ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
█ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █ █
(http://image.free.in.th/z/ij/3lbkxsf.gif)
HI THERE ! WELCOME TO MY DREAM
ARE YOU SURE FOR JOIN IT WITH ME ? :P
สวัสดีครับทุกคน :) (ถือโอกาสจัดหน้ากระทู้ตัวเองใหม่ซะเลย เพราะมันรกมากกก)
ผมชื่อ โจ๊ก นะครับ ติดตามอ่านนิยายในบอร์ดนี้มานานพอสมควร เลยเกิดความฝันว่าตัวเองอยากมีเรื่องราวเป็นของตัวเองบ้าง
ก็เลยลงมือแต่งซะเลย หวังว่ามันจะเป็นรูปเป็นร่างและทำให้คนที่อ่านมีความสุขกับมัน (>O<)
เรื่องนี้ชื่อว่า Perfect Math ซ่อนรักร้ายนะครับ ดูจากชื่อเรื่องก็สามารถเดาได้ว่าต้องเป็นเรื่องราวอันแสนวุ่นวายเกี่ยวกับการจับคู่แน่ๆ เรื่องราวอาจจะซับซ้อนชวนปวดหัวหน่อยนะครับ อาจจะดูดาร์กๆ หน่อย แต่จะพยายามสอดแทรกข้อคิดต่างๆ ลงไปให้เยอะที่สุดนะครับ (: อยากฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจทุกคนได้นะครับ มีความเห็นยังไงก็ติชมกันได้
(http://image.free.in.th/x/ia/299147reply447fcb3ea7a8f2.gif)
Synopsis
One day,I woke up just? to realize
That there is no more sunshine
And no more love in the sky...
Tried and tried to let go of what was mine,
Love that I thought was so fine
Keeps holding my heart,won't let go...
One kiss for goodbye. One touch for the last time
Just one more chance to be in your life...
So deep,our love lies. Bring tears to my eyes,
To realize we're not meant for each other...
....My heart still denies to let go.....
ผมจำได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตพ่อกับแม่จะสอนผมอยู่เสมอว่าให้มองโลกในแง่ดี มองทุกอย่างให้เป็นสีชมพูอยู่เสมอ คิดเสมอว่าทางเดินที่เราเดินนั้น คือ พรหมยาวสีแดงที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีชมพู (^____^) แต่วันนี้ผมกลับคิดว่ากลีบกุหลาบที่หล่นตามทางเป็นสีเทาซะอย่างนั้น -_____-;; การได้พบเจอกับเขาถือว่าเป็นเรื่องราวสวยงามของชีวิตที่ผมไม่มีวันลืมเลย แต่ในขณะเดียวกัน... เรื่องราวในชีวิตผมกลับเปลี่ยนไปเพียงเพราะเขาคนเดียว ส่วนจะเปลี่ยนไปในด้านไหนคงต้องดูกันต่อไปแล้วล่ะ ไม่ว่าจะมีอะไรมาขวางกั้นผมก็จะสู้เต็มที่ (>O<)
แต่เอ๊ะ O___o นั่นมัน .... หมายความว่ายังไง ทำไมผู้ชายพวกนี้ถึงโผล่เข้ามาในชีวิตผมได้เนี่ย และนั่นมันเรื่องอะไรกันทำไมมีฉากหลังของดินแดงแห่งความโรแมนติกมาเกี่ยวข้องด้วย และผู้ชายปริศนาคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมแววตาเขาถึงเจ็บปวดจัง แล้วนายบ้าบาสเกสบอลนี่ทำไมชอบมาวุ่นวายในชีวิตผมจัง เดี๋ยวสั่งให้เพื่อนรักผมจัดการน็อกซะเลย ไม่เป็นไรผมยังมีพี่ชายอยู่อีกคน ใครจะทำอะไรผม ผ่านด่านพี่ชายผมไปให้ได้ก่อนเถอะ !!!
ขอบคุณภาพโปสเตอร์ประกอบนิยายสวยๆ จากเเพื่อนผมนะครับ @Kat
เรียงจากซ้ายไปขวา เวกัส บีทีน เบลมอธ เชอร์เบล แร็กตาร์ ซิน ซีเครท
(http://image.ohozaa.com/i/9f4/k6HCL3.jpg)
Poster อีกอันนะครับ เวอร์ชั่นซีเครท กับ เชอร์เบล ฟินมากๆ (>O<)
(http://image.free.in.th/z/ie/fxlg9vin.jpg)
Prologue II
Secret & Vegus
-Secret-
10.31 PM @ Night Pub
ผมยืนพิงบาร์ยาวสีเงินอยู่มุมในสุดที่ไม่มีใครเห็น มือขวาถือแก้วมาร์ตินี่จิบสลับกับกวาดสายตามองไปรอบสถานบันเทิงแห่งนี้ แสงสีส้ม เขียว สาดส่องไปมา กลางฟลอร์มีคนจำนวนมากกำลังยืนเต้นกัน สีหน้าตกอยู่ในความเมามาย ผู้หญิงบางคนโอบคอกับผู้ชายที่คาดว่าเพิ่งจะเจอกันได้ไม่ถึงสิบนาทีแล้วจ้องตากันอย่างหวานซึ้ง อีกมุมหนึ่งของผับเป็นเคาน์เตอร์บริการเครื่องดื่ม มีผู้หญิงห้าคนใส่ชุดเดรสหนังสีดำนั่งไขว่ขวาอยู่ เรียวขายาวสวยบนส้นสูงห้านิ้วสลับไปมาจนอาจทำให้ผู้ชายบริเวณนั้นหัวใจวายได้ เสียงเพลงดังขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะการเต้นของหัวใจ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หัวใจคนที่นี่ก็ครึกครื้นตามไปเท่านั้น ราวกับไม่มีใครมาสารถหยุดได้
ชั้นสองของผับแห่งนี้มีห้องพักสุดหรูให้เช่าอยู่เป็นจำนวนมาก และเหมือนว่าห้องเหล่านั้นจะทำรายได้ให้แก่เจ้าของผับมากกว่าเงินค่าสมาชิกที่นี่เสียอีก
...ตามบันไดขึ้นไปชั้นสองมักมีเงาตะคุ่มสีดำหยุดอยู่ไปแห่งหน
ตัวผมเองก็ไม่ทราบว่าทุกสถานบันเทิงจะมีสองอาชีพในตัวแบบนี้ทุกที่ไหม แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าเป็นอาชีพสุจริตก็ทำไปเถอะ ดีกว่าไปฆ่าคนตายให้ตำรวจต้องมีภาระงานเพิ่มขึ้นไปอีก
ความรู้สึกราวกับมีคนจ้องมองอยู่ทำให้ผมหันหน้าไปทางด้านซ้าย ...ไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในมุมมืดเช่นเดียวกับผม แสงสว่างจากลูกดิสโก้สาดส่องไปมากระทบร่างคนนั้น ดวงตาเรียวคมสีดำที่ไม่ส่อแววเย็นชาแม้แต่นิด แต่กลับทำให้คนมองหายใจไม่ทั่วท้องซะมากกว่า ผมยาวระต้นคอถูกจัดทรงมาอย่างดีแบบพวกคุณชายไฮโซ เสื้อผ้าแบรนด์ดังที่เขาสวมใส่อยู่ยิ่งขับดวงหน้าขาวอมชมพูนั้นให้น่ามองขึ้นไปอีก ริมฝีปากบางชมพูอ่อนเหยียดยิ้มที่มุมปากเหมือนจะบอกว่าอะไรในโลกนี้ถ้าเขาต้องการมันก็จะมากองอยู่ตรงหน้าโดยไม่ต้องกระดิกนิ้ว เขาชูแก้วเหล้าขึ้นตรงหน้าเป็นเชิงชวนดื่มผมชูแก้วเหล้าตอบกลับไป
ทุกอย่างมันน่าจะจบแค่นั้นหลังจากที่ผมหมดความสนใจบุคคลตรงหน้าแล้วหันกลับมา แต่สัมผัสอ่อนนุ่มของอะไรบางอย่างพร้อมกับเสียงที่จงใจดัดให้สูงกว่าเดิมทำให้ผมจำเป็นต้องสานต่อเรื่องราวโดยไม่รู้ตัว
“อ๊ะ ขอโทษทีครับ”
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ร่างบางที่เซล้มเอาสะโพกกลมมากระแทกต้นขาผมเกือบล้มจนผมต้องคว้าตัวเขาเอาไว้ในอ้อมกอด ดวงตาเรียวคู่นั้นเป็นประกายระยิบระยับหวานซึ้ง ไม่แน่ใจว่าเขาเมาหรือเปล่า นิ้วชี้เรียวยาวสวยยกขึ้นกรีดไล้ตั้งแต่ริมฝีปากผมลงมายังแผ่นอกกว้างและวนนิ้วไปมาตรงกลางอก หัวใจผมเต้นที่แรง ร่างกายร้อนวูบวาบ อารมณ์บางอย่างประทุขึ้นกลางใจยิ่งบวกกับมาร์ตินี่ที่เพิ่งดื่มเข้าไป ทำให้ผมเบลอไปหมด คนในอ้อมกอดตรงหน้าผมหัวเราะคิกคักอย่างมีจริตจะก้านเมื่อเห็นแววตาสั่นไหวของผม เขาดันตัวเองออกจากอ้อมกอดผม แล้วจ้องผมด้วยสายตายั่วยวน
“ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยผม ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้ผมคงล้มลงไปแน่ๆ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณโอเคก็ดีแล้ว”
“เอ..แปลกจัง”
“ทำไมเหรอครับ”
“ผมว่าสรรพนามการแทนตัวของเราสองคนดูแปลกๆ คุณอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบสี่นะ ส่วนผมก็เพิ่งจะยี่สิบเอ็ดปีนี้”
“ผมเรียนวิศวะปี 5 ที่มหาวิทยาลัยไฮเดรนเยียร์ครับ”
“บังเอิญจังเลยครับ ผมก็เรียนที่นั่นเหมือนกัน แต่เรียนมัลติปี 3”
แววตาของคนตรงหน้าสั่นระริกเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ เขาเองก็คงไม่รู้เหมือนกันสินะว่าผมอาจจะรุนแรงกว่าที่เห็นภายนอก
“งั้นเปลี่ยนมาแทนตัวเองว่าเรากับนายแล้วกันเนอะ เราชื่อซีเคร็ท แต่เรียกสั้นๆ ว่า ‘ซีท’ ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“เช่นกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ เรา ‘เชอร์เบล หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ’”
เชอร์เบลยื่นมือออกมาตรงหน้า ผมส่งมือตอบกลับไปให้จับ ทันทีที่มือบางสัมผัสกับมือผมราวกับกระแสไฟฟ้าละเลงไปทั้งตัว เขาบีบมือผมไปมาเบาๆ ยิ่งทำให้ความปรารถนาในใจผมเพิ่มมากขึ้น
…หรือว่าอยากเล่นกับไฟ ไม่แน่ใจเหมือนกันอาจเป็นตัวผมมากว่าที่อยากเล่นกับไฟ
ก็กองไฟที่ลุกโชนตรงหน้ามันช่างเชิญชวนให้เข้าไปสัมผัสเหลือเกิน วินาทีนั้นไม่รู้ว่าอะไรครอบงำจิตใจผมอยู่ สิ่งที่ผมรู้อย่างเดียวคือถ้าผมปล่อยร่างบางนุ่มนิ่มที่แสนจะเชิญชวนตรงหน้าไป ผมคงเป็นคนที่โง่ที่สุด
“ถ้านายยังไม่รีบกลับ อยู่ดื่มด้วยกันก่อนสิ พอดีเราออกมานั่งแก้เซ็งน่ะ คิดการบ้านไม่ออก”
“อื้ม ได้สิ ให้เราช่วยคิดป่ะ เราเรียนมัลติน่าจะพอช่วยงานในสายที่นายเรียนอยู่ได้”
“อืม สัญญาแล้วนะว่าจะ ช่วย น่ะ”
ดวงตาของเชอร์เบลเป็นประกายระยับซะจนผมแอบกลัวว่าผมอาจจะเป็นเพียงแค่ลูกไก่ในกำมือเขาเท่านั้นเอง เขาเหมือนเป็คนคุมเกมทุกอย่าง และผมเป็นเพียงหมากในกระดานที่เขาจะผลักดันมันไปทางไหนก็ได้ ปากผมกล่าวเสียงเบาออกไปโดยไม่ทันคิด
“ถ้ายังไงด้านบนนี้มีห้องว่างอยู่ ไป ช่วย กันคิดด้านบนดีไหมล่ะ เพราะเท่าที่ดีนายคงไม่สนุกกับเสียงเพลงด้านล่างนี้เท่าไหร่”
“ใช่แล้ว เราเบื่อมากเลยแหละ แต่เราคิดค่าจ้างนะ นายต้องเปิดไวน์แดงให้เราหนึ่งขวด เพราะตอนนี้อากาศเริ่มร้อน เรารู้สึก กระหายน้ำ แล้วล่ะ”
คำพูดของเขาทำให้บางสิ่งบางอย่างตื่นตัวขึ้นมาเร็วขึ้นทั้งที่แทบจะไม่ได้สัมผัสมัน ผมมองคนหน้าหวานตรงหน่าอนจะเอื้อมไปกุมมือพาเดินไปบอกบาเทนเดอร์ที่ยืนรับคำสั่งตรงมุมห้องว่าเราสองคนอยากได้ห้องสวีทกั้นเสียงได้ และขอไวน์แดงหนึ่งขวด จากนั้นเราสองคนจึงรับกุญแจและขึ้นไปรอด้านบนก่อน ตลอดทางเราสองคนจับมือกันแน่ไม่ยอมปล่อย อากาศร้อนหรือใจคนที่ร้อนกันทำให้มือผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากบองของเชอร์เบลเหยียดตรงดูมีเสน่ห์จนอยากก้มลงไปลิ้มลอง รูปร่างสูงสมส่วนแบบผู้ชายทั่วไปแต่บอบบางอยู่ในที ถ้าปราศจากเสื้อผ้าปกคลุมมันจะฮอตขนาดไหนนะ
ผมสะดุ้งตกใจเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสอ่อนนุ่มกระทบลงบนจุดศูนย์กลางของร่างกายผม ทำให้อารมณ์ที่ผมเพิ่งจะดับมันลงไปเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“อุ๊ย ขอโทษที ไม่ทันเห็น พอดีตอนแรกจะดึงเสื้อออกจากางเกงอ่ะ อากาศเริ่มร้อนแล้ว”
“อ๋อ อืม ไม่เป็นไรหรอก ถึงห้องแล้ว ไขกุญแจแปปนะ อ๊ะ”
เสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้นเป็นข้อความจาก ‘บีทีน’ น้องชายเพียงคนเดียวของผม ขัดจังหวะชะมัดเลย มีอะไรอีกเนี่ยเจ้าตัวดี ผมกดรับและกรอกเสียงลงไป
“ว่าไงบีน”
ชื่อของผมมีสองพยางค์เช่นเดียวกับชื่อบีทีน พ่อแม่บอกว่าบางครั้งออกเสียงยาก จึงรวมเสียงซะเวลาเรียนกันเฉยๆ เช่น บีทีน จะเรียกผมว่า พี่ซีท แต่ผมจะเรียกบีทีนว่า บีน
“ตอนนี้บีนมารอพี่ซีทอยู่หน้าผับอ่ะ พอดีจะขอกุญแจเข้าบ้านหน่อยอ่ะ บีนลืมมันไว้ในบ้าน แหะๆ”
เสียงหัวเราะแบบเด็กกลัวความผิดทำให้ผมอมยิ้ม ...น้องชายผมน่ารักแบบนี้เสมอแหละ
“โอเค ได้ งั้นเดี๋ยวพี่ลงไปให้ข้างล่าง รอแปปนะ ว่าแต่มากับใคร”
“อ๋อ บีนมากับ ‘เวกัส’ อ่ะ วันนี้เราสองคนไปเดินเที่ยวที่ทะเลกัน กะจะฉลองให้เต็มที่ก่อนเปิดเรียนอาทิตย์หน้าไง”
“เหรอ ฉลองอย่างเดียวใช่ไหม ไม่มีของมึนเมานะ”
“แหม พี่ชายก็ ระดับบีนแล้วไม่มีทางทำให้พี่ผิดหวัง”
“โอเค ได้ๆ งั้นรอพี่แปปนะ เดี๋ยวเอาลงไปให้”
“คร้าบบบบ”
ผมวางสายจากบีทีนแล้วหันไปบอกเชอร์เบล “นายนั่งโซฟาหน้าห้องรอเราแปปนึงนะ พอดีน้องเรามาเอากุญแจอ่ะ ขอโทษที่ทำให้รอนะ”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก เรานั่งรอตรงนี้แหละ รีบไปเถอะ เดี๋ยวเขารอนาน หน้าผับยิ่งพวกวัยรุ่นเยอะอยู่”
“ครับผม รอแปปนึงนะ”
เสียงรองเท้าหนังเสริมส้นดังกระทบพื้นเกิดเป็นเสียงกึกกักในความมืด หากไม่ตั้งใจฟังดีๆ แล้ว คนที่อยู่บริเวณนั้นอาจจะเข้าใจว่าไม่ใช่เสียงที่บ่งบอกการมาของคน รองเท้าคู่นั้นมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่งแล้ว มือขวายกขึ้นมาบิดลูกบิดเข้าไปอย่างง่ายดาย ในความมืดนั้นไม่มีใครสักคนสังเกตเห็นผู้มาเยือนยามวิกาล ร่างนั้นสอดกายเข้าไปในห้องใช้มือคลำผนังห้องในการบอกทางโดยเลือกที่จะไม่เปิดไฟ
ประตูห้องด้านในสุดถูกเปิดออกอย่างเบามือ สายตาที่เริ่มจะชินกับความมืดมองเห็นของตกแต่งภายในชัดเจน โต๊ะเครื่องแป้งสีขาวตั้งอยู่บริเวณปลายเตียงห่างออกไปประมาณสองเมตร ร่างในเงามืดเดินไปหยุดอยู่ตรงนั้น มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทหยิบของบางอย่างมีลักษณะสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีจุดสีขาวเงินตรงกลางวางทิ้งไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งโดยหันจุดสีเงินขาวนั้นไปยัง
...เตียงขนาดคิงไซส์
ร่างนั้นเดินถอยห่างออกมาค่อยๆ ปิดประตูลงตามเดิม คลำทางไปที่ทางออกและปิดประตูลง ภายในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นทางเดินในความมืดทั้งชั้นก็เหลือเพียงแต่ความเงียบ
To Be Continue
Part นี้ยังไม่จบนะครับ เหลืออีก 60 %
Chapter 1
Hydrenyears University
(http://image.free.in.th/z/ix/r_34510.jpg)
...อากาศเย็นสบายแบบนี้ทำให้เขาอยากกลับไปตอนที่บ้านซะให้รู้แล้วรู้รอด...ไม่น่าไปตกปากรับคำว่าจะมาเล่นบาสด้วยกันตอนเย็นเลย...
เวกัสคิดอย่างเซ็งๆ แล้วเอามือปิดปากหาว แม้จะผ่านมาถึงตอนเย็นแล้วแต่นักศึกษาบางคนในมหาลัยยังคงเดินผ่านไปผ่านมาให้เห็นประปราย ท้องฟ้าครึ้มเล็กน้อยเหมือนสัญญาณว่าในไม่ช้านี้ฝนอาจจะตก แต่ดูเหมือนคนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้จะชินเสียแล้วกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย บางคนอาจจะหงุดหงิดโมโหจากผลกระทบที่มาจากฝน แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องน่ายินดีมาก เพราะเขาสามารถนอนห่มผ้าห่มหลับอย่างมีความสุขท่ามกลางอากาศเย็นสบายและเสียงหยดน้ำจากฝนที่หล่นกระทบหน้าต่างด้านนอก
เขาหันไปมองบีทีนที่นั่งอ่านนิยายอยู่ข้างๆ แล้วกลอกสายตาไปมา บางครั้งเขาก็อยากชวนบีทีนให้หัดออกกำลังกายเสียบ้าง รู้ก็รู้ว่าตัวเองตัวเล็กไม่ชอบออกกำลังเลยป่วยบ่อยไงล่ะ เขาจะชวนไปวิ่งแต่ละครั้งก็ต้องยื้อยุดฉุดกระชากออกมาให้ได้ แถมยังมีหน้ามาบ่นว่าเขาพาออกมาเหนื่อยฟรีๆ อีก
...บางทีนี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาชอบชวนบีทีนออกไปข้างนอกบ่อยๆ ไม่ว่าจะไปเที่ยวสวนสนุก อ่านหนังสือ เดินเล่น หาร้านเค้กอร่อยกิน ซึ่งอย่างสุดท้ายเจ้าตัวดูท่าจะชอบที่สุดแล้ว และเขาเองก็ชอบด้วย ชอบ...ที่จะได้อยู่ใกล้กับบีทีน
ความรู้สึกที่เขาไม่เคยหาคำตอบได้เลยตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ทำเอาเขาหงุดหงิดแทบบ้าที่แต่ละวันต้องขนภาพความน่ารักของคนข้างๆ ไปฝันทุกคืน ก่อนนอนก็คิด ตื่นนอนก็คิด ทำไมถึงมีอิทธิพลขนาดนี้นะ ไหนจะแววตาอบอุ่นในความเจ้าเล่ห์ของพี่ชายบีทีนอีก เสียงร้องบวกกับเสียงกีตาร์ในวันนั้นเมื่อสองปีก่อนในเพลงเข้ากันไม่ได้เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ยังคงดังหลอกหลอนเขามาทุกครั้งที่เดินผ่านร้านเครื่องดนตรีหรือร้านขายแผ่นซีดี
ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับเขานี่ ?
“ทำไมแร็กตาร์มาช้าจัง”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ได้ยินหมอนั่นว่าอาจจะช้าหน่อยเพราะมีเรียนวิชาสาขาก่อนเลิกน่ะ”
“อ๋อ เวกัสเดี๋ยวเราจะไปซื้อน้ำเปล่าตรงนั้นจะฝากซื้ออะไรไหม”
“เหมือนเดิม”
“โอเค โกโก้เย็นสินะ”
บีทีนหยิบกระเป๋าเงินและเดินไปทางซุ้มขายน้ำที่ไม่ไกลจากตรงนั้น เขามองตามสะโพกกลมมนที่เดินไปข้างหน้าแล้วต้องบังคับตัวเองให้หันหน้าหนีไปทางอื่น ซึ่งบังเอิญไปเจอกับแร็กตาร์ที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาทางนี้ ใบหน้าหล่อเหลามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ เกาะอยู่ ข้างหลังมีเป้สีดำใบเก่งพาดอยู่บนไหล่ มืออีกข้างกอดลูกบาสสีส้มไว้แนบอก เขาวิ่งมายืดอยู่หน้าเวกัส
“แฮกๆ ขอโทษทีนะ อาจารย์ปล่อยช้าไปหน่อยน่ะ รอนานหรือยังเนี่ย”
“ไม่เป็นไรๆ ตอนเช้านายบอกฉันไว้แล้วล่ะ เลยเพิ่งมาถึงเหมือนกัน”
“ขอโทษทีนะ ป่ะ พร้อมหรือยัง ฉันพร้อมเต็มที่”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ นายมีชุดกีฬามาเปลี่ยนใช่ไหม”
“แน่นอน”
“ไปเปลี่ยนห้องน้ำตรงนั้น เดี๋ยวเจอกัน”
“ได้”
แล้วทั้งสองก็ค้นเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าเดินไปเปลี่ยนตรงห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลนัก
ทางด้านของบีทีนที่กำลังถือน้ำเปล่ากลับมาสองขวดกับแก้วโกโก้เย็นหนึ่งแก้ว นำมาวางไว้ตรงที่นั่งเมื่อครู่
...สงสัยไปเปลี่ยนชุดกันแน่ๆ เลย...ว่าแต่ทำไมเราต้องซื้อน้ำเปล่ามาสองขวดนะ เวกัสเองก็มีโกโก้แล้วนี่...
ใบหน้าของบีทีนแดงก่ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะใจกำลังคิดไปถึงใบหน้าหล่อเหลากวนประสาทของผู้ชายอีกคนที่นัดเวกัสมาเล่นบาสด้วยกันเย็นนี้ แล้วต้องรีบสะบัดหัวไปมาแก้อาการฟุ้งซ่าน
...บ้าน่า...ไม่จริงหรอก...
...ที่เราซื้อมาสองขวดก็เพราะว่าต้องเผื่อเวกัสตอนเล่นเหนื่อยกลับมาไง เผื่ออยากกินน้ำเปล่าขึ้นมาจะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับไปซื้อ...
...ใช่แล้วล่ะ...ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เลย...
7.17 PM
ผู้ชายสองคนที่กำลงเล่นบาสอยู่กลางสนามไม่ได้เรียกความสนใจจากบีทีนเลยแม้แต่น้อย เขานั่งอ่านนิยายจนจบไปหลายบทแต่สองคนนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าเหนื่อยหรืออยากพัก กลับคึกคักถอดเสื้อกีฬาออกโชว์รูปร่างท่อนบนสุดเซ็กซี่ขยี้ใจสาวน้อยสาวใหญ่ที่เดินผ่านไปมา แม้เวลาจะผ่านมาเกือบชั่วโมงกว่าๆ แล้วก็ตาม เหงื่อเม็ดเล็กๆ ไหลเปื้อนตัวของคนทั้งคู่ราวกับไปอาบน้ำมา เสียงตะโกนสลับกัน เสียงลูกบอลกระทบพื้นจากการเดาะ เสียงโห่ดีใจตอนใครคนใดสามารถดังค์ลูกลงห่วงได้ เขาคิดว่าตัวเองก็มีจุดดีเหมือนกันตรงนี้แหละที่เป็นคนประเภทไม่ชอบเล่นกีฬา ถ้าชอบเล่นขึ้นมาป่านนี้คงยืนเหนื่อยวิ่งไปมาอยู่กลางสนามอย่างนั้น แล้วกลับบ้านไปก็คงต้องกินยาแก้ปวดแก้อาการขัดยอกแน่ๆ นั่งมองเขาเล่นแบบนี้คงดีกว่า แม้ว่าจะเบื่อแสนเบื่อมากก็ตาม
บรรยากาศโดยรอบมืดลงเรื่อยๆ ไฟที่ติดไว้ตลอดทางสว่างขึ้น สีส้มของมันที่แผ่กระจายออกมาให้บรรยากาศดูอบอุ่นขึ้นมา บีทีนคิดว่ามันเหมือนขนมเค้กรสส้มที่ชอบกินเลย มันจะสีส้มๆ ชวนกินแบบนี้ แถมยังหวานสุดๆ ไปเลย พูดถึงของกินแล้วเริ่มหิวแล้วสิ ก่อนกลับบ้านแวะซื้อขนมปังกับนมสดที่ปากซอยเข้าบ้านดีกว่า ซื้อเผื่อพี่ซีทด้วย รายนั้นคงไม่ยอมหาอะไรกินเองแน่
“โอเคนะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ เหนื่อยแล้ว”
“ได้ๆ วันหลังถ้าว่างตรงกันค่อยมาเล่นใหม่ อ้าว บีน นายเป็นอะไรหน้าบึ้งเชียว”
เวกัสที่เดินเปลือย (?) มากับแร็กตาร์เอ่ยทักเขาที่นั่งหน้าบึ้งอยู่
“รอพวกนายสองคนนั่นแหละ เย็นป่านนี้แล้วนะ ฉันหิวจะแย่”
“พูดถึงก็หิวขึ้นมาเลยทีเดียว”
“งั้นเราไปหาอะไรกินกันไหม ฉันรู้จักร้านอาหารตามสั่งอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง ใกล้มหาลัยนี่แหละ ถ้าพวกนายไม่รีบกลับไปกินด้วยกันสิ”
แร็กตาร์เอ่ยชวนทั้งสองคน บีทีนกับเวกัสมองหน้ากันเป็นเชิงตัดสินใจ ก่อนเวกัสจะเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเกรงใจ “ฉันขอโทษนะแร็กตาร์ อันที่จริงฉันอยากไปแต่บ้านฉันไกลน่ะ ยิ่งวันนี้ไม่ได้ค้างกับบีนด้วย กลับดึกคงไม่ดีเท่าไหร่ อยู่คนเดียวด้วยน่ะ”
บีทีนเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมา “งั้นเดี๋ยวคืนนี้นายนอนบ้านฉันก็ได้ จะได้ไปกินข้าวด้วยกันไง”
เวกัสขมวดคิ้วกับคำพูดนั้นก่อนสวนกลับไป “เดี๋ยวนี้บีนสรรพนามแทนตัวตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ เมื่อก่อนบังคับให้พูดก็ไม่ยอมพูด”
จบคำพูดนั้นบีทีนหน้าแดงทันที ...ก็แหม...อยู่กับพวกนายสองคนถ้าไม่พูดเขาก็ประหลาดอ่ะสิ
...ถือว่าเปลี่ยนแล้วกัน...ดูสนิทกันมากขึ้นด้วยเนอะ...
เวกัสมองหน้าอายๆ ของบีทีนแล้วเอามือไปโยกหัวไปมาเบาๆ จนบีทีนหัวเราะออกมาในที่สุด แร็กตาร์มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้ทำไมถึงต้องไม่พอใจลึกๆ ด้วย
“เดี๋ยวขอไปล้างหน้าแปปหนึ่งนะ ค่อยไปกัน ไม่เปลี่ยนชุดแล้วล่ะ”
“อืม รีบไปรีบมาล่ะ มืดมากแล้ว”
เวกัสเดินจากไปทิ้งแร็กตาร์กับบีทีนอยู่ด้วยกันสองคน บีทีนก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า จะให้กล้าได้ไงล่ะมายืนถอดเสื้ออยู่แบบนี้ คนเขาเขินนะ
หมับ!
“เฮ้ย”
เขาร้องเสียงดังเมื่ออยู่ดีๆ แร็กตาร์ก็ล้มทับตัวเขาลงบนเก้าอี้นั่งตัวยาวที่นั่งอยู่ ลำตัวของเขาสองคนแนบชิดติดกัน ยิ่งแร็กตาร์ตัวเปียกเพราะเหงื่อทำอะให้อะไรต่อมิอะไรกระทบกันมากยิ่งขึ้น แร็กตาร์ประสานสายตากับบีทีนก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“เหนื่อยจัง ขอพักสักแปปสิ”
“พักก็พักไปสิ นายจะมาทับตัวฉันทำไม ตัวไม่ใช่น้อยๆ นะ ออกไปเลย หายใจไม่ออก”
“ไม่ออก จะกอดแบบนี้แหละ”
“อ๊าก อะไรของนายเนี่ย”
บีทีนร้องออกมาเสียงดังเมื่อแร็กตาร์นึกพิลึกอะไรไม่รู้ เอาจมูกมากดไซร้ซอกคอเขาอยู่อย่างนั้น ใบหน้าเขาร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนจวนจะระเบิด แต่คนด้านบนยังไม่หยุดแกล้ง
“ทำไมหัวใจเต้นแรงจังเลยอ่ะ” แร็กตาร์เอ่ยแซวออกมา ยิ่งทำให้เขาเขินหนักขึ้นไปอีก
ตึกตัก... ตึกตัก...
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ย้าก!”
เขารวบรวมแรงทั้งหมดผลักแร็กตาร์ออกไปล้มลงบนพื้น แล้วกุมอกตัวเองเอาไว้ คนที่นั่งกองอยู่ด้านล่างหัวเราะออกมาอย่างไม่ถือสา เขาทำหน้าไม่ถูกกับสถาณการณ์แบบนี้ ได้แต่บอกตัวเองให้มีสติ
...เขาแค่แกล้งเราเล่นเท่านั้นเอง...
แร็กตาร์ขยับขึ้นมาหยิบเสื้อใส่และนั่งลงข้างเขาก่อนจะชวนคุย
“อากาศเย็นสบายได้เนอะวันนี้”
“แต่อีกแปปฝนคงตกแน่ๆ ดูฟ้าสิมืดไม่มีดาวเลย จะทันกินข้าวเสร็จหรือเปล่าเนี่ย”
“ทันสิ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันให้คนขับรถไปส่งพวกนายสองคนแล้วกัน”
“ให้มันตกจริงๆ ก่อนเถอะ ตอนนี้มันยังไม่ตก” บีทีนขัดแร็กตาร์ออกมาอีกครั้ง เขายิ้มที่มุมปากไม่พูดอะไร ก่อนจะเริ่มชี้ชวนบีทีนให้ดูนั่นนี่ไประหว่างรอเวกัส
...โดยที่ทั้งสองคนไม่รู้ว่าหลังเสาต้นเล็กถัดไปไม่ไกลจากจุดที่เวกัสไปล้างหน้านั้นตัวเขาเองก็กำลังมองทั้งคู่อยู่เช่นกันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย จะว่ายินดีก็ไม่ใช่ จะว่าเสียใจก็ไม่เชิง แต่ที่แน่ๆ คือมันเป็นความรู้สึกบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาคิดร้ายต่อคนทั้งคู่
...อย่างที่ควรจะเป็นเลยแม้แต่นิด
เบลมอธถอดรองเท้าหนังสีดำไว้บนชั้นวางรองเท้านอกห้องสมุด วางกระเป๋าหนังสีดำไว้บนโต๊ะแถวนั้น เช็กของเรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้าไปด้านใน
วันนี้ห้องสมุดคนค่อนข้างเงียบเขาขอโทษฟ้าฝนเมื่อคืนแล้วกันที่ทำให้อากาศเย็นสบายจนนักศึกษาขี้เกียจตื่น แต่นั่นไม่ใช่สำหรับเขาแน่นอนไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไรเขาก็ทำกิจวัตรประจำวันได้ดีไม่มีผิดเพี้ยนเสมอ
บรรณารักษ์ส่งยิ้มให้เขาอย่างคุ้นเคย ก่อนจะเอ่ยทัก
“วันนี้มาเช้าจังเลยนะคะ คนอื่นๆ คงยังไม่ตื่นแน่ๆ”
“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ก็ดีไปอีกแบบคนน้อยดี”
“ฮ่าๆ นั่นสิคะ วันนี้จะจองหมวดวรรณคดีตะวันตกอีกไหมเอ่ย”
“ครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ”
เขาส่งยิ้มให้บรรณารักษ์อีกครั้งแล้วเดินไปเข้าไปด้านในสุดซึ่งเป็นชั้นหนังสือของหมวดวรรณคดีตะวันตก
เบลมอธเดินเลือกหนังสือไปเรื่อยๆ ก่อนจะเลือกได้แล้วหยิบออกมาสองเล่ม หนังสือในห้องสมุดค่อนข้างกว่าตามอายุของมัน แต่เนื้อหาด้านในไม่ได้ลดคุณค่าลงเลยสักนิด และเขาเองก็หลงเสน่ห์แบบนี้จนทำให้ชอบหามุมสงบในซอกตู้วางหนังสืออ่านอยู่บ่อยๆ
...อย่างน้อยก็มีเรื่องราวในหนังสือนั่งเหงาเป็นเพื่อนดีกว่านั่งคนเดียวก็แล้วกันน่า....
"อ๊ะ" เบลมอธอุทานออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองถอยหลังไปชนกับใครเข้า ...เมื่อกี้ยังไม่มีใครนี่นา...หันมาอีกทีมีคนตามเข้ามาแล้วเหรอเนี่ย...
"ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ เป็นอะไรหรือเปล่า"
เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงนั้นก่อนจะตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ใช่แล้ว เขาจำได้ ผู้ชายคนนี้ ผู้ชายดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอแววอ่อนโยน เขาเจอผู้ชายคนนี้เมื่อเกือบสองปีที่แล้วก่อนขึ้นเครื่องไปเวนิสกับซิน
...ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมได้เจอเขาอีกครั้ง...
คนตรงหน้าดูเหมือนจะงงไปเล็กน้อยกับอาการตกใจของเบลมอธ เขาเลื่อนมือไปแตะหน้าผากคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถาม "นายเป็นอะไรหรือเปล่า"
วินาทีนั้นเบลมอธเหมือนจะรู้ตัวขึ้นมา เขาละล่ำละลักพูดพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้น "เปล่าน่ะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก เอ่อ ขอโทษทีนะที่ยืนขวางทาง"
"อืม ว่าแต่นายก็ชอบอ่านนวนิยายแถบตะวันตกเหมือนกันหรอ" คนตรงหน้าเอ่ยขึ้นเหมือนเป็นการชวนคุย เขายิ้มทันทีเมื่อเจอเรื่องที่ตัวเองชอบ
"ใช่แล้วล่ะ ฉันชอบแนวคิดของคนทางนั้น มันดูเป็นศิลปะดีอ่ะ อ่านแล้วรู้สึกว่าอะไรที่ไม่สามารถเกิดขึ้นมันสามารถเป็นไปได้เสมอถ้าเรามีศรัทธาและตั้งใจจะทำมันขึ้นมาจริงๆ"
"โห นายลึกซึ้งนะเนี่ย สงสัยจะอ่านบ่อยล่ะสิ"
"แน่นอน ที่บ้านฉันมีเป็นชั้นเลยล่ะหนังสือนิยายแนวนี้น่ะ"
"ยังไงว่างๆ ลองแนะนำนิยายน่าอ่านให้บ้างนะ ฉันเลือไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ เล่มไหนอยู่ใกล้มือก็หยิบมาอ่านเลย"
"อื้ม ได้สิ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง ว่าแต่นาย...เอ่อ..."
"ซีเครท หรือ เรียกสั้นๆ ว่า ซีท ก็ได้นะ ยินดีที่ได้รู้จัก"
เขาส่งมือแข็งแรงมาข้างหน้าเพื่อยื่นให้เบลมอธจับ เบลมอธจับกลับไปและยิ้มแสดงความยินดีที่ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ ฉันชื่อเบลมอธ ปี 3 เรียนการท่องเที่ยวอยู่น่ะ"
"จริงเหรอ?" คนตรงหน้าขมวดคิ้วนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ "นายอยู่ปีสามสินะ แต่ฉันปีห้าแล้ว เรียนวิศวะน่ะ"
"บังเอิญจังเลย อยากให้เรียกว่าพี่ไหม? ฮ่าๆ"
เสียงหัวเราะสดใสของเบลมอธทำให้ซีเครทอึ้งไปครูหนึ่ง ...เสียงหัวเราะที่มีความสุขอย่างแท้จริง ไม่ได้เสแสร้งเพื่อทำให้ดูดีเหมือนใครหลายคนที่ประสบพบเจอ... หน้าตาเรียวคมดุสง่าเมื่อจ้องไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ดวงตาเฉียบคมเหมือนสายตาเหยี่ยวแต่สวยงาม ความเศร้าที่หาคำมาอธิบายไม่ได้เปล่งประกายอยู่ในนั้นจนเขาอยากจะช่วยรักษาความเจ็บปวดในดวงตา
...คนตรงหน้านี้...เหมือนอัญมณีล้ำค่าที่นักรบในตำนานล้วนอยากครอบครอง...
"ไม่ต้องหรอก ว่าแต่นายน่ะเรียนสาขาเดียวกับน้องฉันเลยนะ"
"เหรอ บังเอิญจัง น้องนายชื่ออะไรเหรอ"
"บีทีนน่ะ"
"บีทีน..."
เบลมอธทำหน้านึกไปสักพัก ...เขาเพิ่งมาเรียนที่นี่ตอนปีสามเลยยังไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ แต่โดยส่วนตัวก็ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบความวุ่นวาย
"ถ้าเห็นหน้าน่าจะนึกออกน่ะ ยังไงจะลองเข้าไปทักดูนะ"
"อื้ม โอเคเลย"
"ว่าแต่นายอ่านเรื่องอะไรอยู่เหรอช่วงนี้น่ะ อ๊ะ!"
ตุบตับ... ตุบตับ...
"โอ๊ย!"
เบลมอธร้องออกมาเสียงดังเมื่อหนังสือเป็นจำนวนมากหล่นลงมาเหมือนมีคนผลักออกมาจากอีกฟากของชั้นหนังสือ หนังสือเหล่านั้นล้วนมีสันที่หนา บางสันแหลม มันหล่นกระทบใบหน้าของเบลมอธจนเกิดบาดแผล และเลือดสีแดงเป็นทางจากทางซ้ายของหน้าผาก ซีเครทตกใจมาก รีบเข้าไปประครองเบลมอธเอาไว้ แล้วพยุงออกมาอีกด้าน ก่อนจะมองไปด้านนั้นปรากฏว่าหนังสือหล่นลงไปหมดแล้ว เหลือเพียงร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทำหน้าตาแตกตื่นเหมือนกลัวความผิด เขาตะลึงไปทันทีเมื่อมองเห็นหน้าเด็กคนนั้นชัดๆ ...คนที่มีสัมผัสร้อนแรงจนเขาไม่มีวันลืมแน่ๆ หลังจากวันนั้นคนๆ นี้ก็หายตัวไปแบบลับๆ ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่มาก่อน เขาไปที่สถานบันเทิงห่งนั้นอีกหลายครั้ง แต่ไม่เคยเจออีกเลย แล้วนี้มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในสถาณการณ์แบบนี้ที่คนตรงหน้า...
...ใส่ชุดนังศึกษาของมหาลัยเดียวกับเขา
...เชอร์เบล...
"ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่ามีคนอื่นอยู่ตรงนี้นะ จะหยิบหนังสืออีกเล่มแต่มือพลาดไปปัดมันตกมาหมดเลย"
เชอร์เบลที่วิ่งหน้ามีอีกฟากของชั้นหนังสือก้มหัวลงและเอ่ยขอโทษอย่างน่าสงสาร เบลมอธที่เริ่มตั้งสติได้แล้วยิ้มส่งไปลดความกังวลกับคนตรงหน้า ...เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอแหละ...
"ไม่เป็นไรหรอก มีแผลแค่นิดเดียวเอง"
"ยังไงเดี๋ยวฉันพาไปห้องพยาบาลนะ ดูสิ มีเลือดออกด้วย"
"อืม ว่าแต่ฉันกับนายเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า"
เชอร์เบลยิ้ม ...ยิ้มที่ทำให้ซีเครทรู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว "ฉันเรียนมัลติน่ะ แต่เหมือนเราจะเคยเจอกันในวิชาเสรีการจัดการการท่องเที่ยวน่ะ"
"อ๋อ เข้าใจแล้ว ฉันเบลมอธนะ" เบลมอธเอ่ยแนะนำตัวอีกครั้ง
"ยินดีที่ได้รู้จักนะเบลมอธ ฉันเชอร์เบล หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน"
รอยยิ้มสว่างสดใสถูกส่งไปให้เบลมอธที่ยิ้มตอบกลับมาให้ก่อนจะหันไปบอกซีเครทที่ยืนอยู่ด้านหลัง
"ถ้ามีโอกาสไว้คุยกันนะซีท เราชอบอ่านหนังสือแนวเดียวกัน คงได้เจอกันบ่อยๆ"
"อื้ม ดูแลตัวเองด้วยล่ะ"
"อือ ไปกันเถอะเชอร์เบล"
"จ้า อ๊ะ เบลมอธ เดี๋ยวนายเดินไปก่อนเลยฉันขอไปหยิบหนังสือที่จะยืมแปป นายรอหน้าห้องสมุดนะ"
"ได้ เดี๋ยวตามมานะ" จบคำนั้นเบลมอธก็เดินออกไปทิ้งเชอร์เบลกับซีเครทให้มองตามแผ่นหลังอันสง่างามนั้น
หมับ... ผลัก
"อ๊ะ"
ซีเครทร้องครางออกมาเมื่อคนตรงหน้าคว้าที่จุดไวต่อความรู้สึกของเขา...บีบมันเอาไว้แล้วผลักเขาเข้าไปสุดทางของชั้นหนังสือ มือเรียวคู่นั้นโอบรอบคอเขาเอาไว้แล้วยื่นหน้าไปกระซิบที่ริมใบหูโดยที่มือยังไม่ยอมหยุดออกจากตรงนั้น
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะซีเครทที่รัก"
"....."
"อย่าบอกนะว่านายจำฉันไม่ได้ นายจำคืนนั้นของเราไม่ได้แล้วเหรอ"
"ฉันไปหานายที่นั่นอีกหลายครั้งแต่ไม่เคยเจอนายเลย นึกว่านายคงไม่อยากมาหาฉันแล้ว"
พอตั้งสติได้เขาจึงเอามือโอบรอบเอวร่างบางเอาไว้ ยื่นหน้าผากไปชนกับคนตรงหน้า
"หึ ใครบอก...ฉันน่ะคิดถึงนายจะแย่แล้วนะ"
"....."
ในมุมมืดของห้องสมุดในตอนเช้า วันที่ฝนตกห้องสมุดแทบจะไม่มีคน...ราวกับบรรยากาศเป็นใจ เชอร์เบลรูดซิปกางเกงของเขาลงแล้วล้วงมือเข้าไปจับส่วนสำคัญของเขาแล้วเริ่มขยับมือช้าๆ
ซีเครทเริ่มตาลายกับสัมผัสที่แสนวาบหวาบมนั้น กัดฟันไม่ให้ส่งเสียงออกมา เพื่อไม่ให้เสียงหัวเราะในลำคอของคนตรงหน้าที่มองเขาราวกับเป็นเด็กน้อยได้ตลกตัวเขาไปกว่านี้
"ทำไมล่ะ ทำไมไม่ส่งเสียง นายนี่เกรดตกไปเยอะนะ"
เชอร์เบลพูดแล้วยื่นหน้าไปกัดซอกคอซีเครทที่เริ่มมีเหงื่อไหลลงมา
"นายกำลังจะทำให้ห้องสมุดมหาลัยเปื้อนนะ แฮกๆ"
เขาเริ่มหายใจหอบถี่ขึ้นเมื่อบางอย่างบอกเขาว่าสวรรค์กำลังจะมาอยู่ตรงหน้า เชอร์เบลยิ้มหวานก่อนกระตุกมือเป็นครั้งสุดท้าย
"อ๊าก..."
ซีเครทพยายามส่งเสียงให้เบาที่สุดแล้วเอนตัวพิงผนังหายใจหอบ เชอร์เบลมองภาพนั้นอย่างพอใจ
...ช่างโง่เขลาเสียจริงๆ ผู้ชายพวกนี้
พรึ่บ
เสียงวัตถุบางอย่างหล่นลงตรงหน้าเขาพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น
"อ่ะ ฉันให้ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก"
เชอร์เบลโยนกระดาษทิชชู่จำนวนหนึ่งลงตรงหน้าเขาและหันหลังเดินจากไปโดยที่ไม่หันกลับมามองเขาอีกเลย...
...ผู้ชายคนนี้...ทำให้เขาหลงยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว...
"ขอโทษทีนะเบลมอธ พอดีช่วยอาจารย์จัดหนังสือน่ะ เลยมาช้าไปหน่อย"
เชอร์เบลวิ่งออกมาท่าทางตื่นๆ จนเขาอดยิ้มไม่ได้
"ไม่เป็นไรหรอกไปกันเถอะ ไปตึกเรียนเลยแล้วกัน"
"ห้องพยาบาลสิ ฉันจะพานายไปทำแผล"
"ไม่ต้องแล้วล่ะมีพลาสเตอร์อยู่ในกระเป๋าแผลเล็กนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย"
"ขอโทษอีกทีนะ..."
เบลมอธมองหน้าหงอยๆ ของคนตรงหน้าแล้วเอื้อมมือไปยีหัวเชอร์เบลจนฟูแล้วจับมือพากันเดินไปข้างหน้า เชอร์เบลโพล่งออกมาเมื่อคิดอะไรออก
"วันนี้เราเรียนวิฃาเสรีกันนี่ แสดงว่าเราได้เรียนเซกเดียวกันสินะ"
"อ๋อ ใช่ จริงด้วยสิ ไปกันเถอะ ไปสายเดี๋ยวอาจารย์บ่นอีก"
ทั้งสองคนใช้เวลาประมาณห้านาทีในการเดินไปตึกที่ใช้เรียนวิชาเสรี วิชาที่ทั้งคู่บังเอิญเลือกเหมือนกันคือการจัดการบริหารการท่องเที่ยว ซึ่งเบลมอธที่ย้ายจากที่อื่นมาสนใจสาขานี้จึงเลือกเรียน แต่เชอร์เบลเลือกเรียนวิชานี้เพราะความชอบส่วนตัว เมื่อมาถึงหน้าห้องปรากฏว่าอาจารย์เพิ่งจะเดินเข้าไปพอดี ทั้งคู่รีบวิ่งไปนั่งตรงหลังห้องทันที นักศึกษาที่มารอก่อนแล้วมองตามพวกเขาไปจนถึงหลังห้อง เบลมอธรู้สึกอายเมื่อคิดว่าตัวเองไม่เคยสายเลยวันนี้ดันมาสายซะได้
"ไงพวกนาย วันนี้มาสายกันเหรอ"
เสียงหวานนุ่มด้านหน้าเอ่ยทักทำให้เบลมอธกับเชอร์เบลที่เพิ่งนั่งลงเงยหน้าขึ้นไปหาคนพูด
เบลมอธรู้สึกสะดุดตากับหนุ่มน้อยตรงหน้าทันทีราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ....เรียนสาขาเดียวกันแน่ๆ แต่ไม่ได้สนใจมอง ที่แท้คนนี้นี่เอง
"นายคือ บีทีนหรือเปล่า"
"อ๋อ ใช่ ฉันบีทีนเอง ว่าจะเข้าไปคุยกับนายหลายครั้งแล้ว เห็นชอบไปไหนคนเดียวน่ะ อยากทำความรู้จักด้วย"
"อื้ม ยินดีที่ได้รู้จักนะบีทีน นี่เชอร์เบลเพื่อนเราที่เรียนมัลติบังเอิญเลือกวิชาเสรีอันนี้ด้วย" เบลมอธผายมือไปทางด้านข้างเชอร์เบลที่ส่งยิ้มไปให้บีทีน บีทีนส่งยิ้มกลับแล้วยื่นมือไปให้จับ
"พวกนายคุยอะไรกันเนี่ย คนจะหลับจะนอน เสียงดัง ฮ้าว" คนที่ฟุบหลับอยู่ข้างๆ บีทีนเอ่ยขึ้นเสียงงัวเงีย
"อะไรกัน ก็นายเล่นเกมจนดึกเองจะมาโวยวายอย่างนี้ได้ยังไง ลุกขึ้นมารู้จักเพื่อนใหม่เลยเดี๋ยวนี้นะ"
"อ๊าก อะไรของนายเนี่ย วู้ๆ"
บีทีนลากคอชายหนุ่มคนนั้นให้ขึ้นมาสบตากับพวกเขา เบลมอธหัวใจกระตุกไปวูบหนึ่งเมื่อใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าสบตาเข้าพอดี
"ฉันชื่อแร็กตาร์นะยินดีที่ได้รู้จัก"
พูดจบเขาก็ฟุบหลับลงไปอีก บีทีนทุบหลังเข้าไปทีหนึ่งดังอั้กก่อนจะหันมาส่งยิ้มแหยๆ ให้เขา "ตาร์ก็แบบนี้แหละ ชอบหลับเป็นงานอดิเรก"
"พวกนายสองคนดูสนิทกันดีจัง :)" เชอร์เบลเอ่ยยิ้มๆ ขึ้นมา บีทีนหันไปยิ้มให้ ดวงตาคนตรงหน้าที่มองมาสวยงามแต่มีบางอย่างบอกเขาว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับบุคคลนี้เป็นอันขาด เพราะอะไรเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน
...คงต้องดูไปเรื่อยๆ
"อืม พอดีแร็กตาร์กับเพื่อนเราคนนี้เวกัสชอบเล่นบาสเหมือนกันน่ะเลยพอเข้ากันได้"
เวกัสที่อ่านหนังสืออยู่หันมาส่งยิ้มให้ เบลมอธยิ้มตอบกลับไปในขณะที่เชอร์เบลเอ่ยขึ้นมาอย่างร่าเริง "ยินดีที่ได้รู้จักนะเวกัส ฉันเชอร์เบล"
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ" เวกัสส่งยิ้มมาให้
อาจารย์เริ่มการบรรยายขึ้น ทุกคนจึ่งหันมาสนใจกับการเรียน ยกเว้นแร็กคาร์ที่ยังหลับเหมือนเดิม
เบลมอธถือปากกาหมึกสีดำขึ้นมาเตรียมจดฟังอาจารย์บรรยายเรื่องประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ชอบที่จะไปเที่ยว โปรเจ็กเตอร์ด้านหน้าฉายภาพมุมนั้นนี้ของประเทศที่ว่าสร้างความฮือฮาให้กับนักศึกษาหลายคน จนอาจารย์เปิดภาพๆ หนึ่งขึ้นมา พร้อมกับกล่าวบรรยาย
"เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ก็เป้นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนส่วนมากชอบไปกัน เมืองนี้โรแมนติกไปกับคนรักจะต้องถูกใจมากแน่ๆ และยังมีอารายธรรมโบราณแฝงอยู่ทุกที่บนถนนที่เดินผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรือกอนโดลา การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ และยัง...."
เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้วตั้งแต่อาจารย์กล่าวคำว่าเวนิสขึ้นมา ความทรงจำส่วนลึกในหัวใจกำลังจะทำร้ายเขาอีกครั้ง
....เมื่อไหร่เราจะลืมนายได้สักทีนะ...ได้โปรดปลดปล่อยที...
ซินจากเขาไปแล้วเนิ่นนานป่านนี้คงกำลังมีความสุขอยู่กับคนที่เขาเลือก เบลมอธบอกตัวเองเสมอว่าตนมีความสุขดี ไม่ได้ใส่ใจซินเลยแม้แต่น้อย ใช้ชีวิตเข้มแข็งตลอดมาโดยไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองบาดเจ็บจากแผลเก่ามากแค่ไหนเวลาที่มีคนพูดถึงและไปสะกิดแผล เขาเคยคิดอยากให้คนอื่นเข้ามาแทนที่ตำแหน่งซิน แต่ไม่ว่าจะลองสักกี่คนก็ไม่เคยเลย
...ที่จะลืมได้แม้สักวินาที...
"อยากไปจังเลย..."
เสียงเชอร์เบลที่นั่งด้านข้างเอ่ยขึ้นมาอย่างเพ้อๆ
"ใช่ ฉันก็อยากไป อยากถ่ายรูปกับเรือกอนโดลา สวยจัง" แม้แต่บีทีนเองก็ไม่เว้น
"ไว้มีโอกาสพวกเราไปด้วยกันเนอะ" เบลมอธพึมพำออกมาลอยๆ เหมือนคนไม่รู้สึกตัว เชอร์เบลหันหน้าไปอีกทางและกระหยิ่มยิ้มอย่างพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
...แน่นอน...พวกเราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันอีกแน่ๆ...
Chapter 9
Before the happiness
ร้านกาแฟยามบ่ายค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ เหตุเพราะอากาศที่แสนร้อนอบอ้าวของกรุงเทพ ทำให้ผู้คนอยากจะหนีมาพักในร้านกาแฟนที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำสักที่หนึ่ง ดังนั้นซีเครทจึงเลือกที่จะนั่งโต๊ะหลบมุมในสุดของร้านที่มีฉากสานสีน้ำตาลอ่อนกั้นไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว รอคนที่เขานัดไว้ว่าเมื่อไหร่จะมาถึง เขาดูนาฬิกาข้อมือตัวเองอีกครั้งเมื่อเข็มยาวชี้ตรงเวลาตามที่เขานัดบุคคลนั้นเอาไว้
“รอนานหรือเปล่าพี่ซีท”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่กำลังมาถึง เชอร์เบลอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีฟ้าอ่อน กลางเสื้อวาดลายสะพานอะไรสักอย่างที่เขาดูไม่ออก ร่างบางเลือกเอี๊ยมสีน้ำเงินซีดขาสั้นมาใส่ซึ่งขับขาเรียวยาวของตัวเองให้ดูน่ามองยิ่งขึ้น ซีเครทต้องเสหน้าหลบตาไปทางอื่นกับของหวานอันแสนยั่วยวนตรงหน้าซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเชอร์เบลแต่งตัวมาอ่อยเขาหรือเปล่า
เอ่อ บางทีเขาคงจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป
ชายหนุ่มสะบัดความคิดบ้าๆ ในหัวออกไปและเข้าประเด็นหลักที่ทำให้เขานัดหนุ่มน้อยคนข้างหน้ามาในวันนี้
“ที่พี่นัดเรามาวันนี้ เพราะพี่มีอะไรอยากจะเคลียร์กับเราให้กระจ่างชัดนิดหน่อยน่ะ เอ่อ จะสั่งอะไรมาก่อนก็ได้นะ”
“ไม่ดีกว่าครับ เชิญพี่ซีทเข้าเรื่องเลยครับ เพราะบางทีธุระของเราสองคนอาจจะทำให้พี่กินอะไรไม่ลงก็ได้นะครับ ฮ่าๆ”
“เอ่อ คือ…”
“แหม อย่าทำหน้าคิดมากแบบนั้นสิครับ ผมก็พูดจาไปเรื่อยเปื่อย”
“พี่อยากรู้ว่าเชอร์เบลทำเรื่องทั้งหมดนี้ไปทำไม เพราะอะไรถึงต้องทำให้บีนกับแร็กตาร์เข้าใจผิดด้วย”
“เบลไม่ทราบว่าพี่ซีทกำลังพูดถึงเรื่องอะไร สำหรับเหตุการณ์ที่ผ่านมานั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจะให้มันเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิด แต่เพราะความไร้สตินั่นเองที่ทำให้เราหน้ามืดกัน จะมาโทษผมฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะครับ”
“พี่จะพูดตรงเกินไปไหม ถ้าจะบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันไม่เหมือนบังเอิญ แต่มันเหมือนใครสักคนจัดฉากบังหน้าเพื่อหวังผลประโยชน์สักอย่าง”
“ทำไมพี่มองผมในแง่ร้ายขนาดนั้นล่ะครับ” เชอร์เบลเอ่ยออกมาเสียงสั่นๆ อย่างควบคุมไม่ได้ ชีวิตนี้เขาคงไม่เคยดีในสายตาใครเลยสินะ
“…” ซีเครทเงียบไป เมื่อสิ่งที่คนตรงหน้าพูดมา คือ สิ่งที่เขาอยากจะพูดมันออกไป
“แล้วทีพี่กับเบลมอธล่ะ คิดว่าผมไม่รู้หรือไง”
“…!”
“ปัดแก้วลงพื้นแตกเสียงดังลั่นไปจนถึงเพื่อนบ้านข้างๆ คิดว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้หรือไง”
ซีเครทมองคนตรงหน้าด้วยสายตาอึ้งๆ เรื่องที่เป็นความลับสำหรับเขา ซึ่งไม่คิดว่าจะมีคนรู้มัน แต่ตอนนี้มันอาจจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อมีคนรู้มากกว่าหนึ่งคน แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรเพ้อเจ้อไปกว่านั้น ร่างบางตรงหน้าก็เดินข้ามโต๊ะมากอดเขาเอาไว้ แล้วพร่ำไห้ด้วยความเสียใจ
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ผมกำลังรู้สึกในขณะนี้มันคืออะไรกันแน่ แต่ผมไม่สามารถมองเห็นพี่ไปมีความสุขกับคนอื่นได้อีกแล้วครับ”
“เชอร์เบล พี่ว่าใจเย็นๆ ก่อนนะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย และออกไปจากตัวพี่ก่อนได้ไหม” ซีเครทเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นๆ เชอร์เบลซึ่งกำลังกอดร่างของชายหนุ่มไว้แน่น ยิ้มให้กับตัวเองเมื่อความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า บวกกับฉากกั้นของโต๊ะนี้ทำให้บุคคลภายนอกยากที่จะรู้ว่าภายในนี้กำลังเกิดเกมสวาทเกมหนึ่งขึ้น ซึ่งแม้ว่าผู้เล่นจะปฏิเสธมันแค่ไหน แต่เขาคนนี้จะเป็นคนปลุกความต้องการนั้นขึ้นมาเอง
ให้สมกับที่คนๆ นั้นเอ่ยชมเขาทุกค่ำคืน…
มือบางของเชอร์เบลข้างหนึ่งกระตุกเนกไทชุดนักศึกษาของซีเครทออกมาแล้วโยนทิ้งไปข้างๆ ริมฝีปากอวบอิ่มไล้ไปมาตั้งแต่ปลายคางลงมาถึงต้นคอและใช้ริมฝีปากตัวเองปลดกระดุมเสื้อของชายหนุ่มออกทีละเม็ด ซีเครทเหมือนเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว เขาหลับตาลง มือแกร่งเอื้อมไปโอบไหล่เชอร์เบลเข้ามาให้ประชิดตัวมากขึ้น มืออีกข้างของเชอร์เบลไล้ลงมาที่ซิปกางเกงของร่างหนา เขามองมันอย่างพอใจเมื่อบางอย่างกำลังเกิดความรู้สึกจากสิ่งที่เขามอบให้ เชอร์เบลใช้ฝ่ามือบางทั้งสองข้างโอมกอดสิ่งนั่นไว้ผ่านเนื้อผ้ากางเกงที่ซีเครทกำลังใส่ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหูชายหนุ่มที่กำลังตาลอยเหมือนคนตกอยู่ในเวทย์มนต์แห่งราคะ
“ผมบอกแล้วไงครับว่าไม่อยากให้พี่เป็นของใคร อยากให้เป็นของผมคนเดียว”
“…!”
“รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยเถอะครับ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”
“เราต้องการจะบอกอะไรกับพี่กันแน่”
“จริงๆ แล้วไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จะพูดว่าเรื่องบางเรื่องถ้าเราเห็นมันแล้วก็ยังไม่สามารถเชื่อได้ในทันที จนกว่าเราจะเป็นคนสัมผัสมันจริงๆ ก่อนค่อยตัดสินใจ”
“….”
“อย่างเช่น ความรัก ที่บางทีอาจจะไม่ได้เป็นสีชมพูเสมอไป” เชอร์เบลพูดประโยคนี้จบก็ก้มเก็บเนกไทยื่นให้กับคนตรงหน้า แล้วยิ้มบางเบา
“บางทีพี่ก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของเชอร์เบลเลย เปลี่ยนไปจนหบายคนตั้งรับไม่ทัน”
“ฮะๆ ผมไม่ได้ต้องการให้คนทั้งโลกมาเข้าใจหรือรักผมหรอกครับ ขอแค่คนเดียวที่รักผมในแบบที่ผมเป็นก็พอแล้วล่ะ”
“คนๆ นั้นคงจะดีใจเนอะ ถ้าสามารถหาตัวเชอร์เบลพบ”
แววตาของร่างบางหม่นแสงลง มันแฝงไปด้วยความเจ็บปวด ภายในเสี้ยววินาทีความรู้สึกนั้นก็หายไป เชอร์เบลเงยหน้ามองซีเครทอีกครั้ง “บางทีคนนั้นอาจจะเป็นพี่ซีทก็ได้นะครับ”
“พอเถอะครับ หยุดพูดเรื่องน่าปวดหัวกันเถอะ เออนี่ ไปจองตั๋วเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ บีทีนให้มาจัดการเรื่องทริปของพวกเราน่ะ เวนิสไง ยังอยากไปอยู่ไหม”
“อยากไปอยู่แล้วครับ เรารีบไปกันเถอะครับ ได้ตั๋วเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะนั่นหมายถึงความสนุกกำลังจะตามมาในไม่ช้าครับ”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินออกไปเช็กบิลนั้นก็ได้ยินเสียงลูกค้าในร้านกำลังคุยกันเรื่องเครื่องบินตกที่แคลิฟอร์เนีย จนทำให้ผู้โดยสารบางกลุ่มไม่กล้าใช้บริการของสายการบินนั้นอีก เชอร์เบลฟังอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
…ความสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ
เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่กำลังจะทำหลังจากนี้มันถูกต้องหรือไม่ พยายามไตร่ตรองแล้วแต่ก็ยังคิดไม่ตก ตอนนี้เขากำลังจะบอกความจริงทุกอย่างกับเบลมอธ เขาทนไม่ไหวแล้ว เขาไม่สามารถเล่นเกมความรักนี้ต่อไปได้ เขาไม่อยากเห็นใครเจ็บปวดต่อไปแล้ว อย่างน้อยเขาก็ได้พยายามที่จะรั้งความรู้สึกทุกอย่างของเบลมอธกลับมา
แต่สิ่งที่เชอร์เบลทำเพื่อเขาทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบก็จะสูญเปล่าในทันที…และความรู้สึกของเชอร์เบลล่ะ ในเมื่อคนๆ นั้นไม่เหลือใครในชีวิตอีกแล้วนอกจากเขา แล้วเขายังจะทำร้ายความรู้สึกของคนที่อยู่เคียงข้างเขาในวันที่แย่ที่สุดลงไปได้เหรอ
แต่คงไม่ทันแล้วล่ะในเมื่อตอนนี้เขายืนอยู่หน้าบ้านของเบลมอธ และเจ้าของบ้านกำลังเปิดประตูออกมาเผชิญหน้ากับเขา
ร่างบางอึ้งไปทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่หน้าบ้านตนในเวลานี้คือใคร ร่างบางสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาเหมือนคนที่กำลังฝันซ้อนฝัน ฝันร้ายมานานอยู่ดีๆ ก็ฝันดี ก่อนจะถูกฉุดลงมาในฝันร้ายอีกครั้ง
บ้าน่า
ผู้ชายคนนั้นที่ทิ้งเขาไป วันนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน
น้ำตาเอ่อคลอดวงตากลมโตทันที
“ซิน…”
ซินยิ้มมุมปากบางเบา อย่างน้อยคนตรงหน้าก็ไม่ได้เดินหนีเขาไป แถมยังจำชื่อเขาได้อีกด้วย เรื่องเล็กน้อยที่ทำให้เขาดีใจ
“มีเวลาว่างคุยด้วยสักนิดไหม”
เบลมอธตัดสินใจโดดเรียนเช้าวันนี้เพื่อตามซินมาที่สวนสาธารณะ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตามเขามาทำไมและจะพูดเรื่องอะไรกันแน่ แต่แค่เพียงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้เป็นเขา คนที่เคยรัก และเห็นว่าเขามีความสุขดี แค่นี้เบลมอธก็ดีใจจนล้นแล้วละ
ทั้งคู่เดินผ่านทางที่ปูด้วยหินอ่อน ก่อนจะไปถึงทะเลในตัวสวนสาธารณะ ซึ่งเวลาค่อนข้างเช้าทำให้ไม่ค่อยมีคนมาเดินเล่นหรือว่าออกกำลังกายนัก เหมาะกับการมาคุยธุระส่วนตัว หรือพักสมองก่อนออกไปทำงานตอนเช้ายิ่งนัก ซินก้มลงเก็บหินกรวดก้อนหนึ่งขึ้นมาก่อนจะปาไปในทะเลสาบด้านหน้า เสียงจ๋อมดังขึ้นแล้วหินก็จมล้งไปในทะเลสาบราวกับไม่สามารถฝืนความจริงของน้ำหนักตัวเองได้ เบลมอธนั่งลงบนพื้นหญ้าก่อนเหม่อมองไปข้างหน้า ซินยังยืนอยู่สายตาเขาเลื่อนไปในทิศทางเดียวกับเบลมอธ เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมาราวกับกำลังร้องเพลง แต่แค่นั้นหัวใจของคนบางคนก็เต้นรัวเร็วราวกับมีคนไปเขย่ามันไว้
“ช่วงเวลาที่ผ่านมาสบายดีไหม”
“ก็เรื่อยๆ แหละ ซินล่ะสบายดีไหม กลับมาจากต่างประเทศเมื่อไหร่”
“กลับมาสักพักแล้วล่ะ แต่ฉันไม่เรียนต่อหรอก ตั้งใจจะมาช่วยพ่อบริหารงานในบริษัทเลยน่ะ”
“อ๋อ ดีจังเลยเนอะ อย่างน้อยก็ยังมีงานมารองรับ ไม่เหมือนฉัน ไม่รู้ว่าเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ”
“มันไม่ดีเสมอไปหรอก งานที่ฉันทำน่ะเป็นแบบที่เบลมอธไม่ชอบทำเลย มันปวดหัว มีแต่ตัวเลขเต็มไปหมด”
“ซิน จำได้ด้วยเหรอ ว่าอะไรทำให้ฉันปวดหัว”
“จำได้สิ เบลมอธไม่ชอบอะไรที่ต้องคิดเกี่ยวกับตัวเลขไง…”
เบลมอธบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ที่คนตรงหน้ายังจำรายละเอียดในตัวเขาได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ ในแบบที่คนทั่วไปสามารถเดาได้ แต่เขาขอดีใจแล้วกันที่อย่างน้อยเขาก็ยังจำได้ ดีกว่าที่เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย แบบนั้นมันคงน่าเศร้าเกินไป
“แล้วนี่คิดยังไงถึงมาหาเนี่ย หรือตั้งใจจะมาเยี่ยมอะไรทำนองนั้น”
“คิดถึงน่ะเลยมาหา”
“พูดบ้าๆ ไปคิดถึงแฟนตัวเองสิ”
“อย่าพูดแบบนั้นเลย ฉันโสดมานานแล้ว”
แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกเจ็บที่ใจพร้อมกับใบหน้าของเชอร์เบลโผล่มาในความคิด เขาสะบัดหัวไล่ภาพเหล่านั้นออกไปก่อนจะหันไปมองเบลมอธเต็มตา “เบลมอธ ฉันอยากให้นายลองคิดทบทวนเรื่องราวของเราดูอีกสักครั้งจะได้ไหม”
“…”
เกิดความเงียบรอบบริเวณที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ นกน้อยบินผ่านไปผ่านมาราวกับจะแสวงหาความสุขของตัวเอง ความรู้สึกในใจคนก็คงเป็นเหมือนนก พัดปลิวไปมาตามความต้องการในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เขาควรจะดีใจไหมนะในเมื่อโอกาสที่เขาเคยต้องการมาตลอดมันได้กลับมาอีกครั้งแล้ว เขาจะปล่อยมันไปเหรอ เขาอยากพยายามดูอีกแม้ว่าสุดท้ายมันจะเป็นเช่นไรก็ตาม
แต่ความเจ็บปวดในอดีตที่ผ่านมาล่ะ กว่าเขาจะผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ มันทรมานมากขนาดไหน เขาเสียน้ำตาไปแค่ไหน แล้วคำพูดเพียงไม่กี่คำเขาจำเป็นต้องเชื่อแล้วเดินกลับเข้าไปในวังวนที่ทั้งหวานทั้งขมเหรอ ตอนนี้เขาไม่สามารถเลือกอะไรได้เลยจริงๆ
แต่…
มนุษย์เรามักจะโง่ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ฉลาดในเวลาที่ไม่ถูกไม่ควร อย่างเช่นตอนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะบอกกับตัวเองเพื่อให้เข็ดกับเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่หัวใจของเขากลับร่ำร้องให้กลับไปหาซินอยู่ตลอดเวลา สมองที่ควรจะปรับความคิดได้ว่าควรจะตัดสินใจยังไง กลับว่างเปล่า ขาวโพลน คิดอะไรไม่ออกไปเสียอย่างนั้น นั่นเท่ากับว่า
เขาหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้วอย่างนั้นเหรอ…
“ทำไมอยู่ดีๆ ซินถึงกลับมาแบบนี้ล่ะ”
“แน่ใจเหรอว่าอยากฟังคำตอบ มันเพ้อเจ้อมากเลยนะ”
“ลองบอกมาก่อนสิ จะได้รู้”
“…”
“…”
“เพราะรักคำเดียวสั้นๆ ไงล่ะ”
…เขาเชื่อซินได้ใช่ไหมว่านี่มันคือความรัก
เบลมอธหลับตาลงซึมซับความรู้สึกทั้งหมดในเวลานี้เอาไว้ เขาเชื่อว่าเคนเราผิดพลาดกันได้และเขาก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เคยผิดพลาดและอยากแก้ไขปัจจุบันให้ดีขึ้น
“ถ้าฉันไม่ตอบตกลง ซินจะทำยังไง”
“ก็คงเสียใจไปตลอดชีวิต และยอมรับความจริงให้ได้”
“แน่ใจเหรอ ว่าจะยอมรับได้”
“ไม่ได้ก็ต้องได้แหละ”
“งั้นฉันจะช่วยลดภาระนายนะ นายจะได้ไม่ต้องพยายามยอมรับความจริงที่แสนเจ็บปวดนั้น”
“จริงเหรอ ?”
“ใช้เวลาที่เหลือจากนี้พิสูจน์ให้ฉันดูสิ”
“ขอบใจนะที่ให้โอกาสฉันอีกครั้ง”
จบคำนั้นซินก็รวบตาเบลมอธเข้ามาในอ้อมกอดตัวเอง เบลมอธกระชับอ้อมแขนกอดคนตรงหน้าให้แน่นขึ้น หยดน้ำตาไหลลงมาด้วยความดีใจกับความสุขที่เขาพยายามค้นหามาตลอดทั้งชีวิต ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และเขาจะรักษามันไว้ไม่ให้หายไปอีก
ชั่ววูบหนึ่งในความคิด ค่ำคืนอันแสนหวานของเขากับซีเครทก็โผล่เข้ามาในความคิด เบลมอธหุบยิ้มทันที หัวใจเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้
ทำไมกัน… ทำไมในอกถึงรู้สึกแย่ขนาดนี้
“จากนี้ไปฉันจะพยายามเพื่อนาย ไม่หายไปไหนอีกแล้ว” ซินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข ก่อนจะดันตัวเบลมอธออกและจุมพิตลงไปบนกลางหน้าผากมนแสนรักที่เขาปรารถนามาตลอด
ซีเครทหันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ในอก เดิมทีเขาจะมารับเบลมอธไปเรียนพร้อมกัน แต่เจอแม่บ้านที่มาทำความสะอาดประจำสัปดาห์ บอกว่าคนที่เขาต้องการพบออกไปกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน เขาเลยตามมา ไม่คิดว่าจะเจอกับฉากบาดหัวใจที่ทำเอาเดินไปตรงทางเลยทีเดียว
ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องแคร์เลยด้วยซ้ำ ก็แค่คนๆ หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและทำให้แต่ละวันของเขามีค่าพอที่จะดำเนินชีวิตแค่นั้นเอง
แค่นั้นเอง…
เขาหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถและขับออกไปด้วยความรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่งนั้น…
เพล้ง !
เชอร์เบลปาแก้วไวน์ใส่กำแพงตกแตก เขากัดปากจนห้อเลือด น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ มือบางทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น ด้วยความเจ็บปวดที่ส่งตรงออกมาจากหัวใจ จากการที่สายลับของเขาที่เคยจ้างเอาไว้มาแจ้งข่าวว่าวันนี้ซินหายไปไหน
ทำไมนายถึงทำกับฉันแบบนี้…
ร่างบางทรุดตัวลงกลางห้อง เขายอมสูญเสียทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาไม่สามารถสูญเสียไปได้อีก คือ ซิน
สาเหตุของความเจ็บปวดในครั้งนี้มากจากเขาคนเดียว ทั้งๆ ที่เขาพยายามทุกอย่างเพื่อซินมาตลอด แต่ทำไมกัน ทำไมทุกอย่างต้องลงเอยแบบนี้ ทุกคนหนีไปมีความสุขกันหมด เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ไม่มีใคร อยู่ในห้องคนเดียว นั่งมองคนที่เขารักมีความสุขกับคนอื่น
ในโลกนี้จะมีอะไรเจ็บปวดกว่าสิ่งที่เขาเจอไหมนะ? สิ่งที่ซินทำ ทำให้เขาลืมไปแล้วว่าแท้จริงความสุขมันคืออะไรกันแน่?
หรือพระเจ้าจะไม่ต้องการให้คนแบบเขามีความสุขกันนะ
เวกัสเดินมาตามทางข้างห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางดาวน์ทาวน์ มือบางโอบกระชับเสื้อกันหนาวที่ใส่อยู่ให้แน่นขึ้น
ประหลาดจังตอนกลางวันร้อนมากแท้ๆ แต่ตอนกลางคืนอากาศกับเย็นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับบีทีนเลย อาจจะเป็นเพราะยุ่งกันทั้งคู่ กะว่าคืนนี้พอกลับไปถึงบ้านจะโทรไปคุยเล่นด้วยสักหน่อย เผื่อว่าจะลืมกันไปแล้ว
“ดอกกุหลาบค่ะ ช่วยซื้อหน่อยนะคะ เป็นโครงการที่มหาลัยของเราได้ทำขึ้น คือ ขายกุหลาบและนำเงินที่ได้มอบให้แก่มูลนิธิเด็กกำพร้า…”
เวกัสมองกลุ่มเด็กมหาลัยตรงหน้าที่กำลังขายดอกกุหลาบอยู่ เขาเดินเข้าไปซื้อมาหนึ่งดอก ก่อนจะเอามันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูก และพบว่ากลิ่นชื้นจากมันทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย
พลั่ก!
เวกัสเซไปด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสบตากับคนที่ชนเขา ปรากฏเป็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ใส่ชุดคลุมคล้ายชุดกันฝนสีม่วงเข้มทั้งตัว มีหมวกคลุมบนหัว ให้ความรู้สึกเหมือนนางยิปซีสมัยก่อนไม่มีผิด
“พ่อหนุ่ม”
“ครับ?”
“หลังจากนี้ชีวิตพ่อหนุ่มจะเปลี่ยนไป แต่ในทางด้านไหนแล้วแต่พ่อหนุ่มจะเป็นคนดำเนินมันไปเอง”
“เอ๋ คือ ? หมายความว่ายังไงเหรอครับ”
ไม่ทันขาดคำร่างของผู้หญิงตรงหน้าก็วิ่งหายไปท่ามกลางฝูงคน ทิ้งไว้เพียงความสงสัยในตัวเวกัสเท่านั้น
ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปอย่างนั้นเหรอ…
Chapter 12
Precious Moment
ซีเครทมองกองไฟที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเฉยๆ ก็น้องชายตัวดีของเขาน่ะสิ คิดบ้าอะไรไม่รู้ อยากลองจัดปาร์ตี้แบบริมทะเล แล้วลากทุกคนออกมารับกลิ่นเค็มๆ ของทะเลเนี่ย แขกผู้ร่วมชะตากรรมบนเครื่องบินทั้งหลายไม่เห็นจะมีใครระริกระรี้อยากออกมาทำอะไรแบบนี้เลย ค่ำมืดป่านนี้เขาก็นอนพักผ่อนกันอยู่ในบ้านพักไม้นู่นสิ แต่จะทำไงได้ล่ะเมื่อบีทีนงอแงจะเอาอย่างเดียวแบบนี้ ไม่รู้ว่าแร็กตาร์ทนคนที่มีบุคลิกแบบน้องชายเขาไปได้ยังไงกัน ท่าจะบ้าไปแล้ว…
“อ้าปากสิ”
“ไม่เอาน่า โตแล้ว ขอกินเองไม่ได้เหรอ”
“อ้าเดี๋ยวนี้”
“โอเค ก็ได้”
เสียงง้องแง้งของเบลมอธกับซินที่นั่งป้อนของกินกันฝั่งตรงข้ามเขาเนี่ยมันสะกิดใจเขาบ่อยจัง เห็นแล้วเหมือนใจจะขาด รักกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ เห็นแล้วยิ่งไม่พอใจ เบลมอธจะรู้ไหมว่าเขาส่งสายตาตัดพ้อไปให้ตลอดทุกครั้งที่มีโอกาสสบตากัน ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองไหม ทุกครั้งที่จะต้องเผชิญหน้ากันเบลมอธเป็นฝ่ายหลบหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปตลอด
ใช่สินะ…
เขาไม่มีสิทธิ์ในตัวเบลมอธอีกแล้ว… พอคิดมาถึงตรงนี้ซีเครทก็ได้แต่ยิ้มในความโง่เขลาของตัวเอง นี่เขาคิดบ้าอะไรอยู่ ในเมื่อเขาไม่ได้มีสิทธิ์ในตัวเบลมอธมาตั้งนานแล้ว แฟนกันก็ไม่ใช่ เพื่อนกันก็ไม่ใช่ คนรู้จักงั้นเหรอ น่าสมเพชชะมัด
แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นล่ะ วันที่เขาทั้งสองคนแทบจะรวมกันเป็นคนเดียว ทำไมถึงมีแค่เขาที่ยังคิดถึงคืนวันเหล่านั้นกับเบลมอธอยู่ ทั้งที่ร่างบางตรงหน้าคงจะลืมเขาไปนานแล้วแน่ๆ ถึงสามารถใช้ชีวิตปกติแบบคนมีความสุขกับผู้ชายที่ตัวเองรักได้แบบนี้ ไม่แน่ บางทีเขาอาจจะต้องหาใครสักคนมาดามใจเพื่อรักษาแผลนี้
ถ้าคนๆ นั้น พร้อมที่จะรักเขาน่ะนะ…
“พี่ซีท”
“หืม” ซีเครทเอี้ยวตัวมองไปด้านหลังเจอกับบีทีนที่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วง
“พี่ดูไม่มีความสุขเลยสองสามวันมานี้”
“คิดมากไปแล้วมั้ง มีความสุขสิ เรากำลังจะได้เที่ยวกันแล้วนะ อีกสองวันเอง แค่รอเครื่องบิน”
“พี่ก็รู้ว่าบีนไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
“…”
“พี่อ่ะ รักคนนั้นแล้วจริงๆ สินะ”
“เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่ายุ่ง นี่แน่ะ” ซีเครทยีหัวน้องชายตัวเองจนฟู ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความฝืนใจแสดงว่าเขาโอเคแล้วจริงๆ “พี่ชายคนนี้ไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้ทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก อย่าห่วงเลย”
“ไม่ห่วงได้ยังไงล่ะ ตอนนี้พี่หน้าแดงมากเลย เริ่มเมาแล้วใช่ไหมล่ะ”
“ใครว่า ไม่มีสักหน่อย ใครเมา”
“คนเมามักจะบอกว่าตัวเองไม่เมา”
“ฮ่าๆ ยอมแพ้เลยจริงๆ เลิกดื่มก็ได้ พอใจหรือยัง”
ซีเครทวางแก้วเบียร์ลงก่อนจะหันไปหาน้องชายตัวดีที่ยิ้มมาด้วยความโล่งใจ ในที่สุดพี่ชายเขาก็เลิกดื่มสักที ก่อนจะเดินออกไปอีกทางด้วยความสบายใจ ซึ่งลับหลังน้องชายตัวเองซีเครทก็หุบยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นมาเขาลุกเดินออกไปด้วยความรู้สึกเหมือนตัวลอยๆ คงจะเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าล่ะมั้ง แปลกจัง ก่อนหน้านี้มีคนเคยบอกเขาว่าเหล้าเบียร์สามารถทำให้เราลืมความรู้สึกเจ็บปวดได้ วันนี้เขาได้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย มีแต่ช่วยย้ำภาพทรงจำในหัวเขาเยอะขึ้นเท่านั้น
ความเจ็บปวดมันไม่มีวันหายไป…
ซีเครทตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปที่บ้านพักของตัวเอง แต่ระหว่างทางเจอเบลมอธซึ่งน่าจะเพิ่งแยกกับซินเดินมาทางเขาพอดี ทันทีที่ร่างบางเห็นเขาก็แสดงท่าทีตกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ควบคุมสีหน้าตัวเองได้อย่างว่องไว และเอ่ยทักทายเขาด้วยเสียงที่เป็นธรรมชาติ
“หวัดดีพี่ซีท กำลังจะกลับบ้านเหรอ”
“ใช่ นายล่ะ”
“อ๋อ ก็เพิ่งลุกจากกองไฟมาน่ะ”
“อืม”
“งั้นผมขอตัวเข้าบ้านก่อนนะ”
“เดี๋ยว”
ไม่รู้อะไรดลใจซีเครทให้ฉุดข้อมือของเบลมอธเอาไว้ ก่อนที่ร่างบางจะทันได้เดินหนีไป เบลมอธชะงัก แต่ไม่ได้ขยับหนี เพียงแค่ยืนนิ่งๆ ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ
“นายกับซินน่ะไปคบกันตอนไหน”
“…!!!”
“ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เรา…”
“ผมว่าเราอยู่พูดถึงเรื่องพวกนี้เลยครับ พี่รู้แค่ว่าผมรักเขาและเราคบกันก็พอแล้วครับ อย่าไปรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตอีกเลย ถือว่าผมขอร้องนะครับ”
“นายจะบอกว่านายไม่ได้รู้สึกอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ”
ถ้อยคำแค่หนึ่งพยางค์แต่กัดใจเขามากซะจนอยากจะร้องไห้ออกมา ด้วยความโกรธ ทำให้ซีเครทคว้าตัวเบลมอธเข้ามาจูบ
“ปล่อยนะ!!”
ร่างบางพยายามดิ้นหนีอ้อมแขนเขา แต่ยิ่งดิ้นเท่าไหร่เหมือนจะเป็นการปลุกความรู้สึกซีเครทมากขึ้นเท่านั้น เมื่อร่างสูงอุ้มเบลมอธขึ้นพาดบ่าและพาขึ้นบ้านพักเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ก่อนจะโยนร่างบางลงบนเตียง เบลมอธตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อซีเครท กดริมฝีปากทับลงมา สองกายเบียดประสานกันจนเตียงแทบลุกเป็นไฟ มือของร่างบางเอื้อมไปจิกผ้าปูที่นอนโดยไม่ได้ตั้งใจ และก่อนที่ทุกอย่างจะไปไกลกว่านั้น เบลมอธรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย ลุกขึ้นผลักร่างสูงออกไปก่อนจะตบจนใบหน้าของซีเครทหันไปอีกทาง
เพียะ!
เขาไม่ใช่นางเอกนิยายที่จะมาตบพระเอกแล้วน้ำตาไหล เขาเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่มีหัวใจเพื่อรักใครสักคน ไม่ใช่ถูกนำมาย่ำยีแบบนี้… พอคิดได้แบบนี้ปุ๊บ น้ำตาก็พานจะไหลลงมาดื้อๆ
“ได้โปรดเถอะ ให้ผมมีความสุขสักครั้งในชีวิต”
“…”
“ผมไม่เคยรู้เลยว่าความรู้สึกของการถูกรักเป็นยังไง จนได้เจอเขา”
“….”
“ให้ผมมีความสุขสักครั้งเถอะนะครับ”
เขาแทบไม่รู้ตัวว่าเดินออกจากที่นั่นมาด้วยความรู้สึกแบบไหน ใจมันเจ็บ เจ็บมาก เจ็บจนเลยคำว่าเจ็บ อธิบายให้ใครไป ก็คงไม่มีคนรับรู้ ได้แต่เก็บงำมันไว้ในความรู้สึกตัวเอง และรอวันเวลาให้พัดพามันไปเหลือไว้เพียงจิตใจที่สงบนิ่ง
สองเท้าพาเขาเดินมาถึงชายหาดโดยไม่รู้ตัว คืนนี้ดวงดาวส่องสว่างเต็มท้องฟ้าไปหมดราวกับจะอวยพรเขาให้สมหวังในความรัก แม้ว่าในความเป็นจริงนั้นหัวใจเขาถูกทำลายจนแทบไม่สามารถประกอบได้อีกครั้งแล้ว เขาทำได้เพียงเงยหน้ามองดาว แหงนหน้าให้สูงที่สุดเพื่อที่
น้ำตาจะได้ไม่ไหลลงมา…
“ความรักนี่ประหลาดเนอะ คิดจะเกิดก็เกิดมาเลยโดยไม่ถามเจ้าของหัวใจสักนิดว่าต้องการจะมีมันไหม ความรักน่ะ”
ซีเครทกระพริบตาไล่ของเหลวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตาก่อนจะหันไปหาเจ้าของคำพูดเมื่อสักครู่ “นายยังไม่นอนอีกเหรอเชอร์เบล”
ร่างบางตรงหน้าอมยิ้มแล้วส่ายหน้าน้อยๆ “นอนไม่หลับหรอกครับ จิตใจไม่ค่อยสงบ หัวใจเลยไม่ได้พักผ่อนตาม มันทำให้นอนไม่ลง”
“มีอะไรมารบกวนหัวใจหรือไง ถึงได้นอนไม่หลับน่ะ”
“ถ้ามันเป็นอะไรที่แค่รบกวนหัวใจเราก็คงจะดี แต่นี้เหมือนมีมีดแทงหัวใจตลอดเวลาเลย จะไปโรงพยาบาลไหนให้หมอรักษาได้ล่ะครับ”
“ในเมื่อคนอื่นไม่สามารถรักษาให้เราได้ เราคงต้องรักษามันด้วยตัวเอง”
“คงต้องเป็นแบบนั้นแหละครับ”
เชอร์เบลเดินมายืนข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ร่างบางทรุดตัวนั่งลงบนผืนทราย เขาทรุดตัวนั่งลงตาม เชอร์เบลใช้นิ้วชี้ตัวเองวาดเป็นรูปรอยยิ้มบนผืนทราย ก่อนจะหันมาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงสดใส
“ไม่มีใครชนะในเกมความรักทุกครั้งไปหรอกครับ แต่ก็ไม่มีใครที่จะแพ้ตลอดไป”
“…”
สายลมแผ่วเบาพัดผ่านร่างของเขาทั้งคู่ราวกับจะนำพาความเจ็บปวดไปด้วย ซีเครทยิ้มกว้างออกมา แค่คำพูดไม่กี่คำก็เหมือนน้ำเย็นปลอบประโลมจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวของเขาได้ขนาดนี้
นั่นสินะ ในเมื่อเขามองว่าความรักมันสวยงามขนาดนี้ แล้วจะให้เขาเศร้าเพราะความรักทำไมกัน ความรักทำให้คนมีความสุข ทำให้โลกทั้งใบเป็นสีชมพู ทำให้คนบางคนที่ยิ้มไม่เป็นอยากจะยิ้มทั้งวันเหมือนคนบ้า
“ขอบคุณนะเชอร์เบล”
Chapter 14
Sand in the botton
2 week later
กริ่ง!
เสียงกดกริ่งที่ประตูห้องทำให้ซินที่กำลังวุ่นอยู่กับการรดน้ำต้นกระบองเพชรตรงระเบียงต้องหยุดภารกิจในมือ เอามือเช็ดผ้ากันเปื้อนสีเหลืองอ่อนที่เบลมอธซื้อให้ตอนไปเวนิสแล้วก้าวเท้าออกไปยังประตูหน้าห้อง โดยไม่ทันได้สังเกตตาแมวว่าแขกนิรนามหน้าห้องเขาคือใครกันแน่
“มาแล้วครับ อ๊ะ…”
ร่างสูงอุทานขึ้นเบาๆ เมื่อพบเจอแขกของตนข้างหน้า คนนั้นคือเชอร์เบลนั่นเอง
“สวัสดีซิน”
“เอ่อ..ว่าไงเชอร์เบล มีอะไรหรือเปล่า มาหาถึงที่ห้องเลย”
“ทำไมเหรอ ไม่มีอะไรแล้วมาหาไม่ได้สินะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นขอเข้าไปในห้องหน่อยสิ”
“เอ่อ คือ…”
ซินติดอ่างอย่างลำบากใจ ในเมื่อความสัมพันธ์กับอะไรหลายๆ อย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว การจะให้คนที่เคยอะไรกันมาด้วยเมื่อในอดีตเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว เป็นเรื่องที่น่าคิดมากเสียจริงๆ แต่กว่าจะรู้ตัว เขาก็เบี่ยงร่างกายไปอีกทางเพื่อเปิดทางให้เชอร์เบลเสียแล้ว
ใครปฏิเสธทุกอย่างที่เชอร์เบลส่งมอบให้ได้ ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือแววตาเหมือนลูกกวางกำลังจะร้องไห้นี้เท่านั้นแหละ
ทันทีที่ซินปิดประตูและหันมาจะเดินเข้าห้อง ร่างบางก็พุ่งตัวเข้ากอดเขาทันที เขาอึ้งไปอย่างตั้งตัวไม่ทัน แรงสั่นเบาๆ จากตัวคนที่กอดเขาทำให้ซินเวียนหัวไปชั่วครู่
“ทำไมถึงทำอย่างนี้ล่ะซิน”
…ทำไมถึงปล่อยเขาไว้คนเดียวแบบนี้
“ไหนนายเคยสัญญาแล้วไงว่าจะไม่มีวันทิ้งฉัน ทั้งที่ฉันเองก็ยอมทิ้งทุกอย่างในชีวิตเพื่อตามนายมา แต่ดูสิ่งที่นายทำกับฉันสิ…”
ปลายเสียงแผ่วลงราวกับต้นไม้กำลังจะล้ม เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่างในเวลานี้ แม้แต่จะเอื้อมมือขึ้นโอบกอดร่างบางก็ทำไม่ได้
“เชอร์เบล…”
“แปลกจัง ทำไมมีนายคนเดียวที่ลืมทุกอย่างง่ายดายขนาดนี้”
“…”
“แต่ฉันกลับต้องอยู่ในวังวนความเจ็บปวดที่นายทิ้งไว้ให้”
“…”
“มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด”
ซินหลับตาลงด้วยความรู้สึกเจ็บปวด แต่ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยสายตาที่เด็ดเดี่ยวกว่าทุกครั้ง เพราะว่าตัดสินใจดีแล้ว และควรจะทำทุกอย่างให้ชัดเจนเสียที เขาค่อยๆ รวบมือบางที่กอดเขาอยู่คลายออกอย่างช้าๆ และก้าวถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง เชอร์เบลน้ำตานองหน้า มองตามร่างสูงที่ขยับเท้าออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มที่เขารักหมดหัวใจจะสลัดเขาทิ้งได้อย่างง่ายดายแบบนี้
“เชอร์เบล เรื่องระหว่างเราสองคนให้มันสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้เถอะนะ”
“อะไรกัน”
“สิ่งที่ฉันเคยขอให้นายช่วยจับตามองเบลมอธ กันผู้ชายทุกคนออกจากเบลมอธ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วนายจะทำมันสำเร็จหรือไม่ก็ตาม และผลตอบแทนคือความรักที่ฉันจะมอบให้นายนั้น ในวันนี้มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วล่ะ เพราะหัวใจของฉันทั้งสี่ห้องมอบให้เบลมอธไปหมดแล้ว”
เชอร์เบลหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด หัวใจเขาเหมือนถูกโยนลงเหวลึกไปแล้วเจอกับมีดนับพันเล่มปักอยู่ มันเจ็บจนทนไม่ไหว แค่จะยืนอยู่เขายังต้องจิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือจนเกรงว่ามันอาจจะทำให้เลือดออกได้
สุดท้ายแล้วสิ่งที่เขาทำทั้งหมดก็ซื้อใจผู้ชายตรงหน้านี่ไม่ได้จริงๆ สินะ
“ฉันอยากให้เราสองคนจบกันด้วยดี”
“แต่ฉันไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้วนะซิน”
“…”
“นายจะใจร้ายทิ้งฉันไปจริงๆ เหรอ”
“…”
“ได้โปรดเถอะ”
“กลับไปซะ”
“…!!!”
“ฉันทำเพื่อนายได้ดีที่สุดแค่นี้”
ปัง!
ซินปิดประตูกระแทกหน้าใส่เชอร์เบล ร่างบางด้านหน้าหันหลังให้ประตูบานนั้นทันที สองเท้าพาเขาเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ จนถึงชั้นดาดฟ้า โดยที่น้ำตายังไม่หยุดไหลจากดวงตา เขาหยุดยืนอยู่ที่ปลายขอบของอาคารที่คนหลายคนยอมที่จะสละชีวิตตนเองเพราะเสียใจจากความรัก แต่ที่แน่ๆ หนึ่งในนั้นไม่ใช่เขาก็แล้วกัน
แววตาของร่างบางทอประกายน่ากลัวขึ้นวูบหนึ่ง กระเป๋าหนังข้างตัวถูกเปิดออก เขาหยิบรูปถ่ายจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันคือรูปที่เขาได้จากการส่งคนไปติดตามชีวิตซินและแอบถ่ายรูปทั้งหมดนี้มา
รูปที่ซินกำลังมีความสุขกับเบลมอธ!!
พั่บ!
เขาปารูปเหล่านั้นลงตึกไปด้วยความโกรธเท่าที่ในใจจะมี รูปภาพเหล่านั้นหล่นลงจากตึกช้าๆ ราวกับนกพิราบกำลังจะได้รับอิสรภาพ มันตกลงไปในแม่น้ำหลังคอนโดแห่งนี้ และลอยไปลอยมาราวกับนักโทษที่รอการตัดสินคดี
บางทีชีวิตก็เลือกอะไรไม่ได้เยอะอย่างที่คิด…
“ผมว่าห้องคุณมันไม่รกสมกับเด็กมหาลัยทั่วไปเลยนะ”
“แหม ผมทนไม่ได้อ่ะถ้าจะเห็นมันรกอยู่ทุกวัน อยู่ว่างๆ เสาร์อาทิตย์ก็เลยจัดมันให้เข้าที่ซะ”
อันเดรสกับเวกัสช่วยกันยกของที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ตไปวางไว้ที่เทอเรสในครัว พวกเขาสองคนนัดเจอกันเป็นครั้งแรกหลังจากกลับมาที่ประเทศไทย จากเพื่อนคนหนึ่งที่เจอกันที่อิตาลี กลับมาประเทศไทยอันเดรสก็ดันบังเอิญทำงานให้มหาลัยแห่งหนึ่งแถวกรุงเทพด้วย พอรู้เข้าทั้งสองคนก็หาเวลาเจอกันแล้วก็ได้วันว่างๆ ที่อากาศอบอ้าววันนี้นี่เอง ทั้งคู่ตกลงว่าจะทำขนมเค้กกินกัน เนื่องจากทำอาหารกันไม่เป็นเลยซื้อจากด้านนอกมากินแทน แต่เวกัสที่พอจะอบเค้กเป็นบ้างเสนอที่จะทำเพื่อเป็นของว่างหลังกินเสร็จ
ตั้งแต่รู้จักกับอันเดรสมา เวกัสดูเปลี่ยนไปคนละคนราวกับกำลังมีความรักอยู่ แต่ถ้านี่เป็นผลข้างเคียงมาจากความรักนี่ก็น่าเป็นห่วงมากเลยทีเดียว
เพราะเวกัสรู้แค่ว่าผู้ชายคนนี้ชื่ออันเดรสเท่านั้น ที่เหลือเขาไม่รู้อะไรเลย
“เวกัส เดี๋ยวผมช่วยจัดพวกอาหารไปว่างไว้ที่โต๊ะรับแขกนะ เดี๋ยวกลับมาช่วยจัดการเรื่องส่วนผสม”
“โอเคครับ ขอบคุณมาก”
อันเดรสผละไปจัดการกับถุงอาหารที่ซื้อมาก่อนจะจัดใส่ถ้วยชามและยกไปวางไว้ที่โต๊ะรับแขก ส่วนเวกัสก็เริ่มแกะส่วนผสมในการอบเค้กออกมาเพื่อเตรียมตัว แต่ทันใดนั้นเอง…
ปัก!!
“โอ๊ย!”
เวกัสที่มัวแต่จัดการกับของในมือไม่ทันระวังตัว เขาเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะหยิบช้อน แต่กลับเจอปลายมีดแหลมจ่อมาทางหน้าผากเขาซึ่งมันถูกเสียบจากตู้เก็บของด้านบน
ผลจากการถูกมีดปักจังๆ กลางหน้าผาก แม้จะไม่ได้รุนแรงอะไรมากแต่ก็ทำให้เวกัสล้มทั้งยืนไปกุมหัวตัวเองซึ่งมีเลือดไหลอยู่ด้านล่างเทอเรซ
เขาหลับตาลงอยากหาทางออกไม่ได้ ทันใดนั้นจิตเขาราวกับถูกอำนาจลึกลับดึงไปที่ไหนสักที่ ไกล… จนลืมปัจจุบันที่เป็นอยู่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
..
…
เวกัสกำลังวิ่ง วิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะวิ่งไปไหน สองข้างมืดมิดหาแสงสว่างไม่เจอ ซึ่งปลุกความกลัวในใจลึกๆ ของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น หลายคนคงเคยสัมผัสกับสถาณการณ์ทำนองนี้ เวลาที่เราอยู่ในความมืดเราไม่รู้เลยจริงๆ ว่าภายในความมืดนั้นมีอะไรกำลังเคลื่อนไหวอยู่…
แสงสว่างปลายทางข้างหน้าทำให้จิตใจเขารู้สึกดีขึ้น
อย่างน้อยก็เจอทางออกแล้ว
เขาเร่งฝีเท้าไวขึ้นเรื่อยๆ จนตัวเองแทบจะไม่รู้สึกเหนื่อย แต่พอวิ่งออกมาสุดปลายทางแล้ว เขากลับตกใจกว่าเดิมเพราะเขาออกมาเจอกับเหวลึกที่ด้านล่างมีแต่ความมืดรออยู่
กลิ่นเหม็นสาบของอะไรบางอย่างที่ลอยจากพื้นเหวลอยขึ้นมาทำให้เขารู้สึกเวียนหัวจนอยากจะอาเจียนออกมา สองเท้าถอยหลังกลับไปเพื่อจะตั้งหลักและหาทางแก้ไขสถาณการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้
เขายอมรับว่าตอนนี้เขารู้สึกกลัวเหลือเกิน…มันให้ความรู้สึกกลัวเหมือนตอนที่จะไม่ได้เจอใครอีกแล้วหลังจากนี้…
ไม่แน่ใจว่านี่เป็นฝันหรือเปล่า ถ้าใช่ ใครก็ได้รีบปลุกเขาตื่นทีเถอะ
พลั่ก!
ระหว่างที่เขากำลังคิดอะไรอยู่กับตัวเองนั้น ฝ่ามือปริศนาจากใครสักคนก็ผลักเขาจากจุดที่ยืนอยู่ให้ล้มตกลงไปในเหวที่แสนน่ากลัวนั้น เขาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ใบหน้าของพ่อแม่ เพื่อนๆ ที่เขารักทุกคนปรากฏขึ้นมาในมโนสำนึก แต่ใบหน้าสุดท้ายก่อนที่ความมืดกำลังจะกลืนกินเขาลงไปกลับเป็น…
…อันเดรส
…
..
“…กัส…เวกัส”
ชื่อเขาเหมือนถูกใครสักคนเรียกมาจากที่ไกลๆ เปลือกตาค่อยๆ ลืมขึ้นและกระพริบปรับความรู้สึกที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ พอลืมตาได้เต็มตาถึงเห็นว่าอันเดรสกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ ร่างบางผลุดลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบตัวปรากฏว่านี่คือห้องรับแขก ที่บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่ เขาหันซ้ายหันขวาหาเหวแห่งความมืดนั่งก็ไม่เจอ
ฝันไปสินะ…
…ก็ดี…เขาไม่ได้อยากให้มันเป็นจริงหรอก
“ผมเห็นคุณเป็นลมล้มลงไปตรงเทอเรซก็ตกใจรีบอุ้มพามาตรงนี้”
“…!!!”
ประโยคนั้นจากอันเดรสทำให้เขารีบเอามือสัมผัสหน้าผากทันที แต่มันไม่มี!!
แผลที่เกิดจากมีดกวาดส่ มันหายไปแล้ว เป็นไปได้ยังไงกัน ใจเขาหวนกลับไปคิดถึงคำทำนายของหมอดูคนนั้นแล้วก็ต้องขนลุกชันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ทำไมกัน…
หรือว่าคำทำนายนั้นกำลังจะเป็นจริง ?
ถ้าจะเป็นจริงขึ้นมาแสดงว่าชีวิตเขากำลังจะเปลี่ยนไปสินะ เวกัสเงยหน้ามองอันเดรสที่สบตาเขาอยู่อย่างเป็นห่วงแล้วความกังวลก็ผุดขึ้นมาในใจ
คำทำนายที่ว่านั่นมันจะเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ที่เขากำลังเริ่มรู้สึกดีๆ ด้วยนี่ไหมนะ แล้วฝันประหลาดกับเหตุการณ์เหลือเชื่อ มันจะเกี่ยวข้องกันไหมนะ…
Chapter 15
Before that day
บีทีนนั่งเท้าแขนบนโต๊ะไม้หินอ่อน หัวเอียงไปซบไหล่แร็กตาร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาเหม่อมองไปข้างหน้าในสนามฟุตบอลที่ตอนนี้ชมรมฟุตบอลกำลังซ้อมบอลกันอยู่ แร็กตาร์เห็นแบบนั้นจึงเอื้อมมือมาดีดหน้าผากบีทีนแรงๆ ทีหนึ่ง
“โอ๊ย ฉันเจ็บนะ นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ย”
“หึ เจ็บก็ดี จะได้หลาบจำซะบ้าง แฟนตัวเองนั่งหล่ออยู่ตรงนี้แท้ๆ ยังกล้ามองผู้ชายแก้เสื้อเล่นบอลอีก”
“พูดจาได้หลงตัวเองมากเลย ใครแฟนนายไม่ทราบ ไม่เคยบอกเลยว่าแฟนนาย แบร่ๆ”
ที่บีทีนพูดก็ถูกนะเขาสองคนไม่เคยคุยกันถึงความสัมพันธ์ในลักษณะนี้เลย ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นที่ทะเลที่ได้ปรับความเข้าใจกัน ความรู้สึก็ลึกซึ้งเข้าหากันเองโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ มาผูกมัด เพราะแค่ทุกวันนี้บีทีนก็แทบจะสำลักความสุขอยู่แล้วกับสิ่งที่แร็กตาร์มอบให้
“กล้าพูดประโยคนี้ออกมานะนายน่ะ”
“แล้วใครจะทำไม”
“ทีเมื่อคืนยังร้องบอกอยู่เลยว่าเอาอีกๆ”
แปร๊ด!
บีทีนหน้าแดงขึ้นทันทีกับประโยคสุดพิสดารชวนคิดลึกที่คนตรงหน้าเอ่ยกับเขานั่นเอง
…ฮึ่ย…ทำไมต้องเอามาแซวด้วยเนี่ย
“นี่นายอย่ามาคิดไปเอง ละเมอหรือเปล่า ฉันไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นสักหน่อย”
“ฮึ”
เสียงหัวเราเบาๆ ในลำคอของร่างสูงทำให้บีทีนรู้สึกอยากวิ่งหนีไปจากตรงนี้ชะมัด เขาไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นสักหน่อย หรือว่าพูดก็ไม่รู้แหละ แต่พอเห็นรอยยิ้มจากคนตรงหน้าแล้วหงุดหงิดชะมัด
“เย็นนี้อยากไปกินไอศกรีมไหม อากาศร้อนๆ ถ้าได้ทานอะไรหวานๆ เย็นๆ น่าจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น” แร็กตาร์เอ่ยถามบีทีนเมื่อเห็นว่าคนข้างกายเขางอนจนแก้มป่องไปแล้ว และพอได้ยินถึงเรื่องของกินแก้มพองๆ นั้นก็หุบลงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสแบบที่เด็กคนหนึ่งจะมีได้ แร็กตาร์มองแล้วอดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างมีความสุขไม่ได้
“ไปสิไป อยากกินช็อกโกแลตซันเดย์มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วอ่ะ”
“แหม พอพูดถึงของกินแล้วตาเป็นประกายเชียวนะ”
“แน่นอนสิ เพราะรู้ไงล่ะว่ายังไงคนจ่ายก็คือนาย”
“เฮ้อ เอาอีกแล้วเรา เปลืองเงินโดยใช่เหตุ” แร็กตาร์แกล้งบ่น บีทีนยิ้มแล้วรีบเอาหน้าซุกวงแขนร่างสูง เอาหัวถูไถเหมือนลูกแมวกำลังอ้อน แร็กตาร์อดที่จะเอามือมาลูบหัวบีทีนเบาๆ ด้วยความรักไม่ได้ ทั้งสองคนง้องแง้งกันไปมาสักพัก บีทีนก็ดีดนิ้วตัวเองดังเป๊าะราวกับนึกอะไรออก แร็กตาร์หันไปมองด้วยสายตามีคำถาม
“นี่ ฉันเพิ่งอะไรออกแหละ”
“มีอะไรเหรอ”
“ก็เมื่อวานเชอร์เบลโทรมาชวนไปงานวันเกิดน่ะสิ แต่จัดแบบอลังการมากเลยนะ สามวันสองคืน มีเรือยอร์ชส่วนตัวไว้ล่องเรือดินเนอร์ตอนคืนที่สองด้วย งานจัดที่คฤหาสน์ส่วนตัวที่ชานเมืองน่ะ ด้านหลังมีทะเลสาบให้พายเรือเล่นแล้ว และทางที่เชื่อมกับหอคอยด้านหลังยังติดกับทะเลด้วยแหละ น่าไปมากเลย”
“พูดมาซะเยอะขนาดนี้ บังคับให้ฉันไปด้วยก็บอกมาเถอะ”
“อะไรเล่า แล้วนายจะปฏิเสธหรือไง”
“แน่นอนว่าไม่”
จุ๊บ!
พอสิ้นประโยคนั้นของแร็กตาร์ บีทีนก็เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มร่างสูงทันที ก่อนจะวิ่งหนีออกไป แร็กตาร์ลูบแก้มตัวเองด้วยความอึ้งเพราะปกติบีทีนเป็นคนที่เขินต่อการแสดงออกในแนวนี้มาก พอรู้สึกตัวเขาก็วิ่งตามร่างบางที่วิ่งออกไปอีกทางหนึ่งทันที
เจ้าตัวเล็กนี้จะทำให้เขารักไปถึงไหนกันนะ!!
ห้องเรียนรวมวิชาจิตวิทยา
เวกัสเขียนชื่อตัวเองใส่เป็นคนสุดท้ายก่อนจะพลิกหน้าหลังของรายงานที่ช่วยกันทำเมื่อครู่ เมื่อสังเกตจนพอใจแล้วว่ไม่มีอะไรตกหล่นผิดพลาดจึงเดินเอางานออกไปส่ง ขณะที่เขากำลังลุกขึ้นจะเอางานไปส่ง บีทีนก็สะกิดเรียกเอาไว้ก่อน เขาหันไปถามด้วยสายตางงๆ
“มีอะไรหรือเปล่าบีน”
“ตกลงกัสจะไปงานวันเกิดเชอร์เบลไหมสุดสัปดาห์นี้”
บีทีนพูดพร้อมกับทำนิ้วโป้งชี้ไปทางด้านหลังที่เชอร์เบลกำลังคุยกับเบลมอธ และข้างๆ เขาแร็กตาร์กำลังฟุบโต๊ะหลับอยู่ เวกัสทำหน้านึก คือยังไงก็ต้องไปอยู่แล้ว แต่ไม่อยากไปคนเดียวน่ะสิ อยากไปกับใครอีกคน พอคิดได้ดังนั้นจึงก้มหน้ากระซิบถามกับบีทีนทันที
“เออนี่ บีน”
“อะไรๆ”
“ถ้าฉันจะพาคนนอกไปด้วยน่ะ จะเป็นอะไรไหม”
“อ๋อ”
บีทีนมองเวกัสด้วยสายตาล้อเลียนทันที คนถูกมองร้อนตัวเสตาหลบไปทางอื่น ก่อนจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อย่างช่วยไม่ได้
“คะ คือ จะ จริงๆ แล้วไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นว่าคนเยอะในงานน่าจะสนุกกว่าไง อีกอย่างจัดงานเหมือนจัดค่ายเลยน่าสนุกจะตาย”
“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ชวนไปก็ดีนี่ เชอร์เบลไม่ว่าอะไรหรอก”
“โอเคๆ งั้นฉันเอารายงานไปส่งก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกันนะ”
“โอเคจ้า”
เวกัสถือรายงานเย็บมุมที่เขียนด้วยลายมือพวกเขาไปส่งที่โต๊ะอาจารย์ประจำวิชา อาจารย์รับงานไปก่อนจะถามรายชื่อและรหัสประจำตัวนักศึกษาเพื่อเป็นการเช็กชื่อไปในตัว พอบอกเสร็จเขาจึงเดินกลับไปรวมกลุ่มกับพวกบีทีนเหมือนเดิม
“เอ…”
อาจารย์ประจำวิชาคนนั้นพึมพำคนเดียว
“คนไหนคือเชอร์เบลเนี่ย เขียนชื่อเล่นกำกับไว้ แต่พอดูในระบบตามรหัสนักศึกษาแล้วไม่มีข้อมูลของคนๆ นี้”
ซีเครทถอนหายใจออกมาอย่างเหงาๆ วันนี้น้องชายตัวดีของเขาขอไปกินไอศกรีมหน้ามหาวิทยาลัยกับแร็กตาร์ ทำให้เขาต้องขับรถกลับบ้านคนเดียว สภาพมหาวิทยาลัยตอนหลังเลิกเรียนนี่เงียบเหงา บีบหัวใจเหลือเกิน ทำให้หวนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่ รวมถึงเหตุการณ์ที่มีเบลมอธด้วย
เขาส่ายหัวไปมาเพื่อไล่ภาพของคนนั้นไป และคิดว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี และเปิดประตูรถเข้าไปสตาร์ทออกไป ในใจหวนคิดไปถึงงานวันเกิดของเชอร์เบลที่ชวนเขาด้วยในวันศุกร์นี้ ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่าปาร์ตี้ในครั้งนี้มันจะไม่เรียบง่ายยังไงก็ไม่รู้สิ เขาได้แต่กลิ่นของความเศร้าแฝงอยู่ในนั้น
หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ…
เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ตรงคอนโซลรถเรียกสติเขาให้เอื้อมไปหยิบมันมาดูหน้าจอว่าใครโทรมา
-VEGUS-
เขากดรับแล้วกรอกเสียงลงไป “ว่าไงกัส มีอะไรหรือเปล่า”
[พี่ซีทครับ ขอความช่วยเหลือหน่อยสิครับ]
“หืม มีอะไรเหรอ” ซีเครทหักเลี้ยวรถออกนอกประตูมหาลัยแล้วจอดพักตรงข้างฟุตบาธสักครูเพื่อคุยโทรศัพท์
[ผมขนหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดกลับบ้านน่ะครับ แล้วมันเยอะมากเลย พี่พอจะไปส่งผมที่บ้านได้ไหมครับ]
“ได้สิ แล้วเราอยู่ไหนล่ะ”
[ผมอยู่หน้ามหาลัยครับ พี่อยู่ตรงไหนครับ]
“โอเค พี่ก็อยู่หน้ามหาลัย เดี๋ยวขับรถไปหานะ”
ซีเครทขับรถตรงไปอีกนิดก็เจอกับเวกัสที่หอบหนังสือพะรุงพะรังอยู่ เขาจอดรถกดปลดล็อกรถและช่วยเวกัสขนหนังสือมาวางบนรถ
“เฮ้อ เสร็จสักที ขอบคุณมากเลยนะครับพี่ซีท”
เวกัสเอ่ยขึ้นหลังจากขึ้นมาคาดเข็มขัดนิรภัยนั่งเรียบร้อยแล้ว ซีเครทหันไปคุยกับคนข้างๆ ขณะที่ออกรถไปด้วย
“แล้วทำไมยืมหนังสือจากห้องสมุดมาเยอะขนาดนี้ล่ะ”
“ฮ่าๆ พี่คงไม่ได้สังเกตสินะครับ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือนิยายหมดเลย”
“อ้าวเหรอ ไม่ทันสังเกตเลย”
“กะว่าจะอ่านตอนว่างๆ น่ะครับ เออนี่ พี่ซีทรู้ป่ะ มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นด้วยครับ”
“…?” ซีเครทส่งสายตาเป็นคำถามไปแทนการเอื้อนเอ่ย เพราะเขาต้องใช้สมาธิกับการขับรถ
“อาจารย์ปวีณาที่สอนวิชาจิตวิทยาเรียกผมเข้าไปคุยเรื่องข้อมูลในระบบของเชอร์เบลไม่มี พอผมเข้าไปเช็กดูก็ไม่มีจริงๆ ด้วยครับ เดี๋ยวคงต้องถามเจ้าตัวแล้วล่ะ ว่ามีอะไรผิดพลาดไหม”
ซีเครททำหน้างงกับสิ่งที่เพิ่งได้รับ ประหลาดจัง ปกติแล้วระบบข้อมูลในมหาลัยไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น เพราะข้อมูลนักศึกษาหายไปทั้งคนมันเรื่องใหญ่มากเลยนะนั่น อย่างที่เวกัสบอกคงต้องรอถามเจ้าตัวเอาแล้วล่ะ คิดได้ดังนั้นจึงขับรถต่อไป
เวกัสหยิบไอโฟนออกมาแล้วเข้าเมนูส่งข้อความ เขาเลือกเบอร์ของอันเดรสแล้วพิมพ์ข้อความบางอย่างลงไปอย่างรวดเร็วก่อนกดส่งออกไป ก่อนจะเคาะไอโฟนกับอกตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มมุมปาก
…ขอให้เขาว่างมาทีเถอะ
รอไม่นานประมาณห้านาทีก่อนจะถึงบ้านเวกัส เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น เวกัสหยิบมาเปิดดูก่อนจะยิ้มอย่างดีใจ...
‘Yes. I am. I will met you at front of school in last day 10.30 p.m.’