-
รข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
สวัสดีค่ะ :กอด1:
ขอต้อนรับสู่บ้านอีกหลังของคนเขียนที่ชอบพ่วงความรักเข้ากับอาหาร *หัวเราะ*
ทีแรกไม่ได้ตั้งใจจะเปิดให้เป็นเรื่องราว
แต่ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนชอบคิดพล็อตนู้นพล็อตนี้
ซึ่งเรื่องที่คิดได้ก็สุดแสนจะสั้น จะตั้งกระทู้ใหม่ซ้ำ ๆ ก็กลัวเปลืองพื้นที่เล้าเป็ด
เลยขออนุญาติเอามารวมกันในที่เดียวเลย
เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะออกมาในแนวเรื่องสั้นตอนเดียวจบนะคะ
แต่เรื่องไหนมีแววไปต่อได้ก็ค่อยลองดูอีกที
หรือใครอยากจะยืมพล็อตไปใช้ก็ได้ค่ะ
ฝากกระซิบบอกกัน เผื่อจะตามไปอ่าน
ส่วนใครอยากอ่านเรื่องยาว ๆ ของคนเขียน
มีให้ติดตามแล้วที่นี่ค่ะ
:L2: ซีรีย์หวานอมขม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32800.0) :L2:
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ
และขอให้สนุกไปกับรักรสกลมกล่อมนะคะ
:pig4:
BitterSweet
สารบัญ
► น้ำพระเอก ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg2048922#msg2048922)
► รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับ? ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg2052284#msg2052284)
► เล็กต้มยำ ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg2057367#msg2057367)
► เจาะไข่แดง ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg2078744#msg2078744)
► จนกว่าวนิลลาจะละลาย ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg2092343#msg2092343)
► ยอมเป็นข้าวมันไก่ ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg2197180#msg2197180)
► กุ้งกล้ามกาม ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg2254834#msg2254834)
► บัวลอยไข่หวาน ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg2265542#msg2265542)
► วันธรรมดาที่ชื่อว่า 'วาเลนไทน์' ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg2293001#msg2293001)
► คืนที่ดวงดาวลอยอยู่ในถ้วยกาแฟ ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg2366467#msg2366467)
► มาม่าต้มยำปลากระป๋อง ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg2645262#msg2645262)
► รสออริจินัล ◄ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33869.msg3224300#msg3224300)
*******************************************************************
(http://i1081.photobucket.com/albums/j350/ploybutsara/1.jpg)
น้ำพระเอก
“อ่ะ เอาไป น้ำนางเอก”
กระป๋องแฟนต้าน้ำส้มถูกยื่นมาให้
ใครบางคนทรุดลงนั่งข้างกาย
ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดกระป๋องโค้ก
“ถามจริงทำไมถึงชอบน้ำส้ม”
“ไม่รู้ แค่ชอบ”
...คำว่า ชอบ ไม่เคยมีเหตุผล
เหมือนกับที่เขาชอบเพื่อนสนิทของตัวเอง
จะผ่านพ้นมาอีกกี่ปี
ต่อให้ถามหาว่าเพราะอะไร
แต่ก็ได้คำตอบกลับมาเหมือนเดิม
‘ไม่รู้ แค่ชอบ’
“เอานี่”
ซองสีชมพูถูกส่งให้ตามมา
...มองมันนิ่ง ๆ ไม่รับ
แค่ถามย้อนกลับ
“กลัวไม่ได้ตังค์?”
“เออ สามพันอย่างต่ำ”
อีกคนตบมุกแล้วก็ปล่อยเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นทั้งคู่
ตะวันเริ่มโพล้เพล้...
สายตาเหม่อมองไปยังสนาม
มีคนมาวิ่งออกกำลังกายผ่านไปมา
ผู้ชาย...ผู้หญิง...เด็ก...ผู้ใหญ่...
น่าแปลก...
ทั้ง ๆ ที่ทุกคนรู้ดีว่าการวิ่งมันทำให้เหนื่อยมากแค่ไหน
แต่สองขาก็ยังออกแรงก้าวต่อไป
เพื่อให้ถึงเส้นชัยตามเป้าหมายที่วางไว้
สนามเป็นวงรี
คนก็วิ่งวนเวียนอยู่แบบนั้น
กลับมาซ้ำ ๆ ที่เก่า
ขึ้นอยู่กับรอบของใครของมัน
ต่างคนต่างนับ...
บางคนเพิ่งวิ่งยังไม่ครบรอบ
บางคนวิ่งวนได้สอง...สาม...หรือห้า
บางคนอาจหยุดนับไปนานแล้ว
เหมือนกับเขาที่หยุดนับว่าตัวเอง
ต้องทุกข์ทรมานกับความรู้สึกข้างในใจ
ที่มีให้กับใครบางคนมากมายเท่าไร
...แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น
ก็ไม่เคยตัดใจ
...จะให้เจ็บปวดแค่ไหน
ก็ยังขอเลือกอยู่ข้าง ๆ
“ถ้าไม่ได้มึงกูคงไม่มีวันนี้”
“อย่าเวอร์”
“กูพูดจริง ไม่งั้นคงไม่มีการ์ดใบนี้”
ดึงสายตากลับไปมองซองสีชมพูที่อีกคนยื่นค้างไว้
ตัดสินใจรับมา
เปิดออกดูผ่าน ๆ
“สวยดีนะ”
“เมย์ เลือก”
ชื่อผู้หญิงที่เคยทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อ
ชักนำคนแอบรักข้างเดียวให้ได้ทำความรู้จักกัน
ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย จวบจนมหาลัย
กระทั่งเรียนจบก็แยกย้ายกันไปทำงาน
คบกันมาแปดปีแล้วเหรอ...
เวลานี่มันผ่านไปไวจริง ๆ
“ต้องไปแล้ว ใกล้เวลาเมย์เลิกงาน”
อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน
เขาได้ยินเสียงตัวเองเอ่ยออกมาสั้น ๆ
“ยินดีด้วยนะ”
ใบหน้าคุ้นเคยระบายยิ้ม...
...ยิ้มที่เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยนแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
“ขอบใจ”
พยักหน้า ยิ้มตอบกลับ
ปล่อยให้ใครบางคนเดินห่างออกไปจนลับตา
เหม่อมองท้องฟ้ายามเย็นอีกครั้ง
ดวงอาทิตย์ย้อมแสงเป็นสีส้ม
น้ำกระป๋องที่ถือในมือก็เป็นสีส้ม
น้ำข้างในเป็นน้ำส้ม
...น้ำนางเอก
ใช่สักทีไหน
เขาเรียกว่า ‘น้ำพระเอก’ ต่างหาก
พระเอกที่ยอมให้คนที่ตัวเองรัก
เลือกรักใครอีกคน
ทั้ง ๆ ที่ใครคนนั้นไม่ใช่ตัวเองก็ตาม
แม้จะเจ็บปวดมากเท่าไร
แค่เห็นคนรักมีความสุขก็พอ
แค่มันยังยิ้มได้เหมือนวันนี้
...เขาก็พอใจแล้ว
เปิดฝากระป๋องน้ำส้ม
ยกดื่มขึ้นจนเกือบหมด
แปลกที่รสชาติสัมผัสลิ้น
...มันทั้งหวาน
...ทั้งขม
ราวกับคุ้นเคยมาเนิ่นนาน
ฝืนยิ้มบอกตัวเองในใจ
ดีเหมือนกัน...
คราวหลังถ้าใครบางคนถามจะได้บอกไว้ว่ารสชาติมันเป็นยังไง
ใช่...
....ไม่ต่างอะไรจากน้ำตา
มันคือรสชาติของ ‘น้ำพระเอก’
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
-
กดเข้ามาเพราะชื่อเรื่องนะคะ
(แว่บเรื่องแอบคิดหื่น... น้ำอะไรหว่า หึหึ ก่อนจะตระหนักได้ว่าอื้มมม น้ำส้มล่ะมั้ง แล้วก็จริงซะด้วย)
ส่วนตัว... คิดว่าพล็อตดีมากเลยนะคะ
น่าเสียดายที่เป็นเรื่องสั้น
ชอบภาษาที่บรรยายช่วงท้ายของเร่องมากๆเลย
จะรอติดตามผลงานต่อไปนะคะ
-
แปดปียังชอบอยู่ นานจัง
สั้นๆ แต่ได้ใจนะคะ
-
ยังไงชีวิตต้องเดินต่อไป :a1:
-
แนวเศร้าๆ
อ๊ากกก ชอบ :oni2:
-
พระเอกมาก พอใจที่คนที่ตัวเองรักจะได้มีคนรักที่ไม่ใช่ตัวเอง เฮ้อ...
-
:L2: :L2: :L2:
รักแบบหวานอมขมกลืน แต่ก้อมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
เจ็บจี๊ดดดดดดดดดดด
-
เศร้า...
ช่วงนี้เจอแต่เรื่องแนวนี้ T^T
-
โชคดีที่ชอบเป้บซี่ กินยังไงก้อยิ้ม(ทั้งน้ำตา)
เห็นด้วยกะรีบนช่วงนี้มีแต่เรื่องเศร้าจริงๆด้วย
-
แค่น้ำตาไหลเท่านั้นเอ๊งงงง :L3:
-
สารภาพว่ากดเข้าเพราะชื่อเรื่อง คือนึกอย่างอื่นไม่ออกนอกจากความหื่น แต่คิดว่าไม่ใช่แน่ๆเลยกดเข้ามาอ่านพิสูจน์
ที่แท้น้ำส้มนี่เอง!
แต่คะ สารภาพเลยว่าหลงรัก อะไรนี่ การบรรยายกับการดำเนินเรื่อง การเปรียบเทียบ สอดคล้องลื่นไหลมาก ชอบอ่ะ!!!
พอเลื่อนลงมาเจอ"END" แล้วเฮ๊ยเสียงดังเลย ไม่นะ อย่าจบเลยนะ
แม้จะจบแบบนี้แล้วเลิศ แต่ก็ยังจะอยากอ่านต่อนะคะว่าคุณพระเอกจะได้พบเจอความสุขแบบไหน เชียร์นะคะ!
ปล.อ่านแล้วได้ฟิลโนวากิซังจากอินโนเซนต์ฯมากๆเลยคะ ชอบๆ
-
มันจี๊ดอ่ะ มันจี๊ด ;'(
-
เท่มาก อยากให้เขียนเป็นเรื่องยาวเลย
แต่มันก็จะเสียอารมณ์ของเรื่องนี้ไป คนแต่งไม่เขียนเรื่องอื่นบ้างเหรอค่ะ จะรออ่าน^^
-
รักเพื่อนมาตั้ง 8 ปี แล้วไหงเค้าตกลงปลงใจกับแม่สื่อได้ล่ะเนี่ย
ง๊าาาา จบเศร้าจัง...
แต่พระเอกคนนี้ (ก็เค้ากินน้ำพระเอกนี่นะ) คงจะมีนายเอกมาคู่กันในไม่ช้าล่ะเน๊อะ
ขอบคุณค่ะ
-
นายแน่มาก
-
" น้ำพระเอก " อืม....... ไอ้เราก็งงกับชื่อเรื่อง อ่านแล้วถึงได้รู้.... รสชาติมันพอๆกับน้ำตาเวลาอกตรมซินะ :เฮ้อ:
-
แมนมาก o13
-
(http://i1081.photobucket.com/albums/j350/ploybutsara/6dee609f.jpg)
รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับ?
ง่วง!!
คำเดียวเลย
ตอนนี้ในหัวมีอยู่คำเดียว
เล่นโต้รุ้งอ่านวิชาหลักการอิเล็คทรอนิกส์ไปจนเกือบสว่าง
งีบหลับไปตอนตี 4 ตื่นมาอีกทีเกือบ 6 โมงเช้า
นับ ๆ ดูแล้วใช้เวลานอนไป 2 ชั่วโมงก่อนเข้าสู่สนามสอบ 8.30
โอ้วว....ช่างเป็นการเตรียมรบที่ยอดเยี่ยมมาก
กูล่ะอยากจะมอบโล่รางวัลกล้าหาญให้ตัวเองจริง ๆ
คนที่ตาใกล้ปิดบ่นประชนตัวเองอย่างขำ ๆ
สองขาก้าวเดินโหยหาสิ่งที่จะมาช่วยเติมพลังไม่ให้น็อกเอ๊าท์ระหว่างการสอบ
เช้าขนาดนี้ร้านรวงที่ไหนในมหาลัยมันจะมาเปิด
ยกเว้นก็แต่ที่เดียวซึ่งเขามั่นใจว่า
มันยังคงยืนหยัดอยู่คอยต้อนรับผู้คนตลอด 24 ชั่วโมง
‘7-11’
ตึ่ง ตึง
เสียงประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิด
นัยน์ตาปรือกวาดมองรอบร้านเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีคน
อาจเพราะยังเป็นช่วงเช้าอยู่
จึงทำให้ไม่มีนักศึกษามาเดินป่วนเปี้ยน
ผิดกับตอนพักกลางวันลิบลับ
อย่าว่าแต่จะซื้อของเลย...
แค่คิดจะแหย่เท้าลงไปยังแทบไม่มีพื้นที่
เปิดตู้แช่เอื้อมมือคว้ากาแฟกระป๋องเบอร์ดี้และแบรนด์ซุปไก่สกัด
ทั้ง ๆ ที่ใจจริงอยากกระดก M 150 ซักห้าขวด
แต่สำเหนียกได้ว่า...
กูไปสอบ... ไม่ได้ไปรบกับพม่าจริง ๆ
...ตัดใจไว้ก่อน
เดี๋ยวสลบคาห้องสอบไม่ฟื้นแล้วมันจะยุ่ง
เดินง่วง ๆ มายืนต่อแถวตรงเคาเตอร์หลังผู้หญิงคนหนึ่ง
ในหูแว่วได้ยินเสียงพนักงานชายถาม
“รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับ?”
นึกขำอยู่ในใจ...
พนักงานเซเว่นนี่เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมเซ็ตเอาไว้เนอะ
ถ้าเกิดกูบอกว่ารับ แล้วมันเสือกไม่มีขึ้นมาจะทำยังไง?
...อยากรู้เหมือนกันว่ะ
คิดเพลิน ๆ ก็มาถึงคิวของเขา
วางของที่ถือไว้เบา ๆ
มือหนึ่งคุ้ยหากระเป๋าตังค์ในเป้ที่บรรจุชีทปึกใหญ่
กระนั้นก็ยังมีถ้อยคำหนึ่งดังเข้ามาในหู
“รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับ?”
“ไม่ครับ”
ตอบออกไป
พร้อมหัวคิ้วที่เริ่มขมวดมุ่นด้วยความเอะใจ
เฮ้ย!! กระเป๋าตังค์กูหายไปไหนวะ!?
“รับไส้กรอกเพิ่มมั้ยครับ?”
โว๊ะ...ไอ้ห่านี่ก็ถามจริง
“ไม่ครับ!”
น้ำเสียงเริ่มปนความหงุดหงิด
เร่งควานหากระเป๋าตังค์ในเป้ใบโต
เปิดซิปตรวจดูทุกช่อง แต่ก็ยังคงหาไม่เจอ
เมื่อเช้าจำได้ว่าหยิบมาพร้อมกุญแจหอนี่หว่า
แล้วแม่งมันหายไปไหนได้ยังไงวะเนี่ย
เงินกูเพิ่งกดมาจากธนาคารเมื่อวานเองนะโว้ยยย
แล้วหนึ่งเดือนต่อไปนี้กูจะอยู่ยังง๊ายยยยยย!!!
“รับขนมปังไก่ชีทเพิ่มมั้ยครับ?”
...สามรอบแล้วนะ
ไอ้เวรนี่มึงจะกวนตีนกูใช่มั้ยห่ะ!!
“ไม่!!”
“ถ้างั้น...”
แม่งงงงง!! มันจะอะไรกะกูนักหนาว่ะ!!!
กูไม่เอาอะไรเพิ่มทั้งนั้นแหละ!!!
เพราะตังค์กูหาย....กระเป๋าตังค์กูหาย
แล้วกูจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย!!....
ไอ้ห่าเอ้ยยย มึงเข้าใจกูมั้ยเนื่ยยยย!!!
คิดจะเงยหน้าขึ้นด่า
แต่ชั่วขณะนั้น บางสิ่งในความทรงจำ
กลับกระตุกให้สองมือตบลงไปยังกระเป๋ากางเกง
ความหงุดหงิดเปลี่ยนเป็นความลิงโลดเมื่อพบเจอสิ่งที่ตามหา
ควายเอ้ยยย.....อยู่นี่เอง...
โง่จริงกูก็หายอยู่ได้ตั้งนาน
คราวนี้แม่งมึงพูดออกมาอีกสิไอ้หุ่นยนต์อัตโนมัติ
กูจะเอาให้หมดเลย
แล้วถ้ามึงไม่มีให้กูนะ
มึงโดนนนนนนน!!
“รับผมเพิ่มมั้ยครับ?”
“รับ!! ห่ะ...อะไรนะ??”
คนง่วงงุนถึงกับตาสว่าง
ชะงักงันไปกับคำถามของอีกฝ่ายราวกับไม่แน่ใจ
เมื่อกี๊...
มันพูดว่าอะไรนะ
ใช่... ‘รับผมเพิ่ม’ รึเปล่า
“หือ...อะไรครับ?”
พนักงานในชุดเซเว่นเงยหน้าขึ้นมาสบตา
ทำตัวงง ๆ เหมือนไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น
จนเด็กเตรียมสอบต้องถามย้ำ
“เมื่อกี๊พูดว่าอะไรนะ?”
“เปล่านี่ครับ”
คำตอบที่มาพร้อมกับดวงตาที่จ้องมองอย่างใสซื่อ
ทำเอาคนสงสัยระแวงถึงกับหน้าเอ๋อ
อ้าว...งั้นกูคงหูฝาดไปเอง
สงสัยเบลอหนักเพราะนอนน้อยแน่ ๆ เลยวะกู
“ทั้งหมด 52 บาทครับ”
ส่งแบงค์ร้อยไปให้
รับของพร้อมเงินทอนแล้วเดินออกนอกร้านอย่างงง ๆ
แต่ในใจยังคงวนเวียนถึงคำถามประหลาด ๆ นั้น
...หรือว่าสมองจะปรับจูนคลื่นไม่ทัน
แบบนี้มันจะเข้าสอบไหวได้ไงวะ
ชักไม่แน่ใจในตัวเองแล้วเว้ย
กำลังจะเก็บเศษเงินทอนกับใบเสร็จเข้ากระเป๋า
แล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นรอยปากกาเขียนขยุกขยิกอยู่หลังใบเสร็จสีขาว
‘ซื้อแล้ว รับผิดชอบด้วยนะครับ
08x-xxxxxxx’
...ซื้อแล้ว?
กูซื้ออะไร
แล้วไอ้เลขพวกนี้มันเบอร์โทรไม่ใช่เหรอ?
ก้มลงมองถุงใส่กาแฟกับแบรนด์ที่หวังจะมาช่วยไม่ให้หลับ
ทว่ามันกลับเป็นของไม่มีประโยชน์ซะล่ะมั้งตอนนี้
เพราะกูตื่นเต็มตาเลย
...หายง่วงแถมพ่วงด้วยอาการร้อน ๆ ที่หน้าด้วย
แม่งงง....ไอ้หุ่นยนต์อัตโนมัติพนักงานเซเว่น!!
รอก่อนมึง ไว้รอสอบเสร็จแล้วเดี๋ยวมีเคลียร์
ทำไงได้....
ก็ดันเผลอตัวซื้อมาแล้ว
จะให้ทิ้งขว้างได้ยังไง
มึงไม่ต้องห่วงหรอกกูมันงก
ของที่ซื้อมาแล้วรับรอง...
กูจะใช้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์เลย
...มึงเตรียมตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน!!!
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
เรื่องนี้มาอย่างเถื่อน *หัวเราะ*
เปลี่ยนแนวมาเป็นโหด ๆ บ้าง
สมกับที่ให้มันมีหลายรสชาติ :o8:
คิดเห็นยังไงก็ขอฝากคำแนะนำไว้ด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
:bye2:
BitterSweet
-
กรี๊ดดดดดด น่ารักอ่ะ :-[
ไม่ค่อยจะรวบรัดเลยนะหนุ่มเซเว่น :m12:
-
เรื่องแรก หน่วง จุก มาก
เรื่องสอง น่าร๊ากกกกอ่ะ >..<
-
ฮึฮ่าๆๆๆ ลืมเพื่อนสนิทไปแล้วเร้อ ?
-
เบอร์ดี้กับซุปไก่สกัด เข้ากั๊น เข้ากัน
กินแล้วไม่ชงกันหรือนี่
-
โอ๊ย น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารักอ๊ะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ไม่ไหวนะ
"รับผมเพิ่มไหมครับ?"
โอ๊ยแม่ง เดี๋ยวก็กัดให้ขาดเลย!
ซื้อแล้ว ห้ามทิ้ง เก่าก็ห้ามทิ้ง ยังไงก็ห้ามทิ้งนะ!!!
-
ชอบจังเลยมุขนี้ “รับผมเพิ่มมั้ยครับ?”
มีโอกาสจะยืมไปใช้มั่ง อิอิ
-
ชอบเรื่องที่สอง น่ารักแบบเถื่อนๆ
-
“รับผมเพิ่มมั้ยครับ?” ชอบอ่ะ :impress2: :impress2: :impress2:
-
อรั๊ยย๊ะน่ารักอ่ะ :L1:
-
"รับผมเพิ่มมั้ยครับ?" ชอบ 5555555
อารมณ์เรื่องนี้ขัดกับเรื่องแรกมาก
เรื่องแรกมาซะดราม่า
เรื่องที่สองกวนๆ มาเชียว 555
ซื้อผมแล้ว รับผิดชอบด้วยนะครับ
โอ๊ยย ค้างอ่ะะะ
ต่ออีกสักตอนสองตอนได้มั้ยย
o13
-
:a5:สุดๆๆ ไม่เห็นแถวนี้จะมีแบบนี้บ้างเลย หุๆๆๆจะเหมากลับบ้านให้หมด
-
ชอบทั้งสองเรื่องเล้ยยยยยย
-
กรี๊ดดดดดดด.. อยากให้มีภาคต่อสุดพลัง! 55555555555. ><//
-
รอเรื่องที่สามอยู่น๊า :z2:
-
so cute ^^
-
โหย กำลังสนุกเลย
อยากอ่านต่ออีกนิ๊ดดด
ว่าซื้อแล้วเอาไปใช้ยังไง อิอิ
เห็นบอกว่าจะใช้ซะคุ้ม อยากรอดูว่าคุ้มจริงอะป่าว :z2:
-
(http://i1081.photobucket.com/albums/j350/ploybutsara/97f623d1.jpg)
เล็กต้มยำ
“น้องครับ เอาเล็กต้มยำ ไม่ผัก ไม่งอก ไม่เครื่องใน ไม่เผ็ดมาก ไม่ใส่ถั่ว ไม่ใส่ชูรส....”
“ไม่น้ำ ไม่เส้น ไม่ต้องแดกด้วยเลยมั้ยห่ะ!!!”
กระแทกตะกร้อลวกเส้นด้วยความโมโห
เงยหน้าขึ้นมองหาเจ้าของเสียง
ไอ้ตัวไหนมันเรื่องมาก
สั่งจุกจิกเอาตอนเที่ยง ๆ ลูกค้าเยอะ ๆ แบบนี้วะ
อ้อ...ไอ้เวรที่ยืนเต๊ะท่า ใส่สูทเต็มยศนี่ใช่มั้ย
หน้าตาก็ดีอยู่หรอก ท่าทางจะรวยซะด้วย
แต่ก็แบบนี้แหละ นิสัยของพวกคนมีตังค์
เรื่องมากกินยาก ไอ้นู้นก็ไม่ดี ไอ้นี้ก็ไม่ได้
ทั้ง ๆ ที่ลงท้องไปมันก็ออกมาทางเดียวเหมือนกันหมดนั้นแหละ
แล้วยังจะมาเลือกกินอยู่ได้
น่ารำคาญ!!
เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าหงิกมองลูกค้าตาขวาง
แต่คนที่ถูกจ้องกลับทำแค่เพียงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงง ๆ
“อ้าวถ้าไม่ใส่น้ำ ไม่ใส่เส้น แล้วจะกินยังไงล่ะครับ?”
กวนตีนล่ะมึง กวนตีน
พูดประชดเฉย ๆ เข้าใจมั้ยเนี่ยว่าพูดประชด
ยังจะมาตอบยียวนกวนอารมณ์อีก
คนอยู่หน้าหม้อร้อน ๆ ยิ่งหงุดหงิดอยู่ด้วย
เดี๋ยวพ่อก็เอากระบวยตักน้ำซุปราดปากแม่งซะเลย
“ตกลงจะกินมั้ย”
ถามสั้น ๆ เสียงห้วน
เสียเวลาวุ่นวายกับมันคนเดียวเนี่ยแหละ
ถ้าไม่กินก็จะได้ไปรับออเดอร์อื่นมาทำต่อ
เห็นมั้ยเนี่ยว่าลูกค้ารอเต็มร้านแล้ว
“กินสิครับ ก็สั่งไปแล้วนี่ครับว่าเอาเล็กต้มยำ ไม่ผัก ไม่งอก ไม่เครื่องใน ไม่....”
“โว้ยยยยย!! ไม่ขายโว้ยยยย!!
ขายแต่เล็กต้มยำ เครื่องทุกอย่าง
ถ้ากินไม่ได้ก็ออกไปซะ!!”
ตะโกนตอบกลับดังลั่นอย่างหมดความอดทน
โดยไม่แคร์สายตาของลูกค้าคนอื่น ๆ ที่เริ่มจ้องมองมา
ปกติถ้าไม่เอาผัก ไม่เอาเครื่องใน หรืออะไรนิดหน่อยก็พอทำให้ได้อยู่หรอก
แต่ไอ้เวรตรงหน้านี่ดันสั่งของยาวเป็นห่างว่าว
ได้ยินแล้วหมั่นไส้ ขายให้คนอื่นทำได้
แต่กับมึง...
กูจะไม่ขายโว้ยยย!!
“งั้นเอาเล็กต้มยำเครื่องทุกอย่างก็ได้ครับ”
เมนูเดิมที่หดสั้นลงถูกเอ่ยออกมา
ทำให้คนฟังพยักหน้าลงอย่างพอใจ
“ก็แค่เนี้ย!! บอกตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง
ไปนั่งรอที่โต๊ะโน้น เดี๋ยวยกไปให้”
เอ่ยสั่งอย่างไม่คลายความหงุดหงิด
ร่างในชุดสูทจึงเดินผ่านเข้าไปในร้านนั่งที่โต๊ะในสุด
ส่วนเขาหันมาหยิบตะกร้อใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวและถั่วงอกลวกอย่างคล่องแคล่ว
ก่อนตักกระเทียมเจียว ถั่ว น้ำปลา น้ำตาล มะนาวใส่ชาม
และไม่ลืมที่จะกระหน่ำพริกป่นเข้าไปมากกว่าปกติเป็นสองเท่า
จัดแจงคีบหมู เครื่องใน ลูกชิ้น ตักน้ำซุปปิดท้าย
โรยหน้าด้วยผักชีต้นหอมเป็นอันเสร็จ
เหลียวมองซ้ายขวา ร้องตะโกนหาคนยกเสิร์ฟ
“พี่นวล โต๊ะแปดได้แล้ว”
“จ้า ๆ”
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กต้มยำร้อน ๆ ถูกยกออกไปเสิร์ฟ
เขาหันไปลวกก๋วยเตี๋ยวทำเมนูใหม่
แต่ตายังก็ยังแอบเหลือบมองใครบางคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าโดนวางยาพิษ
กำลังหยิบตะเกียบกับช้อน ก่อนตักน้ำซุปชิมรสชาติ
แล้วเขาก็ต้องกลั้นขำจนตัวโยน
เมื่อเห็นว่าทันทีที่ช้อนเข้าปาก
คนกินก็แทบจะพุ่งน้ำซุปสวนทางออกมา
พร้อมกับรีบคว้าแก้วน้ำมากระดกอึก ๆ
สมน้ำหน้า!!
ไอ้พวกคุณชายไม่กินเผ็ดต้องเจอแบบนี้
โดนพริกกะเหรี่ยงเข้าไปเต็ม ๆ มีหวังได้แสบปากแน่
สะโจโว้ยยยยย!!!
คนที่แก้แค้นสำเร็จนึกยิ้มเยาะในชัยชนะ
ก่อนหันกลับไปจัดการกับเมนูอื่น ๆ ที่เหลือ
โดยไม่คิดจะสนใจลูกค้าสุดแสนเรื่องมากคนนั้นอีกเลย
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
ลูกค้าที่เนื่องแน่นที่ก็ค่อย ๆ ทยอยออกจากร้าน
จนตอนนี้เหลือนั่งทานกันอยู่ไม่กี่โต๊ะ
รวมถึงลูกค้าโต๊ะเบอร์แปดที่ยังคงไม่ออกมาด้วย
อ้าว...ยังอยู่อีกเหรอ
นึกว่าออกไปตั้งนานแล้ว
อย่าบอกนะว่ามันยังกินไอ้เส้นเล็กต้มยำชามนั้นอยู่
ชะโงกหน้าเข้าไปมอง
แล้วก็ต้องสะดุดตากับสิ่งที่เห็น
น้ำ...
ขวดน้ำทิพย์ใหญ่สุดปริมาตรหนึ่งลิตร
แต่ตอนนี้น้ำข้างในหายไปจนเกินครึ่ง
หายไปไหน...
ถ้าไม่ใช่ลงไปในกระเพราะของคนที่กิน
เฮ้ย! บ้าแล้ว...
ดื่มน้ำเป็นลิตร ๆ เพื่อแก้เผ็ดจากก๋วยเตี๋ยวชามเดียวเนี่ยนะ
เดี๋ยวก็จุกตายก่อนเข้าพอดี
แล้วดูนั้นสิ หน้าเหนอแดงไปหมด
เหงื่อออกท่วมแล้วยังไม่ถอดสูทเลยเว้ย
อะไรจะรักษามาดขนาดนั้น
ถอนหายใจอย่างระอา
ก่อนจะใช้ตะบวยตักน้ำซุปร้อน ๆ ขึ้นมาใส่ชาม
แล้วเดินไปวางไว้ตรงหน้าของลูกค้าโต๊ะในสุด
“กินนี้ซะ แล้วก็เลิกดื่มน้ำเย็นได้แล้ว
ยิ่งดื่มมันจะยิ่งทำให้เผ็ดมากไม่รู้หรือไง”
คนที่กำลังใช้ตะเกียบคีบเส้นชะงัก
เงยหน้าขึ้นมองชามน้ำซุป ก่อนส่ายศีรษะ
“ไม่รู้เลยครับ ขอบคุณนะครับ”
...ขอบคุณอะไร
ถ้ารู้ว่าเขาจงใจแกล้งมันจะขอบคุณเขามั้ย
ที่บอกนี่ตั้งใจประชดหรือพูดจริง ๆ กันแน่
แต่ดูจากที่มันพยายามฝืนกินก๋วยเตี๋ยวจนเกือบหมดก็คงจะจริงอย่างที่ว่า
ไม่งั้นจะทนกินอยู่อีกทำไม ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเผ็ดขนาดนี้
เห็นแล้วมันก็อดรู้สึกผิดอยู่นิด ๆ ไม่ได้
“แล้วนี่กินอิ่มหรือยัง
กินไม่หมดก็ไม่ต้องกินหรอก
เดี๋ยวผมไปทำให้ใหม่
เป็นเส้นเล็กลูกชิ้นธรรมดาพอนะ เอามั้ย?”
เขาพยายามเสนอทางเลือกให้ใหม่
แต่คนฟังกลับวางช้อนลงแล้วตอบปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอกครับ
ผมกินเส้นเล็กลูกชิ้นจนเบื่อแล้ว
อยากลองอะไรแปลก ๆ บ้าง
จริง ๆ ชามนี้มันก็อร่อยดี
แค่เผ็ดไปหน่อย ผมเลยดื่มน้ำซะจนอิ่มเลย”
อร่อยเหรอ?
มันชมว่าก๋วยเตี๋ยวเขาอร่อย...
เฮ้ยยย!! จริง ๆ ก็เป็นคนดีเหมือนกันนี่หว่า
คนเรานี่รู้หน้าไม่รู้ใจจริง ๆ
แต่เอ๊ะ...
หน้ามันก็หล่ออยู่แล้ว
แค่ตอนแรกมันพูดจากวน ๆ
ก็เลยแกล้งตอบไปแบบนั้น
อา...นี่เขาเกือบจะเสียลูกค้าดี ๆ ไปแล้วนะเนี่ย
“มื้อนี้ผมไม่คิดล่ะกัน”
คนฟังชะงักขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันงง ๆ
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเป็นลูกค้าก็ต้องจ่ายสิ”
“เออน่า...ไว้วันหลังคุณมากินใหม่แล้วค่อยจ่าย”
“แต่...”
“ไม่ต้องมีแต่ แล้วผมจะทำเล็กต้มยำ
ไม่ผัก ไม่งอก ไม่เครื่องใน ไม่เผ็ดมาก ไม่ใส่ถั่ว ไม่ใส่ชูรส
ให้คุณกินเอง ตกลงนะ”
เมนูยาวเหยียดไม่มีตกหล่นถูกเอ่ยออกมายิ้ม ๆ
เขาแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่จำได้ดีขนาดนี้
แต่ก็นั้นแหละ...
คงไม่มีใครมาสั่งก๋วยเตี๋ยวได้เรื่องมากเท่านี้อีกแล้ว
ที่สำคัญคิดจะตื้ออีกฝ่ายให้เป็นลูกค้าประจำ
มันก็ต้องมีการใส่ใจกันบ้าง
หนุ่มใส่สูทดูนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
แต่ยังไม่ทันขยับปากตอบกลับ
เสียงจากหน้าร้านก็ร้องขัด
“น้องเอาบะหมี่แห้งสอง มาม่าน้ำตกหนึ่ง”
“คร้าบ ๆ”
เจ้าของร้านจึงหมุนตัวกลับไปทางเก่า
เดินไปหยิบตะกร้อลวกเส้นอย่างรวดเร็ว
โดยไม่ได้รู้สึกถึงสายตาของใครอีกคน
ซึ่งยังคงมองมาจากทางด้านหลังอย่างเผลอไผล
ก่อนสะดุ้งได้สติเมื่อเสียงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกงผ้าเนื้อดีดังขึ้น
ชายหนุ่มในชุดสูทกดรับ ได้ยินปลายสายกรอกตามมาด้วยน้ำเสียงรีบเร่ง
“อยู่ไหนเนี่ยลูก
นัดคุณหญิงสายสมรกับหนูลลิตา
สายไปชั่วโมงหนึ่งแล้วนะ
ปล่อยให้ผู้หลักผู้ใหญ่เขารอได้ยังไงกัน”
“ผมติดธุระไปไม่ได้แล้วครับ
อ๋อ...แล้วฝากบอกพวกเขาเลยว่า
ผมขอยกเลิกงานหมั้นทั้งหมด
เพราะผมเจอคนที่ผมอยากจะแต่งงานด้วยจริง ๆ แล้ว”
“อะ....อะไรนะ.....
ลูกพูดอีกทีสิ...ฮาโหล ๆ...”
กดวางโทรศัพท์
ทว่าดวงตาก็ยังคงจับจ้องไปที่แผ่นหลังบาง ๆ ของคนลวกก๋วยเตี๋ยว
เพิ่งรู้ว่าบางทีการเดินออกมาจากเส้นทางเดิม ๆ
แล้วได้ลองรสชาติแปลก ๆ ใหม่ ๆ
มันก็ไม่เลวเท่าไรเลย
ถึงจะร้อนไปบ้าง
ถึงจะเผ็ดไปบ้าง
แต่ก็อร่อยถูกปากดีเหมือนกัน
ที่สำคัญ ต้องขอบคุณคนทำ ‘เล็กต้มยำ’ ชามนี้
ที่ช่วยสอนและยังทำให้เขาติดใจใน
‘รักรสใหม่’
...เข้าให้เต็ม ๆ หัวใจไปซะแล้ว
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
เรื่องที่สามเอามาฝากกันแบบแซ่บ ๆ ค่ะ
เขียนไปก็กลืนน้ำลายไป
อยากจัดเล็กต้มยำ ไม่ผัก ไม่งอก สักชาม
ใครมีก๋วยเตี๋ยวเมนูโปรดอะไรกันบ้างคะ
อร่อยถูกใจเหมือนชามนี้กันบ้างรึเปล่า
เล่าให้ฟังกันบ้างนะคะ
แล้วเจอกันจ้า
:bye2:
BitterSweet
-
ห่ะ!!ได้ไงๆๆๆมาหลอกให้อยากแล้วจากไป
ต่อๆๆๆๆอีกนิดนะ
-
เล็กต้มยำ
ชามนี้แซ่บเวอร์จริงๆ :z2:
-
อ่านแล้วทั้งก๊าวใจ ทั้งหิวอยากกินเล็กต้มยำเป็นที่สุดอ่ะ
ซาบซ่านดีเนอะเรื่องนี้ ชอบๆๆๆๆๆ
ช่วงนี้ อยากอ่านเรื่องแบบนี้เป็นที่สุด
กดเป็ด กดบวกให้เนอะ :pig4:
-
คุณชายหน้ามึนมาเชียว
ขออีกนิดดิตัว :o8:
-
ชอบอ่ะ
มาอัพบ่อยๆนะ o13
-
ไม่อยากจะบอกเลยว่าเมนูเที่ยงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก " เล็กต้มยำ " ชามนี้นั่นเองๆๆๆๆๆ
ปล. แต่แซบไม่เท่าแฮะ... สงสัยเพราะคนลวกก๋วยเตี๋ยวยังไม่หงุดหงิดพอ เหอๆๆๆ
-
แซ่บเว่อร์อะ
5555 แม้จะโดนแกล้งแต่ก็ไม่รู้ตัว
แถมตกหลุมรักอีกต่างหาก
-
ชอบเรื่องที่สามนี้ เราเองเวลาสั่งก๋วยเตี๋ยวไม่เอานู่นไม่เอานี่เหมือนกัน
แต่ถ้าเจอแกล้งแบบนี้ไม่ไหว กินเผ็ดหน่อยน้ำตาไหลแล้ว
อ่านแล้วทำให้อยากกินขึ้นมาเลย
-
ชอบเรื่องนี้...อีกแล้ว 55555
จริงๆ คือชอบทุกเรื่องอ่ะแหละ
เรื่องนี้ก็นะ กินก๋วยเตี๋ยวชามเดียว
ถอนหมั้นซะงั้น 55555
อยากอ่านตอนต่อของทุกเรื่องเลย แง่มๆๆๆ
:z13: :z13:
-
อย่าว่าคนแต่งเลย คนอ่านก็น้ำลายไหลเหมือนกัน
-
พรุ่งนี้สั่งเล็กต้มยำบ้างดีกว่า อิอิ
-
มาอ่านตอนดึกเล่นเอาหิวเลยค่ะ โอ้วววว เตี๋ยวต้มยำๆๆๆๆ
น่ารักดีค่ะ รักรสใหม่...ของพ่อหนุ่มชุดสูทกับพ่อค้าก็วยเตี๋ยวต้มยำ
รักเกิดจากก๋วยเตี๋ยวชามพิเศษนั้นแท้ๆ อิอิ
-
โอ้ยยยยยยยยยยหิวงะะะะะะะ
"ผมขอยกเลิกงานหมั้นทั้งหมด
เพราะผมเจอคนที่ผมอยากจะแต่งงานด้วยจริง ๆ แล้ว”
ประโยคนี้ชอบมากเหมือนได้ล่องลอยอยู่ในอากาศ
55555555555555555555555555555 :impress2: :impress2:
-
อร๊ายยยยยย.. อ่านแล้วรู้สึกหวานยิ่งกว่า ><//
-
น่ารักดี อ่านแล้วหิวเลย อิอิ
-
:z2:
-
"รับผมเพิ่มมั้ยครับ" อืม 7-11 ร้านนี้อยู่ที่ไหน จะตามไปดู
เป็นคนหนึ่งที่ชอบกินเล็กต้มยำ แต่ชามนี้ดูถ้าจะแซ่บมาก ถึงกับทำให้ถอนหมั้นเลย
กด+ และรอรสต่อไป :กอด1: :pig4:
-
อ่านแล้วหิวววววววเลยอ่ะค่ะ อิอิ
-
เล็กต้มยำของเขาดีจริงๆ จะจีบกันยังไงล่ะเนี่ย
-
o13
ชอบทั้งสามเรื่องเลยค่ะ มาเสิร์ฟความอร่อยอีกนะคะ
-
"น้ำพระเอก"
เป็นแนวที่ไม่ค่อยได้อ่านซะเท่าไหร่ เพราะอ่านแล้วจะเศร้าๆ หน่วงๆ แอบอิน ตลอด
แต่เรื่องนี้ชี้ให้เห็นในอีกมุมหนึ่ง รักที่ขอแค่ได้รัก แค่นี้ก็พอแล้ว
"น้ำพระเอก ไม่ต่างอะไรกับน้ำตา" เจ็บจี๊ด :sad4:
"รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั๊ยครับ"
อ่านไป ยิ้มไป อ่านจบต้องอุทานว่า "น่ารักอ่ะ" :-[
อยากเจอแบบนี้มั่งจัง ไปเซเว่นดีกว่า ฟิ้วววว
"เล็กต้มยำ"
นี่ก็แช่บได้ใใจจริงๆ
-
o13
-
เเซบที่สู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ตอน4ๆๆๆๆๆ :z13: :z13:
-
(http://i1081.photobucket.com/albums/j350/ploybutsara/2-1.jpg)
เจาะไข่แดง
“ไข่ดาวไม่สุก”
ร่างสูงใหญ่หยุดตะหลิวผัดข้าว
เงยหน้าขึ้นมาจากกระทะ
มองจานที่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า
...กระเพราไก่ไข่ดาว
ไข่ดาวที่ยังกรอบฟู ทั้งยังมีไข่แดงก้อนกลมดิก
สีเหลืองเปล่งปลั่งเหมือนพระอาทิตย์อยู่ตรงกลาง
...ไข่ดาวไม่สุก
ก็ใช่...
แล้วยังไง...
“ผมขอเปลี่ยน”
ห่ะ?
บ้ารึเปล่า
นี่ไม่เคยรู้รสทิพย์ของไข่แดงไม่สุกเลยใช่มั้ย
เวลากินเขาต้องใช้ส้อมจิ้มลงไปเจาะให้ไข่แดงแตกก่อน
ให้น้ำเยิ้ม ๆ ของมันไหลลงมารวมกับข้าวสวยร้อน ๆ
แล้วค่อยคลุกกินรวมกับผัดกระเพรา
รสชาติมันจะนุ่มละมุนเข้มข้นอร่อยเหาะ
อย่างนี้เขาถึงจะเรียกว่ากระเพราไก่ไข่ดาวที่แท้จริง
“ไข่ดาวมันต้องกินที่ไข่แดงไม่สุกถึงจะอร่อย”
แนะนำตอบกลับไป
แต่ลูกค้ากลับใช้มือขยับกรอบแว่น
พลางเอ่ยคำอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ในไข่แดงดิบมีโปรตีนที่เป็นปฏิชีวนะ
ถ้าได้รับการสะสมในร่างกายเป็นปริมาณมาก
จะทำให้เกิดกระบวนการขัดขวางไม่ให้ร่างกายได้รับวิตามิน B1
และยังอาจจะติดเชื้อไวรัสที่แฝงมาจากไก่ที่มีโรค เช่น ไข้หวัดนก
ซึ่งเป็นโรคเกิดจากเชื้อไวรัส H5N1 พบในสัตว์ปีกทุกชนิดทั่วโลก
สามารถกลายพันธุ์เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ส่งผลให้มีผู้คนล้มป่วยเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะกลุ่มคนวัย 18-20 ปี มีอัตราการตายเฉลี่ยสูง 60%”
...มันพูดพล่ามอะไรเนี่ย
ไวรงไวรัสบ้าบออะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลยสักอย่าง
อ้อ...
เดี๋ยวนะ...
ใส่เสื้อกราวน์สีขาวแบบนี้
นักศึกษาแพทย์นี่เอง
ถึงว่า...
คงเป็นไอ้พวกรักสะอาด
มีเชื้อโรคนิดหน่อยทำเป็นสะดิ้ง
ถ้าคนกินไข่ดาวไม่สุกแล้วตายจริง
ป่านนี้ประชากรเกินครึ่งโลกคงตายไปนานแล้ว
“แล้วจะเอายังไง”
“ขอไข่ดาวสุก”
เรื่องมากว่ะ!
บ่นหงุดหงิดในใจ
แต่ก็หันไปตั้งไฟในกระทะใบใหม่
คว้าไข่ตอกกับขอบกระทะดังแป๊ก
ทอดลงร้อน ๆ บนน้ำมัน พลิกกลับไปกลับมา
ใช้ตะหลิวกดให้ไข่แดงบี้แบนจะได้สุกทั่ว ๆ เร็ว ๆ
เอาให้สมใจอยากคุณนักศึกษาแพทย์
ที่กลัวจะติดเชื้อไวรัสชักกระแด๊ก ๆ ตาย
เพราะกินไข่ดาวไม่สุกจากร้านเขา
รอสามนาทีจนไข่ดาวเกือบเป็นสีน้ำตาลไหม้
จึงยกลงจากกระทะหันไปใช้ตะหลิวเขี่ยไข่ดาวอันเก่าออก
แล้วนำไข่ดาวที่ทอดเสร็จใหม่ ๆ วางลงบนข้าวกระเพราไก่
“ได้แล้วไข่แดงสุก ๆ คราวนี้สุกแน่
รับรองไวรัสตายเกลี้ยงหมดแล้วไม่มีเหลือ”
พูดประชดแซวไป แต่คนรับไม่ตอบคำ
พยักหน้าแล้วเดินยกจานหายไปในโรงอาหารมหาวิทยาลัย
ปล่อยให้พ่อครัวใหญ่มองตามพลางนึกเซ็งในอารมณ์
สงสัยกล้ามเนื้อใบหน้าคงตายด้าน
ถึงได้ทำหน้านิ่งไม่ขอบคุณกันเลยสักนิด
เสียดายหน้าตาก็ออกจะดูดีอยู่แท้ ๆ
แต่ผอมไปหน่อย ขาวซีดแบบนั้นคงมัวแต่เลือกกิน
เป็นลมเป็นแล้งไปจะสมน้ำหน้าให้
อยากไม่รับรู้ถึงคุณค่าในรสชาติของอาหารดีนัก
...แล้วอย่าหาว่าเขาไม่เตือนล่ะกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
“ไข่ดาวไม่สุก”
ประโยคเดิมดังขึ้นคล้ายจะได้ยินไปเมื่อวาน
ส่วนคนพูด...
ก็คนเดิมกับเมื่อวาน
นักศึกษาแพทย์ยืนหน้านิ่ง
มือยื่นจานกระเพราไก่ไข่ดาวมาให้
ร่างสูงใหญ่วางทัพพีจากการตักข้าวใส่จาน
แม้จะพอเดาคำตอบได้ในใจ
แต่ก็ยังไม่วายถามกลับ
“อะไร”
“ผมขอเปลี่ยน”
ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
อดไม่ได้ที่จะบ่นด้วยความเซ็ง
“หัดกินบ้างสิ ไข่ดาวไม่สุกกินกับกระเพราแล้วอร่อยจะตาย”
“รู้ได้ยังไงว่าอร่อย”
“เอ้า ก็เพราะกินแล้วเลยรู้ว่ามันอร่อย”
“ความอร่อยเป็นนามธรรม
มนุษย์รับรู้รสชาติอาหารผ่านทางประสาทสัมผัสจากลิ้น
โดยมีปุ่มรับรส เรียกว่า ปาปิลา ซึ่งจะมีเซลล์ต่อกับใยประสาท
เมื่อมีสารเคมีมากระตุ้น ตุ่มรับรสจะเกิดการเปลี่ยนแปลงความต่างศักย์ของเซลล์
ส่งไปตามเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 และ 9 จนถึงซีรีบัม เพื่อแปลผลออกมาเป็นรสชาติ
โดยจะมีอยู่ด้วยกันแค่ 4 รส คือ รสหวาน รสขม รสเค็ม และรสเปรี้ยว
ไม่มีรสอร่อยอยู่ในนั้น มนุษย์จึงไม่สามารถรับรู้รสชาติของความอร่อยได้”
เออ...
นี่เขากำลังคุยอยู่กับใครวะ
ตำราแพทย์เดินได้เหรอ
มันถึงได้พูดอะไรยาก ๆ ฟังไม่รู้เรื่องเลยสักอย่าง
เคยได้ยินมาเมื่อกันว่าอัจฉริยะกับความบ้าห่างกันแค่เส้นบาง ๆ
สงสัยไอ้คุณชายนักศึกษาแพทย์คนนี้
คงข้ามเส้นที่ว่าไปอยู่อีกโลกเรียบร้อยแล้ว
พ่อครัวใหญ่นึกปลง ความขี้เกียจยังมีอยู่
แต่ไม่อยากฟังว่าที่คุณหมอพล่ามอะไรวิชาการออกมาซ้ำสอง
จึงหันไปจัดการเทน้ำมันรอให้ร้อน หยิบไข่ตอกลงบนกระทะ
ทอดให้สุกจนแน่ใจว่าไข่แดงแข็งเป๊ก
แล้ววางลงบนจานข้าวกระเพราไก่ให้เหมือนเดิม
คนรับถือจานหมุนตัวหันหลังกลับไปไร้คำพูดใด ๆ
ทว่า ยังไม่ทันที่ลูกค้าจะเดินออกห่าง
ร่างสูงกลับเอ่ยคำลอย ๆ
ด้วยเสียงที่ตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน
“อร่อยเพราะใจบอกว่าอร่อยก็แค่นั้น”
ร่างบางชะงักเล็กน้อย
แต่ก็ยังก้าวขาเดินไปต่อโดยไม่สนใจ
ทิ้งให้คนมองได้แต่ส่ายศีรษะอย่างระอา
อุตส่าห์แนะนำของดีให้ก็ไม่ยอมฟัง
เอาเถอะ...
อยากทำกินไข่แดงแห้ง ๆ แข็ง ๆ แบบนั้นก็ตามใจล่ะกันนะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
“ไข่ดาวไม่สุก”
ไม่ใช่เสียงเดิม แต่เป็นเสียงเขาเอง
ชิงบอกก่อนเลยตั้งแต่คนซื้อยังไม่อ้าปากสั่ง
“กระเพราไก่ไข่ดาวใช่มั้ย กินเมนูเดิมทุกวันไม่เบื่อหรือไง”
พูดพลางหันไปเตรียมตั้งกระทะผัดข้าว
ได้ยินเสียงคนที่ยืนอยู่ตอบกลับ
“ผมวิเคราะห์มาแล้วว่าเมนูกระเพราไก่ไข่ดาวมีสารอาหารครบถ้วน
อันประกอบไปด้วย โปรตีนที่ได้จากไก่และไข่แดง คาร์โบไฮเดรตจากข้าวและไข่ขาว
เกลือแร่จากใบกระเพรา ไขมันจากน้ำมันที่ทอดและใช้ผัด
วิตามินซีและเบต้า-แคโรทีนจากพริก สารออร์แกโนซัลเฟอร์จากกระเทียม
โดยกระเพราไก่ไข่ดาวหนึ่งจานจะให้พลังงานทั้งหมด 630 กิโลแคลลอรี่
ซึ่งตามปกติร่างกายของคนเรา....”
“พอ ๆ ครับคุณหมอ เข้าใจแล้ว”
รีบร้องขัดทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ
ขืนรอให้พูดจบก็ไม่ต้องผัดข้าวกันพอดี
ทว่า คู่สนทนากลับยังคงเอ่ยแย้ง
“ผมยังไม่ได้เป็นหมอ ต้องรอเรียนจบอีกสองปี”
ว่ะ! ไอ้เด็กนี่ยังไง
พูดแซวประชดเล่นน่ะรู้จักมั้ย
“เออ รู้แล้ว แค่พูดเล่น ๆ
นี่ถามจริง ซีเรียสกับชีวิตมากเกินไปรึเปล่า
พักบ้างก็ได้เถอะ”
“อาชีพหมอไม่มีวันหยุดพัก”
...อื้อหือ อุดมการณ์แรงกล้า
ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าคนเป็นหมอมันลำบาก
แต่ถ้าไม่หัดเพลา ๆ จากตำราดูบ้าง
เขาว่ามันจะบ้าก่อนเป็นหมอนะ
คิดไปมือก็ผัดกระเพราะไก่
ตักราดข้าวสวยร้อน ๆ หอมกรุ่น
ไม่ลืมที่จะทอดไข่ดาวสุก ๆ วางปิดท้าย
ยื่นจานส่งให้คนรอ
“งั้นก็ตั้งใจเรียนล่ะคุณหมอ
อ่ะ...ไม่ใช่ ต้องว่าที่คุณหมอที่จะจบอีกสองปี”
แกล้งพูดแหย่เล่น แต่อีกฝ่ายก็ยังคงไม่รับมุก
ส่งเงินให้ทำหน้านิ่งตามสไตล์
แล้วก็เดินหันหลังจากไป
ปล่อยให้เขาได้แต่ยืนมองอยู่ไกล ๆ
เฮ้อ...ไม่เข้าใจพวกไม่มีอารมณ์ตลกในหัวใจเลยจริง ๆ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
“รอแป๊บนะ เดี๋ยวไปผัดกระเพราให้”
เตรียมหันไปหยิบตะหลิวทันทีที่เห็นลูกค้าประจำคนเดิมเดินเข้ามา
“ไม่ต้อง วันนี้ขอเป็นข้าวผัด”
มือใหญ่ชะงัก
หันกลับไปมองร้องถามอย่างงง ๆ
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเดิม ๆ บางอย่าง
จะช่วยทำให้ลดปัญหาความเครียดอยู่ในภาวะระดับเหมาะสม
และยังเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดฟิน
ซึ่งเป็นสารเคมีในรูปขอพอลิเพปไทด์ที่เกิดจากการเรียงตัวของกรดอะมิโนเพียง 32 โมเลกุล
สร้างมาจากเซลล์ประสาทเพื่อช่วยในการทำงานของสมอง
ทั้งยังช่วยระงับความเจ็บปวด ตลอดจนควบคุมการตอบสนองทางอารมณ์และจิตใจ”
...มาอีกแล้วไอ้ศัพท์การแพทย์
แต่ครั้งนี้มันแปลกๆ
ถึงจะพูดเข้าใจยากอยู่สักหน่อย
แต่ถ้าฟังดี ๆ แล้วก็คล้ายจะพอเดาได้ไม่ยาก
“มีเรื่องเครียดอะไรอยู่ใช่มั้ย”
คนถูกถามนิ่งงัน
ใบหน้ายังคงเรียบเฉย
หากแต่ดวงตาเรียวภายใต้กรอบแว่นกลับหรุบต่ำลงมองพื้น
ก่อนจะตอบคำเสียงเบากว่าเดิมสั้น ๆ
“คะแนนสอบย่อยทำได้ไม่ดี”
อ้อ...
อย่างนี้นี่เอง...
เขาพยักหน้าเข้าใจ
หมุนตัวหันกลับไปผัดอาหารในกระทะดังโฉ่งเฉ่ง
เสร็จแล้วก็ยื่นจานส่งให้คนรอ
ซึ่งขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อมองเห็นของที่อยู่ภายใน
“ผมสั่งข้าวผัด ไม่ใช่ข้าวกระเพราไก่
แล้วนี่ไข่ดาวก็ไม่สุกด้วย”
“เออน่า...
ถ้าอยากจะเปลี่ยนก็ต้องหัดกินดู
รับรองกินแล้วอารมณ์ดีทันตา”
ไม่พูดเปล่า มือหยิบช้อนมาเจาะไข่แดงที่ยังไม่สุกดี
ให้น้ำของไข่แดงไหลเยิ้มมารวมกับข้าวสวยร้อน ๆ
คลุกผสมรวมกับกระเพราไก่ส่งกลิ่นหอมฉุย
“อ่ะ อ้าปาก”
ตักขึ้นมาคำหนึ่งยื่นจ่อให้คนตรงหน้า
ทว่า อีกฝ่ายกลับถอยห่างพยายามบอกอธิบาย
“แต่ไข่แดงไม่สุกจะมีโปรตีนปฏิชีวนะ ซึ่ง...”
“เลิกพูดเรื่องวิชาการ แล้วอ้าปากซะ”
คนโดนสั่งนิ่งเงียบทันที
มองสบไปที่ดวงตาคมดุที่จ้องกลับมาอย่างจริงจัง
ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอ้าปาก
ให้พ่อครัวได้ป้อนเสิร์ฟอาหารถึงที่
“ดีมาก...
หลับตา ค่อย ๆ เคี้ยวช้า ๆ
ให้รสมันละเลียดผ่านลิ้น”
นักศึกษาแพทย์ทำตามอย่างว่าง่าย
หลับตาลง ค่อย ๆ เคี้ยวรับรู้ถึงรสชาติต่าง ๆ
ที่ทยอยผ่านปลายลิ้น
หอม เค็ม หวาน มัน เผ็ด
ทุกรสผสมลงตัวออกมาได้กลมกล่อม
...เป็นรสชาติแปลกใหม่ที่เขาเพิ่งเคยลิ้มลองเป็นครั้งแรก
“เป็นไงอร่อยมั้ย”
คนถูกถามกำลังจะอ้าปากตอบว่าความอร่อยเป็นนามธรรม
แต่บางสิ่งในใจกลับสั่งให้หยุดไว้
แล้วเปลี่ยนเป็นพยักหน้ารับ
“อือ...อร่อย...”
คนฟังยิ้มกว้างเมื่อได้คำตอบถูกใจ
“เห็นมั้ยบอกแล้วว่ากระเพราไก่มันต้องกินกับไข่ดาวไม่สุก
เออ แล้วเรื่องสอบน่ะ ไม่ต้องไปคิดมากหรอก
ครั้งนี้ไม่ได้ครั้งหน้าก็พยายามใหม่
เก่ง ๆ อย่างเราทำได้อยู่แล้ว เชื่อสิ”
พูดให้กำลังใจไป
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้เขาพูดออกไปอย่างนั้น
คงเป็นเพราะได้ยืนฟังเจ้าตัวสาธยายเหมือนท่องตำรามา
ถึงได้มั่นใจว่าคนคนนี้คงเก่งไม่น้อย
แม้จะดูเกิน ๆ ไปบ้างสักหน่อย
แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นเด็กธรรมดา ๆ
ที่มีเรื่องกลุ้มใจตามประสาคนทั่วไปอยู่เหมือนกัน
ร่างที่ยืนอยู่นิ่งเงียบ
ดวงตาหลังเลนส์แว่นยังคงมองจานกระเพราไข่ดาวที่กินไปแล้วคำหนึ่ง
ก่อนจะยกจานขึ้นมายื่นส่งเงินให้
คนรับก้มเก็บตังค์ลงในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน
ไม่พูดว่าอะไรเพิ่มเติม
เพราะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงเดินจากไปเช่นนี้เป็นปกติ
ทว่า ครั้งนี้ ลูกค้าประจำกลับไม่ขยับ
จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมอง
แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นบางสิ่ง
...รอยยิ้ม
...รอยยิ้มบาง ๆ
แต่ก็ยังสร้างรอยบุ๋มเกิดเป็นลักยิ้มเล็ก ๆ บนแก้มข้างขวา
ดูสดใสชวนมองจนไม่อาจละสายตาออกไปได้
“ขอบคุณครับ”
ได้ยินคำพูดประโยคสั้น ๆ แค่นั้น
ก่อนอีกฝ่ายจะเดินจากไป
ทิ้งพ่อครัวไว้กับอาการผิดปกติบางอย่างที่เริ่มเกิดขึ้น
...แย่แล้ว
รู้สึกใจมันสั่น ๆ หวิว ๆ ชอบกล
แล้วทำไม...
ทำไมปากถึงยิ้มไม่ยอมหุบแบบนี้
...กลับมาก่อนได้มั้ย
ว่าที่คุณหมอช่วยกลับมาตรวจร่างกายให้เขาที
อยากรู้จริง ๆ ว่าตอนนี้เขาเป็นอะไร
ไม่สบาย...
เป็นไข้...
หรืออาจจะเป็นเพราะโดนไวรัสจากไข่แดงไม่สุก
...เล่นงาน ‘หัวใจ’ เข้าให้เต็ม ๆ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
END
แวะมาเสิร์ฟกระเพราไก่ไข่ดาวค่า :กอด1:
เมนูสิ้นคิดที่สั่งเป็นประจำ
ไม่รู้จะเป็นเมนูโปรดของใครบ้างหรือเปล่า
แล้วมีใครชอบทานไข่ดาวไม่สุกบ้างมั้ยเอย
คนเขียนล่ะชอบคนหนึ่ง
ไข่แดงเยิ้ม ๆ คลุกข้าวกินอร่อยจริง ๆ นะตัวเอง
ใครไม่เคยลองก็อย่าลืมหามาทานกันนะจ๊ะ
แล้วระวังจะตกหลุมรักเอาไม่รู้ตัว :o8:
ป.ล. ใครโดนชื่อตอนหลอกมาบ้าง
ชักตั้งได้ส่อขึ้นทุกวันแล้ว ฮ่าๆๆ
BitterSweet
-
:z1: นึกว่าจะได้เจาะไข่คุณหมอ หุหุ
-
โอ๊ยเขินนนนนนนน :-[ :o8:
เราก็ชอบไข่ดาวไม่สุกค่ะ แต่ไม่ชอบเยิ้มมาก 555
แต่เราดันชอบกะเพราหมูสับมากกว่า แง้~~~ หิวเลยอ้ะ.
อยากอ่านต่อจังเลยค่าาา ><
-
เป็นตอนที่อร่อยแล้วก็ฮาด้วยค่ะ
ขอยกมือว่าชอบไข่ดาวไม่สุกด้วยคน แต่ไม่ชอบให้มันไหลลงมาปนกับข้าว
แต่จะเจาะแล้วเหยาะน้ำปลาพริก จากนั้นก็ใช้ช้อนตักกินไข่แดง
อืม !!! อาหย่อยยย :m1:
-
แอร๊ยยยยย
น่ารักจังคู่นี้ :กอด1:
สั้นๆแต่น่ารักจริงอะไรจริง
ปล.เค้าชอบกินไข่ดาวสุกๆนะตะเอง
ตอนเด็กๆชอบแบบไม่สุกพอโตมาชอบกินสุกๆ
แปลกคน 5555555
-
อ้าวนึกว่าจะได้เจาะไข่แดงคุณหมอซะล่ะ :z1:
-
:กอด1:
-
เมนูโปรดเลยไข่ดาวไม่สุก ต้องบอกว่าลงกะทะแล้วตักขึ้นเลย 555
น่ารักดี :-[
-
อ่านแล้วอยากไปส่องโรงอาหารว่าร้านไหนมีพ่อครัวใจดีแบบนี้มั่ง
-
คุณหมอในอนาคตคนนี้ช่างเป็นทางการซะเหลือเกิ๊นนนนน
จะว่าไปตอนนี้ไม่รู้ชื่อตัวละครเลยแฮะ :laugh:
-
กระเพราไก่ไข่ดาว
อร่อยเวอร์มากกกกก :laugh:
-
อ่านสนุก อ่านเพลินทุกเรื่องเลย
ได้มุมมองดีๆ พล็อตแปลกตาเยอะด้วย
รอเรื่องต่อๆ ไปนะ
-
เคยกินไข่ดาวไม่สุกแบบนี้เหมือนกัน ขอบอกว่าอร่อยมาก
+1 +เป็ดให้นะ
-
เขินไปกับพ่อครัวด้วย ว้าวววว
ข้าวกระเพราไก่ ไข่ดาวเยิ้ม ๆนิ อร่อยจริงๆนะ
หิววว
-
555
อ่านแล้วฮากับคุณหมอจริงๆ
พูดออกมาแต่ละทีเหมือนหุ่นยนต์ที่ตั้งระบบมาเลยทีเดียว
-
ชื่อตอนหวาดเสียวน่าดู
แต่พออ่านดูกลับน่ากินซะงั้น
-
พ่อค้าอายุเท่าไรแล้วครับ กินเด็กเหรอ อิอิ
-
อ้อเจาะไข่แดงมันเป็นแบบนี้นี่เอง
-
แต่ละเรื่องน่ารักมากๆ แต่ชอบน้ำพระเอกเป็นพิเศษ ชอบอ่านนิยายแนวๆนั้นจ๊ะ
-
เจาะไข่แดงแบบนี้นี่เอง^^
แต่แหมคิดแล้วก็ให้อยาก "เจาะ" ไข่แบบนั้นบ้างจัง :impress2:
:3123:
บวกเป็ด
-
ชอบบบบบบบบบบ
-
น่ารักจัง น่าจะยาวกว่านี้อีก อยากอ่านต่อ
คุณพ่อค้าของเราหลงเสน่ห์ว่าที่คุณหมอซะแล้ว
เราก็ชอบไข่ดาวไม่สุกมากๆ แต่จากที่อ่านมาคงต้องลดลงบ้างแล้ว
-
หนุกทุกเรื่องเลย แต่สั้นไปหน่อย
-
น่ารักทุกเรื่องเลยค่ะ
ชอบเรื่องพนักงานเซเว่นจัง น่ารักมากกกกกกกก
เข้าเซเว่นทุกวันไม่เห็นเจอแบบนี้บ้างเลย อยากได้แบบนี้ ฮ่าๆๆ
-
ชอบไข่ดาวไม่ค่อยสุกเหมือนกัน แต่ไม่ถึงขั้นแดงฉ่ำไหลนองจานข้าวอ่ะ
เวลาทอดจะไม่พลิกกลับด้าน อาศัยตักน้ำมันราดๆลงไปตรงไข่แดง อื้ม... อาหย่อยเหาะ
-
ตกใจชื่อตอน เจาะไข่แดง 555 นึกว่าตอนนี้จะมาแนว 17+ แล้ว
ที่ไหนได้...
ตอนนี้น่ารักเหมือนเดิม เหมือนทุกตอนเลย
คุณหมอ เอ้ย คุณว่าที่หมอพ่นศัพท์การแพทย์มาตรึม! 555
ชอบตอนป้อนกะเพราะไก่ไข่ดาวไม่สุกอ่ะะ
-
ชอบจัง ของกินเยอะแยะเลย o13
-
ถ้าน้อง(ว่าที่)หมอจะน่ารักขนาดนี้ อาเฮียคงจะได้เป็นโรคหัวใจ(เต้นเเรงเกิน)สักวัน 55+
ป.ล.ชื่อส่อมากขึ้นทุกตอนนะคะ 55+
-
คนอ่านก็ชอบไข่ดาวไม่สุกเหมือนกัน และจะชอบเลาะไข่ขาวกินก่อน เก็บไข่แดงไว้กินทีหลัง :z3: มันอร่อยจริงๆ กระเพราไก่ไข่ดาวไม่สุกจานนี้
กด + ให้คนเขียนและไข่ดาวไม่สุก
-
เสน่ห์ของเรื่องสั้น คือมันชวนให้จินตนาการต่อนี่เอง ลงบ่อยๆนะครับ น่ารักดี
-
น่ารักจัง
-
(http://i1081.photobucket.com/albums/j350/ploybutsara/a3416d8b.jpg)
จนกว่าวานิลลาจะละลาย
“กูเลี้ยง”
ได้ยินเสียงบอกสั้น ๆ
เงยหน้าขึ้นมองคนคุ้นตาที่กำลังยื่นไอศกรีมโคนวานิลลารสโปรดมาให้
ยื่นมือรับ ก่อนอีกฝ่ายจะนั่งลงข้างกายบนอัฒจันทร์ปูน
ดวงตาคู่นั้นเหม่อมองไปยังฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นสนามฟุตบอลของโรงเรียน
“จะห้าโมงครึ่งแล้วมันยังเตะกันอยู่อีกเหรอวะ”
“รอยิงลูกโทษ”
“ถ้ากูลงไปป่านนี้ได้กลับบ้านกันหมดแล้ว”
“น้อย ๆ หน่อยมึง
คิดจะฝ่ากองหลังขั้นเทพอย่างกู
รอชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะนะไอ้น้อง”
“แล้วไอ้น้องคนไหนเลี้ยงไอติมกูเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว”
“เหี้ย! ไม่ต้องเสือกรื้อฟื้น ทำอย่างกับมึงไม่เคย”
สบถด่าออกไป
ได้ยินเสียงมันหัวเราะเบา ๆ
ไม่รู้กติกามันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไร
ที่ว่าใครเป็นฝ่ายแพ้จะต้องเลี้ยงไอศกรีมคนชนะ
หนึ่งปี...
สองปีก่อน...
หรือมากกว่านั้น
ไม่อยากจะใส่ใจจำ
เพราะว่าความสนิทระหว่างเขากับมัน
ยาวนานเกินกว่าจะนับ
เราคุยกันได้ทุกเรื่อง
มีมันก็ต้องมีเขาอยู่ข้าง ๆ เสมอ
กระทั่งกลายมาเป็นความเคยชิน
...เคยชินเสียจนไม่รู้ตัวว่าบางสิ่งมันเริ่มต้นแต่เมื่อไร
อาจจะเริ่มจากข่าวลือเล็ก ๆ
จากปากพล่อย ๆ ของใครบางคน
“มันชอบมึง”
“บ้าดิ กูกับมันแค่เพื่อนกัน”
“จริงนะ ไอ้เป้บอก ได้ยินจากปากมันเองตอนมันลากไปแดกเหล้า”
“อ้าวเวร มีกินเหล้ากันเสือกไม่ชวนกู”
“มึงไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย
ข่าวนี่ชัวร์ไม่มีมั่วกูคอนเฟิร์ม
มึงก็เตรียมใจไว้ให้ดี ๆ ล่ะกัน”
เหลือบมองคนข้างตัวที่ยังคงนั่งละเลียดไอศกรีมโคนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
นึกแล้วก็ขำ
ตอนนั้นเล่นเอาเขาระแวงมันไปอยู่พักหนึ่ง
แต่มันก็ยังทำตัวเป็นปกติจนกระทั่งเขาเลิกคิด
แล้วอยู่ ๆ วันสุดท้ายก่อนปิดเทอมใหญ่ตอนมอห้า
มันก็ดันพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีคุย
ตอนนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ปูนกันสองคน
“เฮ้ย กูมีเรื่องจะบอก”
“อะไร”
“กูชอบมึงมานานแล้ว
คบกับกูหน่อยได้มั้ย”
“...............”
“ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้
กูไม่อยากเร่งมึง กูเข้าใจ
แต่แค่อยากให้เก็บเรื่องกูไปคิดบ้าง
แล้วเปิดเทอมกูจะมาฟังคำตอบนะ”
คำพูดที่เล่นเอาช็อค
จำได้ว่าเป็นปิดเทอมหน้าร้อนตอนมอห้าที่ยาวนานที่สุด
มันหายเงียบ ทั้งๆ ที่ปกติจะต้องชวนไปเที่ยวนู้นนี้ด้วยกันตลอด
โทรไปก็ปิดมือถือไม่รับ
ลงทุนไปหาที่บ้านก็พยายามหลบหน้า
ไม่รู้มันทำอย่างนั้นทำไม
หรืออยากให้เขาคิดถึงมัน
ซึ่งขอบอกเลยว่าได้ผลเต็ม ๆ
เพราะระหว่างที่ไม่เจอหน้า
เขากลับรู้สึกว่างโหว่งข้างในใจจนทนไม่ได้
คล้ายมีบางสิ่งที่สำคัญขาดหายไปจากชีวิต
สุดท้ายตอนเปิดเทอมเขาเลยต้องรีบลากมันมาคุย
“ที่มึงบอกกู กูตกลงนะ”
“ห่ะ เรื่องอะไร”
“อ้าวไอ้เหี้ย ถ้ามึงจำไม่ได้ก็ช่างแม่งมัน”
“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน กูล้อเล่น
มึงช่วยพูดให้กูฟังอีกรอบได้มั้ย”
“................”
“อะไรนะกูไม่ได้ยิน”
“...กูเป็นแฟนมึง”
แล้วมันก็หัวเราะเข้ามากอดเขาไว้แน่น
เขากอดตอบกลับ
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่แน่ใจว่าคือรักมั้ย
แต่อย่างน้อยก็ยังดีใจที่มันอยู่ข้าง ๆ
รอยยิ้มกว้างของมันวันนั้น
เขายังจำได้ดี
...ยิ้ม
ที่เหมือนรอยยิ้มของวันนี้ไม่มีเปลี่ยน
“เหมือนฝนจะตกเลย”
มันพึมพำขึ้นมาลอย ๆ
มองไปที่ท้องฟ้า
เห็นกลุ่มเมฆเทา ๆ จับตัวกันเป็นก้อนกระจายออกไป
...แตกต่างจากครั้งนั้น
วันที่หลังจากเตะบอลกันเสร็จแล้วเขาแพ้
เลยต้องมานั่งเลี้ยงไอศกรีมมันตามกติกา
แล้วอยู่ ๆ มันก็ดันถามขึ้นมา
“มึงว่าท้องฟ้ากว้างมั้ย”
“เอ้า มึงไม่เห็นหรือไง กว้างจะตายห่า”
“แต่กูว่าไม่นะ เพราะท้องฟ้ากว้างขนาดไหนก็เขียนคำว่ารักมึงไม่เคยพอ”
“เสี่ยววะ ดีนะเสียดายไอติมไม่งั้นกูอ้วกไปแล้ว”
“เหรอ แต่หน้ามึงแดงเลยนะ”
“เฮ้ยเปล๊า! แดงตรงไหน กูเพิ่งเตะบอลเสร็จมันร้อน”
“มึง”
“อะระ....”
“... !! ...”
“จูบมึงหวานดี เหมือนวานิลลาเลย”
จูบแรกเกิดขึ้นที่นี่
มันทำไปโดยไม่อายสายตาใคร
ไอ้เขินก็เขินอยู่หรอก
แต่ไม่รู้จะทำยังไงเลยว๊ากมันไปที
มันแค่หัวเราะแล้ววิ่งหนีเขารอบ ๆ โรงเรียนแค่นั้น
ทุกครั้งที่มันคอยห่วงใย ดูแลเอาใจใส่
บางทีมันก็จั๊กจี๊หัวใจแปลก ๆ
มือที่จับกันดูอบอุ่นมากกว่าที่เคย
มีความสุขจนอยากหยุดทุกอย่างเอาไว้ตรงนี้ให้นาน ๆ
“เวลามันผ่านไปเร็วเนอะมึงว่ามั้ย”
“อืม”
เขาพยักหน้าตอบกลับ
มือยังคงถือโคนวานิลลาอยู่แบบนั้น
จนมันเริ่มละลายโดยไม่ได้กิน
ตรงข้ามกับคนข้างกายที่กลืนไอศกรีมวานิลลาคำสุดท้ายเข้าปากเรียบร้อย
มันปัดมือสองสามที คว้ากระเป๋า แล้วลุกขึ้นยืนเมื่อถึงเวลา
...เวลาที่รู้ดีตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน
ในวันประกาศผลสอบตรงจากมหาลัยเชียงใหม่
ซึ่งมันแอบไปสอบมาโดยที่เขาไม่รู้
“ทำไมต้องที่นั่น ในกรุงเทพมีมหาลัยตั้งเยอะแยะ”
“มันไม่เหมือนกัน กูแค่อยากไปที่ไกล ๆ”
“หมายความว่ามึงอยากไปจากกูงั้นสิ”
“ก็บอกว่ามันไม่เหมือนกันไง”
“แล้วไม่เหมือนกันตรงไหนวะ!!”
“พูดไปมึงก็ไม่เข้าใจหรอก
เอาเป็นว่า กูเลือกแล้ว”
“มึงเลือกที่จะทิ้งกูใช่มั้ย”
“ไม่ใช่...
แค่กู...
...กูคิดว่าพวกเราควรจะกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”
“มึงพูดง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไงวะ!!
นึกจะคบก็คบ นึกอยากจะเลิกก็เลิก
ถ้ามึงบอกยังงี้สู้ไม่ต้องกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกเลยดีกว่า”
“มึงจะเอาอย่างนั้นเหรอ”
“เออ หลังจากเรียนจบ
ระหว่างมึงกับกู
ถือซะว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”
ปัญหามันเกิดขึ้นมานานแล้ว
...ยิ่งนับวันก็ยิ่งถาโถม
...ยิ่งสะสมความไม่เข้าใจจนกลายมาเป็นจุดแตกหัก
ระหว่างเขาสองคนอาจเป็นเพื่อนที่ดี
แต่เรื่องความรัก...
...เขากับมันอาจเป็นแฟนที่แย่ที่สุดของกันและกันก็ได้
ดังนั้น ไม่แปลกเลยที่เรื่องจะมาจบลงตรงนี้
...ไม่แปลกเลยที่มันเลือกคิดจะออกห่างจากเขา
มันยังคงยืนนิ่ง
ดวงตามองตรงไปยังสนามฟุตบอล
ก่อนจะได้ยินเสียงพูดสั้น ๆ
“ไปนะ”
เพียงคำแผ่วเบา...
แต่กลับตกกระทบลึกลงกลางใจ
ด้วยรู้ดีว่ามันอาจหมายถึง
...คำสุดท้ายระหว่างเรา
เขานิ่งเงียบ พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่ไอศกรีมวานิลลาที่ละลายเลอะมือ
ก่อนได้ยินเสียงฝีเท้าคุ้นเคยเดินหันหลังจากไปไกล
...ทุกที
...ทุกที
...ไม่มีน้ำตา
...ไม่มีคำเอ่ยลา
...ไม่มีคำว่ารักเหลืออยู่อีกต่อไป
ไอศกรีมวานิลลาหยดลงบนพื้นทีละหยด
ตรงข้ามกับความทรงจำระหว่างเขากับมันที่พรั่งพรูไม่ขาดสาย
รักครั้งแรกที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร
เพราะความสนิทกัน
เพราะว่าเผลอใจ
หรือแค่เพราะ...
...อยากจะลองเรียนรู้จัก ‘ความสุข’ และ ‘ความเจ็บปวด’
จากการที่ได้ ‘รัก’ ใครสักคนหนึ่ง
ไอศกรีมวานิลลาละลายเหลือเพียงน้ำ
เขาปล่อยโคนที่กินไม่หมดทิ้งลงบนพื้น
ลุกขึ้นคว้ากระเป๋านักเรียน
แล้วเดินกลับไปตามทาง
“กูรักมึง กูสัญญาว่าจะรักมึงตลอดไป”
ถ้อยคำที่มันเคยบอกสะท้อนก้องอยู่ในความคิด
...คำว่า ‘ตลอดไป’ ไม่เคยจะเป็นจริง
...ความรักเขากับมัน
...ความรักระหว่างเรา
มันแค่มีอยู่จนกว่าไอศกรีมวานิลลาจะละลายหมดไป
...ก็เท่านั้นเอง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
ฝากเรื่องสั้นหน่วง ๆ ไว้หนึ่งตอน
เปลี่ยนแนวสลับคั้นรสกันบ้าง
เริ่มต้นด้วยหวานแต่ลงท้ายด้วยขม
ความรักมันก็ต้องมีตอนจบที่ไม่ได้แฮปปี้เอนดิ้งเสมอไป
การจากกันด้วยดี และปล่อยให้ความผูกพันยังคงอยู่ในใจ
ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความรักเหมือนกัน
เฮ้อ...ความรักนี่มันช่างเข้าใจยากจริง ๆ เนอะ
คิดเห็นอย่างไรฝากบอกกันได้นะคะ
:กอด1:
ขอบคุณค่ะ
BitterSweet
-
เฮ้อ :เฮ้อ:
ตอนนี้จบง่ายๆ ค้างนิดๆ
แต่อยากให้มีตอนพิเศษอะไรอย่างงี้อ๊า
:เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
-
อ่าาา จริงเนอ ะความรัก มันมักไม่สมหวังเสมอไป
เศร้าเลยตอนนี้
-
:กอด1:
-
:a5: :a5: อ๊ากกก ตอนจบ...
-
หน่วง :monkeysad:
ไร้คำบรรยาย
แต่อยากรู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่เลือกไปอยู่เชียงใหม่วะ :z6:
บวกเป็ด
-
กว่าจะบอกรักมันยาก
แต่บอกเลิกทำไมง่ายจัง :z3:
-
ง่ายไปไหม
บอกเลิกกันอย่างนี้
เศร้าแทนเลย
-
จะบอกว่าแซ่บก็แซ่บนะ แต่หวาน น่ารักมากกว่า อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจ อิอิ
ชอบเรื่อง ไข่ดาวไม่สุกเป็นพิเศษ เพราะชอบกิน 555 เสียดายไม่เคยเจอคนขายน่ารักบ้าง
รูปประกอบก็น่ากินทุกรูปเลย
-
ไม่เข้าใจง่าย ๆอย่างนี้เลยเหรอ
-
มันไม่ถึงขั้นเศร้า น้ำตาไหลหรอกค่ะ
คงเพราะตอนที่ตัวเอกเล่าเนี่ย รู้ตัวมาก่อนถึงสองเดือน
มันคงผ่านช่วงเจ็บปวดนั้นมาแล้ว
มาเล่าในช่วงนี้ มันก็แค่อึมครึม แต่ไม่นานก็จะดีขึ้นนะ
ต่างคนต่างก็จะไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง
แล้วอนาคตข้างหน้า หลังจากออกไปเจออะไรๆ มากขึ้น
อาจจะทำให้รู้ตัวขึ้นมาก็ได้ว่า ได้เสียสิ่งที่ใช่ที่สุดไปซะแล้ว
-
อ่านแล้วหน่วง
แอบบงงนิดๆ ว่ารักยังอยู่รึป่าว
-
เข้าใจนะคะว่ามันหลากรส :เฮ้อ:
แต่เวลาเจอรสขมทีไร so sad :sad11:
-
เรื่องเศร้าก่อนนอน
ไอติมวนิลาถึงมันจะหวาน
แต่มันก็มีวันละลาย
เรื่องที่โหดร้ายคือมาทำให้รัก
แล้วก็จากไป เศร้าที่สุด ฮือ
:o12:
-
ทำไม"มัน"ยอมง่ายๆงั้นล่ะ...
ไม่มีหรอกเนอะ นิรันทร์...
-
เศร้า T^T
-
รสวานิลาเที่ยวนี้ไหงมันขมจนน้ำตาไหลเลย บทจะรักก็พูดง่าย แต่บทจะขอเลิกยิ่งง่ายใหญ่แถมไม่บอกเหตุผลอีก
กด + และ + เป็ด ให้คนเขียนค่ะ
รออ่านรสชาติใหม่ๆ ต่อไป
-
ชอบรับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมคะมากๆเลย
คนถูกจีบก็มึนๆเบลอๆ
คนจีบก็มึนๆอีก หึหึ สอบเสร็จอย่าลืมไปเคลียร์นะ
ซื้อเค้ามาแล้วอ่ะ ใช้ให้คุ้มด้วย
:o8:
-
น่ารักทุกเรื่องเลยแต่ว่าเสียอยู่อย่างเดียวอย่าอ่านตอนกลางคืนนะ
เพราะว่า...มันจะหิวอ่ะดิ เห็นรูปหัวนิยายแล้วท้องร้องเลยทำร้ายมากคนเขียนฮ่าๆๆๆ
ชอบทุกเรื่องบางเรื่องแอบอยากให้เขียนเป็นเรื่องยาวนะชอบอ่ะ
ชอบสำนวนการเขียนด้วยทั้งเรื่องสั้นเรื่องยาวเลย(แอบไปอ่านมา)ทำให้ยิ้มได้แบบไม่รู้ตัวเลย
คนเขียนทำให้เราติดนิยายของคุณแล้วอย่าทิ้งกันไปนะ^^
-
ถ้าคิดจะไปอย่างนี้ก็อย่ามาบอกรักกันเลย
-
:เฮ้อ: so sad
-
อ่านแล้วมันหน่วงๆ จริงๆ เฮ้อ....
:dont2:
-
นึกจะรักก็รัก นึกจะเลิกก็เลิก
ไม่ไหวๆ แต่อยากรู้จริง ทำไมถึงอยากไปเชียงใหม่ :z2: :z2:
-
รักง่ายก็หน่ายง่าย :monkeysad:
-
น่ารักทุกเรื่องเลย
เป็นกำลังใจให้นะคะ
ชอบตอนเล็กน้ำไม่งอกเป็นพิเศษ5555 ความชอบส่วนตัวเราเหมือนกัน :-[ :-[
-
เรื่องสุดท้ายนี่รสข๊มขม
-
เรื่องสุดท้ายนี่คงโดนใจใครหลายๆคนนะ พอจะจบม.๖ทีไรเลิกกันเกือบทุกคู่อ่ะ
-
แต่ละรส ชอบมากมาย
รสสุดท้ายนี้ ...T^T
เราว่าพอเข้าใจที่ไปมช.นะ เพราะเราก็อยากไป ไม่มีเหตุผล แค่อยากไป อี๊อ๊า~~ (มั่วได้อีก) :really2:
-
ชอบทุกเรื่องเลยค่ะ
แต่ชอบแบบหวานๆ น่ารักๆมากกว่า :o8:
-
ไม่เคยคิดว่าไอติมมันขมเลย จนวันนี้แหละ :(
วานิลลา มันหวานนา .... เห้อออ สนุกค่ะ อ่านแล้วอิน ^^
-
รักจริงๆหรือแค่อยากลองกันแน่
-
หิวกระเพราไก่ไข่ดาวมากตอนนี้ :z3:
-
เรื่องนี้เจ็บจนจุกเลยอ่า
เจ็บมากตอนเจอคำว่า ไปนะ เนี่ยแหละ ใจกระตุกเลย
-
เรื่องวานิลลา
ทำไม!!!!!!!!!!! ทำอย่างนี้แย่นะ นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป
ถ้าเป็นเรานะ แค่เพื่อนก้ไม่มีโอกาสหรอก เหตุผลบอกกันไม่ได้เลยเหรอ
เฮ้ออออออ
สนุกทุกเรื่องเลยจ้า
-
(http://i1081.photobucket.com/albums/j350/ploybutsara/E220E2D0E210E400E1B0E470E190E020E490E320E270E210E310E190E440E010E4801.jpg)
ยอมเป็นข้าวมันไก่
“ยอม....ยอมเป็นข้าวมันไก่
เธอ....กินฉันให้อร่อย
ยอม.....ยอมเป็นข้าวมันไก่
ฟรี....ให้ด้วยความเต็มจายยย
ยอม...ยอม....ยอม.....วู้ววว”
...มันมาอีกแล้ว
เสียงร้องกวนประสาท
แปดโมงเช้าตรงเป๊ะทำเหมือนเป็นสัญญาณเคารพธงชาติ
เพียงแต่เพลงที่ร้องไม่ใช่เพลงชาติ
แต่เป็นเพลงของพี่เจมส์ เรืองศักดิ์ ศิลปินรุ่นใหญ่
ซึ่งหน้าตาไอ้คนร้องไม่ได้เฉียดเข้าใกล้พี่เขาเลยสักนิด
แล้วไหนจะเสียงอีก....
เสียงทะลุทะลวงตับอย่างกับไก่ถูกจับเชือด
ร้องวนเวียนซ้ำ ๆ มาสองอาทิตย์แล้ว
สงสัยมันคงร้องเป็นอยู่เพลงเดียว
...เออ! กูรู้แล้วว่ากูขายข้าวมันไก่
มึงไม่ต้องมาตอกย้ำด้วยการแหกปากร้องอยู่หน้าร้านก็ได้
แม่งงง!! รู้มั้ยว่าคนอื่นเขารำคาญจะตายห่าแล้วโว้ยยย!!!!
“ข้าวมันไก่พิเศษครับน้องหยก
อ่ะ...แต่ไม่ใช่พิเศษเพิ่มข้าวนะ
พิเศษตรงน้องหยกต้องยกมาเสิร์ฟ
ให้พี่อ๋องด้วยตัวเองนะครับ”
ไอ้หนุ่มหน้าทะเล้นลูกค้าประจำยักคิ้วกวน ๆ
พร้อมรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม
แทบจะลามเลยมาลูบไล้มือเขาที่ถือมีดสับไก่อยู่แล้ว
...เดี๋ยวปั๊ดถ้าแม่งใกล้กว่านี่กูเอาจะอีโต้เจือนนิ้วขาดซะเลยนี่!
แต่ไม่ได้ครับ...
ถึงใจจะอยากจับมันหั่นศพแค่ไหน
เขาก็ยังจำคำสอนของมาม๊าไว้อย่างดีเสมอ
‘ลูกค้าคือพระเจ้า’
‘อยากได้เงินเขาเราต้องอดทน’
‘อย่ามีปากมีเสียงให้ก้มหน้าขายไปเงียบ ๆ พอ’
ไอ้หนุ่มขาวตี๋ลูกเจ้าของร้านข้าวมันไก่
จึงต้องจำใจหยิบเนื้อสะโพกมาหั่น
กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะระบายอารมณ์แค้น
ด้วยการออกแรงสับไก่ดังโป้ก! โป้ก!
เป็นการข่มขวัญลูกค้าที่ยังคงยืนอยู่หน้าร้าน
แต่ดูเหมือนไอ้หน้าด้านมันยังไม่สะดุ้งสะเทือน
แถมมีการเบิกตามองอย่างสนอกสนใจ
ซ้ำยังเอ่ยปากแซวร้องเพลงต่อสนุกสนาน
“อือหือ...แรงเยอะจังเลยนะครับน้องหยก
อย่างนี้ต้องร้องเพลงชม....
...ติดใจเธอ ลีลาเธอ ช่างน่ารักดี
เจอะอย่างนี้ เป็นใครใครก็ต้องยอม
ให้หลอก...เต็มใจอยู่แล้ว....
ยอม... ยอมเป็นข้าวมันไก่...”
โว้ยยยย!! มันอะไรกันหนักหนาวะ!!
มึงมาให้กูเฉือดคอก่อนเลยมา
...มึงจะได้เป็นข้าวมันไก่สมใจอยากสักที!!!
คนโมโหอารมณ์พวยพุ่งหากยังพอเอาสติเข้าข่ม
เก็บความอาฆาตแค้นไว้ในใจ
สิ่งที่น้องหยกทำจึงเป็นเพียงแค่การเงยหน้ายิ้มหวาน
แล้วจึงเอื้อนเอ่ยถ้อยวจีที่ตรงข้ามกับความรู้สึกสุด ๆ
“คุณลูกค้าครับ เข้าไปรอนั่งข้างในก่อนนะครับ”
...ท่องไว้ไอ้หยก
ถึงยังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเงิน
หากไม่ใช่เพราะเงินแล้วไซร้
ไอ้หยกคนนี้คงได้ฆาตกรรมลูกค้าร้านตัวเองเป็นแน่แท้
“ได้จ๊ะ เดี๋ยวน้องหยกจะยกมาเสิร์ฟพี่เองใช่มั้ย
พี่สั่งแบบพิเศษไว้ ....อย่าลืมนะครับ”
ไอ้พี่อ๋องหน้าหม้อมันยังกวนตีนไม่เลิก
ทิ้งท้ายเสียงหวานกระพริบตาปริบเหมือนจะจากไปไกลเป็นปี
ทั้ง ๆ ที่มันเดินไปหย่อนตูดนั่งที่โต๊ะตัวแรกห่างจากจุดเกิดเหตุสองเมตรถ้วน
ตรงข้ามกับเขียงไก่ของพ่อค้าแบบชิดติดขอบริงไซต์
แถมยังเท้าคางนั่งดูดโอเลี้ยงที่สั่งไว้
พลางมองจ้องหนุ่มตี๋อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ
...น้องหยกเนี่ยน่ารักเนอะ
คนอาร๊ายขนาดท่าสับไก่ยังดูดี
หน้าใสปิ๊ง คิ้วเข้ม ตาเรียว
ขนาดเขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง
ไม่มีรสนิยมอยากปลูกป่ากับเพศเดียวกัน
แต่พอเจอน้องหยกแล้ว หัวใจมันเต้นแปลก ๆ
รู้สึกคล้ายโดนกามเทพแผลงศรประหนึ่งเป็นเป็นรักแรกพบ
จนอยากจะชวนมาร่วมปลูกต้นรักด้วยกันเหลือเกิน
....นี่ล่ะมั้งที่เขาเรียกว่าบุพเพอาละวาด
ยิ่งนึกถึงสาเหตุที่ได้เจอแล้วก็ยิ่งต้องชะตา
เมื่อสองอาทิตย์ก่อนจำได้ว่าติดต่องานกับลูกค้า
กว่าจะเสร็จก็เที่ยงกว่าแล้ว หิวๆ ยังไม่ได้กินข้าว
เลยตัดสินใจเข้าร้านขายข้าวมันไก่ส่งเดชไปงั้น ๆ
ไม่ได้เรื่องมากอะไรเพราะต้องการทำเวลากลับไปออฟฟิศ
ออฟฟิศอยู่ลาดพร้าวนู้นแต่ร้านข้าวมันไก่กลับสถิตอยู่ปิ่นเกล้า
....ระยะทางช่างห่างกันไกลลิบ
แต่ไม่เป็นไรเพื่อความรักพี่อ๋องยอมอดทน
ยอมตื่นแต่เช้ามืดนั่งรถข้ามฝั่งมาให้ทันร้านน้องเปิด
แล้วพอกินเสร็จต้องรีบตีรถกลับไปพระนคร
เพื่อให้ทันเข้างานตอนเก้าโมงครึ่ง
แม้จะต้องเสียค่าแท็กซี่ รถเมล์ วินมอเตอร์ไซต์ เท่าไรพี่ก็ไม่สน
....ขอให้ได้มานั่งกินข้าวมันไก่ในร้านน้องหยก
....พี่อ๋องก็มีกำลังใจทำงานต่อไปทั้งวันแล้ว
ไอ้หนุ่มช่างตื้อนั่งฝันหวานใคร่ครวญถึงความรักของตัวเองลึกซึ้ง
หากแต่ยังไม่ทันได้พร่ำเพ้อต่อกลับมีจานข้าวมันไก่มาวางพร้อมน้ำซุปตรงหน้า
โดยที่คนวางเป็นเด็กผู้หญิงผู้ช่วยในร้าน ไม่ใช่คนที่เขาเพิ่งสั่งเอาไว้
“อ้าว...แล้วไม่ยกมาเสิร์ฟพี่ด้วยล่ะครับน้องหยก”
เขาร้องประท้วงออกมาทันที
อุตส่าห์ย้ำว่าเป็นแบบพิเศษแล้วนะ
น้องหยกจำไม่ได้หรือไงครับ
“พอดีลูกค้าเยอะ ผมเลยไม่ว่าง”
ดูเป็นคำตอบที่น่าฟัง
แต่ได้ข่าวว่าทั้งร้านมีมานั่งอยู่สามโต๊ะเอง
มันจะเรียกว่าเยอะแยะอะไรขนาดนั้นได้ยังไง
หรือจริง ๆ แล้วน้องหยกทำเป็นไม่สนใจพี่
ใช่ซี่....
...พี่มันก็แค่ของตายของน้องใช่มั้ยครับ
“หึ... นึกว่าฉันไม่รู้ ไม่รู้ ไม่ทันเธอ เธอคิดอะไร
ก็ตอนเธอไม่มีใคร มารักกับฉันฆ่าเวลา
ฉันไม่ใช่ขนม.... ขนมหรือของว่างที่เธอชอบลอง
และไม่รู้ทำไมต้องยอมให้เธอหลอกฉัน
เพราะใจอ่อน.... ออน.... ออน.....”
...ว่าแล้วก็จัดการครวญเพลงเสียหน่อย
เพลงพี่เจมส์นี่เขาร้องไว้ดีจริง ๆ
เหมือนมาอยู่นั่งในใจพี่อ๋องแล้วแต่งออกมา
ช่างลึกซึ้งไพเราะยิ่งนัก
เลยเอาไว้ร้องจีบน้องหยกสื่อความในใจทุกทีที่มาร้าน
แต่วนเวียนร้องมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว
น้องหยกยังไม่มีทีท่าจะยอมใจอ่อนจนเขาชักจะท้อ
แต่ไม่ได้ลูกผู้ชายอย่างไอ้อ๋องถือคติ...
‘ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกเว้ยยย!!’
ลูกผู้ชายมาดแมนแต่ดันเผลอใจรักผู้ชายตัวเป็น ๆ
จึงจัดแจงหยิบช้อนซ้อม ตักน้ำจิ้มคลุกกับไก่หอม ๆ
ก่อนตักเข้าปากคำโต
“อืม...วันนี้ก็อร่อยเหมือนเดิม”
เสียงชมทำให้พ่อค้าขายข้าวมันไก่ต้องเผลอเหลือบมองลูกค้าประจำ
ซึ่งกำลังกินข้าวในจานอย่างเอร็ดอร่อย
...ก็ทุกที
เป็นแบบนี้ทุกที...
สั่งข้าวมั่นไก่พิเศษเดิม ๆ
แล้วมันก็กินไปยิ้มไปเหมือนคนบ้า
ดูปัญญาอ่อนพิกล
...แต่ลึก ๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะดีใจอยู่นิด ๆ
คนทำกับข้าวสิ่งสำคัญนอกจากเรื่องเงิน
ก็คือการที่คนกินบอกว่าอร่อยเนี่ยแหละ
แล้วไอ้กวนประสาทนี่ก็ดันแสดงท่าทางอย่างนั้นชัดเจนด้วย
ไม่รู้ทำไมพอเห็นมันกินด้วยท่าทางแบบนี้ทีไร
เหมือนกับว่าข้าวมันไก่ที่เขาทำมันจะออกมาอร่อยมากกว่าเคย
และนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาต้องตั้งใจทำข้าวมันไก่
ที่จะเสิร์ฟให้มันพิถีพิถันกว่าทุกคน
เนื้อไก่ก็ต้องเลือกตรงส่วนสะโพกติดน่อง
ให้มีหนังและเนื้อนุ่ม ๆ แทรกอยู่อย่างพอดี
บรรจงสับออกมาให้ชิ้นใหญ่กว่าปกติ
เลือดก็เลือกมาให้ขนาดพิเศษ
ข้าวเพิ่มปริมาณเข้าไปให้มากกว่าเดิม
แตงกวาคัดเฉพาะต้นอวบ ๆ
ไหนจะน้ำจิ้มที่ตักใส่ถ้วยจนล้นเพิ่มพริกให้นิดหน่อย
เพราะเขาสังเกตว่ามันชอบกินเผ็ด
แม้แต่น้ำซุปยังแถมกระดูกหมูให้ตั้งสองชิ้นเลย
...ไม่รู้ว่ามันจะสังเกตบ้างรึเปล่า
แต่ที่ทำไปทั้งหมดไม่ใช่อะไรหรอกนะ
ก็แค่อยากให้ลูกค้ากินแล้วพอใจ
ร้านเขาจะได้ไม่เสียชื่อทีหลังก็เท่านั้นเอง
“เอิ้บ...อร้อยอร่อย อิ่มแล้วครับ
น้องหยกคิดตังค์ให้พี่เลยจ้า”
ลูกค้าประจำลูบท้องสูดโอเลี้ยงล้างปากเฮือกสุดท้าย
ก่อนตะโกนเรียกเจ้าของร้านให้เช็กบิล
ทั้ง ๆ ที่มันอยู่ห่างกันแค่คืบ
“สี่สิบห้าบาท”
บอกราคาไปโดยไม่จำเป็นต้องคิด
เป็นราคาเดิมเหมือนทุกวันซึ่งคนฟังก็รู้ดี
แต่เหตุไฉนมันจึงต้องยื่นแบงค์ร้อยส่งให้
แล้วต้องให้เขาคุ้ยหาเศษตังค์ทอนอยู่เรื่อย
...น้องหยกคงไม่รู้หรอกว่าที่ไอ้พี่อ๋องมันทำแบบนี้
ก็เพราะอยากจะอยู่กับน้องหยกให้นานกว่านี้สักวินาทีหนึ่ง
ขนาดพยายามกินข้าวช้า ๆ ประวิงเวลาแล้ว
แต่ทำไม่ได้นานหรอก ก็ข้าวมันไก่น้องเขาอร่อยนี่ครับ
แล้วอีกอย่างเดี๋ยวจะไปทำงานสายเข้าพอดี
ไอ้อ๋องยังไม่อยากโดนไล่ออกเอาดื้อ ๆ
อีกหน่อยไม่มีตังค์มาสู่ขอน้องหยกแล้วจะแย่
ที่ทำได้ตอนนี้คือมองหน้าใส ๆ ตี๋ ๆ ของน้องหยกไปพลาง ๆ ก่อน
...แล้วที่สำคัญมันมีจังหวะเป็นโบนัสของแถม
ก็ไอ้จังหวะที่น้องเขายื่นตังค์ทอนมาให้เนี่ยแหละ
เป็นต้องขอสัมผัสมือนุ่ม ๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกสักนิด
ไอ้พี่อ๋องไม่รอช้า คิดอกุศลในใจไปอย่างไรก็ทำไปตามนั้น
อีกฝ่ายยื่นแบงค์ห้าสิบกับเหรียญห้ามาให้
เจ้าตัวก็รีบคว้าหมับเข้าที่มือบาง
กุมเบา ๆ ส่งไออุ่นไปให้
พร้อมเอ่ยคำพูดเสียงทุ้มสุดแสนเท่ห์
“พี่อ๋องยอมเป็นข้าวมันไก่ขนาดนี้แล้ว
น้องหยกยังไม่ยอมกินพี่อีกเหรอครับ
หรือถ้าไม่ถูกใจจะลองสลับกันดูก็ได้นะ
ให้น้องหยกเป็นข้าวมันไก่
แล้วเดี๋ยวพี่อ๋องจะเป็นคนกินน้องหยกเอง
....โอเคมั้ยครับ?”
ประโยคที่สื่อความนัยลึกซึ้งตีได้สองแง่สามง่าม
รวมกันหลาย ๆ ง่ามแต่มีอานุภาพมากพอ
ทำเอาคนฟังถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงมึนงง
ห่ะ...
มะ...
...มันพูดอะไรวะ
...ให้ใครเป็นข้าวมันไก่
...ใครจะถูกกินกัน
อะไร...
มึงพูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย
...แล้วนี่จะมองตากูไปถึงไหน
หยุดเลย... ไม่ต้องมาทำเป็นยิ้มเลยนะ
อากาศร้อนจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไงวะ
โอยยย....จะไปไหนก็ไปไป๊!
...แม่งกูไม่อยากยุ่งกับคนบ้าอย่างมึงแล้วโว้ยยย!!
คนที่กำลังสับสนรีบดึงมือที่ถูกเกาะกุมเอาไว้ออกพรืด
หันกลับไปยืนประจำอยู่ที่หลังเขียงไก่ตามเดิม
ทว่าใบหน้ากลับร้อนผ่าวจนขึ้นสีแดงแป๊ด
แต่เจ้าตัวก็ยังหันไปหยิบไก่ออกมาสับดังโป้ก! โป้ก!
สับเข้าไปเถอะ...
ไม่มีลูกค้าก็สับไปก่อน
เตรียมไว้ล่วงหน้า ยังไงก็อาชีพเรา
เดี๋ยวก็มีคนอื่นมาซื้อเอง
ว่าแต่....
...ไอ้บ้านี่ทำไมมันยังไม่ไปสักทีวะ!!
น้องหยกเลิกใช้อีโต้สับไก่แอบเหล่มองร่างที่ยังคงไม่ขยับไปไหน
และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวจึงเอ่ยคำอำลาพร้อมรอยยิ้ม
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่อ๋องจะมาใหม่นะครับ”
คนตามจีบฝากฝังคำพูดไว้
พยายามจดจำภาพคนน่ารักให้นานที่สุด
ยิ่งดูใกล้ ๆ ก็ยิ่งอยากดึงเข้ามากอด
เห็นนะว่าแก้มแดงอยู่...
เขินใช่มั้ยล่ะ บอกพี่อ๋องมาเถอะน้องหยก
...ให้พี่ปลื้มสักนิดก็ยังดี
ทว่าคำที่ออกมาจากปากของคู่สนทนา
กลับเป็นประโยคที่ทำเอาใจคนรอแทบร้าว
“ไม่ต้องมาทุกวันหรอก ไปกินที่อื่นบ้างก็ได้นะ”
...ฟังแล้วถึงกับจุก
พี่อ๋องเหมือนโดนหมัดฮุกปล่อยให้เซแถ่ด ๆ
แต่จะทำยังไงได้... มันตกหลุมรักไปแล้ว
ให้ขึ้นตอนนี้ก็คงไม่ไหว
น้องหยกเป็นคนผลักพี่ลงไป
ต่อให้ช้ำแค่ไหนพี่ก็จะยอม
นั้นเพราะว่า...
“พี่ไปกินร้านอื่นไม่ได้หรอกครับ
ก็เพราะว่าทั้งตัวและหัวใจของพี่
ยอมเป็นของ ‘เจ้าของร้านข้าวมันไก่’ ไปจนหมดแล้ว”
...อึ้ง
คนฟังคำพูดสารภาพรักสุดเสี่ยวถึงกับอึ้งสนิท
ยังไม่ทันอ้าปากอะไรตอบโต้
ร่างของลูกค้าประจำก็จรลีหนีจาก
...ไม่อยากโดนคำพูดบั่นทอนกำลังใจอีก
เก็บไว้แต่ภาพความทรงจำดี ๆ
ระหว่างเราสองคนเถอะนะ
...น้องหยกของพี่
หนุ่มออฟฟิศจึงเดินไปรอรถเมล์อยู่ที่ป้าย
เพื่อมุ่งหน้าไปยังที่ทำงานซึ่งอยู่คนละมุมเมือง
ปากก็ยังคงฮึมฮำเพลงงุ้งงิ๊ง
“ยอม....ยอมเป็นข้าวมันไก่
เธอ....กินฉันให้อร่อยยยย
ยอม.....ยอมเป็นข้าวมันไก่
ฟรี....ให้ด้วยความเต็มจายยย”
...พี่อ๋องยอมน้องหยกไปหมดแล้ว
เมื่อไรน้องหยกจะยอมพี่อ๋องสักที
แต่ไม่เป็นไรต่อให้นานขนาดไหนพี่ก็จะรอ
...รอจนกว่าน้องหยกจะเห็นใจพี่คนนี้
หนุ่มผู้มีความรักจุกอกจึงได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ
ความรู้สึกรักข้างเดียวท่วมท้นบีบอัดแน่น
จนเผลอตัวเงยหน้าขึ้นฟ้าตะโกนเสียงดังลั่น
โดยไม่หวั่นแม้จะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
เพราะตอนนี้ในใจเขามีเพียงสิ่งเดียว...
“โว้ยยยยยย!!
อยากบอกให้โลกรู้ว่ากูยอม...
....ยอมเป็นลูกเขยร้านข้าวมันไก่!!!”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
ใครทันเพลง ‘ยอมเป็นข้าวมันไก่’ ของพี่เจมส์บ้างยกมือ!! :m13:
ไม่กล้ายกเพราะเล่นเช็คอายุกันเลยทีเดียว (ฮา)
ไม่ได้มาเยี่ยมเรื่องสั้นนาน เลยแวะมาปล่อยของสักหน่อย
ไว้อารมณ์จิ้นพลุ่งพล่านแล้วจะกลับมาใหม่นะคะ
แปะเพลงก่อนจาก
http://www.youtube.com/v/hm7OVC2MQDg?
ป.ล.ใครตีความได้บ้างว่าตกลงทำไมถึงต้องยอมเป็นข้าวมันไก่
แต่เราตีความออกมาแบบนี้
จะให้ไม่ยอมเป็นข้าวมันไก่ยังไงไหวเนอะ เอิ้กๆ
:L2:
BitterSweet
-
ไม่ทันค่ะ
ตัดให้ขาดเลย ชั๊บ ชั๊บ ชั๊บ :z3:
-
กร๊ากกก น่ารักอะ ฮิฮิ
-
มาตอนนี้ กระตุ้นต่อมหิวเลยค่ะ
-
เปิดมาเรื่องแรกชอบเลยค่ะ
ชอบภาษา ^^ ถูกใจมากกก
เรื่องที่ชอบที่สุดคงเป็น รับขนมจีบเพิ่มไหมครับ ก๊ากกก
ฮาๆโหดๆดีค่ะ จริงๆวนิลาก็ชอบบบบ
เพราะชอบดราม่าห่วงๆ แต่รักแอปปี้เอนดิ้งมากกว่า
เห็นแบบนี้กลัวใจคนเขียนเลยค่ะ ไม่กล้าอ่านเรื่องยาวเลย อ้าววววว
ชอบภาษาแต่กลัวใจคนเขียน ฮ่าๆ แต่ชอบอยู่ดีค่ะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดดด
-
55555555
เพลงเก่ามั่กๆ
-
แอร๊ยย~ อ่านไปยิ้มไป
ยอม..ยอมเปนข้าวมันไก่ 55
-
สนุก แต่ไม่สุด
ทุกเรื่องควรเป็นเรื่องสั้นอย่างน้อยๆ 5 ตอน/เรื่องค่ะ คึคึ
-
น่ารักอ่ะ แอบอยากได้ตอนพิเศษอ่ะ :-[
-
อ่านตอนนี้ เหมือนคนเขียนแอบเช็คอายุคนอ่านเลย ว่าทันเพลงนี้หรือเปล่า :m20:
อ่านตอนนี้ แล้วหิวววววววววววววววววววว
-
อยากกินบ้างจัง :z2:
-
(http://i1081.photobucket.com/albums/j350/ploybutsara/E010E380E490E070E010E250E490E320E210E010E320E210_zpsef8a593c.jpg)
กุ้งกล้ามกาม
...ถ้ามาทะเลคุณควรจะกินอะไรมากที่สุด?
“น้อง ๆ ขอกุ้งเผาสองโล!”
...โป๊ะเช๊ะ!!
เขารีบเงยหน้าจากเมนู หันไปหาต้นเสียงที่ตะโกนสั่งเด็กเสิร์ฟ
...แหม...ใครหนอมันช่างรู้ใจ
ว่าเขากำลังอยากกินกุ้งเผาอยู่พอดีเลย
อุตส่าห์มาสัมมนางานใกล้ ๆ ทะเลทั้งที
มันก็ต้องกินของทะเลสด ๆ สิถึงจะได้ฟีลมากที่สุด
...เนื้อกุ้งตัวโต ๆ เอามาย่างให้ได้กลิ่นมันกุ้งหอม ๆ
จิ้มกินน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บ ๆ กัดเข้าปาก
ได้รสเนื้อกุ้งฉ่ำ ๆ เคี้ยวกรอบเด้งอร่อยเหาะ
...ซี๊ดดดด!!....แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้ว
...อยากจะอ้าปากสั่งซะหน่อย
แต่พอเห็นเมนูเขียนไว้ว่า ‘ราคาตามกิโล’ แล้วก็เริ่มใจแกว่ง
...โธ่...ไอ้เขามันก็แค่ลูกจ้างฝ่ายไอทีธรรมด๊าธรรมดา
เป็นเด็กจบใหม่ป้ายแดงหมาด ๆ เพิ่งเข้ามาทำงานได้สองเดือน
แต่ได้รับอานิสงค์ห้อยติดตูดพวกพี่ ๆ มาศึกษาดูงานที่หัวหิน
เลยมีโอกาสมานั่งกินดีอยู่ดีในร้านอาหารทะเลระดับหรูใหญ่ยักษ์
ที่ขึ้นชื่อลือชาว่ารสชาติเด็ดของแท้ เพราะใช้ของทะเลสดจริง ๆ
และแน่นอนว่าราคาก็ต้องแพงมหาโหดเพิ่มไปตามคุณภาพ
ถึงแม้งานนี้จะฟรีตลอดทั้งทริปเพราะบริษัทเป็นคนจ่าย
แต่จะให้พนักงานใหม่อย่างเขาสั่งของแพง ๆ
มันก็ดูจะข้ามหน้าข้ามตาชาวบ้านเกินไปหน่อย
เลยได้แต่ลังเลไม่กล้าร้องสั่งทั้ง ๆ ที่อยากกินใจจะขาด
กระทั่งได้ยินเสียงคนตะโกนบอกนั้นแหละ
...ไหนใครกันที่กล้าสั่งกุ้งเผาสองโลดัง ๆ
...เขาอยากจะขอบคุณสักที
ดวงตาไล่มองไปยังต้นเสียง
ก่อนจะสะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่นั่งเป็นประธานอยู่หัวโต๊ะ
ใบหน้าคมคาย คิ้วเข้ม ดวงตาดุเหมือนเหยี่ยว
ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนพอให้เห็นเค้าโครงว่ามีกล้ามสวย ๆ
มอง ๆ แล้วเหมือนดารามาถ่ายทำโฆษณาร้านอาหาร
มากกว่าเป็นพนักงานบริษัทมากินข้าว
...อืม...แล้วตกลงมันใครกันวะ?
“เออ...พี่ครับ คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือใครอ่ะครับ”
เขาหันไปถามพี่เจ้านายวัยสามสิบที่นั่งข้างตัว
อีกฝ่ายหันมองตามก่อนจะพูดตอบเฉลย
“หืม คนนั้นเหรอ ก็ลูกชายเจ้าของบริษัทไง
เห็นว่าเพิ่งจะเรียนจบจากอังกฤษเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
เลยกลับมารับช่วงบริหารต่อจากพ่อ”
...อ้อ เข้าใจล่ะ
มิหนาถึงกล้าสั่งของแพง ๆ มากินหน้าตาเฉย
แถมยังเข้าใจเหตุผลด้วยว่าทำไม่พวกพี่ผู้หญิงหลายคน
ถึงได้นั่งทำตาหวานตาเชื่อมข้ามไปยังหัวโต๊ะบ่อย ๆ
...หล่อไม่พอมาดราศีคนรวยมันจับอีกต่างหาก
เล่นเอาพนักงานกินเงินเดือนหน้าจืด ๆ อย่างเขาเป็นหมาหัวเน่าไปเลย
...เออ..กูมันไม่หล่อ ไม่รวยบ้างให้รู้ไป
สมัยนี้คนเรามันตัดสินกันด้วยเงินแล้วนี่
เป็นลูกเจ้าของบริษัทใช่มั้ย....รวยนักใช่มั้ย....
อยากเลี้ยงลูกน้องนักก็ดี....
...เพราะมื้อนี้เขาจะขอถล่มแม่งให้ยับเลย!!
คิดปนความแค้นเล็ก ๆ ในใจอย่างมุ่งมั่น
พลางนั่งรออาหารต่าง ๆ ซึ่งทยอยมาเสิร์ฟตามลำดับ
ไม่ว่าจะเป็นยำทะเล ข้าวผัดปู ปลากะพงทอดน้ำปลา ต้มยำรวมมิตร
หน้าตาล้วนแล้วแต่ชวนกระตุ้นท้องไส้ให้ร้องจ๊อก ๆ
แต่เขากลับยังไม่จับช้อนตักกินอะไรทั้งนั้น
เพราะตอนนี้สติจดจ่ออยู่ที่ของกินสุดโปรดอย่างเดียว
เขาจะขอเก็บท้องไว้กิน....กุ้งเผา...กุ้งเผาเท่านั้น!
ของแพง ๆ แบบนี้ต้องไม่ให้อะไรมาแย้งพื้นที่กระเพาะไปได้
และเพียงไม่นานกุ้งเผาสองกิโลก็ถูกนำมาเสิร์ฟสมใจหมาย
ทั้งยังวางลงตรงหน้าเขาพอดิบพอดีเหมือนรู้ใจ
กุ้งย่างสีส้มตัวโตนับสิบ
ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวลไปทั่ว
...นาทีนี้ไม่มีแล้วครับความเกรงใจ
หน้ามืดตามัวเพราะถูกกุ้งล่อ
รีบหยิบกุ้งมาแกะก่อนใครเลยตัวหนึ่ง
แม้มันจะยังร้อนอยู่....
แต่เขาก็ยังพยายามค่อย ๆ ใช้นิ่วลอกเปลือกกุ้งออกอย่างระวัง
เก็บหัวกุ้งไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยดูดเอามันกุ้งทีหลัง
เด็ดขาทิ้งจนเหลือแต่ปลายหางเล็ก ๆ ไว้จับกิน
ดึงน้ำจิ้มซีฟู้ดที่เสิร์ฟมาแยกเฉพาะของใครของมัน
จุ่มกุ้งลงไปทั้งตัวกะให้ซึมถึงรสชาติเปรี้ยวเผ็ดแซ่บถึงใจ
...อือฮือ ได้อย่างนี้ไม่เสียแรงที่หิ้วท้องรอ
เขาขอกินกุ้งให้ซะใจก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
กินแล้วนะครับ....
....อ้ามมมมมมมมม
“ขอกุ้งให้ผมสักตัวสิครับ”
มือที่กำลังจะเอากุ้งเข้าปากชะงักกึกทันที
เมื่ออยู่ ๆ คนที่นั่งหัวโต๊ะดันพูดขัดจังหวะ
พร้อมกับทุกสายตาหันมาหาคนซึ่งอยู่ใกล้จานกุ้งเผามากที่สุด
...ไม่ใช่ใคร
....กูเอง
...อะไรวะ!
คนกำลังจะสวาปามกุ้งชิ้นแรกสักหน่อยดันมาขัดจังหวะ
แม่งเสียฤกษ์หมดพอดี
อยากได้กุ้งก็รอหน่อยอีกไม่ได้เหรอไงโว้ย!!
แต่ถึงจะบ่นหงุดหงิดยังไงก็ต้องทำตาม
เพราะนั่นลูกชายเจ้าของบริษัท
เกิดไม่พอใจเดี๋ยวไล่เขาออกแล้วจะยุ่ง
ลูกน้องที่ดีเลยต้องจำใจวางมือจากกุ้งตัวน้อย
ลุกขึ้นยกจานไปเสิร์ฟให้เดอลิเวอร์รี่ถึงที่
...ประจบมันสักหน่อย
เผื่อฟลุกเงินเดือนจะได้ขึ้นเร็ว ๆ
วางจานกุ้งเผาตัวโต ๆ ลงตรงหน้าคนสำคัญเสร็จสรรพ
กำลังจะเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ที่เดิม
แต่ยังทันหันหลังเสียงคำสั่งจากหัวโต๊ะก็ดังมาระลอกสอง
“แกะให้ผมด้วยสิ”
...เอ้า! มีมือก็แกะเองสิวะ
กูจะกลับไปกินกุ้ง!
นึกว่าเป็นลูกชายบอสแล้วจะใช้อำนาจสั่งอะไรก็ได้เหรอไง
...เขาไม่ใช่ขี้ข้ารับใช้ใครนะโว้ยยย!!!
...โวยวายไปเถอะ คิดได้อยู่ในใจ
ขืนพูดไปมีหวังโดนไล่ให้ไปเก็บของกลับกรุงเทพแน่
ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามส่งสายตาเป็นเชิงถามซ้ำว่า
...แน่ใจเหรอ ...ถ้าอยากกินมึงควรแกะเองมั้ย
ทว่านอกจากอีกฝ่ายไม่รับรู้แล้ว
ยังตีใจความประโยคจากสายตาผิดเพี้ยนไปสุดกู่
เพราะเจ้าตัวดันหันมองหน้าเขาก่อนร้องถามอย่างงงๆ
“อ้าว...ยืนนิ่งทำไมล่ะ...
อ้อ...รึว่าอยากนั่งแกะตรงนี้เลย
ได้ ๆ ...ดีจะได้ไม่ต้องเสียเวลา
...น้อง ๆ ขอเก้าอี้เพิ่มอีกตัวครับ”
...เฮ้ยยยยย!! จะบ้าเหรอวะ!!
กูไม่ได้อยากมานั่งแกะตรงนี้
กูอยากกลับไปนั่งกินกุ้งของกูตรงนู้นโว้ยยย!!
...ช้าไปแล้ว
ถึงใจอยากจะร้องโวยวายประท้วงด่าทอถึงโคตรเหง้าแค่ไหน
เก้าอี้ก็ตามมาวางไว้เตรียมพร้อม
อยากจะหันไปหาความช่วยเหลือ
แต่พวกพี่แผนกคนอื่น ๆ กลับเริ่มขยับตัวออกห่าง
เพื่อเว้นระยะให้พนักงานใหม่ได้นั่งชิดติดบอสหนุ่ม
ไว้เป็นเบ๊คอยบริการอำนวยความสะดวกให้เต็มที่
โดยมีคำสั่งตามมาติด ๆ อย่างเอาใจอีกระลอก
“นั่งสิครับ ผมอยากกินกุ้งแล้ว”
...อ้อเหรอครับ...อยากกินกุ้งใช่มั้ยครับ
แล้วไม่คิดจะถามหน่อยเหรอว่ากูอยากกินด้วยมั้ย
ส่งได้...สั่งจริง ไม่คิดจะเห็นใจลูกน้องบ้างเลยรึไง
แม่งเป็นเจ้านายภาษาบ้าบออะไรกันวะ!!
แต่สุดท้ายคนที่อยู่ในสถานะลูกน้องก็ยังเป็นลูกน้องอยู่วันยังค่ำ
น้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ได้...ต้องจำใจอดทนไว้
หย่อนตัวนั่งลงก่อนหยิบกุ้งตัวโตขึ้นมาค่อย ๆ แกะเปลือกใส่จาน
ด้วยสภาพน้ำตาแทบจะไหล
...คิดดูสิครับว่าทรมานขนาดไหน
...กุ้งอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ
ถึงจะตั้งใจลอกเปลือกอย่างทะนุทนอม
พยายามให้ติดมันกุ้งหอม ๆ
แต่แกะไปเท่าไรก็ไม่ได้กินอยู่ดี
แถมยังต้องประเคนให้ใครก็ไม่รู้ตัดหน้าไปอีกต่างหาก
โอยยย!!...แม่งเวรกรรมอะไรของเขากันหนักหนาวะ!!
คนดวงซวยนึกโทษโชคชะตาตัวเองในใจ
ทว่ามือก็ยังคงทำหน้าที่จัดการกับกุ้งเผาตัวโตจนเสร็จ
แล้วจึงยืนส่งไปให้คนร้องสั่งที่อยู่ข้าง ๆ
“นี่ครับกุ้ง”
“ขอบคุณครับ เออ...ช่วยอะไรอีกอย่างนึงได้มั้ยครับ”
คำขอที่ดังตามมาทำให้คนฟังสะดุด
รู้สึกตัวเองชักจะใกล้เคียงเบ๊เข้าไปทุกที
สรุปคือนี่มันจะเพิ่มตำแหน่งให้เขาจากพนักงานบริษัท
เป็นคนรับใช้ประจำตัวอีกตำแหน่งใช่มั้ย
...คราวนี้จะขออะไรอีกล่ะ
ไม่ใช่ขอให้เขาป้อนให้เลยหรอกนะครับ บอส
แม้ในใจจะเริ่มเหนื่อยหน่าย
แต่เขาก็ยังคงรักษาสีหน้า
หันไปถามเสียงเรียบ
“ช่วยอะไรครับ”
ใบหน้าคมยิ้มออกมาบาง ๆ
ก่อนพูดคำตอบสั้น ๆ
...หากแต่เป็นคำที่ตรงกับสิ่งที่คาดคิดไว้อย่างถูกเผงในใจ
“ช่วยป้อนให้หน่อยสิครับ”
...ห่ะ?
มะ...เมื่อกี๊เขาได้ยินว่าอะไรนะ
...ป้อน....
...มันสั่งให้เขาช่วยป้อนเหรอ
...เฮ้ยยยยย!!!!
เขาแค่คิดเล่น ๆ แต่นี่มันเอาจริงเหรอวะเนี่ย
บ้าไปแล้วใครจะมาป้อนกุ้งให้กัน
ถ้าเป็นคู่รักฮันนีมูนก็ว่าไปอย่าง
แต่นี่มันเจ้านายกับลูกน้อง
แถมเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่
พวกเขาได้ฟ้าผ่าตายแน่!!
...แต่เอ๊ะ! หรือว่าเขาฟังผิด
จริง ๆ ไอ้ลูกชายท่านประธานมันอาจจะแกล้งเล่นก็ได้
เลยพูดแหย่ให้เขาตกใจไปแบบนั้น
“อะ...เออ...พูดจริงเหรอครับ”
ความสงสัยถูกกลั่นออกมาเป็นคำถามทันที
ทว่าข้อสันนิษฐานกลับพังพินาศ
เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมาง่าย ๆ
“จริงสิครับ ผมไม่อยากให้มือเลอะ”
...โอยยยย!! ไอ้คุณชายสะอาด
อะไรจะขนาดน๊านนนน!!
อุตส่าห์แกะให้แล้ว ยังจะเสือกเรื่องมากอีก
ถ้าไม่อยากให้มือเลอะ
แล้วมึงรู้จักอุปกรณ์กินข้าวอย่างอื่นมั้ยวะ!!
“แต่ช้อนก็มีนี่ครับ”
เขาพยักเพยิดไปที่ช้อนส้อมในจาน
รู้สึกเหมือนกำลังสอนเด็กสองขวบให้รู้จักกินข้าวเอง
แต่เด็กโข่งกลับไม่ยอมทำตามคำแนะนำ
ซ้ำยังเอ่ยประโยคอธิบายย้ำชัด....
....และเป็นประโยคให้ชวนอึ้งรอบที่สอง
“ผมชอบกินกับมือ มันอร่อยกว่า”
ว่ะ!!...ชอบกินกับมือ ก็ใช้มือตัวเองไปสิ
ทำไมต้องมากินกับมือเขาด้วยล่ะโว้ยย!!
คนโดนขอโวยวายอยู่ในใจ
ถ้าไม่ติดว่าไอ้คนนี้เป็นคนจ่ายเงินเดือน
เขาคงจะซัดหมัดใส่มันไปแล้วโทษฐานกวนตีน
...จะบ้าเหรอวะใครจะมาป้อนให้!!
ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนอื่นอยู่ร่วมโต๊ะตั้งเยอะแยะ
...เออ...ถึงตอนนี้คนส่วนใหญ่จะสนใจอาหารมากกว่าพวกเขาก็เถอะ
แต่ยังไงมันก็ทุเรศอยู่ดีที่ผู้ชายสองคนจะมาป้อนกุ้งให้กัน
เขาพยายามพูดขอเลี่ยงด้วยความกระอักกระอวน
ทว่ายังไม่ทันได้อ้าปากคู่สนทนากลับเป็นฝ่ายสวนมา
ด้วยแววตาและน้ำเสียงอ้อนเบา ๆ
พร้อมด้วยประโยคต่อรองที่ทำให้คนฟังหูผึง
“...นะครับ แล้วผมจะเพิ่มโบนัสให้”
...บอกตามตรง...ไอ้เสียงเว้าวอนน่ะไม่สนใจหรอก
แต่ไอ้คำว่า ‘โบนัส’ เนี่ยสิ
...กระแทกโสตประสาทเข้าเต็ม ๆ
...เฮ้ย! เอาจริงดิ ...จะเพิ่มโบนัสให้จริง ๆ นะ
ได้ข่าวจากพวกพี่ ๆ ว่าโบนัสมันจะออกเดือนหน้า
แต่เขาเพิ่งจะเข้ามาทำงานสองเดือนยังไม่ผ่านโปรด้วยซ้ำ
เลยอดได้เงินก้อนไปตามระเบียบ
แต่ถ้าลูกชายเจ้าของบริษัทพูดอย่างนี้
ไม่แน่บางทีมันอาจจะมีเงินพิเศษแถมให้ล่วงหน้าก่อนก็ได้
แล้วถ้าเกิดประจบสอพลอดี ๆ
เขาอาจจะผ่านโปรได้บรรจุเป็นพนักงานเต็มตัวไว ๆ
มีงานมั่นคง เงินเดือนก็จะได้เพิ่มขึ้นอีกต่างหาก
บวกลบคูณหารแล้วได้กำไรกันเห็น ๆ
กะอีแค่ป้อนกุ้งตัวเดียวแลกกับเงินและอนาคตของตัวเอง
มันจะไปยากเย็นอะไร...
...เอาก็เอาวะ!!
คนคิดสารตะถี่ถ้วนแล้วจึงข่มความอาย
หยิบกุ้งเผาที่แกะเปลือกเรียบร้อยอย่างบรรจง
แถมจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดให้ด้วยชนิดเซอร์วิสกันสุด ๆ
ก่อนหันไปหาคนข้างตัวเอามือรองประคองเตรียมป้อน
“อ้าปากสิครับ”
เขารีบบอกเมื่อเห็นสายตาของอีกคนยังคงจ้องมองไม่ขยับ
อยากจะรีบทำให้เสร็จไว ๆ ก่อนคนอื่นในโต๊ะจะมาเห็น
แต่ร่างสูงก็ยังคงออกคำสั่ง
“ใกล้กว่านี่อีกสิครับ ผมกินไม่ถนัด”
...เอ้า! เสือกเรื่องมากอีก!!
คนป้อนชักจะเริ่มหงุดหงิด
แต่ก็กลัวคนอื่นในโต๊ะจะมองมา
เขาจึงไม่ต้องรองใด ๆ รีบขยับตัวเข้าไปใกล้ตามคำสั่ง
ยื่นมือที่ถือกุ้งไปแทบจะชิดหน้าคมอยู่มะรอมมะรอ
พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสี่ยงถามกึ่งประชด
“พอรึยังครับ”
ทว่าคนสั่งก็ยังคงนิ่งเฉย
ไม่ขยับตัวอ้าปากกินกุ้งใด ๆ คล้ายยังไม่พอใจ
เอามือลูบคางไปมา พลางมองกุ้งอย่างพิจารณา
แล้วจึงตัดสินใจจัดการเรื่องเสียเอง
“ไม่ครับ ผมว่าแบบนี้ดีกว่า”
จบคำ เขารับรู้ถึงแรงดึงจากมือใหญ่
เอื้อมมาจับมือเขาที่ถือกุ้งเอาไว้เข้าไปใกล้
และก่อนจะทันรู้ตัวอีกฝ่ายก็อ้าปากงับกุ้งไปเรียบร้อย
พร้อมกับสัมผัสถึงปลายลิ้นชื้น ๆ อุ่น ๆ
ไล้เลียผ่านปลายนิ้วของเขาซึ่งจับหางกุ้งอยู่เบา ๆ
แล้วคนกินจึงค่อยปล่อยมือ
เคี้ยวกุ้งกลืนพลางเอ่ยคำขอต่อด้วยรอยยิ้ม
“อืม...อร่อยดี ขอกุ้งอีกตัวได้มั้ย”
...ดะ
...เดี๋ยวก่อนนะ
...มะ...เมื่อกี๊....นะ...นิ้ว....
....มะ...มันทำอะไรกับนิ้วเขา
อย่าบอกนะว่า...
มัน...ละ...เลีย....
...เฮ้ยยยยยย!!!
จะกินกุ้งแล้วมาเลียนิ้วเขาด้วยทำไม
มือเขาเพิ่งแกะเปลือกกุ้งมาสกปรกเลอะเทอะจะตาย
มันยังจะมาเลียนิ้วเขาอีกบ้ารึเปล่า
...แม่งโรคจิต!!
ใช่...ต้องโรคจิตหื่นกามแน่ ๆ
...ละ...แล้วทำไมตามันถึงวิบวับแปลก ๆ แบบนั้นวะ
....มามองอยู่ได้
มะ....มองทำไม....จะเอาอะไรอีกรึไง...
“แกะกุ้งอีกสิครับ”
คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟุ้งซ่านถึงกับสะดุ้ง
รีบเรียกสติเข้าร่างทำตามคำสั่งทันที
...อ้อ...จะเอากุ้ง...เอากุ้งใช่มั้ย
เออ...ได้ ๆ เดี๋ยวแกะให้
ตอนนี้จะเอาอะไรบอกมาเลย
ขอให้ก้มหน้าก้มตาแกะไปก่อน
เพราะเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใครแล้ว
...เอ้า!! แล้วมือนี่มันจะสั่นไปไหนวะ
เดี๋ยวแกะเปลือกกุ้งไม่ได้พอดี
อย่างนี้เมื่อไรจะแกะเสร็จ
แล้วเมื่อไรเขาจะได้กินกุ้งสักที
โอยยย...ทำไมจะกินกุ้งเผาสักตัวถึงได้ยากลำบากขนาดนี้วะ!!
คนอยากกินกุ้งโวยวายในใจไปพลางมือก็แกะกุ้งไปพลาง
โดยไม่รับรู้เลยว่ามีสายตาอีกหนึ่งคู่จ้องมองพฤติกรรมอย่างนึกขำ
...เห็นตั้งแต่เข้าร้านแล้วว่าจ้องกุ้งเผาของโต๊ะอื่นอยู่
แล้วพอจะสั่งเมนูอาหารก็เลยนึกถีงขึ้นมา
แต่ไม่คิดว่าคนคนนี้จะอยากกินขนาดนั้น
ก็เล่นไม่กินอย่างอื่นเลย รอแต่กุ้งอย่างเดียว
เห็นแล้วมันอดไม่ได้ที่จะแกล้ง
...ดูก็รู้ว่าไม่เต็มใจจะทำให้
แต่ก็ยังอุตส่าห์ค่อย ๆ แกะกุ้งจนได้เนื้อสวย
ไม่มีเปลือกติดออกมาเลยสักนิด
แล้วยังใจดีจิ้มน้ำจิ้มให้อีกต่างหาก
แบบนี้จะไม่ให้ขอชิมได้ยังไงไหว
...และก็อร่อยเกินคาด
กุ้งเผาสด ๆ กรอบเด้ง
ผสมกับรสเปรี้ยวเค็มและเผ็ดถึงใจของน้ำจิ้มซีฟู้ด
กลิ่นหอม ๆ ของมันกุ้งลอยขึ้นฟุ้งในจมูก
ที่สำคัญยังได้ความหวานจากมือบางๆ เป็นตัวชูรส
เพราะอย่างนี้ไง...
...เขาถึงบอกว่ากินกุ้งเผาต้องกินจากมือถึงจะอร่อยสุด
คนเจ้าเล่ห์ยิ้มบาง ๆ
รอกุ้งเผาที่ยังคงแกะไม่เสร็จ
จากคนที่เห็นว่าหน้าขึ้นสีแดงจาง ๆ
...แกะไปเถอะ
ยังเหลือกุ้งอีกตั้งเยอะ
มื้อนี้เขาจะขอกินกุ้งเผา
แกล้มด้วยรสมือของคนคนนี้ให้อิ่มเลยแล้วกัน
เออ...จริงด้วย
ไหนๆ ก็ไหน ๆ ขอห่อกลับบ้านด้วยเลยดีมั้ยนะ
“น้องครับขอกุ้งเผาอีกสองกิโลใส่ถุงด้วยครับ”
คิดไปปากก็เอ่ยสั่งอัตโนมัติ
ทันเห็นคนที่นั่งข้าง ๆ เงยขึ้นมามองแวบหนึ่ง
แล้วหันไปก้มหน้าก้มตาแกะกุ้งต่อ
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะขอแกล้งอีกสักรอบ
ก้มลงกระซิบคำข้างหูคนที่ทำเป็นสนใจ
ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่ออีกคนหน้าแดงแปร๊ด
ไม่ต่างจากกุ้งเผาที่อยู่ในมือหลังจากฟังประโยคนั้น...
“คืนนี้ช่วยตามไปป้อนกุ้งต่อที่ห้องผมทีนะ”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
THE END
*แจกน้ำจิ้มซีฟู้ดรอบวง*
เอากุ้งเผาร้อน ๆ มาเสิร์ฟจ้า มาตอนดึกยั่วคนอ่าน
อย่าว่าแต่คนอ่านเลยคนเขียนก็อยากกิน :laugh:
ใครชอบกินกุ้งแต่ไม่ชอบแกะบ้าง ยกมือ!!
คนเขียนก็เป็นหนึ่งใน ฮ่าๆๆ
พยายามใช้ช้อนส้อมช่วยแกะแต่มันยาก
สุดท้ายก็ต้องใช้มืออยู่ดี
แต่ตอนที่แกะกินเสร็จแล้วมาดูดมือที่มีมันกุ้ง
โหย...มันอร่อยจริงๆ นะ
นี่แหละจึงเป็นที่มาของการกินกุ้งให้อร่อยต้องกินจากมือตรง ๆ
ใครจะลองเอาวิธีนี้ไปทำดูบ้างไม่ผิดกติกา
ตอนนี้ต้องขอตัวไปหาคนป้อนก่อน หิวกุ้งแล้ว
อยากกิน ‘กุ้งกล้ามกาม’ เหมือนกัน
(ว๊ายยย!! พูดอะไรออกไป) :o8:
:กอด1:
แล้วเจอกันใหม่เมื่อแรงจิ้นบังเกิดจ้า
BitterSweet
-
ชอบกินหัวกุ้ง มันเยิ้ม ๆ ดูดนิ้วอร่อยอ่าาฟินนนน
-
อยากกินสุดๆๆกุ้งตัวโตๆๆ :z2:
-
อยากเห็นเขากินกุ้งกันต่อที่ห้องอ่ะ555555
-
ใช้อำนาจในทางที่ชอบ ฮ่าๆ
-
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยย
น่ารักกันจริงๆเลย
ดูเหมือนพนักงานคนอื่นๆก็เป็นใจนะ555
-
อยากไปช่วยแกะกุ้งด้วยคนล่ะ :z1:
-
เค้าก็ชอบกิน แต่ไม่ชอบแกะเหมือนกัน แต่ไม่มีคนแกะให้ซะด้วยสิ 555
-
ผลัดกันแกะดีไหมน้อ :z1:
:กอด1: :L2:
-
อร๊ายย
บอส ให้ทำขนาดนี้ต้องแถมโบนัสเยอะๆนะ
เอ แล้วให้ไปป้อนต่อที่บ้านเนี่ย
มีโอทีให้หรืเปล่าคะ อิอิ
-
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย น่ารักอ๊าาาา
เรื่องวนิลลาเสียดายมากๆอ่านแรกๆนึกว่าจะหวาน ขมซะงั้น งือออ :z3:
-
อยากกินกุ้งขออีกซักตอนไม่ได้เหรอ
-
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกน่ารักมากกกกก ขอตอนต่อได้ปะคะ อยากรู้ว่าป้อนกันท่า เอ้ย ถึงไหน! 55555555555555555555
-
กุ้งกล้ามกาม ที่ถูกต้องเป็น กุ้งก้ามกราม นะจ๊ะ
ไม่รู้ว่าเล่นคำรึเปล่า
แต่สะกดแบบน้องคนแต่งแล้วมันกระตุ้นต่อมจิ้นดีจัง :z1:
-
กุ้งก็ไม่ได้กิน
แถมยังต้องมาเสียจิ้นอีก
ถึงได้โบนัสมาแล้วจะคุ้มกันมั๊ยน้า
-
ชอบกินกุ้ง พอมาาอ่านเรื่องนี้หืออออออออออออออออ อยากกินเลย
โอ๊ยยยยย กุ้งหวานๆมันๆ อร่อยเห๊าะ
เรื่องนี้น่ารักอ่ะ
อยากตามไปส่องที่ห้องบ้าง ฮ่าๆ
-
สงสัยจะติดใจรสมือป้อนกุ้ง ถึงได้ให้ตามไปป้อนต่อที่ห้อง
-
หิววววววววววววว
น้ำลายสอ
-
หิววววววววว หิวทุกอย่างในเรื่องสั้นทุกเรื่องเลย :sad4:
อยากกินข้าวมันไก่ อยากซัด กุ้งเผาตัวโตๆ อร๊ายยยยย
อยากอ่านต่อจังเลยค่ะ ทุกตอนเลย
ก็รู้นะว่ามันเป็นเรื่องสั้น แต่คือ... "ทำใจไม่ได้ มันติดใจ" ฮือออ อยากอ่านต่อ!! :m15:
-
น่ากินทุกเรื่องเลยอะค่ะ
-
ชอบเรื่องสุดท้ายมาก แอร๊ยยยยยยยยยยย
กุ้งกล้ามกามต้องไปแกะให้ลูกชายประธานที่ห้องต่อนะคะ ><
อ่านแล้วเขินอ่ะ เิขินมากกกกกกกก><
-
แอร๊ยย ><
น่ารักเวอร์ๆ
อ่านแล้วอยากกินด้วยเลย แต่กินไม่ได้แพ้ ...ชอกช้ำมากT^T
-
(http://i1081.photobucket.com/albums/j350/ploybutsara/E1A0E310E270E250E2D0E220E440E020E480E2B0E270E320E190_zpsa38edf42.jpg)
บัวลอยไข่หวาน
...เขาลืมไปได้ยังไงนะว่าคนคนนั้นชอบกินบัวลอยไข่หวาน
“ป้าครับ บัวลอยของผมที่สั่งไว้ได้รึยังครับ”
...ธันวาคม หนึ่งทุ่มตรง
เขาหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย
แม้จะไม่ได้ยินมานานแต่เขายังจำมันได้ดีอยู่เสมอ
เห็นอีกคนหนึ่งสะดุดไปเช่นเดียวกัน
เมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ใกล้กันคือเขา
ดูเหมือนใครคนนั้นจะอึกอักไปเล็กน้อย
แต่สุดท้ายก็ส่งคำทักทาย
“สวัสดีครับ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีมั้ยครับพี่”
“อืม...ก็ดี แล้วเราล่ะ”
เขาถามกลับไปพยายามคุมเสียงให้นิ่งไว้
...ทำหน้าให้เฉย
...ทำทุกอย่างให้เป็นปกติ
และก็คล้ายจะได้ผลไม่น้อย
เมื่อคู่สนทนาลดอาการเกร็งตอบกลับด้วยท่าทีผ่อนลง
“ช่วงนี้ใกล้สอบ งานเลยเยอะครับ”
“เข้าใจ...ปีสองงานมันหนักกว่าปีหนึ่ง”
“ครับ แต่ชินแล้ว...ก็เรียนมาสองเทอมแล้วนี่ครับ”
คำเปรยที่ได้ยินทำให้คนฟังชะงัก
หัวสมองหมุนวนถึงความทรงจำที่ยังคงค้างคา
...ผ่านมาปีหนึ่งแล้วเหรอ
เวลาจะช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว
แต่สำหรับเวลาของเขาคล้ายกับมันถูกหยุดไว้
...ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปนับจากวันนั้น
ลมเย็น ๆ พัดผ่านมาวูบหนึ่ง
หอบความหนาวของฤดูให้สัมผัสผิว
เขาเห็นคนข้าง ๆ ถูมือไปมาเข้าหากัน
ปากขยับบ่นพึมพำเสียงเบา
“หนาวเนอะครับ”
“อืม พี่เลยมาซื้อบัวลอยกินจะได้อุ่นขึ้น”
นัยน์ตาของอีกฝ่ายสั่นไหวทันทีหลังจากได้ยินคำนั้น
เขารู้ว่าตัวเองไม่น่าพูดแต่ก็ห้ามใจไม่ได้
เพราะมันสะกิดให้ทุกสิ่งแล่นภาพย้อนกลับไป
...ยังเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น
...
..
.
“พี่อาจไม่รู้จักผม แต่ผมอยากบอกพี่ว่า
ผมปลื้มพี่มาตั้งแต่ตอนเรียนม.ปลายแล้วครับ”
...พฤษภาคม ตอนสองทุ่ม
อยู่ ๆ ประโยคนี้ก็ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
กวางวงเหล้าที่กำลังเลี้ยงรับน้องปีหนึ่งของโรงเรียน
ทำเอาเขาต้องสำรวจมองคนพูดตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผู้ชายธรรมดา ๆ ที่ไม่มีอะไรเด่นสะดุดตา
...ไม่สะดุดตาเลยสักอย่าง
กระทั่งเขาจำไม่ได้เลยว่าเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน
แต่ใบหน้าที่เอาแต่ก้มลงมองพื้นไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตา
กลับทำให้เขานึกขำในความซื่อตรงที่คล้ายจะไร้เดียงสา
ปกติเขาคงรำคาญถ้ามีคนมาบอกชอบทั้งที่ยังไม่รู้จัก
ยิ่งอีกฝ่ายเป็นผู้ชายด้วยแล้วก็ยิ่งน่าตลกเข้าไปใหญ่
แต่แปลกที่ครั้งนี้เขากลับตอบรับคำง่าย ๆ
“ขอบใจนะ”
คนฟังเงยหน้าขึ้นมองทันที
คงไม่เชื่อว่าผู้ชายที่มีลุคแบดบอยอย่างเขาจะใจดี
ไม่ลุกขึ้นมากระทืบหาเรื่องโวยวาย
ที่บังอาจกล้าพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะแยะ
...สำหรับเขาคงไม่ใช่เรื่องประหลาด
มันอาจเป็นเพราะเขากำลังกรึ่ม ๆ กับฤกษ์แอลกอฮอล์ทีเพิ่งดื่มไป
...แต่สำหรับคนบอกชอบ
มันกลับเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อความรู้สึก
แววตาคู่เรียวพราวระยับอย่างดีใจ
ใบหน้าที่ขึ้นสีแดงเรื่อพร้อมรอยยิ้มกว้าง
...และเพราะรอยยิ้มเพียงรอยยิ้มเดียว
...เขาจึงเริ่มจำคนนั้นได้
....
..
.
“เรียนวิศวะยากมั้ยครับ ผมอยากเรียนบ้าง”
คำถามประหลาดจากจากเด็กคณะมนุษย์ฯ
ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมาจากโจทย์ฟิสิกส์ที่กำลังทำอยู่
...นับจากรู้จักกันเมื่อตอนเลี้ยงน้อง
คนคนนั้นก็เทียวตามไปตามมาหาเขา
แม้จะเรียนอยู่คนล่ะคณะ
แต่พอพักเที่ยงหรือหลังเลิกเรียน
ต้องมาคลุกอยู่กับเขาจนเพื่อนคนอื่นรู้ดี
...แรก ๆ เขาก็รำคาญ
แต่หลัง ๆ เปลี่ยนเป็นความเคยชินมากกว่า
แล้วพอใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
เขาเลยพบว่ามันเป็นเด็กที่มีความคิดน่าสนใจ
ดูแปลกกว่าชาวบ้านทั่วไปแต่ก็ไม่ทำให้เขาเบื่อ
เหมือนคราวนี้ที่มันดันตั้งคำถามที่ไม่น่าจะถาม
จนเขาต้องเป็นฝ่ายย้อนกลับ
“ถ้าอยากเรียน แล้วทำไมไม่เรียนล่ะ”
“ก็ผมไม่ชอบเลข”
อีกฝ่ายให้เหตุผลมาง่าย ๆ
หากแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วงง
“อ้าว...ถ้าไม่ชอบเลขแล้วอยากเรียนวิศวะทำไม”
“ผมไม่ชอบเลข แต่ผมชอบพี่
ผมอยากเรียนคณะเดียวกับพี่”
...บอกแล้วว่ามันชอบคิดอะไรประหลาดกว่าคนอื่น
ดูเหตุผลมันสิ พูดมาได้ยังไง
เขาหันกลับมาคำนวณสูตรฟิสิกส์ต่ออย่างไม่สนใจคนนั้นอีก
สมองคิดไป...แต่เขารับรู้ว่าหัวใจของเขา...
....กำลังเต้น
...
..
.
“พี่ชอบกินอะไรเหรอครับ”
...ห้าโมงเย็น เดือนสิงหา
...มาอีกแล้วคำถามที่ไม่มีที่มาที่ไป
คราวนี้เขากำลังยืนรอให้ฝนซาอยู่
แล้วบังเอิญมาเจอมัน หรือเรียกให้ถูกอีกอย่างคือ
...มันตามเขามา
ดวงตาคู่นั้นจ้องมองอย่างคาดหวัง
เขาแค่ยักไหล่ตอบกลับไม่ใส่ใจ
“ไม่รู้ ก็กินได้หมด ถามทำไม”
“เปล่า...แค่อยากรู้เฉย ๆ”
...คำตอบเดิม ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีเหตุผล
เขาหันมองคนข้างตัว
ก่อนเป็นฝ่ายย้อนถามในรูปแบบเดิมเช่นกัน
“แล้วเราล่ะชอบกินอะไร”
“อืม...บัวลอยไข่หวานมั้งครับ”
“ห่ะ! บัวลอยเนี่ยนะ?”
เขาเลิกคิ้วถาม
...ใครที่ไหนชอบกินบัวลอยกันบ้าง
แค่ของหวานที่มีกะทิกับแป้ง
ถึงจะมีคนชอบก็ไม่น่าจัดมันไว้ในอันดับหนึ่ง
ยกเว้นกับคนคนนี้ที่พยักหน้ายืนยัน
“ครับ มันก็อร่อยดีออก
แต่เขาทำขายเฉพาะหน้าหนาว
ผมเลยไม่ค่อยได้กิน...
...ทำไมเหรอครับ มันแปลกเหรอ...”
เสียงถามเจือความหม่นพร้อมความสงสัย
เขามองสบดวงตานั้นอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เลือกที่จะปฏิเสธ
“เปล่า พี่แค่ไม่คิดว่าจะมีคนชอบเหมือนพี่”
ทันทีที่ได้ยิน แววตาอ่อนแสงกลับเปลี่ยนเป็นประกายระยิบระยับ
ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มกว้างที่เขาคุ้นเคย
...ยิ้มที่ทำให้เขามองและเผลอหลุดปากถาม
“ยิ้มอะไร”
เขาเห็นอีกคนส่ายศีรษะ
ก่อนตอบคำกลั้วหัวเราะ
พร้อมรอยยิ้มซึ่งยังไม่จางหาย
“ผมดีใจ ที่เราชอบเหมือนกัน”
....เป็นเหตุผลที่ฟังดูไร้เหตุผลอีกครั้ง
เขาเบนสายตามองฝนที่ยังตกไม่ขาดเม็ด
ฝนจะหยุดตกเมื่อไรเขาไม่รู้
แต่สิ่งเดียวที่เขารู้สึกในตอนนี้คือ...
...หัวใจของเขากำลังเต้น
...และเต้นดังขึ้นเรื่อย ๆ
....
..
.
“มีอะไร”
...เที่ยงคืน เดือนธันวาคม
เขาเปิดประตูห้อง
ร้องถามเสียงห้วนใส่คนที่มักจะตามเขาอยู่เป็นประจำ
“เออ...ผมซื้อบัวลอยมาฝากครับ”
คนยืนด้านนอกเหมือนชะงักไปเล็กน้อย
แต่ก็ยังทำใจสู้ชูถุงบัวลอยสองถุงมาให้
เขาเพียงปรายตามองย้อนถามกลับเหมือนเคย
“ซื้อมาทำไม”
“ก็ผมเห็นว่าพี่ชอบกิน”
...และอีกครั้งที่เขาต้องมาฟังคำตอบประหลาดที่ไม่มีใครเขาทำ
เขากำลังจะอ้าปากพูด
หากแต่กลับถูกขัดจากร่างบางขาวนวลในชุดคลุม
ที่เดินเข้ามกอดแขนเขาข้าง ๆ
พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนหวานหู
“อืม...ทำอะไรอยู่ค่ะ เชอร์รี่รอนานแล้วนะ”
“แป๊บนะครับ เชอร์รี่ ไปรอบนเตียงก่อนก็ได้เดี๋ยวผมตามไป”
เขาหันไปตอบผู้หญิงที่เพิ่งหิ้วมาจากผับ
ร่างบางจึงละมือเดินไปรอตามคำสั่ง
ปล่อยให้เขาเผชิญหน้ากับอีกคนที่ยืนนิ่งค้าง
ก่อนเอ่ยคำถามเสียงแผ่วเบาคล้ายคนไม่อยากเชื่อ
“ใครน่ะครับ”
“เห็นก็น่าจะรู้นี่”
“ตะ...แต่...ทำไมกันครับ...
ไหนพี่เคยบอกผมว่ายังไม่อยากมีแฟน”
“คนเรามันเปลี่ยนกันได้”
“แล้วที่ผมเคยบอกว่าชอบพี่ พี่ลืมไปแล้วเหรอครับ
ถ้าพี่ไม่เคยคิดอะไรกับผมจริง ๆ
แล้วสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดมันเรียกว่าอะไร”
“โว้ยย!! เลิกถามซ่อกแซ่กสักทีได้มั้ยวะ มันเรื่องของกู!!
แล้วไม่ต้องมาวุ่นวายกับกูอีกนะ แม่งรำคาญ!!
เขาสบถโวยวายเสียงดังอย่างโมโห
ก่อนกระแทกประตูปิดใส่หน้าอย่างหงุดหงิด
ไม่สนใจคนที่ยืนรออยู่ด้านนอกเพียงลำพัง
เขาเบื่อเหลือเกินแล้วกับการไล่ตามของอีกคน
...เบื่อที่จะมาทนฟังเหตุผลโง่ ๆ ไร้สาระ
...เบื่อที่จะมาตั้งคำถามย้อนไปมา
....เบื่อที่จะมองมันยิ้ม
และเขาเบื่อที่จะฟัง....
....เสียงหัวใจที่เต้นดังของตัวเอง
....
..
.
“ได้แล้วจ้า บัวลอยสองถุง”
...ธันวาคม หนึ่งทุ่มสามนาที
ได้ยินเสียงป้าคนขายบัวลอยดึงให้ความคิดทุกกลับสู่ความเป็นจริง
เขามองเห็นคนนั้นรับบัวลอยสองถุงก่อนยื่นส่งเงินไปให้
“หิวเหรอถึงสั่งตั้งสองถุง”
คนได้ยินชะงักไปเล็กน้อย
ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธเสียงเรียบ
“เปล่าครับ ถุงหนึ่งของผม ส่วนอีกถุง...”
ทว่ายังไม่ทันจบประโยค
กลับมีเสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลัง
“ได้บัวลอยรึยัง”
สาวน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้
ควงแขนอีกฝ่ายเหมือนคุ้นเคย
คนกลางเริ่มอึกอักคล้ายทำตัวไม่ถูก
ทว่าท้ายที่สุดก็ตัดสินใจ
เงยหน้าบอกผู้หญิงที่อยู่ข้างกาย
“เออ...นี่พี่โรงเรียนเรา”
จบประโยค แล้วจึงหันมาแนะนำเขาที่ยังคงยืนนิ่ง
“ส่วนพี่ครับ นี่แฟนผมครับ”
...วินาทีนั้น
...เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง
...มันหยุดเต้นลงเหมือนลมหายใจเขา
...
..
.
เขาเหม่อมองคนสองคนหันหลังเดินจากไป
ลมหนาวพัดมาเบา ๆ อีกครั้ง
เอื้อมมือรับบัวลอยหนึ่งถุงจากป้าคนขาย
...บัวลอยไข่หวาน
ที่เขาไม่เคยลืมว่าคนคนนั้นชอบ
เหมือนกับที่ไม่เคยลืมรอยยิ้มในวันนั้น
...รอยยิ้มต่อคำโกหกบ้าบอซึ่งเขาพูดออกมา
เขาต่างหากที่ไม่ชอบกินบัวลอยไข่หวาน
...ไม่ชอบความเลี่ยนกะทิ
...ไม่ชอบความคาวของไข่
...ไม่ชอบเนื้อสัมผัสของแป้ง
แต่เขาก็ยังคงตามหาซื้อบัวลอยไข่หวานตลอดปีที่ผ่านมา
เมษายน...
พฤกษาคม...
สิงหาคม...
กันยายน...
...ไม่มีบัวลอยเจ้าไหนเปิดขาย
พยายามถามทุกคนที่รู้จักต่างให้เหตุผลตรงกันว่า
บัวลอยไข่หวานเจ้าอร่อยขายเฉพาะตอนหน้าหนาว
...เดือนธันวาคม
เขาจึงกลับมาซื้อบัวลอยอีกครั้ง
แต่วันนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่าต่อให้พยายามตามหามันเท่าไร
...บัวลอยไข่หวานสองถุงนั้นก็ไม่มีวันกลับคืนมาเหมือนเดิม
...นับตั้งแต่ใครบางคนหายไป
ความอิสระที่ได้มาไม่เคยมีค่า
คำถามสาระจริงจังทำให้เขาไม่อยากฟัง
รอยยิ้มในคราวนั้น...
....ไม่เคยมีใครยิ้มได้เหมือนอีกต่อไป
...เขาอยากขอโทษ
ยอมเสียศักดิ์ศรีทุกอย่างเพื่อขอร้อง
แม้แต่ยอมอ้อนวอนโง่ ๆ
ให้เขาย้อนเวลากลับไปแก้ไขทุกอย่าง
...แต่เรื่องไร้เหตุผลทั้งหมดไม่เคยเป็นจริง
หนึ่งปีแล้ว...
ไม่แปลกเลยที่ใครคนนั้นคงหาคนที่ชอบกินบัวลอยไข่หวานได้เหมือนกัน
...ผิดกับเขาที่อยู่คนเดียว
ยังคงคิดถึง...
...รอยยิ้มในเดือนพฤษภาคม
...เสียงหัวเราะในเดือนสิงหาคม
...และ ‘บัวลอยไข่หวาน’ ในเดือนธันวาคม
ซึ่งไม่ว่าจะผ่านพ้นไปกี่ฤดูก็ไม่มีวันย้อนกลับคืนมาอีก....
....ตลอดกาล
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
THE END
ฝากไว้หนึ่งเรื่องก่อนหมดหน้าหนาวปีนี้ :-[
ถ้าพูดถึงของที่ขายเฉพาะหน้าหนาว
สิ่งแรกที่จะคิดถึงก็คือบัวลอยไข่หวานเนี่ยแหละค่ะ
(เดี๋ยวนี้ก็เห็นแอบมีขายฤดูอื่น แต่ยังน้อยอยู่)
แล้วความรู้สึกที่มาคู่กันกับลมหนาว
คงหนีไม่พ้นอารมณ์เศร้า และการจากลา
'บัวลอยไข่หวาน' เลยออกมากลายเป็น 'บัวลอยไข่ขม' ไปซะนี้
สมคอนเซปต์หวานอมขมไม่เปลี่ยน :laugh:
แปะเพลงเพราะ ๆ ให้ฟังสักหน่อย
Back to December ของ Taloy Swift
คงเป็นบทสรุปของเรื่องนี้ทั้งหมดค่ะ
http://www.youtube.com/v/wlGIn5NZH4M?
อากาศเปลี่ยนบ่อย
อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะคะ
แล้วเจอกันจ้า
:L2:
คิดถึงเสมอ
BitterSweet
-
โอ้
หวานอมขมกันไปเลยทีเดียว
อิอิ
ขอบคุฯคนเขียนนะคะ
-
ไม่มีคำบรรยาย :o12:
-
อืม นึกถึงอีกเพลงค่ะ
เห..มันต์ที่ผ่านพ้นไป
ผ่านไป พร้อมใบไม้บาง
ร่วงลงพริ้ว ปลิวลู่ลงทาง
ดูใบไม้วาง อ้างว้าง เอกา
เหมือน..รักที่จากฉันไป
จากไป เหลีอไว้แต่น้ำตา
หลั่งรินไหล ท่วมใจท่วมขอบฟ้า
ดังไฟ รักพา ฤทัย แหลกราน
-
ชอบแนวประมาณนี้เลย
เจ็บๆที่หัวใจ หน่วงๆ
อ๊ายยยยย ว่าแล้วๆๆๆ
แอบอยากให้มีต่อ ก๊ากกกก
แต่มันก็แล้วแต่คนเขียน><
แอบรู้สึกเบาๆว่าทั้งคู่มีความรู้สึกดีๆให้กันอยู่
-
หน่วงอ่ะ :o12:
-
:a5:
เอ่อ....นึกว่าจะหวานเหมือนชื่อเรื่อง...
แต่เอาเถอะ ธันวาคมปีหน้าก็ยังมี...
คิดว่าต่างคนต่างยังรู้สึกดีๆต่อกัน
ไม่แน่นะ...เด็กมนุษย์อาจจะเลิกกับแฟน แล้วกลับมาตื๊อเด็กวิศวะก็ได้
หรือไม่...เด็กวิศวะอาจจะเป็นฝ่ายไล่ตามบ้าง...ก็คงน่าสนุกดี
เราไม่ชอบอ่านดราม่า...แต่ในชีวิตจริงมักมีดราม่าเสมอ
(ก็เลยต้องมาหาอะไรหวานๆอ่านจากนิยายเอา 5555555)
ขอให้เรื่องหน้าจบแบบ แฮปปี้เอนด์นะคะ >/\<
-
ถึงกับกินบัวลอยไม่ลงเลยทีเดียว :monkeysad:
อยากอ่านกุ้งกามฉบับยาววววว :L2:
-
บัวลอยไข่หวานท่าจะไม่อร่อยซะแล้ว
-
เราก็ไม่ชอบกินบัวลอยนะ
เหตุผลคล้ายๆกัน
แต่บัวลอยบ้านเรามีให้กินทั้งปีนะ เจ้าอร่อยอ่ะ ขายทุกวันเลย :really2:
-
ขมขื่นได้อีกนะตอนนี้ T^T
-
ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าพี่ชายวิษวะคนนั่นดี :เฮ้อ:
-
ตอนนี้มันไม่หวานเหมือนชือตอนเลยย :sad4: :sad4:
-
ตามหาบัวลอย 1 ปีแล้วไม่คิดจะตามหาคนชอบกินบัวลอยเลยเหรอ
สุดท้ายต้องเสียทั้งบัวลอยและคนชอบกิน
-
:o12:
หน่วงในใจ ทำไมถึงไม่ไปง้อแต่แรกน้า ให้ผ่านมาตั้งปี
บวกเป็ด
-
หวานอมขมจริงๆๆ
-
เหลือไว้แต่คราบน้ำตาแหละเนอะ
เฮ้อออ ขมปี๊เลยย
-
นึกว่าบัวลอยถุงนี้จะหวานๆ เลี่ยนๆ ที่ไหนได้มันขมปี๋เลย
ไม่รู้ที่รสชาติมันเปลี่ยนไป เพราะบัวลอยถุงนั้น หรือคราบน้ำตา :o12:
-
เวลาและวารีไม่เคยคอยใคร
กว่าจะรู้ตัวก็สิบโมง---เอ๊ย---ไม่ใช่---สายไปแล้ว
-
กินบัวลอยไข่หวานแบบหน่วงๆกันไป
-
กินบัวลอยถ้วยนี้แล้วถึงขั้นปวดใจเลยเชียว :z3:
-
ขมจนขื่นเลยเชียว
น้ำตาคลอแต่ไม่ยอมหยด
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ว่าแล้วไปเสาะหาบัวลอยมาตอกย้ำหน่อยซิ
-
พูดไม่คิด ทำอะไรไม่คิด สุดท้ายก็จมอยู่กับอดีตคนเดียว
ไม่ใช่อีกคนไม่จำ เขาไม่เคยลืม เพราะไม่ลืมความเจ็บปวดเลยจำแล้วไม่ยอมเจ็บอีกต่างหาก
-
โอ้ย จี๊ดเลยทีเดียว
น้ำตาเกือบออก :sad4:
-
โอ้เย เรื่องนี้มันน่ารักแต๊เหลา 5555 "รับผมเพิ่มมั๊ยครับ"
-
เรื่องบัวลอยไข่หวาน หนุ่มวิศวะทำตัวเองนะคะ แบบนี้เค้าเรียกว่ารู้ตัวเมื่อสาย ไม่สงสารเลยค่ะ ช่วยไม่ได้ ทำตัวเองทั้งนั้น เป็นเราเจอแบบนี้ก็ไม่ทนหรอกค่ะ
-
เฮือกกกก *คว่ำถ้วยบัวลอยไข่หวาน*
ไม่ได้หวานดั่งชื่อเลยสักนิด...
เจ็บเพราะการกระทำของตัวเอง เป็นอะไรที่หน่วงมาก
ฮึก...ก....แอบเศร้า และ หิวบัวลอยไปพร้อมๆกัน........ :m15:
-
กินแล้วปวดใจ :o12:
-
เพิ่งได้มาชิมบัวลอย ขมจนหาความหวานไม่เจอ :a5:
-
บัวลอยไม่ได้ใส่น้ำตาลนิ
แงงงงงงงงงงงงงงงงงงง :o12:
-
บัวลอย~ ทำเอาน้ำตาไหลนอง เรื่องเศร้าๆเนี่ย :sad4:
-
รู้ค่า เมื่อสูญเสีย
-
(http://i1081.photobucket.com/albums/j350/ploybutsara/E270E320E400E250E190E440E170E190E4C01_zpsb3c79759.jpg)
วันธรรมดาที่ชื่อว่า ‘วาเลนไทน์’
...วาเลนไทน์ มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง
เอ้า! หรือไม่จริงครับคุณ จะไปตื่นเต้นอะไรกันนักหนา
มันก็เป็นเช้าวันที่เขาต้องตื่นมาทำงาน ยืนเบียดกับผู้คนในรถไฟฟ้าเป็นปลากระป๋อง
หัวหมุนกับเอกสารตัวเลขในบัญชี แล้วก็โดนลูกค้าบ่นคอมเพลนงานอีกนิดหน่อย
พอเลิกงานเสร็จก็มาแวะห้าง ยืนหาซื้อของใช้กลับเข้าหอตัวเอง
...เห็นมั้ย...ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก
โด่...ใครจะไปแคร์อะไรกับพวกดอกไม้ ช็อกโกแล็ต กันมากมาย
เขายังไม่สนใจน้องผู้หญิงผมยาวน่ารักที่อุ้มช่อดอกไม้ดอกใหญ่คนนั้นเลย
แล้วก็ไม่อยากได้ช็อกโกแล็ตจากมือของน้องนักศึกษาคนนั้นด้วย
ส่วนคุณพี่หุ่นเซ็กซี่ที่ควงแฟนไปดูกันสองคน เขาก็ไม่คิดจะอิจฉาสักนิ๊ดดด
...บอกแล้ว ...วันวาเลนไทน์ มันก็แค่วันธรรมดา ๆ วันหนึ่งเท่านั้นเอง
...เท่านั้นเอง
....แล้วทำไมเขาถึงไม่มีใครมาอยู่ด้วยในวันนี้ล่ะวะเนี่ยยย!!
คนสงสัยอยากจะร้องตะโกนถามฟ้าด้วยความเจ็บช้ำ
ยิ่งพอมาเดินห้าง ก็ยิ่งเห็นภาพบาดใจตอกย้ำมากขึ้นไปอีก
...คนอื่นเขามาเป็นคู่ แต่ตัวกูนั้นอยู่คนเดียว
ใจนึกอยากจะเขวี้ยงป้าย ‘โสด’ ตัวเป้ง ๆ ให้ออกไปจากชีวิตให้พ้นหูพ้นตา
แต่ผ่านฝนผ่านร้อนมา 24 ปี ไอ้สถานะนี่ก็ยังคงยึดติดอยู่กับเขาเหนียวแน่น
ถึงจะพยายามโกหกหลอกตัวเองว่าไม่สนใจอะไรกับวันวาเลนไทนนี่หร๊อก
แต่ไอ้บรรยากาศสีชมพูนี่กลับเหมือนควันพิษ
แทรกซึมแล่นเข้าสู่หัวใจดวงน้อย ๆ ของเขาให้เจ็บแปล๊บ
...หึ ช่างมัน ไม่ต้องไปสน
ใครจะมีคู่รักกันดูดดื่มขนาดไหนมันก็เรื่องของเขา
...ส่วนเรื่องของเรา
...กูไปซื้อเบียร์ฉลองวันวาเลนไทน์คนเดียวก็ได้วะ!
คนไร้คู่ ต้องจำใจปลงตก
เดินเซ็ง ๆ กะลงบันไดเลื่อนไปมุ่งหน้าไปชั้นซุปเปอร์
หวังซื้อแอลกอฮอล์มาซดย้อมใจ
หากแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเดินถึง กลับมีเสียงหนึ่งรั้งไว้
“ขอโทษนะครับ”
เขาหันกลับไปมองคนทัก
แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งตะลึงในความหล่อของคนตรงหน้า
โห...คนหรือเทวดาวะเนี่ย ดารามาเล่นละครรึเปล่า ถึงได้ดูดีมีราศีจับขนาดนี้
และไม่ใช่เพียงแค่หน้าตาที่ชวนตะลึง กลับยังมีเรื่องน่าตกใจกว่านั้น
เมื่อพ่อเทพบุตรยื่นช่อดอกกุหลาบสีแดงมาให้เขาพร้อมเอ่ยคำพูด
“ช่วยรับช่อดอกไม้นี้ไปหน่อยได้มั้ยครับ”
...เฮ้ย! พูดจริงพูดเล่นเนี่ย
จะให้เขารับช่อดอกกุหลาบนี่จริง ๆ เหรอ
ถึงอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชาย และเขาก็ไม่มีรสนิยมชอบผู้ชาย
แต่หน้าตาดีขนาดนี้ แถมยังอุตส่าห์มาจีบกันในวันวาเลนไทน์ด้วย
เออ...เขายอมให้หน่อยก็ได้
คนรับจึงพยักหน้า ยื่นมืออกไปถือช่อดอกกุหลาบด้วยหัวใจพองโต
หน้าเริ่มขึ้นสีแดงจาง ๆ เพราะอาการประหม่าเขินๆ
ก่อนเขาจะได้ยินเสียงคู่สนทนาบอกตามมา
“พอดีผมจะทำเซอร์ไพรส์แฟนขอเธอแต่งงานวันนี้น่ะครับ
พอผมให้สัญญาณ รบกวนคุณช่วยถือดอกไม้แล้วเดินไปให้เธอทีได้มั้ยครับ”
...เพล้ง!
เขาเหมือนได้ยินเสียงหน้าตัวเองแตกละเอียด
รู้สึกถึงหัวใจที่พองโตของตัวเองหดฟีบโดยฉับพลัน
อ้าว...ที่ให้ดอกไม้เขาไม่ใช่เพราะจีบ แต่มันจะขอแฟนแต่งงานหรอกเรอะ!!
แล้วพอสังเกตดี ๆ
เขาก็เห็นผู้ชายหลายคนถือช่อดอกไม้แบบนี้ กระจายอยู่ตามมุมต่าง ๆ เหมือนกัน
...โธ่เอ้ย ...คิดแล้วโคตรเซ็ง!
คนนึกไปไกลถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
แต่สุดท้ายก็ร่วมให้ความช่วยเหลือในแผนการของหนุ่มหล่อ
ดูเหมือนแผนเซอร์ไพรส์ขอสาวจะไม่ยากเย็นอะไร
แค่ให้ผู้ชายหลาย ๆ คนเดินเข้าไปมอบช่อดอกไม้ให้เธอ
จากคนละทีตามจุดต่าง ๆ จนทำให้เธอแปลกใจ
แล้วสุดท้ายแฟนเธอค่อยออกมามอบช่อดอกกุหลาบสีขาวใหญ่สุด
พร้อมแหวนหมั้น ก่อนคุกเข่าขอผู้หญิงแต่งงาน
เขาปรบมือ เมื่อผู้หญิงตอบรับทั้งน้ำตาก่อนโผเข้ากอดกัน
...ถึงใจจะร่วมยินดี แต่ก็นึกอิจฉาอยู่นิด ๆ ไม่ได้
เฮ้อ...ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็หล่อ ดูเหมาะสมกันจริง ๆ
แล้วไอ้คนหน้าตาธรรมดา ๆ ที่เป็นได้แค่พนักงานออฟฟิต
จะมีใครที่ไหนมาเหลียวมองกันบ้าง
...คิดไปก็ช้ำใจเอาเอง สุดท้ายก็ต้องปลง
เขาจึงเดินไปหาซื้อเบียร์เอามาย้อมใจกินคนเดียวต่อ
หากทว่ายังไม่ทันจะก้าว เสียงรั้งจากด้านหลังกลับดังขึ้น
“ขอโทษนะครับ”
เขาหันกลับไปมองคนทักเป็นครั้งที่สองของวัน
ถึงแม้คนนี้จะไม่ดูหล่อเทพเหมือนคนแรก
แต่ก็ดูเป็นผู้ชายสุภาพ มาดธุรกิจ อายุไม่น่าจะห่างไปจากเขาเท่าไร
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือ...
...มือที่ถือช่อดอกกุหลาบสีแดงที่ยื่นมาให้เขา พร้อมคำขอ
“รบกวนคุณช่วยถือดอกไม้นี้ เอาไปให้คนคนหนึ่งหน่อยได้มั้ยครับ”
...อะไรอีกวะ จะแต่งกันกี่คู่เนี่ย!
คนถูกถามนึกในใจอย่างหงุดหงิด
...เห็นว่าโสดหน่อย โชคชะตาเลยเล่นตลกอะไรกับเขารึไง
แต่จะให้ปฏิเสธไปเลยก็น่าเกลียด
เอาว่ะ...ช่วยคนอื่นให้สุขสมหวัง
เพื่อบุญบารมีจะส่งเสริมให้เขาพบรักเหมือนคนอื่นบ้าง
คนตัดสินใจได้จึงยื่นมืออกไปรับช่อดอกไม้มาถือไว้ พลางเอ่ยถามเป้าหมาย
“จะให้ผมเอาไปให้ใครเหรอครับ”
“อ้อ...ให้คนนี้ครับ คนน่ารัก ๆ ที่อยู่ข้างหลังคุณน่ะครับ”
...อ้าว แล้วบอกแบบไม่ระบุตัวแบบนี้จะรู้มั้ยว่าเป็นใคร
เขานึกสงสัยในใจ ก่อนจะหมุนตัวหันหลังไปมอง
แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้าง เมื่อพบความจริงว่าข้างหลังของเขาไม่ได้มีคนอื่น
...หากแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า คือ 'กระจก'
กระจกบานใหญ่ของร้านเฟอร์นิเจอร์ในห้างที่ติดไว้
เพื่อเล่นกับความมีมิติให้ร้านเหมือนกว้างขึ้น
...และสิ่งที่กระจกสะท้อนออกมา คือ ภาพของเขา
หมายความว่ายังไง....
ก็ไหนบอกว่าให้เอาไปให้คนน่ารัก ๆ ที่อยู่ข้างหลังเขา
แต่ข้างหลังเขามีแต่กระจกอยู่บานเดียว
ถ้างั้นกุหลาบแดงช่อใหญ่นี้...
...อย่าบอกนะว่า
คนที่เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างรีบหันกลับมามองคนขอให้ช่วยทันที
ซึ่งเจ้าตัวก็เพียงแค่แย้มยิ้มบาง ๆ ซ้ำยังเอ่ยคำขอต่ออีกครั้ง
“แล้วก็รบกวนช่วยบอกคนคนนั้นว่า ‘สุขสันต์วันวาเลนไทน์’ ครับ
และถ้าไม่รังเกียจ ผมขอเลี้ยงข้าวเย็นเขาสักมื้อด้วยได้มั้ยครับ”
คำชวนพร้อมดวงตาที่สบมองอย่างจริงใจ ทำเอาลมหายใจของคนฟังถึงกับสะดุด
รู้สึกถึงหัวใจที่เคยหดฟีบของตัวเองมันสั่นแปลก ๆ
...ไม่ใช่พองโต แต่คล้ายว่ามันจะเต้นดังจนควบคุมไม่ได้
แถมเมื่อเหลือบมองเห็นหน้าตัวเองในกระจกบานเดิม
มันกลับขึ้นสีแดงแปร๊ดแทบจะสู้กับดอกกุหลาบในมืออยู่แล้ว
...อะไร๊ เขาไม่ได้ตื่นเต้นนะ ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกตรงไหน
ก็แค่มีคนให้ดอกไม้มา แล้วชวนเลี้ยงข้าวเย็นแค่นั้น
เห็นมั้ย...ไม่ได้พิเศษเลย...
ไม่เลย...
ยกเว้นก็เพียงแค่วันนี้...
...มันเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่ชื่อว่า ‘วันวาเลนไทน์’
...และมันเป็นวันธรรมดา ๆ วันหนึ่งที่ทำให้เขา ‘ยิ้ม’ ได้
...ก็เท่านั้นเอง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ค่า!! :กอด1:
ตอนนี้มาแบบพิเศษหน่อย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับของกิน
แต่เป็นตอนหวาน ๆ ให้เขากับเทศกาลวันแห่งความรักเหมือนกัน
วันนี้คนมีคู่ก็หวานซึ่งกันไป แต่สำหรับคนโสด
วันวาเลนไทน์ สุดท้ายก็ไม่ต่างจากวันธรรมดาวันหนึ่ง นึกแล้วก็เศร้า :o12:
แต่เอาน่า...สักวันมันก็ต้องมีวันที่เป็นของเราบ้าง
ไม่ได้เฉพาะเจาะจงต้องมาเป็นวันวาเลนไทน์สักหน่อย
...ถ้าทุก ๆ วันเต็มไปด้วยความรัก วันนั้นก็ถือว่าเป็นพิเศษเหมือนกันเนอะ
ขอให้เป็นทุกวันเป็นวันที่ดีค่ะ
Happy Valentine Day
:L2:
BitterSweet
-
คนโสดเขินเบยยยย :-[
-
น่ารักอ่ะ :L1:
-
น่าจะมีตอนต่อจากตอนนี้นะครับ กำลังดีเลย
-
น่ารักจัง :-[
บวกเป็ด
-
ฮ่าๆ
น่ารักเหมือนเคยย
เขินแทน
ไม่มีบ้างอะ กร๊ากกก
-
เขินนนนนนนนนนนนนนนนนนนคนโสดจะไม่ทน!ฮ่าๆ
-
:L2:
-
วาเลนไทน์ปีนี้เซ็งมาก :z3:
-
น่ารักอ่ะ
อยากได้ดอกไม้บ้างจัง
-
น่ารัก :L2:
-
น่ารักจัง คนโสดก็ยากได้บ้างแหะ
:laugh: :laugh: :laugh:
-
แอร๊ยยยยยยยยยยยยส์ ชอบๆๆๆ
อ่านตอนกินกุ้ง แทบอยากกินกุ้งบัดเดี๋ยวนั้น
อ่านตอนบัวลอย เล่ยเอาไม่อยากกิน เศ้ราT^T
อ่านตอนนี้ น่ารักง่ะ-///-
-
อ่านแล้วยิ้มตามไปด้วยน่ารักมากเยย >_<
เป็นวันช็อตที่ทำให้ฟินได้กรี๊ดๆๆๆๆ :z3:
มุขหันหลังไปมองกระจกได้แบบอึ้ง ๆ
ชวนกินข้าวแบบเนียน ๆ ได้เป๊ะสุด ๆ o13
อยากมีวันธรรมดาที่พิเศษกว่าวันธรรมดานิดนึงแบบนี้กับเขาบ้าง
แต่สาวโสดต้องทำใจ ฟินกับนิยายไปจะเวิร์คกว่า :o8:
เรื่องน่ารักมาก อยากบอกว่าชอบค่ะ :กอด1:
-
ตอนนี้ FEEL GOOD สุดๆอ่ะ
+ เป็ดจ้า
-
น่ารักอีกแล้ว ><
อยากมีแบบนี้บ้างงง :impress2:
-
คืนที่ดวงดาวลอยอยู่ในถ้วยกาแฟ
(http://i1081.photobucket.com/albums/j350/ploybutsara/E140E320E270_zps4eb35960.jpg)
สองทุ่ม สิบสามนาที
คุณครับ...
คุณรู้อะไรไหม...
...หลังคำพูดที่ผ่านทางยาวไกล มันทำผมใจสั่น
นั่งอยู่ติดริมหน้าต่าง
เหม่อมองออกไปตามแสงไฟที่ทอดยาวตรงรันเวย์
เสียงสัญญาณรัดเข็มขัดดังขึ้นเป็นคำเตือนให้ผู้โดยสารเตรียมตัวสำหรับการทะยานขึ้นฟ้า
ผมรู้สึกอยู่เสมอว่า บรรยากาศก่อนการบินมีอะไรแตกต่าง
มันเป็นความกังวลที่ก่อตัวเล็ก ๆ ในใจ
คล้าย ๆ กับกลัวการขึ้นบินจะผิดพลาด
หรือคิดแง่ร้ายทำนองว่า นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ร่างกายจะอยู่บนพื้นดินแบบปกติ
ผมมักสวดภาวนาเงียบ ๆ เพื่อหวังให้ลูกเรือทั้งหมดถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย
และได้กลับไปสูดอากาศอย่างสบายใจอีกครั้ง
ทว่าวันนี้...ผมไม่ได้ทำเช่นนั้น
แน่นอน ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
แต่ลึก ๆ แล้วก็รู้ตัวดีว่าคงไม่สามารถทนบรรยากาศแห่งความอึมครึม
ที่จะเกิดขึ้นหากเหยียบย่างลงไปในสถานที่คุ้นเคย
ผมกลัวคำตอบของคำถามบางสิ่ง
และที่สำคัญยิ่ง ผมไม่กล้าพอจะกลับไปสบตากับใครบางคน
ใครบางคน ที่เคย.... ‘รัก’
.....
...
.
สองทุ่ม ยี่สิบห้านาที
ปลดเข็มขัดออกบนความสูงที่เริ่มไต่ระดับเหนือพื้นดิน
จนเห็นไฟถนนเป็นเพียงจุดแต้มดวงเล็ก ๆ
ก่อนค่อย ๆ รางเลือนหายไปเมื่อผ่านกลุ่มเมฆก้อนใหญ่
เคยมีคนบอกว่า ยิ่งเราเข้าใกล้สิ่งใด เราจะยิ่งเห็นมันได้ชัดเจน
แต่อยู่บนนี้...ท้องฟ้าสีดำมืดสนิท ผมมองไม่เห็น พระจันทร์และดวงดาว
ตรงข้ามกับคุณที่อยู่ห่างไปหลายพันกิโลเมตร
กระนั้น ผมยังจดจำได้ถึงประกายในดวงตาคุณ
มันสุกสกาวสวยงาม ยามคุณหัวเราะและแย้มยิ้ม
คุณทำหน้าเหมือนเรื่องเหลือเชื่อที่คำพูดน้ำเน่าจะหลุดออกมาจากปากผม
เพราะสำหรับคนเพิ่งรู้จักกันโดยผ่านการแนะนำของเพื่อน
ประโยคนี้จึงกลายเป็นแค่มุกตลกของคนช่างม่อ
ดูท่าทางไม่น่าไว้วางใจ มิหนำซ้ำเรายังเป็นผู้ชายด้วยกัน
แต่คุณครับเมื่อมีความสุข
ผมสามารถก้าวข้ามกรอบของกฎเกณฑ์ได้ทุกสิ่ง
และผมจะเป็นแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้คุณ
แก้มคุณแดงเรื่อ กระนั้นก็ยังคงเฉไฉ
แสร้งเงยหน้ามองท้องฟ้าพยากรณ์ว่า
“คืนนี้จะมีฝนดาวตกครับ”
“เมฆครึ้มออกอย่างนี้เนี่ยนะ”
คงเป็นทั้งน้ำเสียงและหน้าตาที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อ
จนทำให้คุณถึงกับต้องรีบหันมายืนยัน
“ก็กรมอุตุบอกนี่ครับ”
“โห คุณ ผมพนันเลี้ยงข่าวมื้อหนึ่ง
ใคร ๆ ก็รู้อย่าไปเชื่อกรมอุตุไทย
ถ้าบอกวันไหนแดดออกเตรียมร่มได้เลย
แล้วถ้าบอกพรุ่งนี้ฝนตกนะ
ผมจะเอาผ้าออกมาซักตั้งแต่เช้า”
คุณหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกว่าให้คอยดู
ผมเพิ่งมารู้ทีหลัง
ก็คุณนั้นแหละที่เป็นนักพยากรณ์อากาศทำงานให้กับกรมอุตุ
แต่การเลี้ยงข้าวสักมื้อแลกกับความสัมพันธ์ที่จะยังคงสืบสานต่อไปเรื่อย ๆ
ก็ถือเป็นการเสียพนันที่คุ้มค่าไม่น้อย
นับตั้งแต่วันนั้น เราต่างเรียนรู้เรื่องราวของกันและกัน
ทั้งมักจะแปลกใจในความลงตัวที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
สิ่งที่เราค้นหากลับเติมเต็มด้วยการก้าวเข้ามาของคนอีกคน
ทุก ๆ วันช่างแปลกใหม่และสวยงาม
หัวใจของผมเต้นแรงเมื่อสบสายตาของคุณ
ณ ห้วงเวลานั้น ผมรู้... คุณรู้...
...เราต่างตกลงไปในหลุมพรางที่ชื่อ ‘ความรัก’
...
..
.
สองทุ่ม สี่สิบห้านาที
“รับกาแฟไหมค่ะ”
พนักงานสาวหน้าตายิ้มแย้มเอ่ยถาม หันไปพยักหน้า
ก่อนรับถ้วยร้อนกรุ่นกลิ่นอายเบา ๆ มาประคองไว้ในมือ
ผมชอบดื่มกาแฟดำแบบเอสเปรสโซ่
ความเข้มข้นของมันช่วยปลุกผมให้มีแรงก้าวเดินต่อ
ตรงข้ามกับคุณที่ชื่นชอบจับคู่กาแฟให้เข้ากับน้ำตาลหรือฟองนมละเอียดพรายในสไตล์คาปูชิโน่
ครั้งหนึ่ง ผมถึงกับเอ่ยปากแซวเมื่อเห็นคุณเติมน้ำตาลพูน ๆ ไปถึงหกช้อน
“ใส่ซะเยอะขนาดนั้น ไม่หวานแย่เหรอ”
“ก็เพราะอยากให้หวานไงครับ ถึงใส่น้ำตาล”
คุณตอบกลับแบบติดอารมณ์ขัน พลางใช้ช้อนคนของเหลวกระทบกับแก้วดังเบา ๆ
ผมเลิกคิ้ว ประท้วงความเห็นว่า
ถ้าอย่างนั้น ‘กาแฟ’ จะยังคงเป็น ‘กาแฟ’ อยู่ได้ยังไง
เพราะมันคงสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
โดยเฉพาะความขมที่เป็นเอกลักษณ์
ก็อาจโดนความหวานของน้ำตาลกลบรสจนกลายเป็นน้ำเชื่อม
คุณหันมายิ้ม ก้มลงสูดกลิ่นกาแฟในถ้วยใบโต จิบชิม ก่อนเงยหน้าขึ้นมาพูด
“ต่อให้ใส่น้ำตาลมากแค่ไหน กาแฟก็ไม่มีทางเป็นน้ำเชื่อมหรอกครับ
เพราะมีบางอย่างที่ยังคงตัวตนของมันอยู่
...ดูสิ ก็ความหอมและความขมนิด ๆ นี่ไงล่ะครับ
ที่จะยังทำให้ ‘กาแฟ’ ยังคงเป็น ‘กาแฟ’
เพียงแต่บางที...การเติมอะไรลงไปก็อาจทำให้เราได้รสอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น
คุณล่ะครับ...จะลองดูบ้างไหมครับ?”
...ผมสัมผัสได้ในวินาทีนั้น ความรักของเราก็คงเป็นเช่นเดียวกับรสชาติของกาแฟ
หลายครั้งที่เรารู้ถึงความแตกต่างของนิสัย
หากแต่เราก็พร้อมจะยอมรับมันด้วยหัวใจ
ผ่านความขมแบบรวดร้าวและผ่านความหวานชื่นแบบละมุนละไม
เราต่างปรับตัวเปลี่ยนส่วนผสมให้เข้ากันครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยหวังไว้ว่าสักวันหนึ่ง เราจะได้รสชาติของกาแฟที่อร่อยกลมกล่อมที่สุด
ผมเอื้อมมือหยิบถ้วยกาแฟที่ค่อย ๆ อุ่นขึ้น
ก่อนจะชะงักเมื่อเหลือบเห็นซองเรียวยาววางไว้เคียงคู่กัน
ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา ฉีกกระดาษ เทเม็ดน้ำตาลสีขาวใส่ลงไปในถ้วย
...รสขมของมันติดอยู่ปลายลิ้น กลิ่นหอมยังคงล่องลอยอยู่
แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือ...ความหวานละมุน...ในแบบที่หลงลืมไปนานแสนนาน
...
..
.
สามทุ่ม ยี่สิบสี่นาที
ไล่เรียงอ่านตัวอักษรบนหนังสือพิมพ์คอลัมน์เศรษฐกิจ
เกือบหนึ่งปีแล้วที่ผมเริ่มวุ่นวายเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทซึ่งต้องบินข้ามไปมาระหว่างประเทศ
คำว่า ‘เวลาส่วนตัว’ ค่อย ๆ หดหายทุกครั้งยามที่ต้องทุ่มเทให้กับการทำงาน
รวมทั้งความรักที่มีก็เริ่มจะห่างไกลกันขึ้นเรื่อย ๆ
กระทั้งกลายเป็นรอยแตกเล็ก ๆ
ทว่าเราก็ยินยอมพร้อมใจมองข้าม
และช่วยกันปิดบังกลบเกลื่อนว่ายังคงไม่มีอะไร แต่...
“คิดถึง”
คำพูดสั้น ๆ ที่เล่นเอาน้ำตาหยด
คุณเอ่ยผ่านปลายสายโทรศัพท์
ผมนิ่งเงียบอย่างไม่รู้จะเริ่มต้นต่อประโยคอย่างไร
เพราะรู้ว่าแม้ปากจะพูด แต่ก็กลับไปยืนอยู่ต่อหน้าตอนนี้ไม่ได้
“อยู่ที่นู้นเห็นดาวรึเปล่าครับ?”
คุณถามผมเสียงเครือพร้อมสูดน้ำมูกเบา ๆ
ผมไม่ตอบ แต่เป็นฝ่ายเอ่ยถามกลับ
“แล้วอยู่กรุงเทพฯ จะเห็นดาวเหรอ?”
“เห็นครับ แต่ไม่ใช่ดาวบนฟ้านะครับ”
แล้วผมก็รู้ว่าคุณกำลังยืนอยู่ที่ระเบียงคอนโด
ก้มมองดูดาวบนท้องถนนที่เกิดจากแสงสีแดงของไฟท้ายรถยนต์ซึ่งติดกันเป็นแพ
คุณบอกว่ามันเห็นชัดกว่าดาวบนฟ้าที่มีเมฆปกคลุมจนบรรยากาศขมุกขมัว
ความเหงาโรยตัวแทรกผ่านคลื่นโทรศัพท์มาจนถึงผม
ท่ามกลางความเงียบ คุณเปิดเพลงให้ฟัง
เสียงเมโลดี้จากสายกีตาร์ดังหนักเบาเป็นจังหวะ
ได้ยินคุณร้องคลอตาม กระนั้นมันก็ขาดหายไปเป็นห้วง ๆ
พอจบ คุณก็ถามสั้น ๆ ว่า “เพราะมั้ย?”
...บอกตามตรง จะเพราะได้ยังไง ก็คนร้อง...ร้องไปทั้งน้ำตา
'เวลามองขึ้นไปบนฟ้า ฉันนั้นเห็นแต่ภาพเธอ
อยู่ไกลกันจนสุดสายตา รอคอยวันที่จะกลับมาหา
ถึงแม้มันจะแสนนาน แสนนานแค่ไหน อยากจะขอให้ได้พบ
แค่เพียงขอให้ได้พบ อยากจะรู้ว่าเธอเองเป็นเช่นไร
เธอจะคิดถึงฉันหรือเปล่า เธอจะเหงาบ้างหรือเปล่า
จะรู้สึกแตกต่างกับฉันบ้างไหม
เพราะว่าเราห่างไกลกันเหลือเกิน คิดถึงแต่เธอนั้น
เฝ้าแต่นับให้ถึงวันที่เรานั้นได้พบกัน
เราช่างห่าง ไกลกันเหลือเกิน
ฉันเองก็ไม่รู้ เมื่อไรจะได้พบเธอ'
ผมปิดหนังสือพิมพ์ไม่มีสมาธิตั้งใจจะอ่าน
...คนไกล...คุณรู้ไหม...ผมคิดถึงคุณ
...
..
.
สามทุ่ม ห้าสิบเจ็ดนาที
แสงไฟในเครื่องบินถูกรี่ให้มืดลง
พยายามข่มตาหลับ แต่ก็ไม่อาจทำได้
แม้จะบ่ายเบี่ยงโทษว่าเป็นความผิดของฤทธิ์กาแฟ
กระนั้นลึก ๆ แล้วก็รู้ดีว่าต้นเหตุสำคัญคือสิ่งใด
ภายในหัวยังคงนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านพ้น
...ตั้งแต่เมื่อไรนะ ที่เราเริ่มทะเลาะกัน
ความเหงาของเราเริ่มเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยมีเชื้อคือระยะห่างที่นับวันจะยิ่งพอกพูน
ผมได้แต่ทิ้งคุณไว้เพียงลำพัง
ส่วนคุณก็พร่ำบ่นถึงความอ้างว้าง
เราทะเลาะกันไกลเกินกว่าจะย้อนกลับมา
หลายครั้งที่คุณพยากรณ์ถึงความรักเช่นเดียวกับสภาพอากาศ
คุณบอกว่ามันเป็นวัฎจักรซ้ำ ๆ ทะเลาะกัน ง้อกัน คืนดีกัน เราเพียงแต่แสร้งว่ายังผ่านไปได้
แต่ผมรู้...ความรักของเราเหลือน้อยเต็มที
“ไม่มีเวลาให้กัน”
หนึ่งในสาเหตุหลักที่คุณเอ่ยออกมา
ผมเพียงแต่ถอนหายใจ ครุ่นคิดถึงวิธีการแก้
แต่ด้วยความที่เราไกลกันเกินไป
ช่องว่างที่เกิดจึงกว้างเกินกว่าจะผูกพัน
ความรู้สึกของเราค่อย ๆ ห่างเหิน
แม้ว่าผมพยายามเข้าใจ... คุณพยายามเข้าใจ...
...กระนั้นเราต่างรับรู้ เราไม่มีวันเข้าใจ ‘ความรัก’ ได้เลย
ผมเรียกหากาแฟอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับไม่ได้หยิบความหวานของน้ำตาลมาเติมใส่
น่าแปลก...แม้จะเป็นรสโปรด เพียงจิบแค่นิดเดียว แต่ก็ขมลึกไปถึงหัวใจดวงที่ร้าว
...
..
.
สี่ทุ่ม สามสิบเก้านาที
เดินกลับมานั่งหลังจากลุกไปเข้าห้องน้ำ
และถือโอกาสยืดเส้นยืดสายจากการอยู่กับที่ติดต่อกันเกือบสามชั่วโมง
เผลอมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นจะมีเพียงปีกสีขาวของเครื่องบิน
และภาพสะท้อนสีซีดของชายผู้หนึ่งที่ถูกความรักเล่นงาน
“เกิดอะไรขึ้นกับเรา”
คุณทิ้งคำถามไว้พร้อมบรรยากาศแห่งความเงียบงัน
เรานิ่งมิใช่เพราะอับจนคำพูด แต่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการค้นหาคำตอบ
“ผมจะไปญี่ปุ่นสองอาทิตย์”
ประโยคสุดท้ายก่อนเดินจากมา
โดยหลบเลี่ยงสายตาอันเจ็บปวด
หวังว่าความห่างจะช่วยทำให้เรามีเวลาคิดทบทวนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้
...หากแต่ผมกลับลืมไปว่า ‘เวลา’ และ ‘ความเหินห่าง’ เป็นสิ่งที่เราทั้งคู่ได้รับมากเกินพอแล้ว
ค่ำคืนที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าประเทศไทยสองชั่วโมง
อยู่ที่นี้...มองเห็นดาว แต่กลับรู้สึกว่ามันไม่สวยเท่าเก่า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแปลกถิ่น หรือเพราะไม่มีคนคอยดูเป็นเพื่อนอยู่ข้างกาย
ในความมืดและเงียบงัน ดาวดวงเล็กบนท้องฟ้า คล้ายยิ่งห่างไกล
คงเหมือนความสัมพันธ์ของคนเรา ล้วนมีระยะทาง มีระยะห่าง
และเปราะบาง...
“เกิดอะไรขึ้นกับเรา”
“ผมคิดว่าระหว่างเรา...”
...
..
.
ห้าทุ่ม
ชั่วขณะก่อนขึ้นเครื่อง ย้อนกลับไปในคำพูดของคุณผ่านทางปลายสายโทรศัพท์นั้น
“เราเลิกกันเถอะ”
คุณครับ...
คุณรู้อะไรไหม...
หลังคำพูดที่ผ่านทางยาวไกล...มันทำผมใจสั่น
...
..
.
ห้าทุ่ม สิบสามนาที
เสียงสัญญาณให้คาดเข็มขัดดังขึ้น
บรรยากาศของความกังวลเวียนกลับมาอีกครั้ง
ในจุดที่อันตรายที่สุดสำหรับกัปตัน
นั้นคือการบังคับเครื่องบินลำใหญ่ให้ลงจอดอย่างปลอดภัยบนรันเวย์
ผมเหลือบตามองบนหน้าจอมอนิเตอร์
สังเกตเห็นตัวเลขบอกเวลาท้องถิ่น
ก่อนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่เข็มสั้นชี้เลยไปสองเลข
ทันใดนั้นภาพรอยยิ้มของคุณก็ผุดแทรกขึ้นมา
ผมนึกถึงครั้งแรกที่เราเจอกันจนล่วงเลยผ่านมาสองปี
ระยะเวลาที่ซ่อนทับกันในช่วงการเดินทางข้ามประเทศ
เสมือนความทรงจำที่หล่นหายไปในเสียงหัวเราะและความสุข
ผมค่อย ๆ หมุนนาฬิกากลับไป...กลับไปในวันเวลาของเรา
...ครั้งนี้ ผมเริ่มสวดภาวนา
...
..
.
สองทุ่ม สามสิบนาที
ยืนบนพื้นอย่างมั่นคงอีกครั้ง
สูดหายใจ เงยหน้ามองท้องฟ้า
ผมหวังจะเห็นดาวสักดวง แต่ถึงมองจากตรงนี้ก็ยังคงเห็นไม่ชัด
สองขารีบก้าวเดินไปเรียกรถแท็กซี่
เอ่ยปากบอกจุดหมาย
หัวใจของผมเต้นแรงด้วยรู้ดีว่าจะมองเห็นดาวอันสุกสกาวและสวยงามที่สุดตรงที่ใด
...มันซ่อนอยู่ในประกายตาของใครคนหนึ่ง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
...‘น้ำเน่า และ อินดี้’ คำอธิบายสั้น ๆ ของเรื่องนี้ :laugh:
ไม่มีอะไรมากนอกจากไปขุดงานเขียนเก่า ๆ เจอเลยดัดแปลงนิดหน่อย
ตลกตัวเองเหมือนกันที่เคยเขียนทิ้งไว้
ตอนนั้นคงบ้ากวี จับคำสวย ๆ มาเรียงใส่กันเฉย ๆ
มันเป็นความเหงา อุ่น ๆ ไม่ได้ลองเขียนแนวนี้มานานแล้ว
วันนี้ฟุ้งซ่านติสต์แตก ขอปล่อยของหน่อย
คิดเห็นอย่างไรบอกกันได้นะจ๊ะ
รัก
:กอด1:
BitterSweet
-
อ่านแล้วบอกไม่ถูกอ่ะ ไม่เศร้าไม่ซึ้ง แต่ลุ้นให้ดีกันล่ะมั้ง :hao4:
-
ไม่เศร้าไม่เหงาไม่ซึ้ง
ไม่รู้บอกไม่ถูกแต่ลุ้น
ให้กลับมาดีกันนะ :laugh:
-
:กอด1:
-
น่าจะมีต่อ
-
ชอบมากค่ะ เชียร์ให้กลับมารักกัน o13
-
:o12: อ่านแล้วให้ความรู้สึกเหงาๆ เศร้าๆ o13
อยากให้มีต่อจังงง :mew1:
-
กลับมาอ่านทบทวนอีกครั้งยังคงซึ้งกินใจเหมือนเช่นเคย
-
เพิ่งตามมาอ่านค่ะ ชอบกุ้งก้ามกาม กับเล็กต้มยำ
เก่งนะคะ เขียนได้หลายแนว ไว้จะตามอ่านงานเรื่องอื่นๆนะคะ
-
เป็นชุดเรื่องสั้นหลากรสจริงๆค่ะ
แต่ที่กระแทกสุดๆ คงจะเป็น "รับผมเพิ่มมั้ยครับ" ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ ชอบๆๆๆๆๆ :impress2:
-
โหวต 2 สนับสนุนพนักงานเซเว่นให้เป็นพระเอกเต็มตัวค่ะ :really2:
-
หลากรสจริงๆ
-
ชอบเรื่องสั้นๆ อ่านจบง่ายดี แต่บางทีมันก็เหมือนไม่ได้บอกอะไรเรามากมาย ให้เดาตอนจบเอง ในแบบของเรา :z2:
-
มาม่าต้มยำปลากระป๋อง
...ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย
ผู้ชายที่ว่า คือผู้ชายจริง ๆ ชื่อ อาร์ม ปีนี้อายุยี่สิบหก เป็นพี่ที่ทำงานในทีมเดียวกับผม แต่ยังคุยเล่นเฮฮาเหมือนเด็ก ๆ ผมกับเขาเลยสนิทกันได้ไม่ยาก ระหว่างช่วงที่เขาสอนงานฝ่ายซัพพอร์ตให้ผมตอนเข้ามาในบริษัทไอทีแรก ๆ
พี่อาร์มเป็นผู้ชายที่ดูดีในเสื้อเชิ้ต แบบที่ผู้หญิงทั้งแผนกโหวตให้เขาเป็นผู้ชายในฝัน หน้าตาอ่อนโยน ผิวพรรณสะอาด รูปร่างไม่สูงไม่เตี้ยเกินไป ไหนจะเสียงทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ เวลาที่เขาคุยโทรศัพท์ประสานงานกับลูกค้าก็พาให้คนฟังเคลิ้มไปง่าย ๆ
แต่ผมไม่เคยติดใจเขา เหมือนคนอื่นที่หลงเสน่ห์พี่อาร์มไปกับเรื่องพวกนั้น สิ่งที่ผมทำความรู้จักกับพี่อาร์มครั้งแรก คือ ‘กลิ่น’ ของเขาต่างหาก
วันนั้น ผมจำได้ว่างานยุ่งสุด ๆ ตั้งแต่เช้า สายตาของผมแทบไม่ได้ละออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ จวบจนกระทั่งถึงเที่ยง ทุกคนลงไปพักทานข้าวกลางวัน ผมก็ตั้งใจจะออกไปหาก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำกิน เพราะกระเพาะเริ่มประท้วงดังโครกคราก แต่ด้วยติดพันงานที่ต้องทำ เลยตั้งใจว่าจะเร่งปั่นให้เสร็จ ๆ ไปก่อน
...และตอนนั้นเอง ผมก็ได้ ‘กลิ่น’
กลิ่นหอม ๆ ของอะไรบางอย่างกระจายอย่างเบาบาง หากมันชวนติดจมูก ออฟฟิศผมไม่ห้ามถ้าใครจะห่อข้าวกล่องมากินกัน แต่น้อยคนมากที่จะมีเวลาทำอย่างนั้น เช่นผมคนหนึ่ง ตื่นเช้ามาเข้าบริษัทก็เกือบสายแล้ว เรื่องที่จะมานั่งผัดข้าวใส่ปิ่นโตเป็นมื้อเที่ยงเลยไม่มีทางทำได้เด็ดขาด แต่เจ้าของกลิ่นนี้กลับตรงข้าม ซ้ำต้นตอของมันยังบ่งบอกว่าต้องเกิดจากการทำอาหารอย่างตั้งใจ
ผมไล่สายตามองหา ก่อนจะพบเจอไม่ยาก เมื่อมีบุคคลเดียวยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะประจำ
“พี่อาร์มกินอะไรอยู่เหรอครับ”
เจ้าของชื่อสะดุ้งนิดหน่อย ที่ผมชะโงกหน้ามาทักผ่านโต๊ะแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พลางเหลือบมองกล่องข้าวที่อีกฝ่ายเพิ่งกินเข้าไปได้ช้อนเดียว
“อ้อ ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่”
“ซื้อมาจากที่ไหนเหรอครับน่ากินดี”
“พี่ทำเอง”
“ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เนี่ยนะ พี่ทำเองจริงดิ”
“อืม เพิ่งทำเมื่อเช้า ลองกินดูมั้ย”
ได้รับคำเชิญชวน ถึงจะรู้สึกเกรงใจ แต่พอเห็นสีสวย ๆ ของก๋วยเตี๋ยวในกล่อง และกลิ่นหอม ๆ ยั่วน้ำลาย ผมก็กลืนคำเกรงใจนั้นลงคอ แล้วเปลี่ยนไปหยิบส้อมที่พี่อาร์มยื่นให้ ตักก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ใส่ปากแทน
...รสของมันกลมกล่อมลงตัว อาจเป็นก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมา
“เป็นไง พี่ผัดเส้นให้ไหม้หน่อยจะได้หอม”
“โคตรอร่อยเลยครับพี่ ผมว่าเปิดร้านได้เลยนะ ถ้าทำเก่งขนาดนี้”
“ไม่เก่งหรอก พี่ก็แค่ชอบกินเลยหัดฝึกทำ เมื่อเช้าก็ดันทำซะเยอะ ต้องเอามากินตอนเที่ยงด้วย นี่ยังไม่หมดเลย สงสัยตอนเย็นต้องกินอีกมื้อ”
“ให้ผมช่วยกินมั้ย”
“ได้เหรอ”
พี่อาร์มถามด้วยแววตามีความหวัง ไม่รู้ว่าเอียนกับก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ หรือเพราะอะไร แต่สำหรับผม อร่อยขนาดนี้ถ้าไม่ได้กินอีกก็คงน่าเสียดายแย่
ดังนั้น ตอนเย็นหลังเลิกงาน ผมจึงขึ้นรถไฟฟ้ากลับไปยังคอนโดของพี่อาร์ม ห้องรกหน่อยนะ พี่อาร์มเตือนผมไว้ ระหว่างขึ้นลิฟต์ ผมตอบกลับว่าไม่ถือสา เพราะห้องผมก็สภาพไม่ได้ดูดีนัก เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายโสดอาศัยอยู่คนเดียว
หากพอเปิดประตูห้องของพี่อาร์มแล้ว สภาพนั้นไม่ได้เป็นจริงตามที่เจ้าของว่าไว้สักนิด ห้องดูเป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อย ที่น่าประหลาดใจไปกว่านั้น คือกลิ่นหอม ๆ ของอาหารซึ่งยังคงลอยอบอวลอยู่
ผมเดินตามกลิ่นเข้าไป กวาดสายตาสำรวจมองรอบ ๆ ห้องของพี่อาร์มค่อนข้างกว้าง มีห้องนอนแยกออกไปหนึ่งห้อง ส่วนห้องรับแขกตรงกลาง ฝั่งหนึ่งเป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์ วางติดกันกับชั้นหนังสือ โซฟาและชั้นวางโทรทัศน์ ส่วนอีกฝั่งถูกกั้นเป็นโซนเครื่องครัว เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นให้สีอึมครึม ยกเว้นอย่างเดียวคือตู้เย็นสีฟ้าสดใสที่สูงเกือบถึงเพดาน
...แล้วในที่สุดผมก็รู้ว่าห้องพี่อาร์มรกตรงไหน
บริเวณซิงค์ล้างจานยังมีจานชามกระทะวางทิ้งไว้ เศษกระเทียมยังคาอยู่บนเขียง ใกล้กันมีขวดซอสมากมายวางเรียงรายนับได้เกือบยี่สิบขวด น้ำปลา โชยุ ซีอิ๋วขาว ซอสมะเขือเทศ มายองเนส น้ำมันงา ผสมหลายเชื้อชาติ ไม่นับกระปุกโหลซึ่งใส่เครื่องปรุงอะไรสารพัดที่ผมก็จนปัญญาจะแยกออก เห็นเท่านี้ผมไม่อยากคิดแล้วว่า สิ่งที่อยู่ในตู้เย็นสีฟ้านั้นจะอัดแน่นขนาดไหน
พี่อาร์มมองมาที่ผมอย่างลำบากใจนิดหน่อยเหมือนบอกเป็นนัย ๆ ว่า เตือนไปแล้วนะ ก่อนเขาจะจัดการสั่งให้ผมนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว แล้วหันไปเปิดตู้เย็นนำก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ออกมาอุ่น
“มีต้มจับฉ่ายด้วย เพิ่งทำเมื่อวาน ลองชิมดูด้วยมั้ย”
พ่อครัวเสนอมามีเหรอผมจะพลาดถ้ามื้อนี้ได้กินฟรี และเพียงไม่นานก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่กลิ่นหอม ๆ กับต้มจับฉ่ายร้อน ๆ ก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ผมทำหน้าที่แขกที่ดีด้วยการจัดการกินซะเรียบ พลางชมไม่หยุดว่าพี่อาร์มทำอาหารได้อร่อยจริง ๆ
ต้มจับฉ่าย หอมกลิ่นซีอิ้ว หมูสามชั้น และรสหวาน ๆ ของผัก วัตถุดิบเรียบง่าย แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้ากันกับก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่จนผมต้องขอเบิ้ลอีกรอบ
พี่อาร์มแค่หัวเราะ แต่ก็มีรอยยิ้มเขิน ๆ ปรากฏบนใบหน้า
“งั้นคราวหลังเดี๋ยวทำให้กินอีก กำลังอยากลองเมนูใหม่ ๆ จะได้มีหนูทดลอง”
ซึ่งแน่นอนว่าผมยินยอมเป็นหนูทดลองตั้งแต่คราวนั้น
...พอรู้สึกตัวอีกที ผมก็ไปห้องของพี่อาร์มเป็นประจำ
จากเริ่มแรกแค่ไปเป็นคนลองชิมอาหารเมนูใหม่อาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้ง พักหลัง ๆ ก็กลับกลายเป็นว่ามาทุกวัน ผมใช้เวลาเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องของพี่อาร์ม ทั้ง ๆ ที่ไม่มีธุระอะไร หรือบางคืนขี้เกียจกลับหอก็นอนค้าง ข้าวของของผมเลยมีส่วนอยู่ในห้องของพี่อาร์มมากขึ้น
หนังสือที่พี่อาร์มยืมผม เกมที่ผมเอามาเล่นระหว่างรอพี่อาร์มทำอาหาร รองเท้าผ้าใบของผมใช้ออกกำลังกายเพื่อฟิตหุ่น เพราะพี่อาร์มชอบทำกับข้าวอร่อย ผมเลยมักกินหมดชามจนพุงชักเริ่มย้อย เคยโทษพี่อาร์มไปว่าอย่าทำอาหารให้อร่อยมากได้มั้ย แต่พี่อาร์มก็เหมือนแกล้งกัน ทำเมนูโปรดให้ผมกินทุกครั้งที่บ่น
“ผมมาทุกวันรบกวนรึเปล่า ผมออกค่าอาหารให้ครึ่งหนึ่งมั้ย”
ครั้งหนึ่งผมเคยถามพี่อาร์มออกไป ทว่าพี่อาร์มกลับส่ายหน้า
“ไม่รบกวนหรอก กินข้าวสองคนสนุกกว่ากินคนเดียวนะ”
“ไม่ใช่แค่สองคน สามต่างหาก เพราะผมชอบกินเบิ้ล”
“ก็ดีสิ รู้เปล่า อาหารยิ่งทำเยอะก็ยิ่งอร่อย”
แล้วพี่อาร์มก็หัวเราะด้วยรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง รอยยิ้มอ่อนโยนที่ใคร ๆ ก็ชอบ ผมว่าที่อาหารมันอร่อยส่วนหนึ่งคงเพราะความอ่อนโยนของพี่อาร์มนี่แหละ ความรู้สึกนั้นถ่ายทอดออกมาผ่านทางรสชาติ ซึ่งผมสามารถสัมผัสถึงมันได้
...และนั่นยิ่งทำให้ผมค้นพบว่าตัวเองชอบพี่อาร์ม
‘ชอบ’ ในความหมายที่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน หรือพี่น้อง ชอบอย่างที่รู้สึกพิเศษกับคน ๆ หนึ่ง แปลกใจเหมือนกันเพราะที่ผ่านมาผมเคยคบหากับผู้หญิงมาตลอด แต่เฉพาะแค่พี่อาร์มที่ผมรู้สึกต่างออกไป
‘มันเป็นความชอบจริง ๆ รึเปล่า’ ผมถามตัวเองอย่างสับสน ขณะนอนเล่นบนโซฟาในห้องพี่อาร์ม สูดกลิ่นไอจาง ๆ ที่ไม่ใช่กลิ่นหอมของอาหาร แต่เป็นกลิ่นหอมเบา ๆ ของพี่อาร์มซึ่งทิ้งร่องรอยในทุกห้อง ตอนนี้ผมหลงใหลมันยิ่งกว่าอาหารของเขาเสียอีก
มันอาจเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ ฮอร์โมนเพศชาย หรือความฟุ้งซ่านบ้าบอ แต่บ่อยครั้ง ขณะนั่งโต๊ะกินข้าวอยู่กับพี่อาร์ม ผมก็ไม่อาจห้ามใจให้มองปากสีแดง ๆ นั้น และจินตนาการว่ามันจะอร่อยยิ่งกว่ากับข้าวที่พี่อาร์มทำมั้ย
มีหลายทีที่ผมพยายามปลุกความกล้าของตัวเอง ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะบอกความรู้สึกนี้ออกไป แต่สุดท้ายผมก็ไม่กล้า เลยได้แต่เก็บสิ่งที่คิดไว้ลึกสุดใจ แล้วพยายามทำตัวเป็นหนูทดลองชิมเมนูใหม่ ๆ ของพี่อาร์มไปเรื่อย ๆ
แค่ได้กลิ่นหอม ๆ จากทั้งอาหารและพี่อาร์มทุกวัน ก็มีความสุขพอแล้ว ผมคิดเท่านี้ จึงใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยวนเวียนไปมาจวบจนหนึ่งปีเต็ม ๆ
...แต่แล้วจุดจบก็มาถึงอย่างง่ายดาย
มันเป็นช่วงสองสามเดือนหลังที่งานบริษัทเข้าสู่ช่วงที่ยุ่งนรกสุด ๆ ผมถูกส่งไปทำงานซัพพอร์ตที่ต่างจังหวัด เดินทางไปกลับก็ใช้เวลาเกือบหมดวัน ส่วนพี่อาร์มก็ติดงานโปรเจกต์ไม่ค่อยมีเวลาทำอาหารเหมือนเก่า
ดังนั้น การเป็นหนูทดลองของผมจึงมักเลื่อนออกไปจากสามวัน เป็นหนึ่งอาทิตย์ และสองอาทิตย์ แต่ถึงอย่างนั้น ทุกครั้งที่นั่งทานข้าว ผมก็ยังคงคิดถึงอาหารของพี่อาร์มเป็นประจำ และรู้ว่าไม่มีเมนูอะไรที่เทียบเคียงฝีมือของพี่อาร์มได้
กระทั่งเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน อยู่ ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็มีสายเข้า พี่อาร์มโทรมา
“เย็นนี้ว่างมั้ย พี่ซื้อของมาเพียบเลย อยากได้คนมาช่วยกิน”
“ว่างครับ เดี๋ยวผมไป”
รีบตอบตกลงออกไป ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอยู่บนรถตู้บริษัทระยะทางอีกเกือบ 60 กิโลกว่าจะถึงกรุงเทพ แต่พอรถจอดที่บริษัท ผมก็รีบวิ่งไปขึ้นรถไฟฟ้า ตรงไปยังคอนโดของพี่อาร์มด้วยสภาพเหงื่อโทรมกาย ผมเคาะประตูออกด้วยความตื่นเต้น กี่อาทิตย์แล้วนะที่ไม่ได้มาห้องพี่อาร์ม แค่คิดถึงท้องก็เริ่มร้องด้วยความหิว แต่เหนืออื่นใดคือ หัวใจ ซึ่งกำลังสั่นไหวเพราะอยากเจอหน้าพี่อาร์ม
“ขอโทษครับที่มาช้า”
“อ้าว ไปวิ่งมาราธอนที่ไหนมา เหงื่อโชกเลย นั่งก่อน กินน้ำมั้ย”
พี่อาร์มเปิดประตูทักด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนเก่า ก่อนเดินนำเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นสีฟ้าสดใส หยิบขวดน้ำเย็นเจี๊ยบมาเปิดฝารินใส่แก้วแล้วยื่นให้ผมซึ่งกำลังกวาตามองบนโต๊ะ มีอาหารทำเอาไว้เสร็จเรียบร้อยส่งกลิ่นหอมกรุ่นอยู่หลายจาน แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาผม กลับเป็นใครคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่รวมโต๊ะด้วย
“เออ ลืมแนะนำไป หญิง นี่ ธัน น้องที่ทำงาน ส่วน ธัน นี่หญิงแฟนพี่”
“พี่อาร์มมีแฟนแล้วเหรอครับ”
“อ้าวไม่ได้บอกหรอ พี่คบหญิงมาได้เดือนกว่าแล้ว เพื่อนเรียนมหาลัยด้วยกัน กินจุพอ ๆ กับธันนั่นแหละ”
“อาร์มอ่ะ ไปบอกน้องแบบนั้นได้ยังไง เสียภาพลักษณ์หมด แต่อาร์มทำกับข้าวเก่งจริงๆ นะ หญิงยอมยกให้เป็นพ่อศรีเรือนเลย”
“ยอมให้ได้เป็นตลอดชีวิตมั้ยล่ะ”
“บ้า!”
พี่อาร์มหัวเราะ แต่คราวนี้มีเสียงหัวเราะหวาน ๆ ของพี่หญิงตามมาด้วย ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกผสมปนเป ก่อนตัดสินใจทำบางอย่าง
“งั้นเดี๋ยวผมโชว์ฝีมือทำอะไรให้กินบ้างดีมั้ยครับ”
“ห่ะ ธันทำเป็นเหรอ ทุกทีเห็นแต่รอกิน”
“โห พี่อาร์มอย่าดูถูก ทำได้อยู่แล้ว อร่อยด้วย ผมขอยืมครัวหน่อยนะ”
ผมเดินเข้าไปเปิดตู้เย็นสีฟ้านั้นอย่างไม่พูดพล่ามทำเพลง ข้าวของอัดแน่นทั้งของสดของแช่แข็ง ผัก ผลไม้ แยกตามช่องต่าง ๆ ผมหยิบผักชีกับต้นหอมออกมา ก่อนหันไปค้นตู้ เจอมาม่ารสต้มยำ กับปลากระป๋องตราสามแม่ครัว เลยจับทั้งหมดใส่ลงในหม้อน้ำเดือด
ผมไม่รู้หรอกว่าจะทำอะไร ผมทำอาหารไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่นี่คือเมนูที่ทำกินบ่อย ๆ ตอนอยู่คนเดียว และผมกำลังจะกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง
“ได้แล้ว มาม่าต้มยำปลากระป๋อง สูตรเด็ดของธันคร้าบบบ!”
ผมวางชามมาม่าลงบนโต๊ะ ให้พี่อาร์มลองชิมด้วยความหวั่น ๆ เป็นครั้งแรกที่ผมทำอาหารให้พี่อาร์มกิน ถึงมันจะเป็นการทำโดยไม่ต้องอาศัยฝีมือมาก เพราะเครื่องปรุงในซองก็มีอยู่แล้ว แต่พี่อาร์มก็ยังพูดชมผมหลังจากกินคำแรกเขาไป
“อร่อยนะ มีฝีมือใช้ได้เหมือนกันนี่หว่า คิดได้ไงเมนูนี้ ชอบว่ะพี่เพิ่งเคยกิน”
“เห็นมั้ย ผมบอกแล้ว”
ผมยิ้มกว้างตอบกลับ ก่อนนั่งลงกินกับข้าวของพี่อาร์มบ้าง แต่พี่อาร์มก็ยังคงง่วนอยู่กับมาม่าปลากระป๋องของผมเหมือนติดใจในรสชาติ กินอยู่คนเดียวจนหมดเกลี้ยงชาม แถมปิดท้ายด้วยการขอสูตร
“ทำยังไงบอกพี่หน่อยได้มั้ยธัน”
“ไม่ได้ครับ สูตรนี้เป็นความลับประจำตระกูล”
ผมปฏิเสธหน้าตาเฉย ต่อให้พี่อาร์มตื้อยังไงก็ไม่มีทางบอก
...ทุกอย่างเป็นความลับ แม้กระทั่งเรื่องที่ผมชอบพี่อาร์ม ก็จะขอเก็บเป็นความลับอยู่อย่างนั้นตลอดไป
ผมไม่ได้ไปห้องพี่อาร์มอีกตั้งแต่นั้น และก็เริ่มทำเรื่องขอลาออก ส่วนหนึ่งเพราะผมตั้งใจจะไปเรียนปริญญาโทบริหารต่อที่ออสเตรเลีย อีกส่วนผมยอมรับว่าทำใจเรื่องพี่อาร์มไม่ได้ พี่อาร์มยังคงโทรหาผมบ้างเป็นบางครั้ง ชวนให้ผมมากินข้าวที่คอนโด แต่ผมก็มักจะหาข้ออ้างว่าติดธุระนู้นนี้บ้าง จนกระทั่งระยะห่างของเราเพิ่มมากขึ้นตามวันเวลา
ในวันสุดท้ายที่ผมเก็บของย้ายออกจากหอเพื่อคืนห้อง ผมลองทำมาม่าต้มยำปลากระป๋องกินเองอีกครั้ง โดยใช้กระทะไฟฟ้า แล้วพอเสร็จเรียบร้อยก็ทดลองชิมรสชาติ
เมื่อก่อนกินบ่อยก็คิดว่ามันอร่อยดี และตอนที่พี่อาร์มกินจนหมดชาม ผมก็คิดว่ามันคงอร่อยมาก แต่พอมากินดูตอนนี้ รสชาติกลับไม่ได้ดีอย่างที่หวังเอาไว้ ถ้าเทียบกับอาหารของพี่อาร์มแล้ว แน่นอนว่าก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ของพี่อาร์มอร่อยกว่าพันเท่า
ถึงกระนั้นพี่อาร์มก็ยังชมผม ยังคงยิ้ม และบอกว่า ‘ชอบ’
ผมคิดถูกรึเปล่าที่ผมไม่ได้บอกความรู้สึกของตัวเองออกไป ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมจะกล้าพอมั้ยที่จะพูดออกไปตรง ๆ
...พี่อาร์ม ผมชอบพี่นะ
ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย
แต่ผมก็ชอบไปแล้ว ทุกสิ่งไม่มีทางหวนกลับคืนมาได้
กลิ่นของมาม่าต้มยำปลากระป๋องยังคงลอยอวลอยู่ในห้อง มันพาให้ผมนึกถึงกลิ่นของก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่ผมได้พบพี่อาร์มวันแรก กลิ่นหอม ๆ ของอาหารที่พี่อาร์มทำในคอนโด
....และกลิ่นไอจาง ๆ จากตัวของพี่อาร์ม ซึ่งยังคงติดค้างอยู่ในใจของผมไม่เคยจางหายไป
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
ไม่ได้เขียน เรื่องสั้นรักหลากรส นานมากกกเลยเอามาฝากหนึ่งตอน
เราได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องสั้นสัญชาติญี่ปุ่นเลยขอปรับมาเป็นแบบฉบับไทยๆ
คิดเห็นยังไง วิจารณ์ได้ตามสะดวกได้เลยค่ะ
แต่เราชอบโทนของเรื่องทำนองนี้อาจวนเวียนมาแต่งอีกเป็นพักๆ
ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ
:L2:
BitterSweet
-
ชอบมากเลยค่าาาาา รู้สึกละมุนละไม
แอบอยากรู้ว่าจบยังไง
บรรยากาศในเรื่องชวนให้คิดการ์ตูนโปรดเรื่อง hana no miyako de (at the flower capital )
อ่านแล้วหิวก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ตะหงิดๆ ไม่ได้กินมานานแค่ไหนแล้วน้าาา
ขอบคุณที่เอามาลงค่ะ รออีกเรื่องอยู่นะคะ+1 :mew1:
-
:katai2-1: เรื่องน่ารัก อบอุ่นอ่ะ
นี่หลงเสน่ห์ปลายจวักสินะ
ไม่น่ามีเรื่องงานเข้ามาเลย ห่างกัน เลยมีเวลาไปให้คนอื่นๆ :hao5:
ถึงจะไม่สมหวังแต่ก็ธันก็ยังยิ้มได้กับเรื่องพี่อาร์ม เป็นความอบอุ่นในความทรงใจสีจางๆ
-
:ling1: ถ้าพูดออกไปตั้งแต่แรก อาจไม่จบแบบนี้นะ
-
ชอบอารมณ์ตอนนี้จัง
ตัวละครที่บรรยายจากมุมตัวเอง ตอนที่สับสนและไม่กล้าจะบอกความรู้สึกออกไป อ่านแล้วจิ๊ดมาก
มันไม่ได้อยากร้องไห้ แต่น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ
ตอนนี้บอกว่าจะทำอาหารสูตรเด็ด นี่คนอ่านน้ำตาคลอเลย มันจุกในอก
อยากให้ต่อตอนนี้มาก ว่าธันจะเดินหน้าไปได้ไกลมั้ย ส่วนพี่อาร์มรู้สึกกับธันบ้างหรือเปล่า
มันน่าเศร้าที่ความรู้สึกบอกอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะมันผ่านจุดที่สามารถบอกได้ไปแล้ว
-
มาม่าสมชื่อเรื่องมากเลยค่ะ :mew2:
ชอบเรื่องที่พี่แต่งมากเลยค่ะ ถึงจะเศร้าก็เถอะนะ ชีวิตคนเราก็อย่างนี้แหละ มีสุข มีเศร้า แล้วแต่ช่วงของชีวิต แต่ยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
ป.ล. ถ้ารีบบอกออกไปอาจจะดีกว่านี้รึเปล่า? ชีวิตคนเราบางเรื่องก็รอไม่ได้เนอะ
-
แง้ ธันน่าจะลองบอกชอบเนอะ
คำตอบอาจจะดีก็ได้อะ
-
บางคนอาจจะพอใจแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ หรือแค่ได้คิดถึง
-
อ่า.....สมชื่อเรื่อง
-
โธ่ ห่างกันไปพักนึง ดันไปมีแฟนซะงั้น :ling1:
-
มาม่าจริงๆด้วยยยยย ฮือออ
พี่อาร์มทำกับน้องได้ลงคอ
ขอบคุณคนเขียนค่า
-
อยากกินอ่ะ มาม่าต้มยำปลากระป๋อง
-
สุดท้ายเราก็ได้กินมาม่าตามชื่อเรื่องเลยอ่ะ
เศร้าแท้
-
ก่อนไปน่าจะบอกความรู้สึกไปตรงๆนะ อย่างน้อยเวลาอยู่คนเดียวจะได้ไม่ต้องรู้สึกเหงามากไปกว่าที่เป็น เพราะยังไงๆก็ต้ั้งใจจะไปอยู่แล้วนี่นา
-
:hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
-
อยากอ่านเรื่อง
"รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมครับ"กะเรื่อง"กุ้งกล้ามกาม"แบบยาวๆมั้งอ่ะ
ฟิน~
-
o13 o13 o13
-
สนุกดีค่ะ เสียดายเรื่องเศร้าเยอะอ่ะ
ชอบแบบที่จบแฮปปี้ๆๆๆ
ขอบคุณมากค่ะ
-
สนุกทุกเรื่องคะ
-
ตามทันแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ หลากหลายรสจริงๆ
-
เรื่องล่าสุด เศร้าอ่า
แอบสงสัย ตอนที่อยู่ด้วยกันบ่อยๆ สมัยที่ยังได้กินข้าวเย็นด้วยกันสองคน
พี่อาร์มรู้สึกอะไรบ้างรึเปล่า
โหยย สนุกดีค่ะ
-
ตอนเดียวจบ
แต่ความรู้สึกเราไม่จบ
มันต่อยอดไปกระจาย
ชอบๆๆๆ หลงพล็อตของแต่ละเรื่อง
มีเรื่องไหนที่เอาไปแต่งต่อรึเปล่าคะ
-
สนุกทุกเรื่องเลยครับ แต่ที่ชอบสุด ๆ ก็
รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับ?
เล็กต้มยำ
ยอมเป็นข้าวมันไก่
ขอบคุณครับ
-
:sad4: ถ้าบอกไปแต่แรกมันจะดีกว่านี้มั้ยน่ะ
-
น้ำพระเอก
. . . เพราะว่าคนคนนี้ยังไม่ใช่คู่แท้ของคุณพระเอกมากกว่านะคะ 'ฟ้า' ถึงได้มีคำสั่งลงมาแบบนี้ ^^ ฉะนั้นแล้วใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุขเพื่อรอ 'คู่แท้' ที่เป็นคนของคุณพระเอกจริงๆ ดีกว่าเน้ออ..
รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมครับ?
. . . พี่พนักงานทำเอาน้องนักศึกษาหน้าง่วงหายง่วงเป็นปลิดทิ้งด้วยประโยคเดียวเลยนะค้าา 555+ 'รับ..ผม..เพิ่มไหมครับ?' ตาสว่างยิ่งกว่าโด๊ป M 150 ไปทั้งโหลอีกนะคะเนี่ย งานนี้สอบผ่านฉลุยแน่นอน~ :laugh:
เล็กต้มยำ
. . . น้องเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นคนที่ตลกมากๆ เลยนะคะเนี่ย รู้ตัวหรือยัง? :m20: คุณชายเขาน่าเอ็นดูนะคะ ตอนแรกเราก็คิดเหมือนกันเลยค่ะว่าสั่งก๋วยเตี๋ยวได้น่าโมโหจัง ยิ่งร้อนๆ อยู่ด้วย แต่ความจริงแล้วเขาแค่ซื่อ และสั่งตามที่เคยทานมาตลอดก็เท่านั้นเอง ^^ ขนาดว่าถูกแกล้งเข้าแล้วก็ยังไม่รู้ตัวเลยเน้ออ 555+ ไหนๆ ก็ตกหลุมรักน้องเขาไปแล้ว หลังจากนี้คุณชายคงได้เรียนรู้วิถีคนเดินดินกินข้าวแกงธรรมดาบ้างแล้วเนอะ เพราะน้องเจ้าของร้านคงเปิดคอร์สติวเข้มให้คุณชายแล้วล่ะค่าา ><
เจาะไข่แดง
. . . เพียงยิ้มเดียว ^^ ก็ทำเอาพ่อครัวใหญ่ตกหลุมรักน้องหมอผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้าเข้าอย่างจังเลยนะค้าา :-[ น้องหมอคะน้องหมอ..อย่าเพิ่งเดินไปค่ะ กลับมารับผิดชอบหัวใจของใครบางคนแถวนี้ก่อน~
จนกว่าวานิลลาจะละลาย
. . . ตอนนี้อาจจะเจ็บ..แต่อีกไม่นาน เมื่อวันใดที่ทั้งสองคนเข้มแข็งขึ้น และได้ทำตามความฝันที่มีได้อย่างใจแล้ว ไม่แน่ว่าเส้นทางเดินของทั้งสองคนอาจจะมาบรรจบกันจนเกิดคำว่า 'ตลอดไป' ขึ้นมาจริงๆ ก็ได้นะคะ ^^
ยอมเป็นข้าวมันไก่
. . . พี่อ๋อง~ เป็นกำลังใจให้ก็แล้วกันนะคะ :o8: ดูท่าว่าคงจะอีกไม่นานหรอกค่ะ เพราะขนาดวันนี้พี่หยอดน้องหยกไปหน่อยเดียว (แน่ใจ? 555+) น้องยังทำหน้าแดงหูแดงใส่พี่เลยนี่นา แต่เรื่องตะโกนในที่สาธารณะนี่ขอเถอะนะคะ อย่าทำอีกเลย เพราะเดี๋ยวคนแถวนั้นเขาโทร. ไปแจ้ง ร.พ.จิตเวช ขึ้นมาพี่อ๋องจะเสียเวลาไปแอ๊วน้องหยกเอานะค้าา :laugh:
กุ้งกล้ามกาม
. . . คุณเจ้านายแกล้งน้องได้ลงคอนะค้าา น้องน่าสงสารไหมล่ะนั่น อุตส่าห์อดใจไม่สนใจอาหารอย่างอื่น เพื่อกุ้งเผาตัวโตๆ อย่างเดียวแท้ๆ ก็ดันมาถูกเจ้านายตัดหน้าเข้าจนได้ o18 ถ้าคืนนี้ยังแกล้งน้องอีกน้าา..เดี๋ยวเราจะยืมมือน้องหยกมาจัดการแทนเสียให้เข็ดเลยล่ะค่ะ ตัดให้ขาดเลย ชับ ชับ ชับ..♪~
บัวลอยไข่หวาน
. . . น้ำตาไหลเลยค่ะ :monkeysad: นี่แหละหนาตอนมีน้องอยู่กลับไม่เห็นค่า กว่าจะคิดได้อีกทีก็ตอนที่เขามีใครอีกคนไปเสียแล้ว แต่เราว่านะ ถ้าพี่วิศวะรักน้องจริงๆ ก็ลองตื๊อน้องดูสักครั้งไหมล่ะ ไม่แน่นะคะน้องอาจจะยังรักพี่อยู่ก็ได้ :a2:
วันธรรมดาที่ชื่อ 'วาเลนไทน์'
. . . ผู้ชายคนแรกที่วานให้น้องเขาช่วยถือดอกไม้ให้นี่น่าจับมาลงแส้จังเลยนะคะ อยากให้น้องเขาช่วยมาเป็นส่วนหนึ่งในแผนการขอแฟนแต่งงานก็ไม่พูดให้จบประโยคหรอก สุดท้ายเป็นยังไงล่ะ - -' โกยเศษหน้ากันแทบไม่ทันเลยทีเดียวเชียว :laugh:
แต่ก็ไม่แย่เสมอไปหรอกเน้อ เพราะสุดท้ายก็มีหนุ่มนิรนามตามมามอบช่อดอกไม้ให้คนแก้มแดงกับเขาบ้างเหมือนกัน :m1: แล้วก็..ทานข้าวให้อร่อยน้าา ^^
คืนที่ดวงดาวลอยอยู่ในถ้วยกาแฟ
. . . ให้ความรู้สึกเหงาๆ และคิดถึงตามไปด้วยเลยค่ะ คุณกับผมลองกลับไปคิดดูให้ดีนะคะว่าที่ห่างกันคือ 'ระยะทาง' หรือ 'หัวใจ' กันแน่ เราอยากให้ทั้งสองคนเปิดใจคุยกันอีกสักคร้้ง และปรับความเข้าใจในบางสิ่งเสียใหม่ เพราะจะเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากๆ ถ้าคุณตัดสินใจเลิกทั้งๆ ที่ยังรักกันอยู่แบบนี้ รอผมเขาก่อนนะคะ ^^ เพราะว่าเขากำลังจะไปหาคุณ..
มาม่าต้มยำปลากระป๋อง
. . . น่าเสียดายนะคะที่ธันไม่ได้บอกความรู้สึกที่มีให้กับพี่อาร์มได้รู้ แต่ก็นะ พี่เขามีแฟนไปแล้วนี่นา ถ้าการบอกออกไปจะทำให้พี่เขาไม่สบายก็ขอเก็บเอาไว้เศร้าแค่คนเดียวดีกว่าเนอะ ^^ พักใจพักกายแล้วรอคอยความรักที่พร้อมจะเป็นของเราเองจริงๆ ดีกว่า~ :heaven
ปล. อร่อยครบเครื่องทุกเมนูเลยค่าา ขอบคุณนะค้าา.. :pig4:
-
ยาวกว่านี้ได้ไหม??? อิอิ :pig4:
-
อยากให้มีต่อยาวๆจัง :hao5:
:pig4:
-
รสออริจินัล
ดึกดื่น วันศุกร์ เราสนุกครื่นเครง
ก๊วนเพื่อนมาประชุมกันโดยนัดหมายตามประสาชายโสด โฉด และจน เพราะขี้เกียจเสียเงินไปเข้าผับแพง ๆ เลยยึดเอาบ้านเช่าของคนในกลุ่มเป็นที่สังสรรค์ชุมนุม
นั่งดื่มตั้งแต่หัวค่ำจนเหล้าพร่องไปครึ่งกลม โซดาหมดไปหลายขวด พวกซี่โครงแหนมทอด ถั่วลิสง กับลาบเป็ดแซ่บ ๆ ก็หายวับเกลี้ยงจาน
กับแกล้มหมด แต่เหล้ายังเหลือ ไม่มีหรอกที่คิดจะม้วนเสื่อกลับบ้าน เลยใช้ให้ใครคนหนึ่งไปซื้อของกินมาเพิ่ม ผ่านไปหลายสิบนาที มันกลับมาพร้อมถุงเซเว่นในมือ
เขากำลังอารมณ์กรึ่มได้ที่ เสี้ยนปากหาของแกล้ม รีบคว้าถุงไปเปิด แต่พอเห็นของข้างในก็ต้องขมวดคิ้วถาม
“ทำไมมีแต่เลย์รสออริจินัลวะ”
ซองขนมมันฝรั่งสีเหลืองไซต์ใหญ่สามห่อ รสเดียวกันเป๊ะอัดแน่นเต็มถุง คนฝากซื้อทำแค่เพียงยักไหล่ ตอบสั้น ๆ
“ก็กูชอบรสนี้”
...ชอบรสนี้ เออ เข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมมันไม่หัดคิดถึงเพื่อนตาดำ ๆ ที่ฟาดลาบเป็ดเผ็ดพิเศษ แล้วยังแย่งกันเคี้ยวพริกขี้หนูในถุงแหนมทอดบ้าง
“นี่มึงบ้ารึเปล่าวะ ซื้อมาได้อยู่รสเดียว เลย์เขาผลิตออกมาเป็นร้อยรส บาร์บีคิว ผัดกะเพราเงี้ยไม่ซื้อ ดันไปซื้อรสจืด ๆ เค็ม ๆ มาแล้วมันจะกินคู่กับเหล้าอร่อยมั้ย”
ปากบ่นไปอัตโนมัติ ในฐานะที่เป็นคนออกเงิน อุตส่าห์ให้ตังค์เป็นร้อย คิดว่าจะได้ขนมอะไรแซ่บ ๆมาช่วยเสริมรสเหล้า แล้วดูที่ได้มา ไม่ให้เขาเรียกว่ากวนตีน แล้วจะให้เรียกว่าอะไร แต่เพื่อนในกลุ่มกลับช่วยแนะนำคำเรียกใหม่
“แล้วมึงใช้ให้มันไปซื้อทำไมวะ รู้อยู่ว่ามันเป็นไอ้พวกมนุษย์หน้าจืด”
“จืดเฉย ๆ พอไม่ต้องเติมหน้าให้กู”
คนโดนล้อรีบเถียง ทว่าดันทำให้เขานึกขึ้นมาได้
...ไอ้มนุษย์จืด เออใช่ ตรงกับตัวมันเลย ชอบกินอะไรจืดชืดไม่พอยังชอบทำตัวจืดจาง ลักษณะท่าทางไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษสักอย่าง
“จริงนี่หว่า มึงอ่ะหน้าจืด กูเคยถามชื่อมึงซ้ำตั้งสามรอบ หน้าโหลเกินจำไม่ได้”
พอเขาพูดเสริมขึ้นมา มันก็เปลี่ยนเป้าแค้น หันมามองเขาทันควัน
“แต่กูจำมึงแม่นเลยว่ะ สมองปลาทองแบบนี้มีคนเดียวในคณะ”
เป็นมนุษย์พันธุ์จืดแท้ ๆ แต่ปากดันเปรี้ยวตีนอย่างแรง เพื่อนในกลุ่มหัวเราะเฮฮาถูกใจกับมวยถูกคู่ ก็ตั้งแต่ที่คบกันมาสามปี เขากับมันเป็นต้องปะทะคารมกันตลอด
ถึงอย่างนั้นต่อให้กัดกันแรงแค่ไหนก็ไม่เคยโกรธจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ เพราะสุดท้ายมักจะจบลงที่ใครคนใดคนหนึ่งยอมลงก่อนเสมอ
“งั้นเดี๋ยวกูไปซื้อใหม่ก็ได้”
มันลุกขึ้นเตรียมเดินออกไปนอกบ้าน ทำให้เขาต้องรีบลุกตาม
“เดี๋ยวกูไปด้วย กลัวมึงไปซื้ออะไรจืด ๆ มาอีก”
พอได้ยินเหตุผล มันทำหน้าเซ็ง ๆ พึมพำด่าหงุดหงิดคนเดียว ก่อนเดินนำเขาไป
เซเว่นอยู่หน้าปากซอย ระยะทางเดินประมาณร้อยเมตร ตรงครึ่งทางมีร้านรถเข็นขายบะหมี่เกี๊ยวเปิดอยู่ กลิ่นหอม ๆ ของน้ำซุปลอยมาจากหม้อ เขากำลังเมา ๆ เจอเข้าอย่างนี้ถึงกับตาสว่าง จนต้องสะกิดคนมาด้วย
“แวะกินกันป่ะ”
“ไม่รีบซื้อขนมกลับไป เดี๋ยวพวกนั้นก็รอหรอก”
“อย่างพวกมันไม่อยู่รอกับแกล้มหรอก ป่านนี้ซดเหล้าเพียว ๆ ไม่ต้องน้ำแข็งโซดายังได้เลย”
เพราะรู้นิสัยก๊วนคอทองแดงดีอยู่แล้ว คงมีแค่เขาที่เรื่องมากเวลากินเหล้า เขาไม่ชอบกินเอาเมาจนอ้วก ด้วยถือว่าเหล้ามันเป็นแค่ตัวช่วยเสริมรสคู่กับของกินอย่างอื่น ดังนั้น เขาเลยเดินตรงไปสั่งเจ๊ที่กำลังลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวอย่างไม่ลังเล
“เล็กต้มยำพิเศษขอเผ็ด ๆ เลยนะพี่”
คนที่ตามมาด้วยกันรู้ว่าห้ามไปก็คงไร้ประโยชน์ เลยเดินมาสั่งเพิ่ม
“เล็กน้ำใสลูกชิ้นครับ”
...จืดฉิบหาย
เขาเบ้ปาก นึกเยาะอยู่ในใจ ระหว่างทรุดตัวนั่งรอที่โต๊ะ ก่อนเด็กเสิร์ฟอิมพอร์ตจากประเทศเพื่อนบ้านจะเข้ามาถาม
“เอาน้ำอะไรคะ”
“ขอโค้กครับ”
“ผมเอาน้ำเปล่า”
...นี่ชีวิตมันจะจืดไปไหนวะ ไม่หัดเติมความแซ่บไว้บ้าง แม่งโคตรจะเสียชาติเกิด
เพียงไม่นานก๋วยเตี๋ยวสองชามมาวางบนโต๊ะ สีต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ชามหนึ่งพริกสีแดงลอยฟ่อง ส่วนอีกชามน้ำใสแจ๋ว เขาดึงชามที่สีจัดจ้านมาไว้ตรงหน้า แล้วยกเถาเครื่องปรุงกระหน่ำใส่ทุกอย่างให้ถึงเครื่องถึงรส ตรงข้ามกับใครบางคนที่หยิบตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ปาก โดยไม่คิดจะแตะต้องขวดน้ำปลา หรือช้อนน้ำส้ม
“ไม่ปรุงหน่อยเหรอ”
คนกินไหวไหล่ “เขาอุตส่าห์ต้มน้ำซุปตั้งนาน ใช้วัตถุดิบธรรมชาติ มันก็ต้องค่อย ๆ ลิ้มรส”
“ธรรมชาติที่ไหน ผงชูรสเป็นถุง”
คงพูดดังไปหน่อย แม่ค้าถึงหันมามอง แถมแผ่รังสีอำมหิตจางๆ เขาจึงแสร้งทำเป็นยิ้มเจื่อน ฟังคู่สนทนารีบอธิบายสรุปเรื่อง
“เอาเป็นว่า เดี๋ยวนี้คนเขาฮิตกินอาหารรักษาสุขภาพ เขาเรียกว่า ‘กินคลีน’ รู้จักมั้ย”
“คลีนเคลินอะไร ต้องเผ็ด ๆ ดิ ชีวิตมันจะได้มีรสชาติ”
“กินเผ็ดขนาดนั้น เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก เมื่อเช้ามึงปวดหัวไม่ใช่เหรอ ปวดกระเพาะมันทรมานกว่านะเว้ย”
...รู้ด้วยเหรอว่าปวดหัว ทั้งที่เขาไม่ได้บอกใครเลยแท้ ๆ ทีเรื่องแบบนี้ทำเป็นรู้ดีนัก แต่พอใช้ให้ไปซื้อขนมมันดันเออเร่อขึ้นมาซะอย่างนั้น
เขาถอนหายใจ ก้มมองชามก๋วยเตี๋ยวรสเข้มของตัวเอง แล้วนึกขึ้นได้
“เออ แต่มีอย่างหนึ่งนะที่กูชอบรสแบบออริจินัล”
“อะไรวะ”
“ไม่บอก”
“เฮ้ยอย่ากวนดิ กูอยากรู้”
“ไม่บอกเว้ย! รีบ ๆ กินเดี๋ยวเส้นอืด”
ก้มหน้ากินก๋วยเตี๋ยวต้มยำเผ็ดซี้ดต่อ ปล่อยให้ไอ้หน้าจืดโวยวายไป โดยเขาแกล้งทำเป็นหูทวนลม
ก็จะให้เขาบอกได้ยังไงว่า...มึงไง
...เพราะกูชอบมึงแบบ ‘รสออริจินัล’
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
ไม่ได้เขียนเรื่องสั้นรักหลากรสนานเลยค่ะ เลยเอามาฝากพอกรุบกริบเบา ๆ หนึ่งเรื่อง
ถ้ามีคนชอบเราที่เป็นตัวเราจริง ๆ ในแบบ 'ออริจินัล' ก็คงจะดีนะคะ :-[
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
:pig4:
BitterSweet
-
น่ารักกกกกก :ling1:
-
เห็นคุณพลอยอัพเรื่องสั้นในซีรี่น์ชุดนี้ละรีบเข้ามาอ่านเลย แถมยังย้อนอ่านตั้งแต่เรื่องที่หนึ่งใหม่ด้วย อ่านไปหิวไป อยากกินไปซะทุกอย่างเลย อย่างเรื่องล่าสุด เลย์เราก็ชอบกินรสออริจินัลนะ เราว่ามันอร่อยสุดแล้วอะ
-
น่ารักดีค่ะ
-
น่าย๊าก :katai2-1: :hao5: ไม่ได้อ่านเรื่องสั้นหลากรสมานานแบ๊ว คิดถึงจังเลย เรื่องออริจินัลมานี้รีบตะกุยจอเลยค่ะ เขียนเรื่องลื่นๆไป... เรื่องแอบชอบกุ๊กกิ๊กกระตุกต่อมโชเน็นไอ อ๊าาา :katai4: น่ารักมาก แอบมีความคิดอยู่ทุกครั้งไปว่า เอ... เรื่องสั้นหลากรสหลายๆเรื่องเนี่ย น่าจะทำเป็นภาคต่อเรื่องยาวเน้อ หุหุหุหุหุ :katai5: แต่ถ้าได้เป็นเรื่องยาวนะ เราว่าเรื่องนี้เนี่ย พี่หน้าจืดแกอาจจะเป็นฝ่ายรู้ก่อนก็ได้ ว่าพี่แสบแกแอบชอบรสออริจินัลลลลล :katai3: นะฮร้าาา อยากกินเล็กน้ำใสบ้างอะไรบ้าง
-
ชอบอ่านทุกเรื่องในซีรีส์เรื่องสั้นนี้มากๆ เลยค่ะ บางเรื่องก็เศร้า บางเรื่องซึ้ง บางเรื่องซึม บางเรื่องหวาน บางเรื่องเซี้ยว เรียกว่าครบรสมากๆ
ขอบคุณมากๆ ค่ะ
-
แต่ถ้าไม่รีบบอกเจ้าตัวให้รู้ระวังจะมีคนที่ชอบรสชาติออริจินัลเหมือนกันมาคว้าเอาไปครองเสียก่อนนะคะ :-[
ขอบคุณค่ะ ^^
-
อันนี้น่ารักอ่ะ
ยิ้มเลยยยย
-
ถ้าไม่ชอบไม่ชวนแวะกินเตี๋ยวข้างทางหรอก ป่านนี้รีบซื้อรีบกลับไปซัดเหล้าต่อแล้ว มั้ง :laugh:
-
มาย้อนอ่านอีกรอบก็ยังสนุก
-
:hao3: รสออริจินัลจริงๆ
อ่านทีเดียวยาวๆๆเลยค่ะ
สนุกดี ครบรส
-
สนุกมาก มีครบทุกรสเลย
-
สนุกทุกเรื่องเลยค่ะ
ครบทุกรส
"ชอบเจาะไข่แดง" กับ "กุ้งกล้ามกาม" มากค่ะ
-
พลาดไปได้ยังไงเนี่ยยยยยย :serius2: :serius2: :serius2:
:mew1:
-
น่ารัก ......................... ขอบคุณครับ
-
:-[ :-[ :-[ :-[ :-[
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
:katai2-1: :katai2-1: o13 o13
-
ชอบทุกเรื่องเลย
-
ตอนรับขนมจีบ ใบหน้าพี่สิง น้องคริสลอยมาเลย
มโนเป็นก้องภพเป็นพนักงานช่างอ่อย
พี่อาทิตย์คนเกรี้ยวกราดช่างเอ๋อ
แหมะ เข้ากั๊นเข้ากัน
-
ชอบบบบบบ :mew1: :mew1:
-
รสไหนก็อร่อยกลมกล่อม