-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com) ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
(http://www.mx7.com/i/bb0/ZaKFC3.jpg)
(http://www.mx7.com/i/75d/bBWqaF.jpg)
ตัวข้าเหวินฉีลี่ฉาง ยิ้มคราหนึ่งล่มเมือง ยิ้มอีกคราล่มแผ่นดิน
กลับกลายมาเป็นตัวอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง!
ที่แท้โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับชีวิตข้ากันแน่!
คืนนี้ร่ำสุราเดียวดายใต้ต้นเหมย
ผู้เคยเชยชิดเล่ากลับจรหาย
จันทราลางเลือน ตัวข้าเดียวดาย
ยวนยางคู่สูญสลาย..เหลือเพียงเถ้าเปล่าดายในพริบตา
ทักทายนักอ่าน
สวัสดีค่ะนักอ่านชาวเล้าเป็ดทุกคน ^^ ขอแนะนำตัวก่อนนะคะว่าเราชื่อเมษา หรือ เดือนเมษา หากตามนามปากกาสำหรับนิยายแนวจีนโบราณคือ ‘น้ำค้างหยกวสันต์’ เราชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่จำความได้ อ่านแนวบอยเลิฟมานานค่ะเกือบเก้าปีแล้ว สิงที่เล้ามาก็นานมากจนเป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่งดังนั้นจะไม่มาลงนิยายเรื่องนี้ในเล้าคงเป็นไปไม่ได้
ลิขิตจันทราเป็นนิยายแนวจีนโบราณเรื่องแรกที่เราเขียน บอกตามตรงว่าไม่ใช่นิยายแนวที่ถนัดเพราะเขียนในมุมมองบุรุษที่ 1 ดังนั้นทุกบรรทัดทุกตัวอักษรเราจึงใส่ใจมากในการเขียนเลยอาจทำให้แต่ละตอนออกมาล่าช้า กำหนดการอัพของเราจะอยู่ที่อาทิตย์ละ 1-2 ตอน
ตัวเอกในเรื่องนี้คือเหวินฉีลี่ฉาง ลี่ฉางเป็นตัวเอกในแบบที่เราไม่ได้เขียนนานแล้วค่ะ คือเป็นคนสวยชนิดว่าสวยกว่าผู้หญิง (บอกไว้ก่อนเพราะอาจไม่ถูกจริต) นิสัยของลี่ฉางไม่ได้ดีพร้อม เป็นคนที่มีจุดบกพร่อง มีมุมมืดอยู่ในตัวเหมือนคนอื่นทั่วไป จริงๆต้องบอกว่าทุกตัวละครในเรื่องล้วนมีข้อบกพร่องและไม่สมบูรณ์ค่ะ เพราะเราทุ่มเทที่จะสร้างเขาให้เป็นเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจไม่ใช่แค่ตัวละครจากปลายนิ้วเราเท่านั้น จึงอยากให้ช่วยติดตามกันไปเรื่อยๆจนถึงตอนสุดท้ายนะคะ (ซึ่งอีกหลายตอนเลย T__T)
-
(http://www.mx7.com/i/143/k4sJrR.jpg)
ตอนที่ ๑ เมื่อเทียนเล่มนั้นราแสง
แสงเทียนสีทองส่องสว่างจ้าเสียจนทำให้ดวงตาของข้าต้องหลับตาลงคราหนึ่งรับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอยู่รอบข้าง เสียงคร่ำครวญของพี่จื่อหรง สัมผัสอันอ่อนโยนของท่านเหมยที่ค่อยๆลูบเบาๆยังเส้นผมนุ่มสลวยดำขลับราวปีกกา คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาพร่ำกระซิบอะไรซักอย่างอยู่ริมใบหู สติอันลางเลือนสุดท้ายมิอาจฉุดรั้ง ข้าจมลงในห้วงแห่งภวังค์อันมืดดำ ไม่อาจทราบว่าที่แท้กำลังอยู่ในความฝันหรือความจริง
เมื่อลืมตาตื่นก็พบดวงตางดงามสีน้ำตาลส่องประกายเจิดจรัสเพริศพริ้งราวกับน้ำผึ้งสีทองที่หยาดกระทบแสงตะวันฉาย เส้นผมยาวทิ้งตัวลงราวกับม่านน้ำตก สีของราตรีคลี่ขจายคลุมทั่วเรือนกายอันงดงามที่นอนเอนอยู่บนเตียงอุ่น แสงจันทร์อ่อนละมุนลาดไล้ร่างบอบบางขาวนวลราวงาช้าง ดั่งเทพเซียนจากสรรค์แปลงกายมายังโลกหล้า พิสุทธิ์เลอค่าราวกับไข่มุกของสองมังกรหงส์[1] ทุกอย่างบนใบหน้าล้วนประกอบกันเป็นความงามเลิศล้ำ หนึ่งยิ้มล่มเมือง เมื่อคลี่ยิ้มอีกคราถึงกับล่มแผ่นดิน ฉางเอ๋อร์[2]หลีกลี้มิกล้ากล้ำกรายเยี่ยมเยือน
ข้ามองตัวเองที่กำลังทอดกายบนตั่งเตียงด้วยท่วงท่าดุจเดิม นิ้วเรียวยาวแตะที่ถ้วยชาอันวิจิตร สีสันความงามบนถ้วยชาเลิศหรูนั้นราวกับถึงดูดให้จางหาย มีพี่จื่อหรงคนดีคอยพัดวี มีท่านเหมยนั่งอยู่ข้างกายคลี่ยิ้มอ่อนโยนดุจมารดาเกลี้ยกล่อมข้าให้นอนเร็วหน่อย
ตัวข้า..ตัวข้า...ตัวข้า...
ครั้นเมื่อข้าก้มลงมองตัวเอง สีแดงของเลือดฉายฉานซึมลึกทั่วชุดขาวอันปักลายดอกเหมยอย่างประณีตย้อมให้ชุดขาวพิสุทธิ์กลับกลายแดงฉาน น้ำตาหยดร่วงลงบนฝ่ามือหยดแล้วหยดเล่ากลับกลายเป็นสีแดงก่ำดั่งเลือดนก ข้าคร่ำครวญหวนไห้ราวเสียงอันน่าสังเวชดังก้องไปมาราวกับเสียงโหยหวนของปีศาจ
ตัวข้าแสนสกปรก เปรอะเปื้อนแลอัปลักษณ์ยิ่ง จุดเริ่มต้นแห่งโศกนาฏกรรมนี้ที่แท้เริ่มขึ้นในคืนนั้น..
ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง คุณชายผู้เลิศล้ำอันดับหนึ่งแห่งหอดอกเหมย ตำหนักหมื่นวสันต์ ส่วนหลงจู๊[3]ผู้ดูแลหอนั้นคือท่านเหมยผู้ชุบเลี้ยงข้ามาตั้งแต่ยังแบเบาะ ตัวข้าฉายแววความน่ารักตั้งแต่ยังเล็ก ท่านเหมยถนอมข้ากว่าผู้ใดราวกับว่าเป็นตุ๊กตาน้ำตาลปั้นอันเปราะบางหากประคองไว้ในฝ่ามือก็กลัวตกแตก อมไว้ในปากก็กลัวจะละลายหาย เขารักข้ายิ่งนักนั่นจึงเป็นสาเหตุให้ข้ากลายเป็นอันธพาลน้อยในหอ แต่ยามใดที่พวกเขาโกรธข้าจะออดอ้อนด้วยความน่ารักจึงไม่มีผู้ใดโกรธเคืองข้าลง
ครานั้นข้าอายุได้หกขวบ ท่านเหมยเล่าว่าตัวข้าขาวราวหิมะดั่งเพียงพอนขาว[4] ปากช่างฉอเลาะเจรจาราวกับนกน้อย ท่าทีน่ารักยิ่งกว่าลูกแมว เดือนเจ็ดปีนั้นอ๋องสามเบิกบานยิ่งนักที่ลูกชายเขาแต่งงานถึงกับจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักหมื่นวสันต์อย่างยิ่งใหญ่สามวันสามคืน จักรพรรดิเสด็จในค่ำคืนหนึ่งเป็นการลับ ท่านเหมยออกไปต้อนรับพร้อมข้าที่ย่องไปเที่ยวเล่นในงานเลี้ยง ลูกแมวน้อยหรือจะรอดพ้นสายตามังกร จักรพรรดิ์โปรดข้าเสียจนออกโอษฐ์อยากได้ไปเลี้ยงเสียในวัง ท่านเหมยแสร้งบีบน้ำตาปิ้มว่าจะขาดใจตัดพ้อง้องอนกันอยู่หลายยกหวงตี้[5]จึงได้อนุญาตให้ข้าอยู่กับท่านเหมยต่อได้
สิบสองวสันต์ผันผ่าน ตัวข้าที่ฝึกฝนทั้งศิลปะทั้งสี่จนแตกฉาน ท่องอ่านทะลุปรุโปร่งสิ้นทุกตำราก็กลายเป็นที่หนึ่งในทำเนียบแห่งหมื่นวสันต์โดยไร้ข้อกังขาใด ตั้งแต่คนกวาดถนนจนถึงจักรพรรดิ์ บุรุษใดในเมืองหลวงจักไม่รู้จักเหวินฉีลี่ฉางแห่งตำหนักหมื่นวสันต์ ชื่อเสียงขจรขจายหอมหวานยิ่งกว่ากุ้ยฮวา[6]รัญจวนไปไกลหมื่นลี้ ยามนั้นข้าหยิ่งผยองยิ่งนัก จะมีผู้ใดบ้างเล่าอยู่ในสายตา แม้แต่รัชทายาทจะพบปะข้ายังต้องเกรงใจยามส่งเทียบเชิญ องค์ชายทั้งสิบข้าล้วนมิชายตาแล ในยามนั้นตัวข้าผู้โง่เขลาหลบหลู่คนไปมากเพียงใด เหยียบย่ำคนไปมากเท่าไหร่ไม่อาจนับได้ ครานี้หวนคิดถึงจึงได้เจ็บปวดใจยิ่งนัก
ยามอายุได้สิบเจ็ด หวงตี้เสด็จสู่สวรรค์ รัชทายาทผู้โง่เขลาถูกลอบวางยา องค์ชายทั้งสิบเข่นฆ่ากันจนเลือดกลายเป็นสายน้ำ แผ่นดินกลายเป็นเปลวไฟ ข้าแยกกันหลบหนีกับท่านเหมยนัดพบกันที่หอชื่นคิมหันต์ ณ หังโจว[7] นั่นเป็นความฝันของข้ามาเนิ่นนานที่อยากไปทัศนาซีหู[8]ทะเลสาบแสนสวยแห่งนั้นดูซักครา ค่ำคืนที่หลบหนีออกจากเมืองหลวงเป็นค่ำคืนเดือนดับ องค์ชายเจ็ด โอรสของสนมชั้นผินผู้ต่ำต้อยก็กลับกลายเป็นฮ่องเต้ ส่วนพี่น้องของเขาที่เหลือ ไม่ตายก็กลายเป็นคนวิปลาสไปสิ้น เป็นคนผู้เหี้ยมโหดยิ่งนัก
ตอนนั้นข้ารู้ตัวมิอาจหวนคืนหมื่นวสันต์ได้อีกแล้ว ในตอนที่ข้ารุ่งเรืองเคยหักหน้าเขาไปไม่รู้กี่มากน้อย ปฏิเสธเขาไปไม่รู้กี่หน กลั่นแกล้งให้เขาได้อายคราแล้วคราเล่า มิคาดยังไม่พ้นเมืองดีทั้งข้าก็ถูกจับได้ ที่แท้มีคนของเขาจับตาดูเราอยู่ทุกฝีก้าว ต่อให้ข้ากลายเป็นนกก็มิอาจโผบินจากกรงแค้นของปีศาจร้ายไปได้
เขาในชุดมังกรนั่งอยู่บนบัลลังค์ ผิวกร้านดำด้วยกรำศึกมาหลายสมรภูมิ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยไม่บ่งบอกว่ามีอะไรซ่อนไว้ในใจ มือที่จับทวนเปลี่ยนเป็นจับจอกเหล้าทองคำ ท้องพระโรงร้างไร้ผู้คนมีเพียงเสียงหายใจของข้าและเขา
“รับคำเชิญของข้าได้แล้วหรือเหวินฉีลี่ฉาง” เขาหยักยิ้มที่มุมโอษฐ์ ข้าเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว ที่แท้ต้องถามว่าข้าหรือเคยเกรงกลัวผู้ใด
“เป็นคำเชิญที่รุนแรงจริงนะฝ่าบาท” ข้าแสร้งทำความเคารพเขาราวลิงหลอกเจ้าชูข้อมือที่ถูกมัดด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน เขากวักมือเรียกข้าไปหาแต่ตัวข้าผู้นี้มีหรือจะไป
“ถึงตอนนี้เจ้าก็ยังแข็งข้อกับข้าอีกหรือ?” เขาเป็นฝ่ายลงมาหาข้า ตัวเขาสูงใหญ่จนร่างข้ากลายเป็นเด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้า ต้องแหงนคอมองถึงจะพอรู้สึกทัดเทียมได้บ้าง
“ตัวข้ามีหรือจะกล้าแข็งข้อกับฝ่าบาท” น้ำเสียงแสนหวานอย่างยั่วเย้าเช่นนั้น คนโง่เง่าก็รู้ว่าหาความจริงใจไม่ได้ มิคาดคิดเขาหัวเราะดังก้องท้องพระโรงเอ่ยมาเพียงสามคำ
“ดี ดีมาก เจ้าช่างดีนักเหวินฉีลี่ฉาง!”
ข้าหวีดร้องเมื่อเขาจับข้าพาดบ่าโยนลงโครมบนบัลลังค์ทองอย่างไม่คาดฝัน ดวงตาแข็งกร้าวดุดันแดงก่ำ ใบหน้าเขาคล้ายปีศาจร้าย ข้าผวาหนีลงจากบัลลังค์มังกรแต่มิอาจพ้นมือกร้านดำที่จับรอบเอวแล้วกระชากกลับสู่เบาะทอง อาภรณ์ไหมชั้นเลิศจากซูโจว[9]ถูกฉีกทึ้งจนกลายเป็นเศษผ้าเช่นเดียวกับตัวข้าที่กลายเป็นดั่งแพรไหมนั้น ถูกย่ำยีจนขาดวิ่นและร่วงรินสู่พื้นโดนเหยียบย่ำจนเปรื้อนเปรอะซักล้างเท่าไหร่ปะชุนเพียงใดก็มิอาจมาสวมกายใส่ได้ดั่งเดิม
มิทราบว่ากี่เดือนที่ถูกล่ามโซ่ไว้กับเตียงของเขาทุกวันทุกคืนจนข้าแทบวิปลาส เขามีสนมนับพันแต่กลับหมกหมุ่นอยู่กลับข้า เหวินฉีลี่ฉางกลายเป็นชื่อของต๋าจี่[10]คนใหม่ที่มาทำลายแผ่นดินต้าหลง พวกเขาล้วนพูดกันว่าผู้ที่ทำให้องค์ชายเจ็ด หลงจิ่นสือลุกขึ้นมาจับทวนเข่นฆ่าพี่น้องคือตัวข้าผู้นี้ ผู้ที่ล่อหลอกและจูงจมูกเจ้าฮ่องเต้เดรัจฉานนั่นก็คือตัวข้าผู้นี้อีกเช่นกัน ข้าหัวร่อจนแทบไร้เสียงยามที่ได้ยินเรื่องนี้จากขันทีน้อย เงาในกระจกมิอาจสะท้อนตัวข้าผู้ผลิบานราวกับดอกเหมย ข้ากำลังโรยราคล้ายดอกสาลี่พร่างพรูลงสู่พื้นจนสิ้น มิเหลือซึ่งความงามใดๆให้ชื่นชมเช่นนี้หรือจะเป็นต๋าจี่ คนงามผู้ล่มแผ่นดิน
“เจ้าร้องไห้หรือฉางเอ๋อร์?” เขาหยุดขยับตัวจ้องมองข้าที่ถูกพันธนาการอยู่บนเตียง เชือกสีแดงขึงอยู่ด้านบนมัดมือข้าจนไม่อาจขยับ ขาข้างหนึ่งถูกโซ่เส้นใหญ่ล่ามอีกข้างหนึ่งเป็นเขาที่พันธนาการมันไว้ด้วยมืออันแข็งแกร่งไว้ที่ข้างเอว ข้ามิตอบคำเพียงแต่เงยหน้ามองลายมังกรด้านบน อา..งดงามจริงๆ หากกลับไปหมื่นวสันต์ข้าจักสั่งให้ช่างมาสลักลายงดงามเช่นนี้เหนือเตียงบ้างดีไหมนะ
“ฉางเอ๋อร์ตอบข้า..มองข้า.. เจ้าจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ มองข้าเดี๋ยวนี้!” เขาคำรามกระแทกกระทั้นเข้ามาจนเตียงสั่นคลอน ข้ามิอาจมองลายสลักแสนสวยได้อีกต่อไปเพราะความรุนแรงของเขาทำข้าวิงเวียนไปหมด ข้าถูกบังคับให้มองใบหน้ากร้านแดดที่กำลังบิดเบี้ยว เขากำลังเฆี่ยนตีข้าด้วยกามาเหมือนเช่นเคย แต่ตัวข้าชินชากับรสชาติของเขา ความเจ็บปวดจุกเสียดอย่างเดือนแรกๆไม่หลงเหลือ นั่นเป็นปัญหาใหญ่ของคณิกาเชียวนาเรื่องหลวมไม่หลวมเนี่ย ข้าคิดอย่างอดสูถ้าพี่น้องหมื่นวสันต์รู้ข้าคงโดนล้อเป็นแน่
“ฉางเอ๋อร์..ฉางเอ๋อร์” ข้าขมวดคิ้ว จะเรียกทำไมนักหนารีบๆทำให้เสร็จๆไปเถิดข้าง่วงจะแย่อยู่แล้ว หรือว่าของข้ามันหลวมเกินไปกันแน่...ข้าขมวดคิ้วอีกครา เหนื่อยเกินกว่าจะเอาอกเอาใจให้เขาเสร็จสม หลับตาลงทอดถอนใจตกลงภวังค์แห่งความดำมืด
ผันผ่านไปหนึ่งปี ตัวข้ากับเขาเริ่มสมานฉันท์กันมากขึ้น ยามอยู่บนเตียงข้ายอมตอบสนองโอนอ่อนแก่เขามากหน่อย เขาเองก็ผ่อนปรนและเอาใจข้าอย่างยิ่ง เหตุที่ทำให้ข้ายอมใจอ่อนกับเขาเป็นเพราะเมื่อคราวก่อนข้าอดข้าวหวังจะตายให้พ้นจากขุมนรกนี้ไปเสีย เราสองทะเลาะกันรุนแรงเสียจนตำหนักมังกรเหินของเขาแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
"ข้าอยากตายๆไปให้พ้นจากปีศาจบัดซบอย่างท่านเสีย!!" ข้าหวีดร้องยามถูกโยนขึ้นเตียงอีกครา คราวนี้เขาชะงักชะงันราวโดนแสงอสุนีบาตฟาดลงกลางศีรษะ ท่าทางตะลึงทึมทื่อเช่นนั้นข้ามิเคยพบเห็นมาก่อนจากปีศาจไร้ใจเช่นเขา
"เกลียดข้า..จนอยากตายเลยหรือ?" เสียงของเขาพร่าสั่น มือที่กุมต้นแขนข้าไว้ระริกจนน่าประหลาด มิทราบว่าด้วยอารมณ์อันใดกันแน่ ใบหน้าของจักรพรรดิ์พระองค์ใหม่นี้บิดเบี้ยวเหยเกราวถูกบังคับให้กินยาขม เขาสะบัดชายเสื้อคลุมจากไปทิ้งข้าไว้ในให้อยู่ในความงุนงงบนเตียง นั่นเป็นคืนแรกที่เขามิอยู่ร่วมห้องกับข้า ข้าดีใจเสียจนลิงโลดและเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างสบายใจยิ่งนัก
เช้าวันต่อมาข้าตื่นเร็วว่าทุกวันด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งแจ่มใส เหล่าขันทีน้อยรายล้อมช่วยหวีผมและแต่งตัว ข้าส่องกระจกทองเหลืองด้วยความเบิกบานคลี่ยิ้มละไมให้แก่พวกเขาเป็นบุญตา ทว่าเด็กโง่งมพวกนี้กลับทำหน้าทุกข์โศกราวกับสวรรค์ล่มพิภพจะทลายวันนี้วันพรุ่งเสียอย่างนั้น
"เป็นอะไรกันไปหมด? ใยพวกเจ้าทำท่าหดหู่เช่นนั้น" ข้าถามพวกเขาด้วยท่าทีนิ่งเฉยเยือกเย็นอย่างยิ่งแต่ดวงตาแอบปรายมองกระจกทองเหลืองอย่างแนบเนียน ใยหนึ่งยิ้มล่มเมืองของข้าทำผู้อื่นหดหู่หรืออดอาหารไปหนึ่งวันใบหน้าซูบผอมจนไม่น่ามองกันแน่?
"ค..คุณชาย ฮ..ฮึก" พวกเขาทำหน้าคล้ายจะสะอื้นไห้ เด็กน้อยบางคนแอบหันหน้าเบือนหนีไปร่ำไห้ตัวสั่นระริกอยู่ผู้เดียว ส่วนเจ้าคนที่สนิทสนมกับข้าที่สุดทำหน้าตาคล้ายถูกบังคับให้กินยาพิษอย่างไรอย่างนั้น
"ถ้ามิบอกกล่าวแก่ข้ามาตามตรง ข้าจะเล่นงานพวกเจ้าทั้งหมดให้หนักเลยเทียว" ข้าแสร้งขมวดคิ้วทำหน้าขุ่นเคืองใจ เด็กน้อยทั้งหลายลนลานคุกเข่าร่ำไห้ขอร้อง สุดท้ายจึงได้เรื่องว่าเจ้าปีศาจนั่นโบยตีขีนทีน้อยผู้หนึ่งของข้าปางตาย ข้าโกรธจนแทบเป็นลมให้เด็กๆนำทางไปหาเขา วันนี้ตายเป็นตาย!
มิคาดเขาไม่ได้ไปตำหนักสนมนางใดนางหนึ่งแต่กลับมานอนพักอยู่ที่ห้องหนังสือในตำหนักข้านี่เอง...หรืออันที่จริงนี่คือตำหนักเขาต่างหากข้าเป็นเพียงผู้อาศัยคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงหน้าประตูก็มองมันอยู่ครู่หนึ่งไตร่ตรองว่าควรทำอย่างไรระหว่างเตะประตูเข้าไปอย่างองอาจกับค่อยๆเจรจากับหวงตี้ปีศาจผู้นี้
ที่สุดแล้วเมื่อคิดตกจึงตั้งใจใช้ท่าทีห้าวหาญเพื่อข่มขวัญเขา ถีบประตูเข้าไปด้วยท่วงท่าแข็งแรง มิคาดเขาดันเปิดประตูออกมาพอดีด้วยท่าทีง่วงงุน ทั้งร่างข้าล้มโครมทับเขาเจ็บและจุกจนมิอาจพูดอะไรได้ เขาดูจะตกใจไม่น้อยค่อยๆพยุงข้าขึ้นและดึงไปกอดไว้ในอ้อมอกเขา เราทั้งสองยังนั่งอยู่บนพื้นด้วยทีท่าไม่สำรวมอย่างยิ่ง เขามองข้าอย่างปวดใจคราหนึ่ง ลูบปรางค์งามทั้งสองอย่างเชื่องช้า
"เจ้าซูบผอมลงนะลี่ฉาง วันนี้ก็อย่าใจแข็งเลย กินอะไรบ้างเถิด" อดอาหารหนึ่งวันจะซูบผอมลงได้กี่มากน้อยกัน ข้าร้องฮึปรายตามองเขาอย่างเย็นชา
"หากข้าไม่กินท่านจะโบยตีเด็กน้อยของข้าหรือ" เขานิ่งเงียบไปคราหนึ่งคล้ายจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบลง ท้ายสุดก็วาจาอันเย็นเยียบไร้ใจอย่างยิ่ง
"หากเจ้าอดข้าวหนึ่งมื้อ ข้าจะฆ่าขันทีน้อยหนึ่งคน หากเจ้าคิดสั้นจะตายให้ได้ ข้าจะฆ่าพวกมันทั้งตำหนักลงปรโลกไปเป็นเพื่อนเจ้า" ข้าสะท้านใจไปเยือกหนึ่งตัวแข็งเกร็ง เขาอุ้มข้าไปนั่งที่ตั่งหยกทั้งที่เอ่ยประโยคใจร้ายเช่นนั้นแต่กลับลูบเส้นผมข้าอย่างอ่อนโยนยิ่ง พึมพำอยู่สองสามคำข้างหู "ใยแต่งตัวไม่เรียบร้อยเช่นนี้"
ตอนนั้นข้าตาพร่ามัวด้วยน้ำตามิอาจทราบถึงความอ่อนโยนของเขา รู้อีกทีก็ตอนที่เขากำลังใช้หวีงาช้างอันประณีตหวีเส้นเกศาดำปลอดให้ข้า น้ำตาข้าร่วงรินลงหนึ่งหยดเขาจึงจับข้าอิงไว้ที่อกกว้างนั้นด้วยสีหน้าปวดใจอย่างยิ่ง
"อย่าร้องไห้ฉางเอ๋อร์ อยู่กับข้าอย่าร้องไห้ให้ข้าเห็นอีกเลย" ริมฝีปากเขาซับน้ำตาให้ข้าอย่างนุ่มนวล ข้าเม้มปากแน่น ลงโทษเขาด้วยการมิพูดสิ่งใด สาบานกับตัวเองไว้ว่าจะมิใจอ่อนเอ่ยวาจาใดๆแก่เขา จะมิให้อภัยเขาง่ายๆ บนเตียงข้ายอมโอนอ่อน อยู่นอกเตียงข้าก็ไม่ขัดใจ เพียงแต่ไม่เอ่ยอันใดกับเขาก็เท่านั้น
แต่เขากลับยิ่งเอาอกเอาใจก็มากขึ้นกว่าเดิม เขาจูบข้าอย่างอ่อนหวาน กอดข้าอย่างถนอม แตะต้องตัวข้าราวกับข้าเป็นกลีบดอกบัวน้อยดอกหนึ่ง ข้ามักตื่นมากลางดึกบ่อยๆเพราะเขาจุดตะเกียงอ่านฎีกา โต๊ะเล็กๆข้างเตียงและแผ่นหลังของเขาที่พิงขอบเตียงกลายเป็นภาพจำหนึ่งในการตื่นของข้าไปเสียแล้ว เมื่อเขาทราบว่าข้าตื่นจากนิทราจะละมือจากฎีกามากมายดับตะเกียงไปครู่หนึ่งแล้วปีนขึ้นเตียง กอดข้าไว้ในอ้อมอกลูบเส้นผมของข้าอย่างแสนรักและโยกตัวเบาๆคล้ายเห่กล่อมให้ข้านอนหลับ
"หลับเถิดฉางเอ๋อร์ ข้าอยู่นี่แล้ว" เขากระซิบแผ่วเบา ข้าพยักหน้าและหลับไปในอ้อมกอดเขา เป็นเช่นนี้อยู่เสมอๆ
ข้ามักตื่นสายกว่าเขาจึงมิอาจร่วมโต๊ะกับเขาในตอนเช้า ยามตื่นมาขันทีน้อยก็กำลังแต่งตัวให้เขาอย่างเงียบเชียบไม่กล้าปริปาก เขามักส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนเชยคางข้าขึ้นมาจูบเบาๆ เขาบอกว่านั่นเป็นการขอกำลังใจก่อนต้องออกไปประชุมกับขุนนางทั้งหลาย ข้าเฝ้ามองแผ่นหลังนั้นเดินออกไปนับวันยิ่งรู้สึกเหว่ว้ามากขึ้นเสียจนบางครั้งนึกอยากให้เขาอยู่ต่อนานกว่านี้อีกหน่อย
เมื่อข้าเบื่อกับการใช้ชีวิตในตำหนักของเขา ถอนหายใจเข้าหลายครา นอนเอื่อยเฉื่อยเข้าหลายครั้ง เหล่าเด็กน้อยของข้าคงไปรายงานเรื่องนี้กับเขากระมัง เขาจึงมอบกู่ฉินโบราณให้ ยามบ่ายเขานั่งตรวจฎีกาข้านั่งเล่นพิณ ยามค่ำโต๊ะหยกตัวใหญ่ถูกวางข้างเตียง ข้ากับเขานั่งเคียงกันประลองหมากล้อมหนึ่งตา ก่อนจะเข้านอนเขามักจะลงมือหวีผมให้ข้า ทำอย่างนี้เสียจนเคยชิน เขารักเส้นผมของข้าอย่างมาก บำรุงดูแลเสียจนมันนุ่มนิ่มราวกับแพรไหม ถึงอย่างนั้นหวีไปก็เสียเวลาเปล่า ทุกคืนเขาก็เป็นฝ่ายทำให้เส้นผมข้ายุ่งเหยิงพันกัน วันไหนเขาครึ้มอกครึ้มใจก็พาข้านั่งไปในเรือเล็กลำหนึ่งลอยละล่องในสระบัวกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา
"จำได้หรือไม่ เราพบกันที่นี่ในงานเลี้ยงชมบุปผา" เขากอดข้าจากด้านหลังคางวางไว้ที่ไหล่ ท่าทีไม่สำรวมเช่นนี้ข้าเห็นจนเคยชินเสียแล้ว
"วันนั้นข้าโดนเสด็จพ่อตำหนิ มิมีผู้ใดกล้าออกหน้าช่วยเหลือ เหล่าองค์ชายต่างทับถมดูแคลน มิคาด...คนที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือจะเป็นเหวินฉีลี่ฉางผู้เลิศล้ำแห่งหมื่นวสันต์" เขาย้อนเล่าเรื่องราวในอดีตคล้ายคนละเมอผู้หนึ่ง "เจ้าที่เย่อหยิ่งยโสกลับยื่นมือเข้าช่วยเหลือ มิคาดเลยจริงๆ"
เขาพึมพำเช่นนั้นหลายครั้ง จับมือข้าขึ้นจูบเบาๆอย่างใจลอย ข้าหวนนึกถึงเรื่องนั้นแล้วจึงเพิ่งทราบว่าการออกหน้าช่วยเหลือองค์ชายชั้นต่ำที่มักโดนรังแกผู้หนึ่งกลับกลายเป็นเรื่องฝังจิตฝังใจเขาถึงเพียงนี้ แต่เมื่อมานึกๆดูข้าเองก็เคยช่วยเหลือเขาอยู่หลายครั้ง ค่อนข้างปฏิบัติต่อเขาอารีกว่าองค์ชายผู้อื่นอยู่หน่อยเพราะทราบดีว่าเขาน่าสงสารกว่าพี่น้องอยู่บ้าง เมื่อคราวอยู่กับหวงตี้รัชกาลก่อนเคยเอ่ยชมเขาอยู่ไม่กี่ประโยค มิคาดกลับทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นจวิ้นอ๋อง แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็เคยหักหน้าปฏิเสธเขาไปหลายที ทำให้เขาอับอายบ้างก็มี เมื่อมาคิดๆดูแล้วข้าสร้างหนี้ดอกท้อไว้เยอะเสียจริง
เมื่อหวนรำลึกถึงเขาผู้นั้นแห่งนั้นหัวใจกลับรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ข้าถอนหายใจอย่างปลดปลงเมื่อทราบว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต หลังจากเทศกาลปีใหม่สิ้นสุดลงตัวข้าผู้เป็นชายบำเรอหนึ่งเดียวของเขาก็ได้สิทธิตามเสด็จประพาสซีหู เรื่องนี้มาจากตอนที่เขาทราบว่าข้าอยากไปเห็นทะเลสาบแห่งนั้นดูซักครา จึงไม่ลังเลจะเคลื่อนขบวนจากพระราชวัง
ข้านอนอยู่บนระเบียงเรือมังกรลำใหญ่ทอดสายตามองยังทะเลสาบ เขากกกอดกายข้าอยู่ไม่ห่างจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างอ่อนหวาน อาภรณ์ของเราสองคือสายลมวสันต์ยามตัวข้าสะท้านหนาวเขาก็ให้ความอบอุ่นด้วยเนื้อกาย
“เจ้าจะไม่พูดกับข้าหน่อยหรือฉางเอ๋อร์” เขากระซิบโอบกอดข้ายามที่ตัวข้าสั่นระริก ผ้าห่มขาวผืนเดียวห่อกายสองเราไว้ ราตรีนี้ไร้แสงจันทร์มีเพียงดวงดาวที่เดียรดาษอยู่ทั่วท้องฟ้า เราทั้งคู่ต่างก็คล้ายยวนยางคู่หนึ่งที่กกกอดพลอดรักกันอยู่กลางทะเลสาป
“เอาเถอะ ไม่พูดก็ไม่เป็นไร” เขาโยกตัวเบาๆราวกับเห่กล่อมเด็ก จุมพิตลงที่ไหล่ราวกับแมลงปอร่อนแตะผิวน้ำ เส้นผมข้าที่เขาหวีให้ถูกจรดจูบอย่างทะนุถนอมยิ่งนัก
“เป็นข้าที่ผิด” เขาจุมพิตที่ขมับด้านขวา “ข้าเองที่ทำร้ายเจ้า ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้” นิ้วมือนั้นไล้ตามตัวข้าด้วยความอ่อนโยน สัมผัสแสนรักของเขาทำให้ข้าไม่อาจกลั้นน้ำตาที่ไหลรินอยู่ในอก บอกตัวเองเสมอว่าจงอย่าใจอ่อนกับเขา ข้าจะจงชังเขาไปชั่วชีวิต แต่ถึงตอนนี้ตัวข้ากลับไม่มีแรงจะไปเคียดแค้นผู้ใดได้อีก เหนื่อยล้าจนอยากนอนพักหลับใหลไปนิรันดร์ ข้าเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครา ครานี้เมื่อตื่นมากลับเจอเขาทำหน้าตระหนกตกใจอย่างยิ่ง ด้านข้างมีหมอหลวงชราผู้ทำหน้าอมทุกข์ราวกับเพิ่งกินดีขมเข้าไป
“เป็นข้าไม่ดีเอง..ฉางเอ๋อร์ข้าผิดต่อเจ้า เป็นข้าที่ไม่อาจปกป้องเจ้าไม่ได้” เขาโศกเศร้าทำไมกันหนอ ใบหน้านั้นทุกข์ทรมานบิดเบี้ยวดูน่าสงสารยิ่งนัก หัตถ์กร้านแกร่งคว้ามือข้าไปจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร่ำเอ่ยแต่คำขอโทษ “ข้าจะหาตัวคนที่มันวางยาเจ้ามาให้ได้ ข้าจะฆ่ามัน! ถลกหนังมัน! ให้มันตายไม่ได้กลบฝัง!”
“ร..รู้แล้วหรือจิ่นสือ?” เสียงข้าใยแห้งแล้งนักเพียงไม่ได้พูดมาไม่กี่เดือน ข้าคลี่ยิ้มจางๆลูบเส้นผมดำปลอดอย่างแผ่วเบา พิษนิทราวสันต์..ตัวข้าที่ศึกษาตำราแพทย์จนแตกฉานมีหรือจะไม่รู้จัก
“จ..เจ้ารู้?” ใบหน้าเขาตื่นตระหนก ข้าหัวเราะแผ่วเบาในลำคอตอบคำถามด้วยคำถาม
“ท่านรักข้าหรือไม่จิ่นสือ”
“ย่อมรัก ข้ารักเจ้าอย่างยิ่ง” เขาโอบกอดข้า จุมพิตข้าอย่างถนอมซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับหวาดกลัวว่าข้าจะหลุดลอยจากอ้อมกอดเขา ข้าคลี่ยิ้มละไมอ่อนจางยิ่งกว่าสีอิงฮวา[11] ที่กำลังโรยรา
“ดียิ่งนัก” ข้าหัวเราะ ร่างกายนี้มิอาจทนพิษได้ไหวอีกต่อไป ตัวเขาจะต้องเจ็บปวดยิ่งนักหากชีวิตน้อยๆของข้าหลุดลอยไป ข้าฆ่าเขาไม่ได้และมิอาจหลุดออกจากกรงอันแน่นหนาของเขา ตลอดหนึ่งปีที่ผันผ่านแม้เขาจะปฏิบัติต่อข้าอย่างดียิ่งแต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องอภัยให้เขา ในเมื่อข้ารู้หัวใจเขาชัดเจนแล้ว สิ่งเดียวที่ข้าจะทรมานบุรุษผู้นี้ได้คงเป็นวิธีนี้เท่านั้น ..ถือว่าข้าเอาคืนท่านเล็กๆน้อยๆเถิดจิ่นสือ สองปีนี้บนเตียงท่านข้าไม่อาจลืมชั่วชีวิตและตัวตนของข้านับจากนี้จักฝังอยู่ในความทรงจำของท่านไปตลอดเช่นกัน...เช่นนี้ยุติธรรมดีหรือไม่
“ท่านจะฆ่าล้างวังหลังเลยหรือไม่หากข้าตายไป” เขาคำรามในลำคอราวกับสัตว์บาดเจ็บที่เกรี้ยวโกรธ ข้ายิ่งหัวเราะแผ่วเบาชอบใจ ไล้มือตามโครงหน้าเข้มคมอย่างโรยแรง “ข้าเต็มใจโดนวางยาพิษเอง อย่าได้โทษใครเลย”
“เจ้า!!” เขาโมโหแต่กลับไม่กล้าตวาดข้ารุนแรง ท่าทีอัดอั้นช้ำใจอยากลงไม้ลงมือของเขาข้ารู้ดีแก่ใจจนอดขบขันไม่ได้ ปีแรกเขารังแกข้าจนแทบวิปลาส เนื้อตัวข้ามีจุดไหนที่ไร้รอยช้ำจากจูบของเขา หมอหลวงเข้าออกห้องนอนเป็นว่าเล่น ปีที่สองเขากลับถนอมข้าราวหยกล้ำค่า น่าเสียดายไม่อาจทราบว่าปีที่สามปีศาจผู้นี้จักเปลี่ยนไปเช่นไรอีก
“พิษนิทราวสันต์ไร้ทางแก้ ยกเว้นแต่ได้ยาจากตำหนักหมื่นวสันต์” ข้าทอดกายในอ้อมกอดเขาอย่างสบายอารมณ์ ความง่วงงุนมาเยือนอีกคราจนเกือบเผลองีบหลับ “ท่านเหมยอยู่ที่หอชื่นคิมหันต์ ห่างจากที่นี่ไปยี่สิบลี้” ใบหน้ารวดร้าวของเขาเองก็เช่นกัน..ข้าไม่อาจลืมไปชั่วชีวิต
การฟื้นตื่นครานี้ข้าได้พบปะท่านเหมยอีกครั้ง ส่งยิ้มให้เขาอย่างแสนคิดถึง พี่จื่อหรงร่ำไห้อยู่ด้านซ้ายโผเขากอดข้าเต็มแรง ข้าหัวเราะเบาๆกอดพวกเขาทั้งสองอย่างแสนรักเป็นครั้งสุดท้าย เพียงเท่านี้แค่ได้หลุดออกจากกรงของเขาซักเสี้ยวนาทีข้าก็พอใจมากแล้ว
“นิทราวสันต์เมื่อถูกใช้ติดต่อกันเนิ่นนานมิอาจรักษา เจ้าก็รู้ดีใยถึงกินยาพิษนั่นเข้าไป!” ข้าคลี่ยิ้มละไมทอดกายสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย กลิ่นดอกเหมยจางๆระรื่นชื่นนาสิก...สุขสงบยิ่งนัก เสียงรอบข้างดังแผ่เบาและห่างไกลออกไป เมื่อครู่ท่านเหมยเพิ่งพูดสิ่งใดกับข้านะได้ไม่ยินมิค่อยชัดนัก ตอนนี้ดวงตากำลังจะปิดลงอีกคราเพราะความง่วงงุนที่ถาโถม
“ท่านเหมยข้าง่วงอย่างยิ่ง” ข้ากระซิบเพิ่งตื่นทำไมถึงง่วงได้ปานนี้หนอ อ้อ..คงจะเป็นผลจากพิษนิทราวสันต์ เวลาของข้ากำลังจะสิ้นสุดหรือทั้งที่เพิ่งจะได้พานพบความสุข...ช่างเป็นความสุขสงบที่แสนสั้นยิ่งนัก น่าเสียดาย..น่าเสียดาย
“ไม่! ลี่ฉางเจ้าอย่าหลับ ตื่นขึ้นมา! ตื่น!” ข้าหัวเราะร่วน ท่านเหมยผู้สงบนิ่งกลับร้อนรนได้ถึงเพียงนี้ ข้ากระซิบพึมพำด้วยความง่วงงุน
“รักท่านยิ่งนัก..อาเหนียง”
แสงเทียนสีส่องสว่างจ้าเสียจนทำให้ดวงตาของข้าต้องหลับตาลงคราหนึ่งรับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอยู่รอบข้าง เสียงคร่ำครวญของพี่จื่อหรง สัมผัสอันอ่อนโยนของท่านเหมยที่ค่อยๆลูบเบาๆยังเส้นผมนุ่มสลวยดำขลับราวปีกกา คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาพร่ำกระซิบอะไรซักอย่างอยู่ริมใบหู สติอันลางเลือนสุดท้ายมิอาจฉุดรั้ง ข้าจมลงในห้วงแห่งภวังค์อันมืดดำ ไม่อาจทราบว่าที่แท้กำลังอยู่ในความฝันหรือความจริง ข้าพบเจอกับจิ่นสือ เขาดูร้อนรนยิ่งนักโอบกอดข้าไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา น้ำตาเขาพร่างพรู ดวงตาแดงก่ำร้องคร่ำครวญโหยหวนราวกับจอมปีศาจที่ถูกควักเอาหัวใจไป
ก่อนลมหายใจสุดท้ายจะหลุดลอย จู่ๆความรู้สึกอันแปลกประหลาดอย่างหนึ่งก็บังเกิดขึ้นมาในอกข้า ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวว่าหลังจากหลับตาครานี้มิอาจพบเจอเขาอีก ความรู้สึกเช่นนี้แล่นมาจุกที่คอทำให้ข้านึกอยากจะเอ่ยคำพูดซักหลายประโยคแก่เขา คล้ายมีเรื่องมากมายที่ยังไม่บอกกล่าวฉุดรั้งใจให้อาวรณ์ในตัวเขาผู้นี้ยิ่งนัก อยากจะกอดร่างแข็งแกร่งเอาไว้แน่นๆซุกหาความอบอุ่นอยู่ในอกกว้าง อยากหลบอยู่หลังแผ่นหลังอันเข้มแข็งให้เขาเป็นปราการปกป้อง อยากอยู่บนฝ่ามือใหญ่ให้เขาทะนุถนอมประคอง ความรู้สึกนั้นมันล้นปรี่มาที่ดวงตาและไหลรินลงมาอย่างช้าๆ แสงเทียนในห้องแจ่มจ้ายิ่งนักเช่นเดียวกับความรู้สึกข้าที่เพิ่งแจ่มจรัสวาบมาในอก อบอุ่น..อ่อนหวานและขมปร่าที่ปลายลิ้น..อา เป็นเช่นนี้เองความรู้สึกของความรัก
..ความรักที่ข้าเพิ่งรู้จักในคราที่แสงเทียนชีวิตข้ามอดดับลง..
ข้ารวบรวมพลังอันอ่อนล้าได้ครั้งสุดท้าย ยกมือที่โรยแรงลูบใบหน้าเขา ยิ้มอย่างแผ่วเบากระซิบคำพูดนึงแสนลางเลือน
“ข้าช่าง..โง่งมยิ่งนัก”
..ความรักท่านมอบให้ข้า ข้าประจักษ์ชัดแก่ใจนานแล้ว
..ความรักข้าให้ท่าน ข้าเพิ่งตระหนักในวาระสุดท้ายที่เราต้องพลัดพราก
..หากมีโอกาสอีกครา...ข้าจะตอบแทนความรักของท่านอย่างแน่นอน
..หากมีโอกาสอีกครา...ข้าจะเป็นฝ่ายรักท่านก่อนบ้าง
...หากมีโอกาสอีกครา..
..หากมีโอกาสอีกครา..
-
เชิงอรรถ
[1] ไข่มุกของสองมังกรหงส์ - เรื่องเล่าปรัมปราของจีนเกี่ยวกับกำเนิดทะเลสาปซีหู เมื่อบรรพกาลมีสองเซียนรักใคร่สนิทสนมกัน เซียนมังกร อวี้หลงและหงส์ทอง จินเฟิ่งครอบครองไข่มุกซึ่งส่องประกายงดงามเลิศล้ำที่สุดในแผ่นดิน มุกวิเศษนี้ถูกชิงไปโดยเจ้าแม่ซีหวังมู่และร่วงหล่นสู่พื้นก่อกำเนิดทะเลสาปซีหูเช่นปัจจุบัน
[2] ฉางเอ๋อร์ – เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ตามความเชื่อปรัมปราของจีน เป็นคนรักของโฮ่วอี้ผู้ยิงธนูดับอาทิตย์ทั้งเก้าดวง มีชื่อเสียงเรื่องความงาม
[3] หลงจู๊ – ผู้จัดการร้าน [สืบค้นจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน]
[4] เพียงพอนขาว - เพียงพอน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในสกุล Mustela ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงศ์ Mustelidae เป็นสัตว์ขนาดเล็กกินเนื้อเป็นอาหาร มีรูปร่างเพรียวยาว ส่วนขาทั้งสี่ข้างสั้น มีนิ้วเท้า 5 นิ้ว เล็บมีความแหลมคม แต่พับเก็บเล็บไม่ได้ ปากแหลม ภายในปากมีฟันแหลมคม ในอดีต เพียงพอนมักถูกมนุษย์ล่า เพื่อนำขนและหนังไปทำเป็นเสื้อขนสัตว์ที่เรียกว่าเสื้อขนมิ๊งค์ ในปัจจุบัน ในบางชนิดนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง [สืบค้นจากวิกิพีเดีย]
[5] หวงตี้ [皇帝] - หวงตี้เป็นสำเนียงจีนกลางแปลว่าผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ โดยปกติคนไทยมักเรียกฮ่องเต้ตามสำเนียงฮกเกี้ยน
[6] กุ้ยฮวา - ดอกหอมหมื่นลี้ ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Osmanthus fragrans Lour. เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก 1-7 เมตร มีกลิ่นหอมเย็น นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ [สืบค้นจากฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษาศาสตร์]
[7] หังโจว [杭州] - เป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมืองหังโจว ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ 1 ใน 6 ของประเทศจีน หังโจวจึงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่า เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ มีวัฒนธรรมที่ยาวนาน และเป็นเมืองที่มีทัศนียภาพที่สวยสดงดงามเมืองหนึ่งของประเทศจีน [สืบค้นจากวิกิพีเดีย]
[8] ซีหู - ทะเลสาบซีหู หรือ ทะเลสาบตะวันตกได้สมญาว่าไข่มุกแห่งเมืองหังโจว ซีหูเป็นทะเลสาบที่สวยและมีชื่อเสียงที่สุดของจีน เมื่อได้ผลโฉมซีหูกวีจีนในสมัยโบราณถึงกับเปรียบเทียบความสวยของซีหูว่างดงามดังไซซี [สืบค้นจาก http://www.about108.com]
[9] ซูโจว [蘇州] - เป็นเมืองสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเจียงซู ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศ เป็นเมืองประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโดยมีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็นสายน้ำ ภูเขา และโดยเฉพาะสวนโบราณ เป็นเมืองที่มีความงดงามมากจนได้รับฉายาว่าเป็น เมืองสวรรค์ในโลกมนุษย์ ผ้าไหมเมืองซูโจวเป็นผ้าไหมที่มีคุณภาพสูงมาก และมักใช้ในราชสำนักจีนยุคโบราณสำหรับสมาชิกราชวงศ์ ในช่วงศตวรรษที่ 13 เมืองซูโจวยังเป็นศูนย์กลางการค้าขายผ้าไหมอีกด้วย [สืบค้นจากวิกิพีเดีย]
[10] ต๋าจี่ - ต๋าจี่คือหญิงสาวที่กำลังจะถวายตัวเข้าวัง หนึ่งคืนก่อนที่บิดาจะพานางเข้าถวายตัว ปิศาจจิ้งจอกได้มาสิงร่างต๋าจี่ทำให้พระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซางลุ่มหลงจนละเลยราชการ และบริหารบ้านเมืองอย่างโฉดเขลาข้าราชการผู้ใดว่ากล่าวทัดทานพระองค์ ก็โปรดให้ลงโทษถึงตายด้วยวิธีต่าง ๆ ตามคำนางต๋าจี่ บ้านเมืองร้อนเป็นไฟ ไพร่ฟ้าก่นด่าทั่วหัวระแหง ท้ายที่สุดราชวงศ์ซางก็ล่มสลาย [สืบค้นจากวิกิพีเดีย]
[11] อิงฮวา - ดอกซากรุะ
* เพิ่มเติ่ม - ตามปกติแล้วผู้ที่ต้องมาดูแลเหวินฉีลี่ฉางสมควรเป็นขันทีรุ่นหนุ่มค่ะ แต่ที่หวงตี้ให้เหล่าขันทีน้อยมาปรนนิบัติรับใช้เนื่องจากความหวงส่วนตัว ดังนั้นในตำหนักมังกรเหินแม้จะเป็นตำหนักที่พำนักของโอรสสวรรค์จึงไม่มีขันทีหรือนางกำนัลรุ่นหนุ่มสาวเลย ยกเว้นหัวหน้าขันทีเท่านั้นซึ่งเป็นขันทีประจำตัวหวงตี้แต่มักไม่ค่อยได้อยู่ตำหนักเพราะต้องตามเสด็จ
เชิงอรรถรูปภาพ
[2] ฉางเอ๋อร์ – (http://www.bloggang.com/data/t/tonkla-aee/picture/1285143908.jpg)
[4] เพียงพอนขาว -
[6] กุ้ยฮวา - (https://i.ytimg.com/vi/RVoem9SwqiU/hqdefault.jpg)
[8] ซีหู - (http://1.bp.blogspot.com/-NeEZr_2B75M/UWSpcCWALpI/AAAAAAAAB60/LGOQbneO_bY/s1600/Leifeng+Pagoda.jpg)
[10] ต๋าจี่ - (https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/77/Hokusai_Daji.jpg/300px-Hokusai_Daji.jpg)
[11] อิงฮวา -(http://www.nanagarden.com/Picture/Product/400/157235.jpg)
-
ติดตามค่ะ :mew1:
-
กรีดร้อง ฮือออออออ!!
ขอให้เขาได้รักกันคู่กันแบบแฮปปี้เถอะนะ
นี่แค่ตอนแรกแต่ทำร้ายตับเรามากเลย
ชอบค่ะ เรื่องภาษาค่อนข้างวางได้ดีทีเดียว
จะรอตอนต่อไปนะคะ
-
เรื่องนี้เคยจิ้มเข้าไปในเด็กดี รอดูนะคะ
-
สนุกน่าติดตามมากค่ะ รอตอนต่อไปน๊า o13
-
(http://www.mx7.com/i/921/VUhZRJ.jpg)
ตอนที่ ๒ เทียนน้อยเล่มนั้นถูกจุดอีกครา
ข้าลืมตาขึ้นมาในความลางเลือน กลิ่นของความอับชื้นและเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่วจนต้องสำลักหายใจ เสียงผู้คนภายนอกพลุกพล่านไปมาราวกับว่ากำลังอยู่ในตลาดสด แต่สำนึกสุดท้ายของข้าจำได้แม่นยำว่าอยู่ท่านเหมย พี่จื่อหรงและเขาในห้องอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง ข้าเกยคางขึ้นจากพื้นที่เฉอะแฉะมองตามแสงสว่างที่ส่องลอดเข้ามา ร่างกายอ่อนแรงและปวดระบมไปหมดถึงอย่างนั้นก็พยายามลากสังขารอันร่วงโรยนี้ไปตามแสงที่ปลายทาง มิอาจทราบว่าเป็นทางออกสู่นรกหรือสวรรค์แต่ก็มิมีทางให้เลือกเดินมากนัก
ข้ารวบรวมพลังกายพาร่างระบมคลานออกมาจากความมืดดำ ต่อสู้กับความทุกข์ทรมานเพื่อมาพบว่าสถานที่ที่ข้าทุรนทุรายคลานออกมาเป็นซอกสกปรกสำหรับทิ้งขยะแห่งหนึ่งและแสงสว่างที่ปลายทางมิได้ส่องเพื่อนำข้าไปสู่สวรรค์หรือนรกแต่เป็นตลาดอันพลุกพล่านด้วยผู้คน
ข้าเฝ้าถามตัวเองอย่างงุนงง..ที่แท้ข้าตายแล้วหรือว่าข้ายังมีชีวิตอยู่หรือสิ่งที่ข้าประสบนี้เป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งหรือมันเกิดเรื่องพิกลใดขึ้นกับชีวิตข้ากันแน่ ก่อนจะได้คำตอบนั้นท้องของข้าก็ร้องครวญครางหิวโหยและกระหายน้ำยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ข้าไม่เคยพบเจอความรู้สึกทรมานเช่นนี้มาก่อน ตอนอยู่หมื่นวสันต์ชีวิตข้าสุขสบายยิ่งนัก มีเด็กรับใช้รายล้อม ท่านเหมยดูแลละเอียดถี่ถ้วน เมื่ออยู่กับเขา อาหารที่อยู่บนโต๊ะจักพรรดิ์ล้วนเลิศล้ำ ยามข้าอดข้าวประชดเขาหนึ่งมื้อเขาก็มุ่นคิ้วหนึ่งครา ต่อมาข้าอดข้าวไปหนึ่งวันเขาถึงกับสั่งประหารคน มีหรือข้าจะเคยได้ประสบพบความหิวโหยแสนสาหัสเช่นนี้
ข้าอยากจะลุกขึ้นอย่างหยิ่งทะนงเช่นที่เคยทำ ใช้ตาชายมองคราหนึ่งชายทั้งเหลาอาหารก็พร้อมใจเสมอไมตรีเลี้ยงอาหารเลิศหรู ทว่าในตอนนี้แม้แต่จะส่งเสียงพูดยังทำมิได้แล้วจะมีแรงอะไรไปชายตาล่อบุรุษ ดังนั้นข้าจึงพยายามที่จะคลานไปหาร้านหมั่นโถว[1]ที่อยู่ไม่ไกลนัก ท่อนแขนที่ถูกไถไปกับพื้นเพื่อให้ร่างอ่อนแอนี้เคลื่อนไหวได้ถลอกปอกเปิกไปหมดยามมาถึงด้านหน้าร้าน
เถ้าแก่ร้านหมั่นโถวสบถหลายคำไล่ข้าให้ถอยห่าง ปากข้าแห้งผากจนไม่อาจเอ่ยวาจาได้แต่ส่งสายตาอ้อนวอนร้องขอแก่เขา
..ให้หมั่นโถวซักลูกเถิด ข้าจะตอบแทนท่านซักร้อยชั่งเลยเทียว..
กลิ่นหมั่นโถวหอมหวานยิ่งนัก ข้ากำซาบกลิ่นอันรัญจวนชวนรับประทานส่งสายตาอ้อนวอนเขาอีกครา ท้องร้องหิวโหยราวฟ้าลั่น คนบางคนส่งเสียงหัวเราะร่วนบางคนส่งเสียงสมเพชยามเดินผ่านข้า ทว่าตอนนี้มิอาจรักษาหน้าตามิเช่นนั้นอาจได้ตายเพราะความหิวโหยเป็นแน่แท้
“เพ้ย![2] เจ้าขอทานสกปรกออกไปจากหน้าร้านข้าเดี๋ยวนี้!” เถ้าแก่ร้านหมั่นโถวโวยวายหยิบไม้กวาดมาเขี่ยข้าออกไปให้พ้นทาง ข้ากลืนความอัปยศอดสูลงสู่ท้อง มิอาจตอบโต้เพราะสภาพร่างกายระโหยโรยราเป็นอย่างยิ่ง
“..ข...ขอ...ขอ..” นี่..นี่เป็นเสียงข้าแน่หรือใยจึงไม่น่าฟังเช่นนี้ เหวินฉีลี่ฉางถูกสรรญเสริญว่าแม้เสียงยังไพเราะจนกล่อมบุปผาให้เบ่งบานกล่อมโลกให้หลงใหล แต่จะกล่อมดอกไม้หรือกล่อมโลกตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเล่า ท้องอันน่าสังเวชร้องลั่นครานี้คล้ายเสียงกลองรบที่ลั่นตึงตึงอย่างดุดันในสมรภูมิ ข้าหิวจนตาลายจนไร้ละอายที่จะละศักดิ์ศรีมือสั่นระริกคว้าขาเถ้าแก่ผู้นั้นอย่างอ้อนวอน
“ห...หิ..หิว ด..ได้..โปรด..” เสียงอันคล้ายภูตผีนี้ช่างน่าสังเวชยิ่งนัก เถ้าแก่ร้านหมั่นโถวส่งเสียงฮึอย่างดูแคลนเตะข้าออกไปนอกร้าน ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างเข้ามามุงดูส่งเสียงต่อว่าเถ้าแก่ผู้นั้นบ้างก็ร้องดูแคลนข้า สุดท้ายแล้วเถ้าแก่ร้านหมั่นโถวมิอาจทนเสียงคนสบถด่าโยนหมั่นโถวออกมาลูกหนึ่งอย่างเสียไม่ได้ หมั่นโถวลูกนั้นอวบขาวอย่างยิ่งส่งกลิ่นหอมที่ทำให้ตัวข้าสั่นระริก มันลอยหวือมาตกอยู่ตรงหน้าข้าเปื้อนดินไปหน่อยแต่ยังกินได้ ทว่าไอ้หมาขี้เรื้อนผอมโซตัวหนึ่งกลับโผล่มาจากทิศไหนไม่ทราบฉกฉวยมันไปต่อหน้าต่อตา
มารดามันเถอะ!!
ราวกับคนเสียสติ..ข้าตรงเข้าไปดึงทึ้งแย่งหมั่นโถวลูกนั้นออกจากปากมัน แรงพลังจากไหนไม่ทราบทำให้ข้าต่อสู้แย่งชิงมันมาได้แม้จะโดนคมเขี้ยวร้ายกาจกัดเป็นแผลหลายที่ ผู้คนทั้งหลายล้วนสังเวชภาพอันน่ารันทดนี้อย่างยิ่ง ช่างปะไรข้าได้หมั่นโถวครึ่งก้อนอันชุ่มโชกด้วยน้ำลายสุนัขเลวตัวนั้นมากินก็พอแล้ว
มรรยาทและจรรยาที่พึงปฏิบัติหรือ...ข้าลืมสิ้นเสียแล้ว รู้แต่ว่ารสชาติหมั่นโถวอร่อยเสียจนต้องร่ำไห้ มันอร่อยยิ่งว่าอาหารเลิศหรูประณีตในวังหรืออาหารจากเหลาชั้นเลิศของเมืองหลวงเสียอีก
เมื่อกินหมั่นโถวเสร็จก็กระหายเป็นอย่างมาก เจ้าหมาเลวที่มันเฝ้ามองข้ากินจู่ๆก็ลุกไปซอกแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างร้านผ้าไหมเลิศหรูไม่ไกลนัก ข้ากระเสือกกระสนคลานตามมันไปอย่างสงสัย พวกสัตว์ย่อมมีสัญชาติญาณการหาอาหารเก่งกาจยิ่งกว่ามนุษย์ โชคดียิ่งนักที่คาดเดาถูกสุนัขแสนรู้ตัวนั้นมันกำลังเลียน้ำในรางน้ำข้างร้านผ้าอย่างกระหาย
หลังจากกินหมั่นโถวเสร็จแล้ว ปากข้าก็แห้งผากราวกับทรายจนแทบจะป่นเป็นผง มิอาจปฏิเสธความเย้ายวนของน้ำดื่มนั้นได้แม้ในรางน้ำจะมีตะไคร่จับเขรอะมีฝุ่นลอยคลุ้ง ข้าโจนเข้าหารางน้ำ ดื่มด่ำกับความชุ่มฉ่ำด้วยท่าทีไม่น่ามอง หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาต้องบอกว่า...ด้วยท่าทีบัดซบอย่างยิ่ง
อร่อยยิ่งนัก!...น้ำดื่มสกปรกยังรสเลิศถึงเพียงนี้!
“ขอบใจเจ้า” ข้าเอ่ยขอบใจสุนัขน้อย แขนขาพอมีแรงขยับได้บ้าง เสียงข้าเริ่มกลับมาทว่ามันฟังดูทุ้มต่ำแลกระด้างไม่เหมือนเสียงใสพิสุทธิ์ราวหยาดน้ำค้างของข้าเลยซักนิด เมื่อท้องเริ่มอิ่มพละกำลังก็เริ่มคืนกลับ สติก็หวนมา ข้าค่อยๆพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน
ข้าจำได้แม่นยำว่าตัวเองสิ้นชีพเนื่องจากได้รับพิษนิทราวสันต์มายาวนานครึ่งปี มิใช่ฮองเฮาก็คงเป็นไท่ผินหรือสนมคนใดคนหนึ่งของเขาที่ตั้งใจจะวางยาข้า นิทราวสันต์นับเป็นยอดพิษที่ถูกปรุงอย่างลับๆจากตำนักหมื่นวสันต์ ซึ่งแม้ภายนอกจะดูเหมือนหอเริงรมย์ชั้นเลิศแต่ภายในนั้นตำหนักหมื่นวสันต์เป็นประหนึ่งเงาแห่งจักรพรรดิมาหลายรัชสมัยมีหน้าที่สืบทอดต่อกันมาเนิ่นนาน เครือข่ายของตำหนักหมื่นวสันต์กว้างใหญ่อย่างยิ่งราวกับรากไม้ที่ทะลุชอนไชไปทั่วสารทิศ ข่าวกรอง นักฆ่า ยาพิษ สามสิ่งนี้ล้วนแต่เป็นงานถนัดของตำหนัก
หอเหมยเราเลิศล้ำเรื่องปรุงยาที่สุด หัวหน้าหอรุ่นก่อนเป็นผู้คิดค้นนิทราวสันต์ยาพิษอันตรายไร้สีไร้กลิ่นไร้รสไม่ทำให้เจ็บปวดแม้แต่น้อย เพียงแต่ผู้รับผิดจะง่วงเหงาหาวนอนมากผิดปกติท้ายที่สุดก็จะหลับไปและไม่ตื่นอีกเลย หากตรวจพบแต่เนิ่นๆย่อมแก้ไขได้ทว่าหากรับยาติดต่อกันเกินสามเดือนก็มิอาจพ้นความตาย
ในตอนนั้นหัวข้ามีแต่ความคิดทดท้ออยากตายจึงได้ยอมดื่มพิษนั้นอย่างว่าง่ายมาเกือบครึ่งปี ซ้ำยังคิดปลอบใจตัวเองอย่างขบขันว่าคุ้มค่าที่ได้ตายด้วยนิทราวสันต์ของอาจารย์ปู่ ..แต่หากรู้ใจตัวเองก่อนมีหรือจะยอมให้ยาพิษนั้นล่วงลงคอไปได้ เมื่อคิดถึงเขาคราหนึ่งข้าก็ปวดใจอย่างยิ่ง น้ำตามังกรพร่างพรูลงกระทบใบหน้าข้าในตอนนั้น..มันเย็นเยียบและกร่อนหัวใจข้าอย่างสาหัส เป็นความรู้สึกที่ขมปร่าทว่าแสนหวาน ความรู้สึกที่ปั่นป่วนวนเวียนอยู่ในอกนี้มันช่างทุกข์ทรมานและแสนสุข
ข้าอยากหวนคืนสู่อ้อมกอดเขาให้เขากอดข้าไว้และบอกข้าทีว่าข้ากำลังฝันร้าย เหวินฉีลี่ฉางผู้หยิ่งยโสกำลังกระทำตัวราวกับสุนัขขี้เรื้อน แม้เมื่อครู่จะไม่อับอายเพราะความหิวโหยบังตาแต่เมื่อคิดถึงความอัปยศนี้อีกครั้งกลับยิ่งหดหู่สังเวชตนเองอย่างยิ่ง ข้าวักน้ำในรางน้ำขึ้นล้างหน้าเพื่อให้สติปลอดโปร่งขึ้นกว่าเดิม บางทีมีสติมากขึ้นอาจทำให้หลุดพ้นจากปัญหาที่ประสบเร็วขึ้น..
..ทว่า..
“อ๊ากกกกกกกกกกก!!!”
สุนัขดำตัวนั้นเผ่นหนีอย่างตระหนกเมื่อได้ยินเสียงข้ากรีดร้อง ข้าลนลานถอยออกห่างจากรางน้ำลูบคลำใบหน้าตัวเองอย่างตื่นตกใจ ..เมื่อครู่...ใบหน้าเมื่อครู่..
..นี่ไม่ใช่ข้า
..นี่ไม่ใช่ร่างกายของข้า!!
..เป็นภูติผีปีศาจตัวใดกัน!!!
ข้าลองทดสอบอีกคราหนึ่งเหลือบมองเงาในรางน้ำแล้วยิ่งหวาดผวาหนัก เหวินฉีลี่ฉางผู้งามสะคราญ หนึ่งยิ้มล่มเมือง ยิ้มอีกคราล่มแผ่นดิน..ไม่..ไม่มีทาง..ไม่มีทางกลายมาเป็นตัวอัปลักษณ์ที่ผิวหน้าบวมพองยิ่งกว่าคางคก มีรอยกรีดลึกจากหางคิ้วด้านซ้ายจรดลงสู่ลำคอ ยิ้มหนึ่งที่ทำผู้คนขวัญผวา ผิวที่ขาวราวหิมะอ่อนนุ่มยิ่งกว่าแพรไหมกลับกลายเป็นดำกระด้างยิ่งกว่าก้อนดินแห้งแล้ง รูปร่างสูงสง่าอรชรกลับเป็นเตี้ยแคระแกร็น อัปลักษณ์..อัปลักษณ์อย่างยิ่ง
ข้าผวาตัวเข้าหาผนังอันเย็นเฉียบขดตัวราวกับลูกสุนัขส่งเสียงสะอื้นราวกับภูติผีปีศาจ เจ้าหมาดำมิทราบหวนคืนมาตั้งแต่เมื่อไหร่มันคาบถังหูลู่[3]เปื้อนดินอันหนึ่งมาวางตรงหน้า ลิ้นสากๆเลียที่ตัวข้าราวกลับจะปลอบใจ ข้าผลักไสมันออกร่ำไห้อย่างขมขื่น...สภาพเช่นนี้จะให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร ด้วยสภาพเช่นนี้ข้าจะกล้ากลับไปพบหน้าเขาได้อย่างไร
ตัวข้าในตอนนี้อัปลักษณ์จนแม้แต่ข้ามองตัวเองก็แทบสิ้นสติไปเสียแล้ว ที่แท้เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเช่นไรกันแน่ ใยข้ากลับกลายมาเป็นปีศาจเช่นนี้ ร่างกายแสนงดงามของข้าไปอยู่ที่ไหน ใยข้ากลับกลายมาเป็นขอทานแทนที่จะอยู่ในห้องเลิศหรู ใยข้าจึงต้องมากอดตัวเองในความเหน็บหนาวเดียวดายแล้วเขาเล่าไปอยู่ที่ไหน เขาที่เคยสัญญาจะปกป้องข้าชั่วชีวิต จิ่นสือช่วยข้าที ช่วยข้าด้วย ข้าคิดถึง...คิดถึงท่านเหลือเกิน
ไม่ว่าจะพิสูจน์เช่นไรใบหน้าราวกับภูติผีก็ยังคงเป็นใบหน้าของข้า ข้าจะร่ำไห้อ้อนวอนต่อฟ้าแต่ความงามล่มแผ่นดินที่ครอบครองก็ไม่หวนกลับ ในตรอกอันเดียวดายเสียงคร่ำครวญหวนเทวษราวกับบทเพลงสู่ปรภพดังก้องไปมา ทั้งท่าน ท่านเหมยและพี่จื่อหรงไปอยู่หนใด ข้าภาวนาให้พวกท่านโผล่ออกมาแล้วบอกข้าว่าตื่นเถิดลี่ฉาง เจ้าหลับมานานพอแล้ว ข้าร่ำไห้จนสลบไสลไปสามครั้งสามครา เมื่อตื่นมาข้ายังคงอยู่ในตรอกอย่างเดียวดายเช่นเดิม และยังต้องยอมรับความจริงว่าใบหน้าอันสวยงามแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ไปเสียแล้ว
ยามนี้อาทิตย์ราแสงลงเสียแล้วราตรีได้มาเยือน ข้าหวนคิดถึงท่านยิ่งนักจิ่นสือ สองปีมานี้ท่านกกกอดข้าอยู่ทุกค่ำคืน พร่ำพลอดบอกรักข้าอยู่ทุกชั่วยาม กลิ่นไอท่านอบอุ่นองอาจราวกับแสงอาทิตย์อันอ่อนโยนที่ลูบประโลมข้าอย่างช้าๆ ในอ้อมกอดท่านข้าไม่เคยนึกกลัวสิ่งใด ข้าเคยเป็นอันธพาลน้อยของท่าน ทุบตีท่านยามไม่พอใจ ท่านหัวเราะอย่างเจิดจ้าสำราญยิ่งนักยามเย้าหยอกข้า กำปั้นข้าถูกท่านจูบร่างกายข้าถูกท่านจุมพิต ตอนนี้ว้าเหว่เดียวดายจึงได้รู้ว่ามิอาจหลับลงเมื่อขาดอ้อมกอดอุ่นของท่าน
จิ่นสือข้าเพิ่งนึกรู้..ในตอนนั้นหากเปิดใจแก่ท่านข้าคงเป็นสุขยิ่งราวกับได้ครอบครองโลกไว้ทั้งใบ ทว่าตอนนี้โลกใบน้อยๆกลับหลุดลอยจากมือข้าไป ท่านอยู่แห่งหนใดกันแน่...ลืมข้าแล้วหรือไม่..ยังรักข้าอยู่หรือไม่ จิ่นสือ...จิ่นสือ...รักท่านยิ่งนัก...ข้ารักท่านอย่างยิ่ง หรือทุกอย่างเป็นบทลงโทษจากสวรรค์ที่ข้าสมควรได้รับ ข้าหยิ่งผยองในความเลิศล้ำของตน หมางเมินแก่ใจของท่าน มิตอบรับและเย็นชาแก่ท่านอย่างมาก มาวันนี้จึงได้แต่สำนึกเสียใจอยู่เพียงผู้เดียวเช่นนี้
ราตรีที่ไม่มีท่านผ่านไปอย่างเชื่องช้า ช่วงเวลาบนเตียงที่ข้านึกชังกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ข้าหวนหา อ้อมกอดที่มิปรารถนากลับเป็นอ้อมกอดที่กระหายอยาก จิ่นสือคืนนี้ข้าฝันร้ายยิ่งนัก ฝันว่าท่านชิงชังข้าขับไล่ข้าเรียกข้าว่าปีศาจอัปลักษณ์ ในยามที่ตื่นมามีเพียงสุนัขดำขี้เรื้อนตัวหนึ่งเป็นเพื่อน ถังหูลู่ถึงมดตอมเสียแล้วแต่ท้องข้าครวญครางเช่นนี้ยังเลือกได้อีกหรือ ข้าหยิบมันเข้าปาก รสชาติหวานยิ่งนักแต่ใยกลับมีรสขมปร่าและเค็มปะแล่มที่ปลายลิ้น...อ้อ ที่แท้ไม่ใช่รสชาติถังหูลู่
..เป็นรสชาติน้ำตาตัวอัปลักษณ์เช่นข้านี่เอง...
เชิงอรรถ
[1] หมั่นโถว [饅頭] - ซาลาเปาที่ไม่มีใส้ใดๆอยู่ภายใน
[2] เพ้ย - การขู่ตวาดหรือต่อว่า และเป็นคำขับไล่เปล่งเสียงแรงๆ ให้สัตว์เช่นไก่หนีไป
[3] ถังหูลู่ - ขนมชนิดหนึ่งของจีน โดยจะนำลูกซานจาซึ่งมีรสชาติเปรี้ยวไปเสียบไม้และจุ่มลงในกระทะน้ำตาลเคลือบ
-
(http://www.mx7.com/i/e73/cHfUHr.jpg)
ตอนที่ ๓ วาสนาในคราเคราะห์
“โฮ่งๆ”
ข้าเดินตามเสียงเห่าของเจ้าดำไปยังตรอกทิ้งขยะแห่งหนึ่ง อา..ช่างโชคดีจริง มีผลไม้รวมถึงเศษหัวหมูเซ่นไหว้ที่ถูกทิ้งไว้อยู่ในตรอก นี่นับว่าเป็นโชคอีกคราของวันโดยแท้!
“เก่งมากเจ้าดำ” ข้าลูบหัวมันอย่างรักใคร่เอ็นดู สี่วันมานี้มันกลายเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของข้า แบ่งปันอาหารน้ำดื่มยามข้าเหน็บหนาวมันก็มาให้ความอบอุ่น ขนของเจ้าดำสั้นเกรียนและขึ้นบางเบาทว่ายังคงพอสังเกตได้ว่าเป็นสีดำปลอดทั้งตัว ซ้ำยังเป็นขี้เรื้อนเป็นหย่อมๆบนร่างกายแลดูน่าสงสารยิ่งนัก สุนัขน้อยตัวนี้สูงใหญ่เพียงหัวเข่าข้าชอบทำหน้าตามู่ทู่ ร่างกายมันซูบผอมแต่มันก็ยังเอื้ออารีแบ่งอาหารแก่ข้าบ่อยๆ สีข้างที่บาดเจ็บทุเลาลงบ้างเล็กน้อย ข้าคลี่ยิ้มให้มันคราหนึ่ง ป้อนเศษหัวหมูเข้าปากมันด้วยความเอ็นดูอย่างยิ่ง
ตลอดสี่วันนอกจากหาอาหารมาประทังชีวิตอีกอย่างที่ข้าทำคือหมกมุ่นพิเคราะห์เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับข้า สุดท้ายแล้วตัดสินได้แต่เพียงว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างกายของข้าเป็นแน่ชะรอยระหว่างดวงวิญญาณกำลังเดินทางไปปรโลกอาจหลงทางมาสิงสู่ร่างขอทานอัปลักษณ์ผู้นี้ก็เป็นได้
สี่วันมานี้นับว่าเป็นสี่วันที่ยากลำบากยิ่งนักของข้า ความทุกข์ใดตลอดสิบเจ็ดปีต้องบอกว่ามิมีทางเทียบสี่วันที่หนักหนาราวกับขุมนรกนี้ได้ ความยากลำบากทั้งหลายทำให้ยางอายและความหยิ่งยโสของข้าลดน้อยถอยลงมากโขทีเดียว ชีวิตขอทานวนเวียนกับการหาอาหารเพื่อต่อชีวิตเป็นสิ่งที่ข้าเหวินฉีลี่ฉางไม่เคยประสบมาก่อน เมื่อหวนนึกถึงความอัปยศอดสูทั้งหลายก็รู้สึกว่าตัวเองยังพอเข้มแข็งอยู่บ้าง
ถึงแม้วันแรกข้าจะร่ำไห้และสลบไสลไปสามครั้งสามครา มีเพียงหมั่นโถวครึ่งลูกตกถึงท้อง คร่ำครวญถึงจิ่นสือ ท่านเหมยและพี่จื่อหรงไปเสียมาก ลืมตาก็เห็นหน้าพวกเขาหลับตาก็เห็นหน้าพวกเขา เมื่อคิดดูแล้วจึงรู้ว่าตัวเองอ่อนแออย่างยิ่ง ถึงอย่างนั้นก็อดชื่นชมตัวเองไม่ได้ อย่างน้อยข้าก็ไม่ผลีผลามโขกหัวตัวเองกับผนังไปเสียก่อน ยังถือว่าครองสติไว้ได้อยู่บ้าง ถ้าเป็นผู้อื่นอาจกลั้นใจตายไปเสียแล้วก็ได้
ค่ำคืนนั้นตัวข้ามิอาจหลับได้สนิท ราตรีผันผ่านไปอย่างยากลำบากยิ่งนัก หนาวจับใจจนฟันสั่นกระทบกันเสียงดังกึกๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีผ้าขี้ริ้วที่เรียกว่าเสื้อผ้าอยู่ชุดหนึ่งสกปรกมอมแมมกลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียน คิดถึงค่ำคืนในหมื่นวสันต์ที่อบอุ่นแม้ในหน้าหนาวด้วยผ้าห่มขนห่านฟ้าปักด้วยด้ายทองก็ร่ำไห้คราหนึ่ง คิดถึงค่ำคืนในตำหนักมังกรเหินที่ไม่เคยสัมผัสความเหน็บหนาวเพราะมีเขากอดอยู่ตลอดราตรีก็คร่ำครวญอีกคราหนึ่ง ในตอนนั้นเจ้าดำนอนหมอบอยู่ข้างรางน้ำเก่าๆเฝ้ามองข้าอยู่เงียบๆ มันคงแปลกใจอยู่มากกระมังที่มนุษย์ผู้นี้ประเดี๋ยวร่ำไห้ประเดี๋ยวคร่ำครวญประเดี๋ยวลุกขึ้นมาด่าทอชคชะตาเสียอย่างนั้น
วันที่สองทดท้อจนมิมีแรงพอจะลุกเดิน เมื่อตื่นมาก็ได้แต่นั่งทอดอาลัยมองกำแพงทึบทึมด้วยดวงตาเหม่อลอยไร้วิญญาณ หิวจัดก็มีเพียงถังหูลู่ไม้เล็กๆจากเมื่อวานมาพอประทัง รสชาติหวานอมขมกลืนเช่นนี้เฝื่อนลิ้นยิ่งนัก ข้าเฝ้ามองเจ้าดำมันออกจากตรอกไปในยามกลางวันและวิ่งกลับมาด้วยท่าทีแตกตื่นในยามหัวค่ำ ดูท่าวันนี้คงชวดอาหารกระมัง เจ้าขี้เรื้อนตัวน้อยร้องครางหงิงๆอย่างหิวโหยมีร่องรอยโดนทุบตีทำร้าย มันโผเข้าหารางน้ำเก่าๆอย่างเร็วรี่ดื่มกินน้ำเข้าไปหลายอึกและฟุบหลับลงอย่างเหนื่อยล้า ข้าทอดถอนใจมีความคิดอยากตายให้พ้นๆไปเสียอยู่ทุกขณะจิต หิวนักแต่เลือกมิปริปากเอ่ย นอนหลับไปทั้งน้ำตาที่ยังรินไหล
ในราตรีนั้นฝันเห็นช่วงเวลาในหอเหมย คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นวันก่อนเทศกาลชุนเจี๋ย[1]เมื่อสี่ปีที่แล้ว อาหารเลิศรสมากมายเรียงรายนับร้อยเมนู อาเตียนั่งอยู่หัวโต๊ะท่าทีเบิกบานสำราญอย่างยิ่ง ท่านเหมยอยู่เคียงข้างคีบอาหารให้เราพ่อลูกด้วยรอยยิ้มน้อยๆแต่แสนหวานราวกับมธุรส[2]แห่งคิมหันต์ ตอนนั้นตัวข้าอายุสิบขวบเป็นช่วงเวลาที่กำลังเจริญเติบโต งับน่องไก่ไปชิ้นหนึ่ง อีกคำหนึ่งคีบเป็ดน้ำแดง มือไม้เรียกว่ามิได้ว่างเว้นจากอาหาร ขณะกำลังเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยก็พลันตื่น มองนิ้วมือที่ชุ่มน้ำลายในปากก็พลันอนาถนัก มิอาจข่มตาหลับได้ตลอดคืน
วันที่สามร่างกายข้าร่วงโรยอย่างยิ่ง เรี่ยวแรงสูญหายไปเริ่มคล้ายคลึงกับวันแรก ข้าคลานไปเกาะรางน้ำ พิจารณาดูน้ำด้านในก็พบว่าพร่องลงไปกว่าครึ่ง วสันต์อากาศแจ่มใสไร้เมฆฝน คงหวังรอให้ฝนหยาดลงมามิได้กระมัง เจ้าหมาดำที่ดื้อรั้นหายไปตั้งแต่เช้ามืดคงออกไปหาอาหารอีกตามเคย ข้ายังคงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย ริมฝีปากแห้งผากท้องร้องคร่ำครวญน่าเวทนา แม้จะดื่มน้ำแก้กระหายไปหลายอึกแต่ก็มิอาจประทังความหิวนี้ได้ ในใจมีแต่ความคิดอยากจะตายๆไปให้พ้นๆจากที่นี่เสีย ข้ามิอยากใช้ชีวิตต่ออีกแล้ว ข้ามิอยากกลับกลายเป็นเจ้าตัวอัปลักษณ์ที่น่าเกลียดน่าชังนี่ คิดได้เพียงเท่านี้ก็สลบไปเพราะความหิวอีกคราหนึ่ง
ในยามค่ำ จันทราแลอาทิตย์ต่างแขวนอยู่บนฟากฟ้าพร้อมกัน แสงในตรอกสลัวราง เจ้าดำมันหวนกลับมาที่ตรอกด้วยท่าทีตื่นตระหนกยิ่ง สีข้างของมันมีแผลโดนทำร้ายจนโลหิตไหลออกมิหยุด ปากมันคาบน่องไก่ชิ้นหนึ่งไว้อย่างหวงแหน เสียงเอ็ดตะโรบนถนนดูท่าทีแล้วคงเป็นของพวกเด็กรับใช้จากเหลาอาหารแห่งหนึ่ง คนเหล่านั้นไล่ตามหาเจ้าดำในมือมีมีดทำครัวกันถ้วนหน้าคงหวังจะฆ่ามันให้ตาย หนึ่งคนหนึ่งสุนัขทำตัวลีบอยู่ข้างๆรางน้ำหวังว่าจะช่วยให้หลบพ้นสายตาคนใจดำได้ไม่มากก็น้อย โชคดีที่พวกมันหลงลืมที่จะเข้ามาค้นในตรอกเล็กๆแห่งนี้และวิ่งเลยผ่านไป
ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่มองเจ้าหัวขโมยที่เกือบชักนำเภทภัยมาให้กัดทึ้งน่องไก่อย่างเอร็ดอร่อยไม่สนใจผู้ใดก็นึกขวางหูขวางตาอยู่บ้าง กินไปไม่กี่คำเจ้าหมาตัวนี้ก็เงยหน้ามองข้าคราหนึ่งสลับกับมองน่องไก่คล้ายกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ครู่หนึ่งเมื่อมันคิดตกแล้วจึงใช้อุ้งเท้าฟันอันแหลมคมฉีกทึ้งเนื้อไก่มาวางไว้ยังตักข้า ที่รู้สึกขวางหูขวางตากลับเป็นความละอายขึ้นมาในใจเสียอย่างนั้น
แม้จะซาบซึ้งในน้ำใจสัตว์หน้าขนตัวนี้ แต่เมื่อมองไก่ดิบมียังมีเลือดสดๆ ก็รู้สึกนึกเดียดฉันท์ที่จะหยิบเข้าปากอยากจะอาเจียนขึ้นมา ข้าจึงนั่งพิงผนังคิดฟุ้งซ่านไปไกลแต่ท้องเจ้ากรรมกลับยังหิวโหยเสียจนแทบเป็นลม ดื่มน้ำแก้กระหายจนน้ำในรางจนแทบแห้งขอดก็มิอาจขจัดความอยากไปได้ ร่างผอมโซของข้าเกลือกกลิ้งกับพื้นจนตัวงอด้วยความกระหายหิวทรมานยิ่งนัก ท้องไส้ปั่นป่วนหวนหันจนสำรอกออกมาเป็นน้ำสีขุ่นคาวชนิดหนึ่ง ตาข้าพร่าพรายจนรอบข้างกลายเป็นสีขาวจัดจ้า มือสั่นระริกมิอาจหยุดยั้ง
ไก่ดิบชิ้นนั้นร่วงหล่นบนพื้น ข้าตะเกียกตะกายคลานไปหา ถึงอย่างนั้นกลับแทบอาเจียนเมื่อคิดจะเอามันเข้ามาก แม้ร่างกายมันร้องขออาหารแต่จิตใจกลับกรีดร้องไม่ให้ข้าแตะต้องไก่ดิบชิ้นนี้ ด้วยสำนึกว่าตนยังคงเป็นมนุษย์มิอาจกินอาหารดิบที่โชกเลือดได้สำราญเช่นเดรัจฉาน จนกระทั่งเมื่อกระเพาะโหยหวนครวญครางอาเจียนเอาน้ำย่อยสีขุ่นออกมาอีกคราหนึ่ง ฝ่ายจิตใจจึงแพ้พ่ายไปราบคาบ มือข้าสั่นระริกยามที่หยิบเนื้อไก่ชิ้นนั้นเข้าปาก คาวเลือดไก่อวลตลบจนแทบสิ้นสติ พยายามกลั้นหายใจและหลับหูหลับตาเคี้ยวกลืนลงท้อง ข้ากลืนเข้าไปได้ไม่กี่เพลาก็ไม่อาจฝืนทนต่อได้ ขย้อนอาหารออกมาจนหมดไส้หมดพุงด้วยความทรมานอย่างยิ่ง และถึงจะกล่าวว่าหมดไส้หมดพุงแท้จริงแล้วมีเพียงเศษซากเนื้อไก่ที่กองอยู่บนพื้นอย่างไม่น่าดูเท่านั้น ร่างกายอันน่าสังเวชนี้ได้แต่ทอดกายทรมานอย่างนึกสมเพชตัวเอง
เจ้าดำเงยหน้าขึ้นมาจากน่องไก่ชิ้นที่มันำลังแทะเล็ม มันจ้องมองข้าคล้ายจะตำหนิติเตียน เดินกระเผลกตรงไปที่กองอาเจียนของข้า ค่อยๆเล็มกินอาจมด้วยท่าทีเอร็ดอร่อยยิ่งนัก ที่สีข้างของมันเลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุด ข้าทอดร่างมองความพยายามมีชีวิตอยู่อย่างดื้อดึงของมัน หัวเราะขบขันทั้งน้ำตาราวกับคนวิปลาส มือทุบพื้นสกปรกด้วยความทุกข์ทรมานในใจที่สุมอยู่คล้ายคนสติฟั่นเฟือนผู้หนึ่ง ตัวข้าที่เป็นมนุษย์ยังไม่อาจทนรับสภาพน่าอดสูเช่นนี้ได้ เดรัจฉานเช่นมันกลับกระเสือกกระสนจะใช้ชีวิตต่อ
เจ้าดำมันกวาดล้างกองอาเจียนนั่นลงท้องเสร็จแล้วจึงหันไปคาบน่องไก่มาวางลงตรงหน้าข้าอีกครา ข้ามิอาจกลั้นน้ำตายันตัวขึ้นมากอดมันร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อย สมเพชตัวเองก็สมเพช แต่หิวโหยทรมานก็หิวโหยทรมาน ร่ำไห้เสียจนสาแก่ใจราวกับผีบ้าตัวหนึ่ง จึงวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตาคราหนึ่งยังพบเห็นปีศาจอัปลักษณ์เช่นเคย มิอาจเปลี่ยนแปลงความจริงได้อีกแล้ว ยังทำอะไรได้อีกหรือนอกจากก้มหน้ารับชะตากรรมอันบัดซบนี่เสีย เมื่อปลงได้แล้วจึงหยิบน่องไก่ที่เหลือเพียงกระดูกชิ้นนั้นมาแทะเล็มพร้อมกับน้ำมูกน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาด สภาพน่าอดสูเช่นนี้ยังมีอะไรให้ข้าอับอายอีกหรือ เคยสวยงามจนล่มหล้าแล้วอย่างไร ตอนนี้จะอัปลักษณ์ก็ช่าง เป็นเดรัจฉาน ขอทานหรือปีศาจก็เป็นไปเถิด เพียงแต่ชีวิตน้อยๆนี่ข้ามิอาจทอดอาลัยตกตายให้อายสุนัขตัวหนึ่งได้ มันดิ้นรนอย่างยิ่งที่จะเอาชีวิต ส่วนตัวข้านั้นเล่า...ข้าเหม่อมองสองมือสองขาตัวเองในท้ายสุดก็คิดตก
ตัวข้าเหวินฉีลี่ฉางเป็นคนดื้อดึงผู้หนึ่ง มากทิฐิผู้หนึ่ง มิยอมพ่ายแพ้ผู้หนึ่ง คนล้ำเลิศเช่นข้าหากยังยอมแพ้แม้แต่สุนัข ต่อให้ตายสิบครั้งลงปรโลกก็มิอาจอวดอ้างว่าตัวเองคือเหวินฉีลี่ฉางผู้เลิศล้ำโด่งดังไปหมื่นลี้ได้ เขา ท่านเหมย พี่จื่อหรงมิมาหาข้าก็ช่าง ข้าก็จะเดินไปหาพวกเขาด้วยสองเท้าของข้าเอง ในเมื่อสวรรค์ส่งบททดสอบบัดซบเช่นนี้มาให้ก็คอยดูเอาเถิด...ข้าจักมิมีวันยอมพ่ายแพ้! อัปลักษณ์แล้วอย่างไร! คอยดูเอาเถิดตัวอัปลักษณ์ผู้เลิศล้ำที่สุดในใต้หล้า!
ในวันที่สี่ ข้าตื่นมาแต่เช้าเพราะความเหน็บหนาว เจ้าดำร้องครวญครางหงิงๆเพราะพิษบาดแผลที่สีข้าง กลิ่นอายความฮึกเหิมเมื่อคืนยังคงอยู่ แม้แสงจันทร์ส่องทางสลัวรางข้าค่อยๆย่างก้าวออกมาจากตรอกที่ใช้พักพิง โซซัดโซเซคุ้ยหาอาหารไปตามถนน เจ้าดำที่บาดเจ็บกลับเดินตามออกมาต้อยๆ ขาโขยกเขยกอย่างน่าสงสาร ไล่กลับไปเท่าไรมันก็มิยอมถอย ดังนั้นจึงได้แต่ยอมให้มันมาด้วย เจ้าดำมันเดินราวกับคุ้นเคยเส้นทาง เข้าออกตรอกนั้นซอกนี้อย่างชำนาญ ข้าเห็นแผลมันปริแล้วก็ปวดใจยิ่ง ฉีกเสื้อตัวเองเพื่อห้ามเลือดให้มันด้วยความสงสาร
โชคดีที่เดินไปครึ่งชั่วยามก็พบเข้ากับชามอาหารสุนัขที่หลังบ้านแห่งหนึ่ง เจ้าของบ้านคงเป็นผู้อารีอย่างมากถึงได้วางชามไว้ให้อาหารหมาจรเช่นนี้ นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่โชคดีอย่างยิ่ง สวรรค์คงจะเห็นใจข้าอยู่บ้างกระมัง หนึ่งคนหนึ่งสุนัขแบ่งปันข้าวคลุกเศษอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
อาศัยที่ยังพอมีแรงหลังจากกินข้าวจึงเดินสำรวจเมืองแห่งนี้ในความสลัวราง จัดว่าคุ้นเคยอย่างยิ่งหากคาดเดาไม่ผิดที่นี่คงเป็นเมืองหลวงแห่งต้าหลงอย่างแน่นอน ถึงแม้ตำหนักหมื่นวสันต์แยกตัวโดดเดี่ยวทางตะวันออก แต่ทางตะวันตกของเมืองหลวงก็เคยสัญจรอยู่บ้างยังคงพอจำได้ ตรอกที่ข้าไปหลบอาศัยอยู่ไม่ไกลจากผ้าไหมแห่งหนึ่งถ้าจำมิผิดเถ้าแก่ผู้นั้นแซ่จาง เขาค่อนข้างกว้างขวางในการจัดหาผ้าไหมจากต่างแดน เคยติดต่อทำการค้ากับหมื่นวสันต์เราอยู่หลายครา
เมื่อเป็นเช่นนี้ตัวข้าก็ยังพอมีทางจะติดต่อท่านเหมยอยู่บ้าง อย่างแรกข้านั้นผูกพันกับตำหนักหมื่นวสันต์ยิ่งนัก สิบห้าปีอาศัยอยู่ในตำหนักจนรู้สึกซอกมุมและรายละเอียดอย่างทะลุปรุโปร่งสิ้นเช่นเดียวกับลายบนฝ่ามือตัวเอง แม้ว่าเบื้องหน้าตำหนักหมื่นวสันต์จะค่อนข้างซบเซาแต่เบื้องหลังคงกำลังยุ่งจนหัวปั่นเลยกระมัง การเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ในครานี้ยังความวุ่นวายไปทั่วทุกหัวระแหง หอเบญจมาศที่ควบคุมการข่าวคงยุ่งจนมิอาจสนใจรับคนรับใช้ใหม่ได้ หอเหมยในตอนนี้ไร้ผู้ควบคุมเพราะท่านเหมยไปดูแลหอชื่นคิมหันต์ที่หังโจวและตัวข้าเหวินฉีลี่ฉางก็ถูกชิงไปเป็นสมบัติของจิ่นสือ มิมีผู้ดูแลหอตอนนี้คงปิดหอเหมยเป็นการชั่วคราว
ที่ยังพอคาดหวังอยู่ได้นั้นคือหอบัว ท่านเหลียนเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนและมีเมตตาอย่างยิ่ง แม้หอเหลียนฮวา[3]มิเป็นที่นิยมนักในบรรดาคุณชายหนุ่มผู้ชมชอบท่องราตรี แต่ก็เป็นสถานที่ประลองปัญญาของบรรดาบัณฑิตและปัญญาชนมากมาย พวกเขาวางท่าสูงส่งดีงามต่อกลอนฟังฉินประลองหมากล้อม ตัวข้าเคยไปที่หอเหลียนฮวาบ่อยครั้ง เพราะรู้สึกว่าเหล่าคุณชายที่นั่นค่อนข้างสำรวมกว่าลูกค้าหออื่นอยู่มาก แต่กระนั้นลูกค้าหอบัวก็นับว่ายังเป็นเหล่าหมาป่าที่ห่มหนังแกะ บุรุษอย่างไร้ก็ไม่ทิ้งเชิงบุรุษ ระหว่างที่ข้าครุ่นคิดหาวิธีเข้าหอบัวเจ้าดำกลับส่งเสียงเห่าออกมาคราหนึ่ง
“โฮ่งๆ”
ข้าเดินตามเสียงเห่าของเจ้าดำไปยังตรอกทิ้งขยะแห่งหนึ่ง อา..ช่างโชคดีจริง มีผลไม้รวมถึงเศษหัวหมูเซ่นไหว้ที่ถูกทิ้งไว้อยู่ในตรอก นี่นับว่าเป็นโชคอีกคราของวันโดยแท้!
“เก่งมากเจ้าดำ” ข้าลูบหัวมันอย่างรักใคร่เอ็นดู ป้อนเศษหัวหมูเข้าปากมันด้วยความเอ็นดูอย่างยิ่ง เจ้าดำถูไถหัวมันกับไหล่ข้าราวกับจะอ้อนดูน่ารักน่าชังยิ่งนัก ระหว่างที่ข้ากำลังเก็บผลไม้ม้วนเข้าในเสื้อผ้า เจ้าดำก็เห่าขึ้นอีกคราติดกัน
“โฮ่งๆ” ข้าตื่นเต้นอย่างยิ่ง น...นี่..อย่าบอกนะว่าวันนี้มีโชคติดกันถึงสามครั้งสามครา! สวรรค์ท่านเมตตาข้าตบรางวัลเสียยกใหญ่ติดกันหลายครั้งเพียงนี้เรียกว่าดีงามอย่างยิ่ง ที่เคยบริภาษสวรรค์เก้าชั้นฟ้านั้นเพราะขาดสติ จริงๆแล้วเหล่าเทพเซียนล้วนแต่มีเมตตาธรรม เอื้ออารีต่อสัตว์โลกยิ่งนัก ประจบประแจงอยู่ในใจเสียจนเกิดรอยยิ้มกว้างดูไม่จริงใจบนใบหน้ายิ้มหนึ่ง
เมื่อเดินเข้าไปในตรอกเห็นเจ้าดำนั่งยองๆอยู่ข้างของชิ้นใหญ่ ข้าดีใจจนตัวสั่นระริก ชะโงกหน้ามองเจ้าของชิ้นนั้น เมื่อมองคราหนึ่งแล้วก็ขยี้ตามองอีกครา มองอีกคราจนพอใจแล้วก็หลับตาลงครั้งหนึ่ง ลืมตาอีกครั้งหนึ่งพิจารณาจนถ้วนถี่จึงหันไปเอ่ยกับเจ้าดำด้วยท่าทีราวกับโพธิสัตว์ผู้อารีแต่น้ำเสียงติดจะห้วนจัดอยู่ไม่น้อย
“เจ้าดำดูท่าเจ้าจะค่อนข้างสับสนแล้วกระมัง ตัวข้าขอทานผู้นี้แม้กินไก่ดิบได้ ใช่จักทนกินศพมนุษย์ได้หรอกนะ!” หน็อยแน่ะ! คิดว่าข้ากลายเป็นเดรัจฉานตัวหนึ่งไปแล้วหรือ ข้าหมุนตัวกลับไปหวังจะเก็บผลไม้ที่ตกอยู่บนพื้น ไม่คิดมีใจเมตตาอารีเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากในตอนนี้ คิดแต่เพียงว่าวันนี้เดินต่ออีกหน่อยหาอาหารพอประทังไปได้ถึงเย็น พรุ่งนี้คาดว่าจะไปหาลู่ทางยังฝั่งตะวันออกของเมือง คิดได้อย่างนั้นก็เรียกเจ้าดำออกมาจากตรอก ทว่ากลับได้ยินเสียงเรียกหนึ่งรั้งไว้เสียก่อน
“จ..เจ้า ช..ช่วยที” เสียงนั้นแผ่วเบานัก แต่ในตรอกแคบเพียงนี้และมีหนึ่งคนหนึ่งสัตว์จะมิได้ยินเสียงเขาก็คงมิได้ ข้าถอนหายใจทีหนึ่งคราแรกมิเข้าไปตรวจดูเพราะคาดว่าเป็นศพ แต่ถึงเป็นมนุษย์ก็มิอาจช่วยเหลือเพราะตอนนี้แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ร่อแร่ไม่น้อย
“บ..บ้านหลี่ ต..ตะวันออก” เสียงนั้นดังติดต่อกัน ข้ามุ่นคิ้วหนึ่งคราคราวนี้จึงนั่งลงข้างเขาพิจารณาชายผู้นี้อย่างถี่ถ้วน เขาเป็นชายที่เปลือยกายล่อนจ้อนมีเพียงกางเกงชั้นในชายปกปิดความอุจาดเท่านั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวล้วนขาวโพลนน่าดูอย่างยิ่ง แต่มานอนสภาพเช่นนี้ออกจะอนาจารไปหน่อยรึไม่
“ห..ลี่..ฮุ่ย..หรง” ข้าขมวดคิ้ว..นามนี้คุ้นอย่างยิ่ง..หลี่ฮุ่ยหรง...หลี่ฮุ่ยหรง...หลี่ฮุ่ยหรง
ทันใดนั้นราวกับมีสายฟ้าแห่งปัญญาฟาดลงมากลางศีรษะ บ้านสกุลหลี่แห่งถนนตะวันออก คุณชายรองหลี่ฮุ่ยหรง ที่แท้...ที่แท้เขาเป็นน้องชายของแม่ทัพใหญ่หลี่ฮุ่ยเหอ! หลี่ฮุ่ยเหอผู้นั้นข้าเคยพบปะอยู่บ้าง แม้จิ่นสือจะหวงข้าอย่างมากแต่แม่ทัพทั้งสี่ผู้สนิทสนมดั่งเป็นครอบครัวของเขาเป็นคนกลุ่มเดียวที่ได้พบปะข้า พวกเขาล้วนแต่เคยเรียกข้าอาซ้อบ้างน้องสะใภ้บ้างทั้งนั้น ดวงตาที่ไร้ความหวังกลับเปล่งประกายเจิดจ้า ข้าคลี่ยิ้มละไมให้แก่เจ้าดำ
“เด็กดี เจ้านี่มันตัวนำโชคของข้าแท้ๆ”
เชิงอรรถ
[1] เทศกาลชุนเจี๋ย [春節] - เทศกาลชุนเจี๋ยหรือเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ โดยมากคนไทยรู้จักกันในนามวันตรุษจีน ป็นวันหยุดตามประเพณีของจีนที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นวันแรกในทางสุริยคติของปีปฏิทินจีน วันดังกล่าวยังเป็นวันสิ้นสุดฤดูหนาว เทศกาลนี้เริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 (ในปฏิทินจีนโบราณ) และสิ้นสุดลงในวันที่ 15 ด้วยเทศกาลโคมไฟ
[2] มธุรส - น้ำผึ้ง รสหวาน อ้อย
[3] เหลียนฮวา - ดอกบัว
ทักทายนักอ่าน
สวัสดีค่าทุกคน ตอนที่สามมาแล้วน้าา ตอนนี้เป็นตอนที่เขียนยากตอนหนึ่งเลย
เขียนลบ เขียนลบ เขียนลบ ไปไม่รู้กี่รอบเพราะมันออกมาไม่ตรงใจ
ตอนแรกเขียนไว้ค่อนข้างดราม่าอ้วกแตกกันไปข้าง แต่ต้องปรับให้มันซอฟต์ลง
กระซิบเบาๆว่า จริงๆฉากกินไก่ ตอนแรกมันไม่ใช่ไก่ แต่มันเป็นซากหนู
ตอนเขียนที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมากะทันหันเสียอย่างนั้นเลย 555
-
แวะมาอ่านสามตอนรวดเดียวเลยครับ
-
ส่วนตัวเป็นแฟนนิยายจีนโบราณ
อ่านเรื่องนี้แล้วประทับใจสำนวนภาษามากๆ
ถ้าไม่รู้มาก่อนคิดว่าเป็นนิยายแปลซะแล้วเนี่ย
กลิ่นอายบรรยากาศแบบจีนแท้ๆมาเอง
แถมพล็อตเรื่องก็น่าสนใจอีก
มาอัพอีกเรื่อยๆนะ จะคอยติดตาม :กอด1:
-
สนุกมากค่ะ
-
ติดตามค่ะชอบอ่านนิยายจีนที่มีกลิ่นอายของจีนแบบนี้
-
เข้ามาปักไว้ก่อน เป็นคนชอบแนวแบบนี้อยู่แล้ว
ช่วงนี้ติดนิยายจีนโบราณมาก พอเห็นก็รีบวิ่งโร่เข้ามาจับจองพื้นที่
-
เนื้อเรื่องชวนติดตามมากเลย ชอบภาษากับการวางเรื่องมากๆ*-* เอาใจช่วยหนูลี่ฉาง;___; สงสาร ยิ่งฉากที่อ้วกนะโหย มาค่ะมาอยู่กับพี่;______;อยากกินอะไรจะหาให้ฮือ
-
อ่านแล้วเห็นภาพเลย... ชีวิตนายเอกนี่รันทดดีจริงๆ รู้ว่าเขารักแต่ก็ไม่รักเขา พอรู้ตัวว่ารักเขาก็ดันเป็นตอนกำลังจะตายแล้ว เมื่อฟื้นขึ้นมาจากความตายอย่างปาฏิหารย์คิดจะกลับไปหาเขาก็กลายเป็นว่ามาอยู่ในร่างขอทาน ไม่มีบ้าน ไม่มีข้าว หน้าตาอัปลักษณ์ซะอย่างนั้นอีก โชคชะตา(คนเขียน)กลั่นแกล้งจริงๆ :hao5:
-
(http://www.mx7.com/i/97c/Zp5B3d.jpg)
ตอนที่ ๔ ฝันลางเลือนในเรือนไผ่
ทิวาราตรีผันผ่านไปชั่วพริบตา หนึ่งต้นไผ่ยืนต้นสง่างามผลิดอกพราวสะพรั่งร่วงโรยและตายจาก หน่อไผ่แทงยอดอ่อนวนเวียนเป็นวัฎจักร ชีวิตคนสูงสุดสู่สามัญผันแปรเฉกนี้ราวกับกงเกวียน ตัวข้าทอดกายอยู่บนตั่งไม้ไผ่ทอดมองสระโกมุทอย่างสุขสงบยิ่งราวกับว่าสี่วันนั้นเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่ง จากเหวินฉีลี่ฉางผู้เลิศล้ำกลับกลายเป็นขอทานอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง จากขอทานอัปลักษณ์ตัวหนึ่งกลายเป็นแขกคนสำคัญของจวนสกุลหลี่ เช่นนี้เรียกสูงสุดสู่สามัญหรือมิใช่
คิดฟุ้งซ่านเช่นนี้จนเผลอหลับไปครู่หนึ่งจมอยู่ในห้วงฝันแสนหวานอันลางเลือน เมื่อลืมตาขึ้นเผลอแตะใบหน้าตนได้สัมผัสกับความเย็นยะเยียบของหน้ากากและหยาดน้ำตาที่หล่นกลิ้งลงมาหยาดหนึ่งจึงทราบว่าที่แท้ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องจริง ..ช่วงนี้ข้ามักฝันบ่อยอย่างยิ่ง..ฝันถึงยามอยู่ในหอเหมยและวังหลวง บางคราละเมอเพ้อพกสะอื้นไห้ระหว่างกำลังนิทราเสียจนผู้อื่นตกใจอยู่หลายครั้งหลายครา
ผู้อื่นนี้มิใช่ใครที่ไหนไกล คือเจ้าศพอนาจารศพนั้นในตรอกผู้กลับกลายเป็นคุณชายรองแห่งคฤหาสน์สกุลหลี่ ข้าสู้ทนอุตส่าห์เดินตามหาจวนสกุลเขาจนขาแทบหัก จากยามเช้ามืดจนกระทั่งจันทราลับลาตะวันฉายส่องตรงหัวจึงได้พบ แท้จริงแล้วจวนสกุลหลี่ค่อนข้างโดดเด่นอย่างยิ่ง เป็นจวนของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้หนึ่งแต่ลักษณะกลับคล้ายสำนักฝึกวิชาเสียมากกว่า
ข้าเข้าไปรายงานเรื่องคุณชายหลี่กับผู้เฝ้ายามหน้าประตูกว่าจะได้พบปะพูดคุยกับท่านพ่อบ้านก็เสียเวลาไปมากโข แดดร้อนแรงจนปากแห้งผากวิงเวียนจนแทบจะเป็นลม ชายชราผู้หนึ่งจึงโผล่หัวออกมา ดูเหมือนว่าพวกเขาพึ่งจะทราบว่าคุณชายรองหลี่ฮุ่ยหรงมิได้อยู่ในจวน เมื่อแรกพบปะจึงหน้าตาแตกตื่นอย่างยิ่ง
คราแรกต้องเดินเท้าจากฟากหนึ่งของเมืองมายังอีกฝั่งทำให้ข้าต้องหยุดพักหลายคราหลงทางอยู่หลายครั้ง แต่คราวนี้เพราะท่านพ่อบ้านชรามิอาจเดินเหินได้ถนัดจึงได้อาศัยใบบุญร่วมรถม้าคันเดียวกัน ยามอยู่ร่วมรถม้ากับข้าท่านพ่อบ้านสกุลหลี่ถึงกับอาเจียนไปคราหนึ่งรีบเผ่นแน่บออกไปนั่งด้านหน้า ข้ารู้สึกผิดอย่างยิ่งจึงได้แต่ตอบแทนน้ำใจของพ่อบ้านหลี่ด้วยการเหยียดตัวนอนบนเบาะรถม้าเสพความนุ่มนวลของเบาะอย่างเต็มคราบ สุขสันต์เสียจนแทบเคลิ้มหลับดีที่ท่านพ่อบ้านชะโงกหน้าร้องเตือนเข้ามาให้ข้าบอกทาง ตัวข้าถึงได้สะดุ้งขึ้นมาจากภวังค์อันแสนสุข
โดยแท้จริงแล้วการจะหาตรอกแห่งนั้นไม่นับว่ายากเท่าใดนัก แต่เพราะข้าค่อนข้างสับสนงุนงงเรื่องถนนหนทางอยู่บ้างเล็กน้อยกว่าจะพบตรอกแห่งนั้นก็เนิ่นนานเอาการอยู่ ทันทีที่พบข้ารีบถลันลงมาดูอาการเจ้าดำ มันนั่งอย่างสงบนิ่งอย่างยิ่งเฝ้าอยู่เคียงข้างคุณชายรองผู้นั้นไม่ขยับแม้แต่น้อยราวกับรูปปั้นสุนัขตัวหนึ่ง เมื่อพบข้ามันกระดิกหางริกๆวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางดีใจ
หนึ่งคนหนึ่งสุนัขโผเข้าหากันคล้ายกับว่ามิพบหน้ากันนาน ขาดเจ้าดำไปข้ารู้สึกชีวิตค่อนข้างลำบากขึ้นโขอยู่ อย่างน้อยมันก็ดูคล้ายว่ารู้เส้นทางทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก เพียงแต่จะให้มันนำทางไปจวนสกุลหลี่นั้นออกจะตรากตรำสังขารของสุนัขตัวน้อยนี้อยู่มาก ข้าตรวจดูแผลเจ้าดำที่มีเศษเสื้อพันอยู่พบว่ามีเลือดซึมเพียงเล็กน้อยจึงค่อยวางใจขึ้น
ทางด้านท่านพ่อบ้านผู้นั้นตรงไปหาคุณชายรองของเขาอย่างเร็วรี่ ปลุกเท่าไหร่หลี่ฮุ่ยหรงก็มิตื่นขึ้นโดยง่าย ข้าขมวดคิ้วคราหนึ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มิสมเหตุสมผลอยู่บ้างจึงเข้าไปนั่งข้างร่างของบุรุษผู้เกือบเปลือย พ่อบ้านเขาถอยห่างด้วยท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์แต่ข้าหาใส่ใจไม่คว้าข้อมือชายกึ่งเปลือยขึ้นมาตรวจชีพจรรู้สึกว่าชีพจรเขาปั่นป่วนราวกับทะเลยามมรสุมโหมกระหน่ำ เปิดเปลือกตาขึ้นดูแล้วพบว่าดวงตาเขามีสีม่วงขุ่นจางๆปรากฎ กลิ่นสุราฉุนจัดชนิดหนึ่งโชยชายจากตัวเขาคาดว่าเป็นสุราม่วงมรกต ดูท่าคุณชายรองผู้นี้คงโดนพิษเล่นงานเสียแล้วกระมัง
“ท่านพ่อบ้าน ที่แท้คุณชายท่านถูกวางยา” ชายชรามองข้าอย่างประหลาดใจอย่างยิ่ง
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?” เขานิ่งอยู่เกือบเค่อ ที่แท้กับพ่นคำจำพวกนี้ออกมา? ข้าเหยียดสายตามองเขาคราหนึ่งอย่างตำหนิ หากเป็นดวงตาคมกริบของเหวินฉีลี่ฉางคงทะลุทะลวงอกเขาจนแหว่งว่างไปเสียแล้ว พ่อบ้านสะอึกไปคราหนึ่งข้านึกขึ้นได้ว่าใช้สายตาเช่นนั้นในร่างอัปลักษณ์นี้คงทำให้เขาขวัญเสียด้วยความหวาดกลัวอยู่มากโขจึงเอ่ยต่อผู้ชราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นส่วนหนึ่ง
“ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะเป็นขอทาน แต่ก่อนที่จะตกยากเช่นนี้ข้าก็เป็นชนชั้นบัณฑิตผู้หนึ่งเช่นกัน วิชาแพทย์ก็ศึกษาจนแตกฉานเช่นนี้พอจะเชื่อได้หรือยังว่าที่ข้าพูดเป็นความจริง” พ่อบ้านเผลอหลุดสีหน้าตกตะลึงอย่างเปิดเผย ปากเขาอ้าหุบๆอยู่หลายครั้งพิศมองแล้วคล้ายหอบกาบตัวหนึ่งอย่างยิ่ง ข้าถอนหายใจทราบดีว่าอยู่ในสภาพเช่นนี้คงเชื่อได้ยากอยู่
“มิเชื่อข้าก็มิเป็นไรดอก แต่ชีวิตคุณชายท่านท่านก็ลองตรองดูเอาเถิด” เขากลับมามีสติรีบเรียกคนขับรถม้ามาพยุงคุณชายของเขาขึ้นไป ข้าจะเข้าช่วยเหลือแต่พวกเขากลับส่งสายตาคล้ายบอกให้ถอยห่าง เอาเถิดเมื่อมีน้ำใจแล้วมิรับก็ช่าง หลังจากพาคุณชายของเขาเข้าไปด้านในรถม้า พ่อบ้านผู้นั้นมีท่าทีลังเลอยู่มากคล้ายกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขามองหน้าข้านิ่งนานสุดท้ายจึงเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง
“เช่นไรเจ้าก็เป็นผู้มีพระคุณของคุณชาย อย่างไรก็กลับจวนสกุลหลี่ด้วยกันเสียเถิด” ข้าเก็บอาการปิติยินดียิ่งไว้ในใจ ขึ้นรถม้าด้วยท่าทีสงบนิ่งให้สมกับที่บอกเขาว่าก่อนหน้าจะมาเป็นขอทานเคยเป็นชนชั้นบัณฑิตมาก่อน ผู้ชราคล้ายมีเรื่องจะซักถามข้าอยู่หลายประโยคสุดท้ายได้แต่ถอนใจเฮือกหนึ่งและก้มหน้าก้มตาดูแลคุณชายของเขาต่อ
ทันทีที่กลับมาถึงหลี่ฮุ่ยหรงถูกนำตัวไปยังเรือนพักของเขา ส่วนตัวข้าถูกสั่งให้ชำระร่างกายเสียยกใหญ่ คาดว่าพ่อบ้านหลี่คงมิอาจทนกลิ่นอันรัญจวนที่ตามหลอกหลอนเขามาตลอดทางได้กระมัง หลังจากชำระร่างกายเกือบชั่วยามหนึ่งคราบไคลทั้งหมายจึงได้มลายหาย ข้าสวมใส่ชุดผ้าฝ้ายสีน้ำเงินชุดหนึ่งดูเรียบง่ายสง่างามขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่บนกระจกทองเหลือง นับว่าร่างกายนี้ค่อนข้างเล็กกว่าร่างกายข้าอยู่มาก ร่างกายของเหวินฉีลี่ฉางสูงราวเจ็ดฉื่อห้าชุ่น แต่ดูท่าร่างนี้คงสูงเพียงเจ็ดฉื่อเท่านั้นกระมัง ผิวดำกระด่างดูดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแต่ยังค่อนข้างคล้ำและแตกระแหงหยาบกร้านด้วยความตรากตรำ เส้นผมเหนียวเหนอะหนะกลับกลายเป็นผมยาวระแผ่นหลังมิได้ดกดำสวยงามราวแพรไหมล้ำค่า ข้าทอดถอนใจคราหนึ่งมิอาจหักใจมองหน้าตัวเองได้จึงเร่งฝีเท้าเดินตามหญิงรับใช้ไปยังเรือนคุณชายรอง
เรือนคุณชายฮุ่ยหรงผู้นี้เป็นเพียงเรือนขนาดไม่ใหญ่หลังหนึ่งถูกสร้างไว้ในป่าไผ่ติดกับกำแพงด้านหลังบ้านสกุลหลี่ เป็นเรือนที่สมถะ สันโดษและแปลกแยกอย่างยิ่ง จวนสกุลหลี่นั้นเป็นจวนที่ตกแต่งอย่างทหาร ดูเคร่งขรึมดุดันมิเน้นความประณีตสวยงาม..หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาต้องบอกว่าไร้รสนิยมอย่างยิ่ง แตกต่างจากเรือนไผ่นี้อยู่มาก แม้จะดูเล็กกะทัดรัดแต่แฝงไว้ด้วยความสงบสูงค่าอย่างชนชั้นบัณทิต ภายในบ้านมีห้องโถงห้องหนึ่ง ห้องหนังสืออีกห้องหนึ่งและห้องนอนสองห้อง เครื่องเรือนโดยมากล้วนทำขึ้นจากต้นไผ่ ตกแต่งภายในเรือนด้วยภาพวาดพู่กันทิวทัศน์อันงดงามและกลอนที่ถูกรจนาขึ้นอย่างไพเราะ เป็นเรือนที่สวยงามเรียบง่ายเช่นนี้เอง
เมื่อข้าไปถึงคุณชายหลี่ยังไม่ได้สติ พ่อบ้านดูร้อนใจอยู่มากปรึกษาบางอย่างกับท่านหมออยู่กลายคำสุดท้ายทั้งสองก็ทำหน้าดำคร่ำเครียดตรงรี่มาหาข้า
“ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าคุณชายของเราโดนวางยาพิษหรือมิใช่” มาถึงก็เข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง
“ถูกแล้วท่านพ่อบ้าน ข้าเห็นคุณชายหลี่มีชีพจรปั่นป่วน ดวงตามีจุดม่วง มีกลิ่นสุราม่วงมรกตจากลมหายใจ เบื้องต้นสันนิษฐานได้ว่าโดนพิษ” ท่านหมอชราที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าคราหนึ่งลูบเคราคล้ายเห็นด้วย
“ตัวข้าผู้ชราก็วินิจฉัยเช่นนี้ เมื่อตรวจอย่างละเอียดที่ปลายลิ้นเขาด้านชาและสีซีดคล้ำลง ดวงตาเหม่อลอย ชีพจรบางคราสับสน บางครากลับลอยมิพบราก กลิ่นสุราชนิดหนึ่งยังติดอยู่ที่ปลายลมหายใจ ข้าค่อนข้างแน่ใจว่าดื่มสุราม่วงมรกตประสมกับปีกจั๊กจั่นเข้าไป” ข้าพยักหน้าพิจารณาตามคำพูดของท่านหมอ
สุราม่วงมรกตนี้เป็นสุราที่กลั่นจากข้าวสีม่วงจากหยุนหนานหมักกับน้ำพุบ่อมรกตของหมู่บ้านเมฆคล้อยนานสิบปี กรรมวิธีมิได้ดูแปลกพิสดารจากสุราทั่วไปเท่าใดนัก เพียงแต่สุราม่วงมรกตรสชาติรุนแรงอย่างยิ่ง กลิ่นค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ หากผู้ไม่ประสงค์ดีผสมปีกจั๊กจั่นป่นละเอียดเข้ากับเหล้าม่วงมรกตนี้จะเกิดพิษชนิดใหม่ชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ผู้ดื่มรู้สึกมึนเมาอย่างหนัก อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ลมปราณประเดี๋ยวพลุ่งพล่านประเดี๋ยวอ่อนจาง เกิดจุดม่วงจางที่ดวงตาขาว
“เช่นนั้นคงมิน่าห่วง พิษชนิดนี้ไม่อันตราย เพียงแต่ทำให้มึนเมาสลบไสลไปเป็นเวลานาน ใช้เปลือกส้มกิกเผาคั้นน้ำออกมาผสมกับน้ำหนิงเหมิงแลขิงให้เขาดื่มทุกหนึ่งเค่อ ครบสี่ครั้งจึงเปลี่ยนเป็นดื่มน้ำโสมร้อนทุกหนึ่งเค่อ อีกสี่ครั้ง อย่างเร็วครึ่งชั่วยาม อย่างช้าหนึ่งชั่วยามเขาย่อมฟื้นอย่างแน่นอน”
“ที่ผู้เยาว์ท่านนี้กล่าวล้วนถูกต้องเพียงแต่ข้าเองก็ใช้วิธีแก้เช่นนั้น ผ่านมาหนึ่งชั่วยามสองเค่อ คุณชายก็ยังมิฟื้น...” ข้าขมวดคิ้วหรือว่าร่างกายคุณชายหลี่มีอะไรผิดแปลกไป คนที่แข็งแรงหน่อยดื่มยาเข้าไปเค่อแรกก็ลุกขึ้นมาได้แล้ว บางรายอาจต้องดื่มน้ำโสมให้ร่างกายปรับสมดุลซักพักจึงลุกขึ้นมาได้ แต่นี่เขาออกจะนอนนานเกินไปหน่อยกระมัง ข้าพิจารณาใบหน้าผู้ชราทั้งสองที่ดูปริวิตกจึงเอ่ยออกไปหนึ่งประโยค
“ผู้เยาว์พอมีวิชาแพทย์ติดตัวอยู่บ้าง มิทราบผู้เยาว์ขอลองวินิจฉัยอาการคุณชายหลี่ได้หรือไม่” ท่านหมอรีบเชื้อเชิญ ท่านพ่อบ้านผายมือส่งให้ข้าเข้าไปด้านในเตียงไผ่อันเรียบง่ายของคุณชายรองผู้นั้นอย่างเต็มอกเต็มใจ ร่างกายน้องชายแม่ทัพใหญ่มีค่าราวกับหยก หากวินิจฉัยผิดชีวิตน้อยๆของท่านหมอแลพ่อบ้านหนึ่งคนก็มิพอชดใช้ ท่านหมอผู้นี้ข้าคุ้นหน้าอย่างยิ่ง จำมิผิดคงเป็นท่านหมอโจวผู้โด่งดังมักรักษาแต่ตระกูลขุนนางกระมัง
ข้าหย่อนร่างลงข้างเตียงจับชีพจรชายหนุ่มผู้นี้คราหนึ่งพบว่าชีพจรเขายังคงพลุ่งพล่านสับสนเช่นเดิม ตรวจดูนัยน์ตาของเขาเหม่อลอยเคลิ้มฝันมีจุดม่วงจางยังตาขาว นี่มันออกจะผิดปกติอยู่บ้าง เมื่อมีจุดม่วงที่ดวงตามิได้ดูเข้มขึ้นแต่กลับขยายจนครอบคลุมเกือบทั่วตาขาว ปลายเล็บกลับมีสีม่วงแจ่มชัดขึ้นนี่นับว่าแปลกอย่างมาก ข้ามุ่นคิ้วคราหนึ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นสุราที่อวลอายจากร่างเขา ครุ่นคิดมิตกว่าทำไมถึงป่านนี้เขายังไม่ตื่น ซ้ำร้ายอาการยังดูทรุดลงเสียอย่างนั้น ลิ้นของเขาค่อนข้างชาด้านก็จริงแต่กลับเป็นสีขาวซีดแทนที่จักเป็นม่วงคล้ำ นับว่าผิดแปลกเป็นประการที่สอง ปลดเสื้อผ้าเขาตรวจดูร่างกาย กดลงไปคราหนึ่งมิมีรอยม่วงจางปรากฏ นับว่าผิดแปลกเป็นประการที่สาม ตรวจดูลมหายใจของเขาค่อนข้างเบาบางแทนที่จะอุ่นร้อน แม้จะหลับแต่สีหน้าเขาดูทุกข์ทรมานยามหายใจเข้าออก นับว่าผิดแปลกเป็นประการที่สี่
พลันหัวใจข้ากระตุกวาบ เมื่อคิดถึงพิษชนิดหนึ่งก็รู้สึกเย็นยะเยียบ แม้ร่างกายเขาจะมีกลิ่นสุราฉุนจัดแต่หากพิษนี้มิใช่มาจากสุราม่วงมรกตแลปีกจั๊กจั่นเล่า ข้าเร่งจรดปลายจมูกลงใกล้กับใบหูเขา ทั่วใบหน้าแลเส้นผมของเขา คล้ายได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรปรากฏลอยเข้าจมูกพลันลืมตาขึ้นด้วยความตระหนกถลันตัวไปยังหน้าต่างสูดอายอากาศบริสุทธิ์ทรุดตัวลงข้างหน้าต่าง อากาศปวดหัวราวกับโดนทุบทำให้มึนงงสับสนรุนแรงจนแทบอาเจียน
“ที่แท้ท่านทราบหรือไม่คุณชายข้าเป็นอะไรกันแน่”
“ผู้เยาว์วินิจฉัยได้แล้วหรือไม่” สองผู้ชราประสานเสียง ข้าพยักหน้าตอบเขาพยายามชะโงกหน้าออกไปหายใจภายนอก ลบล้างกลิ่นที่ติดตรึงออก
“เขาโดนพิษจริง แต่พิษนั้นกลับมิได้มาจากสุราม่วงมรกตและปีกจักจั่น ที่แท้หลังจากข้าตรวจแล้วพบความผิดปกติบางอย่างจึงทราบว่าคุณชายท่านได้รับยาพิษมิใช่จากการดื่มกินสิ่งใด แต่เป็นเพราะการดมกลิ่นต่างหาก” ข้าแตะเบาๆที่จมูกบนเอง กลิ่นอันฉุนจัดและขมฝาดยังติดอยู่ที่ปลายจมูก
“ด..ดมกลิ่น?” ข้าพยักหน้าคราหนึ่งสะบัดหัวแรงๆให้พ้นจากความมึนงงที่เกาะกุม
“จากกลิ่นที่ยังติดตัวเขาอยู่ค่อนข้างบางเบา แต่ข้าคาดว่าเขาคงโดนควันพิษของกำยานร้อยปีศาจเข้ากระมัง กำยานร้อยปีศาจนี้ทำจากเกสรดอกไม้ร้อยชนิดแช่กับน้ำแช่ศพหนึ่งร้อยวัน นอกจากนั้นยังมีส่วนผสมของไม้กฤษณาดำและไม้หอมอื่นอีกมากมาย กรรมวิธีค่อนข้างคล้ายการทำกำยานหอมอื่นแต่ส่วนผสมล้วนแล้วแต่หายากยิ่ง กำยานร้อยปีศาจนี้นับเป็นสิ่งต้องห้ามสูญหายไปจากแผ่นดินหลายสิบปีแล้ว
ผู้ใดเผลอสูดดมเข้าไปจะรู้สึกล่องลอยเพ้อฝันคล้ายโดนหลอนวิญญาณ ชีพจรสับสนอลหม่าน จากกระฉับกระเฉงเปลี่ยนเป็นหลับใหล บางทีอาจจะหลับใหลนานกว่าหนึ่งวันนับเป็นเรื่องปกติ มิมีความต้องการทั้งอาหารแลน้ำดื่ม ลิ้นกลับกลายเป็นดั่งศิลา มิรู้สึกเจ็บปวดร่างกาย หากสูดดมมากๆเข้าจักมิสามารถขาดมันได้ ร่างกายจะซูบเซียวลงเหลือหนังหุ้มกระดูก ตาขาวล้วนแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงจัด ริมฝีปากกลายเป็นสีเขียวคล้ำ ลักษณะนิสัยเปลี่ยนผันราวพลิกฟ้าเปลี่ยนดิน อยู่กับความฝันมิตอบสนองความจริง มิยินดียินร้ายต่อทุกสิ่งบนโลก สุดท้ายก็ตกตายลงอย่างน่าอนาถ
แต่ดูท่าคุณชายท่านคงไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้นกระมัง ลักษณะอาการเช่นนี้คงดมกลิ่นกำยานร้อยปีศาจไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงจะเล็กน้อยก็นับว่าอันตราย ท่านต้องให้สาวใช้ทำความสะอาดร่างกายเขาให้หมดจดจนแน่ใจว่ามิมีกลิ่นกำยานร้อยปีศาจติดตัวเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วให้ย้ายที่นอนของเขาในที่ๆอากาศถ่ายเทได้สะดวก ข้าจะคอยเฝ้าดูอากาศเขาเป็นระยะ หนึ่งเดือนนี้เขาต้องดื่มสมุนไพรให้ตรงต่อเวลาเพื่อขจัดพิษของกำยานที่ปะปนอยู๋ในเลือดของเขา”
ข้าเอ่ยอย่างรวดรัดตัดความ ท่านพ่อบ้านสีหน้าตระหนกแตกตื่นสบตากับท่านหมอชราราวกับต้องการให้เขายืนยันคำวินิจฉัย ท่านหมอผู้นั้นตรงรี่ไปตรวจร่างกายคุณชายหลี่สุดท้ายส่งเสียงอาขึ้นมาคราหนึ่ง สำทับคำวินิจฉัยของข้าพร้อมยกย่องสรรเสริญข้าอีกหลายครา
“กลิ่นของกำยานร้อยปีศาจมีลักษณะเฉพาะ เบาบางและจางง่ายจึงแยกแยะยากยิ่งนัก หากไม่เพ่งพิจารณาดีๆคงมิทราบว่าเป็นกำยานร้อยปีศาจ มิคาดว่าผู้เยาว์เช่นเจ้าจะรู้จักพิษชนิดนี้ ตัวข้าผู้ชรายังวินิจฉัยเลอะเลือนสับสนน่าละอายคนรุ่นหลังอย่างยิ่งแล้ว” เอ่ยทีหยอกทีจริงเช่นนี้ข้ามีหรือจะกล้ารับความดีความชอบ
กำยานร้อยปีศาจมีกลิ่นลึกลับหาผู้เยาว์จะรู้จักได้ยากยิ่ง เพียงแต่ท่านเหมยกลับเป็นผู้รู้วิธีปรุงกำยานอย่างละเอียด ในหอเหมยข้าเคยปรุงมันคราหนึ่ง เผลอดมกลิ่นมันเข้าไปสลบไสลไปสามวันเมื่อฟื้นตื่นท่านเหมยนั่งอยู่ตรงหน้าคลี่รอยยิ้มเยือกเย็น เขามิบอกวิธีแก้ให้แก่ข้าเพียงแต่ให้ข้าดิ้นรนหาทางรอดเอาเอง ข้าตาพร่าพรายต่อสู้กับฤทธิ์กำยานแทบจะพลิกตำราทั้งหอเหมยหาวิธีแก้ ใช้เวลาเกือบสองสัปดาห์กว่าจะผ่านพ้นวิกฤตินี้มาได้ เป็นความทรงจำหนึ่งที่ฝังใจอยู่มิรู้ลืม
“ที่แท้ต้องยกความดีให้แก่อาจารย์ของข้า เพราะเขาสั่งสอนข้าได้ดีอย่างยิ่ง จึงรู้ฤทธิ์ของกำยานร้อยปีศาจอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนแก่ใจ” ท่านหมอซักไซ้ไต่ถามข้าอยู่ครู่ใหญ่ใคร่จะรู้นามของอาจารย์ สุดท้ายเมื่อข้ายืนยันมิบอกเขาด้วยรอยยิ้มนิ่งสงบจึงต้องเป็นฝ่ายล่าถอยไปเอง
ข้าพิศมองร่างคุณชายหลี่ฮุ่ยหรงที่สลบไสลอย่างสงสัย ใยเขาจึงต้องฤทธิ์กำยานแลไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ ที่แท้เกิดอะไรในตรอกนั้นกันแน่
“คิดอันใดอยู่หรือน้องเมิ่ง” ข้าละสายตาจากคลื่นน้ำที่พลิ้วระลอก เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอใจลอยไปไกลแล้วอีกคราหนึ่ง คลี่ยิ้มให้เจ้าของร่างสูงสง่าผู้นั้นจางๆ เจ้าดำที่ติดตามหลี่ฮุ่ยหรงไปยังเรือนใหญ่กระโจนมาหาข้าด้วยท่าทีระริกระรี้ยิ่งนัก ขนของมันยาวขึ้นมาก ร่องรอยขี้เรื้อนหายไปกลายเป็นสุนัขตัวอวบอ้วนตัวหนึ่ง
จะว่าไปแล้วก็แปลกนัก เมื่อขนมันขึ้นยาวข้าถึงได้สังเกตว่าที่แท้เจ้าดำเป็นสุนัขพันธุ์จ้างอ้าว สุนัขพันธุ์นี้หายากยิ่งในเมืองหลวง ราคาแพงลิบลิ่ว ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีนิสัยดุร้ายอย่างยิ่ง ใยจึงกลายเป็นหมาขี้เรื้อนนิสัยชมชอบออดอ้อนประจบประแจงตัวหนึ่งไปก็มิทราบ คล้ายจะทราบว่าถูกนินทาในใจ เจ้าดำวางหัวของบนตักข้า หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูส่งเสียงร้องงี้ดๆ ลักษณะเช่นนี้ต่างจากในตำราที่เคยศึกษาอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าดำมันคงชอบน้องเมิ่งอย่างมาก ถ้าเป็นผู้อื่นมันจะหยิ่งยโสอย่างยิ่ง” จะอย่างไรก็ยากจะคุ้นชินกับชื่อใหม่ ชื่อจิ่วเมิ่งนี่คิดกะทันหัน ตัวจิ่วที่หมายถึงโชคชะตา ตัวเมิ่งคือความฝัน สองตัวอักษรที่ล้วนเปี่ยมไปด้วยความหมาย ข้าถอนใจคราหนึ่งกำซาบกลิ่นอ่อนหวานที่ลอยละล่องมาจากสระบัวตรงหน้า
“มันและข้าล้วนเคยผ่านความยากลำบากมาด้วยกันกระมัง ความสัมพันธ์จึงแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง” ข้าลูบเส้นขนเจ้าดำตั้งที่หัวกลมป้อมของมันจรดปลายหาง สุนัขน้อยทำหน้าเคลิ้มฝันดูน่าขบขัน
เมื่อคิดดูแล้วมาอยู่บ้านสกุลหลี่ได้สิบห้าวัน ตัวข้าอยู่ติดกับหลี่ฮุ่ยหรงแทบทุกชั่วยาม เขาต้องดื่มยาตรงเวลาทุกๆสองชั่วยามเพื่อขจัดพิษที่ปะปนอยู่ในกระแสโลหิต เมื่อแรกพ่อบ้านหลี่อยากในเขาไปรักษาตัวที่เรือนใหญ่ แต่หลี่ฮุ่ยหรงแม้ดูสุขุมอ่อนโยนที่แท้ภายในกลับเป็นเด็กหัวรั้นคนหนึ่ง ลำบากพ่อบ้านหลี่ต้องสร้างเรือนสมุนไพรขึ้นมาข้างๆเรือนไผ่
เรือนสมุนไพรที่สร้างจากไม้ไผ่เสร็จสิ้นภายในสองวัน นี่เรียกว่าอำนาจเงินบันดาลโดยแท้ ภายในเรือนมีตู้เก็บสมุนไพรตู้ใหญ่ เตาไฟสองเตา และตั่งไม้ไผ่อีกตัว มีสาวใช้ผู้หนึ่งคอยดูแลเรื่องการต้มยา สับเปลี่ยนเวียนกันทุกสามชั่วยาม เรือนสมุนไพรเป็นสถานที่ที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง กระนั้นก็เป็นเรือนที่ข้าไปขลุกอยู่บ่อยที่สุด ตกกลางคืนจึงกลับไปพักผ่อนที่เรือนไผ่
“ตอนแรกข้านึกว่าท่านจะอยู่ทานข้าวเย็นกับฮูหยินแม่ทัพหลี่ มิคิดว่าจะกลับมาเรือนไผ่”
“ข้ากลัวเจ้าเหงา” มือที่ลูบเส้นขนเจ้าดำหยุดชะงักลง
ข้าทอดสายตามองสระบัวขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กบ่อหนึ่ง ผิวน้ำเต้นระริกส่องสะท้อนแสงระพี บุษบงส่งกลิ่นหอมเย็นสายหนึ่งชวนให้ผ่อนคลาย เสียงเม็ดหมากกระทบกระดานไม้ช่างน่าฟังอย่างยิ่ง ชาหลงจิ่งแรกใบไม้ผลิกลิ่นหอมอ่อนหวาน เขาอยู่ตรงหน้าข้า กำลังครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอดจากกระดานหมากนี้ ข้าชายตามองเด็กน้อยที่ยืนสงบกันอยู่นอกศาลาคราหนึ่ง เด็กที่สนิทสนมกับข้าที่สุดเดินเข้ามาใกล้ ข้ายกชายเสื้อขึ้นกระซิบกระซาบ เขาพยักหน้ารับรู้อย่างสงบเสงี่ยมยิ่งนัก เมื่อฟังจบแล้วจึงถ่ายทอดวาจา
“ทูลฝ่าบาท คุณชายลี่ฉางประสงค์จะไต่ถามว่าทำไมพระองค์ไม่เข้าร่วมประชุมเสนาบดียามบ่ายพะย่ะค่ะ” เขาเงยหน้าจากกระดานหมาก จ้องตรงมายังข้าด้วยรอยยิ้มละไมสายหนึ่ง ดวงตาเขาดูกลิ้งกลอกกรุ้มกริ่มน่าชังยิ่งนัก ข้าเม้มปากเชิดหน้านิ่งขึ้นหรี่สายตามองโกมุทหลากสีที่ชูช่อประชันกลางสระบัว
“ข้ากลัวเจ้าเหงา” น้ำเสียงเขาผ่อนคลายนุ่มนวลราวกับแมลงภู่ภมรตัวหนึ่งบินร่อนลงกลีบอ่อนของนิโลบล อยู่ๆก็รู้สึกว่าอากาศวันนี้ร้อนอย่างยิ่ง คลี่พัดหยกออกมาพัดสองสามทีจึงหยุดลง ทำเป็นมองไม่เห็นรอยยิ้มของเขาเสียเท่านี้ก็คงไม่ร้อนแล้วกระมัง
“เมิ่ง..น้องจิ่วเมิ่ง" ข้าสะดุ้งคราหนึ่ง หลี่ฮุ่ยหรงนั่งลงข้างๆข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ดวงตาเขาดูกังวลและแฝงแววห่วงใยอย่างยิ่งเมื่อเห็นข้าหลุดลอยเข้าภวังค์ไปอีกแล้ว "หากเจ้ามีเรื่องอันใดคับข้องใจโปรดบอกข้า ให้ข้าได้ตอบแทนบุญคุณของเจ้าเถิด”
..หากเอ่ยไปจริงๆก็ยากจะเชื่อ สู้เก็บไว้เอ่ยเมื่อถึงเวลาอันสมควรย่อมดีกว่า..
“ข้าไม่เป็นไร ว่าแต่ท่านเถิดใยเรือนใหญ่จึงเรียกตัวคนป่วยของข้าไป ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฮุ่ยหรงยิ้มอย่างเบิกบานอย่างยิ่งเมื่อข้าเอ่ยถึงเรื่องธุระในเรือนใหญ่วันนี้
“น้องเมิ่ง ตอนนี้พี่ใหญ่ข้าใกล้ถึงเมืองหลวงเต็มทีแล้ว วันพรุ่งนี้ขบวนเสด็จของฝ่าบาทจะถึงเมืองหลวง พี่สะใภ้ข้าตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง ดูท่าพรุ่งนี้บ้านเราคงวุ่นกับงานเลี้ยงต้อนรับพี่ใหญ่ทั้งวันเลยกระมัง”
ข้านิ่งไปครู่ใหญ่ จิตใจวุ่นวายสับสนความรู้สึกต่างๆ ความปิติยินดีระคนความคิดถึง ความโศกเศร้าเคล้ากับความคะนึงหา อารมณ์เหล่านี้ล้วนพลุ่งพล่านขึ้นมาหยุดที่นัยย์ตาบังเกิดน้ำตาหยดหนึ่งร่วงรินลงมาราวไข่มุกเม็ดงาม แม้จะพยายามมินึกถึงเขามิคาดเมื่อได้ยินชื่อเขากลับรู้สึกปวดใจอย่างยิ่ง ซากเศษความทรงจำแห่งอดีตหวนคืนมาทีละนิดร้อยเรียงเป็นเส้นใยที่โอบอุ่นร้อยรัดอยู่ทั่วร่างกาย หยดน้ำตาหยดหนึ่งเป็นดั่งตัวแทนของความฝันอันลางเลือน
“น้องเมิ่ง เจ้า..ร้องไห้?” ข้าเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้นายน้อยสกุลหลี่ผู้จับจ้องมองมาทุกกิริยาอาการของข้า แสร้งทำราวกับว่าน้ำตาเมื่อครู่เป็นเพียงม่านหมอกอันเลือนราง เขาทำท่าทีคล้ายอยากเอ่ยถามว่าใยข้าจึงร่ำไห้ แต่ก็หักใจเงียบลงอย่างรู้มรรยาท
“ข้าเพียงแต่ยินดีมากไปหน่อยกระมัง” ข้าลูบหัวเจ้าดำอย่างเหม่อลอย มันวางหัวที่ตักข้าอย่างแผ่วเบา น้ำตาอีกหนึ่งหยดร่วงรินลงกระทบเส้นจนสีรัตติกาลและซึมหายไปราวมิเคยปรากฎ
..ไป่ถามท่านซักครา คิดถึงข้าบ้างหรือไม่
..ไป่ถามท่านซักครา เคยหวนหาข้าบ้างหรือไม่
..ตัวข้าคิดถึงข้าอย่างยิ่ง หวนหารอยยิ้มของท่าน คนึงถึงอ้อมกอดของท่าน
..แต่ข้ากลับหวาดกลัวนักจิ่นสือ ทั้งรักแลหวั่นกลัว อยากพบพานแลอยากถอยห่าง
..จู่ๆความอ่อนแอเช่นนี้ก็บังเกิดขึ้นมาเสียเฉยๆ กลัวยิ่งนักว่ามิอาจหวนคืนอยู่เคียงข้างท่านเช่นวันวาน..
-
(http://www.mx7.com/i/53c/svt2zI.jpg)
ตอนที่ ๕ หวนคืนสู่ความจริง
https://www.youtube.com/v/irL7TeaPat0
กลางวสันต์ผ่านผันไม่นานจะถึงเทศกาลชิงหมิง สายลมพัดอ่อนบรรยากาศรื่นรมย์พากลิ่นอันสงบสูงค่าราวปัญญาชนผู้ผ่านผันวันวานมาเนิ่นนานจากป่าไผ่สู่ห้องนอนอันเรียบง่าย ข้าไล้มือดำกระด้างตามชุดสีน้ำเงินแลเขียวบนเตียงอย่างพิจารณา ทั้งสองชุดนี้นับว่าเป็นอาภรณ์ที่ไม่เลวเลยหากเทียบกับผ้าขี้ริ้วห่อตัวอันสกปรกโสมม แต่มิอาจเทียบกับผ้าไหมอันเลิศหรูจากซูโจว ผ้าไหมเบาบางในยามวสันต์ปักลวดลายห่ายถังแลเบญจมาศผลิบานสวยงามสมจริงอย่างยิ่ง ข้าพลันคิดถึงรอยจูบของเขาที่แต้มแตะบนอาภรณ์อย่างอ่อนหวาน อ้อมกอดอบอุ่นบนเตียงกว้างของเขายามที่ผ้าไหมล้ำค่าเลื่อนหลุดจากกาย เรื่องราวเหล่านั้นเป็นดั่งความฝันอันแจ่มชัดอย่างยิ่งในความทรงจำ
ข้าหลับตาลงครู่หนึ่งเมื่อรู้สึกว่าหัวใจสั่นไหวราวกับลมวสันต์อ่อนละมุนได้แปรเปลี่ยนเป็นวาตโหมซัดอยู่ในอก ภาพนัยน์ตาคมกริบที่พิศมองด้วยความกรุ้มกริ่มตราตรึงอยู่ในความทรงจำทำให้อึดอัดจนหายใจมิใคร่สะดวก เหลือบมองกระจกทองเหลืองคราหนึ่งจึงได้ตระหนักรู้ว่าร่างกายเช่นนี้ต่อให้สวมผ้าทอด้วยทองคำก็คงมิได้ดูดีขึ้นดอกกระมัง จึงคว้าชุดน้ำเงินเรียบง่ายมาผลัดเปลี่ยน
เส้นผมสีดำสนิทที่แตกแห้งถูกรวบมัดสูงมิให้มาระอยู่ริมหน้ากากเงิน หน้ากากที่เรียบง่ายเช่นนี้ฮุ่ยหรงเป็นผู้มอบให้ แท้จริงต้องบอกว่าชีวิตอันสุขสงบราวฝันเลือนรางนี้เขาก็เป็นผู้หยิบยื่นให้เช่นกัน เมื่อผูกแพรน้ำเงินรัดผมเรียบร้อยแล้วจึงชายตามองเงาของชายสวมหน้ากากในกระจกอีกครา....วันนี้สมควรจะตื่นจากฝันอันสงบสุขได้เสียที
เจ้าดำที่วิ่งไล่ผีเสื้ออยู่ยังลานดินหน้าเรือนวิ่งมาหาข้าอย่างกระตือรือร้น สุนัขน้อยคล้ายกำลังส่งรอยยิ้มอันประจบประแจงสายหนึ่ง ข้าคลี่ยิ้มตอบบางเบาลูบหัวมันอย่างเอ็นดู สุรีย์สาดแสงจ้าเช่นนี้คงเป็นยามอู่แล้วกระมัง..เขาใกล้มาถึงเมืองหลวงแล้ว ในใจข้ายิ่งสั่นไหว
หลี่ฮุ่ยหรงนั่งรออยู่ที่ห้องโถงอันโอ่อ่าที่ถูกตกแต่งอย่างทหาร กลิ่นอายของเขาดูแปลกแยกจากความแข็งกร้าวห้าวหาญยิ่งนักเป็นรัศมีแห่งความสุขุมน่าเลื่อมใส เขาคลี่ยิ้มให้ข้าคราหนึ่งเป็นดั่งยิ้มยามแรกอรุณอบอุ่นสว่างไสวขับไล่ความเหน็บหนาว
“ขบวนเสด็จล่วงเข้าสู่ประตูนครหลวงแล้ว ข้าให้บ่าวไปจองที่ยังเหลาร้อยเหรียญทอง ไปถึงคงประจวบเหมาะพอดีกระมัง” ข้าคลี่ยิ้มจางๆตอบเขาอย่างซาบซึ้ง เพียงแค่เอ่ยปากว่าอยากชมขบวนเสด็จอย่างใกล้ชิดเขาก็เร่งรีบจัดหาที่นั่งยังเหลาอาหารซึ่งชิดติดกับถนนเมฆมังกรที่สุดมาให้ การได้มิตรสหายอย่างคุณชายหลี่ผู้นี้นับว่าประเสริฐอย่างยิ่ง
ยามอู่เช่นนี้ในเหลาร้อยเหรียญทองพลุกพล่านยิ่งนัก ข้าเดินตามแผ่นหลังสง่างามของฮุ่ยหรงไปยังชั้นสอง ห้องอันงดงามกว้างขวางแลอาหารหลากชนิดปรากฏแก่สายตาแต่ใจข้ามิใยดีพวกมันแม้แต่น้อย ผู้คนเริ่มตั้งแถวเรียงรายเมื่อได้ยินว่าขบวนเสด็จเข้าสู่ถนนเมฆมังกรหากจากเหลาไปเพียงไม่กี่หลี่ ใจข้าสั่นไหวแลเต้นระรัว มือมิอาจประคองถ้วยชาได้ต่อไปอีกแล้ว ความอึดอัดในอกเช่นนี้ประดังเสียจนต้องขยุ้มอกด้านซ้ายคราหนึ่ง หลับตาลงสูดหายใจเพื่อเรียกสติ
“น้องเมิ่ง เจ้าไม่สบายหรือ?” ข้าส่ายหน้าลูบขนเจ้าดำที่มานอนพาดที่ตักอย่างรู้ความ มืออันเย็นเฉียบทำให้สุนัขน้อยสะดุ้งคราหนึ่ง
“ข..ข้าสบายดี” เจ้าตอบไปเช่นนั้นมิใยเสียงเจ้าถึงสั่นเทานักเล่าเหวินฉีลี่ฉาง คนเช่นเจ้าเคยกลัวสิ่งใดด้วยหรือ ..ข้าสูดลมหายใจอีกครา เลื่อนมือขึ้นแตะเบาๆที่หน้ากากสัมผัสถึงโลหะอันเย็นเยียบยอมรับกับตนเอง....ใช่....ข้ากำลังหวาดกลัว หากเขาพบหน้าข้าจะชังข้าหรือไม่หนอ จะเชื่อหรือไม่หนอว่าตัวอัปลักษณ์เช่นนี้คือฉางเอ๋อร์ของเขา คิดถึงตรงนี้ก็พลันใจหายหน้านิ่วขึ้นมาคราหนึ่งด้วยความเจ็บปวดในอก
“น้องเมิ่ง..” ข้าคลี่ยิ้มจางๆให้เขาคราหนึ่งเป็นรอยยิ้มที่สั่นระริก เสียงฝีเท้าม้าย่ำพื้นหินดังกึกก้องใกล้เข้ามาแล้ว มันสั่นสะท้านไปทั้งไปใจข้า เสียงผู้คนจอแจอยู่ด้านล่างราวกับฝูงผึ้ง ข้าขยับตัวขึ้นอยากจะลุกจากโต๊ะอาหารแต่ขากลับแข็งราวกับธาราน้ำแข็งยามเหมันต์
“สีหน้าเจ้าดูไม่ดี กลับจวนไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่”
“ไม่!” ข้าส่ายหน้าตอบด้วยเสียงมั่นคงยิ่งพยายามยันตัวลุกขึ้นด้วยขาอันสั่นระริก สะบัดชายเสื้อไปยืนยังริมหน้าต่าง ร้อยธงแดงพัดปลิวไสวปรากฎแก่สายตา ทหารองค์รักษ์ใต้หลวกเหล็กสีหน้าเคร่งขรึมเรียงแถวองอาจ ผู้คนที่แตกตื่นพลุกพล่านเมื่อครู่ถูกทหารกันไว้ให้สงบเสงี่ยมยืนเรียงแถว ทอดสายตามองหารถม้าสีทองอันโอ่อ่าคันหนึ่งอยู่ไกลลิบสุดตา ข้ามิอาจหายใจได้อีกแล้ว...ความรู้สึกอันปั่นป่วนมันจุกอยู่ในอก มือสั่นระริกคว้ากรอบหน้าต่างไว้แน่นทอดสายตามองยังม่านทองที่กั้นยังหน้าต่างรถม้าเอาไว้ พลันหนึ่งความทรงจำแสนหวานก็สาดซัดมาราวระรอกคลื่นน้ำขมขื่นสายหนึ่ง
“ฉางเอ๋อร์ เสี่ยวเอี้ยนจื่อบอกว่าเจ้าอยากไปชมทะเลสาปซีหูหรือ” ข้าในตอนนั้นนอนแนบอยู่บนอกกว้างแกร่ง ทอดกายเปลือยเปล่าแอบอิงเขาด้วยท่าทีไม่สำรวมยิ่งนัก มือหนาหยาบกระด้างม้วนเส้นผมข้าเล่นอย่างทะนุถนอม ความอ่อนหวานละมุนเมื่อครู่ยังล่องลอยอวลอ่อนในอากาศ
“เช่นนั้นเราไปพักผ่อนที่นั่นหลังเทศกาลโคมดีหรือไม่ ไปซักหลายๆวันหน่อย ข้าเองอยากตรวจดูที่นาของราษฎรแถบหังโจวเช่นกัน” ข้าพยักหน้าแทนเขาตอบแก่เขาด้วยความกระตือรือร้น เขาแย้มสรวลน้อยๆคราหนึ่งจุมพิตข้างขมับอย่างอ่อนโยน ในตอนนั้นคิดเพียงแต่อยากบินหนีจากอ้อมกอดเขา อยากพบเจอท่านเหมยซักคราก่อนที่ชีวิตน้อยๆจะสูญสิ้น...เพียงแต่ตอนนี้เมื่อคิดถึงความอบอุ่นของท่านก็มิอาจกลั้นน้ำตา หัวใจข้าราวกับมีเหมยแดงนับพันดอกผลิบานอยู่ในนั้น อ้อมกอดที่ข้าไม่เคยใยดีวันนี้กลับหวนหา รอยยิ้มที่นึกชังกลับคิดถึงยิ่งนัก ความดีของท่านตอนนั้นไม่เคยเห็นเวลานี้กลับประจักษ์แจ้ง
รถม้าของท่านใกล้เข้ามาทุกที ข้าไม่ทราบจะทำเช่นไรได้แต่ยืนร่ำไห้อยู่ข้างกรอบหน้าต่าง หัวใจรู้สึกเจ็บปวดจนมิอาจทานทน ยิ่งทิวธงเคลื่อนมาสู่สายตายิ่งรู้สึกคล้ายอยากจะโผบินไปหา ตอนนั้นท่านอยู่ในอุ้งมือข้า ตอนนี้เล่าท่านอยู่สุดสายตามิอาจเอื้อมถึง ข้าเฝ้ามองรถม้าท่านเคลื่อนผ่าน มิอาจปล่อยท่านไป....มิอาจปล่อยท่านไปได้
“จิ่นสือ!!!”ท่ามกลางเสียงผู้คนที่คุกเข่าร่ำร้องสรรเสริญเสียงร่ำร้องราวขาดใจนี้ท่านได้ยินหรือไม่ นามท่านเป็นคำต้องห้ามใครเอ่ยออกมาล้วนต้องอาญาประหาร แต่นามนี้กลับเป็นนามที่ข้ามิสิทธิ์เรียกอย่างมิต้องกลัวฟ้ากลัวฝน ท่านเคยแย้มสรวลน้อยๆเสมอมิใช่หรือเมื่อข้าเรียกนามจิ่นสืออย่างสนิทสนม ในตอนนั้นท่านเองก็เรียกข้าว่าฉางเอ๋อร์มิใช่หรือ ข้าไม่เคยชอบนามฉางเอ๋อร์นี้เลยซักครา เคยบอกท่านไปกี่หนก้อนหินอย่างท่านเคยจดจำได้บ้างหรือไม่
"เจ้าไม่ชอบที่ข้าเรียกฉางเอ๋อร์ก็ไม่เป็นไร ข้าชอบเจ้าก็เพียงพอแล้ว" แต่ตอนนี้จิ่นสือ..เรียกข้าว่าฉางเอ๋อร์อีกครา กอดข้าอีกครั้งเถิด ตอนนี้ข้าชอบนามนี้อย่างยิ่ง...เช่นเดียวกับที่ข้ารักท่านหมดใจแล้ว.. รักท่านถึงเพียงนี้จะให้ท่านหลุดลอยไปจากมือได้เช่นไร....จะให้ปล่อยท่านไปได้เช่นไร!
"จิ่นสือ!! ฉางเอ๋อร์ของท่านอยู่ที่นี่ จิ่นสือข้าคือลี่ฉาง!!!!"
“น้องเมิ่ง!” มือหนึ่งรั้งข้าไว้หลบอยู่ข้างหน้าต่าง สีหน้าตื่นตระหนกท่าทีหวาดกลัวของเขามิได้อยู่ในสายตาข้า ดวงตาที่พร่าพรายด้วยน้ำตานี้เห็นเพียงท่านเท่านั้นจิ่นสือ ขบวนม้าคล้ายหยุดชะงัก ม่านทองคล้ายกำลังสั่นไหว ผู้คนต่างเงียบกริบมิอาจหาญส่งเสียง ข้าดิ้นหนีออกจากอ้อมกอดของฮุ่ยหรง โผไปเกาะที่หน้าต่าง กรีดร้องชื่อท่านราวกับกำลังจะขาดใจลงตรงนี้แล้ว
“จื่นสืออ!!!!!” ผู้คนเงียบสงัดลงพร้อมกันคราหนึ่ง คล้ายฟ้าดินเป็นใจ เสียงของข้าคราวนี้ท่านได้ยินชัดเจนใช่หรือไม่ ม่านทองถูกเปิดออกดวงตากร้าวแกร่งตวัดมองขึ้นมาเบื้องบนข้าจดจำได้แม่นยำอย่างยิ่ง หยดน้ำตาพร่างพรูลงเบื้องล่างราวกับหยาดพิรุณ หัวใจของข้าเต้นระรัวราวหลุดออกมาจากอก หนึ่งดวงตาที่สามารถปลิดหัวใจผู้คนเช่นนี้คงมีเพียงท่านเท่านั้น
ดวงหน้าคมคร้ามแกร่งกระด้างที่ข้าเคยลูบไล้ คิ้วดาบสีเข้มที่ดำให้ใบหน้าดูดุยิ่งนัก แต่ยามท่านยิ้ม..ยามท่านยิ้ม..หัวใจข้าสั่นไหวกี่คราท่านทราบบ้างหรือไม่ ริมฝีปากท่านข้าก็เคยครอบครอง ร่างกายท่านทุกตารางนิ้วล้วนแต่เคยแตะต้อง แผ่นหลังท่านมีรอยแผลกี่สิบรอยข้าจำได้ขึ้นใจ ยามที่เล็บข้ากรีดรอยข่วนจนเป็นสีแดงก่ำท่านไม่เคยถือสา มือนั้นของท่านเคยประคองแลรองน้ำตาและหวีผมให้ข้ากี่ครั้งกี่คราท่านจดจำได้หรือไม่ จิ่นสือ...จิ่นสือ..
ราวกับสวรรค์เล่นตลกข้าอยากร่อนถลาลงไปหาท่านทว่ามิอาจก้าวเดิน เมื่อเห็นมือขาวสะอาดมือหนึ่งโผล่พ้นมานอกม่านทอง ม่านอีกข้างถูกมืองามคู่นั้นเปิดออกอย่างนุ่มนวล แผ่วเบาถึงเพียงนั้นแต่ราวกับว่ามือคู่นั้นได้ชำแรกควักดวงใจข้าไปทั้งดวงอย่างโหดร้ายทารุณ หนึ่งดวงตาหงส์อันงดงามล่มฟ้า หนึ่งใบหน้าล่มแผ่นดินหรือแม้แต่เพียงเส้นผมเส้นหนึ่งมีหรือข้าจะลืมได้ลง ร่างกายอันงดงามที่ครอบครองมาตลอดสิบเก้าปี ยามลืมตาตื่นใบหน้าที่พบเห็นคราแรกของวันมาตลอดสิบเก้าปี ...ร่างกายของข้าเหวินฉีลี่ฉาง ตัวข้า...ร่างกายของข้า...ทำไม....ทำไม....
"อ๊ากกกกกก!!!!"ความเจ็บปวดถึงขั้นนี้ข้ามิอาจทานทนได้ โลหิตอุ่นร้อนไหลรินจากโอษฐ์แลนาสิก ราวกับได้ยินเสียงเส้นสติอันตึงเครียดขาดสะบั้น ดวงตาแดงก่ำเพราะเลือดแห่งความคับแค้นที่คั่งขุ่นในอก ข้าตะปบหน้ากากอันเย็นยะเยียบ... นี่มิใช่เรื่องจริง ไม่จริง!..มันเรื่องบัดซบอันใดกัน!! นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน!!!
"ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง" ใช่แล้ว! ตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง...แต่มัน..มันเป็นผู้ใดทำไมอยู่ในร่างข้า หรือว่า...น..นี่หรือว่าเจ้าของร่างอันอัปลักษณ์นี้ เจ้าคนอัปลักษณ์นี้กลับกลายไปอยู่ในร่างของข้างั้นหรือ หรือว่าเป็นวิญญาณบัดซบตัวใดมาสิงสู่ นี่มัน...นี่มันอะไรกัน...สวรรค์...สวรรค์ท่านคงสนุกมากใช่หรือไม่!! ชมละครโรงใหญ่เช่นนี้คงสนุกสุขสันต์กันมากใช่หรือไม่!!
“อ๊ากกกกกกกก!!”
“น้องจิ่วเมิ่ง!!” ฮุ่ยหรงรั้งข้าไว้ในอ้อมกอดด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี ข้ากรีดร้องราวกับคนเสียสติ หน้ากากเงินหลุดออกโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ปรากฏ หนึ่งมือใหญ่ปิดริมฝีปากข้าไว้มิให้ส่งเสียง ข้ายอมไม่ได้! ยอมไม่ได้!!! ข้ารวบรวมแรงทั้งหมดกัดลงบนมือเขาจนเลือดหลั่งริน ฮุ่ยหรงมิยอมปล่อยข้าออกจากอ้อมกอด ข้าทำได้เพียงกรีดร้องเสียงอู้อี้
เสียงของขบวนเสด็จกำลังห่างออกไป ข้ามิมีวันปล่อยเขาไป!! ไม่มีวัน!! อาศัยจังหวะที่เขาอ่อนแรงสะบัดร่างออกจากอ้อมกอดที่แข็งแกร่งราวกับตรวน เจ้าดำวิ่งมาขวางทางแต่ถูกข้าผลักจนติดผนัง ข้ามิมีเวลาสนใจมันที่ร้องเสียงอู้อี้ เขากำลังจะจากข้าไป!...กำลังจะจากข้าไป!!
ข้าวิ่งลงมาจากชั้นบนของเหลาอาหาร ผู้คนต่างมองข้าราวกับตัวประหลาดตัวหนึ่ง ท่าทางคงแปลกมากอยู่กระมัง กระเซอะกระเซิงราวคนวิปลาสผู้หนึ่งทั้งยังร่ำไห้มิยอมหยุดพร่ำเพ้อคำว่า 'ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง' รถม้าสีทองของเขาอยู่ไกลลิบเสียแล้ว ร่างกายอันงดงามของข้า อ้อมกอดอบอุ่นแลหัวใจรักของท่าน...ทุกสิ่งที่เป็นของข้าเลื่อนลอยห่างไกลออกไปทุกที
"จิ่นสือออออ!!" ข้าวิ่งตามทิวธงสีแดงที่ยิ่งห่างไกล ผู้คนสับสนพลุกพล่านจนมิอาจตามทันท่านได้แต่ก็ยังพยายามดึงดันแทรกตัวผ่านทหารองครักษ์ที่กั้นเป็นรั้วมนุษย์ เมื่อมิอาจฝ่าไปได้จึงเพียงแต่แทรกตัวตามคลื่นฝูงชนมุดลอดหว่างขาทหารองครักษ์ไล่ตามรถม้าท่านไป
“จิ่นสือ!!” ข้ารวบรวมเสียงที่แหบแห้งเพื่อเรียกท่านอีกครา ตะโกนเสียจนคนทั้งถนนหันมามองผู้ที่มันขวัญกล้าเอ่ยนามเจ้าแผ่นดิน ทหารองครักษ์ที่กรูเข้ามากันข้าไม่ให้ไปหาท่าน ข้าโผตามรถม้าหรูหราที่อยู่ไกลสุดตาคันนั้นแม้จะถูกทหารเตะล้มกลิ้งไปกับพื้นคราแล้วคราเล่า จะปล่อยท่านไปได้อย่างไร..จะปล่อยไปได้อย่างไรกัน
“จิ่นสือ..ได้โปรด...ข้าอยู่นี่...ข้าเหวินฉีลี่ฉาง..เป็นข้าเอง” หนึ่งฝ่าเท้ากดข้าไว้กับถนน ฝุ่นดินคละคลุ้งเข้าปากแลตาจนสำลักไอรุนแรง หนึ่งกระบองระดมพาดบนแผ่นหลังร่างกายที่บอบช้ำมีหลายแห่งที่ถูกทุบตีอย่างไม่เบามือ กระอักเลือดออกมาคราหนึ่ง แต่ความเจ็บปวดเท่านี้หรือจะสู้ความเจ็บปวดในอกได้ ข้าตะเกียกตะกายจะไปหาท่านที่ลับสายตาหายไป หวนไห้ดังก้องฟ้ายิ่งกว่าเมิ่งเจียงหนีว์
เสียงหัวเราะเยาะขบขันดังก้องแผ่นดิน ตลกมากใช่หรือไม่ ตัวข้าเองก็รู้สึกขบขันอย่างยิ่งแต่ว่า...ตัวอัปลักษณ์เช่นข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง คนงามล่มแผ่นดินคนนั้นคือข้าเอง...คือตัวอัปลักษณ์เช่นข้านี่เอง ข้าหัวเราะทั้งน้ำตาที่หลั่งรินซบใบหน้าลงกับพื้นถนนอุ่นร้อน โพรงจมูกแสบไปด้วยหยาดเลือดที่ยังมิหยุดไหล เฝ้ามองทิวธงที่ไกลห่างออกไปลิบ
กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามาจึงค่อยมีความหวัง เพ่งพินิศบุรุษสวมชุดเกราะที่อยู่บนหลังม้าอย่างอ่อนล้า หยาดโลหิตจากขมับหยดลงสู่ดวงตาจนตาพร่าพราย เพื่อพบว่าเป็นคนคุ้นหน้าจึงยินดีอย่างยิ่งรีบพาร่างอันยับเยินตะเกียกตะกายไปหา
"ทหาร! จับเจ้าคนร้ายที่ขัดขวางขบวนเสด็จฝ่าบาทไปโบยเดี๋ยวนี้!!" น้ำเสียงอันคุ้นเคยนี้ทำให้ร่ำไห้ทั้งน้ำตา ท่าทีซื้อบื้อของเขายามอยู่ต่อหน้าข้าเมื่อก่อน ในตอนนี้กลับขึงขังองอาจได้ถึงเพียงนี้เชียว ข้าคลี่ยิ้มออกมาคราหนึ่งแม้ไม่อาจนับว่าเป็นรอยยิ้มที่น่าดูชมแต่ก็เป็นรอยยิ้มที่ถูกจุดจากความหวังอันเลือนราง
"ฮ..ฮุ่ยเหอ...ฮุ่ย..เหอ...ข..ข้า..ลี่ฉาง...เหวิน..ฉี..ลี่..ฉาง"
"เพ้ย! ที่แท้เป็นคนวิปลาสนี่เอง ใบหน้าอัปลักษณ์เช่นนี้ยังกล้าบอกว่าตัวเองเป็นเหวินฉีลี่ฉาง เพ้ย!เพ้ย!เพ้ย!" ข้าสติเลือนลางมิอาจต่อล้อต่อเถียงกับคนซื้อบื้อเช่นเขาได้อีกแล้ว ทำได้เพียงเงยหน้ามองเขาพึมพำคำหนึ่งอย่างอ่อนล้าทั้งกายใจ
"น..น้อง...สะใภ้...น้อง...สะใภ้" พลันเสียงเคลื่อนไหวอันปุปปับก็ดังขึ้นไม่ไกล ข้ารวบรวมสติสุดท้ายตะเกียกตะกายไปหาเขาที่อยู่ไม่ไกล มืออันสั่นเทาจับที่ปลายรองเท้าสีน้ำตาลเปื้อนดินคู่นั้น
"ท..ท่าน..เรียก..ข้า..น..น้อง..สะ..ใภ้" ดวงหน้าตื่นตระหนกอันน่าขบขันของเขาทำให้ข้าคลี่ยิ้มแผ่วจางยิ้มหนึ่ง สายลมวสันต์หนาวเหน็บยิ่งนักพัดมาคราหนึ่งแสงเทียนเล่มน้อยก็สั่นระริก ก่อนสติจะเลือนหายข้าเพียงอยากทราบ..เมื่อตื่นอีกครั้ง จะตื่นในอ้อมกอดท่านหรือไม่จิ่นสือ..
ทักทายนักอ่าน
ตอนนี้แต่งยากอยู่แล้วเพราะเป็นพาร์ทอารมณ์ล้วนๆ นั่งทำอารมณ์บิ้วท์อารมณ์จนจิตตกอยู่สองวันกว่าตอนนี้จะเสร็จสิ้น สำหรับนักอ่านที่ไม่นิยมดราม่า ขอแสดงความยินดีด้วยฮ้าบ ท่านผ่านพ้นพาร์ทที่ดราม่าที่สุดในองก์แรกกันไปแล้ว ในตอนถัดๆไปเนื้อเรื่องจะเดินกันอย่างจริงจังเพื่อเข้าสู่องก์สองเสียที ต่อไปจะมีดราม่ามาแจมพอกรุบกริบๆ ถ้าเข้าสู่พาร์ทดราม่าแบบฮาร์ดคอร์อีกครั้งจะมาเตือนให้หยิบทิชชู่นะคะทุกท่าน ช่วงนี้ขอติดเชิงอรรถไว้ก่อนเพราะไม่ค่อยว่างจริงๆ เดี๋ยวจะมาใส่เชิงอรรถเพิ่มเติมให้ทีหลังนะคะ^^
-
มาม่าชามใหญ่ยกมาเมื่อไหร่ คงต้องเตรียมซับน้ำตา
-
ฮืออออิ สงสารฉางเอ๋อ
ตกลงใครอยู่ในรถม้ากับจิ่นสือล่ะ!
-
งืออออสงสารลี่ฉาง บางทีโชคชะตาก็เล่นตลก
-
ถ้าบอกว่าร่างเดิมถูกเผาถูกฝังไปแล้วยังไม่เจ็บเท่านี้อ่ะจริงๆ คือคิดความรู้สึกได้เลยว่าถ้าวันหนึ่งเรามองเห็นใครก็ไม่รู้มาแทนที่เรา อยู่ในที่ของเรา ใช้ชีวิตด้วยใบหน้าและร่างกายของเรา อยู่ข้างๆคนของเราโดยที่ไม่มีใครรู้เลย เป็นเรา เราก็สติแตกนะ
-
สลับวิญญาณกันหรือ? :ling3: :ling3:
-
สนุกมากๆเลยค่ะ ติดตามๆ
-
สนุกจริง ๆ
เย่อหยิ่งจนไม่ชายตา
เห็นค่าเมื่อหลุดลอยเกินไขว่คว้า
สวรรค์ลงโทษได้โหดร้ายนัก
-
:mew5: เฮ้ยยยย เวรกรรม
สลับวิญญาณกันเฉย อย่างนี้ก็เหมือนจิ่นสือกอดคนอื่นอยู่ป่ะ
ถ้าไม่รู้สึกแปลกๆหรือสงสัยอะไรเลยอย่างนี้ก็แปลว่าจิ่นสือชอบเหวินฉีลี่ฉางแค่ที่ภายนอกอะดิ
ยังไงเนี่ย อยากรู้ต่อ :katai4:
-
:hao5: โอ้ยยยยย ตื่นเต้นเแทนลี่ฉาง ชอบมากๆค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่น้า
-
โอ๊ยยยยย สวรรค์
-
สนุกมากเลยคะ อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
-
(http://www.mx7.com/i/e42/dtKL1x.jpg)
ตอนที่ ๖ ผู้เลิศล้ำหรือจะเป็นดั่งสุกร
ข้าลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมความเลือนรางหันมองรอบกายก็พบว่าไร้ผู้ใดอยู่ในห้อง ความขื่นขมสายหนึ่งแล่นมาจุกอกจนต้องหลับตาลงคราหนึ่งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสาเหตุอันใดทำให้ต้องมานอนป่วยอยู่เช่นนี้ ตลอดหลายวันผันผ่านข้าพอมีสติรู้ตัวบ้างในบางครั้ง ได้ยินเสียงแพทย์ชราผู้หนึ่ง พ่อบ้านสกุลหลี่แลฮุ่ยหรงเข้าออกห้องนี้บ่อยยิ่งนัก กลิ่นสมุนไพรอันคุ้นเคยหลากชนิดอวลอ่อนอยู่ในห้องสีแดงกว้างขวางการตกแต่งเรียบง่ายห้าวหาญอย่างทหาร ห้องนี้คงเป็นห้องใดห้องหนึ่งในจวนสกุลหลี่กระมัง
เสียงอึกทึกจากภายนอกดังเข้ามาถึงในเรือน โดยปกติจวนสกุลหลี่ที่ข้ารู้จักเป็นเรือนที่เงียบเหงาหลังหนึ่ง ไม่มีอนุภรรยามากมายเช่นจวนขุนนางสกุลอื่น มีเพียงฟุเหริน[1]ใหญ่ที่อยู่ดูแลเรือนใหญ่แลฮุ่ยหรงที่ปลีกวิเวก ณ เรือนไผ่เท่านั้น เมื่อเจ้าเรือนกลับมาบ่าวไพร่คงคึกคักอย่างยิ่ง ข้าขยับกายลงจากเตียงพยายามประคองตัวเองไปยังกรอบประตู ความเจ็บร้าวยังคงปรากฏอยู่บ้างแต่นับว่าไม่มากเท่าที่คาดไว้
จวนสกุลหลี่มีลักษณะคล้ายโรงฝึกอย่างยิ่ง ตอนนี้ข้าพอทราบว่าตัวเองอยู่ยังเรือนรับรองปีกตะวันออกซึ่งมองเห็นลานฝึกซ้อมกลางจวนได้ชัดเจน หลี่ฮุ่ยเหออยู่ตรงนั้นกำลังฝึกวิชายุทธ์ให้เด็กรับใช้ แต่ไม่ทราบว่าเป็นวิชายุทธ์สายใดกันจึงให้เด็กพวกนั้นนั่งยองๆบนหัวเทินถังน้ำตะเบ็งเสียงดังพร้อมเพรียง ทั้งน่าสงสารแลน่าขันในเวลาเดียวกัน พลันคิดถึงตอนอยู่ที่ท่านเหมยลงโทษให้ข้าคัดไตรปิฎกตอนอายุสิบเอ็ด ตอนนั้นได้แต่ตัดพ้อน้อยใจก้มหน้าก้มตาคัดพระธรรมจนแทบละเมอออกมาเป็นพระสูตรได้ครบถ้วน หวนคิดดูแล้วจึงรู้ว่าเป็นความทรงจำที่ทั้งน่าขันแลแสนสุขยิ่งนัก
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ..” ข้าหันไปมองคุณชายหลี่คนน้องผู้ประคองถาดยาสีขุ่นเข้ามา ด้านหลังเขาเป็นเจ้าดำที่วิ่งเหยาะๆส่งยิ้มแป้นแล้นมาแต่ไกล ข้าย่อตัวลงเพื่อรับสุนัขน้อยมาไว้ในอ้อมกอด อาการเจ็บที่แผ่นหลังร้าวรานเสียจนเผลอหลุดเสียงครางเบาๆคราหนึ่ง
“อย่าฝืนตัวเองน้องเมิ่ง เจ้ายังไม่หายดี” เขาทำท่าจะเข้ามาช่วยประคอง ข้าเบี่ยงตัวหนีแตะลงที่ถาดไม้ด้วยยิ้มละไมสายหนึ่ง
“เกรงใจคุณชายรองแล้ว ข้ายังไหวอยู่ดอก ขอท่านอย่ากังวล”
“เจ้าเรียกข้าคุณชายรองหรือ?” คิ้วเรียวนั้นเลิกขึ้นเหมือนไม่พอใจ สีหน้าไม่สบอารมณ์ของเขาในยามนี้ก็ยังดูสุขุมน่าเลื่อมใสชวนให้เกรงอกเกรงใจอย่างยิ่ง คนผู้นี้นับว่ามีรัศมีผู้ทรงภูมิทุกท่วงท่ากิริยาโดยแท้
“ข้า..” มิทันจะได้แก้ตัว เจ้าเรือนก็เดินดุ่มๆรี่มาจากลานฝึก ข้ามองใบหน้าอันคุ้นเคยของหลี่ฮุ่ยเหอแฝงแววยุ่งยากวุ่นวายใจสายหนึ่งทำให้ดูเคร่งขรึมน่าเกรงขามยิ่งนัก หลี่ฮุ่ยเหอผู้นี้นับว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดกับข้าที่สุดในกลุ่มสี่แม่ทัพผู้เป็นพี่น้องร่วมสาบานของจิ่นสือ แม่ทัพหลี่เป็นน้องสี่ ได้รับตำแหน่งแม่ทัพสยบอุดรผู้องอาจห้าวหาญอย่างรวดเร็วในวัยย่างเข้าสามสิบ
ภรรยาของเขาเกิดในตระกูลบัณทิตมีนิสัยสงบเสงี่ยมเรียบร้อย หน้าตาหมดจดงดงาม เก่งกาจด้านโคลงกลอนแลเย็บปัก ตอนที่ข้าอยู่ตำหนักของจิ่นสือ มีโอกาสได้พบเขาหลายครา บ่อยครั้งที่แม่ทัพใหญ่ผู้นี้ชอบนำกลอนมาให้ช่วยตรวจทานก่อนจะนำไปมอบให้ภรรยา ทุกคราที่อ่านกลอนของฮุ่ยเหอ ข้ามิอาจกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้ บทกลอนของเขามิไพเราะล้ำลึก ตัวอักษรบิดเบี้ยวราวกับเด็กหัดเขียน ทั้งที่ตัวก็โตพละกำลังก็เยอะมิคาดกลับมาพ่ายแพ้ให้กับการเขียนกลอนง่ายๆเช่นนี้ ข้าเคยช่วยแนะนำเขาอยู่หลายครั้ง การอ่านบทกลอนอันแปลกประหลาดพิสดารของเขากลับทำให้ใจข้าที่แห้งเหี่ยวรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นราวกับต้นไม้น้อยที่ได้รับน้ำฝน ความรักมากล้นที่เขามีให้แก่ฟุเหรินทำให้ข้าเลื่อมใส ชายผู้หนึ่งจะรักมั่นต่อนางเดียวนั้นหาได้ยากยิ่งนัก
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เขามีท่าทีระแวดระวังระแวงสงสัยแต่คงไม่กล้าเสียมารยาทเมื่อยู่ต่อหน้าน้องชาย ฐานะข้าตอนนี้จะอย่างไรถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของหลี่ฮุ่ยหรง ข้าคลี่ยิ้มจางๆคราหนึ่งพยักหน้าแทนคำตอบ
“พวกท่านรับประทานอาหารเช้าหรือยัง” ข้าเอ่ยถามสองพี่น้องอย่างใจเย็นยิ่ง เจ้าดำวนเวียนอยู่แถวชายชุดข้าออดอ้อนด้วยท่าทีน่ารักยิ่งนัก
“พวกเรารับข้าวเช้าไปแล้วล่ะน้องเมิ่ง หากเจ้าหิวข้าจะให้ตั้งโต๊ะด้านใน ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอกลับไปนอนพักต่อเถิด” ข้าส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง แผ่นหลังยืดตรงจ้องมองไปยังหลี่ฮุ่ยเหอที่ทำหน้าแคลงใจอยู่ด้านข้างผู้น้อง
“รบกวนตั้งสำรับที่ศาลาด้านนอกเถิด อยู่ในห้องรู้สึกอึดอัดหายใจมิใคร่ออก” ฮุ่ยหรงรับคำรีบปลีกตัวออกไปจัดเตรียม เหลือเพียงข้าแลแม่ทัพใหญ่สองคนเท่านั้น ท่าทีอึกอักมากมารยาทต่อหน้าน้องชายกลับกลายเป็นโผงผางกร้าวแกร่ง
“เจ้าเป็นใครกันแน่! ใยถึงกล้าขัดขวางขบวนเสด็จของฝ่าบาท ดูท่าทีเจ้าตอนนี้ไม่เหมือนคนวิปลาสอย่างเมื่อวันก่อนโน้น ตอบข้ามาให้ชัดเจนอย่าได้บิดพลิ้ว มิเช่นนั้นข้าจะจับเจ้าขังลืมมิให้เห็นเดือนเห็นตะวัน!” ข้าหรี่ตามองเขาคราหนึ่ง วางตัวดั่งที่เคยชินยามเป็นเหวินฉีลี่ฉาง เชิดหน้าสะบัดชายเสื้อเดินไปยังศาลาที่อยู่ไม่ไกลจากลานฝึกนัก ศาลาไม้ของเขาสลักลายพยัคฆ์คำรามคงหวังให้น่าเกรงขามล่ะสิ ข้ากระตุกยิ้มทีหนึ่ง ไร้รสนิยมอย่างยิ่ง
“แม่ทัพหลี่ มิใช่ข้าเคยบอกท่านดอกหรือว่าให้ขุดสระบัวมาดูเล่นซักสองสามสระ บ้านท่านจะได้ดูมีรสนิยมขึ้นบ้าง” ข้าส่ายหัวอย่างจนใจกับความไร้ศิลปะของเขา ทอดสายตามองไปทางไหนก็เจอแต่ลานฝึกลานประลอง..นี่มันออกจะแห้งแล้งเกินไปหน่อยกระมัง
“เจ้า! กล้าดีอย่างไรมาวิจารณ์บ้านข้า” แม่ทัพผู้นั้นโมโหจนหน้าแดงก่ำ ข้าคลี่ยิ้มเย้าคราหนึ่งเหมือนอย่างที่เคย เป็นรอยยิ้มที่ยั่วโทสะคนซื่อบื้ออย่างเขาได้ดียิ่ง ยิ่งทำในร่างอัปลักษณ์เช่นนี้คงทำให้เขาโกรธแทบสิ้นสติเลยกระมัง ฮุ่ยเหอตั้งท่าจะกระโจนใส่แต่พลันดวงตาซื่อตรงของเขาก็ตื่นตระหนกตกใจขึ้นมา ข้าคลี่ยิ้มอีกครา
“ผ้าเช็ดหน้าลายยวนยาง[2]คู่รักที่ฟุเหรินท่านปักให้มิทราบท่านหาพบหรือยังเล่า”
“ท..ทำไมเจ้าถึงรู้!!” เขาแทบจะจับข้าขึ้นมาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอน ข้าหัวเราะร่วนด้วยเสียงแหบแห้ง
“อยากได้คืนหรือไม่เล่า ถ้าอยากได้คืนก็ไปขอที่เสี่ยวซุ่นจื่อ เด็กน้อยของข้าอุตส่าห์เก็บมันไว้ให้ท่านอย่างดีเทียวนะ”
“จ..เจ้า! เจ้าพูดบ้าอันใด” เขาพุ่งตรงมาจับไหล่ข้า แรงพลังของเขาทำข้าเจ็บปวดแต่ไม่ปริปากเงยหน้าสบตาเขาอย่างไม่หลบหนี คลี่ยิ้มออกมาอีกครา
“ไม่เรียกข้าน้องสะใภ้ห้าแล้วหรือหลี่เกอเกอ[3]”
“บัดซบ!!” เขาผลักข้าลงกับพื้นผงะถอยห่างราวกับต้องของร้อน ข้าค่อยๆลุกขึ้นอย่างสงบนิ่ง มองข้ามความเจ็บแปลบก้าวไปหาบุรุษที่เผยรอยสับสนหวั่นไหวในแววตาด้วยความนิ่งสงบ เกือบหนึ่งมาส[4]ที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในฐานะขอทานน้อยผู้นี้มีหรือจะไม่เตรียมใจพบกับเรื่องเช่นนี้
“ในใจท่านคงคิดว่าข้าวิปลาสล่ะสิ ตอนนี้ข้าก็อยากวิปลาสให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย...อยากทราบหรือไม่เล่าความรู้สึกทุกข์ทรมานของข้า ความรู้สึกที่ต้องตื่นมาในร่างกายอัปลักษณ์แทนที่จะเป็นร่างกายของข้าเหวินฉีลี่ฉาง”
“จ..เจ้า! ไม่จริง! เจ้ามันบ้าวิปลาสไปแล้ว คนอัปลักษณ์อย่างเจ้า..คนอัปลักษณ์เช่นเจ้าน่ะหรือจะเป็น..”
“หน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้น่ะหรือจะเป็นเหวินฉีลี่ฉาง จะพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่” ข้าคลี่ยิ้มเยาะหยันโชคชะตาคราหนึ่ง มองใบหน้าแม่ทัพใหญ่ที่เดี๋ยวพลันเขียวพลันแดงก็หัวเราะเบาๆ
"ฟังให้ดีเถิดแม่ทัพหลี่ ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง”
เราสองคนต่างนั่งจ้องหน้ากันอยู่พักหนึ่ง หน้าตาของเขายามนี้น่าขันอย่างยิ่ง ปากอ้าบ้างหุบบ้างราวกับหอยกาบตัวหนึ่ง สีหน้าพลันเปลี่ยนเขียวเหลืองชมพู ข้าทราบดีว่าเรื่องราวเช่นนี้มิอาจใจร้อนได้ ในคราแรกข้ายังยอมรับเรื่องบัดซบเช่นนี้ไม่ได้ประสาอะไรกับแม่ทัพจอมบื้ออย่างเขาเล่า ไม่นานนักฮุ่ยหรงก็เดินนำเด็กรับใช้ถือถาดอาหารมา คุณชายรองก้าวมาหาข้าด้วยสีหน้าเป็นกังวลสลับกับมองพี่ชายเขาราวกับจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นใยสถานการณ์จึงดูกระอักกระอ่วนเช่นนี้ ข้าคลี่ยิ้มให้เขาจางๆสายหนึ่งคล้ายจะบอกว่าให้สบายใจเถิด เจ้าดำวิ่งเล่นอยู่นอกศาลามันไปวนเวียนรอบเด็กน้อยที่ฝึกวิชากันอยู่อย่างคึกคัก วิ่งวนไปมาจนน่าเวียนหัว ข้าหัวเราะเบาๆร้องเรียกมันคราหนึ่งให้กลับมาหา หลี่ฮุ่ยเหอยังคงมองข้าด้วยแววตาประหลาดไม่ยอมหยุดแม้น้องชายเขาจะกระแอมกระไออยู่หลายครั้ง
“พี่ฮุ่ยหรงน้ำชาวันนี้รสชาติดีนัก” ข้าคลี่ยิ้มยามจิบน้ำชา กลิ่นหอมราวกับน้ำค้างที่กลิ้งกลอกอยู่บนยอดหญ้า ราวกับกำซาบรสชาติของแรกอรุณ ฮุ่ยหรงคลี่ยิ้มสุขุมดูเหมือนเขาจะพอในอย่างยิ่งที่ได้ยินข้าเรียกอย่างสนิทสนม
“ชานี้เป็นชาแรกใบไม้ผลิจากหยุนหนาน ใบชาไม่อาจเก็บไว้ได้นานเช่นชาอื่นเพราะจักเสียรสชาติ” ข้าพยักหน้าวางถ้วยชาลง เด็กรับใช้ค่อยๆบรรจงรินชาให้อย่างสงบเสงี่ยมพอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง คงเป็นเด็กรับใช้จากเรือนไผ่
“น้ำจะอย่างไรก็คือน้ำมีรสชาติอะไรที่ไหนกัน” บุรุษผู้พี่เอ่ยสอดขึ้นมา ข้าแอบหัวเราะในใจเขามักเป็นเช่นนี้เสมอยามต้องมานั่งดื่มชาเป็นเพื่อนข้า มักบอกว่าชามีรสชาติฝาดลิ้นดื่มเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแก้กระหายได้เช่นน้ำเปล่า ข้าจึงชมชอบเรียกเขาว่ากระบือน้ำยิ่งนัก
“นั่นเพราะท่านแม่ทัพไม่นิยมดื่มชาถึงได้แยกรสชาติของชากับน้ำเปล่าไม่ออก” ข้าหยักยิ้มที่มุมปาก จ้องหน้าเขาพร้อมเอ่ยคำหนึ่งออกมาโดยไร้เสียงเหมือนเมื่อก่อนนี้
“จ...เจ้ามันตัวร้าย!! เจ้า!!” แม่ทัพใหญ่ทุบโต๊ะโมโหแทบจะเป็นลม ข้าหัวเราะเบาๆกับอากัปกิริยาที่คาดว่าจะได้เห็น คลี่ยิ้มให้แก่ฮุ่ยหรงที่ทำหน้างุนงงกับอาการของพี่ชายคราหนึ่ง
“พี่ใหญ่ น้องจิ่วเมิ่งเป็นแขกแลผู้มีพระคุณของข้า ขอท่านโปรดรักษามารยาท” ฮุ่ยหรงสะบัดชายเสื้อขึ้นยืนออกหน้าปกป้อง ข้าพลันนึกเลื่อมใสเขาขึ้นมาอย่างมาก เพื่อตัวข้าที่ไร้หัวนอนปลายเท้าแถมเป็นเพียงขอทานตกยากในสายตาผู้อื่นเขายังปฏิบัติต่อข้าอย่างให้เกียรติออกหน้าปกป้องเสียหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ในจวนสกุลหลี่ไม่มีผู้ใดกล้าเสียมรรยาทต่อข้าทำเป็นมองข้ามหน้าตาอัปลักษณ์ไปเสียปฏิบัติต่อข้าอย่างเกรงอกเกรงใจยิ่ง เช่นนี้จะไม่ให้ซาบซึ้งในน้ำใจเขาได้อย่างไร
“พี่ฮุ่ยหรง แม่ทัพหลี่แท้จริงไม่ได้ตั้งใจเสียมารยาท เพียงแต่ข้ากับเขาเมื่อก่อนเคยรู้จักสนิทสนมกันมาก่อนบ้างเท่านั้น”
“ท่านทั้งสองรู้จักกันมาก่อน?” ข้าคลี่ยิ้มจางๆทอดสายตามองหลี่ฮุ่ยเหอ สีหน้าเขายังคงสับสนสุดท้ายไม่ได้ตอบอะไรกระทั่งมีทหารรับใช้เข้ามากระซิบรายงานจึงหมุนกายออกไปจากศาลาทิ้งข้าและคุณชายรองไว้เบื้องหลัง ข้าลูบเส้นขนของเจ้าดำอย่างเหม่อลอย สิ่งที่ทำได้ก็ทำแล้วทุ่มเทใช้กลทรมานสังขารโดนทุบตีถึงเพียงนี้อย่างน้อยคำพูดข้าคงมีน้ำหนักขึ้นบ้างกระมัง
ราตรีเคลื่อนมาข้านั่งอยู่บนเตียงถือหนังสือเล่มหนึ่งเปิดอ่านอย่างสงบ เส้นผมสีดำแห้งแตกระแหงถูกชะโลมด้วยน้ำมันหอมกลิ่นกุหลายสายหนึ่งอบอวลอ่อนหวาน เจ้าดำนอนหมอบอยู่ข้างกายข้าอย่างเกียจคร้านหาวอย่างน่ารักน่าชังทำตาปรือปรอยหลับไปเสียแล้ว
เมื่อกลางวันตรวจอาการฮุ่ยหรงแล้วพบว่าร่างกายเขาดีขึ้นมากไม่มีอาการปวดหัวมึนงงเช่นในตอนแรกๆ พิษของกำยานร้อยปีศาจที่เจือจางจนแทบไม่เหลือตกค้างในกระแสโลหิต ระหว่างตรวจร่างกายให้ฮุ่ยหรงเขามีสีหน้าอึดอัดใจชัดเจน ดูท่าคงอยากทราบความสัมพันธ์ระหว่างข้าแลพี่ชายเขา ข้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสุดท้ายเขาก็ถอนหายใจคราหนึ่ง เอ่ยประโยคอบอุ่นอย่างยิ่ง
“น้องเมิ่ง ข้าไม่ทราบว่าเรื่องในอดีตเจ้าเป็นเช่นไร แต่ว่าหากต้องการความช่วยเหลือ..เจ้ายังมีข้าอยู่ข้างเจ้าเสมอ” ข้าคลี่ยิ้มจางๆให้แก่เขา จู่ๆก็รู้สึกว่าเขาเหมือนกับพี่จื่อหรงยิ่งนัก พูดน้อย สุภาพและมากด้วยน้ำใจ รู้สึกสนิทสนมกับเขาขึ้นมาอยู่หลายส่วน
“พี่ฮุ่ยหรง..มิใช่ข้ามิเชื่อใจท่านเพียงแต่เรื่องในอดีตของข้าพูดแล้วยาวยิ่งนักอีกทั้งพูดออกไปก็ยากจะเชื่อ เรื่องราวซับซ้อนแลอันตรายเช่นนี้จะให้ข้าดึงท่านลงมาในวังวนนี้ได้เช่นไร”
“น้องเมิ่งชีวิตของข้าได้เจ้าช่วยเหลือไว้ นับแต่ตื่นมาข้าสาบานกับตัวเองจะดูแลช่วยเหลือเจ้าชั่วชีวิต เช่นนั้นอย่าได้เกรงใจให้ข้าได้ช่วยเจ้าบ้างเถิด” นัยน์ตามุ่งมันเปล่งประกายห้าวหาญเช่นนั้นทำให้ข้าทราบว่าเขากับพี่ชายเหมือนกันอย่างยิ่ง กล้าหาญองอาจสมกับที่กำเนิดในตระกูลทหาร ข้าคลี่ยิ้มคราหนึ่งตบที่หลังมือเขาเบาๆอย่างอ่อนโยนให้รับรู้ว่าข้าซาบซึ้งน้ำใจเขาอย่างยิ่ง
เผลอคิดเรื่องนี้อย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งเจ้าดำที่หลับอยู่ข้างๆผุดลุกขึ้นมาแยกเขี้ยวคำรามข้าถึงได้ทราบว่าในห้องนี้มีผู้บุกรุก ไฟตะเกียงวูบวาบสั่นไหวแล้วดับลงอย่างกะทันหัน ข้ากอดตัวเจ้าดำไว้กับอกอย่างสั่นเทา มือหนึ่งเผลอกระชับหน้ากากสีเงินบนใบหน้า แม้จะทราบดีว่าผู้มาเยือนเป็นผู้ใดแต่ก็อดหวั่นกลัวความมืดเช่นนี้มิได้
“ต้องทำให้ข้าอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้ด้วยหรือหลี่เกอเกอ” อึดใจต่อมาไฟในตะเกียงก็ถูกจุดขึ้นอีกครา เงาร่างสายหนึ่งปรากฏที่โต๊ะไม่ไกลจากเตียงนอน แม่ทัพผู้องอาจนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้ายากจะคาดเดา ข้าลูบหัวเจ้าดำที่ยังคงคำรามไม่หยุดเบาๆคราหนึ่งกระซิบบอกมันว่าไม่เป็นอะไร มันจึงค่อยสงบลงกลับไปนอนหมอบบนเตียงต่อแต่ดวงตายังจับจ้องที่แม่ทัพใหญ่ไม่วาง
“เมื่อบ่ายนี้หวงช่าง[5]มีบัญชาให้ข้าเข้าวังอย่างลับๆ” ข้านั่งฟังเขาอยู่บนเตียงอย่างตั้งใจ มือหนึ่งลูบขนเจ้าดำอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าตามหาหมอมาช่วยรักษาอาการเขา”
ข้ากระตุกยิ้มคราหนึ่ง เงยหน้าจ้องมองเขาผ่านความสลัวรางของตะเกียง กลิ่นกุหลาบหอมหวานตรลบ กระจ่างแจ้งในใจว่า 'เขา' ที่ว่านั้นคือใคร
“เขารอดชีวิตมาคราหนึ่งคงเป็นเพราะการรักษาของท่านเหมยแห่งตำหนักหมื่นวสันต์ มีหมอเทวดาเช่นนั้นอยู่ข้างตัวยังต้องการผู้ใดอีก?” ใบหน้าแม่ทัพสยบอุดรปรากฎร่องรอยสันสนคลางแคลงใจสุดท้ายก็ถอนหายใจหนักหน่วงคราหนึ่ง
“เขายังไม่เอ่ยอันใดกับใครทั้งนั้นทั้งยังมีท่าทีประหลาด...ไม่เหมือนคนเดิมที่ข้ารู้จัก”
“ไม่เอ่ยอันใดกับเอ่ยอันใดไม่ได้มันต่างกัน ท่านก็ทราบแม่ทัพหลี่” ข้าจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ มองความหวั่นไหวบนใบหน้าเขาก็พอทราบว่าใจเขาคงเอนเอียงเชื่อข้าบ้างแล้วบางส่วนแต่อย่างไรก็ไม่อาจทำใจเชื่อเรื่องนี้ได้โดยง่าย
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้เช่นไรว่าเจ้าเป็นเหวินฉีลี่ฉางตัวจริง หากเป็นตัวจริงใยเจ้ากลับกลายมาอยู่ในร่างนี้ได้ ที่แท้มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ตอบข้ามาให้กระจ่าง” ข้าลุกขึ้นจากเตียงนั่งลงตรงข้ามกับเขา หวนคิดถึงเรื่องราวชีวิตอันซับซ้อนแล้วจึงถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
“ท่านคงทราบแล้วว่าข้าถูกวางยาพิษมาครึ่งปีแลประจักษ์ชัดถึงฐานะที่แท้จริงของท่านเหมยแล้วกระมัง"
"ใช่ข้าทราบแล้วว่านายท่านเหมยแห่งหอเหมยเป็นหมอเทวดาที่รักษาหวงตี้รัชกาลก่อนเป็นการลับมาโดยตลอด" ข้าพยักหน้าคราหนึ่งเขาสมควรทราบเพียงแค่นั้น เรื่องตำหนักหมื่นวสันต์ถือเป็นเรื่องลับที่สุดจะอย่างไรจิ่นสือก็ไม่อาจแพร่งพรายให้พี่น้องร่วมสาบานของเขาได้มากไปกว่านี้
" ตัวข้าเหวินฉีลี่ฉางเป็นศิษย์คนเดียวของนายท่านเหมยแห่งตำหนักหมื่นวสันต์ ดังนั้นมีหรือจะไม่ทราบว่าตัวเองถูกวางยาพิษนิทราวสันต์แต่ตอนนั้นท้อแท้สิ้นหวังคิดอยากจะตาย ในตอนนั้นคิดว่าความตายคงเป็นเพียงอิสระเดียวที่ข้าจะได้รับจึงยอมกินยาพิษนั้นอยู่เกือบครึ่งปี ตอนอยู่ที่ซีหูข้าคิดว่าตัวเองคงตายแน่แล้วแต่ไม่คิดเลยว่าจู่ๆก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างขอทานผู้หนึ่ง ข้าใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่สี่วันที่ตรอกอันมืดดำกับสุนัขน้อยตัวนี้ โชคดีวันที่สี่ระหว่างหาอาหารมาประทังชีวิตได้พบกับน้องชายท่านนอนสลบ ข้าจึงพาเขากลับจวนสกุลหลี่และช่วยรักษาอาการเขาจนเกือบครบหนึ่งมาสแล้ว” แม้จะมีเพียงจันทราสลัวรางแลตะเกียงไฟที่ไหววูบวาบก็ยังพอสังเกตสีหน้าพิสดารของเขาได้ เขาฟังเรื่องราวแล้วนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายจึงค่อยเอ่ยวาจา
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เจ้าไม่ได้แต่งเรื่องหลอกข้าแน่นะ?”
“ทุกอย่างที่ข้าเล่าล้วนเป็นคำสัตย์ ท่านจะสอบถามอันใดจากข้าก็ได้ ข้ามั่นใจว่าสามารถตอบได้ อยากจะทดสอบฝีมือศาสตร์ศิลป์ของข้าก็เชิญ ข้าบอกท่านแล้วว่าตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง...ตัวข้าก็คือตัวข้า ต่อให้อยู่ในร่างอัปลักษณ์เช่นนี้ คนเลิศล้ำอย่างข้าจะกลายเป็นสุกรไปได้อย่างไร”
พลันบุรุษหนุ่มเผยสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกมาคราวหนึ่ง เหมือนกำลังจะด่าว่าข้าผ่านทางสายตาว่าเจ้านี่มันหลงตัวเองไม่เปลี่ยนเลย ข้าหัวเราะเบาๆลูบขนเจ้าดำที่เงยหน้ามองข้าด้วยตาซื่อใสเห่าเบาๆแล้วเข้ามาคลอเคลียราวกับจะสนับสนุนคำพูดของข้า
“เหวินฉีลี่ฉางเป็นคนชนิดใด ชื่อเสียงของเขาดังไกลไปพันลี้ นิสัยของเขาเป็นเช่นไร ความชอบไม่ชอบของเขาล้วนไม่ใช่ความลับ ถามเจ้าไปแล้วได้ประโยชน์อะไรในเมื่อหลายคนก็ประจักษ์นิสัยใจคอเขาดี ฝีมือศาสตร์แลศิลป์ของเช่นนี้ฝึกเอาเสียก็ได้ หากข้าเชื่อเจ้าอย่างนั้นหากมีคนมาอ้างตัวว่าเป็นเหวินฉีลี่ฉางซักร้อยคนข้าก็สมควรเชื่อเขาเช่นกันด้วยหรือ”
เขาเอ่ยประโยคเช่นนี้ยาวติดกันจนไม่ได้พักหายใจด้วยท่าทีอัดอั้นตันใจ ข้าพลันถอนหายใจเบาๆทราบดีว่าเรื่องราวเช่นนี้ยากจะเชื่อ จึงได้แต่ยิ้มละไมสายหนึ่งจ้องมองเขา
“เช่นนั้นยังมีผู้หนึ่งที่น่าจะรู้จักตัวข้าดีกว่าผู้อื่น”
“ใคร?”
“ท่านเหมยแห่งตำหนักหมื่นวสันต์” เขาพลันร้องอาขึ้นมาคราหนึ่งพยักหน้าเห็นด้วย
"เขาเป็นอาจารย์ที่เลี้ยงดูเหวินฉีลี่ฉางตั้งแต่เป็นทารก เช่นนั้นเขาย่อมสนิทสนมผูกพันกันมากกว่าข้า หากเป็นเขาย่อมตัดสินได้ดีกว่า"
“หากเขารับรองว่าข้าเป็นเหวินฉีลี่ฉางถึงตอนนั้นท่านยังจะมีข้อโต้แย้งหรือไม่” ข้าจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ เขานิ่งอีกคราหนึ่งจนกระทั่งถูกเจ้าดำน้อยเห่าใส่ แม่ทัพผู้องอาจสูดหายใจคราหนึ่งจ้องมองข้าตอบด้วยความแน่วแน่มั่นคง
“ในเมื่อเขารับรอง ข้าเองก็จะไม่โต้แย้ง” ข้าคลี่ยิ้มกว้างพลันความรู้สึกโล่งใจอุ่นวาบขึ้นมาในอก
“ดี เช่นนั้นก็ดียิ่ง ข้าจะมอบจดหมายให้ท่านหนึ่งฉบับมอบให้แก่เขา ถึงตอนนั้นเขาจะเป็นฝ่ายต้องการพบข้าเอง” แม่ทัพหลี่พยักหน้าสะบัดชายเสื้อเดินออกนอกห้อง ทว่าจู่ๆก็หยุดชะงักไปได้ยินเขากระซิบบางอย่างคล้ายพึมพำกับตัวเองแต่ข้ากลับได้ยินอย่างชัดเจน
"ขอบคุณเรื่องผ้าเช็ดหน้า"
ข้ามองแผ่นหลังเขาที่พ้นสายตาไปพลันรู้สึกคิดถึงท่านเหมยยิ่งนัก กรุ่นกริ่นแห่งเหมันต์อันสงบเยือกเย็นดอกเหมยแดงเบ่งบานสงบสูงค่า เวลาเนิ่นนานในหมื่นวสันต์มีเขาคอยดูแลประคับประคอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่พร่ำสอน รอยยิ้มเยือกเย็นแต่กลับอบอุ่น แววตาอ่อนโยนและมือที่นุ่มนวลราวกับมารดาคู่นั้น ความหวาดกลัวเบาบางสะท้านอยู่ในใจ ข้าหลับตาลงเพื่อไล่ความหวั่นไหวออกจากอก ลืมตาขึ้นมาคลี่ยิ้มให้เจ้าดำที่มาเคลียคลอ บอกตัวเองว่าตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง ต่อให้อยู่ในร่างใดคนเลิศล้ำย่อมเป็นผู้เลิศล้ำอยู่วันยังค่ำ..
เชิงอรรถ
[1] ฟุเหริน - ภรรยา
[2] ยวนยาง - ยวนยางหรือนกเป็ดน้ำ หากยวนยางตัวหนึ่งตาย คู่ของมันจะตรอมใจตายตายไม่มีคู่ใหม่เป็นสัญลักษณ์ความรักของคนจีน
[3] เกอเกอ[哥哥] - พี่ชาย
[4] มาส - เดือน
[5] หวงช่าง - คำเรียกจักรพรรดิ , ฮ่องเต้
-
บอกตรงๆ ว่า ไม่กล้าอ่าน สงสารลี่ฉาง สุดหัวใจ :sad11: :sad11: :sad11:
-
เมื่อไรฉางเอ๋อจะกลับคืนร่างเดิม
-
หงส์ก็คือหงส์
ต่อให้อยู่ในร่างกาก็ย่อมส่องประกาย
สนุกมากกกกกกกกก
หลงรักเจ้าดำ
-
สนุกกกกกก :katai2-1: ดีใจได้เรื่องสนุกๆอ่านเพิ่มแล้ว :กอด1:
ตัวเอกดูเกเร น่ารักเชียว พระเอกตอนแรกน่ากลัวไปหน่อย ทั้งขังทั้งล่ามไว้ปีนึง
โหดมากก.... แต่มาใจดีปีหลัง
รอต่ออค่า มาร่วมติดตามเรื่องนี้ด้วยคน
-
สนุกมากๆ ชอบชอบาษามากค่ะ ชวนติดตาม อินอ่ะ
-
o13 o13 o13
-
แล้วจะสลับคืนเมื่อไหร่ น่าสงสารจัง :mew2:
-
อ่านในเด็กดีเกินตอนที่ลงในนี้ไปแล้วเลยไม่มีอะไรจะเม้นท์ แต่เป็นกำลังใจให้ค่ะ :pig4:
-
:ling1: :ling1:ชอบมากสนุกมากค่ะ
-
สรุปสลับร่างกันจริงๆสินะ
-
หาแนวนี้อ่านไม่ค่อยเจอเท่าไร ชอบมากๆเลยค่ะ เนื้อเรื่องดี และลื่นมาก ไม่ติดเลย ชอบมากอีกตัวละครหนึ่งคือตัวของขอทาน เพราะดูซื่อๆ และยังเด็ก ค่อนข้างจะกลัวคน ถ้าไรท์ไม่ได้ว่างบทให้เค้าร้ายนะค่ะ(คิดว่าไรท์คงมีบทบาทให้เค้าอยู่แล้ว) เค้าคงจะเป็นตัวละครที่น่ารักมาก(อันนี้คิดเล่นๆนะค่ะ อยากให้ตัวของขอทานมีคู่ด้วยนะค่ะ แค่คิดเล่นๆนะ)
ปล.รีดเป็นคนไม่ค่อยเม้นท์เท่าไรถ้าไม่ชอบจริงๆ แต่งต่อเรื่อยๆนะค่ะสนุกมากๆเลยค่ะ o13
-
เราว่ายังไงขอทานเข้าร่างเหวินฉีลี่ฉางก็ไม่มีทางเป็นเหมือนเหวินฉีลี่ฉางได้อะ
ติดแต่ว่าคนอื่นๆจะเชื่อรึเปล่าว่าวิญญาณสลับร่างกัน :เฮ้อ:
-
ฮออออล ลุ้นอ่ะ หวงซ่างล่ะ จะรู้สึกแปลกๆกะที่อยู่ด้วยคนนั้นหรือยังนะ ลุ้นๆๆๆ
-
ตอนที่ ๗ ชามะลิหอมขจร
ข้านั่งเอนกายอ่านตำราอยู่บนตั่งหยกกำซาบกลิ่นอันปลอดโปร่งของสมุนไพรสายหนึ่ง กระทั่งได้ยินเสียงขยับตัวของคนบนเตียงจึงได้วางหนังสือลง เหล่าขันทีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักที่ยืนอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยขยับตัวกันอย่างแผ่วเบาประชิดร่างอันงดงามบนตั่งเตียงเพื่อคอยรับใช้ ข้าหย่อนตัวนั่งลงข้างผู้ที่ระริกสั่นราวกับลูกวิหคพลัดตกรังใบหน้างดงามล่มเมืองมองไปรอบข้างอย่างขวัญเสียจับเจ่าอยู่บนเตียง เป็นอาการที่ไม่ได้เห็นมาเกือบสัปดาห์มิคาดจะหวนกลับมาเป็นอีกครา
“ลี่ฉางเจ้าฝันร้ายหรือ” น้ำตาราวเม็ดมุกพร่างพรูจากนัยน์ตาหงส์พริ้มพรายคู่นั้น ข้าพลันถอนหายใจคราหนึ่งรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นเขาร่ำไห้ เด็กคนนี้ถูกข้าเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม อาเตียของเขาก็รักใคร่ตามใจจนกลายเป็นมารน้อยจอมเอาแต่ใจผู้หนึ่ง แต่อย่างไรยามเขาทำผิดก็ไม่กล้าหักใจลงโทษรุนแรงได้สักที เห็นเขามีน้ำตาจึงรู้สึกปวดในอกอยู่บ้าง
นับตั้งแต่ที่ได้ทารกน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มมาไว้ในอ้อมกอด ข้าสาบานกับตัวเองว่าจะปกป้องเขาด้วยชีวิต มิคาด...สองปีมานี้กลับไม่สามารถช่วยเขาออกมาจากนรกจนต้องตายหนีความอัปยศ ตอนเขาสิ้นลมข้าพลันรู้สึกอยู่เหมือนตาย ในโลกนี้เขาเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของข้าแต่กลับต้องสูญเสียจักทำใจได้อย่างไร
ตอนนั้นข้าร่ำไห้กอดร่างเย็นเยียบเขาไว้อย่างคนวิปลาส ยาไม่รู้กี่ร้อยชนิดป้อนให้เขาหวังให้ฟื้นตื่น เฝ้ามองใบหน้างดงามล่มฟ้าที่คลี่ยิ้มแผ่วจางอย่างสงบนิ่ง กลิ่นหอมราวบุปผาเซียนอวลแผ่วเบาราวกับจะจางหายไปทุกเมื่อ สุดท้ายก็ไม่อาจรักษาลมหายใจสุดท้ายได้แต่มองดูร่างเขานอนนิ่งสงบราวกับจมอยู่ในนิทรามิลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเลย มิคาดว่าร่ำไห้จนสลบไปคราหนึ่งจะตื่นมาพบว่าชีพจรเขาค่อยๆคืนกลับมา
ในตอนนั้นข้าทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อยื้อลมหายใจน้อยๆของเขาเอาไว้ สามวันสามคืนไม่ได้หลับพักผ่อนเฝ้ารักษาลมหายใจเบาบางนั้นจนกระทั่งเขาลืมตาตื่น ดวงตาประกายดาราสวยงามแรกลืมตาเป็นภาพที่ไม่อาจลบลืม ข้าเฝ้าขอบคุณสวรรค์นับพันครั้งที่มอบเขากลับคืนมาให้ชีวิตอันว่างเปล่านี้อีก เจ็ดวันผ่านพ้นร่างกายเขาค่อยๆดีขึ้นตามลำดับแต่ว่าลักษณะนิสัยของเขากลับเปลี่ยนไปอย่างมาก
ภาพของเด็กที่กินข้าวอย่างโหยหิวจนแก้มเลอะเปรอะเปื้อน ท่าทางหิวกระหายอย่างที่ไม่เคยได้พบทำให้ข้าตกตะลึงไปคราหนึ่ง เด็กน้อยของข้าไม่เคยทำกิริยาเช่นนี้ให้เห็น ตั้งแต่ยังเยาว์วัยลี่ฉางเป็นเด็กที่รักมารยาทมากกว่าผู้อื่น เขาชอบวางท่าสง่าสูงส่งเลียนแบบข้าจนกลายเป็นนิสัย ความหยิ่งยโสเจ้าทิฐิทำให้เขาไม่เคยยอมก้มหัวให้แก่ใครแลไม่เคยแสดงท่าทีอ่อนแอเป็นรองแก่ผู้ใด
ไม่ใช่เพียงข้าที่ตกตะลึงในนิสัยอันเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของลี่ฉาง หวงช่างองค์ใหม่ก็งุนงงจนขมวดคิ้วอยู่หลายครา แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่ก็ตกใจจนอ้าปากค้าง เด็กน้อยขันทีก็พากันสับสน ลี่ฉางเปลี่ยนไปมาก..เขาดูราวกับเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่ง...ที่แท้ต้องบอกว่าลูกสุนัขตัวหนึ่ง เขารักการกินอย่างยิ่ง ไม่ชอบอาบน้ำอุ่นอย่างที่เคย น้ำเย็นเขาก็ไม่ชอบ เขาเกลียดอากาศหนาวชอบซุกตัวนอนขดอยู่บนเตียงอุ่น หมากล้อมก็ไม่โปรดปราน ดนตรีก็ไม่อยากฟัง หนังสือก็ไม่ต้องการอ่าน คัดอักษรก็ไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือ
ตอนแรกนิสัยเขาดูคล้ายว่าจะดีขึ้นอยู่บ้าง ระหว่างเดินทางเข้าเมืองหลวงเหมือนว่าเขาจะค่อยๆปรับตัวได้ ท่าทีตื่นตระหนกตกใจดูผ่อนคลายแม้จะยังไม่ปริปากเอ่ยอันใด กระทั่งมาถึงเมืองหลวงอาการหวาดกลัวก็หวนกลับมาอีกครั้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตัวข้าที่ถูกผู้อื่นเรียกขานหมอเทวดารู้สึกละอายยิ่งนักที่ศิษย์เพียงคนเดียวก็มิอาจรักษา
“ลี่ฉางเจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะไปชงชาสมุนไพรมาให้” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักกลับไปแอบซ่อนตัวอยู่ที่มุมเตียง ข้าถอนหายใจคราหนึ่งสะบัดชายเสื้อจากมาด้วยความอ่อนล้า
“ท่านเหมย..” ข้าชะงักฝีเท้าหยุดอยู่ที่ระเบียงตำหนัก หันมองบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนหลบซ่อนอยู่ข้างเสา ชุดขุนนางฝ่ายบู๊ลวดลายพยัคฆ์น่าเกรงขามบ่งบอกสถานะสูงส่งของบุรุษผู้นี้ ใบหน้าหล่อเหลาท่าทีองอาจทั้งยังอยู่ในวัยหนุ่ม คนผู้นี้คือหลี่ฮุ่ยเหอ แม่ทัพสยบอุดรผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ยังชายแดนเหนือ แม้มีโอกาสได้พบเขาบ่อยครั้งแต่กลับมิเคยสนทนาพาทีกันอย่างจริงจังมาก่อน
“ที่แท้เป็นท่านแม่ทัพหลี่” ข้าคลี่ยิ้มเยือกเย็นคราหนึ่งมองใบหน้าสับสนวุ่นวายใจของเขา
“ข้าอยากคุยกันท่านเป็นการส่วนตัว” คนรุ่นหนุ่มนี่ซื่อตรงโผงผางโดยแท้ ข้าหันไปสั่งขันทีน้อยที่ติดตามมาให้ไปเตรียมชาเสร็จแล้วจึงผายมือเชิญเขาเข้าสู่ห้องหนังสือที่อยู่ไม่ไกล ตอนนี้ไม่มีผู้ใดอยู่ในบริเวณนี้บรรยากาศสงบเงียบยิ่งนัก
“มิทราบท่านมีธุระอันใดกับข้าหรือ” เขามิตอบคำเพียงยืนจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ ข้ารับจดหมายน้อยขึ้นมาเปิดอ่าน พลันหัวใจชาวาบมือสั่นระริกมิอาจห้าม มองดูตัวอักษรอันชดช้อยงดงามเพียงสองคำที่เขย่าหัวใจได้นั้นคือคำว่า ‘อาเหนียง’[1] ในโลกนี้ยังมีใครเรียกข้าเช่นนี้อีกหากมิใช่... ข้าสูดหายใจคราหนึ่งไล่ความรู้สึกสั่นสะท้านออกไปเงยหน้ามองแม่ทัพสยบอุดรฝืนคลี่ยิ้มนิ่งสงบ
“เจ้าของจดหมายนี้อยู่ที่ใด?”
“เขาพักอาศัยอยู่ที่บ้านข้า” ข้าพยักหน้าคราหนึ่งพินิจพิจารณาลายมือบนกระดาษอีกครั้งอย่างละเอียด ข้าฟูมฟักสั่งสอนเด็กคนหนึ่งมาชั่วชีวิต ลายมือของเขามีหรือที่จะจำไม่ได้ แต่ว่าเจ้าของลายมือสมควรอยู่ในห้องที่ข้าพึ่งจากมา ..นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ ข้าพลันอยากร้องถามคำว่าที่แท้แล้วผู้ใดกันเป็นคนเขียนจดหมายนี้แต่แม่ทัพหลี่ดูจะใจร้อนกว่าจึงโผงผางเอ่ยวาจาขึ้นเสียก่อน
“เรื่องนี้ซับซ้อนนัก แต่ข้าต้องการให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของคนผู้หนึ่ง..คนผู้นั้นมีเพียงท่านที่จะบอกได้ว่าเขาคือใคร” ข้าครุ่นคิดสงสัยพิศมองกระดาษสีเหลืองรู้สึกเหมือนเลือนรางอยู่ในม่านหมอกสลัว ขันทีน้อยผู้หนึ่งเข้ามารายงานว่าหวงช่างได้เสด็จคืนตำหนัก ข้าพยักหน้ารับทราบตกลงกับแม่ทัพหลี่ว่าวันพรุ่งจะออกจากวังไปหาเขาที่จวน
เมื่อกลับคืนสู่ห้องของลี่ฉางพบกับบุรุษผู้เป็นเจ้าแผ่นดินกำลังตระกองกอดเด็กน้อยที่ขวัญเสียอย่างหนัก ร่างงดงามบนเตียงสั่นระริกพลิกตัวหนีอ้อมกอดนั้นด้วยแววตาคลอน้ำหยาด ข้ากระแอมขึ้นคราหนึ่งหรี่ตามองหวงตี้[2]บนเตียงอย่างเยือกเย็นจนเขาพลันหยุดมือ
“ลี่ฉางกำลังขวัญเสียต้องการพักผ่อน”
“ข้าทราบ เพียงแต่..” ข้าลอบถอนหายใจคราหนึ่งมิอาจทำใจเพ่งพิศใบหน้าที่เหมือนคนผู้นั้นได้นานแสร้งทำเป็นมองเมินหยิบตำราแพทย์มาพลิกอ่าน
“รอเขาอาการดีขึ้น ฝ่าบาทค่อยเสด็จมาเยี่ยมคงเป็นการดีกว่า” มองผ่านกระจกทองเหลืองเห็นจักรพรรดิหนุ่มหลับตาลงอย่างปวดร้าว ความสัมพันธ์ของผู้เยาว์เหล่านี้นับว่าซับซ้อนวุ่นวายยิ่งนัก
“ข้าทราบแล้ว ขอเวลาซักครู่เถิด” เขาตอบเพียงแค่นั้นหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับขันทีน้อย เด็กๆเหล่านั้นรู้ความอย่างมากจัดหาหวีหยกมาให้อย่างรวดเร็ว
ข้าหย่อนตัวลงที่ตั่งเดิมเปิดอ่านตำราแพทย์มิเคลื่อนกายไปไหน ปลายหางตาเหลือบแลมองท่าทีอันละมุนละไมที่เขาหวีเกศาสีดำปลอดของลี่ฉางคล้ายทำเป็นปกติจนเคยชิน เด็กน้อยของข้าที่ตัวสั่นเทาเริ่มผ่อนคลายเอนกายอยู่กับอกคนผู้นั้นอย่างแสนสุขท่าทีประหนึ่งลูกแมวน้อย มองแพขนตาที่ขยับยุกยิกปิดเข้าหากันสนิทเป็นสัญญาณแห่งการนิทราเงาร่างของบุรุษผู้นั้นจึงหายไป ข้าหย่อนตัวลงนั่งข้างศิษย์น้อยพิศมองใบหน้างามล่มฟ้าอย่างมิใคร่สบายใจนัก น้ำหมึกสีดำบนกระดาษเหลืองคล้ายยังคงเป็นตะกอนขุ่นในใจทำให้ไม่อาจข่มตาหลับได้ลง
ยามซือ[3]รถม้าล่วงสู่จวนแม่ทัพหลี่ บ้านของแม่ทัพผู้นี้ตกแต่งเข้มแข็งอย่างทหารแตกต่างจากตำหนักหมื่นวสันต์โดยสิ้นเชิง เมื่อก้าวเท้าเข้าไปกลิ่นอายห้าวหาญแลลานฝึกก็ปรากฎสู่สายตา แม้แต่เด็กรับใช้ยังดูเคร่งครัดในวินัยอย่างมาก เด็กรับใช้ชายทั้งสองมิได้นำพาข้าไปยังห้องโถงรับรองดังที่คาดแต่กลับเป็นศาลาแห่งหนึ่งกลางสวนไผ่ ทางเดินทอดยาวกลิ่นอายห้าวหาญจางหายเป็นความสงบสูงส่งอย่างปัญชาชนผู้ทรงภูมิเข้ามาแทนที่
สายลมวสันต์โชยอ่อนละมุนกลิ่นไผ่หอมสงบรื่นรมย์ คนผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านในศาลาแผ่นหลังเล็กเหยียดตรงอย่างทระนง นิ้วเรียวกรีดไล่ตามสายเจิง[4]ทั้งยี่สิบเอ็ดสายบังเกิดเสียงใสเสนาะ หนึ่งนิ้วดีดลงหนึ่งทำนองเคยคุ้น เสียงอันแผ่วเบาทว่าคมชัดอ่อนหวานคล้ายได้กลิ่นดอกโม่ลี่[5]กำลังผลิบานสะพรั่ง ราวกับว่าเป็นบทเพลงที่นานมาแล้วมิได้สดับ ท่วงทำนองชวนคิดถึงวันคืนเก่าจนต้องสูดหายใจหนึ่งครา กระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่หยาดน้ำที่คลอรอบหน่วยตาออก ท่วงทำนองเช่นนี้ข้าคุ้นหูอย่างยิ่ง...หัวใจข้าสะท้านยะเยือกจนมิอาจก้าวเดินตามเด็กรับใช้ทั้งสองเข้าสู่ศาลา
เมื่อบรรเลงบทเพลงจบเจ้าของร่างเล็กนั้นหันกลับมาหาข้า ใบหน้าของเขาถูกปิดบังไว้ด้วยหน้ากากเงินมีเพียงรอยยิ้มยากจะเข้าใจแลดวงตาแสนโศกราวลูกกวางน้อยพลัดมารดาที่ประจักษ์ชัดบนใบหน้าเขา เมื่อพบเห็นข้าเขาพลันสะบัดชายเสื้อลุกขึ้นมาคุกเข่าคำนับ
“ผู้เยาว์เจ้าจงลุกขึ้นเถิด เจ้าคุกเข่าคำนับข้าเช่นนี้ ข้าเห็นทีจะรับไม่ไหว” เด็กหนุ่มผู้นั้นยังคงคุกเข่าคำนับไม่ขยับเขยื้อน ข้าถอนใจคราหนึ่งประคองเขาขึ้นจากพื้นแต่เขายังฝืนตัวคุกเข่าอยู่อย่างนั้น
“ใต้เข่าบุรุษล้วนมีทองคำ[6] เจ้าไม่สมควรคำนับผู้ใดพร่ำเพรื่อ” ลอบพิศมองเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทารกน้อยผู้นี้ดูคล้ายยังเยาว์วัยปีนี้คงอายุสิบสี่สิบห้าขวบปีเท่านั้นกระมัง เหลือบมองฝ่ามือหยาบกระด้างของเขา..มิน่าเชื่อว่ามือนี้กลับสามารถบรรเลงเพลงโม่ลี่ฮวาหอมขจร[7]ได้เกือบเทียบเทียมเหวินฉีลี่ฉาง
“เจ้าคือคนที่ส่งจดหมายน้อยมาให้ข้าเช่นนั้นหรือ” เขาพลันพยักหน้าเชิญข้าขึ้นนั่งบนศาลา เด็กรับใช้ทั้งสองแยกตัวออกไปเหลือเพียงความสงบเงียบบริเวณศาลาไผ่
“ถูกต้องแล้ว เป็นข้าเอง” เด็กหนุ่มผู้นั้นคลี่ยิ้มลึกลับคราหนึ่ง ท่าทีสงบสำรวมวางท่าอย่างสูงส่งเช่นนี้คุ้นเคยสายตาอย่างยิ่ง
“เด็กน้อยเจ้าต้องการอะไรกันแน่ จดหมายที่ส่งมาหาข้าที่แท้หมายความว่าเช่นไร”
“ท่านมิใช่ทราบดีอยู่แก่ใจดอกหรือ...คนผู้เดียวที่เรียกท่านว่าอาเหนียงได้ คนผู้นั้นเป็นผู้ใด” ข้าเผลอมุ่นคิ้วคราหนึ่ง เรื่องนี้สมควรเป็นเรื่องลับน้อยคนนักที่จะรู้ว่าลี่ฉางเรียกข้าว่าอาเหนียง คนที่รู้ผู้หนึ่งก็ตายไปเสียแล้ว อีกผู้หนึ่งก็เป็นคนสนิทของข้าที่ไม่มีวันจะทรยศหักหลัง
“ใช่มีคนเรียกข้าเช่นนั้นจริง” ข้าเฝ้ามองเด็กหนุ่มผู้นั้นชงชา หนึ่งมือประคองกาน้ำร้อนราดบนกาน้ำชาสีน้ำตาล หยดน้ำรดรินเงาดินกระจ่างวาววับ ท่าทีการอุ่นกาน้ำชาอย่างพิถีพิถันเช่นนี้ก็คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ใบชาแห้งกลิ่นหอมถูกใส่ลงในกาดินเผาน้ำร้อนราดรดเหนือกาปลุกใบชาให้ส่งกลิ่นหอมหวาน ยิ่งดูยิ่งไม่อาจละสายตาคล้ายเห็นการรำร่าย ณ ปลายหัตถ์ ทำเช่นนี้ซ้ำสองครั้งจึงรินชาลงในถ้วยดินสีน้ำตาลเรียบง่าย เป็นท่าทางอันละเอียดประณีตที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง...
“คนผู้นั้นของท่านคงไม่มีวันเรียกท่านเช่นนั้นอีกแล้วกระมัง"
“เจ้าจะพูดสิ่งใดกันแน่” ข้ารับถ้วยชามาจิบ กลิ่นหอมของชาโม่ลี่ฮวาทำให้ตาพร่าพราย นานนักแล้วที่ไม่ได้ดื่มชาชนิดนี้นับตั้งแต่แยกจากลี่ฉางก็ไม่มีผู้ใดชงได้ดีเท่า น้ำชารสละมุนเจือจางหวานแลขม..เหตุที่ชมชอบรสนี้คงเพราะมันคล้ายกับความรักกระมัง
“คืนวันปีใหม่ตอนข้าอายุสิบขวบ เผลอสะดุ้งตื่นมาเรียกหาอาเตียแลอาเหนียง อาเตียของข้าเป็นบุรุษองอาจสง่างามผู้หนึ่ง เขาไม่มีเวลาอยู่กับพวกเราบ่อยนักนึกๆดูแล้วปีหนึ่งอย่างมากสุดก็เจ็ดวัน ถึงอย่างนั้นการมีเขาอยู่ทำให้ทุกคนในหอเกรงใจข้าไม่เคยกล้าขัดใจ อาเตียก็เป็นคนตามใจข้ามากผู้หนึ่ง อาเหนียงข้าก็รักข้าอย่างยิ่งเขาไม่เคยกล้าหยิบไม้เรียวตีข้า อย่างมากสุดคือให้คัดตำราจนปวดมือไปหมด"
ข้าสดับฟังเรื่องราวของเด็กหนุ่ม ความรู้สึกสายหนึ่งพลันแล่นขึ้นจุกอยู่ในอกมองรอยยิ้มนุ่มนวลของเขาอย่างคลางแคลง "ผู้เยาว์ต้องการเอ่ยสิ่งใดกันแน่"
"ในคืนนั้นอาเหนียงข้าเข้ามานั่งข้างๆเตียงข้า บอกข้าให้หยุดเรียกหาอาเตีย บอกแก่ข้าว่าทั้งโลกของข้ามีเพียงอาเหนียงเท่านั้น ผู้อื่นมินับว่าเป็นครอบครัว ข้าเรียกคนผู้นั้นเป็นอาเตียได้แต่ใจข้าห้ามถือเขาเป็นอาเตีย ข้าเรียกอาเหนียงได้ก็ต่อเมื่ออยู่กับอาเตียเท่านั้นใจข้าห้ามถืออาเหนียงเป็นอาเหนียงเช่นกัน” ข้าหลับตาลงคราหนึ่งรู้สึกว่าชาที่หวานหอมกลับกลายขื่นขม ไม่อาจรักษาสีหน้าสงบบนใบหน้าได้เผลอมุ่นคิ้วไปคราวหนึ่ง
"เจ้า.." ในอกข้าปั่นป่วนมองรอยคลี่ยิ้มอ่อนจางใต้หน้ากากแล้วไม่อาจสงบจิตใจ เรื่องราวของเขาเหมือนเกินไป...ราวกับว่า...ราวกับว่า
“อาเหนียงข้าเป็นคนเก่งกาจเลิศล้ำ เขาเป็นคนสอนข้าคัดอักษร ดีดพิณ แต่งกลอน ข้าเล่นดนตรีได้หลายชนิด ชมชอบเป่าเซียว[8] มิชอบเป่าตี๋[9] หากเป็นพิณชอบดีดเจิง มิชมชอบฉิน[10]เพราะข้าเล่นสู้อาเหนียงมิเคยได้ อาเหนียงข้าชมชอบดีดเพลงจันทรายามสารทฤดูเหนือตำหนัก[11] แต่ข้ากลับชอบฟังเขาดีดเพลงธารไหลในเขาสูง[12] ข้าชมชอบดีดเพลงบัวแดงอ่อน[13]แต่อาเหนียงข้ากลับบอกว่าข้าดีดเพลงโม่ลี่ฮวาหอมขจรได้ดีกว่า" เรื่องราวเหล่านี้...เรื่องราวเหล่านี้ใยคนแปลกหน้าผู้หนึ่งจึงรับรู้ ลี่ฉางไม่ชมชอบตกเป็นรองผู้ใดแม้แต่ตัวข้า เขายังคงความพยศเล็กๆเอาไว้คือไม่แตะต้องฉิน แม้เขาจะบรรเลงได้ไพเราะเพียงใดแต่เมื่อเปรียบเทียบกับข้าแล้วยังด้อยกว่ามากอยู่ ความดื้อรั้นเช่นเราศิษย์อาจาร์ต่างทราบความนัยโดยไม่ต้องบอกกล่าว...ใยผู้หนึ่งจึงรู้แจ้งถึงเพียงนี้
“ชาที่อาเหนียงนิยมดื่มที่สุดคือโม่ลี่ฮวาฉา วิธีการชงต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษต้องนำดอกโมลี่แห้งมาชงกับวูหลงฉา[14]จากฝูเจี้ยน[15] อย่าให้รสขมเกินไปต้องอ่อนจางซักหน่อยให้พอมีกลิ่นหอมติดจมูกเพียงเท่านั้นเพราะอาเหนียงข้ามิชมชอบกลิ่นฉุนจัด ท่านชอบทานของรสจืดแต่ข้าชอบอาหารรสหวาน ตอนเด็กๆข้าเคยแอบเอาโถน้ำผึ้งไปไว้บนเตียง ก่อนนอนมักทานน้ำผึ้งนั้นเสมอ กระทั่งท่านจับได้เพราะเห็นมดในห้องนอนข้า จึงถูกท่านลงโทษคัดไตรปิฎก”
“เจ้า...เจ้าต้องการจะล้อเล่นกับข้าเช่นนั้นหรือ” ข้าจับจ้องมองใบหน้าใต้หน้ากากเงิน มองเขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันคราหนึ่ง จู่ๆก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาจนมิอาจทานทน สูดหายใจคราหนึ่งสะบัดชายเสื้อลาจากศาลาแห่งนั้น ยิ่งอยู่นานยิ่งมีลางสังหรณ์บางอย่างที่ยากจะพรรณนา บางอย่างในอกทำให้ข้าหวั่นกลัวจนยากจะกล่าว
"ท่านเหมยท่านอย่าไป...หากท่านจากไปยังจะมีผู้ใดเคียงข้างข้าอีกเล่า" เสียงสั่นเครือนั้นดึงรั้งข้าไว้ น้ำเสียงของเขาสลดหดหู่ปานจะขาดใจ ข้าหยุดชะงักไม่อ่านก้าวเท้าเดินจากไปได้คล้ายมีเชือกตรวนรั้งขาไว้ น้ำเสียงเขาไม่เหมือนลี่ฉาง แต่ความคุ้นเคยคือจังหวะการพูดต่างหากเล่า ลี่ฉางยามเอ่ยวาจารามร่ายทำนองเสนาะเพราะพริ้ง เอกลักษณ์เช่นนั้น..ใยจึงเลียนแบบได้เหมือนถึงเพียงนี้
“ห...หากข้าบอกว่าข้าคือลี่ฉางของท่าน..ท่านจักเชื่อข้าหรือไม่”
“เจ้าหยุดล้อเล่นเสียที!” ข้าไม่อาจกลั้นโทโสที่กรุ่นในอกเผลอตวาดออกไป เนิ่นนานที่ไม่ได้โกรธผู้ใดผู้หนึ่งกระอักกระอ่วนปั่นป่วนในใจจนต้องนิ่วหน้า
“ข้ารู้มันยากจะเชื่อ เหวินฉีลี่ฉางของท่านตอนนี้อยู่ในวังหลวง ส่วนข้าเป็นเพียงคนพิสดารวิปลาสที่อ้างตัวเป็นเขา แต่ข้าเองก็ยากจะยอมรับในคราวแรกคิดว่าตนเองต้องตายแน่แล้ว ไม่คาดว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างนี้ ส่วนร่างของข้าถูกผู้ใดไม่ทราบยึดครอง ท่านเหมย..ข้าคือลี่ฉาง ข้าคือศิษย์ของท่าน คือคนที่ท่านอุ้มชูมาตั้งแต่ยังเป็นทารก..ตอนนี้ข้าเหลือแต่เพียงท่าน ท่านอย่าทิ้งข้าไป..อย่าทิ้งลี่ฉางไป ”
"หยุดเสียที! เจ้าฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ ศิษย์ของข้ายังอยู่ในวังหลวงจะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร!" ใช่แล้ว..ศิษย์ของข้าอยู่ในวังหลวง...เด็กน้อยที่น่าสงสารของข้ากำลังรอคอยให้ข้ากลับไป
"วิญญาณของเขาแย่งร่างข้าไป! นั่นไม่ใช่ข้า ได้โปรด..ท่านเหมยฟังลี่ฉาง หากท่านไม่รับฟังลี่ฉางยังจะเหลือผู้ใดอยู่อีก"
"ข้าออกมาเนิ่นนานเกินไปแล้ว" ข้ามิอาจทานทนไหวพลันสะบัดกายเดินหนีออกมาจากศาลาแห่งนั้นมิหันกลับไปมอง เสียงร้องของเขายิ่งทำให้ข้าปั่นป่วนลังเลใจ เพียงครู่เดียวที่ได้พบกลับรู้สึกคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าผู้หนึ่งได้มากถึงเพียงนี้ ท่าทางกิริยาของเขาเหมือนลี่ฉางมากเกิน แต่ลี่ฉางของข้ากลับทำให้ข้ารู้สึกคล้ายเขาแปรเปลี่ยนเป็นผู้อื่น สิ่งที่หวั่นกลัวที่สุดคือการหวาดระแวงในตัวลูกศิษย์ตัวเอง ข้าสนิทสนมกับลี่ฉางจนรู้เสียทุกอย่างในชีวิตของเขาราวกับฝ่ามือตนเอง ข้าจะเกิดความระแวงในตัวเขาได้อย่างไร..จะระแวงได้อย่างไร
"ม..ไม่! ท่านอย่าไป...ได้โปรด...ฟังข้า! ฟังข้าก่อน!" เขายังคงไล่ตามหลังมา แต่ข้ากลับมิอาจชะลอหยุด ฟังเขาพูดเรื่องราวในอดีตแล้วหัวใจข้ายิ่งสั่นคลอน เอาแต่ครุ่นคิดว่าใยคนผู้หนึ่งจึงรู้เรื่องราวชีวิตของลี่ฉางได้ทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้ ข่มใจมิให้รับฟังเสีย ข้าจะระแวงศิษย์ตนเองได้อย่างไร
“ปีนั้นข้าอายุสิบเอ็ดท่านสอนข้าทำกำยานร้อยปีศาจ ข้าดื้อรั้นพลั้งเผลอจนกระทั่งตัวเองถูกฤทธิ์กำยานต้องหาทางเอาตัวรอดเพราะท่านไม่ยอมช่วย แต่ข้ารู้ดีตำราเล่มนั้นที่ปรากฏในห้องหนังสือก็เพราะท่าน ท่านต้องการลงโทษที่ข้าไม่ใส่ใจศึกษาแต่ก็หักใจลงโทษหนักมิได้จึงนำตำราเล่มนั้นมาไว้ให้ข้า ท่านจำได้หรือไม่! จำได้หรือไม่!!”
จำได้สิ...ใยจึงจะจำไม่ได้ เด็กคนนั้นตะเกียกตะกายตามหาตำราแก้พิษ ร่างกายซูบเซียวขาวซีดน่าสงสาร ข้าจะหักใจทนมองเขาตายไปได้เช่นไร ดังนั้นจึงแสร้งลืมตำรานั้นวางไว้บนโต๊ะอักษรอย่างเปิดเผย
“ตอนข้าอายุสิบขวบท่านเคยให้ข้าคัดหลักลิ่วเทาเพราะข้าลอบนำยาเสน่ห์ที่ทำขึ้นไปแลกกับคุณหนูน้อยแห่งหอเบญจมาศ ตอนนั้นท่านถามข้าว่าใช้แลกกับอะไร ข้าตอบท่านว่าแลกนิยายรักเล่มหนึ่ง ที่แท้แล้วข้านำมันไปแลกกับสมุดภาพอาทิตย์เบญจมาศ หากท่านอยากรู้ว่าซ่อนไว้ไหนให้ลองค้นดูใต้ฟูกเตียง ที่แท้ในฟูกเตียงมีช่องหนึ่งไว้เก็บหนังสือเหล่านี้ ท่านพิสูจน์ได้!”
จ...เจ้าเด็กบัดซบผู้นี้! แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังรู้...เรื่องน่าอับอายเช่นนั้นยังจะกล้าพูดอยู่อีกหรือ! ข้าสู้อุตส่าห์เลี้ยงดูเขาต่างจากคณิกาผู้อื่นในหอ เรื่องกามารมณ์มิให้แตะต้องเสน่ห์ยั่วยวนมิให้ศึกษา เขาถึงกับเที่ยวหาหนังสือโลมโลกีย์พวกนั้นมาอ่าน ข้ารู้สึกหน้ามืดกระทันหันจนต้องชะลอฝีเท้าทารกน้อยผู้นั้นจึงเข้ามาประชิดตัวได้ ข้าถอนหายใจหนักคราหนึ่งหมุนตัวไปมองเขาอย่างเยือกเย็น ฝืนทำหน้าเย็นชาเข้าสู้ปกปิดความหวั่นไหวในใจ
“เจ้าพูดพอหรือยัง หากพอแล้วข้าต้องขอตัวก่อน” พลันเขายกชายเสื้อนั่งลงคุกเข่าด้วยแววตาดื้อรั้น...แววตาเช่นนี้ยากนักจะลืมเลือนลง
“ยัง ท่านยังบอกข้าอีกว่าความรักของกษัตริย์มิต่างจากแสงสุรีย์ เข้าใกล้มากไปก็ถูกแผดเผาตายแต่อยู่ไกลห่างไปก็ต้องเหน็บหนาวตาย กรงขังที่เรียกว่าความรักนี้ห้ามข้าหย่อนขาเข้าไปมิเช่นนั้นจะต้องติดอยู่ในกรงขังไปชั่วชีวิต..มิสามารถโบยบินจากไปได้ ท่านบอกข้าเช่นนี้จำได้หรือไม่
ข้าสูดหายใจคราหนึ่งหนาวสั่นยะเยือกแม้จะเป็นยามวสันต์ เด็กผู้นี้พูดถูกทั้งหมด ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นคำพูดที่ข้าพร่ำสอนลี่ฉางมาตลอด ทุกอย่างล้วนแต่เป็นความลับของสองเราศิษย์อาจารย์มิแพร่งพรายความนี้แก่ผู้ใด
“ถอดหน้ากากของเจ้าออกมา” ข้าเอ่ยสั่งเสียงเรียบมองแววตาสั่นไหวระริกของเขามิคลาดคลา
"ข้าอยากให้ท่านจดจำข้าในฐานะเหวินฉีลี่ฉางศิษย์รักของท่าน มิใช่ใบหน้าของคนผู้นี้”
“เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด ถือว่าข้ากับเจ้ามิเคยพบกันในวันนี้” ข้าหรี่ตามองใบหน้าที่ถูกซ่อนไว้ใต้หน้ากากเงินเย็นยะเยียบ มันดูลึกลับจนปิดสีหน้าท่าทางข้ามิอาจคาดเดาจริงเท็จได้เลยแม้แต่น้อย..เป็นเช่นนี้อันตรายยิ่งนัก
"ภายนอกข้าเปลี่ยนไปแต่ภายในข้าคือเหวินฉีลี่ฉางแน่แท้ ข้าคือศิษย์หนึ่งเดียวของท่าน ท่านเลี้ยงข้ามาตั้งแต่แบเบาะ ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะลืมข้าได้" เด็กผู้นั้นเอ่ยอย่างดื้อดึง ท่าทีเป็นตายมิยอมลงให้แก่ผู้ใดนั้นยิ่งทำให้ประจักษ์ชัด ข้าร้องฮึคราหนึ่งหมุนกายจากมามิหวนกลับ
กลับเข้าสู่วังหลวงในยามบ่ายแก่ ข้าหย่อนตัวลงข้างเตียงของลี่ฉางพิศมองใบหน้าหลับไหลของเขา คำพูดของทารกน้อยสกุลหลี่ยังติดตรึงมิอาจลบล้าง ข้าลูบจดหมายน้อยในอกเสื้อพลันคิดถึงเสียงเพลงแลกลิ่นชาของเขา นั่งนิ่งเช่นนั้นจวบจนชั่วยามจนกระทั่งแพขนตายาวกระพริบถี่ๆ
"ตื่นแล้วหรือลี่ฉาง" ศิษย์น้อยของข้าสะดุ้งคราหนึ่งราวกับศศก[16]น้อยตื่นนายพราน ข้าลูบเกศาดำปลอดอย่างเอ็นดู ได้ยินเสียงท้องร้องแล้วหัวเราะแผ่วเบา
"เจ้าหิวหรือเด็กน้อย เช่นนั้นทานเผือกเชื่อมดีหรือไม่" เจ้ากระต่ายน้อยหูหางสั่นระริก ท่าทีตื่นคนเริ่มผ่อนคลาย เด็กน้อยเปล่งเสียงที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานมาหนึ่งประโยค
"ข..ขอมันเผาได้ด้วยหรือไม่" ข้าพลันคลี่ยิ้มเยือกเย็นคราหนึ่ง
"ทำไมจะไม่ได้เล่า"
เชิงอรรถ
[1] อาเหนียง - มารดา
[2] หวงตี้ - คำเรียกจักรพรรดิ์ , ฮ่องเต้
[3] ยามซือ - เวลา 9.00 - 10.59 น.
[4] เจิง - เจิงหรือกู่เจิง เป็นเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิมของจีน นับเป็นเครื่องสายใช้มือดีด กู่เจิงปัจจุบันเป็นเครื่องดนตรีที่มีสาย 21 สายใช้วางในแนวนอนเวลาเล่น แต่ละสายมีหย่อง กู่เจิงเป็นเครื่องสายจีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี ซึ่งได้ถูกพัฒนามาเรื่อยๆตามกาลเวลา
[5] โม่ลี่ฮวา - ดอกมะลิ
[6] ใต้เข่าบุรุษล้วนมีทองคำ [儿膝下有黄金] - สุภาษิตจีนบทหนึ่งซึ่งสอนให้รักศักดิ์ศรีและรู้จักค่าของตน
[7] เพลงโม่ลี่ฮวาหอมขจร - 茉莉芬芳
[8] เซียว - ขลุ่ยพื้นบ้านของจีน มีประวัติศาสตร์มายาวนานมีลักษณะเป็นขลุ่ยตรง
[9] ตี๋ - ขลุ่ยพื้นบ้านของจีน มีประวัติศาสตร์มายาวนานมีลักษณะเป็นขลุ่ยขวาง
[10] ฉิน - ฉินหรือกู่ฉิน เป็นเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิมของจีน นับเป็นเครื่องสายใช้มือดีด มีความคล้ายคลึงกับกู่เจิง มีสายทั้งหมด 7 สาย ทุกสายล้วนแต่มีชื่อจำเพาะ เสียงของกู่ฉินจะแตกต่างจากกู่เจิงคือไม่ดังกังวานสดใสแต่จะสุขุมนุ่มนวล
[11] จันทรายามสารทฤดูเหนือตำหนัก [汉宫秋月] - เดิมเป็นเพลงโบราณของผีผา บทเพลงบรรยายถึงหวังเจาจวินที่เข้าวังไปนางใน เช่นเดียวกับนางในคนอื่นๆที่เกิดในฐานะต่ำต้อย พวกนางได้แต่หวังว่าวันหนึ่งจะได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ผ่านไปหลายปีหวังเจาหวินก็ยังไม่ได้พบฮ่องเต้แม้แต่ครั้งเดียว บทเพลงจึงเน้นไปที่อารมณ์เหงา ความเศร้าและตัดพ้อ
[12] เพลงธารไหลในเขาสูง [高山水流] - บทเพลงนี้กำเนิดในสมัยยุคจ้านกว๋อ ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังเพลงนี้ถูกแบ่งเป็นสองเพลง คือเขาสูง และน้ำไหล ซึ่งเพลงน้ำไหลได้รับการพัฒนาจนมีเทคนิคซับซ้อน จนสามารถแสดงอารมณ์ของน้ำไหลได้อย่างชัดเจน บางคนบอกว่าได้ยินแล้วเหมือนโดนน้ำกระเซ็นใส่เลยก็มี
[13] เพลงบัวแดงอ่อน [粉红莲] - เพลงบัวแดงอ่อน เป็นเพลงกู่เจิงแต้จิ๋วโบราณระดับสูง ที่รวมบันใดเสียงแต้จิ๋วทั้งหมดไว้ในเพลงเพลงเดียว ซึ่งแต่ละบันใดเสียงก็จะมีโครงสร้างและสำเนียงแตกต่างกันออกไป ผู้บรรเลงจำเป็นต้องทำการบ้านอย่างมากเพื่อให้สามารถบรรเลงแต่ละสำเนียงออกมาได้อย่างถูกต้องชัดเจนที่สุด โดยดอกบัวในวัฒนธรรมจีน เปรียบเทียบดั่งความสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อกำลังตูมอยู่ในกระแสน้ำไหลก็ไม่ช้ำ เมื่อบานพ้นน้ำก็สะอาดปราศจากสิ่งเจอปน ดอกบัวจึงเป็นสิ่งเตือนใจให้ยึดมั่นในความดี ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องยังคงรักษาไว้ซึ่งศีลธรรมอันงดงาม
[14] วูหลงฉา [烏龍茶] - วูหลงฉาหรือชาอู่หลงหรือชามังกรดำ เป็นชากึ่งหมัก ผ่านกระบวนการนวดเล็กน้อย ใช้เวลาไม่มากนัก มีกลิ่นหอม รสชาติชุ่มคอ ถ้าเป็นชาน้ำร้อนจะเห็นสีเขียวของใบชาอยู่ รสชาติจะจืดกว่าชาเขียว น้ำชามีสีแดงเข้ม หมักใบสดระหว่างผลิตบางส่วน ต้นกำเนิดของชาอูหลงอยู่ที่ประเทศจีน ในจังหวัดฝูเจี้ยน
[15] ฝูเจี้ยน [福建省] - ฝูเจี้ยนหรือฮกเกี้ยน เป็นมณฑลชายฝั่งทะเลที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน อาณาเขตทางภาคเหนือติดกับมณฑลเจ้อเจียง ภาคใต้ติดกับมณฑลกวางตุ้ง ภาคตะวันออกติดกับช่องแคบไต้หวัน
-
สนุกๆๆๆ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
มาต่อไวๆน๊าาาาาาาาาาาาา :hao3: :hao3:
-
o13 o13 o13
-
เริ่มเชื่อลี่ฉางแล้วอะสิ :man1:
-
โถ่ถังกะละมังหม้อไห ท่านเหมยไม่ยอมเชื่อแบบนี้แล้วลี่ฉางจะทำยังไงต่อไปได้ล่ะ?
นี่ขนาดทุ่มเททุ่มทุนรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆมาเล่าใหม่ขนาดนี้แล้วนะ
-
นานๆทีจะเม้นท์นิยาย จะว่าอ่านแบบเงาก็ว่าได้ เพราะกว่าจะเจอเรื่องถูกใจก็นานที ปีหนโผล่มาครั้ง ชอบเรื่องนี้ แต่งลื่นไหล เหมือนตัวละครมันมีชีวิต มีมิติ เอาใจช่วยลี่ฉาง หาทางออกได้ไวๆ เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วย
-
ฮือ.....ท่านเหมยเชื่อลี่ฉางเถอะ
-
แล้วท่านอ๋องจับไม่ได้เลยหรอ สงสารนายเอก :mew2:
-
เราจะรอดูว่าภายใต้หน้าตาอัปลักษณ์นั้นลี่ฉางจะแสดงความสามารถให้คนอื่นยอมรับได้ยังไง
-
ท่านเหมยจิตใจหวั่นไหวแล้ว
-
ลุ้นมากๆเลย จะมีใครเชื่อลี่ฉางไหมนะ
-
:mew4:
-
สงสารน้องหนู แต่อ่านไปก็เอ็นดู เหมือนลูกแมวตัวเล็กๆชอบหลงตัวเอง555555555
-
(http://www.mx7.com/i/449/cTfg4S.jpg)
ตอนที่ ๘ จันทราเยือนเหย้า
ราตรีเคลื่อนคล้อยดวงไฟน้อยรำร่ายเกิดเงาอันวูบไหวสายหนึ่งอยู่บนม่านแพร ข้าลูบหัวเจ้าดำที่ตาปรือปรอยกำลังหล่นลงสู่ห้วงนิทรา กลิ่นกำยานบุปผาหอมระรื่นกล่อมโลกให้สดชื่นแต่ตัวข้ากลับยังจมอยู่ในภวังค์มิอาจชื่นชม น้ำตาที่แห้งเหือดไปเสียแล้วตอนนี้คงทำได้เพียงลุกขึ้นอีกคราดิ้นรนหาทางต่อไป
เรื่องวันนี้มิบอกว่าเจ็บปวดคงต้องบอกว่ามุสา ข้าคาดหวังไว้อย่างมากว่าท่านเหมยคือผู้ที่รู้จักข้าดีที่สุด เขาเป็นคนที่เลี้ยงดูข้ามาแต่เล็กมีหรือจะลืมเลือนตัวตนของข้าได้หรือหากจำได้ตัวเขาเองก็คงยากจะยอมรับอยู่กระมัง คิดได้ถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มเหยียดหยามคราหนึ่ง มือลูบบนพักตร์ที่ถูกปิดบังไว้ด้วยหน้ากากยะเยียบเย็น ปราศจากใบหน้าอันเลิศล้ำแล้วตัวข้าก็คล้ายไร้คุณค่า หนึ่งชวาลาวูบวาบดับลงคล้ายค่ำคืนก่อนข้าถอนหายใจแผ่วเบา
“ท่านชมชอบเข้าออกทางหน้าต่างนักหรือแม่ทัพหลี่” ชวาลาดวงนั้นยังคงมืดมนมิมีท่าทีจะถูกจุดขึ้นอีกครา ในความลางเลือนข้าหยุดมือที่ลูบเจ้าดำรู้สึกได้ว่ามีเรื่องมิชอบมาพากลบางอย่าง ม่านแพรถูกแหวกออกแผ่วเบาปรากฎเงาร่างบุรุษผู้หนึ่งดูคุ้นเคยสายตายิ่งนัก
“อ๊ะ!” มิทันจะได้ส่งเสียงคนผู้นั้นก็เอาผ้ามายัดไว้ในปาก ข้าเบิกตาตระหนกยามที่เขาช้อนตัวพาขึ้นเหินฟ้าข้ามผ่านหลังคาบ้านผู้คนไปไม่ทราบกี่หลัง ม่านราตรีปกคลุมทั่วนครหลวงดวงจันทร์กลมโตสว่างไสว แสงไฟบนถนนเบื้องล่างสว่างราวกับกลางวัน ทำนองดนตรีเพราะพริ้งกลิ่นบุปผากรุ่นกำจาย หมู่ตึกมากมายและสวนน้อยใหญ่ ที่แห่งนี้คือตำหนักหมื่นวสันต์ บ้านของข้า..บ้านที่ข้าอยู่มาตั้งแต่ลืมตาดูโลกต่อให้หลับตาก็ยังจำได้อย่างแม่นยำ ข้าพลันกลั้นก้อนสะอื้นทราบทันทีว่าตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดผู้ใด
“พี่จื่อหรง...เป็นท่าน” ความปิติยินดีแลอัดอั้นตันใจสายหนึ่งแล่นมาหยุดที่ลูกนัยน์ตา ยามที่พี่เลี้ยงประจำกายแตะเท้าร่อนสู่ผืนดินอย่างแผ่วเบาข้ามิอาจสะกดหยาดน้ำให้หยุดไหลริน
“เจ้ามีเวลาครึ่งชั่วยาม” เขาวางข้าลงแล้วขยับถอยห่าง ท่าทีเช่นนั้นคนที่อยู่กับเขามาทั้งชีวิตมีหรือจะไม่ทราบ...ยังคลางแคลงใจสงสัยในตัวข้าอยู่กระมัง มิเป็นไรดอกขอแค่โอกาสให้ข้าก็ดีใจมากแล้ว ความเจ็บปวดใจยามกลางวันคล้ายจะมลายหายไปสิ้น ข้าคลี่ยิ้มทั้งหยาดอัสสุชลด้วยความยินดีหันมองรอบกายแล้วหัวเราะเบาๆ
“พวกท่านจะทดสอบข้าด้วยค่ายกลสวนเหมยหรือ” พี่จื่อหรงตอบกลับมาด้วยความนิ่งสงบเยือกเย็น ยามเขาทำตัวเย็นชาข้าไม่รู้สึกเคยคุ้นเลยสักนิด ปกติแล้วพี่เลี้ยงของข้าผู้นี้ใจดีต่อข้ายิ่งนัก “จะเข้าบ้านที่ข้าอยู่มาทั้งชีวิตให้เวลาครึ่งชั่วยามออกจะมากไปหน่อยกระมัง หนึ่งเค่อก็เพียงพอแล้ว”
เขามิตอบวาจามองข้าด้วยดวงตาระแวงสงสัยหมุนกายจากไปใต้แสงจันทรา ข้ากวาดสายตามองรอบๆด้วยความรู้สึกผูกพันอย่างยิ่ง ตอนเด็กๆวิ่งเล่นอยู่ในสวนเหมย ตรงนู้นก็เคยไล่จับกระต่าย ถัดไปอีกนิดเคยแอบมุดไปยังสวนเบญจมาศ อาณาเขตสวนเหมยที่กว้างใหญ่สงบงามยามเหมันต์กลายเป็นดินแดนสวรรค์ บุปผาแดงผลิบานหิมะขาวกระจ่าง ข้าสวมชุดแดงร่ายรำท่านเหมยดีดพิณพี่จื่อหรงยืนอยู่ใต้ต้นเหมยต้นใหญ่มองข้าด้วยยิ้มละไมสายหนึ่ง
ภายใต้ความสวยงามของสวนเหมยกลับมีค่ายกลสิบหกเหมันต์ซึ่งอันตรายอย่างยิ่งหากไม่ระมัดระวังความร้ายกาจของมันอาจเล่นงานถึงชีวิต ค่ายกลสิบหกเหมันต์แบ่งเป็นสิบหกด่านพิษ ด่านพิษแต่ละชนิดล้วนแล้วแต่ถูกบรรพชนผู้ดูแลหอคิดค้นขึ้นมา ฤทธีของมันนั้นร้ายกาจเพียงไรข้าที่ศึกษามันอย่างละเอียดถี่ถ้วนนั้นประจักษ์แก่ใจ หากพลั้งเผลอโดนพิษผลสุดท้ายไม่ตายก็อยู่เหมือนตาย
ข้ายกชายเสื้อพ้นพื้นดินอย่างระมัดระวังสวนหลังบ้านตนเองต่อให้ร้ายกาจเช่นไรก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากลำบาก ยังไม่ทันหนึ่งเค่อก็ผ่านพ้นมาอย่างง่ายดาย มองหอสูงแลหมู่ตึกที่ซ่อนตัวหลบอยู่ยังใจกลางสวนอย่างคิดถึง แสงโคมลางเลือนจันทราแจ่มจ้าเดียวดาย วันนี้หอเหมยเงียบเชียบไม่เหมือนเมื่อวันวาน ในอดีตหอเหมยเป็นสถานที่ที่คึกคักอย่างยิ่ง ทุกสัปดาห์เราเปิดหออยู่เพียงสามวันยึดถือคติขายศิลปะมิขายเรือนร่าง แขกทุกคนล้วนแต่ต้องมีเทียบเชิญที่หาได้ยากยิ่งดังนั้นจึงมักเป็นหน้าเดิมๆที่รู้จักมักคุ้นกันดี ท่านเหมยอยู่บนชั้นสูงสุดทอดสายตามองเบื้องล่างด้วยรอยยิ้มละไม ข้าอยู่เคียงข้างสนใจการแสดงงามวิจิตร คุณชายผู้รู้สำเนียงต่างซึมซาบดนตรีอย่างเคลิบเคลิ้มเหม่อลอย กลิ่นกำยานสงบสูงค่ากำจายอ่อน...ที่นี่คือบ้านของข้า
ภายในหอตกแต่งเรียบง่ายทว่างดงามสมที่เป็นหออันดับต้นๆแห่งหมื่นวสันต์ ทุกๆก้าวที่เหยียบย่างล้วนมีแต่ความทรงจำ บ้านที่ข้าเฝ้าคิดถึงยามอยู่ในกรงทอง บุคคลที่หวนหาอยู่ทุกชั่วยามนั่งอยู่ตรงลานกลาง กลิ่นชาหอมสายหนึ่งอบอวลอ่อนหวาน ข้านั่งลงตรงเบาะนั่งข้างท่านเหมยอย่างที่มักเคยทำ รอยยิ้มท่านเหมยอบอุ่นราวกับตะวันแรกใบไม้ผลิมองข้าอย่างปราณี ทุกสิ่งอย่างราวกับหวนสู่คืนวันเก่า ในยามที่ข้าเป็นเพียงลี่ฉางน้อยจอมซนออกไปเล่นด้านนอกตั้งแต่เช้าจนมืดจึงค่อยลอบกลับเข้ามา สุดท้ายก็เจออาจารย์นั่งจิบชารอคอยอย่างทุกวันจบลงด้วยการคัดอักษร เป็นความทรงจำที่สงบอบอุ่นยิ่งนัก
“เจ้ามาเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้ เดินเหนื่อยหรือไม่ดื่มชาแก้กระหายก่อนเถิด” ข้าพิศมองถ้วยชาตรงหน้าสูดกลิ่นอายของมัน เหลือบตาขึ้นมองท่าทีเมตตาของท่านเหมยทราบดีว่าทุกสิ่งล้วนให้ข้าตายใจ นี่เป็นการทดสอบอย่างหนึ่งกระมังแต่กระนั้นก็อดรู้สึกปวดใจไม่ได้
“ข้าไม่ชอบชาเบญจมาศเพราะมันมีกลิ่นฉุน..อีกอย่างท่านมิใช่บอกข้าเองดอกหรือในบรรดาชาดอกไม้ ชาเบญจมาศเป็นชาที่วางยาพิษได้แนบเนียนที่สุด” ท่านเหมยคลี่ยิ้มเยือกเย็นหัวเราะแผ่วเบา ข้าหรี่ตามองน้ำชาที่สีเข้มขึ้นกว่าปกติเพียงเล็กหน่อยนับว่าวางยาได้แนบเนียนอย่างยิ่ง แต่แท้จริงแล้วฝีมือระดับท่านเหมยหากคิดจะวางยาข้ามีหรือตัวข้าจะแยกแยะได้ ในใจเขาต้องอารีข้าอยู่บ้างจึงได้เลือกชาเบญจมาศมาแทนที่จะเป็นชาโกมุทที่ข้าชมชอบดื่ม คิดได้อย่างนั้นก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้างเล็กน้อย
“เอาเถิดไม่ดื่มชาก็ไม่เป็นไร แต่ร่างกายเจ้าซูบผอมไปมากกินอะไรซักนิดเถิด” ขาดคำไม่ทันไรพี่จื่อหรงก็นำอาหารแลขนมหวานอุ่นร้อนหลายชนิดมาวางตรงหน้า ข้าพิศมองอาหารอีกครารู้ดีว่าการทดสอบของอาจารย์มิจบลงโดยง่าย
อาหารหลากหลายชนิดวางอยู่บนโต๊ะมีทั้งสิ่งที่ข้าชอบแลชัง บนโต๊ะมีเพียงตะเกียบไม้ซึ่งทำให้แยกแยะพิษยากกว่าการใช้ตะเกียบเงิน จานแรกที่ข้าเลือกชิมคือเป็ดย่างน้ำผึ้ง หนังสีทองกรอบแลชุ่มฉ่ำด้วยหยาดน้ำผึ้งด้านในขาวผ่องราวกับปุยฝ้ายรสชาติแทบละลายอยู่ภายในปาก อาหารจานนี้รูปลักษณ์เลิศรสชาติดีเยี่ยมเสียแต่ว่าหวานเกินไปหน่อย อดจะตำหนิออกมาเบาๆไม่ได้ “นี่หวานไป”
“หวานไปหรือ เช่นนั้นลองชิมจานอื่นดูเถิดข้าให้คนครัวทำของโปรดเจ้าทั้งนั้นเลย” ข้ามองหน้าอาจารย์พลันหรี่ตามองอาหารบนโต๊ะ ตะเกียบไม้แตะบนจานน่องไก่เผ็ดกับของหวานเผือกแลมันเชื่อมเบาๆ
“ข้าไม่ทานของเผ็ดท่านเองก็ทราบ น่องไก่เผ็ดสีแดงจัดจ้านถึงเพียงนี้ยังจะบอกว่าเป็นของโปรดข้าได้อีกหรือ” พลันมองจานเผือกและมันเชื่อมก็แทบรู้สึกอยากจะอาเจียนแสร้งมองเลยผ่าน
ในตอนนั้นข้ายังเด็กนัก อาเตียได้สอนสั่งว่าคนเราต้องสมบูรณ์แบบแลไร้จุดอ่อนจึงจะเป็นคนผู้เลิศล้ำอยู่เหนือผู้อื่นได้ คงไม่มีผู้ใดคาดว่าจุดอ่อนของเหวินฉีลี่ฉางนั้นนับเป็นสิ่งเรียบง่ายอย่างหนึ่ง ข้ากินเผือกกินมันเช่นผู้อื่นมิได้ กินทีไรร่างกายจะเกิดผื่นแดง ปวดหัว ตัวร้อนแลอาเจียนไม่หยุด เมื่อได้ฟังอาเตียสอนให้เป็นคนไร้จุดอ่อนในใจก็รู้สึกฮึกเหิมอย่างยิ่ง หลังอาเตียกลับไปจึงนำหัวเผือกหัวมันในครัวมากิน ร่างกายจะคันจะปวดหรือจะอาเจียนอย่างไรก็ฝืนกินเข้าไปจนหมดตะกร้า มิคาดจุดอ่อนที่คิดจะข้ามผ่านกลับแทบทำให้หมดสติไปถึงสามวันสามคืน
ตอนตื่นมาเจอท่านเหมยสีหน้าเครียดขรึมอยู่ข้างเตียงสั่งห้ามข้าแตะต้องพวกมันอีกชั่วชีวิต ข้าผู้ไม่เคยพ่ายแพ้มาชั่วชีวิตกลับต้องมาแพ้ให้แก่หัวเผือกหัวมันน่าชังพวกนี้ ดังนั้นหากเห็นพวกมันจึงทำเป็นไม่เห็น หากวางอยู่บนโต๊ะจะไม่แตะต้อง ไม่เปิดเผยจุดอ่อนตัวเองให้ผู้อื่นทราบ ผู้คนเองก็ไม่คาดว่าข้าจะพ่ายแพ้ต่อหัวเผือกหัวมันเช่นนี้กระมัง
“เจ้าไม่ชอบสองจานนี้ก็ไม่เป็นไร ข้าจะให้จื่อหรงเก็บไปให้พ้นตาเจ้า” สองจานนั้นถูกเก็บไปจากโต๊ะอาหารข้าพลันรู้สึกหายใจสะดวกขึ้นมานิดหน่อย ทัศนาอาหารอีกมากมายหลายจานสีสันสวยสดงดงามไม่น่าไว้วางใจ พิจารณาจนถ้วนถี่จึงแยกอาหารที่ไร้พิษออกมาได้เพียงสามจากสิบจานเท่านั้น
“เป๋าฮื้อตุ๋นเห็ดหอมพวกนี้รสชาติพอใช้แต่เคี่ยวนานกว่านี้หน่อยจะยิ่งดี”
“ปลิงทะเลน้ำแดงนี่คาวเกินไป ส่วนไก่ดำตุ๋นโสมนี่เค็มเกินไป ท่านสมควรเปลี่ยนคนครัวใหม่” ท่านเหมยไม่ตอบคำเพียงแต่ยิ้มเยือกเย็นจิบชาโม่ลี่ฮวามองข้าวิจารณ์อาหารบนโต๊ะ กระทั่งกินอิ่มแล้วพี่จื่อหรงถึงได้นำเสี่ยวหลงเปาร้อนๆออกมาให้ ข้าเฝ้ามองไอควันจากลูกกลมขาว พลันรู้สึกคิดถึงตอนที่เป็นขอทานต้องตะเกียกตะกายร้องขอหมั่นโถวก้อนสะอื้นหนึ่งก็แล่นมาจุกที่คอ เพียงคำแรกที่ได้ลิ้มลองก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา
“ข้าเป็นคนกินยากตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นงอแงไม่กินอาหารเพราะท่านเปลี่ยนแม่ครัว จำได้หรือไม่สุดท้ายท่านต้องลงมือทำเสี่ยวหลงเปาให้” ความร้อนจากเสี่ยวหลงเปาแทบทำให้มือพองแต่กลับรู้สึกอบอุ่นยิ่งนักราวถูกโอบกอดด้วยความรัก รอยยิ้มจางๆของท่านเหมยยามอยู่ในครัวข้าจำได้ดี วันคืนที่เราศิษย์อาจารย์อยู่ร่วมกันล้วนสุขสันต์ยิ่งนัก
กัดเสี่ยวหลงเปาหนึ่งคำน้ำตาก็ไหลรินลงหนึ่งสาย ยิ่งกินเข้าไปเท่าไหร่ในใจยิ่งรู้สึกอบอุ่นจนหยุดกินไม่ได้น้ำตาหลั่งรินราวสายน้ำตก ข้ามองท่านเหมยเลือนรางผ่านม่านอัสสุชล ดวงตาพร่าพรายจนเห็นสีหน้าเขาแปรเปลี่ยนความเยือกเย็นเป็นความอบอุ่นอาทรสายหนึ่ง กว่าจะทราบว่าที่แท้ไม่ได้เลอะเลือนก็ตอนที่ถูกเขาโอบกอด ข้าพลันไม่อาจทานทนไหวความรู้สึกขื่นขมชั่วชีวิตปลดปล่อยกับอกเขา ปากข้าคร่ำครวญร้องเรียกชื่อท่านเหมยโอบกอดฝังร่างไว้ไม่ยอมปล่อยมือ
ม่านเตียงปักลายดอกเหมยแดงอย่างประณีตบรรจง กลิ่นกำยานอันคุ้นเคยอวลอ่อนละมุนราวอยู่ในความฝัน ข้านอนหนุนตักขอท่านเหมยปล่อยกายอย่างไม่สำรวมบนเตียง แสงจันทราทอดอ่อนเราทั้งสองต่างตกอยู่ในความเงียบหลังฟังเรื่องราวของข้าจบท่านเหมยเพียงมองดูข้าด้วยนัยน์ตาคลอหยาดอัสสุชลคราหนึ่ง มืองามคู่นั้นลูบเส้นเกศาข้าอย่างแผ่วเบาไม่ทราบว่าคิดไปเองหรือไม่แต่คล้ายกลับสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำอุ่นร้อนที่หยดลงบนเส้นผมเพียงครู่นึงก็หายไปดั่งเป็นเพียงฝัน
“เจ้าเปิดหน้ากากได้หรือไม่” มือของอาจารย์ไล้บนหน้ากากยะเยียบเย็น ข้าสะดุ้งเฮือกผุดลุกจากตักเขาห่อตัวเข้าหากันราวเด็กขวัญเสีย
“ม...ไม่ ข..ข้า” ข้ากลัวท่านจะรังเกียจ..กลัวท่านจะไม่ยอมรับข้า..ข้ากลัวยิ่งนัก
“เด็กโง่ ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า ยังจะต้องปิดบังข้าอีกทำไม”
“ร่างนี้..ร่างนี้อัปลักษณ์นัก ข..ข้าอยากให้ท่านจดจำข้าที่งดงามมิใช่เป็นภูติผีเช่นนี้” ท่านเหมยเงียบไปครู่หนึ่งสุดท้ายจึงเผยยิ้มปราณี
“ลี่ฉางเจ้าจงอย่าดูถูกตัวเอง หน้าตาผิวพรรณงดงามแล้วอย่างไรอัปลักษณ์แล้วอย่างไร สุดท้ายมิใช่ร่วงโรยไปตามกาลดอกหรือ หากในใจเจ้ายึดถือความงามเพียงภายนอก ตลอดเวลาสิ่งที่อาจารย์มอบให้เจ้าล้วนแล้วแต่ไร้ความหมายเป็นสิ่งไม่สำคัญเช่นนั้นหรือ?”
“อาจารย์..ข้า..”
“คนเราจะได้รับการจารจำมิใช่เพราะรูปลักษณ์แต่กลับเป็นเพราะความสามารถ เจ้ามีความงามแล้วอย่างไรเมื่อไร้ความสามารถก็เป็นคนงามผู้โง่งมผู้หนึ่ง เจ้าไม่งามแล้วอย่างไรเมื่อมีความสามารถเจ้าก็กลายเป็นคนมีประโยชน์ผู้หนึ่ง ตรองดูเถิดเหวินฉีลี่ฉางเจ้าจักเป็นคนประเภทไหน”
ข้าสูดลมหายใจคราหนึ่งเก็บคำสอนของอาจารย์ไว้ในใจยึดถือเป็นหลักในชีวิตนับแต่เพลานี้ ท่านเหมยยิ้มอบอุ่นมองข้าถอดหน้ากากออกด้วยมือสั่นระริก เมื่อเห็นใบหน้าข้าชัดเจนแล้วเขาจึงเงียบไปคราหนึ่งใช้มืองามคู่นั้นลูบบนใบหน้าอัปลักษณ์ราวภูติผีนี้แล้วคลี่ยิ้มละไม
“เด็กโง่ตรงไหนเรียกว่าอัปลักษณ์กัน”
“ใบหน้านี้มีแต่แผลพุพองแลแผลเป็นเช่นนี้ไม่เรียกอัปลักษณ์หรือ”
“แผลพุพองบนใบหน้าพวกนี้ลักษณะอาการคล้ายโดนน้ำร้อนแต่เมื่อพิจารณาดีๆข้าคิดว่ามันเกิดจากพิษ และหากเกิดจากพิษจริงอาจารย์เจ้าที่เป็นจอมพิษจะช่วยศิษย์คนเดียวมิได้เชียวหรือ” ท่านเหมยจับจ้องใบหน้าข้าพิจารณาไปมา ข้าพลันรู้สึกปรีดาจนหัวใจแทบหลุดออกมานอกอก
“อาจารย์ท่านรักษาลี่ฉางได้จริงๆหรือ” ข้าเขย่าชายเสื้อสีอ่อนอย่างกระตือรือร้น ยินดีอย่างยิ่งที่ไม่ต้องทนมองแผลพุพองอันน่าหวาดกลัวบนใบหน้านี้อีกต่อไป
“แน่นอน อาจารย์เจ้าเป็นหมอเทวดามิใช่หรือ แผลเป็นพวกนี้นับเป็นอะไรได้ ตอนเด็กเจ้าซุกซนเพียงใดโตมามีรอยแผลเป็นซักนิดหรือไม่” มืองามคู่นั้นเขกหัวข้าเบาๆไม่ทำให้ระคายผิวเลยซักนิด ข้าโผกอดท่านเหมยคราหนึ่งเอนตัวแนบอยู่ที่อกเขาหัวใจพองโตยิ่งนัก
“ท..ท่านอย่าปดให้ลี่ฉางดีใจเก้อนะ”
“เจ้าไม่เชื่ออาจารย์แล้วหรือ” ท่านเหมยลูบตัวข้าแลไล้เบาๆที่แผลบนใบหน้าราวกับจะปลอบ
“เชื่อข้าเชื่อ”
“ดี งั้นก็เชื่อเถิดว่าภายในหนึ่งเดือนแผลพุพองพวกนี้ต้องหายไปจากใบหน้าเจ้า สามเดือนต้องไร้รอยแผลเป็น” รอยยิ้มของอาจารย์ทำให้ข้าเชื่อหมดหัวใจ ในแผ่นดินนี้ฝีมือรักษาของผู้ใดจะเทียบเทียมอาจารย์ของข้าได้อีกเล่า หอเหมยถูกสร้างมาคู่กับหมื่นวสันต์นับตั้งแต่ครั้งปฐมกษัตริย์สถาปนาราชวงศ์ ความรู้ตกทอดรุ่นสู่รุ่นล้วนล้วนแต่หลากหลายลึกล้ำยิ่งนัก แม้แต่ตัวข้ายังได้รับการถ่ายทอดจากท่านเหมยได้เพียงหกส่วนเท่านั้น
“ลี่ฉางแล้วเช่นนี้ต่อไปเจ้าจะทำเช่นไร ย้ายออกจากจวนสกุลหลี่มาอยู่ที่บ้านเราดีหรือไม่” ข้าส่ายหน้าระรัวดวงตาพลันหรี่ลงเมื่อนึกถึงดวงหน้าที่โผล่พ้นม่านรถม้าในใจคุกรุ่นด้วยไอโกรธ
“ข้าจะหาทางเข้าวัง พบกับเจ้าโจรขี้ขโมยนั่นทวงร่างคืน!” อาจารย์ขมวดคิ้วคราหนึ่งมือที่ลูบเส้นเกศาชะงักไป
“หากทวงร่างคืนไม่ได้เล่า อีกประการหนึ่งเจ้าจงอย่าลืมว่าอาจารย์รู้จักเจ้าดีที่สุดจึงแยกเจ้าออกได้โดยง่ายแต่ผู้อื่นเล่าจักยอมเชื่อเจ้าหรือ”
“ข้า...” ข้า..ข้าเองก็หวั่นกลัวยิ่งนัก กลัวว่าเขาจะลืมเลือนข้ามิอาจแยกแยะได้ กลัวเสียยิ่งกว่าการที่ต้องเสียร่างไปให้ใครที่ไหนก็ไม่ทราบหลายเท่านัก ความขื่นขมสายหนึ่งแล่นมาจุกในอก “ถึงข้าจะทวงร่างคืนไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ข้าจะทำให้เขาจำข้าให้ได้..รักข้าให้ได้เช่นแต่ก่อน”
“ลี่ฉางเจ้าต้องดื้อดึงถึงเพียงนี้เชียวหรือ อาจารย์เคยเตือนเจ้า..”
“ข้าทราบ...” ท่านเหมยจ้องหน้าข้าคราหนึ่งสุดท้ายก็ถอนหายใจ
“ทราบแต่ไม่ปฏิบัติตามหรือ?” มิอาจแก้ตัวได้จึงได้แต่ก้มหน้านิ่งกระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจติดต่อกันอีกเฮือกใหญ่
“เมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนั้นแล้วก็ตามใจเจ้า บอกข้ามาให้กระจ่างเจ้าวางแผนไว้อย่างไร” ข้าคลิ้ยิ้มกว้างอย่างยินดีกอดร่างอาจารย์เล่าถึงแผนการที่ทุ่มเทครุ่นคิดเอาไว้
“ตอนนี้จิ่นสือเคลือบแคลงสงสัยการรักษาของท่าน เขาจึงให้ฮุ่ยเหอตามหาหมอเทวดาผู้อื่นมารักษาเหวินฉีลี่ฉางในวัง” อาจารย์ร้องอาคราหนึ่งพยักหน้าแผ่วเบา
“ข้าพอจะทราบเรื่องที่เขาเคลือบแคลงสงสัย เขาคงกลัวข้ากีดกันเขากับเจ้าจึงต้องการแยกข้าแลเหวินฉีลี่ฉางออกจากกันกระมัง”
“ดังนั้นข้าจึงจะฉวยโอกาสนี้แทรกซึมเข้าสู่วังหลวง อาศัยฝีมือการรักษาที่สืบทอดจากท่านคงพอตบตาว่าเป็นหมอเทวดาผู้หนึ่งได้ ตอนนี้ยงหาทางทวงร่างคืนไม่ได้แต่อย่างน้อยข้าก็อยู่ใกล้จิ่นสือ ขัดขวางเจ้าคนบัดซบในร่างข้าไม่ให้ยั่วยวนเขา!”
“คนที่อยู่ในร่างเจ้าคงไม่ได้ร้ายกาจถึงเพียงนั้นดอกลี่ฉาง ลดอคติของเจ้าลงเสียก่อนค่อยพูดจาพาทีกับเขา ข้าคิดว่าปัญหานี้ย่อมต้องมีทางออก” ข้าขมวดคิ้วคราหนึ่งเมื่อได้ยินอาจารย์พูดถึงเจ้าคนชั่วช้าในร่างข้าผู้นั้น หากไม่ร้ายกาจก็ดีไปแต่หากไม่ใช่ข้าคงไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้..
“ข้าจะลองเจรจากับเขาดู แต่ว่าอาจารย์..ข้าแลท่านเราสองคนต้องทำเป็นไม่รู้จักอีกฝ่ายจะเป็นการดีที่สุดทั้งต่อหน้าจิ่นสือและคนในร่างข้า ให้เขาทั้งสองวางใจไม่สงสัยในตัวท่านแลข้า”
“เอาล่ะข้าทราบแล้ว เรื่องแผนการพอแค่นี้ก่อนเถิด เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนอนพักผ่อนอยู่เสียที่นี่” ข้าเอนร่างลงบนตักอันอ่อนนุ่ม สัมผัสอบอุ่นจากปลายนิ้วมือที่แตะลงบนศีรษะทำให้รู้สึกง่วงงุนขึ้นเสียอย่างนั้น สายลมวสันต์ลอดผ่านบานหน้าต่างความหนาวเหน็บมาเยือน ผ้าห่มแสนอุ่นคลุมตัวแต่มิอาจข่มตาหลับได้สนิทนัก
“อาจารย์คืนนี้ท่านนอนเป็นเพื่อนลี่ฉางเถอะนะ” ข้ากอดเอวเขาไว้แน่นอ้อนขอเหมือนตอนเด็กๆ เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังอยู่ที่ข้างหู ไม่ทันไรก็รู้สึกเหมือนต้องมนต์หล่นลงสู่ห้วงนิทราอันอบอุ่นในอ้อมกอดที่คุ้นเคย
-
เหมือนทองอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นทอง
-
:pig4:
-
พออ่านจบปุ๊บก็เข้าสู่โหมดรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่ออีกครั้ง
-
ท่านเหมยเชื่อแล้ววว :mew4:
-
ลี่ฉางสู้ๆ อดทนเข้าไว้นะ
-
ค้างงงฮืออ ท่านเหมยยอมเชื่อแล้ว
บางทีร่างใหม่ของลี่ฉางถ้ารักษาแผลให้หายอาจจะดูดีก็ได้นะเหวยยยย
-
น้ำตาซึมตอนที่หลีฉางกินอาหารฝีมืออาจารย์ รอจ้าา สนุกมากๆ เลย
-
อยากรู้จักอีกฝั่งแล้ว เขาเป็นใคร อะไรชักนำให้สลับร่างกัน
-
รอตอนต่อไป พลีสส มาต่อด่วนๆ
-
ยิ่งอ่านยิ่งสนุกค่า :katai2-1: :katai2-1:
-
:hao5:ดีใจกับลี่ฉาง ชีวิตพอมีความหวังล่ะ
-
เราหวังว่าจะให้ลี่ฉางได้ร่างคืนนะ คือไม่ใช่ว่าอยู่ร่างนี้แล้วจะได้ดีไม่ได้
แต่ไม่ชอบที่คนอืนจะใช้ประโยชน์จากร่างเดิมลี่ฉางอะ :mew5:
-
(http://www.mx7.com/i/738/HX3hHS.jpg)
ตอนพิเศษ : ราตรีบุปผาผลิบาน
รัชสมัยจักรพรรดิหย่งเต๋อ ปีที่ 25
สองวันก่อนเทศกาลชุนเจี๋ย ณ หอเหมย ตำหนักหมื่นวสันต์
เงาร่างงดงามน่าเอ็นดูร่างหนึ่งกำลังทำท่าทีหลบๆซ่อนๆเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง จื่อหรงมุ่นคิ้วคราหนึ่งมองเงาร่างคุ้นตาแล้วสะดุ้งตกใจแทบสิ้นสติรีบถลันตัวไปหานายน้อยผู้กำลังวิ่งเร็วรี่ลัดเลาะไปยังสวนเหมย ที่แท้เวลานี้นายน้อยลี่ฉางต้องอยู่ในห้องหนังสือคัดอักษรเพราะถูกนายท่านเหมยลงโทษมิใช่ดอกหรือ พี่เลี้ยงหนุ่มใช้วิชาตัวเบาสะกิดเท้าก้าวหนึ่งประชิดตัวเด็กหนุ่มผู้งามวิลาศรั้งร่างนั้นมาไว้กับตัว
“อ๊ะ!” เหวินฉีลี่ฉางสะดุ้งตกใจราวกับมุสิก[1]น้อย เมื่อพบว่าเป็นผู้คุ้นเคยก็ผลิยิ้มราวกับดอกเหมยแรกผลิบานในยามเหมันต์คราหนึ่ง ท่าทีตกใจเหือดหายเป็นรอยยิ้มอันประจบประแจงอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“พี่จื่อหรงที่แท้เป็นท่าน” จื่อหรงมุ่นคิ้ว เส้นเลือดที่ขมับสายหนึ่งเต้นตุบคล้ายกำลังอดทนอดกลั้นอย่างมาก เหวินฉีลี่ฉางเห็นดังนั้นก็ยิ้มออดอ้อนอีกคราหนึ่งราวกับเบญจมาศเฉิดฉายกลางใบไม้ผลิ ผู้เป็นพี่เลี้ยงจำต้องหลับตาลงคราหนึ่งจึงค่อยลืมขึ้นเสมองไปยังลำคอระหงงดงามราวถูกพู่กันวาดเป็นเส้นสายอันอ่อนช้อยน่ามอง มิอาจมองสบใบหน้าล่มหล้าของนายน้อยที่ตนดูแลอยู่ได้โดยตรงเพราะเสน่ห์เย้ายวนนั้นอันตรายเสียจนแทบลืมหายใจ
“นายน้อยทุกวันนี้ท่านคัดซุนจื่อปิงฝ่า[2]ยังเหนื่อยไม่พอหรือ หรือต้องให้นายท่านเหมยสั่งท่านคัดไตรปิฎกเช่นเมื่อปีก่อนจึงจะยอมสงบเรียบร้อยขึ้นบ้าง” หน้าตางดงามของนายน้อยแห่งหอเหมยบิดเบี้ยวเหยเกคล้ายถึงใครบังคับให้ดื่มยาขม เมื่อเห็นว่าพี่เลี้ยงมีที่ท่าไม่โอนอ่อน เด็กหนุ่มเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีคราหนึ่ง ริมฝีปากแดงกระจับราวลูกอิงเถา[3]ยู่เข้าหากันอย่างเอาแต่ใจ
“พี่จื่อหรงใจร้าย ไม่รักลี่ฉางแล้วหรือ”
“ไม่ขอรับ” จื่อหรงไม่มองหน้าตาน่ารักน่าชังชวนให้อยากพะเน้าพะนอเอาใจใบหน้านั้น ทำใจแข็งจับร่างน้อยๆพาดบ่าสะกิดเท้าขึ้นไปยังชั้นสูงสุดแห่งหอเหมยด้วยความเงียบเชียบ เหวินฉีลี่ฉางมองค้อนแผ่นหลังของชายใจแข็งผู้นี้อย่างทำอันใดมิได้
ท้ายที่สุดแล้วนายน้อยแห่งหอเหมยจึงต้องมานั่งกอดอกนิ่งคล้ายกำลังประท้วง ดวงตาหงส์มองเมินไปยังนอกหน้าต่างทัศนาคนในหอที่กำลังวุ่นวายตกแต่งนิวาศสถานรอรับแขกสำคัญในวันนี้ โคมประดับรูปปลาน้อยถูกแขวนอยู่บนกิ่งต้นเหมยต้นหนึ่ง เด็กรับใช้จอมซุ่มซ่ามพลัดร่วงตกบ่อน้ำท่าทีน่าขบขันยิ่งนักจนลี่ฉางหลุดหัวเราะเสียงใสคราหนึ่ง
“นายน้อยวันนี้นายท่านเหมยจะมาตรวจดูความคืบหน้าของการคัดอักษร ท่านควรเร่งมือเสียหน่อย อย่างน้อย..” ลี่ฉางตวัดตามองผู้ที่ฝนหมึกให้ตน ริมฝีปากกลับมาง้ำงออย่างเอาแต่ใจ
“พี่จื่อหรง ลี่ฉางเบื่อ..” เด็กน้อยจะอย่างไรก็เป็นเด็กน้อย ชายหนุ่มลอบถอนใจเบาๆมองเรียวขาเล็กๆใต้ชุดแพรไหมแกว่งไปมาอย่างเบื่อหน่าย เขาขยับเข้าไปใกล้หวังจะปลอบใจนายน้อยที่ทะนุถนอมเลี้ยงดูมาแต่กำเนิด มิคาดว่าอีกฝ่ายจะเอียงศีรษะมาแนบกับหน้าท้องของเขา จื่อหรงมิหาญกล้าแม้แต่หายใจเข้าออกได้แต่ก้มลงมองดวงหน้าเพริศพริ้งแลแพขนตายาวขยับขึ้นลงแผ่วเบาราวปีกผีเสื้อต้องสายลมละมุนด้วยใจที่เต้นแรงราวจะหลุดออกจากอก
เพียงชั่วพริบตานายน้อยแสนซนก็ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว สะบัดชายเสื้อคราหนึ่งวางท่าสุขุมอย่างมีสง่าราศี จับพู่กันจุ่มกับหมึกที่ถูกฝนไว้ คว้ากระดาษที่เขียนค้างมารังสรรค์ตัวอักษรอ่อนช้อยดั่งมังกรเหินหงสาร่อนถลาวิจิตรงามสง่าเป็นระเบียบยิ่งนัก
จื่อหรงยังคงยืนนิ่งราวกับท่อนไม้กระทั่งมีสติรู้ตัวเมื่อถูกดวงตาหงส์ชายมามองคราหนึ่งคล้ายกับเตือนสติ นายท่านเหมยเปิดประตูเข้ามาทันกับที่เขาไปยืนประจำยังแท่นฝนหมึกด้วยท่าทีสงบนิ่งแม้ดวงใจจะยังรุ่มร้อนมิหาย สายลมพัดโชยอ่อนกลิ่นดอกเหมยหอมฟุ้งอวลตลบ นายน้อยผู้เลิศล้ำคลี่ยิ้มเฉิดฉายประจบประแจงอย่างยิ่ง
“ท่านเหมย ลี่ฉางคัดตำราใกล้เสร็จแล้ว” นายท่านเหมยผู้ดูแลหอยิ้มอย่างสงบนิ่ง ท่าทีนุ่มนวลอ่อนโยน ใกล้ชิดทว่าห่างเหินราวกับหมอกจางลางเลือนมิอาจแตะต้องได้ในยามอรุณ ท่านเหมยผู้มากด้วยเสน่ห์ผู้นี้เองที่ครองอันดับหนึ่งแห่งตำหนักหมื่นวสันต์แม้วัยจะล่วงเลยมาถึงสามสิบสามปี
ท่วงท่าย่างก้าวสง่างามนุ่มนวลราวกลีบบุปผาร่อนแตะผืนธารา ยามก้มหน้าลงชมอักษรเส้นผมสีดำปลอดสยายลงราวกับม่านน้ำตกสายหนึ่ง ภาพคนงามสองคนเคียงข้าง จื่อหรงมิอาจทำใจกล้ามองโดยตรง มือที่ฝนหมึกสั่นระริก จะทำอย่างไรก็ไม่ชินเสียทีกับความงามเลิศล้ำทั้งสองนี้
“อักษรเจ้างดงามดีแต่ยังไม่สงบนิ่งเพียงพอ ตัวอักษรบ่งบอกนิสัย..ลี่ฉางหากเจ้ามิอาจคุมจิตใจยังหวั่นไหวกับสิ่งเย้ายวนภายนอก ตัวอักษรเจ้าก็มิอาจสมบูรณ์” ท่านเหมยหรี่ตามองนายน้อยผู้ทรงโฉมด้วยแววตาคมกริบคราหนึ่งก่อนจะย้ายร่างไปยังตั่งไม้ปูด้วยขนจิ้งจอกไม่ไกลนัก เฝ้ามองศิษย์รักหนึ่งเดียวด้วยแววตาเยือกเย็น จื่อหรงรู้หน้าที่ดีอย่างยิ่งจัดหาชาดอกสายน้ำผึ้งมาให้แก่นายท่านเจ้าของหอ
นายน้อยลี่ฉางตั้งอกตั้งใจคัดอักษรด้วยท่าทีสงบนิ่งสุขุมอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเอกบุรุษแห่งหมื่นวสันต์ แววตาดื้อดึงเอาแต่ใจลดลงไปมาก กลิ่นหอมของชาดอกสายน้ำผึ้งอวลอ่อนในห้องอุ่น สายลมวสันต์พัดพลิ้ว ความสุขสงบแผ่กำจายไปทั่วห้องอักษร ผู้เป็นพี่เลี้ยงฝนหมึกอยู่เคียงข้างซึมซับภาพจำอันงดงามนี้ไว้ในหัวใจ กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงรายงานจากภายนอก ทั้งสามคนในห้องจึงทราบว่าล่วงเลยจากยามเซิน[4]สู่ยามอิ่ว[5]เสียแล้ว
“ลี่ฉางเปลี่ยนชุดเสียแล้วตามข้าไปยังห้องโกเมน” นายน้อยแห่งหอเหมยวางมือจากพู่กันราคาสูงลิ่ว แปรงอันอ่อนนุ่มถูกทำขึ้นจากขนด้านในหูจิ้งจอกแลด้ามที่ทำจากหยกสลักประณีตอ่อนช้อยกลิ้งอยู่บนพื้นโต๊ะอย่างไม่ได้รับความใส่ใจ เด็กน้อยคลี่ยิ้มเบิกบานถอดชุดตัวนอกออกอย่างไม่สำรวม จื่อหรงร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความตระหนกคว้าสายคาดเอวและชุดชั้นนอกที่กำลังร่วงหล่นสู่พื้นมาไว้ในมืออย่างทันท่วงที
ร่างกึ่งเปลือยเปล่าอันขาวนวลราวกับสำลีทำให้ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำ ทำเป็นมองไม่เห็นความผุดผาดเลิศล้ำยืนนิ่งอย่างสำรวมอยู่ข้างเตียง เหวินฉีลี่ฉางแม้จะวัยเพียงสิบสองปีแต่กลับสูงราวเจ็ดฉื่อ[6] ร่างกายไร้รอยไฝฝ้าราคีสมบูรณ์แบบ มีเพียงความนุ่มลื่นราวกับแพรไหมชั้นเลิศราวถูกบรรจงสร้างจากสวรรค์ กลิ่นหอมหวานจากร่างกายงามงดราวบุปผาแดนเซียน เป็นกลิ่นจางๆกลิ่นหนึ่งที่ทำให้ผู้คนคลั่งไคล้หลงใหล ยามที่นายน้อยเบิกบานกลิ่นหอมหวานสดใสราวอรุณแรกวสันต์ ยามโศกเศร้าเสียใจกลิ่นโศกนวลอวลคลุ้งพลอยอยากให้น้ำตาไหลร่วงริน
“พี่จื่อหรง ลี่ฉางสวมชุดไหนดี” ชุดล้ำค่ามากมายวางเรียงรายอวดโฉมมิอาจเทียบเทียมร่างกายขาวโพลนใต้ผ้าไหมสีพิสุทธิ์บางเบาชุดนั้น เส้นสายอ่อนช้อยของร่างกายงดงามทำให้จื่อหรงนึกอยากรู้ว่าหากเขาทาบทับมือที่เอวบางค่อยลูบไล้ไปทั่วร่างงามร่างนั้น กลิ่นหอมของนายน้อยจะแปรเปลี่ยนเป็นเช่นไร จะหอมฉุนอย่างเกรี้ยวโกรธหรือจะกลายเป็นหอมหวานยั่วยวนอย่างที่เขาไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน พี่เลี้ยงหนุ่มสะบัดหัวคราหนึ่งเอาความคิดพิสดารนั้นออกไปจากสมอง จะทรยศต่อความไว้วางใจของนายท่านเหมยได้อย่างไร..
“พี่จื่อหรง!” เหวินฉีลี่ฉางเชิดหน้าขึ้นอย่างเอาแต่ใจเมื่อไม่ได้รับความสนใจ สุดท้ายก็มองค้อนคราหนึ่งแล้วตัดสินใจหยิบชุดผ้าไหมสีกลีบบัวปักลายวิหคน้อยน่ารักบนกิ่งเหมยมาสวม เด็กรับใช้ด้านนอกเข้ามาช่วยเกล้าผมยาวราวม่านไหมอย่างประณีตบรรจง ใบหน้างามเฉิดฉายถูกชาดแดงบางเบาแต้มบนริมฝีปาก ผู้เป็นพี่เลี้ยงทำได้เพียงก้มหน้ามองชายผ้าอันวิจิตร ความงามอันเลอเลิศยิ่งกว่าเทพีฉางเอ๋อร์ของเหวินฉีลี่ฉางนั้นอันตรายต่อหัวใจเกินไป
“อาเตีย[7]!” นายน้อยผู้เลิศล้ำแย้มยิ้มเบิกบานเมื่อพบแขกประจำของหอเหมย ร่างอรชรโผถลาสู่อ้อมกอดชายผู้งามสง่าผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นอยู่ในวัยกลางคนหน้าตายังคงองอาจหล่อเหลา ริ้วรอยปรากฏอยู่บ้างประปราย โดยเฉพาะร่องรอยหยักลึกตรงหว่างคิ้วที่แสดงถึงความตรากตรำมาเนิ่นนาน แม้จะอยุ่ในชุดอันหรูหราเรียบง่ายแต่รัศมีสูงส่งเหนือผู้คนแผ่กำจาย ฝ่ามือกว้างใหญ่มั่นคงลูบหัวเหวินฉีลี่ฉางอย่างเอื้อเอ็นดู บอกผู้ใดคงไม่เชื่อกระมังจักรพรรดิหย่งเต๋อผู้เย็นชากลับกลายเป็นชายผู้อบอุ่นมีเมตตาเมื่ออยู่ภายในหอคณิกาแห่งนี้
“ลี่ฉางระหว่างที่อาเตียไม่อยู่ เจ้าดื้อกับอาเหนียงหรือไม่” นายน้อยโฉมงามส่ายศีรษะระรัว ท่าทีเช่นนั้นน่ารักน่าชังสมวัย
“ลี่ฉางไม่ดื้อเลยสักนิดเดียว ไม่เชื่ออาเตียลองถามอาเหนียง[8]ดู” หย่งเต๋อหวงตี้ทอดสายตามองผู้ที่รินชายังด้านขวามือ คนในดวงใจคลี่ยิ้มละไมอบอุ่นคราหนึ่งมองดูหนึ่งบิดาหนึ่งบุตรด้วยความรักล้นปริ่มในแววตาแสนหวาน
“ช่วงนี้เจ้าซูบผอมลงนะเสวี่ยหลิน” โอรสสวรรค์ตบบนหลังมือบอบบางคราหนึ่ง อยู่ใกล้กันเพียงนี้ทำได้เพียงฝากข่าวผ่านจดหมายน้อย แม้หวังจะพบหน้าทุกวันคืนแต่กลับยากยิ่งนัก อำนาจมากล้นในมือมิอาจใช้ได้ตามประสงค์..ที่แท้อำนาจบัดซบนี้ยังมีประโยชน์อะไร?
“ผอมลงที่ไหนกัน ฟู่จวินท่านดูผิดไปเสียแล้วล่ะ” รอยยิ้มอ่อนจางราวสีของกลีบเหมยงดงามยิ่งนัก จักรพรรดิพิศมองความงามราวเหมยฮวาดอกนี้แล้วถอนใจ คล้ายกับช่วงเวลาสองเราได้พบยามแรกเหมันต์ หนึ่งดอกเหมยผลิบานทระนง หนึ่งมังกรปีกหักถลาร่อน ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายกลับมีมือหนึ่งมาฉุดให้รอดพ้น หลงจื้อคลี่ยิ้มคราหนึ่งกุมมือบอบบางอย่างรักใคร่
“อย่างนั้นคืนนี้เห็นทีต้องพิสูจน์เสียแล้ว” บุรุษผู้สูงศักดิ์คลี่ยิ้มหยอกล้อกระซิบแผ่วเบาเรียกสีระเรื่อบนใบหน้างดงาม
จะมีคนกี่มากน้อยที่ทราบว่าหวงตี้ผู้นี้ชิงชังครอบครัวในวังหลวงเพียงไร มีเพียงสองคนในโลกที่เขารักด้วยความจริงใจไร้ความระแวงสงสัย ถนอมปกป้องยิ่งกว่าชีวิตตน หนึ่งคือคณิกาชายผู้ต้อยต่ำ หนึ่งคือเด็กน้อยกำพร้าผู้ไร้บิดามารดา ท่ามกลางสนมนางในมากมายนับร้อยพัน เหล่าลูกชายเก่งกาจลูกสาวงามล้ำ ครอบครัวจอมปลอมนี้กลับทำให้ชีวิตโอรสสวรรค์อันเปลี่ยวเหงาเดียวดายรู้สึกอบอุ่นแลมีหัวใจอีกครั้ง ทำให้เขากลับกลายเป็นสามีแลบิดาธรรมดาผู้หนึ่งมิใช่หวงตี้ผู้ชี้เป็นชี้ตายคนอยู่บนบัลลังค์มังกร
แม้มิอาจผ่านพ้นวันปีใหม่ร่วมกันเช่นครอบครัวสามัญ แต่สองวันก่อนถึงปีใหม่หอเหมยปิดตัวมิรับแขกเพื่อรอคอยจักรพรรดิ์หย่งเต๋อเสด็จเป็นการลับทุกปี การร่วมทานอาหารค่ำและผ่านพ้นโส่วซุ่ย[9]ไปกับครอบครัวเล็กๆนี้ราวกับเป็นความฝันอันลางเลือน ในคืนนี้หนึ่งครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเฝ้ารอเวลาผันผ่านไปอย่างสงบสุข เด็กน้อยลี่ฉางนอนทอดเหยียดยาวเล่าเรื่องต่างๆในหอเหมยบนตักหวงตี้ นายท่านเหมยคลี่ยิ้มอยู่ข้างๆแกะเมล็ดแตงบ้างพัดให้สองพ่อลูกบ้างยามที่มีแมลงหลงบินเข้ามา ผ่านไปซักพักหนึ่งจึงมีเสียงกู่ฉิน[10]นุ่มลึกกังวานดังขึ้นสลับกับเสียงท่องกลอนร้องเพลงใสกระจ่างราวหยกพิสุทธิ์ เม็ดหมากขาวดำของหนึ่งบิดาหนึ่งบุตรกระทบกระดานไม้เกิดสำเนียงอันสงบสุขสายหนึ่ง ชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้ราวกับหมอกอันลางเลือน ยามเที่ยงคืนผ่านพ้นหนึ่งสามีภรรยาส่งบุตรชายเข้าห้องนอน นั่งลงข้างเตียงเล่านิทานเรื่องหนึ่งกล่อมเด็กน้อยให้หลับใหล
เมื่อเห็นลี่ฉางตัวน้อยตาปรือจักรพรรดิก็ทรงสรวลเบาๆจุมพิตที่กระหม่อมบางอย่างอ่อนโยนประคองฟุเหริน[11]ตนกลับห้อง เมื่อลับแผ่นหลังทั้งสองดวงตาประกายดาราก็ลืมขึ้น ภาพของเด็กดีเมื่อครู่ลบเลือนหายกลายเป็นเด็กน้อยแสนซนผู้หนึ่ง
-
เหวินฉีลี่ฉางคว้าเสื้อคลุมสีดำสนิทจากใต้เตียงมาคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างมิดชิด ลอบออกไปด้านนอกหออย่างเร็วรี่ ด้วยห้องนอนของนายน้อยอยู่ด้านในสุดต้องผ่านหน้าห้องท่านเหมยอย่างมิมีทางเลี่ยง เสียงอันรัญจวนใจเสียงหนึ่งที่ดังลอดออกมาทำเอาเด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำกลั้นใจเดินผ่าน เสียงครวญครางหวานแผ่วทวีความวาบหวามจนใบหน้างามไม่อาจทำเป็นสงบนิ่ง ความรู้สึกปั่นป่วนในอกจนใจสะท้านยามได้ยินสองเสียงประสานในห้องนั้นทำเอาแทบพลิกตกบันไดอยู่หลายครา
ผ่านพ้นความยากลำบากมาได้ลี่ฉางที่ขาสั่นเทาตรงรี่ไปยังห้องพี่จื่อหรง มิคาดกลับได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังมาจากด้านใน เด็กน้อยยืนกระวนกระวายมิทราบจะทำเช่นไร อยากจะออกไปด้านนอกแทบขาดใจก็อยาก แต่ก็ขลาดกลัวมิกล้าเรียกพี่เลี้ยงคนสนิท จนกระทั่งรวมรวบความกล้าได้สายหนึ่งลอบเปิดประตูห้องนอนของชายหนุ่มเข้าไป จึงพบเงาอันแข็งแกร่งหลบซ่อนอยู่หลังม่านเตียง ลี่ฉางหน้าแดงก่ำอีกครา
มารดามันเถอะ! นี่มันคืนอะไรกันทำไมใครๆถึงได้ขยันทำเรื่องเช่นนี้กันนัก แม้แต่พี่จื่อหรงยัง...ยัง... ลี่ฉางกลืนน้ำลายมองภาพเงาของแท่งขนาดเขื่องถูกรูดขึ้นลง เด็กน้อยที่เติบโตในหอคณิกามีหรือจะไร้เดียงสาจนไม่ทราบว่าที่เห็นอยู่คือสิ่งใด เรียวขาสั่นเทาพาตัวเองออกมาจากห้องของพี่เลี้ยงหนุ่มได้เช่นไรไม่ทราบ เสียงครางหอบกระเส่าเสียงนั้นคล้ายยังดังอยู่ข้างหู มือเรียวเกาะบันไดพาตัวเองลงมาถึงด้านล่างที่เงียบเชียบ วันนี้หอเหมยไม่รับแขกเด็กรับใช้พากันเข้านอนไปหมด ภายในหอจึงมีเพียงคนทั้งสามซึ่งกำลังปฏิบัติกิจกรรมหรรษาในห้อง
ลี่ฉางพาตัวเองลัดเลาะเข้ามาด้านในสวนเหมย ด้วยอยู่ที่นี่มานับแต่ลืมตาดูโลกจึงจดจำหนทางได้อย่างแม่นยำ ตอนแรกตั้งใจจะให้พี่จื่อหรงนำทางมาคงประหยัดเวลายิ่งนัก วิชาตัวเบาพี่เลี้ยงของเขาเลิศล้ำสะกิดเท้าไม่กี่ครั้งก็พาไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มกระชับผ้าคลุมสีดำมิดชิดพาตัวเองเข้ามายังสวนเบญจมาศที่เชื่อมต่อกับอาณาเขตของสวนเหมย แสงไฟจากหอเบญจมาศที่อยู่ไม่ไกลส่องสว่าง ดนตรีสอดประสานบรรเลงได้น่าฟังอย่างยิ่ง
แสงจันทราสาดส่องลงยังพิภพเบื้องล่าง เผยให้เห็นกลีบดอกเบญจมาศบอบบางหลากสีสันอวดโฉมงามฉูดฉาด น้ำตกเทียมที่กลางสวนสาดละอองกระเซ็นสายต้องกลีบดอกไม้จนหวั่นไหวราวโฉมงามถูกโลมเล้าด้วยประกายธารา หยดน้ำกลิ้งกลอกไปมายังกลีบบุปผาเค้าคลึงจนกิ่งก้านดอกสั่นไหวสะท้าน
ลี่ฉางสะบัดหัวคราหนึ่งเมื่อทราบว่าตัวเองคิดเลยเถิดไปถึงไหนไม่ทราบ ดวงหน้างามแดงซ่านเร่งฝีเท้าแทรกตัวเข้าไปหลังน้ำตก ถ้ำเล็กๆปรากฏแก่สายตา ที่นี่เป็นสถานที่ที่นายน้อยแห่งหอเหมยแลคุณหนูน้อยแห่งหอเบญจมาศมักพบปะเพื่อทำการค้ากันสม่ำเสมอ ลี่ฉางควานหาหีบไม้เล็กๆใบหนึ่งในความมืด แสงจันทร์ทอประกายให้เห็นเงาอันลางเลือนเงาหนึ่งที่ถูกแอบซ่อนไว้มิดชิด
ภายในนั้นมีหนังสือปกขาวเรียบง่ายเล่มหนึ่งมีลวดลายดวงอาทิตย์แลเบญจมาศ อีกเล่มหนึ่งเป็นหนังสือปกขาวเช่นกันไร้ลวดลายใดๆทั้งสิ้นเมื่อพลิกดูด้านในเพื่อตรวจสอบ ใบหน้างามล่มหล้าก็พลันเกิดรอยอุธัจขัดเขิน ภาพวาดที่จารึกกิจกรรมหรรษาอันหลากหลายทำให้เหวินฉีลี่ฉางต้องปิดตาลงคราหนึ่ง พ่นลมหายใจอันอุ่นร้อนผ่านทางริมฝีปากอย่างเชื่องช้า ลองหรี่ตาลงอีกคราพลิกไปยังหน้าแรกมองภาพของชายผู้หนึ่งถูกจับโก้งโค้งอย่างหวาดเสียว..
น...นี่ นี่..มัน
เด็กหนุ่มหลับตาปี๋ ไม่ทราบเลยว่ากลิ่นหอมหวานที่ติดตรึงบนร่างตัวเองกรุ่นกำจายไปทั่วสวนเบญจมาศ กลายเป็นกลิ่นหนึ่งที่หอมสะท้านไปทั่วกายทำให้ผู้อื่นรุ่มร้อนจนแทบคลั่ง ไม่ทราบว่าเป็นพรหมลิขิตหรือชะตากลั่นแกล้ง องค์ชายเจ็ดผู้กำเนิดจากนางกำนัลชั้นปลายแถวบังเอิญกลับมาจากแนวหน้าในวันนี้พอดี ประจวบเหมาะกับที่เป็นวันเกิดคุณชายพระประยูรญาติผู้หนึ่งจึงถูกเชิญเข้าร่วมงานฉลองยังหอเบญจมาศแห่งตำหนักหมื่นวสันต์
องค์ชายเจ็ด หลงจิ่นสือผู้นี้องอาจกล้าหาญแต่ไม่เป็นที่โปรดปรานของจักพรรดิเพราะนิสัยเถรตรงเกินไป คนผู้นี้กล้าวิจารณ์แม้แต่ผู้เป็นบิดาของตัวเองจึงกลายเป็นลูกชังของหย่งเต๋อหวงตี้ไปโดยปริยาย โดยปกตินั้นองค์ชายผู้นี้มิได้อยู่ในนครหลวงบ่อยนัก บ้านที่แท้จริงของเขาอยู่ในสนามรบ อำนาจแผ่ขยายเกรียงไกรทั่วชายแดน แต่เมื่อหวนกลับคืนเมืองหลวงกลับกลายเป็นเพียงคนเถื่อนแลตัวตลกผู้หนึ่งเท่านั้น
ครานี้เมื่อมาร่วมงามจึงถูกเหล่าองค์ชายแลคุณชายพระประยูรญาติผู้เกรกมะเหรกเกเรหลายคนรวมหัวกันกลั่นแกล้งให้ดื่มสุราผสมยาปลุกกำหนัด คนเหล่านั้นหวังใจว่าจะละลายใบหน้าเรียบเฉยราวน้ำแข็งก้อนหนึ่งนี้ให้ได้ หวังใจจะเห็นองค์ชายผู้เป็นแกะดำถูกทำลายศักดิ์ศรีจนราบคาบกลายเป็นสุนัขติดสัดที่น่าขบขันตัวหนึ่ง
จิ่นสือแม้เป็นคนเถรตรงแต่มิใช่คนโง่ เขาเป็นแม่ทัพหน้าด่านมาหลายปีมีความเหี้ยมโหด ดุดัน เด็ดขาดอยู่มาก นิสัยอย่างชายชาตรีนี้ทำให้เป็นคนไม่ละเอียดอ่อนอยู่บ้างจนลืมสังเกตท่าทีอย่างหมาป่าที่กระหยิ่มยิ้มย่องมองเหยื่อของเหล่าคนพาล เมื่อไม่ทันระวังตัวดื่มสุราผสมยาปลุกกำหนัดเข้าไป ยามที่ร่างกายเริ่มรุ่มร้อนก็ทราบโดยทันทีว่าถูกกลั่นแกล้งเข้าเสียแล้ว แต่องค์ชายผู้นี้ทะนงในศักดิ์ศรียิ่งนัก มิอาจล้มต่อหน้าคุณชายหน้าขาวเหล่านี้ได้
โชคดีที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์จึงระงับอาการร้อนรุ่มเอ่ยลามาด้วยท่าทีองอาจอ้างว่ามีงานราชการติดพันมิสามารถรั้งอยู่นาน ต่อให้คนพวกนั้นเพียรรั้งเขาแค่ไหนก็มิสามารถต้านทานความแข็งแกร่งของคนเถื่อนผู้นี้ได้ ดวงตาแดงก่ำปูดโปนราวกับปีศาจทำให้เหล่าคุณชายหน้าขาวผวาหวาดกลัวถอยห่าง จิ่นสือหอบร่างใหญ่โตออกมาจากหอเบญจมาศ จดจำความอับอายในวันนี้ไว้ในหัวใจมิอาจลบเลือน ศักดิ์ศรีที่พวกมันคิดทำลายเขาจักทวงคืนอย่างสาสมแน่นอน!
ร่างกายแข็งแกร่งสั่นระริกมิอาจขึ้นม้ากลับตำหนักของตนได้ มองเห็นสวนเบญจมาศที่เงียบสงบไร้ผู้ย่างกรายจึงเข้าไปหลบเพื่อให้พ้นผู้คน เดินเข้าไปได้ไม่ไกลก็พบกับน้ำตก แม่ทัพหนุ่มจุ่มใบหน้าลงกับบ่อน้ำเทียมแห่งนั้นเพื่อคลายความร้อนรุ่มแข็งเกร็งไปทั่วร่าง สิ่งที่ผงาดอยู่เบื้องต่ำมันอึดอัดจนแทบระเบิดออกมา จู่ๆกลิ่นหอมเย้ายวนสายหนึ่งก็ลอยคละคลุ้ง องค์ชายเจ็ดมิอาจต้านทานกลิ่นอันกระตุ้นกำหนัดสายนั้นถูไถร่างกายไปกับพื้นอย่างน่าอดสู ดอกเบญจมาศงามงดถูกดึงทึ้งเพื่อคลายความตรึงเครียดในจิตใจ แต่มิอาจบรรเทาสิ่งที่ตื่นตัวอยู่ตอนนี้ได้แม้แต่น้อย
ราชนิกูลหนุ่มพยามยามยันตัวขึ้นตะเกียกตะกายไปตามกลิ่นอันยั่วเย้ากลิ่นนั้น แทรกตัวเข้าสู่โพรงที่หลบซ่อนอยู่เบื้องหลังน้ำตกเทียมอย่างทุลักทุเล ในที่สุดก็พบกับต้นตอของสิ่งที่กระตุ้นกำหนัดเขาให้โหมทวีเสียจนตาพร่าพราย
ร่างหนึ่งในชุดดำที่กำลังนั่งคุกเข่ากับพื้นเปิดอ่านหนังสือปกขาวมีท่าทีผวาดผวาเมื่อเห็นคนแปลกหน้าเช่นเขา จิ่นสือมองคนที่ถลันกายหนีไปติดชิดกับผนังของถ้ำด้วยลำคอที่แห้งผาก ขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยด้วยเสียงอันเหือดระโหย
“ท...ท่านบาดเจ็บตรงไหน” เสียงนั้นน่ารักอย่างยิ่ง ราวกับเสียงของหยดน้ำอันพิสุทธิ์กระทบยอดหญ้ายามอรุณรุ่ง ใสราวกับแก้วผลึก กังวานหวานราวกับระฆังใบหนึ่ง
"ด...ได้โปรด ช..ช่วยที" จิ่นสือรั้งมือของอีกฝ่ายไว้ อึดอัดจนแทบบ้าคลั่ง รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นปีศาจราคะที่มิอาจควบคุม มือหนาปลดเสื้อตัวนอกลงอย่างเร็วรี่ ฉีกทึ้งกางเกงตัวในอย่างบ้าระห่ำ เสียงน่ารักเสียงนั้นอุทานเบาๆเมื่อเห็นว่าแก่นกายของเขามันจวนเจียนจะระเบิดเต็มทีแล้ว จิ่นสือคล้ายได้ยินเสียงตัวเองครวญครางราวสุนัขตัวผู้ในฤดูกาลผสมพันธุ์แม้จะอดกลั้นกัดลิ้นจนเลือดไหลหยดจากริมฝีปากมิขาดสายก็มิสามารถปิดกลั้นเสียงอันน่าละอายนี้ไว้ได้
เด็กหนุ่มผู้หลบอยู่ใต้ชุดคลุมดำตัดสินใจจะช่วยเหลือ มือบางนั้นค่อยขยับมาหาแก่นกายอันตรึงเครียดอย่างขลาดกลัว กอบกุมขึ้นลงอย่างเงอะงะราวกับเด็กไม่รู้ประสา จิ่นสือคำรามในลำคอด้วยความรัญจวนใจ สัมผัสนุ่มละมุนราวสำลี ชวนให้ละลายอยู่บนฝ่ามืออุ่นร้อนนั้นยิ่งนัก เขาคว้าเอวบางเข้ามาใกล้ชิด ร่างน้อยอุทานหวิวเมื่อถูกมือหนาตระโบมโลมเล้า
จิ่นสือทึ้งชุดสีดำสนิทของอีกฝ่ายออกไปจึงได้พบว่าที่แท้ในอ้อมกอดตนเองมีนางฟ้าผู้งดงามอยู่ผู้หนึ่ง นางฟ้าผู้นั้นน่ารักไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างอับอาย แต่มิอาจบดบังความงามจนจันทราอับอายหม่นแสง องค์ชายเจ็ดพยายามรั้งสติ ตระกองกอดร่างงดงามในมืออย่างทะนุถนอมที่สุดที่จะทำได้ ถูไถแก่นกายตรึงเครียดไปทั่วร่างขาว เด็กหนุ่มตัวสั่นระริกราวดอกเฉ่าฮวา[12]ที่ถูกสายลมวสันต์กรีดกรายหยอกล้อ
เหวินฉีลี่ฉางถดร่างกายหนีพยายามฝืนตัวออกจากอ้อมกอดชายแปลกหน้าแต่กลับถูกจุมพิตหนึ่งคร่าสติสัมปะชัญญะไปสิ้น หนึ่งวาตคลั่งพัดโหมจนคลื่นทะเลกระฉอกสั่นไหว ธรณีมิอาจทานทนอ่อนระทวยลงราวกับสำลี ร่างกายอันบอบบางถูกทอดวางบนพื้นเย็นยะเยียบ ไม่ทราบเมื่อใดไร้อาภรณ์ปิดกาย ลี่ฉางมิทราบจะทำเช่นไรใจหนึ่งอยากร้องตะโกนหลบหนีกลับสู่ห้องนอนอันอบอุ่น ใจหนึ่งมันดื้อรั้นอยากลองก้าวเดินไปยังเส้นทางแห่งกฤษณาอันมืดดำ คล้ายมีเสียงกระซิบจากที่ไหนซักแห่งในหัวใจบอกให้ลองเหยียบย่างบนเส้นทางเส้นนั้นอาจจะพบปลายทางแสนหฤหรรษ์
หนึ่งดอกไม้แย้มกลีบเบ่งบานยามที่ถูกหยดน้ำกลิ้งกลอกโลมเล้าก็หุบกลีบหวั่นไหว น้ำเย็นยะเยือกค่อยๆซึมหายยังกลีบดอกไม้ มิทันได้ตัดสินใจสะโพกงามงอนก็ถูกช้อนขึ้นจนชิดกับริมโอษฐ์อันหยาบกระด้าง หนวดเคราของชายเถื่อนผู้นั้นทำให้เนื้ออ่อนถูกบาดระคายขึ้นสีแดง ลี่ฉางกรีดร้องครวญครางคราหนึ่งเมื่อเขาชำแรกลิ้นเย็นเฉียบมาในร่างกาย เด็กหนุ่มตาพร่าพรายมือหนึ่งผลักไสศีรษะคนผู้นั้นออกแต่มือหนึ่งกลับดึงรั้งไว้ด้วยใจอันสับสน
“ข..ขอข้าได้หรือไม่” ชายผู้นั้นกระซิบเสียงพร่า เด็กหนุ่มมึนงงในทีแรกแต่ก็ได้สตินึกรู้ทันทีที่ความอุ่นร้อนถูไถอยู่บนกลีบเบญจมาศราวกับเว้าวอนหวังจะเคล้าคลึงเกสร ลี่ฉางถอยกระถดตัวหนีออกจากอ้อมกอดหยาบโลนอย่างลนลาน คว้าเสื้อคลุมมาคลุมกาย หยาดน้ำตาพร่างพรูราวเม็ดมุกด้วยความหวาดกลัว
“อ..อย่า ฮึก..อย่าเข้ามา”
“ด..ได้โปรด ข..ข้าสัญญา ข้าจะรับผิดชอบ จะแต่งเจ้าเป็นเมีย ด..ได้โปรด” ลี่ฉางส่ายหน้าระรัว กำเนิดในหอคณิกาแล้วอย่างไร ได้ชื่อว่าเป็นคณิกาชายแล้วอย่างไร คณิกาชายเองก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน หากเขาถูกย่ำยีก่อนวันประมูลพรหมจรรย์..น...นี่นับว่า...นับว่าเป็นเรื่องอันบัดซบอย่างยิ่ง!
เด็กหนุ่มถลันตัวหนีออกจากถ้ำยามที่ชายแปลกหน้าผู้นั้นมิทันระวัง แต่กวางน้อยกลับมิสามารถหลีกพ้นบ่วงแร้วของนายพราน ข้อเท้ากลมกลึงถูกมือหยาบกระด้างดึงรั้ง ลี่ฉางสะท้านใจเฮือกหวั่นกลัวจะถูกย่ำยี แต่ชายผู้นั้นกลับทำเพียงซบใบหน้าลงที่ข้อเท้าเขาอย่างเงียบเชียบ โค้งศีรษะแนบชิดกับปลายเท้ายอมจำนนสิ้นทุกสิ่งอย่าง โลมจูบลงที่ข้อเท้าเขาอย่างอ้อนวอน ดวงตาหงส์หรี่ตามองบุรุษเถื่อนอย่างเวทนา แม้จะอายุสิบสองและยังติดนิสัยเด็กซุกซนอยู่บ้างแต่ลี่ฉางก็เป็นผู้สืบทอดหนึ่งเดียวของหอเหมยย่อมมิใช่คนโง่งมดังนั้นเห็นการแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์จึงพอคาดเดาฐานะของคนผู้นี้ได้บ้าง เมื่อเห็นคนผู้นี้มาถอดศักดิ์ศรีมาร้องขอจึงอดเวทนาสงสารไม่ได้
“ข..ข้าเป็นคณิกาชาย พรหมจรรย์ก่อนวันประมูลนับเป็นศักดิ์ศรีอันสำคัญท่านทราบเรื่องนี้หรือไม่” ลี่ฉางพยายามสงบนิ่งเยือกเย็นอย่างอาจารย์ แต่พยายามเพียงไรน้ำเสียงก็ยังมีร่องรอยสั่นเทาอย่างชัดเจน
“ข..ข้าทราบ”
“เช่นนั้น..”
“ข..ข้าให้สัญญา ม..มิล่วงเกินพรหมจรรย์ท่าน” ชายเถื่อนผู้นั้นกระซิบเสียงระโหย เหวินฉีลี่ฉางมิทราบจะทำเช่นไร ใจหนึ่งก็อยากสะบัดมือคู่นั้นทิ้งไป แต่ใจหนึ่งกลับอ่อนยวบเมื่อสบดวงตาเว้าวอน ท่ามกลางความเงียบเชียบแลเสียงหอบหายใจครู่หนึ่งเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดปลดชุดคลุมดำออกด้วยมือระริกสั่นราวดอกไม้ต้องวาตโหม
ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่มิอาจลืมเลือน สัมผัสของฝ่ามืออุ่นร้อนที่เคล้นคลึงไปทั่วเรือนร่าง จุมพิตที่ตระโบมโหมจูบทั่วกายบอบบาง บุปผาดอกหนึ่งสั่นไหวระริกยามที่ถูกเย้าหยอกคราแล้วคราเล่า ถูกหยาดน้ำรดรินจนชุ่มโชก บางคราสาดกระเซ็นเข้าสู่เกสรโดยมิตั้งใจ ลี่ฉางสะดุ้งทุกครายามรับรู้ถึงหยาดหยดอันระอุอุ่นซึมเข้าสู่กลีบอ่อนบาง ดอกไม้น้อยหุบกลีบอย่างรัญจวนอ่อนหวานน่ารักน่าใคร่ไปทั้งตัวจนถูกคนผู้นั้นจูบย้ำๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เม็ดทับทิมงามล้ำคู่หนึ่งถูกโลมเล้าเอาใจจนฉ่ำแฉะแดงก่ำเสียจนคล้ายสีโกเมนเอก ลี่ฉางทึกทักเอาว่าทราบถึงความรู้สึกของมารดายามให้นมแก่บุตรแจ่มกระจ่างแล้วพลันรู้สึกสำนึกบุญคุณแม่นมของเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น ความเจ็บปวดรัญจวนเช่นนี้ทำให้อยากร่ำไห้แลกรีดร้องครวญครางในคราเดียว อยากเอามือปิดกั้นยอดโกมุทคู่งามให้ห่างจากปากแสนร้ายนั่นเสียแต่ก็อยากยืดอกเสนอสนองให้อีกฝ่าย เด็กหนุ่มมิทราบว่าควรจะทำเช่นไรจึงได้แต่ปิดตาแลส่งเสียงครวญครางเบาหวิวผ่านปากจิ้มลิ้มน่ารัก
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ชายเถื่อนผู้นี้ยังมิคลายกำหนัดเสียที ลี่ฉางที่ถูกจับโก้งโค้งอย่างท่าในหนังสือพลันรู้สึกเหนื่อยอ่อนจนแทบสลบลงแต่มิอาจทำได้ หยาดน้ำถูกปลดปล่อยจนชุ่มโชกไปทั่วเรือนกายขาวเสียแล้ว ในที่สุดเด็กน้อยมิอาจทานทนไหวยอมรับความร้อนเร่าขนาดเขื่องเข้ามาภายในริมฝีปากอ่อนบางอย่างจำยอม
ใบหน้าอันแสนสุขยามที่คนแปลกหน้าปลดปล่อยทะลักทะลายอยู่ในปากเขาเป็นสิ่งที่ยากบรรยาย รังเกียจหรือชอบใจไม่อาจบอก เด็กหนุ่มได้แต่สำลักน้ำขาวขุ่นออกมาอย่างน่าสงสาร บางส่วนที่คายออกมาไม่ทันก็ถูกกลืนลงไปเสียแล้ว รสชาติอันแปลกประหลาดทำให้ใบหน้างามล้ำเหยเก ชายหนุ่มผู้นั้นส่งเสียงสรวลเบาๆโอบกอดร่างกายเล็กมาไว้บนตัก โลมลูบนวลเนื้ออ่อนบางคล้ายปลอบขวัญเด็ก
“พ..พอหรือยัง” ลี่ฉางเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม เกรงว่าหากไม่พอตัวเขาคงสลบไปเสียก่อน แม่ทัพเถื่อนผู้นั้นยิ้มจางๆจุมพิตตามร่างกายขาวผ่องที่มีร่องรอยรักกระซิบว่าพอแล้วทั้งที่มือยังโลมลูบอย่างเอาแต่ใจ
“ขอบคุณเจ้าอย่างยิ่ง ข้าติดหนี้น้ำใจของเจ้า” คนงามเชิดหน้าคราหนึ่งอย่างถือดี ร้องเฮอะตอบด้วยท่าทีหยิ่งยโส
“ข้าเพียงแต่เมตตาต่อสัตว์ผู้ตกยาก อ..อ๊ะ!” ชายหนุ่มจูบริมฝีปากแสนร้ายกาจอย่างหยอกล้อ ลี่ฉางหน้าแดงระเรื่อมองค้อนคนที่ทำให้ได้อายเสตาหลบมิกล้าสบตา สองร่างอันเปลือยเปล่าพัวพันกอดรัดกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
สังเกตท้องฟ้าเมื่อใกล้ยามอิ๋น[11]ลี่ฉางรีบหยิบชุดมาสวมใส่อย่างลวกๆ เรือนกายที่เปรื้อนเปรอะด้วยน้ำกามทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดงซ่านหลบตาผู้ที่จ้องมองมาอย่างร้อนแรง รีบรวบเส้นผมที่สยายหลุดลุ่ยให้เข้าที่ คว้าชุดคลุมสีดำที่เป็นผ้ารองทั้งสองร่างยามกอดรัดพัวพันขึ้นมาจะสวมแต่เมื่อมองสภาพอันยับเยินจึงได้แต่ถอนใจและทิ้งมันลงเสีย เด็กหนุ่มหมุนกายจะวิ่งกลับคืนหอเหมยแต่ถูกมือหยาบกระด้างอันคุ้นเคยรั้งไว้อีกคราเสียก่อน
“ข้าขอทราบนามเจ้าได้หรือไม่” ลี่ฉางเชิดหน้าขึ้นตอบอย่างทันท่วงที
“ไม่..ท่านคิดว่าคืนนี้เป็นเพียงฝันหนึ่งตื่นเสียเถิด เราสองมิเคยพบปะ อย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจ”
"จะอย่างไรเจ้าก็เสียหาย ให้ข้าได้รับผิดชอบเจ้าเถิด" มือเขารั้งกอดไว้ ดวงตาคมกริบในยามนี้ทอประกายอ่อนหวานราวกับมธุรสแรกคิมหันต์ทำให้เด็กหนุ่มอดใจสั่นสะท้านมิได้ ถึงอย่างนั้นความถือดีแลเจ้าทิฐิที่มีอยู่เต็มเปี่ยมก็ยิ่งทำให้ลำคอระหงเชิดสูงขึ้นชายตามองอีกฝ่ายเพียงหางตา
"ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรทั้งนั้น ท่านได้ยินที่ข้าพูดไม่ชัดพอหรือ นับแต่นี้ท่านกับข้าไม่เคยพบปะกันมาก่อน หากพบหน้าก็อย่าเข้ามาทักทาย มองผ่านคิดว่าข้าเป็นสายลมสายหนึ่งไปเสียก็ได้ หากยังมาวอแวข้าจะเล่นงานท่านให้หนักเลยคอยดู!" ลี่ฉางเม้มปากแน่นเอ่ยคำขู่ออกไปด้วยใบหน้าขึงขังแต่มิได้ทำให้อีกฝ่ายมีท่าทีสำนึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย
“เจ้ามิอยากบอกก็มิเป็นไร แต่ข้ามีนามว่าหลงจิ่นสือ หากเปลี่ยนใจให้นำหยกนี้ไปมอบแก่โรงฝึกขององค์ชายเจ็ดอยู่ห่างจากที่นี่ไปสองช่วงถนน ข้าพำนักอยู่ที่นั่น” ลี่ฉางมิตอบความ ชายตามองหยกนั้นคราหนึ่ง ในใจรู้สึกสั่นไหวขึ้นมา แม้จะบอกว่าเป็นเพียงฝันลางเลือนแต่ใจเขาจะลืมมันได้อย่างหมดจดจริงหรือ มืองามถูกยัดเยียดหยกไว้ในมือ ริมฝีปากสีจางเม้มเข้าหากันคล้ายตัดสินใจ สุดท้ายก็รับหยกไว้สะบัดชายเสื้อเดินจากไปไม่หวนกลับ
เชิงอรรถ
[1] มุสิก - หนู
[2] ซุนจื่อปิงฝ่า [孫子兵法] - เป็นตำรายุทธศาสตร์การทหารหรือตำราพิชัยสงครามของจีน ซึ่งถูกเขียนขึ้นเมื่อราวหกร้อยปีก่อนคริสตกาลโดยซุนวู นักยุทธศาสตร์คนสำคัญในยุคจ้านกว๋อ เนื้อหาในตำราพิชัยสงครามฉบับนี้มี 13 บท แต่ละบทเน้นถึงแต่ละแง่มุมของการสงคราม
[3] อิงเถา - เชอรี่
[4] ยามเซิน - เวลา 15.00-16.59 นาฬิกา
[5] ยามอิ่ว - เวลา 17.00 - 18.59 นาฬิกา
[6] ฉื่อ[尺] - หน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ ในแต่ละยุคสมัยถูกกำหนดไว้แตกต่างกัน ในยุคปัจจุบัน 1 ฉื่อ ยาวประมาณ 33 เซนติเมตร แต่โบราณ 1 ฉื่อ มีค่าประมาณ 23 เซนติเมตร โดย 1 ฉื่อสามารถแยกย่อยเป็น 10 ชุ่น [寸] , ความสูงของเหวินฉีลี่ฉางในตอนนี้อยู่ที่ เจ็ดฉื่อ หรือก็คือ 160 เซนติเมตร
[7] อาเตีย - บิดา
[8] อาเหนียง - มารดา
[9] โส่วซุ่ย - ในคืนก่อนวันตรุษจีน ทุกบ้านจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ตลอดทั้งคืนนี้ก็จะไม่หลับไม่นอน ลักษณะแบบนี้ชาวจีนเรียกว่า “โส่วซุ่ย” ทั้งนี้ สมาชิกในบ้านจะไม่ได้นั่งรอคอยเวลากันเฉยๆ แต่มีกิจกรรมร่วมกันมากมาย
[10] กู่ฉิน - พิณจีนโบราณชนิดหนึ่ง มี 7 สายไม่ทราบยุคที่ปรากฏแน่ชัดแต่พบในจารึกกระดองเต่ายุคราชวงศ์โจวมีการกล่าวถึงแล้ว
[11] ฟุเหริน[夫人] - ภรรยา
[12] เฉ่าฮวา - ดอกหญ้า
ทักทายนักอ่าน
ความจริงแล้วตอนนี้เป็นตอนพิเศษปีใหม่ แต่มาลงตอนนี้ก็ยังทันเนอะ 555555 นานๆที่หวงช่างของเราจะโผล่มา เมื่อมีเงินจ่ายค่าตัวหวงช่างแล้วต้องใช้ให้คุ้ม ตอนหน้าหวงช่างก็จะโผล่มาอีกนะคะ คราวนี้โผล่ถาวรไม่ผลุบๆโผล่ๆเพราะว่าตอนนี้สถานะทางการเงินดีมีตังค์จ่ายค่าตัวเต็มเม็ดเต็มหน่วย 5555555 ขอแจ้งข่าวด้วยว่าตอนนี้นิยายหมดสต็อกเรียบร้อยแล้วค่า T____T ดังนั้นสปีดการอัพก็กลับมาเป็นเต่าคลานดั่งเดิม กำหนดการอัพของเราคือวันศุกร์ เสาร์ หรืออาทิตย์วันใดวันหนึ่งนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ ทุกคอมเม้นท์ ทุกการติดตามนะคะ อ่านคอมเม้นท์ทีไรมีแรงปั่นตอนใหม่ทุกทีเลย ^^
-
ชะอะ! อาเตียของลี่ฉางที่แท้คือฮ่องเต้หรอคะ!?
(หรือมีบอกไว้ก่อนหน้านี้แต่เราอ่านข้ามไปหว่า?)
แหมๆ จิ่นสือ นี่ท่านกินน้องตัวเองสินะท่าน... (แต่สายเลือดไม่เกี่ยวกันก็ไม่เป็นไรหรอก เนอะ)
แถมยังกินมาตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้วด้วย!!!
สามคนพ่อแม่ลูก แลดูเป็นชีวิตครอบครัวที่หวานนิดๆภายใต้รสชาติขมเฝื่อน
พี่จื่อหรงนี่ดูรันทดนะ5555 น้องสวยเกินไปทำคุณพี่เลี้ยงหวั่นไหวจนต้องแอบไปช่วยตัวเองเลยหรอเนี่ย แหมๆ
-
อิโรติกแต่เล็กแต่น้อยเลย :-[
-
กรี๊ด เขิน :ling1:
รอตอนต่อไปนะคะ
-
โอวววว เป็นอดีตรักฝังใจกันมาก่อนนี่เอง แต่แล้วทำไม ตอนหลังมาผิดใจกันได้นะ ถึงต้องถูกขังไว้ และทรมานแทบแย่ ในช่วงแรกที่อยู่ด้วยกัน ต้องติดตามๆ
-
อ้าว งี้จิ่นสือฆ่าอาเตียของลี่ฉางอะสิ :a5:
-
รอตอนต่อไปครับ
-
ไม่แปลกใจที่หลี่ฉางปฏิเสธจิ่นสือตลอดมา แหมมม ช่วยแบบนั้นมันก็กระไรๆ อยู่ แต่แบบ....แซ่บเว่อร์ บรรยายออกมาให้เราจินตนาการความอีโรติกไกลมากอ่ะ เซอร์ไพรสมากที่อาเตียนางคือฮ่องเต้ โม้เม้นครอบครัวสุขสันต์ยามอยู่กันสามคนนี่คืออบอุ่นมากๆ เลบเข้าใจเลยว่าทำไมหลี่ฉางถึงเสียใจมากแค่ไหนตอนที่ท่านเหมยไม่ยอมรับนาง รออ่านตอนต่อไปค่ะ สนุกมากๆ
-
ชอบเวลาหวงตี้องค์ก่อน ท่านเหมย กับน้องหนูลี่ฉางอยู่ด้วยกัน รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในใจ แต่แอบตกใจนิดๆไม่คิดว่าน้องหนูกับเจอกับจิ่นสือในสถานการณ์แบบนั้น55555555555555555แหม่แอบออกไปนั่งอ่านหนังสือปกขาวอยู่ดีๆเป็นไงละเจอกับตัวเลย ปากบอกเขาว่าลืมๆเรื่องวันนี้ไปซะ แต่ใจนี่แอบปันให้เขาแบบไม่รู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแน่น๊อนนนนนนคนปากแข็ง จิ่นสือเขาก็รักของเขามานานเนอะไปทำไงให้ตอนหลังน้องเกลียดขี้หน้าได้ล่ะเอ้อ ;A;
เป็นตอนพิเศษที่เข้ากับอากาศเย็นๆสุดสัปดาห์จริงๆ*-*
-
ตอนที่เจอกันครั้งแรกนี่ทำให้คิดว่าต่อไปคงแสนหวานแน่ๆ แต่ๆๆๆๆเรื่องหลักลับไม่เป็นเช่นนั้น :katai1:
-
ตอนที่ ๙ คนผู้มิอาจไม่ชิงชัง
ล่วงเข้าสู่ชิงหมิง อากาศสดใสอาทิตย์ฉายแสงอบอุ่นสายลมพัดม่านคลุมพลิ้วไหวเผยให้เห็นว่าวน้อยลอยเกลื่อนฟ้า เสียงของกลุ่มเด็กน้อยดังอยู่ไม่ไกลกำลังสนุกสนานเพลิดเพลินกันยิ่งนัก ข้าเอนกายอยู่บนรถม้าเฝ้ามองว่าวสีสันงามตระการลอยละล่องอยู่บนนภา ใบหลิวเอนไหวสายป่านต้องลมแรงขาดสะบัดว่าวน้อยขาดลอย ถอดทอนหายใจคราหนึ่ง...วันหนึ่งอยู่บนจุดสูงสุดทอดสายตามองคนทั่วหล้าในชั่วพริบตากลับร่วงลงแทบธรณีกลายเป็นเศษซาก ที่แท้ชีวิตคนเรามีอันใดแตกต่างกับว่าวเหล่านี้
ผ่านเขตถนนเมฆมังกรอันครึกครื้นเข้าสู่ถนนหลวงที่เงียบสงบ อาณาเขตของเคหาสน์ผู้ดีที่โออ่าอลังการโดยส่วนมากมักเป็นบ้านของเหล่าพระประยูรญาติ ต้นไม้ตัดแต่งงดงามบุปผาผลิบานสะพรั่งเฉิดฉาย ประตูวังหลวงอยู่ไม่ไกลกำแพงใหญ่กางกั้นราวกับไท่ซานบรรพต[1] รถม้าของจวนสกุลหลี่หยุดลงอย่างนิ่มนวล ข้าจับหน้ากากเงินอีกครั้งเมื่อมั่นใจแล้วว่ายังอยู่ดีมิเลื่อนหลุดไปไหนจึงลุกขึ้นเปิดม่านรถม้า บุรุษผู้สวมชุดขุนนางบู๊ลายพยัคฆ์องอาจน่าเกรงขามยืนรออยู่อย่างสงบนิ่งคนผู้นี้ย่อมต้องเป็นหลี่ฮุ่ยเหอ กงกงจากตำหนักหลวงยืนคอยอยู่ไม่ไกล ข้าจัดชุดขาวสะอาดปักลายเหมยฮวาสีขาวพิสุทธิ์ที่ท่านเหมยเป็นผู้มอบให้ ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยสีขาวราวหิมะตอนพิศดูในกระจกรู้สึกว่าดูเยือกเย็นงามสง่าขึ้นมาหลายส่วน นี่เรียกว่าอาภรณ์ส่งเสริมชนโดยแท้
กงกงหนุ่มเหล่านั้นรู้งานดีอย่างยิ่ง พวกเขาคำนับฮุ่ยเหอแลข้าด้วยท่วงท่าพอเหมาะพอเจาะมิดูประจบประแจงเกินไปแต่ก็มิแข็งกระด้างเกินไปเจรจาปราศรัยพอเป็นมารยาทแล้วจึงเดินนำไปยังตำหนักหลวง ข้าและแม่ทัพหลี่สบตากันคราหนึ่งเดินตามหลังกงกงไปอย่างเงียบเชียบ ในใจข้านั้นทราบดีว่าฮุ่ยเหอยังคงเหลือคลางแคลงในตัวข้าอยู่บ้าง แต่อย่างไรเขาก็สนับสนุนข้าโดยไม่บิดพลิ้วเมื่อได้รับคำยืนยันจากท่านเหมย
ในคราแรกหลังจากบอกแผนการแก่เขาฮุ่ยเหอนิ่งสงัดไปครู่ใหญ่พลันถอนหายใจออกมาอย่างสับสนตกปากรับคำทำตามแผนข้า ตอนนั้นข้าซาบซึ้งต่อน้ำใจเขาอย่างยิ่ง ทั้งที่ทราบดีว่าต่อจากนี้สกุลหลี่จักถูกนำมาพัวพันในวังวนอันยุ่งเหยิงกระนั้นก็สนับสนุนข้าด้วยใจจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าในมือข้ากำชะตาของสกุลหลี่เอาไว้ ยามรุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์ด้วยกันยามเป็นตายก็เป็นตายด้วยกันจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้โดยเด็ดขาดมิเช่นนั้นมิใช่เพียงตัวข้าที่เดือดร้อนแต่จักเป็นสกุลหลี่ทั้งสกุล
คิดถึงตรงนี้ก็อดจะนึกถึงคุณชายรองผู้นั้นมิได้ ในตอนที่ต้องจากลาเขาเพียงยิ้มน้อยๆเอ่ยคำอวยพรด้วยท่าทีสงบสำรวม แต่สายตาตัดพ้อของฮุ่ยเหอทำให้ข้าละอายใจอย่างยิ่ง เขามอบไมตรีให้ข้าด้วยความจริงใจเป็นมิตรแท้ที่สวรรค์ชักพามาให้ยามตกยาก สวนไผ่และเรือนเล็กของเขาเป็นดั่งแดนสวรรค์อันสุขสงบทำให้จิตใจอันทุกข์ตรมผ่อนคลาย แต่ข้ากลับเป็นผู้ชักนำเรื่องยุ่งยากสู่สกุลหลี่..ต่อจากนี้ไม่ทราบเมื่อใดจะได้พบกับเขาอีกครา
ส่วนเจ้าดำน้อยนั้นชาญฉลาดยิ่งนัก ราวกับมันจะรู้ว่าข้าต้องจากไกลจึงคอยคลอเคลียวนเวียนอยู่รอบตัวข้าตั้งแต่ในวันแรกที่กลับจากหมื่นวสันต์ เด็กน้อยตัวนี้กระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุขกินไม่ได้นอนไม่หลับจ้องมองดูข้าตลอดวันตลอดคืน ข้าลูบหัวมันคราหนึ่งรักและอาลัยอย่างยิ่งแต่จักให้ติดตามไปในวังหลวงได้อย่างไร แม้แต่ในยามจากลามันก็ยังดื้อดึงอย่างยิ่ง ข้าลอบนำยาสลบใส่ในชามอาหารระวังให้เจือจางที่สุดเพื่อไม่ให้เจ้าสุนัขฉลาดตัวนี้จับได้ ที่ไหนได้มันกลับเมินชามอาหารมาติดตามข้าต้อยๆไม่ยอมห่าง ข้าถอนหายใจคราหนึ่งจะล่อลวงอย่างไรก็ไม่ยอมกิน จนต้องเอ่ยปากสั่งมันถึงได้ร้องครางประท้วงอย่างน่าสงสารถึงอย่างนั้นก็ยอมเดินโซเซไปกินอาหาร เพียงชั่วหนึ่งก้านธูปเผาสุนัขน้อยก็หลับใหล สายตาตัดพ้อของมันจะลืมได้อย่างไร ข้าจุมพิตที่ศีรษะเล็กๆนั้นคราหนึ่งสะบัดชายชุดขาวขึ้นรถม้าจากมา เก็บวันคืนในสวนไผ่นั้นไว้ใจความทรงจำ ถึงเวลาต้องทดแทนบุญคุณสกุลหลี่ให้จงได้
ในยามนี้ทุกก้าวเดินจึงล้วนแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมันตั้งใจมิอาจถอยกลับไปได้อีกแล้ว.. ข้าแหงนพักตร์มองตำหนักอันประณีตงดงามที่คุ้นเคยหยุดคิดเรื่องยุ่งยากใจ สูดลมหายใจคราหนึ่งเดินตามก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดหินอย่างเยียบเย็น ภายในตำหนักมังกรเหินยังคงเดิมไม่มีที่ไหนแปรเปลี่ยนนับระยะเวลาที่ข้าจากไปยังไม่ทันสองมาสเลยกระมัง
หนึ่งก้าวย่างเหยียบ..หนึ่งความทรงจำปรากฏ บนตำหนักล้วนแต่มีภาพความทรงจำมากมายทั้งขื่นขมแลอบอุ่นอ่อนหวาน เหล่าขันทีน้อยที่กำลังปัดกวาดบันไดคำนับกายอย่างน่ารักเรียบร้อย เด็กเหล่านั้นล้วนดูคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมาก รอยยิ้มไร้เดียงสาและเสียงเสนาะราวนกน้อยของพวกเขาทำให้วันคืนในตำหนักแห่งนี้สดชื่นยิ่งนัก ที่ระเบียงยังคงมีตั่งไม้ตัวหนึ่งที่ข้ามักชอบมานั่งมองพวกเขาหยอกล้อเล่นกันและหวนคิดถึงตอนยังเล็กที่เป็นมารน้อยซุกซนไปทั่ว ในตอนนั้นวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้าน่าเบื่อสุดจะพรรณนาเสียจนต้องลุกมาวาดภาพให้เด็กน้อยในตำหนักรอบหนึ่ง ยามวาดจนครบทุกคนก็ยังไม่คลายความรู้สึกเบื่อหน่ายจึงลงมือวาดอีกรอบ ข้าคลี่ยิ้มให้เหล่าขันทีที่คุ้นหน้าคุ้นตา หากบอกว่าหมื่นวสันต์คือบ้านเกิด ที่นี่ก็เป็นเรือนนอนที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
ผ่านเข้ามาในห้องโถงกว้างมองตั่งหยกที่ข้าเคยนั่งเคียงข้างเขา โต๊ะน้ำชามุกหรูหราเคยเป็นที่นั่งดื่มชาทอดอารมณ์ยามเบื่อหน่าย รูปวาดมังกรล้อเมฆสำราญที่ประดับอยู่ด้านข้าง ลายอักษรมังกรหงส์อันอ่อนช้อยงดงามเขียนเป็นคำมงคล กลิ่นกำยานหอมที่ปรุงแต่งจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของตำหนักมังกรเหินเหล่านี้ล้วนแต่เป็นฝีมือข้าทั้งสิ้น เหม่อมองสิ่งของเหล่านั้นคิดถึงแววตาอบอุ่นแลรอยยิ้มอ่อนโยนหัวใจข้าก็สั่นสะท้านถึงเพียงนี้ แค่คิดว่าต้องพบเจอใบหน้าของเขา..ข้าไม่อาจทราบได้เลยว่าหทัยดวงนี้จะทานทนได้เพียงไหน
“ท่านหมอ” ข้าออกจากภวังค์ความคิดรักษาท่าทีสุภาพเยือกเย็นหันไปมองฮุ่ยเหอแลกงกงที่หยุดรออยู่แล้วคลี่ยิ้มจางๆคราหนึ่ง ดวงตาเขาดูห่วงใยคล้ายจะไต่ถามที่เห็นข้าชะงักฝีเท้า
“ขออภัย ข้ามิเคยพบความโอ่อ่าอลังการเช่นนี้จึงแสดงท่าทีน่าละอายเสียแล้ว” ฮุ่ยเหอพยักหน้าคราหนึ่งรั้งฝีเท้ารอคอยจนกระทั่งกงกงพวกนั้นเดินห่างไปหลายจ้าง[2]
“ไหวหรือไม่” คำถามดังเพียงเสียงกระซิบนี้ทำให้ข้าคลี่ยิ้มอ่อนจางพยักหน้าแทนคำตอบ ฝีเท้าของเหล่ากงกงหยุดลงที่หน้าประตูอันคุ้นเคยอย่างยิ่ง ข้าแลฮุ่ยเหอสบตากันคราหนึ่งสลัดทิ้งซึ่งความหวั่นไหวในจิตใจรักษาท่าทีให้สุขุมสำรวม ก้าวผ่านประตูนี้ไปก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขอีกแล้ว
“คุณชายลี่ฉางกำลังนิทรา ขอพวกท่านระมัดระวังด้วย” กงกงหนุ่มกระซิบบอก ข้าทอดสายตามองประตูห้องนอนที่เห็นจนชินชาเพ่งมองราวกับจะฉีกกระชากมันลงให้กลายเป็นเศษซาก วาดยิ้มขึ้นที่มุมปากเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดินมองบานประตูที่ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวังทั้งที่มือเย็นเฉียบแลระริกสั่นราวถูกแช่ไว้ในหิมะ
ห้องบรรทมอันกว้างใหญ่ที่เคยคุ้นปรากฏกลิ่นหอมหนึ่งกำจายอ่อนต้องนาสิก บนเตียงมังกรถูกบดบังด้วยม่านมุกขาว แผ่นหลังอันลางเลือนของเขาข้ายังจดจำได้ ความรู้สึกโหยหาล้นปริ่มอยู่ในอกเฝ้ามองเงาอันอบอุ่นของเขาจนอัสสุชลคลอคลอง แม่ทัพหลี่ลอบมองข้าคราหนึ่งจับเบาๆที่ชายเสื้อเพื่อดึงสติแล้วจึงคุกเข่าลงห่างจากเตียงอยู่หลายฉื่อข้าเองก็ปฏิบัติตามคุกเข่าลงก้มหน้าซ่อนแววตาที่ระริกไหวไม่อาจปิดบังน้ำตาหล่นลงบนหลังมือเม็ดหนึ่ง เป็นน้ำตาแห่งความคะนึงหาอยู่ทุกเชื่อวัน อาการปวดแปล็บในอกทำให้ต้องสูดลมหายใจลึกๆคราหนึ่งระงับความปั่นป่วนให้สงบลง
“กระหม่อมหลี่ฮุ่ยเหอถวายพระพรฝ่าบาท” เสียงราวกับกระซิบของฮุ่ยเหอทำให้ม่านมุกนับร้อยสายสั่นไหว เงาร่างของบุรุษผู้นั้นชัดเจนขึ้นทีละน้อย ท่าทีองอาจเข้มแข็งแลใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนานยิ่งทำให้ต้องก้มหน้างุดราวมุสิก ข้าไม่อาจทนมองใบหน้าเขาได้นานไม่เช่นนั้นความโหยหาอย่างบ้าคลั่งที่บังเกิดขึ้นในอกนี้อาจทำให้ต้องเสียการ
“มาแล้วหรือแม่ทัพหลี่” น้ำเสียงเขาฟังดูสุขุมห่างเหิน ในกาลก่อนเขาเรียกแม่ทัพหลี่ว่าพี่สี่ยามอยู่ต่อหน้าข้า ปฏิบัติต่อกันอย่างพี่ชายน้องชายที่รักใคร่สนิทสนมภาพเช่นนั้นมีเพียงเหวินฉีลี่ฉางที่ได้เห็น มิคาดเลยว่าวันหนึ่งกลับต้องกลายมาเป็นคนนอก ข้าพลันหลับตาลงกลืนความขมขื่นที่แล่นมายังนัยน์ตาเก็บกลืนไว้ให้ลึกที่สุด เป็นเช่นนี้ล้วนถูกต้องแล้วเขาจะปฏิบัติต่อข้าซึ่งเป็นเพียงหมอแปลกหน้าผู้หนึ่งไม่เคยสนทนาปราศรัยกันแม้แต่ครึ่งคำ
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท วันนี้กระหม่อมพาท่านหมอเทวดาที่ฝ่าบาทปรารถนาจะพบมาด้วย” สิ้นคำแนะนำของฮุ่ยเหอพลันดวงตาคมกริบคู่นั้นก็เลื่อนมามองข้าอย่างพิจารณา แม้จะก้มหน้าหลบตายังคงรู้สึกได้สึกดวงตาคู่นั้นอย่างชัดเจน ข้าสูดลมหายใจเข้าในอกฝืนคลี่ยิ้มเยือกเย็นคำนับเบื้องหน้าเขาอย่างนอบน้อม
“กระหม่อมจิ่วเมิ่งหมอผู้ต่ำต้อยขอถวายพระพรฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี” คำพูดพิธีรีตองเช่นนี้ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งจะได้เอ่ยมันออกมา ข้าแค่นยิ้มในอกสายตาของเขายังไม่ละไปราวกับจะจ้องให้ทะลุหน้ากากเงินที่ปิดบังอยู่ ข้าอาจหาญมองสบตาเขาพิศดูนัยน์ตาสีนิลกาฬลึกล้ำคู่นั้น ความรู้สึกมากมายเอ่อท้นจนเกือบเผลอหลุดปากเอ่ยนามเขาเช่นกาลก่อน โชคดีที่เสียงขยับตัวของคนบนเตียงทำให้จิ่นสือมุ่นคิ้วคราหนึ่งหันไปมองผู้หลับใหลหลังม่านมุกอย่างห่วงหาอาทร ข้าเฝ้ามองแววตาเช่นนั้นรู้สึกหวงแหน ในอกตีร้อนรุ่มจนอยากฉีกกระชากคนบนบรรจถรณ์ให้ขาดวิ่นในมือคู่นี้
“ลุกขึ้นเถิด” เขาเอ่ยอนุญาตเสียงเบา ท่าทางระมัดระวังไม่ให้ร่างงามใต้ม่านมุกนั้นตื่นขึ้น ข้าแค่นหัวเราะอยู่ในอกตอบเขาด้วยความสุภาพนุ่มนวล
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“ท่านหมออย่าได้มากพิธีรีตองเลย แม่ทัพหลี่บอกเราว่าท่านมีฝีมือรักษาเก่งกาจเลิศล้ำ เรื่องที่ท่านจำเป็นต้องสวมหน้ากากนั้นเราให้อนุญาต ขอเพียงแต่ต้องรักษาคนผู้นี้ให้หายเรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ เราพูดเช่นนี้ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่” ข้าพลันคลี่ยิ้มขื่นขม คำว่า‘เรา’นี้ฟังดูห่างเหินอย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยถือพิธีรีตองกับข้าทุกกฎเกณฑ์ล้วนแต่ไร้ความหมายไม่อยู่ในสายตา มาบัดนี้เมื่อฟังคำว่า ‘เรา’ ในอกรู้สึกปวดแปลบจนไม่อาจทานทน
“ขอฝ่าบาทอย่าทรงกังวล กระหม่อมจะรักษาคนสำคัญผู้นี้เป็นอย่างดี” ข้าฝืนคลี่ยิ้มเยือกเย็นแผ่นหลังตั้งตรงอย่างทระนงเฝ้ามองเขาที่พยักหน้าพึงพอใจ จิ่นสือเลิกม่านมุกเผยให้เห็นร่างกายอันงดงามที่จมอยู่ในนิทรารมย์ ใบหน้าเลิศล้ำที่เคยพบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันปรากฏแก่สายตา ข้าจิกนิ้วลงบนฝ่ามืออย่างอดกลั้นมองร่างสูงใหญ่ทรุดลงนั่งข้างคนที่หลับใหล ไต่ถามอาการตามหน้าที่หมอ
“ไม่ทราบอาการของคุณชายเป็นเช่นไรหรือพะย่ะค่ะ”
“เขาไม่พูดจากับใคร มีท่าทางหวาดกลัวผู้อื่น ท่าทางแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงไม่คล้ายเหวินฉีลี่ฉางที่ข้ารู้จัก” ข้าพยักหน้าคราหนึ่ง มองนิ้วแกร่งกระด้างเพราะจับดาบลงสู่สมรภูมิตัั้งแต่ยังเล็กไล้ตามใบหน้างดงามราวกับทะนุถนอมหยกล้ำค่า ดวงตาของเขามิได้เย็นชาห่างเหินแต่กลับกลายเป็นแววตาอ่อนโยนที่ข้าเคยพบเห็นจนชินตา ตอนนี้ทำได้เพียงจ้องมองสัมผัสแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความรัก น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งหล่นลงมาโชคดีที่มีหน้ากากกั้นไม่เช่นนั้นคงเป็นที่น่าสงสัย ความแสบร้อนที่ปลายจมูกทำให้เผลอย่นคิ้วไปหลายครา
“เช่นนั้นกระหม่อมขอบังอาจทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จออกไปรอด้านนอก กระหม่อมจะได้ตรวจดูอาการของคุณชายอย่างถี่ถ้วน” นิ้วแกร่งกร้านคู่นั้นหยุดชะงัดลงที่ข้างแก้มนวล ใบหน้าเขาพลันเคร่งเครียดดูคล้ายไม่วางใจข้าอยู่หลายส่วนแม้จะซ่อนไว้ใต้ใบหน้าเยือกเย็นอย่างมิดชิดแต่คนที่ร่วมหมอนกับเขามีหรือจะไม่ทราบได้
“ทำไมเราต้องทำตามที่เจ้าบอก”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมจำเป็นต้องวินิจฉัยอาการของของคุณชายให้ประจักษ์ชัดจึงจะรักษาได้อย่างแม่นยำ กระหม่อมกังวลหากฝ่าบาทประทับอยู่ด้วยอาจทำให้การวินิจฉัยคาดเคลื่อนได้”
“ฝ่าบาททำตามที่ท่านหมอบอกดีกว่าพะย่ะค่ะ ”แม่ทัพหลี่ที่อยู่ด้านข้างรีบออกหน้าช่วยเหลือ
"ดูแลเขาให้ดี" จิ่นสือมองข้าอย่างเยียบเย็นครู่หนึ่งเอ่ยประโยคนี้เสร็จสิ้นแล้วจึงหันไปมองใบหน้าที่หลับพริ้มก้มลงจรดจูบเบาๆที่หน้าผากงามอย่างห้่วงใยแล้วจึงหมุนกายออกจากห้องไป ข้ารอจนเสียงประตูปิดลงมือที่กำแน่นหากันจึงได้คลายออก หรี่ตามองร่างกายของตนผ่านม่านมุกขาวกระตุกยิ้มชิงชังคราหนึ่ง
ใยมันจึงได้หลับสนิทอย่างเป็นสุข ในขณะที่ข้าต้องฝันร้ายทุกวันทุกคืน!
“พี่จื่อหรง” ทันทีที่สิ้นเสียงกระซิบของข้า บุรุษในชุดดำก็เผยตัวออกจากเงาอย่างเงียบเชียบ เขาติดตามข้ามาตั้งแต่วันที่กลับจากหมื่นวสันต์ บุรุษผู้นี้ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนม็หลับพักผ่อนเฝ้าดูแลข้าอยู่ไม่ห่าง จนต้องบอกให้เขาเพลาความขยันนี้ลงบ้างถึงได้ยินยอมไปพักผ่อน ข้าทราบดีว่าเขาห่วงใยข้าไม่แพ้ท่านเหมย เราทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ในตอนเด็กมีเขาปกป้องคุ้มครองข้ายังต้องกลัวสิ่งใดอีกเมื่อยอดยุทธของตำหนักหมื่นวสันต์แลแผ่นดินคือพี่เลี้ยงของข้าผู้นี้ ข้าเพียงสบตาเขาคราหนึ่งต่างรู้ความนัยกันทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยแม้ซักครึ่งคำ
“ที่นี่ไม่มีองครักษ์เงาแล้ว” ข้าคลี่ยิ้มจางๆ องครักษ์เงาล้วนมาจากตำหนักหมื่นวสันต์ นอกจากจิ่นสือที่ควบคุมเขาได้ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่สามารถสั่งการพวกเขานั้นง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ได้ท่านเหมยมาหนุนหลังข้ายังจะต้องกังวลเรื่องใดอีก สบตากับพี่จื่อหรงอีกคราร่างสูงใหญ่ของเขาก็เลี่ยงหลบไปเงามืด
ข้าหย่อนตัวลงนั่งข้างเตียงกว้าง หรี่ตามองคนที่หลับอย่างเป็นสุขด้วยแววตารังเกียจ ใบหน้าของข้า ร่างกายของข้า ความรักของข้า...มันกล้าดีอย่างไรจึงมาแย่งชิงจากมือของข้าไป ข้าพิศดูร่างกายตนเอง กลิ่นหอมสายหนึ่งกำจายอ่อนจากร่างนี้ ความงามอันเป็นเลิศก่อเกิดความรู้สึกหวงแหนมากล้นในอก ใช้นิ้วมือกระด้างดำของร่างนี้ลากไล้ตามผิวอ่อนนุ่มของตนอย่างระมัดระวังสำรวจความเปลี่ยนแปลงของร่างตน เฝ้ารอกระทั่งแพขนตายาวกระพริบขึ้นลง ดวงตาหงส์คู่นั้นลืมขึ้นอย่างงัวเงีย
"อ๊ะ!" ใบหน้าตื่นตระหนกลนลานอย่างกระต่ายน้อยตื่นผู้คนทำให้ข้าเหยียดยิ้มคราหนึ่ง มันกระถดร่างถอยห่างอย่างขลาดกลัวขณะที่เหวินฉีลี่ฉางมีหรือจะทำตัวอ่อนแอเช่นนี้ แม้เวลาที่ข้าจนตรอกยังไม่ยอมเผยความหวาดหวั่นให้จิ่นสือได้เห็นสักคราประสาอะไรกับผู้อื่น เจ้าขโมยนี่จะถูกท่านเหมยสงสัยก็ไม่แปลกนักดอก แค่ยิ้มมองทะลุร่างนี้อย่างชิงชัง มือที่ลูบอยู่ยังข้อมือบางพลันจับแน่นขึ้นจนขึ้นรอยแดงจางๆ
“คุณชายท่านตกใจสิ่งใดกัน อย่าเพิ่งตกใจให้มากไปนักเลย ยังมีอีกหลายอย่างที่เปิดหูเปิดตาท่านมากกว่านี้” ข้าคลี่ยิ้มเย็นมองคนที่ดิ้นรนถอยร่างเข้าสู่มุมเตียง มือเลื่อนไปที่เยียบเย็นปลดหน้ากากเงินออกเผยโฉมหน้าอัปลักษณ์สังเกตท่าทีของคนในร่าง มองดวงตาหงส์ตื่นตระหนก ข้ารู้ได้ทันทีท่าท่างตกใจเช่นนี้ไม่ใช่ตกใจที่เห็นใบหน้าอัปลักษ์ แต่เป็นการตกใจที่มากเกินกว่านั้น...ข้ากระตุกยิ้มประจักษ์ในใจแล้วว่าคนตรงหน้าคือผู้ใด
“ทำไมถึงตกใจเล่า นี่มันร่างเจ้ามิใช่หรือ หืม จะถอยหนีข้าไปทำไมกัน” ข้าเอ่ยวาจาเยือกเย็นรุกคืบเข้าไปดวงตาจับจ้องมองร่างกายตัวเองอย่างแข็งกร้าว เจ้าขอทานนั่นริมฝีปากสั่นระริก ท่าทางลนลานหวาดกลัวคล้ายจะเสียสติ ทำท่าทางเช่นนี้ในร่างกายข้ายิ่งรู้สึกชวนสมเพช
“ท...ทำไม ม..ไม่จริง..ฮึก..ม..ไม่” ท่าทางราวเด็กขวัญเสียทำให้ข้าหัวเราะเยียบเย็นคราหนึ่ง มือค่อยยื่นไปลูบไล้ที่ใบหน้างามเลิศของตัวเองแผ่วเบา ท่าทางน่าสงสารชวนทะนุถนอมปกป้องเช่นนี้ทำให้หัวใจคนทั่วหล้าไหวหวั่นแต่ไม่ใช่กับข้าแน่นอน!
“ทำไมจะไม่จริงเล่าหรือจำใบหน้าอัปลักษณ์ของตนเองมิได้ อยู่ในร่างข้าไม่ทันไรเจ้าลืมร่างนี้ไปแล้วเช่นนั้นหรือ!?” ข้าคลี่ยิ้มเย็นจับเส้นผมของมันกระชากเข้าหาตัว ใบหน้าอัปลักษณ์โน้มหาใบหน้างาม แลดูคล้ายภาพวาดเปรียบเทียบของเทพเซียนแลปีศาจ คนที่ไม่ทันตั้งตัวละล่ำละลักหนีอย่างขวัญเสีย ข้ากระตุกยิ้มคราหนึ่งแค่นยิ้มสมเพชเวทนา
“ข้าอยากรู้นัก ขอทานสกปรกเช่นเจ้าใช่เล่ห์เพทุบายใดจึงแย่งชิงร่างของข้าไปได้ หืม..ตอบมาสิ เจ้าใช้เล่ห์อันใดแย่งชิงร่างข้า! ตอบ!!”
“ข..ข้าไม่รู้ อ..อยู่ๆก็ตื่นมาในร่างนี้แล้ว ข้าไม่รู้ว่าทำไม ข้าไม่รู้จริงๆ” ข้าแค่นหัวเราะ มองใบหน้างดงามที่กำลังร่ำไห้ น้ำตากลิ้งกลอกร่วงรินลงอย่างน่าสงสารราวกับกลีบดอกหลีต้องสายฝนโปรยปราย เข้าใจความรู้สึกของจิ่นสือขึ้นมาบ้างว่าทำไมจึงไม่อาจทนมองข้าร่ำไห้ได้ แต่ว่าตอนนี้คนที่สมควรร่ำไห้ให้ฟ้าถล่มให้กำแพงเมืองล่มสลายนั้นสมควรเป็นข้าผู้นี้! ข้าผู้นี้ต่างหาก!! ข้าไม่อาจข่มกลั้นความรู้สึกอัดอั้นไว้ในอกน้ำตาร่วงหล่นลงอย่างไม่ขาดสายดวงตาแดงฉานราวกับปีศาจร้าย ความรู้สึกเจ็บปวดของข้าใครจะเข้าใจบ้าง ความรู้สึกที่ต้องสูญเสียทั้งชีวิตให้ผู้อื่น ผู้ใดเล่าจะเข้าใจข้าบ้าง! ตัวมันมีสิ่งใดให้ทุกข์ทเวษจนต้องร้องไห้โศกา ทั้งที่ชิงทุกสิ่งไปจากข้ากลับมาร่ำไห้น่าเวทนา!
“ไม่รู้? ตอบได้แค่ไม่รู้หรือ เจ้าแย่งชิงร่างข้าไป แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไป เจ้ากล้าตอบคำบัดซบเช่นนี้ออกมาหรือ!” ข้าตวาดอย่างเกรี้ยวโกรธ มือกระชากผ้าห่มอันอ่อนนุ่มบนเตียงมาคลุมใบหน้าเขาบีบคอนั้นอย่างโกรธแค้นเขย่าจนม่านมุกสั่นไหวคล้ายเสียสติไปแล้ว กระทั่งถูกมือหนากุมไว้พี่จื่อหรงออกจากเงามืดดึงข้าเข้าสู่อ้อมกอดกระซิบดุเบาๆให้สงบจิตใจ ข้าสูดหายใจลึกรวบรวมสติคลายมือที่บีบคอร่างงามนั้นออกหลับตาปล่อยสายอัสสุชลให้ร่วงรินเพียรสะกดกลั้นเสียงสะอื้นไว้ในอก รอกระทั่งรู้สึกสงบลงบ้างแล้วจึงกระซิบตอบเขาว่าไม่เป็นไรให้เห็นข้าคืนสติพี่เลี้ยงประจำกายจึงหมุนกายหายไปในเงาดั่งเดิม
ข้าหย่อนตัวนั่งลงข้างเตียงอีกครากระชากผ้าห่มออกก้มลงมองใบหน้างดงามที่บิดเบี้ยวเปรอะเปื้อนด้วยน้ำตาด้วยความสงบเยือกเย็นขึ้นบ้าง ข่มกลั้นอารมณ์มองคนบนเตียง “ตอบข้ามาเจ้ามาอยู่ในร่างข้าได้อย่างไร”
“ข..ข้าไม่รู้ ฮึก ข..ข้าขอโทษ ข..ข้าไม่รู้” ข้าเฝ้ามองเขาร่ำไห้ราวกวางน้อยพลัดฝูง อารมณ์โมโหคล้ายถูกกวนให้ขุ่นอีกครา
“เล่ามา..จงเล่ามาว่าเจ้าเป็นผู้ใด ใยจึงมาอยู่ในร่างข้า!”ข้าตวาดด้วยเสียงดุจริงจัง จ้องมองเขาขเม็งจนร่างกายนั้นไม่อาจทนทานสั่นไหวราวดอกหลีต้องลม ริมโอบฐ์น้อยขบเม้มเข้าหากันหลายคราครู่หนึ่งศศกขี้ขลาดจึงค่อยรวบรวมความกล้าโผล่หัวจากโพรง
“ข..ข้าชื่อซีหยาง...หลิวซีหยาง”
“เป็นเช่นไรบ้าง” ทันทีที่เปิดประตูออกมาก็พบกับแม่ทัพหลี่ มองไปรอบข้างพบว่าจิ่นสือไม่อยู่แล้ว ฮุ่ยเหอคล้ายจะทราบสิ่ที่ข้าต้องการรู้จึงรีบพูดต่อ “มีเรื่องเร่งด่วนฝ่าบาทจึงต้องเสด็จไปยังท้องพระโรง”
ข้าร้องอาพยักหน้าคราหนึ่งถูกความเคร่งเครียดทั้งวันเล่นงานจนเมื่อยล้าทั้งกายใจเผลอเซไปเล็กน้อยขณะก้าวเดิน ฮุ่ยเหอเข้ามาจะช่วยพยุงข้าพลันกระแอมคราหนึ่งแผ่นหลังกลับมาตั้งตรงวางท่าทระนง
“ขออภัยวันนี้ข้ารู้สึกไม่สบาย พรุ่งนี้ค่อยมาพบกันได้หรือไม่” แม่ทัพหลี่พยักหน้าอย่างรู้ความ ไม่พูดอะไรมากเพียงบอกให้ขันทีน้อยเดินนำข้าไปยังเรือนพักเล็กๆที่จัดเตรียมไว้ให้ไม่ห่างจากตำหนักมากนัก ข้าเดินตามไปอย่างว่าง่ายไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ถึงพาร่างอันไร้ซึ่งวิญญาณมาถึงเรือนพักได้ กลอกตามองเรือนพักน้อยที่แม้ไม่กว้างขวางแต่เครื่องเรือนล้วนหรูหราล้ำค่าสมกับที่เป็นเรือนในอาณาเขตตำหนักหลวง ข้าหย่อนตัวลงกับเตียงหัวใจอ่อนล้าจนไม่อาจทานทนไหว
"พี่จื่อหรง คนไร้หัวนอนปลายเท้าผู้หนึ่งกำเนิดจากคณิกาในซ่องชั้นต่ำถูกจับไปเป็นทาสพิษตั้งแต่ยังเล็ก หลังจากเป็นทาสพิษก็ถูกโยนทิ้งข้างกองขยะกลายเป็นขอทานแลอดตายด้วยความหิวโหย หลังจากนั้นเขากลับไม่ตายกลายเป็นคนผู้งามเลิศท่านเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนหรือไม่" ข้าเอ่ยถามความว่างเปล่าหัวเราะร่วนขบขันกับละครฉากนี้อย่างยิ่ง เป็นเสียงหัวเราะร้าวรานสายนี้ทำให้บุรุษชุดดำผู้ปรากฎกายอยู่ด้านข้างคุกเข่าลงแลลูบมือข้าราวกับจะปลอบ
"ข้าทราบดีว่าเขาไม่ผิดแต่ว่าข้าอดชิงชังเขาไม่ได้ ใยสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้...ต..ต้องรังแกข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ" ข้าไม่อาจอดทนไหว ดึงหน้ากากเงินออกทอดร่างคว่ำลงกับหมอนร่ำไห้จนสาแก่ใจ หรือเพราะเทพเซียนชิงชังข้า ต้องการจะลงโทษข้าจึงส่งบทลงโทษอันทุกข์ทรมานนี้มาให้ ต้องเฝ้ามองร่างกายเป็นของผู้อื่น เฝ้ามองคนที่รักรักใคร่ผู้อื่นอย่างลึกซึ้งโดยไม่อาจปริปากเอ่ยสิ่งใดได้เลย สิ่งที่เคยเป็นของข้าถูกแย่งชิงไปจนสิ้นเช่นนี้จะทนได้เช่นไร...ความเจ็บปวดเช่นนี้จะทนไหวได้อย่างไร
“นายน้อยท่านร่ำไห้ให้พอ เหนื่อยล้าก็หลับไหลเสียก่อน พรุ่งนี้จึงค่อยลุกขึ้นมาสู้ใหม่ อย่าลืมว่าข้าแลนายท่านอยู่เคียงข้างท่านเสมอ” เจ้าของมืออุ่นคู่นั้นแตะลงที่ไหล่อย่างปราณีดึงข้าเข้าสู่อ้อมกอด ข้าทอดกายอยู่กับอกพี่เลี้ยงคนสนิทอย่างอ่อนล้า เพียงได้ยินคำพูดปลอบประโลมแลนามท่านเหมยก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ก่อนที่ร่างกายจะจมสู่ห้วงนิทราได้แต่บอกตัวเองว่าพรุ่งนี้หากตื่นมาขอให้อย่าอ่อนแอเช่นนี้อีก
เชิงอรรถ
[1] ไท่ซาน - ภูเขาไท่ซาน ตั้งอยู่ที่เมืองไท่อาน ทางชายฝั่งตะวันออกของประเทศจีน ยอดบนสุดของ ภูเขาไท่ซาน มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,545 เมตร มีหินผาตั้งเรียงรายจำนวนมาก กวีเอกแห่งจีนหลายท่านเคยจารึกบทกลอนมากมายไว้ที่ภูเขาไท่ซานแห่งนี้ จนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และศิลปะกลางแจ้งที่สะท้อนสัญลักษณ์แห่งอารยธรรมเก่าแก่ของจีน และภายหลังยูเนสโกได้ยกย่องให้ ภูเขาไท่ซานเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987
[2] จ้าง - หน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ 1 จ้าง = 10 ฉื่อ ประมาณ 2.27 – 2.31 เมตร
ทักทายนักอ่าน
เมื่อวานนี้เพิ่งกลับจากการไปทำค่ายจิตอาสาให้น้องๆประถม บอกเลยว่าสนุกมาก...จริงๆนะT____T เด็กวัยประถมที่กำลังซนพี่ๆจะเป็นลมกันเลยทีเดียว 5555 ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ตอนนี้มาช้า เราตัดสินใจแล้วว่าจะอัพวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันใดวันหนึ่ง นักอ่านแวะมาเช็คตอนกันได้ทุกวันอาทิตย์นะคะ สำหรับตอนนี้ตอนอ่านนั่งหาอะไรมาบิ้วท์พอได้ฟังเพลง 爱殇 รู้สึกเลยว่ามันใช่ ตอนนี้เหมือนมันเป็นตอนที่มันปล่อยความอัดอั้นตันใจอะไรซักอย่างออกมา มันเป็นความคับแค้นใจด้วยส่วนหนึ่ง เสียใจด้วยส่วนหนึ่ง ทุกข์ทรมานด้วยอีกส่วนหนึ่ง คงเป็นตอนที่สะท้อนนิสัยของเหวินฉีลี่ฉางให้ทุกคนได้เห็นได้ดีอีกตอนหนึ่ง อย่างที่บอกว่าในเรื่องนี้ไม่มีตัวละครไหนดีหรือเลวเต็มร้อย แม้แต่ตัวเอกเองก็ยังพยายามสร้างให้เป็นคนเทาๆ ถึงรู้ว่าหนูซีหยางก็ไม่ผิดแต่มันก็อดเกลียดไม่ได้จริงๆ พูดถึงหนูซีหยางในที่สุดก็มีชื่อให้ทุกคนเรียกซักที เรียกขอทานกันมาตั้งนาน 555555 เจอกันใหม่อาทิตย์หน้าค่า^^
-
ตอนนี้มา เข้ากับอากาศกรุงเทพช่วงนี่มาก หม่นๆเทาๆเย็นๆ
-
:hao5: :hao5: :hao5:
-
:m15: :m15: :m15:
-
หลงเสน่ห์เรื่องนี้อย่างจริงจัง
มองจากมุมของลี่ฉางย่อมเคืองแค้นอย่างยิ่ง
แถมพื้นฐานนิสัยไม่ยอมใคร เอาแต่ใจ ยิ่งทำให้อารมณ์รุนแรงใหญ่
ซีหลางเองก็น่าเห็นใจ
รอดูต่อไป
-
ลี่ฉางต้องเข้มแข็งนะ!
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ววว
:hao5:
-
มิน่าล่ะ ฮ่องเต้ มีที่มาที่ไป หลงลี่ฉางน้อยตั้งแต่เด็ก ก็แหม สเน่ห์ยั่งยวนซะขนาดนั้น
แต่ก็น่าคิดว่าอะไรเป็นเหตุให้จิ่นสือฆ่าพี่น้องตัวเอง จนได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เพราะยังไม่ปักใจเชื่อซะทีเดียวว่าจิ่นสือเป็นคนแบบนั้น อยากรู้เรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ในถ้ำด้วย ที่ทั้งสองเจอกันครั้งที่สอง อ่านจบแล้วมโนหนักไปอีก กิ๊บกิ้วใจได้สักพักกลับสู้เนื้อเรื่องหลักดร่าม่าอย่างแรง อ่านเรื่องนี้ทีไร หยุดไม่อยู่ อย่างกับหลุดเข้าไปเป็นตัวละคร ลุ้นๆสุดๆ เมื่อไหร่จะมีฉากเจอกับฮ่องเต้ ได้พูดคุยกัน เพราะถ้าหวังให้กลับคืนร่าง คงจะอีกนาน ว่าไปสวรรค์นี่ก็ร้ายทำกับลี่ฉางได้ลงคอ ส่วนหนูน้อยที่อยู่ในร่างลี่ฉางอย่าสร้างเรื่องนะลูก เดี๋ยวเราจะได้เป็นศัตรูกัน ทีมลี่ฉาง หงส์ก็ยังเป็นหงส์อยู่วันยังค่ำ o13. :กอด1: คนเขียนขยันเราชอบ
-
เราได้อ่านเรื่องนี้เพราะคุณ alternative แนะนำมา...
สรุปว่าเราชอบมากเลยค่ะ ^^
คุณคนเขียนเก่งจัง ภาษาดี สำนวนงดงาม แถมยังทำให้ตัวละครโลดแล่นออกมาเหมือนมีชีวิตจริงได้อีกต่างหาก
รอติดตามตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อเลยค่ะ ^^ :กอด1:
-
ทาสพิษคืออะไรหรอคะ :hao4: :hao4:
-
เป็นตัวทดลองพิษนี่เอง..หน้าเลยเฟะซะ..
เราเข้าใจอารมณ์หลี่ฉางนะ รู้หรอกว่าเขาไม่ผิด แต่ที่รู้สึกเกลียดมันก็ห้ามไม่ได้จริงๆ แต่หลี่ฉางก็ทำตัวเองนะคะลูก ไม่ฆ่าตัวตายคงไม่เป็นแบบนี้หรอก... ขอทานน้อยนี่น่าสงสาร...เกิดมาก็ชีวิตแย่ พอมาเข้าร่างใหม่ก็ทำท่าจะได้เข้าไปในวังวนแย่ๆอีก...
หลี่ฉางถึงเบ้าหน้าตอนนี้แย่แต่พิษร้ายสารพัดความสามารถก็มาก ติดอยู่เรื่องเดียวคือความรักมันโอนถ่ายให้ร่างใหม่กันแบบอัตโนมัติไม่ได้นี่แหละค่ะ ก็ได้แต่ดูต่อไป
-
(http://www.mx7.com/i/aa8/I8ejJk.jpg)
ตอนที่ ๑๐ ยาดีกินขมปาก[1]
กลิ่นยาขมสายหนึ่งโชยฉุนจนบรรดาขันทีน้อยพากันเบือนหน้าหนี ข้ากระชับหน้ากากให้แนบชิดติดใบหน้าลอบเบ้ปากกับกลิ่นชวนอาเจียนพิจารณายาสีเขียวพิสดารว่าขุ่นข้นจนได้ที่แล้วจึงสั่งขันทีน้อยข้างตัวให้ช่วยกันนำใส่ชาม เด็กๆเหล่านั้นไม่กล้าชักช้ารีบเร่งทำหน้าที่ของตัวเองเพราะรู้ดีว่าเจ้าของยานี้ที่แท้เป็นผู้ใด
ตลอดทางที่เดินผ่านไม่ว่าผู้ใดพบปะก็พลันหลีกห่างกันไปหลายจ้าง ข้าหัวเราะในลำคอแผ่วเบา อารมณ์ขุ่นมัวจากเมื่อวานดีขึ้นบ้างหลายส่วน ยามที่ล่วงเข้าสู่ห้องบรรทมใหญ่ บุรุษผู้นั้นยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงราวกับเป็นก้อนหินก้อนหนึ่งเฝ้ามองร่างงดงามที่นอนขดอยู่บนเตียงอย่างตัวขี้เกียจตัวหนึ่ง ข้าหรี่ตามองกระต่ายโง่เง่าตัวนั้นอย่างชิงชังเขาพลันสะดุ้งจนน่าขบขันตัวสั่นระริกถดไปอยู่ที่มุมเตียง จิ่นสือเบนสายตาจากเหวินฉีลี่ฉางตัวปลอม ใบหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่เลือนหายราวริ้วหมอกสลายเมื่อพบข้า
“กระหม่อมจิ่วเมิ่งถวายพระพรฝ่าบาท”
“ไม่ต้องมากพิธี” แววตาสงสัยของเขาจับจ้องมายังถาดยาที่เด็กน้อยขันทีเป็นผู้ถือติดตามมา มือหนากวักเรียกเด็กขันทีให้เข้าไปใกล้ เปิดชามยาขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดด้วยสายตาไม่วางใจนัก
“นี่คือยาของลี่ฉาง?” เพียงแค่เปิดชามยากลิ่นความขมก็แล่นมาจุกที่ลำคอ ข้าคลี่ยิ้มคราหนึ่งกลั้นหายใจขณะที่ตอบคำถาม
“เป็นยาของคุณชายลี่ฉางพะย่ะค่ะ” ยาดีเสียด้วยล่ะ..หึ..สมุนไพรแต่ละชนิดล้วนแต่เลิศล้ำ ยาชามนี้แม้รสชาติไม่ดีแต่มูลค่ามากประมาณ ตอนข้ายังเด็กท่านเหมยให้ดื่มอยู่หลายครั้งหลายคราไม่ว่าจะยามป่วยหรือยามที่ข้าซุกซนสมควรโดนลงโทษ
จิ่นสือยังไม่ละมือออกจากชามยานั้นคงกลัวข้าจะวางยาสุดที่รักของเขากระมัง คิดมาถึงตรงนี้ในอกก็อุ่นวาบ จะประชดประชันเขาก็ไม่ถูกต้องนัก เขาจะห่วงใยเหวินฉีลี่ฉางก็ไม่แปลก หากไม่ใยดีเลยข้านี่แหละจะเป็นผู้กรอกยาสงบใจนี่เข้าปากเขาเช้าเย็นๆต่อให้นิทราก็ยังต้องคิดถึงรสชาติรัญจวนนี้ในความฝัน
“ฝ่าบาทยานี้มีรสชาติขมเล็กน้อยแต่สรรพคุณนั้นดีต่อร่างกายของคุณชายลี่ฉางอย่างมาก” นอนร่วมหมอนกับเขามาสองปีควรเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไรมีหรือข้าจะไม่รู้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายเขาก็พยักหน้าเอ่ยเรียกคนบนเตียงมากินยาอย่างอ่อนโยน เจ้าขอทานน้อยตัวสั่นงันงกมองถ้วยยาอย่างหวาดระแวง
“ฝ่าบาท ท่านหมอเหมยฮวามาขอเฝ้า” ข้าหรี่ตามองขันทีน้อยที่เข้ามารายงานลอบนิ่วหน้าคราหนึ่ง กลัวว่าอาจารย์จะมาขัดขวางเรื่องสนุกข้า เขาไม่ชมชอบให้ข้ารังแกกลั่นแกล้งผู้อื่น
“ให้เขาเข้ามาได้” ไม่ทันขาดคำร่างในชุดขาวราวหิมะก็ปรากฏกาย ใบหน้าเยือกเย็นสูงส่งมีรอยมุ่นขมวดที่ตรงหว่างคิ้วอย่างชัดเจน กระนั้นหากบอกว่าคนผู้นี้วัยล่วงเลยถึงสี่สิบปีแล้วคงไม่มีผู้ใดเชื่อ ท่านเหมยปรายตามองข้าทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อม
“กลับหมื่นวสันต์ไม่กี่คืน เพิ่งจะทราบว่าฝ่าบาทเชิญผู้อื่นมารักษาลี่ฉางแทนข้า” จิ่นสือวางสีหน้าเรียบเฉยแต่แววตามีรอยไม่สบใจปรากฎ คำว่า ’ข้า’ คำนี้ฟังดูหยิ่งผยองอย่างยิ่งจะมีกี่คนที่ขวัญกล้าใช้คำนี้ต่อหน้าหวงตี้ผู้ชี้เป็นชี้ตายคนทั้งแผ่นดิน เว้นตัวข้าเหวินฉีลี่ฉางไว้คนหนึ่ง ท่านเหมยเองก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่จิ่นสือไม่กล้าบุ่มบ่ามล่วงเกิน ดังนั้นแม้น้ำเสียงเขาจะยังคงแข็งกระด้างแต่วาจาก็ไม่ตัดรอนเกินไปนัก
“บางอย่างมีมากย่อมดีกว่าน้อย ท่านทั้งสองล้วนแต่เป็นหมอมากฝีมือเมื่อร่วมกันรักษา ลี่ฉางย่อมหายเร็วในวัน”
“ข้าซาบซึ้งยิ่งนักที่ฝ่าบาทห่วงใยลี่ฉางถึงเพียงนี้ เพียงแต่ท่านหมอผู้นี้ข้ากลับไม่เคยทราบชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน” ท่านเหมยยิ้มเย็นดวงตาคู่นั้นหันมามองหัวใจของข้าถึงกับสะท้านเยือก ข้าเคยได้รับสายตาห่างเหินเช่นนี้เพียงไม่กี่ครั้งจึงรู้สึกไม่เคยชินนัก
“ตัวข้ามีนามว่าจิ่วเมิ่งเป็นศิษย์ของท่านหมอผู้เลิศล้ำผู้หนึ่ง นามของข้าไม่เป็นที่ประจักษ์ท่านเหมยจะไม่ทราบก็คงไม่แปลก เพียงแต่นามอาจารย์ข้าท่านคงเคยได้ยินมาบ้าง”
“อาจารย์เจ้าคือ..?”
“นามของอาจารย์ข้าคือเสวี่ยหลิน ชาวบ้านเรียกเขาว่าหมอเทวดาท่านคงเคยได้ยินมาบ้าง” ข้าเอ่ยวาจายกย่องอาจารย์อย่างท่าทางศรัทธาเลื่อมใส แววตาเยือกเย็นของท่านเหมยปรากฎร่องรอยสั่นระริกราวกับขบขันมีประกายยิ้มจางๆแล้วสูญหายไปอย่างรวดเร็วเป็นความห่างเหินดั่งเดิม
“อ้อ..ย่อมต้องเคย” ...ละครฉากนี้นับว่าเล่นได้แนบเนียนอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ เมื่อทั้งสองรู้จักกันไว้ก็ดีแล้ว” ผู้เป็นฮ่องเต้ตัดบท เขาหยิบชามยาที่คลายความร้อนมาถือไว้ประคองคนในอ้อมกอดให้ดื่มยาสงบใจ ข้ากระพริบตาอย่างงุนงงจ้องเขม็งที่เด็กขอทานที่ไม่ทราบไปอยู่ในอ้อมกอดจิ่นสือตั้งแต่เมื่อไหร่ อารมณ์หนึ่งพุ่งพล่านขึ้นมาในอก....โกรธแค้นชิงชังหรือ? ย่อมมิใช่...
ข้าเผลอสัมผัสที่อกตัวเองคราหนึ่งอย่างไม่เข้าใจ ยามเห็นร่างงดงามอยู่ในอ้อมกอดเขามันรู้สึกขมปร่าในปลายลิ้นจนต้องเผลอนิ่วหน้า ในอกบีบรัดเข้าหากันราวกับหวาดกลัวว่าจะถูกฉกชิงสิ่งสำคัญออกไป หรือว่า...ความรู้สึกเช่นนี้คือหึงหวง? ที่แท้ข้ากำลังหึงหวงจิ่นสืออยู่หรือ?
ที่ผ่านมาข้ารับรู้ความในใจของจิ่นสือมาตลอด ตั้งแต่ยามที่เป็นองค์ชายเจ็ดผู้องอาจจนถึงยามที่เขาสวมชุดมังกรขึ้นนั่งบัลลังค์..สายตาของเขา..หัวใจของเขาเป็นของข้าเพียงผู้เดียวมา ดังนั้นข้าจึงไม่เคยนึกหึงหวงเหล่าสนมนางในที่ชม้ายชายตาให้เขา คนที่กำเนิดมาในหมื่นวสันต์เรื่องหึงหวงเป็นความรู้สึกอันน่าขบขัน ไม่ใช่เพราะเราเป็นคนดีงามปฎิบัติตามหลักจรรยาสามคุณธรรมสี่[2]หรอก เพียงแต่หากเจ้าหึงหวงผู้ใดนั่นหมายถึงเจ้าไม่มั่นใจในตนเอง ไม่มั่นใจว่าตัวเจ้าจักสามารถมัดใจคนผู้นั้นให้ภักดีต่อเจ้าได้ ข้าหัวใจสั่นสะท้าน...นี่ข้ากำลังไม่มั่นใจในตนเองหรือ? ข้าหวาดกลัวเจ้าเด็กขอทานผู้นั้นอยู่หรือ? หมกมุ่นกับความคิดนี้อยู่เพียงครู่หนึ่งก็ถูกเสียงของท่านเหมยรั้งกลับคืนมา
“เดี๋ยวก่อน..นี่คือยาอะไร” ข้าวางท่าสำรวมคลี่ยิ้มสุภาพ
“คุณชายลี่ฉางมีอาการสับสนหวาดกลัว อินและหยางในร่างสับสนปั่นป่วนจึงจำเป็นต้องให้ยาสงบจิตใจเสียก่อน” ท่านเหมยย่นคิ้วคราหนึ่งคงรู้ดีกระมังว่าข้าต้องการกลั่นแกล้งเจ้าเด็กบนเตียงนั้น
ข้ามองท่านเหมยที่นั่งลงตรงข้ามกับจิ่นสือด้วยท่าทีนิ่งสงบเอ่ยเรียกเจ้ากระต่ายขี้ขลาดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน ร่างที่ถูกกอดไว้หลวมๆในหัตถ์ของจิ่นสือก็พลันถลาไปหา สีหน้าของบุรุษในชุดมังกรเขียวคล้ำลงอย่างไม่ปิดบัง
“ลี่ฉางยาสงบใจเป็นยาดี เพียงแต่รสชาติอาจจะขมไปหน่อย เจ้าทนดื่มสักนิดร่างกายจะได้แข็งแรง” น้ำเสียงของท่านเหมยอบอุ่นอย่างยิ่ง เขาชิงถ้วยยาจากมือของจิ่นสือไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ข้าเฝ้ามองอาจารย์ป้อนยาให้กับเหวินฉีลี่ฉางตัวปลอมด้วยรอยยิ้มดั่งแสงจันทร์อันอาทร มือสีขาวคู่นั้นประคองที่ศรีษะไม่ให้หันหนี หัวใจข้าที่เมื่อครู่รู้สึกสั่นไหวก็พลันเบิกบาน คนเลิศล้ำอย่างข้ายังหลบหนีชามยานั้นไม่รอดพ้นเพราะอะไรหากไม่ใช่เพราะคนที่ป้อนเป็นท่านเหมย! นี่จึงเรียกว่านอกเขายังมีเขา เหนือเหวินฉีลี่ฉางยังมีท่านเหมยอย่างไรเล่า[3]
หลังจากเฝ้ามองเจ้าขอทานผู้นั้นดื่มยาขมจนหมดถ้วย ข้าก็รู้สึกดีจนเผลอคลี่ยิ้มออกมาหลายครั้งหลายคราความรู้สึกขุ่นมัวในอกมลายหายไปสิ้น กระทั่งยามซือ[4]มาถึงจิ่นสือจำต้องปลีกตัวออกไป ผู้เป็นหวงตี้มองมาที่ข้าคราหนึ่งอย่างซ่อนความนัย ข้าพลันเข้าใจ..อยากพบข้าเป็นการส่วนตัวหรือ? ข้าเดินตามเขาออกมามองแผ่นหลังมองคนที่ยืนอยู่บนระเบียงตำหนักอย่างเดียวดาย เฝ้ามองมือหนาลูบตั่งไม้สลักลายอันเรียบง่าย แววตาปวดร้าวของเขาทำให้ข้าปวดใจ ความรักลึกล้ำของเขายิ่งทำให้ข้าไม่อาจถอนตัว
หลายครั้งหลายคราวที่เห็นเขามองข้าด้วยความรวดร้าวในยามราตรี ข้าเคยนึกสงสัยอยู่หลายคราไม่เคยเข้าใจว่าสิ่งใดทำให้เขาเจ็บปวด ทว่าตอนนี้กลับกระจ่างแจ้ง คนที่รักอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้วเอื้อมแต่ไม่อาจไขว่คว้ามาไว้ในอ้อมกอดได้ เขากอดข้าด้วยความรักแค่กลับไม่เคยคว้าใจข้าไว้ได้ ในตอนนี้ข้าอยากกอดเขาเพียงไรแต่เขาไม่เคยหันมามอง ความรู้สึกทรมานของท่านเป็นอย่างไรตอนนี้ข้าประจักษ์แก่ใจแล้วจิ่นสือ..
“อาการป่วยของลี่ฉางเป็นของจริง?” ข้าหยุดพิศมองแผ่นหลังของเขา คลี่ยิ้มจางๆสายหนึ่งตอบบุรุษตรงหน้าอย่างนอบน้อมด้วยฐานะของนายแลบ่าว
“คุณชายลี่ฉางป่วยจริงพะย่ะค่ะ กระหม่อมตรวจดูหลายครั้งหลายคราจนแน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องเท็จ”
“เมื่อไหร่เขาจะหายเป็นปกติ” เขาทั้งคล้ายดีใจแลเสียใจ ข้าย่อมรู้ดีว่าเขาระแวงสงสัย เหตุที่ไม่อยากให้ท่านเหมยเข้าใกล้ข้าเพราะหวั่นกลัวว่าข้าจะถูกแย่งชิงไป ในตอนนี้มีท่านเหมยผู้เป็นหลักชีวิตอยู่ตรงหน้า หากเหวินฉีลี่ฉางปรารถนาจะออกจากอ้อมกอดเขาจริงๆจิ่นสือมีหรือจะรั้งข้าได้ไหว
“ทูลฝ่าบาทตามตรง ร่างกายคุณชายลี่ฉางนั้นหายดีแล้ว เท่าที่กระหม่อมตรวจดูไม่มีพิษใดตกค้าง สุขภาพแข็งแรง...เพียงแต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไร..” เขานิ่วหน้าอย่างสงสัยแลกังวล ข้าคลี่ยิ้มขื่นขม...ข้าขอโทษจิ่นสือ วิธีชั่วช้าเช่นนี้อาจทำให้ท่านเจ็บปวดใจแต่ข้าไม่มีทางเลือก หากมันจะทำให้ท่านห่างจากเด็กคนนั้นได้ หากมันจะทำให้ข้ากลับไปอยู่ข้างกายท่านได้ ข้าสูดลมหายใจคราหนึ่งเอ่ยตอบเขาอย่างสงบเยือกเย็น
“ฝ่าบาท คำพูดกระหม่อมอาจทำให้ทรงกริ้ว แต่ว่า...จิตใจของคุณชายลี่ฉางบอบช้ำอย่างมาก อาการที่เป็นอยู่ตอนนี้เกิดจากสภาพจิตใจ กระหม่อมคาดว่าไม่อาจดีขึ้นได้ในเร็ววัน...หากอยู่ใกล้กับฝ่าบาท”
“เจ้า!!!” เขาตวาดขึ้นอย่างเกรี้ยวโกรธ ใบหน้าคมคร้ามบิดเบี้ยวอย่างทุกข์ทรมาน ร่างกายสูงใหญ่ซวนเซจนต้องจับพนักของตั่งไม้ไว้เพื่อพยุง แต่เพียงแค่ครู่เดียวจิ่นสือก็ข่มกลั้นใบหน้าเจ็บปวดลงใต้หน้ากากของกษัตริย์ มีเพียงประโยคพึมพำราวกับเสียงลมร้าวรานพัดมาจากบูรพาทิศที่ห่างไกล “ที่แท้เขาเกลียดข้าถึงเพียงนั้น...”
ข้าเฝ้ามองแผ่นหลังเขาเดินจากไป ลูบบนพนักพิงที่ปรากฏรอยร้าวอย่างปวดใจ หัวใจของบุรุษที่ข้ารักเล่าคงร้าวรานไม่ต่างกันใช่หรือไม่ จิ่นสือ..ข้าผิดต่อท่าน ฉางเอ๋อร์ผิดต่อท่าน ทั้งที่รู้ว่าท่านรักข้าเพียงไรแต่ยังกล้าใช้ความรักผลักไสท่านให้เจ็บปวดถึงเพียงนี้
จิ่นสือ...ที่จริงแล้วข้าเป็นตัวโง่งมตัวหนึ่ง ตลอดมาเฝ้าปฏิเสธความรักท่านแต่กลับไม่เคยสำรวจใจตัวเองดูเลยสักครา แม้แต่รักท่านตอนไหนข้าก็ยังไม่ทราบ อาจจะเป็นวันแรกที่ได้พบท่านในสวนเบญจมาศแห่งนั้น หรือเป็นวันที่ทิวธงปลิวไสวต้องเฝ้ามองท่านบนหลังอาชาลาไกลบนหออย่างเดียวดาย หรือจะเป็นยามสารทฤดู[5]ปีนั้นตอนที่ท่านสอนข้าขี่ม้าในทุ่งหญ้าสีทองอันกว้างใหญ่ หรือจะเป็นในงานชมบุปผาตอนเฝ้ามองพลุไฟสว่างไสวในอ้อมกอดของท่านที่สระบัวแห่งนั้น ตอนท่านเกรี้ยวกราดและแย้มยิ้มอ่อนโยน ตอนท่านเอาอกเอาใจและเรียกข้าว่าฉางเอ๋อร์อย่างอ่อนหวานถึงเพียงนั้น หรือจะเป็นตอนที่ท่านกระซิบคำรักอยู่ข้างหูเราสองคลอเคลียกันดั่งยวนยางคู่หนึ่ง
จิ่นสือข้าภาวนาขออย่าให้ทุกอย่างสายเกินไป สวรรค์มอบโอกาสล้ำค่าแก่ข้าแล้วข้าจะไม่มีวันปล่อยมือจากท่านอีก รออีกหน่อยได้หรือไม่ รอวันที่ข้าจะทำให้ท่านเชื่อได้หมดใจและบอกกับท่านในฐานะฉางเอ๋อร์ที่ท่านรักว่า..ข้ารักท่าน..รักท่านเหลือเกิน..
-
จิ่นสือจากไปครู่หนึ่งข้าจึงสงบอารมณ์รวดร้าวลงได้ ยามกลับเข้ามาในห้องบรรทมที่คุ้นเคยเฝ้าพิศมองในห้องอย่างละเอียดลออ ไม่มีสิ่งใดถูกเคลื่อนย้ายโดยพลการทุกอย่างยังคงอยู่ดั่งเดิมเหมือนที่เคยเป็น หย่อนตัวลงนั่งข้างเตียงหันกลับมามองร่างงดงามที่กำลังหลับใหลก็พลันถอนหายใจคราหนึ่ง
“จะแสร้งหลับไปทำไม ลืมตาขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้” เจ้ากระต่ายน่าชังสะดุ้งทันทีที่ถูกจับได้ คิดจะเสแสร้งต่อหน้าข้าหรือ...เร็วไปพันปี กลแสร้งนิทรานี้ข้าฝึกฝนฝีมือมากี่ปีจนเลิศล้ำมีหรือเด็กเพิ่งตั้งไข่หัดเดินจะหลอกตาข้าได้
“ท..ท่าน” คนงามผู้หนึ่งทำสีหน้าสะดุ้งตกใจได้น่ารักถึงเพียงนี้เชียว ด้วยท่าทางเช่นนี้คงเด็ดเอาใจคนได้ทั้งปฐพีเลยกระมัง อ้อ ยกเว้นข้าไว้ผู้หนึ่ง ข้ามองดูอย่างเฉยชาตอบกลับอย่างรำคาญเพียงสองคำ
“ข้าเอง”
“ท..ท่านแกล้งข้าหรือ” สีหน้าราวมุสิกน้อยถูกแมวเหมียวร้ายกาจรังแกนี่มันอะไรกัน ใบหน้าข้าก็ทำสีหน้าเช่นนี้ได้ด้วยหรือ? ข้าเผลอเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เจ้าหนูร้ายกาจชี้นิ้วสั่นระริกไปที่ชามยาข้างเตียง ข้ายักคิ้วคราหนึ่งตอบอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
“ใช่ ข้าแกล้งเจ้า”
“ท...ท่านทำไม..ใจร้าย” ข้าหัวเราะร่วน...ข้าหรือใจร้าย... กลอกตามองด้านบนสองสามทีจึงค่อยสงบใจเอ่ยประโยคตอบกลับเขาได้
“เพราะเจ้าใจร้ายกับข้าก่อน”
“ข..ข้า..ม..” ข้าถอนหายใจหนักๆอีกครา มิอาจทนมองร่างกายตัวเองแสดงท่าทีราวกับลูกเต่าน่าเวทนาเช่นนี้ ความอดทนที่อุตส่าห์รวบรวมมาสิ้นสุดลงง่ายดายต่อหน้าศศกน่าชังบนเตียง
“จะติดอ่างอีกนานหรือไม่ ข้าไม่ใช่ภูตผีเจ้าจะขลาดกลัวอันใดกันนักหนา หากเจ้ายังเป็นลูกเต่าหดหัวทำตัวน่าสงสาร ไม่ต้องรอให้ข้าเปิดโปงเจ้าทุกคนในวังก็คงรู้ได้เอง!”
“ข้า..ข้า..” ไม่รอให้เขาแสดงท่าทีน่าสมเพชต่อ ข้าพลันตัดบทขึ้นมาเสียก่อน
“ข้ามีนามว่าเหวินฉีลี่ฉาง เป็นผู้เลิศล้ำอันดับหนึ่งแห่งตำหนักหมื่นวสันต์ อายุสิบสองเจนจบศาสตร์แลศิลป์ ข้าเกลียดความพ่ายแพ้ ไม่ชมชอบการเป็นรองผู้อื่น ข้าไม่ก้มหัวให้ใคร ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ใครดีมาข้าย่อมดีตอบ ใครร้ายมาข้าจะร้ายคืนร้อยเท่าพันทวี ผู้เลี้ยงดูข้าคือท่านเหมยคนที่รักษาเจ้า ข้าเป็นคนรักของหวงตี้รัชกาลนี้ ชัดเจนพอหรือไม่” เจ้าขอทานกระพริบตาปริบๆอย่างงุนงง ข้ารินน้ำชาข้างเตียงอย่างไม่รีบร้อน ชาโมลี่ฮวาชั้นดีเช่นนี้คงเป็นของที่ท่านเหมยนำมา
“ข้าเล่าประวัติข้าแล้ว ถึงคราวของเจ้าบอกเรื่องราวของเจ้ามาให้ละเอียด เรื่องเมื่อวานข้ายังมีบางส่วนไม่กระจ่างแจ้ง” เด็กคนนั้นรีบละล่ำละลักตอบมิกล้าชักช้า
“ข..ข้ามีนามว่าซีหยาง อายุสิบห้าปี แต่เดิมข้าเป็นเด็กที่เกิดจากหญิงคณิกา เนื่องจากเป็นเด็กชายจึงถูกนำไปขายเป็นทาส กลายเป็นคนรับใช้อยู่หลายบ้านสุดท้ายกลายไปเป็นทาสพิษอยู่สองปี ข้าไม่อาจทนทานพิษของพวกเขาไหว ร่างกายอยู่ก็เหมือนตาย พอดีกับที่ทางคนเลวพวกนั้นหยุดกิจการพวกเขาตั้งใจจะกำจัดข้าแต่ข้าหนีออกมาได้ก่อน แต่กระนั้นร่างกายก็บอบช้ำไร้เรี่ยวไม่มีแรงขยับเขยื้อนสุดท้ายก็อดตายอยู่ข้างกองขยะ แต่ไม่ทราบว่าอย่างไรจู่ๆก็ตื่นมาในร่างท่าน”
ข้าพยักหน้าคราหนึ่งอดเวทนาเขาไม่ได้ ความทุกข์ยากที่เด็กคนนี้ผ่านมานับว่าสาหัสกว่าข้าอยู่มากนัก เราทั้งสองเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ ข้ากำลังคิดถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้วิญญาณของเราสองสลับกัน เด็กน้อยกลับผู้นั้นเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“ท่าน..เกลียดข้ามากหรือไม่”
“...เกลียด...?” ข้าถอนหายใจคราหนึ่งวางถ้วยชาลงมองเขา ท่าทีลังเลแลขลาดกลัวอย่างเด็กๆทำให้ใจข้าอ่อนลงอยู่หลายส่วน เจ้าขอทานอายุน้อยกว่าข้าสี่ปี..เด็กจะอย่างไรก็ยังเป็นเด็กล่ะนะ “ข้าไม่ได้เกลียดเจ้า...ข้าชังเจ้า”
“ช..ชังข้า?
“ชีวิตข้าถูกเจ้าช่วงชิงไป จะให้ข้ายิ้มแย้มสุขใจได้หรือ หากข้าบอกไม่ชังเจ้านั่นคือข้าปดเจ้าเสียแล้ว” เด็กน้อยผู้นั้นหน้าสลดลงวูบหนึ่งพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา
“ท่านอยากได้ร่างคืน?”
“แน่นอน ข้าย่อมอยากได้ “
“แต่ข้าไม่รู้วิธีคืนร่างให้ท่านแล้วเราจะคืนร่างกันอย่างไรเล่า..ห...หากว่าเราสลับร่างคืนไม่ได้จะทำเช่นไรดี” ข้าเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มือที่หมุนถ้วยชาหยุดลง
“ถึงตอนนัันหากไม่ได้ร่างคืนก็ช่าง แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าแย่งชิงอย่างอื่นไปจากข้า” ข้าจ้องมองเขากระตุกยิ้มอย่างเยือกเย็นดั่งคำเตือน “จำเอาไว้หลิวซีหยาง แค่ร่างกายข้ายอมยกให้เจ้าได้ แต่หัวใจของข้าข้าไม่มีวันมอบมันแก่เจ้า แม้ว่าเจ้าจะอยู่ในร่างข้าแต่ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าปีนขึ้นเตียงเขาเมื่อไหร่ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” ข้าจ้องมองเขาอย่างจริงจัง สายตาไม่ผ่อนปรนปราณีดั่งก่อนหน้า เด็กน้อยเงียบลงคราหนึ่งสุดท้ายเอ่ยพึมพำออกมาด้วยท่าทางขลาดเขิน
“ข..ข้าเป็นผู้ชาย ไม่ชมชอบบุรุษ”
“สำหรับข้าความรักใยต้องแบ่งแยกบุรุษสตรี คนที่เติบโตมาในตำหนักหมื่นวสันต์เรารู้เพียงแต่ว่าความรักมีเพียงรักกับไม่รัก คำว่าบุรุษหรือสตรีไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น” ข้าดมกลิ่นหอมอันสุขสงบจากถ้วยชาอันเรียบหรู เด็กน้อยไม่นั่งตัวเกร็งแล้วเขาขยับเข้ามาหาข้าใกล้ขึ้นกว่าเดิม
“ลำดับที่สองจำไว้ให้ดี หากอยู่ในร่างนี้เจ้าต้องรักษากริยาอยู่เสมอ สูงส่งเลิศล้ำคือเหวินฉีลี่ฉาง ห้ามเจ้ายิ้ม กินมูมมาม ซุ่มซ่ามซุกซน หากข้าเห็นข้าจะส่งยาขมมาให้เจ้าดื่มหลังอาหารทุกมื้อ” ข้าหยิกปรางค์งามของร่างตัวเองที่กำลังฉีกยิ้มอย่างประจบประแจง เจ้าหนูน้อยสะดุ้งโหยง
“ท..ท่านใจร้าย” เด็กคนนั้นทำสีหน้าหวาดกลัวได้อย่างน่ารัก ข้ามองใบหน้าของตัวเองที่ประเดี๋ยวเปลี่ยนสีก็นึกขัน
“เรื่องหวงช่างเจ้าไม่ต้องกังวล ช่วงนี้เขาจะไม่มาพบหน้าเจ้า ส่วนเจ้าก็หลีกห่างเขาเอาไว้ให้มาก”
“ดียิ่ง! ทุกคืนเขามานั่งข้างเตียงเอาแต่จ้องข้าจนข้านอนหลับไม่สนิทสักคืน” ข้าหลับตาลงอย่างรวดร้าวเมื่อคิดถึงความหลังเก่าก่อน ยามที่ข้าโกรธจะปีนขึ้นเตียงคลุมผ้าห่มไม่ขอพบหน้าเขา จิ่นสือนั่งอยู่ในที่ที่ข้านั่งอยู่ยามนี้เฝ้ามองข้าอย่างเงียบเชียบ มือข้างนั้นลูบตัวข้าผ่านผ้าห่มอย่างปราณี สัมผัสอ่อนโยนของเขายังตราตรึงราวกับพึ่งผ่านมาไม่กี่ราตรี
“ข้าขอโทษ..ท่าน..ท่านรักเขามากหรือ” ข้าลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าคลี่ยิ้มให้แก่เด็กเบื้องหน้าอย่างขื่นขม แม้แต่เด็กน้อยผู้หนึ่งยังรับรู้ถึงความเจ็บปวดของข้าได้
“ข้ารักเขา..รักมาก..มากจนไม่อาจตัดใจปล่อยมือจากเขาไปได้”
“ข้าขอโทษ..ข้าไม่ได้ตั้งใจมาอยู่ในร่างท่าน ถ้าข้าไม่มาท่านกับเขาคงได้รักกันไม่เจ็บปวดเหมือนตอนนี้” เด็กน้อยในร่างข้าพลันเกิดตาแดงขึ้นมากะทันหัน ข้ามองเด็กที่ปาดน้ำตาสะอื้นอย่างน่าสงสาร ความรู้สึกชิงชังเขาอ่อนลงไปหลายส่วนจึงได้ยิ้มละไมสายหนึ่งใช้ปลายนิ้วซับหยดน้ำตาให้เขาอย่างปราณี ไม่ลืมดุที่เขาทำท่างอย่างเด็กกะโปโลเหมือนคราวที่อาจารย์ดุข้า
“เด็กโง่ข้าเพิ่งเตือนเจ้าให้รักษากริยาอยู่หยกๆ”
อาทิตย์ยามบ่ายสาดแสงแรงกล้า ข้าเร่งฝีเท้ากลับคืนเรือนพักอาการปวดหัวตั้งแต่เมื่อวานยังคงไม่หายดีนัก อาณาเขตเรือนพักยังคงเงียบสงบแต่พี่จื่อหรงกลับไม่ปรากฏตัวเป็นดั่งสัญญาณบอกว่ามีบุคคลอื่นอยู่ภายในเรือนนี้ ข้าสลัดท่าทางเหนื่อยล้าทิ้งไปยืดตัวขึ้นตรงเดินเข้าไปด้านในอย่างสงวนท่าที เมื่อได้กลิ่นชาที่คุ้นเคยก็ยิ้มละไมขึ้นสายหนึ่ง
“ลี่ฉางกลับมาแล้วหรือ” ท่านเหมยนั่งอยู่ที่ห้องโถงเล็กด้านหน้า ท่าทีเยือกเย็นอย่างในตอนเช้าดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน ด้านข้างเขาคือหลี่ฮุ่ยเหอที่กำลังแสดงสีหน้ากังวลใจ ข้าหยุดยิ้มมองเขาสองคนสลับไปมาดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีนัก
“ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ฝ่าบาทประทานแพรขาวสามฉื่อ[6]แก่เฉวียนหวงกุ้ยเฟย[7]” ฮุ่ยเหอวางจอกน้ำดื่มลงถอนหายใจคราหนึ่งอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก ข้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจเรื่องร้ายแรงเพียงใดถึงต้องมอบความตายให้แก่นาง
“ในรายงานสำนักตรวจสอบบอกว่าเฉวียนเฟยเป็นผู้วางยาท่าน” ข้าส่ายหน้านี่นับเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างยิ่ง จริงอยู่เฉวียนหวงกุ้ยเฟยที่ข้ารู้จักเป็นคนร้ายกาจนางเคยลอบวางยาข้าสุดท้ายถูกจับได้มาแล้วครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นนางบังคับให้ขันทีน้อยที่ข้าเอ็นดูที่สุดเป็นผู้วางยาในอาหารข้าเพียงแต่ข้าจับได้เสียก่อนและไม่คิดจะเอาผิดอะไรนาง อีกอย่างข้าเอ็นดูเด็กคนนั้นรู้ว่าเขาถูกบังคับจึงสั่งให้ทุกคนที่รู้ปิดปากเงียบถือว่าแล้วกันไป กลับกลายเป็นว่าภายหลังจิ่นสืออ้างเรื่องที่ข้าอดอาหารคร่าชีวิตเด็กผู้นั้นไปกลายเป็นสาเหตุให้ข้าไม่พูดคุยกับเขา
“คนของเฉวียนหวงกุ้ยเฟยที่แฝงตัวอยู่ในตำหนักหลวงล้วนถูกกำจัดออกไปจนสิ้น อีกอย่างข้ามั่นใจว่านางไม่มีทางคิดฆ่าข้าอีก” บุตรชายคนเดียวของสกุลเฉวียนถูกส่งไปอยู่ชายแดนอย่างกะทันหัน ด้วยเป็นคุณชายหน้าขาวอ่อนแอผู้หนึ่งตรากตรำเดินทางจึงล้มป่วยลง แต่ข้ารู้ดีคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ย่อมเป็นเขา ราชโองการประทานรางวัลเลื่อนขั้นไปชายแดนไม่ต่างจากเนรเทศไปอยู่ในกรงขังของจิ่นสือ ตระกูลเฉวียนมีหรือจะกล้าคิดทำร้ายข้าได้อีกเมื่อมีลูกชายคนเดียวเป็นตัวประกันอยู่ในมือฮ่องเต้
“เช่นนั้นหากไม่ใช่เฉวียนหวงกุ้ยเฟยแล้วจะเป็นผู้ใด” ข้าสบตากับท่านเหมย หลังจากฟื้นตื่นในร่างนี้ข้าเคยสงสัยอยู่บ้างว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้วางยาสุดท้ายหลังจากไตร่ตรองถี่ถ้วนดีแล้วก็ได้ผู้ต้องสงสัยมาสองคน แต่ในครานี้เมื่อจิ่นสือเล่นงานเฉวียนเฟยข้าก็กระจ่างใจเสียแล้ว คนที่วางยาข้ามิใช่หวงโฮ่ว[8]แต่เป็นสวี่ไท่เฟย[9]...อดีตสนมของจักรพรรดิรัชกาลก่อน
จิ่นสือเชือดเฉวียนหวงกุ้ยเฟยเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่วังหลังแม้จะรู้ดีว่าเรื่องนี้นางไม่ผิด แต่เฉวียนหวงกุ้ยเฟยเป็นลูกหลานของตระกูลเฉวียนตระกูลข้างมารดาของสวี่ไท่เฟย เขาไม่แตะต้องไท่เฟยเพราะนางมีบุญคุณที่เลี้ยงดูมาแต่ยังเยาว์แม้จะไม่ใช่มารดาแท้ๆ จึงมาลงที่หลานสาวของนางแทน อีกอย่างตระกูลสวี่ในตอนนี้รากฐานคลอนแคลนคนในตระกูลถูกเข่นฆ่าไปก็มากเหลือหัวหงอกไม่กี่คน สู้มาลงที่ตระกูลเฉวียนที่กำลังเรืองอำนาจย่อมคุ้มค่ากว่ามาก
นี่ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องข้าแต่เขากำลังแสดงอำนาจในอีกทางหนึ่ง ข้าเริ่มเข้าใจคำสอนของอาเตียแลอาจารย์กระจ่างแจ้งขึ้นมาก เมื่อก่อนข้าเชือนแชการเมืองในราชสำนักวันๆใช้ชีวิตสำราญอยู่ในหมื่นวสันต์ แต่ในตอนนี้จะวางเฉยต่อไปไม่ได้ การกระทำของจิ่นสือในครานี้จะก่อให้เกิดรอยร้าวในราชสำนักมากขึ้น แต่เดิมตอนเป็นองค์ชายเหล่าขุนนางบุ๋นก็ไม่ฝักใฝ่ข้างจิ่นสือเรียกว่าไม่อยู่ในสายตา พลังของเขาล้วนมาจากแรงสนับสนุนของขุนนางบู๊ทั้งสิ้น
หลังจากเหตุการณ์แย่งชิงบัลลังค์ รัชทายาทถูกวางยาพิษ องค์ชายสามและองค์ชายห้าแก่งแย่งบัลลังค์เข่นฆ่าผู้คนไปมากมาย ในตอนนั้นจิ่นสือรุดกลับเมืองหลวงสุดท้ายยุติการต่อสู้อันบอบช้ำขึ้นครองบัลลังค์กลายเป็นหวงตี้รัชกาลที่สิบเจ็ด เฉลิมพระนามหย่งเสียนหวงตี้ เริ่มรัชสมัยเหยียนผิงเมื่อสองปีก่อน แรกขึ้นครองราชย์จิ่นสือถอนรากถอนโคนขุนนางกังฉินไปจำนวนมากทำเอาขุนนางน้อยใหญ่นอนหลับไม่สนิทเลยสักคืน เกิดความบาดหมางร้าวลึกในราชสำนัก ขุนนางบุ๋นบู๊ไม่เสวนาแยกฝั่งฝ่ายอย่างชัดเจน ระยะสองปีมานี้เกิดกบฎอยู่บ่อยครั้งพี่ร่วมสาบานทั้งสี่ของเขาวุ่นวายไม่ได้หยุดพัก มาถึงตอนนี้บัลลังค์เขายังไม่มั่นคง ข้าไม่อาจให้เรื่องของข้ากลายเป็นชนวนเหตุให้แผ่นดินต้าหลงลุกเป็นไฟขึ้นมาได้อีก
“ได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพหลี่ต้องไปจากเมืองหลวงหลายวัน” ท่านเหมยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยรอยยิ้มจางๆ ฮุ่ยเหอพยักหน้ารับ
“ใช่แล้วตอนนี้ข้าเหลือเวลาไม่มาก ฝ่าบาทให้ข้าเดินทางไปด่านตะวันออกเพื่อดูแลคุ้มครองคณะทูต” ข้าทราบมาจากท่านเหมยแล้วว่าคณะทูตในคราวนี้มาจากแคว้นผิง แคว้นผิงเป็นแคว้นที่อยู่ไกลทางตะวันออก ถูกคั่นไว้ด้วยทะเลทราย มีพวกชนเผ่าเร่ร่อนหลายกลุ่มคอยสร้างปัญหาให้ทั้งดินแดนต้าหลงแลต้าผิง ระยะหลังเคยได้ยินจิ่นสือบ่นเรื่องชนเผ่าเร่ร่อนเหล่านี้หลายครั้ง ทั้งสองแคว้นต่างต้องการกำจัดพวกมันเพียงแต่พวกมันชำนาญชายแดนอย่างยิ่ง ยามถูกทหารต้าหลงไล่ตามก็หนีเข้าไปในเขตต้าผิง เมื่อถูกต้าผิงกำจัดก็หนีมายังต้าหลง ถึงเวลาที่ทั้งสองแคว้นจะร่วมมือกันปราบปรามแล้วกระมัง
“ทางนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนที่อยู่ในร่างข้ามีนามว่าหลิวซีหยาง เขาเป็นเด็กขอทานไม่ประสาคนหนึ่งที่อดตายเพราะความหิวโหย จากที่ดูเขาเป็นคนหัวอ่อนว่าง่ายไม่ยากที่จะควบคุม” สีหน้าฮุ่ยเหอดูไม่ตื่นตระหนกคงทราบเรื่องนี้จากท่านเหมยแล้ว
“ท่านต้องระมัดระวังให้มากอย่าได้ประมาท” ข้าคลี่ยิ้มจางๆ รับทราบถึงความห่วงใยของเขา
“อย่าห่วงเลยข้าจะทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ จะไม่ชักนำภัยสู่สกุลหลี่แน่นอน” ฮุ่ยเหอพยักหน้า หยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงด้วยท่าทางองอาจสมเป็นแม่ทัพใหญ่
“เช่นนั้นข้าต้องไปเตรียมตัวแล้ว นายท่านเหมยโปรดรักษาตัว น้องสะใภ้ห้ารักษาตัวด้วย” ข้าพลันคลี่ยิ้มจางๆ นานแล้วที่เขาไม่ได้เรียกข้าว่าน้องสะใภ้ พลันรู้สึกคิดถึงเรือนไผ่อันสงบสุข รอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนของฮุ่ยหรงแลเจ้าดำของข้า
“ท่านเองก็เช่นกันโปรดรักษาตัวด้วย”
เชิงอรรถ
[1] ยาดีกินขมปาก – จริงๆแล้วประโยคนี้ผู้เขียนนำมากจากสามก๊ก ประโยคเต็มคือ ‘ยาดีกินขมปากแต่เป็นประโยชน์ต่อคนไข้ คนซื่อกล่าวคำไม่ไพเราะหูแต่เป็นประโยชน์ต่อการภายหน้า’
[2] จรรยาสามคุณธรรมสี่ – จรรยาสามและคุณธรรมสี่คือหลักการอันพึงปฏิบัติของหญิงสาวจีนในยุคโบราณ จำแนกเป็นจรรยาสามคือก่อนแต่งให้เชื่อฟังบิดา หลังแต่งให้เชื่อฟังสามี และเมื่อสามีตายจากก็ให้เชื่อฟังลูกชาย คุณธรรมสี่คือรูปร่างหน้าตาจะต้องสะอาดสะอ้าน อีกทั้งกริยามารยาทเพียบพร้อม กล่าวมธุรสวาจา อีกทั้งการบ้านการเรือนไม่ขาดตกบกพร่อง
[3]นอกเขายังมีเขา – นอกเขายังมีเขาเป็นสำนวนจีน ประโยคเต็มคือ นอกเขายังมีเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า (山外有山,天外有天) โดยในเนื้อเรื่องปรับเป็นนอกเขายังมีเขา เหนือเหวินฉีลี่ฉางยังมีท่านเหมย
[4] ยามซือ – เวลา 9.00 – 10.59 นาฬิกา
[5] สารทฤดู – ฤดูใบไม้ร่วง
[6] แพรขาวสามฉื่อ (白绫三尺) – แพรขาวที่จักรพรรดิประทานให้สตรีในวังหลังผู้ต้องโทษตายเพื่อจบชีวิตตนเอง
[7] หวงกุ้ยเฟย (皇貴妃) – หมายความว่าพระอัครราชเทวีผู้สูงศักดิ์ในองค์จักรพรรดิตำแหน่งรองลงมาจากฮองเฮา เป็นพระมเหสีรองซึ่งมีอำนาจในการปกครองวังหลังรองจากฮองเฮา ตำแหน่งนี้จึงมีได้เพียง 1 คน
[8] หวงโฮ่ว (皇后) - ตำแหน่งจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันของจักรพรรดิ มักรู้จักกันในชื่อ "ฮองเฮา" พระอัครมเหสีเอกซึ่งมีตำแหน่งเดียวและมีศักดิ์สูงสุดในการปกครองฝ่ายใน ไม่นับรวมขั้นกับพระชายาและพระสนมอื่นๆ
[9] หวงไท่เฟย (皇太妃) หรือ ไท่เฟย (太妃) – พระชายาหรือพระสนมผู้มีชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่ให้กำเนิดพระโอรสผู้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ไม่สามารถขึ้นเป็นฮองไทเฮาได้แต่จะได้รับตำแหน่งเป็นไท่เฟย ซึ่งเป็นตำแหน่งรองจากฮองไทเฮาอีกขั้นแทน อีกกรณือพระเทวีชายาหรือพระสนมที่เป็นพระมารดาเลี้ยงให้แก่จักรพรรดิตั้งแต่ยังเป็นองค์รัชทายาท เมื่อทรงขึ้นครองราชย์แล้วอาจจะแต่งตั้งพระมารดาเลี้ยงให้มีตำแหน่งไท่เฟยได้เช่นกัน
ทักทายนักอ่าน
สวัสดีค่านักอ่านที่น่ารักทุกคนวันนี้เมษามาเสิร์ฟตอนที่สิบร้อนแล้วค่า เนื้อเรื่องตอนนี้กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยเพราะเดินทางเข้าสู่องก์สองของเรื่องแล้วนะคะ องก์สองนี้จะเริ่มเข้าสู่การเมืองในราชสำนักขึ้นเรื่อยๆ จริงๆมีรายละเอียดค่อนข้างซับซ้อนมากกว่านี้ แต่เนื่องจากเมนหลักของเรื่องเป็นโรแมนติคดราม่าเนื้อความรักไม่ใช่การเมืองเลยยัดเข้ามาพอให้เข้าใจสถานการณ์กันคร่าวๆ อีกอย่างคือตัวลี่ฉางเป็นประเภทไม่สนใจการเมืองอยู่แล้วด้วยเลยทำให้เขียนได้ยากขึ้นไปอีก
ส่วนน้องซีหยางของเรามีบทแล้วๆๆ >< จริงๆขอชี้แจงอย่างนึงนะคะ อายุสิบห้าของยุคนี้ไม่เรียกเด็กถือว่าโตพอที่จะสร้างครอบครัวแล้ว สาวๆนี่ออกเรือนตั้งแต่สิบสาม(วัยเริ่มมีประจำเดือน) อย่างรัชทายาทที่ตายไปก็มีลูกชายตั้งแต่อายุสิบสี่ จิ่นสือของเราก็เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่สิบสี่เช่นกัน แม้แต่ลี่ฉางก็ขึ้นตำแหน่งเป็นอันดับหนึ่ง(พูดง่ายๆคือเริ่มรับแขกถึงแม้ว่าในทางปฏิบัติจะไม่ได้รับแขกจริงๆและส่วนมากคนในหมื่นวสันต์จะเริ่มตอนอายุสิบห้าปี)ตั้งแต่อายุสิบสอง เพียงแต่น้องซีหยางของเราโมเอ้เกินไป ดาเมจลี่ฉางรัวๆ ฉางๆเลยเอ็นดูนางมากเรียกแต่กระต่ายน้อง หนูน้อย เด็กน้อย 5555555
ส่วนคู่จิ่นสือลี่ฉางยิ่งเขียนยิ่งมีโมเม้นท์ ด้วยความที่ว่าเขาผูกพันกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนี้มือลั่นสั่นรัวๆอยากเขียนพาร์ทอดีตของจิ่นสือคนช่างตื๊อกับลี่ฉางคนซึนจริงๆเลย >///<
-
เย้ๆๆๆๆๆ ได้อ่านแล้ว~~~ ชอบมากๆเรื่องนี้
-
โอ๊ยตอนนี้ลี่ฉางนางน่ารัก กระต่ายน้อยก็น่ารักอะค่ะ แต่ไม่ใช่ไทป์5555
-
ดูท่าตอนหน้าเนื้อเรื่องจะเข้มข้นน่าดูชม
-
รออ่านตอนต่อไปจ้าา
-
อ่านถึงตอนที่ 10 แล้วชอบมากเลยค่ะ เลยอยากถามว่า จิ่นสือนี่คู่กับลี่ฉางแน่ๆ ใช่มั้ยคะ ถึงตอนนี้จะสลับร่างกันก็เถอะ
ตอนจบคงไม่หักมุมให้จิ่นสือหันมาชอบซีหยางนะคะ เราคงช้ำใจมาก TT
-
ซีหยางจะไม่หักมุมตอนหลังใช่มั๊ย
แบบว่ายึดติดกับความสบายและร่างกายสวยๆไรงี้ :a5:
-
:katai2-1: :katai2-1:
-
อร๊ายย คนเขียนอยากเขียนพาร์ทอดีต เราก็อยากอ่านเหมือนกัน :o8: มองข้ามดราม่าไปเพราะพูดถึงมันจะเศร้า ซีหยางก็เป็นเด็กอะเนอะ จะโกรธก็โกรธไม่ลง เริ่มปันใจละ
ปล เราชอบเชิงอรรถ ที่มีท้ายเรื่องมากๆ
-
น่าเอ็นดูทั้งลี่ฉางและซีหยาง
-
โอย อยากรู้แล้ว หลังจาก อุบัติเหตุ ที่ทั้งสองเจอกันในคืนที่ จิ่นสือโดนยา จน มาลักพาตัวลี่ฉาง ไปกักขัง มันเป็นมายังไง ทำไมฝ่ายนึงถึงรักมาก อีกฝ่ายกลับ เกลียดมากๆ
-
สนุกมากกกกกกกกกก
-
คือเดาทางออกของเรื่องนี้ไม่ได้เลยค่ะ บอกตรง ๆ
เพราะตามท้องเรื่อง วิทยาการก็ไม่น่าจะล้ำหน้า แถมการเดินเรื่องยังออกจะเน้นความสมจริงสมจังเสียอีก
เราเลยไม่รู้ว่าลี่ฉางจะกลับเข้าร่างเดิมได้ยังไง... หรือลี่ฉางในร่างซีหยางจะโมดิฟายตัวเองใหม่ให้กลายเป็นชายหนุ่มที่คู่ควรกับองค์ฮ่องเต้ก็ไม่รู้ โฮววว! มืดแปดด้านจนอยากจะอ่านตอนต่อไปเร็ว ๆ เสียเหลือเกิน
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ ๆ คนทางนี้รออยู่เยอะเลย!! :กอด1:
-
สนุกๆ ชอบบบบบบบบบบบบบบ :impress2: :impress2: :impress2:
มาต่อเร็วๆน๊าาาาาาาาาาาา
-
สนุกมากเลยค่ะ อ่านเพลินมาก :mew1: ติดตามๆ
เดาเนื้อเรื่องไม่ออกเลยว่าจะไปทางไหน :hao4:
สงสารน้องขอทานนะ ถ้าเกิดไม่สลับร่างชีวิตจะแย่กว่านี้รึเปล่า
-
ตอนแรกว่าจะนอนแล้ว แต่อ่านได้ตอนนึง ดันติด อ่านยาวจบสิบตอนเลยค่า 55555
คือหานิยายแนวจีนที่เลอค่าแบบนี้มานานแล้ว คือภาษาสวยมาก ตัวละครมีมิติ เป็นสีเทาๆ
รู้สึกว่ามีความเป็นมนุษย์และสมเหตุสมผลจริงๆ แล้วก็ยังโครงเรื่องแปลกด้วยแหละ เดาต่อไม่ถูกเลยค่ะ
ปกติไม่ถนัดนิยายจีนค่ะ เพราะจำชื่อยาก ศัพท์แสงเยอะเหลือเกิน แต่แบบเรื่องนี้ชอบบบบบบบบอ่ะ ชอบมากๆ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ o13
ปอลิง ไม่ทราบว่าคุณคนเขียนเคยอ่านเรื่อง พันธนาการแห่งสายน้ำ ไหมคะ คือเห็นแต่งแนวพีเรียดจีน คิดว่าเรื่องนี้น่าจะชอบ เลยลองแนะนำน่ะค่า เผื่อยังไม่เคยอ่าน
มาต่ออีกน้า :pig4:
-
ดีงาม เลอค่า สองคำนี้ช่างเหมาะสมกับนิยายเรื่องนี้เหลือเกิน ภาษาสวย สำนวนดี คำผิดน้อย เนื้อเรื่องก็วางโครงมาดี คือชอบอ่ะ โดยส่วนตัวชอบอ่านพีเรียดจีนอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเรื่องนี้ยิ่งรู้สึกเหมือนเจอคู่แท้ที่ตามหามาเนิ่นนาน หวังว่าคนแต่งจะไม่ทิ้งเราไปไหนนานๆนะ อาทิตย์ละครั้งก็ยังดี :mew1:
-
ปัก
ปูเสื่อรอ
-
กำลังติดเลย สนุกมากกกกกก
เราเข้ามารอทุกวันเลยนะ
-
ขอบคุณมากนะคะ ต้องค่อยๆอ่านทำความเข้าใจไปด้วย เรื่องชื่อตัวละครค่อนข้างจำยาก เนื่องจากเราไม่ค่อยอ่านนิยาย จีนเท่าไหร
-
สงสารทุกคนเลยแหะ เรื่องนี้ไม่มีใครไม่เจ็บปวดเลย
โดยเฉพาะ จิ้นสือ กับ อีฉาง อยากให้กลับร่างได้ไวๆ
จะได้เลิกเต็บปวดสักที แค่นี้ก็เจ็บมาเยอะแล้ว
-
เป็นกำลังใจให่คนเขียน จะเป็นยังไงต่อไปนะ อยากรู้ๆ
-
ส่องแล้วส่องอีก เข้ามาให้กำลังใจค่ะ เรื่องนี้สนุกมาก ครบนสจริงๆ เป็นนิยายเรื่องแรกเลยที่เราคิดจะซื้อหลังจากที่อ่านออนไลน์
-
(http://www.mx7.com/i/d02/4pQXbN.jpg)
ตอนที่ ๑๑ คืนจันทร์ไร้ดาว
ข้ายืนนิ่งอยู่หน้าระเบียงสายลมยามราตรีพัดเยือน ต้นไม้นอกตำหนักหลวงเอนไหวราวถูกมือยักษ์จับเขย่า เจ็ดราตรีแล้วที่เขาไม่มาเยือน เป็นเจ็ดราตรีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทั้งข่าวเรื่องเหวินฉีลี่ฉางป่วยหนักเก็บตัวรักษาแม้แต่ท่านเหมยยังไม่พบหน้าประสาอะไรกับจักรพรรดิที่ถูกปิดประตูไล่ ทั้งเรื่องที่หวงตี้เบื่อหน่ายคนงามผู้เอาใจยากจนไม่ย่างกรายเข้าใกล้ตำหนักแม้เพียงก้าว ขุนนางน้อยใหญ่ล้วนยิ้มหน้าบานจัดหาสาวน้อยงดงามขัดสีฉวีวรรณยกใหญ่หวังส่งเข้าวังหลัง ผู้ใดไหวพริบสูงหน่อยก็จัดหาบุรุษหน้าตางามดั่งหยกหวังจะส่งมาอยู่ข้างกายเขา
สตรีวังหลังเองหรือจะอยู่เฉย พวกนางเป็นดั่งบัวแล้งน้ำมานานปี ล้วนริษยาชิงชังแช่งชักหักกระดูกให้ข้าป่วยตายอยู่ทุกวี่วัน เมื่อจู่ๆพิรุณโปรยปรายต้องกลีบปทุมมาลย์ยังความชุ่มชื้นมาสู่ผืนดินแห้งแล้งโดยมิคาดฝันมีหรือจะไม่ไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้ ได้ยินมาว่าเจ็ดวันนี้กลสาวงามสารพัดถูกขุดขึ้นมาใช้มากมายนัก
ทั้งสนมหม่าที่บังเอิญเป็นลมล้มพับขวางทางเสด็จของจักรพรรดิ ฝ่าบาทไม่ทรงกริ้วแต่ประทานยาพร้อมฝากรับสั่งห่วงใย สนมหลิงร่ายรำในสวนบังเอิญพบเข้ากับหวงช่าง วันต่อมาได้ผ้าไหมชั้นดีหลายหีบพร้อมคำชมเชย สนมลู่บังเอิญดีดพิณขับลำนำดังเข้าสู่พระกรรณ วันรุ่งขึ้นหยกล้ำค่าหลายชิ้นก็ถูกประทานแก่นาง เมื่อเช้านี้ระหว่างเดินทางไปท้องพระโรงบังเอิญพบเข้ากับสนมฉินที่ไล่ตามลูกสุนัขหลงเข้าไปยังพระราชฐานชั้นนอก ไม่เพียงไม่เอาผิดยังประทานกระพรวนทองให้แก่เจ้าสุนัขตัวนั้น ผู้เป็นเจ้าของมีหรือจะไม่ยิ้มหน้าบาน
เจ็ดวันมานี้ภายในวังหลวงสนุกครึกครื้นไม่น้อย ตัวข้าก็มีเรื่องให้จัดการมากมายนัก ต้องคอยจับตาดูเจ้าเด็กตัวปลอมผู้นั้นไ่ม่ให้ซุกซนเสียกริยา รู้สึกคล้ายว่าเวรกรรมนี่ช่างติดตามได้รวดเร็วเหลือเกิน เหมือนเมื่อวันก่อนเพิ่งวิ่งซุกซนเป็นมารน้อยให้ท่านเหมยและพี่จื่อหรงปวดเศียรเวียนเกล้า มาวันนี้ต้องมาคอยดูแลเจ้าเด็กตะกละทั้งยังซุกซนยิ่งกว่าสิงเจ่อ[1] มองร่างตัวเองที่งดงามเลิศล้ำทำตัวกระโดกกระเดกประหนึ่งลิงแล้วนึกอยากหยิบแส้มาเฆี่ยนเจ้าเด็กตัวร้ายสักทีสองที
นอกจากเรื่องในตำหนักหลวงที่ต้องจัดการ ยังมีเรื่องของหอเหมยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อท่านเหมยได้เปิดเผยว่ามีศิษย์ผู้อื่นนอกเหนือจากเหวินฉีลี่ฉาง ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาทุกคนล้วนคาดไว้แล้วว่าตัวข้าต้องกล้ายเป็นผู้ดูแลหอสืบทอดนามเหมยฮวาต่อจากอาจารย์ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นแม้ผู้อื่นไม่แสดงท่าทีตกตื่นใช่ว่าจะสงบเงียบอย่างที่ตาเห็น มีคนมากมายกำลังพยายามสืบหาตัวศิษย์ลึกลับผู้นั้น แต่พยายามกันไปเถิดสุดท้ายพวกเขาล้วนต้องกลับไปมือเปล่า...ซ่อนดอกไม้ไว้ในดงบุปผา ซ่อนเหวินฉีลี่ฉางไว้กับเหวินฉีลี่ฉาง ชาตินี้คงจะหาพบได้โดยง่ายดอก
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเฉวียนหวงกุ้ยเฟยที่ถูกลบเลือนออกไปจากบันทึกพระราชวังอย่างเงียบเชียบ ตำหนักโอ่อ่ากลับกลายเป็นตำหนักร้างเพียงชั่วข้ามคืน สวี่ไท่เฟยถึงกับล้มป่วยลงกระทันหัน ตอนนี้ตระกูลเฉวียนมีหรือจะข่มตานอนหลับได้สนิท ยิ่งข่าวจากชายแดนแว่วมาเป็นระยะว่านายน้อยเฉวียนผู้นั้นเพิ่งทำผิดกฎลอบหลบหนีจากกองทัพ ยังดีที่โดนโทษสถานเบาโดนเฆี่ยนไปสิบยี่สิบทีใส่ตรวนไม่ให้ข้าวให้น้ำอยู่สามวัน โชคดีที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ว่าตระกูลเฉวียนคงไม่พ้นกลายเป็นตระกูลซึ่งสิ้นวาสนาไปอีกหนึ่งตระกูลแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ก็อดถอนหายใจออกมาคราหนึ่งไม่ได้ ตัวข้าไม่เคยคิดอยากเข้ามายุ่งกับความวุ่นวายเหล่านี้แม้ซักนิด การเมืองเช่นนี้น่าปวดหัวออกดุจดั่งการมองหมากบนกระดานอันซับซ้อนยุ่งเหยิงไม่เป็นแบบแผน ตัวหมากไม่มีดำขาวกลับเป็นตัวหมากสีเทาอันอิสระเสรีควบคุมได้ยากยิ่ง..ไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย
ตอนจิ่นสือขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ กวาดล้างขุนนางกังฉินไปมากมายเท่าไร สี่ตระกูลใหญ่ที่เคยเรืองอำนาจตอนนี้นับเป็นอะไรได้ คนคุ้นหน้าล้มหายตายจาก สายใยอำนาจที่พัวพันยุ่งเหยิงถูกตัดขาดสะบั้นอย่างไม่ใยดี เส้นบางๆระหว่างมหาราชและทรราชย์นั้นเปราะบางยิ่งนัก สมควรเรียกว่าโชคดีหรือเตรียมการมาดีเพราะทุกบ้านที่เขาสั่งประหารล้วนแต่มีความผิดเป็นหลักฐานยืนยันชัดเจน ประชาชนที่ถูกกดขี่มานานล้วนเป็นแรงหนุนให้เขาจัดการคนเหล่านั้นได้โดยชอบธรรม
ข้าเผลอใจลอยครู่หนึ่งทอดมองผ่านความมืดออกไปยังนอกระเบียง โคมไฟดวงน้อยดวงหนึ่งอยู่ไกลลิบ เห็นดังนั้นจึงจัดชุดขาวสะอาดให้เข้าที่หมุนกายกลับสู่ห้องหนังสือ ข้างตั่งนอนมีหนังสือตำรามากมายทั้งที่เปิดอ่านไว้ระเกะระกะและบางส่วนถูกกองไว้ด้านข้างอย่างสงบเรียบร้อย ถัดไปเป็นกระดานหมากที่เดินไว้ยุ่งเหยิงยากแก้ไขได้โดยง่าย ข้าดับตะเกียงเอนกายนอนบนตั่งไม้ กลิ่นกำยานหอมสงบทำให้ผ่อนคลายชวนง่วงแต่สติยังสดใสแจ่มชัด
เพียงชั่วครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเปิดประตูพร้อมกับแสงไฟ ได้ยินเสียงชายผ้าเสียดสีแลกลิ่นอันคุ้นเคยของของบุรุษผู้หนึ่งลอยมาแตะนาสิกแต่ตอนนี้ทำได้เพียงอดทนข่มกลั้นแสร้งหลับต่อไป ผู้มาเยือนนั้นอยู่ไม่ไกลนักดูท่าคงกำลังสนใจพิศมองกระดานหมากอยู่กระมัง ได้ยินเสียงเม็ดหมากกระทบกระดานอยู่ครู่หนึ่ง ฟังเสียงเขาเผลอครางอืมในลำคออย่างสุขุม หัวใจข้าก็พลันอบอุ่นราวกับได้ย้อนไปในช่วงเวลาเก่าก่อน
เผลอหรี่ตาขึ้นมองแผ่นหลังกว้างของเขา แสงไฟทอดละมุนทำให้ความเข้มคร้ามดูอ่อนโยนลงหลายส่วน แผ่นหลังที่เองที่ข้าเคยอิงแอบ รอยแผลเป็นกี่รอยบนร่างเขาข้าจำได้ขึ้นใจ เงาร่างเขาในยามนี้ดูราวกับย้อนไปในครั้งอดีต ทุกค่ำคืนต้องตื่นมาพบแผ่นหลังของเขานั่งตรวจฎีกาอยู่ข้างเตียงตั้งแต่ดึกดื่นจนตะวันใกล้เยือนฟ้า พลันนึกอยากรู้ว่าหากเอ่ยเรียกนามเขา ‘จิ่นสือ’ อย่างแต่ก่อน เขาจะวางมือจากหมากกระดานนั้นแล้วลุกมาจุมพิตข้ากล่อมให้หลับ หรือจะลงดาบให้ข้าตกตายฐานที่กล้าดูหมิ่นเบื้องสูง
พิศมองแผ่นหลังกว้างอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องหลับตาลงเมื่อเขาเริ่มขยับตัว เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ข้าขึ้นทุกทีจนรู้สึกได้ว่าอยู่ไม่ไกลนัก เสียงกระดาษถูกพลิกเปิดดังขึ้นหลายครั้กระทั่งเงียบลงไป หัวใจข้าเต้นแรงขึ้นอย่างมิอาจควบคุมเมื่อเขาหย่อนตัวลงมานั่งด้านข้าง นิ้วเรียวคุ้นเคยสัมผัสบนใบหน้าอย่างเชื่องช้าเมื่อมือของเขาเลื่อนขึ้นมาแตะที่หน้ากากเงินข้าพลันลืมตาขึ้น แสร้งทำเหมือนคนเพิ่งตื่นได้อย่างแนบเนียน
“ฝ่าบาท?”
“ทำไมเจ้าถึงมานอนอยู่ที่นี่?” มือคู่นั้นละออกไปอย่างรวดเร็ว แสงตะเกียงส่องสะท้อนใบหน้าเขากลายเป็นเงาดำมืดทะมึน เป็นผู้อื่นคงตกใจจนขวัญบินหนีหมดเสียละกระมังยามเห็นเขาทำใบหน้าเคร่งขรึมดุดัน ข้าลุกลงจากตั่งหมอบต่ำแทบเท้าเขากล่าวรายงานด้วยความใจเย็น
“หลายวันมานี้คุณชายลี่ฉางอนุญาตให้กระหม่อมเข้ามาศึกษาตำรายาจากห้องหนังสือเพื่อหาวิธีรักษาอาการป่วยบ่อยครั้งที่อ่านตำราดึกดื่นคุณชายจึงให้กระหม่อมพักผ่อนอยู่ที่นี่พะย่ะค่ะ”
“ถึงกับกล้าให้ผู้อื่นพักในห้องนี้..”ท่าทีอดทนอดกลั้นไม่ดึงข้าไปบีบคอนี่ช่างน่าขำ คนผู้นี้ใยจึงขี้หึงขี้หวงได้น่ารักถึงเพียงนี้กันหนอ ข้าแสร้งหมอบต่ำลงกว่าเดิมราวกับจะแทรกหายไปบนพื้น บุรุษขี้หึงก็ยังไม่กล้าผลุนผลันออกไปโวยวายยังห้องนอนที่อยู่อีกฝั่งของตำหนัก ก็ไม่แปลกนักเพราะตอนนี้มันยามโฉ่ว[2]แล้วเขาจะกล้ารบกวนผู้ที่หลับใหลอยู่ในห้องนั้นได้อย่างไร คิดถึงตรงนี้ก็อดจะอมยิ้มกับความใส่ใจของเขาไม่ได้
“ช่วงนี้อาการของลี่ฉางเป็นอย่างไรบ้าง” บุรุษในชุดมังกรทิ้งตัวลงบนตั่งที่ปูด้วยขนจิ้งจอก ท่าทางเคร่งขรึมซ่อนความเคร่งเครียดเอาไว้เห็นเขานวดขมับติดกันหลายครั้งก็พลันปวดใจ เมื่อก่อนไม่ได้ห่วงใยดูแลมีเพียงเขาเป็นฝ่ายกังวลเรื่องข้า ถึงตอนนี้นึกอยากจะดูแลก็มิอาจทำได้เหมือนเก่า
“อาการของคุณชายสงบลงบ้าง แต่มีท่าทางหวาดกลัวผู้อื่นเป็นพักๆ นิสัยยังสะดุ้งตกใจง่าย คาดว่ามิอาจหายเป็นปกติได้ในเร็ววันพะย่ะค่ะ” เนตรคมกริบคู่นั้นหลับตาลงคราหนึ่ง ถอนพระปัสสาสะออกมาเฮือกใหญ่ ท่าทางทุกข์ตรมที่ซ่อนอยู่ใต้พักตร์เรียบเฉยมีหรือคนข้างหมอนเขาจะมองไม่ออก
“หากปล่อยเขากลับไปอยู่หมื่นวสันต์ อยู่ให้ห่างไกลจากข้า ไม่ต้องทนอยู่ในตำหนักแห่งนี้ที่เขาชัง ไม่ต้องทนอยู่ใช้อากาศร่วมกับข้า..อาการเขาจะดีขึ้นหรือไม่” ประโยคนี้ยากนักจะจำแนกว่าเขาพูดด้วยอารมณ์ใด ฟังดูคล้ายประชดประชันหนึ่งส่วน จริงจังอีกหนึ่งส่วน แข็งกระด้างและอ่อนแออีกหนึ่งส่วน พิจารณาอยู่ชั่วอึดใจไม่ทราบว่าควรยินดีที่เขาไม่แทนตัวเองอย่างห่างเหินว่า 'เรา' หรือสมควรสำนึกเสียใจที่กรีดหัวใจเขากลายเป็นแผลได้อีกหนึ่งรอยแล้วดี สุดท้ายได้แต่รำพึงคำแสนสั้นคำหนึ่งอันเปี่ยมไปด้วยความขมขื่น
“ฝ่าบาท..”
ท่าทางเขาคล้ายเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดท่าทีอันไม่สมควรให้คนนอกได้พบเห็นออกมา ดวงตาคมกริบกลับลุกโชนแสง ใบหน้าหล่อเหลายิ่งนิ่งเฉยเย็นชาประดุจรูปปั้น เอ่ยวาจาวางอำนาจออกมาด้วยท่าทีของจักรพรรดิไม่ใช่ชายที่ตัดพ้อคนรักอย่างเมื่อครู่
“แต่ถึงอย่างนั้นชาตินี้เขาต้องอยู่ที่นี่ไปจนตาย อยู่กับคนที่เขาชังไปกว่าจะสิ้นลมหายใจ ดังนั้นหากเจ้ารักษาเขาไม่ได้ก็ทนอยู่ที่นี่ไปจนตายเสียเถอะ!” ข้าลอบหัวเราะอยู่ในใจ อยู่ที่นี่ก็ดีได้อยู่กับท่านข้ายังจะปรารถนาสิ่งใดอีกเล่า มองเขาสะบัดเศียรอยู่หลายครั้งหลายครา ครู่ต่อมาร่างสูงใหญ่ที่ทอดอิริยาบถบนตั่งเตียงก็ผล็อยหลับไป
ข้าลุกจากพื้นมานั่งเคียงกายเขาอยู่ครู่หนึ่ง จุมพิตตามใบหน้าคมคร้ามกร้านแดดอย่างคะนึงหา ตรงหว่างคิ้วหยักลึกเป็นร่องทำให้ใบหน้าทวีความดุดัน จมูกโด่งเป็นสันที่ทำให้ใบหน้านี้ยิ่งดูหล่อเหลาแข็งแกร่ง เมื่อก่อนตอนเป็นองค์ชาย นางกำนัลต่างพากันหลีกรี้หนีหน้าเพราะเขาไว้หนวดราวกับคนป่า ผิวคล้ำดำด้วยแดดกว่าตอนนี้อยู่มาก ร่างกายเหมือนแผ่รัศมีดุดันองอาจไม่น่าคบหาอย่างพวกองค์ชายอื่นๆ มองดูเขาตอนนี้แตกต่างจากหลงจิ่นสือที่ข้าเคยพบเมื่อเจ็ดปีก่อนราวกับกลับฝ่ามือ
ยามทอดกายนอนลงข้างเขาชวนให้นึกถึงวันเก่า ตอนนั้นเป็นปีแรกที่มาอาศัยตำหนักหลวงเป็นบ้าน เขาหวงข้าจนไม่อยากให้ก้าวออกจากตำหนัก ชีวิตในตอนนั้นน่าเบื่อหน่ายจนต้องมาขลุกอยู่ในห้องหนังสือที่มิเคยชมชอบ บนชั้นหนังสือเมื่อก่อนมีแต่ตำรายุทธศาสตร์เห็นแล้วพาลครั่นเนื้อครั่นตัว โชคดีที่ตอนนั้นได้ตำรายามากมายหลากหลายมาจากแพทย์หลวงมาอ่านคลายเบื่อ กระทั่งรู้ตัวอีกทีครึ่งหนึ่งของตู้ก็เต็มไปด้วยตำรายาเสียแล้ว บางครั้งเผลออ่านดึกดื่นหนังสือกระจัดกระจายไม่เรียบร้อยไม่ได้ต่างอันใดจากสภาพห้องในตอนนี้ ไม่ทราบเขาจะยังจำได้หรือไม่
ตั่งตัวนี้ก็เช่นกัน..ตอนนั้นชังเขาจนไม่อยากเห็นหน้าหนีมาอยู่ในห้องหนังสือคนหน้าไม่อายผู้นี้ยังตามมานอนด้วย เมื่อก่อนตั่งตัวเดิมเล็กกว่าปัจจุบันหลายเท่ายังจะดึงดันมานอนร่วมตั่งเตียง สุดท้ายตั่งตัวนั้นร้าวกลายเป็นเรื่องน่าขายหน้าอีกเรื่องทุกครั้งที่นึกถึง พิศมองใบหน้าเขา..กอดร่างกายเขา..สูดดมกลิ่นของเขา ครุ่นคิดเรื่องราวก่อนเก่าจนหลับไปครู่หนึ่ง กระทั่งเสียงเคาะเกราะไม้บอกเวลายามเหม่า[3] ข้าลุกขึ้นจากตั่งเตียงกระชับผ้าห่มบนร่างสูงใหญ่ ด้านนอกเงียบสงัดไร้ผู้คนมีเพียงพี่จื่อหรงยืนนิ่งรอคอย
“ข้าบอกให้พี่ไปพักผ่อนก่อนมิใช่หรือ”
“ข้าไม่วางใจ”
“เขาโดนฤทธิ์กำยานของข้าไปจะตื่นได้หรือ” ข้าคลี่ยิ้มจางๆให้คนขี้ห่วง หันกลับไปมองห้องนั้นอย่างอาวรณ์คราหนึ่งหมุนตัวกลับคืนเรือนพัก ยิ่งก้าวเท้าห่างจากห้องนั้นไกลเท่าไหร่ หัวใจยิ่งรู้สึกอ้างว้างมากขึ้นเท่านั้น..
-
รออีกๆ
-
:hao5:เศร้ามากมาย สงสาร จิ่นสือ
-
หายไปนานเลยยยยย
-
คิดไม่ออกจริงๆ ว่าหลีฉางจะกลับร้างยังไง
-
จะได้กลับคืนร่างมั้ยนะ :ling1: :ling1:
-
ยังคงเดาเรื่องไม่ออกว่าจะรักกันได้ยังไง
อยากให้ลี่ฉางคงอยู่ร่างนี้ให้ท่านเหมยรักษาร่างให้หาย เหยแบบอยากให้รักกันที่จิตใจอ่า ไม่ใช่มารักมาหลงกันแค่รูปร่างหน้าตา
-
อาดูรจิ่นสือ ชีวิตจะได้มีความสุขไหมหนอ...
-
ลุ้นว่าจะลงเอยกันได้ยังไง รีบมาต่อด่วน :call:
-
สงสารทั้งหลีฉาง ทั้งจิ้นสื่อเลย
เมื่อไรจะได้อยุ่ด้วยกันนะ
-
เอาใจช่วย
-
:sad4: นึกว่าจะไม่มาอีกซะแล้ววว ดีใจจจ
-
เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก เดาทางเรื่องยากมากเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ มาต่อตอนต่อไปเร็วๆนะ
-
ตอนนี้สงสารจิ่นสือที่สุด
ตรากตรำงานหนัก
คนที่รักเดิมก็ห่างเหินไม่ใส่ใจ มาตอนนี้ยิ่งหวาดกลัวหนีหน้า
โหดร้ายเหลือเกิน
-
ฮืออออ สนุกกก อยากอ่านตอนต่อไปแล้วค่าา มาต่อเร็วๆน้า
-
โอ้ยยย เป็นคนชอบอ่านแนวจีนโบราณมาก นี่เนื้อหามาแน่นมากเลยค่ะ
ชอบมากเลย นักเขียนข้อมูลแน่น :hao5: ดูท่าดราม่านี้น่าจะยาวนานแน่ๆเลย จะได้รักกันมั้ยยย
นี่คือบทพิสูจน์ความรักใช่มั้ยย :sad4:
-
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน ตามสัญญาจริงๆวันนี้ต้องอัพนิยาย แต่เนื่องจากช่วงนี้เมษาติดธุระเรื่องการสอบทำให้ไม่สามารถแต่งได้ ต้องขอโทษนักอ่านทุกท่านมากๆเลยค่ะ เราจะหยุดอัพเดทนิยายเรื่องนี้สองอาทิตย์นะคะ จนกว่าการสอบจะเสร็จสิ้นลง ต้องขอโทษอีกครั้งจริงๆ ที่ทำให้ทุกท่านคอย สัญญาว่าจะไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้นะคะ แต่ช่วงนี้อาจต้องรอกันหน่อย เพราะสำหรับเราเทอมนี้เป็นเทอมที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัสเลย ถ้าเสร็จสิ้นภารกิจจะรีบกลับมานะคะ :mew6: :hao5:
-
สัญญาว่าจะรอ..... :ling1:
-
รอค่ะรอออ ฉันจะรอพี่ที่เล้าเป็ดทุกวันเลยนะ //น้ำตาไหลพรากพร้อมโบกผ้าเช็ดหน้า
-
สู้ๆ น้า รอได้จ้า
-
ขอแค่ไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้จริงๆ เรารอได้ค่ะ นิยายของน้องสนุกมากๆเลย
เอาใจช่วยเรื่องสอบนะคะ ขอให้ได้เกรดดีๆ :3123:
-
รอได้จ้ะ
ขอให้เมษาทุ่มเทกับการสอบให้เต็มที่นะ ขอให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
รักษาสุขภาพด้วย
โชคดีนะ
-
สนุกมาก ตอนแรกๆอาจอ่านยากไปนิด พอเริ่มชินเท่านั้นแหละไหลเลย จะรอมาต่อนะ
-
สนุกเว่อวังอลังการ ข้าน้อยจะขอถามสักนิด รวมเล่มไหมเล่า? ชั้นหนังสือข้ายังเว้นที่เผื่อท่านเสมอนา
อ่านแล้วแบบ งามล้ำค่ะ แต่งได้ไงงงงงงงงงงง ชอบมาก ชอบตรงความรู้ที่แทรกไว้ท้ายบทด้วยค่ะ เราอ่านรวดเดียว เอาแต่สามตอนแรกก็เหมือนอ่านนิยายเรื่องยาวไปได้หนึ่งเรื่องแล้วค่ะ สุดยอด อ่านแล้วนี่น้ำตาคลอไปด้วยเลย สงสารมากมาย
ปล.เจ้าดำน่าร๊ากกกกกกกกกกกก
ปล.2คุณชายรองอกหักซะละ555
ปล.3คนแต่งสู้ๆเรื่องสอบนะคะ รีบกลับมาต่อไวๆคนอ่านรออยู่~
-
เค้าอ่านซ้ำหลายรอบแล้วอะ :mew4:
-
ย้อนกลับมาอ่านกี่ทีๆก็ปวดใจจริงๆนิยายเรื่องนี้...
ภาวนาให้นางกลับร่างได้นะ แค่นี้เรื่องก็รันทดพอแล้ว
-
ตอนที่ ๑๑ คืนจันทร์ไร้ดาว (๑๐๐%)
ตะวันยามบ่ายสาดแสงอุ่นโลมไล้ผิวน้ำเป็นประกายระยับจับตา ข้าทอดกายอยู่บนศาลาอย่างเกียจคร้านมือคีบหมากสีดำจรดลงบนกระดานไม้อย่างไม่ใส่ใจนัก รอบบริเวณเงียบสงัดดั่งร้างไร้ผู้คน สระบงกชผลิดอกงดงามยามวสันต์ กิ่งหลิวเอนไหวตามสายลมพัด เฝ้ามองร่างงดงามร่างหนึ่งวิ่งเล่นอยู่ด้านนอกศาลาอย่างรื่นเริง รอยยิ้มหนึ่งล่มเมืองเฉิดฉายกลบความงามของดอกบัวจนจืดจางลงสิ้น คล้ายจะรู้ว่าถูกจ้องมองเด็กแสนซนถึงได้วิ่งถลันกลับเข้ามาในศาลา
“ลี่ฉางเกอเกอ” ข้าถอนหายใจคราหนึ่งกับกริยากระโดกกระเดกประหนึ่งลิงน้อย มองผู้ที่กำลังกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาใกล้อย่างเฉยชา ครุ่นคิดหาทางลงของหมากขาวต่อด้วยท่าทีเรียบเฉย
“วิ่งเล่นสนุกมากหรือไม่” เอ่ยประโยคนี้อย่างสงบเรียบง่ายยิ่งคล้ายไม่ใส่ใจ กระทั่งถูกกอดเอวไว้จึงเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย
“ลี่ฉางเกอเกออย่าโกรธข้าเลย ข้าจะไม่ซุกซนอีกแล้ว” ขมวดคิ้วจิ้มหน้าผากงามดันให้ออกไปห่างกาย ทอดมองคนในร่างข้า ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาด้วยนิสัยของเขาทำให้ข้ารู้สึกสนิทสนมกว่าคราแรก เด็กน้อยผู้นี้ขี้กลัวแต่ก็ซุกซนราวกับกระต่าย ราวกับเป็นน้องชายที่ข้าเคยคิดฝันว่าจะมี
“เด็กโง่ ที่ข้าบอกให้เจ้าสำรวมก็เพื่อตัวเจ้าเองทั้งนั้น หากใครมาเห็นเข้าเจ้าจะแก้ตัวได้หรือ”
“ตรงนี้ไม่มีผู้ใดนี่นา ไม่มีใครรู้หรอกว่าข้าไม่ใช่เหวินฉีลี่ฉางผู้เลิศล้ำ” เด็กน้อยยิ้มตาหยีจนดวงตาหงส์วาดโค้งลงดั่งจันทร์เสี้ยว ข้าเอนตัวลงกับหมอนอิงด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้นมือหยิบกล่องไม้สองกล่องออกมา ก่อนจะหยิบถุงหอมจากกล่องหนึ่งยื่นให้อีกฝ่าย
“ซีหยางถุงหอมนี้ข้าให้เจ้า”
“หอมมากเลยลี่ฉางเกอเกอ ไม่เคยมีใครให้ของขวัญเป็นถุงหอมแก่ข้ามาก่อน ขอบคุณท่านมาก” รอยยิ้มทั้งปากแลตาหวานระยับเป็นประกายน่ามอง ท่าทางซาบซึ้งของเขาทำหัวใจข้าอ่อนยวบ สำหรับเด็กที่โตมาอย่างทุกข์ยาก ของขวัญชิ้นเล็กเพียงเท่านี้คงจะเป็นของขวัญล้ำค่ามากกระมัง
“ปกติข้ามักพกถุงหอมไว้กับตัวอยู่ตลอด ระยะหลังมาเจ้าไม่มีถุงหอมติดกาย คนอื่นจะสงสัยเอาได้” เด็กคนนั้นพยักหน้าระรัวท่าทีน่าเอ็นดู ข้าวางท่าเรียบเฉยเลื่อนกล่องอีกกล่องหนึ่งไปให้เขา
“ส่วนในกล่องนี้ หากพบฝ่าบาทก็จงมอบให้เขาแทนข้า” เด็กน้อยส่งสายตาล้อเลียน ข้าทำคอแข็งกระแอมขึ้นคราหนึ่งหยิบจอกชาขึ้นมาดื่ม เห็นมือซุกซนกำลังจะเปิดกล่องก็ตีไปทีหนึ่ง “เจ้าเด็กซนห้ามเปิดดู”
“ก็ข้าอยากรู้ว่าในนั้นมีอะไร” ท่าทางปากยื่นอย่างน่าเอ็นดูทำให้ข้าหัวเราะเบาๆให้ลำคอ “เจ้าได้สิ่งใดเขาก็ได้สิ่งนั้น” เจ้าเด็กน้อยร้องอ๋อ ทันใดนั้นเสียงคนป่าวร้องเรียกหานามเหวินฉีลี่ฉางก็ดังขึ้นอย่างกระทันหัน ดูท่าพวกขันทีน้อยจะรู้แล้วกระมังว่าเจ้าเด็กคนนี้หนีมาเล่นซุกซน
คนในร่างข้ายิ้มตาหยีคราหนึ่งกล่าวลาก่อนจะขอตัวลุกจากไป มองตามแผ่นหลังเขาวิ่งออกจากศาลาข้าพลันถอนหายใจเบาๆ ยกจอกชาขึ้นละเลียดดม มือคีบหมากดำมาถือไว้อีกคราวางหมากดำลงไปอย่างเอ้อระเหยก่อนจะกล่าวขึ้นกับลมกับฟ้าหนึ่งประโยค “ผู้มาเยือนใยจึงซ่อนเร้น เมื่อเป็นวิญญูชนสมควรเปิดเผย”
เสียงพุ่มไม้ไหวดังอยู่ใกล้ บุรุษผู้หนึ่งปรากฏกายอยู่ห่างจากศาลาไปไม่ไกล ข้าปรายตามองเขาอย่างสงบเยือกเย็น ก่อนจะก้มลงมองหมากกระดานต่ออย่างไม่ใส่ใจคล้ายเห็นบุรุษผู้นั้นเป็นดั่งภูตผี
“ท่านหมอสมกับฉายาหมอเทวดา รอบรู้ทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้” ข้าหยักยิ้มคราหนึ่งคีบตัวหมากเคาะไปกับกระดานไม้อันประณีตแผ่วเบาราวกับกำลังใช้ความคิด ในใจนึกขบขันข้าที่ไร้วรยุทธ์มีหรือจะทราบได้ เพียงแต่คนที่อยู่ข้างกายข้าคือยอดฝีมืออันดับหนึ่ง มีหรือตัวข้าจะถูกสะกดรอยได้โดยง่าย
“ใต้เท้าท่านชมเกินไปแล้ว หมอเทวดานั้นเป็นฉายานามของอาจารย์ข้า ข้าเป็นเพียงศิษย์ผู้โง่เขลาของเขาเท่านั้น” บุรุษหน้าเหม็นผู้หนึ่งต่อให้ไม่พบสิบปีก็ยังหน้าเหม็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน คนผู้นี้คือหลั๋วหาน พี่ร่วมสาบานคนรองของจิ่นสือ เขาเป็นมนุษย์หน้าน้ำแข็งผู้ไร้หัวใจ เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองหลวงคุมทหารองครักษ์ที่เก่งกาจที่สุด ทั้งที่อยู่เมืองหลวงดุจเดียวกันแต่ความสัมพันธ์ของข้ากับเขาเรียกได้ว่าห่างเหินกันอย่างยิ่ง ข้าแสร้งมองไม่เห็นเขา เขาเล่าก็แสร้งมองไม่เห็นข้า
ในบรรดาพี่น้องร่วมสาบานของจิ่นสือข้าชิงชังหลั๋วหานที่สุด เขาชอบใช้ดวงตาน้ำแข็งนั้นมองข้าอย่างดูแคลนในใจของเขาคงคิดดูถูกข้าอยู่ตลอด ผู้อื่นยกย่องข้าเป็นคุณชายผู้เลิศล้ำแห่งหมื่นวสันต์ เป็นนายน้อยแห่งหอเหมย แต่เขากลับมองข้าเป็นเพียงนายบำเรอชายผู้หนึ่ง
“หมากกระดานนี้ซับซ้อนยิ่งนัก” พิศมองคิ้วคมสันประหนึ่งดาบขมวดมุ่นหากัน ข้าหยักยิ้มหัวเราะในลำคอเบาๆ เก็บกดความรู้สึกชังน้ำหน้านี้ลงในอก มองผู้สวมใส่ชุดดำปักลายพยัคฆ์นั่งลงตรงข้ามกระดานหมากอย่างใจจดใจจ่อ
“ใต้เท้าหลั๋วฝีมือเดินหมากเลิศล้ำฝ่าบาทเคยชื่นชมออกบ่อยครั้ง หมากกระดานนี้นับเป็นอะไรได้” ข้าวางหมากตัวสุดท้ายลงบนกระดานอย่างไม่ใส่ว่าว่าเมื่อครู่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา มองกลหมากดำขาวเรียงรายอย่างซับซ้อนยากจะแก้ไขไดจึงลุกขึ้นคลี่ยิ้มพิสดารให้เขาคราหนึ่งแล้วขอตัวเดินจากมา
“นายน้อยเมื่อครู่ท่านทำเช่นนั้นคนแซ่หลั๋วจะไม่สงสัยเอาหรือ” พี่จื่อหรงปรากฏขึ้นข้างตัวประดุจภูตผี ข้าคลี่ยิ้มจางๆส่ายหน้าทอดมองไกลไปยังสระบัวอย่างเหม่อลอย
“พี่จื่อหรง จิ่นสือเป็นคนเช่นใดข้าย่อมรู้ดีที่สุด หากข้าบอกแก่เขาว่าตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉางเขาคงบั่นคอข้าให้ตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเรื่องที่ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง เขาต้องรู้ด้วยตัวเองเท่านั้น”
“เช่นนั้นท่านจะให้ผู้แซ่หลั๋วเป็นคนเปิดโปงเรื่องนี้หรือ” ข้าพยักหน้าเบาๆ พี่จื่อหรงแม้จะเป็นคนซื่อตรงแต่กลับไม่ใช่คนซื่อบื้อ บุรุษผู้นี้เติบโตมาในหมื่นวสันต์และกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งรั้งตำแหน่งมาเนิ่นนาน รวมทั้งเป็นคนข้างกายข้าถูกคัดเลือกมาอย่างดีมีหรือจะเป็นคนโง่งม
“แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินผู้นี้เป็นคนที่จิ่นสือไว้วางใจที่สุดในบรรดาพี่น้อง ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้อยู่รั้งเฝ้าเมือง เขาเป็นคนซื่อสัตย์แลซื่อตรงแต่ไม่ใช่คนโง่งม แต่หลั๋วหานผู้นี้ขี้ระแวงสงสัยทำให้แม้แต่ฮูหยินก็ยังไม่อาจแต่งเข้าจวน ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับจื่นสือเขายิ่งทวีความระแวดระวังขึ้นอีกหลายเท่า คนแบบนี้เมื่อถูกปลูกความคลางแคลงไว้ในใจ ผลจะออกมาเป็นเช่นไรได้อีกเล่า”
ข้ายิ้มจางๆเอื้อมมือไปหักกิ่งก้านอันเปราะบางของดอกบัว กลิ่นปทุมาหอมจรุง กลีบดอกสลับซับซ้อนแลอ่อนบางยิ่งนักจนเผลอขยี้ให้แหลกเอียดคามือ ...ดูท่าเรื่องการปรากฎตัวของคนแซ่หลั๋วอย่างกะทันหันในครานี้คงเป็นคำสั่งของจิ่นสือกระมัง เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนจึงทำให้เขาเริ่มระแวงสงสัยข้าหรือ? หรือเขาเพียงแต่หวงแหนเหวินฉีลี่ฉาง?
"นายน้อย.." ข้าถอนหายใจทิ้งบัวที่ชอกช้ำกลับคืนธารา เฝ้ามองวงบนผิวน้ำค่อยๆจางหายกลับกลายเป็นนิ่งสนิทดั่งก่อนเก่าแล้วจึงสูดลมหายใจคราหนึ่ง เงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้มให้พี่จื่อหรง
"ข้าไม่เป็นไร" เสียงฝีเท้าคนดังใกล้เข้ามาพี่จื่อหรงจึงแฝงตัวกลับคืนสู่เงา ไม่นานนักขันทีน้อยผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา เป็นเด็กที่ข้าคุ้นเคย..คนของหมื่นวสันต์
“ท่านหมอจิ่ว มีคนจากภายนอกมาขอพบขอรับ”
“เป็นผู้ใด?”
“คุณชายรองตระกูลหลี่” ข้าหลับตาลงตอบรับเบาๆในลำคอ คนผู้นั้นไม่สมควรเอาตัวเองเข้ามาในวังวนนี้ใยจึงใฝ่หาความยุ่งยากเข้าใส่ตัว ข้าถอนหายใจคราหนึ่งมองดอกบัวขาวอันงามพิสุทธิ์ในน้ำ...หลี่ฮุ่ยหรงเองก็เป็นดั่งบัวขาวดอกนี้ หัวใจเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและน้ำใจ เขาใสสะอาดเกินกว่าจะมาเหยียบย่ำในโคลนตมได้ดั่งข้าแลฮุ่ยเหอ
ข้าเดินตามขันทีน้อยมาอย่างเชื่องช้า เมื่อมาถึงที่หมายก็พบคุณชายรองสกุลหลี่นั่งรอในห้องพบปะญาติอย่างสงบนิ่ง ชุดสีเขียวอ่อนดุจสีของลำต้นไผ่ทำให้รื่นรมย์แลสบายตายิ่งนัก เขาจิบน้ำชาด้วยท่วงท่าสมเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ ข้างตัวมีสุนัขตัวหนึ่งที่คุ้นเคย ข้าพลันเบิกตากว้างคลี่ยิ้มออกมาด้วยความปรีดาสุดจะกล่าว
“เจ้าดำ!”
เจ้าดำที่นอนอยู่บนพื้นเงยหน้ากลมๆของมันขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน พลันเมื่อตาสบกันมันก็ลุกขึ้นแล่นรี่มาหาอย่างรวดเร็วประหนึ่งลมพัดส่งเสียงเห่าก้องร้องยินดี “โฮ่ง..โฮ่ง”
“เจ้าดำ..” ข้ารับเจ้าดำน้อยมาไว้ในอ้อมแขน ขนของมันนุ่มลื่นดุจไหมสีราตรี ดวงตาสดชื่นแจ่มใสดูท่าอยู่ในจวนสกุลหลี่คงถูกประคบประหงมเอาใจมากอยู่กระมัง เล่นกับเจ้าดำอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยๆลุกขึ้นมายิ้มละไมให้แก่ฮุ่ยหรง เขายิ้มตอบกลับมาอย่างเก้อเขิน
“หลายวันมานี้เจ้าดำไม่ยอมกินอาหาร ท่าทางทุกข์ตรมเอาแต่นอนมองประตูใหญ่ ข้าจึงพามันมาเยี่ยมเจ้า” ข้าเลิกคิ้วไม่ยอมกินอาหาร? ท่าทางทุกข์ตรม? เหลือบสายตามองสุนัขน้อยก็พบว่าเจ้าตัวที่เริงร่าอยู่เมื่อครู่ จู่ๆก็เซไปเซมาโอนเอนล้อมแผละลงกับพื้น ร้องครางงี้ดๆเสริมคำพูดของฮุ่ยเหอให้ดูน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง
“เจ้าดำ คิดถึงข้ามากหรือไม่” สุนัขน้อยร้องครางออดอ้อนอย่างน่ารัก ข้าหัวเราะเบาๆมองเจ้าดำที่นำศีรษะมาถูเบาๆที่ต้นขาก้มลงไปลูบหัวมันอย่างรักใคร่
“เจ้าดำคิดถึงน้องจิ่วเมิ่งมาก” ข้าคลี่ยิ้มสุภาพห่างเหินให้แก่ฮุ่ยหรงวางท่ากลับสู่ความสงบสำรวม “ที่คุณชายรองมาวันนี้คงไม่เพียงแค่พาเจ้าดำมาเยี่ยมเยือนข้ากระมัง”
มองเขาที่ใบหน้าสลดลงวูบหนึ่งยิ่งทำให้รู้สึกหนักใจ ข้าไม่อาจถือเขาเป็นพี่น้องได้เช่นเก่าก่อน ทุกก้าวที่ข้าเหยียบย่างในตอนนี้นับว่าอันตรายยิ่ง ไม่อาจให้มิตรภาพนี้ย้อนรอยไปทำร้ายเขาได้หากข้าพลั้งพลาด “..ลี่ฉาง” ข้าชะงักหยุดมือที่กำลังรินชาทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้หลุดออกมาจากปากบุรุษข้างๆ
“น้องจิ่วเมิ่งเจ้าคือเหวินฉีลี่ฉางใช่หรือไม่” ข้าตวัดดวงตาคมกริบมองเขา ความลับนี้เขาไม่สมควรรู้ หรือว่าหลี่ฮุ่ยเหอกล้าปากสว่าง!! ไม่...ข้ามั่นใจ ฮุ่ยเหอไม่ใช่คนเช่นนั้น ความลับนี้ผู้รู้ย่อมได้รับเภทภัย เขาไม่มีวันชักนำภัยไปสู่น้องชายโดยเด็ดขาด เช่นนั้นใยจึงรู้เล่า!!
“น้องจิ่วเมิ่งอย่าได้ปิดข้า” ข้าวางถ้วยชาลงเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาคลี่ยิ้มเย็นชา
“ข้าไม่มีเรื่องใดปกปิดท่าน"
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังปิดข้า ทั้งเจ้าและพี่ใหญ่ข้ารู้ว่า.."
“คุณชายรองข้าขอเตือนท่าน ไม่ว่าสิ่งใดที่ท่านกำลังคาดเดานั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อตัวท่านเอง ข้าในตอนนี้คือจิ่วเมิ่ง เป็นเพียงหมอผู้หนึ่ง ไม่ใช่เหวินฉีลี่ฉางผู้งามล่มเมืองเป็นแน่ ท่านเคยเห็นใบหน้าข้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอัปลักษณ์น่าหวาดกลัวเพียงใด” ข้าตัดบทอย่างนิ่งเฉย หยิบจอกชาขึ้นมาจิบอีกครั้งรสชาตินับว่าไม่เลวเลยสมที่เป็นชาราชสำนัก ก้มลงอุ้มเจ้าดำมาวางบนตักลูบหัวมันอย่างรักใคร่
“ไม่เลย! เจ้าไม่ได้อัปลักษณ์ หากเจ้าอัปลักษณ์จริงใยจึงช่วยเหลือข้า ใยจึงช่วยข้าให้รอดพ้นจากความตาย สำหรับข้าน้องจิ่วเมิ่งเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม ต่อให้เจ้าทำตัวห่างเหินเย็นชาข้าก็รู้ว่าเจ้าอบอุ่นมากเพียงไร” ข้าหลับตาลงในใจรู้สึกคล้ายถูกหนามแหลมคมขีดข่วนจนเลือดซิบ ...ข้าช่วยเจ้าเพราะมีผลประโยชน์แอบแฝงต่างหากเล่าฮุ่ยหรง ไม่เช่นนั้นลำพังขอทานที่อดยากหิวโซจะฝืนสังขารเดินทำไมหลายหลี่เพื่อตามหาจวนสกุลเจ้า จะลงทุนทุ่มเทรักษาทำไมหากเจ้าไม่ใช่น้องชายของฮุ่ยเหอ
“ตอนนั้นตอนที่ขบวนเสด็จมาถึง เจ้าเรียกนามฝ่าบาทด้วยเสียงคร่ำครวญ เจ้าบอกว่าเจ้าคือเหวินฉีลี่ฉาง เรื่องนี้เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือ” สีหน้าท่าทางจริงจังขึงขังทำให้ข้าต้องถอนใจอีกคราหนึ่ง ในตอนนั้นคนทั้งโลกไม่เชื่อข้า ไม่คาดว่ายังมีบุรุษผู้นี้ที่นำเรื่องนั้นเก็บมาคิดเสียจริงจัง ปักใจเชื่อในสิ่งที่ข้าพูดไม่ทราบว่าควรจะตื้นตันหรือขบขันในความซื่อบริสุทธิ์ของเขาดี หากเป็นผู้อื่นมีหรือจะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ คงคิดว่าข้าเป็นคนวิปลาสคนหนึ่งเท่านั้นกระมัง
“ตอนนั้นข้าเพียงแต่เลอะเลือนไปชั่วขณะหนึ่ง” มือแตะเบาๆที่จมูกนุ่มหยุ่นของเจ้าดำ เล่นกับมันคล้ายว่าไม่มีบุรุษอีกคนอยู่ในห้อง
“น้องจิ่วเมิ่ง..”
“ขอเชิญคุณชายรองกลับจวน ข้ามีธุระไม่อาจอยู่พบท่านได้นานต้องขออภัย” ข้ากอดเจ้าดำอย่างอาลัยได้แต่หักใจลามัน ตวัดสายตามองบุรุษตรงหน้าอีกครั้งอย่างเข้มงวดดุดัน
"เรื่องนี้ข้าจะไม่พูดไปน้องจิ่วเมิ่งอย่าได้ห่วง" ข้ารู้นิสัยท่านดี มีหรือจะหวั่นกลัวว่าท่านจะพูดออกไปพร่ำเพรื่อ เพียงแต่ไม่อยากลากท่านเข้ามาในวังวนนี้ หมากกระดานนี้เดิมพันของข้าสูงอย่างยิ่ง หากไม่ได้หัวใจของเขามาเท่ากับว่าข้าอาจต้องสูญเสียไปกระทั่งชีวิต ดังนั้นจึงไม่อาจดึงทั้งหมื่นวสันต์แลชีวิตคนสกุลหลี่เข้ามาเป็นสิ่งเดิมพันได้มากไปกว่านี้
"ข้าไม่ส่งนะ" ประโยคนี้แม้ตัวเองเป็นผู้พูดยังรู้สึกว่าไร้น้ำใจอย่างยิ่ง ข้าลูบหัวเจ้าดำจุมพิตที่หน้าผากมันแผ่วเบาดุจคำลา หันหลังให้แก่เขาที่เดินจากไป ที่หางตาคล้ายเห็นรอยยิ้มขื่นขมยิ้มหนึ่ง ภายหลังจากที่หนึ่งบุรุษหนึ่งสุนัขน้อยจากไปถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จู่ๆก็รู้สึกว่าในใจบังเกิดความเหน็บหนาวขึ้น มิตรภาพจากมิตรสหายคนแรกที่ไม่ใช่คนของหมื่นวสันต์ ไมตรีของฮุ่ยหรงที่หยิบยื่นให้ประดุจหนึ่งไฟที่ส่องไล่ความมืดมน หากไม่มีเขาตอนนี้ข้าคงไม่อาจทราบชะตากรรมตัวเอง คิดมาถึงตรงนี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้อีกครา
ข้าหลับตาลงเพื่อขจัดความหวั่นไหวในอก พลันลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง "เขาพบกับซีหยางแล้วกระมัง" ข้ายกถ้วยชาขึ้นจิบ ละเลียดกลิ่นหอมอย่างใจเย็น ยามที่ได้ยินเสียงรายงานของพี่จื่อหรงก็คลี่ยิ้มออกมาบางเบาประดุจหมอกควัน
-
สนุกมากจนรู้สึกว่าสั้นไปไปเลยค่ะ
แล้วก็
ความรู้ชังน้ำหน้า-->รู้สึก นะคะ
แล้วก็นี่ด้วย
“นายน้อยเมื่อครู่ท่านทำเช่นนั้นคนแซ่หลั๋วจะไม่สงสัยเอาหรือ” พี่จื่อหรงปรากฏขึ้นข้างตัวประดุจภูตผี ข้าคลี่ยิ้มจางๆส่ายหน้าทอดมองไกลไปยังสระบัวอย่างเหม่อลอย
“พี่จื่อหรง จิ่นสือเป็นคนเช่นใดข้าย่อมรู้ดีที่สุด หากข้าบอกแก่เขาว่าตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉางเขาคงบั่นคอข้าให้ตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเรื่องที่ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง เขาต้องรู้ด้วยตัวเองเท่านั้น”
“เช่นนั้นท่านจะให้ผู้แซ่หลั๋วเป็นคนเปิดโปงเรื่องนี้หรือ” ข้าพยักหน้าเบาๆ พี่จื่อหรงแม้จะเป็นคนซื่อตรงแต่กลับไม่ใช่คนซื่อบื้อ บุรุษผู้นี้เติบโตมาในหมื่นวสันต์และกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งรั้งตำแหน่งมาเนิ่นนาน รวมทั้งเป็นคนข้างกายข้าถูกคัดเลือกมาอย่างดีมีหรือจะเป็นคนโง่งม
“แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินผู้นี้เป็นคนที่จิ่นสือไว้วางใจที่สุดในบรรดาพี่น้อง ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้อยู่รั้งเฝ้าเมือง เขาเป็นคนซื่อสัตย์แลซื่อตรงแต่ไม่ใช่คนโง่งม แต่หลั๋วหานผู้นี้ขี้ระแวงสงสัยทำให้แม้แต่ฮูหยินก็ยังไม่อาจแต่งเข้าจวน ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับจื่นสือเขายิ่งทวีความระแวดระวังขึ้นอีกหลายเท่า คนแบบนี้เมื่อถูกปลูกความคลางแคลงไว้ในใจ ผลจะออกมาเป็นเช่นไรได้อีกเล่า”
“นายน้อยเมื่อครู่ท่านทำเช่นนั้นคนแซ่หลั๋วจะไม่สงสัยเอาหรือ” พี่จื่อหรงปรากฏขึ้นข้างตัวประดุจภูตผี ข้าคลี่ยิ้มจางๆอย่างเคยชินส่ายหน้าทอดมองไกลไปยังสระบัวอย่างเหม่อลอย
“พี่จื่อหรง จิ่นสือเป็นคนเช่นใดข้าย่อมรู้ดีที่สุด หากข้าบอกแก่เขาว่าตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉางเขาคงบั่นคอข้าให้ตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากว่าเรื่องนี้เขาเป็นผู้รู้ด้วยตัวเองเล่า”
“เช่นนั้นท่านจะให้ผู้แซ่หลั๋วเป็นคนเปิดโปงเรื่องนี้หรือ” ข้าพยักหน้าเบาๆ พี่จื่อหรงแม้จะเป็นคนซื่อตรงแต่กลับไม่ใช่คนซื่อบื้อ บุรุษผู้นี้เติบโตมาในหมื่นวสันต์และกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งรั้งตำแหน่งมาเนิ่นนาน รวมทั้งเป็นคนข้างกายข้าถูกคัดเลือกมาอย่างดีมีหรือจะเป็นคนโง่งม
“แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินผู้นี้เป็นคนที่จิ่นสือไว้วางใจที่สุดในบรรดาพี่น้อง ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้อยู่รั้งเฝ้าเมือง เขาเป็นคนซื่อสัตย์แลซื่อตรงแต่ไม่ใช่คนโง่งม แต่หลั๋วหานผู้นี้ขี้ระแวงสงสัยทำให้แม้แต่ฮูหยินก็ยังไม่อาจแต่งเข้าจวน ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับจื่นสือเขายิ่งทวีความระแวดระวังขึ้นอีกหลายเท่า คนแบบนี้เมื่อถูกปลูกความคลางแคลงไว้ในใจ ผลจะออกมาเป็นเช่นไรได้อีกเล่า”
ตัวซ้ำตรงที่พี่จื่อหรงเตือนหลี่ฉางสองรอบเลยค่ะ
แล้วก็นิดนึง คำว่าหลัว เรารู้สึกว่ามันไม่น่าจะออกเสียงสูงไปมากกว่านี้ได้แล้วนะคะ ถ้าจำไม่ผิดตัวที่มีอักษรนำเพื่อให้ออกเสียงสูง(ห หีบนำ แบบหรู หนี หนาน) ไม่จำเป็นต้องใส่ไม้จัตวาค่ะ
-
สนุกมากจนรู้สึกว่าสั้นไปไปเลยค่ะ
แล้วก็
ความรู้ชังน้ำหน้า-->รู้สึก นะคะ
แล้วก็นี่ด้วย
“นายน้อยเมื่อครู่ท่านทำเช่นนั้นคนแซ่หลั๋วจะไม่สงสัยเอาหรือ” พี่จื่อหรงปรากฏขึ้นข้างตัวประดุจภูตผี ข้าคลี่ยิ้มจางๆส่ายหน้าทอดมองไกลไปยังสระบัวอย่างเหม่อลอย
“พี่จื่อหรง จิ่นสือเป็นคนเช่นใดข้าย่อมรู้ดีที่สุด หากข้าบอกแก่เขาว่าตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉางเขาคงบั่นคอข้าให้ตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเรื่องที่ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง เขาต้องรู้ด้วยตัวเองเท่านั้น”
“เช่นนั้นท่านจะให้ผู้แซ่หลั๋วเป็นคนเปิดโปงเรื่องนี้หรือ” ข้าพยักหน้าเบาๆ พี่จื่อหรงแม้จะเป็นคนซื่อตรงแต่กลับไม่ใช่คนซื่อบื้อ บุรุษผู้นี้เติบโตมาในหมื่นวสันต์และกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งรั้งตำแหน่งมาเนิ่นนาน รวมทั้งเป็นคนข้างกายข้าถูกคัดเลือกมาอย่างดีมีหรือจะเป็นคนโง่งม
“แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินผู้นี้เป็นคนที่จิ่นสือไว้วางใจที่สุดในบรรดาพี่น้อง ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้อยู่รั้งเฝ้าเมือง เขาเป็นคนซื่อสัตย์แลซื่อตรงแต่ไม่ใช่คนโง่งม แต่หลั๋วหานผู้นี้ขี้ระแวงสงสัยทำให้แม้แต่ฮูหยินก็ยังไม่อาจแต่งเข้าจวน ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับจื่นสือเขายิ่งทวีความระแวดระวังขึ้นอีกหลายเท่า คนแบบนี้เมื่อถูกปลูกความคลางแคลงไว้ในใจ ผลจะออกมาเป็นเช่นไรได้อีกเล่า”
“นายน้อยเมื่อครู่ท่านทำเช่นนั้นคนแซ่หลั๋วจะไม่สงสัยเอาหรือ” พี่จื่อหรงปรากฏขึ้นข้างตัวประดุจภูตผี ข้าคลี่ยิ้มจางๆอย่างเคยชินส่ายหน้าทอดมองไกลไปยังสระบัวอย่างเหม่อลอย
“พี่จื่อหรง จิ่นสือเป็นคนเช่นใดข้าย่อมรู้ดีที่สุด หากข้าบอกแก่เขาว่าตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉางเขาคงบั่นคอข้าให้ตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากว่าเรื่องนี้เขาเป็นผู้รู้ด้วยตัวเองเล่า”
“เช่นนั้นท่านจะให้ผู้แซ่หลั๋วเป็นคนเปิดโปงเรื่องนี้หรือ” ข้าพยักหน้าเบาๆ พี่จื่อหรงแม้จะเป็นคนซื่อตรงแต่กลับไม่ใช่คนซื่อบื้อ บุรุษผู้นี้เติบโตมาในหมื่นวสันต์และกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งรั้งตำแหน่งมาเนิ่นนาน รวมทั้งเป็นคนข้างกายข้าถูกคัดเลือกมาอย่างดีมีหรือจะเป็นคนโง่งม
“แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินผู้นี้เป็นคนที่จิ่นสือไว้วางใจที่สุดในบรรดาพี่น้อง ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้อยู่รั้งเฝ้าเมือง เขาเป็นคนซื่อสัตย์แลซื่อตรงแต่ไม่ใช่คนโง่งม แต่หลั๋วหานผู้นี้ขี้ระแวงสงสัยทำให้แม้แต่ฮูหยินก็ยังไม่อาจแต่งเข้าจวน ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับจื่นสือเขายิ่งทวีความระแวดระวังขึ้นอีกหลายเท่า คนแบบนี้เมื่อถูกปลูกความคลางแคลงไว้ในใจ ผลจะออกมาเป็นเช่นไรได้อีกเล่า”
ตัวซ้ำตรงที่พี่จื่อหรงเตือนหลี่ฉางสองรอบเลยค่ะ
แล้วก็นิดนึง คำว่าหลัว เรารู้สึกว่ามันไม่น่าจะออกเสียงสูงไปมากกว่านี้ได้แล้วนะคะ ถ้าจำไม่ผิดตัวที่มีอักษรนำเพื่อให้ออกเสียงสูง(ห หีบนำ แบบหรู หนี หนาน) ไม่จำเป็นต้องใส่ไม้จัตวาค่ะ
ขอบคุณค่ะ ขอโทษจริงๆคำผิดแก้ให้แล้วนะคะ ส่วนนามสกุลพี่หานเดี๋ยวมาแก้อีกทีตอนรีไรท์
-
ดีใจ มาต่อแล้วอะ ชอบเรื่องนี้ รอลี่ฉางตลอด :hao5:
-
เย้ๆๆๆๆก่อนเปิดบอร์ดก็คิดอยู่เลยว่าวันนี้จะมาเมนต์ถามถึงตอนใหม่ดีไหมนะ แต่เปิดมาก็เจอเลย ยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง
แต่มันสั้นอะะะะะะะ จริงๆอาจไม่สั้น แต่เพราะอ่านสนุกเลยสั้น ฮือๆเอาอีกกกกกกกกกกก
คุณชายรองกับเจ้าดำน่าสงสาร ขอเปลี่ยนเป็น #ทีมคุณชายรอง ได้ไหม นางรักและเชื่อน้องจิ่วเมิ่งของนางยิ่ง :mew4:
-
สงสารฮุ่ยหรง เฮ้ออออ
รอตอนต่อไปค่ะ ชอบ
-
รอๆๆๆ
-
ขออีกๆๆ
:z10:
-
ปวดใจอย่างที่สุด :m15:
-
สงสารฮุ่ยหรง :sad4: :sad4:
-
รักเรื่องนี้มากมายเลยคะ
ชอบมากบรรยายดี มากเลยคะ
ภาษาสวยชอบๆๆ
-
คุณชายรองนี่มันพระรองชัดๆ :hao5:
น้องดำน่าย้ากกกกก
ชอบมากค่า รอตอนต่อไป
-
จะสงสารใครดี
-
ชอบโมเม้นลี่ฉางกับเจ้าดำ
ขอเจ้าดำเป็นพระเอกได้มั้ย ฟิน //โดนนายเอกตบ
-
หลังจากรอจนรากงอกยึดดินแล้ว :katai1:
คนเขียนก็มาต่อ :heaven
........ทามมายมานนนอ่านจบเร็วอย่างงี้~ :hao5:
มาต่อเลยค้าบบ ค้างอย่างรุนแรง
-
ถอนหายใจหนักหน่วง
สนุกจนต้องกลับไปอ่านซ้ำ ๆ ลดอาการอยากอ่านต่อ
ซีหยางน่ารักนะ ลี่ฉางใจอ่อนและอ่อนใจซ้ำซ้อนเลยทีเดียว
-
อ่านทันแล้ว :katai2-1:
อยากบอกว่าเรื่องนี้สนุกมากกกกกกกก ชอบมากจริงๆค่ะ
สงสารทั้งลี่ฉาง ทั้งน้องกระต่าย(ขอเรียกน้องกระต่ายตามนะ 5555)
อ่านแล้วอินมากเลยค่ะ ชอบที่สุดตรงมีเชิงอรรถ
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ ><
-
(http://www.mx7.com/i/5d7/9eLxHB.jpg)
บทที่ ๑๒ หนึ่งศรไม่ย้อนกลับ
ภาษิตโบราณว่าไว้...หนึ่งลูกศรเมื่อถูกแผลงออกไป ย่อมไม่หวนคืน
ข้าเอนกายนั่งจิบชาอยู่บนตั่ง ม่านลูกปัดไม้โรยตัวเป็นเส้นสายอันสวยงามปิดบังสายตาคนภายนอก ขันทีน้อยผู้คุ้นหน้าคุ้นตาคุกเข่าอยู่เบื้องล่างกล่าวรายงานอย่างไม่กล้าปิดบังเช่นที่เคยทำอยู่เป็นประจำเมื่อครั้งข้าอยู่ในร่างเดิม
“เช่นนั้นฝ่าบาทบรรทมหลับไม่สนิทมาหลายคืนแล้ว?” แกว่งถ้วยชาเบาๆสูดดมกลิ่นหอมจรุงแล้วจึงคลี่ยิ้มออกมาคราหนึ่ง เด็กผู้นั้นคุกเข่าอย่างเรียบร้อยตอบรับอย่างสุขุมสมที่หอเบญจมาศฝึกฝนมาอย่างดี หมดเรื่องรายงานเขาจึงปลีกตัวออกไปอย่างเงียบเชียบ ข้าปลดหน้ากากเงินออกหยิบบานกระจกข้างหมอนอิงขึ้นมาพิจารณาใบหน้าตอนนี้อย่างถ้วนถี่
“ช่วงนี้โชคดีจริงที่อาจารย์ออกนอกวังหลวง มิทราบท่านได้บอกพี่หรือไม่จะกลับมาอีกครั้งยามใด” เอ่ยถามออกไปกับอากาศอันว่างเปล่า พลันบุรุษผู้คุ้นเคยก็ปรากฏที่ปลายตั่งดั่งสายหมอก สีหน้าราบเรียบดุจทะเลไร้คลื่นลม แต่กระแสเสียงอบอุ่นยิ่ง
“นายท่านเหมยคงไม่อาจกลับมาได้ในเร็ววัน สองปีที่ผ่านมาหอเหมยปิดกิจการแต่มีบางคนยังอาศัยช่วงที่เราย้ายไปยังหังโจวลักลอบเปิดโรงพิษ” ข้าพลันนิ่วหน้าคราหนึ่ง ในหมื่นวสันต์กฎเกณฑ์เข้มงวดมีน้อยคนนักที่ขวัญกล้าทำเรื่องเช่นนี้อยู่ใต้จมูก
“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอาจารย์คงไม่อาจปล่อยผ่านได้โดยง่าย เห็นทีคงใช้เวลาจัดระเบียบหอเหมยอยู่นานทีเดียวกระมัง อีกอย่างช่วงนี้จิ่นสือหวาดระแวงในตัวเขายิ่งนัก จะอย่างไรก็ไม่อาจรั้งอยู่ในวังหลวงได้”
ถอนหายใจคราหนึ่งเพ่งมองใบหน้าของผู้ที่อยู่ในกระจก รอยพุพองบนใบหน้าเริ่มจางหายบ้างแล้วเห็นเค้าลางความเยาวว์วัยของร่างนี้ ดูๆไปร่างของหลิวซีหยางก็ไม่แย่นักดอก เด็กผู้นี้ชั่วดีอย่างไรก็เคยเป็นเด็กรับใช้ในบ้านเศรษฐี ดังนั้นผิวพรรณจึงไม่นับว่าเลวร้าย มือแม้จะกร้านด้วยทำงานหนักแต่ก็ไม่กระด่างกระดำ ดวงตาชั้นเดียว จมูกโด่งเล็กน้อย ปากเล็กนิดหน่อย ทุกอย่างบนใบหน้าเขาล้วนกระจุ๋มกระจิ๋มจนธรรมดาไปเสียหมด
แต่เมื่อลองคลี่ยิ้มดูกลับพบว่าเด็กคนนี้มีรอยยิ้มที่ไม่อาจละสายตา รอยยิ้มนี้ไม่ใช่รอยยิ้มพริ้มพรายพาล่มเมือง ยิ้มอีกคราก็ไม่สามารถล่มแผ่นดินได้ แต่เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้เบิกบานประหนึ่งโลกทั้งใบสดใสแช่มชื่น ผู้ใดหนอตั้งชื่อให้เขาว่าซีหยาง[ตะวันรอน] สมควรตั้งว่ายวี้ชู[อรุโณทัย]จึงจะเหมาะ
พูดถึงเด็กผู้นั้นนับว่าทำงานได้ดีกว่าที่คาด ไม่คิดว่าเด็กขี้ขลาดราวกับกระต่ายน้อยจะกล้ายัดกล่องของขวัญใส่มือหม่ากงกงผู้เป็นหัวหน้าขันทีประจำตัวจิ่นสือ ไม่ทันหนึ่งก้านธูปคนผู้นั้นก็ปรากฏตัวหน้าตำหนักมีถุงหอมผูกติดกับตัว ส่วนเจ้ากระต่ายตัวนั้นก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนสร้างความงุนงงให้ผู้คนอย่างยิ่ง กระนั้นหนึ่งรอยยิ้มที่เกิดขึ้นบนใบหน้าเขาก็ทำให้ข้าเปี่ยมสุขและขมขื่นยิ่งนัก ไตร่ตรองดูแล้วรู้สึกว่ารสชาติความรักนั้นขมกว่ายาที่รสชาติขมที่สุดในหอเหมยหลายเท่านัก
ภายในกล่องไม้สลักกล่องนั้นมีถุงหอมอันงามวิจิตรอยู่ถุงหนึ่ง เขาย่อมรับมันไปใช้โดยปราศจากความลังเล ไม่สนใจตรวจสอบเครื่องหอมที่บรรจุอยู่ด้านในให้ถ้วนถี่ คิดดูแล้วไม่ทราบข้าหรือเขาผู้ใดเป็นผู้งมงายในความรักมากกว่ากัน ตัวเขาจะรู้สึกเช่นไรยามทราบว่าความรักซึ่งไร้ความหวาดระแวงเป็นสาเหตุของอาการนอนไม่หลับในหลายคืนมานี้ แม้ฤทธิ์ของถุงหอมนี้ไม่นับว่าร้ายแรงอะไร เพียงแต่ทำให้อ่อนเพลีย สมองไม่แจ่มใส และบางคราเกิดภาพหลอน
"พี่จื่อหรง ไม่ทราบกำยานที่ให้จัดเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่"
"เรียบร้อยแล้วนายน้อย"
ข้าพยักหน้าคราหนึ่งลุกขึ้นจากตั่งผลัดเปลี่ยนชุดขาวอันสมถะเรียบง่ายไปเป็นชุดสีกลีบบัวอันปักลายวิหคน้อยบนกิ่งเหมยอย่างประณีต ลูบผ่านผืนผ้าไหมแล้วพลันสะท้านในหัวใจ ในคราแรกที่พบกับจิ่นสือข้าเป็นเด็กน้อยแสนซนผู้หนึ่ง ในตอนนั้นมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นชมชอบสะสมหนังสืออาทิตย์เบญจมาศยิ่งนัก คืนก่อนปีใหม่จึงลอบไปเอาหนังสือเล่มใหม่จากฐานลับภายในสวนที่มักนัดพบปะทำการค้ากับคุณหนูเบญจมาศผู้นั้นอยู่เสมอๆ
ไม่คาดว่าจะได้พบกับเขาเป็นคราแรก บุรุษผู้มีดวงตาแดงก่ำคมกริบประดุจดาบร้ายกาจดุจราชสีห์ ทั้งร่างของเขามีแต่กลิ่นอายห้าวหาญอย่างคนที่เพิ่งกลับมาจากสมรภูมิ ผิวดำคล้ำไว้หนวดเคราน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ใบหน้าของเขาแดงจัดด้วยแรงกามา แม้แต่เด็กอย่างข้ายังทราบว่าเรื่องนี้ผิดปกติอย่างยิ่ง หากเป็นบุรุษอื่นเกิดความต้องการย่อมตัดสินใจปลดเปลื้องกับเหล่านางงามในหอเบญจมาศ แต่เขากลับกระเสือกกระสนหนีมาซ่อนในสวน ดูท่าแล้วเขาคงถูกคนชั่วช้ากลั่นแกล้งมากระมัง ในตอนนั้นข้าพลันเกิดความรู้สึกเวทนาสงสารเขาขึ้นมาจับใจ
“ข..ขอ..ข้าได้หรือไม่” คนผู้นั้นแม้ดวงตาแดงก่ำ หยาดเหงื่อโซมกายแต่ยังคงวอนขอด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรีถึงเพียงนั้น หากเป็นบุรุษอื่นข้าอาจไม่รอดพ้นได้โดยง่ายกระมัง เพียงแต่เขาคือจิ่นสือ แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าไร้รอยด่างพร้อยแต่ก็ไม่ถูกย่ำยีจนยับเยิน
คืนนั้นเขาบอกจะรับผิดชอบข้า จะแต่งข้าเป็นภรรยา ข้าพลันรู้สึกขบขันอย่างยิ่ง บุรุษในแผ่นดินต้าหลงมีผู้ใดกล้าแต่งบุรุษด้วยกันเป็นภรรยา อย่างดีก็เป็นได้เพียงนายบำเรอที่ถูกซ่อนไว้ในจวน ฐานะต่ำเสียยิ่งกว่าทาส เพียงแต่ไม่คาด...เรื่องราวของข้าและเขาจะดำเนินต่อจากนั้นมาถึงเจ็ดปี
ช่วงเวลาที่มองแผ่นหลังเขาบนม้าห่างไกล ทิวธงรบปลิวไสวหัวใจข้าสะท้านยิ่งนัก ไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุใดกันแน่ดวงใจดั่งถูกมือยักษ์จับเขย่า หรือเพราะตั้งแต่คืนนั้นนามหลงจิ่นสือก็ประทับตราตรึงในหัวใจของข้าเสียแล้วกระมัง ยามเขาหวนคืนเมืองหลวงกลายเป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกร ข้ากลับกลายเป็นเหวินฉีลี่ฉาง ผู้เลิศล้ำแห่งหมื่นวสันต์ไปเสียแล้ว แม้รับรู้ถึงสายตาของเขาที่คอยจ้องมอง แต่ทำได้เพียงเชิดหน้าไว้อย่างหยิ่งยโส
กระทั่งหวงช่างประทานสมรสพระราชทานแก่เขา ข้าพลันรู้สึกปวดแปลบในใจ ในตอนนั้นบอกตัวเองแต่เพียงว่าดีเสียอีก รำคาญเขาจะแย่ แต่งกับกุลสตรีบ้านไหนหรือหมูหมากาไก่ก็รีบแต่งไปเถิด แต่ในคืนสมรสของเขาไม่ทราบคิดอันใดจึงหยิบชุดแดงอันงามบาดตาชุดหนึ่งมาสวม หิมะแรกโปรยปรายข้าร่ายรำอยู่ในสวนเหมยร่ำสุรานารีแดง[1]เมามายอยู่ใต้แสงจันทร์ กลีบดอกเหมยแดงพร่างพรูลงบนดินสลับกับปุยหิมะขาวประดุจฝนโลหิตจากสวรรค์หยาดรินสู่โลกหล้า เขาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าในชุดเจ้าบ่าวสีแดง ใบหน้าแดงก่ำคงเพราะรีบเร่งมาหาข้ากระมัง
“คืนแต่งงานเจ้าบ่าวกลับไม่อยู่ห้องหอ นี่ไม่น่าขันไปหน่อยหรือ” ข้าเหยียดยิ้มเย็นชาแต่ในใจกลับบังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้น ความหนาวจากหิมะพลันหายไปเป็นความอบอุ่นสายหนึ่งแทรกแซงเข้ามา
“ลี่ฉาง ข้าเคยบอกแก่เจ้าจะแต่งเจ้าเป็นภรรยา วันนี้ข้าไม่อาจหลีกหนีการแต่งงานต้องไหว้ฟ้าดินกับผู้อื่นแต่ให้เจ้าจำไว้ ผู้เดียวที่ข้าถือเป็นภรรยาก็มีแต่เจ้าเท่านั้น” สายตาซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาของเขาทำให้ข้าต้องหันหลังหนีสูดลมหายใจคราหนึ่ง อยู่ๆที่ดวงตาก็รู้สึกระคายเคืองจนต้องกระพริบถี่ๆไล่น้ำตาที่เอ่อคลอนี่คงโดนลมเหมันต์พัดฝุ่นละลองเข้าตาแล้วกระมัง
มาคิดดูแล้วเขาเป็นคนที่ยึดติดเสมอต้นเสมอปลายอย่างยิ่ง เสียดายแต่ตอนนั้นโง่งมแลมากด้วยทิฐิจนไม่รู้หัวใจตนเองจนตัดรอนเขาด้วยคำพูดร้ายกาจยิ่งนัก
“หลงจิ่นสือ วันนี้ท่านแต่งสตรีผู้หนึ่งเป็นชายาเพราะคำสั่งบิดา วันหน้าท่านคิดหรือว่าจะแต่งข้าเป็นภรรยาได้ดั่งใจ คนเช่นท่านหรือจะปกป้องดูแลข้าเอาไว้ได้ ในอนาคตหากพี่ชายน้องชายท่านขึ้นครองบัลลังค์พาข้าเข้าวังหลังหน้าอย่างท่านจะมีปัญญาทัดทานเขาได้หรือ”
ดวงตาอันแห้งผากของเขาในตอนนั้นข้าจดจำได้แม่นยำ ปลายนิ้วที่เอื้อมมาหากลับถูกปัดออกอย่างไร้เยื่อใย ในตอนนั้นข้าคงกำลังหึงเขาอยู่กระมัง เรื่องราวในอดีตยิ่งทบทวนยิ่งรู้สึกว่าตัวช่างโง่เขลายิ่งนัก ดังนั้นในปัจจุบันข้าจะไม่ยอมโง่เขลาเช่นเดิมอีกแล้ว
https://www.youtube.com/watch?v=7lsx4sgk3uA (https://www.youtube.com/watch?v=7lsx4sgk3uA)
ข้ากระชับเสื้อคลุมสีดำให้แน่นขึ้น เดินก้าวเข้าไปในศาลาแปดเหลี่ยมซึ่งซ่อนตัวอยู่ไกลจากสายตาผู้คน ศาลาแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยจื่อเถิง[2]สีม่วงออกดอกบานสะพรั่งระย้าย้อยงดงามประหนึ่งม่านน้ำตกขวางกั้นแดนสุขาวดีแลโลกียสถาน ศาลาที่ทาสีแดงสวยสดจางลงตามกาลเวลาผันผ่านยังปรากฏรอยสลักอันประณีตบรรจง
กลิ่นหอมของกำยานมอมวิญญาณที่ถูกจุดผสมกลิ่นบุปผาชวนให้เคลิบเคลิ้ม แม้ภายนอกจะมีสายลมกลางคืนพัดแต่ไม่อาจกล้ำกรายมาภายในได้เพราะม่านบุปผาควันกำยานลอยฟุ้งประดุจเมฆหมอก หากไม่ดื่มยาแก้มาก่อนแม้แต่ยอดยุทธ์ก็ไม่อาจแข็งขืนสู้ฤทธิ์กำยานนี้ได้ ข้าลูบเบาๆบนเลาขลุ่ย ค่อยๆหลับตาลงจรดเซียว[ขลุ่ยยาวของจีน]ลงที่ริมฝีปากเป่าลำนำโบราณขึ้นมาเพลงหนึ่ง เพลงขลุ่ยแห่งความคะนึงหาดังคลอเคล้ากับสายลมใบไม้ผลิที่กรีดหวีดหวิวเป็นบทเพลงบาดจิตบาดใจล่องลอยไปไกลสุดรู้
ยามลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเขาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ดวงตาทรงอำนาจกร้าวแกร่งปรากฏรอยหวั่นไหว เสียงขลุ่ยจางหายไปแล้วแต่อารมณ์คนยังคงอยู่ ความอ่อนหวานยังอวลอายอยู่ในอากาศ เสียงหัวใจที่เต้นรัวนี้ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นของผู้ใดกันแน่ มือที่จับศาสตรามาทั้งชีวิตเลื่อนมาปลดชุดคลุมสีดำของข้าออกด้วยความนุ่มนวลอย่างยิ่ง นิ้วอันแข็งแกร่งลูบบนชุดสีกลีบบัวแผ่วเบา แล้วเลื่อนขึ้นมาลูบบนหน้ากากสีเงินอันเย็นเยียบ ดวงตาคู่นั้นพลันสั่นระริกดุจคลื่นน้ำ
“บอกข้าสิ..เจ้าคือฉางเอ๋อร์” เสียงนั้นดังราวกับเสียงกระซิบ ข้าคลี่ยิ้มจ้องมองเขาแน่วแน่มั่นคง
“จิ่นสือ..เป็นข้า ฉางเอ๋อร์ของท่านอยู่ตรงนี้แล้ว”
“ใช่ ข้ารู้ต้องเป็นเจ้า..ลี่ฉาง” รอยยิ้มแลอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้เป็นของข้า อ้อมกอดที่เปรียบประดุจกำแพงอันแข็งแกร่งขวางกั้นภยันตราย แม้แต่ลมวสันต์ก็มิอาจกล้ำกราย เขาคือคนผู้เดียวที่ข้าคิดจะฝากฝังใจแลกายไว้ในอุ้งมือ เนิ่นนานกว่าเขาจะปล่อยข้าออกจากอ้อมกอดแต่สุดท้ายก็ถูกอุ้มไปนั่งบนตักเขาอยู่ดี ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนเกินจะกล่าว
“ใยเจ้าจึงใจร้ายนักฉางเอ๋อร์ ” คำตัดพ้อของเขากระซิบอยู่ข้างหู คนที่ดุประหนึ่งเสือก็มีด้านที่ขี้อ้อนประดุจแมวได้เช่นนี้เอง “เจ้าชังข้าถึงเพียงไหน จึงได้เลือกทางตายมากกว่าเป็น”
“ตอนนั้นข้าไม่รู้ใจตัวเอง แต่ตอนนี้ทราบแล้วถึงได้ดิ้นรนมาหาท่านนี่ไง” ข้าคลี่ยิ้มอิงแอบกับร่างเขา ภาพเราในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากยวนยางคู่หนึ่ง นิ้วมือเขาลูบอยู่บนฝ่ามือข้าดึงมันขึ้นมาพรมจูบแผ่วเบา
“วันนั้นที่เจ้าจากข้าไป ข้าจึงได้ทราบว่าชีวิตตัวเองไร้ความหมายอย่างยิ่ง ทั้งที่มีแผ่นดินกว้างใหญ่ในมือแต่กลับรู้สึกว่างเปล่ายิ่งนัก” ดวงตาของเขาอ้างว้างเสียจนข้าต้องกอดเอวสอบนั้นไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม
จิ่นสือไร้มารดา บิดาก็ไม่แยแส พี่น้องรังเกียจชิงชัง เขาเคยเยาะหยันตัวเองบ่อยครั้งว่าตนเป็นดั่งอีกาที่หลงมาร่วมวงศ์หงส์ ทั้งที่เขาเคยย้ำกับข้าหลายคราแสดงออกอยู่บ่อยครั้งว่าข้าเป็นสิ่งเดียวในชีวิตเขา แต่ข้ากลับเลือกใช้วิธีการอันโหดร้ายที่สุดมาลงโทษเขา
ข้าคลี่ยิ้มให้เขาจุมพิตที่ข้างแก้มแผ่วเบา “ข้าจะไม่มีวันจากท่านไป ข้าสัญญา”
ไม่มีวัน....ต่อให้ต้องตกตายอีกกี่ร้อยครั้งก็จะไม่มีวันปล่อยมือจากท่านอีกแล้ว จิ่นสือ
เชิงอรรถ
[1] สุรานารีแดง (女儿红-หนี่ว์เอ๋อร์หง) - นารีแดง เป็นเหล้าฮวาเตียวที่ขึ้นชื่อของอำเภอเส้าซิง มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “เหล้าบุตรสาว” (女儿酒) ประกอบด้วย 6 รสชาติ ได้แก่ หวาน ฝาด เปรี้ยว ขม ร้อน และกลมกล่อม ในบันทึกตำราสมุนไพรแดนใต้ 《南方草木状》 สมัยราชวงศ์จิ้นได้ระบุไว้ว่า ในอดีตเมื่อคุณหนูสกุลสูงศักดิ์จะออกเรือน จะมีการนำเหล้านารีแดงเตรียมไว้ให้เจ้าสาวนำติดตัวไปด้วย
[2] ดอกจื่อเถิง (紫藤) - http://www.askthemonsters.com/wp-content/uploads/2016/02/Wisteria-Flower-Tunnel-Japan.jpg (http://www.askthemonsters.com/wp-content/uploads/2016/02/Wisteria-Flower-Tunnel-Japan.jpg)
คุยกับนักอ่าน
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน รู้สึกเหมือนไม่ได้คุยกับนักอ่านมานานมากกกกก คิดถึงจังเลย หวงช่างของเรามีบทบาทแบบจริงๆจังๆซักทีตั้งแต่ตอนนี้จนถึงตอนสุดท้าย จิ่นสือเป็นตัวละครที่เขียนแล้วสนุกมากทั้งเรื่องนิสัย แบ็คกราวด์และจุดเปลี่ยนมีเรื่องให้เล่นเยอะ แต่ที่ผ่านมาเน้นอยู่ที่ลี่ฉางจนหวงช่างไม่เอาท์สแตนดิ้ง ส่วนลี่ฉางไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล งัดแผนการมาใช้สารพัด จะออกหัวออกก้อยค่อยมาลุ้นกัน 5555
เห็นนักอ่านบางท่านทักเรื่องคำภาษาจีนในเรื่อง จริงๆตอนเขียนแรกๆเลยเราอยากใช้สำนวนจีนในการแทนตัวเอง เช่น เจิ้น, หวงช่าง, หนูไฉ่, หนูปี้ แต่กลัวจะยิ่งสับสนงงกันใหญ่ ตอนนี้พยายามปรับคำที่พอจะอธิบายได้จะใส่ไว้ในวงเล็บ ส่วนไหนที่ต้องอธิบายมากหน่อยจะใส่ไว้ในเชิงอรรถเพื่อความสะดวกของนักอ่าน จะได้ไม่ต้องเลื่อนขึ้นเลื่อนลงกันด้วยแบบนี้ดีมั้ยคะ หรือถ้าเกะกะรกตา คิดเห็นยังไงบอกได้นะคะจะได้นำมาปรับปรุง^^
-
จิ่นสือรู้ความจริงแล้วววววงวววววววววววว!
................ใช่มะ?(อ้าว ยังไงแน่?)
คงไม่ใช่วางแผนใช้ฤทธิ์กำยานทำเขาเคลิ้มจนนึกว่าเป็นแค่ความฝันไรงี้หรอกนะ?
คือรักกันในร่างนี้ไปก่อนก็ได้ แต่ต้องรักโดยรู้ว่าข้างในเป็นฉางเออร์นะ
เพราะถ้าไม่งั้นจะกลายเป็นว่าจิ่นสือหลายใจ5555555
แต่ถึงจะพูดงั้น ตอนท้ายก็อยากให้ได้ร่างเดิมคืนนะ เพราะยังไงร่างที่ทั้งคู่อยู่ในตอนนี้ก็ไม่ใช่ของตัวเองอยู่ดี
-
ทั้งสนุก ทั้งเศร้า ชอบที่ค่อยๆเผยเรื่องในอดีตของทั้งคู่ออกมาเรื่อยๆแบบนี้ ยิ่งทำให้อินกับความรู้สึกลึกซึ้งของคนทั้งคู่ อยากติดตามว่า ทำไมตอนหลัง ลี่ฉางจึงคิดว่า ตัวเองเกลียดจิ่นสือมาก และ จิ่นสือก้อทำรุนแรงกะลี่ฉางมาก ติดตามค่าา
-
คำไหนใส่วงเล็บได้ก็ดีนะคะจะได้ไม่ต้องเลื่อนมาอ่านทีเดียวตอนจบ
เคยแอบคิดเหมือนกันว่าคำจีนมีเยอะมากแต่ยังดีที่มีแปลให้ค่ะ บางเรื่องนี่ไม่แปล ก็งงกันไป TT
เฮ้อ เมื่อไรลี่ฉางจะคืนร่างเดิมได้น้า ท่าทางจะอีกสักพักเลย ไหนจะมีการเมืองมาเกี่ยวข้องอีก
อยากเห็นจิ่นสือกับลี่ฉางมีความสุขสักที
รอตอนต่อไปนะคะ
-
เราโอเคกับศัพท์จีนค่ะ ชอบด้วย
ตามใจผู้เขียนนะคะ
-
งะ กลับมาแล้วว จุดพุฉลองง :heaven
คือลี่ฉางใช้กำยานใช่ป่ะ ฝ่าบาทเลยเป็นแบบนี้ แล้วหลังจากนั้นเขายังไงกันต่ออ่ะ :impress2:
-
จิ่นสือรู้แน่จริงๆใช่มะว่าเป็นลี่ฉาง กลัวจะเป็นเพราะฤทธิ์กำยานกับถุงหอม ฮือออออ
เอาศัพท์จีนมาเยอะๆก็ได้ค่ะ ชอบบบบบบบ เป็นเชิงอรรถเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ เราว่ามันได้อรรถรสดี
-
ฤทธิ์กำยานหรือเปล่า
:เฮ้อ:
-
เชิงอรรถดีมากค่ะชอบ เนื้อเรื่องก็ดีงามเลิศล้ำ แต่ไม่ดีอย่างเดียวคือตอนเลื่อนลงมาแล้วเจอคำว่า"เชิงอรรถ" โฮ สั้นเกินไปแล้วววววววววว
ปล.เมื่อเช้าคิดอยู่เลยว่าจะมาโพสถามตอนต่อพอเปิดบอร์ดมาก็เจอเลย ชีวิดตี~~~ แต่รู้สึกเดจาวูกับอาทิตย์ที่แล้วเลยค่ะ5555
-
อาศัยอาการหลอนจากกำยานหรือเปล่า
-
ชอบเรื่องนี้จัง....สนุก...
-
จิ่นสือรู้จริง ๆ หรือเมาฤทธิ์กำยาน?
เรื่องอธิบายศัพท์ ทำแบบที่ทำมาดีแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ
-
รอฉางเอ๋อร์คนดี มาต่อไวๆนะ
เขียนให้จบนะคะ เรารอเอาใจช่วย
เราเป็นหนึ่งคนที่ชอบแนวนี้มากกกกกกกกกกก
อ่านไฮกุ อ่านวรรณกรรมจีน วรรณกรรมพีเรียดแบบนี้
ของโปรดเราเลย
อ่านแล้วมีความสุขมากอ่ะ ชอบ
-
ไม่รกตาเลยค่ะ ชอบเวลาใช้ศัพท์จีนทับคำด้วย บางคำพอใช้คำไทยพูดในประโยคก็ไม่อินเท่าน่ะค่ะ
ชอบลี่ฉางมากกกกกกกกกก ไม่เคยเห็นนายเอกคนไหนมั่นหน้าขนาดนี้มาก่อน นางพร้อมจะสู้เพื่อสิ่งใดๆที่นางต้องการ ขนาดอุปสรรคใหญ่สุด ร่างกาย... ยังขวางนางไม่ได้ :hao7:
-
(http://www.mx7.com/i/bf5/4nvRLz.jpeg)
ตอนที่ ๑๓ หมอกจางลางเลือน
“ข้าเกลียดท่าน! ข้าชังท่าน!!”
เฮือก!
ข้าสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นความมืด เพดานลวดลายเก้ามังกรสลักเสลาดุจมีชีวิตฝังไว้ด้วยมุกราตรีส่องแสงให้เห็นภายในห้องกว้างนี้เงียบเหงาดุจไร้ผู้คน พลันเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาก็ดังขึ้นในความเงียบงัน
“หวงช่าง ฝันร้ายอีกแล้วหรือพะย่ะค่ะ” ข้าส่งเสียงตอบรับในลำคอคราหนึ่ง ลูบใบหน้าสลัดภาพฝันอันปวดร้าวนั้นออกไปจากหัว ความฝันเมื่อครู่คล้ายกับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เสียงเกรี้ยวกราดสาปแช่งของคนผู้นั้นดังก้องไปก้องมาครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาหงส์อันงามเป็นเอกมีแต่ความเกลียดชังลึกล้ำ ประดุจทะเลน้ำหมึกที่ไร้ก้นบึ้งที่ลึกสุดหยั่ง
“เช่นนั้นให้กระหม่อมตามหมอหลวง..” โบกมือคราหนึ่ง หม่ากงกงที่รี่เข้ามาข้างเตียงก็สงบปากสงบคำถอยห่างออกไป
“ตามหมอหลวงมากี่คนก็มิใช่บอกว่าข้าพักผ่อนน้อยไปหรอกหรือ” หลายวันมานี้ฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนยากสงบใจ ร่างกายรู้สึกตึงเครียดอ่อนเพลีย พวกหมอหลวงเฒ่าเหล่านั้นล้วนวินิจฉัยไปในทางเดียวกันทั้งสิ้น น่าตลก...ตอนอยู่ในสมรภูมิคืนไหนเล่าได้หลับสบาย หรือว่าร่างกายหย่อนการฝึกฝนเกินไปจึงอ่อนแอได้ง่ายถึงเพียงนี้?
ข้าหลับตาลงถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง คืนนี้ไม่อาจข่มตาหลับได้โดยง่าย จิบชาที่ยังอุ่นร้อน ความรู้สึกที่ยังหลงเหลือจากไหนฝันจึงค่อยมลายหายไป ยกถุงหอมที่คนผู้นั้นให้มาขึ้นดมจิตใจสงบลงบ้างเล็กน้อย
“นี่ยามใดแล้ว?”
“ยามโฉ่ว[1.00-2.59 น.] พะย่ะค่ะ ฝ่าบาทบรรทมไปได้เพียงชั่วยามเดียว[2 ชั่วโมง] เท่านั้นเอง” ข้าพยักหน้ารับรู้ ช่วงนี้นอนวันละหนึ่งชั่วยามจนกลายเป็นเรื่องปกติ หากจะนอนต่อก็รู้สึกไม่ง่วงแล้ว ยังไม่ทันจะเอ่ยปากให้เขาจุดเทียนเตรียมชุด หม่ากงกงผู้แต่ไหนแต่ไรสงบปากสงบคำอย่างยิ่งกลับเอ่ยคำชี้แนะขึ้นมาเสียก่อน
“ฝ่าบาทเสด็จเยือนตำหนักหลวงดีหรือไม่พะย่ะค่ะ” ข้าเลิกคิ้วนิ่งพิจารณากงกงชราตรงหน้า หม่ากงกงอุทานขออภัยลนลานคุกเข่าตบปากตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่งมองเขาตบปากไปสองสามครั้งแล้วจึงหัวเราะออกมา
หัวเราะครั้งที่หนึ่งด้วยความขันเนื่องจากมองเขาที่ใต้ตาดำคล้ำประดุจตัวสงเมา[หมีแพนด้า] หลายวันมานี้ทั้งองครักษ์แลขันทีทั้งหลายคงอยู่ไม่เป็นสุขนอนหลับไม่สนิทกันเลยกระมัง ช่วงนี้ถึงดูเหนื่อยล้าไม่กระฉับกระเฉงใต้ตาดำกับเป็นแถบ
หัวเราะครั้งที่สองเพราะว่าความใจกล้าของเขา หลายวันมานี้มีใครกล้าเอ่ยปากพูดถึงตำหนักหลวง ใครหรือกล้าหาญเอ่ยนามคนผู้นั้นออกมาให้ข้าได้ยิน พวกเขาล้วนแต่มีความสุขกับการจัดหาฤกษ์งามยามดีคัดเลือกพระสนมใหม่เข้ามาในวังหลังหรือมิใช่ เพียงแต่คนผู้หนึ่งแม้ไม่เอ่ยถึงกลับยิ่งคะนึงหา คนผู้หนึ่งแม้ทำเป็นลืมกลับยิ่งจดจำ
หัวเราะครั้งที่สามเพราะนึกเย้ยหยัน หากข้าเป็นเพียงองค์ชายเจ็ดเช่นดั่งแต่ก่อนมีหรือจะทำข้าบาทเหล่านี้หวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ ตั้งแต่ยังเยาว์เหล่าขันทีที่กรมพิธีการจัดหามาให้ล้วนแต่เป็นตัวบัดซบทั้งสิ้น พวกมันล้วนแต่ไม่เคยเห็นข้าเป็นองค์ชายลงมือกลั่นแกล้งรังแกอย่างไม่ปราณี พอโตมาต้องแยกตำหนักออกไปนอกราชวังเงินเบี้ยหวัดต่างๆถูกเบียดบังไปจำนวนมาก ความเป็นอยู่กระเบียดกระเสียรอย่างยิ่ง
ความทุกข์ยากในยามนั้นทำให้ข้าในวับสิบสี่ละทิ้งตำแหน่งองค์ชายจอมปลอม หันหลังให้ความตลบตะแลงของวังหลวงมุ่งสู่สมรภูมิ ในทัพแนวหน้าที่อันตรายที่สุดข้าเฝ้ามองเหล่าศัตรูดาหน้าถาโถม หนึ่งคมกระบี่วาดออกไปปลิดชีวิตนับร้อยพัน
ยิ่งเข่นฆ่าความรู้สึกขมขื่นก็ปลาสนาการหายไปสิ้น รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ เบื้องหน้าถูกชื่นชมว่าเป็นเทพสงครามเบื้องหลังถูกเรียกขานว่าปีศาจบ้าเลือดบ้างคนเถื่อนบ้าง เหล่านี้ล้วนไม่ระคายความรู้สึกข้าแม้เพียงนิด
มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ใจที่ตายด้านกลับเต้นขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาหงส์งามพิลาสคู่นั้นในราตรีที่สวนเบญจมาศ เพียงคนผู้เดียวที่ทำให้ข้าไม่อาจลืมเลือน ภาพอันงดงามของเขาตราตรึงทั้งยามฝันแลตื่น เคยคิดว่าชีวิตนี้สามารถละทิ้งได้อย่างไม่อาลัยกลับไม่สามารถทำได้โดยง่ายเช่นแต่ก่อน แม้แต่ในยามที่บาดเจ็บหนักคิดว่าไม่อาจรอดแล้วแต่ในฝันกลับมีรอยยิ้มพริ้มพรายของเขา เช่นนี้ข้าจะจากไปได้อย่างไร
เมื่อข้ากลับคืนเมืองหลวงอีกครั้งพร้อมกับเกียรติยศชื่อเสียง เคยหวังว่าจะไปไถ่ตัวเขาออกมาจากสถานที่แห่งนั้นเป็นอันดับแรก เขาคงประหลาดใจน่าดูที่บุรุษท่าทางป่าเถื่อนในคืนนั้นกลับเป็นองค์ชายผู้หนึ่ง มิคาดกับเป็นตัวข้าเองที่ต้องประหลาดใจ
“คนผู้นั้นคือเหวินฉีลี่ฉางผู้เลิศล้ำแห่งหมื่นวสันต์อย่างไรเล่าน้องห้า” ซานเกอ[พี่สาม]กระซิบบอกข้ายามที่คนผู้นั้นเดินลงมาจากหอสูง เพียงแต่ซานเกอไม่ทราบว่าที่ข้าทำจอกสุราหลุดมือนั้นไม่ใช่เพียงเพราะตะลึงในความงามนั้น
เหวินฉีลี่ฉาง...สองนามอันเป็นมงคล
..หยกเลิศ จันทร์เพริศพริ้ง..
นามนี้ทั้งไพเราะแลอหังการ์ จะมีผู้ใดในแผ่นดินขวัญกล้าเอานามเทพเซียนมาใช้โดยเฉพาะนามของฉางเอ๋อร์ เทพีแห่งจันทราผู้งามเลิศ เพียงแต่..เพราะคนผู้นั้นคือเหวินฉีลี่ฉาง ประโยคนี้เป็นคำตอบที่ชัดเจนอย่างยิ่ง ยังต้องการเหตุผลอื่นใดไหนอีก
เขาถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าองค์ชายและคุณชายพระประยูรญาติ ใบหน้างดงามแลเยาว์วัยไม่มีท่าทีขลาดเขินเช่นในราตรีนั้น เหลือแต่เพียงท่าทีหยิ่งยโสและความเย็นชาดุจดอกเหมยแดงที่เบ่งบานบนยอดสูงลิบ ณ เหมันตฤดู หนึ่งสายตาของเขาที่ชายมามองทำให้ข้าหัวใจสั่นไหว แต่ท่าทีห่างเหินเช่นคนไม่รู้จักกัน...หรือว่าเขาจะลืมข้าไปแล้วจริงๆ..
เสียงหัวเราะครั้งที่สี่นี้มอบให้กับเรื่องราวในอดีต ความรักอันโง่งมของบุรุษผู้งมงาย แต่หากให้ย้อนเวลากลับไปข้าก็จะตกหลุมรักเขาอยู่เช่นเดิม เสียงขลุ่ยอันคุ้นเคยดังแว่วมาทำให้ข้าหยุดคิดถึงเรื่องราวในอดีตไม่ทราบพาตัวเองเดินมาถึงอุทยานตั้งแต่เมื่อไหร่
เหม่อมองไปยังศาลาเบื้องหน้า ศาลาแห่งนี้อยู่ใกล้สระบัวใหญ่และมีต้นหลิวอายุนับร้อยปีแผ่กิ่งก้านบดบังจึงไม่เป็นที่สังเกต ตัวศาลาถูกดอกจื่อเถิงเติบโตคลุมจนเห็นด้านในได้เพียงเลือนราง แต่สถานที่ที่เหล่าสนมบอกว่าน่ากลัวกลับเป็นที่โปรดปรานของคนผู้นั้นอย่างมาก
เขามักจะเอนกายอยู่ในศาลา นัยน์ตาหงส์เหม่อลอยไปแสนไกล กลิ่นชาหลงจิ่ง[สระมังกร]สงบรื่นรมย์ สีสันในถ้วยชาดุจดั่งสระมรกตอันเรียบนิ่งไร้ระริกคลื่น ข้านั่งลงตรงข้ามนึกอยากเอ่ยถามอยู่บ่อยครั้งว่าร่างกายเขาอยู่ตรงนี้แล้วจิตใจเขาเล่าเหม่อลอยไปถึงผู้ใด
เสียงขลุ่ยนั้นยังไม่หยุดเพรียกหา ข้าขมวดคิ้วปวดหัวมากจนแทบระเบิด กลิ่นหอมประหลาดสายหนึ่งโชยมาจากด้านในศาลา เสียงขลุ่ยนั้นเงียบลงแล้ว เห็นแต่เพียงชายชุดสีแดงที่กำลังพลิ้วไหว ร่างเล็กร่างหนึ่งกำลังร่ายรำอยู่ข้างใน ท่าทางอันคุ้นตาทำให้ยิ่งรู้สึกปวดหัวจนต้องสะบัดเศียรแรงๆอีกหลายครั้ง
คนผู้นั้นสวมชุดสีแดงสดดุจดอกเหมยแดงที่สะพรั่งบานเต็มต้น ในคืนนั้นหิมะโปรยปรายเขาร่ายรำอยู่ใต้ต้นเหมย ดวงหน้างามพิลาศเย้ยจันทราเยียบเย็นดุจหิมะ อ้างว้างดุจสายลมราตรี กลีบดอกเหมยปลิดปลิวลอยละล่อง ทุกคราที่เขาขยับตัวเป็นเส้นสายอันสวยงามยากละสายตายิ่งทำให้ใจของข้าเต้นแรงอีกเท่าทวี
ตอนนี้ข้ากำลังตกอยู่ในความฝันหรือ? หรือว่าเรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นความจริง? คนที่อยู่ตรงหน้าหน้าคือเขาใช่หรือไม่? หรือว่าเป็นปีศาจจำแลงกายมาหลอกล่อ?
เขาหยุดร่ายรำลงเสียแล้ว ข้าพลันอยากเอ่ยปากร้องขอให้เขาอย่าหยุด เพียงแต่ริมฝีปากแห้งผากแลสั่นระริกจนไม่อาจขยับได้ ใบหน้าอันเป็นปริศนาถูกซ่อนไว้ใต้หน้ากากเงินอันเย็นชา ริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นคลี่ยิ้มออกมา ..รอยยิ้มของเขาข้าจะลืมเลือนไปได้อย่างไร
“จิ่นสือ..” เขาเรียกข้าได้อ่อนหวานถึงปานนี้ ? ที่แท้ข้าก็ยังอยู่ในความฝันอย่างไม่ต้องสงสัย นิ้วเล็กๆนั้นมาลูบไล้ที่ข้างแก้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่งามนั้นหวานเชื่อมประดุจน้ำผึ้ง นี่ข้าคงฝันดีเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
“จิ่นสือ..” ข้าดึงเขามาไว้ในอ้อมกอด เอวเล็กคอดยิ่งเล็กลงกว่าเดิมจนน่าใจหาย มองหน้ากากอันเย็นชานั้นอย่างขัดใจแต่เมื่อจะดึงมันออกเขากลับดึงมือของข้าไว้จรดจุมพิตบนนิ้วมืออย่างนุ่มนวล
“ฉางเอ๋อร์..นี่ข้าฝันไป?” เขาตอบคำถามข้าด้วยรอยยิ้มลึกลับ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ถูกดันให้นั่งลงบนเก้าอี้ส่วนร่างเล็กๆของเขาอยู่บนตักข้า ความมืดมิดเข้ามาเยือนเพราะถูกคนซุกซนผู้นั้นปิดตาไว้
“ฉางเอ๋อร์ เจ้าจะ..”
ความนุ่มหยุ่นชนิดหนึ่งโฉบลงมาบนริมฝีปาก นุ่มนิ่มดุจสายไหม หวานดุจน้ำผึ้งยามคิมหันต์ ข้าคำรามในลำคออย่างพอใจจุมพิตตอบกลับด้วยความเร่าร้อนชนิดหนึ่งที่หลอมละลายสายไหมอันหอมหวานนี้จนกลายเป็นน้ำตาลเชื่อม เขาตอบสนองข้าดุจผู้รู้ใจ บนสมรภูมิรักแห่งนี้มีขุนทัพผู้ใดเล่าจักยอมแพ้พ่ายให้ขายหน้า
การโรมรันชนิดนี้ดุจไฟที่ถูกจุดด้วยน้ำมันกลายเป็นเพลิงลุกโหมกระหน่ำแลไม่อาจดับได้โดยง่าย หลายครั้งหลายคราเราทั้งสองจุมพิตกันโดยไม่อาจหยุด ไม่อาจกล่าวคำว่าพอเพียง ไม่ใช่จูบที่ห่างเหินเย็นชาเพียงผิวเผินแต่เป็นจูบที่สนิทสนมดุจคู่รัก ไม่ได้เติมเพียงความกระหายอยากแต่มันเติมเต็มจิตวิญญาณข้างในข้าให้รู้สึกอิ่มเอมยิ่ง
“จิ่นสือ..” เสียงกระซิบเรียกหาดังอยู่ข้างหู เป็นเสียงอันอ้างว้างโหยหา ข้าพลันรู้สึกเจ็บปวดหัวใจดึงเขามากอดแนบแน่นจนไร้ช่องว่างใดระหว่างเราสอง
“ฉางเอ๋อร์..ข้าอยู่นี่แล้ว”
มันเป็นฝันที่เกินกว่าจินตนาการไว้มากมาย ข้าลืมตาตื่นขึ้นมามองเพดานลายเก้ามังกรอันสลักเสลาอย่างประณีตงดงาม แสงอาทิตย์อุ่นๆของฤดูชุนเทียนลอดผ่านหน้าต่างส่องให้เห็นห้องกว้างซึ่งเต็มไปด้วยตำราแลฎีกาอยู่ฝั่งหนึ่ง หม่ากงกงรอรับใช้อยู่ข้างเตียงเหมือนทุกวัน
การปรนนิบัตรยามเช้าผ่านไปอย่างที่เคยเป็น แต่มีบางสิ่งที่รู้สึกแปลกไป...ฝันเมื่อคืน..ข้าฝันถึงอะไรกันแน่ มันเป็นฝันแสนสุขจนไม่อยากลืมตาตื่น รู้สึกอิ่มเอมราวถูกเติมเต็มในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตวิญญาณ ความนุ่มนวลอ่อนหวานชนิดหนึ่งคล้ายยังติดอยู่บนริมฝีปาก แต่ขบคิดเท่าไหร่กลับคิดไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในความฝัน
“ทูลหวงช่าง แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ” ข้าพยักหน้าดุจคำตอบรับ ในใจยังไม่คลายสงสัยจากเรื่องในความฝัน กลีบดอกเหมยแดงปลิวว่อน หิมะโปรยปราย คนผู้นั้นร่ายรำอยู่ในสวนเหมย...ไม่สิ..หรือว่าเขาร่ายรำอยู่ในศาลากันแน่ ข้าขมวดคิ้วสะบัดศีรษะอีกหลายคราปัดเรื่องที่ฟุ้งซ่านออก
พี่รองเดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบเร่งอย่างเคย วันนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องเร่งด่วนอีกวัน ข้าหยิบถุงหอมขึ้นมาจรดยังปลายจมูกกลิ่นหอมอย่างสงบสุขุมนั้นทำให้รู้ผ่อนคลายอย่างยิ่ง มองฝีเข็มบนถุงหอมแล้วจึงยิ้มออกมาจางๆ คนผู้นั้นไม่แน่ใจว่าตั้งใจจะปักเป็นลวดลายก้อนหินหรือพระจันทร์ ดูก้ำกึ่งแต่กลับสวยงาม แต่ไม่เป็นไรรอเขาพร้อมที่จะคุยกับข้าเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคงได้ทราบว่าที่แท้บนถุงหอมนี้เป็นลวดลายใดกันแน่..
คุยกับนักอ่าน
ตอนเขียนตอนนี้รู้สึกมึนๆ ไม่รู้จิ่นสือมึนตามคนเขียนหรือคนเขียนมึนตามจิ่นสือ 55555 ตอนนี้มีคิสซีนด้วย แหะๆๆ นานทีจะมีเลิฟซีนรู้สึกมีความสุข ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากนะคะ อ่านทุกคอมเม้นท์แต่ยังไม่มีโอกาสได้ตอบเลย T_____T คอมเม้นท์เป็นกำลังใจสำคัญในการปั่นจริงๆค่ะ 555
ตอนนี้ขอตัวไปนอนก่อนแล้วค่ะ เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ ^^
-
งะ รู้สึกว่าสั้้น ฝ่าบาทน่าจะจำได้เนอะ อยากให้เริ่มรักลี่ฉางที่อยู่ภายในเด็กน้อยทีละน้อย อย่างน้อยในความฝันตื่นมาก็น่าจะจำได้บ้าง นี่ไม่เห็นหนทางเลย จิ่นสือหายใจเจ้าออกก็ลี่ฉาง ที่มีรูปร่างเป็นลี่ฉางอะ ไม่นึกสงสัยอะไรเลย ถ้าไม่กลับคืนร่าง แล้วจะรักกันยังไงน้ออ :katai1:
-
ช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน กระพริบตาเดียวตอบตอนซะแล้ว :serius2:
-
สงสารจิ่นสือ
-
:hao5:
-
ฮึ่ยย่ะ ได้อ่านพาร์ทจิ่นสือแล้ว ดีงามมมมมม สงสารเล็กน้อย โดนลี่ฉางปั่นหัวนิดๆ สู้ๆนะ ทางพิชิตคนงามย่อมยากเย็นเสมอ ฮิ้ว~
-
เลื่อนอ่านๆไปกำลังดื่มด่ำกับเนื้อหาพอเลื่อนมาเจอ คุยกับนักอ่านละเหมือนโดนปลุก ฮือออสั้น
สรุปจิ่นสือก็คิดว่าเรื่องคืนนั้นฉันคิดว่าฝันไป...อ๋อยยย
-
ไม่รู้จะสงสารใครดี อ่านกี่ครั้ง
ก็ยังสงสาน จิ่นสื่อ กับหลีฉาง
ตลอดเลยอ่ะ
-
ดีใจที่ได้อ่านพาทจิ่นสือบ้าง รู้สึกสงสาร คิดว่า จิ่นสือเศร้ากว่าลี่ฉางเสียอีก เพราะรัก และรู้สึกไม่มั่นคงมาโดยตลอด ผิดกับลี่ฉางที่มีจิ่นสือคอยรักและเอาใจตลอดเวลา เอาใจช่วยให้ได้ กลับมารักกันจริงๆ
-
จิ่นสือช่างน่าสงสาร รักเดียวที่มีกลับทำให้เจ็บปวดยาวนาน
แม้ในยามที่เจ็บปวดแต่ก็ยังไม่เคยคิดติดใจโกรธเคืองลี่ฉางเลย
เฝ้ารอตอนต่อไป
ขอบคุณคุณเดือนเมษา ฉันชอบเรื่องนี้มาก ๆ
คำผิดนิดหน่อยจ้ะ
ข้าในวับสิบสี่ละทิ้งตำแหน่ง
ใต้ตาดำกับเป็นแถบ
ดวงหน้างามพิลาศเย้ยจันทรา > พิลาส (พิลาศ แปลว่า เหมือนอย่างยุโรปหรือมาจากยุโรป สะกดอีกอย่างว่า วิลาศ)
การปรนนิบัตรยามเช้าผ่านไปอย่างที่เคยเป็น > ปรนนิบัติ
-
จิ่นสือของหนู T_____T
-
รออยู่
-
รอคอยที่จะฝันอีกครั้งพร้อมๆกับจิ่นสือ
-
:hao5: โอยยยย สงสารจิ่นสือมากเลยอ่ะ คือชีวิตไม่มีใครอยู่แล้ว พอลี่ฉางโดนพิษจนนึกว่าตายยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ คือคงรูสึกเหมือนแผ่นดินถล่มเลยล่ะมั่ง อุตส่าห์พนายามมากมายเพื่อให้ได้รับการยอมรับแท้ๆ
รอตอนถัดไปค่า ชอบมากๆ :mew1:
-
อ่านแล้วสงสาร
อยากให้คืนร่างกันเร็วๆ
จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน :monkeysad:
-
:call:
-
คิดถึง หวงช่างกะ หมอยา(ปลอม)แล้ววว
-
คิดถึงจิ่นซื่อ คิดถนักเขียน
อยากต่อแล้วววววว
-
:call:
มาต่อเถอะค่ะะะะะ
-
:ling1:
-
:katai5:คิดถึง หวงช่างกะหมอ ยา
-
ยังรออยู่เสมอนะคะ
-
คิดถึงจิ่นสือกับลี่ฉาง
-
คนเขียนหายไปนานจุง
รอมาต่อนะคะ
-
คิดถึงจังเลยยยยยย
-
สงสารจิ่นสือ อยากให้นางรู้แล้วว
-
ยังรออยู่เสมอนะคะ
-
บรรยายดีมากเลยค่ะ อ่านแล้วเห็นภาพตาม
เศร้าตามลี่ฉาง ทั้งทุกข์ใจที่ฟื้นมาเป็นคนอื่น ทั้งทุกข์ใจที่รู้ว่ารักเขาเมื่อสายไป
แล้วก็ชอบเชิงอรรคมากเลย ทำให้รู้อะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยรู้
สำนวนของคนแต่งก็ทำให้รู้สึกว่าอยู่ในประเทศจึนจริงๆ ไม่ใช่เรื่องจีนแต่สำนวนไทย ทำให้หลงรักเรื่องนี้อีกมากเลย
-
คิดถึง นะคะ รอๆๆๆ
-
ยังคงรอ
-
จิ่นสือ ลี่ฉาง
คิดถึงยิ่งนัก
-
ยังรออยู่นะคะ
-
ทำไมเราเพิ่งมาเจอเรื่องดีๆแบบนี้ ภาษาดีงามมากเลยค่ะ
อ่านไปได้ครึ่งหนึ่งก็น้ำตาไหลเลยว่าตอนล่าสุดอัพเมื่อตอนเดือนสี่.....
อย่าทิ้งเราไว้กลางทางนะคะ ฮื้อ แต่อ่านต่อจนถึงตอนล่าสุด
จริงๆก็แอบลุ้นว่าถ้าลี่ฉานบอกความจริงเรื่องสลับร่างกับหวงตี้จะเป็นยังไง
จะจำลี่ฉานเหมือนท่านเหมยได้ไหม? ฮื้อ ลุ้นจังค่ะ รอมาต่อนะคะ
-
รออ่านอยู่นะคะ :กอด1:
-
ขอทานน้อยน่าสงสาร คนที่น่าเวทนาที่สุดคือลี่ฉาง กล่าวโทษผู้อื่นทั้ง ๆ ที่เรื่องมาจากตัวเองทั้งนั้น สวรรค์ลงโทษนั้นถูกแล้ว
-
:-[ :-[
-
นักเขียนหาย :hao5:
-
เรายังรอนักเขียนและติดตามเรื่องนี้ตลอดนะคะ
มาต่อเถอะนะทรมานใจมากเลย หายไปครึ่งปีแล้วน้า T___________T
อย่าหายไปเลย นี้พยายามตามไปทุกที่เลยค่ะ กลับมาเถอะค่ะ ฮื่อออออออ
คิดถึงมากกกก ชอบเรื่องนี้มากๆ
-
ชอบเรื่องนี้มาก ภาษาก็สวย เรียบเรียงดี อยากอ่านต่อจ้าผู้แต่ง
-
คนแต่งหายไปไหน :hao5:
-
คิดถึง
-
เดี๋ยวมาอ่านต่อค่ะ
-
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รับรู้ความตั้งใจของคนแต่งได้ทุกบรรทัดจริงๆ เหมือนแต่ละคำมันมีความหมายไปหมด เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆอย่างนี้ให้อ่านค่ะ
:pig4: :pig4: :pig4:
เอาใจช่วยฉางเอ๋อร์ :hao5:
-
:mew1:
-
ดันๆๆๆ :katai4:
-
ตามอ่านมาตั้แต่เด็กดี คนเขียนไม่อัพเกือบปีแล้ว มาเจอในเล้าอีก ฮืออออออออจบเถอะนะคะ :sad4:
-
ภาษาสวย เนื้อหาดี อยากอ่านต่อออออ
คนเขียนท่านอยู่แห่งหนใด มาอัพต่อได้ไหมคนดี~
-
โอ้ยยย อ่านแล้วติด พอดูวันที่อัพล่าสุดแล้วปวดใจ :katai1:
ขอให้คนเขียนมาต่อเถอะน้า :call:
-
มาต่อเถอะน้าาา
-
เพิ่งตามอ่านค่ะภาษาดีมากเลยค่ะ ลุ้นมาก เดาทางเรื่องไม่ค่อยถูก
-
เพิ่งติดตาม ฮือออ หายยย
-
จะมาต่อไหมหนาาาาา
ลี่ฉางงงงงงงงงงงงง
-
อยากอ่านอีก รออยู่นะคะ
:m5: :m5: :m5: :m5:
-
เอาใจช่วยลี่ฉางให้หวงตี้สะกิดใจเร็วๆนะคะ ทรมานกันทั้งคู่
-
คือเรื่องนี้สนุกมากเลยนะ
เมื่อไหร่จะมาอัพต่ออ่าาาาา :hao5:
-
เอ้าาาา :katai1: เราเพิ่งตามมาจากกระทู้นิยายแนะนำ .. แง้
-
โอ้ย กลับมาแต่งต่อได้ไหมคะ ได้โปรด ฮือ :m5:
มันดีมาก เราไปอยู่ที่ไหนมา ทั้งสำนวนทั้งการบรรยายต่างๆ
ฮือ แค่อ่านตอนแรกเราก็น้ำตาไหลแล้ว กลับมาต่อเถอะนะคะ :m15:
-
:m20: กำลังเศร้า กำลังสงสารดันมาขำก๊ากกับตอนแย่งหมั่นโถว
5555555 แต่น้องหมานางก็น่ารัก 555 มีคาบของกินมาแบ่ง ฮือ
แม้จะรู้ว่าผู้แต่งอาจไม่มาต่อแล้วหรือยังไง แต่เราก็ยังอยากอ่าน
เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งเลยค่ะ ป.ล. ไปแอบหาในกู๋มา..ตามไปในดด.
แต่ผู้แต่งปิดตอนไว้.... แง้ ยังดีที่ในเล้ามีให้อ่าน
-
โง้ยยย นึกว่าลืมน้องหมาไปแล้วกำลังจะโวยวาย 555
เจ้าดำที่แท้ก็เป็นหมาผู้ดีตกยากเหมือนกันเนอะ
ไม่อยากนึกตอนเมิ่งได้เจอกับจิ่นสือ น้ำตาไหลพรากแน่เลย
-
กรี๊ดดดดด บิดามันเถอะ ฮือ เกิดอันใดขึ้นทำไมมีคนอยู่ในร่างนั้น
ใครคนนั้นเป็นใครหรือเป็นขอทานที่สลับวิญญาณกับจิ่วเมิง
โอ๊ยยย ตอนนี้อยากข่วนหน้าเหมือนgifนี้มากๆค่ะ :katai1:
-
:laugh: ขอขำตอนนี้ให้สะใจก่อนเผื่อมีม่ามาโดยไม่ทันตั้งตัว
สรุปคนๆนั้นเป็นใบ้พูดไม่ได้หรือเขาแค่ไม่กล้าพูด?
แง้ ขอให้ท่านเหมยเชื่ออาเมิ่งด้วยเถิด เพี้ยง
-
ม่ายยยยย :serius2: เราว่าแล้ว ฮือ น้ำตาซึมเบาๆ โอยย
ไม่อยากนึกตอนม่าหนักหน่วงเข้ามา วันนั้นเราจะร้องไห้ขนาดไหน
-
กำลังขำลี่ฉางที่เจอของดี แต่มาชะงักเอาตรงเจอจิ่นสือ
แถมยังมารู้อีกว่าอาเตียที่ว่านั้นเป็นถึงฮ่องเต้ อมก
-
ซีหยางก็ดูน่ารัก แต่!! ยังไม่ไว้ใจหรอกนะ จากที่ผู้แต่งบอกๆมา
เราไม่ไว้ใจน้องขอทานน้อย ขอระแวงหน่อยนะ
-
:ling1: สงสารคุณชายรอง ฮือ คุณชายเปลี่ยนมาชอบซีหยางดีไหม
-
อยากให้มาอัพต่อจัง คิดถึง :mew2:
-
มาต่อเถอะค่ะ อ่านรวดเดียวเลย สนุกมากจริงๆ o13
-
คนแต่งหายรออยู่นะคะ
-
ได้โปรดๆ มาต่อ ด้วย ฮือๆ อย่าหายปรายยย นานได้โปรดดดดดด เพี้ยงงงงงงง จงมาๆ^^
-
จะปีใหม่แล้วนะคะ...
ยังไงก็มาต่อเถอะ ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนอ่านก็ได้~
:mew2:
-
มาช้าไม่เป็นไรเลยแต่ขอมาต่อให้จบนะคะ เราชอบมากอ่ะ รอนะคะ สนุกๆๆๆๆๆ :mew6: :mew3:
-
รอมาเกือบสามปีแล้ว กลับมาได้แล้วค่ะ :call: :call:
-
รอตอนต่อไปจ้าา
-
นี่ฉันก็รอร๊อรอ
-
รอค่ะ :z3: :z3: :z3:
-
ไม่อยากให้กลับคืนร่างเลย ในเมื่อใบหน้ารักษาให้หายได้ ก็ทำให้เขากลับมารักตนสิ รักในตัวตนของเขาไม่ใช่รูปลักษณ์ :z3:
-
ตอนเริ่มเรื่องดกระพระเอกมากแบบทำร้ายนายเอกได้ไงวะแต่พออ่านๆมาเรื่อยๆอุแงเขาก็รักเขาก็ห่วงของเขาเนาะ อยากเห็นเขาหวานกันอุแงง อย่าลืมกลับมต่อนะคะ
-
...
-
ยังรออยู่นะคะ :ling2: