซบลงมากับขอบวงกบ ดวงตาแดงก่ำจ้องมองมายังนายตำรวจนอกเครื่องแบบด้วยเครื่องหมายคำถามมากมาย ไม่ต่างกัน วัสสะเองก็มองธารางกูรด้วยความสงสัยใคร่รู้ทั้งหมดที่มี

“คุณ...ม มาได้ไง” น้ำเสียงของร่างบางแหบพร่ากว่าที่ควรจะเป็น เจ้าตัวทิ้งน้ำหนักทั้งหมดไปที่กำแพงข้างบานประตูคล้ายคนกำลังจะหมดแรง ทั้งยังปล่อยมือจากลูกบิดจนประตูเปิดออกมากขึ้นตามกลไกที่ควรจะเป็น วัสสะมองเข้าไปภายในห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่แสงไฟสักดวง และย้อนกลับมามองธารางกูรด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป





ความกังวลเคร่งเครียดที่เคยมีเริ่มเลือนหาย

และถูกแทนที่ด้วยความห่วงใยที่ดูลึกซึ้งอย่างน่าประหลาดใจ





“คุณไม่ไปตามนัดของพนักงานสอบสวน”

“น...นี่กี่โมงแล้ว” ธารางกูรพยายามจะพูดและมองไปรอบตัวทั้งที่สภาพของเขาแทบจะไม่ไหว เปลือกตาของเขาปรือหนักคล้ายคนที่ใกล้จะหมดสติเต็มที มองปราดเดียววัสสะก็รู้แล้วว่าร่างบางอยู่ในพิษไข้ หรือไม่ก็อาการป่วยอื่นใดที่หนักหนาเอาการจนลืมวันลืมคืนไปเสียหมด

“เกือบจะสามทุ่มแล้วครับคุณกูร”

“ผ...ผมขอโทษ ผม...ผมจะไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้” ร่างบางยังคงอดกลั้นพูดออกมาทั้งที่เสียงขาดหายเป็นช่วง ๆ เขาทำท่าจะผละตัวออกจากกำแพงและเดินกลับเข้าไปในห้องของตน ทว่าเรี่ยวแรงน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ไม่ได้มากพอให้เขายั้งยืนได้ไหว ก่อนที่ร่างกายที่ผอมบางกว่าจะล้มลงไป วัสสะก็เอื้อมรั้งธารางกูรเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว แผ่นหลังได้รูปปะทะกับอกแกร่งอย่างไร้การควบคุม วัสสะตกใจจนนิ่งไปเมื่อพบว่าไอร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายคนป่วยนั้นมีมากกว่าที่เขาคาดเอาไว้

“ตัวร้อนขนาดนี้จะแต่งตัวไปไหนอีก ถ้าคุณจะให้ผมช่วยพาไปโรงพยาบาลไม่ต้องเปลี่ยนชุดแล้วก็ได้มั้งครับ”

“ผม...” ร่างบางคอตกก้มมองพื้นอยู่ตลอดเวลาทั้งที่อยากจะเงยหน้าสบตาคู่สนทนา นี่สินะต้อตอของเสียงกุกกักที่ขาดระยะเมื่อคู่ ไม่อยากจะจินตนาการจริง ๆ ว่าธารางกูรจะล้มลุกคลุกคลานแค่ไหนก่อนจะหอบสารร่างมาถึงบานประตู

“จะอะไรก็ช่างเถอะ ผมขออนุญาตเข้าห้องคุณก่อนก็แล้วกัน” วัสสะไม่ว่าเปล่า เขาใช้ศอกดันเปิดสวิตช์ไฟที่อยู่ไม่ไกลจากกรอบประตูนัก ระบบไฟฟ้าเริ่มทำงานส่องแสงสีขาวนวลไปทั่วบริเวณห้อง ร่างสูงกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะใช้ปลายเท้าปิดประตูและยกแขนของธารางกูรวาดขึ้นไปคล้องคอตน เขาพยุงร่างบางและค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างใจเย็น ก่อนจะปล่อยร่างกายไร้เรี่ยวแรงลงไปกับเตียงยับย่นที่น่าจะผ่านการใช้งานต่อเนื่องมานานหลายชั่วโมง

“มันจะไม่เป็นอะไรเหรอครับ… ท...ที่ผมไม่ได้ไป” ธารางกูรกำลังขดร่างกายตนเองบนเตียง นายตำรวจยืนมองภาพน่าสงสารอยู่นานก่อนจะเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดผิวกายของร่างบางลวก ๆ ทันใดนั้นลมเย็นวูบใหญ่ก็พัดผ่านเข้ามาภายในห้อง และแน่นอนว่าผู้มาเยือนอย่างวัสสะต้องมองหาต้นตอของมัน อากาศเย็นเฉียบ ณ ที่แห่งนี้ไม่ได้มาจากเครื่องปรับอากาศ แต่มันมาจากการที่ธารางกูรเปิดประตูระเบียงทิ้งไว้จนผ้าม่านสีเทาผืนหนาเคลื่อนไหวต่อเนื่องราวกับเกลียวคลื่น

“เป็นสิครับ แต่อย่างมากก็คงแค่เปลี่ยนจากการนัดหมายเป็นออกหมายเรียก ช่างเถอะ คุณควรจะพักผ่อน ไหวรึเปล่า หรือจะให้ผมช่วยพาไปหาหมอ” วัสสะพูดโดยไม่หันไปมองคนที่ซุกศีรษะลงกับหมอน ร่างสูงก้าวยาวไปยังบานประตูกระจกและหมายจะปิดมันลงเพื่อทำให้อากาศภายในห้องอบอุ่นขึ้น

“ไม่เป็นไรครับ…ผ ผมกินยาแล้ว” เสียงของธารางกูรเบาลงในทุก ๆ คำ ความหนาวจากพิษไข้เต็มไปด้วยอาการร้อนระอุที่ทำให้ไม่สบายตัว แม้จะดึงผ้าห่มขึ้นจนมิดถึงคอแต่อุณหภูมิร่างกายที่สูงก็ยังทำให้เม็ดเหงื่อซึมออกมาขัดแย้งกับความรู้สึกเย็นไปทั้งตัว

“ผมหวังว่าคุณจะเป็นแค่ไข้ธรรมดา”

“คงงั้นครับ”

“ผมไม่แปลกใจเลย คืนก่อนเล่นนั่งตากลมเสียขนาดนั้น”

“ย...อย่าปิด...” ธารางกูรส่งเสียงห้ามเมื่อเห็นว่าวัสสะเลื่อนบานประตูกระจกปิดไปราวครึ่งราง เมื่อถูกร้องทักเช่นนั้นวัสสะคงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากเปิดประตูเอาไว้เช่นเดิม คนไม่เข้าใจคลอนศีรษะก่อนจะกลับมายืนเท้าเอวมองคนป่วย ธารางกูรพยายามสบตาเขาทั้งที่เปลือกตาหนังอึ้งแทบจะปิด

“แปลว่าที่ผมเดามันไม่ผิด”

“...” ธารางกูรไม่ได้ตอบ ร่างกายของเขากำลังขดตัวใต้ผ้าห่มราวกับกุ้ง แม้จะมีเพียงลมเย็นจากภายนอกปะทะเข้ากับใบหน้า แต่นั่นกลับทำให้รู้สึกดีไม่แพ้ในค่ำคืนที่เขาได้ใช้เวลากับลมหนาวและกลิ่นลมฝนอ่อน ๆ อย่างที่ชอบ

“เห้อ ผมจะเอายังไงกับคุณดีเนี่ย”

“ข...ขอโทษนะครับ ไว้พรุ่งนี้ผมจะ… ผมจะติดต่อตำรวจไปอีกที… ถ้าคุณวัสจะกลับ… ผ...ผมรบกวนล็อกห้องให้ด้วยก็ดี” สิ้นเสียงของร่างบาง วัสสะไม่ได้พูดอะไรหรือขยับเขยื้อนตัวไปไหน เขายังคงยืนมองอยู่ที่เดิม พร้อมกับเรียวคิ้วที่กระตุกเป็นจังหวะอยู่เรื่อย ๆ แปลกดีเหมือนกันที่แววตาของเขาแสดงความยากลำบากที่มีอยู่เต็มอกออกมา หากจะหาเหตุผลดี ๆ สักข้อในการอยู่ที่นี่ต่อ เขาก็คงจะต้องยกมนุษยธรรมออกมาอ้างทั้งที่ไม่จำเป็น

‘เจอตัวแล้ว ป่วยหนักเอาการ’ วัสสะไม่ได้ทำเพียงส่งข้อความแชทไปหาผู้กองปองภพผู้คะยั้นคะยอให้เขามาที่นี่ เขายังยกกล้องโทรศัพท์ขึ้นถ่ายภาพของธารางกูรบนเตียงส่งไปเป็นหลักฐานยืนยันอีกด้วย เมื่อเจ้าของห้องนิ่งเงียบไปจนได้ยินเพียงเสียงลมหนาวกระทบผ้าม่าน คนที่อดรนทนไม่ไหวอย่างวัสสะจึงเริ่มเดินสำรวจภายในห้องเล็ก ๆ เพื่อหาสิ่งของบางอย่าง

“หนาวไปทั้งห้องยังจะไม่ยอมให้ปิดประตู” เสียงพึมพำเพียงลำพังพอจะทำให้ห้องไม่เงียบเกินไป มือหนาคว้าชามใบเล็กขนาดเหมาะมือก่อนจะเปิดก็อกที่อ่างล้างหน้าเพื่อเตรียมน้ำอุณหภูมิห้อง ชามน้ำถูกวางที่โต๊ะเล็กข้างหัวเตียง วัสสะใช้หางตามองธารางกูรที่ปิดเปลือกตาแนบสนิท ทว่าลมหายใจของร่างบางกลับไม่ได้สม่ำเสมออย่างที่คนทั่วไปเป็นยามหลับใหล เมื่อมองจนพอใจแล้ววัสสะจึงเดินหาของที่จำเป็นต้องใช้อีกครั้ง ร่างสูงหยุดยืนอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้าก่อนจะย่อตัวลงเพื่อลดความสูงให้เปิดลิ้นชักชั้นล่างได้สะดวกขึ้น

ดูเหมือนว่าลิ้นชักที่วัสสะเลื่อนเปิดออกมาจะไม่ได้มีผ้าขนหนูผืนเล็กตามที่เจ้าตัวหมายมั่นตั้งใจ เขาผุดตัวลุกและเปิดบานประตูใหญ่ของตู้แทน คราวนี้เขาได้พบกับสิ่งที่น่าพอใจ เหล่าผ้าขนหนูตั้งอยู่ที่ชั้นวางภายใน วัสสะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กสีครีมหม่นมาไว้ในมือ ทว่าแทนที่จะปิดประตูตู้ลงและเดินไปทำในสิ่งที่ตั้งใจ เขากลับยืนนิ่งงันมองของสิ่งหนึ่งที่วางอยู่ข้างกองผ้าด้วยเสียงหัวใจที่เพิ่มมิติการเต้นขึ้นทุกวินาที





สิ่งที่ดวงตาเห็นสร้างความสงสัยได้มากมาย

แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าดวงตาคือสมองที่เริ่มตีความไปไกลต่างหาก





กล่องสีดำขนาดเหมาะมือถูกเปิดเผยอเตะตานายตำรวจอย่างเขา วัสสะแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดวิเคราะห์ใด ๆ ที่เขาเห็นมันเป็นกล่องปืนกล็อค ปืนพกสั้นที่มีน้ำหนักเบาใช้งานง่ายไม่ผิดแน่ ความสงสัยอยากรู้เร่งเร้าให้เขาตัดสินใจรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของธารางกูรมากขึ้นไปอีกระดับ มือหนาเอื้อมแตะที่กล่องดังกล่าวก่อนจะค่อย ๆ เปิดมันออกให้พอเห็นทุกอย่างด้านใน

“คิดจะทำอะไรกันแน่” วัสสะพูดกับตัวเองเมื่อสิ่งที่เขาคิดมันไม่ได้ผิดไปเลย ตัวปืนพกวัสดุคล้ายพลาสติกถูกวางทิ้งไว้ในกล่องโดยไม่ได้ถูกจัดเก็บให้ลงล็อก นั่นคงจะเป็นเหตุให้ฝากล่องที่ควรจะทิ้งน้ำหนักปิดตัวอัตโนมัติปิดได้ไม่สนิท วัสสะถอยตัวเองออกมาและปิดตู้ทิ้งปืนกระบอกนั้นไว้เช่นเดิม เขาเดินกำผ้าผืนเล็กในมือแน่นก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้างเคียงร่างบางที่เหมือนจะเริ่มหลับไป

คำถามกวนใจมากมายวิ่งเข้าหาวัสสะไม่หยุด แต่เขากลับยังนิ่งเฉยกับความร้อนรน ใช้สองมือบิดผ้าชุดน้ำหมาด ๆ และมองไปยังคนไม่ได้สติคล้ายอยากจะพูดคุยด้วยมากมาย วัสสะค่อย ๆ ดึงผ้าห่มออกออกจากตัวของธารางกูร เมื่อเขาวางมือสัมผัสลงเบา ๆ ที่หัวไหล่ ร่างกายที่เคยขดตัวงอก็ค่อย ๆ คลายความหนาวเกร็งราวกับได้รับไออุ่น ผืนผ้าลากผ่านผิวกายเนียนละเอียดส่วนแล้วส่วนเล่าด้วยจังหวะเชื่องช้าเนิบนาบ วัสสะรู้ว่าควรจะเช็ดตัวผู้เป็นไข้ด้วยความเร็วและแรงมากกว่านี้ แต่เขากลัวว่าจะทำให้ธารางกูรตื่นขึ้นมาเสียก่อน

“อือออ” ธารางกูรบิดตัวขยับเข้าหาร่างกายอบอุ่นใกล้ตัว มือหนาที่กำลังจะเคลื่อนเข้าไปภายในลำตัวใต้ร่มผ้าหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะดำเนินการเช็ดตัวลดไข้ต่อโดยเฝ้ามองเพียงแต่ใบหน้าแดงระเรื่อ วัสสะจะปฏิเสธได้อย่างไรว่าในยามที่ร่างกายเต็มไปด้วยความร้อน ริมฝีปากอิ่มเรียวของธารางกูรกลับเต็มไปด้วยสีแดงจัดน่าสัมผัส ทุกอย่างบนใบหน้าที่ถูกรังสรรค์มาด้วยความประณีตเรียกร้องให้เขาเฝ้ามองอยู่เช่นนั้นไม่ควรห่างไป

“จะชอบความหนาวทำไมนักหนาคุณกูร ในเมื่อสุดท้ายแล้วคุณก็แสวงหาความอบอุ่นอยู่ดี” เสียงทุ้มนุ่มตั้งใจพูดให้ธารางกูรฟัง แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจเลยว่าธารางกูรจะได้ยินหรือไม่ กระทั่งจัดการเช็ดตัวให้คนป่วยครบแทบทุกสัดส่วน วัสสะจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาปกคลุมร่างกายธารางกูรเอาไว้ตามเดิม เขาเดินออกไปบริเวณระเบียงที่เริ่มจะส่งความเย็นเข้ามาในห้องมากขึ้นทุกที แต่ในเมื่อเจ้าของห้องไม่ต้องการให้ปิดกั้นความหนาวเย็นใด ๆ ไฉนเลยเขาจะขัดใจได้

วัสสะสะบัดผ้าตากไว้ที่ราว หลังจากนั้นเขาตั้งใจจะทอดสายตาพร้อมความคิดออกไปเรื่อย ๆ ทว่าเรื่องราวมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คาด ทันทีที่ทอดสายตามองออกมาและกดต่ำลงเบื้องล่าง ร่างสูงเห็นเต็มสองตาว่ามีชายในเสื้อฮูทสีดำพร้อมการสวมแมสปกปิดใบหน้าจ้องมองมายังห้องของธารางกูรอย่างตั้งใจ และในเสี้ยววินาทีที่สารวัตรสืบสวนกับคนแปลกหน้าสบตากัน ชายสวมฮูทคนนั้นก็รีบสับขาเดินออกไปจากกรอบสายตาในทันที





ทิ้งไว้แต่ความสงสัย ความสับสน และลางบอกเหตุที่น่าสนใจ





“คืนนี้ฝนคงไม่ตก เพราะผมได้กลิ่นอย่างอื่นชัดกว่ากลิ่นฝน… จริงมั้ยธารางกูร”



Talk ฝากนิยายเรื่องนี้เอาไว้กับทุกคนด้วยนะคะ มาแนวนี้ไม่รู้จะชอบกันรึเปล่า เรื่องไม่ยาวมากนัก มาเร็วเคลมเร็วแน่นอน 555

ขอบคุณทุกวิว ทุกคอมเมนต์ล่วงหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 4 กลิ่นลางร้ายปรากฏ 22/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 23-09-2018 14:41:09
สนุก น่าติดตาม รอตอนต่อไปนะคะ

ทำไมกูรมีปืน !!!! หรือรู้ว่าตัวเองไม่ปลอดภัยจึงพกไว้
หรือ ๆๆๆๆ มีแต่ข้อสงสัยเต็มไปหมด   :z3:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 4 กลิ่นลางร้ายปรากฏ 22/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 23-09-2018 18:37:13
บทที่ 5 ฝนฟ้าไม่ผิดนัด

“เมื่อคืนพอลไม่ได้ไปที่งานศพทั้งที่เคยไปอยู่ไม่ขาด แถมยังมีคนไปด้อม ๆ มอง ๆ ที่คอนโดกูร ฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่”

“บอกไว้ก่อน ฉันไม่ได้อยากให้นายคิดไปไกลหรอกนะ แค่เห็นว่าที่นายเล่าเรื่องพอลไม่อยู่ที่งานศพมันสอดคล้องกันพอดี”

“แล้วไง ที่นายมาเล่าก็เพราะว่านายเห็นว่ามันแปลกไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ แปลกมาก” ร่างสูงยกแก้วกาแฟจรดที่ริมฝีปาก อเมริกาโน่ขมจางไหลผ่านลำคอลงไปโดยที่เจ้าของร่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร วัสสะเล่าความไม่ปกติที่ห้องของธารางกูรเมื่อช่วงคืนที่ผ่านมาให้ปองภพฟังจนเสียหมด ประกอบกับข้อมูลที่ได้มาจากปองภพยิ่งทำให้เขาขีดโยงเรื่องราวในใจไว้ได้อย่างง่ายดาย ออ ไม่ใช่สินะ อันที่จริงวัสสะเก็บเรื่องอาวุธสีดำขลับเอาไว้ด้วยเหตุผลบางประการ

“ถ้าคนที่นายสงสัยเป็นพอลจริง แปลว่าสองคนนี้ต้องมีความลับอะไรเกินจากการคาดเดาของเราแน่ ๆ ”

“หรือไม่ก็เป็นแค่ความลับของคนใดคนหนึ่ง”

“วันนี้นายจะไปดูกูรอีกมั้ย” วัสสะเลิกคิ้วมองกลับไปยังต้นตอคำถาม ร่างสูงมีสีหน้าครุ่นคิด อันที่จริงลึก ๆ แล้วเขาก็ยังนึกห่วงอาการป่วยของธารางกูรอยู่ไม่น้อย คนที่โดนพิษไข้เล่นงานเสียขนาดนั้นคงจะฟื้นตัวไม่ได้ง่าย ๆ แต่แล้วยังไงล่ะ เขาปล่อยให้กลไกร่างกายของธารางกูรรักษาตัวเองต่อโดยไม่ไปรบกวนไม่ดีกว่าหรือ

“ทำไม นายเป็นห่วงกูรเหรอ”

“หึ นายไม่คิดว่านี่จะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวรึไง ถ้าชายใส่ฮู้ดย้อนกลับไปอีกและปรากฏว่าเป็นพอลจริง… คดีเราง่ายขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่” ปองภพอธิบายด้วยบุคลิกอันชาญฉลาดหาตัวจับยาก ในสมองของเขาก็มีการคาดเดาขีดเขียนเอาไว้ไม่แพ้ในหัวของวัสสะ

“บางทีมันอาจจะยากขึ้นในแบบที่นายไม่กล้าคิดก็ได้” วัสสะแกว่งแก้วกาแฟในมือด้วยจังหวะนิ่มนวล ใครเล่าจะรู้ว่าสายตาที่ก้มมองการเคลื่อนไหวของของเหลวสีดำมีความหมายใด หรือมีอะไรแฝงออกมาพร้อมน้ำเสียงแสนเบานั่น แม้ไม่ได้พูดแต่เขาไม่อาจละทิ้งภาพกล่องปืนเปิดเผยอที่พบออกไปได้ ในสมองยังคงรันภาพนั้นซ้ำอย่างต่อเนื่อง ราวกับย้ำให้เขารู้ว่า อย่าลืมให้ความสำคัญกับสัญญาณเตือน

“นายว่าไงนะวัส”

“ฉันบอกว่าถ้าเราไปแล้วไม่เจออะไร คงเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์”

“หรือนายจะไม่ไป ถ้างั้นก็บอกทางมาให้ฉันแล้วกัน จอดรถสังเกตรอบ ๆ แถวนั้นสักสองสามชั่วโมงคงไม่เสียหายอะไร”

“นายนี่พอได้สงสัยแล้วจับไม่ปล่อยเลยนะภพ”

“ฉันก็แค่อยากรู้ว่าธารางกูรจะดูไร้พิษสงอย่างที่นายว่ารึเปล่า”

“ถ้างั้นเราก็ควรไปพิสูจน์พร้อมกัน” เพราะร่วมเรียนและร่วมทำงานด้วยกันมานาน ปองภพและวัสสะจึงรู้ใจกันอย่างถึงที่สุด ทั้งสองยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกันแม้จะแตกต่างในแง่ของความหมาย ร่างสูงยกกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว เขาไม่ได้เอ่ยอะไรที่เกินจริงให้ปองภพฟังหรอก ธารางกูรที่นอนจมกองไข้ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาทำร้ายใครได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาตีความว่าร่างบางไร้ความสามารถในการพยศได้อย่างไร





“นี่เราทำเกินหน้าที่ไปรึเปล่า อย่างระดับสารวัตรวัสสะ ผู้กองปองภพ ต้องมานั่งเฝ้าหน้าที่พักพยานเนี่ยนะ หึหึ เสียชื่อชะมัด” วัสสะเอ่ยทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงติดตลก อย่างน้อยก็ยังดีกว่าปล่อยให้เสียงเครื่องยนต์ดังอยู่เพียงอย่างเดียว เวลาราวสามทุ่มกว่าเขาและปองภพยังคงนั่งอยู่ในรถคันเก่งเพื่อสังเกตออกไปภายนอก ตำแหน่งที่วัสสะเลือกจอดรถสามารถมองเห็นห้องของธารางกูรและตำแหน่งยืนของชายต้องสงสัยได้อย่างชัดเจน ทว่าเวลาที่ผ่านไปราวชั่วโมง กลับยังไม่มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าการเคลื่อนไหวของม่านระเบียงห้องธารางกูร

“พูดอย่างกับเรามีทางเลือก นายพูดเองว่าตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานอะไรมาใช้เดินเรื่องเข้ากระบวนการ ก็คงทำตามความสงสัยของตัวเองได้เท่านี้นั่นแหละ”

“แล้วสายที่งานศพว่าไง พอลไปที่งานรึเปล่า”

“เห็นว่าเข้าไปและออกมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ แต่ที่สำคัญกว่าพอลคือวันนี้ท่านผู้บังคับบัญชาไปให้สัมภาษณ์สื่อที่นั่นเองเลย”

“ไปทำไม เหมือนจะมีประโยชน์ แต่ไม่มี” วัสสะส่ายศีรษะให้กับวัฒนธรรมข้าราชการไทย ยิ่งผู้กำกับที่อยู่เหนือหัวเขาไม่แสดงตัวตนและไม่ยอมรับอำนาจมากเท่าไหร่ การกดจากเบื้องต้นยิ่งกระทำได้ง่าย และเชื่อเถอะ ว่างานนี้คดีดังถูกบิดเบือนใจความด้วยฝีมือนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แน่ ๆ

“นายก็พูดไป”

“ก็ใช่ไง พูดไปงั้นแต่ทำอะไรไม่ได้” วัสสะแค่นยิ้มระหว่างที่มองผืนผ้าม่านพริ้วไหวไม่หยุด อากาศภายนอกวันนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อวาน คงไม่ต้องเดาว่าภายในห้องของธารางกูรจะเย็นยะเยือกเพียงใด ฤดูหนาวคนทั่วไปพร่ำเรียกหาแต่ความอบอุ่น แต่ทำไมกันนะ ทำไมธารางกูรถึงต้องการพบเจอกับกลุ่มฝนที่จะทำให้อากาศหนาวเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

“นั่นรถพอล ใช่แน่ ๆ ...ฉันจำทะเบียนเบอร์ตองนั่นได้”

“...”

“วัส! นั่นรถพอล! ” ปองภพส่งเสียงดังมากขึ้นเพื่อให้วัสสะหลุดจากกลุ่มความคิดของตัวเอง ร่างสูงละสายตาจากเบื้องบนลงมามองรถออดี้สีขาวที่กำลังจะเคลื่อนจอดในจุดที่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก ปองภพจำได้ดีว่ามันเป็นรถหรูของพีรพลดาราดัง เขาร้อนรนขึ้นและมีท่าทีตื่นเต้นสนใจอย่างเห็นได้ชัด ผิดกันกับวัสสะที่เริ่มกดร่างกายให้นิ่งและแสดงออกอารมณ์ภายในออกมาเพียงสายตาเท่านั้น

“เอาจริงดิ นายมาทำไมกันพอล”

“หมอนั่นจะมาทำอะไรก็ช่างเถอะ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม” แต่ปองภพเอี้ยวตัวไปหยิบอุปกรณ์ของตนที่วางเอาไว้บริเวณเบาะหลัง ผู้กองหนุ่มสวมสายคาดซองปืนเข้าที่ช่วงไหล่อย่างรวดเร็วเพราะความเคยชิน ทุกอย่างต้องเป็นการกันเอาไว้ล่วงหน้า แม้จะไม่มีใครอยากใช้อาวุธเหล่านี้ก็ตาม

“เอางั้นเลยเหรอวะภพ”

“ดูท่าเดินดุ่ม ๆ นั่นสิ มันปกติที่ไหน” แน่นอนอยู่แล้ว การที่เจ้าของรถสวมชุดปกปิดร่างกายทุกสัดส่วน พร้อมกับสวมหมวกแก๊ป สวมแว่นตากันแดดปกปิดใบหน้ามันไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะกระทำกันในยามค่ำคืน

“ใจเย็น ทิ้งระยะก่อน” วัสสะกวาดมือกดตัวปองภพเอาไว้กับเบาะนั่ง การร้อนใจและอยากพุ่งเข้าใส่คงจะเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งของปองภพที่ทำยังไงก็แก้ไม่หาย โชคดีที่วัสสะมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้ในแนวทางที่แตกต่างกันกับเขา

“เฮ้… ใจเย็นอะไรอีก นั่นพอลแน่ ๆ ฉันมั่นใจ”

“ฉันก็มั่นใจ แต่นายต้องคิดก่อนว่าถ้าเรื่องมันไม่ได้ใกล้เคียงกับที่คิดจะทำยังไง” วัสสะปล่อยมือออกจากผู้เป็นเพื่อน เคลื่อนมือสัมผัสซองปืนที่ช่วงเอวเพื่อให้แน่ใจว่ามันอยู่ในสภาพพร้อมใช้ เขาน่ะร้อนใจไม่ต่างจากปองภพนักหรอก แต่ทุกอย่างมันบีบบังคับให้นิ่งสงบและนับถอยหลังรอเวลาในใจช้า ๆ

“รีบตามไปอาจจะเสียเรื่อง หมอนั่นไม่มีคีย์การ์ด ถ้าจะขึ้นไปยังไงก็ต้องรอไปพร้อมคนอื่นอยู่ดี”

“แล้วถ้าเขามีคีย์การ์ดอยู่ในมือล่ะ”

“ฉันคิดว่าไม่”

“ช่างเรื่องคีย์การ์ดเถอะน่า จะเสียเวลานั่งคิดอยู่ทำไม”

“สี่… สาม… สอง...”

“นับอะไรของนาย”

“หนึ่ง… ศูนย์...” วัสสะดับเครื่องยนต์และก้าวลงจากรถก่อนปองภพเสียด้วยซ้ำ ทั้งสองก้าวในจังหวะสม่ำเสมอในระยะที่แทบมองไม่เห็นแผ่นหลังของคนที่คาดว่าจะเป็นพอลอีกแล้ว วัสสะที่เดินนำไม่อาจเพิ่มความเร็วมากไปกว่านี้ แม้ว่าดวงตาของเขาจะเริ่มแข็งกระด้างขึ้นในทุก ๆ จังหวะที่เริ่มคิดว่าชายคนดังกล่าวกำลังจะเข้าใกล้ห้องของธารางกูรขึ้นทุกที





ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูทำให้ธารางกูรที่เพิ่งจะเริ่มเบาลงจากพิษไข้ผุดตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง เสียงเคาะสามครั้งติดเงียบไปสักระยะ ก่อนที่เสียงเคาะอีกระลอกจะดังขึ้นและบังคับให้เขาหอบความมึนงงที่ยังมีเดินมายังบริเวณประตู

ก๊อก ๆ ๆ เพราะไม่มีเสียงขานเรียกจากเบื้องนอก ธารางกูรจึงหยุดยืนเพื่อมองผ่านช่องตาแมวออกไป เขาสะบัดศีรษะเล็กน้อยเมื่อมองออกไปไม่เห็นใครแต่เสียงเคาะยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด แม้ว่าตอนนี้อาการป่วยของเขาเริ่มดีขึ้นมากแต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่ได้อยู่ในร่างกายสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์

“นั่นใครครับ” ไม่มีการแสดงตัวตนใด ๆ ออกมาให้เจ้าของห้องไว้วางใจได้ แต่เขาไม่อาจเก็บความสงสัยไว้ได้ไหว จึงตัดสินใจเปิดประตูออกไปเพื่อเผชิญหน้ากับเสียงเคาะที่ยังเรียกร้องไม่หยุด และเมื่อเกิดช่องว่างที่บานประตูเพียงนิดเท่านั้นเอง แรงผลักมหาศาลก็ปะทะเข้าที่ช่วงอกของธารางกูร จนกระทั่งร่างบางเซถลากระแทกลงไปกับพื้น เพราะอารามตกใจเขาจึงไม่อาจปกป้องตัวเองด้วยการลุกขึ้นยืนหลบหลีก ซ้ำจังหวะที่ร่างกายซีกซ้ายล้มฟาดไถกับพื้นยังทำให้รู้สึกจุกไปเสียหมด

ปั้ง!!

“ค...คุณพอล… ”

“ไม่เจอกันไม่กี่วัน จำกันไม่ได้เลยเหรอกูร” พีรพลสะบัดปิดประตูดังปังก่อนจะถอดเครื่องปกปิดตัวตนที่เขาคิดว่าใช้การได้ออก สีหน้าของดาราหนุ่มเต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่ไม่อาจแห้งเหือดได้โดยเร็ว แววตาของเขาที่จ้องมองธารางกูรมีเพียงความเกลียดชังและความอดกลั้นที่กำลังจะระเบิดออกมาราวกับอาวุธสงคราม

“คุณมาที่นี่ทำไม”

“ฉันอยากมาหานายไงกูร… จะหลบทำไม กลัวเหรอ” พีรพลสาวเท้าเข้าใจร่างของธารางกูรมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างบางพยายามถัดตัวหนีพร้อมกับลมหายใจหอบถี่ ใบหน้าหล่อเหลาสดใสของพระเอกคนดังหมดสภาพไปอย่างไม่น่าเชื่อ ปลายหางตาที่เคยยกเชิดกลับลู่ตกลงตามความเครียดที่เป็นปัจจัยสำคัญ

“ผมไม่ได้กลัว”

“แน่สินะ ตอนที่นายฆ่ารัณ นายยังไม่กลัวเลย” พีรพลคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของธารางกูร เรียวมือสวยได้รูปพยายามจะแกะมือที่เริ่มกระชากคอเขาออก และแน่นอนว่ามันไม่ได้มีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ พีรพลมีแรงมากเกินกว่าคนป่วยอย่างเขา

“ผมไม่ได้ฆ่าคุณรัณ! ” ธารางกูรปฏิเสธเสียงแข็ง ดวงตากลมจ้องเขม็งจนพีรพลรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม

“นายโกหก! รัณไม่มีทางฆ่าตัวตาย ไม่มีทาง! ” เสียงแข็งตวาดลั่นเพราะความโมโหระเบิดออกมาทุกทิศทางอย่างไร้การควบคุม พีรพลปล่อยน้ำตาไหลออกมาทดแทนความรู้สึกสูญเสีย เขาออกแรงกระชากธารางกูรให้ลุกขึ้นมาตามน้ำหนักมือ สำหรับเขา เลขาคนเก่งของดารัณไม่ใช่คนที่ไว้ใจได้ หลายครั้งหลายคราที่ธารางกูรมักมองดารัณด้วยสายตาบางอย่างที่ไม่อาจอ่านออก แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาคิดว่าธารางกูรจะฆ่าดารัณ การตั้งธงในแง่ร้ายเช่นนี้มันมาจากประโยคสุดท้ายที่เขากับดารัณได้คุยกันต่างหาก





‘ระวังกูรไว้บ้างก็ดีนะพอล ฉันว่าเขากำลังสนใจเรื่องของเรา’





“ผมไม่ได้โกหก ผมจะทำร้ายคุณรัณทำไม คุณคิดถึงความเป็นจริงบ้างสิครับคุณพอล”

“ฉันกับรัณกำลังทำธุรกิจร่วมกัน เราสัญญาว่าจะไปยุโรปด้วยกันปลายปี เรานัดจัดปาร์ตี้วันเกิดฉันเล็ก ๆ ในวันศุกร์นี้… มันมีเหตุผลอะไรที่รัณจะทิ้งฉันไปแบบนี้ บอกฉันมาสิ! ” พีรพลเขย่าร่างของธารางกูรราวกับต้องการให้คำตอบที่ต้องการร่วงหล่นลงมา

“ผมว่าคุณนั่นแหละที่น่าจะรู้ดีที่สุด คุณนั่นแหละที่ฆ่าคุณรัณ! ” ธารางกูรเค้นเสียงตะคอกกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว ในจังหวะนั้นความโกรธทำให้พีรพลมีแรงมากกว่าที่คนคนหนึ่งพึงจะมี เขาเหวี่ยงร่างธารางกูรซัดเข้ากับชั้นวางของริมผนังจนทุกสิ่งร่วงกราวลงมาเสียหายไม่มีชิ้นดี ร่างบางเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิมแต่ยังพยายามใช้สันมือยันตัวเองกับกำแพงเพื่อไม่ให้ล้มลงไป

“ฉันไม่ได้ทำ! แกก็รู้ว่าฉันไม่มีทางฆ่ารัณ! ไม่มีทาง! ” พีรพลยกมือกุมช่วงใบหน้าเมื่อรู้ตัวว่าตนเองกำลังจะสติหลุดจนเหนือการควบคุม เขาสูดลมหายใจเข้าออกแรง ๆ และสาวเท้าเดินรอบห้องไม่หยุด ในช่วงเวลาที่เราต้องการทวงความยุติธรรมให้ใครสักคนมันทรมานจริง ๆ ครั้นจะพึ่งพากฎหมายทุกสิ่งก็กลับดูเชื่องช้าไปเสียหมด ครั้นจะใช้กฎมนุษย์เช่นเดียวกับที่เขากำลังทำ เรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายขึ้นเลย

“ผมไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรเลยคุณพอล มีแต่คุณนั่นแหละที่ร้อนรนไปเองทั้งหมดตอนนี้ ถ้าใครสักคนจะรู้อะไรมากที่สุด คน ๆ นั้นต้องเป็นคุณไม่ใช่เหรอ” ร่างบางเริ่มใช้สายตามองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาทางหนีทีไล่ แต่ทางออกเดียวที่เขาจะรอดปลอดภัยคือหลังบานประตูเท่านั้น ธารางกูรก้าวถอยหลังออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งผืนม่านพัดปลิวมาโดนตัว ลมหนาวเย็นสัมผัสผิวกายจนขนลุกซู่ไปหมด คงไม่ดีแน่ถ้าเขาจะพาตัวเองไปทีระเบียง เผลอ ๆ มันจะเป็นการเสี่ยงกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

“อย่าเสียเวลาพูดให้มากความเลยกูร ถ้านายไม่ยอมรับดี ๆ ฉันจะทำให้นายจำยอมเอง” เจ้าของเสียงยะเยือกล้วงหยิบของบางอย่างที่อยู่ภายในเสื้อโค้ช วัตถุวาววับปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมกับการจับเอาไว้อย่างมั่นคง แม้มันจะเป็นเพียงมีดพกแต่ปลายคมที่บางเฉียบกลับดูอันตรายและอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ง่าย ๆ

“คุณพอล… ค...คุณจะทำอะไร”

“ยอมรับแล้วมอบตัวซะกูร อย่าทำให้รัณต้องมีตราบาปว่าฆ่าตัวตายแบบนี้! ” ธารางกูรเสียงสั่นไม่แพ้หัวใจภายในร่างกาย ที่เขากำลังสั่นไหวเหตุเพราะหวาดหวั่นหาใช่ความหวาดกลัว เรียวมือเล็กสั่นระรัวอย่างคนเป็นไข้ขณะที่กำขากางเกงตนเองไว้แน่น เขาไม่รู้เลยว่าจะภาวนาให้ผ่านสถานการณ์เช่นนี้ไปยังไง

“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ทำ”

“นายโกหก! ”

“คุณพอลใจเย็นก่อนนะ ถ้าคุณทำอะไรผม อนาคตคุณจบแน่ ๆ เราคุยกันดี ๆ นะครับ คุณกำลังไปได้ไกลในวงการ จะเอาทุกอย่างมาทิ้งเพราะความใจร้อนทำไม”

“นายคิดว่าคนที่เสียคนที่รักที่สุดไปจะมีอนาคตที่ดีได้อีกเหรอ! คิดว่าฉันยังยากจะมีชีวิตจอมปลอมในวงการอีกต่อไปเหรอกูร! อนาคตที่ไม่มีเขามันจะดีได้ยังไง! ”

“...” ธารางกูรนิ่งไปไม่ใช่เพราะว่าพีรพลหลุดคำต้องห้ามใดออกมา แต่เป็นเพราะคำพูดเหล่านั้นเข้าจี้จุดบางอย่างในหัวใจ ดวงตากลมวูบไหวคล้อยตามไปกับคำพูดที่ได้ยิน อนาคตที่ไม่มีความรักรออยู่มันจะเลวร้ายสักแค่ไหนกันนะ

“ยอมรับสักทีเถอะ ว่านายพรากรัณไปจากฉัน” พีรพลยื่นปลายมีดเข้าหาธารางกูร หมุนกำมือที่จับมีดเอาไว้คล้ายหากฆ่าธารางกูรให้ตายก็คงไม่เสียใจ เมื่อเห็นท่าไม่ดี ร่างบางจึงจำต้องถอยกรูดจนต้องออกไปที่พื้นที่ระเบียง พื้นกระเบื้องด้านนอกเย็นเฉียบมากกว่าภายในห้องหลายเท่าตัวนัก ผืนผ้าม่านเข้ามาขวางกลั้นเขาและผู้มาเยือนแสนอันตรายออกจากกัน แผ่นหลังของธารางกูรชิดติดกับขอบระเบียง และเขากำลังทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นเมื่อพีรพลกำลังใช้ความเงียบหลังม่านบีบคั้นให้หวั่นใจมากกว่าเดิม





ไร้การรับรู้

ไร้หนทางหลีกหนี

ไร้ทางเลือก

แต่ยังโชคดีที่ชะตาชีวิตยังไม่ไร้ใจ ส่งผู้มาเยือนรายใหม่ก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินไป





“คุณพอล! คุณทำอะไรหยุดเดี๋ยวนี้นะ”

“ผ… ผู้กอง! ” พีรพลหันขวับทันทีที่ได้ยินเสียงจากเบื้องหลัง แขนขวาของปองภพเหยียดตรงพร้อมกับข้อมือและศอกที่ตั้งมั่น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ขึ้นลำปืนแต่คนไม่รู้อย่างพีรพลกลับหวาดกลัวกับการชักปืนขู่ของเจ้าหน้าที่จนมีดพกที่เคยอันตรายแทบจะหลุดออกจากมือ

“วางอาวุธลงซะ แล้วเราไปคุยกัน ถ้ามีปัญหาอะไร ผมจะช่วยคุณเอง ผมสัญญาว่ามันจะดีขึ้นมากกว่าที่คุณคิดและรู้สึกอยู่ตอนนี้แน่ ๆ ” ปองภพพยายามใช้วิธีประณีประนอม เพราะเมื่อครู่เขาได้ยินประโยคสำคัญจากนอกห้องจนพอจะตีความรู้สึกภายในของพีรพลได้

“ผมไม่ผิด นายกูรนั่นต่างหากที่คุณควรไปจับมัน! ”

“ผมไม่ได้มาจับใครทั้งนั้น ผมจะลดปืนลงแล้วคุณวางมีดนะครับ ผมสัญญาว่าถ้าคุณไปกับผม เราจะคุยกันเพียงอย่างเดียว ผมจะลืมเหตุการณ์ตรงนี้ไปซะ ทุกคนก็จะลืม เชื่อผมนะคุณพอล คุณรัณคงไม่ชอบใจถ้าอนาคตคุณดับวูบไปพร้อมกับเขา” เมื่อเห็นว่าพีรพลมีความสับสนอยู่เต็มอก ปองภพจึงค่อย ๆ ลดปืนลงพร้อมกับการเกลี้ยกล่อมในทุกทางที่เป็นไปได้ จังหวะที่พีรพลปล่อยมือที่ยังกำมีดลงไปข้างตัว วัสสะที่รอสบโอกาสเหมาะ ๆ จึงพุ่งตัวเข้าชาร์ตและตึงแขนข้างที่จับมีดอยู่ขึ้นทันที

“โอ๊ะ! ปล่อยผมนะ! ”

“ผมปล่อยคุณแน่ถ้าคุณยอมปล่อยมีดออกจากมือ เอาความจริงไปทำให้รูปคดีดีขึ้นจากเดิมดีกว่าคุณพอล” วัสสะยืนด้วยรากฐานที่มั่นคงและปล่อยให้พีรพลพยายามบิดข้อมือหลีกหนีเพียงฝ่ายเดียว ร่างสูงแสดงสีหน้าเรียบเฉยขณะที่ใช้อีกมือคว้าอาวุธออกมามือของพีรพล เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงโยนมีดพับไร้ค่าลงกับพื้นออกห่างพีรพลทันที ร่างสูงมองไปยังผืนม่านที่ยังคงพลิ้วไหวด้วยหางตา ในบางจังหวะเท่านั้นที่เขาได้เห็นว่าเจ้าของห้องกำลังนั่งกอดเข่าคุดคู้อยู่ชิดริมระเบียงด้วยอาการไม่สู้ดี

“นายพาพอลไปเลยภพ เอารถฉันไปเลยก็ได้ เดี๋ยวฉันจะเคลียร์ที่นี่เอง”

“ได้” ปองภพรับคำง่าย ๆ เพราะเขาเองก็คิดเอาไว้เช่นนั้น เขารับกุญแจรถจากสารวัตรเพื่อนสนิทและล็อกข้อแขนของพีรพลเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง

“ผม… ผม...”

“คุณพอล ตั้งสติ หยุดร้องไห้แล้วไปกับผม ผมสัญญาไปแล้วไงว่าทุกอย่างจะดีขึ้น” ปองภพก้มหยิบหมวกแก๊ปที่ตกอยู่ใกล้มือขึ้นสวมให้พีรพล ก่อนที่เขาจะลากตัวการสำคัญที่ไม่ได้ผิดนัดในคืนนี้ออกไปพร้อมบานประตูที่ปิดลง ใครจะไปคิดว่าการคาดเดาของปองภพจะถูกต้องอย่างบังเอิญเช่นนี้ แล้วใครเล่าจะคาดคิดว่าคำให้การของธารางกูรกำลังถูกต้องไปแล้วหนึ่งประการ





ความสัมพันธ์ของพีรพลกับดารัณย่อมไม่ใช่ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนธรรมดา





“คุณกูร” วัสสะใช้ลำแขนแหวกผืนม่านออก เขาใช้ดวงตาที่อ่อนลงมองร่างที่กำลังกอดตัวเองด้วยอาการสั่นเทา ธารางกูรเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อยเพื่อสบตากับคนที่กำลังทิ้งเข่าข้างนึงลงกับพื้นเพื่อลดระยะความสูงของร่างกาย

“...”

“มองเห็นผมแล้วใช่มั้ย ไม่เป็นไรแล้วนะ”

“คุณวัส… คือผม… ผม...”

“เลิกตัวสั่นได้แล้วน่า” วัสสะดึงร่างกายสั่นเทาเข้าไปกอดเอาไว้แนบอก มือหนาตบลงเบา ๆ ที่แผ่นหลังเย็นเฉียบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนอาการสั่นค่อย ๆ ทุเลาลง แม้ว่าธารางกูรจะไม่ได้เหยียดวงแขนกอดรับวิธีคลายกังวลใจของวัสสะกลับไป แต่กลิ่นอายร่างกายแสนหนักแน่น และสัมผัสแนบสนิทที่ได้รับก็ได้ส่งผลให้ทุกอย่างดีขึ้น แม้ว่าความว่างเปล่าของอากาศจะมีความหนาวเย็นปกคลุมอยู่รอบกายก็ตาม





บางทีการที่รู้สึกอบอุ่นขึ้น อาจจะมาจากคำปลอบโยนจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็เป็นได้

หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 5 ฝนฟ้าไม่ผิดนัด 23/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 23-09-2018 19:55:56
เฮ้อ !!! โล่งอก สงสารกูร  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 5 ฝนฟ้าไม่ผิดนัด 23/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 23-09-2018 21:39:22
บทที่ 6 ฤดูกาลไม่อาจคาดเดา

“พอลยอมรับกับฉันแล้วนะว่าแอบคบกันกับรัณมาเกือบปีก่อนเกิดเรื่อง ส่วนกับกูรเขาก็ยอมรับอีกแหละว่าไม่ถูกกันแต่ไหนแต่ไร เห็นว่าท่าทางของกูรเหมือนกำลังหวงรัณ แถมมองด้วยสายตาประหลาดแทบทุกครั้งที่เจอกัน ประกอบกับพักหลังเขาสังเกตว่ารัณมักหายไปกับกูรโดยไม่ให้รู้บ่อย ๆ ก็เลยคิดเอาเองว่ารัณน่าจะมีความสัมพันธ์กับกูรเหมือนกัน… เห้อ นี่กำลังหาวิธีเกลี้ยกล่อมให้ยอมให้การเรื่องนี้กับพนักงานสอบสวนอยู่ ส่วนเรื่องที่บุกไปห้องกูรวันนี้คงฟิวส์ขาดจริง ๆ คืนนี้ฉันว่าจะพาไปส่งแล้วก็อยู่เฝ้าก่อน เผื่อจะคุมตัวเองไว้ไม่อยู่อีก นายเองก็ลองคุยกับกูรดูแล้วกัน ถ้าสองคนนี้ยอมพูดความจริงทั้งคู่คดีนี้อาจจะจบง่ายขึ้นก็ได้… เพราะบางทีดารัณอาจจะฆ่าตัวตายเองจริง ๆ เพราะท้อแท้กับเรื่องความรักสิ้นคิดแบบนี้”

วัสสะปล่อยให้กลุ่มลมเย็นพัดผ่านใบหน้า เขามองออกไปจากบริเวณระเบียงห้องของธารางกูรพร้อมกับคิดถึงคำพูดของปองภพที่จบบทสนทนากันไปนับชั่วโมง เวลาตอนนี้นั้นเกือบจะรุ่งสาง อีกไม่ถึงสามชั่วโมงแสงสว่างคงจะเริ่มโผล่ขึ้นมาบนท้องฟ้ากว้าง ทว่าวัสสะยังไม่ได้หลับตาลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว ซ้ำร้ายกว่านั้นคือเขายืนต่อสู้กับอากาศเย็นสะท้านกลางดึกสงัดมาตั้งแต่วางสายจากปองภพ ถ้าถามว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่เดินกลับเข้าไปในตัวห้อง คงเป็นเพราะประโยคหนึ่งจากปากปองภพทำให้เขาคาใจอยู่ไม่หยุดล่ะมั้ง

“แต่พอลยืนยันกับฉันนะ ว่าคนที่แอบมองห้องกูรเมื่อวานไม่ใช่เขา”

แม้จะยังคิดไม่ตก แต่เมื่อวัสสะมองนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่าเวลากำลังหมุนเดินหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ประโยชน์ เขาจึงตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในห้องของธารางกูรที่มีเพียงแสงไฟสลัวอยู่อีกครั้ง เพราะความหนาวที่จี๊ดลงข้อกระดูก เขาจึงเลื่อนบานประตูกระจกปิดกั้นสายลมโดยไม่ได้เอ่ยขออนุญาตเจ้าของห้อง ครั้งนี้ธารางกูรไม่ได้เอ่ยปากห้าม ไม่ใช่เพราะว่าเขากำลังหลับใหล แต่เป็นเพราะตอนนี้ร่างบางไม่มีจิตใจจะมาสนเรื่องนี้

“อ้าว ผมคิดว่าคุณหลับไปนานแล้วซะอีก” วัสสะร้องทักเมื่อเห็นว่าธารางกูรนั่งกอดเข่าพิงหัวเตียงด้วยดวงตากลมใส ร่างบางส่ายหน้าพร้อมกับทิ้งศีรษะไปด้านหลังคล้ายคนหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต แสงไฟสีส้มนวลทอดผ่านร่างกายและใบหน้าของธารางกูรจนเน้นสัดส่วนเส้นคมร่างกายให้ชัดเจนขึ้นมาอีก วัสสะเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ โดยไม่คิดจะเอ่ยปากขอ

“ผมนอนไม่หลับ”

“คิดอะไรอยู่” วัสสะขัดสมาธิขาขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะหันมองธารางกูรเต็ม ๆ ตา ใบหน้าของร่างบางหมองหม่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่ต่างอะไรกับคนที่นอนซมมานานนับเดือน เรียวคิ้วที่กระตุกไม่เป็นจังหวะบ่งบอกชัดเจนว่าธารางกูรคงมีบางเรื่องอยู่ในหัว อีกอย่าง คงไม่มีเหตุผลอะไรที่คนมีไข้อ่อน ๆ จะยังตื่นอยู่ในช่วงเวลาเช่นนี้

“ผมเหรอครับ”

“ใช่สิ ก็มีแค่ผมอยู่กับคุณนี่กูร”

“ผมเปล่าคิดอะไร”

“รู้มั้ยว่าถ้าคุณโกหกตำรวจ คุณจะมีความผิดนะครับ” แม้จะฟังเหมือนเป็นคำขู่ แต่น้ำเสียงอ่อนโยนของวัสสะกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ทำให้ธารางกูรโอนอ่อนลงอย่างไม่มีทางเลือก

“ผมคิดถึงคำพูดของพอล”

“คำพูดของพอล...”

“ใช่ครับ ผมข่มตาหลับลงไม่ได้จริง ๆ ”

“เรื่องนั้นคุณช่างมันก่อนก็ได้ เลิกคิดกังวลแล้วนอนเถอะ ตอนเช้าค่อยว่ากัน คืนนี้ผมจะอยู่เฝ้าคุณเอง ที่โซฟาอนุญาตให้ผมนอนได้ใช่มั้ย” วัสสะไม่ได้ถามว่าธารางกูรติดใจประโยคไหนของพอลถึงได้ไม่ยอมหลับยอมนอนแบบนี้ อีกอย่างเขาก็พอจะเข้าใจว่าคนที่เจอเรื่องไม่คาดคิดคงไม่สามารถหลับลงได้ง่าย ๆ ขนาดตัวเขาเองยังรู้สึกว่าเวลาในคืนนี้ผ่านไปรวดเร็วจนแทบไม่เหลือเวลาเอาไว้พักผ่อนกายใจ

“คุณวัส” ธารางกูรก้มลดระดับใบหน้าลงมาในระนาบปกติ เขาคลายกอดตัวเองออกและทิ้งขาลงให้นั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ วัสสะเห็นเสื้อยืดตัวโคร่งแสนบางและกางเกงขาสั้นที่ไม่อาจป้องกันความหนาวใดได้แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา คงเพราะแบบนี้อากาศเย็นจึงได้โอกาสเข้ามาทำร้ายจนป่วยไข้

“หืม”

“คุณได้ยินที่พอลพูดกับผมใช่มั้ย”

“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด”

“พอลไม่เชื่อผมว่าผมไม่ได้ฆ่าคุณรัณ” สายตาเสียใจตัดพ้อของธารางกูรนั้นวัสสะสามารถรับรู้มันได้ทั้งหมด หากนี่เป็นความเสียใจ มันคงเป็นความเสียใจที่วัสสะไม่อาจคิดหาคำปลอบโยนได้ทัน ความโกรธโมโหของพีรพลนั่นรุนแรงและเต็มไปด้วยอารมณ์ ชายคนนั้นไม่พร้อมจะฟังเหตุผลหรือคำแก้ตัวใด ไม่แปลกเลยที่ธารางกูรจะเก็บเอามาคิดเช่นนี้ ไม่ว่าต้นทางของคำพูดจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม

“แล้วยังไง”

“ผมจะกลายเป็นฆาตกรในคดีของตำรวจอย่างคุณรึเปล่า”

“...”

“ว่าไงครับคุณวัส” เพราะวัสสะเงียบไปและใช้เพียงดวงตาคมเฉียบสบมองเขา ธารางกูรจึงจำเป็นที่จะต้องถามซ้ำเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบที่น่าพอใจ แต่ทว่าการเกริ่นตอบที่วัสสะมีให้กลับเป็นการใช้มือขวาเชยกรอบคางของเขาขึ้นด้วยสัมผัสแผ่วเบา เรียวนิ้วทั้งห้าเคลื่อนขยับแตะช่วงผิวนุ่มนวลอยู่เรื่อย ๆ คล้ายวัสสะต้องการให้คำตอบแท้จริงบางประการกับธารางกูร

“ผมให้คำตอบคุณไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่คนตัดสิน”

“แล้วใครจะตัดสินผม กฎหมายเหรอ ผมว่าคุณน่าจะศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎหมายเสียอีก”

“ทำไมถึงพูดแบบนี้ รู้มั้ยคุณกูรว่าคำพูดของคุณกำลังทำให้สัญชาตญาณตำรวจทำงานหนัก”

“ผมแค่กลัว ผมคาดเดาชีวิตของตัวเองไม่ออก ถ้าสุดท้ายตำรวจเชื่อคำพูดของพอล...” ธารางกูรวางมือของตนทับไปบนหลังมือกร้านอีกชั้น เขาเอียงใบหน้าซบลงฝ่ามืออบอุ่นของอีกฝ่ายเต็มน้ำหนักราวกับพยายามอ้อนวอนร้องขอสิ่งใด





อาจจะเป็นความเห็นใจ ความเข้าใจ ความเชื่อใจ หรือชีวิต





“ตำรวจไม่ได้เชื่อคนง่ายขนาดนั้นสักหน่อย”

“แล้วคุณสารวัตรเชื่อผมรึเปล่าครับ” ธารางกูรเอ่ยถามพร้อมกับการเรียกชื่อตำแหน่งของวัสสะ มันเป็นการยอกย้อนที่เจ็บแสบลงไปในใจของคนฟัง นั่นเท่ากับว่าประโยคที่ตนพูดวนกลับมามัดตัวเสียง่าย ๆ

“ผมเชื่อคุณอยู่เรื่องนึง เรื่องอากาศหนาวที่คุณชอบ ถ้ามันมีฝนตกลงมาคงจะสมบูรณ์แบบ” ร่างสูงยกมุมปากยิ้มเมื่อเขาเข้าใจประโยคที่ธารางกูรเคยพูดไว้กับตน เมื่อครู่เขาอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นริมระเบียงอย่างเจ็บปวดใจ แม้ท้องฟ้าจะเกลื่อนกลาดไปด้วยดวงดาว แต่โลกมนุษย์เบื้องล่างกลับดูแห้งเหี่ยวราวกับไร้ชีวิต มันอาจจะเป็นมุมมองของคนไม่กี่คน อาจจะเป็นความชอบที่ฟังดูพิลึก แต่คงจะเป็นเรื่องที่พิเศษหากฤดูกาลผสมปนเปกันจนไม่อาจคาดเดา

“ทำไมล่ะครับ”

“แล้วทำไมคุณถึงชอบมัน”

“ผมเคยตอบไปแล้ว”

“ผมอยากถามซ้ำ”

“ผมรักความมีชีวิตชีวาของเม็ดฝน ต่อให้หนาวมากแค่ไหนผมจะทน” ธารางกูรเคลื่อนใบหน้าที่วัสสะยังจับเอาไว้อยู่อีกครั้ง ดวงตากลมพยายามมองอีกฝ่ายไล่ผ่านตั้งแต่บริเวณปลายนิ้ว แต่ทว่าก่อนที่จะมองไปจุดไกลสุดสายตา ร่างบางกลับจ้องมองร่องรอยไม่พึงประสงค์บริเวณข้อมือของวัสสะ

“จะทนเก่งแค่ไหน คุณอย่าปล่อยตัวเองตากความหนาวจนป่วยอีกแล้วกัน”

“คุณไปโดนอะไรมา” ธารางกูรดึงมือขวาของวัสสะออกจากรูปหน้าตน มือเรียวกำฝ่ามือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ข้อมือหนาผ่านการใช้งานมาจนเห็นเส้นเลือดใต้ผิวอย่างชัดเจน แต่ที่ชัดเจนกว่านั้นคงจะเป็นรอยถากยาวราวสองเซนติเมตรคล้ายโดนของมีคม แม้ว่ามันจะดูไม่ได้ลึกมากมายจนเป็นอันตราย แต่ของเหลวสีแดงที่ยังซึมออกมาจนถึงเวลานี้ก็ทำให้คนมองอดกังวลใจไม่ได้อยู่ดี

“คงจะเผลอโดนมีดตอนนี้ที่ยื้อแย่งกับพอลน่ะ”

“ผมเป็นต้นเหตุให้คุณเจ็บตัวรึเปล่า”

“ไม่หรอก ผมแทบไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ” เรื่องที่วัสสะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับแผลเท่ารอยข่วนเป็นความสัตย์จริง เขามองผิวหนังบริเวณนั้นของตนราวกับเรื่องธรรมดาและไร้รู้สึก แต่วัสสะคงไร้ความรู้สึกได้เพียงไม่นานเท่านั้น เพราะจู่ ๆ คนตรงหน้าก็ทั้งก้มทั้งดึงแขนของเขาให้ไปอยู่ในระดับที่พอเหมาะ เรียวริมฝีปากนุ่มนิ่มจุมพิตลงไปกลางรอยมีดนั่น วัสสะเบิกตาขึ้นมองอย่างคนไม่เข้าใจ แต่เขากลับปล่อยให้ธารางกูรกระทำการสุ่มเสี่ยงต่อไปโดยไม่คิดห้ามปราม

“...” ร่างบางเงยหน้าขึ้นจากการจุมพิตที่เรียกความรู้สึกประหลาด เขาไม่ออกปากพูดสิ่งใดออกมา ทั้งยังออกแรงดึงให้วัสสะเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับสายตาวิงวอนออดอ้อน คนที่ใจกำลังเต้นคงหนีไม่พ้นนายตำรวจหนุ่มที่ไม่อาจต่อต้านการกระทำของอีกฝ่ายได้ดีมากพอ

“คุณคิดจะทำอะไร”

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่รู้เลย” ธารางกูรเริ่มกดริมฝีปากลงที่ข้อมือขวาของวัสสะอีกครั้ง คราวนี้เรียวลิ้นสีชมพูระเรื่อเริ่มตวัดชิมรสชาติคาวเลือดจนเจ้าข้อมือเจ็บแปลบยู่หน้า ไม่น่าเชื่อว่าริมฝีปากได้รูปจะสามัคคีกับความร้อนรุ่มภายในโพรงปากได้ดีขนาดนี้ ทว่ามันคงยังไม่พอที่จะทำให้วัสสะไม่อาจต่อต้านได้ดังคำกล่าว ริมฝีปากซุกซนยังคงไม่หยุด มันเคลื่อนตัวไปตามผิวกายแน่นกระชับ จากข้อมือสู่เรียวแขน จากเรียวแขนสู่ผืนผ้าบริเวณช่วงไหล่ ร่างบางกระทำการทุกอย่างราวกับเป็นอัตโนมัติ แขนเสื้อยืดสีขาวที่ไหล่ขวาของวัสสะแทบจะเปียกชื้นไปด้วยน้ำลาย ณ ตอนนี้เขาไม่ได้ทำเพียงใช้หน้ามือยันร่างกายของตนเองเอาไว้ แต่เขายังต้องแบกร่างกายที่พยายามโถมน้ำหนักเข้ามาอย่างไม่มีทางเลือก

“กูร...” วัสสะพยายามกลืนกลุ่มน้ำลายหนืดเหนียวในคอลงไป เขามองตามทุกการกระทำของธารางกูรอยู่ไม่ห่าง นัยน์ตาอ่อนไหวช้อนมองเขาอยู่เป็นระยะ และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเริ่มหนักหน่วงขึ้นเมื่อสายตาของวัสสะหันมาโลมเลียแนวต้นคอขาวที่โผล่มาเรียกร้องใกล้สายตา

“ครับ” เสียงตอบรับของธารางกูรช่างสดใสผิดที่ผิดเวลา ร่างบางเอียงคอมองจนแทบจะทิ้งน้ำหนักลงไปกับไหล่ของวัสสะ รอยยิ้มหลังคำว่าครับนั่นเป็นดั่งการ์ดเชิญวีไอพีที่ไม่ว่าใครคงไม่อาจปฏิเสธ ไม่นานถึงนาทีที่ทั้งสองคนใช้สายตาพูดคุยกัน ธารางกูรยันเข่ายกตัวขึ้นก่อนจะโถมลงขบเม้มดูดดันเรียวลิ้นที่ช่วงคอของวัสสะจนเจ้าตัวเกือบจะเผลอส่งเสียงอื้ออึงออกมาเพราะความพอใจ

“เพราะตัวคุณเย็นเฉียบเลยอยากได้ความอบอุ่นรึไง” จากที่เคยยันมือไว้กับเตียงเพื่อตั้งหลัก วัสสะได้เริ่มเปลี่ยนหลักยึดมาเป็นช่วงเอวของคนที่ยังชันเข่าโน้มตัวลงมาไม่เลิก มือหนาไม่ได้ล่วงล้ำเข้าไปใต้เสื้อผ้าแต่อย่างใด มันทำหน้าที่เพียงลูบไล้จับต้องสัดส่วนเอวบางยาวลามไปยังสะโพกกลมกลึง

“คงงั้นมั้งครับ” ธารางกูรหยุดนิ่งขณะที่ก้มมองใบหน้าของวัสสะเต็ม ๆ ตา แม้ร่างสูงจะพยายามตีสีหน้านิ่งเพียงใดแต่สายตาที่มีความต้องการซ่อนอยู่ไม่อาจหลอกลวงคนมองไปได้ หน้าผากมนโน้มลงสัมผัสหน้าของวัสสะ ลมหายใจที่รดกันอยู่อย่างชิดใกล้ยิ่งทำให้วัสสะออกแรงบีบสะโพกของธารางกูรที่จับเอาไว้เต็มมือ กลิ่นเหงื่อ กลิ่นลมหายใจ กลิ่นกายของฝ่ายตรงข้ามเป็นดั่งเชื้อเพลิงชั้นดี ธารางกูรกำลังจดจ้องดวงตาของเขา ระหว่างที่เขาจ้องมองเพียงเรียวปากที่กำลังยกเชิดราวกับผู้ชนะ





และแน่นอน วัสสะคงไม่ยอมปล่อยให้ธารางกูรเป็นผู้ชนะในเกมนี้





“คุณกับปืนไม่คู่ควรต่อกันหรอก” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแข็งกร้าวไม่น่าฟังเลยสักนิด มือหนาจับข้อมือของธารางกูรเอาไว้แน่นจนอีกฝ่ายรู้สึกเจ็บและยอมปล่อยมือตนออกจากด้ามปืนช่วงกรอบเอวของวัสสะในทันที ดวงตาที่เคยเชื้อเชิญตื่นกลัวความผิดอยู่ไม่น้อย วัสสะสะบัดแขนของธารางกูรออกจากมือ ร่างบางทรุดลงไปกับเตียงก้มหน้ามองผืนผ้ายับย่นอย่างไม่กล้าสู้หน้า



ไม่มีจุมพิตรสหอมหวนจากความต้องการของใคร

เวลานี้คงมีเพียงความผิดลองฟุ้งอยู่เต็มชั้นอากาศ



“ผม...ผม… ผมขอโทษ”

“คุณนอนเถอะ ดึกมากแล้ว” ไม่ว่าธารางกูรจะเอ่ยคำขอโทษเรื่องใด มันก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าโกรธเคืองสับสนของวัสสะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ร่างสูงผุดตัวลุกขึ้นและมุ่งตรงไปยังโซฟาว่าง ๆ ที่ไม่ได้ห่างไปจากเตียงนัก แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะกระชับด้ามปืนใต้ชายเสื้อให้อยู่ในสภาพที่ควรอยู่ แม้วัสสะจะทิ้งตัวลงนอนแต่กลับไม่มีวี่แววว่าค่ำคืนนี้เวลาจะพรากสติยามตื่นของเขาไปได้เลย

“คุณวัส คุณโกรธผมเหรอครับ”

“เปล่า ผมไม่รู้ว่าจะโกรธคุณเรื่องอะไร”



ความโกรธเคืองที่รู้สึกเจ็บปวดจุกอกเสียเอง
ความโกรธเคืองที่ทำให้สับสนในจิตใจจนใบหน้าชาดิก
หากความโกรธเคืองเป็นเช่นนี้ วัสสะจะเรียกว่าความรู้สึกในใจว่าโกรธได้อย่างไร








Talk

กูรลู๊กกกกก หนูหยิบปืนผิดอันนนน (เดี๋ยวนะ 55555) ตอนต่อ ๆ ไปจะอัพเว้น 1-2 วันนะคะ แล้วแต่ช่วงเวลาว่างที่ไม่แน่นอนค่ะ ฝากคอมเมนต์ติชม ด้วยนร้าาาา เราอยากอยากกก ><

ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกวิว ทุกคอมเมนต์ล่วงหน้าค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 6 ฤดูกาลไม่อาจคาดเดา 23/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 23-09-2018 22:35:52
ทำไมกูรทำกับวัสอย่างนี้ละห๊าาาา
นี่เราก็อุตส่าห์นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นึกว่าจะหวานๆ กัน
ปัดโธ่ว !!! อีตากูร  :heaven

จริงๆ เราก็คิดนะว่าต้องมีบุคคลที่ 3 นอกเหนือจากกูรและพอลแน่ๆ แล้วก็มีตัวที่ 3 โผล่มาจริงๆ  :fire:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 6 ฤดูกาลไม่อาจคาดเดา 23/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 24-09-2018 06:49:12
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 6 ฤดูกาลไม่อาจคาดเดา 23/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 25-09-2018 20:54:15
บทที่ 7 หนาวสั่นหวั่นใจ

ฤดูหนาวมักอยู่ในช่วงกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ โดยอากาศจะเริ่มแปรปรวนขึ้นเมื่อลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดเข้าปกคลุม ในระยะเริ่มต้นฤดูจะมีฝนตกกระหน่ำลงมาจนอากาศเริ่มเย็นและเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บ แต่ทว่าหลังจากความหนาวได้ยึดครองโดยรอบพื้นที่ มวลอากาศเย็นและแห้งได้ทำให้ท้องฟ้าปลอดโปร่งจนมองเห็นดาวอย่างเด่นชัด เม็ดฝนที่มาพร้อมกันได้อันตรธานหายไปราวกับจะไม่คืนชีวิตให้ใครอีกเลย





ฤดูหนาวในปีนี้นับว่าเลวร้ายอยู่เหมือนกัน





“ฉันมาถึงแล้ว กำลังเข้าไป” หลังวางสายโทรศัพท์ วัสสะได้ก้าวลงจากรถที่จอดสนิทใกล้ตึกสำนักงานของตน เขาสะบัดเสื้อแจ็คเก็ตยีนขนาดพอดีตัวให้เข้ารูปเข้ารอยก่อนจะสวมมันเข้าไปเพื่อป้องกันอากาศหนาวเย็นในยามนี้ แม้ว่าพระอาทิตย์จะขึ้นตรงอยู่กลางหัวแต่ลมแรงเย็นเฉียบก็ไม่ได้ปรานีปราศรัยให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น

“ทำไมน้องพอลไม่อยู่รอให้สัมภาษณ์นักข่าวก่อนละคะ”

“พี่ไม่ต้องยุ่ง ผมบอกว่าไม่ก็คือไม่”

“มีปัญหาอะไรกับกูรรึเปล่าคะเนี่ย สื่อจะขอสัมคู่ก็ไม่ยอม”

“ถ้าพี่ยังไม่หยุดพูด ผมจะหาผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่” วัสสะเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาคู่หนึ่งที่เพิ่งจะเดินสวนเขาไป แม้ว่าพีรพลจะอยู่ภายใต้กรอบแว่นดำแต่วัสสะก็เห็นว่าอีกฝ่ายสบตากลับมาด้วยความเกรงกลัว บทสนทนาเมื่อครู่น่ะร่างสูงพอจะรู้ดีคำตอบดีกว่าใคร ประการแรกปองภพไม่อนุญาตให้พีรพลเปิดเผยข้อมูลใดกับนักข่าวอีก ประการที่สอง… แน่นอนว่าพีรพลคงไม่กล้าจะเข้าใกล้ธารางกูร

วัสสะเดินตรงเข้ามาใกล้ตัวอาคารมากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้สถานีตำรวจคับคั่งไปด้วยผู้คนและรถรามากมาย แน่นอนอยู่แล้ว วันแถลงข่าวความคืบหน้าคดีฆ่าตัวตายของดารัณทั้งทีจะไม่ได้รับความสนใจได้ยังไง คงจะมีเขาเพียงคนเดียวล่ะมั้งที่นิ่งเฉยและเปิดรายการถ่ายทอดสดดูระหว่างขับรถโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร การแถลงข่าวจากปากตำรวจชั้นผู้ใหญ่แถมมีความจริงเพียงเสี้ยวหนึ่ง มันจะไปสู้หลายเรื่องราวที่อยู่ในสมองของเขาได้ยังไง

“เป็นยังไงบ้างครับกูร เงียบไปหลายวันเลยครับ”

“พอดีวันแรกที่เกิดเรื่องผมคงจะเครียดมากไปหน่อยน่ะครับ วันต่อมาก็เลยน็อค แต่ว่าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว วันนี้ก็เลยได้มีโอกาสมาให้ปากคำเพิ่มเติมกับตำรวจครับ แล้วก็ได้พูดคุยกับพี่ ๆ นักข่าวครั้งแรกด้วย” วัสสะหยุดยืนมองธารางกูรท่ามกลางกองทัพนักข่าวที่ด้านหน้าประตูทางเข้า ร่างสูงยกลำแขนแกร่งขึ้นกอดอกระหว่างที่หาทำเลยืนสังเกตในระยะที่ไม่ไกลนัก ธารางกูรมีท่าทางไม่คุ้นชินและหลบหลีกการจ้องมองกล้องหลายสิบตัวแบบตรง ๆ แต่คงต้องยอมรับว่าเขาประครองสติในการตอบคำถามได้ดีโดยไม่มีกุกกัก

“ตอนที่เจอศพดารัณ ตอนนั้นรู้สึกยังไงครับ”

“ตกใจครับ ผมทำอะไรไม่ถูก ก็เลยเรียกแม่บ้านให้มาอยู่เป็นเพื่อนแล้วก็โทรแจ้งตำรวจอย่างที่รู้ ๆ กัน”

“ก่อนหน้านี้รัณมีสัญญาณอะไรรึเปล่าครับ”

“ในมุมของผมไม่มีนะครับ”

“ดารัณมีปัญหาเรื่องงานรึเปล่าครับ มีกระแสว่าดารัณผิดสัญญาจนโดนถอดจากการเป็นพรีเซนเตอร์และต้องชดใช้เงินก้อนใหญ่”

“อันนี้ผมไม่ทราบนะครับ อย่างที่รู้ ๆ กันว่าผมไม่ได้อยู่ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว ผมเป็นเพียงแค่เลขาธรรมดาที่ดูแลคิวงานตามที่คุณรัณรับมาเอง และทำงานอื่น ๆ ตามคำสั่งเท่านั้น เรื่องเงิน เรื่องโดนถอดอะไรผมคงไม่มีข้อมูลที่จะตอบครับ”

“แล้วเรื่องความรักล่ะคะ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นประเด็นชู้สาวรึเปล่า”

“เรื่องนี้… เป็นเรื่องเรื่องส่วนตัวของคุณรัณ ผมไม่ขอตอบละกัน”

“แปลว่ามีใช่มั้ยครับ/ใช่ใช่มั้ยคะคุณกูร/น้องกูรรู้มั้ยว่าดารัณคบกับใคร” เสียงนักข่าวอื้ออึงขึ้นมาจนแทบฟังได้ไม่เป็นศัพท์ ธารางกูรพยายามตั้งสติและหาหนทางที่จะออกจากคำถามลำบากใจให้เร็วที่สุด

“ถ้ายังไงผมขอคำถามอื่นจากพี่ ๆ นักข่าวแล้วกันครับ” นักข่าวมีท่าทีไม่พอใจอยู่บ้างที่ธารางกูรเลี่ยงการตอบคำถามเช่นนี้ แต่ทุกอย่างต้องดำเนินต่อ คนที่มีสติที่สุดจึงได้โอกาสยิงคำถามก่อน

“ถ้าอย่างนั้น น้องกูรคิดยังไงคะที่มีกระแสว่าน้องกูรอาจมีส่วนเกี่ยวข้องให้น้องรัณฆ่าตัวตาย”

“เรื่องนี้ตำรวจรู้ดีที่สุดครับ ผมได้ให้ปากคำไปหมดแล้ว และผมไม่คิดอะไรกับคำพูดพวกนั้น เพราะผมมั่นใจและรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตายของคุณรัณแน่นอน”

“แล้วอีกกระแสที่น้องพอลเคยให้สัมภาษณ์ละคะ ที่ว่าน้องรัณถูกฆาตกรรม”

“เอ่อ… ผม… ” วัสสะเห็นแววตาวูบไหวของธารางกูร ร่างบางมีท่าทางไม่มั่นใจ ก่อนที่ความบังเอิญจะทำให้หันมาสบกับดวงตาคู่คมของวัสสะพอดี วินาทีนั้นอาการล่อกแล่กเปลี่ยนเป็นนิ่งสนิท และตามด้วยการอ้าปากตอบคำถามที่สื่ออยากรู้ออกมา

“ว่าไงครับ”

“ผมไม่อาจตัดสินอะไรได้หรอกครับ ผมก็เหมือนทุกคนที่รับรู้เพียงว่าคุณรัณได้จากเราไปอย่างไม่มีวันกลับ แม้ว่าลึก ๆ ผมจะไม่เข้าใจและพยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมคุณรัณถึงฆ่าตัวตาย แต่ผมไม่อาจด่วนสรุปโดยไม่มีหลักฐาน ผมว่าตำรวจทำงานเต็มที่มาก ๆ แล้ว ถ้าเรื่องนี้มันมีอะไรซ่อนอยู่จริง ๆ ความจริงจะปรากฏออกมาเองครับ”

“แปลว่าที่ตำรวจและแพทย์ออกมาแถลงในวันนี้ว่ายังยืนยันการเป็นเหตุฆ่าตัวตาย น้องกูรไม่ติดใจอะไรใช่มั้ยคะ”

“เรื่องติดใจ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของครอบครัวคุณรัณดีกว่าครับ” วัสสะยกยิ้มให้กับความฉลาดตอบของธารางกูร นอกจากจะไม่ทำให้เรื่องราวบิดเพี้ยนแล้วยังไม่ทำให้สิ่งที่เขาและปองภพสงสัยเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ หากธารางกูรไม่มีตรรกะในการคิดมากพอและพูดเรื่องราวของพอลเมื่อคืนก่อนที่ห้องเขาออกไปเรื่องราวคงบานปลายจนหาทางจบไม่ลง

เมื่อใช้หูและตาจนพอใจวัสสะจึงเบี่ยงตัวเองเข้ามาภายในเพื่อจัดการภาระหน้าที่ของตนเองต่อ ปฏิเสธได้ไม่ลงหรอกว่าเมื่อครู่เขาใช้ดวงตามากกว่าสิ่งใด หลังจากเช้าที่เขาขับรถออกจากคอนโดธารางกูรโดยไม่ได้หลับไม่ได้นอน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีจังหวะสบตากันอีกครั้ง ถ้าถามว่าความรู้สึกที่เกิดในคืนนั้นมันยังอยู่รึเปล่า วัสสะคงจะต้องยอมรับตรง ๆ ว่าลึกสุดใจแล้วมันยังคงอยู่ไม่มีเปลี่ยน ความสงสัย สับสนอย่างมีนัยยังเกิดขึ้นเมื่อเขามอง หรือเพียงแค่นึกถึงธารางกูร เพราะฉะนั้นสายตาที่ใช้เมื่อครู่มันจึงเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ

“สารวัตรครับ ผู้กองภพถามหาอยู่พอดีเลย”

“ภพยังอยู่ในห้องเล็กใช่มั้ย”

“ใช่ครับ ผู้กองไล่พวกผมออกมาหมดเลย ท่านผู้กำกับก็ยังไม่เว้น ไม่รู้ว่ามีเรื่องด่วนอะไรกับสารวัตร”

“งั้นเหรอ คงเรื่องไร้สาระเหมือนเดิมแหละจ่า ขอบคุณครับ” วัสสะผงกศีรษะแสดงคำขอบคุณและมุ่งตรงไปหาปองภพในทันที ตอนมาถึงที่นี่ปองภพเพิ่งจะโทรตามให้เขาเข้าไปหาในห้องประชุมเล็ก น้ำเสียงตื่นเต้นร้อนรนของเพื่อนคนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เดายาก รายนั้นคงได้หลักฐานชิ้นใหม่หรือข้อมูลน่าสนใจอันเป็นประโยชน์ แต่ที่ทำให้วัสสะสงสัยคือเหมือนว่าเรื่องนี้ถูกปองภพพิจารณาอยู่ในหมวดหมู่ของความลับน่ะสิ

“ว่าไงภพ”

“มาสักที ฉันรอจนหงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว” ทันทีที่ร่างสูงเดินลอดผ่านบานประตูเข้ามา ปองภพก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นดึงเก้าอี้ให้นั่ง แม้วัสสะจะทรุดตัวลงกับเก้าอี้ตามคำเชื้อเชิญของเพื่อน แต่ก็ยังแสดงสีหน้าที่เอาแน่ไม่ได้ออกมาไม่หยุด

“ทำไม ผลนิติเวชเพิ่มเติมมีปัญหาเหรอ”

“เปล่า เราได้ข้อมูลน่าสนใจมากขึ้นด้วยซ้ำ แต่เรื่องนั้นฉันว่าเอาไว้ทีหลังเถอะ” ปองภพใช้มือดันแฟ้มเอกสารที่วัสสะกำลังจะคว้ามาเปิด คนถูกขัดเลิกคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกสนเท่ห์มากกว่าเดิม

“หรือแถลงข่าวเมื่อกี้มีอะไรพลาด”

“การแถลงข่าวราบรื่นดี”

“งั้นก็เรื่องสอบพอลกับกูร”

“ไม่เชิงหรอก แม้ว่ามันจะเกี่ยวกันทางอ้อมก็เถอะ”

“อะไรของนายกันภพ”

“นายหยุดเดา แล้วดูนี่เอาเองเถอะ” ปองภพโยนซองสีน้ำตาลขนาดมาตรฐานให้กับวัสสะ นายตำรวจนั่งเฉียงลงบนโต๊ะเพราะหวังจะเห็นปฏิกิริยาจากสารวัตรผู้เป็นเพื่อน วัสสะเงยหน้าขึ้นมองปองภพเพื่อความแน่ใจ ก่อนที่เขาจะพลิกดูรอบซองเป็นลำดับแรก

“ซองพัสดุ จ่าหน้าถึงนายนี่” วัสสะหยุดอ่านที่หน้าซอง ซองน้ำตาลที่อยู่ในมือเขาผ่านการตีตราส่งมาจากบริษัทขนส่งเจ้าหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่ได้เขียนระบุผู้ส่ง แต่กลับมีชื่อของปองภพพร้อมยศตำแหน่งและที่อยู่สถานีตำรวจอย่างพูกต้องชัดเจน

“ใช่ รีบเปิดดูข้างในสิ” วัสสะเปิดปากซองตามคำรบเร้า เขาดึงแผ่นกระดาษสีขาวด้านในโดยไม่ได้ระวัง ของชิ้นอื่นในซองจึงร่วงหล่นลงกับโต๊ะตรงหน้า ที่วางในเห็นชัดเจนอยู่บนโต๊ะคือภาพถ่ายเด็กแบเบาะคนหนึ่งที่ซีดเซียวตามวันเวลาของการถ่ายผ่านกล้องฟิล์ม ส่วนอีกภาพวัสสะค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นธารางกูรไม่ผิดแน่

“รูปกูร… นี่มันอะไรกัน”

“นายถามฉันแล้วจะให้ฉันถามใครต่อ” ปองภพส่ายหน้าไหวไหล่ขณะที่วัสสะเงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมการตีตราคำถามเต็มรูปหน้า วัสสะเริ่มให้ความสนใจกองรูปที่เห็นอีกครั้ง เขาวางซองสีน้ำตาลและแผ่นกระดาษที่ไม่น่าสนใจลง และเริ่มพลิกภาพถ่ายมากมายที่คว่ำหน้าอยู่เพื่อพิจารณาโดยละเอียด วัสสะนับได้ราวเจ็ดภาพ และที่น่าตื่นตาตื่นใจคือมันเป็นภาพธารางกูรในช่วงวัยต่าง ๆ จวบจนปัจจุบัน

“ใครส่งมาให้นาย”

“ฉันโทรไปถามที่บริษัทขนส่ง มันถูกส่งจากสาขาย่อยต่างจังหวัด ไม่มีวงจรปิด ส่วนชื่อผู้ฝากส่งที่ระบุจากต้นทางคาดว่าน่าจะเป็นชื่อปลอม เพราะขนาดที่อยู่ยังผิด”

“หรือจะเป็นกูร”

“กูรจะส่งรูปตัวเองมาให้ตำรวจเพื่ออะไรกัน ไม่มีประโยชน์”

“แล้วใครจะมีรูปกูรเยอะขนาดนี้”

“อาจจะเป็นใครสักคนที่อยู่กับกูรมาตลอดล่ะมั้ง”

“...” วัสสะใช้นิ้วชี้เคลื่อนภาพถ่ายบนโต๊ะทีละใบ เขาเลื่อนเด็กชายวัยแบเบาะไปอยู่ทางซ้ายก่อนจะไล่เรียงตามช่วงวัยอายุเท่าที่มองเห็น ยิ่งมอง ยิ่งคิด วัสสะยิ่งตกอยู่ในภวังค์ความเงียบที่แม้แต่ปองภพก็ไม่อาจเข้าขวาง วัยเด็กเล็ก วัยซุกซน วัยรุ่น วัยเรียน วัยทำงาน หรือแม้แต่วัยที่ใกล้เคียงปัจจุบัน ไม่มีภาพไหนเลยที่หลุดจากความคิดเขาไปได้ รอยยิ้มภายในภาพค่อย ๆ ถดถอยน้อยลงไปตามเวลา ราวกับมีเรื่องร้ายใดเป็นปัจจัยสำคัญ

“เฮ้! วัส! เงียบไปเลย”

“ฉันกำลังใช้ความคิดอยู่” วัสสะว่าพลางถอนหายใจกับเรื่องราวที่เข้ามาช่วงชิงพื้นที่ในสมองไม่หยุด แต่ดูเหมือนว่าเพียงภาพถ่ายเจ็ดใบจะทำให้เขาใช้สมองได้ไม่พอ ปองภพจึงยื่นแผ่นกระดาษสีขาวที่เขาไม่ได้สนใจตั้งแต่แรกขึ้นมา

“งั้นก็ใช้ความคิดแค่ครั้งเดียว จะได้ไม่เหนื่อย”

“อะไรอีก” วัสสะรับแผ่นกระดาษจากมือของปองภพ แค่เขากวาดตามองลวก ๆ คิ้วหนาก็กระตุกเกร็งขึ้นมาเป็นจังหวะ มือซ้ายที่ยังว่างเริ่มบรรเลงบทเพลงที่ใช้เรียวนิ้วในการสร้างสรรค์อีกครั้ง วัสสะเริ่มเคาะโต๊ะเป็นจังหวะเมื่อเขาอ่านรายชื่อที่ถูกไล่เรียงมาตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้ายที่ถูกระบุไว้ด้วยเลขยี่สิบเอ็ด

“หนึ่ง นายคงถาวร ยศยิ่งควร สองห้าสี่เจ็ด

สอง นางจิตติพร ยศยิ่งควร สองห้าสี่เจ็ด...”

“แปลกมั้ยล่ะ”

“สิบแปด นายสิริน สองสินทรัพย์ สองห้าห้าเก้า

ยี่สิบเอ็ด นายดารัณ จิตดารุณ สองห้าหกหนึ่ง” วัสสะไม่ได้หยุดอ่านทั้งที่ปองภพพยายามพูดกลั้นกลาง เขาอ่านออกเสียงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเจอรายชื่อและตัวเลขที่น่าสนใจในแผ่นกระดาษ และเมื่อรายชื่อสุดท้ายจบลงพร้อมปลายเสียงแผ่ว จังหวะการกดเรียวนิ้วลงกับโต๊ะของวัสสะก็หนักแน่นขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น

“นายเห็นอย่างที่ฉันเห็นรึเปล่าวัส”

“ดารัณ จิตดารุณ เสียชีวิตปีสองห้าหกหนึ่ง”

“แล้วท่านสิริน สองสินทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตในปีสองห้าห้าเก้า”

“แล้วรายชื่ออื่น...”

“นายเริ่มคิดเหมือนกันใช่มั้ย” วัสสะไม่อาจให้คำตอบปองภพในทันที ดวงตาของเขาวูบไหวในขณะที่เหลือบมองกลุ่มรูปภาพบนโต๊ะอย่างไม่เต็มตา หากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาไร้ที่มาแล้วใครเล่าเป็นคนโยนปริศนาก่อนใหญ่เข้ามาให้หนักใจ

“ส่งตรวจสอบรายละเอียดชื่อพวกนี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกันยังไง” มือหนายื่นแผ่นกระดาษที่ยับย่นตามรอยมือกลับไป ปองภพรับไว้ก่อนจะกวาดถูกอย่างลงไปในซองเช่นเดิม ในมุมของปองภพนี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุด ขณะที่พวกเขาสงสัยในตัวธารางกูรกับคดีหนึ่ง กลับมีมือดีส่งข้อมูลที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องเข้ามาให้ หากมันเป็นเรื่องจริงที่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ชีวิตนายตำรวจของเขาคงจะมีสีสันขึ้นอีกเป็นกอง แต่ถ้าไม่ มันก็เสี่ยงถูกปั่นหัวจนยับเยินอยู่เหมือนกัน

“ไม่ว่ะ ฉันว่าจะค้นเอง ไว้ใจใครไม่ได้”

“ทำไมล่ะ”

“ข่าวดารัณก็ยังอยู่ในความสนใจ ส่วนท่านรัฐมนตรีช่วยก็เป็นคนสำคัญ มันเสี่ยงมากถ้าเราทำอะไรพลาดไป งานนี้ถ้าเราถูกปั่นหัวคือตายคู่แน่ ๆ ” ปองภพอธิบายเหตุผลที่เขาคิดเอาไว้ในใจ วัสสะพยักหน้ารับเพราะที่ปองภพพูดมามันเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักทั้งหมด คนคิดหนักเริ่มกัดด้านในริมฝีปากล่างของตนเองระบายความอึดอัด เรียวนิ้วของเขายังส่งเสียงกระทบกับโต๊ะต่อเนื่องจนปลายนิ้วเกิดอาการชาไปเสียหมด

“ต้องเป็นฝีมือใครสักคนที่รู้ว่าเรากำลังสงสัยกูรกับพอล”

“ไม่นะ ฉันว่าคนส่งตั้งใจจะเล่นประเด็นกูรแค่คนเดียวเท่านั้น”

“หรือว่าจะเป็นพอล”

“คิดว่าไม่ เท่าที่ฉันสัมผัสมา พอลแทบไม่รู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับกูรเลย เผลอ ๆ คนที่ตั้งใจส่งมันมาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจับตามองกูรอยู่”

“งั้นมีทางเป็นไปได้สองทาง”

“นายหมายถึง”

“คนส่งพยายามบอกความจริงบางเรื่องเกี่ยวกับกูร หรือไม่… กูรก็กำลังตกเป็นเหยื่อที่กำลังโดนใส่ความโดยไม่รู้ตัว”





ตึก! ตึก! ตึก!





เสียงเคาะนิ้วสามครั้งสุดท้ายหนักแน่นและมั่นคงพร้องไปกับเสียงของหัวใจ แม้วัสสะจะหยุดการกระทำที่เป็นผลมาจากการใช้ความคิด แต่ใบหน้าเรียบเฉยปกติยังคงมองไปที่ซองกระดาษสีน้ำตาลด้วยสมองหนักอึ้ง สิ่งที่เขากำลังเจอไม่ใช่เรื่องท้าทาย ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะนึกสนุก พลันคิดทบทวนอยู่อย่างกังวลใจ ภาพของธารางกูรก็ไล่เรียงผ่านเข้ามาในหัวเขาเป็นฉาก ๆ ใบหน้า สุ่มเสียง และความหนาวเย็นยามพบเจอกัน ทุกอย่างชัดเจนเสียจนวัสสะไม่อาจหยุดคิดเรื่องนี้ไปได้





ไม่ว่าจะฝืนตนเองอย่างไร วัสสะก็ไม่อาจทำได้ ไม่เลย



หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 7 หนาวสั่นหวั่นใจ 23/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 25-09-2018 22:16:11
ไม่อยากเชื่อว่ากูรจะเป็นฆาตกรหลายศพแบบนั้น
แล้วคนที่ตามกูรไปที่ห้องละ เค้าเป็นใคร ??



 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 7 หนาวสั่นหวั่นใจ 23/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 25-09-2018 22:30:43
บทที่ 8 กลิ่นร่างกายเย้ายวน



รายงานการชันสูตรพลิกศพ

ชื่อผู้ตาย นายดารัณ จิตดารุณ อายุ 29 ปี เพศ ชาย เชื้อชาติ ไทย

ชื่อผู้พบศพ นายธารางกูร ประสิทธิจามร

เหตุและพฤติการณ์ที่ตาย

วันเวลาตาย -

วันเวลาตรวจ 12 ธันวาคม 2561 เวลา 13.30 น.

สภาพศพภายนอก

1. ศพเพศชาย รูปร่างสมส่วน สูงประมาณ 180 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม ผมดำย้อมน้ำตาลเข้ม สั้นรองทรง ไม่สวมเสื้อผ้า

2. ใต้ตาขวา แผ่นหลัง ท้องแขนและท้องขาคั่งเลือด โดยเทน้ำหนักไปทางขวาเล็กน้อย

3. เนื้อเยื่อใต้เล็บมือเขียวคล้ำชัดเจน

4. บาดแผลถูกบาดจากของมีคมที่ข้อมือด้านขวายาวประมาณ 3 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร

5. กระดูกแขนและขา ปกติ

6. อื่น ๆ ปกติ

การตรวจศพภายใน

1. หนังศีรษะ ปกติ กะโหลกไม่พบรอยแตกร้าว

2. กล้ามเนื้อคอพับไปทางด้านขวา กระดูกบริเวณคอ ปกติ

3. ท่อลมใหญ่ กล่องเสียง ระบบหายใจ ปกติ

4. หัวใจหนัก 320 กรัม ลิ้นหัวใจ ปกติ หลอดเลือดหัวใจ ปกติ กล้ามเนื้อหัวใจ ปกติ

5. อวัยวะภายในช่องท้อง ปกติ

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

1. แอลกอฮอล์ในเลือด 169.00 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

2. พบสารกล่อมประสาทกลุ่มเบนโซไดอะซีปีนไม่ทราบชนิดในเลือด 950 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร

3. หมู่โลหิต กรุ๊ป “บี”

4. การตรวจคราบอสุจิจากสำลีพันปลายไม้เก็บจากทวารหนักของผู้ตาย พบตัวอสุจิและการตรวจน้ำอสุจิด้วยวิธีเอ็นซัยม์แอซิดฟอสฟาเตส ให้ผลบวก

สาเหตุการตาย เสียเลือดมากร่วมกับภาวะหัวใจล้มเหลว สันนิษฐานว่าเกิดจากบาดแผลที่ข้อมือขวา และสารกล่อมประสาทกลุ่มเบนโซไดอะซีปีนที่พบในเลือด

ความเห็นเพิ่มเติม

1. คาดว่าผู้ตายเสียชีวิตมาประมาณ 24 - 36 ชั่วโมง นับจากการตรวจศพ ณ ที่เกิดเหตุ

2. คาดว่าผู้ตายเสียชีวิตในลักษณะเอียงขวา ก่อนศพจะเสียการควบคุมลงมาในท่านอนปกติ




เคล้ง! เสียงน้ำแข็งกระทบกับขอบแก้วดังสนั่นเมื่อวัสสะโยนแฟ้มเอกสารที่อ่านจนปวดตาทิ้งอย่างไม่ไยดี แฟ้มสีดำสนิทไหลไปกับพื้นโต๊ะกระจกไปชนเข้ากับแก้วเครื่องดื่มจนแทบจะตกแตก ผลการชันสูตรศพดารัณที่ได้มาล่าสุดทำให้เขาต้องใช้ความคิดมากกว่าเดิม การตรวจครั้งนี้ยืนยันแล้วว่าดารัณไม่ได้ตายเพราะเสียเลือดเพียงอย่างเดียว ทุกอย่างเป็นแบบที่เขาและปองภพคิดเอาไว้ไม่มีผิด แต่ที่ผิดคาดไปนิดหน่อยคงจะเป็นเรื่องการพบสารที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทไม่ทราบชนิดในเลือด นั่นเท่ากับว่าวัสสะต้องหาที่มาที่ไปของสารหรือยาชนิดนี้ ถึงแม้ว่าการแถลงข่าวจะยืนยันว่าดารัณฆ่าตัวตายไปแล้วก็ตาม

“หึ ตลกสิ้นดี” วัสสะสบถออกมาก่อนจะเอื้อมคว้าแก้วมารินเครื่องดื่มสีทองอำพันอีกครั้ง เขากระดกสุราลงคอรวดเดียวโดยไม่อาศัยเครื่องลดทอนฤทธิ์แรงใด ๆ ความคิดของวัสสะยิ่งยุ่งเหยิงหาทางออก ต่อให้ดารัณจะกินยาอันตรายเข้าไปเอง สำนวนคดีก็ควรต้องรู้ว่าดารัณได้มาจากไหนและกินมันเข้าไปทำไม ทั้งที่ไม่เคยมีประวัติการรับยากลุ่มนี้จากแพทย์มาก่อน ยิ่งนิติเวชไม่สามารถระบุชนิดได้ โจทย์ของตำรวจก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่

นับตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน วัสสะก็เอาแต่จมอยู่กับกองเอกสารไม่มีหยุด เขามีเพื่อนเป็นสุราชั้นดีแก้วแล้วแก้วเล่า ยังโชคดีที่่นายตำรวจหนุ่มพอจะรู้ลิมิตตัวเองเขาจึงไม่ได้เมามายจนเสียสติ หรือว่าเสียการเสียงานที่อุตส่าห์หอบแฟ้มกลับมา ที่เขาลิ้มชิมรสเครื่องดื่มขมฝาดอยู่ก็เพราะต้องการให้เส้นสมองตึง ๆ ได้ผ่อนคลายเสียบ้าง ทว่าความจริงมันไม่ใช่เช่นนั้นเลย ยิ่งเขาดื่มเข้าไปมากเท่าไหร่ทุกอย่างก็รุมสุมไฟเข้ามาไม่ได้หยุด

“คุณวัสจะรับอาหารค่ำมั้ยคะ ป้าจะได้เตรียม” เสียงแม่บ้านเอ่ยขึ้นมาด้วยความเกรงอกเกรงใจระหว่างที่เดินก้มโค้งเข้ามาพูดคุยกับนายคนหนึ่งของบ้าน วัสสะสะบัดหลังมือเชิงไล่เบา ๆ แต่หญิงวัยกลางคนก็ยังก้มมองเท้าพูดกับเขาอยู่ไม่หยุด

“ไม่ ผมไม่หิว”

“แต่คุณท่านสั่งไว้ว่าให้ป้าดูแลคุณวัส ป้าเกรงว่า...”

“ป้าออกไปเถอะ”

“คุณท่านจะเป็นห่วงเอานะคะคุณวัส”

“หึ เป็นห่วงเนี่ยนะ”

“ทานสักหน่อยเถอะค่ะ เตรียมป้าจะจัดโต๊ะให้”

“ไม่ต้องยุ่ง จะไปไหนก็ไป! ” เสียงทุ้มออกคำสั่งเด็ดขาด สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องเป็นฝ่ายล่าถอยออกไป ทิ้งให้ร่างสูงอยู่คนเดียวท่ามกลางบ้านหลังใหญ่เช่นเดิม หลังจากสุราแก้วนั้นวัสสะก็ไม่ได้ดื่มมันเข้าไปเพิ่มเติมอีก เขาเอาแต่ใช้เรียวนิ้วจิ้มก้อนน้ำแข็งในแก้วจนรู้สึกชาเพราะความเย็น รอยยิ้มเล็ก ๆ ยกขึ้นที่มุมปากอย่างไม่อาจห้าม หรือบางทีความหนาวเย็นจะบำบัดรักษาอาการเจ็บปวดได้กันนะ

Rrrr วัสสะใช้เวลาอยู่กับแก้วน้ำแข็งกระทั่งแทบละลายจนหมด จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือข้างกายเขาก็เริ่มส่งเสียงร้องดังขึ้น ร่างสูงมองหมายเลขที่ไม่ได้ถูกเมมโมรี่ที่หน้าจออย่างไม่เข้าใจนัก คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากันในจังหวะที่ตัดสินใจรับสาย ทว่าเสียงจากปลายสายที่เขาได้ยินยิ่งทำให้ความไม่เข้าใจที่มีเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

“สวัสดีครับ”

“คุณวัส! ”

“กูร...” น้ำเสียงตื่นตระหนกจากต้นสายทำให้ปลายสายอย่างวัสสะตกใจขึ้นมาไม่แพ้กัน เสียงที่วัสสะจำได้ไร้ความมั่นคง สั่นคล้ายคนจะร้องไห้จากความกลัว วัสสะเม้มริมฝีปากตั้งใจฟังอีกฝั่งที่เอื้อนเอ่ยออกมาไม่เป็นภาษาและจับใจความยากเสียเหลือเกิน

“ม...มีคนมาแอบดู คน...มาเคาะ… เคาะห้องผม… คุณวัส… ช่วย… ช่วยผมที”

“กูร คุณใจเย็นก่อนนะ ค่อย ๆ พูด” แม้ว่าวัสสะจะบอกให้อีกฝ่ายใจเย็น แต่ตัวเขาเองนั้นกลับคว้ากุญแจรถและรีบสาวเท้าออกมาจากบริเวณบ้านทันที เขาไม่สนใจเสียด้วยซ้ำว่าตอนนี้วันเป็นยามวิกาลแค่ไหน แค่คิดว่าเป็นความผิดตนที่ไม่ได้ไปสังเกตการณ์ที่นั่นในวันนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องหยุดคิดไปทำไม

“มีคนแอบมองผมจากข้างล่าง ฮึก… แล้ว… แล้วมีคนเคาะประตูห้องผมอยู่ตอนนี้ด้วย”

“โอเค คุณต้องตั้งสติ ปิดระเบียงของคุณซะ ล็อกห้องให้ดี ผมจะไปถึงภายในครึ่งชั่วโมง”

“คุณวัส… ผม...”

“ตั้งสติ แล้วคิดไว้แค่ว่าผมกำลังจะไปหาคุณก็พอกูร” สิ้นเสียงสนทนาสุดท้ายปลายเท้าของวัสสะก็เหยียบเร่งความเร็วรถคันเก่งอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่มีใครรู้ว่าร่างสูงคิดอะไรอยู่ในหัวถึงมีอาการนั่งแทบไม่ติดทั้งที่ยังขับรถ อาจจะเพราะการโทษตัวเอง หรือเพราะความรู้สึกพิเศษอื่นใดที่ทำให้รับรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นห่วงเสียเหลือเกิน

วัสสะใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงดั่งที่พูด เขาขับรถเพียงยี่สิบนาทีก็มาถึงคอนโดรูปร่างคุ้นตาที่เฝ้ามองมาหลายวันในระยะนี้ เพื่อความแน่ใจอาวุธจึงถูกคาดเข้าที่เอวพร้อมซองปืนและเครื่องกระสุน ทันทีที่ลงจากรถสายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับชายสวมฮู้ดที่กำลังวิ่งหนีเงามืดไปอีกทางราวกับรอเย้ยหยัน วัสสะกำหมัดแน่นชั่งใจว่าควรทำเช่นไร แต่แล้วเขาก็เลือกที่จะวิ่งเข้าไปที่ตัวอาคาร

ความร้อนรนทำให้วัสสะแทบจะอยู่ไม่นิ่ง แม้แต่ลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนตัวก็ยังดูช้าไปสำหรับเขา ทันทีที่ประตูเปิดตามเลขชั้นที่ระบุ ขายาว ๆ ก็สับเดินโดยมีจุดหมายเพียงที่เดียว แม้ว่าหางตาของวัสสะจะกระตุกอีกครั้งเมื่อเห็นหลังไว ๆ ของชายสวมฮู้ดอีกคนผลักประตูบันไดหนีไฟไปต่อหน้าต่อตา

เวลานี้ไม่ใช่เวลามาสนใจองค์ประกอบอื่นใด นอกจากคนที่เขาสนใจ

“กูร...” วัสสะเอ่ยเสียงนิ่งเรียบ มันไม่ได้เป็นการเรียกคนที่คาดว่าจะอยู่ภายในห้อง มันเป็นแค่เสียงพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นกระดาษโพสอิสสีเหลืองนวลปิดทับลงไปที่บริเวณช่องตาแมว วัสสะดึงแผ่นกระดาษที่เขาเพิ่งจะอ่านจับใจความสำคัญออกจากประตูและยัดมันลงไปในกระเป๋ากางเกง ไม่ว่าข้อความนี้จะต้องใจสื่อสารกับใครมันก็เลวร้ายต่อด้วยความหมายโดยนัยอยู่ดี

‘ถอยกลับหรือเดินหน้าแล้วตายจาก ทางไหนน่าสนุกกว่ากัน’

ไม่… ไม่มีอะไรน่าสนุกทั้งนั้น

ก๊อก ๆ ๆ

“กูร! คุณกูร! นี่ผมวัสเองนะครับ! คุณกูร! ” วัสสะเริ่มเคาะประตูส่งเสียงเรียกธารางกูร มือหนักแน่นกำหมัดทุบลงไปที่บานประตูเป็นจังหวะต่อเนื่องโดยไม่กลัวใครจะว่าเอา เมื่อไร้การตอบรับ เขาจึงแนบใบหูลงไปกับบานประตูเพื่อคาดการณ์ความเป็นไปด้านในห้อง หัวใจกระวนกระวายร้อนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก น้ำเสียงของธารางกูรในสายโทรศัพท์กับความเงียบตอนนี้ช่างขัดกันเสียจนวัสสะไม่อยากใช้ความคิด ใช่ เขารู้ว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แต่สำหรับที่นี่ ณ เวลานี้ เขาไม่ต้องการให้มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้น

“คุณกูร… ได้ยินผมมั้ย ผมวัสสะไง… ธารางกูร ได้ยินผมมั้ย” เสียงเรียกยังคงดังต่อไม่มีหยุดแม้ว่าวัสสะจะหยุดเคาะเพื่อฟังเสียงเป็นระยะ ปลายเท้าใต้เรียวขายาวคงจะได้กระโดดพังประตูห้องเป็นแน่หากเขาไม่ได้ยินเสียงพูดติดขัดที่ดังมาจากในห้องเสียก่อน เสียงของธารางกูรทำให้วัสสะโล่งอกไปได้หนึ่งเปราะ ส่วนที่เหลือก็คงต้องรอลุ้นในยามที่บานประตูถูกเปิดเท่านั้น

“ค...คุณวัส”

“เปิดประตูให้ผมที คุณยังโอเคใช่มั้ย”

“ผ...ผม...โอเค”

“ถ้างั้นคุณเปิดประตูให้ผมนะครับ ผมมาหาตามที่พูดเอาไว้แล้วนะ” วัสสะตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเพื่อให้ผู้ฟังสบายใจ ไม่นานนักเสียงปลดล็อกจากภายในก็นำหน้ามาก่อนที่บานประตูจะถูกแง้มเปิด วัสสะเบี่ยงตัวเองเข้าไปและแย่งบานประตูจากมือธารางกูรเพื่อทำการล็อกไว้เช่นเดิมทันที ทว่าภาพใต้แสงไฟที่เห็นไม่ได้ทำให้เขาสบายใจขึ้นสักเท่าไหร่ เจ้าของห้องตกอยู่ในสภาพหวาดกลัวถอยกราวรูดจนแผ่นหลังชิดติดผนัง ธารางกูรทรุดตัวลงไปกับพื้นห้องอย่างคนหมดแรง ราวกับว่าช่วงเวลาที่วัสสะมองเขาอยู่เป็นช่วงเวลาที่สามารถปลดปล่อยความกลัวของตนเองออกมาได้จนหมด

“อึก… คุณวัส”

“คุณเป็นอะไร ใจเย็นก่อนนะ ผมอยู่นี่แล้ว คุณจะไม่เป็นอะไรทั้งนั้น” วัสสะเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ ในจังหวะที่ก้าวเดินอยู่นั้นเขาก็เตะเข้ากับแผ่นกระดาษยับเยินแผ่นหนึ่ง ร่างสูงก้มลงหยิบมันขึ้นมาก่อนที่ดวงตาคมจะนิ่งงันจนน่ากลัว ข้อความในแผ่นกระดาษมีใจความเดียวกับโพสอิทหน้าห้องไม่มีผิด ถ้าจะให้เดามันคงจะถูกสอดเข้ามาจากทางใต้ประตู นั่นเท่ากับว่าเจ้าของข้อความต้องการสื่อสารกับธารางกูรและใครอีกคนที่จะมาถึงหน้าประตู

‘ถอยกลับหรือเดินหน้าแล้วตายจาก ทางไหนน่าสนุกกว่ากัน’

แน่นอน วัสสะรู้ว่าใครอีกคนคือตัวเขาเอง

“ผมกลัว อึก… ค...คนพวกนั้นทำให้ผมกลัว” ธารางกูรไม่ได้สะอึกสะอื้นจากการร้องไห้ บนใบหน้าเขาไม่ได้มีสักหยดของน้ำตา ที่ร่างบางพูดแทบไม่เป็นประโยคนั้นเป็นเพราะอาการเกร็งตัวของร่างกายในขณะหวาดผวา วัสสะวางแผนกระดาษลงและเข้าไปทรุดตัวนั่งตรงหน้าธารางกูร มองแค่วินาทีเดียวเขาก็รู้ว่าช่วงเวลาที่ธารางกูรอยู่คนเดียวมันย่ำแย่ขนาดไหน

“ไม่เป็นไรครับ ค่อย ๆ หายใจนะคุณกูร ผ่อนลมหายใจเข้าออก ใช้สติให้ได้มากที่สุด”

“คุณวัส ผมเห็นคนมองขึ้นมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ผมไม่รู้ว่า… อึก… ผม...”

“ไม่เป็นไร ไว้คุณสบายใจแล้วค่อยเล่าก็ได้ โอเคมั้ย” วัสสะแสร้งสร้างรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าตนทั้งที่ใจไม่อยาก เขาเริ่มสร้างกำลังใจด้วยการเปลี่ยนท่าทางกดเข่ากับพื้นของตนเป็นการปล่อยขาขัดสมาธิขึ้นอย่างง่าย ๆ อีกไม่กี่นาทีต่อจากนั้นธารางกูรจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลงและทิ้งสองขาตัวเองที่กอดเอาไว้อยู่ให้ตกลงมาตามน้ำหนักอย่างไม่มีแบบแผน ทั้งคู่ปล่อยตัวเองในท่านั่งสบาย ๆ ราวกับต้องการหยุดทุกเรื่องเอาไว้ชั่วคราว

“อึก...”

“ผมอยู่นี่ คุณไม่ต้องกลัว ดูสิ ไม่มีใครไม่เป็นอะไรเลย”

“แต่ว่าแผ่นกระดาษนั่น...”

“สบตาผมสิกูร” วัสสะไล่ช้อนมองธารางกูรเท่าที่จะทำได้ ดวงตากลมลดอาการสั่นไหวลงแต่ยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร่างสูงเริ่มรู้แล้วว่าการสงบนิ่งอาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้นไม่ได้ทั้งหมด เขาจึงค่อย ๆ ขยับตัวเองเข้าไปใกล้ธารางกูรมากขึ้น มือหนาเชยคางคนก้มหน้าขึ้นก่อนจะกดลงเล็กน้อยเพื่อให้ได้ระดับ คราวนี้ไม่ว่าดวงตาตื่นกลัวคู่ไหนก็ไม่อาจหลบหลีกความหนักแน่นของเขาไปได้

“ผมกลัว...” ร่างบางพยายามประคองเสียงไม่ให้สั่น เรียวมือสวยทั้งสองข้างจับเข้าที่ปลายแขนของวัสสะข้างที่สัมผัสช่วงกรอบคางของเขาอยู่ ดวงตาวาววับแลกเปลี่ยนความรู้สึกซึ่งกันและกันอย่างไม่อาจปิดกั้น

“มองเขามาในตาผม ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย”

“คุณวัส”

“ตอนนี้คุณมีผมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ผมสัญญาว่าคุณจะปลอดภัย”

“แต่ผม...”

“ถ้าคุณเอาแต่บอกตัวเองว่ากลัว ผมจะกลับแล้วนะครับ” วัสสะดึงฝ่ามือของตนออกและทำท่าจะเหยียดยืนขึ้น ธารางกูรรีบแสดงสีหน้าคัดค้านแทบจะทันที เขาใช้สองมือที่เกี่ยวพันแขนของอีกฝ่ายอยู่ดึงรั้งเอาไว้กับตัว มือหนาถูกกดทับลงไปบนอกซ้ายของร่างบางตามแรงหน่วงเหนี่ยว

“อย่าไปนะครับ”

“แล้วจะให้ผมทำยังไงคุณถึงจะหายกลัว หืม” ร่างสูงยกตัวเองขึ้นมานั่งคุกเข่าอีกครั้ง มือข้างที่สัมผัสช่วงหัวใจของธารางกูรอยู่รู้สึกได้ถึงทุกจังหวะการเต้นของหัวใจที่แรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ระยะห่างระหว่างกันถูกวัสสะลดทอนมันลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข่าของวัสสะถูกกั้นขวางการเคลื่อนไหวด้วยช่วงขาของธารางกูร

“อื้อออ” แม้ว่าจะมีช่องว่างระหว่างเวลาเว้นไว้ให้ธารางกูรให้คำตอบ แต่วัสสะไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป เมื่อครู่ริมฝีปากเรียวของธารางกูรบดเบียดกับแผงฟันของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเชื้อเชิญให้ได้ลองพิสูจน์ ความชุ่มช่ำมันวาวสีชมพูระเรื่อเป็นเหยื่อล่อชั้นดีที่จะทำให้เหยื่อติดกับ สุดท้ายช่องว่างระหว่างริมฝีปากสองคู่จึงถูกดูดกลืนหายไปพร้อมเสียงร้องหาการหายใจที่อื้ออึงไปทั้งห้อง

จังหวะหัวใจของธารางกูรในมือของวัสสะยิ่งหนักข้อขึ้น ริมฝีปากรสชาติหวานปะแล่มหอมกรุ่นขึ้นมาติดปลายจมูกจนต่างฝ่ายต่างอยากลิ้มชิมรสมากขึ้นเรื่อย ๆ เรียวลิ้นร้อนแทรกเข้าไปในทุกพื้นที่เพื่อหวังเร้าให้ความรู้สึกกลัวจางหายไป แต่ยิ่งลิ้นเล็กตวัดเกี่ยวกลับมามากเท่าไหร่ วัสสะก็เหลือพื้นที่เอาไว้ให้อีกฝ่ายกอบโกยอากาศน้อยลงเท่านั้น ดูท่าว่าการเร้าความกลัวของวัสสะกลับยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ความรู้สึกวาบหวามที่น่ากลัวกว่าเด่นชัดขึ้นมาเสียแล้ว

“คุณ...” วัสสะหอบเหนื่อยเมื่อปลดปล่อยอิสระให้แก่กัน เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่เผื่อกดธารางกูรจนแทบจะจมหายไปกับผนัง เขาคุกเขาคร่อมขาทั้งสองข้างของธารางกูรไว้ด้วยท่าทางสุ่มเสี่ยงเสียเหลือเกิน มือหนายกขึ้นจากอกซ้ายของร่างบางโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายปล่อยมือออกจากปลายแขนเขาตั้งแต่ตอนไหน วัสสะกำลังเผลอสติไปกับกลิ่นร่างกายหอมละมุนที่กำลังลอยฟุ้งในอากาศ ขณะเจ้าของริมฝีปากแดงเจ่อจ้องมองสบตาเขาด้วยนัยน์ตาสีหวานสนิท ธารางกูรทิ้งศีรษะลงกับแผงอกแกร่งของเขาคล้ายอยากจะออดอ้อนขอความเห็นใจ แต่เปล่าเลย ถ้าใครได้เห็นเรียวมือซุกซนก็คงจะคิดว่านี่เป็นการยั่วยวนให้หลงใหลเสียมากกว่า

“คุณวัส… ช่วยปลอบให้ผมหายกลัวได้มั้ยครับ”


ถอยกลับหรือเดินหน้า ทางไหนน่าสนุกกว่ากัน?


Talk
มาแล้วค่า วันนี้มาแบบสองตอนต่อเนื่อง เรื่องนี้มีราว ๆ 20 กว่าตอนนะคะ จุดเฉลยของเรื่องจะเฉลยตั้งแต่ตอนที่ 10 กว่า ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องจะเดินค่อนข้างเร็วนิดนึง เพราะเรื่องจะโฟกัสหลังจากปมเฉลยแล้วมากกว่าว่าผลลัพธ์ต่างนานาจะดำเนินไปในทิศทางใด

ฝากติดตาม คอมเมนต์ติชมเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่ะ

ปล.สำหรับตอนหน้า... ไม่อยากจะเมาส์หรอกแต่ว่าแบบ... กูรเขาอยากได้คนปลอบบบบบ 5555555
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 8 กลิ่นร่างกายเย้ายวน 25/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 25-09-2018 22:41:35
คนส่งของต้องสนิทหรือรู้เรื่องกูรแค่ไหน ถึงมีรูปช่วงวัยของกูรทั้งหมด

แล้วคือที่ส่งรายชื่อมาเนี่ย จะสื่อว่ากูรฆ่ามาแล้ว21คนงี้อ่อ?

หรือจะบอกตำรวจว่ากูรเกี่ยวข้องทางใดทางหนึ่งกับคนตายทั้ง21คน หรือ กูรจะเป็นรายชื่อที่22

ช่วยหนูด้วยยยยย ปมเก่ายังคิดไม่ตก มีปมใหม่มาเพิ่มอีกแล้ว ไหน เฉลยในตอนอยู่ตรงน๋ายยยยยย ฮื่อออ ฆ่าเราเลยก็ได้นะคุณคนเขียน
/
/
เอ้าแอบมาต่อตอนใหม่ตอนเราพิมพ์คอมเม้นตอนที่7พอดี งั้นก็ต่อเลนแล้วกันนะ
/
/
สาเหตุการเสียชีวิตของดารัณ เริ่มเอนเอียงไปทางถูกฆาตรกรรมซะแล้วสิ ต้องกลับไปถามพอลแล้วแหละว่ามีอะไรกันกับรัณครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ จากในแฟ้มเหมือนเพิ่งมีเพศสัมพันธ์ก่อนเสียชีวิตไม่นานยังมีอสุจิอยู่ในช่องทวารแบบยังไม่ได้จัดการทำความสะอาดตัวเอง เราไม่ตัดพอลออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัย แต่ชายในฮู้ดไม่ได้มีคนเดียว แล้วมาก่อกวนกูรทำไม...เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน มาว่าด้วยเรื่องปลอบขวัญปลอบใจกันในตอนถัดไปเถอะ แค่กๆๆ 55555 รอน้าาาาาา
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 8 กลิ่นร่างกายเย้ายวน 25/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 26-09-2018 00:17:52
ดารัณถนัดมือซ้ายเหรอ แผลมีดกรีดเกิดที่มือขวา หรือใช้ปากคาบมีดกรีดมือตัวเอง อ่าาาาา คงลำบากน่าดู..แถมมีอสุจิตกค้างอีก..คงต้องพิสูจน์ว่าใครเป็นเจ้าของละ แต่ไม่น่าใช่กูร เพราะกูรไม่น่าจะเป็นฝ่ายรุกได้ แหะๆ (นี่ปกป้องน้องกูรมากๆ แล้วนะ)

คงต้องสืบกันต่อไป.   
.......

ดูๆ เหมือนน้องกูรจะอ่อยคุณวัสเค้านะคะลูก ไม่ใช่ตอนหน้าโผล่มาน้องกูรมือซุกซนไปคว้าเอาปืนคุณวัสเค้ามาอีกละ แต่คว้าผิดกระบอก 55555
รอตอนหน้าอย่างใจจดจ่อ
:hao6:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 8 กลิ่นร่างกายเย้ายวน 25/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-09-2018 18:27:44
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 8 กลิ่นร่างกายเย้ายวน 25/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 26-09-2018 20:26:03
อ่านด้วยความเครียดและลุ้นมาก
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 8 กลิ่นร่างกายเย้ายวน 25/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 26-09-2018 22:16:54
บทที่ 9 ฝนตกฤดูหนาว [18+]

“คุณวัส… ช่วยปลอบให้ผมหายกลัวได้มั้ยครับ” วัสสะคงไม่มีเวลาตีความว่าเสียงอู้อี้ใต้แผงอกเป็นประโยคขอร้อง ประโยคบอกเล่า หรือประโยคคำสั่ง น้ำเสียงออดอ้อนมาพร้อมสัมผัสกอดรัดร่างกายของเขาเอาไว้ราวกับลูกแมวตัวเล็ก ๆ ที่ต้องการความอบอุ่น ฝ่ามือของธารางกูรเคลื่อนไหวลากตัดเส้นแนวหลังผ่านร่มผ้า วัสสะมองกลุ่มผมของคนที่ต้องการคำปลอบโยนแล้วก็หยุดยิ้มขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“คุณกูร”

“ไม่ได้เหรอครับคุณวัส” ร่างบางใช้เสียงออดอ้อนออเซาะเมื่อวัสสะเอ่ยชื่อตนคล้ายจะปฏิเสธ ดวงหน้าอ้อนวอนเงยมองวัสสะราวกับร้องให้ทำตามที่ขอ อันที่จริงวัสสะนั้นไม่ได้ใจร้ายใจดำกับเรียวมือที่กำลังปลุกเร้าความรู้สึก เขาเพียงแต่หยั่งเชิงของธารางกูรเพื่อให้แน่ใจเท่านั้น

“กลัวมากมั้ย” วัสสะดันไหล่ธารางกูรให้ออกจากร่างของตน ร่างบางกลับไปหลังติดผนังอีกครั้ง ขณะที่คนคุกเข่ากำลังเคลื่อนลำตัวเข้ามาใกล้ด้วยเข่าทั้งสองข้าง ครั้งนี้เรียวขาเหยียดตรงของธารางกูรสับหว่างอยู่กับช่วงขาแข็งแกร่งของวัสสะ ร่างสูงใช้มือขวายันกับแผ่นผนังเย็นเฉียบเอาไว้ ก่อนจะใช้สายตาอ่านยากมองคนที่อยู่ในรอบวงแขนคล้ายถูกกักขัง

“ครับ… ผมกลัวมาก”

“งั้นผมก็คงทำให้คุณหายกลัวได้สินะ” เสียงทุ้มไม่พูดเปล่า วัสสะคว้าข้อมือขวาของธารางกูรมาไว้ในครอบครอง ปลายแขนและมือเรียวเล็กนั่นเชื่อฟังและเคลื่อนที่ตามอย่างว่าง่าย วัสสะดึงมันเข้าไปใต้เสื้อยืดสีขาวของตนและวางทิ้งไว้กับอกแน่นที่ผ่านการออกกำลังกายมาอย่างดี เมื่อเขาปล่อยให้มือเล็กเป็นอิสระ ใบหน้าของธารางกูรก็เปลี่ยนเป็นสีหวานขึ้นมาถนัดตา

“ครับ ผมกำลังจะหายกลัว” นิ้วทั้งห้าใต้ร่มผ้าทำงานสอดประสานกันราวกับรู้งาน ธารางกูรเกลี่ยผิวกายของวัสสะด้วยนิ้วเป็นครืดยาวซ้ายขวาขึ้นลงตามจังหวะที่ต้องการ เมื่อเรียวมือลากผ่านจุดไวต่อความรู้สึกบนหน้าอก เขาจึงใช้ปลายเจ็บกรีดลงไปโดยรอบคล้ายตั้งใจทำให้เจ้าของร่างหมดความอดทนเสียที

หมับ! วัสสะคว้าหมับเข้ามือซุกซนเมื่อมันเริ่มท่องเที่ยวมาจนถึงช่วงบริเวณเอว ธารางกูรจ้องมองดวงหน้าเข้มของวัสสะสลับกับของอันตรายที่ถูกคาดเอาไว้ที่เอว เพราะมือยังรั้งอยู่ใต้ตัวเสื้อ ร่างบางจึงมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้ย่อมไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อน ธารางกูรกำมือตนแน่นเพื่อใช้แทนคำตอบให้กับวัสสะ เขาจะไม่มีวันแตะต้องมันอีก เว้นเสียแต่ว่าเจ้าของมันจะเป็นคนอนุญาต

“เดี๋ยว”

“ผมไม่ได้ทำอะไรแบบที่คุณคิดนะครับ”

“ผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรนี่” วัสสะยกยิ้มราวกับคนที่อยู่ในฐานะได้เปรียบ เขาลากมือของธารางกูรเข้าใกล้ปืนมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะพามันไปหยุดที่ตรงตำแหน่งปลดล็อกสายรัดพกซ่อนปืนด้านข้างเอว ดวงตากลมวูบไหวเมื่อเข้าใจผ่านสายตาและการโยกหัวเชิงอนุญาตของวัสสะ เมื่อมือเรียวเล็กถูกปล่อยมันจึงทำหน้าที่ในการปลดพันธนาการอาวุธป้องกันตัวออกจากเอวคนตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าธารางกูรจะทำได้ไม่ทันใจสักเท่าไหร่ วัสสะจึงต้องกดแรงมือซ้ำลงมาและเขวี้ยงสายผ้าไนลอนสีดำพร้อมอาวุธออกไปให้ห่างด้วยมือของตัวเอง

“ไม่ คุณคิด”

“ยังไม่ทันอะไรเลย หายกลัวแล้วเหรอครับ เถียงเก่งจัง” เพราะร่างสูงแค่นยิ้มราวกับล้อเลียนธารางกูรจึงยู่หน้าออกมาคล้ายไม่พอใจ เขาออกแรงด้วยมือสองข้างผลักอกวัสสะจนร่างสูงที่นั่งคุกเข่าอยู่เซถลาลงไปด้านหลัง ดีที่วัสสะใช้ศอกข้างหนึ่งยันตัวเอาไว้ได้ไม่อย่างนั้นคงจะไถลร่างลงไปจนศีรษะเกือบน็อก

“ผมไม่ได้เถียง” ธารางกูรว่าขณะเริ่มคลานเข่ามายังร่างสูงที่แนบจะนอนราบ วัสสะเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจแต่กลับให้ความสนใจไปยังคอเสื้อกว้างของธารางกูรที่ห้อยย้อยลงมาจนเห็นแผ่นอกขาวอยู่รำไร ในที่สุดธารางกูรก็อยู่ในท่าทางคล้ายคร่อมร่างของวัสสะเอาไว้ เข่าข้างหนึ่งสัมผัสกับกลางเป้าที่รู้สึกไวราวกับตั้งใจ

“งั้นก็ดี เพราะตอนนี้ผมอยากให้คุณลองเงียบดูสักห้านาที” ร่างบางยิ้มหวานยั่วยวนเชิงรับคำท้า วัสสะถอดเสื้อยืดธรรมดาของเขาออกด้วยตนเองเมื่อริมฝีปากนุ่มหยุ่นของคนกลัวเริ่มซนไม่เลือกที่ ธารางกูรพรมจูบที่ช่วงเอวสลับการกับขบเม้มจนวัสสะต้องแหงนหน้าขึ้นเพราะอารมณ์วาบหวามกำลังถูกปลุกขึ้นมาด้วยวิธีที่ไม่เลว สัมผัสด้วยริมฝีปากไม่อยู่กับที่คลอเคลียเร่งเร้าไปเรื่อย ๆ กระทั่งถึงช่วงไหปลาร้าที่เจ้าของเรียวปากตั้งใจกดแผงฟันฝากรอยจนน่าตี

การเล้าโลมดำเนินต่อเนื่องไม่ขาดตอน ธารางกูรเคลื่อนทัพด้วยการถอยตัวออกเล็กน้อย ใบหน้าเขาอยู่ใกล้จุดกึ่งกลางร่างกายแข็งแรงเพียงนิด มือเล็กปลดตะขอรูดซิปลงอย่างไม่รีบร้อนอะไร ก่อนที่จะก้มลงไปปลุกสัตว์ร้ายให้ตื่นจากนิทราผ่านชั้นในสีเข้ม ปลายลิ้นรู้ดีตวัดเกี่ยวเสียจนมันแทบจะผยองออกมานอกผืนผ้า แต่นั่นก็ยังเป็นการเล่นแผลง ๆ ได้ไม่เท่าแผงฟันที่ขบเม้มเป็นระยะจนร่างสูงต้องกดศีรษะของธารางกูรเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวได้เต็มที่ เมื่อห้ามปรามอะไรไม่ได้ สุดท้ายวัสสะจึงทิ้งตัวแนบสนิทลงไปกับพื้นเย็น และปล่อยให้ธารางกูรเล่นสนุกจนพอใจ นี่คงจะเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่เข้ารู้สึกได้ถึงพลังเลือดที่สูบฉีดทั่วร่างกายจนเผลอยิ้มพอใจออกมาไม่หยุด

“อื้ออออ”

“หึ ผมบอกให้เงียบไปก่อนไงคุณ” วัสสะใช้มือตนสางกลุ่มผมของคนที่ส่งเสียงอื้ออึงตามความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้ ธารางกูรถอนริมฝีปากออกจากช่วงกลางนูนเด่นของวัสสะพร้อมสีหน้าแดงระเรื่อ สีแดงนั่นช่างน่าชมไม่แพ้สีสันบนผิวกายร่างสูงที่โดนดูดดันจนขึ้นสี ร่างบางเม้มริมฝีปากน่าครอบครองของตนก่อนจะค้อนตาสบสองกับคนใต้ร่างราวกับถูกแกล้ง ทั้งที่วัสสะเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่แท้ ๆ แต่กลายเป็นเขาที่ส่งเสียงออกมาจากลำคอเพราะความพอใจและทนอึดอัดกับอาการวูบวาบของร่างกายไม่ไหว

การฉวยริมฝีปากของธารางกูรลงมาจูบคงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด มือหนาดึงชายเสื้อให้ร่างบางขยับขึ้นมาประกบปากทันที เขาประคองช่วงศีรษะของอีกฝ่ายเอาไว้ตลอดเวลาที่เรียวลิ้นพยายามเกี่ยวพันกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่เพียงจูบรสหวานที่เป็นเพลิงสุมไฟ ตัวการชั้นดีที่เพิ่มพูนแรงปรารถนาคือการที่ธางรางกูรทิ้งตัวลงมาบนร่างกายแข็งแรงกำยำ ทุกครั้งที่รสจูบเปลี่ยนทิศ ร่างกายแสนเย้ายวนก็เริ่มบิดเร่าเคลื่อนไหวร้อนแรงจนการอดทนรอของใครบางคนแทบจะหมด สองมือสองคู่ช่วยกันปัดป่ายเสื้อผ้าอาภรณ์ของกันและกันจนหลุดลุ่ยออกไปเสียหมด ที่ประจักษ์กับสายตาคือร่างกายสมบูรณ์แบบที่แตกต่างกันของเขาทั้งคู่ ร่างที่เริ่มเกร็งตัวรับสัมผัสจากด้านบนเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อลอนสวยเชื้อเชิญผู้มองให้สัมผัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่อีกร่างอาศัยผิวขาวเนียนละเอียดและร่างกายที่ละมุนมือเรียกร้องความต้องการเอาไว้กับตัว

“อึก...” เสียงอู้อี้จากในลำคอของธารางกูรเริ่มดังขึ้นอีกครั้งเมื่อวัสสะใช้มือสัมผัสไปตามรอยเส้นกระดูกหลังลากยาวไปจนถึงช่วงบั้นท้ายเย้ายวนน่าลุ่มหลง สัมผัสจูบลึกซึ้งต่อเนื่องไม่ได้หยุด จนกระทั่งวัสสะเอียงหน้าถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย เพราะกลัวว่าร่างที่โอบรัดเอาไว้จะขาดใจตายไปเสียก่อน

“คุณอยากให้ผมปลอบด้วยวิธีนี้… แน่ใจแล้วใช่รึเปล่า”

“...” ใบหน้าที่ซบลงไปกับอกพยักขึ้นลงเล็กน้อยคล้ายยอมรับ แก้มใสขึ้นสีแดงสดราวกับคนมีเลือดฝาดอยู่เต็มใบหน้า ธารางกูรเริ่มขยับล่างกายอีกครั้งด้วยท่าทางที่ไม่อาจทำให้วัสสะละสายตาไปได้ ความแข็งแรงของชายหนุ่มแกร่งขึ้นกว่าเดิมจนเสียดสีกันในทุกจังหวะที่ร่างบางพยายามขยับขึ้นลง มือหนาล็อกเอาไว้ที่ช่วงเอวคอยเคลื่อนตามและเพิ่มแรงให้มีมากขึ้น กลิ่นกายธารางกูรหอมน่ากินรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าที่จมอยู่กับอกก็ช่างเย้ายวนใจให้อยากได้ มือหนาเคลื่อนไปที่บริเวณบั้นท้ายอีกครั้ง ก่อนจะบีบแรงเพื่อดันทั้งร่างเข้ามาให้ใกล้มากกว่าเดิม เขาบีบเคล้นเน้นย้ำมันซ้ำ ๆ ด้วยสองมืออย่างมันเขี้ยว ทั้งยังลากปลายนิ้วตัดผ่านช่องทางเข้าออกจนเจ้าของส่งเสียงครางยาวร่วมกับการบิดตัวร่อนเร่าร้อนไม่เป็นท่า

“ใจเย็นสิครับคุณกูร” วัสสะกระซิบเสียงเบาเมื่อธารางกูรเริ่มกวาดมือมาที่ช่องทางหลังที่ไวต่อความรู้สึกของตนเอง เมื่อถูกห้ามด้วยสุ่มเสียงกระเส่า เขาจึงเปลี่ยนเป็นการสอดมือเข้าไปใต้ร่างที่แนบสนิทชิดกับร่างแกร่ง มือเล็กคว้าจับจุดใจกลางของตนผิด ๆ ถูก ๆ เริ่มต้นขยับจังหวะขึ้นลงรวดเร็วราวกับทนรอไม่ไหว และดูเหมือนว่าทั้งวัสสะและธารางกูรจะใจตรงกันในข้อนี้ วัสสะจึงกดปลายนิ้วเข้าไปลองเชิงที่ช่องทางหลังโดยไม่มีการบอกก่อนล่วงหน้า

“อึก...คุณ…” ร่างร้อนผ่าวโก้งโค้งก้นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้รู้สึกดี ใบหน้าของธารางกูรแทบจะจมลงไปในอกของวัสสะ ร่างสูงกดจมูกดอมดมกลิ่นผมเปียกเหงื่อระหว่างที่ใช้เรียวนิ้วตวัดเกี่ยวทักทายบั้นท้ายบิดเร่าราวกับเรื่องสนุก เมื่อพอใจแล้วเขาจึงรีบจับอีกร่างพลิกลงไปนอนหายใจติดขัด ความเย็นจากพื้นห้องตอบสนองอากาศหนาวที่ธารางกูรชอบได้เป็นอย่างดี ร่างบางพยายามยิ้มให้กับคนที่กำลังคร่อมเขาเอาไว้ สายตาเว้าวอนชักจูงให้วัสสะตกลงไปหลุมลึกที่จะไม่มีวันกลับขึ้นไปได้

“ยิ้มให้ผมแบบนี้ ผมก็อยากจะปลอบโยนคุณไม่หยุดเลยน่ะสิ” ได้เวลาที่วัสสะจะได้ทำในสิ่งที่ต้องการเสียบ้าง เรียวปากดุดันกดจูบโลมเลียในทุกสัดส่วนที่เขาต้องการ จากริมฝีปาก สู่ปลายยอดอก สู่ผิวกายเนียนน่าจับต้อง เรื่อยมาจึงถึงช่วงโคนขาอันอ่อนไหว วัสสะใช้เรียวลิ้นและมือกำยำช่วยผ่อนคลายในส่วนที่ตึงเครียดของธารางกูร เขารู้ว่าเพียงเท่านี้มันยังไม่พอ เขารู้ว่าส่วนด้านหลังที่หลอกล่อสายตาอยู่ต้องการมากกว่านั้น แต่ทว่าสีหน้าที่เต็มไปด้วยความต้องการของธารางกูรนั้นน่าดูกว่าสิ่งใด ไฉนเลยเขาจะยอมให้เปลี่ยนไปเป็นสุขสมได้ง่าย ๆ

“อือ ค...คุณ”

“ชู่วววว ผมยังไม่อนุญาตให้ใช้เสียงนี่ครับ” วัสสะใช้ปลายนิ้วแตะเบา ๆ บนริมฝีปากที่เริ่มจะแสดงอาการฉุนเฉียวอยากได้ เขาจับขาของธารางกูรกอดรัดเอาไว้กับช่วงเอว บั้นท้ายที่มีรอยแดงจากมือเชิดขึ้นจากพื้นเล็กน้อย มือหนาประคองเอวเล็กเอาไว้ทั้งยังไล้นิ้วมือเพิ่มความรู้สึก ร่างสูงขยับกายเข้าใกล้ใช้ความเป็นชายของตนถูแรงไปมาที่บริเวณช่องทางหลัง ก่อนที่จะโถมแรงทั้งตัวทาบทับร่างบางเอาไว้และขยับสะโพกรุนแรงราวกับเกิดขึ้นจริง

“อ๊ะ…” เพราะถูกห้ามไม่ให้พูด ธารางกูรจึงกัดริมฝีปากตนนิ่วหน้าด้วยความกระหายสุข ยิ่งวัสสะกระทำการเช่นนี้โดยไม่มีส่วนใดลอดกายเข้ามายิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดอยากจะให้อีกฝ่ายช่วยปลดเปลื้องความร้อนระอุในกายเสียที วัสสะส่งแรงขยับสะโพกต่อเนื่องไม่ได้หยุด เคล้าไปกับการลิ้มชิมรสหวานจากร่างกายผ่านริมฝีปากเป็นระยะ ยิ่งอยู่บนพื้นแข็งทุกอย่างยิ่งไร้ซึ่งแรงลดทอน ความรุนแรงสะท้อนกลับเกิดเป็นจังหวะเป็นเท่าตัว

“ทำไมถึงได้ยั่วเก่งขนาดนี้ครับคุณกูร หืม ใครทนคุณไหวก็คงตายด้านไปแล้ว”

“อื้อ...อ๊ะ” ธารางกูรอยากจะเถียงกลับแต่รู้ว่ายังไม่มีสิทธิพูดอะไรมากไปกว่าเสียงครางเล็ก ๆ ในลำคอ เขาดิ้นพล่านแอ่นอกสวนสัมผัสขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ ยกเชิดใบหน้าขึ้นเพราะความกำหนัดที่ผลักให้ขนลุกไปทั้งตัว สองมือกอดรัดวัสสะไว้ก่อนจะกดเล็บลากขูดเป็นรอยยาว ทั้งปลายเท้ายังจิกลงกับพื้นบิดสะท้านจนแทบไม่เป็นทรง ถ้าวัสสะเรียกสิ่งนี้ว่าการปลอบอย่างอ่อนโยน สมองขาวโพลนของธารางกูรก็คงจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความกลัวอีกต่อไป

“แล้วอย่าเอาสายตาร้องขอแบบนี้ไปมองใครพร่ำเพรื่อเข้าใจมั้ยครับ”

“...”

“หึหึ ผมอนุญาตให้คุณพูดแล้วก็ได้ ตอบผมสิ ตอบด้วยน้ำเสียงสดใสไร้ความกลัวของคุณสักครั้ง เห็นมั้ยว่าผมอยู่ตรงนี้ เห็นตัวผมใช่มั้ยกูร ” วัสสะใช้ปลายมือเกลี่ยกรอบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ยิ่งมองทุกส่วนที่เป็นของธารางกูรยิ่งตอกย้ำว่าตัวเขาเองก็มีความต้องการสูงสุดไม่ต่างกัน

“ค...ครับ” ร่างบางตอบรับเมื่อวัสสะส่งสัญญาณให้เริ่มพูด ดวงตาของวัสสะช่างน่าหลงใหลจนเขาไม่อยากจะขาดไปแม้แต่วินาที คนด้านบนกำลังมองเขาด้วยความเอ็นดูแสนพิเศษที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าธารางกูรเองก็กำลังตกลงไปในหลุมลึกไร้ทางขึ้นอย่างเต็มใจ

“เห็นมั้ยครับว่าจะอยู่… ผมจะอยู่กับคุณ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” สิ้นประโยควัสสะก็โถมการจูบรุนแรงลงไปอีกครั้ง ทางเข้าด้านหลังของธารางกูรถูกรบกวนจากสัดส่วนที่มีปลายมนในทันที ทั้งคู่ไม่ได้สนว่าควรจะมีเครื่องป้องกันหรือตัวช่วยให้ขยับเข้าออกง่ายขึ้น วัสสะพาสัญลักษณ์แห่งชายหนุ่มจ่อเข้าจ่อออกอยู่หลายครั้ง จนเสียงครางลึกในลำคอของธารางกูรเริ่มหงุดหงิดเพราะเขาดิ้นพล่านจนแทบจะทนไม่ได้อีกต่อไป

“คุณ อ๊ะ อย่าแกล้งผมสิ...”

“ผมต้องทำยังไงหรอ หืม” น้ำเสียงวัสสะฟังแค่ครั้งเดียวก็รู้ว่าเขาชอบใจกับอาการของธารางกูรตอนนี้มากแค่ไหน

“ให้คุณอยู่กับผม… ให้ตัวคุณอยู่กับผม”

“เรียกชื่อผมได้มั้ยครับ แล้วผมจะอยู่กับคุณ… กูร”

“คุณวัส อือ… วัสครับ ช่วยเข้ามาอยู่ในร่างกายผมได้มั้ย ผมต้องการคุณ”

“อะไรนะครับ”

“ก..กูรต้องการวัส” ความชัดเจนในน้ำเสียงและแววตาแห่งความต้องการทำให้ส่วนกลางของวัสสะแข็งแรงขึ้นอีกจนน่ากลัว เส้นเลือดตามอวัยวะไหลเร็วและแรงขึ้นเพราะความต้องการที่ทวีขึ้นจนไม่อาจหยุด แต่ทว่าวัสสะกลับถอยตัวออกมานั่งใช้แขนค้ำตัวเองไว้จากด้านหลัง ร่างบางเองก็ต้องยันตัวเองให้ลุกขึ้นในสภาพร่างกายที่ไม่ปกติ

“ผมกลัวคุณเจ็บหลังน่ะ” วัสสะยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า ฟังเพียงเท่านั้นธารางกูรก็เข้าใจทั้งหมดทั้งที ร่างบางขยับตัวเขามาก่อนจะเข้าหาวัสสะด้วยสายตาออดอ้อนอีกครั้ง สองขายกพาดผ่านเข้าไปที่ข้างเอวหนา สองแขนยกคล้องคอผู้กำชะตาชีวิตของเขาเอาไว้จนมั่น วัสสะลูบไล้ผิวกายของธารางกูรตั้งแต่ต้นคอยาวลงไปจนทั้งบั้นท้ายที่เขาจัดการจนเป็นสีชมพูระเรื่อ ก่อนจะมือทั้งสองข้างจะยกสะโพกของธารางกูรขึ้นมาในระดับที่มากพอจะกระทำการต่อไป

“คุณวัส อือ คุณวัส… อ๊ะ” สองร่างถูกรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในเสี้ยววินาทีเท่านั้น จุดใจกลางของวัสสะผ่านช่องทางคับแคบเบียดเสียดเข้าไปถึงจุดยุทธศาสตร์ แม้จะสะดุ้งโหยงในวินาทีสำคัญ แต่ธารางกูรก็กัดฟันสู้อารมณ์ด้วยการกดสะโพกขึ้นลงด้วยตัวเอง พร้อมกับส่งเสียงครางกระเส่าลั่นหูสลับกับชื่อของวัสสะ จังหวะที่ไม่ได้เร็วถูกใจมากมายทำให้วัสสะต้องช่วยเหลือด้วยการเอนหลังตัวสวนแรงกลับไปอย่างต่อเนื่อง ร่างสูงนิ่วหน้าพอใจเมื่อส่วนนั้นถูกบดเบียดลงมาซ้ำ ๆ ไม่มีหยุด

เสียงร่างกายกระทบร่างกายดังก้องไม่แพ้เสียงการเต้นของหัวใจ อารมณ์ร้อนยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยที่อากาศด้านนอกกำลังเย็นยะเยือก ค่ำคืนนี้สายลมไม่อาจพัดผ่านม่านเข้ามาได้ คนในห้องจึงไม่ได้มีโอกาสรับรู้ว่าสายฝนที่เขาชอบกำลังหยดเม็ดบางเบาลงมาผสมโรงกับความหนาวเย็น ในความคิด ในสายตา ในความรู้สึก มีเพียงคนที่กำลังปรนเปรอความสุขจนแทบจะขาดใจตายจากความปรารถนาในกามคุณ จากพื้นห้องต่อเนื่องหลายคราจนสิ้นสุดเสียงครางหวานเริงร่าบนเตียงนุ่ม

“ผมอยู่กับคุณแล้ว ไม่ว่าในหัวคุณจะมีเรื่องอะไรอยู่ อย่าทำให้ผมผิดหวังนะธารางกูร” วัสสะกดริมฝีปากซับความรู้สึกลงไปที่ข้างใบหูของคนที่หมดแรงจนหลับสนิท เขาโอบกอดคนที่นอนหายใจสม่ำเสมอเอาไว้จากด้านหลัง กลิ่นกายที่ตักตวงอยู่ช่วยบรรเบาสมองที่เคยคิดหนักให้ค่อย ๆ พักลงชั่วคราว ความอบอุ่นจากผิวกายสู่ผิวกายทำให้หลงลืมความหนาวเย็นที่เคยรู้จักไปเสียได้ แต่ทว่าไม่ว่าอย่างไรความหนาวทรมานก็ยังมีตัวตนชัดเจนอยู่ดี





‘ได้เรื่องแล้วล่ะวัส’

‘ระวังกูรไว้ให้ดีวัส ถ้าห่างได้ให้ห่าง ใครที่อยู่ใกล้หมอนี่ไม่ได้ตายดีสักคน’





หน้าจอโทรศัพท์ภายในกระเป๋ากางเกงที่ถูกถอดทิ้งของวัสสะสว่างวาบขึ้น หลังจากมีสายเรียกเข้าพยายามถามหาคนรับสายอยู่นาน ข้อความแชทเด่นหราที่หน้าจอปลดล็อคก่อนที่มันจะค่อย ๆ ดับมืดไปเช่นเดิม หากค่ำคืนนี้จะมีใครสักคนกระวนกระวายใจ คนคนนั้นคงจะเป็นปองภพที่ได้รู้เรื่องบางอย่างที่น่าตกใจ





ระวังตัวไว้ให้ดี



Talk 

เจอกันอีกครั้งวันศุกร์นะคะ ตอนนี้มาแบบเบา ๆ ก่อน -.,-

ปกติจะเป็นคนที่ไม่เขียน NC ถ้าไม่จำเป็นกับการเดินเรื่องจริง ๆ เขียนมา 6 เรื่องนี่เป็น NC แบบจริงจังตอนที่ 2 เอง (โธ่ชีวิต) และสำหรับเรื่องนี้ความจำเป็นบังคับให้งมอยู่นาน หากออกมาไม่ดีต้องขออภัยเอาไว้ล่วงหน้าค่ะ เป็นอะไรที่ไม่ถนัดแต่อยากจะพยายาม

ขอบคุณทุกคอมเมนต์จากทุกคนค่า อ่านทุกคอมเมนต์เลย ยิ่งอ่านยิ่งอยากลงรัว ๆ โดยเฉพาะคอมเมนต์คาดเดาปริศนาธรรมในเรื่อง 5555 สัญญาว่าจะลงต่อเนื่องเว้นบ้าง 1-2 วันแล้วแต่ช่วงค่ะ ขอบคุณทุกวิวเช่นกันค่ะ ขอบคุณค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 9 ฝนตกฤดูหนาว 26/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 26-09-2018 23:54:26
 :pighaun: :pighaun: :pighaun:
ตายแหล่ว ตายแหล่ว น้องกูรของแม่ ทำไมร้อนแรงอย่างนี้  55555555

วัสสะเอ้ย แกตกหลุมพรางที่กูรขุดไว้เสียแล้ว(ทำไมไม่รู้จักพกถุง) นี่ปองภพก็แชทมาบอกให้ระวังตัวให้อยู่ห่างกับกูรอีก เสียวกูรตื่นมาเจอข้อความก่อนละลบทิ้ง..แต่จะปลดล็อคหน้าจอได้รึเปล่าละ..หวังว่ากูรคงไม่ทำร้ายวัสหรอก
ใช่มั้ย ??

สงสัยอีกอย่าง กูรเอาเบอร์วัสสะมาได้ยังไงถึงโทรไปหาวัสสะได้ว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย..
หรือมีการแลกเบอร์กันแต่เราจำไม่ได้

 :heaven

หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 9 ฝนตกฤดูหนาว 26/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 27-09-2018 09:16:18
ยังไงล่ะทีนี้ ถอยหลังไม่ได้แล้วนะทั้งคู่เลย กูรร้องขอการปลอบโยนเพราะกลัวจริงๆหรือแค่ลวงให้วัสไขว้เขว จะยังไงก็ตาม คนได้ประโยชน์คือวัส ตำรวจนายนี้ไม่ธรรมดา จากสำนวนที่ได้อ่าน จากการสังเกตพฤติกรรมกูร จากหลักฐานที่รับมา กูรไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์100%ในความคิดวัสหรอก ไม่แน่กูรอาจกำลังโดนสารวัตรหลอกอยู่ก็ได้นะ โดนหลอกดูพฤติกรรมแถมโดนกินฟรีอีก ท้ายที่สุดเมื่อทุกอย่างเฉลยออกมา ใครจะเสียใจมากสุดก็มารอดูกัน

นี่ขนาดยังไม่รู้เรื่องราวส่วนตัวของใครสักคนนะปมยังเยอะขนาดนี้ ตัวสารวัตรวัสเองก็น่าจะมีปมมีปัญหาเรื่องครอบครัวอยู่พอสมควร ที่นิ่งๆดูสุขุมนี่อาจซ่อนอะไรไว้มากมาย นี่ว่าคนแบบนี้น่ากลัว กูรเองก็ยังไม่เปิดเผยว่าสภาพครอบครัวเป็นแบบไหน คนรอบตัว เพื่อน หรือนิสัยใจคอเจ้าตัวเป็นคนยังไง ต้องดูไปอีกสักพัก

แต่เราก็ยังไม่ตัด พอล ออกจากลิสผู้ต้องสงสัยนะ แค่เลื่อนลงมาอยู่ลำดับที่2 รองจากกูรในตอนนี้ และรอดูว่า หมายเลข3,4 จะเปิดตัวตอนไหน

สุดท้ายนี้...ไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ เพราะคนเขียนดูเป็นกังวลกับ 18+  เอะอะตัดเข้าโคมไฟ ตัดเข้าป่าเข้าพงหญ้า ฮ่าๆๆๆ คือดีนะ อ่านไม่สะดุด ไม่ขัดกับเนื้อเรื่องหรอกค่ะ ก็ถ้าคนเขียนบอกว่าเพื่อให้เรื่องราวเดินต่อ ก็อยากขอให้เดินอีกสัก3-4-5 ตอนก่อนจะจบมั้งเด้ออออ ติดตามสำนวนคดีมันเครียด ก็พาสารวัตรท่านมาผ่อนคลายบ้าง
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 9 ฝนตกฤดูหนาว 26/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 28-09-2018 21:34:55
บทที่ 10 ฤดูวิปลาส

วัสสะขยับตัวลุกขึ้นออกจากเตียงเมื่อยามรุ่งสาง แม้เมื่อคืนจะใช้พลังจนได้นอนเพียงน้อยนิด แต่เขาก็ยังต้องรับผิดชอบงานการของตัวเองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่ลืมตาขึ้นมาในเวลาที่ตื่นอยู่เป็นประจำจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไรมากมาย ร่างกายเปลือยเปล่าเดินเข้าห้องน้ำเป็นอย่างแรก วัสสะจัดการธุระส่วนตัวด้วยเวลาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินเปียกออกมาจนหยดน้ำล่วงพราว ผ้าขนหนูที่หยิบมาจากในห้องน้ำถูกใช้ซับร่างกายอย่างลวก ๆ ระหว่างที่เจ้าของร่างกำลังตั้งใจมองคนที่หลับสนิทจากปลายเตียง

ร่างบางซุกตัวอยู่กับหมอนและผ้าห่มด้วยสีหน้าเป็นสุข ร่องรอยพฤติการณ์ยามค่ำเด่นชัดเป็นรอยช้ำเล็ก ๆ ที่มุมริมฝีปาก นี่ยังไม่นับรวมอีกหลายจุดเกิดเหตุที่อยู่ภายใต้ผืนผ้าใหญ่ วัสสะคลี่ยิ้มออกมาเรื่อย ๆ ราวกับคนบ้า เขาคว้าชั้นในตนเองที่กองอยู่กับพื้นขึ้นมาสวม ก่อนจะหยิบกางเกงสีดำขึ้นมากลับด้านพร้อมใส่ ทว่าข้างหนึ่งของกระเป๋ากางเกงถูกถ่วงเอาไว้ด้วยเครื่องโทรศัพท์มือถือ พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงโทรศัพท์อยู่หลายครั้งแต่ไม่สนใจวัสสะจึงคว้ามันขึ้นมาตรวจเช็กทันที

“ภพ” เมื่อเห็นว่าเป็นรายชื่อปองภพโทรเข้ามาในเวลาหลังเที่ยงคืน วัสสะก็สงสัยทันทีว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เขารีบเปิดแชทที่ส่งเข้ามาอ่านก่อนเป็นอันดับแรก และข้อความที่เห็นก็ทำให้สมองชาวาบขึ้นมาอย่างคนไม่อยากใช้ความคิด แล้วไหนเลยจะแผ่นกระดาษโพสอิทที่หล่นออกมาจากกระเป๋าข้างเดียวกัน แค่มองความยับยู่ยี่ ข้อความที่เห็นก็ผ่านเข้ามาทันที





‘ได้เรื่องแล้วล่ะวัส’

‘ระวังกูรไว้ให้ดีวัส ถ้าห่างได้ให้ห่าง ใครที่อยู่ใกล้หมอนี่ไม่ได้ตายดีสักคน’





‘ถอยกลับหรือเดินหน้าแล้วตายจาก ทางไหนน่าสนุกกว่ากัน’





ดวงตาคมกระตุกวูบไหวเมื่อละสายตาจากจอโทรศัพท์และมองไปยังร่างกายที่เขากอดกกเอาไว้ทั้งคืน แม้จะพยายามสลัดความคิดเลวร้ายทุกสิ่งออกไป แต่ใจเขามันก็ยังปวดหนึบขึ้นมาไม่เลิก วัสสะไม่อยากเป็นคนที่จัดการตัวเองไม่ได้ แต่คงต้องยอมรับแต่โดยดีว่าสารวัตรหนุ่มอนาคตไกลกำลังเจอกับปัญหาที่เป็นจุดอ่อนของตนเอง

“ผมชักอยากให้ฝนตกฤดูหนาวแบบที่คุณคิดแล้วสิกูร… ไหน ๆ จะหนาวแล้ว ก็หนาวฝนให้ทรมานสุด ๆ ไปเลย” วัสสะที่สวมกางเกงเรียบร้อยเดินมาทรุดตัวนั่งข้างร่างของธารางกูร เขาเกลี่ยเส้นผมไม่เป็นทรงให้ไปในทิศทางเดียวกัน เอาแต่นึกถึงเรื่องกลิ่นฝนพิลึกพิลั่นที่ธารางกูรเคยพูด อย่างน้อยต่อให้ทรมานแต่มันก็คงจะทำให้เรารู้สึกสดชื่นจนอยากมีชีวิตต่อไป

วัสสะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตระเตรียมตัวเองให้อยู่ในสภาวการณ์ปกติ เขาคว้าเสื้อยืดยับย่นของตนไว้ในมือและคิดได้ว่าคงไม่เหมาะ ร่างสูงเดินไปยังตู้เสื้อผ้าในห้องและพยายามหาสิ่งที่พอจะใส่ได้ในวันนี้ จึงกระทั่งคว้าเสื้อยืดคอวีแขนสามส่วนสีเทามาได้หนึ่งตัว เพราะเวลากระชั้นเข้ามาเขาจึงสวมเข้าไปอย่างไม่รอช้า ทว่าของที่อยู่ในตู้เสื้อผ้ากลับเตะตาเขาจนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง

“ผมเคยพูดแล้ว ว่ามันไม่เหมาะกับคุณ” มือหนาคว้ากล่องปืนสีดำขึ้นมาเปิดอย่างไม่พอใจ การที่ตัวกล่องปิดแน่นสนิทหมายความว่าเจ้าของห้องคงจะมาหยิบจับเป็นแน่ วัสสะดึงด้ามปืนกล็อคกระบอกถนัดมือออกจากฐานรอง เข้ามองมันอย่างสองจิตสองใจ ปืนนี่อาจจะทำให้ธารางกูรสบายใจขึ้นในแง่ป้องกันตนเอง หรือไม่ ธารางกูรก็อาจจะใช้มันทำในเรื่องที่ไม่ควรแม้แต่จะคิด

แกร๊ก! วัสสะเลื่อนสไลด์ลำกล้องไปด้านหลังอย่างชำนาญมือ เขากดสลักล็อกตัวปืนออกมาจนชิ้นส่วนแยกออกจากกัน คอยล์สปริงหลักถูกดึงออกด้วยจังหวะจัดเจน ก่อนที่เขาจะประกอบเฟรมปืนกลับเข้าไปเช่นเดิมอย่างง่ายดาย ปืนที่มีกระสุนแต่ลำกล้องใช้งานไม่ได้ก็คงจะมีค่าเพียงพอให้อีกฝ่ายหมดกังวลว่ายังมีอาวุธอยู่ในห้อง

“อือ… คุณ” เสียงอู้อี้จากบนเตียงทำให้วัสสะต้องรีบเก็บทุกอย่างตรงหน้าและปิดประตูตู้ลง คนบนเตียงกำลังบิดตัวไปมาเพราะร่างกายยังต้องการการพักผ่อนอยู่มาก วัสสะเดินเข้าไปใกล้ ๆ มองสีหน้าสะลึมสะลือด้วยความเอ็นดู ธารางกูรไม่ใช่ผู้ชายที่เอวบางร่างน้อยจนอ้อนแอ้น แต่ร่างกายที่บางมากกว่าเขากลับน่าทะนุถนอมและเพรียวเล็กลงเมื่ออยู่ภายใต้กามอารมณ์ หึ แค่นึกถึงเรียวปากยกเชิดของวัสสะก็ตั้งมุมสูงเพราะลืมความน่ารักเหล่านั้นไปไม่ได้

“ผมจะไปทำงานแล้ว คุณนอนไปเถอะ”

“ครับ แล้ว...”

“ผมจะส่งทีมมาเฝ้าที่นี่จากทางเข้าออกตัวตึกทั้งหมด ไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ในห้องนี้มีของกินอยู่มากพอใช่มั้ย”

“...” ธารางกูรพยักหน้าขึ้นลงระหว่างที่ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดช่วงไหล่ของร่างเพื่อหาความอบอุ่นมากกว่าเดิม แปลกดีที่คนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันไม่คิดแม้แต่จะพูดถึงเรื่องเมื่อคืน ไม่มีใครรู้ว่าสายตาว่างเปล่าสองคู่มีความรู้สึกนึกคิดใดซ่อนอยู่ในนั้น

“วันนี้ผมอาจจะได้ข้อสรุปว่าควรจะเอายังไง ไปต่อหรือถอยกลับ...”

“คุณวัสหมายถึง...”

“ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยว่ากัน” วัสสะยิ้มอย่างไม่เต็มใจนัก เขาเดินไปเก็บสายคาดปืนของตนที่วางอยู่หน้าประตูระเบียง ก่อนจะคาดกลับเข้าไปในสภาพพร้อมใช้เช่นเดิม คงจะแปลกดีพิลึกถ้าเขาดึงกลไกปืนของธารางกูรออกมาแต่กลับทิ้งปืนของตนไว้ที่นี่

“คุณวัสครับ”

“ครับ”

“ผมรบกวนเปิดประตูระเบียง...”

“อากาศหนาวทะลุห้องเข้ามาขนาดนี้ยังไม่พออีกรึไง หืม ผมถามได้มั้ยว่าทำไมถึงชอบอากาศหนาวนัก” วัสสะขัดขึ้นมาทันทีเมื่อพอจะรู้ว่าธารางกูรร้องขออะไร แต่ถึงปากจะพูดแบบนั้น เขาก็ยังเดินไปแง้มบานประตูให้ลมหนาวพอจะพัดเข้ามาได้ ช่วงเช้าวันนี้นี้ลมแรงและอุณหภูมิต่ำจนวัสสะรู้สึกยะเยือกที่ปลายเท้าเมื่อสายลมพัดเข้ามา

“ก็ผมชอบนี่ครับ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้า...”

“จะดีกว่านี้ถ้าฝนตก ทรมานกว่าแต่อย่างน้อยก็มีชีวิตชีวา ผมเปิดให้เท่านี้นะเดี๋ยวจะหนาวเกินไป” วัสสะตอบประเด็นนี้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะว่าเขาจำคำของธารางกูรจนขึ้นใจ แต่เป็นเพราะเขาเริ่มรู้สึกในแบบที่คล้ายกันต่างหาก

“ขอบคุณมากครับคุณวัส”

“แล้วเจอกัน ผมจะล็อกห้องให้ นอนต่อเถอะ” เสียงบอกลาดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกจากห้องไปพร้อมบานประตูที่ปิดลง วัสสะมองคอยล์สปริงปืนในมือราวกับมันเป็นคู่แค้นมาตั้งแต่ชาติปางไหน ทำไมแค่ของอย่างปืนธรรมดาชิ้นเดียวถึงทำให้รู้สึกกระวนกระวายได้มากขนาดนี้ แล้วไหนจะเรื่องข้อความจากปองภพ เรื่องกระดาษคำขู่ที่สามารถนำมาผูกกับเรื่องราว ในสมองของเขามันมีแต่ความตึงเครียดจนเริ่มจะปวดหนึบ





หรือบางทีมันจะเป็นกรรมเก่าที่เริ่มหาหนทางกลับมาเอาคืน





แบบรายงานสถานที่เกิดเหตุ

วันเวลาตรวจ 10 ธันวาคม 2561 เวลาประมาณ 8.30 น.

ลักษณะของสถานที่เกิดเหตุ

บ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดใหญ่ ปลูกอยู่ภายในบริเวณมีรั้วล้อมรอบ เมื่อหันหน้าเข้า

ด้านหน้าติดซอยที่ 31 ของโครงการจัดสรรที่ติด

ด้านซ้ายติดบ้านเดี่ยวสองชั้นไม่ทราบเจ้าของ ปัจจุบันไม่มีผู้พักอาศัย

ด้านขวาติดบ้านเดี่ยวสองชั้นของนายสยมพร การเรียง และครอบครัว

ด้านหลังติดพื้นที่ว่างและซอยส่วนบุคคลไม่มีชื่อเรียก

บริเวณที่เกิดเหตุ ห้องน้ำภายในห้องนอนใหญ่ชั้นสอง มีลักษณะเชื่อมต่อกับห้องแต่งตัวโดยไม่มีบานประตู ซึ่งมีขนาดรวมบริเวณทั้งหมดประมาณ 10 x 5 เมตร

ลักษณะโครงสร้าง ประตูบานเลื่อนเชื่อมต่อกับห้องนอน 1 บาน ไม่มีหน้าต่าง พื้นห้องปูด้วยหินอ่อน ผนังฝั่งห้องน้ำปูหินอ่อน ผนังฝั่งห้องแต่งตัวฝังตู้เสื้อผ้าเป็นกรอบเต็มพื้นที่ เพดานสีขาวติดโคมไฟแบบฝังจะนวน 6 จุด

ลักษณะการจัดวางสิ่งของ

เมื่อหันหน้าเข้าจากทางประตูจะพบห้องแต่งตัว มีตู้ทั้งหมด 7 ตู้ตั้งเรียงกัน เข้ามาภายในหันไปทางขวาพบเก้าอี้นวมตัวยาวขนาดสองที่นั่ง ถัดไปเป็นห้องน้ำโดยมีอ่างอาบน้ำเซรามิกตั้งพื้นซึ่งพบศพอยู่กลางพื้นที่

พฤติการณ์ของคดี เจ้าพนักงานได้รับแจ้งว่าพบศพชายนอนเปลือยกายในอ่างอาบน้ำ คาดว่าเป็นนายดารัณ จิตดารุณ

สภาพของสถานที่เกิดเหตุ ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ งัดแงะ หรือค้นหาทรัพย์สิน

ลักษณะสภาพศพ นอนหงายไม่สวมเสื้อผ้า มีรอยบาดแผลที่ข้อมือขวา

วัตถุพยานอื่น ๆ

คัตเตอร์เปรอะคราบเลือดตกอยู่เบื้องซ้ายของผู้ตาย

ขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมแก้วที่ถูกใช้งานที่เคาน์เตอร์ภายในห้องน้ำ

โทรศัพท์มือถือของผู้ตายซึ่งถูกปิดเครื่อง

ข้อสังเกตอื่น ๆ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ไม่พบจดหมายหรือถ้อยคำใดที่ผู้ตายทิ้งไว้หากคาดว่าเป็นเหตุฆ่าตัวตาย





“ได้ยินว่านายสั่งทีมให้ไปเฝ้ากูรที่คอนโด” คำทักทายแรกเมื่อสองนายตำรวจเจอกันอาจจะไปแปลกไปกว่าทุกที ปองภพเดินเข้ามาในสำนักงานสวนกับนายตำรวจชั้นผู้น้อยคนอื่นที่กำลังพากันออกไป เมื่อสอบถามจนได้ใจความ การพูดคุยกับวัสสะที่อยากคุยมาทั้งคืนจึงต้องเริ่มต้นเช่นนี้

“ใช่”

“ทำไม” วัสสะไม่ได้ตอบอย่างรวดเร็ว เขาหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะรอปองภพทรุดตัวลงนั่งที่ฝั่งตรงข้าม พวกเขานัดคุยกันในห้องประชุมเล็กเช่นเดิม อาจจะต่างไปก็ตรงที่ตอนนี้วัสสะนำพยานหลักฐานทั้งหมดในมือตำรวจมากางเป็นฉาก ๆ บนโต๊ะ

“เพราะข้อความของนายล่ะมั้ง”

“เจ๋ง!! นายนี่มันรู้ใจฉันที่สุด” ปองภพเอื้อมมือตบไหล่อย่างพอใจ อดที่จะชื่นชมเพื่อนสนิทคนนี้ไม่ได้เลยจริง ๆ วัสสะเป็นคนฉลาดรอบคอบ คิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องมีเซ้นต์ที่แรงกว่าและจัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีแยบยล ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เล่าเรื่องสำคัญให้ฟังเพราะเจ้าตัวไม่ยอมรับสายก็เถอะ

“ขอโทษด้วยแล้วกัน เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย” วัสสะไม่ได้โกหก เขาพูดไปตามความเป็นจริง เพียงแต่ไม่ได้พูดออกไปจนหมดเท่านั้น เขาอยากจะฟังเรื่องที่ปองภพร้อนใจเสียก่อนที่จะเผยประเด็นกระวนกระวายใจของตนเอง ออ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นบนห้องธารางกูรคงจะต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจ

“ช่างเถอะ แต่นายคงจะเห็นข้อความฉันแล้วใช่มั้ย”

“เห็น แต่ไม่เข้าใจ เพราะว่ามันกำกวม”





‘ระวังกูรไว้ให้ดีวัส ถ้าห่างได้ให้ห่าง ใครที่อยู่ใกล้หมอนี่ไม่ได้ตายดีสักคน’





วัสสะนึกถึงข้อความที่ทำให้เขาคิดไม่ตกตั้งแต่ก้าวขาออกจากคอนโดของธารางกูร อันที่จริงมันไม่ได้ครุมเครือจนเขาตีความอะไรไม่ได้ เพียงแต่ต้องการข้อเท็จจริงเพิ่มเติมซึ่งเป็นที่มาของรูปประโยคดังกล่าว เรื่องมันต้องร้ายแรงแค่ไหน ปองภพถึงได้สื่อความหมายของคำว่าระวังและห่างออกมา

“ขนาดกำกวม นายยังส่งคนไปเฝ้าที่นั่น”

“ฉันก็แค่กันเอาไว้ก่อน เผื่อว่าจะเกิดปัญหา” วัสสะหลุบตาลงต่ำไปมองกองเอกสารตรงหน้า เขาคงไม่อาจบอกปองภพได้ว่าข้อความนั่นไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจส่งคนไปที่นั่นเลยแม้แต่นิด

“ดีแล้วล่ะ เพราะว่ามันมีปัญหาแน่ ๆ ”

“นายหมายความว่ายังไง”

“หยุดขมวดคิ้ว เก็บหลักฐานพวกนี้ไปก่อน แล้วมาใช้ความคิดกับสิ่งที่ฉันได้มาดีกว่า” วัสสะฟังคำปองภพอย่างว่าง่ายเพราะมีความร้อนใจอยากฟังอยู่เต็มอก เขาเก็บสิ่งที่กำลังดูฆ่าเวลาไปวางกองกันไว้ที่มุมโต๊ะฝั่งหนึ่ง คิ้วเข้มขมวดรวมกันจนใบหน้าของร่างสูงดูน่ากลัวเกรง เขามองสิ่งที่ปองภพหยิบติดมือมาด้วยหัวใจที่แทบจะหยุดนิ่ง วัสสะไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าคดีไหน ยากเย็นแค่ไหนเขาก็ไม่เคยเป็นกังวลใจที่จะฟังความคืบหน้าของมัน ยกเว้นคดีฆ่าตัวตายของดารัณที่มีชื่อของธารางกูรเป็นเดิมพัน





ธารางกูรที่เขากอดเอาไว้อย่างสุขใจทั้งคืน





“นายได้อะไรมา”

“รายชื่อทั้งหมดยี่สิบเอ็ดชื่อ ในระบบแจ้งว่าเสียชีวิตแล้วทั้งหมด และที่สำคัญตัวเลขด้านหลังที่เราเห็นตรงกันกับปีพ.ศ.ที่ตาย”

“นายไปได้ข้อมูลเร็วแบบนี้ได้ยังไง” วัสสะดึงปึกกระดาษมาจากมือของปองภพ กระดาษแต่ละแผ่นประกอบไปด้วยข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของรายชื่อเหล่านั้นอย่างครบถ้วน รวมไปถึงช่วงเวลา และเหตุที่ทำให้เจ้าของรายชื่อสิ้นสุดชีวิตลง

“ฉันร้อนใจก็เลยข้ามขั้นตอนไปหมด โชคดีที่พอมีคอนเนคชั่น เลยขอให้คนที่กระทรวงช่วยเช็กในระบบให้เลยตั้งแต่เมื่อวานเย็น”

“รายชื่อ ปีที่ตาย… แล้วยังไง ฉันยังไม่เห็นว่ามันจะโยงเข้าไปหากูรได้ยังไง”

“ใช่มั้ยล่ะ ทีแรกฉันก็คิดแบบนั้น จนกระทั่งกลับไปที่บ้านแล้วพบว่ามีพัสดุอีกซองส่งไปที่นั่น”

“อีกแล้วเหรอ” น้ำเสียงของวัสสะไม่ได้มีความแปลกใจ มันมีแต่ความเคร่งเครียดเจือปนออกมากับความสงสัย ซองพัสดุปริศนาส่งหาปองภพถึงสองครั้งสองครา เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย

“อยู่ท้าย ๆ ปึกกระดาษ นายลองเปิดไปดู”

“ประวัติกูร? ”

“ใช่ แถมละเอียดกว่าที่เรามีด้วยนะ มีแม้กระทั่งว่าช่วงอายุเท่าไหร่อยู่ที่ไหนทำอะไร”

“เด็กชายชยางกูร ทวิภาค” วัสสะเริ่มนิ่งเงียบตั้งใจอ่านทุกอย่างทีละตัวอักษร เสียงของปองภพแว่วเข้าหูเป็นระยะ ข้อความที่ไล่เรียงให้อ่านราวสองหน้ากระดาษเอสี่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเย็นเฉียบ เย็นยิ่งกว่าอากาศหนาวทรมานจากธรรมชาติ เรียวมือหนาจับแผ่นกระดาษเอาไว้ทั้งสองข้าง วัสสะจึงจำต้องใช้ความคิดด้วยการกัดฟันจนดังกรอดแทนวิธีเคาะนิ้วเหมาะอย่างเคย

“ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นธารางกูร ประสิทธิจามร ตอนอายุสิบสามปี แน่นอนว่ากูรไม่เคยบอกเราเรื่องเปลี่ยนชื่อ แม้แต่ในระบบทะเบียนก็ไม่พบเรื่องนี้ แต่ที่น่าสนใจกว่าคือนายถาวรกับนางจิตติพร จดทะเบียนรับเด็กชายชยางกูร ทวิภาคเป็นบุตรบุญธรรมก่อนหน้าที่จะเสียชีวิตทั้งคู่ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เพียงสามวัน”

“ในข้อมูลของทางราชการไม่มีด้วยซ้ำว่ากูรเคยเปลี่ยนชื่อ ทุกอย่างระบุว่ากูรคือธารางกูรแต่กำเนิด แค่บรรทัดแรกเราก็เชื่ออะไรไม่ได้แล้ว”

“แต่ฉันเช็กหาคนที่ชื่อชยางกูรแล้วนะ แม้ว่าชื่อตัว ชื่อบิดามารดาจะต่างกันและตอบง่าย ๆ ได้ว่าเป็นคนละคน แต่สองรายชื่อเกิดวันเดียวกัน และชยางกูรก็ไม่เคยมาทำบัตรประชาชน หรือไม่มีแม้แต่ติดต่อกับหน่วยงานราชการไหน อย่างกับคนหายสาบสูญไปเป็บสิบปี ...เป็นไปได้มั้ยว่าเป็นฝีมือของผู้มีอิทธิพลสักคน”

“ไม่ ฉันไม่คิดแบบนั้น เขียนยืดยาวบรรยายอย่างกับเรียงความแบบนี้ใครก็ทำได้ อีกอย่างกระดาษสองแผ่นนี่ไม่มีผลตามกฎหมายนายก็รู้นี่ภพ จะเสียเวลากับมันทำไม”

“เพราะว่าในเรียงความที่นายว่ามันมีไทม์ไลน์ส่วนใหญ่สอดคล้องกับประวัติและคำให้การของกูรได้พอดิบพอดีไงล่ะ เพียงแต่มันยังไม่ได้บอกการเชื่อมโยงถึงรายชื่อที่เหลือเท่านั้น ฉันอดที่จะหาความจริงไม่ได้หรอกวัส แล้วไหนจะรูปกับชื่อพวกนั้นที่ส่งมาก่อนหน้าอีก ถ้ากูรไม่ได้ส่งมาเอง เรื่องมันก็ต้องมีมูลมากพอที่ใครบางคนจะรู้ ถึงตอนนี้ข้อมูลในมือจะทำให้ฉันโยงได้ไม่มาก แต่ขอเวลาสักสองสามวันเถอะ ฉันจะพิสูจน์เองว่าไอ้หลักฐานปริศนาพวกนี้มันจริงเท็จยังไง”

“เราอาจจะถูกปั่นหัวอยู่ก็ได้นะภพ ฉันว่าเรื่องนี้เริ่มไม่ชอบมาพากล”

“ปั่นด้วยการบอกว่าอ้อม ๆ กูรเกี่ยวข้องกับการตายของดารัณน่ะเหรอ ไม่สิการตายของคนยี่สิบเอ็ดคน”

“เรื่องนี้อีกอย่าง ไม่เห็นว่าจะมีบรรทัดไหนจะโยงไปหาข้อความที่นายส่งมาหาฉันได้เลย”

“ข้อความนั่นน่ะเหรอ… เพราะด้านหลังนี่ต่างหา” ปองภพจับกระดาษแผ่นที่สองพลิกไปที่ด้านหลัง ประโยคสองใจความถูกเขียนเอาไว้ด้วยดินสอสีอ่อน

“ถอยกลับหรือเดินหน้าแล้วตายจาก ทางไหนน่าสนุกกว่ากัน… ยี่สิบสอง พันตำรวจตรีวัสสะ อิสระบริรักษ์” วัสสะอ่านออกเสียงประโยคที่เห็น เขาวางมือซ้ายลงกับโต๊ะและหวังจะเคาะเบา ๆ ระบายความอัดอั้นในสมองอย่างทุกที แต่ทว่านิ้วยาวของเขากลับนิ่งสนิทราวกับคนไม่มีแรง ดวงตาคมสลดลงเพราะรู้สึกได้ถึงเค้าลางที่ไม่ดีในหัวใจตัวเอง นี่มันรุนแรงกับเขามากกว่าข้อความของปองภพเสียอีก

“ที่ฉันพิมพ์ไปฉันหมายความตามนั้นนะวัส พวกเราต้องระวังบ้างแล้ว คนคนนี้ไม่ใช่แค่คนธรรมดาแน่ ๆ และไอ้การที่มีชื่อนายถูกระบุเป็นลำดับที่ยี่สิบสองมันคงไม่ใช่เรื่องดีเหมือนกัน”

“กลัวฉันโดนฆ่าตายรึไง”

“ไม่รู้สิ กูรอาจจะเป็นพวกตัวซวยอะไรแบบนั้นก็ได้”

“หึ เพ้อเจ้อน่าภพ”

“เอาจริง นี่ฉันจริงจังอยู่นะ ฉันว่านายต้องระวังตัว”

“ฉันว่าเรื่องนี้มันแปลก จากการตายของดารัณมันไม่จะน่าโยงไปไกลได้ถึงขนาดนั้น ถ้าคนส่งบอกเล่าเรื่องธารางกูรมีเหตุจูงฆ่าดารัณยังจะน่าเชื่อซะกว่า นี่เล่ามาแล้วปิดท้ายด้วยคำขู่อย่างกับนิยายฆาตกรต่อเนื่อง สองคนแรกปีสี่เจ็ด กูรคงอายุสิบสามสองสิบสามเองมั้ง เด็กตัวเท่านั้นวางแผนฆ่าคนแบบไม่เหลือหลักฐานให้สาวถึงได้ยังไง แล้วคนที่เหลือตายแบบไหน เกี่ยวกับกูรยังไงนายยังไม่รู้ด้วยซ้ำไป”

“ฉันถึงยิ่งต้องสืบก่อนที่คดีดารัณจะปิดไง เพราะถ้าสิ่งที่ฉันคิดเป็นจริง ข้อความที่มีชื่อนายอยู่มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ ฉันไม่ยอมให้เพื่อนฉันตายหรอก หึหึ” ปองภพยิ้มขำเพราะเขากำลังสนุกกับงานสืบสวนที่แทบจะเป็นเรื่องนอกคดีเรื่องนี้ ถ้าปองภพสืบได้ว่ากูรเกี่ยวข้องจริง นี่คงจะเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่จะสร้างชื่อให้เขาและวัสสะ แต่ถ้าไม่ อย่างน้อยเขาก็ได้เคลียร์ความสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของธารางกูร

“ถ้างั้นนายเอาไงฉันเอาด้วย เปิดเป็นคดีใหม่เลยก็ดีจะได้จัดทีมทำงานหาข้อมูลให้รัดกุมมากกว่านี้ เพราะถึงยังไงเราก็ต้องจับคนส่งมาดำเนินคดีในกรณีที่เรื่องมันหักมุมว่ากูรถูกใส่ร้ายอยู่ดี แต่คงต้องฝากนายก่อนนะ เพราะฉันกำลังยุ่งกับเรื่องผลชันสูตรดารัณ” วัสสะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายคนเหนื่อยล้า ร่างสูงพิงหลังไปกับพนักเก้าอี้ เงยหน้ามองเพดานสีขาวว่างเปล่าไร้ความคิด เขาแทบไม่ได้คิดทบทวนกับสิ่งที่พูดออกไปตามหน้าที่ หัวใจดวงเดิมในอกเริ่มเต้นช้าลงและปวดหนึบราวกับถูกกำปั้นใครสักคนทุบลงมาที่กลางอก

“ฉันไม่อยากพลาด ขอหลักฐานเพิ่มเติมให้มันชัดเจนมากกว่าเดิมก่อนแล้วกัน ยิ่งถ้านำเข้าเป็นคดีผู้หลักผู้ใหญ่ลงมายุ่งจนเสียเรื่องแน่ ๆ ส่วนเรื่องดารัณฉันอยากให้นายช่วยดึงคดีไว้ก่อน คงต้องอาศัยตำแหน่งสารวัตรของนาย”

“ส่วนเรื่องจับตาดูกูร ฉันจะช่วยเอง”

“ถ้ามีอะไรผิดปกติ นายรีบบอกฉันเลยนะวัส อย่าได้เผลอไว้ใจคำพูดหมอนั่นให้มาก” ปองภพคงไม่มีโอกาสได้รู้ว่ารูปคำอย่าเผลอไว้ใจของเขานั้นใช้ไม่ได้ผล ตอนนี้ดูเหมือนว่าวัสสะจะเกินเลยคำว่าไว้ใจไปไกลเสียแล้ว

“นายคิดว่ากูรอันตรายจริง ๆ เหรอภพ คนแบบกูรน่ะเหรอ...” วัสสะนึกถึงภาพคนที่หวาดกลัวจนร้องขอให้เขาปลอบโยนแล้วหัวใจกระตุกวาบ ไม่เลย วัสสะไม่อยากให้เรื่องลงเอยที่ธารางกูรต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีของดารัณหรือคดีไหน ๆ

“หึ งั้นนายก็บอกฉันมาสิวัส ว่านายเห็นข้อมูลพวกนี้แล้วนายไม่คิดหรือไม่รู้สึกอะไรเลย” ไม่ว่าคำตอบของร่างสูงจะเป็นอย่างไร ภายในใจของเขาก็เต็มไปด้วยคำถามและความรู้สึกอยู่ดี มันเป็นความรู้สึกมากมายหลากหลายที่ไม่อาจอธิบายออกไปให้ใครฟังได้ง่าย ๆ ความรู้สึกที่แม้แต่ตัววัสสะเองก็ยังทำความเข้าใจได้ไม่ดีพอ

“คิดสิ บางทีฉันอาจจะคิดและรู้สึกมากกว่านายด้วยซ้ำ”



22.พันตำรวจตรีวัสสะ อิสระบริรักษ์



Talk 

สวัสดีวันศุกร์กับตอนที่ 10 ค่า ขอบคุณทุกคนเลยที่ร่วมพูดคุยกันทั้งในคอมเมนต์และใน #กลิ่นฝนฤดูหนาว รวมถึงทุก ๆ คนที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ หนึ่งวิวหนึ่งกำลังใจมาก ๆ เลยค่ะ ใจจริงอยากตอบคอมเมนต์มากแต่กลัวหลุดสปอย ขอรวบยอดทุกการคาดเดาเอาไว้ตอนเรื่องจบทีเดียวนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่า
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 10 ฤดูวิปลาส 28/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 29-09-2018 00:04:53
ก่อนจะสืบหาสาเหตุการเสียชีวิตของทั้ง 21ศพ เราอยากรู้ว่า กูร เป็นใคร ชยางกูร กับ ธารางกูร เป็นคนเดียวกัน หรือคนละคน

เดา ตัวคนฆ่าแค่คดีดารัณ ก่อนเนอะ รู้คนฆ่าและสาเหตุการฆ่า ก็จะเชื่อมโยงไปถึงคดีก่อนหน้าได้แหละมั้งง
1.พอลเพื่อนสนิทมากๆของดารัณ
2.ธารางกูร
3.ชายสวมฮู้ดที่สารวัตรเห็นในคืนที่กูรไม่สบาย
4.บุคคลปริศนาที่ฆ่าหรือสั่งฆ่าตั้งแต่ศพแรก...สำหรับหมายเลข4นี้ เหตุจูงใจเดาไว้หลายๆสาเหตุ เรื่องภายในครอบครัวกูร สมบัติ ทายาทผู้สืบทอด ลูกเมียหลวงเมียน้อย พี่น้องคนละพ่อคนละแม่กับกูร ฯลฯ
5.วัส คือหมายเลข22 คนลงมือคือต้องการให้กูรอยู่แบบโดดเดี่ยวอ้างว้าง กูรรักใคร ใครรักกูร ต้องตายทุกคน คนๆนี้ต้องแค้นกูรหรือพ่อแม่กูรขนาดไหน

ที่คิดไว้อีกอย่างคือ กูร ลงมือหมดทั้ง21ศพ เพราะมีอาการป่วย หรืออาการทางจิตบางอย่าง แบบเป็นคน2บุคคลิก หรือทำโดยไม่รู้ตัว กลางวันเป็นกูรปกติ กลางคืนกูรอีกคนลุกมาฆ่าคน ไรงี้ แต่ก็อย่างที่วัสบอกภพว่า ศพแรก กูร อายุแค่12-13เอง เด็กจะเก็บงานเนียนจนไม่เหลือหลักฐานขนาดนั้นเลย?
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 10 ฤดูวิปลาส 28/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 29-09-2018 09:49:57
เราว่ากูรเป็นเหยื่อแน่ๆ  :ling3: :ling3: :ling3:

เราจะเดากระโดดไปกระโดดมาแล้วแต่อารมณ์เราตอนนั้นๆ นะ 5555
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 11 หนาวใจเพียงใดใครรู้ 29/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 29-09-2018 22:00:56
บทที่ 11 หนาวใจเพียงใดใครรู้

“บรรยากาศงานสวดพระอภิธรรมศพของคุณดารัณ จิตดารุณ นักแสดงหนุ่มผู้ล่วงลับในค่ำวันนี้ยังเต็มไปด้วยความโศกเศร้านะคะ โดยยังมีเพื่อนนักแสดงและผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงเข้าร่วมอาลัยกันอย่างคับคั่ง และเช่นเคยค่ะ พอล พีรพล ยังคงอยู่ช่วยงานศพทุกวันเพื่อทุ่มเทแรงกายแรงใจให้เพื่อนสนิทเป็นครั้งสุดท้ายค่ะ” ธารางกูรในชุดเชิ้ตแขนยาวสีขาวและกางเกงสุภาพสีดำทรุดตัวลงนั่งกับปลายเตียงของตนเอง เขามองข่าวในจอโทรทัศน์นิ่ง ๆ และปล่อยให้ภาพเสียงเหล่านั้นผ่านโสตประสาทเข้าไปโดยพยายามที่จะไม่คิดอะไร เมื่อครู่เขาเพิ่งกลับมาจากงานศพของดารัณหลังจากที่เมื่อคืนเกิดเหตุฉุกเฉินจนทำให้ไปไม่ได้ ส่วนวันนี้เขาออกจากคอนโดโดยมีตำรวจนอกเครื่องแบบดูแลตั้งแต่หน้าคอนโด มันก็รู้สึกประหลาดอยู่หรอกนะที่มีคนเดินตามราวกับนักโทษ แต่ในเมื่อวัสสะต้องการให้มันเป็นแบบนี้ ธารางกูรก็คงจะขัดขวางอะไรไม่ได้





ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกน่ะ ดีแล้ว





“สำหรับกำหนดงานฌาปนกิจนะคะ ตอนนี้ทางครอบครัวของนักแสดงหนุ่มได้แจ้งขอเลื่อนไปอีกสามวันจากกำหนดเดิม เนื่องจากยังรอผลสรุปทางนิติเวชจากทางตำรวจให้เป็นที่แน่ชัด และถ้าหากคดีนี้พลิกไปเป็นเหตุฆาตกรรมตามที่สังคมกำลังสงสัยกัน ครอบครัวจะตัดสินใจเก็บศพของคุณดารัณเอาไว้จนกว่าคดีจะคลี่คลาย เราไปฟังเสียงของคุณดรุณีพี่สาวของคุณดารัณกันค่ะ” ธารางกูรดึงเนกไทสีดำที่คอออกจนหลุด เกือบสัปดาห์แล้วที่เขาไม่ต้องไปทำงานให้ดารัณและเห็นข่าวดารัณตายผ่านหน้าจอทีวีทุกวัน ใจหายอยู่เหมือนกันที่จู่ ๆ คนเคยเจอต้องมาด่วนจากไป ที่ผ่านมาดารัณดีกับเขามาก ดีจนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องคนคนนี้เสียไป แต่สุดท้ายแล้วธารางกูรก็ได้แค่คิดย้อนไปเท่านั้น เขาไม่ใช่ผู้ที่จะตัดสินชะตาใครหรือแม้แต่ชะตาของตัวเอง

“ก่อนอื่นดิฉันเองต้องขอขอบคุณสื่อทุก ๆ ท่านที่ช่วยกันนำเสนอข่าวให้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและให้เกียรติรัณอย่างดีที่สุดนะคะ ทางครอบครัวของเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะติดตามกันจนกว่าคดีจะได้ข้อสรุปค่ะ”

“ดูทางครอบครัวจะเป็นห่วงเรื่องคดีมากกว่าช่วงแรก แปลว่าตอนนี้เริ่มไม่เชื่อว่าเป็นเหตุฆ่าตัวตายรึเปล่าคะ” ธารางกูรไม่อาจละสายตาจากภาพข่าวไปได้ ในจอปรากฏภาพหญิงวัยสามสิบกลาง ๆ ที่เพิ่งเจออยู่กับนักข่าวภาคสนามด้วยสีหน้าอิดโรย ร่างบางตั้งใจฟังสัมภาษณ์หลังจากนั้น เขากำลังพยายามสบตากับคนในจอทีวี ขณะที่เผลอดึงเส้นเนกไทของตัวเองในมือด้วยภาวะอารมณ์บางอย่างจนมันแทบจะแยกขาดเป็นสองชิ้น

“ก็อย่างที่ทางตำรวจให้ข่าวไปนะคะ เราพบพิรุธหลายจุดแต่ก็ยังไม่สามารถโยงไปที่เหตุฆาตกรรมได้ อีกอย่างผลชันสูตรก็ยังไม่มีฉบับทางการแจ้งมายังครอบครัว คุณแม่ก็เลยค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องนี้ค่ะ”

“พิรุธที่คุณดรุณีว่ามีอะไรบ้าง พอจะพูดได้มั้ยคะ”

“หลัก ๆ ก็เป็นเรื่องแรงจูงใจในการฆ่าตัวตายนะคะ ถึงรัณจะแยกมาอยู่คนเดียวนานมากแล้ว แต่ครอบครัวเราติดต่อกันเป็นประจำ รัณไม่เคยแสดงท่าทีว่าเครียดอะไรมาก่อนเลย ปัญหาการเงินก็ไม่มี ปัญหาเรื่องงานเท่าที่เราสอบถามกับน้องกูรก็ไม่มี เรื่องความรักที่แล้วใหญ่เลยค่ะ อย่างที่ทราบกันว่ารัณไม่เคยมีแฟนด้วยซ้ำ อีกเรื่องก็วงจรปิดในบ้านที่เราเคยจำได้ว่ามันมีจุดติดตั้งมากกว่านี้ แต่ในวันที่เกิดเหตุกลับเหลือกล้องแค่ทางเข้าออกบ้าน ส่วนประเด็นอื่นขออนุญาตให้เป็นเรื่องของคดีความค่ะ”

“แล้วที่มีกระแสข่าวว่าดารัณอาจจะเป็นโรคซึมเศร้าล่ะคะ”

“เท่าที่ทราบรัณไม่เคยมีอาการค่ะ”

“แปลว่าทางครอบครัวเทน้ำหนักไปที่การฆาตกรรมใช่มั้ยคะ”

“คือทางเราสูญเสียไปแล้วน่ะค่ะ เลยอยากจะหายสงสัยในข้อนี้มากกว่า ไม่อยากฟันธงอะไรที่ยังไม่มีข้อสรุป ลึก ๆ เราหวังให้เป็นการตัดสินใจของรัณเองอยู่แล้ว แต่ดิฉันค่อนข้างมั่นใจกับการทำงานของตำรวจและกระบวนการยุติธรรมที่เข้ามาดูแลคดีนี้อย่างเต็มที่ค่ะ”

“อยากฝากอะไรกับสังคมหรือแฟนคลับดารัณมั้ยคะ”

“อยากจะฝากสังคมด้วยว่าอย่าวิพากษ์วิจารณ์อะไรที่มันเกินขอบเขตความจริง ที่เสียหายที่สุดคือคนตายที่ลุกขึ้นมาโต้เถียงไม่ได้ ส่วนแฟนครับทุกคน ขอบคุณมากค่ะที่เขามาช่วยเหลือและส่งกำลังใจให้ครอบครัวเราตลอด ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ”
ภาพในจอดับวูบไปเพราะเจ้าของห้องกดรีโมทปิดโทรทัศน์ทันทีที่การสัมภาษณ์จบ อันที่จริงรายการข่าวคงจะมีภาพของตัวธารางกูรเองที่ให้สัมภาษณ์ต่อจากนี้ แต่เขาไม่ได้อยากจะดูสักเท่าไหร่เพราะรู้ตัวเองดีว่าตอบอะไรออกไปบ้าง ร่างบางดูอึดอัดในใจคล้ายอยากจะระบายออกมาสักยก แต่ในความเป็นจริงเขากลับทำเพียงก้มมองเนกไทในมือ ผืนผ้าเส้นยาวถูกพันผูกและดึงด้วยแรงจนบิดเบี้ยวเสียรูป ครั้นจะดึงออกมันกลับรั้งมือทั้งสองข้างจนต้องเสียเวลาแก้ไขเงื่อนปมอยู่นาน





โชคดีที่เนกไทเส้นนี้กลับมาเป็นเช่นเดิมได้ในที่สุด

แล้วตัวเขาล่ะ ในส่วนที่บิดเบี้ยวไปแล้วมันจะย้อนกลับไปเป็นเช่นเดิมได้รึเปล่า





Rrrr เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพร้อมแรงสั่นครืด ธารางกูรจึงล้วงหยิบมันออกจากกางเกงและมองหมายเลขบนหน้าจอนิ่ง ๆ เขาไม่คิดแม้แต่อย่างจะรับสาย แต่อย่างที่บอกว่าแม้แต่ชะตาชีวิตตัวเองเขาก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ทั้งหมด แม้ไม่อยากรับแต่จำเป็นต้องรับ แม้ไม่อยากฟังเขาก็จำใจต้องฟังทุกอย่างที่ไม่อาจเลี่ยงไป

“ครับ… ผมทราบครับ” สุ้มเสียงเบานิ่งเรียบตอบกลับไปยังคนที่อยู่ทางต้นสาย มือเรียวกำเครื่องโทรศัพท์เอาไว้แน่น แม้องค์ประกอบใบหน้าของธารางกูรไม่ประสงค์ที่จะแสดงความรู้สึกสิ่งใด แต่ช่วงดวงตาของเขากลับสั่นไหวเมื่อเสียงจากภายในเครื่องมือสื่อสารเงียบลงไป ความคิดมากมายไหลเวียนเข้ามาในหัว ใครจะรู้ว่าคนที่นั่งกำขากางเกงตัวเองนิ่ง ๆ จะอยู่ในภาวะที่ฝืนมากสักเพียงไหน

ซ่าาา ธารางกูรตัดสินใจจัดการกับความรู้สึกตัวเองด้วยการใช้สายน้ำเย็นเฉียบ หากเป็นคนอื่นคงจะต้องสะดุ้งตัวโยนในวินาทีที่ก้าวเข้าไปอยู่ใต้ฝักบัว แต่นั่นไม่ใช่กับธารางกูร อากาศเย็นของฤดูหนาวไม่ได้ทำให้สายน้ำน่ากลัว ความเย็นที่เพิ่มขึ้นมันก็แค่ชั่วครู่ชั่วคราวก่อนที่มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ นี่เป็นอีกเหตุผลที่เขาอยากให้ฝนตกลงมาในฤดูนี้ หากตอนนี้ฝนตกเขาคงอดไม่ได้ที่จะกระโดดโลดเต้นล้อไปกับสายฝนที่กระหน่ำตกลงมา





แต่น่าเสียดาย วันนี้ธารางกูรสัมผัสไม่ได้แม้แต่กลิ่นของฝนด้วยซ้ำ





ชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นง่าย ๆ ถูกเลือกออกมาจากตู้เสื้อผ้า ชีวิตในพาร์ทที่เรียบง่ายของเขาก็เป็นแบบนี้ เพียงแต่ช่วงนี้มันอาจจะเรียบง่ายเกินไปสักหน่อย หากเป็นเมื่อก่อนเวลาสามสี่ทุ่มเช่นนี้เขาอาจจะต้องอยู่ทำงานกับดารัณที่ไหนสักที่ และจบช่วงวันด้วยการกลับมานอนในเวลาเกือบจะรุ่งสาง แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง

เขาสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายที่ถูกใครบางคนทิ้งรอยจ้ำแดงเอาไว้ ทว่าธารางกูรไม่ได้ปิดประตูตู้ลงในทันที เขายืนนิ่ง ๆ อยู่ที่บริเวณนั้นนานนับนาที ดวงตากลมมนจ้องมองไปยังกล่องสีดำที่ถูกปิดสนิท มีใครคนหนึ่งเคยบอกว่าเขาไม่คู่ควรกับสิ่งของที่อยู่ภายใน แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งนึกถึงน้ำเสียงและใบหน้าคมคายของเจ้าของประโยค ธารางกูรจึงยิ่งอยากเอื้อมเข้าไปคว้ามันไว้ในมือ





ของบางอย่างก็สมควรอยู่กับคนที่ไม่คู่ควร





วัสสะลงจากรถที่หน้าคอนโดของธารางกูรอีกครั้ง เขาเข้าไปพูดคุยกับลูกน้องที่ผลัดเปลี่ยนเวรสังเกตการณ์อยู่แถวนี้มาทั้งวัน ก่อนจะยื่นถุงอาหารและเครื่องดื่มชูกำลังให้เป็นกำลังใจ ช่วงที่บรรจุเข้าราชการใหม่ ๆ เขาก็เคยเป็นตำรวจเบอร์เล็กเบอร์น้อยที่ต้องทำงานตามคำสั่ง จึงรู้ดีกว่าการถูกซื้อใจด้วยคนที่ยศสูงกว่ามันส่งผลดียังไง ทั้งไว้ใจผู้บังคับบัญชาคนนั้นและอยากจะทำงานให้จนแทบถวายหัว

ก๊อก ๆ ๆ เป็นอีกครั้งที่ร่างสูงหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของธารางกูรด้วยสภาวะหัวใจและสมองที่ไม่ปกติ คำพูดของปองภพและเนื้องานในวันนี้ทำให้ทุกอย่างดูยากไปเสียหมด ส่วนเรื่องที่นำพาตัวเขามาที่นี่ในคืนนี้ คงเป็นเพราะวันนี้ทั้งวันไม่มีวินาทีไหนที่เขาจะละชื่อของธารางกูรออกไปจากสมองได้เลย แววตาคู่นั้นติดอยู่ในทุกห้วงเวลาของการตัดสินใจ จนกลายเป็นความคับอกคับใจภายในที่วัสสะไม่อาจแก้ไขได้ด้วยตัวเขาเอง

“คุณวัส...”

“ไงคุณ ผมขอเข้าไปได้มั้ย” เมื่อมองผ่านช่องเล็กจากภายในแล้วรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ธารางกูรจึงรีบเปิดประตูต้อนรับการมาที่ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าของวัสสะ ร่างสูงถูกเชื้อเชิญให้เข้าไปภายในโดยที่เจ้าของห้องแทบไม่ต้องหยุดคิด วินาทีที่เห็นว่าดวงตาคู่คมกำลังเหนื่อยล้าคล้ายมีเรื่องวุ่นวายในสมอง หัวใจของราธางกูรก็กระตุกขึ้นมาราวกับคนรู้สึกผิด

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย”

“เปล่าหรอก ผมซื้อขนมมาฝาก คุณกินอะไรรึยัง” วัสสะปฏิเสธสั้น ๆ ก่อนจะวางถุงกระดาษที่เต็มไปด้วยขนมปังร้านดังลงกับโต๊ะกลางหน้าโซฟา และตัวเขาเองก็ทรุดตัวลงไปนั่งบนเบาะหนังนุ่ม ๆ โดยไม่ต้องรอให้เจ้าของห้องเชื้อเชิญ

“ขอบคุณสำหรับขนมครับ” ธารางกูรที่เหมือนจะคาใจลอบมองสีหน้าของวัสสะอยู่ไม่ขาด ร่างบางเลือกที่จะยืนมองวัสสะอยู่อย่างนั้น จากดวงตา ริมฝีปาก เรียวมือ จังหวะลมหายใจที่แผงอก ยาวไปยังร่างกายกำยำ มองจนกระทั่งวัสสะรู้ตัวและส่งสายตากลับมา

“ทำไมคุณมองผมแบบนั้น”

“คุณดูแปลกไป เหมือนคุณมีเรื่องเครียด”

“ผมเหรอที่มีเรื่องเครียด” วัสสะไม่ได้ปฏิเสธซ้ำยังพูดเชิงย้อนถามกลับไปยังธารางกูร เขายกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นคล้ายยิ้มเยาะให้กับบางเรื่องราวที่ยังค้างคาใจ

“ไม่รู้สิครับ ผมเองก็ไม่ใช่คุณ” ธารางกูรเดินไปทรุดตัวลงนั่งปลายเตียงตำแหน่งเดิมเมื่อราวครึ่งชั่วโมงก่อน วัสสะเริ่มหันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ละไม่ได้ไม่แพ้กัน ร่างกายที่กำลังหันหลังไม่ได้ดูสบายใจมากกว่าเขาเลยสักนิด ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าก่อนจะพ่นมันออกมาเฮือกใหญ่ ถ้าเขาไม่พูดหรือไม่ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเสียที ให้ตายยังไงคืนนี้เขาก็นอนไม่หลับ

“เรื่องคดีดารัณ… นิติเวชตรวจพบยากล่อมประสาท แต่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นชนิดไหน คุณพอจะรู้รึเปล่าว่าดารัณเขาเคยกินยาหรือรักษาโรคทางระบบประสาทอะไรบ้างมั้ย” ร่างสูงเลือกที่จะเปิดประเด็นขึ้นมาด้วยคำถามเช่นนี้ วัสสะทอดสายตาออกไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมายที่แน่นอน เช่นเดียวกันธารางกูรก็เอาแต่มองภาพตัวเองผ่านเงาดำของหน้าจอโทรทัศน์

“ไม่ครับ เท่าที่ผมทราบ ไม่มีเลย”

“ตำรวจยังสรุปคดีอย่างแน่ชัดไม่ได้ก็เพราะเรื่องนี้”

“แล้วสุดท้ายถ้าระบุชนิดได้มันเป็นยังไงเหรอครับ”

“ถ้ามันเป็นยาอันตรายที่อยู่ไม่ควรอยู่ในมือคนทั่วไป แน่นอนว่ามันต้องเป็นการฆาตกรรม”

“...” ธารางกูรเงียบไปทันทีเมื่อวัสสะพูดจบ เรียวมือขาวเนียนขยำผ้าปูเตียงจนเกิดเส้นรอยตึงบนผืนผ้าตามแรงจิกนิ้วมือ ริมฝีปากบางเม้มแน่นสนิทเมื่อกำลังคิดจินตนาการทุกอย่างตามที่วัสสะพูด ทุกประโยค ทุกความหมาย ทุกสิ่งหลอมรวมเป็นเม็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมานอกผิวกาย แม้ว่าธารางกูรจะกำลังรู้สึกเย็นผวาคล้ายร่างกายไม่อาจทนทานกับความหนาว

“หลังจากนั้นกระบวนการสอบสวนสืบสวนอย่างเต็มรูปแบบก็จะเริ่มต้นขึ้น เราต้องหาพยานหลักฐานให้รัดกุมที่สุดเพื่อลดกรอบจำนวนของผู้ต้องสงสัยให้แคบลงมา และในที่สุดจะมีผู้โชคดีเพียงหนึ่งเดียวที่จะกลายเป็นฆาตกร”

“...”

“มันอาจจะเป็นข่าวใหญ่กว่าเดิมและเป็นคดีที่ทุกฝ่ายจับตามอง ตำรวจทำงานง่ายขึ้นแต่คงกดดันมากกว่าเดิม”

“ถ้าสุดท้ายแล้วผลตรวจบอกชนิดของยาได้ อาจจะหมายความว่าตำรวจควานต้องหาตัวฆาตกร”

“คงจะเป็นแบบนั้น”

“แล้วผมก็จะเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยทันทีใช่มั้ยครับคุณวัส”

“...” คราวนี้คำพูดของธารางกูรทำให้วัสสะเงียบไปบ้าง ดวงตาของร่างสูงกระตุกสั่นเพราะอีกฝ่ายพูดในสิ่งที่เขากำลังคิดออกมา ไม่สิ มันเป็นสิ่งที่วัสสะพยายามไม่นึกถึงและมองข้ามมันมาตลอด แต่ในเวลานี้วัสสะคงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว

“ใช่มั้ยครับคุณวัส”

“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะ” วัสสะถามย้อนกลับพร้อมน้ำเสียงเข้มนิ่ง ดวงตาคมเคลื่อนมองแผ่นหลังก้มโค้งราวกับคนหมดแรงของธารางกูร เขาไม่มีทางรู้ว่าร่างบางอยู่ในสภาวะจิตใจเช่นไร และคาดหวังกับคำตอบแท้จริงมากเพียงไหน และร่างบางเองก็ไม่มีทางรู้เช่นกันว่าความลำบากใจมันอึดอัดจนวัสสะหายใจได้ยากเย็นเพียงใด

“คุณมาเฝ้าดูผมได้ทุกวัน รวมถึงตำรวจข้างล่างนั่นด้วย จะให้ผมคิดยังไงล่ะครับ ให้ผมคิดว่าคุณสารวัตรวัสสะมีจิตใจดีมาดูแลผมตอนที่อยู่คนเดียว ในฐานะที่เป็นตำรวจคุณทำแบบนั้นได้ด้วยงั้นสินะครับ”

“คุณกูร…”

“ช่างเถอะครับ ผมคงได้แต่ภาวนาให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี ครอบครัวคุณรัณจะได้สบายใจ”

“จริง ๆ มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่มากกว่านั้นน่ะ ที่ผมมาไม่ใช่แค่เพราะคดีดารัณ” วัสสะถอนหายใจทิ้ง เขาใช้ศอกยันกับเข่าตัวเอง ดันปลายนิ้วชี้และนิ้วโป้งกดลงไปที่กลางหัวคิ้ว หากพูดในฐานะตำรวจ วัสสะไม่ควรแม้แต่จะคิดพูดเรื่องนี้กับพยานผู้ถูกจับตามอง แต่หากเขาตัดฉากหน้าในสังคมทิ้งไป เขาก็เป็นเพียงชายคนหนึ่งที่อยากจะพูดทุกเรื่องกับธารางกูรให้หายค้างคาใจ





หัวใจที่ปวดหนึบอยู่ตอนนี้มันจะได้ผ่อนคลายลงบ้างเสียที





“คุณวัสหมายความว่ายังไง” ธารางกูรหันมาสบตาวัสสะ ดวงตาสองคู่สั่นคลอนไร้ความมั่นใจไม่แพ้กัน ร่างสูงค่อย ๆ ปิดสายตาลงนิ่ง ๆ เพราะไม่อยากให้ความรู้สึกไร้ความแข็งแรงถูกเผยออกไปโดยไม่จำเป็น ระหว่างนั้นดวงตาคู่กลมที่มองเขาอยู่เคลื่อนไหวระริกไม่มั่นคงไร้ความแข็งแรงยิ่งกว่า ยิ่งในยามที่ริมฝีปากหนาเผยอเปล่งเสียง หัวใจคนฟังที่เต้นระส่ำก็ยิ่งทำให้น้ำในตาอยากจะไหลรินลงมาเสียให้ได้

“มีพัสดุส่งมาให้ผู้กองปองภพถึงสองครั้ง ครั้งแรกเป็นรูปภาพทุกช่วงวัยของคนคนนึง ครั้งที่สองเป็นบทบรรยายเรื่องราวของเด็กชายที่ชีวิตพลิกผันตลอดเวลาตั้งแต่เล็กจนโต”

“ใครครับ”

“คนในภาพหน้าตาเหมือนคุณไม่มีผิด”

“แล้วเด็กชายอีกคนล่ะ”

“ชยางกูร ทวิภาค”

“...” ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้หยดน้ำตาก็ไหลลงมาบนผิวแก้มของธารางกูรข้างหนึ่ง ร่างบางยกหลังมือขึ้นเช็ดมันออกทันที หัวใจของเขาเจ็บร้าวราวกับถูกเหล็กร้อนจี้ลงจุดสำคัญ เขาชันเข่าขึ้นพร้อมกับกอดตัวเองเอาไว้แนบอก ธารางกูรพยายามจะควบคุมอาการสั่นเทิ้มบนร่างกาย แต่ไม่เลย เขาทำไม่ได้

“ค...ใครเหรอครับ ผ...ผม ...เกี่ยวกับผมตรงไหน”

“นั่นน่ะสิ ผมก็ภาวนาให้เขาไม่เกี่ยวข้องกับคุณ ภาวนาให้ทุกสิ่งที่ผมและปองภพรับรู้ไม่มีมูลความจริง” วัสสะลุกขึ้นเดินผ่านตัวธารางกูรไปโดยพยายามที่จะไม่มองร่างกายที่กอดประคองตัวเองเอาไว้ ประโยคสั่น ๆ ของธารางกูรทำให้เขารู้สึกชาไปทั่วทั้งใบหน้า เขาเริ่มรู้สึกว่าการพูดออกไปไม่ใช่ทางที่ถูกที่ควร เพราะนอกจากเขาจะไม่หายค้างคา อาการที่ธารางกูรตอบกลับมาก็เล่นเอาจุกอกไปเสียหมด

ร่างสูงยกแขนกันผ้าม่านก่อนจะเดินออกไปหยุดยืนที่ชานระเบียงห้องเดิน เรียวมือหนาวางลงที่ขอบผนังปูนเย็นเฉียบ เส้นผมที่ไม่ได้จัดเป็นทรงถูกลมหนาวพัดกระพือจนลู่ไปกับกรอบหน้า อากาศตอนนี้ทั้งหนาวทั้งเย็นและสัมผัสได้เพียงกลิ่นของสายลมแห้ง ๆ นัยน์ตาคู่คมมองออกไปตามหาดาวนำทางสักดวงบนท้องฟ้า แต่คงจะเป็นโชคร้ายที่วัสสะไม่อาจพบเจอสิ่งที่ตามหา ทั้งที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งมีดวงดาวมากมายลอยเด่นแข่งกันเปร่งแสงระยิบระยับ แต่กลับไม่มีแสงสว่างดวงไหนเลยที่จะช่วยนำทางเขาไปในทางที่เหมาะที่ควร

“คุณวัสครับ… ผมทำอะไรให้คุณต้องลำบากใจรึเปล่า” น้ำเสียงไม่สบายใจดังขึ้นใกล้ ๆ หูพร้อมสัมผัสอบอุ่นวาบขึ้นมาที่แผ่นหลัง ธารางกูรพิงตัวซบแผ่นหลังกว้างราวกับหาที่พักพิง ใบหน้าของเขากดลงแนบสนิท กลิ่นกายอ่อน ๆ ฉุนเข้าจมูกราวกับเติมพลังชีวิตได้ก็ไม่ปาน

“ไม่นี่” วัสสะยืดตัวตรงขึ้นเดินถอยหลังพร้อมคนที่ซบติดตัวสองสามก้าว เขาไม่อยากให้ลูกน้องตำรวจที่อยู่เบื้องล่างมองมาเห็นอะไรที่ไม่สมควรจะเห็นเข้า อย่างน้อยการถอยก็พอจะทำให้พ้นรัศมีการมองตามที่คาดคะเนได้

“ผมขอโทษ”

“คุณขอโทษเรื่องอะไร” วัสสะยืนนิ่งให้อีกฝ่ายพิงกายอยู่เช่นนั้น ลมหนาวยังคงกระหน่ำเข้ามาไม่หยุด ราวกับรู้ว่าเขาและธารางกูรยืนเตรียมใจรอรับมันอยู่ตรงนี้

“ทุกเรื่อง ทุกเรื่องที่ผมทำให้คุณต้องเครียด ทุกเรื่องที่เป็นเพราะผม”

“ไร้สาระน่าคุณกูร”

“ถ้าวันนึงผมต้องกลายเป็นฆาตกร ถ้าวันนึงผมต้องกลายเป็นคนที่คุณไม่เคยรู้จัก คุณจะลืมคนแบบผมได้รึเปล่า” คำถามของธารางกูรมีพลังเสียจนวัสสะแทบจะเซล้ม อากาศที่พัดโหมเข้ามาทวีความหนาวขึ้นมาทุกที วัสสะกำลังคาดหวังให้คนเบื้องหลังเอื้อมแขนขึ้นมากอดเขาเอาไว้ แต่ไม่เลย มันยังคงมีเพียงสัมผัสจากร่างกายที่ทำให้อุ่นใจขึ้นมาได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น

“รู้อะไรมั้ย การที่คุณพูดแบบนี้ผมจับคุณตรงนี้ได้เลยนะ”

“จับผมเลยสิครับ”

“หึ นี่คุณท้าผมเหรอ”

“ไม่รู้สิ บางทีถ้าคุณจับผมไปเป็นผู้ต้องหาของคุณ มันอาจจะดีกว่าทางที่ผมเลือกเองก็ได้” ธารางกูรกดปลายจมูกลงกับแผ่นหลังของวัสสะอย่างแนบแน่นจนเจ้าของร่างรู้สึกได้ ร่างสูงเอียงคอไปด้านหลังเพื่อหวังจะมองช่วงใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ทว่าเขาได้เห็นเพียงกลุ่มผมสีเข้มเท่านั้น

“ทางที่คุณเลือกมันคือทางไหนล่ะ”

“ผมขอโทษครับคุณวัส… ผมขอโทษ” วัสสะตั้งใจเอี้ยวตัวหันกลับไปเพื่อมองเจ้าของเสียงที่พร่ำขอโทษอู้อี้ฟังไม่เป็นศัพท์เต็ม ๆ ตา แต่ทว่าจังหวะนั้นธารางกูรกลับถอยหลังหายเข้าไปใต้ผืนม่าน วัสสะมองต่ำลงก็พบว่าอีกฝ่ายยืนจิกปลายเท้าอยู่กับพื้น ระยะห่างไม่ถึงสองก้าวที่ทั้งคู่ยืนมีม่านขวางไว้ราวกับกำแพงหนากั้นไม่ให้เข้าใกล้กันมาไปกว่าเดิม

“คุณเป็นอะไรรึเปล่ากูร” วัสสะร้องทักเพราะกลัวว่าธารางกูรจะมีอาการเครียดจัดคล้ายกับที่เขาเจอเมื่อวาน แต่เปล่าเลย วัสสะไม่ได้ยินเสียงใดตอบกลับมาเว้นเสียแต่เสียงลมลู่ไปกับต้นไม้ใกล้ ๆ และเสียงแกร๊กเบา ๆ สองสามครั้งที่เขาจำได้ดีว่ามันเป็นเสียงของสิ่งใด

พรึ่บ!! ผืนผ้าม่านถูกวัสสะกระชากเปิดทันทีเมื่อเขาเห็นว่าปลายเท้าของธารางกูรถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ ร่างสูงเบิกตามองพร้อมกับช่วงหัวอกปวดหนึบคล้ายกับถูกทุบตีด้วยของหลักซ้ำ ๆ ภาพที่เห็นชัดเจนอยู่ตำตาคือธารางกูรกำลังพยายามที่จะขึ้นลำปืนสีดำด้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนร่างบางส่ายหน้าตัวสั่นเทาและถอยตัวออกห่างไปเรื่อย ๆ ก่อนทรุดตัวลงไปกับพื้นพร้อมกับน้ำตาจากทุกความรู้สึกที่ไหลออกมาอย่างไม่อาจปิดกั้น

“ไม่… ไม่… ทำไมไม่ได้ล่ะ! ” ธารางกูรเริ่มขึ้นเสียงกับตัวเองเมื่อกลไกปืนของเขาไม่อาจทำงานได้ตามที่ควร ลำกล้องปืนไม่สามารถโหลดกระสุนขึ้นมาเตรียมพร้อมสำหรับลั่นไก แน่นอนมันเป็นเพราะฝีมือของคนที่ยืนมองด้วยอาการจุกไปทั้งใจอย่างวัสสะ ทุกครั้งที่สองมือนั่นพยายามลั่นไกปืนกระบอกเล็ก หัวใจของวัสสะก็เจ็บคล้ายถูกยิงตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อไม่สามารถอดทนได้ไหว ขายาว ๆ จึงก้าวเข้าไปและคว้าปืนนั่นไว้ในมือทันที

เพล้ง! วัสสะเหวี่ยงมันลงกับพื้นอย่างไม่คิดชีวิต แรงมหาศาลทำให้องค์ประกอบปืนกระจายเป็นสองส่วน สายตาธารางกูรระคนไปด้วยความหวาดกลัวจากความผิด และหลังจากนั้นร่างบางก็ไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาสบตาวัสสะได้อีก ระหว่างที่วัสสะเองไม่อยากเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกไปทั้งนั้น มันมีแต่คำถามในใจวนซ้ำไปมาเพื่อหาคำตอบกับตัวเองราวกับคนบ้า





ทำไมจู่ ๆ ถึงรู้สึกเย็นขึ้นมาขนาดนี้





“ถ้านี่คือทางที่คุณเลือกแล้ว… ผมคงเข้าไปรบกวนในเส้นทางของคุณมากเกินไปแล้วล่ะกูร” วัสสะเดินผ่านหน้าคนที่กำลังส่งเสียงร้องไห้ออกไปคล้ายไม่ไยดี ร่างสูงสาวเท้าเร็วก่อนจะก้าวออกจากบริเวณห้องพร้อมเสียงปิดประตูดังปังใหญ่ ดวงตาคมเลื่อนลอยเหมือนคนไม่มีสติ ขาของเขาชาดิกก้าวแทบไม่ออกด้วยซ้ำเมื่อได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นทารุณหัวใจดังลอดมาจากบานประตู แค่จินตนาการว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ตัวโยนแค่ไหนความเจ็บปวดมันก็ยิ่งทวีคูณราวกับโดนวางยา





ยาพิษขนานนี้กำลังบีบให้วัสสะเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ





“ฮึก ฮืออออออ”

“หยุดร้อง หยุดร้องไห้ได้แล้วกูร” ร่างสูงหวนกลับมาโอบกอดอาการสั่นเทาของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นจากด้านหลัง ท่อนแขนแกร่งโอบรัดเอาไว้ราวกับต้องการผสานทั้งคู่เข้าเป็นหนึ่งเดียว เขารู้ดีว่าเสียงสะอื้นไห้คงไม่ได้จบลงอย่างง่ายดายเพียงเพราะไออุ่นที่ได้รับ แต่วัสสะก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะทวีความรุนแรงขึ้นราวกับพายุฝนกำลังโหมกระหน่ำในฤดูหนาว





หนาวยะเยือก ทรมานจับใจ แต่รู้สึกดีราวกับได้ชีวิตใหม่

ทว่าน่าเสียดาย… คืนนี้ฝนไม่ได้ตก

ฝนก็แค่หลอกเราให้หลงเคลิ้มไปเหมือนทุกที




Talk

มาแล้วค่า เจอกันตอนต่อไปพรุ่งนี้นะคะ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิว ทุกไลค์ ทุกโหวตเช่นเคยคร้าบบบบ

ปล.ตอนหน้ามีความพีค ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง 55555

หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 11 หนาวใจเพียงใดใครรู้ 29/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 29-09-2018 22:51:00
เดี๋ยวนะ วัส ออกจากห้องไปแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วมากอดปลอบกูรได้ไง ฮื้อออ กอดในจินตนาการเหรอ แล้วจินตนาการของใคร ใครเป็นเพื่อนในจินตนาการของใคร??

อะไรทำให้กูรตัดสินใจจะจบชีวิตตัวเอง เพราะเป็นฆาตรกร หรือเพราะต้องการหนีจากคนที่โทรเข้ามาหา

ปลายสายที่โทรหากูร เป็นใคร

โอ้ยยยย ยุ่งเหยิงไปหมดเลย

หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 11 หนาวใจเพียงใดใครรู้ 29/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 30-09-2018 11:45:01
กูรลูกแม่ เล่าความจริงทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้นะ !!!!!

 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 11 หนาวใจเพียงใดใครรู้ 29/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 30-09-2018 22:42:57
บทที่ 12 กลิ่นชีวิตมอดไหม้

“หมวด เห็นผู้กองภพรึเปล่า”

“วันนี้ยังไม่เห็นนะครับสารวัตร น่าจะไม่ได้เข้ามาตั้งแต่เช้า”

“อ้าวเหรอ”

“ครับ ออ เมื่อวานเห็นแกมาขอฮาร์ดดิสก์ฐานข้อมูลอาชญากรรมกับคดีอุบัติเหตุจากผมไป น่าจะถือกลับบ้านไปด้วย ไม่รู้ว่าฟิตอะไรนะครับ ขยันน่าดูเลย”

“หึ แบบนี้ทุกทีสิภพ ขอบคุณนะครับหมวด” วัสสะก้มศีรษะโค้งขอบคุณผู้หมวดที่อายุมากกว่าเขาหลักสิบปี และเจ้าพนักงานคู่สนทนาก็ตะเบ๊ะมือแสดงความเคารพตอบกลับมาตามหน้าที่ แม้วัสสะจะไม่ใช่คนถือยศถืออย่าง แต่เขาเข้าใจดีว่าระบบระเบียบการนับยศตำแหน่งเป็นลำดับอาวุโสไม่อาจเลี่ยงไปได้ คงจะช่วยไม่ได้หรอก การขึ้นตำแหน่งนั้นอยู่ที่ผลงานความสามารถ และปัจจัยยิบย่อยที่ว่าคุณมีนามสกุลอะไร

พ้นจากการสอบถามวัสสะก็เดินหอบแจ็กเกตออกจากตัวอาคาร เขาอยู่ประชุมกับทีมสอบสวนเรื่องคดีเก่าเก็บแต่ช่วงบ่ายจนค่ำ แปลกดีที่จนท้องฟ้ามืดสนิทขนาดนี้วัสสะยังไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาของปองภพคู่หูคนสนิท เพราะกว่าเขาจะมาถึงก็เป็นเวลาประชุม การถกเถียงยุ่งวุ่นวายจนแทบไม่ได้พัก บวกกับเข้าใจว่าปองภพคงจะอยู่ที่โต๊ะของตน วัสสะจึงไม่ได้สนใจว่ามีอะไรแปลกไป แต่การที่เพื่อนของเขาเงียบสนิทไม่บอกไม่กล่าวขนาดนี้เขาคงไม่สนใจไม่ได้แล้ว

“ฮัลโหล”

“นายอยู่ไหน วันนี้ไม่เข้างานเหรอ”

“อืมใช่ พอดีเลย ฉันกำลังจะโทรหานาย”

“โทรหาฉัน” วัสสะย่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสายโทรศัพท์ ร่างสูงเปิดประตูรถและทรุดตัวลงนั่งที่ฝั่งคนขับ ทันทีที่บานประตูปิดลง อากาศเย็นตามฤดูกาลก็ดับวูบลงเมื่อเจอกับไออุ่นภายในห้องโดยสาร วัสสะโยนแจ็กเกตของตนเองไว้ข้างตัว ก่อนจะเคลื่อนรถออกไปโดยที่ยังใช้มือซ้ายถืออุปกรณ์สำหรับสนทนาแนบหูเอาไว้

“ใช่ พอดีฉันนั่งเปิดแฟ้มคดีเก่าค้นหาตามรายชื่อยี่สิบเอ็ดชื่อนั่นตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ได้เรื่องมาแล้วบางส่วน คงต้องให้นายมาช่วยตัดสินใจว่าเราจะเอายังไงต่อ”

“ตอนนี้นายอยู่บ้านใช่มั้ย”

“อืม สักพักใหญ่ ๆ ค่อยเข้ามาก็ได้”

“ไม่เป็นไร ครึ่งชั่วโมงเจอกัน” วัสสะกดวางสาย หาจุดเลี้ยว หักพวงมาลัยรถเพื่อเปลี่ยนเส้นทางทันที แม้ว่าสีหน้าและภาษากายของเขาจะเรียบเฉย แม้ว่าเสียงที่ฟังจะเป็นเพียงรายการข่าวภาคค่ำไม่บันเทิงใจ แม้ว่าถนนเบื้องนอกจะวุ่นวายจนน่าเบื่อหน่าย แต่ไม่อาจมีข้อแม้ใดทำลายกำแพงในใจที่ตัวเขาตั้งขึ้นมาได้





หัวใจของวัสสะกำลังเต้นกลัวในที่ของตัวเองเพียงลำพัง





“รอแปบนะ”

“อือ” วัสสะเอนกายลงไปกับโซฟาผ้าเนื้อนุ่มเมื่อเจ้าของบ้านโบกไม้โบกมือให้ทำตัวตามสบาย เกือบสิบปีที่พวกเขารู้จักกันทำให้วัสสะเข้านอกออกในบ้านของปองภพจนเคยชิน ผู้กองหนุ่มอยู่ที่นี่เพียงลำพังหลังจากที่มารดาวัยชราเสียชีวิต และพี่สาวคนเดียวย้ายออกไปมีครอบครัว อาจจะมีสาว ๆ แวะเวียนเข้ามาบ้างแต่ไม่บ่อยนักเพราะเจ้าตัวไม่ยอมมีใครเป็นตัวเป็นตนเสียที แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักที่น่าสนใจหรอก เพราะเรื่องที่น่าสนใจคือการที่ปองภพยังคงหน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับโต๊ะทำงานมากกว่า

“เออวัส นายจำได้มั้ยว่าครอบครัวท่านสิรินรัฐมนตรีช่วยทำธุรกิจอะไร ฉันจำได้ไม่ชัดว่าเป็นโรงแรมอะไรสักอย่างรึเปล่า” ปองภพชะโงกหน้าออกจากจอเพื่อรอคำตอบจากวัสสะ ร่างสูงตอบในทันทีด้วยความเร็วที่ไม่ต้องพึ่งพาเสิร์ชเอนจิน

“โรงแรมแกรนด์สิน” ดูเหมือนวัสสะจะหน้าเสียทันทีเมื่อชื่อสถานประกอบการรายนี้หลุดออกจากปาก เขานึกออกแล้วว่ามีรายชื่อโรงแรมนี้อยู่ในเรียงความประวัติธารางกูรที่ได้อ่านเมื่อวาน สายตาสองคู่ของเพื่อนสนิทสบมองกันอย่างสื่อความหมาย วัสสะเข้าใจดีว่าการที่ปองภพปล่อยสายตาดุดันนิ่งงันเช่นนี้หมายความว่าอะไร ระหว่างที่ปองภพไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของวัสสะในวินาทีนี้ได้เลย

วัสสะนิ่งเงียบไถลตัวลงนอนกับโซฟาหมุนเครื่องโทรศัพท์ในมือไปมานานนับชั่วโมง เขาไม่อยากเร่งคนที่วุ่นวายกับการโยงใยผูกสิ่งที่มีเข้าเป็นเรื่องราว งานของตำรวจไม่ใช่เรื่องง่าย และงานที่ปองภพและวัสสะเผชิญมันไม่ได้เฉียดเข้าใกล้คำว่าง่ายเลยสักนิด ทุกอย่างเป็นเหมือนจิกซอว์ที่ถูกตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่ลงล็อก ไม่มีความบังเอิญ ทุกอย่างต้องอาศัยการจัดเรียงจนเข้าสู่ทางที่ถูกต้องของมัน





แต่ช่างโชคดีเหลือเกินที่ปองภพพบเจอเส้นทางที่ว่าในที่สุด





“เห้ออออ แค่นี้ก็คงพอแล้วล่ะมั้ง” ปองภพพ่นลมหายใจทิ้งอย่างคนหมดแรง เขาจับทุกอย่างกองซ้อนกันก่อนจะขนมาวางตรงหน้าโซฟาที่วัสสะนั่งกึ่งนอนอยู่ ร่างสูงผุดตัวขึ้นนั่งทันทีด้วยหัวใจที่ตื่นเต้นไปหมด เขากำลังลุ้นกับทุกคำพูดที่กำลังจะออกจากปากเพื่อนสนิท และภาวนาเอาไว้ในใจเพียงข้อเดียวเท่านั้น





ขออย่าให้มีอะไรทำให้หายใจติดขัดมากไปกว่านี้อีกเลย





“เป็นไง ได้อะไรบ้าง”

“เยอะกว่าที่คาด” เมื่อปองภพแสดงสีหน้าเครียดชัดเจน วัสสะจึงไม่สามารถเก็บอาการเครียดของตนเองได้อีกต่อไป มือหนาคว้าแผ่นกระดาษที่ถูกพิมพ์ออกมาเมื่อครู่ขึ้นมาอ่านอย่างไม่รีรอ ทว่าเขาไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมดหากปองภพไม่เอ่ยปากอธิบาย

“ที่ว่าเยอะหมายความว่าไง” เจ้าของแววตาลุกลี้ลุกลนรุกถามอย่างร้อนใจ วัสสะวางกระดาษในมือลง โค้งตัวก้มหน้าวางมือซ้ายลงกับโต๊ะกระจกตัวเตี้ยตรงหน้า บทเพลงบรรเลงความเครียดกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง โดยมีผู้ฟังแสนดีคนเดิมอย่างปองภพ

“รูปนี้… คือด้านหน้าโรงเลื่อยไม้ของนายคงถาวรและนางจิตติพร โรงเลื่อยนี้ดังมากจนหาข้อมูลได้ไม่ยาก ทั้งคู่เป็นผู้มีอิทธิพลในเชียงใหม่ ไม่มีบุตร ก่อนจะรับเด็กชายชยางกูรเป็นบุตรบุญธรรม” ปองภพวางภาพเด็กชายคล้ายธารางกูรลงกับพื้นโต๊ะ ทั้งยังวางชุดเอกสารที่ถูกไฮไลท์เอาไว้เป็นชุดข้างกัน

“ชยางกูร…” วัสสะหยุดนิ่งคล้ายคนไม่มีชีวิต มีเพียงดวงตาที่ยังกลอกเคลื่อนไหวไปมา และเรียวนิ้วทั้งสามที่เริ่มสลับกันสัมผัสพื้นโต๊ะเป็นจังหวะเชื่องช้าราวกับบทเพลงบรรเลง

“รูปนี้ ฉากหลังเป็นทาวเวอร์บริดจ์ ที่เห็นไกล ๆ ตรงมุมขวาคือดอกเตอร์เลอสรวง แกนนำเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปีนั้น และเขาฆ่าตัวตายในห้องพักที่อังกฤษขณะไปเที่ยวพักผ่อน”

“...”

“รูปนี้ คนหน้าคล้ายกูรถ่ายกับคุณศิริลักษณ์ เจ้าของโครงการจัดสรรที่ดินย่านชานเมือง และผู้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อเด็กชายไร้บ้าน แน่นอนว่านี่เป็นรูปก่อนเธอเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวในปีสองห้าห้าศูนย์”

“...”

“รูปนี้ คนที่หน้าเหมือนกูรอย่างไม่มีข้อติ อยู่ในยูนิฟอร์มโรงแรมแกรนด์สินของท่านสิริน”

“...”

“แล้วนี่ก็คือช่วงที่คนคนนี้ทำงานอยู่กับดารัณดาราดังอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งที่ฉันพอจะหาได้ในเวลาเท่านี้ มันน่าจะมากพอที่จะยืนยันได้แล้วว่าธารางกูรเคยรู้จักกับคนเหล่านี้ก่อนเสียชีวิต ”

“แล้วยังไง โลกใบนี้ก็มีแต่คนตายทั้งนั้น คนที่นายรู้จักไม่เคยตายรึไง” วัสสะส่ายศีรษะขณะที่มองลึกเข้าไปในรูปภาพ การตายจากโลกใบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์เรา และการที่เขาพยายามทำให้ปองภพเข้าใจสัจธรรมของชีวิตมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“แปลว่านายไม่คิดว่ามันเชื่อมโยงกัน” ปองภพมีน้ำเสียงแปลกใจกับท่าทีที่เหมือนจะเมินเฉยของวัสสะ แต่หากเขามองให้ลึกลงไปในดวงตาผู้เป็นเพื่อนสักนิดก็จะรู้ว่าความกระวนกระวายใจภายในนั้นมีมากกว่าข้อมูลตรงหน้าเสียอีก วัสสะไม่ได้เมินเฉย แต่ความรู้สึกและสมองได้สามัคคีกันเพื่อบอกให้เขาแสดงออกมาเช่นนี้

“ใช่ ฉันไม่คิดแบบนั้น” วัสสะตอบหน้าตาย ดวงตาคู่คมเคลื่อนมองเรียวนิ้วของตัวเองราวกับใช้มันในการตั้งสตินับถอยหลัง ดูเหมือนว่าช่วงนี้ความชื้นหล่อเลี้ยงในหน่วยดวงตาของเขาจะได้ใช้งานบ่อยครั้งเสียเหลือเกิน จู่ ๆ เส้นดวงตาก็เครียดตึงและพร้อมจะหลั่งหยดน้ำตาแห่งความกดดันออกมาหากเขามีความอดทนไม่มากพอ

“แปลกนะ ทุกทีนายจะสงสัยเรื่องแบบนี้เป็นคนแรก”

“เพราะฉันคิดว่ามันลงล็อกเกินไปไงล่ะ จู่ ๆ มีคนส่งหลักฐานมากมายมาให้นาย ราวกับมีการวางแผนไว้อย่างดี บางทีนี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเกมแสนสนุกของใครสักคน” วัสสะอธิบายไปตามหลักความจริง แน่นอนว่าเรื่องตรงหน้าเขาไม่ใช่ความบังเอิญ หากแต่เป็นความตั้งใจที่มีนัยแฝง ความตั้งใจที่มีจุดประสงค์ไม่ดีนักของใครสักคน

“แล้วนี่ล่ะ นายคิดว่ามันยังเป็นเรื่องลงล็อกอยู่มั้ย” ปองภพคว้าหน้าจอแท็บเล็ตให้วัสสะดูทันที เขายังคงมั่นใจว่าสุดท้ายแล้ววัสสะจะคิดเหมือนกันกับเขา ไม่ว่าพัสดุพิลึกมันจะถูกส่งมาจากที่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือใจความที่อยู่ภายในต่างหาก

“วงจรปิดบ้านดารัณ” สิ่งที่อยู่ตรงหน้าวัสสะมันเป็นภาพรวมเทปวงจรปิดจากสถานที่คุ้นตา ในรอบสัปดาห์นี้เขาเปิดวงจรปิดที่บ้านของดารัณดูซ้ำไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง เพราะฉะนั้นมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าที่เห็นอยู่นั้นเป็นสถานที่ใด

“ใช่ แล้วนายเห็นอะไรมั้ย”

“มันมีมากกว่าสามจุด”

“ครอบครัวดารัณส่งฮาร์ดดิสก์ลูกใหม่ให้เรา พวกเขาเจอมันที่ห้องใต้บันไดระหว่างเก็บของ”

“เวลาที่ระบุต่อเนื่องกับเทปที่เราได้มาก่อนหน้าพอดี”

“ใช่ ภาพถูกบันทึกครั้งสุดท้ายเมื่อหนึ่งเดือนก่อนก่อนเกิดเหตุ มันมีอยู่แทบทุกมุมในตัวบ้านเว้นห้องนอน นับรวมได้เจ็ดจุด เพราะฉะนั้นที่เราเคยคิดว่ามีวงจรปิดแค่ทางเข้าออกสามจุดมันผิด และคงมีใครบางคนถอนการติดตั้งออกไปหนึ่งเดือนก่อนเกิดเหตุ”

“แล้วถ้าเป็นดารัณเองล่ะ”

“นั่นก็เป็นหนึ่งในโจทย์เพราะมันไม่ปรากฏว่าใครเข้าออกห้องควบคุมเป็นคนสุดท้าย แต่นายดูนี่… วันสุดท้ายที่มีการบันทึกภาพ คนสุดท้ายที่ปรากฏว่าเดินวนอยู่ในตัวบ้านคือกูร”

“กูรเหรอ”

“ใช่ กูร ธารางกูรคนที่ฉันเตือนให้นายระวังนั่นแหละ”

“หึ นี่คงไม่มีมีอะไรเซอร์ไพรส์ฉันมากกว่านี้แล้วใช่มั้ย” วัสสะแสยะยิ้มให้กับโชคชะตา เขาได้แต่หวังว่าปองภพคงไม่ได้มีไม้เด็ดที่จะมาตีสมองและหัวใจของเขาให้บวมช้ำมากไปกว่าเดิม ลำพังตอนนี้ร่างกายของเขามันก็เคลื่อนไหวเชื่องช้ามากพออยู่แล้ว ดูอย่างปลายนิ้วที่พยายามเคาะเป็นจังหวะอยู่ตอนนี้สิ มันทั้งเชื่องช้า ไร้ความหนักแน่น ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตอนนี้สมองของเขาไม่ได้ทำงานเลยด้วยซ้ำไป

“มีสิ แต่นี่เป็นฝีมือทีมพิสูจน์หลักฐานนะ เขาเพิ่งส่งคลิปสั้น ๆ ให้ฉันดู”

“ไหนเอามาดูสิ”

“วงจรปิดช่วงเวลาที่คาดว่าดารัณจะเสียชีวิต นายดูนี่นะวัส” ปองภพสัมผัสจอเพื่อให้ภาพวิดีโอเริ่มเคลื่อนไหว วัสสะเลิกคิ้วมองเมื่อเขาไม่เห็นว่าช่วงคลิปสั้น ๆ ที่ปองภพตัดมามีสิ่งใดผิดปกติ มันเป็นเพียงภาพประตูเข้าออกตัวบ้านทางด้านหลัง บานประตูทึบสีไม้โอ๊คเก่า ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

“ไม่เห็นมีอะไร… ไม่สิ… มันมี”

“เห็นเหมือนฉันแล้วใช่มั้ย ตำแหน่งผ้าเช็ดเท้าหน้าประตูมันเปลี่ยนโดยปัดไปทางซ้ายเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ถ้าไม่มาสังเกตจริง ๆ จะไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ คลิปนี้ถูกตัดต่อ และต้องถูกตัดต่อเปลี่ยนเวลามาตั้งแต่เครื่องต้นทาง เพราะฉันเช็กเวลาหน้าจอกับเวลาจริงที่ได้จากเวลาถ่ายภาพของทีมที่ลงพื้นที่ในวันนั้น เวลามันคลาดเคลื่อนไปราวสิบนาที”

“ทำไมมันวนกลับมาอีก”

“มันไม่ได้วน แต่มันมีสามคลิป ในรอบหกชั่วโมงมีการเข้าออกสามรอบ แน่นอนว่าสามหารไม่ลงตัว เข้ามาและออกไป และยังเหลือการออกไปครั้งสุดท้าย”

“เท่ากับว่ามีคนอยู่กับดารัณก่อนตายมากกว่าหนึ่งคน...”

“ชัดเจนไปสองข้อแล้วนะวัส วงจรปิดถูกตัดต่อและมีคนอยู่กับผู้ตายมากกว่าหนึ่งคน”

“แต่ใครจะเป็นคนตัดต่อได้ ในเมื่อตัดต่อแล้วก็ต้องออกมาอีกอยู่ดี”

“แล้วถ้าเป็นคนที่เข้าไปในบ้านอีกครั้งก่อนที่เราจะได้รับแจ้งว่าพบศพล่ะ”

“นายหมายถึง...”

“ตัวเลือกมีแค่กูรกับแม่บ้าน แล้วนายคิดว่าแม่บ้านที่ไม่มีความรู้จะมีความสามารถในการทำลายหลักฐานได้แนบเนียนขนาดนี้เหรอ”

“กูร...”

“ฉันบอกนายแล้ว ว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา ยิ่งมีชื่อนายอยู่ในกระดาษแผ่นนั้นฉันยิ่งต้องเร่งหาความจริงเรื่องนี้ ฉันยังไม่อยากให้เพื่อนรักของฉันต้องตายหรอกนะวัสสะ”

ปั้ง! ฝ่ามือหนากระชากตบลงกับโต๊ะพร้อมอาการชาดิก บทเพลงบรรเลงถูกตัดจบด้วยเสียงระเบิดตูมใหญ่ ปองภพตกใจอยู่ไม่น้อยที่จู่ ๆ วัสสะก็เปลี่ยนท่าทีไปคล้ายกับคนที่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดือดดาล วัสสะค่อย ๆ กำมือข้างนั้นเข้าหาตัวก่อนจะผุดลุกขึ้นพร้อมกับการเงยหน้าขึ้นลงไม่หยุด ภาพของธารางกูรในวงจรปิดติดอยู่ในสมองเขา หัวใจเขา ตอนนี้ทุกส่วนใต้จิตนึกคิดกำลังทำงานผสานกันจนหนัก

“ขอฉันพักรีแล็กซ์สักห้านาทีแล้วกันนะ”





ใช่ทุกอย่างมันหนักหน่วงเกินควบคุมไปหมด





ปองภพเฝ้ามองเพื่อนของตนเดินดุ่ม ๆ ออกไปที่บริเวณครัวพลางถอนหายใจออกมา บางทีเรื่องนี้อาจจะเกินการคาดเดาของวัสสะไปอยู่มาก แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาสัมผัสได้ว่ามีบางเรื่องกั้นขวางความคิดความอ่านของวัสสะเอาไว้อยู่ ตั้งแต่เรียนนายร้อยตำรวจหรือทำงานด้วยกันมา วัสสะไม่ใช่คนที่จะคิดอะไรตื้น ๆ หรือบางทีตอนนี้วัสสะกำลังคิดไกลเกินกว่าปองภพหลายสเต็ปกันนะ

“นายโอเครึเปล่าวัส” ปองภพเดินตามวัสสะเข้ามาในโซนครัว เขายืนกอดอกพิงกรอบประตูมองเพื่อนตนก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ที่เครื่องชงกาแฟครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกไป

“โอเคดี แค่หลายอย่างมันเกินความคิดมากไปหน่อย”

“มันก็เกินความคิดฉันอยู่เหมือนกันล่ะ”

“กาแฟสักแก้วมั้ย”

“ก็ดีเหมือนกัน”

“ภพ”

“หืม”

“ที่นายไล่เรียงมาทั้งหมด มีใครรู้แล้วบ้าง” วัสสะไม่ได้หันหลังไปสบตาคู่สนทนา เขาปล่อยสายตาลอยไปกับหยดกาแฟที่ค่อย ๆ กลั่นออกมาตรงหน้า ปองภพมองแผ่นหลังเพื่อนของตนเอาไว้อย่างเข้าใจ เมื่อก่อนเวลาที่วัสสะเคลียร์คดีได้เพียงการดีดปลายนิ้ว เขาก็เคยมึนงงไปแบบนี้เช่นกัน เคยมีคนบอกว่าพวกเขาไม่ควรเป็นเพื่อนกัน ระดับมันสมองที่เคยแย่งตำแหน่งสารวัตรที่อายุน้อยที่สุดควรจะเป็นศัตรูกันทางหน้าที่การงานมากกว่า แต่ไม่เลย สำหรับปองภพเพื่อนดี ๆ ที่คอยส่งเสริมกันหายากกว่าตำแหน่งงานไร้ประโยชน์หลายเท่านัก

“เราสองคน ไฟล์วงจรปิดส่วนที่ได้จากครอบครัวดารัณฉันก็ดึงมาเช็กก่อน คงจะมีแค่หลักฐานวงจรปิดช่วงน่าสงสัยเท่านั้นที่ทีมพิสูจน์หลักฐานรู้”

“ถ้างั้นนายไปเตรียมทุกอย่างให้พร้อม… เราจะไปเดินเรื่องเข้าสู่คดีทันที”

“ตอนนี้เลยเหรอ” ปองภพเลิกคิ้วมองวัสสะ และร่างสูงเองก็ได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่เปลี่ยนใจ

“เราปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์มามากพอแล้วล่ะมั้ง ควรทำให้มันถูกต้องสักที” วัสสะหันมาสบตากับปองภพด้วยความหนักแน่นและหักอกหักใจทั้งหมดที่มี เพื่อนของเขาพยักหน้าเข้าใจและเดินกลับไปตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสรรพสำหรับใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี วัสสะหันกลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง อันที่จริงเขาอยากจะทรุดตัวลงไปราวกับคนหมดแรงทว่าภาระหน้าที่พยุงเขาเอาไว้ไม่ให้ล้ม กลิ่นกาแฟที่โชยขึ้นมาไม่อาจลบล้างกลิ่นกายตราตรึงใจของธารางกูร น้ำเสียงสะอึกสะอื้นที่เพิ่งเจอมันตีวนซ้ำในหัวจนร่างสูงได้แต่ออกคำสั่งบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร แม้ว่าความรู้สึกจะล้มครืน แม้ว่าทุกอย่างจะเกินไปจากความคิด แม้ว่าสายใยเส้นหนึ่งจะต้องขาดผึงจนต้องแน่นิ่งลงไป





ไม่เป็นไรวัสสะ

ไม่เป็นไร

ในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว

ไม่เป็นไร





วัสสะนั่งหลับตานิ่งที่โซฟาระหว่างรอปองภพขึ้นไปจัดการแต่งตัว แปลกดีนะที่ไม่กี่วันมานี้เขาเฝ้าแต่นึกถึงใบหน้า น้ำเสียง ร่างกายของใครคนหนึ่งตลอดเวลาที่ทำคดี หรือแม้แต่ความหนาวเย็นและกลิ่นฝนที่อีกฝ่ายชอบมันยังเข้ามาตราตรึงคล้ายบังคับให้ระลึกถึงอยู่เสมอ ความรู้สึกของวัสสะตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับการรอให้ฝนตกในฤดูหนาว เยือกเย็นจับใจราวกับไร้ชีวิต ครั้นอ้อนวอนขอสายฝน แม้จะหนาวยิ่งกว่าเดิมก็ยอมแลกแต่โดยดี ทว่าท้องฟ้าก็ยังแห้งแล้งอยู่เช่นเดิม

“ฉันเสร็จแล้ว ไปกันเถอะวัส”

“โอเค เอาอะไรไปบ้างฉันช่วย”

“นายหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊กฉันไปเลย ออ หยิบฮาร์ดดิสก์ใส่ไปด้วยนะ” วัสสะพยักหน้ารับทั้งที่ยังตั้งสติได้ไม่เท่าที่ควร ปองภพเดินยกแก้วกาแฟเย็นเฉียบขึ้นดื่มรวดเดียวก่อนจะเดินไปทั่วบริเวณนั้นเพื่อจัดแจงทุกอย่างให้ครบถ้วนไร้ข้อผิดพลาด

“ฉันโทรเช็กแล้ว ท่านผู้กำกับยังไม่กลับ เรารีบหน่อยก็ดี”

“โอเค ขอบคุณนะวัส”

“ขอบคุณ ขอบคุณอะไร”

“ขอบคุณที่นายเชื่อใจฉันไง ขอบคุณมาก”

“เราเป็นเพื่อนกัน ยังไงฉันก็ต้องเชื่อนายมากที่สุดอยู่แล้ว” ดวงตาคมกระตุกวูบไหวมองแผ่นหลังเพื่อนสนิทที่แยกกันขึ้นรถคนละคัน วัสสะขับนำไปก่อนทันทีด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด โดยมีปองภพขับตามมาติด ๆ สองมือของร่างสูงที่ควบคุมพวงมาลัยเอาไว้เริ่มเคาะจังหวะแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ ไม่ว่ายังไงความหวาดกลัวของธารางกูรก็ยังเข้ามาหลอกหลอนหัวใจเขาอยู่ไม่เลิก ไอ้หลักฐานเลวร้ายพวกนั้นก็เช่นกัน มันทำร้ายหัวใจของเขาจนแทบจะแหลกลงไป แบบนี้ล่ะมั้งที่เขาเรียกว่าความรู้สึก





ความรู้สึกเจ็บแปลบจนแทบจะร้องไห้จากการตัดสินใจ แบบนี้สินะ… ความรู้สึก





โครม! ปั้ง!

“เฮือก! ” เสียงดังโครมใหญ่ทำให้วัสสะสะดุ้งเฮือกขึ้นด้วยอารามตกใจ ดวงตาคู่คมเพ่งมองเข้าไปที่กระจกมองหลังก่อนที่ภาพตรงนั้นจะทำให้เขาชาวาบไปทั้งตัว ขาขวาสลับมาเหยียบเบรกจนรถคันใหญ่นิ่งสนิทอยู่กลางท้องถนน รถทุกคันโดยรอบส่งเสียงบีบแตรกันดังระงมเมื่ออุบัติเหตุไม่คาดคิดทำให้เกิดประกายไฟพร้อมเสียงระเบิดปังดังตามมา

“ภพ...” วัสสะออกเสียงชื่อของเจ้าของรถคันดังกล่าวอย่างแผ่วเบา เม็ดเหงื่อมากมายไหลซึมออกมาทั่วร่างทั้งที่ภายในรถอากาศเย็นเฉียบ ดวงตาของเขามองภาพนั้นแทบไม่กะพริบราวกับได้สูญเสียสภาวะควบคุมร่างกาย ใช้เวลาไม่นานนักเรียวขายาวก็ลงมาสัมผัสพื้นถนน วัสสะเปิดประตูลงมาพร้อมกับแสงไฟที่กำลังลุกโชนทั่วคันรถ เสียงเอะอะโวยวายรอบตัวดังถี่ขึ้นระหว่างที่เขาก้าวขาหนัก ๆ เดินไปยังที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจุดแยกขึ้นทางต่างระดับ

มือหนาเสยทึ้งเส้นผมที่ศีรษะตัวเองซ้ำ ๆ น้ำตาลูกผู้ชายไหลลงมาอาบแก้มในทันทีเมื่อเห็นชัดเจนว่ามีร่างกายหนึ่งตะเกียกตะกายหาทางรอดอย่างไร้แรงอยู่ใต้กองเพลิงลุกโชน มือไม้ทั้งสองข้างวาดหาหนทางหนีจากความเจ็บปวดทรมานทั้งที่รู้ว่าไม่มี จนในที่สุดร่างกายนั้นก็นิ่งสนิทลงไปพร้อมกับความร้อนระอุที่พร้อมจะทำให้ทุกอย่างมอดไหม้ไม่มีชิ้นดี กลิ่นกองเพลิง กลิ่นเผาไหม้ กลิ่นความตาย กลิ่นกลุ่มฝนคลุ้งลอยรวมกันทั่วชั้นบรรยากาศ





แม้เขม่าเถ้าควันจะล่องลอยไปทั่ว แต่ไม่อาจลดทอนไอดินกลิ่นฝนที่ฉุนขึ้นจมูก

ทว่าคืนนี้ฝนไม่ได้ตก ฝนก็แค่หลอกเรา หลอกเราเหมือนทุกที




Talk

ลงตอนนี้เสร็จขอวิ่งไปหลบมุมสักวันสองวันนะคะ เราไม่เกี่ยววววว

ปล.ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิว และทุกคนเช่นเคยค่ะ

หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 12 กลิ่นชีวิตมอดไหม้ 30/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-10-2018 09:33:33
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 12 กลิ่นชีวิตมอดไหม้ 30/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 01-10-2018 19:55:48
วัส กำลังถูกใครบางคนยืมมือจัดการกับกูร โดยไม่รู้ตัวใช่ไหมเนี่ย ปองภพ มีส่วนด้วยแน่ๆ อันนี้เรามั่นใจ เพราะตอนจะออกจากบ้านไป สน ภพให้วัสถือหลักฐานทุกอย่างไปรถของวัสหมด ทั้งที่ตัวเองถือออกไปเองก็ได้ ของไม่ได้มากมายอะไร

เดาเหตุผลไม่ออกจริงๆว่าภพทำไปทำไม

แต่...เหลือบดูชื่อคนแต่ง คิดอีกมุม วัส อาจอยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุครั้งนี้ เพราะตอนวิเคราะห์หลักฐานกันเสร็จเรียบร้อย วัส ถามภพว่า ได้บอกใครเรื่องนี้แล้วบ้าง มันสื่อได้หลายความหมายเลย โอ้ยยยยยย
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 12 กลิ่นชีวิตมอดไหม้ 30/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 02-10-2018 12:57:35
 :m15:  :m15:
ทำไมภพต้องตายด้วย
สงสารง่าาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 12 กลิ่นชีวิตมอดไหม้ 30/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 03-10-2018 20:50:14
บทที่ 13 ฝนสาดซ่านกระเซ็น

“มีอุบัติเหตุน่าสลดใจเกิดขึ้นเมื่อช่วงยี่สิบนาฬิกาที่ผ่านมานะคะ เกิดเหตุรถฮอนด้าซีวิคพุ่งชนแบริเออร์ระหว่างจุดเบี่ยงขึ้นสะพานข้ามแยกย่านทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ตัวรถพลิกตะแคงจนตัวถังไถลไปกับกับพื้นถนนและเกิดระเบิดขึ้นทันที ผู้ขับรถคันดังกล่าวติดอยู่ภายในและคาดว่าเสียชีวิตเนื่องจากไฟลุกไหม้ ทราบชื่อผู้เสียชีวิตในภายหลังคือร้อยตำรวจเอกปองภพ ภราหัส”

“เป็นอุบัติเหตุที่น่าสยดสยองนะครับ มีพยานหลายปากยืนยันว่าผู้ตายยังคงมีสติในช่วงเวลาที่ไฟกำลังลุกโหมขึ้นมา แต่ต้องยอมรับว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยเกินกว่าทุกคนจะช่วยเหลือได้ทัน ทางสำนักข่าวของเราต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวด้วยครับ”


ข่าวการเสียชีวิตของปองภพคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีปรีดาสักเท่าไหร่ ในทางกลับกันมันเป็นข่าวที่คนฟังทุกคนต่างจุกรื้นขึ้นมาในอก นายตำรวจหนุ่มที่มีเวลาชีวิตอีกยาวไกลกลับต้องมาจบชีวิตลงพร้อมกับร่างกายที่ถูกเผาไหม้เป็นตอตะโก ผลงานทุกสิ่งที่สร้างมาถูกลบล้างด้วยข่าวการจากไปแบบผิดธรรมชาติ ช่างน่าสลดหดหู่ และสะท้อนอกสะท้อนใจเสียเหลือเกิน

“เสียดายที่เราได้คุยกันแค่ไม่กี่ครั้งเองนะครับผู้กอง” ดวงตากลมมนกะพริบถี่เมื่อภาพข่าวรอบดึกในจอสมาร์ทโฟนทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก ช่วงเวลานี้ไม่ว่าจะรับข่าวสารจากสื่อไหน ๆ หรือช่องทางไหน ข่าวการตายของปองภพก็ยึดครองพื้นที่ไปเสียหมด ประวัติน่าชื่นชมของเขาถูกขุดขึ้นมาสรรเสริญเยินยอไม่ต่างอะไรกับคำกล่าวที่ว่า ‘คนดีสี่โมงเย็น’

“ร้อยตำรวจเอกปองภพ ภราหัส นับว่าเป็นนายตำรวจมากความสามารถและมีผลงานเด่นชัดมากมาย...”

แบบนี้แหละที่เรียกกันว่าคนดีสี่โมงเย็น มีใครบ้างล่ะที่ไม่เคยไปงานศพ เวลาสิบหกนาฬิกาก่อนที่ร่างกายผู้วายชนม์จะมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าถ่าน ประวัติความดีมากมายจะถูกขนออกมาบอกกล่าวยาวเหยียดเป็นหางว่าว กว่าจะเห็นความดีกัน กว่าจะเห็นความสำคัญว่าทำประโยชน์อะไรตอนมีชีวิตอยู่บ้าง กว่าจะเห็นทุกสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นตอนที่จิตวิญญาณแหลกสลายจากโลกนี้ไปแล้ว

“ด้านพันตำรวจตรีวัสสะ อิสระบริรักษ์ ผู้ขับรถนำมาก่อนเกิดอุบัติเหตุยังอยู่ในอาการตกใจค่ะ เจ้าตัวปฏิเสธการให้สัมภาษณ์และกล่าวเพียงว่ายังทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น” ใบหน้าเรียบเฉยของธารางกูรพยายามจดจ้องไปยังจอภาพที่มีวัสสะเด่นชัดอยู่ในนั้น เขายกเครื่องโทรศัพท์ขึ้นมาใกล้สายตา ร่างสูงดูมีท่าทีไม่ดีนัก กรอบใบหน้าโศกเศร้าเสียใจระคนไปด้วยความรู้สึกผิดไม่ทราบที่มา คนที่เคยเข้มแข็งกำลังดูอ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องตัวเองหรือปกป้องใครสักคน ยิ่งมองธารางกูรยิ่งอยากสัมผัส ยิ่งมอง เขายิ่งอยากอยู่ใกล้ ๆ วัสสะตรงนั้น ร่างกายสง่างามนั่นไม่เหมาะกับความอ่อนแอเลยสักนิด

Rrrr เสียงโทรศัพท์แทรกเข้ามาจนทำให้หน้าจอที่ธารางกูรกำลังจดจ้องเปลี่ยนไป เรียวมือสวยบีบเกร็งทันทีเมื่อเห็นหมายเลขที่ไม่ได้ถูกเมมโมรี่บนหน้าจอ หมายเลขที่เรียงต่อกันสวยดูก็รู้ว่าเป็นหมายเลขราคาแพงหาตัวจับยาก แต่เพราะเหตุใดกันนะความตื่นเต้นของการกดรับสายมันถึงได้มากมายเช่นนี้ เป็นเพราะมันดูไม่ใช่หมายเลขธรรมดา หรือเป็นเพราะธารางกูรรู้อยู่แก่ใจว่าต้นสายที่โทรเข้ามาเป็นใคร

“...ส...สวัสดีครับ”

“สวัสดี วันนี้เป็นยังไงบ้างกูร”

“ครับ? ” ธารางกูรเกร็งริมฝีปากขณะที่เอ่ยน้ำเสียงสงสัยออกไป คำถามจากต้นสายสนทนาเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง และแน่นอน ร่างโปร่งบางรู้ดีว่าสายโทรศัพท์สายนี้ไม่ได้โทรหาเขาเพราะความห่วงใยใด ๆ

“วันนี้นายเป็นยังไง สบายดีมั้ย ขาดเหลืออะไรรึเปล่า”

“ผมสบายดีครับท่าน” ธารางกูรปิดเปลือกตาลงครู่หนึ่งขณะที่ตอบคำถามออกไป ‘ท่าน’ เป็นคำที่เขาใช้เรียกคนผู้นี้มาเป็นระยะเวลานาน มันเป็นคำแทนตัวบุคคลที่แฝงไปด้วยความเคารพยำเกรงและหวาดกลัว ยิ่งได้ฟังเสียงของชายกลางคน ปลายเท้าปลายมือของคนฟังยิ่งบิดเกร็งผิดสภาพไปตามความรู้สึก ธารางกูรจิกปลายมืออีกข้างลงกับหน้าขาของตน เขาไม่อยากพูดคุย ไม่อยากได้ยินเสียง แต่สุดท้ายก็เลี่ยงมันไปไม่ได้อยู่ดี





ไม่ว่าจะหลีกหนีเท่าไหร่ เขาไม่เคยหนีพ้น ไม่เลย





“หึ ตำรวจคนเก่งตายทั้งคน นายคงสบายดีอยู่แล้ว ฉันก็ถามแปลกเนอะ แบบนี้เรื่องที่นายฆ่าดารัณก็ลอยตัวแล้วสิ”

“ท...ท่านต้องการอะไรครับ”

“ใจเย็นสิกูร อย่าเพิ่งเสียงสั่น ฉันแค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง” ธารางกูรเม้มริมฝีปากลงแน่นเมื่ออีกฝ่ายกำลังใช้น้ำเสียงล้อเลียนเมื่อรู้ทันความประหม่าพรั่นกลัวของเขา

“ผม…”

“เอาล่ะ ถ้ากลัวมากนักนายก็หุบปากไป แล้วรอฟังคำชมเชยจากฉันอย่างเดียว ดีมั้ย”

“...” ธารางกูรไม่ได้เงียบเสียงเพราะคำสั่ง แต่เป็นเพราะหัวใจเขากำลังหวาดกลัวเกินกว่าจะต่อสู้กับสิ่งใด ทุกเสียงที่ได้ยินขณะลมหายใจเข้าออกทำให้ร่างกายของเขาเย็บเฉียบราวกับทุกคำที่ฟังเป็นคำขู่เอาชีวิตที่อันโหดร้าย

“เก่งมาก นายเก่งจริง ๆ ที่ทำให้ปองภพหายไปได้ นั่นนายตำรวจฝีมือดีเลยนะ เสียดายเขากำลังจะเปิดโปงนายได้อยู่แล้วเชียว อีกนิดเดียวเท่านั้น ฉันนึกว่าจะได้ดูเกมที่สนุกกว่านี้เสียอีก”

“...” กลุ่มน้ำตาร้อนไหลมากองรวมที่ขอบตา แม้ธารางกูรจะพยายามเงยหน้าขึ้นมองเพดานเบื้องบน แต่ทว่าหยดน้ำตาก็ไหลออกมาทันทีเมื่อเขาได้ยินประโยคถัดมา น้ำใสอุ่นร้อนเคลื่อนผ่านกรอบใบหน้าเย็นเฉียบจนเจ้าตัวรู้สึกเจ็บแสบร้าวราน บางทีที่เจ็บปวดอยู่ตอนนี้มันอาจจะไม่ได้เป็นเพราะน้ำตา แต่เป็นเพราะที่มาของน้ำตาเหล่านี้ต่างหาก

“จะเป็นยังไงนะ ถ้าสารวัตรวัสสะต้องมาด่วนจากไปอีกคนในสภาพศพที่ไม่ต่างกัน วงการตำรวจจะระส่ำระสายขนาดไหน”

“ท...ท่านครับ ผ...ผมขอร้อง...”

“ฉันไม่รับฟังคำขอร้องอะไรทั้งนั้น เวลามันเดินอยู่เรื่อย ๆ นะกูร ลองคิดดูให้ดี ๆ เดินต่อหรือถอยกลับ”

“ท่านครับ…”

“นายก็รู้ว่าไม่มีอะไรที่ฉันคิดและทำไม่ได้ เขารอนายอยู่ วัสสะกำลังรอให้นายจบเรื่องนี้ลงอย่างสวยงาม”

“...”

“ว่าไงกูร”

“ผม...ผมจะจบเรื่องนี้เอง… อย่ายุ่งกับคุณวัส ผมจะทำเอง” คนพูดกดแผงฟันลงกับริมฝีปากจนเลือดแทบจะซึมเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะกำชัยน่าหวาดผวาแนบอยู่กับหู สายโทรศัพท์ถูกตัดไปในที่สุด เหลือเอาไว้เพียงเสียงหัวใจเต้นแผ่วของธารางกูรและเสียงสายลมหนาวกระทบกับผืนม่านเหมือนเช่นทุกคืน ความหนาวเย็นที่กำลังวนเวียนอยู่รอบตัวเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกที หากทนรอสายฝนตกลงมาชโลมจิตใจไม่ไหว สุดท้ายแล้วธารางกูรคงต้องยอมรับสภาพความทรมานราวกับไร้ซึ่งชีวิต





ฤดูหนาวไม่คิดจะให้โอกาสกันเลยสินะ





ฤดูเหมันต์เย็นจัดนั้นเป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนใหญ่ สภาพอากาศแสนดีที่ไม่ก่อให้เกิดกลิ่นเหงื่อกวนใจ ไปไหนมาไหนคล่องตัวสะดวกสบาย ซ้ำธรรมชาติยังรังสรรค์ความสวยงามให้ฤดูนี้มีแต่ความสุข ทั้งกลุ่มดาว พื้นที่ดอย ภูหินงดงามสะกดทุกสายตา แน่นอนว่าควรส่วนใหญ่มักจะสุขใจกับฤดูกาลที่วนมาเพียงปีละครั้ง ทว่ายังมีคนอีกไม่น้อยที่แม้จะชื่นชอบความหนาวสุดใจ แต่กลับรู้สึกทรมานกับมันมากเกินบรรยาย





วัสสะเองคงจะเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกเช่นนั้น





เวลายาวนานของคืนนี้ล่วงเลยไปจนเกือบตีสี่ วัสสะยกนาฬิกาข้อมือตนเองขึ้นมองเมื่อเจอกับลมระลอกใหญ่จนเสื้อแจ็กเก็ตไม่สามารถป้องกันเอาไว้ได้ ความหนาวในช่วงเช้ามืดคือความทารุณแท้จริงที่เขาไม่อาจหลบหลีกได้พ้น สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คงจะเป็นเพียงการกอดตัวเองเอาไว้ไม่ให้สิ้นสติไปกับความหนาวเย็นที่เจอ

“คุณกูรครับ”

เป็นอีกครั้งที่ร่างสูงเข้ามารบกวนห้องของธารางกูรยามวิกาล หากจะใช้คำว่าครั้งนี้มันเกิดจากการไร้ซึ่งที่พึ่งทางจิตใจก็คงไม่ผิดนัก วัสสะเคาะประตูห้องคุ้นเคยเพียงไม่กี่ครั้งประตูก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏกายของเจ้าของห้อง ธารางกูรผู้ซึ่งมีดวงตาเลื่อนลอยคล้ายไม่ได้นอนมาทั้งคืนเช่นกัน

“คุณวัส...”

“ขอโทษที่มารบกวนในเวลานี้นะครับ แต่ผมไม่รู้จะไปที่ไหนแล้วจริง ๆ ”

“เข้ามาเถอะครับคุณวัส” ธารางกูรหลบเลี่ยงการสบตาวัสสะคล้ายมีบางอย่างซ่อนลึกอยู่ในจิตใจ ร่างบางมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของวัสสะในตอนนี้ก็สะท้อนใจไปเสียหมด เนื้อตัวเสื้อผ้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าดำ รอบดวงตาที่ช้ำแดงมาก็พอจะเดาได้ว่าผ่านการร้องไห้มาไม่มากก็น้อย

“คุณยังไม่ได้นอนเหรอ” วัสสะปรายตามองเตียงที่ยังคงเรียบตึงแล้วเอ่ยคำถามขึ้นทันที เขาทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงนุ่ม ทิ้งไหล่ห่อหลังเหมือนคนที่หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ความสิ้นหวังเซื่องซึมแสดงออกผ่านดวงตาคมคู่นี้ออกมาจนหมด มันเป็นเรื่องอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมันหนักหนาเกินกว่าที่ใครบางคนจะคาดเดา

“ผมนอนไม่หลับน่ะครับ เลยไปนั่งเล่นที่ระเบียง”

“ไม่หนาวเหรอ”

“หนาวครับ แต่ผมชอบ”

“แต่น่าเสียดายนะ ที่ฝนไม่ตก” วัสสะยื่นมือของตนเองออกไปตรงหน้าก่อนที่มือเรียวจะวางทาบทับลงมาให้สัมผัสเย็นยะเยือกตามอุณหภูมิรอบกาย วัสสะออกแรงดึงเพียงนิด ร่างกายของธารางกูรก็เข้ามานั่งพาดทับบนสองขาของเขา เขาใช้แขนข้างหนึ่งประคองแผ่นหลังที่เล็กกว่าเอาไว้ ก่อนจะกดปลายจมูกลงกับไหล่เพื่อสูดกลิ่นกายที่อาจทำให้ความรู้สึกของตนดีขึ้น

“ใช่ครับ...น่าเสียดาย” ธารางกูรทิ้งสองมือไว้กับตัก เขาปล่อยให้วัสสะโอบทั้งร่างเอาไว้แบบนั้นพร้อมอาการเหม่อลอยของตนเองที่ไม่อาจให้อีกฝ่ายรู้

“ตัวคุณเย็นมาก ตากลมหนาวบ่อย ๆ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาอีกนะ”

“ตัวคุณวัสก็เย็นเหมือนกันนี่ครับ” ธารางกูรใช้มือข้างหนึ่งเชยกรอบคางของวัสสะขึ้น เขาใช้นิ้วโป้งไล้รอยเปื้อนคราบเขม่าให้ค่อย ๆ จางไป

“คุณไปทำอะไรมา ทำไมปากเลือดซิบแบบนี้”

“ผมมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยน่ะ” วัสสะมองสายตาเหม่อของธารางกูรสลับกับริมฝีปากแดงช้ำจากด้านใน เขาใช้นิ้วโป้งกดลงซ้ำตรงรอยแดงจนร่างบางยู่หน้า ก่อนที่จะบรรจงจุมพิตลงไปที่ด้านข้างริมฝีปาก สัมผัสเชื่องช้ายืดยาดค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปจนครอบครองรสชาติหอมหวานไว้เพียงผู้เดียว

จูบละเมียดละไมใช้เวลาหยอกล้อกับความรู้สึกอยู่นาน เรียวลิ้นดุดันตวัดทั่วเก็บเกี่ยวทุกสิ่งที่ต้องการสุดใจ ฝ่ามือของวัสสะก็หาได้อยู่นิ่งมั้ย เขาค่อย ๆ เคลื่อนทั่วไปบนผิวกายเนียนเรียบ กดปลายนิ้วลึกลงไปในทุกช่วงสันกระดูกจนเจ้าของร่างหลับตาลงอย่างพริ้มเพรา หากแต่ค่ำคืนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งการปลอบโยน ทุกสิ่งจึงต้องหยุดลงกลางคันพร้อมรสชาติความรู้สึกที่ยังคงติดอยู่ที่ปลายริมฝีปาก

“ดูคุณมีเรื่องให้คิดเยอะนะครับ”

“ไม่ต่างกันหรอกครับคุณวัส ผมเห็นความคิดมากมายจากสายตาของคุณเหมือนกัน”

“คุณเห็นข่าวแล้วใช่มั้ย เรื่องภพ”

“ครับ ผมเห็นแล้ว”

“มันรุนแรงเกินไป เกินไปจริง ๆ ” วัสสะออกแรงโอบร่างธารางกูรให้แนบชิดกับตนยิ่งกว่าเดิม ร่างกายเย็นเฉียบของกันและกันเริ่มเปลี่ยนเป็นไออุ่นน่าค้นหา ธารางกูรกระตุกวูบไปทั้งร่างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาทิ้งศีรษะพิงอีกฝ่ายเพื่อแสดงออกให้รู้ว่ายังอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าตอนนี้วัสสะจะรู้สึกอย่างไร ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานะใด ธารางกูรจะยังอยู่กับวัสสะจนกว่าจะถึงเวลา

“ผมเสียใจด้วยนะครับ”

“ผมกับภพเป็นเพื่อนกันมานาน ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ ถ้าผมทำได้ดีกว่านี้…”

“คุณไม่ต้องคิดถึงมันหรอก ผมเชื่อว่าคุณทำดีที่สุดแล้ว”

“คนแบบเขาไม่ควรต้องมาตายทรมาน ไม่สมควรเลยจริง ๆ ”

“คุณวัส...” สิ้นเสียงของวัสสะดวงตากลมของธารางกูรก็ฉายแววความสั่นไหวขึ้นมา ร่างบางบีบสองมือเข้าหากันเพื่อระบายความรู้สึกภายใน และเมื่อสบตากับวัสสะ เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าดวงตาคู่คมนั้นมีอารมณ์เสียใจมากมายซ่อนอยู่

“ทั้งที่ยืนอยู่ตรงนั้นแต่ผมกลับปกป้องเพื่อนตัวเองไม่ได้ หึ ตลกชะมัด” วัสสะแค่นยิ้มออกมาราวกับคนเสียสติก็ไม่ปาน แม้ลึกสุดใจตอนนี้จะอยากร้องไห้ แต่เขาไม่สามารถร้องออกมาตามใจอยาก วันนี้วัสสะอ่อนแอจนเกินขีดจำกัดที่มีให้กับปองภพเพื่อนสนิท ความรู้สึกของเขามันล้มครืนตั้งแต่วินาทีที่เห็นกองไฟลุกโชนอยู่ตรงหน้า





ยากเหลือเกิน การพยุงความรู้สึก ช่างยากเหลือเกิน





“มันผ่านไปแล้วครับคุณวัส มันผ่านไปแล้ว”

“ถ้าผมตัดสินใจที่จะช่วย ผมอาจจะช่วยเขาได้ แต่ผมไม่ได้ทำ ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะผ่านคืนนี้ไปโดยไม่รู้สึกอะไรเลยได้ยังไง ผมจะทำยังไงดีกูร”

“เลิกโทษตัวเองเถอะครับ ผมรู้ว่าการตัดสินใจทำอะไรสักอย่างมันยากแค่ไหน...” ว่าแล้วธารางกูรก็อยากจะร้องไห้ออกมาเสียเอง คำถามและคำพูดมากมายพากันจุกขึ้นมาที่โคนลิ้น เขารู้ดีว่าการตัดสินใจมันยาก เช่นเดียวกับเรื่องที่อยู่ในหัวและหัวใจของเขาตอนนี้ มันยากมากเสียจนน้ำเสียงและคำพูดของวัสสะอาจจะทำให้ไขว้เขว

“นั่นสินะ ผมคงทำดีที่สุดแล้ว”

“ครับคุณวัส คุณทำดีที่สุดแล้ว… และหลังจากนี้ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” ธารางกูรใช้สองมือโอบล้อมร่างของวัสสะเอาไว้ ลำแขนแกร่งโอบกอดกลับไปด้วยหัวใจที่มีความเชื่อว่าพรุ่งนี้ฟ้าจะงดงามหลังฝนตก ทว่าเรื่องหนึ่งที่น่าเสียใจคือธารางกูรกลับมีความเชื่ออีกอย่างที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

“ขอบคุณนะกูร… ในฐานะของสารวัตรวัสสะ ผมอาจจะเจอคุณเพียงไม่กี่วัน พูดคุยไม่ประโยค สัมผัสร่างกายคุณเพียงไม่กี่ครั้ง หลงใหลคุณอย่างกับถูกป้ายยา แต่ความจริงแล้ว...”

“ขอบคุณเหมือนกันครับสารวัตร ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง” เมื่อเอ่ยขึ้นมาขัดคำพูดของวัสสะเอาไว้กลางคัน สีหน้าของธารางกูรก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความเรียบเฉยนิ่งงัน ร่างบางปัดอ้อมกอดออก ผุดตัวลุกออกจากตักของวัสสะทันที ในวินาทีนั้นร่างสูงได้แต่เบิกตาโพลงมองอาวุธสีดำขลับของตนในมือคนที่กำลังถอยกายให้ห่างออกไป

“ก...กูร”

“มันหมดเวลาแล้วสนุกแล้วครับสารวัตรวัสสะ” เรียวมือของธารางกูรดึงลำกล้องขึ้นสุดในคราวเดียว เสียงกระสุนถูกโหลดขึ้นบรรจุดังก้องอยู่ในหูของเจ้าของปืน วัสสะลุกขึ้นยืนมองตามปลายกระบอกตาไม่กะพริบ เขาเดินเข้าไปใกล้ธารางกูรมากขึ้นเรื่อย ๆ และหยุดยืนในระยะห่างเพียงน้อยนิด หัวใจดวงเดิมเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมานอกอก เมื่อเห็นมือของธารางกูรเคลื่อนตัวพร้อมอาวุธสังหาร ความทรมานในใจจึงรุนแรงราวกับเรื่องตลกร้าย แค่มองอยู่ แค่มองว่าใครเป็นคนถือปืนอยู่ ความรู้สึกมันก็บีบรัดจนแทบจะหายใจไม่ออก

“ท...ทำไม ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่ากูร”

“อย่าพูดอะไรอีกเลยครับ ผมไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก” ธารางกูรข่มใจกดปลายปืนแนบสนิทลงไปบริเวณสันกรามที่เกร็งจนเห็นเส้นเลือด วินาทีนี้ร่างกายของวัสสะชาดิกจนแทบจะขยับไม่ได้ ความเจ็บปวดคล้ายตกลงมาจากยอดตึกบีบคั้นให้น้ำตาไหลผ่านดวงตาคม อาการเสียดแน่นที่หัวใจเลวร้ายเสียจนอยากจะชิงตายตัดหน้า ธารางกูรมีเพียงสายตามุ่งมั่นเย็นชา ระหว่างที่คนที่เคยมีสายตาเช่นนั้นกลับแสดงออกได้เพียงแววตาหม่นเศร้าหวาดกังวลเคล้าน้ำตา





วัสสะกำลังกลัวอย่างสุดหัวใจ

เมื่อไหร่ที่เรียวนิ้วสัมผัสลั่นไก เมื่อนั้นหัวใจของวัสสะคงจะแหลกเหลวรวดเร็วกว่าสิ่งใด





“แล้วผมไม่ใช่ทางเลือกของคุณเหรอกูร”

“เพราะคุณเป็นทางเลือกของผมไงครับคุณวัส”





ถอยกลับหรือเดินหน้าแล้วตายจาก ทางไหนน่าสนุกกว่ากัน

แต่เสียใจด้วยนะ

ตอนนี้เดินทางมาไกลมากพอจนเรื่องไม่น่าสนุกอีกต่อไปแล้ว




Talk

คงไม่ต้องบอกว่าให้รอติดตามตอนต่อไปหรือไม่ ฝากด้วยนะคะ

เคยทวิตไว้ว่าจริง ๆ อยากลงเรื่องนี้ทีเดียวครึ่งเรื่อง ค่อนเรื่อง หรือจบก่อนแล้วค่อยลง นั่นเป็นเพราะกว่าเรื่องจะเข้ารูปเข้ารอยมันต้องใช้จำนวนตอนอยู่พอสมควร ในอีก 1-2 ตอนต่อจากนี้ทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอย ทุกอย่างจะถูกเฉลยจนแทบหมดสิ้น ณ ตอนนี้ที่ 13 นี้ฝากให้กำลังใจตัวละครก่อนนะคะ แล้วหวังว่าจะอยู่เป็นกำลังใจกันไปเรื่อย ๆ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกไลค์ ทุกวิว และทุก ๆ คนที่ติดตามกันอยู่ค่า ขอบคุณมากจริง ๆ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 13 ฝนสาดซ่านกระเซ็น 3/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 03-10-2018 21:48:18
กูรอย่างยิงวัสสสสสสสสสสสส :ling1:  :ling1:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 13 ฝนสาดซ่านกระเซ็น 3/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 05-10-2018 22:13:19
บทที่ 14 หนาวทรมานดั่งใกล้ตาย

No matter how much I love you.

We still can’t reach our final day.

There must be one person who gets hurt and the other who gets their heart broken.

I must live, live without anyone left.*






ถอยกลับหรือเดินหน้าแล้วตายจาก ทางไหนน่าสนุกกว่ากัน







“อย่าพูดอะไรอีกเลยครับ ผมไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก”





ใช่แล้ว เพราะทางเลือกสุดท้ายของธารางกูรหมดไปตั้งแต่วินาทีที่รับสายเบอร์สวยนั่น ทุกอย่างบีบบังคับให้เขาต้องฉวยหยิบปืนของรักของหวงของวัสสะเอามาไว้ในมือ ร่างสูงพูดอยู่เสมอว่าคนอย่างธารางกูรไม่เหมาะสมกับอาวุธร้ายแรงชนิดนี้ แต่ชีวิตของคนเราไม่อาจดำเนินต่อไปได้ด้วยความพึงใจเท่านั้น มันเต็มไปด้วยองค์ประกอบมากมายที่สามารถยัดเยียดทางเลือกสุดท้ายให้โดยไม่เต็มใจ

ร่างกายของธารางกูรเย็นยะเยือกทั้งที่เป็นฝ่ายครอบครองหนึ่งชีวิตเอาไว้ในกำมือ ปลายกระบอกปืนถูกกดลงแนบสนิทบริเวณใต้โครงหน้าที่เกร็งจนเห็นเส้นเลือด ขณะเดียวกันร่างกายของวัสสะก็ชาดิกจนแทบเคลื่อนไหวไม่ได้ ความเจ็บปวดคล้ายตกลงมาจากที่สูงบีบคั้นให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด อาการเสียดแน่นที่หัวใจเลวร้ายเสียจนอยากจะชิงตายตัดหน้า ธารางกูรมีเพียงสายตามุ่งมั่นเย็นชา ระหว่างที่คนเคยมีสายตาเช่นนั้นกลับแสดงออกได้เพียงแววตาหม่นเศร้าหวาดกังวลเคล้าน้ำตา





เมื่อไหร่ที่เรียวนิ้วสัมผัสลั่นไก เมื่อนั้นหัวใจของวัสสะคงจะแหลกเหลวรวดเร็วกว่าสิ่งใด

และตอนนี้วัสสะกำลังกลัวสุดหัวใจ





“แล้วผมไม่ใช่ทางเลือกของคุณเหรอกูร”

“เพราะคุณเป็นทางเลือกของผมไงครับคุณวัส” แม้ว่าธารางกูรอยากจะจบเรื่องนี้ แต่นิ้วที่มีอำนาจสั่งการชี้เป็นชี้ตายกลับไร้แรงจะเหนี่ยวไกปืน เม็ดเหงื่อซึมออกมาตามผิวมือและเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเผลอสบตากับคนตรงหน้า น้ำตาของวัสสะเป็นเหมือนกรดฤทธิ์แรงกร่อนหัวใจของเขา เหตุใดน้ำตาของคนเข้มแข็งจึงทำร้ายคนอ่อนแอจนแทบจะใจอ่อน ธารางกูรไม่อยากทำแบบนี้และไม่อยากจะถอยหลังกลับไปให้เรื่องมันยืดเยื้อเช่นกัน





ทุกสิ่งที่ดำเนินมาไกลควรจบลงเสียที





“ผมขอร้องได้มั้ย… ได้มั้ยคุณ” วัสสะหลุดจากการควบคุมตัวเอง.ปล่อยกลุ่มน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ความรู้สึกที่ประสบอารมณ์อย่างแรงกล้าไม่ได้ใกล้เคียงกับการถูกหักหลัง เพราะว่าเขาคิดว่ามันเลวร้ายมากมายกว่านั้นหลายเท่าตัวนัก ทรมานหัวใจจนเกินจากคำว่าโกรธ เกินกว่าเสียใจ และเกินกว่าคำนิยามความหวาดกลัวใด ๆ

“มันหมดเวลาแล้วครับคุณวัส”

“อย่าทำแบบนี้กับผม ได้โปรด” วัสสะเคลื่อนฝ่ามือที่เริ่มสั่นของตนจับต้องข้อมือของธารางกูรข้างที่ถือปืนเอาไว้ แม้จะหวาดกลัวเท่าไหร่แต่เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เรื่องราวดีขึ้นจากเดิม ข้อมือของธารางกูรเกร็งจนเส้นเอ็นที่แขนเต้นระริก แม้วัสสะอยากจะปัดป่ายปลายกระบอกปืนให้หลุดออกไปจากช่วงสันกราม แต่ปลายนิ้วมือของธารางกูรที่เกือบจะรั้งไกทำให้เขาไม่อาจหาญพอที่จะทำเช่นนั้น

“หยุดร้องไห้แล้วหลับตาลงเถอะ คนเข้มแข็งอย่างคุณไม่ควรจะต้องมาร้องไห้อ้อนวอนผม”

“ทำไมคุณถึงทรยศต่อความรู้สึกของผมแบบนี้… ฮึก… ผมขอร้อง จะให้ผมกราบคุณตรงนี้เลยก็ได้คุณกูร อย่าทำกับผมแบบนี้”

“ผมทำเพื่อคุณได้ดีที่สุดเท่านี้ ผมทำดีที่สุดแล้ว” ธารางกูรฝืนมือออกจากการเกาะกุมของวัสสะ เขาถอยตัวออกมาเล็กน้อยพลางเคลื่อนปลายกระบอกปืนหันเข้าช่วงกลางลำตัว แม้ดวงตากลมมนจะเริ่มสั่นไหวระคนด้วยความเสียใจที่มีอยู่เต็มอก แต่ลึกโดยนัยแล้วนั้นยังคงเต็มไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่กับการตัดสินใจของตัวเอง

“ผมไม่สามารถร้องขออะไรได้เลยเหรอ หัวใจผมมันไม่มีประโยชน์เลยใช่มั้ยคุณกูร ที่ผมทำไปทั้งหมด ที่ผมพยายามทำเพื่อคุณ ที่ผมทำกับปองภพมันไม่มีค่าอะไรเลยเหรอกูร” ร่างสูงทรุดเข่าลงกับพื้นเพราะไม่มีแม้แต่แรงจะยืน ดวงตาคู่คมมองอาวุธที่กำลังจะคร่าหนึ่งชีวิตสลับกับใบหน้าที่เริ่มไม่นิ่งเฉยของธารางกูร ใครจะไปคิดว่านายตำรวจผู้แข็งแกร่งจะมีมุมอ่อนแอร้องไห้จนแทบสะอึกสะอื้น อย่างว่าสินะ มีใครบ้างล่ะที่ไม่เกรงกลัวความตาย





แม้แต่ปองภพยังดิ้นทุรนทุรายหลีกหนีมันทั้งที่แทบไม่มีสติ





“ผมเสียใจเรื่องผู้กองภพ ผมไม่คิดว่าคุณจะตัดสินใจแบบนั้น”

“ผมต้องทำเพื่อรักษาคุณไว้ไงกูร คดีดารัณจะต้องจบ ทุกอย่างจะต้องจบไงกูร”

“คุณวัสอย่าทำให้ผมรู้สึกผิดมากไปกว่านี้เลยครับ ผมขอร้อง” วัสสะละล่ำละลักออกมาเสียจนธารางกูรเกิดความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ ความจริงบางประการจากปากนายตำรวจหนุ่มอาจทำให้คุณมองเขาเปลี่ยนไปอย่างน่าใจหาย แต่เชื่อเถอะว่าทุกอย่างที่วัสสะกระทำผ่านการคิดวิเคราะห์มาอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ตัวยาที่ใส่ไว้ในแก้วกาแฟ การเร่งความเร็วในการเคลื่อนที่ให้คนที่สมองถูกตีด้วยสารกล่อมประสาทสูญเสียการควบคุมร่างกาย หรือแม้แต่หลักฐานทั้งหมดที่เขาหิ้วขึ้นรถของตนมา





มีเพียงแต่กองเพลิงเท่านั้นที่นอกเหนือไปจากความคิด

ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ ไม่คิดเลยว่าเพื่อนรักของเขาจะต้องมาเจ็บปวดในวาระสุดท้ายเช่นนี้





และต่อจากนี้

ไม่มีอีกแล้วข้อสงสัยใด ๆ ที่จะเชื่อมโยงถึงธารางกูร

มีเพียงธารางกูรที่จะทำให้เขาเป็นสุขใจเท่านั้น





ทว่าธารางกูรคนนั้นกำลังทำให้ความสุขในใจของเขาติดลบจนแทบสิ้นใจ





“ผมรักคุณกูร… เพราะว่าผมรักคุณ”

“คุณวัสครับ”

“ฮึก… ผมทำทุกอย่างเพื่อคุณแล้วกูร อย่าทำแบบนี้ได้มั้ย ฮึก… ผมกลัว”

“ค...คุณวัส” น้ำตาหยดแรกไหลลงมาอาบแก้มของธารางกูร ความเจ็บปวดที่ถูกกักเก็บไว้ในตอนแรกทะลุกำแพงออกมาจนได้ หมดแล้วความอดทนและความเข้มแข็งที่มี เพียงแค่เห็นว่าวัสสะกำลังร้องไห้หอบจนตัวโยนทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปในทันที เรียวมือที่จับปืนไว้ยิ่งทวีคูณความสั่นเทาราวกับร่างกายเริ่มคล้อยตามเสียงจากหัวใจ ทุกอย่างมันดูยากไปเสียหมด ยากแม้กระทั่งบังคับสายตาให้ละออกจากร่างสูงที่ทรุดอยู่แทบเท้า

“เรา...ฮึก...เราต้องมีทางออกที่ดีกว่านี้ วางปืนลงก่อนเถอะนะกูร”

“ทำไมคุณไม่คิดว่านี่เป็นทางออกที่เรามีอยู่แล้วล่ะครับ...ฮึก...ความตายมันไม่น่ากลัวหรอก” ได้ยินเช่นนี้หัวใจของวัสสะก็เจ็บจี๊ดราวกับกระสุนปืนทะลุเข้ามากลางอก คำพูดของธารางกูรเสียดแทงทุกความรู้สึกจนอยากจะตะโกนร้องลั่นออกมาดัง ๆ คนไร้หนทางอย่างวัสสะค่อย ๆ ขยับเข่าตัวเองเพื่อเคลื่อนร่างกายเข้าไปใกล้ ก่อนที่เขาจะคว้ากอดช่วงขาของธารางกูรเอาไว้อย่างไม่อาย แม้สัมผัสทุกอย่างจะเย็นเฉียบ แต่แรงสั่นสะท้านจากร่างกายนั้นช่วยยืนยันว่าคนทั้งคู่ยังมีชีวิตและลมหายใจอยู่

“ผมไม่เคยกลัวมันเลย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ”

“อดทนอีกนิดนะครับคุณวัส มันกำลังจะจบแล้ว” ลำกล้องปืนหยุดนิ่งยังตำแหน่งที่ธารางกูรคิดว่าเหมาะสมที่สุด เรียวนิ้วชี้สั่นชาเคลื่อนเข้าใกล้ไกมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เพราะความหวาดกลัวที่มีไม่แพ้วัสสะ ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ธารางกูรค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงเพื่อรอรับฟังเสียงดังปังใหญ่พร้อมชีวิตที่จะดับสูญไปตลอดกาล





คนเราจะไม่เคยเห็นความสำคัญกับชีวิต จนกว่าชีวิตนั้นจะสำคัญกับหัวใจเรา





“ผมจะอดทนได้ยังไง! สิบกว่าปีที่ผมรักคุณ คุณคิดได้ยังไงกูร…. ฮึก… คิดได้ยังไงว่าผมจะทนไหวถ้าต้องเสียคุณไป ฮือออ อย่านะกูร ผมขอร้อง อย่าทิ้งผมไป ฮือออ” เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของวัสสะกังวานไปทั่วโสตประสาทของคนฟัง ธารางกูรปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอาบแก้มระหว่างที่ร่างกายแทบจะหมดแรง กระบอกปืนที่เคยหันเข้าสู้ร่างตนเองตกพล่อยตามมือลงข้างตัว เขาก้มมองเจ้าของกอดแล้วจึงยกมืออุดปากตนเพื่อไม่ให้หลุดเสียงสะอื้นตามออกมา สองแขนของวัสสะกอดรัดธารางกูรเอาไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ ทำไมชีวิตคนสองคนมันถึงเลวร้ายขนาดนี้ ไม่ว่าทางเลือกไหน ไม่ว่าเส้นทางใด ทำไมมันถึงทรมานไปเสียหมด





แม้แต่กอดจากความรัก ยังรัดแน่นจึงเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ





“ฮึก...ผมก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้ ผมพยายามรักษาสัญญาแล้วครับคุณวัส ไม่ว่ายังไงผมจะอยู่กับคุณ… อยู่กับคุณจนวินาทีสุดท้าย”

“แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ไงกูร ฮึก ไม่ใช่แบบนี้!! ” วัสสะตวาดลั่นทั้งที่เสียงสั่น เขาออกแรงกอดธารางกูรไว้ในแน่นกว่าเดิม ใครเล่าจะรู้ว่าหัวใจมันแหลกสลายได้มากแค่ไหนในวินาทีที่เห็นว่าธารางกูรตัดสินใจฆ่าตัวตาย ปลายกระบอกปืนหันเข้าช่วงกรามของคนถือ หรือแม้แต่ตอนที่มันหันเข้าหาร่างกายพร้อมจะปลิดชีวิต ใจเขามันจะขาด หวิวหวาดจนแทบจะหยุดเต้น ร้องไห้เพราะกลัวจนไม่เหลือความเป็นตัวตน หัวใจของวัสสะ ความรักเดียวของวัสสะ เขาจะทนได้ยังไงถ้าต้องเสียความรักซึ่งเป็นหัวใจเดียวของเขาไป

“ผมไม่มีทางเลือก ฮึก” วัสสะใช้โอกาสที่อีกฝ่ายกำลังเสียหลักทางความรู้สึก หมายจะคว้าปืนในมือเอาไว้ให้อยู่ในระยะปลอดภัย แต่ธารางกูรกลับฝืนแรงมือ แกะตัวออกจากพันธนาการและถอยตัวออกไปให้ห่างจากเดิม ราวกับอ้อมกอดใด ๆ ก็ไม่สามารถรั้งการตัดสินใจครั้งนี้เอาไว้ได้

“กูร… คุณไม่รักผมแล้วเหรอ ไม่รักผมเหรอกูร”

“เพราะผมรักคุณไงครับคุณวัส เพราะผมรักคุณที่สุด ผมถึงยอมให้ท่านทำอะไรคุณไม่ได้ แค่แลกกับชีวิตของตัวเอง ฮึก ผมทำได้ ผมทำเพื่อคุณได้”

“มันโทรมาขู่คุณอีกแล้วใช่มั้ย ผมเคยบอกแล้วไงว่าไม่ต้องรับสาย!! ”

“คุณวัส”

“คุณก็รู้ว่ามันไม่ทางทำอะไรผม มันทำอะไรผมไม่ได้ จะไปฟังคำขู่จากมันทำไม!! ” วัสสะตวาดลั่นผุดตัวขึ้นยืนพร้อมสีหน้าโมโหเดือดดาล สองมือกำแน่นจนปลายเล็บจิกผ่านชั้นผิวหนังเป็นรอยลึก อารมณ์ของคนเคยหวาดกลัวเปลี่ยนไปชั่วพริบตา แม้ลึก ๆ จะรู้ว่าธารางกูรทำแบบนี้เพราะอะไร แต่ก็ไม่คิดว่าตัวกระตุ้นจะเริ่มออกฤทธิ์เดชอีกครั้ง

“ฮึก ฮือออ”

“ถ้าจะกลัวมัน เชื่อมันมากกว่าผม คุณก็เลิกรักผมเถอะกูร ฮึก รักตัวเองบ้าง ไม่ต้องพูดว่ารักผมแล้ว! เข้าใจมั้ย! ” วัสสะขึ้นเสียงใส่ธารางกูรไม่หยุด ต่างฝ่ายต่างร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ สองขาของทั้งคู่อ่อนแรงจะยืนไม่แพ้กัน ความรู้สึกที่มีต่อกันมันไม่ต่างอะไรกับฤดูหนาว ไม่ต่างอะไรกับอากาศอุณหภูมิต่ำตอนนี้ อากาศที่ใคร ๆ ก็ว่าเย็นสบาย ชื่นใจ สบายจิต แต่สำหรับวัสสะและธารางกูรมันเป็นความทรมานที่ไม่อาจเลี่ยงได้





รัก แต่ไม่อาจโอบกอดกันเอาไว้

หนาวเหน็บ เจ็บปวดทรมานจะขาดใจ





“คุณวัส… ผมขอโทษ แต่ผมเหนื่อย ผมทรมานที่ต้องห่วงคุณ ผมกลัวกับทุกคำขู่ของเขา ฮึก ผมทนไม่ได้ ผมทนไม่ได้ ฮือออ” ธารางกูรถอยหลังไปชิดผนังร้องไห้หนักจนตัวโยกตัวโยน ศีรษะหนักอึ้งคลอนกระแทกกำแพงห้องเบื้องหลังดังปักซ้ำ ๆ โดยที่เจ้าของร่างไม่รู้สึกเจ็บ ทั้งยังกำด้ามปืนเอาไว้แน่นในฝ่ามือชื้นเปียกเหงื่อ การตัดสินใจสละชีวิตตนไม่ใช่การคิดเพียงชั่วครู่ชั่วคราว ธารางกูรคิดมันมามากพอ มากพอ ๆ กับความรักใคร่ห่วงหาที่มีอยู่เต็มอก วัสสะเปรียบเหมือนชีวิต เปรียบเหมือนหัวใจทั้งดวง ไม่ว่าทางไหนที่ทำให้วัสสะอยู่ต่อไปอย่างเป็นสุข เขาจะทำ





แม้ว่าจะต้องแลกกับชีวิตตัวเอง เขาจะทำ





“แล้วผมล่ะ ผมเจ็บแค่ไหนที่ต้องคอยระแวงว่าคุณจะทิ้งผมไป คุณกูร ต่อให้คุณตายจากผมไป ผมก็จะตามคุณไปอยู่ดี… ได้โปรดเถอะอย่าทำให้ผมทรมานมากไปกว่านี้เลย” น้ำเสียงที่อ่อนลงยิ่งทำให้ธารางกูรร้องไห้ออกมา วัสสะยื่นมือของตนออกมาตรงหน้าคล้ายขอบางสิ่งจากร่างบาง และคงไม่ใช่สิ่งของอื่นใดนอกจากปืนพกสีดำขลับที่พร้อมจะลั่นกระสุนพร้อมเขม่าควันออกมาทุกเมื่อ

“คุณห้ามทำแบบนั้น คุณต้องอยู่ ต้องใช้ชีวิตในแบบที่ควรจะเป็น อนาคตคุณจะไปได้อีกไกล ฮึก ไปได้อีกไกลหากไม่มีผม”

“ผมอยู่ไม่ได้หรอกกูร ไม่มีคุณแล้วผมจะอยู่ยังไง ขอปืนให้ผมนะครับ เอามันคืนมาให้ผม แล้วเรามาสู้ไปพร้อม ๆ กัน เราต้องสู้กับเขาได้ เราต้องทำได้ เราต้องออกไปจากนรกขุมนี้ให้ได้ เราทำได้ ได้ยินมั้ยกูร”

“ค... คุณก็รู้ว่ามันไม่มีทาง”

“ตราบใดที่เรายังรักกัน มันมีหนทางเสมอ แต่ตอนนี้ ถ้าคุณคิดจะลั่นไกปืนนั่น ก็เท่ากับคุณคร่าชีวิตผมด้วย ถ้าคุณพร้อม… ไม่ว่าที่ไหน ผมจะไปกับคุณ”

“ฮึก ไม่เอา ผมไม่เอาแบบนั้น” เพราะอ่อนแรงจนมากไปธารางกูรจึงเริ่มไร้แรงล่วงลงไปกับพื้น วัสสะพุ่งเข้ากอดอีกฝ่ายเอาไว้ทันที ก่อนที่สองร่างจะกอดกันแน่นขณะที่ทรุดตัวลงไปกับพื้นกระเบื้องเย็น อาวุธในมือหล่นลงข้างตัวอย่างไร้ค่า วัสสะใช้ปลายเท้าเขี่ยมันออกให้พ้นระยะ สองร่างโอบกอดกันไว้แนบแน่นเพราะต่างฝ่ายต่างกลัวการสูญเสีย เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นสะท้อนความรู้สึกนึกคิดที่คั่งค้างอยู่เต็มอก

“ผมรักคุณนะกูร ฮึก อย่าทำแบบนี้ อย่าทำอีก”

“ผมขอโทษ ผมขอโทษ” อ้อมกอดอบอุ่นท่ามกลางความเย็นเลวร้ายยังพอมีข้อดีอยู่บ้าง ธารางกูรกดใบหน้าซุกลงกับไหล่กว้าง ขณะที่วัสสะใช้มือสั่นเทาลูบที่ช่วงหลังหวังจะปลอบประโลมทั้งที่กำลังร้องไห้ใจเสียไม่แพ้กัน คงไม่มีใครเข้าใจหัวใจสองดวงนี้ เท่าตัวของพวกเขาเอง





ใครเล่าจะรู้ถึงตัวตนที่ถูกปิดบัง

ใครเล่าจะเข้าใจความรักที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ

ใครเล่าจะรู้

ใครเล่าจะเข้าใจ










Talk 

สวัสดีคืนวันศุกร์ค่ะ เชื่อว่าจบตอนนี้หลายคนคงจะงงอยู่พอสมควร เอาเป็นว่าตอนหน้าจะมีการเฉลยทีละจุดว่าในเรื่องที่ผ่านมาว่ามีการใส่เงื่อนงำอะไรเอาไว้บ้าง จริงรึเปล่าที่ตัวละครสองตัวมีความสัมพันธ์กันมาก่อน หลายคนน่าจะจับสังเกตเห็น ตรงนี้ใครสงสัยลองกลับไปอ่านตอนเก่า ๆ และจับจุดดูค่ะ จากคอมเมนต์ที่ผ่าน ๆ มามีบางคนจับจุดได้แล้ว อิอิ

พูดคุยกันได้ที่ #กลิ่นฝนฤดูหนาว นะคร้าบบบ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิวค่ะ และทุกคนค่ะ

ขอบคุณคร้าาาาาา

*อยู่โดยไม่เหลือใคร TranEng deungdutjai
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 14 หนาวทรมานดั่งใกล้ตาย 5/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 05-10-2018 23:35:57
อ้ากกกกกกกกกกส์ !!!
วัส วัสฆ่าภพเหรอ นี่ภพไง ภพเพื่อนวัสนะ  :ling1:

คู่รักแสนโหด รักกันมาเป็นสิบปีละเหรอ
เดาทางไม่ได้เลยเรา  :katai5:

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลุ้นให้จัดการกับไอ้ท่านให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 14 หนาวทรมานดั่งใกล้ตาย 5/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 06-10-2018 00:13:38
เรื่องภายในครอบครัวสินะ พ่อแฟน กับแฟนของลูกชาย ผู้ชาย2คนรักกัน คนหนึ่งเป็นคนธรรมดาสามัญชน อีกคนเป็นทายาท(นักการเมือง)(ข้าราชการยศสูงๆๆ) "ท่าน" สั่งลูกชายให้ทำตามใจตัวเองไม่ได้ เลยหันไปเล่นงานแฟนลูกชายแทน  หลักฐานที่ภพได้มา ก็ไม่ต้องสืบหาที่มาที่ไปแล้วล่ะ...เดาไว้ว่าแบบนี้นะ รอเฉลยว่าจะเดาถูกสักกี่ข้อ

หักมุมสุดๆก็ วัส ฆ่าภพนี่แหละ สงสัยตั้งแต่ วัสถามภพว่าได้บอกใครเรื่องเบาะแสเกี่ยวกับคดีที่ชี้ว่า กูร เป็นคนฆ่าดารัณไปบ้างแล้ว นี่คิดแค่ว่า วัส คงหาทางทำลายหลักฐาน ไม่คิดว่าจะถึงกับฆ่าทิ้งเลย นี่ก็สงสัยต่อว่า วัส ฆ่ามาแล้วกี่คน กูร ฆ่ามาแล้วกี่คน

ในเรื่องความสัมพันธ์ของวัสกับกูร ก็สงสัยอยู่ว่าเจอกันไม่กี่ครั้ง ทำไมวัสดูเป็นห่วงกูรมากขนาดนั้น และกูรรู้เบอร์โทรวัสได้ไง.....แล้วมันจะลงเอยยังไงนะเรื่องนี้ กลัวใจคนเขียนมากกกกก
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 14 หนาวทรมานดั่งใกล้ตาย 5/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 06-10-2018 14:12:23
พลิกล็อคกันน่าดู ถล่มทลาย ฮือออออ

หลังอ่านตอนนี่เสร้จเรานี่แบบ  :a5:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 14 หนาวทรมานดั่งใกล้ตาย 5/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 06-10-2018 19:58:41
รอจร้า
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 14 หนาวทรมานดั่งใกล้ตาย 5/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 07-10-2018 21:10:50
บทที่ 15 กลิ่นเรื่องราวทรมานใจ


“สัญญานะกูรว่าจะไม่แอบทิ้งผมไป สัญญานะว่าเราจะอยู่ด้วยกันจนถึงวินาทีสุดท้าย”

“ผมสัญญา”





สำหรับคนสองคนที่ใช้หัวใจผูกกันไว้คำสัญญาย่อมไม่ใช่เพียงลมปาก นั่นคงเป็นที่มาของฉากความรักรั้งชีวิตน่าสะเทือนใจ เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะกำหนดวินาทีสุดท้ายของตนเอง ร่างบางจึงจำเป็นต้องรักษาสัญญาด้วยวิธีที่ดีที่สุด ไม่ได้อยากใจร้ายใจดำตายให้คนที่รักเห็น เพียงแต่อยากจะใช้ชีวิตในวินาทีสุดท้ายกับหัวใจดวงเดียวดังคำมั่นที่เคยพูดไว้เท่านั้น

“คุณวัส”

“ครับ ผมอยู่นี่” วัสสะกระชับอ้อมกอดที่มีให้คนบนเตียง เสียงอู้อี้จากอาการละเมอเงียบไปเมื่อถูกร่างสูงกดช่วงใบหน้าให้จมลงไปกับอก ค่ำคืนที่แสนเหนื่อยล้าผ่านไปจนพระอาทิตย์กำลังจะโผล่ขึ้นพ้นขอบฟ้า แต่ทว่ายังมีหนึ่งชีวิตลืมตาตื่นอยู่เพราะไม่สามารถสะกดจิตตนให้หลับลง วัสสะเฝ้ามองกลุ่มผมของคนในอกผ่านแสงสว่างเพียงนิดภายในห้อง เกือบไปแล้ว เขาเกือบจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปอย่างไม่มีวันได้คืน เขาเกือบจะเสียหนึ่งเดียวของหัวใจพร้อมได้มาซึ่งความรู้สึกเลวร้ายชั่วชีวิต





นานแค่ไหนแล้วที่มีกัน นานแค่ไหนแล้วที่ธารางกูรและวัสสะมีกันและกันอยู่เสมอ









“นั่นใครคะท่าน”

“ชื่อชยางกูร ลูกชายประวิทย์ลูกน้องเก่าฉัน ฝากดูด้วย คงต้องอยู่กับเราไปสักพัก”

“โธ่ลูก มาหาน้าเร็ว”

ภาพเด็กวัยไม่เกินห้าขวบเดินดุ่ม ๆ เข้าหาผู้หญิงที่วัสสะเรียกว่าแม่ยังคงติดตาติดสมองอยู่เสมอ ในค่ำคืนนี้เองก็เช่นกัน เขาอดจะคิดถึงภาพจำภาพนั้นไม่ได้ เด็กชายชยางกูรเนื้อตัวมอมแมมผอมแห้งน่าสงสาร ใบหน้าเด็กน้อยหม่นเศร้าแต่ไม่ยักร้องไห้ทั้งที่เสียพ่อและแม่บังเกิดเกล้าไปในคราวเดียวกัน ตอนนั้นเด็กชายวัสสะผู้โตกว่าได้แต่ดูแลน้องชายคนใหม่ตามคำสั่งของแม่ ทุกวัน ทุกคืน จนกระทั่งเป็นความเคยชินในที่สุด

“คุณวัสครับ ฝนตกแล้ว คุณวัสดูสิ”

“กูร เดี๋ยวเป็นหวัดแล้วท่านว่าเอา” ความสดใสในวัยเด็กเป็นเรื่องที่น่ามอง ชยางกูรวัยเจ็ดขวบจับมือวัสสะวิ่งวนรับเม็ดฝนที่ตกกระหน่ำลงมาผิดฤดู เด็กตัวเล็กถอดเสื้อกันหนาวไหมพรมชุ่มน้ำออก ก่อนจะกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข โดยข้าง ๆ ตัวเขามีวัสสะคอยห้ามปรามเพราะกลัวจะโดนดุ แรกเริ่มเดิมทีคนโตกว่าคอยแต่จะห้ามปราม จนกระทั่งหลายปีผ่านไปวัสสะก็ได้รู้ว่าความเย็นชื้นจากฝนในฤดูหนาวเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เด็กคนนี้มีรอยยิ้มต่อไป

“ท่านครับ ท่านจะพากูรไปไหน”

“กูรจะไปอยู่เชียงใหม่”

“ทำไมกูรต้องไป”

“ไม่มีแม่แกแล้ว แกมีปัญหาเลี้ยงมันเองรึไง! ” เสียงตวาดลั่นจากคนมีอายุทำให้วัสสะในวัยสิบห้าปีโกรธจนหน้าชา จู่ ๆ คนที่เคยเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่ยังเล็กก็ถูกพรากไปให้หลังการตายของแม่บังเกิดเกล้าไม่กี่วัน ภายในใจของเด็กวัยรุ่นเพิ่งโตแทบจะเหลวไม่มีชิ้นดี แต่ทว่าไม่นานนักชยางกูรของเขาก็กลับมาพร้อมชื่อเสียงเรียงนามใหม่ และสายตาคู่ใหม่ที่วัสสะไม่อาจเข้าถึงได้เช่นเดิม แม้กูรที่สดใสหายไปจากชีวิต แต่สำหรับวัสสะ ‘กูร’ ของเขาเป็นคนเดิมเสมอ

“ทำไมกูรต้องเปลี่ยนชื่อ”

“ท่านให้ผมเปลี่ยน”

“กูรมองตาวัสสิ จะก้มหน้าหนีทำไม”

“ค...คุณวัส ...อย่ามายุ่งกับผม” อากัปกิริยาหวาดกลัวและคราบน้ำตาหนักหน่วงบนใบหน้าของ ‘ธารางกูร’ เป็นอีกสิ่งที่วัสสะจำได้ไม่เคยลืม แม้คำพูดจะเอ่ยไล่ให้อีกฝ่ายถอยห่างออกไป แต่ธารางกูรวัยสิบสามปีก็โผเข้ากอดวัสสะอย่างโหยหาความอบอุ่น เขารู้ว่าธารางกูรของเขากำลังอ่อนแอ เขารู้ว่าธารางกูรคงไปเจอเรื่องใดมาจนฝังใจ แต่ที่เขาไม่เคยรู้เลย คือเรื่องฝังใจเรื่องนั้นมันเป็นจุดเริ่มต้นของความทรมานตลอดชีวิตที่เหลือ





“จำไว้ชื่อแกคือธารางกูร ไม่มีตัวตน ไม่มีความจริง ชีวิตแกขึ้นอยู่กับการขีดเส้นตัดสินใจของฉัน ฉันสั่งให้ทำอะไรต้องทำ แม้แต่ฆ่าคน จะกี่ศพ จะใครหน้าใคร แกก็ต้องทำ”





ไม่ใช่เพียงความทรมานของธารางกูร แต่เป็นความทรมานของตัววัสสะเองด้วยเช่นกัน





“ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้แกยุ่งกับมัน! แกจะตามมันไปทำไม! ”

“แล้วท่านสั่งให้กูรไปทำเรื่องแบบนั้นทำไม ท่านสั่งให้กูรไปฆ่าคน! ท่านรู้มั้ยว่ากูรกลัวแค่ไหน มันเกี่ยวกับตอนที่ท่านส่งกูรไปเชียงใหม่ด้วยใช่มั้ย! ตอนนั้นก็สั่งให้กูรไปฆ่าคนใช่มั้ย! ”

“ไอ้เด็กบัดซบ! นั่นมันเป็นเรื่องที่ฉันสั่งไอ้กูร แกไม่เกี่ยว หุบปากแล้วไสหัวของแกไปซะ”

“มันไม่ใช่เรื่องของกูรคนเดียวแล้วล่ะ เพราะว่าผมเพิ่งจะช่วยกูรมากับมือ ต่อไปนี้ถ้าท่านคิดจะสั่งกูรไปทำอะไรนั่นเท่ากับท่านสั่งผมด้วย ถ้าได้ยินชัดแล้ว… ขอบคุณนะครับท่าน ผมจะทำหน้าที่สนองคำสั่งท่านเป็นอย่างดี”





นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาเดินตามเส้นทางที่ใครอีกคนขีดเส้น

นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไม่เคยเกรงกลัวความตาย

นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาไม่เคยคิดละอายต่อบาปกรรม

นานแค่ไหนแล้วที่การปลิดชีวิตคนง่ายดายราวกับหยิบจับผักปลา





ใช่ ข้อสงสัยของปองภพถูกต้องเกือบทั้งหมด





ธารางกูร ประสิทธิจามร คือเด็กชยางกูรคนนั้น ตัวตนของเด็กชายชยางกูรอันตรธานหายไปจากโลกใบนี้โดยไม่มีใครรับรู้ ที่ยังเหลืออยู่ก็แค่ชีวิตที่มีเพียงร่างกายและจิตใจบอบช้ำ ธารางกูรจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร เรียนจบอะไร ประวัติเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับท่านเป็นผู้ขีดเขียนกำหนดให้แตกต่างกันไปตามต้องการ และแน่นอนทุกครั้งที่ตัวตนของธารางกูรถูกเปลี่ยนแปลง เมื่อนั้นย่อมมีการตาย





ยี่สิบเอ็ดรายชื่อผู้วายชนม์ ปองภพเข้าใจไม่ผิด

แต่ที่ปองภพไม่เคยรู้ คือนอกจากสองรายชื่อแรกนั้น วัสสะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายทั้งหมด





22.ร้อยตำรวจเอกปองภพ ภราหัส 2561









วัสสะหลับตาลงและเปิดเปลือกตาขึ้นอยู่หลายครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะคิดถึงเรื่องเก่า ๆ มากจนเกินพอดี หัวใจที่วูบโหวงคล้ายกลับไปในอดีตถูกเรียกตัวกลับมาพร้อมการกระชับกอดแน่นจากคนข้าง ๆ ต่อให้ความหนาวถูกใจมากแต่ไหน สุดท้ายแล้วคนเราก็ยังต้องการเพียงความอบอุ่นจากคนที่รัก คนที่คอยตระกองกอดตลอดมา จนถึงวินาทีนี้วัสสะยังคิดภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าหากธารางกูรตายจากเขาไป ความเสียใจที่หลงเหลืออยู่จะร้ายแรงขนาดไหน





“จบเรื่องดารัณแล้ว ผมอยากจะขอให้ท่านปล่อยผมกับกูรไปตามทางของเรา เราสองคนจะไม่ทำงานให้ท่านอีก”

“ฟังนะวัสสะ ธารางกูร ขึ้นหลังเสือจะได้ลงก็ต่อเมื่อตาย ยิ่งที่ผ่านมาพวกแกทำงานได้ดี นั่นหมายความว่าฉันไม่มีทางปล่อยแกสองคนไป ไม่มีทาง”

“ผมขอร้องล่ะครับท่าน ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับอิสระของเราสองคน”

“เคยได้ยินเรื่องกฎแห่งการคัดเลือกมั้ย… ผู้ที่อ่อนแอและไร้ประโยชน์ย่อมถูกกำจัด ทางเดียวที่ฉันจะปล่อยแกไป คือวินาทีที่แกฆ่ากูรซะ หรือว่าจะฆ่าตัวตายหนีไปเลยดีล่ะกูร ว่าไง… ยังอยากเป็นอิสระกันอยู่รึเปล่า”





สิ้นคำสั่งนาย ณ วินาทีนั้น อาการหนักอึ้งในสมองก็ทำให้ทั้งคู่ต้องบีบมือกันเอาไว้แน่น ความหวังที่จะเป็นอิสระกับวาระกรรมที่ผูกพันสูญสิ้นไปพร้อมกับประโยคประกาศิต ท่านผู้คุ้มกะลาหัวมาตลอดชีวิตมีอำนาจมากพอที่จะควบคุมทุกอย่าง เหตุผลง่าย ๆ อาจเป็นเพราะกลัวความลับก้อนใหญ่ห่างไกลออกไปจากตัว หรือไม่ก็อาจจะแค่อยากสร้างเรื่องสนุกในชีวิต โดยมีหัวใจของคนสองคนเป็นหมากสำคัญ ทางเลือกเดียวที่จะเป็นอิสระคือธารางกูรผู้ไร้ซึ่งความเป็นจริงในชีวิตตั้งแต่ต้นต้องจบชีวิตลง ไม่มีหนทาง ไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่มีแม้แต่ชีวิตที่เป็นของตัวเอง





“ถ้าไม่ยอมถอย ไม่ยอมเลิกคิดจะหนีไปจากฉัน ฉันจะกรุณามอบอิสระให้เองแล้วกัน”





“อือ คุณวัส ผมเจ็บ”

“ขอโทษทีครับ” วัสสะกระซิบข้างหูคนที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะแรงบีบรัดจากลำแขนแกร่ง เมื่อครู่ประโยคข่มขู่เอาแต่ใจของนายท่านผู้ไม่สนใครทำให้เขาเผลอกอดธารางกูรจนสองร่างแทบจะหลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียว คนที่เพิ่งตื่นลืมตามองดวงตาคมที่วาววับสะท้อนแสงอ่อน ๆ ในห้อง ร่างบางกอดวัสสะกลับไปในระดับความแนบแน่นที่ไม่ต่างกัน ลึกสุดใจแล้วต่างฝ่ายต่างกลัวการสูญเสีย และหวงแหนชีวิตในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“คุณวัสนอนไม่หลับเหรอ”

“ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”

“ผมขอโทษนะครับ” ธารางกูรซุกใบหน้าลงกับแผงอกแน่น กลิ่นกายคุ้นเคยทำให้รู้สึกอุ่นใจและรู้สึกผิดขึ้นมาพร้อมกัน ใช่ว่าอยากจะทำให้วัสสะเสียใจ เขาเพียงอยากให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ อยากให้คนที่เขารักมีชีวิตดี ๆ ต่อไป นานมาแล้วที่เขาดึงชีวิตวัสสะลงมาสู่เหว นานมาแล้วที่วัสสะเข้ามาพยุงชีวิตของคนไม่สำคัญอย่างเขา เพราะแบบนี้ต่อให้แลกทั้งชีวิต ธารางกูรก็ยอมรับได้

“คำขอโทษไม่จำเป็นหรอก รับปากกับผมก็พอว่าจะไม่คิดทำแบบวันนี้อีก”

“ครับ ผมจะไม่ทำอีก”

“จำไว้ เราจะอยู่ด้วยกัน เราจะไม่ทิ้งกัน และผมรักคุณที่สุด จำไว้กูร” วัสสะบรรจงจูบลงไปกลางกลุ่มผม ตอนนี้แสงสว่างยามเช้าเริ่มสะท้อนเข้าม่านตา ทว่าวัสสะนั้นกลับปิดเปลือกตาลงราวกับอยากจะหลับใหลไม่ยอมตื่น เขาไม่อยากพบความเป็นจริงหลายประการที่รออยู่ ไม่อยากอยู่กับฉากหน้าแสนจอมปลอม ไม่อยากทำเป็นไม่รู้จักไม่รู้สึกทั้งที่รับรู้อยู่เต็มอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านไปแต่ละวันมันไม่ได้ง่ายดาย โดยเฉพาะการปล่อยให้เรื่องราวผิดแปลกเป็นไปตามวิถีทางที่ถูกปรุงแต่ง และแน่นอน...





ไม่มีสิ่งปรุงแต่งใดผ่านไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย





“ผมกับคุณรัณไม่เคยมีอะไรเกินเลยมากกว่าการเป็นเจ้านายกับลูกน้อง”

“อืม ครับ”

“คุณไม่เชื่อผม คุณคิดว่าผมโกหก”

“อะไรกัน ผมยังไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย”

“สายตาคุณมันแสดงออกแบบนั้นไงครับคุณสารวัตร”

“อย่าพูดเหมือนคุณรู้จักผมดีเลยครับคุณธารางกูร พูดเป็นเล่น แค่มองตาผม คุณจะรู้ได้ยังไงว่าผมคิดอะไรอยู่”

ใช่… ธารางกูรไม่อาจสรุปเรื่องราวจากสายตาของคนที่เพิ่งจะเจอกันอย่างวัสสะได้ แต่ทุกอย่างเป็นเพียงเกมที่ธารางกูรจำต้องรับบทให้สมบทบาท ธารางกูรนั่นแหละที่รู้จักวัสสะดีกว่าใคร และวัสสะเองก็รู้จักตัวธารางกูรมากกว่าที่เจ้าตัวรู้จักตัวเองเสียอีก





“ผมชื่อวัสสะ เรียกวัสเฉย ๆ ก็ได้”

“ผมสามารถเรียกตำรวจด้วยชื่อคำเดียวสั้น ๆ ได้ด้วยเหรอครับ หึหึ”

ใช่… นี่ไม่ใช่การแนะนำตัว แต่เป็นการผูกมิตรกับพยานบุคคลคนสำคัญในที่สาธารณะโดยไม่ให้ผิดสังเกตเท่านั้น ที่ใดเล่าจะไว้ใจได้ยากเท่าสถานีตำรวจ ที่ใดเล่าจะเหมาะสมในการสร้างความสัมพันธ์ห่างเหินได้เท่าที่นี่





“นี่คุณไม่ได้คิดจะสอบสวนผมใช่มั้ย”

“เปล่านะครับ ผมแค่ถามในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไง ไม่ได้คิดจะสอบสวนอะไรทั้งนั้น คุณพูดอย่างกับว่าเรื่องฟ้าฝนจะใช้ในคดีได้อย่างนั้นแหละ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ ผมโดนสอบมาทั้งวันจนแทบจะพูดคุยเรื่องอื่นไม่ได้อยู่แล้วนี่นา”

“ขอแค่คุณยืนหยัดให้ไหว ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีครับคุณกูร”

ใช่… ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี วัสสะจะหาทุกความเป็นไปได้ และจะทำทุกอย่างเพื่อให้พีรพลเป็นบุคคลที่น่าสงสัยที่สุดในกรณีที่คดีฆ่าตัวตายเหลือบ่ากว่าแรงจะรับไหว





“ไม่เห็นนายเคยเล่าให้ฟังว่าไปส่งนายกูรนั่นมา”

“ไม่ได้ตั้งใจน่ะ วันนั้นมันดึก แล้วเขาก็ไม่มีรถกลับ เลยถือโอกาสสังเกตแล้วก็สอบถามเรื่องที่เป็นประโยชน์ด้วย”

ใช่… วัสสะพูดความจริงกับปองภพ เพียงแต่ไม่ได้บอกทั้งหมดว่าเรื่องเป็นประโยชน์ที่ว่าหมายถึงทางหนีทีไล่และแผนการปัดเปลี่ยนความจริงที่เป็นไปได้





“คิดจะทำอะไรกันแน่”

ใช่… คำถามกวนใจมากมายวิ่งเข้าหาวัสสะไม่หยุด และเขาพยายามที่จะนิ่งเฉยกับความร้อนรนในใจ สิ่งที่ดึงความสนใจไม่ใช่กล่องปืนสีดำซึ่งมีเขาเป็นเจ้าของ แต่เป็นเพราะกล่องปืนนั่นเปิดเผยอขึ้นมาต่างหาก ความวิตกพุ่งสูงขึ้นขณะที่ความไม่ไว้ใจเริ่มก่อตัว วัสสะเริ่มกังวลว่าธารางกูรอาจจะคิดทำอะไรบ้า ๆ ขึ้นมา





“คุณกับปืนไม่คู่ควรต่อกันหรอก”

“คุณวัส คุณโกรธผมเหรอครับ”

“เปล่า ผมไม่รู้ว่าจะโกรธคุณเรื่องอะไร”

ใช่… ความโกรธเคืองที่รู้สึกเจ็บปวดจุกอก ความโกรธเคืองที่ทำให้สับสนในจิตใจจนใบหน้าชาดิก วัสสะไม่อาจเรียกความรู้สึกเหล่านี้ว่าความโกรธเคือง มันเป็นแค่ความหวาดกลัวและกังวลใจอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าธารางกูรไม่คู่ควรกับปืน ร่างบางไม่เหมาะสมที่จะสัมผัสมัน และไม่เหมาะสมแม้แต่จะคิดทำร้ายตัวเอง





“กูรจะส่งรูปตัวเองมาให้ตำรวจเพื่ออะไรกัน ไม่มีประโยชน์”

“แล้วใครจะมีรูปกูรเยอะขนาดนี้”

“อาจจะเป็นใครสักคนที่อยู่กับกูรมาตลอดล่ะมั้ง”

ใช่… เสียงเคาะหนักแน่นลงกับพื้นโต๊ะพร้องไปกับเสียงของหัวใจของวัสสะ ใบหน้าเรียบเฉยปกติมองไปยังรูปภาพหลากหลายวัยของธารางกูรด้วยสมองหนัก ๆ สิ่งที่เขากำลังเจอไม่ใช่เรื่องท้าทาย ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะนึกสนุก ปองภพเดาได้ถูก และวัสสะก็รู้ดีว่าใครจงใจส่งรูปภาพพวกนี้มาทดแทนคำขู่ เขาเริ่มเดาเกมของผู้มีพระคุณออกลาง ๆ ทั้งชายสวมฮู้ด ทั้งรายชื่อคนตายที่อาจทำลายชีวิตของธารางกูรต่อจากนี้ ไม่ว่าจะฝืนตนเองอย่างไร วัสสะก็ไม่อาจหยุดคิดได้ ไม่เลย





“เปิดประตูให้ผมที คุณยังโอเคใช่มั้ย”

“ผ...ผม...โอเค”

“ถ้างั้นคุณเปิดประตูให้ผมนะครับ ผมมาหาตามที่พูดเอาไว้แล้วนะ”

ใช่… คงแปลกดีถ้าไม่มีคนสงสัยว่าธารางกูรได้เบอร์วัสสะมาได้ยัง และคงแปลกกว่านั้นถ้าวัสสะขึ้นไปบนตัวตึกในยามวิกาลได้โดยไม่ต้องรอจังหวะสวมรอยใคร ไม่ต้องอ้างความเป็นตำรวจเช่นครั้งที่มากับปองภพ คำตอบเดียวที่มีก็คือพวกเขาจำเบอร์โทรศัพท์ของกันและกันได้ขึ้นใจ ที่สำคัญคีย์การ์ดอีกใบนั้นอยู่ในมือนายตำรวจตำแหน่งสารวัตรมาตั้งแต่ต้น





‘ได้เรื่องแล้วล่ะวัส’

‘ระวังกูรไว้ให้ดีวัส ถ้าห่างได้ให้ห่าง ใครที่อยู่ใกล้หมอนี่ไม่ได้ตายดีสักคน’

ใช่… เหตุที่ดวงตาคมกระตุกวูบไหวเมื่อละสายตาจากจอโทรศัพท์ คงเป็นเพราะความคิดเลวร้ายผุดขึ้นในหัว หากปองภพเข้าใกล้ความจริง หากมือมืดบอกความจริงกับปองภพได้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าท่านผู้นั้นตั้งใจแว้งกัดพวกเขาโดยไม่คิดปล่อยไป วัสสะสารวัตรหนุ่มอนาคตไกลกำลังเจอกับปัญหาที่เป็นจุดอ่อน ปัญหาที่มาจากการปกป้องใครสักคน





“ผมจะไปทำงานแล้ว คุณนอนไปเถอะ”

“ครับ แล้ว...”

“ผมจะส่งทีมมาเฝ้าที่นี่จากทางเข้าออกตัวตึกทั้งหมด ไม่ต้องเป็นห่วง”

ใช่… แต่ไม่เป็นห่วงคงไม่ได้ วัสสะเกรงว่าท่านจะเล่นตุกติก เขาจึงอาศัยหน้าที่การงานจอมปลอมในการสั่งคนมาสังเกตการณ์ที่นี่ อย่างน้อยการกันเอาไว้ก็ย่อมดีกว่าการตามแก้ทีหลัง ไอ้เรื่องที่เขาทำลายกลไกของปืนก็เช่นกัน เขาไม่ได้ห่วงอันตรายที่จะเกิดกับตัวเองหรือใคร หากแต่มีเพียงความห่วงใยต่อธารางกูรเท่านั้น ออ เกือบลืม ไม่มีใครเอะใจบ้างเลยหรือว่าเหตุใดวัสสะจึงหยิบเสื้อได้พอดีตัวและไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยปากขอเจ้าของห้อง ช่างเถอะ มันคงเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีค่าให้สนใจอะไร





‘ระวังตัวไว้ให้ดี’

ใช่… นั่นไม่ใช่ประโยคแจ้งเตือนอันตรายจากธารางกูร หากแต่เป็นสัญญาณส่งไปยังปองภพว่าควรหยุดไฟการทำงานอันแรงกล้าของตนก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินไป ผู้กองคนนี้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเป็นหมากเบี้ยตัวเล็ก ๆ ในเกมอันตราย ยิ่งตัวเขารุกคืบเข้าไปมากเท่าไหร่ เกมสนุกสนานก็ยิ่งเข้มข้น ยิ่งตัวเขามั่นอกมั่นใจ ชีวิตของเขาก็ยิ่งไม่เหลือความมั่นคงใดเลย





“ขอบคุณนะวัส”

“ขอบคุณ ขอบคุณอะไร”

“ขอบคุณที่นายเชื่อใจฉันไง ขอบคุณมาก”

“เราเป็นเพื่อนกัน ยังไงฉันก็ต้องเชื่อนายมากที่สุดอยู่แล้ว”

ใช่… วัสสะไม่ใช่คนไร้หัวใจ ความรู้สึกของวูบไหวในวินาทีที่ตัดสินใจ ปองภพเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา เป็นเพื่อนที่ไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน เป็นเพื่อนที่รู้ใจแค่เพียงสบตา แต่ทว่า… ไม่ว่ายังไงธารางกูรก็ยังสำคัญที่สุด ไอ้หลักฐานเลวร้ายพวกนั้นมันทำร้ายหัวใจของเขาจนแทบจะแหลกลงไป แบบนี้ล่ะมั้งที่เขาเรียกว่าความรู้สึก ความรู้สึกที่อยากจะรักษาธารางกูรเอาไว้ให้ปลอดภัยใจจะขาด ไม่ว่าจะแลกกับสิ่งใด เขาก็ยอม





“ในฐานะของสารวัตรวัสสะ ผมอาจจะเจอคุยเพียงไม่กี่วัน พูดคุยไม่ประโยค สัมผัสร่างกายคุณเพียงไม่กี่ครั้ง หลงใหลคุณราวกับถูกป้ายยา แต่ความจริงแล้ว...”

ใช่… ในความจริงแล้ว เขาคือวัสสะ ผู้ชายธรรมดาที่หลงรักธารางกูรมาครึ่งชีวิต สัมผัสร่างกายที่รักมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และความหลงใหลทั้งหมดที่มีมันมากกว่าการโดนป้ายยาเสียอีก









“กูร”

“ครับ” วัสสะพูดขึ้นทั้งที่ยังหลับตาพร้อมไออุ่นรอบวงแขน ธารางกูรตอบรับออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ก่อนที่ร่างสูงจะเอ่ยคำถามที่ถูกวนลูปซ้ำ ๆ ขึ้นมาเพื่อเตือนหัวใจรักของตนอีกครั้ง

“ทำไมคุณถึงชอบให้ฝนตกฤดูหนาว”

“คุณถามผมมาทั้งชีวิตแล้วนะครับ”

“ผมอยากได้คำตอบเดิม ๆ ในทุก ๆ ครั้งที่นึกขึ้นมาได้… คุณก็รู้นี่นา”

“เพราะว่าผมอยากให้ฝนคืนความสดใสให้เราอีกครั้ง… จะหนาวกว่านี้ก็ได้ แต่ขอแค่ชีวิตของเรา ขอชีวิตของเรากลับคืนมา”





หากวัสสะมีความหมายเปรียบดั่งฤดูฝน ธารางกูรก็คงเป็นดั่งเช่นหยาดฝนที่ตกลงมาให้ชุ่มช่ำใจ แม้ฤดูหนาวนี้ฝนจะยังไม่ทิ้งเม็ดลงมาให้ทั้งคู่พบเจอต่อหน้าจนพอใจ แต่ทว่าใต้อ้อมกอด ไออุ่น และความรักสุดใจ ไม่ได้ต่างอะไรกับสายฝนสดใสที่กำลังชโลมจิตใจซึ่งกันและกันเลย





ใช่… ฝนก็แค่หลอกเราเหมือนทุกที



Talk

สวัสดีวันอาทิตย์ค่าาาา ไม่รู้ว่ามีใครรออ่านอยู่บ้างมั้ย สำหรับพาร์ทอดีตหรือเหตุการณ์ก่อนหน้าบางส่วนจะมีการขยายความในบทต่อ ๆ ไป สำหรับบทนี้คงจะทำให้หายสงสัยกันได้ไม่มากก็น้อย (เอ๊ะ หรืองงกว่าเก่า) เอาเป็นว่าในแทบทุกบทที่ผ่านมาแตงใส่จุดชวนสงสัยไว้ค่อนข้างเยอะ จริง ๆ มีจุดเฉลยตั้งแต่บทนำด้วยซ้ำ จะชัดสุดเลยก็คือเรื่องอาการเป็นห่วงเป็นใยของวัสที่มีมากทั้งที่เจอกันเพียงไม่กี่วัน ถ้าใครสงสัยลองกลับไปอ่านตอนเก่า ๆ ดูนะคะ มีมากกว่าที่ยกมาเฉลยในตอนนี้แน่นอน

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิวนะคะ กว่าจะเดินไปถึงตอนจบไม่รู้จะเหลือคนอ่านอีกเท่าไหร่ 555555 โจทย์ของเรื่องนี้ค่อนข้างต่างจากเรื่องดราม่าที่เคยเขียนมา อยากรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วมุมที่เราเสนอไป คนอ่านจะรู้สึกกับกูรและวัสแบบไหน ฝากติดตามด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 15 กลิ่นเรื่องราวทรมานใจ 7/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 07-10-2018 23:10:08
ท่าน ใช่พ่อของวัสไหม อันนี้ยังไม่ชัดเนอะ แต่ท่านเลี้ยงเด็กได้อินดี้มาก เลี้ยงให้เป็นนักฆ่าเป็นมือสังหารเฮ้ออออออ

 ทางเดียวที่2คนจะเป็นอิสระจากท่าน คือสิ้นสุดลมหายใจ อยู่ที่ว่าลมหายใจของใคร ของทั้งคู่ หรือ ของท่าน


เรื่องเสื้อนี่คิดไม่ถึงจริงๆ พอๆกับเรื่องที่ทั้งคู่รักกันมาตั้งแต่แรกนั่นแหละค่ะ เพราะตอนนั้นโฟกัสแค่ ใครฆ่าดารัณ ตอนนี้สำหรับเราไม่พีคเท่าตอนที่เฉลยว่าใครฆ่าปองภพ

มาลุ้นกันว่าจะมีหมายเลข 23,24 หรือ จบแค่ 23 เอ๊ะ หรือ "ท่าน" จะไม่ได้มีแค่ "ท่าน เดียว"
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 15 กลิ่นเรื่องราวทรมานใจ 7/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 08-10-2018 01:56:42
อ่านละสงสารปองภพมากๆ
ไม่น่ามาตายเพราะเพื่อนเลย  :ling3:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 15 กลิ่นเรื่องราวทรมานใจ 7/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 08-10-2018 03:13:42
มารอดูจุดจบของวัสสะกับธารางกูรค่ะ

หลังจากเรื่องปองภพ เราก็แบบเอาล่ะะะ สองคนนี้จะทำอะไรเป็นอะไรต่อ

เขียนดีมากเลยค่ะ ดีจนเราไม่รู้สึกว่าเราจะเสียใจถ้าสองคนนี้ตาย ฮืออออ การตายของปองภพยังติดในสมองเราเลย ทรมานด้วย อินมากจนอยากให้วัสสะถูกเปิดโปง แต่อีกใจก็แค้นท่าน รวมตัวกันฆ่าท่านได้ไหม จะได้จบๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 15 กลิ่นเรื่องราวทรมานใจ 7/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 09-10-2018 20:39:03
บทที่ 16 ฝนจางดั่งไร้หวัง

บรรยากาศรอบศาลาเก้าภายในวัดอารามหลวงชื่อดังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เจ้าพนักงานงานในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบจับกลุ่มพูดคุยด้วยท่าทีที่แตกต่าง บ้างมีอารมณ์นิ่งเฉย บ้างเผยรอยยิ้มราวกับไม่รู้สึกรู้สาสิ่งใด บ้างเศร้าสลดแต่พยายามไม่ร้องไห้ออกมาให้เสียเกียรติชุดที่สวมอยู่ แน่นอนว่าคนเหล่านี้ตกอยู่ในสภาวะนิ่งงันได้ไม่เท่าญาติคนตายและเพื่อนสนิท

วัสสะมาถึงบริเวณงานด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจทว่าอ่านความรู้สึกลึกภายในได้ยาก ร่างสูงเดินถือพวงหรีดดอกลิลลี่สีขาวสะอาดเดินผ่านกลุ่มลมหนาวโดยไม่สะทกสะท้าน เส้นผมดำสนิทไม่เป็นทรงถูกลมแรงพัดผ่านจนลู่ไปกับช่วงศีรษะ คงพูดได้ว่าวันนี้วัสสะโทรมกว่าทุกวัน และมันคงไม่แปลกอะไรสำหรับคนที่สูญเสียเพื่อนสนิทไปต่อหน้าต่อตา

“สวัสดีครับท่านผู้การ” ร่างสูงก้มโค้งทักทายให้กับทุกคนที่รู้จักตามมารยาท ระหว่างที่สายตาเอาแต่มองโลงเย็นสีขาวสลับเงิน ความงามสุดท้ายในชีวิตถูกประดับด้วยดอกไม้ใบพืชสีเขียวชอุ่ม และหลอดไฟกะพริบนับร้อยดวง ทุกอย่างสามารถเตือนใจคนที่ยังอยู่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะดอกไม้สดเหล่านั้น งดงามราวกับมีชีวิต แต่ไม่เลย ชีวิตของมันถูกพรากจากไปนานแล้ว

“วันนี้เป็นไงบ้างสารวัตร ข่าวว่าเมื่อวานคุณแย่เลย ผมเสียใจด้วยนะ ผมรู้ว่าพวกคุณสนิทกันมาก”

“ก็พอทำใจได้บ้างครับ แต่ยังไม่ดีเท่าไหร่” วัสสะเม้มปากรับคำแสดงความเสียใจจากผู้บังคับบัญชา ก่อนที่เขาจะเข้าไปทักทายพี่สาวคนเดียวของปองภพและยื่นพวงหรีดอันน่าสะเทือนใจให้เธอ บางทีดอกไม้ก็ไม่ใช่ตัวแทนของความสวยงามเสมอไป

‘ด้วยรักและอาลัย เพื่อนรัก …วัสสะ’

กลิ่นควันกำยานฉุนขึ้นจมูกระหว่างที่ร่างสูงพนมมือถือธูปดอกเดียวไว้ในนั้น ในสมองของเขาโล่งโปร่งไร้คำพูดใด ไม่มีแม้แต่บทสวดใดที่จะส่งผ่านให้ผู้ตาย ดวงตาคมเข้มจ้องมองไปยังรูปหน้าศพพร้อมหยดน้ำตาเอ่อล้น วัสสะก้มลงกราบไม่แบมือพร้อมลมหายใจติดขัดในอก ภายในกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่มีชีวิตหนึ่งเคยเป็นคู่หูของเขา และชีวิตนั้นต้องดับสูญไปทั้งที่ไม่จำเป็น มันช่างน่าเศร้าจริง ๆ

“สวัสดีครับสารวัตร”

“คุณพอล” วัสสะหันไปมองคนที่นั่งพนมถือธูปอยู่ข้างตัว ดาราดังนั่งอยู่ข้างเขาโดยไม่มีการพรางตัวใด ๆ เมื่อถอยออกมาจากตรงนั้นวัสสะจึงกลายเป็นเพื่อนคุยของดาราคนดังกล่าวไปโดยปริยาย

“ผมเสียใจด้วยนะครับ เรื่องผู้กอง”

“ครับ ผมไม่คิดว่าคุณจะมา” วัสสะพูดออกไปตามที่ใจคิด เขาทั้งคู่นั่งอยู่บนเก้าอี้แถวหลังสุด อันที่จริงวัสสะควรจะไปต้อนรับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เบื้องหน้า แต่ความเบื่อหน่ายตอนนี้ทำให้เขารู้สึกว่าการคุยกับพีรพลมันก็ไม่ได้แย่อะไร





ถ้าตัดประเด็นสนทนาแสนจี้ใจออกไป





“ผู้กองช่วยผมไว้หลายเรื่อง ทั้งช่วยปิดบัง ทั้งช่วยเตือนสติ เหลือแค่เรื่องเดียว เรื่องคดีดารัณที่ผู้กองรับปากเอาไว้”

“...” วัสสะนิ่งเงียบทอดสายตาไปเบื้องหน้า แน่นอนว่าในสมองเขา ปองภพไม่อาจทำเรื่องที่รับปากพีรพลเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ยินจากพีรพลตอนนี้มันจึงเป็นเพียงเสียงลมแผ่วเบาที่พัดผ่านไปเท่านั้น

“แต่ช่างเถอะ เพราะยังไงผมก็เชื่อมือสารวัตร เหมือนที่ผู้กองปองภพเชื่อ”

“อะไรนะครับ”

“ผู้กองบอกให้ผมเชื่อมือคุณ เขาบอกว่าคุณเป็นสารวัตรสืบสวนที่เก่งที่สุด สุดท้ายแล้วความยุติธรรมจะกลับสู่ดารัณได้เพราะคุณ”

“บางทีผมอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่ภพบอกคุณก็ได้นะครับ” วัสสะแค่นยิ้มออกมาทั้งที่ภายในลำคอแห้งผาก ปองภพเพื่อนเขามักจะพูดจาอะไรแบบนี้อยู่เสมอ พอได้นึกถึง คนยังอยู่ก็จุกอกจนอยากจะร้องไห้โฮเสียงดัง แต่เพราะหลายเรื่องในใจจึงทำให้วัสสะไม่อาจแสดงความเสียใจหรือความรู้สึกผิดกับเรื่องใดออกมา

“ที่เหลือผมฝากด้วยนะครับสารวัตร ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริง ๆ แค่หลับตาก็นึกถึงรัณ มันทรมานไปหมด ผมคงมีความสุขไม่ได้ ถ้าหากเรื่องนี้ไม่ชัดเจนเสียที ผม...”

“พอเถอะครับคุณพอล ผมเข้าใจคุณดี”

“เข้าใจ? เข้าใจผมว่ายังไงครับ”

“ผมรู้ว่าการสูญเสียหัวใจไปมันคงทรมานมาก ลำพังแค่ผมจินตนาการยังทนแทบไม่ไหว ...ผมคิดว่าผมเข้าใจว่าตอนนี้คุณรู้สึกแบบไหน เจ็บปวดยังไง” วัสสะมองลึกลงไปในดวงตาที่เศร้าไม่เลิกของพีรพล ไม่ว่าจะผ่านมากี่วันคนคนนี้ยังคงตกอยู่ในอาการทุกข์โศก ตอนนี้วัสสะรู้ซึ้งดีแล้ว เขารู้แล้วว่าบางเรื่องกว่าจะเข้าใจก็สายเกินไป อย่างเรื่องที่วัสสะหรือธารางกูรไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจมาก่อนก็เช่นกัน





ความรู้สึกของดารัณและพีรพล

ความรู้สึกที่ถูกโอนย้ายมาราวกับบาปกรรม





9 ธันวาคม 2561

วันที่คาดว่าดารัณเสียชีวิต





เซ็กส์ คำสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่แสดงถึงความสัมพันธ์วาบหวิวของคนสองคน โดยส่วนใหญ่แล้วมักเต็มไปด้วยความสุข ความใคร่ ความรัก ความเสน่หา รสชาติสัมผัสชิดใกล้มักดึงดูดให้สองร่างเข้าหากันไม่ห่าง แต่สำหรับบางคนเซ็กส์กลับเป็นเพียงผลประโยชน์แลกเปลี่ยนที่ไม่มีวันคุ้มค่า





ไม่มีผลประโยชน์ใดคุ้มค่ากับสิ่งที่ดารัณแลกไป





“แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ กลัวจะไม่ได้ตายนักรึไง” เรียวมือที่มีร่องริ้วรอยตามวัยตบเบา ๆ เข้าที่แก้มของดารัณ ดวงตาคู่สวยไม่คิดแม้แต่จะสบมองคนที่เพิ่งจะเสร็จกิจกามทิ้งไว้ในช่องทางหลังของเขา ไร้รู้สึก ตอนนี้ดารัณคงจะเป็นเช่นท่อนไม้ดังคำที่เขาว่า ไม่ว่าจะถูกปลุกเร้าเท่าไหร่ คงไม่มีความรู้สึกส่วนไหนตอบสนองขึ้นมาได้ นอกเสียจากหัวใจที่เต้นแผ่วเบาคล้ายจะตายเต็มที





นั่นสินะ ที่ยังหายใจอยู่ตอนนี้ ก็เพียงแค่รอความตายเท่านั้น





“...”

“ดารัณ ฉันถามไม่ได้ยินรึไง! ” ชายกลางคนฟาดหน้ามือลงไปที่เตียงจนเกิดเสียง ตอนนี้ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายขาวสะอาดให้เป็นรอย ความสวยงามของเรือนร่างดาราหนุ่มสมควรแก่การเก็บรักษาไว้จวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต

“ได้ยินครับ”

“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะรัณ… รักมันขนาดย่อมแลกชีวิตได้จริง ๆ เหรอ หืม… ที่รักของฉัน” ดารัณเอียงใบหน้าหลบมือและดวงตาหื่นกระหายที่รบกวนรอบกรอบหน้า เขาดึงผืนผ้าห่มขึ้นมาปกคลุมเรือนร่างเปลือยเปล่าของตนก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงคล้ายไม่อยากรับรู้สิ่งใดอีก

“ครับท่าน… ผมรักพอล ผมรักเขา”

“เยี่ยม! ฉันชอบคนที่ภักดีต่อความรักแบบนี้จัง”

“...”

“แต่ฉันเกลียดคนที่ทรยศฉัน! ” มือขึ้นเส้นเลือดคว้าหมอนขนเป็ดกดลงไปบนใบหน้าดารัณจนช่วงศีรษะจมกับผืนผ้า ทว่าแม้ไร้อากาศแต่ดารัณกลับไม่แสดงอาการดิ้นรนร้องขอชีวิต เขารู้ดีว่ามันเปล่าประโยชน์ เขารู้ดีว่าเขาไม่อาจต้านทานกำหนดการจากความตายที่มารออยู่ตรงหน้า

“อึก”

“จำเสียงของฉันใส่สมองของแกไว้ ทุก ๆ วินาทีที่ใกล้จะตายจงจำภาพของไอ้พอลนั่นให้ขึ้นใจ ภาพที่แกพามันเข้ามาในบ้านที่ฉันซื้อให้ พาขึ้นมาบนเตียงที่ฉันไม่เคยได้แตะ ภาพที่แกใช้ชีวิตมีความสุขกับมันด้วยเงินที่ฉันจ่าย ภาพที่แกนอนครางใต้ร่างมันโดยลืมไปว่าทรยศคนที่ชุบเลี้ยงมา มันจะไม่มีวันนี้เลยรัณถ้านายคิดถึงฉันสักนิด” หมอนใบเดิมถูกยกออกและปาเข้าใบหน้าของดารัณทันที ร่างกายดารัณกระตุกเฮือกพร้อมหายใจกอบโกยอากาศเข้าปอดตามกลไกร่างกาย ชายหัวเสียลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อผ้าของตนขึ้นมาใส่ระหว่างที่ยังพ่นความอัดอั้นตันใจออกมาไม่หยุด

“...”

“ความไว้ใจที่มีไม่มีประโยชน์ นายบอกให้ฉันไม่ต้องมาที่บ้านหลังนี้เพราะกลัวเป็นข่าวฉันก็ไม่มา ขนาดส่งกูรมาคอยดูแลยังทรยศกันได้ต่อหน้าต่อตา แค่ซื่อตรงกับผัวที่ทำให้ได้เป็นพระเอกแค่นี้ทำไม่ได้เลยรึไง หรือว่าการที่พบกันเดือนละครั้งสองครั้งมันตอบสนองความอยากของนายไม่พอ เสียดายความน่ารักที่นายเคยมีจริง ๆ ฉันเสียดายนายจริง ๆ ดารัณ” กระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายถูกติดบนสาบเสื้อระหว่างที่ดารัณยังคงเหม่อลอยท่ามกลางความเงียบ ร่างสูงใหญ่ที่มีเส้นผมสีขาวแซมบนศีรษะชะโงกดูใบหน้าไร้รู้สึกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ดารัณอยากตอบที่สุดออกมา

“อยากจะขอร้องอะไรฉันรึเปล่า บางทีฉันอาจจะให้โอกาสนายก็ได้นะ”

“ครับ ผมอยากจะขอคุณข้อนึง”

“ว่าไงล่ะ อยากจะร้องขอชีวิตบ้างมั้ยดารัณที่รัก”

“ขอแค่คุณรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมก็พอ อย่ายุ่งกับพอล”

“หึ ฉันมันคนพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว” ชายกลางคนกัดฟันส่งเสียงลอดไรฟันออกมา ก่อนจะแบกความโมโหเดินออกจากห้องพร้อมความสะใจที่มีมากกว่า ใบหน้าที่มีริ้วรอยยกยิ้มขึ้นอย่างพออกพอใจ ชะตาชีวิตของคนเราไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับเขา กลับกันมันเป็นผลตอบแทนการกระทำของเพื่อนมนุษย์ด้วยวิธีที่เลวร้ายที่สุดต่างหาก





ไม่มีอะไรตลกเลยสักนิด





ร่างโปร่งบางสวมฮู้ดสีดำเดินสวนหนุ่มใหญ่ผู้ที่เขาเรียกติดปากว่าท่านโดยไม่คิดแม้แต่จะสบตา ท่านผู้ไร้จิตใจแวะคุยกับวัสสะชายผู้สวมฮู้ดอีกคนเพียงครู่ ก่อนจะเดินออกไปจากตัวบ้านผ่านประตูด้านหลังพร้อมลูกน้องคนสนิทอีกคน เมื่อร่างบางย่างกรายเข้าไปในห้องนอนแสนสุขของดารัณ สีหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดของเขาจึงเปลี่ยนเป็นความอึดอัดมากมายที่ไม่อาจปลดปล่อยมันออกมาได้ เขาวางขวดไวน์แดงชั้นดีและแก้วไวน์ทรงสูงลงกับโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่จะกระชับถุงมือหนังที่มือทั้งสองข้างให้ลูบไปกับผิวมือมากกว่าเดิม

“กูร...” น้ำเสียงแหบพร่าระคนสั่นทำให้ดวงตาใต้ฮู้ดวูบไหวไปไม่น้อย มือเรียวค่อย ๆ เปิดฮู้ดที่สวมเอาไว้ออกด้วยความรู้สึกลำบากใจ อนึ่งธารางกูรไม่เคยอยู่กับ ‘เหยื่อ’ มานานขนาดนี้ ไม่สิ เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าคนที่ท่านให้มาตามดูแลจะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะในเกมกำหนดชะตาชีวิตคน

“ผมเตือนคุณรัณหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งที่คุณรัณพาเขามาที่บ้านด้วยซ้ำ พูดแม้กระทั่งให้คุณเลิกรากับท่านซะก่อนที่ความสัมพันธ์ของคุณรัณและคุณพอลจะบานปลาย แต่ในเมื่อคุณรัณพลาดให้ท่านรู้เอง ผมก็จนปัญญาที่จะช่วย ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้แล้วจริง ๆ เข้าใจผมด้วยนะครับ” ธารางกูรเคลื่อนอาร์มแชร์มาที่ข้างเตียง ก่อนจะนั่งเอนหลังลงไปราวกับนี่เป็นบทสนทนาแสนปกติ ดารัณเคลื่อนกายขึ้นพิงช่วงหัวเตียง เจ้าตัวสบตาธารางกูรราวกับรู้สึกผิดอยู่เต็มอก และนั่นก็ยิ่งทำให้ธารางกูรใจแกว่งไกวราวกับไม่แน่ใจว่าจะทำร้ายดารัณได้ลง

“ฉันเข้าใจ… เข้าใจ...” ดารัณไม่ได้ร้องไห้แต่คนมองก็รู้ว่าดารัณน้ำตาตกในสักเพียงไหน มีใครบ้างล่ะที่ไม่กลัวความตาย ต่อให้เข้มแข็งปากกล้า หรือมีศรัทธาในความรัก แต่ในยามที่วาระสุดท้ายยื่นมือเข้ามาเชื้อเชิญ คนเหล่านั้นก็ต้องพบเจอกับการหวาดผวาอยู่ดี แน่นอนว่าดารัณเองก็เช่นกัน

“อยากเขียนอะไรทิ้งไว้รึเปล่าครับคุณรัณ” ธารางกูรยื่นแผ่นกระดาษสีขาวแสนธรรมดาและปากกาแท่งหนึ่งให้กับดารัณ ดารัณรับมันไว้ด้วยมือไม้สั่น เขาจ้องมองหน้าโล่ง ๆ ของกระดาษพร้อมกับปิดเปลือกตาลงเบา ๆ ไม่นานนักจึงก็เริ่มบรรจงเขียนทุกสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจด้วยลายมือตัวเอง แม้ว่าเส้นที่ถูกขีดเขียนจะไร้ความมั่นคง แม้ว่ามันจะดูไม่มีระเบียบอะไร ทว่านั่นเป็นความต้องการสุดท้ายทั้งหมดที่มี

“ฉันยังมีเวลาเหลืออีกแค่ไหน” ดารัณวางแผ่นกระดาษยับย่นพร้อมปากกาลงข้างตัว ธารางกูรไม่ได้ให้คำตอบในทันที เจ้าตัวดันนิ้วเปิดขวดไวน์พลางรินมันลงไปในแก้ว สีแดงกำมะหยี่เข้มข้นไหลเคลือบทั่วผิวแก้วใสก่อนจะแน่นิ่งอยู่ในระดับพอเหมาะพอควรสำหรับการลิ้มรส

“มากเท่าที่ยาจะออกฤทธิ์ครับ”

“ฉันดื่มมาทั้งวันแล้ว นี่ยังต้องดื่มอีกแก้วเหรอ… ออ นี่แก้วสุดท้ายแล้วสินะ” ดารัณเอี้ยวตัวมองแก้วไวน์สีแดงก่ำที่ ณ ตอนนี้กำลังมีผงปริศนาสีขาวใสโปรยลงไปเคลือบเป็นผิวด้านบน ดวงตาคนมองสั่นระริก ระหว่างที่มือของธารางกูรก็กำลังเทยาลงไปในแก้วด้วยมือไม้ที่สั่นไม่แพ้กัน

“คุณรัณครับ ผมช่วยคุณรัณได้เท่านี้ ยานี่จะทำให้คุณไม่เจ็บปวด มันจะค่อย ๆ คลายกล้ามเนื้อและสติคุณลง จนกว่า...”

“จนกว่าฉันจะตายจากไป” ดารัณพยักหน้าเข้าใจพร้อมกับน้ำตาหยดแรงที่ร่วงหล่นลงมา ในจังหวะนั้นวัสสะที่เข้ามายืนมองอยู่นานจึงคว้าแผ่นกระดาษลายมือของดารัณขึ้นมาพินิจเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อความใดเป็นอันตรายต่อเขาและธารางกูร

“ตามนี้นะครับคุณรัณ”

“เดี๋ยวคุณ” ดารัณมองตามกระดาษแผ่นนั้นและฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ในวินาทีหนึ่ง เขารั้งมือของวัสสะเอาไว้พร้อมสีหน้าที่เศร้าสลดเตรียมตัวตายมากกว่าเดิม ใช่ช่วงแรกเขาเขียนถึงครอบครัวที่รัก และในช่วงท้ายเขาพร่ำเขียนถึงเพียงแต่ชายคนที่รักเท่านั้น

“อยากเขียนอะไรเพิ่มเหรอ”

“ป...เปล่า ฉีกมันทิ้งไปเลยครับ” ธารางกูรและวัสสะเลิกคิ้วมองกันในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากเจ้าของจดหมายสั่งเสีย ดารัณซึมลงเมื่อรู้ว่าส่วนท้ายของจดหมายที่เขียนถึงพีรพลเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเปิดเผยออกไป เขาไม่ควรทำร้ายพีรพลด้วยข้อความจากภายในจิตใจนั่น ไม่เลย

“อยากเขียนใหม่รึเปล่าครับคุณรัณ” ธารางกูรเอ่ยถามด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือเขาไม่อยากให้ดารัณต้องค้างคาใจ สองคือการฆ่าตัวตายจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีจดหมายสั่งเสียเป็นเครื่องยืนยัน ทว่าดารัณกลับส่ายหน้าเพราะมือไม้ของเขามันแทบไม่มีแรงจับปากกาเขียนข้อความใดอีกต่อไปแล้ว

“แล้วแต่คุณนะ เพราะผมไม่จำเป็นต้องใช้จดหมายของคุณก็ได้” วัสสะตอบเสียงเรียบขณะที่พับแผ่นกระดาษยัดลงไปในกระเป๋ากางเกงตน เขาหมายความตามที่ว่าจริง ๆ พื้นที่บ้านดารัณตั้งอยู่ในเขตการดูแลของหน่วยเขา เพราะฉะนั้นการจัดการจึงไม่น่าใช่เรื่องยากอะไร จดหมายนี่ก็เป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น

“อยากโทรหาคุณพอลมั้ยครับ”

“กูร” วัสสะส่งเสียงเข้มขึ้นมาคล้ายจะห้ามปราม แต่ทว่าธารางกูรผู้อยู่ใกล้ชิดดารัณมานานนับปีกลับเต็มไปด้วยสีหน้าร้องขอ เขารู้ว่าตอนนี้ดารัณกำลังแย่ เขาไม่อยากให้วินาทีสุดท้ายของดารัณเต็มไปด้วยความรักสีเทาที่ไม่อาจเปิดเผยได้

“นะครับคุณวัส ผมคิดว่าคุณรัณคงไม่สร้างปัญหาอะไร ใช่มั้ยครับคุณรัณ” ดารัณไม่ตอบอะไร เขาพยักหน้าขึ้นลงพลางยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มของตน ธารางกูรเดินไปหยิบเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวยื่นให้ดารัณ เจ้าตัวลุกขึ้นมาสวมมันเอาไว้โดยไม่อิดออด ร่างเปลือยมีผิวขาวเนียนผ่องสมกับที่ดูแลมาเป็นอย่างดี ผืนผ้าสีขาวค่อย ๆ เคลื่อนปกคลุมอย่างเชื่องช้า ไม่มีความเขินอาย ไม่มีความรู้สึกใด ไม่เลย ดารัณไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วทั้งนั้น

“ขอบคุณนะกูร ขอบคุณที่พยายามเตือนมาโดยตลอดแต่ว่าฉันไม่เคยเชื่อนายเลย”

“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ ถ้าไม่อยากให้ผมลำบากใจ”

“ฉันขอฝากอะไรนายอย่างได้มั้ย”

“อะไรเหรอครับ”

“ฝากมองพอลให้ที เฝ้าดูให้ฉันทีว่าเขาจะปลอดภัย”

“คุณแค่บอกให้เขาอยู่ให้ห่างกูรหรือใครก็พอ เขาจะปลอดภัยเสมอถ้าไม่เข้ามายุ่มย่ามอะไร” วัสสะเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนที่ดารัณจะพยักหน้าคล้ายเข้าใจ ดาราหนุ่มไม่มีทางเลือกอะไรทั้งนั้น ไม่มีแม้แต่สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทั้งที่เป็นเรื่องชอบธรรม

“ขอโทษนะครับคุณรัณ” ธารางกูรยื่นแก้วไวน์ที่ถูกเคลือบผงอันตรายและเครื่องโทรศัพท์ของดารัณออกไปด้วยสองมือ ดารัณหยิบโทรศัพท์ไปก่อนเป็นอันดับแรก เขาโทรออกหาคนรักและกดเปิดลำโพงเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจโดยไม่ต้องรอให้ถูกสั่ง ก่อนที่มือซ้ายของเขาจะคว้าแก้วไวน์ไปถือเอาไว้ เรียวมือสวยแกว่งแก้วเป็นรอบวงกลมหลายครั้งระหว่างที่รออีกฝ่ายรับสาย ผลึกสีขาวใสละลายหายไปเหลือเพียงเครื่องดื่มกลิ่นเย้ายวนน่าลิ้มลองสักครั้ง





สักครั้งหนึ่งในชีวิต

สักครั้งที่คงจะเป็นครั้งสุดท้าย





Talk 

มาแล้วค่า แน่นอนว่าพาร์ทการจากไปของดารัณยังไม่จบ เจอกันต่อบทหน้า

ใครที่กำลัง 'รู้สึก' กับบทนี้ บทต่อไปรบกวนเตรียมยาดมมาด้วยนะคะ เพราะเป็นบทที่เขียนยากและเราหฤหรรษ์กับมันมากที่สุด 55555 ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงเด้อ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ล่วงหน้าจ้า



หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 16 ฝนจางดั่งไร้หวัง 9/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 09-10-2018 23:35:29
วัส น่ากลัวกว่ากูร ที่ถูกฝึกมาให้ทำเรื่องแบบนี้โดยเฉพาะเสียอีก

ดารัณ เป็นอะไรกับท่านและไต่เต้าวิธีไหนมาเป็นพระเอกชื่อเสียงโด่งดัง ทำเราตกใจพอๆกับวัสฆ่าปองภพเลย ตอนแรกคิดว่าท่านอยากได้ดารัณ เลยส่งกูรไปทำด้วย เพื่อเปิดทาง ที่ไหนได้ ส่งกูรไปดูแลเมีย...

ถึงตอนนี้ข้อสงสัยต่างๆเหมือนจะได้คำตอบหมดแล้ว
ทำไมกล้องวงจรปิดถูกถอดออกหมด
อสุจิในช่องทางดารัณเป็นของใคร
ยากล่อมประสาทในร่างกายมาจากไหน
ดารัณเสียชีวิตด้วยสาเหตุใด.....

สุดท้ายยังยืนยันคำเดิม วัสสะ ตำรวจนายนี้ไม่ธรรมดา สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวให้ยังพอมีความรู้สึก รัก ห่วงใย คนๆเดียวที่แคร์มากที่สุดในชีวิต ธารางกูร ไม่อยากคิดภาพคนที่คิดจะแตะต้องให้กูรระคายเคือง ว่าจะโดนความเย็นชา ความเด็ดขาด ของวัส เล่นงานม่กแค่ไหน

 ตอนต่อไปหฤหรรษ์ยังไง รออ่านเนอะ ไม่เดาละ ไม่ไหวจะคว่ำ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 16 ฝนจางดั่งไร้หวัง 9/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 10-10-2018 00:35:37
 :m25: โหดทั้งหลัวทั้งเมียเลยวัสกูร
เลือดเย็นเธอเลือดเย็น เธอไม่มีหัวใจ !!
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 16 ฝนจางดั่งไร้หวัง 9/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 11-10-2018 22:04:00
บทที่ 17 ฤดูกาลดับสูญ

You’re too high and too far for me to reach.

Even though in reality you’re physically not that far away from me.

My heart is starting to feel depressed and alone.

Our love that came from heaven became like the sleeping wind.*





สองขาที่ยังมีแรงเดินไปเรื่อย ๆ รอบบริเวณห้อง ดารัณจ้องมองหน้าจอด้วยหัวใจที่บีบรัดแทบจะขาดวิ่น ทุกวินาทีที่สัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นหัวใจเขาก็เต้นแรงเป็นทวีคูณ เป็นครั้งแรกที่เขาอยากให้พีรพลรับสาย เป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะพูดคุยใจจะขาด ที่ผ่านมาความสนุกในชีวิตไม่เคยบอกให้เขาเตรียมใจยอมรับชะตากรรมเลวร้ายของตนเอง





ดารัณไม่มีทางเลือก ไม่สิ เขาไม่มีแม้แต่หนทางเสียด้วยซ้ำ





“ฮัลโหลรัณ”

“...”

“รัณครับ”

“...”

“รัณ”

“พอลอยู่ไหนเนี่ย” ดารัณบีบน้ำเสียงสดใสออกไปทั้งที่ใจมันหวิวคล้ายยืนอยู่บนยอดเขาสูงชันซึ่งไม่มีทางลง ร่างโปร่งทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาเล็กบริเวณห้องแต่งตัว เขามองเครื่องดื่มสีทับทิมเข้มในมืออย่างไร้ความหวัง ภาพของตัวเองที่มองเห็นผ่านเงาสะท้อนแก้วมันสะท้อนใจไปเสียหมด ความสัมพันธ์ของเขากับพีรพลมันผิดตั้งแต่ต้น ผิดที่เขาทั้งคู่เป็นคนดัง ผิดที่ดารัณเป็นเพียงดาราธรรมดาที่ไต่เต้ามาจากโมเดลลิงและการช่วยเหลือจากคนคนหนึ่ง ผิดที่พีรพลเป็นลูกหลานไฮโซสูงศักดิ์มีหน้าตาทางสังคม ผิดที่เขาเทียบอะไรกับพีรพลไม่ได้เลย ผิดที่เขาไม่อาจโหนพีรพลลงมาตกต่ำข้างตัว ผิดที่เขาเป็นเด็กเลี้ยงของใครอีกคนแต่กลับรักพีรพลจนหมดใจ





“ฉันนึกว่านายจะรู้จักฉันดีพอเสียอีกรัณ กล้าทำกับฉันแบบนี้ คิดว่าฉันจะปล่อยให้พวกนายไปเสวยสุขแบบในนิยายรึไง… ไหนพูดสิว่าฉันควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไง สารเลว! ”

“ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมขอนะครับท่าน ผมสละได้ทุกอย่าง แต่ท่านอย่ายุ่งกับพอล เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาไม่รู้อะไรเลย”

“รู้อะไรมั้ยว่าฉันเกลียดการโดนหยามแบบนี้มากที่สุด เลือกเอา… จะให้มันตาย หรือจะตายเอง เห็นรักกันมากนักนี่ ไหนขอฉันฟังคำตอบให้ชื่นใจสักทีสิรัณ”






ดารัณรู้ว่าท่านของเขาสามารถทำได้ทุกอย่างตามที่ใจคิด สิ่งที่คนคนนี้พูดไม่ใช่เพียงคำขู่หรือคำกดดันที่จะทำให้เขาสับสนตัดใจ เมื่อไหร่ที่มีทางเลือกเป็นสองชีวิต แน่นอนว่าชีวิตหนึ่งจะต้องถูกแขวนเอาไว้บนเส้นด้ายเล็ก ๆ ที่พร้อมจะขาดผึงลงมาอย่างไร้ทางหนี ดารัณไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาคงเลือกที่จะรักพีรพลอยู่เพียงในใจเท่านั้น

นานมาแล้วที่ชีวิตดารัณมีคนอุปถัมภ์ค้ำชู ชีวิตดั่งเทพนิยายทำให้เขาหลงระเริงไปกับก้อนเงินที่ได้มาง่ายดาย ตอนนั้นเขายังเป็นเพียงตัวประกอบไร้ราคา จนกระทั่งท่านคนนี้ช่วยเหลือทุกวิธีให้เป็นดาราดังสมใจ ดารัณมีทั้งชื่อเสียงเงินทองคนรักใคร่เอ็นดู แต่เขาไม่ได้มีความสุขใจอย่างที่คนคนหนึ่งควรจะเป็น สุดท้ายแล้วเขาก็ยังโหยหาความรัก และความรักนั้นมันก็เข้ามาพร้อมกับเพื่อนสนิทคนเดียวในวงการ ‘พอล พีรพล’

ราวหนึ่งเดือนก่อนความสัมพันธ์ชู้สาวของดาราหนุ่มทั้งคู่เข้าถึงสายตาของท่านเข้าจนได้ ความตายคืบคลานเข้ามาช้า ๆ โดยที่ดารัณเองก็ไม่รู้ตัว เขากำลังหลงระเริงกับกลิ่นความสุขจนลืมไปเสียว่าเขาไม่มีสิทธิ์ใดในชีวิต แม้แต่ธารางกูรที่ช่วยปกปิดมานับปียังไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใด และจำใจต้องตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่การเอาคืนอันโหดร้ายจะเริ่มต้นขึ้น





ดารัณมีเวลาคิดเพียงไม่กี่ชั่วโมง

แต่มันเป็นไม่กี่ชั่วโมงที่เขาแสนแน่ใจว่ารักพีรพลเหลือเกิน





“ผมอยู่กองถ่าย รัณมีอะไรรึเปล่า”

“เปล่า พอลคุยได้มั้ย ผมไม่ได้โทรมากวนคุณเนอะ” ดารัณจับก้านแก้วขึ้นในเพื่อให้ของเหลวอยู่ในระดับสายตา เขาชิมรสชาติของเครื่องดื่มชนิดนี้มาแล้วนักต่อนัก แต่ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ารสชาติไวน์แดงแก้วสุดท้ายจะลึกล้ำน่าจดจำแค่ไหน

“ไม่กวนครับ ผมพักอยู่พอดี ยังไม่ถึงคิวถ่าย แปบนะรัณ ผมหาที่ทำเลดี ๆ ก่อน”

“อือหึ” ดารัณเดาได้ง่ายดายว่าพีรพลคงหาที่เงียบ ๆ สักทีสำหรับนั่งคุยการผ่านเครื่องโทรศัพท์ ระหว่างนั้นปลายจมูกของเขายกเชิดขึ้นสูดดมกลิ่นแบล็คเคอร์แรนท์และเครื่องเทศอบที่ขอบปากแก้ว ความรุนแรงที่ถูกรังสรรค์ฉุนกึกจนแสบจมูก ทว่าเจ้าตัวหาได้เบือนหน้าหนีไม่ คงไม่มีอะไรทำร้ายตัวเขาได้เท่าความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว





ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดไปมากกว่านี้





“วันนี้เป็นไง รัณไม่มีงานนี่ ได้นอนเต็มอิ่มรึเปล่า”

“ไม่ค่อยได้นอนน่ะสิ มัวแต่ทำนู่นนี่ไปเรื่อย แต่ไม่เป็นไร วางสายจากพอลแล้วว่าจะนอนยาวเลย”

“พักผ่อนเยอะ ๆ นะรัณ ทำเพื่อตัวเองบ้าง”

“เข้าใจแล้ว บ่นจังเลยนะ”

“ก็รัณชอบละเลยตัวเองนี่นา”

เสียงเจื้อยแจ้วของดารัณตัดสลับกับเสียงที่ไม่รู้สิ่งใดของพีรพล ความสุขสดใสสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ มวลอากาศถูกเคลือบทุกอณูจนอบอวลไปด้วยความรัก เสียงสะท้อนนั้นไม่เพียงทำร้ายจิตใจคนใกล้ความตายอย่างดารัณ ทว่ามันดังก้องอยู่ในโสตประสาทของคนอีกสองคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ธารางกูรมีท่าทางเซื่องซึมลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าสองมือจะยังกระทำการทุกอย่างตามหน้าที่ของตน วัสสะยืนพิงกรอบประตูจ้องมองการกระทำของดารัณสลับกับร่างโปร่งบางอันเป็นที่รักของเขา แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทั้งคู่ต้องกระทำการเช่นนี้ แต่คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขารู้สึกว่าธารางกูรลำบากใจอย่างถึงที่สุด มือเล็กที่พยายามเปลี่ยนผ้าปูเตียงนั่นแทบไม่มีเรี่ยวแรง ธารางกูรอยู่กับดารัณนานเกินไป นานเสียจนไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งคนของนายจะกลายเป็นเหยื่อที่ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือตนเอง

“ไม่ต้องเป็นห่วง ผมสัญญาว่าต่อจากนี้จะดูแลตัวเอง”

“ดีมากครับ แล้วนี่กินอะไรรึยัง เย็นมากแล้วนะ ผมสั่งให้ร้านไปส่งให้เอามั้ย”

“ไม่ต้องหรอก พอลทำงานไปเถอะ”

“เออรัณ วันเกิดผมศุกร์นี้รัณว่างมั้ย ผมว่าจะจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ที่บ้าน มีรัณ มีผม แล้วก็ครอบครัว”

“ครอบครัวเหรอ” ดวงตาคู่สวยไหวสั่นและมีหยดน้ำตาไหลออกมาในเวลาไม่นาน ดารัณจรดริมฝีปากตนลงกับขอบแก้วบางเฉียบ กลิ่นไวน์ฉุนขึ้นมากกว่าเดิม มือสั่นเทาค่อย ๆ เอียงก้านแก้วจนของเหลวบอดี้หนักแน่นสัมผัสกับเรียวปาก เครื่องดื่มชั้นดีเคลือบรสทั่วโพรงปากแม้เพียงจิบแรก ความหวานแรกพบเจอเปลี่ยนเป็นขมฝาดในที่สุด ลำคอประหม่าเกร็งร้อนผ่าวเมื่อความแสบร้อนไหลผ่านลงไป





ไร้หนทางแก้ไข ไร้หนทางย้อนกลับ





“รัณยังไม่เคยไปที่บ้านผมเลย มากินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ผมนะ ท่านจะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนที่ผมรักมาก ๆ ไง”

“ผมไปไม่ได้หรอกพอล…” ดารัณกลั้นสะอื้นเอาไว้ มีเพียงหยดน้ำตาเท่านั้นที่ไหลผ่านขอบตาร้อนผ่าวออกมา ยิ่งรู้สึกว่าพีรพลมีความสุขมากแค่ไหนกับรูปประโยคนั่น เขายิ่งรู้สึกผิด ยิ่งรู้สึกโทษตัวเอง ยิ่งรู้สึกว่าการที่ดึงพีรพลลงมาในเกมนี้มันร้ายแรงเหลือเกิน เขาไม่สมควรทำให้คนแสนดีต้องมาเกลือกกลั้วกับคนที่แสนสกปรกอย่างเขา ดารัณไม่อาจโทษใครได้เลย นอกจากความเห็นแก่ตัวภายในหัวใจตัวเอง

“ทำไมล่ะ รัณติดงานเหรอ”

“ไม่รู้สิ ผมแค่รู้สึกว่าไม่น่าจะไปได้”

“แต่มันเป็นวันเกิดผมเลยนะ ไม่ได้จริง ๆ เหรอครับ หืม” น้ำเสียงออดอ้อนของพีรพลยิ่งทำให้ดารัณปวดใจ น้ำตาจากห้วงความรู้สึกยิ่งไหลออกมามากขึ้น เรียวมือสั่นเย็นเฉียบยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มพรวดเดียวจนเกือบจะหมดแก้ว ดารัณไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมานอกจากความเสียใจทั้งหมดที่มี รสชาติหอมเข้มหวานฝาดกลมกล่อมติดอยู่ที่ปลายลิ้นไม่ได้จาง ไม่ต่างอะไรกับรสชาติสุดท้ายของความรู้สึก ที่จะติดจิตวิญญาณของเขาไปไม่มีวันหายไป

“ผมคงต้องถามกูรก่อนว่าผมจะไปได้รึเปล่า” เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยถึงกระตุกชาไปทั้งตัว ธารางกูรเดินมายืนเคียงข้างวัสสะเพื่อมองร่างกายที่กำลังลุกเดินอย่างโอนเอน ไวน์จิบแรกกำลังออกฤทธิ์และอีกไม่นานไวน์อึกสุดท้ายคงจะไหลซึมไปทั่วร่างกายและเริ่มทำหน้าที่ของมัน

“ทำไม รัณไม่มีงานไม่ใช่เหรอ ผมไม่เข้าใจรัณจริง ๆ ว่าทำไมรัณถึงต้องเกรงใจมันขนาดนั้น”

“เปล่าหรอก พอลอย่าไปยุ่งกับกูรเลย ผมขอนะ”

“รัณ…”

“ผมพูดจริง ๆ ”

“นี่คุณมีอะไรปิดบังผมรึเปล่า”

“ไม่มีอะไรจริง ๆ แต่ผมอยากให้ระวังกูรไว้บ้างก็ดีนะพอล ผมว่าเขากำลังสนใจเรื่องของเรา ผมไม่อยากให้คุณต้องเสี่ยงเสียชื่อ แค่นั้นจริง ๆ ” จุดประสงค์ของประโยคนี้มีเพียงความตั้งการให้พีรพลออกห่างความไร้จิตใจของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เมื่อเขาไม่อยู่ เมื่อเขาไร้อำนาจแรงกาย เมื่อนั้นเขาจะได้สบายใจว่าพีรพลจะยังมีชีวิตที่ดีต่อไป

“แล้วยังไงล่ะ...แปบนะรัณ พี่จูนเรียก”

“โอเค” พีรพลที่เริ่มโมโหยังพูดได้ไม่จบประโยค เสียงเรียกชื่อที่แทรกเข้ามาในโทรศัพท์ก็ทำให้เขาต้องหันไปสนใจเสียก่อน คนที่ยังรออย่างดารัณพาตัวเองเดินไปอย่างไม่มีทิศ ปลายเท้าชาไร้รู้สึกทำให้เขาทรุดตัวลงเกาะขอบอ่างอาบน้ำเอาไว้อย่างคนไม่มีแรง แม้ประสาทการรับรู้จะยังชัดเจนแต่แขนขากลับมีความสามารถลดลงไปมากกว่าครึ่ง มื้อไม้ของเขาสั่นไหวจนแทบจะจับโทรศัพท์เอาไว้ไม่ได้ แต่เพื่ออยู่รอพูดคุยกับคนที่รักดารัณจึงต้องทำทุกวิถีทางในการประคองเครื่องโทรศัพท์ เรียวมือซ้ายคว้าจับข้อมือขวาเอาไว้แน่น แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงเท่าไหร่มันยิ่งไร้ความรู้สึกและสั่นเทิ้มยิ่งกว่าคนเป็นไข้ ปลายมือปลายเล็บด้านชาราวกับมีของหนักกดทับ ดารัณหยุดน้ำตาและเสียงสะอื้นของตัวเองแทบไม่ได้ จริงอย่างที่ธารางกูรว่า ฤทธิ์ยาทำให้เขาไม่เจ็บปวด ไม่รู้สึก แต่นั่นมันเป็นเพียงความรู้สึกทางกายเท่านั้น หัวใจของดารัณยังคงรู้สึกและเริ่มหวาดกลัวความตายเมื่อมันเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัว

“รัณ ผมคงต้องวางก่อน พอดีมีแก้คิวนิดหน่อย ไว้เราค่อยคุยกันนะ”

“อึก…” ดารัณอยากจะตอบกลับไปในทันที แต่ริมฝีปากของเขาดันเคลื่อนไหวเชื่องช้าไร้แรง กว่าลมและเสียงจะพ่นออกจากริมฝีปากได้สีหน้าของดารัณก็เต็มไปด้วยกลุ่มเลือดสีแดงเข้มน่าสะเทือนใจ

“รัณ ได้ยินรึเปล่า วันสองวันนี้คิวงานผมจะยุ่งหน่อย เดี๋ยวเสร็จงานแล้วผมไปหานะครับ”

“พ...พอล”

“หืม”

“อย่าลืม… อย่าลืมมารับผมนะ” ดารัณพยายามออกเสียงให้ปกติที่สุด มือที่หมดแรงปล่อยเครื่องโทรศัพท์ร่วงลงกับพื้น ยังโชคดีที่ปลายสายไม่ได้ติดใจสงสัยเสียงปั๊กจากแรงกระทบ ร่างกายที่ถูกเล่นงานพังพาบลงทั้งที่ยังอยากจะพูดกับพีรพลอีกสักประโยค ประโยคสุดท้ายที่สำคัญกับหัวใจของเขาที่สุด

“หืม รัณหมายถึงงานวันเกิดผมใช่มั้ย ได้ครับ เดี๋ยวผมไปรับ รอผมนะรัณ”

“อึก…พอล...ผม…”

“แค่นี้ก่อนนะครับ พี่จูนตามแล้ว ผมรักรัณนะ ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วเจอกันครับ” อาจจะเพราะเฮือกเสียงสุดท้ายของดารัณนั้นเบาบางเกินกว่าจะส่งไปถึง ลมหายใจของเขาไม่อาจรั้งพีรพลให้อยู่ฟังจนจบ หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบขึ้นเมื่อสายถูกตัดไป หยดน้ำตาไหลอาบทั่วใบหน้าของดารัณจนแทบไม่มีที่เหลือ ชายหนุ่มผู้งดงามพยายามจะเปล่งเสียงถ้อยคำสุดท้ายของชีวิตทั้งที่ลำคอแห้งผาก ภายในร้อนวาบเป็นระลอกราวกับถูกสุมไฟ ร่างกายของเขาบิดเกร็งตามปฏิกิริยาของร่างกายที่ไม่อาจห้ามได้ ใช่ นอกจากอาการร้อนจนลำคอแห้ง ดารัณไม่รู้สึกเจ็บปวดอื่นใดอีก แต่การไร้รู้สึกทั้งที่สติความคิดยังดำเนินอยู่มันทรมานยิ่งกว่าโดนมีดแทงสักร้อยเล่มเสียอีก





อย่าลืมมารับผม

อย่าลืมมารับหัวใจของผมกลับไปอยู่กับคุณ





“ผมรักคุณ” คนที่ดารัณรักหมดใจคงไม่อาจได้ยินประโยคบอกรักที่จะทำให้โลกทั้งโลกเป็นสีดำ มีเพียงคนสองคนที่ยืนสุดความสูงเป็นพยานให้ได้เท่านั้น ทั้งธารางกูรและวัสสะนิ่งงันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จริงอยู่ที่ผ่านมาพวกเขาเห็นคนตายต่อหน้าต่อตามามาก แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เหตุผลของการสูญสิ้นจะเป็นเรื่องรักน่าสะเทือนใจ วัสสะหันไปมองร่างบางที่กำลังปล่อยน้ำตาอาบแก้ม นานแล้วที่ธารางกูรไม่ได้ร้องไห้ให้กับ ’เหยื่อและงาน’ ครั้งสุดท้ายก็คงจะเป็นตอนที่วัสสะยื่นมือเข้าไปช่วยจนมือสะอาดต้องเปื้อนเลือด จากวันนั้นจนวันนี้เวลาก็ผ่านไปสิบกว่าปี สิบกว่าปีแล้วที่เขาไม่ได้ร้องไห้ให้กับคนที่ตายด้วยมือตัวเอง

“กูรไหวรึเปล่า เดี๋ยวผมทำเอง”

“ผมไหวครับ” ธารางกูรยกแขนขึ้นเช็ดน้ำตา ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเรียบตึงไร้รู้สึกในเสี้ยววินาที นี่เป็นงานที่เขาต้องทำ งานที่เขาต้องทำอย่างไม่มีทางเลือก ภาระหน้าที่แสนสกปรกเป็นดั่งภาระผูกพันต่อเนื่อง ศพแล้วศพเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่แผนการแยบยลถูกหยิบขึ้นมาใช้ อุบัติเหตุ ฆ่าตัวตาย หรือแม้แต่ภาวะหัวใจวาย ฟังดูช่างเป็นเรื่องโหดร้ายเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะยอมรับได้ไหว แต่นี่เป็นชีวิตแท้จริงอันน่าเศร้าของคนสองคน





หากคนเรามีหน้าที่เรียนหนังสือและทำงานหาเลี้ยงชีวิต

ธารางกูรก็จำต้องปลิดชีพผู้อื่นเพื่อหาที่ทางยืนให้ชีวิตตัวเอง

หากคนเราควรมีจิตใจโอบอ้อมอารีและมีใจรักเพื่อนมนุษย์

วัสสะก็มีน้ำใจอารีต่อธารางกูรและมีใจรักคนคนนี้อย่างสูงที่สุด





หน้าที่และความรักผูกพันสองคนนี้ไว้กับงานบาปกรรมโดยไม่รู้จุดสิ้นสุด





ร่างกายดารัณลอยขึ้นจากพื้นเพราะแรงอุ้มจากวัสสะ ร่างสูงค่อย ๆ วางร่างนั้นลงกับอ่างน้ำวนกลางห้อง เสื้อคลุมที่ถูกปกปิดร่างกายถูกถอดออกก่อนที่ธารางกูรจะรับไปแขวนที่ราวให้ดูเหมือนตั้งใจ อ่างอะครีลิกสีขาวสะท้อนกับผิวขาวเนียนเรียบของดารัณ วัสสะจัดท่าทางดาราหนุ่มให้อยู่ในท่านั่งกึ่งนอน ดวงตางามประณีตยังคงกะพริบและมีน้ำใสเอ่อคลอ แน่นอนว่าดารัณยังไม่สิ้นลมหายใจ ร่างกายของเขาแน่นิ่งไปเพียงเพราะฤทธิ์ยาที่กดประสาทเอาไว้ แม้ไม่อาจบังคับริมฝีปากให้พูด แม้ไม่อาจขยับแขนขยับขาได้ดั่งใจ แต่สายตาและสองหูของดารัณยังใช้การได้อย่างดีเยี่ยม

“อึก...” เมื่อครั้งสุดท้ายของชีวิตใกล้เข้ามาถึง มีใครบ้างล่ะที่ไม่หวาดกลัวความตาย แม้ว่าดารัณจะแสดงออกว่าเต็มใจละทิ้งชีวิตตัวเอง ทว่าเมื่อร่างกายเรื่องไร้หนทางคงอยู่ เสียงสะอึกอยากมีชีวิตรอดจึงดังขึ้นมาเป็นระลอก ความทรมานที่นอกเหนือการคาดคิดทำให้เขาพยายามกลอกดวงตาเป็นวงรอบ ดวงตาสีนิลจ้องมองไปยังธารางกูรที่เข้ามาใกล้เพียงคืบ ร่างบางคว้าข้อมือขวาของดารัณไว้และดึงมันออกไปให้พ้นรัศมีขอบอ่าง เพื่อไม่ให้ดูฝืนท่าทางธรรมชาติ วัสสะจึงจำเป็นต้องจับทั้งร่างของดารัณให้เอียงขวาตามกันมา ดวงตาคนที่แน่นิ่งเริ่มแสดงอาการรับรู้มากขึ้น หัวตาบีบเข้าหากันด้วยเรี่ยวแรงสุดท้าย





อึดอัด หวาดกลัว รอคอยความตายอย่างเจ็บปวดที่สุด





“ผมขอโทษอีกครั้งนะครับคุณรัณ” ธารางกูรปิดเปลือกตาลงคล้ายกับทำสมาธิ ระหว่างนั้นวัสสะเริ่มเดินจัดห้องให้เป็นดั่งฉากที่ควรเป็น ขอบแก้วไวน์ใบใหม่ถูกประทับริมฝีปากของดารัณลงไป ก่อนจะวางมันเอาไว้ที่เคาน์เตอร์ห้องน้ำคู่กันกับขวดไวน์ โทรศัพท์เครื่องเมื่อครู่ถูกปิดลงและวางเอาไว้บนเคาน์เตอร์เช่นกัน ทุกอย่างถูกตระเตรียมราวกับฉากหนึ่งในละคร ทว่าละครเรื่องสุดท้ายของดารัณนั้นเขารับหน้าที่เพียงหยุดหายใจเมื่อถึงเวลา

“ผมทำให้ดีกว่ากูร”

“ไม่เป็นไรครับ ให้ความผิดติดตัวผมไปคนเดียวก็พอ” วัสสะทำท่าจะดึงคัตเตอร์ในมือของธารางกูร แต่ร่างบางกลับส่ายหน้าปฏิเสธ เขาจับของมีคมยัดเข้าเอาไปในมือซ้ายของดารัณ ก่อนจะทาบทับลงไปบนหลังมือนั้นเพื่อบังคับให้เคลื่อนไหวไปตามที่ใจต้องการ ปลายคมถูกกดลงที่ข้อมือขาว รอยลึกกรีดลงผิวชั้นในและหลอดเลือดสำคัญในทิศทางความลึกเข้าหาตัวเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ธารางกูรปล่อยมือของเขาออกทำให้คัตเตอร์นั้นร่วงหล่นออกจากมือของดารัณทันที เลือดสีแดงสดค่อย ๆ ไหลหยดลงมาราวกับต้องการให้เจ้าของร่างตายลงไปช้า ๆ แต่เปล่าเลย ต่อให้ดารัณไม่มีบาดแผลเขาก็ต้องตายเพราะฤทธิ์ยาอยู่ดี

“คุณไปนั่งพักเถอะ” วัสสะเข้าไปดึงข้อมือธารางกูรและจูงอีกฝ่ายให้ไปนั่งรอที่โซฟาเล็กใกล้ ๆ ธารางกูรยอมทำตามโดยไม่งอแง แต่ทว่าโซฟาตัวนั้นกลับทำให้เขาเห็นแววตาของดารัณที่มองมาอย่างชัดเจน สายตาคู่นั้นยังมีนัยน์ตาใสวาว ซ้ำยังมีน้ำตาซึมไหลเป็นสาย ธารางกูรนั่งกัดริมฝีปากจนได้ลิ้มรสเลือดของตนที่ซึมออกมาตามรอยฟัน ร่างกายเขาเย็นยะเยือกขนลุกซู่กับความโหดร้ายของตัวเองและภาพที่กำลังมอง ปลายนิ้วปลายมือของคนใกล้ตายกระตุกชักเป็นจังหวะอยู่หลายครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นระบบทำงานภายในยังกระตุกสั่นจนเป็นผลกับทั้งร่างกาย โดยเฉพาะในส่วนของหัวใจ ยิ่งวาระสุดท้ายเดินเข้ามาใกล้ภาพของพีรพลยิ่งชัดเจนขึ้นมาในสมอง ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ

วัสสะเดินเก็บรายละเอียดในห้องให้มากพอเท่าที่จะทำได้ เมื่อดารัณตายเพราะฤทธิ์ยา เลือดที่ไหลออกมาก็คงจะพาสารพิษออกมาด้วยจนแทบหมด ถ้าโชคดีไม่มีข้อสงสัยหลงเหลือ นิติเวชคงไม่จำเป็นต้องตรวจพิสูจน์ แต่ถ้าไม่ การระบายเลือดออกบ้างคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หากถามว่าทำไมถึงไม่กรีดข้อมืออย่างเดียวหรือจับแขวนคอไปให้รู้แล้วรู้รอด นัยหนึ่งน่ะมันเป็นเรื่องมนุษยธรรมในเบื้องลึกที่ไม่อยากให้ดารัณเจ็บปวด แต่อีกนัยหนึ่งเป็นเพราะสุดท้ายแล้วคนเราก็ต้องขวนขวายหาทางเอาชีวิตรอด





ดารัณเองก็เช่นกัน จิตใจของเขากำลังหวาดกลัวความตายอย่างถึงที่สุด





“คุณวัสครับ...” ธารางกูรเอ่ยปากเรียกคนที่กำลังทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ วัสสะจัดการทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อย จะขาดก็แต่จดหมายลาของดารัณที่เขาพับเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง ในเมื่อเจ้าตัวไม่เต็มใจมันจึงกลายเป็นเพียงแผนสองที่อาจเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในภายหลัง

“หืม ว่าไง” คนทั้งคู่ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าโดยมีดวงตาอีกคู่จ้องมองกลับมา มือหนาคว้าศีรษะของธารางกูรเข้ามาซบกับไหล่ตนและสัมผัสเกลี่ยมันอย่างแผ่วเบา

“ผมเหนื่อยจังครับ” วัสสะหันปลายจมูกกดหอมลงที่ช่วงหน้าผากของธารางกูรด้วยความนุ่มนวลอบอุ่น เขารู้ว่าธารางกูรไม่ได้หมายถึงความเหนื่อยล้าทางร่างกาย แต่มันเป็นความล้าอ่อนแรงที่หัวใจเพราะเรื่องที่ต้องทำ ธารางกูรไม่ใช่คนเข้มแข็ง เป็นเพียงคนที่เปราะบางดั่งแก้วใสที่พร้อมจะตกลงแตกได้ทุกเมื่อ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงเพราะวัสสะยังประคองให้อีกฝ่ายไม่ร่วงหล่นลงไปเท่านั้น

“ผมรู้”

“เมื่อไหร่เราจะหลุดจากวังวนนี้สักที”

“...”

“ผมกลัวจังว่าวันนึงผมจะต้องเลือกทางเดินเหมือนคุณรัณ”

“กูร”

“ความรักมันน่ากลัวจังนะครับคุณวัส” วัสสะไม่รอช้า เมื่อเขาได้ยินเสียงตัดพ้อเพราะความหวาดกลัวจึงหันตัวคว้าริมฝีปากของธารางกูรเข้ามาลิ้มชิมรสทันที น้ำลายเหนียวหนืดในโพรงปากร่างบางถูกแทนที่ด้วยรสชาติหวานขมตามความรู้สึก ธารางกูรกำลังกลัว กลัวว่าความรักของเขาจะต้องมาถึงทางตันเฉกเช่นเดียวกับดารัณ และหากวันนั้นมาถึงการตัดสินใจของเขาคงจะไม่แตกต่างไปจากดารัณสักเท่าไหร่นัก

ดวงตาคู่สวยมองทุกการกระทำอ่อนโยนของคนสองคนตรงนั้น ใบหน้าและร่างกายที่ถูกบังคับให้เอนไปทางขวาต้องจ้องมองความรักของคนอีกสองคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดารัณรับรู้ทุกอย่าง ทุกประโยคที่วัสสะและธารางกูรพูดคุย ทุกภาพที่คนสองคนกระทำต่อกัน คนที่หัวใจกำลังเต้นเบาลงถูกบังคับให้เป็นพยานทั้งที่ไม่ต้องการ ที่เห็นอยู่ตอนนี้มันทำให้เขานึกถึงพีรพลอันเป็นที่รัก ทุกอย่างกำลังตอกย้ำอย่างไม่มีทางหลีกหนี





ความทรมานระหว่างรอความตายช่างยืดเยื้อไม่รู้จักจบสิ้น






หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 16 ฝนจางดั่งไร้หวัง 9/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 11-10-2018 22:04:17
“จบงานนี้เราไปจากท่านกันนะกูร”

“คุณวัส”

“เราจะบอกเขาว่าเราพอแล้ว ไปจากขุมนรกนี่กันเถอะ”

“แล้วถ้าท่านไม่ยอม จุดจบของเรา...”

“เชื่อผมสิ ผมสัญญา เราสองคนจะต้องเป็นอิสระ” รสจูบหนักหน่วงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง วัสสะโถมตัวเข้าไปจนธารางกูรแทบจะหยัดตัวเอาไว้ไม่ได้ น้ำตาจากความรู้สึกไหลออกมาผ่านแก้มเนียนขาว ทั้งที่วัสสะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ง่ายดั่งคำพูด แต่ก็ยังให้คำสัตย์สัญญาราวกับมั่นใจ ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องของดารัณ มันเป็นเพราะเขารู้สึกจึงอยากจะจับมือธารางกูรหลีกหนีไปให้พ้น

“ผมกลัว… ฮึก… ผมกลัว ฮืออออ” ความอ่อนแอถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมเสียงสะอึกสะอื้นทันทีที่วัสสะถอนริมฝีปากออก ลำแขนแกร่งคว้าร่างบางยกซ้อนขึ้นมานั่งบนตัก แผ่นหลังที่บางกว่าซบแนบลงกับอกราวกับหาที่พักพิง ความรู้สึกทั้งหมดที่มีในวันนี้ถูกถ่ายทอดออกมาจนร่างกายไหวโยน วัสสะโอบกอดความรักของเขาเอาไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้งไม่แพ้กัน

“ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่”

“แต่ว่า...”

“เรื่องที่เกิดกับดารัณจะต้องไม่เกิดกับเรา ความรักของเราไม่มีทางจบแบบนั้น เราจะไปจากท่านได้ เราจะหนีจากเขาได้ เข้าใจมั้ยครับคุณกูร” วัสสะประคองกรอบหน้าธารางกูรให้เงยเชิดขึ้นจากเดิม เรียวปากนุ่มจูบซับหยดน้ำตาทั่วพวงแก้มอย่างไม่รังเกียจ ทั้งยังใช้ปลายนิ้วโป้งลากไปตามเส้นริมฝีปาก และเคลื่อนสัมผัสเรียวลิ้นเชื่องช้ามายังเรียวปากบางที่ขณะนี้เป็นสีแดงระเรื่อ ทั้งคู่ตอบรับกันด้วยพฤติการณ์เชื่องช้าอ้อยอิ่ง ลิ้นหนาดุนดันเข้าไปก่อนจะค่อย ๆ ตวัดเรียกความรู้สึกวาบหวามเป็นจังหวะต่อเนื่อง

“คุณวัสครับ” ธารางกูรดึงริมฝีปากออกเมื่อเริ่มรู้สึกว่าวัสสะใช้มือลุกล้ำเข้ามาใต้กางเกง ทั้งยังดึงร่างของเขาเข้าไปขนาบกับช่วงล่างของตนมากกว่าเดิม ความสุ่มเสี่ยงและสัมผัสหยาบจากถุงมือทำให้ร่างกายของธารางกูรร้อนขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

“ให้ผมปลอบคุณนะกูร ยังไงซะรู้สึกอย่างอื่นก็ย่อมดีกว่าการรู้สึกกลัว จริงมั้ยครับ” วัสสะกระซิบที่ข้างหูของเขาพลางคลี่ยิ้มออกมา

“แต่นี่มันที่เกิดเหตุ”

“ก็ถือซะว่ายังไงเราก็ต้องรอ ต้องเก็บกวาดรอบสุดท้ายอยู่ดีแล้วกัน” วินาทีนั้นร่างสูงไม่อาจรอช้า เขาพลิกตัวธารางกูรให้นอนแนบไปกับโซฟา ปลดเปลื้องกางเกงของทั้งคู่ออกอย่างระมัดระวัง มันไม่ได้มีเพียงแค่ความหื่นกระหาย แต่มันมีความรักเต็มอกที่รู้ว่าทำยังไงธารางกูรถึงจะหายจากความประหวั่นในใจ วัสสะรุกโถมลงจูบช่วงคอและไหล่ ทั้งรั้งชายเสื้อขึ้นเพื่อขบเม้มจุดสำคัญที่ช่วงอกจนร่างบางแอ่นอกรับไม่ได้หยุด และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เบื้องล่างของทั้งคู่ถูกปลุกขึ้นมาจนตื่น

“ทำไมถึงชอบปลอบผมด้วยวิธีแบบนี้นัก”

“เพราะผมรู้ว่ามันได้ผล” วัสสะกดจูบหนัก ๆ ลงไปที่ช่วงท้องน้อยของธารางกูร ก่อนที่เขาจะผละออกและลุกไปหาบางอย่างบริเวณห้องนอน จังหวะนั้นธารางกูรที่กำลังหายใจหอบร้อนเผลอเอียงหน้าไปในทิศทางที่อีกหนึ่งชีวิตกำลังมองมา ดวงตาของดารัณกะพริบถี่สองครั้งติดเป็นสัญญาณว่าเขายังรับรู้ทุกสิ่ง เลือดสีแดงสดจากข้อมือหยดลงมากองที่พื้นและไกลย้อนกลับไปที่ตัวอ่างจนเกิดเป็นร่องรอยชีวิตสีเข้มแตกแขนงไปทั่วราวกับรากไม้

“ฮึก” ธารางกูรปล่อยหยดน้ำตาออกมาอีกครั้งเมื่อลมหายใจหนัก ๆ ของเขาเผลอสูดกลิ่นคาวเลือดเข้าไปเต็มปอด และที่เลวร้ายที่สุดคงเป็นวินาทีที่เขาและดารัณสบตากัน ดวงตาคู่นั้นไม่มีความเคียดแค้น ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกโกรธเคือง มันมีเพียงความจำยอมทรมานและร้องขอชีวิตหากยังเป็นไปได้ ดารัณกำลังหวาดกลัวความตายสุดหัวใจ





ธรรมชาติของมนุษย์ทำให้ธารางกูรหวาดกลัวเกินกว่าจะทนรับไหว





วัสสะเดินเข้ามาเห็นภาพนั้นเต็มสองตา และรู้สึกถึงความเลวร้ายไม่ต่างจากร่างบางนัก ร่างสูงสาวเท้าเข้าหาธารางกูรทันที เขาประคองใบหน้าของธารางกูรให้หันกลับมามองเพียงดวงตาคู่คม

“กูร มองผมสิ มองผมกูร”

ธรรมชาติของมนุษย์ทำให้ธารางกูรหวาดกลัวเกินกว่าจะทนรับไหว

“อยู่กับผม ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล อยู่กับผมนะกูร” วัสสะพรมจูบลงไปปิดเสียงร้องสะอื้นทั้งที่ตัวเองกำลังจะร้องไห้ตามอยู่รอมร่อ เขาบังคับตัวเองไม่ให้หวั่นไหว ใช้เรียวมือหยาบกร้านจากถุงมือลากผ่านผิวกายเนียนละเอียดอีกครั้ง รสจูบที่วัสสะมอบให้หนักหน่วงเสียจนธารางกูรต้องเผยอปากรับสัมผัส การปลุกเร้าอารมณ์เริ่มต้นอีกครั้ง คนขวัญเสียตอบรับกลับไปอย่างว่าง่าย ไม่ว่าวัสสะจะสัมผัสตรงไหน ส่วนนั้นของธารางกูรก็จะมีปฏิกิริยาตอบรับเสมอ เรือนร่างน่าหลงใหลเย้ายวนอย่างที่สุดเมื่ออารมณ์ขึ้นสูง วัสสะปลุกทุกสัดส่วนของธารางกูรให้ตื่นขึ้นเต็มตา ทั้งเบื้องบน เบื้องหน้า เบื้องล่าง เบื้องหลัง การเล้าโลมครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านเวลาเนิ่นนานโดยที่ทั้งคู่ไม่ได้สนใจเจ้าของลมหายใจรวยรินที่กำลังจ้องมองอยู่





ลมหายใจดารัณขาดห้วง ใกล้จะขาดใจเต็มที





“อือ.. คุณวัสครับ ฮึก ผมรักคุณ”

“รักเหมือนกันนะครับ เด็กดี อยู่กับผม มองผม เชื่อใจผม เราจะออกจากนรกขุมนี้ด้วยกัน ปีนี้ฝนจะตกฤดูหนาวอย่างที่คุณชอบ ผมสัญญา” วัสสะถอยตัวออกมาสวมถุงยางให้กับเขาทั้งคู่ นี่ไม่ใช่การป้องกันเรื่องทางเพศ แต่เป็นการป้องกันไม่ให้สิ่งใดหลงเหลืออยู่ที่นี่ ช่วงขาของธารางกูรถูกกระชับเข้ากับเอวแกร่ง ใจกลางวัสสะถูกผสานกับร่างกายของธารางกูรเป็นหนึ่งเดียว ร่างบางโหยหาการปลอบใจไขว่คว้าหารสจูบจนวัสสะต้องโน้มริมฝีปากลงมา

การปลอบโยนของวัสสะใช้ได้ดีอยู่เสมอ แม้จะชั่วครู่ชั่วคราวแต่ก็ทำให้พยุงหัวใจของกันและกันผ่านไปได้อีกวัน ไม่นานนักเสียงสะอึกสะอื้นได้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องครางเมื่ออยู่ในช่วงเวลาแสนดี ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เสียงหวานลั่นออกมาสลับเสียงหอบเหนื่อยของคนบนร่าง





กลิ่นความรักหวานขมตัดกับกลิ่นคาวคลุ้งของกองเลือดจนบรรยากาศช่างน่าหดหู่ใจ

สัมผัสสองร่างที่เชื่อมถึงกันย่อมดีกว่าสัมผัสสุดท้ายที่ไม่มีแม้แต่แรงเอื้อมคว้า

เสียงพร่ำบอกรักก้องดังชัดเจนกว่าเสียงแผ่วเบาของคนจะขาดใจตาย

กว่าช่วงเวลาสุขสมจะจบลง ลมหายใจของใครอีกคนก็ดับมอดไปชั่วนิรันดร์





ภาพสุดท้ายในสายตามืดมิดของดารัณมีเพียงความรักของคนสองคนที่ยังดำเนินไป โชคร้ายเหลือเกินที่ความรักของเขากับพีรพลต้องดับสูญไปโดยไม่อาจหวนคืน





‘อย่าลืมมารับผมนะพอล’














*Where the Wind Sleeps OST. Blade & Soul

Talk

สวัสดีเช่นเคยค่ะ ตอนที่ 17 ได้พาทุกคนย้อนกลับไปยังเรื่องราวของ 'ผู้ตาย' อย่างสั้น ๆ และพยายามให้ชัดเจนที่สุด ไม่รู้จะพูดอะไรให้มากความนอกจากขอบคุณทุกคนที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้จริง ๆ ค่ะ

ขอบคุณนร้าาาาาาา เจอกันตอนต่อไปค่า

หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 17 ฤดูกาลดับสูญ 11/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 11-10-2018 23:17:35
วัสสะธารางกูร เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก คนหนึ่งร้อนคนหนึ่งเย็น คนหนึ่งนุ่มนวลอ่อนไหวอีกคนเด็ดขาดเย็นชา เข้ากะนได้ดีทั้งในเรื่องความรักและในหน้าที่

พอล เป็นคนที่โชคร้ายมาก ความรักนำพาเข้ามาโดยไม่รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางอะไรตั้งแต่แรกเริ่มจนจบเรื่อง น่าสงสารจริงๆ

ดารัณ อาจจะมองดูว่าน่าสงสารในวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่แรกเริ่มก็ต้องยอมรับว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวเองล้วนๆ

ถามหาว่าใครเลือดเย็นที่สุดเรื่องนี้ เราขอตอบว่า 'คนเขียน'.....ค่ะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 17 ฤดูกาลดับสูญ 11/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 12-10-2018 01:42:21
:ling3:
เรารู้สึกหดหู่อ่าาาาาาา
เมื่อความตายมาเยือนแล้วต้องจากคนที่รักชั่วนิรันดร์...เศร้า !!!  :m15:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 17 ฤดูกาลดับสูญ 11/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 14-10-2018 22:31:20
บทที่ 18 หนาวจนใจอยากหนี

“เบนโซไดอะซีปีนเป็นกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์กดการทำงานของสมอง คนทั่วไปใช้ในอาการนอนไม่หลับหรือเครียดจนวิตกกังวล ส่วนการที่ไม่อาจระบุชนิดของยา นิติเวชได้ให้ข้อมูลว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ซึ่งอาจเกิดจากปฏิกิริยาของเลือดหรือกลไกร่างกายตามปกติ ผมมองว่าการพบยากลุ่มนี้ในร่างกายของดารัณมันเป็นการชี้ชัดแล้วว่าดารัณอาจมีอาการเครียดจนต้องพึ่งยาและตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด”

ร่างสูงอธิบายผลการวิเคราะห์คดีด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาสบตากับผู้บังคับบัญชาสลับกับลูกน้องด้วยความมั่นอกมั่นใจเหมือนเช่นเคย เจ้าพนักงานนับสิบชีวิตกำลังจ้องมองนายตำรวจมากความสามารถและพยายามคิดวิเคราะห์ตามคำที่เขาพูด น่าเสียดายที่วันนี้วัสสะไม่มีปองภพเป็นลูกคู่ ไม่เช่นนั้น ทุกคนคงจะคล้อยตามง่ายดายเพราะคำสนับสนุนของผู้กองคู่หูเหมือนอย่างเคย





เสียดายที่แม้จะรู้สึกจุกอยู่ในอก แต่วัสสะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของตนได้





“แล้วเรื่องหลักฐานวงจรปิดที่ทีมพิสูจน์หลักฐานตั้งข้อสังเกตล่ะสารวัตรวัสสะ คุณไม่คิดว่ามันผิดปกติเหรอ” ‘สุทธิ’ สารวัตรสอบสวนวัยกลางคนเอ่ยถามขึ้นพลางเหลือบมองท่านผู้การที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ วันนี้เป็นการประชุมสรุปผลคดีใหญ่ ย่อมมีข้าราชการตำรวจระดับท็อปเข้าร่วมฟังอย่างเลี่ยงไม่ได้ วัสสะยกมุมปากยิ้มทันที เพราะมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าคู่ปรับข้ามกองงานคนนี้กำลังชงคำถามเอาใจนาย และหาจุดผิดพลาดของเขาในคราวเดียวกัน

“เรื่องนั้น ผมคงต้องขอให้หมวดก้องช่วยอธิบายแล้วล่ะครับ เราจะได้เข้าตรงกัน” วัสสะผายมือไปยังนายตำรวจชุดพิสูจน์หลักฐานท่านหนึ่ง ลมหายใจถูกถอนทิ้งออกมาเป็นลมก้อนใหญ่ ก่อนที่เขาจะตีสีหน้าให้ปกติที่สุด แม้จะยังกังวล แต่ร่างสูงค่อนข้างแน่ใจว่าหลักฐานที่มีตอนนี้ไม่สามารถโยงไปยังธารางกูรได้อีก ทุกอย่างถูกเขาเสกสรรปั้นเรื่องขึ้นใหม่และตระเตรียมทิศทางเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ เว้นเสียแต่ว่านายท่านคนนั้นจะเดินเกมอันตรายต่อโดยไม่พักหายใจ





วัสสะรู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็ว เหยื่อที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เช่นปองภพต้องถูกดึงลงมาในเกมอีกครั้ง





“ครับ ผมคงต้องขออธิบายเพิ่มเติมตามไฟล์วงจรปิดที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้าทุกท่าน ทีมสืบสวนได้รับไฟล์วงจรปิดในส่วนอื่น ๆ ของสถานที่เกิดเหตุและส่งมอบให้เราตรวจสอบ ทางทีมพบว่าในไฟล์ไม่มีเหตุการณ์ใดน่าสงสัยและน่าจะเป็นช่วงเวลาราวหนึ่งเดือนก่อนเกิดเหตุ ที่สำคัญคือภาพหลายส่วนมีการกระตุกไม่ต่อเนื่องกัน และมีความคลาดเคลื่อนของเวลาเช่นเดียวกับไฟล์ที่เราตั้งข้อสงสัยก่อนหน้า นั่นทำให้เราตีความได้ทันทีว่ามันเป็นปัญหาที่กล้องวงจรปิด”

“ขอบคุณครับผู้กอง ทุกท่านมีความเห็นอะไรมั้ยครับ” วัสสะคลี่ยิ้มบางเมื่อผู้หมวดพูดจบ การจัดการกับวิดีโอไม่ใช่เรื่องยากอะไร ตราบใดที่ไม่มีพิรุธจนต้องนำไฟล์ไปตรวจสอบทางเทคนิค สุดท้ายความเป็นจริงก็จะลอยผ่านไปราวกับฝุ่นละอองในชั้นอากาศ ใช่ วัสสะหวังให้เป็นแบบนั้น

“แล้วที่สารวัตรส่งคนไปเฝ้า… ชื่ออะไรนะ เลขาผู้ตายน่ะ”

“ธารางกูรครับ”

“เออ นั่นแหละ คุณส่งคนไปเฝ้าทำไม ได้อะไรมารึเปล่า” วัสสะพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอารมณ์อื่นใดออกมานอกจากการนิ่งเฉย สารวัตรสอบสวนคนเดิมยิงคำถามเข้ามาได้ตรงจุด และใช่ว่าวัสสะจะไม่มีคำตอบที่ดีพอเตรียมเอาไว้ในหัว

“เพราะข้อสงสัยน่ะครับ อย่างที่ทุกท่านเคยดูเทปคำให้การ ธารางกูรและพีรพลให้การไม่ตรงกันหลายจุด ผมกับผู้กองภพสังเกตเห็นพิรุธในจุดนี้เลยตัดสินใจส่งคนของเราไปสังเกตการณ์จำนวนสองวันเผื่อว่าจะได้อะไร แต่คงผิดคาดไปหน่อย เลยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา ไว้ผมจะเขียนรายงานให้นะครับ พอดีติดงานศพผู้กองภพ ผมเลยยังไม่ได้ทำ ขอโทษด้วยครับ” คำขอโทษของวัสสะสร้างบรรยากาศอึมครึมไปทั่วทั้งห้อง สีหน้าสลดหดหู่คลอน้ำตาที่ทุกคนได้เห็นเป็นของจริง ยิ่งพูดถึง ยิ่งแสดงออกว่าไม่เป็นอะไร วัสสะยิ่งรู้สึกผิดอยู่เต็มอก ทั้งหมดมันเป็นความผิดเขา เรื่องของปองภพมันเป็นความผิดเขาทั้งหมด





ถ้าเขาไม่เดินตามเกม ปองภพคงจะยืนพูดคุยและออกรับหน้าแทนเขาอยู่ตรงนี้





ท่านรู้ดีว่าปองภพเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิตวัสสะ จึงเลือกปองภพเป็นหมากตัวสำคัญในเกม หมากตัวนี้มีสถานะไม่ต่างอะไรกันกับเหยื่อ ปองภพที่หิวโหยหลักฐานและสนุกกับการทำคดีไม่เคยเอะใจถึงที่มาที่ไปของมันเลย เขามัวแต่สนใจผลลัพธ์ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งไม่หยุดยั้ง ส่วนวัสสะเองก็ชะล่าใจว่าเรื่องของธารางกูรไม่ใช่เรื่องที่ปะติดปะต่อง่ายนัก สุดท้ายคนโดนหลอกใช้จึงต้องพบจุดจบอย่างที่ไม่สมควรจะเป็น





วัสสะที่โง่เขลา ขึ้นหลังเสือเดินตามเกมอย่างไม่มีทางลง





“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ คุณค่อยทำรายงานตามหลังมาก็แล้วกัน สารวัตรสุทธิ คุณรับเรื่องต่อจากทีมสืบสวนสรุปสำนวนคดีได้เลย”

“เดี๋ยวครับท่านผู้การ ผมยังมีข้อคาใจอยู่อีกหลายจุด ขอเวลาผมสักครู่นะครับสารวัตรวัสสะ เรามาดูสำนวนทั้งหมดที่มีพร้อมกันดีกว่า”

“เชิญครับ” วัสสะร่างกายกระตุกไปเล็กน้อยเมื่อสารวัตรสุทธิไม่รับคำสั่งจากผู้เป็นนาย ร่างสูงทิ้งตัวลงเก้าอี้ที่เป็นของตนและมองตำรวจอีกท่านนำแฟลชไดรฟ์เข้าไปเสียบกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หน้าเอกสารรายงานถูกเปิดขึ้นมา ก่อนที่อีกฝ่ายจะร่ายเรียงสำนวนทั้งหมดตั้งแต่เริ่มคดี

“รายงานการสอบปากคำนายธารางกูร…” สารวัตรท่านนี้เริ่มการพูดคุยด้วยการชี้พอยน์เตอร์ไปยังสำนวนทีละจุด วัสสะตั้งใจฟังมันทุกคำทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าธารางกูรพูดอะไรออกไปบ้าง ร่างสูงวางมือลงบนหน้าขาที่กำลังยกขึ้นไขว่ห้าง เรียวนิ้วของเขาเริ่มต้นสลับจังหวะสัมผัสในยามใช้ความคิดอีกครั้ง จนกระทั่งสติของเขากระเจิงไปเมื่อมีแรงสั่นครืดจากโทรศัพท์ใต้กระเป๋ากางเกง

“ตรงนี้น่าสนใจนะครับ นายธารางกูรให้การว่านายพีรพลอาจมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนายดารัณผู้ตาย...” นายตำรวจตรงหน้ายังคงกล่าวถึงสำนวนในคดีต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หยุด ระหว่างที่วัสสะเริ่มมีเม็ดเหงื่อไหลซึมรอบกรอบหน้าทั้งที่อากาศภายในห้องเย็นเฉียบ มือขวาของเขาจับเครื่องโทรศัพท์แน่นจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ขณะที่มือซ้ายจิกเข้าหน้าขาของตนอย่างคนสูญสิ้นการควบคุมอารมณ์

‘จะไปต่อไม่ถอยกลับแน่นะวัสสะ’

ประโยคแสนธรรมดาจากโปรแกรมแชทคงจะทำอะไรวัสสะได้ไม่มาก ถ้าหากไม่ได้มีภาพถ่ายจากเบื้องล่างตึกสักแห่งแนบติดมาด้วย ภาพถ่ายภาพเดียวเร่งความรู้สึกและความคิดจนสมองปวดหนึบ แสงที่ย้อนเลนส์กล้องเข้ามาทำให้เห็นตัวตึกเป็นเงาดำ ทว่าห้องที่ถูกโฟกัสกลับปรากฏภาพคนคนหนึ่งยืนพิงประตูระเบียงให้เห็นอย่างชัดเจน





ไม่ว่าภาพจะมืดสักแค่ไหน วัสสะก็ยังจำธารางกูรได้ดี





‘ท่านจะทำอะไร’

‘เปล่านี่ ฉันรู้ว่าแกห่วงกูร เลยส่งคนไปเฝ้าเอาไว้ให้’ วัสสะกัดฟันกรอดแม้ว่าจะเห็นเพียงตัวอักษร ร่างสูงเคลื่อนมือลงไปเบื้องล่างเพื่อให้โต๊ะบดบังเครื่องโทรศัพท์เอาไว้ขณะที่พิมพ์ตอบกลับไป

‘อย่ายุ่งกับกูร’ วัสสะยิ่งร้อนใจเมื่อปลายทางกดอ่านและไม่ได้ตอบกลับมา เขามองไปทั่วห้องอย่างชั่งใจ อยากจะโทรหาธารางกูรตอนนี้ อยากพูดคุยตอนนี้เพื่อให้แน่ใจว่าธารางกูรยังปลอดภัย อันที่จริงเขาอยากจะไปหาคนที่รักในวินาทีนี้เลยด้วยซ้ำ

“และในการสอบสวนพีรพลครั้งที่สี่นะครับ”

“ครั้งที่สี่งั้นเหรอ...” วัสสะพึมพำเสียงเบาตามประโยค ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องกลับได้ยินราวกับอ่านปากเขาอยู่ตลอด เท่าที่วัสสะจำได้ พีรพลเข้าให้การเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงมีครั้งที่สี่โผล่เข้ามาในร่างสำนวนคดี หรือว่ามีอะไรบางอย่างที่เขาพลาดไปกันนะ

“ครับ ครั้งที่สี่ ผมเห็นสารวัตรยุ่ง ๆ ก็เลยไม่ได้แจ้งว่าทางทีมสอบสวนเชิญนายพีรพลมาให้ปากคำเพิ่มเติมเมื่อวานนี้”

“ช่างเถอะครับ เชิญสารวัตรพูดต่อเลย” วัสสะรับคำไปทั้งที่ในใจเริ่มโมโห สารวัตรสุทธิทำงานข้ามหน้าข้ามตากันเกินไปหน่อย การหาสำนวนเพิ่มเติมจากการให้ปากคำควรกระทำเมื่อทีมสืบสวนได้หลักฐานใหม่ หรือมีประเด็นเชื่อมโยงอื่น ๆ

“นายพีรพลให้การเพิ่มเติมว่า ในคืนที่คาดว่านายดารัณเสียชีวิต นายดารัณได้โทรหาเขาและได้เอ่ยเตือนให้ระมัดระวังนายธารางกูร บวกกับคำให้การก่อนหน้า ผมจึงสงสัยนายธารางกูรเป็นอย่างยิ่ง และคิดว่าเราควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน สารวัตรวัสสะเห็นตรงกับผมมั้ยครับ” สารวัตรสุทธิจดจ้องมายังวัสสะทันที ท่ายืนกอดอกปล่อยยิ้มที่มุมปากทำให้วัสสะเกิดอาการมึนตึงไปทั่วทั้งร่าง ประกอบกับวินาทีนั้นโปรแกรมแชทของเขาได้แจ้งเตือนขึ้นมาอีกสองครั้งติด





‘ถ้าไม่อยากให้ยุ่ง ก็ถอยกลับมา’





หากตอนนี้มีใครเอาหูมาแนบอกก็คงจะได้ยินเสียงตึกตักไม่เป็นจังหวะของหัวใจ ท่านส่งภาพวัสสะที่ถูกถ่ายจากมุมที่นั่งของสารวัตรสุทธิเมื่อครู่ ดวงตาสองคู่ของสารวัตรสองท่านฟาดฟันใส่กันทันทีในวินาทีนั้น อารมณ์คุกรุ่นในอกของวัสสะก่อตัวรวมกันอย่างกับสุมไฟ วัสสะคิดไว้เพียงว่าเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อธารางกูร ทำทุกทางเพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง และทำทุกสิ่งเพื่อปกป้องคำสัญญาของตนจนกว่าพวกเขาจะเป็นอิสระเสียที





“เราจะบอกเขาว่าเราพอแล้ว ไปจากขุมนรกนี่กันเถอะ”

“แล้วถ้าท่านไม่ยอม จุดจบของเรา...”

“เชื่อผมสิ ผมสัญญา เราสองคนจะต้องเป็นอิสระ”






ไม่ เขาจะไม่ถอยเด็ดขาด





“ครับ แต่คำให้การปากเดียวไม่มีน้ำหนัก…”

“จริงอยู่ แต่อย่าลืมนะครับ เรายังหามูลเหตุในการฆ่าตัวตายไม่ได้ ยาที่พบในเลือดก็ไม่แน่ชัดว่าเป็นยาอะไร ความเป็นไปได้ที่สุดตอนนี้ที่จะให้คำตอบเราก็คือคนที่พบศพคนแรกและคนที่คุยกับผู้ตายเป็นคนสุดท้าย ผมเห็นควรว่าอย่างน้อยเราควรควบคุมตัวธารางกูรและพีรพลไว้ก่อน”

“ผมไม่เห็นด้วย” วัสสะส่งเสียงดังขึ้นมาทันที ร่างสูงยืนค้ำโต๊ะมองสุทธิด้วยดวงตาถมึงทึง วินาทีนี้เขาไม่เกรงใจใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่เริ่มกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ นัยหนึ่งวัสสะก็โกรธตัวเองเหลือเกินที่ใจอ่อนยอมไม่ทิ้งจดหมายของดารัณเอาไว้ในที่เกิดเหตุ ใครจะไปคิดว่าเรื่องมันจะยุ่งเหยิงมากมายขนาดนี้ ที่ผ่านมาเขาสามารถเคลียร์ทุกอย่างได้เพียงปลายนิ้วเพราะอำนาจคุ้มกะลาหัวจากท่าน และในเวลานี้ท่านก็กำลังบีบให้เขาตายได้เพียงปลายนิ้วเช่นกัน

“ผมเห็นด้วยกับสารวัตรสุทธินะวัสสะ” เสียงท่านผู้การที่นั่งอยู่หัวโต๊ะทำให้วัสสะหันขวับไปมองตาขวางทันที อำนาจบางประการทำให้สถานะเจ้านายลูกน้องเปลี่ยนตำแหน่ง ดูเหมือนจะมีความเกรงใจสั่งผ่านออกมาจากคงที่ยศตำแหน่งสูงกว่า

“ไม่ครับท่านผู้การ ผมไม่เห็นด้วย สารวัตรสุทธิทำงานมานานกว่าผมนับสิบปีคงจะทราบดีว่าประเด็นนี้ยังอ่อนไปมาก ถ้าจะเอาให้แน่ใจจริง ๆ ผมอยากจะขอเวลาสักสองสามวันในการหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมก่อนสรุปสำนวนคดี”

“ว่าไงสุทธิ”

“แล้วแต่ท่านผู้การอนุมัติเลยครับ ถ้าสารวัตรวัสสะคิดว่ามีเวลามากพอ” สุทธิปลายสายตายิ้มเยาะวัสสะระหว่างพูด วัสสะรู้ในทันทีว่า ‘เวลา’ ที่ชายกลางคนเอ่ยไม่ได้หมายถึงระยะเวลาในการทำคดีแน่นอน

“งั้นก็แล้วแต่คุณแล้วกัน วัสสะ”

“ขอบคุณครับ ผมขอเวลาแค่สามวันเท่านั้น”

“ถ้าอยากให้ผมช่วยอะไรก็บอกผมได้นะวัสสะ” วัสสะไม่ได้ตอบสุทธิด้วยคำใด มีเพียงสายตาเดือดดาลตอบกลับไปเท่านั้น เขาลุกออกจากที่นั่งทันที ก้มโค้งตัวทำความเคารพนายตามหน้าที่ก่อนจะเดินออกมาด้วยอารามโมโห ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสารวัตรสุทธิจะตกเป็นเหยื่อของท่านเข้าอีกคน ท่านเป็นคนที่ไว้ใจคนยาก ด้วยธุรกิจมืด อำนาจ หน้าที่การงาน หน้าตาในสังคม เรื่องพวกนี้ทำให้วัสสะเชื่อว่าสารวัตรสุทธิคงเป็นเบี้ยตัวเล็ก ๆ ที่เห็นแก่เงินและยศศักดิ์โดยที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย





จะว่าน่าสงสาร คงใช่ แต่ถ้าถามว่าสงสารมั้ย คงไม่





“ท่านคิดจะทำอะไรอีก ทำแบบนี้กับผมทำไม” น้ำเสียงแข็งกร้าวรอดผ่านสายโทรศัพท์ไปอย่างเต็มความโกรธ วัสสะออกจากห้องประชุมใหญ่และเดินดุ่ม ๆ มาขึ้นรถตัวเองทันที ภายในห้องโดยสารร้อนอ้าวยิ่งขับให้วัสสะร้อนใจจนเกินจะทน

“ก็เผื่อว่าแกจะคิดได้ว่าควรจะทำยังไง”

“ผมไม่คิดอะไรอีกแล้วทั้งนั้น เลิกยุ่งกับผมกับกูรสักที ผมสองคนไม่มีทางพูดเรื่องของท่านอยู่แล้ว ท่านก็รู้ ปล่อยเราไปเถอะ”

“วัสสะ แกรู้ว่าฉันปล่อยใครไปไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าไม่ยอมแยกกันตายก็เลิกคิดที่จะไปจากฉันสักที บนหลังเสือมีแต่เรื่องอันตราย แกเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่าไม่กลัว”

“จะอะไรกันนักกันหนาวะ! ” วัสสะสบถเสียงดัง ปัดมือตบพวงมาลัยจนส้นมือช้ำเป็นรอยแดง ดวงหน้าโกรธแค้นเกลียดชังทำหน้าวัสสะดูน่ากลัวไปเสียหมด ร่างกายของเขาเกร็งจนเส้นเลือดขึ้นเต็มมัดกล้าม ยิ่งได้ฟัง เขายิ่งอยากพาธารางกูรออกไปให้ไกลจากความเลวร้ายที่มีลมหายใจ

“พูดกับผู้มีพระคุณแบบนี้ได้ยังไง ไม่ดีเลยนะวัสสะ”

“ผมจะบอกให้นะ ท่านควบคุมผมไม่ได้ทุกเกมหรอก ผู้มีพระคุณอย่างท่านจะเอาชนะผมกับกูรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว! ”

“งั้นเหรอ แล้วที่ฉันควบคุมทุกอย่างจนแกต้องฆ่าเพื่อนสนิทปิดปากนั่นเรียกว่าทำไม่ได้เหรอ หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอทำให้วัสสะเจ็บลึกลงไปถึงขั้วหัวใจ เพื่อนรักของเขา เพื่อนคนเดียวที่ไว้ใจเขามากกว่าสิ่งใด แต่เพราะความจำเป็นไร้ทางเลือก วัสสะจึงต้องทำลายความเชื่อใจทั้งหมดภายในพริบตา

“ท่านบีบให้ผมทำแบบนั้น ตอนนี้สมใจท่านแล้ว จะเอาอะไรอีก อยากให้สารวัตรสุทธิตายอีกสักคนรึไง! ” เสียงของวัสสะขึ้นลงตามจังหวะเข้าออกของลมหายใจ เม็ดเหงื่อมากมายไหลล้อมรอบกรอบหน้า แม้ภายในตัวรถร้อนระอุ แต่ก็ร้อนได้ไม่เท่าในหัวใจของเขา

“เปล่านี่ ฉันแค่อยากให้แกได้รู้ว่าไม่มีทางหนีฉันพ้น จะใคร จะตำรวจหน้าไหน ไม่มีใครช่วยแกได้ มันไม่มีความยุติธรรมให้คนอย่างพวกเราหรอกวัสสะ ถอยกลับมาเถอะ ลองคิดดูเล่น ๆ สิ ต่อให้กูรไม่ตายเพราะน้ำมือแก ต่อให้มันไม่ฆ่าตัวตาย สุดท้ายก็ต้องถูกจับ แล้วคนแบบนั้นก็จะยอมรับความผิดไว้เพียงคนเดียว กูรจะเจออะไรบ้างเมื่อกลายเป็นนักโทษ หรือบางทีอาจจะโดนใบสั่งปิดปากและตายอย่างไม่มีเกียรติ เด็กนั่นช่างน่าสงสารจริง ๆ แกคิดแบบนั้นมั้ย”

“...” เม็ดเหงื่อไหลผ่านดวงตาของวัสสะจนดวงตาคมแสบแปลบขึ้นมา เขากะพริบตาเพียงครั้งเพื่อไล่ความเจ็บปวด ความจริงทำให้คำพูดจุกอยู่ที่ลำคอ ใช่ ไม่มีความยุติธรรมที่ไหนช่วยเหลือคนบาปอย่างเขาและธารางกูรได้ ความกว้างขวางและอำนาจเหนือกฎหมายของท่านสามารถทำให้ชีวิตของพวกเขาพลิกไปมาราวกับปลาใกล้ตายตัวหนึ่ง

“ถ้าคิดอยากเป็นอิสระ อยากใช้ชีวิตที่เป็นของตัวเอง ฆ่าธารางกูรซะวัสสะ”

“ไม่มีวัน! ผมไม่มีทางทำแบบนั้น”

“จงรักภักดีกับกูรมากกว่าฉันจริง ๆ ด้วยสินะ”

“ใช่ และผมจะไม่มีวันผิดสัญญากับกูร! ”

“แล้วแต่แกเถอะ แต่จำไว้นะ ฉันยังสร้างคนที่จงรักภักดีได้อีกหลายคน ฉันเสียแกไปไม่ได้ แต่ฉันไม่ได้เสียดายคนคิดทรยศอย่างธารางกูร แล้วการตัดสินชีวิตคนทรยศมันสนุกมากเลยล่ะ” เรียวมือทั้งสองข้างของวัสสะบีบแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ตอนนี้ท่านต้องการเพียงเอาชนะวัสสะให้ได้ เอาชนะด้วยการใช้หัวใจของเขาเป็นเดิมพัน

“งั้นท่านก็ต้องจำเอาไว้เหมือนกัน ต่อให้ตัวตายผมจะพากูรออกไปจากนรกให้ได้! ”

“หนีเลยมั้ยล่ะ ฉันยังให้เวลา พากันหนีไปให้ไกลเลยนะ”

“ไม่ต้องมาสั่งสอน! ”

“ฉันพูดจริง ๆ รีบไปหากัน เก็บข้าวของแล้วพากันหนี… แต่หนีให้สุดหล้าฟ้าเขียวนะวัสสะ เพราะถ้าแกและกูรหนีไม่พ้น ฉันจะอาสามอบอิสระให้นายเอง หมดเวลาเล่นเกมแล้ว ตอนนี้ฉันต้องการล่าเหยื่อ… และเหยื่อของฉันชื่อธารางกูร” เสียงหัวเราะร่าที่ดังอยู่ในหูจนกระทั่งอีกฝ่ายวางสายทำให้คนฟังหมดความอดทน วัสสะขว้างเครื่องโทรศัพท์ลงกับเบาะข้างตัว ก่อนที่มันจะกระดอนชนคอนโซลจนหน้าจอแตกไปครึ่งซีก รอยร้าวลึกรุนแรงไม่แพ้สภาพจิตใจของร่างสูง วัสสะทุบมือลงไปที่แตรรถซ้ำ ๆ จนเสียงดังระงมทั่วบริเวณ ไม่นานนักรถคันหรูได้เคลื่อนตัวออกจากซองจอดอย่างฉวัดเฉวียน ทุก ๆ ครั้งที่เหยียบคันเร่ง เสียงหัวเราะของท่านยิ่งกัดลงเข้าไปในจิตใจ ความกลัวและความกังวลทำให้วัสสะไม่อาจหาทางเลือกเดินให้ตนเอง แม้จะเป็นการเดินตามเกม แต่หากทำให้ธารางกูรปลอดภัย วัสสะยินดีที่จะเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง





หมากเกมนี้ ชัยชนะต้องไม่เป็นของผู้ควบคุม





“ต้องทำได้ ต้องหนีมันให้ได้! เข้าใจมั้ยวัสสะ! ”









Talk

สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะ จบไปแล้วกับตอนที่ 18 หลังจากตอนนี้เรากลับมาสู่สถานการณ์ความเป็นจริงกันนะคะ มาลุ้นกันว่าวัสกับกูรจะเป็นยังไงต่อ ^^

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ทุกวิวเอาไว้ ณ ที่นี้ค่า
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 18 หนาวจนใจอยากหนี 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 15-10-2018 01:44:44
อีท่านมันโรคจิตชัดๆ  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 18 หนาวจนใจอยากหนี 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-10-2018 15:17:09
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 18 หนาวจนใจอยากหนี 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 16-10-2018 11:51:28
โอยยยยยนี่เราหนีไปนอนนาเต็มพลังเพื่อมาเจออะไรแบบนี้เหร๊อออออ คนอย่าง 'ท่าน' ฆ่าหมกนาจะกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นข้าว หรือจะทำให้ดินเป็นพิษจนปลูกอะไรไม่ขึ้นกันแน่นะ

วัสกับท่าน มีความเกี่ยวข้องกันยังไงก็ไม่ชัดเจน แต่พอเดาๆได้จากการที่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ให้ความเกรงใจ และ ท่านบอกไม่อาจเสียวัสไปแต่สามารถฆ่ากูรได้โดยง่าย

ท้ายที่สุดเราอาจจะเสียทั้งสองคนไปก็ได้สินะ เฮ้ออออออออ ไปโดดสะพานสารสินกันเถอะ วัสกูร
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 18 หนาวจนใจอยากหนี 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 19-10-2018 21:12:47
บทที่ 19 กลิ่นคำขู่อาละวาด

“คุณวัสยังไม่ได้บอกผมเลยนะครับ ว่าจะเก็บของไปไหน”

“เราคงต้องไปสักที่ ที่ไหนก็ได้ ไปใช้ชีวิตของเราสองคน”

“เราต้องหนีใช่มั้ย...” วัสสะที่พยายามยัดเสื้อผ้าลงในกระเป๋าเดินทางหยุดการกระทำและหันไปสบตากับธารางกูร ร่างสูงขับรถมาถึงที่นี่เมื่อราวสิบนาทีก่อน และแน่นอนว่าเขาไม่เสียเวลาพูดพร่ำทำเพลงใด ๆ คว้ากระเป๋ามาเก็บข้าวของเพียงเล็กน้อยสำหรับคนสองคนทันที ระยะทางบนท้องถนนช่วยให้วัสสะคิดถี่ถ้วนมากพอแล้ว เขาไม่อาจเลือกทางอื่น และไม่มีทางเลือกไหนที่จะใช้ปกป้องธารางกูรได้ดีกว่านี้

“ผมไม่ได้กลับไปที่บ้าน เราเอาเสื้อผ้าไปแค่คนละสองชุดก็คงพอ ค่อยไปหาซื้อข้างหน้า” วัสสะเลือกที่จะเบี่ยงเบนประเด็นคำถามของธารางกูร ดวงตาคมวูบไหวเพราะกลัวว่าคนรักจะตีความว่าตนเองขี้ขลาด ใช่ เขากำลังคิดหนี คิดหนีเพราะคำขู่ คิดหนีเพราะในใจขลาดกลัวไปหมด หมดแล้วความกล้าหาญทั้งหมดที่วัสสะเคยมีในชีวิต ณ วินาทีนี้ต่อให้ต้องลดศักดิ์ศรีของตนลงมาเดินตามเกมหน้าซื่อ ๆ เขาก็ยินดี

“คุณวัสครับ คุณต้องตอบผมก่อน” ธารางกูรคว้ามือหนามารั้งเอาไว้ ร่างบางใช้สองมือบีบเบา ๆ ที่มือข้างนั้นของวัสสะ คนตัดสินใจมองลึกลงไปในดวงตาคู่กลมอย่างรู้สึกผิด เขาไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ไม่อยากคิดถึงภาพที่ต้องพากันหนีหัวซุกหัวซุน แต่คำพูดของท่านมันบีบบังคับให้ทำอะไรสักอย่าง ทำสักทางที่ดีกว่าการยืนรออันตราย มันหมดเวลาแล้วจริง ๆ





“หนีให้สุดหล้าฟ้าเขียวนะวัสสะ เพราะถ้าแกและกูรหนีไม่พ้น ฉันจะอาสามอบอิสระให้แกเอง หมดเวลาเล่นเกมแล้ว ตอนนี้ฉันต้องการล่าเหยื่อ… และเหยื่อของฉันชื่อธารางกูร”





หมดเวลายืนรอฝนตกฤดูหนาวอย่างไร้ความหวัง





“เรามีทางเลือกน้อยลงทุกทีแล้วกูร”

“หมายความว่ายังไงครับ”

“สารวัตรสอบสวนที่ทำคดีดารัณเป็นคนของมัน ผมปิดคดีลงไม่ได้ ครั้งนี้คดีหลุดจากการควบคุมของผมไปแน่” ธารางกูรอึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาไร้ความหวังในชีวิตชัดเจนขึ้นมาคล้ายกับความปรารถนาที่มีเลือนรางลงไปทุกที

“จะเป็นยังไงต่อครับ...”

“ท่านกำลังทำทุกอย่างให้เราสองคนไม่มีที่ยืน มันต้องทำทุกทางเพื่อทำลายเรา”

“ไม่ใช่เราหรอกครับ… แค่ผมคนเดียว”

“กูร”

“แล้วถ้าเราตัดสินใจถอยกลับไปยืนจุดเดิมล่ะครับคุณวัส” กลุ่มน้ำใสไหลออกจากนัยน์ตาคนที่กำลังหวาดกลัวสิ้นหวัง ธารางกูรหาได้กลัวอันตรายหรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตน หากแต่เขากำลังนึกเป็นห่วงคนข้างกายสุดใจ วัสสะไม่ควรต้องมายืนอยู่ตรงนี้ ยิ่งรับรู้ ยิ่งรู้สึก ยิ่งได้ความรักมาครอบครอง ธารางกูรยิ่งรู้สึกผิดอยู่เต็มอก

“ฟังนะกูร ผมเชื่อว่าตอนนี้ต่อให้เรากลับไป มันก็ไม่ปล่อยเราไว้แน่ ผมมีทางเลือกแค่สองทาง ถ้าไม่หนี ผมก็ต้องฆ่ามัน”

“คุณวัสจะฆ่าท่านไม่ได้นะครับ”

“ผมทำได้คุณก็รู้”

“แต่คุณวัสจะทำแบบนั้นไม่ได้! ” ธารางกูรเหวขึ้นมาเสียงดัง ร่างสูงชะงักไปพลางเม้มเรียวปากอย่างคนคิดหนัก อันที่จริงถ้าร่างสูงตัดสินใจจบทุกอย่างที่ตัวต้นเหตุ แค่ลั่นปืนสักครั้งหรือผสมไวน์ให้กินสักแก้วเรื่องก็คงจบ แต่ในความเป็นจริง บางเรื่องมันค้ำคอจนไม่อาจกระทำได้ในการตัดสินใจเพียงครั้งเดียว

“รู้อะไรมั้ยกูร ถ้าคุณไม่เคยขอผมไว้ ผมฆ่ามันตายไปนานแล้ว”

“ผม...”

“เพราะงั้นอย่าตั้งคำถามกับผมอีกเลยนะ ผมกำลังหาทางที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคน ผมจะทำเพื่อคุณ เพื่อคุณทั้งหมดเลย”

“แต่ว่า...”

“ผมสัญญาแล้วว่าจะพาคุณออกไปจากนรก ผมจะทำให้ได้ ผมสัญญา” ธารางกูรพยักหน้ารับคำสัญญาจากวัสสะ น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมาเป็นสายเพราะกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เด็กกำพร้าคนหนึ่งจะต้องการอะไรมากมายในชีวิตเมื่อครั้งเติบโตขึ้น ชื่อเสียง เงินทอง หรือว่าบ้านหลังใหญ่ แน่นอนว่าสิ่งที่ธารางกูรต้องการไม่ได้ใกล้เคียงสิ่งลวงพวกนั้น ที่เขาต้องการนั้นมีเพียงตัวตนและคนที่เขารัก

“ไม่คิดเลยว่าเวรกรรมจะตามตัวกันเจอเร็วขนาดนี้”

“ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะอยู่กับคุณเสมอ ไม่ว่าเวรกรรมหรือใครหน้าไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้ทั้งนั้น” วัสสะออกแรงบีบมือกลับไป ก่อนจะใช้มืออีกข้างปาดเช็ดคราบน้ำตาอย่างรักใคร่เอ็นดู ใบหน้าวิตกกังวลเคล้าความเศร้าไม่เหมาะกับร่างบางสักเท่าไหร่ ที่วัสสะต้องทำตอนนี้คือรีบลบร่องรอยสะท้อนใจให้จางลงไปเสียที

“ผม… ผมไม่อยากให้คุณวัสทิ้งทุกอย่างไป”

“ผมรู้ แต่คุณสำคัญที่สุด” วัสสะดึงมือที่จับกันไว้แน่นเข้าหาตัว ทั้งสองกอดเคลื่อนกายกอดกันเพื่อสร้างแรงกำลังใจที่ดีที่สุด วัสสะตบลงเบา ๆ ที่แผ่นหลังเล็กนั่น ระหว่างที่ธารางกูรโอบกอดช่วงเอวของเขาเอาไว้พลางจิกปลายมือจนเกิดรอยยับตึงไปทั่วตัวเสื้อ ความอบอุ่นในช่วงเวลานี้เป็นเพียงฉากหน้าของความรู้สึกเท่านั้น อย่างไรภายในใจทั้งคู่ก็ยังหนาวเย็นและรอคอยเม็ดฝนที่จะมอบชีวิตเช่นเดิม

“เราจะหนีไปได้จริง ๆ ใช่มั้ยครับ”

“ได้สิ เราสองคนจะทำได้” ริมฝีปากหนาก็ซับจูบลงที่หน้าผากขาวเนียน ธารางกูรปิดเปลือกตาลงกอดวัสสะเอาไว้แน่น เรียวมือเกร็งกดลงกับผืนเสื้อด้วยอาการสั่นกลัวจนร่างสูงรับรู้ได้ทั้งหมด ลมแรงพัดผ่านผืนม่านเปิดโล่งเข้ามาเป็นระลอกสุดท้าย ความหนาวมอบกลิ่นฝนโชยคลุ้งชัดเจนราวกับให้ความหวัง เมื่อไหร่ที่ฝนตกผิดฤดูกาล เมื่อนั้นชีวิตของพวกเขาคงหวนกลับคืนสู่ตัวตนอีกครั้ง





ตกลงมาสักทีเถิดฝน อย่าหยอกล้อกันนานนักเลย





ของทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นถูกเก็บลงในกระเป๋าเพียงหนึ่งใบ สำหรับธารางกูรการย้ายที่อยู่หรือการเดินทางไปเรื่อย ๆ เป็นเรื่องแสนปกติธรรมดาในชีวิต ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เคยทำเช่นนี้เพื่อตอบสนองคำสั่งของนายท่านคนเดิม ปรุงแต่งตัวตน เข้าใกล้ใครสักคนเพื่อหวังผล และจบตัวตนนั้นลงตัวการคร่าอย่างน้อยหนึ่งชีวิต แต่สำหรับครั้งนี้ มันเป็นครั้งแรกที่การเดินทางของเขาจะหลุดออกจากกรงเหล็กที่ขังอิสรภาพเอาไว้เสียที

เวลาล่วงเลยผ่านไปจนดึกสงัด แต่แสงไฟของห้องหมายเลขห้าศูนย์หนึ่งศูนย์ยังคงสว่างชัดท่ามกลางความเงียบงันและกลิ่นไอฝนซึ่งเข้มรุนแรงขึ้นทุกที หลังจากที่ปล่อยเวลาให้ไหลไปในทิศทางที่เหมาะสม คนทั้งคู่ก็เริ่มเดินวนไปมารอบบริเวณห้องเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง โดยเฉพาะวัสสะที่ไม่เพียงวิตกเรื่องตรงหน้าเท่านั้น แต่ในสมองของเขากำลังวางแผนในการใช้ชีวิตเป็นฉาก ๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องความอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

“เก็บติดตัวไว้” วัสสะดึงปืนของตนออกจากช่วงใต้ราวนมด้านขวา ซองปืนพกคาดอกทำให้เห็นว่าเขายังมีปืนติดตัวอยู่อีกหนึ่งกระบอก อาวุธอันตรายถูกยื่นช่วงตัวด้ามไปตรงหน้าธารางกูร ทว่าร่างบางกลับส่ายหน้าปฏิเสธและดันมือของวัสสะคืนมาทันที

“ไม่เอาครับ”

“ผมไม่ว่าหรอก พกไว้เถอะกูร เผื่อว่าเราจะคลาดกัน”

“ไม่ครับ เราจะไม่คลาดกัน” มือเรียวเล็กใส่ปืนลงซองที่เดิมด้วยตนเอง วัสสะพยักหน้าเข้าใจและยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยินน้ำเสียงหนักแน่นจากธารางกูร แค่ได้ยินแบบนี้ แค่รู้สึกว่าธารางกูรไว้ใจที่จะอยู่กับเขาแบบนี้ หัวใจมันก็ฟูขึ้นมาจนคับอก

“โอเคครับ ใส่เสื้อซะข้างนอกหนาว” วัสสะเอื้อมมือไปลูบช่วงศีรษะของธารางกูรด้วยความรัก ก่อนที่เขาจะยื่นเสื้อกันหนาวสีเทาให้ธารางกูรสวมเอาไว้ป้องกันร่างกายจากสภาพอากาศภายนอก ขณะที่ตัวเขาเองเลือกเสื้อโค้ตสีดำตัวยาวสวมทับลงไปปกปิดอาวุธที่ขนาบอยู่บนตัว

“ตกลงเราจะไปที่ไหนกันครับคุณวัส”

“ผมคิดว่าควรจะเป็นชานเมืองใกล้ ๆ ก่อน ผมไม่อยากไปไกลนัก รอติดต่อคนที่พอจะช่วยเราได้สักคนแล้วค่อยเดินทางต่อ กลุ่มเส้นสายของท่านจะยิ่งทำงานง่ายถ้าเราเดินทางยาวครั้งเดียว รอสบโอกาสเหมาะ ๆ แล้วเราค่อยหาทางออกนอกประเทศกัน” วัสสะสะพายกระเป๋าเดินทางใบเดียวเอาไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง กระเป๋าสีดำทรงกระบอกใบนี้มีทั้งเสื้อผ้า ของใช้ เอกสารเท่าที่จำเป็น ที่ขาดไปไม่ได้คือเครื่องกระสุนปืน และขวดยาผลึกขาวไร้กลิ่นสีที่ธารางกูรและวัสสะเคยใช้จนชินมือ

“ครับ...” ธารางกูรตอบรับด้วยท่าทีไม่สบายใจนัก ที่ทุกอย่างยุ่งยากส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเขา ชีวิตจริงนามชยางกูรถูกตัดหายไปจากโลกไปนี้ร่วมสิบกว่าปี ส่วนตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นอย่างธารางกูรก็เป็นเพียงชีวิตที่ล่องลอยไร้หลักฐาน เอกสารที่บ่งชี้การมีอยู่ของธารางกูรทุกวันนี้ ท่านเป็นคนเสกสรรให้ถูกต้องตามกฎหมายขึ้นมาทั้งหมด นั่นหมายความว่าหากธารางกูรคิดจะหลบหนีไปในทางทิศใด ท่านก็จะสามารถสกัดกั้นและเสกให้ตัวตนของเขาหายไปได้ในทันที





มีชีวิต มีตัวตน แต่เหมือนไม่มี



“อย่าทำหน้าแบบนั้น ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี” วัสสะสร้างกำลังใจด้วยการโน้มใบหน้าลงจูบที่ริมฝีปากของธารางกูรอย่างแผ่วเบา สัมผัสเพียงด้านนอกร้อนผ่าวขัดกับสภาพอากาศที่กำลังเกิดขึ้นจริง ทั้งคู่ยิ้มกว้างให้กันทั้งที่ขัดกับอารมณ์ในแววตา แสงสว่างในห้องถูกปิดลงระหว่างที่ผ้าม่านผืนเดิมยังคงพัดไหวรับลมหนาวต่อเนื่องไม่ได้หยุด





นี่ไม่ใช่จุดจบแสนระทึก ไม่ใช่การเริ่มต้นน่าตื่นเต้น

แต่มันเป็นเพียงช่วงใจกลางที่ผูกเรื่องราวเอาไว้กับหัวใจ





ห้องห้องเดิมถูกปิดลงเมื่อคนสองคนเดินตามกันมา ธารางกูรเดินนำไปเบื้องหน้าระหว่างที่วัสสะสอดส่ายสายตามองอยู่เบื้องหลัง ช่วงเวลานี้คนส่วนใหญ่คงจะนอนหลับและคิดถึงเรื่องราวดี ๆ ในความฝัน แต่สำหรับสองชีวิตตรงนี้มีเพียงความเป็นจริงเท่านั้นที่จะทำให้หลับฝันได้อย่างคนทั่วไป

“กูร อย่ามอง” วัสสะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบขณะที่เดินออกนอกตัวตึก เขาเห็นชัดเต็มสองตาว่ามีชายสวมฮู้ดสีดำมองมาแต่ไกล และที่สำคัญ รอยยิ้มที่มุมปากใต้เงามืดนั่นไม่ต่างอะไรกับการเย้ยหยันให้รู้ไว้ว่าไม่มีทางหนีพ้นได้ดั่งใจ

“เขาตามเราไปแน่ ๆ ”

“ช่างสิ ถ้าคิดว่าตามได้ตลอดก็ลองดู” วัสสะหันกลับไปมองชายคนเดิมด้วยดวงหน้าที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ชายคนนั้นค่อย ๆ ถอยตัวออกไปจนลับตา แต่ทว่านั่นไม่ได้ทำให้วัสสะรู้สึกสบายใจขึ้นได้เลยสักนิด ร่างสูงเริ่มกังวลว่าทุกอย่างจะติดขัดตั้งแต่ค่ำคืนแรก เมื่อถึงรถคันเก่งสิ่งแรกที่เขาทำคือการยื่นกุญแจให้ธารางกูรและเดินสำรวจรอบคัน ไม่เว้นแม้แต่การก้มมองหาสิ่งผิดปกติใต้ตัวรถท่ามกลางแสงสว่างอันน้อยนิด

“โอเคมั้ยครับคุณวัส”

“โอเค คุณขับไปก่อน เราค่อยไปหาทางเปลี่ยนรถเอาข้างหน้า” ธารางกูรพยักหน้ารับและเริ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ทันที ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่เบาะข้างคนขับ กดปิดระบบจีพีเอสที่ฝังมากับรถหรูบนหน้าจอควบคุม และปรับกระจกมองหลังให้อยู่ในระดับสายตาของตนแทนที่จะเป็นคนขับ

วัสสะจ้องกระจกมองหลังไม่วางตา ทุกอย่างตึงเครียดขึ้นเพราะความไว้วางใจในสถานการณ์แทบจะเป็นศูนย์ และแน่นอน สัญชาตญาณของเขาไม่เคยผิดไป รถซีดานสองคันขับทิ้งระยะห่างกันสม่ำเสมอ และใช้เส้นทางตามพวกเขามาอย่างผิดปกติ ช่วงเวลาเช่นนี้คงไม่มีใครคิดจะออกนอกเมืองพร้อมกันเป็นแน่

“มีคนตามเรา”

“ผมรู้ คุณใจเย็น ๆ ขับตามเส้นทางของเราไปก่อน” วัสสะว่าขณะที่ธารางกูรเพิ่มความเร็วมากขึ้นเพราะไม่อาจทำใจให้เย็นตามที่ร่างสูงพูดได้

“คุณวัสจะทำอะไรครับ”

“เผื่อต้องใช้ คุณขับไปเถอะ อย่าตื่นเต้น” วัสสะเอื้อมมือสัมผัสช่วงศีรษะคนขับรถเพื่อให้กำลังใจ ขณะที่อีกมือกำด้ามปืนเอาไว้แน่น อันที่จริงวัสสะไม่อยากจะให้ความรุนแรงใดเกิดขึ้นในที่สาธารณะนักหรอก แต่ไอ้การที่รถสองคันนั่นขับตามราวกับไม่มีเส้นทางเป็นของตัวเอง มันทำให้เขาไม่สบายใจที่จะมีเพื่อนร่วมทาง

“คุณวัสครับ โทรศัพท์ผม” ธารางกูรใช้มือหนึ่งดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้กับวัสสะ ก่อนที่เขาจะหันมาสนใจการขับรถต่อและมองดูสถานการณ์เบื้องหลังผ่านกระจกมองข้าง วัสสะรับเครื่องโทรศัพท์มาไว้ในมือ และเห็นอยู่เต็มตาว่าสายที่โทรเข้ามาจนเครื่องส่งเสียงเป็นใคร

“หึ ไอ้สารเลว”

“คุณวัสจะไม่รับเหรอครับ”

“ไม่ ผมยังไม่เห็นความจำเป็นใดที่เราจะรับสายเขา” วัสสะมองหาอุปกรณ์เท่าที่มีในรถ คว้าคลิปหนีบกระดาษมากดช่องซิมการ์ดออกมา และกระทำการเช่นเดียวกับโทรศัพท์ตัวเอง ซิมการ์ดขนาดเล็กปลิวไปตามแรงลมทันทีที่ร่างสูงลดกระจกลง อุปกรณ์สื่อสารสองเครื่องถูกโยนไปยังเบาะหลังอย่างไร้ค่า

“เฮ้ย! ” ธารางกูรร้องเสียงหลงเพราะเมื่อครู่พวกเขามัวแต่สนใจเครื่องโทรศัพท์ รถซีดานสีเทาที่ขับตามมาเร่งความเร็วปาดหน้าในชั่วพริบตา ธารางกูรเหยียบเบรกสุดกำลังเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ตัวรถหมุนเคว้งระยะหนึ่งก่อนที่เสียงล้อเสียดสีกับพื้นถนนจะดังก้องไปทั่วบริเวณ วินาทีนั้นวัสสะตั้งสติได้รวดเร็วกว่าสิ่งใด เขาเอื้อมมือขวากดอกของธารางกูรให้ร่างกายแนบไปกันเบาะหนัง ความเป็นห่วงที่มีมากเกินไปทำให้เขาลืมคิดถึงตัวเองที่ไม่มีแม้แต่เข็มขัดนิรภัยรั้งร่างเอาไว้

“เป็นอะไรรึเปล่ากูร”

“ป...เปล่าครับ” หัวใจของธารางกูรเต้นทะลุผ่านมายังมือของวัสสะเมื่อรถนิ่งสนิท รถแลนด์โรเวอร์จอดเอียงขวางถนนไปทั้งเลน คนทั้งคู่สบมองกันเมื่อรถซีดานสองคันขับเข้ามาขนาบหน้าหลังโดยไม่ลืมที่จะลดความเร็วลงราวกับจะแวะทักทาย วัสสะดึงมือกลับมาชักลำกล้องปืนให้อยู่ในลักษณะเตรียมพร้อมทันที แต่ทว่าความเร็วของเขานั้นไม่อาจสู้คนที่คิดมาแล้วแต่ไกล





ปั้ง!





“กูร! ” เสียงปืนสนั่นหวั่นไหวรวดเร็วรุนแรงเกินกว่าคาด วัสสะทิ้งปืนในมือพุ่งตัวเข้าโอบกอดธารางกูรเอาไว้โดยไม่ต้องหยุดคิด รถสองคนเร่งความเร็วออกไปทันทีเมื่อคำขู่แรกสัมฤทธิผล แรงกระสุนกระทบตัวรถทำให้ธารางกูรสั่นขึ้นมาเพราะหวาดกลัว ดวงตากลมเลิ่กลั่กมองใบหน้าและร่างกายของวัสสะเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใด ๆ

“ค..คุณวัสไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ”

“ไม่ ผมไม่เป็นอะไร” แม้จะเป็นท่าทางการโอบกอดที่ยากเย็น แต่ทั้งคู่ก็ยังโหยหาที่จะเอื้อมสุดแขนเพื่อรั้งกันและกันเอาไว้ หัวใจสองดวงเต้นแข่งกันไม่เป็นระส่ำ ความรู้สึกเป็นห่วงใจจะขาดวิ่งแล่นไปทั่วร่าง วัสสะรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะหนีไปให้ไกล แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะยากเย็นกับหัวใจถึงเพียงนี้





หากนี่เป็นคำขู่

มันคงเป็นคำขู่ที่แผลงฤทธิ์อาละวาดจนคนเข้มแข็งเริ่มหวาดกลัว






Talk

สวัสดีค่า กำลังจะเข้าสู่ช่วงท้ายของเรื่องแล้ว อย่าลืมให้กำลังใจทั้งตัวคนเขียน และตัวละครด้วยนะคะ ลองคาดเดากันดูเล่น ๆ ว่าเรื่องจะไปทางไหนดี มีความเห็นติชมกันได้นะคะ ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกยอดวิว ทุกกำลังใจเช่นเคยค่ะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 19 กลิ่นคำขู่อาละวาด 19/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 19-10-2018 22:28:32
อิท่านมันเป็นพ่อของวัสใช่รึเปล่าคะ
เพราะดูแล้วกูรพยายามพูดไม่ให้วัสฆ่าอิท่านเลย
นี่ก็ตามจองล้างกูรมันอยู่นั่นแหละ
กูรมันไปทำไรให้ถึงเลือกเอามันมาเป็นทาสแบบนี้

โอ้ยยยย !!! รวมพลังกันฆ่าอิท่านเถอะ
ไม่งั้นก็หนีไม่พ้นหรอก หรือจะหนีพ้นก็ต้องไปแต่วิญญาณละ
 :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 19 กลิ่นคำขู่อาละวาด 19/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 19-10-2018 22:33:26
ดูเหมือนกูรจะไม่มีทางให้เลือกเลยสินะ ชีวิตต้องเดินตามเส้นที่ถูกขีดไว้แล้ว นั่นมันในความคิดของ ท่าน ฝ่ายเดียวค่ะ เราเชื่อในตัววัส วัสเองก็คงร้ายไม่น้อยไปกว่า ท่าน หรอก เราเชื่อแบบนั้น แต่ถ้าไม่ ก็ ไปวัดดวงเอาชาติหน้าเนอะ อาวุธครบมือขนาดนั้น งานถนัดของทั้งสองคนอยู่แล้วด้วย กับคนอื่นยังจัดการได้ง่ายๆ แค่กับตัวเองมันจะยากอะไร
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 19 กลิ่นคำขู่อาละวาด 19/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 21-10-2018 22:12:01
บทที่ 20 ฝนนั้นคอยปลอบใจ

“ถ้าพี่เข้าห้องตอนนี้ ผมคิดสองวันนะ” คนตอบรับไม่พูดอะไร วัสสะดึงแบงค์พันจากกระเป๋าสตางค์ยื่นให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ชายวัยรุ่นท่าทางไม่สนใจโลกรับเงินมาทั้งที่มืออีกข้างหนึ่งยังคีบบุหรี่ควันฉุย วัสสะรีบหยิบกุญแจห้องหนึ่งศูนย์เจ็ดด้วยกิริยาไม่สนใจใครไม่แพ้กัน เขากระชับประสานมือของธารางกูรด้วยมืออีกข้างให้แน่นกว่าเดิม ทั้งคู่พากันเดินเข้าที่พักสวนทางกับแสงสว่างที่เพิ่งจะโผล่ขึ้นพ้นขอบฟ้า

บรรยากาศโรงแรมโนเนมขนาดเล็กแถบชานเมืองก็เป็นเช่นนี้ เล็ก แคบ ไม่สะอาดสะอ้านเท่าที่ควร และเหมาะกับลูกค้าที่ต้องการทำกิจกรรมรายชั่วโมงมากกว่า แต่นับว่ายังโชคดีที่ภายในห้องยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอพักอาศัยให้ผ่านวันเวลาไปได้

“คุณนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะลองติดต่อคนที่พอจะช่วยเราได้” วัสสะว่าขณะที่เดินมาล็อกประตูห้องให้แน่นหนา ธารางกูรนั่งลงกับเตียงพร้อมกับการสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ทดแทนอาการเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นมาทั้งคืน

“ผมรอนอนพร้อมคุณวัสดีกว่าครับ” วัสสะหันมามองคนตอบขณะจัดการกับเครื่องโทรศัพท์และซิมการ์ดใหม่ที่ได้มาจากร้านสะดวกซื้อ ธารางกูรยังคงดูกังวลและไม่ได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย นั่นสินะ เจอเรื่องแบบนั้นมาหมาด ๆ แถมยังไม่รู้ว่าจะต้องเยอะอีกเท่าไหร่ ใครจะไปสบายใจหลับตาได้ลง

“งั้นระหว่างรอ คุณไปอาบน้ำดีมั้ย เผื่อจะสดชื่นขึ้น”

“ครับ” ธารางกูรรับคำอย่างว่าง่ายเพราะอยากจะให้สมองโล่งอยู่เหมือนกัน ร่างบางเปิดกระเป๋าคว้าหยิบของใช้เดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่สนใจเสื้อผ้า วัสสะมองภาพการเคลื่อนไหวเชื่องช้าแล้วก็ได้แต่สะท้อนใจอยู่ลึก ๆ ไม่คิดเลยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเขาจะเดินจูงมือธารางกูรมาในทิศทางนี้ ทิศทางที่ไม่ต่างอะไรกับคำว่าอาชญากรที่พวกเขาปฏิเสธอยู่ในใจว่าไม่ได้เป็น

ย้อนกลับไปหลายชั่วโมงก่อน รถแลนด์โรเวอร์ถูกยิงเข้าที่ใต้ซุ้มล้อหน้าด้านขวา วัสสะตัดสินใจขับมันต่อด้วยตัวเอง และจอดทิ้งไว้ริมทางก่อนจะถึงท่ารถออกนอกเมืองไม่กี่ร้อยเมตร ร้านสะดวกซื้อมีข้าวของมากมายเพียงพอที่จะทำให้สะดวกขึ้น ทั้งของใช้ ของกิน เครื่องดื่ม หรือแม้แต่เบอร์โทรศัพท์ใหม่ที่พอจะทำให้ติดต่อคนที่ไว้ใจได้

วัสสะเปิดเบอร์ใหม่และปิดระบบจีพีเอสหรือระบบอื่นใดที่จะระบุตำแหน่งได้ทั้งหมด ส่วนเครื่องโทรศัพท์ของธารางกูรถูกทิ้งไว้ในรถอย่างตั้งใจแต่แรก ไม่นานนักร่างสูงก็โทรหาญาติผู้ใหญ่ของผู้เป็นแม่หรือข้าเก่าเต่าเลี้ยงที่พอจะเคยรักใคร่กันเพื่อหาทางรอดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ทว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายราวกับเทพนิยายปรัมปรา

“ผมแค่อยากให้ช่วยพาออกไปตรงด่านชายแดนเท่านั้นเองครับ… เปล่าครับ ท่านไม่ทราบเรื่อง” แม้วัสสะจะไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมด แต่สายแล้วสายเล่าก็ยังปฏิเสธการช่วยเหลือ ไม่มีใครยินดียื่นมือเข้ามาเมื่อมีชื่อของท่านเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือที่เลวร้ายที่สุด แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยถึงท่าน คนเหล่านั้นก็ยังจะย้อนถามกลับมาด้วยความกังวลอยู่ดี

“ครับคุณลุง ไม่เป็นไรครับ” สายสุดท้ายปฏิเสธความเดือดร้อนของเขาอย่างไร้เยื่อใย วัสสะทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ยกสองมือขึ้นทึ้งหัวตัวเองอย่างคนอับจนหนทาง อาการวิตกเริ่มเปลี่ยนเป็นความเครียดจนเส้นเลือดบริเวณขมับปูดโปนขึ้นมา ร่างสูงก้มมองมือตัวเองพร้อมตั้งคำถามในใจว่าทำไมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมแม้แต่จะคิดหนียังไม่มีแม้แต่ทางไป

ขณะเดียวกันธารางกูรก็ปล่อยสายน้ำเบาไหลผ่านตั้งแต่หัวจรดเท้า บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าในสมองโล่ง ๆ ของเขาตอนนี้มันคิดอะไรอยู่ แปลกดีนะที่รู้สึกอยากจะร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นวัสสะทุ่มเททั้งชีวิตเพราะรักเขาเหลือเกิน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ต้องรู้สึกกับความรัก รักของวัสสะที่ไม่รู้จะสรรหาวิธีใดมาตอบแทน

.

.

.



“ค...คุณวัส”

“กูรมาทำอะไรที่นี่ ทำไมสภาพเป็นแบบนี้” เด็กหนุ่มวัยสิบหกปี จับตัวธารางกูรพลิกซ้ายขวาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาแอบตามธารางกูรออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงค่ำ หัวใจกระวนกระวายบอกให้เขาตามมาเพราะทุกอย่างดูผิดสังเกตนับตั้งแต่ที่ธารางกูรเข้าพบท่านเมื่อวันก่อน และภาพที่เห็นตอนนี้ยิ่งทำให้หัวใจเขากระวนกระวายยิ่งกว่าเก่า เสื้อผ้าของธารางกูรยับยู่ยี่ ใบหน้าเปียกชื้นผ่านการร้องไห้มาไม่มากก็น้อย ทั้งร่างกายยังชุ่มไปด้วยเหงื่อและน้ำเสียงแหบพร่าเกินกว่าจะอยู่ในสถานการณ์ปกติ

“ผม…” ธารางกูรมีท่าทีกังวลเกี่ยวกับภายในห้องพักที่เพิ่งจะโซซัดโซเซออกมา วัสสะหัวเสียรุนแรงราวกับคนผิดหวัง เขากระชากแขนคนอายุน้อยกว่าและพยายามคาดคั้นให้ได้คำตอบ ภายในใจอยากจะเข้าไปดูเหลือเกินว่าธารางกูรมาที่ห้องพักชั่วคราวนี่กับใคร แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาอยู่ในสถานที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้

“วัสถามอยู่ ไม่ได้ยินเหรอ! ”

“โอ๊ย! คุณวัสครับผมเจ็บ” ธารางกูรเซตามแรงมือของวัสสะทันที ร่างบางนิ่วหน้างอตัวทั้งที่โดนบีบแค่บริเวณแขน วัสสะรีบปล่อยมือเพราะความสงสัยที่มีมากขึ้น เขาเลิกปลายแขนเสื้อของธารางกูรขึ้นก่อนจะเห็นรอยช้ำแดงเป็นแนวยาวคล้ายถูกทุบตีด้วยของแข็ง ความไม่เข้าใจทำให้ดวงตาคมทวีความหงุดหงิด วัสสะกระชากชายเสื้อของธารางกูรขึ้น ขณะที่อีกฝ่ายพยายามฝืนแรงปิดบัง

“ไปโดนอะไรมา! ” ธารางกูรหน้าเสียไปจนหยดน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม แผงฟันขาวกัดริมฝีปากตัวเองจนแน่น ร่างสูงจึงต้องสรุปที่มาที่ไปของร่องรอยที่เห็นด้วยตนเอง รอยขบเม้มบนผิวกายขาวปรากฏชัดเป็นรอยใหม่นับสิบรอย รอยเดียวกับที่แขนโผล่ให้เห็นแทบจะเต็มพื้นที่หลัง สีข้างเอวช้ำแดงและพร้อมจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มเมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งวัสสะสังเกตให้ดี เขายิ่งเห็นว่าที่ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างของธารางกูรผ่านการดิ้นรนมาจนกระทั่งเล็บเปิดเลือดช้ำ ทั้งที่โดนกระทำมาขนาดนี้ ธารางกูรยังเลือกที่จะปิดปากเงียบ แล้วจะไม่ให้วัสสะโมโหมากขึ้นได้ยังไงกัน

“ผม...”

“ท่านให้กูรมาทำอะไร กับใคร มันทำอะไรกูรใช่มั้ย! ”

“คุณ...คุณวัสอย่าเข้าไปครับ”

“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะกูร” ธารางกูรกลับพยายามรั้งวัสสะเอาไว้ และกึ่งลากกึ่งจูงให้เขาออกห่างจากตรงนั้น วัสสะผู้ไม่เข้าใจมองตามสายตาสั่นกลัวของธารางกูรไปในทิศทางเดียวกัน ร่างกายข้าง ๆ ตัวสั่นเทิ้มเกินกว่าจะยอมรับไหว วัสสะออกแรงสะบัดแขนแบบไม่คิดชีวิต เขาพุ่งตรงเข้าไปใต้ม่านผ้าใบทันที ทว่าภาพที่เห็นภายในกลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้วราวกับจับต้นชนปลายไม่ถูก

“คุณวัสครับ อ... ออกไปเถอะครับ”

“นั่นใคร” วัสสะหันไปสบตาธารางกูรที่วิ่งเข้ามาเกาะแขน มือเรียวเล็กจิกเข้าลำแขนของคนที่โตกว่าโดยไม่รู้ตัว ดวงตาสับสนไม่กล้าแม้แต่จะมองภาพตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ ประตูห้องพักถูกเปิดทิ้งไว้เผยให้เห็นความยับเยินภายใน ชายคนดังกล่าวยังคงดูเหมือนมีสติดี เขาพยายามเดินออกมาเปิดประตูรถหรูของตัวเอง พลางมองกดสายตามาที่ธารางกูรด้วยความเกลียดแค้นชิงชัง

“มึงเอาอะไรให้กูกิน! ” เสียงตวาดลั่นดังขึ้นก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะคว้าปืนขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ วัสสะตื่นตระหนกระหว่างที่ธารางกูรผวาตัวออกมาพยายามกันร่างสูงให้อยู่เบื้องหลัง

“กูรทำอะไร”

“ค...คุณวัสระวังครับ” แม้ปากจะพูดอย่างนั้น แต่ธารางกูรกลับไม่มีเรี่ยวแรงที่จะป้องกันอีกฝ่ายไว้ อาการร้อนพิลึกในกายทำให้ร่างบางกลายเป็นคนอ่อนเปลี้ย สุดท้ายธารางกูรจึงแพ้แรงของวัสสะและกลายเป็นคนที่หลบภัยอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายแทน

“มันเกิดอะไรขึ้น”

“ฮึก...”

“กูร! กูรต้องบอกวัส! ”

“ผม...” ธารางกูรไม่สามารถบังคับตัวเองให้ตอบออกไปได้อย่างปกติ อีกทั้งความจริงที่อึดอัดใจยังจุกตันอยู่ที่ลำคอ เขาจะพูดได้ยังไง จะพูดได้ยังไงว่าถูกส่งมาที่นี่เพื่อวางยาฆ่าคน จะพูดได้ยังไงว่าร่างกายของเขาเกือบจะมีตราบาปแสนสกปรก กูรจะบอกคุณวัสของเขาได้ยังไงว่าตัวเขามันอันตรายและน่าขยะแขยงเสียยิ่งกว่ายาพิษนั่น

“โธ่เว้ย! ” วัสสะหันไปตวาดใส่ธารางกูรเต็มเสียงขณะที่ชายตรงหน้ากำลังล้มลุกคลุกคลานราวกับควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ วัสสะไม่อาจรอให้ได้คำตอบที่พอใจ เขาพุ่งเข้าไปหาคนที่พยายามบังคับสองมือเล็งปืนมายังคนทั้งคู่ แต่ก่อนที่จะหาทางล็อกตัวเอาไว้อย่างตั้งใจ ประโยคเฮือกสุดท้ายก่อนที่อีกฝ่ายจะทรุดตัวลงไปกับพื้นก็ทำให้วัสสะชาไปทั้งตัวเหมือนคนที่เพิ่งพบเจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน

“ก...แกไม่ใช่เด็กข...ขาย ท่านวรพจน์ส่งแกมาปิดปากฉันใช่มั้ย!! มันส่งแกมาวางยาฆ่าฉันใช่มั้ย!! ”

“เด็กขาย ท่านส่งมางั้นเหรอ...”

“ย...อย่าให้ฉันรอดไปได้ ฉันไม่เอาแกไว้แน่! ” คำขู่สุดท้ายดังขึ้นก่อนที่ร่างกายจะนิ่งสนิท วัสสะไม่อาจเข้าใจตัวเอง สายตาเขาเอาแต่จดจ้องร่างกายที่โหยหาอากาศ สลับกับร่างบางที่นั่งงอตัวสั่นกลัวกดปลายนิ้วจิกลงไปที่พื้นซีเมนต์จนเล็บที่เปิดอยู่เดิมห้อเลือดซ้ำแล้วซ้ำอีก

“กูร”

“ฮืออออ คุณวัส ท่านบังคับผม ท่านบังคับผม ผมไม่ได้ตั้งใจ ฮึก ผมเปล่า คุณวัสอย่าเกลียดผม อย่าเกลียดผม” ธารางกูรพูดจาแทบไม่เป็นประโยค ความกลัวของเขาไม่ใช่เพียงกลัววัสสะเกลียด หรือกลัวความผิดติดตัวที่ไม่มีวันลบล้างได้ แต่มันรวมไปถึงการกลัวความตายด้วยน้ำมือตัวเองที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า สายตาของผู้ชายคนนั้นกำลังพุ่งตรงมาที่เขาไม่ผิดแน่ เด็กชายวัยสิบสี่ยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะจัดการตัวเอง หรือแม้แต่เด็กหนุ่มวัยสิบหกอย่างวัสสะ เขาก็ไม่ได้มีระบบการคิดไตร่ตรองที่ดีไปกว่ากัน





เขารู้เพียงว่ากำลังโกรธร่องรอยที่อยู่บนตัวธารางกูร

เขารู้เพียงว่าเกลียดความกลัวและน้ำตาของธารางกูร





“กูรไม่ต้องกลัวนะ… ไม่ต้องกลัว วัสไม่โกรธ ไม่เกลียดอะไรกูรทั้งนั้น” วัสสะพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะก้าวเดินอย่างมั่นคงไปนั่งคร่อมร่างกายของชายที่ไม่รู้จัก ดวงตาที่ยังกลอกไปมาแสดงออกชัดเจนว่าชายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ เมื่ออาการของธารางกูรบีบไม่ให้มีเวลาคิดไตร่ตรอง เรียวมือที่เพิ่งจะหัดหยาบกร้านจึงกดแนบสนิทลงไปที่ช่วงจมูกและริมฝีปากของคนที่ใกล้ตายทันที

ใช่ นี่เป็นความผิดพลาดครั้งที่รุนแรงที่สุดตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเด็กหนุ่มอย่างวัสสะ เขาเติบโตมาในที่ที่มีแต่ความรุนแรงจนชินชาไปเสียหมด นายท่านที่แข็งกร้าว ผู้เป็นแม่ที่เหมือนไม่มีหัวใจ บ้านหลังใหญ่ที่ไม่เคยมีพื้นที่สำหรับเด็ก หัวใจที่เต็มไปด้วยความเมตตาตามประสาจึงค่อย ๆ ถูกลดทอนลงทีละเล็กละน้อยจนแทบไม่มีเหลือ ความรักและความรู้สึกที่มี นอกจากจะมีให้แม่ผู้จากไป ก็คงจะมีเพียงธารางกูรที่ขโมยมันไว้กับตัวจนเสียหมด





และเพื่อหัวใจของเขา ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร วัสสะย่อมยอมได้





3.รศ.ดร.ตรียุทธ พนาวรรณ 2548

.

.

.



“คุณวัสไม่อาบน้ำเหรอครับ”

“ไม่ล่ะ ผมว่าจะนอนก่อน” ธารางกูรเอ่ยถามวัสสะเมื่อออกจากห้องน้ำ ร่างบางอยู่ในเสื้อยืดตัวเดิมและกางเกงชั้นในตัวเดียว เจ้าตัวเหลือบมองวัสสะที่ละอาวุธและเสื้อทิ้งไปเหลือเพียงแต่แผงอกที่เปลือยเปล่า วัสสะนั่งพิงหัวเตียงและมองไปเบื้องหน้าเหมือนคนที่เอาแต่คิดถึงเรื่องร้ายอยู่ในหัว

“เป็นยังไงบ้างครับ” ธารางกูรพาดผ้าคนหนูที่เปียกเพราะเส้นผมลงกับเก้าอี้ อันที่จริงเขาพอจะเดาได้โดยไม่ต้องรอคำตอบจากร่างสูงเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่มองซิมการ์ดที่ถูกถอดออกมาวางอย่างไร้ค่าก็พอจะรู้แล้วว่าผลลัพธ์มันจะเป็นแบบไหน

“ยากกว่าที่คิด แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมเชื่อว่ายังไงเราก็พอมีทาง” คำพูดของวัสสะนั้นเป็นดั่งการปลอบใจตัวเอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางที่ว่านั้นมีจริงหรือไม่ ธารางกูรเองก็อดแสดงสีหน้ากังวลออกมาไม่ได้ ริมฝีปากเรียวบางเม้มแน่นสนิท แผงฟันขบกัดเยื่อบุด้านในอย่างไม่รู้สึกเจ็บ วัสสะไม่อาจทนมองร่างบางที่แสดงอาการเช่นนั้นออกมาได้ เขายื่นฝ่ามือออกไปด้านหน้าตรง ๆ เพื่อบอกให้อีกฝ่ายนำความรู้สึกเลวร้ายทั้งหมดมาทิ้งไว้ที่เขา

“เหนื่อยมั้ยครับคุณวัส” เมื่อเห็นเช่นนั้นธารางกูรจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ สัมผัสมือลงที่มือของวัสสะตามคำเชิญอย่างแผ่วเบา วัสสะออกแรงดึงจนธารางกูรต้องทิ้งตัวลงนั่งไปบนหน้าขาของอีกฝ่าย

“ไม่เหนื่อยหรอก แค่มีคุณ แค่ทำฝันของเราให้เป็นจริง จะหนักหนาแค่ไหนผมก็ทน” วัสสะขยับขาที่เหยียดตรงให้มาอยู่ในท่าขัดสมาธิ คนบนร่างจึงจำเป็นต้องหันตัวตามไปด้วย ธารางกูรหันหน้าเข้าหาวัสสะที่เป็นเสมือนเบาะรองนั่ง มือหนาประคองช่วงเอวขนาดเหมาะมือเอาไว้ทั้งที่ยังกดปลายนิ้วเข้าออกอยู่ไม่ขาด

“แต่ผมเหนื่อยจังเลยครับ” ธารางกูรปล่อยให้น้ำตาไหลผ่านออกมาเสียง่าย ๆ เขาซบศีรษะลงกับไหล่ของอีกฝ่ายพร้อมกับคล้องแขนเข้าที่คอราวกับโอบกอดเอาไว้ เหนื่อยเหลือเกินกับการอดทนกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนตลอดชีวิต ยิ่งเติบโต ยิ่งมีจิตใจนึกคิด เขายิ่งรู้ว่าเรื่องที่ทำลงไปมันเลวร้ายสักแค่ไหน ไม่มีวันไหนเลยที่ธารางกูรจะหลับได้ลงโดยไม่คิดถึงดวงตาหลายคู่ที่สบมองเขาก่อนจะหมดลมหายใจ สำหรับวัสสะเองก็เช่นกัน เขาโอบกอดรั้งตัวธารางกูรเอาไว้แนบอกโดยไม่คิดเอ่ยให้อีกฝ่ายหยุดร้องไห้ เขารู้ดีว่าชีวิตที่เหมือนไม่มีและการตกนรกทั้งเป็นมันเป็นยังไง





รู้ดีว่าเรื่องเลวทรามนั้นไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้

ที่พยายามทำอยู่ตอนนี้ก็แค่พาจิตใจที่ยังพอมีเหลือออกมาโลดแล่นได้ตามที่ควรจะเป็นเท่านั้น





“สู้ด้วยกันก่อนนะกูร เราจะผ่านเรื่องร้ายไปด้วยกัน”

“คนที่เขากำลังจะตาย เขาคงรู้สึกเหมือนที่เราเพิ่งเจอมาสินะครับ” คำพูดของธารางกูรทำให้วัสสะต้องออกแรงกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าตัวคิดแบบนี้ และไม่ใช่ครั้งแรกที่วัสสะเห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง แค่เสียงปืนไม่รู้ทิศทางยังทำให้ใจสั่นหวาดหวั่นไปหมด นี่มันเทียบอะไรไม่ได้กับคนที่รู้เวลาตายอยู่ตรงหน้า ไม่ได้ใกล้เคียงกับการตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง ไม่เลย

“งอแงจังเลย จับปลอบขวัญสักทีดีมั้ย หืม” วัสสะกดปลายจมูกลงกับซอกคอเย็นชื้น กลิ่นตัวคุ้นเคยทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าธารางกูรสำคัญกับชีวิตมากสักแค่ไหน

“ไม่ต้องเลยครับ”

“ถ้าแค่จูบปลอบธรรมดาได้ใช่มั้ยครับ” ธารางกูรไม่ได้เอ่ยตอบ เขาทำเพียงเงยหน้าขึ้นจากช่วงไหล่และรับสัมผัสหนักหน่วงทางริมฝีปาก ชายผู้เป็นจูบแรกและจูบเดียวยังคงเป็นผู้มอบรสจูบหอมหวานที่ถูกใจอยู่เสมอ นานมาแล้วที่พวกเขาเรียนรู้กันและกันผ่านการมอบสัมผัส นานมาแล้วที่วิธีการปลอบโยนแสนพิเศษถูกหยิบมาใช้โดยไม่ตั้งใจ

.

.

.



“ท่านเรียกพบคุณวัสกับกูรด่วนเลยนะครับ”

“บอกท่านว่าผมยังไม่พร้อม ถ้าพร้อมแล้วจะไปหาเอง” วัสสะสะบัดเสียงใส่ลูกน้องคนสนิทของท่านทันทีที่กลับมาถึงบ้าน แน่นอนว่ากูรไม่ได้ไปที่นั่นด้วยตัวเอง ลูกน้องคนนี้เป็นดังราชรถและเทศกิจคอยเก็บกวาดรายละเอียดงานให้ได้ตามตั้งใจ ถึงแม้ว่าวันนี้ทุกอย่างจะผิดแผนไปเล็กน้อยเมื่อวัสสะแอบตามไปจนเจอเรื่องที่ไม่ควรเจอเข้า

ร่างสูงไม่สนใจอะไรอีก เขาจับคนอายุน้อยกว่าขึ้นขี่หลังและกลับไปที่ห้องพักของตนทันที ธารางกูรมีท่าทางไม่ดีขึ้นเลยนับตั้งแต่ที่เขาเจอตัว อาการหวาดกลัวทวีคูณออกมาไม่หยุด แถมยังผสมปนเปไปกับอาการร้อนรนพิลึกคล้ายมีความต้องการบางอย่าง





เด็กชายตัวเล็กบิดเร่ากอดตัวเองราวกับร้อนไปทั้งตัวตั้งแต่อยู่บนรถ





“กูร ตั้งสติก่อนกูร” ธารางกูรดิ้นพล่านเมื่อถูกวางลงกับเตียง วัสสะพยายามตบเข้าไปที่ใบหน้าของธารางกูรซ้ำ ๆ เพื่อหวังเรียกสติของร่างบางกลับมา แต่ทว่าร่างกายผิดปกตินั่นกลับยิ่งแสดงอาการแห่งความต้องการที่วัสสะพอจะเดาออก แต่ไม่รู้ว่าทำไม

“คุณวัส...คุณวัสช่วยผมที ฮืออออ ผมกลัว ผมไม่อยากฆ่าคน ฮึก” วัสสะใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเบา ๆ ก่อนใช้สองมือล็อกกรอบหน้าของธารางกูรเอาไว้พร้อมกับมองลึกลงไปให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนอยู่ตรงนี้เสมอ

“ไม่เป็นไร กูรไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ ”

“ฮึก อือ” ระหว่างที่ยังคงสะอื้นไห้ ช่วงล่างของร่างกายธารางกูรก็บิดเร่าขดงอเพราะอึดอัดเกินจะทน มีเรื่องไม่ปกติแน่ ในใจของวัสสะคิดเอาไว้แบบนั้น ยังไงซะอาการแบบนี้มันไม่ใช่แค่อาการของคนที่หวาดกลัวธรรมดาแน่นอน

“กูรเป็นอะไร ไหนบอกวัสสิ”

“ผ… ฮึก ผมไม่รู้… ผมอึดอัด” หยดน้ำตาของธารางกูรไกลออกมาอีกครั้ง ร่างบางร้อนผ่าวเอื้อมมือเกาะหลังของวัสสะเอาไว้ ปลายนิ้วเรียวเล็กจิกลงอย่างเน้นย้ำจนวัสสะสะดุ้งเพราะเจ็บ แม้จะอายุเพียงสิบหกปีแต่เขากลับพยายามตั้งสติดั่งคนโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อไม่ให้เรื่องราวเลวร้ายมากไปกว่าเดิม

“มีใครให้กูรกินอะไรรึเปล่า”

“.....” ธารางกูรพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ ก่อนจะกัดเม้มริมฝีปากปากพลางเผยอเข้าออกคล้ายคนที่แสดงกิริยายั่วเย้าโดยไม่รู้ตัว

“ตั้งสติ กูรตั้งสติแล้วเล่าให้วัสฟังก่อน”

“ท่านให้ผมกินยา...กินก่อนออกจากบ้าน...แต่ผมลืม...ก็เลยเพิ่งไปกินที่นั่น อึก ผม...”

“ไอ้บ้านั่นมันจะทำอะไรกูรใช่มั้ย”

“ฮึก ผมกลัว ท่านไม่ได้บอก… ผมหนี ผมหนีแล้วคุณวัส…” ธารางกูรพยายามจะอธิบายต่อทั้งที่ร่างกายไม่ได้เชื่อฟังคำสั่ง มือที่อยู่บนหลังวัสสะกดน้ำหนักลงไปแรงขึ้นและลากเป็นทางยาวจนกระทั่งผิวพรรณใต้ผืนผ้าขึ้นสี วัสสะไม่รู้จะทำยังไง ในสมองของเขากำลังโกรธจัดกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ในขณะเดียวกันความหวาดกลัวในแววตาคนตรงหน้าก็เรียกพื้นที่ในหัวใจไปจนหมด

จะเป็นยังไงถ้าธารางกูรกินยาตั้งแต่ออกจากบ้าน จะเป็นยังไงถ้ามันออกฤทธิ์ได้ทันกรอบเวลาที่ท่านวางไว้ จะเป็นยังไงถ้ากูรหนีออกมาไม่ทัน จะเป็นยังไงถ้าตาแก่ตัณหากลับไม่สิ้นฤทธิ์ไปเสียก่อน ต้องเลวขนาดไหน ต้องชั่วช้าขนาดไหน ถึงได้คิดมอมยาปลุกอารมณ์เด็กอายุสิบสี่ปีและยืมมือไปฆ่าคนในคราวเดียวกัน แค่คำว่าโกรธมันอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ ตอนนี้ลึกสุดใจของวัสสะนึกเกลียดท่านจนอยากเห็นว่าตายตกไปต่อหน้าต่อตา

“พอ พอแล้ว” วัสสะปิดน้ำเสียงทรมานด้วยการประกบริมฝีปากทาบทับลงไป คนใต้ร่างไม่ได้ปฏิเสธซ้ำยังตอบรับกลับมาคล้ายร้องหาการปลดปล่อย เรียวลิ้นไร้ประสบการณ์ทั้งคู่ตวัดเกี่ยวพันไม่ได้ลดละ เพราะสารแปลกปลอมในร่างกายผสมกับความรู้สึกดีทำให้ธารางกูรไม่คิดหยุด ระหว่างที่วัสสะเองก็ไม่อาจต่อสู้กับความต้องการที่เดินตามความรู้สึกพิเศษมาติด ๆ

“อือ… ฮึก”

“วัสขอโทษ” เมื่อถอนจูบ ดวงหน้าของธารางกูรยังคงติดความกลัวเอาไว้อย่างเด่นชัด วัสสะเข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะการกระทำของตน แต่เปล่าเลย มันเป็นเพราะภาพคนตายที่ติดตาและฝังใจร่างบางมาต่างหาก

“คุณวัส ผมกลัว ผมไม่อยากฆ่าคน ฮือออ ผมไม่อยากทำ” ธารางกูรผวาดึงวัสสะลงมากอดทันทีที่ร่างกายแทบจะทนไม่ไหว ทั้งความกลัว ทั้งอาการร้อนในร่างกาย ทุกอย่างบีบรวมกันจนแทบทนความทรมานไม่ไหว

“รู้แล้ว วัสรู้แล้วกูร” ไม่ว่าวัสสะจะพยายามปลอบโยนเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถทำให้ธารางกูรสงบลงได้ ร่างบางเริ่มสอดมือเข้าใต้เสื้อผ้าตนเอง ร่องรอยแผลที่ยิ่งนานยิ่งชัดโผล่พ้นชายผ้าให้เห็นอีกครั้ง วัสสะจุกไปทั้งอก เขาอยากลบร่องรอยพวกนั้น อยากให้ธารางกูรลืมความเลวร้ายทุกอย่างไปซะ

ทางเลือกสุดท้ายของวัสสะเข้ามาในสมองเมื่อเขาจ้องมองริมฝีปากแดงช้ำใกล้ ๆ อีกครั้ง เพราะยังเด็ก เพราะไร้ประสบการณ์ เพราะทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุม การตัดสินใจในทางเลือกนั้นจึงเต็มไปด้วยความลังเล จนกระทั่งธารางกูรเริ่มร้องขอด้วยใบหน้าชื้นเปียกเหงื่อ ดวงหน้าเล็กที่เพิ่งจะเริ่มโตเป็นหนุ่มเต็มไปด้วยสีแดงจัดจากความทรมานภายใน ทั้งความหวาดกลัวทั้งหมดในใจยังบดบังไม่ให้เขาเห็นอันตรายอื่นใดนอกจากความปลอดภัยที่ได้จากวัสสะ

“คุณวัส ฮึก ผม ผมไม่ไหวแล้ว”

“ก...กูรจะให้วัสทำยังไง”

“ผมกลัว คุณวัสปลอบผมที” ธารางกูรเคลื่อนเรียวมือเข้าใต้ร่มผ้าของวัสสะโดยไม่รู้ตัว สัมผัสที่ปลุกเร้าอารมณ์ว่องไวของเด็กหนุ่มทำให้ความร้อนฉีดขึ้นทั่วร่าง ดวงตาคมมองลึกลงไปยังคนร้องไห้คล้ายเอ่ยขออนุญาต ใช่ ที่ผ่านมาวัสสะรู้ตัวดีว่าชีวิตของเขามีเพียงธารางกูรคอยพยุงหัวใจ และตอนนี้เขามั่นใจมากกว่าสิ่งใดว่าสิ่งที่เขารู้สึกมันเกินกว่าเด็กที่โตมาด้วยกันควรรู้สึก

“ไม่เป็นนะ ไม่เป็นไร กูรไม่ต้องกลัว” วัสสะยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะโน้มหน้าลงมอบรสจูบ สัมผัสเชื่องช้าฝึกหัดค่อย ๆ เพิ่มจังหวะตามแรงเรียกร้องของอีกฝ่าย ใช่ว่าธารางกูรไม่มีสติ แต่สติที่มีไม่มากพอให้ยั้งความรู้สึกเอาไว้ คุณวัสของเขามีค่ามากกว่าสิ่งใด ธารางกูรไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีครอบครัว ไม่มีใคร และมีเพียงวัสสะที่เป็นทุกอย่าง แม้อายุจะน้อยนิดแต่ที่รู้สึกอยู่เต็มอกคือถึงอะไรจะเกิด มันจะเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองยินยอมและรู้สึกดีที่สุด

สัดส่วนของคนสองคนเคลื่อนไหวสอดรับราวกับคลื่นลมผสานกับพื้นมหาสมุทร ลมหนาวเย็นรุนแรงพัดพาผืนน้ำเคลื่อนไหวนูนสูงกว่าระดับปกติจนกลายเป็นเกลียวคลื่น เรียวมือ เรียวขา ริมฝีปาก ก้อนเนื้อหัวใจ ทุกสิ่งอย่างผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว คำปลอบโยนนี้มีค่ามากกว่าความสัมพันธ์ทางกายใด ๆ แม้ลึกลงไปในต้นเรื่องจะไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก จุดเริ่มต้นของบางความรักก็สมควรแก่การหลงลืมมากกว่าระลึกเอาไว้ในใจ





หวาดกลัว แต่ทนทุกข์

เจ็บแค้น แต่อดกลั้น

ไร้ชีวิต แต่ยังคงอยู่

รู้ผิดบาป แต่ต้องไร้รู้สึก



อยากอยู่เคียงคู่ แต่ไร้หนทาง






Talk

สวัสดีค่า ช่วงนี้งด Talk ยืดยาวเพราะเดี๋ยวจะสปอยเรื่องที่เหลือไม่มากแล้ว 55555

เอาเป็นว่าขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิว ทุกไลค์ ทุกการแชร์เหมือนเช่นเคยค่ะ

ใครเล่นทวิตตามไปพูดคุยกันได้ที่ #กลิ่นฝนฤดูหนาว นะคะ ขอบคุณคร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 20 ฝนนั้นคอยปลอบใจ 21/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 23-10-2018 07:27:15
วัสกูรนี่สมรู้ร่วมคิดกันตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยเนอะ ท่านวรพจน์นี่จิตใจทำด้วยอะไร

ขึ้นหลังเสือแล้วทางเดียวที่จะลงจากหลังเสือได้โดยไม่ถูกแว้งกัดก็ต้องฆ่าเสือให้ตาย หรือไม่ก็เสี่ยงหันหน้าสู้
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 20 ฝนนั้นคอยปลอบใจ 21/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 23-10-2018 16:43:26
ยังยืนยันคำเดิมว่าฆ่าอิท่านเสียแล้วจะรอด :sad11:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 20 ฝนนั้นคอยปลอบใจ 21/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 23-10-2018 21:36:44
บทที่ 21 ฝนแล้งไร้ชีวิต

“คุณวัส...” คนที่เผลอหลับเพราะความเหนื่อยล้าใจสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาในยามที่พระอาทิตย์ใกล้จะร่วงหล่นจากท้องฟ้า ชื่อแรกที่เอ่ยขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกเป็นต้นเหตุที่ทำให้เหงื่อกาฬไหลท่วมตัวในเวลานี้ ธารางกูรฝันร้ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภาพสีขาวดำมีเพียงตัวเขาและวัสสะวิ่งวนพร้อมรอยยิ้มสดใส ทว่าสิ่งที่เหมือนจะดีที่สุดในความคิดกลับค่อย ๆ กลายเป็นเงาดำเดินจากเขาไป ภาพที่มืดสนิทมีเพียงเสียงหัวใจของตัวเองดังก้องอยู่ เนิ่นนานเหลือเกินที่ธารางกูรต้องอยู่กับตัวเองท่ามกลางฝันร้าย อึดอัด น่ากลัว และไม่น่าจดจำ

ร่างบางกดสายตามองปลายเท้าตัวเองที่โผล่พ้นผ้าห่มทั้งที่ยังนั่งหอบตัวโยน คนเพิ่งรู้สึกตัวต่อสู้กับความรู้สึกในฝันจนรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจไปหมด เรียวมือเย็นเฉียบเสยเส้นผมขึ้นพร้อมกับการกุมขมับ ความอึดอัดทารุณจนวินาทีในฝันอยากจะตาย ๆ ไปซะ ห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมันเป็นแบบนี้รึเปล่านะ คนที่ตายด้วยน้ำมือของเขาต้องเจ็บปวดแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า หรือว่ามันรุนแรงมากกว่านี้หลายเท่านัก

“คุณวัสครับ” ธารางกูรเอ่ยออกมาเสียงเบาเมื่อมองไปข้างตัวแล้วพบเพียงพื้นที่เตียงยับย่น หัวใจคนขวัญผวากระตุกวูบจนแทบจะร้องไห้ แต่เมื่อเขาเงี่ยหูฟังจนได้ยินเสียงน้ำไหลก็รู้สึกโล่งขึ้นมาสุดใจ ดวงตากลมค่อย ๆ ปิดลงระหว่างที่เจ้าของร่างกายพยายามตั้งสติกับตัวเอง ทว่าความมืดใต้ดวงตาช่างน่ากลัวไม่ต่างจากฝันร้ายนั่น ธารางกูรเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะดึงเข่าทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมากอดอย่างที่เคยชอบทำ หยดน้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าวัสสะไม่ได้ไปไหน ทั้งที่รู้ว่าตอนนี้ตนเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง





เกลียดที่สุด เขาเกลียดที่สุดในช่วงเวลาที่คิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว





ย้อนไปเมื่อครั้งที่ยังจำความได้ ตัวเขาเป็นเพียงเด็กธรรมดาที่โตขึ้นมาในครอบครัวที่เกือบจะพร้อมสรรพ มีพ่อ มีแม่ มีบ้านหลังใหญ่และสนามหญ้ากว้าง ทว่านั่นเป็นเสี้ยวของความทรงจำที่เลือนหายไปจนแทบหมด สิ่งที่มาแทนที่คือภาพพ่อกับแม่กอดคอกันรอความตาย ระหว่างที่สั่งให้ลูกตัวเล็ก ๆ หนีหัวซุกหัวซุน ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือไม่ที่นายท่านของพ่อยื่นมือเข้ามาช่วยได้เกือบทันเวลา

ภาพพ่อแม่ถูกฆ่าโดยคนไม่รู้จักเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในสมองธารางกูรตั้งแต่เล็ก ยิ่งโตขึ้น โตขึ้น และโตขึ้น ความเลวร้ายยิ่งสะท้อนชัดว่าเขาก็ทำกับคนอื่นไม่ต่างกับที่พ่อแม่ถูกกระทำ หากการที่ผู้เป็นพ่อเคยกล่าวว่างานที่ทำให้ท่านคือความจำเป็น ชยางกูร หรือธารางกูรในวันนี้ก็คงจะต้องใช้คำว่าความจำเป็นไม่ต่างกัน

นายท่านผู้นั้นดีดนิ้วสั่งเพียงครั้งเดียวกลุ่มคนโหดร้ายพวกนั้นก็ถูกคร่าชีวิต คนชั่วตายตามพ่อและแม่ของเขาไปด้วยวิธีที่โหดร้ายกว่า ไม่น่าเชื่อว่าเด็กวัยนั้นจะต้องมาเห็นการตายพร้อมกันไม่รู้ตั้งกี่ศพ สุดท้ายแล้วมือหนาหยาบกร้านได้จับมือเขา และจูงให้เดินตามไปในทิศทางใหม่ที่ไม่ใช่ครอบครัวแสนสุขเช่นเดิม





จุดเริ่มต้น





บ้านหลังใหม่ คุณน้าคนใหม่ และพี่ชายคนใหม่ ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปได้ดีแม้ว่าสถานะทุกอย่างไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าครอบครัว จนกระทั่งคุณน้าใจดีด่วนจากไปด้วยโรคร้าย และตัวเขาถูกบังคับให้ไปกระทำการฆ่าคนอย่างไม่รู้ตัว สัญชาตญาณฆาตกรถูกหล่อหลอมขึ้นตั้งแต่วินาทีนั้น

ท่านมีทุกอย่างมากพอที่จะควบคุมชีวิตของคนคนหนึ่ง อำนาจ เงินทอง หรือบารมีเหนือกฎหมาย พออายุได้สิบหกปี เมื่ออ่านออกเขียนได้มากพอที่จะดูแลตัวเอง ธารางกูรไม่ได้มีโอกาสในการเรียนหนังสืออีก วุฒิบัตร ปริญญาบัตร และเอกสารทางราชการมากมายถูกท่านจัดเตรียมไว้ให้เหมาะสมไปกับแต่ละงาน หนึ่งงาน หนึ่งตัวตน หนึ่งศพ ทุกอย่างวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น ที่อยู่ก็มีเพียงห้องพักตามตึกสูงแคบ ๆ แล้วแต่ท่านจะจัดหาให้ ธารางกูรหลีกหนีไม่ได้ เขาไม่มีใคร ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ตัวตนแท้จริงที่ถูกลบคล้ายตายจากโลก สิ่งเดียวที่เขามีคงเป็นเพียงวัสสะ วัสสะคนเดียวเท่านั้น

ทว่าวัสสะเองก็มีกรอบชีวิตที่ถูกขีดกำหนดเอาไว้ เมื่อวัสสะเริ่มเข้าเรียนนายร้อยตำรวจชีวิตของธารางกูรก็แทบจะไร้ความอบอุ่นใด ๆ ห้องแคบเล็ก ๆ มีเพียงเสียงลมหายใจกับเสียงสายลมหนาวพัดผ่านเข้ามาภายใน อาจจะแค่สัปดาห์ละครั้งสองครั้งที่วัสสะจะมาหาเขาให้หายคิดถึงได้ หรือไม่ธารางกูรจะได้เจอหน้าวัสสะก็ต่อเมื่อใกล้ถึงเวลาที่จะมีคนตาย





โดดเดี่ยว เดียวดาย เจ็บปวด ไม่ตายก็เหมือนตาย





อันที่จริงธารางกูรอาจจะไม่ได้ชอบให้ฝนตกฤดูหนาว หรือว่ามีความสุขกับความเย็นจัดใด ๆ เขาแค่เกลียดความหนาวเย็นที่มันทรมานแห้งแล้งเหมือนจะดึงเอาทุกชีวิตให้จากไป แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้ายังต้องทิ้งตัวตายในฤดูกาลอันโหดร้ายนี้ กลิ่นฝนที่โชยเข้ามาเป็นดังความหวังปลอบโยนจิตใจ และเมื่อไหร่ที่ฝนตกลงมาท่ามกลางความหนาวเย็น ความหวังเล็ก ๆ นั่นก็จะถูกเติมเต็มขึ้นมาให้พอมีแรงใจในการหายใจต่อไป

“คุณเป็นอะไรรึเปล่า” วัสสะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มชวนสงสัย ร่างสูงที่เช็ดเนื้อตัวและสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยเดินเข้าไปหาธารางกูรทันที มือหนาทาบทับลงกับแผ่นหลังของคนที่นั่งกอดเข่าร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผล ไม่สิ เหตุผลของน้ำตามันอยู่ลึกในใจจนวัสสะไม่อาจเข้าใจได้มากพอ ทันทีที่มือของเขาสัมผัสขึ้นลง แรงสั่นจากความหวาดกลัวก็ทำให้เขารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้

“ป...เปล่าครับ”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ” แม้ว่าเขาจะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่เป็นไรนั่นคือคำโกหก แต่วัสสะไม่ได้เอ่ยขัดหรือคาดคั้นอะไรออกไปแม้แต่น้อย เขาจะไม่อยากรู้ถ้าธารางกูรไม่อยากพูด สิ่งเดียวที่เขาทำคือทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างและจับตัวอีกฝ่ายให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด เห็นธารางกูรร้องไห้ ตัวเขาก็อยากจะร้องไห้ออกมาเหลือเกิน แต่หากเขาแสดงอีกว่ากำลังอ่อนแรงยอมแพ้โชคชะตาไปอีกคน แล้วใครเล่าจะเป็นกำแพงปกป้องธารางกูร

“ผมแค่ฝันร้าย...”

“มันก็แค่ฝัน ตอนนี้คุณตื่นแล้ว” วัสสะลูบแผ่นหลังเล็กเบา ๆ ความรักที่มีถูกถ่ายทอดผ่านทุกสัมผัส ธารางกูรที่ซุกหน้าอยู่กับเข่าตนเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะเอนพิงมันลงไปกับไหล่ของอีกฝ่าย คนคนเดียวที่ทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยว แค่วัสสะคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีตัวตนบนโลกกว้าง

“แต่ผมฝันว่าผมอยู่คนเดียว รอบ ๆ มันมืดไปหมดเลย แล้วคุณก็หายไปไหนไม่รู้” เสียงอู้อี้งอแงราวกับเด็ก ๆ ทำให้วัสสะหลุดยิ้มมุมปากคล้ายเอ็นดู แต่ลึกใต้ความเอ็นดูนั่นกลับเต็มไปด้วยความจุกอกเมื่อคิดตามภาพนั้น ธารางกูรหวาดกลัวแม้แต่ในภาพฝัน แม้แต่ในที่ที่เป็นอิสระที่สุดยังต้องอึดอัดใจจนแทบทนไม่ไหว

“แค่ความฝันเท่านั้นกูร ในความเป็นจริงผมจะไม่มีวันทิ้งคุณไปไหน” วัสสะจับตัวธารางกูรโยกซ้ายขวาไปมา ทั้งยังพยายามยิ้มออกมาทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น ทั้งคู่นั่งพูดคุยกันเนิ่นนานจนกระทั่งเวลาผ่านไป ท้องฟ้ามืดสนิท และมันเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางในโลกของความเป็นจริงอีกครั้ง





พวกเขาจะต้องทิ้งฝันร้ายไว้เพียงเบื้องหลัง





สองร่างเดินตามกันท่ามกลางแสงไฟที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อลดทอนความหวาดกลัวของตน หาใช่การเดินจับมือประคองกันเช่นคู่รัก แต่ธารางกูรเดินนำโดยมีวัสสะเฝ้าระวังตามหลังไม่ให้คลาดสายตา ด้วยที่พักอยู่ไม่ไกลจากท่ารถนัก วัสสะจึงตัดสินใจที่จะพาธารางกูรเดินเท้าไปด้วยกัน ความยากลำบากประการนี้ทำให้วัสสะเอาแต่นึกโทษตัวเองอยู่ในใจ เป็นเพราะเขาที่วู่วาม เป็นเพราะเขามองโลกในแง่ดีเกินไป ธารางกูรจึงต้องพบเจอกับความลำบากอย่างที่ไม่ควร





ผิดกันกับภายในใจของธารางกูร

ที่เป็นอยู่ตอนนี้คงจะเป็นเพราะผลแห่งกรรมชั่วที่ตัวทำเอาไว้





“เราอาจจะลงไปทางใต้กัน ถึงไม่มีใครช่วย แต่น่าจะพอใช้เงินหลบออกไปทางเรือได้ไม่ยาก” วัสสะพูดขึ้นระหว่างที่กดเงินออกมาจากบัญชีเรื่อย ๆ โชคดีที่บัญชีเงินเดือนของเขาไม่เคยได้กดออกมาใช้จ่ายเลยสักครั้ง นี่จึงเป็นโอกาสดี ๆ ที่จะได้ใช้เงินก้อนนี้ให้มีประโยชน์ แบงค์พันยี่สิบใบออกมาจากเครื่องเรื่อย ๆ หลายสิบรอบ วัสสะยัดเก็บมันเอาไว้ที่ช่องกระเป๋าด้านใน ก่อนจะกระชับสายกระเป๋าให้แนบไปกับอก บัตรเอทีเอ็มมีข้อบังคับที่ทำให้กดต่อวันได้ไม่มาก แต่นี่คงจะมากพอสำหรับยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อจากนี้ไป

“กินอะไรสักหน่อยนะครับคุณวัส” ธารางกูรยื่นแซนด์วิชทูน่าเข้าไปใกล้ปากวัสสะ ร่างสูงก้มลงมากัดมันเข้าปากไปเคี้ยวตุ้ย ๆ ระหว่างที่ก้มมองตารางเวลาเดินรถรอบดึกของท่ารถแห่งนี้ อาหารจากร้านสะดวกซื้อระหว่างทางเดินพอทำให้อิ่มท้องไปได้อีกมื้อ

“เห้อ ผิดแผนไปหมด” วัสสะบ่นอุบก่อนจะคว้าชิ้นแซนด์วิชไปถือเอาไว้เอง ดวงตาคมดูมีความกังวลซ่อนอยู่ภายใน คนทั้งคู่ถอยตัวออกมาจากป้ายก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ไม้ยาวตัวเก่า

“จริง ๆ เรายังเปลี่ยนความคิดทันนะครับคุณวัส ถ้าเรากลับไปหาท่าน...”

“พูดเป็นเล่น คุณอยากกลับไปรึไง… ก็เปล่า” ธารางกูรส่ายหัวซ้ายขวาเบา ๆ ก่อนที่วัสสะจะเอื้อมมือมาลูบเส้นผมเพียงครั้ง นายตำรวจหนุ่มกัดขนมปังเข้าปากจนหมดภายในไม่กี่คำ ก่อนที่เขาจะล้วงมือเข้าไปใต้โค้ชเพื่อตรวจเช็กว่าอาวุธของเขายังอยู่ดี มันเป็นอาการกังวลที่ไม่สามารถห้ามได้ วัสสะเช็กทุกอย่างราวกับคนย้ำคิดย้ำทำ เขาไม่รู้เลยว่าเหตุไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นตอนไหน หรือวินาทีไหนคนที่แอบมองอยู่จะเข้ามากระทำการอุกอาจ





เป็นความจริงที่วัสสะเห็นว่ามีคนลอบมองพวกเขาทุกฝีก้าวตั้งแต่ราวครึ่งชั่วโมงก่อน





“ผมเป็นห่วงคุณวัส”

“ส่วนผมก็เป็นห่วงคุณไงกูร” ประโยคห่วงใยสั้น ๆ และเรียบง่ายทำให้บรรยากาศโดยรอบคนทั้งคู่ดูมึนตึงขึ้นมาทั้งที่เข้าใจกันดี วัสสะไม่ได้บอกธารางกูรว่าเขาเห็นคนแอบมองและแอบตามมาแบบติด ๆ เหตุผลก็คงเป็นเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากจนนึกกลัวขึ้นมา และนี่เองที่ทำให้วัสสะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนการสักอย่าง ตอนนี้เขาคงทำได้แค่ประคองเวลาด้วยการอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากให้ได้นานที่สุด

“ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไร จำไว้แค่ว่าเราจะไม่มีทางกลับไป ผมจะต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับคุณให้ได้” มือหนาวางลงกับขอบที่นั่งใกล้กันกับเรียวมือเย็นเฉียบ วัสสะเคลื่อนปลายนิ้วก้อยของตนแตะกับปลายนิ้วของธารางกูรเอาไว้เพียงนิด ตอนนี้สายลมหนาวพัดโกรกเข้ามาในตัวอาคารเปิดโล่ง ผู้โดยสารคนอื่นดึงกระชับเสื้อเมื่อรู้สึกว่าหนาวเกินไป ระหว่างที่คนทั้งคู่อบอุ่นขึ้นมาได้เพียงการแตะสัมผัสจุดเล็ก ๆ ของหัวใจราวกับการให้คำมั่นสัญญา

“แล้วคุณวัสคิดออกรึยังครับว่าเราจะไปไหนกันต่อ”

“ใจผมอยากจะลงใต้ ออกเรือไปอยู่ที่เกาะเงียบ ๆ สักเกาะ แล้วค่อยหาหนทางออกนอกประเทศกัน หรือว่าคุณอยากขึ้นไปทางเหนือ ที่นั่นอากาศดี หนาวกว่านี้หลายเท่า คุณอาจจะชอบ”

“ผมเห็นด้วยกับคุณวัสครับ ผมไปที่ไหนก็ได้” ธารางกูรตอบง่าย ๆ เพราะไม่ว่าที่ใดเขาก็อยู่ได้ ขอแค่เพียงที่นั่นมีวัสสะคอยอยู่ข้าง ๆ ชีวิตอับเฉาของเขาคงจะค่อย ๆ งอกเงยขึ้นมาจนสุขสมบูรณ์ในที่สุด

“ผมจะไปซื้อตั๋ว คุณอยู่นี่ก่อนนะ” ธารางกูรพยักหน้ารับคำ พลางรับกระเป๋าเดินทางใบเดียวที่วัสสะยื่นให้ เขากอดมันเอาไว้แนบอกขณะที่มองตามแผ่นหลังกว้างไม่ให้คลาดสายตา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าหัวใจมันหวิวผิดปกติได้ขนาดนี้





“เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา พลตำรวจเอกวรพจน์ อิสระบริรักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เอ่ยยืนยันผ่านสื่อว่าจะดำเนินการผลักดันนโยบายป้องปรามการค้ามนุษย์ต่อไป แม้จะมีช่องโหว่จนถูกองค์กรอิสระล่ารายชื่อคัดค้าน โดยรองนายกรัฐมนตรีย้ำว่า เป้าหมายคือคนทุกคนต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน และจะไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใช้แรงงานอย่างไร้มนุษยธรรม”





“รอบห้าทุ่มครึ่งสองใบ” วัสสะละสายตาจากกล่องทีวีจอเล็กที่ส่งเสียงอยู่ใกล้ ๆ คล้ายไม่ได้ให้ความสนใจอะไร เขารีบยื่นเงินเข้าไปในช่องจำหน่ายบัตรโดยสาร พนักงานที่หน้าไม่รับแขกปฏิบัติตามโดยไม่พูดไม่จา ระหว่างที่รออยู่นั้น วัสสะเหลือบมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา เขาตั้งใจเดินมาซื้อตั๋วเพียงลำพังเพราะเห็นว่าความอันตรายนั่งอยู่แถวนี้ สายตามีพิรุธของผู้ชายร่างสันทัดสองคนทำให้ใจเขาประหวั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ สองคนนี้เฝ้ามองวัสสะและธารางกูรมาตลอด และตอนนี้ คนพวกนั้นกำลังต่อสายโทรศัพท์หาใครสักคนขณะที่มองเขาอย่างไม่วางตา





สายตาที่จ้องสู้กันไม่หยุดในวินาทีนี้ทำให้วัสสะยิ่งกว่าแน่ใจ

รู้เขา รู้เรา ท่านกำลังบอกให้เขารู้เอาไว้ว่าไม่ว่าจะไปที่ใด สายตาของท่านจะอยู่ที่นั่นเสมอ





เวลาห้าทุ่มสี่สิบรถโคชคันใหญ่เริ่มแล่นออกจากท่ารถ ตำแหน่งที่นั่งกลางตัวรถทำให้วัสสะสบายใจได้อยู่บ้าง เขานั่งชิดริมทางเดิน ระหว่างที่ให้ธารางกูรนั่งติดริมหน้าต่าง แต่นั่นคงจะเป็นเพียงความสบายใจข้อเดียว เพราะเขาเห็นอยู่ตำตาว่าชายน่าสงสัยสองคนเดินขึ้นรถคันเดียวกันมา

“คุณวัสครับ”

“ครับ ว่าไง” วัสสะยกแขนของตนขึ้นก่อนจะทำท่าให้อีกฝ่ายนำศีรษะเข้ามาซุกในท่อนแขน ธารางกูรเอนตัวซบลงพลางใช้มืออีกข้างจับสาบเสื้อโค้ชของวัสสะเอาไว้แน่นคล้ายกังวลและกลัวบางอย่าง

“ผมรู้สึกว่ามีคนตามเราอยู่… ผู้ชายสองคนข้างหน้า” วัสสะถอนหายใจออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนี้ ถึงเขาจะไม่พูดไม่บอกสุดท้ายธารางกูรก็รู้ได้เองอยู่ดี แล้วมันก็เป็นอย่างที่คาดไม่มีผิด ร่างบางรู้สึกกลัวและพะวงขึ้นมาจริง ๆ

“ผมรู้แล้ว ไม่เป็นไร นอนเถอะ” วัสสะกระชับกอดให้ธารางกูรอุ่นใจว่ามีเขาอยู่ตรงนี้ ส่วนมืออีกข้างก็กดกระเป๋าที่หอบหิ้วขึ้นมาด้วยไว้กับตัก เขาเองก็อยากจะหลับตาลงในเวลานับสิบชั่วโมงที่มี ถ้าไม่ติดที่ว่าเขาเห็นชายสองคนนั่นนั่งคุยกันคล้ายปรึกษาบางอย่าง ทั้งยังคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา ที่หนักหนากว่านั้นคือหนึ่งในพวกนั้นหันมามองวัสสะพลางยกยิ้มให้อยู่เป็นระยะ





ประกาศตัวชัดเจน ชัดเจนเสียจนแผงฟันของวัสสะสบกัดกันแน่นเพราะความเครียด





รถคันใหญ่เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางที่ถูกกำหนดด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก ผู้โดยสารแน่นคันรถต่างพากันเงียบกริบเมื่อแสงไฟภายในถูกปิดลง วัสสะก้มมองธารางกูรที่หลับฟุบอยู่แนบอกสลับกับสองข้างทาง และใช้สมองคิดไปต่าง ๆ นานาในเวลาเดียวกัน ตอนนี้เขามองไม่เห็นหนทางที่จะทำให้คนรักมีความสุข ทั้งที่พยายามคิดแล้วคงอะไรดี ๆ รออยู่เบื้องหน้า ทว่าทิศทางในชีวิตมันมืดมนไปหมด ยิ่งมองไปเห็นคนที่ตามมาเฝ้าราวกับสัตว์ตัวหนึ่ง สภาพจิตใจยิ่งแย่ลงและเครียดขึ้นจนระบบความคิดรวนไปเสียหมด





แม้ว่าใจยังคิดหาวิธีสู้จนสุดชีวิต แต่ตัวเขาเองก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง

สู้ได้ เหนื่อยได้ ท้อได้ และ หวาดกลัวเป็น





“พักรถสิบห้านาทีนะครับ พักรถสิบห้านาที” เสียงตะโกนโหวกเหวกด้านหน้าบวกกับแรงเขย่าร่างจากคนข้างตัวทำให้ธารางกูรงัวเงียตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาทำคือหรี่ตามองนาฬิกาดิจิตอลบอกเวลาด้านหน้ารถ ตอนนี้เป็นเวลาตีสามเกือบจะตีสี่ วัสสะตบเบา ๆ ที่กรอบใบหน้าของคนเพิ่งตื่นอีกครั้งก่อนจะโน้มลงกระซิบบางอย่างที่ข้างหู

“เราจะไปกันแล้ว” วัสสะพูดเช่นนั้นก่อนจะลุกขึ้นสะพายกระเป๋า เขายืนรอธารางกูรตั้งหลักหลังจากตื่นนอนเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะจูงมืออีกให้ฝ่ายให้เดินตามฝูงชนที่พากันลงมายืดเส้นยืดสายยังจุดพักรถในปั๊มน้ำมันใหญ่

“ไปไหนครับคุณวัส” ธารางกูรถามขึ้นเพราะท่าทางวัสสะไม่ได้ใกล้เคียงกับคนที่จะลงไปเข้าห้องน้ำหรือซื้อของในมินิมาร์ท วัสสะไม่ตอบอะไรทั้งยังยื่นนิ้วชี้แตะลงไปที่ปากของธารางกูรคล้ายขอให้หยุดถามไปเสียก่อน

ทันทีที่ทั้งคู่ลงมาจากรถ วัสสะมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าคนอันตรายทั้งสองอยู่ห่างจากตัวพอสมควร ร่างสูงจูงธารางกูรเข้าไปในมินิมาร์ททันที เขาทำทีเหมือนเลือกซื้อของบางอย่างทั้งที่สายตาเอาแต่มองหาชายอีกสองคนที่เดินนำลงมาก่อน และเมื่อเห็นชัดเจนว่าสองคนนั่นยืนสูบบุหรี่อยู่ไม่ไกลจากตัวรถนักวัสสะจึงตัดสินใจทำสิ่งที่คิดมาแล้วทันที

“น้อง ประตูหลังอยู่ไหน”

“คะ”

“พี่เป็นตำรวจ พาพี่ออกไปทางประตูหลัง” วัสสะไม่เพียงโชว์บัตรยศพันตำรวจตรีที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ แต่เขายังขึ้นเสียงเข้มพลางตั้งใจเปิดสาบเสื้อโค้ทให้เห็นอาวุธภายใน ช่างมันเถอะ วินาทีนี้ต่อให้มันมีพิรุธจนเรื่องถึงหูตำรวจมันก็อาจจะเป็นข้อดีเสียกว่า ด้านธารางกูรแม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่เขาก็เป็นผู้ตามที่ดี และเดินตามวัสสะทุกฝีก้าวโดยไม่คิดจะปล่อยมือออกจากกัน

แม้พนักงานชายหญิงของร้านจะดูหวาดกลัวและไม่เชื่อวัสสะเท่าไหร่ แต่ชายผู้เป็นพนักงานก็ยอมเดินไปเปิดประตูขนย้ายของด้านหลังให้แต่โดยดี ทั้งคู่รีบแทรกตัวออกมาและรีบเร่งความเร็วฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นเท่าที่จะทำได้ วัสสะวิ่งกึ่งลากกึ่งจูงธารางกูรโดยย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิมที่รถเพิ่งจะแล่นผ่านมา ร่างสูงที่นั่งมองทางมาตลอดเห็นว่ามีปั๊มน้ำมันอีกแห่งที่อยู่ห่างกันราวสามกิโลเมตร อย่างน้อยเขาต้องสลัดคนพวกนั้นให้หลุดออกไปให้ได้

“เราจะไปที่ปั๊มตรงนู้นนะกูร แต่จำไว้ถ้าพวกนั้นตามมา คุณทิ้งผมไปเลย แล้วผมจะรีบตามไป” วัสสะพูดขึ้นท่ามกลางเสียงเหนื่อยหอบเพราะวิ่งไม่หยุด ทว่าคนที่กำลังสับขาตามกลับบีบมือตอบเชิงว่าไม่ยอมแน่

“ไม่ครับ ” อากาศหนาวทำให้การหายเบาบางจนทั้งคู่รู้สึกเหนื่อยง่าย วัสสะหันไปมองด้านหลังเป็นระยะ ๆ ท่ามกลางความมืด ถนนเส้นนี้มืดสนิทและมีเพียงแสงจากไฟหน้ารถที่สาดไปมาเป็นช่วง ๆ เท่านั้น จุดหมายที่ต้องการส่องแสงไฟอร่ามให้เห็นอยู่ไม่ไกล เมื่อไปถึงที่นั่นอย่างน้อยเขาก็อาจจะพอขอติดรถให้สักคนเพื่อไปตามเส้นทางได้ นี่อาจจะเป็นความคิดโง่ ๆ แต่ยังไงซะมันก็ดีกว่าปล่อยให้คนของท่านตามไปจนสุดทาง

“กูร ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร อย่างน้อยถ้า...” เมื่อวัสสะเริ่มแน่ใจว่าระยะที่วิ่งมาห่างไกลมากพอที่พวกนั้นจะตามไม่ทัน เขาจึงค่อย ๆ หยุดยืนและสบสายตากับธารางกูรอย่างจริงจัง

“อย่างน้อยที่สุดเราต้องไปด้วยกันครับ” ธารางกูรกระชับมือเพื่อเป็นการยืนยันความตั้งใจของตนเองอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันที่วัสสะจะได้เอ่ยอะไรกลับไปอีก จู่ ๆ เขาก็เห็นแสงวาบเป็นเงาพุ่งตัวเข้ามาหาธารางกูร เมื่อคิดตั้งสติได้วัสสะจึงคว้าตัวธารางกูรดึงให้ออกห่างจากอันตรายทันที

“ระวัง! ”

ปริ้นนน! ทั้งคู่เซลงไปกับพงหญ้าริมขอบทาง ธารางกูรใจเต้นระรัวเมื่อเห็นชัดตำตาว่าเมื่อครู่มีรถคันหนึ่งตั้งใจสาดความเร็วมายังพวกเขา วัสสะกอดธารางกูรเอาไว้แน่นพร้อมกับยันตัวเองให้เคลื่อนตัวเข้าไปบังอีกฝ่ายที่ล้มอยู่กับพื้นเช่นกัน

“เขาตั้งใจจะชนเรา หรือว่า...”

“เวรเอ๊ย! ” คงไม่ต้องรอให้ธารางกูรคาดเดาได้เสร็จ วัสสะที่พยายามมองสู้แสงไฟสูงที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว รถคันนี้ตั้งใจจะพุ่งเข้าหาเขาและธารางกูร รถคันนี้ขับตามมาตั้งแต่แรก และรถคันนี้คือรถแลนด์โรเวอร์ของเขา วัสสะล้วงเข้าใต้โค้ทเพื่อหมายจะหยิบอาวุธปืนทันที แต่ทว่าวินาทีนั้นรถคันสีขาวกลับเคลื่อนไหวภายในดวงตาของธารางกูรราวกับภาพช้า ตัวรถหักเลี้ยวเคลื่อนเข้าเทียบไปตามเลนก่อนที่บานกระจกจะค่อย ๆ ลดลงพร้อมปลายกระบอกปืนที่ลอดออกมา





ปัง!!





“กูร!! ” หัวใจของวัสสะแทบร่วงหล่นเมื่อธารางกูรหมุนตัวเขามาบังเขาเต็มตัว แผ่นหลังนั่นหันเข้าหาทิศทางกระสุนในระดับที่เรียกได้ว่าไม่มีทางพลาดไป วัสสะร่างกายชาดิกเมื่อได้ยินเสียงปืนพร้อมกับใบหน้าของธารางกูรที่ซบลงกับอก ความหวาดกลัวทั้งหมดที่มีทำให้เขาลนลานเหมือนคนเสียสติ มือสั่น ๆ ลูบไปทั่วร่างของธารางกูรเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มีรอยแผลใดปรากฎอยู่ในร่างกายที่เป็นเหมือนหัวใจของเขา จนกระทั่งเสียงปังอีกสามครั้งติดดังตามมาราวกับต้องการกดสติของวัสสะให้จมลงไปกับพื้นดิน

ปัง! ปัง! ปัง!

“เฮือก กูร… ไม่เอานะกูร ไม่เอานะ กูร กูร” เสียงหายใจเฮือกใหญ่ดังออกจากลำคอของวัสสะพร้อมอาการกระตุก ร่างสูงกอดธารางกูรเอาไว้แน่นพลางกดปลายคางลงกับไหล่ของอีกฝ่าย วัสสะควบคุมตัวเองไม่ได้ตื่นตระหนกอย่างคนใจเสีย

“กลับบ้านเถอะครับคุณวัส” เสียงเข้มดังออกมาจากปากคนลั่นไก ให้หลังไม่กี่วินาที รถคันดังกล่าวก็เคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็วสูง แสงสว่างรอบข้างหมดลง ทิ้งไว้เพียงอาการผวากลัวความสูญเสีย วัสสะกอดธารางกูรและพร่ำเรียกชื่อคล้ายรอให้อีกฝ่ายเอ่ยอะไรออกมาสักอย่าง จนกระทั่งวัสสะได้ยินเสียงสะอึกที่มาจากความตกใจกลัวไม่แพ้กัน

“กูร กูร กูรได้ยินผมใช่มั้ย”

“อึก...”

“ขอบคุณจริง ๆ ขอบคุณจริง ๆ ที่คุณไม่เป็นอะไร” คนขวัญเสียต่างโอบกอดกันไว้ด้วยความรักที่มี เหตุการณ์เมื่อครู่เหมือนเป็นภาพรีเพลย์ซ้ำจากเมื่อคืนก่อนไม่มีผิดเพี้ยน ซ้ำยังทวีคูณความรุนแรงจนทุกอย่างในหัวที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างพังครืนล้มลงมา มันเป็นเพียงขู่ที่ค่อย ๆ กัดเซาะลงไปที่จิตใจของคนสองคนทีละน้อย เป็นคำขู่ที่หมายสร้างความหวาดกลัวจนต้องคลานเข่ากลับไปอย่างคนสิ้นไร้หนทางในที่สุด





คู่ขู่จากคนที่รู้จุดอ่อน





Talk

มาทอล์คสั้น ๆ ว่าเจอกันตอนหน้าค่าาาา

ขอบคุณทุกคนคอมเมนต์และทุกวิวคร้าบบบบบ





หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 21 ฝนแล้งไร้ชีวิต 23/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 23-10-2018 23:18:12
ขู่ไรนักหนา จะฆ่าก็ฆ่าเลย !!!  :z6: :z6: :z6:

หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 21 ฝนแล้งไร้ชีวิต 23/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 24-10-2018 00:43:32
ก็รู้ไงว่ายังไงกูรก็ต้องเอาชีวิตตัวเองเข้าปกป้องวัส นี่ยิงขู่เผื่อฟลุ้คกูรก็ตายใช่ป่าว

เราชักอยากเห็นข่าวท่านรองนายก หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หรือวูบหมดสติเพราะโหมงานหนักกลางที่ประชุม ครม จังเลยคงเป็นการเสียชีวิตในหน้าที่ ที่จะได้รับคำแซ่ซ้องสรรเสริญไปทั่วราชอาณาจักร

หรือไม่ก็ข่าวสารวัตรวัสสะ นายตำรวจหนุ่มไฟแรงทายาทรัฐมนตรีดัง เสียชีวิตขณะจับกุมผู้ต้องหาฆาตรกรต่อเนื่องที่หลบหนีคดีมาหลายปี เหยื่อรายล่าสุดคือ ดารัณ ดาราชื่อดัง สองคนใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กัน กระสุนโดนจุดสำคัญ เสียชีวิตทั้งคู่
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 21 ฝนแล้งไร้ชีวิต 23/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 24-10-2018 16:09:16
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 21 ฝนแล้งไร้ชีวิต 23/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 25-10-2018 21:53:57
บทที่ 22 ฤดูทะเลครวญ

“ขอบคุณมากนะครับ”

“ไม่เป็นไร ถ้าเอ็งกับน้องชายจะไปเที่ยวหาดก็เดินไปสุดมุมถนนนู่นนะ แถวนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวหรอก มีแต่ชาวบ้านทำมาหากิน ถ้าจะไปต่อก็นู่น… ท่ารถ แต่ยังไงก็ลองไปหาอะไรในตลาดกินกันก่อน น้องเอ็งดูจะเป็นลมอยู่แล้ว”

“ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ให้ผมรบกวน” วัสสะโค้งศีรษะขอบคุณคุณลุงผู้มีน้ำใจท่านหนึ่งที่ยอมให้เขาและธารางกูรติดกระบะท้ายรถมาหลายสิบกิโลเมตร ด้านธารางกูรเองก็ยกมือไว้ขอบคุณทั้งสภาพใบหน้าอิดโรยใกล้เป็นลมเป็นแล้งดั่งคำว่า เวลาผ่านไปจนเข้าสู่ช่วงสาย ทั้งคู่ลงจากรถบริเวณชายขอบจังหวัดที่เป็นประตูสู่ภาคใต้ พวกเขาไม่ได้ไปให้ถึงปลายทางที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก ด้วยเหตุเพราะไม่มีอะไรง่ายดายเช่นนั้น





กว่าจะเรียกสติกลับคืนมาก็เสียเวลาไปจนเกือบรุ่งสาง





“คุณวัสพักก่อนสักหน่อยมั้ยครับ”

“พูดอะไร กูรนั่นแหละต้องพัก” วัสสะเดินนำธารางกูรไปนั่งที่ม้าหินใต้ร่มไม้ไม่ไกลจากจุดที่ลงจากรถนัก ว่ากันตามตรงก็คือทั้งคู่ขวัญเสียและเสียความมั่นใจไปอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่เคยหนักแน่นอย่างวัสสะ ทุกครั้งที่เฉียดเข้าใกล้ความตายและการสูญเสีย ความสามารถในการควบคุมสติและร่างกายได้ค่อย ๆ ลดน้อยลงทุกที เช่นหลายชั่วโมงก่อน เขาได้กลายเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจต่อต้านขัดขืนหรือฮึดสู้กับคำขู่





อ่อนแอจนเกินกว่าจะให้อภัย





“วันนี้เราจะเจอกับอะไรครับ”

“ช่างเถอะ คุณก็เห็นแล้วว่ามันไม่กล้าทำอะไรเรา”

“เปล่าสักหน่อยครับ พวกนั้นแค่ไม่ทำร้ายคุณวัส แต่กับผม...”

“อย่าคิดแบบนั้น ที่เรากำลังเจอก็แค่คำขู่ให้เราคิดยอมแพ้ แล้วกลับไปอยู่ในนรกเหมือนเดิม”

“หรือไม่มันก็เป็นคำเตือน ก่อนที่ผมจะหายไปจริง ๆ ” ธารางกูรเบี่ยงตัวนอนลงกับตักวัสสะ ขายาวงอเข้าหาตัวพร้อมกับสองแขนที่ยกขึ้นสวมกอดอกตน วัสสะขยับตัวเองและกระเป๋าให้อีกฝ่ายนอนสบายขึ้น อากาศที่นี่แม้จะเย็นอยู่บ้างแต่ไม่ได้เลวร้ายมากมายอะไรนัก แถมลมที่พัดผ่านยังเต็มไปด้วยความชื้นและกลิ่นฝนที่ทำให้ธารางกูรหลับตาสูดเอากลิ่นมันเข้าปอดอย่างสุขใจ





อันที่จริง เขาก็แค่พยายามจะสุขใจ





“คุณกูร” วัสสะเอ่ยเรียกอีกฝ่ายระหว่างที่ใช้เรียวนิ้วลูบผ่านชั้นเส้นผมนุ่ม น้ำเสียงของเขามันเจือไปด้วยความรู้สึกผิด วัสสะกำลังนึกโกรธตัวเองที่พาคนรักมาตกระกำลำบากอย่างคนไม่มีที่ไป ตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำยังไงต่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหลีกหนีสายตาของท่านให้พ้นได้ยังไง สมองของวัสสะตีบตันราวกับคนสิ้นไร้หนทาง แค่คิดว่าอีกห้านาที อีกสิบนาทีต่อจากนี้จะหันหน้าไปทิศทางไหน เรื่องมันก็ยากไปเสียหมด





เริ่มเข้าใจแล้วว่าทางเลือกของคนไม่มีทางเลือกมันเป็นยังไง





“ครับคุณวัส”

“รู้ใช่มั้ย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ผมจะไม่มีวันปล่อยมือคุณ”

“ครับ ผมทราบ”

“งั้นวันนี้เราจับมือไปทำอะไรที่เราอยากทำกันมั้ย”

“...”

“กินข้าว เดินเล่น ยิ้ม หัวเราะ ใช้ชีวิตแบบมนุษย์คนนึง” สิ่งที่วัสสะพูดเป็นสิ่งเดียวที่ตัวเขาคิดได้ในทันที มันคือรูปแบบของชีวิตที่คนทั้งคู่ต้องการมากที่สุด ต้องการมาตลอด แต่ไม่เคยได้มันมาอย่างที่ใจต้องการเลยสักครั้ง





แม้แต่ตอนนี้…

คนพูดอย่างวัสสะ ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะได้ทำมันทั้งหมด





ธารางกูรไม่ได้ตอบทันทีในวินาทีนั้น ดวงตาคู่กลมค่อย ๆ เปิดขึ้นเพื่อมองความเป็นไปของผู้คนเบื้องหน้า นั่งกินข้าวด้วยกันเหมือนคู่ชายหญิงที่ตรงนั้น ยิ้มหัวเราะเคล้าความสุขดังปัจเจกบุคคลที่เดินขวักไขว่ หรือแม้แต่จับมือกันกระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ สองคน ใช่ ความเป็นไปของบุคคลเหล่านั้นคือสิ่งที่น่าอิจฉา และเป็นสิ่งที่เขาอยากทำมาตลอด

“ผมขอเต้นรำแบบเด็กสองคนนั้นด้วยได้มั้ยครับ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาทั้งที่หัวใจกำลังปวดหนึบ ภาพเด็ก ๆ จับมือกระโดดและก้าวขาไล่ตามกันเป็นจังหวะช่างน่ารักน่าเอ็นดู เห็นแล้วรู้สึกเหมือนว่าได้ย้อนกลับไปในวันวานไร้เดียงสาแสนสุขอีกครั้ง น่าเสียดาย ที่วัยไร้เดียงสาของเขาไม่ได้มีภาพเช่นนี้ให้จดจำ

“คุณเรียกนั่นว่าการเต้นรำเหรอ หืม”

“ผมแค่เปรียบเปรยน่ะครับ”

“ถ้างั้น… ผมคงต้องจัดให้ตามคำขอ เริ่มต้นด้วยการไปหาของอร่อย ๆ กินกันเป็นไง”

“ดีครับ ผมอยากกินข้าวนอกบ้านกับสารวัตรวัสสะมานานแล้ว”

“เช่นกันครับ คุณธารางกูร” คงจะเป็นรอยยิ้มแรกในรอบหลายวันที่สดใสที่สุด วัสสะและธารางกูรยิ้มออกมาให้กับความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ความสุขในชีวิตที่เป็นอิสระ แม้พวกเขาจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นอิสระที่มีสายตาของคนกลุ่มหนึ่งจ้องมองอยู่ตลอดก็ตามที





แค่ทำทุกนาที ทุกวินาทีให้สมบูรณ์ที่สุด





ห้วงเวลาแสนสุขดำเนินไปอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงหัวเราะ คนทั้งคู่อารมณ์ดีง่ายดายแม้เพียงได้ยินเสียงใบไม้ลู่ลมรอบกาย วัสสะและธารางกูรพากันเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองราวกับชีวิตไม่เร่งรีบและไร้เรื่องทุกข์ร้อนใจ เริ่มจากมื้ออาหารนอกที่รโหฐานครั้งแรกในรอบหลายปี แม้มันจะเป็นเพียงร้านอาหารข้างถนนธรรมดาที่ใครก็เอื้อมถึง แต่เพราะเพื่อนร่วมโต๊ะแสนพิเศษ จึงทำให้มันกลายเป็นความประทับใจที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่

ตามทฤษฎีและกฎเกณฑ์ทางภูมิศาสตร์ ภาคใต้จะมีฤดูหนาวที่อุ่นกว่าภาคอื่น ๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน คงจะเป็นโชคดีของคนชอบความหนาวอย่างทั้งคู่ ที่วันนี้ลมแรงเย็นยะเยือกพัดต่อเนื่องอยู่ตลอด โดยเฉพาะบริเวณริมชายหาดที่สายลมพัดกรรโชกเอาความเย็นและความชื้นเข้าฝั่ง อาจจะดูเหมือนการเข้าข้างตัวเองไปสักหน่อย แต่ธารางกูรคิดว่าอากาศวันนี้ไม่ได้แห้งแล้งไร้ชีวิตเหมือนอย่างเคย เขารู้สึกสุขใจและไม่อยากให้หมดวันนี้ไปเลย

“ตากลม เดี๋ยวคุณก็ป่วยอีก”

“ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย”

“ต้องให้ผมทวนความจำมั้ยว่าคุณป่วยเพราะฤดูหนาวของคุณกี่ครั้ง”

“แต่วันนี้ผมจะไม่ป่วยนี่ครับ”

“หัดดื้อแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ คุณธารางกูร” วัสสะวาดวงแขนเข้าที่ช่วงเอวบางของคนที่ตีสีหน้ายิ้มเถียงไม่หยุด ทั้งคู่ขยับตัวเข้าใกล้กันระหว่างที่ทอดสายตาออกไปยังผืนทะเลกว้าง สองร่างทอดกายนั่งบนหาดสายขาวเนียนละเอียดมานานนับชั่วโมง เวลาพลบค่ำเช่นนี้ทะเลสีครามสวยกว่าสิ่งใด ยิ่งบวกรวมกับรสเครื่องดื่มมึนเมา ยิ่งทำให้แสงไฟบนฝั่งสะท้อนลงกับเงาคลื่นจนงดงามน่าค้นหา

“ผมไม่ได้ดื้อสักหน่อย”

“เนี่ย ดูสิ ยังจะดื้ออีก ถูกลงโทษสักทีดีมั้ง” ปลายจมูกได้รูปแตะต้องลำคอขาวของอีกฝ่ายเพียงเสี้ยววินาที วัสสะทิ้งใบหน้าตัวเองอยู่กับต้นคอของธารางกูรคล้ายอยากจะเอ่ยถ้อยคำออดอ้อน ท้องทะเลกว้างนั้นดูเหมือนไร้จุดสิ้นสุด และเคลื่อนไหวได้อย่างมีอิสรภาพ แต่ทว่าเกลียวคลื่นยังคงถูกกำหนดทิศทางด้วยกลุ่มลมและสาดซัดเข้าฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า





ความสุขภายในใจของทั้งคู่ก็คงเป็นเช่นนั้น

สุดท้ายความเลวร้ายก็ซัดเข้าฝั่งเช่นเดิม





“จะสวมบทบาทพี่ชายคุมพฤติกรรมน้องชายอีกรึไงครับ มาทำดุใส่ผมเนี่ย” ธารางกูรยกขวดเบียร์สีชาขึ้นจิบ ก่อนที่คนข้างตัวจะคว้าไปดื่มพรวดลงคออึกใหญ่ รสชาติหวานเฝื่อนของเครื่องดื่มข้าวหมักเจือลงไปกับน้ำลายในโพรงปาก ความหอมหวานของเครื่องดื่มมึนเมาชวนให้หลงเคลิ้มไปได้ไม่เท่าอดีตหอมหวานครั้งก่อน อดีตครั้งที่เด็กชายชยางกูรยังคงอยู่

“เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าเคยเลี้ยงเด็กดื้ออย่างคุณมา”

“อายุมากกว่าผมแค่สองสามปี ใช้คำว่าเลี้ยงเลยเหรอครับ”

“แล้วผมต้องใช้คำว่าอะไร ดูแลด้วยความรักเหรอ” วัสสะกระชับมือดึงเอวของอีกฝ่ายเข้าหาตัวมากขึ้น ก่อนจะยกเข่าข้างหนึ่งชันขึ้นจนเม็ดทรายที่อยู่ข้างเรียวขาร่วงกราวลงกับพื้น กลิ่นกายกรุ่นรักจากธารางกูรอบอวลจนวัสสะไม่อาจจินตนาการถึงวันที่ขาดคนคนนี้

“งั้นก็แล้วแต่คุณวัสเถอะครับ ผมเถียงไม่ได้อยู่แล้ว”

“ดีใจจังที่วันนั้นได้เจอคุณ”

“วันไหนครับ”

“วันที่คุณมาที่บ้านไง นั่นเป็นวันเดียวในชีวิตที่ผมอยากจะขอบคุณท่าน ขอบคุณที่ช่วยประทานคุณให้ผม” วัสสะยกขวดเบียร์ขึ้นประชิดริมฝีปากอีกครั้ง ดวงหน้ายิ้มแย้มของเขาฉายชัดสู้กับพระจันทร์ครึ่งดวงที่กำลังพราวแสงสดใส ธารางกูรเองก็คงไม่ได้เห็นต่างไปจากกัน หากวันนั้นไม่ได้เจอ วันนี้ตัวเขาคงไม่ได้พบคนที่แสนดีคนนี้ หากวันนั้นไม่ได้เจอ วันนี้ตัวเขาคงไม่ได้ใช้หัวใจรักใครสักคน

“แต่ผมว่าวันนี้น่าดีใจมากกว่า… เพราะว่าผมมีคุณวัส” เรียวมือเล็กกำทรายขึ้นมาก่อนจะปล่อยมันร่วงเป็นสายลงสู่พื้นราวกับการนับถอยหลัง ดวงตาคู่กลมเหลือบมองไปเงาตะคุ่มของกลุ่มคนทางด้านขวาของหาด ก่อนจะสลดลงมาอยู่กับผืนทรายเบื้องหน้าเช่นเดิม อันที่จริง เวลาของพวกเขากำลังจะหมดลง ต่อให้ผืนทรายกว้างมีปริมาณนับล้าน ต่อให้กำทรายติดมือขึ้นมาต่อเวลาอีกกี่ครั้ง เวลาของเขาและวัสสะก็ยังต้องหมดลงตามชะตากรรมที่ถูกใครคนนั้นกำหนด

“ไม่ทำหน้าแบบนั้นสิครับ ตอนนี้เรากำลังมีความสุข เข้าใจมั้ย หืม”

“เข้าใจครับ” วัสสะตั้งตัวเองเป็นหลักก่อนจะดึงร่างกายของอีกฝ่ายซบลงมาด้วยท่าทางที่ไม่ต่างอะไรกับคนอ่อนแรง ตัวเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังกลุ่มคนทางด้านขวามือตน ทำไมวัสสะจะจำไม่ได้ว่าหนึ่งในนั้นคือ ‘ประชา’ ลูกน้องคนสนิทของท่าน หึ อยากจะรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วใครจะหมดความอดทนก่อนกัน ระหว่างเขากับธารางกูรที่แสร้งเป็นไม่สนใจมาทั้งวัน หรือคนพวกนั้นที่ตามติดทุกฝีก้าวราวกับพวกเขาเป็นนักโทษ





ออ ลืมไป ถ้าใช้คำว่านักโทษก็คงไม่ผิด





“ขอโทษนะกูรที่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมรับปากคุณไว้เลย”

“เรื่องไหนครับ” ธารางกูรถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าน้ำเสียงรู้สึกผิดของวัสสะนั้นหมายถึงเรื่องใด ร่างสูงเองก็ไม่ได้ตอบในทันที เขากดสายตาลงมองคนที่ซุกอยู่กับอก ดวงตาสองคู่เฝ้ามองกันด้วยความเข้าใจอย่างถึงที่สุด ยิ่งใช้เวลา ยิ่งส่งผ่านความรู้สึก ยิ่งกระจกนัยน์ตาสะท้านว่ามีกันและกันอยู่ในนั้น หยดน้ำตาใส ๆ ยิ่งเอ่อรวมกันที่ขอบตาจนต้องเบือนหน้าหนีออกจากกันในที่สุด ความรู้สึกเช่นนี้มันเจ็บปวดทรมานกว่าการไร้ความรักเสียอีก

“ผม...”

“คุณวัสไม่เห็นต้องขอโทษอะไรผมเลย กลับกันผมต้องขอบคุณคุณวัสมาก ๆ ต่างหาก”

“ทำไมชีวิตเราต้องเป็นแบบนี้ บางทีผมก็ไม่เข้าใจเลย หึหึ” วัสสะตัดพ้ออย่างน้อยใจในโชคชะตา ก่อนที่เขาจะพยายามหัวเราะออกมาคล้ายกับคนที่ไม่อาจควบคุมสติ ช่างเป็นความสุขที่แสนเจ็บปวด เป็นเสียงหัวเราะที่บาดลึกลงไปในจิตใจของคนคนหนึ่ง





ขีดจำกัดที่มีจะทนได้นานสักแค่ไหนกันนะ





“บางทีโลกก็ใจร้ายกับเรานะครับ”

“นั่นสิ ใจร้ายจัง พื้นที่บนโลกมีตั้งเยอะ ทำไมไม่เหลือทางเดินให้เราบ้าง ขอแค่ที่ยืนก็ยังดี… ฟู่วววว ช่างเถอะ เราคุยกันแค่เรื่องดี ๆ ดีกว่าเนอะ” วัสสะสะบัดศีรษะ เป่าลมหายใจออกมาขณะที่ปรายสายตามองไปยังคนกลุ่มนั้นอีกครั้ง หัวใจที่วูบโหวงคล้ายย่างเท้าเข้าใกล้สิ่งอันตรายยิ่งปวดหนึบขึ้น เขาไม่ต่างอะไรกับคนที่ไร้หนทาง ไม่ต่างอะไรกับคนปากเก่งที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เขาไม่ใช่วีรบุรุษ ไม่ใช่พระเอกสุดเท่ในนิยายที่กล้าหาญไปเสียทุกอย่าง สุดท้ายแล้วเขาเป็นแค่วัสสะ คนธรรมดาที่ต้องการอยู่กับคนที่รัก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด หรือว่าถูกตีหน้าว่าขี้ขลาดตาขาวสักแค่ไหน ทว่าตอนนี้เขากลับมองไม่เห็นหนทางเหล่านั้นเลย

“ครับ เราจะมีแค่เรื่องดี ๆ เพราะว่าวันนี้ผมมีความสุขที่สุดเลย” ธารางกูรรั้งกอดวัสสะเอาไว้ด้วยสองแขน คนตัวเล็กกว่าเผยรอยยิ้มพร้อมไหวศีรษะซุกลงกับอกคล้ายอยากจะขอเข้าไปอยู่ในหัวใจ ทั้งที่ความจริงพื้นที่ตรงนั้นมันมีเพียงตัวเขายึดครองอยู่ตั้งแต่ต้น ทั้งคู่ใช้เวลาจัดการกับอารมณ์หม่นหมองในใจตนอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งความสดใสซึ่งเป็นฉากหน้าถูกแสดงออกมาเพื่อพยุงจิตใจซึ่งกันและกัน

“งั้น… คืนนี้ก่อนไปหาที่นอน คุณอยากไปไหนอีก หรือว่าอยากกินอะไร”

“ไม่ล่ะครับ ผมอิ่มจนจะจุกแล้ว”

“อิ่มอะไร คุณน่ะกินไปนิดเดียวเอง”

“อิ่มอกอิ่มใจมั้งครับ”

“แบบนี้ก็ได้แหะ” วัสสะคลี่ยิ้มออกมาพลางดึงแก้มคนที่อ้างว่าอิ่มอกอิ่มใจอย่างแผ่วเบา

“ผมพูดจริง ๆ นะครับ อีกอย่าง ผมอยากนั่งมองฟ้าตอนนี้มากกว่า”

“นั่นสินะ เผื่อว่าฝนจะตก คุณคิดว่าไง”

“ไม่รู้สิครับ เพราะกลิ่นฝนหายไปหมดแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกได้แค่กลิ่นทะเล”

“ไม่เหมือนผม ผมสัมผัสได้แค่กลิ่นคุณ” ปลายมือหนาไม่ได้รีรอที่จะเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นตามใจอยาก วัสสะโน้มใบหน้าลงเล็กน้อยเพื่อมอบรสชาติจูบนิ่งสนิททว่าหวานลึกอยู่ภายใน ธารางกูรเองก็ตอบโต้กลับด้วยจังหวะเรียวลิ้นที่เคลื่อนไหวเชื่องช้าแต่แทบจะทำให้ลมหายใจขาดห้วง จุมพิตที่ให้ความรู้สึกลึกซึ้งยาวนานยิ่งทำให้ทั้งคู่ไม่อยากที่จะถอนสัมผัสออกจากกัน เหตุเพราะมันไม่ใช่จูบวาบหวามฉาบฉวย แต่มันเป็นจูบที่เป็นดั่งพันธสัญญาผูกหัวใจรวมไว้ด้วยกัน





ไม่พรากจากตัว

ไม่ไปจากใจ





เมื่อเป็นสุขกับสายลมหนาวริมหาดจนพอใจ คนทั้งสองพากันเดินเพื่อหาจุดหมายในค่ำคืนนี้อีกครั้ง ห้องพักรายวันเล็ก ๆ ที่เห็นเมื่อช่วงกลางวันเป็นที่ที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ทว่ายิ่งก้าวเดิน ขาของวัสสะกลับยิ่งแข็งและหนักขึ้นราวกับกำลังรับเรื่องในสมองไม่ไหว หากคำขู่สองครั้งที่ผ่านมาเลวร้ายและมีผลต่อระบบความคิด การถูกเดินตามซึ่ง ๆ หน้าคงจะเป็นการทุบความมั่นใจทิ้งอย่างไม่ยั้งมือ วัสสะกำลังถูกล้อมกรอบให้กลายเป็นหมาจนตรอก และต้องหันหน้ากลับไปสู้อย่างสุดชีวิตเพราะไม่มีทางเลือกอีกต่อไป

“มีสตินะครับคุณวัส” ธารางกูรเอ่ยปรามเมื่อเห็นวัสสะคว้าปืนของตนขึ้นมาพินิจใต้เงามืด แสงไฟรายทางสะท้อนกับปลายกระบอกปรากฏเป็นเงาวาววับสะดุดใจ เมื่อถูกท้วงเช่นนั้น ร่างสูงจึงกระชับฝ่ามือที่จับประสานกันไว้ตลอดให้แน่นขึ้นกว่าเดิม เช่นกัน ปืนกระบอกนี้ก็ถูกเขาเพิ่มแรงในการยึดเอาไว้ให้เหมาะมือ

“ถ้าไร้ทางเลือก ก็คือไร้ทางเลือก”

“นี่ที่สาธารณะนะครับ”

“ผมเป็นตำรวจนี่ ผมจะทำอะไรก็ได้”

“คนวัสครับ”

“โอเค ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร ถ้าพวกเขาไม่ล้ำเส้นเข้ามา” วัสสะเอ่ยทั้งแสร้งดวงหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นธารางกูรมีสีหน้าที่ไม่สู้ดี จะให้ตัวเขาวางใจทุกอย่างได้ยังไง ในเมื่อเขากับธารางกูรก้าวเดินอย่างสม่ำเสมอ แต่คนกลุ่มนั้นกลับเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ

“ผมไม่อยากให้เราต้องทำร้ายใครอีก”

“แต่คนพวกนั้นทำลายวันที่ดีที่สุดของเรา… ทำไมเราถึงยอมให้เขาทำร้ายเราได้ เพราะเราเป็นคนดีเหรอ… ก็เปล่า” ธารางกูรเงียบไปเพราะว่าเถียงวัสสะไม่ได้เลยสักนิด นั่นสินะ เพราะอะไร เพราะอะไรธารางกูรถึงไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เห็นความตายมามากมาย เพราะอะไรวัสสะถึงรู้สึกจุกไปทั้งอกทั้งที่เป็นฝ่ายพูดออกไปเอง

“ผมแค่ไม่อยากให้เราผิดมากไปกว่านี้”

“ผมรู้ ผมรู้ ผมรู้” วัสสะเอ่ยซ้ำ ๆ ขณะที่ลดความเร็วในการเดินและหยุดยืนในที่สุด ธารางกูรชะงักลงเมื่อถูกรั้งจากแรงมือ ร่างบางหันมาส่งสายตาวูบไหวให้กับวัสสะที่ยืนสูดลมหายใจด้วยใบหน้านิ่งสนิท เมื่อมองผ่านกรอบหน้าไร้รู้สึกไป ธารางกูรก็เข้าใจทันทีว่าเพราะอะไรความเคร่งขรึมจึงเข้าควบคุมวัสสะโดยเฉียบพลันเช่นนี้

แกร๊ก!

“ไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ! ” วัสสะเอี้ยวตัวหันกลับในเสี้ยววินาที แขนแกร่งออกแรงเหวี่ยงมือขวาข้างที่จับปืนไว้สุดแรงจนลำกล้องสะบัดขึ้นลำได้ด้วยมือเดียว ชีวิตที่ปลายปืนพุ่งตรงไปที่กลางอกไม่ได้แสดงท่าทีตกใจอะไร ผิดกันกับธารางกูรที่เบิกตากว้างเพราะไม่คาดคิดว่าประชาจะเข้ามาถึงตัวได้เร็วขนาดนี้

“ผมตั้งใจมาขอคุยนะครับคุณวัส”

“หึ คุยงั้นเหรอ สองวันมานี่ยังคุยกันไม่พอรึไง” วัสสะโยกศีรษะมองชายชุดดำอีกสามสี่คนที่แยกกันเดินเตร่คล้ายดูลาดเลาคุมพื้นที่อยู่ห่างไปหลายเมตร รอยยิ้มเยาะรู้ทันยกขึ้นแรง ๆ ที่มุมปาก เขาได้ยินเสียงฝีเท้าคืบเข้ามาใกล้ตั้งแต่แรก ยิ่งทำเป็นไม่สนใจ ระยะห่างระหว่างเส้นที่วัสสะขีดไว้ยิ่งลดลง แล้วดูตอนนี้สิ ชายกลางคนท่าทางภูมิฐานพูดจากับเขาราวกับไม่เคยเกิดเหตุเสียงปืนดังปังมาก่อน วิธีการยิ้มคล้ายเป็นมิตรนั่นช่างดูเสแสร้งสิ้นดี

“ผมต้องขอโทษด้วย ที่พวกนั้นอาจจะทำอะไรล่วงเกินคุณวัสกับกูรไป” ประชาพยักพเยิดหน้าไปยังกลุ่มคนเบื้องหลัง ธารางกูรที่กลัววัสสะจะใจร้อนพยายามใช้สองมือบีบเข้าผ่อนออกที่มือของอีกฝ่ายเป็นจังหวะเพื่อรั้งอารมณ์ให้เย็นลง

“ถ้าคนพวกนั้นทำตามคำสั่งท่าน ก็ไม่ถือว่าล่วงเกินหรอก จริงมั้ย”

“ผมมองว่ามันแค่เป็นวิธีเกลี้ยกล่อมของท่าน”

“แล้วถ้าผมกล่อมให้คุณหยุดด้วยวิธีของผมบ้างล่ะ” วัสสะกดปลายปืนลงที่อกซ้ายของอีกฝ่าย ธารางกูรที่ปิดปากนิ่งเงียบมานานถึงกลับต้องออกแรงดึงร่างวัสสะให้ถอยตามออกมาสามสี่ก้าว ร่างสูงหันไปมองคล้ายจะไม่พอใจ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องอ่อนลงเพราะสายตาร้องขอของธารางกูรอยู่ดี

“แล้วแต่คุณวัสจะตัดสินใจเถอะ แต่ที่ผมจะบอกคือคุณไม่มีทางหนีไปได้ ยังไงคุณก็ต้องกลับไปอยู่ดี ต่อให้ผมตาย พวกที่เหลือก็จะพาคุณกลับไป”

“คำสั่งคือพาผมกลับไปตายรังงั้นสิ เลยต้องขู่สารพัด ไม่ยอมฆ่าให้ตายสักที”

“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะครับ”

“มีเวลาถึงวันไหนล่ะ ท่านย่อมมีเดดไลน์ให้เสมอนี่”

“พรุ่งนี้ครับคุณวัส”

“เหรอ ถือว่ายังพอมีเวลาสินะ”

“ผมไม่อยากใช้ความรุนแรง ถ้าจะกรุณา ผมอยากให้คุณวัสกลับไปกับผมก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปกันใหญ่ ทั้งหมดนี้ผมหวังดีนะครับ”

“เห้อ… ถ้าหวังดีจริง ผมขอถามคำนึงเถอะ ถ้าคำสั่งที่คุณได้คือพาผมกลับไป แล้วกูรล่ะ คำสั่งที่คุณรับมาคืออะไร” วัสสะเลิกคิ้วถาม และคำตอบที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงความนิ่งเงียบ และการปรายสายตาไปมองคนที่วัสสะออกโรงป้องร่างเอาไว้ วินาทีนั้นวัสสะเดาคำตอบได้ทั้งหมด ธารางกูรเองก็เริ่มเข้าใจจนกัดริมฝีปากจนกระทั่งผิวเยื่อบาง ๆ ปริแดงไปหมด

“ถ้าคุณวัสกับกูรกลับไปกับผม ผมสัญญาว่าจะช่วยขอท่านให้ ตอนนี้ท่านแค่กำลังโกรธ ถ้ากลับไปแล้วท่านอาจจะใจเย็นลง เชื่อผมนะครับ ผมเอ็นดูกูรเหมือนหลานคนนึง ผมเองก็ไม่อยากจะทำอะไรกูรหรอก ตอนนี้คุณวัสไม่เหลือทางแล้วนะครับ ต่อให้คลาดสายตาไปจากพวกผม คุณวัสก็หนีไม่พ้นสายตาของท่านอยู่ดี อย่าเหนื่อยอีกเลยนะครับคุณวัส ยอมแพ้เถอะ ถ้าคุณวัสสงสารกูรจริง กลับไปกับผมเถอะ”

“พูดมาขนาดนี้ คำตอบของคุณคือชีวิตกูร... ชีวิตเพื่อความสะใจของมันเพียงคนเดียว งั้นผมคงต้องบอกคุณว่าผมยังมีทาง ตอนนี้ผมมีทางเลือกมากกว่าการหนีแบบไร้จุดหมายแล้ว”

“.......”

“ชีวิตที่ถูกตัดแขนขาจนไม่มีหนทาง ผมก็คงต้องตัดสินใจอย่างคนไม่มีหนทาง”

“ไม่ว่าคุณวัสจะทางไหน เชื่อผมเถอะครับอย่ายื้อเวลาให้เรื่องมันยุ่งยากมากไปกว่านี้เลย”

“หึ ไม่ไหวจะยื้อแล้วเหมือนกัน แม้แต่สัตว์มันยังมีขีดจำกัด แล้วนี่ผมเป็นคนจะไปทนอะไรได้นักหนาว่ามั้ย ในเมื่อผมต้องยอมแพ้เพราะมันไม่มีทาง ก็คงไม่มีทางอีกแล้ว” รอยยิ้มเศร้าสลดเย็นชาของวัสสะทำให้คนมองขนลุกชันขึ้นมา ประชาแอบประหวั่นในใจกับท่าทีหมดหวังกับชีวิตของวัสสะ ดวงตากร้าวแข็งเฉาลงจนรู้สึกสังเวชใจ ประชาที่มั่นใจว่าคนอย่างวัสสะไม่มีทางคิดอะไรตื้นเขินเริ่มเกิดความกังวลขึ้นมาในที่สุด

“อย่าคิดทำอะไรบ้า ๆ เลยนะครับคุณวัส” ร่างสูงไม่ได้เอ่ยตอบประชาไปว่าทางเลือกใหม่ของเขามันบ้าสักแค่ไหน เขาปล่อยด้ามปืนแล้วแขวนมันไว้บนนิ้วชี้นิ้วเดียว พลางใช้สายตาบอกให้ประชารับมันไว้ซะ

“กูรครับ คุณปล่อยผมก่อน” วัสสะไม่รอให้อีกฝ่ายปล่อยมือ เขารีบดึงมือและแขนออกจากพันธนาการ ก่อนจะยัดปืนที่ห้อยต่องแต่งให้กับประชาที่มีสีหน้าไม่เข้าใจและเป็นกังวลอยู่เต็มอก

“คุณวัสจะทำอะไรครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก คุณรอผมแปบนะ” วัสสะขยี้มือลงกับกลุ่มผมของธารางกูรอย่างเบามือ ก่อนจะหันมาถอดกระเป๋าสะพายที่แนบตัวออก เขาเปิดซิปล้วงหยิบของบางอย่างและเก็บมันเอาไว้ใต้สาบเสื้อโค้ท

“กูร พ่อของเราเป็นเพื่อนที่อารัก อาไม่ได้อยากทำแบบนี้ กลับไปกันเถอะ ไม่มีใครหนีท่านได้พ้นหรอก”

“ใครอนุญาตให้คุณพูดกับกูร อย่ามายุ่งกับคนรักของผม! ” วัสสะใช้น้ำเสียงเกรี้ยวกราด โยนกระเป๋าและปืนที่ติดตัวอยู่อีกกระบอกลงไปกับพื้น แม้ธารางกูรจะไม่เข้าใจและหวั่นใจเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำใดที่สงสัยออกไป ร่างบางทำเพียงยืนนิ่งเฉยทั้งที่ในหัวใจเริ่มกลัวจนแทบทนไม่ไหว

“คุณวัสคิดจะทำอะไร”

“ข้าวของคงไม่จำเป็นแล้วล่ะ หนียังไงก็ไม่พ้นนี่ ไม่มีทางเลย ไม่มีทางไปอีกแล้ว”

“คุณวัสจะกลับไปพร้อมกับผมใช่มั้ยครับ”

“พรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ งั้นวันนี้ที่ยังเหลือถือว่าขอแล้วกัน จนกว่าฟ้าจะสว่างอย่ามายุ่งกับเราอีก” ประชาก้มมองของที่วัสสะทิ้งเอาไว้บนพื้นและปืนในมือของตน น้ำเสียงชวนฉงนสงสัยให้คำตอบได้เพียงภาพที่เห็น วัสสะคว้ามือของธารางกูรเข้ามาจับไว้เช่นเดิม ก่อนจะยกหลังมือของอีกฝ่ายขึ้นจุมพิตเบา ๆ ประชามองภาพที่เห็นแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจอยู่ไม่น้อย เขารู้ดีว่าสองคนตรงหน้ารักกันเพียงใด และที่รู้ดีกว่าใครคือนายท่านผู้ไม่พอใจความรักครั้งนี้มาตั้งแต่ต้น





เวรกรรมอะไรกันนะ

เวรกรรมข้อไหน

เวรกรรมใดที่ทำให้ทั้งสองดื้อรั้นจนมาถึงป่านนี้





สายลมหนาวพัดเข้าใต้โค้ทจนปลายชายผ้าพัดพลิ้วไปตามแรงลม วัสสะจูงมือธารางกูรเดินสวนกลุ่มคนชุดดำไปคล้ายไม่สนใจสิ่งใดอีก ร่างบางนิ่งเงียบเหม่อลอยและปล่อยให้อีกฝ่ายนำพาไปในทุกทิศทาง ขณะที่ดวงตาคมของวัสสะอิดโรยท้อแท้เหมือนคนหมดสิ้นหนทาง คำพูดของประชาก้องอยู่ในหูวนไปมากับเสียงในหัวใจของเขา วัสสะไม่อยากแพ้ ไม่อยากทำตัวอ่อนแอปกป้องธารางกูรไม่ได้อย่างที่พูดไว้ แต่ทว่าตอนนี้ร่างกายของเขามันเบาไปเสียหมด ทั้งเบาบางและเจ็บปวดหัวใจในเวลาเดียวกัน





เบาบางจนกระทั่งไม่เหลือความหนักแน่นในตัวตน





‘เชื่อผมเถอะครับอย่ายื้อเวลาให้เรื่องมันยุ่งยากมากไปกว่านี้เลย’

หยุดยื้อเวลา หยุดหลอกตัวเอง ใช่ ที่ภาพมามันยุ่งยากเพราะยังหลอกตัวเอง





‘ตอนนี้คุณวัสไม่เหลือทางแล้วนะครับ’

ไม่เหลือเลยงั้นเหรอ ไม่มีเลยงั้นเหรอ





‘อย่าเหนื่อยอีกเลยนะครับคุณวัส ยอมแพ้เถอะ’

อย่าเหนื่อยอีกเลยวัสสะ อย่าเหนื่อยอีกเลย







“กูร… ตอนที่คุณคิดฆ่าตัวตายคุณคิดอะไรอยู่เหรอ เล่าให้ผมฟังทีได้มั้ย”

“ผมคงคิดเหมือนตอนนี้ล่ะมั้งครับ”








Talk 

ขอบคุณคอมเมนต์และทุก ๆ วิวล่วงหน้าค่ะ คงไม่ทอล์คเกี่ยวกับตัวเรื่องมากหลังจากนี้ ไว้เจอกันทีเดียวหลังจบค่า





หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 22 ฤดูทะเลครวญ 25/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 25-10-2018 23:13:49
เอ้าาาาาาเฮ้ยยย !!!
ไปฆ่าอิท่านก๊อนนนนนน
อย่าเพิ่งคิดฆ่าตัวตาย :ling1:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 22 ฤดูทะเลครวญ 25/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 26-10-2018 08:59:04
พันตำรวจตรีวัสสะ อิสระบริรักษ์  เลือกได้แล้วสินะ มองเห็นทางที่จะเดินแล้วสินะ

ท่านวรพจน์ ขอแสดงความยินดีกับท่านนะคะที่มีลูกชายที่ถอดแบบท่านมาได้ขนาดนี้ ท่านเด็ดขาดดื้อดึงเรื่องนี้แค่ไหน วัสก็ดื้อรั้นดึงดันเช่นเดียวกับท่านนั่นแหละค่ะ

ตอนจบเรื่องนี้จะเหมือนตอนจบโรมิโอจูเลียตไหมคะคุณคนเขียน
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 22 ฤดูทะเลครวญ 25/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 26-10-2018 22:01:36
บทที่ 23 หนาวเพราะฝนในใจ

When the day is long

And the night, the night is yours alone

When you’re sure you’ve had enough

Of this life, well, hang on*





กระแสลมสีเทาพัดผ่านจนพื้นที่โดยรอบยะเยือกเย็น ฤดูหนาวแผลงฤทธิ์ร้ายกาจจนปวดลึกลงไปในขั้วใจ ใครว่าภาคใต้มีฤดูหนาวที่น้อยกว่าภาคอื่น เปล่าเลย สิ่งที่มนุษย์เราสัมผัสได้ตอนนี้มันช่างหนักหนาสาหัสนัก ความหนาวเย็นเจ็บปวดช่างสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ หลังจากฝนระลอกสุดท้ายทิ้งทวนไปก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีพายุใดพัดผ่านเข้ามาในฤดูหนาวอีก





เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว ฝนย่อมไม่ตกฤดูหนาว

ที่กำลังหยดลงมามันคือน้ำตาในหัวใจของคนเราต่างหาก





แม้เวลาจะล่วงเลยไปราวเที่ยงคืน แต่สองชีวิตก็ยังคงปล่อยลมหายใจอุ่น ๆ เข้าออกแข่งกับสภาพอากาศรอบกาย สะพานข้ามแม่น้ำบนถนนสายใหญ่มีแสงไฟสีส้มทองสาดส่องลงมากระทบกับทั้งสองร่างจนเกิดเป็นเงาคาดทับลงไปบนฟุตปาธเบื้องล่าง ราวสะพานคอนกรีตมีขนาดหนามากพอที่ผู้ชายสองคนจะปีนขึ้นไปนั่งทอดสายตาบนนั้น

ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก! ปลายส้นเท้ากระทบเข้ากับผนังคอนกรีตเป็นจังหวะตามที่เจ้าตัวแกว่งขาทั้งสองข้างเข้าออก ระหว่างที่ใครอีกคนปล่อยน้ำหนักสองขาลงมานิ่งสนิท แม่น้ำเบื้องล่างไม่ได้มีคลื่นลมแรงจนไร้ทิศทางดั่งทะเล ซ้ำยังไหลเชื่องช้าเป็นสายไปในเส้นทางเดียวกัน ไม่มีทางไหลย้อนกลับ ไม่มีทางสาดซัดเข้าฝั่ง พื้นน้ำสีเข้มช่างสวยสงบและน่าดึงดูดให้ดำดิ่งลงไปสู่เบื้องลึก





ดำดิ่งลงไป ลึกลงไป และไม่กลับขึ้นมาอีกเลย





“คุณวัสจำได้มั้ย ตอนที่ผมต้องออกมาอยู่คนเดียวแรก ๆ เราก็เคยหนีออกมาด้วยกันแบบนี้ ตอนนั้นมันตลกมากเลย สุดท้ายเราก็ต้องกลับไปกับอาประชา” คนฟังคำถามนำสายตาเหม่อลอยของตนเข้ามามองคนข้าง ๆ ทันที สองขวาที่กำลังแกว่งไปมาหยุดนิ่งสนิท วัสสะผุดรอยยิ้มจาง ๆ ขึ้นมาที่ริมฝีปาก นั่นสินะ ครั้งหนึ่งเมื่อราวสิบปีก่อนเขาก็เคยฉุนเฉียวพาธารางกูรหลีกหนีออกมาเช่นตอนนี้ เพียงแต่ครั้งนั้นทางเลือกสุดท้ายที่มีคือการกลับไปอยู่ใต้อาณัติเช่นเดิม

“ทำไมจะจำไม่ได้ พอผมรู้ว่าท่านสั่งให้คุณย้ายหนีผมอีก ก็รีบโดดรั้วโรงเรียนนายร้อยออกมาหาคุณ ผมรู้ว่าคุณไม่อยากอยู่คนเดียวแบบนั้น ผมรู้ว่าคุณจะเหงา ผมรู้ว่าคุณจะกลัว ผมอยากพาคุณไปอยู่ด้วยกันที่ไหนสักที แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้” แม้ว่าตัวเขาจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงติดตลก แต่ทุกประโยค ทุกคำพูดกลับตอกย้ำตัวเอง ซ้ำยังกดลึกลงไปในความทรงจำและความรู้สึกผิด

วัสสะเคยหวังว่าเมื่อไหร่ที่ชีวิตเติบโตได้ด้วยแขนขา เขาจะพาธารางกูรออกมาจากกรงเหล็กที่ขังมาตลอดชีวิต ทว่ายิ่งนานวัน ยิ่งเป็นผู้ใหญ่มีความคิดและสติ เชือกเส้นใหญ่ยิ่งตรึงแขนขาไม่ให้ขยับไปในทางใด ซ้ำยังถูกชักจูงไปมาซ้ายขวาราวกับหุ่นเชิด ตัวเขากลายเป็นฆาตกรที่มีฉากหน้าเป็นนายตำรวจอนาคตไกล ส่วนธารางกูรก็กลายเป็นเพียงชีวิตหนึ่งซึ่งไร้ตัวตนแท้จริง





วันนั้นเขาทำไม่ได้ วันนี้เขายังทำไม่ได้

ถ้าใครสักคนจะผิด ก็คงจะผิดที่ตัวเขาเอง





“แต่วันนั้นมันทำให้ผมรู้ว่าผมรักคุณวัสมากแค่ไหน ผมยอมทุกอย่าง ผมยอมท่านทุกอย่างเลย ผมขอแค่ได้อยู่ข้างคุณวัสบ้างเท่านั้นก็พอ” สองมือเย็นเฉียบจับกันเองเอาไว้ที่ตัก ธารางกูรสบสายตาคนข้าง ๆ ด้วยความรักที่มีอยู่เต็มหัวใจ แสงไฟสีส้มที่สาดกระทบใบหน้าลงมาตอนนี้ยิ่งทำให้ภาพจำของกันและกันอยู่ในห้วงลึกสุดหัวใจ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทุกวินาทีที่กำลังหายใจเข้าออก ในอกของทั้งคู่มันบีบรัดเสียดแน่นจนอยากจะกระอักความจุกออกมา

“ผมก็เหมือนกัน แล้วตอนนี้ผมก็ยังคิดเหมือนเดิม ผมยอมทุกอย่าง ขอแค่ได้อยู่กับคุณ” วัสสะเอื้อมมือของตนประคองเข้าที่กรอบหน้าของธารางกูร มือที่เคยแข็งแกร่งและอบอุ่นกลับสั่นเทาและเย็นเฉียบในเวลานี้ จะมีใครบ้างที่เข้าใจความรู้สึกสิ้นหวังที่เกิดขึ้นกับเขา ความมั่นใจว่าจะพาธารางกูรหลีกหนีไปดั่งคำพูดลดน้อยลงทุกที ลดน้อยลงจนกระทั่งสูญสิ้นไปทั้งหมดเมื่อเขาเลิกหลอกตัวเอง การพูดคุยกับประชาเป็นการปลุกความจริงและซ้ำลงไปให้รับรู้ว่าสถานการณ์นี้เขาไม่ได้เป็นต่อ และเกมกำลังจะจบลงราวกับเขาเป็นหมากระจอกตัวหนึ่ง

“คุณวัสครับ”

“หืม ว่าไงครับ” ธารางกูรใช้มือเย็น ๆ ทั้งสองข้างของตนจับเข้าที่ข้อมือของวัสสะ สัมผัสเย็นยะเยือกทำให้นิ้วโป้งที่กำลังไล้พวงแก้มชะงักไป กลุ่มน้ำในดวงตาของธารางกูรวาววับสะท้อนกับแสงไฟ ก่อนที่มันจะไหลลงมาสัมผัสกับปลายนิ้วของวัสสะ เพียงเท่านั้นคนที่ยังอดกลั้นก็ยิ่งต้องใช้ความพยายามในการกักเก็บความรู้สึกย่ำแย่เอาไว้

“คุณวัสเหนื่อยมั้ยที่ต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อผมขนาดนี้ เหนื่อยมากๆ มั้ยที่ต้องคอยดูแลคนอย่างผม”

“ทำไมถามแบบนี้ ผมไม่เคยเหนื่อยเลย รู้มั้ยว่าทุกครั้งที่ผมเห็นคุณมันทำให้ผมรู้สึกดีขนาดไหน”

“ผมไม่อยากให้คุณวัสคิดทำอะไรเพื่อผมขนาดนี้เลย ผม...”

“คุณรู้มั้ยกูร… บางทีผมก็ตัดสินใจทำอะไรเพื่อตัวเอง การที่ผมตัดสินใจมานั่งอยู่ตรงนี้ก็เพื่อตัวผมเอง เพื่อหัวใจดวงเดียวของผม”

“ขอบคุณนะครับ ความรักของผม” กองทัพน้ำตาที่ถูกกดเอาไว้ภายในรื้นออกมาทันทีที่ธารางกูรพูดจบ วัสสะไม่อาจบังคับให้ตัวเองเข้มแข็งได้จนวินาทีสุดท้าย เขาเป็นเพียงคนคนหนึ่งที่ภายในใจถูกทุบทำลายทุกเมื่อเชื่อวัน สุดท้ายโครงสร้างแข็งแกร่งจึงเหลือเพียงซากปรักหักพัง ความเป็นคน สติ ความคิด ความหวัง ชีวิต หนทางเดินหน้า เส้นทางย้อนกลับ ทุกอย่างมันพังพินาศไปหมดแล้ว ไม่มี ไม่หลงเหลืออะไรเลย นอกจากความรัก วัสสะไม่หลงเหลืออะไรอีกเลย



“ชีวิตที่ถูกตัดแขนขาจนไม่มีหนทาง ผมก็คงต้องตัดสินใจอย่างคนไม่มีหนทาง”



ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่กับความเงียบในใจตัวเองอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างใช้สายตาทอดมองออกไปยังผืนน้ำแผ่นฟ้าและสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด ไม่ว่าวัสสะและธารางกูรจะอยู่ในห้วงตัดสินใจใด นี่ไม่ใช่การลังเลเพื่อดึงเวลาให้ผ่านไป ทว่ามันเป็นช่วงเวลาแสนพิเศษที่พวกเขาจะได้จัดเก็บลมหายใจของกันและกันเอาไว้ที่ชั้นในสุดของหัวใจ เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้ผ่านการคิดและตระเตรียมมาก่อน แต่เพราะทางออกทั้งหมดถูกปิด ทางเดียวที่จะเป็นอิสระคือการปล่อยให้จิตวิญญาณให้เป็นดำดิ่งลงไปพร้อมกัน





ไม่อยากอยู่ ไม่อยากคิด ไม่อยากรู้สึกแบบที่เป็น





การตัดสินใจที่ไม่ได้เกิดจากการชักชวนทรงพลังและทำให้ทั้งสองมีความสุขเล็ก ๆ ขึ้นมาในใจอย่างประหลาด เมื่อวัสสะได้รับรู้ว่าการสิ้นหนทางจนต้องคิดฆ่าตัวตายของธารางกูรเป็นอย่างไร เขาก็แน่ใจในทันทีว่าสิ่งที่รู้สึกอยู่ในวินาทีปัจจุบันนี้ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก และเมื่อดวงตาสิ้นหวังสองคู่สบมองกัน คำตอบที่เป็นหนึ่งเดียวก็เกิดขึ้นโดยไม่ต้องพูดคำใดออกมา ไม่ต้องเชิญชวน ไม่ต้องโน้มน้าว ไม่ต้องเอ่ยปากบอกใครอีกคนให้คล้อยตาม

“คุณกลัวรึเปล่า” วัสสะเอ่ยขึ้นทำลายเสียงลมพัดที่แว่วอยู่ข้างหู เขาซุกมือสั่น ๆ ของตัวเองเข้าไปใต้โค้ท ก่อนจะหยิบของสองสิ่งออกจากกระเป๋าใต้สาบเสื้อ ของสองสิ่งที่เขาหยิบติดมือมาอย่างตั้งใจ หยิบมาเพราะคิดแค่ว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายที่มี

“ไม่ครับ ผมนึกถึงมันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่วันนี้ ก็คงพรุ่งนี้” ธารางกูรส่ายหน้าบาง ๆ และเอ่ยตอบเมื่อเห็นว่าวัสสะถืออะไรเอาไว้ในมือ ของชิ้นแรก ขวดสีชาขนาดเล็กที่ด้านในเต็มไปด้วยผลึกยาสีขาวฤทธิ์แรง เพียงแค่เห็นรอยยิ้มเศร้าก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของร่างบาง เสียงของตัวเองวนย้อนกลับมาเข้าหู ธารางกูรเคยพร่ำบอกใครต่อใครว่ามันจะช่วยให้ไม่ทรมาน และเขารู้ดีว่ามันจะทำให้ไร้ความรู้สึกจนกระทั่งชีวิตดับวูบไป

“แต่ผมไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย จนกระทั่งตอนนี้” วัสสะก้มมองของในมือตนบ้าง เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าธารางกูรคิดอะไรอยู่ถึงได้พยายามฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่เคยทำความเข้าใจ และไม่เคยรู้เลยว่ามีความทรมานข้อใดอยู่ในหัวใจดวงเล็กดวงนั้น จนกระทั่งวันที่หนทางตีบตัน เขาเข้าใจดีที่สุด เข้าใจดีที่สุดว่าอารมณ์ชั่ววูบขณะที่เรากำลังเจอปัญหามันร้ายแรงสักแค่ไหน

“ผมไม่ใช้มันได้มั้ยครับคุณวัส” ธารางกูรพูดขึ้นขณะที่ยังมองขวดสีชาอยู่ วัสสะมองตามสายตาคู่นั้นและพินิจด้วยความคิดที่คล้ายกัน

“นี่น่ะเหรอ”

“ครับ… ผมอยากกอดคุณวัส อยากกอดคุณวัสเอาไว้จนกว่าวินาทีนั้นจะมาถึง” ธารางกูรใช้ปลายนิ้วปาดเก็บน้ำตาตัวเอง สิ่งเดียวที่ปรารถนาคือความอบอุ่นเดียวในฤดูหนาว ความอบอุ่นที่เขาอยากจะรู้สึกและรับรู้ได้ถึงมันจนถึงห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขารู้ดีว่าเจ้าของสายตาทุกคู่ที่เคยไร้รู้สึกจากยาตัวนี้นั้นทรมานแค่ไหน อาจจะดูไม่เป็นธรรมกับผู้ถูกกระทำเหล่านั้น แต่หากยังเห็นแก่ตัวได้อีกสักครั้ง ธารางกูรยังอยากจะรู้สึก แม้อาจจะเจ็บปวด ทรมาน ทุรนทุราย แต่อย่างน้อยเขาก็ยังรู้สึก

“อันที่จริงผมก็ไม่อยากใช้มัน ผมยังอยากมองคุณ อยากบอกรักคุณ” วัสสะปล่อยขวดสีชาออกจากมือทันที นานนับวินาทีกว่าที่มันจะสัมผัสกับพื้นน้ำกว้างส่งเสียงเป็นสัญญาณขึ้นมาด้านบน ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง และครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างเฝ้ามองกันและปล่อยน้ำตามากมายไหลออกมาอย่างสุดกลั้น ใครก็อยากมีชีวิตดี ๆ ที่มีความรักและคนรักอยู่เคียงข้างกายกันทั้งนั้น ไฉนเลยคนที่กำลังแข่งกันร้องไห้ตัวโยนจะไม่อยากมีชีวิตสดใสเช่นคำกล่าว

“ผมขอโทษนะกูร ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมผิดสัญญา ผมทำไม่ได้ ผมขอโทษ มันไม่มีทางเลย ผมขอโทษ” เสียงขอโทษละล่ำละลักออกมาระหว่างที่วัสสะเอื้อมสัมผัสเส้นผมอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายไม่หยุด

“คุณวัสครับ เราทำดีที่สุดแล้ว เราสู้กันมาไกลมากแล้ว ขอบคุณครับ ขอบคุณจริง ๆ ” คำขอโทษเหล่านั้นถูกตอบกลับไปด้วยคำขอบคุณที่มีน้ำเสียงติดขัดไม่แพ้กัน

“มันไม่ทางแยกเราออกจากกัน เข้าใจใช่มั้ย”

“ครับ ไม่มีทาง เราจะไม่ไปจากกัน” ธารางกูรพยักหน้ารับเมื่อจ้องมองของอีกสิ่งในมือของวัสสะ กุญแจมือสีเงินวาววับถูกสวมเข้าที่ข้อมือซ้ายของคนถือเป็นอันดับแรก ก่อนที่ธารางกูรจะยื่นข้อมือขวาของตนเข้าไปในห่วงกลม สลักถูกล็อกเข้าตำแหน่งอย่างแน่นหนา สายตาสองคู่มองพันธนาการโลหะที่เชื่อมโยงกันไว้แล้วยิ้มออกมาทั้งน้ำตา อาจจะดูบ้า แต่มันเป็นเครื่องช่วยทางจิตใจเพียงสิ่งเดียวที่สามารถกระทำได้ในตอนนี้





วัสสะและธารางกูรจะไม่ไปจากกัน





“อยู่กับผมนะกูร” ธารางกูรพยักหน้ารับคำจากวัสสะ เขาก้มใบหน้าซบลงไปกับไหล่กว้าง และปล่อยให้อีกฝ่ายกดปลายคางลงมากับกลุ่มผม หยดน้ำตายังไหลลงมาต่อเนื่องระหว่างที่ห้วงเวลาดำเนินต่อไป เสียงหัวใจสองดวงเต้นประสานกันเป็นจังหวะที่ไม่ได้แผ่วลง ซ้ำยังส่งเสียงเด่นชัดรอคอยความตายตามที่ปรารถนาอยู่ในทุกวินาที

“คุณวัสครับ… ชาติหน้ามันมีจริงรึเปล่า”

“เราจะยังจำกันได้มั้ยกูร”

“ถ้าชาติหน้ามีจริง เราคงไม่ต้องมีชีวิตแบบนี้อีกแล้วใช่มั้ย” ทั้งคู่ผลัดกันตอบคำถามด้วยคำถาม อาจเป็นเพราะคำถามเหล่านั้นมันเป็นปริศนาที่ใครก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ หรือบางทีต่างฝ่ายอาจจะต้องการใช้ประโยคคำถามอธิบายความรู้สึกสุดท้ายที่มี

“เราจะได้เจอกันรึเปล่า”

“ผมจะจำได้รึเปล่าว่าผมรักคุณวัสขนาดไหน”

“แล้วผมจะจำได้มั้ยว่าเคยรักคุณยังไง”

“คุณวัสรักผมมั้ยครับ”

“คุณรักผมได้เท่าที่ผมรักคุณรึเปล่ากูร” สองมือที่ถูกเชื่อมติดกันไว้ด้วยกุญแจมือประสานกันแน่นกว่าครั้งไหน ๆ ทั้งคู่เงยหน้าสบมองกันทั้งคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนจนสิ้นความสดใสทั้งที่พยายามยกปากยิ้มอยู่ วัสสะก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากเรียวเบา ๆ เพียงเพื่อให้รู้ว่ายังมีกันและกันอยู่ ลำแขนแกร่งข้างที่เป็นอิสระของวัสสะเอื้อมกอดร่างธารางกูรเอาไว้ ก่อนที่เสี้ยววินาทีหลังจากนั้น ร่างกายของทั้งคู่จะวูบลงจากราวสะพาน

วินาทีที่ร่างกายวัสสะกระทบลงกับพื้นน้ำเป็นอันดับแรก คำตอบสำหรับคำถามที่ตั้งเอาไว้มันก็ถาโถมเข้ามาในสมองของทั้งคู่จนหมด สายน้ำโอบล้อมคนสองคนที่ทิ้งชีวิตลงมาพร้อมกัน แขนข้างหนึ่งที่เคยโอบกอดกันไว้หลุดออกในวินาทีนั้น หลงเหลือเพียงแต่พันธนาการที่ผูกเอาไว้ไม่ให้ห่างไปไกล ในร่างกายของคนที่กระแทกพื้นน้ำรู้สึกจุกไปเสียหมด พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังดิ่งลงไปความมืดใต้น้ำลึกเท่าไหร่ ปล่อยให้ตัวเองจมลงไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ และหาได้ตะเกียกตะกายหาทางเอาชีวิตรอด





ชาติหน้ามีจริงมั้ยคงไม่สำคัญ

พวกเขาจะหลงลืมกันไปรึเปล่าคงไม่อาจรู้ได้

แต่คำตอบที่แน่ใจ คือสองหัวใจรักกันมากเหลือเกิน





ยิ่งลึกลงไปเท่าไหร่กระแสน้ำยิ่งเย็นและยิ่งไหลเฉี่ยวกราก ดวงตาคู่คมลืมขึ้นเมื่อร่างกายเริ่มมีปฏิกิริยากับสภาวะที่อันตราย วัสสะมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดที่มีตัวตน สมองที่ยังสั่งการคว้าจับมือคนที่เกี่ยวพันไว้ด้วยกุญแจมือ สองร่างผวาเคลื่อนกายฝ่ากระแสน้ำเข้าหากัน วัสสะดึงธารางกูรเข้ามากอดเอาไว้แนบอก ทั้งคู่โอบรั้งกันไว้อย่างคนคร่ำครวญหา อีกทั้งมือข้างที่มีพันธะยังจับประสานกันแน่นไม่ได้ปล่อย สัมผัสอบอุ่นจากร่างกายท่ามกลางสายน้ำเย็นไหลเชี่ยวคือสิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่ายังมีกันอยู่ตรงนี้

ฟองอากาศกลุ่มใหญ่ลอยขึ้นจากคนทั้งคู่สู่ผิวน้ำเบื้องบน ธารางกูรเผลอสำลักน้ำงับอากาศเข้าปอดเข้าไปเฮือกใหญ่จนร่างกายกระตุกเกร็งตามสัญชาตญาณ วินาทีนั้นวัสสะที่ยังคงกลั้นหายใจเริ่มอึดอัดทรมานจากการขาดอากาศ เขาตระหนกด้วยหัวใจที่ไม่สู้ดีนัก เมื่อไม่อาจมองเห็นได้ว่าธารางกูรในอ้อมอกมีสีหน้าเป็นอย่างไร แต่แรงมือที่บีบจับกันแน่นขึ้น ๆ ทุกที ก็ทำให้เขาแน่ใจว่าร่างบางกำลังเกิดความรู้สึกประหวั่นกลัวและทนทุกข์กับห้วงเวลานี้ไม่แพ้กัน





จู่ ๆ เบื้องลึกในจิตใจก็นึกถึงการกระทำของตนที่ผ่านมา





ขณะที่ดวงตาคมเริ่มแสบร้าวเพราะเพ่งในน้ำนานเกินไป เรียวคิ้วหนาก็ต้องขมวดเป็นปมเมื่อมีภาพมากมายไหลเวียนเข้ามาในหัว วัสสะที่พยายามกลั้นหายใจไม่ให้น้ำทะลักเข้าผ่านไปเริ่มอดทนกับการไร้อากาศหายใจไม่ได้ ความหวาดผวาเข้าครอบคลุมจนอึดอัดหวาดกลัวไปเสียหมด ซ้ำร้ายภาพความสุขในชีวิตที่ไม่เคยให้ค่า ไม่เคยนึกถึง ดันต่อแถวเป็นขบวนกลับเข้ามาให้จดจำในเสี้ยววินาทีนั้น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ผู้คนรอบกาย ความสวยงามของโลกใบใหญ่ แม้จะเป็นเพียงภาพจำส่วนเล็ก ๆ แต่กลับทรงพลังจนอยากจะพยายามหายใจเพื่อสู้ต่อ เข้าใจแล้ว วัสสะเข้าใจแล้วว่าสายตาทุกคู่ที่มองมายังเขาและธารางกูรรู้สึกทรมานอย่างไรก่อนตาย





เข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำไมสายตาพวกนั้นถึงพยายามครวญขอชีวิตอีกครั้ง





ธารางกูรที่สำลักน้ำผ่านช่องปากและจมูก รู้สึกแสบจี้ดขึ้นในหัวลามไปยันลำคอและโพรงจมูก เขากำลังรับน้ำเข้าไปแทบจะมากเกินกว่าขีดจำกัดของมนุษย์ ร่างบางรู้สึกทรมานและอยากหลุดพ้นไปจากตรงนี้ แม้ว่าร่างกายจะยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ก็ตามที สติสัมปชัญญะของเขากำลังใกล้สู่จุดอันตรายและใกล้จะสิ้นสุด สัญชาตญาณพยายามดิ้นหาอากาศทั้งที่กำลังทิ้งตัวจมลงไปเรื่อย ๆ หากไม่ได้ใครอีกคนรั้งกอดเอาไว้ ป่านนี้ธารางกูรคงจะจมลงไปจนสุดความลึก





หลงใหลความตายและหวาดกลัวชีวิตในเวลาเดียว





วัสสะที่ตกอยู่ในช่วงเวลามืดมนนั้นเข้าใจความสำคัญของชีวิตอย่างถ่องแท้ หัวใจที่ยังเต้นเป็นจังหวะของเขาแกว่งขึ้นมาจนน้ำตาแทบจะรื้นออกมากลางแม่น้ำสายนี้ เพราะเขารู้ว่าธารางกูรคงจะรู้สึกแย่ไม่แพ้กัน เพราะเขารู้ว่าแขนของธารางกูรที่กำลังกอดเอาไว้เริ่มตกลง เพราะเขารู้ว่าแรงบีบที่มือของอีกฝ่ายเริ่มลดน้อยลงทุกที





วินาทีสุดท้ายของชีวิต คือวินาทีที่รู้ว่าชีวิตสำคัญที่สุด





มือหนาเคลื่อนควานหาใบหน้าอีกฝ่ายในทันที ลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ยังมีอยู่ถูกมอบให้คนที่วัสสะรักหมดใจผ่านริมฝีปาก ธารางกูรเผยอปากสูบอากาศเพียงนิดที่ได้รับเข้าไปอย่างคนที่ยังอยากสู้ แม้มองไม่เห็น แม้ไม่มีเสียงเรียก แต่ทั้งสองคนกลับรู้ใจกันพากันตะเกียกตะกายสุดชีวิต แต่การดิ้นรนมีชีวิตอยู่ไม่ได้ง่ายดายนัก และยากพอ ๆ กับการจบชีวิตลงเพื่อปลดปล่อยความทุกข์ใจ





ไม่มีอะไรง่ายดาย

ไม่มีความทุกข์ใดผ่านไปอย่างง่ายดาย

ไม่เลย





เมื่อวัสสะดึงธารางกูรขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ร่างกายอ่อนแรงก็พากันจมดิ่งลงไปจนสำลักกระอักกระไอ ช่างทารุณหัวใจเต้นรัวและร่างกายอย่างทรมานที่สุด หลายต่อหลายครั้งที่สัญชาตญาณพยายามสั่งให้ร่างกายดิ้นรน แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าความปรานีก็ไม่เคยเกิดขึ้น สองร่างดำผุดดำว่ายไม่เป็นท่าทั้งที่ต่างว่ายน้ำแข็ง ครั้นพากันหยุดนิ่งปิดเปลือกตาลงรอรับความตายดั่งที่ใจเคยปรารถนา โชคชะตาเล่นตลกก็ปล่อยให้สองชีวิตลอยตัวสูงจนโผล่พ้นขึ้นจากพื้นน้ำกว้าง





ดั่งถูกลงโทษ

ดั่งถูกหลอกให้ทรมาน

ดั่งถูกตอกย้ำให้รู้ว่าไม่เหลือทางเลือกเดินที่เป็นของตน





“ไม่ต้อง กลับขึ้นมา” คนบนฝั่งที่เพิ่งสั่งให้คนกระโจนลงน้ำได้แต่ถอนหายใจโล่งอก ลูกน้องของประชาว่ายน้ำวนกลับขึ้นฝั่งทั้งที่ยังเข้าไม่ถึงตัวคนทั้งคู่ ภาพที่เห็นทำให้ความหนักอกหนักใจเกิดขึ้นเพราะความสงสารเวทนา ประชาเห็นอกเห็นใจวัสสะและธารางกูรอย่างถึงที่สุด หรือแม้แต่เหล่าคนที่คอยตามติดเฝ้ามองมาตลอดหลายวันยังจุกอกอยู่ไม่น้อย แต่เพราะคำสั่งที่ยังค้ำคอจึงไม่อาจจะปล่อยให้ทั้งสองคนเป็นอิสระได้





แม้แต่ความตาย ยังไม่อาจหาญยื่นมือเข้ามาช่วย

การหลีกหนีด้วยลมหายใจ มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น





วัสสะพยุงร่างธารางกูรเอาไว้ขณะที่ทั้งคู่พากันสูดอากาศเข้าไปหายใจจนเต็มปอด ธารางกูรที่สำลักน้ำเข้าไปจำนวนมากกว่าอยู่ในอาการที่ยังไม่สู้ดีแม้จะมีสติ สองขาของวัสสะจึงต้องออกแรงตีน้ำแหวกกระแสคลื่นเบาเข้าฝั่งที่ยังอยู่อีกไกล กุญแจมือที่ผูกติดร่างกายแม้จะเป็นภาระที่ทำให้การเอาชีวิตรอดยากขึ้น แต่ทว่านั่นทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนหน้าของคนทั้งคู่ที่รู้ว่าจะไม่มีทางพลัดจากกันไปไหน





ไม่มีเสียงพูดใด

มีแต่เสียงหอบเหนื่อย

เสียงหัวใจที่ยังเต้นอยู่

และเสียงเรียกร้องจากชีวิต ที่อยากจะขอสู้ต่อ ทั้งที่ไม่รู้ว่าไม่มีทางชนะ





หนีไม่ได้

ตายไม่ได้





เมื่อไหร่จะหลุดพ้นเสียที





*R.E.M. - Everybody Hurts

Talk

ดูเหมือนว่าเรื่องจะหนักขึ้นทุกที ตอนก่อน ๆ คนอ่านพากันบอกว่าฆ่าตัวตายซะเถอะ เราคันปากอยากบอกเหลือเกินว่า รอหน่อยนะ การตัดสินใจแบบนั้นน่ะมาแน่ 5555 แต่สุดท้ายแล้วการตัดสินใจนั้นอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด อารมณ์ชั่ววูบ การคิดหลีกหนีปัญหาพาคนเสียใจมานักต่อนัก ขอกำลังใจให้อีก 4 ตอนที่เหลือด้วยนะคะ ใกล้จบเต็มทีแล้ว

ขอบคุณทุกคอมเมนต์และทุก ๆ คนมาก ๆ ค่ะ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงสำหรับคนที่คอยติดตามกันประจำ มันต่อพลังให้ได้มากจริง ๆ ขอบคุณค่าาาา :)

ปล.สารภาพมานะว่าแอบลุ้นให้ตายหรือไม่ตาย 55555
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 23 หนาวเพราะฝนในใจ 26/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 26-10-2018 22:58:21
ก็นะใครก็ต้องรักชีวิต ใครก็มีอารมณ์ชั่ววูบกันทั้งนั้น แล้วนี่สองคนรักกันขนาดนี้จะปล่อยให้คนรักทรมานได้ไง สุดท้ายก็ต้องตะเกียกตะกายเอาตัวรอดกันจนได้ เฮ้อออออ

แต่ประเด็นสำคัญคือคำสั่งให้เอาชีวิตกูร นั่นคือไม่ต้องการแล้ว กลับไปก็ไม่เอาแล้ว จะทำไงต่อไปล่ะวัส เส้นตายเหลือไม่กี่ชั่วโมงแล้วนะ

งั้นคงต้องแผนB ไปล่าเสือตัวเบิ้มกันเถอะ!!!
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 23 หนาวเพราะฝนในใจ 26/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 27-10-2018 00:50:39
อื้อฮือออออออ มีเพลงประกอบ Everybody hurts ของ R.E.M. ด้วย :ling1:

อย่าเพิ่งตาย ถ้าอิท่านยังไม่ฆ่าเราก่อน
เราก็ต้องไปฆ่าอิท่านก่อนถึงค่อยไปตายนะ ได้โปรด
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 23 หนาวเพราะฝนในใจ 26/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 27-10-2018 14:12:14
 :mew6:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 23 หนาวเพราะฝนในใจ 26/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 28-10-2018 19:52:53
บทที่ 24 กลิ่นฝนครั้งสุดท้าย

Sometimes everything is wrong

Now it’s time to sing along

When your day is night alone

If you feel like letting go

If you think you’ve had too much of this life

well

hang on*





กว่าจะรู้ว่าความทุกข์นั้นมีค่า ก็คงเป็นวินาทีที่เผชิญหน้ากับมันจนความสุขชัดเจนขึ้นมา





จะมีสักกี่คนที่พาตัวเองเข้าไปเฉียดใกล้ความตาย จะมีสักกี่คนที่พาตัวเองหลีกหนีมันได้พ้นทั้งที่เป็นฝ่ายขวนขวายร้องหามันเอง วัสสะและธารางกูรมีคำบอกเล่ามากมายเกี่ยวกับความกลัวและความตายคั่งค้างอยู่ในสมอง ไม่เคยคิดเลยว่าความมั่นอกมั่นใจจะพังทลายลงในวินาทีที่รู้ว่าการจากลารออยู่ไม่ไกล ความทุกข์ที่เป็นเหตุผลทั้งหมดทำให้ได้เห็นค่าของความสุขน้อยนิดในชีวิต ความสุขที่แล่นผ่านกลับเข้ามาในความทรงจำ และทำให้รู้ว่าทุกลมหายใจที่ผ่านมานั้นมีค่ามากแค่ไหน





อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่

อย่างน้อยก็ยังมีความสุขอยู่บ้าง

อย่างน้อยชีวิตของพวกเขาก็คงจะเป็นสุขในเวลาที่ยังเหลือ





ความรู้สึกขณะที่ตัดสินใจหันหลังให้ความตายนั้นไม่ใช่ความหวาดหวั่นกลัวตาย ทว่ามันเป็นความห่วงหาอาทรที่มีให้คนข้างกาย และความรู้สึกสุดเสียดาย เสียดายที่ยอมแพ้โชคชะตาทั้งที่พยายามต่อสู้กับมันมา เสียดายที่ต้องทิ้งร่างกายและลมหายใจที่ฟูมฟักรักษามานานเท่าชีวิต เสียดายถ้าหากต้องจากโลกใบนี้ไปทั้งที่ยังไม่ได้สัมผัสเม็ดฝนในฤดูหนาว โชคดีแค่ไหนที่วัสสะไม่ได้ตัดสินใจใช้ยาขวดนั้น หรือใช้ปืนปลิดชีพกันและกันในเสี้ยววินาที





โชคดี ที่บาปกรรมไม่ยอมให้หลุดพ้นจากบ่วงทุกข์ไปได้ง่าย ๆ





หลังจากพาหัวใจเบาโหวงขึ้นมาจากแม่น้ำสายใหญ่ ทั้งคู่ก็ทรุดตัวลงกอดกันด้วยหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมาไม่หยุด ที่สั่นสะท้านไม่ใช่เพียงเพราะร่างกายกำลังต้านความหนาวเย็นที่ทวีคูณขึ้นมาหลายเท่า อีกเหตุผลคือชะตากรรมเลวร้ายกำลังเคลื่อนเข้ามาโดยไม่อาจหลีกหนีได้อีกต่อไป จะทำอย่างไรได้อีก ในเมื่อทางเลือกสุดท้ายที่ใคร ๆ ต่างคิดถึงในยามที่ความรู้สึกดิ่งลงเหวมันไม่ได้ง่ายดาย ไม่เลย มันไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะความจริงที่ว่า สุดท้ายแล้วคนเราทุกคนต่างดิ้นรนหลีกหนีความตาย





คนที่ไม่เคยจมน้ำไม่รู้หรอก ว่าความรู้สึกเลวร้ายนี้มันเป็นยังไง





วัสสะพาธารางกูรเดินเอื่อยเฉื่อยท่ามกลางความมืดและลมหนาวไปในยังเส้นทางที่ไม่รู้จัก ทั้งคู่จับมือกันไว้แนบแน่นระหว่างที่สองขาก้าวเดินต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งใด ไร้เสียงพูด ไร้กลุ่มน้ำตา ไร้ความหวังใด ๆ ในชีวิต เปล่าเลย คนทั้งสองไม่ได้รอดตาย ความรู้สึกของพวกเขาไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่จมอยู่ใต้ท้องน้ำมืดสนิท อึดอัด หวาดกลัว จมลึก ดิ่งลงไปราวกับมีใครฉุดรั้งเอาไว้เบื้องล่าง ไม่มีใครช่วย ไม่มีใครสนใจ มีแต่เสียงหัวใจตัวเองที่อ้อนวอนขอร้องให้ขาดใจตายไปเสียที





หมดแรงจะตะเกียกตะกาย





ความเคว้งคว้างพาคนสองคนเดินขึ้นตึกร้างสูงชันที่มืดสนิท จนกระทั่งสุดทางที่ชั้นดาดฟ้า คนที่เดินนำอย่างวัสสะไม่ได้มีเหตุผลดี ๆ หรือความคิดอะไรมากมายไปกว่าการเดินไปเรื่อย ๆ หลีกหนีไปเรื่อย ๆ อย่างคนหลงทาง การหลงทางที่ว่าหาใช่เพราะวัสสะไม่รู้จักเส้นทางหรือว่าไม่คุ้นชินกับมัน แต่มันเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าจะไปที่ใดและไม่มีที่ไปต่างหาก จะซ้าย ขวา หน้า หลัง หรือขึ้นสูงสุดแค่ไหน ทุกเส้นทางต่างตีกรอบให้จนมุม และบังคับให้เขาจำยอมรอคอยการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่ไม่ได้อยู่ไกลออกไปเลย





วัสสะรู้ ธารางกูรรู้ พวกเขารู้ รู้ว่าหนีนรกขุมนี้ไปไม่พ้น

ทางเดียวคือต้องสู้ สู้ทั้งที่แทบไม่เหลือมือเท้าให้หยัดยืน





เพราะเหนื่อยล้าวัสสะจึงโอบกอดธารางกูรเอาไว้จากด้านหลัง และทิ้งตัวลงนอนไปกับพื้นซีเมนต์หยาบกระด้างอย่างไม่นึกรังเกียจความสกปรกใด ร่างกายเย็นเฉียบและเสื้อผ้าชื้นเปียกแนบสนิทคนทั้งสองเอาไว้ จนดูคล้ายว่ามีความอบอุ่นแผ่ขึ้นโดยรอบทั้งที่อากาศเย็นเฉียบ อีกทั้งกุญแจมือที่ยังรัดแน่นหนา ยิ่งทำให้ความรู้สึกผูกตรึงมั่นคงไม่มีคลอนแคลนไปจากกัน

“ผมได้กลิ่น ได้กลิ่นหอมเย็นชื่นใจของมัน… เชื่อผมสิว่าฝนกำลังจะตก” ธารางกูรเอ่ยขึ้นขณะได้กลิ่นไอฝนคละคลุ้งลอยละล่องขึ้นมาแตะปลายจมูก ร่างบางสูดเอาความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเข้าไปเต็มปอด ความเงียบที่ดำเนินมานับชั่วโมงถูกทำลายลงเพราะกลิ่นฝนในฤดูหนาวอย่างที่เขาชอบ





หยาดฝนแห้งเหือด กลิ่นฝนหอมกรุ่นพวกนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งลวง หลอกล่อให้ดีใจ





“คุณก็รู้ดีอยู่แล้วว่านี่มันฤดูหนาว ฝนไม่มีทางตก มีแต่เราจะหนาวเย็นขึ้นทุกทีเท่านั้น” วัสสะบังคับน้ำเสียงหม่นหมองของตนตอบกลับไป เขารู้ว่าธารางกูรพยายามแค่ไหนที่จะทำลายบรรยากาศย่ำแย่ตรงนี้ลง ลำแขนแกร่งกระชับกอดให้แผ่นหลังที่เล็กกว่าแนบสนิทกับแผงอกมากขึ้น ปลายจมูกโด่งคมสันได้รูปกดลงบนกลุ่มผมของร่างบางด้วยความรักใคร่

“หรือว่าคุณไม่ได้กลิ่น ลองหลับตาเหมือนที่ผมทำดูสิ”

“ผมได้กลิ่น ผมรู้สึกแบบเดียวกับที่คุณรู้สึกได้นั่นแหละ เพียงแต่ผมเลิกหวังไปแล้วว่าจะมีฝนตกลงมาจริง ๆ … สุดท้าย ความหนาวเย็นอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เราจะได้สัมผัสในฤดูนี้”

“ฝนตกในฤดูหนาวเพราะลมมรสุมออกจะบ่อยไป”

“ดูคุณจะอยากให้ฝนตกจังเลยนะ ทำไมถึงชอบมันนักหนา”

“คุณจะถามผมอีกกี่ครั้งครับ ผมว่าผมเคยตอบไปหลายครั้งแล้วนะ”

“ผมจะถามทุกครั้งที่เราเจอกันนั่นแหละ ผมอยากฟังคำตอบเดิมซ้ำ ๆ จะได้รู้ว่าเป้าหมายว่าเรารออะไรอยู่ไง”

“ผมชอบมัน ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าถ้าฝนตกลงมา อากาศเย็นทรมานแบบนี้คงจะชื่นใจขึ้นมาน่าดู แม้จะเย็นกว่า ทรมานกว่า แต่มันคงจะทำให้เรามีชีวิตชีวาราวกับคืนชีวิตให้เราอีกครั้ง ...ไม่รู้สิ ผมคิดว่าเป็นแบบนั้นนะ”

“จริงด้วยสินะครับ” เจ้าของอ้อมกอดออกแรงกระชับเพื่อสร้างไออุ่นให้ทั้งสองร่างอีกครั้ง เรียวมือและแขนที่เล็กกว่าเอื้อมจับแขนของอีกฝ่ายตามไปในทุกทิศทาง ไม่ใช่เพราะเรียกร้องหาสัมผัส แต่เป็นเพราะทั้งคู่ถูกเชื่อมติดกันไว้ด้วยกุญแจมือเหล็กหนาขัดเงา ทว่าสายใยที่แน่นหนายิ่งกว่ากลับเป็นเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่ดังก้องพร้องไปกับเสียงสายลม





คำถามที่ถูกถามซ้ำ ๆ จะอีกกี่ครั้งคำตอบก็ยังเป็นเหมือนเดิม





“ทุกอย่างคงจะดีขึ้นหลังฝนตก เว้นเสียแต่ว่า...” ดวงตากลมเลื่อนลอยมองไปเบื้องหน้า แม้ในระนาบสายตาจะมีเพียงพื้นดาดฟ้าตึกแสนสกปรกและคราบเกรอะกรังไม่พึงประสงค์ อากาศรอบตัวค่ำคืนนี้ย่ำแย่กว่าทุกวัน ยิ่งหนาวกลิ่นฝนที่เขาชอบใจยิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะ

“เว้นเสียแต่ว่าฝนจะหลอกเราเหมือนทุกที” ท้องฟ้ามืดสนิทสีครามเข้ม แม้จะไร้เมฆหมอกแต่ก็ไม่ได้เผยแสงสว่างจากดวงดาวดังที่ฤดูหนาวควรจะเป็น การเคลื่อนไหวบนท้องฟ้านิ่งสนิท มีเพียงดวงจันทร์ที่ยังกลมไม่เต็มรูปส่องแสงลงมาให้รู้ว่าเวลายังดำเนินต่อไปเท่านั้น สองชีวิตตรงนี้ได้แต่รอคอยอย่างมีความหวัง หวังว่าคืนนี้กลิ่นไอฝนจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังเหมือนอย่างเคย





ได้แต่หวังเท่านั้น





วัสสะเงยหน้าขึ้นมองฟ้ากว้างเบื้องบน ท้องฟ้าที่ใครก็ว่าสวยงามช่างดำมืดน่ากลัวในค่ำคืนนี้ ในสมองของเขาไม่ได้คิดหลีกหนีอีกต่อไปแล้ว เขาจะสู้ สู้จนตัวตาย สู้จนกว่าแรงเฮือกสุดท้ายในชีวิตจะหมดลง สุดท้ายแล้วถ้าต้องตายในวินาทีนั้น ความเสียดายทั้งหมดที่ยังค้างคาใจอยู่ก็จะหมดไป ถ้าต้องตายเพราะสู้เพื่อชีวิตและความรัก ย่อมเป็นการหลุดพ้นจากสายน้ำดำมืดที่คุ้มค่าความทรมานที่สุด

“คุณวัสรู้มั้ยครับว่าฝนโกรธอะไรเรา ทำไมถึงใจร้ายกับเราจัง”

“ทำไมคุณถึงชอบให้ฝนตกฤดูหนาวนัก” นอกจากจะไม่ตอบคำถาม วัสสะยังย้อนถามคำถามเดิมกลับไปราวกับไม่เคยได้รู้คำตอบ ริมฝีปากของคนถามชาดิกระหว่างที่คนให้คำตอบจุกแน่นไปทั้งใจ ไม่รู้ว่าทำไม ไม่รู้ทำไมวัสสะถึงอยากได้ยินธารางกูรพร่ำบอกเหตุผลเดิม ๆ ที่จำได้ขึ้นใจ อาจจะเพราะวินาทีนี้ ตอนนี้ พวกเขาไม่มีเรื่องใดจะเอ่ยคุยกันนอกจากความฝันเดียวซึ่งเป็นความสุขเล็ก ๆ ในใจ





รอคอยฝนตกฤดูหนาว

รอคอยชีวิต อิสระ และหัวใจที่เป็นของตน





“ผมแค่อยากมีชีวิตชีวา”

“ทำไมคุณถึงชอบให้ฝนตกฤดูหนาว” ร่างสูงยังถามคำถามเดิมขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคู่คมค่อย ๆ ปิดลงระหว่างรอคำตอบ เหลือเวลาอีกเท่าไหร่กันนะ เหลือเวลาที่จะรอฝนตกในคืนนี้อีกกี่นาทีกัน อีกกี่นาทีที่ต้องจมดิ่งอยู่ในน้ำลึกเช่นนี้ อีกกี่นาที กี่วินาทีกว่าความเลวร้ายนี้จะจบลง

“ผมเกลียดฤดูหนาว มันทำให้ผมรู้สึกไม่มีชีวิต”

“กูร คุณมีชีวิต ชีวิตผมเป็นของคุณ” คนในอ้อมดวงตากระตุกวูบเมื่อได้ยินเสียงที่กระซิบอยู่ข้างหู แรงกระชับกอดที่มีมากขึ้นทำให้หยดน้ำตาไหลอยู่ภายในใจ ร้องไห้ไม่ไหวอีกแล้ว ใบหน้าของธารางกูรนิ่งสนิทแม้หัวใจแทบไม่เหลือสภาพการเป็นก้อนเนื้อ ยิ่งได้ยินคำรัก ยิ่งได้ยินคำห่วงหา ยิ่งได้สัมผัสลมหายใจอบอุ่น ยิ่งผูกร่างกายติดกันไว้เช่นนี้ หัวใจของเขายิ่งพังลง พังลง พังลงทุกที

“ถ้าผมต้องตาย...”

“เมื่อนั้นผมตาย”

เสียงของความเศร้าใจเงียบลงอีกครั้ง ไม่มีคำพูดคุยใดดังขึ้นมาขัดเสียงของลมหนาวพัดแรงได้อีก สองชีวิตหลับตาลงและลืมตาขึ้นมองความมืดรอบตัวอยู่แบบนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งท้องฟ้ามืดสนิทเริ่มเจือแสงสว่างขึ้นมาพร้อมกลิ่นไอฝนสุดท้ายที่จางหายไปจนหมด วัสสะไม่ได้หลับลงแม้แต่นาที ธารางกูรไม่ได้หยุดคิดเลยสักนิด จนกระทั่งตอนนี้ ตอนที่ทั้งคู่นั่งมองพระจันทร์ที่ยังคงลอยให้เห็น แม้ว่าพระอาทิตย์จะเริ่มแสดงอำนาจขึ้นมาแล้วก็ตามที

“พระจันทร์สวยดีนะ คุณว่ามั้ยกูร”

“ตอนนี้น่ะเหรอครับ” ธารางกูรหันไปมองวัสสะที่เหม่อสายตาขึ้นมองท้องฟ้าตรงหน้า ร่างสูงหันมาสบตาและพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ ดวงตาของทั้งคู่ว่างเปล่าดั่งคนที่ไม่ต้องการสื่อความรู้สึกใด ๆ ต่อกันอีก รู้ว่าห่วงใย รู้ว่าหวาดกังวล รู้ว่ารัก รู้ว่ารักมากเหลือเกิน





มากพอแล้ว ที่รับรู้ความรู้สึกกันและกันมันมากพอแล้ว





“ใช่ ตอนนี้”

“แต่มันกำลังจะจากไปแล้วนะครับ ดูสิ มันจางลงไปทุกที”

“ไม่หรอกครับ มันยังอยู่” ไม่พูดเปล่า ร่างสูงยั้งยันตัวเองขึ้นยืน และรั้งอีกฝ่ายให้ยืนสุดความสูงขึ้นไปด้วย ดวงตาไม่มั่นคงสองคู่ยังคงเต็มไปด้วยความรักไม่ได้เปลี่ยน วัสสะค่อย ๆ คลี่ยิ้มเศร้าระทดออกมา ก่อนจะใช้มือซ้ายติดกุญแจมือของตนจับมือขวาของอีกฝ่ายและยกขึ้นระดับไหล่ ดวงตาคู่คมจ้องมองเรียวนิ้วสีขาวซีดด้วยหัวใจที่เหี่ยวเฉาเต็มที

“อะไรกันครับคุณวัส” วัสสะใช้มือขวาที่เป็นอิสระคว้ามือซ้ายของธารางกูรวางลงที่บ่าตน ก่อนจะโอบล้อมช่วงเอวบางเอาไว้และดึงเข้าหาตัวในที่สุด สัมผัสชิดใกล้ที่ไม่ได้ยินแม้เสียงหัวใจยิ่งทำให้น้ำตาใสรื้นขึ้นมาจนคับใจและร้าวไปทั้งอก ทนทุกข์ไม่ต่างกัน เจ็บปวดไม่ต่างกัน

“เกือบลืมไปแล้วว่าคุณอยากเต้นรำ”

“ผมล้อเล่นน่ะ อันที่จริง ผมเต้นไม่เป็นหรอก” ธารางกูรแค่นยิ้มออกมาเมื่อวัสสะกระชับมือดึงเขาเข้าไปใกล้อีกครั้ง ใช่พวกเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะทำอะไรเช่นนี้มาก่อน จนกระทั่งวันที่รู้ว่าเวลาและโอกาสในชีวิตนั้นสำคัญแค่ไหน

“ไม่เป็นไร จับมือผมไว้ก็พอ”

“ขอบคุณนะครับคุณวัส”

“ที่เขาว่ากันว่า การเต้นรำในพิธีแต่งงานจะผูกเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวให้อยู่ด้วยกันตลอดไป มันจะจริงสักแค่ไหนกันนะ” น้ำตาหยดแรกหลังจากแห้งเหือดไปนานไหลลงผ่านแก้มของธารางกูรอีกครั้ง และแน่นอนว่ามันเรียกน้ำตาจากใจของวัสสะออกมาได้เช่นกัน เขาไม่รู้ว่าจะขอโทษร่างบางตรงหน้าอย่างไร ไม่รู้เลยว่าการผิดสัญญาครั้งนี้จะถูกลบล้างออกจากใจไปได้ยังไง





Well, everybody hurts

Sometimes everybody cries

And everybody hurts Sometimes





การเต้นรำของผมและคุณไม่ได้อยู่ใต้แสงจันทร์สว่างใส

มีเพียงแสงจันทร์ริบหรี่เพราะเวลาเริ่มหมดลง





ผมและคุณอยู่ในสภาพอิดโรย

มีเพียงหยดน้ำตากำหนดจังหวะในการเคลื่อนไหวร่างกาย





ไม่มีเสียงเพลงขับกล่อมให้รื่นใจ

มีเพียงความเงียบงันที่กลายเป็นเพลงโปรดปรานในความรู้สึก





ผมและคุณจับมือกันเดินไป ก้าวพลาด ก้าวผิด อยู่หลายหน

มีเพียงเสียงหัวเราะแสนเบาชี้ให้แจ้งว่ามีความสุขมากแค่ไหน





การเคลื่อนไหวดำเนินต่อไป แม้จะมีเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที

มีเพียงดวงตากับความชิดใกล้ ที่อยู่ในความสนใจของผมและคุณ





เสียงเพลงเงียบเชียบในใจยังคงตราตรึงให้เต้นรำต่อไป

มีเพียงสองเรา





ผู้คนเหล่านั้นยืนล้อมมองผมและคุณคล้ายต้องการหยุดยั้ง

มีเพียงอ้อมกอดของคุณเท่านั้นที่จะทำให้การเต้นรำนี้จบลง





So, hold on, hold on

Everybody hurts

No, no, no, you’re not alone





มีเพียงผมและคุณ





“กูร… ทำไมคุณถึงอยากให้ฝนตกฤดูหนาว”

“เพราะผมอยากมีคุณวัส” ความปวดใจรั้งธารางกูรให้ซบลงไปกับอ้อมอกของวัสสะ กอดอบอุ่นใจยิ่งเย็นขึ้นทุกวินาทีที่คนเหล่านั้นปิดหนทางหลีกหนีทั้งหมด มือหนาลูบขึ้นลงเบา ๆ ที่แผ่นหลังพลางกดสายตาต่ำลงกับปลายเท้าของผู้มาเยือนอย่างคนหมดหวัง วัสสะจับประสานมือที่เคียงคู่กันเอาไว้แน่น และมันแน่นมากพอที่จะทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาแยกหัวใจสองดวงออกจากกัน





จนตรอกแต่ใจต้องสู้… คงต้องตายกันไปข้าง





“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าปล่อยมือจากผมนะกูร”







Talk 

มาแล้วค่า เหลือตอน 25-26 และบทส่งท้าย(27) นะคะ 

อย่าลืมไปเม้ามอยกันได้ที่ #กลิ่นฝนฤดูหนาว เน้อ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์และทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาจนเรื่องใกล้จบนะคะ ดีใจมาก ๆ ว่าได้เห็นว่าทุกคนยังอยู่ด้วยกันไม่ว่าเรื่องมันจะเดินไปในทิศทางใด ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 24 กลิ่นฝนครั้งสุดท้าย 28/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 28-10-2018 23:11:49
ไหนๆคนที่คอยรับคำสั่งก็ไปลองเฉียดตายมาแล้วทั้งคู่ รู้แล้วว่าคนที่ถูกพรากลมหายใจเขารู้สึกอย่างไรก่อนจากไป งั้นลำดับต่อไปก็ต้องเป็นคนออกคำสั่งสิที่ได้สิทธิ์ไปลองเฉียดใกล้ความตายดูบ้าง บางทีอาจติดใจจนอยากตายๆไปเลยก็ได้นะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 24 กลิ่นฝนครั้งสุดท้าย 28/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 29-10-2018 00:30:21
อ่านจบตอนละก็ไปฟังเพลง...  :z10: :z10:

Everybody Hurts !!!
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 24 กลิ่นฝนครั้งสุดท้าย 28/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 30-10-2018 22:11:37
บทที่ 25 ฝนที่เคยรอคอย

เมื่อไหร่ที่เราก้าวผ่านความหนาวเย็นของเม็ดฝนในฤดูหนาวไปได้

เมื่อนั้นเราจะได้ของขวัญเป็นความสุขปีติใจ





ฝน… ถึงแม้คุณจะไม่ตกในฤดูหนาวนี้ แต่ผมจะรอคอยคุณเสมอ





ฝน… ผมอดทนอยู่นะ ผมยังอดทนรอคุณอยู่





โลกหมุนพาเวลาผ่านไปจนแทบจะบ่ายคล้อยของอีกวัน ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นสู่จุดสูงสุดส่องสว่างลงมาอย่างไม่คิดเกรงกลัวใคร กลุ่มเมฆหมอกก้อนใหญ่ที่เคลื่อนบังซับความร้อนเอาไว้ยิ่งทำให้อำนาจแสงที่ลอดผ่านลงมารุนแรงมากขึ้น บรรยากาศภายในบ้านหลังใหญ่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับสภาพแท้จริงภายนอก สว่างไสวแต่อึมครึมไปด้วยความหนาวเย็น เช่นกัน แสงที่ลอดผ่านช่องม่านเข้ามารุนแรงบาดลึกลงจนใจพัง

“เป็นยังไง”

“อย่างที่เห็นครับท่าน” ประชารับเสื้อสูทจากชายกลางคนก่อนจะยื่นให้ลูกน้องอีกคน ท่านวรพจน์คลายเส้นเนกไทเล็กน้อย และเดินเข้าใกล้เป้าหมายด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก รอบดวงตาดุดันน่าเกรงขามหรี่แคบลงเมื่อมองแสงแดดที่คาดผ่านนัยน์ตาคู่คมตรงหน้า ท่านค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งชันเข่าข้างหนึ่งใกล้ตัวคนที่นั่งพิงกำแพงอยู่กับพื้น เจ้าของดวงหน้าเรียบเฉยปรายสายตามองใบหน้าภูมิฐานตามวัยแล้วแค่นยิ้มขึ้นมาราวกับพบเจอเรื่องตลกสิ้นดี

“ในที่สุดก็กลับมาจนได้นะ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน …วัสสะ”

“ที่นี่บ้านเหรอ หึ ไม่เห็นเคยรู้สึกว่าเป็นบ้าน” วัสสะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สายตาที่เขามองคนตรงหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้นเจ็บใจ ภายในห้องโถงส่วนตัวชั้นบนสุดยังคงมีบรรยากาศที่เหมือนเช่นเดิมไม่ได้เปลี่ยน ห้องกว้างเต็มไปด้วยเครื่องบันเทิงอารมณ์ครบครัน โต๊ะพูล โฮมเธียเตอร์ บาร์เครื่องดื่ม เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างหรูหราสมฐานะอำนาจบารมีอย่างปฏิเสธไม่ได้

แต่ทว่าในความรู้สึกของคนที่อาศัยใต้ชายคามาตั้งแต่เกิดอย่างวัสสะ ห้อง ๆ นี้มีเพียงความเลวร้ายและอารมณ์รุนแรงของชายคนหนึ่งลอยเคว้งอยู่ ทั้งยังสะเทือนอารมณ์ด้วยแนวชั้นวางอาวุธเก่าเก็บราวของสะสม โต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้บุหนังตัวโปรดที่ใช้เอนกายยามออกคำสั่งอยู่ทุกวี่วัน ไม่มีครั้งไหนที่วัสสะเข้ามาที่นี่และเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีครั้งไหนที่จะไม่รู้สึกอึดอัดในยามที่รอฟังคำพูดจากปากชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนายท่านของบ้าน

“จะคิดแบบไหนก็ตามใจเถอะ ถึงยังไงซะแกก็กลับมาอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว เป็นยังไง หนีออกไปเผชิญโลกกว้างสนุกดีมั้ย” วัสสะสะบัดสายตาไปยังกลุ่มคนที่ยืนกระจัดกระจายห่างออกไปทั่วห้อง ร่างสูงขยับตัวให้แผ่นหลังแบบสนิทไปกับผนังซีเมนต์ขาว ก่อนจะกดศีรษะชิดตามลงไป ดวงตาคู่คมหันมาจ้องมองท่านด้วยแววตาเสียใจผิดหวังไร้ศรัทธา คำก่นด่าตัดพ้อมากมายอัดแน่นอยู่ใต้ดวงตาคู่นี้ แผงฟันขาวขบกันแน่นสนิทจนแทบจะได้ยินเสียงดังกรอดลอดออกมา

“สนุกสิ สนุกจนแทบบ้า”

“ฉันเตือนแกแล้ว แต่แกก็ยังดึงดันจะหนีไป แล้วเป็นไง ที่ฉันพูดไว้มันผิดไปเสียที่ไหน” ท่านตบเบา ๆ ลงที่ข้างสันคางของวัสสะ เจ้าตัวสะบัดใบหน้าหนีสัมผัสหยาบกร้านไร้หัวใจทันที เห็นแบบนั้นเจ้าของมือจึงได้แต่เคลื่อนมือกลับมากำแน่น กิริยาของวัสสะมีแต่ความเกลียดชัง และท่านคิดเอาเองว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์พึงกระทำต่อผู้มีพระคุณ

“ต่อให้คิดอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง ผมก็จะหนี แล้วท่านล่ะ สนุกรึเปล่าที่คอยแต่จะบงการชีวิตคนอื่น คงสนุกดีสินะ หน้าตายิ้มแย้มมีความสุขเชียว หึ” วัสสะยกยิ้มที่มุมปากด้วยห้วงอารมณ์ที่ไม่ต่างอะไรกับการดูถูกดูแคลน ดวงตาคมปาดมองตั้งแต่เส้นผมยาวไปจนถึงปลายเท้าที่เขย่งนั่งอยู่กับพื้น ไม่มีความรู้สึกใดในใจเขามากไปกว่าคำว่าเกลียด เกลียดจนอยากจะนึกโกรธตัวเองที่ยอมจมอยู่แทบเท้าชายคนนี้มาทั้งชีวิต

“แกกลับมา ฉันก็ต้องมีความสุขอยู่แล้ว”

“งั้นเหรอ ผมมีประโยชน์กับท่านขนาดนั้นเชียว”

“ใช่ ฉันเสียคนอย่างแกไปไม่ได้หรอก ไม่ว่าแกจะพยายามหนีไปไหน ฉันจะต้องพาแกกลับมาที่นี่ กลับมาอยู่กับฉันที่นี่”

“ทำไม ถ้าเสียผมไปตำแหน่งจะโดนปลดรึไง หรือว่ากลัวเสียหน้าที่ปกครองคนคนเดียวไม่ได้ เอ๊ะ หรือว่ากลัวผมจะเอาความชั่วช้าไปแฉให้คนทั้งโลกรู้”

“แกคิดว่าที่ฉันทำอยู่ทุกวันนี้เพราะอะไร วัสสะ! ” ท่านที่กดอารมณ์เอาไว้จนมากเกินไป ระเบิดความหงุดหงิดออกมาเสียงดังจนทั้งห้องเงียบสนิท เหล่าลูกน้องคนใกล้ชิดได้แต่เบือนหน้าหนีคล้ายกับไม่รับรู้ทั้งที่ได้ยินและได้เห็นด้วยสองหูสองตา บรรยากาศกระอักกระอ่วนทำให้พวกเขาเหล่านั้นอยากจะเดินหนีกันไปคนละทิศละทาง ถ้าไม่ติดว่าคำสั่งนายมันค้ำคอให้กระดิกไปทางไหนไม่ได้

“เพราะตัวท่านเองไง เหอะ คำถามแบบนี้ยังมีหน้ามาถามผมอีกเหรอครับ” สิ้นน้ำเสียงอวดเก่งไม่เกรงกลัว ฝ่ามือหยาบกร้านก็เหวี่ยงฟาดเข้าที่ข้างแก้มของวัสสะเต็มแรง ความโมโหทิ้งรอยนิ้วสีแดงเอาไว้ให้เห็นเด่นชัด ท่านกัดฟันถลึงตาใส่นายตำรวจในปกครองด้วยโทสะพลุ่งพล่าน ระหว่างที่วัสสะเองยังคงยิ้มเยาะหัวเราะร่าท้าทายอำนาจออกมาไม่เลิก ยิ่งวัสสะแสดงออกมาว่าไม่กลัว ยิ่งวัสสะแสดงออกมาว่าไม่สนใจไยดีอะไร ท่านวรพจน์ยิ่งโกรธเดือดดาลออกมาตามนิสัย

“อย่ามาอวดดี! นี่แกคิดจะให้ความเคารพฉันบ้างมั้ยห่ะ! จำใส่กะโหลกไว้บ้างว่าถ้าไม่ใช่เพราะแกฉันคงไม่ต้องเหนื่อยมาจนถึงทุกวันนี้! อย่ามาคิดเนรคุณฉันวัสสะ! ” นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวกดย้ำเข้าไปที่ข้างขมับของวัสสะซ้ำ ๆ ใบหน้าหยิ่งผยองของวัสสะคลอนตามน้ำหนักมือทั้งที่ยังคงมองใบหน้าของท่านเอาไว้ คล้ายกับเขากำลังจดจำสีหน้าของคนตรงหน้า จดจำด้วยอารมณ์เดือดแค้นที่กำลังปะทุของตน

“ถ้าคิดจะทวงบุญคุณ ผมคงไม่มีจิตใจกตัญญูจะมอบให้คนอย่างท่านหรอก ฆ่าผมซะเถอะ ผมมันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่หมดประโยชน์ หรือว่าท่านไม่กล้า แน่นอนว่าคนที่ปกครองคนอย่างท่านต้องกล้าฆ่าผมอยู่แล้ว ใช่มั้ยครับ”

“ไอ้วัส! ” แรงกดนิ้วครั้งสุดท้ายรุนแรงจนช่วงศีรษะของวัสสะกระทบกับผนังเบื้องหลัง ท่านผุดตัวยืนสุดความสูงเมื่อได้ยินประโยคท้าทายขอให้ปลิดชีวิต วัสสะสามารถยอกย้อนได้ถูกจุด การฆ่าวัสสะเป็นความขี้ขลาดเรื่องเดียวในสมองของคนไร้หัวใจ ที่ผ่านมาท่านไม่เคยสนใจมูลค่าชีวิตของคนที่เข้ามาขวางทางเดิน ไม่ว่าใครหน้าไหน ไม่ว่าเพราะเหตุใด คนพวกนั้นจะต้องออกไปจากเส้นทางของท่านอย่างไม่มีวันกลับ แต่ผิดกันกับวัสสะ เพราะวัสสะเป็นคนที่ท่านขีดเส้นให้เดินตามต่างหาก ไม่ว่าจะขวางลำหรือล้มลงสักกี่ครั้ง ท่านก็จะฉุดเขาขึ้นมาให้อยู่ในเส้นทางชีวิตที่ตั้งใจสร้างไว้แต่เดิม

“ฆ่าผมสิ ฆ่าผม… ถ้าท่านทำอะไรกูร คิดว่าผมจะอยู่รับใช้ท่านรึไง ตื่นเถอะครับ ไม่มีวันนั้นแน่ จบปัญหาด้วยการฆ่าผมเลยซะดีกว่า ยังไงผมก็ต้องตายอยู่ดี”

“ฉันไม่น่าปล่อยให้มันล้างสมองแกมากขนาดนี้เลย! ” ท่านตวัดเสียงและหางตาเข้าไปมองที่คนข้างกายของวัสสะพร้อม ๆ กัน ใช่… ตอนนี้มือหนายังคงเกาะกุมมือสั่นเทาของใครอีกคนเอาไว้ วัสสะกระชับมือขวาของเขาให้แน่นขึ้นระหว่างที่ท่านใช้ความโมโหเดินวนไปมาอยู่รอบ ๆ ตัว เสียงดังทำให้ธารางกูรต้องนั่งหดตัวชันเข่าชิดอกมากขึ้นกว่าเดิม ร่างบางกดสายตาลงมองพื้นเพราะความหวาดกลัวเต็มอก แต่ที่มากกว่าคงจะเป็นความเป็นห่วงที่มีให้คนข้างกาย วัสสะไม่ควรต้องตกมาอยู่ในสภาวะเลวร้ายเช่นนี้ ไม่ควรเลย

“กูรไม่เคยล้างสมองผม มีแต่ท่านนั่นแหละที่พยายามทำแต่ไม่สำเร็จ! ”

“แกอย่ามาเถียงฉันนะ! ที่มันทำให้แกเหลวไหล ที่มันทำให้แกไม่ฟังคำสั่งฉัน ที่มันทำให้แกคิดหนีไปจากฉัน แค่นี้มันก็ชัดแล้วว่ามันล้างสมองแกจนความคิดอ่อนปวกเปียกแบบนี้! ”

“กูรไม่ได้ทำ! ”

“มันทำ! มันทำให้แกแข็งข้อ ตั้งแต่ไหนแต่ไรที่แกขัดใจฉันเพราะมัน ที่แกต้องมีมลทินติดตัวก็เพราะสาระแนไปช่วยมัน ฉันเลี้ยงแกมาหวังให้มือสะอาดไม่เปื้อนเลือด แต่แกกลับต้องลงไปเสี่ยงทุกครั้งเพราะใคร ไม่ใช่เพราะมันเหรอ ไม่ใช่เพราะแกเหรอกูร! ” ท่านใช้สายตากร้าวกระด้างจ้องมองเข้าไปที่ธารางกูรทันที ดวงตาคู่กลมนิ่งงันแทบไม่กะพริบ เม็ดเหงื่อไหลซึมผ่านชั้นผิวออกมาจนเต็มฝ่ามือที่จับประสานกันไว้

“ไม่ใช่เพราะกูรหรอก… แต่ถ้าจะเป็นเพราะใครมันคงจะเป็นคนสารเลวคนนึง ท่านรู้จักมั้ยล่ะครับ ลองก้มมองตัวเองดูสิ” น้ำเสียงของวัสสะยิ่งทำให้เรื่องเลวร้ายและท้าทายคนโกรธอย่างถึงขีดสุด ท่านหยุดยืนนิ่งตรงหน้าเขาก่อนจะยกปลายเท้ากดลงไปแนบอกชายหนุ่ม วัสสะก้มมองรองเท้าคัทชูมันเงาอย่างไม่รู้สึกอะไร แม้จะมันจะค่อย ๆ บังคับน้ำหนักลงมาจนรู้สึกเจ็บ

“คิดว่าเป็นเพราะฉันงั้นสิ ดี งั้นแกจำใส่หัวไว้เลยนะวัสสะ ฉันห้ามแกตั้งกี่ครั้ง พูดตั้งกี่หน จับมันแยกกับแกก็แล้ว แต่แกก็ยังไม่หยุด ยังไม่เลิกคิดไม่เลิกรู้สึกกับคนที่ไม่คู่ควร ที่ผ่านมาฉันได้แค่ขู่และยอมมองอยู่ห่าง ๆ เพราะกลัวว่าแกจะเตลิดไปกันใหญ่ แต่พอแกตัดสินใจจะขอพากันออกไป… นั่นแหละที่ทำให้ฉันรู้ตัวว่าต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง จำไว้ให้ขึ้นใจเลยว่า… ที่พวกแกสองตัวต้องมานั่งเป็นหมาจนตรอกไม่มีทางไปตรงนี้ ไม่ใช่เพราะฉัน แต่เป็นเพราะตัวแกเองวัสสะ! เพราะตัวแกที่มันตาต่ำเกินไป! ”

ท่านกดปลายเท้าย้ำเข้ามาอีกครั้งจนวัสสะนิ่วหน้า ผู้คุมอำนาจเดินออกไปเพื่อรักษาระยะห่างอีกครั้ง ทุกอย่างที่พูดเป็นสิ่งที่ท่านคิดอยู่ในหัวมาตลอด การที่วัสสะคิดแข็งข้อขึ้นทุกวันก็เป็นเพราะธารางกูรแต่เพียงผู้เดียว ธารางกูรที่ไม่ควรได้รับความสนใจมากขนาดนั้น ธารางกูรที่ไม่ว่าจะหาทางกำจัดออกไปจากวัสสะอย่างประนีประนอมเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล

“ก็ได้ มันเป็นเพราะตัวผมเอง เพราะผมรักกูรมากเกินไป”

“อึก...”

“ไม่เป็นไรนะกูร ไม่เป็นไรนะครับ” คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์อารมณ์สะอึกเสียงขึ้นมาพร้อมกับสภาพลำตัวเกร็ง วัสสะที่สัมผัสได้ถึงอาการไม่สู้ดีของธารางกูรดึงมืออีกฝ่ายเข้ามาซุกไว้กับอก พร้อมกับเอื้อมมือที่เริ่มติดจะสั่นของตัวเองลูบเบา ๆ เข้าที่ช่วงศีรษะของร่างบาง คำเสียงนุ่มนวลผิดกันและภาพการปลอบโยนด้วยความห่วงใยทำให้ท่านที่อารมณ์ร้อนอยู่เดิมยิ่งหัวเสียมากขึ้น

“ปล่อยมือจากกูรเดี๋ยวนี้นะวัสสะ! ” วัสสะไม่ได้ทำตามคำสั่งของท่าน ร่างสูงกดสายตาลงมองคนข้างตัวคล้ายไม่ได้ยินน้ำเสียงเกรี้ยวกราดใด รอบข้อมือของคนทั้งคู่ปรากฏรอยแดงจากการรั้งของกุญแจมือ การดึงดันไม่ยอมออกห่างทำให้กลุ่มคนใจร้ายต้องพยายามแยกทั้งคู่อยู่นาน ถึงแม้ว่าสุดท้ายพันธนาการจะถูกตัดออกด้วยคีมเหล็ก แต่ฝ่ามือที่จับประสานกันไว้กลับไม่ได้ห่างกันแม้สักวินาทีเดียว





ไม่มีใครพรากธารางกูรออกจากวัสสะได้

ไม่มีทาง

ไม่มีวัน





“ดี… รักกันมากก็ดี สนุกดี ประชา”

“ครับท่าน” ประชาสาวเท้าเข้ามาใกล้ผู้เป็นนาย เขาเหลือบตามองชายหนุ่มสองคนเพียงนิดก่อนจะหันมาตั้งใจฟังและรับคำสั่ง

“จับแยก”

“ครับ” ดูท่าคนรับคำสั่งจะรู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย แต่เขาไม่สามารถขัดขวางหรือแสดงความคิดเห็นใดต่อท่านได้ ชายผู้เป็นคนสนิทเริ่มส่งต่อคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่น ๆ วัสสะรู้ตัวในทันทีว่าสายตาหลายคู่ที่กำลังมองมาและเคลื่อนกายเข้าใกล้มีเป้าหมายใด ร่างสูงกระชับมือให้แน่นมากขึ้นพลางกดริมฝีปากลงจุมพิตกับกลุ่มผม ความวิตกทำให้ทั้งสองคนไม่สามารถควบคุมหัวใจไม่ให้สั่น

“คุณวัสครับ”

“ชู่ว… ไม่เป็นไร อย่าปล่อยมือผม อย่าปล่อยมือผมก็พอ” ธารางกูรหดตัวเข้าหาวัสสะเมื่อชายสี่คนกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แม้จะพยายามเตรียมใจ แม้รู้ว่าอย่างไรก็ต้องไปจากกัน แต่เมื่อเวลานั้นเดินทางเข้ามาใกล้ ภายในหัวใจก็ไม่อาจทนรับไหวอย่างที่เคยคิด ไม่มีทาง ไม่มีวิธี ไม่มีสิทธิ์แม้แต่ตัดสินชีวิตของตัวเอง อึดอัดทรมานจนหัวใจเบาหวิวคล้ายจะลอยจากไป

“ปล่อยนะเว้ย! ” วินาทีนี้ไม่เหลือหนทางใดให้เอาตัวรอดนอกจากการต่อต้านขัดขืน ชายร่างกายกำยำสองคนแรกเข้าล็อกตัววัสสะเอาไว้ด้วยการสอดมือเข้าใต้โคนแขน วัสสะดิ้นและพยายามใช้แรงทั้งหมดเท่าที่มีต่อสู้เอาตัวรอด แต่สุดท้ายเขาก็ถูกกดซ้ำลงไปที่แผ่นหลังจนแทบจมไปกับพื้น ภาพชายอีกสองคนเข้าประชิดตัวธารางกูรเห็นชัดอยู่ในสายตาของวัสสะ เมื่อจนแต้มร่างสูงจึงค่อย ๆ ผ่อนแรงดิ้นลง และใช้กำลังเฮือกสุดท้ายในการรั้งมือของธารางกูรเอาไว้

“ปล่อยมือจากคุณวัสเถอะกูร”

“กูรอย่าฟัง อย่าปล่อยมือผม” ประชาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่ทว่าธารางกูรกลับออกแรงเหนี่ยวมือของวัสสะเอาไว้ไม่ได้คิดปล่อย ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างหวาดกลัวในวินาทีนั้น หยดน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของธารางกูรเมื่อร่างทั้งร่างถูกตวัดรัดจนแน่นแทบไม่มีทางเคลื่อนไหว วัสสะขยับปลายมือเพิ่มอีกครั้ง ก่อนที่แรงเหนี่ยวดึงจากทั้งสองฝั่งจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเพื่อเป้าหมายเดียว





พรากหัวใจสองดวงออกจากกันตามคำสั่ง





“อย่าดึงดันเลยครับคุณวัส เหนื่อยเปล่า ๆ เชื่อผมเถอะ”

“กูร… มองหน้าผม… เราจะไม่ทิ้งกัน เราจะไม่ปล่อยมือกัน เราจะอยู่ด้วยกันนะกูร” ม่านน้ำตาจากดวงตาสองคู่ไม่ได้ทำให้ภาพของกันและกันชัดน้อยลงไปเลย วัสสะออกแรงยึดมือของธารางกูรเอาไว้จนหน้าเล็บของตนเปลี่ยนเป็นสีขาวสนิท เส้นเลือดทั้งบริเวณมือและแขนขวาปูดโปนขึ้นมาตามแนวมัดกล้ามเนื้อจนดูน่ากลัว

“เข้าไปดึงมือเลย” สองมือที่เกี่ยวพันกันต้านแรงฉุดดึงจนรู้สึกปวดร้าวไปหมด เมื่อเรียวนิ้วของธารางกูรถูกง้างขึ้นมาได้ มือของวัสสะก็จะกดแน่นลงไปซ้ำ ๆ ไม่เปิดโอกาสให้ออกห่างจากกัน เช่นกัน เมื่อวัสสะเริ่มจะหมดแรงธารางกูรก็จะฮึดสู้ขึ้นมาเพื่อประวิงการจากลาเอาไว้ ทั้งคู่ไม่ได้สนใจฟังคำสั่งของกลุ่มคนที่ดังชัดอยู่เป็นระลอก ไม่ได้สนใจแม้แต่สายตาของท่านที่ยืนกอดอกเฝ้ามองดูความเจ็บปวดใจ สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจคือสัมผัสของกันและกันที่ใกล้จะหลุดหายไปเต็มที





เหนื่อยที่จะรั้ง แต่ยังอยากรั้ง

เจ็บปวดที่ต้องยื้อ แต่ยังอยากยื้อ





“ท่านครับ ผมว่า...” ประชาที่ยืนมองภาพน่าสลดใจอยู่นานหันมาคล้ายจะออกความเห็นกับผู้เป็นนาย ที่สีหน้าของท่านนิ่งสนิทไม่ใช่เพราะไร้รู้สึกกับสิ่งที่เกิด แต่เป็นเพราะท่านกำลังรู้สึกชาดิกกับภาพความรักใคร่ผูกพันที่ไม่อาจตัดขาดได้ง่าย ๆ ทั้งที่ช่วงแขนตึงจนแทบจะฉีกขาด ทั้งที่รั้งกันจนปลายมือบิดเกร็งไปหมด สองคนนั่นก็ยังไม่คิดยอมแพ้แยกจากกันแต่โดยดี ความปรานีสุดท้ายใช้การไม่ได้ผล ยิ่งเห็น ความโกรธเยือกเย็นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นในใจ

“ขอปืนให้ฉัน” ท่านพอจะรู้ว่าวัสสะบูชาความรักครั้งนี้เหนือสิ่งใด แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะยอมทิ้งทุกอย่างแม้แต่ศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อคนคนเดียว และแน่นอนมันเป็นสิ่งที่ท่านไม่ต้องการ ฉะนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้วัสสะเดินกลับเข้ามาในเส้นทางที่ถูกปูพรมพร้อมเกียรติศักดิ์น่าเคารพ ก็คือทำลายความรักที่น่าสมเพชเวทนาลงซะ

“แต่ผมคิดว่า...”

“ไม่มีแต่”

“ครับท่าน” ประชาพยักหน้าเรียกลูกน้องอีกคนให้เข้ามาใกล้ก่อนจะออกคำสั่งให้จัดเตรียมปืนพร้อมกระบอกเก็บเสียง ท่านวรพจน์รับกระบอกปืนที่ถูกเสริมเติมแต่งมาใคร่ครวญดูอย่างละเอียด รอยยิ้มไร้ชีวิตจิตใจผุดขึ้นเมื่อเงยหน้ามองคนที่สองที่ทำอย่างไรก็ไม่ยอมที่จะออกห่างจากกัน ไม่น่าเชื่อว่าทั้งคู่จะโตขึ้นมากขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งจะลุกขึ้นมาแข็งข้อด้วยเรื่องไร้สาระเช่นนี้

“วัสสะ ฉันเคยให้โอกาสแกไปแล้วหลายหน จำได้ใช่มั้ย” ท่านสาวเท้าเข้าไปนั่งชันเข่าที่ข้างตัววัสสะอีกครั้ง วัสสะที่ถูกล็อกทั้งร่างเอาไว้อาศัยจังหวะนั้นกระชับฝ่ามือและดึงธารางกูรเข้าหาตัว ระยะห่างที่ลดลงมาทำให้เขาพอจะสบายใจขึ้นมาได้บ้าง ถ้าไม่ติดว่าอาวุธสีดำสนิทจะปรากฏให้เห็นชัดในกรอบสายตา

“คิดจะทำอะไร เอาสิ! เอาเลย! ” เสียงของวัสสะไม่ได้มั่นอกมั่นใจอย่างรูปประโยค เสียงของเขาสั่นเทาและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่มีอยู่เต็มอก ดวงตาคู่คมเฝ้ามองหยดน้ำตาบนใบหน้าของธารางกูรอย่างใจเสีย ใบหน้าที่เขาหลงรักเริ่มดูอ่อนแรงจะรั้งมากขึ้นทุกที ธารางกูรกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่บังคับความรู้สึกไม่ได้ คล้ายกับว่าร่างบางกำลังเตรียมใจรอรับชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

“ไม่ต้องมายุยงหรอกวัสสะ เป็นผู้ชมที่ดีไปแล้วกัน” ท่านกลั้วยิ้มอย่างผู้ชนะก่อนจะส่งสายตาหาลูกน้องเชิงออกคำสั่ง วัสสะถูกกดร่างกายจากทุกทางจนไม่อาจขยับเขยื้อนสิ่งใดนอกจากเรียวมือที่จับต้องธารางกูรเอาไว้ ทว่าแรงเหนี่ยวรั้งของเขากลับยิ่งเจ็บปวดขึ้นเมื่อคนของท่านเริ่มประทุษร้ายร่างกายธารางกูรอย่างไม่ยั้งมือ





เจ็บใจ แค้นใจ เหมือนหัวใจกำลังจะขาด





ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกปากคนถูกกระทำอย่างธารางกูร แม้ว่าเสียงฝ่าเท้ากระทบช่วงท้องจะเด่นชัดดังก้องอยู่ในหูของวัสสะ ร่างบางตัวงอลงเพราะจุกร้าวจนคล้ายว่าภายในกำลังแหลกละเอียด ความรู้สึกของวัสสะกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตาไหลเป็นสายไม่หยุด มือที่เคยมั่นคงของเขาเริ่มติดจะสั่นเพราะทนเห็นภาพบาดตาที่เจ็บลึกลงไปในใจไม่ไหว

“ป...ปล่อย...ปล่อยกูร! ” แม้จะพยายามดึงดันเท่าไหร่วัสสะก็ไม่อาจเป็นอิสระ ท่านวางมือลงบนบ่าของวัสสะเบา ๆ ขณะที่ธารางกูรกำลังโดนหมัดหลุนเข้าที่ใบหน้าและช่วงร่างอย่างต่อเนื่อง ร่างบางกัดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ส่งเสียงร้องใดทั้งที่กำลังเจ็บปวดใจจะขาด ดวงตาคู่กลมเลื่อนลอยขึ้นเมื่อมีหยดเลือดสีเข้มไหลผ่านชั้นคิ้วลงมาในดวงตา ภาพของวัสสะคล้ายจะเลือนรางลงทุกทีทั้งที่ยังมีสติ

“รู้อะไรมั้ยวัสสะ เส้นทางที่เรายืนมันไม่มีที่ว่างให้คนอ่อนแอหรือจิตใจที่อ่อนปวกเปียกหรอกนะ ถ้าผ่านวันนี้ไปได้แกจะแข็งแกร่งกว่าใคร นี่จะเป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด วันไหนที่ฉันไม่อยู่แล้ว ที่ที่ฉันยืนจะกลายเป็นที่ที่แกยืนอย่างสมศักดิ์ศรีที่สุด ไม่ว่าจะหนียังไงก็ไม่มีทางหนีพ้น ที่นี่ บนหลังเสือตัวนี้มีแต่จะปีนสูงขึ้นและดุร้ายขึ้นเท่านั้น ชีวิตไหนที่ไม่จำเป็นน่ะ… ตัดทิ้งไปซะเถอะ” เสียงของท่านก้องอยู่ในหูของวัสสะ น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาสุดความรู้สึกเพราะความอดทนอดกลั้นในช่วงเวลาสุดท้ายเริ่มไม่มีเหลืออีกต่อไป ธารางกูรบอบช้ำจนร่างกายไร้แรงต้านทาน เรียวมือที่อยู่กับวัสสะอ่อนแรงลงจนไม่อาจจับรั้งอะไรไว้ได้

“ปล่อยกูร… ขอร้อง… ปล่อยกูร” วัสสะบีบมือไร้แรงของธารางกูรเอาไว้แน่นขณะที่หันสายตากลับมามองท่านเพื่อขอร้องอ้อนวอน ท่านเองก็ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าไร้พิษสงเพราะทรมานใจจะขาด แต่นั่นมันก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เป็นอย่างที่ท่านพูด เส้นทางที่ยืนอยู่นี้ไม่มีพื้นที่สำหรับคนใจอ่อน ที่กำลังทำมันเป็นการสอนให้วัสสะเข้มแข็งและกล้าหาญกล้าตัดสินใจมากขึ้น

“อยากจะปลดปล่อยกูรด้วยตัวเองมั้ยล่ะ… แค่ลั่นไก” ทางเลือกที่ไม่เคยมีถูกยื่นมาตรงหน้าวัสสะพร้อมปืนหนึ่งกระบอก ท่านยื่นมันให้เขาแต่ก็โดนสะบัดออกอย่างไม่ไยดี วัสสะบีบมือธารางกูรให้แรงขึ้นเมื่อเห็นว่าช่วงดวงตากลมสะบักสะบอมปริแตก





ไม่

มันต้องไม่จบแบบนี้

ทุกอย่างจะต้องไม่จบแบบนี้





“ไม่มีวัน! ”

“งั้นถ้าทนดูได้ก็ดูต่อไปจนกว่ากูรจะขาดใจแล้วกัน ค่อย ๆ ถูกคนของฉันทรมาน หรือโดนแกยิงตัดขั้วหัวใจภายในครั้งเดียวอะไรมันโหดร้ายกว่ากัน… ลองคิดดูสิวัสสะ” สิ้นเสียงของท่านสายตาออกคำสั่งก็ทำให้ความเลวร้ายพยักหน้าอย่างเข้าใจ ชายคนเดิมลุกขึ้นและเดินวนเข้าช่วงหลังของธารางกูร ลำแขนแข็งแรงตวัดล้อมรอบคอของธารางกูรก่อนจะออกแรงดึงเข้าหาตัวจนกระทั่งกรอบหน้าเล็กต้องแหงนหน้าโหยหาอากาศ วินาทีนั้นคนอีกสองคนปล่อยร่างกายบอบช้ำไร้เรี่ยวแรงธารางกูรให้เป็นอิสระทันที แรงรัดที่ไม่มากพอเป็นดั่งการหยอกล้อที่ทำให้ผู้ถูกกระทำเจ็บปวด และทำให้คนมองดีดดิ้นทุรนทุรายจะขาดใจ

“ค… คุณวัสครับ… อึก… ผ...ผมขอ… อึก ผมขอร้อง...” เสียงอู้อี้อึดอัดทรมานลอดลำคอออกมาพร้อมสายตาวิงวอน เลือดสีเข้มไหลผ่านโพรงจมูกยาวลงมากระทั่งผสานรวมกับริมฝีปากเจ่อช้ำ สองแขนสองขาไร้แรงที่จะดิ้นรนหลีกหนีความเจ็บปวด วินาทีนั้นเองที่หัวใจของวัสสะแทบจะแหลกสลายเพราะไม่อาจทนเห็นธารางกูรเจ็บปวดมากกว่าที่เป็น

“กูร…”

“เอายังไงดี โอกาสสุดท้ายแล้วนะวัสสะ”

“ปล่อยกูร… จะทำเอง...”

“ว่ายังไงนะ”

“กูบอกให้มึงปล่อยกูร! กูจะทำเอง! ” เสียงคำหยาบตวาดลั่นทำให้ทุกสิ่งในห้องเงียบสนิท ประชาดึงลูกน้องตัวเองออกจากธารางกูรและปล่อยให้ร่างบางสิ้นสภาพลงไปกับพื้น รอยยิ้มดีใจระคนเศร้าฉายชัดขึ้นบนใบหน้าที่มีแต่ร่องรอยของการถูกทำร้าย ธารางกูรสบตามองวัสสะด้วยความรู้สึกที่ดีใจเหลือเกิน ผิดกันกับวัสสะที่หัวใจของเขาแทบจะแหลกลงไปตรงนี้ เขาทนไม่ไหว เขาทนเห็นธารางกูรต้องเจ็บปวดทุรนทุรายเช่นนั้นต่อไปไม่ได้





เขาต้องจบเรื่องนี้ด้วยมือของตัวเอง





“รีบจัดการซะ ฉันยังพอมีเวลาให้แกได้สั่งเสีย” ท่านวางปืนลงตรงหน้าวัสสะ และสั่งคนปล่อยชายหนุ่มให้เป็นอิสระ วินาทีนั้นร่างสูงแทบจะล้มครืนลงไปกับพื้น คนปวดใจคลานเข่าเข้าไปหาพลางดึงมือที่รั้งกันไว้สุดชีวิตสูดกลิ่นกายแสนรักเข้าไปไม่หยุด วัสสะตระกองกอดธารางกูรที่ยังมีสติครบถ้วนเข้ามาไว้ในอก มือที่เคยจับแน่นหลุดออกและแทนที่ด้วยอ้อมกอดแสนปวดใจ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังลั่นห้องจนบรรยากาศทุกอย่างนิ่งสนิท ไม่มีคำสั่งเสีย ไม่มีคำร้องขอ ไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงร้องไห้ที่ประสานเป็นความเจ็บปวดเหลือจินตนาการ





ทุกคนรู้สึก

ทุกคนสัมผัสได้

ทุกคนรับรู้ว่าคนสองคนรักกันได้มากแค่ไหน

ไม่เว้นแม้แต่...





“จะดีเหรอครับท่าน” ท่านที่หันหลังให้คนทั้งคู่เฝ้าฟังเสียงสะอึกสะอื้นด้วยหัวอกที่ปวดหนึบขึ้นมาไม่น้อย แม้จะมีคำทัดทานจากประชาลูกน้องคนสนิท แต่จุดที่กำลังยืนไม่อาจย้อนคำพูดใดกลับไปได้ ทุกอย่างจะต้องดำเนินต่อไปในทิศทางที่ถูกกำหนดไว้ ชายกลางคนพยายามละความสนใจด้วยการคว้าไม้คิวพูลขึ้นฝนชอล์กในท่าทางถนัด สายตาผู้นำมุ่งมั่นก้มเล็งลูกบอลบนโต๊ะ ขณะที่สองหูยังคงรับรู้เสียงร้องไห้เสียอกเสียใจที่ชาตินี้คงไม่มีวันลืม

“ดีสิ แกคิดว่ามีอะไรไม่ดีรึไง”

“ผมเกรงว่าคุณวัส...”

“นี่จะเป็นบทเรียนที่ดีที่สุดสำหรับวัสสะ วันนึงถ้าเขาต้องมายืนแทนที่ฉันเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าที่เป็น แกก็รู้ว่าเส้นทางนี้มันเป็นยังไงไม่ใช่เหรอ”

“ผมกลัวว่าคุณวัสเธอจะรับไม่ไหว” ประชาหันมองวัสสะและธารางกูรอีกครั้ง ร่างสูงใช้มือสั่นเทาลูบไปตามรอยแผลของธารางกูรซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพน่าสะเทือนใจทำให้ทุกคนที่เหมือนจะไร้หัวใจต่างเมินหน้าหนี

คลิก! เสียงปืนที่ถูกลดทอนยังคงเด่นชัดให้ชายกลางคนได้ยิน ท่านก้มหมอบแทงลูกกลมบนโต๊ะจนเคลื่อนตัวออกไปตามแรง ทว่าลูกบอลสีขาวไม่ได้กระดอนไปในทิศทางที่ต้องการ มันกระทบเข้าที่กรอบไม้ก่อนจะกลิ้งกลับมาในทิศทางเดิม แม้จะไม่ได้ดั่งใจ แต่รอยยิ้มจาง ๆ ก็ได้ผุดขึ้นใบหน้าของท่านในวินาทีนั้น บนโลกใบนี้มีเพียงแค่เหยื่อและผู้ล่าเหยื่อ และเมื่อไหร่ที่เราหยุดล่า เราจะกลายเป็นเหยื่อตัวเล็ก ๆ ที่รอการโจมตี แน่นอน ท่านไม่มีวันยอมให้ความหวังเพียงคนเดียวลดตัวลงไปเป็นเพียงเหยื่อไร้คุณค่า





ความรักไม่เคยทำให้ใครเข้มแข็ง มีแต่ทำให้อ่อนแอลงเท่านั้น





“เกิดเป็นลูกชายฉัน มันจะต้องแข็งแกร่งและเด็ดขาดได้มากกว่าฉัน”





Talk

เรื่องท่านกับวัสคงไม่ได้หักมุมอะไร เพราะแทบจะบอกมาทั้งเรื่อง แค่ไม่ได้บอกตรง ๆ เท่านั้น ทุกคนน่าจะเดาถูกกันหมดเนอะ ส่วนเสียงปืนส่งท้ายตอน... มาพบกันตอนหน้าค่ะ ไม่ค้างใช่มั้ย 55555

ปล.ตอนที่แล้วบอกผิด เหลือตอนที่ 26-27 และมีบทส่งท้าย 28 นะคะ เท่ากับเหลืออีก 3 เนอะ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่คอยติดตามกันเช่นเคยค่ะ ขอบคุณทุกทวิต ทุกแชร์ ทุกวิว และทุก ๆ คนด้วยค่า เลิฟฟฟฟ



หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 25 ฝนที่เคยรอคอย 30/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 30-10-2018 23:09:51
มาต่อเดี๋ยวนี้เลย ค้างงงงงง :ling1:

อิท่าน ฉันจะฆ่าแก ปืนที่อยู่ในมือวัส
ส่องไปที่หัวอิท่านเหอะ แม่งเอ้ย !!!
 :z6: :z6: :z6:  :z6:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 25 ฝนที่เคยรอคอย 30/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 30-10-2018 23:36:31
เดาใจวัสไม่ถูก จะเลือกทางไหน ยิงกูร ยิงตัวเอง หรือยิงท่าน โอกาสมีครั้งเดียว น้ำหนักเทไปทางไหนดีล่ะ กระสุนนัดเดียวเพื่อจบเรื่อง ไม่รู้สิ เราว่าถ้าวัสเลือกทางที่เราคิด อาประชาก็ยอมรับนะ ดูแล้วทุกคนในห้องตอนนี้เทไปทางไหน ขอให้เราเดาถูกทีเถอะ

"เกิดเป็นลูกชายฉัน มันจะต้องแข็งแกร่งและเด็ดขาดได้มากกว่าฉัน" จากประโยคนี้ถ้าท่านไม่มั่นใจในตัวเองจนเกินไป ก็ ชล่าใจเกินไป สองคนรักกันเกินกว่าใครจะคาดดิดนะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 25 ฝนที่เคยรอคอย 30/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 01-11-2018 21:43:00
บทที่ 26 ฤดูกาลผ่านพ้น

“กูบอกให้มึงปล่อยกูร! กูจะทำเอง! ” เสียงคำหยาบตวาดลั่นทำให้ทุกสิ่งในห้องเงียบสนิท ธารางกูรสิ้นสภาพหมดแรงทิ้งทั้งร่างราบลงไปกับพื้น รอยยิ้มดีใจระคนเศร้าฉายชัดขึ้นบนใบหน้าที่มีแต่ร่องรอยของการถูกทำร้าย ของเหลวสีแดงเข้มไหลผ่านช่องจมูกออกมาจนรับรู้ได้แค่เพียงกลิ่นสนิมคาวเลือด ธารางกูรสบตามองวัสสะในวินาทีนั้นด้วยความรู้สึกที่ดีใจเหลือเกิน อย่างน้อยชีวิตของเขาก็มีไว้เพื่อคนที่รักโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าวัสสะจะตัดสินใจอย่างไร นั่นจะเป็นหนทางที่ธารางกูรสุขใจมากที่สุด





เจ็บปวด ทรมาน และทุกข์ทนกับชีวิตนี้มามากเกินพอแล้ว





ผิดกันกับความรู้สึกของวัสสะ หัวใจของเขาแทบจะแหลกลงไปตรงนี้ เขาทนไม่ไหว เขาทนเห็นธารางกูรต้องเจ็บปวดทุรนทุรายเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ทุกครั้งที่ความรุนแรงสัมผัสลงไปบนร่างกายที่เฝ้าทะนุถนอม ความรู้สึกเจ็บปวดมันแล่นเข้าทุกประสาทการรับรู้ราวกับถูกทำร้ายอย่างทารุณเสียเอง ผิวขาวละเอียดถูกแต้มไปด้วยร่องรอยแดงช้ำ เลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกมาตามรอยผิวปริแตกรอยแล้วรอยเล่า ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเท่ากันทำให้การตัดสินใจเพียงชั่ววูบเปลี่ยนแปลงเรื่องราวเรื่องนี้ไปตลอดกาล





มันคงจะยุติธรรมกว่า หากวัสสะจะหยุดความทรมานนี้ซะ





“รีบจัดการซะ ฉันยังพอมีเวลาให้แกได้สั่งเสีย” ท่านวางปืนลงตรงหน้า วัสสะมองอาวุธร้ายแรงบนพื้นในจังหวะที่ถูกปลดปล่อยจนแทบล้มครืนลงไป อาการใจเสียทำให้ทุกส่วนของร่างกายอ่อนล้าไร้แรงไปเสียหมด สองมือสองขาพยายามยันตัวเองด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ คนปวดใจคลานเข่าเข้าไปหา พลางดึงมือที่รั้งกันไว้สุดชีวิตขึ้นสูดกลิ่นกายแสนรักเข้าไปไม่หยุด วินาทีที่ปลายจมูกของวัสสะสัมผัสลงที่หลังมือ ธารางกูรก็กระตุกงอตัวขึ้นมาด้วยปฏิกิริยาตอบรับของร่างกาย วัสสะค่อย ๆ สัมผัสร่างบางอย่างนิ่มนวลและดึงร่างกายที่ยังมีสติครบถ้วนเข้ามาตระกองกอดไว้แนบอก มือที่เคยจับแน่นหลุดออกจากกันในวินาทีนั้น พันธนาการหัวใจถูกแทนที่ด้วยอ้อมกอดแสนเจ็บแค้นที่แนบแน่นยิ่งกว่า





เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นค่อย ๆ ดังขึ้น ดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนอื้ออึงไปเสียหมด

บรรยากาศทุกอย่างนิ่งสนิท มีเพียงเสียงร้องไห้ลอยฟุ้งยืนยันถึงความเจ็บปวดเหลือคณา





กรอบใบหน้าฟกช้ำซุกเข้าที่แผงอกของวัสสะในขณะที่ยังไม่หยุดยิ้ม เสียงหัวใจของคนที่รักทำให้ธารางกูรรู้สึกอุ่นใจมากมายเหลือเกิน หากความสุขสุดท้ายคือการอยู่ในอ้อมกอดของวัสสะ มันจะเป็นความสุขสุดท้ายที่มีคุณค่าและสมบูรณ์ที่สุด ลำแขนแกร่งที่โอบรัดประคองร่างเอาไว้เป็นเหมือนดั่งอิสระและชีวิตที่โหยหามาตลอด หมดแรงแล้ว หมดแรงจะสู้ หมดแรงจะร้องขอ หมดแรงจะดึงดันให้ตัวยังอยู่และทรมาน

เสียงร้องไห้ทรมานชะงักสะอื้นยังคงดังต่อเนื่องไม่ได้หยุด ธารางกูรเอื้อมกอดช่วงเอวของวัสสะเอาไว้เบา ๆ ด้วยกำลังที่มี เรียวมือสั่นชากำชายเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ระหว่างที่น้ำตาจากการร้องไห้ไหลปนลงมากับสีเลือด น้ำตาสีแดงจางช่างทรมานหัวอกหัวใจคนมองอย่างวัสสะ ร่างสูงเคลื่อนมือผ่านรอยแผลสดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างใจเสีย ใช่ ที่ท่านพูดมามันไม่ผิดเลย มันเป็นเพราะเขา ที่ธารางกูรต้องเจ็บอยู่เช่นตอนนี้ มันเป็นเพราะเขา

เวลาผ่านนานนับนาทีแต่ทว่าทั้งคู่ต่างไม่คิดที่จะพูดคำใดออกมา มีเพียงเสียงร้องไห้และสัมผัสจากร่างกายที่ยืนยันว่ารักใคร่โหยหากันมากสักแค่ไหน เจ็บปวด ทรมาน คล้ายจะพากันกลั้นใจตายในทุกวินาที เมื่อร้องไห้จนเริ่มหายใจได้ไม่ทัน เสียงถอนลมหายใจจึงสะท้อนเป็นอาการสะอึกซ้ำ ๆ วัสสะคว้ามือข้างเดิมที่เคยจับกันไว้แน่นเข้ามาครอบครองอีกครั้ง และครั้งนี้สัมผัสของมันช่างแนบแน่นเสียจนไม่อาจคิดถึงช่วงเวลาที่ต้องไปจากกัน





วินาทีที่วัสสะใช้อีกมือลั่นไกปืน

นั่นคือวินาทีที่ทุกอย่างจะเดินทางสู่จุดจบ

ช่างเถอะฤดูหนาว ลาก่อนกลิ่นฝน

ไม่เหลือเวลาให้รอคอยอีกต่อไปแล้ว





คลิก! เสียงปืนที่ถูกลดทอนแม้จะไม่ได้ดังสนั่นแต่ก็ยังดังก้องอยู่ในหูของทุกคนที่หายใจอยู่ในห้องกว้าง โดยเฉพาะชายหนุ่มสองคนที่โอบกอดจับมือกันไว้แน่นดุจคำมั่นสัญญาสำคัญ เสียงสะอึกสะอื้นเงียบสนิทไปพร้อม ๆ กับการกลั้นหายใจรอรับผลจากกลไกปืน น้ำตามากมายยังคงไหลซึมออกมาจากคนทั้งคู่ ดวงตาสองคู่จ้องมองกันสั่นไหวทว่านิ่งสนิท ความเงียบน่าสะเทือนใจกลายเป็นเรื่องเล็กไปในทันที เมื่อเสียงกรีดร้องวังเวงใจโหยหวนขึ้นมาบาดใจคนฟัง

“อ๊ากกกกกกกกก ฮืออออ” เสียงกรีดร้องตะเบ็งขึ้นสูงราวกับเจ้าของเสียงเสียสติ ความรุนแรงที่มีมากยิ่งกว่าการสะอึกสะอื้นทำให้ทั้งห้องโกลาหลขึ้นมาในวินาทีนั้น ร่างกายที่เคยมีแรงทิ้งตัวลงพร้อมกลุ่มเลือดสีแดงชาดจากลำตัวเบื้องซ้าย การเคลื่อนไหวทุกอย่างเปลี่ยนเป็นนิ่งงัน สัมผัสความรักที่เหนี่ยวรั้งตกผล็อยลง





ร่างกายของวัสสะที่เคลื่อนไหวปกป้อง

มือของวัสสะที่เคยประคองธารางกูรไว้

ทุกอย่างหยุดชะงักไปกลางคัน





เหลือไว้เพียง





เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของธารางกูรที่ไม่มีวันหยุดลง





“ไม่ ไม่เอา ไม่เอา ฮืออออ คุณวัสครับ ฮืออออ” แม้ว่าร่างกายจะเจ็บปวดจนแทบเคลื่อนตัวไม่ไหว แต่ธารางกูรก็ยังพยายาม พยายามสุดชีวิตที่จะคว้าตัววัสสะให้ลุกขึ้นมาปลอบขวัญเขาอีกครั้ง แต่ทว่าร่างกายที่เคยอบอุ่นกลับนิ่งสนิท ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เรียวมือเล็กทุบตีลงไปบนตัวของวัสสะ สตินึกคิดแทบจะสูญสิ้น ไม่อาจควบคุมอารมณ์อ่อนไหวของตนให้อยู่เป็นผู้เป็นคน ร้องไห้คร่ำครวญจนลมหายใจแทบจะขาด แต่ก็ยังไม่มีสัมผัสใดจากความรักตอบรับกลับมา





เจ็บปวดกว่าที่เคยคาดคิด

ไม่ใช่เพียงธารางกูรที่รู้สึกเช่นนั้น





“ท...ท่านครับ”

“วัสสะ… ไอ้วัสสะ! ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดกระชากอารมณ์ความรู้สึกของหลายคนในห้อง ท่านสะบัดการรั้งจากประชาออกถลาเข้าไปหาคนสองคนและกองเลือดกองกองนั้นทันที ชายกลางคนทรุดเข่าลงกับพื้นราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก ความโกรธปะทุขึ้นมาบนใบหน้ามากกว่าทุกหน ทั้งโกรธ ทั้งกลัว ทั้งเสียใจปะปนกันจนร่างกายสั่นไปเสียหมด เสียงสะอื้นไห้ของธารางกูรยิ่งทำให้ประสาทการรับรู้อื่นแทบจะดับไป โทสะแสนเจ็บใจสั่งให้ท่านคว้าเข้าที่คอเสื้อของวัสสะและดึงร่างกายสงบนิ่งออกจากตัวธารางกูรทันที

“ฮืออออ อึก คุณวัส ฮือออออ อ๊ากกกกก” เสียงหวีดร้องของธารางกูรเพิ่มความดังขึ้นอย่างไม่มีใครหยุดยั้ง เมื่อร่างกายของคนรักหลุดลอยไป ร่างบางจึงได้แต่นอนกอดความเจ็บปวดของตัวเองอย่างทุกครั้งที่หวาดกลัว แต่ทว่าครั้งนี้ความกลัวของเขากลับโดดเดี่ยวเดียวดายไร้คนปลอบโยน ธารางกูรยังคงเฝ้ามอง มองร่างกายของวัสสะที่ถูกท่านดึงออกไปห่างตัวทุกที





กลับมาเถอะครับคุณวัส

ผมขอร้อง

กลับมา

กลับมาหาผมที





“วัสสะ! แกจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ! ไอ้ลูกสารเลว! ” ท่านกระชากร่างกายผู้เป็นลูกชายขึ้นมาเขย่าแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผามีกลุ่มน้ำใสไหลเอ่อขึ้นมาที่ขอบตาทั้งสองข้าง ก่อนจะร้องไห้ออกมาคล้ายมีเรื่องอัดอั้นอยู่ในใจ พ่อลูกที่ไม่เคยลงรอยกันสักครั้ง ก็ยังสร้างความบาดหมางต่อกันในวินาทีนี้ ลูกน้องใต้อาณัติเริ่มพากันเลิ่กลั่กเพราะกำลังเกิดปัญหาใหญ่กับนายของตน ทว่าเมื่อไร้คำสั่งพวกเขาจึงทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าการเฝ้ามอง ภาพของท่านในวินาทีนี้ช่างดูอ่อนแอไร้สตินึกคิด ไร้อำนาจ ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ดูไม่เหมือนคนที่ออกคำสั่งเด็ดขาดในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาสักนิด คงจะเป็นดังเช่นคำว่า





ความรักไม่เคยทำให้ใครเข้มแข็ง มีแต่ทำให้อ่อนแอลงเท่านั้น





“วัสสะ! ใครสั่งให้แกตาย! ฉันไม่ได้สั่งให้แกตาย! ”





แกร๊ก!





“ครับท่านไม่ได้สั่งให้ผมตาย” น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ท่านได้ยินเสียงขึ้นลำกล้องปืน วินาทีเดียวเท่านั้นที่อาวุธสีดำขลับจรดลงกลางหน้าผากเหี่ยวย่น วัสสะค่อย ๆ เปิดดวงตาขึ้นมองสีหน้าสับสนอย่างนึกยิ้มย่อง ดวงตาของร่างสูงในยามนี้ช่างไร้ความปรานีในจิตใจ หมดแล้วความอดทนอดกลั้นที่เคยมี จบ… จบกันเสียที

“วัสสะ...”

“ผมแข็งแกร่งพอรึยังครับ… พ่อ”

คลิก! เสียงไกปืนดังขึ้นรวดเร็วเกินกว่าที่เหล่าบริวารของท่านจะเข้ามาขัดขวางไว้ได้ทัน กว่าจะเข้ามาถึงตัว เสือตัวใหญ่ก็ล้มครืนลงทาบทับไปบนร่างของผู้เป็นลูกชาย วัสสะกะพริบตาไล่หยดเลือดที่สาดกระเซ็นเข้ามาเต็มดวงตาและใบหน้าของเขา สองแขนเอื้อมกอดร่างกายด้านบนพลางเคลื่อนมือลูบขึ้นลงบนแผ่นหลังคล้ายปลอบประโลมให้หายขุ่นข้องหมองใจ





โชคดีจริง ๆ

ยังไม่ทันได้เรียนรู้ความทรมานเลยสักนิด





วัสสะผลักร่างกายที่สูญสิ้นแรงอย่างไม่ได้ตั้งตัวให้ออกไปพ้นทาง เขามองดวงตาที่กำลังกะพริบช้าและมีน้ำตาใสไหลออกมาเป็นสาย คงจะมีคำถามมากมายค้างคาอยู่ใต้จิตสำนึกสุดท้าย วัสสะมองนิ่งจนกระทั่งดวงตาคู่นั้นเบิกค้างไม่ไหวติงอีกต่อไป มือหนาเคลื่อนเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากหน้าตนบ้าง เคยคิดเหมือนกันว่าวันหนึ่งจะเรียกผู้ให้กำเนิดว่า ‘พ่อ’ ได้อย่างภาคภูมิใจ และวันนี้ คงจะเป็นวันนั้นที่ตัวเขารอคอย





ชีวิตไหนที่ไม่จำเป็นน่ะ… ตัดทิ้งไปซะเถอะ





“คุณวัส…! ท่านครับ! ท่าน! ”

“คุณประชา ผมต้องพึ่งคุณ” วัสสะไม่เสียเวลาพูดพร่ำทำเพลงใด ๆ อีกต่อไป ดวงหน้าเยือกเย็นไม่มีความปรานีในใจหลงเหลือ มีเพียงความเย็นชาเฉยเมยไม่สนใจเวรกรรม เมื่อเหล่าลูกน้องใต้บังคับบัญชาเห็นว่านายเหนือหัวจบชีวิตลงอย่างน่าสลด ความนิ่งงันตกใจทำให้ทั้งหมดไม่ทันได้ตั้งตัว วัสสะขึ้นลำกล้องกดไกปืนยิงผู้เคราะห์ร้ายที่ดวงถึงฆาต ก่อนจะยื่นปืนให้ประชาที่วิ่งเข้ามาดูร่างของท่านในจังหวะนั้น ดวงตาสองคู่มองกันอย่างเข้าใจความหมาย ประชารู้ในทันทีว่าวัสสะต้องการให้เขาช่วยเหลือในเรื่องใด ตอนนี้เสือร้ายตัวใหม่อย่างวัสสะต้องพึ่งเขา และเขาเองก็ต้องพึ่งพาวัสสะเพื่อให้ชีวิตบนหลังเสือรอดไปอีกวันเช่นกัน

“ขอโทษนะทุกคน” ลำกล้องและไกปืนถูกประชาใช้งานต่อเนื่องอีกหลายครั้ง หลายชีวิตดับลงอย่างไม่ทันได้ร้องขอเหตุผล ระหว่างที่อีกหลายชีวิตยอมสยบลงแทบเท้า ยอมแลกทุกสิ่งกับลมหายใจของตนเอง วัสสะมองภาพนั้นอย่างไม่มีความรู้สึกสงสาร ภายในใจของเขานิ่งสนิท ไม่ยินดียินร้ายกับการตายของคนกลุ่มหนึ่ง





บนหลังเสือตัวนี้มีแต่จะปีนสูงขึ้นและดุร้ายขึ้นเท่านั้น

วันไหนที่ฉันไม่อยู่แล้ว ที่ที่ฉันยืนจะกลายเป็นที่ที่แกยืนอย่างสมศักดิ์ศรีที่สุด





“กูร...” เมื่อทุกอย่างสงบลงหลังเสียงปืนคร่าชีวิต วัสสะก็พบว่าหัวใจของเขาแทบตกไปยังเบื้องล่าง ร่างสูงพาร่างกายโชกเลือดเข้าไปหาธารางกูรที่ยังส่งเสียงร้องไห้เพราะความเสียใจไม่หยุด มือหนาบีบเบา ๆ ที่ต้นแขนซ้ายของตนเพื่อคลายความเจ็บปวดที่ก่อให้เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ กระสุนฝังอยู่ในช่วงไหล่ด้วยเหตุผลที่ว่า มีไม่กี่วิธีที่เขาจะได้ถืออาวุธได้ในมือ มีไม่กี่วิธีที่จะทำให้ท่านชะล่าใจเข้าใกล้ตัวเขาและเป็นเป้านิ่งได้มากขนาดนี้ มีไม่กี่วิธีที่จะทำให้ลูกน้องของท่านวางใจสถานการณ์และทำให้เขาเป็นต่อ แต่สิ่งที่วัสสะลืมไปคือสภาพจิตใจของคนที่ไม่ได้รู้ทิศทางการตัดสินใจใด ๆ ในสมองของเขาเลย

“ฮืออออ อึก ฮืออออ”

“กูร ผมอยู่นี่ ผมไม่เป็นอะไร” มือขวาสั่นเทายกขึ้นปากน้ำตาคนที่หวาดกลัวไม่มีสติ ธารางกูรปัดมือของเขาออก และเพิ่มความทรมานจิตใจผ่านการร้องไห้ตัวโยน ร่างบางไม่คิดแม้แต่จะเงยหน้ามองเขาเพราะความเข้าใจแสนเศร้า ยิ่งเห็นว่าคนรักร้องไห้ใจจะขาดวัสสะก็ไม่อาจปิดกั้นความรู้สึกของตนได้ น้ำตาใสไหลออกมาเพราะความรู้สึกผิด ก่อนจะค่อย ๆ ใช้ฝ่ามือช้อนกรอบหน้าของธารางกูรขึ้นมาช้า ๆ

“ฮึก”

“กูรครับ กูร”

“ฮืออออออ คุณวัส… คุณวัส...” ธารางกูรพร่ำเรียกชื่อของวัสสะออกมาไม่หยุด เจ้าตัวพยายามยื่นมือออกมาหวังสัมผัสสิ่งที่ดวงตากำลังเห็น แต่ทว่าเรียวมือเล็กคลอนสั่นจนไม่อาจบังคับทิศทาง วัสสะเห็นเช่นนั้นจึงค่อย ๆ กอบกุมมือเย็นเข้ามาแนบไว้กับแก้มที่เปรอะไปด้วยเลือดของตน

“ผมอยู่นี่ ผมอยู่กับคุณนะกูร” รอยยิ้มจากความสุขค่อย ๆ ฉายชัดขึ้นบนใบหน้าร่างสูง เมื่อมองจนแน่แท้แก่ใจ ธารางกูรจึงโผตัวเข้ากอดวัสสะแน่นเท่าที่แรงกายจะมี วัสสะใช้แขนข้างที่ยังมีแรงเฝ้าปลอบโยนคนรักไม่ได้ขาด ความอบอุ่นในยามนี้ช่างเป็นความอบอุ่นที่แสนจริงใจและไร้ความเหน็บหนาวใด คนบาดเจ็บนิ่วหน้าอดทนกับความเจ็บปวดทางกายที่เริ่มแล่นไปทั้งซีกซ้าย แต่มันคงไม่หนักหนาสาหัสอะไรนัก เพราะตอนนี้หัวใจของเขามันเป็นสุขดี

“ฮืออออ ผมฝันร้าย อึก ผมฝันร้าย ฮืออออ”

“ผมขอโทษนะกูร ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไร ตอนนี้เราสองคนไม่เป็นไรแล้ว… เราสองคนเป็นอิสระแล้วนะครับ” หัวใจของวัสสะเป็นสุขดี… แม้ว่าลึก ๆ จะร้าวรานและแน่นิ่งไปพร้อมกับร่างกายของชายที่เติบโตมาด้วยทั้งชีวิต เขาเหลือบมองดวงตาที่ยังคงเบิกโพลงของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย น้ำตาหยดสุดท้ายไหลออกมาทดแทนบุญคุณทุกอย่างที่เคยมีให้แก่กัน บอกไม่ถูกจริง ๆ ว่าทำไมวัสสะถึงรู้สึกผิด แต่ไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป อาจจะเป็นเพราะเขากับพ่อคนนี้ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันนัก





เกิดเป็นลูกชายฉัน มันจะต้องแข็งแกร่งและเด็ดขาดได้มากกว่าฉัน

.

.

.

“ทำไมผมถึงเรียกพ่อว่าพ่อไม่ได้ครับแม่”

“แม่เป็นแค่ผู้หญิงในบ้านของท่าน ท่านคงไม่อยากให้ใครรู้เข้า อีกอย่างสักวันท่านก็ต้องมีลูกกับคุณผู้หญิง ไม่เป็นไรนะลูก โตขึ้นวัสคงจะเข้าใจมากกว่านี้”

แม่ครับ… จนวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมชีวิตผมถึงมีพ่อแต่เหมือนไม่มี ทำไมถึงไม่เคยได้รับในสิ่งที่ลูกคนหนึ่งควรได้รับ แต่ไม่เป็นไรครับแม่ ไม่เป็นไร

.

.

.

“ฉันบอกให้แกเรียกฉันต่อหน้าคนอื่นว่าพ่อไงวัสสะ อยากให้ฉันขายหน้ารึไง”

“ผมไม่เคยจำได้เลยนะครับว่าเคยมีพ่อ มีแต่ท่าน...”

“ไอ้วัส! ”

“ลูกไม่มี เมียหลวงก็ตาย เลยเพิ่งนึกได้ว่าต้องมายกระดับคนอย่างผมใช่มั้ยครับท่าน”

“แกเป็นลูกฉันวัสสะ! แกอยู่ใต้เท้าฉัน และแกไม่มีสิทธิมาขึ้นเสียงใส่ฉันแบบนี้! ”

แม่ครับ… ผมรู้ว่าผมไม่ได้อยากเป็นลูกเขาแล้ว ผมไม่อยากเรียกเขาว่าพ่อ ผมไม่อยากมีบุญคุณผูกพันกับคนอย่างเขา แต่วันนี้ผมเรียกเขาว่าพ่ออย่างเต็มปาก เรียกจากใจโดยไม่ต้องถูกบังคับ แต่มันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วครับแม่ เขาไม่มีโอกาสอยู่ฟังอีกแล้ว

.

.

.

“จะร้องไห้ทำไมนักหนา เป็นลูกผู้ชายหยุดร้องได้แล้ว แม่แกตายแต่แกยังมีฉันอยู่ทั้งคน มานี่มา”

แม่ครับ… นั่นเป็นกอดเดียวในชีวิตที่ผมได้รับจากเขา และวันนี้ผมเพิ่งจะได้กอดเขาอีกครั้ง กอดปลอบอย่างที่เขาเคยกอดผม แม่ว่าเขาจะเคยนึกถึงการกอดครั้งนั้นบ้างมั้ยครับ

.

.

.

“นี่แกคิดจะให้ความเคารพฉันบ้างมั้ยหะ! จำใส่กะโหลกแกไว้บ้างว่าถ้าไม่ใช่เพราะแกฉันคงไม่ต้องเหนื่อยมาจนถึงทุกวันนี้! อย่ามาคิดเนรคุณฉันวัสสะ! ”

แม่ครับ… ผมเป็นคนเนรคุณรึเปล่า ผมมันอกตัญญูมากใช่มั้ย ถ้าแม่อยู่ตรงนี้แม่คิดจะด่าทออะไรผมบ้าง แต่แม่ครับ… ผมไม่เคยรู้สึกเป็นอิสระแบบนี้มาก่อน วันนี้เป็นวันที่ผมดีใจมากที่สุด

.

.

.

“แกอย่ามาเถียงฉันนะ! ที่มันทำให้แกเหลวไหล ที่มันทำให้แกไม่ฟังคำสั่งฉัน ที่มันทำให้แกคิดหนีไปจากฉัน แค่นี้มันก็ชัดแล้วว่ามันล้างสมองแกจนความคิดอ่อนปวกเปียกแบบนี้! ”

แม่ครับ… ผมไม่ได้อ่อนแอใช่มั้ย ผมเข้มแข็งพอที่จะปกป้องคนที่ผมรัก ผมเข้มแข็งพอที่จะตัดใจทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องทรมาน เขาแทบไม่ทันได้เจ็บปวดเลยด้วยซ้ำ ผมเข้มแข็ง ผมเข้มแข็งมากพอใช่มั้ยครับแม่

.

.

.

“รู้อะไรมั้ยวัสสะ เส้นทางที่เรายืนมันไม่มีที่ว่างให้คนอ่อนแอหรือจิตใจที่อ่อนปวกเปียกหรอกนะ ถ้าผ่านวันนี้ไปได้แกจะแข็งแกร่งกว่าใคร นี่จะเป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด วันไหนที่ฉันไม่อยู่แล้ว ที่ที่ฉันยืนจะกลายเป็นที่ที่แกยืนอย่างสมศักดิ์ศรีที่สุด ไม่ว่าจะหนียังไงก็ไม่มีทางหนีพ้น ที่นี่ บนหลังเสือตัวนี้มีแต่จะปีนสูงขึ้นและดุร้ายขึ้นเท่านั้น”

แม่ครับ… ผมกำลังก้าวขึ้นไปในที่ที่เขาเคยยืน วินาทีนี้ตอนนี้ผมโหดร้ายน่าขยะแขยงไม่ต่างอะไรกับเขา แต่ผมสัญญานะครับแม่ ผมจะใช้จุดสูงสุดตรงนี้เพื่อดูแลหัวใจดวงเดียวของผมเท่านั้น

.

.

.

“ผมแข็งแกร่งพอรึยังครับ… พ่อ”



Talk

ไม่รู้ว่าจะถูกใจหรือค้านใจคนอ่านอย่างไร ติชมกันได้นะคะ ><

มาจนถึงตอนนี้โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ใกล้จบแล้วเน้อออออ

เหลือตอนที่ 27+บทส่งท้ายนะคะ เดี๋ยวอัพพร้อมกัน 2 ตอนเลยค่า

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิว ทุกคนเช่นเคยค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 26 ฤดูกาลผ่านพ้น 1/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 02-11-2018 00:08:24
55555 สะใจโว้ยยยยยยย !!!
 :z2:  :z2:  :z2:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 26 ฤดูกาลผ่านพ้น 1/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 02-11-2018 07:49:06
พ่อจับจุดอ่อนของลูกมาบีบลูก ลูกก็ตอบโต้ด้วยจุดอ่อนเดียวในชีวิตพ่อคืนเช่นกัน นี่แหละ ลูกไม้หล่นใต้ต้น ที่เคยคิดไว้ตอนก่อนๆ ถือว่าท่านเลี้ยงลูกได้ดีนะ วัสสะโตมาในแบบที่ท่านต้องการเป๊ะๆ เข้มแข็ง เด็ดขาด และเลือดเย็น จะเรียกว่สเหมือนเป๊ะๆก็ไม่เชิง เพราะมันเป็นขั้นกว่าของท่านด้วยซ้ำ

กูร ไม่ใช่จุดอ่อนของวัส แต่กูรคือคนที่คอยดึงรั้งความเป็นคนของวัสไว้ นี่คือสิ่งที่วัสเป็นขั้นกว่าของท่าน ท่านละทิ้งความรัก เพราะคิดเอาเองว่า ความรักทำให้คนอ่อนแอ กว่าจะรู้ว่าคิดผิดก็สายไปแล้วนะคะท่าน

ก็ไม่ได้สนับสนันเรื่องที่ลูกฆ่าพ่อ เพื่อคนรักนะ แต่ในกรณีนี้ ท่านไม่ได้เลี้ยงวัสในฐานะลูกมาตั้งแต่แรก ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองให้เห็นมาตั้งแต่เด็ก มันก็ไม่แปลกที่สุดท้าย วัสจะเลือกทำบางอย่างเพื่อตัวเองแบบท่านบ้าง
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 26 ฤดูกาลผ่านพ้น 1/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 03-11-2018 21:36:57
บทที่ 27 หนาวจะขาดใจ

“เป็นที่ทราบกันดีแล้วนะคะว่ามีเหตุอุกอาจเกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ อันเป็นเหตุให้พลตำรวจเอกวรพจน์ อิสระบริรักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ถูกยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ วันนี้เราจะมาไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามคำสารภาพของคนร้าย และพยานหลักฐานที่สำนักงานตำรวจแสดงต่อสื่อค่ะ”

“ครับ ท่านผู้บัญชาการตำรวจยืนยันว่านายปิติ เวชสุพล ได้รับสารภาพว่าร่วมกันวางแผนกรรโชกทรัพย์พร้อมพวกอีกสี่คนซึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ได้แก่ นายกรรชัย หาญเมฆ นายสุพจน์ ชุมสิงฆ์ นายเก็ดแก้ว ประภาวิทย์ และนายธีวิทย์ วชิรานุ ทั้งหมดเป็นลูกน้องใกล้ชิดของท่านวรพจน์ ครับ โดยมีแรงจูงใจในการก่อเหตุคือความโกรธแค้นที่ถูกดุด่าจนถึงบุพการีอยู่หลายครั้ง รวมไปถึงปัญหาหนี้สินจากการเล่นพนันบอล นายปิติเล่าว่านายกรรชัย หาญเมฆ เป็นคนออกความคิดและชักชวนให้จับตัวนายธารางกูร ประสิทธิจามร บุตรชายบุญธรรมของท่านวรพจน์ เป็นหลักประกันเพื่อเรียกร้องเงินจำนวน 30 ล้านบาท หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือการพยายามลักพาตัวเรียกค่าไถ่นั่นเองครับ”

“เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้กับสื่อสายการเมืองไม่น้อยนะคะ ไม่เคยมีใครรู้เลยว่านอกจากพันตำรวจตรีวัสสะ อิสระบริรักษ์ ลูกชายคนเดียวแล้ว ท่านวรพจน์ จะมีบุตรบุญธรรมด้วย”

“ใช่ครับ ซึ่งในเรื่องนี้คงต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมในการนำเสนอต่อไป เรามาว่ากันต่อในส่วนของคดีกันก่อนนะครับ คำให้การของนายปิติสอดคล้องกับคำใช้การของนายประชา สรายุทธ เลขาส่วนตัวของท่านวรพจน์ และเป็นพยานคนสำคัญ นอกจากนี้ยังมีภาพวงจรปิดอีกนับสิบจุดที่ยืนยันและตรงกันกับคำให้การทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาพหน้าคอนโดแห่งหนึ่ง ภาพการใช้ปืนอย่างอุกอาจ และภาพการหลบหนีตลอดเส้นทางสายใต้ของนายธารางกูรและพันตำรวจตรีวัสสะ ทีมงานของเรามีภาพและเสียงของนายประชา เราไปฟังคำสัมภาษณ์จากผู้อยู่ในเหตุการณ์ ก่อนมาดูภาพหลักฐานกันทีละจุดดีมั้ยคะ”

“ดีครับ”

“ผมคงต้องเรียนเบื้องต้นก่อนนะครับ ท่านค่อนข้างเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณวัสและคุณกูรจึงมีความประสงค์ทำตามเงื่อนไขด้วยการทำตัวปกติ และไม่แจ้งเรื่องนี้กับตำรวจตั้งแต่ต้น เหตุเกิดวันที่ 27 กรรชัยและคนอื่น ๆ พยายามจะจับตัวคุณกูรที่คอนโด แต่คุณวัสดันเข้าไปที่นั่นพอดีและสังเกตเห็นความผิดปกติเสียก่อน แผนการของพวกเขาคงจะเปลี่ยนตอนนั้น คุณวัสคุณกูรติดต่อผมและท่าน ผมจึงได้แนะนำให้หาทางหนีไปก่อนเพราะไม่อยากให้เป็นข่าว สุดท้ายก็เป็นอย่างที่ทุกทราบ กรรชัยเข้ามาคุมตัวท่านวรพจน์ที่บ้านในวันที่ 29 และบังคับให้ผมเดินทางไปเกลี้ยกล่อมคุณวัสคุณกูรเพื่อกดดันให้กลับมากับพวกเขาซะ

ผมว่าท่านแลกเงินสามสิบล้านกับลูกชายทั้งสองได้นะครับ แต่ท่านคงเป็นห่วงมากกว่าจึงดึงเกมอยู่เช่นนั้น อีกอย่างพวกกรรชัยฝีมือค่อนข้างดี ผมทำงานกับเขามานาน ไม่คิดว่าจะมีวันที่พวกเขาคิดหักหลังท่านเช่นนี้เหมือนกัน หลังจากที่กรรชัยจ่อยิงท่านทุกอย่างวุ่นวายมาก ผมยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นคนยิงกรรชัยแล้วก็อีกสามคน ผมก็ต้องป้องกันชีวิตตัวเองแล้วก็นายของผมในวินาทีนั้นนะครับ แต่คนที่ควรเห็นใจที่สุดคงจะเป็นคุณวัส เธอพยายามปกป้องพ่อและคุณกูรอย่างสุดความสามารถ ด้วยเลือดของความเป็นตำรวจ เลือดของผู้นำ ผมว่าเธอทำดีที่สุดแล้วในเวลานั้นครับ”


.......................

“เมื่อไหร่จะเลิกดูข่าว ปิดมือถือของเอ็งเสียทีเถอะ รีบทำงาน เดี๋ยวนาย ๆ เขาก็จะมากันแล้ว”

“ตกลงเรื่องมันเป็นไงอ่ะป้า นี่หนูดูซ้ำมาสามช่องแล้วนะ รอป้าเล่าให้ฟังอยู่เนี่ย” หญิงสาวชะเง้อคอถามหญิงสูงอายุกว่าที่กำลังมีสีหน้าเศร้าสลดหดหู่ ข่าวน่าตกใจเรียกร้องความสนใจได้จากคนทั้งประเทศ ข่าวการตายของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นประเด็นไปถึงเรื่องการเมืองและประเด็นอาชญากรรมเหี้ยมโหดไม่เกรงกลัวกฎหมาย แต่ไม่อาจดึงความสนใจจากคนที่อยู่ภายในบ้านหลังนั้นอย่างเธอได้ เรียวมือเหี่ยวย่นจับฐานดอกไม้สีขาวเคลื่อนตั้งหน้าศาลาที่พักศพ พลางเหลือบสายตามองม่านสีทองที่มีร่างไร้วิญญาณนอนสงบอยู่ภายใน

“แล้วเอ็งคิดว่าไงล่ะ”

“ก็ถ้าเอาตามที่ในเน็ตเขาสรุปกัน พวกพี่ชัยคิดจะจับคุณกูรไปเรียกค่าไถ่จากท่าน คุณวัสก็เลยพาหนี พอไล่จับจนได้ก็พากลับมาที่บ้าน แต่ไม่รู้ตุกติกกันอีท่าไหนถึงยิงท่านแบบนั้น พวกพี่ชัยก็เลยโดนคุณประชากับกวาดซะเรียบ พี่ปิติโชคดีมั้งที่ไม่ตาย แต่พวกที่เหลือนี่สิ ลงทุนฆ่าถึงรองนายก เงินก็ไม่ได้ แถมยังต้องมาตายกันอีก โชคร้ายชะมัด”

“เอ็งก็มีสรุปเป็นฉาก ๆ ของเอ็งอยู่แล้วนี่ จะถามข้าทำไม”

“แหม่ ก็ป้าอยู่ในบ้านใหญ่ตอนเกิดเหตุนี่น่า เสียดายที่ฉันกับพวกคนอื่นอยู่แต่เรือนพักเลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้อีกทีก็ตอนที่ตำรวจแห่กันมา เนี่ย มีแต่คนโทรมาถามฉัน แล้วฉันก็ตอบไม่ได้” มือที่กำลังขยับจับก้านดอกไม้ชะงักไป คนฟังถอนหายใจออกมาก่อนจะพยายามดึงอารมณ์ให้อยู่ในสภาวะปกติ จริงอยู่วันนั้นเธออยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังดังกล่าว แต่ห้องต้องห้ามชั้นบนไม่เคยมีเสียงใดเล็ดลอดลงมาให้ได้ยิน เธออยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ยังสาว เห็นวัสสะและธารางกูรในวัยเด็ก เห็นความเป็นไปแทบทุกอย่างทั้งเรื่องที่พูดได้และพูดไม่ได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่สะท้อนอยู่ในอกเสมอ คือความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่กระด้างกระเดื่องต่อกันจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต

คุณวัสของเธอ ไม่คิดจะแตะต้องศพของคุณท่านแม้แต่ปลายเล็บด้วยซ้ำ

“เรื่องเศร้าของนาย อย่ามาอยากรู้อยากเล่านักเลย ไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะไป”

“ขออีกนิดได้มั้ยป้า… คุณกูรอะไรนั่นน่ะ ตั้งแต่ฉันทำงานมา ยังไม่เคยเห็นหน้าเลย เขาเป็นลูกบุญธรรมท่านจริง ๆ เหรอ ป้าอยู่ดูแลที่นั่นกับคุณวัสมาตั้งแต่เด็ก ๆ นี่ ต้องมีคำตอบให้ฉันบ้างแหละ”

“เอ๊ะ นังนี่”

“โอเค ๆ ทำงาน ๆ ทำงานก็ได้จ้า” หญิงสาวมุ่ยหน้าและตั้งท่าจะยกฐานตั้งดอกไม้อีกอันไปตั้งไว้ตามจุด ทว่าเธอกลับต้องหยุดคิดกับคำพูดส่งท้ายของหญิงสูงวัยที่เป็นฝ่ายเดินออกไปเสียเอง เธอมองตามหัวหน้าแม่บ้านที่ได้รับความไว้วางใจอย่างไม่เข้าใจนัก ยิ่งเห็นสีหน้าเบาใจเมื่อป้าของเธอยืนคุยกับประชาความสงสัยใคร่รู้ก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ แต่ช่างเถอะ มันคงไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่เธอจะต้องตีความ

“จะอะไรก็ตาม คิดไว้แค่ว่ากว่าจะมีวันนี้คุณวัสกับคุณกูรเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดก็พอ”

............................

พิธีรดน้ำศพของข้าราชการระดับรองนายกรัฐมนตรีย่อมวุ่นวายไปตามยศถาบรรดาศักดิ์ ผู้คนมากมายในวงการการเมือง วงการธุรกิจ ตลอดจนเจ้าคนนายคนทุกระดับ แห่แหนมาที่งานจนระเบียบความปลอดภัยที่ตระเตรียมไว้แทบจะไม่พอ นักข่าวหลายสำนักต่างรายงานเป็นระยะเมื่อรถหรูคันแล้วคันเล่าเลี้ยวเข้ามาในงาน แต่ที่ทำให้ทุกคนลุกฮือได้มากที่สุดก็คงเป็นวินาทีที่ชายหนุ่มร่างสูงก้าวลงจากรถตู้แวนสีดำ ทันทีที่รองเท้าหนังสีดำมันเงาสัมผัสพื้น ทุกสายตาก็จับจ้องไปยังความเรียบเฉยน่าเกรงขามในชุดเชิ้ตขาวเนกไทดำทันที

“ขณะนี้พันตำรวจตรีวัสสะ อิสระบริรักษ์ บุตรชายเพียงคนเดียวของพลตำรวจเอกวรพจน์ อิสระบริรักษ์ ได้เดินทางมาถึงที่งานแล้วนะคะ อย่างที่ทราบกันว่าพันตำรวจตรีวัสสะเป็นบุตรชายนอกสมรสที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เปิดเผยตัวต่อสื่อเท่าไหร่นัก แต่เป็นที่รู้จักกันดีในวงการตำรวจและวงการการเมือง โดยความเห็นจากนักวิเคราะห์หลาย ๆ ท่านให้ความเห็นตรงกันว่าพันตำรวจตรีวัสสะจะกลายเป็นผู้คุมธุรกิจและสืบต่อเจตนารมณ์ทางการเมืองทั้งหมดของพลตำรวจเอกวรพจน์ รองนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับค่ะ”

“เรายังไม่เห็นนายธารางกูร ประสิทธิจามร เดินทางมาที่งานนะครับ โดยทนายของพันตำรวจตรีวัสสะได้ยื่นจดหมายชี้แจ้งต่อสื่อว่าขณะนี้นายธารางกูรยังคงพักรักษาตัวตามคำสั่งของแพทย์ ด้านประเด็นการเป็นบุตรบุญธรรมของรองนายกรัฐมนตรีจะไม่มีการชี้แจ้งใด ๆ ในช่วงเวลานี้ เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัวและอยากให้ความสำคัญกับคดีที่เกิดขึ้นก่อน ทนายยังกล่าวยืนยันด้วยนะครับว่านายธารางกูรเป็นเพียงบุตรบุญธรรมในการอุปการะดูแลเท่านั้น ไม่มีรายชื่อในกรรมสิทธิ์หรือทรัพย์สินใด”

สื่อมวลชนจับจองพื้นที่ทำหน้าที่ของตนแม้จะถูกกั้นให้อยู่รอบนอก ต่างคนต่างส่งเสียงรายงานไปยังผู้รับสารอย่างแข็งขัน แม้ภาพที่ได้จะเป็นเพียงหลังไว ๆ ของวัสสะและบรรยากาศขมุกขมัวโดยรอบก็ตามที ความอยากรู้อยากเห็นได้รับไปเพียงสิ่งที่ถูกจัดเตรียมไว้โดยไม่มีใครฉุกใจคิด สุดท้ายแล้วสารเหล่านี้จะถูกส่งต่อและสร้างความเข้าใจให้กับคนทุกคน จนกระทั่งกลายเป็นความจริงในที่สุด

วัสสะเดินเข้ามาในศาลาที่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างดี เขาทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาไม้ตัวยาวที่ถูกจัดไว้ให้กับเจ้าภาพ แขนข้างซ้ายของคนที่ยังไม่หายเจ็บถูกตรึงไว้กับอาร์มสลิงคล้องแขนเพื่อไม่ให้ขยับเขยื้อนมากไปจนเกินควร สายตานิ่งเรียบมองไปยังผืนผ้าม่านสีทองที่ยังคงปิดอยู่ พักนี้เขาวนเวียนอยู่กับงานศพบ่อยเหลือเกิน บ่อยเสียจนเริ่มจะชินชาทั้งที่ไม่อยากชิน

“เป็นไงวัสสะ”

“สวัสดีครับท่าน”

“ไม่เป็นไร ลุงแค่มาคุยด้วยเฉย ๆ ” วัสสะทำท่าจะลุกขึ้นต้อนรับผู้ที่เข้ามาทักทาย แต่ชายภูมิฐานคนนี้กลับยกมือค้านและบอกให้เขานั่งไปเช่นเดิม หากเป็นคนอื่นตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้คงจะรู้สึกประหม่าเกร็ง แต่สำหรับวัสสะในวินาทีนี้เขากลับรู้สึกสบาย ๆ แม้ว่าคนที่ทรุดนั่งข้างตัวจะมีตำแหน่งเป็นถึงนายกรัฐมนตรี

“ขอบคุณนะครับที่มา”

“มันเป็นหน้าที่ของลุงอยู่แล้ว อีกอย่าง...”

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“พ่อเราไม่อยู่ แต่ลุงยังเหมือนเดิมนะ”

“ครับ?”

“มีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน หวังว่าวัสจะทำทุก ๆ อย่างแทนพ่อได้ดี” ผู้นำสูงสุดตบลงที่หน้าขาพลางก้มศีรษะลงเล็กน้อยให้คนที่อายุเด็กกว่าไม่รู้กี่รอบ วัสสะโค้งทำความเคารพกลับไปเพราะเข้าใจความหมายแฝงนั่นดี น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า สุดท้ายคนเราก็ต้องพึ่งพากันโดยไม่สนว่าเป็นใครหน้าไหน สิ่งที่ต้องสนใจก็คงจะมีเพียงปริมาณอำนาจที่มีอยู่ล้นมือเท่านั้น เขาเข้าใจดีและรู้ตัวดีว่าจะต้องใช้ชีวิตยังไงต่อไป

หลังเสือ ขึ้นแล้วไม่มีทางลง

ภาพวัสสะที่ไม่มีน้ำตา ไม่มีอาการฟูมฟาย มีเพียงความนิ่งเงียบและเหม่อลอยในงานศพของผู้เป็นพ่อช่างสะท้อนใจคนมอง บ้างคิดว่าวัสสะคงจะช็อกกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนไม่อาจร้องไห้ออกมาได้อีก บ้างก็คิดว่าเขาช่างเข้มแข็งสมเป็นลูกผู้ชายแม้จะเจ็บปวด จริงอยู่ที่ว่าเขาเข้มแข็ง แต่ที่ไม่จริงคือเขาไม่มีพื้นที่ใดในใจกำลังเจ็บปวด

พิธีกรรมทางศาสนาเริ่มต้นขึ้นตามลำดับการ ม่านสีทองถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างกายที่ถูกปิดคลุมไว้ด้วยผ้าแพรสีอ่อน มีเพียงมือสีคล้ำข้างหนึ่งที่โผล่พ้นผืนผ้าออกมายืนยันว่าร่างกายนั้นไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป วัสสะถูกเชิญให้เข้าไปเป็นลำดับแรกในฐานะลูกชาย ประชาเข้ามาช่วยพยุงร่างสูงที่ยังเจ็บให้ค่อย ๆ นั่งคุกเข่าลง เพราะเหลือมือเพียงข้างเดียว วัสสะจึงไม่อาจก้มลงกราบอย่างที่ควรจะเป็นได้ มีเพียงสายน้ำใสและกลีบดอกไม้ไหลรินแตะต้องมือแข็งทื่อไร้ชีวิต สายน้ำชำระล้างที่แทนทุกคำพูดจากลูกชายอย่างเขา

ลูกชายผู้ไม่เหลือคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ยอีกต่อไป

.........................

“กลับไปที่โรงพยาบาลเลยมั้ยครับคุณวัส” วัสสะพยักหน้ารับเมื่อกลับขึ้นมาบนรถคันเดิม พิธีศพวันแรกผ่านไปโดยไม่มีอะไรติดขัด แม้ความวุ่นวายของนักข่าวและสังคมโซเชี่ยลจะทำให้ปวดหัวไปบ้างก็ตามที เพราะตำแหน่งของท่านจึงทำให้เป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้ วัสสะคงต้องรับมือกับข่าวทั้งในและต่างประเทศไปอีกพักใหญ่ แต่เขาไม่ได้กังวลอะไรนัก เพราะรูปเกมที่ดำเนินอยู่มันไม่มีทางเปลี่ยน

“คุณประชา… ตามเรื่องดารัณให้ผมรึยัง” วัสสะเอ่ยขึ้นทันทีที่บานประตูเลื่อนปิดลง ประชาพยักหน้ารับก่อนจะหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลให้กับวัสสะ แต่ทว่าวัสสะกลับใช้มือเบนมันออกห่าง คล้ายไม่ต้องการดูรายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติมอีก

“เรียบร้อยครับ พรุ่งนี้ตำรวจจะตรวจค้นที่บ้านของดารัณอีกครั้ง และให้หลังสามวันจะมีการสรุปสำนวนคดีโดยสารวัตรสุทธิกองงานสอบสวน… คดีดารัณ จิตดารุณ เป็นเหตุฆ่าตัวตาย มีหลักฐานสำคัญเป็นจดหมายลาเขียนด้วยลายมือที่พบในภายหลัง” ประชาพูดไปตามทิศทางคดีที่กำลังจะเกิดขึ้น วัสสะไม่คิดเลยว่าจดหมายที่ดารัณเขียนเอาไว้จะได้ใช้ประโยชน์ในที่สุด เขาไม่ได้อยากขัดเจตนารมณ์ของคนตาย แต่ ณ ตอนนี้คนตายคงไม่ได้รู้สึกนึกคิด และไม่ได้จำเป็นต้องใช้ชีวิตต่อไปเช่นคนเป็น

“ขอบคุณครับ ผมฝากเรื่องข้อความในจดหมายด้วย ให้ญาติ ๆ กับคนใกล้ชิดอย่างพอลดูก็พอ อย่าให้ถึงสื่อ เดี๋ยวพอลจะเดือดร้อน”

“เรื่องนั้นผมกำชับให้เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าพวกเขาเผยแพร่กันเอง อันนั้นก็คงจนปัญญา”

“อืม ผมแค่ไม่อยากให้กูรรู้สึกผิดติดค้างอะไรกับดารัณ”

รถคันใหญ่เคลื่อนไปตามท้องถนนที่มีการจราจรแออัด วัสสะใช้เวลาอยู่กับความคิดและมองออกนอกบานกระจกรถข้างตัว บ้านเมืองศิวิไลซ์ดูหยุดนิ่งในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จู่ ๆ วัสสะก็รู้สึกเหมือนมีภาระหนักอึ้งมากมายขึ้นมาเหยียบอยู่บนบ่า เหมือนเขารับทุกอย่างที่เคยเกลียดเอาไว้กับตัว ไม่อาจละทิ้งได้ ไม่อาจหลีกหนีได้ ได้แต่ทำใจยอมรับและหาทางมีความสุขกับมันเท่านั้น

“เรื่องของกูร ผมให้คนจัดการเรื่องเอกสารแล้วนะครับ อาจจะต้องเสียเวลาหาช่องอธิบายกับคนที่รู้จักกับกูรตอนที่อยู่กับดารัณเสียหน่อย ผมไม่อยากให้เขามองคุณวัสไม่ดีที่รู้จักกับพยาน แต่คงไม่มีปัญหาอะไร เราจะอ้างว่าคุณวัสไม่เคยทราบมาก่อนว่าท่านมีบุตรบุญธรรม จนกระทั่งช่วงที่เกิดเรื่องคดีดารัณ”

“ยังไงก็ได้ ผมขอให้กูรมีตัวตนร้อยเปอร์เซ็นต์ก็พอ” วัสสะคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ได้ทำในสิ่งที่อยากทำที่สุด ถึงแม้ว่าวิธีจะผิดเพี้ยนไปจากความตั้งใจเดิม แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ได้มาก็คุ้มค่ากับความผิดเพี้ยนนั้นเหลือเกิน

คืนชีวิตให้กูร

“ส่วนเรื่องคดีของท่าน...”

“เรื่องคดี เรื่องพวกที่ตาย ผมคงต้องออกหน้าเอง ไม่ต้องเป็นห่วง คุณจัดการในส่วนที่ผมขอให้ช่วยก็พอ”

“ขอบคุณมากนะครับคุณวัส”

“ผมต้องหัดจัดการอะไร ๆ เองบ้าง จริงมั้ย?”

“คุณวัสครับ คิดดีแล้วใช่มั้ยครับที่จะอยู่ต่อ” คำถามกำกวมของประชาไม่ได้ทำให้ร่างสูงหยุดคิด รอยยิ้มยังคงติดอยู่บนในหน้าของวัสสะขณะที่ส่ายหน้าปฏิเสธ ความหมายนั้นใช่ว่าเขายังคิดไม่ดีพอ แต่เขาจะไม่คิดอีกแล้ว วัสสะจะไม่เสียเวลาคิดทบทวนสิ่งใดให้ตนเองโลเลอีกต่อไป

“ถ้าผมละทิ้งมันไป กูรจะไม่ไม่มีหลักประกันอะไรเลย ผมไม่รู้หรอกว่าที่ที่ท่านเคยยืนมันจะยากแค่ไหน แต่ผมต้องอยู่ ผมต้องอยู่ชดใช้กรรมของตัวเอง และเพื่อคนที่ผมรักที่สุด”

“ผมจำได้ว่าคุณวัสเคยอยากได้อิสระ...”

“คุณรู้มั้ย… ที่ที่มีกูรอยู่ผมเรียกที่นั่นว่าอิสระ”

“ถ้างั้นผมดีใจด้วยนะครับ” ประชากล่าวด้วยความจริงใจเพราะตัวเขาเองก็รู้สึกคล้ายได้อิสระไม่แพ้กัน แม้เหตุการณ์ที่ผ่านมาจะยืนยันว่าวัสสะเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยวไม่แพ้ท่าน แต่ประชามั่นใจว่าสองพ่อลูกไม่ได้เหมือนกันเท่าไหร่นัก วัสสะมีสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่เคยมี และสิ่งนั้นทำให้ประชามั่นใจว่าต่อจากนี้พื้นที่บนหลังเสือของเขาจะน่าอยู่ขึ้นไม่มากก็น้อย

เสือตัวใหม่มีเลือดเนื้อและหัวใจ

.......................

บรรยากาศห้องพักในโรงพยาบาลเงียบสนิท ลมหายใจของคนเจ็บเข้าออกสม่ำเสมอขณะที่หลับลึกลงไปเพราะฤทธิ์ยา ชายหนุ่มผู้มีแผลที่ไหล่ซ้ายนั่งเฝ้ามองที่ข้างเตียงไม่ได้ห่าง วัสสะจดจ้องใบหน้าระบมฟกช้ำของธารางกูรเนิ่นนานนับตั้งแต่มาถึง เพราะถูกทำร้ายหนัก อาการภายในจึงย่ำแย่กว่าวัสสะหลายเท่าตัวนัก มือหนาอยากจะสัมผัสลงไปบนผิวที่ถูกแต้มสีช้ำ แต่ก็กลัวว่าร่างบางจะรู้สึกเจ็บและตื่นขึ้น สุดท้ายจึงทำได้เพียงแค่เฝ้ามอง เฝ้ามอง และเฝ้ามองราวกับกลัวว่าคนที่รักจะหายไป

“รู้มั้ยกูร พยากรณ์อากาศบอกว่าพรุ่งนี้ฝนจะตก” ดวงตาคู่คมเคลื่อนมองหลอดน้ำเกลือที่หยดเม็ดลงมาต่อเนื่องไม่หยุด ความสุขใจเล็ก ๆ ทำให้เขาต้องหลุดยิ้มขึ้นมาเพียงลำพัง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามีความสุขหรือไม่ วัสสะรู้แค่เพียงว่าตอนนี้หัวใจของเขาไม่ต้องเต้นหอบเหนื่อยอีกแล้ว

“แต่ครั้งนี้คุณคงหายไม่ทันเล่นน้ำฝน เอาไว้ครั้งหน้าเรามารอฝนตกกันอีกนะ” วัสสะเฝ้ามองรอบดวงตาบวมช้ำที่ยังคงปิดสนิท กี่ครั้งกี่หนที่ดวงตาคู่นี้ต้องร้องไห้ ต่อจากนี้เขาจะไม่สัญญา แต่เขาจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องดวงตาคู่นี้ไว้ อย่าร้องอีกเลย อย่าร้องไห้อีกเลย

“ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว”

“นี่รู้ตัวรึเปล่าว่าต้องตื่นขึ้นมาเป็นน้องชายบุญธรรมของผม หืม”

“ผมขอโทษนะที่สุดท้ายก็พาคุณกลับมาที่เดิม… แต่ขอให้เชื่อใจผม ทุกอย่างมันไม่มีทางเหมือนเดิม ผมจะปกป้องคุณเอง”

“ผมรักคุณนะกูร เราจะเดินจับมือไปด้วยกัน”

“จะอีกกี่ฝน อีกกี่หนาว ผมจะรักคุณ”

ห้วงเวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไปอีกครั้ง วัสสะที่ยังคงฝืนอาการเจ็บแผลฟุบหน้าลงนอนไปกับเตียงของคนป่วย สตินึกคิดหลับใหลไปทั้งที่กำชายเสื้อของธารางกูรเอาไว้ในมือแน่น คนทั้งคู่ผุดรอยยิ้มขึ้นมาขณะที่ยังพักผ่อนร่างกาย คล้ายกับค่ำคืนนี้พวกเขากำลังท่องเที่ยวเข้าไปในโลกความฝันอันแสนดี



พอกันทีฝันร้าย อย่าได้พบเจอกันอีกเลย
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทที่ 26 ฤดูกาลผ่านพ้น 1/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 03-11-2018 21:49:24
บทส่งท้าย กลิ่นฝนฤดูหนาว


“อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ขณะนี้มีอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรง ซึ่งก่อตัวเป็นพายุและดันความชื้นขึ้นมาถึงบริเวณภาคกลางตอนบน ส่งผลให้อากาศลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีฝนตกครอบคลุมในหลายพื้นที่ ส่วนความผิดปกติที่เกิดฝนตกในช่วงฤดูหนาวนั้น เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ซึ่งเป็นเรื่องความพลิกผันของธรรมชาติ ไม่มีอะไรน่ากังวล”

เสียงรายการพยากรณ์อากาศจากรายการวิทยุทำให้คนฟังหลุดยิ้มขึ้นมาอย่างง่ายดาย เรียวนิ้วยาวเคาะสลับจังหวะบนหน้าขาตัวเองอย่างมีความสุข ตอนนี้ในสมองของวัสสะไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงให้คิดหนัก มีเพียงจังหวะดนตรีที่ดังขึ้นในใจจนทำให้เขาเผลอแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา จะพูดว่าชีวิตในช่วงสามปีให้หลังมานี้มีแต่ความสุขก็คงไม่ถูกนัก เอาเป็นว่าความทุกข์ไม่ได้อยู่ในทุกลมหายใจเข้าออกเช่นก่อน สุขบ้าง ยิ้มบ้าง ทุกข์บ้าง เศร้าบ้าง ทุกอย่างปะปนกันไปมากเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะรู้สึก

คงไม่มีใครหลงลืมความทุกข์ที่เคยผ่านได้ทั้งหมด

คงไม่มีใครจดจำแค่เพียงความสุขที่ผ่านไปในทุก ๆ วัน

“ครอบครัวผู้กองปองภพเซ็นต์เอกสารอนุญาตให้ใช้ชื่อปองภพในการตั้งมูลนิธิแล้วนะครับ ตอนนี้เอกสารเรียบร้อยพร้อมหมด คาดว่าไม่เกินเดือนหน้าทุกอย่างจะแล้วเสร็จ” เสียงจากชายวัยใกล้เคียงกันที่นั่งอยู่เบาะหน้าตำแหน่งคนขับทำให้วัสสะหลุดออกจากภวังค์ความคิด ชายร่างสูงพยักหน้ารับขณะที่สลดรอยยิ้มลงมา ดวงตาคู่คมระคนไปด้วยความรู้สึกผิดบาปที่ไม่อาจลบล้างไปได้ ลมหายใจโล่งอกแต่ไม่ได้โล่งใจถูกปลดปล่อยออกมายาว ๆ เวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็วจริง ๆ

“พวกเขาว่าอะไรรึเปล่าที่ผมจะทำมูลนิธิเพื่อผู้ต้องคดี”

“ไม่ครับ พวกเขาเข้าใจดี ผมพยายามอธิบายแบบที่คุณวัสพูด… ไม่ใช่ทุกคนที่จะตั้งใจทำผิด ถึงแม้บางครั้งจะไม่น่าให้อภัย แต่เราต้องให้โอกาสพวกเขา อย่าปิดทางสู้ เพราะว่ามันจะทำให้พวกเขากระทำผิดซ้ำสองด้วยความตั้งใจ” วัสสะเงียบฟังประโยคที่เป็นเหมือนเสียงสะท้อนของตนราวกับไม่เคยได้ยินมันมาก่อน ใช่ เขาเป็นคนพูดใจความสำคัญเหล่านั้น และพยายามบอกเล่าความอึดอัดในใจออกไปให้ได้มากที่สุด หากใครจะตีความว่ากำลังสร้างภาพลักษณ์ก็คงจะห้ามปรามไม่ได้ มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าลึกลงไปในเจตนาครั้งนี้คืออะไร

ระลึกถึงไม่ให้ลืมชื่อเพื่อนคนหนึ่ง

ระลึกถึงไม่ให้ลืมความผิดของตน

“ขอบคุณมากที่ช่วยเป็นธุระให้”

“ด้วยความเต็มใจครับ ออ มีอีกเรื่อง ท่านรัฐมนตรีช่วยพยายามติดต่อคุณวัสระหว่างประชุมที่หน่วยวันนี้ เห็นว่ามีเรื่องสำคัญให้ช่วย” วัสสะเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแต่ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจนัก ร่างสูงเหลือบตามองออกไปนอกตัวรถเมื่อเห็นว่าเริ่มจะเข้าใกล้ตัวบ้าน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะได้พบข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรือนักธุรกิจระดับท็อป เครือข่ายคอนเนคชั่นที่ผู้เป็นพ่อทิ้งไว้ให้เป็นมรดกมีมากกว่าจำนวนเงินตราที่นับค่าได้เสียอีก มากเสียจนบางทีวัสสะก็แอบคิดว่าคนเช่นท่านวรพจน์ได้รับความเกรงอกเกรงใจและความจงรักภักดีขนาดนี้ได้ยังไง

“คุณคิดว่าเรื่องไหน”

“เอ่อ… ผมเกรงว่าจะเป็นเรื่องที่ท่านรัฐมนตรีช่วยกับพวกกำลังถูกตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินนะครับ เท่าที่ทราบมาคือน่าจะไปขัดขานักธุรกิจใหญ่เจ้านึงเข้า”

“แล้วมาขอความช่วยเหลือจากตำรวจยศกระจอกอย่างผมเนี่ยนะ หึ”

“คุณวัสก็รู้ว่าคุณวัสมีมากกว่ายศตำรวจนะครับ” วัสสะไม่อาจโต้เถียง แม้ว่าเขากำลังจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นพันตำรวจโทในอีกไม่กี่วัน แต่นั่นก็เทียบไม่ได้กับบุคคลระดับรัฐมนตรีช่วย คงจะจริงที่ว่าร่างสูงนั้นมีมากกว่ายศตำรวจ เพราะสิ่งที่คอยยกยออุ้มชูคือยศศักดิ์ลำดับชั้นทางความเกรงใจ ไม่น่าเชื่อว่าบารมีของท่านจะตกทอดลงมาสู่วัสสะแทบจะทั้งหมด หลายคนที่เคยให้ความเคารพอดีตรองนายกรัฐมนตรียังคงให้ความเกรงใจลูกชายของท่านไม่ได้เปลี่ยน และมีอีกหลายคนที่ต้องยอมรับและก้มหัวให้เด็กรุ่นราวคราวลูก เหตุผลส่วนหนึ่งคงเพราะมรดกและกรรมสิทธิ์ทุกอย่างตกเป็นของวัสสะโดยชอบธรรม และอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการแสดงตนเป็นตัวตายตัวแทนของท่านในรูปแบบที่เด็ดขาดกว่าแต่วิธีการนุ่มนวลลงได้ผลดีเกินกว่าที่คาด ระบบอำนาจในพวกพ้องจึงถูกดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครตะขิดตะขวงใจในตัวของวัสสะ

“ยังไงก็ช่าง บอกเขาว่าผมยินดีพบ แต่ถ้าเป็นเรื่องชีวิตคนคงต้องขอคิดดูก่อน”

รถคันหรูเลี้ยวเข้าจอดใกล้ตัวบ้านหลังใหญ่ แน่นอนว่าวัสสะยังคงอาศัยอยู่ใต้รั้วบ้านสูงที่มีการคุ้มกันแน่นหนา ทว่าทิศทางที่เขาเดินหลังลงจากรถกลับไม่ใช่บ้านหลังใหญ่หลังนั้น เขาก้าวไปตามแผ่นหินที่ฝังตัวอยู่บนผืนหญ้า ลัดเลาะผ่านพื้นที่สวนเขียวชอุ่มไปยังบ้านหลังเล็กพออยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกัน บ้านสองชั้นขนาดสองห้องนอนดูจากภายนอกก็รู้ว่าเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ได้ไม่นาน การตกแต่งทุกอย่างเรียบง่ายเสียจนขัดกับความโอ่อ่าของบ้านหลังเก่าในพื้นที่เดียวกัน

ความหรูหรากลายเป็นเพียงสถานที่รับแขก

ห้องกว้างชั้นบนสุดกลายเป็นเพียงความทรงจำปิดตาย

บ้านหลังใหญ่กลายเป็นเพียงเรื่องเก่าที่ก้าวเดินผ่านไป

“คุณกูรกลับมารึยัง” ร่างสูงเอ่ยถามหญิงสาวรับใช้ที่เพิ่งเดินออกจากบ้านหลังเล็ก เขาถอดแจ็กเกตยีนสีเข้มออกก่อนจะโยนมันลงตะกร้าผ้าที่เธอกำลังถืออยู่ วัสสะยังคงยึดติดอยู่กับชุดตำรวจนอกเครื่องแบบอย่างเสื้อยืดคอกลมสีขาวธรรมดา ไม่ได้ทำตัวให้ภูมิฐานสูงส่งอะไรทั้งที่มีอำนาจล้นมือ หากจะถามว่าชีวิตของวัสสะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ก็คงจะต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนไปแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม

จากขาวเป็นดำ

จากดำเป็นเทา

“กลับมาได้สักพักแล้วค่ะท่าน” คนที่กำลังจะก้าวขาเดินต่อชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินคำเรียกแทนตัวดังกล่าว ดวงตาคมกริบตวัดมองสาวใช้อย่างไม่พอใจ ก่อนที่เธอจะเลิ่กลั่กพ่นคำขอโทษออกมาเพราะเผลอใช้คำต้องห้ามต่อหน้าต่อตาคนออกกฎ

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกแบบนี้”

“ข...ขอโทษค่ะคุณวัส หนูแค่อยากให้เกียรติคุณวัส...”

“ช่างเถอะ จะไปไหนก็ไป” สาวใช้มีสีหน้าไม่ค่อยดีเพราะกลัวว่าผู้เป็นนายจะมีโทสะ แต่ทว่าวัสสะกลับใช้มือโบกไล่เธอออกไปให้พ้นตาด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะเหนื่อยใจมากกว่ารู้สึกโกรธ วัสสะถอนหายใจออกมาเพราะความรู้สึกจุกอกคล้ายถูกจี้ใจดำ เขาไม่อยากเป็นเช่นพ่อตน ไม่อยากถูกเรียกเช่นนั้น และไม่อยากให้เงาของท่านพาดทับความตัวตนไปจนหมดสิ้น แบบนี้รึเปล่าที่เขาว่าคนทำผิดไม่อาจใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข

ไม่หรอก… คงไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขามีความสุขเหลือเกิน

เรื่องของเม็ดฝนกำลังหยดลงมาสัมผัสมือ

วัสสะยิ้มสบายใจเมื่อเห็นกลุ่มผมของธารางกูรที่โผล่ขึ้นพ้นโซฟา เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ แรงใจของตนเองอย่างไม่รอช้า ความเหนื่อยล้าชาร์ตพลังด้วยการสวมวงแขนเข้ากอดร่างบางจากเบื้องหลัง คนที่วุ่นวายอยู่กับแท็บเล็ตสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนจะดันตัวเองขึ้นให้อยู่ในท่านั่งที่ดีกว่าเดิม ธารางกูรบู้ยหน้าใส่คนที่เดินเข้ามากอดอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

“ทำไมคุณวัสชอบมาเงียบ ๆ นักครับ”

“ผมเปล่าสักหน่อย คุณนั่นแหละที่มัวแต่สนใจเรื่องอื่นอยู่” วัสสะกดจมูกลงกับต้นคอขาว ก่อนจะคลายอ้อมกอดและเดินเข้ามานั่งเคียงข้างร่างบาง ตอนนี้ธารางกูรอยู่ในชุดทำงานเชิ้ตสีอ่อน เส้นผมสีดำถูกเช็ตเป็นทรงเข้ากับกรอบหน้าที่สดใสแม้จะวิ่งรอกทำงานมาทั้งวัน

“คุณวัสครับ”

“ขอผมเติมพลังนิดนึงนะ” จากท่านั่งเปลี่ยนเป็นท่านอนในเสี้ยววินาที วัสสะทิ้งศีรษะลงกับตักของธารางกูร คนที่ไม่สามารถห้ามปรามอะไรจึงได้แต่วางเครื่องแท็บเล็ตในมือลง และเริ่มใช้มือสางเส้นผมยุ่งเหยิงของคนที่กำลังทำฟอร์มว่าหลับสนิท แม้ว่าตอนนี้ธารางกูรจะต้องดูแลธุรกิจเบื้องหน้าทั้งหมดในนามของน้องชายวัสสะ แต่เขารู้ดีว่างานเบื้องหลังที่ไม่อาจเปิดเผยทำให้วัสสะต้องกลายเป็นคนที่เหนื่อยกว่าใคร ธุรกิจดำมืดที่แฝงเอาไว้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ ครั้นจะละทิ้งเลิกไปก็คงเป็นเรื่องยาก เพราะไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปเสี่ยงกับเงื่อนตายที่ผูกไว้กับคอ

“ถ้าไม่ไหว ตามอาประชากลับมามั้ยครับคุณวัส”

“ยังไม่ต้องหรอก ปล่อยให้เขาได้พักบ้าง” ธารางกูรเคลื่อนนิ้วนวดศีรษะตึงเครียดผ่านเส้นผม วัสสะยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้รับการเอาใจเช่นนั้น พูดถึงประชาวัสสะก็อดที่จะขอบคุณขึ้นมาในใจไม่ได้ ประชาคอยช่วยเขาจนทุกอย่างเริ่มลงตัว ตอนนี้เมื่อประชาอยากจะขอพักไปใช้ชีวิตเรียบง่ายบ้างเขาจึงไม่อาจขัด อีกอย่าง เรื่องราวที่ผ่านมาคงจะพันผูกประชาเอาไว้บนหลังเสือไม่ต่างกับเขา สุดท้าย เมื่อพักจนอิ่มหนำ ความร้อนใจจะพาประชากลับมาเอง

“คุณวัสเห็นข่าวพอลรึยังครับ”

“หืม พอลเหรอ” วัสสะเลิกคิ้วทั้งที่ยังหลับตา พอล พีรพลหายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิงหลังคดีดารัณจบลง เท่าที่วัสสะทราบอดีตดาราหนุ่มตัดสินใจทิ้งอนาคตไปเรียนต่อต่างประเทศตามความต้องการของครอบครัว คงไม่มีใครรู้ได้ว่าจดหมายของดารัณฉบับนั้นส่งผลกับพอลอย่างไรบ้าง นอกจากเจ้าตัวเอง

“ครับ พอลโพสต์รูปถ่ายจดหมายคุณรัณส่วนหนึ่งที่พูดถึงเขาเมื่อช่วงสาย ๆ ย่อหน้านั้นไม่ได้พูดถึงชื่อเขาเลยสักนิด แต่ข้อความใต้รูปดันยอมรับเสียเองว่าเขากับดารัณเคยรักกันยังไง ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันผ่านไปจนคนเกือบลืมแล้วแท้ ๆ ”

“คงจะเป็นข่าวดังของวันนี้เลยสินะ ดีแล้วล่ะ พอลเองคงอยากจะเคลียร์ใจทุกอย่างก่อนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่” วัสสะลืมตาขึ้นก่อนจะคว้ามือสองข้างของธารางกูรมาจับเอาไว้ เขารู้ดีว่าตอนนี้ร่างบางกำลังนึกถึงดารัณที่เสียสละเพื่อความรักจนต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรให้หลงลืมความเสียใจไปอีกครั้ง วัสสะขึ้นหันหน้าเข้าช่วงท้องน้อยของธารางกูร และหยอกล้อด้วยการกดใบหน้าสะบัดซ้ายขวาแรง ๆ ไม่หยุด

“โอ้ยยย อะไรครับเนี่ย ผมจั๊กจี้”

“ปลอบคุณอยู่” วัสสะจงใจกัดช่วงผิวของธารางกูรผ่านชั้นผ้าอย่างแผ่วเบา คนที่ถูกรวบมือได้แต่เกร็งตัวสู้ใช้ท่อนขาดันร่างของคนบนตกขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผล

“คุณวัสสสส หยุดเลยครับ”

“ทำไมล่ะ เมื่อกี้คุณหน้าบึ้งนี่นา ไม่อยากให้ผมปลอบเหรอ”

“ไม่”

“จริงนะ”

“จริงครับ ไม่ต้อง”

“ว้า แย่จัง ฝนตกฤดูหนาวแบบนี้ อุตส่าห์ว่าจะกอดปลอบให้หายหนาวสักหน่อย” วัสสะปล่อยมือของธารางกูรออกให้เป็นอิสระ ก่อนจะเคลื่อนวงแขนโอบรัดช่วงเอวของร่างบางเอาไว้แน่น คนรับฟังตาโตตื่นเต้นขึ้นมาราวกับเด็ก ๆ ธารางกูรหันมองรอบตัวก่อนจะพบว่าลมหนาวที่พัดอยู่เบื้องนอกช่างรุนแรงเกินกว่าปกติ ไอดินไอฝนเริ่มพัดคลุ้งเข้ามาด้านในให้ได้กลิ่น รอยยิ้มดีใจฉายชัดขึ้นก่อนที่ร่างบางจะผุดตัวยืนโดยไม่สนใจไยดีคนที่สูดกลิ่นกายของเขาอยู่ในตัก

“ทำไมคุณวัสถึงไม่รีบบอกผมล่ะครับ”

“นี่รักฝนมากกว่าผมอีกเหรอกูร” วัสสะบ่นอุบเมื่อตนแทบจะกลิ้งตกลงมาจากโซฟา เขาหัวเราะไร้เสียงให้กับหลังไว ๆ ของชายอายุสามสิบหมาด ๆ ที่รีบวิ่งออกไปพบเจอสายฝนราวกับเด็ก ๆ วัสสะรีบพาตัวเองเดินตามออกไปทันที ฝนแรกของฤดูหนาวนี้ทำให้ความสดใสในแววตาคนทั้งคู่ชัดเจนขึ้นมาก ธารางกูรยืนอยู่กลางแจ้งยื่นมือขวาออกไปหาเม็ดฝนที่ตกลงมาจาง ๆ จนแทบจะนับเม็ดได้

“ไหนครับฝนของคุณวัส ผมได้แค่กลิ่น”

“ฝนของผม ผมไม่รู้หรอก แต่ฝนของคุณอยู่นี่” วัสสะเดินเข้าไปซ้อนหลังของคนที่เขารักหมดใจ มือขวาเคลื่อนขึ้นประคองใต้มือเรียวที่รอเม็ดฝนอยู่เดิม ก่อนที่มืออีกข้างจะคว้ากอดเข้าที่ช่วงเอว วัสสะพาธารางกูรเคลื่อนมือเปลี่ยนทิศไปเรื่อย ๆ ก่อนที่ฝนเม็ดใหญ่จะตกกระทบลงมาบนหน้ามือเนียนละเอียดราวกับปาฏิหาริย์ ความรู้สึกหนาวเย็นจับจิตในวินาทีแรกค่อย ๆ ทวีความรุนแรงเมื่อฝนเริ่มหนักขึ้น กลิ่นไอฝนที่เคยหลอกล่อนำพาความสุขมาให้จนอิ่มใจ อากาศหนาวในยามนี้มีชีวิตจิตใจ แม้จะเปียกปอนทรมานไปทั้งกายแต่กลับทำให้ทุกลมหายใจไม่แห้งแล้งทรมานอีกต่อไป

“คุณวัสรู้มั้ยครับว่าทำไมผมถึงชอบให้ฝนตกฤดูหนาว” คำถามที่ควรจะเป็นหน้าที่ของวัสสะถูกยอกย้อนออกมาจากปากธารางกูร ประโยคคุ้นเคยและได้ยินจนชินทำให้ทั้งคู่หลุดยิ้มกว้างออกมาจนรับรสของฝนได้เต็มความรู้สึก

“เพราะอะไรเหรอ”

“เพราะคุณวัส”

“หืม”

“เพราะผมอยากมีชีวิตอยู่กับคุณวัสของผม”

ริมฝีปากคู่สวยโน้มเข้าจูบกันท่ามกลางหยาดน้ำฟ้าที่กระหน่ำลงมาราวกับอดกลั้น จุมพิตบางเบาจบลงด้วยรสหวานเมื่อชายร่างบางดีดตัวออกไปกระโดดโลดเล่นอย่างไม่เกรงกลัวความหนาวเย็นของอากาศ ลมระลอกใหญ่พัดโชยมาเป็นระยะทำให้กลิ่นฝนคลุ้งชัดกว่าสิ่งใด อีกไม่นานเมฆคะนองกลุ่มนี้ก็จะจากไปทิ้งไว้เพียงความหนาวแท้จริง แต่ไม่ว่าอย่างไร จะฤดูหนาวไหน ชีวิตจะยะเยือกเย็นทรมานเพียงใด วัสสะและธารางกูรจะเป็นสายฝนมอบชีวิตให้กันและกัน



ถึง คุณความรัก

สวัสดีคุณความรักของผม อยู่กับเขาคุณคงสบายดีแล้วสินะ ตอนนี้ที่ที่ผมอยู่ก็เริ่มสบายดีแล้วเช่นกัน เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมากมั้ย ผมไม่รู้ว่าจดหมายฉบับนี้จะไปถึงมือคุณทันวันที่เหนื่อยล้ารึเปล่า แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้นะ ถึงผมจะไม่ได้ตั้งใจให้คุณเกิดขึ้น แต่คุณเป็นสิ่งมีค่าสิ่งเดียวที่ให้ความสุขกับผม อยู่กับเขาอย่าดื้อ อย่าซน อย่าทำให้เขาหนักใจล่ะ

ถ้าเขาเหงาหรือเศร้าคุณต้องคอยปลอบเขาให้รู้สึกดี ถ้าเขามีความสุขดีคุณก็แค่นั่งมองรอยยิ้มและหัวเราะตามเขาแทนผม หรือถ้าเมื่อไหร่ที่เขาไม่ต้องการคุณแล้ว ผมขอให้คุณไม่ต้องกลับมา เฝ้ามองเขาอยู่ตรงนั้น เพราะตอนนี้คุณความรักกลายเป็นของของเขาไปเรียบร้อยแล้ว

ถ้าเขาเจอปัญหายากเย็นแสนเข็ญแต่ยังอยากสู้ต่อ บอกเขานะว่าถ้าเลือกทางสู้แล้วอย่าท้อ บอกเขาว่าแม้เรื่องจะหนักจะเหนื่อยหรือทรมานใจแค่ไหนสุดท้ายแล้วมันจะผ่านไป ไม่ว่าจะผ่านไปด้วยเส้นทางไหนคุณความรักต้องอยู่กับเขาให้ได้ ต่อให้คุณต้องเปลี่ยนเป็นความรักสีดำหรือสีเทาก็ตาม

จะผิดบาป จะเลวร้าย จะบั่นทอน จะทรมาน จะยากเย็นแค่ไหน

คุณความรักจะยังเป็นความรักเช่นเดิม




ดารัณ จิตดารุณ





END





Talk : จบไปเรียบร้อยแล้วสำหรับกลิ่นฝนฤดูหนาว ตอนคิดพล็อตไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเรียกคำติชมจากคนอ่านได้มากน้อยขนาดไหน เนื้อหาอาจจะหนักสำหรับบางคน แต่แตงในฐานะคนเขียนอยากจะบอกว่าการปูเนื้อเรื่องเช่นนี้เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้หลายฉากสมเหตุสมผล แวบแรกแตงอยากได้เรื่องราวที่ "ฆ่าตัวตายแต่ไม่ตาย" และ "ฆ่าคนอื่นง่ายกว่าฆ่าตัวเอง" การลงลึกในเรื่องจึงพยายามหาเหตุผลรองรับที่มากพอ(ซึ่งอาจจะยังไม่พอด้วยซ้ำ) คนคนนึงจะต้องเจอเรื่องราวมาเยอะขนาดไหนถึงจะตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยที่ไม่โดนด่าว่าโง่ 55555 นั่นแหละค่า ส่วนไหนนึกออกอีกเดี๋ยวเม้าผ่านทวิตเตอร์ #กลิ่นฝนฤดูหนาว ละกันเนอะ

วันนี้เดินทางมาถึงตอนจบแล้ว อยากจะขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทุกกำลังใจจากทั้งทางเพจ ทางทวิตเตอร์ และทุกหน้านิยายจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณหลายคนที่อยู่ด้วยกันตลอด เดินทางไปพร้อม ๆ กับตัวละครเสมอ ไว้พบกันเรื่องหน้า ขอบคุณค่า

ก่อนจากไป ฝากรีวิวนิยายให้หน่อยนร้าาาาา

หรือใครมีอะไรติชมอยากแชร์ ไปเจอกันที่ทวิตเตอร์ #กลิ่นฝนฤดูหนาว เน้ออออ มาเถอะะะะ อยากอ่านนนน ><
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-11-2018 00:07:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 04-11-2018 00:11:35
จบแฮปปี้ เราก็ดีใจแล้ว  :z2:

ดีใจที่กูรและวัสยิ้มให้กันได้อย่างมีความสุขเสียที

ขอบคุณสำหรับนิยายที่อึนๆ มึนๆ หน่วงๆ ในใจนะคะ
เจ็บแต่จบดีจิตใจเราโอเค.. อิอิ
 :katai5: :katai5:

รอเรื่องต่อไปค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 04-11-2018 09:51:06
"ที่ที่มีกูร ผมเรียกกที่นั่นว่าอิสระ" ต้องขอบคุณอะไรหรือใครก็ตามที่ทำให้สองคนรักกันได้มากขนาดนี้ ในที่สุดวัสก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับกูรได้ ไม่มีสักเสี้ยววินาทีที่วัสจะคิดทำร้ายกูร ไม่ว่าทำร้ายเพื่อตัวเองหรือเพื่อกูร มีแต่คำว่า เรา ตลอดเวลา คนแบบวัสหายากมากแล้วนะในสังคมปัจจุบัน ก็ยังอยากบอกว่าไม่ได้เห็นดีเห็นงามสนับสนุนให้ลูกฆ่าพ่อ เพื่อคนรัก เพราะในกรณีนี้ ครอบครัวนี้มันบิดเบี้ยวมาตั้งแต่ต้น พ่อไม่ได้เลี้ยงลูกให้ความรักความอบอุ่นลูกในฐานะพ่อลูก แต่เลี้ยงมาในฐานะเด็กในบ้าน ปฏิบัติตามคำสั่งท่านโดยไม่มีข้อโต้แย้งไม่ต่างกับลูกน้อง เพียงแต่มีตำแหน่งอยู่สูงกว่าลูกน้องในปกครองของท่านเท่านั้นเอง

ขอบคุณคนเขียนที่ยังปรานีเราให้เรื่องราวจบลงแบบนี้ ขอบคุณที่สละเวลามาเขียนนิยายให้ได้อ่าน และขอโทษถ้าระหว่างทางตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงตอนสุดท้ายนี้ เราได้เผลอทำอะไรบั่นทอนกำลังใจคนเขียนบ้าง บางอารมณ์มันก็อินกับเรื่องมากไปหน่อย อาจใส่อารมณ์ในคอมเม้นมากไป หรือล้อเล่นกันเกินขอบเขต ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ...
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 05-11-2018 07:50:14
อ่านถึงตอนที่ 8 แล้วค่ะ ขอพักมาคอมเม้นต์ก่อน
อยากบอกว่า "ชอบจังแนวนี้" และคุณคนเขียนก็บรรยายได้แบบลุ้นระทึกดี
สำนวนการเล่าเรื่องก็ดี ... แม้จะพิมพ์ตกหล่นบ้าง พิมพ์ผิดบ้าง
แต่โดยรวมก็ยังพออ่านผ่านได้ค่ะ ...

ยกเว้นบางคำ ที่สะกดผิดจนอ่านแล้วสะดุดเข้าอย่างจัง เช่น ...
จ้าระหวั่น ... จ้าละหวั่น
คึกโครม ... ครึกโครม
พริ้ว ... พลิ้ว
(เลือด) คลั่ง ... (เลือด) คั่ง
พร้อง (ตรง) ... พ้อง
ประครอง ... ประคอง
เมื่อครู่ ... เมื่อคู่

และที่เหลืออีกพอสมควร

ถ้ามีเวลา ลองแก้คำที่สะกดผิดนะคะ
รับรองว่าจะเพิ่มค่าของนิยายเรื่องนี้ขึ้นอีกเยอะเลยล่ะค่ะ

ไว้อ่านต่อจนจบแล้วจะกลับมารีวิวเส้นเรื่องนะคะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: kissings ที่ 07-11-2018 17:26:40
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: evil_kun ที่ 09-11-2018 22:36:29
ไม่ได้อ่านนิยายที่ทั้งสะเทือนใจและประทับใจแบบนี้มานานแล้วค่ะ
ขอบคุณที่แต่งนะคะ ^_^
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-11-2018 22:51:59
จริงๆ เราชอบนิยายที่ดราม่าของคุณแตงมาก ทั้งๆที่คิดอยู่ตลอดว่าอันนู้นอันนี้สุดแล้ว แต่พอมาเจอของจริง มันไปได้ไกลกว่าที่เราคิดอีกค่ะ ส่วนตัวเรารักตัวละครวัสมาก เป็นตัวละครที่แสดงความเป็นมนุษย์ได้ออกมาชัดเจนมาก เป็นคนที่พร้อมจะแลกทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก เป็นคนที่ทำให้เราเห็นภาพของความรักที่รักคนคนนึงมากๆ จนคนอื่นเป็นแค่เศษฝุ่นไปเลย เขียนออกมาได้ดีมาก จนเราเชื่อหมดใจว่าเขามีตัวตนและกำลังขมขื่นทรมานกันจริงๆ ช่วงที่ใส่กุญแจมือคือเราหมดสิ้นหนทางมากค่ะ  อย่างกับโรมิโอกับจูเลียตต่างกันตรงที่ว่าทั้งคู่พร้อมใจจะไปด้วยกัน แต่ประทับใจที่ออกมาจบแบบนี้มาก ได้มีชีวิตที่เป็นอิสระกันสักที เราชอบทุกครั้งที่วัสถามกูรเรื่องทำไมชอบให้ฝนตก ชอบฟังมันซ้ำๆ แต่คุณแตงก็ฆ่าเราด้วยคำว่าเรื่องโกหกทุกตอน 555555555 ในส่วนของพาร์ทดารัณตายเราสะเทือนใจมากที่เขาต้องมาเห็นคนอื่นพลอดรักทั้งที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้นอีกต่อไป สายตาเขาก่อนตายมันทำให้เรากลัวมาก ทั้งๆที่เขาไม่ได้คิดแค้นอะไรเลย ไม่รู้จะอธิบายออกมายังไงว่าเราชอบเรื่องนี้มากๆ เอาเป็นว่าสู้ๆนะคะ เราจะคอยติดตามนิยายต่อไปทุกเรื่องเลยค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 21-11-2018 20:19:17
อ่านจบด้วยความรู้สึกมึนและงง เหมือนโดนจับหนุ่นเหวี่ยงไปมา พลิกล็อคกันน่าดูถล่มทลายเลยนะคะ ช็อคสุดคือฉากการตายของรัณ ถ้าบอกว่าเป็นการตายที่สวยงามจะแปลกไหม มันเต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึกของทั้งสามคน สงสารกูร...ชีวิตที่เลือกไม่ได้ต้องทำตามคำสั่งคนที่ชุบเลี้ยงมา จริงๆรัณก็น่าสงสารแต่รัณก็ทำตัวเองด้วยเนอะ... เหนือสิ่งอื่นใดคือคุณวัสค่ะ ชอบคุณวัสมาก เขาไม่ใช่คนดีที่สุด แต่เราชอบความเป็นแค่มนุษย์ของเขามากๆ ตอนที่กอดกูรไม่ให้ยิงคือน้ำตาไหล คนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนรักของตัวเอง(ไม่ได้ชื่นชมว่าการทำร้ายคนอื่นเป็นเรื่องดีนะคะ)ถึงบางทีจะแอบน่ากลัวไปหน่อย5555 แต่เกลียดที่สุดคืออิท่าน!! ไม่มีคำบรรยายมากมายนอกจาก เลว เลวมากค่ะ ไร้ความเป็นคนยิ่งกว่าผีห่าอีก ทำเหมือนหวังดีกับวัสแต่จะมีพ่อที่หวังดีกับลูกที่ไหนที่ยอมให้ลูกฆ่าคนอื่น เอาความเห็นแก่ตัวและความโรคจิตเป็นที่ตั้ง อ้างว่าทำเพื่อลูกได้ถามลูกยังอะ...ก็ไม่คิดว่าการที่วัสยิงพ่อตัวเองเป็นเรื่องที่ถูก แต่อย่างที่วัสบอกอะ ชีวิตไหนที่ไม่จำเป็นก็ตัดทิ้งไปเถอะ ขัดขวางความสุขคนอื่นมามากเกินจะอยู่ต่อไปแล้วอิท่าน!!!

ร้องไห้ตรงที่ถามถึงชาติหน้า แบบไม่ไหวแล้วที่กั้นมาทั้งเรื่องความรู้สึกคือพังลงตรงนี้!! แล้วตอนที่ทำเหมือนว่าวัสยิงตัวเองคือจะกดปิดแล้วค่ะ ดีว่าฮึลอ่านต่อเลยได้สะใจเลย555555

อ่อ อีกส่วนที่ประทับใจมากๆๆๆๆๆคือจดหมายของรัณ สวยงามมากค่ะ บรรยายออกมาเป็นคำไม่ถูกแต่ทุกตัวอักษรในนั้นในเป็นรวามรู้สึกที่สวยงามมากจริงๆค่ะT^T

ขอบคุณคนเขียนมากๆเลยนะคะสำหรับนิยายดีๆเรื่องๆ ชอบผลงานของคุณเกือบทุกเรื่องเลยและจะติดตามสนับสนุนต่อแน่นอนค่ะ ♡
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 21-11-2018 21:48:16
อ่านรวดเดียวจบ บอกเลยว่าจุกมาก จะผิดจะถูกไม่รู้ รู้แต่นับถือหัวใจของวัสมาก ในที่สุดก็ได้พบกับอิสระนะ วัสกูร ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ที่พาเราจมดิ่งได้ขนาดนี้ ขอบคุณจริงๆ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 22-11-2018 21:04:12
สวัสดีค่า ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณทุกคอมเมนต์ติชมนะคะ ดีใจมากที่หลายคนชอบ อ่านไปแคปเก็บไปเป็นกำลังใจได้ดีสุด ๆ ขอบคุณทุกคนมากจริง ๆ ค่ะ ตรงไหนที่ผิดพลาดไปต้องขอโทษและรับไว้ปรับปรุงค่ะ ในส่วนของคำผิดและคำฟุ่มเฟือยหลายจุดแตงรับทราบและกำลังปรับแก้ค่ะ

ความเห็นด้านล่างขอยกมาจากทวิตเตอร์นะคะ

หลายความเห็นตั้งแต่ในเว็บ และในทวิต พูดถึงพาร์ทดารัณกันค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นไปในทิศเดียวกันคือสงสารดารัณ จนบางคนคือเกลียดฆาตกรไปเลยก็มี 55555 แตงเลยอยากจะมาเม้ามอยในมุมของตัวเองในช่วงที่วางพล็อตและเขียนพาร์ทของดารัณ และคำถามจากทางบ้านค่ะ
เพื่อไม่ให้เป็นการชี้นำ ขอให้ไปอ่านให้จบก่อนนะคะ
ต่อจากนี้คือความอัดอั้นคันปากในมุมคนเขียนล้วน ๆ ค่ะ 55

1.เพราะดารัณเป็นจุดเปลี่ยน
ถ้าถามว่าทำไมแตงถึงกล้าที่จะเขียนพาร์ทดารัณโดยไม่สนใจสวัสดิภาพของตัวฆาตกรว่าจะถูกเกลียดหรือถูกคนอ่านลดความสงสารลงไป ทั้งไมถึงต้องยกทั้งสองตอนให้ดารัณ ทั้งที่เล่าข้าม ๆ ได้ เหตุเพราะว่าดารัณต้องเป็นคนที่สร้างผลกระทบให้ตัวละครตัดสินใจหลีกหนีจากชีวิตปัจจุบันค่ะ ซึ่งถ้าเราข้ามตรงนี้ไป อาจจะไม่เห็นภาพเลยว่าทำไมจู่ ๆ ถึงคิดจะหนีขึ้นมา ทั้งความรักของดารัณที่ทำให้ตัวละครรู้สึก หรือแม้แต่ช่วงที่ดารารัณจะตายแตงตั้งใจใส่ให้เห็นภาพมากที่สุดเพราะมีผลกับการตัดสินใจของตัวละครในช่วงท้าย ๆ เรื่อง แน่นอนว่าอาจจะดูโหดร้ายกับดารัณมากไปหน่อยที่ถูกทำให้อาภัพรักขนาดนั้น แต่เหตุผลก็อย่างที่เล่าไปค่ะ
2.ไม่ได้กลัวตัวละครถูกเกลียด
ใช่ค่ะ หลังจากพาร์ทดารัณมีผลกับตัวละครแน่นอน อันที่จริงน่าจะมีฟีดแบคตั้งแต่เรื่องผู้กองแล้วด้วยซ้ำ ตรงนี้แตงไม่ได้สนใจว่าจะต้องเขียนให้ตัวละครถูกรัก สิ่งที่พยายามทำเพียงอย่างเดียวคือพาตัวละครนั้นไปถึงปลายทางที่วางพล็อตไว้ตั้งแต่แรก ให้เขาเป็นตัวเขาที่สุด ไม่ได้กำหนดว่าเป็นคนดีจะต้องทำแบบนี้หรือแบบไหน ส่วนเรื่องที่คนอ่านจะรู้สึกยังไงกับตัวละครมันเป็นผลพลอยได้ ทุกคนต่างความคิดต่างที่มา จะรักจะชอบจะเกลียดหรือจะสงสารเราโอเคและยิ้มแกมปริหมด ขอแค่มีฟีดแบคกลับมาก็แปลว่าสิ่งที่เราสื่อสารสำเร็จ
3.คำถามจากทางบ้าน ทำไมไม่ตายสักที 5555555
ที่ต้องหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันทั้งที่โดนสาปแช่งทุกตอนเพราะต้องการสะสมความรู้สึกให้มากพอสำหรับการตัดสินใจสำคัญของตัวละครค่ะ อีกคำตอบคือ ใช่ค่ะ ตายเรื่องก็จบสิคะ ต้องหนังเหนียวเท่าน้านนนน 555555555
4.คำถามจากทางบ้าน ตอนไหนตะมุตะมิที่สุด
ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
5.คำถามจากทางบ้าน จิตใจทำด้วยอะไร ทำไรเหี้ยมโหด
ช่วงนี้จิตใจทำด้วยชานมไข่มุกค่ะ อย่อยยยย

ขอบคุณทุกคนอีกครั้งค่ะ
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 22-11-2018 22:07:23
55555 สงสารคนเขียนเนาะ คันมือคันปากมากเลยสิ พูดอะไรเขียนอะไรมากไม่ได้เดี๋ยวกลายเป็นเฉลยเนื้อเรื่อง เราคนอ่านก็พิมพ์ถล่มกันมันส์มือเลย คำถามที่ว่า ทำไมไม่ตายสักที คือเราว่ามันไม่ใช่คำถามละ มันคือคำกดดัน เมื่อไหร่จะให้ลูกฉันตายๆไปเสียที เป็นแม่ที่ใจบาปมาก แช่งลูกตั้งแต่ผ่านครึ่งเรื่องยันเกือบจบ มากละบใจได้2ตอนสุดท้าย หึหึหึ...

ขอบคุณคนเขียนอีกครั้งนะคะ สำหรับนิยายโรแมนติกคอมเมดี้สนุกๆ อ่านแล้วเพลินดีค่ะ ขอบ คุณ ค่ะ กราบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 24-11-2018 18:17:29
ขอบคุณที่ยังมีชีวิตกันมาถึงตอนจบ อยากถอดใจอ่านไปหลายรอบมาก รู้สึกว่ามันหนักจังเลย สงสารวัสสะ ธารางกูร และปองภพมาก ยังดีที่จบแบบแฮปปี้ ท่านจบชีวิตไปแล้วยังไม่มีด้านร้ายๆออกมาให้คนอื่นเห็นเลย ยังเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ ทั้งๆที่ตัวเองบงการทุกอย่างเลย เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องนึงที่พอประติดประต่อเรื่องราวได้แล้วอยากให้ตายๆไปซะ อยากให้มีความสุขกันซะที พอกันทีกับเรื่องบ้าๆนี่  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Lotsa ที่ 25-11-2018 15:34:15
ขอบคุณคุณนักเขียนที่นำพาเรื่องนี้ให้เราได้มาสัมผัสกับความรู้สึกต่างๆในขณะที่อ่าน ทั้งสงสัย งง เศร้า เจ็บปวด ดีใจ ตกใจ เสียใจ และมีความสุข ทุกเหตุการณ์ที่นำมาเล่าให้เป็นเรื่องราวนั้นเราคิดว่าคุณนักเขียนได้ไตร่ตรองมาดีแล้วว่ามันสมควรเป็นไปในทางนี้ ไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมานั้นจะเป็นอย่างไร จะเจ็บปวดแสนสาหัสเพียงใด เราก็เชื่อว่าทุกคนที่อ่านจนจบจะมีความรู้สึกแบบเราว่าจบแบบนี่โอเคแล้ว
ปล.ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆน้าาาอยู่สร้างผลงานดีดีให้เราได้เสพต่อไปนะคะ เลิฟฟฟฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Kuayyai ที่ 25-11-2018 22:50:01
เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่อง คิดว่าคงเป็นดราม่าแบบธรรมดา แต่พออ่านตรงบทนำ ก็โอเค เป็นแนวสืบสวน ก็ยังคิดว่าจะเกี่ยวกับชื่อเรื่องยังไง
พออ่านไปเรื่อยๆ มันเกินที่คิดไว้มาก แบบอะไรกันเนี่ย
แต่ผมก็อ่านจนจบ แบบชอบมาก เศร้า อึน หน่วง
ช่วงดารัณตายนี่เศร้าสุดแล้ว..
สุดท้ายก็จบแบบอยู่ด้วยกัน มีความสุข

ขอบคุณคนแต่งมากๆ ชอบเขียนดีมาก
ดำเนินเรื่องดีมากๆ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Jnchnn ที่ 03-12-2018 22:51:00
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆขึ้นมาให้อ่านกันนะคะ
พล็อต เนื้อเรื่อง ความสมเหตุสมผล ดีมากกกกก
บรรยายก็ดีมากด้วยค่ะ ไม่งงเลย อ่านสนุก เข้าใจง่าย เข้าถึงอารมณ์
เรารู้สึกดำดิ่งไปอยู่หลายอึดใจ บางจังหวะหายใจไม่ทั่วท้อง
คนแต่งทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครเป็นอย่างดีเลยค่ะ
อ่านจบแล้ว ได้สัมผัสฝนในฤดูหนาวแล้ว แต่ยังรู้สึกหน่วงไปอีกสักพัก
ในใจเราก็ยังรู้สึกได้ว่าความทรงจำร้ายๆที่ผ่านๆมาของวัสกับกูรยังคงอยู่กับพวกเขาตลอดอ่ะ
ฮือออออ โอ้ยยยแบบมันจุกในอก ฮือออ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกครั้งนะคะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 05-01-2019 10:00:49
สารภาพเลยว่าดองไว้นานมาก กว่าจะกล้าเข้ามาอ่าน
อ่านทีเดียวจบเลยค่ะ ถึงกับวางไม่ลงเพราะอยากรู้เรื่องราวตัวละครไวๆ หักมุมจนเดาไม่ถูกเลยแต่ก็ขอบคุณตอนจบที่เขียนออกมาถูกใจเรามากๆเลยค่ะ ส่วนตัวคือเชียร์ให้ฆ่า 'ท่าน'ตั้งแต่รู้ว่าทั้งหมดคือนางเป็นคนสั่ง!!! พอถึงฉากนั้นเลยรู้สึกสะใจนิดๆ//หึหึ  แต่เสียใจกับฉากภพมากเลยค่ะ รู้สึกสะเทือนใจจริงๆไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ ตั้งตัวรับความจริงไม่ทันเลยทีเดียว นิยายครบรสมากเลยค่ะ   
รอติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคะ :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Pawana ที่ 13-02-2019 14:28:25
เดา.  กูรเป็นโรคหลายบุคคลิกหรือเปล่า.  ใส่เครื่องดักฟังกับเสื้อผ้า.  หรือ  แฝด.   หรือเป็นคนเลี้ยงที่แท้จริง.    มืออาชีพมากกก. โอ้ย มั่วสุดๆ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KYLM_s ที่ 31-03-2019 02:39:22
ช่วงแรกที่อ่านเราเดาอะไรแทบไม่ได้เลยค่ะ แต่ติดใจตอนบทแรกที่มีคนใส่กุญแจมือนอนกอดกัน
ตอนสะเทือนใจสำหรับเรานี่น่าจะเป็นตอนที่ดารันกำลังจะตายมั้งบีบหัวใจมากเลยทั้งที่รักกันมากแต่ไม่มีสิทธิอยู่ด้วยกัน จดหมายตอนท้ายนี่ทำเราร้องอีกรอบ แล้วหลายๆตอนนี้ทำให้เราเห็นเลยว่าวัสสะกับกูรรักมากขนาดไหน แค่อยากทำทุกอย่างให้อีกคนมีความสุข ประโยคที่วัสสะถามกูรทุกตอนนี่ทำเราร้องไห้หลายรอบมากเลย แล้วช่วงกลางเรื่องถึงตอนท้ายเราร้องไห้หนักมากคนแต่งทำได้ดีมากเลยค่ะ สุดท้ายก็จบแฮปปี้เอนเนอะ ถึงจะสูญเสียกันไปมากแต่วันนี้ก็มีความสุขได้เป็นอิสระแล้ว ส่วนตัวชอบนิยายแนวนี้อยู่ยิ่งดราม่าหนักยิ่งชอบแต่หาอ่านที่ถูกจริตยากมาก แต่นักเขียนแต่งได้ดีมากเลยเราอินมากๆเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งมานะคะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] 03/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 15-06-2019 11:12:50
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/06/15/1cQRo9.jpg)

แจ้งข่าวตีพิมพ์กับ สนพ.นาบู

ชื่อเรื่อง: กลิ่นฝนฤดูหนาว (เล่มเดียวจบ)
ชื่อผู้แต่ง: BE SILENT
ชื่อนักวาดภาพปก: Dreamworm
ประเภทนิยาย: Romantic Drama ,  Detective
ISBN: 978-616-496-001-5
จำนวนหน้า: 368
ราคาปก: 369
ราคารอบ Pre-Order: 349

เรื่องย่อ:
เมื่อคดีฆ่าตัวตายถูกสงสัยว่าเป็นเหตุฆาตกรรม ‘ธารางกูร’ จึงถูกจับตาโดยสารวัตรสืบสวนอย่าง ‘วัสสะ’ หลักฐานน่าฉงนเชื่อมโยงธารางกูรเข้าสู่เรื่องราวมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่วัสสะเริ่มกระวนกระวายใจกับผู้ต้องสงสัยคนนี้มากขึ้นทุกที
ท่ามกลางค่ำคืนเหน็บหนาว กลิ่นไอฝนกรุ่นขึ้นมาหลอกล่อให้ดีใจ ทว่าคืนนี้ฝนไม่ได้ตก ฤดูเหมันต์ยังคงอยู่กับพวกเขาเช่นเดิม

ยังเปิด Pre-Order อยู่นะคะ
ของแถมรอบ Pre-Order : การ์ดลายChibi ขนาด 4x4 นิ้ว

สั่งจองแบบออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 10-30 มิถุนายน 2562
ช่องทางการสั่งจองออนไลน์
www.reading.co.th
*FB:  readingroombookstore
*Line Official: @reading.room
*Facebook และ Line เปิดบิลเฉพาะวันจันทร์ - ศุกร์ 10.00 น. - 16.00 น.
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในลิ้งค์นี้ค่า https://www.facebook.com/pg/Nabupublishing/photos/?tab=album&album_id=2492381010807354&__tn__=-UC-R

ช่องทางการรับสินค้า
1. รับที่งาน “Y Bookfair” วันที่ 7 กรกฎาคม 2562
2. จัดส่งทางไปรษณีย์ เริ่มทยอยจัดส่งตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2562 จัดส่งแบบลงทะเบียนสิ่งตีพิมพ์ฟรี

 E-Book จำหน่ายวันที่ 7 กรกฎาคม 2562

ร้านค้าทั่วไป กระจายสินค้าภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 ค่ะ

หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] | แจ้งข่าวหน้า 4 [15/06/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 15-06-2019 22:48:03
เป็นิยายที่ดาร์คมากจริง อ่านไปๆคือแบบชีวิตคนมันเลวร้ายกันได้ขนาดนี้เลนเหรอ
แต่ก็ดีใจที่สุดท้ายมันจบแบบแฮปปี้
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] | แจ้งข่าวหน้า 4 [15/06/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 16-06-2019 23:31:10
ยอมรับว่าอ่านเรื่องนี้ของคุณแตง ต้องพักเป็นช่วงๆ ไม่ไหว มันพีคและลุ้นมาก  หลายตอนจบลงด้วยคำอุทานในใจเราว่า “เชี่..... โหหหห ” ขอโทษนะคะที่ใช้คำไม่สุภาพ มันอึ้งมาก มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ คือเกิดคาดมาก อ่านไปคือพยายามไม่เดา เพราะกลัวเสียอรรถรส อ่านไปปล่อยใจไหลตามเรื่องเลย หลายๆจุดที่คุณแตงทิ้งไว้เป็นเศษขนมให้ได้เห็น ยอมรับว่าเราเห็น เราเอ๊ะ แต่ไม่คิดว่ามันจะถูกนำมาผูกเรื่องกันได้สมูธขนาดนี้ สุดยอดจริงๆ คุณแตงยังคงเป็นนักเขียนในใจเราที่ยังคุมคอนเซปนิยายภาษาสวย เนื้อเรื่องแน่นไม่ออกทะเล ทามไลน์เป๊ะ ได้อย่างยอดเยี่ยมค่ะ ชื่นชม  o13 :katai2-1:

เป็นกำลังใจให้นะคะคุณแตง จะตามอ่านทุกเรื่องเลย เร็วบ้างช้าบ้างอย่าว่ากันนะ ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจเราช่วงนั้นๆ 5555 เพราะต้องยอมรับว่าอ่านนิยายคุณแตง มันต้องใช้พลังงานและความเข้มแข็งของจิตใจสูงมากจริงๆค่ะ สุดยอดแล้วคนนี้  o13 :กอด1:

หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] | แจ้งข่าวหน้า 4 [07/07/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 07-07-2019 14:48:17
วินาทีแรกที่ ‘วัสสะ’ ได้สบดวงตาที่ว่างเปล่าของ ‘ธารางกูร’
หัวใจเขาก็ไม่อาจเต้นในจังหวะเดิมได้อีกต่อไป แต่ความปรารถนาที่จะเป็น ‘รอยยิ้ม’ ให้กับชายหนุ่มลึกลับกลับบททดสอบ ‘ความรัก’ ที่ต้องแลกมาด้วยราคาแสนแพง
เมื่อเขาคือ ตำรวจผู้ผดุงความยุติธรรม ขณะที่อีกฝ่ายกลายเป็นพยานและผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ความรักครั้งนี้ต้องแลกด้วยอะไร ทั้งสองจะเดินเคียงคู่กันท่ามกลางหยาดฝนฤดูหนาวได้หรือไม่

Link : https://bit.ly/2Js33h7 (https://bit.ly/2Js33h7)

แวะมาแจ้งข่าวค่า
E-book มาแล้วนะคะ
ตามไปอุดหนุนกันได้ค่ะ ตอนพิเศษรออยู่ ❤️❤️❤️❤️
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] | แจ้งข่าวหน้า 4 [07/07/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: MaTazz ที่ 09-07-2019 22:25:37
เป็นนิยายที่เขียนดีมากๆค่ะ
อยากชมจากใจเลยว่าทุกตัวอักษรที่คุณสร้างขึ้นสวยงามมากๆ
ทุกเรื่องราวของตัวละคร ทุกฉากเราชอบหมดเลย
ขอบคุณอะไรก็ตามที่ไม่พรากสองคนนี้จากกันได้
ตอนอ่านเรายังรู้สึกได้ถึงกลิ่นฝนเลย ตกลงมาสักทีเถอะนะ
พยายามหยิกมือตัวเองไม่ให้เลื่อนมาอ่านตอนจบก่อน
อ่านทีล่ะบทตามที่คนเขียนเรียง คิด วิเคราะห์ ตามเรื่องราว
สอดแทรกได้ดีมากๆ เป็นนิยายที่อ่านแล้วหาที่ติไม่ได้ คืออินอยู่5555555
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ เสียดายมากๆที่ดองไว้นานเพิ่งมาอ่าน
สุดท้ายขอชมคนเขียนอีกรอบนะคะ คุณเขียนดีมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] | แจ้งข่าวหน้า 4 [07/07/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:40:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] | แจ้งข่าวหน้า 4 [07/07/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 11-06-2021 03:41:33
 o13
หัวข้อ: Re: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] | แจ้งข่าวหน้า 4 [07/07/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 13-06-2021 12:37:50
 :pig4: :pig4: