Day 21 – กลิ่นสาป
“คุณแฟรงค์อยู่โรงพยาบาลนี้เหรอครับ?”
“ใช่ครับมีอะไรรึเปล่าครับคุณจอห์น”
“ตอนที่เดฟเขาต้องมาผ่าพิสูจน์...ศพก็ใช้โรงพยาบาลนี้ครับ”
“คงเป็นเรื่องบังเอิญนะครับ ผมว่าเราขึ้นไปข้างบนดีกว่า”
“ครับ
ทอมสังเกตุได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของคนข้างตัวตั้งแต่รถแท๊กซี่เลี้ยวเข้ามาจอดที่ทางเข้าของโรงพยาบาลแต่เขาไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเพราะเรื่องนี้ปากที่เอ่ยปลอบไปว่าเรื่องบังเอิญมันก็คือคำปลอบที่เขาใช้ปลอบทั้งคุณจอห์นและตัวเองเพราะความบังเอิญที่ว่ามันเริ่มจะมากจนเกินไปจนทำให้เขาหายใจไม่สะดวก
กลิ่นฉุนเหม็นอับลอยออกมาจากห้องพักของแฟรงค์ที่ถูกเปิดประตูทิ้งเอาไว้โดยที่มีเจ้าหน้าที่ 2-3 คนกำลังเดินเข้าออกจากห้องเป้นว่าเล่น ทอมรีบวิ่งไปที่ห้องด้วยความกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแฟรงค์
“พ่อทำ...หืมกลิ่นอะไรอะครับพ่อ?”
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันตอนเราไปแรกๆ ก็ยังไม่มีกลินอะไรนะแต่พอเริ่มมานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาก็เริ่มมีกลิ่นตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะโซฟามันเก่าแต่พอลองสังเหตุดูพ่อว่ากลิ่นมาจากเตียงพ่อเลยขอให้พยาบาลเข้ามาเช็ดตัวและเปลี่ยนผ้าปูแต่มันก็ไม่ดีขึ้นแถมตอนนี้พอลูกเข้ามากลิ่นยังแรงขึ้นกว่าเดิมอีก”
“นานยังครับพ่อ?”
“ประมาณ 20 นาทีที่แล้วนี่เอง”
“เดฟ” เสียงของคุณจอห์นดังขึ้นแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาระหว่างเขากับพ่อ
“ครับ?”
“น้ำหอมของเดฟผมได้กลิ่นน้ำหอมของเขา”
พ่อมองหน้าของผมเหมือนต้องการคำตอบว่าคนๆ นี้เป็นใครและทำไมถึงได้กลิ่นที่แตกต่างออกไปจากเรา 2 คนมากขนาดนี้จากลิ่นเหม็นสาปทำไมถึงกลายเป็นกลิ่นของน้ำหอมไปได้
“คุณจอห์นครับนี่พ่อของผมครับ”
“สวัสดีครับคุณลุง”
“สวัสดีครับคุณจอห์นผมเคยได้ยินชื่อของคุณจากเจ้าทอมมาเหมือนกันขอบคุณมากนะครับที่เป็นเพื่อนดูแลช่วงที่เขามาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง”
“ด้วยความยินดีครับ”
“เมื่อกี้คุณว่าคุณได้กลิ่นน้ำหอมของคุณเดฟ?”
ทอมรู้ว่ามันค่อนข้างเป็นการเสียมารยาทที่ขัดบทสนทนาขึ้นมากล้างป้องแต่มันเป็นสิ่งที่เขาสงสัยมากที่สุดและเขาก็คิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้
“ครับผมได้กลิ่นตั้งแต่เริ่มเดินออกจากลิฟท์ นี่เป็นกลิ่นโปรดของเขา”
“แต่ ผมว่ามันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม” ทอมหันหน้าไปมองทางพ่อเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อ “ผมว่ามันเป็นกลิ่นเหม็น”
“กลิ่นมันอาจจะแรงไปจนฉุนก็ได้”
“..แต่...”
“นั้นคือคุณแฟรงค์?”
“ใช่ครับคนที่นอนอยู่บนเตียงคือแฟรงค์”
“ผมไม่คิดว่าผมจะรู้จักเขาและผมก็ไม่คิดว่าเดฟจะรู้จักเขาเหมือนกันผมไม่คุ้นหน้าเขาเลย”
คุณจอห์นเดินเข้าไปสำรวจแฟรงค์ใกล้ๆ ที่ข้างเตียงพร้อมกับปฎิเสธกับข้อสันนิษฐานที่เราสองคนคิดเอาไว้ว่าคุณเดฟกับแฟรงค์อาจจะเคยไปเจอกันที่ไหนสักที่หรือรู้จักกันด้วยเรื่องงานเลยทำให้ 2 คนนั้นสามารถสื่อถึงกันได้
“คุณช่วยออกมากับผมและพ่อที่หน้าห้องหน่อยได้ไหมครับ?”
“...”
“คุณจอห์นครับ?”
เมื่อคุณจอห์นไม่มีปฎิกริยาตอบรับกับคำเรียกเขาจึงเดินไปแตะที่ข้อศอกของคุณจอห์นในช่วงเสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วมือของเขาได้สัมผัสกับกับข้อศอกของคุณจอห์นมันเหมือนมีแรงไฟฟ้าอะไรสักอย่างช๊อตตรงบริเวณนั้น ไม่น่าเชื่อว่าแรงช็อตจากตรงบริเวณเล็กๆ นั้นมันจะสามารถดีดตัวของเขาให้ออกห่างจากพื้นที่ข้างๆ ของคุณจอห์นได้
“คุณโอเคไหมคุณทอม?”
คุณจอห์นเดินเข้ามาจะช่วยพยุงให้เขาลุกยืนขึ้นแต่แรงดีดที่ทำให้เขาล้มลงมานั่งที่พื้นมันทำให้เขาเกิดความขยาดเขาจึงปฎิเสธความหวังดีนั้นแล้วลุกขึ้นยืนและเดินออกมาห่างจากห้องพักด้วยตัวเอง
“คุณจอห์นครับกลิ่นที่ผมกับพ่อได้มันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมครับ มันเป็นกลิ่นเหม็น”
“จริงคุณ ผมเองก็ได้กลิ่นเดียวกับลูกของผม”
“แต่ผม...” คุณจอห์นแสดงสีหน้าที่ทอมเองก็อ่านไม่ออกอยู่สักพักก่อนที่จะพยักหน้าทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาและพ่อต้องการจะสื่อ
“งั้นก็เป็นผมคนเดียวใช่ไหมครับที่ได้กลิ่นนั้น?”
“ผมคิดว่าใช่”
“โอเค สมมุติว่าผมเชื่อทั้งหมดที่คุณพูดออกมาและจมูกของผมเพี้ยนไปจริงๆ เดฟเขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร? แล้วทำไมเขาไม่มาหาผมทำไมเขาถึงมาหาพวกคุณ?”
“ผมก็...”
ตึกๆๆ
“ผู้ป่วยชักมาช่วยกันจับเร็ว”
เสียงวิ่งกับตะโกนของนางพยาบาลที่วุ่นวายนั้นดึงดูความสนใจให้ทอมมองตามทางที่นางพยาบาลทางฝั่งนี้ เดินไปแล้วเขาก็เห็นว่าพวกเธอกำลังตรงไปที่ห้องของแฟรงค์ เขารีบวิ่งกลับไปที่ห้องพักโดยที่มีพ่อกับคุณจอห์นวิ่งตามเขามาติดๆ
ภายในห้องพักมีนางพยาบาล 2 คนกำลังช่วยกันจับแฟรงค์คนละข้างโดยมีคนที่เตรียมจะฉีดยาให้กับแฟรงค์แต่มันก็ทำได้ค่อนข้างยากลำบากเมื่อแฟรงค์ตัวกระตุกอย่างรุนแรงจนไม่มีส่วนไหนของร่างกายอยู่นิ่ง
“รบกวนอย่าฉีดยานั้นให้เขาเลยครับ”
“ปล่อยให้คนไข้ชักแบบนี้มันจะไม่ดีต่อร่างกายนะคะ”
มันก็จริงการชักแบบนี้มีผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดีแต่ดวงตาของแฟรงค์ที่มองมาที่เขากำลังเบิกออกกว้างเมื่อเห็นว่าเขาหยุดห้ามการฉีดยานั้นมันทำให้เขาต้องเอ่ยพูดอีกครั้ง
“ผมขอละครับถ้าเขายังไม่ดีขึ้นภายใน3 นาที ผมสัญญาว่าผมจะไม่ขัดขวางการทำงานของคุณ”
“แต่..”
“ผมเป็นญาติกับคนไข้ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจใช่ไหมครับ?”
“ได้ค่ะ งั้นถ้ามีอะไรกดเรียกพวกเราเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
แววตาของแฟรงค์ที่ส่งมานั้นเต็มมันไปด้วยคำขอบคุณแต่น่าแปลกที่ทำไมทอมรู้สึกเหมือนกำลังสบตากับคนแปลกหน้า แถมแววตานั้นมันก็เปลี่ยนเป็นแววตาของความโศกเศร้าเวลาที่เห็นใครอีกคนวิ่งเข้ามาสมทบกับเขาที่ทางด้านหลัง
“เดฟ....” เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับคุณจอห์นที่อยู่ๆก็เรียกแฟรงค์ว่าเป็นเดฟ
“เดฟ ทำไมเดฟทำแบบนี้ ทำแบบนี้ทำไมทำไมมีอะไรไม่เข้ามาคุยผมโดยตรงเดฟ...”
“เดี๋ยวคุณจอห์นใจเย็นๆ มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่ยงไม่เย็นไม่แล้ว ผมต้องการคำตอบจากเขา ตอบมาสิเดฟ ตอบมา”
“นี่คือแฟรงค์ไม่ใช่เดฟอะไรของคุณ!! ถ้าคุณไม่ออกไปผมจะกดเรียกให้ยามมาลากตัวคุณออกไป”
ทอมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคุณจอห์นยังพอฟังเขาแล้วยอมออกไปรอทางด้านนอกที่เขาต้องการให้คุณจอห์นออกไปก็เพราะยิ่งคุณจอห์นเสียงดังใส่คนบนเตียงมากเท่าไหร่แววตาที่โศกเศร้านั้นก็ยิ่งหลั่งน้ำตาออกมามากเท่านั้น
“เขาไม่ฟังผมเลย”
“...”
“เขาไม่ฟังผมเลย เขาไม่เคย”
แล้วนั้นมันก็เป็นคำพูดประโยคสุดท้ายก่อนที่แฟรงค์จะหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อคนบนเตียงหลับลงพ่อก็เดินเข้ามาตบบ่าเพื่อให้กำลังใจพร้อมกับให้สติว่ายังมีใครอีกคนยังรอเขาอยู่ที่ทางด้านนอกห้องพัก
“ทำไมคุณถึงเรียกเขาว่าเดฟ?”
“ผมจำแววตานั้นได้ดีว่ามันคือแววตาของเดฟที่เขาใช้มองผมทุกครั้งเวลาที่เราทะเลาะกันแววตาที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อ อีกอย่าง....”
“อีกอย่าง?”
“ช่างมันเถอะครับ”
“ผมรู้ว่าบางทีคุณก็อยากเก็บบางเรื่องให้เป็นเรื่องส่วนตัวแต่คุณก็เห็นแล้วใช่ไหมว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราต้องพูดกัน ‘ทุกอย่าง’ “
“แล้วคุณคิดว่าถ้าผมบอกออกไปมันจะช่วยอะไรได้ย่างนั้นเหรอครับ!!”
“มันก็อาจจะช่วยได้หรือช่วยไม่ได้เลยแต่มันก็ดีกว่าที่เราไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยหรือยังไง??!!”
ทั้งชั้นตกอยู่ในความเงียบหลังจากที่เขาได้ตะโกนเอาความคับแค้นใจออกไป คุณจอห์นก้มหน้าเงียบใช้ความคิดไปสักครู่ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดในสิ่งที่เหลือออกมาให้เขาได้รู้
“การกระตุกนั้น...มันเหมือนกับแรงกระตุกเฮือกสุดท้ายก่อนที่เดฟจะเสียชีวิต”
“คุณเห็น?”
“ครับ”
“แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อภาพที่ผมในฝันเหมือนคุณออกจากบ้านไปแล้วคุณออกไปก่อนที่เขาจะเสีย”
“ตอนนั้นมันเป็นภาพนิ่งหรือภาพที่เขากำลังกระตุกอยู่ละครับ?”
“ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นเฮือกสุดท้ายก่อนที่คุณเดฟจะนิ่งไป”
“หึ นั้นคงเป็นตอนที่ผมวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้น เพราะตอนที่เขาตกบรรไดลงมาผมยังไม่ได้ออกจากบ้านหลังนั้นครับ”
“คุณหมายความว่ายังไง??”
“หลังจากที่เรามีปากเสียงครั้งล่าสุดเรื่องแม่ของผมเดฟเขาวิ่งตามผมมาทันครับ เรายื้อยุดกันที่ตรงบรรไดผมสะบัดมือของเขาออกเพราะผมยังไม่พร้อมที่จะคุยแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย”
“...”
“ผมสบัดเขาแรงมากจนเกินไปเขาเลยพลาดล่วงตกลงไป..”
“คุณจอห์น...”
“แต่ แต่ คุณเข้าใจไหมว่าผมไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุคุณทอมมันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้จะทำให้เขาตกลงไป”
“แล้วคุณบอกเรื่องอุบัติเหตุนี้กับใครไหม?” เสียงของเขาเบาหวิวและรอคอยคำตอบอย่างคาดหวัง
“ผมมีเหตุผลที่ไม่สามารถพูดได้ว่าผมอยู่กับเขาในตอนนั้น”
“แล้วทำไมคุณถึงบอกผมว่าเขาฆ่าตัวตายละ ทำไม? คุณรู้ไหมว่าความหมายมันต่างกัน?”
อารมณ์ของเขาพุ่งขึ้นสูงจนเขาไม่สามารถควบคุมโทนเสียงของตัวเองให้สงบเงียบดั่งเดิมได้ นี่นะเหรอคำพูดของคนที่พร่ำบอกว่ารักคนของตัวเองมากแค่ไหนเสียใจแค่ไหนที่คนของตัวเองจากไป
“มันจะต่างกันยังไงเพราะยังไงผมก็เสียเข้าไปอยู่ดี!!”
“ก็ต่างกันระหว่างว่าคนนึงตายอย่างเต็มใจกับอีกคนตายเพราะผิดพลาดยังไงกันเล่า!!”
“วันนี้ถ้าผมเชื่อคุณว่ามันคืออุบัติเหตุ คุณบอกผมได้ไหมว่าทำไม?”
“เปล่าผมไม่ได้พูดกับใคร แม่ผมไม่ให้ผมพูดกับใครถึงเรื่องนั้น”
สิ่งที่เขาได้ยินมันทำให้เขาต้องทรุดลงนั่งกับเก้าอี้ข้างคุณจอห์น ’กลิ่นสาป’ ที่เหม็นเน่าในวันนี้คงโฉยออกมาให้รู้ถึงความลับที่เหม็นเน่าที่ถูกซ่อนเอาไว้สินะ
TBC
ถึงคุณ
fc_fic