พิมพ์หน้านี้ - (จบแล้ว) สนพ.วุ่น Y หัวใจวุ่นรัก (Zen X Takafumi) สามตอนจบแล้วจ้า
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: minemomo ที่ 08-04-2016 19:24:26
*************************************************************************************** ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่ 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่ 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ 5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว 6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง 7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด 7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ 7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ 8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง). 9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ 10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป 11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป 12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด 13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ 14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ 15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ... (1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ (2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง ....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ - ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง) - ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ - ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ - ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส - ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail 16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข 17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ) ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้ 18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ admin thaiboyslove.com....................................... วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7 วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17 เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม ***************************************************************************************** สวัสดีค่ะ มีเรื่องสั้นๆ น่ารักๆมาฝาก เป็นเรื่องสั้นที่แปลจาก Sekai-ichi Hatsukoi ~ The Case of Yokozawa Takafumi ผู้แต่ง Fujisaki Miyako ซึ่งอ้างอิงมังงะของ Nakamura Shungiku และต้นฉบับภาษาอังกฤษที่ใช้มาจาก fencer_x of September Scanlations ค่ะ ปูพื้นย่อๆสำหรับใครที่ไม่เคยอ่านมังงะเรื่องนี้มาก่อน คิริชิมา เซ็น กับ โยโกซาวะ ทาคาฟูมิ เป็นหนึ่งในคู่รองของเรื่อง (เรื่องนี้มีหลายคู่มาก) ทั้งสองทำงานที่สนพ. มารุคาวะ เซ็นเป็นหัวหน้ากองบก.การ์ตูนผู้ชาย ส่วนทาคาฟูมิ อยู่ฝ่ายขาย แรกเริ่มทั้งคู่ก็เกี่ยวข้องกันแค่เรื่องงาน แต่มีจังหวะที่ทาคาฟูมิอกหักแล้วไปดื่มจนเมา ตื่นเช้ามาก็พบตัวเองอยู่ในโรงแรมกับเซ็น เรื่องควรมีแค่นั้น ต่างคนต่างแยกย้ายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ไม่รู้ทำไม คุณบก.กลับแอบถ่ายรูปบางอย่างเอาไว้แล้วบังคับให้คุณฝ่ายขายเอาตัวก้าวเข้ามาในชีวิตส่วนตัวของกันและกัน ความน่ารักกุ๊กกิ๊กของหนุ่มมึนและหนุ่มซึนจึงเริ่มต้นขึ้น... นอกจากเรื่องสั้นในกระทู้นี้ เรายังมีนิยายอีกเรื่องที่เปิดไว้ ฝากให้ติดตามกันด้วยนะคะ Oh...My Love กานต์...ที่รัก http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52590.0 :mc4:
The Case of Yokosawa Takafumi 1 : As Dream May Come ฝันนี้หัวใจจัดเต็ม อาหารมื้อเย็นวันนี้ก็ไม่พ้นฮิโยริกับผมช่วยกันโชว์ฝีมือ เพราะคุณคิริชิมายังหัวหมุนกับงานที่ต้องหอบกลับมาทำต่อที่บ้าน ดูอาการแม่ครัวตัวน้อยก็ร่ำๆจะงอนอยู่แล้วแต่พออาหารตั้งโต๊ะเรียบร้อย คุณพ่อแสนกลกลับเสกครีมพัฟฟ์ของโปรดมากำนัล แก้มป่องๆจึงเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มกว้างในทันที ก็ไม่รู้ล่ะนะว่าแอบแวบออกไปซื้อมาตอนไหน แต่รอยชื้นที่หลังเสื้อก็อธิบายได้ล่ะว่าคงรีบวิ่งไปวิ่งมาน่าดู “วันนี้มีการบ้านมั้ยครับคนเก่ง” “มีค่ะ มีเยอะด้วยแต่หนูนั่งรอปะป๊าก็ทำการบ้านไปด้วย ตอนที่พี่ชายมาถึงก็เลยทำเสร็จหมดพอดี” ปล่อยพ่อลูกเขาคุยกันไป ส่วนผมก็จัดการกับจานชามให้เรียบร้อย ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่หน้าที่หรอก แรกๆสองพ่อลูกค้านเสียงแข็ง บอกว่าคนเป็นแขกควรอยู่เฉยๆ แต่มันคงเป็นอีกเรื่องที่ค่อยๆลื่นไหลไปตามระดับความคุ้นชิน จากที่นั่งว่างๆก็เริ่มหยิบจับชามช้อน รวบตะเกียบส่งให้ จากเคยรอที่โต๊ะก็ลุกตามไปถึงอ่างล้างจาน จากแค่ยืนมองก็ค่อยๆเข้าไปมีส่วนร่วม จนสุดท้าย...ถึงจะเหลือผมคนเดียวที่ยังยืนมือไม้เปียกอยู่ตรงนี้ แต่พอเหลือบไปเห็นคนเป็นพ่อซึ่งงานยุ่งตลอดได้นั่งจิบกาแฟชวนคุยอยู่กับลูกสาวที่กำลังแลบปลายลิ้นละเลียดครีมนุ่มของขนมสุดโปรด มันก็คุ้มค่าเหนื่อยไม่ใช่เหรอครับ “อ้อ...เหรอครับ ปะป๊าขอโทษนะที่ไม่ได้ไปรับอีกแล้ว” “ไม่เป็นไรนี่คะ หนูมีพี่โยโกซาวะแล้ว ไม่ง้อปะป๊าแล้วด้วย” ผมแอบยิ้มกับถ้วยใบสุดท้ายที่เช็ดอยู่ นึกสมน้ำหน้าบก.คนเก่งมากพอๆกับสงสารเด็กหญิงที่ต้องนั่งรอพ่อมารับทุกเย็น ถึงยุคสมัยนี้เด็กสิบขวบจะไม่ถูกมองว่าเป็นเด็กเล็กๆ และตัวฮิโยริเองก็มีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย แต่ก็ใช่ว่าจะเหงาไม่เป็น ครั้งแรกที่ไปถึงโรงเรียนแล้วได้เห็นเธอนั่งก้มหน้าชันเข่าอยู่ตรงห้องพักครูผมถึงได้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องอย่างนั้นอีก “ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จแล้วทำอะไรกันดีล่ะ” ดูเหมือนพ่อลูกยังคุยกันไม่จบ แต่เพราะผมเดินไปถึงตรงนั้น ดวงตาเรียวคมจึงหันมามองกันพอดี “ผมขอตัวกลับเลยดีกว่า” “ไม่ได้!” / “ไม่เอา!” สองเสียงที่สวนมาลั่นห้องทำเอาผมชะงักไป เสียงแรกน่ะตัวพ่อที่ส่งมาพร้อมอาการขมวดคิ้วนิดๆ ส่วนอีกเสียงก็ของลูกสาวที่รีบลุกมากอดเอวผมแจ แล้วจะมาถามความเห็นผมเพื่อ...? “ให้ปะป๊าเปิดวีดีโอที่ถ่ายวันงานกีฬาแล้วพี่ชายอยู่ดูกับฮิโยะก่อนนะคะ น๊า” “นั่นสิ อยู่ด้วยกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ก็วันหยุดไม่ได้ต้องรีบตื่นไปทำงานซะหน่อย” จะด้วยเหตุผลไหนก็ตามก็เป็นอันตกลงว่าหลังอาหารเย็น เราทั้งสามคนเลยมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่น คุณคิริชิมาต่อกล้องวีดีโอเข้ากับแอลซีดีทีวีเครื่องใหญ่ พอภาพมาเท่านั้นแหละเสียงแจ๋วก็ร้องลั่น “เย้! นั่นๆ ดูสิคะ นั่นพี่ชายไงคะ” “อืมมม ดูอยู่ครับ” ผมเออออไปตามเรื่องแต่ก็อดมองตามอย่างเสียไม่ได้ ภาพแช่อยู่ที่บรรดาผู้เข้าแข่งขันวิ่งวิบากร่วมสิบคนที่กำลังเตรียมตัวก่อนออกสตาร์ท ดูอย่างนี้แล้วยิ่งเห็นชัดว่าตัวเองโดดเด้งอยู่คนเดียว ก็ผมน่ะอายุอ่อนกว่าคุณพ่อพวกนั้นเป็นรอบ แต่ก็นะ...มันไม่ได้น่าภูมิใจเลยสักนิด! “พี่ชายสู้ๆ พี่ชายสู้ตาย พี่ชายไว้ลายสู้ๆ” “พอเถอะครับ ยังไงการแข่งมันก็จบไปแล้วนะ” “ก็ฮิโยะอยากเชียร์นี่ ทำไมคะ หรือว่าพี่ชายเขินคะ?” “ปะ..เปล่าครับ” ผมรีบบอกตามที่รู้สึก ไม่ได้เขินจริงๆ มันก็แค่...ทนดูไม่ได้...นิดๆเท่านั้นเอง เหตุผลที่ทำให้ผมต้องไปอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ทางโรงเรียนของฮิโยริจัดงานกีฬาสีและมีการแข่งขันวิ่งวิบากเพื่อให้พวกผู้ปกครองตลอดจนคุณครูได้มีกิจกรรมร่วมกัน ก็แน่ล่ะที่คุณคิริชิมาคงไปไม่ได้เพราะตรงกับช่วงปิดต้นฉบับพอดี ผมนึกสงสารเลยรับปากว่าจะไปแทน มิหนำซ้ำยังหลวมตัวลงชื่อแข่งขันที่ว่านั่นด้วย ผมยังแอบซ้อมวิ่งทุกเช้าโดยไม่ให้สองพ่อลูกรู้ ก็แบบว่า...คนมันทำอะไรก็ต้องเต็มที่ ถึงจะแข่งขำๆแต่ถ้าแพ้ขึ้นมาก็คงไม่สนุก อันที่จริงวันนั้นคุณคิริชิมาก็ปลีกตัวมาทัน แต่ท่านบก.ใหญ่เล่นมาในสูทเต็มยศ ผมเลยได้แสดงฝีมือให้สมกับที่ซ้อมมาเป็นอาทิตย์ กลับมาที่ภาพในจออีกครั้ง พอสิ้นเสียงนกหวีด ผมก็วิ่งฉิวแซงนำพวกพ่อๆตัวจริงไปได้หมด ผ่านด่านที่เตรียมไว้ซึ่งล้วนแต่ของกล้วยๆอย่างกินขนม กระโดดงับของ เป่าแป้งหาเหรียญ จนมาถึงด่านสุดท้าย มีการ์ดหลายใบคว่ำหน้าเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ผมวิ่งมาถึงก็คว้าใบใกล้มือที่สุดโดยไม่คิดอะไรมาก พอพลิกดูแวบเดียวหน้าของผมก็หันไปทิศทางหนึ่งโดยอัตโนมัติ “อ๊ายยย!! พี่ชายเท่ห์ที่สุด!!” เสียงวี้ดลั่นข้างหูดึงสติผมกลับมาจากเหตุการณ์ในวันนั้น ส่วนในจอทีวีตอนนี้ตัวผมกำลังวิ่งไปในทางที่ตรงกันข้าม ฝ่ากลุ่มเด็กป.ห้าที่นั่งออกันอยู่ข้างสนามแล้วคว้าตัวหนูน้อยที่หมายตาไว้พาไปให้กรรมการเช็คว่าทำถูกต้องตามคำสั่งในการ์ด แล้วก็วิ่งฉิวตรงเข้าเส้นชัยแบบไม่เห็นฝุ่น ภาพสุดท้ายที่กล้องแช่ไว้นานที่สุดคือตัวผมและสาวน้อยฮิโยริที่ยิ้มกว้างอยู่ในอ้อมแขนพลางโบกไม้โบกมือรับการแสดงความยินดีจากผู้ชมรอบสนาม “พี่ชายเก่งที่สุดเลย! แต่รู้มั้ยคะตอนที่วิ่งมาอุ้มน่ะหนูตกใจแทบแย่แน่ะ” “ก็...พี่ต้องทำตามที่การ์ดบอก ตกใจมากหรือครับ” “ไม่หรอกค่ะ แต่จะบอกให้นะ พวกเพื่อนๆอิจฉากันใหญ่ บอกว่าตอนนั้นหนูเหมือนเจ้าหญิงเลย!” ผมลอบถอนใจเบาๆที่ได้ยินแบบนั้น และยิ่งโล่งอกที่ภาพบนจอจบลงเสียที แต่ที่ทำเอาผมยิ้มไม่ออกคือคำถามจากคนที่นั่งอมยิ้มเงียบๆมาตลอด “เออนี่! ขอถามหน่อยสิ การ์ดนั่นบอกให้ทำอะไรเหรอ?” “...ความลับครับ” “อะไรกัน?! บอกหน่อยก็ไม่ได้ ว่าไงครับลูก ในการ์ดเขียนว่าอะไร?” “อุ๊บอิ๊บค่ะปะป๊า เป็นความลับเล็กๆของหนูกับพี่ชาย แล้วพรุ่งนี้เราสองคนก็มีนัดกัน งั้นหนูไปนอนก่อนดีกว่า ราตรีสวัสดิ์นะคะ” “เฮ้ย! ได้ไง! เดี๋ยวนี้สองคนนี่กล้ามีความลับงั้นเหรอ ไม่ยอมอ่ะ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” “คุณก็ได้ยินที่ฮิโยะพูดแล้วนี่ครับ ความลับก็คือความลับ บอกไม่ได้” ผมพยายามปั้นน้ำเสียงเย็นชาสุดฤทธิ์ทั้งๆที่ความจริงข้างในทั้งสั่น ทั้งเหงื่อแตกพลั่กๆ หวังว่าคุณคิริชิมาจะไม่ดื้อด้านซักไซ้อะไรต่อหรอกนะ คือว่า...ความจริงสิ่งที่เขียนอยู่บนการ์ดนั่นก็ไม่ได้สำคัญหรือมีความหมายอะไรจนบอกไม่ได้หรอกครับ ก็แค่สั้นๆสามคำ... ‘คนสำคัญที่สุด’ วูบแรกไม่ทันคิดหรอกว่ามันก็ต้องหมายถึงลูกๆซึ่งเป็นคนสำคัญที่สุดของพวกพ่อแม่อยู่แล้ว แต่ก็เพราะไม่ทันคิดนี่แหละที่ทำให้ผมหันไปหาคุณคิริชิมาที่กำลังทำหน้าที่ตากล้องอยู่ตรงฝั่งผู้ปกครอง แล้วคิดดูเถอะครับ ผู้ชายตัวสูงกว่าร้อยเก้าสิบเซนติเมตรในชุดสูทเต็มยศมันจะไม่โดดเด่นจนลอยมากระแทกตาผมได้ยังไง “ทีแรกที่เห็นการ์ด เธอหันมามองฉันนี่ ใช่มั้ย?” “มะ..ไม่ใช่ ผมมองหาหนูฮิโยะต่างหาก” “หืม ตรงฝั่งที่นั่งผู้ปกครองเนี่ยนะ” “ผมก็แค่มองไปผิดทาง จบมั้ยครับ” ผมพูดใส่หน้าเขาไปตรงๆและหวังให้ทุกอย่างมันจบแค่นี้จริงๆ ถึงตายก็ไม่มีวันให้รู้เด็ดขาดว่าตัวเขาคือคนที่ผมรู้สึกว่าสำคัญที่สุด “หรือว่าเธอเองที่ไม่อยากให้ฉันรู้ว่าการ์ดนั่นมันเขียนว่าอะไร” อ๊าว! บอกให้จบยังมีต่อ เคยมีคนทักว่าดื้อด้านมั่งมั้ยเนี่ย! “ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ผมบอกให้ก็ได้ว่ามันไม่ได้เขียนอะไรไว้ทั้งนั้น คุณไม่ต้องมานั่งเด่าสุ่มกับเรื่องไม่มีสาระพรรค์นี้หรอกน่ะ” ผมบอกเสียงแข็งก่อนจะหันไปหาหนูน้อยที่นั่งมองตาแป๋ว “ส่วนหนูฮิโยะ ถึงพรุ่งนี้โรงเรียนหยุดก็ไม่ควรนอนดึก ไปแปรงฟันแล้วเตรียมตัวนอนได้แล้วครับ” “แปรงแล้วค่ะ ไปเร็วโซระจัง เข้านอนกันดีกว่าเมี้ยว เมี้ยว” พอได้ยินเสียงเรียกเจ้าโซราตะก็ยืดคอขึ้นจากอาการขดนอนตัวกลมแล้วกระโดดลงจากโซฟาเดินตามฮิโยริไปต้อยๆ เป็นภาพที่น่าเอ็นดูเหมือนว่าทั้งคนกับแมวต่างรู้จักสนิทสนมกันมานานจนคุยกันรู้เรื่อง “เอาล่ะ ทีนี้จะบอกฉันได้หรือยัง ยิ่งเห็นเธอทำตัวแบบนี้มันก็ยิ่งน่าสงสัยนะรู้มั้ย” ผมคงไม่ได้เผลอสะดุ้งด้วยความตกใจอะไรมากมายใช่มั้ย ผมก็แค่มองตามฮิโยริกับโซราตะเข้าห้องนอนไป จะไปมีพิรุธให้เขาเห็นตอนไหนได้ “นี่คุณยังไม่เลิกบ้ากะไอ้การ์ดงี่เง่านั่นอีก! มัน..มันก็แค่งานกีฬาสี! แค่มุขเด็กๆ โรงเรียนประถม..” “แต่สัญชาติญาณของฉันมันไม่ได้บอกแบบนั้น” “สัญชาติญาณอะไรของคุณ บ้าบอชะมัด! ผมไม่คุยด้วยแล้ว” ผมบอกปัดและจะเอื้อมมือไปหากระป๋องเบียร์บนโต๊ะกลางตรงหน้า พริบตาเดียวคนดื้อด้านก็ย้ายตัวเองมาประชิดแล้วบิดข้อมือผมไปไขว้หลัง มันเจ็บนะโว้ย! “คิดจะชิ่งหนีกันดื้อๆหรือไง” “ใครหนี?! ผมก็แค่จะหยิบเบียร์!” “ไม่เชื่อ สารภาพมาซะดีๆ!” “ไม่!” “ถ้าอย่างนั้น...ฉันก็คงต้องหาความจริงเอาจากปากของเธอเองสินะ” “คิดจะขู่...” ผมว่าหมอนี่คงไม่ใช่พวกคิดก่อนทำ เพราะขนาดผมยังคิดไม่ทันเขาก็เข้ามาง้างปากผมด้วยปากของเขาแล้ว จะลงมือทำอะไรก็ให้ผมตั้งตัวบ้างได้มั้ย?! หรือไม่ก็เตือนก่อนว่าจะควานหาความจริงกันจริงจังขนาดนี้ มันหายใจไม่ทันนะเว้ย! “หยะ..หยุด!” ก็ยังดีที่พอถูกผลักก็ยอมถอย ช่วยเขยิบไปไกลๆด้วยก็จะดีมาก “ทำบ้าอะไรของคุณ?!” “ที่ไม่ยอมสารภาพมาดีๆเพราะอยากให้ฉันทำแบบนี้ไม่ใช่หรือไง” “นะ..นี่คุณใช้อะไรคิด!!” “แล้ว...ไม่ชอบ?” “มันไม่ใช่เรื่องว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่ที่นี่...ข้างนอกนี่...มัน..ไม่เป็นส่วนตัวเข้าใจมั้ย?” ผมคิดแบบนี้จริงๆ ไอ้เรื่องความชอบน่ะถึงตอนนี้คงไม่ต้องถามกันแล้ว แต่ตรงนี้มันเป็นห้องนั่งเล่น เป็นที่ที่แม้แต่ฮิโยริก็มีส่วนร่วม มันมีบรรยากาศของครอบครัว ไม่ใช่แค่ของคนสองคน ผมไม่อยากให้สิ่งที่เราทำกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆที่นึกจะทำที่ไหนก็ทำได้ เขาอาจจะไม่คิดถึงแต่ผมแคร์ แคร์มากๆด้วย! “น่า ไม่เป็นไรหรอก ฮิโยริหลับง่ายจะตาย ป่านนี้คงหลับปุ๋ยไปแล้ว” ยังจะเลื้อยมาอีกแน่ะ นี่ถ้าสับไอ้แขนยาวๆ มือยุบยับๆนี่ทิ้งแล้วไม่ต้องมานั่งเช็ดล้างโซฟาทีหลังผมจะลุกไปหยิบมีดมาเดี๋ยวนี้เลย “ไม่เป็นไรไม่ได้ มันไม่ใช่แค่ว่าผมยอมคุณคืนนี้เพราะไม่เป็นไร แล้วถ้าเกิดต่อๆไปมันเป็นเรื่องขึ้นมาแล้วคุณจะทำยังไงครับ” “ทำไมพูดเรื่องนี้ทีไรถึงได้หัวแข็งนักหาทาคาฟูมิ” ตาเยิ้มๆนั่นดูจะนิ่งขึ้น สงสัยว่าเขาคงเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามบอก “เฮ่อ! ก็เอาเถอะ เพราะยังงี้ฉันถึงได้รักเธอนี่นะ” หรือเปล่า??... เอ่อ นี่ตกลงจะเกี้ยวกันดื้อๆอย่างนี้เลยใช่มั้ย หนังหน้าเจ้าบ้านี่หนากี่ชั้นกันแน่?? คงเพราะผมนิ่งค้างนานไปนิดริมฝีปากที่ผละไปเมื่อครู่เลยฉวยโอกาสโฉบลงมาอีก เขาไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากตัวผมก็หมดแรงและปล่อยให้ลิ้นอุ่นบุกเข้ามาค้นหาราวกับในปากผมมีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่ ส่วนสองมือที่น่าตัดทิ้งนั่นก็เริ่มหน้าที่ซอกซอนในส่วนอื่น โชคยังดีที่มันทำได้แค่ดึงชายเสื้อเชิ้ตของผมให้หลุดจากขอบกางเกงพอดีกับที่... “ปะป๊าขา!” แค่ได้ยินเสียงนั่นผมก็สะดุ้งเหมือนถูกไฟช้อต ชาวูบไปทั้งเนื้อตัว โชคดีอีกอย่างที่ผมกับคุณคิริชิมาไหลลงมาเคลิ้มกันอยู่บนพื้นเลยได้อาศัยโซฟาตัวใหญ่ปกปิดภาพที่ควรเซนเซอร์จากสายตาเด็กสิบขวบไปได้ แต่คงมีผมคนเดียวที่หัวใจเต้นโครมครามจนแทบหลุดออกมาดิ้นตุบๆอยู่บนพื้น เพราะคนถูกเรียกยังขานตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่มีความตื่นตระหนกแม้แต่นิดเดียว “คร้าบผม มีอะไรกับปะป๊าครับลูก” “เอ่อ...คือ...ปะป๊าเอารูปของยูกิที่อยู่ในกล้องของเราออกมาให้หน่อยได้มั้ยคะ” ร่างน้อยค่อยๆเดินมาหาและเอ่ยปากกับผู้เป็นพ่อที่ขยับลุกขึ้นมานั่งที่โซฟาให้เรียบร้อย “ได้สิครับ ให้เพื่อนมาบ้านเราพรุ่งนี้ดีมั้ยจะได้มาเลือกว่าอยากได้รูปไหน แล้วเดี๋ยวปะป๊าจะสอนวิธีใช้โปรแกรมของกล้องตัวนี้ให้ด้วย” “เย้! ขอบคุณค่ะปะป๊า งั้นหนูไปเมลล์บอกยูกิก่อนนะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะปะป๊า ฝันดีนะคะพี่ชาย” พอหมดเรื่องกังวลหนูน้อยก็ยิ้มกว้างและแทบจะกระโดดกลับเข้าห้องนอนไป ส่วนผมก็ปล่อยลมหายใจที่เผลอกลั้นไว้ออกมาเฮือกใหญ่ อาการเกร็งไปทั้งตัวค่อยๆคลายลง เฮ่อ...แค่ห้านาทีเมื่อตะกี้เล่นเอาอายุผมสั้นไปเป็นสิบปีทีเดียว “วู้! เกือบไปแล้ว” ถ้าไม่หันไปตามเสียงคงไม่ได้รู้หรอกว่าสีหน้าน่ะไม่ได้ไปกับคำที่พูดออกมาสักนิด “ผมถึงได้เตือนคุณแล้วว่าอย่ามาทำอะไรประเจิดประเจ้อแถวนี้ ทีนี้จะเข้าใจได้หรือยังครับ!” ผมกระซิบบอกเสียงเข้มเพราะกลัวหนูน้อยจะออกมาได้ยิน มันเลยฟังดูไม่น่ากลัวใช่มั้ย คนบนโซฟาถึงยังได้โน้มตัวลงมายิ้มยั่วกันอย่างนี้ “นี่ยังไม่ยอมจบอีกหรือไงหืม” “ว่าใครไม่จบ?” นั่นสิ! ทั้งหมดที่พูดไปผมกำลังด่าใครกันแน่ เขาที่ดื้อไม่ยอมฟัง หรือว่า ตัวเองที่ปากบอกว่าไม่แต่กลับ...เรียกร้องจูบนั้นไม่รู้จักพอ “แล้วตกลงจะ...ต่อมั้ย?” “ฝันไปเหอะ!” คราวนี้ผมตะคอกเลย แล้วก็รีบสะบัดแขนหนักๆที่วางลงมาบนไหล่ แต่ก็ยังไม่พ้นเพราะสองแขนนั่นก็เหมือนตัวคนเจ้าเล่ห์ที่ตวัดรัดและดึงไปหา ตัวผมก็ไม่ได้เล็กๆแต่ผู้ชายคนนี้ออกแรงครั้งเดียวก็ฉุดผมขึ้นไปบนโซฟาได้พอดี พอจะดิ้นก็โถมทับลงมาจนหนักไปหมด รอยแสยะยิ้มนั่นยิ่งร้าย แย่งลมหายใจไปเล่นเอาผมแทบหน้ามืด พอปล่อยให้ได้สูดอากาศบ้างก็ไซ้ซอนสูบแรงจนผมตัวอ่อนไปหมด เอ่อ..ความจริงก็ไม่ได้อ่อนไปทั้งหมดหรอกครับ มันยังมีบางส่วนของทั้งเขาและผมที่แข็งขึ้นแข่งกันอย่างไม่อาย ลงท้ายเลยต้องปล่อยเลยตามเลย... “มะ..ไม่..” เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายเชียวนะนั่นที่ทำให้ผมหลุดคำนี้ออกไปได้ โฮ้ย! แทบขาดใจ “หืม” “ไม่เอาตรงนี้ เดี๋ยวฮิโยะ...” ยังจะมีหน้ามายิ้มอีก! ที่บ่นไปตั้งเยอะนั่นน่ะหัดจดจำให้ขึ้นใจบ้าง หรืออย่างน้อยก็ช่วยออกแรงอุ้มไปที่เตียงก่อนจะได้มั้ยโว้ยยยย!!! คงไม่ต้องบอกใช่มั้ยครับว่าตกลงผมได้กลับมานอนที่อพาร์ทเมนท์ตัวเองหรือเปล่า แต่พอดีว่าวันรุ่งขึ้นมีนัดพาฮิโยริกับเพื่อนไปชมงานนิทรรศการก็เลยนับเป็นเรื่องดี แต่ถ้าบอกว่าหลังจากคืนนั้น อะไรๆที่ควรจะดีมันกลับแปลกไป แถมยังเปลี่ยนไปในทางลบขึ้นเรื่อยๆ เป็นคุณจะรู้สึกข้องใจเหมือนผมมั้ยล่ะ...?? “เอาล่ะครับ ตกลงว่ายอดพิมพ์ของรอบหน้าก็ได้ข้อสรุปตามนี้ ขอบคุณทุกคนมาก พบกันใหม่ในการประชุมครั้งต่อไป เชิญครับ” ผมสรุปผลการลงมติอย่างคร่าวๆและกล่าวปิดการประชุมซึ่งนับว่าครั้งนี้ราบรื่นและมีปัญหาน้อยกว่าปกติ ทั้งยังเสร็จสิ้นก่อนเวลาที่กำหนดไว้เกือบสิบห้านาที ทุกคนคงนึกแปลกใจ ดูอย่างเจ้าทาคาโนะนั่นก็ได้ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าทุกครั้งที่มีการเสนอตัวเลขยอดพิมพ์ มันเป็นต้องหันมาทางผมและส่งสายตาประมาณว่า ‘เฮ้ย! แน่ใจเหรอ? ไม่คิดว่าเยอะไปเหรอวะ’ หรือไม่ก็ ‘วันนี้นายกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า ปวดฟันหรือไงถึงได้ไม่อ้าปากค้านเลยสักแอะ’ แต่ผมก็ไม่ได้ส่งสายตาตอบอะไรกลับไป และแน่นอนว่าไม่ได้เอ่ยปากค้านใครเลยสักคนซึ่งมันผิดวิสัยของผมเอามากๆ หางตาผมเหลือบเห็นทุกคนมองหน้ากันก่อนจะทยอยเดินออกจากห้องประชุมไป ส่วนสายตาผมอยู่ที่ไหนน่ะเหรอ ก็คนที่นั่งอยู่มุมโต๊ะตรงข้ามกันนั่นยังไงล่ะ แล้วดูเถอะครับ คนที่เคยเอาแต่จ้องจนผมต้องเบือนหน้าหนี คนที่ชอบส่งยิ้มมากวนอารมณ์เวลาที่ผมเถียงกับบก.คนอื่นหน้าดำหน้าแดง คนที่เคยอ้าปากผงาบๆบอกคำบางคำที่ทำเอาผมร้อนวูบวาบไปจนจบการประชุม เขากำลังหลบสายตาผม แสร้งยกมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วลุกออกจากเก้าอี้ไปไม่พูดไม่จา คนบ้าคนนั้นนั่นแหละครับ!! ไม่ใช่แค่เท่านี้ ผมเองก็เพิ่งสังเกตและเอะใจว่าคุณคิริชิมาคอยหลบหน้าหลบตาและเลี่ยงที่จะอยู่ตามลำพังกับผมมาได้หลายวันแล้ว ผมโทรหาก็ไม่ยอมรับสาย ผมไปรับฮิโยริแล้วอยู่ทานมื้อเย็นที่บ้านก็อ้างว่ามีงานแล้วเอ่ยปากไล่ผมกลับด้วยซ้ำ ขนาดเมื่อกี้ในที่ประชุมผมจี้ถามก็ยังโยนให้ลูกน้องเป็นคนตอบ ถ้ายังบอกว่าไม่รู้สึกอะไร ไม่หงุดหงิดหรือโกรธจนแทบจะฆ่าคนได้ก็ไม่ใช่โยโกซาวะ ทาคาฟูมิคนนี้แล้วล่ะครับ “ให้ตาย! เป็นบ้าอะไรของเขาวะ...” “ว่าอะไรนะครับ” “เปล่า! แค่บ่นกับตัวเองนิดหน่อยน่ะ” เกือบไปแล้ว! ลืมไปเลยว่าเจ้าเฮนมิยังนั่งเก็บเอกสารอยู่ข้างๆ เจ้านี่พ้นสภาพเด็กฝึกงานในแผนกของผมมาได้สามเดือนแล้ว ทำงานใช้ได้ ขยัน เสียแต่ว่าซื่อจนบางครั้งก็ออกจะบื้อไปสักนิด “นายจัดการที่เหลือคนเดียวได้ใช่มั้ย” “สบมยห ว่าแต่คุณโยโกซาวะจะไปไหนเหรอครับ” “พอดีมีเรื่องต้องไปเคลียร์นิดหน่อย เก็บเอกสารพวกนี้เสร็จก็กลับไปที่แผนกได้เลยนะ ไม่ต้องรอฉัน” ผมบอกจบก็รีบตามตัวเป้าหมายออกไปติดๆเพราะตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องเคลียร์ ผมรู้นะว่าเขายังแอบมองผมอยู่บ่อยๆ โอกาสที่จะเข้ามาคุยกันก็มีจนไม่รู้จะมียังไงแล้วก็ยังทำเล่นตัว นึกว่าเขาจะรอจนประชุมเสร็จก่อนแต่นี่กลับชิ่งหนีไปดื้อๆเสียอีก “เอ้ย!” ได้ตัวแล้ว ยืนรอลิฟท์อยู่นั่นเอง คงจะรู้ว่าหนีไม่พ้นก็เลยยอมหันมา แต่สีหน้านั่นน่ะเฉยชาได้อีกนะเจ้าบ้า! “หือ มีอะไร” “เราต้องคุยกัน” ....ต่อด้านล่างนะคะ
“เหรอ..เอ่อ..ไว้ก่อนได้มั้ย พอดีมีงานค้างอยู่” มันยิ่งแปลกจนผมรับไม่ได้แล้วนะ เขาไม่ยิ้ม เขาเย็นชา แต่น้ำเสียงกลับสั่นๆฟังเหมือนคนกำลังประหม่า นี่เขาใช่คิริชิมา เซ็นที่ผมรู้จักหรือเปล่าเนี่ย “ประชุมเลิกก่อนเวลาตั้งสิบนาที ยังไงคุณก็มีเวลาว่างแน่ๆอยู่แล้ว” ไม่รู้ล่ะ ต้องคุยกันวันนี้และตอนนี้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นไอ้ความโกรธที่เร่าๆอยู่ในอกผมนี่ได้ระเบิดออกมาพังสนพ.นี้ราบเป็นหน้ากลองแน่ “ก็...นึกขึ้นได้ว่ามีงานด่วน...” “ไม่ต้องมาอ้าง ตามมานี่เดี๋ยวนี้เลย” คนแถวนั้นคงนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมไม่พร้อมจะอธิบายเลยได้แต่ปล่อยให้พวกเขาเห็นผมผลักคุณคิริชิมาเข้าไปในห้องว่างที่ใกล้ที่สุด เสร็จแล้วผมก็ปิดประตูปัง ยืนขวางไว้อย่างนั้น ดูซิว่าคราวนี้เขาจะหนีไปไหนได้อีก “อยู่ๆก็เป็นบ้าอะไรไปอีกล่ะ?” “นั่นมันคำพูดผมตะหาก เช้านี้คุณหลบหน้าผม ทำไม? ผมไปทำอะไรให้หรือไง?” ที่ถามไปอย่างนั้นเพราะรู้ตัวดีครับว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ บางครั้งก็พูดตรง ขวางไปทั่วจนอาจทำร้ายจิตใจคนอื่นเข้าโดยไม่ตั้งใจ ผมก็เลยกลัวว่าอาจจะเผลอไปพูดหรือทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า “ฉัน..เอ่อ..ไม่นี่...ไม่มี ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” พอถูกจ้องมากๆเข้าเขาก็ชักสีหน้าประหลาดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และยังเลี่ยงไม่ยอมสบตา แต่ผมรู้หรอกนะว่าเวลารู้สึกเหมือนถูกต้อนให้จนมุม เขามักจะกลอกตามองฟ้ามองเพดานไปเรื่อยๆ และอาการนั้นก็ฟ้องว่าเขากำลังมีเรื่องปิดบังผมอยู่ “แล้วงั้นมันอย่างไหนล่ะครับ?” วินาทีนี้ต้องยิ่งกดดันครับ เอาให้เขารู้สึกเหมือนหนูที่ถูกบีบจนลูกตาปลิ้น ถ้าไม่คายออกมาดีๆก็จบชีวิตลงตรงนี้ไปเลยแล้วกัน “มันก็แค่..ไม่มีอะไร เธอไม่ต้องคิดมากหรอกโอเคมั้ย คือที่จริงมันก็เป็นปัญหาของฉันเอง...” “แล้วปัญหาบ้าบออะไรที่ทำให้คุณต้องหลบหน้าผมอย่างนี้ด้วย” “คะ..คือฉันก็..บอกไม่ถูก คือ...ยังอธิบายไม่ได้จริงๆ...” คำขอโทษกับเหตุผลที่จนแล้วจนรอดก็บอกไม่ได้ทำให้ผมเริ่มรำคาญจนมากกลายเป็นอาการของขึ้น ผมไม่ชอบให้ใครมาพร่ำพูดไร้สาระแบบนี้ ถ้าเขาหรือผมทำอะไรผิดก็ควรจะสารภาพออกมาตรงๆมันจะไม่รู้เรื่องมากกว่าหรือไง “นี่คุณกลายเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?!” “เฮ้! อย่าว่าฉันพูดไม่รู้เรื่องสิ ฉันก็แค่...พยายามจะทำให้มัน...โธ่เว้ย! จะพูดยังไงดีวะ คือที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรเลย แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ คือฉันก็แค่...แค่บังเอิญไปเห็นเข้าก็เท่านั้นเอง” เป็นคุณจะทนได้มั้ยครับ แต่ผมทนไม่ได้ และจะไม่ทนต่อไปแล้วด้วย! “ก็แล้วคุณมีอะไรก็พูดออกมาเลยสิโว้ย! จะอมพะนำหาพระแสงอะไรวะ!!” ผมตะโกนลั่นห้องเลยครับ ใครอยู่หน้าประตูไม่ต้องแอบฟังก็คงได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้งกันล่ะงานนี้ แต่ทายสิครับว่าคนตรงหน้าผมจะมีปฏิกิริยาแบบไหน พอสิ้นเสียงผมเขาดันประกบสองมือเข้าด้วยกันยื่นมาตรงหน้าแล้วก้มหัวให้ผม นิ่งอยู่ท่านั้นและเท่านั้น ไม่พูดอะไรต่ออีกเลย “...ผมก็ยังไม่เข้าใจ คุณจะมาขอโทษผมทำไม” “...ก็เรื่อง...ไอ้การ์ดบ้าๆนั่น ที่...วันกีฬาสี...นั่นไง” กว่าจะหลุดออกมาได้แต่ลำคำเล่นเอาลุ้นกันจนเหนื่อย “การ์ด...?” “จำได้มั้ย ที่เธอลงแข่งแทนฉันวันนั้น” “ลงแข่ง? แข่งอะ...อ๊ะ!” ผมรู้สึกมีแสงสว่างวาบเข้ามาในตาและเข้าใจทันทีเลยว่าคำขอโทษทั้งหมดนี่หมายถึงเรื่องอะไร คุณคิริชิมาต้องเห็นการ์ดใบนั้นแน่ๆแล้วแต่ยังไงล่ะ... “วะ..วันก่อนฉันเอาเสื้อผ้าของฮิโยะเข้าไปเก็บในห้อง แล้วกะ..การ์ดใบนั้นมันก็ปลิวหล่นลงมาจากชั้นหนังสือ พะ..พอหยิบขึ้นมาดูฉันถึงได้รู้ว่ามะ..มันคืออะไร...” น้ำเสียงที่เคยเข้มดุจนใครๆกลัวหงอค่อยๆอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยอาการตะกุกตะกักเหมือนอาชญากรที่กำลังสารภาพความผิดอุกฉกรรจ์ “ตะ..ตอนแรกฉันก็นึกว่ามันคงเขียนว่า เอ่อ...ครอบครัว ระ...หรืออะไรประมาณนั้น ฉะ..ฉันไม่คิดว่ามะ...มันจะเป็น...” “..............” พอเขาพูดออกมาหมดผมกลับไปต่อไม่ถูก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันฟ้องว่าเขารู้...เขารู้ว่าผมมองเขาเป็นคนสำคัญที่สุด...คราวนี้เลยกลายเป็นผมเองที่อายจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ผมยืนให้ความเงียบของห้องผลักดันความอายกลับเข้าไปในตัวสักพักก็รู้สึกว่าควรเป็นฝ่ายเริ่มทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยก็ไม่ควรปล่อยให้เขาเอาเรื่องนี้มาล้อผมได้ แต่พอเงยขึ้นไปมองกลับเจอคุณคิริชิมาในสภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาหน้าแดงเถือกเลยครับ แดงมากจนลามไปทั่วถึงหูและลำคอ แถมยังเอาแต่เสยผมที่ยุ่งอยู่แล้วให้ยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปอีก “ละ..แล้วคุณจะหน้าแดงทำไมไม่ทราบ?” ก็จริงมั้ยล่ะ มันควรเป็นผมที่อายกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่หรือไง “ปละ..เปล่า ไม่ได้...ไม่..คือ..ตอนนี้ฉันก็แค่ไม่กล้าแม้แต่จะ...จะมองหน้าเธอเท่านั้น” “อะไรนะ?!” “ก็..ก็มันช่วยไม่ได้นี่ ฉันไม่คิด...ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอจะรู้สึกกับฉัน..แบบนั้น..” “นะ..นี่คุณ...” ผมเองก็พูดไม่ออก พอเห็นเขาเป็นแบบนี้อุณหภูมิในตัวโดยเฉพาะบนหน้าของผมก็เพิ่มสูงขึ้นจนเหมือนจะเป็นไข้ เรื่องน่าอายของผมกลับทำให้เขามองหน้าผมไม่ได้แล้วจะให้ผมทำยังไง ถ้าเป็นภาวะปกติคงได้ตอกหน้าไปว่าพูดอะไรแบบนี้ไม่สมเป็นคิริชิมา เซ็นเลยนะ แต่สงสัยว่าอาการของเขาคงเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ผมถึงได้ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เราสองคนเอาแต่ยืนก้มหน้ามองเท้าตัวเองอยู่เงียบๆ เงียบจนได้ยินเสียงตึกตักที่กลางอก เพิ่งรู้นะว่าหัวใจของเราทั้งคู่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันเลย “อ้า! คุณโยโกซาวะอยู่ที่นี่จริงๆด้วย” ผมเคยบอกไปแล้วจำได้มั้ยครับว่าเจ้าหมอนี่มันซื่อ ทะเล่อทะล่าเข้ามาว่าแย่แล้ว ยังจะมองบรรยากาศที่เกิดขึ้นในห้องนี้ไม่ออกอีก ควรจะต่อสร้อยว่า ‘บื้อ’ ให้เจ้านี่เป็นการถาวรเสียเลย “ผมหาคุณซะทั่วเลย มีเรื่องอยากจะถามน่ะครับ เรื่อง...เอ่อ...แล้วนี่คุณสองคนมาทำอะไรในห้องนี้ล่ะครับ เห! หน้าแดงกันทั้งคู่ด้วย เอ๊ะ! หรือว่าแอร์ห้องนี้จะเสีย แต่ผมว่ามันก็เย็นดีนี่ครับ หรือว่า....” “เฮนมิ!” พูดมากชะมัด! มันกลัวจะมีใครแย่งพูดหรือไงวะ “ไปกันได้แล้ว” “เดี๋ยว!!” มือผมน่ะถึงประตูแล้ว แต่สองเสียงนั่นก็เรียกผมไว้ ฟังไม่ผิดหรอกครับ สองเสียงแต่คำเดียวกันเป๊ะ “ผมเป็นคนมาตามคุณโยโกซาะนี่น่ะ แล้วไหงคุณจะมานำผมไปล่ะครับ” เจ้าคนพูดมากขยายความออกมาก่อนแต่ทั้งผมและมันกลับต้องหันไปหาอีกคนที่สีหน้าเริ่มกลับเป็นปกติบ้างแล้ว “เรานี่ชื่อ...เฮนมิใช่มั้ย กลับไปก่อนนะ ฉันกับคุณโยโกซาวะยังคุยกันไม่เสร็จ” “แต่...ผม...” เทียบกับผมและคุณคิริชิมาแล้ว เฮนมินี่ดูตัวเล็กเป็นเด็กไปเลย และตอนนี้มันก็เอาแต่แหงนคอมองไปมองมาตาแป๋วเชียว “มีเรื่องอะไรจะถามก็รอก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะรีบตามไป” ผมก้าวกลับเข้ามาและออกปากเพื่อให้คนนอกออกจากห้องไปโดยดี คงไม่ผิดที่จะขอเกงานสักเดี๋ยวเพราะถึงผมจะเห็นงานมาก่อนเสมอแต่ก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันไม่ใช่เหรอครับ ประตูห้องปิดลงพร้อมกับความเงียบที่โรยตัวให้ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง คนที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยยอมเงยหน้ามองผมแล้วแต่ยังยืนเฉย จะทำให้บรรยากาศมันมาคุไปไหนเนี่ย! “มีอะไรก็ว่ามาสิ ไม่งั้นผมจะได้กลับไปทำงาน” “โกรธหรือเปล่า” “จะให้โกรธเรื่องอะไรล่ะครับ” ผมว่าอะไรๆมันเริ่มเข้ารูปเข้ารอยแล้วล่ะ อาการหน้าแดงเถือก สีหน้าเหมือนคนตกประหม่าของเขาหายไปแล้ว สายตาคมกริบที่มักจะข่มให้รู้สึกตัวลีบเล็กก็ค่อยๆคืนมาจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาเสียเอง นี่ผมควรจะดีใจมั้ยเนี่ย?! “แล้วเย็นนี้...” ถึงไม่เห็นผมก็รู้สึกได้ว่ามีเงาใหญ่โตเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา “...เย็นนี้ทำไมครับ” “ไปทานข้าวที่บ้านกันนะ เมื่อเช้ายัยหนูก็ถามถึง” เสียงนั้นยิ่งบอกชัดว่าเจ้าของเงาอยู่ใกล้จนสามารถโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหู เอ่อ...มันจะใกล้ไปมั้ย? ในเมื่ออยู่ใกล้กันขนาดนี้เขาคงได้ยินคำตอบจากใจผมไปแล้ว ผมเลยขอเงียบดีกว่า อยากรู้นักว่าคนที่เพิ่งบอกว่าอายจนไม่กล้ามองหน้าผมจะกล้าทำอะไรอย่างอื่นอีก “ขอบคุณนะ...” ผมไม่คิดว่าจะได้ยินคำๆนี้เลยเผลอเอี้ยวไปมอง จมูกผมปัดไปโดนแก้มสากเข้าพอดี ก็เล่นชะโงกหน้าจนแทบจะเกยคางวางบนไหล่ถ้าไม่โดนคงแปลกล่ะ แล้วพอจ้องเข้าไปในดวงตาสีบรั่นดีนั่นก็ให้รู้สึกมึนอย่างบอกไม่ถูก เท่านั้นยังไม่พอ...ประโยคที่ต่อมาก็เล่นเอาผมร้อนวูบวาบเหมือนสาดออนเดอะร็อคลงคอไปทั้งขวด “...ที่ยอมให้ฉันเป็นคนในการ์ดนั่นไง” “..........!!!!” ก่อนที่จะเมาสีสวยๆในดวงตาของเขามากไปกว่านี้ผมควรจะทำอะไรสักอย่างใช่มั้ย ในเมื่อผมไม่อาจถอนสายตาตัวเองได้ก็ควรเป็นเขาที่น่าจะเลิกใช้สายตาแบบนี้มอมผมสักที “ไหนเมื่อกี้ยังบอกไม่กล้ามองหน้าผม...” “พอดีเพิ่งนึกได้ว่าฉันเองก็รักเธอไปแล้ว เลยไม่รู้จะอายไปทำไมอีก เธอว่าจริงมั้ยล่ะ” ยังคงหน้าด้านหน้าทนเหมือนเคย แถมยังพูดจาชวนให้เวียนหัว ถ้าจะลงท้ายด้วยคำถามก็ควรปล่อยให้ผมได้พูดสิ ไม่ใช่ก้มมาจูบซับคำตอบเอาเองตามใจ แล้วปากคนเรามันก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรจะควานหาให้ผมหายใจไม่ทันทำไมล่ะเนี่ย! “พะ..พอก่อน มีงานรออยู่” ยังเสียววาบกับตอนที่เฮนมิโผล่มาไม่หาย เจ้าเด็กนั่นยิ่งไฮเปอร์อยู่ด้วย เกิดมันมาตามอีกรอบแล้วเห็นผมในสภาพนี้เข้าคงต้องเอาหน้ามุดดินกันเชียวล่ะ “โอเค” อ๊ะ! โอเคก็อย่าเบิ้ลสิโว้ย คำพูดกับการกระทำน่ะหัดให้มันตรงๆกันหน่อย “งั้นค่อยต่อคืนนี้นะ” “ฝันไปเหอะ!” โชคดีที่คนหน้าหนาพอๆกับหน้าด้านยังยอมฟังกันบ้างผมถึงหลุดออกจากห้องนั้นมาได้ แต่ประโยคสุดท้ายที่ตะโกนตอกหน้าเขาไปก็ยังตามติดมาเป็นเงา ผมบอกให้เขาไปนั่งฝันถึงสิ่งที่อยากได้เอาเองแต่เขาจะรู้มั้ยนะว่าผมเองก็ชอบฝันถึงเรื่องเดียวกัน และชอบที่สุดที่ผมกับเขาได้ร่วมในความฝันเดียวกัน...ฝันของเราสองคน จบตอนแล้วจ้า :bye2:
อยากอ่านตอนเริ่มความสัมพันธ์จังค่ะ
น่ารักกกกก ตาพ่อลูกอ่อนนี่เขินเป็นด้วยเหรอ555555555
รอตอนต่อไปค่าาาา ดีจังมีคนแปลให้อ่านด้วยอ่ะ :mew1: :mew1:
The Case of Yokosawa Takafumi 2 : Present From My Heart ของขวัญสรรจากใจ ผมเพิ่งได้มีเวลาพักหายใจหายคอหลังจากหัวหมุนกับงานมาตลอดทั้งเช้า ตั้งใจจะออกไปผ่อนคลายที่มุมสูบบุหรี่สักครู่แต่ระหว่างทางก็แว่วเสียงพวกว่างงานคุยจิ๊กจิ๊กกันอยู่ จริงๆไม่ได้อยากทำตัวเสียมารยาทแต่บังเอิญว่าชื่อของใครคนหนึ่งดันลอยมาเข้าหู ทำให้สองขามันเป็นอัมพาตโดยไม่มีสัญญาเตือนล่วงหน้าเสียอย่างนั้น “นี่ๆ ศุกร์หน้าวันเกิดคุณคิริชิมาล่ะรู้หรือเปล่า” “จริงเหรอ! ไปรู้มาจากไหน แฟนพันธ์แท้ตัวจริงนะเธอเนี่ย” เท่าที่ผมแอบเห็น สองคนนี้อยู่ในทีมบก.นิตยสารหัวหนึ่งของสนพ. โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นคือยัยคนที่พักหลังๆชอบมาวอแวกับคุณคิริชิมาเป็นประจำ ก็คิดดูว่าทั้งที่ทำงานอยู่คนละชั้นยังหาข้ออ้างสารพัดไปป้วนเปี้ยนแถวกองบก.การ์ตูนผู้ชายได้ไม่เว้นแต่ละวัน ขนาดผมทำงานอยู่ฝ่ายขายยังเคยเจอกับตาตัวเอง อย่างนี้ไม่บ่อยก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว ตั้งแต่คุณคิริชิมาถอดแหวนแต่งงานออกพวกผู้หญิงดูจะตื่นเต้นคึกคักกันมากขึ้น มีข่าวลือสารพัดแต่สรุปก็คือเขาแต่งงานแล้วจริง แถมมีลูกสาวหนึ่งคนแต่โชคร้ายที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตจึงเหลือกันแค่สองคนพ่อลูก พอเรื่องนี้แพร่ออกไป บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ก็รุมตอมเขาอย่างกับอะไรดี แถมบางรายยังมาใช้ผมเป็นสะพานเสียอีก รู้ทั้งรู้ว่าผมดุยิ่งกว่าหมียังจะกล้า พวกผู้หญิงนี่บทจะรุกก็น่ากลัวไม่ใช่เล่นเลย ส่วนเจ้าตัวเองเมื่อก่อนก็ได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มเนื้อหอม ใครชวนไปไหนก็ไป รับนัดสาวๆจนคิวแน่นเอี้ยด แต่พักหลังกลับปฏิเสธเขาเสียหมด ส่วนใหญ่เข้าใจ ยอมถอนตัวโดยดี แต่บางรายก็ดื้อด้าน ขนาดเขาอ้างว่าอยากให้เวลากับลูกบ้างก็ยังตื๊อไม่เลิก จนตัวเขานั่นแหละที่มาบ่นให้ผมฟังเป็นประจำ ท้ายที่สุดพวกสาวๆเลยลงความเห็นว่าสาเหตุที่คุณคิริชิมาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งถอดแหวนแต่งงานออก และไม่ยอมไปเฮฮาปาร์ตี้เหมือนเคย นั่นก็เพราะเขาพบรักกับใครเข้าแล้ว ตอนที่ได้ยินทฤษฎีอันใหม่ล่าสุดนี่เชื่อมั้ยว่าผมแทบจะพ่นกาแฟใส่หน้าเจ้าเฮนมิ ไม่อยากเชื่อ เรื่องบางเรื่องผู้หญิงก็ฉลาดกว่าที่คิดแฮะ “ก็หัวหน้าฉันน่ะสิหลุดปากมาว่าในบรรดารุ่นเดียวกัน วันเกิดคุณคิริชิมาถึงก่อนใครเพื่อน ฉันก็เลยลองไปสืบดู” “ต๊าย! นี่อย่าบอกนะว่าเธอจะรุกเขาน่ะ?” “ทำไมจะไม่ล่ะ ก็ฉันแอบมองเขามาตั้งนาน ที่เมื่อก่อนฉันถอดใจเพราะนึกว่ามีเมียแล้ว แต่เมียเขาตายไปแล้วก็ต้องถือว่าโสดสนิท ถ้าฉันจะเดินหน้าก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ จริงมั้ย?” “จริงจังเหลือเกินนะจ๊ะ เอ๊ะ! แต่เธอก็รู้นี่ว่าเขามีลูกสาวโตขนาดอยู่ประถมแล้ว แบบนี้ถึงจะโสดแต่ก็ไม่สด แถมเรือพ่วงอีกด้วย งานหินเชียวนะ” “ก็แค่เด็กผู้หญิงตีซี้ง่ายจะตายไป ไม่แน่นะ ถ้าฉันเจอแม่หนูนั่นแล้วเกิดถูกชะตากันได้ ตัวพ่อจะไปไหนเสีย เผลอๆฉันอาจจะมีแม่สื่อตัวเล็กๆมาคอยช่วยอีกแรงก็ได้นะ” ได้ยินอย่างนี้ผมอดฉุนคุณเธอขึ้นมาไม่ได้ ไอ้เรื่องจะชอบ จะบ้าบอคลั่งไคล้อะไรคุณคิริชิมานั่นช่างเถอะ แต่การลากเด็กอย่างหนูฮิโยริมาเกี่ยวข้องผมว่ามันทุเรศ น่าสมเพชที่สุด “แหม! เธอคิดว่าอะไรๆมันจะง่ายยังงั้นเชียว?” “จริงด้วย! วันเกิดเขาตรงกับวันปิดรอบหนังสือ งั้นเดี๋ยวฉันจะชวนเขาไปฉลองที่ทำงานเสร็จ แล้วพอขากลับฉันก็จะเอาของขวัญวันเกิดให้เขา เป็นไงๆเนียนดีมั้ยล่ะ?” “ก็เป็นความคิดที่ดีนะ” “ทีนี้เขาก็คงรู้สึกพิเศษกับฉันขึ้นมาบ้าง เห็นทีต้องเลือกของขวัญเจ๋งๆหน่อย เธอว่าซื้ออะไรให้เขาดี ช่วยคิดหน่อยสิ” ทั้งคู่เม้าท์เรื่องของขวัญกันผมเลยขี้เกียจฟังต่อ แต่มันก็อดคิดไม่ได้นะ ทั้งๆที่ผมสนิทสนมกับครอบครัวนี้ถึงขนาดได้ถือกุญแจสำรองของอพาร์ทเมนท์ แต่นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้รู้เรื่องวันเกิดเขา อาจเพราะเวลาอยู่ด้วยกันเราไม่เคยคุยหรือถามอะไรที่เป็นข้อมูลส่วนตัวเลย หัวข้อส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องของหนูฮิโยริหรือไม่ก็เจ้าโซราตะ บางครั้งที่คุยเรื่องงานก็มักจะเกี่ยวกับนักเขียนที่เขารับผิดชอบ หรือไม่ก็แผนงานที่จะเสนอกับที่ประชุมในคราวต่อไป...เท่านั้นเอง เป็นเรื่องล่ะสิ ถึงไม่เคยคิดจะสนใจแต่ตอนนี้ดันรู้เข้าซะแล้ว จะทำเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็คงไม่ได้ แล้วเรื่องของขวัญ แถมต้องซื้อให้ผู้ชายด้วยผมจะไปเชี่ยวชาญเหมือนแม่สาวๆพวกนั้นได้ยังไงเนี่ย เฮ่อ...ไม่น่าหาเรื่องเลยเรา!! ของขวัญให้คุณคิริชิมา... อืมมมม อาจจะเป็นไวน์ดีๆสักขวด แต่ที่จริงเขาก็ไม่ใช่คนดื่มจัดหรือพวกชอบสะสม ส่วนของอย่างอื่นก็ไม่เห็นเคยพูดว่าอยากได้อะไรเป็นพิเศษ ครั้งสุดท้ายที่ได้ยินเขาบอกว่าจะออกไปช็อปปิ้ง ถ้าไม่ใช่ผงซักฟอก ก็คงกระดาษทิชชู่หรือไม่ก็ของใช้ในบ้านทั่วๆไป ส่วนเรื่องแต่งตัวนั่นหมดหวัง เพราะถ้าเขาใส่สูทมาทำงาน เนคไทสวยๆสักเส้นก็คงจบ แต่รายนี้หยิบอะไรได้ก็ใส่ออกจากบ้าน เคยเห็นใส่สูทโก้ก็ตอนงานเลี้ยงบริษัทแค่นั้น จะถามเจ้าตัวว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญยิ่งไม่ได้ใหญ่ ถึงตายก็ไม่มีวันให้เขารู้หรอกว่าผมคิดมากเรื่องแบบนี้ ช่วยไม่ได้แฮะ เอาไว้ลองถามหนูฮิโยะดูแล้วกัน เผื่อว่าเธอจะมีความคิดอะไรดีๆ.... --------------------- พอคุณอิซากะเดินผิวปากออกจากห้องไป ทุกคนก็ทยอยเก็บข้าวของเพื่อกลับไปทำงานของตนต่อ กระทั่งเหลืออยู่แค่สองคนสุดท้าย หนึ่งในนั้นก็คือผม ส่วนอีกคนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะประชุมตัวใหญ่ เป็นที่รู้กันว่าตรงข้ามผมคือที่นั่งประจำของหัวหน้าทีมบก.หรือไม่ก็ตัวบก.ที่รับผิดชอบงานที่จะถูกพิจารณา ในเมื่อหัวข้อประชุมวันนี้เกี่ยวกับการ์ตูนผู้ชายจึงไม่แปลกที่ตรงหน้าผมจะเป็น...เขา “ประชุมวันนี้ราบรื่นพิกล นานๆทีเป็นอย่างนี้บ้างก็ดีนะว่ามั้ย” เหน็บกันเจ็บๆคันๆอย่างนี้จะเป็นใครได้อีกนอกจากหัวหน้าบก. Japun ผู้โด่งดัง แล้วมีเหรอที่ผมจะไม่โต้กลับ “ทางเราแค่พยายามหาตัวเลขที่เหมาะสม ไม่เหมือนพวกบก.อย่างคุณนี่ที่เอะอะก็จะสั่งพิมพ์เยอะๆโดยไม่สนใจอะไรเลย” การประชุมที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปถือว่าราบรื่นดีอย่างที่คุณคิริชิมาว่าเพราะส่วนใหญ่เป็นรายการพิมพ์เพิ่ม ตัวเลขยอดพิมพ์จึงสามารถคาดการณ์ได้ จะเพิ่มหรือตัดทอนก็คุยกันได้ง่ายกว่า บรรยากาศการประชุมจึงค่อนข้างดีและส่งผลให้การพิจารณาในเรื่องอื่นๆเรียบร้อยตามไปด้วย ตัวผมเองก็อยากให้การประชุมทุกครั้งมันจบลงง่ายๆ คุยกันดีๆ ไม่ต้องมานั่งเถียงหรือตะโกนใส่กันหน้าดำหน้าแดงเหมือนกันล่ะน่ะ “พิมพ์หนังสือสักเล่มมันก็เหมือนซื้อหวยนั่นแหละ จะพิมพ์ดีมั้ยและจะพิมพ์เท่าไหร่ พิมพ์ไปแล้วขายออกหรือเปล่าก็ไม่มีใครบอกได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ แต่อย่างน้อยมันก็ดีที่พวกเรายังตกลงกันได้ ไม่ถึงกับฆ่ากันตายเพราะหนังสือแค่เล่มเดียวไม่ใช่หรือไง”? เขาเป็นบก. มีหน้าที่แค่ทำหนังสือออกมาเป็นเล่มก็คงพูดได้ ไม่เหมือนผมที่ต้องพยายามขายหนังสือที่พิมพ์ออกมาแล้วให้หมด ถ้าจะเหลือก็ต้องให้น้อยที่สุดเพราะนั่นหมายถึงรายได้ของสนพ.ที่ลดลง แล้วยังจะรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเหลือค้างสต๊อก แต่ก็ช่างเถอะเพราะตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะเถียงกับเขาแล้ว และตัวต้นเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เขาอีกนั่นแหละ ผมยังคิดไม่ตกเรื่องของขวัญวันเกิด ทั้งๆที่อีกสามวันก็จะถึงแล้วแต่ก็ยังไม่รู้จะซื้ออะไรให้คุณคิริชิมาดี พอคุยเรื่องนี้กับฮิโยริ เธอบอกว่าจะให้ช่อดอกไม้ รูปที่วาดเองและแถมการ์ดอวยพรวันเกิดให้เหมือนปีก่อน ผมเลยหมดหวังเพราะจะให้เอาตามก็คงไม่ไหว ผมลองมองไปที่ผู้ชายตรงหน้าก็ยิ่งปวดกบาล เขาเป็นคนไม่แต่งตัว เครื่องประดับบนร่างกายมีแค่นาฬิกาข้อมือ งานอดิเรกก็ไม่พ้นการอ่านหนังสือ แล้วน้ำหน้าอย่างผมจะกล้าซื้อหนังสือให้คนเป็นบก.เหรอ คิดไม่ออกเลยว่ายังมีเล่มไหนที่ไม่ผ่านตาเขามาบ้าง เพราะฉะนั้นรายการนี้ก็หมดหวังอีกตามเคย “...มีอะไรหรือเปล่า?” เขาเช็คมือถือเสร็จเลยเงยหน้ามาเจอสายตาผมเข้าพอดี “ปะ..เปล่านี่ ไม่มีอะไร” ผมรีบบอกแล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง พิรุธเต็มๆ! “เอาเถอะ ถ้ามีอะไรก็บอก อย่าเอาแต่เก็บไว้คิดมากคนเดียวก็แล้วกัน” “อะ..อืม” โชคดีที่เขาไม่เซ้าซี้ แต่ถึงจะพูดดีแค่ไหนก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเลย อยากจะหันไปพูดใส่หน้าว่าเขานั่นแหละที่ทำให้ผมจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว แต่ที่ผมทำน่ะเหรอ...ยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อเลี่ยงการสนทนา.... ให้ตาย! อยากแช่งให้ตัวเองกาแฟติดคอสักที ผมแอบถอนหายใจเป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตกพื้น แถมได้ยินคุณคิริชิมาสบถเบาๆ น้ำเสียงเซ็งๆมากว่าจะหงุดหงิดจริงจัง “อีกแล้ว! บ้าจริง!” “มีอะไร?” ผมถามแล้วก็เห็นเขาก้มไปหยิบของที่หล่น รู้สึกจะเป็นกระเป๋าพวงกุญแจที่มีสภาพเก่าจนตัวปลอกที่เป็นหนังสีซีดหมดแล้ว ตรงตะขอที่ใช้ห้อยกุญแจนั่นถึงกับหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ กุญแจทั้งพวงถึงได้ร่วงลงพื้นไปอย่างนั้น “ยังจะใช้อยู่อีก ของรักของหวงล่ะสิ” “ตอนทำงานที่นี่ได้ครบปี ฉันก็ใช้เงินโบนัสก้อนแรกซื้อเจ้านี่มา ที่จริงก็ไม่ได้อะไรมากแต่มันใช้ง่าย พกสะดวกดีเลยใช้มาเรื่อยๆ นี่ฉันพยามยามถนอมแล้วนะแต่สภาพมันก็ยังเยินอย่างที่เห็น สงสัยจะต้องเปลี่ยนจริงๆแล้วล่ะ” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เขาก็ยังพยายามซ่อมตัวข้อต่อให้ใช้งานได้ ท่าทางจะไม่ยอมซื้อใหม่ง่ายๆแน่ “ผมว่าคุณเอากุญแจออกดีกว่านะ เกิดไปหล่นที่ไหนไม่รู้เข้าจะยุ่ง” “เอาน่า ถ้าหนีบตรงนี้ให้แน่นๆหน่อยก็อยู่แล้ว” เขาเงยหน้ามาบอก เจอผมขมวดคิ้วใส่เลยแก้ตัวไปเรื่อย “ยังกะฉันจะมีเวลาไปเดินช้อปปิ้ง แค่งานแต่ละวันนี่ก็ยุ่งจนหัวหมุนหมดแล้ว” “ก็คงงั้น” ผมได้แต่เออออไปเพราะเข้าใจดีว่าช่วงก่อนปิดต้นฉบับอย่างนี้เขาจะยุ่งจนแทบไม่มีเวลานอนด้วยซ้ำ วันๆได้แต่สิงอยู่ที่บริษัทหรือไม่ก็ออกไปตามจิกต้นฉบับกับพวกนักเขียน จะเร่งให้งานเสร็จยังไงก็คงไม่ทันเพราะไม่มีห้างสรรพสินค้าไหนเปิดรอให้เขาไปเลือกซื้อของหรอก “อ๊ะ!” “หืม?” “อ๋อ เปล่า แค่นึกได้ว่ามีงานค้างอยู่ ผมขอตัวเลยละกัน” ผมบอกเขาแล้วรีบออกจากห้องทันทีด้วยอารมณ์ลิงโลด ใช่แล้ว ผมรู้ล่ะว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญวันเกิด ที่ห้อยพวงกุญแจนั่นไง ยิ่งถ้าได้ยี่ห้อเดิม แบบเดียวกัน สีเดียวกันกับอันเก่าที่เขาใช้อยู่ด้วยก็จะเยี่ยมสุดๆไปเลย โชคดีที่งานฝ่ายขายทำให้ผมต้องออกไปพบลูกค้า หรือสำรวจตามร้านขายหนังสือเป็นประจำอยู่แล้ว ขออู้งานไปหาซื้อของนิดหน่อยน่ะเรื่องขี้ประติ๋ว --------------------- ได้เวลาเลิกงาน ผมเช็คทุกอย่างอีกครั้งแล้วจึงค่อยปิดคอมพิวเตอร์ เก็บข้าวของ เอกสารบนโต๊ะให้เรียบร้อย งานบางส่วนที่ตั้งใจเอากลับไปด้วยก็เตรียมไว้ใส่กระเป๋าเอกสาร อ๊ะ! เกือบไป โชคดีที่ผมชะงักมือทัน ขืนยัดแฟ้มลงไป มีหวังกล่องของขวัญที่ห่อไว้อย่างดีคงได้บี้แบนจนดูไม่ได้แน่ นี่ผมลงทุนไปเดินหาจนเจอเคาเตอร์เครื่องหนังยี่ห้อนี้เชียวนะ โชคดีมากที่แบบและสีเดียวกับที่คุณคิริชิมาใช้อยู่ยังมีขาย ถึงราคาจะสูงไปสักหน่อยแต่เมื่อเทียบกับการใช้งานอย่างคุ้มค่าขนาดนั้นก็ถือว่าเหมาะสม ที่เหลือก็แค่ขอให้เขาชอบของขวัญที่ผมเลือกมาเท่านั้น “คุณโยโกซาวะ คุณคิริชิมาอยู่ในสายขอพูดกับคุณครับ” จู่ๆเจ้าเฮนมิก็ตะโกนข้ามห้องมาบอก “โอเค ขอบใจ” ผมนี่แทบสะดุ้ง แล้วก็ต้องรีบยกหูโทรศัพท์ก่อนที่จะมีใครสงสัย “โยโกซาวะพูด” “อ้อ โยโกซาวะเหรอ? โทษทีนะ วันนี้คงดึกอีกตามเคย เธอไปที่บ้านฉันก่อนได้มั้ย ฉันโทรบอกฮิโยะไว้แล้วล่ะ” “ดึกแค่ไหนล่ะครับ? เอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้ไม่ได้หรือไงคุณ?” ที่จริงมันก็เป็นเรื่องปกติ แทบจะเป็นแบบนี้กันทุกครั้งที่ปิดต้นฉบับ และนั่นแหละที่ผมไม่เข้าใจว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไปเลยหรือไงกัน “ถ้าทำได้ ฉันคงไม่ได้เป็นหัวหน้าบก.มาจนถึงป่านนี้หรอก...เออ ใช่ๆ วางไว้นั่นแหละ เดี๋ยวฉันดูเอง...ขอร้องล่ะ ถือว่าทำเพื่อฉันเถอะนะ?” “คร้าบ คร้าบ คุณก็ทำงานไปดีๆแล้วกัน” จะให้ผมพูดอะไรได้อีก เพราะขนาดว่าจะหาเวลาโทรศัพท์ให้เป็นส่วนตัวสักหน่อยยังไม่มี ไม่อยากนึกเลยว่าสภาพคนที่ปลายสายจะยุ่งจนหัวกระเซิงแค่ไหน “โอเค แล้วค่อยเจอกันนะ” ผมวางสายด้วยความรู้สึกโล่งอกมากกว่า เพราะอันที่จริงผมกับฮิโยริแอบเตรียมงานปาร์ตี้เล็กๆเป็นเซอร์ไพรส์ให้เขา ผมมีหน้าที่ซื้อเค้กวันเกิดส่วนฮิโยริทำแกงกะหรี่เป็นเมนูพิเศษ สรุปแล้วไม่ต้องออกจากบริษัทพร้อมกันก็ถือว่าช่วยผมได้เยอะเลย คุณคิริชิมากลับดึกตามคาด ก็ไม่รู้ล่ะว่าเขาระแคะระคายอะไรมากแค่ไหนแต่พอเปิดประตูเข้ามาเขาก็อ้าปากค้างกับสภาพห้องที่ผมกับฮิโยริช่วยกันแต่งสุดฝีมือ ยิ่งตอนเดินมาที่โต๊ะแล้วเจอเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่จากลูกสาวสุดที่รักเข้าไปถึงกับยิ้มกว้าง เหมือนจะพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว “นี่ใช่มั้ยที่แอบงุบงิบกันอยู่สองคนมาตั้งหลายวัน” เขากวาดตามองทั้งห้องอีกรอบ ปากยังยิ้มค้างหรืออาจจะกว้างกว่าเดิม “ฮิฮิ นึกแล้วว่าปะป๊าต้องรู้” “ขอบคุณครับฮิโยะ พ่อชอบมากเลยลูก” ผมชอบนะเวลาเห็นพ่อลูกอยู่ด้วยกัน ยิ่งการที่เขาย่อตัวลงมาคุยกับลูกสาวแบบนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นมาก “ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ” ฮิโยริยิ้มหวาน เธอย่อตัวลงนิดๆเหมือนเจ้าหญิงรับการคำนับจากอัศวินหนุ่ม ปกติเธอไม่ค่อยชอบให้ใครมาลูบผมเป็นเด็กๆ แต่วันนี้ต่อให้ผมยุ่งไปทั้งหัวก็ยังเห็นว่าเจ้าหญิงตัวน้อยมีความสุขอย่างที่สุด “พี่ชายซื้อเค้กมาให้ปะป๊าด้วยนะคะ” “เหรอครับ” เขาหันมา มีรอยยิ้มอบอุ่นมาฝากผมด้วยเช่นกัน “ขอบใจเธอเหมือนกันนะโยโกซาวะ” “ก็วันเกิดคุณนี่จะไม่มีเค้กได้ยังไงล่ะ เอ้อ! แล้วก็...นี่ครับ” ผมยื่นของที่เตรียมไว้ให้เขา ทีแรกกะจะรอให้ฮิโยริเข้านอนก่อน แต่คิดไปคิดมาคงไม่ดี ยิ่งอยู่กันสองคนแบบนั้นผมคงเขินจนทำอะไรไม่ถูกแน่ “อะไรเนี่ย?” เขาหุบยิ้มลง แล้วมองหน้าผมสลับกับกล่องของขวัญแทน “รับๆไปเถอะน่ะ!” “อย่าบอกนะว่า...เธอให้ของขวัญฉัน?” เขาทำตาโตเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ กว่าจะเอื้อมมาหยิบกล่องไปจากมือผมได้ก็ลีลาซะ อย่างนี้มันน่าเอาคืน! “แล้วคุณเห็นเป็นอะไรล่ะ?” “ก็..แหม ไม่คิดว่าเธอจะทำอะไรให้ฉันแบบนี้นี่ เซอร์ไพรส์สุดๆเลย...แกะเลยได้มั้ย?” “อยากทำอะไรก็เชิญ” ผมบอกเขาแต่หันไปอีกทาง เชื่อมั้ยว่าสีหน้าเขาตอนนี้ทำเอาผมทำหน้าไม่ถูกไปเลย “เห็นอันที่คุณใช้มันเก่ามากแล้ว ผมก็เลย...” “ซวยล่ะสิ!” “ว่าไงนะ?!” ที่ผมอุตส่าห์ทำลงไปทั้งหมด ได้ตอบแทนมาคือคำสบถงั้นเหรอ!! “คือพอดีว่าเมื่อวาน...ฉันก็ซื้ออันใหม่มาแล้วน่ะ” เขาบอกแล้วก็ล้วงเอาพวงกุญแจใหม่เอี่ยมออกมาโชว์ ซวยจริงๆนั่นแหละ! เพราะมันดูเหมือนอันที่ผมซื้อให้ทุกอย่าง ต่างกันแค่สีเท่านั้น “อะไรกัน! ก็ไหนคุณบอกไม่มีเวลาไม่ใช่เหรอไง” ไม่เชิงว่าฉุน แต่การที่เราตั้งใจจะทำอะไร อุตส่าห์คิดถี่ถ้วนทุกอย่างแล้วดันมาพลาดเพราะอีกคนนึกจะทำอะไรก็ทำ ถ้าผมจะหงุดหงิดบ้างมันก็ช่วยไม่ได้ “ก็เมื่อวานฉันต้องออกไปรับต้นฉบับเอง เสร็จแล้วมันพอมีเวลาเลยแวะห้างหาอะไรรองท้อง เดินเล่นดูอะไรนิดหน่อยแล้วบังเอิญไปเจออันนี้เข้าก็เลยซื้อมาเลยน่ะ” คุณคิริชิมาอธิบายต่อพลางเกาหัวจนยุ่งไปกันใหญ่ ดูก็รู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ส่วนผมนั้นยิ่งแล้ว ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้คงถามเขาแต่แรก ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจ คิดมากจนไม่เป็นอันทำอะไร แล้วสุดท้ายกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ไอ้เรื่องเซอร์ไพรส์อะไรนี่คงไม่ถูกโรคกับผมแน่ๆ ทีนี้ก็ต้องมาคิดกันต่อว่าจะเอายังไงกับของขวัญวันเกิดที่ไม่ใช่ของจำเป็นสำหรับคนรับอีกแล้ว สงสัยผมคงต้องตากหน้าเอาไปคืนที่ร้าน ถ้าจะให้ดีก็ลากเขาไปด้วยจะได้ไปเลือกของขวัญที่ถูกใจด้วยตัวเองซะเลย “อย่างนี้ดีมั้ย เธอก็เอาอันนี้ไป ฉันจะได้ใช้อันที่เธอให้มา” จู่ๆท่านบก.คนเก่งก็เสนอทางเลือกที่ไม่โดนใจผมเลยสักนิด “หา?” “แลกของขวัญกันไง ง่ายๆแค่นี้ก็หมดปัญหาแล้ว” สุดท้ายมันก็ไม่ใช่การเสนอความเห็น เพราะเขาจัดการถอดกุญแจของตัวเองออกแล้วยัดเยียดอันที่ตัวเขาซื้อมาให้ถึงมือผมทีเดียว “แลกกัน?...แล้วทำไมอยู่ดีๆคุณต้องมาให้ของขวัญผมด้วยเนี่ย?!” “คิดซะว่าเป็นของตอบแทนที่เธอช่วยดูแลฉันกับลูกก็ได้นี่ ไหนล่ะกุญแจ เอามาสิ” อีกครั้งที่เขาถามแต่ไม่รอให้ผมตั้งตัวก็คว้ากระเป๋าผมไปล้วงเอาของที่ต้องการ “เฮ้ย! ทำอะไรของคุณ? มีมารยาทหน่อยได้มั้ยเนี่ย!” แทนที่จะหยุดเขากลับยึดพวงกุญแจของผมไปแล้วก็ถอดออกไปใส่ที่ห้อยกุญแจอันของเขาทีละอันๆโดยไม่สนใจว่าผมกำลังจะงับหัวเขาอยู่แล้ว “โอ...เค” เสร็จแล้วยังมีหน้ามายิ้มอีก! “เออ ไหนๆก็ไหน เอากุญแจห้องเธอมาด้วยสิ กุญแจสำรองน่ะ” “แล้วทำไมผมต้องให้คุณ?!” ผมเหยียดตามองฝ่ามือใหญ่ที่แบอยู่ต่อหน้า คิดเหรอว่าผมจะยอมง่ายๆ “น่า มีเผื่อไว้ก็สะดวกดี อะไรก็เกิดขึ้นได้นี่จริงมั้ย” อยากถามจริงว่าเขาคิดจะเผื่อถึงอะไรกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเรื่องบ้าอะไรก็ไม่ควรเอามาพูดต่อหน้าเด็กอย่างฮิโยริ ผมเลยต้องเงียบไว้ แต่เคยได้ยินมั้ยครับ ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ ตัวพ่อทำให้ผมปวดหัวยังไง แม่ลูกสาวก็ไม่ได้แพ้กันเลย “ว้าว! ดีจังค่ะ ทีนี้ก็สมกับเป็นคู่กันเลยเนอะ” “คะ..คู่!?” ถ้าเป็นผู้หญิงทำอะไรแบบนี้ก็คงน่ารักอยู่หรอก แต่นี่ผมกับเขา...ไม่อยากจะพูดเลย! ถึงเราไม่ได้ตั้งใจจะซื้อของยี่ห้อเดียวกัน แบบเดียวกันแค่คนละสีก็เถอะ แต่เรื่องใจตรงกันประเภทนี้ ไปบอกใครเขาจะเชื่อมั้ยว่ามันบังเอิญจริงๆ “แล้วถ้าคนที่ออฟฟิศเห็น...แล้วถาม จะให้ตอบว่ายังไงครับ?” ผมหันไปถามนายตัวพ่อแล้วก็เพิ่งนึกเจ็บใจตัวเองที่ลืมไปว่าเรื่องบางเรื่องอย่าถามเขาเลยจะดีกว่า “ง่ายจะตาย ก็บอกเขาไปสิว่าเราสองคน...รักกันม๊ากมาก” “ระ..รักกันมะ...! ฝันไปเหอะ! ใครมันจะบ้าได้อย่างคุณเล่า!!” เห็นมั้ยล่ะ คำตอบของเขาทำเอาผมประสาทจะกิน เชื่อสิว่าเขาทำแน่ เพราะเวลาเขาอารมณ์ดีๆก็ชอบพูดทีเล่นทีจริงกับทุกคนอยู่แล้ว แต่ลองคำพูดแบบนั้นหลุดออกจากปากผมสิ คนทั้งออฟฟิศคงได้คิดว่าผมเพี้ยนหรือไม่ก็ไข้ขึ้นจนบ้าไปแล้วแน่ๆ “หืม หน้าแดงเชียว ไม่ต้องเขินหรอกน่า” “ผมเปล่า!” ผมยืนยันสุดเสียงแต่สองพ่อลูกยอมฟังเสียที่ไหน ผมก็เลย...จะทำอะไรได้อีกนอกจากแกล้งเก็กหน้านิ่งๆไว้ ทั้งที่ความจริงก็รู้สึกดีจนอยากยิ้มออกมาบ้างเหมือนกัน เป็นคุณจะไม่ยิ้มเหรอถ้าได้มาเห็นภาพของความสุขอย่างที่ผมได้เห็น ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างที่ผมได้ยิน และยิ่งตระหนักว่ามีผมคนเดียวที่ได้รับโอกาสให้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่มีความสุขนี้...นั่นล่ะครับของขวัญที่มีค่าที่สุดแล้ว จบตอนแล้วจ้า :bye2:
The Case of Yokosawa Takafumi 3 : Sweet Delivery รักหวานๆจานด่วน ‘นี่เรา...กำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย?!’ ผมถามตัวเองอย่างนี้ทุกครั้งที่กำมือแล้วรู้สึกถึงสิ่งที่ถืออยู่ เสียงกรอบแกรบเบาๆเวลาที่จับหรือขยำถุงพลาสติก นั่นล่ะคือเสียงที่ผมได้ยินตลอดเวลาที่ยืนมองตัวเลขสีแดงบอกชั้นในลิฟต์ แล้วสักพักผมก็ออกจากตู้เหล็กแคบๆมาสู่ชั้นห้าของอาคารสำนักพิมพ์มารุคาวะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบรรณาธิการการ์ตูนเด็กผู้ชายและการ์ตูนสำหรับผู้ใหญ่นั่นเอง ฟู่ววว... ผมระบายมวลอากาศหนักๆในอกออกไปอีกรอบแล้วก้าวเข้าสู่บรรยากาศของชั้นทำงานที่ไม่มีวันหลับใหล โดยเฉพาะช่วงปิดรอบต้นฉบับอย่างนี้เลยมีพนักงานอยู่โต้รุ่งกันหน้าสลอน จากสภาพที่เห็นนี่ไม่ใช่คืนแรกและคงไม่ใช่คืนสุดท้าย แต่ถึงจะมีคนเยอะแยะ ทุกคนกลับก้มหน้าก้มตากับงานของตัวเอง คนนอกอย่างผมเลยยืนคว้าง ทำตัวไม่ถูก โชคดีมีคนรู้จักเดินตาลอยๆผ่านมาเลยรีบคว้าตัวไว้ “ท่าทางจะยุ่งเลยนี่ ไหวหรือเปล่าเรา?” “อ้าว! เอ๊ะ!” น่ากลัวว่าเจ้าเฮนมินี่คงโดนอาถรรพ์กองบก.เล่นงานเข้าให้ ตอนฝึกงานอยู่ฝ่ายขายถึงจะดูซื่อบื้อไปนิดแต่ก็ยังคล่องแคล่ว กระตือรือร้นจน ‘ล้น’ ไปซะทุกเรื่อง แล้วดูตอนนี้สิ เหมือนกับผีตายซากก็ไม่ปาน พอเห็นผมเข้าสะดุ้งซะโอเวอร์ทีเดียว “ตะกี้คุณโยโกซาวะออกจากออฟฟิศไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ?” “ฉันซื้อของกินมา...เผื่อไว้ให้น่ะ” “จริงเหรอครับ โอววว! ยังกับเทวดามาโปรดเลย ผมหิวจนจะฉีกต้นฉบับกินอยู่แล้วนะครับเนี่ย!” เชื่อแล้วล่ะว่าหิวจริง เพราะมันเล่นชะโงกหน้าแทบจะมุดลงไปในถุง ทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่นข้าวหน้าเนื้อหลายสิบกล่องที่ผมหอบหิ้วมา อะไรไม่ร้ายเท่าที่พอเงยหน้ามาก็ทำตัวเป็นโทรโข่งทันที “คุณคิริชิมาครับ! คุณโยโกซาวะซื้อมื้อเย็นมาฝาก อนุญาตให้พวกเราพักหายใจกันสักแป๊บเหอะนะคร้าบบบ?” พอได้ยินอย่างนั้น คิริชิมา เซ็น หัวหน้ากองบก.ของนิตยสารรายเดือน Japun ผู้โด่งดังก็โงหัวและใบหน้าถมึงมึงขึ้นมาจากโต๊ะ “ยังมาทำอะไรอยู่นี่อีก เธอกลับบ้านไปแล้วไม่ใช่เหรอโยโกซาวะ?” ผิดมั้ยถ้าผมได้ยินคำถามนี้แล้วจะรู้สึกของขึ้น นี่ตกลงเขาแกล้งไม่รู้หรือซื่อบื้อจริงๆกันแน่ “คุณ!...ที่จริงขาผมน่ะจะเหยียบขึ้นรถไฟอยู่แล้วแต่มันดันมีพวกโรคจิตแถวนี้โทรไปคร่ำครวญว่าหิวไส้จะขาด ผมถึงได้ต้องถ่อกลับมานี่ไม่ใช่เหรอไง!” ผมตะโกนข้ามออฟฟิศกลับไป ถึงน้ำเสียงผมจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรนักหรอก ความจริงก็ฟังออกว่าเขาแค่แกล้งโทรไปหยอกเล่น แต่พอได้ยินอย่างนั้นมันอดเป็นห่วงไม่ได้ งานบก.ก็รู้ๆกัน กินอยู่หลับนอนเหมือนคนปกติเสียที่ไหน ยิ่งช่วงปิดต้นฉบับอย่างนี้คงมีแต่กาแฟกับบุหรี่ยาไส้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพวกนี้มีชีวิตรอดกันมาได้อย่างไร “อ๋อ...ก็...แบบว่าตอนนั้นฉันรู้สึกหิวขึ้นมาก็แค่นั้นเองแหละ” ท่าทางเขาดูสบายดี ไม่เห็นมีอะไรน่าห่วงเลย ไอ้ที่น่าห่วงกว่าคือผมที่บ้าไปเองคนเดียวใช่มั้ย?! “ถ้ารู้สึกแค่นั้นงั้นไม่ต้องกินก็ได้มั้งครับ” ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงเรียบที่สุดแล้วค่อยส่งทุกอย่างในมือไปให้เฮนมิกับเพื่อนที่รออยู่ เจ้าหนุ่มร่างท้วมอีกคนเลยโชคดีไป “คาโต้ นายเหมาไปสองกล่องเลยแล้วกันนะ” “ตะ..แต่ผมว่า...” คาโต้แทบจะกอดข้าวหน้าเนื้อสองกล่องนั้นไว้ราวสมบัติล้ำค่าแต่ก็ยังลังเล มองหน้าผมกับหัวหน้าตัวเองสลับกันอยู่นั่นจนผมนึกฉุน ในเมื่อคำพูดของผมมันไม่ได้มีความหมายอะไรนักหนา ผมเลยบอกลาสั้นๆ หันหลังกลับ และมันคงจะจบแค่นั้น ผมคงได้กลับบ้านไปนอนแช่น้ำร้อนเสร็จแล้วก็เข้านอนให้สบายถ้า... “เฮ้! เดี๋ยวสิ ไปด้วยคน” ใช่! ถ้าไม่มีใครตามมาผมจะดีใจมาก มากๆ! “อะไรของคุณ! ไม่ต้องตามผมมาเลยนะ!” “ฮื๊อ! ใครว่า ฉันก็แค่จะไปหากาแฟกินเฉยๆ” “งั้นก็โน่น เชิญ!” ผมบอกแล้วชี้มือไปทางตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติที่มีบริการอยู่ทุกชั้น สำหรับออฟฟิศอื่นไม่รู้ แต่ที่สนพ.มารุคาวะนี่ กาแฟดูจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จริงๆ “แล้วถ้าฉันไม่อยากกดที่ชั้นนี้ เธอมีปัญหาหรือไง?” อ๋อ! ไม่เลย ต่อให้เขาไต่ขึ้นไปกดตู้บนสวรรค์หรือถ่อลงไป(แดก)ในนรก ผมก็ไม่คิดจะมีปัญหา เขาตั้งใจเดินเข้าลิฟต์มาด้วยกัน ผมก็ไม่ถามอะไรสักคำ แต่เขาคงรู้สึกบ้างล่ะเพราะอยู่ดีๆก็ดันขยับเข้ามาใกล้แล้วเอาไหล่กระแทกผมเบาๆ นี่ตกลง...จะง้อใช่มั้ยเนี่ย?? “เรื่องมื้อเย็น...ขอบคุณนะครับ” “...อืม..” ที่จริงอยากจะพูดอะไรมากกว่านั้นแต่นึกไม่ออก ก็ผมไม่คิดนี่ว่าจู่ๆเขาจะมาพูดเป็นงานเป็นการกับผมขนาดนี้ จะว่าไปผมเองก็ทำตัวไม่ดีที่หัวเสียกับเรื่องขี้ปะติ๋วแล้วยังไปเสียมารยาทต่อหน้าคนอื่นอย่างนั้นอีก “ฉันไม่นึกจริงๆว่าเธอจะอุตส่าห์ย้อนกลับมา มันก็เลย...ดีใจน่ะ” “แล้วรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรไร้สาระชะมัด!” “ก็แหม...คืนนี้ยังไงก็ไม่ได้นอน ฉันแค่อยากได้ยินเสียงเธอบ้างนี่น่ะ” “บะ..บ้าหรือเปล่า เลิกทำตัวเป็นเด็กๆได้แล้ว!” “คร้าบ คร้าบ ทราบแล้ว ขอโทษน๊า” เชื่อมั้ยครับ เจอมุขนี้เข้าไป ความโกรธทั้งหลายแหล่ของผมก็ละลายหายไปกับอากาศ ก็คงเหมือนอย่างที่มีใครเคยพูดไว้ ไม่ว่าเราจะเป็นใคร อายุมากแค่ไหนก็ต้องมีบ้างที่อยากเป็นคนสำคัญของใครบางคน หรืออย่างเด็กๆที่ตั้งใจทำตัวเกเรให้พ่อแม่โกรธ ให้ถูกตำหนิหรือลงโทษ แต่ที่สุดแล้วก็เพื่อเรียกร้องความสนใจและตอกย้ำว่าตนยังเป็นที่หนึ่งในใจพ่อกับแม่เสมอ หรือไม่แน่ว่าที่คุณคิริชิมาทำแบบนี้คือการแสดงออกถึงความรักของเขา...ล่ะมั้ง “โยโกซาวะ...” ผมคิดอะไรอยู่เพลินๆก็ได้ยินเสียงเรียก หันไปไม่ทันระวังเลยโดนอะไรบางอย่างปัดผ่านตรงริมฝีปาก เป็นอะไรที่นุ่มๆ อุ่นๆ และมีฤทธิ์ทำให้ตัวชา สมองว่างเปล่าไปเลยทีเดียว “ชาร์จพลังเรียบร้อย” ได้ยินอย่างนั้นทำให้นึกไปถึงเวลาชาร์จแบตมือถือ เราต่อสายจากเครื่องเสียบปลั๊กเพื่อดูดไฟเข้าไปเก็บไว้ในโทรศัพท์ อืมมม ก็คงประมาณเดียวกับที่มีอะไรบางอย่างกำลังผ่านเข้ามาและดูดกลืนอะไรบางอย่างออกไปผ่านทางริมฝีปากผมนี่ใช่มั้ย “เฮ้ย! ทำบ้าอะไรเนี่ย?!” ใช่! ถ้าไม่เขาก็คงผมนี่ล่ะที่บ้าไปแล้ว “นี่มันที่ทำงานนะคุณ!!” “ช่วยไม่ได้ เธออยากเผลอเองนี่” “ไม่ต้องมาโบ้ย!” ผมตะโกนใส่ใบหน้ายิ้มๆนั้นเต็มเสียง จังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก แต่พอดีว่าไม่มีใครกำลังรออยู่ โชคดีชะมัดยาด ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีหน้ามาทำงานที่นี่อีกแน่ เวลาอย่างนี้ปกติจะไม่มีใครเหลืออยู่แล้วนอกจากพวกรปภ.ที่ตอนนี้คงออกไปเดินตรวจตรารอบอาคาร บริเวณชั้นหนึ่งจึงยิ่งเงียบ มีแสงสว่างเฉพาะตามทางเดินไปออกประตูด้านหลังของสนพ. ผมเคยต้องอยู่ออฟฟิศจนดึกบ้างจึงคุ้นเคยแต่เชื่อมั้ยว่ามีใครบางคนที่แทบจะนอนออฟฟิศเป็นประจำกลับเดินตามมาทั้งๆที่ตลอดทางไม่มีตู้ขายน้ำสักตู้ พอถึงประตูทางออกผมก็อดปากแขวะไม่ได้ แล้วฟังที่เขาตอบเอาเองเถอะ... “ก็มาส่งเธอไง ถามได้” ยังมีหน้ามาแถมรอยยิ้มอีก! “ยะ...อย่ามาทำเหมือนผมเป็นเด็กนะ” “อะไรกัน นี่เธอดูไม่ออกเหรอ ฉันกำลังทำหน้าที่แฟนที่ดีอยู่ต่างหาก” “....!!” ถ้าเป็นคุณจะตอบว่ายังไง ส่วนผมได้แต่อ้าปากค้าง โนคอมเมนท์กับหนังหน้าผู้ชายคนนี้จริงๆ ที่เขาว่า ‘จนด้วยคำพูด’ เป็นยังไงเพิ่งจะซึ้ง แค่นี้ผมก็ร้อนฉ่าจนเหมือนได้ยินเสียงน้ำเดือดปุดๆอยู่บนหน้าแล้วล่ะครับ “ราตรีสวัสดิ์ กลับบ้านดีๆนะ” คนพูดเอื้อมมือมาบีบต้นแขนเบาๆ นั่นล่ะมั้งที่ทำให้ผมได้สติ ใบหน้าที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า...ก็ดูดี...มีรอยยิ้มบางๆช่วยดึงสายตาไปจากรอยหมองคล้ำใต้ดวงตาได้เยอะทีเดียว “คุณเองก็รีบๆปิดต้นฉบับละกันจะได้กลับบ้านกลับช่องซะบ้าง” ผมพ่นพรวดเหมือนคำพูดแบบนั้นมันจะลวกปาก เสร็จแล้วก็หันหลังโกยอ้าวออกมาจากตึก อากาศที่ด้านนอกเย็นกว่ามากเมื่อเทียบกับภายในที่ถูกปรับอุณหภูมิไว้ ตอนก่อนจะกลับเข้ามาอีกรอบผมว่ามันยังไม่หนาวขนาดนี้ แต่นี่แค่มีลมพัดมาเล่นเอาสั่นจนขนลุก อากาศยิ่งดึกยิ่งหนาว หรือเป็นเพราะหน้าผมมันร้อนอยู่ก่อนถึงได้รู้สึกหนาวมากขนาดนี้กันนะ “ชิ! ฝากไว้ก่อนเหอะ...” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆแล้วก็ออกวิ่งไปสถานีรถไฟ วิธีนี้นอกจากช่วยให้หายหนาวแล้วก็จะได้ถึงบ้านให้เร็วที่สุด ป่านนี้ฮิโยริคงรอให้ผมกลับไปส่งเธอเข้านอน ในเมื่อคนเป็นพ่อเขาไม่ว่าง ถ้าไม่ใช่ผมแล้วจะเป็นใครได้อีกจริงมั้ยล่ะครับ จบตอนแล้วจ้า มีแค่สามตอนนี่ล่ะนะ ตอนสุดท้ายก็ทิ้งทวน หวานกันไม่บันยะบันยังเลย :-[ :bye2:
อ๋าาาาาาาาาาาา อยากอ่านต่ออีกจัง ไม่มีแล้วหรอคะ :mew2: :mew2:
:pig4:
:pig4:l
:-[ :-[ :-[