พิมพ์หน้านี้ - (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:30:21

หัวข้อ: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:30:21
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

ฺBY Kaitodmalewja

ติดตามและพูดคุยกับนักเขียนได้ที่

FB : Kaitodmalewja (https://www.facebook.com/Kaitodmalewja-769692296744615/)
Twitter : @kaitodmalewja (https://twitter.com/kaitodpendekdee)

ผมตกถังข้าวสาร



จากชีวิตเด็กวัดธรรมดาที่ไม่เคยสัมผัสกับคำว่ารัก
 ไม่น่าเชื่อว่า วันหนึ่งสิ่งที่เขาขาดหายจะมาเติมเต็ม
คำว่ารักที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาตลอด
ผ่านการดูแลของผู้ปกครองคนใหม่
ไม่ใช่แค่ผู้ปกครองธรรมดา แต่พ่วงมาด้วยอาชีพตำรวจ
ที่ 'สติ' คนนี้แสนกลัว
 
"กูดูแลมึงได้แค่ตัว..ที่เหลือมึงดูแลเองก็แล้วกัน"
.
.
.
"แล้วข้อหาขโมยหัวใจแจ้งความตรงไหนครับหมวด? "
 
ปล. เราย้ายมาจากนามปากกาหนึ่งงับ ชื่อเก่าชื่อว่า "พี่ชายชั่วคราว"

สารบัญ
บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035648#msg4035648)
บทที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035649#msg4035649)
บทที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035650#msg4035650)
บทที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035651#msg4035651)
บทที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035652)
บทที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035653)
บทที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035654)
บทที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035655)
บทที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035656)
บทที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035657)
บทที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035658)
บทที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035659)
บทที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035660)
บทที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035661)
บทที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035662)
บทที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035663)
บทที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035664)
บทที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035665)
บทที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71879.msg4035652#msg4035666)
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:31:07
บทนำ



ทุกคนเชื่อในเรื่องรักแรกพบไหมครับ? ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเชื่อในเรื่องนี้มาก่อนจนกระทั่งวันหนึ่งผมได้เจอเข้ากับใครบางคนที่ทำให้ผมหัวใจเต้นแรง...ไม่ใช่แรงธรรมดานะครับ ไอ้เชี้ย!! รุนแรงฉิบหายเลย เหมือนกับตอนนี้



“หยุด!! ไม่งั้นยิง” สิ้นสุดเสียงนั้นเท้าทั้งสองข้างที่ผมกำลังวิ่งหยุดชะงักทันทีโดยอัตโนมัติ ผมยังตายตอนนี้ไม่ได้ยังไม่ได้บวชเลยครับ!!



“หยุดแล้วหมวด” ผมหันหลังกลับไปพร้อมกับชูแขนทั้งสองข้าง “ถึงกับยิงเลยเหรอ คุยกันดีๆ ก็ได้มั้ง..ครับ” ผมพยายามใช้นำเสียงออดอ้อนเผื่อคุณตำรวยเอ้ย! คุณตำรวจจะเห็นใจ



“แล้วใครให้มึงหนี”



“พูดไม่เพราะเลยอะครับ” ผมยอมหยุดนิ่งเพื่อให้คุณตำรวจใส่กุญแจมือทั้งสองข้าง คุณตำรวจท่านนี้วิ่งไล่ตามจับผมกับเพื่อนๆ มาได้หลายร้อยเมตรแต่ไอ้เพื่อนๆ เวรของผมมันดันหนีไปได้จะเหลือก็แต่..ผมแหละครับที่เกิดมาขาสั้นวิ่งตามเพื่อนไม่ทัน อ่อ ทุกคนคงจะสงสัยใช่ไหมครับว่าผมวิ่งหนีทำไมก็เพราะไอ้เพื่อนตัวดีของผมมันไปก่อคดีหาเรื่องกับเด็กสถาบันอื่นทั้งๆ ที่ผมเตือนมันแล้วว่าแถวนี้ลงตรวจบ่อย สุดท้ายแม่งก็ต่อยไปคนละไม่กี่หมัดก็ต้องวิ่งหนีกันอุตลุดเพื่อไม่ให้ถูกจับ



“กับเด็กอย่างมึงพูดเพราะไม่ได้หรอก วันๆ ก็สร้างแต่เรื่องไม่สงสารพ่อแม่บ้างรึไงวะ” ผมคอตกทันทีที่พูดถึงพ่อกับแม่...ไม่ได้อยากจะดราม่าหรอกนะแต่น้ำตามันไหลออกมาเอง “แค่นี้ร้องไห้ตอนทำไมรู้จักคิด สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไม่เว้นวัน”



“......”



“มีลูกอย่างมึงกูนี่หนักใจแทนพ่อกับแม่มึงเลย” ผมเงียบมาตลอดทั้งทางที่คุณตำรวจควบคุมตัวผมไปที่โรงพัก เมื่อขึ้นไปถึงผมก็เจอกับเพื่อนๆ คนอื่นที่นั่งโดนพ่อกับแม่พวกมันบ่นรวมถึงคู่อริที่หาเรื่องกันไปก่อนหน้านี้



“โทรหาผู้ปกครองให้มาประกันตัว” ผมถอนหายใจมองนาฬิกาบนผนังป่านนี้ไม่มีใครมาประกันตัวผมหรอกครับเพราะใกล้จะค่ำแล้วทำให้ผมนั่งนิ่งๆ ไม่ทำตามที่คุณตำรวจพูด “ไม่ได้ยินที่พูด?”



“ขังเถอะครับ”



“ทำไม?” คุณตำรวจเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ตั้งใจจะกวนตีน?”



“ถึงผมจะหน้าตากวนตีนแต่เรื่องนี้ผมพูดจริงนะหมวด ขังผมเถอะผมไม่อยากให้ผู้ปกครองเดือดร้อน”



“เอาโทรศัพท์มา ตอนทำก็ไม่รู้จักคิด” โทรศัพท์ที่อยู่ในมือของผมถูกกระชากด้วยความรุนแรง คือผมโคตรจะไม่เข้าใจเลยครับว่าทำไมคุณตำรวจต้องรุนแรงกับผมด้วยทั้งๆ ที่ผมเองก็เป็นประชาชนตาดำๆ น่าสงสารซะขนาดนี้ “ไหนเบอร์ผู้ปกครอง”



“เบอร์แรกครับ” ผมกลั้นใจบอกคุณตำรวจไปเพราะเกรงใจดาวบนบ่าซะเหลือเกิน “ค่อยๆ พูดนะคุณตำรวจ” คุณตำรวจใช้หางตามองผมอย่างไม่มีเยื่อใยก่อนจะกดโทรออก



“ใช่ผู้ปกครองของ....” คุณตำรวจมองมาทางผมเหมือนต้องการจะถามอะไรบางอย่างผมจึงขยับปากบอกไปเบาๆ “ผู้ปกครองของแป๊ะรึเปล่าครับ พอดีแป๊ะถูกจับอยู่ที่สน.xxx ช่วยมาประกันตัวด้วยนะครับ”



(แป๊ะ?)



“ครับผู้ปกครองแป๊ะ”



(แป๊ะนั่นชื่ออาตมานะโยม.....)



“.....!!!” และหลังจากนั้นผมก็เจอสายตาดุๆ ที่ส่งมาให้เหมือนต้องการจะขู่ว่าผมเล่นไม่รู้เรื่อง ผมจึงส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้คุณตำรวจ แต่เรื่องนี้ผมว่าผมไม่ผิดนะเพราะคุณตำรวจไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะถามชื่อใครผมก็คิดว่าถามชื่อของผู้ปกครองผม “เอาเป็นว่าถ้าเป็นผู้ปกครองของเจ้าของเบอร์นี้รบกวนมาที่สน.นะครับ” และคุณตำรวจก็จัดการโยนโทรศัพท์ลงมาบนตักของผมด้วยอารมณ์รุนแรงจนผมแทบจะรับไม่ทัน โทรศัพท์เครื่องนี้กว่าจะได้มาทำงานหลายเดือนเลยนะครับนั่น



“เล่นไม่รู้เรื่องนะมึง” คุณตำรวจเอนหลังพิงกับเก้าอี้ชี้มาที่หน้าผมด้วยสายตาหงุดหงิด



“ก็ผมไม่รู้ว่าหมวดถามอะไรแค่มองก็คิดว่าถามชื่อผู้ปกครองของผม”



“นั่งเงียบจนกว่าผู้ปกครองจะมา” คุณตำรวจลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินหันหลังออกไปทิ้งให้ผมนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางคู่อริต่างสถาบัน คือผมไม่เข้าใจว่าเอากูมาปล่อยตรงนี้ทำไมทั้งๆ ที่รู้ว่าพึ่งมีเรื่อง ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นของผมก็ทยอยกันกลับไปทีละคนสองคนจนกระทั่ง...



“หลวงตา” ผมรีบวิ่งออกไปทันทีที่เห็นออร่าจีวรของหลวงตา “คือหนู.....”



“หลวงตาบอกเอ็งว่าอะไรไอ้หนู” หลวงตาถามผมเสียงเข้ม หลวงตาคือผู้ปกครองคนเดียวที่ผมมี มาเข้าเรื่องดราม่าของผมดีกว่าครับ หลวงตาท่านเล่าว่าผมเป็นผลผลิตของวัยรุ่นแถวๆ นั้นที่ท้องในวัยเรียนและถูกนำมาทิ้งเอาไว้ที่วัดตั้งแต่เกิดโดยมีหลวงตาเก็บผมเอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่หลวงตายังหนุ่มจนตอนนี้หลวงตาเริ่มแก่ เคยมีข่าวลือเรื่องพ่อกับแม่ของผมนะว่าพวกเขาคือใครแต่ผมก็ไม่กล้าไปถามหรอกกลัวว่าจะถูกไล่กลับมา ผมอยู่กับหลวงตาก็มีความสุขดีเว้นก็แต่เรื่องนี้แหละครับที่ทำให้หลวงตาท่านปวดหัว



“หนูไม่ได้ตั้งใจคือเพื่อน...หนูห้ามแล้วนะหลวงตา”



“เอาเถอะหลวงตาห้ามอะไรเอ็งก็ไม่เคยฟังต้องมาเสียเวลาธรรมวัดเย็นเพราะเอ็ง” ผมคอตกเข้าไปใหญ่เพราะรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณตำรวจคนนั้นเดินออกมาพอดีเราสบตากันก่อนที่เขาจะเดินเข้ามายกมือไหว้หลวงตา



“แป๊ะเอง”



“ขอโทษครับหลวงพ่อ” คุณตำรวจกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “เป็นผู้ปกครองใช่ไหมครับ” หลวงตาพยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินไปประกันตัวกับคุณตำรวจส่วนผมนั่งรออยู่ด้านนอก



ผมชื่อนายสติครับทุกคนจะเรียกว่าไอ้ติเพราะมันสั้นดี ก็ตามที่ทุกคนรู้ว่าผมเป็นเด็กที่ถูกพ่อกับแม่ทิ้งให้มาอยู่กับหลวงตาท่านก็เปรียบเสมือนผู้ปกครองของผมคนหนึ่ง ท่านตั้งชื่อผมว่าสติเพราะต้องการให้ผมระลึกอยู่เสมอว่าผมกำลังทำอะไร แต่ชื่อมันค่อนข้างที่จะขัดกับบุคลิกเพราะผมเป็นคนไม่มีสติเท่าที่ควร ตอนนี้ผมเรียนอยู่ ปวส.ปีสุดท้ายแล้วครับหลวงตาเลยกังวลว่าผมจะตายก่อนจบเพราะมีเรื่องได้ไม่เว้นแต่ละวัน ท่านเลยค่อนข้างที่จะเป็นห่วงเพราะสภาพแวดล้อมของผมค่อนข้างที่จะเสี่ยงกับการมีเรื่องมากพอสมควร ถึงผมไม่มีแต่เพื่อนผมมีผมก็ต้องไปช่วยก็รู้นะว่าเสี่ยงแต่เลือดสถาบันมันเข้มข้นมากเกินกว่าจะมองข้าม



“ผมขออนุญาตไปส่งที่วัดนะครับ ตอนนี้ก็ค่ำคงหารถกลับยาก” ผมลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณตำรวจพร้อมกับหลวงตาที่เดินลงมาจากสน.



“เจริญพรนะโยม” ผมเดินตามหลังหลวงตาไปติดๆ ด้วยความรู้สึกผิดติยังไม่อยากซ่าหรือแผงฤทธิ์เดชอะไรมากเพราะในสายตาของหลวงตาผมคือ ไอ้หนู ผู้น่ารัก



“ไปนั่งหน้าเป็นเพื่อนคุณตำรวจไปไอ้หนู” ผมขึ้นมานั่งตามที่หลวงตาบอกหลังจากที่มาถึงรถคันหรูของคุณตำรวจ



“คาดเข็มขัด” ผมค่อยๆ ใช้มือระวังดึงเข็มขัดมาคาดแต่เหมือนว่าท่าทางของผมมันคงจะขัดใจเพราะอยู่ๆ คุณตำรวจโน้มตัวลงมาจับสายเข็มขัดและขาดให้ผมอย่างแรง “ชักช้า”



“ผมกลัวทำของหมวดพัง”



“นั่งเงียบไป” ตลอดทั้งทางผมนั่งเงียบและเกร็งมาตลอดจนกระทั่งถึงวัด หลวงตาให้ผมพาคุณตำรวจมาเลี้ยงขอบคุณที่ร้านอาหารแถวๆ ตลาดเพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว



“หมวดอยากกินอะไร ให้ผมแนะนำไหม”



“อะไรก็ได้” ผมเลยพาคุณตำรวจมาทานอาหารตามสั่งร้านเจ้น้องร้านประจำของผมที่ปิดช้าสุดในตลาด



“ผมสั่งให้หมวดแล้วนะเมนูเด็ด” ผมบริการน้ำดื่มฟรีพร้อมกับจัดแจงเช็ดช้อนส้อมให้คุณตำรวจเผื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีเพราะร้านเจ้น้องค่อนข้างที่จะโลคอลนิดหน่อยคุณตำรวจอาจจะยังไม่ชิน



“พ่อกับแม่ไปไหน”



“ผมเหรอ?” คุณตำรวจพยักหน้าให้เป็นคำตอบ “ไม่มีหรอกครับผมถูกทิ้งตั้งแต่เด็ก มีแต่หลวงตาที่เมตตาเก็บผมมาเลี้ยงเอาไว้”



“ขอโทษที่พูดแรงไปตอนนั้น” คุณตำรวจยกน้ำขึ้นมาดื่มพร้อมกับพูดขอโทษด้วยท่าทางขัดๆ เหมือนว่าเขาทำตัวไม่ถูก



“ชินแล้วหมวด โดนเพื่อล้อประจำว่าลูกไม่มีพ่อแม่” ไม่อยากจะดึงดราม่านะแต่อารมณ์ของติมันพาไปเอง “แต่ไม่ต้องสงสารผมนะหมวดเพราะอย่างไงผมก็มีหลวงตา หลวงตาก็พ่อผมนี่แหละ”



“ไม่ได้สงสารเลย แต่อยากจะบอกให้ระวังหน่อยมีเรื่องบ่อยๆ ไม่ใช่ว่าเท่”



“ผมรู้แต่เพื่อนผมมันไม่ฟัง แล้วจะบอกว่าวันนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลย...จริงๆ เชื่อผมดิ” ก็อย่างที่บอกไปครับว่าผมนี่เป็นตัวห้ามของกลุ่มเลย แต่ถ้าห้ามไม่ฟังผมก็ลุยอะครับ



“อีกกี่ปีจะจบ”



“สองสามเดือนก็จบแล้ว แต่ผมอยากเรียนต่อมหาลัยอีกสองปีคิดว่าน่าจะทำงานสักปีก่อนค่อยเรียนต่อ ทำงานแถวๆ อู่แถวนี้แล้วค่อยเรียนปีหน้าผมไม่อยากรบกวนเงินหลวงตา”



“ยังดีที่มีความคิด”



“เห้ยหมวด! ผมก็คนดีนะเว้ย”



“เว้ยกับใคร?” คุณตำรวจจ้องหน้าผมนิ่งๆ



“ทีหมวดยังพูดมึงกูกับผมเลย”



“แต่มึงเป็นเด็ก”



“ผู้ใหญ่ก็ควรเป็นตัวอย่างที่ดีนะครับ”



“เถียงเก่งนะมึง” คุณตรวจพูดทีเล่นทีจริง จนกระทั่งอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟและเมนูที่ผมสั่งคือข้าวผัดหมูให้คุณตำรวจเพราะอร่อยและเป็นเมนูเบสิกที่สุด



“หมวดหล่อนะครับ แต่ชอบทำหน้าดุ”



“แล้ว?” คุณตำรวจที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากชะงักค้างก่อนจะเลิกคิ้วถามเป็นเชิงสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ผมถึงชมว่าเขาหล่อ



“ไม่มีไรครับ” ผมส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้คุณตำรวจก่อนจะนั่งเท้าคางมองคุณตำรวจกินข้าว แต่ดูเหมือนว่าคุณตำรวจคงจะรำคาญผมเลยหันหน้าหนีไปทางอื่น ก็พึ่งรู้ว่าเวลาตำรวจกินข้าวมันมีเสน่ห์แบบนี้นี่เอง



“.........”



#ฝากน้องติไว้ด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:31:38
บทที่ 1

เจอกันอีกแล้วนะคุณตำรวจ



“ไอ้ติเย็นนี้ไปกับพวกกูไหม” ผมนั่งซ่อมรถอยู่อู่พี่เจ๋งในช่วงวันหยุดเป็นการหารายได้เสริมจะได้ไม่ไปรบกวนเงินของหลวงตามากอะไรที่ผมพอทำได้ผมก็ทำ



“งานวัดเหรอพี่”



“เออดิ มีนักร้องมาไปดูไหม โคโยตี้ด้วย อย่างเเจ่ม” พี่เจ๋งยกนิ้วโป้งขึ้นมาประกอบท่าทางว่านักร้องที่พี่เจ๋งพูดคือแจ่มจริง



“ไปพี่ไป เดี๋ยวผมขอปะยางให้ลูกค้าก่อนนะพี่” ผมจัดการปะยางรถจักรยานให้ลูกค้าตัวน้อยที่นั่งรออยู่หน้าร้าน จะว่าไปผมก็อยากเรียนต่อนะแต่ถ้าภายในหนึ่งปีผมมีเงินไม่มากพอก็คงต้องพักแผลนไว้ก่อนไม่ว่าจะช้าจะเร็วอย่างไรผมก็จะต้องเรียนให้จบปริญญาตรีให้ได้ ผมจะเอาใบปริญญามาให้หลวงตาให้ได้



“ตามไปนะมึงกูไปก่อน ปิดร้านให้ด้วย” ผมพยักหน้าและปะยางต่อ ปะอีกไม่นานก็เสร็จผมเข็นรถจักรยานออกไปให้ลูกค้าตัวน้อยของผม



“เท่าไหร่คะพี่”



“ไม่เป็นไรครับแค่นี้เอง” ผมยิ้มให้เธอ



“พี่ใจดีจังเลยค่ะ” ผมลืมบอกไปว่าลูกค้าของผมคือน้องผู้หญิงอายุเก้าขวบที่อาศัยอยู่บ้านแถวๆ ที่ผมทำงานอยู่ เนื้อตัวเธอสะอาดสะอ้านดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นลูกของคนมีฐานะแต่ที่ผมสงสัยก็คือทำไมพ่อกับแม่ปล่อยให้เธอมาคนเดียว



“ให้พี่ไปส่งไหม ตอนนี้เย็นแล้วเดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง” น้องทำท่าคิดก่อนจะพยักหน้าตาลง ผมจึงอาสาปั่นจักรยานคันจิ๋วให้น้องซ้อนและขับไปตามทางที่น้องบอก จนกระทั่งผมมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังใหญ่



“ถึงแล้วค่ะ” น้องกระโดดลงจากเบาะหลังมาจับแฮนจักรยานเพื่อเตรียมจูงเข้าไปในบ้าน



“พี่ไปแล้วนะครับ” ผมเตรียมที่จะเดินหันหลังกลับแต่ก็ต้องชะงักเพราะน้องวิ่งมาดึงชายเสื้อของผมเอาไว้ก่อน ทำให้ผมหันไปมองน้อง



“ครับ?”



“พี่ชื่ออะไรเหรอคะ?”



“สติครับ เรียกว่าพี่ติก็ได้”



“ขอบคุณนะคะพี่ติ” คราวนี้ผมพยักหน้าและเดินหันหลังกลับออกมาจากบ้านของน้อง และเดินไปที่วัดที่จัดงานซึ่งเป็นวัดที่ผมอาศัยอยู่ทุกวันนั่นแหละครับ



ตอนนี้ผมมาถึงงานเป็นที่เรียบร้อย งานวัดที่จัดก็เป็นงานวัดทั่วไปนั่นแหละครับเพียงแต่ว่าคืนนี้พิเศษตรงที่เป็นคืนวันศุกร์คนจึงเยอะมากกว่าทุกวัน



“ไอ้ติ! ทางนี้ๆ” พี่เจ๋งที่นั่งอยู่ร้านก๋วยเตี๋ยวในงานกวักมือเรียกผม “สั่งเลยกูเลี้ยง” ผมพยักหน้าและเดินไปสั่งก๋วยเตี๋ยวก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะกับพี่เจ๋ง



“มึงมาช้าจังวะ”



“ผมไปส่งลูกค้ามาเห็นว่าจะมืดแล้ว อีกอย่างน้องเป็นเด็กกลัวว่าจะเป็นอันตรายเลยมาช้า อะนี่พี่กุญแจร้านผมล็อกแล้ว” ผมควักกุญแจร้านในกระเป๋าส่งคืนให้พี่เจ๋ง



“เออกูเห็นพวกไอ้เต๋าแถวนี้ มึงระวังๆ ด้วยนะ” ผมพยักหน้าไอ้เต๋าที่พี่เจ๋งพูดคือคู่อริต่างสถาบันของกลุ่มผมที่มีเรื่องกันมาเนิ่นนานไม่จบไม่สิ้น และไอ้พวกนี้มันเก่งก็ตอนที่ผมอยู่คนเดียว คราวก่อนก็วิ่งหนีผมมันไปตอนที่ผมบังเอิญเจอตอนจะไปเรียน



“เกาะติดพี่เลย ถ้าผมอยู่กับพี่มันไม่กล้าหรอก” เอาจริงๆ นะครับ เจ้านายผมคนนี้แกก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นนักเลงในละแวกนี้เลยก็ว่าได้ทำให้ผมวางใจอยู่ในระดับหนึ่งถ้าเจอกับพวกไอ้เต๋าในงานวันนี้



“เออ ระวังนะมึง”



หลังจากที่กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จผมกับพี่เจ๋งก็พากันมาหน้าเวทีเพื่อจับจองที่นั่งเพราะถ้ามาตอนดนตรีเล่นรับรองไม่มีที่แน่ๆ อีกอย่างผมก็ตัวเตี้ยไปอยู่หลังๆ ก็มองอะไรไม่เห็น



ผลัก!



ผมหันไปมองทางด้านหลังของผมหลังจากที่อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกกระแทก และมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดไม่มีผิดไอ้คนที่กระแทกผมก็คือไอ้เต๋านั่นเอง ผมรีบมองหาพี่เจ๋งแต่ก็ไม่เจอเพราะตอนนี้คนเริ่มเบียดมาจากทางด้านหลัง ฉิบหายมาเยือนแล้วคราวนี้ ไอ้เต๋ามันทำท่าพยักหน้าให้เพื่อนๆ ของมันมายืนขนาบข้างผมเอาไว้ทั้งดักหน้าและล้อมหลัง



“คนเดียวเหรอมึง?”



“สามมั้ง” ผมตอบกลับมันหลังจากที่ไอ้เต๋ามันพูดขึ้น



“กวนตีนนะมึง” ไอ้เต๋าพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะใช้เท้าของมันเหยียบเท้าผมแรงๆ “วันนี้เอากี่แผลไปโชว์เพื่อนๆ มึงดีหนา?”



“.......”



“ที่เงียบสงสัยอยากจะเจ็บตัวเร็วๆ” ผมมองหาช่องทางหนีให้ตัวเอง แต่ยิ่งมองก็ยิ่งไม่เจอเพราะพวกไอ้เต๋าเหมือนรู้ความคิดผมมันเลยขยับเข้ามาใกล้ๆ จนตัวของผมชิดกับพวกมัน



“กูขอร้องเถอะวันนี้กูไม่อยากมีเรื่อง” ผมตัดสินใจลองเจรจากับพวกมันไป



“ไม่อนุญาตครับ”



“ไอ้เต๋า...กูไม่อยากมีเรื่องจริงๆ มึง” คราวนี้ผมพยายามแสดงสีหน้าออกไปให้มันเห็นว่าวันนี้ผมไม่อยากมีเรื่องกับมันจริงๆ ที่ไม่อยากมีหลักๆ ก็เพราะผมมีคนเดียวและอีกเรื่องก็คือมันอยู่ในวัดถ้ามีเรื่องหลวงตาเอาผมตายแน่ๆ



“กูจัดให้ พวกมึงพามันไป”



“ไอ้เต๋า!!” คราวนี้ผมถูกพวกของไอ้เต๋าหิ้วปีกออกจากด้านหน้าเวที ระหว่างทางผมก็พยายามมองหาคนที่สามารถช่วยเหลือผมได้ และแล้วสายตาผมก็มองเห็นพี่เจ๋งผมเตรียมจะตะโกนเรียกแต่อยู่ๆ ก็มีมือของใครบางคนปิดปากผมเอาไว้



“ถ้าตะโกนวันนี้หนักแน่มึง” เสียงของไอ้เต๋ากระซิบมาข้างๆ หูของผมเบาๆ



ผลัก!!



อยู่ๆ ผมก็ถูกผลักจนล้มลงกับพื้นเพราะแรงที่ผลักลงมาไม่ใช่แรงเบาๆ หรือผลักเล่นๆ เลย และยังไม่ทันที่ผมจะตั้งหลักอยู่ๆ ก็มีฝ่าเท้าของใครก็ไม่รู้ตามมากดที่หน้าอกของผมเอาไว้



“กูก็ไม่อยากทำมึงนะไอ้ติ แต่เพื่อนมึงทำพวกกูไว้แสบมา กูจะฝากแผลนี้ไปให้ไอ้ไม้มันดูก็แล้วกัน” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรออกมา ฝ่าเท้านับสิบกระทืบลงมาบนตัวของผมแรงๆ สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือเอามือตั้งการ์ดป้องกันหน้าของผมเอาไว้



ไม่ได้ห่วงหล่อหรอกครับแค่ไม่อยากให้หลวงตาเห็นว่าผมมีเรื่องจากรอยแผลบนหน้า แต่นั่นก็ไม่รู้ว่าจะช่วยผมได้มากน้อยแค่ไหนเพราะตอนนี้ผมรู้สึกถึงคาวเลือดที่ไหลลงมาจากคิ้ว



“กูขออีกทีเถอะมึง!!”



ผลัก!! ตุบ!!



“โอ้ยยยยยย!!” ผมร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดหลังจากที่อยู่ๆ ก็มีของแข็งฟาดลงมาที่ขาขวาของผมแรงๆ ในวินาทีแรกผมรับรู้ได้เลยว่าขาของผมหักแน่ๆ



“ตำรวจมา!!” ผมไม่สามารถรับรู้อะไรได้นอกจากความเจ็บทำให้ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พวกมันกำลังทำอะไรผม



“เจ็บ...” ผมพยายามจะลุกขึ้นเพื่อดูขาตัวเองแต่ผมก็ไม่สามารถจะลุกได้เพราะยิ่งขยับตัวผมก็ยิ่งเจ็บ ตั้งแต่มีเรื่องมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมเจ็บตัวมากที่สุด



ใบหน้าของหลวงตาลอยขึ้นมา...ถ้าหลวงตารู้ หลวงตาจะต้องเสียความรู้สึกและผิดหวังกับผมทั้งๆ ที่ผมเคยสัญญาว่าจะไม่มีเรื่องอีกหลังจากที่ขึ้นโรงพักคราวนั้น



แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ....



“อยู่ๆ เฉยๆ” อยู่ๆ ก็มีฝ่ามือใหญ่จับมาที่แขนของผม



“อย่า..กูเจ็บแล้ว อย่าทำกู” ผมยกแขนขึ้นมากันก่อนจะพยายามขยับตัวหนีแม้ว่าจะเจ็บมากก็ตาม “อย่าทำกูเลยมึง...กูเจ็บ”



“ตั้งสติหน่อย! นี่ตำรวจ” เสียงตะโกนของใครก็ไม่รู้ตะโกนเข้ามาในหูของผมดังๆ แต่ผมก็จับใจความของความหมายไม่ได้ว่าพูดอะไรเพราะตอนนี้ผมกลัว กลัวว่าพวกมันจะเอาผมถึงตาย ผมยังไม่อยากตายตอนนี้



“จ่า เรียกรถพยาบาลด่วนมีคนบาดเจ็บหนัก!” ตำรวจที่ได้รับแจ้งจากแม่ค้าแถวนั้นว่ามีกลุ่มวัยรุ่นกำลังรุมทำร้ายคู่อริอยู่หลังวัด เขาที่มาตรวจความเรียบร้อยพอดีเลยรีบมายังที่เกิดเหตุ “ดักประตูทางเข้าออกด้วย ผู้ก่อเหตุมาเป็นกลุ่มใส่เสื้อชอปสีเลือดหมู” ตำรวจวอไปยังจุดที่เจ้าหน้าที่ประจำการอยู่ด้านในวัด ส่วนเขาตอนนี้ทำได้แค่เพียงเรียกสติของผู้บาดเจ็บที่เอาแต่เพ้อว่าเจ็บและไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ตรงหน้า



“น้อง! พี่เป็นตำรวจไม่ต้องกลัว” เขาพยายามที่จะสัมผัสตัวของผู้บาดเจ็บเบาๆ เพราะเขาไม่กล้าจับแรง แต่ดูเหมือนการทำอย่างนี้ก็ไม่ช่วยให้ผู้บาดเจ็บได้สติเขาจึงตัดสินใจจับแขนของผู้บาดเจ็บที่เอาแต่ยกปิดหน้าออก และจังหวะนั้นเองที่ทำให้เขาเห็นใบหน้าของผู้บาดเจ็บที่ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็น



“มึง.....”



“อย่าทำกู กูเจ็บ โอ้ยยย!!!”



โรงพยาบาล



“เรียบร้อยแล้วจ่าเดี๋ยวผมจัดการทางนี้ต่อเอง จ่าไปจัดการกับพวกที่โรงพักต่อเถอะ”



“ครับหมวด”



หลังจากเหตุการณ์นั้น ‘ร้อยตำรวจตรีณฐิ กาญจนวิจิต’ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนจะพาผู้บาดเจ็บขึ้นรถฉุกเฉินมาที่โรงพยาบาล หลังจากที่เคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงสั่งให้ลูกน้องที่เหลือกลับไปเคลียร์อีกส่วนที่อยู่โรงพักคือกลุ่มผู้ก่อเหตุ



“คุณตำรวจครับ” ผู้หมวดหันไปมองทางประตูก่อนจะเห็นหลวงพ่อที่เขาเคยเจอวิ่งมากับลูกศิษย์วัดอีกสองสามคนด้วยท่าทางร้อนรน



“สวัสดีครับหลวงพ่อ” ผู้หมวดยกมือไหว้หลวงพ่อ



“ไอ้ติมันเป็นไงบ้างครับ อาตมา .... เฮ้อออ”



“หลวงพ่อ/หลวงตา!” อยู่ๆ หลวงพ่อเซไปทางด้านหลังคล้ายกับจะเป็นลมทำให้ผู้หมวดและลูกศิษย์รีบเข้าไปประคองให้หลวงพ่อนั่งลงที่เก้าอี้



“ไอ้ติ ไอ้ติ มันเป็นอย่างไรบ้างครับ”



“ปลอดภัยครับ หมอบอกว่าขาหักและก็ช้ำตามตัวอีกพอสมควร ผมเลยให้หมอตรวจและเอกซเรย์อย่างละเอียดเผื่อว่ามีเลือดคลั่ง”



“มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอคุณตำรวจ ไอ้จ้อย..ดูพี่พวกเอ็งทำกับหลวงตา” สีหน้าของหลวงตาดูเป็นห่วงและกังวลหลังจากที่ฟังผู้หมวดรายงานอาการของสติ เด็กผู้เป็นเหมือนลูกแท้ๆ “หลวงตากลัวมันจะเรียนไม่จบจริงๆ อีกไม่กี่เดือน หลวงตาขอมันแล้วแต่ดูมันทำ...”



“หลวงตาครับ คือเรื่องนี้ลูกศิษย์ของหลวงตาไม่ผิดครับ ทางเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมผู้ก่อเหตุไว้ที่โรงพัก จากการสอบปากคำลูกศิษย์ของหลวงตาเป็นผู้ถูกกระทำ...” ผู้หมวดรีบอธิบายให้หลวงตาเข้าใจ เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องรีบแก้ต่างให้เด็กคนนั้นทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องพูดหรือรายงานโดยละเอียด และการที่เขาสั่งให้หมอเช็กอย่างละเอียดก็ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ของตำรวจเลย เขาแค่รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าสงสาร



“คุณตำรวจถ้าหลวงตาขอร้องให้ช่วยบางอย่าง..”



“ครับหลวงตา ผมพร้อมช่วยเสมอ” ผู้หมวดรีบตอบตกลงทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าหลวงตาจะขอร้องเรื่องอะไร



“หลวงตาขอ....”



“......”
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:32:59
บทที่ 2

ผู้ปกครองคนใหม่



Sati’ s talk



“เอ๋.....” ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเหมือนในละครเลยครับ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาล แต่ที่แปลกออกไปคือ เหมือนผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องอย่างไรอย่างนั้นแหละ ผมพยายามมองซ้ายมองขวา..และนั่นเองที่ทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่คิดและรู้สึกเป็นจริง เพราะตอนนี้รอบๆ ตัวของผมมีไอ้จ้อย ไอ้แจ่ม และคุณตำรวจ ว่าแต่คุณตำรวจมาทำไมที่นี่นะ สติงงจังครับ



“พี่ติฟื้นแล้ว บอกหลวงตาเร็วไอ้จ้อย” ไอ้แจ่มแหกปากเสียงดังส่วนไอ้จ้อยก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพากันหายออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมอยู่กับคุณตำรวจที่แต่ตำเต็มยศพร้อมกับดาวบนบ่าที่เรียงสวยเหมือนครั้งแรกที่ผมเคยเจอ



“ไง”



“สวัสดีครับ เจอกันอีกจนได้ เจอในสภาพนี้ทุกที” ผมยกมือขึ้นไหว้คุณตำรวจ “คราวนั้นผมยังไม่ได้ถามเลยว่าคุณตำรวจชื่ออะไร แต่....ร้อยตำรวจตรีณฐิ..ผมเรียกว่าพี่ฐิได้ไหมครับ”



“มึงตื่นมาแล้วพูดมากจังวะไอ้ติ”



“เห้ย! คุณตำรวย เอ้ย! คุณตำรวจรู้จักชื่อผมได้ไงอะครับ” ผมเผลอตัวลุกนั่งทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณตำรวจเรียกชื่อผมด้วยท่าทางสนิทสนม



“ค่อยๆ ลุกก็ได้” คุณตำรวจที่แสนจะใจดีรีบเข้ามาประคองด้านหลังพร้อมกับปรับเตียงให้ผมสามารถนั่งได้ถนัด



“ผมขอถามไรหน่อยนะครับ คือทำไมผมได้มาอยู่ห้องพักหรูๆ แบบนี้ ผมคงไม่มีปัญญาจ่ายหรอก วานคุณตำรวจบอกพยาบาลให้ย้ายห้องให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” แค่คิดถึงค่าใช้จ่ายก็น่าจะแพงเอาเรื่องเดิมทีเงินเก็บก็จะไม่พอเอาไปเรียนต่ออยู่แล้วถ้าเอามาจ่ายค่าห้องพักมีหวังเงินในบัญชีติดลบแน่นอน



“กูจ่ายเอง” คุณตำรวจกอดอกทำท่าทีเหนือกว่ามองมาที่ผม



“ผมเกรงใจ แบบจะพูดอย่างไงดีคือผมกับคุณตำรวจก็ไม่ได้สนิทกันแบบนั้น ที่ผมพูดแบบนี้คือเกรงใจนะครับไม่ได้จะว่าหยิ่งอะไรเลย และที่สำคัญผมไม่มีปัญญาใช้คืนได้อย่างแน่นอน”



“ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย คนที่ทำมึงต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องคดีความกูจัดการให้ทุกอย่าง ถ้ามึงฟื้นแล้วเดี๋ยวกูโทรบอกให้พวกคนที่ทำมึงมาขอโทษ”



“ผมถามจริง”



“หน้าตากูเหมือนคนโกหก?”



“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้าทันทีเพื่อเป็นการปฏิเสธ เอาจริงๆ ผมยังคงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความทรงจำล่าสุดของผมคือถูกพวกไอ้เต๋ากระทืบอยู่หลังวัดจำได้ว่าตอนนั้นเจ็บฉิบหาย แต่ทำไมตอนนี้..ไม่เจ็บว่ะ “คุณตำรวจช่วยบอกผมทีว่าผมไม่ได้ถูกตัดขา”



“......”



“คือผมจำได้ว่าผมถูกฟาดที่ขาแรงๆ ...” สาบานได้ว่าไม่อยากก้มลงไปมองเลย ถ้าเกิดมองแล้วผมไม่เจอขาตัวเองผมคงทำใจไม่ได้ นอกจากไม่หล่อแล้วยังจะพิการอีก



“แล้วฟาดที่ขาแรงๆ ถึงกับต้องตัดขาเลยเหรอวะ? พึ่งเคยได้ยินเหมือนกัน” คุณตำรวจไม่ตอบคำถามแต่คำพูดของคุณตำรวจเหมือนกำลังจะบอกเป็นนัยๆ ว่าผมโง่ฉิบหายเลยแบบนี้



“ผมไม่อยากก้มไปมองไงคุณตำรวจ”



“ไม่ได้ตัดแต่เข้าเฝือกเพราะกระดูกบริเวณที่โดนฟาดหัก”



“โล่งอกไปที” ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณตำรวจ



“มองหน้าหาอะไร?”



“คือผมอยากจะบอกว่าผมขอบคุณคุณตำรวจมากๆ นะครับที่เป็นธุระจัดการให้ผมทุกอย่างทั้งเรื่องคดีความและเรื่องการรักษา”



“ไปขอบคุณหลวงตาดีกว่าเพราะท่านวานให้กูช่วยเป็นธุระให้เพราะท่านมีกิจไปต่างประเทศ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าวันนี้หลวงตาต้องไปพุทธคายาที่อินเดียวกว่าจะกลับก็ปีหน้า แล้วไอ้ที่สองตัวนั้นบอกจะไปโทรหาหลวงตาพวกมันจะโทรติดไหม



“พี่ติ ผมลืมไปว่าหลวงตาไปอินเดีย แฮะๆ” ไอ้จ้อยวิ่งกลับเข้ามาในห้องเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่



“พี่ก็ว่าอยู่ว่าพวกเอ็งจะโทรไปได้อย่างไง” ผมส่ายหัวให้กับไอ้สองตัว ไอ้จ้อยกับไอ้แจ่มเป็นเด็กวัดเหมือนอย่างผมนี่แหละแต่มันโชคดีกว่าที่ยังมีพ่อกับแม่แต่พ่อกับแม่ของมันฝากไว้กับหลวงตาซึ่งมีศักดิ์เป็นตาแท้ๆ ของพวกมัน



“คุณตำรวจบอกพี่ติหรือยังครับว่าต้องไปอยู่กับคุณตำรวจ” อยู่ๆ ไอ้แจ่มก็พูดขึ้น



“ห้ะ? เอ็งพูดว่าอะไรนะไอ้แจ่ม” ผมหันไปทางไอ้แจ่มหลังจากที่ได้ยินมันนั่งคุยกับคุณตำรวจที่โซฟาราวกับว่าสนิทกันมาสิบปี



“ยังเลย พี่ของเราตื่นขึ้นมาก็พูดไม่หยุดจนพี่ไม่ได้บอก” ไอ้ท่าที่อบอุ่นของคุณตำรวจที่มีต่อไอ้แจ่มคืออะไร ผมไม่เข้าใจ เรียกแทนตัวเองว่าพี่แต่เรียกตัวเองว่ากูกับผม งงไปเลยดิหรือหน้าตาผมมันไม่ได้น่าเอ็นดูเหมือนไอ้สองตัวนั้น



“คุณตำรวยบอกผมก่อนว่ามันคืออย่างไง ผมไม่เข้าใจ”



“นอกจากจะโง่แล้วยังเข้าใจอะไรยากอีก” คราวนี้คุณตำรวจหันหน้ามาทางผมพร้อมกับกลอกตามองบนประหนึ่งว่ารำคาญผมสุดๆ ไปเลย ผมแค่ถามนิดเดียวเอง....



“ก็คนพึ่งตื่นอะครับคุณตำรวย”



“ไม่มีอะไรก็แค่ไปอยู่บ้านกูเท่านั้น” คุณตำรวจยักไหล่เหมือนว่านี่เป็นเรื่องเล็ก “แล้วก็เลิกเรียกกูว่าคุณตำรวย เพราะมันไม่สุภาพ”



“ผมเกรงใจ ผมอยู่ที่วัดเหมือนเดิมได้นะครับ จะได้ไม่ไปกวนคุณตำรวจ” ไม่ให้เรียกก็ไม่เรียกก็ได้ สติเชื่อฟังผู้ใหญ่เสมอ



“พอดีว่าเรื่องนี้คนที่ตัดสินใจคือกู ไม่ใช่มึง ดังนั้นเงียบแล้วก็ทำตามที่พูด เพราะต่อจากนี้ผู้ปกครองของมึงคือกูครับ ไม่ใช่หลวงตา”



“ผมขออนุญาตถามจริงอีกสักรอบได้ไหมคุณตำรวจ”



“.....ไปแจ่มจ้อยพี่พาไปเลี้ยงไอติม” และคุณตำรวจก็ฉกตัวน้องชายของผมออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมงงอยู่ในห้องคนเดียว



สรุปแล้ว คือผมต้องไปอยู่กับคุณตำรวจทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เราสองคนไม่เคยเจอกันมาก่อน ถ้าพูดง่ายๆ คือคนแปลกหน้าดีๆ นี่เอง ถึงแม้ว่าอาชีพการงานจะดูโคตรน่าไว้ใจ แต่อย่างไงผมก็ไม่อยากไปอยู่ดีเรื่องนี้คนที่เห็นดีเห็นงามน่าจะเป็นหลวงตา เพราะหลวงตาเคยพูดกับผมไว้ว่า



‘ถ้าเอ็งยังมีเรื่องอยู่อีก หลวงตาจะส่งเอ็งไปอยู่กับตำรวจ’



ผมไม่คิดว่าหลวงตาจะทำจริงๆ อย่างที่พูด เพราะหลวงตาไม่ใช่กษัตรตรัสแล้วคืนคำได้ รู้หรอกว่าไม่เกี่ยวอะไรกัน แต่ตอนนี้ไอ้ติเครียดโว้ยยยย!! แล้วไอ้คุณตำรวยนี่ก็เชื่อคนง่ายเหลือเกิน เอาผมไปอยู่บ้านด้วยทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าผมนิสัยใจคอเป็นอย่างไร ถ้าผมเป็นโจรบ้านคุณตำรวยจะเหลือแค่ที่ดินอะครับ คิดแล้วก็เซ็งๆ





หลังจากที่อยู่ในห้องคนเดียวผมก็เผลอหลับไปเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือการนอนครับ หลับแม่งเลย รู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืดแล้ว



“พี่ติกินข้าวกินยา พรุ่งนี้คุณตำรวจจะมารับออกจากโรงพยาบาล” ไอ้แจ่มรีบวิ่งมาเกาะที่เตียงทันทีที่มันเห็นว่าผมตื่น



“ไปเอาไอแพดใครมาไอ้จ้อย?” ผมมองไปยังไอ้จอยที่นอนดูอะไรบางอย่างในไอแพด



“ของคุณตำรวจ พี่กูนอะ พี่รู้จักชื่อเขายัง หล่อแล้วใจดีสุดๆ เลย เขาเอาไอแพดมาให้ผมเล่นกับไอ้แจ่มด้วย ใช่ไหมไอ้แจ่ม



“ช่ายยย พี่กูนใจดีที่สุดในโลกเลย” กูน ใครชื่อกูนวะ? คุณตำรวจไม่ได้ชื่อฐิหรอกหรอ?



“ใครคือพี่กูนของพวกเอ็งวะ”



“คุณตำรวจไง พี่เขาบอกว่าชื่อกูน แปลว่าลูกชายและก็มีน้องสาวชื่อว่าธิตา” ผมนั่งมองไอ้สองตัวที่ผลัดกันพูดด้วยน้ำเสียงเจี่ยวแจ้ว



“พวกเอ็งสนิทกับคุณตำรวจถึงขั้นเล่าประวัติให้ฟังกันเลยเหรอ”



“ใช่ พี่กูนออกจะใจดี สุภาพ”



“พวกเอ็งไม่ได้ยินเขาเรียกพี่ว่ามึงกูรึไง นี่นะสุภาพของพวกเอ็ง”



“ก็ได้ยินแต่พี่กูนบอกว่ามันสุภาพสำหรับใช้เรียกพี่ติอะดิ และอีกอย่างพี่กูนของพวกเราบอกว่าพี่ติก็พูดกับพวกเราไม่สุภาพที่เรียกพวกเราว่าเอ็งแบบนี้” คราวนี้ไอ้จ้อยพูดแทน



“เออ พี่มันไม่ใจดีเหมือนพี่กูนอะไรของพวกเอ็งนิ แล้วถ้าไม่ให้พี่เรียกว่าเอ็งจะให้เรียกว่าคุณน้องชายที่แสนประเสริฐรึไงวะ” ไอ้สองตัวถูกคุณตำรวจล่อซื้อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “คนที่คอยซักผ้าให้พวกเอ็ง แบ่งเงินให้พวกเอ็ง ซื้อของเล่นให้นี่หมดประโยชน์แล้วดิ แค่ไอแพดเครื่องเดียว.....”



“นี่ สองเครื่องต่างหาก” ไอ้แจ่มรีบวิ่งไปเอาไอแพดอีกเครื่องขึ้นมาโชว์ก่อนที่ผมจะพูดจบประโยชน์ ยอมรับก็ได้ว่ะว่าที่ผมเคยให้พวกมันยังไม่เท่าราคาไอแพดสองเครื่องเลย “แต่ไม่ต้องน้อยใจนะเดี๋ยวพี่ติไปอยู่กับพี่กูน พี่ติก็จะได้เหมือนพวกผม”



“ทำไมพูดเหมือนพวกเอ็งไม่ไปด้วยวะ?”



“ไอ้จ้อยลืมบอกใช่ไหมเนี่ย ก็พ่อกับแม่ผมจะมารับพรุ่งนี้อะดิ ดีใจที่สุด” ไอ้แจ่มพูดแทรก “กลับมาอยู่ไทยถาวรเลย” พูดแล้วก็ใจหายเหมือนกันพวกมันก็เหมือนน้องชายแท้ๆ ของผม แต่ก็ต้องยินดีกับพวกมันด้วยเพราะมันจะได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของพวกมันจริงๆ สักที ส่วนผม...ก็ถึงคราวย้ายอีกรอบ



“ลาก่อยนะพี่ติ รักเสมอ ไลน์มาหาพวกเราได้นะมีไลน์แล้ว” พวกมึงมีแต่กูไม่มีไง แค่โทรศัพท์โทรเข้าโทรออกได้ก็บุญนักหนาแล้ว “เดี๋ยวจดใส่กระดาษไว้ให้นะ พี่กูนสมัครให้พวกเราแล้ว” ผมส่ายหน้าให้กับไอ้สองตัวนั้นโดยไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดกับพวกมันดี แต่เอาเถอะปล่อยเด็กมันไป





เช้าวันต่อมา



ผมตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำโดยมีไอ้สองตัวยุ่งคอยช่วยเวลาผมอาบน้ำ ผมไม่ได้ให้มันช่วยอาบหรอกนะแค่ให้พวกมันหยิบข้าวหยิบของให้เท่านั้นก่อนจะนั่งรอคุณตำรวจมารับ จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนเกือบเย็นพ่อแม่ของไอ้สองตัวมารับกลับไปแล้วก็เหลือแต่ผมนั่งเหงาอยู่ในห้องคนเดียว ไหนคุณตำรวยบอกไอ้เด็กสองตัวนั้นว่าจะมารับตอนเช้าไงวะ หรือไอ้สองตัวนั้นมันบอกผมผิด?



“หรือกูโดนทิ้ง?” น่าจะเป็นไปได้ที่ผมจะโดนทิ้งนะครับ บางที่คุณตำรวจก็อาจจะแค่รับปากหลวงตาเฉยๆ ผมคิดแล้วว่าไม่มีใครเอาผมไปอยู่ด้วยหรอก ผมก็คงกลับไปอยู่วัดแบบเดิม



ผมกดสัญญาณเรียกพี่พยาบาลให้เข้ามาหาที่ห้องเพื่อจะขอทำเรื่องย้ายออกจากโรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่รู้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เพราะเมื่อวานคุณตำรวยบอกเขาทำหน้าที่จ่ายให้แทนจากเงินค่าสินไหมที่ผมได้รับจากพวกไอ้เต๋า



“ว่าไงคะคุณคนไข้” รอไม่นานพี่พยาบาลคนสวยก็เข้ามาในห้องด้วยท่าทางสุภาพ



“พอดีผมอยากจะทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลอะครับ ผมว่าผมหายแล้ว”



“ต้องมีผู้ปกครองมาทำเรื่องนะคะ”



“แต่ผมอายุเลยยี่สิบแล้วนะครับ” ผมพยายามอ้อนวอนพี่พยาบาล “หรือว่าผมต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล แถวนี้มีธนาคารไหมครับ ผมจะไปกดเงินมาให้ ถ้าคุณพยาบาลไม่ไว้ใจไปกับผมก็ได้นะครับ” ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่มีโทรศัพท์มือถือที่เป็นสมาร์ตโฟนไอ้เรื่องโมไบล์แบงก์กิ้งพวกนี้ผมไม่มีหรอก แต่ไม่รู้ว่าไม่ได้เอาสมุดบัญชีมาผมจะไปกดได้ไหม



“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ....”



“นะครับๆ ผมไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ผมอยากกลับวัด...” จะพูดว่าบ้านก็ไม่ได้เพราะผมไม่มีบ้านอยู่



“ไม่ได้ค่ะคุณคนไข้”



“แต่....”



“วัยรุ่นใจร้อนรึไง?” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคุณตำรวยที่วันนี้มาในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อนไม่ได้มาเต็มยศเหมือนที่เคยเจอ นี่เป็นครั้งที่สามแล้วใช่ไหมที่ผมเจอกับคุณตำรวจ แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่อยากไปอยู่บ้านกับคุณตำรวจเลย “ขอโทษนะครับคุณพยาบาลที่ทำให้รบกวน”



“ไม่เป็นไรค่ะ” พี่พยาบาลได้ออกจากห้องไปแล้วทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่เราสองคน จะบอกว่าเขินก็ไม่ใช่ มันรู้สึกว่าอึดอัดมากกว่ามั้ง ผมก็บรรยายบรรยากาศไม่ถูกเหมือนกัน



“คือให้ผมกลับไปอยู่วัดก็ได้นะครับ ไม่จะได้ไม่เดือดร้อนคุณตำรวจ”



“แล้วบอกรึยังว่าเดือดร้อน?”



“ก็ไม่ได้บอกแต่ผมเกรงใจไง คุณตำรวจไม่กลัวผมขโมยของเหรอ” ผมพยายามหาเหตุผลมากล่อมให้คุณตำรวจยอมปล่อยผมกลับไปนอนที่วัดเหมือนเดิม



“กลัวทำไมถ้ามึงขโมยกูก็แค่จับเข้าคุก”



“โถ่ ทำไมพูดง่ายอย่างนั้นละคุณตำรวจ” หมดแรงที่จะเถียง



“เปลี่ยนเสื้อผ้า” คุณตำรวจโยนถุงกระดาษลงบนเตียงที่ผมนั่งอยู่ “เดี๋ยวไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายแล้วจะมารับ” และเป็นอีกครั้งที่ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเพราะถูกคุณตำรวจเดินหนี



“สั่งเก่งฉิบหาย” ผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่ง ก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าตำรวจแม่งชอบออกคำสั่งแบบนี้นี่เอง







หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จผมก็นั่งรอคุณตำรวจอยู่ที่โซฟา ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับรถเข็นโดยมีบุรุษพยาบาลทำหน้าที่เข็นมา



“เชิญคนไข้นั่งครับ” ผมพยุงตัวเองพร้อมเฝือกหนาๆ มานั่งบนรถเข็นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ถึงพูดมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้คุณตำรวจใจอ่อนยอมให้ผมกลับไปนอนที่วัดหรอกครับ



“เดี๋ยวผมเข็นเองครับ” อยู่ๆ คุณตำรวจก็เข้ามาเข็นแทนพี่บุรุษพยาบาล และนั่นที่ทำให้ผมนั่งเกร็งจนจะเป็นบ้า เกิดมาไม่เคยมีใครเข็นให้ผมเลย “เกร็งไรขนาดนั้นวะ”



“ก็ผมเกร็งมันห้ามไม่ได้อะครับคุณตำรวจ”



“พี่กูน”



“คือ..?” อยู่ๆ คุณตำรวจก็พูดอะไรบางอย่างซึ่งมันขัดกับบทสนทนาเบื้องต้น



“เรียกว่าพี่กูนกูชื่อกูน”



“ผมคิดว่าคุณตำรวจชื่อฐิซะอีก”



“คนอื่นก็เรียกฐินั่นแหละ แต่กูนเอาไว้ให้คนที่บ้านเรียก”



“เห้ย! ผมเป็นคนในครอบครัวคุณตำรวจแล้วเหรอ” ผมเอี้ยวตัวหันไปมองหน้าคุณตำรวจด้วยความสงสัย



“มึงอายุยี่สิบตอนนี้กูจะสามสิบละ ก็เหมือนเลี้ยงลูกนั่นแหละ อย่างไงก็ผู้ปกครอง จะถือว่าเป็นครอบครัวก็ได้มั้ง” ผมมองหน้าคุณตำรวจด้วยความอึ้งเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ ผมจะกลายไปเป็นลูกของเขา



“แต่ว่า..สิบขวบมันมีลูกได้แล้วเหรอคุณตำรวจ”



“มึงช่วยเหลือตัวเองตอนอายุเท่าไหร่”



“อื้มม ไม่รู้อะครับ”



“ช่างเถอะ” แล้วคุณตำรวจก็เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย ส่วนผมก็ไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งมาถึงรถของคุณตำรวจที่ผมเคยขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่คุณตำรวจอาสามาส่งหลวงตากับผมที่วัด



“ผมต้องกลับไปเอาของที่วัดไหมครับ” หลังจากขึ้นรถมาแล้วผมจึงเอ่ยปากถามคุณตำรวจ



“แจ่มกับจ้อยบอกว่ามึงไม่ค่อยมีของส่วนตัวเท่าไหร่นอกจากเอกสาร กูให้แจ่มกับจ้อยเอามาให้แล้ว”



“ผมก็มีอยู่นะ ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย” ไอ้เด็กพวกนี้มันกล่าวหาผมลอยๆ ได้อย่างไงวะ ของผมออกจะเยอะอย่างน้อยก็มีเสื้อเจ็ดตัวกับกางเกงยีนสองสามตัว



“เดี๋ยวซื้อให้ใหม่เลย”



“คุณตำรวจ....”



“พี่กูน”



“โอเค พี่กูนผมเกรงใจนะ พี่เอาผมไปเลี้ยงแล้วยังต้องเสียเงินเสียทองอีก ผมตอบแทนไม่หมดหรอกครับ” อันนี้ผมพูดจริงๆ นะเพราะผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะตอบแทนพี่กูลอย่างไรดีกับสิ่งที่ทำให้ผม “อย่าบอกว่าเป็นเด็กดีแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ โคตรเหมือนพ่อบอกลูกเลย”



“แค่เฝ้าบ้านให้กูพอ อีกอย่างกูรวย”



“ฟังดูเหมือนหมาเลยนะพี่” ผมหันไปมองด้านข้างของพี่กูนด้วยความแปลกใจ “เงินเดือนตำรวจมันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอพี่?”



“ไม่เยอะ แต่กูรวยโดยกำเนิด” ผมขออนุญาตหมั่นไส้ความรวยของพี่เขาจริงๆ ตอนนี้ผมขอเรียกคุณตำรวจว่าพี่กูนแทนนะครับเพื่อความชินในอนาคต



“ครับพี่ เชื่อแล้ว” ผมนั่งเงียบโดยไม่พูดอะไรออกมาจนกระทั่งพี่กูนขับรถเลี้ยวเข้ารั้วบ้านแห่งหนึ่งที่ดูจากภายนอกก็มองออกว่าโคตรยิ่งใหญ่



“ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าพี่รวยจริง”



“ก็บอกแล้ว” พี่เขาไม่เถียงจริงๆ ครับ ยอมรับหน้าตาเฉยว่ารวยจริงซึ่งผมก็จะไม่เถียง “ลง” ผมเปิดประตูค่อยๆ ลงจากรถเพราะมีเผือกที่คอยเกะกะอยู่



“ช่วยไหม”



“ไม่เป็นไรพี่ ผมยังเดินได้อยู่” ผมปฏิเสธพี่กูนก่อนจะเดินตามพี่เขาไป แต่ทางที่พี่กูนเดินไม่ได้เดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่แต่เดินเข้าไปในสวนที่มีต้นไม้ปกคลุมจนมองไม่เห็นด้านหลัง



“พี่จะให้ไปนอนในป่าเหรอ”



“เดินตามเงียบๆ ก็พอ ถึงแล้วจะรู้เอง” ผมพยักหน้าและเดินตามพี่เขา
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:33:43
บทที่ 3

พี่ชายคนละสายเลือด



Sati’ s talk



“อยู่นี่ไปนะ ห้องยังไม่ได้เก็บกวาดดีเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ให้แม่บ้านมาทำให้” หลังจากที่เดินตามพี่กูนเข้ามาเรื่อยๆ ก็พบกับบ้านหลังหนึ่งที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่ ลักษณะภายนอกเป็นสีเหมือนสีปูนเปลือยเรียบๆ แนวแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ



“บ้านพี่ตกแต่งแบบแอนนี่มอลเหรอ”



“มินิมอลพอ แอนนี่มอลเอาไว้แต่งบ้านมึงนะ” พี่กูนหันมามองหน้าผมเอือมๆ ก่อนจะปิดประตูห้องที่จะเป็นห้องของผมนับต่อจากนี้



“พี่ครับ ผมมาอยู่กับพี่แล้วผมสามารถออกไปทำงานข้างนอกเหมือนเดิมได้ไหมพี่ พอดีว่าจำเป็นต้องใช้เงิน”



“พ่อมีหน้าที่อะไร” พี่กูนเดินไปนั่งที่โซฟาสีเทาก่อนจะกอดอกมองหน้าผมนิ่งๆ ส่วนผมก็ยืนบื้ออยู่ตรงหน้าพี่กูนอย่างทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าจะต้องนั่งตรงไหนหรือควรทำตัวอย่างไร



“เลี้ยงดูบุตร แต่พี่ไม่ใช่พ่อผมนะ ขอพูดก่อนผมไม่ได้หมายความว่าจะว่าพี่แต่ในความหมายของผมคือผมเกรงใจพี่แบบโคตรๆ เลย ผมรู้สึกไม่ดีที่จะมาอาศัยอยู่บ้านพี่ฟรีๆ แบบนี้” ตามที่ผมบอกผมเกรงใจพี่กูนจริงๆ นะ แม้ว่าตอนนี้ผมจะรู้สึกไม่เกร็งเหมือนที่ผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ที่ผ่านมามันก็แค่ไม่กี่วันเองนี่หว่า



“มึงจะพูดเยอะทำไม มีคนเอาเงินมาให้ใช้ฟรีๆ ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”



“ผมรู้ว่ามันดี แต่ผมยังเป็นคนที่มีความคิดนะพี่ ผมรู้ว่าอะไรที่ผมควรรับและอะไรที่ผมไม่ควรรับ พี่ให้ผมมากเกินไปทั้งๆ ที่เราพึ่งรู้จักกัน”



“ไอ้ติฟังกูนะ” อยู่ๆ พี่กูนก็ลุกขึ้นจากโซฟามายืนอยู่ตรงหน้าผม “ต่อไปนี้มึงคือน้องชายกู กูคือพี่ชายมึง กูกับมึงคือพี่น้องกัน เพราะกูคงเป็นพ่อมึงไม่ได้ และกูก็เต็มใจที่จะดูแลมึงในฐานะน้องชายของกู มึงอย่าเกรงใจ” ผมมองหน้าพี่กูนนิ่งๆ ผมทำตัวไม่ถูก โดยเฉพาะยิ่งมองเห็นแววตาที่โคตรจะจริงใจของพี่กูนผมยอมรับเลยว่าตื้นตัน ตั้งแต่เกิดมานอกจากหลวงตาก็ไม่มีใครพูดกับผมแบบนี้เลย “แล้วถ้ามึงกลับไปทำงานที่สภาพแวดล้อมแบบนั้น มันเสี่ยง”



“แต่ผมก็โตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้นนะพี่ ผมแข็งแกรงและดูแลตัวเองได้ อีกอย่างผมก็ดูแลตัวเองมาตั้งแต่เกิด” ผมว่าถ้าเทียบผมกับคนอายุรุ่นราวเดียวกัน ผมมีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนพวกนั้นมากโข ผมผ่านมาทุกอย่างในสภาพแวดล้อมแบบนั้น และผมก็โตพอที่จะแยกแยะว่าอะไรดีอะไรไม่ดี “จะให้พูดง่ายๆ ผมคงไม่ชินกับการที่มีคนคอยดูแล”



“มึงพูดยากเนอะไอ้ติ”



“แต่พี่ควรชมผมนะว่าผมมีความคิด อีกอย่างมันก็ยากที่จะทำให้ผมคิดง่ายๆ ว่าพี่คือพี่ชายของผม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเราไม่เคยรู้จักกันเลย”



“ทำอย่างไงให้มึงคิดว่ากูเป็นพี่ชายของมึง” ผมเองก็ไม่สามารถตอบคำถามของพี่ติได้เหมือนกัน ผมจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ถ้าในหนังคงมีแต่กรีดเลือดสาบาน มึงจะเอาแบบนั้นไหม กูใจพอที่จะทำแบบนั้น”



“......”



“หรือมึงกลัว?” พี่กูนเลิกคิ้วถาม



“เจ็บกว่ามีดก็เคยเจอมาแล้วพี่” ผมยิ้มให้พี่กูนหลังจากที่ได้ยินพี่กูนบอกว่าผมกลัว “ถ้าเพื่อความสบายใจ ผมก็เอา”



“ดี” พี่กูนพยักหน้าก่อนจะเดินนำผมเข้าไปในครัว ผมเดินตามหลังพี่กูนเข้าไปในครัวติดๆ มองดูพี่กูนเปิดลิ้นชักและหยิบกล่องมีดที่ยังไม่ได้ใช้ขึ้นมา



“กูไม่อยากไปฉีดบาดทะยักเอามีดใหม่ก็แล้วกัน” พี่กูนค่อยๆ แกะมีดออกจากกล่อง



“ผมขอกรีดก่อน” ผมเดินไปตรงหน้าก่อนจะแบบมือของมีดจากพี่กูน “ถ้ากรีดเอาเท่ก็กรีดแนวนี้พี่ เพราะไม่อย่างนั้นจะโดนเส้นเลือดใหญ่”



“กูคิดว่าจะกรีดปลายนิ้ว”



“กรีดได้นะ แต่เด็กน้อยเขากรีดกัน”



ผั๊วะ!



อยู่ๆ พี่กูนก็ยื่นมือมาตบที่ศีรษะของผมแรงๆ จนศีรษะผมโยกไปอีกทาง



“ปากดี จะกรีดก็รีบกรีด” ผมพยักหน้าก่อนจะค่อยๆ บรรจงเอาแนวคมของมีดจิ้มลงบนแขนของตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะออกแรง พี่กูนก็ยื่นมือมาดึงมีดออกจากมือผม



“กูว่าเปลี่ยนวิธีเถอะ อันนี้มันอันตรายไปไม่ใช่ว่ากลัวแต่มันมีอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้” พี่กูนเก็บมีดลงในกล่องเหมือนเดิม



“วิธีไหนพี่?”



“อมลูกอมเม็ดเดียวกัน กูเคยทำตอนเรียนเตรียมฯ ยิ่งอมก็ยิ่งสนิท ตอนแรกกูก็ไม่สนิทกับเพื่อนเหมือนกันแต่พอทำแบบนี้ มันก็สนิทดี” พี่กูนเปลี่ยนจากมีดมาเป็นลูกอมตามคำพูดของเขาจริงๆ เพราะตอนนี้พี่กูนแกะลูกอมสีหวานและส่งมาให้ผม



“กูให้มึงก่อน” ผมยื่นมือไปรับลูกอมก่อนจะใส่มันเข้าไปในปากและใช้เวลาสัมผัสรสชาติของมันจนพอใจ



“อร่อยวะพี่”



“คายออกมา ตากู” พี่กูนยื่นมือมาตรงหน้า ส่วนผมค่อยๆ ก้มลงไปคายลูกอมบนมือของพี่กูน



“พี่ว่าไม่แปลกใช่ไหม?” ผมมองดูพี่กูนที่เอาลูกอมที่ผมอมเข้าไปหน้าตาเฉย “ผมว่ามันแปลก” ถึงผมกับเพื่อนจะสนิทกันมาแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยกินลูกอมเม็ดเดียวกันแบบนี้มาก่อน



“พี่...แต่ว่ามันหยึยๆ ว่ะ”



“กูยังกินของมึงเลยไอ้ติ อย่าเยอะ”



“ก็ได้พี่ ไม่คาย” ผมอมลูกอมจนละลายก่อนจะอ้าปากให้พี่กูนดู “หมดแล้วพี่”



“ดีมากไอ้น้องชาย” พี่กูนยิ้มอย่างพอใจก่อนจะยื่นมือมาตบบ่าผมแรงๆ



“ครับพี่ ต่อไปนี้พี่เป็นพี่ชายผม”



“เออ เป็นน้องกูแล้วพูดอะไรก็ฟังกูด้วย” พี่ติเดินออกมาจากห้องครัวและตรงมาที่โซฟาเหมือนเดิม “บ้านใหญ่นั้นบ้านแม่กับพ่อกู เดี๋ยวว่างๆ จะพาไปแนะนำ”



“แล้วพ่อกับแม่พี่เขารู้ไหมว่าพี่เอาผมมาเลี้ยง”



“เวลามึงแอบเอาหมามาเลี้ยงมึงจะบอกหลวงตาไหม?”



“ถ้าแอบผมก็ไม่บอก”



“นั่นแหละ กูก็ไม่บอก” พี่กูนลุกออกจากโซฟาและเดินผ่านหน้าผมเข้าไปในห้องนอนของเขาทันที ทิ้งให้ผมยืนงงกับสิ่งที่พี่กูพูด



“แอบเลี้ยงหมา? เอ้า! หลอกด่ากูเป็นหมานี่หว่า” ผมเกายืนเกาศีรษะของตัวเองด้วยความงงหลังจากพึ่งรู้ตัวว่าถูกหลอกด่าว่าเป็นหมา แต่เอาเถอะอย่างน้อยก็เป็นหมาที่มีเจ้าของ



ผมเดินเข้ามาในห้องที่ตอนนี้กลายเป็นห้องนอนของผม เป็นห้องที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่ ด้านในมีเตียง มีโต๊ะ มีเก้าอี้และชั้นวางหนังสือพร้อมกับมีห้องน้ำในตัว ผมเดินสำรวจห้องของตัวเองเพื่อดูว่าอะไรอยู่ตรงไหน ก่อนจะตกใจที่ในตู้เสื้อผ้ามีชุดที่พอดีกับตัวของผมแขวนอยู่



“ไอ้เชี้ย! เกิดมาพึ่งมีตู้เสื้อผ้า” เพราะตอนที่ผมอยู่วัดผมเอาเสื้อผ้าพับและกองไว้ที่พื้นไม่มีหรอกครับที่มาแขวนเรียงสวยแบบนี้ และไอ้เสื้อผ้าใหม่ๆ ผมนับได้เลยว่าใส่กี่ครั้ง ส่วนมากจะเป็นเสื้อบริจาคและเสื้อมือสองมากกว่า เพราะผมต้องเซฟคอส



ผมยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่ปริ่มอยู่ขอบตา ผมยอมรับเลยว่าเรื่องแค่นี้มันสามารถทำให้ผมดีใจจนไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ผมพึ่งเคยได้สัมผัสของคำว่าเอาใจใส่ก็ครั้งนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องที่โคตรเล็กน้อยสำหรับพี่กูน แต่มันเป็นเรื่องที่โคตรยิ่งใหญ่สำหรับผม



ต่อไปนี้พี่กูนคือพี่ชายของผมอย่างสัตย์จริง พี่ชายที่ผมสามารถตายแทนได้ อย่างน้อยในชีวิตนี้ผมก็มีคนที่อยากตอบแทนและดูแล ผมคงไม่ปล่อยให้พี่กูนดูแลผมอย่างเดียวแน่นอน ในฐานะน้องชายต่างสายเลือดผมจะทำให้พี่ชายของผมภูมิใจ



ก็อกๆ



หลังจากที่สำรวจภายในห้องเสร็จผมก็ออกมาเคาะประตูห้องของพี่กูน



“ว่าไง” พี่กูนเปิดประตูออกพร้อมกับเสื้อตราห่านและกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นที่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคุณตำรวจสุดเนี๊ยบที่ผมเคยเจอ “มองกูตั้งแต่หัวจรดตีนหมายความว่า?”



“ว่า..คือผมไม่เคยเห็นพี่ในสภาพนี้ไง เคยเห็นแต่เต็มยศเลยรู้สึกอึ้งๆ”



“ตอนนี้อยู่บ้านไหมกูก็ควรจะสบายๆ ละมึงมาเคาะห้องกูมีอะไร” พี่กูนกอดอกมองหน้าผมนิ่งๆ



“ผมจะมาบอกพี่ว่าผมขอบคุณพี่สำหรับทุกอย่าง ต่อไปนี้พี่คือพี่ชายผม!!” ผมหลับตาพูดออกไปเสียงดัง



“......” แต่คนตรงหน้านิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา ผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ และเห็นว่าพี่กูนกำลังกลั้นขำอยู่



“โห่ พี่ขำไรอ่ะ ผมพูดจริงๆ นะ ผมรู้สึกได้ถึงพลังงานของพี่ชาย”



“พลังงานของพี่ชาย คืออะไรวะ?”



“ก็คือ...ถ้ามีใครมาทำร้ายพี่แล้วพี่ต้องการใช้กำลังในการแก้ปัญหา พี่บอกผม ผมช่วยพี่ได้”



“ช่วยกู? แต่ยังเข้าเฝือกอยู่”



“แต่ผมเดินได้โดยไม่ได้ต้องใช้ไม้ค้ำนะพี่” ผมรีบปล่อยไม้ค้ำออกจากตัวทันทีพร้อมกับชูมือขึ้นสองข้าง “เก่งไหมพี่ผมอะ”



“เก่งมาก” พี่กูนยิ้มจนตาหยี่ก่อนจะหุบยิ้ม “แต่ไร้สาระ กูบอกเลยนะว่าเป็นน้องชายกูเรื่องชกต่อยอย่าให้มี ถ้ามีกูจะลงโทษมึง”



“พี่จะลงโทษผมอย่างไง”



“แล้วแต่กรณี ถ้ามากก็ลงมากถ้าน้อยก็ลงน้อยตามการพิจารณาของกูครับน้อง”



“เหมือนพี่ขู่”



“กูทำจริง”



“งั้นผมไม่กวนแล้วพี่ ฝันดีครับ” ผมโค้งศีรษะให้พี่กูนเล็กน้อยเกินจะก้มเก็บไม้ค้ำและเดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเองด้วยหัวใจที่ปริ่มสุข



สุขเพราะเข้าใจคำว่าครอบครัว... ผมชอบการมีพี่ชายที่สุดเลยว่ะ!!
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:34:18


บทที่ 4

น้องชายพี่ต้องไม่อด



Sati’ s talk



วันนี้ครบอาทิตย์แล้วที่ผมมาอยู่กับพี่กูน พี่กูนดูแลผมโคตรดีเลยทั้งอาหารและที่อยู่อาศัยทำให้ตอนนี้ผมค่อยๆ กลายเป็นสติที่มีพุงพลุ้ยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าจะไม่ค่อยได้เจอเพราะพี่กูนต้องไปทำงานผมก็อยู่กับพี่ธิตาหรือพี่ธิน้องสาวของพี่กูนที่มาอยู่เป็นเพื่อนผมในช่วงที่พี่กูนไม่อยู่



ถ้าถามว่าผมรู้จักกับพี่ธิตาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตั้งแต่ที่พี่ธิตาบุกเข้ามาที่บ้านของพี่กูนในช่วงเวลาที่พี่กูนไม่อยู่ ทำให้เจอผมเข้าเต็มๆ พี่ธิตาคิดว่าผมคือคนงานเลยโทรไปต่อว่าที่ใช้งานคนงานที่ขาหัก โดยที่ผมยังไม่ได้อธิบายอะไร ทำให้พี่กูนจำเป็นต้องลางานมาอธิบายเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทุกอย่างโคตรวุ่นวายจนเรื่องไปถึงหูของพ่อกับแม่พี่กูนและพี่ธิตา สุดท้ายกว่าจะเข้าใจกันก็เล่นเอาหลายชั่วโมงแต่โชคดีที่พ่อกับแม่พี่กูนไม่ได้ว่าอะไรผม พวกท่านออกจะสงสารผมมากกว่าจนยื่นมือบอกว่าจะรับผมเป็นลูกบุญธรรม จนผมต้องรีบปฏิเสธกว่าท่านจะยอมก็ต่อไปอีกหลายชั่วโมง



และอีกเรื่องที่ทำให้ผมรู้เกี่ยวกับพี่กูนคือ พื้นฐานครอบครัวของพี่กูนโคตรดี ซึ่งมันต่างจากผมมากๆ ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้พี่กูนตัดสินใจเอาผมมาอยู่ด้วย เพราะพี่กูนอธิบายให้พ่อกับแม่ของเขาฟังต่อหน้าผม



‘กูนรู้ว่าการที่กูนมีครอบครัวที่ดีมันเป็นอย่างไร กูนเลยอยากส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยมีโอกาสนั้น กูนอยากให้ชีวิตใหม่ กูนอยากให้น้องชายคนนี้ของกูนได้รับแบบที่กูนเคยได้จากพ่อกับแม่....’



ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นพี่กูนพูดอะไรต่อเพราะตอนนั้นผมร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน คุณตำรวจท่าทางห้าวหาญในวันแรกที่เจอ โคตรอบอุ่นในวันนี้เลย ผมโคตรโชคดีที่มีพี่ชายอย่างพี่กูน



“น้องติ” ผมหันไปหาพี่ธิตาที่เรียกผมเสียงดัง “เหม่ออะไรเอ่ย”



“กำลังคิดว่าพี่ตาจะทำอะไรมาให้ผมกิน” ผมยิ้มให้พี่ธิตาที่ถือกล่องขนมเข้ามาในบ้านของพี่กูนในช่วงเช้าวันเสาร์



“น้องติคิดถูกเพราะตอนนี้พี่หัดอบบราวนี่ ลองชิมๆ” พี่ธิตารีบขยับมานั่งข้างๆ พร้อมกับเปิดกล่องบราวนี่และยื่นมาตรงปากผมหนึ่งชิ้น “พี่ป้อนๆ”



“ขอบคุงครับ” ผมอ้าปากและงับเข้ากับบราวนี่ของพี่ธิตา สัมผัสแรกที่ผมรับรู้ได้คือ..ขม ขมไหม้อะครับ พี่ธิตามองหน้าผมด้วยสีน่าลุ้นๆ



“มันเป็นอย่างไรน้องติ!”



“เอ่อ....”



“น้องติบอกพี่มาเลย” แม้ว่าพี่ธิตาจะรับได้กับคำติชมของผม แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะหักหาญน้ำใจของพี่ธิตาได้ ผมไม่อยากให้พี่ธิตารู้สึกแย่



“อร่อย....”



“ไอ้ติโกหก” อยู่ๆ เสียงของพี่กูนแทรกเข้ามาในวงสนทนาของผมกับพี่ธิตาที่นั่งอยู่บนโซฟา “ถ้ามันอร่อยมันจะไม่อ้ำอึ้งแบบนี้ แสดงว่ารสชาติแย่”



“ไม่ใช่นะครับพี่ตา..พี่กูนอย่ามั่ว บราวนี่พี่ตาโคตรอร่อย” แม้ว่าพี่กูนจะรู้ว่าผมโกหกก็ตาม แต่ไอ้ติคนนี้ไม่อยากให้พี่ตาเสียความรู้สึกหรอก



“กูชิม” พี่กูนเตรียมหยิบบราวนี่ในกล่องขึ้นมาชิมแต่ผมมือไวกว่ารีบปิดกล่องและกอดบราวนี่เอาไว้



“มันอร่อยผมไม่อยากให้พี่ชิม”



“มึงโกหก”



“ผมไม่ได้โกหกนะพี่”



“โกหก เดี๋ยวกูตัดสินให้ว่าอร่อยจริงไหม ตาเอาบราวนี่มาให้พี่” พี่กูนเตรียมเข้ามาแย่งกล่องบราวนี่ออกจากตัวผม “ไอ้ติมึงอย่างกวนตีน”



“พี่..ผมขอเถอะ” ในช่วงจังหวะที่พี่กูนขยับเข้ามาใกล้ผมรีบทำสายตาเว้าวอนไปให้พี่กูน “ผมอยากเก็บไว้กินคนเดียว”



“ได้ งั้นมึงกินตรงนี้ให้หมด”



“พี่กูน...”



“พี่กูนอย่างแกล้งน้องติ” คราวนี้พี่ธิตาออกปากช่วยผมพูดกับพี่กูน “ถ้าพี่กูนจะกินไปกินที่บ้านใหญ่ ตาทำไว้เยอะเลย”



“ไอ้ติมันกวนตีนพี่”



“ตายังไม่เห็นเลยว่าน้องมันกวนตีนพี่กูน”



“งั้นตาให้มันกินให้หมด” คราวนี้พี่ตาหันมามองหน้าผม ผมรอบกลืนน้ำลายก่อนจะค่อยๆหยิบบราวนี่ขึ้นมากินทีละชิ้นด้วยสีหน้าที่แสร้งว่าโคตรอร่อยเพื่อให้พี่ตาสบายใจ ผมไม่อยากเห็นพี่สาวของผมต้องเสียใจ พี่ธิตาก็เหมือนพี่สาวผมคนหนึ่งเหมือนกัน



“กินให้หมดนะน้องชาย เป็นน้องกูต้องไม่อด” ดูสีหน้าของพี่กูนโคตรจะสะใจเลยตอนที่เห็นผมกินบราวนี่ชิ้นสุดท้าย



“เห็นไหมผมบอกแล้วว่าอร่อย”



“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นพี่มั่นใจแล้วว่าอร่อย พี่จะทำขาย” พี่ธิตาขว้ากล่องบราวนี่ที่อยู่บนตักผมไปพร้อมกับสีหน้าที่มีความสุข ทิ้งให้ผมนั่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่กับพี่กูน



“พี่กูนพี่...”



“รับผิดชอบคำพูดของตัวเอง มันไม่อร่อยมึงจะโกหกตาทำไม” พี่กูนทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผม



“พี่รู้ได้ไงว่าผมโกหก”



“เรื่องนี้ง่ายกว่าจับผิดหมาตัวไหนฉี่ที่ล้อรถ” ผมไม่เข้าใจการเปรียบเทียบของพี่กูนเลยวะ ยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งงง “ไม่ต้องมาสงสัยว่ากูรู้ได้ไง แต่มึงควรสนใจดีกว่าว่าจะบอกตาอย่างไงเรื่องที่ตาจะทำขาย”



“ผมไม่อยากให้พี่ตาเสียความมั่นใจ พี่ตาดูใส่ใจกับบราวนี่มาก ถ้าผมบอกไม่อร่อยพี่ตาจะต้องผิดหวัง”



“แล้วถ้าตาทำขาย ลูกค้าด่า กับมึงที่เลือกจะบอกตาตั้งแต่แรก มึงว่าตาจะผิดหวังอะไรมากกว่ากัน” ผมนิ่งเงียบและคิดตามที่พี่กูนพูด “ไอ้ติฟังกูนะ ทุกคนมันต้องมีเรื่องผิดหวังกันบ้างแหละ แต่การที่มึงเลือกจะบอกตาอย่างจริงใจว่ามันไม่อร่อยกูว่าตาจะรู้สึกดีกว่าที่มึงโกหกตาแบบนั้น ถ้าตามารู้ทีหลัง”



“พี่กูนผมผิดไปแล้วว่ะ”



“กูถึงบอกไง นี่กูกำลังสอนมึงอยู่”



“ผมควรทำไงดีพี่” คราวนี้ผมร้อนรนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไงดีเพราะกลัวว่าพี่ตาจะไปทำขายและโดนลูกค้าด่า และผิดหวังกับผมที่โกหก



“ไม่ต้องทำไง”



“อ่าว...แล้วถ้าพี่ตาโดนด่า”



“ตาไม่ได้โง่เหมือนมึง ตามันรู้ว่ามึงอะโกหกว่าอร่อย รู้ตั้งแต่แรก”



“ห้ะ! เดี๋ยวๆ ผมไม่เข้าใจ”



“ก็บอกแล้วว่ามึงโกหกใครๆ ก็ดูออก” พี่กูเอนหลังพิงกับโซฟาด้วยความสบายใจ และปล่อยให้ผมนั่งงงๆ อยู่กับสองพี่น้อง



“แสดงว่าพี่ตารู้ตั้งแต่แรก....”



“เริ่มฉลาดแล้วนิ”



“โห่พี่ แล้วปล่อยให้ผมกินเข้าไปทั้งหมดอะนะ!” คิดแล้วก็ขมถึงคอ



“ลงโทษเด็กขี้โกหกอย่างมึง”



“เรื่องนี้ผมผิดจริง ไม่โกรธ”



“มึงเป็นคนผิดไม่มีสิทธิ์โกรธ”



“ผิดก็ผิดครับพี่” เรื่องนี้สอนให้ผมรู้ว่าอย่าโกหกและเลือกที่จะแสดงความจริงใจออกมาตั้งแต่แรก ผมขอบคุณพี่กูนกับพี่ตาที่สอนผมในเรื่องนี้ ผมจะเก็บไว้เป็นบทเรียน







“ไอ้ติกูดูเป็นไงบ้าง”



“ลิเกว่ะพี่ เหมือนแต่งไปขอพวงมาลัยแม่ยกอะ”



“.....มึงไม่รักษาน้ำใจกู นี่กูซื้อใหม่ทั้งชุดเลยนะเว้ย” ตอนนี้ผมนั่งมองพี่กูนที่ลองชุดมาให้ผมดูเพื่อเช็กก่อนจะไปออกเดตกับสาวในวันต่อมา



“ผมพูดจากใจจริงเหมือนที่พี่บอก ผมเลือกที่จะไม่โกหกพี่ไงพี่กูน”



“เฮ้อออ” พี่กูนถอนหายใจออกมา “รู้จักรักษาน้ำใจหน่อยดิ กูหมดความมั่นใจเลย”



“ผมว่าพี่ดูดีมากในเครื่องแบบ” ผมรีบชิงพูดออกมาก่อนที่จะโดนพี่กูนบ่นไปมากกว่านี้



“จะให้กูแต่งชุดตำรวจไปกับสาว??”



“ก็เท่สุดแล้วอะพี่ ดีกว่าไปแบบนี้ไม่ผ่าน ลิเกสุดโดยเฉพาะไอ้เพชรเลื่อมๆ บนตัวพี่อะ”



“ไอ้ติมันเป็นดีไซน์”



“เป็นผม ผมไม่ซื้อ” คราวนี้พี่กูนมองบนและเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ส่วนผมก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เพราะไม่รู้จะเล่นอะไร หนังสือพิมพ์กับหนังสือกฎหมายของพี่กูนจึงเป็นกิจกรรมยามว่างของผม



“มึงชอบอ่านกฎหมายเหรอ” คราวนี้พี่กูนออกมาในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีกรม ผมว่าชุดนี้แหละดีกว่าเมื่อกี้เยอะเลย



“ผมไม่รู้จะทำอะไร ผมว่าง”



“มึงต้องเข้ามหาลัยตอนไหน เห็นว่าเรียนปวส.ปีสุดท้าย” พี่กูนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม



“ผมพับแผนไปแล้ว รอให้ผมหายดีแล้วค่อยไปหางานทำสักปีจะได้มีเงินไปเรียน” ตั้งแต่มีเรื่องผมก็คิดมาตลอดว่าผมควรพักการเรียนต่อเอาไว้ก่อน



“กูจ่ายให้ ไปทำเรื่องสมัครสอบ มันสมัครออนไลน์ได้ไหมหรือต้องไปที่มหาลัย”



“พี่กูน ผมเกรงใจ เอาไว้ปีหน้าก็ได้”



“กูบอกว่าอะไร เป็นน้องต้องเชื่อฟังกู”



“แต่พี่..มันเยอะเกินไป”



“งั้นกูจะไปบอกแม่กูให้เอามึงเป็นลูกบุญธรรม”



“โอเคพี่ผมจะรีบสมัครเลย” พี่กูนชอบเอาเรื่องนี้มาขู่ผมทุกทีก็รู้ว่าผมโคตรเกรงใจ โดยเฉพาะเรื่องนี้พี่กูนก็ชอบเอามาเป็นเครื่องต่อรอง



“พูดตั้งแต่แรกก็จบแล้ว เดี๋ยวกูไปเอาคอมมาให้ใช้ เครื่องนี้มันเก่าแล้ว”



“พี่จะซื้อเหรอ?”



“เออ ทำไม”



“พี่กูนมันแพงนะพี่ ผมใช้เครื่องเก่าได้”



“กูไม่ได้ขอความคิดเห็น ไปล่ะ” และพี่กูนก็เดินหนีผมออกไปจากบ้านทั้งๆ ที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ถ้าผมขาไม่เป็นแบบนี้คงวิ่งตามพี่กูนไปได้



ผมไม่อยากให้คนอื่นมองว่าพี่กูนเลี้ยงผมด้วยเงิน เพราะอีกไม่นานผมจะเคยตัวและกลายเป็นเด็กวัตถุนิยมแทนที่จะเป็นเด็กที่สมถะเรียบง่ายแบบนี้



คนตามใจใครบ้างจะไม่ชอบ
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:34:49

บทที่ 5

สติและโทรศัพท์เครื่องใหม่



Sati's talk



“ซัมซุงเลยเหรอพี่ ผมก็เคยใช้ รุ่นฮีโร่อะพี่อย่างทน” ผมคุยโม้โอ้อวดเกี่ยวกับสรรพคุณโทรศัพท์เครื่องแรกที่ผมใช้ ซึ่งตอนนี้มันชาร์จไม่เข้าหลังจากที่ถูกกระแทกวันที่ผมโดนรุมทำให้ผมไม่ได้ติดต่อเพื่อนๆ ในวิทยาลัย



“อันนี้รุ่นโน้ตล่าสุดเผื่อมึงเอาไว้จดเวลาเรียน มันใช้จดได้” พี่กูนกดตรงตูดโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่จะมีปากกาเด้งออกมาจากตูดโทรศัพท์



“พี่กูนพี่มันออกมาได้ไง” ผมยื่นหน้าเข้าไปหาพี่กูนด้วยความสนอกสนใจ



“มึงอยู่วัดหรืออยู่ถ้ำ??” คราวนี้พี่กูนละลายตาจากโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าผมแทน



“ก็..ผมไม่เคยเห็นนิพี่ เพื่อนผมก็ไม่เคยมีใครใช้โทรศัพท์ที่มีปากกาออกมาจากตูดแบบนี้ ขอลองเอาออกแบบพี่ได้ไหม?”

“เอาดิ” พี่กูนยื่นโทรศัพท์มาให้ผมตรงหน้า



“มือสั่นว่ะพี่ ไม่เวอร์นะสั่นจริง” ตอนนี้มือผมสั่นโคตรหลังจากที่สัมผัสโทรศัพท์ ผมไม่รู้หรอกว่ามันราคาเท่าไหร่แต่ถ้าเดาจากที่มีปากกาออกจากตูดแบบนี้ผมว่าแพงแน่ๆ



“ตื่นเต้นเป็นเด็กได้ของเล่นเลย”



“ผมไม่เคยมีของเล่นอะดิ ไม่ต้องสงสารนะเพราะผมไม่ได้รู้สึกขาดหาย” ผมไม่ได้มองหน้าพี่กูนเพราะมัวแต่เอาปากกาเข้าออกตูดโทรศัพท์อยู่ “มันเจ๋งมากพี่”



“ไอ้ติ”



“ครับ”



“กูสัญญาว่าจะไม่ทำให้มึงรู้สึกขาดเวลาที่อยู่กับกู”



“ไม่เอาหนาพี่ ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้รู้สึกขาดอะไร”



“ตอนเด็กกูเคยคิดนะว่าของเล่นที่กูมีอยู่มันไม่พอเพราะกูขี้เบื่อพ่อกับแม่เลยซื้อมาให้กูเยอะๆ ขนาดกูมีของเล่นกูยังรู้สึกว่ามันไม่พอ แต่ทำไมมึงถึง...”



“เพราะผมไม่เคยมีไงพี่ ผมเลยไม่ได้รู้สึกว่าต้องมี” ผมใช้ปากกาเขียนที่หน้าจอเพื่อวาดรูป “เขียนอย่างลื่น”



“ถ้าชอบกูก็ดีใจ” ผมพยักหน้าโดยที่ไม่ได้ตอบกลับพี่กูนเพราะมัวแต่สนใจโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเครื่องแรกในชีวิตของผม “เอาซิมมึงมาใส่สิ เดี๋ยวใส่ให้”



“มันใส่ด้วยกันได้เหรอพี่ ผมไม่ต้องเปลี่ยนเบอร์ใหม่เหรอ?” ผมเงยหน้าขึ้นถามพี่กูน



“ไม่ต้องมันใช้เบอร์เดิมได้” ผมรีบลุกเข้าไปในห้องเพื่อเอาโทรศัพท์เครื่องเกาออกมาและยื่นให้พี่กูนจัดการเปลี่ยนซิมให้ผมมาที่เครื่องใหม่



“พี่เท่จัง”



“ห้ะ? เท่อะไรของมึงวะ” พี่กูนเงยหน้าขึ้นมาถามโดยที่มือของพี่กูกำลังดันซิมใส่ถาดอะไรสักอย่าง



“ก็พี่เปลี่ยนซิม โคตรเท่เลย”



“ไอ้ติ มึงนี่นะ” พี่กูนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้ผม “ใส่แล้วลองเปิดดู ตรงนี้ใช้เปิดแล้วก็ตั้งรหัสเป็นตัวเลขหรือสแกนหน้าก็ได้”



“มันสแกนหน้าได้เหรอพี่”



“ได้ดิ เดี๋ยวทำให้ดู นั่งนิ่งๆ ทำหน้าหล่อๆ” พี่กูนจัดแจงให้ผมนั่งอยู่ที่โซฟาและขยับเข้ามาใกล้ๆ ผมพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาจ่อที่หน้าผมเอาไว้นิ่งๆ “มึงจะยิ้มหรือไม่ยิ้มเอาสักอย่าง เครื่องมันไม่อ่านค่าเนี่ย”



“พี่ว่าผมยิ้มหรือไม่ยิ้มหล่อกว่า”



“ไอ้ติมึงไม่หล่อทั้งยิ้มและไม่ยิ้มไม่ต้องเลือก” และผมก็ทำหน้านิ่งใส่โทรศัพท์ไป “เวลาจะใช้ก็เอามาจ่อที่หน้าแล้วเครื่องมันจะเปิด ทำได้ไหม?” ผมพยักหน้า



“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย”



“ครับคนเก่ง” คำพูดที่โคตรประชดของพี่กูนทำให้ผมยิ้มออกมา “ขอบคุณกูยัง”



“อ่อ ไม่ลืมหรอกแค่กำลังหาจังหวะ”



“แถเก่งนะมึง” ไม่อยากจะยอมรับว่าพี่กูนแม่งรู้ทันผมทุกเรื่องเลยโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดีของผม



“ขอบพระคุณครับคุณพี่ชายที่แสนดีของผม” ผมแกล้งกวนตีนพี่กูนโดยการวางมือที่พนมทั้งสองข้างไว้บนอกพี่กูนพร้อมกับแนบหน้าของผมลงบนมือของตัวเอง “ผมกราบแนบอกเลย”



“กวนตีนนะมึง” พี่กูนดันผมออกจากตัวของเขา “แล้วเรื่องมหาลัยอย่างไง สมัครรึยัง”



“ผมสมัครไว้สามสี่ที่ในกรุงเทพฯ ที่เขารับปวส.ที่เป็นภาคพิเศษ มันต้องสอบข้อเขียนแล้วก็ปฏิบัติด้วยพี่ ผมกลัวสู้เด็กเก่งๆ ไม่ได้จัง” และเรื่องที่ผมซีเรียสคือเรื่องสอบเข้าเพราะเกณฑ์ในปีนี้ค่อนข้างสูงแม้ว่าจะเป็นรอบของปวส.ก็ตาม เพราะมหาลัยที่ผมอยากเข้า มีวิทยาลัยที่สอนปวช.และปวส.เหมือนอย่างผมดังนั้นจึงต้องแข่งกับเด็กของเขาเองและเด็กข้างนอกอย่างผมอีกทั้งประเทศ แต่ถ้าผมเข้าได้อนาคตก็ค่อนข้างที่จะสบายเลย



“เอามาดูว่าที่ไหนบ้าง” ผมรีบวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อไปหยิบใบเสร็จจ่ายเงินค่าสมัครมาให้พี่กูนดู



“ผมอยากเข้าที่นี่แต่การแข่งขันสูง”



“กูก็อยากให้เข้าที่นี่ วิดวะเขาดังและก็ได้มาตรฐานติดอันดับโลกด้วย” พี่กูนรับมาดูทีละใบ “แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็เอกชน เดี๋ยวนี้เอกชนเขาสอนดีมีเครื่องมือพร้อม กูไปถามเพื่อนที่เป็นอาจารย์มา”



“แต่เพื่อนผมส่วนมากมันไม่เรียนต่อกันอะพี่”



“แล้วเพื่อนเป็นพ่อมึงรึไงถึงจะต้องทำตาม?” คราวนี้พี่กูนเอากระดาษมาม้วนๆ และฟาดมาที่ศีรษะผมแรงๆ “เรื่องอื่นคิดได้คิดดี แต่พอเรื่องแบบนี้เสือกคิดไม่ได้”



“ก็คิดนะพี่ แต่ว่าผมจะไปในสภาพแวดล้อมแบบนั้นได้จริงๆ เหรอ ผมไม่อยากถูกมองด้วยสายตาเหยียดๆ” เพราะสภาพแวดล้อมเก่าของผมอย่างที่รู้ๆ มีแต่พวกรุนแรงก็จริง แต่พวกนั้นมันจริงใจ ผมไม่รู้ว่าสังคมมหาลัยในเมืองจะเป็นแบบที่ผมเคยเจอมาไหม แต่เท่าที่เคยฟังมาผ่านๆ ก็ดูไม่น่าคบได้



“คิดมาก บางทีมันดีกว่าที่มึงเคยอยู่ก็ได้”



“จะพยายามครับ”



“ถ้าสอบติดกูพาไปเลี้ยงเลย อยากได้อะไรจะซื้อให้”



“ผมกำลังจะกลายเป็นเด็กวัตถุนิยมเต็มตัวถ้ามีผู้ใหญ่อย่างพี่กูนสปอยล์ผมแบบนี้”



“ถ้าไม่ให้กูสปอยล์น้องอย่างมึงจะให้กูไปสปอยล์หมาที่ไหน” พี่กูนตอบกลับมาทันที “ส่วนตาก็โตพอที่จะซื้อเองได้ มีแต่มึงที่ยังไม่โต”



“พี่ไม่คิดจะเก็บเงินไว้ให้สาวๆ หรือครอบครัวในอนาคตพี่เหรอ”



“กูแยกส่วนได้ครับ ไม่ต้องมาแนะนำ แค่ทำตัวของมึงให้ดีก็พอแล้ว” พี่กูนยื่นมือมาตบไหล่ของผมเบาๆ “กูไปทำงานล่ะ ถ้าไปกินข้าวบ้านใหญ่ไปตามกูด้วย” ผมพยักหน้าและปล่อยให้พี่กูนเข้าไปทำงานในห้อง ส่วนผมก็ได้เวลาศึกษาการใช้งานโทรศัพท์เครื่องใหม่



ติ้งๆๆๆ



เสียงแจ้งเตือนไลน์ของผมเด้งทันทีที่ผมสมัครเสร็จพร้อมกับรูปโปร์ไฟล์มุมเสยรูปแรกในชีวิต ผมไม่รู้หรอกว่ารูปไลน์มันต้องหล่อแค่ไหน เอาเป็นว่าแค่รูปนี้ก่อนก็แล้วกัน



“หน้าเนียนดีจัง” ผมยิ้มให้กับรูปที่ถ่ายจากกล้องหน้าก่อนจะกดเข้าไปดูสาเหตุของแจ้งเตือนที่ดังไม่หยุด



กระป๋องไม่ใช่กระปู๋ : เสือติมีไลน์ว่ะพวก กูนากเข้ากลุ่มแล้ว



หน้าหนาวไม่เหงาเท่าเขาไม่รัก : โห่ กว่าจะมีนะมึงเสือติ



กะพงไม่ใช่ปลาแต่เป็นคนหล่อ : ดูรูปเสือติ อย่างแจ๋ว



กระป๋องไม่ใช่กระปู๋ : เสือติขอชื่อเท่ๆ หน่อย



ผมอ่านข้อความของเพื่อนๆ ที่อยู่ๆ มันก็ลากผมเข้าหน้าแชตที่มีหลายๆ คน ที่ผมไม่ตอบไม่ใช่หยิ่งอะไรหรอกครับแต่ว่าผมกำลังเล็งหาตัวหนังสือ มันตัวเล็กผมมองไม่ค่อยถนัด ผมย้ายออกมานั่งด้านนอกที่ติดระหว่างบ้านพี่กูนและบ้านของคุณแม่พี่กูน



“อ่าวติ”



“สวัสดีครับคุณแม่” ผมรีบยกมือไหว้คุณแม่ของพี่กูนทันทีที่เห็นซึ่งเป็นจังหวะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับพิมพ์ตอบเพื่อนๆ ไป



“ทำอะไรอยู่ลูก” ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามคุณแม่



“พี่กูนซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้ผม ตอนนี้ผมพึ่งสมัครไลน์ครับแต่ยังไม่ค่อยถนัดเลยตอนพิมพ์” ผมวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและเงยหน้าขึ้นมาคุยกับคุณแม่ “เพื่อนๆ นี่ตื่นเต้นมากเลยครับที่ผมมีไลน์”



“ไหนมาแอดไลน์แม่ด้วยจะได้ลากเข้ากลุ่มครอบครัว” คราวนี้คุณแม่หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา



“มันแอดยังไงอะครับ พอดีผมทำไม่เป็น” ผมยื่นโทรศัพท์ให้คุณแม่จัดการ



“เดี๋ยวแม่สอนมานั่งนี่มา” ผมย้ายตัวไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ คุณแม่ “ก็แอดได้ทั้งคิวอาร์โค้ดกับไอดีไลน์ ถ้าลิงค์กับเบอร์โทรมันก็จะเชื่อมต่ออัตโนมัติ แบบนี้ นี่เราเป็นเพื่อนกับแม่แล้ว”



“ขอบคุณครับ ทำไมผมพึ่งรู้นะว่ามันทำแบบนี้ได้” คราวนี้คุณแม่แนะนำให้ผมถ่ายรูปใหม่เพราะรูปของผมที่ถ่ายมุมเสยมันดูเฉยมาก



“ผมต้องถ่ายอย่างไงครับแม่”



“เดี๋ยวติไปยืนใต้ต้นไม้นะลูกทำท่าเท่ๆ เดี๋ยวแม่ถ่ายให้” ผมพยักหน้าและเดินไปใต้ต้นไม้ตามที่คุณแม่แนะนำก่อนจะใช้มืออีกข้างยันลำต้นเอาไว้และค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปจิก เขาเรียกว่าจิกกล้องใช่ไหม นั่นแหละผมเลยจิกไปที่กล้อง



“หล่อมากลูก เปลี่ยนท่าๆ” ดูคุณแม่จะตื่นเต้นกับการเป็นตากล้องถ่ายรูปให้ผม และผมเองก็สนุกไปกับการถ่ายรูปดูเหมือนกัน จนกระทั่งผมเห็นพี่กูนเดินออกมาจากบ้านและตรงมาที่ผมกับแม่



“ทำอะไรกันครับแม่” พี่กูนทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้มองผมกับคุณแม่ที่กำลังสนุกกับการถ่ายรูป



“ถ่ายรูปให้ติไปตั้งโปร์ไฟล์ในไลน์ หล่อมากเลย ติเอาไปให้พี่กูนดูไปลูก” ผมรับโทรศัพท์จากคุณแม่และตรงไปยื่นให้พี่กูนดู



“คุณแม่ถ่ายดีนะ แต่ไอ้ติมันหน้าแย่” พี่กูนวางโทรศัพท์ลบนโต๊ะ



“โถ่พี่ ผมว่าหล่อนะดูมีรูปเผลอๆ ด้วย” ผมยังคงพยายามนำเสนอรูปของผมให้พี่กูนดูแต่พี่กูนก็เอาแต่บอกว่าหน้าผมโคตรแย่ถ่ายอย่างไงก็ไม่หล่อขึ้น แต่เอาเถอะใครจะว่าอย่างไรผมไม่สนใจหรอก เพราะผมมีความมั่นใจว่าผมหล่อที่สุด



“แต่แม่ว่าติก็น่าตาดีนะกูน” คราวนี้ปากที่คว่ำเพราะพี่กูนบอกผมว่าไม่หล่อตอนนี้ฉีกยิ้มจนจะถึงรูหูเพราะคุณแม่ของพี่กูนชมผม อย่างน้อยมีคนเห็นว่าผมน่าตาดีหนึ่งคนก็พึ่งพอใจแล้วครับ



“แม่ครับอย่าไปสปอยล์มัน ดูมันยิ้ม ไอ้ติบอกไว้ก่อนถ้าทำตัวไม่ดีกูยึดคืนนะโทรศัพท์ของมึง”



“อ่าว ไหนพี่บอกว่าพี่ให้ผมไง” ผมรีบยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงทันทีที่ได้ยินพี่กูนขู่ว่าจะยึดคืน “ให้แล้วเขาไม่เอาคืนกันหรอก”



“ถ้ามึงยังต่อปากต่อคำอีกก็ไม่แน่”



“คุณแม่ครับผมว่าผมขอไปทบทวนข้อสอบก่อนดีกว่า เดี๋ยวสอบไม่ติดครับ” ผมรีบลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปในบ้านโดยลืมว่าตัวผมยังใส่เฝือกอยู่ เวลานี้เฝือกก็ไม่ใช่ปัญหาในการเอาตัวรอดของผมอ่ะครับ



“แม่ดูไอ้ติมัน ตอนแรกก็เงียบๆขี้เกรงใจแต่พอตอนนี้มาต่อปากต่อคำ” กูนบ่นกับแม่ของตนเองหลังจากที่สติหายกลับเข้าไปในบ้าน



“ก็ดีแล้วนิลูก มีคนคอยต่อปากต่อคำจะได้ไม่เหงา”



“ผมว่าผมคิดผิด จากที่ไม่เหงาจะรำคาญมันมากกว่า ขนาดใส่เฝือกอยู่มันยังวิ่งเข้าไปในบ้าน ไอ้เด็กนี่มันไม่รู้จักดูแลตัวเองเลย” กูนอดที่จะบ่นน้องชายอย่างสติไม่ได้ที่ชอบทำอะไรไม่ระวังตัวให้เขาบ่นอยู่เรื่อย ตั้งแต่เกิดมาจนอายุจะสามสิบเขาไม่เคยต้องบ่นใครมากขนาดนี้มาก่อน



“กูนต้องค่อยๆพูดค่อยๆสอนติ เพราะกูนก็รู้ว่าสภาพแวดล้อมที่ติเขาเคยอยู่มามันเป็นอย่างไร ดีแค่ไหนแล้วที่ติเป็นแบบนี้” ครั้งนี้กูนเห็นด้วยกับคำพูดของแม่เพราะตั้งแต่ที่เขาเจอกับสติครั้งแรกเพราะเหตุทะเลาะวิวาทต่างสถาบันทำให้กูนมีอคติ ไม่ใช่แค่ติแต่เป็นเด็กทุกคนที่เอาเวลามาทะเลาะในเรื่องไร้สาระแบบนี้ “แม่ถือว่าติเป็นเด็กดีคนหนึ่งเลย”



“คอยดูมันต่อไปก่อนครับแม่ บางทีมันอาจจะมีอะไรมาเซอร์ไพร์สพวกเรา”



“ถ้าเป็นแบบนั้นกูนจะส่งติกลับไปอยู่วัดเหรอลูก แบบนั้นแม่ไม่ยอมนะ”



“ไม่ใช่หรอกครับ ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิดผมก็จะทำให้มันเปลี่ยนเป็นคนใหม่”



“อย่างไรเหรอลูก”



“ผมมีวิธีของผม” กูนยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย เขาบอกไม่ได้หรอกว่าวิธีที่เขาจะใช้เป็นวิธีแบบไหน



“รอยยิ้มลูกชั่วมากครับ”



“แม่ครับ...แม่เป็นแม่ผมนะ- -!”
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:35:17


บทที่ 6

รีโนเวทสติบายพี่กูน



Kun’ s talk



ยอมรับเลยครับว่าตอนนี้ผมรับสภาพของไอ้ติไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะหูของมันที่ระเบิดแหว่งๆ ยิ่งผมมองผมก็ยิ่งหงุดหงิด สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือการไปเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำให้หูของไอ้ติกลับมามีสภาพเหมือนหูของคนปกติทั่วไป จนกระทั่งเจอเข้ากับคลินิกตกแต่งศัลยกรรมแห่งหนึ่ง ผมคลิ๊กเข้าไปดูพร้อมกับศึกษารายละเอียดต่างๆ พร้อมกับดูรีวิว ถ้าปล่อยให้เนื้อมันงอกกลับมาเหมือนเดิมก็ใช้เวลานาน แต่ถ้าผ่าตัดเย็บใช้เวลาไม่นานยิ่งสมัยนี้การทำให้แผลเนียนกว่าเดิมจึงไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนราคาก็พอสมเหตุสมผลไม่แพงเกินไม่ถูกเกิน เมื่อผมดูรีวิวจนแน่ใจผมเลยเรียกได้ติเข้ามาหาผม



“พี่เรียกผมมีอะไรครับ” ไอ้ติมาพร้อมกับไม้ค้ำคู่ใจที่ตอนนี้มันมายืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ผม



“กูจะพามึงไปทำให้หูกลับมาปกติ”



“ผมถามจริง”



“กูเหมือนพูดโกหกเหรอวะ?”



“ก็ไม่พี่ แต่ผมเก็บเงินระเบิดหูมาหลายเดือนเลยนะ ผมเสียดาย" มันไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียวแต่มันกลับจับที่หูของมันด้วยความภาคภูมิใจ



“ในฐานะที่โตมาก่อนจะบอกให้ว่ามันดูไม่ดี คนอื่นจะมองมึงไม่ดี เขาจะหาว่าผู้ปกครองอย่างกูไม่สั่งสอน ปล่อยปะละเลยมึง”



“ใครว่าพี่ผมจะเตะปากให้เลือดออกเลย”



“เก่งจริงๆ ไอ้เรื่องใช้กำลัง” ผมอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปตบที่หัวไอ้เด็กนี่แรงๆ สักทีสองทีข้อหาที่พูดจากวนตีน “แล้วไม่ต้องเสือกปฏิเสธเพราะเรื่องนี้กูเป็นคนตัดสินใจ”



“มันเจ็บมากรึเปล่าพี่”



“เจ็บมากหรือเปล่าอย่างไงมึงก็ต้องทำครับ เดี๋ยวกูนัดหมอแล้วมึงไปเลย”



“แต่ผมขาหักอยู่นะพี่” ไอ้ติชี้ไปที่เฝือกของมัน



“มันไม่ผ่าที่เฝือกมึงไหม”



“มันปวดร้าวอะพี่ เดี๋ยวไปเรียนเพื่อนๆ มันก็ล้อผมอะดิ”



“ใครล้อมาบอกกูจะต่อยให้ฟันร่วงเลย”



“ไหนใครบอกว่าผมเก่งแต่ใช้กำลังไงพี่ พี่ก็...”



“กูใช้ได้คนเดียว ไปนั่งที่ของมึงได้แล้วไป” ผมไล่มันกลับไปที่เดิมก่อนที่จะปวดประสาทไปมากกว่านี้ เดี๋ยวนี้มันต่อปากต่อคำเก่งครับ โดยเฉพาะผมพูดอะไรมันจะย้อนผมกลับมาอย่างรวดเร็วโดยที่บางทีมันแทบจะไม่ได้คิด มีน้องผู้ชายมันก็ไม่ง่ายเหมือนกันนะครับ แต่รับรองว่าไอ้ติมันต้องเป็นคนใหม่ตราบใดที่ยังมีผมเป็นผู้ปกครองอย่างผม





และแล้ววันที่ผมรอคอยก็มาถึง วันที่ไอ้หูแหว่งๆ ของไอ้ติจะถูกเย็บติดให้เหมือนหูคนปกติเขา จริงๆ มันก็เป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคล ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่มันดันอยู่ที่หูของไอ้ติ เด็กที่มีผมเป็นผู้ปกครองมันก็ต้องเรียบร้อย อย่างน้อยคนอื่นๆ จะได้มองมันใหม่



ในฐานะที่ผมเป็นตำรวจ เด็กอย่างไอ้ติที่เห็นเพียงแค่ภายนอกก็จะถูกคนอื่นตัดสินว่าเป็นเด็กเกเร เด็กที่คอยสร้างแต่ปัญหา ซึ่งผมยอมรับว่าตอนแรกที่เจอมันผมก็คิดแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะสถานการณ์ในตอนนั้นด้วย แต่พอได้รู้จักกันมากขึ้นผมก็เห็นมันในมุมต่างๆ มุมที่ทำให้ผมมองมันเปลี่ยนไป อย่างน้อยมุมที่ผมเห็นในตอนนี้ก็คือ มันเป็นเด็กมีมารยาทและขี้เกรงใจส่วนผมก็คงจะกลายเป็นผู้ใหญ่นิสัยเสียที่คอยสปอยล์มันอยู่อย่างนี้



“พี่กูนมันไม่เจ็บจริงดิ”



“เออ บอกว่าไม่เจ็บก็ไม่เจ็บ” ผมนั่งอยู่ข้างๆ ไอ้ติที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดของคลินิกเตรียมเย็บให้หูชิดติดกัน “มันเจ็บน้อยกว่าที่มึงเคยมีเรื่องก็แล้วกัน”



“แต่ตอนมีเรื่องคือผมไม่ได้มีเวลาคิดไงพี่ว่าจะเจ็บไหม แต่ตอนนี้ผมมีเวลาคิด พี่เชื่อไหมว่าเมื่อคืนผมนอนไม่หลับเลย”



“เดี๋ยวพาไปซื้อของปลอบใจ”



“พี่ ไม่เอา”



“กูอนุญาตให้มึงเจาะหูได้ถ้าแผลมันหายดีแล้ว แต่ระเบิดแบบนี้กูไม่อนุญาต”



“พี่อคติ”



“กูหวังดี”



“ผมไม่ได้กวนตีนนะพี่ แต่พี่ช่วยอธิบายคำว่าหวังดีให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ถ้าผมเข้าใจในความหวังดีของพี่เมื่อไหร่ผมอาจจะยินดีเย็บติดก็ได้พี่ ผมจะนอนยิ้มให้คุณหมอเย็บอย่างดีเลย” จากสิ่งที่ไอ้ติพูดมันก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน เพราะผมอ้างกับมันว่าผมหวังดี แต่ผมไม่เคยอธิบายในส่วนของผมเข้าใจเลย



“การที่มึงมีภาพลักษณ์แบบนี้คนอื่นจะมองมึงไม่ดี เพราะเขาจะตัดสินมึงจากสิ่งที่เขาเห็น เขาไม่ได้สัมผัสเหมือนกู อีกอย่างเดี๋ยวมึงก็จะจบแล้วต้องเข้ามหาลัย ภาพลักษณ์ภายนอกก็เป็นเหมือนด่านแรกของมึงเหมือนกัน และที่สำคัญกูไม่อยากให้ใครมองมึงไม่ดี แค่นี้เข้าใจกูไหม?”



“ผมเข้าใจพี่ แต่ผมอยากอธิบายอะไรบางอย่างให้พี่ฟัง เผื่อพี่จะไม่รู้”



“ว่ามา” ผมรอฟังในสิ่งที่ไอ้ติจะพูด



“ระเบิดหูในสังคมของผมคือเท่มาก มันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ ผมเลยไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีเพราะคำว่าคนส่วนใหญ่ทำไหมพี่ โดยเฉพาะเวลาที่มีคนชมว่า ไอ้ติรูมึงโคตรเท่ แค่นี้อะพี่ใจผมก็โคตรฟูเลย ซึ่งพวกผมก็ไม่ได้แคร์สายตาว่าใครจะมองพวกผมอย่างไง เพราะผมไม่ได้ขอข้าวพวกเขากิน มันก็เท่านี้”



“กูเข้าใจ แต่บางทีคนส่วนใหญ่ที่เขาทำกันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกหรือเรื่องที่มึงทำตาม ทุกอย่างมันมีวิจารณญาณเสมอ อยู่ที่ตัวมึงเองว่าจะพิจารณาถึงมันไหม” ผมค่อยๆ อธิบายให้ไอ้ติฟัง อีกอย่างผมก็เข้าใจสิ่งที่มันจะสื่อดี โดยเฉพาะเรื่องสภาพแวดล้อมส่วนใหญ่ของมันที่ทำกันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมันอาจจะไม่รวมเรื่องการระเบิดหูแต่มันรวมถึงทุกๆ เรื่อง



“ไม่ได้จะดราม่านะพี่ ผมอะไม่มีใครคอยสอนหรือย้ำว่าอันถูกอันไหนผิด สิ่งที่จะสอนผมดีที่สุดก็คือสภาพแวดล้อมที่ผมอยู่ ถ้าคนส่วนใหญ่ทำก็มองว่าสิ่งนั้นผมก็ทำได้ อีกอย่างนะหลวงตาท่านก็ไม่ได้มาคอยจ้ำจี้จ้ำไชผมขนาดนั้น โดยเฉพาะตอนนี้ พี่ดูดิ ขนาดหลวงตายังให้ผมมาอยู่กับพี่เลย” ผมสังเกตน้ำเสียงและแววตาของไอ้ติในตอนนี้ มันดูตัดพ้อกับทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะหลวงตาที่มันคิดว่าท่านผลักไสมันมาให้ผม



“หลวงตาหวังดีกับมึงนะ”



“ถ้าหวังดีหลวงตาจะให้ผมมาอยู่กับพี่ทำไม”



“หลวงตาบอกกับกูว่าต้องไปอินเดีย และไม่อยากให้มึงอยู่วัดคนเดียวโดยที่ท่านไม่อยู่ มึงอาจจะมองว่าหลวงตาไม่สนใจมึง แต่ท่านรักและหวังดีกับมึงจริงๆ”



“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะพี่ เดี๋ยวผมโมโหอีก”



“มึงจะโมโหอะไร”



“พี่รู้ไหมไม่มีวันไหนที่ผมไม่โกรธพ่อกับแม่ผมอะ คือเขาไม่พร้อมแล้วเขาจะมีผมมาทำไมวะ ผมไม่อยากเป็นภาระสังคม แต่ก็ต้องเข้าใจว่าผมไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ ถ้าผมเลือกได้สองทางนะถ้าเกิดมาแล้วมีสภาพแบบนี้กับไม่เกิด ผมเลือกไม่เกิดดีกว่า”



“ไอ้ติ”



“ไม่ต้องสงสารผมเพิ่มนะ เพราะผมก็สงสารตัวเองเหมือนกัน ชีวิตคนเรามันจะดราม่าได้ขนาดนี้เลยเหรอวะพี่” สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือยื่นมือไปตบที่ไหล่ของไอ้ติเบาๆ “พี่รู้ไหมว่าผมอิจฉาครอบครัวพี่มากๆ เลย พี่มีทั้งพ่อกับแม่ที่ต้องการพี่ พี่อาจจะเบื่อกับอ้อมกอดของพ่อกับแม่ อาจจะเบื่อเสียงบ่นเสียงว่า แต่สำหรับผมนะ ผมโคตรอยากได้สิ่งพวกนี้เลยพี่ ผมอยากรู้จริงๆ ว่าอ้อมกอดแบบนั้นมันรู้สึกแบบไหน มันอุ่นไหมพี่” จังหวะที่ไอ้ติช้อนสายตาขึ้นมามองผม ผมเห็นประกายบางอย่างออกมาจากแววตาของมัน สิ่งนั้นทำให้ผมดึงตัวของไอ้ติเข้ามากอด



“กูบอกไม่ถูกว่ามันอุ่นไหม”



“......”



“แต่กอดของกูที่ให้มึงตอนนี้ กูมั่นใจว่ามันจะอุ่นและปลอดภัยสำหรับมึง”



“พี่กูนพี่....”



หลังจากที่ไอ้ติเริ่มหายจากอาการดราม่าเรื่องภูมิหลังชีวิตของมัน ตอนนี้มันนั่งทำหน้ากวนตีนผมขณะที่รอคุณหมอเรียกเข้าห้องผ่าตัด ผมเชื่อมันเลยจริงๆ ว่าไอ้เด็กนี่มันเปลี่ยนอารมณ์ไวเหลือเกิน มีแต่ผมที่ยังอินไม่หายกับสิ่งที่ออกมาจากคำพูดของไอ้ติเมื่อก่อนหน้านี้



“พี่ ตอนที่พี่พูดเหตุผลนะ ผมก็ว่าจะไม่กลัวแล้ว แต่พอใกล้ถึงเวลา ผมก็ตื่นเต้นอะพี่”



“มันก็เหมือนที่มึงเย็บแผลนั่นแหละ จะต้องให้กูพูดอีกกี่รอบ มึงโตแล้วนะไอ้ติ”



“พี่...โตก็กลัวได้”



“แปบเดียว”



“พี่”



“กูก็อยู่นี่แหละ”



“คุณสติค่ะ” เสียงของคุณพยาบาลเรียกชื่อของไอ้ติทำให้ผมกับมันเลิกเถียงกัน “เชิญค่ะ”



“พี่กูนพี่..”



“เออ กูอยู่นี่”



“ผมกลัวว่ะพี่”



“ไม่ต้องกลัว”



“แต่ขาผมหักนะ”



“มันไม่เกี่ยวกับขามึง”



“พี่”



“คุณพยาบาลเข็นมันเข้าไปเลยครับ” โชคดีที่ไอ้ติมันนั่งอยู่บนรถเข็นทำให้มันสามารถเคลื่อนย้ายเข้าไปด้านในได้ง่าย ถ้าให้มันเดินเข้าไปมีหวังได้ลีลาอีกหลายนาทีแน่ๆ





เมื่อผมสั่งไอ้ติเข้าห้องผ่าตัดไปเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ย้ายตัวเองมานั่งในโซนของญาติที่มารอคนไข้ที่ทางคลินิก ซึ่งเป็นผู้จัดเตรียมเอาไว้ให้ จากที่ผมพูดคุยกับคุณหมอเจ้าของเคสเธอบอกว่าใช้เวลาไม่นานมากในการเย็บทั้งสองข้าง แต่สิ่งที่ควรระมัดระวังคือการทำความสะอาดแผล เพราะท่าทำความสะอาดไม่ดีแผลอาจจะติดเชื้อได้ ช่วงแรกผมคงต้องทำแผลให้มันก่อน



ผมรอมันได้สักพักไอ้ติก็ถูกออกมาจากห้องผ่าตัดที่ตอนนี้มันเปลี่ยนชุดเป็นที่เรียบร้อยด้วยท่าทางชิวๆ ซึ่งผิดกับตอนที่มันเข้าไป



“ไม่เจ็บเลยพี่ชิวมาก”



“กูก็บอกแล้ว”



“โคตรแบบชิวอะ แต่หมอบอกว่าต้องทำแผลสะอาดๆ”



“ก็ใช่ไง เดี๋ยวช่วงแรกกูทำให้ก่อน พอมันเริ่มแห้งมึงก็ทำเองจนกว่าจะตัดไหม” ตอนนี้ผมเปลี่ยนมาเข็นไอ้ติแทนคุณพยาบาลที่เข็นมันออกมาในตอนแรก และตรงไปที่จุดชำระเงิน



“แพงไหมพี่” หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จตอนนี้ก็รอรับยาซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะกลับบ้าน



“ปกติ” ผมไม่อยากบอกราคาเดี๋ยวไอ้นี่ก็บ่นว่าแพง เกรงใจผมเลยเลือกที่จะไม่บอก “ถ้าเจ็บแผลบอก จะได้ให้กินยาแก้ปวด”



“ตอนนี้ยังไม่เจ็บพี่ มันชาๆ” ไอ้ติจับแถวๆ แผลที่เย็บซึ่งตอนนี้มีผ้าปิดแผลพันอยู่ ด้วยความที่มือไวผมจึงตบเข้าที่มือของไอ้ติทันที



“มึงจะจับให้ระบมทำไม อยู่นิ่งๆ”



“ผมอยากสัมผัสนิดๆ เองพี่”



“นิ่งๆ”



“นิ่งก็นิ่งครับ” หลังจากรับยาเสร็จ ผมพามันไปหาข้าวกินก่อนจะกลับบ้าน แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมมองเห็นทรงผมของไอ้ติตอนนี้ นั่นแหละครับ ผมหงุดหงิด



“พี่กูน อีกแล้วเหรอพี่....”



“อันนี้กูอยากให้มึงตัดเอง มันเกะกะตา” ทรงผมของไอ้ติที่มาในตอนแรกเป็นทรงผมแทรกกลาง แต่เป็นแทรกกลางที่กวนตีนโคตรๆ ด้วยความที่ไม่อยากหงุดหงิดสายตาผมเลยพามันมาที่ร้านตัดผมหลังจากที่เราสองคนกินข้าวเสร็จ



“เอาทรงนี้ครับ”



“พี่โคตรเผด็จการ” ผมจิ้มทรงผมที่เลือกให้กับช่างทำผม โดยที่มีสายตาของไอ้ติที่มองมาทางผมด้วยสายตาไม่พอใจที่มันไม่ได้เป็นคนเลือกเอง



“เงียบและนิ่ง”



“เอาหล่อๆ นะพี่ แบบใครเห็นแล้วกรี๊ดอะ”



“......” ทรงที่ผมเลือกเป็นหน้าม้าสั้น ส่วนตัวของผมเป็นทรงเห็ดแบบเท่ๆ ถ้าคิดภาพไม่ออกก็เหมือนทรงของฮันฮโยซอบ ในเรื่อง Dr. Romantic 2 ที่ผมเลือกทรงนี้ก็เพราะตัวผมของไอ้ติมันค่อนข้างยาวอยู่แล้ว อีกอย่างทรงนี้ก็ไม่ได้ต้องใช้เวลาเซ็ทผมมากหรือแทบจะไม่ต้องเซ็ทเลย และที่สำคัญคือผมมองว่ามันน่าจะเข้ากับรูปหน้าของไอ้ติ



ผมนั่งมองช่างตัดผมไปด้วยระหว่างที่รอ หน้าของไอ้ติตอนนี้โคตรตลกเลย มันทำหน้าเหมือนเด็กที่โดนพ่อบังคับให้ตัดผมทรงที่ไม่ชอบแต่ก็เถียงไม่ได้เลยต้องยอมตัด



“เสร็จแล้วครับ” ช่างตัดผมหมุนเก้าอี้ของไอ้ติให้หันมาทางผมหลังจากที่มันตัดเสร็จ “ให้แก้ตรงไหนไหมครับ”



“พี่ พี่ช่างต้องถามผมซิครับ” ไอ้ติท้วงทันทีที่ช่างตัดผมถามความคิดเห็นของผมแทนที่จะถามมัน



“โอเคแล้วครับ” ผมลุกขึ้นไปจ่ายเงินหลังจากที่ตัดผมเสร็จ ส่วนไอ้ติก็ย้ายตัวเองลงมานั่งที่รถเข็นเหมือนเดิม วันนี้ผมเอารถเข็นมาแทนไม้ค้ำเพื่อความสะดวก ถ้าเอาไม้ค้ำมาเดี๋ยวมันได้หน้าคว่ำกลางห้างอายคนอื่นๆ อีก



“พอแล้วนะพี่”



“พอแล้ว” ผมเข็นไอ้ติออกมาจากร้านทำผมเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ระหว่างทางดันผ่านร้านเสื้อผ้าจนได้ ผมเลยเลี้ยวรถเข็นเข้าไปทันที มันช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้ครับ



“พี่กูนพี่ ไหนบอกจะกลับบ้านแล้วไง”



“ซื้อเสื้อก่อน มึงเสื้อน้องนิ”



“เสื้อที่พี่ให้ผมก็เยอะแล้ว”



“เดี๋ยวกูเอาคืน”



“เพื่ออะไรพี่”



“เพื่อมึงจะได้ซื้อเสื้อใหม่”



“ยอมเขาจริงๆ” และมันก็ขัดอะไรผมไม่ได้นอกจากทำตามผม เพราะชะตาของมันตอนนี้อยู่ในกำมือของผมโดยสมบูรณ์แบบ ยิ่งมันร้องโอดครวญผมก็ยิ่งชอบ



บอกแล้วไงครับ อยู่บ้านผมต้องไม่อด
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:35:43
บทที่ 7

พี่ชายไปส่งครั้งแรก



Sati’ s talk



หลังจากที่หยุดเรียนมาได้หลายอาทิตย์ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมกำลังจะกลับไปเรียนที่วิทยาลัย ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ถอดเฝือกแต่ก็ถือว่าสามารถเดินโดยที่ไม่ใช้ไม้ค้ำได้บ้าง แม้ว่าจะโดนพี่กูนด่าก็ตามว่าผมชอบทำอะไรไม่ค่อยระวังตัว ทำทุกอย่างเป็นเล่นไปหมด แต่ก็ช่างพี่กูนจะบ่นก็บ่นไป



“ไหนมึงบอกว่าเพื่อนๆ มึงมีแต่คนเรียบร้อยไง เท่าที่กูเห็น...ไม่น่าไว้ใจสักคน” พี่กูนหันหน้ามาพูดกับผมขณะที่จอดรถเทียบอยู่ด้านหน้าวิทยาลัย



“ก็แบบนี้แหละพี่ เด็กช่าง มันจะเรียบร้อยแบบผ้าพับไว้ก็ไม่ได้ดิครับ” พี่กูนยังคงมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมา คนพวกนี้ก็เหมือนผมนั่นแหละ ผมยาวปะบ่าแซกกลางให้ดูเท่ บ้างก็เจาะปากระเบิดหูตามแฟชั่นในวิทยาลัยที่กำลังเป็นเทรน แต่สิ่งที่พี่กูนเห็นมันเป็นแค่ส่วนน้อย ใช่ว่าจะไม่มีเด็กดีๆ ในวิทยาลัย อย่างน้อยก็ผม



“ไอ้ตรงข้ามนี่คู่อริเหรอวะ”



“ใช่ พวกไอ้เต๋าที่มันเคยมารุมผมอะ” จะว่าไปเรื่องไอ้เต๋าพี่กูนเป็นธุระจัดการให้ผมหมดทุกอย่าง ผมลืมเล่าตอนที่มันถือกระเช้าผลไม้มาเยี่ยมผมพร้อมกับแม่มัน หน้าตาโคตรไม่รู้สึกผิดเลยแต่เหมือนมาเพราะถูกบังคับ แต่ผมก็ให้อภัยมันไปเพราะไม่อยากถือสาเอาความ โคตรหล่อเลยผใ “เห้ยๆ พี่กูนจะลงไปไหน” ผมร้องทันทีที่อยู่ๆ พี่กูนก็เปิดประตูลงจากรถ



“ไปส่งมึงไง”



“ผมเดินไปได้พี่” ผมรีบวิ่งไปดักหน้าพี่กูน “เดี๋ยวคนอื่นก็หาว่าผมมีคดีหรอก ดูพี่แต่งตัวโคตรเต็มยศ” อย่างว่าตอนนี้พี่กูนมาส่งผมและไปทำงานต่อ



“จะไปคุยกับครูประจำชั้นมึง”



“เขามีแต่อาจารย์ที่ปรึกษาพี่”



“นั่นแหละ จะไปรายงานตัวว่าเป็นผู้ปกครองมึง ถ้ามึงทำตัวไม่ดีให้รายงานกู กูจะยึดทุกอย่างที่เคยให้มึงคืนถ้าทำตัวแย่”



“พี่หลอกให้ผมหลงใหลไปกับของที่พี่ให้ผม แล้วมาเอาคืนเนี่ยนะ”



“เออ!”



“โคตรเจ้าเล่ห์”



“แน่นอน ไม่งั้นเอาเด็กอย่างมึงไม่อยู่หรอก” ผมกลอกตามองบนและยอมพาพี่กูนไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาของผมที่ห้องพัก แต่ระหว่างทางเพื่อนๆ ในวิทยาลัยต่างมองมาที่ผมกับพี่กูนด้วยความสนอกสนใจ บ้างก็บอกว่าผมถูกตำรวจคุมตัวให้มาลาออกเพราะไปก่อคดีร้ายแรง บ้างก็บอกว่าผมพาตำรวจมาชี้ตัวคนที่หาเรื่อง ใครบอกว่าผู้ชายเม้าไม่เป็นผมนี่เถียงสุดใจเลย



“ไอ้ติเพื่อน!! มึงเป็นอะไรวะทำไมมีตำรวจมาคุม!!! เพื่อนติ! อีกไม่กี่เดือนมึงก็จบแล้วนะจะมาติดคุกตอนนี้เลยเหรอวะ คุณตำรวจสงสารเพื่อนผมเถอะ มันเป็นเด็กดี” ไอ้ป๋องเพื่อนรักของผมที่ไม่รู้ว่าโพล่มาจากไหน คุกเข่ากอดขาพี่กูนด้วยท่าทางเล่นใหญ่จนทำให้พวกเราเป็นจุดสนใจมากกว่าเดิม “คุณตำรวจจจจจ”



“ไอ้ป๋องปล่อยก่อนมึง” ผมก็อยากที่จะก้มไปแกะมือมันออกจากขาพี่กูนนะ แต่ติดที่ว่าผมก้มไม่ได้ผมเลยเอาไม้ค้ำเขี่ยๆ มันให้ออกจากพี่กูน



“โถ่ติเพื่อนรัก ไอ้พวกนั้นมันใส่ร้ายมึงใช่ไหมวะ มึงถูกรุมไม่ใช่เหรอทำไมมึงถูกจับ! ความยุติธรรมอะคุณตำรวจ!! โลกนี้มันมีอยู่ไหม”



“ไอ้ป๋องเพื่อนนนน” ผมลากเสียงยาวเมื่อไอ้ป๋องเริ่มพูดไปเรื่อย “นี่พี่ชายกูไม่ใช่พากูมาลาออก กูไม่ได้ถูกจับ”



“ไอ้ติมึงมันแสนดีเกินไป มึงอย่ามาแกล้งพูดให้กูสบายใจ มึงปิดกูไม่มิดหรอก” ไอ้ป๋องไม่ยอมลดละมันพยายามที่จะอ้อนวอนพี่กูนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพี่กูนย่อตัวลงไปเสมอกับมัน



“ถ้าน้องไม่ปล่อยพี่จะจับน้อง..หาข้อมีของมึนเมาอยู่ในสถานศึกษาดีไหม?” คราวนี้ไอ้ป๋องรีบลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับสีหน้าเลิกลักบ่งบอกว่าสิ่งที่พี่กูนพูดเป็นเรื่องจริง



“คะ..คุณตำรวจรู้ได้ไงครับ?”



“ถ้ายังไม่สร่างก็กลับไปนอนดีกว่า แล้วในกระเป๋าน้องไม่ได้รูดซิป” ไอ้ผมก็คิดว่าพี่กูนมีสัมผัสพิเศษที่ไหนได้ไอ้เพื่อนตัวดีของผมมันปิดกระเป๋าไม่สนิททำให้เห็นขวดชาที่ด้านในบรรจุของมึนเมาเอาไว้อยู่ จริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกติของที่นี่นะ โดยเฉพาะน้ำโปร (ยาแก้แพ้ผสมน้ำอัดลมหรือชา)



“มันเข้าข่ายสารเสพติดนะ” พี่กูนมองหน้าไอ้ป๋องนิ่งๆ ก่อนจะเดินนำผมออกไป ส่วนผมได้แค่ส่งยิ้มให้ไอ้ป๋องและเดินตามหลังพี่กูนมาเรื่อยๆ



“ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องกินอะไรพวกนี้ เป็นเด็กอยู่แท้ๆ” พี่กูนกึ่งพูดลอยๆ ขณะเดินมาถึงโรงอาหาร “มันมีดีอะไรวะ กินมากก็ช็อกได้โคตรอันตราย”



“พี่บ่นหรือพูดกับผม?”



“ทั้งคู่ แล้วมึงกินป่าวไอ้ติ” ผมรีบส่ายหัวทันทีเพื่อเป็นการปฏิเสธ “ถ้ายุ่งของพวกนี้หลวงตาไล่ออกจากวัดแน่ๆ ลำพังตังค์จะกินข้าวยังไม่ค่อยจะมีเลย”



“เออ ลืมให้ตังค์มึงเลย เอาไปใช้หนึ่งอาทิตย์” พี่กูนหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาก่อนจะส่งแบงก์พันมาให้ผมหนึ่งใบ “พอไหม”



“ปกติผมใช้แค่วันละห้าสิบเองพี่”



“ถ้าเหลือก็ออม” ผมพยักหน้า



หลังจากที่พาพี่กูนไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นที่เรียบร้อยผมก็แยกออกมาเรียนตามปกติ ส่วนมากก็ไม่ค่อยมีเรียนเท่าไหร่ จะมีก็แต่ไอ้รายงานที่ทำก่อนจบนี่แหละครับ เป็นรายงานห้องที่ทำร่วมกันแต่ผมได้ยินมาว่าห้องผมเสร็จในช่วงที่ผมไม่ได้มาทำให้ผมไม่ต้องทำ ดังนั้นก็ว่างยาวๆ จนกว่าจะจบ แม้รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ไม่ได้ดช่วยเพื่อนก็ตาม



“เป็นไงวะไอ้ติเห็นไอ้ป๋องบอกว่ามึงมากับตำรวจ” เพื่อนสนิทอีกคนของผมคือ ‘ไอ้ชิน’ เพื่อนคนนี้เรียกได้ว่าน่าจะดูดีที่สุดเพราะมันค่อนข้างเป็นเด็กเรียนไอ้เรื่องชกต่อยมันไม่ค่อยมีหรอกครับ เวลาที่เพื่อนนัดรวมตัวไปมีเรื่องมันก็หนีกลับไปได้อ้างว่าต้องกลับไปช่วยพ่อมันขายของ ส่วนผมที่ไม่มีพันธะอะไรก็ถูกลากไปเป็นตัวประกอบให้ดูเยอะๆ เข้าไว้ นานๆ ทีผมถึงจะต่อยกับเขาบ้าง “แล้วไปทำอะไรกับหูมึงมาวะนั่น” ไอ้ชินชี้มาที่หูของผมที่ตอนนี้ไม่ได้พันแผลเพราะแผลแห้งดีแล้ว เหลือแค่เอาไหมออก



“พี่กูนอะนะ พี่ชายคนใหม่กู แล้วหูนี่ก็โดนสั่งไปเย็บให้ติดกัน”



“เดี๋ยวๆ มึงไปมีญาติตั้งแต่เมื่อไหร่วะเพื่อน”



“ก็หลวงตากูฝากให้พี่กูนดูแลกูตอนที่ท่านไปอินเดีย แต่เหมือนพี่กูนกับครอบครัวเขาจะสงสารกูเลยรับเลี้ยงกูจนกว่ากูจะจบมหาลัย เขาบอกว่าบ้านเขาไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เลี้ยงกูเพิ่มอีกคนก็ไม่ทำให้เขาจนหรอก” ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ไอ้ชินฟัง ส่วนไอ้ชินเองก็ฟังผมอย่างตั้งใจ



“โชคดีแล้วมึงถึงจะมาช้าแต่ก็มานะ ดีใจด้วยที่มึงจะได้เรียนมหาลัยเพื่อน หนูตกถังโคตรๆ” ไอ้ชินคว้าตัวผมเข้าไปกอด “สมัครไปยังกูสมัครไปแล้ว ขอให้เราได้เรียนที่เดียวกันเพื่อน” ผมก็หวังว่าจะได้เรียนกับไอ้ชินเพราะส่วนมากเพื่อนในห้องผมมันไม่เรียนต่อกัน มันบอกว่าเสียเวลาหาเงิน





ช่วงเย็น



หลังจากที่ผมเรียนเสร็จก็ได้รับข้อความจากพี่กูนส่งมาบอกว่าให้ผมไปรอที่โรงพักและกลับบ้านพร้อมเขา แต่สภาพที่ผมใส่เฝือกอยู่ก็ค่อนข้างลำบากพอสมควร



“ไอ้ติมึงจะไปไหนวะ” ไอ้ชินวิ่งตามผมออกมาหน้าวิทยาลัย



“ไปหาพี่ที่โรงพัก”



“สภาพนี้เนี่ยนะ? วันนี้คงถึงหรอกมึง ดีไม่ดีเจอพวกไอ้เต๋าดักกระทืบอีก” ผมลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย เมื่อคิดได้ผมก็อดที่จะมองไปยังวิทยาลัยตรงข้ามไม่ได้ แต่มองได้เพียงแวบเดียวเท่านั้นเพราะถ้าดันไปสบตากับพวกมันเดี๋ยวจะได้มีเรื่องกันแน่ๆ “เดี๋ยวมึงจะได้ตัดขาแทน”



“ปากดีมากเพื่อนกู” ผมตบหัวไอ้ชินแรงๆ



“เดี๋ยวไปส่ง วันนี้เอารถยนต์มา”



“รักมึงว่ะเพื่อน” และผมก็ติดรถไอ้ชินมาที่โรงพักโดยบอกให้มันจอดด้านนอกเพราะผมสามารถเดินเข้าไปเองได้ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีเรื่องเพราะหน้าโรงพักมีนักข่าวและคนมายืนมุงดูเต็มไปหมด ผมเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก่อนจะเห็นว่าพี่กูนยืนหน้าเครียดคุยอยู่กับเพื่อนตำรวจของเขา



“ไอ้ติ ไปรอข้างบนก่อน” พี่กูนที่พึ่งจะสังเกตเห็นผมชี้ไปด้านใน ผมเลยเลี่ยงนักข่าวลัดเลาะมาเรื่อยๆ จนสามารถขึ้นไปด้านบนได้



“น้องหมวดฐิเหรอ”



“ครับ สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คุณตำรวจท่าทางมีภูมิฐานเพราะสังเกตจากดาวบนบ่าที่มีหลายดวง



“รอก่อนนะ วันนี้น่าจะยาว”



“มีอะไรเหรอครับ ทำไมนักข่าวเยอะจัง”



“คดีพยายามฆ่าน่ะ ผู้ต้องหาเป็นมีอิทธิพลพอสมควรเลยได้รับความสนใจจากสื่อ” ท่านพูดอย่างปลงๆ “เดี๋ยวนี้จะทำอะไรกันไม่เกรงใจกฎหมายบ้านเมืองกันเลย”



“แล้วคู่กรณีเป็นอย่างไงบ้างเหรอครับ”



“ตอนนี้กำลังนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่ไม่น่าจะมีอันตราย คดีนี้ไม่ซับซ้อนแต่ที่เยอะก็กันพวกนักข่าวนี่แหละ ถ้าเบื่อๆ ก็เดินเล่นได้นะ” ผมยกมือไหว้ท่านอีกครั้งเมื่อท่านเดินผ่านผมไป แต่ที่ผมสงสัยผมจะไปเดินเล่นที่ไหนในโรงพักว่ะครับ



ผมไม่รู้จะทำอะไรก็เอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์ ทั้งๆ ที่ไม่รู้อีกว่าในโทรศัพท์มันเล่นอะไรได้บ้างนอกจากไลน์ แต่แล้วผมก็คิดได้ว่ามันมียูทูปผมเลยโหลดแอพมาและนั่งดูระหว่างรอพี่กูน จนกระทั่งผมรู้สึกว่ามีใครยืนอยู่ตรงหน้า ผมเลยเงยขึ้นไปมองก่อนจะเห็นว่าเป็นพี่กูนนั่นเอง



“เสร็จแล้วเหรอพี่”



“เออ เหนื่อยฉิบหาย” พี่กูนทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ผม “คดีลูกคนรวยแม่งก็งี้ ไม่ยอมให้สรุปสำนวนทั้งๆ ที่หลักฐานคาตา แบคแม่งใหญ่” ผมนั่งฟังพี่กูนพูดโดยที่ไม่รู้ว่าพี่กูนต้องการความคิดเห็นไหม แต่เพื่อไม่ไปการปล่อยให้พี่กูนพูดอยู่ฝ่ายเดียว ผมเลยจัดการเก็บโทรศัพท์และเริ่มแสดงความคิดเห็นบ้าง



“อย่างนี้แหละพี่ ทำเหมือนบ้านเมืองไม่มีกฎหมายคิดอยากจะทำอะไรก็ทำ เพราะเห็นว่าพ่อกับแม่มีเงินเลยทำตัวเป็นศาลเตี้ยไปตัดสินชีวิตคนอื่น”



“ไอ้ติมึงอินอะไร?” คราวนี้พี่กูนหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกประหลาดที่อยู่ๆ ผมก็ขึ้นโดยที่ไม่มีสาเหตุ



“ก็คดีที่พี่ทำอะครับ ผมเห็นด้วยกับพี่ทุกอย่าง”



“แสนรู้นะมึง”



“อันนั้นใช้ชมหมาป่าวพี่”



“ใช้ชมมึงก็ได้ไม่ต่างกัน เดี๋ยวกูมารอไปก่อน” และพี่กูนก็ปล่อยให้ผมสับสนว่าพี่กูนหมายถึงใครที่เป็นหมา หมายถึงหมาที่เป็นหมาหรือหมายถึงผมที่เป็นหมา แต่ว่าน่าจะอย่างหลังมากกว่า เอาเถอะถ้าเป็นหมาแล้วมีเจ้าของเลี้ยงดีแบบนี้ผมก็ยอมเป็นวะ



หลังจากรอพี่กูนทำงานไม่นานพี่กูนพาผมออกมากินข้าวกับเพื่อนๆ ของเขาที่เป็นตำรวจด้วยกัน ไอ้ผมก็นั่งเกร็งเลยสิเกิดมายังไม่เคยนั่งโดยที่มีตำรวจล้อมรอบแบบนี้ จนกระทั่งกินข้าวเสร็จผมจึงรู้สึกหายใจสะดวกขึ้นมาหน่อย



“มึงเกร็งอะไรไอ้ติ” พี่กูนที่ขับรถอยู่เอ่ยปากถามขณะที่ผมขึ้นมานั่งบนรถหลังจากเเวะไปซื้อน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋



“โห่พี่ เกิดมายังไม่เคยได้นั่งกินข้าวโดยมีตำรวจนั่งล้อมแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนนักโทษโคตรๆ อะ” แล้วไอ้ผมก็เกร็งจนกินอะไรไม่ค่อยถนัดทำให้ต้องแวะซื้อของมากินด้วย



“ไม่ได้ทำอะไรผิดมึงจะกลัวทำไม?”



“ไม่ได้ทำผิดและไม่ได้กลัวแต่มันเกร็งไงพี่”



“ทำตัวให้ชินเพราะมึงต้องอยู่กับตำรวจไปอีกนาน อย่างน้อยก็กู” ผมอยากจะพูดออกไปว่าสำหรับผมพี่กูนอะไม่ได้น่ากลัวเท่าพี่ตำรวจกลุ่มเมื่อกี้เลย สงสัยผมคงจะชินกับพี่กูนแล้วมั้งครับ มาอยู่บ้านเขาก็นานแล้ว “แล้วเพื่อนมึงที่ติโปร มึงติด้วยไหม บอกไว้ก่อนเลยถ้าติดก็เลิกซะเพราะมาอยู่กับกูห้ามของที่ผิดกฎหมายทุกอย่าง ถ้าจับได้กูไม่เอามึงไว้แน่”



“อันนี้ขู่ป่ะพี่”



“มึงลองแล้วจะได้รู้ว่ากูขู่ไหม” น้ำเสียงเย็นๆ บวกกับสายตาที่โคตรจะจริงจังมองผมมาแค่วินาทีเดียวก็เล่นเอาไอ้ติคนนี้เสียวสันหลังวาบไปเลยครับ



“ไม่ลองแน่นอนพี่ ผมออกจะเป็นเด็กดี” มั้ง.....ตอนนี้คงเป็นเด็กดีเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน



#ไรท์ลงทุกวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ อาทิตย์น้า
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:36:26
บทที่ 8

เฝือกออกเผือกมาแทน




Sati’ s talk



นับเป็นวันที่ผมรอคอยมาตลอด ถ้าเห็นจากชื่อตอนทุกคนคงจะรู้แล้วใช่ไหมครับ วันนี้เป็นเกิดของผมเอง แฮร่! ไม่ใช่ วันนี้เป็นวันที่ผมเอาเฝือกออก จริงๆ ผมว่าขาผมเริ่มเดินได้โดยไม่ใช้ไม้ค้ำก็นานแล้ว แต่ในเมื่อหมอเขานัดมาว่าต้องเอาออกวันนี้ ก็ต้องมาตามที่หมอบอกแหละครับ



“สั่นอะไรของมึง”



“มันดีใจอะพี่จะได้เอาเฝือกออก พี่ช่วยเขียนอะไรให้ผมหน่อยดิ” ผมหยิบปากกาที่แอบเอาออกมาจากบ้านขึ้นมาและส่งให้พี่กูน



“ถึงกูเขียนอย่างไงหมอก็เอาทิ้งอยู่ดี เขาไม่ได้ให้มึงเอากลับบ้านสักหน่อย”



“ความทรงจำครั้งหนึ่งไงพี่..ถ้าผมไม่ขาหักผมก็คงไม่มีโอกาสได้มาเป็นน้องชายพี่แบบนี้ พูดแล้วน้ำตาผมนี่ซึมเลย” ผมทำหน้าทะเล้นส่งไปให้พี่กูนที่เอาแต่ส่ายหัวและปากก็บ่นว่าผมไร้สาระอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ก็หยิบปากกามาเขียน



“เอาเฝือกออกแล้วก็เอาเผือกออกด้วย..เอ๋?? ผมมีเผือกตั้งแต่ตอนไหนนะพี่” ผมอ่านข้อความที่พี่กูนเขียนให้ แต่สะดุดอยู่ที่บทสุดท้าย “เท่าที่จำได้ผมก็ไม่ได้ปลูกเผือกไว้บ้านพี่เลย”



“กูให้คิดดีๆ แล้วสารภาพมา”



“ก็.....” ผมนิ่งคิด ถ้าเรื่องที่ผมเผือกเรื่องของพี่กูนก็น่าจะมีแค่เรื่องเดียวมั้ง







ย้อนกลับไปอาทิตย์ที่แล้ว



“ไอ้ติเดี๋ยวเอาเสื้อผ้าในตะกร้ากูไปให้ป้าแจ่มซักให้หน่อยที่บ้านใหญ่ อาทิตย์นี้กูยุ่งมาก” ผมพยักหน้ารับและเอาไม้ค้ำลากหูตะกร้าไปไว้ที่บ้านใหญ่ด้วยความทุลักทุเล เหมือนพี่กูนจะลืมว่าผมเข้าเฝือกอยู่ละมั้ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับยอดเด็กดีอย่างกระผม



แต่ระหว่างทางผมดันทำตะกร้าล้มจนเสื้อผ้าของพี่กูนหล่นลงบนพื้น ด้วยความร้อนรนว่าพี่กูนจะมาเห็นละบ่นผมหูชาผมเลยรีบเก็บเสื้อผ้าใส่ตะกร้า แต่ระหว่างที่ผมกำลังเก็บนั้นอยู่ๆ ผมก็เห็นชุดชั้นในของผู้หญิงปนมาด้วย ซึ่งมันสอดคล้องกับเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่ผมเห็นพี่กูนเอาผู้หญิงท่าทางเมาๆ มานอนที่บ้าน แต่ด้วยความที่มันดึกแล้วผมเลยไม่ได้ออกมาดู พอตอนเช้าผมก็รีบตื่นเพื่อมาดูว่าผู้หญิงที่พี่กูนเอามาด้วยเป็นใครแต่ปรากฏว่าไม่มีแล้ว กลับมาที่ชุดชั้นในนี้..เป็นของใครไปไม่ได้นอกจากผู้หญิงคนนั้น ด้วยความที่ผมคันปากอยากพูดผมเลยเอาไปบนกับป้าแจ่ม..แต่ไม่รู้ว่าป้าแจ่มเอาไปบอกใครบ้าง



“ก็..ไม่มีอะไรหรอกพี่”



“ไม่ของมึงแต่แม่มาถามกูว่ากูเอาผู้หญิงมานอนบ้านเหรอ”



“ก็...แต่ผมไม่ได้บอกแม่พี่เลยนะ” ผมรีบยกมือปฏิเสธแต่พอเจอหน้าดุๆ ของพี่กูน ลิ้นผมนี่พลิกเลยทันที “แค่บอกป้าแจ่มเอง..”



“แล้วทำไมไม่ถามกูก่อนแล้วเอาไปพูดมั่วๆ ทำแบบนี้กูแจ้งความข้อหาดูหมิ่นนะมึง”



“พี่..นี่น้องเอง อย่าถึงกับแจ้งคงแจ้งความเลยครับ” ผมขยับไปใกล้ๆ พี่กูนพร้อมกับเอียงศรีษะไปถูให้ดูน่ารัก แต่แล้วก็ถูกฝ่ามือใหญ่ของพี่กูนตบเข้ามาเต็มๆ “น้องเจ็บ”



“ถ้าแม่ไม่สั่งให้กูพูดเพราะๆ กับมึงกูด่าไปแล้วนะ”



“ถามจริงพี่นี่เพราะแล้วเหรอ?”



“ถ้าไม่มีคำหยาบที่ใช้ด่าก็เพราะสุดสำหรับมึงแล้ว” ผมกลอกตามองบนใส่พี่กูนไปหนึ่งทีโดยที่ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป เอาจริงๆ ผมก็คิดไม่ออกแหละ



เราสองคนนั่งเงียบอยู่กับตัวเองจนกระทั่งถึงคิวที่ผมต้องเข้าไปเอาเฝือกออก ส่วนพี่กูนนั่งรอผมอยู่ด้านนอก จนเวลาผ่านไปผมเดินออกมาพร้อมกับขาที่ไร้เฝือก มันก็แอบใจหายอยู่เหมือนกันนะอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน



“พี่อาทิตย์หน้าผมไปสอบมหาลัยที่ผมเคยบอกพี่ว่าอยากเข้า” หลังจากเคลียร์ค่ารักษาพยาบาลเป็นที่เรียบร้อย ระหว่างทางกลับผมดันคิดถึงเรื่องสอบได้เลยพูดขึ้นมา



“พร้อมไหมล่ะ”



“ก็พอได้อยู่ แต่แอบกลัวๆ ว่าจะไม่ติด เอาจริงผมก็เผลอใจเอาไว้เยอะอยู่ แต่จะทำให้เต็มที่” สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่เรื่องปฏิบัติ แต่ที่ผมกลัวคือสอบภาคทฤษฎีที่ผมโคตรจะอ่อน ผมเป็นคนที่คิดเร็วตัดสินใจเร็วโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองหรือตรวจทานคำตอบให้ดี ทำให้ผมพลาดในส่วนนี้มากกว่าส่วนอื่นๆ



“เห็นตาบอกว่ามึงเอาแต่อ่านหนังสือ อาทิตย์ที่แล้ว” อาทิตย์ที่แล้วทั้งอาทิตย์ผมไม่ได้ไปเรียนเพราะว่าไปเรียนก็ไม่ได้เรียนผมเลยตัดสินใจไม่ไปแม่งเลย ส่วนพี่กูนที่ไม่ด่าก็เพราะว่าไปราชการต่างจังหวัดพึ่งจะกลับมาก็เมื่อวานผมเลยรอดตัวไป



“ก็นั่นแหละพี่พยายามอยู่ ถ้าผมไม่ติด...”



“เอกชน”



“มันแพงนะพี่”



“แล้วกูให้มึงออกค่าเทอมรึไง มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป คิดว่ามึงมีโอกาสมากกว่าเด็กอื่นๆ ก็ทำให้ดีตั้งใจกับที่กูส่งเสียมึง”



“ถ้าผมเรียนจบเงินเดือนก้อนแรกผมจะให้พี่”



“เอาให้จบก่อนนะแล้วค่อยว่ากัน”





มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี XXX



“เป็นไงบ้างติ” ผมเดินยิ้มออกมาจากห้องสอบตรงมาที่คุณแม่และพี่ธิตาที่วันนี้มาเป็นเพื่อนผมในการสอบ



“เตรียมตัวเลยครับ”



“เตรียมตัวเรียน?”



“เตรียมตัวหาที่ใหม่เลย ยากมากเลยครับ” จากหน้าที่ยิ้มๆ ในตอนแรกของผมตอนนี้กลายเป็นเบะปากร้องไห้ เพราะแกล้งทำเป็นเข้มแข็งไม่ไหว ข้อสอบมันยากเกินไป แต่โชคดีที่ผมมั่นใจว่าปฏิบัติผมทำได้และถูกค่อนข้างเยอะ ถ้ามันเอาคะแนนสองส่วนมารวมกันก็น่าจะมีลุ้นอยู่บ้าง



“เดี๋ยววันนี้แม่พาไปเลี้ยงปลอบใจนะลูก” คุณแม่ของพี่กูนกอดปลอบก่อนที่พวกเราทั้งสามคนจะเดินกลับไปที่รถและมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าตามที่คุณแม่บอก



เมื่อมาถึงห้าคุณแม่และพี่ตาก็ลากผมมาที่ร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่วัยรุ่นชอบใส่ ซึ่งผมก็ไม่มีทางรู้แน่นอนถ้าพี่ตาไม่บอกผม



“ตัวละหลายพันเลยครับพี่ตา ผมไม่เอาหรอกเห็นที่ตลาดแบบนี้แค่ร้อยกว่าบาทเอง”



“น้องติ นั่นมันของปลอมอันนี้ของแท้ค่ะ ถ้าน้องไปอยู่มหาลัยต้องมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่บ้าง เดี๋ยวจะหาว่าพี่กูนเลี้ยงไม่ดี” พี่ตากำลังยัดเยียดเสื้อมาให้ผมสองสามตัว



“ผมใส่ของพี่กูนก็ได้ครับ เมื่อวันก่อนพี่กูนพึ่งจะซื้อให้อีกอย่างเสื้อที่พี่กุนเคยให้ก็ยังเยอะอยู่เลยครับ ผมยังใส่ไม่ครบทุกตัวเลย” เสื้อผ้าที่พี่กูนเอามาให้ผมมีทั้งใหม่และของเก่าที่พี่กูนไม่ใส่แล้วซึ่งตอนนี้มันเยอะจนล้นออกมาจากตู้ “ผมเกรงใจ”



“ติก็เหมือนน้องชายพี่ พี่ไม่เคยมีน้องชายขอพี่เปย์หนักๆ หน่อยนะ” คราวนี้พี่ตาไม่สนใจผมอีกต่อไปเพราะเธอเอาแต่เลือกเสื้อที่พอดีกับตัวผม ส่วนไอ้ผมก็ได้แต่ยืนมองโดยที่ทำอะไรไม่ได้จนกระทั่ง.....





“ไปหลอกอะไรตามา ทำไมตาซื้อของให้มึงเยอะขนาดนี้ว่ะ” ผมหอบถุงเสื้อผ้าและของอีกมากมายเข้ามาในบ้านที่ตอนนี้พี่กูนนั่งอยู่ที่โซฟาด้านนอกมองผมด้วยสายตาจับผิด



“ผมไม่ได้หลอกนะพี่ผมห้ามพี่ตาแล้ว แต่พี่ตาบอกว่าไม่เคยมีน้องชายเลยอยากจะเปย์ผม”



“มีแต่คนเอ็นดูมึงเนอะ” พี่กูนพูดด้วยน้ำเสียงประชด



“อย่างน้อยหนึ่งในนั้นก็มีพี่ด้วยที่เอ็นดูผม”



“ใครบอกมึง”



“ผมคิดเอง พี่อ่ะปากร้ายแต่ใจดีผมรู้” ผมเอาของไปเก็บในห้องและออกมานั่งกับพี่กูน



“แล้วสอบเป็นไง”



“ห้าสิบห้าสิบพี่ แต่ด้วยความหวังดีพี่อย่าคาดหวังว่าผมจะติดเลยเดี๋ยวพี่จะผิดหวังเอา” เพราะตัวผมเองก็ไม่เคยคาดหวังกับชีวิตตัวเองสักเท่าไหร่



“ถ้าไม่คาดหวังอะไรเลย มันจะมีแรงจูงใจในการทำอะไรเหรอวะ มึงบอกกูไม่ให้หวังแต่กูจะบังคับให้มึงหวัง มาอยู่กับกูแล้วต้องหวังทุกเรื่อง”



“พี่กำลังจะสอนอะไรผม”



“สอนให้รู้จักหวังถ้ามึงพยายามทำเต็มที่แล้ว ไม่ใช่หวังแต่ไม่พยายามอันนั้นมันก็ไม่ต่างจากการขอพรแต่ไม่ลงมือ”



“คมกว่ามีดก็คำพูดของพี่อ่ะครับ” ผมนั่งพูดคุยกับพี่กูนไปเรื่อยๆ อยู่ๆ ผมก็คิดถึงเรื่องคราวนั้นขึ้นมาจนอดที่จะถามพี่กูนไม่ได้ “พี่แล้วเจ้าของชุดชั้นในพี่ไม่พามาบ้านแล้วเหรอ?”



“ชุดชั้นในไหนวะ...” พี่กูนทำท่าคิดอยู่สักพัก “อ่อ ไอ้เรื่องที่เอาไปฟ้องแม่กูอะนะ”



“ก็บอกว่าแค่คุยกับป้าแจ่มเอง ไม่คิดว่าป้าแจ่มจะเอาไปบอกแม่พี่”



“งั้นก็รู้ไว้ด้วยว่าถ้าป้าแจ่มรู้ ทั้งบ้านรู้” ผมพยักหน้ารับ “แล้วจะบอกว่าไอ้ชุดชั้นในนั้นก็ของลูกน้องกู”



“ลูกน้องพี่??”



“มันเป็นสายสืบที่ต้องปลอมตัวแล้ววันนั้นกูไปสืบคดีกับมัน มันต้องปลอบตัวให้เนียนเลยปลอมตัวเป็นผู้หญิง เห็นว่ากว่าจะเสร็จก็ดึกเลยชวนมันมานอนที่บ้าน พอเช้ามันก็ถอดทิ้งไว้แล้วใส่ชุดกูกลับ”



“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ผมก็คิดว่าพี่พาสาวมานอนบ้าน”



“กูไม่เอามาหรอกที่บ้าน”



“ทำไมอะพี่”



“ไม่เสือกดิ”



“ไม่ได้เสือกเลยผมแค่เป็นห่วง” เรื่องแถขอให้ไว้ในคนอย่างสติครับ แถจนสีข้างถลอกก็แถมาแล้ว ถ้าไม่ไล่ให้จนมุมผมไม่ยอมจำนนหรอกครับ



“ไม่ต้องเป็นห่วงกูมากขนาดนี้ก็ได้ไอ้น้อง” ไม่รู้ด้วยความเอ็นดูหรือหมั่นไส้ ที่พี่กูนใช้มือทั้งสองข้างของเขาตบเข้ามาที่ศีรษะของผมแรงๆ



“เล่นแรงนะพี่ ตบมากสมองผมจะเสื่อมเอา”



“ให้มันเสื่อมๆบ้างจะได้พูดน้อยๆหน่อย เดี๋ยวนี้พูดมากฉิบหาย”



“ผมไม่เห็นจะรู้ตัวเลย...” เมื่อเห็นว่าพี่กูนมองผมด้วยสายตาดุๆผมจึงค่อยๆสงบปากสงบคำและนั่งเล่นโทรศัพท์ของผมไปเงียบๆจนกระทั่งพี่กูนใช้เท้าเขี่ยขาผมเบาๆ



“มีไรพี่”



“ไปเอาน้ำให้กูดิ หิวแต่ขี้เกียจ” พี่กูนยังคงเล่นโทรศัพท์ของเขาไปเรื่อยๆไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผม “เล่นโทรศัพท์แล้วเจ็บคอ”



“ถ้าพี่ขี้เกียจแบบนี้อนาคตจะติดเตียงนะพี่”



“เป็นห่วงหรือหลอกด่า?”



“เป็นห่วงซิครับ แต่ว่าพี่คงไม่ติดเตียงหรอกนะ ผมไปเอาน้ำมาให้ อย่าดื่มน้ำอะไรดีเอ่ย น้ำส้ม น้ำแตงโม หรือน้ำสารพัดที่ผมจะนึก”



“ถ้ามึงยังกวนตีนอยู่กูเปลี่ยนมาเอาน้ำเลือดออกจากหัวมึง”



“ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมรีบลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปหาน้ำมาให้พี่กูนก่อนที่พี่กูนจะเปลี่ยนมาเอาเลือดหัวผมออก ไอ้ผมก็แค่กวนนิดกวนหน่อยทำเป็นหัวร้อนไปได้ คุณตำรวจนี่เลือดร้อนทุกคนหรือป่าววะ



หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:36:57
บทที่ 9

ประกาศผล ชี้ชะตาชีวิต



Sati’s talk



“แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมว่าพี่หวังมากขนาดนี้อะครับ”



“กูบอกให้มึงตั้งใจทำ”



“ผมก็ตั้งใจ แต่ดูพี่จะเครียดกว่าผมอีก” ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มผมกับพี่กูนนั่งอยู่หน้าคอมเพื่อรอเข้าเว็บของมหาวิทยาลัยเพื่อดูผลสอบ “ค่อยดูพรุ่งนี้ก็ได้ ถ้าดูตอนนี้เดี๋ยวเว็บล่มพี่ก็หงุดหงิดอีก” และเรื่องที่ผมรับรู้ได้จากการมาอยู่กับพี่กูนเป็นเวลาเกือบๆ สามเดือนคือ พี่กูนเป็นคนขี้หงุดหงิด โดยเฉพาะเรื่องที่ผมไม่ยอมทำตามหรือเห็นด้วย



“กูไม่หงุดหงิด” พี่กูนเชิดหน้าขึ้นส่วนมือก็คลิกเข้าเว็บนู้นเว็บนี้ไปเรื่อยระหว่างรอเวลาประกาศผล



“ผมถามจริง”



“กูจะโกหกทำไม” คราวนี้ผมเลิกเซ้าซี้และเงียบมองพี่กูนเล่นคอมไปเรื่อยๆ “เอาไหมมันลดราคา”



“ลดแล้วเหรอพี่ ผมว่ามันยังแพงอยู่เลย” ด้วยความที่ว่างกันทั้งคู่ทำให้พี่กูนแวะเข้าไปส่องเว็บที่ดิวราคานาฬิกายี่ห้อดังที่ผมแอบเห็นว่าพี่กูนมีอยู่หลายเรือน



“กูว่ามันถูก”



“แต่พี่มีเยอะแล้วนะพี่ อย่าหาว่าผมสอนเลยตอนพี่มีเงินพี่ก็เก็บไว้บ้าง เพราะวันหนึ่งเราไม่รู้ว่าเงินที่พี่ใช้อยู่มันจะหมดเมื่อไหร่ ความจนมันน่ากลัวจริงๆ นะพี่...” ความจนที่ผมสัมผัสมาตลอดชีวิตผมรู้ดีว่ามันรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะตอนที่จำเป็นต้องใช้เงินแต่ไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท ญาติหรือที่พึ่งก็ไม่มี ลำพังแค่หลวงตาให้พี่พักอาศัยผมก็เกรงใจท่านจะแย่ ถ้าให้ผมแบกหน้าไปขอเงินผมทำไม่ได้จริงๆ และมีอีกหลายๆ ครั้งที่ผมยอมอด ทั้งชีวิตผมรู้จักคำว่าอดมากกว่าอิ่ม



“มึงเป็นน้องกูมึงต้องมี กูอยากให้มึงได้ใช้ของดีๆ บ้าง”



“ผมเข้าใจเจตนาของพี่นะ แต่ที่พี่ให้ผมมันมากเกินกว่าที่ผมจะจำเป็น ผมขอพูดตรงๆ กับพี่เลย” ด้วยความที่เริ่มสนิทใจกับพี่กูนมากยิ่งขึ้น และเห็นว่าพี่กูนคือพี่ชายของผมจริงๆ ผมจึงกล้าที่จะพูดตรงๆ ตามที่ผมคิด “ผมโชคดีที่ผมมาเจอพี่ แต่ยังมีเด็กอีกหลายๆ คนที่ไม่ได้โชคดีเหมือนผม”



“ทำไมมึงทำหน้าจริงจังขนาดนั้นวะ กูจะบอกให้ว่ากูไม่ได้ใช้เงินแบบนี้บ่อยๆ แล้วไม่ต้องเกรงใจกูเต็มใจที่จะให้มึง และไอ้ที่กูซื้อให้เพราะเห็นว่ามึงยังไม่มี”



“แต่ผมใช้แค่อันละร้อยกว่าบาทตามตลาดนัดก็ได้พี่ถ้าพี่จะซื้อให้ผมจริงๆ จะถูกจะแพงมันก็ใช้ดูเวลาได้เหมือนกัน”



“แต่ของถูกใช่ว่าจะดี ใช้ไปไม่นานก็พังอย่าเห็นแก่ของถูกไอ้ติ แล้วไอ้ที่กูจะซื้อให้มึงมันเคลมว่าใช้ได้เป็นสิบยี่สิบปี ถ้าเฉลี่ยราคาดูตามระยะเวลาที่มึงใช้มันก็คุ้มที่จะจ่าย” คราวนี้ผมนั่งคิดตามที่พี่กูนพูด ซึ่งมันก็จริงเพราะของที่ผมเคยซื้อมาตามตลาดนัดใช้ได้ไม่นานก็พัง “ที่กูให้มึงกูคิดแล้วไอ้ติว่ามันเหมาะสำหรับมึง” พี่กูนยิ้มให้ผมบางๆ พร้อมกับยื่นมือมายีผมของผมเบาๆ ด้วยความเอ็นดู...มั้ง



“ผมขอกอดพี่ได้ป่าวว่ะพี่กูน มันจะแปลกไปไหม ผม...ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้จริงๆ” ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างที่จุกอยู่ที่อกของผม มันตื้นตันที่อยู่ๆ ก็คอยมีคนคอยเป็นห่วงมีคนคอยคิดให้ในหลายๆ เรื่อง มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป



“ได้ดิวะไอ้น้องชาย” พี่กูนดึงตัวผมเข้าไปกอดพร้อมกับตบหลังของผมเบาๆ ซึ่งผมว่ามันค่อนข้างที่จะแรง แต่ยิ่งแรงก็ยิ่งแสดงถึงความรักมั้ง “ขี้แยฉิบหาย เป็นน้องกูต้องเข้มแข็ง”



“โห่พี่ ถ้าเจอแบบผมก็ต้องร้องทุกคนป่าววะ” ผมยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาแห่งความตื้นตันและดีใจออกจากตาผมอย่างลวกๆ



“กูไม่เช็ดน้ำตาให้มึงนะ ร้องเองต้องเช็ดเอง” พี่กูนมองหน้าผมนิ่งๆ มองผมเช็ดน้ำตา



“ผมเข้มแข็งพอที่จะเช็ดเองได้พี่ แค่นี้จิ๊บจ้อย” ผมหัวเราะออกมาเมื่อคิดถึงความขี้แยของตัวเอง ตั้งแต่ผมมาอยู่กับพี่กูนผมว่าผมขี้แยมากกว่าตอนอยู่วัดอีก พี่กูนทำอะไรให้นิดหน่อยบ่อน้ำตาผมก็แตกฉิบหายเลย



“แล้วตกลงจะเอาไหมนาฬิกา?” พี่กูนหันกลับไปสนใจหน้าจอคอมที่เปิดเว็บไซต์ทิ้งไว้อยู่



“ถ้าพี่เห็นว่ามันสมควรผมก็ไม่ปฏิเสธครับ”



“คำพูดคำจามึงนี่นะ” พี่กูนส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับคลิกเมาท์กดสั่งนาฬิกาไปทันที ก่อนจะเลื่อนไปดูสินค้าตัวอื่น ส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้าซะมากกว่า



“ไอ้ติเอากางเกงไหม เอาไปใส่เรียนได้กูว่ามึงควรใส่ทรงนี้ กูเห็นมึงใส่ชุดที่ไปเรียนแล้วมันขัดใจกูไอ้กางเกงขาเต่อแบบไร้รสนิยม”



“ยังไม่ทันจะรู้เลยว่าผมจะติดไหม พี่ซื้อก่อนถ้าผมไม่ติดขึ้นมาก็เก้อดิพี่ แล้วไอ้ที่ว่าผมว่าขาเต่อไร้รสนิยมผมรับไม่ได้จริงๆ” พี่กูนนิ่งคิดและพยักหน้าเห็นด้วยกับผมพร้อมกับกดเลื่อนไปยังสินค้าตัวอื่นๆ โดยที่ไม่สนใจประโยคหลังของผม “ผมพึ่งรู้ว่าพี่ช้อปเก่งเหมือนกันนะ”



“มันเป็นของที่ต้องใช้ กูไม่ค่อยมีเวลาไปเดินซื้อ ซื้อในเว็บง่ายสุดสำหรับกู” ก็อย่างว่าแหละครับงานพี่กูนทำไม่ค่อยเป็นเวลา บางวันก็ไปราชการกลับทีก็เกือบเช้า



“ผมจะตั้งใจเรียนทำงานดีๆ นะพี่ แล้วผมจะเลี้ยงพี่เอง”



“ไอ้ติกูขนลุก”



“ถ้าผมมีเงินเดือนเยอะกว่าพี่ พี่ต้องลาออกจากตำรวจนะ อันนี้ผมจริงจัง ผมอยากตอบแทนพี่”



“ไอ้ติ มึงเอาตัวเองให้รอดกูจะถือว่ากูประสบความสำเร็จที่เลี้ยงดูมึง ส่วนเรื่องตอบแทนไม่ต้องคิดเพราะกูเต็มใจทำให้มึง กูว่าเรื่องนี้เราคุยกันไปหลายรอบแล้วนะ”



“ก็ผมเกรงใจนิพี่ ทำไมผมไม่เกิดมาเป็นลูกพี่ว่ะ ผมจะได้ใช้เงินพี่แบบไม่รู้สึกผิดแบบนี้” ทุกวันนี้ผมจะใช้อะไรผมคิดแล้วคิดอีกมากกว่าตอนที่ผมหาเงินเองแบบเมื่อก่อน เพราะไม่รู้ว่าของที่ผมสียเงินซื้อไปมันคุ้มกับเงินที่พี่กูนให้มาใช้ไหม



“เกือบดีแล้วมึง”



ผมนั่งดูพี่กูนไปเรื่อยๆ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาประกาศผล เมื่อยิ่งใกล้เวลาผมก็ยิ่งตื่นเต้น แม้ตอนแรกผมจะบอกพี่กูนว่าไม่ต้องรีบดูก็เถอะ



ถ้าผมไม่ติดขึ้นมาจะทำอย่างไรวะ?



พี่กูนจะผิดหวังไหม?



ไอ้เชี้ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดจนผมนั่งไม่ติดกับเก้าอี้ และด้วยท่าทางผิดปกติของผมทำให้พี่กูนหันมาขมวดคิ้วมองเหมือนสงสัยว่าผมเป็นบ้าอะไร



“เป็นอะไรของมึง”



“คือ...พี่กะกูน.. ผมจะพูดไงดีวะ ตอนแรกก็ไม่ตื่นเต้นนะ แต่พอตอนนี้ผมโคตรกลัวเลยพี่ ไอ้เหี้ย! มือแม่งสั่น” ผมก้มลงมามองมือตัวเองที่ตอนนี้สั่นโคตรๆ แถมยังเย็นอีก “พี่..พี่ทำไงดีวะ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้อะ มันนั่งไม่ติดเลย” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้และทิ้งตัวลงนั่งและลุกขึ้นอยู่อย่างนี้จนพี่กูนถอนหายใจและเอื้อมมือมาจับข้อแขนของผมเอาไว้



“ไอ้ติ ใจเย็น”



“เย็นไม่ได้แล้วพี่ ตอนนี้ดึกแล้ว แฮร่! พี่มันไม่ตลกว่ะ จางโคตร” ผมพยายามจะสรรหามุขมาเล่น แต่มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่มากกว่าเดิม “พี่กูนนนนนนน” ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดีทำให้เผลอไปจับมือพี่กูนเข้าเต็มๆ



“......”



“ผมขอจับมือพี่แบบนี้ได้ไหม ไม่อย่างนั้นมันจะสั่น”



“......”



“ได้ไหมพี่ ไม่ได้เหรอ...” ผมเตรียมจะปล่อยมือออกจากมือของพี่กูน แต่อยู่ๆ พี่กูนก็คว้ามือของผมเอาไว้และออกแรงดึงให้ผมนั่งลงเหมือนเดิม



“ไม่ติดกูก็ไม่ได้ว่าอะไร” เมื่อเห็นว่าผมตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก พี่กูนจึงพยายามใช้น้ำเสียงเย็นๆ เพื่อให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย



“แต่ผมไม่อยากให้พี่ผิดหวัง เพราะพี่บอกว่าพี่หวัง”



“แต่กูก็ไม่ได้บอกว่ากูจะไม่ยอมรับความผิดหวัง กูหวังก็จริงแต่กูก็ต้องเผื่อใจให้กับความผิดหวังด้วยดิ ไม่ใช่ทุกเรื่องหรอกนะที่จะสมหวัง” ผมเข้าใจที่พี่กูนพูดนะแต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่อยากให้พี่กูนผิดหวังจริงๆ มันเหมือนถ้าผมสอบติดก็เป็นการตอบแทนพี่กูนอย่างหนึ่ง



“ถ้าผมผิดหวังผมไม่เป็นไร แต่ผมไม่อยากให้พี่มาผิดหวังเพราะผม” ผมก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพี่กูน



“ไอ้ติ มึงฟังกูรู้เรื่องไหมเนี่ย”



“รู้พี่ แต่ผม....ผมอธิบายไม่ถูกว่ะ”



“กูเข้าใจนะที่มึงอยากติดเพราะมึงอยากให้กูภูมิใจ กูบอกตามตรงว่ากูดีใจที่มึงคิดแบบนี้ แต่ถ้ามันไม่ติดก็ไม่เป็นไรจริงๆ”



“ผมอยากติด.....”



“อย่ากดดันตัวเอง”



“ผมอยากดูว่ะพี่”



“เอางี้ไหม มึงหลับตาแล้วกูจะดูให้ว่ามึงติดไหม ถ้าติดกูจะตบหัวมึง ถ้าไม่ติดกูจะสะกิดแบบเบาๆ” ผมพยักหน้าตามที่พี่กูนพูด และตอนนี้ผมหลับตาและฟังเสียหายใจของพี่กูนที่ดูลุ้นอยู่เหมือนกันขณะที่กำลังคลิกเมาส์



“พี่....”



“มึงอย่าเรียกกู นั่งเงียบๆ ไป” น้ำเสียงของพี่กูนเองดูจริงจังจนผมปิดปากเงียบและหลับตาอยู่กับที่นิ่งๆ เพื่อรอสัญญาณพี่กูนตามที่ตกลง ถ้าติดผมโดนตบหัวถ้าไม่ติดผมจะถูกสะกิดเบาๆ ก็ถือว่าพี่กูนไม่ได้ซ้ำเติมผมแรงๆ ถ้าผมไม่ติด และนี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมรอคอยการตบหัวจากพี่กูน



“.........”



ไอ้เชี้ย!! ลุ้นจนเยี่ยวเหนียวแล้วพี่กูนก็ยังไม่ทำอะไรผมสักที



“พะ...พี่ ตุบ!!!!”



เพี๊ยะ!!!



“ไอ้ติ!!!!”



มันเกิดขึ้นเร็วมากเมื่ออยู่ๆ ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่มือมากระแทกที่ศีรษะผม ด้วยความเจ็บผมจึงลืมตาขึ้นมาก่อนจะเห็นว่าพี่กูนยืนมองผมตกลงมาจากเก้าอี้ ในมือของพี่กูนมีถาดใบใหญ่ที่ผมไม่รู้ว่าไปเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่



“พี่กูนผม....”



“ไอ้ติน้องรักกก!!! มึงติดเว้ย มึงติดไอ้เหี้ยเอ้ย! ติดอันดับหนึ่งด้วย!! คะแนนมึงมาโด่งเลย โดยเฉพาะภาคปฏิบัติ ไอ้ติ!!!! ไอ้ติมึงติด!!! มึงติดแล้ว!!” ไม่พูดเปล่าพี่กูนก้มลงมาจับตัวผมให้ลุกขึ้นยืนและเขย่าจนตัวผมโยกไปมา



ไอ้ท่าทางดีใจจนเสียอาการแบบนี้ ช่วยบอกผมทีว่าพี่กูไม่ได้หวังอะไรเลย



ผมไม่อยากคิดภาพถ้าผมสอบไม่ติดขึ้นมา



“สรุปผมติดใช่ไหมพี่”



“เออดิ!!!”



“แค่ถามเองพี่ เสียงดังใส่กันเฉย” ผมอยากไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวิดีโอพี่กูนตอนนี้เลย โคตรตลก ห้ะ! เดี๋ยวนะผมสอบติดเหรอวะ??? เป็นไปได้ไง



“พี่!!!! ผมติดเหรอ!!!!”



“ไอ้ติมึงเสียงดังกว่ากูอีก”



“พี่....ตึง!”



“ไอ้ติ๊!!!!” ผมไม่รับรู้อะไรแล้วครับ





Kun’ s talk



ผมยืนมองไอ้เด็กติที่ตอนนี้มันนอนหลับอยู่บนเตียงหลังจากที่ผมลากมันมาจากห้องนั่งเล่น ผมยอมรับเลยว่าผมดีใจที่ไอ้ติมันติดมหาวิทยาลัย จริงๆ ผมรู้อยู่แล้วว่ามันน่าจะติดแต่ไม่คาดคิดว่ามันจะติดเป็นลำดับที่หนึ่ง มันเกินความหมายของผมจริงๆ



มันอาจจะดูเวอร์ที่ผมดีใจมากขนาดนี้ แต่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าตอนนี้สถานะของไอ้ติเปรียบเสมือนน้องชายแท้ๆ เลยก็ว่าได้ ถึงมันจะอยู่กับผมได้ไม่นานก็เถอะ



และไอ้การที่ผมซื้อนู่นนี่ให้มันเยอะไม่ใช่ว่าจะตามใจเลยหรือสปอยล์แต่ผมมองว่าไอ้ติมันควรมีของดีๆ ไว้ใช้บ้าง โดยเฉพาะตอนที่มันมีโอกาสแบบนี้ มันไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย มีแต่ผมที่เต็มใจจะให้ เห็นผมให้มันแบบนี้แต่แม่กับตาสปอยล์มันมากกว่าผมอีก ถ้าผมปล่อยให้แม่รับมันเป็นลูกบุญธรรมไอ้ติเสียคนแน่ๆ



“นอนซะมึง เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะไปซื้อไอแพดให้” ผมไม่ได้สปอยล์มันหรอกเนอะ แต่เดี๋ยวนี้ไอแพดมันจำเป็นสำหรับการศึกษา



ผมไม่ได้สปอยล์ไม่เชื่อผมเหรอ???

หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:37:27
บทที่ 10

สังคมใหม่กับคนใหม่ๆ



Sati’ s talk



เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก นับตั้งแต่วันที่ประกาศผลผ่านมาเกือบๆ เดือนวันนี้เป็นวันสัมภาษณ์ ผมตื่นเต้นมากกว่าเดิมอีก โดยเฉพาะตอนนี้รอบๆ ผมมีแต่คนมาสัมภาษณ์เต็มไปหมด หน้าตาแต่ละคนดูดีกว่าเพื่อนๆ ผมหลายเท่า เอาจริงๆ ผมอดที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ ไม่ได้เลย



อ่อ! ผมลืมบอกไปว่าวันนี้พี่กูนมาส่งผมเหมือนเดิม ตอนแรกพี่กูนจะอยู่รอรับแต่พอดีว่ามีงานเข้าทำให้พี่กูนจำเป็นต้องกลับไปทำงาน ซึ่งเรื่องนี้ผมเข้าใจดี อีกอย่างผมก็สามารถกลับบ้านเองได้ จึงไม่เดือดร้อนถ้าพี่กูนจะไม่อยู่รอรับผม



“มึงชื่อไรวะ” ผมหันไปมองคนข้างๆ ผมที่อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาโดยที่สายตาไม่ได้มองมาที่ผม



“ถามกูเหรอ?”



“เออ นั่งอยู่กับมึงจะให้กูถามป้ามึงมั้ง” นับว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่การทำความรู้จักเริ่มด้วยการด่าญาติพี่น้อง แต่ยังดีที่มันไม่เล่นพ่อแม่ผมด้วย เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรนะ เพราะพ่อกับแม่ก็เหมือนคนแปลกหน้าสำหรับผมอยู่แล้ว ด่าไปเถอะผมโอเค



“กูชื่อติ มึงชื่อไร”



“ช้าง กูชื่อช้างใหญ่”



“เอ่อ..ทำไมต้องมีใหญ่ด้วยวะ” อันนี้ผมไม่ได้กวนตีนมันนะแต่ผมสงสัยคำคุณศัพท์ของมันที่แถมมาด้วย



“ตอนอนุบาลมีคนชื่อช้างหลายคนแต่กูตัวใหญ่สุดเลยชื่อช้างใหญ่”



“กูถามจริง” ไอ้ที่ผมถามจริงก็เพราะว่ารูปร่างของมันตอนนี้ห่างไกลจากคำว่าตัวใหญ่ของมันเลย ดูจากสายตามันน่าจะเตี้ยกว่าผมหลายเซนต์ ตัวมันก็ไม่ได้อ้วนไม่ได้ใหญ่เลย



“ถ้ามองกูตั้งแต่หัวจรดตีนขนาดนี้มึงลุกมาต่อยกูก็ได้นะ”



“ไม่เอาดิวะไม่อยากมีเรื่องตั้งแต่วันแรก เอาเป็นว่าตอนนี้กูกับมึงเป็นเพื่อนกันแล้วเนอะไอ้ช้างใหญ่”



“เออ มึงติเนอะ”



“ใช่ ติเอง” และผมก็มีเพื่อนแบบงงๆ จะว่าไปผมกับไอ้ช้างใหญ่ก็คุยกันถูกคอเหมือนรู้จักกันมานาน จนกระทั่งหลังสัมภาษณ์มันชวนผมไปกินข้าวกับพี่ของมัน



“สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้รุ่นพี่ของไอ้ช้างใหญ่ที่เดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางนักเลง บอกตามตรงว่ากลิ่นอายตอนเรียนที่วิทยาลัยมันกลับมา



“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ พี่กูใจดีๆ” ไอ้ช้างใหญ่ดึงตัวผมนั่งลงที่เดิม



“เพื่อนมึงเหรอไอ้ช้าง”



“เออดิพี่ ไอ้ตินี่พี่สิงห์พี่ชายกูอยู่ปีสี่ พี่สิงห์นี่เพื่อนผมชื่อติเด็กปวส.เหมือนกัน”



บอกตามตรงว่าผมโคตรเกร็งเพราะนอกจากพี่สิงห์พี่ชายแท้ๆ ของไอ้ช้างยังมีเพื่อนพี่สิงห์อีกสี่ห้าคนตามเข้ามา ผมจับใจความได้ว่าพวกพี่สิงห์เองเป็นเด็กเตรียมวิดวะของมหาวิทยาลัยนี้เหมือนกับไอ้ช้างใหญ่ แต่พวกพี่สิงห์ค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนในคณะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลนี่แหละ



“ถ้าใครปากดีหาเรื่องพวกมึงก็บอกกู ไม่ได้จะจัดการให้มึงนะ แต่จะเรียกมาอบรมเพราะที่นี่เรื่องทะเลาะวิวาทไม่มี กูไม่รู้หรอกว่าที่วิลัยมึงจะเป็นอย่างไร แต่ที่นี่มันไม่ใช่ แล้วก็อย่าให้กูรู้ว่าพวกมึงไปหาเรื่องใครเพราะถ้ากูรู้มึงโดนหนักแน่ โดยเฉพาะมึงไอ้ช้าง” ก่อนจะกลับพี่สิงห์ย้ำเตือนเรื่องการมีเรื่องในมหาลัยให้ผมกับไอ้ช้างใหญ่ฟัง ซึ่งผมเองก็ไม่ได้กระหายจะมีเรื่องกับใครอยู่แล้ว แต่ไอ้เพื่อนใหม่ของผม ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน ก็รอดูกันไปอย่างน้อยผมก็อุ่นใจที่ผมมีเพื่อนในมหาลัยคนแรกอย่างไอ้ช้างใหญ่



“มึงอยู่หอหรือบ้านวะไอ้ติ” ตอนนี้ไอ้ช้างใหญ่เดินมาส่งผมที่ป้ายรถเมล์หลังจากที่อยู่คุยกับพวกพี่สิงห์



“บ้านๆ มึงอะไอ้ช้างใหญ่” ผมถามมันกลับ



“อยู่บ้านเหมือนกัน แต่พี่สิงห์อยู่หอถ้าวันไหนขี้เกียจกลับบ้านก็มาอยู่กับพี่สิงห์” เมื่อมาถึงป้ายรถเมล์ไอ้ช้างใหญ่ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผมพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นให้ผม “เอาเบอร์มึงมา เผื่อติดต่อกันช่วงปิดเทอม เออหนิมึงซื้อเสื้อช้อปยัง”



“ต้องใส่ด้วยเหรอมึง” อันนี้ผมถามด้วยความโง่เลย เสื้อช้อปที่ไอ้ช้างมันว่าก็คือเสื้อที่ผมเคยใส่ไปเรียนตอนอยู่ปวส.แต่พอขึ้นมหาลัยก็ยังคงต้องใส่เหรอวะ ผมคิดว่าใส่แค่เสื้อนักศึกษาซะอีก



“ใส่ดิวะไม่เห็นพี่สิงห์ใส่เหรอ”



“แล้วเราต้องมีกี่ตัววะ” ตอนที่ผมเรียนปวส.ผมมีแค่ตัวเดียวใส่สามวันต่ออาทิตย์ ผมก็รีบกลับมาซักถ้าวันไหนซักไม่ทันผมก็ใส่ซ้ำ



“กูว่าจะซื้อสักสามสี่ตัวจะได้ใส่ครบอาทิตย์ไม่อยากรีบซัก”



“แล้วมันเท่าไหร่วะ”



“ตอนที่พี่สิงห์ตัดก็ตัวละเกือบๆ ห้าร้อยมั้ง น่าจะไม่เกินนี้” ห้าร้อยเลยเหรอวะ? สามตัวก็พันห้า แล้วผมจะเอาเงินมาจากไหนตั้งพันห้า เงินที่พี่กูนให้ผมเอาไว้กินก็เหลือพอที่จะซื้อเสื้อใส่ แต่...ผมจะเก็บส่วนนั้นไว้ใช้จ่ายค่าชีทค่าหนังสือเรียน ถ้าเอามาซื้อเสื้อตอนนี้มีหวังไม่พอแน่ๆ อีกอย่างผมก็ไม่อยากจะรบกวนพี่กูนมากไปกว่านี้ ลำพังแค่พี่กูนออกค่าเทอมให้ผมก็เยอะพอแล้ว “มึงมีปัญหาอะไรหรือป่าววะ กูพอจะช่วยได้ไหม?” เมื่อเห็นว่าผมเงียบไปไอ้ช้างใหญ่มันเลยถามขึ้น



“ไม่มีมึง งั้นกูไปก่อนนะรถเมล์มาพอดี” เป็นจังหวะที่รถเมล์สายที่ผมใช้กลับบ้านผ่านมาพอดี ทำให้ผมใช้โอกาสนี้บอกลาไอ้ช้างใหญ่



ระหว่างทางผมก็คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับค่าใช้จ่ายจุกจิกแบบนี้ การเรียนมหาวิทยาลัยแค่ค่าเทอมอย่างเดียวมันไม่ได้ ผมว่าผมต้องคุยเรื่องนี้กับพี่กูนจริงจังเรื่องทำงานพิเศษ ถ้าให้ผมแบมือของอย่างเดียวผมทำไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ขอให้ผมพยายามด้วยตัวผมเองบ้าง



“ไปไหนน้อง”



“หมูบ้านพฤษเสียวโฮมพี่” หลังจากที่ลงรถเมล์ผมก็มาต่อวินมอเตอร์ไซค์เพื่อเข้าไปยังหมู่บ้าน แต่ระหว่างนั้นผมเหลือบเห็นป้ายประกาศรับสมัครวินมอเตอร์ไซค์อยู่ที่ท่าวิน “เปิดรับวินเหรอพี่” เมื่อได้โอกาสผมจึงแอบถามพี่วินคันที่ผมขึ้น



“ใช่ แต่แค่ชั่วคราวสองเดือนระหว่างที่คนเก่ามันกลับไปแต่งงาน น้องสนใจเหรอ?” พี่วินเอี้ยวตัวกลับมาถามขณะขับรถ “ปกติต้องเสียค่าเสื้อวินนะแต่ถ้าน้องสนใจมันชั่วคราวไม่ต้องจ่าย แค่ว่างมาทำพอ”



“แล้วมันต้องหักค่าอะไรไหมพี่”



“ก็มีนิดหน่อย ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด”



“ผมสนใจพี่ แต่ว่าผมขอไปถามผู้ปกครองผมได้ไหมครับ”



“ถ้านานพี่รู้ว่าจะมีคนมาแทนไหม”



“งั้น....ผมทำพี่ เริ่มพรุ่งนี้ใช่ไหมครับ” ในเมื่อไม่มีเวลาให้คิดผมจึงตอบตกลงพี่วินไปโดยที่ยังไม่ได้ขออนุญาตพี่กูน



“มีใบขับขี่นะ”



“มีครับ” และแล้วผมก็ตกลงกับพี่วินและรู้ทีหลังว่าพี่วินที่มาส่งผมชื่อว่าพี่ติ่ง เป็นหัวหน้าวิน ในเมื่อผมคอนเฟิร์มกับพี่ติ่งแล้วพี่ติ่งก็จะล็อกงานนี้ให้ผม และโชคดีอีกอย่างก็คือพี่ติ่งให้ผมขับมอเตอร์ไซค์ของพี่ที่ไปแต่งงานทำให้ผมไม่ต้องไปหามอเตอร์ไซค์ ไม่อย่างนั้นได้ยกเลิกแน่



เมื่อมาถึงบ้านผมจัดการเปลี่ยนชุดเก็บกวาดทุกอย่างและอุ่นอาหารเตรียมให้พี่กูนที่ยังไม่ได้กลับมาจากที่ทำงาน ผมจัดการตัวเองจนเสร็จเลยมาเตรียมคำพูดว่าจะพูดกับพี่กูนอย่างไรดีให้พี่กูนยอม



“พี่กูนครับคือพี่ดีกับผมมาก แต่ว่าผมต้องใช้เงินและผมไม่อยากขอพี่ ดังนั้นผมอนุญาตไปทำงานนะ....อันนี้ดีป่าววะ”



“พี่กูนครับคือไปมหาลัยมันต้องใช้เงินเยอะผมไม่อยากขอเงินพี่ ผมขอไปทำงานข้างนอกนะ พี่ไม่ต้องกังวลผมดูแลตัวเองได้”



“พี่กูนผมขอไปทำงานนะพี่” ผมซ้อมพูดอยู่คนเดียวหน้ากระจกพยายามจะทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารเผื่อพี่กูนจะเห็นใจและยอมให้ผมไปทำงาน



ผมนั่งรอและซ้อมพูดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพี่กูนกลับมา...หัวใจของผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะขณะที่พี่กูนกำลังก้าวเข้ามาด้านใน



“ครับท่าน พรุ่งนี้ได้ครับ....” พี่กูนคุยโทรศัพท์เข้ามาด้านใน แต่เมื่อเห็นว่าผมยืนขึ้นทำท่าเหมือนจะพูดอะไรพี่กูนเลยหยุดพูดกับปรายสายพร้อมกับเลิกคิ้วมาทางผม



“คือว่าผม....” ส่วนไอ้ผมก็เอาแต่อึกอักไม่กล้าขอ



“ได้ครับไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ผมรวบรวมสำนวนทุกอย่างไว้แล้วเกี่ยวกับคดีนี้ รอแค่หลักฐานจากกองพิสูจน์เท่านั้นครับ” แม้ว่าปากของพี่กูนจะคุยอยู่กับปลายสายเหมือนไม่สนใจ แต่สายตากลับจ้องมาที่ผมดุๆ เพื่อสื่อว่าให้ผมรีบพูด



“ผมขอไปขับวินนะพี่” ผมรวบกล้าพูดออกมาเร็วๆ



“ครับท่าน ได้ครับ ผมว่านะเรื่องนี้มันอาจจะมีขั้นตอนบางอย่างผิดปกติก่อนที่จะส่งมาถึงพวกเรา” พี่กูนพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินคุยโทรศัพท์และเข้าไปในห้อง



“ตกลงคือได้ใช่ป่าววะ สรุปเองว่าได้ก็ได้วะ” ผมยืนงงอยู่สักพักก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอาหารเพื่อรอพี่กูนไปเปลี่ยนชุดและอาบน้ำอาบท่า



รอไม่นานพี่กูนเดินออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดผมมองผมด้วยสายตาจับผิด



“มึงไปทำอะไรผิดมา?” พี่กูนถามอย่างแปลกใจ



“คือ...ผม ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนิพี่ พี่จะเอาข้าวเยอะไหม แต่ผมว่าเอาเยอะไปเลยเนอะพี่ พี่จะได้โตไวๆ มีแรงทำงานเพื่อประชาชน” ผมเนียนเดินไปตักข้าวให้พี่กูน



“ให้กูกินหมดนี่?” พี่กูนมองข้าวในจานที่ผมตักมาให้แบบพูนๆ



“ผมอยากให้พี่กินอิ่มนอนหลับไง”



“มึงรู้ตัวไหมว่ามีพิรุธ”



“ไม่รู้อะไรเลยพี่ พี่กินๆ วันนี้ป้าแจ่มทำแต่ของโปรดพี่ทั้งนั้นเลย ไก่กระเทียม ไข่พะโล้ กุ้งผัดสตอ” ผมรีบตักอาหารใส่ไปในจานพี่กูนอย่างเอาอกเอาใจ



“ถ้ากูจับได้สองเท่า”



“ไม่มีไงพี่บอกว่าไม่มีก็ไม่มีอะไรจริงๆ เชื่อผมดิ”



“แล้วไปสัมภาษณ์มาเป็นไง” พี่กูนตักข้าวกินพร้อมกับเอ่ยถามถึงเรื่องการสัมภาษณ์วันนี้



“ก็ดีพี่ ผมมีเพื่อนแล้วคนหนึ่งชื่อช้างใหญ่แต่ตัวอย่างมดเลย ท่าทางตลกดีมันมีพี่ด้วยนะเชื่อพี่สิงห์น่าจะเป็นคนดังของคณะเลย”



“กูก็แนะนำอะไรมึงไม่ได้หรอกนะ เพราะกูไม่เคยเรียนมหาลัย แต่คบเพื่อนก็เลือกคบแต่เพื่อนดีๆ อย่าพากันลงเหว ถ้าไม่มีเพื่อนดีๆ มึงก็อย่าพาตัวเองไปตกต่ำ” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ



“พี่..ทำไมพี่ถึงไม่อยากให้ผมทำงานพิเศษ”



“เรื่องนี้คือเรื่องที่ทำให้มึงแปลกๆ เหรอไอ้ติ มึงปิดบังอะไรกู” พี่กูนวางช้อนส้อมลงก่อนจะนั่งกอดอกพิงเก้าอี้และมองหน้าผมนิ่งๆ



“ไม่มีหนิพี่ ผมแค่ถามดูเห็นพี่ไม่อยากให้ผมทำงาน” ผมเฉไฉไปเรื่อยพยายามหลบสายตาและโฟกัสอยู่กับอาหารตรงหน้า



“ถือว่ากูถามมึงแล้วนะไอ้ติ” ทำไมผมรู้สึกเสียวสันหลังกับคำพูดของพี่กูนจังวะ ผมรู้ว่าพี่กูนไม่ได้ขู่แต่พี่แม่งทำจริงแน่ๆ แต่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องไม่กล้าที่จะเอ่ยปากบอกพี่กูนไปตรงๆ ว่าผมขับวิน



ระหว่างกินข้าวผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผมปิดบัง และผมก็ได้ข้อสรุปว่า ถ้าผมบอกแล้วพี่กูนไม่ให้ผมทำงาน มันจะทำให้ผมต้องไปยกเลิกพี่ติ่ง ซึ่งผมรับปากไปแล้วผมไม่อยากผิดคำพูด



ผมไม่รู้ว่ามันจะเพียงพอไหม แต่ที่แน่ๆ ผม...ผมไม่อยากรบกวนเงินของพี่กูน



ขอโทษที่ผมเลือกที่จะปิดบังนะครับ



“ครับพี่ ผมไม่มีอะไรจริงๆ” พี่กูนพยักหน้าและกินข้าวต่อและไม่ได้สนใจผม จนกระทั่ง



“กูไม่อยู่บ้านนะ น่าจะเกือบๆ เดือนไม่ต้องอุ่นอาหาร มึงไปกินกับพ่อแม่บ้านใหญ่เลย ถ้าขาดเหลืออะไรก็ไลน์มาบอก ช่วงนี้ยุ่งๆ หน่อย” ผมเห็นแววตาเหนื่อยๆ ของพี่กูนเมื่อพูดถึงเรื่องงาน



“เป็นตำรวจแบบพี่มันเหนื่อยเนอะ ตั้งแต่ผมมาอยู่กับพี่ผมยังไม่เคยเห็นพี่ได้พักผ่อนอยู่บ้านเลย ทำไมตำรวจคนอื่นๆ ถึงดูสบายจัง”



“สบาย สบายไงวะ”



“ก็แบบมีเงินใช้ มีรถหรู มีเมียเยอะ ไม่รู้ดิมันดูสบาย แต่พี่คือหอบงานมาทำเกือบทุกวัน แถมงานของพี่ยังโคตรจะเสี่ยง ผมเห็นแม่พี่บ่นบ่อยๆ” อันนี้ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้อยากเผือกเลย เพียงแต่..ผมแอบได้ยินคุณแม่ของพี่กูนบ่นอยู่บ่อยๆ



“กูเลือกแล้ว”



“แม้ว่าพี่จะไม่มีความสุขอะนะ?”



“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่มีความสุข?”



“ถ้าพี่มีความสุขพี่คงไม่กลับบ้านมาเครียดแบบนี้เกือบทุกวันหรอก ผมขอพูดในฐานะน้องชาย ผมเป็นห่วงพี่วะผมไม่อยากให้พี่เสี่ยง”



“แต่มันเป็นงานของกู ถ้ากูไม่ทำจะเอาที่ไหนกิน? ให้กูขอแม่แบบนั้นดิ?”



“แต่พี่เคยบอกว่าพี่รวย...”



“เฮ้อออ ทำไมกูต้องมานั่งอธิบายให้มึงฟังวะไอ้ติ?” คราวนี้พี่กูนถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าผมยังคงไม่หยุดเซ้าซี้เกี่ยวกับเรื่องงานของเขา



“ก็เพราะเงินที่ผมใช้อยู่ทุกวันมันเป็นเงินของพี่ ถ้าเงินพี่มันแลกมากับความเสี่ยงและความเครียดพี่ว่าผมควรรู้สึกอย่างไง?” เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าจะพูดเรื่องนี้กับพี่กูนตรงๆ เพราะผมไม่อยากรบกวนเงินโดยเฉพาะถ้าผมรู้ว่าเงินนั้นของพี่กูนแลกมาพร้อมกับความเสี่ยงและความเครียด



“ไม่ต้องห่วงกู”



“แต่พี่เป็นพี่ชายผมนะ”



“มึงก็เป็นน้องกู ไม่ต้องคิดมาก”



“ต้องคิดดิพี่...”



“แค่ตั้งใจเรียนและอยู่ในคำสั่งของกูก็พอ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดต่อพี่กูนกลับแทรกขึ้นมาก่อนจะลุกและเดินออกไปด้วยท่าทางไม่พอใจสักเท่าไหร่ที่ผมพูดแบบนั้น แต่ช่างเถอะที่ผมพูดมันคือเรื่องจริง
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:37:58
บทที่ 11

งานพาซวย เอ๊ย! พารวย



“พี่กูนไปดีมาดีนะพี่” ผมลากกระเป๋าพี่กูนออกมาเตรียมยกขึ้นรถ



“กูยังไม่ตายไอ้ติ”



“ผมอวยพรพี่นะ ไม่ได้แช่งไรเลย” ผมเลิกเถียงกับพี่กูนเพราะต้องยกกระเป๋าใส่หลังรถ ครั้งนี้คงไปนานจริงเพราะกระเป๋าดูเยอะกว่าทุกที “พี่ไปนานผมคิดถึงพี่แย่เลย”



“รู้ไหมว่าคนที่พูดแบบนี้ หกสิบเปอร์เซ็นต์คือคนที่ไม่อยากให้รีบกลับเพราะมีคดีติดตัว” ผมไม่รู้ว่าพี่กูนมายืนอยู่ข้างๆ ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ มือเย็นๆ ของพี่กูนบีบอยู่ที่หลังคอของผมเบาๆ



“โห่พี่ ผมไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ผมจะเป็นเด็กดีรอพี่กลับมาเลย สัญญา”



“ถ้าไม่พอใช้อย่างไงก็ไลน์มาบอก”



“ครับพี่ แค่นี้ก็เยอะพอแล้ว โชคดีครับ” ผมยืนรอให้พี่กูนขึ้นรถและขับออกไปส่วนผม...เมื่อได้โอกาสก็รีบเข้าไปในบ้านเปลี่ยนชุดเพื่อออกไปทำงาน โชคยังดีที่พี่กูนออกจากบ้านเร็วผมจะได้มีเวลาเตรียมตัว



เมื่อแต่งตัวเสร็จผมรีบเดินออกไปหน้าปากซอยโดยใช้เวลาไม่นาน เมื่อผมถึงคิววินพี่ติ่งเดินออกมารับผมพร้อมกับยื่นเสื้อวินให้



“ยินดีต้อนรับไอ้น้องติ”



“ขอบคุณพี่ๆ มากเลยครับ” ผมรับเสื้อวินสีเขียวขึ้นมาใส่ก่อนจะพลิกดูเลขด้านหลัง หนึ่งสอง ขอให้โชคดีด้วยเถิด



“เอ็งรอดูป้ายตามคิวนะ ถ้าเลขเอ็งขึ้นบนป้ายก็ไปส่งลูกค้าแต่ส่วนมากถ้าลูกค้าเยอะจะไม่เปลี่ยนเบอร์ ว่าแต่มึงถนัดเส้นทางแถวนี้นะ” พี่ติ่งเดินมาแนะนำและสอนงานก่อนจะย้ำกับผมเรื่องเส้นทาง



“ถนัดพี่ หลับตาเดินยังได้”



“โม้นะมึง” พี่ติ่งพาผมมารับรถของพี่แชมป์ พี่ที่เป็นเจ้าของรถและเสื้อวินที่ผมใส่ รถของพี่แชมป์เป็นฟีโน่สีชมพูสดใส หมวกกันน็อกสีเขียวซึ่งไม่มีความเข้ากันเลย แต่ถ้าจะเอาความเด่นผมบอกเลยว่าของพี่แชมป์เด่นที่สุดในวิน



“ไปสี่แยกค่ะ” ลูกค้าสาวสวยเดินเข้ามาในวิน พี่ติ่งมองหน้าผมและบอกให้ผมรับลูกค้าคนนี้ไป



“หมวกครับ” ผมยื่นหมวกกันน็อคอีกใบให้กับลูกค้าก่อนจะออกตัวไปยังปลายทาง ระหว่างนั้นผมขับไปทางถนนก่อนจะเลี้ยวยูเทิร์นกลับมาที่คิววิน



“เป็นไงไอ้ติ ทำไมนานจังวะ” พี่ติ่งถามเมื่อผมจอดรถเทียบท่า



“ยูเทิร์นไกลพี่”



“ใครเขายูเทิร์นกันไอ้น้อง ขับวินมันต้องเร่งเวลาถ้าช่วงไหนคนเยอะต้องรีบกลับมา เดี๋ยวลูกค้ารอนาน ทางที่ดีและสะดวกที่สุดคือย้อนศร” พี่คนหนึ่งพูดสวนขึ้นมาก่อนที่พี่ติ่งจะพูด



“จริงเหรอครับพี่ติ่ง?”



“ก็ตามนั้นไอ้น้อง” พี่ติ่งตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะไปเช็ดทำความสะอาดรถของเขาระหว่างที่ยังไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ





‘กูมีความรู้สึกว่ามึงกำลังทำอะไรผิด ไอ้ติ’





ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อได้รับข้อความบางอย่าง ผมว่านะพี่กูนแม่งระแวงผมเกินไป หรือจะพูดให้ถูกพี่กูนเซ้นแรงมาก เหมือนรู้ว่าผมแอบมาทำงาน แต่จะว่าแอบก็ไม่ใช่เพราะผมบอกพี่กูนแล้วว่าผมขอมาขับวินพี่กูนก็พยักหน้าตอบรับ





ไม่มีอะไรพี่ ทำงานให้สนุกเถอะครับ ไม่ต้องห่วงทางนี้ผมจะทำหน้าที่ดูแลครอบครัวพี่ให้เอง





‘เกินไปนะมึง’





ผมไม่ได้ตอบอะไรพี่กูนกลับ ขืนตอบไปมากกว่านี้ได้มีหลุดแน่ๆ อีกอย่างผมก็ไม่อยากให้พี่กูนเป็นห่วง



“ไอ้ติรับลูกค้า” และตลอดทั้งวันผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการรับลูกค้าเลยไม่ได้สนใจว่าพี่กูนจะส่งข้อความอะไรมา จนกระทั่งผมกลับเข้าบ้าน



“เหนื่อยฉิบหาย แต่ว่าคุ้มอยู่” ผมนั่งนับเงินเป็นรอบที่ร้อย เงินก้อนแรกของการทำงานครั้งใหม่ แม้ไม่ใช่ครั้งแรกแต่ผมก็รู้สึกดีใจและภูมิใจทุกครั้งที่ผมได้เงินมา เงินนี้ผมจะไม่ใช้แต่ผมจะเก็บเอาไว้ให้พี่กูน ผมฝันมานานแล้วว่าถ้าวันหนึ่งผมมีผู้ปกครองหรือครอบครัวเงินที่ผมทำงานได้ผมจะยกให้เขาหมดเลย แต่นั่นแหละครั้งแรกที่ผมทำงานที่อู่หลวงตาก็ไม่ยอมรับเงินที่ผมให้ แต่ครั้งนี้พี่กูนจะปฏิเสธผมไม่ได้ถึงปฏิเสธอย่างไรผมก็จะให้อยู่ดี



ส่วนเรื่องเสื้อเรื่องชีทผมค่อยเก็บเงินเดือนหน้าดีกว่าส่วนเดือนนี้ผมขอใช้เงินทั้งหมดที่ทำงานเก็บไว้ให้พี่กูน พี่ชายที่แสนดีแต่ปากโคตรร้ายของผม



“ไอ้ติลูกค้า!!”



“ไอ้ติซอยสอง!”



“ไอ้ติไวๆ !”



ตลอดทั้งเดือนผมเอาแต่รับลูกค้าตั้งแต่เช้ากว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบๆ ทุ่ม วันไหนคนเยอะก็สองทุ่มสามทุ่ม แต่โชคดีที่ไม่มีคนอยู่บ้าน ทั้งคุณพ่อคุณแม่และพี่ธิตาเพราะทั้งหมดไปเที่ยวญี่ปุ่น ส่วนพี่กูนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับบ้าน อีกอย่างผมไลน์ไปเมื่อสามสี่วันก่อนพี่กูนก็ยังไม่ตอบสงสัยงานจะยุ่ง



“ไอ้ติลูกค้า” ผมขับรถไปเทียบท่าเพื่อรอให้ลูกค้าก้าวขึ้นมานั่ง



“ไปไหนครับ” ผมเอี้ยวตัวไปถาม



“เซนทรัลครับ” ผมพยักหน้าและยื่นหมวกให้ลูกค้าอย่างเคย ครั้งนี้ไปเซนทรัลซึ่งมันค่อนข้างไกลจากวินซึ่งระหว่างทางก็ต้องคอยซอกแซกระหว่างรถใหญ่ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่จราจรหนาแน่นกว่าช่วงเวลาปกติ “ว่าแต่ว่าน้องนี่หน้าคุ้นๆนะครับ เหมือนพี่เคยเห็นที่ไหน”



“สงสัยผมจะหล่อจนพี่จดจำได้เลยมั้งครับ” ผมมองสบตาลูกค้าผ่านกระจกหลัง “รีบไหมพี่” หลังจากนั้นผมถามลูกค้าเพราะถึงจะซอกแซกอย่างไรก็น่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน



“รีบอยู่ครับ”



“งั้นผมไปทางลัดนะ”



“จัดเลย” เมื่อลูกค้าอนุญาตผมเลยรีบจัดการเลี้ยวรถเข้าไปในซอย ซึ่งเส้นทางนี้ผมก็ไม่เคยมาหรอกแต่เคยได้ยินพี่ๆ ที่วินบอกว่ามันสามารถทะลุไปข้างหลังเซนทรัลได้ แต่เส้นทางมันค่อนข้างที่จะเปลี่ยวอยู่เล็กน้อย



เมื่อขับเข้ามาในซอยผมจึงรับรู้ได้ว่ามันเปลี่ยวจริงๆ ไม่ใช่มันไม่มีบ้านคนอยู่นะ มันมีแต่บ้านค่อนข้างที่จะเก่าๆ คล้ายๆ กับสลัม มีวัยรุ่นอยู่เป็นจำนวนมาก เอาจริงๆ มาซอยนี้แล้วผมคิดถึงเมื่อก่อนเลย สภาพแบบนี้แหละที่ผมโตมา



“น้อง...ทำไมมันดูอันตรายจัง” ลูกค้าสะกิดไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะยื่นหน้ามาถาม



“เอ่อ..งั้นผมจะรีบขับนะครับ” ผมเองก็กลัวอยู่เหมือนกัน ยิ่งเห็นสายตาไอ้พวกวัยรุ่นผมก็พอจะมองออกว่าพวกมันกำลังไล่ผมออกจากที่ของพวกมัน



ผมเร่งความเร็วมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่ามีรถมอเตอร์ไซค์ขับตามหลังผมมาสองสามคัน



“เกาะแน่นๆ นะพี่” ผมตะโกนบอกลูกค้าที่นั่งอยู่ด้านหลังจนสุดเสียงก่อนจะบิดมิดไมล์ ผมมองกระจกรถเพื่อดูว่าพวกวัยรุ่นมันยังตามมาอยู่ไหม ปรากฏว่าก็ยังตามมาอยู่ด้วยความเร็วสูสีกับพวกผม



“เห้ย! เข้ามาทำไมวะ!” ดูเหมือนว่าความเร็วของรถที่ผมขับจะไม่เท่ารถของพวกวัยรุ่นที่แต่งมา ทำให้ตอนนี้ทั้งสองข้างของผมขนาบข้างไปด้วยรถของพวกวัยรุ่น



“มาส่งลูกค้าครับ” ผมเปิดหมวกด้านหน้าและตอบพวกวัยรุ่นไป พยายามทำเสียงให้ดูเป็นมิตรที่สุดเพื่อเลี่ยงการถูกกระทืบ แผลเก่ายังไม่หายดีผมยังไม่อยากได้แผลใหม่กลับมาหรอก



“ไม่รู้เหรอว่าเข้ามาซอยนี้ไม่ได้ออกไปสักคน!”



“เอ่อ...ปล่อยผมไปเถอะครับ ถ้าออกไปได้ผมจะไม่กลับมาอีกเลย” และแล้วความทรงจำบางอย่างของผมก็กลับมา ความทรงจำที่บอกว่า…



‘ไอ้ซอยนั้นมันทะลุไปหลังเซนทรัลได้ แต่ไม่ค่อยมีใครไปหรอก อันตรายโคตรๆ’ แต่ดูเหมือนว่าก่อนหน้านั้นผมจะลืมประโยคหลังของพี่ๆ ไป....



ตายห่าแล้วไอ้ติ! มึงจะเอาชีวิตรอดออกไปจากซอยนี้อย่างไร!!



“ช้าไปแล้วไอ้หนู...บรื้นนน!!” ด้วยความที่หางตาของผมเหลือบไปเห็นว่าเท้าของไอ้วัยรุ่นหัวทองที่ขับอยู่ฝั่งซ้ายเตรียมจะยกเท้าขึ้นมาทีบรถผม ผมจึงเร่งเครื่องเพื่อหลบทำให้ครั้งนี้รถผมไม่เสียหลัก



“พี่ โอกระ!” ผมยังคงตะโกนถามลูกค้าเมื่อหลบพวกมันมาได้



“ก็ต้องโอแหละ” ผมรู้สึกถึงเสื้อวินด้านหลังที่ถูกลูกค้ากำเอาไว้แน่น “จะออกไปได้ใช่ไหม?”



“ก็คงต้องได้แหละครับ” ผมเร่งความเร็วนสุดแต่ดูเหมือนยังคงนำอยู่ไม่มาก เมื่อคำนวณจากสายตาถ้าขับไปตามทางทะลุเซนทรัลมีหวังไม่ทันแน่ๆ ทำให้ผมตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในซอยแคบๆ ที่ขับได้ทีละคันเท่านั้น



“น้อง! ทางนี้มันไปไหน!!”



“เอ่อ..ไม่รู้ครับ รู้แต่ว่ามันน่าจะเป็นทางรอด” ผมตอบกลับลูกค้าไปโดยที่สายตายังคงจ้องไปที่กระจกหลังเพื่อดูว่าพวกมันยังตามมาไหม แต่ผมกลับไม่เห็นจึงโล่งใจไปได้ระยะจนกระทั่ง…



“ฮั่นแน่!! มึงหนีไม่รอดหรอก โค่ม!!”



รถของสติล้มทันทีหลังจากที่ถูกดักจากด้านหน้าปากซอย สติกระเด็นออกจากรถพร้อมกับลูกค้า จังหวะที่สติกำลังจะดันตัวลุกขึ้น แต่กลุ่มวัยรุ่นกลับมาล้อมเอาไว้



“อย่าทำอะไรผมเลยพี่ ผมแค่มาส่งลูกค้า ปล่อยผมไปเถอะครับ” สติยกมือขึ้นไหว้เพื่อเจรจากับกลุ่มวัยรุ่น



“ก็กูบอกแล้วว่าเข้ามาออกไม่ได้!”



“พี่..ปล่อยผมไปเถอะครับ” ผมคลานไปหาลูกค้าที่นั่งอยู่ที่พื้นก่อนจะอ้ามือปกป้องลูกค้า “ถ้าจะทำอะไรก็ทำผม อย่าทำลูกค้าผมเลย”



“มึงพูดไม่รู้เรื่องรึไง! ก็บอกว่ามันออกไม่ได้”



“ทำไมอะครับ...” ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ



“ทางมันตัน”



“อ่อ...ห้ะ! ทางตัน!! พวกพี่ไม่ได้จะหาเรื่องผมเหรอ?” ผมลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำตอบของกลุ่มวัยรุ่น



“แล้วที่พะ..พี่ขับรถไล่ตามผมล่ะครับ?”



“ก็จะขับมาบอกว่าข้างหน้าทางมันตัน”



“แล้วที่จะทีบผมล่ะ?”



“กูยกตีนขึ้นหนีหลุม มันมีน้ำจะกระเด็นใส่ตีนกู” ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าจะมีเรื่องซะแล้ว ที่ไหนได้ขับตามมาบอกว่าทางตัน



“แต่ที่พี่ถีบผมเมื่อกี้ล่ะครับ” ผมถามขึ้นเมื่อคิดได้ว่าตอนที่ออกจากซอยมาเจอกลุ่มวัยรุ่นก่อนจะถูกถีบจนกระเด็นออกจากรถ



“ถ้ามึงเลี้ยวขวาตกน้ำมันมีบ่อที่เชื่อมเลยถีบให้หยุด ไม่อย่างนั้นจมแน่ๆ”



“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้กลุ่มวัยรุ่นอีกครั้งก่อนจะหันไปหาลูกค้า “พี่ผมขอโทษนะครับที่ทำให้พี่เสียเวลาแล้วก็เจ็บแบบนี้”



“มึงเชื่อคนง่ายเนอะ” คราวนี้ผมหันไปมองกลุ่มวัยรุ่นอย่างไว “กูพูดแค่นี้ก็เชื่อ”



“พะ...พี่” ไอ้เหี้ยเอ๊ย!! มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย ตอนนี้ผมยอมรับเลยว่าสติแตกสัดๆ ขออนุญาตพูดคำหยาบนะ คือผมคาดเดาสถานการณ์เหี้ยนี่ไม่ได้เลย



“กูล้อเล่น ทีหลังก็อย่าเชื่อคนง่าย ไอ้แป๊บมึงไปช่วยพวกมันซิ”



“จริงนะพี่ ไม่ได้จะทำอะไรผมนะ?” ผมถามย้ำอีกครั้งเมื่อมีวัยรุ่นสองสามคนเดินมาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น



“เออ”



หลังจากนั้นผมกับคุณลูกค้าที่มาทราบชื่อทีหลังว่าพี่ไท้ ถูกพาไปทำแผลที่คลินิกใกล้ๆ แถวนั้นจากกลุ่มวัยรุ่นที่ช่วยเหลือพวกผม โชคดีที่พี่ไท้ไม่ได้เอาเรื่องไม่อย่างนั้นผมซวยแน่ๆ กว่าจะเคลียร์และทำแผลเสร็จก็ปาไปสองทุ่มกว่า ผมเลยเอารถไปซ่อมเพราะยางแตกระหว่างที่ถูกถีบจนล้ม ยางรถไปทิ่มกับหนามอะไรสักอย่าง โคตรของโคตรจะซวย ทำให้ผมนั่งวินเข้ามาที่บ้านแทนการเดินเหมือนทุกวัน ปกติแล้วผมจะจอดรถไว้ที่บ้านพี่ติ่งแทนที่จะขับมาที่บ้านเพราะไม่รู้ว่าพี่กูนจะกลับมาวันไหน



“พี่กูนยังไม่มา โชคดีว่ะ” ผมยิ้มเมื่อเห็นว่าในบ้านยังคงปิดไฟ



“ไอ้ติ”



“......!!!” ผมต้องหูฟาดไปแน่ๆ ที่ได้ยินเสียงพี่กูนอยู่ในบ้านที่มืดแบบนี้ ผมไม่ได้ไปเปิดไฟแต่เลือกที่จะเดินเข้าไปในห้อง แต่ระหว่างนั้นนั่นเอง…



หมับ!



“ไอ้ติ!”



“พะ..พี่กูนเหรอ?”



“เออ กูเอง”



เหี้ยเอ๊ย! ซวยซ้ำซวยซ้อนแน่นอน งานนี้มีเจ็บตัว….

หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:38:28
บทที่ 12

ยอมรับผิดมีโทษลดลงครึ่งหนึ่ง



“คือแบบนี้พี่ผมอธิบายได้...” ผมจับข้อมือพี่กูนมานั่งที่โซฟาก่อนจะจัดแจงเปิดไฟในบ้านให้สว่าง “กินน้ำไหมพี่ กลับมาน่าจะเหนื่อยๆ เดี๋ยวผมไปเอาให้นะ” ผมเตรียมที่จะเดินไปเอาน้ำเย็นๆ มาให้พี่กูนจากห้องครัว แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะพี่กูนเรียกเอาไว้ก่อน



“ไอ้ติมานั่ง”



“ผมว่าพี่น่าจะยังไม่หิวเนอะ งั้นนั่งดีกว่า” ผมหมุนตัวมานั่งตรงข้ามพี่กูน



“กูให้โอกาสสารภาพ”



“คืองี้นะพี่ตอนที่พี่ไม่อยู่ผมดูแลบ้านให้พี่อย่างเรียบร้อยตามที่พี่บอกทุกอย่าง ไม่ดื้อไม่ซนอะไรเลย แล้วผมก็คิดนะว่าพี่น่าจะงานยุ่งผมเลยไม่ได้ทักไปกวน ไม่ดิทักไปแต่พี่ไม่ตอบผมมาสามสี่วันแล้ว น่าน้อยใจนะพะพี่..พี่ว่าไหม แฮร่ๆ” หน้าพี่กูนดูไม่เล่นกับผมเลยแม้แต่น้อย



“ไอ้ติถ้ามึงยังไม่รับสารภาพ มึงโดนมากกว่านี้แน่”



“คือพี่...”



“มันยากเหรอวะ กับไอ้แค่กูให้อยู่บ้านเฉยๆ มึงจะออกไปหาเรื่องทำไม แล้วมึงดู!” พี่กูนจับขาของผมขึ้นมาพาดกับโต๊ะก่อนจะถกขากางเกงขึ้น “แผลนี่..ถ้ามึงอยู่บ้านมึงจะเจ็บตัวไหม!”



“ใจเย็นดิพี่ แผลแค่นี้เอง” ผมพยายามจะชักขากลับมาไว้ที่เดิมแต่พี่กูนจับเอาไว้ไม่ให้ขยับ



“เหรอ? แล้วที่เข้าไปซอยนั้น เข้าไปทำไม?”



“ซอย? ซอยไหน พี่มั่วแล้ว” ผมพูดตะกุกตะกักเมื่ออยู่ๆ พี่กูนกลับพูดถึงซอยที่ผมพึ่งไปผจญภัยมา



“กูไม่ได้โง่ไอ้ติ” ผมนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมาจนกระทั่งพี่กูนพูดขึ้น “ซอยนั้นมันซอยส่งยา”



“ส่งยา?”



“มึงยอมรับมาเถอะไอ้ติ อย่างไงมึงก็น้องกูถึงจะทำผิดกู..กูจะช่วยมึง” เดี๋ยวนะ ทำไมพี่กูนพูดเหมือนว่าผมไปส่งยา แล้วไอ้สีหน้าผิดหวังแบบนี้มันคืออะไร



“เดี๋ยวๆ พี่เห็นผมเป็นคนอย่างไงวะ พี่พูดเหมือนผมจะไปส่งยาอย่างนั้น”



“มาขนาดนี้แล้วไอ้ติ มึงยอมรับมาเถอะอย่าให้กูผิดหวังไปมากกว่านี้เลย กูยอมเอาตำแหน่งของกูแลกกับอนาคตของมึง”



“.....”



“ไอ้ติ..เลิกเถอะ ถ้ามึงเลิกเองไม่ได้กูช่วยมึงได้นะ ขอแค่มึงบอก กูรู้ว่ามึงมาจากสังคมแบบนั้นแต่ตอนนี้มึงก้าวมาอยู่สังคมใหม่แล้ว เป็นคนใหม่เถอะ” ที่ผมเงียบเพราะผมกำลังงงกับคำพูดของพี่กูน พี่กูนกำลังยัดเยียดข้อกล่าวหาให้ผมทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำ



“พี่กูนเดี๋ยวนะ..ผมไปขับวินมอเตอร์ไซค์ไม่ใช่ไปส่งยาอะไรทั้งนั้น พี่เห็นผมเป็นคนอย่างไงวะพี่กูน ผม..ผมไม่ได้จนตรอกขนาดนั้น” ผมชักเท้ากลับมาไว้ที่เดิมพยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้โมโหกับคำกล่าวหาของพี่กูน



“กว่าจะยอมรับ” เท่านั้นแหละครับจากท่าทางผิดหวังเมื่อสักครู่ตอนนี้พี่กูนกลับเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ



“เดี๋ยวนะ..พี่ปั่นผมเหรอวะ? พี่ทำให้ผมดูเหี้ยอะครับ”



“แค่มึงยอมรับมาตรงๆ ก็จบแล้วไหมไอ้ติ มึงทำให้กูต้องใช้วิธีนี้” พี่กูนกอดอกมองหน้าผมนิ่งๆ



“ผมขอพี่แล้วและพี่ก็อนุญาตผม” ผมรวบรวมสติไม่ให้โมโหเพราะเรื่องนี้ผมผิดเอง เพียงแต่ว่าผมไม่ค่อยชอบวิธีนี้ของพี่กูนสักเท่าไหร่



“ตอนไหนของมึง”



“ตอนนั้นอะพี่ ก่อนที่พี่จะไปราชการ”



“กูไม่รู้เรื่อง มึงมาขอตอนไหน กูจำได้แค่ว่ามึงมีพิรุธ”



“ก็ตอนนั่นแหละผมขอพี่แล้ว และพี่ก็อนุญาตผมเลยไปทำ”



“กูถามจริงๆ นะไอ้ติ มึงอยากทำงานจริงๆ เหรอวะ” พี่กูนกอดอก



“ครับ ผมอยากทำผมไม่อยากรบกวนเงินพี่ไปมากกว่านี้ ผม...ถึงพี่จะเห็นผมเป็นน้องชายก็เถอะ แต่ผมก็เกรงใจให้ผมไปทำเถอะนะพี่กูน นะพี่” ผมลุกออกจากที่นั่งของตัวเองเดินมานั่งข้างๆ พี่กูนแทน



“ได้ถ้ามึงอยากทำ แต่..มึงปิดบังกู กูจะทำโทษมึง”



“ทำโทษ?”



“ในเมื่อกูให้เงินดีๆ มึงไม่อยากได้ ถ้าอย่างนั้นจนกว่าจะเปิดเทอมมึงหาเงินใช้เองก็แล้วกัน”



“เป็นการทำโทษที่ผมโคตรชอบเลยครับ” ผมยิ้มทันทีที่ได้ฟังโทษของตัวเองจากพี่กูน แต่ดูเหมือนว่าท่าทางของผมมันจะแสดงออกมากเกินไปทำให้พี่กูนทำหน้าดุมากกว่าเดิม



“แทนที่มึงสลด”



“ผม..ผมรู้สึกผิดโคตรๆ เลยครับพี่ เพียงแต่ผมชอบที่พี่ทำโทษผมแบบนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมาตลอด ผมไม่อยากรบกวนเงินพี่เยอะไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะ....ตอนที่เห็นพี่เครียดจากงาน”



“กูบอกเหรอว่าเครียด”



“โทษนะครับ หน้าแบบอมขี้กลับมาจากที่ทำงานทุกวันใครมองไม่ออกก็แย่แล้วครับ”



“เพื่อนเล่นเหรอมึง”



“ผมแค่เปรียบเทียบอ่ะครับ ไม่ได้เห็นพี่เป็นเพื่อนเล่น” หงอยเลยกูคราวนี้ สงบปากสงบคำทำหน้าตาสลดน่าจะเหมาะที่สุดในสถานการณ์นี้



“ต่อปากต่อคำนะมึง ทีหลังมีอะไรก็บอกก็ขอตรงๆ กูไม่ได้ใจร้ายขนาดห้ามมึงทุกอย่าง อยู่กับกูมึงมีอิสระ แต่อิสระนั้นกูเป็นคนกำหนดเอง”



“มึงไม่ต่างจากกักกันรึเปล่าพี่”



“แล้วมึงรู้เหรอว่ากักกันมันเป็นอย่างไร? ถ้าไม่รู้กูแนะนำว่าอย่าพูด” ตอนนี้ผมเริ่มสงสัยกับท่าทางและคำพูดของพี่กูนที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เหมือนคนอารมณ์ไม่ดีที่พร้อมจะระเบิดตลอดเวลา สงสัยเครียดเรื่องงานมั้ง ผมขอเดาว่าอย่างนั้น



“พี่โมโหอะไรมารึเปล่าครับ”



“ทำไม ท่าทางกูดูออกง่ายขนาดนั้น?” และตอนนี้อารมณ์ของพี่กูเปลี่ยนเป็นฉุนเฉียว “เก่งนักนะมึง”



“พี่กูนพี่ พี่หายใจเข้าลึกๆ นะ ผมรู้พี่เครียดและเก็บกดมาจากงาน พี่สามารถลงที่ผมได้ ผมยอมเป็นโถส้วมให้พี่ขี้เลยครับ พี่จะได้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ...โอ๊ย!! พี่ปาหมอนใส่หน้าผมทำไมวะเนี่ย” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบพี่กูนปาหมอนอิงใส่หน้าผมเต็มๆ



“พูดมากไอ้ติ กูหงุดหงิดฉิบหาย” คิ้วทั้งสองข้างของพี่กูนขมวดเป็นปมบ่งบอกว่าตอนนี้อารมณ์เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดแทน



“อยากระบายไหมล่ะ ให้ผมกวนตีนไหม งั้นผมกวนตีนนะแล้วพี่ด่าผมมาได้ ผมโอเค”



“.....” เมื่อเห็นว่าพี่กูนเงียบผมจึงคิดเอาเองว่าพี่กูนอนุญาตผมจึงเริ่มการก่อกวนเพื่อให้พี่กูนปลดปล่อยเรื่องที่อยู่ในใจมาเป็นการด่าผมแทน



“ปลาอะไรเอ่ยหน้าบูดเป็นตูดลิง”



“...อะไรของมึง”



“ตอบก่อนดิพี่” ผมขยับเข้าไปใกล้ๆ พี่กูนมากยิ่งขึ้น เป็นการเซ้าซี้พี่กูนมากกว่าเดิม



“ปลานีโม่”



“......” เอาจริงๆ ผมไม่ได้คาดหวังว่าพี่กูนจะตอบแบบนี้กลับมา แต่เอาเถอะถือว่าเป็นการกระตุ้นให้พี่กูนใช้สมองในด้านความคิดสร้างสรรค์ “เก่งนะพี่ แต่ไม่ใช่ครับ ปลาที่ที่หน้าบูดเป็นตูดลิงคือ ปรากฏว่าเป็นพี่”



“......”



“ไม่ตลกเหรอครับ?”



“ไม่ตลกแล้วก็ไม่ได้ดูกวนตีนอะไรเลยไอ้ติ.. กูเครียดกว่าเดิมอีก” และพี่กูนก็ลุกขึ้นเดินหนีผมเข้าไปในห้อง ทิ้งให้ผมนั่งอยู่คนเดียว



“ออกจะกวนตีน” ผมนั่งบ่นอยู่คนเดียวสักพัก พี่กูนกลับออกมาจากห้องพร้อมกับเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสบายๆ ในมือมีถุงกระดาษสองถุงยื่นมาตรงหน้าผม



“อะไรเหรอพี่”



“ขี้มั้ง เปิดดูดิวะ” ผมรีบหยิบถุงกระดาษจากมือพี่กูน



“โห้ววววว โคตรน่ากินอะพี่” ในถุงกระดาษเต็มไปด้วยขนมมากมาย ส่วนอีกถุงเป็นเสื้อพื้นเมืองภาคเหนือที่ไซส์พอดีกับตัวผม



“ผู้ใหญ่ให้ของมึงไม่ขอบคุณเลยเหรอไอ้ติ? นิสัยเสีย” พี่กูนยกมือขึ้นเตรียมท่าจะโบกมาที่ศีรษะของผม แต่ผมดันหลบก่อน ไม่อย่างนั้นคงได้โดนฝ่ามือของพี่กูนแน่ๆ



“ขอบคุณครับพี่ ผมกำลังจะขอบคุณพี่อยู่แล้วเนี่ย ไม่ได้จะไม่ขอบคุณสักหน่อย พี่ใจร้อนจริงๆ” ผมหยิบข้าวตังหมูหย็องขึ้นมาแกะกิน “พี่ไปจังหวัดไหนมาเหรอครับ?”



“ความลับ”



“ทางราชการเหรอพี่”



“เออ! รู้แล้วจะถามหาอะไรวะ” ผมว่าวันนี้คงคุยกับพี่กูนไม่รู้เรื่องแล้วแหละ พูดอะไรไปไม่เข้าหูสักคำ มีแต่จะหงุดหงิดแล้วก็โมโห สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือนั่งเงียบๆ และกินขนมต่อไป “มึงไม่ชวนกูกิน?”



“พี่กินไหมครับ อร่อยมาก” ผมรีบยื่นซองขนมไปให้พี่กูน



“ไม่กิน”



“อ่าว....” เอาใจไม่ถูกเลยกู และเป็นอีกครั้งที่พี่กูนลุกเดินหนีเข้าไปในห้อง ทิ้งให้ผมนั่งงงอยู่คนเดียว โคตรเดจาวูอะครับ วันนี้พี่กูนคงเหนื่อย ผมว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่ดีกว่า



เช้าวันต่อมา ผมรีบตื่นตั้งแต่ตีห้าลุกขึ้นมาทำข้าวต้มไว้ให้พี่กูนกินก่อนไปทำงาน เอาจริงๆ ผมอยากกินเลยเอาพี่กูนมาเป็นข้ออ้างก่อนที่ผมจะออกไปขับวิน แต่ระหว่างที่เตรียมของผมลืมไปว่าผมทำไม่เป็นนี่หว่า แต่ข้าวต้มหมูโง่ๆ มันไม่น่าจะทำยากหรอกมั้ง



“อร่อยสัด” ผมชิมข้าวต้มหมูหลังจากที่จัดการโยนทุกอย่างใส่ลงไปในหม้อหลังจากที่สังเกตเห็นว่าข้าวสุก “ถ้ามีเมียเมียรักตาแน่ๆ ไอ้ติเอ้ย!” ไม่มีใครชมก็ชมตัวเองนี่แหละครับ



“ตื่นมาทำอะไรแต่เช้า” ผมหันไปมองด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงพี่กูน



“หวัดดีพี่ ผมตื่นมาทำข้าวต้มหมูให้พี่”



“มึงอยากกินเองอย่ามาอ้างกู”



“พี่รู้ได้ไง” ผมถามอย่างไม่เชื่อ พี่กูรู้ความคิดผมได้ไงวะ?? หรือว่าพี่กูนจะฝังชิฟไว้ในหัวของผม “ผมถามแบบโง่ๆ เลยนะ ทำไมพี่รู้อะไรทุกอย่างเกี่ยวกับผมเลยอะครับ ทั้งการกระทำและความคิด พี่มีญาณวิเศษหรือเปล่าพี่”



“เลอะเทอะ” พี่กูนเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม



“ผมอยากรู้จริงๆ นะพี่”



“ไอ้ติอย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย มึงก็รู้ว่าทำไม” และพี่กูนก็เดินออกจากห้องครัวไป ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่ในห้องครัวเหมือนเดิม แถมยังไม่ได้คำตอบของคำถาม



“กูโง่จริงๆ ไม่ได้แกล้งเลย”



“บ่นไร” ถึงตัวจะไม่อยู่แต่เสียงยังคงตามมาหลอกหลอน



“ป่าวพี่ ผมร้องเพลงครับ” ผมตะโกนตอบพี่กูนกลับไปก่อนจะตักข้าวต้มมานั่งกินก่อนไปทำงานจนกระทั่ง...



“ผมไปทำงานก่อนนะพี่ เจอกันตอนเย็นครับ” ก่อนจะออกจากบ้านผมแวะไปเคาะประตูห้องพี่กูนเพื่อบอกว่าผมกำลังจะออกไปทำงานเป็นการแจ้งให้พี่กูนรับทราบ



“เออ ระวังตัวด้วยมึง” พี่กูนตะโกนตอบออกมา ผมจึงใส่เสื้อวินและหยิบหมวกกันน็อค แต่ระหว่างนั้นสายตาผมดันเหลือบไปเห็นเอกสารบางอย่างที่มีรอยปากกาขีดเขียนอะไรบางอย่าง ด้วยความที่เป็นคนรักการอ่านผมจึงหยิบขึ้นมาดู



“โยงอะไรงงไปหมด” ผมวางลงที่เดิมเพราะอ่านไปก็อ่านไม่ออกอยู่ดี แต่ถ้าให้เดาน่าจะเป็นคดีที่พี่กูนกำลังทำ ผมเคยได้ยินมาว่าพี่กูนทำงานปราบปรามอะไรสักอย่าง ผมเองก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดงานอะไรมากเพราะพี่กูนไม่ค่อยเล่าอะไรให้ผมฟังสักเท่าไหร่



ระหว่างที่เดินออกมาจากรั้วบ้านผมกับรู้สึกเหมือนมีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลาผมจึงหันไปมองอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เห็นอะไร สงสัยผมจะคิดมากไปแน่ๆ มันคงไม่มีอะไรหรอก ผมไปทำงานดีกว่าเพราะถ้าไปช้าผมจะพลาดช่วงเวลาลูกค้าเยอะไป
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:38:56
บทที่ 13

พิรุธมีอยู่รอบตัว คนชั่วมีอยู่ทั่วไป



Kun’ s talk



หลังจากที่ไอ้ติมันมาเคาะประตูห้องบอกผมว่ากำลังจะออกไปทำงานขณะที่ผมกำลังอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงานเช่นกัน ตอนนี้ผมมานั่งกินข้าวต้มหมูฝีมือไอ้ติ



“ใช้ได้อยู่” ฝีมือมันก็ไม่เลวแต่ก็ไม่ได้อร่อยเหมือนที่ป้าแจ่มทำหรอกครับ ผมยอมรับเลยว่าตั้งแต่เอามันมาเลี้ยง ชีวิตของผมมันค่อยๆ เปลี่ยนไป



จะว่าอย่างไงดี เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดถึงคนอื่นเลยเพราะเรื่องหลักๆ ที่ผมคิดมีอยู่ไม่กี่เรื่อง คือเรื่องตัวเองและเรื่องงาน ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดถึงครอบครัวนะ ผมคิดถึงเสมอแต่มันอยู่ในจุดที่ทุกคนในครอบครัวสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว อย่างตาน้องสาวของผมก็เรียนจบมีงานทำชีวิตไม่น่าเป็นห่วง



ตั้งแต่มีไอ้ติอยู่ในชีวิตผมยอมรับว่าผมก้าวไปอีกขั้นของการเป็นผู้ใหญ่เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตที่ผมจะต้องรับผิดชอบ เวลาที่ผมจะทำอะไรผมต้องนึกถึงมันเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องที่อยู่ เรื่องกิน เรื่องเรียน หรือแม้กระทั่งเรื่องเงินที่ผมบอกมันเป็นหลายร้อยรอบแล้วก็ตาม ทุกอย่างมันฝึกให้ผมมีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น เมื่อก่อนผมจะตื่นมากินหรือไม่กินข้าวก็ได้ แต่ตอนนี้ผมต้องตื่นมากินข้าวทุกวันเพราะรู้ว่ามีคนรอผมอยู่ อีกอย่างผมก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้ไอ้ติในทุกๆ เรื่อง แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม



ทุกคนคงจะมีคำถามอยู่ในใจว่าการที่ผมซื้อของให้มันเยอะ ให้เงินมันใช้เยอะๆ อีกหน่อยไอ้ติมันจะเสียคน แต่เท่าที่ผมดูตอนนี้มันก็ไม่ได้เสียคนแถมยังเกรงใจผมมากกว่าเดิม เพราะผมรู้ว่าเงินสำคัญมากสำหรับไอ้ติ ยิ่งผมให้มันก็ยิ่งเก็บ ผมจึงสบายใจได้ว่าเงินทุกบาทที่ผมให้มันไปมันจะไม่เอาไปทำอะไรที่ไร้สาระแน่นอน



แต่มีอีกเรื่องที่ผมยังคิดไม่ออก ถ้าไอ้ติมันเรียบจบผมจะทำอย่างไรกับมันดี ผมมีทางเลือกอยู่ในหัวมากมาย คือปล่อยให้มันไปใช้ชีวิตของมันโดยมีผมคอยสนับสนุนมันอยู่ หรือ ผมจะให้มันอยู่กับผมตลอดไปในฐานะน้องชายเหมือนที่ผมตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก พอผมมาคิดๆ ดูถ้าให้ไอ้ติเลือกเองมันคงเลือกที่จะไปจากผมไม่ใช่เพราะเบื่อที่มีคนคอยกำกับหรือคอยดูมันตลอดเวลา แต่เป็นเพราะความเกรงใจแต่ช่างเรื่องนี้เถอะครับไว้ถึงเวลาผมค่อยถามมันเองอีกที



ผมไม่รู้นะว่าไอ้ติที่เป็นเด็กดีอยู่ณ ตอนนี้ อนาคตถ้ามันเข้ามหาลัยไปมันจะยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม ถ้าไปเจอกับสังคมใหม่ๆ ผมรู้ว่ามันผ่านเรื่องราวที่เลวร้ายมาตลอดชีวิต แต่ต่อจากนี้มันไม่เหมือนกัน เพราะตอนนี้มันมีทุกอย่างที่จะชักจูงมันให้ไปเสียคนได้ง่ายๆ นี่ผมกำลังกังวลถึงอนาคตมันขนาดนี้เลยเหรอวะ? ถ้าผมมีส่วนที่ทำให้มันเกิดมาก็คงครบสูตรคุณพ่อหัวโบราณที่ไม่ยอมปล่อยลูกไปใช้ชีวิตแน่ๆ โดยเฉพาะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้



พักเรื่องไอ้ติไว้แค่นี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวเช้าอันสดใสของผมจะมีแต่ความกังวล



หลังจากที่กินข้าวต้มเสร็จผมก็เตรียมตัวไปทำงานเหมือนอย่างทุกวัน อ่อ เมื่อวานนี้ผมซื้อของฝากมาให้ไอ้ติซึ่งบ่งบอกว่าผมไปภาคเหนือมา แต่เอาจริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ เพียงแต่ผมอยากทำให้มันคิดว่าผมไปภาคเหนือมา เรื่องบางเรื่องมันมีเหตุผลของมัน โดยเฉพาะเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ยิ่งไอ้ติไม่รู้มันก็ยิ่งปลอดภัย



“อีกไม่กี่วันทุกอย่างคงจบ” เรื่องที่ผมเครียดมาหลายวันไม่ซิ หลายเดือนกำลังจะจบลง ถ้าเกิดว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามแผนที่พวกผมวางเอาไว้ ถ้าเสร็จงานนี้ผมจะลาพักร้อนสักสิบวันนอนอยู่บ้านให้เบื่อไปเลย





Sati’ s talk



“ครับ แค่นี้ก่อนนะครับ...”



“พี่ติ่งหวัดดีพี่” ผมยกมือไหว้พี่ติ่งหลังจากที่เข้ามาเอารถที่ฝากเอาไว้ “ดีที่แค่เปลี่ยนยาง ไม่อย่างนั้นผมขาดรายได้แน่ๆ ยิ่งช่วงนี้ยิ่งต้องทำเงิน”



“มาไม่ให้ซุ้มให้เสียงเลยมึง” พี่ติ่งที่เห็นผมทำท่าตกใจเมื่อเห็นว่าผมปรากฏอยู่ด้านหลังของเขา ท่าทางของพี่ติ่งโคตรมีพิรุธโดยเฉพาะตอนที่พี่ติ่งรีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง “กินไรมายังไอ้ติ”



“เรียบร้อยครับพี่ ขอบคุณที่ให้ผมฝากรถนะ เดี๋ยววันนี้เอากลับไปบ้าน” ผมเดินไปจูงรถออกจากบ้านพี่ติ่ง



“พี่ชายอนุญาตให้ทำงานแล้วเหรอไอ้ติ”



“เอ๋...? พี่รู้ได้ไงว่าพี่ผมไม่ให้ทำงาน?” คราวนี้ผมจอดรถและหันไปมองพี่ติ่ง สีหน้าที่ผมได้รับคือสีหน้าเลิกลักทำตัวไม่ถูกเหมือนพี่ติ่งหลุดปากพูดไป



“อ่าว ไม่ใช่มึงหรอวะ สงสัยน่าจะไอ้ชายมั้งที่พี่มันไม่ให้ทำงาน กูนี่ขี้ลืมจริงๆ สงสัยจะแก่” และพี่ก็หันหลังเดินเข้าไปในบ้าน



“.....กูงง” มันมีเรื่องให้ผมสงสัยเยอะจริงๆ แต่เอาเถอะไอ้ติมันไม่ใช่เรื่องที่มึงควรจะสงสัย หน้าที่ของมึงคือทำงานและวิ่งให้ได้รอบเยอะๆ



ครึ่งวันผ่านไปผมพักกินข้าวอยู่ที่ร้านป้าข้างๆ คิววินกับพี่ติ่ง ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้สีหน้าของพี่ติ่งดูลุกลี้ลุกลนเหมือนคนทำอะไรผิด จนผมอดที่จะสงสัยอีกรอบไม่ได้



“พี่ติ่งพี่เครียดไรปะครับ”



“คือ...ไม่มีไรหรอกมึง” จะว่าไปแล้วพี่ติ่งหน้าตาดูไม่เข้ากับการขับวิน ผมไม่ได้จะดูถูกอาชีพนะแต่หน้าพี่ติ่งบ่งบอกว่าเขาน่าจะทำงานอย่างอื่นมากกว่า



“เอางั้นก็ได้” ในเมื่อไม่บอกผมก็ไม่เซ้าซี้ต่อแต่คอยสังเกตท่าทีของพี่ติ่งอยู่ห่างๆ จนกระทั่ง



“ไอ้ติมึงอย่าไปใกล้ไอ้พวกนี้มันนะ ถ้ามันเมามันจะคอยหาเรื่องคนอื่น” พี่ติ่งสะกิดผมหลังจากพี่ในวินบางกลุ่มเริ่มจับกลุ่มกันดื่มเหล้าในช่วงหกโมงเย็น



“ทำไมพวกพี่เขาต้องมากินที่วินด้วยอะพี่ติ่ง” เรื่องนี้ผมสงสัยมาตั้งแต่ทำงานวันแรกแต่ไม่กล้าที่จะถามใคร ในเมื่อวันนี้พี่ติ่งเตือนผมจึงได้โอกาสที่จะถาม เพราะมีพี่ๆ บางคนในวินชอบมาตั้งวงกินเหล้าและส่งเสียงดังจนบางครั้งเกือบมีเรื่องกับคนที่ผ่านไปผ่านมา



“มันคงไม่มีที่กินกันมั้ง ทางที่ดีมึงอย่าไปยุ่งเลย”



“แต่พี่เป็นหัวหน้าวินนะทำไมไม่เตือนบ้างอะครับ เมื่อวันก่อนผมเห็นว่าเกือบมีเรื่องกัน”



“ลำพังถ้าแค่เหล้าก็เตือนยากแล้ว แต่นี่..มันไม่ใช่แค่นั้นอะดิไอ้ติ”



“พี่ติ่งอย่าบอกนะว่า...อุ๊บ!” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคอยู่ๆ พี่ติ่งก็รีบเอามือมาปิดปากผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะเผลอพูดอะไรบางอย่างออกมา



“อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ”



“แล้วทำไมตำรวจไม่จับ พี่แจ้งเลยๆ” ผมเตรียมที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรแจ้งแต่แล้วก็ถูกแย่งออกไปจากมือ “พี่แย่งทำไมเนี่ย เผื่อได้รางวัลนำจับนะพี่"



“ได้กับผีน่ะซิ มันแจ้งง่ายๆ ซะที่ไหน มึงมีหลักฐานรึไง”



“ก็...จับตรวจฉี่ไงพี่ ม่วงแน่นอน” เพราะแค่กระท่อม กัญชาก็ม่วงเพราะผมเคยเห็นเพื่อนตอนที่เรียนปวช. ปวส.ตรวจกัน ส่วนมากจะใช้แบบหยอดในการตรวจ



“ไอ้ตินั่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะมึง”



“แต่มันก็ไม่น่ายากนะพี่ ให้ผมบอกพี่ชายผมไหม พี่ชายผมเป็นตำรวจ” แหม เมื่อพูดแล้วผมก็อดภูมิใจไม่ได้ที่มีพี่ชายเป็นตำรวจ ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่กูนยศอะไรแต่ดูจากการทำงานผมว่าไม่น่าจะเป็นแค่ตำรวจยศเล็กๆ อย่างแน่นอน



“หาเรื่องเดือดร้อนนะมึง เอาเป็นว่ามึงอยู่เฉยๆ อย่าไปยุ่งก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือน” สีหน้าพี่ติ่งโคตรจะซีเรียสเลยโดยเฉพาะตอนที่เตือนไม่ให้ผมยุ่งเรื่องนี้ ถ้าไม่ให้ผมยุ่งแล้วจะมาบอกให้ผมรับรู้ทำไมวะ แต่อย่างไรก็เถอะในเมื่อยุ่งแล้วผมก็จะยุ่งให้สุด จนกระทั่งผมรับลูกค้าเป็นคนสุดท้าย



“ไปไหนครับพี่” ผมยื่นหมวกกันน็อกให้กับลูกค้าเหมือนอย่างเคย เพียงแต่ว่าลูกค้าคนนี้ของผมใส่แมสเลยทำให้มองเห็นหน้าไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่



“เหมือนเดิม”



“อ่า พี่มาเวลานี้ประจำเลยนะครับ” ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรที่ลูกค้าคนนี้จะขึ้นรถผมเกือบๆ ทุกวัน





หลังจากที่ผมส่งลูกค้าคนสุดท้ายเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ผมยังคงไม่กลับบ้าน แต่สิ่งที่ผมกำลังจะทำคือการตามพี่ติ่งไปเงียบๆ เพื่อสอดส่องพฤติกรรมบางอย่างที่ผมสงสัย



“ครับ เดี๋ยววันนี้ผมจะแวะไปดู ครับท่าน ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมหลบอยู่มุมเสาในจังหวะที่พี่ติ่งสูบบุหรี่และคุยโทรศัพท์ไปด้วย



“ของยังไม่น่าจะมาส่งเพราะถ้าส่งมันต้องรายงานผม แต่เท่าที่เห็นอยู่ตอนนี้น่าจะยัง เหลือก็แต่....” ประโยคหลังผมไม่ได้ยินที่พี่ติ่งพูด แต่ถ้าจับใจความสำคัญและผ่านการวิเคราะห์ผ่านสมองอันน้อยนิดของผม ผมว่าเรื่องนี้พี่ติ่งน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แล้วถ้าพี่ติ่งเกี่ยวข้องพี่ติ่งจะมาเตือนให้ผมอยู่ห่างๆ ทำไม หรือเพราะว่า...พี่ติ่งแอบสืบมาว่าพี่ชายผมเป็นตำรวจ แต่...พี่กูนไม่ได้เป็นตำรวจอยู่แถวนี้



ตอนนี้ผมมีเรื่องให้สงสัยอยู่เต็มไปหมด ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว แต่ผมชอบนะมันมีเรื่องให้คิดดี อย่างไรผมก็จะรู้ให้ได้ ผมรู้ว่ามันเสี่ยงแต่แล้วไงผมโคตรชอบเลย ตั้งแต่มาอยู่กับพี่กูนชีวิตผมห่างไกลจากคำว่าเสี่ยงไปมากเลยทีเดียวล่ะครับ



“ครับ แค่นี้นะครับเดี๋ยวผมจะติดต่อไป” หลังจากที่พี่ติ่งวางสายผมรีบหลบก่อนที่พี่ติ่งจะสังเกตเห็น ผมมองพี่ติ่งเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของเขาก่อนจะขับออกไป ผมทิ้งระยะห่างไว้เกือบๆ สามนาทีผมจึงค่อยๆ ขับตามไปห่างๆ



“พี่ติ่งไปทำไมวะ?” ผมลังเลอยู่ว่าจะเลี้ยวตามพี่ติ่งไปไหม เพราะซอยนั้นคือซอยที่ผมเคยไปมาเมื่อวาน แต่ถ้าไม่ตามผมก็ไม่รู้



“เป็นไงเป็นกันวะ” และผมก็ไม่โง่พอที่จะขับรถตามไป แต่ผมโง่ยิ่งกว่าด้วยการทิ้งรถและเดินเข้าไปในซอยนั้น ยิ่งผมเดินผมก็ยิ่งเห็นอะไรหลายๆ อย่างซึ่งมันเหมือนสภาพแวดล้อมที่ผมเคยอยู่มาก่อน



“ไปไหนไอ้หนุ่ม” อยู่ๆ ป้าแถวนั้นเดินมาสะกิดแขนผมก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปด้านใน



“เอ่อ...ผมมาหา”



“อย่าเข้าไปเลยถ้าไม่ใช่คนแถวนี้ มันอันตรายไอ้หนุ่ม”



“อันตรายอย่างไงเหรอครับคุณป้า”



“ไม่ต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าออกไปแล้วอย่าเข้ามาอีก” ผมมองเข้าไปด้านในและยืนมองคุณป้าด้วยความชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี เพราะมาถึงขนาดนี้แล้วถ้าผมเข้าไปผมก็จะได้รู้ว่าพี่ติ่งเข้ามาทำอะไรแถวนี้



“แล้วคนที่เข้าไปเมื่อกี้เขาก็ไม่ได้อยู่แถวนี้นี่ครับ”



“อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่น ป้าเตือนแล้วนะ” คราวนี้สายตาและน้ำเสียงของป้าดูดุมากกว่าเดิม ผมจึงพยักหน้าและเดินออกไปจากซอย



ถ้าผมกลับมันก็ไม่ใช่ผมซิครับ





บรื่นนนนนนนน



“ไอ้หนุ่ม!!” ผมขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปในซอยด้วยความเร็วผ่านหน้าป้าคนที่มาเตือนผมไป ผมมองตามกระจกหลังเห็นป้าทำท่าจะวิ่งตามและกวักมือให้ผมกลับออกไป



ยิ่งท่าทางป้าเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งสงสัย



“เอ๊ะ? นั่นพี่ติ่งนี่หว่า” ผมจอดรถอยู่ห่างออกไปเมื่อเห็นว่าพี่ติ่งถูกล้อมไปด้วยกลุ่มวัยรุ่น แต่ผมมองไม่เห็นหน้าของกลุ่มวัยรุ่นนั่นหรอกครับเพราะระยะทางมันไกลพอสมควร



“เห้ย..” ผมรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อไม่ให้เผลอตะโกนออกไปเสียงดังจนคนอื่นสังเกตเห็น เพราะภาพตรงหน้าคือภาพที่พี่ติ่งยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้กลุ่มนั้น และได้รับอะไรบางอย่างกลับมา



อะไรบางอย่างที่ผมว่านั้นมันเป็นสิ่งที่ผมคุ้นตาเป็นอย่างดีตามหน้าจอข่าวการจับกุม...และผมเองก็เคยสัมผัสมันมาก่อน ถึงไม่ได้เสพแต่คนรอบข้างผมก็มีมาให้เห็น แต่ผมไม่คิดว่าผมจะมาเจอที่นี่ เพราะแถวนี้มันไม่ได้อยู่แถบชานเมืองเหมือนที่ผมเคยอยู่มา แต่นี่มันอยู่ในตัวเมืองเลย



ผมเกิดคำถามมากมายในหัวว่าทำไม ทำไม ตำรวจถึงไม่จัดการ เพราะผมเห็นว่าคนแถวนี้ดูคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอบายมุข มันหากันเสพได้ง่ายๆ และดูทุกคนจะไม่เดือดร้อน ราวกับมันเป็นเพียงแค่ลูกอมธรรมดา



“ถ้ากูเป็นตำรวจนะกูจะจับให้หมดเลย” ผมรีบเลี้ยวรถและขับออกไปจากซอยก่อนที่พี่ติ่งจะรู้ตัว ระหว่างทางมันมีคำถามมากมายเต็มไปหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่ง....



“กลับบ้านไวจังพี่กูน แล้วออกมาตรงบ้านใหญ่ทำไมครับเนี่ย” ผมเตรียมเข็นรถเข้าไปข้างในบ้าน แต่ก็ต้องเจอกับพี่กูนที่ยืนหน้าเครียดรออยู่ก่อน



“มึงไปไหนมาไอ้ติ”



“ทำงานไงพี่”



“มึงอย่ามาตลก มึงเลิกงานตั้งนานแล้ว มึงไปไหนมา?” พี่กูนยังคงถามผมย้ำอีกครั้ง ยิ่งผมไม่ตอบพี่กูนก็ยิ่งดุ “กูถามทำไมไม่ตอบ”



“ก็ไม่มีอะไรหรอกพี่ ไม่ได้ไปทำอะไรเสียหาย”



“หาเรื่องเดือดร้อนนะมึง”



“พี่พูดว่าอะไรนะ” เพราะประโยคดังกล่าวผมได้ยินไม่ค่อยชัด



“รีบไปเก็บรถไป ดึกแล้ว” พี่กูนเปลี่นเรื่องทันทีและเดินนำผมเข้าไปในบ้าน ทำไม..พี่กูนออกมาด้านนอกและทำเหมือนว่ายืนรอผมทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็น



พี่กูนแม่งมีพิรุธอีกคน วันนี้ผมเจอแต่คนมีพิรุธเต็มไปหมด



หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินออกมานั่งที่โซฟา และมองเห็นหลังพี่กูนที่นั่งขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่ในห้องของเขาที่ไม่ปิดประตู ผมลุกขึ้นและเดินไปหน้าประตูห้องของพี่กูนเพื่อส่องดูว่าบนโต๊ะทำงานของพี่กูนนอกจากกระดาษแล้วยังมีโน๊ตบุ๊คและไอแพดที่เปิดอะไรบางอย่างเอาไว้



“พี่แม่งโคตรเท่เลย” ผมชื่นชมพี่กูนอยู่ด้านหลัง ผมว่านะคนที่ตั้งใจทำอะไรบางอย่างโคตรมีเสน่ห์เลย โดยเฉพาะพี่กูน ถ้าให้เปรียบเทียบท่าทางของพี่กูนตอนนี้ เหมือนผมกำลังยืนดูหนังสืบสวนในช่วงที่ตำรวจกำลังวิเคราะห์และวางแผนการอะไรบางอย่าง



“ไอ้ติ มึงจะมาจ้องกูทำไม”



“พี่รู้เหรอ” ผมยืนอึ้งอยู่กับที่เพราะ...เพราะพี่กูนไม่ได้หันมามองผมแต่พี่กูนรู้ว่าผมยืนมองเขาอยู่ นี่มันโคนันที่แท้ ว่าแต่โคนันมันมีแบบนี้ป่าววะ เพราะผมเองก็ไม่เคยดูโคนัน



“ไอ้ติ เงามันสะท้อนกรอบรูปไม่รู้กูก็ตาบอดแล้วดิวะ”



“.......” ไอ้ผมก็คิดว่าพี่กูนเจ๋งที่สามารถจับสัมผัสได้ว่ามีคนแอบมอง



“มึงจะไปทำอะไรก็ไป วันนี้กูไม่กินข้าว” พี่กูนเอ่ยปากบอกแต่ยังคงนั่งทำงานอยู่ไม่ได้หันมามองหน้าผม ผมเลยทิ้งให้พี่กูนทำงาน และออกมาทำหน้าที่น้องชายที่ดีโดยการชงโอวันตินให้เข้ามาให้พี่กูน แต่ระหว่างนั้นผมได้ยินบทสนทนาของพี่กูน ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายมาแอบฟังก่อนที่จะเข้าไปหา



“กูก็เตือนอ้อมๆ อยู่ไอ้ผา แต่แม่งโคตรดื้อเลยว่ะ พูดไม่รู้จักฟังกูว่าต้องโดนก่อนถึงจะเข็ด ฝากมึงช่วยดูด้วย” พี่กูนพูดถึงใครวะ? แล้วใครที่ดื้อ แล้วพี่กูนฝากดูใคร



“แล้ววันนี้เป็นไง เหมือนเดิมเหรอวะ อีกไม่นานก็ปิดคดีแล้วดิ ของกูน่าจะอีกสองสามวันเพราะกำลังประสานงานกับเขตพื้นที่อื่นๆ มันเปลี่ยนแผนกะทันหันเหมือนมันรู้ตัวกัน กูเลยงานหนักเลยทีนี้ งานยากสัดๆ อะเพื่อน” หลังจากที่ฟังมาสักพักผมเริ่มจับใจความได้ว่าพี่กูนน่าจะกำลังคุยกับเพื่อนของเขาเกี่ยวกับการวางแผนอะไรสักอย่าง ผมเลยไม่แอบฟังเพราะบางทีมันอาจจะเป็นความลับทางราชการ ผมเลยถือโอวันตินมากินเอง เดี๋ยวเข้าไปผิดจังหวะไอ้ติคนนี้จะโดนด่าเอานะครับท่านผู้ชม









หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:39:30
บทที่ 14

พี่ชายงอนต้องรีบง้อ


Sati’ s talk



“ไอ้ติทำไมยังไม่นอน?”



“กำลังดูหนังอยู่พี่ กำลังสนุกเลย” ผมหันไปตอบพี่กูนที่เดินเข้ามาในห้องนอนผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “ผมล็อกอินเน็ตฟิคพี่ได้ใช่ไหม”



“มึงล็อกไปแล้วจะถามกูเพื่อ” พี่กูนกอดอกมองผมนิ่งๆ



“เป็นมารยาทไงพี่ พี่ดูไหม” ผมเขยิบให้พี่กูนเข้ามานั่งข้างๆ ผม แต่พี่กูนกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม



“ไม่ กูจะไปนอนแล้ว มึงก็นอนได้แล้วไอ้ติพรุ่งนี้ไม่ไปทำงานรึไง”



“ไปครับ แต่ว่ามันกำลังสนุกเลย อีกไม่กี่นาทีก็จบแล้ว พี่โคตรของโคตรพีคเลย” หนังที่ผมดูชื่อเรื่อง Forgotten เป็นหนังเกาหลีแนวสืบสวนแต่ก็ไม่ได้สืบสวนแต่จะออกไปทางแนวระทึกขวัญมากกว่า ผมดูมาตั้งแต่ต้นผมคาดเดาอะไรไม่ได้เลยเพราะมันพีคไปหมด



“เรื่องอะไร”



“Forgotten พี่”



“ดูแล้ว สุดท้ายแม่งก็ตายหมด”



“พี่กูน!! พี่สปอยล์ผมทำไมวะเนี่ย” ผมลุกขึ้นยืนเตรียมจะมีเรื่องกับพี่กูน “พี่ไม่รู้เหรอว่าเขาห้ามสปอยล์เวลาคนอื่นดูหนังอะครับ” ผมโกรธนะแต่ก็ทำได้แค่โกรธเพราะอย่างไรผมก็โกรธผู้มีพระคุณอย่างพี่กูนไม่ได้นานอยู่แล้ว



“มึงรู้ตอนจบแล้วก็นอนไป ถ้ายังไม่นอนกูจะปิดไวไฟ”



“พี่ขู่ผมเป็นเด็กเลยวะ”



“แล้วช่วยบอกกูทีว่ามีตรงไหนที่มึงไม่ใช่เด็ก?” แววตาที่ท้าทายของพี่กูนเป็นสายตาที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน อีกอย่างผมแพ้แววตาแบบนี้ แววตาของพี่กูนที่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า



“ผมมีอะไรที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่พี่คิดอะครับ” ด้วยความที่เป็นนักเลงเก่าผมเลยถกแขนเสื้อเป็นสัญลักษณ์ว่าตอนนี้ผมพร้อมที่จะมีเรื่องถ้าพี่กูนยังท้าทายผมอยู่อย่างนี้ “อย่ามาท้าผม”



“แต่เท่าที่กูดู..กูยังไม่เห็นความเป็นผู้ใหญ่เลยวะไอ้ติ ไอ้เด็กอ่อนอย่างมึงอย่าทำปากดี” ผมรู้นะว่าตอนนี้พี่กูนพยายามที่จะปั่นให้ผมโมโห ด้วยคำพูดที่โคตรจะกวนส้นตีน โทษนะผมขอใช้คำหยาบแต่ตอนนี้ผมไม่ไหวจริงๆ



“โห่พี่ เรียกเด็กอ่อนนี่ผมไม่ยอมนะ” ในความคิดของผม ผมอยากจะเข้าไปกระชากคอเสื้อพี่กูนแรงๆ เพื่อบ่งบอกว่าผมเอาจริง แต่...สิ่งที่ผมทำได้คือ “ผมอ่ะ...”



“อะไร?” เมื่อเห็นว่าผมจนมุมไม่มีอะไรมานำเสนอว่าผมนี่แหละที่เป็นผู้ใหญ่ตัวจริง พี่กูนก็ยิ่งท้าทายด้วยการเบะปากและเลิกคิ้วขึ้น “ไหนวะ”



พรึบ!



“......!!!”



“เป็นไงยิ่งใหญ่ไหมล่ะ” ผมเท้าเอวพร้อมกับแอ่นอวัยวะบางอย่างไปตรงหน้าพี่กูนด้วยความภาคภูมิใจ ส่วนพี่กูนตอนนี้ได้แต่ยืนอึ้งให้กับความเป็นผู้ใหญ่ของผม



“อึ้งเลยดิพี่ นี่แหละโคตรของโคตรผู้ใหญ่” เมื่อเห็นว่าผมโชว์นานเกินไป ผมจึงค่อยๆ ดึงกางเกงกลับขึ้นมาเหมือนเดิม



“หึ” พี่กูนเค้นยิ้มเล็กๆ พร้อมกับส่ายหน้า



“พี่ขำไรวะพี่กูน”



“นี่แหละที่โคตรเด็ก นอนได้แล้วมึงไอ้ติ เลิกปัญญาอ่อนสักที” ก่อนจะออกจากห้องพี่กูนเดินอ้ามือมาตรงหน้า ด้วยความที่ผมคิดเอาเองว่าพี่กูนจะตบหัวผมแรงๆ เหมือนทุกที ผมจึงหลับตาแต่ที่ไหนได้...



“พี่ไม่ได้จะตบเหรอ”



“ยิ่งตบมึงก็ยิ่งเอ๋อ นอนได้แล้ว” ผมมองตามหลังพี่กูนที่เดินออกจากห้องผมไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น ฝ่ามือที่พี่กูนทิ้งลงบนศีรษะของผมพร้อมกับขยี้เบาๆ แบบนั้น...ไอ้ติรู้สึกตัวเล็กเลยครับผม



เมื่อพี่กูนออกจากห้องนอนของผมไป ผมจึงค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนิ่มๆ ตาของผมเหม่อมองไปที่เพดานและคิดทบทวนว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้ ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมวะ



“มีพี่ชายมันดีแบบนี้นี่เอง ฝันดีนะพี่กูน”





เช้าวันต่อมา



“กูบอกมึงแล้วไอ้ติว่าอย่านอนดึก สายจนได้ กูจะสมน้ำหน้าให้ถ้ามึงถูกไล่ออกจากวิน” ตอนนี้ผมรีบแต่งตัวโดยมีพี่กูนคอยนั่งบ่นอยู่บนเตียง



สาเหตุที่พี่กูนมานั่งอยู่ในห้องของผมก็เพราะว่า... สิบนาทีก่อนหน้า



‘ไอ้ติ’



‘พี่ผมง่วง เข้ามาทำไมแต่เช้าเนี่ย’



‘ไอ้ติ’



‘พี่ค้าบบบ ผมง่วง ขอนอน’



‘จะแปดโมงแล้ว’



‘แค่แปดโมงเองพี่ ห้ะ!! ทำไมพี่ไม่ปลุกผมให้เร็วกว่านี้วะ!!’ เท่านั้นแหละครับผมรีบเด่งขึ้นจากที่นอนถอดเสื้อถอดทุกอย่างและวิ่งเข้าห้องน้ำไปโดยที่ไม่ได้สนใจว่าพี่กูนจะอยู่ในห้องด้วย อย่างไรพี่กูนก็เห็นน้องชายผมไปแล้วเมื่อคืน ผมก็ไม่มีอะไรจะต้องอาย เพราะอย่างไรเราก็มีเหมือนๆ กัน ผมอาจจะใหญ่กว่าพี่กูนก็ได้ใครจะไปรู้ ขอยาดขิงนะครับ พอดีปลูกไว้เยอะ





กลับมาที่ปัจจุบัน



“พี่อย่าซ้ำเติมผมดิ ผมรีบอยู่เนี่ย” ผมรีบยัดขาใส่กางเกงยีนก่อนจะหยิบเสื้อแขนยาวมาใส่ พร้อมกับทาครีมกันแดดไปด้วยอย่างลวกๆ



“กูก็เข้ามาเตือนแล้วว่าให้รีบนอน ยังจะมาเถียงนู่นนี่นั่น ถ้าอยากนอนตื่นสายก็ไม่ต้องทำงานนอนเฝ้าบ้านให้กูนิ”



“โถ่พี่ ถ้าผมไม่ไปทำงานผมจะเอาอะไรกินล่ะครับ”



“หญ้ามั้ง”



“ผมไม่ใช่ปลาคาฟนะพี่”



“ควายไหมล่ะ”



“แฮร่ ได้หนึ่งขำก่อนไปทำงาน ผมไปแล้วนะพี่หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้หลังจากที่หวีผมเสร็จ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมไม่ได้เซตผม เพราะไม่มีเวลา เมื่อแต่งตัวเสร็จอะไรเสร็จผมจึงรีบวิ่งมาหยิบหมวกและใส่เสื้อวินก่อนจะขับรถออกจากบ้านเพื่อไปทำงานตามปกติ ระหว่างนั้นผมก็ได้ยินเสียงพี่กูนตะโกนมาตามหลัง แต่ผมไม่ทันได้ฟังเลยตะโกนเพียงแค่ครับกลับไป



“เย็นนี้รีบกลับนะมึง กูจะพาไปกินข้าวข้างนอก”



“ครับ”



เมื่อมาถึงวินลูกค้ายังคงยืนต่อแถวรออยู่ ผมจึงรีบเข้าไปจอดเทียบท่ารับลูกค้าทันที



“ไปไหนครับ”



“โรงพยาบาล L ครับ” ผมยื่นหมวกไปให้ลูกค้า..ลูกค้าคนนี้เสียงคุ้นๆ เหมือนผมเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ด้วยความสงสัยทำให้ผมมองหน้าลูกค้าผ่านกระจก



“อ่าว พี่ไท้หวัดดีครับ” ผมกล่าวทักทายเมื่อลูกค้าคนนี้คือลูกค้าที่ครั้งก่อนผมเคยพาไปบุกซอยอันตรายนั้น เมื่อพี่ไท้เห็นว่าเป็นผมจึงยิ้มออกมา



“เป็นไงเรา แผลหายดียัง”



“ก็เริ่มหายแล้วพี่ แล้วพี่เป็นไงบ้างครับ ผมขอโทษจริงๆ นะเรื่องวันนั้น” ระหว่างที่ขับรถผมก็ชวนพี่ไท้คุยไปด้วยเรื่อยๆ เพราะกลัวว่าพี่ไท้จะเหงา แต่บางทีผมก็ลืมคิดไปว่าพี่ไท้อาจจะรำคาญ



“ไม่เป็นไรมันเป็นอุบัติเหตุ” พี่ไท้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ



“งั้นวันนี้ผมไม่เก็บเงินพี่นะ ถือว่าเป็นคำขอโทษ ครั้นที่ผมจะชวนพี่ไปเลี้ยงผมก็กลัวพี่ไม่อยากไป” เพราะดูจากการแต่งตัวและลักษณะของพี่ไท้นั้นมันคนละชั้นกับผมเลย



“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะครับ”



“ก็...ผมขับวินไงพี่”



“แล้ววินไม่ใช่คนเหรอ ไม่มีใครดูถูกอาชีพเราเลย แต่คำพูดของเรากำลังดูถูกอาชีพตัวเองอยู่นะ” ผมพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่าพี่สะดวกใจจะไปกินข้าวกับเรา ถ้าเราอยากจะเลี้ยงขอโทษ”



“งั้นพี่สะดวกวันไหนครับ ผมได้เสมอ”



“วันนี้ก็ได้เดี๋ยวพี่เลิกจะแวะไป อย่างไงทางกลับบ้านพี่ก็ต้องผ่านคิววินอยู่ดี”



“งั้นก็ได้ครับพี่ไท้ ผมจะรอพี่ที่ท่าวินนะ” เมื่อตกลงกันได้ก็ถึงโรงพยาบาลดี พี่ไท้ลงจากรถก่อนจะถอดหมวกส่งคืนให้กับผม “ยี่สิบบาทครับ”



“ไม่ต้องถอน” พี่ไท้ยัดเงินใส่มือผมก่อนที่จะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ระหว่างนั้นผมจึงรีบแบมือเพื่อเก็บเงินใส่กระเป๋า



“แต่ยี่สิบบาทก็ไม่ต้องถอนป่าววะ” นอกจากจะหล่อ ใจดี พี่ไท้ยังตลกด้วย ถ้าเป็นคนแบบผมมาพูดในลักษณะนี้ ที่บ้านเรียกว่ากวนตีน



ตลอดทั้งวันผมก็ทำงานปกติ มีลูกค้าบ้างไม่มีลูกค้าบาง แต่ผมพึ่งสังเกตว่าวันนี้พี่ติ่งไม่ได้เข้ามาขับวิน



“วันนี้วันออฟพี่ติ่งเหรอพี่โก้” วันออฟคือวันหยุด



“น่าจะใช่ กูก็ไม่รู้ว่ะแล้วมึงออฟวันไหน” พี่โก้พี่อีกคนที่ขับวินด้วยกันถามกลับ



“พรุ่งนี้พี่” ผมได้วันออฟเป็นวันเสาร์วันเดียว ตั้งแต่ผมทำงานมาผมก็ไม่ได้หยุดเพราะก่อนหน้าพี่กูนไม่อยู่บ้านผมเลยไม่รู้ว่าจะหยุดไปทำไมเพราะอยู่บ้านก็เหงาเลยออกมาทำงาน แต่พรุ่งนี้พี่กูนน่าจะหยุดด้วยผมเลยถือโอกาสนี้หยุดเช่นกัน เผื่อพี่กูนจะเรียกใช้



“เอาไหม”



“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณครับพี่” พี่โก้ยื่นซองบุหรี่มาให้ผม จะว่าไปพี่ๆ ที่วินส่วนมากก็สูบบุหรี่กันจัด ผมเคยถามพี่ติ่งนะ พี่ติ่งบอกว่าทำงานมาเหนื่อยๆ ได้สูบบ้างก็ชื่นใจ ผมไม่รู้หรอกว่าสูบบุหรี่มันจะชื่นใจได้แค่ไหนกันเชียวถ้าเทียบกับกินเอ็มร้อยหรือลิปโพ



วันนี้พี่ติ่งไม่มาทำให้ผมอดที่จะสืบเรื่องที่สงสัยต่อจากเมื่อวาน แต่เอาเถอะถือว่าได้พักสมองบ้าง



“น้องซอยเจ็ด”



“ครับ” ผมรับลูกค้าต่อในช่วงเกือบๆ บ่ายสาม และมุ่งหน้าพาลูกค้าไปยังซอยเจ็ดซึ่งติดอยู่กับซอยอันตรายที่เป็นซอยสิบเอ็ด ถ้าอยู่ฝั่งผมเลขซอยจะเป็นเลขคี่ ส่วนอีกฝั่งของถนนจะเป็นเลขคู่



“พี่อยู่แถวนี้เหรอครับ”



“ใช่จ่ะ”



“แล้วทำไมซอยสิบเอ็ดถึงไม่ค่อยมีคนไปเลยล่ะครับ” ได้โอกาสผมจึงสอบถามคนในพื้นที่เพื่อจะได้เบาะแสหรือข้อมูลอะไรได้บ้าง



“น้องไม่รู้เหรอว่าซอยนั้นมีแต่คนส่งยา แหล่งค้ายารายใหญ่เลย อย่าไปยุ่งล่ะ” คำตอบของพี่ลูกค้าทำให้ผมรู้แจ้งแจ่มชัดในทันที “คนที่เข้าไปส่วนมาก ถ้าหน้าใหม่แถวนั้นเขาก็รู้กันแหละว่ามารับมาส่งของ”



“มันทำกันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ”



“ก็ไม่เห็นยาก” เออเนอะ ผมก็ถามอะไรโง่ๆ “พวกตำรวจก็รู้แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะหัวหน้ามันใหญ่ ถ้าอยากรู้ก็ไปร้านเหล้า XXX ซิ เลยไปไม่กี่ซอย นั่นก็ธุรกิจฟอกเงิน” ข้อมูลค่อนข้างแน่น แต่ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดมามันเป็นข้อมูลที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม



“แสดงว่าเงินถึงเลยยัดตำรวจแถวนี้ได้ใช่ไหมครับ”



“ก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้างหน้าๆ จอดตรงนี้แหละ”



ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอย่างที่ลูกค้าเมื่อสักครู่เล่า แสดงว่าเมื่อวานนี้พี่ติ่ง...ก็เข้าไปซื้อยาหน่ะซิ! แต่ผมก็ยังคงสงสัยอยู่ว่าทำไม..ยาบ้าสมัยนี้มันซื้อขายกันง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ ดูทุกคนจะรู้แหล่งแต่ทำอะไรไม่ได้ ผมเลิกสนใจเรื่องนี้และกลับมาทำงานต่อจนกระทั่ง



“อ่าวพี่ไท้”



“ติเลิกงานยัง” พี่ไท้เดินเข้ามาด้านในคิววินที่ผมนั่งอยู่ระหว่างรอลูกค้า



“เลิกก็ได้ครับ” ผมถอดเสื้อวินออกก่อนจะหันไปบอกพี่ๆ ว่าผมขอตัวกลับก่อน “พี่ไท้อยากกินอะไรครับ ผมได้หมดเลย แต่กระซิบว่าอย่าแพงมากนะครับ” ผมรู้นะว่านี่เป็นการเสียมารยาท แต่ถ้ามีมารยาทแล้วจ่ายแพงผมก็ยอมเสียมารยาทดีกว่า



“พี่กินง่าย ติเลือกก็ได้”



“งั้นร้านแถวๆ นี้เนอะพี่ไท้ อร่อยอยู่ผมเคยกิน” ผมจอดรถทิ้งไว้ที่คิววินก่อนจะเดินพาพี่ไท้ไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวแถวๆ นั้น



“พี่ไท้เอาไรครับ ผมสั่งให้”



“พี่เอาเหมือนเรา”



“งั้นรอสักครู่ครับผม” ผมเดินไปสั่งบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงพิเศษสองชามก่อนจะเดินไปสั่งน้ำผลไม้ปั่นมาสองแก้วให้พี่ไท้ ผมรอจนน้ำปั่นเสร็จเดินกลับมาที่โต๊ะก๋วยเตี๋ยวก็มาเสิร์ฟพอดี



“ของพี่ครับ” ผมยื่นน้ำแตงโมปั่นให้พี่ไท้ก่อนจะเริ่มลงมือกินก๋วยเตี๋ยว



“ขอบใจนะติ อร่อยมากเลย” พี่ไท้ตักน้ำซุปขึ้นมาชิม



“พี่ไท้ทำงานที่โรงพยาบาลเหรอครับ”



“ครับ พี่เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลที่เราไปส่งพี่เมื่อเช้านี่แหละ” พี่ไท้ตอบยิ้มๆ พร้อมกับตักก๋วยเตี๋ยวขึ้นกิน “แล้วติขับวินนานรึยัง”



“น่าจะเดือนแล้วครับพี่ไท้ ผมทำระหว่างรอมหาลัยเปิด”



“อ่อ! ติเรียนอะไรล่ะ พี่ถามได้ไหม”



“ได้ดิพี่ ผมกำลังจะเข้าวิดวะ ผมจบปวส.มาก็เลยต่ออีกสองปีครึ่งครับ อยากได้วุฒิปอตรี” ผมยอมรับเลยว่าผมไว้ใจคนง่าย โดยเฉพาะกับพี่ไท้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรแต่ผมกลับคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด



“ตินี่ขยันนะ พ่อแม่คงจะภูมิใจ” ผมยิ้มแห้งๆ ออกมา ถ้าพ่อกับแม่ผมภูมิใจก็คงจะดี



“ผมไม่มีหรอกครับพ่อกับแม่ ผมมีแต่พี่ชาย แค่พี่ชายผมภูมิใจผมก็ดีใจแล้ว” ผมรอวันที่ผมจะเอาเงินทั้งหมดที่ผมได้เอาไปให้พี่กูน ผมอยากให้พี่กูนเป็นส่วนหนึ่งของเงินก้อนนี้ เงินที่ผมทำงานหลังจากผมได้รับโอกาสและชีวิตใหม่



“พี่ชายของติคงโชคดีที่มีน้องชายดีๆ แบบติ เป็นเด็กดีแบบนี้แหละดีแล้ว” ผมก็ขอให้พี่กูนคิดแบบพี่ไท้ ผมอยากให้พี่กูนดีใจที่มีน้องชายแบบผม ผมรู้ว่าบางเรื่องผมอาจจะไม่ได้เรื่อง แต่หลายๆ เรื่องผมก็พยายามทำเต็มที่แล้ว



“ขอบคุณครับพี่”



หลังจากที่กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จผมมาส่งพี่ไท้ที่บ้านของเขา และพึ่งรู้ว่าบ้านของพี่ไท้อยู่ห่างจากบ้านของพี่กูนไปแค่ไม่กี่หลัง



“บ้านนี้เหรอพี่ บ้านผมอยู่หลังท้ายสุด ผมมารับพี่ไปทำงานได้นะ พี่จะได้ไม่ต้องเดินออกไปหน้าปากซอย” พี่ไท้ยื่นหมวกกันน็อคส่งให้ผม



“บ้านเราท้ายสุดเหรอ?” พี่ไท้ทำท่าคุ้นคิดอยู่นานจนผมเอ่ยปากอธิบาย



“อ่อ บ้านพี่ชายของผมอะครับ ผมพึ่งมาอยู่ได้ไม่นาน”



“อ่อ กลับดีๆ เจอกันนะติ งั้นพี่ขอเบอร์เราไว้นะเพื่อโทรบอกว่าให้มารับวันไหน เผื่อพี่เข้าเวรดึกอาจจะไม่ได้ไปทำงานช่วงเช้า”



“ได้ครับๆ” ผมยื่นโทรศัพท์ให้พี่ไท้เพื่อให้พี่ไท้เมมเบอร์ของเขาลงในโทรศัพท์ของผม “ไปแล้วนะครับพี่ เจอกันครับ”





หลังจากนั้นผมจึงขับรถกลับบ้านในเวลาเกือบๆ สองทุ่ม แต่ทำไมผมรู้สึกว่าบ้านร้อนแปลกๆ มันเป็นแค่ความรู้สึกนั่นแหละครับ ผมอาจจะคิดมากไป



“พี่กูนหวัดดีพี่” ผมยกมือไหว้พี่กูนเหมือนปกติ แต่ดูพี่กูนจะไม่ปกติ “พี่เป็นอะไรรึเปล่า”



“เมื่อเช้ากูบอกมึงว่าอะไร” พี่กูนเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม



“ก็...ไม่ได้บอกอะไรนิพี่”



“กูบอกให้มึงรีบกลับบ้านเพราะจะพาไปกินข้าวข้างนอก แต่มึงกลับมาตอนนี้?” เมื่อเช้าพี่กูนบอกผมอย่างนั้นเหรอครับ? ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย หรือจะเป็นตอนที่พี่กูนตะโกนตามหลังผมเมื่อเช้า



“คือว่า...”



“ถ้าไม่อยากไปทีหลังมึงก็บอกกู ไม่ต้องรับปากส่งๆ แล้วไม่ทำตาม” พี่กูนลุกขึ้นจากโซฟาเตรียมจะเดินเข้าไปในห้องนอนของเขา แต่ผมวิ่งไปดักหน้าพี่กูนเอาไว้ก่อน



“ผมขอโทษครับพี่ ผมไม่รู้จริงๆ ผมไม่มีอะไรตะแก้ตัว พี่อยากด่าอะไรก็ด่าผมมาเลย แต่ว่าอย่างอนแบบนี้เลยนะพี่” ผมถือวิสาสะจับมือพี่กูนเอาไว้



“กูไม่ได้งอนไอ้ติ กูแค่ไม่พอใจ”



“ผมขอโทษ”



“เออ ช่างแม่ง”



“พี่ช่างแม่งได้ไง พี่ไม่พอใจ..ผมสามารถทำอะไรให้พี่หายไม่พอใจได้บ้างอะครับ” ผมยังคงไม่ยอมปล่อยพี่กูนไปง่ายๆ “พี่เป็นพี่ผมนะ”



“แล้วมันแก้ไขอะไรได้วะไอ้ติ ไหนบอกกู” สีหน้าและน้ำเสียงของพี่กูนตอนนี้ดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ที่เห็นว่าผมยังคงดื้อดึง



“ก็...ผมกินข้าวกับพี่ได้อีกนะ ผมยังไม่อิ่มเลย พี่จะไปกินที่ไหนผมไปด้วยได้พี่”



“แสดงว่ามึงกินเข้ามาแล้ว?”



“ก็...ครับ”



“เอาเถอะไอ้ติกูไม่กิน กูไม่หิวแล้ว กูหายหงุดหงิดล่ะ ทีหลังก็อย่าทำแบบนี้อีก คนรอเขาไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น แล้วก็ปล่อยมือกูได้แล้ว”



“จริงนะพี่”



“เออ! ถ้ายังเซ้าซี้กูถีบนะ”



“โอเคครับ” และผมก็ยอมปล่อยให้พี่กูนเดินเข้าไปในห้อง ด้วยความที่อะไรดนใจผมอยู่ก็ไม่รู้สั่งให้ผมยกมือที่จับมือพี่กูนเมื่อสักครู่ขึ้นมาดม



“ไอ้ติ มึงทำเหี้ยอะไรของมึงวะ” ผมรีบปล่อยมือของตัวเองออกเมื่อได้สติ เมื่อกี้ผมโคตรโรคจิตเลย “พี่กูนพี่ผมจะทำอาหารง่ายๆ มาให้พี่นะ” ผมเคาะประตูห้องพี่กูนและออกมาทำอาหารง่ายๆ ไปง้อพี่ชาย



พี่ชายโกรธต้องรีบง้อ หลวงตาเคยสอนว่าถ้าโกรธใครหรือใครโกรธให้รีบเคลียร์อย่าปล่อยไว้ข้ามคืน ไม่อย่างนั้นความโกรธมันจะสะสม



ก็อกๆ



“อาหารมาเสิร์ฟครับพี่” ผมเคาะประตูและถือวิสาสะเปิดเข้าไป พี่กูนที่นั่งทำงานอยู่หันมามองหน้าผมด้วยสายตาหงุดหงิดที่ชอบมองผมแบบนี้เป็นประจำ



“กูบอกว่าไม่กินไงไอ้ติ ดื้อฉิบหาย!”



“ยอมโดนด่าเลยถ้าพี่กินมาม่าต้มที่ผมทำมาให้ เวลานี้ทำได้แค่นี้แหละครับพี่” ผมวางถ้วยลงบนโต๊ะข้างๆ ที่ไม่มีเอกสารวางอยู่ “ผมจะนั่งอยู่จนกว่าพี่จะกิน”



ไม่ป้อนกูเลยล่ะ”



“ได้เหรอพี่ มาๆ ผมเป่าให้” ผมเตรียมยื่นมือไปจับช้อนเพื่อป้อนพี่กูน แต่แล้วก็ถูกมือใหญ่ของพี่กูนปัดมือผมให้ออกห่างจากถ้วยของเขา “ผมเคี้ยวให้ยังได้เลยพี่”



“กูประชด”



“ผมเอาจริง”



“กวนตีนนะครับ”



“รักพี่นะครับ ไม่อยากให้โกรธ แค่ไม่พอใจก็ไม่ได้ ผมมีพี่แค่คนเดียวนะพี่กูน” ด้วยความที่ปากไวผมจึงพูดออกไปแบบนั้น ถึงปากผมจะไวแต่คำพูดนั้นสมองของผมคิดแล้ว



“คำพูดมึงกำกวมฉิบหายไอ้ติ”



“ก็มาจากใจดวงน้อยๆ ของไอ้ติคนนี้อะครับ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับส่งสายตาหวานๆ ไปให้พี่กูน “หายโกรธนะ”



“ก็กูบอกว่าไม่ได้โกรธไง”



“ก็หายไม่พอใจนะ”



“ถ้ายังทำแบบนี้กูถีบมึงจริงๆ นะ” ผมรีบถอยออกก่อนที่พี่กูนจะถีบผมจริงๆ



“กง.231 กค.478 มันคืออะไรอะพี่ ป้ายทะเบียนเหรอ” ด้วยความที่ตาไวผมเห็นกระดาษที่มีตัวอักษรบางอย่างที่คล้ายๆ กับทะเบียนรถ



“รถที่คาดว่าน่าจะขนยาเข้ากรุงเทพฯ แล้วจะผ่านมาแถวๆ เราเขาส่งมาให้ช่วยกันสังเกต”



“พี่บอกผมเหรอ?” ผมตกใจอยู่ไม่น้อยที่พี่กูนบอกผมในเรื่องที่ผมไม่คิดว่าพี่กูนจะบอก



“บอกไปมึงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีไอ้ติ” และก็ถูกของพี่กูน ผมรู้ไปผมก็ช่วยอะไรหรือทำอะไรไม่ได้อยู่ดี “ถ้าเห็นป้ายทะเบียนแบบนี้ก็โทรหากู”



“แล้วผมจะได้อะไร”



“หัวหมอนะมึง”



“ก็ทำดีหวังผลไงพี่ ผมรู้ถ้าพวกพี่จับได้คงได้รางวัลนำจับอยู่หลายบาท”



“กว่าจะถึงกูผ่านมากี่คนแล้วล่ะ มันไม่ได้ง่ายๆ นะมึง อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่เขตที่กูดูแล เพราะเขตที่กูดูแลก็แถวๆ บ้านเก่ามึง” แสดงว่ากว่าจะถึงพี่กูนก็ต้องผ่านมาหลายขั้นแล้วสินะ



“แสดงว่าตำรวจกินเก่งก็เป็นเรื่องจริง”



“กูก็ไม่ได้เถียง เพียงแต่ว่ามันเป็นเรื่องปกติที่คนส่วนมากทำกัน”



“แต่....ปกติเหรอพี่ ทำไมพี่พูดดูไม่เดือดร้อนอะไรเลย”



“แล้วต้องให้กูเดือดร้อนอย่างไงวะ ไหนมึงบอกกูทีดิ้” คราวนี้พี่กูนหันมามองหน้าผมตรงๆ เพื่อต้องการคำตอบของคำถาม



“ก็..พี่ควรเที่ยงตรงไหมอะ ที่พี่ทำงานก็ภาษีของประชาชนทั้งนั้น ไม่ควรรับเงินใต้โต๊ะอะไรแบบนี้”



“นี่มึงจะบอกว่ากูทำงานไม่สมกับเงินเดือนที่ได้รับว่างั้น? แล้วกูบอกหรือยังว่ากูทำเหมือนสิ่งที่มึงกำลังกล่าวหากู” ผมนิ่งและคิดตามคำพูดของพี่กูน “กูไม่ได้หมายความว่าข่าวที่ออกมาไม่ใช่เรื่องจริง แต่กูก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะต้องทำตามที่เป็นข้อกล่าวหาทุกอย่าง ตำรวจดีๆ ก็มี ไม่ใช่มีแต่ตำรวจเหี้ยๆ”



“โทษนะ ตอนนี้พี่ขึ้นรึเปล่า” ผมถามด้วยความแน่ใจเพราะตอนนี้พี่กูนดูอารมณ์เดือดขึ้นกว่าเดิม



“เปล่า กูอธิบายให้ฟัง”



“ผมขอถามหน่อยดิ พี่เคยทำแบบในข่าวปะที่รับเงินไรงี้”



“กูไม่ตอบได้ไหม”



“ถ้าไม่ตอบผมก็จะแอบคิดว่าพี่อาจจะเคยทำ”



“งั้นก็ปล่อยให้มึงคิดแบบนั้นไป แต่กูจะบอกอะไรให้นะไอ้ติ” พี่กูนโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผมเรื่อยๆ “ในสังคมคนที่อยู่รอดได้คือคนเทาๆ ถ้าขาวไประวังจะไม่รอด กูว่าข้อนี้มึงรู้ดี”



และผมก็แน่ใจว่าสิ่งที่พี่กูนบอกผมพี่กูนต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง สื่อให้ผมเห็นว่าบางทีการเป็นคนดีอย่างเดียวมันก็เอาตัวรอดไม่ได้ในสังคมที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ ซึ่งผมเองก็เข้าใจเหมือนกันเพราะ..ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดี เพียงแค่ผมเลือกปฏิบัติดีกับคนที่ดีกับผม



หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:40:06
บทที่ 15

ความลับของสติ



‘ที่เดิม อย่าให้ใครจับได้นะมึง’



‘กูเอาเหมือนเดิม’



‘ถ้าถูกจับได้มึงบอกว่ามาจากพวกไอ้เต๋า’



‘มึงมาคิดได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไอ้ติ เด็กวัดอย่างมึงมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้เหรอวะ’



‘พี่ทิมพี่ ผมขอโทษ’



‘อย่าทำพี่กู!’



‘อย่าทำน้องกู!!’



พรึบ!



ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกหลังจากที่ผมฝัน...ความฝันที่เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริงของผมเมื่อก่อนตอนที่ผมยังอยู่ที่เดิม เรื่องจริงที่ผมพยายามที่จะลืมมัน



ผมไม่ได้เสพ ผมไม่ได้ค้า เพียงแต่ผมเคย....เป็นคนส่งของเท่านั้น และผมก็แน่ใจตอนที่เห็นพี่ติ่งยื่นรับอะไรบางอย่างที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมเคยบอกแล้วว่าความจนมันน่ากลัว อะไรที่ทำแล้วได้เงินผมยอมทำหมดแม้ว่ามันจะเสี่ยงก็ตาม อีกเหตุผลที่ผมเลือกที่จะทำก็เพราะผมตัวคนเดียว ถ้าโดนจับหรือโดนฆ่าก็ไม่มีใครต้องเดือดร้อน แต่แล้วชีวิตของผมมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อผมเจอกับ ‘พี่ทิม’ คนที่ผมเคยกรีดเลือดสาบานว่าจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป



ชีวิตผมมันเทามาตลอด เทาที่ค่อนไปทางดำมากกว่าขาว ดังนั้นผมจึงเข้าใจคำพูดของพี่กูนเป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ผมเป็นกังวลก็คือ ถ้าพี่กูนรู้เกี่ยวกับอดีตของผม พี่กูนยังจะรับผมเป็นน้องชายอยู่ไหม ถ้าพี่กูนรับไม่ได้ผมก็เข้าใจ แต่ถ้าให้เลือกได้ผมก็ไม่อยากให้พี่กูนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไม่อยากเห็นสายตาผิดหวังเป็นครั้งที่สอง เพราะครั้งแรกผมเคยทำให้พี่ชายที่รักและเคารพผิดหวัง....



‘กะกู ไม่ได้ตั้งใจ....’ สองมือที่เปื้อนเลือดของสติสั่นเทาด้วยความกลัวหลังจากเขาพึ่งแทงคู่อริต่างสถาบันเพราะการต่อสู้ป้องกันตัว



‘ไอ้ติ...มึง’ เสียงของคู่อริที่นอนจมกองเลือดพยายามที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากสติคนที่พึ่งแทงเขาไป เพราะเขารู้ดีว่าถ้าสติไม่แทง เขาเองที่จะเป็นฝ่ายแทงแต่โชคดีที่ว่าจังหวะนี้สติเป็นคนที่ถือไผ่เหนือกว่า เพราะถ้าเป็นเขามันจะไม่หยุดแค่แผลเดียวแบบนี้



‘กะกู..ชะช่วยมึงไม่ได้จริงๆ’ ด้วยความที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สติไม่สามารถที่จะควบคุมสติของตัวเองได้



‘กูไม่อยากตาย’



‘กูก็ไม่อยากให้มึงตาย แต่ถะถ้ากูไม่ทำ กูก็จะเป็นฝ่ายที่ตายเพราะมึง’ สติพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีลุกขึ้นยืนมองคู่อริที่ยังคงนอนอยู่ที่เดิมเพราะไม่สามารถลุกขึ้นมาได้



‘ถ้ากู...กูรอดไปได้ มะมึงไอ้ติกูไม่เอามึงไว้แน่’ สายตาและน้ำเสียงของคู่อริมองสติด้วยความแค้น ‘กูจะฆ่ามึงกับพี่ชายมึง อย่าหวังว่าจะรอด’



‘มึงกำลังบีบให้กูฆ่ามึง อย่ายุ่งกับพี่กู’



‘เอาดิ มึงฆ่ากูเลยไอ้ติ มึงฆ่ากูเลย! เพราะถ้ามึงไม่ฆ่ากูก็จะฆ่ามึง...ฆ่ามึงเป็นคนแรก’ มือที่สั่นเทาด้วยความกลัวของสติกำลังจับมีดขึ้นมาเตรียมที่จะแทงเข้าที่หน้าอกข้างซ้าย



‘แทงกูเลยไอ้ติ..แทงกู!! หรือมึงกลัว?’



‘อะอย่า..ท้ากู’ สติหลับตาก่อนจะรวบรวมความกล้ายกมีดขึ้นเตรียมที่จะแทงบริเวณที่เขาหมายตาเอาไว้ แต่มันก็ช้าไปเพราะ...



ปัง!!



เพล้ง!!



มีดที่อยู่ในมือของสติหล่นลงพื้นพร้อมกับสองขาที่ทรุดนั่งลงข้างๆ ร่างที่ไม่มีลมหายใจของคู่อริ...



‘…!!!!!’



‘จะฆ่าน้องกู มึงไปรอที่นรกเถอะไอ้เหี้ย!’



‘พะ..พี่ทิม...’



‘มึง...มึงไม่ผิดไอ้ติ เพราะคนที่ฆ่ามันคือกู มึงไม่เกี่ยว’



‘พะ..พี่’



‘หนีไป..มึงหนีไป’



‘พี่ทำแบบนี้ทำไมวะ’



‘ถ้ากูไม่ทำมันจะฆ่ามึง!’



‘แต่พี่ฆ่ามัน...’



‘ใช่ กูฆ่ามันเอง มึงไปเริ่มต้นชีวิตใหม่นะไอ้ติ อย่าเลือกที่จะเดินทางนี้ ชีวิตมึงยังอีกยาวไกล’



‘ไม่พี่..ผมทิ้งพี่ไม่ได้ ผมจะรับผิดแทนพี่เอง’ สติคลานเข้าไปเกาะขาพี่ชายต่างสายเลือดด้วยตาที่เอ่อไหล ‘ผม ผมไม่อยากให้พี่ทำแบบนี้’



‘มึงฟังกูนะไอ้ติ มึงจำได้ไหมกูเคยบอกมึงว่าอะไร...’



‘จำได้ผมจำได้พี่’ สติพยักหน้าพร้อมน้ำตา เพราะคำพูดนั้นเขาจำได้ดี ‘พี่บอกผมว่า...ฮึก ถ้าผมล้มคนที่จะข้ามผมได้คือพี่ แต่ถ้าคนที่มันทำให้ผมล้ม..คนที่จะฆ่ามันคือพี่’



‘ไอ้ติ มึงเป็นน้องที่กูรัก..รักมากกว่าชีวิตกู มึงไปเถอะแล้วทุกอย่างกูจะจัดการเอง’



‘ผมไม่ไป..’



ปัง!!



‘พี่ทิม!!!!’



‘เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมึง’



ความทรงจำในส่วนนี้ผมพยายามที่จะลืม พยายามที่จะลืมว่าผมเป็นต้นเหตุให้คู่อริถูกฆ่า ฆ่าตายต่อหน้าต่อตาผมและทำให้พี่ชายที่รักและเคารพต้องติดคุก หมดอนาคตเพราะปกป้องผม



“พี่ทิม.....” ผมในวัยสิบหกตอนนั้นคิดเพียงแค่ว่าเอาสะใจ ใครจะเจ็บใครจะตายก็ช่างมัน ใครทำพี่กูใครทำน้องกูมึงต้องโดน ‘พี่ทิม’ คือพี่ที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เกิด พี่ที่เปรียบเสมือนพี่ชายแท้ๆ ของผม พี่ที่ผมรักที่สุดในชีวิต และเป็นพี่ที่คอยปกป้องผมในทุกๆ เรื่อง แม้ว่าเรื่องนั้นคนที่ผิดคือผม



พี่ทิม..ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน ผมอยากเจอพี่





เช้าวันต่อมา



“พี่กูนหวัดดีพี่” ผมยกมือไหว้พี่กูนเหมือนอย่างเคยเตรียมตัวจะออกไปทำงานเหมือนปกติ



“ไอ้ติไปส่งกูหน่อย วันนี้ไม่ได้เอารถไป”



“ให้ไปส่งไหน ที่ทำงานพี่โคตรไกลไม่ใช่เหรอ” ระยะทางจากแถวที่ผมอยู่มาบ้านพี่กูนใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดก็เกือบๆ ชั่วโมงครึ่ง



“ส่งสน.บ้านเรานี่แหละ วันนี้กูมีธุระแถวนี้”



“เกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนรึเปล่า”



“อาจจะด้วย” ผมไม่ได้เซ้าซี้พี่กูนต่อ “ไปส่งได้ไหมล่ะ”



“ได้ดิพี่” ผมยื่นหมวกกันน็อคให้พี่กูนที่เดินตามหลังผมมา “รีบไหม ถ้ารีบผมจะซิ่ง” ผมถามก่อนที่พี่กูนจะซ้อนท้าย



“ไม่ต้องรีบมาก”



“โอเคพี่” ผมพยักหน้าก่อนจะใส่หมวกและขับรถออกจากบ้านไป โดยที่ลืมสิ่งที่บอกกับพี่ไท้เมื่อวาน



“เหม่อไรมึง” พี่กูนเคาะหมวกกันน็อกผมเบาๆ



“ไม่ได้เหม่อ ผมมองทางพี่” ผมตะโกนตอบแข่งกับเสียงลมเพื่อตอบกลับพี่กูน ระหว่างนั้นพี่กูนก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมเลยจนกระทั่ง...



ผมมาถึงสน.ตามที่พี่กูนบอก ส่วนพี่กูนลงจากมอเตอร์ไซค์และพยายามที่จะถอดหมวกกันน็อก



“ผมถอดให้พี่” ผมเอี้ยวตัวเข้าไปหาพี่กูนพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ เพื่อปลดล็อกหมวกกันน็อกออก ทำให้สายตาของผมกับพี่กูนผสานกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมเข้าใกล้พี่กูนขนาดนี้



จะว่าไปยิ่งมองใกล้ๆพี่กูนก็โคตรจะหล่อเลย



“ขอบใจ” ผมปลดล็อกเสร็จพี่กูนจึงยื่นหมวกกันน็อคมาให้ผม “ร้อยหนึ่งไม่ต้องถอน ถือว่ากูให้ค่าถอดหมวก”



“พี่อยากให้เงินผมใช่ไหมล่ะ ผมรู้หรอก” ผมแกล้งแซวพี่กูนที่ตอนนี้ยื่นแบงก์ร้อยมาให้ผม “สงสัยวันนี้จะเฮงแต่เช้าสะแล้ว เพราะมีป๋าใจดี”



“กว่าจะพูดมากได้ต้องให้เงินนะมึง แล้วเป็นอะไรวันนี้”



“วันนี้เป็นอะไรอย่างไงพี่”



“มึงดูไม่ปกติเหมือนมีเรื่องให้คิดมาก” สมแล้วกับที่เป็นพี่ชายผม



“ก็คิดถึงอดีตของตัวเอง”



“คิดมากที่กูพูดเมื่อวาน?”



“พี่จะรับได้ไหมถ้าผมไม่ใช่เด็กที่ขาวสะอาด” ผมกอดหมวกกันน็อกและเม้มปากมองหน้าพี่กูนและลุ้นคำตอบว่าพี่กูนจะตอบอะไร ถ้าพี่กูนตอบว่ารับไม่ได้ผมคง....คงจะผิดหวัง



“แล้วมึงคิดว่าการที่กูเอามึงมาอยู่ด้วยกูจะไม่รู้ประวัติมึงเลย?”



“พะ..พี่รู้เหรอ?”



“แล้วมีเรื่องอะไรที่กูจะไม่รู้ เอาคนมาอยู่ด้วยทั้งคนนะมึงไม่ใช่เอาหมาเอาแมวมาเลี้ยงที่กูจะไม่รู้อะไรเลย”



“พี่กูนแต่ผม...”



“กูไม่สนใจอดีตไอ้ติ กูสนแค่ปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น ไปได้แล้ว” ก่อนจะไปพี่กูนลูบศีรษะของผมเบาๆ ถ้าพี่กูนพูดแบบนี้ผมก็สบายใจ อดีตผมจะทิ้งมันไปแล้วจะเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งที่ผมยังคงกังวลก็คือ..



ผมไม่อยากให้พี่กูนเป็นเหมือนอย่างพี่ทิม... มันเป็นอีกเหตุผลที่ผมไม่กรีดเลือดสาบานกับพี่กูนตอนนั้น เพราะอย่างน้อยผมก็สามารถที่จะเลิกเป็นน้องชายของพี่กูนได้



พี่กูนเป็นเพียงแค่พี่ชายชั่วคราวของผม.....ถึงพี่บอกให้ผมลืมอดีตอย่างไงผมก็ลืมไม่ได้หรอก เพราะมันฝังอยู่ในใจของผมตลอดมา ผมพยายามที่จะลืมแล้วแต่มันก็ลืมไม่ได้จริงๆ ว่ะพี่



แต่ผมสัญญาว่าผมจะกลับมาเป็นไอ้ติน้องชายที่กวนตีนของพี่เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:40:36
บทที่ 16

คนในใจลืมอย่างไรก็ลืมไม่ลง


Kun’ s talk



“ทิม ธีมนินทร์ อดีตนักโทษข้อหาพยายามฆ่า ถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อปีที่แล้ว..ทำไมเหมือนกูเคยเห็นที่ไหนมาก่อนวะ” ผมมองเอกสารในมือที่เป็นข้อมูลของอดีตนักโทษที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไอ้ติ คนที่ทำให้ไอ้ติมองผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป สายตาของมันมีแต่ความกังวลความกลัว กลัวว่าผมจะมีจุดจบที่เหมือนทิม และสิ่งที่ผมสงสัยอีกอย่างก็คือ ใบหน้าของมันเหมือนผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน



“มึงเอาไปทำไมวะไอ้กูน” ผมหันไปมองไอ้ผาเพื่อนสนิทที่จบมาจากเหล่าเดียวกัน ผมกับมันรู้จักกันตั้งแต่เรียนอยู่ จปร. จนกระทั่งมาต่อผมกับมันเข้ามาเรียนต่อที่นายร้อยตำรวจสามพราน เรียกได้ว่าไอ้ผากับผมเป็นคู่เพื่อนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันมานับไม่ถ้วน ผมกับไอ้ผาทำงานอยู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่หน่วยสืบสวนแต่ตอนนี้ผมถูกส่งมาอยู่แถบชานเมืองเพื่อสอดส่องพฤติกรรมของนักค้ายารายหนึ่งที่มีอิทธิพลค่อนข้างมาก ส่วนไอ้ผาเองก็ถูกส่งมาสอดแนมเป็นสายลับอยู่บริเวณแถวบ้านผมตอนนี้ก็เข้าปีที่สอง ถ้าถามว่าทำไมต้องมาสอดแนมนานขนาดนี้ก็เพราะว่า.....ความลับครับ



“มันเกี่ยวข้องกับน้องกู”



“ไอ้ติ?”



“เออ” ไอ้ผาเองก็รู้จักกับไอ้ติเป็นอย่างดี แต่เบื้องลึกหนาบางมันไม่น่าจะรู้อะไรมาก “กูลืมไปสนิทเลยว่าไอ้ติมันมีพี่ชายที่ติดคุกไปเมื่อหลายปีก่อน กูไม่อยากให้มันสองคนเจอกัน”



“พี่ชาย? ไหนมึงบอกว่าไอ้ติไม่มีพี่น้อง”



“ไม่ใช่พี่น้องทางสายเลือด แต่ทางความสัมพันธ์ก็ไม่ต่างจากพี่น้องกันจริงๆ” ผมพลิกรูปของทิมดู ก่อนจะเสิร์ชหาประวัติทางอาชญากรรม “มึงว่าไอ้ทิมมันกำลังจะตามหาไอ้ติอยู่รึเปล่าวะ”



“มึงบอกว่ามันออกมาเมื่อปีที่แล้ว แต่มึงรับไอ้ติมาอยู่ด้วยเมื่อหลายเดือนก่อน ถ้ามันจะกลับมาหาไอ้ติจริงๆ มันคงกลับมานานแล้วไม่ใช่เหรอวะ?” ผมนั่งคิดตามไอ้ผาพูดพร้อมกับมองประวัติของไอ้ทิมไปด้วย จากที่ผมดูจากข้อมูลที่ปรากฏไอ้ทิมมีแค่ข้อหาเดียวที่ผมบอกไป นอกจากนั้นเรียกได้ว่าไม่เคยมีประวัติที่ไม่ดีเลย ผมเลื่อนไปดูเกี่ยวกับภูมิหลังก่อนจะพบว่าไอ้ทิมมีบ้านอยู่แถวๆ ที่ไอ้ติอยู่ พ่อกับแม่หย่าร้างกันทำให้ไอ้ทิมอาศัยอยู่กับยาย ซึ่งตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ก่อนจะถูกจับ



“มึงกังวลอะไรวะไอ้กูน กูถามจริงๆ” “กูไม่อยากให้ไอ้ติไปเจอกับไอ้ทิม เพราะกูไม่อยากให้ชีวิตมันกลับไปวนลูบอยู่แบบเดิม กูให้ชีวิตใหม่มันไปแล้ว กูเลยไม่แน่ใจว่าวันหนึ่งถ้าพวกมันเจอกัน ไอ้ติมันจะเป็นอย่างไง”



“กูเข้าใจมึงนะไอ้กูน แต่มึงอย่าลืมว่ามึงพึ่งเจอกับไอ้ติได้ไม่นาน ถ้าเทียบกับไอ้คนชื่อทิมอะไรนี่มึงแม่งเทียบไม่ติดอะในแง่ของความสัมพันธ์” มันก็จริงอย่างที่ไอ้ผาพูด ถ้าผมลองคิดว่าผมคือไอ้ติถ้าผมเจอกับพี่ชายที่ไม่เจอกันนาน ไม่ว่าพี่จะเลวร้ายแค่ไหน ผม..ผมก็คงจะกลับไปหาพี่ชายของผมและเลือกที่จะทิ้งคนที่พึ่งรู้จักไปแม้ว่าคนนั้นจะให้ชีวิตใหม่ผมก็ตาม “แต่กูว่าไอ้ทิมมันคงไม่อยากให้ไอ้ติเจอ”



“ทำไมวะ”



“กูก็ไม่รู้เหตุผลนะ แต่ถ้ากูเดามันคงอยากจะตั้งตัวก่อนถ้ามันประสบความสำเร็จหรือพอสร้างตัวได้ มันคงกลับมารับไอ้ติไป”



“แสดงว่ามึงรู้...ว่าไอ้ทิมมันวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวไอ้ติ?”



“กูก็ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่กูสังเกตกูว่าใช่เพราะก่อนหน้านั้นกูเห็นผู้ชายคนหนึ่งมาวนเวียนแถวๆ วิน แต่แปลกที่มันไม่ยอมเปิดหน้าให้ใครเห็น และเลือกที่จะขึ้นรถคันไอ้ติไป..มันรอจนถึงคิวไอ้ติ”



“ทำไมมึงไม่บอกกูวะไอ้ผา?”



“ก็..กูไม่รู้ว่ามึงอยากรู้หนิหว่าไอ้กูน” ผมพยักหน้า



“เออ ต่อไปนี้ก็ช่วยดูให้กูก็แล้วกัน ถ้าใช่มึงบอกกู”



“มึงกำลังจะล้ำเส้นน้องมึง”



“กูไม่ได้ล้ำเส้น แต่นั่นมันน้องกู” ผมมองหน้าไอ้ผาหลังจากที่มันเตือนผม ผมรู้ แต่ทำไงได้ผมไม่มีทางเลือก และผมก็มั่นใจว่าผมเองหวังดีกับไอ้ติไม่แพ้ไอ้ทิมเลย



“น้องที่พึ่งรู้จัก?”



“ไอ้ผามึงจะขัดกูทำไมวะ” ผมเริ่มจะหงุดหงิดเมื่อไอ้ผาเอาแต่พูดขัดผม ผมรู้แต่..ผมไม่ชอบ



“กูไม่ได้ขัดแต่กูแค่เตือนมึงไอ้กูน ที่มึงทำมึงแค่พยายามจะซื้อใจไอ้ติให้มันอยู่กับมึง แต่มึงคิดดูว่ามึงให้เงินแต่ไอ้ทิมนั่นมันอาจจะให้มากกว่ามึง กูออกตัวก่อนว่ากูพูดแบบรวมๆ จากการวิเคราะห์ของกูเอง มันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่กูอยากให้มึงคิดตามที่กูพูด”



“กูจะพยายามคิดตามก็แล้วกัน แต่อย่างไงกูก็ฝากมึงดูมันด้วย”



“ไอ้กูน น้องมึงเริ่มจะเข้าไปยุ่งเกินไปละ อย่างไงมึงก็เตือนๆ มันบ้าง เข้าไปหาอันตรายโดยไม่รู้ตัว” ส่วนเรื่องนี้ผมเองก็พูดเตือนไอ้ติมันไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทำตามผมเลย เดี๋ยวเอาไว้ผมค่อยคุยกับมันจริงจังก่อนที่ไอ้ผามันจะเริ่มจับกุม





Sati’ s talk



หลังจากที่มาส่งพี่กูนที่สน.ผมก็ยังไม่ได้กลับไปที่คิววิน แต่เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่แถวๆ นั้นเพราะบางสิ่งบางอย่างที่ดลใจให้ผมทำ ผมรออยู่ประมาณเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสงสัยผมจึงเตรียมตัวที่จะกลับ แต่แล้วก็มีรถเบนซ์คันหรูเลี้ยวเข้าไปด้านในสน. ผมจึงหยุดและรอดูว่าเป็นใคร



รองเท้าผ้าใบสีขาว กางเกงยีนขายาว เสื้อแจกเก็ตสีดำ มีตราสัญลักษณ์ของตำรวจห้อยอยู่บนคอ ทำไมผมดูคุ้นกับคนที่ลักษณะแบบนี้ เพียงแต่ว่าคนที่ผมรู้จักไม่ได้มีตราสัญลักษณ์ตำรวจห้อยอยู่...ผมรอจังหวะที่เขาจะหันมาเพื่อที่จะดูหน้าตาให้ชัดไปเลยว่าเป็นใครกันแน่ แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างผมเลย



“เป็นไงเป็นกันวะ” ผมหยิบหินก้อนเล็กๆ ขึ้นมา ก่อนจะปาไปโดนเท้าของคนคนนั้นก่อนที่ผมจะวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แล้วจังหวะนั้นเองที่ผมเห็นว่าเป็นใคร



คิ้วแบบนี้ ตาแบบนี้ จมูกแบบนี้ ปากแบบนี้ ใบหน้าแบบนี้ เป็นคนที่ผม....สงสัยมาตลอด



“ไอ้เชี้ย!! พี่ติ่งนี่หว่า” ผมอึ้งอยู่กับตัวเองที่อยู่ๆ ก็เห็นว่าพี่ติ่งหัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์ที่ผมรู้จักคือคนคนเดียวที่ก้าวลงมาจากรถเบนซ์คันหรู



เป็นไปได้ไงวะ!!!



ผมดันปากตัวเองที่อ้าอยู่ให้หุบลง สมองอันน้อยนิดกำลังประมวลผลเรื่องราวทุกอย่าง และคิดได้ว่าสิ่งที่พี่กูนรู้เกี่ยวกับผม เป็นไปได้ที่จะมาจากพี่ติ่ง...พี่ติ่งคือตำรวจที่แฝงเข้าไปอยู่แถวนั้น ยังไม่ทันที่ผมจะประมวลผลเรื่องราวต่างๆ พี่กูนเดินออกมาจากสน.ก่อนจะขึ้นรถของพี่ติ่งและขับออกไป



เรื่องนี้แม่งโคตรซับซ้อนเลยว่ะ





ผมพยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น เรื่องพี่ติ่งที่เป็นตำรวจ เรื่องพี่กูน และเรื่องพี่ทิม แต่ทำอย่างไรผมก็เลิกคิดไม่ได้ ตลอดทั้งวันผมเอาแต่จดจ่อกับเรื่องนี้ จนผมขอพี่ๆ ที่วินกลับก่อนเพื่อมาพักสมองอยู่ที่บ้าน เพราะตอนนี้ผมกำลังจะเป็นบ้า



“พี่ทิมพี่อยู่ที่ไหนวะ ผมโคตรคิดถึงพี่เลย” ผมกำสร้อยคอของผม สร้อยคอที่ผมไม่เคยถอด มันเป็นสิ่งเดียวที่พี่ทิมทิ้งไว้ให้ผมก่อนที่พี่ทิมจะหายไป ผมรู้จากคนแถวนั้นว่าพี่ทิมถูกดำเนินคดีและถูกตัดสินให้รับโทษจำคุก แต่นั่นก็นานมาแล้วเมื่อไหร่ที่พี่ทิมจะกลับมาหาผม หรือว่าพี่ทิมกลับไปหาผมที่วัดแล้วพี่ทิมไม่เจอผม



ผมควรกลับไปอยู่ที่วัดเพื่อรอพี่ทิมและทิ้งทุกอย่างตอนนี้ หรือผมควรลืมพี่ทิมแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ผมก็ทิ้งพี่กูนไปไม่ได้อยู่ดี ผมสัญญากับพี่กูนไว้แล้วว่าจะเป็นน้องชายที่ดีของเขา ถ้าผมไปก็เท่ากับว่าผมผิดสัญญาและจะทำให้พี่กูนผิดหวัง



หรือผมควรที่จะแวะไปถามคนแถวนั้นว่าตั้งแต่ผมไม่อยู่พี่ทิมเคยกลับมาไหม ไวเท่าความคิดผมรีบออกจากบ้านเพื่อกลับไปหาพี่ทิม แต่ระหว่างนั้นผมกลับเจอพี่กูนที่กำลังเดินสวนเข้ามาพอดี



“มึงจะไปไหน”



“เอ่อ..ผมจะไป”



“ไปไหน?”



“ผม..ผมจะกลับไปที่วัด ผมว่าผมมีบางอย่างต้องไปจัดการ” ผมเลือกที่จะบอกพี่กูนไปตรงๆ



“อะไร?” พี่กูนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะดันตัวผมให้กลับเข้าไปด้านในเหมือนเดิม



“พี่ เดี๋ยวผมกลับมา ผมขอไปเถอะนะพี่” ผมพยายามที่จะต้านแรงพี่กูนที่ดันตัวผม แต่ผมออกเต็มที่แล้วก็ไม่สามารถสู้แรงพี่กูนได้อยู่ดี “มันสำคัญกับผมจริงๆ”



“ถ้ากูไม่ให้ไป”



“ผมก็จะแอบ”



“ไอ้ติ” สีหน้าตอนนี้ของพี่กูนบ่งบอกว่าหงุดหงิดผมโคตรๆ ที่ผมตั้งใจขัดคำสั่งของเขา แต่ถ้าผมไม่ไปผมก็จะเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ บางทีถ้าผมไปแล้วมันอาจจะทำให้ผมเลิกคิดมากแบบนี้ก็ได้



“นะครับพี่กูน ผมขอไปแล้วผมจะรีบกลับมา”



“......” พี่กูนไม่ตอบผมแต่เขาขยับออกเพื่อให้ผมมีช่องว่างเดินออกไปได้ จังหวะนั้นที่ผมเลือกที่จะยกมือขึ้นไหว้พี่กูนเพื่อขอโทษและเดินออกไป



“กูไม่รู้นะว่ามึงกำลังคิดอะไร แต่ในฐานะที่กูเป็นพี่ชายของมึงกูขอไม่ให้มึงออกไป” ผมไม่ได้หันกลับไปมองพี่กูนแต่ผมเลือกที่เดินออกไป



ผมรู้ว่าตอนนี้พี่กูนกำลังผิดหวัง ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำอาจจะทำให้พี่กูนเสียใจ แต่ผมมีเหตุผลของผม



ผมออกมาเก็บรถเข้าที่และกลับเข้าไปด้านในก่อนจะเห็นว่าพี่กูนนั่งกินเบียร์อยู่บนโซฟา



“มึงกลับมาทำไม?”



“ก็พี่ไม่ให้ผมไปผมจะไปทำไม” ผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ พี่กูนก่อนจะถือวิสาสะหยิบเบียร์ขึ้นมาดื่ม



“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดกินเบียร์”



“พี่ก็เคยเห็นแล้วนิว่าผมไม่ได้เล็ก”



“ขอให้ได้เถียงนะมึง” ผมยิ้มตอบแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปจนกระทั่งเบียร์ในกระป๋องหมด ผมจึงลุกขึ้นไปหยิบมาใหม่สองกระป๋อง และยื่นส่งให้พี่กูน



“มึงมีอะไรอยากบอกกูรึเปล่าไอ้ติ” อยู่ๆ พี่กูนก็หันมามองหน้าผม



“พี่อยากให้ผมบอกเรื่องไหนล่ะ”



“กูอยากรู้ว่าคนชื่อทิมเป็นอะไรกับมึง”



“......” ผมไม่คิดว่าชื่อของพี่ทิมจะหลุดออกมาจากปากของพี่กูน แสดงเรื่องที่พี่กูนบอกว่าเขารู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับผมแสดงว่าเขาต้องรู้จักพี่ทิม



“บอกกูได้ไหมเกี่ยวกับพี่ชายของมึง”



“พี่รู้เหรอ?” ผมพยายามรวบรวมสติและถามพี่กูนออกไป “พี่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ทิมบ้าง พี่รู้เหรอว่าพี่ทิมอยู่ไหน พี่กูนพี่ พี่บอกผมที” ผมเผลอแสดงออกมากเกินไปจนพี่กูนถอนหายใจออกมา



“กูไม่รู้หรอกนะว่าคนชื่อทิมมันทำอะไรให้มึงบ้าง แต่ที่กูอยากบอกก็คือ..กูสามารถให้มึงได้มากกว่าถ้าแลกกับการที่มึงจะไม่ไปเจอกับมันอีก ตอนนี้กูเป็นพี่ชายของมึงกูมีสิทธิ์ที่จะเลือกให้มึงไปเจอใครหรือไม่เจอใครก็ได้ ถ้ากูเห็นว่ามันสมควร” พี่กูนให้ผมมากกว่าอย่างนั้นหรอ? แสดงว่าพี่กูนไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพี่ทิมดี พี่กูนคงไม่รู้หรอกว่าพี่ทิมให้อะไรผมบ้าง พี่ทิมให้สิ่งที่ผมไม่เคยร้องขอ



“พี่ให้ชีวิตผมได้ไหม? ถ้าพี่เห็นผมเป็นน้องชายของพี่”



“...มึงต้องการอะไร”



“......” แววตาที่ดูสับสนของพี่กูนเมื่อผมพูดออกไป ดูก็รู้ว่าพี่กูนคงไม่ให้ในสิ่งที่ผมขอออกจะตำหนิผมด้วยซ้ำ “พี่ทิมยอมแลกอนาคตกับผม เขาให้ผมได้มีชีวิตต่อ”



“กูไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งที่มึงพูดเป็นเรื่องจริงไหม แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงกูจะพูดกับมึงตรงๆ เลยว่าไอ้พี่ทิมอะไรของมึงน่ะ โคตรปัญญาอ่อนเลย เลี้ยงมึงผิดวิธี หึ! ให้อนาคตแลกกับสิ่งที่มึงทำผิด? นี่น่ะหรอสิ่งที่มันให้มึง” ผมกัดฟันแน่นด้วยความโกรธเมื่อพี่กูนพูดถึงพี่ทิมแบบนั้น



“พี่ไม่รู้อะไรก็อย่าพูดเลยดีกว่าพี่กูน ยิ่งพูดพี่ก็ยิ่งดูแย่ว่ะ” ผมหันหน้าหนีไปทางอื่นและพยายามที่จะใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ในตอนนี้



“งั้นมึงก็เล่ามา”



“......” ผมชั่งใจอยู่สักพักว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้พี่กูนฟังไหม แต่ถ้าผมไม่เล่าพี่กูนก็จะต้องตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับพี่ทิม “พี่ทิมเป็นพี่ที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เด็ก ผมกับพี่ทิมเคยกรีดเลือดสาบานว่าเราจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป เวลาที่ผมมีเรื่องพี่ทิมก็จะคอยอยู่เคียงข้างผมในทุกๆ เรื่องไม่ว่าผมจะถูกหรือผมจะผิด ถึงพี่ทิมจะไม่มีเงินมากแต่ถ้าเขามีเขาก็จะแบ่งเอาไว้ให้ผมไปโรงเรียน นอกจากหลวงตาก็มีพี่ทิมนี่แหละที่รักผม” ยิ่งเล่ามาถึงตรงนี้ผมก็ยิ่งคิดถึงอดีต ภาพต่างๆ ย้อนกลับเข้ามาในหัวของผมเรื่อยๆ



“......”



“ตอนที่ผมจบมอสามพี่ทิมบอกให้ผมเรียนต่อมอสี่ แต่ตอนนั้นผมไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายเพราะขึ้นมอสี่มันมีค่าใช้จ่ายเยอะ ผมเลยเลือกที่จะเรียนต่อปวช.” ผมยังจำได้ดีตอนที่พี่ทิมเอาเงินเก็บของเขามาให้ผมเพื่อไปเรียนต่อมอสี่ แต่ผมก็เอากลับไปคืน ทำให้ผมกับพี่ทิมเราทะเลาะกันเป็นครั้งแรก ผมเข้าใจว่าพี่ทิมอยากให้ผมเรียนที่โรงเรียนดีๆ แต่ผมเลือกแล้วว่าผมจะเรียนต่อ ปวช. “ช่วงที่ผมเรียนปวช.ปีแรก พี่ทิมต้องไปทำงานโรงงาน แล้วผมก็ไม่ค่อยมีเงินมาซื้ออุปกรณ์ นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมเลือกทำในสิ่งทเลวร้ายที่สุดในชีวิตคือผม..เป็นเด็กส่งของ และเป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักกับความรุนแรง รวมถึงความสัมพันธ์แบบผิดๆ ถ้าใครทำพวกผมเพื่อนผมพี่ผมคนนั้นมันต้องโดน เงินที่ผมได้แทนที่ผมจะเอาไปใช้ในการเรียนแต่ผมกลับเอาไปซื้ออาวุธ มีดเถื่อน ปืนเถื่อน ตอนนั้นผมเลือกทางผิด อันนี้ผมรู้” คิดแล้วผมก็อยากที่จะหัวเราะออกมา เด็กที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยรุ่นอย่างผมมันเลือดร้อน เอะอะเป็นตีเอะอะเป็นต่อย ถ้าย้อนกลับมาคิดๆ ดูแล้วตอนนั้นผมแม่งโคตรปัญญาอ่อนเลยว่ะ



“.......”



“ตอนที่ผมมีเรื่องและขึ้นโรงพักครั้งแรกผมพยายามที่จะไม่ติดต่อพี่ทิมแต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่น พี่ทิมเลยลาออกจากโรงงานกลับมาอยู่กับผม หางานแถวนั้นทำ ผมเลยตั้งใจว่าจะกลับตัวใหม่ แต่แล้วมันก็เกิดเรื่องก่อนเมื่อคู่อริของพวกผมแทงเพื่อนผมคนหนึ่งของผมตาย ตอนนั้นผมโกรธมากและคิดอยู่อย่างเดียวว่าไอ้คนนั้นมันต้องตาย ผมเลยแอบพี่ทิมออกมามีเรื่อง แต่ผมไม่รู้ว่าพี่ทิมแอบตามผมมาจนเห็นว่าผมแทงคู่อริ...ตอนที่แทงผมคิดอยู่อย่างเดียวว่าถ้าผมไม่แทงมัน มันก็จะแทงผม ทำให้ผมไม่มีทางเลือกอื่น แต่แล้วมันก็ปากดียุให้ผมฆ่ามันเพราะถ้าผมไม่ฆ่ามันจะกลับมาฆ่าผม ในจังหวะที่ผมกำลังจะแทงอยู่ๆ ก็มีปืนยิงเข้าที่หัวใจของมัน...ละและผมก็เห็นว่าคนนั้นคือพี่ทิม” ภาพตอนนั้นมันยังติดตาของผมจนถึงตอนนี้ภาพที่พี่ทิมยิงมันตาย



“......” หน้าของพี่กูนเริ่มเครียด



“ผมคิดมาตลอดว่าผมคือสาเหตุของเรื่องนี้ ผมทำให้พี่ทิมต้องติดคุก ผมทำให้พี่ทิมต้องฆ่าคน ผมมันเป็นเด็กเหี้ย ผมพยายามที่จะบอกพี่ทิมว่าเรื่องนี้ผมจะรับผิดชอบเอง แต่พี่ทิมกลับใช้ปืนยิงเข้าที่ท้องของตัวเองจัดฉากว่าต่อสู้กับไอ้นั่นเพื่อที่จะได้รับโทษน้อยที่สุด นับตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ไม่เจอพี่ทิมอีกเลย ผมไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะไปส่งพี่ทิมที่เรือนจำ” อยู่ๆ น้ำตาของผมก็ไหลออกมาเมื่อนึกถึงวันที่ผมหันหลังเดินออกมาจากพี่ทิม ผมไม่คิดว่าวันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอ



“มึงอยากฟังความคิดเห็นของกูไหม” หลังจากที่ผมเล่าเสร็จผมจึงนั่งเงียบเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จนกระทั่งพี่กูนพูดขึ้น ผมจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา



“พี่จะด่าพี่ทิมเหรอ”



“ใช่ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะสิ่งที่พี่มึงทำมันเป็นการปลูกฝังให้มึงเคยตัว ทำให้มึงไม่รู้จักการแก้ไขปัญหาด้วยของมึงตัวเอง ทำให้มึงมีนิสัยเหี้ยๆ เพราะการตามใจไม่เข้าเรื่อง กูบอกเลยว่ากูไม่ได้ซึ้งอะไรทั้งนั้นกับการที่พี่มึงฆ่าคนตายเพื่อรับผิดแทนมึง การที่พี่ทำกับมึงแบบนั้นมันก็ไม่ต่างจากพ่อแม่รังแกฉันเลยไอ้ติ”



“แต่....”



“ถ้ากูเป็นพี่มึง ถ้ากูรู้จักมึงก่อนหน้านั้น รู้ไหมว่ากูจะทำอย่างไง”



“ทำอย่างไงครับ” ผมคาดหวังว่าคำตอบของพี่กูนจะเป็นเหมือนที่ผมคิด แม้ในใจของผมจะรู้ว่าพี่กูนไม่มีทางเหมือนพี่ทิม



“กูจะปล่อยให้มึงติดคุก กูจะปล่อยให้มึงคิดเอง กูจะไม่ช่วยถ้ามึงทำผิด กูว่ามึงโตพอที่จะคิดและแยกแยะได้ ถ้ามึงจะอ้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้มึงเป็นแบบนั้น กูจะด่ามึงซ้ำว่ามึงคิดได้แค่นี้จริงๆ เหรอ” ผมมองหน้าพี่กูนนิ่งๆ ไม่ได้พูดหรือเถียงอะไร “มึงลองคิดดูว่าสิ่งที่ทำให้พี่มึงเป็นแบบนี้เพราะใคร และกูก็เป็นพวกถ้ามึงล้มกูก็จะเหยียบซ้ำ กูจะไม่กอด กูจะไม่ปลอบมึง วิธีของกูมันคงต่างจากพี่ชายที่แสนดีของมึง”



“พี่กำลังจะบอกว่าเพราะผมอย่างนั้นเหรอ?”



“ใช่ เรื่องทั้งหมดส่วนใหญ่มันเกิดจากตัวมึง แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์พี่มึงก็มีส่วนที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้ มึงคิดแค่ว่ามึงจะเหี้ยอย่างไงมึงก็มีพี่คอยจัดการให้ มึงเลยไม่รู้ตัวว่ามึงกำลังทำผิด”



“....ผม”



“หวังว่ามึงจะคิดได้กับสิ่งที่กูพูดแล้วจะไม่หาทางติดต่อไปหามันนะไอ้ติ” พี่กูนกระดกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดกระป๋อง “กูเลี้ยงมึงได้แค่ตัว ส่วนความคิดกูคงบังคับให้มึงคิดเหมือนกูไม่ได้”



“พี่กูนผมรู้ว่าพี่หวังดีและผมก็รู้ว่าตอนนั้นผมเหี้ย ผมทำตัวของผมเอง แต่สิ่งที่ผมขออย่างเดียวพี่อย่ามองพี่ทิมว่าเป็นพี่ที่ไม่ดีได้ไหม ผมขอแค่นี้”



“......” ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่กูนคิดอย่างไงแต่ผมก็หวังว่าพี่กูนจะไม่เกลียดพี่ทิม ถึงแม้ว่าในสายตาพี่กูนพี่ทิมจะดูแย่ก็ตาม



“ถ้ามึงเห็นกูเป็นพี่ก็ทำตามที่กูบอกนะไอ้ติ เรื่องนี้มึงน่าจะคิดเองได้ กูขอแค่ตอนนี้ตอนที่กูยังดูแลมึงอยู่ในฐานะพี่ชาย” ทำไมผมรู้สึกใจหายกับคำพูดของพี่กูนอย่างไรอย่างนั้น พี่กูนพูดเหมือนจะปล่อยผมไป.. ผมไม่รู้หรอกว่าคำพูดของพี่กูนหมายถึงอะไร แต่ถ้าให้ผมตีความเอาเองพี่กูนคงกำลังจะบอกว่า



“กูตัดมึงได้นะไอ้ติ ถ้าวันนั้นมึงไม่เห็นว่ากูเป็นพี่มึง” เท่านั้นแหละครับ ผมจึงเข้าใจความหมายของพี่กูนเป็นอย่างดี
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:41:08
บทที่ 17

ธีมนินทร์



นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้เจอโลกภายนอก นานเท่าไหร่แล้วที่ผมทิ้งชีวิตของตัวเองไปกับความคิดแบบผิดๆ และนานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้เจอคนที่ผมรัก ผมจะไม่โทษใครเลยนอกจากตัวผมเอง



‘สติ’ พี่ชายคนนี้ขอโทษ ตลอดเวลาที่ผมไม่อยู่ ติคงจะลำบากมากแน่ๆ ตอนที่ผมอยู่ในเรือนจำผมพยายามทำตัวดีเพื่อที่จะได้เป็นนักโทษชั้นดีและถูกอภัยโทษออกมาก่อนเวลาที่ผมถูกจำคุกจริงๆ และวันนั้นก็มาถึง วันที่ผมออกจากคุก วันแรกที่ผมออกผมตรงไปที่วัดเพื่อไปหาน้องชายที่ไม่ได้เจอกันนาน แต่แล้วผมก็พบกับ...



“หลวงตาครับสติอยู่ไหมครับ” ผมเจอหลวงตาที่กำลังกวาดลานวัดอยู่คนเดียว ผมจึงเข้าไปกราบนมัสการและขออโหสิกรรมกับสิ่งที่ผมเคยทำ



“มันไปเรียน แล้วเอ็งออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่”



“วันนี้ครับ”



“ออกมาแล้วหลวงตาขอให้เอ็งเลือกเดินเส้นทางใหม่นะ อะไรที่เคยใจร้อนอะไรที่คิดว่าไม่ดีก็หลีกเลี่ยงมันซะ” ผมตั้งใจฟังในสิ่งที่หลวงตาต้องการจะสอนและผมเองก็คิดได้หมดทุกอย่าง เพียงแต่ว่ามันสายไปแล้ว แต่มันคงไม่สายที่จะเริ่มต้นใหม่



“ผมขอเอาติไปอยู่ด้วยได้ไหมครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลติอย่างดี เพราะที่ผ่านมาผมทำให้ติผิดหวัง”



“หลวงตามีเรื่องจะขอร้อง”



“ครับ?” หลวงตาเลือกที่จะไม่ตอบในสิ่งที่ผมขอ



“ถ้ารักและหวังดีกับไอ้ติ หลวงตาขอให้เอ็งอยู่ห่างจากน้องมันให้มากที่สุด ถ้าจะให้ดีก็อย่าได้เจอกันอีกเลย ดวงของเอ็งสองคนมันเป็นดวงที่ไม่สมพงษ์”



“หลวงตาก็รู้ว่าผมไม่เชื่อเรื่องแบบนั้น”



“แต่หลวงตาก็เคยบอกเอ็งไม่ใช่เหรอทิมว่าเอ็งจะติดคุกเพราะความใจร้อน ซึ่งเรื่องนี้หลวงตาหวังดีกับเอ็งทั้งคู่ ถ้าไม่อยากให้ชีวิตของน้องมันตกต่ำก็ทางใครทางมัน” วินาทีนั้นผมรู้เลยว่าถ้าผมไม่เจอติ ชีวิตของผมมันก็คงไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะสิ่งที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอมาตลอดมันไม่มีวันเป็นจริง..ซึ่งผมไม่ยอม



“......”



“นะทิม ถือว่าหลวงตาขอ” ถ้าถามว่าตอนนั้นผมโกรธไหมผมยอมรับเลยว่าโกรธมาก แต่ผมไม่สนใจหรอกว่าหลวงตาจะขออะไร เพราะสิ่งนั้นผมทำไม่ได้ “อย่าฝืนมันเลยทิม”



“ผมจะฝืนให้หลวงตาเห็นว่าสิ่งที่หลวงตากำลังจะบอกผม ผมสามารถทำให้ได้ดีกว่าที่หลวงตาคิด ผมกราบลา” ผมเตรียมที่จะลุกขึ้น



“ถ้าแค่นี้เอ็งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ก็ไม่เหมาะที่จะดูแลชีวิตใคร” ผมหันกลับไปมองหน้าหลวงตาก่อนจะยกมือขึ้นไหว้เพื่อบอกลา



ถ้าไม่ให้ผมเจอ ผมก็ไม่เจอ แต่มันก็แค่ตอนนี้ แล้วผมจะกลับมาเมื่อผมพร้อม ติรอพี่อีกหน่อยนะแล้วพี่จะกลับมา



ผมหายไปเกือบๆ ปีหลังจากที่เจอหลวงตาวันนั้น ผมหายไปสร้างตัวด้วยวิธีของผม มันไม่ได้สกปรกแต่มันก็ไม่ได้สะอาดเสียทีเดียว ตอนนี้ผมมั่นใจว่าผมค่อนข้างที่จะมั่นคงทางหน้าที่การงานและทรัพย์สิน วันนี้แหละที่ผมจะพาติไปอยู่ด้วย ผมจะส่งเสียน้องให้เรียนดีๆ และออกจากสังคมแบบนี้ไปเจอสังคมใหม่ๆ





“ใช่..ทิมไหมครับ?” ขณะที่ผมกำลังจะไปที่ดักรอติที่หน้าเทคนิคแต่ระหว่างทางผมเจอผู้ชายคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางดูดี แต่งตัวคล้ายๆ กับหมอ? เท่าที่ผมจำได้ผมไม่เคยรู้จักกับเพื่อนหรือใครก็ตามที่เป็นหมอมาก่อน



“ครับ แล้วคุณเป็นใคร?”



“มึงจำไม่ได้เหรอ กูเพื่อนมึงสมัยประถมอะตอนที่เราเรียนอยู่นนทบุรีด้วยกัน มึงจำได้ไหม?” ผมทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพิจารณาคนตรงหน้า



“ไท้เหรอวะ?”



“เออ กว่าจะคิดออก กูว่ากูก็หล่อเหมือนเดิมนะ”



“หึ หล่อเหมือนเดิม”



“ไปหาไรกินกันเพื่อน กูเลี้ยง” และผมก็ล้มเลิกความตั้งใจแรกที่จะไปดักรอติที่หน้าเทคนิคและเปลี่ยนไปหาอะไรกินกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานหลายสิบปี



“เอาดิ”



จากที่ห่างหายกันไปนานทำให้ทั้งผมและมันมีเรื่องให้คุยกันเยอะ โดยเฉพาะผม



“กูติดคุก” ผมตัดสินใจบอกเพื่อนไปตรงๆ แม้น้อยคนนักจะรู้ว่าผมหายไปไหน แต่เพื่อนส่วนมากผมก็ไม่ได้ติดต่อจนกระทั่งเจอกับมัน เพื่อนสมัยประถมที่ผมเคยสนิทที่สุด



“จริงดิ แล้วข้อหาอะไรวะ กูถามได้ไหม?” ผมไม่รู้ว่าไอ้ไท้มันคิดอย่างไรแต่ท่าทางของมันดูเฉยๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ



“ฆ่าคนตาย...” ผมเว้นจังหวะเพื่อเหลือบดูสีหน้าของเพื่อนผมว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือรอยยิ้มเล็กๆ ของมัน



“กูจะไม่ถามว่าทำไม แต่กูคิดว่ามึงมีเหตุผล และกูก็รู้จักมึงดีในระดับหนึ่ง แต่ออกมาแล้วกูก็ดีใจกับมึงด้วยนะ ถ้ามีอะไรก็ปรึกษากูได้ กูยินดี เอาเบอร์กูไป” ไอ้ไท้เอาโทรศัพท์ของมันออกมาก่อนจะยื่นมาให้ผมกดเบอร์ของตัวเองลงไป



“แล้วมึงเป็นไงไอ้ไท้ ได้ดีนิหว่า”



“ก็นิดนึง ไม่ได้ดีอะไรเลย เป็นหมอเหนื่อยฉิบหาย”



“เออ แล้วมาทำอะไรแถวนี้วะ กูจำได้ว่ามึงอยู่นนนิหว่า” เพราะตอนที่ผมรู้จักกับมันตอนนั้นผมยังคงอยู่กับครอบครัว.. ก่อนจะย้ายมาอยู่แถวนี้และเจอกับติ



“มาลงตรวจชุมชนเฉยๆ คนที่รพ.ในพื้นที่มันไม่พอก็เลยขอหมอจากโรงพยาบาลอื่น แล้วพอดีว่ากูว่างเลยถูกส่งมาตรวจวันนี้ เออหนิ วันหลังไปเที่ยวบ้านกูได้อยู่แถวๆ ..XXX”



“ในเมืองเลยนิ ย้ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”



“ก็ตอนมัธยมกูต้องมาเรียนในเมืองก็เลยย้ายกันมาหมดบ้านเลย มึงต้องมาบ้านกูให้ได้นะไอ้ทิม” ผมกับไอ้ไท้คุยกันจากที่ฟ้าสว่างกลายเป็นฟ้ามืด



“เห็นมีงานวัดด้วยหนิมึง กูเห็นชาวบ้านเขาคุยกัน”



“เหรอวะ มึงจะไปไหมล่ะกูไปเป็นเพื่อนได้” เพราะอย่างไงติก็อยู่ที่วัดอยู่ดีไม่ว่าจะไปช้าไปเร็วผมก็เจอ



“ไปก็ได้มึงๆ ไหนๆ ก็มาแล้ว” ผมกับไอ้ไท้มุ่งหน้าไปยังวัดช่วงเกือบๆ สามทุ่ม



“เอะอะอะไรวะ เหมือนมีเรื่อง” ไอ้ไท้พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าคนแถวนั้นเอะอะโวยวายสำหรับไอ้ไท้คงเป็นเรื่องใหม่ แต่สำหรับผมมันเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นวัยรุ่นมีเรื่องกันโดยเฉพาะงานวัด ซึ่งผมก็เป็นห่วงติมันอยู่เหมือนกันไม่รู้ว่าจะไปมีเรื่องกับใครรึเปล่า



“ขอทางด้วยครับ! ขอทางให้คนเจ็บด้วย” ผมกับไอ้ไท้หลบมาอีกฝังเมื่อเห็นหน่วยฉุกเฉินแบกเปลที่มีคนบาดเจ็บออกมาจากทางด้านหลังวัด



วินาทีที่เปลผ่านหน้าผมกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างดลใจให้ผมก้าวขาออกไปเพื่อดูว่าคนที่บาดเจ็บเป็นคนที่ผมรู้จักไหม



หมับ!



“ไปเถอะมึง กูอยากยิงปืนวะ” แต่ผมกลับถูกไอ้ไท้คว้าแขนเอาไว้ก่อน โดยที่ผมไม่ได้ไปดูว่าคนเจ็บเป็นใคร ระหว่างนั้นผมก็พยายามสอดส่องสายตาเพื่อดูว่าติจะผ่านมาแถวนี้ไหม



“ไอ้พวกนั้นไม่น่าทำเลยเนอะ มันคนเดียวโดนรุมเป็นสิบ”



“เห็นว่าเลือดเต็มตัวเลยนิหว่า”



“เออ กูละสงสารหลวงตา มีเรื่องเพราะไอ้เด็กเหี้ยนี่ไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่ครั้งนี้มันจะถูกรุมก็เถอะ” คำว่าหลวงตาทำให้ผมชะงัก..มันช่างคุ้นเหลือเกิน เพราะเด็กที่หลวงตาดูแลมีแค่ไม่กี่คน



“มีอะไรเหรอวะมึง?”



“กูแค่คุ้นอะไรบางอย่าง”



“อะไร....”



“ไอ้ติมันน่าสงสารนะมึง ถึงเมื่อก่อนมันจะเหี้ยอย่างไงแต่ตอนนี้กูเห็นมันทำงานหาเงินเรียนต่ออยู่”



“......!!!”



“เห้ย! ไอ้ทิมไปไหนวะ” ใครที่มันทำน้องผม ผมไม่ปล่อยมันเอาไว้แน่!! สิ่งที่ผมคิดได้ตอนนี่คือไปที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด โดยไม่สนใจว่าระหว่างทางผมจะชนใครบ้าง





ผลัก!



“มึงเองเหรอที่ทำน้องกู?”



“ไอ้ทิม!” ผมไม่รู้ว่ารอบข้างของผมกำลังทำอะไร หรือมีสายตาใครที่จับจ้องผมไม่สน แต่สิ่งเดียวที่ผมสนใจก็คือ ใครที่มันทำน้องผม ผมไม่เอาไว้แน่



“ไอ้ทิมใจเย็นมึง..มึงอยากกลับเข้าไปใหม่เหรอวะ??!” จังหวะที่เสียงของไอ้ไท้แทรกเข้ามาในโสตประสาทของผมทำให้ผมปล่อยมือที่กระชากคอเสื้อของไอ้เต๋าออก



ไอ้เต๋าคนที่มันจ้องจะหาเรื่องน้องผมเสมอ



“มีอะไรรึเปล่าครับ?” จังหวะที่ผมรวบรวมสติ อยู่ๆ ก็มีตำรวจวิ่งมาทางที่ผมยืนเผชิญหน้ากับไอ้เต๋าอยู่ และผมก็พึ่งสังเกตว่ารอบๆ ตัวผมมีแต่ตำรวจ



“เปล่าครับ ขอโทษครับๆ” ไอ้ไท้ก้มหัวขอโทษตำรวจที่อยู่รอบๆ ก่อนจะดึงตัวผมออกมาจากบริเวณนี้ มีคนเคยบอกผมว่าถ้าผมโกรธผมจะไม่สนใจอะไรเลยแม้กระทั่งคนรอบข้าง ซึ่งครั้งนี้ผมยอมรับแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง และนิสัยนี้มันก็ยังคงแก้ไม่หาย



“มึงรู้ตัวไหมว่ามึงฝ่าดงตำรวจเข้าไปหาเด็กคนนั้นที่ใส่กุญแจมืออยู่”



“.......”



“ไอ้ทิม กูไม่รู้ว่าที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกับมึงนะ แต่กูช่วยมึงได้ถ้ามึงอยากรักษา”



“กูเป็นโรคจิตเหรอ?”



“แต่สายตากับท่าทางของมึงเมื่อกี้..มันทำให้กูคิดแบบนั้นวะ มึงไม่ได้เป็นโรคจิตแต่มึงอาจจะแค่มีอาการบางอย่าง”



“มันอันตรายไหม”



“เมื่อกี้มึงควบคุมตัวเองได้ไหม?”



“ไม่ได้ว่ะ”



“นั่นแหละ ถ้าปล่อยไว้มันก็จะเป็นอันตรายแก่ตัวมึงกับคนรอบข้าง” มันคงแย่ถ้าติเห็นผมเป็นแบบเมื่อสักครู่นี้ ผมไม่รู้ว่าท่าทางของผมมันน่ากลัวมากแค่ไหนหากเทียบกับเมื่อหลายปีก่อน



“ช่วยกูด้วยนะไอ้ไท้”



“ได้ดิเพื่อน”





หลายวันผ่านไป



ผมรู้ข่าวว่าติเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้ๆ ผมจึงแอบเข้าไปหาตอนที่ตินอนหลับอยู่ในห้องพักเพียงคนเดียว สภาพของติตอนนี้มันทำให้ผมรู้สึกแย่ ที่ไม่สามารถช่วยอะไรน้องได้ ขาของติหัก ใบหน้าบวมช้ำอยู่หลายจุด ผมเชื่อว่าถ้าผมอยู่ตรงนั้นน้องผมคงไม่มีสภาพแบบนี้แน่ๆ



“ติพี่ขอโทษ พี่มารับแล้ว” ผมถือวิสาสะยื่นมือไปสัมผัสที่ใบหน้าของน้องเบาๆ



“ติ พี่ทิมขอโทษที่ทิ้งติไป แต่ตอนนี้พี่กลับมาแล้วนะครับ”



“เอาไว้ติพร้อมกว่านี้พี่จะมารับติไปอยู่ด้วย”



ผมยืนมองติที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงก่อนจะถึงเวลาที่ผมต้องกลับไปทำงาน ผมตัดสินใจเขียนข้อความบางอย่างลงในกระดาษ ถ้าติตื่นขึ้นมาก็คงจะเห็นและรู้ว่าผมกลับมาแล้ว



ผมหันหลังเดินออกจากห้องพัก ระหว่างทางผมสวนกับตำรวจท่านหนึ่ง เขามองผมด้วยสายตานิ่งๆ ซึ่งผมเองก็มองเขากลับเหมือนกัน



หวังว่าสักวันหนึ่งเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง





หลายเดือนผ่านไปผมเข้ารับการรักษาอาการควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาโกรธกับจิตวแพทย์ที่ไอ้ไท้มันแนะนำผมมา วิธีการรักษาของผมคือการทำจิตบำบัดเพื่อเป็นการฝึกควบคุมตัวเอง และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมเข้ามาที่โรงพยาบาลตามที่หมอนัดตรวจในทุกๆ เดือน



“ไอ้ทิมไปบ้านกูไหม แม่กูอยากเจอมึง” หลังจากที่ผมเข้าตรวจเป็นที่เรียบร้อยเป็นจังหวะที่ไอ้ไท้เลิกเวรพอดี ทำให้มันมาอยู่เป็นเพื่อนผมระหว่างรอชำระค่ารักษาพยาบาล



“กู..ไม่กล้าไป้จอแม่มึงหรอก มึงดูกูก่อนเถอะเคยติดคุกมา” เท่าที่ผมจำได้ผมเคยเจอกับแม่ของไอ้ไท้ตอนเด็ก ท่านเป็นผู้หญิงที่ใจดีมาก ใจดีกับผมและเพื่อนเสมอ จนตอนนี้ผมคงจะละอายใจถ้าต้องกลับไปพบกับท่านหลังจากที่ผมพึ่งพ้นโทษมา



“ติดคุกแล้วไง? มันอดีตของมึงเถอะไอ้ทิมเลิกเอาเรื่องนี้มายึดติดได้แล้ว กูรู้ว่ามันคงทำอย่างที่กูบอกยาก แต่ถ้ามึงพยายามมันก็จะไม่มารบกวนมึง อะไรที่พลาดไปแล้วก็ปล่อยแม่งดิว่ะ ให้อภัยตัวของมึงเองซะที” มันก็จริงอย่างที่ไอ้ไท้บอกผมทุกอย่าง มันพูดถูกทุกเรื่องเพียงแต่ผม..แค่ยังไม่ให้อภัยตัวเอง



“กูจะพยายาม” แต่ไม่รับประกันว่าผมจะทำสำเร็จ



ระหว่างทางกลับบ้านของไอ้ไท้มันขอแวะซื้อขนมหน้าปากซอยไปฝากแม่ของมันก่อน ทำให้ผมเดินมาสูบบุหรี่รออยู่ข้างๆ ร้านและสำรวจสภาพแวดล้อมไปดูพลางๆ



ถ้าดูจากสายตาหมู่บ้านละแวกนี้ค่อนข้างราคาสูงเพราะอยู่ใจกลางเมือง มีร้านค้าร้านอาหารมากมายและยังติดกับรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน มีป้ายรถเมล์ วินมอเตอร์ไซค์เรียกได้ว่าการคมนาคมขนส่งค่อนข้างสะดวกเลยทีเดียว



“เอ๊ะ? ..” ช่วงที่ผมกวาดสายตาไปเรื่อยๆ เป็นจังหวะที่วินมอเตอร์ไซค์ขับผ่านหน้า มันคงเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคนที่ขับไม่ได้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับติ ผมพยายามที่จะมองตาหลังไปแต่ก็ไม่ทัน จังหวะนั้นเองที่ไอ้ไท้หอบขนมออกมาจากร้าน



“ไปมึง ไปบ้านกัน”



“เดี๋ยวไอ้ไท้ บ้านมึงอยู่ซอยไหน หลังไหนวะ”



“ถามทำไม ก็กูจะพามึงไปเนี่ย” ไอ้ไท้ขมวดคิ้ว



“เมื่อกี้กูเห็นร้านหนังสืออยู่กูจะไปถามว่ามีหนังสือที่กูอยากได้ไหม กูหาร้านอื่นแล้วไม่เจอว่ะ” ผมเหลือบไปเห็นร้านหนังสือที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมของถนนจึงใช้เป็นข้ออ้างเพื่อที่จะพิสูจน์ในสิ่งที่ผมสงสัย



“เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน”



“มึงไปก่อนเลยกูว่าคงนานไม่อยากให้มึงรอ” ไอ้ไท้มองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนจะพยักหน้าตกลงตามที่ผมบอก



“งั้นเดี๋ยวกูส่งโลฯให้ในไลน์ อย่าหนีกลับก่อนล่ะมึง” ไอ้ไท้เดินหันหลังกลับไปที่รถ ส่วนผมเดินตรงไปที่ร้านหนังสือเพื่อรอจังหวะ



ถ้าโชคเข้าข้างผมก็ขอให้คนนั้นเป็นสติ แต่ถ้าไม่ผมก็จะพยายามหาสติต่อไป แม้ว่าหลวงตาจะจับผมสองคนแยกก็ตาม เพราะคืนที่ผมไปเยี่ยมสติครั้งนั้นผมก็ติดงานไม่ได้ไปเยี่ยมอีกเลย จนกระทั่งผมว่างและกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งปรากฏว่าสติไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว พอไปหาที่วัดก็ไม่มีใครรู้ว่าสติไปอยู่ที่ไหน ผมจึงแน่ใจว่านี่เป็นแผนการของหลวงตาที่พยายามแยกผมสองคนให้ออกจากกัน



มันจะไม่มีวันนั้นถ้าผมยังอยู่บนโลกใบนี้

หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 01-05-2020 18:41:36
บทที่ 18

พี่อะเป็นพี่ผม



Sati’ s talk



ตั้งแต่คุยกับพี่กูนผมกลับมานั่งคิดตลอดถึงสิ่งที่พี่กูนบอกผม คำพูดของพี่กูนไม่ค่อยถนอมน้ำใจคนฟัง แต่ทั้งหมดที่พี่กูนจะสื่อคือความหวังดี ผมรู้ว่าพี่กูนให้ใจผมเต็มร้อยแต่ผมก็ให้พี่กูนเต็มร้อยเหมือนกันเพียงแต่ว่า..ผมยังคงติดอยู่ในอดีต ผมยังกังวลหลายๆ อย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ผมสบายใจก็คือ พี่กูนจะไม่มีวันเป็นเหมือนพี่ทิม



“พี่กูนพี่ ผมขอโทษนะ เรื่องเมื่อวานที่ผมพูดไม่ดีแล้วก็ทำตัวไม่ดีกับพี่” ผมยกมือขึ้นไหว้พี่กูนหลังจากที่พี่กูนออกมาจากห้อง พี่กูนมองหน้าผมด้วยความงงแต่ก็พยักหน้ารับ “พี่โกรธผมไหม”



“โกรธมึงเรื่องอะไร” ผมเดินตามพี่กูนเข้ามาในครัว



“เรื่องที่ผมคุยกับพี่เมื่อวานไง ผมว่าผมพูดไม่ดีกับพี่หลายอย่างเลย” ผมรู้ตัวว่าผมปากหมาและปากไวจนบางทีคนฟังอาจจะรู้สึกไม่ดี



“รู้ตัวด้วยเหรอมึง” พี่กูนยกนมขึ้นกระดกก่อนจะปิดตู้เย็นและหันหน้ามาคุยกับผม



“รู้ดิผมทำอะไรผมรู้ตัวหมดทุกอย่าง และผมก็ยอมรับถ้าสิ่งที่ผมทำมันผิด”



“แมนดีนิมึง”



“ก็ผมเป็นน้องพี่ ผมก็ต้องแมนๆ คุยกันแบบนี้แหละครับ เอาจริงๆ ผมโคตรแคร์พี่เลย” ผมถือวิสาสะยื่นมือไปจับมือพี่กูน “พี่อาจจะงงกับท่าทีของผมในวันนี้ แต่ผมมีเรื่องจะบอกพี่”



“เรื่องอะไร” พี่กูนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย



“ต่อไปนี้ผมจะไม่คิดถึงอดีต แต่ผมจะอยู่กับปัจจุบัน และคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผมตอนนี้คือพี่กูน” ผมพยายามที่จะสื่อผ่านคำพูดส่งไปให้พี่กูนว่าผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมอยากให้พี่กูนรับรู้และเชื่อใจผมอีกครั้ง



“มึงเชื่อใจกูไหมไอ้ติ ว่ากูจะเลือกแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตมึงนับต่อจากนี้” พี่กูนก้าวเข้ามาหาผมพร้อมกับจับบ่าของผมทั้งสองข้างเอาไว้แน่น



“ครับ ผมเชื่อพี่” ผมพยักหน้ารับ “แต่ผมมีเรื่องจะถาม”



“เรื่องอะไรอีก มีเรื่องสงสัยเยอะนะมึง” พี่กูนปล่อยมือออกจากบ่าของผมก่อนจะเดินผ่านมานั่งใส่ถุงเท้าที่โซฟาระหว่างที่รอผมถาม



“ผมไม่รู้ว่ามันจะก้าวก่ายงานพี่ไหม แต่พอดีเมื่อวานที่ผมไปส่งพี่ที่สน.ผมเห็นพี่ติ่ง พี่ที่เป็นหัวหน้าวินของผมเข้าไปและพี่ก็ไปกับเขา พี่ติ่งนี่ใช่ใช่ไหมพี่” พี่กูนมองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยดูเหมือนจะไม่ตกใจกับสิ่งที่ผมถาม



“ใช่ นั่นเพื่อนกูเอง”



“ห้ะ? พี่ยอมรับง่ายขนาดนี้เลยเหรอ”



“แล้วกูจะต้องตอบว่าไงวะไอ้ติ ก็นั่นมันเพื่อนกูจริงๆ กูคิดว่ามึงจะรู้เร็วกว่านี้” พี่กูนส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเริ่มใส่ถุงเท้าคู่ที่สองราวกับว่าสิ่งที่ผมถามออกไปเป็นเรื่องที่ไร้สาระ



“ก็เพื่อนพี่ทำตัวแนบเนียนมาก ผมก็คิดว่าเป็นวินจริงๆ แม้ว่าจะแอบติดใจในบางส่วนบ้างก็เถอะ” แสดงว่าก่อนหน้าที่ผมเห็นพี่ติ่งทำตัวมีพิรุธอยู่บ่อยครั้งทั้งไปทำธุระ ทั้งเข้าไปในซอยอันตรายนั่นก็เพราะอย่างนี้นี่เอง ไอ้ผมก็คิดอยู่ว่าพี่ติ่งเป็นเด็กส่งของ



“รู้แล้วก็อย่าไปทำมันเสียเรื่องละ”



“ไม่เสียเรื่องหรอกพี่ ผมขับวินแค่อาทิตย์นี้แหละ เห็นพี่ๆ บอกมาว่าคนที่เขาไปแต่งงานที่ต่างจังหวัดจะกลับมาอาทิตย์หน้า” ผมเลิกสนใจเรื่องพี่ติ่งและเปลี่ยนมาคุยเรื่องอื่นแทนจนพี่กูนออกปากเตือนว่าตอนนี้เราทั้งคู่กำลังจะสาย



“ไอ้ติวันนี้กูอาจจะกลับดึกหรือไม่กลับเลย ถ้ากูไม่กลับก็ล็อกบ้านดีๆ ละ”



“พี่พูดเหมือนจะไปไหนเลย” ผมลุกขึ้นยืนเตรียมตัวที่จะออกไปทำงาน



“วันนี้มีงานใหญ่ ถ้าจบงานนี้ไปก็ได้พักอยู่บ้าง” งานใหญ่? ถ้าให้ผมเดานะงานใหญ่นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานของพี่กูนแน่ๆ อาจจะไปจับผู้ร้าย หรืออะไรก็ตามแต่



“งั้นผมไปทำงานก่อนนะพี่ เจอกันตอนเย็น”



“เออ ขับก็ระวังๆ แล้วเจอกันมึง” ผมใส่หมวกกันน็อกและขับรถออกมาจากบ้านก่อนพี่กูนที่กำลังล็อกประตู เมื่อมาถึงคิววินผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองปกติ โดยที่ยังทำตัวเหมือนไม่รู้มาก่อนว่าพี่ติ่งคือเพื่อนของพี่กูน จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่ผมจะขับวิน







“เย็นนี้เลี้ยงฉลองหน่อยไหมไอ้ติ” พี่ๆ ในวินพูดขึ้นหลังจากที่พี่ติ่งบอกทุกคนว่าผมจะขับวินเป็นวันสุดท้าย



“ไม่ได้อะพี่ วันนี้ผมมีนัด” จริงๆ ก็ไม่ใช่นัดหรอก เพียงแต่ว่าผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะเอาเงินที่ทำงานบางส่วนไปซื้อของมาให้พี่กูนและพาพี่กูนไปเลี้ยงข้าว โดยที่ผมลืมไปว่าก่อนจะออกจากบ้านพี่กูนบอกว่าอาจจะกลับดึกหรือไม่กลับเลย แต่ผมก็ยังแอบหวังว่าพี่กูนจะกลับ ถ้าถามว่าทำไมผมไม่รอเลี้ยงวันอื่นก็เพราะ...เดี๋ยวมันไม่คลังครับ



“โห่ ไม่เป็นไรไว้วันหลังๆ” ผมโค้งศีรษะเป็นการบอกลาพี่ๆ อีกครั้ง แต่การลาครั้งนี้ผมก็ไม่ได้ลาลับอยู่ดี เพราะถึงอย่างไรผมก็ต้องใช้วินเป็นเส้นทางประจำในการไปเรียนที่มหาลัย แต่ก่อนที่ผมจะกลับบ้านผมแอบเดินเข้าไปใกล้ๆ พี่ติ่งเพื่อบอกอะไรบางอย่างที่ผมเก็บมานาน



“พี่ติ่งพี่”



“อะไรมึง” พี่ติ่งที่กำลังยืนเล่นโทรศัพท์อยู่รีบเก็บใส่กระเป๋าทันทีที่ผมเดินเข้าไปใกล้



“ผมจะไปแล้วไม่บอกอะไรผมหน่อยเหรอ”



“ให้กูบอกอะไรมึง บ้านมึงก็อยู่แถวนี้เดี๋ยวก็ต้องเจอกันอีกอยู่ดี”



“แต่ผมมีอะไรจะบอกพี่” ผมแกล้งพี่ติ่งโดยการยื่นมือทั้งสองข้างไปกุมมือของพี่ติ่งเอาไว้ “ตั้งแต่ผมทำงานมาที่นี่ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่มองหาพี่ ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีผมก็รู้สึกว่า...” ผมเว้นช่วงเอาไว้เล็กน้อยเพื่อให้พี่ติ่งคิดตาม



“ไอ้ติมึงกำลังจะพูดอะไร”



“ว่า....”



“.......”



“ว่าพี่เหมือนคนส่งยาแต่จริงๆ แล้วพี่เป็นตำรวจ”



“......!” สีหน้าตอนนี้ของพี่ติ่งดูช็อกไปทันทีที่ผมบอกว่าพี่ติ่งเหมือนตำรวจ จะไม่ให้ช็อกได้ไงก็เพราะพี่ติ่งเป็นตำรวจจริงๆ



“ผมไม่บอกใครหรอก แค่จะมาบอกพี่ว่าผมน่ะรู้แล้ว” ผมไม่รอให้พี่ติ่งด่าหรือพูดอะไรกลับมา เพราะผมใช้จังหวะที่พี่ติ่งช็อกวิ่งหนีและขับมอเตอร์ไซค์ออกมาจากคิววิน



พี่ติ่งเตรียมที่จะเข้าหาผมแต่อยู่ๆ ก็มีสายโทรเข้ามาทำให้เขาชะงักไปก่อนจะคว้ามอเตอร์ไซค์และขับออกไปด้วยความเร็ว แต่ด้วยความรีบหรืออะไรก็ไม่รู้ทำให้กระเป๋าสะพายของพี่ติ่งหล่น



“พี่ติ่งพี่!” ผมรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าและตะโกนเรียกพี่ติ่งตามหลัง แต่พี่ติ่งไม่ได้ยินทำให้ผมถือวิสาสะเปิดกระเป๋าของพี่ติ่งดูว่ามีของที่พี่ติ่งต้องใช้ไหม



“ไอ้เชี้ย!” ถ้าเป็นพี่ๆ คนอื่นในวินไม่รู้คงจะคิดว่าพี่ติ่งพกปืนเถื่อนมาแน่ๆ และอาจจะโป๊ะแตกที่มีบัตรตำรวจโชว์หราอยู่ในกระเป๋า



“เอาไงดีวะ ตามหรือไม่ตาม” แต่ถ้าไม่ตามแล้วพี่ติ่งตกอยู่ในสภาวะคับขันถูกทำร้ายขึ้นมาก็ไม่น่าจะรอด ผมเลยตัดสินใจขับรถตามพี่ติ่งไปทันที



โชคดีที่ผมคิดเอาไว้ว่าพี่ติ่งต้องเข้ามาที่ซอยนี้แน่ๆ ผมเลยขับรถเข้ามาและเห็นว่าพี่ติ่งกำลังคุยอยู่กับชายวัยรุ่นคนหนึ่งด้วยท่าทางเคร่งเครียด



“ไอ้ติ่งคนของมึงรึเปล่า ถ้าไม่ใช่กูไม่เอาไว้นะ” ผมจอดรถข้างๆ พี่ติ่งก่อนจะชี้มาที่กระเป๋าของเขาที่ผมสะพายอยู่



“น้องกูเอง” พี่ติ่งมองผมด้วยสายตาดุๆ ที่ผมตามเขามา มึงไปรอกูในบ้านก่อนเดี๋ยวกูตามไป



“เออๆ อย่าช้านักนะมึง” ชายวัยรุ่นคนดังกล่าวเดินเข้าไปในบ้าน ทำให้ตอนนี้มีแค่ผมกับพี่ติ่งสองคน



“มึงตามกูมาทำไมไอ้ติ”



“พี่ลืมของ ผมเลยเอามาให้เผื่อพี่..เอ่อต้องใช้” สายตาแบบนี้ผมไม่เคยเห็นพี่ติ่งใช้มองใครมาก่อน แต่ตอนนี้กลับใช้มองผมที่หวังดีตามเขามา



“มึงเปิดดู?”



“ผมขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่เป็นห่วงกลัวว่าพี่จะได้รับอันตราย”



“อันตรายแน่ถ้ามึงไม่รีบออกไปตอนนี้” ผมถอดกระเป๋าออกจากตัวที่สะพายก่อนจะยื่นไปให้พี่ติ่ง “ขอบใจ แล้วมึงรีบออกไปเลยไอ้ติ”



“แสดงว่า..วันนี้พี่จะ....”



“เออ!! มันจะเสียแผนเพราะมึงนี่แหละ ถ้ามันสงสัยนะไอ้ติ มึงตาย” พี่ติ่งชี้หน้าผมอย่างเอาเรื่องก่อนจะไล่ให้ผมขับรถออกมา



ผมตื่นเต้นนะแต่ก็แอบเสียใจที่ถูกตำหนิเพราะความหวังดีที่ผมมีให้พี่ติ่ง แต่..คนอย่างผมเสี่ยงตายมาเยอะ กับไอ้เรื่องแค่นี้มันไม่ทำให้ผมกลัวหรอก



ด้วยความที่อยากเห็นการจับกุมแบบใกล้ๆ ทำให้ผมจอดรถอยู่หน้าปากซอยถอดเสื้อวินออกและแอบซุ่มอยู่ที่ที่คนไม่สังเกตจากระยะที่ผมอยู่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เห็นตั้งแต่ช่วงแรกที่พี่ติ่งเข้าไปในบ้านตามชายวัยรุ่นคนนั้นไป



พี่ติ่งหายเข้าไปในบ้านอยู่นานสองนาน ก่อนที่จะมีวัยรุ่นอีกสองสามคนตามเข้าไปในบ้าน จนกระทั่งมีรถกระบะสีดำที่มีตราสัญลักษณ์ของตำรวจอยู่ด้านหน้าขับไปจอดหน้าบ้าน ก่อนที่จะมีวัยรุ่นออกมาจากบ้านเพื่อดูว่าเป็นใครที่มาจอด เมื่อเห็นว่าเป็นรถตำรวจวัยรุ่นก็รีบตะโกนบอกในบ้านก่อนจะเกิดความวุ่นวายทั้งเสียงปืน เสียงร้องตะโกน มันเป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเร็วมากและจบลงเร็วเช่นเดียวกัน



ตำรวจไทยใครว่าไม่เก่งผมขอเถียงเลย เพราะกว่าที่จะสอดแนม ทำให้ผู้ต้องหาไว้ใจมันต้องใช้เวลาและความอดทน ซึ่งเท่าที่ผมรู้จากพี่กูน พี่ติ่งก็แฝงตัวมานานมากพอสมควรในการจับกุมครั้งนี้ เมื่อควบคุมผู้ต้องหาออกมาจากบ้าน ไม่นานก็มีรถนักข่าวหลายสำนักเข้ามาทำข่าว



เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมเลยขับรถกลับวินและตรงกลับเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกหลายอย่าง แม้ว่าจะโดนพี่ติ่งด่าก็ตาม



และอย่างที่ผมบอกว่าวันนี้ผมตั้งใจจะเลี้ยงข้าวพี่กูนกับซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ให้ แต่ผมไปคิดๆ มาแล้ว พี่กูนคงไม่อยากได้อะไรพวกนี้หรอก ผมเลยตั้งใจว่าจะให้เป็นเงินก็แล้วกันจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากไปหาซื้อของที่ห้างเป็นซื้อซองธรรมดามาใส่เงิน และกลับมาแต่งตัวหล่อๆ เพื่อรอพี่กูนกลับมาจากที่ทำงาน จนกระทั่งเวลาผ่านไป



“อ่าวพี่ กลับมาแล้วเหรอครับ”



“ไอ้ติมึงจะไปไหนวะ” พี่กูนเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยแทน “วันนี้มึงไปไหนมา?”



“ก็ทำงานปกติ”



“มึงเข้าไปวุ่นวายกับไอ้ผามันทำไม”



“ผา? ผาไหนพี่” ผมเริ่มงงเมื่ออยู่ๆ พี่กูนก็พูดถึงชื่อคนที่ผมไม่รู้จัก “หรือว่าจะเป็นพี่ติ่ง? ผมก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรเลย”



“กูเคยบอกมึงแล้วไม่ใช่เหรอไอ้ติว่าอย่าไปยุ่งอะไรแบบนั้น”



“ผมก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรนิพี่ ผมแค่เอากระเป๋าไปให้ ผมเห็นว่ามันมีปืนอยู่ในกระเป๋าถ้าพี่ติ่งถูกทำร้ายจะเอาอะไรไปต่อสู้”



“แล้วการที่มีปืนมันจะใช้ยิงกันง่ายๆ รึไงวะ! มึงคิดบ้างดิถ้าพวกมันจับได้ไอ้ผามันจะเป็นอย่างไง!”



“เดี๋ยวๆ พี่ พี่จะโมโหใส่ผมทำไมวะ”



“ก็ดูแต่ละอย่างที่มึงทำดิไอ้ติ มันใช่เรื่องไหม หยุดสร้างปัญหาสักเรื่องได้ไหมวะ?”



“......” ปัญหา? ปัญหาอย่างนั้นเหรอ?



“งานนี้มันเป็นงานใหญ่ เด็กอย่างมึงไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยซ้ำ ถ้ารู้แบบนี้กูไม่ให้มึงไปทำงานหรอก ถ้าจะไปวุ่นวายกับคนอื่นไปทั่ว”



“ขอโทษถ้าผมวุ่นวายมากไป ถ้าความหวังดีของผมมันทำให้ทุกคนเดือดร้อนผมก็ขอโทษ” ผมจะไปทำอะไรได้ถ้าพี่กูนมองผมเป็นตัวสร้างปัญหา



“มึงสำนึกเป็นด้วยเหรอ? เก็บคำขอโทษของมึงไปเถอะ”



“ถ้าพี่จะดูถูกคำขอโทษของผม..”



“กูแค่เป็นห่วงมึง”



“.......”



“กูไม่อยากให้มึงได้รับอันตราย” เมื่อเห็นว่าผมนิ่งไปพี่กูนจึงขยับเข้ามาใกล้ๆ แต่ผมถอยหลังหนี



“พี่พูดดี ๆ กับผมก็ได้”



“พูดดี ๆ กับมึง มึงจะฟังเหรอ”



“ผมคิดว่าพี่รู้จักผมมากกว่าเดิมแล้วนะ แต่ผมได้ยินที่พี่บอกว่าผมเป็นตัวสร้างปัญหา มันก็คงไม่ต่างจากวันแรกที่เรารู้จักกัน ผมยังเป็นตัวปัญหาสำหรับพี่เหมือนเดิม”



“ไอ้ติ..มันไม่ใช่แบบนั้น”



“ไปนอนเถอะพี่ พี่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ค่อยคุยกันนะครับ” ความรู้สึกของผมตอนนี้ มันคงเรียกว่าเสียใจ น้อยใจมั้งครับ ไม่รู้ดิ ผมคิดว่าพี่กูนรู้จักผมมากกว่านี้ แต่...ไม่เลย ผมยังคงเป็นตัวปัญหาสำหรับพี่กูน



มันจะไม่มีการเปรียบเทียบเลยหากว่า...พี่ทิมไม่เคยว่าผมแบบนี้



ส่วนสิ่งที่ผมตั้งใจจะให้ เอาไว้เราทั้งคู่ใจเย็นลงกว่านี้ก่อนน่าจะดีกว่า





Kun’ s talk



ผมว่ามันแรงไปรึเปล่า? ผมว่าผมคงว่ามันแรงไปแน่ๆ เพราะสายตาที่มันมองผม ดูก็รู้ว่าน้อยใจผิดหวัง ซึ่งผมก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าไอ้ติเป็นเด็กที่ดื้อ แต่การที่มันตาไอ้ผาไปแบบนั้นมันจะได้รับอันตราย ถ้าเกิดมันได้รับอันตรายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ? อีกอย่างที่ผมโมโหก็เพราะผมเคยพูดเรื่องนี้กับมันไปแล้วหนึ่งรอบ ซึ่งไอ้ติก็รับปากว่าจะทำตามแต่สุดท้ายมันก็ยังทำอยู่ดี



แต่ถึงอย่างไงผมก็ไม่ควรจะพูดว่ามันว่าเป็นตัวปัญหาอยู่ดี



“ผมคิดว่าพี่รู้จักผมมากกว่าเดิมแล้วนะ แต่ผมได้ยินที่พี่บอกว่าผมเป็นตัวสร้างปัญหา มันก็คงไม่ต่างจากวันแรกที่เรารู้จักกัน ผมยังเป็นตัวปัญหาสำหรับพี่เหมือนเดิม”



โดยเฉพาะประโยคนี้ของไอ้ติ เพราะวันแรกผมก็เคยพูดกับมันแบบนี้ ซึ่งมันได้พิสูจน์แล้วตลอดเวลาที่มันมาอยู่กับผม ไอ้ติไม่ใช่ตัวปัญหาอะไรเลย เรื่องนี้จะผิดก็คงเป็นผมที่ปากไวด้วยความโมโห แต่เรื่องที่มันไปแอบดูตอนที่ไอ้ผาปฏิบัติหน้าที่อันนี้มันผิดเต็มๆ และผมก็ควรที่จะลงโทษมันอย่างจริงจังในเรื่องนี้



ก๊อกๆ



หลังจากที่กลับมาสำนึกผิดที่ห้อง ผมกลับออกไปเคาะประตูห้องไอ้ติในช่วงกลางดึก ผมรู้ว่ามันยังไม่นอนเพราะไฟห้องยังเปิดอยู่



“ถ้าพี่จะว่าผมอีก ผมไม่เปิดนะ” เสียงของไอ้ติตะโกนออกมาจากด้านในห้อง



“ไม่ได้จะว่า แต่จะมาขอโทษ”



“พี่จะขอโทษผมเหรอ?”



“เปิดประตูซิ” ผมรอไม่นานประตูห้องของไอ้ติก็เปิดออกพร้อมกับเจ้าของใบหน้าบึ้งตึงที่แสดงออกว่าไม่พอใจ



“.....พี่เข้ามาในห้องผมทำไม”



“ลืมไปรึเปล่าว่าบ้านกู” ผมแอบเห็นว่าไอ้ติแอบมองบนแต่ไม่เป็นไรผมจะไม่โกรธมันไปมากกว่านี้ เพราะผมตั้งใจจะมาขอโทษ



“แล้วพี่มีอะไรจะพูดกับผม”



“กูจะมาขอโทษที่กูพูดไม่ดีกับมึง อันนี้กูผิดกูยอมรับ” ผมเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับไอ้ติมันตรงๆ “มึงจะให้อภัยกูไหม”



“ผมขอถามพี่คำเดียวกันนะ ว่าพี่มองว่าผมสร้างปัญหาให้พี่ พี่มองผมแบบนั้นจริงๆ หรือพี่แค่ปากไว”



“......” ถ้าจะให้ยอมรับกันง่ายๆ ผมก็เสียฟอร์มแย่ดิวะ แต่ถึงอย่างไรฟอร์มมันก็กินไม่ได้อยู่ดี ผมเลยแสดงสปิริตยอมรับความผิดไปโดยปริยาย



“กูปากไวไปเอง”



“ถ้าพี่คิดได้ผมก็ไม่มีอะไรที่จะต้องโกรธ”



“แต่หน้ามึงบอกว่ายังโกรธกูอยู่” หลังจากที่ผมยอมรับออกไปตรงๆ ไอ้ติก็ยังคงมีสีหน้าเหมือนเดิม



“ถ้าผมยิ้มออกไปมันก็จะเท่ากับว่าผมง้อง่าย พี่ก็จะหาเรื่องมาว่าผมแรงๆ อีกแล้วมาขอโทษทีหลัง” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเหนื่อยหรือความง่วงที่ทำให้ผมมองปากของไอ้ติที่พูดอยู่กับผมตอนนี้มันน่าหมั่นไส้ อยากที่จะเอามือไปบีบแรงๆ แต่ก็ต้องระงับเพราะมันคงจะไม่สมควร



“แล้วจะให้กูทำไง”



“พี่หลับตาก่อน”



“มึงจะทำอะไร” อยู่ๆ ก็มาบอกให้ผมหลับตาเป็นใคร ใครก็คิด ถ้าอยู่ๆ ไอ้ติมันแกล้งหอมแก้มผมขึ้นมาผมจะทำอย่างไง แต่ผมว่าตอนนี้ผมคิดมากไปแน่ๆ หลังจากที่มองว่าปากของไอ้ติหน้าบีบ



“ทำไมพี่หน้าแดงอะพี่กูน พี่คิดอะไรแปลกๆ ปะนิ?” ไอ้ติขมวดคิ้วก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมจึงรีบถอยหลังหลบไป



“จะทำอะไรก็รีบๆ กูจะหลับตา” ผมเปลี่ยนเรื่องทันทีก่อนจะกอดอกและหลับตาตามที่ไอ้ติมันบอก



“อย่าลืมนะพี่”



“เออ” หลังจากที่ผมหลับตา ผมได้ยินเสียงไอ้ติเดินห่างออกไปก่อนจะได้ยินเสียงเปิดลิ้นชักและเสียงกระดาษ ก่อนที่มันจะเดินกลับมาที่ผมเหมือนเดิม



“อย่าพึ่งลืมตานะพี่ อันนี้ถ้าพี่รับไว้ผมจะไม่โกรธ”



“......”



“คืองี้นะพี่ จะเริ่มพูดไงดีวะ เขินแปลกๆ ผมทำงานนี้เป็นงานแรก แล้วผมก็ตั้งใจที่จะเอาเงินที่ผมหาได้บางส่วนมาให้พี่ ผมรู้นะว่ามันอาจจะไม่ได้มากมายอะไรแต่ผมตั้งใจ พี่รับไว้เถอะนะครับ” ไอ้ติยัดซองอะไรบางอย่างใส่มือผม



“กูลืมตาได้ยัง” หลังจากที่มันเงียบไปนานผมจึงพูดขึ้น



“ลืมได้แล้วพี่” ผมลืมตาขึ้นมาถึงกับชะงักทันทีที่เห็นว่าหน้าไอ้ติแดง ไม่ใช่แค่หน้าแต่ลามไปถึงคอถึงหู “อย่ามองผมแบบนั้นดิพี่ ผมก็บอกอยู่ว่าเขิน”



“กูรึเปล่าที่ต้องเขิน อยู่ๆ มึงก็ให้เงิน”



“พี่จะเขินทำไมล่ะพี่กูน ผมให้เงินเก็บไม่ใช่มาขอพี่แต่งงาน...เอ่อ ไม่ควรพูดเนอะพี่” ผมหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าไอ้ติเด็กแสบเสียอาการกับคำพูดของตัวเอง



“แต่อย่างไงก็ขอบใจนะที่มึงคิดถึงกู..หมายถึงนึกถึง”



“ก็พี่เป็นพี่ผม ผมก็ต้องคิดถึง หมายถึงนึกถึงเสมออะครับ..โอ๊ย! พี่เขกหัวผมทำไมเนี่ย” ด้วยความหมันไส้จึงเผลอยื่นมือไปเขกหัวไอ้ติเต็มๆ



“กวนตีน”



ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่แปลกใหมี่สำหรับผมมากจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่เห็นไอ้ติตั้งใจทำอะไรสำเร็จและนึกถึงผมเป็นคนแรก บอกตามตรงว่าผมพึ่งเคยเข้าใจความรู้สึกของพ่อกับแม่ก็คราวนี้ ความรู้สึกที่ไม่อยากรับเงินเดือน เดือนแรกของลูก



“เป็นเด็กดีนะมึง กูพูดอะไรก็ฟัง” ผมเลื่อนมือไปสัมผัสที่บริเวณศีรษะของไอ้ติเบาๆ หลังจากที่เขกหัวมันไปก่อนหน้า “ขอบคุณสำหรับสิ่งที่มึงตั้งใจจะให้กู”



“แค่พี่รับไว้ผมก็ดีใจแล้ว” ไม่บ่อยนักที่จะเห็นไอ้ติยิ้ม รอยยิ้มที่ไม่ใช้ยิ้มกวนตีน แต่เป็นยิ้มที่ออกมาจากใจจริงๆ ของมัน ผมไม่รู้หรอกนะถ้าวันหนึ่งไอ้ติมันหายไปผมจะทำอย่างไร เพราะแค่มันอยู่กับผมแค่ไม่กี่เดือนผมก็รู้สึกผูกพันธ์กันมันไปแล้ว



“แต่มึงต้องรับโทษ” ผมเบรกเรื่องราวซึ้งๆ เอาไว้และวกกลับมาเรื่องของไอ้ติที่ทำผิด



“โทษอะไรอะพี่”



“ที่มึงขัดคำสั่งกู กูเคยบอกว่าอย่าไปยุ่งเรื่องนั้นมึงก็รับปากกูแล้ว”



“เอ่อ...แต่ผมโกรธที่พี่พูดกับผมแรงๆ อยู่นะพี่กูน”



“มันคนละเรื่อง ต้องแยกแยะนะครับ”



“พี่จะลงโทษอะไรผมอะ”



“ไปเอากระดาษออกมาพร้อมปากกา” ผมเดินหนีมันออกมานั่งรอที่โซฟา ส่วนไอ้ติหลังจากที่มันหยิบของเสร็จมันก็เดินคอตกมานั่งที่พื้นข้างๆ ผม



“คัดว่า ต่อไปนี้ผมจะไม่ขัดคำสั่งพี่กูนอีกแล้วครับ ต่อไปนี้ผมจะเชื่อฟังคำสั่งของพี่กูน หนึ่งร้อยจบก่อนไปนอน”



“โห่พี่ โคตรยาว พี่ตีผมดีกว่าแบบนี้” ไอ้ติบนทันทีที่ผมบอกประโยคให้มันคัด



“ตีไปก็มีแต่เจ็บตัว แต่ถ้าคัดแบบนี้มันจะได้จำเข้าไปในสมองของมึง”



“โห่พี่ เมื่อไหร่จะเสร็จเนี่ย”



“ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ มึงต้องเสร็จคืนนี้”



“แล้วพรุ่งนี้พี่ไม่ไปทำงานเหรอ”



“กูหยุด เฝ้ามึงได้ทั้งคืนจนถึงเช้า”



“พี่....”



“ถ้ายังไม่ลงมือจะเป็นสองร้อยจบ”



“รับทราบครับ!!!” ผมนั่งมองไอ้ติที่ตั้งใจคัดลายมือและคอยจับผิดตัวอักษร ถ้าตัวไหนไม่มีหัวหรือเขียนไม่สวยผมก็จะลบแล้วให้มันคัดใหม่



การทำโทษแบบนี้มันทรมานกว่าตีอีกครับ



นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกเอ็นดูใคร
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 01-05-2020 20:01:34
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 18 1.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 01-05-2020 23:31:06
พี่ชายที่แสนดี
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 19 2.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 02-05-2020 14:39:09
บทที่ 19

ฝันร้ายว่ะพี่


Sati’s talk



            “พี่กูนพี่ พี่โกรธอะไรผมรึเปล่า ทำไมพี่เมินผม”



              “อย่ามายุ่งกับกู”



              “ทำไมพี่พูดแบบนี้อะครับ พี่พูดเหมือนผมไม่สำคัญสำหรับพี่แล้ว”



              “เป็นแค่น้องชายมันจะอะไรนักหนา รำคาญ! กูโคตรเบื่อที่จะมีมึงอยู่ในชีวิตแล้วไอ้ติ”



เฮือก!



              ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกหลังจากที่ผมฝัน ฝันว่าผมทะเลาะกับพี่กูน เล่นเอาสะผมเหงื่อแตกเลย ไม่ใช่เพราะเหนื่อยนะ แต่เป็นเพราะผมกลัว..กลัวว่าพี่กูนจะพูดแบบในฝัน



              ในตอนเด็กถ้าฝันร้ายทุกคนก็คงมีใครสักคนให้กอดหรือปลอบ แต่สำหรับผมมันไม่มีอะไรที่ฝันร้ายไปกว่าการลืมตาตื่นขึ้นมาในทุกๆวัน แต่ครั้งนี้มันต่างกันตรงที่ว่า..เป็นฝันที่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น



              ผมนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงเอาแต่นั่งคิดว่าในฝันอะไรคือสิ่งที่ผมทำให้พี่กูนโกรธ อะไรคือสาเหตุที่พี่กูนบอกว่าเบื่อผมไม่อยากมีผมอยู่ในชีวิตแล้ว ยิ่งคิดผมก็ยิ่งนอนไม่หลับ



              “ไอ้ติมึงจะมาซีเรียสทำไม กลัวถูกทิ้งอะไรตอนนี้” เหมือนผมจะลืมไปว่าชีวิตของผมมันถูกทิ้งมาตั้งแต่แรก ถูกพ่อแม่ทิ้ง ถูกพี่ทิมทิ้ง ถูกหลวงตาทิ้ง และผมก็ไม่อยากถูกทิ้งเป็นครั้งที่สี่



              ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงขึ้นมาก่อนจะกดเข้าไปในไลน์และส่งข้อความหาพี่กูน แม้จะรู้ว่าพี่กูนหลับไปแล้วก็ตาม



              ‘พี่ ผมฝันร้ายวะ ในฝันผมโคตรน่ากลัวเลย...’



              หลังจากที่ส่งข้อความหาพี่กูนเสร็จผมจึงกดปิดหน้าจอและวางโทรศัพท์ไว้บนอกของตัวเอง สายตายังคงเหม่อมองไปที่เพดานห้องที่มีแต่ความมืดมิด จนกระทั่งเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นมา



              ‘กูยังไม่นอน มาหาที่ห้องถ้ามึงนอนไม่หลับ’



              เมื่อเห็นข้อความที่พี่กูนตอบกลับมาผมจึงรีบลุกและหอบผ้าห่มออกจากห้องของตัวเองตรงไปยังห้องของพี่กูน ผมเคาะประตูอยู่สักพัก เสียงของพี่กูนตะโกนออกมาว่าไม่ได้ล็อกผมเลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปด้านใน และสิ่งแรกที่ผมเห็นคือ พี่กูนนั่งเล่น PubG กับเพื่อนของเขาในคอมพิวเตอร์



              “ไอ้ผา! คน คน ด้านนอกยิงแม่งเลย”



              “ไอ้เหี้ย! วงบีบวิ่งขึ้น ตอนนี้เหลืออยู่สามคู่ กูกับมึงแอบอยู่นี่ก็แล้วกัน”



              “ตายเฉยไอ้ผา ไอ้ควาย! อย่างนู้บ”



              “เออ พอแค่นี้ก่อนกูง่วงละ บายมึง” ผมนั่งมองแผ่นหลังของพี่กูนที่นั่งเล่นเกมโดยไม่สนใจผมเลยสักนิดว่าเข้ามาในห้องของเขานานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งพี่กูนถอดหูฟังออกและเลื่อนเก้าอี้หันมามองผมที่นั่งรออยู่



              “แล้วไปนั่งพื้นเพื่อ?”



              “ผมไม่รู้ว่านั่งเตียงได้ไหม เดี๋ยวนั่งแล้วพี่ด่าผม”



              “ทีนี้มาโง่นะมึง กูยิ่งหัวร้อนอยู่ ไปนั่งบนเตียงกูปิดคอมแปบ” ผมพยักหน้าและลุกขึ้นจากพื้นย้ายมานั่งบนเตียงของพี่กูนแทน จนกระทั่งพี่กูนปิดคอมเสร็จและเดินมานั่งข้างๆผม



              “ยังไม่นอนเหรอพี่”



              “เล่นเกมกับไอ้ผา”



              “ผา?”



              “พี่ติ่งของมึงนั่นแหละ นานๆทีจะได้หยุดยาวแบบนี้” พี่กูนพูดพร้อมกับเอนหลังนอนลงบนเตียงด้วยท่าทางสบายๆ



              “ผมไม่เคยเห็นพี่มุมนี้เลย”



              “ก็เห็นสะ กูก็ไม่ได้ปิดบังอะไร” พี่กูนพูดด้วยท่าทางสบายๆ แต่ผมเองที่รู้สึกแปลกกับท่าทางสบายของพี่กูน ถึงจะอยู่ด้วยกันมาสักพักแต่ครั้งนี้ผมรู้สึกไปเองว่ามันไม่ปกติสำหรับผมสักเท่าไหร่ “กูก็คนธรรมดาคนหนึ่งแหละ ไม่ใช่คนที่ต้องสวมเครื่องแบบตลอดเวลา”



              “พี่พูดงี้แสดงว่าคดีที่พี่ทำปิดแล้ว”



              “ตามนั้น อยากพักแบบนี้มานานแล้วโว้ยยยย! ไอ้ติพรุ่งนี้กูจะตื่นสักบ่ายไม่ต้องปลุกนะ” พี่กูนหันหน้ามาทางผมที่นั่งมองเขาอยู่ “เออ แล้วที่มึงฝันร้ายนี่อย่างไงวะ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าที่ผมมาที่ห้องพี่กูนเพราะเรื่องอะไร ถ้าพี่กูนไม่ทักผมก็คงลืม



              “ฝันร้ายนิดหน่อยพี่ แต่เล่นเอานอนไม่หลับเลย”



              “ฝันร้ายเหรอวะ กูไม่ได้ฝันมานานแค่ไหนแล้ว” พี่กูนพูดกับตัวเองไปสักพัก



              “พี่เคยฝันร้ายไหม แล้วพี่ทำไง” เมื่อได้โอกาสผมเลยถาม อีกอย่างผมก็อยากรู้ว่าพี่กูนมีวิธีการจัดการกับฝันร้ายอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะถ้าไม่อยากให้ฝันเกิดขึ้นจริง



              “ตอนเด็กมั้ง ฝันว่าไม่ได้พ่อกับแม่ไม่รัก ตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้ แล้วกูทำไงเหรอ...กูก็รอให้แม่ตื่นขึ้นมากอดปลอบกูจนกว่ากูจะนอนหลับ”



              “แต่ผม..คงทำวิธีที่พี่บอกไม่ได้ พี่มีวิธีอื่นไหม” ถ้าผมร้องขอให้พี่กูนกอดมันคงตลกน่าดู



              “ทำไมจะไม่ได้วะ”



              “ก็...พี่จะกอดผมเหรอ”



              “เออ ทำไม กอดน้องชายตัวเองผิดตรงไหนวะ? อีกอย่างกูกับมึงก็เคยกอดกันแล้วไม่ใช่รึไง” พี่กูนตอบหน้าตายทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็แน่สิมันเป็นเรื่องธรรมดาผมจะมาทำให้มันเป็นเรื่องพิเศษได้ไงวะ ไอ้ติ มึงคิดอะไรของมึงอยู่กันแน่



              “ก็ใช่พี่ แต่นี่มันนอนกอดเลยนะ ผู้ชายตัวใหญ่เท่าควายสองคนมานอนกอดกันแปลกน่าดู” ตัวผมก็ไม่ใช่จะน่ารักบอบบางสะเมื่อไหร่



              “แปลกอะไรของมึง มานอนข้างๆกูนี่มา” พี่กูนตบที่ที่เขานอนอยู่ “ถ้าไม่นอนออกไปจากห้องกูเลย”



              “นอนพี่นอน” ผมทิ้งตัวลงนอนข้างๆพี่กูนพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงคอ



              “ฝันว่าอะไร อยากเล่าให้กูฟังไหม” ผมลังเลอยู่สักพักว่าจะเล่าดีไหม แต่ถ้าผมเล่ามันคงฟังดูงี่เง่าน่าดู ผมจึงตัดสินใจส่ายหน้าเพื่อเป็นการปฏิเสธ “ถ้าไม่อยากเล่าก็นอนไป กูก็จะหลับแล้ว”



              “แล้วพี่ไม่กอดผมเหรอ” ด้วยความปากไวผมจึงโพล่ถามออกไป



              “ไหนมึงบอกแปลก”            



              “ก็พี่พูดแล้วไงผมเลยถามดู แต่ไม่กอดก็ไม่เป็นไรนะพี่” ผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้พี่กูนมากอด แต่การที่ฝันร้ายแล้วมีคนมาคอยนอนกอดมันก็น่าจะรู้สึกดีไปอีกแบบ ซึ่งยอมรับตามตรงว่าผมก็อยากรู้สึกดีแบบนั้นบ้าง ยิ่งเห็นแววตาและรอยยิ้มเล็กๆของพี่กูนตอนที่เล่าว่าแม่ของเขากอดตอนเด็ก ผมจึงมั่นใจว่ามันต้องรู้สึกดีมากแน่ๆ



              “มาๆกอด” พี่กูนพลิกตัวมานอนตะแคงก่อนจะใช้มือโอบเข้าที่ผมที่นอนอยู่ข้างๆ แขนแกร่งของพี่กูนพาดมาที่ช่วงตัวของผม



              “พี่..เอางี้จริงดิ”



              “ก็เอาอยู่เนี่ย...หมายถึงกอด” พี่กูนเว้นช่วงจนผมเผลอกลั้นหายใจ ไม่ใช่ว่าทะลึ่งหรืออะไรนะ แต่คำพูดบวกกับน้ำเสียงแปร่งๆของพี่กูนมันทำให้ผมคิดไปถึงเรื่องอย่างว่าจริงๆ “รู้สึกดีไหม”



              “ก็..ดีมั้งพี่ ไม่เคยนอนกอดใครแบบนี้”



              “ไม่เคยมีแฟนรึไงมึง”



              “เคยมีนะ แต่ไม่เคยถึงขั้นนอนกอดเลยเพราะเลิกกันก่อน ผมมันไม่เร้าใจเขาว่ามางี้ตอนที่บอกเลย” พูดก็พูดเถอะความรักของไอ้ติไม่เคยคบใครเกินห้าเดือนเลย และสาเหตุที่ถูกบอกเลิกก็เพราะผมจืด ผมไม่เร้าใจ ผมดีเกินไป หรือเหตุผลแปลกๆที่ผมจำได้ก็คือ ติไม่ตัดเล็บเราไม่ชอบคนไว้เล็บ นั่นแหละครับแค่ไว้เล็บนิ้วก้อยข้างเดียวก็เป็นสาเหตุของการถูกบอกเลิก คนจะไปแค่ไม่ตัดเล็บมันก็ไปอะครับ



              “แสดงว่ามึงไม่เคยเลยอะดิ”



              “เคยแบบไหนอะพี่ ถ้าแบบนั้นก็ยังไม่ แต่ถ้าจับมือหรือหอมแก้มมันก็มีบ้าง แต่ผมไม่กล้าขอจูบวะพี่”



              “อ่อน”



              “เอ้า! เขาเรียนสุภาพบุรุษ แล้วพี่ล่ะเซียนเลยดิ” ผมหันหน้าไปถามพี่กูน ซึ่งผมลืมไปว่าตอนนี้พี่กูนหันหน้าเข้ามาหาผมอยู่ทำให้ตอนนี้ใบหน้าของผมอยู่ใกล้กับใบหน้าของพี่กูนเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ผมเลยรีบหันกลับไปที่เดิม



              “ก็พอตัว แต่ก็พึ่งมาช่วงทำงานนั่นแหละ อย่างที่กูบอกว่ากูเรียนเตรียมทหารมันก็มีแต่ผู้ชาย จะออกเดตหรือจะทำอะไรก็ยาก”



              “แล้วพี่ไม่หวั่นไหวกับผู้ชายเหรอ”



              “มึงอยากรู้?”



              “ก็อยากรู้เลยถามไงพี่”



              “ก็มีบ้าง แต่ความรู้สึกแม่งนานมาแล้ว มันคงเรียกว่าเหงามั้งกูไม่แน่ใจ” ผมฟังจากน้ำเสียงของพี่กูนตอนที่เล่ามันแฝงถึงความรู้สึกดีๆ ผมว่านะมันอาจจะไม่ใช่แค่เหงาอย่างที่พี่กูนว่าก็ได้ “มึงรังเกียจไหมที่กูเคยหวั่นไหวกับผู้ชาย”



              “ไม่อะพี่ ผมว่ามันเป็นเรื่องปกตินะ ถ้าผมเจอคนที่ผมรู้สึกดีด้วยแล้วเขาคนนั้นเป็นผู้ชายผมก็ไม่คิดว่ามันแปลกอะไร” ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยก็เถอะ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆผมก็คงยอมรับความรู้สึกของตัวเองและไม่เลยที่จะปิดกั้นเพียงเพราะคนที่ผมหวั่นไหวด้วยไม่ใช่ผู้หญิง



              “แล้วถ้าคนนั้นเป็นกูล่ะ”



              “......”



              “มึงจะรังเกียจไหม?” คราวนี้ผมตั้งใจพลิกตัวเข้าไปหาพี่กูน ทำให้ตอนนี้ใบหน้าของเราสองคนหันเข้าหากัน



              “ผมไม่รู้ว่าพี่จริงจังกับคำถามนี้ไหม แต่ผมจะบอกว่าผมไม่รังเกียจ” พี่กูนค่อยๆเอามือของเขาที่กอดผมอยู่ออก และเลื่อนขึ้นมาสัมผัสที่สันจมูกของผมเบาๆ สายตาของพี่กูนไล่มองตามนิ้วที่เลื่อนอยู่บริเวณใบหน้าของผม “ถ้าคนนั้นเป็นพี่ผม..ไม่รังเกียจ”



              “แม้ว่ากูจะเป็นพี่ชายของมึง?”



              “ผมเห็นแก่ตัวมากกว่าที่พี่รู้นะพี่กูน ผมยอมเสียความสัมพันธ์ระยะยาวเพียงเพราะความรู้สึกของผม”



              “มึงรู้อะไรไหมไอ้ติ ถ้าเป็นกู” พี่กูนเว้นช่วงเอาไว้ก่อนที่มือของเขาจะเลื่อนมาที่แก้มของผมแล้วลูบไล้เบาๆ “กูจะหยุดความรู้สึกแล้วเก็บความสัมพันธ์ระยะยาว”



              “.......”



              “กูคงทำใจไม่ได้ถ้าความต้องการมันทำให้ความสัมพันธ์ของกูกับมึงต้องจบกัน แล้วเลือกสิ่งที่มันฉาบฉวย” ผมพยายามที่จะคิดตามที่พี่กูนพูดแต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี



              “แม้ว่าพี่กับผมจะคิดเหมือนกัน?”



              “อืม..เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมึงคงไม่ได้เจ็บคนเดียว”



              “พี่กำลังทำให้มันยาก ก็แค่ทำตามความรู้สึกของตัวเองป่าววะถ้ามันถึงจุดจุดนั้น”



              “มันไม่ยากถ้ากูกับมึงรู้ลิมิต”



              “.......” เกิดความเงียบขึ้นในทันที ผมไม่รู้ว่าเรามาถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอมันมาถึงแล้ว ผมดันไปเข้าใจความหมายที่พี่กูนสื่อไปอีกแบบ ผมกำลังคิดว่าพี่กูนกำลังทำให้ความรู้สึกหวั่นไหวของผมเล็กๆมันดับลง พี่กูนกำลังเตือนสติผมอยู่



              “แค่กูกอดมึงหัวใจมึงเต้นแรงขนาดนี้เลยเหรอไอ้ติ?”



              “ถ้าพี่รู้แบบนี้แล้ว พี่ยังจะกอดผมอยู่อีกไหม?”



              “.....กอดดิ เพราะมึงเป็นน้องชายกู” ผมหลับตานิ่งเพื่อฝังสิ่งที่พี่กูนพูดเข้าไปในสมองของผม และย้ำเตือนกับตัวเองว่าพี่กูนเป็นพี่ชายของผม “อย่าหวั่นไหวเพราะกอดของกู ถ้ามันจะทำให้กูกับมึงมองหน้ากันไม่ติด”



              “.......พี่กูนพี่ ถ้าผมกอดพี่ พี่จะหัวใจเต้นแรงเหมือนผมไหม” ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและกลั้นใจถามพี่กูนออกไป



              “ลองดู” ผมค่อยๆเลื่อนมือของตัวเองวางลงบนลำตัวของพี่กูนอย่างช้าๆ ทันทีที่สัมผัสผมรับรู้ได้เลยว่าคนที่หัวใจเต้นแรงคือผมคนเดียว “มึงไม่ต้องโทษตัวเองหรอกไอ้ติ มึงไม่ได้แปลกที่หัวใจมึงเต้นแรงตอนที่กูกอด มึงอาจจะแค่เหงาแล้วบรรยากาศมันพาไป ถ้ามึงไปมหาลัยเจอคนใหม่ๆมึงอาจจะหายเหงาแล้วไอ้อาการหัวใจเต้นเร็วมันก็อาจจะไม่ใช่กู”



              ผมแน่ใจว่าผมไม่ได้เหงา แล้วบรรยากาศมันก็ไม่ได้พาไปอย่างแน่นอน แต่มันแค่เริ่มต้นผมว่าผมสามารถหยุดมันได้ถ้าพี่กูนเลิกทำดีกับผม เลิกทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวแบบนี้

 
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 19 2.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 02-05-2020 15:47:38
ตามจ้า ทิมกับไท้จะเป็นคู่รองป่าว เชียร์คุ่นี้
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 19 2.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 02-05-2020 17:35:38
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 19 2.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 02-05-2020 21:13:50
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 20 3.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 03-05-2020 12:36:40
บทที่ 20

คนเมาเขาชอบจูบ



Sati’s talk



            หลังจากคืนนั้นที่ผมนอนกับพี่กูนในห้อง พอตื่นเช้ามาผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดและเลือกที่จะซ่อนอาการบางอย่างเอาไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ส่วนพี่กูนเองเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีกเลยและทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง จนกระทั่งถึงวันที่ผมต้องไปเรียนวันแรก



              “พี่ทำให้ผมดูเด็ก”



              “กูก็ทำแบบที่คนปกติเขาทำกัน”



              “แต่นี่ผมกำลังจะไปเรียนมหาลัยนะพี่”



              “แล้วกูบอกเหรอว่ามึงเรียนอนุบาล” ผมถอนหายใจและเลิกเถียงกับพี่กูนซึ่งตอนนี้ขับรถมาส่งผมที่มหาวิทยาลัยในวันแรกของปีการศึกษา ซึ่งหลักสูตรของผมเป็นการเทียบโอนหลักสูตรเรียนสองปี ซึ่งต่างจากหลักสูตรตามธรรมดาที่เรียนสี่ปีสำหรับเด็กที่จบมอหกกับปวช. ซึ่งผมจบปวส.ก็จะได้เรียนหลักสูตรสองปี แต่นับว่าเขามาเป็นปีหนึ่ง แม้ว่าจะมีอายุเท่ากับพวกปีสามก็ตาม



              “งั้นผมลงแล้วนะพี่ หวัดดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้พี่กูนเหมือนอย่างทุกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้ที่ด้านในมีไอแพดที่พี่กูนพึ่งซื้อให้ใหม่เป็นของขวัญเปิดเทอมซึ่งเรื่องนี้ที่ทำให้เราทะเลาะกันเพราะ..





              หลายวันก่อน



              ‘เอาเครื่องที่ถูกที่สุดครับ เอาที่ตกรุ่นก็ได้พี่ผมไม่ซีเรียส’ ผมรีบบอกพนักงานในร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างที่พี่กูนไปเข้าห้องน้ำและบอกให้ผมมาเลือกรอไว้ก่อน



              ‘เอาเป็นรุ่นนี้ไหมครับน้อง ราคาถูกแล้วก็ออกใหม่’ พนักงานขายพยายามนำเสนอไอแพดรุ่นใหม่ให้ผมโดยบอกข้อดีและดีไซน์ที่สวยงามทันสมัยและตอบโจทย์วัยรุ่นเป็นอย่างดี ซึ่งผมมองว่ามันไม่จำเป็นสักเท่าไหร่



              ‘ผมเอาราคาไม่ถึงหมื่น พี่มีไหม’



              ‘เอ่อ...ถ้าไม่รวมปากกาก็รุ่นนี้เลยครับ’ พนักงานขายมองหน้าผมด้วยสีหน้าเอือมๆแต่ก็ยอมแนะนำรุ่นที่ผมสนใจ ตามจริงใช้กระดาษจดก็ได้นะไม่เห็นต้องมีเลยไอ้ไอพงไอแพดอะไรนี่ แถมโทรศัพท์เครื่องที่พี่กูนซื้อให้ผมก็สามารถจดได้



              ‘แล้วปากกาเท่าไหร่ครับ’



              ‘ถ้าเป็นรุ่นนี้มันไม่รองรับปากกาครับ ต้องเป็นอีกรุ่นรวมแล้วประมาณหมื่นห้าพันบาทครับ แต่ยังไม่รวมค่าเคสและค่าฟิล์ม’



              ‘จริงๆมันไม่ต้องมีเคสกับฟิล์มหรอกมั้งครับ’ ยังไม่ทันที่ผมจะถามอะไรพี่พนักงานต่อพี่กูนก็เดินเข้ามาในร้านก่อนจะตรงมากอดคอผม



              ‘มีที่ถูกใจไหม’ พี่กูนถามก่อนจะกวาดสายตาไปมองไอแพดที่อยู่บนเคาท์เตอร์ ‘อันนี้ของใครเหรอครับ?’ พี่กูนไม่ถามผมแต่เลือกที่จะถามพนักงานแทน



              ‘ของน้องคนนี้ครับ ผมว่ามันตกรุ่นไปแล้วอีกอย่างก็ไม่รองรับปากกาถ้าจะเอาถูกมันใช้ได้แค่เล่นอย่างเดียว คงใช้ในเรื่องเรียนไม่ได้ครับ’ เมื่อได้โอกาสพนักงานขายก็รีบพูดทันที ทำให้พี่กูนหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าตำหนิ



              ‘งั้นผมขอดูไอแพดโปร 12.9 ครับ ไม่ต้องดูเอาอันนั้นเลยผมเพิ่มปากกาด้วย จัดมาครบชุดเลยครับ’ ผมได้แต่อ้าปากค้างเมื่อพี่กูนจัดการสั่งทุกอย่างให้ผมเบ็ดเสร็จแล้วน่าจะหลายบาท



              ‘แต่ผมมีงบอยู่ไม่เกินหมื่นห้านะพี่’



              ‘กูจ่าย นี่บัตรครับ’ พี่กูนยื่นบัตรเครดิตของตัวเองให้พนักงานด้วยท่าทางชิวๆเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น ก็นั่นแหละครับคือที่มาของไอแพดที่อยู่ในกระเป๋าของผมตอนนี้



              “เดี๋ยวก่อน มีเงินยัง” พี่กูนคว้าข้อมือของผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะเปิดประตูลงจากรถ



              “ผมมีแล้วเงินที่ขับวินก็ยังอยู่เยอะเลย”



              “เอาติดตัวไว้ก่อนเพื่อต้องใช้ เดี๋ยวเย็นนี้ถ้าไม่มีงานอะไรจะพาไปทำบัตรเครดิต”



              “ไม่เอาพี่ ผมไม่ทำ แล้วก็ไม่ต้องให้ผมมีเงินอยู่ เอาไว้ผมไม่มีค่อยให้พี่” ผมจับมือพี่กูนที่ยื่นแบ็งก์พันมาให้ผมห้าใบออกห่างจากผม



              “อย่าเรื่องมาก เปิดเทอมมันต้องใช้เงิน”



              “ผมมี”



              “ไอ้ติ”



              “โอเคพี่ รับก็รับ” ผมจำใจหยิบเงินที่พี่กูนให้ใส่กระเป๋ากางเกงอย่างลวกๆและเตรียมที่จะลงรถ แต่พี่กูนก็ยังคงไม่ปล่อยให้ผมลงอยู่ดี “อะไรอะพี่ผมก็เอาแล้ว”



              “เก็บใส่กระเป๋าตังค์ดีๆเดี๋ยวหาย”



              “.......”



              “อย่าให้กูพูดซ้ำ มึงทำตัวเองไอ้ติจะไม่ให้กูบ่นได้ไงวะ” ผมลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะเอาเงินที่พี่กูนพึ่งให้ออกมาใส่กระเป๋าสตางค์ดีๆ



              “โอเคแล้วเนอะ ผมไปแล้วนะพี่หวัดดีครับ” ผมรีบลงจากรถในจังหวะที่พี่กูนเผลอก่อนที่จะโดนบ่นไปมากกว่านี้ ถ้าถามว่ารู้สึกดีไหม ก็รู้สึกดีที่มีคนคอยบ่นเพราะเป็นห่วง แต่ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆก็คงไม่ดีต่อใจของผมเหมือนกัน ไอ้ติคนนี้อยากจะร้องไห้เป็นภาษาบาลี



 

              เมื่อหลุดออกจากพี่กูนได้ผมก็ตรงไปหาเพื่อนคนแรกที่ผมรู้จักในรั้วมหาวิทยาลัยคือไอ้ช้างใหญ่นั่นเอง ผมคุยไลน์กับมันเมื่อคืนบอกว่าเจอกันที่โรงอาหารคณะก่อนจะเข้าไปเรียนวิชาแรกด้วยกัน ผมเดินตามป้ายไปเรื่อยๆเพราะยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับทางเท่าไหร่ กว่าจะถึงโรงอาหารไอ้ช้างใหญ่ก็โทรตามจนกระทั่งถึงโรงอาหาร



              “ทางนี้ไอ้ติ” ช้างใหญ่ยกมือขึ้นเพื่อให้ผมที่ยืนเอ๋ออยู่ด้านหน้าโรงอาหารตรงเข้าไปหามันที่นั่งอยู่กับ..พวกพี่สิงห์ที่ผมเคยเจอมาแล้วหนึ่งครั้งตอนปฐมนิเทศ



              “หวัดดีมึงๆ” ผมเข้าไปนั่งข้างๆไอ้ช้างใหญ่ก่อนจะยกมือไหว้พี่ๆคนอื่นๆที่นั่งอยู่ในโต๊ะ “หวัดดีครับพี่ๆ”



              “มึงไปทำอะไรมาวะไอ้ติ ทำไมดูโทรมกว่าเดิม” ไอ้ช้างใหญ่มองหน้าผมอย่างพิจารณา “อาจจะดูเสียมารยาทที่ทักแบบนี้ แต่มึงค้ำๆอะ” ไอ้ช้างใหญ่จับปลายคางของผมให้หันไปซ้ายทีขวาที



              “กูไปก่อนนะไอ้ช้างเพื่อนมึงมาแล้ว” พี่สิงห์พูดแทรกขึ้นก่อนจะลุกขึ้น



              “เคพี่สิงห์ เลิกแล้วเดี๋ยวบอก” ผมยกมือไหว้พี่ๆที่เดินออกไป ทำให้ตอนนี้ผมนั่งอยู่กับไอ้ช้างใหญ่สองคนในโรงอาหาร



              “ไอ้ติมึงรู้รึยังว่าโปรแกรมเราต้องไปทำกิจกรรมกับเด็กปีหนึ่งด้วยอะ”



              “อย่างไงวะ”



              “ก็พวกเข้าเชียร์ไรงี้ งานคณะ เฟรชชี่เกม กูว่านะต้องเจอโซตัสแน่ๆ แต่ระดับมึงคงผ่านมาเยอะแล้วดิ เทคนิคมึงก็ขึ้นชื่ออยู่”



              “ขึ้นชื่อเรื่องเด็กไม่ดีอะดิ” ผมส่ายหน้าให้กับไอ้ช้างใหญ่ ถ้าพูดถึงระบบโซตัสผมว่าสิ่งที่ผมเจอตอนที่เรียนปวช. ปวส.มันน่าจะมากกว่าระบบโซตัสอีกนะ งานแรกที่เจอก็คือเป็นกำลังเสริมให้รุ่นพี่ที่ยกพวกไปตีกับสถาบันอื่น เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์แรกของเส้นทางลูกผู้ชายอย่างผมเลยทีเดียว



              “มึงเล่าให้กูฟังบ้างดิ กูไม่เคยมีเรื่องเลย”



              “มึงอยากมีไหมล่ะ กูช่วยหา” ไอ้ช้างใหญ่นี่ก็แปลกนะครับอยู่ดีๆก็อยากมีเรื่องเฉย “แต่กูว่าอย่างมึงคงไม่มีใครอยากมีเรื่องด้วยหรอก พี่มึงน่าจะใหญ่หน้าดู”



              “ถ้าพูดถึงตัวก็ใหญ่อยู่นะ”



              “เดี๋ยวกูโบกให้” ผมคุยกับไอ้ช้างใหญ่จนกระทั่งถึงเวลาเข้าเรียนคาสแรก



              คาสแรกของการเรียนมหาลัยค่อนข้างดีครับ ส่วนมากเป็นการปรับพื้นฐานมากกว่าการเข้าเนื้อหา และสิ่งที่ผมประทับใจก็คือเพื่อนๆที่มาจากปวส.เหมือนกันค่อนข้างเป็นกันเอง ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเจ๋งหรือจ้องจะมีเรื่อง จนกระทั่งอาจารย์ปล่อยให้มาทำความรู้จักกันภายในคาสเพราะบางคนก็ไม่ได้มาปฐมนิเทศ ทำให้ผมรู้จักกับเพื่อนอีกสองคนที่ไอ้ช้างใหญ่มันลากเข้ามาในกลุ่ม อย่าเรียกว่ากลุ่มเลยเพราะมีแค่ผมกับไอ้ช้างใหญ่เท่านั้น



              “เย็นนี้เบียร์ไหมเพื่อน เบียร์วุ้นๆข้างมอกูเห็น” และประโยคนี้ก็หลุดออกมาจากปากเพื่อนใหม่ที่ชื่อว่า ‘มีน’ มันเป็นหนุ่มตี๋ตาตี่แบบพิมพ์นิยมที่สาวๆเขาชอบกัน ยิ่งมันยืนอยู่ข้างๆผมกับไอ้ช้างใหญ่เรียกได้ว่าพวกผมสองคนเป็นฐานดีๆให้พวกมันขึ้นมาเฉิดฉายเลยครับ



              “จ้องจะแดกอย่างเดียวเหรอมึง กูว่าก่อนไปเบียร์แวะหมูกระทะก่อน อยากแดกๆ” และคนที่พูดเสริมก็คือเพื่อนที่มาด้วยกันกับไอ้มีน มันชื่อว่า ‘เกรท’ ไอ้มีนกับไอ้เกรทมาจากที่เดียวกัน “ไอ้ติ ไอ้ช้าง ไปไหมมึง”



              “เอาดิ กูสะดวก” ไอ้ช้างตอบรับคำชวน ส่วนผมลังเลอยู่ว่าจะไปดีไหมเพราะ..ผมไม่รู้ว่าพี่กูนจะให้ไปไหม



              “กูขอพี่กูก่อนได้ไหม”



              “มึงเป็นเด็กรึไงวะต้องขอพี่ ไม่ต้องขอๆ แดกแปบเดียวก็กลับ” ไอ้มีนเดินมากอดคอผม



              “แต่เราต้องเข้าเชียร์ก่อนป่าววะ” ไอ้เกรทพูด



              “อาทิตย์นี้ยังไม่มีหนิ ดังนั้นทางสะดวกจ้า” และพวกผมก็มาจบลงที่ร้านหมูกระทะตามที่เพื่อนๆได้คุยกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า



              “พวกน้องมาสี่คนใช่ไหม” พี่พนักงานออกมาต้อนรับพวกผมที่มาถึงร้านในช่วงเวลาห้าโมง



              “พี่เห็นมาสิบเหรอครับ” ไอ้มีนเล่นแล้วไง ผมก็พึ่งรู้ว่านอกจากหน้าตาดีมันยังปากดีด้วย



              “กวนส้นตีนกูแล้วนะครับไอ้น้อง เปิดร้านวันแรกก็เจอเด็กกวนตีนเลย ฤกษ์ดีฉิบหาย” พี่เจ้าของร้านมองพวกผมสี่คนก่อนจะพาเดินมาที่โต๊ะด้านนอก



              “มีเบียร์ไหมพี่” ไอ้เกรทถามหลังจากที่มาถึงโต๊ะ



              “น้ำอัดลมรีฟิวส์ เบียร์ไม่มีใกล้สถานศึกษามันผิดกฎหมายเว้ย” พี่เจ้าของร้านหยิบกระดาษขึ้นมาจดจำนวน



              “พี่กลัวเหรอ?” ไอ้มีนพูด



              “กลัวดิสัด กูพึ่งเปิดร้านยังไม่อยากปิด”



              หลังจากนั้นพวกผมก็นั่งสังสรรค์โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรื่องราวต่างๆที่เจอะเจอกันมาเพื่อเป็นการละลายพฤติกรรม และทำให้พวกเราสนิทกันมากขึ้น โดยเฉพาะตอนที่แอลกอฮอล์เข้าปาก ใช่ครับ ตอนนี้พวกผมย้ายมาที่ร้านเหล้าที่ห่างจากมหาลัยออกไปเพื่อมากินเบียร์วุ้นตามที่ไอ้มีนมันบอกเมื่อก่อนหน้า



              “ดุมากไอ้ติ”



              “กูเหรอ?” ผมมองหน้าไอ้เกรทหลังจากที่มันคว้ามือที่กำลังจะยกเบียร์ขึ้นดื่ม



              “เออ หลายขวดแล้วนะมึง ยังไม่เมาแต่มึงดูไอ้ช้างดิหน้าแดงไปแล้ว” ไอ้มีนชี้ไปที่ไอ้ช้างที่ตอนนี้นั่งยิ้มหน้าแดงอยู่คนเดียว



              “ก็แข็งพอตัว”



              “หมายถึงคอ”



              “คะ...คอดิวะ ฮ่าๆ” ผมไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว คงจะตั้งแต่ผมเรียนปวส. ผมห่างหายจากเพื่อนมาก็นานพอสมควร นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสอยู่กับเพื่อน แม้ว่าจะเป็นเพื่อนใหม่ก็ตาม



              “ชนให้ไอ้ช้างมันหน่อยเว้ย!” คราวนี้จากที่เทใส่แก้วเปลี่ยนเป็นยกขวดขึ้นดื่ม เมื่อเริ่มเข้าที่ผมกับไอ้มีนไอ้เกรทจึงมองหาเรื่องสนุกๆทำ



              “ใครแพ้แดกเหล้าเพียว”



              “เหล้าเลยวะ” คอผมถูกกับเบียร์มากกว่าเหล้า เพราะเคยซัดเหล้าไปไม่กี่แก้วขนาดไม่เพียวผมยังล้มเลย แต่นี่เหล้าเพียวๆผมไม่สลบไปเลยเหรอวะ



              “ถ้าเล่นเกมนี้มึงโทรไปขอพี่มึงก่อนไหมว่านอนกับพวกกู พี่มึงจะได้ไม่ต้องมารับ”



              “ได้ๆ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดโทรหาพี่กูนที่ส่งข้อความพร้อมกับโทรหาผมหลายสาย ผมรอสายไม่นานพี่กูนกดรับทันที



              (มึงอยู่ไหน?)



              “ร้านเหล้าพี่”



              (ขอใคร?)



              “ขอขวด ฮ่าๆ”



              (กูไม่ตลกนะไอ้ติ)



              “อย่าบ่นไปเลยพี่ชาย วันนี้น้องขอสนุกก่อนนะพี่ ผมขอนอนกับเพื่อนได้ไหม พี่จะได้ไม่ต้องมารับผม” ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงพี่กูนมากขนาดนี้ แต่ตอนนี้ผมกำลังจะเมาเลยขอใช้การ์ดคนเมาก่อกวนพี่กูน



              (เดี๋ยวกูไปรับ)



              “ผมรู้หรอกว่าถ้าพี่มารับผมจะต้องโดนพี่ด่าแน่ๆ”



              (มึงเลือกทำตัวเอง จะเมาหรือจะอะไรก็โทรมานะ เดี๋ยวกูไปรับ)



              “เคครับพี่ สวัสดีครับ” เมื่อขออนุญาตพี่กูนเสร็จผมจึงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะมาเล่นเกมพูดความจริงกับเพื่อน



              ด้วยความที่ห่างหายจากแอลกอฮอล์ไปนานผมเลยแกล้งไม่ตอบเพื่อที่จะได้กินเหล้าเพียว ยิ่งกินมันก็ยิ่งร้อนผมเลยถอดเสื้อยืดของไอ้มีน ที่พวกผมแวะกันไปเปลี่ยนที่หอของไอ้มีนเพราะห้ามใส่ชุดนักศึกษาเข้าร้านเหล้า



              “มาเว้ยพี่ติ!” เสียงไอ้มีนที่ดังขึ้นหลังจากที่ผมถอดเสื้อออก



              จริงๆมันก็ไม่ได้มีใครสนใจมากนักเพราะร้านนี้เป็นร้านเหล้าแนวดิบๆ คนส่วนมากที่มากินก็เน้นไปทางลูกค้าผู้ชาย ไอ้เรื่องการถอดเสื้อจึงเป็นเรื่องปกติของที่ร้าน



              “ร้อนฉิบหาย! ไอ้มีนไอ้เกรทถ้ากูร่วงแล้วโทรหาพี่ชายกูให้หน่อยนะ ชื่อกูนๆโทรศัพท์อยู่ในกระเป๋ากางเกงกู” ผมบอกเพื่อนในช่วงที่ผมยังมีสติอยู่ เพราะถ้าผมผมวาปไปโดยที่ไม่ได้บอกพี่กูนมีหวังได้วาปไปตลอดชีวิตแน่ๆ



 

              “เอาแล้วหลาว”



              “เชรดดด โคตรได้อะเพื่อน”



              “มึงแม่สุดว่ะ” บรรยากาศในร้านตอนนี้เริ่มสนุกสนานเฮฮาเมื่ออยู่ๆสติที่เมาได้ทีลุกขึ้นยืนบนโต๊ะพร้อมกับโชว์ลีลาเต้นในแบบฉบับไทบ้าน



              “พี่ฝากเหล้าให้เพื่อนน้องหน่อย เต้นโคตรกวนส้นตีนอะพี่ชอบๆ”



              “ฝากด้วยๆ” เป็นครั้งแรกของมีนและเกรทที่เห็นปรากฏการณ์การที่อยู่ๆคนในร้านเอาเหล้ามาให้สติที่เต้นอย่างเมามันในบทเพลงคาราบาว



              “ไอ้ติแม่งโคตรจะเจ๋ง เห็นนิ่งๆไม่คิดว่าจะหนึบในวะมึง”



              “ถ่ายเก็บไว้ให้มันดูๆ” สติที่เต้นเอามันไม่ยอมหยุดเพราะแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือด เขาไม่สนใจรอบข้างที่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร จนกระทั่งเขาเหนื่อยจึงลงมาจากโต๊ะและกระดกเหล้าขึ้นดื่มแก้กระหาย



              “พรุ่งนี้แฮงค์แน่มึง”



              “กูก็ว่างั้น ไอ้มีนโทรหาพี่มันดิ มันน่าจะไม่ไหวแล้ว” มีนพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นมาหยิบโทรศัพท์ของสติในกระเป๋ากางเกงออกมาและกดโทรตามที่สติบอกไว้ก่อนหน้า



              “สวัสดีครับพี่ชายติใช่ไหมครับ พอดีว่าตอนนี้มันเมาไม่ได้สติ ช่วยมารับที่ร้านXXXได้ไหมครับ” หลังจากที่รอสายได้ไม่นานปลายก็กดรับทันที



              (ครับ ช่วยอยู่รอจนกว่าพี่จะถึงได้ไหมครับ)



              “ครับ ได้ครับ” หลังจากวางสายไปมีนและเกรทแบกสติที่เมาไม่ได้สติออกมานอกร้านพร้อมกับเหล้าที่มาจากแฟนคลับของสติ ส่วนช้างใหญ่พี่ชายมารับไปก่อนหน้านี้แล้ว



              รอไม่นานรถเบนซ์สีดำคันหรูขับมาเทียบท่าอยู่หน้าร้านพร้อมกับการปรากฏของกูนพี่ชายของสติที่ลงจากรถมา กูนตรงไปหาสติทันทีที่เห็น เขารู้สึกหงุดหงิดทันทีที่เห็นว่าน้องชายของเขาไม่ได้ใส่เสื้อ



              “พี่ชายติใช่ไหมครับ” มีนถามขณะที่มือยังคงโอบเอวสติอยู่



              “ครับ ขอบใจพวกน้องมากนะ” กูนเดินเข้าไปข้างสติก่อนจะใช้มือโอบเอวสติออกมาจากมีน



              “พี่ครับอันนี้ของไอ้ติมัน แฟนคลับฝากมาให้” กูนขมวดคิ้วทันทีที่เห็นขวดเหล้านับสิบที่อยู่ถุงพลาสติกขนาดใหญ่



              “แฟนคลับ?”



              “คือไอ้ติมันเมาแล้วเต้นเก่งมาก คนในร้านชอบใจเลยฝากมาให้มันครับพี่” มีนอาสาอธิบาย แต่ดูเหมือนจะไม่ถูกใจพี่ชายสักเท่าไหร่ “เอ่อ..งั้นพวกผมกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”



 

Kun’s talk



            ผมเหลือบมองไอ้ติที่นั่งอยู่เบาะข้างๆเป็นระยะ ขนาดมาเรียนวันแรกยังเมาขนาดนี้ ต่อไปเขาจะไว้ใจแล้วปล่อยมันไปได้อย่างไร เมาแล้วเต้นไม่เท่าไหร่แต่ไอ้ถอดเสื้อเขารับไม่ได้จริงๆ



              “แจ๊บๆ พี่กูนเหรอพี่”



              “พ่อมึงมั้ง”



              “พ่อเหรอ? ผมไม่มี” มันคงเป็นเรื่องตลกร้ายของไอ้ติที่พูดออกมาด้วยท่าทางชิวๆพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ลึกๆแล้วมันคงรู้สึกเจ็บปวดแน่ๆ



              “กูไงพ่อมึง” ผมแกล้งพูดออกไปแบบนั้นเพื่อดูว่าปฏิกิริยาคนเมาจะเป็นอย่างไร แต่ผิดคลาดแฮะเพราะผมไม่คิดว่ามันจะตอบออกมาแบบนี้



              “ไม่อะ พี่ไม่ใช่พ่อ แต่พี่เป็นคนที่ผมรัก...”



              “......”



              “รักนะพี่ชาย” ผมเกือบจะหยุดหายใจเพราะการเว้นจังหวะพูดของมัน ถ้ามันรักผมแบบนั้นจริงๆคงโทษใครไม่ได้นอกจากโทษตัวผมเองที่ใจดีกับมันมากไปในช่วงที่มันอ่อนแอ



              “อย่ารักกูเลย เพราะกูคงตอบรับความรู้สึกมึงไม่ได้”     

“เหรอ? รักผมไม่ได้จริงดิ พี่แม่งอ่อนว่ะ” ผมอยากจะต่อยปากคนเมาจริงๆ เมาแล้วโคตรกร่างแต่ทำไมผมกลับมองว่ามันน่ารักวะ? ถ้าผมยังไม่เลิกมองมันด้วยความรู้สึกแบบนี้ทั้งผมและมันที่จะแย่ “อ่อนสัดอ่ะ”

              “มึงพูดไรนะไอ้ติ”      



        “เปล๊า ไม่ได้พูดไร” ผมเหลือบไปมองใบหน้าของไอ้ติ มันยังคงหลับตาอยู่ “แล้วเมื่อไหร่พี่จะรักผม”



              “กูก็รักมึงอยู่นี่ไง”



              “ไม่เอาแบบน้องชายดิพี่ แมนๆหน่อย” ผมถอนหายใจออกมาและเลือกที่จะไม่ตอบมันไป เพราะรู้ว่าตอบไปตอนนี้ไอ้ติมันก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี จนกระทั่งขับรถมาถึงบ้าน



              “ไอ้ติตื่น” ผมเขย่าตัวมันเบาๆเพื่อเรียกสติ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ไอ้ติมันจะหลับลึกไปแล้ว



              “......Zzzzz” ผมปลดเข็มขัดของเราทั้งสองคนออกก่อนจะเดินอ้อมไปฝั่งไอ้ติ ผมยืนลังเลอยู่นานว่าจะเอาอย่างไรกับมันจะพยุงหรือจะอุ้มไป



              ถ้าพยุงมันคงถึงช้าผมเลยเลือกที่จะแบกไอ้ติพลาดหลังของผมเข้าไปในบ้าน โชคดีที่ไอ้ติไม่ได้ตัวหนักมากทำให้ผมสามารถแบกมันเข้าไปในบ้านได้อย่างสบาย หลังจากที่เข้ามาในบ้านเป็นที่เรียบร้อยผมจึงพาไอ้ติเข้าไปนอนในห้องของมันเอง



              ผมนั่งอยู่บนเตียงข้างๆมันที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่ ไอ้ติมันเป็นเด็กดีคนหนึ่งเลย ผมมีความสุขที่มีมันอยู่ในชีวิต แต่มันเป็นความสุขที่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นในรูปแบบไหนระหว่าง พี่ชายหรือคนรัก



              “รักกูจริงเหรอวะ?” ผมยื่นมือไปลูบผมของมันเบาๆก่อนจะไล่ลงมาที่สันจมูกของไอ้ติเบาๆ



              “......”



              “บอกแล้วไงว่าอย่ารัก..” จากสันจมูกผมค่อยๆเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากของไอ้ติ ริมฝีปากที่ผมพึ่งสังเกตว่าน่าสัมผัส ยิ่งสัมผัสผมก็ยิ่งอยากก้มลงไปลิ้มลอง แต่ถ้าผมทำอย่างนั้นมันก็เท่ากับฉวยโอกาส



              ผมว่าผมควรรีบออกจากห้องของไอ้ติก่อนที่ผมจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้



              หมับ!



              “พี่กูน...”



              “.....” ผมกลืนน้ำลายลงคอทันทีที่อยู่ๆไอ้ติก็ลุกขึ้นมานั่งก่อนจะคว้ามือของผมเอาไว้ “นอนเถอะ ฝันดี” ผมไม่รู้นะว่าตอนนี้มันเมาอยู่ไหม แต่ในฐานะที่ผมมีสติครบผมควรที่จะหยุดบรรยากาศแบบนี้ก่อนที่มันจะเลยเถิด



              “พี่คิดว่าผมจะฝันดีจริงๆดิ”



              “.......”



              “มือนี้เหรอที่พี่สัมผัสปากผม?” ไอ้ติจับมือข้างที่ผมสัมผัสริมฝีปากของมันขึ้นมาตรงหน้า “พี่ทำได้แค่สัมผัสจริงดิพี่กูน?”



              “ไอ้ติกูไม่เล่น” ผมขยับตัวออกห่างและหันหน้าหนีไปอีกทาง



              “ผมก็ไม่ได้บอกว่าเล่นนิพี่ ตอนนี้ผมเมาผมกล้า และผมก็อยากให้พี่จูบผม”



              “......”



              “จูบผมดิพี่ จูบผมแบบที่พี่ชายเขาจูบน้องชาย”



              “ไอ้ติมึงกำลังเมา มึงไม่รู้ตัวว่ากำลังพูดอะไรออกมา นอนเถอะ” ผมดันตัวของไอ้ติให้นอนราบลงบนเตียงก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้มัน



              “ถึงผมตื่นขึ้นมาผมก็จำอะไรไม่ได้อยู่ดีพี่” ขณะที่ผมกำลังห่มผ้าให้มันอยู่นั้น อยู่ๆไอ้ติก็พูดขึ้นมา



              “แต่กูจำได้”        



      “ผมรู้ แต่ผมอยากเห็นแก่ตัว ถ้าพี่ไม่จูบ..งั้นผมเริ่ม” ผมที่มัวแต่นิ่งฟังคำพูดของคนเมา อยู่ๆไอ้ติก็ลุกขึ้นมาก่อนจะทาบริมฝีปากของมันลงมาบนริมฝีปากของผมก่อนจะค้างเอาไว้และผลักออกมา



              “ผมทำไม่เป็นหรอกไอ้ที่แบบผู้ใหญ่เขาทำกัน แต่แค่แตะๆก็..อุ๊บ!” สาบานได้ว่าคนที่คว้าคอของไอ้ติให้เข้ามาใกล้ บดเบียดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของไอ้ติ สอดแทรกลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปาก ทั้งหมดมันไม่ใช่ผม? แต่แล้วผมก็เถียงความจริงที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้าไม่ได้



              “พี่ผมไม่อยากหยุดเลยว่ะ”         



     “.......” ผมก็ไม่อยากหยุดแต่จิตใต้สำนึกมันบอกให้ผมหยุด



              “พี่กูนพี่...” ผมค่อยๆลูบริมฝีปากของไอ้ติเบาๆพร้อมกับยิ้มให้เด็กน้อยตรงหน้า “พี่ยิ้มแบบนี้ หัวใจผมเต้นโคตรเร็วเลย” ไอ้ติจับมือของผมมาทาบที่หน้าอกของมัน และเป็นจริงอย่างที่มันบอกว่าตอนนี้หัวใจของมันเต้นเร็ว ผมไม่แน่ใจว่ามันเต้นเร็วเพราะรอยยิ้มหรือจูบของผมกันแน่



              “นอนได้แล้ว”



              “เอาไว้ผมเมาใหม่แล้วเรามาจูบกันนะพี่ คร่อกกกก” ไอ้ติยิ้มกว้างออกมาก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงโดยที่ไม่ได้ให้สัญญาณอะไรทั้งนั้น



              แล้วผมควรทำอย่างไรต่อไปวะ

 

 

 

 
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 20 3.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-05-2020 13:31:11
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 20 3.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 03-05-2020 18:21:49
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 21 4.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 04-05-2020 08:55:30
บทที่ 21

ความรู้สึกที่แปรผกผัน



Kun’ s talk



“มันเป็นเรื่องปกติไหมอะพี่ ตาว่าแล้วว่ามันต้องมีวันนี้” ผมนั่งมองน้องสาวตัวดีที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับเรื่องที่ผมมาปรึกษา “ถึงขนาดเผลอไปจูบเขาขนาดนั้น ไม่เรียกว่าหวั่นไหวคงเรียกว่าอะไรอะ”



“พี่มาขอคำปรึกษานะตา ไม่ใช่ให้มาแซว” นอกจากเสียค่าขนมเซ่นน้องในการปรึกษาครั้งนี้ ผมยังมาโดนน้องแซวซะได้



“นานๆ ทีพี่จะมาปรึกษาตา ตาก็ขอแซวหน่อยดิพี่กูน” หลังจากคืนนั้นผมเองที่เสียอาการ คอยหลบหน้าหลบตาไอ้ติตลอด เพราะเห็นหน้ามันทีไรผมก็คิดถึงจูบตอนนั้นทุกที แต่โชคดีที่ช่วงนี้มันมีกิจกรรมช่วงเย็นทำให้ผมกับมันไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไหร่



“นั่นแหละก็เป็นอย่างที่พี่บอก”



“คนเมาพี่กูนก็รู้ว่าไม่โกหก” ผมก็พอจะรู้อยู่บ้างตั้งแต่ไอ้ติมันมีท่าทีใจเต้นแรงตอนที่ผมกอด แต่ผมก็ไม่แน่ใจจนกระทั่งมันมาขอผมจูบวันที่มันเมา ส่วนตัวผมเองช่วงนี้ก็ยังไม่มีคนคุยเป็นธรรมดาที่เหงาและผมยอมรับเลยว่าผมเองก็หวั่นไหว แต่ถ้าคิดถึงเรื่องอนาคตในระยะยาวถ้าผมกับมันขยับสถานะมาเป็นมากกว่าพี่ชายน้องชาย สุดท้ายมันเข้ากันไม่ได้ทุกอย่างก็จะจบ ถ้าจบกันไม่ดีผมก็จะเสียมันไปตลอดชีวิต



“พี่รู้ แต่พี่แค่ไม่อยากให้ทั้งมันและพี่มารู้สึกแบบนี้ บางทีเราสองคนอาจจะแค่เหงา แล้วเป็นจังหวะที่เหมาะพอดี อีกอย่างพี่ก็ไม่รู้ว่ามันจะรู้ตัวไหมตอนที่จูบกัน บางทีพอมันเข้ามหาลัยแล้วเจอคนที่ใช่ความรู้สึกที่มันรู้สึกกับพี่ก็อาจจะเปลี่ยนไป” “โห่นี่ตามีพี่ชายเป็นพระเอกหรอเนี่ย ทีจับผู้ร้ายพี่กูนยังไม่เห็นคิดมากขนาดนี้เลย”



“ก็คิดมาก แต่มันคนละแบบไง” เหมือนวันนี้ผมจะไม่ได้สาระอะไรจากตาเลยนอกจากมาให้แซว เอาเถอะต่อไปนี้ผมจะปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต





Sati’ s talk



ปวดหัวฉิบหาย! ผ่านมาก็หลายวันแต่ผมยังไม่หลุดออกจากอาการแฮงค์นี่เลย ก็พอจะรู้ตัวว่ากินเข้าไปเยอะจนแอลกอฮอล์มันอยู่ในกระแสเลือด และผมเองก็จำไม่ได้ด้วยว่าวาปไปตั้งแต่ตอนไหน



“กลับไงมึง” ผมหันไปมองไอ้มีนที่เดินตามออกมาหลังจากจบกิจกรรมเข้าห้องเชียร์เหมือนอย่างทุกวัน



“รถเมล์เหมือนเดิม”



“วันนี้เบียร์วุ้นไหม”



“กูขอบาย นี่ยังปวดหัวอยู่เลย คงอีกนานอะเพื่อน”



“เออๆ งั้นเจอกัน” ผมแยกกับไอ้มีนออกมารอรถที่หน้ามหาลัย ส่วนไอ้ช้างใหญ่กับไอ้เกรทวันนี้มันมีไปคัดเข้าชมรมดนตรีหลังจากออกจากห้องเชียร์ ส่วนผมกับไอ้มีนคือบุคคลที่ไม่มีชมรมที่อยากจะเข้าหรือสนใจเป็นพิเศษ แต่ถ้าต้องเข้าก็คงจะเข้าชมรมที่ไม่ต้องทำอะไรมาก



ผมก้มมองโทรศัพท์ในมือที่ตอนนี้มีข้อความของพี่กูนส่งมาบอกว่าวันนี้จะนอนที่บ้านใหญ่เป็นเพื่อนพี่ตาเพราะพ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน



เอาจริงๆ ตั้งแต่คืนที่ผมเมาพี่กูนก็ดูแปลกไป สิ่งที่แปลกก็คือการที่พี่กูนหลบหน้าหลบตาผม เวลาคุยกันพี่กูนก็จะเสมองไปทางอื่นและพยายามที่จะจบบทสนทนากับผมให้เร็วที่สุด ท่าทางของพี่กูนโคตรจะมีพิรุธเลย



แต่ไหนๆ พี่กูนก็ไปนอนบ้านใหญ่ผมว่าวันนี้ผมนอนกับไอ้มีนดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงโทรศัพท์ไปหาพี่กูน



“พี่กูนพี่”



(วะว่าไง)



“พี่เป็นอะไรทำไมติดอ่างวะพี่” ผมก็อยากที่จะถามพี่กูนอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีโอกาสสักที แต่ครั้งนี้มีโอกาสผมเลยชิงถามไปก่อนที่พี่กูนจะตัดสาย



(เรื่องของกูหน่า แล้วโทรมามีอะไร) พอตอบผมไม่ได้พี่กูนก็เก๊กเสียงหงุดหงิดใส่ผม



“คืนนี้ผมนอนกับไอ้มีนนะ เพื่อนผมอะ”



(แล้วไปนอนทำไม? มีอะไร?) เท่านั้นแหละครับเหมือนผมได้พี่กูนคนเดิมกลับคืนมา



“ก็พี่ไม่มานอนที่บ้านผมก็เหงาอะดิ”



(......)



“ว่าแต่ผมไปนอนกับไอ้มีนได้หรือเปล่าครับ” เมื่อเห็นว่าพี่กูนเอาแต่เงียบผมเลยขออนุญาตอีกรอบ



(มานอนที่บ้านใหญ่ด้วยกัน)



“อ่าว...ไหนพี่บอกว่า”



(ตามนั้น แค่นี้แหละ) พี่กูนตัดสายไปทันทีโดยที่ผมยังพูดไม่ทันเสร็จ แต่เอาเถอะไปนอนที่บ้านใหญ่ก็ดีกว่านอนคนเดียวในบ้านเงียบๆ



ผมไม่ได้กลัวผีหรอกครับ แต่ผมกลัวเหงามากกว่า





ก่อนจะกลับบ้านผมคิดได้ว่าก่อนหน้านั้นผมเคยได้ยินไอ้มีนมันคุยเรื่องครีมทาหน้าสำหรับผู้ชายที่ช่วยลดรอยสิว ผมเลยแวะซื้อที่ซูเปอร์มาเก็ตระหว่างทางกลับบ้านก่อนจะแวะซื้อพวกอาหารเข้าไปด้วย เผื่อพี่กูนยังไม่ได้กินอะไร ผมใช้เวลาไม่นานในการเดินทางกลับบ้าน



ระหว่างเดินเข้าซอยบ้านผมคิดเพลินๆ เกี่ยวกับสิ่งที่พี่กูนเป็นอยู่ตอนนี้ ผมรู้ว่าสับสนแต่มันก็มีวิธีอื่นมากกว่าการหลบหน้ารึเปล่าว่ะ เป็นตำรวจเจออะไรน่ากลัวกว่านี้เยอะกับไอ้แค่ความรู้สึกจะคิดมากทำไม



“แม่ง.....ตุบ!!!”



“.....!!”



ของที่ผมซื้อกลับมาล่วงลงพื้นทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นมาเจอใครบางคน ใครบางคนที่ผมตามหา ผมไม่คิดว่าอยู่ๆ จะมายืนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้



“พะ....พี่ทิม พี่ทิมเหรอวะ?!!”



“พี่เอง”



“พี่ทิม!!!!” ผมพยายามรวบรวมสติกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า พี่ทิม..พี่ชายของผมยืนอยู่ตรงนี้หลังจากที่ไม่เจอกันมานาน ผมมีเรื่องมากมายอยากที่จะเล่าให้พี่ทิมฟังในช่วงที่พี่ทิมไม่อยู่ ผมอยากบอกคิดถึง ผมอยากที่จะทำทุกอย่างแต่ตอนนี้สิ่งที่ผมทำได้คนเดียวคือ...



หมับ!



“พี่ทิมพี่ พี่หายไปไหนมา ผมคิดถึงพี่” ผมพุ่งตัวเข้าไปกอดพี่กอดอย่างเต็มแรงโดยไม่สนสายตาใครที่ผ่านไปผ่านมา โดยเฉพาะมือของพี่ทิมที่ยกขึ้นมาลูบศีรษะของผมเบาๆ เหมือนอย่างเคย



“โตขึ้นเยอะแล้วนะเรา”



“พี่ทิม พี่สบายดีไหม”



“สบายดีไม่ต้องห่วง” พี่ทิมก็ยังเป็นพี่ทิมคนเดิมของผม พี่ทิมที่มีแต่รอยยิ้มให้ผมเสมอ “ติตอนนี้พี่พร้อมแล้ว..เราไปอยู่กับพี่นะ”



“เอ่อ...”



“ว่าไง พี่มารับเราไปอยู่แล้ว ต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวอด ตอนนี้พี่มีทุกอย่าง” ผมมองหน้าพี่ทิมด้วยความลังเล ก่อนหน้านี้ถ้าพี่ทิมบอกให้ผมไปอยู่ด้วยผมคงจะดีใจ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว



“คือผมไม่ได้อยู่วัดแล้วพี่”



“พี่รู้ แต่ไปอยู่กับเขามันจะดีเหรอติ มันจะรบกวนเขารึเปล่า” อยู่ๆ คำพูดของพี่กูนที่เคยพูดกับผมย้อนกลับเข้ามาในความคิด พี่กูนบอกและย้ำกับผมเสมอว่าผมไม่เคยรบกวนและไม่ใช่ภาระของเขา แต่เวลานี้ผมตัดสินใจไม่ได้จริงๆ



“พี่ทิมพี่ ผมลำบากใจว่ะ แต่ตอนนี้ผมโคตรดีใจที่เจอพี่เลย ผม..ผมขอกอดพี่อีกที” ผมกอดพี่ทิมอีกครั้ง นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้เจอกัน นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้กอดพี่ทิม



“ถ้าติพูดแบบนี้พี่ก็เข้าใจ พี่ทิ้งเราไปตั้งนาน ตอนนี้เราคง..”



“ไม่พี่ อย่าพูดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะผมทั้งหมด ผมทำให้พี่ต้องเป็นแบบนั้น แล้วที่ผมลำบากใจก็เพราะว่าเขาคนนั้นก็ดีกับผมไม่ต่างจากพี่เลย”



“มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวนะ แต่พี่ให้ติได้ทั้งชีวิตของพี่”



‘กูจะปล่อยให้มึงติดคุก กูจะปล่อยให้มึงคิดเอง กูจะไม่ช่วยถ้ามึงทำผิด กูว่ามึงโตพอที่จะคิดและแยกแยะได้ ถ้ามึงจะอ้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้มึงเป็นแบบนั้น กูจะด่ามึงซ้ำว่ามึงคิดได้แค่นี้จริงๆ เหรอ มึงลองคิดดูว่าสิ่งที่ทำให้พี่มึงเป็นแบบนี้เพราะใคร และกูก็เป็นพวกถ้ามึงล้มกูก็จะเหยียบซ้ำ กูจะไม่กอด กูจะไม่ปลอบมึง วิธีของกูมันคงต่างจากพี่ชายที่แสนดีของมึง’



ผมจำได้ดีว่าผมเคยเปิดอกกับพี่กูนเรื่องนี้แต่สิ่งที่ผมได้กลับมามันไม่ใช่คำตอบที่ว่าพี่เขาจะให้ผมทั้งชีวิตของเขา ซึ่งนั่นมันต่างกับพี่ทิมอย่างสิ้นเชิง



ผมเริ่มสับสนว่า พี่ชายที่แสนดีนั้นจะต้องเป็นอย่างไร



“ผมดีใจที่ได้เจอพี่ ผมดีใจที่สุดเลยเว้ยพี่ทิม แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจเองไม่ได้” ผมเลือกที่จะบอกพี่ทิมไปตรงๆ “ตอนนี้ผมมีผู้ปกครองแล้ว ผมไม่ได้อยู่กับหลวงตาเหมือนอย่างเคย ถ้าผมจะทำอะไรผมก็คงต้องขออนุญาตผู้ปกครองของผมก่อน พี่ทิมผมขอโทษที่ตัดสินใจเลยไม่ได้ แต่ผมอยากให้พี่รู้ว่าไม่มีวันไหนที่ผมไม่คิดถึง พี่เป็นพี่ชายเพียงคนเดียวของผมที่ผมมี” แต่สำหรับพี่กูน ผมไม่แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ ผมรู้สึกกับเขาเปลี่ยนไป ไม่ใช่พี่ชายคนเดิมของผมแต่ความรู้สึกมันลึกซึ้งมากกว่านั้น



“ติเปลี่ยนไป” แม้สายตาของพี่ทิมจะแสดงออกว่าผิดหวังแต่พี่ทิมยังคงยิ้มให้ผมอยู่ “ถ้าเป็นติคนเดิมคงตอบพี่มาตั้งแต่แรกแล้ว”



“ผมเหมือนเดิมพี่ทิม ผมยังเป็นน้องของพี่เหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้....ผม”



“ไอ้ติเข้าบ้าน” อยู่ๆ เสียงของพี่กูนก็ดังขึ้นมาทำให้พี่ทิมหันไปมองตามเสียงก่อนจะเห็นว่าเป็นพี่กูนที่เดินเข้ามาทางที่ผมยืนอยู่กับพี่ทิม



“คือ..พี่กูนพี่”



“กูบอกให้มึงเข้าบ้าน”



“พี่ทิม ผม ผมดีใจที่เจอพี่นะ ผมโคตรดีใจเลยพี่” ความรู้สึกดีใจไม่สุดตอนนี้ของผมมันทำให้พี่ทิมผิดหวัง พี่ทิมมองผมด้วยสายตาเศร้าๆ ซึ่งผมไม่อยากให้พี่ทิมมองผมด้วยสายตาแบบนี้เลย



“ติ...” ผมมองหน้าพี่ทิมสลับกับพี่กูน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่โคตรลำบากสำหรับผม ผมไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เองเลย



แม้มันจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ผมสัญญากับพี่กูนเอาไว้ว่าผมจะไม่ทิ้งพี่กูนไปไหน แต่นั่นมันคือฐานะน้องชาย แต่สำหรับตอนนี้ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าอยู่กับพี่กูนด้วยอารมณ์แบบนี้ ผมคงอึดอัดและลำบากใจ แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะต้องไป



“พี่ทิมผมขอโทษจริงพี่ ผมขอโทษ ผมขอโทษ....” สิ่งที่ผมพูดกับพี่ทิมได้คือคำว่าขอโทษ “ผมขอโทษ.. ขอโทษจริงๆ ผมควรทำอย่างไง”



หมับ!



“กูบอกให้เข้าบ้าน” พี่กูนเดินเข้ามาคว้าแขนของผมก่อนจะออกแรงดึงให้เดินตาม แต่มืออีกข้างหนึ่งของผมถูกพี่ทิมจับเอาไว้เช่นกัน



“.......”



“ปล่อย” พี่กูนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน “ถ้ายังรักน้องของคุณอยู่ก็ปล่อยให้น้องมันได้มีชีวิตใหม่ ส่วนไอ้ติมึงเข้าบ้านไปก่อน”



“พี่ผม..” ผมมองมือที่พี่ทิมจับเอาไว้อยู่ค่อยๆ ปล่อยลง ผมหันไปมองพี่ทิมอีกครั้งก่อนจะโค้งศีรษะให้และย้ำคำว่าขอโทษซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของผมแล้วก็ไม่รู้



ผมจำเป็นต้องเดินเข้าไปในบ้านตามที่พี่กูนบอก ผมอาจจะเป็นคนที่แย่ในสายตาของทุกคน แต่ผม ผม ผมสับสนผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรทำอย่างไรดี



“สวัสดีครับพี่ตา” หลังจากที่พ้นเข้ามาในรั้วบ้านผมยกมือไหว้พี่ตาที่ยืนมองอยู่



“ติโอเคไหม?” พี่ตาถามผมแบบนี้แสดงว่าพี่ตารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเลี่ยงที่จะตอบเพียงแค่ยิ้มให้กับพี่ตาแทนคำตอบก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าไปที่บ้านของพี่กูนและไม่ได้ตรงเข้าที่บ้านหลังใหญ่อย่างที่พี่กูนบอก



ผมกลับมามองกระดาษที่พี่ทิมยัดใส่มือของผมในช่วงที่จับเอาไว้ นั่นเป็นที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของพี่ทิม อย่างน้อยผมก็ยังสามารถติดต่อพี่ทิมได้ แต่มันยังไม่ใช่เวลานี้ผมสัญญาว่าจะติดต่อไปในช่วงที่ผมพร้อม ขอโทษจริงๆ ครับพี่ทิม ตอนนี้ผมไม่รู้จะทำอย่างไงจริงๆ



คืนนี้ผมคงต้องนอนที่นี่เพื่อหลีกหนีความว้าวุ่นและความสับสนใจหัวใจ การเลี่ยงที่จะเจอใครคือทางออกที่ดีที่สุด หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จผมขังตัวเองอยู่ในห้องก่อนที่ผมจะทนไม่ไหวต่อสายตาไอ้มีนที่เป็นเพื่อนคนเดียวที่น่าจะว่างอยู่ในตอนนี้ เพราะผมรอสายไม่นานมันก็รับทันที



“มึงว่างไหมวะ”



(ว่างๆ อยู่หอพอดี มึงมีอะไรเพื่อนติ)



“กูมีเรื่องจะปรึกษามึงหน่อยวะ ถ้ามึงมีพี่ชายสองคน มึงจะเลือกอยู่กับใครวะ ถ้ามึงรักพวกเขาทั้งคู่”



(พี่ชายเหรอวะ? ถ้าเป็นกู กูก็คงเลือกพี่ที่ตามใจกู ไม่บ่น เข้ากับกูได้ อยู่แล้วกูสบายใจ ไม่ใช่บ่นเหมือนพ่อมั้ง) ถ้าเป็นตามสิ่งที่ไอ้มีนมันพูด ลักษณะพี่ชายที่มันไม่เลือกจะอยู่ด้วยคือพี่ชายอย่างพี่กูน



“แต่ถ้าพี่ชายคนนั้นบ่นเพราะหวังดีและเป็นห่วง มึงจะไม่อยู่กับเขาเหรวะ”



(อื้ม...สองคนมันต่างกันสุดขั้วเลยเหรอวะไอ้ติ)



“แต่มีคนหนึ่งที่กูคิดกับเขาเกินพี่ชายว่ะ....”



(อย่าบอกนะว่ามึง...)



“กูรักเขาแต่ไม่ใช่ฐานะพี่ชายว่ะมึง ไอ้มีนกูทำไงดีวะ”



(เหี้ยมาก มึงเอาเรื่องเครียดๆ มาถามคนอย่างกูเนี่ยนะไอ้ติ ไอ้ฉิบหายเอาไงดีล่ะทีนี้) และผมก็คุยกับไอ้มีนอยู่เกือบๆ ชั่วโมง ซึ่งผมก็ไม่ได้คำตอบเพราะมันบอกว่าคำตอบที่ดีที่สุดคือคำตอบของผมเอง แต่บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นแนวตัดพ้อของผมเองซะมากกว่า



“ขอบใจมากมึง”



(ถ้าให้กูเดานะ พี่ที่มึงรู้สึกแบบนั้นด้วยคือพี่ที่มารับมึงคราวนั้นใช่ไหมวะ)



“มึงรู้ได้ไง”



(กูเก่ง กูจะบอกอะไรให้นะไอ้ติ กูว่ามึงไม่น่าจะคิดเองอยู่ฝ่ายเดียวเพราะพี่มึงอาจจะคิดเหมือนกัน....)



ก็อกๆ



“แค่นี้ก่อนนะมึง” ผมรีบตัดสายจากไอ้มีนทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง “พี่กูนเหรอพี่”



“อืม” ผมเดินไปเปิดประตูห้องให้พี่กูนเข้ามาด้านใน “ไหนบอกว่าไม่อยากนอนคนเดียว?”



“คืนนี้ผมอาจจะนอนคนเดียวน่าจะดีกว่านะพี่” ผมเดินตามหลังพี่กูนเข้ามาในห้องของตัวเอง พี่กูนทิ้งตัวนั่งลงที่ขอบเตียงของผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมนิ่งๆ อยู่แบบนั้น



“ทำไม”



“ไม่มีเหตุผลเหมือนกัน” เกิดความเงียบระหว่างผมกับพี่กูนอยู่ชั่วขณะ แต่สายตาของเราทั้งคู่ไม่ได้ห่างกันไปไหน แต่มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อผมเป็นฝ่ายขยับเข้าไปหาพี่กูนอย่างช้าๆ



“แต่ผมมีคำถาม”



“.....” ก่อนที่หน้าของเราทั้งสองคนจะแนบชิดไปมากกว่านี้ “และกูก็มีคำตอบให้มึงเหมือนกัน..”



“พี่อยากให้ผมไปไหม?”



“ถึงกูจะไม่ได้ให้ทุกอย่างแต่กูอยากให้มึงรู้ว่ากูจะไม่มีวันทิ้งมึง” สิ้นสุดเสียง พี่กูนเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะเป็นฝ่ายประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของผมเบาๆ ถึงแม้ว่าคำตอบของพี่กูนจะไม่ตรงกับสิ่งที่ผมถาม แต่ผมเองก็ได้คำตอบว่าผมจะเอาอย่างไรต่อไป



ผมเอียงใบหน้าเล็กน้อยเพื่อให้พี่กูนได้ขยับเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้นและลึกซึ้งมากกว่าเดิมมันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ แต่ถ้าถามว่าผมชอบไหมผมโคตรชอบเลย โดยเฉพาะช่วงพี่ที่กูนใช้สองมือของเขาประคองใบหน้าของผมเบาๆ เพื่อกระชับให้ผมเข้ามาอยู่แนบชิดมากยิ่งขึ้น



“เป็นคำตอบที่มึงอยากได้ไหม?”



“พี่กูน...”



“อยู่กับกูนะไอ้ติ”



“ครับ” และผมก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย ผมต้องการเพียงแค่คำว่า ‘อยู่กับกูนะ...’ แค่นี้ผมก็ไปไหนไม่รอดแล้วแหละครับ “พี่ไม่กลับไปนอนกับพี่ตาเหรอพี่”



“กูจะไปได้ไงในเมื่อมึงหนีกูมาแบบนี้”



“ผมไม่ได้หนีพี่ ผมแค่สับสนกับตัวเอง”



“ถ้าไม่สบายใจบอกกูได้นะ”



“ผมโคตรดีใจเลยพี่ที่เจอพี่ทิม เหมือนวันที่ผมรอมานานมันเกิดขึ้นแล้ว แต่ทำไมก็ไม่รู้ว่ะพี่ ผมลำบากใจที่อยู่ๆ พี่ทิมก็กลับมา มันอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก พี่พอจะเข้าใจผมไหม” ผมรู้ว่าคำพูดของผมตอนนี้โคตรเห็นแก่ตัว ผมเลือกที่จะมีความสุขกับปัจจุบันแทนที่จะกลับไปหาคนที่อยู่ในอดีตอย่างพี่ทิม “ผมเสียใจที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมรู้สึกผิดที่ทำให้พี่ทิมผิดหวังกับการกลับมาเจอกันอีกครั้ง”



“พี่มึงคงจะเข้าใจ”



“ผม...ผม ผม ผมไม่รู้ว่ะพี่”



“ตอนนี้มึงนอนก่อนเถอะไอ้ติ พักผ่อนอย่างพึ่งคิดอะไร”



“แล้วพี่ไม่กลับไปเหรอ”



“กูจะอยู่จนกว่ามึงจะหลับ”



“พี่กูน...ถ้าพี่ใจดีแบบนี้กับผมเรื่อย ๆ ผมจะลำบากนะพี่”



“นั่นแหละ กูอยากให้มึงลำบากใจ ลำบากใจจนทิ้งกูไปไหนไม่ได้ นอนเถอะ” พี่กูนดันตัวผมให้นอนลงบนเตียง ส่วนพี่กูนนั่งอยู่ข้างๆ ผมพร้อมกับมือที่ลูบศีรษะผมของผมเบาๆ



“นอนไม่หลับเหรอ?”



“ไม่อะพี่ ยิ่งหลับตาก็ยิ่งคิด”



“สงสัยคืนนี้กูคงต้องนอนที่นี้ เพราะดูเหมือนมึงจะนอนไม่หลับ”



“ลองดูก็ได้พี่ เผื่อผมจะนอนหลับ ถ้ามีพี่อยู่ข้างๆ ผม” ใครจะว่าไอ้ติอ่อยก็ไม่สนใจแล้วครับ นาน ๆ ทีพี่กูนจะมีมุมแบบนี้ ผมก็ขอตักตวงเอาไว้ก่อน



เป็นคืนแรกที่ผมนอนโดยที่มีมือของพี่กูนกุมอยู่ที่มือของผม ไม่รู้ว่าผมหลับไปตอนไหน แต่ที่แน่ๆ ผมตื่นขึ้นมาโดยที่ยังมีพี่กูนนอนอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน



ขอบคุณที่อยู่กับผมในช่วงที่ผมสับสน ถึงสาเหตุหลักๆ จะมาจากตัวของพี่กูนเองก็ตาม...
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 21 4.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 05-05-2020 02:33:47
อยู่จ้ะอยู่ ไม่ไปไหนแล้ว
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 22 6.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 06-05-2020 18:54:57
บทที่ 22
ดีขึ้นอีกดีขึ้นอีก

              จากประสบการณ์ที่ผมอยู่กับพี่กูนมา สัญญาณแบบนี้มันบ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของผมกับพี่กูนกำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ถึงแม้จะไม่มีคำพูดยืนยันแต่การกระทำของเราสองคนก็ยังคงเหมือนเดิม แต่อาจจะมีผมที่เพิ่มมากขึ้น

              “พี่กูนเย็นนี้ผมอาจจะกลับดึกนะพี่ มีเลี้ยงสาย”

              “โทรบอกเดี๋ยวมารับ”

              “ผมกลับเองได้พี่ แค่นี้จิ๊บจ้อย”

              “จิ๊บจ้อยหน้ามึงดิ คราวที่แล้วก็เมาไม่รู้เรื่อง...” แต่ทำไมคำว่าเมาไม่รู้เรื่องถึงทำเอาพี่กูนหน้าแดงทำตัวไม่ถูกแบบนี้ หรือว่าระหว่างที่ผมเมาผมลวนลามพี่กุนวะ? อย่างนี้ผมต้องรับผิดชอบรึเปล่าเนี่ย

              “ผมข่มขืนพี่เหรอ? ให้ผมรับผิดชอบพี่ไหม?”

              “เดี๋ยวกูเตะคว่ำเลยไอ้ติ” ผมเบะปากมองบนก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าสะพายด้านเบาะหลังรถ

              “ไปเรียนแล้วนะพี่ จะตั้งใจเรียนสุดๆไปเลย ไม่ทำให้พี่ผิดหวัง”

              “ปากดีนะมึง”

              “นุ่มด้วยแหละพี่ อย่าพึ่งด่าผมไปแล้ว” ผมรีบเปิดประตูลงรถก่อนที่พี่กูนจะอ้าปากด่าผมอีกรอบ หลังจากวันนั้นผมได้ความกล้าและหน้าด้านที่จะหยอดพี่กูนทุกวัน ถ้าทำไปเรื่อยๆสักวันพี่กูนก็จะเปิดใจรับความรู้สึกของผมมากกว่านี้แน่ๆ และวันนั้นไอ้ติคนนี้ก็จะได้เป็นคุณนายตำรวจ

 
              “ยิ้มหน้าบานเลยนะมึง” หลังจากที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียน ไอ้มีนที่มาถึงก่อนแล้วส่งเสียงทักทันที

              “ตีนก็บาน อยากดูไหมล่ะมึง” ผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆไอ้มีน “วันนี้สายมึงเลี้ยงไหม”

              “เลี้ยงดิ หลังเชียร์ เตรียมท้องไว้แล้วกู” ไม่พูดเปล่าไอ้มีนยังทำท่าลูบท้องของมันไปด้วย ผมส่ายหัวให้กับท่าทางของมันก่อนจะหันมานั่งเล่นระหว่างรอคนอื่นๆมา จนกระทั่ง...

              “กูแยกเลยนะ”

              “เจอกันเพื่อน”

              “บาย” หลังจากที่จบกิจกรรมในห้องเชียร์ทั้งหมดต่างพากันไปอยู่รวมกับสายซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน จะว่าโชคดีหรือไม่ผมก็ไม่แน่ใจเพราะพี่รหัสของผมก็จบมาจากที่เดียวกัน... เลือดเด็กช่างมันแรง

              “โคตรบังเอิญเลยไอ้ติ”

              “บังเอิญมากพี่” พี่เดียว พี่รหัสของผมเดินมาตบไหล่แรงๆ “ไม่คิดว่าจะเจอกันอีก”

              “กูก็ไม่คิดว่าจะเจอมึงเหมือนกันครับ” พี่เดียวเดินกอดคอผมออกจากห้องเชียร์เหมือนอย่างพี่รหัสน้องรหัสคนอื่นๆ แต่ต่างตรงที่ผมอยู่กับพี่เดียวสองคน ส่วนปู่รหัสลุงรหัสไม่มี...

              “เออพี่ ทำไมเราไม่มีปู่หือลุงรหัสเลย”

              “ซิ่ว..เหลือกูที่ยังล่อแล่อยู่ว่าจะเอาไง ไปต่อหรือพอแค่นี้”

              “โห่พี่ อยู่กับผมก่อนดิ” ได้พี่รหัสเป็นพี่เดียวก็ดีจะได้ไม่เกร็ง พูดง่ายๆว่าผมจะได้ไม่ต้องสุภาพมาก “จะรีบซิ่วไปไหน”
 
              “เดี๋ยวมึงเรียนก็รู้”

              “แค่ยังไม่เรียนเท่าไหร่ก็เริ่มรู้แล้วเนี่ย” เพราะการเรียนมันต่างจากตอนที่ผมเรียนเทคนิคอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการเพิ่มทฤษฎีเข้ามาอย่างเข้มข้นขึ้น

              “กินเบาๆก่อนเนอะ ค่อยไปน้ำเมา”

              “จัดไปพี่” ถ้าเป็นสายรหัสคนอื่นคงจะพากันไปจบที่ร้านชาบูหมูกระทะแต่สำหรับสายพี่เดียว จบที่ร้านอะไรง่ายๆอย่างก๋วยเตี๋ยวชามละสี่สิบบาท โดยที่พี่แกให้เหตุผลว่า

              “เอาเงินไว้กินเหล้าดีกว่าไอ้น้อง” ผมก็เลยเออออตามพี่เดียวไป จะว่าไปไอ้พี่เดียวนี่ก็ดูดีขึ้นกว่าตอนที่เรียนเทคนิคอีกนะ โดยเฉพาะหูที่กลับมาเหมือนคนปกติ เพราะตอนนั้นผมจำได้ว่าในเทคนิคไม่มีใครระเบิดหูใหญ่เท่าพี่เดียวอีกแล้ว ส่วนทรงผมก็ดีขึ้นกว่าผมยาวเมื่อก่อน หน้าตาสะอาดสะอ้านขึ้นเป็นกอง ผมหวังว่าในอนาคตผมจะพัฒนาได้อย่างพี่เดียวในตอนนี้

              “กูหล่อขนาดนั้นเลย?”

              “เปล่าพี่ๆ แค่คิดว่าพี่เปลี่ยนไปจริงๆ อยากจะเอารูปมาเทียบชัดๆเลย”

              “คนเราก็ต้องพัฒนาขึ้นดิวะ โดยเฉพาะช่วงมีฟามรัก”

              “พี่มีแฟนแล้วเหรอพี่เดียว”       

             “เออ หล่อๆแบบกูก็ต้องมีแล้วเป็นธรรมดา ให้กูหาให้ไหมล่ะเพื่อนๆแฟนก็ก็แจ่มๆทั้งนั้น”

              “เกรงใจพี่”

              “เดี๋ยวแฟนกูมาด้วย มึงสั่งเลย อยากแดกไรสั่ง” ด้วยความที่สนิทชิดเชื้อมาบ้างแล้วผมจึงไม่เกรงใจอะไรพี่เดียวมันมาก ส่วนมากที่ผมสั่งก็คือ....

              “หิวจัดเลยดิมึง? ไอ้เวร มาร้านเหล้าเสือกสั่งกับมาเต็มโต๊ะ” พี่เดียวมองอาหารที่ถยอยมาเสิร์ฟ เอาจริงๆผมยังเข็ดกับไอ้อาการแฮงค์คราวที่แล้วอยู่เลย เลยไม่กล้าห้าวสั่งมาเยอะ

              “ผมเน้นอิ่มพี่”

              “แดกไม่หมดกูยาหัวมึงแน่” พี่เดียวกระดกแก้วขึ้นดื่มพร้อมกับด่าผมไปด้วย ผมกับพี่เดียวเราสองคนนั่งคุยกันอย่างถูกคอ ก่อนที่จะมาจบที่เรื่องของผม “ได้ข่าวว่ามีเรื่องกับไอ้เต๋า หนักเลยดิเห็นคนพูดๆกัน”

              “พอตัวอยู่พี่”

              “เบาๆบ้างมีเรื่องอะมึง ไม่คุ้ม”

              “พี่กล้าสอนผมเนี่ยนะพี่เดียว” เพราะวีรกรรมพี่เดียวมันไม่ต่างจากผมเลย ออกไปทางโหดกว่าด้วยซ้ำถึงขนาดพกมีดพกปืนไว้ในกระเป๋าทุกวัน

              “กูเลิกแล้ว”

              “ถามจริง”

              “เออ มีแฟนแล้วก็ต้องเบาๆเรื่องพวกนี้ อีกอย่างในมหาลัยมันไม่เหมือนที่เราเคยอยู่ไอ้ติ”

              “ก็จริงพี่” ถ้าเทียบความห้าวก็ยังไม่เท่ากับที่เทคนิคที่ผมเคยเรียนเลย “เอ้า ผมชงให้” เมื่อเห็นแก้วพี่เดียวว่างผมเลยอาสาชงให้พี่มัน

              “เมื่อไหร่แฟนกูจะมาวะ” เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก พี่เดียวก็เริ่มบ่นถึงแฟนที่บอกจะมากินด้วย แต่นี่ก็สี่ทุ่มกว่าแล้วผมยังไม่เห็นมีใครมาเลย

              “โทรดิพี่”

              “รอกูแปบ” ผมพยักหน้าและนั่งดื่มชิวๆฟังเพลงรอพี่เดียวที่ออกไปโทรหาแฟนข้างนอกเพราะข้างในค่อนข้างที่จะเสียงดัง เมื่อผมว่างผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะส่งข้อความหาพี่กูน

              Ti : พี่นอนยัง

              ผมรอไม่นานข้อความที่ส่งไปก็ขึ้นว่าอ่านก่อนที่พี่กูนจะกดตอบกลับมา ซึ่งนั่นสามารถเรียกรอยยิ้มให้ผมได้

              Kun : รอหมากลับบ้านก่อนค่อยนอน

              Ti : คิดถึงผมอะดิพี่

              Kun : กูเริ่มง่วงล่ะ

              ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมเมื่อเห็นว่าพี่เดียวเดินกลับเข้ามา ทำให้ผมไม่ได้เปิดอ่านข้อความที่พี่กูนส่งมาล่าสุด

              Kun : อย่ามีเรื่องนะมึง ถ้ามีกูเอามึงตายแน่

              “เห้ย!พี่เป็นไรวะ!” เมื่อพี่เดียวมาถึงโต๊ะก็กระดกเหล้าเอาอย่างเดียวก่อนจะลามมาที่ดึงแก้วของผมขึ้นไปกระดกด้วย

              “ทะเลาะกันแฟนว่ะ งี่เง่า!”

              “ใจเย็นๆพี่” ด้วยความที่ผมทำตัวไม่ถูกว่าจะทำอย่างไงกับสถานการณ์ตรงหน้า ผมเลยรินเหล้าให้พี่เดียวอยู่อย่างนั้น “เล่าให้ผมฟังได้นะ”         

              “มันแม่งเหมือนมีกิ๊กเลยว่ะ เหมือนกันปิดบังกู”

              “พี่คิดมากรึเปล่า”

              “กูมั่นใจมาสักพักล่ะ ไอ้ติไปเป็นเพื่อนกูหน่อย วันนี้เอาให้รู้ไปกันเลย” ผมรีบคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองและวิ่งตามพี่เดียวออกไปโดยไม่รู้จุดหมาย รู้ตัวอีกทีผมก็กระโดดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ของพี่มันแล้ว

              “ให้ผมขับให้ไหมพี่ พี่ไหวเหรอ”         

            “ไหว! ใจกูไหว” ฉิบหายแล้วไหมไอ้ติ ใจไหวแต่ถ้าร่างกายไม่ไหวอิพี่มึงควรพักก่อนไหมวะ กว่าจะถึงมีหวังได้ตายกันก่อนเพราะอุบัติเหตุพอดี

              “พี่...”

              “กูไหว ไอ้ติ!” ผมนั่งเกร็งตลอดทั้งทาง อะไรที่ผมสามารถจับได้ผมก็จับเอาไว้ก่อน จนกระทั่งเหตุการณ์ที่ผมไม่ได้คาดฝันก็เกิดขึ้น...

              “ฉิบหายแล้วพี่มึง!”

              “ไหวกูไหว”     

            “..ผมว่าผมไม่ไหว...” อยากจะกระโดดลงตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

              “จอดครับจอด” ผมถูกตำรวจที่ตั้งด่านอยู่โบกเข้าไปจอดข้างทาง ซึ่งไอ้พี่เดียวก็ว่าง่ายขับไปจอดจริงๆพร้อมกับให้ความร่วมมือกับคุณตำรวจเต็มที่

              “สภาพนี้จับเป่าเลยจ่า” เชี้ย!! ไอ้พี่เดียวไม่รอดแน่ๆถ้าเป่า

              ระหว่างนั้นเองผมก็คิดถึงใบหน้าของพี่กูนขึ้นมา ถ้าพี่เดียวถูกจับผมก็ต้องโดนไปด้วยเพราะผมเองก็มากับพี่เดียวแม้จะไม่ได้ขับก็ตาม

              “ไอ้น้องเป่า” ตอนนี้ผมยืนลุ้นจนเยี่ยวเหนียวเมื่อคุณตำรวจเอาที่วัดแอลกอฮอล์มาให้พี่เดียวมันเป่า แต่ด้วยความทะลึ่งและกวนตีนแทนที่จะเป่าไอ้พี่เดียวกับอม..

              “ไอ้น้องเป่าไม่ใช่อม สภาพนี้พาไปโรงพักเลยจ่า” เสียงสั่งการของตำรวจอีกนายบอกทำให้ไอ้พี่เดียวถูกรวบตัวไป ส่วนผมตอนนี้ก็ได้แต่ยืนเอ๋ออยู่ที่ด่าน

              “แล้วผมล่ะครับ...”         

           “โทรให้ผู้ปกครองมารับ”

              “ผมกลับเองได้นะครับ”         

           “หรือจะให้ผมโทร” ผมจำใจต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและต่อสายหาพี่กูนโดยเร็ว ผมรอไม่นานพี่กูนก็กดรับทันทีด้วยคำพูดที่ว่า

              (ไหนบอกดึก?)

              “คือ...คือพี่ มันเป็นแบบนี้” ผมมองหน้าคุณตำรวจที่ตอนนี้กำลังยืนกอดอกมองหน้าผมอยู่ “ผมมากับพี่รหัสแล้วตอนนี้พี่รหัสอยู่โรงพักส่วนผมอยู่ที่ด่าน”

              (เมา?)

              “ตอนนี้ผมไม่เมาเพราะยังไม่ได้ดื่มเต็มที่ แต่คุณตำรวจเขาให้ผู้ปกครองมารับผม...” ผมเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูเล็กน้อยเพราะเดาว่าพี่กูนจะต้องด่าอะไรผมแน่ๆ แต่ผิดคาด..

              (ส่งโลฯมา เดี๋ยวออกไปรับ)

              “พี่ไม่ว่าผมเหรอ”

              (แล้วมึงผิดไหมล่ะ)

              “ไม่แน่ใจว่าผิดไหม เรื่องข้อกฎหมายผมไม่แม่น”

              (รออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวกูไปรับ แค่นี้แหละ) พี่กูนตัดสายผมทิ้งทันที ทำให้ตอนนี้ผมยืนจ้องหน้าอยู่กับคุณตำรวจ จะบังเอิญไปไหมถ้าคุณตำรวจท่านนี้กับพี่กูนรู้จักกัน

              “ทะ...โทรแล้วครับ”             

          “ไปนั่งรอ จะยืนมองหน้าผมทำไม” ผมก็อยากถามนะว่าคุณตำรวจมองหน้าผมทำไมเหมือนกัน แต่เลี่ยงการมีเรื่องผมจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำ และรอพี่กูนระหว่างนั้นเองผมเห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนมากจะเป็นเคสของคนเมามากกว่า เรื่องร้ายแรงอื่นๆตั้งแต่ผมนั่งมาผมก็ยังไม่เห็น

              เกือบครึ่งชั่วโมงรถที่แสนจะคุ้นตาขับเทียบท่าด่านที่ผมอยู่ ก่อนที่พี่กูนจะเปิดกระจกรถพูดคุยกับจ่าที่ยืนคุมด่านอยู่ และจ่าชี้มือมาที่ผม

              “มาๆ ผู้ปกครองมารับ” ผมรีบวิ่งไปที่รถก่อนจะยกมือไหว้พี่กูนและจ่าที่อยู่ด่านเพื่อบอกลาพร้อมกับขึ้นรถทันทีโดยที่พี่กูนไม่ได้ลงจากรถ

              “พี่ผมขอโทษ”

              “กูว่าอะไรรึยัง”

              “ขอโทษก่อนไงพี่ แต่ผมอธิบายได้นะว่ามันเป็นอย่างไง ก็คือพี่รหัสผมอะชื่อพี่เดียวบังเอิญว่ามาจากเทคนิคเดียวกันพี่เลยพาผมมาเลี้ยงข้าวแล้วก็ไปดื่มนิดหน่อย แต่ทีนี้พี่เขาทะเลาะกับแฟนเลยขอให้ผมไปเป็นเพื่อน แต่บังเอิญว่าเจอด่านก่อนพี่เดียวเลยไปโรงพักแทน ส่วนผมคุณตำรวจให้อยู่ที่ด่านรอผู้ปกครองมารับครับ” พี่กูนไม่ได้ตอบอะไรได้แต่นั่งฟังในสิ่งที่ผมอธิบาย

              “แล้วไงต่อ”

              “ก็อย่างที่พี่เห็นตอนนี้แหละ ผมสาบานว่าไม่ได้เมาเลย”

              “เด็กน้อยเอ้ย” พี่กูนยื่นมือมาผลักศีรษะของผมเบาๆก่อนจะกลับมาสนใจขับรถต่อ ส่วนผมเองก็เคลิ้มๆจึงแอบพักสายตาไป...
 

Kun’s talk

              ผมมองไอ้เด็กติที่นอนหลับอยู่เบาะข้างๆผม นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่มีใครให้ต้องเป็นห่วง ครั้งล่าสุดก็น่าจะตอนตาเรียนจบ แต่ความรู้สึกที่ผมมีให้ตามันต่างจากที่ผมรู้สึกกับไอ้เด็กนี่ มันอธิบายไม่ถูกเพียงแต่ว่าผมอยากเห็นมันเติบโตโดยที่มันยังอยู่ข้างๆผมแบบนี้ไปตลอด อยากเห็นมันรับปริญญา อยากเห็นมันทำงาน อยากเห็นมันประสบความสำเร็จ แต่สิ่งนั้นต้องมีผมด้วย

              ผมอาจจะเห็นแก่ตัวที่ยังปิดความรู้สึกที่มันชัดเจนมาตั้งแต่ไหนแต่ไหร่ ยอมรับครับว่ากลัว กลัวว่าจะไม่มีมันเหมือนเดิม อีกอย่างอาชีพผมก็เสี่ยงเอามากๆถ้าวันหนึ่งผมต้องอยู่ห่างจากมันโดยที่ไม่มีวันกลับมาหา ผมบอกตามตรงว่าผมทำใจไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจได้ก็คือ การกลับมาของไอ้ทิม....

              วันนั้นวันที่ผมเจอมันอยู่หน้าบ้านพร้อมกับไอ้ติ สติผมแทบแตก ผมอยากจะเดินไปฉุดให้ติเข้าบ้านและสั่งห้ามไม่ให้มันเจอกันอีก แต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมเทียบกับไอ้ทิมไม่ได้เลยในสิ่งที่เคยผ่านมาด้วยกัน แต่สิ่งที่ผมมีเหนือกว่ามันคือความรู้สึกของติที่มีให้ผมที่มากกว่า แม้จะไม่ใช่ในฐานะพี่ชายก็ตาม หลังจากที่ไล่ให้ติเข้าไปในบ้านผมก็มีโอกาสที่ได้คุยกับไอ้ทิมตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม

              ‘กูขอไอ้ติ’ เป็นคำแรกที่ผมพูดกับมัน สีหน้าของไอ้ทิมดูไม่ยอมแต่มันเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะติมันเลือกที่จะเข้าไปในบ้านของผมแทนที่จะอยู่กับไอ้ทิมคนที่มันอยากเจอนักเจอหนาซึ่งอยู่ตรงหน้ามันในตอนนี้ แค่การกระทำนี้ของติก็ทำให้ไอ้ทิมหน้าชา

              ‘ง่ายไปไหม นั่นมันน้องกู’

              ‘ก็รู้ว่าไม่ง่าย แต่มึงอย่าลืมว่ามึงดูแลไอ้ติไม่ได้ ถ้ามึงดูแลได้ไอ้ติคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ สิ่งที่มึงเลี้ยงไอ้ติมามันผิด มึงตามใจมันแบบผิดๆจนมันเกือบจะเสียคน’ ในฐานะคนนอกผมรู้ดีว่าตอนนี้ผมกำลังเสียมารยาท แต่ถ้าการเสียมารยาทครั้งนี้มันทำให้ไอ้ทิมยอมและคิดตามผมก็โอเค

              ‘มึงจะไปรู้อะไร’

              ‘ร้ามากกว่ามึงที่อยู่กับมันมานาน กูจะพูดกับมึงดีๆเลยนะ ถ้าอยากให้ชีวิตของน้องมึงดีก็อย่ามายุ่งกันอีกเลย กูดูแลมันได้สบายๆและรับรองว่าน้องของมึงจะมีความสุข’

              ‘กูยอมรับว่าเมื่อก่อนกูอาจจะเลี้ยงติแบบผิดๆ แต่กูทนเห็นน้องกูหมดอนาคตไม่ได้’

              ‘ตอนนี้อนาคตของน้องมึงกำลังอยู่ในเส้นทางใหม่ ซึ่งมึงไม่มีทางให้ได้ ปล่อยไปเถอะ ให้กูได้ดูแลเหมือนที่กูดูแลอยู่ทุกวันนี้’

              ‘มันง่ายไปไหม? ถ้ามึงไม่ให้ อย่างไงกูก็จะหาทางเอาน้องกูกลับมาให้ได้’ ถึงน้ำเสียงของมันจะไม่ได้ดูโกรธเกรี้ยวอะไร แต่ผมเห็นแววตาไม่ยอมคนของมันที่มองมาที่นัยน์ตาของผม

              ‘ถ้าวันนั้นกูยังอยู่มึงก็อย่าหวัง’ ผมพูดกับไอ้ทิมแค่นั้นก่อนจะเดินตามติเข้าบ้านไป แต่ในหัวของผมมันคิดๆและวนเวียนอยู่ว่า ผมจะขย้ำมันให้เหมือนกันกระดาษที่มันเคยเขียนไว้ให้ติตอนที่ติอยู่โรงพยาบาล ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าผมเคยเจอมันมาก่อน ผมเคยเจอมันตอนที่มันมาเยี่ยมไอ้ติวันนั้น...

ติพี่ทิมนะ พี่ทิมกลับมาแล้ว หายไวๆนะแล้วพี่จะพาเราไปอยู่ด้วย
ทิม

           ผมเว้นระยะเวลาให้ติได้คิดและทบทวนเพราะถ้าผมไปหาตอนนี้น้องมันได้สับสนแน่ๆ จนกระทั่งผมเข้าไปหามันในช่วงดึกคืนนั้น ผมได้ยินมันคุยกับเพื่อนมันทุกอย่าง และนั่นอาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ผมเริ่มทำความเข้าใจใหม่กับหัวใจและความรู้สึกของตัวเอง

              ผมรู้สึกเหมือนมันทุกอย่าง เพียงแต่ผมเองที่ไม่กล้า ไม่กล้าที่จะสลัดคำว่าพี่ชายน้องชายทิ้ง ผมเลยเลือกที่จะใช้การกระทำของผมเป็นคำตอบให้มันได้รับรู้ และผมสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ชีวิตของผมจะมีมันคอยอยู่ข้างๆ และแน่นอนว่าผมเองก็จะคอยอยู่ข้างๆมันเหมือนกัน

              “อยู่กับกูต้องเป็นเด็กดีนะมึง” หลังจากที่มาถึงบ้านผมยังไม่ได้ปลุกไอ้ติให้ตื่น เพราะยังอยากมองมันหลับอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันเองที่เป็นฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา

              “ถึงแล้วเหรอพี่?”           

             “ยังมั้ง”

              “งั้นผมนอน”

              “เดี๋ยวกูถีบให้” ไอ้ติหัวเราะออกมาน้อยๆก่อนที่มันจะเอื้อมไปเอากระเป๋าเป้ของมันมา แต่ผมกลับแย่งเอามาถือไว้เองและลงรถหนีมันเข้าบ้านก่อน

              ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องแสดงออกมากขนาดนี้ หรือว่าผมหลงมันไปแล้วว่ะ??


ปล. เราอยากได้ฟีสเเบคของนิยายเรื่องนี้หรือสำนวนรวมถึงการบรรยายเพื่อนำเอาไปปรับปรุงค่ะ รบกวนนักอ่านที่น่ารักของเราทุกๆคนด้วยนะคะ
 
 
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 22 6.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 06-05-2020 21:53:01
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 22 6.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 07-05-2020 08:51:16
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 23 7.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 07-05-2020 17:28:48
บทที่ 23
ผมไม่กลับไปหรอกครับพี่
Sati’s talk

              หลายวันผ่านไปเหมือนโกหก

 ผมก็ยิ่งกลายเป็นเด็กเสพติดพี่กูนไปแล้ว ไม่ว่าพี่มันจะไปไหนก็มีผมห้อยติดไปด้วยเกือบทุกที่ ถ้าถามว่าพี่มันลำคาญไหมผมก็ว่ามีแหละ แต่ผมดูออกว่าพี่มันก็อยากมีผมอยู่ข้างๆเหมือนกัน ถึงไม่ออกปากไล่เหมือนอย่างทุกที ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมอยู่บ้านกับพี่กูน
“พี่บีบไหล่ให้ผมหน่อยดิ” ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่พื้นส่วนพี่กูนนั่งอยู่บนโซฟา

“เดี๋ยวนี้มึงใช้กู?”     

         “ผมรู้พี่บีบให้ผมแน่นอน นี่เป็นเด็กดีขยันอ่านหนังสืออยู่นะ ให้รางวัลกันหน่อย” พี่กูนถอนหายใจออกมาเบาๆแต่ก็ยอมขยับมาใกล้ๆและบีบไหล่ให้ผม ซึ่งผมเองก็ตั้งใจอ่านหนังสืออย่างที่ผมพูดจริงๆ อ่านหนังสือไม่ทำให้ตายหรอกครับ..

“อ่านหนังสือแล้วเปลืองขนมนะมึง”             

         “เหงาปากอะพี่ มันต้องมีอะไรเคี้ยว”

“เคี้ยวที่ตีนกูหนิ”

“ขู่ผม เดี๋ยวไม่ตัดเล็บขบให้นะ” เขาบอกว่าถ้ารักใครต้องตัดเล็กขบให้ ไม่รู้พี่กูนมันจะรู้รึเปล่า

ผมนั่งอ่านหนังสือไปสักพักโดยที่พี่กูนบีบไหล่ผมไปด้วย แต่จังหวะนั้นเองที่ผมลืมปิดเสียงโทรศัพท์ก็มีคนโทรเข้ามา ถึงไม่เมมชื่อก็รู้ว่าเป็นใคร

“รับดิ”

“เดี๋ยวมานะพี่” ท่าทางตอนนี้ของผมโคตรจะมีพิรุธเลย แต่เอาเถอะผมจะรีบไปคุยแล้วรีบกลับเข้ามาก่อนที่พี่กูนจะออกมาตาม

“พี่ทิม”

(เป็นไงบ้าง ไม่ติดต่อพี่มาเลยนะ แล้วเรื่องที่เราเคยคุยกันติตัดสินใจได้ยัง ตอนนี้พี่ออกมาซื้อของไปทำห้องให้เราแล้วนะ ติอยากได้โทนห้องแบบไหนส่งรูปมาเลย)

“เอ่อ..พี่ทิม ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้พี่”

(ไม่ต้องเกรงใจหรอกติ)

“เกรงใจดิพี่ ผมแค่...” ผมแค่ยังอยากอยู่กับพี่กูนอยู่แค่ผมก็ไม่สามารถที่จะบอกพี่กณได้เต็มปากเต็มคำ “พี่ทิมไว้เราไปกินข้าวกันนะ เดี๋ยวผมเลี้ยงพี่เอง”

(ถ้าเป็นเงินของไอ้นั่นไม่ต้องเอามาเลี้ยงพี่)

“ไม่พี่ เงินที่ผมทำงาน ผมมีอยู่เลยไม่ได้ใช้ ให้ผมเลี้ยงตอบแทนที่นะพี่ทิม เหมือนที่พี่เคยเลี้ยงผมมาไง ไว้ผมบอกพี่ในไลน์นะพี่ทิม” ผมชิงตัดสายพี่ทิมก่อน

ผมว่าผมต้องจบเรื่องนี้โดยที่พี่ทั้งสองของผมจะไม่รู้สึกเจ็บ และผมก็ไม่รู้สึกผิด แต่ว่าจะเป็นวิธีไหนผมเองก็ยังคิดไม่ออก แต่ตอนนี้ผมรีบกลับเข้าไปด้านในดีกว่า

“พี่กูนพี่!” ผมเข้ามาด้านในก็ไม่เห็นพี่กูนอยู่ที่เดิม ผมเลยตามหาพี่กูนตามห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ห้องเก็บของ ห้องซักผ้า แต่ก็ไม่เจอ แล้วใครมันจะเข้าไปในห้องพวกนั้นวะ ผมเลยตรงเข้าไปที่ห้องครัวแทนและเห็นว่าตอนนี้พี่กูนนั่งดื่มน้ำอยู่ในห้องครัว

“ผมเรียนพี่ไม่ได้ยินหรอพี่” ผมทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ได้ยิน”

“แล้วไม่ตอบผมอะ”

“ไม่อยากตอบ”       

        “เป็นอะไรรึเปล่าพี่”

“ไม่” ไม่..ไม่ปกติแล้ว ผมว่าตอนนี้พี่กูนต้องมีเรื่องไม่พอใจผมแน่ๆถึงได้ถามคำตอบคำแบบนี้ “แล้วมึงคุยเสร็จแล้วรึไง”

“เสร็จแล้ว”

“.....” เมื่อเห็นว่าพี่กูนเอาแต่เงียบผมจึงตัดสินใจพูดให้รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่อาจจะทำให้พี่กูนไม่พอใจ

“พี่ทิมโทรมา” เมื่อผมเอ่ยชื่อพี่ทิม พี่กูนที่ทำเป็นเมินในช่วงแรกตอนนี้กลับมาจ้องหน้าผมเขม็ง “พี่ทิมอยากให้ผมไปอยู่ด้วย แต่ผมยังไม่ได้ตอบอะไร ผมเลยชวนพี่ทิมออกไปเลี้ยงข้าวผมอยากตอบแทนหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่พี่ทิมเคยให้ผมถึงแม้ว่าการเลี้ยงข้าวมันจะเล็กน้อยก็เถอะพี่ แต่...ผมทำไม่ได้หรอกนะพี่ที่จะให้ตัดขาดหรือไม่ติดต่อกับพี่ทิม”         

     “.....”

“อย่างไงเขาก็เป็นพี่ชายของผม เป็นพี่ที่ผมเคารพและรัก”

“แล้วกูไม่ใช่พี่มึงรึไง”

“ก็ใช่ แต่ผมไม่อยากให้พี่เป็นพี่ผมไงพี่กูน” ผมตัดสินใจพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป วันนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด รุกก่อนมันก็ไม่เสียหายอะไรไม่ใช่เหรอครับ “เมื่อก่อนผมก็เห็นพี่เป็นพี่ชายนะ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความรู้สึกของผมมันเปลี่ยนไป ผมรู้สึกกับพี่มันต่างจากที่ผมรู้สึกกับพี่ทิม”

“ไอ้ติ มึงพูดอะไรรู้ตัวไหม”

“ผมรู้ตัวมาตลอด ผมรู้พี่เองก็รู้ตัวเหมือนกันว่าผมรู้สึกอย่างไง ผมไม่รู้นะว่าพี่รู้สึกเหมือนผมไหมแต่ตอนนี้ผมอยากให้พี่เปิดใจให้ผมพี่กูน..”

“.....”

“ผมไม่อยากเป็นน้องชายพี่แล้วว่ะ” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะโน้มตัวไปหาพี่กูนแม้ว่าจะมีโต๊ะคั่นกลางอยู่ ผมค่อยๆประกบริมฝีปากของตัวเองลงริมฝีปากของพี่กูนเบาๆก่อนจะถอนออกมาอย่างช้าๆ “ผมว่าผมรักพี่ว่ะ”

“....ไอ้ติ”
 

หลายวันผ่านไป

              ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนถูกจัดเตรียมมาไม่มีผิด เพราะอยู่ๆวันนั้นพี่กูนถูกเรียกตัวไปต่างจังหวัดทันทีโดยที่ไม่มีกำหนดกลับ ส่วนผมน่ะเหรอก็อยู่บ้านไปเรียนแบบนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษ จนกระทั่งวันที่ผมนัดพี่ทิมมาทานข้าวตามที่เคยบอกเอาไว้ ซึ่งมันคือวันเกิดพี่ทิม ไม่มีอะไรจะเหมาะเจาะไปมากกว่านี้แล้ว

              “พี่ทิมพี่ผมออกมาหน้ามอแล้ว ให้ผมรอตรงไหน” ผมโทรหาพี่ทิมทันทีที่ออกมาหน้ามอเพราะพี่ทิมบอกว่าจะมารับผมหลังผมเลิกเรียน

              (รอตรงนั้นแหละ พี่ใกล้จะถึงแล้ว) ผมยืนรอพี่ทิมไม่นานก็มีรถคันหนึ่งจอดเทียบฟุตบาทที่ผมยืนรออยู่ ก่อนที่รถคันนั้นจะเปิดกระจกออกมา

              “ขึ้นรถเร็ววัยรุ่น”

              “จัดไปวัยโจ๋” ผมรีบวิ่งอ้อมไปอีกด้านพร้อมกับเปิดประตูรถและกระโดดขึ้นไป เมื่อผมขาดเข็มขัดเรียบร้อยพี่ทิมก็ขับออกไปทันที

              “พี่ทิมหวัดดีครับพี่”

              “จะพาพี่ไปเลี้ยงไหนไอ้น้อง”       

            “พี่อยากกินไรผมเลี้ยงไม่อั้นอะพี่”

              “เก็บตังค์ไว้เถอะไอ้น้อง” พี่ทิมของผมนี่ก็เปลี่ยนไปมากจริงๆดูนิ่งขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่มันมีรังสีประหลาดๆที่ผมเองก็บอกไม่ถูกว่านั่นมันรังสีอะไร

              “แล้วพี่ทำงานอะไร ผมถามได้ไหมพี่”         

             “ถามได้ แต่พี่ไม่บอก”     

             “กวนตีนว่ะพี่”

              “พี่มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงเราก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วง” เรื่องเงินผมไม่เคยห่วงเลย แต่เรื่องที่ผมห่วงก็คืออาชีพที่พี่ทิมทำ ผมมีลางสังหรณ์แปลกๆว่าพี่ทิมจะทำงานที่เสี่ยงอันตราย

              “ผมเป็นห่วงพี่แปลกๆว่ะพี่ทิม”

              “ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีใครทำอะไรพี่ได้” พี่ทิมยื่นมือมาลูบศีรษะของผมเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย แต่ถึงอย่างไรผมก็รู้สึกไม่ดีว่ะ
 

              หลังจากที่ขับรถมารับผมตอนนี้เราสองคนมุ่งหน้าไปยังร้านหมูกระทะที่พี่ทิมเลือก เป็นร้านไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีพื้นที่ที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว พี่ทิมเลือกมานั่งในมุมที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน เราสองคนสั่งอาหารไปค่อนข้างเยอะแต่ส่วนมากเป็นผมเองเพราะผมอยากให้พี่ทิมกินดีๆโดยที่ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ทิมอาจจะกินดีกว่าผมแล้วก็ได้ แต่อย่างน้อยผมก็อยากเห็นกับตาว่าพี่ทิมกินของดีจริงๆ

              “สั่งมาเยอะกินหมดเหรอเรา”

              “ให้พี่ไง กินเยอะๆนะเว้ยพี่ทิมผมเลี้ยง”

              “ติก็ด้วยกินเยอะๆ”

              “แค่นี้ผมยังอ้วนไม่พออีกเหรอพี่”

              “กินเถอะ” เมื่ออาหารมาถึงผมก็อาสาจัดการทุกอย่างโดยที่ให้พี่ทิมนั่งอยู่เฉยๆ

              “อะพี่ กินเยอะๆเลย” ผมคีบหมูจากกระทะไปใส่ในจานพี่ทิมจนเต็ม “เอาผักไหมพี่ ไม่ต้องตอบผมตักให้เลย” ผมยังคงตักให้พี่ทิมอย่างต่อเนื่อง พี่ทิมที่ขี้เกียจบ่นผมแล้วก็ได้แต่นั่งยิ้มและกินของที่ผมตักให้ จนกระทั่งเราสองคนเริ่มอิ่ม

              “พี่ทิมพี่ ผมมีอะไรจะให้” ผมเปิดกระเป๋าเป้ของตัวเองออกมาก่อนจะหยิบของบางอย่างที่ผมไปซื้อมา “สุขสันต์วันเกิดนะพี่ชายของผม”

              “ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ติ”     

             “รับเถอะพี่ ผมอยากซื้อให้นานแล้ว ผมอยากให้พี่แต่ตอนนั้นผมมีเงินไม่มากพอ ตอนนี้ผมสามารถซื้อให้พี่ได้แล้วนะ” ผมยื่นกล่องนาฬิกายี่ห้อที่พี่ทิมเคยบอกผมตั้งอยู่วัดแล้วว่าอยากได้ ถึงมันจะไม่ได้มีราคาแพงมากขนาดนั้นแต่ผมก็อยากให้พี่ชายของผมได้ใส่ของที่ผมซื้อให้

              “ขอบคุณนะติ พี่จะใส่เลย” พี่ทิมรีบถอดนาฬิกาข้อมือของตัวเองออก จากสายตาของผมก็พอจะรู้ว่านาฬิกาของพี่ทิมน่าจะแพงกว่าเรือนที่ผมซื้อให้

              “พี่ ของพี่แพงกว่าที่ผมให้อีกนะ”

              “แต่น้องชายพี่ไม่ได้ซื้อให้” พี่ทิมใส่เสร็จก็รีบโชว์ผม “โคตรเท่เลย สมแล้วที่อยากได้มานาน” รอยยิ้มแห่งความดีใจของพี่ทิมมันทำให้ผมดีใจไปด้วย

              “พี่ชอบผมก็โคตรดีใจแล้ว”

              “พี่ก็มีอะไรจะให้ติ”

              “อะไรอะพี่” ผมนั่งลุ้นกับสิ่งที่พี่ทิมกำลังหยิบขึ้นมา “โห่พี่!!!” ทันทีที่เห็นของที่พี่ทิมเอามาให้น้ำตาผมแทบจะไหล

              “มันอาจจะดูปัญญาอ่อน แต่พี่เห็นติอยากได้ตั้งแต่เด็ก มันเป็นปมของพี่วันหนึ่งพี่จะต้องซื้อให้เราได้” ของตรงหน้าผมตอนนี้คือรถบังคับคันใหญ่

              “น้ำตาผมจะไหล” ไม่อยากจะเชื่อว่าสายใยความรักความผูกพันของผมกับพี่ทิมมันจะยังเหนียวแน่นขนาดนี้ เมื่อก่อนอยากได้อะไรก็ได้ดูแค่รูป แต่วันนี้ผมได้เห็นมันเป็นของตัวเองแล้ว

              “ติชอบพี่ก็ดีใจแล้ว” หลังจากนั้นผมกับพี่ทิมก็นั่งกินของหวานปิดท้าย ก่อนจะพากันกลับพี่ทิมอาสาพาผมกลับไปส่งที่บ้านเหมือนเดิม

              “ไว้มากินด้วยกันอีกนะติ”

              “คราวหน้าพี่เลี้ยงนะ”       

            “ไม่มีปัญหา” ผมนั่งเล่นโทรศัพท์ระหว่างที่พี่ทิมขับรถ อยู่ๆสายตาผมดันเหลือบไปเห็นรถยนต์คันหนึ่งที่ขับตามมาติดๆ แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้คิดมากอะไรผมเลยไม่ได้สนใจจนกระทั่ง...

              “ติ นั่งดีๆนะ” อยู่ๆพี่ทิมก็พูดขึ้นมาเสียงเครียด

              “ทำไมพี่”

              “เหมือนเราจะโดนตาม”

              “ตาม?” สายตาผมมองไปยังกระจกข้างทันทีที่พี่ทิมบอกและเห็นว่าไอ้รถที่ผมสงสัยตอนแรกนั้นตามเรามา “คันนั้นเหรอพี่”

              “นั่งเฉยๆ” พี่ทิมเร่งความเร็วเต็มที่ในช่วงที่ถนนโล่ง แต่ตัวผมที่ลุ้นตัวโก่งเลยว่าเราจะรอดจากตอนนี้ไปไหม
              “อย่าบอกนะว่า...”       

            “พี่จะบอกเราทีหลัง” ผมนั่งนิ่งและเงียบปากแต่ในใจผมโคตรจะลุ้น พี่ทิมเองก็เร่งความเร็วเต็มที่พยายามซิกแซกไปยังเส้นทางต่างๆจนตอนนี้เราหลุดมาที่ไหนสักแห่งที่เริ่มไม่มีรถคันอื่นตามมา บรรยากาศในช่วงกลางคืนทำให้เรามองไม่ค่อยเห็น

              “ติหลบ!!!”

              ผมรีบหลบโดยไม่รู้ทิศทางทันทีที่พี่ทิมบอก ก่อนที่จะได้ยินเสียงเหมือนปืน เมื่อเสียงมันเงียบลงผมจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาและเห็นรอยกระสุนผ่านกระจกรถ

              “พี่ทิม..อะไรวะเนี่ยพี่

              “พี่ขอโทษติ พี่ขอโทษ” มือพี่ทิมที่บังคับพวงมาลัยอยู่เริ่มสั่นก่อนที่จะใช้อีกมือควานลงไปที่เบาะข้างๆของเขาพร้อมกับหยิบปืนขึ้นมา

              “พี่มีปืนติดรถด้วย..”

ปัง!!

              พี่ทิมเปิดกระจกข้างก่อนจะยื่นมือออกไปยิงรถคันหลังโดยที่อีกมือยังคงบังคับพวงมาลัยไปด้วย ตอนนี้ผมเหมือนอยู่ท่ามกลางดงกระสุน

              “ให้ผมโทรหาตำรวจไหมพี่ทิม”

              “.....” พี่ทิมไม่ตอบเพียงแต่มองหน้าของผมก่อนที่จะหันหน้ากลับไปยิ่งต่อ “โทร”

              ด้วยความที่มือของผมเองก็สั่นเพราะความกลัวทำให้การต่อสายหา 191 เป็นอะไรที่ยากและลำบากมากกว่าปกติ ในหัวของผมคิดถึงแต่พี่กูน ผมอยากกลับไปหาพี่กูน

              “ฮัลโหลครับ..ตะตอนนี้ ผมถูกไล่ยิ่ง” การกดโทรออกว่ายากแล้วแต่การที่พูดในสถานการณ์นี้ยากกว่า “ครับ เลขทะเบียนเหรอครับ..”

              “อย่า!!ปัง!!”

              เอี๊ยดดดด!!

              โค่ม!!

              จังหวะที่ผมหันไปดูเลขทะเบียนรถอยู่ๆพี่ทิมก็ตะโกนขึ้นมาพร้อมกับกดหัวของผมให้ก้มลง โทรศัพท์ของผมล่วงลงพื้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ผมไม่ได้สติอีกเลย....
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 24 8.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 08-05-2020 17:56:21
บทที่ 24
ฟื้นขึ้นมาแล้วเราจะรักกัน

Kun’s talk

            ผมยังคงอึ้งจนถึงวันนี้วันที่ไอ้ติมันบอกว่ารักผมตรงๆ ไม่ใช่ผมไม่เชื่อนะแต่ผมนับถือใจของมันจริงๆที่กล้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง มันเหมือนอะไรๆจะดีขึ้นแต่เปล่าเลยครับ ผมดันถูกเรียกตัวมาสืบคดีที่ต่างจังหวัดงานที่นั่นยุ่งจนผมไม่ได้จับโทรศัพท์เลย กว่าคดีจะปิดผมเองก็แทบจะปิดชีวิตตามคดีไปเลยครับ

              “กลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ” ผมรีบปลีกตัวกลับก่อนทันทีที่มาถึงกรุงเทพฯ จริงๆก็เหนื่อยครับแต่อีกอย่างก็คืออยากรีบไปเคลียร์กับไอ้ติไวๆ

              ผมรีบขับรถกลับมาบ้านแต่ระหว่างนั้นผมแวะพูดคุยกับพ่อแม่ที่บ้านใหญ่ก่อนซึ่งเป็นเวลานานพอสมควรกว่าที่ผมจะกลับเข้าบ้าน จนกระทั่งสี่ทุ่มกว่าผมกลับมาที่บ้านของตัวเอง แต่อดที่จะแปลกใจไม่ได้เพราะบ้านผมตอนนี้มืดสนิท ปกติไอ้ติมันจะเปิดไฟด้านนอกไว้แต่ทำไมวันนี้ไม่เปิด ผมเดินเข้าไปด้านในก็พบว่าประตูล็อก

              “ไอ้นี่ไปเที่ยวไหนวะ” ขนาดผมไม่อยู่มันยังออกไปเที่ยวได้ ถ้ากลับมาผมจะด่ามันให้ดู

              ผมล้วงหากุญแจบ้านในกระเป๋าพร้อมกับต่อสายหาไอ้ติไปด้วย จังหวะที่ผมกำลังไขประตูปลายสายก็กดรับทันที

              “ไอ้ติมึงอยู่ไหน นี่มันกี่โมงกี่...”

              (ตอนนี้เจ้าของโทรศัพท์นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ไม่ทราบว่าคุณ....)

ตุบ!

              กุญแจที่ไขอยู่ร่วงหล่นที่พื้นทันทีที่ผมได้ยินปลายสาย ผมไม่มีสติอยู่สักพักก่อนจะรวบรวมสติถามปลายสายกลับไป

              “ผมเป็นผู้ปกครองครับ ไม่ทราบว่าน้องผม...”

              (รายละเอียดคร่าวๆคือรถคว่ำค่ะ ส่วนเรื่องอื่นๆตอนนี้ทางตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐานแต่คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของคนมาด้วยค่ะ)

              “โรงพยาบาลไหนครับ”

              (โรงพยาบาลXXX) ถ้าบอกว่าตอนสืบคดีหรือจับคนร้ายผมทำได้รวดเร็วกว่า พวกคุณคิดผิดครับเพราะตอนนี้ผมใช้เวลาจากบ้านไปถึงโรงพยาบาลเวลาไม่นาน กฎจราจรอะไรผมไม่สนใจแล้วเพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมสนใจก็คือ ไอ้ติ

              อย่าเป็นอะไรเลย...ผมขอแค่นี้ ขอให้มันลืมตาตื่นขึ้นมา
 

              ทันทีที่ถึงโรงพยาบาลผมเห็นไอ้ทิมนั่งอยู่บนรถเข็นสภาพที่มีผ้าพันแผลอยู่ที่หัวกำลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเขตพื้นที่

              “ไอ้ทิม!” ผมเข้าไปกระชากคอเสื้อของไอ้ทิมที่นั่งอยู่บนรถเข็น “ไหนมึงบอกดูแลน้องมันได้! นี่หรอวะ!! นี่หรอสิ่งที่มึงเรียกว่าดูแล!!”

              “คุณครับอย่า” ตำรวจที่กำลังสอบปากคำไอ้ทิมอยู่เข้ามาห้ามผมที่ตอนนี้แทบจะลากคอไอ้ทิมมันขึ้นมา “อย่ามีเรื่องกันในโรงพยาบาล”

              “มึงตอบกู!!! ถ้าไอ้ติเป็นอะไรไปมึงตายแน่! กูไม่เอามึงไว้แน่ไอ้เหี้ยทิม!!!” กูนแทบจะไม่มีสติเพราะถูกความโมโหเข้าครอบงำ “มึงเอาน้องมันไปเสี่ยง! มึงใช้ส้นตีนอะไรคิดว่ะ! ไอ้ทิมมึงใช้เหี้ยอะไรคิด!!!”

              “กูขอโทษ...” น้ำตาของทิมค่อยๆไหลออกมาด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาคาดไม่ถึงว่าอันตรายจากอาชีพของเขาจะตามมาเร็วขนาดนี้

              “เหี้ยเอ้ย!!” กูนใช้เท้าเตะรถเข็นด้วยความโมโห ตอนนี้ยอมรับเลยว่าไม่มีสติ ไม่มีสติที่จะรับรู้อะไรทั้งนั้น เขาโกรธ โมโห โดยไม่สนใจว่าตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล

              “คุณครับ ใจเย็นๆครับ” กูนถูกแยกตัวให้ออกห่างจากทิม ส่วนทิมถูกเข็นไปที่ห้องพัก

              “สติครับ สติ สติเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อกูนได้สติมากขึ้นเขาจึงถามตำรวจที่นั่งอยู่ข้างๆ “น้องผมอยู่ไหนครับ ชื่อสติ”

              “ตอนนี้ยังอยู่ในห้องฉุกเฉินครับ สลบในที่เกิดเหตุ” กูนยังคงโกรธทิมที่ทำให้สติมีสภาพแบบนี้ ตลอดเวลาสติอยู่กับเขาไม่เคยมีครั้งไหนที่สติเจ็บหนักขนาดนี้ แต่นี่เขาไม่อยู่แค่ไม่กี่วันกลับทำให้สติของเขาบาดเจ็บหนัก และสิ่งที่กูนยังคิดวนเวียนซ้ำซ้อนอยู่ในเรื่องของสติ เขากลัวเหลือเกินกลัวว่าสติจะไม่ฟื้น ตอนนี้เขายอมทุกอย่าง ให้เขาทำอะไรก็ได้แต่ขอเพียงอย่างเดียวให้สติฟื้นขึ้นมา....

              “กูขอโทษ...” จังหวะที่กูนนั่งก้มหน้ามองพื้น ทิมเข็นรถเข็นออกมาจากห้องในจังหวะที่ตำรวจเผลอเพื่อมาคุยกับกูนด้วยความรู้สึกผิดอย่างแท้จริง

              “.....” กูนเงยหน้าขึ้นมามองทิมนิ่งๆโดยที่ไม่พูดอะไร

              “กูดูแลติไม่ได้ กูขอโทษ กูขอโทษจริงๆ” กูนมองน้ำตาของทิมที่ไหลออกมาด้วยความร้สึกผิดนิ่งๆ “กูดูแลน้องกูไม่ได้อย่างที่มึงพูดจริงๆ”

              “เลิกซะนะไอ้อาชีพแบบนี้”

              “......”

              “แล้วน้องของมึงไม่ต้องห่วง ถึงมึงไม่พูดกูก็ไม่มีวันให้มันได้อยู่กับมึง” กูนพูดด้งบย้ำเสียงนิ่งๆ “กูจะไม่กีดกันให้มึงเจอน้องมึง แต่ต่อจากนี้มึงอยู่แค่ในที่ของมึงพอ ถ้ามึงยังเคลียร์ตัวเองไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นหน้า”

              “เรื่องนี้กูผิดกูยอมรับ แต่กู...”

              “มึงอย่ามาอ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อน้องของมึง เพราะถ้ามึงคิดแบบนั้นจริงๆมึงจะไม่มีวันทำแบบนี้” กูนพูดเสร็จก็ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องฉุกเฉินเมื่อเห็นว่าประตูที่ปิดอยู่ถูกเปิดออกพร้อมกับเตียงที่เข็นร่างของสติออกมา

              “ผมเป็นผู้ปกครองครับ”

              “ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับกำลังย้ายไปที่ห้องพักผู้ป่วย” กูนพยักหน้าตอบรับ ในใจของเขาตอนนี้รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นกับตาว่าสติปลอดภัย

              “ส่วนมึงก็ไปพัก” กูนหันไปบอกทิมที่มองตามเตียงที่เข็นสติห่างออกไปด้วยสายตารู้สึกผิด

              กูนเดินตามบุรุษพยาบาลเข้าไปในห้องพัก รอให้พยาบาลจัดการทุกอย่างให้เข้าที ก่อนที่เขาจะย้ายตัวเองไปนั่งเฝ้าสติอยู่ข้างๆเตียงไม่ห่าง

              “กูบอกว่าอย่าดื้อไง กูไม่อยู่แค่ไม่กี่วันดูสภาพมึงตอนนี้” กูนยื่นมือเข้ามาลูบศีรษะของสติเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ “กูตกใจนะที่เห็นมึงในสภาพนี้”

              “.......”

              “เหมือนอยู่ในละครเลยว่ะ มานั่งพูดตอนที่มึงไม่ได้ยิน...กูควรพูดตอนที่มึงได้ยินถูกไหมวะ? กูแม่งไม่กล้าเหมือนมึงไงไอ้ติที่บอกรักกูแบบนั้น”

              “......”

              “ถ้ามึงตื่นตอนนี้นะกูจะขอมึงเป็นแฟนเลย”

              “พี่ผมตื่นแล้ว”

              “......!!”

              “ตื่นตั้งแต่ในห้องฉุกเฉินแล้ว เขินว่ะ”

              “มึง...” กูนตกใจที่เห็นสติฟื้นขึ้นมาด้วยท่าทางปกติหลังจากที่เขาเผลอพูดว่าจะขอเป็นแฟน แสดงว่าก่อนหน้านั้นสติรับรู้ทุกอย่างแต่แกล้งทำเป็นนอนไม่รู้เรื่อง

              “ถ้าผมไม่หลับผมก็ไม่มีทางได้ยินดิพี่ ว่าพี่เองก็คิดเหมือนผม” สติยิ้มทะเล้นออกมาเมื่อเห็นว่าสีหน้าของกูนตอนนี้ช็อกหนักกว่าเดิม

              “ร้ายนะมึง”

              “ผมไม่มีทางเป็นอะไรหรอกตราบใดที่พี่ยังไม่บอกว่ารู้สึกเหมือนผม แต่ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นผมก็ยอมแล้ว”

              “ปากดีนะมึง!” ด้วยความหมั่นไส้ทำให้กูนเผลอตัวผลักไปที่ศีรษะของสติเบาๆ “พอกูรู้สึกเหมือนมึงแล้ว มึงจะตายหนีกูว่างั้น?”       

              “ไม่พี่ แค่เปรียบเทียบให้ดูซึ้งๆ”

              “นอนไปเลยมึง พักผ่อนเยอะๆไม่ต้องพูดอะไร”

              “แล้วเรื่องที่พี่จะขอผมเป็นแฟนล่ะ” ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสามสิบนี่เป็นครั้งแรกที่กูนรู้สึกเสียอาการอย่างออกนอกหน้า

              “......”

              “ขอดิพี่ ผมรอฟังอยู่” สติแกล้งขยับเข้ามาใกล้ๆกูนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ผมจะจับมือพี่เองถ้าพี่เขิน”

              “ช่วยได้มากเลยนะมึง”

              “พี่ขอดิ”

              “มึงก็ขอดิ”           

             “พี่ ใครเขาเกี่ยงกันเรื่องขอเป็นแฟนว่ะ พี่พูดเองนะว่าถ้าผมฟื้นพี่จะขอผมเป็นแฟนอะ” กูนสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา

              “ไอ้ติ”

              “ครับ”

              “มึงอย่าพึ่งตอบดิวะกูเรียกเฉยๆก่อน” สติกลั้นยิ้มและนั่งเงียบๆตามที่กูนบอก

              “ไอ้ติ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่..แต่กูแน่ใจแล้วว่ะว่ากู..เองก็รู้สึกไม่ต่างจากมึง เป็นแฟนกับกูนะ” สติฉีกยิ้มทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เขาอยากได้ยินมาตลอด

              “......”

              “ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ อย่ามากวนตีนกูนะบอกเลย”

              “พี่เขินแล้วน่ารักว่ะพี่” สติอยากที่จะเจ็บเกี่ยวความรู้สึกนี้ของเขาไม่ให้นานที่สุด “ตกลงครับ ผมจะเป็นแฟนพี่แต่ผมอยากเป็นมากกว่าแฟนอีกนะตอนนี้”

              “เรียนให้จบก่อนเถอะมึง”       

             “พี่จะอดใจไหวเหรอ? ผมน่ารักนะเว้ยพี่”     

          “เหนื่อยจะคุยกับมึงจริงๆ” ตอนนี้ทั้งกูนและสติต่างพูดคุยกันอยู่ในห้องพักตลบอบอวลไปด้วยความรักของทั้งคู่ที่มีให้แก่กัน มันอาจจะเร็วไปในสายตาคนอื่นๆแต่สำหรับพวกเขาแล้วนั้นมันอาจจะช้าไปถ้าไม่ได้บอกความรู้สึกกันในตอนนี้

              “พี่ผมจะนอนแล้วนะ”

              “แล้ว?”

              “จูบผมก่อนนอนหน่อยดิ”

              “เกินไป”

              “นะพี่ ผมจะได้ฝันดี ตื่นขึ้นมาร่างกายจะแข็งแรงเลย” ผมยอมมันจริงๆกับไอ้คำเชิญชวนแบบเด็กที่ใครๆก็รู้ว่ามันไม่เป็นจริง แต่ผมก็ยอม ยอมทำตามที่มันร้องขอ

              ผมโน้มหน้าเข้าไปสัมผัสกับริมฝีปากของไอ้ติเบาๆ ไม่ได้ดุดดื่มอะไรมาก เพราะไอ้ติมันกำลังบาดเจ็บ ถ้ามันหายดีเมื่อไหร่ รับรองมันโดนผมจัดหนักแน่ๆ
 
              “ฝากด้วยนะ...” ทิมที่มองผ่านกระจกห้องพักเห็นน้องชายของเขายิ้มอย่างมีความสุขและภาพที่ทำให้เขาปวดหัวใจ เมื่อริมฝีปากของน้องชายตอนนี้ถูกครอบครอง... ในฐานะพี่ชายอย่างเขาก็พลอยสุขใจ แต่ความรู้สึกผิดที่เขาทำไว้มันยากที่จะลบเลือน ตอนนี้เขาไม่พร้อมที่จะสู้หน้าสติ

              “พี่ทิมรักตินะครับ” คำพูดสุดท้ายก่อนที่เขาจะหันกลับไป...และไม่กลับมาอีกเลย
 

ปล.นิยายเราส่วนมากพระเอกจะแก่กว่าเกือบทุกเรื่องเลย เพราะเราชอบคนแก่กว่าเลยแต่งสนองความต้องการของตัวเอง และเรื่องต่อไปพระเอกแก่กว่า 15 ปี ใครมาสายนี้อย่าพลาดนะครับโผมมม
ปล. ส่วนเรื่องที่ค้างอยู่เราจะทยอยอัพนะจ๊ะ ไม่ทิ้งแน่นอน
หัวข้อ: Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 24 8.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 09-05-2020 07:36:55
รอๆๆ
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: KJH177 ที่ 09-05-2020 17:37:58
บทที่ 25

ผมตกถังข้าวสาร



Sati’s talk



ทุกคนครับตอนนี้ผมออกจากโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยด้วยสภาพครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีสิ่งไหนผิดปกติ นอกจากหัวใจของผมที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูแทนที่จะเป็นสีแดง ก็หัวใจของคนมีความรักมันก็แบบนี้แหละครับ



“พี่กูนพี่ ผมกินข้าวไม่ได้” ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหารในบ้าน



“มึงเป็นง่อยรึไง”



“เปล่า เป็นแฟน”



“......เอ๋อ” พี่กูนส่ายหัวเล็กน้อย ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงโดนด่ามากกว่านี้ แต่ตอนนี้เป็นเวลาแห่งความรักพี่กูนจึงไม่ได้ด่าอะไรผมมาก “แล้วบอกกูได้รึยังว่าจะเอารถรุ่นไหน”



“บอกไปแล้วไงพี่ว่าจะขึ้นรถเมล์ อย่าหาเรื่องเสียตังค์เลย”



“มันสะดวกกว่าเวลาฝนตกรถติดมึงจะได้ไม่ต้องรอรถเมล์”



“ผมมีร่มพี่ ฝนตกก็กลางร่ม หนาวก็ใส่เสื้อ รถติดก็นั่งวิน สบายมากๆ” ผมเถียงกับพี่กูนเรื่องที่พี่กูนจะซื้อรถให้ผมขับไปเรียน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่จำเนสำหรับผมเลย

“แต่กูคิดว่า....” “เก็บตังค์ไว้เถอะพี่ ผมยังอยู่กับพี่อีกยาว ไว้ผมอยากได้อะไรผมจะบอกพี่นะ ตอนนี้ผมไม่เกรงใจพี่แล้ว” ผมเลิกเถียงกับพี่กูนและหันมารับประทานอาหารแทน ส่วนพี่กูนก็เลิกถามผมเช่นกัน จนกระทั่ง...



“ไอ้ติไอแพดโปรรุ่นใหม่โคตรดีอะ เอาไหมจะได้จองเลย” ยังไม่ทันข้ามวันพี่กูนก็หาเรื่องเสียตังค์กับผมอีกรอบ



“เครื่องเก่ายังใช้ได้อยู่เลยพี่”



“มันน่าจะใช้เรียนดีกว่านะ แล้วโน๊ตบุ๊คเอาเป็นแมคบุ๊คไหม?จะได้ลิงก์กันได้”



“เกินไปครับ ถามจริงพี่คบกับใครก็เปย์แบบนี้ไหม” ผมนั่งกอดอกมองพี่กูนที่เอาแต่สรรหาสิ่งของฟุ่มเฟือยให้กับผมอยู่เรื่อยๆ



“ก่อนที่จะคบกับมึงกูให้ไหม”



“ก็ให้”



“แสดงว่ากูไม่ได้เปย์ใครนอกจากมึง เออนี่รองเท้าลิมิเต็ดน่าจะเหมาะกับตอนที่มึงใช่ช็อปนะ ถ้าใส่ไปเพื่อนมึงอิจฉาแน่” ผมก็คิดนะถ้าพี่กูนมีลูกเขาจะสปอยลูกขนาดนั้น แต่โชคดีแล้วที่ผมไม่สามารถมีลูกให้ได้ พี่กูนก็คงเก็บกดมาเปย์ผมแทน



“ถ้าพี่อยากใช้เงินมากนะ พี่สร้างวัด สร้างโรงพยาบาลไหม ได้บุญเยอะกว่าที่พี่ซื้อของให้ผมอีก”



“ถ้ามึงบวชเป็นพระ หรือมึงต้องนอนติดเตียง วันนั้นกูถึงจะสร้าง จบนะครับ” โอเคครับผมเลิกเถียงพี่กูนทันที คิดได้ไงว่าผมจะบวชเป็นพระหรือป่วยติดเตียง ผมเชื่อเขาเลยว่ะ



หนูตกถังข้าวสารนี่เหมาะกับผมที่สุดแล้วครับ



เช้าวันต่อมา

ผมออกมาเรียนตามปกติ ส่วนพี่กูนอาสาขับรถมาส่งผมเหมือนอย่างเคย การใช้ชีวิตประจำวันของผมก็ปกติเหมือนอย่างทุกที แต่มันต่างตรงที่พี่ทิมหายไปอีกแล้ว...



ผมรู้ว่าพี่ทิมรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหนีผม ผมไม่ได้โกรธเลย แต่เอาเถอะถึงเขาจะไม่มาให้ผมเห็นแต่ผมเชื่อว่าเขายังอยู่รอบๆตัวผม ผมจะรอจนกว่าพี่ทิมจะพร้อมอีกครั้ง



“ไอ้ติเบิกบานเลยนะมึง”



“คนมีความรักก็ต้องเบิกบานเป็นธรรมดา” ผมมาถึงไอ้ช้างใหญ่ก็เอ่ยปากแซวทันทีโดยที่มีไอ้มีนนั่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ผม เพราะมันรู้ว่าแฟนผมคือใครแต่เพื่อนคนอื่นๆของผมรู้เพียงแค่ว่าผมมีแฟน



“ใครว่ะไอ้ติ”



“ไม่บอกเว้ย” ขอให้พี่ติเป็นที่ประจักษ์แก่ผมเพียงคนเดียวแม้ว่าไอ้มีนมันจะรู้มากก็ตาม



หลังจากที่ผมเรียนเสร็จวันนี้อาจารย์ปล่อยไวผมจึงนั่งรถเมล์กลับบ้าน ว่างๆผมก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ครับทั้งซักผ้าล้างจานรดน้ำต้นไม้ต่างๆนานาจนผมไม่มีอะไรจะทำ ก่อนที่ผมจะเข้าไปที่ห้องนอนที่กูนเพื่อทำความสะอาดแม้ว่าห้องนอนของพี่กูนจะไม่ได้รกก็ตาม แต่อย่างน้อยกวาดและถูก็ยังดี หลังจากที่ผมทำความสะอาดบ้านเสร็จผมจึงออกมานั่งเล่นกีตาร์อยู่ที่หน้าบ้าน อยู่ๆคุณแม่ของพี่กูนก็เดินเข้ามาพร้อมกับกลับกล่องอะไรบางอย่าง ผมจึงรีบวิ่งไปช่วยยก



“คุณแม่ครับผมช่วย”



“ขอบใจจ่ะ” ผมยกกล่องจากในมือของคุณแม่และเดินเข้ามาไว้ในบ้าน



“ให้ผมเอาไว้ตรงไหนครับ”



“วางเลยลูก”



“ตรงนี้นะครับ” ผมวางกล่องลงบนพรมในห้องนั่งเล่น “มันคืออะไรหรอครับ”



“รูปของกูน”



“รูปของพี่กูน?” ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมอยู่ๆคุณแม่ของพี่กูนถึงยกกล่องอัลบัมรูปมากมายขนาดนี้



“แม่อยากให้ติรู้จักกูนตั้งแต่เด็กผ่านภาพที่แม่ถ่ายเอาไว้”



“ให้ผม?” ทำไมผมรู้สึกว่าสายตาของคุณแม่ตอนนี้มองผมด้วยสายตาแปลกๆ อย่าบอกนะว่า... “คุณแม่..รู้แล้วเหรอครับ?”



“ครับ แม่รู้แล้วพี่กูนเขามาบอกแม่กับพ่อ” ไอ้ความรู้สึกเกร็งแบบนี้มันคืออะไร การที่พี่กูนเอาผมไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของเขา จากที่เกร็งอยู่แล้วก็เกร็งหนักกว่าเดิมไปอีก



“ผมขอโทษนะครับ...”



“ขอโทษทำไมลูก?”



“ก็ผม..ผมเป็นผู้ชาย”



“ผู้ชายแล้วไง ไม่ต้องคิดมากขนาดพ่อกับแม่ยังไม่คิดมาก ติก็อย่าคิดมากลูกมานั่งข้างๆแม่นี่มา” ผมนั่งลงข้างๆคุณแม่ของพี่กูน ส่วนคุณแม่ก็เอื้อมหยิบรูปถ่ายของพี่กูนออกมาจากกล่องทีละอัลบัม



“ผมดูเลยนะครับ”



“ดูเลยลูก” มันก็เขินแปลกๆนะครับที่มานั่งดูรูปแฟนพร้อมกับคุณแม่ของแฟนแบบนี้ แต่เอาเถอะผมอาจจะรู้จักพี่กูนผ่านทางรูปภาพมากขึ้นตามที่คุณแม่บอกก็ได้



“น่ารักว่ะ” เปิดมารูปแรกก็เป็นรูปพี่กูนที่นอนแบเบาะในอ้อมอกของคุณแม่ น่าจะเป็นรูปพึ่งเกิดเพราะพี่กูนดูตัวแดงๆน่าเกลียดน่าชังชะมัดเลย ผมเปิดไปเรื่อยๆก็เป็นรูปวิวัฒนาการของพี่กูนตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเรียนอนุบาล สิ่งที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนก็คือสีหน้าเบื่อโลกของพี่กูน



“ต้องถ่ายเก็บไว้” ผมเปิดเจอรูปที่พี่กูนแต่งชุดทักซิโด้ในงานวันเด็กน่าจะตอนประถมต้น พี่กูนหน้าขาวปากแดงตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งรูปตอนที่พี่กูนอยู่มัธยมต้น รูปสมัยนี้พี่กูนเริ่มโตขึ้นจากเดิมเยอะเลย ตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนมากเป็นรูปที่คุณแม่ของพี่กูนถ่าย ไม่ซิครับผมอดที่จะดีใจแทนพี่กูนไม่ได้ที่มีแม่น่ารักแบบนี้เพราะตั้งแต่ผมเกิดมาผมยังไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้เลย ผมเคยคิดนะว่าวันหนึ่งถ้าผมไม่พร้อมผมก็จะไม่มีลูกผมไม่อยากให้ลูกเกิดมาในสภาพแบบผม ถ้าผมเลี้ยงเขาไม่ดีเขาก็อาจจะเป็นภาระสังคมแบบที่ผมเคยเป็น แต่ถ้าวันหนึ่งผมพร้อมผมตั้งใจว่าผมจะเลี้ยงเขาให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะสามารถเลี้ยงได้ แต่ตอนนี้ผมคงไม่คิดจะมีลูกแล้วแหละครับ แค่ผมมีคนที่รักและอยู่เคียงข้างผมแบบนี้ ผมว่ามันก็มีความสุขเหมือนกันนะครับ



“ผมอิจฉาพี่กูนจังเลยครับที่มีแม่ที่น่ารักแบบนี้”



“แม่ก็ตามถ่ายตอนที่พี่กูนเด็กๆพอโตก็ไม่อยากให้แม่ถ่ายแล้ว แม่ก็ต้องแอบเอา ส่วนยัยตานะแม่มีเยอะกว่าพี่กูนอีก รอยัยตามีแฟนเมื่อไหร่คงได้เปิดดูกันทั้งวันแน่ๆ”



ผมหยุดคิดเรื่องดราม่าของตัวเองมาดูรูปพี่กูนต่อน่าจะเป็นช่วงที่พี่กูนเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนเตรียมนายร้อย เพราะหุ่นของพี่กูนเรียกได้ว่าฟิตและเฟิร์มขึ้นมาก บางรูปก็มีโน้ตเล็กๆของคุณแม่ที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ลูกกูนสู้ๆ’ หรือแม้กระทั่งคำปลอบโยนและให้กำลังใจในรูปที่พี่กูนนั่งอยู่หน้าคอม ‘ปีนี้ไม่ติดไม่เป็นไรครับ ปีหน้าเอาใหม่นะลูก สู้ๆ’



“แม่เองก็ภาวนาไม่อยากให้พี่กูนติดเพราะพี่กูนต้องไปเรียนไกลบ้าน แต่พี่กูนเขาสู้จนติดในปีต่อมา” ถ้าเป็นผมนะถ้าไม่ติดผมก็ไม่เรียน



ต่อมาเป็นรูปที่พี่กูนอ่านหนังสือแต่รูปพวกนี้น่าจะเป็นรูปแอบถ่ายจากฝีมือของคุณแม่เหมือนเคย ยิ่งผมดูรูปพวกนี้มันก็ทำให้ผมใกล้ชิดกับพี่กูนในแต่ละช่วงวัยมากยิ่งขึ้น



“พี่กูนใส่ชุดเตรียมแล้วเท่มากครับ” ผมเปิดมาในช่วงที่พี่กูนสอบติด เป็นภาพที่คุณพ่อคุณแม่และพี่ตาไปรับพี่กูนที่โรงเรียนนายร้อย



“อันนี้ตอนราตรีกระบี่สั้นแม่กับยัยตาไปเป็นคู่ควงให้พี่กูนเขา” พี่ตากับคุณแม่สวยมากครับโดยเฉพาะตอนที่ใส่ชุดราตรีแบบนี้



“พี่กูนหล่อมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอครับ”



“ก็มีช่วงหมองคล้ำตอนที่ฝึกหนักอยู่เหมือนกัน” รูปต่อไปเป็นรูปที่พี่กูนเข้าไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจหลังจากที่จบจากโรงเรียนเตรียมฯ ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองนะช่วงนี้พี่กูนมีออร่าบางอย่างที่ทำให้ดูดีและเท่มากกว่าที่ผ่านมา อาจจะเป็นช่วงที่พี่กูนเริ่มโตขึ้น ถ้าเทียบก็น่าจะเป็นช่วงมหาวิทยาลัย



“รูปนี้คุณแม่ร้องไห้”



“แม่ภูมิใจ” คุณแม่หยิบรูปพี่กูนขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ ภาพที่พี่กูนรับข้าราชการตำรวจในเครื่องแบบพร้อมกับเครื่องหมายนายร้อย “แม่ไม่คิดว่า..กูนจะมาถึงวันนี้”



“ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันครับว่าจะมีวันนี้เหมือนกัน” ถ้าพี่กูนไม่ยื่นมือช่วยผมในวันนั้นผมก็คง...ไม่รู้ว่าชะตากรรมของตัวเองจะเป็นอย่างไร



“พี่กูนเขาอาจจะแสดงความรู้สึกไม่เก่ง แต่แม่เชื่อว่าเขาเป็นห่วงและรักติมากๆนะลูก” คุณแม่ยื่นมือมาสัมผัสที่ศีรษะของผมเบาๆ



“ขอบคุณนะครับที่ไม่รังเกียจผม..ทั้งๆที่ผมเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า”



“ตอนนี้ติมีแล้วนะ เราคือครอบครัวเดียวกัน” เท่านั้นแหละครับจากคนที่ไม่ค่อยจะอ่อนไหวกับคำพูดสักเท่าไหร่ อยู่ๆตอนนี้น้ำตาของผมกลับไหลออกมาเหมือนเด็กๆ เพราะความรู้สึกตื้นตัน ความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน ผมไม่เคยสัมผัสกับคำว่าครอบครัว..



“ผมขอกอดแม่ได้ไหมครับ?”



“เอาซิลูก” เป็นคุณแม่ที่ดึงตัวของผมเข้ามากอดพร้อมกับลูบศีรษะของผมไปดู ทุกสัมผัส ทุกความรู้สึกมันช่วยเติมเต็มในส่วนที่ผมขาดหายและไม่เคยได้รับจากผู้เป็นแม่..



“กอดของแม่มันอุ่นแบบนี้นี่เอง...”





กูนที่กลับมาถึงบ้านมองภาพที่แม่ของเขาที่ดึงสติเข้ามากอด เขาเองก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ เขารู้ว่ากอดของเขาอย่างเดียวมันอาจจะทำให้สติอุ่นแต่มันคงไม่อุ่นเท่ากับอ้อมกอดของคนเป็นแม่ สติมักพูดตลอดว่าอยากลองกอดแม่สักครั้ง อยากรู้ว่ามันจะอุ่นแค่ไหน ถ้าเสกให้เขาเป็นแม่ของสติได้กูนก็ยอมถ้ามันทำให้สติมีความสุข



สำหรับเขาที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อแม่และน้องคงไม่ได้รู้สึกแบบที่สติรู้สึก ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ขาดหายมันเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยความรู้สึกเติมเต็มที่เขาเคยได้รับ ทั้งหมดเขาจะมอบมันให้กับคนที่เขารักในตอนนี้



“ไอ้เด็กขี้แย่เอ้ย”





Sati’s talk



ตอนนี้ผมยืนอยู่ที่หน้าวัด วัดที่เคยเป็นที่อยู่ของผม วันนี้ผมกลับมาเยี่ยมหลวงตาเพราะได้ข่าวว่าหลวงตากลับมาจากอินเดียแล้ว



“บรรยากาศที่คุ้นเคยว่ะพี่” ผมหันไปมองพี่กูนที่ยืนอยู่ข้างๆผมในมือของพี่กูนถือสังฆทานที่เราสองคนจะนำมาถวายหลวงตา



“อยากกลับไปอยู่ไหมล่ะ”



“ถ้าพี่อยู่ด้วยผมก็อยู่ได้”



“อยู่บ้านกูเหมือนเดิมแหละดีแล้ว” ตอนนี้ผมเดินนำพี่กูนเข้ามาที่กุฏิของหลวงตา ซึ่งระหว่างทางจะต้องผ่านกุฏิพระเก่าที่เคยเป็นที่อยู่ของผมตั้งแต่เด็กจนโต



“อันนี้บ้านผม”



“อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ก็โอเคแล้ว” ถึงสภาพมันจะดูผุพังแต่ผมก็ขอบคุณมันนะที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้ “เข้าไปดูไหม?”



“ครับ” ผมแวะที่กุฏิเก่าของผมเพื่อขึ้นไปดูว่าสภาพมันยังเหมือนเดิมไหม อีกอย่างผมก็อยากรู้ว่าของของผมมันจะอยู่ครบรึเปล่า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเศษกระดาษก็เถอะ



ทันทีที่ผมขึ้นไปด้านบนผมก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้เพราะทุกอย่างมันยังเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือข้าวของเครื่องใช้ของพระ อย่าบอกนะว่าตอนนี้พระเยอะจนต้องเอากุฏิเก่ามาใช้แล้ว เมื่อเห็นว่าเป็นกุฏิที่มีเจ้าของอยู่ ผมจึงรีบออกมา



“เป็นของคนอื่นไปแล้วพี่”



“มึงก็มีบ้านแล้วไง” มันก็อดที่จะใจหายไม่ได้



ผมกับพี่กูนมุ่งหน้าไปยังกุฏิของหลวงตาต่อระหว่างนั้นผมก็พยายามซึมซับความรู้สึกและบรรยากาศเก่าๆของผม ที่ผมเคยอยู่ณ ตอนนั้น จนกระทั่งผมเห็นหลวงตากำลังสนทนาธรรมอยู่กับพระรูปหนึ่งอยู่ก่อนหน้า



“หลวงตาครับ”



“อ่าว มาไม่บอก” ผมรีบถอดรองเท้าออกและพุ่งกอดหลวงตาด้วยความคิดถึง หลวงตาท่านก็กอดผมตอบพร้อมกับลูบศีรษะของผมเหมือนอย่างเคย “โตขึ้นเยอะเลยนะเอ็ง”



“ผมคิดถึงหลวงตา หลวงตาสบายดีนะครับ”



“สบายดี แล้วนี่..มากับคุณตำรวจใช่ไหม” หลวงตาเพ็งไปยังพี่กูนที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ด้านนอก ผมจึงหันหลังไปบอกให้พี่กุนเข้ามาพร้อมกับสังฆทาน



“หลวงตาทิ้งผม” ผมแกล้งเบะปากทำหน้าเศร้าตามคอนเซ็ปต์ของการแสดง



“กลับมาอยู่ไหมล่ะ”



“ไม่ดีกว่าครับหลวงตา” ผมรีบตอบกลับทันทีที่ถาม จะกลับมาอยู่ได้ไงในเมื่อหัวใจของผมไม่ได้อยู่ที่นี้



“ขอบใจนะคุณตำรวจที่ดูแลมันให้”



“ผมก็ต้องขอบคุณหลวงตาที่ให้มันมาอยู่กับผม ถึงแม้ว่ามันจะดื้อและบ้าไปบ้างก็ตาม” ผมหันไปมองหน้าพี่กูนทันทีที่ว่าผมดื้อ ถ้าผมไม่ดื้อพี่ก็ไม่รักผมหรอกกกกก



“ดีแล้ว มาๆจะถวายอะไร” ผมกับพี่กูนถวายสังฆทานและถวายปัจจัยจำนวนหนึ่งให้กับหลวงตา ก่อนจะอยู่พูดคุยสักพักและขอตัวกลับ ผมสัญญากับหลวงตาว่าจะเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน ถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาดูแลหลวงตา เพราะผมไม่เคยลืมว่าหลวงตาคือผู้มีพระคุณที่สุดสำหรับเด็กที่ไม่มีอะไรอย่างผม





Kun’s talk



ผมยังจำได้ดีคำพูดของหลวงตาที่ท่านเคยพูดกับผมตอนที่ไอ้ติอยู่ในห้องฉุกเฉิน



‘ไอ้ติ ไอ้ติ มันเป็นอย่างไรบ้างครับ’

‘ ปลอดภัยครับ หมอบอกว่าขาหักและก็ช้ำตามตัวอีกพอสมควร ผมเลยให้หมอตรวจและเอกซเรย์อย่างละเอียดเผื่อว่ามีเลือดคลั่ง’

‘มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอคุณตำรวจ ไอ้จ้อย..ดูพี่พวกเอ็งทำกับหลวงตา หลวงตากลัวมันจะเรียนไม่จบจริงๆ อีกไม่กี่เดือน หลวงตาขอมันแล้วแต่ดูมันทำ...’

‘หลวงตาครับ คือเรื่องนี้ลูกศิษย์ของหลวงตาไม่ผิดครับ ทางเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมผู้ก่อเหตุไว้ที่โรงพัก จากการสอบปากคำลูกศิษย์ของหลวงตาเป็นผู้ถูกกระทำ...’

‘คุณตำรวจถ้าหลวงตาขอร้องให้ช่วยบางอย่าง..’

‘ครับหลวงตา ผมพร้อมช่วยเสมอ’

‘หลวงตาขอให้คุณตำรวจช่วยเอาไอ้ติไปอยู่ด้วยได้ไหม ลำพังหลวงตาเองก็ดูแลมันได้ไม่ดี ไม่มีเวลาให้มัน อีกอย่างหลวงตาจะไปอินเดีย ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่ คุณตำรวจช่วยหลวงตาด้วยนะ’

‘......’

‘ช่วยมันด้วยนะคุณตำรวจ...’

‘ครับ’

ใครจะไปรู้ว่าตั้งแต่วันที่ผมรับปากหลวงตา จนถึงวันนี้ ไอ้ติมันจะอยู่กับผมตลอดไป ถ้ามีผมอยู่มันจะปลอดภัย ผมไม่ยอมใครให้มาทำอันตรายกับมันเด็ดขาด เพราะ...ผมรักมันจริงๆครับ



2 ปีผ่านไป



ใครจะเชื่อว่าไอ้ติจะมีวันนี้!!!!



“ยินดีด้วยนะบัณฑิตใหม่!” ตอนนี้ผมยืนอยู่ในวงล้อมของพวกรุ่นน้องที่มาบูมให้ผมในวันรับปริญญาพร้อมกับเพื่อนๆของผม ไม่น่าเชื่อว่าผมจะเรียนจบแล้ว ไอ้ติเรียนจบปริญญาตรีแล้วเว้ย!!!!



“ขอบคุณครับ” ผมบริจาคเงินสมทบทุนให้พวกน้องๆที่มาบูมก่อนจะวิ่งไปหาพี่กูนที่วันนี้อาสามาถือของให้ผมและทำหน้าที่ซับเหงื่อให้ผมในวันที่อากาศร้อน



“ร้อนจังพี่”



“มึงนี่นะ” ถึงแม้น้ำเสียงจะดูเหมือนไม่อยากทำให้แต่มือพร้อมทิชชูยื่นมาซับเหงื่อผมก่อนเลย ไม่ให้รักได้ไงวะ “จะกลับได้ยัง”



“รอถ่ายรูปก่อนดิพี่ พี่จ้างช่างภาพมาให้ผมนี่ยังถ่ายไม่คุ้มค่าจ้างเลยนะ”



“ไม่เป็นไร กูรวย” ผมยอมความรวยของพี่มันตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ด้วยแล้วแหละครับ เอาจริงๆงานรับปริญญาผมก็ไม่จำเป็นต้องจ้างช่างมาถ่ายรูปทุกฝีก้าวแบบนี้หรอก แต่ด้วยความเวอร์วังของพี่กูนมันก็ต้องมี มีทุกอย่างที่คนอื่นมีแม้กระทั่งพวงมาลัยแบงก์พันหลายพวงที่คล้องอยู่ที่คอของผม “อ่ะ น้ำ”



“ขอบคุณครับ” ผมรับน้ำเปล่าที่พี่กูนยื่นมาให้กระดกดื่ม แต่ยังไม่ทันที่จะยกกระดกพี่กูนกลับตบหัวของผมก่อน “ตบทำไมพี่ เดี๋ยวสำลัก”



“หลอดก็มี”



“มันไม่สะใจ”



“เดี๋ยวเลอะ” ผมก็ต้องยอมใช้หลอดตามที่พี่มันบอก หลังจากนั้นผมก็ไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆคนอื่นเพื่อเป็นที่ระลึกในวันรับปริญญา อีกอย่างถ้าไม่มีเพื่อนๆผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะจบไหม เรียนมหาวิทยาลัยมันต้องพึ่งพาอาศัยกันครับ อย่างน้อยไม่มีปัญหาเรื่องงานกลุ่มก็โอเค



และแล้วเวลาที่พี่กูนรอคอยก็มาถึง เวลาที่ผมยอมกลับบ้าน ตอนนี้ของที่พี่กูนถือล้นมือเพราะส่วนมากมาจากรุ่นพี่รุ่นน้องทั้งนั้น จนกระทั่งตอนนี้เราสองคนขึ้นมาอยู่บนรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำ



“ขอบคุณนะพี่ที่มางานรับปริญญาของผม”



“ถ้าไม่มาก็แปลก”



“ขอบคุณที่ทำให้ผมมีวันนี้นะครับ ขอบคุณที่ส่งเสียผม ทั้งค่าเทอม ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์การเรียน และที่สำคัญคือค่าเหล้า” ด้วยความที่อยากกวนตีนทำให้ผมกราบพี่มันที่อกก่อนจะผละออกมาที่เดิม



“กูดูเป็นเสี่ยเลย”



“ก็เสี่ยกูนไงพี่”



“ไอ้ติ มึงทำให้กูดูแย่”



“แต่ผมรู้ว่าพี่ชอบ”



“ต่อจากนี้ก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะมึง” พี่กูนยื่นมือมาลูบศีรษะของผมเบาๆ “จะทำอะไรก็คิดดีๆ มีสติให้มากๆ คิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังมึงเยอะๆ”



“อย่างน้อยพี่ก็อยู่ข้างๆผมนะ”



“เรียนจบแล้วอยากได้อะไร”



“ได้พี่”



“......”



“พูดจริงๆนะ อยากได้พี่มานานแล้ว พี่บอกว่าผมเรียนจบเมื่อไหร่ค่อยเปลี่ยนสถานะไง ตอนนี้เบื่อเป็นแฟนแล้ว อยากเป็นอย่างอื่น”



“ไอ้ติ มึงพูดอะไรรู้ตัวไหม”



“รู้ตัวทุกอย่าง”



“งั้นกลับกันเถอะ กูก็อยากเป็นอย่างอื่นกับมึงจะแย่แล้ว....”





ตอนจบของผมกับพี่กูนมันไม่จำเป็นต้องจบที่เซ็กส์เสมอไป แต่อย่างไร...ตอนนี้ผมก็อดใจไม่ไหวแล้วครับโดยเฉพาะช่วงลำตัวขาวๆของพี่กูน กล้ามหน้าท้องสวยๆ ไรขนเซ็กซี่แบบนี้ ผมยอม ผมยอมทุกอย่าง พี่กูนจะจับผมใส่กุญแจมือหรืออะไรก็ได้ผมยอม



“มึงพร้อมนะ”



“เวลาพี่จับคนร้ายพี่ต้องถามคนร้ายว่าพร้อมไหมอะครับ”



“มันไม่เหมือนกันนิหว่า”



“พี่ก็คิดว่าผมคือคนร้าย แล้วเรามาเล่นตำรวจจับโจรกันนะพี่” เท่านั้นแหละครับหนุ่มขี้อายที่ยืนงงอยู่ปลายเตียงเปลี่ยนมาเป็นคนละคน



แววตาของพี่กูนตอนนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขามองผมเป็นคนร้ายและตอนนี้เขากำลังเล่นเป็นตำรวจที่กำลังไล่จับผม



“ขอตำรวจจับหน่อยนะครับ”



“จับเลยครับคุณตำรวจ” สิ้นเสียงยอมของคนร้ายอย่างผมพี่กูนก็กระโจนเข้ามาบนร่างของผมทันที และตอนนั้นเองที่ผมได้เรียนคำว่า ‘ไล่ล่า’ พี่กูนต้อนผมจนจนมุม จนผมไม่สามารถหนีเขาไปไหนได้



ท้ายที่สุดแล้วเราก็กลายเป็นของกันและกันอย่างสมบูรณ์



ผมได้เรียนรู้คำว่าเติมเต็มจนครบสมบูรณ์ก็วันนี้ ผมอยากจะขอบคุณที่ทำให้ผมมีความสุข ขอบคุณที่อยู่ในทุกๆความสำเร็จของผม และขอบคุณที่อยู่ข้างๆผมตลอดไป....



“รักพี่นะครับ”



“พี่ก็รักเรา...”





แต่...........!! มันยังไม่จบ เมื่อมีจดหมายซองหนึ่งส่งมาที่บ้านของกูนพร้อมจ่าหน้าซองเป็นชื่อของสติ



“พี่ใครส่งมาให้ผมอะ” สติรีบเปิดจดหมายในช่วงวันหยุดพร้อมกับกูนที่นั่งลูบผมสติอยู่ข้างๆ



“มึงก็เปิดดูดิ”



“.......” สติค่อยๆแกะซองจดหมาย ทันทีที่เขาเห็นลายมือ สติจำได้ทันทีว่าเป็นลายมือของใคร “พี่ทิม...” สตินั่งตัวตรงตั้งใจอ่านโดยมีกูนที่นั่งฟังอยู่ด้วยกัน





ถึงสติน้องรัก

พี่ขอโทษที่เป็นสาเหตุให้เราต้องเจ็บ พี่ไม่รู้ว่าเราจะให้อภัยพี่ไหม แต่ที่พี่อยากให้เรารู้ว่าพี่รักเราเสมอ พี่ดีใจที่เรามีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีกับคนที่เรารัก ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้พี่เองก็สบายดี ได้ข่าวว่าเรียนจบแล้ว พี่ก็ยินดีกับเราด้วยนะ สำเร็จไปอีกขั้นแล้ว ต่อไปก็คงต้องเหนื่อยหน่อยแต่พี่เอาใจช่วยเราอยู่ตรงนี้เสมอ ถ้าพี่พร้อมพี่จะกลับมาหาเรานะ แต่คงไม่กล้าบอกให้เรามาอยู่กับพี่แล้วแหละ พี่มีรูปที่พี่ถ่ายหเราดูด้วยเผื่อคิดถึง ไว้จะติดต่อไปใหม่นะครับ

รักน้องเสมอ

ทิม



สติเปิดดูรูปภาพที่แนบมากับซองจดหมาย เป็นรูปสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ พร้อมกับข้อความมากมายที่บรรยาย สติดีใจที่เห็นว่าพี่ชายของเขาสบายดี แต่คนข้างๆกลับ...



“มึงยิ้มอะไร”



“ก็มีความสุขไงพี่”



“ทีกูมึงไม่เห็นยิ้มแบบนี้เลย”



“ผมก็ยิ้มให้พี่ทุกวัน มีแต่พี่ที่ทำหน้าอมขี้ใส่ผม”



“เดี๋ยวมึงจะโดน”



“โอ๋เอ๋พี่ ผมอ่ะ รักพี่ที่สุดเลย” สติจับหน้าของกูนเข้ามาใกล้พร้อมกับกดจูบแรงๆ



ชีวิตนี้เขาคงไปไหนไม่รอดแล้ว มีที่เดียวที่สติจะอยู่ก็คือในใจของกูน



The End





ปล. จบแล้วพี่กูนน้องติ ขอบคุณทุกคนที่อยู่กับเรามาทุกตอนนะคะ ตอนแรกเรื่องนี้เรากะเอาไว้ว่าอยากไปเริ่มนามปากกาใหม่ อยากเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างเพราะปัญหาที่เราเจอกับนิยายมันเป็นประสบการณ์ที่แย่มากพอสมควร แต่พอเรากลับมาคิดดูแล้วปัญหานั้นมันแย่จริง แต่เราคิดว่าการเริ่มต้นใหม่มันเป็นการหนีปัญหาแต่บางครั้งการหนีปัญหามันก็น่าจะดีกว่าซึ่งตอนนั้นเราคิดแบบนั้น สุดท้ายแล้วเรากลับมาคิดว่าแค่ปัญหานั้นหรือว่าขี้ขลาดของเรากันแน่ จนสุดท้ายเรากลับมาเป็นไก่ทอดเหมือนเดิม ถึงวันนี้ไม่ใช่วันของเราแต่วันพรุ่งนี้หรือวันอื่นๆมันต้องมีสักวันที่เป็นวันของเรา ขอบคุณทุกคนจริงๆนะคะที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เรื่องแรกหรือเรื่องนี้ กำลังใจของทุกคนเป็นสิ่งที่สำคัญกับเรามากๆถ้าไม่มีทุกคนก็คงไม่มีไก่ทอดมาแล้วจ้าในวันนี้

ปล. ถ้าเราอัพช้าหรือหายไปนานเราต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้นะคะ สัญญาว่าจะเป็นไก่ทอดที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเองเพื่อนักอ่านที่น่ารักของเราทุกคน แค่คุณยิ้มและมีความสุขไปกับนิยายของเรา นั่นคือความสุขของคนเขียนค่ะ

ปล. 2 เรื่องใหม่เราเปิดแล้วนะคะ #โคอ่อนชอบกินหญ้าแก่
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 09-05-2020 18:10:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 09-05-2020 22:46:31
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 10-05-2020 03:14:35
พี่กูนอดทนเก่งมากๆ รักกันนานๆ
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: natanika ที่ 11-05-2020 19:33:33
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 11-05-2020 22:38:46
แงงงงง :-[ ไม่อยากให้จบเลย
น่ารักกกกกกมากกกกกกก กร๊าวใจสุดๆ
อยากให้มีตอนพิเศษจัง
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 13-05-2020 21:11:27
 o13
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 15-05-2020 17:51:28
น่ารักใสๆ กันไป
พี่กูน ของน้องติ
จากพี่ ไปพ่อ และ จบที่_ัว 5555
ขอบคุณนักเขียนจะส่งแรงใจ ไปให้ และ ติดตามเรื่องต่อไปน้าาาา
 :pig4: :pig4: :pig4:
 o13 :bye2:
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 18-05-2020 14:55:57
โอ๊ย ละมุนละไมมากแม่ แมนๆคุยกันอะ ชอบบ ย้องติของพี่กูน ♥️♥️ ขอบคุณนิยายน่ารักๆแบบนี่มากเลยค่ะ สมูททั้งเรื่อง อร๊ายย
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: wipor ที่ 18-05-2020 16:26:26
เขียนดีมากเลยคะ คำผิดไม่มีให้สะดุดเลย ภาษาดี กะชับ ไม่เร็วไม่ช้า มันน่ารักแบบดิบนิดๆ เอ็นดูทั้งคุณตำรวจและเด็กช่างค่ะ
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 25-05-2020 20:25:36
เป็น​ผลงานที่น่าชื่นชมมากค่ะ การเดินเรื่องก็ไม่ยืดเยื้อ กระชับและเข้าใจ​ง่าย อาจจะมีคำผิดอยู่บ้างแต่ไม่มาก เสียดายที่มาเจอเรื่องนี้ช้าไป แต่ก็ขอบคุณ​เรื่องราวดีๆและเป็นกำลังใจให้กับเรื่องต่อๆไปนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 28-05-2020 20:25:34
 :กอด1:สนุกค่าาา
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: RENYINGYING ที่ 29-05-2020 09:57:15
ว้าวววววคืออยากบอกคุณคนเขียนมากเลยค่ะว่าสนุกมากกกกกก ชอบมากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวทั้งคืนยันสว่าง55 ไม่อยากให้จบเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน  :pig4: :3123: :กอด1: เนื้อเรื่องมีกลิ่นอายความrealมากเลยค่ะ จริงๆก็อยากให้เนื้อเรื่องยาวกว่านี้(อยากเห็นเขาสวีทกันมากกว่านี้ > < อยากเห็นNCจุง :haun4: ) แต่แค่นี้ก็แฮปปี้เอนแล้ว รอติดตามเรื่องอื่นของคุณนักเขียนบ้างดีกว่า55 ชอบแนวนี้นะคะ พระเอกแก่กว่านี่ใช่เลย  :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 11-06-2020 17:00:28
คือดี อะ ละมุนไปหมด   สงสารพี่ทิมเหมือนกันน๊า   :pig4:
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: politesseone ที่ 18-06-2020 17:00:19
สนุกมากกกกกก ถ้าบอกว่าเราอยากได้ nc สักนิดนึงตอนจบจะดูหื่นไปไหม 55555
ยังไงก็ตามขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ สนุกมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 19-06-2020 02:33:43
ขอบคุณมากสำหรับนิยายเรื่องนี้ พี่กูนคือนิยามของคำว่าเปย์หนัก55555 ส่วนสตินี่คือแก่นแก้วมาก ซ่าสุดไรสุด เพิ่งได้มาอ่านน่ารักมากๆเลย
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 19-06-2020 10:57:17
 :z13:
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: BM_CBC ที่ 11-08-2020 11:00:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 13-08-2020 11:27:10
พี่กูนสายเปย์ที่แท้ทรู
ขอแบบนี้คนนึงค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 16-08-2020 22:17:50
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 23-09-2020 21:37:51
สติลุกหนักมาก 55555 :hao7: