(http://i1278.photobucket.com/albums/y513/403_TB/400_zpse42abc88.jpg)
“...พี่ไปเก็บข้าวของของเมืองที่เจ้าของหอเอาลงมาทิ้ง แล้วเห็นว่ามีแบบบ้านที่เมืองเขียนไว้แต่ยังไม่เสร็จดี พี่เลยออกแบบต่อนิดหน่อย พอเอาไปสร้างจริงๆมันสวยมากเลย...บ้านของเรา...ร่มรื่น อบอุ่น และเงียบสงบ ห่างไกลจากผู้คนที่เรารู้จัก...ต่อไปนี้จะได้ไม่มีใครล้อเมืองหรือรังแกเมืองได้อีก...พี่โอ้คนนี้จะคอยดูแลเมืองอย่างดี...พี่เฝ้ารอวันที่จะได้เจอเมือง...เราจะได้กลับมามีความสุขด้วยกันอีกครั้ง...ฮึก...พี่โอ้...จำได้รึยัง...นี่ไง ลายมือของพี่ พี่เป็นคนเขียนมันไว้...รูปบ้านหลังนี้พี่ก็เป็นคนถ่าย...จำได้บ้างไหมครับ...”
ผมส่ายหัวแทนคำตอบ ไม่ว่าน้องจะอ่านข้อความในสมุดบันทึกเก่าๆให้ผมฟังสักกี่ครั้ง ผมก็ทำได้แค่เพียงส่ายหน้า
“ฮึก...ทำไมมันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย”
...ใช่ ทำไมมันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย ทำไมผมต้องมานอนป่วยแกล้งทำเป็นว่าตัวเองความจำเสื่อม คิดแล้วตลกชะมัด...
“ขอโทษนะที่พี่จำอะไรไม่ได้เลย แต่ทำไมเราถึงอยากให้พี่จำเรื่องราวต่างๆได้ขนาดนั้น...เท่าที่พี่ฟังเราอ่าน มันไม่เห็นจะมีเรื่องราวดีๆของพวกเราเลย”
...เพราะฉะนั้นอย่าให้ผมจำได้เลยจะดีกว่า...
“พี่โอ้...”
“หน้าเราไปโดนอะไรมา...เจ็บมากไหม” ผมไล้นิ้วไปตามแผลเป็นจางๆที่อยู่บนใบหน้า...ขนาดเป็นคนมอง ยังเจ็บปวดแทนทุกครั้งที่ได้เห็น
“เมืองไม่เจ็บแล้ว...พี่โอ้ล่ะ เจ็บแผลมากไหมครับ”
“เจ็บ...พี่ขอนอนพักได้ไหม”
“ดะ...ได้สิครับ”
เมืองตอบแล้วกุลีกุจอดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวผม ซึ่งนั่นไม่จำเป็นเลย...เมืองไม่ควรมาอยู่กับผมที่นี่
“นั่นแฟนน้องรึเปล่า...พี่เห็นเขาเดินมาดูตรงหน้าประตูหลายรอบแล้ว น้องกลับไปกับเขาเถอะ” ผมเอ่ยปาก...พยายามข่มใจ แต่แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นในอกมันมากมายจนแทบทนเอาไว้ไม่ได้
“แต่พี่โอ้...”
“กลับไปเถอะ พี่อยากพัก”
...กลับไปซะ อย่าละทิ้งความสุขของตัวเองเพื่อมาสนใจคนอย่างผมอีกเลย...
...
“อาการของคุณเป็นยังไงบ้าง” ผมชะงักกับเสียงที่คุณเติมเอ่ยทักเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าลงจากเตียงแล้วแสดงให้เห็นว่าตัวผมแข็งแรงดี
“ก็...เจ็บศีรษะนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”
…แผลที่ศีรษะมันเล็กน้อยมากถ้าเทียบกับแผลที่ใจของผม...
“คุณไม่ต้องห่วงนะ มันเป็นความผิดของพวกผม เดี๋ยวผมจะออกค่ารักษาพยาบาลให้ แล้วก็ชดเชยเงินให้คุณจำนวนหนึ่ง” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าครั้งไหนๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
มันเป็นความซวยของผมเอง...ดันเดินไปใกล้จุดที่คนงานกำลังรื้อนั่งร้าน ไม้กระดานเลยตกลงมากระแทกกับศีรษะจนกลายเป็นแบบนี้
“แล้วเรื่องความจำของคุณ...ก้องเมืองบอกว่าคุณความจำเสื่อม...”
“มันไม่สำคัญหรอกครับ” ผมรีบชิงตัดบท แล้วเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำทันที...ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก
“ผมรู้ ว่าคุณไม่ได้ความจำเสื่อม...”
เสียงที่ส่งมามันเบาบาง...ผมสามารถแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ย่อมได้ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร...มือที่จับอยู่บนลูกบิดประตูห้องน้ำของผมกลับนิ่งค้าง...ตัวของผมแข็งทื่อ เหมือนมีใครบังคับจับเอาไว้
“เพราะอะไร...คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เรียกร้องความสนใจจากเมืองอย่างนั้นเหรอ!” เสียงตวาดของเขาดังก้องไปทั่วห้องพักผู้ป่วย...เรียกร้องความสนใจเหรอ...อย่าแปลเจตนาของผมผิดไปจะได้ไหม
“อย่าเข้ามาทำลายชีวิตของเมืองอีก น้องมีชีวิตใหม่แล้ว เรากำลังมีความสุขกัน...คุณอย่าเข้ามาขัดขวางจะได้ไหม” คุณเติมพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ปวดร้าว...ผมไม่รู้ว่าเมืองเจอกับคุณเติมได้ยังไง...อาจจะเป็นตอนที่เมืองออกจากห้องของผมในคืนนั้นล่ะมั้ง
...ถ้าผมอยู่กับเมืองตอนนั้น ถ้าผมคอยอยู่ดูแลน้อง เราก็คงไม่ต้องจากกันนานถึงหกปี และตอนนี้ เมืองกับผม เรากำลังจะจากกันตลอดกาล...
...
“จะไม่กลับไปทำงานที่บริษัทแน่เหรอวะไอ้โอ้” รุ่นพี่ที่ทำงานถามขึ้นตอนที่ขับรถพาผมออกมาจากโรงพยาบาล...ผมแอบออกมาก่อนกำหนด...ไม่ได้ล่ำลาใคร แม้อยากจะเจอหน้าคนที่ผมรักเป็นครั้งสุดท้าย...แต่ทำแบบนี้มันคงจะเป็นผลดีต่อตัวน้องและตัวผมมากกว่า
“ผมตัดสินใจแล้วพี่...”
ทุกอย่างมันถูกวางเอาไว้แล้ว...เงินเก็บที่หาได้จากการทำงานมาหกปีเต็ม ใช้คนเดียวยังไงก็ไม่มีวันหมด...ผมควรพักเสียที
“พี่เอาของจากห้องของผมมาครบทุกชิ้นรึเปล่า” ผมเอ่ยปากถามแล้วหันไปมองตรงกระบะหลัง
“เออๆ ครบดิวะ แล้วนี่จะให้กูไปส่งไหน”
“ไปที่บ้านของผม...”
...บ้านของผมกับเมือง...แต่ตอนนี้มันคงกลายเป็นบ้านของผมแต่เพียงผู้เดียว...
...
ผมลืมตาตื่นเพราะแสงอาทิตย์ส่องเข้ามากระทบกับใบหน้าของผมเต็มที่จนแสบร้อนไปหมด ผมนอนนิ่งอยู่สักพัก สายตาก็ทอดมองออกไปภายนอกหน้าต่างบานใหญ่ ต้นไม้ที่เพิ่งเอามาลงไม่ถึงอาทิตย์ให้ความรู้สึกร่มรื่นดีไม่น้อย...ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมต้องทำกับบ้านหลังนี้ อย่างน้อยก็เรื่องจัดของ...จัดคนเดียวนี่นะ...ก็ต้องใช้เวลาเป็นธรรมดา
ผมรื้อของที่ขนมาจากคอนโด เก็บเข้าที่ที่มันควรจะอยู่ให้เรียบร้อย...เสื้อผ้า...ทั้งของผมและของเมืองถูกนำมาแขวนรวมกัน...ผมมองดูแล้วก็นึกขำ ถ้าเอาเสื้อของเมืองเมื่อสมัยหกปีที่แล้วมาใส่ในตอนนี้คงถูกมองว่าล้าสมัยแน่ๆ
ออด...!
ผมวางไม้แขวนเสื้อลง นึกแปลกใจที่จู่ๆมีคนมากดออดหน้าบ้าน...จะเป็นเพื่อนบ้านก็คงไม่น่าใช่ เพราะพื้นที่ที่นี่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว...คงจะเป็นรุ่นพี่ที่เคยมาส่งผมละมั้ง
“มาแล้วครับ”
ผมก้มหน้าก้มตาสวมรองเท้าแตะ รีบเดินไปทางประตูก่อนที่จะชะงักกับเสียงที่ได้ยิน...
“บ้านของเราอยู่ไกลจังเลยนะพี่โอ้”
ผมเงยหน้าขึ้นมองในแบบที่ว่า...ไม่ต้องคิดให้นานเลยว่าเป็นเสียงของใคร
“น้องมาได้ยังไง...มีธุระอะไรกับพี่รึเปล่า” ผมแสร้งทำเป็นคนไม่คุ้นเคย แต่ในใจกำลังสั่นไหว และเต็มไปด้วยคำถาม
“เมืองมาเยี่ยม...ขอเข้าบ้านหน่อยได้ไหม”
ผมยืนลังเล...ก่อนจะค่อยๆเดินไปไขกุญแจประตูใหญ่ออก พลันสายตาก็ก้มมองกระเป๋าสัมภาระที่เมืองถือมา
“ให้พี่ช่วยถือไหม” ผมถาม เมืองส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมยื้อแย่งมาถือเอาไว้จนได้
“บ้านเราสวยอย่างที่พี่โอ้เขียนบอกไว้จริงๆด้วย” น้องยิ้มแล้วมองไปรอบๆ...ผมไม่เข้าใจ เมืองมาที่นี่ได้ยังไง...ต้องการอะไรกันแน่
“เราจะมาอยู่ที่นี่กี่วัน” ผมเบี่ยงประเด็น...แล้วนี่คุณเติมรู้รึเปล่าว่าเมืองมาที่นี่
“ถ้าเมืองบอกว่ามาอยู่ตลอดไปล่ะ”
...ว่ายังไงนะ...
“หึ...ไร้สาระ...เราไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่”
“ไม่ควรยังไง...ในเมื่อพี่บอกเองว่าที่นี่ก็เป็นบ้านของเมืองเหมือนกัน”
ผมแค่นยิ้มออกมากับคำตอบนั่น...นี่กำลังเล่นตลกกันใช่ไหม
“พี่บอกตอนไหน ทำไมไม่ยักจะจำได้...พี่จำเรื่องของเราไม่ได้เลยสักนิด เพราะฉะนั้นกลับไปได้แล้ว!”
“โกหก! ถ้าจำไม่ได้จริง ทำไมข้าวของของเมืองถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมถึงมีรูปของเมืองอยู่เต็มบ้านไปหมด!...ฮึก...ฮือ...พี่โอ้...อย่าไล่เมืองไปไหนเลยนะ...”
เมืองตะโกนออกมาแล้วโผเข้ากอดรัดผม...ผมยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะค่อยๆใช้มือลูบหลังคนที่ทำเสื้อของผมเปียกชื้นไปด้วยน้ำตาของเขา
หกปีที่ผ่านมา...ผมผิดหวังมาตลอดในการตามหาเมือง...แต่พอผมเริ่มปล่อยวาง เมืองกลับเป็นฝ่ายเข้ามาหาผมเสียเอง...ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้มันเป็นไป...ผมอยากนึกขอบคุณเหลือเกินที่ทำให้ผมกับเมืองได้กลับมามีวันนี้อีกครั้ง
...
ผมมองคนที่นอนทอดกายอยู่ในอ้อมกอดของผม ก่อนจะค่อยๆจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากมนเบาๆ น้ำตาที่เพิ่งแห้งเหือดไปเมื่อคืนรื้นขึ้นมาอีกครั้ง...ผมไม่ใช่คนอ่อนแอ...แต่มันดีใจจนอยากจะร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
‘แล้วคุณเติมล่ะเมือง…’
‘เรื่องของเมืองกับพี่เติมมันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ที่เมืองยอมเป็นแฟนกับพี่เติมเพราะเขาขอร้อง...เมืองไม่ได้รักพี่เติม...เมืองรักพี่โอ้คนเดียว’ น้องพูดก่อนจะค่อยๆขยับกายเข้ามาสวมกอดผมช้าๆ...เรานอนกอดกัน ไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น
‘แล้วทำไมตอนเจอกันถึงทำท่ารังเกียจพี่ขนาดนั้น’
‘เมืองไม่ได้รังเกียจ เมืองแค่กลัว...กลัวว่าพี่โอ้จะทำร้ายเมืองอีก...ฮึก เมืองเจ็บ แต่เมืองรู้ว่าพี่โอ้ก็เจ็บเหมือนกัน…เราจะร้องไห้กันวันนี้เป็นวันสุดท้ายนะพี่โอ้...’
ผมกะพริบตาถี่ๆไล่หยดน้ำให้กลับหายเข้าไป...เกือบจะผิดสัญญาแล้วเชียว
“หือ...พี่โอ้ ร้อนจัง” เสียงเล็กๆบ่นเบาๆเมื่อลืมตาตื่น
“ยังไม่มีผ้าม่านนี่”
“จริงด้วย...” เมืองบ่นพึมพำออกมา เหมือนคนยังไม่ตื่นดี...พอผมขโมยหอมแก้ม คราวนี้เลยตื่นเต็มตา
“วันนี้เข้าไปในเมือง...ไปช่วยกันเลือกผ้าม่านนะ” ผมบอก มือค่อยๆเกลี่ยผมนิ่มที่ปรกหน้าของอีกคนไปทัดหูไว้ด้านข้าง ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากของน้อง...มันเป็นจูบที่อ่อนโยน ไม่เร่งเร้า ไม่ได้แสดงถึงอารมณ์ใคร่ที่มีอยู่ในนั้น
...แต่สิ่งที่แสดงออกมาชัดเจนคือความรักของผม ที่มีต่อเมือง...และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปไม่เสื่อมคลาย...
.....................................................จบบริบูรณ์.....................................................
จบนะ จบเถอะ แต่งเรื่องนี้แล้วดราม่าลงตับมาก พลาดไปแล้ว แต่งไปเครียดไป ไม่สามารถแทรกฉากหวานๆเข้าไปได้เลย ฮือ…โบกมือลายาวๆเลยดราม่า
ขอบคุณคนอ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านมากเลยนะคะ หลายๆท่านนี่คุ้นชื่อกันดี จำได้เพราะเห็น Comment ด่า คุณฉกาจบ่อยๆ ฮี่ๆ
สวัสดีค่ะ
:pig4: :pig4: :pig4: