พิมพ์หน้านี้ - รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 26-10-2011 22:12:50

หัวข้อ: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 26-10-2011 22:12:50
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

_______________________________________________

เหตุเนื่องมาจาก เขียนนิยายเรื่องล่าสุด เป็นเวลาเกือบเดือนแล้ว ทำให้เริ่มเอียนกับตัวละครเดิมๆของตัวเอง

อย่าติสท์ให้มากนักถ้าพี่รักแล้วน้องจะหนาว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29320.0.html)

ดังนั้น หึหึ กระผมขอมีพื้นที่ระบายอารมณ์ เขียนพลอตที่พรั่งพรูอยู่ในหัว ออกมาบ้าง
รวมถึงเอาไว้คั่นอารมณ์ ตามหัวข้อกระทู้เลย เวลาเอียนๆนิยายเรื่องหลัก เรื่องสั้นในกระทู้นี้จะโผล่ขึ้นมา แหะๆ
แต่ไม่ทิ้งทั้งสองเรื่อง ทั้งเรื่องสั้นและนิยายแน่นอนครับ
สำหรับเรื่องนี้ อยากจะเขียนเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่สามดูบ้าง
อาจจะไม่สละสลวยเหมือนมืออาชีพ
และขอบคุณที่คลิกเข้ามาอ่านครับ  :L2:

_____________________
สารบัญนิยาย by Glorious
1. หรือจะเก็บรักไว้ในสายลม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28463.0)

2. อย่าติสท์ให้มากนัก ถ้าพี่รักแล้วน้องจะหนาว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29320.0)

3. กรุ่นกลิ่นรวงข้าว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,30027.msg1727520.html#msg1727520)

รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา by Glorious (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29662.0.html)
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา โดย Glorious : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน ๑ (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 26-10-2011 22:17:05
ความสุขบนเส้นขนาน ตอนที่๑

“เก่ง ...กินอะไรมั้ย เดี๋ยวกูซื้อมาฝาก”
“ไม่ล่ะ ... ไม่รู้จะเอาอะไร ไปเที่ยวให้สนุกเถอะไนซ์” เก่งตอบชายหนุ่มผมตั้ง ในชุดหล่อเฟี้ยวด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“ตามใจ งั้นกูไปแล้วนะ”

รูมเมทร่างผอมโปร่งเดินออกจากห้องไปพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี ทิ้งชายหนุ่มผิวสองสีอีกคนไว้เบื้องหลังหน้ากองหนังสือ
เก่งขยับแว่นให้กระชับกับดั้งจมูก ก่อนจะยิ้มให้กับบานประตูที่ปิดลง ... นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และคนแรกที่ไนซ์ไปออกเดทหรอก แต่เป็นครั้งที่เท่าไหร่เก่งก็เลิกนับไปแล้ว ที่มันรักๆเลิกๆกับแฟนทางเน็ตของมัน  ในความรู้สึกของเด็กหนุ่มแว่นผิวสองสี ... การหาแฟนทางนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ... ถ้าเราจริงใจให้กับคนๆนั้น และมันก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเปิดเผยตัวตน ให้คนที่เป็นเหมือนกันได้รับรู้ ... เพียงแต่ดูเหมือนว่า สมัยนี้ ... ไอ้เว็บไซด์หาคู่ทางอินเตอร์เน็ตเนี่ย ... มันกลายเป็นช่องทางในการขายตัว รวมถึงหาคู่ข้ามคืนไปซะมากกว่า

เด็กหนุ่มที่ดูสุขุมกว่าเคยถามเพื่อนที่ดูกร้านโลกตรงๆเหมือนกัน ว่ามันจริงจังแค่ไหน กับการหาคู่ในเน็ตของมัน และคำตอบที่ได้ทำให้เก่งใจชื้นขึ้นมาบ้าง ... ว่าลึกๆแล้วมันก็หวังว่ามันจะเจอคนดีๆเหมือนกัน ... แต่มันมันคงยังไม่เจอ เพราะอย่างที่บอกนั่นแหละ ว่าคนๆนี้เป็นคนที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เด็กหนุ่มผู้รักแฟชั่นอย่างไนซ์

“เปลี่ยนแฟนเหมือนเปลี่ยนกางเกงใน” เป็นคำพูดที่เก่งบอกไนซ์เสมอ เมื่อไนซ์โชว์รูปคนที่ไนซ์กำลังสนใจคนใหม่ให้ดู และเพื่อนรักสุดเชยก็ทำได้แค่ยิ้มแหยๆ ไม่ตอบโต้อะไร และเด็กหนุ่มอีกคนก็จะตอบด้วยประโยคเดิมๆของมัน
“ของแบบนี้มันก็ต้องลองคบ ลองตามหาดู ... ไม่ไปหามันจะเจอหรอวะ ความรักน่ะ”
“แล้วทำไมไม่ลองหยุดพัก ให้ความรักตามหาเราดูมั่งล่ะ”เก่งย้ำด้วยประโยคเดิมๆ
“เก่ง ถ้ามึงจะพูดทฤษฎีผีเสื้อบินมาเกาะไหล่เองเหมือนที่มึงบอกกูซ้ำแล้วซ้ำเล่าน่ะนะ ... มึงเลิกพูดเถอะ กูว่ามันเป็นอะไรที่มันแบบ...ทฤษฎีเกินไปว่ะ เพราะถ้ามึงจะเอาทฤษฎีมาอ้าง กูก็จะใช้ทฤษฎีของกูมาอ้างมึงเหมือนกัน ว่าไม่มีความสำเร็จใด ที่ไม่เกิดจากความพยายามหรอก”

แล้วเก่งก็ต้องหุบปากลง ถึงไนซ์จะเป็นเพลย์บอย เปลี่ยนแฟนไม่เลือก แต่ถ้าเถียงกับมันเรื่องปรัชญา ชายหนุ่มแว่นหนาก็ไม่เคยเถียงชนะ แต่ก็ไม่เคยแพ้หรอก ... อาจจะเรียกได้ว่า เป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกันเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เก่งกับไนซ์อาจจะมีจุดยืนที่ต่างกันเท่านั้นเอง

ทั้งสองคนรู้จักกันตอนเข้ามหาลัย และได้เป็นรูมเมทหอในของมหาลัย ... เหมือนอะไรก็ดูเป็นเรื่องบังเอิญ เมื่อได้คุยกันก็ได้รู้ว่า ทั้งคู่ยังเป็นเด็กปีหนึ่งวิศวะคอมเหมือนกันเสียอีก ... ทำให้ต่างคนต่างก็สนิทกันในเวลาอันสั้น

แต่ถึงจะสนิทกันยังไง ทั้งเก่งทั้งไนซ์ก็คงเป็นเหมือนแสงกับเงา

ไนซ์เป็นคนช่างเจรจา ในขณะที่เก่งมักเลือกที่จะเจรจาเมื่อจำเป็น  ...

ไนซ์ชอบปล่อยมุกฮาๆ ทำตัวเด่น เป็นจุดสนใจ แต่เก่งชอบที่จะอยู่เงียบๆในมุมที่ตัวเองรู้สึกว่าปลอดภัย

ไนซ์ชอบอ่านหนังสือตอนใกล้ๆวันสอบ ในขณะที่เก่งชอบที่จะทบทวนทุกวัน และอยู่หน้าจอได้นานสองนานกับภาษาคอมพิวเตอร์ที่คนทั่วไปบ่นว่าชวนอ้วก

อาจจะมีที่เหมือนกันเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ ... ทั้งสองคน ... ชอบเพศเดียวกัน

ความจริงนี้ถูกเปิดเผยจากวันหนึ่งที่ไนซ์ถามขึ้น ... สำหรับไนซ์นั้นดูไม่ยากเลย ... เพราะบุคลิกสำอางของมัน รวมถึงความไม่เคอะเขิน ที่จะเดินเข้าไปทำความรู้จักผู้ชายหน้าตาน่ารักๆ ทุกคนที่ผ่านสายตา
แต่สำหรับเก่ง ... มักเลือกสงวนท่าที รวมถึงแต่งตัวเรียบๆตามแบบของตัวเอง ...
ทั้งคู่ดำเนินชีวิตต่างกันสุดขั้วจนจบปีหนึ่ง ...

เค้าว่ากันว่า ผีเห็นผีด้วยกัน น่าจะจริง
ในวันกินเลี้ยงสอบเสร็จที่บางแสน เป็นวันที่ทั้งคู่ต่างรู้ถึงเพศสภาพของเพื่อนสนิท
คืนนั้นเก่งปลีกตัวออกมาเดินรับลมที่ชายหาด พร้อมกับแก้วเป๊ปซี่ ในขณะที่อีกคนที่เดินตามมาเงียบๆ ถือแก้วบรรจุน้ำอำสีพันมา

“มาเดินถ่ายเอ็มวีอะไรเงียบๆคนเดียววะ อกหักหรือไง”
“มึงเคยเห็นกูเคยจีบใครรึไงวะไนซ์ กูจะไปอกหักได้ยังไง”
“นั่นน่ะสิ ... มึงไม่เคยมองสาวๆในมอเราเลย ...แม้แต้หมาตัวเมียกูก็ไม่เคยสนใจ”
“ใครจะเหมือนมึงล่ะ มองหาแต่ตัวผู้”
“แล้วมึงล่ะเก่ง ... มองตัวผู้แบบกูหรือเปล่า” เพื่อนรักถามขึ้นพร้อมกับยิ้มมุมปาก
“ทำไมมึงถามแบบนั้นวะไนซ์”
“ก็ ... ปีหน้าเราก็ขึ้นปีสองแล้วไง กูอยากย้ายไปอยู่หอนอก ... แต่กูเป็นแบบนี้ มึงว่าใครจะอยากมาเป็นเมทกูวะเก่ง”
“เพื่อนกันจริงๆ เค้าไม่คิดเรื่องหยุมหยิมแบบนี้หรอกน่า”

“กูรู้ ... แต่ยังไงซะ มันก็ต้องคิดกันมั่งแหละ ผู้ชายแท้ๆน่ะ ต่อให้บอกว่ารักกันไม่แคร์หรอกว่ามึงเป็นเกย์ แต่ถ้าให้มากินอยู่หลับนอนด้วยกันเป็นปีๆ เชื่อเถอะร้อยทั้งร้อยไม่มีใครกล้าหรอก” ไนซ์ทอดมองไปยังเกลียวคลื่น ก่อนจะพูดต่อ “กูถึงถามมึงไง ... แต่ถ้ากูมองอะไรผิดไป กูขอโทษนะ”

เด็กหนุ่มอีกคนยิ้มให้กับคิ้วย่นๆจากความกังวลใจของเพื่อนสนิท “เค้าว่าผีมันเห็นผีด้วยกันจริงๆ”
“เอ๋ ...”
“กูเป็นผู้ชาย ...ที่ชอบผู้ชายเหมือนมึงนั่นแหละว่ะ”เก่งตอบด้วยรอยยิ้มที่พยายามประดิษฐ์ให้อีกคนยิ้มตาม
“ฮ่าๆๆ กูว่าแล้ว ... แสดงว่าเซนส์กูใช้ได้”
“มึงเคยมีแฟนมายังวะเก่ง”
“ก็ ...เคยมี สมัยเรียนมอปลาย แต่เลิกกันแล้วล่ะ”
“อ้าวทำไมวะ ทะเลาะกันหรอ”
“เปล่าหรอก ... น้องเค้ายังไม่อยากมีแฟน”
“ถุย ... ไม่อยากมีแฟน แล้วตอนแรกมาตกลงคบกับมึงทำกล้วยไรวะ”

“ก็ ...กูชอบน้องเค้า ลองคุยกันปีนึง แล้วก็ขอเป็นแฟน ส่วนน้องเค้าก็บอกว่ากูเป็นคนดี ก็เลยตกลงคบกัน ... แต่พอคบๆกันไป มันเหมือนกับน้องเค้ายังรักอิสระ ยังชอบอยู่กับเพื่อน แล้วเค้าก็รู้สึกว่า เค้ายังไม่พร้อมจะมีแฟนน่ะ เลยเลิกกัน”

“อ้อ แล้วไง ...สุดท้ายมันก็ไปควงคนใหม่”
“เปล่าหรอก ... น้องมันยังไม่อยากมีแฟนจริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังคุยกัน เป็นพี่เป็นน้องกันอยู่”
“โถ มึงนี่พระเอกจริงๆ ว่าแต่มึงเป็นพระเอกหรือนายเอกวะเนี่ย” ไอ้ไนซ์ถามด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“อะไรของมึงวะ พระเอกนายเอกเนี่ย”
“โธ่ ...มึงนี่ไม่เคยอ่านนิยายเกย์หรือไงวะ เอาเป็นว่า มึงเป็นรุกหรือรับวะ”
“กูไม่รู้หรอกว่ะ ตอนคบกับน้องเค้ากูก็ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนั้น”
“โถ .... พ่อพระของกู ... นี่มึงจบแล้วมึงจะไปทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์หรือมึงจะไปเป็นเจ้าคณะจังหวัดวะเนี่ย”
“เออน่า ... กูมันไม่ได้เชี่ยวเหมือนมึงหรอก ว่าแต่มึงล่ะ มึงเป็นแบบไหน”

“กูหรอ ... ไม่รู้ดิว่ะ กูคงเป็นโบทมั้ง แต่กูก็ยังไม่เคยหรอกนะ แล้วก็คิดว่าถ้ารับแม่งคงเจ็บชิบหาย แต่ถ้าแฟนกูเค้าเป็นรุก แล้วถ้ากูรักเค้ามากๆ กูก็คงยอมมั้ง....เอ๊ย ทำไมคุยไปคุยมามันวกมาเรื่องใต้เข็มขัดได้วะเนี่ย เอาเป็นว่า ... มึงจะย้ายมาอยู่หอนอกกับกูมั้ยเก่ง”

“ก็ได้ ไม่มีปัญหา”
“ขอบใจว่ะ กูโคตรดีใจเลยมึงรู้มั้ยเก่ง ... อย่างน้อยคนอย่างเราอยู่ด้วยกัน มันก็สบายใจกว่าการอยู่กับผู้ชายแท้ๆ ถ้าเผื่อกูหน้ามืดไปทำอะไรเข้า เสียเพื่อนแย่”
“แล้วมึงไม่กลัวมึงหน้ามืดมาทำอะไรกูมั่งหรอวะ”

“กับมึงน่ะหรอ ฮ่าๆๆ ไม่หรอกว่ะ .... กูสนิทกับมึงจนหมดอารมณ์ทางเพศกับมึงแล้วมั้ง ...แถมมึงยัง ไร้อารมณ์ขันขนาดนี้ ถ้าเป็นแฟนกัน ... ต่อมขำกูคงตายด้าน”
“ก็ดี ... เพราะถ้าได้มึงมาเป็นแฟน กูก็คงจะปวดหัว ... เจ้าชู้ชิบหาย จีบไปทั่ว”
“เฮ้ยถึงกูจะจีบไปทั่ว แต่ถ้าใครที่กูคิดว่ากูรักเค้าจริงๆ กูก็พร้อมจะหยุดนะเว้ย”
“เออ กูหวังว่ากูจะได้เห็นก่อนเรียนจบนะเว้ย”

 
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา โดย Glorious : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน ๑ (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-10-2011 22:34:27
 :mc4:ตามมาเชียร์เรื่องใหม่
จะเป็นแนวไหนหนอเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน ๑ (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 26-10-2011 22:48:35
 :z13: จิ้มเรื่องใหม่
ติดตามน๊า~
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน ๑ (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 27-10-2011 00:40:47
อืม... น่าคิดนะ ระหว่างออกไปไขว่คว้าหารักด้วยตัวเอง กับ รอให้ผีเสื้อบินมาเกาะไหล่ แบบไหนดี ?
น่าสนใจยิ่งกว่า คือ เรื่องนี้จะเป็นแนวไหน ? จะได้เตรียมตัว เตรียมอารมณ์ถูก  :m13:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน ๒ (๒๗.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 27-10-2011 11:04:00
ความสุขบนเส้นขนาน (ต่อ)

ชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปร้อนๆถูกวางลงบนโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้อง พร้อมกับที่ชายหนุ่มผิวสองสีเรียกคนที่นอนซมอยู่บนเตียง
“อ่ะมาม่า กินซะหน่อย”
“ขอบใจเว้ยเก่ง ... ต้องลำบากมึงทุกที” ไนซ์ลุกขึ้นมาอย่างอ่อนเพลีย พลางนั่งลงบนพื้นเพื่อจัดการกับบ่ะหมี่ตรงหน้า
“ไม่เบื่อรึไงวะ เลิกกับแฟนคนที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แล้วก็เมามาแบบนี้ทุกที”
“มึงจะให้กูทำยังไง ก็กูเสียใจ พอกูจะจริงจังกับใคร แล้วกูก็โดนหลอกทุกที”
“ก็บอกให้ลองอยู่นิ่งๆ ให้ความรักมาหาเราบ้างไง”
“กูก็ตอบมึงแบบเดิมๆนั่นแหละ ...เรื่องของเรื่องก็แค่ไอ้พวกที่ผ่านๆมามันยังไม่ใช่” ชายหนุ่มในสภาพอิดโรยพูดพลางคับเส้นบะหมี่หงิกงอในชาม

“เก่ง ... มึงเคยชอบใครบ้างมั้ย กูเห็นวันๆมึงก็ขลุ่กอยู่กับคอมกับโปรเจคของมึงเนี่ย”
“ของเราเว้ย ไม่ใช่ของกู”
“เออ กูรู้ แต่มึงจะรีบไปไหนวะ โปรเจคจบส่งตั้งเทอมหน้า มึงรีบทำซะกูเกรงใจเลยเนี่ย”
“มึงจะมาช่วยกูเลยก็ได้ หรือมึงจะยังไม่ทำกูก็ไม่ว่าหรอก เพราะสุดท้าย คนที่ทำคนนั้นก็จะได้ประสบการณ์ไปใช้จริงในการทำงาน ส่วนเรื่องคะแนนน่ะกูไม่หวงหรอก”
“อ้อ นี่แสดงว่ามึงกำลังจะบอกว่า มึงแค่เอาชื่อกูใส่คู่กับมึงสินะ”
“เปล่า ... กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ก็อยากให้มึงคิดเอง”
“เออๆ ขอกูทำใจอีกหน่อย เดี๋ยวกูช่วยมึงเอง”
.
.
.
หลังจากที่ลากเพื่อนรักให้ออกจากโลกอินเตอร์เน็ตได้สำเร็จ ทั้งสองคนก็ช่วยกันทำโปรเจคกันจนเสร็จก่อนเวลาส่งจริงหลายเดือน ทำให้เวลาว่างในปีสุดท้ายของทั้งคู่มีมากขึ้น

เก่งเลือกที่จะอุทิศตัวให้กับเพื่อนในคณะคนอื่นๆ ที่ยังทำงานไม่เสร็จ ส่วนไนซ์เองก็เช่นกัน
ช่วงเวลาแห่งการเป็นนักศึกษากำลังจะผ่านพ้นทั้งสองคนไป ... เหมือนสายลม

สายลมของแต่ละคนนั้น แตกต่างกันออกไป ถ้าใช้หัวใจฟังให้ดีๆ
สายลมกำลังบอกบางสิ่งกับเรา และก็อยู่ที่ตัวเรา ว่าเราตั้งใจฟังเสียงกระซิบที่สายลมพยายามจะบอกเราหรือไม่

“เก่ง กูถามมึงจริงๆ มึงไม่เคยมองใครบ้างเลยหรอวะ สี่ปีของการเป็นนักศึกษาเนี่ย” ไนซ์ถามขึ้น พลางยกกระป๋องเบียร์กระดกลงคอที่ริมระเบียง
“อยากให้กูตอบจริงๆมั้ยล่ะ” เก่งพูดลอยๆ พลางทอดมองไปยังคลองเล็กๆหลังหอพัก
“เอ้า ไอ้ห่านี่ กูคงอยากฟังคำตอบตอแหลๆของมึงหรอกมั้ง”
“หึหึ” ชายหนุ่มผิวสองสียิ้มเรียบๆ ก่อนจะพูดต่อ “ก็มีเหมือนกันแหละ”
“จริงดิวะ ... แล้วมึงทำไง จีบเค้าหรือยัง กูเห็นวันๆมึงขลุ่กอยู่กับตำรากับคอม”

“ก็ ... ไม่ได้ทำไงหรอก จะว่าไงดี จะว่ากลัวความรักก็ไม่ใช่ ไม่อยากมีก็ไม่เชิง กูก็แค่มีความสุขในจุดที่กูยืนก็เท่านั้น”
“การแอบรักเนี่ยนะ มีความสุข”
“เปล่า ... กูไม่ได้แอบเลยไนซ์ กูคิดว่ากูออกจะเปิดเผยซะด้วยซ้ำ สิ่งที่กูทำให้คนๆนั้น ถ้าเค้าใช้หัวใจมอง ... เค้าต้องรู้ว่ากูคิดยังไงกับเค้า ... ซึ่งเค้าก็คงไม่คิดอะไรกับกูหรอกมั้ง เค้าถึงไม่เคยรู้สึกอะไรเลย แต่มึงรู้มั้ย กูกลับมีความสุข”
“โห ... พระเอกอีกแล้วมึง รักเค้าโดยไม่หวังให้เค้ารักตอบสินะ”

“ทำนองนั้นมั้ง ... เพราะกูกับคนๆนั้นคงเป็นเหมือนเส้นขนาน กูกับเค้าไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แต่กูก็ไม่เข้าใจนักหรอก ว่ากูไปรักคนๆนั้นได้ไง ทั้งที่ต่างกันขนาดนี้ แต่กูก็ดีใจ ที่ได้เห็นคนๆนั้นยิ้ม ได้ดูแลเวลาเค้าอ่อนแอ ถ้าถามว่ากูมีความสุขยังไง มันก็คงเป็นความสุขที่อยู่บนเส้นขนาน ที่ได้เห็นการเดินทางของคนๆนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและสิ่งดีๆ แม้ว่าจะไม่มีเราอยู่บนทางเส้นนั้นก็ตาม “

“โหย ... ไอ้เก่ง มึงทำกูเกือบอ้วก ปรัชญาของมึงครั้งนี้ล้ำลึก ครั้งนี้กูคงต้องยอมแล้วล่ะ ... แต่ปรัชญามึงแต่ละอย่างเนี่ย แม่งขัดกับจุดยืนกับกูทุกทีสิ”
“ทำไมล่ะ เห็นขัดกับกูอีกสิ”

“ขึ้นชื่อว่าความรัก กูคิดว่ายังไงซะมันก็สวยงาม ต่อให้กูต้องเจ็บเจียนตายกับความรักอีกสักกี่หน แต่กูก็จะไม่เข็ด ไม่กลัวที่จะลองเริ่มต้นและค้นหาอีกครั้ง และถ้ากูมีคนที่กูรักแบบมึง กูจะบอกเค้าด้วยคำพูด ไม่ใช่การกระทำ”
“มึงไม่เคยได้ยินหรอไนซ์ การกระทำดังกว่าคำพูด”
“แล้วถ้ามึงจะทำให้เค้ารู้ว่ารัก แต่มึงไม่บอกเค้า เค้าจะรู้ได้ไง การกระทำคำว่ารักของมึงมีเสียงยังไง กูเคยได้ยินแต่เสียงป้าบๆ กับตับๆ”
“ฮ่าๆ งั้นมึงไปแสดงการกระทำรักกับคนอื่นเถอะ คงไม่ใช่แนวของกูแล้วล่ะ”
.
.
.
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับกระพริบตา เก่งและไนซ์มองหน้ากันพร้อมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆห้องที่เคยใช้ชีวิตนักศึกษาร่วมกันเป็นเวลาสามปี ความทรงจำดีๆหลายอย่างฝังแน่นไปทั่ว ไม่ว่าจะโต๊ะญี่ปุ่นที่เคยวางกลางห้องสำหรับนั่งทำการบ้านและกินข้าว เตียงนอนที่เคยนอนด้วยกัน ประตูห้องน้ำที่ชายหนุ่มร่างโปร่งเคาะเรียกอีกคนที่กำลังอาบน้ำเพราะท้องเสียอย่างหนัก

เรื่องราวทั้งหมด กำลังจะกลายเป็นแค่ความทรงจำ ที่ทิ้งพยานวัตถุไว้เบื้องหลัง หากแต่บันทึกไว้ในสมองของคนทั้งคู่
“ขนของหมดแล้วนะ เช็คดูหรือยังลืมเอาอะไรไปอีกหรือเปล่า”
“เก็บซะเหี้ยนขนาดนี้ ไม่มีอะไรรอดตาอีกแล้วล่ะไอ้เก่ง”
“อืม ... งั้นมึงลงไปก่อนเลยไนซ์ เดี๋ยวกูขอเช็คอีกรอบ แล้วจะตามลงไป”
อดีตรูมเมทยิ้มรับ ก่อนจะทำตามเพื่อนสนิทอย่างว่าง่าย
ประตูถูกปิดลง พร้อมด้วยรอยยิ้มของอีกคน ที่ชอบยิ้ม ... ให้กับบานประตูที่ปิดลงเมื่อเพื่อนรักเดินจากไป และทิ้งเค้าให้อยู่ในความเงียบ
เก่งเดินไปที่ลิ้นชักข้างเตียงฝั่งที่ตัวเองเคยนอน ก่อนจะดึงลิ้นชักนั้นออกมาด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ชายหนุ่มหยิบสมุดบันทึกเล่มสีเลือดหมู ที่เป็นสมุดบันทึกตอนที่มหาวิทยาลัยแจกให้ในวันปฐมนิเทศ พลางเปิดดูทีละหน้าช้าๆ
แม้ใบหน้าหลังกรอบแว่นจะมีรอยยิ้มเจืออยู่บางๆ แต่เมื่อเขาปิดสมุดเล่มนั้นลง เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นจากคนที่กำลังถือสมุดอยู่
กระดาษโฟโต้ขนาดโปสท์การ์ดที่ถูกใช้แทนที่คั่นหนังสือได้ถูกดึงออกด้วยมือหนาๆ ชายหนุ่มมองรูปถ่ายใบนั้นด้วยรอยยิ้มที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ
รูปถ่าย ที่มีหน้าของตัวเองกับหน้าของอดีตรูมเมท กำลังกอดคอและยิ้มให้กล้อง ในเสื้อยืดเพรชชี่
“จนวันสุดท้ายที่... กูก็ทำได้แค่ยิ้มให้มึง ...อยู่บนเส้นขนานแบบนี้ใช้มั้ยวะไนซ์”  

ขอบคุณพี่ POPEA , Malula , Cherry Red นะครับ ที่ตามมาอ่านเรื่องสั้นไร้รสชาติแบบนี้ อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้เขียนสนอง need ล้วนๆ  :กอด1: ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน ๑ (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 27-10-2011 11:47:45
บอกว่า"รัก"ด้วยการกระทำ

เจ็บแทนจัง
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน ๑ (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 27-10-2011 12:02:56
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน ๑ (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 27-10-2011 16:15:12
ง่ะ ถ้าอยู่บนเส้นขนาน ยังไงมันก็คงไม่มีวันมาบรรจบกันอะนะ
เห้อ........
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน ๑ (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 27-10-2011 16:46:06
เก่งกับไนท์เค้าจบกันแบบนี้เหรอคะ

อืมไม่ถึงกับเศร้าแต่อึนๆอ่ะ 555

ปล.+1ให้ค่ะ  และรอเรื่องต่อไปหรือตอนต่อไปน้า

ช่วยเปลี่ยนหัวข้อด้วยจ้าจะได้รู้ว่าอัพใหม่

 :L2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน ๑ (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 27-10-2011 17:04:52
มีความสุขบนเส้นขนานแล้ว ต่อไปก็มีความสุขให้มากขึ้นกับการยืนอยู่บนเส้นเดียวกัน
ได้ไหมค๊ะ เขียนต่ออีกนะค๊ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ต่อ) (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 27-10-2011 18:32:14
สองคนนี้สมกับเป็นตัวแทนในทฤษฏีที่ตัวเองเชื่อจริง ๆ สิน่า
ต่างแนวคิด ต่างวิถี ต่างการกระทำ แต่ในความต่าง ก็มีความลงตัว ( ไม่งั้นไม่อยู่เป็นรูมเมทกันยืดแบบนี้หรอก )
ไม่มีใครรู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร? แต่บางที อาจจะมีสักวันที่.....เส้นขนานจะมาบรรจบกันก็ได้นะ  :m1:

ไม่เห็นจะเป็นเรื่องสั้นที่ไร้รสชาติตรงไหนเลย ถ้าจะให้เปรียบคงเหมือน ขนมปังกับเนยที่จัดมาวางให้ทานพลาง ๆ
ก่อนที่จานหลักจะเสิร์ฟกระมั้ง ? ประมาณว่า ใช้เวลาทานไม่นาน พออิ่มท้อง และรสชาติละมุนละไม
ว่าแล้วก็โฉบไปหาจานหลักอย่าง พี่เต้-น้องเจ๋ง ต่อ :laugh:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ต่อ) (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 27-10-2011 19:33:43
ตอนแรกยังคิด... สองคนนี้เป็นรูมเมตกันได้ไงเนี่ย จริงๆ ชอบมุมมองแบบเก่งนะ แต่วิธีแสดงออกคงต้องดูคนรับด้วยล่ะ
เพราะว่าบางคนไม่บอกก็ไม่รู้จริงๆ นะเออ ไนซ์อาจจะกลัวเข้าข้างตัวเองไม่ก็อยากเก็บคนดีๆ ไว้เป็นเพื่อนมากกว่าจะได้รู้กันไป

ถึงจะเป็นความสุขบนเส้นขนานแต่ยังไงความเป็นเพื่อนก็ยืนยาวกว่าความเป็นแฟน เก่งคงอยากเก็บความทรงจำดีๆ เอาไว้เนอะ
แต่ว่า มันยังไม่จบนิเรื่องนี้? (เค้ายังไม่เห็นคำว่าจบอะ 555)

เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ต่อ) (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 27-10-2011 19:35:34
อ่านไป ถอนหายใจไป :undecided:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ต่อ) (๒๖.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-10-2011 21:08:52
จุก อึ้ง เก่งทำได้ไง ทนอยู่ได้ไงตั้งสี่ปี
มันไม่ใช่เรื่องรักที่ไร้รสชาตินะ มันทั้งหวาน ทั้งขมเลยล่ะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ต่อ๒) (๒๗.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 28-10-2011 11:01:04

ความสุขบนเส้นขนาน ต่อ๒

“เอ้า ยิ้ม ... หนึ่ง สอง สาม” เก่งฉีกยิ้มให้กับกล้องในวันงานรับปริญญาของเขา กับไนซ์ วันรับจริงมีคนมากันคับคั่งตามที่ชายหนุ่มคาด
 
เปลวแดดที่แผ่รังสีร้อนแรงรวมถึงผู้คนที่คลาคล่ำทำให้เก่งและไนซ์พลัดหลงกัน ยังดีที่เก่งไม่หลงกับญาติๆ แต่ถึงอย่างไร ใบหน้าของเพื่อนรักที่หายไปก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มหม่นๆ และถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ
 
ลานบัวเหล็กกลางสนามโดดเด่นเป็นสง่า ... มีความเชื่อที่รุ่นพี่ที่จบไปก่อนหน้านี้เล่าสืบต่อกันมาว่า ถ้านักศึกษาคนใดไปถ่ายรูปกับบัวเหล็กนี้ก่อนเรียนจบ จะเป็นเหตุให้ไม่สามารถเรียนจบที่สถาบันแห่งนี้ ... แม้ความเชื่อนี้จะดูเป็นแค่ความเชื่อ แต่เก่งก็ไม่เคยเห็นนักศึกษาคนใดเข้ามาลองดี .... กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีไว้สำหรับบัณฑิต .... เช่นเขาในวันนี้

“เอ้า ....เก่ง คิดว่าจะไม่ได้เจอมึงซะแล้ว” ใบหน้าขาวๆของชายหนุ่มร่างโปร่ง โบกมือทักทาย หลังจากโพสท์ท่าให้ช่างกล้องชักภาพเสร็จ
“อยู่นี่นี่เองมึง” เก่งยิ้มรับ พลางเดินเข้าไปหาเพื่อนรัก
“ใครๆก็อยากมาถ่ายหน้าบัวเหล็กทั้งนั้นแหละ กว่าจะได้มาถ่าย ต้องอดทนกันตั้งสี่ปีนี่นา”
“งั้น... ถ่ายกับกูสักรูปสิ”
“ได้สิวะ ...ไอ้เก่ง”
.
.
.
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา รูปภาพวันรับปริญญาของเก่งก็ถึงมือเจ้าของ ญาติๆรวมถึงตัวเก่งเองนั่งพลิกดูทีละอัลบั้มช้าๆ ก่อนจะถึงรูปคู่ ที่เก่งถ่ายคู่กับเพื่อนรักหน้าบัวเหล็กของมหาวิทยาลัย ก่อนที่รูปนี้ จะถูกแยกออกมา และถูกแปะไว้ ... ในสมุดบันทึกสีเลือดหมู
.
.
“เป็นไงมั่งมึง โบนัสปีนี้” ไนซ์ถามขึ้นจากด้านหลังของเก่ง ที่กำลังนั่งรอเจ้าของเสียงด้านล่างของอาคารสำนักงานแบ่งเช่าที่อยู่ข้างๆกัน
“ก็...ดีกว่าไม่ได้ ไม่เยอะเท่าไหร่หรอก มึงล่ะไนซ์”
“เศรษฐกิจแบบนี้ บริษัทไหนๆก็เหมือนกันแหละว่ะ แต่ก็พอจะมีสะตุ้งสะตังค์พาเมฆมันไปเคาท์ดาวน์ที่เชียงใหม่สักสองคืนอยู่”
“แล้วเป็นไงบ้างคนนี้ ... ดูมึงคบนานสุดแล้วนะเนี่ย ถึงปียังวะ”
“เกือบละ วาเลนไทน์ที่จะถึงนี้ก็ครบปีพอดี”
“แสดงว่าคนนี้เป็นคนดีสินะ ถึงเอามึงอยู่ด้วยได้นานขนาดนี้”
“-วยเหอะ กูเป็นคนดีต่างหาก เค้าถึงเลือกกูเป็นแฟนน่ะ”
“เออๆ ดีก็ดี เอาเป็นว่า ขอให้มึงเที่ยวให้สนุกกับน้องเค้าแล้วกัน”
“แล้วมึงไม่ไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนหรอวะเก่ง”
“คงไม่หรอกว่ะ คนไม่มีแฟนอย่างกูเหมาะกับการนอนอยู่บ้านมากกว่า”
“ก็หาสิวะ หรือมึงยังรอไอ้ผีเสื้อเวรนั่นมาเกาะไหล่มึงอยู่”
“ไม่หรอก ไม่ได้รอแล้วล่ะ ผีเสื้อตัวนั้นมันคงชอบที่จะอยู่บนไหล่คนอื่นมากกว่า กูว่างั้นนะ”

ไนซ์ตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆ ก่อนจะพูดให้กำลังใจ “มึงก็ต้องลองหาดูสิวะ ผีเสื้อไม่ได้มีตัวเดียวในโลกหรอกน่า”
“ขอบใจนะ แต่กูอย่างนี้ก็มีความสุขดีแล้วล่ะ ความสุขจากการมองข้ามไปยังเส้นขนานอีกเส้นไง”
“เฮ้อ .... มึงนี่มันเกินเยียวยาจริงๆ กูล่ะอยากเห็นคนๆนั้นของมึงจังว่ะ”
.
.
.
“เมาแต่หัววันเลยนะมึง” ชายหนุ่มผิวสองสีที่เริ่มมีผมสองสีแล้วเช่นกันตบบ่าอดีตรูมเมท ที่กำลังเมาตาเชื่อมอยู่บนโต๊ะ ภายในงานเลี้ยงรุ่น ที่จัดขึ้นทุกปีในร้านอาหารริมคลองแห่งหนึ่ง

หลายคนในรุ่นเปลี่ยนไปเยอะ ... หลายคนดูภูมิฐาน หลายคนก็ดูลงพุง หรือโทรมลงไปตามกาลเวลา
สำหรับไนซ์ ... อาจจะดูผอมแห้งลงไปพอสมควรจากการกรำงานหนัก แต่ในสายตาของเพื่อนรักอย่างเก่ง ไนซ์ก็ยังเป็นไนซ์ ที่เคยกอดคอกันในชุดเฟรชชี่

“ก็ .... นิดหน่อยว่ะ มีเรื่องต้องคิดเยอะเหมือนกัน นึกแล้วกูก็อยากกลับไปอยู่สมัยเรียนกับมึงนะ ไม่มีเรื่องให้ต้องคิดมากมายขนาดนี้”
“เรื่องอะไรวะ เรื่องเงิน เรื่องงาน หรือเรื่องแฟนล่ะมึง”
“ไปคุยกันข้างนอกเถอะว่ะ ... ไม่ได้เจอมึงนาน ได้ระบายกับมึงสักหน่อยก็ดี”
เก่งขมวดคิ้วกับความทุกข์ใจของอดีตรูมเมท แต่ก็เดินตามไปเงียบๆ จนคนตรงหน้ามาหยุดที่ชานระเบียงภายในร้าน พลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด
“กูจำได้ว่า ... มึงไม่เคยดูดบุหรี่นะไนซ์”
“ก็...เครียดๆ เลยลองดูดดู ช่วยได้นิดหน่อย”
“ออกแนวน่าสมเพชนะ ติดบุหรี่ตอนแก่เนี่ย”

“สมเพชกูเถอะ เพราะกูคิดว่าชีวิตกูตอนนี้แม่งน่าสมเพชอย่างที่มึงคิดนั่นแหละ” มือแห้งๆคีบบุหรี่ไว้ก่อนจะพ่นควันพิษออกมาช้าๆ
“มึงมีเรื่องเครียดอะไรขนาดนั้นวะ ... มึงดูเปลี่ยนไปจากไอ้ไนซ์ที่กูรู้จักเยอะเลยนะ”

“อืม ... กูเบื่อกับหลายๆอย่างว่ะ เบื่อความรัก ...ของคนอย่างพวกเรา ... กูพยายามลบคำสบประมาทนะ ที่ว่ารักแท้ไม่มีในหมู่เกย์ แต่พอกูลองคบใคร แล้วอยู่กันไปสักพัก ด้วยความที่ว่าเราไม่สามารถมีลูกได้ ความรักที่มันเริ่ม มันถึงค่อยๆนับถอยหลังลง แล้วก็จบลงทุกที กูเบื่อแล้วว่ะ แต่กูก็ไม่ได้อยากอยู่คนเดียวเท่าไหร่หรอกนะ”

“ตรรกะมึงดูขัดแย้งนะ อยากมีความรักแต่ไม่อยากอยู่คนเดียว”
“กูรู้ ... แต่กูจะพูดยังไงดี บางทีกูก็คิดว่ารักแท้มันจะมีจริงๆมั้ย กับชีวิตคนอย่างพวกเราน่ะ”
“มีสิ... ทำไมจะไม่มี มึงเชื่อกูเถอะ”
“คงงั้นแหละมั้ง ... แต่กูชักจะเบื่อที่จะต้องตามหามันแล้ว และกูก็เหนื่อยกับการฝืนธรรมชาติด้วย ไม่ว่ายังไงผู้หญิงก็ต้องคู่กับผู้ชายนี่นา”

“เฮ้ย ...ไนซ์” เก่งอุทานกับคำพูดของเพื่อนรัก ในขณะที่อีกคนมีสีหน้าที่เรียบเฉยจนน่ากลัว
“มีผู้หญิงคนนึงเค้ามาชอบกูว่ะ ... และเค้าก็ฐานะดีด้วยนะ กูกำลังตัดสินใจ ว่าจะลองคบเค้าดูดีมั้ย ถ้ากูพอจะรักเค้าหรือมีอะไรกับเค้าได้ กูก็อาจจะตัดสินใจแต่งงานกับเค้า เพราะอย่างน้อย กูคิดว่า เค้าจะทำให้กูมีอนาคตที่ดีก็ได้”

ชายหนุ่มผิวสองสีบดกรามแน่น ก่อนจะกระชากคอเสื้อของอดีตเพื่อนรัก “กูว่าความคิดนี้ของมึงแม่งชั่วมาก และกูคิดว่า มึงควรจะล้มเลิกความคิดบ้าๆนี้ซะ ต่อให้มึงต้องเจอเรื่องจัญไรบัดซบแค่ไหน แต่กู...ก็ไม่อยากให้มึงต้องลากผู้หญิงที่เค้าไม่รู้เรื่องด้วยมาลงนรกกับมึงหรอก”

“ไอ้เก่ง มึงฟังกูดีๆสิวะ กูยังไม่ได้ตัดสินใจ กูก็แค่จะลองคบกับเค้าดู ถ้ากูทำใจได้ กูถึงจะแต่งงานกับเค้า”
“ไอ้เหี้ยไนซ์ มึงเป็นเกย์นะเว้ย ไม่ได้เป็นหวัด จะได้กินยาแล้วนอนก็หาย มึงเลิกความคิดบ้าๆอย่างนี้เลย ... กูไม่อยาก...”
“ไม่อยากอะไรไอ้เก่ง”
“กูไม่อยากเกลียดมึง ...ไนซ์ กูไม่อยากเกลียดมึง”มือที่ขยุ้มคอเสื้อของไนซ์อยู่คลายออกช้าๆ ก่อนที่เก่งจะหันหลังและเดินจากไป

วันนี้ต้องไปช่วยพี่สาวขนของหนีน้ำครับ เลยมาลงได้แค่เรื่องสั้น

ขอบคุณที่เข้ามาอึนมึนโฮกับอีตาสองคนนี้นะครับ

ตอนหน้าก็จะจบแล้วครับ ดังนั้นกลั้นใจอีกเฮือกนะครับ

theduchess : ต้องลองลุ้นครับ :laugh:

fuku : พี่ฟูกุก็ตามเรื่องดราม่าทุกทีสิน้า อิอิ  :กอด1:

hoomalone : อย่าร้องไห้นะครับ มันไม่เศร้าขนาดนั้นหรอกน่า

Nus@nT@R@ : เส้นขนาน ไม่มีวันบรรจบกันครับ แต่ว่าทั้งคู่จะอยู่บนทฤษฎีที่ว่าจริงๆหรือเปล่านี่สิ

 MiSS-U : ขอบคุณที่ติดตามเรื่องสั้นสัพเพเหระของผมครับพี่ แล้วก็ยังไม่จบนะครับ อ้อ วันนั้นรีบๆไปธุระ เลยลืมอัพเดทว่าจบหรือยัง แหะๆ โทษนะครับ

winndy : มาต่อแล้วนะครับ ส่วนสุขมั้ยก็ลองอ่านดู เหลือตอนหน้าอีกตอนจะจบเรื่องนี้แล้ว

พี่ Cherry Red  : มีทั้งจานหลัก ทั้งของกินเล่น อิ่มมั้ยล่ะครับ  :laugh:

พี่ เดหลี  : อ๊ากกกก พี่เดหลีมาอ่านด้วยอะ อายๆ เขียนไม่ดีเท่าแมวสี่ตัวของพี่เดหลี อ้อ คนที่พี่เดหลีว่า หนึ่งในนั้นคือผมครับ ถ้าไม่บอกว่ารักก็ไม่รู้ร้อกกกก (ที่ยังโสดก็เพราะทึ่มแบบนี้แหละ ฮาๆ)

yeyong : รอถอนหายใจอีกเฮือกพอครับ  :laugh:

malula  : ขอบคุณที่รู้สึกรสชาติของมันนะครับ

หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ต่อ๒) (๒๗.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 28-10-2011 16:21:09
นึกว่าจบตั้งแต่ตอนที่สอง
สองคนมองความรักต่างกันจริงๆ
เชียร์ให้เป็นเส้นขนานต่อไป  o18
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ต่อ๒) (๒๗.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 28-10-2011 16:43:22
ตอนนี้ให้อารมณ์เกย์เฒ่าแสวงหารักซะจริง   :laugh:

เอาน่ะอายุก็ขนาดนี้แล้ว เก่งน่าจะสารภาพให้ไนท์รู้นะ

ถึงไงเพื่อนก็คงเป็นเพื่อนแม้ไม่ได้เป็นแฟน(มั้ง)

ปล.+1และเป็ดให้เหมือนเดิม ฮุๆๆ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ต่อ๒) (๒๗.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 28-10-2011 19:15:26
ยังมีต่ออีกเหรอเนี่ย? นึกว่าตัดจบแบบให้คิดต่อเอาเอง ( เค้ากำลังจะจิ้นแบบเป็นสุข ๆ แล้วเชียว :o8:)
เนื้อหาตอนนี้น่าหนักใจนะค่ะ ทั้งที่สองคนนี้วนเวียนอยู่ใกล้ ๆ กัน ไม่ได้ไปไหนไกลแท้ ๆ (ก็เค้าอยู่บนเส้นขนานนี่เนอะ)
คนที่ตามหารัก ก็หามาครั้งแล้ว ครั้งเล่า หามาทั้งชีวิต วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างงั้น
คนที่รอผีเสื้อบินมาเกาะไหล่ ก็รออยู่เฉย  ๆ รออยู่นิ่ง ๆ อย่างงั้น มาทั้งชีวิตเช่นกัน
เฮ้อ...ความสุขบนเส้นขนาน คงจะหมายถึง เก่ง คนเดียวล่ะมั้ง ?

@คุณหนิง ตอบตามมารยาทว่า "อิ่ม" เพราะ ถ้าให้ตอบตามใจคิด เดี๋ยวจะหาว่า "กินจุ"  :m23:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ต่อ๒) (๒๗.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 28-10-2011 20:21:37
เขียนดีออกนะเรื่องนี้ จริงๆ
ยังคงชอบเก่งอยู่  :o8: แต่คนเราน้าชอบไม่พูดกันตรงๆ
ตอนกระโดดช่วงวัยแอบตกใจนิดๆ กรี๊ด แป๊บเดียวหัวจะหงอกกันซะละ
รู้สึกว่า "กูไม่อยากเกลียดมึง" ของเก่ง คือ "กูไม่อยากเลิกรักมึง" อะจ้ะ เก่งน้าเก่ง  :really2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ต่อ๒) (๒๗.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 30-10-2011 12:35:22
อ่านไปก็ลุ้นไป จบเรื่องตอนหน้าคุณเก่งปากหนักจะสารภาพความในใจออกไปไหม :เฮ้อ:

คุณเก่งมีความสุขที่ได้อยู่บนเส้นขนาน แต่คนอ่านลุ้นมากว่าจะมีปาฏิหาริย์สร้างbypassเชื่อมระหว่างสองเส้นขนานนี้ไหม
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ต่อ๒) (๒๗.๑๐.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 30-10-2011 19:51:05
เก่งพอใจที่จะแอบรักไปเรื่อย ๆ ส่วนไนซ์ก็พยายามหารักแท้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เจอ
มันก็คงเป็นเส้นขนานไปจนสุดทาง แต่เก่งจะไปโกรธไนซ์ทำไมล่ะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 02-11-2011 21:39:09
ความสุขบนเส้นขนาน (ตอนจบ)

กระป๋องเบียร์ถูกยกขึ้นด้วยมือของเก่ง ... ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่ดื่มเก่งเท่าไหร่ แม้แต่ตอนเรียนมหาลัยเขาก็แทบจะไม่แตะของมึนเมาเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่หน้าที่การงานต้องมีการเข้าสังคมบ้าง ก็ทำให้ชายหนุ่มค่อยๆเรียนรู้กับของมึนเมาเหล่านี้ได้

เก่งนั่งละเลียดเบียร์อยู่บนระเบียงชั้นสองของบ้าน ซึ่งเป็นบ้านที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เกือบสิบปีที่เขามานะพยายามในการทำงาน จากการเป็นโปรแกรมเมอร์เล็กๆในบริษัทหลายปี ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าในวัยสามสิบสอง
เขาใช้ปลายเท้าของเจ้าตัวแกว่งไปมาเตะกระป๋องเบียร์ที่กินหมดแล้วที่วางอยู่อย่างระเนระนาดอย่างไม่ใส่ใจ พลางครุ่นคิดถึงความสุขเล็กๆ ที่เก็บเอาไว้ลึกสุดใจตลอดระยะเวลาสิบปี ตั้งแต่สมัยเรียน ... ความสุข ที่เจ้าตัวเรียกมันว่า “ความสุขบนเส้นขนาน”

ชายหนุ่มรู้ดี ตัวเขาเองไม่มีอะไรที่เหมือนกับผู้ชายคนนั้นเลย เขาแทบจะไม่มีสิ่งที่ไนซ์ต้องการอยู่ในตัว ไนซ์ชอบคนที่ไปไหนไปกันกับเขา มีความคิดในแนวเดียวกัน หรืออย่างน้อยที่สุด เขาก็รู้ว่า คนธรรมดาอย่างเขาคงไม่มีอะไรให้คนอย่างอดีตรูมเมทสนใจ

ตลอดสิบกว่าปี ที่เก่งทำได้แค่เฝ้ามองคนที่รักมีความสุข และเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป รอยยิ้มของไนซ์เหมือนตราประทับที่คัดลอกลงมายังใบหน้าของเก่ง ทุกครั้งที่ได้มอง

เก่งยินดีจะยิ้ม ในวันที่ไนซ์ยิ้ม
เก่งมีความสุขมากมาย ในวันที่ไนซ์มีความสุขแม้เพียงน้อยนิด
เก่งอยากให้ไนซ์สบายใจ แม้ในวันที่ไนซ์ไม่สบายใจเพียงเล็กน้อย
แค่นี้แหละความสุขของเก่ง

แต่วันนี้ .... คนๆนั้น กำลังมีความทุกข์ ... กับการตามหา กับการดำรงชีวิต และทางออกที่ไนซ์เลือก มันไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง หรืออย่างน้อยที่สุด เขาคงไม่อยากให้คนที่เขารัก ต้องทำร้ายใคร ด้วยความรัก ...
สำหรับเก่ง ความรักนั้นสวยงาม และต้องไม่ทำร้ายใคร
.
.
.
“ไนซ์ เป็นไงมั่งวะ” โทรศัพท์ของเก่งถูกต่อสายไปหาคนที่คิดถึงอยู่ทุกห้วงความคิดในตอนนี้
“ก็เรื่อยๆ สบายดีตามอัตภาพ”
“แล้วตอนนี้ มึงอยู่ไหนวะไนซ์”
“กู ...อยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ....กับเก๋น่ะ”
“เก๋ ....เก๋ไหนวะ”
“เอ่อ ... คนที่กู ...กำลังลองคบๆกับเขาน่ะ”
“งั้นหรอกหรอ ... ถ้างั้น ... กูไม่กวนมึงแล้ว” เก่งวางสายลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่ยังปลงไม่ตก
ที่ผ่านมา เก่งยิ้มได้เสมอ เมื่อรู้ข่าวแฟนใหม่ของไนซ์คนแล้วคนเล่า และเฝ้าภาวนาให้ไนซ์กับคนที่ไนซ์เลือกรักกันนานๆ
....แต่ในวันนี้ มันแค่คล้ายๆ แต่ไม่ใช่
เขาจะมีความสุขถ้าคนที่เขารัก อยู่กับคนที่มันรักจริง
แต่คนที่มันกำลังจะตัดสินใจคบคนนี้ ... มันบอกว่าจะเป็นคนสุดท้าย
แล้วความรู้สึกที่ไนซ์มันมีให้ผู้หญิงคนนี้ มันจะมีความรักเจืออยู่บ้างมั้ย ?
คนที่เป็นรักร่วมเพศมาตลอดชีวิต ... จะสามารถเริ่มต้นชีวิตแบบผู้ชายปกติ ได้จริงๆหรอ?
“...กูคิดว่าไม่นะไนซ์”
.
.
.
เก่งขับรถไปที่เซนทรัลเวิลด์ด้วยความรู้สึกหลายๆอย่างกับสิ่งที่เขาตัดสินใจ แต่อย่างน้อยที่สุด ชายหนุ่มก็คิดว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องทำอะไรบางอย่าง
“ฮัลโหล ไนซ์ มึงยังอยู่เซนทรัลเวิลด์มั้ยวะ”
“เออ ... อยู่ เก๋เพิ่งกลับไปเนี่ย”
“ดีเลย มากินเบียร์เพื่อนกูหน่อยสิ”
“ฮะ? มึงเนี่ยนะ ชวนกูกินเบียร์”
“เออน่า .... คิดซะว่ามาเจอเพื่อนเก่าไม่ได้รึไง”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร กูก็แค่แปลกใจเท่านั้นเอง”
.
.
.
ลานเบียร์เซ็นทรัลเวิลด์ช่วงหัวค่ำคนยังไม่พลุกพล่านนัก แต่เก่งกับไนซ์ก็ตัดสินใจมาหย่อนก้นละเลียดเบียร์กันเป็นโต๊ะแรกๆ
“เป็นไงมั่งล่ะมึง ว่าที่เจ้าสาวขบวนสุดท้าย โอเคมั้ย” ชายหนุ่มผิวสองสีถามขึ้นเป็นการหยั่งเชิงเกี่ยวกับสิ่งที่เขายังกังขา
“ก็ ...ก็ดี”
“งั้นหรอวะ สมัยเรียน เวลามึงพูดว่าก็ดีเนี่ย หมายความว่าคนนั้นไม่ผ่านนะเว้ย”
“งั้นหรอวะ ... กูคงลืมไปแล้วมั้ง แต่นั่นมันก็ตั้งหลายปีแล้ว กูบอกว่าดีมันก็ดีแหละ”
ชายหนุ่มหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำพูดของคนที่นั่งตรงข้าม พลางกระดกเบียร์จนหมดแก้ว “แล้วมึงยังจะ ...ตัดสินใจแบบนั้นอยู่มั้ย”
“อะไรของมึงวะเก่ง”
“มึงจะแต่งงาน....จริงๆหรอ”
“ก็ ... คงอย่างนั้น ถ้าคนนี้ไม่ใช่ก็คงดูคนอื่น” ชายหนุ่มอีกคนตอบง่ายๆ ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่มบ้าง
“แล้วมึงจะรักผู้หญิงคนนั้นได้จริงๆหรอ ... ทั้งที่มึงก็เป็นแบบนี้”
“กูก็หวังว่ากูคงจะรักเค้าได้มั้ง ถ้ากูลองพยายามดู”
“นี่มันความรักนะเว้ยไนซ์ มึงมีสิทธิ์ที่จะพยายามทำให้ใครสักคนรักได้ด้วยการจีบ แต่มึงไม่สามารถที่จะพยายามรักคนที่มึงไม่ได้รักได้หรอก”
“...ไม่รู้สิ แต่กูยังไม่ได้ลองพยายามจริงๆจังเลยนะเก่ง”
“กูคิดว่าไม่มีทาง ที่คนอย่างพวกเราจะทำแบบนั้นได้”
“....อาจจะ เก่ง แต่ที่กูรู้แน่ๆ และกูใช้เวลาพิสูจน์มาหลายปี คือรักแท้ไม่มีในหมู่เกย์”

คำพูดของไนซ์ทำให้ต่างคนต่างเงียบ และจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
“ไนซ์ ... มึงรู้ตัวหรือเปล่า ว่ามึงน่ะมันพวกความอดทนต่ำ สมัยเรียน เวลาใครพูดผิดหูมึงหน่อย มึงก็ไม่พอใจเค้าแล้ว”
“จำได้สิ ... ไม่งั้นมึงจะอยู่กับกูได้หรอ เพราะมึงมันไม่เคยจะมีปากมีเสียงอะไรเลยนี่ ถึงอยู่กับกูได้ยันเรียนจบ”
“แล้ววันที่ความอดทนมึงหมดลง มึงจะยังมีความสุขอยู่หรอ แล้วมึงคิดว่ามึงจะทำผู้หญิงคนนั้นตกนรกทั้งเป็นหรือเปล่า

ชายหนุ่มผิวขาวเบือนหน้าหนี พลางถอนหายใจช้าๆ “อย่างน้อยที่สุด บั้นปลายกูก็คงไม่ต้องโดดเดี่ยว กูอาจจะมีลูกสักคนไว้ดูแลกูตอนแก่ก็ได้นะ”

เก่งหลับตาลงพร้อมกับกลืนน้ำสีอำพันจนหมดแก้ว .... บางทีอแลกอฮอล์บางๆที่เจออยู่ในเบียร์อาจจะทำให้ชายหนุ่มกล้าตัดสินใจเสียที
“ไนซ์ ... ถ้ามึงไม่อยากโดดเดี่ยว มึงลืมกูไปแล้วหรอ “
“กูไม่ลืมมึงหรอกเก่ง ... แต่มึงต้องเข้าใจนะ ว่าเพื่อนกับแฟนมันแทนกันไม่ได้”
“กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ไนซ์... กูก็แค่อยากให้มึงลองกลับไปคิดแบบก่อนหน้านี้ ที่มึงมองหาแฟนสักคน ...ที่เป็นผู้ชาย”
สายตาของคนผิวเข้มแน่วแน่และจับจ้องไปที่ตาของอีกคนที่เบิกโพลงด้วยความตกใจ สติเพียงเล็กน้อยที่พอจะมีอยู่สั่งการให้ไนซ์ถามซ้ำอย่างสับสน
“มึงหมายความว่าไงวะเก่ง”
“ถ้ามึงไม่รังเกียจ คนที่เฝ้ามองมึงเงียบๆมาตลอดเวลาสิบปี คนที่เค้ามีความสุขเวลาเห็นมึงยิ้ม และคน...ที่ไม่อยากเห็นมึงต้องทำร้ายคนอื่นด้วยความรัก....” มือหนาของเก่งเอื้อมไปจับมือของเพื่อนรัก ก่อนจะพูดต่อ “กูอยากให้มึงมองคนๆนั้นสักหน่อย”
“นี่ ....มึง” ไนซ์พูดด้วยเสียงอึกอัก แต่เก่งก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้คนที่เขารักได้ตั้งตัวมากนัก
“เมื่อก่อนนี้ กูคิดว่า กูมีความสุขแล้วที่ได้เห็นมึงมีความสุข กับคนที่มึงรัก ได้ทำอะไรต่อมิอะไรดีๆให้มึงมีความสุข กูพอใจในจุดนั้นแล้ว ... เพราะกูคิดว่านั่นแหละเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่กูจะมอบให้กับคนที่กูรักได้” ชายหนุ่มยิ้มด้วยดวงตาที่พยายามสื่อความหมาย อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังพยายามยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ว่าการกระทำดังกว่าคำพูด

“แต่ในวันนี้ ....ไนซ์ กูทำใจไม่ได้จริงๆ ที่มึงคิดจะทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่งด้วยคำว่ารัก กูคิดว่า ถ้าวันหนึ่งเค้ารู้ขึ้นมา เค้าคงเหมือนตกนรกทั้งเป็น รวมถึงเรื่องลูกของมึงก็ด้วยที่มึงหวังจะให้เด็กคนนั้นจะเป็นคนที่มึงจะฝากผีฝากไข้ได้ ... ลูกน่ะเป็นของขวัญจากพระเจ้านะไนซ์ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มึงจะเลี้ยงไว้หวังใช้งาน .... ถ้าเด็กคนนั้นเกิดจากความรัก กูเชื่อว่านั่นจะเป็นโซ่ทองคล้องใจระหว่างคนสองคน แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วมึงปล่อยให้เด็กคนนั้นเกิดมา มันจะกลายเป็นโซ่ตีตรวนที่ล่ามมึงไว้ให้ไปไหนไม่ได้ในวันที่รสหวานของสิ่งที่มึงคิดว่าเป็นความรักหมดรสชาติลง ... และในวันนั้น ทุกคนที่มึงลากเข้ามาเอี่ยวก็จะต้องเจ็บปวดกันทุกคน ....กูถึงไม่ยอม ที่จะทำให้คนที่กูรัก ต้องทำเลวๆแบบนั้น”

ไนซ์ยังคงตะลึงงันกับคำพูดที่พรั่งพรูออกจากปากเพื่อนรัก แววตาของคนที่นั่งตรงข้ามยังคงจ้องเขม็งแต่เป็นประกายเชื่อมราวกับชื้นแฉะน้ำตาบางๆ ก่อนที่เก่งจะพูดต่อ

“ถ้ามึงยังมองหาความรัก ในแบบที่มึงเคยยิ้ม เคยมีความสุขกับมันอยู่ ... มึงลองมองกูด้วยหัวใจสักหน่อย ... ได้มั้ยวะ ...หรือถ้ามึงอยากให้กูชัดเจนมากกว่านี้ ถ้าการกระทำของกูมันไม่ดังพอ กูก็จะบอกมึงวันนี้แหละไนซ์ ว่ากู ...รักมึงนะไนซ์”

มือของเก่งยังคงกุมมือของเพื่อนรักเอาไว้ พร้อมกับสายตาที่จ้องมองลึกลงไปยังดวงตาของอีกฝ่าย เพื่อค้นหาคำตอบ ... ก่อนที่ดวงตาของคนๆนั้นจะหรี่ลงพร้อมด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะเบาๆ

“กูเข้าใจแล้วเก่ง ... เอาเป็นว่ากูคงจะไปแต่งงานไม่ได้แล้วล่ะ ... ก็มึงขอร้องซะขนาดนี้นี่นา ... ส่วนเรื่องอื่น ....”ไนซ์ค่อยๆดึงมือของตัวเองออก จนอีกฝ่ายหน้าถอดสี แต่ก็ยังฝืนยิ้มไว้
“เราคงต้องลองนับหนึ่งกันใหม่ ... เพราะกูไม่เคยคิดแบบนั้นกับมึงเลย แต่ถ้าเราจะเริ่มนับกันตอนนี้ ก็ยังไม่สายหรอกเนาะ มึงว่ามั้ยเก่ง”

คนตัวดำค่อยๆฉีกยิ้มโชว์ฟันขาวให้กับคำตอบของคนที่เขาเฝ้ารักเฝ้ามองมาตลอดสิบปีอย่างมีความสุข
..... ในวันนี้ และพรุ่งนี้ เก่งและไนซ์ต่างเริ่มนับหนึ่งเพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและกันอีกครั้ง และหาคำตอบให้กับตัวเอง ว่าคนๆนี้เป็นที่ใช่หรือยัง

.
.
.
ไม่มีทฤษฎีข้อไหน ที่จะตอบคำถามในจักรวาลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่ามนุษย์เป็นคนนิยามทฤษฎี และมนุษย์ก็เป็นเพียงเสี้ยวอณูของผงฝุ่นในจักรวาลเท่านั้น เหมือนกับเก่งที่เลือกที่จะให้รักตามหา แต่ความรักก็เล่นตลกให้เขาต้องออกแรงบ้าง ก่อนที่ความรักจะหลุดลอยไป หรือไนซ์ที่วิ่งหาความรักอยู่ร่ำไป โดยที่ไม่เคยรู้เลย ว่าความรักอยู่ใกล้ตัวขนาดไหน ราวกับขนคิ้วเหนือดวงตา





.... แด่ทุกดวงใจที่ยังใฝ่ในรัก ขอให้รักจงบังเกิด....





จบเรื่องที่ ๑

 

แหะๆ ได้ฤกษ์มาจบเรื่องนี้ซะที หลังจากที่ไปขลุ่กอยู่กับลุงเต้กับน้องเจ๋งพักใหญ่
วันนี้ของดลงน้องเจ๋งหนึ่งวัน และมาจบเรื่องนี้แทน
ตอนจบของเรื่องลุงเต้กับน้องเจ๋งเป็นวันพรุ่งนี้นะครับ เห็นบอกไม่อยากให้จบ  :laugh:
(คนเขียนโดนเหยียบ :z6:)

หวังว่าเรื่องแรกจะชอบกัน อย่างที่บอก กระทู้นี้เป็นกระทู้รวมเรื่องสั้นสนองตัณหา
ที่เอาไว้คั่นเวลาและอารมณ์คนเขียนเอง เวลาเอียนนิยายเรื่องหลัก
และปกติ เวลาผมนึกอะไรออก ผมจะบันทึกเอาไว้เป็นพลอต ซึ่งตอนนี้
อยากบอกว่า พลอตนิยายมีอยู่สองสามเรื่อง แต่พลอตเรื่องสั้น ยาวเป็นหางว่าวเลย ฮาๆๆ  :laugh:

แอบสปอย สำหรับเรื่องสั้นที่จะเขียนในนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ
ที่บังเอิญไปอ่านเจอ ฟังเพลง หรือผีสิงแล้วคิดออก  :laugh:
ดังนั้น บางเรื่องอาจจะไม่หวานหยด หรือฮาก๊าก แต่จุดประสงค์คืออยากนำเสนอแนวคิดมากกว่า

ขอบคุณที่เข้ามาเสพเรื่องสั้นคั่นเวลาของผมนะครับ

Glorious
นายหนิงหน่อง
 :3123:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 02-11-2011 22:11:20
 ชอบประโยคที่เก่งสารภาพ

:pig4:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 02-11-2011 22:32:57
ไนซ์นี่โชคดีนะ ที่เก่งรักแบบไม่มีเงื่อนไขมาตั้งเป็นสิบปี
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: nco1236 ที่ 02-11-2011 22:45:36
 :sad4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 02-11-2011 23:40:53
อ่า ในที่สุด เส้นขนานก็ขยับมาชิดกันจนได้
ดีใจกะเก่งด้วยที่พูดออกมาได้ซักที และไนซ์ก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับฟัง
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 03-11-2011 00:05:23
เค้าชอบนิยามตอนจบ
ไม่ได้ชอบนิยายเศร้านะแต่ชอบนิยายของ Glorious เท่านั้นแหละ
ปกติอ่านแต่นิยายเฮฮา เพราะชีวิตจริงเครียดพอแล้ว T__T
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 03-11-2011 00:42:34
อืม...อ่านแล้วนึกถึงคำว่า "จังหวะชีวิต" ขึ้นมาเลยล่ะ
การบอกความรู้สึกของเก่งคงต้องเป็นช่วงเวลานี้ คือ ก่อนหน้านี้ อาจจะเสี่ยงไม่สมหวัง รอนานกว่านี้ก็สายไป หรือหมดโอกาส
โชคดีที่เอื้อมมือไปรับผีเสื้อที่กำลังจะหมดแรงไว้ได้ทัน ( ลุ้นแทบแย่  o7 )
ดีใจที่เส้นขนานได้มาบรรจบ(สักที) จากนี้ทั้งสองคนจะเริ่มนับ 1 ใหม่และก้าวไปพร้อมกันบนเส้นเดียวกัน (เส้นรอบวง? )

หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 03-11-2011 08:33:51
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 03-11-2011 12:59:07
 o13 สุดยอดดดด  ในที่สุดเส้นขนานก็มาบรรจบได้

เมื่อผ่านไปเป็นสิบปี 

ปล.บวกเป็ดให้ค่ะ  รอเรื่องอื่นๆต่อไป
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 03-11-2011 13:44:37
จบแบบนี้ถือว่า happy ending ใช่ไหมนะ

รอเรื่องต่อไปอยู่นะ ^^
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 03-11-2011 19:06:36
ถึงเป็นเส้นขนาน
มันก็สามารถมา
บรรจบกันได้
อยู่ที่ใจเราแค่นั้นเอง :กอด1:
+1ให้กับเรื่องสั้นน่ารักนี้
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 03-11-2011 19:40:45
จบแบบไม่รู้ว่าจะสวยงามหรือขี้เหร่  ก็เล่นจบตรงจุดเริ่มต้นเลย  แต่ชอบครับ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 03-11-2011 22:47:14
ความรักเป็นสิ่งสวยงาม

อยากได้ตอนพิเศษ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๑ ความสุขบนเส้นขนาน(ตอนจบ) (๒.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 06-11-2011 03:23:43
เราคิดว่าเก่งเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นคงเป็นแฟนที่ดี ในที่สุดเก่งก็พูดออกมานะเนี่ย ขอให้มีความสุขกับไนซ์ ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้จ้า เป็ดให้เป็นกำลังใจนะ  :L2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘ ตอนแรก (๖.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 06-11-2011 04:18:33
ตุลาคม ๒๕๓๘ (ตอนแรก)

ผืนน้ำสีน้ำตาลอ่อนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาของแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเอื่อยเป็นแนวยาวทอดผ่านจากปากน้ำโพไหลลงสู่อ่าวไทย แดดยามบ่ายแก่ทอแสงรำไรฉาบทับระลอกคลื่นที่พลิ้วไหวดั่งศิลปะที่อยุ่เมืองไทยมานานแสนนานตั้งแต่สมัยโบราณกาล หากนับจากสมัยพุทธกาล แม่น้ำสายนี้ก็ไหลรินมาร่วมสองพันห้าร้อยปีแล้ว
ที่แห่งนี้ หากย้อนไปเมื่อหลายร้อยคงถูกเรียกขานด้วยชื่อนครต่างๆนานา หากแต่ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๘ นี้ ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า เมืองปทุมธานี ประตูเจ้าพระยาที่เป็นหน้าด่านก่อนเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย
หากในสมัยก่อน ปทุมธานีจะเต็มไปด้วยทิวทัศน์ทีเขียวเป็นทิวแถวอันเกิดจากการกสิกรรมของผู้คนที่นี่ หากแต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ความก้าวทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆได้เข้ามา ทำให้พื้นที่ปลูกข้าววของที่นี่ถูกจำกัดให้อยู่ในส่วนของที่ดินที่ยังมีกลุ่มคนเมืองปทุมบางกลุ่มที่ยังคงยึดอาชีพกสิกรรมเป็นอาชีพอยู่

...นนทภัทร เจ้าหน้าที่เกษตรของอำเภอเมืองปทุมธานีมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะจัดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อยและเดินออกจากห้องทำงานด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน ถึงคนที่นี่จะทำนากันน้อยลง แต่ก็มีชาวบ้านเข้ามาปรึกษาอยู่เรื่อยๆทุกวัน แต่ถึงชายหนุ่มจะเหนื่อย เขาก็มีความสุขกับงานนี้ งานที่สนับสนุนกระดูกสันหลังของชาติ ที่เป็นอาชีพหลักของคนไทย แต่ถูกกดขี่มาตลอดหลายสิบปีจากกระบวนการการตลาด

ชายหนุ่มเดินเล่นในตลาดเล็กๆกลางเมืองที่มีของกินของใช้หลายอย่าง และเป็นศูนย์รวมการซื้อขายของคนที่นี่ ... เขาหยุดยืนอยู่หน้าทางเท้า ที่มีคุณยายแก่ๆขายข้าวต้นมัดนั่งขายอยู่
“เอาให้ผมสี่มัดครับยาย”
“ได้สิจ๊ะ พ่อนน” มือเหี่ยวย่นของหญิงชราหยิบสินค้าใส่ถุง พร้อมกับยิ้มให้กับลูกค้าขาประจำของนาง
“ไม่ต้องทอนครับยาย” ชายหนุ่มยื่นธนบัตรสีแดงให้ด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะรับถุงข้าวต้มมัดมา
“ขอบใจนะพ่อนน ที่ใจดีกับคนแก่ๆอย่างยาย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เงินเล็กๆน้อยๆ ผมพอช่วยได้ก็อยากช่วยน่ะครับ”
“เฮ้อ ... ถ้าลูกหลานยายเค้าเป็นคนดีแบบพ่อนนก็ดีสินะ” หญิงชราตัดพ้อโชคชะตาด้วยแววตาเศร้าๆ
“ผมก็อยากมีญาติผู้ใหญ่เหมือนยายครับ แต่ผมมันพวกคนไร้ญาติขาดมิตร เลยมาขี้ตู่เอายายมาเป็นยายของผมไงครับ” ชายหนุ่มยิ้ม “ผมกลับก่อนนะครับ”
“เดินทางดีๆนะพ่อหนุ่ม”

กิจวัตรของชายหนุ่มในช่วงหลังเลิกงานยังไม่หมดเพียงเท่านี้ หากแต่ยังมีอีกอย่างหนึ่ง ที่นนทภัทรมักจะทำอยู่ทุกวัน ....
“อ่ะ ... ผมซื้อมาฝาก” ชายหนุ่มวางถุงข้าวต้มมัดลงบนโต๊ะเล็กๆ ไม่ไกลจากท่าน้ำเมืองปทุมมากนัก อีกฝั่งของโต๊ะมีชายหนุ่มอีกคนนั่งทำหน้าเอือมๆกับของที่วางอยู่
“ขอบใจนะ”
“ผมเอาสองพวง สี่สิบบาทใช่มั้ย” ชายหนุ่มหยิบพวงมาลัยดอกมะลิที่ร้อยด้วยอุบะดอกรักชายกุหลาบ พลางล้วงมือหยิบเงินให้พ่อค้าวัยไล่เลี่ยกันกับเจ้าหน้าที่เกษตรหนุ่ม
“ขอบคุณที่มาอุดหนุนผมทุกวันนะ” พ่อค้าหนุ่มตอบเรียบๆ อย่างไม่ใส่ใจลูกค้าคนนี้นัก
“ไม่เป็นไร ด้วยความยินดีอย่างที่สุด” ชายหนุ่มในชุดข้าราชการยิ้ม ก่อนจะนั่งยองๆข้างๆพ่อค้าหนุ่ม
“ขอบคุณที่ซื้อข้าวต้มมัดมาให้ทุกวันด้วย ซื้อมาได้ทุกวี่ทุกวัน”
“ก็ยายเค้าน่าสงสาร ผมก็ช่วยอุดหนุนยายเค้าเท่านั้นเอง”
“แล้วทำไมไม่กินเอง”
“ผมบอกนายแล้วนี่ ว่าผมไม่ชอบกินกล้วย”
“คนอื่นที่เค้ากินกล้วยได้มีเยอะแยะ กระจายความใจดีไปให้คนอื่นบ้างสิ”
นนทภัทรยิ้มให้พ่อค้าขายพวงมาลัย ก่อนจะพูดต่อ “คนที่กินกล้วยได้น่ะมีเยอะแยะจริง แต่คนที่ผมอยากให้กินกล้วยของผมน่ะ .... มีแต่นายคนเดียวนั่นแหละ”
“บ้าเหอะ ใครเค้าอยากจะกินกล้วยของคุณ” พ่อค้าพวงมาลัยหน้าเสีย ในขณะที่อีกคนหัวเราะร่าอย่างมีความสุข คำว่ากล้วยของนนทภัทรมีความหมายสุ่มเสี่ยงมากกว่ากล้วยที่เป็นหวีแน่
“อ้อ โทษที ผมว่าผมหมายถึง กล้วยของยายในข้าวต้มมัดน่ะ”
“ผมก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละ”
“พวงมาลัยของนายผมก็มาอุดหนุนออกบ่อย ขนมก็ซื้อมาฝากทุกวัน ไม่คิดจะยอมบอกชื่อผมซักทีหรอ” นนทภัทรเท้าคางพร้อมกับใช้ศอกกระทุ้งพ่อค้าเบาๆ
พ่อค้าหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปตอบชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ“ผมชื่อจอม พอใจหรือยัง“
 “แล้วจอมอยากรู้มั้ยว่าผมชื่ออะไร”นักการเกษตรหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ถ้าบอกว่าไม่อยากล่ะ”
“ผมชื่อนนนะ”
“แล้วจะขอความเห็นทำไม”
“จอมรู้มั้ย ทำไมผมถึงมาอุดหนุนจอมบ่อยๆ”
“สงสารมั้ง ผมคงดูปอนๆ”
“เปล่าเลย ... เพราะจอมน่ารักต่างหาก”

พ่อค้าจอมหันขวับเมื่อได้ยินเพลงยาวขนาดสั้นของนักการเกษตรหนุ่ม ก่อนจะยิ้มอย่างขำๆ “คุณทำงานอะไรเนี่ย เจ้าหน้าที่การรถไฟ นายตรวจตั๋วเรือ หรือเป็นตำรวจ ส่วนลิเกคงจะไม่ใช่”
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่การเกษตรที่อำเภอน่ะครับ และผมไม่ใช่ทั้งรถไฟเรือเมล์ลิเกตำรวจ ดังนั้นคำพูดของผมเชื่อถือได้นะ”
“แต่ผมยังคิดว่าคุณดูท่าทางกะล่อนนะ สงสัยคงต้องไม่ได้มีแต่อาชีพพวกนั้นที่ท่าทางจะเจ้าชู้”
“โธ่ จอมก็มองผมแง่ร้าย” ชายหนุ่มพ้อ
“ถ้าไม่จริงก็อย่าร้อนตัวไปสิ”
“งั้นจอมเชื่อใจผมได้เลย”
“ผมไม่เห็นความจำเป็นที่ผมจะเชื่อใจคุณนนนะครับ” พ่อค้าขายพวงมาลัยยิ้มกวน
“ไม่ได้สิ ผมต้องทำให้นายเชื่อใจ เพราะผมกำลังจีบนายอยู่นี่”

จอมหน้าแดงและร้อนผ่าวเมื่อได้ยินคำขอจีบที่ตรงไปตรงมาเหมือนตีแสกหน้าด้วยไม้หน้าสาม ชายหนุ่มรู้ดีว่าจุดประสงค์ของลูกค้าหน้าเดิมคนนี้ที่เทียวไปเทียวมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคืออะไร แต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะเฉลยออกมาอย่างไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด
“ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่าไม่รังเกียจผมใช่มั้ยครับ คุณพ่อค้าพวงมาลัย”
“ปะ ... เปล่า แค่ตกใจ”
“แล้วรังเกียจผมหรอจอม”
“ค่อนข้าง” จอมกลั้นอารมณ์ขำไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง จนทำให้ชายหนุ่มที่ดูมั่นใจเมื่อสักครู่คลายท่าทีลง
“งั้นหรอครับ ... ผมคง ...ทำให้จอมลำบากใจสินะ”
ชายหนุ่มมองหน้าคนที่กำลังทำหน้าจ๋อย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ก็ตอนนี้ยังรังเกียจไง ... แต่ถ้าได้กินข้าวต้มมัดทุกวันๆ อาจจะไม่รังเกียจก็ได้”
นนทภัทรคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อได้ยินคำพูดของคนที่ตัวเองมีใจให้
“งั้นผมเหมาหมดนี่เลย”
“เฮ้ย ... ไม่ต้องโชว์ว่าเป็นพ่อบุญทุ่ม จะซื้อไปทำไมเยอะแยะ”
“ไม่ได้โชว์ จะเอาไปบนเจ้าพ่อทั่วปทุมเลย ขอให้ผมจีบจอมสำเร็จไง”
“ฮ่าๆๆๆ คุณนี่มัน” พ่อค้าหัวเราะชอบใจในความล้นของนักการเกษตรหนุ่ม “โอเค พวงมาลัยน่ะเหมาได้ แต่ตัวพ่อค้ายังไม่ขายนะ ... รอราคาขึ้นกว่านี้สักหน่อยถึงจะปล่อยทอดตลาด”
“งั้นผมรอช้อนซื้อนะครับ”
.
.
.
ตะวันเริ่มคล้อยต่ำ พวงมาลัยของพ่อค้าหนุ่มขายได้เรื่อยๆจนหมดลง จอมเก็บโต๊ะโดยมีชายหนุ่มนักการเกษตรมาช่วยเก็บพร้อมกับรอยยิ้มที่เจ้าตัวขยันแย้มเหมือนนกยูงหมั่นรำแพนหางอวดตัวเมียโดยหวังว่า พ่อค้าหนุ่มที่หมายตาจะรู้สึกดีด้วย
“ขอบใจนะ ที่ช่วย”
“ก็บอกว่ายินดีนี่นา .... แต่ถ้าจะตอบแทนด้วยหัวใจผมก็โอเคนะ”
“ไปเป็นพระเอกลิเกน่าจะรุ่งนะคุณเนี่ย”
“ไม่รุ่งหรอก ... ผมอ้อนแม่ยกไม่เก่งเท่าอ้อนนายหรอกจอม”
จอมหัวเราะเบาๆกับคำพูดของชายหนุ่มที่หยอดตัวเอง ก่อนจะกล่าวคำลา “ผมกลับก่อนนะ”
“ไหนๆก็ยอมให้ผมตามจีบแล้ว จอมบอกผมหน่อยได้มั้ยว่าบ้านจอมอยู่ที่ไหน”
“ผมอยู่บ้านแพน”
“อ้าวอะไรกัน” ชายหนุ่มยิ้ม “มีแฟนแล้วหรอ ถึงไปอยู่กับคนชื่อแพน”
จอมหัวเราะอีกครั้งกับมุกแป้กๆของนายนน “อื้ม ... มีแล้ว จบมั้ย”
“แหมจอมเนี่ย แทนที่จะแก้ตัว”
“อ้าวไม่ดีหรอ ช่วยรับมุกคุณไง”
“ไม่ดีหรอก แฟนจอมต้องชื่อนนสิ”
“เฮ้อ ไร้สาระ ผมกลับจริงๆแล้ว บายครับ” จอมหันหลังมุ่งหน้าไปที่ท่าน้ำ
“เดี๋ยวสิจอม ... “ ชายหนุ่มในชุดสีกากีอ่อนยิ้ม “จอมยังไม่ได้ให้เบอร์ผมเลย”
“บ้านผมไม่ได้ติดโทรศัพท์หรอครับ ไม่ได้มีญาติมิตรที่ไหนให้ติดต่อ บ้านคนจนก็อย่างนี้แหละ ... ได้ยินแบบนี้แล้วยังจะจีบอยู่มั้ย คนจนมันเหม็นสาบนะ”
“ไม่มั้ง ... ผมไม่ได้กลิ่นนะ”
“ตามใจเถอะ ... แต่ผมไม่มีเบอร์อะไรให้คุณหรอก ถ้าอยากเจอก็เจอกันที่นี่แหละ ผมไม่หายไปไหนหรอก” ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบตาไปมองที่นาฬิกาแขวนในท่าน้ำปทุม “เรือน่าจะมาแล้ว ผมกลับก่อนนะ”
“โชคดีนะครับจอม ดูแลตัวเองด้วย อ้อ เห็นปีนี้เค้าบอกน้ำจะท่วมด้วยนะ”
“นี่คุณเจ้าหน้าที่ คุณกำลังบอกคนอยุธยาที่อยู่กับน้ำท่วมมาทุกปีนะ ผมรู้น่า ... แต่ก็ขอบใจที่เป็นห่วงนะ”

จอมเดินเข้าไปในท่าน้ำและหยุดรอเรือที่โป๊ะที่ยื่นเข้าไปในแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนจะหันมาโบกมือลาให้กับนนทภัทรอีกครั้ง ชายหนุ่มยืนมองร่างสมส่วนของพ่อค้าพวงมาลัยด้วยรอยยิ้ม จนเจ้าตัวขึ้นเรือแดงจากไป
นนทภัทรเดินทอดน่องกลับบ้านอย่างมีความสุข กับการได้หยิบยื่นไมตรีให้แก่คนที่ยากไร้และคนที่เขารู้สึกดีทุกๆวัน ถึงเจ้าตัวจะยังไม่ได้มีท่าทีชมชอบในตัวชายหนุ่มสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยพ่อค้าพวงมาลัยคนนั้นก็ไม่ได้รังเกียจนนทภัทร

เสียงดนตรีเพลงลูกทุ่งดังมาจากลำโพงขนาดเล็ก ที่ชายตาบอดคล้องคออยู่คู่กับหญิงตาบอดที่ถือกล่องรับบริจาคและใช้ไม้เท้านำทางอีกคน ที่นนทภัทรเดาว่าน่าจะเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกัน ... อินโทรเพลงบรรเลงได้สักครู่ ชายตาบอดก็ยกไมค์ขึ้นขับขานเพลง
“พี่พบเนื้อนวลมานั่งเรือด่วนสายบ้านแพน
เราต่างรักกันเหมือนแฟน .... เมื่อเรือด่วนแล่นถึงเมืองปทุม
เรือด่วนวิ่งไป  เหมือนหัวใจพี่ตกหลุม
พี่หลงรักแม่เนื้อนุ่ม แม่ค้าสาวชาวบ้านแพน...”
ชายหนุ่มอมยิ้มให้กับบทเพลงที่วณิพกสองผัวเมียร้อง เขาไม่เคยฟังเพลงนี้อย่างจริงจังนัก แต่ท่วงทำนองก็คุ้นหูอยู่บ้าง และที่สำคัญ นนทภัทรพอใจกับเนื้อเพลงที่กล่าวถึง...แม่ค้าบ้านแพน
ธนบัตรใบสีแดงถูกหย่อนลงไปในกล่องรับบริจาค ก่อนที่ชายหนุ่มจะออกเดินทางกลับที่พักอีกครั้ง
“นี่ถ้าร้องว่า พ่อค้าหนุ่มบ้านแพนนะ พ่อจะควักใบม่วงให้เลย” นนทภัทรคิดในใจ พร้อมกับผิวปากเพลง “พ่อค้าตาคม” อย่างอารมณ์ดี

มาแล้ว เรื่องที่สอง หลังจากไปจบเรื่องลุงเต้กับน้องเจ๋งมาเรียบร้อย

ดีใจที่ชอบสองลุงจากเรื่องที่แล้วนะครับ

กว่าสองลุงจะพาเส้นขนานมาบรจบกัน ก็รอกันจนผมหงอกเลยทีเดียว (สิบปีแน่ะ เวอร์เนาะ  :laugh:)

ส่วนพี่ konnarak ที่ขอตอนพิเศษ คงต้องขอขัดใจนะครับ เพราะผมว่ามันสมบูรณ์ในตัวมันแล้ว

(อีกอย่างมันเป็นเรื่องสั้นนี่เนาะ)

เรื่องที่สองนี้ผมยังคงหัดเขียนแบบมุมมองบุคคลที่สามอยู่ อาจจะไม่ดีเท่าไหร่

แต่จะพยายามพัฒนานะครับ

ยังไม่ขอพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ไม่อยากชี้นำ แต่ตอนหน้าจะจบเรื่องที่สองแล้ว

(หรืออาจะมีอีกตอน ถ้าจบไม่ลง  :laugh:)

ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะครับ

ปล. พี่เดหลีเมื่อไหร่จะคลอดเรื่องยาวสักทีครับ รออ่านอยู่นะ เอาแมวสี่ตัวมาเป็นแขกรับเชิญด้วยนะ  :o8:

หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนแรก) (๖.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 06-11-2011 14:57:31
มุขจีบของเกษตรอำเภอไม่เบาเลย

เวลาได้ยินคำว่า เกษตรอำเภอ ทีไร จะนึกถึงคุณประทีปกับครูไพลิน ในหนังสืออ่านภาษาไทยตอนประถม มานะมานี ทุกครั้งไป
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนแรก) (๖.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 07-11-2011 14:48:18
เรื่องใหม่น่ารัก

เล่าได้สวยดีค่ะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนแรก) (๖.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-11-2011 20:56:15
ฮ่าฮ่า ชอบเพลงนี้เหมือนกัน (บ่งบอกอายุ)
พี่นนเป็นเจ้าบุญทุ่มจริง ๆ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนแรก) (๖.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 07-11-2011 23:53:50
พ่อเกษตรอำเภอปากหวาน เทียวไล้ เทียวขือ ส่งข้าวต้มมัดทุกวันไม่ค่อยก้าวหน้า
เลยตัดสินใจบอกโต้ง ๆ เลย พ่อค้าพวงมาลัยต้องขวยเขินเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร
คงแค่ขอเวลาดู ๆ ไปก่อน ไม่ชอบบ้าง อะไรบ้าง ไม่รับของฝากทุกวันหรอก  :-[
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนแรก) (๖.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 08-11-2011 19:59:31
ถ้าคุณเจ้าหน้าที่ จะปากหวานขนาดนี้นะ อีกไม่นานหรอก

หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนแรก) (๖.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 08-11-2011 20:41:07
นนทภัทรผู้ชายจริงใจ  ขี้สงสาร  ปากหวาน  นิสัยดี

หยอดแบบนี้ทุกวันพ่อค้าหนุ่มบ้านแพนไม่หลงก็ไม่รู้จะว่าไปงแล้ว

+1และเป็ดให้จ้า รอตอนต่อไปน้า

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนแรก) (๖.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 10-11-2011 05:35:02
(แอบคิดย้อน ตอนพ.ศ. 2538 เราทำไรอยู่หว่า ยังเรียนประถมอยู่เลย เอิ๊ก) มีบอกเรื่องน้ำท่วม แถมเลือกปีพ.ศ. นี้อีกหวังว่ามันจะไม่โศกน้า เรื่องนี้น่ารักอะ

คุณนนใจป้ำมากมาย สมัยนั้นเงินร้อยก็ยังไม่เฟ้อเท่านี้เน้อ รวยเกินเกษตรอำเภอไปและ

ปล. คุณน้องอย่าเพิ่งทวงเรื่องยาวเค้านะ เขียนไปแล้วแหละแต่เป็นพวกชอบกลับไปแก้ ต้องรอให้นิ่งๆ ก่อนถึงจะลงได้ พักนี้ยังแอบยุ่งอีกด้วย ยังไงก็ขอบคุณมากๆ จ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนแรก) (๖.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 10-11-2011 06:22:03
เกษตรอำเภอติงต๊อง  :laugh:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนแรก) (๖.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 11-11-2011 12:13:01
หยอดคำหวานทุกวัน
เมื่อไหร่พ่อค้าตาหวานจะใจอ่อนน้า  :L2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนจบ) (๒๑.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 21-11-2011 14:44:20
ตอนจบ

ปลายเดือนกรกฏาคม สถานการณ์น้ำเหนือไหลบ่ายังคงน่าเป็นห่วง หากแต่คนภาคกลางห่างหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมมานาน เมื่อครั้งล่าสุดในสมัยพุทธศักราช ๒๔๘๓ นนทภัทรรู้ข้อมูลเรื่องนี้ดี ... หากแต่ทั้งทางการก็ไม่ได้ใส่ใจภัยธรรมชาติเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนี้เท่าไหร่นัก เพราะคนในที่ราบลุ่มส่วนใหญ่นั้นผจญกับน้ำท่วมอยู่เสมอ เพียงแต่เหตุการณ์ไม่รุนแรงและกินเวลาไม่นานนัก
พายุหลายลูกถล่มประเทศไทยนานหลายเดือนทำให้เกิดมวลน้ำจำนวนมหาศาลจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน หากแต่ทางการยังคงไร้การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมวลน้ำก้อนนี้ นนทภัทรยิ่งเป็นห่วงถึงปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะหากสิ่งที่เขากังวลเกิดขึ้นจริง พื้นที่ทำการเกษตรไม่รู้กี่ไร่ต่อกี่ไร่ในปทุมธานีคงต้องจมอยู่ใต้กระแสน้ำนานนับเดือนแน่
.
.
.
“เป็นอะไรไปคุณ ทำหน้าเหมือนท้องผูกมาหลายวันเชียว” พ่อค้าพวงมาลัยถามขึ้น หลังจากที่มองลูกค้าขาประจำวางถุงข้าวต้มมัดลงบนโต๊ะพร้อมกับนั่งลงหน้ามุ่ยๆ
“เครียดๆนิดหน่อยน่ะจอม”
“เรื่องงานน่ะหรอ”
“ไม่เชิงซะทีเดียว ผมเป็นห่วงชีวิตของคนที่นี่มากกว่า”
“เอ๋ ... ยังไงกันเนี่ยคุณนน”
“ก็ ... ถ้าผมบอกคุณว่าปทุมธานีน้ำจะท่วม คุณจะเชื่อผมมั้ย”
“เชื่อสิ ที่นี่ก็ท่วมทุกปีอยู่แล้ว”
“ไม่สิ มันจะไม่ใช่แค่ท่วมเหมือนทุกๆปีที่ผ่านมา แต่มันจะสูงเมตรสองเมตรและท่วมเป็นเดือนเลยนะจอม”  นนทภัทรยังไม่คลายความวิตก
“ขนาดนั้นเลยหรอคุณ มันเกินไปหน่อยหรือเปล่า ตั้งแต่ผมเกิดมาจนอายุเท่านี้ผมยังไม่เคยเห็นเลยนะ”
“ถูกของคุณ แต่ข้อมูลมวลน้ำปีนี้มันฟ้องว่ามันน่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่ว่าใครก็พากันมองข้ามไปเพราะมัวแต่บอกว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นนี่สิ”
“มันก็พูดยากนะครับ แล้วถ้าคุณมั่นใจว่ามันจะท่วมขนาดนั้นจริง คุณจะให้พวกชาวบ้านเค้าทำยังไงต่อละ”
“ก็ขนของหนีน้ำ และเตรียมอพยพหากสถานการณ์น้ำไม่น่าไว้ใจ”
“คุณพูดยังกับว่าปทุมธานีจะจมลงสู่มหาสมุทรแน่ะนน”
“แต่มันอาจจะเกิดขึ้นจริงๆนะ ... ผมเป็นห่วงชาวบ้านทุกคนที่นี่ โดยเฉพาะ...คุณนะ”
จอมคลี่ยิ้มออกช้าๆ ชายหนุ่มไม่ได้ปักใจเชื่อข้อมูลของนนทภัทรเท่าไหร่นัก หากแต่...ความเป็นห่วงของคนตรงหน้านั้น เขารู้สึกได้ว่าความรู้สึกนั้นเป็นของจริง
“ขอบคุณนะ ถึงคนบ้านแพนจะคุ้นเคยกับน้ำท่วมเป็นอย่างดี แต่เห็นทีปีนี้คงต้องระวังมากกว่านี้สักหน่อยแล้วล่ะ ก็เจ้าหน้าที่ของรัฐเค้าเตือนขนาดนี้นี่นา”
“แหม เตือนก็ต้องเชื่อกันหน่อยสิ”
“ก็เชื่อแล้วไง ต้องให้ทำยังไงอีกล่ะ”
“รักผมซะทีสิ” เกษตรอำเภอหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์
“น้อยๆหน่อยเหอะ ง่ายไปมั้ง”
“ง่ายที่ไหน ผมตามจีบจอมตั้งหลายเดือนแล้วนะ”
“รออีกสักปีไม่ได้รึไง” พ่อค้าพวงมาลัยยักคิ้วตอบ
“อ้อ ปีหน้าแต่งแน่สินะ”
“ตลก!”
.
.
.
พระอาทิตย์ยามเย็นคล้อยต่ำหากแต่แสงแดดยามเย็นยังทอแสงเป็นประกายกับผิวน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำท่วมกรุงเทพดูไม่ใช่เรื่องที่เกินจินตนาการเท่าไหร่นัก เมื่อมวลน้ำจากภาคเหนือเริ่มไหลเข้าสู่นครสวรรค์ อุทัยธานี และพิจิตรสูงถึงหนึ่งเมตรทั่วตัวเมือง
ผู้คนที่ทางการประกาศเป็นทางผ่านของน้ำเริ่มตื่นตัวและเตรียมมตัวรับกับปริมาณน้ำที่จะต้องประสบ
ดอกรักของเกษตรอำเภอหนุ่มกับพ่อค้าพวงมาลัยค่อยๆผลิบานริมท่าน้ำเมืองปทุมธานี สวนกระแสกับมวลน้ำที่ไหลบ่ามาเรื่อยๆ น้ำท่วมกรุงเทพและปริมณฑลไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อน้ำค่อยๆท่วมไล่มาจากพิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์ ...
“นนท์ คุณบอกว่า น้ำจะท่วมหนัก.... จริงๆหรอ”
“ก็จริงสิจอม ผมเตือนคุณแล้ว ไม่ได้มีแต่จอมหรอกนะที่วิตกกัน พวกเกษตรกรเค้าก็เครียดไม่น้อยไปกว่าคุณ และหากน้ำมาเมื่อไหร่ เทือกสวนไร่นาของพวกเค้าคงต้องจมน้ำแน่ๆ”
“แล้ว .... นนท์ว่า”
“น้ำมาแน่ๆ จอม” แววตาของเกษตรอำเภอหนุ่มแน่วหน้าและเป็นห่วงคนตรงหน้า “ผมอยากให้จอมมาอยู่กับผม .... ผมเป็นห่วงจอมนะ”
“ขอบคุณนะ” จอมมองตาคู่นั้นกลับด้วยท่าทีที่อ่อนโยน และเป็นมิตร “แต่ผมมีแม่ที่ต้องดูแล และบ้านของผม ผมก็ต้องดูแล ผมเป็นเสาหลักของบ้านนะ ผมจะหนีเอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้หรอก”
“พาแม่ของจอมมาด้วยกันสิ ... ผมยินดี เพราะ... ผมรักแม่ของจอมเหมือนที่ผมรักจอมนั่นแหละ”
“นนท์...”
“ผมพูดจริงๆ ผมรักจอม .... ผมรู้ว่าน้ำท่วมครั้งนี้หนักหนาสาหัสไม่ธรรมดา ... และชีวิตคนเรามันก็ไม่แน่นอน แต่ผมคิดว่า ผมดูแลคนที่ผมรักได้” วาจาของนนทภัทรมั่นคง และแน่วแน่ คำพูดของเขาหนักแน่นยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อกุมมือของคนที่เขาอยากใหมั่นใจเอาไว้แน่น “ผม.... ไม่อยากให้คุณเป็นอะไรนะ”
“นนท์ .... ผม”
“ผมต้องบอกว่ารักคุณอีกกี่ครั้ง คุณถึงจะยอมย้ายมาอยู่กับผม” มือเรียวของจอมถูกกุมให้แน่นขึ้นอีก จนอีกฝ่ายต้องหลบตา
ท่าน้ำเมืองปทุมขวักไขว่ไปด้วยผู้คนที่เดินไปมา คงมีจำนวนไม่น้อยที่เตรียมตัวรับสานการณ์น้ำที่กำลังจะมา จนลืมสนใจไปว่า ผู้ชายสองคนกำลังสานความสัมพันธ์กันด้วยการจับมือกันไว้ใต้โต๊ะแผงพวงมาลัย หากผู้คนพวกนั้นสังเกตมาสักนิด คงจะมองเห็นพวงแก้มที่แดงก่ำด้วยความเขินอายของพ่อค้าพวงมาลัยแห่งท่าน้ำเมืองปทุมในตอนนี้
“ขอบคุณอีกครั้งนะนนท์ .... แต่ผมคิดว่า ผมคงไปอยู่กับนนท์ไม่ได้ บ้านหลังนั้น แม่ผมรักมันมาก ตากับยายของผมอยู่ที่นั่นมาตลอด ถึง...ผมจะเป็นแบบนี้ แต่ถึงยังไง ผมก็ต้องดูแลท่าน”
“จอม ...”
“แล้วนนท์ก็ไม่ต้องพูดว่ารักผมอีกแล้วล่ะ .... เพราะผม ก็รู้สึกไม่ต่างจากนนท์หรอก”
นนทภัทรยิ้มแก้มปริ เมื่อได้ยินความในที่ถูกเฉลยจากปากของคนตรงหน้า
“นี่หมายความว่า....!!!”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ นนท์เชื่อใจผมมั้ย คนบ้านแพนไม่เป็นอะไรเพราะน้ำท่วมหรอก ผมเกิดจนโตมาจนป่านนี้ จอมรู้มั้ย บ้านผมน้ำท่วมไม่รู้กี่ครั้ง แต่ผมก็ยังรอดมาได้ .... “ พ่อค้าพวงมาลัยพูดทั้งที่ยังก้มหน้า “นนท์รอได้มั้ยล่ะ ไม่ว่ายังไง ผมต้องกลับมาที่นี่ได้อีกครั้งสิน่า”
“จอม ... มาอยู่กับผมเถอะ ให้ผมได้ดูแลจอมนะ ...ผมกลัว”
“ผมรู้แล้วว่านนท์เป็นห่วง แต่ผมก็มีคนให้ดูแลเหมือนกัน .... ถ้ารักกันแล้ว ก็รอหน่อยไม่ได้หรอ”
ดวงตาของนนทภัทรจ้องลึกลงไปในแววตาของชายผู้เป็นที่รัก คำตอบของคนตรงหน้าชัดเจนในแววตาคู่นั้น หากไม่มีแรงบีบมือกลับจากพ่อค้าพวงมาลัย เกษตรอำเภอหนุ่มคงปวดใจไม่น้อยกับการรอคอยท่ามกลางภัยธรรมชาติครั้งนี้ และคำว่ารักที่อีกฝ่ายมอบให้แล้ว กลับให้ความหวังที่ยิ่งใหญ่ ว่าเมื่อมวลน้ำผ่านไป ดอกรักสีชมพูจะผลิบานกลางดวงใจของทั้งสองคน
“ถ้าอย่างนั้น ... ผมจะรอ จอมต้องไม่เป็นอะไรนะ”
“สัญญาได้เลยครับคุณเกษตรอำเภอ”
.
.
.
สถานการณ์น้ำท่วมเป็นไปตามที่นนทภัทรคิด น้ำเหนือไหลบ่ามาจำนวนมากจ่อเข้านครสวรรค์และอุทัยธานี ชายหนุ่มดูข่าวทีวีด้วยความรู้สึกใจหาย อีกไม่นานที่นาอีกหลายหมื่นหลายแสนไร่คงจะจมหายไปกับสายน้ำอย่างแน่นอน และที่อดห่วงไม่ได้เป็นที่สุด นั่นก็คือคนอวดดีที่บอกว่าจะปกป้องแม่ที่บ้านแพนนั่นแหละ ตัวแค่นั้นจะไปทำอะไรได้ น้ำไม่รู้กี่ลูกบาศก์เมตรนะ
ข่าวน้ำท่วมทำให้เกษตรอำเภอหนุ่มกระวนกระวายใจอยู่ทั้งวัน หากบ้านของพ่อค้าพวงมาลัยคนนั้นมีโทรศัพท์ชายหนุ่มคงจะโทรไปหาเสียตั้งแต่เมื่อคืนด้วยซ้ำ แต่นี่เบอร์บ้านก็ไม่มี ยิ่งทำให้ความวิตกกังวลใจยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ตกเย็น นนทภัทรรีบบึ่งไปที่ท่าน้ำเมืองปทุมธานีโดยไม่ได้มีข้าวต้มมัดอย่างเคยด้วยความรู้สึกร้อนรนอัดอั้นในใจ และเมื่อไปถึง ภาพท่าน้ำที่ปราศจากแผงพวงมาลัยก็ทำให้ชายหนุ่มแทบจะเข่าอ่อนทรุดตัวลงตรงนั้น
“ไม่....ไม่จริงใช่มั้ยจอม คุณหายไปไหนเนี่ย”
.
.
.
ในที่สุด น้ำก็มาถึงปทุมธานี ข่าวดังที่สุดคงหนีไม่พ้นหมู่บ้านไวท์เฮาส์ที่ท่วมไปหลายหลังคาเรือน ตัวเมืองปทุมธานีเองก็โดนไม่น้อย ระดับน้ำสูงถึงเอวทีเดียวจนที่ว่าการอำเภอไม่สามารถที่จะเปิดให้บริการได้ตามปกติ ตัวนนทภัทรเองก็ออกไปช่วยผู้ประสบภัยตามที่ต่างๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ลึกๆแล้วจะร้อนใจอยู่ทุกวัน กับชะตาของคนที่อยู่บ้านแพน
ข่าวประชาชนต้องอาศัยอยู่บนหลังคาเรือนยิ่งทำให้ชายหนุ่มยิ้งสะท้อนใจ และมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ถูกน้ำพัดพาไปจนหายสาบสูญซึ่งชะตากรรมก็คงไม่พ้นสิ้นลมหายใจ นนทภัทรทำได้แค่เฝ้าภาวนาไม่ให้หนึ่งในผู้โชคร้ายเหล่านั้นไม่มีคนชื่อจอมรวมอยู่ด้วย
ที่ว่าการอำเภอกลายเป็นที่พักพิงชั่วคราวของเกษตรอำเภอหนุ่มและผู้ประสบภัยอีกหลายๆคน ชายหนุ่มนั่งทอดหายใจอยู่บนชั้นสองด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเป็นห่วงคนไกลผู้เป็นดั่งดวงใจ ถึงคนๆนั้นจะยังไม่ตอบรับในไมตรี แต่ทว่าเวลาที่ไม่ได้เจอหน้าหวานๆของชายผู้นั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มร้อนรุ่มดั่งกามนิตหนุ่มกลุ้มใจคนึงหาถึงวาสิฏฐี
“พ่อค้าหน้านวลเคยนั่งเรือด่วน....สายบ้านแพน
ใยหลบหน้าตาหนีแฟน .... เห็นเรือด่วนแล่นคิดถึงแต่เธอ
เคยฝากจดหมายนายท้ายเรือ....ให้เสมอ
พี่หลงคอย....คอยน้องเก้อ
เฝ้าหลงคอยเธอ....ที่เมืองปทุม”
นนทภัทรร้องเพลงที่เคยชอบด้วยเนื้อเพลงที่เปลี่ยนไปตามความรู้สึกข้างใน ก่อนจะรำพึงกับตัวเองเบาๆ
“คุณยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม จอม...”
.
.
.
๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๘
นนทภัทรนั่งมองพระจันทร์เต็มดวงอยู่บนชั้นสองของอาคาร หากเบื้องล่างไม่มีน้ำสูงถึงโคนขาแล้วล่ะก็ วันนี้ตัวเขาเองรวมถึงคนอื่นอีกหลายคนน่าจะได้ไปยืนกันที่ริมตลิ่งพร้อมด้วยเสียงประทัดและแสงเทียนสว่างไสวเต็มผืนน้ำเจ้าพระยา หากแต่เมื่อมองไปทางไหนก็เจอแต่น้ำเช่นนี้ กลับทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่กับภัยพิบัติที่ประสบพบเจอ
ชายหนุ่มฉีกกระดาษจากสมุดทำงาน ก่อนจะพับเป็นเรือใบอย่างง่ายๆ เขาหลับตาอธิษฐานต่อหน้าเรือกระดาษที่ใช้แทนกระทงด้วยความหัวใจที่หวิวๆ เหมือนจะขาด
“ขอให้ผมได้เจอจอมในเร็ววันเถอะนะครับ พระแม่คงคา”
.
.
.
๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๘
เสียงพลุดังเปรี้ยงปร้างพร้อมกับเสียงเพลงอวยพรปีใหม่ดังกระหึ่มไปทั่วท่าน้ำเมืองปทุม น้ำลดจนแห้งหมดแล้วหลังจากท่วมขังเป็นเวลาสองเดือน ลากยาวมาจนถึงเทศกาลสิ้นปี ถึงแม้ประชาชนจะไม่ได้มีเงินทองมากมายนักเนื่องจากต้องหยุดงานและต้องนำไปบูรณะซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย หากแต่ความทุกข์และความเครียดตลอดเวลาที่น้ำมาก็ทำให้หลายคนยิ้มชื่นบานเมื่อเทศกาลแห่งความสุขอย่างวันสิ้นปีมาถึง นนทภัทรยิ้มเหงาๆอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอ หลังจากที่เมื่อวันศุกร์ชายหนุ่มได้ทำงานเป็นวันสุดท้ายของปี และมีประชาชนมาขอรับพันธ์ข้าวไปเป็นจำนวนมากหลังจากที่น้ำท่วมไร่นาเสียหายไป
ชายหนุ่มมองไปยังท่าน้ำเมืองปทุมอีกครั้งด้วยหัวใจที่ว่างเปล่าและปวดร้าว เกือบสามเดือนที่พ่อค้าพวงมาลัยแห่งท่าน้ำเมืองปทุมหายไปจากแผง หากเขาถามชื่อจริงให้รู้ก่อนนี้คงจะตามหาไม่ยากว่านายจอมเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ในเมื่อ นนทภัทรไม่รู้ เขาจึงทำได้แค่รอ ...รอ ...และรอการกลับมาทำการอีกครั้งของแผงมาลัยกับพ่อค้าหน้าหวานแห่งท่าน้ำแห่งนี้
ลานหน้าที่ว่าการอำเภอแน่นขนัดไปด้วยผู้คนเนื่องจากมีมหรสพและห้างร้านมากมายให้เลือกซื้อเลือกชมกัน ชายหนุ่มมองหลายคนในงานที่เกี่ยวแขนกันมาเป็นคู่ๆ หากวันนี้มีจอมอยู่ ชายหนุ่มมั่นใจว่าเขาจะไม่ขลาดอายที่จะทำแบบคนที่รักกันบ้าง ...ให้สมกับที่รอคอย คอยมานานเหลือเกิน โดยที่ไม่รู้ว่าชายคนนั้นอยู่หรือตาย
ห้าทุ่มสี่สิบห้านาที...
นนทภัทรเดินกลับมาที่ท่าน้ำอีกครั้ง ลึกแล้วชายหนุ่มหวังว่าจะได้เจอพ่อค้าหนุ่มชาวบ้านแพงในงานนี้ น้ำในเมืองอยุธยารวมถึงบ้านแพนน่าจะลดลงนานแล้ว เพราะปทุมธานีเองก็แห้งไปจนหมดแล้ว แต่ทว่าไม่ว่ายังไงก็ยังไร้วี่แววของนายจอมคนนั้น
หน่วยงานราชการมีการรวบรวมรายชื่อของผู้สูญหายและเสียชีวิตจากอุทกภัยครั้งนี้ แต่ทว่าเกษตรอำเภอหนุ่มกลับขลาดกลัวที่จะดูรายชื่อเหล่านั้น ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่รู้ว่า จอมชื่ออะไร และเขาก็กลัวที่จะได้เห็นรายชื่อของผู้ประสบชายจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา .... นนทภัทรกลัวที่จะตีความแบบแช่งคนที่เขารัก
“เรามานับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่พร้อมกันนะครับ ....” เสียงโฆษกบนเวทีดังขึ้นจากเครื่องเสียงขนาดยักษ์กลางลาน ชายหนุ่มเหลือบตาไปตามเสียงด้วยแววตาปวดร้าว ก่อนจะนับถอยหลังตามในใจ
“9
8
7
6
5
4
3
2
1”
เสียงประทัดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับดอกไม้ไฟจำนวนไม่รู้กี่ดอกต่อกี่ดอกที่แข่งกันอวดสีสันเต็มน่านฟ้า ชายหนุ่มยิ้มเศร้ากับแสงสีเหล่านั้นพร้อมกับดวงตาที่ร้อนผ่าว ความขมขื่นในหัวใจโหดร้ายเกินไปที่จะทำให้นนทภัทรอดทนต่อได้ หยาดน้ำใสๆค่อยๆทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วงและไหลลงช้าๆข้างแกมของเกษตรอำเภอหนุ่มที่แหงมมองฟ้าเพียงลำพังท่ามกลางฝูงชน
“ดอกไม้ไฟสวยมากๆเลยนะจอม”
“ไม่ปวดคอหรือไงฮึ คุณเกษตรอำเภอ”
เสียงดังมาจากข้างหลังนนทภัทรพร้อมกับความรู้สึกจากการถูกสะกิดเบาๆ เสียงคุ้นหูนั้นดังลอดเสียงครึกโครมของเครื่องมโหรีและเสียงพลุดอกไฟ หากแต่ในเวลานี้ แม้เสียงอื่นจะดังขนาดไหน แต่ทว่าชายหนุ่มกลับดีใจอย่างที่สุดที่ได้ยินเสียงแปลกปลอมนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นเสียงของคน....ที่ชายหนุ่มเฝ้ารอคอยมาตลอดน้ำลด
“ปวดใจมากกว่า หายไปตั้งนานไม่ส่งข่าวส่งคราว”
“ใจเสาะล่ะสิ แค่สองเดือนเอง “
นนทภัทรหันมายิ้มกว้างให้กับจอมที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะคว้าพ่อค้าพวงมาลัยมากอดไว้แน่นอย่างไม่สนใจผู้คนรอบข้าง
“เฮ้ย คุณ จะบ้าหรอ คนเยอะแยะ”
“ผมไม่อายอะไรแล้ว จอมรู้มั้ย ตลอดเวลาที่จอมหายไปแบบไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ผมใจจะขาดเลยรู้มั้ย เป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่มีทางรู้เลย”
“โธ่ ช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้ใครๆเค้าก็ลำบากกันทั้งนั้นแหละน่า”
“แล้วจอมเป็นยังไงบ้างล่ะ”  ชายหนุ่มคลายอ้อมกอดลง พร้อมกับกวาดสายตามองร่างเล็กของพ่อค้าจอมอย่างพิจารณา
“ก็...เฮ้อแย่ ร้อนกินนอนบนหลังคาก็ลำบากเป็นธรรมดาแหละ”
“แม่จอมล่ะ”
“สบายดีครับ ...แม่ผมเก่งกว่าผมอีก แกผจญน้ำท่วมมาตั้งแต่เกิดนะ”
นนทภัทรมองตาของพ่อค้าพวงมาลัยด้วยม่านตาที่ยังเปียกชื้นจากคราบน้ำตา “จอม ... มาอยู่กับผมเถอะ พาแม่คุณมาด้วย ...ผม....รักคุณนะจอม”
“คำรักของคุณมันออกมาง่ายจัง พ่อเกษตรอำเภอ!! ผมคงต้องสำลักความหวานซักวันล่ะมั้งเนี่ย” จอมพ้อหน้าแดงกับคำพูดของเกษตรอำเภอหนุ่ม
“ผมไม่อยากเสียคุณไปไงจอม ชีวิตคนเรามันสั้นนะ ผมอยากอยู่กับจอม อยากนอนกอดจอมทุกวัน อยากบอกรักจอมทุกวันด้วย จอมเข้าใจมั้ย”
ใบหน้าของจอมแดงและร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิมจนต้องปลีกตัวหนีออกมาจากเกษตรอำเภอหนุ่มที่มองเขาด้วยสีหน้าและแววตาที่แทบจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว จอมเลือกที่จะใช้ราวกั้นท่าน้ำเป็นที่พิงตัว ก่อนที่ชายหนุ่มจะพยายามหุบยิ้มและหันหน้าหนีไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา
“แม่ผมคงไม่ยอมไปไหนง่ายๆ ที่นั่นเป็นบ้านของท่าน ....”พ่อค้าพวงมาลัยเว้นช่วงนานสักหน่อย ก่อนจะพูดต่อ “แต่ถ้าเป็นตัวพ่อค้าเองคิดว่า ถ้าได้พักใกล้ๆกับท่าน้ำบ้างวันเว้นวัน ก็อาจจะพอได้นะ”
“จอม...” นนทภัทรฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบ
“แค่นี้พอใจมั้ยครับ คุณเกษตรอำเภอ”
“ไม่พอใจหรอก สงสัยผมคงต้องไปเกลี้ยกล่อมแม่ของพ่อค้าพวงมาลัยสักหน่อย ว่าบ้านของว่าที่ลูกเขยที่ปทุมน่ะ สบายกว่าบ้านที่บ้านแพนของท่านเยอะ ท่านควรจะย้ายมาอยู่เสียที่นี่เลย คุณพ่อค้าพวงมาลัยจะได้มาอยู่ด้วยกันกับผมทุกวัน”
.
.
.
๑๒ กันยายน ๒๕๕๔
สถานการณ์น้ำเหนือไหลทะลักกลับมาระทึกขวัญคนไทยอีกครั้ง น้ำท่วมทั่วจังหวัดนครสวรรค์ ก่อนจะเริ่มไหลเข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานีกำลังจะเป็นจังหวัดต่อไป ปีนี้หลายๆคนวมถึงสื่อต่างๆ ต่างพากันโหมกระแสมวลน้ำครั้งนี้กันเป็นจำนวนมาก หลายๆแห่งต่างช่วยกันขนกระสอบทรายเพื่อทำคันกั้นน้ำ รวมถึง ... ปทุมธานี
“เหนื่อยมั้ยนนท์” ชายหนุ่มที่กำลังตักทรายใส่กระสอบหันไปตามเสียง ก็พบจอมยื่นขวดน้ำพร้อมหลอดมาให้
“เห็นหน้าจอมก็หายเหนื่อยแล้วล่ะ”
“เวอร์ตลอด”
“เอ้า ก็มันจริง รักจริงด้วยนะ”
อดีตพ่อค้าพวงมาลัยที่ตอนนี้กลายเป็นพ่อค้าผลไม้กระแทกหลอดดูดน้ำเข้าปากเกษตรอำเภอหนุ่ม ก่อนจะดุอย่างไม่จริงจังนัก
“เอาให้เลือดออกปากซะทีดีมั้ย จะได้เลิกพูดอะไรเลี่ยนๆ อายุอานามไม่ใช่น้อยๆกันแล้วนะเราน่ะ “
“โอ๊ย มันเจ็บนะจอม” ชายหนุ่มลูบปากตัวเองจนทรายเลอะไปทั่ว จอมอดยิ้มกับความทะเล้นของคนรักไม่ได้ จนต้องเอื้อมมือไปเช็ดทรายที่เปื้อนอยู่ที่หน้าของนนทภัทรเบาๆ
“น้ำท่วมครั้งนี้ เราจะรอดมั้ยเนี่ยนนท์”
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะจอมว่ากระสอบทรายพวกนี้จะเอาอยู่มั้ย แต่ผมไม่กลัวอะไรแล้วล่ะ น้ำท่วมคราวที่แล้วน่ากลัวกว่าเยอะเลยแหละถ้าเทียบกับคราวนี้”
“แต่ผมคิดว่า คราวนี้มันน่ากลัวกว่าเยอะเลยนะ ดูข่าวแล้วก็ใจหาย”
“ผมไม่ได้ใช้ความเสียหายและปริมาณน้ำเป็นตัวตัดสินนี่นา แต่ผมใช้....” นนทภัทรมองตาของคนตรงหน้า ก่อนจะพูดต่อ “คุณไง น้ำท่วมครั้งนี้ ผมมีจอมอยู่ข้างๆ ต่อให้น้ำท่วมโลก ผมก็ต้องพาจอมกับแม่ให้รอดจนได้แหละ”
“ให้มันจริงเถอะ อ่ะตักกระสอบทรายต่อไปไป๊! อย่าอู้”
“คร้าบ ทราบแล้วครับ”
.
.
.
นนทภัทรพูดไม่ผิดนักหรอก ... ก็คนมันเคยผ่านมาแล้วนี่นา น้ำท่วมน่ะ จะท่วมปีที่แล้วหรือปีนี้ มันก็น้ำเหมือนกันนั่นแหละ
.... แล้วปีนี้ ยังมีคนคอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆแบบนี้ ต่อให้น้ำมาสักกี่เมตร นนทภัทรก็คงไม่กลัวแล้วล่ะ

จบตอน
[/color]

ดองพ่อนนทภัทรกับนายจอมซะนานเลย แหะๆ

อย่างที่บอกแหละครับ ว่าโดนย้ายสายฟ้าแลบมาสระบุรี กว่าจะปรับตัวได้ ทำเอาแย่เหมือนกัน

วันนี้แอบลงสองเรื่องรวดเลย โทษฐานรอนาน คือเรื่องใหม่ กรุ่นกลิ่นรวงข้าว กับตอนจบของเรื่องสั้นเรื่องนี้

ขอบคุณที่ตามอ่านนะครับ หวังว่าเรื่องนี้น่าจะเรียกรอยยิ้มให้กับหลายคนบ้างนะครับ

@yeyong : พี่สาวสุดสวย อยากบอกว่าผมทันมานะมานีนะ แต่ครูไพลินนี่นึกไม่ออกจริงๆ - - สงสัยจะความจำสั้น เพราะขนาดเขียนเรื่องนี้ยังค้นอากู๋จนปวดหมับเกือบจะถอดใจแล้วแหละ

@- คราส -  ขอบคุณมากครับ  :3123:

@malula  ผมชอบรายการชิงช้าสวรรค์ครับ เพลงไหนที่น้องเอามาแข่งและทำโชว์ดีๆร้องเพราะๆ ผมจะปลื้มเป็นพิเศษ (รวมเพลงนี้ด้วย)

@ Cherry Red  พ่อค้าพวงมาลัยเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนเกษตรอำเภอตามคาดครับ  :o8:

@ konnarak  ผมว่านานอยู่นะ กว่าน้ำจะลด ตั้งหลายเดือนแน่ะ

@ MiSS-U มาต่อแล้วนะครับ แต่นานไปหน่อย (สองอาทิตย์แหนะ)  :t3:

@ เดหลี พี่เดหลีโกงอายุ!!! เรื่องนี้ไม่โศก(ตอนจบหรอกครับ) แต่สไตล์ผมชอบปล่อยให้โศกกลางทาง แล้วค่อยตามเก็บศพตอนจบ ฮ่าๆ ส่วนนิยายพี่เดหลี เขียนได้สักหน่อย ก็เอามาปล่อยบ้างสิครับ คนอ่านจะได้หายคิดถึงไง ทวงกันตรงนี้แหละ  :laugh:

@ Little Diamond  แอบเห็นด้วยครับ  o13

@ zombi ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับพี่ ตั้งแต่นายลอยกับนายลมเลย  :กอด1:

สำหรับเรื่องหน้า ต้องรอดูก่อนครับว่าอยากจะเขียนเรื่องอะไร อย่างที่บอกว่าแพลนเรื่องสั้นเยอะมาก แต่ถ้ามาวินตอนนี้ แอบสปอยก่อน แต่อาจจะไม่ใช่เรื่องนี้ ชื่อเรื่องว่า "ภูเก็ต" ครับ

 :L2:
 
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนจบ) (๒๑.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 21-11-2011 15:28:47
อ่านแล้วปลื้ม
ใจชุ่มชื่นมากค่ะ  วิ่งไปอ่านเรื่องใหม่ก่อน
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนจบ) (๒๑.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 21-11-2011 15:38:24
เรื่องนี้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันจริงๆ
ชอบที่โยงเรื่องน้ำท่วมทั้งสองปีเข้าด้วยกัน

 :pig4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนจบ) (๒๑.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Warlock ที่ 21-11-2011 15:42:03
ชอบทั้ง2เรื่องเลยอ่ะ เรื่องแรกก็ดีแอบแต่กว่าจะสมหวังนานมากกแต่ก็ทำให้รู้ว่ารักแท้มีอยู่จริง

เรื่องที่สองเกาะติดกระแสมากมายอ่ะน้ำท่วมตกใจตอนที่จอมหายไปกลัวจะเป็นอะไรไปแต่ก็สมหวัง สรุปว่าชอบจ้า
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนจบ) (๒๑.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Nineน้อย ที่ 21-11-2011 20:06:07
ชอบๆๆๆๆ ทั้งสองเรื่องเลยอ่ะครับ

เรื่องแรกก็ลุ้นอยู่ว่าจะจบลงยังไง สุดท้ายเส้นขนานก็มาบรรจบกัน

ส่วนเรื่องที่สองนี้ก็สมหวังอีกเช่นกัน สรุปว่า เราชอบๆๆๆ

ขอบคุณนะคร้าบ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนจบ) (๒๑.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 21-11-2011 20:37:59
อ๊าย...เป็นตอนจบที่สุขใจและเต็มตื้นจริง ๆ ค่ะ  :impress:
ไม่ว่าน้ำจะท่วมสูงแค่ไหน? ขอแค่มีคนที่รักอยู่เคียงข้าง ก็ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี? ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น? เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป (กรี๊ด... :m3: ) 
   
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนจบ) (๒๑.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 21-11-2011 21:12:52
 o13

เพิ่งเข้าใจว่าชื่อเรื่องนั้นมายังไงจากไหน555

เข้าใจตั้งอ่ะเก๋มาก  ชอบเรื่องนี้อ่ะหวานเรื่อยๆเย็นๆ

ได้บรรยากาศ  แถมอินเทรนวิกฤตน้ำอีกต่างหาก

+เป็ดให้ค่ะ  และรอเรื่องต่อๆไป
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนจบ) (๒๑.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 21-11-2011 21:30:23
แหมๆๆๆๆๆๆ
จากความรักรุ่นหนุ่ม ผจญเหตุการณ์น้ำท่วมมาจนถึงวัยหนุ่มใหญ่
ผูกเรื่องได้เก่งจริงจ้า
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนจบ) (๒๑.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 22-11-2011 00:07:13
อิ่มใจ
วันนี้ได้กำลังใจหลายขนานเชียว ^^

รอกำลังใจจาก"ภูเก็ต"อยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๒: ตุลาคม ๒๕๓๘(ตอนจบ) (๒๑.๑๑.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 25-11-2011 22:14:59
เราจะฝ่าวิกฤตการณ์น้ำท่วมไปด้วยกัน ฮุฮุ
มีมาแอบโศกตอนกลางอีก คุณพ่อค้านะไม่น่าหายเงียบไปเลยคุณนนใจเสียแล้วมั้ย
แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันจนน้ำท่วมคราวนี้ ยังไงก็ 'เอาอยู่' นะจ๊ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต (ตอนแรก) หน้า ๒ (๒๑.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 21-12-2011 22:56:08
เรื่องที่๓.....ภูเก็ต

“ตึ๊ง ตึ่ง ตึง ตึ่ง .... ตึ่ง ตึง ตึ๊ง ตึ่ง”
เสียงออดของโรงเรียนดังขึ้น พร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วของการทำความเคารพครั้งสุดท้ายของวันที่เหล่านักเรียนชั้นประถมส่งเสียงเจื้อยแจ้ว อรรถพรหรืออ๊อด ครูประจำชั้นของนักเรียนป.2/2 ของโรงเรียนรับไหว้เหล่าลูกศิษย์ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องเรียนไปยังห้องพักครูด้วยความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย หากแต่ชายหนุ่มยังคงยกยิ้มมุมปากอันเกิดจากความสุขใจในอาชีพที่ตนรัก
อีกทั้งเมื่อนึกถึงสารถีที่จะมารับส่งเย็นนี้ ชายหนุ่มยิ่งยิ้มอย่างเป็นสุขใจนัก
หลังจากเก็บข้าวของเสร็จสรรพ อรรถพรก้าวย่างไปยังบริเวณด้านหน้าโรงเรียนอย่างอารมณ์ดี พลางทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า รถสองแถวสีแดงมาจอดรับเหมือนเช่นทุกวัน พร้อมกับคนขับที่ยืนฉีกยิ้มแฉ่งด้วยแววตาเป็นประกายซื่อๆ
“คงจะรวยอยู่หรอก มารับทุกวันแบบนี้” อรรถพลเอ่ยขึ้น
“เงินทองน่ะมีไม่เยอะหรอก แต่ความรักที่มีให้น่ะ เยอะจนนับไม่ถ้วน” สมปอง คนขับรถสองแถวหยอดคำหวานเหมือนทุกวัน พลางผายมือเชื้อเชิญ “หิวหรือยัง ไปกันเลยมั้ย”
ครูหนุ่มยิ้มรับพร้อมกับพยักหน้า ก่อนจะก้าวขึ้นรถสองแถวกลางเก่ากลางใหม่สีแดงตรงหน้า

แปดปีกว่าที่สมปองมั่นคงในความรักที่มีให้แก่อรรถพล เขายังจำได้ดีถึงวันที่ชายหนุ่มเกือบจะไปไม่ทันงานกีฬาสีเมื่อสมัยอยู่มัธยมหก ในวันที่เขาต้องเป็นดรัมเมเยอร์ของสี เขาบึ่งรถมอเตอร์ไซค์วินไปอย่างเร่งรีบ แต่ทว่าความโชคร้ายของเขาไม่ได้มีแค่การตื่นสาย หากแต่รถมอเตอร์ไซค์เจ้ากรรมยังเกิดยางแตกเอาเสียดื้อๆ ในวันนั้น น้ำตาของอ๊อดคลอรื้นทั่วหน่วยตาพลางมองดูไปยังพาหนะที่จอดนิ่งโดยไปต่อไม่ได้ และเหมือนโชคชะตาจะดลบันดาลให้ทั้งอ๊อดและปองมาพบกัน ทำให้คนขับรถสองแถวปอนๆอย่างปอง จอดเทียบข้างๆอ๊อดในวันนั้น

“ผมคิดว่า พี่น่าจะต้องการความช่วยเหลือจากผมนะครับ”
นายอ๊อดในวันนั้นหันมามองทั้งด้วยตาที่ชื้นแฉะ ก่อนจะเอ่ยเสียงเศร้าๆและก้มมองชุดแฟนตาซีในมือ “ผมคงไปไม่ทันแล้วล่ะครับ”
“เอ๊ย อย่าเพิ่งถอดใจสิครับ ขึ้นรถเลยลูกพี่เดี๋ยวผมไปส่งเอง”

รถสองแถวที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นรถบุโรทั่งบึ่งทะยานไปอย่างสุดแรงม้า แววตาของผู้โดยสารวัยละอ่อนเริ่มมีประกายแห่งความหวัง ซึ่งสมปองในวันนั้นแอบลอบมองเป็นระยะ และเหมือนกลับชะตาต้องกันให้มาคบกัน เขาหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของแววตารวมถึงใบหน้าของเด็กคนนั้น แต่ความจริงเรียกว่าเด็กก็อาจจะผิดไปสักหน่อย เพราะอันที่จริง สมปองเองก็คงอายุไล่เลี่ยกับดรัมเมเยอร์หน้าหวานคนนี้ เพราะเขาเองก็ออกจากโรงเรียนตั้งแต่จบมอสาม และมาขับรถสองแถวรับจ้างจนถึงปัจจุบัน
สมปองห้อทะยานมาถึงที่หมายอย่างฉิวเฉียด เด็กหนุ่มคนนั้นในวันนั้นยิ้มกว้าง พลางขอบอกขอบใจยกใหญ่ และคว้าธนบัตรใบสีม่วงใส่มือคนขับสองแถวอย่งว่องไว ก่อนจะรีบวิ่งไป
“ขอบคุณมากครับพี่ ไม่ต้องทอน”
“เฮ้ย ...นาย”สมปองเอ่ยรั้งไว้ หากแต่ไม่ทันเสียแล้ว เงินจำนวนนี้ถือว่ามากเกินไป ถ้าเป็นคนอื่น เขาอาจจะดีใจเมื่อได้รับเงินทิปเวลาที่ผู้โดยสารพอใจในการบริการ หากแต่กับผู้โดยสารคนนี้ เขากลับมองเห็นเงินไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

และเย็นวันนั้น ชายขับรถสองแถวก็ไปรอเด็กมัธยมปลายคนนั้นอีกครั้ง
“ผมเอาตังค์ทอนมาให้ครับ” เขาพูดยิ้มๆ
.
.
มิตรภาพเล็กๆก่อตัวขึ้นตั้งแต่วันนั้นระหว่างลูกชายเจ้าของสวนยางกับชายขับรถสองสองแถว ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีเมื่อมันเป็นสิ่งที่ฟ้าลิขิตมา ทั้งสองคนต่างก็ไม่รู้ว่าดอกรักนั้นบานขึ้นตอนไหน หากแต่ในวันนั้นเมื่อทั้งคู่มองตากันก็ต่างเข้าใจ แม้ทางเดินของทั้งคู่แทบจะเกือบเป็นเส้นขนาน

“ปอง ... ปองจะลืมอ๊อดไปก็ได้นะ ห้าปีมันนานมากนะ.” อ๊อดเอ่ยด้วยเสียงเศร้า บนสะพานสารสินสายเก่าที่เชื่อมระหว่างภูเก็ตกับพังงา
“ทำไมอ๊อดพูดแบบนั้นล่ะ ผมรักอ๊อดนะ” ชายหนุ่มยืนยัน “นานเท่าไหร่ผมก็จะรอ”
“อ๊อดไม่อยากหวัง..... อ๊อดกลัว บางที ถ้าเราเลือกที่จะหยุดมันไว้เท่านี้ อ๊อดอาจจะร้องไห้แค่วันนี้”
“เชื่อผมสิอ๊อดว่าผมจะไม่ทำให้อ๊อดเสียน้ำตา ผมไม่ได้ให้ความหวังแต่ผมอยากให้อ๊อดเชื่อผม” สมปองพูดพร้อมกับจับมือของอีกฝ่ายไว้แน่น “ผมจะจดหมายไปหาบ่อยๆ”
ว่าที่นักศึกษามหาลัยมองลึกลงไปในแววตาของคนรัก พลางกลืนสะอื้นลงคอ “งั้นผมจะเชื่อปอง กรุงเทพภูเก็ตอาจจะใช้เวลานานสักหน่อยกว่าจดหมายจะไปถึง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้คุยกันเลยนี่นะ หรือวันไหนรับคนได้เยอะหน่อยก็หยอดตู้โทรหากันบ้างนะ .... อ๊อดอยากได้ยินเสียงปอง”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย พลางนึกสมเพชตัวเองที่อาจเอื้อมเด็ดดอกฟ้ามาเคียงคู่ คนรักของเขาอยู่ในครอบครัวที่มีอันจะกินและต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิงที่แม้แต่โทรศัพท์มือสองสักเครื่องเขาก็ยังลังเลที่จะหามาเป็นเจ้าของ
“อื้อ สัญญา ผมรักอ๊อดมากนะ”
“อ๊อดก็เหมือนกัน” ทั้งคู่ต่างยิ้มให้กัน ก่อนที่วันรุ่งขึ้นทั้งคู่ต่างต้องจากลากันไป
.
.
.
ทิวสวนยางทอดไกลไปสุดลูกหูลูกตา อากาศยามสายของวันเสาร์ประกอบกับลมเย็นๆที่พัดผิวกายของครูหนุ่มที่กำลังตรวจการบ้านของนักเรียนอยู่ที่โต๊ะม้าหินทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมาสูดกลิ่นกอมอ่อนๆของผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ของที่แห่งนี้
“วันเสาร์ก็ยังต้องมานั่งทำงานแบบนี้ น่าเหนื่อยนะการเป็นครูเนี่ย” เสียงของชายวัยกลางคนพูดขึ้น อ๊อดเงยหน้ามายิ้มรับ ก่อนจะวางปากกาในมือลง
“ไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอกครับพ่อ พ่อก็รู้นี่ว่าผมอยากเป็นครูตั้งแต่เด็กๆ”
“อื้ม ... แต่เงินเดือนครูก็ยังไม่ค่อยจะพอยาไส้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ปีๆ” ผู้เป็นพ่อพูดเรียบๆ “ถ้าบ้านเราไม่พอจะมีกินมีใช้ พ่อคงจะไม่ยอมให้อ๊อดไปเป็นครูแน่ๆ”
“แต่พ่อก็ใจดีกับอ๊อดมาตลอดนี่นา” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง
“เพราะพ่อรักแกไง พ่อถึงอยากให้แกได้แต่สิ่งดีๆ” นายหัวทอง ผู้เป็นพ่อสบตาลูกชาย ก่อนจะเสตามองไกลออกไป “ปีนี้แกอายุเท่าไหร่แล้วนะ”
“ยี่สิบห้าครับ”
“อืม...”นายหัวทองครุ่นคิด ก่อนจะเข้าเรื่องต่อ “แล้วแกมีใครที่หมายตาไว้หรือยัง หรือมีใครที่อยากจะแนะนำให้พ่อรู้จักหรือเปล่าล่ะฮึ”
“เอ่อ....” ชายหนุ่มอึกอัก เมื่อนึกถึงคำเฉลยของตัวเอง
“พ่อคิดว่า ไม่แปลกหรอกนะ ที่แกจะมีใครได้แล้ว รวมไปถึงการเริ่มสร้างครอบครัวด้วย “
อรรถพลมือเย็นเยียบเมื่อถูกคำถามของผู้เป็นพ่อรุกไล่ แต่ชายหนุ่มก็ยังสามารถตั้งสติตอบคำถามของผู้เป็นพ่อไป
“ผมยังไม่มีใคร และไม่ได้มองใครไว้หรอกครับ”
.
.
รถสองแถวสีแดงแล่นไปบนถนนเรื่อยๆ สายลมที่คละเคล้ากับกลิ่นไอทะเลพัดปะทะผิวหน้าของชายหนุ่มเนื่องมาจากกระจกที่เปิดเอาไว้ เบื้องหน้าไกลออกไปมีทิวตึกปะปนกับขอบฟ้าของเกาะภูเก็ต อรรถพลทอดมองไกลออกไปอย่างครุ่นคิดถึงวันข้างหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่าและกังวล
“เป็นอะไรไปหรออ๊อด วันนี้ดูเงียบๆนะ” ปองถามขึ้นในขณะที่ยังบังคับรถอยู่
“คิดอะไรนิดหน่อยไม่มีอะไรหรอก”
“บอกได้หรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิ ....ไม่รู้จะพูดยังไงดี”

รถสองแถวจอดเทียบอยู่กลางสะพาน แดดอ่อนยานเย็นทอแสงทาบทับกับเกลียวคลื่นเป็นสีทองระยิบระยับพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆคล้อยลงต่ำ
“ภูเก็ตเนี่ย สวยทุกที่เลยนะ อ๊อดว่ามั้ย”
“แต่อ๊อดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีหลายมุมทั้งนั้น เพียงแต่จุดที่เรายืนตรงนี้มันอาจจะดูสวยดี”
“ถ้าเป็นแบบนั้น...” คนขับรถสองแถวหันมายิ้มให้คนรัก “มันคงสวยเพราะมีอ๊อดอยู่ข้างๆผมไง”
“แล้วมันจะสวยงามแบบนี้ตลอดไปหรอ”
“ไม่ตลอดไปหรอก” สมปองยกมือขึนมือกุมมือของอีกฝ่ายที่กำลังจับราวสะพานไว้ “ผมจะรักอ๊อดแค่หมดลมหายใจนี้ของผม”
ครูอรรถพลยิ้มมุมปาก ก่อนจะทอดตามองไปยังเกลียวคลื่นอีกครั้ง “ครับ... อ๊อดก็เชื่อแบบนั้น ส่วนเรื่องอื่น อ๊อดจะพยายามไม่คิดถึงมันในตอนนี้แล้วกัน .... ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตของเรา”
.
.
.
วันชื่นคืนสุขของอรรถผลและสมปองดำเนินไปพร้อมกับหน้าปฏิทินที่ปลิดปลิวลงไปช้าๆทีละแผ่น  ความรักของสมปองยังคงมั่นคงหนักแน่นเหมือนวันแรกที่ให้สัญญาแก่คนรักในวันที่จากลากัน เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว และชายหนุ่มยังคงยึดมั่นในสัญญาที่แลกด้วยลมหายใจว่าจะรักกับชายชื่อ “อรรถพล” จนสิ้นลมหายใจ

เหมันตฤดูที่เกาะภูเก็ตเย็นเยียบ เช้าวันหนึ่งในวันหยุด อรรถพลนั่งตรวจการบ้านของเด็กนักเรียนอย่างเคย
“ตรวจการบ้านเด็กหรอฮึ” ผู้เป็นพ่อถามขึ้นพลางนั่งลงข้างๆ
“ครับพ่อ”
“การบ้านเยอะมั้ยวันนี้”
“ก็เหมือนๆเดิมแหละครับ สายๆก็คงเสร็จ”
“แล้วเย็นนี้ไปไหนหรือเปล่า”
“พ่อจะพาผมไปไหนหรอครับ”
“พ่อจะพาแกไปกินข้าวกับเพื่อนพ่อน่ะ ไปด้วยกันหน่อยสิ”
“ได้สิครับ ไม่มีปัญหา”

ในร้านอาหารท่ามกลางแหล่งเศรษฐกิจของเกาะภูเก็ต หลังจากที่สองพ่อลูกขับรถเข้ามาในเมืองสักพักก็มาถึงร้านอาหารอันเป็นที่หมาย เบื้องหน้ามีชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับนายหัวทองนั่งอยู่พร้อมกับผู้หญิงวัยใกล้กันอีกคนซึ่งน่าจะเป็นภรรยาของชายผู้นั้น ถัดมาอีกคนเป็นเด็กสาวหน้าคมคายตามแบบของคนปักษ์ใต้ ชายหนุ่มหลิ่วตาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะหันมาทางนายหัวทองที่ดูไม่ใส่ใจกับท่าทีของลูกชายนัก
“เป็นอย่างไรบ้างวะ ไอ้เอก นานแล้วนะเนี่ยที่เอ็งกับข้าไม่ได้เจอกัน”
“ก็เจ็บออดๆแอดๆตามประสาคนแก่แหละว่ะ อยู่แต่ในร้านไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเหมือนเอ็งหรอก”
การทักทายของคนแก่สองคนดำเนินไปพร้อมกับที่ชายหนุ่มนั่งยิ้มเก้อๆอยู่บนโต๊ะอาหาร บรรยากาศรอบตัวทำให้เขารู้สึกเขินๆระคนแปลกใจ และ...หลายๆอย่างที่บรรยายไม่ถูก หรือถ้าจะพูดให้ถูก คือมันเหมือนการพาเขามาดูตัวเจ้าสาวยังไงอย่างนั้น
.
.
.
ในกระท่อมท้ายสวนยางอันเป็นที่พำนักของสมปอง ซึ่งถูกสร้างไว้อย่างง่ายๆไกลหูไกลตาจากผู้คนถูกใช้เป็นที่สำหรับคนสองคนมาหลายปี อ๊อดนอนหนุนศีรษะบนไหล่กว้างของชายหนุ่มอีกคนพลางเหม่อมองบนหลังคาที่มุงด้วยใบจากด้วยความคิดที่ว่างเปล่า
“ปอง...”
“ว่าไงครับ”
“ปองเคยคิดมั้ยว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้....ไปอีกนานเท่าไหร่”
“แปดปีที่ผ่านมายังทำให้อ๊อดสงสัยอะไรในตัวของผมอีกล่ะฮึ”
“เพราะมันนานไงปอง....”ชายหนุ่มพูดพลางซุกตัวให้ชิดกับแผงอกของอีกฝั่งขึ้นอีก “ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา”
“ผมเคยบอกอ๊อดแล้วนี่”  สมปองเอี้ยวตัวมาลูบใบหน้าของคนรักอย่างทะนุถนอม “จนกว่าผมจะสิ้นลมหายใจ”
“แต่ถ้าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดล่ะ .... โลกใบนี้ ไม่ว่ายังไงผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิง”
“แต่อ๊อดก็เลือกจะคู่กับผมไม่ใช่หรอ.... และผมก็เป็นของคุณ ทูนหัวของไอ้ปอง”
ครูหนุ่มกอดรับคนขับสองแถวเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจ
“ขึ้นชื่อว่าความรัก เป็นไปไม่ได้ที่จะราบรื่นได้ตลอดไปหรอก ต่อให้เราสองคนไม่มี.... แต่ชีวิตก็ใช่ว่าจะมีแต่เราสองคนนะปอง”
“อ๊อด...”
“อ๊อดกลัว...ปอง อ๊อดยังนึกไม่ออกเลยถ้าวันนั้นต้องมาถึงในสักวัน อ๊อดจะทำยังไง .... เพราะ...อ๊อดเองก็รักปองหมดหัวใจเหมือนกัน”
“อย่ากลัวไปเลยครับ ทูนหัวของไอ้ปอง” ชายหนุ่มประทับริมฝีปากบนกระหม่อมของอีกคนที่หนุนอยู่บนแผงอก “แต่หากวันนั้นมาถึงจริงๆ งานเลี้ยงก็คงเลิกรา .... และเป็นวันที่ลมหายใจของไอ้ปองคนนี้ดับลงเช่นกัน”
.
.
.
ภายในวัดเงียบสงบและร่มรื่นไปด้วยทิวไม้ครึ้ม สายลมพัดโชยมาเบาๆและพาพัดเอาควันธูปลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มมองควันธูปเหล่านั้นพร้อมกับรอยยิ้มเหงาๆ หากควันธูปเหล่านี้ประหนึ่งสาสน์ที่ล่องลอยไปยังปรโลกจริง ควันเหล่านั้นคงจะหอบเอาข้อความมากมายจากลูกชายของผู้ตายที่กระดูกของนางถูกบรรจุไว้ในโกฐ
รูปที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าไม่มีรอยยิ้ม แม้แต่ตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่เคยยิ้มแย้มให้ผู้ใดเห็น หรืออย่างน้อย อรรถพลก็แทบจะไม่เคยเห็นรอยยิ้มของผู้เป็นแม่ แม้ท่านจะอยู่กับเขาแค่เพียงเวลาไม่นาน
“หลายปีแล้วนะครับ ที่แม่ตายไป”
“ใช่อ๊อด... เราอยู่กันสองคนมานานมากแล้วอ๊อด” นายหัวทองตอบสั้นๆ พร้อมกับมองภาพถ่ายของอดีตภรรยา “ชีวิตรักของพ่อช่างสั้นนัก .... และรักของพ่อก็เหลือแต่อ๊อดคนเดียวเท่านั้น”
“....อ๊อดก็รักพ่อนะครับ”
“ถ้าแม่แกยังอยู่ .... แม่คงอยากเห็นแกเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาซะที”
“แต่ผม...ยังไม่ได้คิดเรื่องพรรค์นี้จริงๆครับ” ชายหนุ่มเลี่ยงคำถามที่ไม่อยากตอบด้วยการโกหก
“พ่อแก่ลงทุกวัน ... ไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็นนักหรอก” นายหัวทองเงยหน้าแหงนมองฟ้า “พ่ออยากเห็นแกมีครอบครัว อยากเห็นลูกของแก .... “
“ผมไม่ได้อยากมีครอบครัวแบบแกนๆ .... ผมคิดว่าผมจะรอคอยคนที่ผมรักและพร้อมจะสร้างครอบครัวด้วยกันกับผม” อรรถพลตอบคำถามตามที่เคยคิดคำตอบไว้อย่างฉะฉาน หากแต่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องของเขา
“พ่อคิดว่า....หนูหน่อยลูกสาวลุงเอกเป็นคนดี...และเหมาะสมกับแก” ผู้เป็นพ่อตัดบท ก่อนจะจ้องหน้าลูกชายด้วยแววตาจริงจัง “พ่ออยากให้แกลองคบหาดูใจกับหนูหน่อยดูเสียหน่อย พรุ่งนี้ลองพาเธอมากินข้าวที่บ้านเราสิ”
“แต่...”
บทสนทนาจบลงเมื่อนายหัวทองหันหลังกลับและเดินไปที่รถ โดยที่ไม่ได้สนใจในคำพูดของลูกชายที่เหมือนจะบอกอะไร
“ผม....มีครอบครัวแบบที่พ่ออยากเห็นไม่ได้หรอกครับ” ชายหนุ่มบอกกับสายลม ก่อนจะหันมายังที่บรรจุอัฐิของผู้เป็นแม่ “แม่เข้าใจผมมั้ยครับ”
.
.
.
ข่าวคราวการหมั้นหมายของลูกชายและลูกสาวของสองนายหัวผู้มีชื่อเสียงแห่งเมืองภูเก็ต และบ้านท่าฉัตรไชยดังกระฉ่อนไปทั่ว ใครๆต่างพูดถึงและกล่าวขวัญว่างานนั้นจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน
อรรถพลนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องรับแขกที่กว้างขวางแต่เงียบเหงานัก ชุดไทยสีขาวครีมพร้อมกับผ้าพาดบ่าถูกใส่ไว่กับหุ่นที่วางอยู่ในห้อง เมื่อชายหนุ่มมองไปยังชุดวันหมั้นของเขาก็ยิ่งทำให้น้ำตาคลอหน่วย

“ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหมอ๊อด อ๊อดจะไปหมั้นกับผู้หญิงคนนั้นได้ยังไง!!! ก็ในเมื่อ...เราสองคนรักกัน” สมปองจับไหล่พร้อมกับเอ่ยถามคนรักเมื่อได้รู้ข่าวที่ฟังแล้วหัวใจที่จะแตกเป็นเสี่ยง
“ปอง....อ๊อดไม่รู้จะบอกพ่อยังไงดี”
“แล้วผมล่ะปอง .... เราจะจบกันแค่นี้หรอ ผมไม่มีวันยอมให้มันจบลงแบบนี้”ชายหนุ่มพยายามมองหน้าของคนรักเพื่อหาคำตอบ หากแต่เจ้าของใบหน้ากลับหลุบตาต่ำอย่างจนแต้ม
“อ๊อดไม่รู้จริงๆ...”หยาดน้ำตาค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาบนใบหน้าของอรรถพล ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างเงียบไปเหลือเพียงเสียงเกลียวคลื่นที่ไหลกระทบฝั่งและตอสะพานสารสินดังครืนครามที่ทำลายความเงียบเหล่านั้นลง
“อ๊อด... อ๊อดจำที่ผมเคยพูดกับอ๊อดได้มั้ย ว่าผมจะรักอ๊อดจนหมดลมหายใจ” คนขับรถสองแถวหันไปอีกทางก่อนจะก้มลงมองตอสะพาน “มันทำให้ผมนึกถึงตำนานของสะพานแห่งนี้... สะพานรักสารสิน”
“.....” อรรถพลนิ่งเงียบฟังคนรักพูดต่อไป เขาไม่มีคำพูดหรือความเห็นใดๆทั้งสิ้นเกี่ยวกับเรื่องราวที่กำลังดำเนินอยู่
“ผมคิดว่าบางทีเราอาจจะเป็นครูอิ๋วกับกับโกไข่กับกลับชาติมาเกิดก็ได้นะ” ชายหนุ่มหัวเราะและฝืนยิ้มอย่างแกนๆ “ครูผู้มีฐานะมั่งคั่งกับไอ้คนขับรถสองแถวกระจอกๆ....ไอ้โกไข่มันโง่เองแหละ ที่ไม่เจียมตัวไปหลงรักดอกฟ้าอย่างครูอิ๋ว ”
สมปองใช้มือสองข้างปิดหน้าของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆเลื่อนมือทั้งสองข้างลงพร้อมด้วยเสียงสะอื้น
“ไอ้สมปองมันโง่เองแปละที่ไปหลงรักครูอรรถพลจนหมดหัวใจ มึงมันโง่ มึงมันไม่เจียมกะลาหัว ไอ้เหี้ยปอง!!!”


ภาพน้ำตาที่นองหน้าของสมปองยังคงตราตรึงอยู่ในความคิดของครูอรรถพล เขาไม่มีใครแล้วจริงๆ แม้แต่พ่อที่บอกว่ารักเขาก็กลับหยิบยื่นความเจ็บปวดนี้แก่เขาเสียเอง
อรรถพลพลันนึกถึงแม่ผู้จากไปขึ้นมา ภาพของท่านเลือนลางในความทรงจำ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาจำติดหูนอกจากใบหน้าที่เรียบเฉยของแม่กับรอยยิ้มที่เหมือนจะพยายามยกมุมปากขึ้นมาอย่างยากลำบาก นั่นคือบทเพลงเก่าๆที่มาจากแผ่นเสียงที่ท่านโปรดปรานโดยไม่บอกเหตุผล
ชายหนุ่มเดินไปยังที่เก็บแผ่นเสียง เขาจำได้ดี ว่าผู้เป็นแม่ฟังอยู่แผ่นเดียว และหนึ่งในเพลงเหล่านั้น แม่จะตาแดงๆคล้ายจะร้องไห้เมื่อได้ยินเพลงนี้

http://www.youtube.com/v/uhsJYi7C_to?version=3&hl=th_TH&rel=1

“ภูเอ๋ยภูเก็ต ... อาณาเขตที่เรารักกัน
โธ่เอ๋ยสะพานสารสินเป็นถิ่นรื่นรมย์
ลาแล้วลาก่อน คงไม่ย้อนหวนคืนมาชม
ลาแล้วหนอความขืนข่ม ....ทุกข์ระทมสิ้นสุดกันที

เราสองรักใคร่ ....ไม่เคยหน่ายขอตายพร้อมกัน
ฝากฝังสะพานสารสินช่วยเป็นสักขี
เราสองรักมั่นผู้ใหญ่เขากันหาว่าไม่ดี
บุญน้อยจริงๆชาตินี้....สองเราพลีชีพตายพร้อมกัน

พี่เป็นโชเฟอร์ขอสองแถว....ใครๆก็รู้
แต่น้องเป็นครูแม่พิมพ์ของชาติไม่อาจผูกพัน
รักกันใช่เล่น ขนาดเคยเป็นของกันและกัน
รักที่เคยหมายมั่น กลับถูกกีดกัน ให้หมดความหมาย

ภูเอ๋ยภูเก็ต อาณาเขตที่เรารักกัน
โธ่เอ๋ยสะพานสารสินเป็นถิ่นที่ตาย
น้ำตานองหน้าเอาผ้าขาวม้ามาผูกมัดกาย
สองเราติดกันมั่นหมาย.....
......โดดน้ำตายที่ใต้สะพาน”

“แม่ครับ แม่ร้องไห้หรือเปล่า” เด็กชายอ๊อดถามผู้เป็นแม่ที่กำลังเหม่อลอยเมื่อได้ยินบทเพลงที่ดังมาจากแผ่นเสียง
“เปล่าหรอกอ๊อด.... แม่อาจจะซาบซึ้งกับบทเพลงไปหน่อย”
“แล้วเพลงอะไรหรอครับที่ทำแม่เหมือนจะร้องไห้ได้เนี่ย”
“ชื่อเพลงภูเก็ตน่ะอ๊อด” ผู้เป็นแม่ลูบหัวลูกชายเบาๆ
“เอ๋ .... เพลงภูเก็ต” เด็กชายนิ่วหน้าอย่างครุ่นคิด “ภูเก็ตจะทำให้ใครร้องไห้ได้หรอครับ ภูเก็ตมีทั้งหาดสวยๆ ทะเลก็น่าเล่น ใครๆที่มาที่นี่ต่างก็มีความสุขกลับไปทั้งนั้น”
“ไม่มีอะไรที่สวยงามไปเสียหมดหรอกอ๊อด เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้านนั้นแหละ มีดีก็มีร้าย มีสวยงามก็มีหม่นหมอง มีความสุขก็มีความเศร้า”
“แล้วอะไรที่เป็นอีกด้านของภูเก็ตหรอครับ”
ผู้เป็นแม่ถอนหายใจก่อนจะเล่าให้ฟังโดยที่ไม่ได้มองตาลูกชาย “ครั้งหนึ่ง เมื่อหลายปีที่แล้ว มีชายหญิงสองคนรักกันมากเป็นเวลาหลายปี แต่ฐานะของทั้งสองคนต่างกันมากนัก ฝ่ายหญิงเป็นครูที่มีหน้ามีตาและฐานะทางบ้านร่ำรวย ส่วนฝ่ายชายเป็นแค่คนขับรถสองแถวจนๆ ทั้งสองคนรักกันมาก แม้ว่าใครก็ต่างเห็นว่าทั้งคู่ไม่ได้เหมาะสมกันแม้แต่นิดเดียว พ่อของผู้หญิงก็กีดกันทั้งคู่ด้วย....”
“แล้วสุดท้าย ทั้งสองคนนั้นเค้าได้รักกันหรือเปล่าครับแม่”
“เค้ารักกันอยู่แล้วอ๊อด รักกันมานานด้วย.... แต่ก็ไม่อาจที่จะครองคู่กันได้ สุดท้ายทั้งสองคนก็ตัดสินใจผูกตัวเองไว้คู่กันด้วยผ้าขาวม้า ก่อนจะกระโดดลงมาจากสะพานสารสินจนตาย...”
ผู้เป็นแม่พูดพลางมองขึ้นไปบนฟ้า ในมือของนางกำบางสิ่งบางอย่างไว้ในมือแน่น
“น่าสงสารนะเค้าสองคนนะครับแม่”
“ใช่น่าสงสาร ทั้งที่ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนแท้ๆ แต่เพราะคนอื่นที่ทำให้รักกันไม่ได้”

เพลงจากแผ่นเสียงจบลง และเลื่อนไปยังบทเพลงต่อไป ชายหนุ่มเหม่อมองออกไปสุดสายตาที่รกครึ้มไปด้วยต้นยาง ความเขียวขจีและรกชัฎของสวนอันมีนายหัวทองเป็นเจ้าของแทบจะทำให้แสงแดดที่สาดส่องลงมานั้นไม่สามารถสาดกระทบพื้นดินเบื้องล่างได้ เหมือนกับทางออกของอรรถพลที่มองเท่าไหร่ก็ยิ่งหาไม่เจอ

ภูเก็ตไม่ได้แค่มีหาดสวยทะเลใส
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้มีด้านเดียว
และครั้งหนึ่ง สะพานที่ทอดผ่านทะเลอันดามันระหว่างภูเก็ตกับพังงาแห่งนี้ ก็เคยมีความหลังที่แสนจะขมขื่น
 
 

 

คลอดซะที กับเรื่องที่สาม แหะๆ กลับ กทมแล้วนะครับ อาจจะได้อ่านกันเรื่อยๆ ทั้งเรื่องสั้น และนิยายหลัก (กรุ่นกลิ่นรวงข้าว)

พรุ่งนี้หรือมะรืนน่าจะได้ลุ้นพี่เมฆกับเจ้าโนต่อแล้วครับ

ขอบคุณที่เข้ามาให้กำลังใจครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนแรก) หน้า๒ (๒๑.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 21-12-2011 23:09:42
เวลาอ่านแล้วนึกภาพหนังเก่าฟิล์มนัวๆ เลย
คนแต่งทำตัวแก่กว่าวัยนะเนี่ย :laugh:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนแรก) หน้า๒ (๒๑.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 21-12-2011 23:36:43
เศร้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนแรก) หน้า๒ (๒๑.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 21-12-2011 23:51:20
ไปอยู่ขอบโลกมาครับพี่เลยไม่ได้อ่านเรื่องที่แล้ว  พอดีมาเจอเรื่องนี้ก็เลยได้อ่านเรื่องที่แล้วด้วย เรื่องที่แล้วจบได้น่ารักมาก  รักคงทน  แต่เรื่องนี้มันอึมครึมอีกแล้ววว
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนแรก) หน้า๒ (๒๑.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 22-12-2011 02:08:41
ท่าทางงานนี้จะดราม่าจัดเต็ม... :sad2:
ปองซึ่งยึดอ๊อดไว้เป็นทุกอย่างของชีวิต แต่อ๊อดมีพ่อที่ต้องแคร์และไม่อยากทำให้ผิดหวัง
เข้าใจความลำบากใจของอ๊อดและรับรู้ถึงความร้าวรานของปอง แต่ยังมองไม่เห็นทางออกของคู่นี้เลย
จะเศร้าอย่างไงก็ขออย่าให้ถึงกับไปโดดสะพานก็แล้วกัน... :sad4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนแรก) หน้า๒ (๒๑.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 22-12-2011 08:08:53
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนแรก) หน้า๒ (๒๑.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 22-12-2011 19:55:38
อ่านเรื่องนี้แล้วได้บรรยากาศย้อนยุคนิดๆ พอถึงสะพานสารสินก็นึกถึงเพลงเหมือนกัน
แต่ชีวิตมันต้องมีทางออกที่ดีกว่าในเพลงสิน่า ปองกับอ๊อดสู้ๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนแรก) หน้า๒ (๒๑.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 24-12-2011 12:10:57
อ่านเม้นต์เจอว่าเศร้า เลยเตรียมใจไว้ก่อนอ่าน
แต่ก็เศร้าอยู่ดี
เอาใจช่วยทั้งสองคนแล้วกัน
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนแรก) หน้า๒ (๒๑.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 24-12-2011 23:50:11
สถานการณ์แบบนี้แหละที่กลัวที่สุด
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 30-12-2011 00:04:57
ภูเก็ต ตอนจบ

วันหมั้นของอรรถพลกับหน่อยใกล้เข้ามาทุกวัน พร้อมกับความเศร้าซึมของว่าที่เจ้าบ่าว ที่เหมือนจะหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้เมื่อต้องเลือกระหว่างหน้าที่กับหัวใจ
สมปองยังคงมารับเขาทุกวัน หากแต่ระหว่างทางของทั้งคู่ปราศจากซึ่งบทสนทนาใดๆ และอ๊อดเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในใจเขานั้นไม่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดได้ และหลายๆครั้งมันก็กลั่นออกมาเป็นน้ำใสๆที่หางตาของครูหนุ่ม
“หยุดทำไมปอง” ชายหนุ่มถามขึ้น เมื่อคนขับสองแถวเลือกที่จะจอดรถกลางสะพานสารสิน สายลมยามเย็นยังหนาวยะเยือกคละคลุ้งด้วยกลิ่นไอทะเล สมปองสูดเอาอากาศเหล่านั้นเข้าปอดยาวๆ ก่อนจะเอนหลังพิงกับเบาะคนขับอย่างเหนื่อยอ่อน
“ผมอยากอยู่กับอ๊อดนานๆ นานที่สุดเท่าที่ผมพอจะรั้งไว้ได้”
“อ๊อดก็เหมือนกัน ....เพิ่งรู้สึกนะว่าเหมือนหนึ่งสัปดาห์มันไวเหลือเกิน”
สมปองก้าวลงจากรถ พร้อมกับอีกคนที่ตามออกมา ทั้งคู่เหม่อมองเกลียวคลื่นที่ไหลริ้วปะทะสะพานสารสินด้วยความคิดที่เหม่อลอยไร้จุดหมาย
“ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ”
“ฟ้าคงลิขิตไว้มั้งปอง” อรรถพลใช้มือสองข้างปิดหน้าตัวเองอย่างอับจน “ว่ามันต้องจบลงแบบนี้”
“มันจะจบแบบที่เราสองคนต้องจากกันจริงๆหรออ๊อด”
อรรถพลเลื่อนมือทั้งสองข้างออกเพื่อมองคนรัก เขาหลับตาลงช้าๆก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น สมปองก้มมองตอสะพานอีกครั้งด้วยแววตาเลื่อนลอย
“อ๊อดว่า วิญญาณโกไข่กับครูอิ๋วจะยังอยู่ที่นี่มั้ย ทั้งคู่จะรับรู้เรื่องของเราหรือเปล่า”
“อ๊อดไม่รู้ ...อ๊อดไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นตอนนี้”
“อ๊อดคิดเหมือนผมเลย ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมรู้ว่า เรื่องของทั้งคู่นั้นไม่ว่าใครก็รู้จัก เพราะความรักบริสุทธิ์ของทั้งคู่สังเวยด้วยความตาย” ชายหนุ่มหยุดกลืนก้อนในลำคอ ก่อนจะพูดต่อ “แต่อย่างน้อยทั้งคู่ก็ไม่ได้แยกจากกัน”
สายลมและเสียงคลื่นชัดเจนในโสตประสาทของคนทั้งคู่ อรรถพลและสมปองมองตากันท่ามกลางรถที่แล่นไปมาอย่างไม่พลุกพล่านนัก แววตาของคนขับสองแถวนั้นว่างเปล่าหากมีความหมายโดยนัยให้อีกฝ่ายได้ตีความและรู้สึกสะท้อนใจ
“ผมไม่อยากให้เราแยกจากกัน ... บางทีเราอาจจะต้องเป็นคนที่เขียนตำนานขึ้นมาอีกครั้ง อย่างน้อยที่สุด ในวันข้างหน้าจะได้ไม่มีใครต้องเจ็บปวดเหมือนกับเราสองคน”
สมปองพูดจบพร้อมกับบีบมือของคนข้างๆไว้แน่น หยดน้ำใสหลั่งรดหลังมือของอรรถพลจนเขาต้องหันมามองคนรัก ดวงตาของสมปองคลอชื้นหากแต่ไร้ซึ่งอาการสะอื้นไห้ อ๊อดบีบมือกลับด้วยความรู้สึกใจหายกับหนทางที่คนรักได้เลือกแล้ว
“...มาเจอกับผมที่นี่สี่วันจากนี้ตอนเที่ยงคืน เราจะเขียนตำนานอีกครั้งด้วยกันที่นี่”
“ปอง...”
“ผมรักคุณมากอ๊อด ผมเสียใจที่ผมทำหน้าที่คนรักของคุณได้เท่านี้จริงๆ แต่ผมสัญญาว่าเราจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกันตราบจนนิรันดร์”
.
.
.
“ตึ๊ง ตึ่ง ตึง ตึ่ง .... ตึ่ง ตึง ตึ๊ง ตึ่ง”
เสียงออดของคาบบ่ายดังขึ้นทำลายภวังค์ของครูอรรถพลที่นั่งเหม่อลอยจนหมดพักเที่ยง เขานั่งครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆแต่ก็เหมือนไม่ได้คิดอะไร เพราะอันที่จริงเขาก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
“ไม่มีสอนหรอคะ ครูอ๊อด” ครูสาวที่นั่งอยู่ข้างๆทักขึ้น
“เอ่อ....” อรรถพลเรียกความคิดที่หลุดลอยให้เข้าที่เข้าทาง เขามองไปที่ตารางสอนของตัวเอง ก่อนจะอุทานอย่างลืมตัว “ตายล่ะ ผมเกือบจะลืมเลยว่ามีสอนคาบบ่าย”
“ใจลอยไปถึงไหนคะ” ครูสาวอมยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “แต่ก็นะ คนกำลังมีความสุข อีกไม่กี่วันก็จะมีงานใหญ่แล้วนี่คะ”
“เอ่อ ครับ ขอบคุณครับ”
“ไปกันเถอะค่ะ”

อรรถพลมาถึงสายกว่าสิบห้านาที เด็กๆในห้องส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวหากแต่เสียงอื้ออึงดังกล่าวก็สงบลงในเวลาไปนาน
“นักเรียนเคารพ!!!”
“สวัสดีครับ/ค่ะ คุณครู”
“สวัสดีตอนบ่ายครับทุกคน” อรรถพลเอ่ยเรียบๆ “ขอโทษด้วยที่ครูมาสายไปหน่อย”
“ครูครับ/คะ” เด็กชายหญิงคู่หนึ่งรีบปรี่เข้ามา เมื่อชายหนุ่มนั่งลงที่โต๊ะหน้าห้อง
“มีอะไรฮึเรา”
“ครูช่วยเฉลยหน่อยค่ะ ว่าอะไรที่มันบาปกว่ากัน ระหว่างฆ่าตัวตายกับฆ่าคนอื่น”เด็กหญิงเอ่ยถาม
“ฆ่าคนอื่นสิ เพราะคนที่ฆ่ามันเป็นฆาตรกรที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน” เด็กชายที่มาด้วยเริ่มวิวาทะทางคารม
“แกไม่เคยอ่านหนังสือหรอ เค้าบอกว่าถ้าฆ่าตัวตายน่ะ ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ แล้วแบบนี้แกจะยังบอกอีกหรอ ว่าฆ่าตัวตายบาปน้อยกว่า” เด็กหญิงเถียงเสียงแข็ง “ครูคะ เฉลยทีค่ะ ว่าใครกันแน่ที่เข้าใจผิด”
“เอ่อ...” อรรถพลอึกอัก “ครูคิดว่า”
ชายหนุ่มครุ่นคิด ความจริงคำถามนี้ไม่ควรจะมาจากปากของเด็กๆเลย แต่น่าจะมีอิทธิพลมาจากสื่อที่เด็กๆเสพอยู่ทุกวัน หากในเวลาปกติ ชายหนุ่มคงจะตอบได้โดยไม่ลังเลแต่ในเวลานี้ เขากลับต้องฉุกคิดเกี่ยวกับคำสอนของตัวเอง
“พวกเธอจะเถียงกันทำไม ในเมื่อไม่ว่าแบบไหนก็ไม่น่าทำทั้งนั้น ประเด็นคือพวกเราควรจะหลีกหนีการกระทำทั้งสองอย่างนั่นแหละ ทั้งฆ่าคนอื่นหรือฆ่าตัวเอง .... ไม่ว่าใครก็มีคนที่รักทั้งนั้น แล้วเราจะทำให้ตัวเองหรือคนอื่นตายทำไม และคงไม่มีใครอยากจะเห็นคนที่เรารักเสียใจหรอก จริงมั้ย”
.
.
เหตุผลที่อรรถพลบอกกับเด็กนักเรียนไปทำให้เขาเหม่อลอยมาถึงสะพานสารสินเพียงลำพัง อ๊อดแอบมาคนเดียวในตอนหัวค่ำหลังจากที่คนรักมาส่งที่บ้าน เขาครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหาทางออกให้ตัวเอง แต่ทะเลสีดำก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรนอกจากความว่างเปล่า
ความสูงจากสะพานลงไปยังผิวน้ำทำให้ชายหนุ่มที่ชะโงกดูรู้สึกถึงความเวิ้งว้างและดำดิ่งอย่างไร้จุดหมาย เขากลืนน้ำลายช้าๆเมื่อคำนึงไปว่า อีกไม่กี่วัน เขาจะต้องทอดกายใต้สะพานแห่งนี้
เสียงเพลงภูเก็ตแว่วดังมาในมโนสำนึก เนื้อเพลงนั้นช่างหดหู่และเชิญชวนต่อการทอดร่างลงใต้สะพานหากนั่งฟังด้วยอารมณ์เศร้าโศก อีกทั้งสายลมยามค่ำคืนยังโลมกายและกรีดใจจนเหมือนจะร้าวชาไปเสียทุกส่วน
“ร่างกายของฉัน ชีวิตของฉัน ลมหายใจของฉัน ... มันกำลังจะหยุดลงที่นี่อีกไม่ช้าใช่ไหมครับ สวรรค์”
เขาระพึงกับตัวเองเหมือนคนเสียสติ
“อรรถพล มึงเลือกที่จะตายเพื่อความรักจริงๆใช่มั้ย”
มีเพียงคำถามที่พร่ำถามตัวเองของอรรถพลที่ดังแว่วประสานกับเสียงลมกรรโชกและคลื่นที่กระทบฝั่ง หากแต่คำตอบนั้น ไม่ว่าสวรรค์ โกไข่กับครูอิ๋ว หรือแม้แต่ใครก็ไม่อาจได้ยินหรือล่วงรู้...
.
.
.
คนงานจำนวนหลักร้อยที่ขวักไขว่กับการเตรียมงานหมั้นที่ยิ่งใหญ่ของบ้านท่าฉัตรไชยที่กำลังจะเกิดในวันรุ่งขึ้น โดยเฉพาะนายหัวทองที่ดูจะวุ่นวายกว่าใคร ในขณะที่ตัวเจ้าบ่าวเองกลับแสดงท่าทีเรียบๆไม่เปิดเผยสักเท่าไหร่
เขาเดินเข้าห้องนอน พลางมองไปที่ชุดเข้าบ่าวของตนเองด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ชายหนุ่มจะจรดปากกาลงบนกระดาษ....

เมื่อเย็นที่ผ่านมา
อรรถผลทอดน่องไปยังหน้าโรงเรียนช้าๆ เบื้องหน้าสมปองยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญเหมือนเคย
“เชิญครับ”
ชายหนุ่มก้าวขึ้นรถอย่างไร้ซึ่งสรรพเสียงและการพูดจาใดๆ ต่างคนต่างรู้ถึงหนทางและนาฬิกาที่หมุนวนเหมือนจะถอยหลัง เป็นการบอกให้รู้ว่า ลมหายใจของสองชีวิตบนโลกกำลังจะปลิดปลิวไปในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
“มีใครทำอะไรกับนาฬิกาหรือเปล่าก็ไม่รู้เนาะอ๊อด ทำไมผมรู้สึกเหมือนเวลามันเดินเร็วจัง”
“ฮ่ะๆ นั่นน่ะสิ” อรรถพลหัวเราะเบาๆ และเป็นเสียงหัวเราะสุดท้ายของคนทั้งคู่ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงไป...ตลอดกาล
“ผมจะรอคุณที่นี่.... และขอโทษที่ผมทำหน้าที่คนรักของคุณได้เท่านี้ สุดที่รักของไอ้ปอง” สมปองพยายามยิ้มทั้งน้ำตา “แล้วเจอกันคืนนี้ครับ”

 

อรรถพลออกจากบ้านไปในตอนเที่ยงคืนหลังจากที่ทุกคนในบ้านหลับสนิท เขาขับรถมอเตอร์ไซค์ไปตามทางเรื่อยๆ ด้วยดวงใจที่เหม่อลอย สายลมยามราตรีหนาวเน็บจนเจ็บขั้วหัวใจหากแต่มันคงจะปวดจนชาเสียจนชายหนุ่มไม่รู้สึกใดในตอนนี้ และเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง เขาจอดรถทิ้งไว้ ก่อนจะหันหลังมามองช้าๆ
“ลาก่อน ....ภูเก็ต”
.
.
.
ข่าววันหมั้นที่ล่มไม่เป็นท่าดังกระฉ่อนพอๆกับข่าวก่อนหมั้น เมื่อเจ้าบ่าวหายตัวไปอย่างลึกลับโดยไม่มีใครล่วงรู้ นายหัวทองถึงกับเป็นลมหมดสติเมื่อได้รู้ข่าว ความอับอายไม่โหดร้ายเท่ากับดวงใจที่แตกสลายเมื่อไม่เห็นเงาของลูกชายคนเดียวที่รักและหวงปานดวงใจของตน

ตำรวจตามรอยจากเบาะแสอันน้อยนิด และไม่นาน ก็โยงไปถึงชายที่เหมือนจะเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของอรรถพล ...นายสมปอง .... ซึ่งก็หายไปจากบ้านเช่นกัน
แต่ตำรวจก็ไปพบเขาที่เกาะกลางทะเล ไม่ไกลจากภูเก็ตมากนัก ?!

“ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน ... ไม่รู้จริงๆ”
ชายหนุ่มตอบเหมือนคนเพ้อ หากแต่ตำรวจก็ไม่พบเจอสารเสพติดในร่างกายของเขา .... ร่องรอยเดียวที่อรรถพลทิ้งไว้ที่ภูเก็ต มีเพียงรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งไว้ไม่ไกลจากขนส่งภูเก็ตเท่านั้น
.
.
.
สถานีขนส่งหมอชิตใหม่ จตุจักร
ชายหนุ่มที่มีเพียงเสื้อผ้าติดตัวมามองซ้ายมองขวาราวกับมองหาใครสักคนซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเขามองหาใคร เนื่องจากบางที ทางที่เขาเลือกเองนั้น อาจจะเป็นทางเดินที่ต้องเดินทางเพียงลำพัง...
หลังจากที่ถอนเงินสดออกจากธนาคารมาจนหมด เขากำถุงเงินจนแน่นพลางหยิบใส่กระเป๋าอย่างระแวดระวังพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับแสงแดดจ้าในเมืองหลวง
“เราจะไปที่ไหนต่อดีนะ” เขาบอกกับตัวเอง
ภาพชายอันเป็นที่รักลอยเข้ามาในหัวยิ่งสร้างความคิดถึงระคนหดหู่ เขาไม่รู้ว่าต้องไกลจากสมปองสักเท่าไหร่ ถึงจะตัดใจได้ง่ายขึ้น และต้องใช้เวลานานสักเพียงไหน ถึงจะทำใจได้ในสักวัน
“.... เชียงรายเที่ยวเร็วที่สุดกี่โมงครับ”
“อีกหนึ่งชั่วโมงรถออก จะไปเลยมั้ยครับ”
“หนึ่งที่ครับ”
อรรถพลจ่ายเงินก่อนจะรับตั๋วมา เขาล้วงเอาจดหมายจากในกระเป๋าสองฉบับพลางมองมันด้วยดวงใจที่เหมือนจะเจ็บหน่วง .... เขายิ้มให้กับจดหมายอีกครั้งก่อนจะหย่อนจดหมายลงในตู้ไปรษณีย์
.
.
.
กว่าสองสัปดาห์ที่สมปองนั่งเหม่อลอยอยู่ในบ้านและแทบจะไม่แตะต้องอาหารที่พ่อกับแม่หามาให้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นกับเขา แต่หลายคนน่าจะพอเข้าใจเลาๆเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นว่าต้องเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของลูกชายคนเดียวของนายหัวทอง .... ทั้งการฆาตรกรรมและชู้สาว
..... และคนที่กุมคำตอบไว้อย่างสมปอง ก็ตอบกับทุกคนได้เพียง “ไม่รู้”
เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าดวงใจของเขาหายไปอยู่ที่ไหน?
“ปอง... ปอง”
เสียงของผู้เป็นแม่ดังขึ้น หากแต่ไม่ได้ทำให้ชายผู้ดวงใจแตกสลายใส่ใจในการร้องเรียกนั้นเลย จนผู้เป็นแม่ถอดใจ
“มีจดหมายมาถึงแก ... แม่จะวางไว้ตรงนี้นะ”
คล้อยหลังนางไป ดวงตาที่เหม่อลอยของสมปองค่อยๆเบนกลับมายังจดหมายที่ไม่ได้จ่าหน้าว่ามาจากใคร หากแต่เขาก็เลือกที่จะเปิดมันออกมา....
“ถึงปอง .... คนที่อ๊อดรักสุดหัวใจ
ก่อนอื่น อ๊อดคงต้องขอโทษปองที่ทำแบบนี้ สัญญาคืนนั้น อ๊อดขอโทษที่ปฏิเสธที่จะทำตาม อ๊อดอาจจะไม่ได้บูชาความรักขนาดนั้น หรือปองจะเข้าใจว่าอ๊อดตาขาวก็ได้ แต่อย่างไรเสีย อ๊อดก็ทำใจไม่ได้ที่จะเลือกความตายเป็นทางออกสำหรับความรักของเรา
และอ๊อด....ตอบตามตรงว่าอ๊อดรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ที่ปองบอกกับอ๊อดอย่างนี้ ผมคิดว่าทุกปัญหามีทางออก หรืออย่างน้อยที่สุด ทำไมเราถึงไม่สู้กับมันสักตั้ง ก่อนที่จะจบปัญหาแบบนี้ 
อ๊อดอาจจะวาดหวังความรักของเราไว้มาก และอ๊อดก็รู้ อ๊อดเป็นแบบนี้ อ๊อดอยากให้คนที่อ๊อดรักปกป้องอ๊อดได้ ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ชายที่มีอุดมการณ์เหมือนในนิยาย โกไข่กับครูอิ๋วอาจจะเป็นตำนานที่ใครๆก็กล่าวถึง .... แต่ถ้าเป็นในสมัยนี้ อ๊อดคิดว่าคงไม่มีใครใส่ใจกับคนที่เลือกความตายเป็นทางออกของปัญหาแน่ๆ
อ๊อดไม่ได้มองว่าใครเป็นนผิดในเรื่องนี้ แต่อ๊อดคิดว่า เราทุกคนต่างก็มีทางมีความคิดมีทางออกของตัวเอง และอ๊อดก็คิดว่าบางที ถ้าอ๊อดหนีมาแบบนี้ ปองอาจจะเลือกที่จะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ อ๊อดไม่อยากให้ใครต้องตายรวมถึงตัวอ๊อดเองด้วย นอกจากอ๊อดจะรักปอง รักพ่อ อ๊อดก็รักตัวเองเหมือนกัน อ๊อดเชื่อว่าหากเรายังมีชีวิตอยู่ เราน่าจะยังเจอเรื่องดีๆในชีวิตแน่ๆ
และความรู้สึกของอ๊อดที่มีต่อปอง ก็ยังเหมือนเดิมเสมอ
อ๊อดขอหายไปจากภูเก็ตสักพักเถอะนะ แล้ววันหนึ่งอ๊อดจะกลับมา
รัก...และอยากให้ปองมีลมหายใจต่อไป
....อ๊อด....ของปอง”

สมปองกำจดหมายแน่นเมื่ออ่านข้อความข้างในจบพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆไหลออกมา
“ผมขอโทษ อ๊อด เพราะผมเอง เรื่องทั้งหมดถึงเป็นแบบนี้”
.
.
.
“ตื่นแต่เช้าทุกวันเลยนะครับ ครูอ๊อด”
“อ้อ ครับ ลุงหวัง” อรรถพลหันมายิ้มให้กับนักการ ที่ควบหลากหลายตำแหน่ง ณ โรงเรียนบนดอยแห่งนี้  ชายกลางคนยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะเดินเข้าไปยืนข้างๆพร้อมกับทอดตามองทิวหมอกกลางหุบเชาเบื้องหน้า
“ใจหายเหมือนกันนะครับ สี่ปีแล้วที่ครูอ๊อดมาสอนที่นี่ เด็กๆคงจะคิดถึงครูมาก”
“ผมก็คิดถึงพวกเขาครับ แต่มันคงถึงเวลาที่ผมต้องกลับไปรับความจริงเสียที” อรรถพลยิ้มให้กับทะเลหมอกเบื้องหน้า
“หรอครับ .... ผมดีใจที่ครูคิดได้แบบนั้น ความจริงสำหรับหลายๆคนเป็นสิ่งที่โหดร้ายจนเลือกที่จะหนีไม่กล้าเจอ”
นักการหวังกอดอกเพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา “แล้วบ้านครูอ๊อดอยู่ที่ไหนนะครับ”
“ผมเป็นคนภูเก็ตครับ”
“ภูเก็ตงั้นหรอ” ชายกลางคนเหมือนจะตกใจเล็กน้อย “มิน่า ผมถึงถูกชะตากับครูนัก เราเป็นคนบ้านเดียวกันนี่เอง ผมก็เป็นคนภูเก็ตเหมือนกัน”
“จริงหรอครับ ไม่น่าเชื่อ โลกเรานี่แคบจริงๆ” ครูหนุ่มยิ้ม
“ครูอ๊อดทำให้ผมนึกถึงบ้าน นึกถึงใครบางคนเมื่อสามสิบปีที่แล้ว .... จะว่าไปผมก็อยากกลับไปภูเก็ตเหมือนกัน” ลุงหวังยิ้มเศร้าๆ
“ไปด้วยกันมั้ยครับ ผมยินดีออกเรื่องค่าเดินทางให้ถ้าลุงหวังไม่มีเงินนะครับ”
“อย่าเลยครับครู ผมไม่มีคนรู้จักที่นั่นแล้ว หรือไม่เค้าอาจจะไม่ได้อยู่รอผมแล้วล่ะ” นักการหวังฝืนยิ้มพลางกลืนน้ำลายลงลำคอ “ผมไปทำงานก่อนดีกว่า ขอให้พรุ่งนี้ครูอ๊อดเดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”

อรรถพลมองแผ่นหลังของชายวัยกลางคนด้วยความรู้สึกสงสัย หากแต่ความหนาวเย็นมาทำให้ความใคร่รู้นั้นจางหายไป รวมถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นภายในวันสองวันนี้ก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจ
สี่ปีที่จากมา ภูเก็ตจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างนะ

ลมยามบ่ายพัดทิวสนภูเขาลิ่วลมและรุนแรง ลุงหวังนั่งพักผ่อนอยู่ในเพิงไม่ไกลนักพลางหลับตา เขานึกถึงเสียงคลื่นจากบ้านเกิดที่ตนจากมา ที่แห่งนั้น .... และรักแรกของลุงหวัง อันเป็นสาเหตุให้ลุงหวังมาอยู่ที่นี่
มือกร้านของเขาหยิบเอาจี้ล๊อกเก็ตที่เป็นรูปของเขากับหญิงที่ตนรัก .... และรูปข้างๆเขานั้น คนในรูปมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับใบหน้าของมารดาของอรรถพลที่ติดไว้ที่วัดไม่มีผิด ?!
ลุงหวังยิ้มให้กับล๊อกเก็ตที่คอ พลางร้องเพลงเสียงสั่นในบทเพลงที่เป็นความหลัง....อันแสนขมขื่นของลุง
“ภูเอ๋ย ภูเก็ต อาณาเขตที่เรารักกัน
โธ่เอ๋ยสะพานสารสินเป็นถิ่นรื่นรมย์
ลาแล้วลาก่อน คงไม่ย้อนหวนคืนมาชม
ลาแล้วหนอความขื่นขม ทุกข์ระทมสิ้นสุดกันที....”
.
.
.
งานศพนายหัวทองจัดขึ้นเงียบๆในหมู่ญาติ ผู้เป็นลูกชายเดินเข้ามาในงานช้าๆท่ามกลางสายตาที่เหมือนจะชิงชังชายคนนี้ที่ทำอะไรตามใจตนเองจนพ่อตรอมใจตาย .... แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวอีกทั้งนายหัวทองเองก็เขียนพินัยกรรมยกทุกอย่างให้แก่ผู้เป็นลูกด้วย
ธูปหนึ่งดอกถูกจุดขึ้น ควันธูปลอยพลิ้วขึ้นไปช้าๆก่อนจะม้วนตัวหายไปเมื่อถึงเพดานศาลา อรรถพลกำจดหมายที่ผู้เป็นพ่อเขียนไว้ก่อนตายนอกเหนือจากพินัยกรรม พลางหลับตาลงช้าๆ คำลงท้ายในจดหมายที่นายหัวทองเขียนไว้ว่า “.....แทนคำขอโทษทั้งหมด....จากพ่อ” ทำให้ชายหนุ่มคิดว่า หากเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นคดีความ ใครกันนะที่เป็นคนผิด พ่อ ปอง ตัวเขาเอง หรือความรัก....

อรรถพลหลุบตาต่ำ เขาพบกับขาของชายคนหนึ่งที่ทรุดตัวลงข้างๆเพื่อมากราบศพพ่อของเขา ชายหนุ่มค่อยๆช้อนตาขึ้นมามองช้าๆ ก่อนที่ชายผู้นั้นจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“เสียใจด้วยนะอ๊อด”
“ขอบใจนะปอง”

สี่ปีที่หายไปทำให้ปองดูแปลกตาไปเล็กน้อย สมปองไว้หนวดเครารกครึ้มและดูกร้านคล้ำลงไปมาก หากแต่ลึกลงไปในแววตาคู่นั้น ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าทุกอย่าง....ยังเหมือนเดิม

อาจจะด้วยความเคอะเขิน หรือเกิดระยะห่างระหว่างทั้งคู่ ทำให้ต่างฝ่ายต่างเงียบแม้จะได้กลับมาเจอกัน ...
...จนกระทั่งเสร็จงาน สมปองเป็นฝ่ายที่เริ่มบทสนทนาขึ้นหลังจากที่อรรถพลส่งแขกจนหมด
“อยู่คุยกันหน่อยได้มั้ย”
อรรถพลถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่าย “ได้สิครับ”

ทั้งคู่เดินมาหยุดที่ซุ้มศาลาที่ทางวัดจัดไว้สำหรับญาติโยมที่มาทำบุญ อรรถพลเดินเข้าไปนั่งด้านในก่อนจะมองไปรอบๆ
“ที่นี่ยังร่มรื่นเหมือนเดิมเลย”
“ไม่ได้มีแต่ที่นี่ที่เหมือนเดิม ผมเองก็ไม่เปลี่ยนไปหรอกอ๊อด” สมปองกุมมือลูกชายนายหัวที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับส่งสายตาขอคำตอบ “ผมยัง....รักอ๊อดเหมือนเดิม”
“อ๊อดรู้ .... ดวงตาของปองบอกอ๊อดหมดแล้ว” อรรถพลยิ้ม ก่อนที่จะดึงมือของตัวเองออก “แต่....”
“แต่อะไรหรออ๊อด”
“อ๊อดคิดว่าทางเดินของเรามันแยกมาไกลจนเกินกว่าที่เราจะกลับไปเริ่มใหม่อีกครั้ง อ๊อดรู้ว่าไม่มีใครผิด ....แต่ความรักของเรามันได้ทำร้ายใครต่อใครมากมายเหลือเกินปอง....” ชายหนุ่มพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอและกลั้นน้ำตาในขณะที่พูด เขายิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะจับมืออีกฝ่ายไว้
“อ๊อดยังรู้สึกกับปองเหมือนเดิมนะ .... แต่อ๊อดก็ไม่รู้ว่าการที่อ๊อดกับปองจะยังใช้คำว่าแฟนกัน มันจะต่างอะไรจากที่เราเป็นเพื่อนกัน เราไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียน ไม่สามารถไปป่าวร้องบอกใครได้ แล้วก็ความรักของเราสองคนนี่แหละที่ทำให้พ่ออ๊อดต้องมานอนอยู่ในศาลานั่น”
สมปองเงยหน้ามองฟ้าด้วยดวงตาประกายชื้น “....อ๊อดทำให้ผมรู้สึกว่า เป็นแบบนี้มันแย่กว่าตายอีก ลมหายใจที่ไม่มีอ๊อดน่ะ”
“....ไม่จริงหรอกปอง ตราบที่เรายังมีลมหายใจ อ๊อดเชื่อว่าต้องมีอะไรดีๆเกิดขึ้นกับเราในวันข้างหน้าแน่” อรรถพลยิ้มให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะพูดต่อ “อ๊อดดีใจนะ ที่วันนี้เราทั้งคู่ยังมีลมหายใจ และปองก็ไม่เลือกที่จะตายเพื่อความรัก”
“แล้วทำไมเราจะรักกันไม่ได้ ในเมื่อไม่มีใครที่จะขวางเราอีกแล้ว”
“เรายังรักกันนี่ปอง ผมยังยืนยันว่าผมยังเหมือนเดิม เพียงแต่....” อรรถพลสูดลมหายใจเข้าปอด “ถ้าให้พูดตามตรง อ๊อดรู้สึกผิดนะ ที่การทำตามใจของอ๊อด ทำให้ใครต่อใครต้องเจ็บปวด ....เราเป็นคนที่คอยห่วงใยกันแบบนี้ดีแล้วล่ะ มันไม่ต่างอะไรจากเมื่อก่อนหรอก ต่างคนต่างห่วงใยกันและกันไปจนแก่จนเฒ่า แต่อย่าให้อ๊อดใช้คำนั้นเลย ...”
“อ๊อด ...ผมไม่...”
“สี่ปีที่ผ่านมา อ๊อดได้รู้จักหลายมุมของความรัก มันทำให้อ๊อดรู้สึกว่า เจ้าความรักมันน่ากลัวพอๆกับความสวยงามที่เรามองเห็นเลย เหมือนภูเก็ต ทะเลที่นี่สวยงามแต่ครั้งหนึ่งภูเก็ตก็เคยกลบกลืนชีวิตคนนับพันนับหมื่นคนให้ตายลงอย่างน่ากลัว ทุกสิ่งบนโลกไม่มีอะไรที่สวยงามเพียงด้านเดียว ....และอ๊อดก็...เกลียด...และกลัวด้านร้ายของมันมาก”
ชายขับสองแถวใช้มือสองข้างปืดหน้าตัวเอง พลางลูบลงปาดดวงตาที่ชื้นแฉะ ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่น
“แล้วอ๊อดต้องการให้มันเป็นยังไงต่อไป”
“เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตลอดไป....ปอง”
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มฝืนยิ้ม ก่อนจะคว้าคนตรงหน้ามากอดจนแน่น “แต่ผมขอกอดอ๊อดเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ ทูนหัวของไอ้ปอง”
.
.
.
“ตึ๊ง ตึ่ง ตึง ตึ่ง .... ตึ่ง ตึง ตึ๊ง ตึ่ง”
ออดของโรงเรียนดังขึ้น ครูอรรถพลปล่อยนักเรียนให้กลับบ้านก่อนที่จะพาตัวเองมายังหน้าโรงเรียน ...ที่เดิม รถสองแถวบุโรทั่งสีแดงก็ยังจอดอยู่ไม่ไปไหน จะมีที่เปลี่ยนไปก็เพียงสถานะของผู้โดยสารขาประจำกับเจ้าของรถ ที่เขยิบถอยออกมา เป็นเพียงเพื่อนที่สนิทสนมรู้ใจกัน...เท่านั้น
....คำว่า “คนรัก” ของทั้งคู่อาจจะหายไปกับเกลียวคลื่นใต้สะพานสารสิน
แต่ความรู้สึกดีๆที่ทั้งคู่มีต่อกันนั้น ... จะยังคงอยู่ตลอดไป....

.....อวสาน

อา... จบลงแล้ว กับเรื่องสั้นที่น่าจะดราม่าที่สุดที่จะเขียนแล้ว
มันบีบคั้นอารมณ์ที่สุดแล้ว สำหรับเรื่องนี้
(คือเป็นเรื่องที่เขียนแล้วเครียด มากกว่าเขียนเรื่องไอ้บอยเสียอีก)

แต่ด้วยฟังเพลงภูเก็ตแล้วปิ๊งพลอตขึ้นมา เลยอยากเขียนในมุมมองของคนสมัยใหม่บ้าง
ในมุมของผมคิดว่า หากทั้งโกไข่และครูอิ๋เกิดในยุคสมัยปัจจุบัน
ทั้งคู่คงจะมีทางออกที่ดีกว่าความตายแน่ๆ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ
ส่วนที่พี่ yeyong แซวว่าทำตัวแก่กว่าวัยนั้น ไม่เถียงเลยครับ
เพราะชีวิตจริงก็ทำตัวแบบนั้นแหละ ฮาๆๆ

(นอกจากทำตัวแก่แล้วช่วงนี้ยังทำหน้าแก่เลยวัยด้วยนะผมน่ะ  :laugh:)

 :L2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 30-12-2011 01:20:30
เป็นเรื่องที่เศร้ามาก ๆ และดราม่าจริง ๆ จัง ๆ ( จำแนกตาม Genre : Drama )
คงเพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่สามารถหาทางออกที่สวยงามได้สักเท่าไร
ทางเลือกของอ๊อด ไม่สามารถบอกได้ว่า ถูกหรือผิด ( ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคลจริง ๆ )
แต่ที่แน่ ๆ เรารู้สึกสงสารปองที่สุด เพราะ พี่ท่านเป็นประเภทรักไม่ยอมเปลี่ยน
มีหลายครั้งที่อ๊อดบอกให้ปองเลิกรัก แต่เขาก็ยังยืนยันว่าจะรัก ไม่ว่าจะอะไร ยังไง ก็ไม่มีทางหยุดรัก
ความรักของปองยิ่งใหญ่มากนะ แต่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับสถานการณ์ที่เป็นก็ได้...




หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 30-12-2011 08:20:49
 :L2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 30-12-2011 09:22:15
 :monkeysad: เศร้าปวดใจที่สุด

+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 30-12-2011 09:27:36
ตอนที่ปองนัดเจอคิดว่าจะพาหนีไปเสียอีก
 :เฮ้อ:
:pig4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 01-01-2012 02:50:24
เศร้า... :o12:
อ๊อด...ความคิดเราอาจคล้ายๆกัน
รู้เห็นเรื่องความรักมามากมาย 
ด้านดี ก็ยากได้รักมาเชยชม
ด้านขม ก็ขมเสียจนปางตาย
ถ้าครั้งหนึ่งความรักจะมาเยือน ขอปฎิเสธรัก เก็บความหวานปนขมไว้ในใจก็เพียงพอ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 01-01-2012 13:15:29
สงสารอ๊อดกับปอง
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 01-01-2012 14:14:23
ชีวิตคนเรามันสั้น อย่าสร้างเงื่อนไขชีวิตที่มากมายเลย
 :monkeysad:
+1
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 03-01-2012 05:37:53
โอ๊ย คือแบบ  :sad4: อยากให้เขาได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็แอบเข้าใจที่ตัดสินใจแบบนั้น
ขอบคุณมากสำหรับเรื่องนี้จ้ะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 03-01-2012 09:08:17
เอ่อ! ในความคิดเรานะ นั่นคือความรู้สึกของปองที่มีต่ออ๊อดมันเปลี่ยนไปแล้วอ่ะตั้งแต่ไปใช้ชีวิตที่อื่นมา  ในขณะที่อ๊อดยังเหมือนเดิม  การขอเป็นเพื่อนกันก็หมายถึงจะไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมาเกี่ยวข้องอีกต่อไป  คงเป็นวิธีการชดเชยความรู้สึกผิดของปองที่มีต่อพ่อ ซึ่งอ๊อดคงทำอะไรไม่ได้เพราะตัวเองก็ด้อยกว่าอีกฝ่ายทุกทางอยู่แล้ว 
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 03-01-2012 11:53:13
 :เฮ้อ: อะไรจะดราม่าขนาดนี้ เศร้าใจจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: kanunsak ที่ 26-01-2012 16:39:07
 :o12:  สงสารตัวเอง  อินอีกแล้ว ทำไมคนเขียนใจร้ายงี้อ่ะ  ตั้งกะบอยลมแล้วอ่ะ  ลุงเต้ก็อีก ( ดีนะที่จบแบบ happy )


แต่...


แต่..... คุณอ๊อดเนี่ย...   :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 16-03-2012 14:27:51
จบแบบงงๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: naTerquelA ที่ 16-03-2012 15:48:59
เศร้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

มันก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน เฮ้อออ...
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: LUCKY STAR ที่ 17-03-2012 17:08:38

เพื่ออะไร ???

ชดใช้ความผิดเหรอ ???
พ่อที่ตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาได้รึไง ???
แล้วให้ปองรอเพื่อ ???

ถ้าอย่างงั้นอย่ากลับมาเลยจะดีกว่าไหม ???
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: nco1236 ที่ 22-03-2012 15:45:42
เรื่องสุดท้ายพูดไม่ออก...บอกไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 24-03-2012 04:48:05
 :sad11: เห๊อออออออออออ น่าเศร้าจิงๆ คนๆนึงบอกรักด้วยการกระทำ ส่วนคนๆนึงบอกรักด้วยคำพูด

 :กอด1: มาติดตามค่าา ชอบวิธีการเล่าเรื่องมากๆ :)
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: kimyunjae ที่ 25-03-2012 01:23:52
เรื่อสุดท้าย เศร้าอ่ะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 08-04-2012 10:29:50
ชอบเวลาคนเขียนเอาหยิบเอาเรื่องเล็กๆ ของใกล้ๆตัวอะไรบางอย่างมาผูกเป็นนิยายได้ครับ
ผมว่ามันเท่ดี เหมือนเรื่องที่สองที่มาจากน้ำท่วมหรือเรื่องสุดท้ายที่เอามาจากเพลงจากตำนานของภูเก็ต

เรื่องแรกจบสวยดีครับ คือถึงแม้ใจในจะรู้สึกอยากให้ไนซ์กระโจนกอดเก่งแล้วบอกว่า "กรูก็รักมึงมานานแล้วเหมือนกัน"
แต่ถ้ามันจบแบบนั้นจริงๆ คงจะทะแม่งๆด้วยความที่มันดูไม่สมูธเท่าไหร่

เรื่องที่สองนี่หวานจริงจัง โชคดีที่อ่านรวดเดียวจบ ไม่งั้นคงทรมานตอนที่ไม่รู้ว่าจอมเป็นยังไงบ้างน่าดู
ชอบตอนจีบกันครับ น่ารักมากๆ

เรื่องสุดท้ายถึงแม้จะดูจบเศร้า(ตามความถนัดของผู้แต่ง) ซึ่งมันก็บีบคั้นอารมณ์ไปทางหนึ่ง ถือว่าสำเร็จเหมือนกัน
เพียงแต่ถ้าอยากจะมองเข้าข้างตัวเองสักหน่อยให้มันไม่เจ็บปวดนัก การที่คนทั้งสองกลับมาอยู่ด้วยกัน
ถึงแม้จะเปลี่ยนสถานะ แต่จริงๆแล้วด้วยความรู้สึกเดิมๆ อะไรๆมันก็จะไม่ต่างไปจากเดิมหรอก ต่างแค่คำเรียกเท่านั้นเอง
แล้วตอนจบก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้น ผมเชื่อว่าเค้าอยู่ด้วยกันไปอย่างนี้เรื่อย คนรักกันมันก็ไม่มีเหตุผลจะให้ไม่รักหรอก

แต่ถ้าเอาจบแบบนั้นจริงๆ seriously ผมก็ออกจะไม่ค่อยชอบอ๊อดนิดหน่อย
เพราะเค้าแค่เอาคำว่าไม่อยากให้ความรักทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือเจ็บปวด แต่มาทำเอาตอนที่สายไปแล้ว
ตอนนี้คนที่เดือดร้อนหรือเจ็บปวดเพราะความรักจริงๆก็มีแต่เค้าสองคนนั่นแหละ
กับการที่มาตั้งเงื่อนไขไปเอง(โดยไม่ค่อยจะมีสาระเท่าไหร่)ว่าต้องเป็นเพื่อนกัน
เหมือนกับเป็นการทำเพื่อชดเชยความผิดที่มีต่อพ่อ แต่นั่นก็ยิ่งเป็นการย้ำว่าอ๊อดแค่ทำให้ตัวเองเจ็บเพื่อให้ตัวเองสบายใจ
มันก็ดูเห็นแก่ตัวกับปองมากไปหน่อย

ผมคิดมากไปไหมเนี่ย เอาเป็นว่าจะรอเรื่องต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 13-04-2012 20:57:09
 :sad11: พึ่งเห็นว่ามีตอนต่อเรื่องที่หนึ่งด้วย แล้วอ่านรวดเลยทีเดียว
เรื่องแรก เรานึกว่ามันจบแล้วซะอีก แห่ะๆๆ จิงๆสารภาพเราว่า เราชอบการที่จบแบบไม่มีตอนที่สองนะ แบบตอนที่สองเราว่ามันแปลกๆนิดหน่อย (อาจจะเป่นแค่เราเองที่รุ้สึกนะ)
เรื่องที่สอง แอบน่ารักนิดหน่อย หวานๆกันไป
ส่วนเรื่องสุดท้าย เอา :กอด1: เราไปเลยดราม่าได้อีก :'( แต่เราแอบบรุ้สึกว่าครูคนนั้นเค้าเหมือนทำเพื่อตัวเอง แต่ก้อเข้าใจ แต่ปองน่าสงสานมาก  :เฮ้อ:
 :man1: รออ่านเรื่องต่อไปจ้า :)
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 15-04-2012 14:50:15
ข้าพเจ้าชอบทั้ง 3 เรื่องเลยนะ....
แต่ขอบอกว่าสุดท้ายก็ไม่พอใจที่อ๊อดทำแบบนี้..
ความรักไม่ได้ทำร้ายใครมีแต่คนที่ก่อให้เกิดความรักทำร้ายกันเอง...
เหมือนที่อ๊อดกำลังทำร้ายปองนี่ไง..อ๊อดทำได้รับสภาพได้เพราะตัวเองเป็นคนที่ตัดใจเอง...
แต่ปองล่ะจะรับได้แค่ไหนกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รับสิทธิ์เลือก....เฮ้อ!!!เหนื่อยใจกับความรักนะ... :o12:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องที่๓: ภูเก็ต(ตอนจบ) หน้า๓ (๒๙.ธันวาคม.๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 05-05-2012 23:04:14
อ่า ในที่สุดผมก็ผ่านเรื่องของนักเขียนที่ตัวเองชื่นชมมากที่สุดในเวลานี้จนครบทุกเรื่องที่จะหาอ่านได้

ยังยืนยันว่าชื่นชมผลงานการเขียนของคุณหนิงหน่อง (ผมคงพิมพ์ชื่อไม่ผิดนะครับ) ภาษาสวยงามทำและถ่ายทอดได้อย่างดี

ทำให้คนอ่าน(อย่างผม ซึ่งไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นมั๊ย?) เข้าถึงมัน เหมือนตัวเองเป็นอีกตัวละครในนั้น

ตัวละครทุกตัวเหมือนกับมีชีวิต หลาายสถานที่ที่ผมเองไม่เคยไป และหลายเรื่องที่ผมไม่เคยรู้ คุณได้พาผมไปรู้จักทั้งหมดจริงๆครับ

ผมชอบนิยายของคุณทุกเรื่อง และอีกเรื่องที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือความน่ารักของคนเขียน

เท่าที่ผมตามอ่านมา แม้ว่าผมจะมาตามอ่านที่หลังแต่ก็เห็นอยู๋ดีว่านักเขียนเองใส่ใจคนอ่านที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยนิยายขนาดไหน

แม่จะมาต่อช้าในบางตอน แต่มันก็มีอะไรที่ทำให้คนอ่าน หรือแม้กระทั้งคนตามอ่านอย่างผมรู็สึกดีมากๆ

ผมจะตามผลงานไปเรื่อยๆนะครับ  :3123:


มาถึงเรื่องสั้น เรื่องแรก

เอ๋ บรรยากาศคุ้นๆเหมือนมหาวิทยาลัยบูรพา (ผมเรียนอยู่ครับ) ก็บางแสน? ทะเล? แต่บัวเหล็กคืออะไร? แต่ผมอาจเข้าใจผิดก็ได้

ความรักของเก่งดีลึกซึ้งกินใจจริง ๆ แต่ก็นะก็ไนซ์กว่าจะพอ กว่าจะหยุด และเกือบที่จะเลือกทำลาย

มันก็เป็นเรื่องของจังหวะหล่ะมั๊งครับ ผมเองยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจในหลาย ๆ ความคิด แต่ก็ชื่นชอบเก่งมาก

ดีใจที่คู่นี้มีความสุข แต่แอบหมันใส้ไนซ์ ที่ยังต้องเริ่มต้นใหม่อีก แหม่ะ พ่อหล่อเลือกได้ :a6:


เรื่องสั้นเรื่องที่ 2

เรื่องนี้น่ารักมาก รักเกษตรหนุ่มจัง ไม่สิ เค้าหนุ่มตอนผม 4 ขวบ ถ้าเค้าเป็นคนที่มีชีวิตอยู่จริง ๆ ตอนนี้น่าจะ 40 ขึ้นไปหน่ะนะ

เค้าช่างเป็นคนน่ารักและอบอุ่น มั่นคงในรัก ใจดี โอ๊ยยยยย คลั่ง  :impress2:

ส่วนพ่อค้าพวงมาลัย แหม่ะช่างน่ารักเหมาะสม ผมดีใจมาก ๆ อีกครังที่เรื่องนี้มีความสุข  :L1:


เรื่องสั้นเรื่องที่ 3

 :เฮ้อ: ผมเป็นคนชอบอ่านนิยายทุกอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นดราม่า หรือรักใส ๆ นั่นคงเป็นเพราะผมอยากอ่านเรื่องราวที่หลากหลาย

เพราะว่าแน่นอนในชีวิตจริง ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องราวของทุกชีวิตหรอกที่จะสมหวังไปทุกอย่าง

หลาย ๆ คนที่ไม่ชอบอ่านนิยายดราม่าก็คงคล้าย ๆ กับอ๊อดที่กลัวด้านมืด

แน่นอนหล่ะ ถ้าเลือกได้ ใครก็อยากจะให้ทุกสิ่งสวยงามดังใจตน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความจริงแน่นอน

ครูอ๊อดก็คงอับจนด้วยหนทาง และทางออกที่มีก็คงมีเท่านั้นจริง ๆ หลายคนที่อยู่ในปัญหาไม่มีทางมองเห็นทางออกหรอกเนอะ

เหมือนในใจผมที่คิดว่า "ทำไมไม่บอกพ่อ?" "ทำไมไม่สารภาพความจริง?" "ทำไมไม่เลือกที่จะตายไปกับคนรัก?"

"ทำไมไม่หนีไปด้วยกัน?" ทำไม ทำไม และทำไม แต่ผมลอง ๆ มาคิดดูแล้ว ถ้าไม่ใช่คนที่เผชิญกับปัญหาด้วยตัวเอง

ก็อย่าไปว่าคนอื่นเลยว่าทำเช่นนั้นไปทำไม ผมเลยเก็บทำไมทั้งหลายลงท้องไป (แล้วพิมพ์ออกมาทำไม? :m20:)

สงสารปอง อ๊อดเองก็เช่นกัน แล้วก็สงสารพ่อด้วย อยากให้อาม่ามาจัดการตอนดูตัวบ้าง เผื่อเรื่องมันจะสวยงาม ( :z6:)


ความเห็นยาวจนน่าเบื่อก็ขออภัยด้วยนะครับ พอดีอินจัด :m23:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา : เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 14-06-2012 22:08:26
บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนแรก


สายลมกลางฤดูใบไม่ร่วงทำให้ประชาชนในกรุงลอนดอนพากันแต่งกายด้วยเสื้อโคทสองชั้นกันความหนาวเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาวจนชาผิว ทว่าความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่ค่อนข้างน้อยก็ทำให้ต้องสวมใส่อาภรณ์ป้องกันไว้บ้าง

ชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ทสีดำและหมวกปีกแคบสีเดียวกับชุดเดินออกมาจากประตูแม่เหล็กไฟฟ้าหลังจากที่เขาใส่รหัสถูกต้อง พนักงานในอาคารค้อมตัวแสดงความเคารพก่อนจะเดินหลบทางให้อย่างนอบน้อม ชายหนุ่มหน้าอ่อนเยาว์ยิ้มให้กับพนักงานของเขาเล็กน้อยก่อนจะเบนสายตาไปข้างหน้าเพื่อให้คนเหล่านั้นไม่รู้สึกอึดอัดต่อการมีตัวตนของเขา

ประตูบานวนหมุนเป็นวงเปิดทางให้ชายในเสื้อโคทสีดาเดินออกมาสู่ภายนอก เขาเดินทอดน่องมาเรื่อยๆบนถนน Byward จนมาถึงทางขึ้นสะพานทาวเวอร์บริดจ์ ผืนน้ำในแม่น้ำเทมส์ทอประกายสีทองอ่อนเมื่อรับกับเปลวแดดยามพระอาทิตย์ย่ำสายัณห์ มีผู้คนออกมาจ๊อกกิ้งบ้าง ที่ม้านั่งริมแม่น้ำชายหนุ่มมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังป้อนไส้กรอกให้แก่เจ้าไซบีเรียนฮัสกี้ตัวโตด้วยรอยยิ้มเมื่อสุนัขของหล่อนขอบคุณเจ้านายของมันด้วยการเลียมือซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่สายลมยามเย็นจะพัดโชยมาทำให้หลายๆคนพากันกระชับเสื้อคลุมของตนเพื่อบรรเทาความเย็นจากสายลมที่พายพัดผิวกาย ชายหนุ่มแสร้งทำตามคนเหล่านั้นราวกับว่าเขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกหนาวเย็นไม่ต่างจากคนทั่วไป

เขาเดินขึ้นไปบนสะพานทาวเวอร์บริดจ์อย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะหยุดยืนมองผืนน้ำเบื้องล่างด้วยแววตาที่ไร้ก้นบึ้ง ไม่ไกลกันนักมีสะพานลอนดอนที่สร้างจากคอนกรีตแทนสะพานเดิมที่ถล่มลง เขาครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆในลอนดอนและประเทศอังกฤษที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ทุกสิ่งล้วนดำรงอยู่ตามสัจธรรมแห่งจักรวาลอันประกอบด้วยการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และสูญไป และกฎข้อนี้ก็เป็นเหมือนกติกาแห่งพระเจ้าที่มอบให้แก่มนุษย์อย่างเท่าเทียม แต่กฎที่จริงแท้และเป็นนิรันดร์กว่านั้นคือทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่กฎแห่งความไม่เที่ยงก็ตาม

“เหวอออ!!!” เสียงใสๆของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ก่อนหันมาตามเสียงก็พบกับผ้าพันคอไหมพรมถักสีเทาดำลอยมาพาดกับใบหน้าของเชาพอดี
“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ เผอิญผมกำลังรีบน่ะครับ” เขาออกตัวขอโทษพลางหายใจอย่างเหนื่อยหอบ “ขอผ้าพันคอคืนด้วยครับคุณ”
“รีบไปไหนกันล่ะเจ้าหนู” ชายหนุ่มในเสื้อโคทสีดาเอ่ยถามขึ้นโดยที่ยังไม่ได้มอบผ้าพันคอผืนนั้นคืน
“เจ้าหนู?” เด็กหนุ่มย่นคิ้วอย่างสงสัยในสรรพนามที่ชายแปลกหน้าใช้กับตน “เอ่อ ผมต้องรีบไปที่ร้านครับ เผอิญจักรยานผมเกิดยางแตกที่โบสถ์ซัทเบิร์ค แล้วผมก็มีเวลาไม่มากแล้วด้วย ยังไงผมขอผ้าพันคอคืนด้วยนะครับ”
“อื้ม ... เอาไปเถอะ” ชายหนุ่มส่งคืนให้แต่โดยดี
“ขอบคุณครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มกล่าวคำอำลาก่อนจะวิ่งตื๋อโดยไม่หันมามองด้านหลัง ทว่าด้วยความรีบร้อนนั้นก็ทำให้ผ้าสีดำผืนหนึ่งหลุดออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่เจ้าตัวเสียบไว้หลวมๆและหลุดปลิวมาตามแรงลมโดยที่เจ้าหนูไม่รู้ตัว โชคยังดีที่ชายหนุ่มในเสื้อโคทดำคว้ามันไว้ได้ทันอีกครั้ง

“เฮ้ เจ้าหนู เดี๋ยว!” เขาร้องเรียก ทว่าสายไปเสียแล้ว เพราะเจ้าหนูคนนั้นไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเขา และเขาเองก็คร้านจะวิ่งตาม เพราะสำหรับชายหนุ่ม ... มันเนิ่นนานมาแล้วที่เขาเลิกนับวันเวลา และลืมไปแล้วว่าความรีบร้อนนั้นมีประโยชน์อะไรต่อเขา

เขาคลี่ผ้าผืนนั้นออกดู ก็พบว่าเป็นผ้ากันเปื้อนสกรีนลายแก้วกาแฟสีขาว ด้านล่างเป็นคำว่า “Gregory Coffee” เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกโทรศัพท์ของตนขึ้นมา
“ทอม คุณช่วยค้นหาร้านกาแฟชื่อเกรกอรี คอฟฟี่ให้ผมหน่อย ถ้าเจอแล้วมารับผมที่สะพานทาวเวอร์บริดจ์ด้วยนะ”
.
.
รถโรลส์ลอยซ์สีบรอนซ์มันเงาจอดเทียบที่จอดรถเล็กๆในบริเวณสวนสาธารณะ ก่อนที่ชายหนุ่มในเสื้อโค้ทสีดำจะลงจากรถ
“คุณผู้ชายจะไปนานไหมครับ” เสียงคนขับรถถามขึ้น ก่อนที่ชายหนุ่มที่นั่งข้างหลังจะก้าวขา
“คงไม่นานหรอกมั้ง เดี๋ยวชั้นคืนผ้ากันเปื้อนให้เจ้าหนูนั่นก็จะกลับมา นายรออยู่ที่นี่แหละทอม”
“ให้ผมไปเองไหมครับ ผมไม่เห็นว่า คุณผู้ชายไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาผ้ากันเปื้อนถูกๆไปคืนเจ้าเด็กนั่นด้วยตัวเองเลย” ทอมออกความเห็นด้วยใจจริงในฐานะคนสนิทที่รับใช้กันมานาน
“ไม่เป็นไรหรอกทอม วันเวลาในชีวิตของชั้นมันเดินเป็นเส้นตรงมานานหลายปีแล้ว นายก็รู้ ให้ชั้นได้ทำอะไรบ้างเพื่อแต่งแต้มวันเวลาที่หยุดเดินของชั้นเถอะ” คนที่ถูกแทนตัวว่าคุณผู้ชายตอบด้วยรอยยิ้มที่เกือบจะเป็นเส้นตรงบนใบหน้า
“ผมขอโทษครับที่ออกความเห็น ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเถอะครับ”

ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะก้าวลงจากรถและเดินช้าๆไปยังร้านกาแฟตามพิกัดที่ทอมหาตำแหน่งมาให้ ร้านดังกล่าวเป็นร้านเล็กๆ ป้ายหน้าร้านเป็นไฟ LED หลากสีเรียงกันเป็นชื่อร้าน ผนังทำด้วยกระจกใสและมีโต๊ะให้นั่งจิบกาแฟอยู่สองสามตัว ชายหนุ่มมองเข้าไปข้างในก็พบกับคนที่ลืมของไว้กับเขา  เขายิ้มเล็กน้อยให้กับความเลินเล่อแบบเด็กๆของพนักงานร้านกาแฟคนนั้นก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน
“สวัสดีครับ เชิญครับ” เสียงใสๆที่เพิ่งจะได้ยินเมื่อบ่ายดังขึ้นเชื้อเชิญเขา ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเห็นใบหน้าของลูกค้าที่เข้ามาก็ต้องอุทานขึ้นมา...
“คุณเมื่อเย็นใช่มั้ยครับ?”
“ใช่แล้วเจ้าหนู” เขายิ้มให้เล็กน้อย “ชั้นเอามาคืนนาย มันปลิวหลุดตอนที่นายรีบวิ่งมาทำงานน่ะ”
“โอ้ ... ขอบคุณมากเลยครับ” เขารับผ้ากันเปื้อนไปและขอบคุณจากใจจริง “นี่ผมโกหกพี่เจ้าของร้านว่าผมลืมหยิบมานะเนี่ย ไม่งั้นผมได้เสียค่าผ้ากันเปื้อนผืนใหม่อีกตั้งสองสามปอนด์แน่ะ”
“ดีใจด้วยนะเจ้าหนู ถ้าอย่างนั้นชั้นขอตัวก่อนนะ” ชายหนุ่มกล่าวอำลา แต่พนักงานร้านกาแฟคนนั้นก็ร้องทักไว้
“ให้ผมเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วนะครับ ขอบคุณสำหรับเรื่องที่คุณเอาผ้ากันเปื้อนมาคืนผมไง”
“เอ่อ ... ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหนู”
“เรียกเจ้าหนูอีกแล้ว ... คุณจะอายุเท่าไหร่กันเชียว ผมเดาคร่าวๆอย่างมากก็ไม่เกินสามสิบหรอกน่า” เด็กหนุ่มพ้อด้วยรอยยิ้มกว้าง “ลองชิมดูหน่อยเถอะครับ กาแฟร้านผมอ่ะอร่อยนะ ได้ชิมแล้วจะติดใจ แล้วยิ่งสำหรับคุณด้วยแล้ว ผมจะทำให้สุดฝีมือเลยล่ะ”
“เอ่อ ... ก็ได้” ชายหนุ่มตอบรับอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ขอบคุณครับ ว่าแต่คุณชอบดื่มอะไรครับ มอคค่า คาปูชิโน่ ลาเต้ อ้อ ... แต่ห้ามสั่งเอกซ์เพรสโซ่นะ ไม่งั้นตาค้างทั้งคืนแน่เลยล่ะ”
“อะไรก็ได้ เจ้าหนู ... อันที่จริงชั้นไม่ได้กินกาแฟมานานมากแล้วล่ะ”
“งั้นหรอครับ แต่ถ้าคุณได้ชิมกาแฟที่ผมชงให้แล้วล่ะก็ คุณจะต้องหันมาชอบกาแฟแน่ๆเลยล่ะ... งั้นเอาเป็นคาปูชิโน่แล้วกันนะครับ ไม่แรงมาก”
“ก็ได้”

ไม่นานนัก แขกโต๊ะข้างๆเรียกเก็บเงิน ทำให้ทั้งร้านเหลือเพียงชายหนุ่มยิ้มยากกับพนักงานยิ้มง่ายเพียงสองคน เด็กหนุ่มนำกาแฟมาวางตรงหน้าชายในเสื้อโคทก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ผมชื่อบิลครับ บิล เลย์ตัน” เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ้าหนู ชั้นชื่อ บ๊อบ วิลเลี่ยม” อีกฝ่ายแนะนำตัวบ้าง ก่อนจะมองแก้วคาปูชิโน่ที่ถูกวาดลวดลายเป็นรูปตัวการ์ตูนยิ้มกว้างด้วยชอคโกแลต
“คุณวิลเลียมจะยิ้มเหมือนกาแฟที่ผมทำมาให้ก็ได้นะครับ” บิลท้าวคางพูดพลางทำหน้าเป็นเหมือนรูปบนแก้วกาแฟ
“ชั้นเป็นแบบนี้แหละเจ้าหนูบิล” บ๊อบพูดพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่มอึกใหญ่
“นี่คุณวิลเลี่ยม ทำไมคุณดื่มเป็นดื่มน้ำแบบนั้นล่ะ นี่มันกาแฟนะ ...กาแฟร้อนด้วย!” เด็กหนุ่มเลิกตาอย่างตกใจเมื่อเห็นลักษณะการกินกาแฟของคนตรงหน้า
“เอ่อ...” ชายหนุ่มอึกอักเมื่อลืมที่จะเลียนแบบท่าทางของคนปกติ “คือ...”
บิลเอื้อมมือไปแตะแก้วกาแฟของบ๊อบ ก่อนจะเอามือออกอย่างรวดเร็วและสลัดมือไปมาด้วยความร้อน “โอ๊ย ยังร้อนอยู่จริงๆด้วย คุณกินเข้าไปแบบนั้นได้ยังไง”
“ชั้นขอตัวก่อนนะเจ้าหนู ชั้นกลับก่อนล่ะ” ชายหนุ่มตัดบท ก่อนจะรีบลุกขึ้น
“เดี๋ยวก่อนครับ คุณวิลเลียม ... “ เขาร้องทักไว้อีกครั้ง “เช็ดปากของคุณก่อนเถอะครับ ที่ปากของคุณเลอะครีมอยู่”

บิลส่งกระดาษทิชชู่ให้แก่ชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าสับสน เขารับกระดาษมาเช็ดปากช้าๆ ก่อนที่เจ้าหนูบิลจะถามต่อ
“คุณดูเป็นคนลึกลับจังเลยนะครับ แล้วก็แปลกมากด้วย”
“ชั้นน่ะหรอเจ้าหนู นายคิดไปเองซะล่ะมั้ง”
“ไม่เลยครับ ที่ผมเห็นน่ะ มันฟ้องจากแววตาของคุณนั่นแหละ คุณวิลเลียม ไม่ว่าคุณจะยิ้มหรือหัวเราะให้ผมเห็น แต่แววตาของคุณเหมือนกับซ่อนอะไรไว้อยู่ตลอด” 

บ๊อบ วิลเลียมหลบดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า ทว่าบิลกลับไม่หยุดพูดต่อ
“ไหนจะสรรพนามที่คุณเรียกผมว่าเจ้าหนู ผมโตแล้วนะครับ คุณวิลเลียม และผมก็คิดว่าคุณก็ไม่แก่คราวลุงถึงขนาดจะเรียกผมอย่างเอ็นดูขนาดนั้นด้วย” บิลพูดเสียงกร้าว ทำให้ชายในเสื้อโคทสีดำเปลี่ยนสีหน้าเป็นราบเรียบและเศร้าสร้อย
“เอ่อ ... ผมขอโทษนะครับคุณวิลเลี่ยม ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ผมแค่รู้สึกว่าคุณน่าจะยังไม่แก่ถึงขนาดเรียกเด็กมหาลัยอย่างผมด้วยคำที่พูดประหลาดๆแบบนั้น .... หรืออันที่จริง ...โอเคๆ ผมพูดตามตรงแล้วกัน ผมว่าคุณเป็นคนที่แปลกอยู่สักหน่อย”
ชายหนุ่มสูดลมหายใจอย่างยากลำบาก ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แล้วถ้าหากว่า ชั้นลืมนับอายุไปแล้วล่ะ ว่าชั้นอายุเท่าไหร่ ... แต่ถ้านายอยากจะนับแทนชั้น ชั้นก็จะบอกนายก็ได้ว่าชั้นเกิดตอนคริสตศักราช 2116”
“2116....” เด็กหนุ่มทวนคำ ก่อนจะอุทานด้วยดวงตาเบิกโพลง “คุณจะบ้าหรอ นี่มันปี 2224 แล้วนะ”
“หน้าชั้นดูเป็นคนโกหกมากเลยหรอ”
“แล้วทำไม... คุณถึงได้ ยังหนุ่มอยู่แบบนี้ล่ะครับ” บิลพูดอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองนัก
“นายรู้จักแอนดรอยด์ไหมล่ะเจ้าหนู”
“แอนดรอยด์.... ไม่จริงน่า คุณวิลเลียม” บิลส่ายหน้าช้าๆ อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “โอกาสสำเร็จของการปลุกคนขึ้นมาจากความตายด้วยการเปลี่ยนเป็นแอนดรอยด์นี่มันน้อยกว่า....”
“หนึ่งในสิบล้าน เจ้าหนู และไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับโอกาส จะต้องมีเงินมากพอที่จะเสี่ยงในการผลลัพธ์อันน้อยนิดที่ว่า ดังนั้น อมนุษย์อย่างชั้นจึงมีไม่อยู่เยอะนักหรอกบนโลก ... และสำหรับชั้น ชั้นเป็นคนที่สามที่ทำเร็จบนโลกใบนี้” วิลเลียม บ๊อบเฉลยให้ฟังพร้อมกับถกชายเสื้อโคทขึ้นสูงจนถึงคอเพื่อเผยให้เห็นแผงไมโครชิบบริเวณอกข้างซ้ายที่ทำงานแทนหัวใจ เด็กหนุ่มตรงหน้าบ๊อบทำตาเบิกโพลงกับภาพที่เห็นตรงหน้า ในขณะที่บ๊อบรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาด มันไม่น่าภูมิใจเลยสักนิดกับการบอกใครสักคนว่าตัวเองไม่ใช่”คน”เช่นนี้

“เข้าใจหรือยัง ว่าทำไมชั้นถึงเรียกนายว่าเจ้าหนู เพราะหากชั้นไม่ได้เป็นแอนดรอยด์ เราสองคนคงจะนับศักดิ์กันเป็นตาหลานก็ไม่แปลก” บ๊อบถอนหายใจเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะมองลึกลงไปในแววตาของเด็กหนุ่ม “รังเกียจชั้นมั้ยล่ะ พอได้ยินแบบนี้”
“ทำไมต้องรังเกียจล่ะครับ” บิลยิ้มกว้าง หลังจากปรับความรู้สึกและอารมณ์ให้เข้ากับเรื่องราวต่างๆได้แล้ว “ผมกับคุณปู่วิลเลียมไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลย ดูสิเรามีมือเท่ากัน มีตาเท่ากัน ไอ้เรื่องที่ว่าคุณปู่เคยตายมาแล้วรอบหนึ่งน่ะ ผมไม่นับหรอก”
“เจ้าหนู .... นายนี่มัน” บ๊อบยิ้มกว้างให้กับความคิดของเจ้าหนู “ร้านปิดกี่ทุ่มล่ะ เดี๋ยวชั้นไปส่งนายเองที่บ้าน”
“ใกล้จะเลิกแล้วครับ หากคุณปู่วิลเลียมไม่รังเกียจที่จะรอผมสักครู่ ผมก็ยินดีครับ”
“แล้วนายกินข้าวหรือยังล่ะเจ้าหนู ... แถวนี้พอจะมีร้านอร่อยๆแนะนำชั้นบ้างมั้ย” บ๊อบทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งพลางไขว้ห้างอย่างอารมณ์ดี
“ไม่รู้สิครับ ปกติผมไม่ค่อยได้ไปกินข้าวนอกบ้านหรอก ก็นะ ...ผมมันก็แค่นักเรียนทุนจนๆ” บิลยักไหล่อย่างไม่แคร์นัก ก่อนจะเริ่มลงมือทำความสะอาดเครื่องทำกาแฟ “แต่ก็ดีอย่างนะครับ ตรงที่สิ่งที่เราขาดก็ทำให้เราได้สิ่งอื่นมาแทน แล้วถ้าคุณปู่ไม่รังเกียจ สนใจจะชิมอาหารเลิศรสจากเชฟบิลมั้ยล่ะครับ”
“เชฟบิล?” มนุษย์แอนดรอยด์เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ก็ผมไง ผมน่ะทำอาหารอร่อยนะ เดี๋ยวขากลับเราแวะที่มินิมาร์ท   หาเนื้อมาทำสเต็กกินกัน สนใจมั้ยครับ”
“ฮ่าๆๆ นายนี่มัน” เขาหัวเราะอย่างจริงใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มคุยโวถึงฝีมือการทำอาหาร “ไม่กลัวหรอ เราเพิ่งรู้จักกันนะ”
“ไม่หรอกครับ ห้องผมไม่มีอะไรให้ขโมยหรอก แถมผมว่าเท่ออกจะตายไป .... ได้เลี้ยงข้าวแอนดรอยด์เชียวนะ”

ทั้งคู่ต่างหัวเราะให้กันอีกครั้ง พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ของบ๊อบก็ดังขึ้น เป็นสายเรียกข้าวของทอมผู้ภักดีนั่นเอง ชายหนุ่มในเสื้อโคทพยายามหยุดหัวเราะ ก่อนจะรับสายนั้น
“ทำไมนานนักล่ะครับคุณผู้ชาย”
“อ้อ โทษที ชั้นลืมนายไปเลยทอม พอดีคุยกับเจ้าหนูนี่นานไปหน่อย เดี๋ยวชั้นกำลังจะกลับแล้วทอม” เขากรอกเสียงกลั้วรอยยิ้มไปในสาย ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองแผ่นหลังของพนักงานร้านกาแฟที่แสนจะมองโลกในแง่ดีคนนี้ “แค่นี้นะทอม”

บ๊อบวางสายคนสนิท ก่อนจะหันมาเจรจากับบิลด้วยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่าไว้โอกาสหน้าชั้นจะไปกินสเต็กฝีมือนายแล้วกันนะเจ้าหนู เพราะผู้ปกครองชั้นเริ่มไม่พอใจชั้นเสียแล้วที่ออกมาเถลไถลนานขนาดนี้”

“ผู้ปกครองหรอครับ?” บิลหันมาทำสีหน้างง “ก็ในเมื่อคุณปู่บ๊อบอายุร่วมร้อยกว่าปีแล้ว ทำไมพ่อกับแม่คุณปู่ถึง ... เอ่อ หรือท่านก็เป็นแอนดรอยด์เหมือนกันครับ”
“ฮ่าๆๆๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง “นายนี่มันจริงๆเลยนะ ... พ่อกับแม่ชั้นตายไปนานแล้วล่ะ ผู้ปกครองที่ชั้นบอกเขาไปคนสนิทของชั้นเอง ... อ้อ ชั้นว่าเดี๋ยวนายก็คงต้องถามเรื่องอายุของทอมเหมือนกัน คือทอมเป็นพ่อบ้านประจำตระกูลของชั้นรุ่นที่หกแล้ว จะมีก็แต่ชั้นนี่แหละที่อยู่ยงคงกระพันมาเนิ่นนานเหลือเกิน”
“น่าอิจฉาคุณปู่นะครับ ที่สามารถเอาชนะความตายได้แบบนี้” เด็กหนุ่มพูดขณะที่กำลังถอดผ้ากันเปื้อนของตนออก พลางเสมองออกไปนอกกระจกร้าน
“อย่าอิจฉาชั้นเลยเจ้าหนู นายไม่รู้หรอกว่าบนเส้นทางแห่งความนิรันดรที่ชั้นยืนอยู่มันทั้งเจ็บปวดและเงียบเหงาแค่ไหน” บ๊อบยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ชั้นไปส่งนายกลับบ้านเองวันนี้ นายคงปิดร้านเสร็จแล้วใช่มั้ย”
“ครับผม”
.
.
ท่อนฟืนในเตาผิงที่ก่อด้วยอิฐส่งเสียงปะทุเบาๆแต่มันก็ดังพอเมื่อบรรยากาศในห้องเงียบงันไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ บ๊อบกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมสีแดงในเสื้อคลุมยาวสีขาวหม่น พลางเหม่อมองไปยังทิวสนสลับซับซ้อนนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกเงียบเหงาเสียยิ่งกว่าการอยู่คนเดียวบนดาวเคราะห์ที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ มันเนิ่นนานเหลือเกินหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาจากความตายด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและแปลกใหม่ในยุคนั้น การเปลี่ยนมนุษย์เป็นแอนดรอยด์เมื่อศตวรรษที่ 21 นั้นถือเป็นเรื่องที่น้อยคนนักที่จะทำ เนื่องจากโอกาสสำเร็จที่มีเพียงน้อยนิดและค่าใช้จ่ายที่มหาศาล ทว่า.. เขาก็ได้รับสิทธิ์นั้นเพราะความรักของพ่อกับแม่ที่ยอมเสี่ยงกับเงินจำนวนมหาศาลที่จะต้องเสียไปเพื่อแลกกับชีวิตของเขา

“คุณวิลเลียม คุณแน่ใจแล้วใช่มั้ยครับ” นายแพทย์อดัมเอ่ยขึ้นในห้องทำงานของเขา เบื้องหน้ามีสองสามีภรรยาตระกูลวิลเลียมนั่งอยู่ด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง
“ใช่ครับ คุณหมอ ... ผมได้อ่านข้อตกลงทั้งหมดและตัดสินใจแล้วว่าผมจะเสี่ยง” นายวิลเลียมย้ำคำหนักแน่น
“ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าโอกาสสำเร็จมันน้อยมาก” นายแพทย์อดัมจ้องมองสองสามีภรรยาลอดกรอบแว่นด้วยสีหน้าจริงจัง พลางยื่นเอกสารในมือเข้าไปใกล้ๆทั้งคู่ “ผมให้คุณตัดสินใจอีกครั้ง...ก่อนจะเซนต์ชื่อลงไป”
นายวิลเลียมไม่ได้ตอบคำถามของนายแพทย์อดัมด้วยคำพูด เขาจรดปากกาลงบนเอกสารสัญญาด้วยแววตาที่แน่วแน่ ก่อนจะถามขึ้น “คุณหมอจะเริ่มรักษาลูกชายของผมเมื่อไหร่ครับ”
“อีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ครับ” นายแพทย์วัยกลางคนยิ้มพลางถอนหายใจเบาๆ “ผมขอให้คุณโชคดีนะครับ”


“ยังไม่นอนเหรอทอม” บ๊อบพูดโดยไม่ได้หันไปมองข้างหลัง เขายังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างโดยแทบไม่ไหวตัว
“สัมผัสทั้งห้าของคุณผู้ชายยังเฉียบไวเหมือนเคยนะครับ” พ่อบ้านวัยสามสิบกว่าเอ่ยขึ้น
“ถ้านายได้อยู่บนความเงียบงันมาเป็นร้อยปีเหมือนชั้น นายก็คงทำได้เหมือนชั้นแหละ” บ๊อบยังคงไม่หันไปมองหน้าพ่อบ้านทอม
“เด็กคนนั้นร่าเริงดีนะครับ” พ่อบ้านทอมพูดต่อไปโดยไม่ได้สนใจว่าคู่สนทนาจะไม่หันมามอง “ผมว่าคุณผู้ชายดูคุยถูกคอกับเด็กคนนั้นอยู่ไม่น้อย”
“ก็อาจจะ ... เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เห็นหัวใจแอนดรอยด์ของชั้นแล้วยังกล้าคุยด้วย แถมยังมาตีสนิทแบบนี้”
“เจ้าหนูนั่นอาจจะอ่านการ์ตูนมากไป แต่ก็นั่นแหละ บางทีเด็กคนนั้นอาจจะอยากตีสนิทเพราะเห็นรถโรลส์รอยซ์ของคุณผู้ชายก็ได้”
 “ก็แค่สมมติฐานไม่ใช่หรอทอม ... ชั้นมีสิทธิ์ที่จะให้โอกาสเค้านี่ ถ้าเค้ายินดีที่จะรู้จักชั้นจริงๆ” บ๊อบหันมามองพ่อบ้านทอมด้วยใบหน้าราบเรียบ “นายก็รู้บนเส้นทางสายนี้ของชั้น ... มันอ้างว้างขนาดไหน”
“ผมไม่อยากให้คุณผู้ชายต้องเจ็บปวดใจอีก คนทุกคนย่อมแสวงหาอนาคต คนทุกคนต้องการมีครอบครัวที่มีความสุข มีลูกที่น่ารัก ซึ่งทรัพย์สมบัติของคุณผู้ชายไม่สามารถซื้อสิ่งเหล่านั้นให้คนเหล่านั้นได้ ... เหนือสิ่งอื่นใด สักวันหนึ่งเขาจะตายจากคุณผู้ชายไปสักวัน” ทอมพูดเตือนสตินายของตน
“ชั้นรู้ดีทอม ... แต่มันจะต่างอะไรล่ะหากต้องเหงาและปวดใจไปตลอดกาล กับการจะอ้าแขนรับความสุขไว้แล้วทำใจยอมรับความเจ็บปวดที่ไม่รู้จะมาถึงวันไหน ... นายไปเถอะทอม ขอบใจมากสำหรับคำแนะนำ” บ๊อบพูดก่อนจะกล่าวคำอำลาแก่พ่อบ้านทอม
.
.
รถโรลส์ลอยซ์ของบ๊อบจอดที่หน้ามหาวิทยาลัยลอนดอน ความโอ่อ่าหรูหราของรถคันนี้ทำให้นักศึกษาหลายๆคนพากันหันมาดูและนึกสงสัยว่าใครกันที่เป็นเจ้าของรถสุดหรูคันนี้
“นายกลับไปก่อนทอม เดี๋ยวชั้นจะโทรเรียกเอง” บ๊อบพูดก่อนจะเปิดประตูรถออกไป เขาค่อยๆสาวเท้าเข้าไปยังคณะวิทยาศาสตร์ และเหมือนอะไรๆดูจะเป็นใจ เมื่อเขาได้พบกับชายหนุ่มที่อยากจะรู้จักให้มากกว่านี้กำลังเดินลงมาจากอาคารและโบกมือลาเพื่อนร่วมคณะ

“สวัสดี เจ้าหนู”
“อ้าว คุณปู่บ๊อบ มาได้ยังไงครับนี่” บิลทักทายกลับด้วยเสียงใสอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
“ก็ชั้นว่างๆ แล้วเมื่อวานที่ร้านกาแฟเรายังคุยกันได้ไม่เท่าไหร่เอง” วิลเลียมบ๊อบพูดพลางเกาหัวแก้เก้อ
“เรารู้จักกันจะเดือนแล้วนี่เนาะ ... “ เด็กหนุ่มทำหน้าครุ่นคิด พลางนับนิ้วมือตัวเอง “คุณปู่ไม่เบื่อหรอ มาหาผมทุกวันแถมยังต้องมานั่งตอบคำถามเด็กเจ้าปัญหาอย่างผมอยู่เรื่อย”
“ไม่เบื่อหรอก” ชายผู้ลืมนับอายุตัวเองยิ้มอย่างเป็นมิตร “ไม่อย่างนั้นจะมาหานายถึงที่นี่หรอ”
“ฮ่ะๆ ครับ” เด็กหนุ่มยิ้มตอบ
“ไปเดินเล่นกันหน่อยมั้ย ชั้นจำได้ว่าวันนี้วันหยุดของนาย”
“แต่ ... ผมเอาจักรยานมาด้วย แล้วจักรยานของผมก็มีแค่เบาะเดียว”
“ชั้นชวนนายไปเดินเล่นนี่นา ไม่ได้ชวนไปขี่จักรยานเล่น” บ๊อบหัวเราะเบาๆ “เดี๋ยวชั้นจูงให้เอง”
.
.
ฟุตบาทริมถนนในยามเย็นมีผู้คนเดินอยู่พอสมควร ทั้งสองคนพากันเดินข้ามสะพานทาวเวอร์บริดจ์ก่อนที่บ๊อบจะชวนให้เด็กหนุ่มหยุดพักที่กลางสะพาน
“เหนื่อยมั้ย” บ๊อบถามคนที่เดินเป็นเพื่อน
“นิดหน่อยครับ แล้ว.... อ้อ ผมลืมทุกทีสิน่า ว่าคุณปู่ไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย น่าอิจฉาจริงๆ” บิลเกาหัวแก้เก้อ
“ไม่น่าอิจฉาเลยสักนิด เจ้าหนู ... จริงอยู่ว่าการพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตายถือเป็นสิ่งที่ใครก็ใฝ่หา ... ใครต่างพากันอิจฉาชั้น เพราะเมื่อชั้นกลายเป็นแอนดรอยด์ ชั้นจะไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตายอีก แต่นายไม่รู้หรอก ว่าดำรงอยู่บนคำว่านิรันดร์มันก็แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดที่ใครไม่มายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีทางเข้าใจทั้งนั้น” วิลเลียมบ๊อบพ่นระบายความรู้สึกในใจเหมือนลูกโป่งที่ใช้มือบีบปากไว้แล้วปล่อยมือออก เขามองผืนน้ำฝั่งตะวันตกยามพระอาทิตย์กำลังค่อยๆซ่อนส่วนโค้งลงใต้แม่น้ำเทมส์ด้วยแววตาที่ว่างเปล่า

“ผมก็อยากถามคุณปู่เหมือนกัน ว่าทำไมคุณปู่ถึงดูเศร้าตลอดเวลา คุณปู่รู้ไหมครับ ว่าแววตาของคุณปู่ไม่เคยสดใสเลยสักครั้งไม่ว่าคุณปู่จะยิ้มหรือหัวเราะก็ตาม” บิลพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มและมองลึกเข้าไปในแววตาของคนตรงหน้า

“นายนี่.... เพราะแบบนี้แหละมั้งชั้นถึงชอบอยู่กับนาย ชอบคุยกับนาย เจ้าหนู” เขาพูดพลางใช้มือข้างหนึ่งขยี้หัวคนตัวเล็กกว่าอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันไปมองผืนน้ำอีกครั้ง
“เมื่อก่อนนี้ ชั้นคิดว่าชั้นช่างโชคดีนัก ชั้นเหมือนได้รับของขวัญที่ล้ำค่าจากสวรรค์ ...ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ที่ใครๆก็ต่างฝันหา และตัวชั้นเองก็เป็นเหมือนของขวัญที่พระเจ้าประทานให้กับพ่อกับแม่อีกที ... โชคสองชั้นเลยใช่มั้ยล่ะ แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่เลย ... แล้วสุดท้ายชั้นก็เข้าใจ ว่าสิ่งที่ชั้นได้รับ มันคือทัณฑ์ของพระเจ้าโทษฐานบิดเบือนกฎแห่งจักรวาลมากกว่า... เจ้าหนู นายรู้มั้ยว่าสิ่งที่ชั้นเรียนรู้จากชีวิตอันเป็นนิรันดร์นี้คืออะไร” วิลเลียมหันมาถามเด็กหนุ่มที่ยืนฟังอย่างตั้งใจอยู่ข้างๆ และเจ้าหนูบิลก็ส่ายหน้าอย่างนึกคำตอบไม่ถูก

“วันเวลาผ่านไปพร้อมกับที่มันได้พรากชีวิตของคนที่ชั้นรักทีละคนๆ เริ่มจากพ่อ แม่ ญาติสนิท และสุดท้ายชั้นก็ไม่เหลือใครเลย .... ความทุกข์อย่างแรกที่ชั้นได้รับคือความเจ็บปวด บิล... การเสียคนที่รักไปทีละคนๆ มันทรมานเหลือเกิน และยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆจนชั้นลืมที่จะนับไปแล้ว ... สิ่งที่ชั้นต้องทนทุกข์ทรมานไปจนกว่าโลกใบนี้จะแตก คือความเหงาไงล่ะบิล”

“ผมพอจะเข้าใจคุณปู่ครับ .... “ บิลพูดพร้อมกับใช้มือข้างที่ติดกันกุมมือของแอนดรอยด์ผู้เศร้าศร้อยอย่างให้กำลังใจ
“ขอบใจนายมาก ... เจ้าหนู ... นายรู้มั้ยตอนที่ชั้นไม่เหลือใคร ไอ้ความรู้สึกทั้งเศร้า ทั้งเหงามันทรมานมาก นายคงจินตนาการความรู้สึกของชั้นไม่ออกแน่ๆว่าชั้นรู้สึกยังไง ชั้นอยากร้องไห้ ชั้นอยากจะทำอะไรบ้างเพื่อบรรเทาความรู้สึกเหล่านั้น แต่มันไม่ทางเลยเจ้าหนู เพราะแอนดรอยด์อย่างชั้นไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ชั้นไม่มีน้ำตาและไม่สามารถร้องไห้ได้” บ๊อบ วิลเลียมกำราวสะพานแน่นอย่างไม่รู้สึกเจ็บปวดที่มือเลย หากแต่ความปวดร้าวในหัวใจนั้นคงเทียบไม่ได้กับความปวดร้าวใดๆบนโลก

“ฮิฮิ” บิลเสตาขึ้นมองชายผู้มีชีวิตเป็นนิรันดร์ที่กำลังมีสีหน้าเศร้าหมองข้างๆตน พลางอมยิ้มเหมือนกับเด็กที่นึกอะไรสนุกๆขึ้นมาได้
“ขำอะไรของนายฮึ เจ้าหนู” บ๊อบหันมาขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ผมฟังเรื่องราวของคุณปู่แล้ว ผมไม่ยักจะรู้สึกว่ามันแย่นักเลยครับ...  คุณปู่รู้มั้ยว่าคุณปู่เหมือนกับปีเตอร์แพนเลย”
“ปีเตอร์แพนงั้นเหรอ ทำไมนายคิดแบบนั้นล่ะบิล” เขาถามพลางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ก็... ถ้าหากว่าคุณปู่ไม่สามารถที่จะร้องไห้ได้ ทำไมคุณปู่ไม่ยิ้ม ไม่ทำชีวิตให้มีความสุขทุกวันล่ะครับ เหมือนกับปีเตอร์แพนไงครับ ... มีความสุขไปทุกๆวันในเนเวอร์แลนด์” 

บิล เลย์ตันยิ้มสดใสเหมือนไฟแสงสว่างที่ประดับประดาพระราชวังบักกิ้งแฮมยามค่ำคืน ดวงตาของเขาโค้งมนไปตามรอยยิ้มบนใบหน้าและส่งประกายแวววาวไปยังอีกคนที่ค่อยๆเผยอปากยิ้มตามความสดใสของเด็กหนุ่มผู้แสนจะมองโลกในแง่ดีอย่างบิล ดวงตาของบ๊อบที่เคยลึกลับไร้ก้นบึ้งค่อยๆมีแววขึ้นมาเล็กๆเหมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ ก่อนที่เขาจะหัวเราะเสียงดังลั่น และกระชับร่างเล็กของบิลให้ชิดกับตนแล้วกอดคอเด็กหนุ่มไว้

“ความคิดของนายเข้าท่าดี บิล ... ชั้นไม่ได้หัวเราะเสียงดังๆแบบนี้มานานมากแล้ว” เขาขยับมือข้างที่กอดคอเด็กหนุ่มมาลูบผมที่นุ่มลื่นของเจ้าหนูบิล “อย่างน้อยตอนนี้ชั้นก็ได้เจอความสุขอย่างแรกแล้วล่ะ ... ชั้นดีใจจริงๆที่ได้เจอนาย”
 

เข้ามาแก้คำผิด ปรากฏว่าเกิน 20000 ตัวอักษร ขออนุญาติลบคุยท้ายตอนนะครับ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนแรก P.3 (14/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 14-06-2012 23:14:33
ตอนแรกตกใจตรงชื่อว่า "เรื่องสุดท้าย" กลัวจะไม่ได้อ่านอีก  :o12:

เรื่องนี้น่ารักมากนะครับ อ่านแล้วอบอุ่นมาก ๆ เลย

เคยเขียนมาแล้วด้วยหรอครับ ผมจะตามหาอ่านได้หรือเปล่าน้า?

อ่านแค่ตอนแรกชอบเลย (เป็นมาทุกเรื่องของพี่อะครับ :laugh:)

รอตอนต่อไปครับ  :L2:
หัวข้อ: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอน 2 P.3 (16/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 16-06-2012 21:47:32
บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนที่ 2

ต้นไม้ใหญ่น้อยในสวนสาธารณะเซนต์เจมส์พาร์คต่างพากันแข่งกันผลิใบอ่อนหลังจากที่พวกมันเป็นต้นไม้หัวโกร๋นมาหลายเดือน ไม้ดอกหลากสีนานาพรรณเริ่มผลิดอกตูมต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่เวียนมาบรรจบอีกครั้งท่ามกลางอากาศอุ่นสบาย น้ำพุขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นมากลางทะเลสาบกลางสวนสาธารณะยามเย็นตัดกับฉากพื้นหลังของลอนดอนอาย ความงามเหล่านี้ดึงดูดให้ผู้คนผลัดกันมาพักผ่อนหย่อนใจจากภาระกิจที่หนักหน่วงมาทั้งวันของตน ประหนึ่งหมู่ภมรที่ชื่นชมความงามของมวลไม้ดอก

บ๊อบ วิลเลียมนั่งพิงหลังกับต้นไม้พลางอ่านหนังสือเงียบๆไม่ไหวติง ข้างกันนั้นเจ้าหนูเลย์ตัน บิล กำลังนอนลากดินสอขยุกขยิกบนกระดาษปอนด์ พลางสลับมามองแอนดรอยด์หนุ่มด้วยใบหน้าขบขัน ทว่าคนที่ถูกมองไม่ได้รู้สึกตัวเลย

“อ๊ะ ... คุณปู่ อย่าเพิ่งขยับตัวสิครับ” เด็กหนุ่มร้องทักไว้เมื่อเห็นว่าบ๊อบกำลังจะลุกยืนขึ้น
“อะไรของนาย เจ้าหนู” เขาย่นคิ้ว
“เดี๋ยวๆ “ บิลยังไม่เฉลย เขาลากดินสอไปมาอย่างรวดเร็ว “โอเค ...เสร็จเรียบร้อย”

บิลยื่นกระดาษในมือให้แก่บ๊อบด้วยรอยยิ้มกว้าง และรอยยิ้มนั้นก็ได้ประทับลงบนใบหน้าของอีกคนเช่นกันเมื่อได้เห็นสิ่งที่ปรากฎบนกระดาษแผ่นนั้น
“นายน่าจะบอกชั้นสักหน่อยว่าจะเอาชั้นเป็นนายแบบ ชั้นจะได้ยิ้มกว้างๆ”
“ผมเปล่าซะหน่อย ผมจะวาดรูปวิว คุณปู่เป็นองค์ประกอบของภาพเฉยๆหรอก”
“องค์ประกอบที่อยู่กลางรูปเลยนี่นะ ... ไม่รู้แหละเจ้าหนู ชั้นทึกทักไปแล้วว่านายวาดรูปชั้น”
“ตามใจคุณปู่แล้วกัน” เด็กหนุ่มตอบ พลางล้มตัวลงนอนหนุนตักของแอนดรอยด์ร่างหนาเหมือนลูกแมวอ้อนเจ้าของ “บรรยากาศดีจังเลยนะครับ คุณปู่ว่ามั้ย”
“ใช่ ... ทั้งที่ความจริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชั้นมาที่นี่ ... บางทีบรรยากาศมันก็คงเหมือนเดิม ต่างกันที่วันนี้ชั้นได้รู้จักนายไงบิล”
“ฮิฮิ ... การมีผมอยู่ทำให้คุณปู่รู้สึกดีขนาดนั้นเลยหรอครับ” บิลแหงนไปมองหน้าของคนที่เขาหนุนตักอยู่
“นายรู้มั้ยบิล ... สำหรับชั้น ฤดูใบไม้ผลิไม่ได้เพิ่งเริ่ม แต่มันเริ่มมานานแล้ว ... ตั้งแต่วันที่ชั้นได้เจอนาย” เขาก้มหน้ามามองคนตัวเล็กที่จ้องมองเขาตาแป๋ว
“ถ้าเพราะผมทำให้เกิดความรู้สึกดีๆในชีวิตคุณปู่แบบนั้น ผมก็ยินดีครับ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง
“ชีวิตของชั้นน่ะนะบิล... หลังจากที่ชั้นฟื้นขึ้นมาจากความตาย ชั้นทำงานอย่างไม่รู้จักเหนื่อยเพื่อเป็นการใช้หนี้ชีวิตคืนให้กับเงินที่เสียไปกับการชุบชีวิตของชั้นขึ้นมา ... กว่าจะรู้ว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่หาได้ยากกว่าเงิน...นั่นคือมิตรภาพต่างหาก”
“ชีวิตคนเราก็ตลกดีนะครับ ... พอผมมาฟังคุณปู่เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังยิ่งอิจฉาเข้าไปใหญ่ คุณปู่มีในสิ่งที่ผมขาดมาตลอดชีวิต ทั้งเงิน... และชีวิตใหม่หลังความตาย” บิลพูดขึ้นก่อนจะเสตาไปมองทะเลสาบเบื้องหน้า
“ชั้นพอจะเข้าใจอย่างแรก ... แต่ชีวิตใหม่หลังความตายนี่มันยังไง..?”

บิลยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะเล่าเรื่องของตนให้บ๊อบฟังบ้าง “ผมเกิดที่หมู่บ้านคลิบส์แลนด์ มณฑลรัทแลนด์ บ้านผมเป็นกระท่อมสไตล์สก๊อตแลนด์ขนาดเล็กๆ เราอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูกและมีความสุขกันตามอัตภาพ ... แต่ถ้าคุณปู่พอจะจำได้ เมื่อสิบปีก่อน เกิดเหตุพายุถล่มรัทแลนด์อย่างหนัก ... ผมเป็นหนึ่งในครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น ”

เด็กหนุ่มกลืนสะอื้นลงคออย่างยากลำบาก ดวงตาที่เคยเป็นประกายหม่นลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “จากเหตุการณ์นั้น ผมก็ไม่เหลืออะไรสักอย่าง ทั้งพ่อแม่และทรัพย์สิน ผมได้รับทุนรอนนิดหน่อยจากรัฐบาลและได้มาอาศัยอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า โชคยังเป็นของผมอยู่บ้างที่พอผมบรรลุนิติภาวะผมก็สอบได้ทุนเรียนต่อ ไม่งั้นอนาคตของผมคงได้เป็นแค่พนักงานร้านกาแฟจนๆคนหนึ่ง”

วิลเลียมลูบหัวเด็กน้อยผู้อาภัพอย่างเอ็นดู ก่อนจะปลอบใจด้วยสิ่งที่ตนได้เรียนรู้มา “เจ้าหนู นายอาจจะอิจฉาชั้นที่ชั้นมีเงินมากกว่านาย ... แต่ชั้นยังยืนยันว่าชีวิตปกติคือสิ่งที่ชั้นปรารถนามากกว่า”
“ไม่ ... คุณปู่ไม่เข้าใจ ... ถ้าขอพรได้เหมือนอย่างคุณ ผมก็อยากให้พ่อกับแม่กลับมาจากโลกหลังความตายเหมือนคุณ” น้ำใสๆคลอหน่วยตาของบิล ก่อนที่มันจะค่อยๆไหลเป็นทางที่หางตาของเด็กหนุ่ม
“โอเค ชั้นเข้าใจนาย เจ้าหนู ... ชั้นว่าการที่เรามาเจอกันนี่ล่ะ ที่ถือเป็นการปลอบประโลมจากสวรรค์ เพราะเราสองคนจะมาเติมเต็มกันและกันในสิ่งที่เราขาดหายไปไง” บ๊อบใช้นิ้วหัวแม่มือของตนไล้ไปตามคราบน้ำตาของเด็กหนุ่มก่อนจะกุมแก้มขาวอมชมพูของเขาไว้อย่างทนุถนอม
“ ผมก็คิดแบบนั้น .... ตั้งแต่วันที่ผมพบกับคุณปู่” เขากลับมายิ้มอีกครั้ง แล้วใช้มือของตนสัมผัสกับมือหนาของบ๊อบ “ไม่สิ ต่อจากนี้ผมจะไม่เรียกนายว่าคุณปู่อีกแล้ว นายไม่เห็นจะเหมือนคุณปู่สักนิด ... ถ้าไม่นับเรื่องที่นายชอบคิดมากเหมือนคนแก่ล่ะก็นะ”
“โอเค ชั้นก็จะเลิกเรียกนายว่าเจ้าหนูเสียที ก็นายโตแล้วนี่นา”
เสียงหัวเราะสองเสียงดังประสานกันจากหัวใจสองดวง ดวงหนึ่งเป็นหัวใจที่มีเลือดเนื้อ และอีกดวงเป็นหัวใจเทียมที่เกิดจากการประดิษฐ์พัฒนาด้วยวิวัฒนาการของมนุษย์ มิตรภาพของมนุษย์หนึ่งและแอนดรอยด์หนึ่งผลิดอกบานท่ามกลางหมู่พฤกษาในฤดูใบไม้ผลิ ... ก่อนจะเริ่มต้นนับหนึ่งเพื่อจะไปถึงวันสุดท้ายของลมหายใจแห่งชายผู้มีหัวใจเป็นเลือดเนื้อ
.
.
 น้ำในอ่างจากุซซี่เต็มไปด้วยฟองอุ่นๆจากอุณหภูมิของน้ำในอ่าง ก่อนที่บ๊อบจะหย่อนตัวลงไปช้าๆระดับน้ำสูงขึ้นจนเกือบจะแตะราวนม ซึ่งคนที่เตรียมน้ำไว้รู้ดีว่า ระดับน้ำสูงขนาดเท่าไหร่ จึงจะไม่เป็นอันตรายต่ออวัยวะเทียมในร่างกายของเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวก็ยังมีการป้องกันตรงส่วนหน้าอกไว้ด้วยพลาสติกชนิดพิเศษที่สามารถกันน้ำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์พันรอบหน้าอก

ชายหนุ่มร่างเปลือยเปล่าในอ่างพ่นลมหายใจเสียงดังด้วยความรู้สึกผ่อนคลายก่อนที่พ่อบ้านทอมจะนำฟองน้ำสีน้ำตาลอ่อนมาถูส่วนหลังของผู้เป็นนายช้าๆ

“ดูเหมือนความสัมพันธ์ของคุณผู้ชายกับเจ้าเด็กบิลจะเป็นไปด้วยดีนะครับ”
“ทำไมนายคิดอย่างนั้นล่ะทอม ” บ๊อบถามขึ้นโดยไม่ได้มองคนที่กำลังถูหลังให้
“ผมไม่เคยเห็นคุณผู้ชายยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนี้มาก่อน... จริงๆผมก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าความสุขของคุณผู้ชายเป็นแบบไหน แต่ผมรู้แค่ว่าเด็กคนนี้ทำให้คุณรู้สึกดีมากกว่าใครๆที่ผ่านมา”
“นั่นสินะทอม... ที่ผ่านมาพอชั้นบอกว่า ชั้นเป็นอะไร กว่าครึ่งค่อยๆหลบหน้าชั้นไป บางคนก็หวังในเงินทองของชั้นจนออกนอกหน้า แต่กับบิล ... นายรู้มั้ย ดินเนอร์ล่าสุดระหว่างชั้นกับเจ้าหนูนั่นเป็นร้านเบอร์เกอร์ริมทางแถมเค้ายังไม่ยอมให้ชั้นเลี้ยงด้วย”
“ถ้าเค้าเป็นอย่างที่คุณผู้ชายเห็นจริงๆผมก็ดีใจด้วยครับ ... ว่าแต่ คุณผู้ชายจำคำพูดที่เคยบอกผมได้มั้ยครับ”
“อะไรหรือทอม”
“หึ ... คุณผู้ชายมัวแต่ดื่มด่ำกับรสชาติแห่งความสุขจนลืมไปแล้วจริงๆ ถ้าอย่างนั้นผมจะย้ำให้ฟังอีกครั้ง ว่าสักวันหนึ่ง ... ร่างกายและจิตใจของคนที่คุณผู้ชายรักย่อมจะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ในขณะที่คุณผู้ชายจะต้องเดินทางต่อไปบนถนนแห่งกาลเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุดและต้องทนอยู่กับความโดดเดี่ยวเพียงลำพัง”
“....” บ๊อบนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำเตือนของทอม เขาค่อยๆมุดลงไปในน้ำอย่างไม่กลัวว่าอวัยวะเทียมจะได้รับความเสียหาย  ก่อนจะพูดขึ้นมา..
“ความสุขมันน่ากลัวเหมือนกันนะ พอเราได้รับมันมา ... เราก็ไม่อยากจะเสียมันไป บางทีชั้นอาจจะทำไม่ได้อย่างที่เคยบอกนายหรอก ... ชั้นไม่กล้ารับปากหรอกนะว่าชั้นจะเสียใจแค่ไหนถ้าความสุขในมือของชั้นจะหลุดลอยไป”
“แล้วคุณผู้ชายจะยัง...”
“คนทั่วไปเลือกที่จะระวังตัวอยู่ในทางสายกลาง เพราะเขารู้ว่าเวลาชีวิตของเขามีจำกัด ... แต่สำหรับชั้น แม้จะเสียใจ แต่ชั้นมีเวลาไม่จำกัดที่จะลุกขึ้นมาใหม่ .... ต่อให้ชั้นไม่มั่นใจนักว่าชั้นจะเจ็บปวดใจมากขนาดไหนในวันที่ต้องเสียสิ่งที่รักไป แต่ชั้นก็ยังยืนยันตามเดิมว่าชั้นจะไม่เดินหนีความสุขแน่ทอม”
“ผมเข้าใจแล้วครับ .... ต่อให้คุณผู้ชายจะเลือกทางไหน ผมก็จะอยู่ข้างคุณผู้ชายจนถึงลมหายใจสุดท้ายของผมแน่นอน”
“ขอบใจนายมากทอม นายอยู่เคียงข้างชั้นมาตลอด นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้นจริงๆ ... แต่อย่าให้ชั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเลย ชั้นยินดีถ้านายจะมีครอบครัว มีคนที่นายรัก มีลูกไว้ดูแลยามแก่เฒ่า ... ชั้นจะมีความสุขมากถ้าได้เห็นนายมีความสุขเช่นกัน”
“ผมก็เหมือนคุณผู้ชายนั่นแหละครับ ผมจะไม่ยอมมีความสุขก่อนแน่ๆถ้าคุณผู้ชายยังจมอยู่กับความรู้สึกทุกข์ทรมาน” พ่อบ้านทอมแตะบ่าของผู้เป็นนายอย่างให้กำลังใจ
“อย่าให้ชั้นเป็นเงื่อนไขในชีวิตนายสิทอม ถ้านายมัวแต่คิดแบบนี้ ... แล้วจะมีโทมัส ทอมรุ่นที่เจ็ดมาดูแลบ้านวิลเลียมหรอ” บ๊อบหันมายิ้มให้และพูดอย่างติดตลก ทว่าพ่อบ้านทอมกลับหลบตาคู่นั้นก่อนจะรับคำแน่นหนัก
“ครับผม .... ผมรู้ดี ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณผู้ชายอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครดูแลหรอก”
.
.
หมวกปริญญาปีกกว้างสีดำนับร้อยใบถูกโยนขึ้นพร้อมกันในวันประสาทปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยลอนดอน บ๊อบมองเหล่าบัณฑิตอยู่ไกลๆด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก ความสดใสแห่งวัยเริ่มต้นเหมือนแสงแดดยามสายที่สดใสและมีพลัง ภาพตรงหน้าทำให้เขานึกถึงความหลังเมื่อสมัยที่เขายังมีลมหายใจ ... เหนือสิ่งอื่นใด หนึ่งในคนกลุ่มนั้นทำให้ความหวังในชีวิตของเขาที่เคยมอดไปลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง

“ยินดีด้วยนะบิล”
“ขอบใจนะบ๊อบ” บัณฑิตหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะพูดต่อ “วันนี้เป็นวันพิเศษของผม ดังนั้น ผมจะยอมให้คุณเลี้ยงข้าวผมตามที่ผมเคยสัญญา”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันเนิ่นนานเวลารอบตัวราวกับหยุดเดินมีเพียงสายลมที่พัดโชยมาให้รู้สึกผ่อนคลาย ก่อนที่บิลจะเขย่งขาเล็กน้อยแล้วโอบไหล่ของอีกคน
“ไปกันเถอะ บ๊อบ ผมหิวข้าวชะมัด”
“ตกลง บิล”
.
.
บิล เลย์ตันเข้ามาทำงานในบริษัทผลิตยาของ บ๊อบ วิลเลียมหลังจากเรียนจบ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินไปอย่างเรื่อยๆแต่ก็อิ่มเอมใจกันทั้งสองฝ่าย เพราะทั้งคู่ต่างรู้ว่าต่างคนต่างก็เป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างโหยหามิตรภาพท่ามกลางเส้นทางที่โดดเดี่ยวที่เดินมาเพียงลำพัง

ดวงอาทิตย์ค่อยๆจมหายไปในแม่น้ำเทมส์อีกครั้งก่อนที่แสงไฟหลากสีจะค่อยๆทยอยสว่างขึ้นมาประดับประดาลอนดอนยามค่ำคืน บ๊อบและบิลกำลังก้าวข้ามประตูเหล็กเข้าไปในแคปซูลของลอนดอนอาย ชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในยุโรป เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยกับการได้มาอยู่บนสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ เนื่องจากค่าตั๋วในการมาเที่ยวที่นี่นั้นถือว่าแพงอยู่ไม่น้อยทำให้นี่เป็นครั้งแรกของการที่จะได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์ลอนดอนอายของเขา

“ชอบใช่มั้ย ... ดูนายตื่นเต้นจนเก็บอาการแทบไม่อยู่เลยนะ” บ๊อบทุ้งศอกใส่บิลเบาๆ
“ชอบมากๆเลยแหละ บ๊อบ” เขาตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย

แคปซูลหนึ่งในสามสิบสองที่ทั้งคู่โดยสารค่อยๆยกขึ้นเป็นวิถีโค้งช้าๆ บิลไม่ได้ชวนบ๊อบคุยเรื่องอะไรอีก เขายังคงตื่นเต้นกับการได้ขึ้นมาบนนี้อย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มรัวชัตเตอร์ด้วยกล้องถ่ายรูปที่เพิ่งเก็บเงินซื้อมาได้ไม่นานด้วยเงินออมของตน ท่าทีตื่นเต้นและการรัวชัตเตอร์ของเขาทำให้ชายหนุ่มอีกคนต้องแอบอมยิ้มอย่างมีความสุข เพราะมันดูขบขันอยู่ไม่น้อยเมื่อบิลทำตาโตและอุทานอย่างตื่นเต้นราวกับว่าตนไม่ใช่คนของสหราชอาณาจักร

“ถ้าเราอยู่ที่สูง เราก็จะเห็นสิ่งเดิมๆในมุมมองที่ต่างไป ... จริงๆด้วยนะบ๊อบ” บิลพูดขึ้นระหว่างที่ยังมองไปยังทิวทรรศน์เบื้องล่าง
“แต่สำหรับบางคนที่เขาอยู่สูงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน แม่น้ำเทมส์หรือหอนาฬิกาบิ๊กเบนมันก็คือๆกันนั่นแหละบิล”
“ครับ ผมทราบดี ... แต่ยังไงผมก็ยังดีใจอยู่ดีที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ ... สิ่งแปลกใหม่ในชีวิตถ้ามันไม่ทำร้ายเรา ผมมองว่ามันสวยงามทั้งหมดนั่นแหละ”
“แล้วชั้นล่ะบิล เป็นสิ่งสวยงามที่เข้ามาในชีวิตนายด้วยหรือเปล่า” บ๊อบพูดขึ้นพลางโอบไหล่ของคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ
เด็กหนุ่มหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆก่อนจะยิ้มให้แก่เขา พลางหลบตาไปมองภาพเบื้องหน้าต่อ
“ของขวัญจากพระเจ้าเลยล่ะ”
“ขนาดนั้นเลยรึ ... ทำไมนายคิดแบบนั้นล่ะ”
“เพราะผมกลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่รักไปไงล่ะครับ ... ไม่ใช่มีแต่คุณหรอกที่เคยเห็นการลาจากของคนที่เรารัก ผมยังจำได้ดี ถึงคืนที่พ่อกับแม่ทิ้งผมไว้บนโลกใบนี้ลำพัง ผมไม่เคยลืม...” บิลพูดพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งแตะกระจกที่คั้นกลางระหว่างบริเวณภายในแคปซูลกับความสูงร้อยกว่าฟุตเหนือแม่น้ำเทมส์
“แล้ว... นายไม่เคยมีแฟนเหรอ บิล”
“ไม่ครับ ... ไม่เคยเลย ผมอาจจะชอบที่จะมีเพื่อนแท้เป็นความเหงาก็ได้ อย่างน้อยถ้าผมกอดความเหงาไว้ความเหงาก็จะไม่ทิ้งเรา ... แต่ถ้าผมกอดความรักไว้ ผมว่ามันไม่นิรันดร์ สักวันหนึ่งมันก็คงจากเราไป .... สักวัน”
“ถ้าความรักของนายจะเป็นนิรันดร์ล่ะ... ความรักของนายจะไม่มีวันแก่ ไม่มีวันตาย คนๆนั้นจะอยู่ดูแลนายจนกว่านายจะสิ้นลมหายใจในอ้อมกอดของเค้าล่ะ? บิล นายจะยังปฏิเสธความรักมั้ย” บ๊อบพูดพลางค่อยดุนใบหน้าของอีกคนให้หันมาสบตาของตน
“บ๊อบ คุณลืมไปแล้วเหรอ คุณถามผมว่ารู้สึกยังไงกับคุณ ... แล้วผมก็บอกว่า คุณเป็นของขวัญจากพระเจ้า คุณนี่ลืมง่ายจริง”
“นายหมายความว่า?”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ เขาหลบตาและถามเรื่องอื่นแทน 
“ทำไมคุณถึงเลือกผมล่ะบ๊อบ”
“เพราะชั้นอยู่กับนายแล้วชั้นมีความสุข ... ความรู้สึกที่ชั้นลืมมันไปนานแล้วว่ามันเป็นยังไง”
“แต่วันหนึ่ง... ผมก็จะตายจากคุณไป ถ้าคุณรักผม คุณก็จะต้องเสียใจเพราะผมในสักวัน และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่จะมีใครมาทำให้คุณมีความสุขแทนผม ... แล้วแบบนี้ คุณก็ยังจะ...”
“เพราะไม่รู้ว่าจะมีใครทำให้ชั้นมีความสุขได้เหมือนนายไงบิล ... ต่อให้ความงดงามของความสุขจะเหมือนดอกไม้ไฟงานวันส่งท้ายปีเก่าที่สวยงามเพียงชั่วครู่แล้วก็ดับไป แต่ใครต่อใครก็ยังรอคอยให้วันที่ 31 ธันวาคมเวียนมาถึงทุกปีไม่ใช่หรอ” แอนดรอยด์ผู้เดินทางผ่านสายธารแห่งกาลเวลามาเนิ่นนานให้เหตุผลแก่เด็กหนุ่มผู้ยังสงสัยในความสุขที่บ๊อบปรารถนาจะมอบให้
“คุณแน่ใจใช่มั้ย ว่าคุณจะเลือกให้เราจะเดินทางไปด้วยกัน วันหนึ่งถ้าสวรรค์พรากลมหายใจของผมไป คุณจะไม่เสียใจ”
“ชั้นจะไม่สัญญาแบบนั้น เพราะชั้นคิดว่าชั้นคงจะเสียใจจนอยากจะร้องไห้ ... แต่ชั้นจะเสียใจกว่า หากนายรู้สึกเช่นเดียวกับชั้นแต่นายกลับปฏิเสธที่จะปล่อยให้หัวใจของเราสองคนเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน”
บิลถอนหายใจเบาๆ เขาหลุบตาลงมองเท้าทั้งสองข้างของตนอย่างครุ่นคิด ทำให้อีกคนที่รอคำตอบเลือกที่จะตีกรอบความคิดของคนตรงหน้าด้วยคำขอร้อง
“ได้โปรดเถิดบิล ... ถ้านายจะเห็นใจหัวใจหนึ่งดวงที่มันไร้เลือดเนื้อมานานแสนนานของฉัน ช่วยให้มันได้รู้จักกับความอิ่มเอมบ้าง อย่าให้มันชินชากับความอ้างว้างแต่เพียงอย่างเดียวเลย”
เด็กหนุ่มบิลสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เขาหลับตาลงโดยไม่ได้ตอบคำขอร้องของอีกคนที่ยืนอยู่กับเขา ... เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนแคปซูลของลอนดอนอายค่อยๆหมุนลงไต่ระดับจากจุดสูงสุดช้าๆ
“นาย... ไม่ตกลง ... เหรอบิล ทำไมนายไม่บอกชั้นล่ะ” เขาพูดเสียงเศร้า

บิลปรือตาข้างหนึ่งขึ้นมาทำให้ใบหน้าของเขาย่นยู่ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้แอนดรอยด์หนุ่มยิ้มออกมา
“ผมหลับตารอให้คุณจูบผมต่างหาก”

ริมฝีปากของเด็กหนุ่มถูกประทับลงด้วยปากของคนตัวสูงกว่า บ๊อบไม่พูดร้องขออะไรอีก เมื่ออีกฝ่ายยินยอมให้เขาได้กระทำในสิ่งที่แสดงออกซึ่งการเป็นคนรักแล้ว ร่างเล็กๆของบิลถูกกระชับให้แนบแน่นกับแผงอกของอีกคนเข้าไปอีกด้วยวงแขนของบ๊อบ ก่อนที่คำสัญญาจากหัวใจที่ไร้เลือดเนื้อของวิลเลียมบ๊อบจะถูกกล่าวขึ้นเหนือแม่น้ำเทมส์อันมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับร้อยปี
“ผมสัญญา บิล ผมจะดูแลคุณจนกว่าคุณจะสิ้นลมหายใจ”
“ผมเชื่อคุณ บ๊อบ” บิลซุกหน้ากับแผ่นอกกว้างของบ๊อบ เขาไม่ได้รู้สึกว่าหัวใจดวงนั้นเต้นอยู่ แต่ความร้อนของตัวไมโครชิบก็ทะลุชั้นผิวหนังออกมาจนเขารู้สึกได้
“แล้วคุณก็เลิกพูดได้แล้ว ว่าหัวใจของคุณมันไม่มีเลือดเนื้อ ผมน่ะรู้สึกได้ถึงความร้อนจากหน้าอกข้างซ้ายของคุณ ... คุณก็เป็นคนๆหนึ่งนี่แหละ ที่มีหัวใจอยู่ที่อกข้างซ้าย... เหมือนกับผม บ๊อบ”
วิลเลียม บ๊อบยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำพูดของบิล เขาผละตัวออกมาช้าๆก่อนจะคว้ามือของเด็กหนุ่มมาแนบกับอกข้างซ้ายของตนไว้
“ช่วยดูแลมันให้ดีๆนะครับ หัวใจของชั้นดวงนี้... เป็นของนายแล้ว”
.
.
ประตูห้องน้ำของบริษัทวิลเลียมฟาร์มาซีชั้นบนสุดถูกเปิดออก บิลที่เพิ่งทำธุระส่วนตัวเสร็จกำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของร่างกายตนเองอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูห้องน้ำออกมา ทว่า เขาก็พบกับใครคนหนึ่งที่ยืนคอยเขาอยู่ที่หน้าประตู
“คุณทอม” บิลเอ่ยชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ครับ ผมเอง... ขอโทษที่มาดักรอแบบนี้ ผมก็แค่มีเรื่องอยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว คุณเลย์ตันพอจะให้ผมรบกวนเวลาทำงานสักครู่ไหมครับ” ทอมกล่าว
“เอ่อ ... ด้วยความยินดีครับ”
.
.
โทมัส ทอมพาบิล เลย์ตัน มายังร้านกาแฟไม่ไกลจากบริษัทนัก เด็กหนุ่มยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นกาแฟคั่วจากเครื่องทำกาแฟ กลิ่นจางๆที่สัมผัสประสาทการรับกลิ่นทำให้เขานึกถึงภาพเก่าๆสมัยที่ยังเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟเกรกอรี ไม่นานนัก ทอมก็วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะเบื้องหน้าบิล
“ขอบคุณครับ” เขารับแก้วกาแฟและยกขึ้นสูดกลิ่นกาแฟในแก้ว “ที่ร้านที่ผมเคยทำงานหอมกว่านิดหน่อย”
“น่าเสียดายที่ชั้นยังไม่เคยชิมกาแฟที่ร้านนั้น ... เดี๋ยวนี้ยังเปิดอยู่ใช่มั้ย” ทอมพูดพลางจิบกาแฟช้าๆ
“ก็ยังเปิดบริการตามปกติครับ”
“อืม...” ทอมดูไม่ได้ใส่ใจต่อคำตอบที่ได้รับนัก ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่อง “ผมขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”
“เอ่อ... ครับ”
“คุณรักคุณวิลเลียมจริงๆหรอครับ” คำถามของทอมทำให้บิลถึงกับสำลักเมื่อถูกถามตรงๆเช่นนี้
“เอ่อ ... ครับ ผมรู้สึกดีกับบ๊อบ ... เอ่อ คุณวิลเลียมตั้งแต่แรกๆที่ได้เจอได้คุยกัน แล้ว ก็... เอาเป็นว่า ผมตอบว่าใช่แล้วกันครับ”
“งั้นหรอครับ” ทอมย้ำคำถามอีกครั้งพลางจ้องลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ “ผมขอโทษที่แอบสืบประวัติคุณมาบ้าง ... ชีวิตคุณที่ผ่านมาอาภัพอยู่ไม่น้อย แต่ถ้ามองอีกมุม เพราะคุณไม่มีอะไรมาเลย บางทีคุณอาจจะคิด... ขอโทษที่ต้องเรียนถามตามตรง คุณอาจจะเข้ามาปอกลอกก็ได้”
“ผมเข้าใจครับ คุณทอม” บิลยิ้มกว้างให้กับทอมที่กำลังตั้งแง่ใส่ “แต่ผมยังยืนยัน ว่าผมไม่เคยคิดแย่ๆแบบนั้นกับคุณวิลเลียมเลย ... ผมก็ไม่สามารถยืนยันได้หรอกนะ ว่าผมจะใช้อะไรพิสูจน์ แต่ถ้าผมมีโอกาสที่จะร้องขอการยืนยันตัวเองจากคุณ ผมคงขอแค่เวลา... ว่าผมก็อยากจะอยู่ข้างๆเจ้านายของคุณ คอยดูแลนายของคุณอีกคนหนึ่งเหมือนที่คุณทำมาตลอด”

ทอมจ้องลึกลงไปในดวงตาของบิล เลย์ตันอีกครั้งอย่างค้นหาความโป้ปดที่อยู่ก้นบึ้งของจิตใจ และสุดท้ายเขาก็หลับตาลง ก่อนจะกล่าวขึ้น
“ผมไม่มีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรแล้วครับคุณบิล ขอโทษที่คลางแคลงต่อความรู้สึกของคุณ และขอบคุณสำหรับคำตอบ ช่วยดูแลคุณผู้ชายให้ดีเหมือนที่คุณบอกผมด้วยนะครับ คุณเลย์ตัน”
“ด้วยความเต็มใจครับ”
.
.
“อ้าว บิล หายไปไหนมา ผมตามหานายแทบแย่” วิลเลียม บ๊อบเอ่ยขึ้น หลังจากที่พบบิลที่หน้าประตูบริษัท เขายิ้มกว้างเมื่อตามหาบิลพบเสียที ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นพ่อบ้านทอมเดินตามมา
“อ้าว แล้วไหง มากับพ่อบ้านทอมได้ล่ะบิล”
“เอ่อ... ผมไปเจอคุณทอมโดยบังเอิญน่ะครับ คือผมอยากดื่มกาแฟ ... คิดถึงอดีตน่ะ” บิลยิ้มกลบเกลื่อน “ผมแอบหนีงานแบบนี้ ท่านประธานคงไม่ไล่ผมออกใช่มั้ยครับ”
“ไม่ ... ผิดก็ต้องเป็นผิด ผมจะย้ายคุณไปช่วยทอมดูแลบ้านของเรา ...ดีมั้ย?” บ๊อบหัวเราะอย่างมีความสุขพลางยักคิ้วให้คนตัวเล็กที่ทำหน้าง้ำหน้างออย่างไม่สบอารมณ์ “อ้อ ทอม ขอบใจมากที่พาคุณบิลมาส่งนะ”
“ครับ” เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะมองทั้งสองคนเดินขึ้นลิฟท์ไปด้วยแววตาที่ว่างเปล่า จนประตูลิฟท์ปิดลง ... ทอมจึงพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่และส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากบริษัทเงียบๆ
 


ตอนที่สองคลอดไวมาก แต่ก็เพราะอย่างที่เคยบอกว่าชอบเรื่องนี้มาก

เหมือนเป็นลูกรักคนหนึ่ง

สำหรับที่น้องนิวถามว่า จะตามอ่านได้มั้ย ขอตอบว่าไม่แน่ใจว่าทางโมลบไปหรือยัง เพราะนานมากจริงๆ

แต่เนื่อเรื่องจะต่างจากที่เขียนนี้มากนะครับ แต่แนวคิดเรื่องชีวิตนิรันดร์ยังเหมือนเดิม

แอบสงสัยว่าเขียนไม่ดีหรือเปล่า ไม่ค่อยมีเมนท์ หรืออาจจะรอตอนจบ

แต่ไม่เป็นไร เรื่องสั้นเรื่องนี้ถือเป็นความหน้ามึนของคนเขียนเอง ที่ชอบพลอตเรื่องนี้มากๆ

สำหรับเรื่องนี้ ตอนหน้าจะจบแล้ว

และถ้าลงจนจบ จะย้ายไปห้องนิยายจบแล้วครับ

ขอบคุณสำหรับการติดตาม  :L2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอน2 P.3 (16/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Y2Y ที่ 16-06-2012 22:12:49
แวะมาให้กำลังใจคนเขียน ว่าตามอ่านอยุ่นะค่ะ

เรื่องสุดท้ายอ่านตอนแรกก็นึกแปลกใจว่า ทำไม พระ นาย  ถึงอายุห่างกันมากขนาดนี้ 
แต่
ดูจากชื่อเรื่องแล้ว แอบกลัวจะมาม่า 
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอน2 P.3 (16/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 16-06-2012 22:45:33
เอ๊ะ ทำไมคอมเมนท์เราหายไป
แต่หายไปก็ดีเพราะมันสั้นมากจนน่าเกลียด พิมพ์จากมือถือเลยขี้เกียจหน่อย
ตอนแรกเขียนไว้แค่ว่า
"ชอบ"

ก็ชอบนะ แปลกแหวกแนวเหมือนเคย
บรรยากาศต่างประเทศด้วย แต่ทำไมอ่านแล้วมันรู้สึกยังไงไม่รู้
ไม่ใช่ว่าเขียนไม่ดีนะ แต่เป็นเหมือนสิ่งที่ตัวละครแสดงออก
(หรือเป็นที่ตัวคนอ่านเอง???)
รู้สึกว่ามันไม่ค่อยละมุนละไมเท่าไหร่ มันดูแข็งๆอย่างบอกไม่ถูก
อืม...แต่ก็ชอบแหละ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอน2 P.3 (16/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 17-06-2012 00:02:03
เย้ๆ มาแล้ว ตอนนี้ทำให้ผมร้องไห้ ไม่สิ น้ำตามันไหลออกมาเอง แบบว่าตอนที่ขอความรักมันเห็นอนาคตอ่าครับ

แล้วทอม รักบ๊อบสินะ ก็ดูแลมาอย่างดีนี่นา นี่ก็เป็นอีกคนที่น่าสงสาร แต่อย่างว่าบ๊อบเห็นคนหน้าแบบนี้มากี่ครั้งแล้วหล่ะ?

ตอนนี้คุณปู่ซึ่งเป็นคุณทวดได้ด้วยก็สมหวังแล้วเนอะ  :กอด1: ตอนจบผมเดานะ มันคงจะอบอุ่นปนเศร้าใช่มั๊ยครับ?  :m12:

อ่อ เม้นน้อยเพราะคนงงหรือเปล่าครับ หรืออาจไม่มีใครทันอ่านว่าพี่มาต่อแล้วก็ได้ อย่าน้อยใจนะครับ เพราะนิวรอตอนต่อไปอยู่ อิอิ

แล้วเรื่องที่ถามไปคราวก่อนผมลองไปหาดูแล้วนะครับ ปรากฎว่าไม่มีแล้ว ไม่เป็นไรครับ เรื่องนี้ก็อบอุ่นดี

ดีใจที่ได้ชื่นชมลูกรักของพี่นะครับ

รอตอนต่อไปครับ :L2:
หัวข้อ: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 20-06-2012 22:46:24
บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ....

ซุ้มดอกไม้ถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงามหน้าทางเข้าโบสถ์ซัทเบิร์ค เหมือนจะมีเพียงซุ้มประตูนี้เพียงอย่างเดียวที่ถูกตกแต่งขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน แม้วิลเลียม บ๊อบผู้เป็นนายยืนยันว่าจะจัดงานแต่งให้แก่พ่อบ้านทอมอย่างยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ห้ามไว้เพราะเขาก็มีคนรู้จักที่จะมาเพียงไม่กี่คน งานแต่งงานของพ่อบ้านตระกูลวิลเลียมจึงถูกจัดขึ้นมาอย่างเรียบง่ายแต่ก็อบอวลไปด้วยความยินดีของผู้มาร่วมงาน

“ชั้นยังรู้สึกตกใจไม่หายเลย ที่จู่ๆนายก็บอกว่านายจะแต่งงาน ... นายไม่เคยแพร่งพรายให้ชั้นรู้เลยมั้งว่านายแอบคบกับเจ้าสาวของนายอยู่” บ๊อบพูด พลางขยับหูกระต่ายของพ่อบ้านทอม ก่อนจะสำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง
“เพราะเรื่องของผมไม่ใช่เรื่องที่คุณผู้ชายจะต้องใส่ใจนี่ครับ” เจ้าบ่าววันนี้ยิ้มเล็กน้อย “แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งที่ให้เกียรติมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ผม”
“ไม่ใช่เรื่องต้องขอบคุณเลยทอม เพราะนายเป็นเพื่อนคนเดียวของชั้น แค่นี้น้อยไปด้วยซ้ำสำหรับตลอดเวลาที่นายอยู่เคียงข้างชั้นน่ะ” บ๊อบตบบ่าคนสนิท
“เพราะชีวิตของผมเป็นของตระกูลวิลเลียมครับ ... อย่าได้นึกเป็นบุญคุณเลย”
“แต่นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้น ทอม” บ๊อบจับบ่าทั้งสองข้างของทอมไว้ “แล้ววันนี้นายจะเป็นเจ้าบ่าวที่หล่อที่สุดในงานด้วย”
.
.
เจ้าสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์มีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขระคนขวยเขิน เมื่ออยู่ต่อหน้าบาทหลวงและเจ้าบ่าวของหล่อน พิธีสาบานตนต่อพระผู้เป็นเจ้าว่าจะครองรักกันเริ่มต้นขึ้นด้วยกล่าวคำสาบานตามบาทหลวง ก่อนจะจบลงด้วยการแลกแหวนแต่งงาน และการโยนช่อดอกไม้เสี่ยงทาย

“บิล นายออกไปเล่นกับเค้าสิ” บ๊อบทุ้งศอกเบาๆ
“จะบ้าเหรอ มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละที่จะไปแย่งช่อบูเก้งานแต่งงานน่ะ” บิลหันมาค้อนตาเขียว
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย นายก็เหมือนผู้หญิงของชั้นนั่นแหละ”
“นี่ คุณมนุษย์แอนดรอยด์ ถ้าคุณมีความรู้สึกเจ็บปวดนะ ผมจะต่อยให้ตาเขียวเลยจริงๆ”
.
.
รถมินิคูเปอร์ที่เป็นของขวัญวันแต่งงานจากบ๊อบ วิลเลียมถูกผูกไว้ด้วยกระป๋องดีบุกตามธรรมเนียมยุโรป คู่บ่าวสาวและบ๊อบกับบิลต่างส่งยิ้มแสดงความยินดีให้แก่ทั้งคู่ ก่อนที่บ๊อบจะตบบ่าพ่อบ้านคนสนิทและกล่าวอวยพร

“ไปฮันนีมูนให้สบายใจนะ เรื่องทางนี้นายไม่ต้องเป็นห่วง”
“ครับ” ทอมรับคำ พลางหันมามองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆนายของตน “คุณบิล ผมฝากดูแลคุณผู้ชายด้วยนะครับ”
“ครับ คุณทอม ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ” บิลรับคำด้วยรอยยิ้มก่อนที่เจ้าบ่าวจะยิ้มให้คนทั้งคู่อีกครั้ง แล้วจูงมือเจ้าสาวไปยังรถมินิคูเปอร์ที่จอดอยู่ เขาหันหลังมามองทั้งสองคนอีกครั้งด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะขับรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
.
.
ปลายฤดูใบไม้ร่วงในปีคศ. 2229 และกำลังจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่เวียนมาบรรจบครบรอบห้าปีแห่งการใช่ชีวิตร่วมกันของวิลเลียม บ๊อบและเลย์ตัน บิล คฤหาสน์ตระกูลวิลเลียมค่อยๆมีสมาชิกเพิ่มขึ้นจากที่เมื่อหลายปีก่อนมีเพียงบ๊อบและทอมเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ที่นี่กลายเป็นต้นไม้ขนาดกลางที่แผ่กิ้งก่านสาขาให้ร่มเงาแก่สองครอบครัวเล็กๆ นั่นคือครอบครัวของทอมและแพทริเซีย ที่มีสมาชิกใหม่เป็นเด็กชายตัวน้อยนามโจนส์ โทมัส และครอบครัวของบ๊อบกับบิล เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของโจนส์วัยสามขวบช่วยเพิ่มพื้นที่รอยยิ้มให้แก่สมาชิกในบ้านให้กว้างขึ้นไปอีกราวกับเป็นเทวดาตัวน้อยๆของบ้าน เขาชอบที่จะวิ่งเล่นไปบนทุ่งดอกฟอร์เก็ทมีนอทสีม่วงที่บิลปลูกเอาไว้บริเวณสนามหญ้าที่สามารถมองเห็นได้จากหน้าต่างห้องนอนของทั้งสอง
.
.
“เก็บกระเป๋าหรือยังบิล ... พรุ่งนี้เราจะไปคอตส์วอลด์กันแต่เช้านะ” วิลเลียมบ๊อบพูดจากด้านหลังของบิลที่กำลังจ้องมองไปยังทุ่งฟอร์เก็ตมีนอทด้านล่าง พลางกอดชายร่างเล็กกว่าไว้จากด้านหลัง
“อีกสักพักก็จะไปเก็บกระเป๋าแล้วครับ ... ห้าปีนี่มันก็ผ่านไปไวเหมือนกันนะ” เขายิ้มให้กับทุ่งดอกไม้ฝีมือของตน
“ชั้นไม่ได้ใส่ใจการเดินทางของกาลเวลามานานมากแล้ว .... จนนายเดินเข้ามาในชีวิตของชี่น ... ชั้นถึงได้เริ่มต้นนับเวลาของเรา ... ห้าปีแห่งความสุข” บ๊อบพูดพลางเกยคางกับไหล่ของคนรัก
“ใช่ครับ ... เวลาของคุณถูกหยุดไว้นิรันดร์ ในขณะที่เวลาของผมมันนับถอยหลังลงทุกเมื่อ ... แต่ว่า ... ถ้าวันหนึ่งผมจากคุณไป ถ้าคุณคิดถึงผม ขอให้คุณนั่งอยู่ตรงนี้แล้วมองไปที่ทุ่งฟอร์เก็ทมีนอทที่ผมปลูกไว้ให้คุณ ... ผมจะเฝ้ามองดูคุณจากที่ไหนสักแห่งและแอบมองคุณยิ้มอย่างมีความสุขให้กับฟอร์เก็ทมีนอทของผม”
“ไม่เอาสิ” บ๊อบกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “ชั้นยังไม่อยากคิดถึงวันนั้นและยังไม่อยากฟังเรื่องราวในวันที่นายจะจากชั้นไปด้วย”
“นี่บ๊อบ คุณผ่านเรื่องราวมามากมายยิ่งกว่าผมอีกนะ ... คุณต้องเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ยิ่งกว่าผมด้วยซ้ำ” บิลยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอี้ยวตัวไปประทับริมฝีปากบนแก้มของบ๊อบเบาๆ “ผมจะไปเก็บกระเป๋าแล้ว ผมขอโทษที่ทำให้คุณคิดมาก ... ผมไม่อยากเห็นคุณทำหน้ายุ่งแบบนี้ก่อนที่เราจะไปฮันนีมูนกันหรอกนะครับที่รัก”
.
.
พ่อบ้านทอมยกกระเป๋าเดินทางใบที่สองของบ๊อบและบิลใส่ท้ายรถแลนด์โรเวอร์ ก่อนที่จะปิดกระโปรงท้ายแล้วหันไปมองหน้าผู้เป็นนายด้วยสายตาเป็นห่วง ไม่กี่ครั้งหรอกที่เขาจะปล่อยให้คุณผู้ชายของเขาได้ไปไหนตามลำพัง และนี่เป็นครั้งแรกสำหรับการเดินทางไกลเช่นนี้

“คุณผู้ชายแน่ใจจริงๆหรือครับ ว่าไม่ให้ผมไปด้วย ผมขอแค่คุณผู้ชายออกปากเรียก ผมขอเพียงเวลาจัดกระเป๋าเพียงไม่นานแล้วผมจะเป็นคนพาคุณทั้งสองไปที่คอตส์วอลด์เอง”
“ไม่เป็นไรหรอก ทอม ชั้นจะไปฮันนีมูนนะ แล้วอีกอย่าง ... นายมีลูกแล้วด้วย จะมาหัวหกก้นขวิดกับชั้นเหมือนเมื่อก่อนก็คงไม่ดีหรอก” บ๊อบยิ้มและตบบ่าพ่อบ้านทอมเบาๆ
“แต่ยังไงผมก็ยัง... เอาเถอะครับ ขอให้เดินทางอย่างมีความสุขโดยสวัสดิภาพนะครับ”
“อื้ม... “บ๊อบรับคำ ก่อนที่บิลจะเดินออกมาจากบ้าน “พร้อมหรือยังบิล”
“พร้อมตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” บิลยิ้มกว้าง ก่อนที่ทอมจะเปิดประตูรถให้ ไม่นานนัก รถที่ทั้งคู่เดินทางไปก็ค่อยๆแล่นหายไปสู่ถนนหน้าคฤหาสน์
.
.
บ๊อบขับรถลัดเลาะไปตามเส้นทางมอเตอร์เวย์ M40 ก่อนจะแยกไปยังเส้นทางย่อย A436 สองข้างทางร่มรื่นไปด้วยพรรณไม้เขียวสะอาดตานานาพรรณที่แผ่กิ่งก้านสาขาโอบล้อมสองข้างทางจนแสงแดดแทบจะส่องลงมาไม่ถึงเบื้องล่างทำให้อากาศของถนนละแวกชนบทอังกฤษแห่งนี้ร่มรื่นนัก ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่นานพอสมควรหากเปรียบเทียบกับระยะทางเพียงร้อยห้าสิบกิโลเมตร หากแต่การไล่เก็บภาพประทับใจและชื่นชมความสวยงามรายทางของเส้นทางที่ได้รับการขนานนามว่า “Cotswold Romantic Road” อันเป็นเส้นทางที่จะผ่านชุมชมหมู่โบราณหลายแห่ง และมีทุ่งเรปซี้ด (Rapeseed) ที่ออกช่อสีเหลืองอร่ามเต็มพื้นที่ราบเชิงเขาให้ทั้งคู่ได้เก็บภาพความงามและประทับใจอย่างไม่รู้เบื่อ ทำให้บ๊อบกับบิลมาถึงที่พักเมื่อเวลาบ่ายคล้อยจนพระอาทิตย์เกือบจะลับเหลี่ยมเขา

คฤหาสน์ Croome Court ที่ทั้งสองคนเลือกเป็นสถานที่พักอยู่ในหมู่บ้านบรอดเวย์ ที่พักที่บ๊อบจองไว้อยู่ที่ชั้นบนสุดของคฤหาสน์ที่สร้างเป็นลักษณะหอคอยหกเหลี่ยม สามารถขึ้นบันไดวนไปยังดาดฟ้าที่เป็นหอคอยสังเกตการณ์สมัยก่อน ผู้ดูแลได้แจ้งแก่ทั้งสองคนว่า หากวันใดฟ้าเปิด จะสามารถมองออกไปยังแคว้นทั้งสี่ได้ แต่เพียงแค่สีเขียวๆของป่าโปร่งที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาท่ามกลางไอหมอกจางๆก็ทำให้ทั้งคู่อมยิ้มกับการเริ่มต้นการเดินทางเพื่อมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ครั้งนี้แล้ว

“น่ารักดีนะ ดูสิ เชื่องน่าดู” บิลพูดในขณะที่กำลังป้อนแอปเปิลให้กับลูกกวางที่อยู่ในบริเวณที่พัก
“อื้มน่ารักดี” บ๊อบตอบพลางอมยิ้มให้กับคนรัก “นายก็เหมือนกัน”

บิลหน้าแดงด้วยความขวยเขินเล็กน้อย ก่อนที่บ๊อบจะลงมานั่งยองๆข้างๆกัน
“คืนนี้เราไปหาอะไรกินที่บาร์ในหมู่บ้านมั้ย ผมไปถามคนดูแลมา เขาบอกว่าอาหารอร่อย มีดนตรีให้ฟังด้วย เสร็จแล้วค่อยกลับมาพักผ่อนก่อน”
“แล้วแต่คุณสิครับ ถ้าไม่เหนื่อยกับการขับรถเดินทางล่ะก็”
“ลืมแล้วหรอบิล ว่าชั้นเป็นแอนดรอยด์”
“คร้าบ ... ผมแค่ไม่เคยคิดเลยว่าคุณไม่ใช่มนุษย์”
“แต่เป็นคนที่นายรักใช่มั้ยบิล”
“ผมเบื่อจะฟังคำหวานของคุณแล้วบ๊อบ” ชายหนุ่มสะบัดหน้าหนีแล้วไปลูบหัวลูกกวางน้อยอย่างเอ็นดู
.
.
หลังอาหารเย็นภายในร้านอาหารตำรับชนบทในหมู่บ้านบรอดเวย์ ทั้งคู่ขับรถกลับมายังที่พักอีกครั้ง ภายในห้องที่ดับไฟไว้มืดสนิท มีเพียงแสงสลัวๆจากเทียนที่ถูกปักไว้บนเชิงเทียนทองเหลืองตามแบบศิลปกรรมสมัยโบราณ บนโต๊ะอาหารที่ทำจากทองเหลืองเช่นเดียวกันประดับด้วยช่อดอกไม้ในแจกันขนาดเล็กๆ ที่วางข้างๆกันเป็นถังแช่ไวน์ที่ทำจากไม้โอ๊ค บิลมองทุกสิ่งทุกอย่างในห้องก่อนจะหันมาทำตาเขียวใส่บ๊อบที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่
“ฝีมือคุณใช่มั้ย บ๊อบ”
“ก็คงงั้น” เขายิ้มเจื่อนๆ
“คุณก็รู้ ผมไม่ค่อยถูกกับแอลกอฮอล์เท่าไหร่” บิลยังตำหนิคนรักของตน
“เอาน่า ผมเลือกอันที่ดีกรีต่ำที่สุดแล้ว ขวดที่ผมอยากให้ลองชิมมันจะแรงไปสักหน่อยจนผมไม่กล้าให้คุณชิม”
“ไหนคุณบอกคุณไร้ความสามารถในการรับรสมานานแล้ว”
“ผมไม่ได้ชื่นชมในรสชาติของไวน์ แต่ผมหลงใหลในการดื่มไวน์ใต้แสงเทียนกับคนที่ผมรัก” บ๊อบส่งสายตาหวานฉ่ำมาให้
“แต่ผมไม่เคย...” ชายหนุ่มยังพ้อ แต่ก็โดนประกบด้วยริมฝีปากและปลายลิ้มที่แห้งผากของแอนดรอยด์หนุ่มที่ไร้ซึ่งน้ำลาย
“ปล่อยตัวตามสบาย เชื่อชั้นสิ มันไม่ได้ร้ายแรงนักหรอก”
.
.
พนักนอนที่ถูกจัดวางไว้ที่ระเบียงกว้างหันหน้าออกไปทางทิศตะวันออก ข้างๆกันมีโต๊ะตัวเล็กๆพร้อมกับเชิงเทียนที่บ๊อบย้ายมาวางด้านนอก ทั้งสองคนนอนอยู่ข้างๆกันโดยบ๊อบใช้แขนของตนรองศีรษะของอีกคนไว้ มือข้างหนึ่งของเขาถือแก้วไวน์แดงเอาไว้ก่อนจะจิบน้ำสีแดงสดในแก้วช้าๆ บิลยังคงทำหน้าบอกบุญไม่รับแต่เขาก็เริ่มคล้อยตามกับบรรยากาศโรแมนติกที่บ๊อบรังสรรค์ขึ้นมาในโอกาสครบรอบห้าปีของทั้งคู่
“สมกับที่เป็นวันพิเศษ ท้องฟ้าเปิดขนาดนี้ถ้าเรานั่งนับดาวกันให้หมดล่ะก็ ใช้เวลาทั้งคืนคงไม่พอ” บ๊อบเอ่ยขึ้น
“ผมคงอยู่ไม่ไหวขนาดนั้น ... ผมยังต้องการการนอนพักผ่อนอยู่นี่นา”

บ๊อบหันมามองดวงตาของคนข้างๆจนบิลต้องหลุบตาต่ำหนีดวงตาที่ชวนต้องมนต์ของบ๊อบ แอนดรอยด์หนุ่มยิ้มอย่างพอใจก่อนจะจิบไวน์ในแก้วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้กลืนลงไปในลำคอ ทว่าเขากลับค่อยๆช้อนใบหน้าของบิลให้หันมาทางเขาและยกตัวขึ้นเล็กน้อย แล้วเผยอริมฝีปากให้ไวน์แดงในปากของเขาไหลลงไปในปากของบิลที่กำลังตกใจ ... แต่ความรู้สึกรักและเสน่หาก็ทำให้เขาปรับตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงทีและไม่ปฏิเสธต่อการกระทำของบ๊อบ น้ำรสฝาดเฝื่อนไหลลงไปในปากจนหมดโดยที่ชายหนุ่มแทบจะไม่ต้องออกแรงกลืนก่อนที่ลิ้นของบ๊อบจะแหย่เข้าไปในปากและเริ่มเพลิดเพลินในรสเสน่หาอันน่าหลงใหลที่สัมผัสได้จากโพรงปากของบิล

“ดื่มง่ายกว่าที่คิดใช่มั้ย” เขายิ้มอย่างรัญจวนหลังจากถอนปากออก
“คุณใช่คำว่าดื่มเหรอครับ ... ผมว่าเมื่อครู่นี้มันไม่ใช่นะ” บิลตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำที่ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ไวน์หรือความเขินอายกันแน่
“งั้นควรเรียกว่าอะไร ... จูบหรือป้อนด้วยปากดี”
“ผมไม่คุยกับคุณแล้ว!”
“ก็ดี ... ชั้นจะได้จูบนายอย่างเดียว” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะทำตามคำขู่และบิลก็ไม่ได้ตัดพ้ออีกต่อไป ... จุมพิตใต้ม่านฟ้าที่ถักทอด้วยหมู่ดาวปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ หัวใจของบิลเต้นแรงอย่างเป็นสุข แต่กระนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะถอนปากของตนออกมาเพื่อพักหายใจบ้าง
“ชั้นรักนายนะบิล” บ๊อบกระซิบแผ่วเบาแต่เสียงนั้นก็ดังพอที่จะได้ยินกันสองคน
“ผมก็รักคุณครับบ๊อบ” ชายหนุ่มตอบพลางหายใจเหนื่อยหอบ

วิลเลียม บ๊อบดึงคนตรงหน้ามากอดไว้  เขามองหน้าของคนในอ้อมกอดด้วยดวงตาที่หวานซึ้ง ก่อนจะพรั่งพรูความรู้สึกมากมายของตน “บิล นายรู้มั้ย ห้าปีที่เราอยู่ด้วยกัน ไม่เคยมีสักนาทีที่ชั้นไม่มีความสุข ... จนชั้นแทบไม่อยาก... จะเสียนายไป”
“ผมสัญญา ว่าผมไม่มีวันเลิกรักคุณ บ๊อบ”
“แต่วันหนึ่งพระเจ้าก็จะพรากคุณไปจากผม”
“ชั้นถึงได้ครุ่นคิดมาตลอดไง บิล... “ บ๊อบลูบใบหน้าคนรักอย่างทนุถนอม ก่อนจะพูดต่อ “ชั้นอยากจะขออะไรนายสักอย่าง”
“อะไรหรือครับ”
“ถ้าวันหนึ่ง นายหมดลมหายใจ ... ชั้นอยากจะชุบชีวิตนายขึ้นมาอีกครั้ง... ได้มั้ย?”
“ด้วยการทำให้ผมเป็นแอนดรอยด์เหมือนคุณน่ะเหรอ บ๊อบ ... โอกาสสำเร็จมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ” เขาส่ายหน้าอย่างปฏิเสธความคิดนั้น
“แต่ชั้นเชื่อว่ามันจะสำเร็จ ... เพราะการได้พบนาย สำหรับชั้น มันเหมือนปาฎิหาริย์”
“แต่ในเมื่อมันเป็นปาฎิหาริย์ ไม่มีอะไรเลยที่จะยืนยันว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง”
“แต่ถ้าเราไม่เสี่ยงที่จะหวัง เราก็จะหมดหวังตั้งแต่ยังไม่ได้หวัง... ชั้นไม่อยากเสียใครไปอีกแล้วบิล”
“บ๊อบ คุณบอกผมมาตลอด...ว่าชีวิตนิรันดร์ของคุณมันเจ็บปวดแค่ไหน แล้วคุณจะยังทำให้ผมเป็นเหมือนคุณหรอ”
“ใช่ ชั้นบอกนายเสมอว่ามันขมขื่นและเจ็บปวดแค่ไหน ... แต่ชั้นเชื่อ ว่าเราจะเป็นเหมือนยาของหัวใจซึ่งกันและกัน นายจะเชื่อชั้นอีกสักครั้งมั้ย ... เหมือนดีกรีไวน์ที่นายกลัว พอนายได้ลองลิ้มรสของมันแล้วมันก็ได้แย่อย่างที่นายคิดนี่”
“มันไม่เหมือนกันบ๊อบ การเดิมพันนี้มันเสี่ยงเกินไป”
“ขึ้นชื่อว่าเดิมพันย่อมมีความเสี่ยง และชั้นไม่สนใจว่าการลงทุนครั้งนี้ตีค่าความเสี่ยงเป็นตัวเลขที่มากขนาดไหน ... ชั้นแค่ไม่อยากเดินเดียวดายบนสายธารแห่งกาลเวลา... เพียงลำพังอีกแล้ว”

บิลถอนหายใจช้าๆ ก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้าด้วยรอยยิ้ม
“บ๊อบ ถึงผมจะเคยเตือนคุณเรื่องสักวันผมอาจจะต้องจากคุณไป แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่อยากจะพูดหรือคิดถึงวันนั้นเลย ยังมีเรื่องราวอีกเยอะแยะให้เราคิดถึงมัน เช่น...คืนนี้ ดาวสวยออกจะตาย ถ้าให้ผมนั่งมองกับคุณทั้งคืนพร้อบกับจิบไวน์ไปด้วยกัน ... ดีกว่ามั้ย”
“แต่... พอชั้นคิดอะไรไปแล้ว บางทีชั้นก็หยุดความคิดตัวเองไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้น...” บิลพูดพลางเอื้อมมือไปคว้าแก้วไวน์ที่บ๊อบวางไว้ ก่อนจะจิบน้ำสีชาดเข้าปากแล้วพลิกตัวขึ้นมาอยู่บนตัวของบ๊อบ และเปลี่ยนเป็นฝ่ายป้อนไวน์ให้แก่บ๊อบบ้าง
“ผมป้อนไวน์ได้เก่งเท่าคุณมั้ยบ๊อบ?” บิลส่งสายตัวเจ้าเล่ห์ให้แก่บ๊อบที่ยิ้มมุมปากอยู่ด้านล่าง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเลิกคิดถึงเรื่องที่ยังไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และเลือกที่จะทำคืนนี้น่าประทับใจด้วยการจุมพิตคนที่อยู่บนตัวเขาอย่างดูดดื่มโดยไม่พูดอะไรอีก..
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอน2 P.3 (16/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 20-06-2012 22:48:32
บ๊อบและบิลพักผ่อนอยู่ที่ Croome Court อีกหนึ่งคืน ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปสโนว์ดอน เทือกเขาแห่งสายหมอกเป็นที่หมายต่อไป ทั้งคู่มาจอดรถกันที่สถานี สโนว์ดอน เมาว์เทน เรลเวย์ ก่อนจะซื้อตั๋วสำหรับเดินทางไปขึ้นไปยังยอดเขาสโนว์ดอน

“ทานซะหน่อยนะ” บ๊อบยิ้ม ก่อนจะยื่นเบอร์เกอร์ที่แวะซื้อที่ร้าน M&S ให้แก่บิล
“ขอบคุณครับ”

เสียงรถไฟที่ยังใช้พลังงานจากถ่านหินหวูดคำรามแสบแก้วหูเป็นสัญญาณเตือนว่ารถไฟขบวนนี้กำลังจะมุ่งหน้าขึ้นเขาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ที่นั่งฝั่งซ้ายมือที่ทั้งคู่โดยสารอยู่ไม่มีผู้ร่วมโดยสารด้วย แต่ทางฝั่งขวามือของโบกี้มีคู่สามีภรรยาวัยเกษียณอายุนั่งคุยหัวร่อต่ะกระซิกกันอยู่

“น่ารักดีนะ เคียงคู่กันจนแก่เฒ่า” บ๊อบพูดขึ้น
“คุณพูดเหมือนผมจะทิ้งคุณไปวันพรุ่งวันมะรืน ... คุณออกจะโชคดีกว่าคุณลุงคุณป้าคู่นั้นเป็นไหนๆ เพราะคุณจะไม่แก่ถือไม้เท้าในวันที่ผมแก่หง่อมไปแล้ว”
“นายไม่ต้องใช้ไม้เท้าหรอก ถ้าวันหนึ่งนายเดินไม่ไหว ชั้นจะเป็นขาให้นายเอง”
“รอให้ถึงวันนั้นจริงๆ ผมถึงจะเชื่อคุณ บ๊อบ”

เสียงหวูดรถไฟดังก้องอีกครั้ง ก่อนที่กลไกจะเริ่มทำงาน ล้อรถไฟเริ่มบดกับรางส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดก่อนที่รถไฟจะออกตัวไปข้างหน้า บิลหยิบกล้องถ่ายรูปของตนออกมาเก็บภาพความสวยงามสองข้างทาง
รถไฟแล่นมาเรื่อยๆไต่ระดับความสูงของเทือกเขาสโนว์ดอน ข้างทางมีผู้คนที่เลือกจะเดินขึ้นเขาด้วยการเดินเท้าให้เห็นอยู่ตลอดทาง จนเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ทั้งคู่ก็มาถึงระดับที่เริ่มจะมองเห็นทิวหมอกชัดเจนขึ้น
“นายเคยได้ยินใช่มั้ย .. นั่นแหละเค้าเรียกร็อกกี้ วอลเลย์” บ๊อบชี้มือไปยังแนวหุบเขาที่เต็มไปด้วยแนวของโขดหินนับร้อยนับพัน
“อืม... หุบเขาแห่งก้อนหิน เยอะจริงๆสมคำร่ำลือ “ บิลพูดพลางรัวชัตเตอร์อีกครั้ง
“อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงปลายทางแล้วนะ ... อย่ามัวแต่ถ่ายรูปจนแบตหมดไม่เหลือไว้ถ่ายที่จุดสูงสุดล่ะ”

“เปรี๊ยะ...ตูม!!!” เสียงระเบิดดึงขึ้นด้านหน้าขบวนพร้อมกับที่เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งคัน เสียงเบรกรถไฟหวีดลั่นเหมือนมัจจุราชกำลังหวีดร้องอย่างบ้าคลั่งหมายจะเงื้อง่าคร่าชีวิตผู้คนในที่เดินทางมา
“ภูเขาถล่ม!!!” เสียงนายตรวจตะโกนลั่นด้วยดวงตาที่เบิกโพลง คำอุทานนั้นทำให้ผู้โดยสารในขบวนต่างหวีดร้องลั่น รถไฟยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดโดยง่ายและยังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่ต่างจากเดิม เสียงอื้ออึงของทั้งเครื่องจักรและเสียงกรีดร้องของผู้โดยสารดังประสานกันจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ... ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน บ๊อบและบิลโผกอดกันไว้แน่น บิลตัวสั่นเทิ้มความกลัวแม้บ๊อบจะปลอบเขาอย่างไรก็ตาม

“ทำใจดีๆไว้บิล เชื่อชั้น นายต้องปลอดภัย” บ๊อบพูดซ้ำไปซ้ำมา โดยที่ในใจของเขาไม่มีความมั่นใจต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แม้สักนิด

“ตูม!!!” เสียงกัมปนาทดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนและแรงเหวี่ยงที่มากพอที่จะเหวี่ยงผู้โดยสารจำนวนหนึ่งให้กระเด็นจากโบกี้ หนึ่งในนั้นมีบ๊อบและบิลที่กระเด็นออกไปนอกตัวรถ แรงเหวี่ยงมหาศาลทำให้ทั้งคู่บินหวือไปไกลหลายเมตรและกลิ้งไหลไปตามเนินเขาที่ลาดชัน ... ก่อนจะหยุดลงบนหุบเขาร็อกกี้ หุบเขาแห่งหมู่มวลหิน

แรงกระแทกทำให้ระบบประมวลผลของบ๊อบรวนไปเล็กน้อย แต่ความเป็นแอนดรอยด์ของเขาทำให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวด .. หลังจากระบบเริ่มรีสตาร์ทตัวเองขึ้นมา เขามองไปรอบๆตัวช้าๆอย่างพิจารณา ก่อนที่ภาพที่เขาต้องตกตะลึงจะปรากฎอยู่ตรงหน้า
“บิล!!!!” 
ร่างเล็กนอนหายใจรวยรินและชุ่มโชกไปด้วยเลือด ด้านหลังของบิลมีโขดหินขนาดใหญ่ที่เดาว่าคงเป็นสิ่งที่หยุดทั้งสองคนไว้ แต่โขดหินดังกล่าวก็ทำให้บิลได้รับแรงกระแทกจนบาดเจ็บสาหัส
“ไม่ บิล นายต้องไม่เป็นอะไร แข็งใจไว้นะ” บ๊อบพูดเสียงสั่น ก่อนจะคว้าร่างที่แดงฉานของบิลขึ้นอุ้มและวิ่งพาคนรักลงจากเขาด้วยดวงใจที่เต้นรัวราวกับจะขาดรอนลง

บ๊อบวิ่งสุดแรงเกิดด้วยความรู้สึกที่มากมายในหัวระคนกัน เขาไม่ได้เร่งรีบขนาดนี้มานานแล้ว เวลาของเขาไม่เคยมีความหมายตั้งแต่วันที่เขารู้ตัวว่าชีวิตใหม่ของเขาจะไม่มีวันดับสูญ แต่ในเวลานี้ มันทรมานหัวใจเหลือเกินกับการที่เทียนไขแห่งชีวิตของคนที่เขารักหมดหัวใจกำลังจะดับลงได้ทุกวินาทีที่เขาอาจจะวิ่งช้าเกินไป

“ช่วยด้วย!!! รถพยาบาลอยู่ไหน มารับคนเจ็บไปที!!!” เขาตะโกนสุดเสียงท่ามกลางความโกลาหลและตกตะลึงอย่างไม่คิดว่าจะมีคนอุ้มคนเจ็บลงมาจากจุดเกิดเหตุเช่นนี้ แต่หน่วยกู้ภัยพื้นล่างก็มีสติพอที่จะสงบสติอารมณ์ไม่ถามไถ่อะไร บิลถูกพาตัวขึ้นรถพยาบาลไปทันทีพร้อมกับบ๊อบ ก่อนที่รถพยาบาลจะห้อทะยานไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดพร้อมกับเสียงไซเรนที่ดังลั่น

“นายต้องไม่เป็นไร บิล นายต้องไม่เป็นอะไร” บ๊อบพูดซ้ำไปซ้ำมาพลางบีบมือของคนที่เขารักเอาไว้ ร่างชุ่มเลือดของบิลหายใจลำบากขึ้นทุกทีจนเห็นได้ชัดจนทำให้หัวใจที่ปวดร้าวของบ๊อบแทบแตกเป็นเสี่ยง เขาโผเข้าไปกอดร่างของบิลด้วยความรู้สึกที่ทรมานไม่ต่างจากคนที่นอนอยู่ ... ก่อนที่.....

.
.
.



เขาจะได้ยินคำสั่งเสียสุดท้าย ... ของคนที่เขารักหมดหัวใจ







“เมื่อไหร่ที่คุณคิดถึงผม ... ให้มองไปที่ทุ่งฟอร์เก็ทมีนอท ที่บ้านของเรานะ ... ที่รัก”
บิลพูดขึ้นอย่างยากลำบาก ก่อนที่เขาจะปล่อยลมหายใจออกเสียงดังอย่างทุกข์ทรมาน ... เป็นครั้งสุดท้าย
“ไม่ บิล อย่าทิ้งฉันไป!!!!!”
.
.
ร่างไร้วิญญาณของบิลถูกพาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ทันทีที่หมอลงความเห็นว่าบิลได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวของบ๊อบบินตรงไปยังสถาบันวิจัยเทคโนโลยีและพัฒนาสิ่งมีชีวิต ... ที่ที่ครั้งหนึ่งเขาได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งบนโลกใบนี้

“ผมขอคุยกับคุณหมอบริจิตต์ ...เดี๋ยวนี้” เขาแผดเสียงใส่พนักงานประชาสัมพันธ์
“แต่... คุณเข้าไปไม่ได้ตอนนี้ ... “ พนักงานสาวมองบ๊อบที่ยังอยู่ในเสื้อผ้าที่แดงฉานไปด้วยเลือด “คุณต้องไปชำระล้างร่างกายก่อน”
“โธ่เว้ย!!” เขาสบถลั่น ก่อนจะกระชากเสื้อของตนจนกระดุมหลุดกระเด็น “ทอม ไปหาเสื้อผ้าใหม่มาให้ชั้น ไวที่สุด”
“ชั้นมาแล้ว ... AD003 อ้อ โทษที ชั้นลืมไปว่าคุณไม่ชอบให้พวกเราแทนชื่อคุณด้วยรหัสเท่าไหร่ สวัสดีค่ะ คุณวิลเลียม” แพทย์หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดเดินออกมาจากตัวอาคาร เธอขยับกรอบแว่นของเธอเล็กน้อยพลางมองไปยังเปลที่คลุมด้วยผ้าขาวมา “ชั้นคิดว่า คุณคงจะมีเรื่องให้เรารับใช้”

บ๊อบกลืนน้ำลายลงคอเพื่อข่มความโกรธของตน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างยากลำบาก
“ช่วย... ชุบชีวิต.. คนรัก...ของผมที”
“โอ้ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะออกมาจากปากของคุณ ทั้งที่คุณพยายามขัดขวางสถาบันของเราทุกวิถีทางน่ะเหรอ” บริจิตต์ยิ้มอย่างมีชัย
“ผมแพ้แล้ว ผมกลืนน้ำลายตัวเอง นี่เป็นทีของคุณ บริจิตต์ คุณจะด่า จะเสียดสี หรือจะโขกค่ารักษาเป็นสองเท่าจากผมก็ได้ ผมแค่ให้โอกาสผมได้เสี่ยงดูสักครั้ง”
“ชั้นมีจรรยาบรรณพอ คุณวิลเลียม ราคาท้องตลาดนั่นแหละ หนึ่งพันล้านปอนด์” เธอยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเรียกให้บุรุษพยาบาลของสถาบันรับศพของ บิล เลย์ตันไปเก็บรักษา
“ช่วยกรอกประวัติผู้ตายหน่อยสิ” บริจิตต์ส่งเอกสารให้แก่วิลเลียม บ๊อบ
เขากรอกเอกสารด้วยลายมือหวัดๆด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะส่งให้แก่บริจิตต์ทันทีโดยไม่ต้องตรวจทานความเรียบร้อย
“โอ๊ะ! มิสเตอร์บิล เลย์ตัน? คนรักของคุณเป็นผู้ชายงั้นหรือเนี่ย” หล่อนเลิกตาขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะส่งเอกสารนั้นให้แก่แผนกเวชระเบียน “แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ชั้นจะต้องใส่ใจหรอก”
.
.
ภายในห้องทำงานของวิลเลียม บ๊อบ ชายหนุ่มนั่งกุมขมับอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหารท่ามกลางความเงียบ ก่อนที่เสียงเปิดประตูจะดังขึ้นมาพร้อมกับพ่อบ้านทอมคนสนิทที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าราบเรียบ พร้อมกับเอกสารเล่มหนึ่ง
“ผมไม่เห็นด้วยด้วยประการทั้งปวง คุณผู้ชาย “
“ทำไม เรามีเงินไม่พอหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นชั้นคิดว่าชื่อเสียงของวิลเลียมฟาร์มาซีน่าจะพอทำเรื่องกู้ได้อย่างต่ำๆก็พันสองพันล้านปอนด์นะ”
“พอครับ ... แต่ถ้าเรายอมจ่ายเงินก้อนนี้ไป บริษัทของคุณจะขาดสเถียรภาพทางการเงินไปมาก”
“ชั้นไม่สนใจ ทอม ถ้าเงินจะซื้อชีวิตคนที่ชั้นรักได้ ชั้นจะทำ” บ๊อบตวาดลั่นและหันมามองคนสนิทด้วยแววตาเกรี้ยวกราด
“คุณพูดไม่ถูกครับ คุณผู้ชายแค่ซื้อโอกาสที่จะเสี่ยง ที่มีความสำเร็จเหมือนงมหาเข็มที่ตกหายในมหาสมุทร”
“แต่ถ้ามันตกหายในมหาสมุทรจริงๆ ถ้าเราลงมืองมหามันก็มีทางเจอนี่ทอม” บ๊อบยังยืนกราน เขาคว้าเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานมาดูก่อนจะรำพึงเบาๆ “พันสองร้อยล้านปอนด์หรอ ... ก็ยังดี”
“คุณผู้ชายรักเด็กคนนั้นมากถึงขนาดนี้เลยหรอครับ” พ่อบ้านทอมถาม บ๊อบ วิลเลียมที่ไม่ได้ใส่ใจตัวเขาเลย
“เขาเป็นเหมือนหัวใจที่หล่นหายไปของชั้น ที่ชั้นใช้เวลาตามหามาร่วมร้อยกว่าปีกว่าจะพบ ชั้นไม่มีทางปล่อยให้หัวใจของชั้นหลุดมือหายไปอีก ... ก็เหมือนกับที่หัวใจของนายได้พบกับคุณแพรทิเซียนั่นแหละ ทอม... นายน่าจะเข้าใจชั้น”
พ่อบ้านทอมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยปากถามผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น
“วันหนึ่ง... ถ้าผมตายไปจากโลกนี้เหมือนคุณเลย์ตัน คุณผู้ชายจะโหยหา... เหมือนที่รู้สึกกับคุณเลย์ตันบ้างมั้ยครับ “

วิลเลียม บ๊อบมองพ่อบ้านทอมที่ถามเขาด้วยน้ำเสียงและหน้าตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกข้างใน ก่อนที่บ๊อบจะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และตอบคำถามของคนสนิท
“แน่นอน ... เพราะนายก็เป็นคนที่อยู่เคียงข้างชั้นมาตลอด ... นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้นที่ชั้นพร้อมจะให้นายเดินร่วมทางสายนิรันดรด้วยกัน ... ถ้านายต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับชั้นตลอดไป ทอม”

พ่อบ้านทอมหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะหันหลังให้กับวิลเลียมบ๊อบ
“ขอบคุณมากครับ แต่ถ้าวันหนึ่งผมตายไป ช่วยกรุณาให้ผมได้พ้นจากวัฏสงสารแห่งความทุกข์และความสุขบนโลกมนุษย์นี้เถอะครับ ... แล้วก็...เรื่องค่าใช้จ่ายของคุณเลย์ตัน ผมจะเป็นคนติดต่อกับทางธนาคารให้เอง”
“ขอบใจมาก ทอม นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้นจริงๆ”
“ผมเป็นทาสรับใช้ที่แสนดีของคุณครับ คุณผู้ชาย” เขาตอบโดยที่ไม่ได้หันไปยังวิลเลียม บ๊อบ ก่อนจะก้าวออกไปจากห้องนั้น พร้อมกับน้ำตาเพียงหนึ่งหยดที่ไหลออกมาที่หางตา
“ขอโทษที่ผมโกหกคุณนะ บ๊อบ” ทอมพุดกับตัวเอง ก่อนจะควักเอกสารแสดงทรัพย์สินตัวจริงที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของตน “ฮ่าๆ ผมแอบลดตัวเลขทรัพย์สินของคุณลงตั้งห้าเท่าแน่ะบ๊อบ ... แต่ถึงขนาดนั้นคุณก็ยัง....”
.
.
หนึ่งสัปดาห์ของวิลเลียม บ๊อบที่ทุรนทุรายอยู่บนเปลวไฟแห่งความหวังอันน้อยนิด นับจากวันที่เขาเซนต์สัญญายอมจ่ายเงินและรับความเสี่ยงต่อผลลัพธ์ในการรักษาแบบ “Androdic Resurrection”  หรือการคืนชีพด้วยชีวิตนิรันดร์แห่งมนุษย์กล การเตรียมการใช้เวลาทั้งหมดหนึ่งสัปดาห์นับจากวันเซนต์สัญญา

“ผมขออยู่ในห้องนี้ด้วยได้มั้ย คุณหมอบริจิตต์” บ๊อบถามขึ้น ในขณะที่แพทย์หญิงบริจิตต์กำลังจะเดินเข้าไปในห้องโออาร์
“ได้สิคะ คุณเป็นลูกค้านี่” เธอยกยิ้มมุมปาก
“ขอบคุณ”
“คุณผู้ชายครับ” พ่อบ้านทอมเรียกชื่อนายของตน “ผมขอให้คุณเลย์ตันได้รับปาฏิหาริย์จากพระเจ้า... เหมือนที่คุณเคยได้รับนะครับ”
“ขอบใจนายมาก ทอม”

ภายในห้องเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่คุ้นตาชายหนุ่ม แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยปีแต่เขายังจำภาพหลังจากที่เขาเดินทางกลับจากดินแดนมิคสัญญีได้ดี ... ห้องนี้แทบไม่เปลี่ยนไปเลย แม้จะผ่านการบูรณะมาบ้าง

เบื้องหน้าของเขา ร่างไร้วิญญาณของบิลนอนนิ่งอยู่บนเตียงพร้อมกับสายไฟที่ระโยงระยางอยู่บนตัวเหมือนแฟรงเกนสไตน์ ความหดหู่ตรงหน้าทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามทำใจให้เข้มแข็งเพื่อรับฟังผลลัพธ์ที่แทบจะหยุดหัวใจของตน

“พัลส์ ทริกเกอร์เป็นอย่างไรบ้าง” แพทย์หญิงบริจิตต์ถามแพทย์คนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าอุปกรณ์อะไรสักอย่างที่มีหน้าตาเหมือนจอคอมพิวเตอร์
“พร้อมครับ”
“ระบบไฟฟ้ากระตุ้นชีพจรล่ะ พร้อมมั้ย”
“พร้อมครับ”
“อวัยวะเทียมล่ะ เตรียมพร้อมแล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“โอเค ... งั้นเรามาปลุกพ่อหนุ่มนี่กันเถอะ” บริจิตต์สวมถุงมือยางและสวมหน้ากากผ้าปิดส่วนล่างของใบหน้าไว้ ก่อนที่เธอจะใช้มีดผ่าตัดของเธอกรีดลงไปบริเวณกลางลำตัว แล้วเริ่มทยอยเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเทียมให้แก่เลย์ตันบิลทีละส่วนๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เธอเดินสายไฟฟ้าไปยังส่วนต่างๆอย่างชำนิชำนาญ ก่อนจะใส่หัวใจเทียม ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายเข้าไปในร่างกายของบิล และต่อสายไฟเข้ากับหัวใจเทียมดวงใหม่”

“คุณหมอ ... แล้วสายเส้นนั้นล่ะ ทำไมถึงปล่อยลอยไว้” บ๊อบถามขึ้น หลังจากที่เฝ้ามองดูการผ่าตัดมาตลอด
“อ้อ ... จริงสิ ชั้นเกือบจะลืมไปเลย นี่ถ้าไม่ได้เสียบสายเส้นนี้ล่ะก็ บรรลัยแน่เลยล่ะ” เธอพูดราวกับเป็นเรื่องขบขัน แต่ตลกร้ายของเธอก็แทบจะทำให้บ๊อบคว้าคอเสื้อของแพทย์หญิงไม้เบื่อไม้เมาของเขามาต่อยสักหมัด แต่ในเวลานี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องข่มความโกรธไว้
 
บริจิตต์เริ่มลงมือเย็บผิวหนังของบิลให้ปิดสนิท เธอถอดถุงมือยางที่เปื้อนเลือดออก ก่อนจะเดินไปที่เครื่องจักรที่หน้าตาน่าเกรงขามที่ส่งเสียงครางฮึมฮัม แล้วหันมาทางวิลเลียมบ๊อบ
“หลังจากชั้นสับสวิตซ์นี้ คุณก็จะได้รู้แล้ว ว่าเงินพันล้านของคุณจะสูญเปล่าไปฟรีๆหรือเปล่า” หล่อนพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ขอให้คุณสมหวังนะคะ”

บ๊อบพยักหน้ารับคำ ก่อนที่แพทย์หญิงบริจิตต์จะสับสวิตซ์ขนาดใหญ่ในมือ ร่างของบิลกระตุกขึ้นอย่างแรงเหมือนโดนเครื่องปั๊มหัวใจ แต่ก็ยังไร้วี่แววว่าเขาจะตื่นขึ้นมา
“ชั้นจะลองอีกครั้งนะ คุณวิลเลียม” หล่อนพูดขึ้น ก่อนจะสับสวิตซ์อีกครั้ง และผลลัพธ์ยังเหมือนเดิม
“ขอแสดงความเสียใจด้วย คุณวิล...” นายแพทย์บริจิตต์พูดขึ้นพลางหลับตาลงช้าๆ ทว่าบ๊อบก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“ผมขอลองอีกครั้ง ... แต่ครั้งนี้ ก่อนคุณจะสับสวิตซ์ ผมขอให้คุณดูสัญญาณมือของผมก่อน ถ้าผมลดมือลง คุณค่อยปลุกบิลขึ้นมาอีกครั้งนะคุณหมอ”
“ก็ได้” หล่อนรับคำ แล้วบ๊อบจึงยกมือขึ้นเหนือหัวและโน้มตัวลงจูบลงริมฝีปากของเลย์ตันบิล ก่อนที่เขาจะกลั้นใจ และลดมือลงช้าๆ
“คุณวิลเลียม...” บริจิตต์เอ่ยชื่อลูกค้าของเธอด้วยความรู้สึกตื้นตัน ก่อนที่หล่อนจะสับสวิตซ์ปล่อยกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจเทียมดวงใหม่ของบิลอีกครั้ง กระแสไฟฟ้าทำให้ร่างของบิลกระตุกอย่างแรงและไหลผ่านมายังร่างกายของบ๊อบ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ผละริมฝีปากออกจากคนรัก

“บิล นายต้องฟื้นสิ นายได้ยินมั้ย นายต้องฟื้น” เขาอธิษฐานในใจ
ก่อนที่เปลือกตาของบิล....








จะขยับเบาๆ

และน้ำใสๆก็ไหลออกจากหางตา.....ของบิล





“ผมกลับมาแล้ว ... ที่รัก” บิลลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฮ่ะๆ .. ครับ ยินดีต้อนรับสู่เนเวอร์แลนด์ เส้นทางสายนิรันดรของเราสองคนนะบิล สุดที่รักของผม”

.
.
ทางเดินขึ้นยอดเขาสโนว์ดอนเขียวครึ้มไปด้วยไม้ใหญ่น้อยนานาพรรณ บ๊อบและบิลจูงมือกันเดินขึ้นไปยังยอดเขาโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เมื่อไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆทั้งสองคนก็ได้เห็นไอหมอกชัดเจนขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะมาถึง ร็อกกี้ วอลเลย์ หนึ่งในสถานที่แห่งความทรงจำของทั้งคู่
“ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผีเลย ... ได้กลับมาดูที่ๆตัวเองตาย “ บิลพูดพลางลูบโขดหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง “บ๊อบ คุณพอจะจำได้มั้ยว่า ผมกระแทกกับหินก้อนไหนเข้า”
“โธ่ ... บิล เวลานั้น ใครเขาจะมานั่งจำพิกัดกันเล่า”
“ผมก็แค่ถามดูน่า บ๊อบ ไม่ต้องทำหน้าดุขนาดนั้นก็ได้”เขาพ้อ  ก่อนจะพูดต่อ “ความจริงก็มีคนทำสำเร็จเยอะอยู่นะ ดูสิ ผมได้รับรหัส AD046 แสดงว่า มีแอนดรอยด์อย่างเราอีกตั้งสี่สิบสี่คนแน่ะ”
“แต่จะมีใครที่ยิ้มได้อย่างเราสองคนล่ะ ชั้นว่า พวกเขาต้องเคยเป็นเหมือนที่ชั้นเคยเป็น อ้างว้าง...และโดดเดี่ยว” บ๊อบพูดขึ้นพลางทอดมองออกไปยังทางรถไฟที่ได้รับการซ่อมแซมเสร็จแล้ว
“ผมยังยืนยันนะ ว่าถ้าแอนดรอยด์อย่างเราร้องไห้ไม่ได้ ก็ไม่เห็นจำเป็นที่เราจะลืมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะไปนี่นา...” บิลประสานมือขึ้นเหนือหัวแสร้งว่าตนเหนื่อยล้าจากการเดินทางขึ้นเขามา
“ชั้นโชคดีจริงๆ ที่ได้เจอนาย บิล”
“ผมก็โชคดีเหมือนกัน คุณทำให้ชีวิตหลังความตายของผม...” บิลพูดพร้อมกับคว้ามือของบ๊อบมากุมไว้แน่น “มีคนจับมือไว้แบบนี้”
“ไม่มีวันปล่อยด้วย จนกว่าโลกจะแตก” บ๊อบยิ้มและใช้มืออีกข้างของตนจับมืออีกข้างที่ว่างของบิลไว้
“จับมือ? แค่นี้เองหรอ?”บิลอมยิ้ม หน้าตายียวนของบิลทำให้บ๊อบคว้าคนตรงหน้ามากอด
“ผมต้องการมากกว่า น....”  บิลพูดยังไม่ทันจบความ ริมฝีปากบางของบิลก็ถูกประกบด้วยริมฝีปากของคนที่กำลังกอดเขาอยู่
“จูบที่ไร้รสชาติ อยากกลับไปเป็นมนุษย์ธรรมดาจัง” บิลยิ้มและหัวเราะเบาๆ
“ไม่ทันแล้ว ... แต่ว่านะบิล ชั้นว่า มันเป็นจูบที่มีรสชาติที่เยี่ยมยอดเลยล่ะ รสชาติแห่งความรักไงล่ะ”
แอนดรอยด์คนใหม่ล่าสุดยิ้มกว้างพลางแหงนหน้าบนท้องฟ้าก่อนจะจูงมือของแอนดรอยด์รหัส AD003  ให้เดินตามตนมา
“รีบไปกันเถอะ ผมอยากจะเห็นยอดเขาสโนว์ดอนเต็มแก่แล้ว คราวที่แล้วก็มาไม่ถึง” บิลพูดขึ้น ก่อนที่เสียงรถไฟของสถานีสโนว์ดอน เมาว์เทน เรลเวย์จะดังขึ้นมาแต่ไกล ทั้งคู่ยิ้มและหัวเราะให้กันเสียงดัง ก่อนที่บ๊อบจะพูดขึ้น
“เดินเท้าน่าจะปลอดภัยกว่า ช้าหน่อยแต่ก็ถึงที่หมาย นายว่ามั้ยบิล”
“เห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเลยครับ ฮ่าๆๆ”

ทั้งสองคนประสานเสียงหัวเราะกันอีกครั้ง ก่อนจะจูงมือกันเดินทางต่อไปยังยอดของเทือกเขาสโนว์ดอนอันเป็นจุดหมายปลายทางครั้งนี้ ... แต่สำหรับปลายทางของเส้นทางสายนิรันดรของบ๊อบและบิล ... คงจะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันจบ ... เหมือนปีเตอร์แพน ... ที่มีความสุขไปตลอดกาลอยู่ในเนเวอร์แลนด์



อวสาน
"

.
.
.


เล้าล่มไปนานพอสมควรเลยทีเดียว อย่าว่าแต่ผู้อ่านทุกท่านเลยครับ

ตัวผมเองก็กระสันต์อยากลงเหมือนกัน

อย่างที่บอกว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสั้นที่รักมากที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะชอบพล๊อตอย่างที่เคยบอก

และเคยเป็นนิยายที่เขียนไม่จบของผมด้วย

เลยอยากเอาลงใจจะขาดเหมือนกันโดยตอนจบนี้เขียนเสร็จในวันที่เล้าล่มพอดี T T

อย่างที่เคยบอก ว่าหลังจากเรื่องนี้ ถ้าจะเขียนเรื่องสั้น

คงจะเริ่มกระทู้ใหม่เพราะอยากนำกระทู้รวมเรื่องสั้นนี้ไปเก็บในห้องนิยายจบแล้วเสียที


หนึ่งเรื่องที่อยากเล่าให้ฟัง คือ ความสะเหร่อเฟอะฟะของผม

ที่เข้าใจมาตลอดว่าฝรั่งเค้าเอาชื่อสกุลนำหน้า แล้วตามด้วยชื่อตน

และก็โดนเพื่อนรักที่ช่วยตรวจทานตอกกลับจนหน้าหงาย ว่ามันใช่ที่ไหนล่ะไอ้โง่  :laugh:

สุดท้าย เลยต้องกลับไปแก้คำพูดและบทบรรยายของสองตอนแรกใหม่ เพื่อให้ตรงกับความคิด

นั่นคือชื่อของตัวละครหลักทั้งสามคนคือ บ๊อบ บิล และทอม

ขออภัยสำหรับความผิดพลาดตรงนี้ด้วยนะครับ

..... ที่อยากจะบอกผู้อ่านอีกอย่างคือ นิยายในเล้าของผมจะถือเป็นจุดเริ่มต้น

สำหรับความฝันสูงสุดของผม

นิยายแต่ละเรื่องของผม ผมพยายามทำอย่างพิถีพิถัน

มีการค้นคว้าข้อมูล เพื่อให้เนื้อเรื่องหรือฉากสมจริงมากที่สุด

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อฝึกตัวเองสำหรับก้าวต่อไป เลยเลือกจะเขียนในสิ่งที่ใกล้ตัวเองก่อน

ก่อนจะก้าวไปสู่ความท้าทายขั้นต่อไป

อาจจะยังงงๆกันบ้างนะครับ (แต่วันหลังจะเฉลยให้ชัดเจนกว่านี้)

ปล. ใครสนแกวะ ฮ่าๆ  :laugh:

ดังนั้น ผมอยากให้ติชมจากใจจริงได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวนักเขียนอย่างผมท้อนะครับ

สุดท้าย ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามและทุกความเห็นครับ  :L2:

ปลลล. ตอนจบเรื่องสั้นเรื่องนี้ยาวเวอร์เลยเนอะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Salome ที่ 21-06-2012 01:05:13
สนุกดีค่ะ เป็นนักอ่านอีกหนึ่งคนที่ยกมือสารภาพว่า รออ่านตอนจบก่อน เพราะกลัวใจหนิง
เดี๋ยวเหมือนเรื่องลมบอย หรือ ภูเก็ต อิคนอ่านคนนี้ทำใจไม่ด้ายยยย
อ่านจบแล้วจิตตกรันทดไปอีกหลายวัน
พอเรื่องนี้หนิงลงตอนจบแล้ว เลยมาอ่าน น่ารักมากทีเดียวค่ะ
ประทับใจความรักของทั้งคู่จริงๆ อยากให้หนิงเขียนแนวนี้บ่อยๆ ชอบ
กดเป็ด กดบวกให้นะคะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 21-06-2012 01:08:42
 o13 สุดยอดครับ ลูกรักของพี่ช่างน่ารักและอบอุ่นจริงๆ

อ้างถึง
สำหรับความฝันสูงสุดของผม

จากประโยคนี้คือ พี่อยากเป็นนักเขียนหรอครับ?

ไม่ว่าจะเป็นอะไรยังไงใช่ไม่ใช่ ผมขอเป็นหนึ่งกำลังใจเล็กๆนะครับ

ขอบคุณสำหรับเรื่องสั้นที่น่ารักครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 24-06-2012 23:41:15
ได้มาอ่านเรื่องสุดท้ายตอนย้ายห้องแล้ว
ประทับใจความรักของปู่บ๊อบจริงๆค่ะ
แต่ให้เลือกได้เราเองก็ไม่อยากอยู่ยงคงกระพันแบบนี้
เพราะไม่ได้ลุ้นว่าชาติหน้าจะเกิดมาเป็นคนอีกหรือเปล่า  :laugh:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 26-06-2012 21:18:28
เรื่องสุดท้ายสนุกมากค่ะ เขียนดีจริงๆ เรื่องทั้งหมดก็สนุกค่ะ ให้ข้อคิดทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 06-07-2012 02:24:43
เมื่อก่อน ไม่ชอบเลยกับชีวิตที่เป็นนิรันดร์ ไม่อยากอ้างว้าง คอยมองคนที่เรารักจากไปทีละคน
เรื่องนี้ตอนแรกก็ลุ้นว่าจะจบเศร้าซึ้งแบบไหน
ชอบตอนจบแบบนี้นะ แต่รู้สึกเหงาๆอย่างไรก็ไม่รู้
รอเรื่องสั้นตอนต่อไป ^^
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 06-07-2012 06:58:52
 o13 อั้ยยะ บ๊อบแอนด์บิล น่ารักเชียววววว ไว้เดี๋ยวจะไปจัดทริปเที่ยวตามรอยคู่นี่มั่ง ฮาๆๆๆ
พีเอส งงๆ นิดหน่อยตอนงานแต่งทอม ทำไมต้องมองด้วยสายตาว่างปล่าวด้วยอ่ะคะ??
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kanunsak ที่ 01-08-2012 09:52:22
เรื่องสุดท้ายเนิบช้า แต่ซาบซึ้งกินใจอ่ะ  อารมณ์เวลาอ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนรู้สึกอยู่ในฝันยังไงไม่รู้  ชอบจัง...
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 19-08-2012 00:32:57
ชอบพล็อตเรื่องสุดท้ายจัง
อ่านแล้วรู้สึกว่าทอมเหมือนจะแอบชอบเจ้านายตัวเอง
 :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Jaajaa ที่ 08-10-2012 18:52:06
เรื่องสุดท้ายเหมือนทอมจะแอบชอบบ็อบ555
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 17-10-2012 03:01:00
รักยาวนานจริงๆ :pig4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 27-02-2015 15:48:01
 :mew1: ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 26-04-2015 21:28:25
ชอบทุกเรื่องครับ  ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-11-2016 20:42:58
 :L2: :pig4: