พิมพ์หน้านี้ - [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [เปิดจองรีปรินท์] 19/05/2017 P.2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: S_oKiss ที่ 30-05-2014 11:35:21

หัวข้อ: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [เปิดจองรีปรินท์] 19/05/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 30-05-2014 11:35:21
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




_______________________________________





Blue Rose พันธนาการสีชาด



ดอกไม้ทุกชนิดล้วนมีความสวยงามของมันเองและเช่นเดียวกับ...ดอกกุหลาบที่สวยงามและดูหยิ่งทระนง


หากแต่ดอกกุหลาบมันพิเศษกว่าดอกไม้อื่น ๆ นั่นก็คือมันมีหนามอันแสนแหลมคมเอาไว้ปกป้องตนเอง


...ซึ่งดอกไม้ทั้งสองชนิดนั้นก็มิได้ต่างไปจากคนสองคนนี้...


หนึ่งคือดอนหนุ่มผู้ปกครองแก้งค์มาเฟียอันแสนยิ่งใหญ่...อีกหนึ่งคือชายหนุ่มนักขายข่าวผู้ซึ่งมีปมชีวิตอยู่เบื้องหลัง


แล้วหากคนสองคนที่เปรียบเสมือนดอกกุหลาบที่แสนสวยงามและอันตรายมาเจอกันแล้วเล่า


...เรื่องราวต่อจากนั้นจะเป็นเช่นไร...



_________________________________________________
 [/center]



Talk : สวัสดีค่ะเหมือนไม่ได้เจอกันนานมาก วันนี้พลอยขอนำนิยายเรื่องใหม่มาลงให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะ เรื่องนี้ 'ไม่ใช่' นิยายดาร์กเรื่องแรกที่พลอยแต่ง คือพลอยไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เท่าไหร่แล้ว พอดีพลอยถนัดแต่งแนวดาร์กมากกว่าใส ๆ ค่ะ แต่เพื่อนมักจะบอกว่านิยายพลอยมันออกแนวดาร์กอีโรติกค่ะ ไม่รู้ว่ามันอีโรติกตรงไหนยังไงบ้างแต่ก็ขอให้ทุกท่านอ่านอย่าสนุกสนานนะคะ



หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Intro] 30/05/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 30-05-2014 11:36:08



Intro


เวลาที่มนุษย์เข้าตาจนหรือไร้หนทางต่อสู้ มนุษย์มักจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองผ่านสถานการณ์นั้นไปให้ได้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้สถานการณ์ที่ร่างสูงโปร่งผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตากำลังเผชิญอยู่มันจะแลดูเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ตาม นัยน์เนตรคู่งามที่มีสีเฉกเช่นเดียวกับเรือนผมนั้นพยายามกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อที่จะหาหนทางหนี หากแต่มันกลับไรสิ้นหนทาง หรืออาจจะพูดให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าตัวของเขานั้นหมดทางที่จะหลบหนี และหลังจากดวงเนตรสีน้ำเงินเข้มกวาดสอดส่องไปโดยรอบเรียบร้อยแล้ว เนตรคู่งามนั้นก็หันกลับมาประจันหน้ากับชายหนุ่มร่างสูงสง่าที่ทำให้ตัวของเขาเข้าตาจนอยู่ในตอนนี้




เนตรสีน้ำทะเลลึกที่ถูกประดับอยู่บนใบหน้างามค่อย ๆ มองไล่ตั้งแต่แผ่นอกกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ ผ่านลำคอแกร่ง คางที่มนได้รูปรวมไปถึงริมฝีปากหนาและจมูกที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างสวยงามบนใบหน้าคมนั่น และสุดท้ายดวงตาสีน้ำเงินที่ไม่แสดงให้เห็นถึงความหวาดหวั่นว่าตนจะอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ขนาดไหนก็ไล่ขึ้นไปถึงดวงเนตรแข็งกร้าวที่มีสีแดงชาดเฉดเช่นหยาดโลหิต




เมื่อดวงเนตรของทั้งสองจองปะทะกันริมฝีปากหนาได้รูปก็เผลอคลี่รอยยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มที่ผุดออกมาจากริมฝีปากนั่นแสดงให้เป็นถึงความพึงพอใจของชายหนุ่มร่างสูง มือกร้านถูกยกขึ้นมาเสยเส้นผมสีแดงเข้มที่บดบังทัศน์วิสัยก่อนที่เขาจะละมือลงและเคลื่อนที่ไปรั้งปลายคางของร่างโปร่งบางตรงหน้าให้เชิดขึ้นมามองยังตน




“สปายหรือคนขายข่าว” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยออกมาแผ่วเบา หากในถ้อยคำเหล่านั้นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้กลับรับรู้ได้ว่าสิ่งเอ่ยออกผ่านริมฝีปากมันเต็มไปด้วยความยินดี ซึ่งความยินดีนั้นมันก็หมายความว่าผู้เป็นนายของพวกเขากำลังสนุกกับว่าที่ของเล่นชิ้นใหม่ที่เพิ่งเจอ




ลูกแมวพยศที่ไร้เจ้าของมันช่างน่าลิ้มลองและน่าปราบพยศเสียจริง ลิ้นเรียวเลียริมฝีปากของตนเบา ๆ ก่อนจะปล่อยรอยยิ้มกว้างออกมา




ตัวเขานั้นไม่ได้รู้สึกยินดีอะไรขนาดนี้มานานมากแล้ว และตัวของชายหนุ่มร่างสูงก็หวังไว้ว่าลูกแมวจอมพยศตัวนี้จะไม่เชื่องง่าย ๆ เหมือนแมวไร้เจ้าของตัวอื่น ๆ ที่เขาเคยเจอมา




ปลายนิ้วแกร่งที่เชิดใบหน้างามขึ้นเริ่มไล่นิ้วไปตามปลายคางมือแกร่งใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายเบนหน้าไปอีกทางและเมื่อตนนั้นได้ทำสิ่งที่ต้องการใบหน้าคมเข้มก็โน้มลงไป ริมฝีปากหนาจรดใบหูพร้อมกับเอ่ยกระซิบแผ่วเบาราวกับว่าเขานั้นต้องการให้สิ่งที่ตัวเขาพูดนั้นรับรู้เพียงแค่สองคน




“นายรู้ใช่ไหมว่าการที่มาสืบข่าวของฉันแบบนี้มันหมายความว่ายังไง” เสียงทุ้มเว้นช่วงไปขณะหนึ่งเพื่อให้ร่างตรงหน้านั้นตอบคำถามตน ซึ่งโดยส่วนใหญ่สปายหรือคนขายข่าวที่โดนพวกเขาจับได้นั้น มักจะกลัวจนไม่กล้าตอบอะไร หากแต่ลูกแมวสีน้ำเงินสุดแสนพยศตัวนี้นั้นไม่ใช่เพียงแต่เอ่ยตอบคำถามที่เขาถามเท่านั้น ร่างโปร่งบางตรงหน้าเขายังคิดจะทำร้ายและหาหนทางหนีจากสถานการณ์จนตรอกนี่เสียด้วย มีดเล็กที่ร่างโปร่งแอบซ่อนไว้ที่แขนเสื้อถูกหยิบออกมาข้อมือบางถูกยกขึ้นและตวัดไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มร่างสูง




หยาดโลหิตสีแดงชาดไหลรินออกมาจากแผลที่แก้มของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีแดงเข้ม ทว่าบาดแผลนั่นกลับไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มผู้นี้ได้ มือกรานยกขึ้นตวัดมือเพื่อบอกเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาตนเก็บอาวุธลง หลังจากนั้นมือกร้านก็ละไปปาดหยาดเลือดที่ไหลรินออกมาจากบาดแผล ริมฝีปากหนาเหยียดรอยยิ้มพร้อมกับใช้นิ้วมือที่เปื้อนหยาดโลหิตของตนแทรกเข้าไปในโพรงปากของร่างโปร่งบาง ส่วนมือกร้านอีกขางหนึ่งก็จับศีรษะให้อยู่กับที่ไม่ให้อีกฝ่ายนั้นหันหนีไปทางไหน




รสเค็มปนรสสนิมเหล็กกระจายไปทั่วริมฝีปากบาง ถึงแม้ชายร่างสูงตรงหน้าจะน่ากลัวขนาดไหนร่างโปร่งบางนั้นก็ไม่คิดจะยอมแพ้มือทั้งสองข้างพยายามดิ้นรนสุดความสามารถ มีดพกขนาดเล็กที่ใช้โจมตีร่างสูงเมื่อสักครู่นั้นถูกตวัดขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้บุรุษผู้นี้ไม่เสียท่าง่าย ๆ  นิ้วแกร่งที่แทรกเข้าไปในโพรงปากเล็กถูกดึงออกและใช้มือข้างนั้นเหวี่ยงขึ้นไปจับข้อมือบางและจับตรึงไว้ที่กำแพง




ใบหน้าของร่างสูงที่ในตอนแรกยิ้มไปด้วยความพึงพอใจ หากแต่ตอนนี้นัยน์เนตรคมสีแดงสดแปรเปลี่ยนเป็นความแข็งกร้าว ใบหน้าของร่างสูงค่อย ๆ โน้มลงไปเรื่อย ๆ  พร้อมกับจรดรีมฝีปากตนลงไปที่ริมฝีปากนุ่มของคนตรงหน้าเขาไม่ยอมให้ร่างเล็กกว่าได้ท้วงติง ลิ้นเรียวถูกแทรกเข้าไปในปากแทนที่นิ้วมือที่เปื้อนเลือดพร้อมกับกวาดลิ้นไล้เลียเพื่อกอบโกยความหอมหวานจากริมฝีปากสีสดนั่นให้หมดสิ้นไป




เวลาดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากหนานั้นก็ยังไม่คิดที่จะละออกจากริมฝีปากของร่างโปร่งบางมือข้างหนึ่งของร่างเล็กกว่าพยายามทุบแผ่นอกกว้างเพื่อท้วงติงส่วนอีกมือนั้นยังคงกำมีดพกเล่มเล็กเอาไว้อยู่ หากแต่มือนั่นก็กำอาวุธที่จะช่วยชีวิตตนเองอีกได้ไม่นานเพราะเพียงช่วงเสี้ยววินาทีมือบางนั้นก็ไร้เรี่ยวแรงและปล่อยให้มีดคู่ใจร่วงลงไปที่พื้น ร่างสูงโปร่งรู้สึกเหมือนตนไร้เรี่ยวแรงไปช่วงขณะหนึ่งและนั่นก็ทำให้มือกร้านอีกข้างของชายตรงหน้าก็ถือวิสาสะตวัดโอบรอบเอวบางให้เข้ามาแนบชิดกับตน




จูบอันแสนร้อนแรงนี้ดำเนินต่อไปอีกสักพักและในที่สุดร่างสูงสง่าก็ยอมปล่อยให้ร่างโปร่งบางนั้นเป็นอิสระขาเรียวทั้งสองข้างพลันไร้เรี่ยวแรงจนทำให้ชายหนุ่มตัวเล็กกว่าถึงกับทรุดลงไปที่พื้น




“ถึงกับหมดแรงเลยหรือไง…ครีแวน” ร่างสูงวิสาสะอีกครั้งด้วยการเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไป และเขากไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นเพราะว่ามือกร้านจากการจับอาวุธก็ถือวิสาสะเช่นเดียวกับริมฝีปากหนานั่นก็คือนิ้วเรียวยาวค่อย ๆ เปิดกระเป๋าใส่เงินของร่างโปร่งบางเพื่อสำรวจชื่อ สัญชาติและรวมไปถึงผู้ว่าจ้างหรือแก็งค์ที่กล้าริอาจที่จะส่งคนมาสืบข่าว และการเคลื่อนไหวของตัวเขา




ครีแวน เดอ เมอร์เรส สัญชาติอังกฤษ สูง 178 เซนติเมตร น้ำหนัก 62 กิโลกรัม รายละเอียดที่เกี่ยวของกับร่างบางนั้นร่างสูงอ่านมันโดยคร่าว ๆ หากแต่สิ่งที่พวกสปายควรจะมีกลับไม่มีเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเปนพาสสปอร์ตปลอม บัตร ID ปลอม และที่สำคัญคนทำงานในวงการนี้ไม่มีใครพกรูปครอบครัวไว้ในกระเป๋าแบบนี้หรอก งั้นร่างตรงหน้าเขานั้นก็ไม่ใช่สปายแต่คงเป็นแค่พวกขายข่าวอิสระเท่านั้น คอยตามล่าข่าวของผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งเพื่อไปขายให้กับผู้มีอิทธิพลอีกคนหนึ่งสินะ ทว่าคราวนี้ร่างโปร่งบางตรงหน้ากับเลือกสืบข่าวผิดคนเสียแล้ว ที่เขากล่าวออกมาแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะว่า ‘คนในโลกดานมืดไม่มีใครกลาสืบข่าวของตัวเขาหรอกเพราะไม่ว่าใครจะใช้วิธีไหนสืบข่าวคราวของเขาก็ไม่มีวันที่จะรอดจากเงื้อมือของ เฮลาส ฟีเลทัส คนนี้ไปได้เลยสักคน’ แต่พูดแบบนั้นไปก็ไม่ถูกเท่าไหร่นักหรอกเพราะว่าบางทีเขาก็มีการทิ้งศพพวกสปายไว้บ้างเพื่อเป็นการเตือนไม่ให้คนพวกนั้นกล้ามายุ่งกับตัวเขาได้อีก อย่างน้อยก็ไม่ได้หายสาบสูญไปทุกคน’




และเมื่อชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้รู้ความจริงความคิดเล่นสนุกมากมายก็ปรากฏขึ้นภายในสมอง นัยน์เนตรคมหรี่ตามองร่างโปร่งบางที่พยายามใช้แขนเสื้อเช็ดริมฝีปากตน ชายหนุ่มร่างสูงพินิจมองร่างนั้นอยู่เพียงไม่นานและเพียงช่วงเสี้ยววินาทีเขาก็ย่อตัวลงไปพรอมกับรั้งร่างโปร่งบางให้ยืนขึ้นตามเขา หลังจากนั้นมือกร้านข้างนั้นก็ออกแรงกระชากให้ร่าง ๆ นั้นเดินตามตนไปตอนนี้ความคิดในสมองของชายหนุ่มที่มีนามว่าเฮลาส ฟีเลทัส มันอัดแน่นไปด้วยกรรมวิธีปราบพยศเจ้าลูกแมวสีน้ำเงินที่ไม่มีเจ้าของตัวนี้




ซึ่งไม่ว่าวิธีไหนมันก็น่าลองใช้กับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขาทั้งนั้น




_____________________________



ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก...เจอกันตอนหน้านะคะ (เมื่อชาติต้องการ)
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Intro] 30/05/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-05-2014 14:27:56
รอตอนใหม่
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 1] 31/05/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 31-05-2014 20:50:51
มาแล้วค่า; w ;...นิยายตอนแรกของเรา (..ซึ่งแต่งสตอกไว้นานมากแล้ววว)




Chapter 1



                การทำงานผิดพลาดในวงการมาเฟียนั้นเท่ากับความตายและมันก็ไม่เว้นแม้แต่คนขายข่าวอิสระไม่มีสังกัดไม่มีแกงค์อยู่เช่นตัวเขา…ความผิดพลาดของการทำงานครั้งนี้คงนำมาซึ่งความตายของเขาแน่นอนและในตอนนี้ตัวของครีแวนก็เตรียมตัวที่จะตายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่สิคงต้องเรียกว่าพร้อมยอมรับความตายตั้งแต่ก้าวเข้ามาทำงานในวงการนี้แล้วน่าจะถูกเสียมากกว่า ร่างโปร่งบางนึกพร้อมกับหลับตาลงเพื่อยอมรับชะตากรรมในอนาคตของตัวเอง




ทว่าตัวของเขาที่ถูกควบคุมตัวมาที่ฐานที่มั่นหรือคฤหาสน์ของแกงค์มาเฟียแกงค์นี้ ร่างของเขากลับถูกผู้เป็นดอนของแกงค์ลากไปโยนเอาไว้ที่ห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งไม่ว่ายังไงมันก็ไม่เหมือนห้องทรมานนักโทษหรือเชลยเลยสักนิดมันออกจะดูคล้าย ๆ ห้องพักส่วนตัวเสียมากกว่า และที่สำคัญมันก็ไม่น่าจะใช่ห้องพักธรรมดาเพราะว่าถ้าเกิดมันเป็นห้องสำหรับแขกทั่วไปดอนของแกงค์มาเฟียคงไม่โยนเขาเข้าห้องพร้อมกับปิดล๊อคประตูห้องเพื่อไม่ให้ใครเข้ามาในห้องได้แบบนี้หรอก




ครีแวนยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มร่างสูงที่จับตัวตนเองมาอย่างไม่เกรงกลัวมือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาไขว้กอดกันไว้บริเวณแผ่นอก “ทำไมไม่ฆ่าฉันทิ้งไปหละ เฮลาส ฟีเลทัส” ร่างโปร่งบางไม่คิดที่จะเก็บความสงสัยของตนไว้และไม่คิดที่จะเสียเวลารอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากพูดอะไรก่อนริมฝีปากบางเปิดอ้าออกพร้อมกับเอ่ยถามคำถามที่ตนข้องใจออกไป และคำถามที่เอ่ยดังออกมานั้นมันทำให้ริมฝีปากของชายหนุ่มผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแกงค์มาเฟียผุดรอยยิ้มออกมา




ชายหนุ่มนามว่าเฮลาสเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายพร้อมกับเดินเลี่ยงไปนั่งที่โซฟาที่จัดวางอยู่กลางห้องมือกร้านฝายมือเชื้อเชิญอีกฝ่าย ซึ่งครีแวนที่มีอารมณ์ครุกรุ่นตั้งแต่ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์แห่งนี้ก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญอีกฝ่าย ขาทั้งสองข้างเดินกระแทกเท้าไปยังที่ชายหนุ่มร่างสูงนั้นนั่งอยู่ก่อนและเขาก็เลือกที่จะนั่งในฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะได้ใช้สายตาของตนมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายในตอนที่พวกเขาคุยกัน




“มีอะไร” ครีแวนเอ่ยถามคำถามเดิมออกไปเป็นครั้งที่สองมือทั้งสองข้างของเขายังคงไขว้กอดเอาไว้เช่นเดิม ร่างโปร่งบางไม่คิดถึงมารยาทของการเป็นผู้มาเยือนขาเรียวยาวถูกยกขึ้นไปวางไขว้กันไว้บนโต๊ะส่วนร่างของตนเองก็เอนนอนพิงไปที่โซฟา การกระทำที่ดูเหมือนจะไม่กลัวใครของครีแวนนั้นดูเหมือนมันจะไปทำให้เฮลาสรู้สึกชอบใจยิ่งกว่าเก่า




แมวจรจัดไร้บ้านอีกทั้งยังพยศและไม่ยอมใคร แม้ตอนนี้ตัวของเขาจะเก็บเจ้าแมวตัวนี้มาเลี้ยงแล้วก็ตาม ทว่าเจ้าแมวจรจัดตัวนี้กลับยังไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้านายของมันและยิ่งไปกว่านั้นมันยังพยศใส่เจ้าของของมันอีกดูท่าอาจจะต้องฝึกอีกเยอะ แต่แบบนี้ก็ดีไปอย่างเพราะตัวของเฮลาสไม่ใคร่ชอบที่จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เชื่องง่าย ๆ  เสียด้วย




ยิ่งพยศยิ่งอยากกำราบ


ยิ่งพยศยิ่งอยากกลั่นแกล้ง




และไม่มีครั้งไหนเลยที่ตัวของเฮลาสจะสนใจสัตว์เลี้ยงที่ตนเก็บมามากมายขนาดนี้ นัยน์เนตรคมมองไล่ไปตามโครงหนาไดรูปริมฝีปากสีสด ดวงเนตรที่ไม่คิดจะยอมใคร อีกทั้งจมูกที่เชิดรั้นขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่จัดเรียงอย่างสวยงามราวกับออกมาจากภาพวาดของครีแวนนั้นทำให้ริมฝีปากคมเหยียดรอยยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่ใช่แค่ที่จะอยากปราบพยศเขายังอยากที่จะทำให้เจ้าแมวจรจัดตัวนี้ศิโรราบใส่เขาโดยไม่มีความคิดที่จะขัดขืนตัวเขาอีก




นิ้วเรียวยาวถูกยกขึ้นมายันไว้ที่ปลายคาง ส่วนมืออีกข้างนั้นเอื้อมมือไปหยิบขวดสุราสีอำพันขึ้นมาเทใส่แก้วไว้สองแก้ว “สนใจสักแก้วไหม ครีแวน เดอ เมอร์เรส” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยพร้อมกับยื่นแก้วสีอำพันไปให้อีกฝ่าย และก็ไม่ต้องบอกว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นมือเรียวบางถูกยื่นไปตรงหน้าพร้อมกับตวัดมือปัดแก้วออกจากโต๊ะไปเต็มแรง




“คิดจะทำอะไร เฮลาส ฟีเลทัส” ครีแวนพยายามพูดออกมาโดยสะกดกลั้นความโกรธ หากแต่ท่าทางที่เปลี่ยนไปไม่ว่าจะเป็นใบหน้าได้รูป หรือจะรวมไปถึงกิริยาท่าทางมันกลับทำให้ตัวของเฮลาสยิ่งทวีความสนใจยิ่งขึ้นไปอีก




สิ้นการกระทำของครีแวนเฮลาสเลือกที่จะไม่ถือสาเอาความ มือกร้านยกแก้วสุราอีกแก้วขึ้นมาจิบ ก่อนจะกล่าวตอบอีกฝ่ายไปด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “เลี้ยงแมว”




คำพูดสั้น ๆ ทำให้ความโกรธ ความไม่พอใจของครีแวนหลุดหายไป คิ้วเรียวขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย ร่างบางเงียบเสียงไปช่วงขณะหนึ่งจนในที่สุดสมองของครีแวนก็ประมวลผลทุกอย่างเสร็จสิ้นคราวนี้ร่างบางไม่แค่ใช่แค่ใช้มือปัดแก้วทิ้ง เพราะคราวนี้ขวดสีอำพันถูกยกขึ้นพร้อมกับสาดไปยังร่างสูงที่นั่งจิบสุราอยู่ตรงหน้า




น้ำสีอำพันไหลลู่ลงมาตามเส้นผมใบหนากรานคมเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่งหากแต่เขาเลือกที่จะไม่ใส่ใจและใช้มือข้างหนึ่งของเขาเสยผมของตนขึ้น การกระทำเช่นนี้ของครีแวนไม่ใช่ว่าตัวของเฮลาสนั้นจะไม่โกรธ แต่ทว่าตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาที่จะฝึกสอนสัตว์เลี้ยง เขายังคงนั่งจิบสุราไปเงียบ ๆ เวลานั้นไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเจ้าแมวจรจัดที่ตัวเขาเก็บมานั้นก็ไม่คิดที่จะอยู่สุขเพราะมันพยายามที่จะหาทางออกไปจากที่แห่งนี้ทุกเวลา ซึ่งเขาก็ยังคงทำเช่นเดิมคือเงียบใส่และไม่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความโกรธของตน แต่ก็มีบ้างที่ตัวเขาใช้สายตาคมเพ่งมองเพื่อห้ามปราบอีกฝ่ายแต่สัตว์เลี้ยงที่ยังไม่ได้รับการฝึกสอนก็ไม่มีทางที่จะเชื่อฟังเพียงแค่ใช้สายตาห้ามปราบเท่านี้หรอก




ร่างสูงยังคงนั่งนิ่งดูอาการพยศของสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขาไปอีกสักพักในที่สุดเวลาแห่งการรอคอยก็สิ้นสุดลงเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงทุ้มที่เอ่ยอนุญาตให้คนที่อยู่ทางด้านนอกก้าวเขามาด้านใน




“ขออภัยที่เตรียมการล่าช้าครับ ดอนฟีเลทัส” ผู้ที่เข้ามาใหม่เยขอโทษก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้าไปยืนล้อมร่างของครีแวน ซึ่งในมือของทุกคนต่างถือเครื่องมือชนิดหนึ่งซึ่งมันเหมือนกันทุกประการและทุกครั้งที่คนพวกนั้นเปิดสวิตซ์เครื่องตรวจจับโลหะและอาวุธก็ดังขึ้นทุกเครื่อง




‘ที่รอคือรอให้ลูกน้องเอาเครื่องมือตรวจจับอาวุธมาตรวจตัวเขาสินะ’ ครีแวนคิดนัยน์เนตรสีน้ำทะเลหันไปจองเขม่นใส่ชายหนุ่มร่างสูง ซึ่งชายผู้นั้นก็ไหวไหล่กลับมาเป็นคำตอบ




การกระทำของดอนฟีเลทัสทำใหตัวของครีแวนเหลืออดร่างโปร่งบางพยายามฝ่าวงล้อมเพื่อที่จะไปต่อยชายหนุ่มที่กวนประสาทตนสักหมัดแต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดของครีแวนจะน้อยเกินไปร่างโปร่งบางยังคงถูกกักอยู่ในวงล้อมนั่นพร้อมกับเสียงตรวจจับโลหะที่ดังขึ้นตลอดเวลา




“พวกแกปิดไอ้เครื่องเวรนี่เดี๋ยวนี้ฉันรำคาญ” ริมฝีปากบางพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธทั้งหมดเอาไว้ ดังนั้นเสียงที่เอ่ยออกมาจึงดูเรียบเฉยและไร้อารมณ์สุด ๆ แต่มีหรือคนเหล่านั้นจะฟังคำพูดที่ออกมาจากของร่างโปร่งคำสั่งที่สั่งให้ปิดเครื่องมือที่แสนหนวกหูนั่นเหมือนกับเป็นคำสั่งให้คนเหล่านั้นใช้มือค้นตัวและปลดอาวุธทุกชิ้นออกจากร่างกายของครีแวน




ร่างโปร่งบางเริ่มที่จะส่งเสียงโวยวายแต่ดูเหมือนคนที่ส่งเสียงออกมาก่อนจะเป็นชายหนุ่มผู้ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำทั้งหมดของครีแวนก่อนหน้านี้ “ให้เขาเอาอาวุธทั้งหมดออกมาด้วยตัวเอง” สิ้นเสียงพูดของนายเหนือหัวผู้คนที่ในตอนแรกที่ต่างกันยืนรุมล้อมครีแวนก็ถอยออกไปยืนเรียงแถวและปล่อยให้ครีแวนปลดอาวุธทั้งหมดด้วยตัวเอง




ซึ่งในตอนแรกตัวของครีแวนนั้นไม่คิดที่จะทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายเลยสักนิด หากแต่ยิ่งเขาดื้อดึงและขัดคำสั่งนัยน์เนตรสีแดงชาดที่จ้องมองมากจะทวีความโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ




ทั้ง ๆ ที่ในตอนแรกแม้ครีแวนนั้นทำอะไรชายร่างสูงผู้นี้ไม่คิดที่จะกล่าวว่าใด ๆ แต่ทำไมตอนนี้ทั้งสายตาและคำพูดของชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาเกรงกลัวได้ถึงขนาดนี้กันนะ




ดวงเนตรงามสีนำทะเลลึกเลือกที่จะเบนสายตาหนีมือทั้งสองข้างเริ่มทำตามคำสั่งโดยการปลดอาวุธที่อยู่ใกล้มือที่สุดของตนออก มีดพกที่เสียบอยู่กับแขนเสือทั้งสองข้างถูกปลดออกและร่วงหล่นไปที่พื้นนี่เป็นเพียงแค่อาวุธสองชิ้นแรกเท่านั้นที่ร่างโปร่งบางของครีแวนพก เพราะว่าอาวุธชิ้นที่สอง ที่สาม และสี่ก็กำลังถูกปลดตามออกมาเช่นเดียวกับชิ้นที่หนึ่งที่สองแล้ว ดาบที่ยาวขนาพอดีมือถูกดึงออกมาจากรองเท้าบูททั้งสองข้างหลังจากนั้นมือบางก็โยนมันไปกองรวมกับอาวุธที่ตนได้ปลดมันไปก่อนหน้านี้




ที่ครีแวนทำแบบนี้ไม่ใช่เกรงกลัวอะไรอีกฝ่ายหรอกหากแต่เขาห่วงความปลอดภายของตัวเองมากกว่า เขาก็แค่ห่วงชีวิตตัวเองมากกว่าเท่านั้นหละ ดังนั้นคนที่กำลังกุมชีวิตของเขาอยู่ไม่ว่าจะสั่งอะไรเขาก็ทำตามทั้งหมดนั่นหละ ถึงแม้ตัวเขาจะเคยบอกไปว่าเขาได้เตรียมตัวและเตรียมใจที่จะตายตั้งแต่เข้ามาโลกทางด้านนี้แล้ว แต่การทำอะไรที่ไม่เสียศักดิ์ศรีและสามารถแลกชีวิตได้เขาก็ยอมทำ




ก็แค่ปลดอาวุธทั้งหมดมันจะไปยากอะไร ต่อให้ไม่มีของพวกนั้นก็ใช่ว่าเขาจะใช้ศิลปะการต่อสู้มือเปล่าไม่เป็น สิ้นความคิดอาวุธชิ้นที่ 13 และ 14 ก็ถูกโยนไปกองทิ้งไว้ ก่อนที่มือทั้งสองขางจะกลับมาทำหน้าที่ของมัน นั่นก็คือการปลดอาวุธของตัวเองออกจากร่างกายทั้งหมด




‘ไอ้พวกนี้จะรู้ไหมว่ากว่าฉันจะซ่อนทุกอย่างได้เนียนขนาดนี้มันต้องใช้เวลาไปเท่าไหร่’ ร่างบางสบถในใจตนเบา ๆ แต่กระนั้นเขาก็ยังปลดอาวุธของตนออกอยู่ดี




ตอนนี้พวกอาวุธที่อยู่ติดกับเสื้อนอกถูกปลดออกไปทั้งหมดแล้วดังนั้นเสือนอกที่ครีแวนสวมมันก็ไม่จำเป็นอีกมือบางค่อย ๆ ถอดเสือของตนออกพร้อมกับโยนมันออกไปกองรวมกันกับอาวุธที่ตนได้โยนทิ้งไปก่อนหน้า หลาย ๆ คนมองการกระทำนี้ของครีแวนด้วยสายตาตกตะลึง โดยส่วนมากหลาย ๆ คนจะตกใจว่าเขานั้นพกอาวุธอะไรได้มากมายขนาดนี้แต่มันก็แค่นั้นหละอาวุธที่เขาพกมันไม่ได้มีแค่นั้นสักหน่อย  มือบางเอื้อมขึ้นไปปลดสายรัดที่ยู่บริเวณตนแขนก่อนจะโยนมันไปกองรวมกันไวอีก การปลดอาวุธทั้งหมดของครีแวนนั้นมันใช้เวลาไปร่วมชั่วโมงและในที่สุดอาวุธทุกชิ้นก็ถูกโยนไปกองรวมกันไว้เบื้องหน้าชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดง




ตัวของเฮลาสไม่ได้แสดงอาการตกตะลึงที่ร่างโปร่งตรงหนาจะพกอาวุธอะไรได้เยอะแยะและมากมายขนาดนี้ แต่เขานั้นกลับถูกใจเสียมากกว่าที่ร่างตรงหน้านั้นไม่ได้แค่น่าปราบพยศ แต่กลับมีอะไรน่าสนใจ…ซึ่งมันก็น่าสนใจมาก ๆ เสียด้วย




 ร่างสูงสง่าตวัดมือให้เหล่าลูกน้องของตนนำอาวุธทั้งหมดออกไป จนในที่สุดเวลานี้ภายในห้องก็เหลือแค่เพียงร่างโปร่งบางของครีแวนและร่างสูงสง่าของชายหนุ่มที่มีนามว่าเฮลาส




นัยน์เนตรคมทั้งสองคู่ต่างจ้องมองกันหากแต่แววตาที่แสดงอารมณ์ออกมานั้นกลับแตกต่างกัน ซึ่งเนตรสีน้ำทะเลลึกมันเต็มไปด้วยความโกรธและปนความสงสัย ส่วนดวงเนตรสีแดงชาดนั้นกลับแสดงอารมณ์อีกอย่างออกมา เพราะนัยน์ตาสีเข้มคู่นั้นเต็มมันไปด้วยความพึงพอใจในสิ่งที่ตนได้พบเจอ




“…พอใจหรือยัง” ครีแวนเอ่ยถามมือทังสองข้างนั้นถูกยกขึ้นมาไขว้กอดไว้บริเวณแผ่นอกอีกครั้ง ซึ่งผู้ถูกเอ่ยถามก็ไหวไหล่แทนคำตอบส่วนขาแกร่งทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ ย่างก้าวเข้าไปประชิดตัวของครีแวน




เฮลาส ฟีเลทัส ชายหนุ่มผู้มีความลับอยู่มากมาย ซึ่งเหล่าความลับพวกนั้นไม่มีใครเคยล่วงรู้แม้กระทั้งคนใกล้ชิดหรือลูกน้องคนสนิทซ้ำยังมีข่าวลือหนาหูด้วยว่าใครที่รูความลับหรือจุดอ่อนของชายคนนี้ไม่เคยมีชีวิตรอดเลยสักรายเดียว ทว่าทำไมตอนนี้ชายผู้ที่เรียกได้ว่าเขาโหดเหี้ยมที่สุดในวงการมาเฟียกลับยืนประจันหน้ากับตัวเขา แถมอารมณ์ที่ตัวของร่างโปร่งบางสัมผัสได้จากชายคนนั้นมันแสดงให้ตัวของเขารู้ว่าคน ๆ นี้กำลังอารมณ์ดีสุด  ๆ




แต่มันกับกวนประสาทของครีแวนสุด ๆ ด้วยเช่นกัน ร่างโปร่งไม่รอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาประชิดเพราะขาเรียวยาวทั้งสองข้างนั้นปรี่เดินตรงไปประชิดอีกฝ่ายพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่กระชากคอเสื้อสูทขึ้นมา




“มีอะไรน่าอารมณ์ดีนักหนา...ดอนฟีเลทัส” ครีแวนเคนเสียงถาม นำเสียงหวานนุ่มในเวลาปกตินั้นตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธ ความไม่พอใจและความรู้สึกที่อยากจะต่อยหน้าคมเข้มอีกฝ่ายถ้าเกิดคน ๆ นี้ไม่ยอมหุบรอยยิ้มที่ยียวนกวนประสาทแบบนี้




ใบหน้ากร้านคมยังคงระบายไปด้วยรอยยิ้ม หากแต่มือแกร่งทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาค่อย ๆ บรรจงแกะมือบางออกจากคอเสื้อ




โดยส่วนตัวของเฮลาสแล้วการกระทำแบบนี้ของครีแวนไม่ไดทำให้เขาโกรธสักเท่าไหร่นักหรอกซ้ำเขายังอยากให้ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตาตรงหน้าแสดงอาการพยศมากกว่านี้เสียอีก แต่การที่เขายกมือขึ้นมาแกะมือของอีกฝ่ายออกจากปกเสื้อนั่นก็เป็นเพราะ ‘มันคงดูไม่ดีสักเท่าไหร่ถ้าลูกน้องของเขาเปิดประตูเข้ามาแล้วพบกับเหตุการณ์แบบนี้’ ข้อมือบอบบางถูกกอบกุมด้วยฝ่ามือกร้านของอีกฝ่าย ทั้งสองคนยื้อยุดกันไปสักพักจนในที่สุดตัวของครีแวนก็เป็นฝ่ายยอมแพ้และทิ้งมือทั้งสองข้างลงไปข้างตัว




“ฉันว่าฉันพูดคนเดียวอยู่นานแล้ว คราวนี้ถึงตานายพูดบ้างสักที” ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยออกมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ครีแวนไม่ได้ใส่อารมณ์โกรธอะไรลงไปในคำพูด นั่นก็เป็นเพราะครีแวนตัดสินใจที่จะยอมเซ็นสัญญาสงบศึกชั่วคราวชายดอนหนุ่มตรงหน้า แม้ตนจะรู้ว่าการที่ตัวเองสงบศึกแบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายได้ใจ จากที่ได้ใจไปมากอยู่แล้ว




‘ไม่เคยเจอดอนของแกงค์ไหนที่มีนิสัยกวนประสาทขนาดนี้มาก่อน’ แม้อยากจะพูดถอยคำเหล่านี้ออกไป แต่ตนนั้นได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะยอมเซ็นสัญญาสงบศึกชั่วคราว ตัวของเขาจึงได้แต่ปิดปากเงียบและรอใหอีกฝ่ายเอ่ยถอยคำพูดออกมา แต่ตัวของครีแวนก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายนักหรอก




“เข้าใจความหมายที่ฉันพาตัวนายมาไหมหละ” ถ้อยคำแรกถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนา นัยน์เนตรคมที่มีสีเดียวกับแสงอาทิตย์ยามอัสดงลอบเหลือบมองอีกฝ่ายหลังจากตนนั้นได้เอ่ยออกไปจนจบประโยค




ซึ่งปฏิกิริยาที่ผู้ถูกถามแสดงออกมานั้นมันทำให้ตัวของครีแวนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากกว่าเก่า เพราะถ้าตัวเขารู้ว่าตัวเองนั้นถูกจับตัวมาด้วยเหตุผลอะไร เขาก็คงไม่ยืนทำหน้าหงุดหงิดและค่อยพร่ำถามคำถามซ้ำซากกับอีกฝ่ายหรอก




ศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินส่ายไปมาแทนคำตอบ ซึ่งมันก็เป็นคำตอบเดียวกับสิ่งที่ตัวของเฮลาสนั้นได้คาดเดาเอาไว้แล้ว




มือกร้านถูกยกขึ้นไปแตะเบาที่ใบหน้าของอีกฝ่ายและไล่มือไปตามโครงหน้าก่อนหยุดลงตรงบริเวณดวงตา “ถ้าจะให้ฉันพูดว่าทำไมนายถึงได้มายืนอยู่ที่นี่ มันก็คงเป็นเพราะดวงตาคู่นี้ของนายกระมั้งที่ทำให้ฉันถูกใจ” แววตาที่ไม่หวาดกลัวต่อความตายและความกล้าที่จะต่อสู้เยี่ยงหมาจนตรอก มันทำให้ตัวของเฮลาสถูกใจและไม่ใช่การถูกใจธรรมดามันเป็นความรู้สึกถูกใจมาก ๆ จนตัวของเขาต้องเก็บเจ้าแมวจรจัดตัวนี้กลับมา




และเมื่อสิ้นเสียงพูดครีแวนก็ถึงกับชะงักค้างไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งกว่าร่างโปร่งบางจะรวบรวมสติทั้งหมดให้กลับคืนมาทั้งหมดใช้เวลาไปร่วม 10 นาที และคำพูดคำพูดแรกที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบางนั่นก็เป็นเพียงถอยคำสั้น ๆ ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน “ขนลุก…” และตัวของครีแวนก็ไม่ไดพูดเพียงแค่นั้นเพราะมือข้างหนึ่งของเขาถูกยกขึ้นมาปัดมือแกร่งที่จับใบหน้าของตนเองออก




แต่ครีแวนก็ไม่ได้รู้เลยว่าการที่ตนได้ทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ตัวของเฮลาสรู้สึกถูกใจตนมากขึ้นไปอีก ดวงเนตรทั้งสองคู่ต่างจ้องมองกันไปมา แม้เวลาจะผ่านไปเพียงแค่เสียววินาทีแต่ในความรู้สึกของครีแวนมันดูเหมือนผ่านไปนานนับชั่วโมง คนทั้งสองคนยังคงใช้สายตาเป็นอาวุธกันต่อไปอีกสักพักและในที่สุดฝ่ายที่ตองยอมแพ้ก่อนก็คือตัวของครีแวนเอง และแน่นอนต่อให้ร่างโปร่งบางคนนี้ยอมแพ้ในเกมส์นี้แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะยอมแพ้เปล่า ๆ มือบางเลื่อนไปคว้าอาวุธชิ้นสุดท้ายที่หลุดรอดจากการตรวจจับออกมาพร้อมกับพุ่งตัวเข้าไปหมายจะปลิดชีวิตอีกฝ่าย




ใบมีดขนาดเล็กพุ่งตรงไปที่ลำคอแกร่ง ในตอนนี้ไม่มีเวลาที่จะทำให้ตัวของเฮลาสหลบหนีโดยที่ตนไม่บาดเจ็บได้เขาจึงตัดสินใจเอี้ยวตัวหลบให้ใบมีดที่พุ่งเข้ามาทำอันตรายตัวของเขาให้น้อยที่สุด



v
v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 1] 31/05/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 31-05-2014 20:51:47

คมมีดถูกปาดยาวที่ลำคอแกร่ง แม้มันจะไม่ลึกมากแต่ก็เรียกให้หยาดโลหิตสีแดงสดไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสายมือแกร่งยกมือขึ้นมากุมบริเวณบาดแผล เนตรคมจ้องมองโลหิตที่หยดลงไปบนพื้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะตวัดสายตาจ้องมองไปยังตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งคราวนี้ดวงเนตรสีโกเมนวาวโรจไปด้วยความโกรธ ริมฝีปากหนาไม่มีรอยยิ้มระบายไปทั่วอีกแล้วมือแกร่งตรงเข้าไปกระชากมือที่ถือมีดพร้อมกับรวบมือของครีแวนไปไว้ด้านหลัง




แต่มีหรือคนที่แสนจะหยิ่งยโสและดื้อดึงอย่างครีแวนจะยอมจนมุม มือข้างที่ไม่ได้ถูกพันธนาการถูกง้างออกพร้อมกับเขาที่ออกแรงทั้งหมดกระแทกข้อศอกเข้าไปที่หน้าท้องอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่ามันจะไร้ผลชายหนุ่มที่ลอคตัวของครีแวนอยู่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด นอกจากนั้นมือแกร่งอีกข้างยังรวบมืออีกข้างของร่างโปร่งบางไดอีก คราวนี้ครีแวนไม่มีหนทางนี้แล้วแม้ว่าร่างบางจะดิ้นรนขนาดไหน พันธนาการนี้ก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ




“ปล่อยฉันสิวะ ไอบ้านี่ต่อให้นายเป็นดอนของแกงค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแถบนี้ แต่ฉันก็ไม่ใช่ลูกน้องของนายนะเว้ย” ครีแวนพยายามดิ้นรนหาทางหนี หากแต่มีหรือชายผู้ที่กำลังโกรธาจะยอมปล่อยให้คนที่ทำร้ายตนหลุดรอดไปได้




มือแกร่งรวบข้อมือบางทั้งสองข้างด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็พลางควานหาอาวุธลับที่อีกฝ่ายอาจจะซ่อนเอาไว้ จุดแรกคือบริเวณกางเกงชายหนุ่มใช้มือข้างเดียวจัดการปลดเข็มขัดและกางเกงยีนสีซีดออกจากร่างโปร่งบางก่อนจะใช้มือข้างนั้นโยนสิ่งที่อยู่ในมือทิ้งไปให้พ้นทาง




เรียวขาขาวประจักษ์แก่สายตามือกร้านค่อย ๆ ลูบต้นขาขาวอย่างเบามือ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาทำอะไรแบบนี้ จุดหมายต่อไปที่เขาจะต้องจัดการนั่นก็คือบริเวณสาบเสื้อและปกของเสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายใส่ และเป็นไปตามคาดเขาพกปลอกมีดติดไว้อยู่แต่ตัวมีดนั้นไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกแล้วนั่นก็คงเป็นเพราะเจ้าอาวุธชิ้นสุดท้ายนั้นถูกงัดออกมาใช้ไปเมื่อสักครู่




เมื่อตรวจดูอีกฝ่ายจนพอใจมือกร้านก็ปล่อยให้ร่างบางนั้นหลุดพ้นออกจากพันธนาการ ปลายเท้าเตะมีดพกอันเล็กออกไปให้พ้นทางและมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่ ครีแวนพลิกกายหันกลับมาประจันหน้ากับอีกฝ่าย




“…ไอ้บ้าทำบ้าอะไรวะ” ครีแวนส่งเสียงด่าสุดเสียง หากแต่เมื่อตนไล่สายตามองไปยังรอยบาดแผลที่ต้นคอของอีกฝ่ายริมฝีปากก็พลันเงียบลง ไม่ใช่เพราะว่าตัวของครีแวนนั้นรู้สึกผิดอะไรนักหรอกเขาแค่ไม่อยากโดนฆ่าข้อหาลอบฆ่าดอนของแกงค์มาเฟียเพราะหลักฐานที่ตัวเขาทำร้ายดอนของแกงค์มันยังคงอยู่บนร่างกายอยู่เลย




ร่างโปร่งบางค่อย ๆ ก้าวถอยหลังแต่มีหรือที่เฮลาส ฟีเลทัสจะยอมให้อีกฝ่ายหนีพ้นร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเท้าตามและในแต่ละก้าวที่ชายหนุ่มผู้นี้ก้าวเดินนั้นมันค่อย ๆ สร้างความกดดันภายในห้องให้มากขึ้นเรื่อย ๆ




ฝ่ายหนึ่งก้าวหนีอีกฝ่ายก้าวเดินตาม เหตุการณ์ภายในห้องยังคงเป็นอย่างนี้ไปจนกระทั้งแผ่นหลังบอบบางนั้นชนเข้ากับกำแพงที่กั้นระหว่างห้อง




เมื่อร่างโปร่งบางรูว่าตนไร้ทางหนีคราวนี้ก็มีแต่สู้อีกฝ่ายจนตัวตายแล้วหละ นัยน์เนตรสีแซฟไฟร์ที่ในตอนแรกเตมไปดวยความหวาดกลัวและหวั่นเกรงหลุบตาลง สักพักดวงเนตรคู่งามก็ลืมตาขึ้น ซึ่งภายในเนตรทั้งสองข้างไม่ได้มีความกลัวหรือหวั่นเกรงอะไรอีกต่อไปแล้ว




“…ทำไม...เกิดความรู้สึกอยากฆ่าฉันไปแล้วหรือยังไงรู้สึกช้าไปนะ ถ้าไม่เจ็บตัวก่อนก็ไม่รู้สึกอยากจะฆ่าขึ้นมาหรือยังไง” เสียงนุ่มเอ่ยท้าทาย ถึงแม้ในใจจะหวั่นเกรงแต่ตัวของครีแวนก็ไม่คิดที่ยอมแพ้และยอมตายแบบไม่ได้ต่อสู้อะไรเลย




เนตรสีไพลินวาวโรจน์แข่งกับเนตรสีโกเมน ดวงตาของทั้งคู่จ้องมองกันอีกครั้งและในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การจ้องมองอย่างเดียวเสียแล้วร่างสูงเดินเข้ามาประชิดร่างบางพร้อมกับโน้มตัวลง แขนทั้งสองข้างเท้าไปที่กำแพง ใบหน้าของทั้งสองคนห่างกันไม่ถึงคืบนั่นจึงทำให้คนทั้งคู่นั้นสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงแปลกตาก็ไม่คิดที่จะหยุดลงที่เพียงแค่นั้น เขาค่อย ๆ โน้มตัวลงเข้าไปใกล้มากกว่าเก่า จนในที่สุดตอนนี้หน้าผากของเขาก็โน้มลงไปชนกับหน้าผากของอีกฝ่าย ในนี้มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เกมส์จ้องตากันแบบธรรมดาอีกแล้ว




มือกร้านข้างหนึ่งละมือลงมาจากกำแพงพร้อมกับตวัดรวบเอวร่างโปร่งบางให้เข้ามาแนบชิดกับร่างของตน ซึ่งการกระทำแบบนี้ของเฮลาสทำให้ใบหน้าสวยที่ในตอนแรกนั้นบึ้งตึง แววตาสีไพลินที่วาวโรจน์ไปด้วยความโกรธนั้นเปลี่ยนไป แม้ดวงตาทั้งสองข้างนั้นจะยังคงจ้องมองไปยังชายหนุ่ม หากแต่สิ่งที่แฝงอยู่ในดวงตานั้นเปลี่ยนไป มันแปรเปลี่ยนเป็นความเก้อเขินและความอาย




ครีแวนพยายามบอกตัวเองว่า ตนนั้นไม่ได้รู้สึกเก้อเขินอะไรกับดวงเนตรสีโกเมนที่อีกฝ่ายจ้องมองมา ทว่านัยน์เนตรคู่นั้นกับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ใครก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้ ซึ่งตัวของครีแวนเองมันก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้เช่นกัน




การจ้องมองระหว่างดวงเนตรสีไพลินล้ำลึกที่แสนลึกลับกับเนตรสีชาดที่น่าหลงใหล การจ้องมองเช่นนี้ยังคงดำเนินไปอีกสักพักจนในที่สุดครีแวนก็เป็นฝ่ายขอยอมแพ้ มือบางทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาดันแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย ใบหน้าขาวที่เริ่มขึ้นสีแดงเรื่องเบนหนีไปอีกทาง




“พอได้แล้วนายต้องการอะไรกันแน่” ริมฝีปากบางเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่ตนยังคงอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายหากแต่ตอนนี้ใบหน้าของคนทั้งคู่ถูกบังด้วยฝ่ามือของร่างโปร่งบาง “ทำไมไม่ฆ่าสักที ฉันรอนายฆ่ามานานแล้วนะ”




สิ้นเสียงพูดชายหนุ่มผู้โดนเอ่ยถามก็หลุดหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ นั่นก็เป็นเพราะตั้งแต่เฮลาสขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของแกงค์มาเฟียไม่สิต้องเรียกว่าตั้งแต่ตัวเขานั้นเกิดมาไม่เคยเจอใครที่เรียกร้องและยอมรับความตายได้ง่าย ๆ อย่างคน ๆ นี้เลยสักคนเดียว ‘




‘คนนี้ช่างเป็นคนน่าสนใจอย่างที่คิดไว้จริง ๆ’ ร่างสูงลอบคิดในใจ ในตอนนี้มือแกร่งทั้งสองข้างเปลี่ยนมาโอนรอบเอวของครีแวนเรียบร้อยแล้ว




“อยากตายมากเลยหรือยังไงกันครีแวน” เสียงทุ้มชวนลุ่มหลงกระซิบข้างใบหู ลมหายใจอุ่นที่ถูกพ่นออกมาทำให้ร่างบางขนลุกซู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ




“ฉันจะอยากตายไม่อยากตายมันเกี่ยวอะไรกับนายหรือไง ไหน ๆ นายก็ขึ้นชื่อเรื่องการฆ่าสปายที่มาคอยสืบข่าวของนายอยู่แล้วนี่ ฉันก็เลยแปลกใจที่ฉันไม่ถูกฆ่าฉันให้ตายตั้งแต่ตอนอยู่ด้านนอกนั่น” ครีแวนตอบไปเสียยาวเหยียด ซึ่งการตอบที่ดูประชดประชันแบบนี้ทำให้เฮลาสถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ




“ช่างประชดประชันจริงนะ” ประโยคถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ แม้ถ้อยคำที่ชายหนุ่มร่างสูงกล่าวออกมานั้นจะมีความหมายชัดเจนแต่ก็มีไอ้เสียงหัวเราะนี่หละที่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยว่าชายคนนี้ว่า ‘ภายในสมองนั้นเขากำลังคิดอะไรอยู่’




“…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายกัน” พูดจบมือข้างเดิมของครีแวนที่ถูกยกขึ้นมากั้นระหว่างใบหน้าของคนทั้งสองคนก็เงื้อหมัดตรงต่อยอีกฝ่ายไปเต็มแรง คราวนี้ต่อให้เป็นดอนหนุ่มแกงค์มาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในแถบยุโรปก็ไม่อาจที่จะรั้งร่างตรงหน้าเอาไว้ในอ้อมกอดต่อได้ ร่างสูงเซถอยหลังใบหน้าคมหันไปอีกทางสีหน้า ในตอนนี้ครีแวนไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าชายตรงหน้าตนกำลังคิดอะไรอยู่รวมใบถึงหน้ากร้านคมนั้นแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาครีแวนก็ไม่อาจรับรู้ได้เลยสักนิด




เรือนผมยาวประบ่าสีแดงเข้มปลิวไสวตามแรงที่อีกฝ่ายส่งมาชายหนุ่มชะงักค้างอยู่แบบนั้นไปช่วงเสี้ยววินาที หลังจากนั้นร่างสูงก็พุ่งตัวเข้าไปประชิดร่างบางของอีกฝ่าย มือทั้งสองข้างรวบข้อมือทั้งสองข้างเอาไว้พร้อมกับกดร่าง ๆ นั้นให้แนบชิดไปกับพื้นพรม “ครั้งแรกที่นายลงมือกับฉัน...ฉันถือว่ามันเป็นการป้องกันตัว ครั้งที่สองแม้ว่าตัวฉันจะไม่พอใจที่นายใช้มีดมาทำร้ายฉัน แต่ฉันก็คือว่ามันเป็นการกระทำของคนที่จนตรอกเพื่อหาทางหนี แต่ครั้งนี้มันคือครั้งที่สาม...ฉันคงไม่ใจอ่อนยอมให้นายได้ใจทำร้ายอะไรฉันได้อีกแล้ว ถึงตัวฉันจะถูกใจในนิสัย ความคิด แววตาและรวมไปถึงร่างกายของนายก็เถอะ” เสียงทุ้มเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียมมือกร้านเริ่มบิดล็อดแรงขึ้นจนทำให้ร่างที่ถูกพันธนาการหลุดครางเสียงเบาด้วยความเจ็บปวด




“ปล่อยฉันซะไอ้บ้า...ฮึก” ครีแวนเค้นเสียงพูด แม้ตนจะรู้สึกเจ็บมากมายแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางร้องขอให้อีกฝ่ายปล่อยเด็ดขาด นัยน์เนตรสีไพลินแข็งกร้าวซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างกับชายหนุ่มผู้มีเรือนผมยาวสีแดงชาดเช่นกัน ความโกรธของคนทั้งคู่เพิ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อย จนตอนนี้ในที่สุดตอนนี้ความโกรธาของคนใจร้อนเช่นครีแวนก็ถึงจุดสูงสุด




ร่างโปร่งบางกัดฟันแน่นพร้อมกับใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามดันดันตัวเองขึ้นเพื่อนให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่คนตัวโตกว่ามอบให้ ริมฝีปากบางเม้มแน่นพร้อมกับไหล่บางทั้งสองข้างที่ใช้แทนต่างมือค่อย ๆ ออกแรงดัน แต่มีหรือดอนหนุ่มจะยอมให้เชลยที่อยู่ในกำมือตนทำเช่นนั้นเขาออกแรงเพิ่มขึ้นไปอีกนิด ร่างที่พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นก็ถูกกดนอนราบไปที่พื้นอีกครั้ง




“ฮึก...” เสียงร้องจากความเจ็บปวดดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ซึ่งครั้งนี้ความเจ็บปวดมันเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีกเพราะมือกร้านที่พันธนาการมือทั้งสองข้างของเขาไว้ไม่ใช่แค่จับกุมธรรมดาเสียแล้ว แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นการล็อคทั้งท่อนแขนตามศิลปะการต่อสู้โดยใช้มือเปล่า ในเวลานี้แม้แต่กระดิกตัว…ไม่สิเรียกว่าแม้แต่จะกระดิกนิ้วครีแวนก็ไม่สามารถทำได้ ร่างเล็กกว่าพ่ายแพ้อย่างหมดท่า ทว่าร่างสูงกว่าก็ไม่ได้ภาคภูมิใจกับชัยชนะครั้งนี้




“เป็นสัตว์เลี้ยงแต่คิดจะทำร้ายเจ้าของอย่างนั้นหรือไง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม นัยน์เนตรคมเข้มนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ




‘เขาไม่เคยเจอใครที่พยศอย่างนี้มาก่อน แบบนี้มันคงไม่ใช่แมวจรจัดซะแล้วสิและถ้าให้เขาเปรียบเปรยใหม่ที่จะสามารถนิยามคน ๆ นี้ได้ก็คงต้องเปรียบเป็นสัตว์ป่าที่ไม่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ง่าย ๆ ชีต้าร์สินะ...ว่องไว รวดเร็วและดุร้ายเป็นสัตว์นักล่าที่เตรียมพร้อมจะขย้ำเหยื่อได้ทุกเวลา’ แม้ชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้จะเปรียบว่าตัวของครีแวนเป็นเสือชีต้าร์ที่แสนว่องไวแต่กระนั้นเสือชีต้าร์ที่แสนปราดเปรียวนั้นก็ไม่อาจที่จะสู้กับเสือโคร่งที่มีร่างกายใหญ่กว่าเป็นเท่าตัวได้ ร่างบางถูกจับให้นอนราบไปกับพื้นอีกทั้งมือทั้งสองข้างยังคงถูกล็อคเอาไว้แน่น




สถานการณ์และสภาพของเขาในตอนนี้ ครีแวนคิดได้อย่างเดียวว่าอีกไม่นานตัวของเขาต้องโดนฆ่าตายอย่างแน่นอน แม้ตนจะเคยพร่ำว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่อยู่วงการอันแสนดำมืดนี้ แต่ความตายมันก็ยังเป็นเรื่องที่น่ากลัวอยู่ดี โดยเฉพาะตัวเขาที่ยังมีคนรอคอยให้เขากลับไปกินข้าวด้วยที่บ้าน




นัยน์เนตรสีน้ำทะเลลึกหลับตาลงเพื่อยอมรับชะตากรรมที่จะมาถึง แต่ในขณะที่ดวงเนตรทั้งสองข้างนั้นจะหลับตาลงเสียงบานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนหนึ่งคนที่เดินเข้ามา เค้าหน้าของเขาไม่ได้ต่างอะไรไปจากชายหนุ่มที่พันธนาการเขาอยู่เลยสักนิด หากแต่สิ่งที่ต่างกันก็คือคงจะเป็นช่วงอายุกระมัง เพราะชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ดูท่าแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าเขาเสียอีกไม่สิคงเรียกว่าอายุนั้นคงไม่เกิน 18 ปี




“ท่านน้า...สิ่งที่ท่านน้าต้องการให้ผมตรวจสอบตอนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ รายละเอียดของการค้นหาคือสืบประวัติตอนนี้ท่านน้าจะให้ผมรายงานทั้งหมดเลยไหมครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามผู้เป็นน้า แต่คำตอบที่ชายร่างสูงตอบกลับไปมีแค่เพียงมือกร้านที่ยกขึ้นมาพร้อมกับตวัดไล่ให้เด็กหนุ่มคนนั้นเดินออกจากห้อง




เมื่ออีกฝ่ายรับทราบถึงคำสั่งร่างสูงของเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเต็มที่ก็เดินถอยออกไป แต่ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะก้าวเดินออกจากห้องไปเขาก็ไม่ลืมที่จะวางเอกสารที่จำนวนหนึ่งที่ตนเองหาประวัติของคน ๆ หนึ่งตามคำสั่งของน้าชายเอาไว้ที่โต๊ะที่วางประดับไว้บริเวณหน้าห้อง




และเมื่อเสียงบานประตูไม้ปิดลงเสียงลงกลอนที่ล็อคจากด้านนอกก็ดังขึ้นซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ร่างของครีแวนที่ถูกปล่อยออกจากพันธนาการ




เมื่อร่างกายของตนเป็นอิสระ สัญชาตญาณแรกของมนุษย์นั่นก็คือการป้องกันตัวเองออกจากอันตรายหากแต่สิ่งที่ครีแวนคิดว่าตนจะเผชิญต่อไปนั้นกลับผิดคาดเพราะว่าดอนฟีเลทัสจะไม่สนใจตัวของเขาแล้ว เขายังเลือกที่จะเดินหนีไปอีกทางเพื่อหยิบเอกสารที่หลานชายของตนทิ้งเอาไว้ให้ก่อนออกจากห้อง




เมื่อรวบรวมเอกสารทั้งหมดมาไว้ในมือเฮลาสก็เดินเลี่ยงไปนั่งที่โซฟา โดยทิ้งครีแวนได้แต่งนั่งมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงงอยู่ที่พื้น




‘ไอ้บ้านี่...ผีเข้าผีออก แผลที่เขาทำยังมีเลือดไหลออกอยู่เลยนี่มันไม่คิดจะทำแผลเลยหรือไงกัน’ ครีแวนได้แต่กรนด่าอีกฝ่ายในใจและในขณะที่ตัวเขาลุกขึ้นยืนและสาวเท้าเดินไปที่ประตูทางออก เสียงทุ้มเข้มก็เอ่ยดังขึ้นซึ่งมันไม่ใช่ประโยคที่เอ่ยรั้งอะไรตัวของครีแวนเลยสักนิด แต่ประโยคที่เสียงเข้มพูดออกมานั้นทำให้ขาเรียวทั้งสองข้างของครีแวนถึงกับชะงักค้างและไม่กล้าที่จะก้าวเดินต่อไป




“ครีแวน เดอ เมอร์เรส อายุ 23 ปี นักขายข่าวไร้สังกัดและข่าวที่เขาขายนั้นเป็นข่าวที่เชื่อถือได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ แบบนี้เรียกได้ว่านักขายข่าวชั้นยอดเลยนะ” เมื่อชายหนุ่มร่างสูงอ่านจนจบวรรคแรกใบหน้ากร้านคมก็เงยหน้าขึ้นไปมองร่างสูงโปร่งที่ยืนชะงักค้างอยู่หน้าประตู




“ลูกครึ่ง สัญชาติอังกฤษรัสเซียถึงจะมีเชื้อรัสเซียแต่ก็อยู่อังกฤษและไปมาระหว่างอเมริกาและอังกฤษมาตลอดเลยทำให้ไม่มีความรู้ทางภาษารัสเซียเลยสักนิดเดียว” สิ้นประโยคนี้เฮลาสเหลือบตามองอีกฝ่ายด้วยความขบขัน และ เมื่อเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นเฮลาสก็ยิ่งได้ใจเขาก้มหน้าลงไปอีกครั้งและอ่านประโยคถัดไปออกมา คราวนี้นอกจากทำทำให้ครีแวนนิ่งเงียบแล้ว มันยังทำให้ครีแวนถลาเข้ามาหาเขาแต่สภาพมันดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นักเพราะปกเสื้อสูทที่ตอนนี้ชื้นไปด้วยเลือดถูกกระชากขึ้นไป




“ครอบครัว ตอนนี้เหลือน้องสาวอยู่คนเดียวคือ วิเวียน เดอ เมอร์เรส อายุ 14 ปี อืม…อายุน้อยกว่าเจ้าคาร์เร่หลานชายของฉันอีกนะ แต่แววตาเหมือนนายดีนะดูเป็นคนไม่ยอมคนและดื้อเหมือนนายนะเนี่ย...แบบนี้ชักจะทำให้ฉันสนใจขึ้นมาซะแล้วสิ” สิ้นเสียงพูดร่างสูงได้แต่เหยียดรอยยิ้มให้อีกฝ่ายแม้ในตอนนี้ตัวของชายร่างสูงจะถูกกระชากคอเสื้ออยู่ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้เขาเลยสักนิด มือกร้านยกมือขึ้นมาปัดมือบอบบางออกอย่างง่ายดายซ้ำยังคงอ่านรายงานที่หลานชายเพียงคนเดียวสืบให้ต่อ ทว่าครีแวนไม่ยอมหยุดเพียงแค่นั้นมือบางเอื้อมไปคว้าเอกสารทั้งหมดออกมาจากมือของอีกฝ่ายมือทั้งสองข้างฉากและกระชากทำลายเอกสารทั้งหมดนั้นด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที ใบหน้าสวยแหงนหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยประโยคที่เฮลาสนั้นได้คาดเดาเอาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นต้องเอ่ยออกมาหลังจากเขาอ่านประวัติของอีกฝ่ายจบ แต่ดูเหมือนว่าเขาคาดเดาผิดไปสักเล็กน้อยเพราะไม่ทันที่เขาจะได้อ่านรายละเอียดที่เหลือร่วมสิบหน้าความอดทนของร่างบอบบางตรงหน้าก็หมดความอดทนเสียแล้ว




“นายห้ามไปยุ่งกับน้องสาวของฉันเขาไม่ใช่คนในโลกด้านนี้ถ้าต้องการจะฆ่าหรือทำอะไรก็มาลงที่ฉันเพียงคนเดียว น้องสาวของฉันไม่เกี่ยว” เนตรสีน้ำเงินแข็งกร้าวเช่นเดียวกับน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา ซึ่งกิริยาที่อีกฝ่ายนั้นแสดงออกมาให้เห็นมันตรงไปตามแผนที่ตัวเขาได้วางไว้




การจะเลี้ยงสัตว์ป่าให้เชื่อง...ต้องจับจุดอ่อนและแน่นอนแม้มันจะแข็งแรงและปราดเปรียวขนาดไหนก็ไม่มีข้อแม้ ซึ่งมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน แค่กุมจุดอ่อนนั้นไว้คน ๆ นั้นก็ยอมอยู่ใต้เท้าเราแล้ว และประโยชน์ของจุดอ่อนก็ไม่ได้มีเพียงเท่านั้นเพราะเมื่อเรากุมจุดที่อ่อนแอนั้นได้เรายังสามารถบัญชาทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตของคน ๆ นั้นได้ด้วยเช่นกัน




บรรยากาศยังคงตึงเครียดหากแต่มันก็ดำเนินอยู่ได้ไม่นาน ริมฝีปากหนาก็พูดทำลายความเงียบพร้อมเหยียดรอยยิ้มเอ่ยเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเดินตามตนเข้าไป



...และแล้วการฝึกสัตว์ป่าก็ได้เริ่มต้นขึ้น...







เจอกันตอนต่อไปค่ะ พลอยคิดว่านิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นค่ะความยาวไม่น่าเกิน 150 หน้าพลอยขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 1] 31/05/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 31-05-2014 21:39:51
จะฝึกยังไงนะอิอิ รอลุ้นว่าน้องครีแวนจะเป็นยังไงต่อไปค่า  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 2 *Warning*] 03/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 03-06-2014 16:08:40

สวัสดีค่ะ พบเจอกันอีกแล้วนะคะ ... นาน ๆ ถี่จะโผล่หัวออกมาทีแหะ ๆ วันนีมาลงตอนสองค่ะ แต่พลอยก็ตองขอเตือนผู้ที่จะอ่านตอนนี้นะคะว่า โปรดใชวิจารณญาณในการอ่านสักนิดนะคะ...ตอน 2 มันออกจะ...และ... ค่ะ ถ้าสงสัยว่าพลอยเตือนอะไร แนะนำให้ลองอ่านเลยค่ะ ; w ; (โดนบอกว่าปกติไม่ใช่คนที่แต่งแบบนี้ไม่ใช่เหรอ แต่พลอตเรื่องนี้ที่วางมันเป็นแบบนี้เลยต้อง...นะคะ)




Chapter 2


ขาเรียวยาวทั้งสองข้างค่อย ๆ ก้าวเดินตามชายหนุ่มร่างสูงเข้าไปด้านใน ครีแวนไม่รู้ว่าต่อไปเขาจะเจอเหตุการณ์แบบไหนอีกภายในใจนั้นเต็มไปด้วยความหวั่นเกรง หากแต่ศักดิ์ศรีของเขานั้นมันดันมีมากกว่าความหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างยังคงก้าวตามไปเรื่อย ๆ โดยตนก็ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาจะเจอต่อไปนั้นมันจะคืออะไรและมันจะเลวร้ายมากกว่าสิ่งที่ตนเจอในตอนนี้แค่ไหน ชายหนุ่มที่ก้าวเดินนำหยุดฝีเท้าลงมือกร้านเอื้อมไปจับบานประตูที่อยู่ตรงหน้าและเปิดมันออกช้า ๆ



ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของชายหนุ่มรวมไปถึงครีแวนนั่นก็คือห้องนอนขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งไปด้วยเครื่องเรือนสีเงินและทองหากมีแต่เตียงนอนเท่านั้นที่ถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสีแดงเข้มเฉกเช่นเรือนผมของผู้เป็นเจ้าของของมัน



ไม่ต้องคาดเดาว่าชายคนนี้ต้องการอะไรจากตัวของเขาเพราะคำตอบมันนั้นได้เฉลยอยู่ตรงหน้าแล้วว่า สิ่งที่ชายหนุ่มร่างสูงคนนี้ต้องการคือร่างกายของเขา และอาจจะไม่ใช่แค่ร่างกายถ้าหากเขาทำอะไรไม่ถูกใจ ริมฝีปากบางเม้มแน่นแม้ตนจะยอมรับความตายได้อย่างง่ายดายแต่การที่ต้องมาเสียศักดิ์ศรีโดยการยอมมองร่างกายของตนให้อีกฝ่ายเพื่อแลกกับชีวิตแบบนี้เป็นสิ่งที่ตนไม่สามารถยอมรับได้ ร่างโปร่งบางรีบหันหลังพร้อมกับก้าวเดินออกไปจากห้องแต่มีหรือผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างเฮลาส ฟีเลทัสจะยอมให้สัตว์ที่ตัวเองเก็บมาเลี้ยงหนีรอดไปได้ ซึ่งคำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ‘ไม่มีวัน’



มือกร้านเอื้อมมือไปรั้งแขนอีกฝ่ายส่วนมืออีกข้างเอื้อมไปปิดล็อคห้องด้วยความรวดเร็ว คราวนี้สัตว์ป่าที่แสนปราดเปรียวหมดทางนี้ ร่างโปร่งบางได้หันกลับมาเผชิญหน้ากับร่างสูง และอย่างที่เคยบอกไปแม้ภายในใจจะหวั่นเกรง แต่ศักดิ์ศรีนั้นมีมากกว่า ดวงเนตรสีไพลินเชิดหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มร่างสูงพร้อมกับเหยียดรอยยิ้มออกมา



“วิปริตดีนะ ดอนของแก้งค์มาเฟียต้องการร่างกายของผู้ชายด้วยกันเอง” คำเย้ยหยันถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบาง รอยยิ้มเย้ยหยันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มดูถูกดูแคลนซึ่งครีแวนก็ไม่คิดที่จะยอมหยุดฝีปากตัวเองไว้เพียงแค่นั้น เขายังเอ่ยถ้อยคำดูถูกดูแคลนอีกฝ่ายออกมาเสียยาวเหยียด “ถ้าลูกน้องของนายรู้พวกเขาจะทำหน้ายังไงกันนะ ดอนของตัวเองอยากนอนกับผู้ชายที่เพิ่งเจอหน้ากันวันแรกขนาดนี้ เอะ...ไม่สิต้องเรียกว่าฉันกับนายเพิ่งได้เจอหน้ากันยังไม่ถึงสามชั่วโมงจะดีกว่า” พูดเสร็จร่างโปร่งบางก็ทอดถอนลมหายใจออกมา แม้ว่าตนจะรู้สึกหวั่นเกรงนิด ๆ ว่าถ้าเกิดตัวของเขาพูดจบร่างสูงผู้นั้นจะหยิบปืนพกขึ้นมาเป่าหัวของเขาให้กระจุย แต่ตอนนี่อาวุธที่เขามีอย่างเดียวก็คือปากจะไม่ใช้มันด่าอีกฝ่ายให้สะใจก่อนตายก็กระไรอยู่ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพูดออกไปดีกว่า อย่างน้อยถ้าตายเขาก็ไม่ได้ตายแบบไม่ต่อสู้อะไร ถึงอาวุธที่เขาใช้สู้มันจะดูอนาถไปสักนิดก็เถอะ



ทว่าครีแวนกับคาดการณ์ผิดไปร่างสูงผู้นี้จะไม่โกรธจนเอาปืนมาเป่าหัวของเขาทิ้งแล้ว ชายคนนี้ยังหันมาส่งรอยยิ้มและเอ่ยตอบเขาด้วยน้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำเหยียดหยามของครีแวนเลยสักนิด



“แค่ฉันพานายมาที่นี่ทุกคนก็รู้กันหมดแล้วว่ามันหมายถึงอะไร นายก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าฉันไม่เคยปล่อยให้ใครก็ตามที่มายุ่งกับฉันหนีรอดจากเงื้อมมือของฉันได้...ใช่ฉันไม่เคยปล่อยให้ใครหนีรอดซึ่งนี่ก็คือวิธีจัดการนายอีกวิธีหนึ่งที่ฉันคิดขึ้นมาได้ ที่จริงฉันอยากได้สัตว์เลี้ยงมานานแล้วหละแต่ยังไม่เจอตัวที่ถูกใจสักที แต่วันนี้ท่าทางฉันจะเจอแล้วหละไม่ว่าจะเป็นแววตา รูปลักษณ์หรือฝีปากที่ทำให้ฉันได้รู้ว่าสัตว์เลี้ยงของฉันมันไม่ได้เป็นใบ้” สิ้นเสียงทุ้มครีแวนก็ได้ตระหนักถึงสิ่งที่ตนได้เผชิญมา การไม่ถูกฆ่าตายอย่างหมาข้างถนนมันก็ดี แต่การถูกจับมาเช่นนี้คงจะมีคำเรียกอย่างอื่นไม่ได้นอกจากคำว่าเชลย ทว่าเชลยของที่นี่ไม่ได้ถูกจับมาเพราะเขาต้องการใช้ประโยชน์หรือเค้นความลับ



หากแต่คำว่าเชลยของที่นี่นั้นหมายความว่า ‘คน ๆ นี้เป็นคนที่ดอนฟีเลทัสนั้นถูกใจ’



เมื่อตนเรียบเรียงความคิดทั้งหมดได้ตอนนี้ตัวของครีแวนก็ไร้หนทางหนีซะแล้ว ต่อให้ด้านหลังจะเป็นบานประตูก็ตาม แต่การที่จะหนีออกไปจากทางนั้นมันต้องใช้คีย์การ์ดที่อีกฝ่ายเก็บไว้ ส่วนหน้าต่างแม้จะถูกสร้างไว้เรียงรายกันมากมายก็คงต้องขอบอเลยว่ากระจกทั้งหมดที่ติดตั้งมันคงเป็นกระจกกันกระสุนทั้งหมด ซึ่งแน่นอนตัวเขาที่มีแค่มือเปล่าคงไปทำอะไรกระจกที่กันได้แม้กระทั่งกระสุนไรเฟิล หากแต่สิ่งที่กักขังตัวของเขาไม่ได้มีเพียงแค่นั้นเพราะสิ่งที่น่ากลัวว่าประตูที่ถูกปิดล็อดด้วยคียการ์ดหรือกระจกที่กันได้แม้กระทั่งไรเฟิลมันก็คือชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา ชายร่างสูงที่เป็นเจ้าของดวงเนตรสีแดงเพลิงที่ชวนหลงใหลหากแต่มันก็ดุดันจนน่าหวาดกลัว



“…ปล่อย ฉัน ซะ...” แต่ความน่ากลั่วหรือน่าหวั่นเกรงพวกนั้นมันไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มผู้มีนามว่าครีแวนได้ เพราะนอกจากตัวเขาจะกล้าพูดสั่งอีกฝ่ายแล้ว มืออีกข้าวถูกยกขึ้นมาข่วนกระชากมือของตนเองให้หลุดออกการกอบกุมของอีกฝ่ายให้ได้ ถึงแม้ตนจะทราบก็ตามว่า ‘ความพยายามทั้งหมดของเขามันจะสูญเปล่าทั้งหมดก็ตาม’



ร่างโปร่งบางค่อย ๆ ถูกลากให้เดินตามร่างสูงไปเรื่อย ระยะห่างจากเตียงนอนสีเข้มนั้นค่อย ๆ กระชั้นชิดเข้ามา หัวใจยากจะยอมรักกับการโดนทำลายศักดิ์ศรี...หากมันคงเป็นชะตากรรมที่พระเจ้านั้นได้ลิขิตไว้...



ใช้เวลาเพียงชาวงครู่เดียวครีแวนก็ถูกลากไปถึงขอบเตียงนอนสีเข้ม จากนั้นร่างโปร่งบางก็ถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนนั้นโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว



ไร้หนทางหนี...


ไม่มีแม้แต่ความหวัง...


แต่กระนั้นตัวของครีแวนก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ ร่างโปร่งบางเตรียมพลิกตัวหนี แต่อย่างที่ได้บอกว่าในตอนนี้ความหวังและทางหนีได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว ร่างทั้งร่างถูกกระชากขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง และครั้งนี้ร่างทั้งร่างอยู่ในสภาพถูกตรึงด้วยมือทั้งสองข้างของชายร่างสูง



“คิดจะหนีอีกหรือไง...ทั้ง ๆ ที่ไร้ความหวังซะขนาดนี้แล้ว แต่ฉันก็ชอบนะชอบกับการสู้แบบหมาจนตรอกของนายนะ เพราะมันไม่ทำให้ฉันเบื่อเหมือนสัตว์เลี้ยงที่ฉันเคยเก็บมาแต่มันก็คงเทียบกับนายไม่ได้แล้วกระมังเพราะนายคือสัตว์ป่าที่ดุร้ายแต่ก็น่าลองที่จะปราบพยศ” ถ้อยคำเหล่านี้ถูกกระซิบข้างใบหู ใบหน้าคมที่โน้มลงไปนั้นแกล้งพ่นลมหายใจอุ่น ๆ ลงไปที่ซอกคอขาวราวกับว่าต้องการจะกลั่นแกล้ง



“ขอบใจที่ให้เกียรติกันเสียขนาดนั้น แต่ยังไงฉันก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของนาย” ครีแวนพยายามที่จะขยับตัวให้น้อยที่สุดแม้จะในขณะที่ตนเองพูด ซึ่งเหตุผลที่ครีแวนต้องทำอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรมากนอกเสียจากทุกครั้งที่เขาขยับตัวหรือถอนลมหายใจออกมาแรงซอกคอของเขามันจะขยับไปสัมผัสกับริมฝีปากของชายที่อยู่เหนือร่างของตน ซึ่งความรู้สึกที่โดนริมฝีปากหนานั่นสัมผัสตัวเขากับไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรเสียด้วย ดังนั้นตัวเขาขอเลี่ยงที่จะโดนตัวอีกฝ่ายดีกว่าแม้จะเลี่ยงได้สักพักก็ตาม



“หืม...? ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของฉันอย่างงั้นเหรอ แต่สภาพการณ์แบบนี้อีกไม่นานนายก็คงกลายเป็น ‘ของ ๆ ฉันแล้วหละ’ จริงไหม” สิ้นประโยคครีแวนถึงกับตัดสินใจที่จะกัดลิ้นตนให้ตาไปเสียตอนนี้ แต่มีหรือชายผู้ผ่านโลกมาอย่างยาวนานไม่ว่าจะเป็นโลกด้านสว่างหรือโลกด้านมืดจะไม่รู้ทัน เพียงช่วงอึดใจของการตัดสินใจใบหน้าคมโน้มขึ้นจากซอกคอเขาพร้อมกับริมฝีปากที่พุ่งตรงเข้าไปประกบกับริมฝีปากอีกฝ่าย ลิ้นเรียวถูกบิดเบียดเข้าไปด้านในเกี่ยวกระหวัดกอบโกยความหวานออกมาโดยไม่คิดว่าร่างเบื้องใต้ต้นนั้นจะเต็มใจหรือไม่



รสจูบที่หวานฉ่ำหากแต่แฝงไปด้วยความขมยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ หนึ่งคอยเอาแต่กอบโกยรสชาติที่ตนไม่เคยได้ลิ้มลอง หากแต่อีกนึ่งกับเอาแต่ใช้ลิ้นดันเพื่อนให้อีกฝ่ายละริมฝีปากออกไป ซึ่งผู้ชนะก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใครถ้าไม่ใช่ดอนหนุ่มผู้กำอำนาจของแก๊งค์ ช่วงเวลานั้นได้ผ่านไปย่างยาวนานร่างสูงก็ละริมฝีปากออกแม้ว่าตนนั้นจะเสียดายที่ไม่ได้ลิ้มลองสิ่งนั้นต่อ แต่หลังจากนี้เขาจะไม่ได้แค่ชิมแค่ริมฝีปากอย่างเดียวอีกแล้วเพราะหลังจากนี้ขาจะค่อย ๆ กินร่าง ๆ นี้ทั้งตัว...





Cut
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 2 *Warning*] 03/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 03-06-2014 16:10:53

ไวเจอกันตอนต่อไปค่ะ ... แต่กยังคงยืนยันเหมือนเดิมว่า เป็นเรื่องสั้นไม่เกิน 150 หน้า จบค่า

หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 2 *Warning*] 03/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: pim-lovemj ที่ 03-06-2014 18:07:59
 :jul1: ต้องการเลือดกรุ๊ป Y เพิ่มด่วนค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 3/1] 06/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 06-06-2014 19:11:55


เอาเป็นว่าพลอยจะขอแจ้งว่า...หลังจากตินนี้ไปพลอยจะขอลงที่ละครึ่งนะคะ ^ [] ^ ขบอกว่าไม่ค้างแน่นอน พยายามตัดให้ท ุกท่านค้างคาใจ เอะ//



Chapter 3



บางครั้งการยอมโอนอ่อนตามความรู้สึกและความต้องการมันก็สร้างปัญหาและสร้างภาระให้กับร่างกายของตัวเองได้เหมือนกัน ซึ่งในขณะนี้ปัญหาและภาระทั้งหมดนั้นตัวของครีแวนกำลังเผชิญอยู่เพราะในตอนนี้แม้แต่แรงที่จะขยับตัวลุกขึ้นนั่งครีแวนยังไม่สามารถทำได้เลย



ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ตกเป็นของคน ๆ นั้น ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่ยอมเผลอไผลไปกับความรู้สึก ช่องทางรักในตอนนี้บวมช้ำจนด้านชา ริมฝีปากบางแห้งผากอาการแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าตัวเขานั้นกำลังเป็นไข้ ซึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาต้องป่วยแบบนี้มันช่างน่าอับอายและให้ตายเขาก็ไม่มีทางบอกใครหรอกที่เขาต้องป่วนมันเป็นเพราะ ‘เซ็กส์’ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่หรอกที่เขาจะป่วยแบบนี้ เพราะบทรักที่เขากับดอนหนุ่มบรรเลงกันนั้นคงต้องบอกเลยว่ามันนับครั้งไม่ถ้วน เราทั้งสองคนไม่สนว่าสถานที่นั้นจะเป็นที่ไหน ไม่สนว่าช่วงเวลานั้นคืออะไร เราทั้งสองคนรับรู้เพียงว่าร่างกายของเราต้องการกันและกันเท่านั้น ซึ่งจากเหตุผลทั้งหมดนั่นมันก็จบลงด้วย ‘เซ็กส์’ และจากคำ ๆ นั้นมันทำให้ตัวเขานอนป่วยอยู่แบบนี้นั่นเอง



มือทั้งสองข้างพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งแม้จะอ่อนล้ายังไงแต่ไอ้ความรู้สึกไม่ดีที่มันคั่งค้างอยู่ภายในตัวของเขามันก็เป็นตัวสั่งให้ครีแวนนั้นต้องลุกขึ้นไปทำความสะอาดช่องทางและร่างกายของตน เมื่อร่างโปร่งบางยันตัวขึ้นไปพิงขอบเตียงได้แล้วหลังจากนี้ก็เป็นงานหนักที่สุดของภารกิจนี้นั่นก็คือการพาร่างกายที่อ่อนล้าของตนไปที่ห้องน้ำมือทั้งสองข้างพยายามจับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบกายเป็นที่พยุงตัวแต่ดูเหมือนว่า ร่างโปร่งบางนี้อาการจะหนักกว่าที่ตนคิดเพราะเพียงขาเรียวยาวก้าวเดินไปได้เพียงแต่สองสามก้าว โลกทั้งโลกที่อยู่ภายในสมองของเขาก็หมุนเป็นวงกลมจากนั้นโลกทั้งใบก็ดับลงพร้อม ๆ กับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงจะทรุดลงไปนอนที่พื้น



หลังจากนี้ครีแวนไม่สติพอที่จะรับรู้อะไรได้อีกแล้วไม่ว่าจะเป็นสีหน้าตกใจของร่างสูงสง่า ดวงเนตรสีโกเมนที่เต็มไปด้วยความห่วงใยหรือจะเป็นความโกรธาของชายหนุ่มคนนั้นกราดเสียงสั่งให้พวกลูกน้องของตนเรียกหมอเพื่อให้มาดูอาการของร่างโปร่งบางให้ไวที่สุด



ไม่รู้ว่าระยะเวลาผ่านไปกี่นาที กี่ชั่วโมง หรือกี่วันแต่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองข้างของเขานั้นได้ลืมตื่นขึ้นมาอีกครั้งและภาพ ๆ แรกที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเขาคือเพดานสีขาวสะอาดที่อยู่ภายในห้องส่วนตัวของดอนหนุ่มคนนั้น ตอนนี้เขาไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อหรือเจ็บปวดที่ช่องทางด้านหลังอีกแล้ว จะมีเหลือก็แค่อาการมึนหัวเล็กน้อยพ่วงด้วยอาการเจ็บคอเพราะพิษไข้



ครีแวนค่อย ๆ ขยับตัวขึ้นไปนอนพิงที่หัวเตียงเนตรสีไพลินนั้นกวาดตาไปรอบ ๆ ห้อง ซึ่งแน่นอนมันไม่มีแม้แต่เงาของผู้ทีเป็นเจ้าของห้อง ซึ่งมันก็ต้องเป็นเช่นนั้นเพราะชายหนุ่มคนนั้นขึ้นชื่อเรื่องธุระเยอะที่สุดแล้วในวงการมาเฟียแต่ที่น่าแปลกใจก็คือทำไมชายผู้มากธุระคนนั้นถึงกลับมานอนกอดเขาได้ทุกค่ำคืนกัน แต่พอคิดย้อนกลับไปความรู้สึกหงุดหงิดนั่นก็ปะทุขึ้น แม้จะโกรธที่อีกฝ่ายนั้นจับตัวเขามาและทำลายศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายของตนจนหมด แต่มันก็ยังมีความรู้สึกอีกความรู้สึกหนึ่งที่คอยวนเวียนในจิตใจซึ่งไอ้ความรู้สึกชวนหงุดหงิดนั่นก็คือ ‘ตัวเองทำคนอื่นป่วยแท้ ๆ แต่กลับไม่โผล่หัวมาดูดำดูดีคนที่แกทำให้เขาป่วยสักหน่อยหรือยังไง’ พอยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด แต่เหตุผลที่ตัวเขาหงุดหงิดไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายไม่ใส่ใจและเขาน้อยใจจนต้องให้อีกฝ่ายมางอนง้อ แต่ที่เขาหงุดหงิดนั่นก็คือคน ๆ นี้กล้าดียังไงที่ทำให้เขาป่วยหนักได้ถึงขนาดนี้ เขาไม่เคยป่วยหนักจนล้มหมอนนอนเสื่อแบบนี้มานานแล้ว และถ้าตอนนี้เขาเจอหน้าคน ๆ นั้นมันก็คงต้องประเคนหมัดใส่ใบหน้าหล่อเหล่านั่นสักหมัดพร้อมกับเตะซ้ำสักทีถึงจะทำให้เขาหายหงุดหงิดได้



ใบหน้าสวยนั้นบึ้งตึงพร้อมกับริมฝีปากบางที่บ่นพึมพำออกมาไม่หยุด ครีแวนนั่นอยู่คนเดียวในห้องนี้เพียงไม่นานบานประตูไม้สลักก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของชายร่างสูงผู้มีเรือนผมยาวสีแดงเข้ม ใบหน้ากร้านคมนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียดแต่หากเขาเห็นร่างโปร่งบางที่นอนสลบไปเกือบสองวันลืมตาตื่นขึ้น พลันความตึงเครียดทั้งหมดก็หายไป ริมฝีปากหน้าแย้มรอยยิ้มแรกในรอบสามวันก่อนที่ขาแกร่งทั้งสองข้างที่ก้าวเดินไปที่เตียงนอนของตน



“หายป่วยแล้วหรือยังไง ครีแวน” เสียงทุ้มเอ่ยดังพร้อมกับเอ่ยนามของอีกฝ่ายแต่ในขณะที่ร่างสูงนั่นจะทรุดตัวนั่งลงที่ขอบเตียงครีแวนก็ประเคนหมัดตรงใส่หน้าอีกฝ่ายตามอย่างที่เขาได้คิดไว้ก่อนหน้า ทว่ามือกร้านคนนั้นกลับยกขึ้นมารับหมัดนั้นได้มือข้างนั้นค่อย ๆ เลื่อนออกจากใบหน้า ริมฝีปากที่มักจะคลี่รอยยิ้มหน้าหมั่นไส้นั้นเม้มปากตนจนเกือบจะเป็นเส้นตรง



“ออกแรงได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้วฉันคงไม่มีความจำเป็นจะต้องอดทนอีกแล้วมั้ง” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าในขณะที่ใบหน้างดงามนั้นขึ้นสี



“เงียบปากไปเลยไป” เสียงนุ่มกล่าวไล่พร้อมกับพยายามสะบัดมือตนให้หลุดออกจากการกอบกุมของอีกฝ่าย แต่มีหรือดอนหนุ่มผู้กุมอำนาจสูงสุดของวงการมาเฟียผู้นี้จะปล่อยไปได้ง่าย ๆ ชายหนุ่มกระชากท่อนแขนเรียวนั้นมาแนบกับตัวมืออีกข้างนั้นตวัดรวบเอวของอีกฝ่ายให้เข้ามาแนบชิดกับร่างกายตน



“ปล่อย....”เสียงหวานเอ่ยออกมาเพียงแค่คำสั้น ๆ แต่กระนั้นมันก็ไม่อาจจะสั่งให้อีกฝ่ายนั้นหยุดการกระทำของตัวเองได้ใบหน้าคมค่อย ๆ โน้มใบหน้าของคนลงก่อนจะเอาหน้าผากของตนไปประกบกับหน้าผากของอีกฝ่าย การกระทำเช่นนี้ทำให้ใบหน้าหวานซีดเพราะพิษไข้แดงก่ำพร้อมกับเบี่ยงใบหน้าของตนหนีไปทันที่ที่รวบรวมสติมาคืนสู่ร่างได้



“ไข้ไม่มีแล้ว คงทานพวกซุปได้แล้วมั้ง...แล้วนี่นายรู้หรือเปล่าว่าตัวเองสลบไปร่วมสามวันนครีแวน” เมื่อวัดไข้เสร็จร่างสูงก็ปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดพ้นจากอ้อมกอดของตนและทันทีที่ร่างของตนเป็นอิสระครีแวนก็กระเถิบหนีไปที่หัวเตียงจนแทบร่างกายนั้นจะกลืนไปกับกำแพง ปฏิกิริยาที่แสดงออกมาเช่นนั้นของครีแวนทำให้เฮลาสถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมา ไม่คิดเลยว่าสัตว์ป่าผู้ทระนงนั้นก็กลัวเป็นเสียด้วย มือกร้านเอื้อมไปหาอีกฝ่ายหมายจะกลั่นแกล้งแต่ความคิดนั้นก็ไม่สำเร็จเสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นเสียก่อน ทำให้มือกร้านนั้นต้องลดมือลงอย่างน่าเสียดาย



ร่างสูงยันกายลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับเดินตรงไปเปิดประตูห้องนอนของตน ซึ่งร่างที่เดินเข้ามากวนอารมณ์ของเฮลาสนั้นก็ไม่ใช่อื่นเพราะในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่มีใครกล้าเข้ามากวนอารมณ์ของเขาได้นอกจากหลานชายที่พี่สาวสุดที่รักส่งมาอยู่กับเขา หรืออาจจะเรียกว่าส่งมาควบคุมความประพฤติผู้เป็นน้าชายอย่างเขาเสียมากกว่า



“มีอะไรคาร์เร่” เสียงทุ้มเอ่ยถามท่อนแขนแกร่งเท้าบานประตูเอาไว้เพื่อกันไม่ให้หลานชายของเขาเห็นภาพคนที่นั่งขดตัวอยู่ภายใน ซึ่งคาร์เร่ก็ไม่คิดแม้แต่จะใส่ใจคนที่อยู่ด้านในของห้อง ซ้ำเขาทำหน้าที่ของตนอย่างดีเยี่ยม ริมฝีปากหนาเปิดออกพร้อมเอ่ยพูดเรื่องราวเกี่ยวกับรายงานทั้งหมดให้ผู้เป็นน้าชายฟัง



ซึ่งถ้อยคำพูดเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกอีกด้านซึ่งจุด ๆ นั้นเป็นส่วนที่พี่สาวของเขาและพี่เขยที่ไม่รู้ว่าทนนิสัยของพี่สาวผู้เอาแต่ใจและใจร้อนนั้นได้ยังไงเป็นฝ่ายจัดการ รายละเอียดของเอกสารทั้งหมดถูกบรรยายออกมาจากริมฝีปากของเด็กหนุ่มก่อนทั้งหมดหลังจากนั้นเอกสารในมือของเด็กหนุ่มก็ถูกรวบรวมส่งไปให้น้าชายของตน ซึ่งในเวลาปกติหลานชายคนนี้ของเฮลาสไม่คิดที่จะเอ่ยปากพูดอะไรสักเท่าไหร่นักแต่ครั้งนี้กลับแปลกไปเนตรคมสีชาดเฉกเช่นเดียวกับชายหนุ่มร่างสูงหากแต่อีกข้างกับเป็นสีฟ้าน้ำทะเลสดใสเหลือบตามองน้าชายของตนเขาจ้องมองเพียงช่วงครู่ก่อนจะเบนไปมองร่างโปรงบางที่นั่งอยู่บนเตียง



“ผมขอแนะนำอะไรในฐานะหลานชายสักหน่อยนะครับ ถ้าเกิดคุณยังคงขังเขาอยู่ในนี้สักวันเขาก็อาจจะเหงาตายก็ได้...ถ้าจะให้ผมพูดง่าย ๆ ก็คือสัตว์ป่าไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงนะครับอย่ากักขังเขาเอาไว้ดีกว่าคงเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดใช่ไหมครับน้าชาย” เสียงของเด็กหนุ่มเอ่ยเตือน ซึ่งก็เป็นจริงตามที่หลานชายของเขาบอก สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขาตัวนี้ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ๆ มาก่อน มันไม่ได้อ่อนแอจนน่ารำคาญ ไม่ได้หวาดกลัวทุกสิ่งทุกอย่างจนเขาต้องปกป้อง หากแต่คน ๆ นี้กลับดุร้ายและเกรี้ยวกราดขึ้นทุกครั้งที่เขาจับต้องมัน



ริมฝีปากหนาเหยียดรอยยิ้ม ใบหน้ากร้านคมพยักหน้าขึ้นลงเชิญรับรู้ในสิ่งที่หลานชายของตนบอก “แล้วฉันจะลองคิดดูว่าจะพามันไปเดินเล่นที่ไหน” สิ้นเสียงทุ้มหลานชายผู้มีเค้าหน้าเหมือนผู้เป็นน้าก็โค้งหัวลงพร้อมกับเอ่ยขอตัวออกไปจากห้อง



เมื่อหลานชายตนก้าวเดินออกไปจุดสนใจของเฮลาสก็กลับไปอยู่ที่เดิมนั่นก็คือชายหนุ่มร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงของเขา ร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปใกล้ขึ้นซึ่งแตกต่างจากร่างบางที่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ทุกกครั้งที่อีกฝ่ายค่อย ๆ เดินเข้ามาหากแต่ความคิดของครีแวนนั้นผิดคาด เฮลาสไม่คิดที่จะทำอะไรต่อซ้ำยังลุกขึ้นมานอนข้าง ๆ เขาพร้อมกับอ่านเอกสารในมือราวกับว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้นั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นครีแวนได้แต่ปรายตามองอีกฝ่าย แต่ก็ยอมให้เจ้าของห้องที่พ่วงเพื่อนร่วมเตียงนอนอยู่ข้าง ๆ ตน



แม้ร่างกายนั้นจะฟื้นตัวขึ้นมาแต่ยังไงคนป่วยก็ยังเป็นคนป่วยอยู่ดี ดวงเนตรสีเข้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าสวยค่อย ๆ ปรือลงก่อนที่สติทั้งหมดจะถูกดึงให้จมลงไปสู่ความมืดมิด



จากช่วงเวลาเช้าดำเนินมาถึงช่วงเวลากลางวัน แสดงแดดร้อนที่สาดส่องเขามาจากทางหน้าต่างทำให้ร่างที่นอนซุกอยู่บนเตียงเริ่มร้อน มือบางพยายามที่จะดันผ้าห่มที่ปกคลุมร่างกายของตนออกแต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่คลุมร่างของตนนั้นไม่ได้มีเพียงแต่ผ้าห่มผืนหนาเพียงอย่างเดียวเสียแล้วมือบางค่อย ๆ และไล่ขึ้นมาจาสะโพกตนก่อนจะมือนั้นจะไล่ขึ้นไปแตะบนกำแพงแกร่งซึ่งครีแวนก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตนนั้นคืออะไร นัยน์เนตรสวยลืมตื่นและเมื่อดวงตาทังสองข้างเปิดเต็มที่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของครีแวนนั่นก็คือแผ่นอกแกร่งชองชายผู้มีเรือนผมสีแดง และนอกจากนั้นร่างกายของเขากับถูกเจ้าคนฉวยโอกาสนี่ใช้ต่างหมอนข้างเสียด้วย สภาพแบบนี่แล้วอยากจะต่อยเสยคางไปสักหมัด แต่ดูเหมือนครีแวนไม่อาจจะทำแบบนั้นได้เพราะทันทีที่ตัวของเขาพยายามดันร่างของตัวเองออกจากอ้อมกอดชายร่างสูงคนนี้ก็ใช้มือกดศีรษะของเขาให้จมกับแผ่นอกกว้างนั้นทุกครั้งไป มันน่าโมโหเสียจริงที่ตอนนี้ตัวเองป่วยจนไม่มีแรง แต่ว่าถ้าหากเขาไม่ได้ล้มป่วยแบบนี้แล้วจะสู้แรงของคน ๆ นี้ได้เหรอคำตอบมันก็แน่ชัดอยู่แล้วว่าไม่มีทางสูงแรงชายผู้นี้ได้อยู่แล้ว ใบหน้าสวยนั้นบึ้งตึงหากแต่ตนก็ยอมให้อีกฝ่ายใช้ร่างตัวเองต่างหมอนข้างต่อไป



ใบหน้าคมจมลงไปในกลุ่มเส้นไหมสีน้ำเงินแปลกตาและเช่นเดียวกันกับครีแวนที่ฝังใบหน้าของตนลงไปบนแผ่นอกกว้างและเขยิบตัวเข้าไปแนบชิดกับเจ้าของอ้อมกอด



ครีแวนไม่ปฏิเสธเลยที่อ้อมกอดของชายคนนี้ช่างอบอุ่นแต่ถ้าจะให้บอกว่าอ้อมกอดนี้ปลอดภัยแล้วหละก็...คำตอบของมันก็คือไม่เพราะชายคนนี้อันตรายมากและมันยิ่งอันตรายสุด ๆ สำหรับตัวเขาเสียด้วย....แต่ตอนนี้เขาก็คงต้องยอมหน่อยก็แล้วกันเพราะเห็นใบหน้ากร้านคมที่อ่อนล้าและดูท่าจะทำงานอย่างหนักเขายอมเป็นหมอนข้างให้สักวันก็คงไม่เป็นอะไร



แต่ก็หวังไว้ว่าถ้าคน ๆ นี้ตื่นมาคงไม่คิดอุตริอะไรอีกนะ...แต่ก็แค่หวังไว้เท่านั้นหละเพราะยังไงทั้งผู้ชายคนนี้และตัวของครีแวนเองก็เป็นคนที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้อยู่แล้วด้วยสิ




เจอกันพาร์ท 2 ค่า


หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 3/2] 08/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 08-06-2014 09:41:49

มาต่อแล้วค่ะ โค้ง//


ช่วงเวลาหมุนวนอีกครั้งจากแสงแดดที่สาดส่องตอนนี้ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิดแต่ต่างจากภายในห้องที่ตอนนี้โคมไฟระย้าถูกเปิดจนแสงจากหลอดไฟสาดส่องไปทั่วห้อง ซึ่งแสงจากหลอดไฟที่ถูกเปิดขึ้นทำให้ร่างที่หลับใหลที่ไม่รู้ว่าหลับไปแล้วกี่ครั้งในวันนี้แสบตาจนดวงเนตรสีน้ำทะเลลึกต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้ตนไม่ได้ถูกสวมกอดโดยวงแขนของชายร่างสูงผู้นั้นแล้ว นั่นก็เป็นเพราะชายคนนั้นตอนนี้ยืนอยู่ข้างเตียงในมือถือเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาพร้อมกับกางเกงสแลคสีดำพร้อมกับยื่นมาให้เขา



ไม่มีถ้อยคำใด ๆ เอ่ยออกมาจากริมฝีปากแต่ครีแวนก็รู้ดีกว่าการที่ชายผู้นี้ทำเช่นนี้มันก็หมายความว่าเขาต้องการให้ตัวของครีแวนสวมเสื้อผ้าชุดนี้ แต่เหตุการณ์หลังจากนี้ครีแวนก็ไม่อาจเดาได้ว่ามันจะเป็นยังต่อไป ท่อนแขนเรียวบางยกขึ้นไปรับเสื้อชุดนั้นมาก่อนจะเคลื่อนลงจากเตียงและมุ่งตรงไปที่ห้องน้ำ แต่มีหรือชายผู้ที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นยิ่งกว่าอะไรดีจะยอมชายหนุ่มรั้งแขนร่างโปร่งบางเอาไว้พร้อมกับเอ่ยปากสั่งให้ร่าง ๆ นั้นเปลี่ยนเสื้อตรงนี้ ตรงเบื้องหน้าเขา



ดอนฟีเลทัสช่างเป็นชายหนุ่มที่เอาแน่เอานอนอะไรกับอารมณ์ไม่ได้เลยจริง ๆ ใบหน้าหวานนั้นสะบัดหนีนั่นคือการแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนนั้นจะไม่ยอมทำตามคำสั่งนั่น



“อายหรือยังไงทั้ง ๆ ที่ฉันเห็นร่างกายของนายหมดทุกส่วนแล้วแท้ ๆ” เสียงทุ้มเอ่ยเอ่ยจี้ใจดำร่างโปร่งบางนี้อย่างจังมือบางนั้นยกขึ้นพร้อมกับเหวี่ยงตรงไปหมายที่จะชกหน้าอีกฝ่ายสักทีข้อหาปากเสียพูดอะไรไม่ถูกหู แต่ความหวังที่หมัดของครีแวนจะไปประทับบนใบหน้ากร้านคมของครีแวนก็ยังคงไม่สมหวังร่างสูงนั้นเอี่ยวตัวหลบพร้อมกับหันหลังเดินตรงไปที่ประตู “รีบ ๆ เปลี่ยนเสื้อซะฉันจะพานายลงไปทานอาหารข้างล่าง” เมื่อเสียงทุ้มนั้นเงียบลงก็เป็นเวลาเดียวกันกับบานประตูไม้สลักนั้นปิดลง พร้อม ๆ กับความสงสัยของครีแวนที่ผุดขึ้นเต็มสมอง



ถ้าจะไม่ให้ตัวของครีแวนสงสัยก็ไม่แปลกเพราะตั้งแต่ที่ร่างโปร่งบางนั้นได้ก้าวเข้ามาที่นี่เขาไม่เคยได้อ้าวเท้าออกไปจากห้อง ๆ นี้เลยสักครั้ง แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่ถูกอีกฝ่ายลากไปร่วมรักกับบริเวณโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายแต่นั่นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าออกจากห้อง ๆ นี้ได้หรอกนะ



ดังนั้นการที่อีกฝ่ายพูดว่าจะพาเขาลงไปทานอาหารข้างล่างจึงสร้างความสงสัยให้ครีแวนเป็นอย่างมากแต่ก็ดีเพราะถ้าได้ก้าวเดินออกจากห้องนี้เขาก็จะได้มีโอกาสเดินสำรวจรอบ ๆ เพื่อหาช่องทางหนีไปจากแห่งนี้ได้ช่วยเช่นกัน มือบางรีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนออกและรีบเปลี่ยนเป็นเสื้ออีกที่ฝ่ายเตรียมไว้ให้ ผ้าเนื้อดีที่สัมผัสเนื้อทำให้ร่างบางนี้รู้สึกนุ่มสบาย ทว่าชายคนนี้รู้สัดส่วนของเขาได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยได้เปิดปากบอกไม่ว่าจะเป็นไซส์เสื้อ รอบเอว รวมไปถึงไซส์รองเท้า ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่รู้ว่าตอนที่เขาหลับไปชายคนนี้นั้นได้ทำอะไรกับร่างกายของเขาบ้างถึงได้รู้สัดส่วนเขาละเอียดเสียขนาดนี้



เมื่อครีแวนเปลี่ยนเสื้อเสร็จขาเรียวทั้งสองข้างก็ก้าวเดินไปที่ประตูและเปิดมันออกซึ่งภายในห้องนั้นก็มีชายหนุ่มร่างสูงที่เมื่อสักครู่ครีแวนนั้นกร่นด่าในใจออกไปเสียยาวเหยียดนั้นนั่งรออยู่



“แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอมานี่สิ ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยที่จะให้นายแต่งตัว” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกซึ่งครีแวนก็ต้องยอมเดินเข้าไปตามคำเชื้อเชิญ ไม่ใช่ว่าตนนั้นจะเชื่อฟังอีกฝ่ายหรอกแต่ถ้าหากเขาไม่เดินเข้าไปอีกฝ่ายก็ไม่พ้นเดินเข้ามารั้งร่างให้เขายอมเดินเข้าไปอยู่ดี



ขาทั้งสองข้าวก้าวเดินเข้าไปใบหน้าสวยนั้นแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนว่าตนนั้นไม่พอใจ ใช่ว่าตัวเขาอยากจะให้อีกฝ่ายช่วย ‘แต่งตัว’ เสียเมื่อไหร่ เพราะว่าไอ้การแต่งตัวของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงดังเปลวเพลิงคนนี้นั้นมันไม่ใช่แค่แต่งตัวแต่มันก็ ‘แต่งแต้ม’ สีสันอื่น ๆ บนร่างกายของเขาด้วยเช่นกัน



ร่างเพรียวบางเดินตรงเข้าไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามซึ่งอีกฝ่ายนั้นไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพราะทันทีที่ร่างโปรงบางทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามร่างสูงก็เอื้อมมือไปกระชากร่างผอมบางนั้นให้เข้ามาประชิดที่ร่างของตน



“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะช่วย ‘แต่งตัว’ ให้นาย” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะมือกร้านนั้นค่อย ๆ ยกขึ้นมาโอบไล้เอวบางนั่นอย่างเบามือ



“กับคนอย่างนายฉันคิดว่านายช่วยทำให้มัน ‘หลุดลุ่ย’ มากกว่า ‘แต่งตัว’ นะ”เสียงหวานเอ่ยท้วงติงพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิกหลังมือของอีกฝ่ายให้เคลื่อนออกจากการลูบไล้สะโพกและเอวของเขา “ดังนั้นช่วยกรุณาเอามือของนายออกไปด้วย” ครีแวนเอ่ยเสียงเข้มแต่สำหรับเฮลาสแล้วมันฟังดูน่ารักน่าชังและระรื่นหูดุมือกร้านยังไม่ยอมที่จะปล่อยมือของตนออกจากเอวบางซ้ำยังค่อย ๆ ดึงชายเสื้อที่ถูกใส่เอาไว้ในกางเกงออก



“ขอปฏิเสธ...” เสียงทุ้มเอ่ยตอบพร้อมกับมือกร้านอีกข้างที่กดศีรษะอีกฝ่ายลงเพื่อให้ริมฝีปากบางนั้นโน้มลงมาประทับริมฝีปากกับตัวเขาลิ้นหนานั้นไล้เลียริมฝีปากบางเบา ๆ ก่อนจะผละออก โดยการกระทำนี้ทำให้ครีแวนสงสัยเป็นอย่างมากเพราะว่าถ้าชายคนนี้ไม่จูบเขาจนหมดลมหายใจก็ไม่เคยคิดที่จะถอนริมฝีปากออกก่อนเลยสักครั้ง ซึ่งความสงสัยพวกนี้ก็คงอยู่ไม่นาน เสียงทุ้มเอ่ยดังอีกครั้งพร้อมกับถ้อยคำพูดที่คลายความสงสัยทั้งหมดที่อยู่ในหัวของครีแวนออกไป “ก่อนทานอาหารเย็นจะทานของหวานก่อนก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยก็ขอรู้ว่าของหวานหลังอาหารค่ำนั้นคืออะไรก่อนก็ยังดี” สิ้นเสียงทุ้มริมฝีปากหนาก็คลี่รอยยิ้มกว้างซึ่งรอยยิ้มนั่นมันช่างกวนประสาทส่วนเท้าของครีแวนจริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าเขาคือเชลยของคน ๆ นี้ มิแคล้วได้ไม่มือก็เท้าคงประเคนถูกใส่ไปสักทีสองที ร่างเพรียวบางพยายามยื้อร่างของตนออกจากอ้อมกอดและค่อย ๆ จัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทาง



“…ขอโทษที่ขัดจังหวะการชิมของหวานแต่ฉันคิดว่าตอนนี้มันถึงเวลาทานอาหารค่ำแล้ว และฉันคิดว่า ‘ของหวาน’ หลังอาหารค่ำมันคงไม่มี” ครีแวนเอ่ยพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาไขว้กอดกันไว้บริเวณอก เนตรคู่งามปรายตามองใบหน้าคมที่เหยียดรอยยิ้มนั่น ทั้งสองคนจ้องมองกันอยู่แบบนี้ไปอีกสักพักจนในที่สุดก็มีฝ่ายที่ยอมแพ้ซึ่งน่าแปลกที่คราวนี้คนที่ยอมแพ้และล่าถอยไปนั่นก็คือชายหนุ่มร่างสูงที่มีนามกว่าเฮลาส ฟีเลทัส



“ถ้านายว่าไม่มี...ก็ไม่มี” เสียงทุ้มเอ่ยตอบก่อนจะโยนเสื้อสูทเนื้อดีในมือไปให้ครีแวน “สวมมันซะเราจะได้ลงไปทานอาหารเย็นสักที” สิ้นเสียงร่างสูงก็ผุดลุกจากโซฟาและมือข้างหนึ่งก็เอื้อมไปกอบกุมมือชองอีกฝ่ายเอาไว้ซึ่งการกระทำเช่นนี้เฮลาสนั้นได้ให้คำอธิบายแก่ครีแวนว่า ‘เดี๋ยวหลงทาง’ เพียงแต่คำพูดสั้น ๆ ทำให้ครีแวนถึงกับนิ่งเงียบและโดนคนที่ตัวโตกว่าลากลงไปทานอาหารค่ำที่ห้องโถงด้านล่าง



ตลอดระยะทางที่ครีแวนนั้นได้ก้าวผ่านทุกที่ถูกตกแต่งตามสไตล์วินเทจ ซึ่งออกจะดูโบราณไปสักนิดสำหรับเขาหากแต่มันก็มีความลงตัวของมันอยู่ โดยเฉพาะผ่าม่านสีแดงเข้มที่ติดไว้ตามหน้าต่างมักจะมีดิ้นสีทองประดับอยู่ตรงชายทุกชิ้นการเลือกของตกแต่งและสีของเครื่องเรือนนั้นมันก็คงเป็นการตัดสินใจของชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่ตอนนี้กำลังเดินนำอยู่เบื้องหน้าเขาแน่นอน



สายตาสอดส่องไปทั่วเพื่อหาหนทางหนีแต่ดูท่าแล้วการหลบนี้ออกจากที่นี่ดูมันจะยากเย็นเสียเหลือเกินไม่ว่าจุดไหน ตรงไหนก็เต็มไปด้วยเวรยาม ที่สำคัญไอเวรยามในแต่ละจุดไม่ได้มียืนแค่คนเดียว อย่างน้อยมันก็ไม่ต่ำกว่าสองคนจะหนีไปทางไหนดีนะ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นพร้อมกับสมองที่พยายามคิดหนทางที่ให้ตัวเองหนีรอดจากที่แห่งนี้และดูเหมือนสมองของครีแวนจะประมวลผลนานไปสักหน่อยเพราะเวลาผ่านไปช่วงอึดใจตอนนี้ร่างของเฮลาสที่พ่วงด้วยครีแวนก็ยืนอยู่ในห้องโถงที่ใช้รับประทานอาหาร



“ถึงแล้วหละแต่ดูเหมือนว่าท่าทางของนายจะไม่ค่อยสนใจอาหารค่ำมื้อนี้สักเท่าไหร่นัก มัวแต่สอดสายตามองหาทางหนีอยู่หรือยังไง” ถ้อยคำนั้นจี้ใจดำครีแวนอย่างจัง แม้ตนจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะหาทางหลบหนีแต่ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของตัวเขานั้นจะดูง่ายเกินไป



และที่มันแย่ไปกว่านั้นตัวของเขานั้นชอบแสดงท่าทางตรงตามความคิด และปากมักจะเลือกที่จะพูดอะไรตรง ๆ ออกไปแทนการอ้อมค้อม ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตัวเขาจะมีเรื่องกับคนอื่นบ่อย ๆ เพราะปากและการกระทำของตนอย่างเช่นครั้งนี้



“หืม…รู้ก็ดีนี่หาคนเฝ้าไว้เยอะ ๆ หละถ้าเผลอนายไม่เห็นหัวฉันอยู่ในนี่แน่นอน” ปากนั้นไวกว่าความคิด หลังจากที่กร่นด่าตัวเองไปไม่นาน ปากเจ้ากรรมก็ดันไปพูดท้าทายอีกฝ่ายเสียแล้ว แต่ดูเหมือนการพูดท้าทายนี่จะไม่ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาโกรธ ซ้ำยังชายคนนั้นยังหลุดหัวเราะออกมาเสียด้วย



“ถ้าแบบนั้นแค่ฉันคนเดียวก็พอแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยรับคำท้าพร้อมกับเดินจูงมือร่างเพรียวบางนั้นไปนั่งที่โต๊ะอาหาร “เชิญนั่งสิที่นั่งตรงนี้ของนาย” เสียงทุ้มเอ่ยเชิญท่อนแขนแกร่งนั้นผายไปที่เก้าอี้ที่จัดไว้บริเวณที่นั่งด้านขวาของตน การกระทำแบบนี้ไม่ค่อยจะโจ่งแจ้งเลยสักนิดเดียวริมฝีปากบางเม้มแน่นแต่ก็ยอมนั่งลงบนเก้าอี้ที่อีกฝ่ายเชิญ



“ให้เกียรติกันขนาดนี้คิดว่าวันนี้จะเปลี่ยนใจหรือยังไงกัน ‘ของหวาน’ สำหรับนายคืนนี้หนะไม่มีหรอก” ครีแวนเอ่ยซ้ำเป็นรอบที่สองเพื่อย้ำเตือนความทรงจำของอีกฝ่าย ทว่าชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีแดงเข้มนั้นได้แต่ไหวไหล่กลับมาพร้อมกับเริ่มลงมือทานอาหารค่ำโดยไม่สนใจว่าร่างเพรียวบางนี้จะเอ่ยย้ำเตือนเรื่อง ‘นั้น’ สักกี่ครั้งก็ตาม



เมื่อพูดย้ำจนเสียงแหบแห้งคราวนี้ก็ถึงเวลาที่ครีแวนนั้นจะได้เริ่มทานอาหารเสียที เริ่มแรกของการทานอาหารที่ได้เล่าเรียนมาก่อนจะเป็นเมนครอสก็คือออเดิฟที่ทานแล้วเบาท้องมือบางหยิบช้อนตักน้ำซุปขึ้นมาพร้อมกับนั่งทานเงียบ ๆ แม้ตัวเขาจะไม่เคยทานอาหารที่เลิศหรูขนาดนี้มาก่อน แต่การรู้ว่ามันทานยังไงก็ไม่เสียหาย ครีแวนไล่ทานอาหารตามเมนูที่ทางพ่อบ้านและเมดเสริฟไปเรื่อย ๆ และดูเหมือนมันจะหนักท้องขึ้นทุกที ๆ ซ้ำเขายังเริ่มมึนหัวขึ้นเรื่อย ๆ แล้วด้วย ท่าทางอาหารทางแถบรัสเซียจะใส่แอลกอฮอลมากเกินไป ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าอาหารทางรัสเซียส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงและมักจะมีแอลกอฮอลผสมอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าอาหารของที่นี่คงไม่ทำมาให้ถูกปากตัวเขาแต่มันทำมาเพื่อให้ถูกปากผู้เป็นเจ้านายของพวกตน ซึ่งจุด ๆ นี้ครีแวนก็ไม่สามารถเอ่ยว่าอะไรพวกเขาได้ ทว่ายิ่งตัวของครีแวนทานอาหารพวกนี้ไปมากเท่าไหร่ตัวของเขาก็ยิ่งมึนหัวมากเท่านั้น มันอาจจะเป็นเพราะไข้หวัดที่ยังไม่หายดีบวกเพิ่มด้วยสุราที่ผสมลงมาในอาหารมันจึงทำให้ตัวของเขาถึงกับพะอืดพะอมอยากจะคายของที่ตนทานไปก่อนหน้านี้ออกมาให้หมดมือบางพยายามควานหากระดาษเพื่อนำมาปิดปากแต่เหมือนว่ามันจะไม่ทันสีแล้ว ร่างสูงโปร่งไอออกมาเสียจนตัวงอก่อนจะค่อย ๆ คายของเก่าหรือเรียกง่าย ๆ ว่าอาเจียนสิ่งที่อยู่ในท้องออกมาแทบจะทั้งหมดสภาพแบบนี้ไม่ควรใช้แค่คำว่าเขินอายแต่ควรใช้คำว่าเสียหายจนแทบอยากจะมุดตัวนี้ลงไปในพื้นดินแต่ก่อนที่ครีแวนนั้นจะอาเจียนออกมาร่างสูงของเฮลาสก็ลุกขึ้นพร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างนั้นโอบกอดรอบตัวของครีแวนเอาไว้



ชายคนนี้ราวกับรู้ว่าเขานั้นล่วงรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขาไม่ว่าจะเป็นอาการ ความคิดและรวมไปถึงร่างกาย ครีแวนอาเจียนออกมาอีกสองถึงสามรอบในที่สุดอาการพะอืดพะอมเหบ่านั้นก็หยุดลง ร่างสูงสง่านั้นรวบตัวครีแวนขึ้นมาอุ้มพร้อมกับเดินตรงกลับไปที่ห้องพักส่วนตัวของตน



แม้จะหนีพ้นจากการอับอายรอบแรกแต่ก็หนีไปพ้นการอับอายรอบสอง ครีแวนหลับนอนหลับตาอยู่ในวงแขนแกร่งและปล่อยให้อีกฝ่ายอุ้มตนจนถึงห้องพัก และที่แรกที่ร่างสูงนั้นพาร่างโปร่งในอ้อมแขนตนไปนั่นก็คือห้องน้ำในห้องนอนส่วนตัวเขาวางร่าง ๆ นี้ลงในอ่างอาบน้ำตามด้วยการเปิดฝักบัวให้หยาดน้ำอุ่นไหลลงมาทำความสะอาดร่างกายของครีแวน มือหนาค่อย ๆ เคลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อของร่างโปร่งบางจากเม็ดแรก ไปเม็ดที่สอง และเม็ดที่สามในที่สุดเสื้อชิ้นแรกที่ปกปิดร่างกายโปร่งบางนี้ก็ถูกปลดออกจากร่างกายชายหนุ่มร่างสูงโยนมันทิ้งอย่างไม่ใยดี และหันไปสนใจกับเสื้อชั้นที่สองที่ในตอนนี้เปียกชุมจนแนบไปกับเรื้อนร่างที่แสนเร้าอารมณ์นี่ เฮลาสถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เขาไม่เคยทำเช่นนี้ให้ใครมาก่อนและไม่เคยคิดว่าจะได้ทำให้ใครด้วย การอดทนไม่ขย้ำสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่มันช่างเป็นสิ่งที่โหดร้ายจริง ๆ



มือกร้านค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด ทุกครั้งที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับผิวขาวสะอาดมันทำให้ร่าง ๆ นั้นสะดุ้งเฮือกทุกครั้งความจริงตนนั้นก็อยากที่จะทำอะไรตามใจ ทว่าคนตรงหน้านั้นป่วยหนักเกินกว่าจะรองรับเรื่องพวกนั้นได้เขาก็ได้แต่ข่มอารมณ์ของตนเอาไว้เท่านั้นและในขณะที่มือกร้านกำลังจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดสุดท้ายมือเรียวบางก็เอื้อมขึ้นมาจับข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน



“ฉันจัดการตัวเองได้นายนั่นหละไปล้างตัวก่อนดีกว่า...ฉันอ้วกใส่ไปตั้งเยอะ” ริมฝีปากบางสั่นระริกจนเกินกว่าจะพูดเป็นประโยคหากแต่ร่างเพรียวบางร่างนี้กับใส่ใจตัวเขามากกว่าที่ตัวเฮลาสนั้นได้คิดไว้ใบหน้ากร้านคมพยักหน้าตอบเบา ๆ พร้อมกับลุกขึ้นไปถอดเสื้อสูทของตนออก



เขาไม่เคยเชื่อฟังคำพูดของใคร ไม่คิดแม้แต่จะสั่งแต่ทำไมกับคน ๆ นี้เขากลับยอมรับคำพูดนั้นได้ง่าย ๆ คิ้วเข้มทีประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้นขมวดเป็นปมเล็กแต่หากแต่คิดไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ร่างสูงปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนออกเสร็จและในขณะเดียวกันร่างโปร่งบางที่นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเช่นกันครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาทั้งสองคนต่างปลดเปลื้องทุกอย่างออกจากตัวแต่เราทั้งสองคงไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่มีแม้แต่การจูบหรือแตะตัวอีกฝ่ายหนึ่งยืนอาบน้ำอยู่เงียบ ๆ จริงบริเวณฝักบัวส่วนอีกหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ภายในอ่างอาบน้ำ ภายในห้องน้ำคนทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรออกมาเพราะฝ่ายหนึ่งอับอายกับอาการอ่อนแอของตนกับอีกฝ่ายก็เกรงว่าตนจะพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายออกมาความรู้สึกพวกนั้นทำให้ภายในห้อง ๆ นี้มีแต่เสียงน้ำไหลที่ลงมากระทบร่างกายของคนทั้งสองเท่านั้น



ความเงียบสงัดนี้ยังคงนำเดินต่อไปอีกนานซึ่งช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปนั้นไม่รู้ว่ามันดำเนินไปนานขนาดไหนในที่สุดเสียน้ำไหลก็หยุดลงร่างสูงของชายหนุ่มที่มีนามว่าเฮลาสก้าวเดินตรงไปที่บริเวณอ่างอาบน้ำก่อนจะรวบตัวอีกฝ่ายและอุ้มขึ้นมาในลักษณะเช่นเดิม



ร่างโปร่งบางถูกอุ้มมาวางไว้บนเตียงร่างขาวเนียนราวกับน้ำนมนั้นยังคงเปลือยเปล่า ซึ่งต่างจากชายหนุ่มร่างสูงที่มีผิวคล้ำแดดนั้นได้สวมเสื้อคลุมอาบน้ำสีเข้มเรียบร้อยแล้ว



“ยังมึนหัวอยู่อีกเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามนิ้วเรียวยาวเกลี่ยปอยผมที่เปียกน้ำออกจากใบหน้าของร่างเพรียวบาง ซึ่งคำตอบที่ตัวของเฮลาสได้นั่นก็คือการพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เป็นคำตอบ ท่าทางอาการที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายจะหนักกว่าที่เขาคิดแล้วกระมัง เพราะดูจากอาการตอนนี้หากอีกฝ่ายเอ่ยพูดไม่สิต้องเรียกว่าแค่เปิดปากตัวเองออกก็คงหลุดอาเจียนออกมาแน่นอนปลายนิ้วแกร่งยังคงม้วนปอยผมยาวประบ่าของร่างโปร่งบางเล่น



“แล้วลุกขึ้นยืนไหวไหม” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถามออกมาต่อซึ่งใบหน้าขาวนั้นก็ส่ายหัวไปมาเป็นคำตอบแทนการเปิดปากพูด



“งั้นก็นั่งรอตรงนี้เดี๋ยวฉันไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้” ซึ่งตอบตอบที่มาจากร่างโปร่งบางก็คือการพยักหน้าขึ้นลงแทนคำพูดเช่นเดิม



สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขาเวลาไม่พูดไม่จามันทำให้ห้อง ๆ นี้เงียบเหงาได้ถึงขนาดนี้เลยหรือยังไงเฮลาสลอบคิดในใจขาทั้งสองข้างนั้นก็พลางก้าวเดินเข้าไปหยิบผ้าขนหนูสีขาวนั่นติดมือมาผืนหนึ่งก่อนที่จะหันหลังกลับเดินไปยังที่ ๆ ร่างโปร่งบางนั้นนั่งอยู่ ผ้าขนหนูสีขาวสะอาดถูกกางออกคลุมศีรษะที่เต็มไปด้วยเรือนผมสีน้ำเงินจากนั้นมือกร้านก็ค่อย ๆ บรรจงเช็ดผมให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ



เขาไม่เคยทำให้ใครแบบนี้มาก่อน และไม่เคยแม้แต่คิดที่จะทำ แต่ทำไมคน ๆ นี้กับทำให้เขารู้สึกอยากที่จะดูแล อยากที่จะเอาใจใส่กัน ริมฝีปากหนาเม้มแน่นใบหน้าคมแสดงสีหน้ากังวลออกมาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ทั้งๆที่เฝ้าบอกตัวเองว่าเขาจะไม่ยอมตนมีจุดอ่อนเด็ดขาดแต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่าตอนนี้จุดอ่อนของเขานั้นเกิดขึ้นเสียแล้ว และมันเกิดขึ้นจากร่างตรงหน้านี้นั่นเอง



มือกร้านแทรกมือเข้าไปตามกลุ่มเส้นไหมสีน้ำเงินแปลกตาใบหน้าคมเขยิบเข้าไปใกล้และจุมพิศแผ่วเบาลงที่ขมับด้านขวา มันช่างเป็นการกระทำที่ไม่สามารถบอกได้เลยว่าตอนนั้นผู้กระทำรู้สึกอย่างไรและผู้ถูกกระทำรู้สึกอย่างไรใบหน้าสวยพยายามก้มหน้าหลบ สวยใบหน้ากร้านคมเหลือที่จะเบือนหน้าหนี ผ้าขนหนูสีขาวตอนนี้ไม่ได้คลุมศีรษะของร่างโปร่งบางอีกเลยเพราะสถานที่ที่มันอยู่ตอนนี้เปลี่ยนไปคลุมอยู่บริเวณบ่าของร่างเพรียวบางนี้แทน



“แต่งตัวซะเดี๋ยวจะไม่สบายหนักอีก เดี๋ยวฉันออกไปเคลียร์งานข้างนอกก่อนจะหลับไปก่อนก็หลับไปได้เลย” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งและไม่คิดจะหันกลับมารับรู้คำตอบขาแกร่งค่อย ๆ ก้าวเดินออกไปช้า ๆ เล่นเดียวกับความรู้สึกที่แสนแข็งกระด้างของครีแวนที่มันเริ่มสั่นคลอนไปมา



มือทั้งสองข้างค่อย ๆ หยิบชุดนอนที่อีกฝ่ายเตรียมให้ขึ้นมาสวมพร้อมกับเอนตัวลงนอนราบไปกับเตียง นี่เป็นครั้งแรกที่ครีแวนได้นอนนิ่ง ๆ บนเตียงนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเตียง ๆ นี้มันกว้างมากเหลือเกิน ใบหน้าสวยซุกลงกับหมอนพร้อมกับสูดกลิ่นไอที่ตนไม่รู้ว่ามันให้ความรู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน กลิ่นไอของคน ๆ นั้น...



เมื่อความคิดพวกนั้นลอยเข้ามาในสมองร่างโปร่งบางก็ลุกขึ้นพรอมกับสะบัดศีรษะไปมาแรงๆ เพื่อไล่ความคิดไร้สาระพวกนี้ให้ออกจากสมองไปให้หมด ตอนนี้สิ่งที่สมองของเขาต้องคิดนั่นก็คือหาทางหนีออกจากที่นี่กลับบ้านไปหาวิเวียน แต่ดูเหมือนว่าหนทางนั้นจะแลดูยากลำบากเสียเหลือเกิน ปราการแรกคือเขาจะออกจากห้องนี้ได้ยังไงถ้าเขาไม่ได้ก้าวเดินออกไปพร้อม ๆ กับชายร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงเข้ม ปราการที่สองคือเมื่อออกไปได้แล้วเขาจะหลบอีกฝ่ายให้พ้นได้อย่างไร ปราการที่สามเมื่อสองข้อแรกสำเร็จ...เขาจะออกไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ได้ยังไงเพราะไม่ว่าทางไหนก็มีการ์ดคอยคุมทางเข้าทางออก ซ้ำพื้นที่ที่ตั้งคฤหาสน์แห่งนี้ก็แสนกว้างใหญ่จนไม่รู้ว่าตรงไหนคือจุดสิ้นสุดเขตแดนของคฤหาสน์ ยิ่งคิดคิ้วเรียวก็ยิ่งขมวดเป็นปมแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดความคิดที่จะหาทางหลบหนีของครีแวนต้องเป็นอันล้มพับไปก่อนด้วยเหตุผลที่ว่ายาที่เขาถูกยัดใส่ปากเมื่อก่อนหน้านี้มันออกฤทธิ์และตอนนี้เขาก็ง่วงนอนมากถึงมากที่สุด ร่างบอบบางเอนตัวลงนอนลงไปบนเตียงอีกครั้งหากแต่ครั้งนี้ร่างโปร่งบางนั้นนอนขดตัวราวกับว่าตนนั้นต้องการความอบอุ่นเวลาผ่านไปไม่นานนักร่าง ๆ นี้ก็จมดิ่งลงไปในห้วงนิทรา เส้นทางที่ตนเดินอย่างโดดเดี่ยวมาเนิ่นนาน...เริ่มมีคนเดินเข้ามาวุ่นวายและถ้าหากคน ๆ นั้นล่วงล้ำเข้ามามากกว่านี้เล่า การเดินหนีออกมามันจะทำได้ง่าย ๆ งั้นหรือ



ร่างสูงสง่านั่งก้มหน้าอ่านตัวอักษรที่ถูกจัดเรียงไว้บนกระดาษใบหน้ากร้านคมดูจะตึงเครียดเล็กน้อย ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกด้านมืดตึงเครียดเช่นนี้มันก็ไม่ได้มาจากเอกสารที่อยู่ในมือของเขา ไม่ใช่รายงานที่ถูกเขียนมาว่าพื้นที่ทางเขตเหนือถูกมาเฟียต่างถิ่นเข้ามาขยายอิทธิพลหากแต่คนที่ทำให้คิ้วเข้มขมวดจนเป็นปมขนาดนี้ได้นั้น นั่นก็คือร่างโปร่งบางที่ตอนนี้คงนอนหลับใหลอยู่บนเตียงภายในห้องนอนส่วนตัวของเขานั่นหละ



ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งจะสามารถทำให้เจ้านายนั้นหวั่นไหวได้และไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครทำให้หัวใจที่ด้านชาไปแล้วมีความรู้สึกขึ้นมา



ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตก ยิ่งวิตกว่าสัตว์เลี้ยงตัวนี้จะขึ้นมามีอำนาจเหนือจิตใจและกลายเป็นจุดอ่อนของเขา...ถ้าเป็นแบบนั้นเขาควรจะปล่อยให้สัตว์ตัวนี้คืนสู่ป่าไปหรือจะปกป้องและเก็บมันเอาไว้กับตัว...



มันเป็นหนทางที่ตัวของเฮลาสต้องเลือกซึ่งไม่ว่าทางไหนมันก็มีทั้งผลดีและผลเสียทั้งนั้น...






เจอกันตอน 4 ค่ะ
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose - [Chapter 3/2] 08/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: kwangun ที่ 08-06-2014 12:04:21
สนุกๆๆๆ ครีแวนช้ำหมดแล้วลุงหื่นนน รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 3/2] 08/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 10-06-2014 19:24:00
ดอนถ้ารักก็บอก ปกป้องดูแลให้ดีที่สุด
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 4/1] 11/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 11-06-2014 14:38:21
สวัสดีค่ะ....ลงแลวชิ่งค่า//




Chapter 4



นับจากวันนั้นชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงดังเปลวเพลิงก็ไม่ได้ร่วมรักกับตัวเขาอีกเลย ไม่รู้ว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่แตะต้องตัวเขาคืออะไรกัน แต่กระนั้นไอ้คำว่าร่วมรักที่ครีแวนหมายถึงนั่นก็คืออีกฝ่ายไม่ได้สอดใส่และปลดปล่อยความสุขเข้ามาในตัวของเขา แต่เรื่องการใช้มือหรือปากช่วยก็มีบ้างประปรายซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเราทั้งสองคนจะนอนบนเตียงเดียวกันเงียบ ๆ กันเสียมากกว่าและที่สำคัญไปกว่านั้นดอนหนุ่มคนนั้นเลือกที่จะถอยห่างร่างเพรียวบางนี้ไป อย่างเช่นทุกคืนก่อนการเข้านอนชายคนนั้นจะขอตัวไปเคลียร์งานก่อนแล้วค่อยเข้านอน โดยการกระทำพวกนี้ของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงก็ไม่ได้ทำให้ครีแวนลำบากอะไรมากมายก็แค่การเข้านอนก่อนอีกฝ่ายมันก็ไม่ได้ทำให้ตัวของร่างบางนั้นเดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว แต่มันก็มีเรื่องบางเรื่องที่ชวนให้ตัวเขาหงุดหงิดได้ในทุก ๆ เช้า ซึ่งเรื่อง ๆ นั้นมันก็คือการกระทำของอีกฝ่ายที่มักจะใช้เขาแทนหมอนข้างในทุก ๆ วัน โดยการกระทำพวกนั้นมันทำให้ในทุก ๆ เช้าที่ดวงเนตรสีไพลินลืมตาตื่นไม่ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาครีแวนจะนอนในลักษณะท่าทางแบบไหน สภาพในตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมานั้นเอวบางจะถูกรวบด้วยมือแกร่งข้างหนึ่งส่วนอีกข้างหนึ่งจะจับศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินแปลกตาให้จมลงไปให้แผ่นอกกว้างนั่น



ถ้าจะให้ตัวของครีแวนพูดว่ามันไม่ได้เดือดร้อนอะไรสักหน่อยมันก็ไม่ถูกนักหรอกเพราะการกระทำพวกนี้ทำให้ครีแวนไม่สามารถขยับไปไหนได้จนกว่าชายที่โอบกอดร่างของเขาจะลืมตาตื่น ซึ่งมันทำให้ตัวของร่างโปร่งบางเสียเวลาไปมากพอดูกับการปลุกให้อีกฝ่ายตื่น ซึ่งการปลุกสไตล์ครีแวนนั้นมันก็มีหลากหลายวิธีเช่นกันไม่ว่าจะเป็นการดัน ทุบ หยิก กัด หรือง้างหมัดต่อย ครีแวนนั้นได้งัดมาใช้หมดแล้วทุกวิธี และทุกวิธีนี้มันไม่สามารถปลุกอีกฝ่ายได้เลย แต่มันก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้อีกฝ่ายตื่นและปล่อยร่างของเขาออกจากอ้อมแขนแกร่งนั่นก็คือการประทับริมฝีปากตนไปที่ริมฝีปากอีกฝ่ายซึ่งมีแค่เพียงการกระทำนี่หละที่จะทำให้ชายหนุ่มร่างสูงผู้สุดแสนกวนประสาทคนนี้ได้ตื่นเต็มตา



และในตอนนี้ตัวของครีแวนก็ต้องทำเช่นนั้นอีกครั้ง เนตรสีน้ำทะเลลึกหลับตาลงใบหน้าสวยนั้นค่อย ๆ ยื่นไปเพื่อประทับริมฝีปากตนลงบนริมฝีปากอีกกฝ่าย หากแต่ก่อนที่เขาจะได้ทำเช่นนั้นใบหน้ากร้านคมนั้นกลับโน้มลงมาช่วงชิงริมฝีปากบางนั่นกดลิ้นสากไล้เลียอย่างแผ่วเบาริมฝีปากบางนั้นค่อยเผยอออกเพื่ออีกฝ่ายสอดลิ้นเข้ามา ท่อนแขนเรียวบางค่อย ๆ ยกมือขึ้นไปโอบรัดรอบคออีกฝ่าย มือกร้านทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ รัดร่างโปร่งบางให้เข้ามาแนบชิดกับร่างกายของตน ความร้อนแรงนี้ดำเนินต่อไปอีกราว ๆ ห้านาทีในที่สุดร่างกายของครีแวนก็เป็นอิสระจากอ้อมแขนแกร่งนั่นเสียที



“กว่าจะลืมตาตื่นได้นะเจ้าบ้า” ริมฝีปากบางเอ่ยถ้อยคำกร่นด่าใบหน้าขาวนั้นขึ้นสีเรื่องเล็กน้อย ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าตนนั้นจะหน้าแดงเพราะรสจูบของอีกฝ่าย ทั้ง ๆ ที่คิดว่าตัวเองเชี่ยวชาญเรื่องจูบมากแท้ ๆ แต่ก็ไม่อาจสู้คนตรงหน้านี้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นจูบ เกมส์รัก หรือความคิด ไม่ว่าตัวของครีแวนจะทำอะไรเนตรคมสีโกเมนนี่มองปราดเดียวก็รู้ไปหมดเสียทุกเรื่อง



“ถ้าตื่น...ก็ไม่ได้รับจูบอรุณสวัสดิ์แบบนั้นสิ” เสียงทุ่มเอ่ยเย้าแหย่ ซึ่งถ้อยคำพวกนั้นแม้จะไม่ได้ทำให้ครีแวนเขินอายสักเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้ใบหน้าขาวนั้นขึ้นสีได้เช่นกัน เมื่อเนตรคมนั้นเห็นอาการเขินอายของร่างโปร่งบางรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ผุดขึ้นมาที่มุมปากแต่ชายผู้นี้ก็เลือกที่จะหันหลังหนีและเดินถอยห่างจากอีกฝ่าย



ตอนนี้ทั้งครีแวนและเฮลาสเองกำลังเว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายหนึ่งคือกลัวตนจะมีจุดอ่อนและจุดอ่อนนั้นจะทำให้ตัวเองอ่อนแอลง หากแต่อีกหนึ่งนั้นกลับเดินทางอย่างโดดเดี่ยวมาตลอดชีวิตจนหวาดกลัวว่าจะมีใครก้าวเข้ามาและความกลัวพวกนี้ทำให้ทั้งสองคนเว้นระยะห่างจากกัน แต่ต่อให้ไม่มีความกลัวพวกนี้ทั้งครีแวนและเฮลาสก็ไม่คิดที่จะผูกพันกับใครแม้ว่าอีกฝ่ายจะสั่นคลอนจิตใจของตนก็ตาม



เมื่อชายร่างสูงเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำร่างเพรียวบางก็กลับไปนอนแผ่นบนเตียงสัมผัสอุ่น ๆ ยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากรสชาติหอมหวานยังคงตรึงอยู่ในใจ ศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินนั้นส่ายหัวไปมาเพื่อสะบัดไล่ความคิดอันแปลกประหลาดพวกนี้ให้ออกจากสมอง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งนอนบนเตียงที่มีกลิ่นไออันเป็นเอกลักษณ์ของคน ๆ นั้นจะยิ่งทำให้ตัวของครีแวนยิ่งฟุ้งซ่าน ร่างโปร่งบางผุดลุกขึ้นจากเตียงละรีบสาวเท้าเดินอออกไปยังห้องทำงานด้านนอก



ในตอนนี้ครีแวนได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องนอนได้แล้ว ดังนั้นห้องทำงานนี่จึงกลายเป็นที่สงบสติอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านของตัวเขา ร่างเพรียวเดินไปหยิบหนังสือที่วางเรียงไว้ที่ชั้นนิ้วเรียวยาวค่อย ๆ ไล่ตามสันหนังสืออย่างเบามือ และในขณะที่ตนกำลังจะเอื้อมมือขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มที่ตนหมายตา ทางด้านหลังของเขาก็มีเงาร่างสูงเข้ามาทาบทับมือกร้านที่ตนแสนคุ้นเคยค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มนั้นลงมาพร้อมส่งให้กับร่างที่ซ่อนอยู่ด้านหน้าตน



“ชอบหนังสือพวกนี้หรือไงนายนี่ก็รสนิยมไม่เลวนะครีแวน” เสียงทุ้มกระซิบเบาข้างใบหูลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดต้นคอนั้นทำให้ร่างที่ซ้อนอยู่ด้านหน้าสั่นเล็กน้อย



“ว่าง…ไม่มีอะไรทำและที่ทำได้ก็มีแค่การอ่านหนังสือกับนอนเล่นบนเตียงของนาย ซึ่งฉันขอเลือกอย่างแรก” ร่างเพรียวบางพลิกกายกลับพร้อมกับเอาหนังสือเล่มหนานั้นกั้นระหว่างใบหน้าตนกับใบหน้าคมเข้มนั่น “ถ้านายคิดว่าจะช่วยแค่หยิบหนังสือก็ขอบคุณ แต่ถ้าคิดอย่างอื่นตามมาด้วยก็กรุณาไปไกล ๆ มันรกหูรกตาน่ะ” เสียงหวานเอ่ย ขาเรียวยาวทั้งสองข้างเดียวเอี้ยวตัวหลบออกจากวงแขนแกร่ง ซึ่งตัวของเฮลาสก็ไม่ได้คิดที่จะเดิมตามร่างสูงสาวเท้าเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของคนพร้อมกับเอ่ยคำอนุญาตอีกฝ่ายให้เดินออกไปจากห้องนี้ได้



“ถ้าอยากเดินเล่นในคฤหาสน์นี้ก็เชิญ แต่ก็คงรู้กฎนะว่าฉันไม่อนุญาตให้นายออกไปนอกคฤหาสน์นี้แม้แต่จะเดินออกไปที่สวนด้านหลังก็ตาม และอย่าคิดว่าจะสืบข่าวของฉับกับใครในนี้เพราะพวกเขาไม่มีวันบอกนายแน่นอน” ชายร่างสูงเอ่ยดัง มือทั้งสองข้างค่อย ๆ หยิบเอกสารมาเปิดอ่านที่ละแฟ้ม ๆ



“ผีเข้า...ฉันควรไปตามบาทหลวงมาหานายดีไหม” เสียงนุ่มเอ่ยตอบออกไปตามนิสัยของตนแต่คำพูดนั้นก็ไมได้ทำให้ตัวของเฮลาสโกรธเลยสักนิดร่างสูงได้แต่โบกมือไปมาเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยคำถามเย้าแหย่ให้อีกฝ่ายอับอายเล่น “หรืออยากให้ฉันอุ้มนายพาเดินเหมือนตอนที่นายเป็นไข้หละ” ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาคือหนังสือเล่มหนาที่ชายร่างสูงนั้นหยิบให้ร่างโปร่งบางนั่นเอง



“ไอ้บ้า” สิ้นเสียงพูดร่างบอบบางนั่นก็รีบวิ่งออกจากห้องไปทันที ใช่ว่าอีกฝ่ายนั้นจะผีเข้าแบบนี้บ่อยซะเมื่อไหร่ เมื่ออีกฝ่ายนั้นอนุญาตทุกวินาทีที่ผ่านไปก็คือของล้ำค่า ดังนั้นเขาถึงต้องรีบวิ่งออกมาจากห้องและเดินสำรวจคฤหาสน์โดยรอบให้ไวที่สุด เพราะไม่มีใครอยากโดนกักขังไว้หรอกต่อให้ฝ่ายที่เหนี่ยวรั้งตนไว้จะเป็นคนที่ทำให้ตนรู้สึกหวั่นไหวก็ตาม...



ขาเรียวยาวค่อย ๆ เดินสำรวจไปรอบ ๆ ทางเดินของคฤหาสน์ แม้จะไม่ค่อยคุ้นชินกับสายตาที่ทุกคนจ้องมองมาสักเท่าไหร่นักแต่ครีแวนก็ต้องเลือกที่จะเมินเฉยต่อมัน ไม่เช่นนั้นเขาคงมีเรื่องกับคนทั้งคฤหาสน์แน่นอน มือเรียวค่อย ๆ สัมผัสไปที่กระจกแต่ละบานซึ่งไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลาเลยว่าไอ้กระจกที่ติดอยู่ที่หน้าต่างรอบ ๆ คฤหาสน์แห่งนี้มันคือกระจกกันกระสุนทั้งหมด ริมฝีปากบางทอดถอนลมหายใจออกมาก่อนจะเดินไปยังคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกที่ชายร่างสูงคนนั้นไม่เคยพาตัวเขาเดินไป



คฤหาสน์ฝั่งตะวันตกดูตกแต่งเรียบง่ายกว่าฝั่งตะวันออกดูจากการจัดเครื่องเรือนแล้วคนที่ตัดสินใจรสนิยมก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ เขาเลือกใช้ของที่ดูไม่หรูหราแต่มีมูลค่ามากอย่างเช่นแจกันที่ครีแวนยกขึ้นมาดูนี่เป็นแจกันโบราณที่มีมูลค่าทางตลาดมืดไม่น้อยเลย แต่มันกลับถูกนำมาวางไว้แบบไม่สนใจในมูลค่าความแพงของมัน ครีแวนชักอยากจะรู้แล้วสิว่าตระกูลฟีเลทัสนี้มีเงินทองมากมายขนาดไหน และที่สำคัญความลับที่ทำให้ตระกูลนี้อยู่เหนือทุกตระกูลคืออะไร มือบางวางแจกันไว้ที่เดิมพร้อมกับเดินสำรวจพื้นที่โดยรอบต่อไป



มือบางพยายามเปิดประตูทุกบานเท่าที่จะเปิดได้โดยส่วนใหญ่จะเป็นห้องเรียบ ๆ ที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากและทุกห้องนั้นเต็มไปด้วยหนังสือ ซึ่งหนังสือพวกนี้เป็นคนละแบบกับห้องหนังสือฝั่งตะวันออกโดยหนังสือที่จัดเรียงไว้บนชั้นหนังสือฝั่งนี้มันจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับด้านบริหาร ด้านเศรษฐศาสตร์หากแต่ด้านคฤหาสน์ฝั่งตะวันนออกจะเป็นพวกหนังสือจิปาถะที่เอาไว้ใช้อ่านเล่นเสียเช่นนวนิยายชื่อดังที่แฝงไปด้วยข้อคิด หนังสือจิตวิทยาเบื้องต้นไปจนถึงเบื้องลึก หนังสือเสริมความรู้เกี่ยวกับภาษาต่าง ๆ รวมไปถึงหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ที่ย้อนหลังไปเป็นสิบปี



วงการมาเฟียนี่ไม่ใช่แค่มีอำนาจอย่างเดียวก็พอสินะเพราะนอกจากจะมีอำนาจและความน่าเกรงขามแล้วก็ต้องรอบรู้เรื่องทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน ๆ ก็ตาม



ยิ่งครีแวนก้าวเดินเข้าไปในคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกลึกเข้าไปเท่าไหร่เหล่าการ์ดที่ยืนคุมตามบันไดหรือประตูทางออกก็น้อยลงเมื่อนั้นและเมื่อขาทั้งสองข้างก้าวเดินไปถึงบานประตูที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดครีแวนก็ถือวิสาสะเอื้อมมือไปจับลูกปิดประตูนั่นและเปิดมันเข้าไป



ภายในห้อง ๆ นี้มันช่างแตกต่างจากห้องที่เขานอนมาหลายคืนทุกอย่างภายในห้องนั้นเป็นโทนสีอ่อนที่มองดูแล้วสบายตา แม้มันจะจัดอย่างเรียบง่ายแต่ดูจากมูลค่าของในห้องมันคงไม่ได้ได้มาอย่างง่าย ๆ ตามบรรยากาศของห้องเลย ร่างบางถือวิสาสะอีกครั้งเพื่อก้าวเข้าไปในห้อง เนตรสีไพลินนั้นพยายามกวาดมองไปทั่วเผื่อว่าภายในห้องนี้จะมีจุดอับที่ให้เขาใช้เป็นช่องทางหนีได้ ทว่าครีแวนดูเหมือนจะทำตัวสบายไปเสียหน่อยเพราะทันทีครีแวนปล่อยมือจากลูกบิด บานประตูห้องที่อยู่ด้านในก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงของเด็กหนุ่มที่เดินออกมา



เมื่อเห็นแบบนั้นครีแวนแทบจะหันหลังกลับแล้วหนีออกไปจากห้อง ทว่าไม่ทันเสียแล้วเพราะร่างสูงของเด็กหนุ่มนั้นได้ก้าวเข้ามาประชิดแล้วรั้งร่างครีแวนให้ไปนั่งที่โซฟา





v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 4] 11/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 11-06-2014 14:44:36
“เวลานี้คงเป็นเวลาน้ำชาของขาวอังกฤษ งั้นคุณคงไม่ปฏิเสธที่จะดื่มน้ำชากับผมใช่ไหม” เสียงทุ้มยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดีเอ่ยถามมือแกร่งทั้งสองข้างนั้นเอื้อมไปหยิบถ้วยชาออกมาวางและรินชาเอิร์ลเกรย์หอมกรุ่นลงไป “ตอนนี้คงมีแค่ชาอย่างเดียวไปก่อนแต่สักพักแม่บ้านจะเอาของหวานมาให้ หวังว่าคุณจะทานมันได้และถูกใจในรสชาติมัน” นิสัยที่เอาแต่ใจแบบนี้มันช่างเหมือนกับคน ๆ นั้น เพียงแต่เด็กหนุ่มคนนี้กับสุภาพกว่ามาก แต่ถ้าหากให้ชายร่างสูงที่อยู่ในความคิดเปลี่ยนนิสัยมาสุภาพแบบนี้เขาคงคิดว่าคน ๆ นั้นคงเป็นไข้หรือไม่ก็ผีเข้าจริง ๆ



“ถึงฉันจะเป็นคนอังฤษแต่ครึ่งหนึ่งก็เป็นคนรัสเซียนะ” เสียงหวานเอ่ยตอบแม้ครีแวนกับเด็กหนุ่มตรงหน้านี้อายุไม่น่าจะต่างกันสักเท่าไหร่ แต่ทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ดูสุขุมมากกว่าเขาหลายเท่า แต่คิดไปก็ใช่ว่าจะทำให้เขาหาหนทางนี้ไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ได้ง่าย ๆ มือเรียวหยิบแก้วช้าขึ้นมาจิบสายตาลอบแอบมองเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่เรื่อย ๆ



“คุณไม่ต้องมองผมอย่างหวาดระแวงแบบนั้นก็ได้ผมไม่ทำอะไรคุณเหมือนที่น้าชายผมทำหรอกและที่สำคัญต่อให้ครึ่งหนึ่งคุณเป็นคนรัสเซียแต่คุณเกิดที่ประเทศอังกฤษ อยู่ที่ประเทศอังกฤษมาตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ  23 และนอกจากนั้นตอนนี้คุณก็อยู่ในประเทศอังกฤษ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบและทำท่าจะเปิดปากเอ่ยพูดต่อ ทว่าท่อนแขนเรียวบางนั้นถูกยกขึ้นเป็นการปฏิเสธให้อีกฝ่ายนั้นหยุดพูดเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของเขาสักที



“พอ…ฉันไม่อยากได้ยินประวัติของตัวฉันเองจากคนอื่นหรอกนะมันฟังดูน่าขนลุกและมันทำให้ฉันรู้สึกว่านายเป็นพวกโรคจิตชอบสืบข่าวของชาวบ้าน” ร่างโป่งบางเอ่ยตอบก่อนจะเงยหน้าตนขึ้นไปจับจ้องที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของดวงเนตรสองสีนั้นตรง ๆ



“คุณพูดมาแบบนั้นมันก็ถูก มันดูน่าขนลุกและผมเหมือนพวกโรคจิต แต่การที่น้าชายของผมพาใครเข้ามาเขาก็มักจะสั่งให้หาประวัติแบบนี้ให้ทั้งนั้น ถึงโดยส่วนใหญ่จะหายสาบสูญหรือถูกฆ่าตายตั้งแต่สองสามวันแรกก็ตามเถอะ” เด็กหนุ่มนั้นยอมรับในการกระทำของตนพร้อมกับเอ่ยประโยคชวนขนลุกออกมาต่อ



นี่เขาเป็นผู้โชคดีหรือยังไงกันที่อีกฝ่ายถูกใจเขาและปล่อยให้มีชีวิตรอดมาถึงขนาดนี้...แต่ทำไมตัวของครีแวนไม่รู้สึกว่ามันควรจะดีใจตรงไหนเลยสักนิดเดียว



“คุณเป็นคนแรกที่อยู่ที่นี่ได้นานขนาดนี้ น้าชายของผมไม่ชอบให้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของตัวเองแต่จากที่ผมสังเกต น้าชายของผมหวงคุณน่าดูและผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนพิเศษสำหรับเขา” มือแกร่งยกชาหอมกรุ่นขึ้นจิบน้อย ๆ นัยน์เนตรคมหากแต่สีนั้นแตกต่างกันหรี่มองชายร่างโปร่งบางตรงหน้าราวกับว่าเขากำลังพิจารณาบางสิ่งบางอย่างอยู่ “และตอนนี้คุณทำให้น้าชายของผมสับสนน่าดู”



ถ้อยคำพวกนี้ทำให้ครีแวนชะงักการกระทำของตนไปสักพักแต่ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะรนลานจนทำอะไรเสียงหายเสียงเคาะประตูห้องจากด้านนอกก็ดังขึ้นพร้อมกับถ้อยคำอนุญาตให้คนด้านนอกนั้นเดินเข้ามา “เชิญห้องไม่ได้ล็อค” สิ้นเสียงบานประตูก็เปิดออกร่างบอบบางของหญิงสาวสองคนค่อย ๆ เดินอย่างเชื่องช้าเพื่อนำอาหารว่างมาวางไว้บนโต๊ะ แต่ดูเหมือนหญิงสาวทั้งสองคนนี้ไม่ค่อยจะถูกใจเขาสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อเธอทั้งสองหันหลังให้กับหลานชายของเจ้าของบ้าน สายตาอาฆาตนั้นส่งมาทิ้งแท่งที่ตัวของครีแวนอย่างจัง ‘ให้ตายเถอะฉันก็ไม่ได้อยากจะให้คนเกลียดแบบนี้หรอกนะ’



“แต่ดูเหมือนไม่ใช่แค่น้าชายของผมแล้วหละมั้งที่สับสน….เพราะท่าทางของคุณที่แสดงออกมาตอนผมเอ่ยถึงการคาดเดาพวกนั้นคุณมีปฏิกิริยาแปลก ๆ ไปเช่นกัน” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท ซึ่งมันช่างแตกต่างจากคนฟังอย่างสิ้นเชิง



ตัวของเขามันดูง่ายอย่างงั้นเลยเหรอ และที่สำคัญไปกว่านั้นความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เข้าใจ ดันกลับถูกเด็กมัธยมปลายมองออกได้ง่าย ๆ แบบนี้ความเยือกเย็นของเขามันหายไปแล้วใช่ไหมเนี่ย ยิ่งคิดใบหน้าสวยก็ยิ่งแสดงอาการวิตกออกมา ซึ่งเด็กหนุ่มที่เห็นร่างตรงหน้าแสดงอาการเช่นนั้นออกมาก็ไม่คิดจะพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นลง



“เรื่องนั้นผมคิดว่าช่างมันไปเถอะครับ คุณจะแปลกไป น้าชายของผมจะแปลกไปมันก็ไม่สำคัญหรอกเพราะถ้าคุณออกจากที่นี่ไปได้ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม...ถูกไหมครับ” แม้เด็กหนุ่มผู้มีดวงเนตรสองสีจะไม่ได้พูดให้ความรู้สึกของครีแวนเย็นลงแต่ประโยคที่อีกฝ่ายนั้นพูดออกมาในตอนสุดท้ายมันกลับกวาดเอาความวิตกกังวลนั้นหายไปจนหมดสิ้น ‘คำว่าถ้าคุณออกไปจากที่นี่ได้ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม’ มันช่างเป็นคำพูดที่ชวนให้ตัวของครีแวนนั้นมีความหวังที่จะหนีรอดไปจากที่นี่นี้เลยจริง ๆ



ดวงเนตรสีไพลินที่หม่นไปชั่วครู่ทอประกายอีกครั้งพร้อมกับริมฝีปากบางที่ลอบอมยิ้มออกมา “แล้วอะไรที่จะทำให้ฉันออกไปจากที่นี่ได้หละ” ครีแวนเอ่ยถามถึงแผนการซึ่งคำตอบที่ได้รับมานั่นคือความเงียบงันของอีกฝ่าย ซึ่งท่าทางแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการอะไร



ข้อเสนอที่เท่าเทียมเพื่อแลกกับแผนการหลบหนี ไม่ว่าจะน้าหรือหลานก็เจ้าเล่ห์ไม่ต่างกันเลยจริง ๆ ริมฝีปากบางเม้มปากแน่นอีกครั้ง พร้อมกับเอนกายตนไปกลับไปนั่งพิงที่โซฟา



“ต้องการอะไร” เสียงหวานเอ่ยเปิดประเด็น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับเด็กหนุ่มนั้นวางถ้วยชาลง



“ผมก็ไม่ทราบครับเลยอยากให้คุณเสนอมานี่ไง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างผมมีหมดแล้ว” เสียงทุ้มที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดีเอ่ยตอบ ดวงเนตรสองสีทั้งสองข้างนั้นหลับตาลง “ถ้าข้อเสนอคุณดี ผมก็จะให้แผนการหลบหนีที่ผมคิดไว้กับคุณแต่ถ้าไม่ก็ถือว่าเรื่องที่เราคุยนั้นไม่เกิดขึ้นเพราะผมไม่อยากมีปัญหากับน้าชายเพราะสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขา” แม้ในประโยดแรกที่เด็กหนุ่มนั้นเอ่ยออกมาจะฟังดูดีแต่ไอคำลงท้ายประโยคนั้นมันช่างเสียงแทงแก้วหูของเขาเสียจริง ร่างโปร่งบางพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว



“ไอ้เด็กปากเสียใครเป็นสัตว์เลี้ยงของใครกันวะ” น้ำเสียแข็งกร้าวของครีแวนดังก้องไปทั่วห้องจนน่าหวั่นเกรงว่าคนภายนอกนั้นจะได้ยิน แต่ดูเหมือนห้อง ๆ นี้จะเก็บเสียงได้ดีเยี่ยมนักเพราะไม่ว่าครีแวนจะกราดเสียงด่าเด็กหนุ่มคนนี้ขนาดไหนก็ไม่มีใครเดินเข้ามาพร้อมกับลากคอครีแวนออกไปเลยสักคน



“ถ้าจะให้พูดว่าใครเป็นสัตว์เลี้ยงของใครผมขอบอกว่า สัตว์เลี้ยงนั่นคือคุณและน้าชายของผมเป็นเจ้าของครับ” คาร์เร่เอ่ยตอบไปเรียบ ๆ ตามนิสัย มือกร้านทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาปัดมือของอีกฝ่ายให้ปล่อยออกจากคอเสื้อของตน



“ถ้าคุณจะโมโหด้วยเรื่องแค่นี้ผมคิดว่าเราคงคุยธุรกิจกันต่อลำบากแล้วหละครับ คุณยังคงอยากได้แผนการจากผมอยู่หรือเปล่าถ้ายังอยากได้อยู่...กรุณาสงบสติอารมณ์ของคุณและนั่งลงด้วยครับ” เด็กหนุ่มร่างสูงเอ่ยพร้อมกับหยิบชาขึ้นมาจิบต่อ ท่าทางนี้นี้แสดงให้เห็นว่าคนตรงหน้าครีแวนนี้ไม่ใช่คนที่เขาจะใช้กำลังบังคับขู่เข็ญอะไรได้ง่าย ๆ ที่สำคัญเขาน่าจะเป็นพวกไม่ยอมเสียผลประโยชน์ให้ใครแน่นอน และถ้าหากคน ๆ นี้ยื่นข้อเสนอให้ใครไปแล้วสิ่งที่เขาต้องได้กลับมานั้นมันต้องมีมูลค่าสูงมากพอหรือมีมูลค่ามากกว่าของที่เขาจะแลกเปลี่ยนกัน



ซึ่งจากความคิดของครีแวนสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้ต้องการก็คือ... ’ข่าวหรือเรื่องราวที่เขารู้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเก่า ๆ และรวมไปถึงเรื่องราวที่เขาจะสืบได้จากอนาคตด้วย’ ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่โลภมากไม่แพ้น้าชายของตัวเองเลยจริง ๆ



ริมฝีปากบางเหยียดรอยยิ้มขาเรียวยาวถูกยกขึ้นมาไขว้กันไว้ “ข้อมูลทั้งหมดที่ที่ฉันรู้…ในตอนนี้และอนาคต นายคิดว่าข้อเสนอนี้ของฉันพอที่จะทำให้นายหายโกรธและทำให้เราทั้งสองคนคุยกันต่อได้ไหม” ข้อเสนอที่ร่างโปร่งบางหยิบยื่นไปทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงพอใจเป็นอย่างมา มือหนาล้วงเข้าไปในเสื้อสูทของตนพร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาและยื่นไปให้คนตรงหน้า



“ผมคิดว่าการติดต่อคงลำบากถ้าจะนัดเจอกันเพราะผมไม่มีเวลามากขนาดนั้นซึ่งคุณก็เช่นกันคุณคงไม่อยากโดนจับมาที่นี่อีกครั้งเพราะการติดต่อเรื่องงานกับผมใช่ไหมครับ ดังนั้นการติดต่อธุรกิจของเราคงต้องใช้เป็นอีเมลไม่ก็โทรศัพท์นะครับรายละเอียดทั้งหมดอยู่บนกระดาษแผ่นนี้แล้ว” รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นของเด็กหนุ่มระบายไปทั่วใบหน้าหากแต่ตัวครีแวนนั้นรู้ดีว่ามันเป็นรอยยิ้มจอมปลอมที่เอาไว้ยิ้มให้กับคนที่ทำธุรกิจร่วมกัน บ้านนี้สอนให้ยิ้มเสแสร้งเป็นตั้งแต่เด็กเลยหรือยังไงกันนะ พอยิ่งคิดถึงผู้ที่เป็นหลานมันก็พาลให้ย้อนคิดไปถึงน้าชายของเด็กนุ่มคนนี้ ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นเรื่องการยิ้มเสแสร้งนี่เก่งแบบไม่เป็นสองรองใครเลยจริง ๆ



“คุณครีแวนครับหน้าของผมมีอะไรติดอยู่อย่างนั้นหรือครับ” ดูเหมือนว่าครีแวนจะมองสีหน้าและท่าทางของเด็กหนุ่มนี่นานไป เสียงทุ้มแห้งตามประสาเด็กหนุ่มเอ่ยทัก ซึ่งร่างเพรียวบางก็โบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธ “ไม่มีอะไร ส่งเมลแล้วว่าไงต่อหละการติดต่อจะถี่ขนาดไหน แต่ถ้าถี่มากฉันก็หาข่าวมาบอกนายไม่ทันหรอกนะ”



.”ครับการติดต่อไม่ถี่ และข่าวที่ผมต้องการให้คุณหาไม่ใช่ข่าวโลกด้านมืด...แต่สิ่งที่ผมต้องการคือรายละเอียดของแต่ละบริษัทที่เป็นคู่แข่งของธุรกิจของตระกูลของผมมากกว่าคุณก็รู้ว่าผมไม่ได้อยู่โลกฝั่งเดียวกับน้าชายของผมดังนั้นข่าวด้านนั้นผมไม่ต้องการที่จะฟังหรอก ระยะเวลาก็ขอเป็นทุกสิ้นเดือนแล้วกับครับ” นิ้วแกร่งยกขึ้นมายันบริเวณปลายคาง นัยน์เนตรคมสองสีนั้นหรี่ตามองอีกฝ่ายน้อย ๆ เพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเมื่อตนนั้นได้เอ่ยข้อเสนอออกไป 



“อยากฟังมันทั้งหมดตอนนี้เลยไหมหละแผนธุรกิจของบริษัทพวกนี้ฉันสืบมาได้โดยบังเอิญน่ะเป็นข่าวที่ขายได้ราคาไม่ค่อยดีแต่ถ้านายอยากได้ฉันก็จะบอกนายฟรี ๆ ก็ได้นะ ถึงนายจะไม่ต้องการข่าวของโลกด้านมืดฉันก็ไม่ว่าแต่ท่าทางนายจะดูถูกฉันไปเสียหน่อยนะเด็กน้อย สิ่งที่ฉันรู้ไม่ได้มีแค่ข่าวในโลกมาเฟียหรอกนะฉันน่ะรู้ทุก ๆ เรื่องนั้นหละและมันก็ไม่เว้นเรื่องของพวกนาย” เด็กไม่ว่ายังไงก็เป็นเด็กไม่ว่าจะฉลาดขนาดไหนแต่มันก็ไม่อาจตามผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าได้ทันหรอก



รอยยิ้มจากริมฝีปากบางเหยียดกว้างแม้จะปะทะฝีปากกับชายร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงดังเปลวเพลิงผู้นั้นเขานั้นไม่อาจจะชนะได้ แต่การได้มาประชันฝีปากกับผู้เป็นหลานและมีนิสัยเหมือนผู้เป็นน้าชายอย่างไม่ผิดเพี้ยนแล้วชนะ ร่างโปร่งบางก็แอบภูมิใจอยู่เล็ก ๆ เหมือนกัน



“งั้นผมขอฟังทั้งหมดเลยแล้วกันผมคิดว่าการเล่าเรื่องราวที่อยู่ในหัวของคุณออกมาให้ผมฟังมันคงไม่เสียเวลาอะไรมากมามายและถ้าหากผมรู้ข้อมูลจากคุณหมดแล้วผมจะบอกแผนการหนีให้คุณฟัง” สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มการสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลก็เกิดขึ้น



การสนทนาของทั้งสองผ่านไปยาวนานนัยชั่วโมงและในที่สุดข่าวที่ครีแวนรู้ทั้งหมดก็ถูกถ่ายถอดไปให้เด็กหนุ่มฟังจนหมดสิ้น ใบหน้าอ่อนเยาว์หากแต่หล่อเหลาไม่แพ้ผู้เป็นน้าชายตึงเครียดปลายนิ้วแกร่งที่ตอนแรกยันไว้บริเวณคางนั้นตอนนี่เปลี่ยนมาแตะที่ริมฝีปาก กิริยาท่าทางที่เปลี่ยนไปขนาดนี้ทำให้ครีแวนถึงกับคิดว่าเขานั้นรังแกเด็กน้องหนักไปหรือเปล่า แต่เมื่ออีกฝ่ายอยากรู้ ‘เรื่องทั้งหมด’ เขาก็เลยบอกอีกฝ่ายไปทั้งหมดเท่าที่ตัวเขารู้ แต่ดูเหมือนหลาย ๆ อย่างมันน่าจะมากเกินไปสำหรับเด็กที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี แต่เจ้าเด็กนี่ก็ผิดเองใครใช้ให้มันมาทำหน้าตาดูถูกเขาหละ โดนแบบนี้ซะบ้างจะได้รู้ว่าบนโลกนี้ยังมีคนที่เหนือกว่าตัวเองอยู่ ถึงต่อให้ครีแวนไมได้อัจฉริยะแบบเด็กหนุ่มคนนี้แต่ประสบการณ์ชีวิตทำให้เขาตีความหมายของโลกได้เหนือกว่า



“เอ้า!ฉันบอกทุกอย่างไปหมดแล้วทีนี้ก็ถึงตานายแล้วหละ ว่าแผนที่จะให้ฉันหนีออกไปจากที่นี่มันเป็นยังไง” เจ้าของดวงเนตรสีไพลินเอ่ยท้วงพร้อม ๆ กับนิ้วมือที่เคาะโต๊ะเบา ๆ แทนคำเร่งร้าวให้อีกฝ่ายรีบบอกแผนการทั้งหมด



ความจริงถ้าตัวของครีแวนรู้แผนฝังของคฤหาสน์หลังนี้ของเสนอของเด็กหนุ่มนี่เขาไม่จำเป็นต้องแลมันเลยด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับไม่รู้อะไรสักอย่างไม่ว่าจะเป็นจำนวนประตูทางเข้า จำนวนคนที่คุ้มกันทางเข้าทางออกแถมวันนี้ก็เป็นวันแรกที่เขาได้เดินออกจากห้องนอนของผู้เป็นเจ้าของบ้าน ดังนั้นเมื่อมีใครเสนออะไรเพื่อแลกกับอิสระเขาก็ยอม



“ขอบคุณสำหรับรายละเอียดทั้งหมด ส่วนแผนการที่จะให้คุณหนีไปได้คือพื้นที่ในส่วนของผมคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกเป็นบริเวณของผมครับ ซึ่งน้าชายของผมไม่อาจใช้อำนาจอะไรในส่วนนี้ได้ ที่จริงจะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะว่าผมสั่งห้ามไม่ให้ลูกน้องของน้าชายเข้ามายุ่งเกี่ยวกับอาณาบริเวณของผมคุณสามารถเดินหลบไปตามทางคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกได้เลย แต่มันมีบางจุดที่จะลำบากคุณสักเล็กน้อยนั่นคือทางเชื่อมระหว่างคฤหาสน์สองฝั่งทางนั้นผมบอกเลยว่าตรงนั้นจะมีลูกน้องของน้าชายผมเยอะมากและที่สำคัญประตูทางออกไปด้านนอกคฤหาสน์อยู่ภายในห้องโถงชั้นล่างแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ทางออกหลัก แต่ถ้าหากคุณเดินเข้าไปในส่วนของห้องครัวได้ที่นั่งจะมีประตูทางออกไปด้านนอกคฤหาสน์และที่สำคัญมันก็ใกล้กับประตูรั้วของคฤหาสน์ด้วยเช่นกัน แต่คุณต้องคิดนะว่าการจะเดินไปที่ห้องครัวมันต้องผ่านสายตาคนกี่คน” เสียงทุ่มของเด็กหนุ่มเอ่ยถึงแต่ละส่วนในคฤหาสน์ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัยนั้นอธิบายแต่ละส่วนของคฤหาสน์โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าในแต่ละชั้นจะมีกี่ห้อง มีคนคอยคุมกี่คนและในแต่ละห้องนั้นมีประตูเชื่อมต่อกันกี่บาน ซึ่งสิ่งที่ตัวคาร์เร่ได้บอกอีกฝ่ายไปนั้นมันเป็นความลับของคฤหาสน์หลังนี้ ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไรสักเท่าไหร่นัก เพราะทุก ๆ วันการเดินเวรของพวกการ์ดนั้นมันไม่เคยเท่ากันเลยสักวันรวมไปถึงเส้นทางเดินด้วย ดังนั้นแผนการที่เขาบอกร่างโปร่งบางผู้เป็นสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของน้าชายของเขานั้นมันสามารถใช้ได้เพียงแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นแต่เขาก็ไม่คิดที่จะบอกอีกฝ่ายหรอกเพราะว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกดีที่ได้เฝ้ามองอีกฝ่ายรนลานหาทางนี้ แต่ถ้าอีกฝ่ายเก่งจริงอย่างที่ปากว่าการรังแกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขามันก็คงทำอะไรคน ๆ นี้ได้หรอกถึงแม้การป้องกันคนเข้าคนออกของคฤหาสน์แห่งนี้จะไม่เคยมีการผิดพลาดเลยก็ตาม



เด็กหนุ่มเท้าคางดูท่าทางของร่างโปร่งบางที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดตน รอยยิ้มชั่วร้ายก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก ความจริงแล้วสัตว์เลี้ยงหลาย ๆ คนของน้าชายเขามักจะเป็นคนคิดหาทางหนีให้แต่แผนการที่เขาคิดให้แต่ละคนนั้นไม่เคยมีใครทำสำเร็จเลยสักคนเดียว คราวนี้เขาก็อยากจะดูเสียหน่อยว่าสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของน้าชายที่ว่าดุนักดุหนาจะทำสำเร็จหรือไม่



ใบหน้าสวยจมเข้าสู่ห้วงความคิดของตนเมื่อสมองประมวลผลทั้งหมดเสร็จสิ้นใบหน้าสวยก็เงยหน้ามาพร้อมกับคลี่ยิ้มจาง ๆ ออกมา “เวรยามที่เดินเวียนในแต่ละวันรวมไปถึงจำนวนจะไม่เหมือนกันในทุก ๆ วันใช่ไหม ฉันรู้น่าว่าคฤหาสน์ของมาเฟียไม่มีทางใช้การป้องกันแบบธรรมดาแต่การที่นายจะกลั่นแกล้งฉันโดยการบอกแผนการที่ไม่หมดนี่มันออกจะโหดร้ายไปสักหน่อยมั่งเจ้าหนู นายเล่นกับคนผิดคนแล้ว สามสิบนาที...ฉันจะออกจาคฤหาสน์นี้ภายในสามสิบนาทีถ้าฉันทำไม่ได้นายเตรียมตัวดูศพฉันนอนตายได้เลย คอมพิวเตอร์นั้นเชื่อมกับกล้องวงจรปิดทั้งหมดของบ้านใช่ไหมหละ ฉันขอให้นายมองมันซะมันจะไม่มีภาพของฉันปรากฏอยู่ในนั้นเลยสักวินาทีเดียว” ริมฝีปากบางเอ่ยคำท้ามือบางทั้งสองข้างยันกายตนขึ้นเพื่อเตรียมตัวสำหรับแผนการหนี “อ่ออีกอย่าง…ฉันจะติดต่อนายเองถ้าหากฉันได้ข่าวอะไรถือเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่นายบอกฉันไม่หมดแล้วกัน” พูดจบร่างโปร่งบางก็โบกมือลาพร้อมกับเดินตรงไปที่ประตูห้อง



ความมั่นใจในตัวเองของครีแวนนั้นทำให้เด็กหนุ่มถึงกับต้องกัดริมฝีปาก คาร์เร่นั้นไม่เคยเจอใครที่อวดดีขนาดนี้มาก่อนแม้รอบ ๆ ตัวของตนนั้นจะมีแต่คนที่มากความสามารถแต่เขาก็ไม่เคยเจอใครที่กล้าท้าทายคนที่ถือไพ่เหนือกว่าได้อย่างคน ๆ นี้เลยจริง ๆ ...



แต่มันก็เหมาะสมแล้วที่คน ๆ นี้ทำให้น้าของเขาที่ไม่เคยสนใจผู้คนรอบข้างกายหันกลับมาสนใจได้...เขาคงต้องยอมรับแล้วหละมั้งว่าคน ๆ นี้เก่งกว่าเขาจริง ๆ มือกร้านยกขึ้นมาเสยเส้นผมที่ปรกหน้าก่อนจะเดินตรงไปยังคอมพิวเตอร์ของตน เพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดที่ร่างโปร่งบางนั้นเอ่ยพูดออกมานั้นเป็นความจริง



เข็มยาวของนาฬิกาหมุนวนจากเลข 1 ไปบรรจบที่เลข 6 เสียงโทรศัพท์มือถือของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น ใบหน้าคมเข้มของเด็กหนุ่มนั้นสงสัยเล็กน้อยว่าใครกันที่โทรมาในเวลานี้ มือกร้านเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์พร้อมกับกรอกเสียงลงไป “สวัสดีครับ แต่ต้องขอโทษด้วยว่าเบอร์โทรนี้เป็นเบอร์ส่วนตัว...” หากแต่เด็กหนุ่มนั้นไม่ทันได้พูดอะไรจนจบเสียงหวานที่ตนไม่คุ้นชินก็กรอกเสียงตอบกลับมา หากแต่จะบอกว่าคุ้นเคยก็ไม่เชิง อาจจะต้องเรียกว่าเขานั้นได้ฟังเสียง ๆ นี้พูดเกี่ยวกับการการทำธุรกิจในแบบต่าง ๆ มาเป็นชั่วโมง ๆ จนจำเสียง ๆ นี้กับเจ้าของของมันได้นั้นเอง



“รายละเอียดที่นายบอกมาเนี่ยตรงเป๊ะจริง ๆ ไม่ว่าจะหลบยังไงก็พ้นสายตาการ์ดตลอด เออแล้วในกล้องนั่นหนะไม่มีภาพฉันติดอยู่เลยใช่ไหมหละ” เสียงหวานเอ่ยพร้อมกับกับส่งเสียงหัวเราตามสายมา เด็กหนุ่มนั้นไม่คิดว่าจะมีใครหนีออกจากคฤหาสน์แห่งนี้ได้โดยที่น้าชายของเขาไม่อนุญาต หากแต่คน ๆ นี้ได้ฟังแค่การเดินเวรยาม จุดที่ติดกล้องวงจรปิดรวมไปถึงประตูทางเข้าทางออกเท่านั้นกับทำได้ขนาดนี้ คาร์เร่เผลอก้มมองดูเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาในโทรศัพท์ส่วนตัวของเขาเพื่อตรวจว่าเบอร์โทรนี้ไม่ใช่เบอร์โทรศัพท์จากภายใน ซึ่งดูเหมือนว่าร่างโปรงบางนั้นจะรู้ทันว่าอีกฝ่ายนั้นจะทำอะไร เสียงหวานเอ่ยอออกไปซ้ำพร้อมกับบอกให้เด็กหนุ่มนั่นมองมาที่ถนนทางด้านตะวันตกของคฤหาสน์ ซึ่งมีร่างโปร่งบางยืนโทรศัพท์อยู่ในตู้



“ไงเห็นแล้วใช่ไหมงั้นฉันไปหละหวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีก อ่อแล้วรวมไปถึงน้าชายของนายด้วยนะหมอนั่นฉันไม่อยากที่จะเจอหน้าอีกเลยตลอดชีวิต” สิ้นประโยคนี้สายโทรศัพท์ก็ถูกตัดทิ้งพร้อมกับร่างโปร่งบางที่เดินออกมาจากตู้โทรศัพท์



อากาศในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี่มันโหดร้ายจริง มือบางทั้งสองข้างได้แต่ถูกันไปมาขาทั้งสองข้างนั้นพยายามก้าวเดินตามทางต่อไปแม้ว่าตนจะไม่รู้ว่า ณ จุดที่ตัวเองนั้นยืนอยู่มันคือที่ไหนก็ตาม



ขาเรียวยาวนั้นยังคงเดินต่อไปแม้ว่าตัวของเขาจะเดินมาร่วมชั่วโมงกว่าแต่มันก็ยังไม่เห็นอะไรนอกจากแสงไฟที่สาดส่องข้างถนน และตอนนี้ท้องฟ้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำแล้วอากาศที่หนาวอยู่แล้วยิ่งทำให้ร่างเพรียวบางนั้นยิ่งสั่นมากขึ้นไปอีก



‘ไม่น่าออกมาจากคฤหาสน์นั้นโดยไม่หยิบเสื้อคลุมหรือเงินมาเลย’ ครีแวนกร่นด่าตัวเองในใจหากแต่ความคิดพวกนั้นก็ออกจะดูโลภมากเกินไปเสียหน่อยเพราะการที่ตัวเขาได้ออกมาอยู่ด้านนอกแบบนี้ถือว่าเป็นโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ไม่ถูกขังอยู่ภายในห้องนอนสี่เหลี่ยม ไม่ต้องต่อปากต่อคำกับเจ้าบ้านั่นเป็นอะไรที่สุขในที่สุดแล้วขาเรียวบางยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดไม่รู้ว่าโชคนั้นช่วยครีแวนหรือพระเจ้าทรงโปรดแต่อย่างใด รถคันหรูที่ขับตามหลังเขามานั่นจอดเทียบข้างพร้อมกับบานกระจกที่ถูกเลื่อนลง



“ต้องการให้ไปส่งที่ไหนหรือเปล่าครับเจ้านายของผมเห็นคุณเดินอยู่คนเดียวแบบนี้มันอันตรายเลยขอเสียมารยาทถาม ถ้าหากเป็นทางผ่านนายท่านจะขับไปส่งครับ” ตำถามนี้ราวกับว่ามันเป็นประโยคที่พระเจ้าประทานมา ใบหน้าสวยยิ้มกว้างพร้อมกับบอกถนนซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านของเขาออกไป เมื่อครีแวนเอ่ยจบลงคนขับรถคนนั้นก็หันหลังกลับไปหาผู้เป็นนายเขาเอ่ยถามนายของตนเพียงช่วงครู่เท่านั้น พลันเสียงปลดล็อคประตูรถก็เปิดออกพร้อมกับคำเอ่ยเชิญให้ร่างโปร่งบางนี้เข้าไปนั่งด้านใน



เพียงแต่ว่าความยินดีนี้นั้นอยู่เพียงไม่นานเพราะทันทีที่บานประตูรถคันหรูเปิดออกใบหน้าที่เขาคุ้นเคยดีก็ส่งรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมมาให้ ครีแวนแทบอยากจะปิดประตูกระแทกแล้ววิ่งหนีแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะมือข้างหนึ่งของเขาถูกอีกฝ่ายกอบกุมพร้อมกับกระชากให้ร่างเพรียวบางนั้นเข้าไปในรถ



อิสรภาพที่ได้มาไม่ถึงสองชั่วโมงนั้นได้สิ้นสุดใบใบหน้างามนั้นบึ้งตึงซึ่งไมได้ต่างอะไรกันเลยกับอีกฝ่าย หากแต่ชายร่างสูงนั้นยอมลดทิฐิของตนลงและเอ่ยปากถามร่างเพรียวบางนั่นก่อน



“ทำไมไม่ทำตามคำสั่งฉันบอกแล้วไงว่าไม่ให้ออกจากตัวคฤหาสน์” เจ้าของเสียงทุ้มเข้มพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธของตน แต่ดูเหมือนฝ่ายคู่กรณีนั้นจะไม่ยอมเอ่ยตอบอะไรและเลือกที่จะนิ่งเงียบแทน



“ฉันถามไงว่าทำไมไม่ยอมทำตามคำสั่ง” เฮลาสเอ่ยถามซ้ำคราวนี้เขาไม่คิดที่ตะสะกดกลั้นอารมณ์โกรธของตนอีกแล้วมือกร้านจับข้อมือบอบบางนั้นให้หันมาประจันหน้ากับตน ซึ่งทั้งสองก็ยังคงจ้องตากันแบบนั้นไปสักพักในที่สุดร่างโปร่งบางก็ยอมเปิดปากของตนออก



“ถามไปแล้วนายคิดว่าคำตอบมันจะเปลี่ยนไปหรือไง” คำพูดสั้น ๆ ที่แฝงไปด้วยอารมณ์ที่หลากลายถูกเอ่ยออกมา และเมื่อชายหนุ่มร่างสูงได้ยินถ้อยคำพูดเหล่านี้มือกร้านก็ยอมปล่อยให้ท่อนแขนเรียวบางนั้นเป็นอิสระ ใบหน้าสวยนั้นยังคงบึ้งตึงซึ่งผิดกับใบหน้าคมที่ตอนนี้เริ่มจะควบคุมอารมณ์โกรธของตนได้บ้างแล้ว



“อยากไปไหนหรือเปล่า แต่ถ้านายตอบว่าบ้านฉันคงไม่อนุญาต” เสียงทุ้มเอ่ยถามแต่มันก็ยังมีคำสั่งแฝงอยู่ ซึ่งตัวของครีแวนนั้นก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าตนนั้นคงหนีไม่รอดแน่นอนเลยเลือกที่จะตอบคำถามนั้นแบบเซฟตัวเองที่สุด



“ดื่ม” เสียงหวานเอ่ยสั้น ๆ ซึ่งแต่คำ ๆ นี้ก็ทำให้ร่างสูงรู้แล้วว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการนั้นคืออะไร ริมฝีปากหนาเอ่ยสั่งคนขับรถมุ่งตรงไปที่คลับซึ่งอยู่ในเขตการดูแลของเขา



เนื่องจากระยะห่างจากคฤหาสน์ของตระกูลฟีเลทัสกับคลับนั้นไม่ห่างกันมากทำให้ใช้เวลาเดินทางไม่มากนัก และตอนนี้คนทั้งคู่ก็ยืนอยู่ตรงหน้าคลับที่อยู่ในเขตดูแลของชายหนุ่มผมแดงผู้มีดวงเนตรสีเดียวกับเปลวเพลิง ขาแกร่งนั้นเดินนำเข้าไปด้านในโดยที่มืออีกข้างของเขานั้นกอบกุมมือของร่างโปร่งบางนั่นเอาไว้



และเมื่อทั้งสองนั้นได้ก้าวเดินมาด้านในเหล่าบริกรก็ต่างพากันกรูเข้ามาต้อนรับคนทั้งคู่ ซึ่งมันทำให้คนภายในร้านดูแปลกใจไปเสียหน่อยว่าใครกันที่เจ้านายของตนนั้นพามาด้วยแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของลูกจ้างที่จะล่วงรู้เรื่องราวของเจ้านาย พนักงานหนุ่มที่ดุท่าจะเป็นผู้จัดการร้านเดินเข้ามาทักทายพร้อมกับเดินนำคนทั้งสองให้เข้าไปยังห้องวีไอพีที่จัดเตรียมไว้สำหรับแขกคนสำคัญ



ครีแวนไม่รู้ว่าชายคนนี้ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร และไม่รู้เลยว่าทำไมชายคนนี้ถึงไม่ฆ่าเขาตั้งแต่ตอนที่จับได้ว่าตัวเขานั้นหลบหนีมาจากคฤหาสน์ ทำไมชายคนนี้ถึงทำอะไรที่ชวนสงสัยอะไรแบบนี้นะ นิสัยของคน ๆ นี้มันผิดไปจากที่ตัวเขาเคยได้ยินมา ทั้ง ๆ ที่ใครต่างก็พูดว่าชายคนนี้โหดร้ายและไม่คิดจะปราณีใคร



แต่ทำไมความรู้สึกและการกระทำที่ตัวของครีแวนได้รับจากอีกฝ่ายมันกลับไม่เป็นตามข่าวลือ...ทำไมชายคนนี้ถึงตัวอ่อนโยนกับเขานัก...มันอ่อนโยนและอบอุ่นจนมันทำให้เขาไม่อยากจากชายคนนี้ไปไหน...



............................



ความรู้สึกที่แปลกประหลาดพวกนั้นทำให้ตัวเราอ่อนแอลงงั้นหรือ...ถ้าเช่นนั้นตัวเราก็คงต้องถอยหนีและปฏิเสธมัน....







ปล. ชื่อนิยายมีชื่อภาษาไทยเพิ่มมาแล้วนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 4] 11/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 11-06-2014 20:26:31
หนีออกมาได้แปบเดียวโดนคุณมาเฟียจับได้ซะแล้ว จะทำยังไงต่อไปล่ะเนี่ย  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 5] 26/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 26-06-2014 12:01:29



Chapter 5




ความเงียบนั้นคนภายนอกจะเข้าใจว่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความโดดเดี่ยว หากแต่สำหรับใครหลาย ๆ คนแล้วมันอาจจะทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกสงบและสบายใจเพียงแต่คำนิยามพวกนั้นมันคงใช้กับสถานการณ์ที่ตัวของครีแวนเผชิญอยู่ในตอนนี้ไม่ได้ เพราะนอกจากมันจะไม่ได้บ่งบอกว่าตัวของเขานั้นอยู่อย่างโดดเดี่ยวแล้วมันดันทำให้ตัวของเขานั้นรูสึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก และที่สำคัญไปกว่านั้นคือการนั่งอยู่ในความเงียบซึ่งมีชายร่างสูงนามว่า ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ นั่งประจันหน้าตนอยู่ในตอนนี้มันช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับครีแวนเสียจริง แต่ความรู้สึกกดดันทั้งหมดนั้นมันไม่ได้เกิดจากชายหนุ่มร่างสูงผู้นั้นเพียงคนเดียวเพราะบรรยากาศกดดันที่เกิดขึ้นภายในห้องรับรองแขก VIP นั้นมันก็เกิดจากตัวของครีแวนด้วยเช่นกัน ริมฝีปากบางเม้มแน่นใบหนาสวยหันเบนหนีไปทางอื่น



ถ้าจะให้บอกว่าครีแวนนั้นรู้สึกผิดไหมที่หนีออกมาตัวของครีแวนนั้นคงบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า ‘ไม่’ หากแต่เมื่อตนถูกอีกฝ่ายจับได้ และตอนนี้ยังต้องมานั่งเผชิญกับดวงเนตรสีโกเมนแล้วไอ้ความรู้สึกผิดเล็กน้อยมันก็เริ่มก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ ซึ่งมันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่เขาต้องรู้สึกเช่นนั้นเพราะเขานั้นไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิดคนเราโดนกักตัวไว้ย่อมไม่มีใครชอบใจอยู่แล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นสิ่งที่เขาโดนนั้นไม่ใช่เรียกว่าการกักตัวมันเรียกว่าโดนขังเลยจะถูกมากกว่า ดังนั้นการที่เขาอยากหนีออกจากคฤหาสน์แห่งนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะมนุษย์ทุกคนต้องการอิสระและโดยเฉพาะมนุษย์ที่มีนามว่า ‘ครีแวน’ อย่างตัวเขาแล้ว เขานั้นยิ่งรักอิสระมากกว่าสิ่งใดการกักขังทางกายไม่มีทางทำให้ร่างโปร่งบางผู้นี้ยอมอยู่เฉย ๆ นั่งเงียบนอนเงียบเหมือนสัตว์เลี้ยงว่าง่าย ๆ หรอกนะ



พอยิ่งคิดครีแวนก็ยิ่งหงุดหงิดตัวเองที่กลับไปรู้สึกผิดแบบนั้นกับอีกฝ่าย มือบางกำแน่นเพื่อระบายความโกรธที่มีต่อตัวเอง หากแต่ใบหน้างดงามก็ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายโดยไม่ละสายตาไปทางไหน ในตอนนี้ชายร่างสูงนั้นกำลังจิบสุราสีอำพันอยู่เงียบ ๆ ซึ่งสายตาคมเข้มก็ไม่คิดจะละไปไหนเช่นเดียวกับเขา เกมส์จ้องตานี่ยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดบานประตูห้องรับรองก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏร่างผอมบางของหญิงสาวราว ๆ สี่หาคน สองคนในนั้นเดินนวยนาดไปนั่งประกบชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีแดงดังเปลวเพลงและที่เหลือก็เดินมานั่งประกบเขาเช่นกัน มือเรียวบางของหญิงสาวนั้นรินสุราในขวดให้กับชายหนุ่มก่อนจะยกขึ้นไปแตะที่ริมฝีปากเบา ๆ การกระทำนี้เป็นการเชิญชวนให้พวกเขาดื่ม ซึ่งครีแวนก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้วมือบางรับแก้วน้ำสีอำพันที่แตะอยู่ที่ริมฝีปากขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว



หญิงสาวทั้งสองคนเห็นแบบนั้นก็ยิ่งได้เสียงหัวเราะคิกคักเริ่มดังขึ้นและทำลายบรรยากาศกดดันและเงียบงันนั้นไปจนหมดสิ้น…เพียงแต่มันก็ทำลายได้แค่บรรยากาศที่อยู่โดยรอบหากแต่มันไม่สามารถทำลายความรู้สึกกดดันและไม่ความรู้สึกไม่พอใจที่แผ่กระจายอยู่ในภายใจทั้งของสองคนได้เลย



หญิงสาวรินสุราแก้วแล้วแก้วเล่าส่งให้ครีแวนดื่ม ซึ่งตอนนี้การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้โดยไม่มีอะไรรองท้องนั้นมันยิ่งทำให้ร่างสูงโปร่งนี้เมาเร็วขึ้น ใบหน้าสวยแดงก่ำ นัยน์เนตรสีไพลินน้ำงามนั้นปรือลงอย่างเย้ายวนแต่แม้ตัวของครีแวนจะแสดงอาการของคนเมามากถึงขนาดนั้นแต่เขาก็ยังไม่คิดจะหยุดดื่ม มือบางยังคงยกแก้วสุราขึ้นดื่มเรื่อย ๆ และในท้ายที่สุดสติทั้งหมดของครีแวนก็หายไปจนสิ้น และสิ่งที่เหลือไวก็มีเพียงแต่จิตสำนักของผู้ชายที่ต้องการของสวย ๆ งาม ๆ เช่นร่างกายของอิสสตรี ใบหน้าสวยนั้นค่อย ๆ พรมจูบไปทั่วใบหน้าของหญิงสาวทั้งสอง มือทังสองข้างรวบเอวบอบบางให้มาแนบชิดกับร่างของตนก่อนจะบดเบียดริมฝีปากตนลงไปที่ริมฝีปากอวบอิ่มของหญิงสาวทั้งสอง



การกระทำทั้งหมดนั่นอยู่ภายในสายตาของเฮลาส ไม่ใช่ว่าตัวของชายร่างสูงนั้นจะไม่รู้ว่าร่างโปร่งบางตรงหน้านั้นจะเป็นยังไง แต่จะเรียกว่าตัวเขานั้นจะรู้จักนิสัยรวมไปถึงตัวตนของคน ๆ นี้ก็ไม่เชิงเพราะสิ่งที่เขารู้มันมาจากการสืบประวัติตั้งแต่อีกฝ่ายเกิดจนถึงวินาทีที่ร่าง ๆ นั้นมาปรากฏตัวตรงหน้าของเขา



ซึ่งคน ๆ นี้ถ้าให้เฮลาสพูดตามตรงแล้วเขาก็คงต้องบอกว่าคน ๆ นี้น่าสนใจเป็นอย่างมาก แม้ในตอนแรกเขาจะรู้สึกถูกใจแค่แววตาที่ไม่ยอมใครของคนตรงหน้า แต่พอได้ล่วงรู้ตัวตนของคน ๆ นี้แล้วไม่ว่าจะเป็นนิสัย หรือประวัติ ทุกอย่างก็น่าสนใจไปเสียหมด



ดวงเนตรคมหรี่ตามองภาพตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ถึงเขาจะไม่คิดที่จะห้ามปราบการกระทำของคนตรงหน้าแต่ภายในสมองไม่ใช่ว่าจะพอใจให้อีกฝ่ายทำเช่นนี้ เพราะไม่ว่ายังไงและอีกฝ่ายจะพยายามปฏิเสธแค่ไหน ถึงยังไงคน ๆ นี้ก็ยังคงเป็นของ ๆ เขา…ยังสัตว์เลี้ยงของชายหนุ่มนามว่า ‘เฮลาส’ อยู่ดี



แม้การกระทำของครีแวนจะเริ่มเลยเถิดอย่างเช่นซุกไซร้คอของหญิงสาวแต่ถ้าหากมันยังคงอยู่ในสายตาเขา มันก็ไม่มีอะไรที่น่ากังวล แต่ดูเหมือนหญิงสาวที่นั่งรายล้อมของ ๆ เขาจะเริ่มทำเกินหน้าที่เพราะหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับ 1 ของคลับแห่งนี้โน้มใบหนาตนไปกระซิบเสียงยั่วเย้าข้างใบหูของชายร่างสูงโปร่ง และเมื่อถ้อยคำเหล่านั้นลอยเข้าหูของครีแวนชายหนุ่มร่างเพรียวบางก็คลี่ยิ้ม มือทั้งสองข้างค่อย ๆ ยันกายขึ้นก่อนจะละมือไปโอบเอวของหญิงสาวทั้งสองจนและเดินออกจากห้องไป



เนตรคมกริบสีเปลวเพลิงมองตามแผ่นหลังของคนทั้งสาม หากแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยห้ามปรามหรือทำอะไร เขาได้แต่นั่งจิบสุราไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดความอดทนทั้งหมดก็สิ้นสุดลง เสียงแก้วน้ำสีอำพันถูกวางกระแทกลงไปที่โต๊ะจนเกินเสียงดังจากนั้นร่างสูงสง่ากลับผุดลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว



แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่หญิงสาวสองคนนั้นพูดออกไปคืออะไร แต่มีหรือที่เจ้าของคลับแห่งนี้จะไม่รู้ว่าลูกจ้างของตนนั้นมีหน้าที่ทำอะไรเพราะนอกเหนือจากการทำหน้าที่เป็นเพื่อนดื่มแล้วพนักงานสาวที่อยู่ในคลับแห่งนี้แทบทุกคนจะเป็นเพื่อนนอนด้วย ดังนั้นถ้อยคำที่หญิงสาวทั้งสองคนกระซิบข้างใบหูนั้นคงไม่พ้นเป็นคำเชิญชวนให้อีกฝ่ายขึ้นไปทำกิจกรรมต่อด้านบนแน่นอน ขาแกร่งทั้งสองข้างรีบก้าวเดินใบหน้าคมนั้นแสดงให้เห็นถึงความโกรธาที่ครุกกรุ่นอยู่ภายใจใน โดยสถานที่ที่ร่างสูงมุ่งตรงไปนั้นนั่นก็คือชั้นสองของคลับแห่งนี้ โดยชั้นสองนั้นถูกแบ่งสันปันส่วนเอาไว้เป็นห้อง ๆ เพื่อให้เหล่าลูกค้าขึ้นไปใช้เป็นที่พักผ่อนหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นต่อ



ขาแกร่งยังคงก้าวเดินและมันก็เพิ่มที่จะเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานนักร่างสูงสง่าก็หยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งและเขาก็ไม่รอช้าที่จะเปิดมันเขาไป ซึ่งภาพตรงหน้าเขานั้นมันก็ไม่ต่างจากความคิดภายในสมองของชายร่างสูงผู้นี้สักเท่าไหร่นัก ร่างโปร่งบางสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของเขากำลังโรมรันกันหญิงสาวสองคนบนเตียง แต่ก็ยังดีที่ร่างเพรียวบางนั้นยังมีเสื้อผ้าอยู่ครบซึ่งแตกต่างจากหญิงสาวทั้งสองคนที่ตอนนี้สิ่งที่ปกปิดร่างของพวกเธอมีแค่เพียงชุดชั้นในตัวบางที่แทบจะมองทะลุเข้าไปด้านในได้ ใบหน้าสวยหวานนั้นก้มลงไล้เลียซอกคอของหญิงสาวคนหนึ่งส่วนอีกคนหนึ่งกำลังใช้มือของตนปลดเปลืองเสื้อผ้าของคนเมาโดยที่ทั้งสามคนนั้นยังไม่มีใครรู้เลยว่า ชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของเรือนร่างบางที่น่าหลงใหลนั้นกำลังยืนอยู่ตรงประตูห้อง และเมื่อเสียงครางหวานที่ตนมักจะได้ยินประจำดังขึ้น เสียง ๆ นั้นเหมือนกับว่าเป็นสวิตซ์สัญญาณให้ด้านเหตุผลในสมองของเฮลาสถูกด้านอารมณ์เขาครอบงำ



ขาแกร่งกาวเดินอีกครั้งพร้อมกับกระชากร่างโปร่งบางมาแนบชิดใบหน้าสวยถูกจับเชิดขึ้นพรอมกับริมฝีปากหนาที่โน้มลงไปประทับรอยจูบอย่างร้อนแรง ลิ้นกร้านกวาดตอนเรียวเรียวนั้นไปทั่วโพรงปาก ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของชายร่างสูงไม่ได้เพียงแค่จะกอบโกยรสหวานออกมาจากร่าง ๆ นี้เท่านั้น ที่เขาทำก็เพราะต้องการล้างรสฝาดที่ติดอยู่ในริมฝีปากที่น่าหลงใหลนี้ให้หายไป



รสจูบนี่หอมหวานและร้อนแรงเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะต้านทานมือเรียวบางนั้นถูกเลื่อนขึ้นไปโอบรอบคออีกฝ่ายก่อนจะรั้งร่าง ๆ นั้นให้นอนทาบทับตน



หญิงสาวทั้งสองที่อยู่ในห้องนี้มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาตกตะลึงใบหน้าสวยที่แต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางค์เบี่ยงหน้าหนีเมื่อเนตรคมเหลือบมองสายตานั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าให้พวกเธอนั้นรีบไสหัวออกไปจากห้องนี้ ซึ่งหญิงสาวทั้งสองคนก็รับรู้และรีบทำตามที่อีกฝ่ายบอกท่อนแขนเรียวเล็กรีบหยิบเสื้อผ้าของตนและรีบวิ่งออกไป โดยทิ้งให้ภายในห้องนั้นเหลือแค่ชายร่างสูงกับร่างโปร่งบางที่แสนเร้าอารมณ์อยู่ภายในห้อง



สัมผัสฝาดลิ้นที่ริมฝีปากบางนั้นเริ่มหายไปแล้วทีนี้ก็เหลือแต่กอบโกยความหวามหวานจากร่าง ๆ นี้ให้หมดสิ้น มือกร้านไล้ไปตามแผ่นอกบาง ก่อนจะละริมฝีปากตนลงไปหยอกเยากับยอดอกสีชมพูที่ชูชันขึ้น เสียงหวานครางกระเส่าพร้อมกับครวญครางร้องขอให้อีกฝ่ายเลิกทำเช่นนี้กับตน



ถึงถ้อยคำที่ครีแวนจะพูดออกมาจะเป็นคำพูดเชิงห้ามปรามแต่กระนั้นการกระทำของเขากลับเป็นอีกอย่างหนึ่งมือบางแทบจะกดใบหน้าของอีกฝ่ายแนบไปกับแผ่นอกตนใบหน้าสวยแหงนขึ้นพร้อมกับครางเสียงหวานเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูง เสียงครางแว่วหวานยังคงดังอย่างไม่ขาดสายเฮลาสและครีแวนไม่ใส่ใจแล้วว่าพวกนั้นจะส่งเสียงดังขนาดไหน มือกร้านละลงไปที่ขอบกางเกงก่อนจะรูดซิบปลดมันออกมือหนารูดรั้งแก่นกายของร่างโปร่งอย่างเบามือซึ่งแค่นั้นก็เรียกเสียงครางให้อีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี หากแต่ชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้ไม่คิดจะยอมหยุดเพียงแค่นั้นนิ้วแกร่งกดลงที่ส่วนปลายและขยับมือตนให้รุ่นแรงมากกว่าเก่า เสียงครางแว่วหวานยังคงดึงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่มันจะหยุดเมื่อนำรักนั้นถูกปลดปล่อยออกไปเต็มมือแกร่ง ซึ่งหลังจากที่ตนปลดปล่อยให้แก่ร่างโปร่งบางเขาก็คิดจะพาคน ๆ นี้กลับ ทว่าสัตว์เลี้ยงที่แสนซุกซนของเขากลับยกมือที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำแห่งราคะขึ้นมาไล้เลีย เพื่อเชิญชวนชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้ หากแต่เฮลาสกลับมีความอดทนที่มากเพียงพอ นิ้วแกร่งที่แทรกเข้าไปในโพรงปากอ่อนนุ่มนั้นถูกดึงออก ก่อนมือทั้งสองข้างจะรวบอุ้มอีกฝ่ายเพื่อพาร่างโปร่งบางซึ่งเป็นของ ๆ เขานั้นออกไปจากสถานที่แห่งนี้ และเมื่อขาแกร่งทั้งสองข้างก้าวเดินออกจากห้องเหล่าบริกรและพนักงานสาวก็หันไปมองเป็นตาเดียวซึ่งเหตุผลนั้นไม่ได้เป็นเพราะภาพที่พวกเขาเห็นแต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องหันไปดูก็คือเจ้าของเสียงครางหวานนั่นต่างหากแต่ดูเหมือนสิ่งที่ทำให้ทุกคนมองคนทั้งสองไม่ใช่แค่ต้องการเห็นเจ้าของเสียงครางเย้าอารมณ์นั้นแต่พวกเขามองไปที่แผ่นอกขาวสะอาดกับยอดอกที่ชูชันขึ้นหลังจากการถูกเล้าโลม เฮลาสไม่คิดที่จะแต่งตัวให้อีกฝ่ายเลยสักนิดเพราะหลังจากนี้ใคร ๆ ก็จะได้รู้ว่าร่างที่น่าหลงใหลนี่เป็นของ ๆ เขา แต่เฮลาสก็ยังมีความใจดีอยู่นิดหน่อยที่ยอมรูดซิบกางเกงให้อีกฝ่ายก่อนออกจากห้อง แต่ดูเหมือนการปกปิดตรงนั้นจะไม่ได้ทำให้สายตาของทุกคนลดน้อยไปเลย สิ่งร่างสูงก้าวลงจากชั้นสองซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับแขกพิเศษ สายตาจากคนทั้งคลับก็มองตรงมาที่พวกเขา และที่ยิ่งไปกว่านั้นร่างที่อยู่ในอ้อมแขนชายหนุ่มร่างสูงกลับซุกซนเพราะมันถูกยกขึ้นไปโอบล้อมรอบคอแกร่งให้โน้มลงมาสัมผัสกับริมฝีปากตน




ลิ้นเล็กไล้เลียริมฝีปากอีกฝ่ายเพื่อหยอกล้อ แต่สำหรับตัวของเฮลาสนั้นไม่คำว่าล้อเล่นอยู่ในสมอง เมื่อขาแกร่งทั้งสองข้างก้าวลงจนถึงพื้นของคลับชันหนึ่ง คราวนี้เฮลาสกปล่อยร่างเพรียวบางนั้นลงจากอ้อมแขนก่อนจะกดอีกฝ่ายไปที่กำแพงและมอบรสจูบอันร้อนแรงให้ เรียวปากบางเริ่มบวมช้ำหากแต่ชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้ก็ไม่คิดที่จะละริมฝีปากออก ท่อนแขนบอบบางทั้งสองข้างถูกตรึงไว้ที่กำแพง ใบหน้าสวยนั้นเชิดขึ้นเพื่อรับสัมผัสจากริมฝีปากหนา หลังจากทั้งสองคนกอบโกยรสชาติอันแสนหอมหวานจากกันและกันเสร็จแล้ว ร่างสูงก็รวบร่างเพรียวนั้นขึ้นอุ้มอีกครั้งแต่คราวนี้ชายหนุ่มแทบจะโอบกอดให้อีกฝ่ายนั้นฝังร่างลงไปที่แผ่นอกของตน



แม้การเดินออกจากร้านจะดูยากลำบากเสียหน่อยแต่ตอนนี้ทั้งสองคนก็เข้ามาอยู่ภายในรถยนต์ส่วนตัวของเฮลาสเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งความยากลำบากที่เฮลาสพูดถึงมันก็เกิดมาจากคนเมาแล้วยั่วบางคนที่ตอนนี้ยังคงใช้มือทั้งสองโอบรอบคอเขาอยู่



ไม่คิดว่าถ้าอีกฝ่ายเมาแล้วจะเป็นถึงขนาดนี้ เฮลาสนึกว่าคน ๆ นี้แค่คออ่อนนิดหน่อยเท่านั้น แต่ดูเหมือนเฮลาสจะคาดเดาผิดไปเพราะเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตานี้จะคอแข็งมากกว่าที่คิดแล้ว…ตอนที่อีกฝ่ายเมามันยิ่งกว่าที่เฮลาสได้คิดไว้เสียอีก นั่นก็เป็นเพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่าจะมีคนที่กินเหล้าเมาแล้วเกิดอาการบ้า ‘เซ็กส์’ ได้



แต่ความคิดพวกนั้นก็อยู่ได้เพียงแค่ช่วงครู่เพราะในตอนนี้ทั้งครีแวนและเฮลาสอยู่ในสภาพล่อแหลมสุด ๆ เสื้อเชิ้ตที่ชายหนุ่มร่างสูงสวมนั้นถูกปลดกระดุมออกเผยให้เห็นแผ่นอกกว้างที่เต็มไปด้วยรอยจูบและรอยเม้มสีกุหลาบ ซึ่งมันก็ไม่ต่างไปเลยจากร่างบางเพราะตั้งแต่ปลายคอถึงหน้าท้องนั้นก็เต็มไปด้วยรอยจูบเช่นกันและนอกเหนือจากมีรอยจูบแล้วยอดอกสีชมพูนั้นถูกอีกฝ่ายเม้มเล่นจนตอนนี้สีของมันกลายเป็นสีแดงอ่อน ๆ และมันก็ยังคงชูชันอยู่เช่นเดิม



มือบางยังโอบรอบคออีกฝ่าย ริมฝีปากของทั้งสองคนกับสัมผัสและมอบจูบอันแสนร้อนแรงให้กันไปตลอดระยะทาง และเมื่อตัวรถจอดเทียบท่าคราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของร่างสูงอีกครั้งที่จะพาร่างที่กำลังเมามายนี้ออกจากรถ มือแกร่งรวบตัวอีกฝ่ายและอุ้มขึ้นอีกครั้งพร้อมกับขาแกร่งก้าวเดินตรงไปยังคฤหาสน์ฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นที่พำนักของชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้



และร่างโปร่งบางก็ยังคงเป็นเช่นเดิมใบหน้าสวยเต็มไปด้วยตันหา ริมฝีปากบางยังคงพรมจูบไปที่ใบหน้ากร้านคม สายตาของทุกคนจ้องมองมายังคนทั้งคู่ แต่ดูเหมือนสายตาสีโกนเมนจะคอยจ้องมองเชิงหามปราบไม่ให้ใครมองมาที่พวกเขา ตลอดระยะทางมีแต่คนเบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้ตนเห็นภาพสัตว์เลี้ยงตัวโปปรดของผู้เป็นนายที่กำลังหยอกเย้ากับนายของตนอยู่แต่ แต่ดูเหมือนคนที่ห้ามใจไม่ให้ดูภาพ ๆ นั้นได้มีอยู่เพียงน้อยนิดเพราะตลอดระยะทางเฮลาสตองคอยใช้สายตาปรามเหล่าลูกน้องของคนอยู่เสมอ และในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงห้อง



ร่างโปร่งบางถูกอุ้มไปวางไว้บนเตียงสีแดงเข้มพร้อมกับร่างสูงที่ทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ ใบหน้าคมก้มลงไปประทับริมฝีปากตนลงบนริมฝีปากบางนั่นอีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นเพียงการสัมผัสเบา ๆ และละริมฝีปากไปและทันทีที่เจาของใบหน้ากร้านคมละออก ริมฝีปากบางกคลี่รอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะผลอยหลับไป จบภารกิจเกี่ยวกับสัตว์เลียงตัวโปรดของเขาและหลังจากนี้คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวของกันน้าชายและหลานชาย



มือแกร่งหยิบเศษกระดาษที่มีตัวอักษรจดไว้บาง ๆ ซึ่งเขาปรายตามองเพียงครู่เดียวก็รู้แล้วว่าลายมือนี้เป็นของใครและก็รู้ด้วยว่าใครเป็นคนบอกการเดินเวรยามของคฤหาสน์แห่งนี้ให้แก่ร่างเพรียวบางฟัง…



เพราะในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่มีใครกล้าและขัดขืนคำสั่งของเขาได้นอกจากเจ้าหลานชายตัวแสบที่ชอบวุ่นวายไปเสียทุกเรื่องอย่าง ‘คาร์เร่ ฟีเลทัส’ อีกแล้ว ยังดีที่หลานคนนี้เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของ ‘เดลล่า ฟีเลทัส’ ผู้เป็นพี่สาวของเขา ถ้ามันไม่เป็นเช่นนั้นป่านนี้ไอ้หลานชายตัวแสบของเขาคงได้นอนลงโลงไปนานแล้ว เนื่องจากการทำเกินหน้าที่และมาวุ่นวายเกี่ยวกับตัวเขารวมไปถึง ‘ของ ๆ เขา’ มากเกินไป ร่างสูงนั้นเร่งก้าวเดินออกจากห้องพร้อมกับมุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ฝั่งตะวันตก



ความจริงแล้วเฮลาสนั้นรู้มาตลอดว่าหลานชายของตนนั้นมักจะชอบยื่นมือเข้ามาป่วนในที่ไม่สมควรเสมอ แต่เขาก็ละเลยและไม่สนใจ หากแต่คราวนี้นั้นสิ่งที่คาร์เร่ทำมันมากเกินกว่าที่เฮลาสจะละเลย ไม่ว่าจะเป็นการบอกรายละเอียดเกี่ยวกับคฤหาสน์หรือจะเป็นเรื่องที่ช่วยสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของเขาให้หนีจากเขาไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้หลายชายคนนี้ทำอะไรตามใจตัวเองได้อีก



โดยการเดินจากคฤหาสน์ฝั่งตกวันออกไปยังฝั่งตะวันตกนั้นเวลาเพียงไม่นานในที่สุดร่างสูงสง่าของชายร่างสูงผู้มีเรือนผมสีเปลวเพลิงก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องของผู้เป็นหลายชายและเขาก็ไม่รอให้คนที่อยู่ในห้องออกมาต้อนรับมือกร้านจับลูกบิดพร้อมกับกระชากให้บานประตูเปิดกว้างออก ซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าผู้เป็นเจ้าของห้องจะอยู่ภายในห้อง



ร่างสูงของเด็กหนุ่มนั้นกำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์ที่โซฟา มือทั้งสองข้างนั้นเปิดหนังสือเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจอ่านตามรสนิยมความชอบของคน


v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 5] 26/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 26-06-2014 12:02:30

“สวัสดีครับน้าชาย เฮลาส” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มเอ่ยทักทาย เนตรคมสองสีที่ประดับอยู่บนใบหน้ากร้านคมหากแต่ยังคงเยาว์วัยเหลือบมองร่างสูงของคนที่วิสาสะเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยไม่ได้รับคำอนุญาต ซึ่งตัวคาร์เร่ก็รู้อยู่หรอกว่าที่อีกฝ่ายมานั้นมาเพื่อพูดเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เขาบอกรายละเอียดของคฤหาสน์ทั้งหมดก็คงเป็นเรื่องของเวรยามที่ตรวจตราโดยรอบคฤหาสน์



เพียงแต่คาร์เร่นั้นคิดผิดเพราะสิ่งแรกที่น้าชายของตนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากคือเรื่องของสัตว์เลียงตัวใหม่ที่เขาโปรดปราน



“คาร์เร่...ฉันไม่เคยห้ามนายไม่ว่านายจะเล่นซนยังไง แต่ครั้งนี้รู้สึกว่านายยังยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของฉันมากเกินไปหน่อยหละมั้งเจ้าหลานชาย…โดยเฉพาะเรื่องที่นายเข้ามายุ่งกับสัตว์เลี้ยงของฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต” สิ้นถ้อยคำเหล่านี้ทำให้คาร์เร่ถึงกับปิดหนังสือที่ตนอ่านอยู่เต็มแรงด้วยอารมณ์ของคนตกใจ เพราะตั้งแต่เขาจำความได้น้าชายคนนี้ของเขาไม่เคยสนใจใครนอกจากตัวเองไม่สนแม้กระทั้งพี่สาวร่วมสายเลือดอย่างแม่ของเขาเลยสักนิด แต่นี่เขากับสนใจคนอื่นและที่สำคัญคน ๆ นั้นไม่ใช่คนในครอบครัว ‘ฟีเลทัส’ แถมยังเป็นคนที่น้าชายของเขาเจอหน้ากันได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนดีด้วยซ้ำ สายตาของเด็กหนุ่มที่มองเฮลาสนั้นเริ่มเปลี่ยนไป



ถึงแม้คาร์เร่จะไม่มั่นใจสักเท่าไหร่นัก…แต่เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าของเขานั้นไม่ได้คิดว่าร่างโปร่งบางผู้เป็นเขาของเรือนผมสีนำเงินเข้มแปลกตานั้นแค่สัตว์เลี้ยงธรรมดาแน่นอน และสิ่งที่ยืนยันความคิดพวกนั้นของเด็กหนุ่มก็คือ…การกระทำ แววตา และท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมาให้เห็นอยู่ในตอนนี้



ไม่คิดว่าจะมีคนที่ทำให้คนเย็นชาและแข็งกระด้างที่สุดในโลกกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนและทำอะไรโดยที่ไม่คิดแบบนี้ได้ แม้ตัวของคาร์เร่เองจะดีใจก็เถอะที่เห็นอารมณ์ที่หลากหลายมากขึ้นของน้าชาย…แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องดีเลยเพราะทุกอย่างที่คนตรงหน้าแสดงออกมานั้นมันจะทำให้ความเยือกเย็นหายไป ซึ่งนั่นก็จะกลายมาเป็นจุดอ่อนและย้อนกลับมาทำร้ายเขาโดยเฉพาะคนในโลกด้านมืดอย่างเฮลาส



หากมีใครรูว่าคนตรงหน้าตนนั้นมีคนสำคัญ…แล้วมีหรือเหล่าศัตรูหรือคนอื่น ๆ ที่หมายหัวน้าชายของเขาจะไม่เปลี่ยนไปหมายหัวคนสำคัญของเขาแทน ซึ่งคำตอบนั้นก็เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ‘เปลี่ยน’ ลองคิดดูสิว่าคนที่ขาดความเยือกเย็นและสติไปแล้ว…จะใช้อะไรตัดสินใจแทนถ้าไม่ใช่อารมณ์และการใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินใจนั้นมันก็นำมาซึ่งความผิดพลาด ตัวของคาร์เร่เองก็ไม่ได้รักและเคารพน้าชายคนนี้อะไรมากเท่าไหร่นักหรอก แต่ถ้าฝั่งใดฝั่งหนึ่งของตระกูลฟีเลทัสล้มลง…มีหรือที่อีกฝั่งมันจะไม่ล้มตาม



ดังนั้นสิ่งที่ตัวของเขาต้องทำในตอนนี้ก็คือกำจัดเนื้อร้ายชิ้นนั้นออกไป ก่อนที่มันจะแพร่ทำลายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย



“ผมไม่คิดว่าการที่เขามาขอคำปรึกษาและผมก็ให้ไปนั้นมันจะเป็นการยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับชีวิตของคุณนะครับ มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับสัตว์เลี้ยงตัวนั้น และถึงแม้ว่าคุณจะเป็นเจ้าของมันแต่กระนั้นคุณไม่เกี่ยวอยู่ดี” เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับวางหนังสือในมือไว้บนโต๊ะก่อนเขาจะลุกขึ้นและไปยืนประจันหน้ากับอีกฝ่าย ร่างสูงของคนทั้งสองคนยืนจองมองกันแม้เด็กหนุ่มจะสูงถึง 185 เซนติเมตรแล้วก็ตาม แต่กระนั้นผู้เป็นน้าชายของยังคงสูงว่าตัวเขาเกือบ 10 เซนติเมตร เพราะรูปร่างที่สูงสง่าแบบนี้กระมังที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนเกรงกลัว หากในตอนนี้ความน่าเกรงขามนี้กำลังจะหายไป…เพราะใครบางคนกำลังจะทำให้ผู้ที่ยืนอยู่บทจุดสูงสุดของวงการมาเฟียเสียความเยือกเย็นไป



“มันต้องเกี่ยวในเมื่อฉันเก็บหมอนั่นมา...แล้วทำไมฉันถึงจะไม่เกี่ยว ของๆฉัน ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวกับมันฉันต้องรู้ทุกเรื่อง!” เสียงทุ้มตวาดกร้าว ความเยือกเย็นของเฮลาสนั้นหายไปอีกหนึ่งส่วน เด็กหนุ่มได้แต่ส่ายหัวไปมาเบา ๆ แต่เขายังก็ยังไม่ยอมแพ้ริมฝีปากหนานั้นยังกล่าวถ้อยคำเถียงผู้เป็นน้าของตนอย่างไม่ลดละ



“งั้นเหรอครับ…คุณเก็บเขามาแล้วคุณถามหรือยังว่าเขาอยากให้คุณเก็บ หรืออยากให้คุณเป็น ‘เจ้าของ’ เขาหรือเปล่า” ประโยคนี้ทำให้เฮลาสถึงกับปิดปากเงียบและด้วยท่าทางแบบนั้นคาร์เร่ก็ตัดสินใจที่จะเอ่ยพูดออกไปต่อ เพื่อสั่นคลอนจิตใจของคนตรงหน้า



ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำลายจุดอ่อนให้ได้ถึงแม้ว่าจะต้องใช้มาตรการขัดเด็ดขาดอย่างมอบความตายให้ก็ตาม



“…คุณรู้ไหมครับตอนเข้าคุยกับผมเขากระตือรือร้นมากขนาดไหนที่จะได้เป็นอิสระจากคุณ…สัตว์เลี้ยงตัวนี้ของคุณผมขอบอกว่าไม่มีทางเลี้ยงให้เชื่องได้หรอกครับ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางเชื่องและบางทีสักวันอาจจะแว้งกัดคุณได้ถ้าหากคุณยังเอาเขาไว้ใกล้ตัวแบบนี้” เพราะอีกฝ่ายเป็นคนในครอบครัวเขาเลยตัดสินใจที่จะใช้ถ้อยคำที่รุนแรงพูดออกไป “อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะครับว่าตอนนี้คุณสับสน...ผมอ่านจากแววตาของคุณผมก็รู้แล้วครับว่าคุณคิดอะไรก่อนหน้านี้ผมไม่เคยอ่านความคิดคุณได้แต่ตอนนี้ทั้งการกระทำ ทั้งสีหน้าและแววตาของคุณมันชัดเจนมากครับ ว่าตอนนี้คุณกำลังสูญเสียความเยือกเย็นที่เคยมี” สิ้นประโยคความเดือดดาดในตัวของเฮลาสก็เริ่มลดลง แม้ตัวของชายร่างสูงเองไม่อยากจะยอมรับว่าตนเป็นเช่นนั้นจริงแต่…มันก็คือความจริง



ซึ่งตัวเขาก็รู้ดีว่าตนนั้นเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเมื่อเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินนั้นเข้ามาในชีวิต ทว่าเขายังคงหลอกตัวเองว่าตนนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป หากแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขารู้ว่าร่างโปร่งบางนั้นหายไป สติและความเยือกเย็นที่อยู่ในตัวมันก็ถูกแทนที่ด้วยโทสะ…แต่อารมณ์ทั้งหมดมันก็หายไปแทบจะทันทีเมื่อเจอร่างโปร่งบางนั่น



บางทีตัวของเฮลาสนั้นอาจจะเจอจุดอ่อนของตัวเองแล้วก็เป็นได้ จุดอ่อนที่ทำให้มนุษย์นั้นอ่อนแอลง…



“ผมแนะนำนะครับ…ฆ่าทิ้งซะดีกว่าเพื่อประโยชน์ของคุณเองตอนแรกผมก็อยากแนะนำให้ปล่อยเขาไปนั่นหละครับแต่…ทุกคนในคลับนั้นคงเห็นความสัมพันธ์ของคุณกับเขาแล้ว การปล่อยตัวไปอาจจะเป็นการฆ่าเขาทางอ้อมก็ได้เพราะตอนนี้หลาย ๆ คนคงรู้แล้วว่าเขาเป็นคนพิเศษสำหรับคุณ…คงไม่มีใครปล่อยให้เขารอดหรอกครับและหากคุณคิดจะเก็บเขาไว้กับตัวผมก็บอกไปแล้วว่าเขาไม่มีทางเชื่องกับคุณหรอกครับ” คาร์เร่พูดในสิ่งที่ถูกต้องออกมาทั้งหมด ซึ่งในจุดนี้ตัวของเฮลาสเองก็ยอมรับว่าความคิดของหลานชายเขานั้นถูกต้องทั้งหมด



แต่หากจะให้คน ๆ นั้นตายไป…ไม่ว่าจะด้วยน้ำมือเขาเองหรือคนอื่นเขาก็ไม่อาจทนได้เช่นกัน ริมฝีปากหนาเม้มเข้าหากันนิ้วแกร่งถูกยกขึ้นมายันไว้ที่ปลายคาง



ครั้งนี้จะให้พูดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตของเฮลาสก็เป็นได้ เพราะไม่เคยมีใครไหนที่เขาจะต้องคิดอะไรมากมายถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่หลานชายเสนอแต่ตามที่ได้บอกไปแล้ว เขาไม่อาจทำใจที่จะเห็นคน ๆ นั้นตายได้



นั่นก็เป็นเพราะตัวของเขานั้นถูกใจในนิสัยที่ไม่ยอมคนและแววตาสีไพลินที่แข็งกร้าวคู่นั้น…ก็แค่นั้นเอง...



นัยน์เนตรสีเข้มหลับตาลงเพียงชั่วครู่ สักพักดวงเนตรสีแดงดังเปลวเพลิงก็ลืมตื่นใบหน้ากร้านคมนั้นกลับมาเรียบนิ่งและเยือกเย็นอีกครั้งและเมื่อเด็กหนุ่มได้จ้องมองเข้าไปในเนตรคู่นั้นเขากรับรู้แล้วว่าน้าชายของเขานั้นได้ตัดสินใจที่จำทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวนี้เรียบร้อยแล้ว



แต่คาร์เร่ก็หวังไว้ว่าความคิดที่อยู่ในสมองของน้าชายตนนั้นคงจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง และมันก็คงไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตระกูลฟีเลทัสเหมือนทุกครั้งที่เคยผ่านมา



คาร์เร่ไม่คิดว่าชายตรงหน้านั้นจะทำอะไรแปลก ๆ หรอก เพราะว่าการแก้ไขปัญหานี้มีอยู่เพียงทางเดียวนั่นก็คือฆ่าร่างโปร่งบางผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินคนนั่นซะ แต่ในการแก้ไขปัญหานั่นก็แอบมีตัวเลือกอยู่ในตัวของมันเองอยู่นิดหน่อยซึ่งทางเลือกที่หนึ่งก็คือน้าชายของเขาผู้นำในโลกด้านมืดของตระกูลฟีเลทัสจะลงมือจัดการกับคน ๆ นั้นด้วยมือของตัวเอง หรือทางเลือกที่สองคือการให้คนอื่นจัดการคน ๆ นั้นให้ ซึ่งเด็กหนุ่มก็คาดเดาไว้แล้วว่าน้าชายของตนคงเลือกข้อแรกคือการฆ่าอีกฝ่ายด้วยน้ำมือของตัวเอง นั่นก็เป็นเพราะไม่มีใครอยากเห็นคนที่ตัวเอง ‘รัก’ ถูกฆ่าด้วยน้ำมือของคนอื่นได้หรอก ถึงแม้ว่าการที่จะฆ่าคนที่ตัวเอง ‘รัก’ มันจะเจ็บปวดไม่แพ้กันก็ตาม



แล้วทำไมตัวของคาร์เร่ถึงเอ่ยว่าชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเปลวเพลิงนี้ ‘รัก’ คน ๆ นั้นกัน นั่นก็เพราะดูจากการกระทำ สีหน้ารวมไปถึงแววตาที่เฮลาสพูดถึงคน ๆ นั้น…มันดูอ่อนโยนลงช่วงขณะหนึ่งมันเป็นแววตาของคนที่กำลังมีความรัก ยิ่งไปกว่านั้นในวงการมาเฟียไม่มีใครปล่อยให้เชลยที่หนีไปได้มีชีวิตอยู่และต่อให้มีชีวิตสภาพร่างกายก็คงไม่ครบ 32 แน่นอน…ไม่นิ้วหรือหูคงหายไปสักข้างแต่นี่ไม่มีอะไรหายไปเลยซ้ำตอนกลับเข้ามาถูกอุ้มอย่างทนุถนอมในอ้อมแขนดอนของแก็งค์เสียอีกแบบนี้ไม่เรียกว่า ‘รัก’ แล้วจะให้เรียกว่าอะไร แต่ต่อให้คาร์เร่เค้นคอให้ตายยังไงน้าชายของเขาก็ไม่มีทางพูดคำว่า ‘รัก’ ออกมาหรอก ซึ่งตอนนี้เขายังสงสัยอยู่เลยว่าชายร่างสูงผู้นี้เขาใจหรือรู้จักคำว่า ‘รัก’ บ้างแล้วหรือยัง



และเมื่อน้าชายของเขาตัดสินใจได้การเกลี้ยกล่อมนั้นก็คงไม่จำเป็น เด็กหนุ่มหันหลังพร้อมกับเดินกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม มือแกร่งเอือมมือไปหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านหากแต่คำสั่งของน้าชายนั้นทำให้มือข้างนั้นต้องชะงักและหยุดลง



“เรียกช่างทำอาวุธมาให้ฉันที เอาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และที่สำคัญฉันไม่ชอบการรอคอย” เสียงทุ่มเอ่ยดัง น้ำเสียงนั้นมันเต็มไปด้วยอำนาจ ซึ่งมันบ่งบอกว่าหากใครไม่ทำตามคำสั่งคน ๆ นั้นอาจจะไม่มีชีวิตรอดแม้จะเป็นคนในตระกูลเดียวกันก็ตาม เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นพร้อมกับเดินตรงไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ของตน มือกร้านเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของคนที่ชายร่างสูงอยากจะพบและกดโทรออกทันที



มนุษย์เราน่ะไม่ว่าใครก็ตามเมื่อเจอคนที่มีอำนาจมากกว่าตนก็มักจะเกรงกลัว ซึ่งไม่เว้นแม้แต่คนที่หยิ่งทระนงและมั่นใจในตัวเองแบบคาร์เร่ก็ตามและเมื่อเด็กหนุ่มคุยรายละเอียดเสร็จหมดทุกอย่างเนื้อความทั้งหมดก็ถูกเรียบเรียงให้ผู้เป็นน้าชายของตนฟัง



“เวลาว่างที่เร็วที่สุดของคุณคือวันศุกร์นี้เวลาบ่ายสองโมง ผมนัดให้เขามาล่วงหน้าสิบหน้านาทีเพราะคาดว่าธุระก่อนหน้านี้น่าจะใช้เวลาเคลียร์ไม่นานและคงเสร็จเวลาก่อนระยะเวลาที่กำหนด ส่วนนัดถัดไปนี่ระยะเวลาการสนทนาคือเวลาบ่ายสองโมงจนถึงบ่ายสามโมงสิบห้า มีเวลาคุยราว ๆ หนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที ผมขอแนะนำให้คุณเตรียมแบบอาวุธหรือตัวอาวุธที่คุณต้องการปรับแก้ให้เรียบร้อยตั้งแต่วันพฤหัสเพื่อการคุยที่รวดเร็วยิ่งขึ้น” เมื่อพูดจนจบเด็กหนุ่มก็ปิดสมุดที่ใช้บันทึกนัดและภารกิจต่าง ๆ ของชายร่างสูง



ซึ่งความจริงแล้วหน้าที่จดบันทึกและจัดคิวนัดพวกนี้มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาเลยสักนิดเพราะงานทั้งหมดนี่สมควรจะเป็นของผู้ติดตามส่วนของเฮลาส…ถ้าไม่ติดว่าผู้ติดตามส่วนตัวของชายร่างสูงคนนี้โดนเปลี่ยนไปหลายคนและรวมไปถึงหายการสาบสูญแล้วหละก็เขาคงไม่ยอมมานั่งทำงานพวกนี้ให้ผู้เป็นน้าของเขาหรอกเพราะ ‘มันเสียเวลา’



และเมื่อภารกิจทังหมดเสร็จสิ้นคราวนี้คาร์เร่ก็ได้กลับไปนั่งอ่านหนังสือสมใจอยากสักที เด็กหนุ่มทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวเดิมและเปิดหนังสือที่ตัวเองได้อ่านค้างไว้ขึ้นมา



หากแต่มันมีบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนจิตใจของเขาอยู่ซึ่งจะเรียกว่ามันรบกวนก็ไม่เชิงนักหรอกใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัยเงยหน้าขึ้นก่อนจะเปิดปากเอ่ยถามผู้เป็นน้าชายของตน “คุณคิดวิธีฆ่าสัตว์เลี้ยงของคุณหรือยัง” ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ ถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนาและในเวลาเดียวกันกับที่เด็กหนุ่มเอ่ยจบประโยคปืนคู่ใจของชายหนุ่มก็ถูกชักออกมาและจ่อเล็งมาที่หัวของเขา



“ฉันไม่เคยบอกว่าจะฆ่าและฉันก็ไม่อนุญาตให้ใครคิดที่จะฆ่าของ ๆ ฉันด้วย” เสียงทุ้มตวาดกร้าว หากแต่เด็กหนุ่มนั้นก็ไม่คิดที่จะเงียบเสียงของตนลงดวงเนตรสองสีนั้นจ้องมองไปที่ชายร่างสูงพร้อมกับเอ่ยถามคำถามถัดไป



“ถ้าไม่ฆ่าทิ้งแล้วมันมีวิธีอื่นที่จะแก้ไขเรื่อง ๆ นี้ได้หรือยังไงครับ คุณก็รู้ว่าการมีตัวตนต่อไปของเขามันทำให้เราเกิดปัญหา ดังนั้นทางเดียวที่จะกำจัดปัญหานี้ได้คือการฆ่าเขาทิ้งซะ…โดยคุณมีทางเลือกอยู่สองทางคือหนึ่งคุณฆ่าเขาด้วยมือของคุณเอง สองคือให้คนอื่นฆ่าซะ!” เสียงทุ้มที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดีตะคอกกลับ นัยน์เนตรสองสีที่แตกต่างกันยังคงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาก้าวร้าว แม้เขาจะเกรงกลัวผู้เป็นน้าชายอยู่บ้างแต่อะไรที่มันจะทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาแล้วหละก็เขาก็ไม่ยอมปล่อยมันไว้หรอก ‘โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการมีตัวตนของ ครีแวน เดอ เมอร์เรส’



“ฉันจะไม่ฆ่าเขาและก็จะไม่มีใครฆ่าเขาด้วย” เสียงทุ้มเข้มตอบกลับนัยน์เนตรสีแดงนั้นวาวโรจน์ไปด้วยความโกรธ “และที่สำคัญฉันจะไม่ขังเขาไว้ที่นี่อีกแล้ว…นี่คือการตัดสินใจของฉัน” คำตอบของร่างสูงนั้นทำให้เด็กหนุ่มถึงกับเอ่ยออกไปต่อไม่ถูก เขาไม่เคยคิดว่าจะมีใครทำให้หน้าชายของเขาเป็นถึงขนาดนี้ไม่กักขัง ไม่คิดที่จะฆ่าและเลือกที่จะปล่อยสัตว์ร้ายนี้คืนสู่ที่ของมัน



“…ผิดคิดว่าสมองของคุณคงมีปัญหาแน่ ๆ คน ๆ นั้นรู้แทบจะทุกเรื่องในคฤหาสน์ไม่ว่าจะเป็นเวรยามหรือห้องส่วนตัวของคุณ” เด็กหนุ่มเอ่ยเถียงหากแต่ชายหนุ่มนั้นเอ่ยตอกกลับไปจนทำให้ตัวของคาร์เร่ถึงกับสะอึก



“ที่เขารู้ทั้งหมดไม่ใช่เพราะนายหรือยังไง ฉันคิดว่าคนที่อันตรายที่สุดน่าจะเป็นนายมากกว่านะ…คาร์เร่ ฟีเลทัส” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยดัง พร้อมกับ ๆ นิ้วโป้งที่เคลื่อนไปปลดเซฟตี้ปืนคู่ใจ เนตรคมสีแดงก่ำนั้นมองร่างสูงตรงหน้าอย่างพิจารณา หากว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นมีท่าทีผิดปกติอะไรสักนิดเขาก็พร้อมที่จะเหนี่ยวไกปลิดชีวิตหลานชายคนนี้ทิ้งซะ



“อันนี้ผมไม่ปฏิเสธว่าผมผิด ผมเล่นสนุกกับชีวิตของคนเหมือนกับคุณ…แต่คุณก็รู้นี่ว่าถ้าผมทรยศคุณป่านนี้คุณไม่มีทางได้ถือปืนจ่อหัวผมแบบนี้หรอก และที่ผมแนะนำและคอยเตือนคุณมันก็คือความเป็นห่วงในฐานะคนในครอบครัว ถ้าคุณจะตีเจตนาของผมผิดมันก็เรื่องของคุณ” เด็กหนุ่มยอมรับในความผิดของตนหากแต่ประโยคพวกนั้นถูกกล่าวออกมาจากใจจริง แม้เขาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าน้าชายคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนในครอบครัวและที่สำคัญถ้าหากขาดเขาตระกูลฟีเลทัสก็คงไม่อาจยืนหยัดอย่างมั่นคงเช่นนี้ได้



“อย่างงั้นหรอกเหรอ…คาร์เร่ แบบนี้ฉันควรดีใจสินะที่มีหลานชายคอยห่วง” นิ้วโป้งปล่อยออกจากเซฟตี้ของปืนหากแต่ปลายปืนมันยังคงจ่อเล็งไปที่ศีรษะของเด็กหนุ่ม “ตรงจุด ๆ นั้นฉันขอบใจนายก็แล้วกัน แต่การตัดสินใจของฉันถือเป็นที่สุด และถ้านายอยากจะเอ่ยท้วงอะไรฉันคงตอบนายกลับไปด้วยลูกปืนที่ฝังลงไปในหัวของนายสักนัดหรือสองนัด” เสียงทุมเอ่ยเหี้ยมเกรียม โดยเฉพาะถ้อยคำพวกนั้นทำให้คาร์เร่ถึงกับต้องปิดปากของตนให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้



ตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยเห็นน้าชายคนนี้ของเขาโกรธถึงขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรพลาดหรือทำอะไรเสีย หากแต่นี่แค่เรื่องของคนนอกกลับทำให้ชายหนุ่มคนนี้เป็นถึงขนาดนี้...ถ้าหากใครไปเผลอแตะคน ๆ นั้นของเขาเล่าชายคนนี้จะเป็นถึงขนาดไหน เดกหนุ่มได้แต่จมลงสู่ห้วงแห่งความคิดใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นนิ่งสนิทและไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาและเมื่อเฮลาสเห็นหลานชายของตนเงียบเสียงลง ปืนที่จ่อเล็งอยู่ก็ถูกลดลงด้วยเช่นกัน



“ฉันจะปล่อยให้เขาเป็นอิสระพรุ่งนี้...และแน่นอนว่าทุกคนบนโลกใบนี้นอกจากฉันไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิแตะต้องของ ๆ ฉัน” ร่างสูงเอ่ยออกมาอีกครั้งหากแต่ตอนนี้โทสะที่ครอบงำสติอยู่เริ่มเบาบางลงไปบ้างแล้ว จึงทำให้บรรยากาศอันตรายที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวของชายหนุ่มร่างสูงนั้นก็เริ่มจางหายไป แต่ทว่าถ้าใครที่รู้จักชายคนนี้เป็นอย่างดีแล้วประโยคนี้มันเป็นถ้อยคำพูดที่น่ากลัวกว่าประโยคก่อน ๆ ที่เขาเอ่ยออกมา



เพราะถ้อยคำนี้คือคำบัญชาและถ้าหากใครฝ่าฝืนคำพูดของเขา…ไม่ใช่แค่คน ๆ นั้นจะหายสาบสูญไปแค่คน ๆ เดียว ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ คน ๆ นั้นก็จะหายสาบสูญด้วยไปเช่นกัน



นั่นคือคำประกาศิตของชายหนุ่มผู้มีนามว่า ‘เฮลาส ฟีเลทัส’…ชายผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการมาเฟีย






___________________


หายหัวไปนาน......โผล่มาอย่างหื่น ๆ แลวจากไป หายหัวไปนานเพราะติดภารกิจด้านการเรียนและชอปปิ้ง

 
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 5] 26/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 26-06-2014 16:12:01
ติดตามค่ะ

 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 5] 26/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nnutchachar ที่ 13-07-2014 20:15:32
สนุกมากค่ะแฮ่กกกก ติดงอมแงมเลยทีเดียว
ครีแวนจะทำไงต่อล่ะทีนี้ โดนขังถาวรแล้วอิอิ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 5] 26/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 14-07-2014 14:11:56
 สนุกจริงจังเลยเรื่องนี้ ติดจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ววว
ตอนต่อไปอยู่แห่งใดกัน *^*   
ปอลิง..ฉากนั้นทำเอาเลือดกระฉูดเป็นสายเลยยย ฟิน~ :m25:
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 5] 26/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 08-09-2014 20:12:10
เนื้อเรื่องเข้มข้น และเร้าร้อนมากกก  :jul1:
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 5] 26/06/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 09-09-2014 10:25:24
งื้อ มาอัพอีกไวไวนะ
ชอบมากเลยอ่ะ
ชอบที่นายเอกก็ให้ความร่วมมือเรื่องบนเตียง
อ่านแล้วไม่ทรมานจิตใจคนอ่านมาก
ทุกทีเจอแต่ข่มขืนตลอด จนพาลทำให้ไม่อยากอ่านเรื่องนั้นต่อ
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 6/1] 21/10/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 21-10-2014 16:55:20
แงงง ก่อนอื่นตองขอโทษดวยจริง ๆ นะคะ ที่หายหน้าไปนานนนนนมาก พอดีช่วยนันมรสุมชีวิตเข้าแทรก...ชะตาชีวิตมันปั่นป่วน เลยทำใหหายหยาไป....รวม 4 เดือนแต่ตอนนีเราจะมาอัพต่อแล้วค่ะ ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ พออัพไปสักพักพลอยจะมีเรื่องแจ้งต่อค่ะ ; w ; แต่ตอนนี้ ใหทุกคนอ่านจนหายคิดถึงกันก่อนแลวกันค่า เอาหลังคราวนี้พ่อครีแวนจะรับมือยังไงกับเฮลาสกันนะ

ปล. นิยายหลังจากตอนที่ 6 จะเป็นช่วงที่ยังไม่ไดแกคำผิดนะคะ จึงทำให้ 1ไม้โทหายบ้างเพราะไม้โทพลอยเสีย




Chapter 6





เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องราวนั้นยังคงไม่ได้สติ หากแต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาบางสิ่งบางอย่างก็ทำให้ไพลินน้ำงามที่กระดับอยู่บนดวงหน้าสวยนั้นลืมตื่น และคนที่ทำแบบนั้นก็เป็นใครไม่ได้เลยนอกจาก ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ ดอนหนุ่มร่างสูงผู้ที่เป็นเจ้าชีวิตของเขาตอนนี้ มือกร้านนั้นลูบเส้นไหมสีน้ำเงินอย่างเบามือก่อนจะช้อนร่าง ๆ นี้ขึ้นมาและประทับริมฝีปากตนลงไปที่เปลือกตาทั้งสองข้าง สิ้นสุดการกระทำนั้นทำให้ครีแวนเบิกตาโพรงขึ้นมาและรีบดันร่างของอีกฝ่ายให้ออกห่างไปจากตน
อาการเช่นนี้ไม่ใช่เพราะครีแวนหวาดกลัวอะไรคนตรงหน้านี้หรอกแต่เรื่องที่เกินขึ้นเมื่อวาน ความผิดที่เขาหลบหนีออกไปจากคฤหาสน์นี้มันทำให้ร่างโปร่งบางรู้สึกหวั่นเกร่งว่าอีกฝ่ายนั้นจะโกรธจนฆ่าเขาทิ้งไหม แต่ดูจากท่าทางและการกระทำแล้วดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่ตัดสินใจฆ่าเขาแต่มันก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้นเพราะในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่มีใครเดาใจชายคนนี้ได้เลยสักคน ครีแวนที่จมอยู่ในห้วงความคิดนิ่งเงียบไปหากแต่ไม่นานเสียงทุ้มก็เอ่ยดังและฉุดรั้งสติทั้งหมดของครีแวนให้คืนกลับมา


“แต่งตัวซะ...วันนี้นายมีอะไรต้องทำอีกมากมาย...ครีแวน” สิ้นประโยคร่างสูงสง่านั้นก็ลุกขึ้นจากเตยงขาแร่งทั้งสองข้างนั้นก้าวเดินและนำพาร่างสูงเดินออกไปจากห้องนอน ครีแวนได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างนั่นด้วยความสงสัย หากแต่ครีแวนเองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะโต้เถียงหรือเกล่าปฏิเสธได้ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาตบเบาข้างแก้มเพื่อให้ตัวเองสดชื่นก่อนขาทั้งสองข้างจะทำพาร่างโปร่งบางนี้ไปยังห้องอาบน้ำ



ซึ่งในเวลาปกติครีแวนจะใช้เวลาในการจัดการร่างกายตัวเองไม่ถึงสิบนาที เพียงแต่ตอนนี้รอยจูบที่แสนน่าอายนั้นถูกแต่งเดิมไปทั่วร่าง แค่จะให้ตัวเขานั้นมองสภาพร่างกายของตัวเองผ่านกระจกยังไม่กล้านับประสาอะไรกับการมองร่างกายของตัวเองโดยตรง ริมฝีปากบางเม้มแน่นและพยายามทำความสะอาดร่างกายตนให้รวดเร็วที่สุด และเมื่อทุกส่วนของร่างงกายถูกทำความสะอาด นี่ก็เหลือแต่เพียงด้านในร่างกายเท่านั้นที่ยังไม่ได้ถูกจัดการ มือเรียวอ้อมไปทางด้านหลังก่อนจะใช้นิ้วของตนแทรกเข้าไปเพื่อทำการปลดปล่อยสิ่งที่ค้างค้างอยู่ภายใน นิ้วเรียวพยายามกวาดไปรอบ ๆ หากแต่สิ่งที่ตนสัมผัสได้มีแต่ความเสียวซ่านเมื่อนิ้วตนไปถูกจุดกระสันของตนเอง มันช่างน่าเป็นเรื่องแปลกใจที่ภายในร่างกายของตนนั้นไม่มีน้ำรักอะไรหลงเหลืออยู่เลย



หรือว่าเมื่อคืน...เขากับคน ๆ นั้นจะใช้แค่มือกับปากปรนเปรอให้กันและกัน พอยิ่งนึกย้อนกลับไปว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้างความทรงจำทั้งหมดก็ย้อนกลับเข้ามาในสมอง เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องเหมือนโดนกดรีเพลย์ให้เริ่มเล่นใหม่ทั้งหมด เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาเป็นคนยั่วร่างสูงเองและทำอะไรต่อมิอะไรให้กับคน ๆ นั้น...ต่อหน้าคนมากมายไม่ว่าจะเป็นในคลับที่คน ๆ นั้นพาไปดื่ม ในรถที่กำลังขับเคลื่อนและบนทางเดินในคฤหาสน์แห่งนี้ เมื่อความทรงจำทั้งหมดกลับคืนมา คราวนี้เป็นตัวของครีแวนเองที่อยากจะถูกฆ่าทิ้งไปซะ



ตลอดการแต่งตัวครีแวนสถบกร่นด่าตัวเองไปตลอด มือบางหยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนขึ้นมาสวมอย่างเชื้อช้าและตามด้วยกางเกงสแลคสีเข้มที่เข้าชุดกัน ในตอนนี้ร่างโปร่งบางเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปทำธุระที่ชายหนุ่มร่างสูงนั้นบอกเรียบร้อยแล้ว ขาเรียวยาวเดินไปที่ประตูพร้อกับเปิดลูกบิดประตูเพื่อออกไปพบกับอีกฝ่าย หากแต่ชายหนุ่มร่างสูงผู้นั้นกลับไม่อยู่ในห้องทำงาน นัยน์เนตรคู่งามกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องจนกระทั้งสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่บานประตูที่ถูกเปิดออกช้า ๆ คิ้วรัวงามขมวดเป็นปมแน่นเมื่อเห็นผู้ที่เดินเข้ามาไม่ใช่ชายหนุ่มร่างสูงที่ตนต้องการพบเขิน ใบหน้าสวยเชิดรั้นขึ้นริมฝีปากบางเปิดออกเพื่อเอ่ยถามถึงชายหนุ่มคนนั้น



“ดอนของพวกนายหายไปไหน” เสียวหวานกล่าวถามหากแต่พ่อบ้านผู้นั้นเลือกที่จะมอบความเงียบให้เป็นคำตอบ ทว่าตัวของครีแวนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องยืนรอคำตอบนาน เพราะเขายืนรออีกเพียงครู่เดียวร่างสูงนั้นก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับบางสิ่งบางที่อยู่ในมือ



“หายไปไหนมาหนะ”เสียงหวานเอ่ยถาม ท่อนเขียวเรียวบางทั้งสองข้างนั้นถูกนำไปยันไว้ที่โต๊ะ สภาพในตอนนี้ของครีแวนเหมือนจะนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานของเฮลาสก็ไม่เชิงและจะดูเหมือนยืนก็ไม่เชิง ใบหน้าสวยนั้นหรี่ตามองการกระทำของชายร่างสูงผู้นี้ด้วยความสงสัย ซึ่งครีแวนก็กรอคำตอบที่คลายความสงสัยของตนไม่นาน ร่างสูงค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับมือกร้านที่โอบเอวบางให้เข้ามาแนบชิดกับตน




“กัดปากตัวเองไว้ถ้ามันเจ็บ” และไม่ทันที่เฮลาสจะเอ่ยจบประโยคเสียงเครื่องเจาะหูก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับร่างโปร่งบางที่สะดุ้งเพราะความเจ็บปวด “มันยังไม่เสร็จอยู่นิ่ง ๆ ถ้าไม่อยากให้ฉันทำพลาด” เสียงทุ้มเอ่ยดังพร้อม ๆ กับเสียงของเครื่องเจาะหูที่ดังขึ้นอีกครั้ง และนี่ก็เป็นครั้งที่สองของวันที่ครีแวนสะดุ้งด้วยความตกใจ




ริมฝีปากบางพยายามกัดปากตัวเองเพื่อระงับความเจ็บปวดและเมื่อความเจ็บนั้นทุเลาลง ขั้นตอนหลังจากนี้ก็คือการ…กร่นด่าร่างสูงอย่างไม่คิดชีวิต “ทำบ้าอะไรของนาย ฉันรู้นะว่านายชอบทำอะไรตามใจตัวเองมาก ๆ แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องของนายนะเว้ย...ใครสั่งใครสอนให้เจาะหูคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตวะ…มันจะ...” เพียงแต่ถ้อยคำพวกนั้นไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาจนจบประโยคเพราะผู้เป็นเจ้าของคำสถบบทพวกนั้นกำลังถูกอีกฝ่ายกลืนกิน ริมฝีปากบางถูกช่วงชิงและเป็นอีกครั้งที่รสสัมผัสของจูบมันอ่อนนุ่มและหอมหวาน นัยน์เนตรสีไพลินปรือตาหลับลง ท่อนแขนบอบบางถูกตวัดยกขึ้นไปโอบรอบคออีกฝ่าย



ไม่มีแม้แต่การแทรกลิ้นเข้าไปโกยกอบรสชาติหอมหวาน ไม่มีการเล้าโลมให้เกินความต้องการ หากแต่มันเป็นแค่การแตะริมฝีปากธรรมดา ๆ แต่ทำไมมันกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นแฃะสบายใจ ทั้งสองคนยังคงแลกสัมผัสอ่อนนุ่มนี้ไปสักพักจนกระทั้งเสียงเปิดประตูห้องทำงานของชายหนุ่มร่างสูงก็ดังขึ้น ทั้งสองรีบผละออกจากกันทันทีใบหน้าสวยนั้นขึ้นสีแดงจัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งมันเป็นเช่นเดียวกันกับหัวใจที่ตอนนี้เต้นแรงจนครีแวนคิดว่ามันจะหลุดออกมาจากอก




ความรู้สึกพวกนี้คืออะไรกัน...หัวใจเต้นแรงและเขินอายในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขามาก่อนใบหน้าสวยเลือกที่จะเบนหน้าหนีเพื่อไม่ให้ตนเปิดจับจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย และเช่นเดียวกันกับร่างสูงสง่าที่เลือกทำแบบนั้นแหมือนกัน




“ผมเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วครับ พวกคุณมีเวลาอีกสิบเอ็ดชั่วโมงสิบหน้านาทีก่อนรถจะออกเดินทาง และแน่นอนว่าเส้นทางที่จะเดินทางนั้นผมได้ส่งคนไปตรวจดูแล้วครับ ซึ่งไม่มีอะไรผิดปกติ...แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผิดปกติจะเป็นสภาพบรรยากาศในห้องนี้สินะครับ และพวกคุณกำลังคิดว่าผมไม่น่าเข้ามาในนี่เลยสินะ” เด็กหนุ่มเอ่ยอธิบายถึงบางสิ่งบางอย่างที่ครีแวนนนั้นไม่เข้าใจ หากแต่ในประโยคสุดท้ายที่เขาเอ่ยออกมานั้นมันเหมือนกับถ้อยคำหยอกล้อตัวของครีแวนและตัวของเฮลาส ใบหน้าขาวยิ่งขึ้นสีแดงก่ำริมฝีปากบางเผลอเม้มเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว



“ถ้าเป็นแบบนั้นต้องขออภัยด้วยครับเพราะพอดีผมไม่รู้เลยว่าพวกคุณทั้งสองคนกำลังทำอะไรอยู่ แต่คุณ...ต่างหูที่สวมสวยดีนะครับ มันดูเหมือนเป็นเครื่องประดับที่ใช้ประกาศความเป็นเจ้าของตัวของคุณเลย” ยิ่งคาร์เร่เห็นอาการเขินขายของร่างโปร่งบางเด็กหนุ่มก็ยิ่งเอ่ยหยอกล้อ ซึ่งมันก็สำเร็จชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตายิ่งหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก มือบางนั้นขฃยกขึ้นไปจับที่ใบหูตนพร้อมกับไล่ลงมาสัมผัสสิ่งแปลกปลอมที่เพิ่งถูกอีกฝ่ายยัดเยียดมอบให้




“ผมมีเรื่องแจ้งแค่นี้หละครับและเมื่อใกล้เวลาผมจะมาอีกที” เด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมสีเปลวเพลิงดังผู้เป็นน้าชายโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพก่อนจะเดินออกจากห้องไป



หลังจากเสียงบานประตูปิดลงความเงียบนั้นเริ่มเข้ามาครอบคลุมภายในห้องอีกครั้ง หากแต่ความเงียบนั้นไม่ได้มีบรรยากาศกดดันอีกแล้ว เพราะบรรยกาศภายในห้องนี้นั้นมีแต่ความอบอุ่นและอ่อนโยน ราวกับมีสาวลมพัดผ่านเรือนผมสีน้ำเงินถูกพัดปลิวเผลยให้เห็นต่างหูสีเปลวเพลิงที่ประดับอยู่ที่ใบหูทั้งสองข้าง ภาพที่สะท้อนร่างกายของตนในกระจกทำให้ครีแวนถึงกับอยากจะกลั้นใจตาย เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไร หากแต่มันทำให้ตัวเขามีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...มันเป็นความสุขที่ไม่เหมือนเหมือนตอนที่ครีแวนนั้นอยู่กับน้องสาวและไม่เหมือนความสุขเวลาตนได้รับการปรนเปรอ จากอีกฝ่าย หากแต่มันเป็นมันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้และเขาก็ไม่อาจจะเข้าใจมันได้เช่นกัน...



“เอ่อ…นี่นายกำลังคิดจะทำอะไรงั้นเหรอ” ครีแวนพยายามคุมเสียงของตนให้เป็นปกติที่สุด ซึ่งเขาก็สามารถทำมันได้เป็นอย่างดี ซึ่งแตกต่างจากใบหน้าเขาไม่สามารถปกปิดอาการเขินอายที่เกิดขึ้นได้เลย เมื่อเอ่ยจนจบประโยคใบหน้าสวยก็เลือกที่จะเบนหน้าหนีเพื่อหลบสายตาที่อีกฝ่ายนั้นจ้องมองมา



“คิดจะทำอะไร...อย่างั้นเหรอพอดีฉันไม่อยากเห็นสัตว์เฃี้ยงของฉันดูไม่มีชีวิตชีวา ก็เลยคิดว่าจะปล่อยมันกลับไปยังที่ของมันก็เท่านั้น หละไม่มีอะไรมาก” เฮลาสเอ่ยตอบใบหน้ากร้านคมยังคงควมคุมสีหน้าได้เป็นอย่างดีแต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่หันไปจองมองใบหน้าสวยนั่นเพราะถึงสีหน้าจะควบคุมได้แต่แววตานั้นมันคงไม่มีทางควบคุมได้แน่นอน



ซึ่งในช่วงแรกใบหน้าสวยนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยแต่เมื่อครีแวนยืนคิดไปอีกสักพักเขาก็รู้ถึงความหมายที่แฝงในประโยคนั่น ‘คน ๆ นี้จะปล่อยเขาไปจากที่นี่อย่างงั้นเหรอ’



“นาย…แน่ใจแล้วเหรอว่าจะทำแบบนั้น ไม่คิดว่าฉันจะเอาเรื่องในคฤหาสน์นี้ไปขายหรือยังไง” ครีแวนเอ่ยถาม ซึ่งเรื่องที่เขาพูดออกไปนั่นมันน่าจะเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายกลัวที่สุด เพราะถ้าหากเขาแพร่งพรายเรื่องระบบการรักษาความปลอดภัยแห่งนี้ออกไปมันไม่มีทางเยที่เหล่ามาเฟียแก็งค์อื่น ๆ จะไม่บุกเข้ามาโจมตีที่แห่งนี้



“นายไม่มีทางขายข่าวพวกนั้นหรอก...และต่อให้นายคิดขายข่าวพวกนี้ฉันก็คงคิดว่าไม่มีไอบ้าหน้าไหนเข้าใกล้นายหรอกนอกจากพวกที่ไม่กลัวตายหรืออยากตาย” เฮลาสเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ นิ้วกร้านนั้นถูกยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกแก้มอยู่ “ต่างหูคู่นี้มันเป็นการประกาศว่านายเป็นของของฉัน...ฉันไม่คิดว่าใครจะกล้ายุ่งกับของ ๆ ฉันหรอกนะ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยพูดออกมาต่อ ถ้อยคำพวกนั้นทำให้ความเขินอายของครีแวนนั้นหายไปจนสิ้น มือข้างซ้ายถูกยกขึ้นและเสยไปที่ปลายคางก่อนที่มือขวาจะเหวี่ยงหมัดฮุคซ้ายตามไปทันที...ซึ่งทั้งสองหมัดมือกร้านนั้นยกมือกั้นได้ทั้งสองครั้ง ดูเหมือนว่าชายคนนี้ยังจะไม่เลิกคิดว่าตัวเขาเป็นสมบัติของตัวเองอีก ใบหน้าสวยบึ้งตึงริมฝีปากบางนั้นแยกเขี้ยวให้อีกฝ่าย



“ไอบ้าเอ้ย ฉันไม่ใช่ของ ๆ นายสักหน่อยคิดเอง เออเองตลอดวันหลังให้หลานชายพาไปเชคสมองบ้างนะจะได้รู้ว่ามีส่วนไหนของสมองผิดปกติบ้างหรือเปล่า” ครีแวนกร่นด่าอีกฝ่ายออกไปซึ่งชายหนุ่มที่ได้รับคำด่าพวกนั้นก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบา ๆ
“ถ้าฉันไปตรวจสมอง...นายคงต้องไปตรวจภายในด้วยหละมั้ง…ฉันคิดว่าคงบอบช้ำน่าดู” เสียงทุ้มเอ่ยถ้อยคำที่แฝงความนัย ทว่าผู้ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นกลับเข้าใจความหมายของประโยคนั้นทันที เขาไม่จำเป็นที่จะต้องไปตรวจภายในสักหน่อยที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นคงจะหมายความว่าตัวเขาโดนอีกฝ่ายกระทำหนักมากจนช้ำในสินะไอคนโรคจิต!




 ใบหน้าขาวขึ้นสีมือทั้งสองข้างต่างเหวี่ยงหมัดตรงหมายจะให้มันโดนส่วนไหนสักส่วนของชายหนุ่มตรงหน้านี้สักที หากแต่มือบอบบางทั้งสองข้างนั้นก็ยังคงถูกอีกฝ่ายรับได้อยู่ดี คราวนี้ชายหนุ่มร่างสูงไม่ยอมปล่อยข้อมือบอบบางทั้งสองอีกแล้วเขาค่อย ๆ ก้าวเดินประชิดตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายจนในที่สุดร่างตรงหน้าเขาก็ชนกับขอบโต๊ะทำงาน ซึ่งเฮลาสก็ยังไม่คิดจะหยุดารกระทำของตนลงแค่นั้น ร่างสูงยังคนออกแรงดันอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ จนในตอนนี้ร่างสูงโปร่งของครีแวนถูกจับตรึงไว้บนโต๊ะโดยระหว่างเรียวขานั้นมีร่างสูงสง่าแทรกตัวอยู่




“คิดถึงบรรยากาศแบบนี้ไหมหละ” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อกับมือกร้ายข้างหนึ่งที่ละมาไล้แก้มขาวเนียนนั้นอย่างเบามือ “เราไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ด้วยกันนานแล้วนี่นะ...แต่เมื่อวานฉันขอไม่นับก็แล้วกันเพราะฉันไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับนายสักเท่าไหร่นักแต่มันก็แก้เครียดได้ในระดับหนึ่งหละนะ” เฮลาสโน้มใบหน้าตนลงไปกระซิบข้างใบหูและเมื่อเขาพูดจบประโยคปลายจมูกโด่งนั่นก็ไล้ไปตามซอกคอขาวเพื่อสูบดมกลิ่นไอหอมหวานของร่าง ๆ นี้



“แล้วนายคิดว่าฉันสนุกหรือยังไงกับเรื่องเมื่อวานหละ” เสียงหวานเอ่ยเย้ายวนอีกฝ่าย มือข้างหนึ่งที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระไล้ไปตามโครงหน้าคมก่อนหยุดลงตรงรอยสักที่มีสีเช่นเดียวกับสีของหยาดโลหิต “ฉันไม่สนุกกับมันเลยสักนิดมันมีแต่เรื่องน่าอับอาย และที่สำคัญตอนนั้นฉันเมา” หากแต่ประโยคที่สองที่ถูกเอ่ยต่อออกมานั้นมันช่างผิดกับน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาในตอนแรก ซึ่งไอถ้อยคำและน้ำเสียงที่แสดงให้เห็นว่าจนนั้นหงุดหงิดแค่ไหนในเหตุการณ์เมื่อวานนี่ทำเอาตัวของเฮลาสนั้นถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมา ‘ท่าทางร่างโปร่งบางตรงหน้านี้คงจะจำเรื่องเมื่อวานได้จนวันตายเลยกระมั้ง’



_____________TBC Chapter 6 [2/2]_______________
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 6/1] 21/10/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-10-2014 23:43:46
 ดีใจจริง
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 6/2] 22/10/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 22-10-2014 14:20:58

ตอนต่อค่า.... (ช่วงนีอัพถี่ ๆ เลยค่ะพลอย)



ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีเปลวเพลิงยังคงใช้นิ้วไล้แก้มนวลนั้นอย่างเบามือก่อนจะละขึ้นมามือจับข้อมือเรียวบางพร้อมกับประทับริมฝีปากของตนลงไป “แล้วอยากสร้างความทรงจำใหม่ไหมหละ เมื่อวานมันทำให้นายรู้สึกอับอายมากไม่ใช่เหรอไง...ถ้างั้น...” คำถาม ๆ นี้ชายหนุ่มร่างสูงไม่จำเป็นต้องพูดจนจบประโยคเพราะเพียงแต่เขาเอ่ยออกมาแต่คำ ๆ เดียว ร่างโปร่งบางที่นอนทอดกายอยู่ใต้ร่างของเขาก็ยันกายขึ้นเพื่อนไล่ประทับริมฝีปากตนไปทั่วใบหน้ากร้านคมและเน้นย้ำริมฝีปากตนลงไปที่รอยสักสีชาดที่อยู่ตรงบริเวณใต้ตาของชายร่างสูง







“ถ้าคำถามที่นายจะถามฉันมันตรงกับสิ่งที่ฉันคิด…ฉันคงต้องขอปฏิเสธ” เสียงนุ่มเอ่ยตัดความหวังมือบางที่ในตอนแรกรั้งบ่าอีกฝ่ายไว้ตอนนี้เปลี่ยนการดันให้อีกฝ่ายถอยห่างจากตนไป







การกระทำเช่นนี้ของครีแวนนั้นถือเป็นเรื่องปกติ หากแต่สิ่งที่ไม่ปกติกคือเฮลาสก็ยอมรับในการตัดสินใจแบบนันของครีแวน เขาละมือออกจากร่างบอบบางตรงหน้าพร้อมกับเดินถอยกลับไปนั่งที่โซฟา







“ถ้าแบบนั้นเราก็มีเวลาว่างอีกร่วมครึ่งวัน นายคิดว่าเราควรทำอะไรดีหละในเมื่อมันว่างจนน่าเบื่อขนาดนี้” เมื่อเฮลาสเอ่ยจนจบประโยคคิ้วเรียวยาวที่ประดับอยู่บนใบหน้ารูปไข่ก็เลิกขึ้นสูง สีหน้าที่ร่างโปร่งบางแสดงออกมานั้นเต็มไปด้วยความสงสัย







ความจริงแล้วถ้าคน ๆ นี้เป็นคนธรรมดาแล้วหละก็เขาก็ไม่คิดจะสนใจอะไรหรอกกับไอเรื่องว่างหรือไม่ว่าง หากแต่นี่เป็นถึงชายผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดในวงการมาเฟียรวมไปถึงเขาก็ยังมีหน้ามีตาในโลกอีกด้านหนึ่งด้วย ดังนั้นการที่คน ๆ นี้พูดว่าตัวเองว่างมาก ทั้ง ๆ ที่ข่าวลือมันจะบอกว่าเขาไม่มีเวลาว่างเลยสักวินาทีเดียวเนี่ยตัวของครีแวนไม่มีทางเชื่อแน่นอน...นอกจากคน ๆ นี้จะงี่เง่าจนไม่ยอมไปทำงาน







“…ว่างนักก็ทำงานจะได้ไม่เบื่อ” ริมฝีปากบางบ่นอีกราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเด็ก ๆ ซึ่งคำว่า ‘เด็ก’ ในความคิดของครีแวนนั้นไม่ใช่อายุร่างกายแต่มันเป็นอายุของ ‘สมอง’ มากกว่า เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงชายคนนี้อายุมากกว่าเขาถึง 12 ปีแต่เรื่องความเอาแต่ใจนี่ตัวของครีแวนที่ว่าเอาแต่ใจแล้วยังแพ้อีกฝ่ายหลุดลุ่ย







“ไม่…ตารางงานวันนี้ฉันว่างทั้งวันเพราะธุระทั้งหมดจัดการเสร็จหมดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยตอบใบหน้าคมนั้นแหงนหน้าขึ้นเพื่อนมองย้อนกลับไปมองร่างผอมบางที่ตอนนี้ยังคงนั่งเท้าโต๊ะทำงานของตน “แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเร่งทำงานทำไมในเมื่อเวลาว่างทั้งหมดไม่เป็นไปตามแผน”







ครีแวนนั้นอยากจะ ประเคนหมัดลงไปที่ใบหน้าหล่อเหลานี่ซะเหลือเกิน โดยเฉพาะทันทีที่ตัวเองได้ยินประโยคหลังที่ถูกเอ่ยออกมาต่อ ที่ก่ะเคลียร์งานเพื่อมาสนุกกับตัวเขาเลยสินะ ร่างบางผุดลุกจากโต๊ะพร้อมกับเดินนวยนาดไปหาชายร่างสูง มือเรียวบางข้างหนึ่งค่อย ๆ ประคองใบหน้ากร้านคมก่อนที่จะใช้มืออีกข้างบีบจมูกของร่างสูงสง่านั้นเต็มแรง







มันต้องให้รู้ซะมั่งว่ากำลังพูดกับใคร เขาไม่ใช่ของเล่น หรือของ ๆ ใครเพราะครีแวน เดอ เมอร์เรส มีชีวิตเป็นของตัวเองและไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจจะเป็นเจ้าของชีวิของเขาได้ มือทั้งสองข้างละมือจากใบหน้า ขาเรียวยาวสาวเท้าเดินไปนั่งที่โซฟาอีกฝั่ง







“แล้วแบบนี้ตามแผนหรือยังหละ ‘ดอน’ ฟีเลทัส” มือบอบบางยกขึ้นมาไขว้กันไว้บริเวณแผ่นอกขาเรียวยาวนั้นก็ถูกตวัดขึ้นมาไขว้กันไว้เ และเมื่อเฮลาสเห็นการกระทำเช่นนั้นของครีแวนริมฝีปากหนานั้นก็เหยียดรอยยิ้มพร้อมกับปรับท่านั่งของตนเองเช่นเดียวกัน







“ก็ตามแผนนิดหน่อย และตอนนี้ฉันคิดว่ามีอะไรทำในเวลาว่างแล้วหละสนใจจะเล่น ‘เชส’ ไหมหละ” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยชวน มือกร้านเอื้อมไปคว้าชุดกระดานหมากรุกมาวางไว้หน้าตนและมีหรือผู้ที่ถูกท้าทายจะปฏิเสธเพราะถ้าเอ่ยปฏิเสธมันก็เสียศักดิ์ศรีแย่หนะสิ มือบางเอื้อมไปหยิบตัวหมากรุกขึ้นมาเรียงพร้อมกับเสนอบางสิ่งบางอย่างออกไป เพื่อให้เกมส์นี้สนุกขึ้น “แล้วเราจะทำยังไงกับผู้แพ้ในแต่ละตาดีหละ” นิ้วเรียวยาวถูกยกขึ้นมาเกลี่ยปลายผมของตนเล่น ใบหน้าสวยและดวงเนตรสีไพลินนั้นส่งจดหมายท้าทายออกไป







ซึ่งตัวของเฮลาสก็ได้แต่คลี่รอยยิ้มให้กว้างกว่าเก่าเป็นคำตอบมือกร้านนั้นบรรจงหยิบตัวมากรุกขึ้นมาเรียงบนกระดาน “เรื่องนั้นค่อยคิดดีกว่าไหมว่าคนแพ้จะทำอะไร แต่ฉันแนะนำให้นายเตรียมใจเอาไว้เลยแล้วกันว่าจะโดนบทลงโทษแบบไหน” เสียงทุ้มเอ่ยข่มขู่หากแต่ครีแวนก็ไมได้แตกต่างอะไรเลยเพราะเสียงหวานนั้นก็เอ่ยขู่อีกฝ่ายเช่นเดียวกัน “พูดอะไรผิดไปหรือเปล่าฉันคิดว่านายนั่นหละที่ต้องควรเตรียมใจว่าจะโดนลงโทษอะไร” เมื่อพูดจบริมฝีปากบางก็คลี่รอยยิ้มนิ้วมือเรียวหยิบตัวหมากให้เดินไปข้างหน้าเพื่อเป็นการเริ่มเกมส์







ระยะเวลาผ่านไปนับชั่วโมงจนในที่สุดผู้ชนะของเกมส์นี้ก็ปรากฏนิ้วกร้ากหยิบควีนสีดำไปวางไว้เบื้องหน้าควีนสีขาวก่อนจะประกาศเสียงดังเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนนั้นได้พ่ายแพ้หมดท่าเสียแล้ว “รุกฆาต รู้สึกว่าเกมส์นี้ฉันจะเป็นผู้ชนะนะครีแวน” เสียงทุ้มเอ่ยยียวน หากแต่ไม่ใช่แค่น้ำเสียงเท่านั้นที่กวนประสาทของตรีแวน แต่หากทั้งใบหน้า แวววตารวมไปถึงการกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันทำให้ครีแวนนั้นรู้สึกอยากที่จะลุกขึ้นไปต่อยหน้าผู้ชนะคนนี้เสียจริง







แต่ยังไงกฎก็ยังคงเป็นกฎแถมเขาเป็นคนเสนอให้มีบทลงโทษสำหรับผู้แพ้เองเสียด้วย แบบนี้ถ้าโวยวายออกไปคงไม่พ้นเสียหน้าแน่นอน ริมฝีปากบางเม้มแน่น ขาเรียวยาวทั้งสองข้างลุกขึ้นยืนพร้อมกับกออดอกมองไปยังร่างสูงของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีแดงชาดที่เป็นผู้ชนะของเกมส์







ครีแวนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะแพ้ ‘เชส’ ให้กับคนอื่นเพราะตั้งแต่เกิดมาถ้าไม่นับผู้เป็นพ่อแล้ว ตัวของเขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้เกมส์ชนิดนี้ให้กับใครมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก...ที่เขาแพ้ แต่กระนั้นการแพ้ครั้งนี้ก็ถือว่าแพ้อย่างสมศักดิ์ศรีอย่างน้อยครีแวนก็ไม่โดนล้มกระดานในสิบนาทีแรก







ทำไมกันนะผู้ชายคนนี้ถึงได้น่าอิจฉามากมายขนาดนี้ ความสามารถของคน ๆ นี้นั้นมันช่างเพียบพร้อมในทุก ๆ ด้านเสียจริง ไม่ว่าจะเป็นสมองอันแสนชาญฉลาด สมรรถภาพร่างกายที่สมบูรณ์และรวมไปถึงรูปร่างหน้าตาและฐานะด้านครอบครัว ครีแวนไม่เคยคิดว่าในโลกใบนี้จะมีคนที่มีความสามารถที่ไร้ที่ติได้ถึงขนาดนี้ ยิ่งร่างโปร่งบางนี้คิดภายในจิตใจก็ยิ่งหงุดหงิด ใบหนาสวยเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายภายในใจก็กำลังพยายามทำใจยอมรับความพ่ายแพ้ของตน







“รีบ ๆ สั่งมาจะให้ฉันทำอะไร” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างขอไปทีมือบางถูกยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกแก้มตนให้ออกไปจากทัศนวิสัย ‘อย่างน้อยก็หวังว่าคำสั่งของคนตรงหน้านี้จะไม่พิสดารมากจนเขาทำไม่ได้หรอกนะ’







เมื่อชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงเข้มไดยินเช่นนั้นรอยยิ้มชั่วรายก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก ถึงแม้ชายคนนี้จะยังไม่ได้เอ่นพูดหรือทำอะไร แต่แค่รอยยิ้มนั่นก็ทำให้ครีแวนขนลุกเสียแล้ว มือกร้านยกมืออขึ้นและแสดงท่าทางเชื้อเชิญให้ร่างโปร่งบางไปนั่นอยู่ข้าง ๆ ตน ครีแวนยืนมองอยู๋ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะยอมเดินไปตามคำเชื้อเชิญ







“คำสั่งให้มานั่งข้าง ๆ หรือไง” เสียงหวานบ่นพึมพำ ซึ่งชายหนุ่มที่เอ่ยเชิญนั้นก็ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกไปเขาเพียงแต่ยกมือของตนขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมสีน้ำเงินแปลกตาของอีกฝ่ายขึ้นทัดหู ก่อนเขาจะตัดสินใจกระทับริมฝีปากตนลงใบใบหูข้างนั้น การกระทำช่นนี้ทำให้ครีแวนเขินอายเป็นอย่างมาก ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงเรื่อยมือบางข้างหนึ่งพยายามยกขึ้นมาตวัดเพื่อตบใบหน้ากร้านคมของอีกฝ่าย แต่มีหรือชายหนุ่มที่มีนามว่าเฮลาสจะยอม เขาใช้มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นรับฝ่ามือบอบบางนั่นและถือโอกาสรวบเอวร่างโปร่งบางนั้นให้เข้ามาแนบชิด







“คิดจะทำร้ายผู้ชนะหรือยังไงกัน” เสียงทุ้มเข้มกล่าว ใบหน้ากร้านคมยังคงมีรอยยิ้มชั่วร้ายประดับอยู่เช่นเดิม ครีแวนไม่รู้ว่าชายตรงหน้านี้กำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งตัวของร่างโปร่งบางนั้นก็แอบคิดไว้เล็กน้อยเพราะถ้าเกิดว่าอีกคนไม่สั่งว่าให้ตนทำอะไรก็ได้ให้อีกฝ่ายถูกใจบางทีก็อาจจะเป็นคำสั่งที่หนักหนาสาหัสเช่นสั่งให้เขาอยู่ในคฤหาสน์นี่ไปตลอดชีวิต ยิ่งคิดแบบนั้นริมฝีปากบางก็ยิ้มเม้มเข้าหาตน อีกฝ่ายบอกแล้วว่าจะมอบอิสรภาพให้เขาแต่ถ้าเกิดสั่งแบบนั้นคนที่ถือศักดิ์ศรีเช่นครีแวนก็คงต้องยอมทำ...







หากแต่ความคิดทั้งหมดของครีแวนนั้นผิดไปเสียหมดเพราะนอกจากชายร่างสูงผู้นี้จะไม่เอ่ยร้องขออะไรแล้วเขายังไม่คิดที่จะใช้โอกาสนั้นเหนี่ยวรั้งตัวของครีแวนไว้อีกด้วย







ใบหน้าคมโน้มลงไปข้ามใบหู ริมฝีปากหนานั้นเอื้อนเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนออกมา ถ้อยคำที่เอ่ยดังเสียงทุ้มที่ล่องลอยเข้าใบหู ใบหน้าสวยพลันขึ้นสีอีกครั้งหาครั้งนี้ ชายหนุ่มร่างโปร่งบางเลือกที่จะนิ่งเงียบและไม่ใช้มือปัดป้องหรือดันร่างสูงสง่าของอีกฝ่ายออก







ทำไมถึงพูดแบบนั้นออกมากัน ร่างโปร่งบางกัดริมฝีปากตนแน่นใบหน้าสวยนั้นพยายามที่จะเบี่ยงหลนสายตาของอีกคน ทำไมถึงผูกมัดตัวเขาไว้ด้วยคำพูดเหล่านั้น...และที่สำคัญไปกว่าถ้อยคำนั่นคือความคิดของตัวเขาเองที่คิดจะทำตามคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยสั่ง







‘ฉันของให้นายตระหนักว่านายเป็นของ ๆ ฉันไม่ว่าจะเป็นดวงตา ใบหน้าร่างกายหรือแม้กระทั่งลมหายใจ’ ถ้อยคำพวกนี้หากถ้าฝังดูแล้วมันออกจะดูเผด็จการและเอาแต่ใจ หากแต่เมื่อคำพูดพวกนี้ถูกพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพวกนั้นแล้วมันจะกลายเป็นถ้อยคำหวานที่ทำให้หัวใจนั้นเต้นแรง







“แค่นี้หละคำสั่งของฉัน คนแพ้อย่างนายไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธหรอกนะ” ใบหน้ากร้าคมละออกและเคลื่อนที่ไปจ้องยังใบหน้าขาวอีกฝ่าย ริมฝีปากคนนั้นยังคงเหยียดยิ้มซึ่งรอยยิ้มนั้นมันไม่ใช่รอยยิ้มที่ชั่วร้ายเพียงอย่างเดียวแล้วเพราะมันเพิ่มความเหี้ยมเกรียมเข้ามาและมันคงจะดูอันตรายมากกว่านี้ถ้าเขาปฏิเสธคำสั่งนั่น







“ฉันไม่ผิดคำพูดหรอกน่าแพ้ก็คือแพ้ และนายก็รีบเอาหน้าออกไปห่าง ๆ เลยไป” มือบางยกขึ้นมากั้นระหว่างใบหน้าของเขากับอีกฝ่ายและออกมือดันออกไปเต็มแรง







ต่อให้ไอบานี่มีความคิดที่จะปล่อยตัวเขาไปแต่มันก็ยังไม่เลิกทำตัวเป็นเจ้าของตัวเขาสินะ ยิ่งคิดแล้วยิ่งหงุดหงิดส่วนไอความรู้สึกเขินอายทั้งหมดหายวับไปตังแต่ร่างสูงตรงหนาพูดประโยคถัดไปออกมาแล้ว ไอหมอนี่ไม่ว่าจะเวลาไหนมันก็น่าต่อยสักหมัดสองหมัดจริง ๆ







“ก็นะถึงนายจะรับปากแล้วแต่ฉันกลัวว่านายจะจำประโยคที่ฉันสั่งไม่ได้ไหนลองทวนคำพูดให้ฉันฟังหน่อยสิ…ครีแวน” นำเสียงยียวนถูกเอ่ยดังยิ่งไปกว่านั้นไอการลากเสียงเรียกชื่อองเขามันช่างกวนประสาท ซึ่งนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ครีแวนคิดอยากจะต่อยใบหน้ากร้านคมนั่น







“ขอตกลงคือสั่งได้อย่างหนึ่ง อันนี้เป็นคำสั่งที่สองฉันไม่คิดจะเสียเปรียบยอมทำคำสั่งสองข้อหรอกนะนายก็รูพวกนักขายข่าวไม่ยอมโดนเอาเปรียบง่าย ๆ หรอก โดยเฉพาะฉัน” ครีแวนเริ่มเล่นตุกติกแต่มันก็ไม่ใช่การเล่นโกงอะไรนักหรอกเพราะว่าเขาเสนอไปแค่ว่าให้อีกฝ่ายทำตามคำสั่งของคนชนะ ซึ่งต่อให้ไม่บอกว่ากี่คำสั่งแต่โดนส่วนใหญ่ หนึ่งเกมส์ก็หนึ่งคำสั่งทั้งนั้นหละ ริมฝีปากสีสดเหยียดรอยยิ้มหากแต่ชายหนุ่มร่างสูงนั้นก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้เหมือนกัน







“งั้นมาต่อกันอีกเกมส์และฉันคิดว่าครั้งนี้ฉันคงไล่ตอนนายยับเพื่อจบเกมส์ภายในเวลา 10 นาทีได้” ประโยคพวกนี้เหมือนกับถ้อยคำดูถูก ซึ่งมันก็ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นมันถูกทั้งหมด…เพราะเกมส์ก่อนหน้านี้ถ้าชายคนนี้ไม่ออมมือหรือแกล้งโง่บ้างแล้วหละก็ เกมส์มันก็คงจบไปตังแต่สิบนาทีแรกแล้ว...การมาอยู่ที่นี่ไม่สิต้องเรียกว่าการที่เขามารู้จักกับชายหนุ่มคนนี้มันทำให้เข้ารู้จักคำว่า ‘พ่ายแพ้อย่างหมดท่า’ ทั้ง ๆ ที่เกิดมาเขาไม่เคยได้เผชิญคำว่า ‘แพ้’ มาก่อนเลยสักครั้งเดียว







“…ไอบ้าเอ้ยอยากฉันพูดมากเลยนักหรือไงไอประโยคชวนสยิวนั่น” ครีแวนตะโกนสุดเสียงร่างโรป่งบางค่อย ๆ ถีบตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่ดูท่าทางจะรัดแน่นขึ้นทุกที ๆ “ได้งั้นฟังเลยนะ จะอัดเสียงไว้เลยก็ได้” ในที่สุดครีแวนก็ยอมที่จะพูด ร่างโปร่งบางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่และตะคอกถ้อยคำพวกนั้นออกมาสุดเสียง







“ฉันจะจำไว้วว่าฉันเป็นของ ๆ นายไม่ว่าจะเป็นดวงตา ใบหน้า ร่างกายหรือแม้กระทั่งลมหายใจ ทุกสิ่งทุกอย่างของฉันมันเป็นของ ๆ นาย!!!!” ถ้อยคำที่ถูกพูดออกมาทำให้เฮลาสถึงกับชะงักไปแต่เขาก็ใช้เวลาเพียงช่วงครู่สติของเขาก็กลับคืนสู่ร่างพร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะที่ดังไม่แพ้ถ้อยคำเหล่านั้น







คาดว่าวันนี้ใครที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณชั้นห้าของคฤหาสน์ฝั่งตะวันออกคงได้ยิน คำพูดแปลก ๆ รวมไปถึงเสียงหัวเราะที่ดังออกมาจากห้องของผู้เป็นนายของตน







ครีแวนยืนกอดอกมองดูอีกฝ่ายหัวเราะไปพักใหญ่ในที่สุดเสียงัวเราะนั่นก็หยุดลง “นายนี่ยังคงน่าสนใจไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ” ริมฝีปากหน้าเหยียดรอยยิ้มก่อนที่เขาจะยันกายลุกขึ้นและก้าวเดินออกไปจากห้องแต่ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีเปลวเพลิงจะเดินออกจากห้องไป มือกร้านก็ยกขึ้นไปลูบศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินนั้นอย่างแผ่วเบา







สัมผัสที่อ่อนโยนราวกับว่าผู้ใหญ่นั้นกำลังปลอบโยนเด็กน้อยทำให้ครีแวนรู้สึกนึกย้อนกลับไปหาพ่อผู้ใหกำเนิดตน แม้คนที่สัมผัสนี้จะเป็นคนละคนกันแต่ความรู้สึกที่ได้รับมันไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด...ไอความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยแบบนี่เนี่ย...พอสักทีเถอะเขาไม่ใช่เด็ก ๆ อีกต่อไปแล้วนะ...ช่วยอย่ามาทำเหมือนกับเขาเป็นเด็ก ๆ แบบนี้สิ ใบหนาสวยเบนต่ำลง นัยน์เนตรสีไพลลินหลุบตาลงอย่างไม่รู้ตัว







มือกรานยังคงลูบศีรษะของร่างโปร่งบางไม่หยุดจนในท้ายที่สุด ครีแวนต้องเป็นฝ่ายเอี้ยวตัวออกแทน “พอได้แล้วน่าผมยุ่งหมดแล้ว” ครีแวนไม่หลบเปล่ามือบางยังยกขึนมาปัดมือของอีกฝ่ายออกด้วย







ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้ตัวของเฮลาสนั้นโกรธเลยสักนิดเดียว…ซ้ำชายหนุ่มร่างสูงนั้นยังคงหัวเราะออกมาเสียด้วย มือกร้านละลงจากเรือนผมสีแปลกตาพรอมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยลาอีกฝ่าย







“แล้วเจอกันครีแวน…ในสักวันหนึ่ง” สิ้นเสียงทุ้มเอ่ยดังหากแต่ในประโยคสุดท้ายมันเป็นเพียงคำพึมพำที่ชายร่างสูงนั้นพูดกับตัวเอง ใบหน้ากร้านคมหันหนีก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องทำงานของตนไปเงียบ ๆ และเมื่อเสียงของบานประตูปิดลงภายในห้องนั้นก็มีแต่ความเงียบกันมือบางถูกยกขึ้นมาปิดที่ริมฝีปากก่อนจะเหวี่ยงทุบลงไปที่โต๊ะเต็มแรง “เจ้าบ้า...นั่น…” เสียงหวานเอ่ยขึ้นก่อนจะเงียบเสียงลง…ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงก่ำมือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาปิดใบหน้าพร้อมกับจะทิ้งตัวลงไปนอนที่โซฟายาว “คิดว่าฉันไม่ได้ยินที่นายพูดหรือไงเจ้าบ้า…แล้วพูดแบบนั้นออกมามันก็ไม่ช่วยให้ฉันอยากเจอนายมากขึ้นหรอกนะ” เมื่อเสียงหวานเอ่ยจนจบประโยคใบหน้าสวยก็ซุกลงไปกับโซฟาพร้อมกับหลับตาลง







‘ฉันไม่อยากเจอนายอีกครั้งหรอกนะเฮลาส ฟีเลทัส…’ ครีแวนกล่าวเช่นนี้ในใจพร้อมกับสติที่ค่อย ๆ ดำดิ่งลงไปสู่หวงนิทรา



 

ครีแวนไม่รู้ว่าระยะเวลานั้นหมุนผ่านไปเท่าไหร่ แต่ถ้าหากจะให้ครีแวนเดาโดยจากการดูสภาพรอบ ๆ ห้องที่มืดมิดตอนนี้ก็คงเลยหัวค่ำไปมากแล้ว มือบางค่อย ๆ ยันกายตนให้ลุกขึ้นนั่ง เนตรสีไพลินพยายามปรับสภาพสายตาให้คุ้นชินกับความมืด และเมื่อสายตาเป็นปกติร่างโปร่งบางนั้นก็ลุกขึ้นเพื่อเดินไปเปิดไฟ แต่ในขณะที่ตนนั้นกำลังจะเหยียดนิ้วไปกดสวิซต์เพื่อเปิดไฟ บานประตูไม้ที่อยู่ข้าง ๆ กันก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวร่างสูงของเด็กหนุ่มที่มีสายเลือดเดียวกันกับเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้







“ผมคิดว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนี้เสียอีกเห็นปิดไฟมืดซะขนาดนี้ แล้วนี่น้าชายของผมหละครับเขาหายไปไหนผมคิดว่าเขาจะอยู่ในห้องนี้กับคุณเสียอีกนะครับ” เด็กหนุ่มพูดอย่างสุภาพมือกร้านค่อย ๆ เอื้อมไปเปิดไฟพร้อมกับเนตรสองสีที่กวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง







“หมอนั่นเหรอ ออกไปจากห้องตั้งแต่เช้าแล้วและท่าทางคงไม่ได้กลับมาที่ห้องนี้ด้วย” ครีแวนตอบกลับ มือข้างที่เอื้อมไปหมายจะเปิดสวิซต์ไฟถูกยกมือขึ้นมาเสยผมของตังเองแทน “มีธุระกับหมอนั่นหรือยังไง ถ้ามีธุระก็มาผิดที่แล้วไปตามหาที่อื่นไป” ครีแวนกล่าวไล่พร้อมกับเอื้อมมือไปหมายจะปิดประตูหากแต่มือกร้านของเด็กหนุ่มกับยื้อไว้เสียก่อน







“ผมมีธุระกับคุณนั่นหละครับเตรียมตัวเสร็จหรือยังใกล้เวลาแล้วนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นซึ่งถ้อยคำนั้นสร้างความงุนงงให้กับครีแวนเป็นอย่างมากหากแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ทำให้ครีแวนสงสัยอยู่นาน ริมฝีปากหนาเอ่ยดังพร้อมกับพาร่างโปร่งบางนี้ออกจากห้อง “ถึงเวลาคุณได้กลับบ้านไปหาน้องสาวไงครับ หรือคุณจะเปลี่ยนใจและบอกว่าจะอยู่ที่นี่ต่อแบบนั้นผมจะได้ไปบอกน้าชายที่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”







“กลับบ้าน….” คำ ๆ นี้ทำให้ครีแวนยืนทบทวนความจำอยู่นานจนในที่สุดครีแวนก็จำคำพูดที่ชายหน่มร่างสูงที่มีเรือนผมสีแดงเข้มเฉกเช่นคนตรงหน้าบอกตนในตอนเช้าได้







“ถึงเวลาแล้วเหรอ...ฉันนอนเพลินไปหน่อยโทษที” มือบางยกมือขึ้นเสยมที่ปรกหน้าตนอีกครั้งก่อนจะก้าวเดินตามเด็กหนุ่มออกไปจากห้อง







ขาเรียวยาวรีบเร่งเดินตามใบหน้าสวยแทนที่จะเผยให้เห็นถึงความยินดีที่ตนได้กลับบ้าน หากแต่ตอนนี้ใบหน้างดงามนั้นหันมองไปรอบ ๆ ตลอดทางเดินราวกับว่าร่างโปร่งบางนี้กำลังเสาะหาใครอยู่







ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นนัยน์เนตรคู่งามสีไพลินนั้นกำลังมองหาชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีเปลวเพลิงที่จับตัวเขามานั่นเองและตลอดทางนับตั้งแต่ประตูห้องทำงานของชายคนนั้นจนถึงประตูทางออกของคฤหาสน์ครีแวนไม่เห็นแม้แต่เงาของชายคนนั้นเลยสักนิดเดียว หากแต่ใบหน้างามนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการผิดหวังออกมาสีหน้ายังคงเรียบเฉยและหยิ่งทระนงเช่นเดียวกันกับตอนที่ก้าวเข้ามา







ครีแวนพยายามบอกตนเองว่าตนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับที่นี่ ไม่มีใครให้ผูกพัน ครีแวนเดินหันหลังให้กับคฤหาสน์แห่งนี้โดนไม่เหลียวหลังกับไปมอง







‘ลาก่อนความทรงจำ…ที่มันก็ไมได้เลวร้ายไปซะทีเดียว”







สัตว์ป่าถูกปล่อยเป็นอิสระหากแต่สัตว์ยังไงก็ยังเป็นสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องหรือสัตว์ป่าดุร้าย แต่เมื่อถูกจับและเลี้ยงดูโดยมนุษย์แล้วไม่ว่ายังไงมันก็ไม่มีที่จะลืมเลือนผู้เป็นเจ้าของมันเช่นเดียวกันกับผู้ที่จับมันมา







นัยน์เนตรคมมองไปยังรถคันหรูสีดำสนิทก่อนจะหันหลังให้กับมันเช่นเดียวกับร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ด้านล่าง...









 _______TBC Chapter 7 [1/2]______

หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 6/2] 22/10/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 22-10-2014 14:25:42
รออ่านนะคะ มาอัพบ่อยๆน้า ไม่ต้องทุกวันแต่สม่ำเสมอนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 6/2] 22/10/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-10-2014 14:52:02
นึกว่าจะมีชวนสยิวสั่งลา
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 7] 25/10/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 25-10-2014 17:46:59

ข่างคราวเงียบหายไปสองสามปี นึกว่าไปได้ดี!! (ร้องเพลงปลุกใจ)


Chapter 7


และแล้ววันเวลาปกติสุขกกลับมาร่างโปร่งบางค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากเตียงที่คุ้นเคย แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ร่างโปร่งบางต้องยกมือตนขึ้นมาบดบังมันเพื่อไม่ให้มันสาดส่องเข้าสู่นัยน์ตา ครีแวนนั่งมองทัศนียภาพที่คุ้นเคยไปสักพัก ไม่นานนักเสียงย่ำเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับบานประตูห้องของเขาที่ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง ครีแวนหันไปมองบานประตูที่เปิดออกพร้อมกับการปรากฏร่างของเด็กสาวที่มีเรือนผมสีน้ำทะเลเฉกเช่นเดียวกับผู้เป็นพี่ชาย



“วิเวียน…ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เคาะประตูห้องก่อนจะเข้าไม่ใช่พังประตูห้องเข้ามาแบบนี้” เสียงนุ่มกล่าวเตือนผู้เป็นน้องสาว มือบางค่อย ๆ ยกขึ้นมาจัดผมที่ปรกหนาปรกตาออก หากแต่เด็กสาวที่เพิ่งเข้ามาใหม่ไม่คิดที่จะฟังอะไรเลยสักนิด ร่างเล็กค่อย ๆ ถลาไปหาผู้เป็นพี่ชายที่นั่งอยู่บนเตียง



“ครีแวน!...หายไปไหนมาบอกเรามานะ หากเกือบเดือนถ้านายไม่สั่งให้เราเงียบปากและห้ามบอกใครเวลานายหายไป ป่านนี่คนทั้งประเทศคงรู้กันหมดทุกคนแล้ว!” เสียงแหลมเลกตะโกนสุดเสียงมือทั้งสองข้างนั้นเขย่าคอผู้เป็นพี่ชายไปมาเพื่อเค้นคำตอบ ซึ่งร่างโปร่งบางนั้นก็เลือกที่จะไม่ตอบมือบางค่อย ๆ ยกขึ้นมาลูกศีรษะผู้เป็นน้องสาว



เขามักจะบอกเด็กสาวตรงหน้าว่าเวลาเขาหายตัวไปห้ามไปแจ้งความหรือบอกใคร ซึ่งโดยปกติเขามักจะหายไปแค่สองถึงสามวันแต่นี่เขาหายไปร่วมเดือน เด็กสาวตรงหน้าที่จะดูห้าว ๆ ไม่สนใจใครและแสบซนเหมือนเด็กผู้ชายแต่ยังไงเธอก็ยังเป็นเด็กที่มีอายุแค่ 14 ปีเท่านั้น ครีแวนปล่อยให้น้องสาวของตนกอดคอตนไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด ร่างงโปร่งบางก็ต้องดันร่างของเด็กสาวออก ซึ่งเหตุผลที่เขาทำอย่างนั้นก็คือยัยน้องสาวบ้านี่กัดบ่าเขาเต็มแรง



“ออกไปเลยวิเวียน…ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้” มือเรียวบางถูกยื่นออกไปจนสุดเพื่อดันหนาผากของน้องสาวให้ถอยห่าง ส่วนอีกมือหนึ่งถูกไขว้ไปจับที่บ่าของตน มือบางเลิกคอเสื้อเพื่อดูรอยกัดแต่เมื่อตนเห็นรอยอื่นที่นอกเหนือจากรอยกัดของผู้เป็นน้องสาว เมื่อเห็นรอยพวกนั้นพลันใบหนาขาวก็ขึ้นสี มือบางนั้นปล่อยมือออกจากหน้าผากของอีกฝ่ายและตวัดกลับมาขยุ้มคอเสื้อของตนไว้แทน



‘ไอบ้านั่น…ไม่เห็นหน้าแต่ไม่วายทำสร้างปัญหาให้กับคนอื่นจริง ๆ’ ร่างโปร่งบางใช้มืออีกขางตบไปที่หน้าผากตน ริมฝีปากพลางกร่นด่าออกมาเสียงเบา แต่มันก็ไม่สามารถรอดพ้นหูของเด็กสาวผู้มีดวงเนตรสองสีร่างเล็กถือโอกาสเข้าประชิดพร้อมกับผลักร่างพี่ชายให้นอนราบไปกับเตียง ร่างเล็กกระโดนคร่อม มือทั้งสองขางไขว้กอดกันไว้บริเวณหนาอก ริมฝีปากเล็กนั้นเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา “สงสัยนอกจากครีแวนจะต้องบอกเราเรื่องที่หายไปไหนแล้ว…ครีแวนคงต้องบอกเราเรื่องเจ้าของรอยพวกนั้นด้วยซะแล้วสิ”



และเมื่อเสียงแหลมเล็กเอ่ยจนจบประโยคกรรมวิธีเค้นคอพี่ชายให้พูดก็เริ่มต้น มือเล็กทั้งสองข้างพยายามดึงมือพี่ชายออกจากคอบ้างก็เปลี่ยนไปกระชากเสือของอีกฝ่าย กว่าการต่อสู้ระหว่างสองพี่น้องจะจบลงเวลาก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมง ซึ่งการจบการสนทนานั้นไม่ใช่เด็กสาวที่เป็นฝ่ายยอมถอยทัพแต่เป็นครีแวนที่ต้องจำใจแต่ไม่ใช่ทั้งหมดซะทีเดียวใชความรุนแรงออกไป ขาเรียวยาวยกขึ้นพรอมกับออกแรงดันให้ร่างเล็กผละออกจากร่างของตน และนี่คือคำตอบของครีแวนที่มีให้กับผู้เป็นน้องสาว เด็กหญิงผู้มีดวงเนตรสองสีที่ประดับอยู่บนใบหน้าไม่ได้คำตอบอะไรออกมาจากปากของพี่ชายของตนเลยสักคำ



“…เลิกบ้า เลิกไฮเปอร์แล้วไปโรงเรียนซะ ฉันจะนอนต่อ” ครีแวนตะโกนบอกผู้เป็นน้องสาวที่นอนดิ้นอยู่กับพื้น และเมื่อร่างโปร่งบางพูดจบเขาก็ทิ้งตัวลงไปนอนที่เตียงอีกครั้ง นัยน์เนตรสีไพลินหลับตาลงพร้อม ๆ กับลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะที่แสดงให้ผู้เป็นน้องสาวของตนเห็นว่าร่าง ๆ นี้หลับใหลเข้าสู่ห่วงนินทราอีกครั้ง ซึ่งเมื่อเด็กสาวเห็นแบบนั้นเธอกไดแต่เดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องไป หากแต่การกระทำนั่นเป็นเพียงแค่การหลอกลวงน้องสาวของตน ซึ่งเหตุผลที่ร่างโปร่งบางนี้ทำเช่นนั้นก็เป็นเพราะครีแวนนั้นต้องการอยู่อย่างสงบโดยปราศจากเสียงรบกวน ใบหน้าขาวซุกลงกับหมอน ภายในสมองนั้นนึกย้อนไปถึงเรื่องราวของเมื่อคืนที่ผ่านมา ‘เรื่องราวของเขาในตอนที่เดินจากคฤหาสน์หลังนั้นมา’



ถ้าหากให้ครีแวนนึกย้อนไปถึงเรื่องราวพวกนั้นบอกเลยว่าครีแวนยิ่งคิดถึงก็ยิ่งหงุดหงิด ใบหน้าสวยนั้นบึ้งตึงด้วยความโกรธ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวองครีแวนนั้นเกี่ยวข้องกับตนแต่นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือไงกัน ไอตอนออกจากคฤหาสน์รถยนต์คันหรูก็ขับออกมาส่งเขานั่นหละแต่เมื่อถึงถนนใหญ่ หลานชายตัวแสบของคน ๆ นั้นก็สั่งให้เขาลงจากรถและหารถต่อกลับบ้านเอง ถึงจะรู้ว่าการทำแบบนั้นมันทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาและผู้เป็นน้องสาวแต่การต้องหารถต่อกลับบ้านตอนตีหนึ่ง…มันคงจะมีรถให้เขานั่งกลับบ้านหละมังเพราะแบบนั้นครีแวนก็เลยต้องเดินจากถนนใหญ่กลับบ้านเองและระยะทางที่ต้องเดินมันก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยสักนิด



ไอรู้ก็รู้อยู่หรอกว่าถ้าเกิดมีใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับดอนฟีเลทัส ชีวิตต่อจากนี้ไปของเขารวมไปถึงผู้เป็นน้องสาวคงไม่มีทางสงบสุขแน่นอนแต่มันก็ไม่ควรจะปล่อยให้เขาเดินกลับบ้านคนเดียวตอนสีหนึ่งแบบนั้นแถมกว่าจะถึงบ้านเขาใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงและกว่าร่างโปร่งบางของครีแวนจะได้สัมผัสกับเตียงเวลาก็เกือบจะล่วงเลยไปถึงตีสี่แล้ว



ไอบ้าพวกนั้นไม่คิดเลยหรือไงว่าบ้านของเขาหนะห่างจากถนนเส้นนั้นกี่กิโลเมตร! แล้วไม่ได้คิดเลยหรือยังไงว่าตอนตีหนึ่งตีสองมันจะมีรถผ่านมาให้เขาโบกไหม!



แต่กระนั้นไอการที่ทิ้งให้เขาเดินคนเดียวท่ามกลางอากาศที่ตอนนี้กำลังล่วงเลยเข้าสู่เหมันต์มันยังไม่น่าโกรธเท่ากับการที่คน ๆ นั้นไม่คิดจะเอ่ยคำลา…อะไรออกมาสักคำ และที่ยิ่งน่าเคืองไปกว่านั้นก็คือแม้แต่หน้ากยังไม่โผล่หัวออกมาให้เห็น มือบางกำหมัดและต่อยลงไปที่เตียงสุดแรง เขารัวหมัดตนอยู่แบบนั้นสักพักแรงที่มีก็หมดลงมือบางคลายกำปั้นออกพร้อมกับเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงาย



ไพลินน้ำงามที่ประดับอยู่บนใบหนาสวยนั้นลืมตื่น สายตานั้นจ้องมองไปยังเพดานสีขาวสะอาดเขาจ้องมองอยู่แบบนั้นพลันความรู้สึกแปลกประหลาดมันก็เอ่อล้นออกมา ‘ทั้ง ๆ ที่…ที่นี่คือบ้านของเขาแท้ ๆ แต่ทำไมมันกลับรู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย’ ห้องนอนของเขานันตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าอ่อนที่ดูสบายตาอบอุ่น หากแต่ตอนนี้ตัวเขากลับรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าง นัยน์เนตรคู่งามยังคงจองมองไปที่เพดานก่อนจะกวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง



เพดานห้องที่เป็นสีขาวสะอาดตาซึ่งแต่ต่างจากห้อง ๆ นั้นที่เป็นสีนำตาลเข้ม เครื่องเรือนที่ตกแต่งให้ดูร่วมสมัยแต่ภายในห้อง ๆ นั้นเป็นเครื่องเรือนโบราณและดูมีมูลค่าสูง ผ้าปูเตียงสีฟ้าอ่อนที่ทำให้ผู้นอนเหมือนนอนหลับอยู่บนท้องฟากว้างหากแต่ในห้อง ๆ นั้นกลับเป็นสีแดงเข้มที่ดูร้อนแรง ทุก ๆ อย่างภายในห้อง ๆ นี้มันแตกต่างจากที่นั่นไปหมดเสียงทุกอย่างมันแตกต่างกันมาก…มันแตกต่างกระทั่งคนที่อาศัยอยู่ในห้อง



สถานที่แห่งนั้นมันทำให้ครีแวนรู้สึกว่ามันกลายเป็นบ้านอีกแห่งของเขาไปเสียแล้ว ริมฝีปากบางเม้มแน่นใบหน้าสวยพยายามส่ายศีรษะไปมาเพื่อไล่ให้ความคิดบ้าบอกพวกนั้นออกไปจากสมอง



‘ที่นั่งมันกรงขังไม่ใช่บ้านสักหน่อย’ ครีแวนพูดเตือนสติของตนอยู่ในใจ หากแต่ความคิดและความทรงจำพวกนั้นมันกลับไม่จางหายไปเลยสักนิด ความทรงจำพวกนั้นมันตราตรึงอยู่ในสมองของเขา



ถ้าให้พูดถึงชายคนนั้น ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ และถามว่าตัวร่างโปร่งบางนี้โกรธคน ๆ นั้นไหมบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าโกรธ เพราะเขาไม่ใช่แค่กักขังร่างกายเขา มันยังทำลายศักดิ์ศรีของเขาไปจนหมดสิ้น…



แต่ถ้าหากถามว่าเขาเกลียดคน ๆ นั้นไหม…ครีแวนกลับลังเลและขอเลือกคำตอบว่า ‘ไม่รู้’ เพราะตัวของเขานั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าภายในใจนั้นมันเกลียดคน ๆ นั้นไหม และก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองชอบคนนั้นบางหรือเปล่า…มือบางทั้งสองขางถูกยกขึ้นมาวางทับไว้บริเวณหน้าผาก ดวงตาคู่งามยังคงลืมตามองสภาพรอบ ๆ ห้องของตน ‘แค่ไม่อยู่เดือนเดียวกับรู้สึกว่าที่นี่กลายเป็นที่ ๆ ตนไม่คุ้นเคยเสียแล้ว’



พอความคิดพวกนั้นไหลเข้ามาในสมองร่างโปร่งบางกพลันลุกขึ้นนั่งพร้อมกับรีบแต่งตัวออกจากบ้านพักของตนไป ‘ถ้าอยู่เฉย ๆ แล้วฟุ้งซ่าน…ออกไปทำงานให้มันไม่คิดอะไรบ้า ๆ แบบนันดีกว่า’



บางโปร่งบางในเสือโคดสีเขมยืนพิงกำแพงอยู่เงียบ ๆ ใบหน้าสวยนั้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ งานของเขาตามที่เคยบอกมันคือการสืบข่าวขององค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะองค์กรนั้นจะอยู่ในโลกทางด้านไหน หากแต่ตัวเขานั้นกลับไม่เลือกที่จะสังกัดแก็งค์ใด ๆ เลยสักแก็งค์เดียวและเหตุผลที่เขาไม่คิดจะยึดติดกับแก๊งค์หรือองค์กรใด ๆ นั่นก็เป็นเพราะร่างโปร่งบางนั้นไม่คิดจะไว้ใจใครนอกจากตัวเองและที่สำคัญไปกว่านั้นนิสัยที่หยิ่งทระนงของครีแวนมันทำให้ร่างโปร่งบางร่างนี้นั้นไม่ยอมคิดที่จะก้มหัวและฟังคำสั่งของใคร ดังนั้นการอยู่แบบไร้สังกัด ไม่ต้องคอยเชื่อฟังใครก้มหัวใหใครมันดีกว่าเห็น ๆ



ใบหน้าสวยเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าตนริมฝีปากบางเม้มเขาหากันแน่น ดูเหมือนครีแวนจะหยิบเสือโค๊ดมาผิดตัวเสียแล้วไหล่บางห่อตัวเข้าหากันเล็กน้อยมือทั้งสองข้างถูกล้วงเข้าไปในกระเป๋าทั้งสองข้าง ‘ตอนนี้บรรยากาศรอบ ๆ มันกลายเป็นที่ ๆ ไม่คุ้นเคยไปเสียแล้ว’ นัยน์เนตรคู่งามหลับตาลงเพียงชั่วครู่ก่อนจะลืมตื่นและเดินเขาไปในร้านกาแฟที่อยู่ไปไกลจากจุด ๆ นี้



ร่างโปร่งบางเอื้อมมือไปดันให้บานประตูนั้นเปิดออกพร้อมกับร่างโปร่งบางที่แทรกตัวเข้าไปด้านใน อากาศภายในรานกาแฟนี่อบอุ่นกว่าอากาศภายนอกมาก ร่าโปร่งบางถอดเสื้อโค๊ดของตนออกก่อนจะสาวเท้าเดินไปนั่งที่เคาท์เตอร์ “สวัสดีมาสเตอร์ไม่ได้เจอกันนานเป็นไงบ้าง แต่ดูท่าทางแล้วคงจะขายดีเอาเรื่องนะคนเต็มร้านแบบนี้” ริมฝีปากสีสดเอ่ยทักทายพร้อมกับนั่งหมุนเก้าอี้หันหลังให้กับคาท์เตอร์



“จะพูดออกมาทำไมถ้านายจะพูดเองตอบเองแบบนี้แล้วนี่หายไปไหนมาหละมีเรื่องอีกแล้วหรือไงยัยตัวแสบวิเวียนมาที่นี่แทบทุกวันเพื่อตามหานาย…แล้วนี่ยังไม่บอกน้องสาวอีกหรือไงว่านายทำงานอะไร” มาสเตอร์หนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งกาแฟร้อน ๆ ไปให้อีกฝ่าย ซึ่งครีแวนก็พยักหนาขึ้นลงเบา ๆ แทนคำตอบ



เขาไม่อยากบอกผู้เป็นน้องสาวว่าเขาทำงานเสี่ยงอันตรายเพียงใดแต่ที่เขาไม่บอกอะไรเด็กคนนั้นไม่ใช่เหตุผลบ้าบออย่างเช่นกลัวยัยตัวแสบนั่นจะเป็นห่วงเขาแต่ที่เขากลัวกคือ…เขากลัวว่ายัยนั่นจะขอตามเขาไปทำงานด้วยต่างหากและเหตุใดครีแวนถึงกลัวแบบนั้นถาจะให้พูดแล้วหละก็น้องสาวคนนี้แทบจะถอดแบบเขามาเสียทุกอย่าง…ซึ่งเขาคิดภาพไว้แล้วว่าถาเกิดยัยนั่นรู้มันคงต้องร้องโวยวายขอตามไปด้วยแน่นอน…แต่กระนั้นต้องมีสักวันที่เธอจะรู้ความจริงหรือบางทีอาจจะมีสักวันที่ตัวของเขาหายสาบสูญไปจนเด็กคนนั้นตามสืบจนรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่ถ้าเลือกได้ตนก็ไม่อยากให้น้องสาวคนเดียวของเขามีชีวิตแบบเขาหรอก



“หยุดที่จะพูดเลย…ฉันมาที่นี่ไม่ใช่จะมาฟังเสียงบ่นของนายนะ…ฉันมาเป็นลูกค้าไหม” เสียงหวานเอ่ยให้อีกฝ่ายเงียบมือบางนั้นควักธนบัตรขึ้นมาจำนวนหนึ่งแล้วสอดมันเข้าไปใต้แก้วกาแฟ “ฉันขอข่าวทั้งตลอดระยะเวลาที่ฉันหายไป…มาสเตอร์” ชายหนุ่มนั้นเลิกคิวขึ้นสูงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ร่างโปร่งบางนั้นมาซื้อข่าวจากนักขายข่าวคนอื่น แต่มาสเตอร์หนุ่มก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธลูกค้า ใบหนาคมคลี่รอยยิ้มแทนคำตอบพร้อมกับเชิญให้อีกฝ่ายเดินไปยังบริเวณที่ลับตาคน “ขอเลยช่วงบ่ายสองโมงไปก่อน เพราะตอนนี้ลูกค้ายังเต็มร้านและฉันก็ยังละมือจากงานตรงนี้ไม่ได้” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาพร้อมกับร่างโปร่งบางที่เดินไปตามที่อีกฝ่ายบอก



มาสเตอร์ร้านกาแฟแห่งนี้ก็เป็นนักขายข่าวคนหนึ่งเช่นกันเพียงแต่การทำงานของเขาไม่ใช่การเดินไปสืบข่าวตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ครีแวน แต่ชายคนนี้อาศัยร้านกาแฟของตนเป็นที่สืบข่าวต่าง ๆ โดยวิธีการสืบข่าวของเขาก็คือการฟังบทสนทนาของลูกค้าที่แวะเวียนมาในร้าน แต่ไม่ใช่แค่นั้นพอตกกลางคืนมาสเตอร์ร้านกาแฟผู้อ่อนโยนจะเปลี่ยนไปกลายเป็นบาร์เทนเดอร์หนุ่มในผับอีกฝากหนึ่งของถนนและแน่นอนผับนั้นก็เป็นของชายคนนี้ด้วย ‘อาเบล เกสต์’นี่คือชื่อของชายคนนี้ แต่จะให้พูดไปข่าวส่วนใหญ่ที่ครีแวนได้มาก็มักจะได้มาจากกิจการของคน ๆ นี้เช่นข่าวเกี่ยวกับโลกด้านมืดครีแวนจะเลือกไปสืบที่ผับของคน ๆ นี้และถ้าเป็นเรื่องของโลกอีกด้านร้านกาแฟของอาเบลนี่หละคือแหล่งสืบข่าวชั้นดี ร่างโปร่งบางนั่งรออยู่สักพักหนึ่งคนภายในร้านกาแฟแห่งนี้ก็ไม่มีท่าทีจะลดลงไปเลย ใบหน้าสวยเริ่มบึงตึง มือบางปัดกาแฟแกวที่สามให้ออกหางจากตน



นี่มันชักจะรอไม่ไหวแล้วนะ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเย็นเยือกออกมา นัยน์ตาคู่งานตวัดหันไปมองยังนาฬิกาที่แขวนบนผนัง…’เพิ่งบ่ายโมง…ต้องรออีกชั่วโมง’ ยิ่งคิดแบบนั้นใบหน้าสวยก็ยิ่งบึงตึง มือบางตวัดมือทุบลงไปที่โต๊ะเสียงดังก่อนจะเหลือบตาไปมองอีกอีกคนที่ปันหน้ายิ้มอยู่ที่เคาท์เตอร์



นี่มันคิดจะวัดความอดทนของเขาหรือยังไงกันริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะ โบกมือเรียกบริกรมาเพื่อสั่งเครื่องดื่มอีกแก้ว “Milk tea แก้วนึงแล้วก็ขอแซนวิสแฮมชีส” ครีแวนเอ่ยสั่งหลังจากนั้นเมนูที่อยู่ในมือถูกปิดและโยนไปให้บริกรซึ่งหญิงสาวผู้เป็นพนักงานเสริฟก็กมหนากมตารับออเดอร์หากแต่ก่อนที่เธอจะเดินจากไปเสียงนุ่มเอ่ยรั้งและฝากคำพูดไปถึงผู้เปนมาสเตอร์ของเธอ “ก่อนจะไปฝากบอกไอบ้านั่นด้วยนะ…อีกหนึ่งชั่วโมงถ้ามันไม่มานั่งตรงนี้ร้านนายเละแน่” เมื่อเอ่ยจนจบประโยคมือบางก็ปล่อยมือออกจากหญิงสาวร่างโปร่งบางนั้นทิ้งกายลงไปพิงที่โซฟา มือทั้งสองขางกอดไขว้กันไว้บริเวณแผ่นอกนิ้วทั้งห้านิ้วนั้นเคาะเล่นไปมาเพื่อฆ่าเวลา



และแล้วระยะเวลาก็เดินวนจนครบ 1 ชั่วโมง ร่างสูงที่ในตอนแรกยืนอยู่ในเคาท์เตอร์ร้านก็เคลื่อนตัวมานั่งเบื้องหน้าครีแวนได้ซะที ใบหน้ากร้านคมนั้นคลี่รอยยิ้มออกมาพร้อมกับยื่นธนาบัตรจำนวนหนึ่งกลับคืนไปให้ครีแวน ใบหน้าสวยนั้นมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความสงสัย “น้อยไปหรือไงมาสเตอร์” ครีแวนพูดออกมามือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าและหยิบธนบัตรออกมาอีกจำนวนหนึ่ง หากแต่ชายตรงหน้านั้นส่ายหัวไปมาเป็นคำตอบเพราะสิ่งที่เขาอยากได้นั้นไม่ใช่เงินหากแต่เป็นเรื่องราวของคนตรงหน้าว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้นเขาหายไปไหนกัน



“ฉันไม่ได้ต้องการเงิน…ฉันอยากรู้ว่านายหายไปไหนมาตลอดระยะเวลา 1 เดือนเป็นค่าตอบแทน” คำพูดนี้ทำให้ครีแวนถึงกับเงียบสนิท นัยน์คู่งามนั้นหลุบตาลงเพื่อหลบสายตาของอีกฝ่าย



ส่วนใหญ่นักขายข่าวมันจะมีดวงตาไวจับผิดคนอยู่แล้วและแน่นอนว่าทั้งครีแวนและอาเบลก็มีเช่นกัน และการแสดงออกเช่นนี้ของร่างโปร่งบางนั้นทำให้ชายตรงหน้าเริ่มจะเข้าใจและตีความหมายได้ว่า 1 เดือนที่ร่างโปร่งบางนี้หายไปนั้น เขาต้องไปเจออะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจแน่นอน



มาสเตอร์หนุ่มเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนข้อแลกเปลี่ยนหากแต่ครีแวนกลับใช้มือทั้งสองข้างทุบโต๊ะอย่างแรงใบหน้าขาวเงยหน้าขึ้น นัยน์เนตรสีน้ำทะเลลึกวาวโรจน์ด้วยความโกรธ



“ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องนั้น…ฉันไม่รับประกันว่าจะไม่มีคนตายในร้านนายนะมาสเตอร์…” เสียงหวานเอ่ยเหี้ยมเกรียมเช่นเดียวกับริมฝีปากที่แสยะรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา และเมื่อมาสเตอร์หนุ่มได้รับฟังและเห็นรอยยิ้มนั่นนอกจากเขาจะเดาเรื่องราวทั้งหมดออกแล้วว่าร่างตรงหน้าคงไปเจออะไรสักอย่างที่ทำลายศักดิ์ศรีทั้งหมดของเขาแล้ว ร่างโปร่งบางตรงหน้านี่คงโดนใครสักคนทำให้โกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบสุด ๆ เสียด้วย ร่างสูงหัวเราะออกมาด้วยความขบขันก่อนเอ่ยตกลงยอมรับการซื้อขายครั้งนี้



“…ฉันกลัวว่านายจะทำให้ร้านฉันพังมากกว่านายจะฆ่าคนในร้านฉันนะ เอาเป็นว่าฉันตกลงแล้วกันอยากรู้เรื่องอะไรหละถามมาได้เลย หรือจะเอาเรื่องราวทั้งหมดที่ฉันรู้ตลอด 1 เดือนเลยหละ” ซึ่งคำถาม ๆ นี้มาสเตอร์หนุ่มไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยตอบหรอกเพราะสิ่งที่คนต้องหน้าตนนั้นตองการคือเรื่องราวทั้งหมดตลอด 1 เดือนนั่นเอง ริมฝีปากหนาระบายไปด้วยรอยยิ้มมือกร้านค่อย ๆ ยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาจิบ



“อืม…งั้นเอาเรื่องที่ฮือฮาตอนนี้เลยดีกว่านะ ชความจริงแล้วฉันไม่รู้หรอกว่าเรื่องนี้หลุดมาได้ยังไงเพราะข่าววงในของคน ๆ นี้ไม่เคยหลุดมาถึงหูฉันเลยสักครั้งข่าวของดอนฟีเลทัส” ในตอนแรกครีแวนก็คิดว่าเข่าที่ตนจะได้ยินนั้นมันจะเป็นข่าวที่น่าสนใจแบบไหน หากแต่เมื่อตนได้ยินมาสเตอร์หนุ่มเอ่ยออกมาจนจบประโยค มือบางที่ถือแก้วน้ำดื่มในตอนแรกถึงกับเผลอปล่อยมือออกจากมัน ใบหน้าสวยนั้นแสดงอาการตกตะลึงเป็นอย่างมา ‘เรื่องราวของไอบ้านั่น...แล้วเรื่อง ๆ นั้นมันคือเรื่องอะไรกันหละ’ เมื่อคิดแบบนั้นความรู้สึกแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นภายในจิตใจริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเกือบจะเป็นเส้นตรง ซึ่งปฏิกิริยานั้นอยู่ในกรอบสายตาของมาสเตอร์หนุ่มการแสดงอาการแบบนี้ของครีแวนทำให้เขาตกใจไม่ใช่น้อย หากแต่ชายคนนี้ก็ไม่ได้คิดว่าครีแวนเกี่ยวพันอะไรกับคน ๆ นั้นและการที่ร่างโปร่งบางแสดงออกมาเช่นนี้ คงเป็นเพราะร่างโปร่งบางนี้ตกใจที่เขาได้ข่าวลับสุดยอดและมีมูลค่าสูงมาก... ซึ่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับตระกูลนี้ไม่ว่าจะเป็นข่าวของโลกด้านไหนมันก็เป็นที่ต้องการของทุก ๆ คน และเหตุผลที่มันเป็นที่ต้องการขนาดนั้นก็เป็นเพราะไม่มีใครไม่อยากรู้เรื่องของตระกูลที่กุมอำนาจสูงสุดในแถบยุโรปนี่หรอก ชายหนุ่มกระแอ้มเสียงตนเบา ๆ เพื่อเรียกสติของร่างโปร่งบางให้กลับคืนสู่ร่าง “ครีแวน...รู้สึกจะตกใจน่าดูเลยนะที่ฉันได้ข่าวของตระกูลนี่มาเห็นว่าก่อนหน้าที่นายจะหายไปก็พยายามสืบข่าวของตระกูลนี้อยู่สินะแต่นายแพ้ฉันแล้วหละฉันได้ข่าวก่อนนาย” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยพูดอย่างผู้มีชัย ใบหน้ากร้านคมส่งรอยยิ้มออกมาน้อย ๆ ซึ่งไอรอยยิ้มพวกนั้นครีแวนของลงมติว่ามันกวนประสาทมาก ๆ แม้มันจะไม่เท่ากับรอยยิ้มของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีแดงดั่งเปลวเพลิงผู้นั้นแต่มันก็ทำให้อารมณ์ที่สงบนิ่งของครีแวนเดือดด่านขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง




v
v
v
v
v
v
v
v


วันนี้ลงเตมตอนค่ะ มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 7] 25/10/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 25-10-2014 17:50:03
“เงียบแล้วเล่ามาซะมาสเตอร์ ฉันจ่ายไปแล้วตอนนี้ก็เป็นหน้าที่นายที่จะต้องเล่าเรื่องที่ฉันอยากรู้” ริมฝีปากบางเอ่ยตอบชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาไขว้กอดกันไว้ “ถ้าฉันไม่ได้ข่าวที่คุ้มกับสิ่งที่ฉันต้องเสียไปฉันไม่ยอมเดินออกไปจากร้านนี้แน่นอน” แววตาสีไพลินแข็งกร้าวจนอีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงความกดดันที่ส่งผ่านมา แต่ว่าสิ่งที่ครีแวนจ่ายไปก็มีเพียงสีหน้าและแววตาที่เดือดด่านเท่านั้น มาสเตอร์หนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งพร้อมกับยอมเซนสัญญาณสงบศึกกับคนตรงหน้าก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เขารู้มา



“หลังจากช่วงที่นายหายไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์ข่าวของทางนั้นก็หลุดมานิดหน่อยไม่รู้ว่าหลุดมาได้ยังไงแต่เห็นว่าดอนฟีเลทัสไปเจอของที่ถูกใจมาก ๆ เข้าหนะ รู้สึกว่าเขาถูกใจมาก…มากจนขังไว้ในห้องแบบไม่ยอมไห้ใครพบเลยหละข่าวเลยไม่รูว่าของที่ถูกใจดอนฟีเลทัสคือใคร แล้วตอนนี้แก๊งค์ต่าง ๆ ตามหาตัวคนนั้นให้ควักเลยหละ เห็นว่ามีค่าหัวด้วยนะถ้าใครหาคน ๆ นั้นเจอ” มาสเตอร์หนุ่มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งหากแต่แววตาฉายแววไม่พอใจอยู่ลึก ๆ และที่อาเบลแสดงอาการออกมาเช่นนั้นก็เป็นเพราะเขาไม่ค่อยชอบข่าวทำนองนี้สักเท่าไหร่นักแถมเขาก็ไม่ชอบขายข่าวทำนองนี้ให้ใครด้วยเสียด้วย ซึ่งเหตุผลมันก็ไม่มีอะไรมากมายนอกจากมาสเตอร์หนุ่มคนนี้ไม่ค่อยชอบวิธีการขี้ขลาดอย่างเช่นการสืบหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายเพื่อบีบบังคับให้คน ๆ นั้นทำตามที่ตัวเองต้องการ แต่ครั้งนี่คงเป็นกรณียกเว้นเพราะถ้าเขาไม่พูดเรื่องนี้ให้ร่างโปร่งบางฟังอีกไม่เกินครึ่งวันคน ๆ นี้ก็ต้องรู้เรื่องทั้งหมดอยู่ดี...สู้เขาบอกให้รู้ไปเลยดีกว่า ร่างสูงเอนตัวพิงไปกับโซฟามือกร้านค่อย ๆ ถอดแว่นออกก่อนจะไล่มือขึ้นไปเสยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ปรกหน้าตน



“ฉันไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นจะตามหาคน ๆ นั้นเจอเมื่อไหร่แต่ฉันก็ไม่ค่อยชอบวิธีนี้สักเท่าไหร่แต่ถ้าฉันไม่บอกนายอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงนายก็คงรู้ข่าวนี้อยู่ดี” ร่างสูงไหวไหล่ขึ้นเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนนั้นไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับข่าว ๆ นี้ หากแต่มันผิดกับร่างโปร่งบางที่นั่งอยู่ตรงหน้าของมาสเตอร์หนุ่ม เพราะตอนนี้ใบหน้าสวยที่เต็มเคยไปด้วยความมั่นใจแสดงอาการตึงเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเกือบจะเป็นเส้นตรง การแสดงสีหน้าแบบนี้ของครีแวนนั้นนาน ๆ ทีจะเผยออกมาให้คนอื่นเห็น



ซึ่งทุกครั้งที่ร่างเพรียวนี้แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมามันก็มีอยู่แค่สองกรณีนั่นก็คือถ้าเรื่อง ๆ นั้นมันเกี่ยวข้องกับตัวเอง แล้วอีกกรณีคือเรื่อง ๆ นั้นมันเกี่ยวข้องกับน้องสาวของเขา ซึ่งอาเบลขอเลือกข้อที่หนึ่งนั่นก็คือเรื่องราวที่เป็นที่ฮือฮาในตอนนี้ต้องเกี่ยวกับเรื่องที่ร่างโปร่งบางนี้หายตัวไปนานนับเดือนแน่นอน และอาเบลก็ไม่ยอมให้เวลาเสียไปอย่างสูญเปล่าร่างสูงค่อย ๆ โน้มตัวลงมา ท่อนแขนทั้งสองข้างนั้นเท้าลงกับโต๊ะ “ครีแวน…คน ๆ นั้นคือนายใช่ไหม” สิ้นคำถามสีหน้าของร่างโปร่งบางยิ่งเรียบเฉยยิ่งกว่าเก่าครีแวนไม่ได้เอ่ยปากตอบหากแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ



ความจริงแล้วครีแวนนั้นไม่ใช่คนที่จะถูกใครอ่านออกได้ง่าย ๆ แบบนี้ เขาเป็นนักขายข่าวที่เก็บอาการและสีหน้าเก่งมากและที่สำคัญถ้าหากร่างโปร่งบางนี้พูดโกหกต่อให้เป็นเขาที่เป็นคนคอยสอนทักษะพวกนี้ให้ก็ไม่สามารถจับโกหกได้ หากแต่ตอนนี้ครีแวนกลับเปลี่ยนไปเขาแสดงอารมณ์ทางสีหน้าออกมาได้มากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนไปแบบนี้ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีมันดีมากถ้าหากเขาใช้ชีวิตในฐานคนธรรมดา แต่สำหรับคนที่ยืนอยู่ในโลกด้านมืดแล้วการเก็บอาการและสีหน้าไม่ได้แบบนี้นั้นมันเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดและมันก็ยิ่งเลวร้ายมากกับคนขายข่าวไร้สังกัดแบบนี้



ใบหน้าคมตึงเครียดเขาเงียบเสียงรอให้อีกฝ่ายเอ่ยตอบหากแต่คำตอบที่เขาได้รับนั่นก็คือความเงียบงัน...ครีแวนไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ คนทั้งสองคนยังนั่งเงียบอยู่เช่นนั้นจนในท้ายที่สุดมาสเตอร์ร้านกาแฟก็ต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา การพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวนี่ดำเนินไปอีกสักพักจนท้ายที่สุดดูเหมือนสติของครีแวนจะไม่สามารถรับรู้หรือเก็บข้อมูลอะไรได้อีกแล้ว ร่างโปร่งบางเอ่ยขอตัวเสื้อโค๊ดสีเข้มถูกหยิบขึ้นมาสวมใส่ก่อนที่ร่างโปร่งบางนั้นจะขอตัวออกไป นัยน์เนตรคมได้แต่มองตามแผ่นหลังนั่นไป โดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย



เรื่องจะถูกเปิดเผยเมื่อไหร่มันขึ้นอยู่กับเวลา ซึ่งรุ่นน้องของเขาคนนี้จะมีกำลังพอที่จะหนีรอดจากเงื้อมือของคนพวกนั้นหรือเปล่ามันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของร่างโปร่งบาง เมื่อร่าง ๆ นั้นเดินหายไปจนลับสายตามาสเตอร์หนุ่มก็เดินกลับเข้าไปในร้านและทำหน้าที่ของตนเองต่อ






หลังจากที่ครีแวนก้าวเดินออกมาจากร้านการเดินของเขาก็ดูไร้จุดหมาย ตอนนี้สภาพของเขายังไม้สมควรที่จะพูดคุยกับใครและยังไม่สมควรที่จะไปสืบหาข่าวเพื่อนมาขาย เพราะเรื่องที่เป็นประเด็นในตอนนี้มันก็คือ ของสำคัญของดอนฟีเลทัสคนนั้นคือใครซึ่งถ้าได้ยินข่าวพวกนั้นอีกเขาคงจะแสดงพิรุจอะไรออกมาให้คนอื่นจับได้แน่นอน ร่างโปร่งบางยังคงย่างเท้าเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดเขาก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโบสถ์แห่งนี้ ใบหน้าสวยมองผ่านประตูรั้วเข้าไปภาพตรงหน้ามันช่างทำให้ตัวเขานึกถึงสมัยตอนที่ตนเองและผู้เป็นน้องสาวเด็ก ๆ ซึ่งทุกวันหยุดเขามักจะมาวิ่งเล่นกับผู้เป็นน้องสาวที่ลานกว้างของโบสถ์แห่งนี้เสมอ หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปนับตั้งแต่พ่อและแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อตอนเขาอายุเพียง 15 และน้องสาวที่อายุไม่ถึง 6 ขวบดี ซึ่งเขาชื่อว่าการตายของผู้ให้กำเนิดนั้นมันไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่ตำรวจบันทึกในแฟ้มคดี หากแต่มันคือการฆาตกรรมต่างหาก และตัวเขาที่ยึดถือเช่นนั้นก็หันสินใจหันหลังให้กับแสงสว่างและเดินเข้าสู่โลกด้านมืดตั้งแต่ตนเรียนจบจูเนียร์ไฮสคูล ซึ่งในตอนแรกการสืบข่าวของเขามันเริ่มต้นในรั้วซีเนียร์ไฮสคูลครีแวนนั้นคอยแอบฟังและบันทึกข่าวคราวที่เหล่าลูก ๆ ผู้มีอิทธิพลคุยกันหากแต่มันก็ไม่ได้ความอะไรเท่าไหร่นักจนท้ายที่สุดเขาก็ต้องตัดสินใจเดินเข้าสู่โลกด้านมืดอย่างเต็มตัว จากการสืบข่าวเล็ก ๆ น้อย ๆ ในโรงเรียนเพียงอย่างเดียว เปลี่ยนมาเป็นการสืบข่าวตามผับและบาร์ต่าง ๆ จนในที่สุดเขาก็ได้พบกับอาเบลหรือจะเรียกให้ถูกก็คืออาจารย์ของเขาแม้ตอนนี้ชายคนนั้นจะเรียกครีแวนว่าเป็นรุ่นน้องก็ตาม คน ๆ นั้นคอยสอนทุกอย่างให้กับเขาและมักจะนำข่าวที่เขาต้องการรู้มามอบให้เสมอ จนท้ายที่สุดเรื่องราวที่เขาต้องการรู้ก็ถูกรวบรวมมาได้จำนวนหนึ่งหากแต่มันก็ยังไม่สามารถทำตัวของครีแวนรู้ได้ว่าตัวการของเรื่องราวทั้งหมดนั่นคือใคร และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ครีแวนเดินลึกเข้าไปในโลกด้านมืดนี่อีกก้าว เขาเริ่มที่จะสืบข่าวของแก๊งค์มาเฟียที่เก่าแก่และมีอำนาจมากขึ้น จนท้ายที่สุดก็มาถึงตระกูลฟีเลทัส ซึ่งตามที่เห็นเขาพ่ายแพ้อีกฝ่ายอย่างหมดท่าหากแต่มันก็ทำให้ครีแวนได้รู้ว่าการตายของพ่อแม่เขาไม่ได้เกิดขึ้นจากคนในตระกูลนี้...และในตอนนี้ก็เหลือเพียงตระกูลเดียวที่เขาต้องสืบถึง ‘ตระกูลหรือแก๊งค์ราดอฟล์’ แม้มันจะไม่ได้สืบยากมากมายแบบตระกูลฟีเลทัส แต่เรื่องความโหดของตระกูลนี้...แก๊งค์นี้ มันไม่เป็นสองรองใครเลยจริง ๆ เพราะเท่าที่ครีแวนได้ยินข่าวเกี่ยวกับตระกูลนี้พวกเขาทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะต้องฆ่าใครต่อใครไปมากมายขนาดไหนก็ตาม ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นนัยน์เนตรทั้งสองข้างหลับตาลง ‘สงสัยต้องไปฝากยัยวิเวียนกับมาสเตอร์ซะแล้วสิ’ เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาพร้อมกับดวงเนตรที่ลืมตื่นขึ้น



ในตอนนี้ครีแวนได้ตัดสินใจแล้วว่าตนนั้นจะทำอะไรต่อ ตอนนี้ครีแวนไม่จำเป็นต้องเสียเวลาสืบข่าวของแก๊งค์ไหน ๆ อีกต่อไปแล้วเพราะเป้าหมายทั้งหมดถูกตัดออกไปเหลือเพียงแต่ตระกูลราดอฟล์เท่านั้นและที่สำคัญตระกูล ๆ นี้เป็นอริกับตระกูลฟีเลทัสเสียด้วย ถ้าหากคนพวกนั้นรู้ว่าบุคคลนิรนามที่พวกตนตามหาจนพลิกแผ่นดินเป็นเขาแล้วหละก็...งานนี้คงต้องพลาดแน่นอน



แต่ครีแวนตัดสินใจแล้วว่าความผิดพลาดนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับเขาอีกต่อไปแล้ว นัยน์เนตรสีไพลินวาวโรจน์ก่อนที่เขาจะหันหลังและเดินกลับไปยังทางเดิมที่ตนเคยผ่านมา


ถึงเขาจะตายแต่ก็ต้องตายแบบลากอีกฝ่ายลงนรกไปด้วย...



และเมื่อครีแวนกลับมาถึงคอนโดนองสาวตัวแสบที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนก็ถลาเข้ามากอดเอวเขาหลวม ๆ ครีแวนรูดีว่ายัยน้องคนนี้แขงแกร่งแต่ภายนอกเท่านั้นหละ แต่จริง ๆ แล้วขี้แยอย่างกับอะไรดี มือบอบบางยกขึนไปลูบศีรษะเล็กนั่นอย่างเบามือก่อนจะจูงมือเด็กสาวให้ไปนั่งที่โต๊ะอาหาร



“วันนี้หวังว่ารสชาติอาหารจะไม่มีรสไหม้นะ” ครีแวนกล่าวหยอกผู้เป็นน้องสาว ซึ่งคำตอบที่ได้มาคือมือเล็กที่ยื่นเข้ามาเขกหัวของเขาหนึ่งที



“จะบ้าหรือไงไม่ไหม้หรอกน่าเราฝึกมาตั้งเดือนนึงตอนที่ครีแวน ‘ไม่คิดจะกลับบ้าน’ เราว่าเราทำอาหารอร่อยกว่าครีแวนแล้วด้วยหละ” เด็กสาวพูดตอกกลับหากแต่ในประโยคเหล่านั้นมีถ้อยคำง้องอนแอบแฝงอยู่ ซึ่งครีแวนก็ไม่คิดที่จะสนใจอะไรสักนิด เขาก้มหน้าก้มตาทางอาหารที่อยู่ในจานจนท้ายที่สุดทุกอย่างที่ถูกจัดเรียงเบื้องหน้าเขาก็หายไปจนหมดมือเรียวหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดที่ริมฝีปากก่อนจะยังกายให้ลุกขึ้นยืนเพื่อไปเตรียมความพร้อม



ครั้งนี้เขาอาจจะหายสาบสูญไปเลยก็ได้แต่กระนั้นก็ยังขอให้ตัวเองต่อส็ให้ได้หน่อยเถอะ ขาเรียวรีบก้าวเดินแจ็คเก็ตตัวเก่งถูกนำมาใส่พร้อมกับการตรวจเชคอาวุธทั้งหมดว่ามันอยู่ดีไหม...ซึ่งบอกเลยว่าอาวุธทั้งหมดของครีแวนนั้นอยู่ไม่ครบหรือจะให้พูดอย่างเปิดเผยนั่นก็คือมันไม่มีเลยสักชิ้นเดียว มือบางถูกยกขึ้นและตบไปที่หน้าผากของตนเต็มแรง



เขาลืมไปสนิทเลยว่าอาวุธทุกอย่างของเขาถูกไอบ้านั่น หรือ ‘ดอนฟีเลทัส’ ยึดไปหมดทั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าไปเหยียบที่คฤหาสน์แห่งนั้น แล้วตอนนี้เขาจะทำยังไงดีทั้ง ๆ ที่รู้เป้าหมายแล้วแต่กลับทำอะไรไม่ได้จะสั่งทำอาวุธใหม่ก็กลัวว่ามันจะไม่เหมือนเดิมทั้งหมด และถ้าให้พูดว่าเขาอยากสั่งทำอาวุธพวกนั้นใหม่ไหมขอบอกเลยว่าไม่เพราะของพวกนั้นมันเป็นของดูต่างหน้าของพ่อเขามันมันเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากกว่าเงินมากมายมหาศาลที่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองทิ้งไว้ให้ และในตอนที่เขาพบเจอเซทมีดพกพวกนั้นเขาก็เจอจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนบอกว่าให้ตัวของเขาปล่อยวางและอย่าได้ตามสืบเรื่องราวอะไรหากผ็ให้กำเนิดทั้งสองจากไป หากแต่ตัวครีแวนนั้นปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น เขาหันหลังให้กับโลกของแสงสว่างและเดินเข้าสู่โลกด้านมืดด้วยความตั้งใจของตนเอง แล้วตอนนี้เขาควรทำยังไงกันถึงจะได้อาวุธของเขากลับคืนมา…ซึ่งมันก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวที่จะทำให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการอย่างรวดเร็วที่สุด...ริมฝีปากบางเม้มลงอีกครั้งคิ้วเรียวงามนั้นขมวดเข้าหากันจนแทบจะกลายเป็นปม
และวิธีนั่นก็คือ...เขาต้องกลับไปที่คฤหาสน์แห่งนั้นอีกครั้งแล้วกระชากคอเจ้าบ้านั่นให้คืนของของเขามาให้หมด ซึ่งก็ต้องเสี่ยงดวงว่ามันจะยอมคืนให้เขาดี ๆ ไหมด้วย นัยน์เนตรสีไพลินหันไปมองนาฬิกาซึ่งในตอนนี้เข็มสั้นชี้บอกเวลาแล้วว่าในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่จะสมควรเข้านอนได้แล้ว ร่างสูงโปร่งนั้นทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับปล่อยให้เรื่องราวที่ตนเองจะจัดการเป็นเรื่องของวันต่อไป



เสื้อโค้ดและแจ็คเก็ตถูกโยนไปพาดไว้ที่โซฟาพร้อมกับร่างเพรียวบางที่ทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียง นัยน์เนตรทั้งสองข้างปิดสนิทและเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว





การใช้ชีวิตประจำวันยังเดินต่อไปอย่างปกติซึ่งหลังจากที่ได้กลับมายังบ้านที่พักอาศัยของตนตอนนี้เวลาก็ผ่านไปร่วม ๆ สองอาทิตย์แล้ว แต่ว่าระยะเวลาสองอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นครีแวนยังไม่ได้ออกไปเอาอาวุธหรือของดูต่างหน้าผ็เป็นบิดากลับมาเลยสักชิ้นเดียว และเหตุผลที่ทำให้ครีแวนไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้นั่นก็คือน้องสาวตัวแสบที่มีนามว่า ‘วิเวียน เดอ เมอร์เรส’ นั่นเอง แล้วทำไมเด็กสาวร่างเล็กผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตาเฉกเช่นผู้เป็นพี่ชายถึงเป็นต้นเหตุนั่นก็เป็นเพราะไม่ว่าครีแวนจะกระดิกตัวไปทางไหนเด็กสาวแสนซนคนนี้ก็จะกระดิกตัวตามทุกครั้ง แม้แต่ตอนที่เขาจะลุกไปเข้าห้องน้ำยัยน้องสาวตัวแสบนี่ก็ดึงดันจะตามไปด้วยทุกครั้งและนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ครีแวนยังไม่สามารถออกไปเอาอาวุธคืนจากคน ๆ นั้นได้



หากถ้ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไปมันก็ยิ่งจะเสียเวลาแต่ในที่สุดโอกาสของครีแวนก็มาถึง เพราะวันนี้วิเวียนมีนัดที่จะไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ซึ่งโอกาสที่เขาจะแอบหลบไปยังคฤหาสน์ฟีเลทัสนั้นได้ก็มาถึง เด็กสาวรีบแต่งตัวเสื้อหนาวสีฟ้าอ่อนถูกสวมทับด้วยเสื้อโค้ดสีน้ำตาลอ่อนใบหน้าเล็กนั้นคลี่ยิ้มพร้อมกับหมุนตัวให้ผู้เป็นพี่ชายดู ซึ่งมีหรือคนอย่างครีแวนจะสนใจอะไรในเรื่องพวกนี้ มือเรียวถูกยกขึ้นมาป้องปากหาวก่อนจะโบกมือไล่ให้น้องสาวของตนรีบไปให้พ้น ๆ สักที ซึ่งวิเวียนก็ทำตามอย่างที่ครีแวนบอกนั้นก็คือการไปให้พ้น ๆ แต่ก่อนที่เด็กสาวจะวิ่งออกไปจากห้องเธอได้ฝากลูกเตะไว้กับผู้เป็นพี่ชายแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ครีแวนส่งสายตาอาฆาตตามแผ่นหลังของผู้เป็นน้องสาว และเมื่อเสียงบานประตูห้องปิดลงร่างสูงเพรียวก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินตรงไปยังห้องแต่งตัวของตนเพื่อเตรียมตัวกลับไปยังคฤหาสน์แห่งนั้น



‘หวังว่าการกลับไปที่นั่นในครั้งนี้อีกฝ่ายจะยอมปล่อยให้เขาออกมาง่าย ๆ นะ’ ริมฝีปากบางพึมพำกับตนแผ่วเบาก่อนร่างโปร่งบางนั้นจะรีบเคลื่อนตัวออกจากห้องไป





ขาทั้งสองข้างเร่งสาวเท้าเดินมือั้งสองข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค๊ดเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย หากแต่ในขณะที่ครีแวนรีบเร่งนั้นเขาไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าด้านหลังของเขามีใครบางคนแอบเดินตามเขาอยู่ และเมื่อขาทั้งสองข้างของร่างโปร่งบางเดินไปถึงถนนใหญ่ มือบางรีบเร่งโบกรถแท็กซี่และถลาขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังทันทีเสียงหวานเอ่ยบอกถึงจุดหมายที่ตนต้องการจะไปและเช่นเดียวกับบุคคลนิรนามที่ตามเขาคน ๆ นั้นก็สั่งให้รถยนต์ที่ตนนั่งนั้นขับตามเส้นทางที่ครีแวนต้องการจะไป



การเดินทางนี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดีในตอนนี้ครีแวนก็มาถึงถนนเส้นใหญ่ที่มุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ฟีเลทัส ครีแวนเร่งสาวเท้าเดินอีกครั้งและมุ่งตรงไปยังจุดที่ตัวเองเคยหันหลังจากมา ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะเขากำลังหาวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมคืนของทั้งหมดมาให้เขา ซึ่งการใจจดใจจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเป็นเรื่องดีหากแต่จดจ่อเกินไปจนทำให้การระวังตัวนั้นลดลงก็อาจจะส่งผลร้ายให้กับตนเช่นกัน



บุคคลนิรนามยังคงเดินตามอยู่ทางด้านหลังร่าง ๆ นั้นค่อย ๆ เดินตามแผ่นหลังนั่นไปโดยทิ้งระยะปลอดภัยไว้และเมื่อร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเดินมาถึงหนาประตูบานใหญ่สิ่งแรกที่ครีแวนทำก็คือกดอินเตอร์โฟนแล้วตะคอกเสียงเรียกดอนหนุ่มผู้นั้น “ไอเจ้าบ้าเฮลาส ฟีเลทัส โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย’ สิ้นเสียงหวานไม่มีถ้อยคำใด ๆ ตอบกลับจากด้านในหากแต่บานประตูที่ปิดกั้นนั้นถูกเปิดออกเพื่อเชื้อเชิญให้ร่างบอบบางนั้นเข้าไป



“เจ้าบ้าถ้าแกไม่คืนของ ๆ ฉันมาให้ครบแล้วหละก็…เตรียมตัวตายได้เลยเจ้าบ้า” เสียงนุ่มกร่นด่าอีกครั้งพร้อมกับขาทั้งสองข้างที่สาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน


ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่าหากแต่โดนมนุษย์จับมาเลี้ยงสักครั้งหนึ่งแล้วมันก็ไม่มีทางลืมเลือนสัมผัสของผู้เป็นเจ้านาย




ร่างสูงโปร่งเดินผ่านเข้าไปแล้วหากเหลือแต่บุคคลนิรนามที่ยังยืนอยู่ภายนอกร่าง ๆ นั้นสงเสียงจิ๊จ๊ะออกมาอย่างไม่พอใจหากแต่เขาก็ยังไม่คิดที่จะเลิกล้มความตั้งใจหากประตูบานนั้นไม่เปิดให้ตนเข้าไปมันก็มีทางอื่นที่ทำให้เข้าไปได้อีกเมื่อคิดได้เช่นนั้นร่าง ๆ นั้นก็จัดการปีนรั้วเข้าไปอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาไม่ได้คำนึงเลยว่าการที่ตัวเองย่างก้าวเข้าไปในที่แห่งนี้มันจะเปลี่ยนชีวิตตนจากหน้ามือเป็นหลังมือ









_____________TBC______________




ตอนนี้สอนให้รู้ว่า... สัตว์เลี้ยงถ้าไ่มีเจานายกำกับ...ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 7] 25/10/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-10-2014 19:30:41
เขาคือใคร
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 7] 25/10/2014 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 27-10-2014 21:05:31

ข่าวอัพเดทค่ะถาเกิดสนใจนิยายเรื่องนีฉบับรวมเล่มรายละเอียดตามนี้ค่ะ>>> http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44183.new#new



Chapter 8


เมื่อร่างสูงโปร่งก้าวผ่านพ้นประตูรั้วขาทั้งสองข้างก็รีบสาวเท้าเดินตรงไปยังตัวคฤหาสน์ ในตอนนี้เป้าหมายของร่างโปร่งบางนั้นคือการเข้าไปกระชากคอชายหนุ่มที่มีนามว่า ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ แล้วกร่นด่ายาว ๆ ไปสักชุดให้สะใจต่อด้วยประเคนหมัดให้ไปสักที หากแต่ความคิดพวกนั้นของครีแวนก็ต้องจบลง เพราะตั้งแต่ร่าง ๆ นี้ก้าวเข้าไปในตัวคฤหาสน์ทั้งสองข้างก็ถูกขนาบด้วยเหล่าการ์ดของตระกูลฟีเลทัส มือทั้งสองข้างถูกไขว้ล๊อคไว้ด้านหลังขาทั้งสองข้างถูกเตะตัดให้ทรุดนั่งลงไปกับพื้น ริมฝีปากบางได้แต่กร่นด่าอยู่ในใจหากแต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรตอบโต้ได้เลยสักนิด เจ้าของใบหน้าสวยนั้นถูกจับให้นั่งรออยู่ในห้องโถงของคฤหาสน์ไปสักพักในที่สุดร่างสูงที่คุ้นตาก็สะท้อนเข้ามาในดวงตา ร่าง ๆ นั่นก็คือร่างของเด็กหนุ่มที่เรือนผมสั้นสีแดงดั่งเปลวเพลิงและนัยน์เนตรสองสีที่แตกต่างกัน สีหน้าของเด็กหนุ่มดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเหล่าการ์ดของตนยืมรุมล้อมบางสิ่งอยู่หากแต่เมื่อเขาก้าวเข้าไปใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัยก็ต้องตกตะลึงเพราะร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั่นก็คือร่างสูงโปร่งที่เคยอยู่ ณ ที่แห่งนี้เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว



“คุณ...กลับมาที่นี่ทำไม” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มเอ่ยถามมือกร้านถูกตวัดให้เหล่าการ์ดที่ล๊อคตัวร่างโปร่งบางอยู่ให้ปล่อยเขาเป็นอิสระ และเมื่อครีแวนถูกปล่อยพันธนาการชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตาก็ลุกขึ้นยืนมือบางยกขึ้นมาเกลี่ยผมที่ปรกหน้าตนเบา ๆ



“ฉันมาทวงของคืนจากไอบ้านั่น มันเอาของ ๆ ฉันไป” เสียงนุ่มเอ่ยตอบมือทั้งสองข้างบิดไปมาเพื่อคลายความปวดเมื่อยจากการถูกล๊อคตัวเมื่อสักครู่ ซึ่งเมื่อเด็กหนุ่มที่ได้ยินประโยคพวกนั้นใบหน้าคมก็เลิกคิ้วสูงภายในสมองของเขาพลางคิดว่าน้าชายของตนไปยึดหรือเก็บสิ่งของอะไรของร่างโปร่งตรงหน้า เด็กหนุ่มนึกย้อนกลับไปวันแรกที่ครีแวนได้ถูกจับตัวเมื่อก้าวเข้ามายังคฤหาสน์แห่งนี้ และเท่าที่เขาจำได้ตอนที่เจอร่างสูงโปร่งนี้ครั้งแรกร่างโปร่งบางแทบจะไม่ได้พกอะไรติดตัวเลยเพราะนอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่และอาวุธติดตัวแล้วเขาก็ไม่เห็นอะไรนอกจากนี้ หรือว่าสิ่งที่ร่างโปร่งบางนี้ต้องการได้คืนมันเป็นอาวุธพวกนั้น



“อาวุธของคุณอย่างงั้นหรือครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามซึ่งคำตอบกไม่ได้แตกต่างไปจากที่คาร์เร่คาดเดาสักเท่าไหร่นักเพราะอีกฝ่ายรีบตอบออกมาแทบจะทันทีที่เสียงทุ้มนั้นเอ่ยจบลง “เออ...อาวุธของฉันนั่นหละ นายช่วยบอกไอบ้านั่นให้รีบเอามาคืนสักที”
สิ้นถ้อยคำพวกนั้นเด็กหนุ่มได้แต่ส่ายศีรษะไปมาเป็นคำตอบ ซึ่งที่เขาต้องตอบออกไปเช่นนั้นนึ่นก็เป็นเพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วน้าชายของเขาเพิ่งส่งอาวุธของคนตรงหน้าเชาทั้งหมดไปให้ช่างจัดทำใหม่ทั้งหมด ซึ่งตอนนี้อาวุธพวกนั้นก็ยังไม่ได้คืนเลยสักชิ้นท่าทางการมาที่นี่ในครั้งนี้ของครีแวนจะสูญเปล่าเสียแล้ว



“ขอโทษด้วยครับถ้าหากมันยังอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ผมคงไปหยิบคืนให้คุณได้...แต่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์และตอนนี้น้าชายของผมไม่อยู่สียด้วยผมคงไม่สามารถนำมาคืนให้คุณหรือถามน้าชายให้ได้และถ้าหาคุณต้องการจะรอตามตารางเวลาแล้วน้าชายของผมจะกลับมาถึงที่นี่ในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังถ้าเกิดคุณรอได้ผมจะนำทางคุณไปยังห้องพักของเขาให้แต่ถ้าไม่ผมคงต้องใช้วิธีเดิมกับคุณโดยการกักตัวคุณไว้และพาไปส่งตอนเที่ยงคืนเหมือนครั้งที่แล้ว” มือแกร่งหยิบสมุดตารางงานของน้าชายตนขึ้นมาอ่าน นัยน์เนตรคมสองสีนั้นมองไล่ตามตัวอักษรที่ตนนั้นได้จดบันทึกไว้ ซึ่งสิ่งที่ตัวของคาร์เร่พูดออกไปนั้นมันไม่เหมือนกับการเป็นทางเลือกเลยสักนิด เพราะไม่ว่าครีแวนจะเลือกทางไหนตัวเขาก็ต้องรอเหมือนกัน ซึ่งส่วนที่มันแตกต่างกันมันก็คือคำพูดเท่านั้นหละ โดยถ้าเขาเหลือขอแรกตัวของครีแวนก็จะได้ ‘นั่งรอ’ ดี ๆ ภายในห้องทำงานสุดหรูของคน ๆ นั้น และหากเขาเลือกข้อสองเขาก็จะโดน ‘กักตัว’ ในอยู่ภายในห้องทำงานของชายร่างสูงนั่นอยู่ดี






ดังนั้นการเลือกข้อสองไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นต่อให้เลือกทางไหนเขาก็ไม่เห็นความต่างของมันอยู่ดี ใบหน้าสวยเบนหน้าหนีมือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาไขว้อกกันไว้บริเวณแผ่นอก “ไม่ว่าฉันจะเลือกข้อไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง จะพาฉันไปห้องของไอบ้านั่นก็รีบ ๆ ฉันมีธุระที่ต้องทำอีกเยอะ” เสียงนุ่มเอ่ยถ้อยคำจิกกัด ซึ่งเด็กหนุ่มผู้ที่มีนิสัยแทบจะไม่แตกต่างจากน้าชายของตนได้แต่ส่งรอยยิ้มอันแสนกวนประสาทมาให้



ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัยพยักหน้าตอบรับพร้อมกับเดินนำทางร่างโปร่งบางไป หากแต่ในขณะที่ที่ทั้งสองคนจะเดินไปยังคฤหาสน์ฝั่งตะวันออกเสียงบานประตูคฤหาสน์ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กของบุคคลนิรนามที่ถูกผลักเข้ามาทางด้านใน คาร์เร่หันหลังกลับไปมองที่ประตูและเช่นเดียวกันกับครีแวนและทันทีที่ทั้งสองคนเห็นร่าง ๆ นั้นเต็มสายตา ใบหน้าสวยของครีแวนนั้นเบิกตากว้างส่วนใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ยังคงตีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม



บุคคลนิรนามที่แอบตามร่างสูงโปร่งของครีแวนมาตลอดทานั่นก็คือ ‘วิเวียน เดอ เมอร์เรส’ หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ‘น้องสาวตัวแสบของครีแวนนั้นเอง’



เมื่อร่างเล็กที่กำลังส่งเสียงโวยวายเห็นร่างสูงโปร่งของผู้เป็นพี่ชาย ใบหน้าสวยตั้งแต่เยาว์วัยนั้นก็คลี่รอยยิ้มร่างเล็กนั่นก็รีบวิ่งปรี่เข้าไปหาผู้เป็นพี่ชายของตนทันที มือเล็กนั้นรวบกอดเอวบางใบหน้าสวยนั้นก็ซุกลงไปบนแผ่นอกของผู้เป็นพี่ชายตนด้วยเช่นกัน
ครีแวนได้แต่ยกมือขึ้นมากุมบริเวณศีรษะใบหน้างดงามนั้นส่ายไปมาด้วยความระอา… ‘วิเวียน ยัยนองสาวตัวแสบเธอนี่มันร้ายกาจกว่าที่ฉันคิดไว้มากโขเลยนะ’ ครีแวนไดแต่ทอดถอนลมหายใจ ส่วนเด็กหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ก็หันไปมองใบหน้างดงามราวกับว่าต้องการคำอธิบาย



“ฉันคิดว่าก่อนที่นายจะพาฉันไปรอที่ห้องไอบ้านั่น นายคงต้องพาฉันไปที่ห้องของนายก่อนแล้วหละพอดีฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วย...เรื่องเกี่ยวกับยัยตัวแสบที่กอดเอวฉันอยู่เนี่ยหละ” เสียงนุ่มเอ่ยตอบเด็กหนุ่ม ซึ่งผู้ที่รับฟังถ้อยคำพวกนั้นก็ไม่คิดจะปฏิเสธร่างสูงสง่าของเด็กหนุ่มเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง และนำพาร่างทั้งสองร่างเดินไปยังคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกแทน ตลอดทางเดินไม่มีเสียงพูดคุยอะไรเลยสักนิด หากแต่เสียงที่มีคงจะเป้นเสียงสะอื้นเบา ๆ ของเด็กสาวที่กอดเองบางของผู้เป็นพี่ชายของตนอยู่



ใบหน้าสวยเบ้ปากอย่างเบื่อหน่าย หากแต่มือทังสองข้างกคือประคองและลูบศีรษะของผู้เป็นน้องสาวตนไปตลอดทาง และใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่นักคนทังสามคนก็มายืนอยู่หนาประตูหองของเดกหนุ่ม ผู้เป็นเจ้าของหองเปิดประตูเชื้อเชิญให้สองคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังเดินเข้าไป “ผมรู้นะครับว่าคุณคิดจะทำอะไร จะฝากน้องสาวของคุณไว้ที่ห้องของผมก่อนแล้วค่อยเข้าไปรอที่ห้องน้าชายของผมสินะครับ” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างรู้ทัน หากแต่ที่เด็กหนุ่มคิดมันก็ไม่ได้ถูกไปเสียทั้งหมด



“ใช่ฉันจะฝากน้องสาวของฉันไว้ที่ห้องของนายก่อนและมีอะไรจะคุยมากกว่านั้นด้วย” ใบหน้างดงามนั้นเบนหนีมือทั้งสองข้างพยายามแงะร่างเล็กที่เกาะเอวตนแน่นให้ถอยห่างออกไป “วิเวียนปล่อยได้แล้วไม่มีใครทำอะไรเธอแล้ว แต่ต่อให้ทำมันก็ความผิดของเธอที่แอบเข้ามา” ครีแวนกล่าวว่าน้องสาวของตน และเมื่อเด็กสาวได้ยินเช่นนั้นใบหน้าสวยก็เงยหน้าออกจากแผ่นอกของผู้เป็นพี่ชายทันที ดวงหน้าสวยนั้นไม่มีแม้แต่คราบน้ำตา ซ้ำริมฝีปากสีชมพูดเรื่องยังคลี่รอยยิ้มร้ายออกมาเสียด้วย



ซึ่งอย่างที่เห็นเด็กสาวคนนี้ไม่มีอาการหวาดกลัวหรือตกใจอะไรเลยสักนิดเดียวซ้ำยังทำท่าทางตื่นเต้นที่ได้เข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่หลังนี้เสียด้วย “นี่ครีแวนที่ทำท่าจะหนีออกมาจากบ้านเพราะจะมาที่นี่เหรอ...ทำไมไม่บอกเราว่าจะมาที่นี่ถ้าบอกนะเราจะยอมให้มาเลยแล้วเราก็จะตามมาด้วย” เสียงแหลมเล็กเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ซึ่งท่าทางของผู้เป็นน้องสาวนั้นมันช่างแตกต่างจากผู้เป็นผู้ชายเหลือเกิน



ครีแวนยืนมองหน้าเด็กสาวด้วยแววตานิ่งสนิทจากนั้นมือบางก็ถูกยกขึ้นพร้อมกับตบใบหน้าขาวนั้นเต็มแรก “ที่ฉันไม่ให้เธอมาเพราะว่ามันอันตราย แล้วนี่หลอกฉันว่าจะไปข้างนอกแต่ดันดื้อแอบตามมาจะให้ฉันว่าเธอแบบไหนดีวิเวียน” ครีแวนตะกอนด่าผู้เป็นน้องสาวเสียงดังมืออีกข้างเตรียมยกขึ้นมาตบผู้เป็นน้องสาวตนอีกสักทีสองหา หากแต่ความตั้งใจนั่นก็ถูกยกด้วยมือของเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่อยู่ภายในห้อง ริมฝีปากบางส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ มือบางพลางสะบัดมือตนให้หลุดพ้นจากการพันธนาการ



“ไม่ใช่เรื่องของนาย คาร์เร่ ฟีเลทัส ฉันต้องสั่งสอนน้องสาวที่เอาแต่ใจให้รู้เสียมั่งว่าการที่ตามฉันมานี่มันเป็นเรื่องถูกหรือผิด” นัยน์เนตรสีไพลินวาวโรจน์ด้วยความโกรธและอารมณ์ที่ใบหน้างดงามแสดงออกมานั้นมันเต็มไปด้วยความเย็นชา ครีแวนไม่เคยโกรธอะไรมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แต่มันก็อาจจะผิดเองที่ครีแวนปล่อยปะละเลยน้องสาวของตนมากเกินไปเด็กสาวคนนี้ถึได้เอาแต่ใจและดื้อดึงซะขนาดนี้



“ผมรู้ว่าคุณไม่อยากให้น้องสาวคุณเดินเข้ามาในโลกด้านนี้แต่มันไม่ทันแล้วครับ ตอนนี้สิ่งที่คุณควรทำไม่ใช่การต่อว่าน้องสาวคุณ ตอนนี้ต้องเปลี่ยนมาเป็นคุณจะทำยังไงที่จะปกป้องสองสาวคุณได้มากกว่านะครับ” ถ้อยคำพูดมากมายต่างประดังประเดเข้ามาภายในสมอง ซึ่งส่วนใหญ่มันจะเป็นคำพูดที่ตัวของวิเวียนไม่เข้าฝข มือเล็กที่กุมแก้มของตนไว้ถูกยกขึ้นไปกั้นระหว่างคนทั้งสองใบหน้าสวยนั้นตีหน้าขรึมพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่ทำใครีแวนอยากจะเขกหัวน้องสาวตนไปอีกสักสองสามที “พอก่อนตอนนี้เราต้องค่อย ๆ เคลียร์ปัญหาไปทีละจุดนะครีแวน...เออแล้วนายด้วย คาร์เร่ใช่ไหมเราวิเวียนนะยินดีที่ได้รู้จัก แต่ไอเรื่องโลกด้านนี้เด้านอะไรเราไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ แต่นี่เป็นคฤหาสน์ของมาเฟียใช่ไหม โหยน่าตื่นเต้นจะมัดเลยเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่เราได้มา” เด็กสาวผู้ไม่เคยรู้สึกเดือดร้อนกับอะไรพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและแววตาตื่นเต้น และไอท่าทางแบบนี้นี่หละที่จะทำให้ครีแวนประเคนผ่ามือไปอีกสักที



“ยังมาทำตัวตื่นเต้นอะไรอีกรู้ไหมว่าที่เธอทำมันแย่แค่ไหน หมดกันที่ฉันคยปกป้องเธอมาเนี่ยเธอกับทำมันพังในวันเดียว” ความจริงแล้วในเวลาปกติการที่วิเวียนแอบตามมาที่นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจสักเท่าไหร่หนักเพราะการหาข่าวของเขามันก็เป็นการเดินไปนั่งนิ่ง ๆ ในร้านกาแฟเวลากลางวันหรือไปนั่งในผับ บาร์ในเวลาการคืน หากแต่ในตอนนี้มันไม่ใช่เวลาเพราะข่าวลือของบุคคลนิรนามที่กลายเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของดอนฟีเลทัสมันยังไม่ซ่าเลยสักนิดเดียว แถมนับวันทุกคนยิ่งขุดคุ้ยมันมากขึ้น และถ้าให้เขาคาดเดาถึงอนาคตแล้วหละก็ตัวตนที่ทุกคนตามหามันก็จะถูกเผยออกมาในไม่ช้า ซึ่งถ้าทุกคนในโลกด้านมืดรู้ว่าคน ๆ นั้นคนที่ทุกคนตามหาเป็นตัวเขามันก็อาจจะกลายเป็นเรื่องขำขันเพราะคงไม่มีใครเชื่อหรอกว่าดอนฟีเลทัสจะนอนกับผู้ชายด้วยกัน แต่นี่มันมียัยน้องสาวตัวแสบเข้ามาเอี่ยวด้วยดังนั้นจากตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวก็จะเพิ่มเป็นสองและแน่นอนว่าหลาย ๆ คนคงคิดว่าสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของดอนฟีเลทัสต้องเป็นเด็กสาวแน่นอน



“ครีแวนโกรธเราเหรอ” เมื่อเด็กสาวได้ยินถ้อยคำนั้นจนจบประโยคน้ำเสียงและท่าทางที่ตื่นเต้นนั้นก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดทันที “เราขอโทษนะ เราไม่รู้จริง ๆ ว่าเรื่องมันจะแย่แบบนี้หนะ”



หากแต่เรื่องที่มันเกิดขึ้นแล้วจะให้ย้อนกลับไปแก้ไขมันก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วมือบางถูกยกขึ้นไปลูบศิรษะผู้เป็นน้องสาวของตนอย่างเบามือแต่ก็ยังไม่วายที่จะใช้มือข้างนั้นเขกศีรษะะที่เต็มไปด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินนั่นหนึ่งที “ดี…ทำอะไรผิดรู้จักขอโทษนี่หละดีแล้ว...เอาเป็นว่าเธออยู่ที่นี่กับเขาไปก่อนฉันทำธุระเสร็จแล้วค่อยว่ากันแล้วอย่าทำตัวซฯหรือดื้ออะไรอีกแล้วกัน เพราะฉันไม่รับปากนะว่าจะช่วยเธอได้ ส่วนนายฉันฝากดูน้องสาวหน่อยแล้วกัน ส่วนห้องของหมอนั่นฉันเดินไปถูกถ้ามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิมหละนะ” สิ้นเทียงนุ่มร่างสูงโปร่งก็ก้าวเดินออกไปจากห้อง โดยเขาทิ้งให้น้องสาวของตนอยู่กับเด็กหนุ่มร่างสูงเพียงสองคน



ภายในห้องนั้นถูกความเงียบกลืนกินหากแต่ความเงียบงันนั้นมันก็คงอยู่ได้เพียงครู่เดียว พลันเสียงสะอื้นเล็ก ๆ ก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากดวงเนตรสองสีคู่งาม มือเล็ก ๆ ค่อย ๆ ยกมือขึ้นปาดมันเบา ๆ ริมฝีปากเล็กพยายามกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิดเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ในห้องมองการกระทำของเด็กสาวคนนั้นไปสักพักในที่สุดขาแกร่งทั้งสองข้างก็ก้าวเข้าไปหา มือกร้านนั้นยกมือขึ้นลูบหัวศีรษะของเด็กสาวอย่างเบามือ



“ไม่เคยโดนพี่ชายดุเลยใช่ไหมหละ” เสียงทุ้มเอ่ยถามซึ่งเด็กสาวก็ได้แต่พยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ ใบหน้าสวยนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา หากแต่แก้มขาวใสนั้นมีรอยผ่ามือขึ้นสีแดงอย่างชัดเจน “แล้วนี่เพิ่งโดนตีครั้งแรกด้วยใช่ไหม” เด็กหนุ่มเอ่ยถามต่ออีกครั้งซึ่งคำตอบที่เขาได้มันก็มาในรูปแบบเดิมคือการพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ



“อืม...ฉันว่าเธอก็สมควรโดนแล้วหละซนเสียขนาดนั้น ทำอะไรไม่คิด ดื้อ ถ้าฉันเป็นพี่ชายเธอฉันคงจับตีอีสักกสามสี่ที” จากคำพูดที่เห็นใจและการกระทำที่อ่อนโยน เปลี่ยนเป็นถ้อยคำว่าเสียงทุ้มนั้นยังเอ่ยว่าไม่หยุด จนในที่สุดจากเสียงสะอื้นและหยาดน้ำตามันก็เปลี่ยนเป็นคำพูดที่ใช้ต่อว่าสวนกลับอีกฝ่ายไป



“อ่อ…เหรอเราสมควรโดน อีกตาขี้เก๊กเราอยากรู้ว่าพี่ชายเราทำอะไรอยู่ก็เท่านั้นเลยแอบตามมาเราเป็นห่วงพี่เรานะถึงได้ทำแบบนี้” เด็กสาวลุกขึ้นยืนมือทั้งสองข้างเท้าเอวพร้อมกับเอ่ยสวนกลับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลยสักนิดร่างสูงลุกขึ้นยืนมือทั้งสองข้างไขว้กอดกันไว้บริเวณแผ่นอกกว้างริมฝีปากหนาพลางเอ่ยถ้อยคำสอนเด็กสาวออกไปยาวเหยียด “เธอนั่นหละทำตัวให้คนอื่นเขาเป็นห่วง ที่พี่ชายของเธอแอบมาแบบนี้ไม่ใช่เพราะห่วงกลัวเธอตามมาหรือไงกัน เธอนี่ไม่เคยคิดอะไรเลยสินะว่าสิ่งที่เธอทำมันจะส่งผลร้ายขนาดไหน ที่พี่เธอคอยปกป้องเธอมาตลอดเนี่ยมันสูญเปล่าตั้งแต่เธอทำตัวงี่เง่าและวางแผนตามพี่ชายมาที่นี่แล้ว” ที่คาร์เร่เอ่ยออกไปก็หวังว่าจะให้เด็กสาวตรงหน้าตนนี้สำนึก หากแต่ที่เขาเอ่ยออกไปทั้งมันนั้นมันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของเด็กสาวคนนี้ไปจนหมดและนอกจากที่ร่างเล็กคนนี้จะไม่ยอมฟังเขาแล้วเธอยังไม่ยอมรับผิดอีก



นิสัยนี่....มันช่างเหมือนนิสัยของพี่ชายเธอไม่ผิดเพี้ยนเลยจริง ๆ เมื่อคาร์เร่จนปัญญาที่จะพูดที่จะเตือนอีกฝ่ายมือกร้านก็ยื่นออกไปดันหัวเล็ก ๆ นั่นให้นั่งลงไปกับโซฟาส่วนเขาก็ก้าวเดินไปนั่งยังโต๊ะคอมพิวเตอร์ของตน ซึ่งตัวคาร์เร่เองก็หวังไว้ว่าเด็กสาวที่แสนดื้อดึงคนนี้จะหยุดพูดสักที



หากแต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาร์เร่คิด ร่างสูงของเด็กหนุ่มนั่งกุมขมับทนฟังเสียงแหลมเล็กนั้นพูดเจื้อยแจ้วนานเป็นชั่วโมง ๆ แต่โชคยังดีที่เขาทนต่อไปอีกไม่นานในที่สุดความเงียบสงบนั้นก็กลับคืนมาเพราะร่างเล็กของเด็กสาวคนนั้นได้หลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราไปเรียบร้อยแล้ว



เด็กหนุ่มหมุนเก้าอี้ไปมองพร้อมกับทอดถอนลมหายใจตนออกมาเฮือกใหญ่ ‘กว่าจะเงียบได้ยัยเด็กบ้า แล้วหวังว่าตอนตื่นขึ้นมาจะไม่พูดอะไรน่ารำคาญออกมาอีก’ เสียงทุ้มเข้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาหากแต่ในถ้อยคำที่เจือไปด้วยความหงุดหงิดนั้นริมฝีปากหนากลับลอบอมยิ้มเล็ก ๆ ออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว




_______________TBC Chapter 8 [2/2]______________





หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 8 2/2] 05/11/2014 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 05-11-2014 17:21:11

ข่าวอัพเดทค่ะถาเกิดสนใจนิยายเรื่องนีฉบับรวมเล่มรายละเอียดตามนี้ค่ะ>>> http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44183.new#new





และในขณะเดียวกันทันทีที่ครีแวนออกจากห้องใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธก็อ่อนลง ริมฝีปากบางสีสดทอดถอนลมหายใจออกมา ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะลงไม้ลงมือกับน้องสาวคนนี้หากแต่ครั้งนี้มันจำเป็นจริง ๆ ครีแวนไม่คิดว่าการเลี้ยงดูของตนนั้นจะทำให้น้องสาวของเขามีนิสัยดื้อดึงเช่นนี้ ริมฝีปากบางเม้มเข้ากันแน่น ภายในสมองพลางคิดทบทวนถึงสิ่งที่ตนเองทำหลังจากบิดาและมารดาของคนจากไป



แต่จะให้บอกว่าวิเวียนนิสัยเสียเพราะเขาเลี้ยงดูก็ไม่ถูกสักเท่าไหร่นัก เพราะว่าเขาหนะแทบจะไม่เคยเลี้ยงดูน้องสาวคนนี้เลยต่างหาก เขาก้าวสู่โลกด้านมืดตั้งแต่อายุ 15 ปีและในเวลาเดียวกันวิเวียนก็อายุเพียง 9 ขวบเท่านั้นเอง... ดวงเนตรสีไพลินนั้นหลับตาลงก่อนจะลืมตื่นและสะบัดสิ่งที่ก่อกวนหัวใจตนออกไปจนหมด ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำไม่ใช่การเป็นห่วงผู้เป็นน้องสาวหากแต่มันเป็นการไปเอาของที่คน ๆ นั้นยึดไปกลับคืนมาต่างหาก



ร่างสูงโปร่งรีบเร่งสาวเท้าตนไปเรื่อย ๆ ก้าวผ่านจากคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออก ซึ่งมันก็ใช้เวลาไม่นานนักร่าง ๆ นี้ก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องที่ตนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ห้องทำงานและห้องพักของดอนฟีเลทัสหรือจะให้ครีแวนเปรียบแล้วหละก็เบื้องหลังประตูบานนี้คือกรงขังดี ๆ นั่นเอง



มือบางเอื้อมไปจับลูกบิดประตู ริมฝีปากบางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะบิดเพื่อเปิดมันเข้าไปด้านใน บานประตูไม้สลักค่อย ๆ เปิดอ้าออกภาพที่ปรากฏในสายตายังคงเป็นภาพที่ครีแวนคุ้นเคย ภายในห้องยังคงจัดแต่งเช่นเดิมอย่าไม่ผิดเพี้ยนเครื่องเรือนที่ให้อารมณ์สงบนิ่งที่แตกต่างจากห้องนอนของเขา



ขาทั้งสองข้างค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับบานประตูที่อยู่เบื้องหลังค่อย ๆ ปิดลง....



ร่างโปร่งบางนั้นก้าวเดินไปนั่งบนโซฟาที่ตนคุ้นเคยสัมผัสของมันยังคงนุ่มเหมือนกับเมื่อก่อน มือทั้งสองข้างพางไล้ไปตามเนื้อผ้าที่รายเรียบก่อนจะเบนสายตาไปทางโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่วางเด่นอยู่กลางห้อง ด้านบนของโต๊ะตัวนั้นยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกับตอนที่เขาเดินจากที่แห่งนี้ไปทุกอย่างมันคงเหมือนเดิม หากแต่ที่จะดูแปลกตาไปนั้นก็คงเป็นกระเป๋าใบใหญ่ที่ถูกวางไว้บนโต๊ะทำงานตัวนั้น



‘มันคืออะไรกันนะ’ ครีแวนเอ่ยถามตนเองอยู่ในใจใบหน้าสวยนั้นแสดงอาการสงสัยอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ตัวของครีแวนเองก็ไม่ได้มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นเหมือนกับเด็ก ๆ ร่างโปร่งบางเลยเลือกที่จะนั่งอยู่เงียบ ๆ รอคอยผู้เป็นเจ้าของห้อง ๆ นี้ให้กลับมา ขาเรียวยาวยกขึ้นไขว้กันไว้ใบหน้าสวยนั้นเหม่อมองไปรอบ ๆ ห้อง



ในบางครังครีแวนก็มักจะฝันว่าตัวเองตื่นนอนขึ้นมาอยู่ภายในห้อง ๆ นี้หากแต่นั่นมันก็เปฯเพียงแค่ฝันซ้อนฝันเท่านั้นมือเรียวบางจับปอยผมข้างแก้มตนเล่นก่อนจะเกลี่ยมันไปทัดที่ใบหูหากแต่มือข้างนั้นก็เคลื่นไปแตะโดนต่างหูทื่โดนชายร่างสูงผู้นั้นบังคับเจาะเพื่อเป็นเครื่องแสดงฐานะว่าเขานั้นเป็นของ ๆ ใคร พลันใบหน้าสวยก็ขึ้นสีแดงจัดริมฝีปากบางนั้นเม้มเข้าหากันแน่น



ทำไมกันต้องนึกถึงงเรื่องของคนพันธ์นั้น ครีแวนกร่นด่าตนเองอยู่ในใจ เจ้าของใบหน้าสวยนั้นส่ายศีรษะไปมาเพื่อสะบัดความคิดพวกนั้นให้ออกไปจากสมอง และเมื่อร่างสูงโปร่งนี้สงบสติอารมณ์ของตนได้สำเร็จความเงียบก็เริ่มเข้าครอบงำอีกครั้งหากแต่ความเงียบงันพวกนั้นมันนำเดินอยู่ไปได้ไม่นาน พลันเสียงบานประตูที่ปิดสนิทก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสูงสง่าที่ตัวครีแวนนั้นรอคอย



ใบหน้ากร้ามคมนั้นยังคงชวนให้หลงใหลอยู่เช่นเดิมหากแต่คราวนี้เนตรสีเปลวเพลิงกับเลิคขึ้นด้วยความสงสัย ว่าครีแวนนั้นมาอยู่ภายในห้องนี้ได้อย่างไร “รู้สึกจะไม่ได้เจอหน้ากันหลายวัน แล้วที่นายมานี่คิดถึงเจ้าของหรือยังไง” ริมฝีปากหนาเอ่ยยียวนและทุกครั้งที่ถ้อยคำเหล่านี้หลุดออกจากริมฝีปากหนามันก็มักจะยั่วอารมณ์โกรธของครีแวนได้ทุกครั้ง ร่างเพรียวบางผุดลุกขึ้นมือบอบางตรงไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเต็มแรง



“เอาของ ๆ ฉันคืนมาซะ” ครีแวนเค้นเสียงพูดใบหน้าสวยนั้นแหงนมองหน้าอีกฝ่ายจนสุดคอ นี่เป็นครั้งแรกที่ครีแวนอยากจะด่าตัวเองว่าเตี้ยเพราะทันทีที่ร่างโปร่งบางนี้เอ่ยถ้อยคำจนจประยคมือกร้านข้างหนึ่งของชายตรงหน้าก็ตวัดรวบเอวบางทันทีส่วนอีกข้างหนึ่งก็ไล่ไปที่เส้นผมสีน้ำเงินข้างแก้มก่อนจะไปหยุดที่ใบหู นิ้วแกร่งเกลี่ยเส้นผมที่บดบังทัศนวิสัยพร้อมกับจ้องมองไปยังใบหูเล็กที่ขึ้นสีแดงเรื่องน้อย ๆ “ยังใส่อยู่สินะ ของ ๆ ฉันหนะ” เสียงทุ้มเอ่ยเย้าแหย่ปลายนิ้วแกร่งยังคงไล้วนอยู่ตรงบริเวณใบหู



“ถ้าถอดก็เจ็บตายสิ….ปล่อยได้แล้วฉันแค่มาเอาของ ๆ ฉันคืนซึ่งนายก็ต้องคืนมาให้ฉันด้วย” ครีแวนเอี้ยวตัวหลบมือบางทั้งสองข้างเปลี่ยนจากการกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาเป็นการดันแผ่นอกกว้างนั่นให้ถอยออก หากแต่มือที่บอบบางมีหรือจะสู้กับแพงหนาได้ยิ่งครีแวนดันอีกฝ่ายให้ปล่อยตนมากเท่าไหร่เฮลาสก็ยิ้งกระชับอ้อมแขนตนมากขึ้นเท่านั้นใบหน้าสวยเบ้ปากอย่างไม่พอใจ จนในท้ายที่สุดร่างโปร่งบางนี้ก็ต้องใช้ไม้สุดท้ายนั่นก็คือ ‘ใช้กำลัง’



มือบางยกขึ้นพร้อมกับต่อยฮุคขวาไปเต็มแรง คราวนี้การหนีรอจากอ้อมกอดของร่างสูงผู้นี้นั้นได้ผล เฮลาสปล่อยมือออกร่างโปร่งบางพร้อมกับถอยหลังหลบหมัดของอีกฝ่าย



“ของ ๆ นายงั้นเหรอของพวกนั้นก็คงจะเป็นเซทมีดพกของนายสินะ” เสียงทุ้มกล่าวตอบ ขาแกร่งทั้งสองข้างหันหลังพร้อมกับเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของตน มือกร้านใช้มือข้างหนึ่วลูบกระเป๋าสีดำสนิทที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะปลดลํอลคมันอย่างเบามือ ริมฝีปากหนาเหยียบรอยยิ้มพร้อมกับหันกระเป๋าใบนั้นให้ร่างโปร่งบางดูสิ่งที่อยู่ภายใน



และสิ่งที่จัดเรียงอยู่ด้านในนั่นก็คือมีดพกหลายขนาดซึ่งมันดูแล้วคลายคลึงกับเซทมีดพกของร่างสูงโปร่งหากแต่มันดูใหม่กว่าและมีตราสัญลักษณ์บางอย่างสลักลงไปที่ใบมีด คิ้วเรียวงามขมวดเป็นปมแน่นใบหน้าสวยเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้าหมายจะเอาเรื่อง



“มีดของฉันอยู่ไหน” เสียงหวานเอ่นกระแทกเสียงใบหน้าสวยนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ ที่เขามาที่นี่ไม่ใช่ต้องการมีดชุดใหม่ที่อีกฝ่ายทำให้ทดแทนหากแต่สิ่งที่เขาต้องการมันคือมีดชุดเดิมของเขาซึ่งผู้เป็นพ่อนั้นมอบให้เป็นของดูต่างหน้า



ร่างโปร่งบางถลาไปที่โต๊ะมือทั้งสองข้างฟาดลงไปเต็มแรงจนเกิดเสียงดัง “เอามีดของฉันคือมา” เสียงหวานเค้นเสียงอีกครั้ง ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมานั้นมันก็คือความเงียบและรอยยิ้มยียวนที่สุดแสนจะกวนประสาท คิ้วเรียวที่ประดับอยู่บนดวงหน้าสวยนั้นยิ่งขมวดแน่น มือทั้งสองข้างคว้ากระเป๋าตรงหน้าหมายจะปาลงไปที่พื้น



ทว่าการกระทำนั่นกับต้องหยุดลงเพราะถ้อยคำพูดที่ถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนาของชายร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงชาด “นายแน่ใจเหรอว่าจะปามันทิ้ง...ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนของใหม่ก็ตาม แต่จริง ๆ แล้วเดิมมันก็เป็นของ ๆ นายนั่นหละฉันแค่ให้ช่างมีที่ฝีมือเยี่ยมดูแลและทำความสะอาดมัน อ่อแล้วเพิ่มอะไรลงไปนิดหน่อย ถึงมันจะดูไม่เหมือนเดิมแต่จริง ๆ แล้วมันก็คืออดีตมีดของนายนั่นหละ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ “แต่ก็เสียใจด้วยนะตอนนี้มันกลายเป็นของ ๆ ฉันเรียบร้อยแล้ว” สิ้นประโยคร่างสูงก็เอื้อมไปหยิบกระเป๋าบรรจุมีดพกมาถือไว้นิ้วกร้านนั้นไล้ตามด้ามมีดก่อนจะหยิบมีดออกมาเล่มหนึ่ง



“ฉันว่านายหนะดูแลอาวุธของตัวเองได้ดีแล้วหละนะ ตอนฉันส่งมันไปให้ช่างดูเขาบอกว่าเป็นงานที่ยอดเยี่ยมมากและคนที่ดูแลมันก็เอาใจใส่มาก ๆ ด้วยแต่ถึงยังไงมันก็คืออาวุธที่สามารถสึกหรอได้ ฉันก็เลยสั่งให้ช่างลับคมใหม่ทั้งหมดแล้วก็สลักบางอย่างที่บ่งบอกให้รู้ว่ามันคือของ ๆ ฉัน และคนที่ใช้มันก็เป็นของ ๆ ฉันด้วย” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเสียยาวเหยียดหากแต่ครีแวนนั้นจับใจความทั้งหมได้ในประโยคสุดท้าย ‘มันเป็นของ ๆ ฉัน และคนที่ใช้มันก็เป็นของ ๆ ฉันด้วย’ ไอประโยคสุดท้ายนี้ทำเอาครีแวนนั้นอยากจะไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาต่อยสักทีสองที หากแต่เขาก็ต้องระงับความอยากนั่นเอาไว้นั่นก็เป็นเพราะในตอนนี้ชายร่างสูงตรงน้าของเขาถือไผ่เหนือกว่าไม่ว่าจะเป็นสภาพหรืออะไรก็ตาม มือบางเอื้อมไปจับเก้าอี้ให้หันหน้าไปประชันกับอีกฝ่ายก่อนที่ตนจะค่อย ๆ ทรุดนั่งลงไป



“ต้องการอะไร….ถ้าเป็นเงินฉันจ่ายให้ได้ได้อยู่แล้วเท่าไหร่ก็ว่ามา” ร่างโปร่งบางเริ่มเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาเป็นการเจรจาธุรกิจใบหน้าสวยนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด ซึ่งมันช่างแตกต่างจากร่างสูงผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงดั่งเปลวเพลิงนี่เสียจริงเพราะนอกจากเขาจะถือไผ่เหนือกว่าแล้ว คน ๆ นี้ยังมีอะไรอยู่ในใจที่ยังไม่พูดออกมาอีก ริมฝีปากบางเริ่มเม้นเข้าหากันอีกครั้งพร้อมกับนั่งรอฟังข้อเสนอที่อีกฝ่ายจะหยิบยื่นมาให้



“นายนี่มัน...เวลาจะเสนออะไรช่วยเสนออะไรที่ดูมีความคิดมากกว่านี้หน่อยดีไหม” เฮลาสกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกผิดหวังใบหน้ากร้านคมนั้นสายไปมาด้วยความระอา “นายมีอะไรดีมากกว่าเงินไม่ใช่หรือยังไงลองคิดดูสิ ค่อยๆ คิดก็ได้นะฉันไม่รีบเรายังมีเวลาอีกยาวเลยหละ เฮลาสเอ่ยพร้อมกับพูดให้ครีแวนนึกถึงในสิ่งที่ตนเองมี แต่ดูเหมือนว่าการพูดเช่นนั้นมันยิ่งทำให้ครีแวนรู้สึกงุนงงมากกว่าเก่า ใบหน้าสวยนั้นเต็มไปด้วยความฉงนคิ้วเรียวงามยังคงขมวดแน่นเป็นปม



เวลานำเดินผ่านไปอย่างเชื่อช้าแต่จนแล้วจนรอดครีแวนก็ไม่สามารถยื่นข้อเสนออะไรให้อีกฝ่ายไป ริมฝีปากบางจากการเม้มเปลี่ยนเป็นกัด ใบหน้าสวยนั้นยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด



“ฉันเสนอเงินให้นายก็ไม่เอา ฉันเสนอข่าวที่ฉันรู้ทั้งหมดให้นายก็ยังไม่เอา ตกลงนายต้องการอะไรกันแน่” ครีแวนพยายามระงับอารมณืโกรธของตนเอาไว้ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายพูดอะไรผิดหูออกมาอีกสักนิดร่างโปร่งบางนี้ก็ไม่สามารถรับปากได้วว่าตนนั้นจะอดทนต่อไปได้อีกไหม ดวงเนตรสีไพลินน้ำงามนั้นจ้องมองไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย ริมฝีปากสีสดพยายามเหยียดรอยยิ้มให้กับผู้เจรจาทางธุรกิจ



ถ้าต้องยื่นข้อเสนออะไรมากกว่านี้ตัวของครีแวนก็ไม่รู้ว่าเขานั้นจะต้องเสนออะไรไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินหมอนั่นก็ตอบปัดทิ้งอย่างไม่ใยดี หรือจะเป็นข่าวทั้งหมดที่เขาสืบได้ในตอนนี้และอนาคตไอบ้านี่ก็ปฏิเสธสิ่งที่เขาทำได้มันก็สองสิ่งนี้แล้วทำไมคนตรงหน้ายังบอกให้ตัวของเขาคิดอีกว่าเขานั้นมีอะไรดี



ใบหน้าสวยยังเต็มไปด้วยความฉงนจนท้ายที่สุดฝ่ายที่รอคอยข้อเสนอก็ทนไม่ไหวริมฝีปากหนาเหยียดรอยยิ้มออกมาอีกครั้งพร้อมกับมือกร้านที่ตวัดกลับมาเท้าคางของตนเอาไว้



“ฉันต้องการตัวนาย...” ถ้อยคำสั้น ๆ ได้ใจความถูกพูดออกมาจากริมฝีปาก ซึ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าผู้ที่ได้ยินมันจะแสดงท่าทางสีหน้าออกมาเช่นไร เพราะไม่ทันที่เฮลาสจะได้ตั้งตัวร่างโปร่งบางนั้นก็กระโจนข้ามโต๊ะมาประเคนหมัดใส่ใบหน้าหล่อเหลานั่นเสยแล้ว



“ไอวิปริตเอ้ย” ครีแวนกร่นด่าพร้อมกับง้างมือเพื่อต่อยหมัดที่สองออกไป หากแต่คราวนี้มันไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ เหมือนหมัดแรก เฮลาสยกมือของตนขึ้นมารับหมัดนั่นก่อนจะออกแรงกระชากให้ร่างโปร่งบางนั้นถอยห่างจากร่างของตน



“ฉันต้องการตัวนาย...ให้ตายเถอะเคยฟังอะไรใครพูดจนจบบ้างไหม” ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีดวงเนตรสีโกเมนนั้นเริ่มโมโหหากแต่เขาก็ยังเก็บอาการและสีหน้าของตนได้อย่างดีเยี่ยม แต่สิ่งที่ทำให้ครีแวนรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นโกรธก็คงเป็นน้ำเสียงทุ้มที่ตะโกนกร้าวออกมานั่นเอง



“ฉันบอกว่าต้องการตัวของนายก็จริงแต่ฉันก็ไมได้ต้องการตัวของนายในแง่นั้นอย่างเดียว ที่ฉันบอกว่าต้องการมันรวมถึงฉันต้องการให้นายมาทำงานให้ฉัน...อยู่กับฉัน...ไม่ใช่เป็นนักขายข่าวอิสระเหมือนเมื่อก่อน” เมื่อครีแวนได้ฟังจนจบประโยคอาการพยศทั้งหมดทั้งมวนก็หยุดลง



“ทั้ง ๆ ที่นายก็มีสายข่าวที่เก่งกว่าฉันเนี่ยนะ” เสียงหวานเอ่ยถามซ้ำเพื่อทวนคำตอบ ซึ่งใบหน้าคมนั้นก็พยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนต้องการเช่นนั้นจริง ๆ



ตามจริงแล้วการที่เฮลาสเอ่ยออกมาว่าต้องการตัวของครีแวนให้เข้าไปทำงานอยู่ในแก๊งค์ด้วยมันดูเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของร่างโปร่งบาง เพราะเท่าที่เขาทราบมานั้นในองค์กรหรือแก๊งค์ฟีเลทัสส่วนใหญ่คนที่ทำงานให้นั้นจะเป็นคนที่มีเชื้อสายรัสเซีย แล้วทำไมคน ๆ นี้ถึงตัดสินใจเลือกตัวของเขาให้ไปทำงานด้วยกันเล่า



“…ให้ฉันเชื่อนายดีไหมเนี่ยว่านายต้องการให้ฉันทำงานให้นายจริง ๆ ที่ไม่ใช่งานในความหมายอื่น ๆ หนะ” ครีแวนพูดออกมาตามประสาคนระมัดระวังตัว ซึ่งคราวนี้คำตอบที่ครีแวนได้กลับมานั้นเป็นความเงียบใบหน้าคมนั้นไม่ได้ส่ายศีรษะเพื่อปฏิเสธ หรือพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบตกลงเลยสักนิด...และการแสดงออกมาแบบนี้มันทำให้ครีแวนรู้เลยว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายไม่ใช่มีแค่งานเท่านั้น...แต่มันมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย



‘ไอคนมักมากในกามเอ้ย’ คำพูดเหล่านี้ครีแวนกร่นด่าซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ แม้ตนจะอยากที่จะได้ของ ๆ ตนคืนมากแค่ไหนแต่การต้องให้มาเสียศักดิ์ศรีรอบสอง รอบสามแบบนี้ใครมันจะไปทนได้ นัยน์เนตรสีน้ำทะเลลึกหลับตาลงก่อนจะลืมตื่นขึ้น ครีแวนตัดสินใจแล้วว่าเขาจะยอมทิ้งของดูต่างหน้าของผู้เป็นบิดาเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองไว้ แต่ไม่ทันที่ริมฝีปากบางจะได้เอ่ยสวนอะไรกลับไป เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ซึ่งไอคำพูดพวกนั้นทำให้ร่างโปร่งบางนี้ถึงับสะอึกและทิ้งคำพูดทั้งหมดให้ไหลลงคอไป



“การที่ฉันต้องการตัวนาย...มันไม่ใช่แค่นั้นนะฉันจะดูแลน้องสาวของนายด้วยข้อเสนอนี้ไม่เลวใช่ไหมหละ ไหน ๆตอนนี้น้องของนายก็รู้หมดแล้วว่านายทำงานอะไรและเกี่ยวข้องกับโลกด้านมืด ไม่ว่ายังไงน้องสาวของนายก็ไม่มีโอกาสได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหรอก นายก็รู้นี่ว่าตอนนี้ใคร ๆ ก็ตามสืบเรื่องของนายกับฉันอยู่ แล้วตอนนี้มีน้องนายเพิ่มเข้ามาในตัวเลือกความปลอดภัยของน้องนายเท่ากับ ศูนย์” เฮลาสคลี่รอยยิ้มเย็นเหยือก ใบหน้ากร้านคมนั้นแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนนั้นถือไพ่เหนือกว่า



เฮลาสเชื่อว่าไม่ว่ายังไงครีแวนก็ไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอนี้ของตนได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายนั้นจะหาอะไรมาบ่ายเบี่ยงให้ตัวเองเสียผลประโยชน์ให้น้อยที่สุด



“แล้วหน้าที่ของฉันคืออะไร” ครีแวนเอ่ยถามภายในใจนั้นกำลังพยายามปรับอารมณ์ของตนให้เย็นลง เพียงแต่การที่ไอรอยยิ้มชั่วร้ายนั้นมันสะท้อนเข้ามาในแววตามันกลับทำให้อารมณ์ของครีแวนที่สมควรจะเย็นลงกับพุ่งพล่านขึ้นมาอีก



“งานง่าย ๆ นายก็แค่เป็นเลขาส่วนตัวของฉันเท่านั้นหละ นายก็รู้ฉันรำคาญเจ้าหลานชายสุดแสนจะกวนประสาทนั่นมากขนาดไหน” เฮลาสเอ่ยพร้อมกับหลุดบ่นเรื่องหลานชายของตนให้อีกครีแวนฟัง ซึ่งตัวของครีแวนก็เข้าใจดีถึงความระเบียบจัดรวมไปถึงท่าทางและคำพูดที่สุดแสนจะกวนประสาทนั่น แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ตัวของร่างโปร่งบางตอบตกลงอีกฝ่ายได้ง่าย ๆ หรอก



ต่อให้ข้อเสนอดีมากขนาดไหนแต่ถ้าเขายังทำในสิ่งที่ต้นคิดไว้ไม่ได้เขาก็ยังไม่ยอมที่จะหยุดใบหน้าสวยแหงนหน้ามองอีกฝ่ายริมฝีปากบางเหยียดรอยยิ้มก่อนจะเอ่ยยื่นข้อเสนอให้กับอีกฝ่ายไป “ฉันขอทำงานของตัวเองให้เสร็จก่อนแล้วฉันจะกลับมาทำตามข้อเสนอของนาย...แต่ในตอนที่ฉันทำงานของฉันอยู่ต้องการให้หลานชายของนายดูแลน้องสาวของฉัน...เพราะฉันไม่ไว้ใจนายและอีกข้อหนึ่งฉันต้องการอาวุธของฉันคืนทั้งหมด ถ้านายยอมทำตามข้อเสนอพวกนี้ฉันรับปากว่าถ้าฉันทำงานของตัวเองเสร็จฉันจะกลับมาเป็นเลขาส่วนตัวของนาย” ครีแวนสรรหาคำพูดที่ดูดีที่สุดเพื่อให้อีกฝ่ายยอมตกลงในสิ่งที่ตนร้องขอ ซึ่งไอข้อเสนอพวกนั้นมันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรสำหรับตัวของเฮลาสเลยสักนิด



ใบหน้ากร้านคมพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ แทนคำตอบ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ครีแวนนั้นดีใจเป็นอย่างมากริมฝีปกาบางคลี่รอยยิ้มการค้า มือข้างหนึ่งนั้นค่อย ๆ เอื้อมมือไปหมายจะไปคว้ากระเป๋าที่ใส่อาวุธทั้งหมดของตน หากแต่ในขณะที่ปลายนิ้วนั้นจะสัมผัสกับประเป๋ามือหยาบกร้านก็คว้าข้อมือบางนั้นเอาไว้เสียก่อน



ชายหนุ่มร่างสูงคลี่รอยยิ้มอันตรายออกมาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำพูดที่แทบจะทำให้ตัวของครีแวนกัดลิ้นตายๆ ไปเสีย “ครีแวนนายมีข้อเสนอของนายฉันก็ต้องมีข้อตกลงกลับไปบ้างสิ ฉันยอมรับที่จะยอมดูแลน้องสาวของนายถึงจะให้คาร์เร่ดูแลก็เถอะ และฉันก็ยอมยกอาวุธที่มันกลายเป็นของฉันคืนให้แก่รนนายไปมันดูท่าฉันจะเสียเปรียบกับข้อเสนอนี้ของนายไปสักหน่อยนะ ดังนั้นฉันก็มีข้อแลกเปลี่ยนที่นายจะต้องทำให้ฉันเหมือนกัน” เมื่อครีแวนนั้นเล่นแง่ เฮลาสก็ไม่จำเป็นต้องยื่นข้อเสนอแบบแฟร์ ๆ กับให้อีกฝ่าย



แต่ถ้าหากมองตามความเป็นจริงแล้วการเจรจานี้ไม่ว่ายังไงฝ่ายของเฮลาสก็ไม่มีทางที่จะเสียเปรียบแน่นอนมือกร้านละมือออกจากข้อมือบางพร้อมกับดันกระเป๋าที่ใส่อาวุธทั้งหมดไปให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม



ริมฝีปากคมนั้นยิ่งเหยียดรอยยิ้มอันตรายมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า “ฉันต้องการให้นายค้างที่นี่ คืนนี้ ‘กับฉัน’ นายคงเข้าใจความหมายของคำพูดพวกนั้นนะครีแวน” สิ้นเสียงทุ้มใบหน้าสวยก็ขึ้นสีแดงก่ำ งานนี้ไม่ว่าทางไหนครีแวนก็ไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงอะไรได้อีกแล้ว...



ใบหน้างามนั้นพยักหน้าขึ้นลงแทนคำตอบริมฝีปากบางนั้นเม้มเข้าหากันแน่น...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตัวเขาจะร่วมรักกับชายคนนี้และครั้งนี้มันก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเช่นกัน









หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 8 2/2] 05/11/2014 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-11-2014 20:34:00
นัยตาสองสีทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 9] 09/11/2014 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 09-11-2014 16:54:02


ข่าวอัพเดทค่ะถาเกิดสนใจนิยายเรื่องนีฉบับรวมเล่มรายละเอียดตามนี้ค่ะ>>> http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44183.new#new




Chapter 9
เมื่อมนุษย์จะทำอะไรสักอย่างมันมักจะตองมีการเตรียมใจอยู่เสมอ ซึ่งในตอนนี้ตัวของครีแวนนั้นกกำลังพยายามเตรียมใจอยู่เช่นเดียวกัน แต่เหตุผลที่ทำใหตัวของร่างสูงโปร่งต้องนั่งเตรียมใจนั้นมันไม่ใช่เหตุผลทำนองว่าตัวของเขาจะต้องไปทำงานหรือทำภารกิจเสี่ยงอันตรายอะไรพวกนั้น หากแต่สิ่งที่ทำให้ครีแวนนั่งเครียดและกังวลอยู่นั้นมันก็คือข้อตกลงที่ชายหนุ่มร่างสูงผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการมาเฟียเสนอมาให้ต่างหาก



‘ฉันต้องการให้นายค้างที่นี่ คืนนี้กับฉัน’ ถอยคำ ๆ นี้ยังคอยวนเวียนอยู่ภายในสมอง มือบางยกขึ้นมากุมใบหน้าตนเอาไว้ ริมฝีปากบางพลางพึมพำถ้อยคำที่ฟังไม่ค่อยจะไดศัพท์ออกมา ‘ทำไมฉันถึงตอบตกลงไปกันหละ ที่ฉันตอบตกลงไปแบบนั้นมันก็เหมือนฉันดูแลน้องสาวของฉันไม่ได้ ไอบ้านั่นดันมาจับจุดของเขาถูกบ้าชะมัด บ้าโคตร ๆ ถ้าเกิดไอหมอนั่นมันกลับมาฉันควรต่อยหน้ามันให้สลบแล้วรีบหนีไปดีไหมเนี่ย…แต่มันก็ไม่แน่ว่าฉันจะต่อยมันโดนในหมัดแรกถ้าโดนทำเหมือนตอนนั้นอีก…บ้าเอ้ยตัดสินใจไม่ได้เลย’ มือบางที่ในตอนแรกถูกยกมือขึ้นไปปิดบังที่ใบหน้าหากแต่ตอนนี้มันไล่ขึ้นไปขย้ำเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตาแทนเสียแล้ว



ทว่าร่างโปร่งบางนั้นก็นั่งคุยกับตนเองต่อไปได้อีกไม่นานนักพลันบางประตูก็เปิดกว้างออกพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มร่างสูงที่วนเวียนอยู่ในความคิด



นี่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ครีแวนจะได้นอนหรือร่วมรักอะไรกับชายคนนี้ หากแต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ นั่นก็เป็นเพราะว่ามันเป็นครั้งแรกที่ครีแวนตัดสินใจยอมที่จะนอนกับชายคนนี้หรือเรียกง่าย ๆ ว่าสมยอมให้อีกฝ่ายมีอะไรกับตนเอง ซึ่งในการร่วมรักครั้งก่อนและรวมไปถึงครั้งแรกที่เขาตกเป็นของชายร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงดั่งเปลวเพลิงผู้นี้ส่วนใหญ่จะเป็นการบังคับขืนใจและเล้าโลมให้เขายอมโอนอ่อนตามเกมส์



“หืม...ทำอะไรของนายหนะครีแวน เอามือขย้ำผมตัวเองเล่นทำไม” ชายหนุ่มผู้ที่เข้ามาใหม่เอ่ยทัก ซึ่งคำพูดนั่นทำให้ครีแวนรีบปล่อยมือออกจากเรือนผมของตน



“ไม่ได้ทำอะไรแล้วมานี่มีธุระอะไรอีกหละ ตอนนี้ตามตารางงานของนายยังมีเอกสารอีกหลายชุดที่ต้องเคลียร์นี่” ครีแวนเอ่ยถามออกไปตามที่ตนรู้ ซึ่งคำตอบที่ถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนานั่นมันก็ทำเอาครีแวนอยากจะลุกเข้าไปกระชากคอเสื้อแล้วประเคนหมัดของตนใส่เจ้าของคำพูดพวกนั้นสักทีสองที “พอดีรีบเคลียร์ให้มันเสร็จ ๆ ไปหนะจะได้มีเวลาสนุกกับนายเยอะ ๆ” สิ้นเสียงพูดหมอนข้างที่วางอยู่กายร่างเพรียวบางก็ถูกปาออกไปทันที ซึ่งตัวของครีแวนหมายไว้ว่ามันจะโดนใบหนาคมเข้ใของชายผู้นั้นสักนิด แต่มันก็ไม่เป็นไปตามที่เขาหวังเอาไว้เพราะมือกร้านของชายผู้นั้นถูกยกขึ้นมารับหมอนใบนั้นเอาไว้ได้ทัน “นายเป็นพวกชอบความรุ่นแรงหรือยังไงเนี่ย พูดดี ๆ แล้วไม่ชอบ” สิ้นประโยคนี้หมอนอีกใบก็ถูกปาออกไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้ชายหนุ่มร่างสูงไม่ได้ใช้มือของตนขึ้นมารับอีกแล้ว ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบของที่อีกฝ่ายปามาพร้อมกับสาวเท้าตนเดินเข้าไปใกล้ร่างโปร่งบางนั่น และไม่ทันที่ครีแวนจะได้ตั้งตัวเอวบางถูกรวบกอด ปลายคางมนถูกมือกร้านเชยขึ้นไปเพื่อรองรับริมฝีปากหนาที่แนบประทับลงมา ลิ้นสากค่อย ๆ ละเลียดชิมริมฝีปากบางไปทีละนิดหากแต่ชายหนุ่มร่างสูงก็ไม่ได้เร่งเร้าให้อีกฝ่ายจูบตอบ ชายหนุ่มร่างสูงประทับริมฝีปากตนลงไปอีกสักพักก่อนจะละริมฝีปากตนออกด้วยความเสียดาย



“ฉันคิดว่านายควรจะไปอาบน้ำก่อนนะ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาข้างใบหู มือทั้งสองข้างนั้นปล่อยให้ร่างในอ้อมแขนตนเป็นอิสระ “ดูจากท่าทางของนายฉันคิดว่าไปแช่นำสงบสติอารมณ์สักพักคงจะดีกว่า” เฮลาสเอ่ยออกไปตามอย่างที่ตนเองคิดและที่เขารู้ว่าร่างโปร่งบางในอ้อมแขนวิตกขนาดไหนก็เป็นเพราะดวงเนตรสวยสีไพลินที่หลับตาปี๋และรวมไปถึงริมฝีปากบางที่เม้มแน่นนั่น



ซึ่งข้อเสนอนีครีแวนก็รีบตอบรับทันทีร่างโปร่งบางรีบสาวเท้าวิ่งไปยังห้องอาบน้ำพร้อมกับแทรกตัวเข้าไปด้านใน และทันทีที่บานประตูนั้นปิดลงขาเรียวยาวทั้งของข้างก็หมดแรงทันที ร่างสูงโปร่งนั้นทรุดลงไปนั่งกับพื้นมือบางถูกยกขึ้นมาปิดที่ริมฝีปากจนเองอย่างเบามือ ‘อ่อนโยน...อย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน’ นั่นคือความรู้สึกแรกที่ครีแวนคิดหลังจากริมฝีปากหนานั่นประทับลงมา แล้วทำไมครีแวนถึงไดคิดเช่นนั้น…ซึ่งคำตามนีตัวของครีแวนเองก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกัน



หลังจากที่ร่างโปร่งบางนั่นนั่งสงบสติอารมณ์ของตนไปไดสักพักใหญ่ ๆ มือทังสองขางก็ค่อย ๆ ยันกายตนให้ลุกขึ้นยืนก่อนที่มันจะละมาทำหน้าที่ปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างกายตน เสื้อนอกตัวแรกถูกโยนออกไป ก่อนที่ชิ้นที่สองและสามจะตามมาจนในที่สุดร่างสูงโปร่งนั้นก็เปลือยปล่าวใบหน้าสวยมองร่างกายตนในกระจก ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตานั้นให้ความรู้สึกน่าอายสิ้นดี
ตัวครีแวนนั้นไม่ใช่คนที่มีรูปร่างผอมบางราวกับผู้หญิง เขามีกล้ามเนื้อและส่วนสูงที่ไม่ได้ต่างไปจากผู้ชายคนอื่น ๆ หากแต่ทำไมดอนฟีเลทัสชายผู้ที่กระดิกนิ้วเพียงแค่ครั้งเดียวผู้หญิงหรือผู้ชายนับสิบจะรีบวิ่งมานอนแทบเท้านั้นถึงอยากกอดเขากันเล่า…คำถามนี้เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ครีแวนเฝ้าถามตอนเองอยู่ภายอยู่ภายในใจ ซึ่งร่างโปร่งบางนั้นก็พยายามที่จะหาเหตุผลมารองรับ แต่ไม่ว่าเหตุผลสักกี่เหตุผลก็ไม่อาจที่จะทำให้เข้าของเรือนร่างนั้นเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้สักนิด



ใบหนาสวยละความสนใจจากกระจก ขาเรียวยาวทั้งสองข้างของตนสาวเท้าเดินตรงไปยังอ่างอาบน้ำที่มีน้อยู่ในนั้นจนเต็มอ่าง ร่างสูงโปร่งค่อย ๆ ทรุดกายลงนั่งแช่ มือบอบบางนั้นถูกยกขึ้นมาลูบไล้กายตนอย่างเบามือ ครีแวนทำความสะอาดร่างกายตนไปอีกสักพัก พลันความคิด ๆ หนึ่งมันก็ลอยเข้ามาในสมอง ‘ทำไมฉันต้องทำตามที่ไอบ้านั่นบอกด้วยวะ แล้วทำไมฉันถึงตกลงได้ง่าย ๆ แบบนี้เนี่ย’ เมื่อตนคิดได้เช่นนั้นใบหน้าสวยพลันขึ้นสี จากใบหน้าขาวที่ซับสีเรื่องเพราะไอน้ำตอนนี้ขึ้นสีแดงก่ำราวกับแสงสีแสดยามพระอาทิตย์อัสดง



ซึ่งครีแวนก็พยายามที่จะสงบสติอารมณ์ของตนอยู่นาน จนในที่สุดใบหน้าสวยก็กลับมาเป็นปกติและสิ่งที่กลับมาเป็นปกติอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือจังหวะการเต้นของหัวใจ ศีรษะที่ถูกปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีแปลกตาสะบัดไปมาเพื่อไล่ความคิดแปลก ๆ ให้ออกไปจากสมองก่อนที่เขาจะลุกขึ้นออกจากอ่างเพื่อออกไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่รอคอยตนอยู่ เสือคลุมอาบน้ำสีขาวสะอาดถูกหยิบขึ้นมาสวมใส่ก่อนเจ้าของร่างโปร่งบางนั้นจะก้าวเดินออกไปจากห้องอาบน้ำ



และทันทีที่ครีแวนก้าวพ้นจากบานประตูสิ่งที่ปรากฏออยู่ตรงหน้าของครีแวนนั้นคือความว่างเปล่า นัยน์เนตรสีไพลินนั้นปรายตามองไปรอบ ๆ กาย หากแต่ชายหนุ่มที่สมควรจะอยู่ภายในห้องนี้กลับไม่อยู่ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ครีแวนถึงกับทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หากแต่ความรูสึกพวกนั้นก็อยู่ได้ไม่นานเพราะเวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่งบานประตูบานใหญ่ที่เชือมกับห้องทำงานก็ถูกเปิดออกพร้อม  กับร่างสูงที่ก้าวเดินตามเข้ามา



ชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้ยังอยู่ในชุดสูทตัวเดิมเหมือนเมื่อสักครู่หากแต่เมื่อนัยน์เนตรคมสีโกเมนปรายตาหันมาพบกับร่างบางที่ยืนนิ่งงัน พลันรอยยิ้มร้ายก็ผุดขึ้นมาที่มุมปาก เขาค่อย ๆ เก้าเดินเข้าไปหาร่างโปร่งบางและเป็นเช่นเดียวกันกับร่าง ๆ นั้นที่ค่อย ๆ ถอยหนีทีละก้าวจนในท้ายที่สุดผู้ที่เป็นฝ่ายถอยหนีก็จนมุม ร่างโปร่งบางนั้นสะดุดและหงายหลังขึ้นไปนอนแผ่อยู่บนเตียงชายเสือคลุมอาบน้ำนั้นถูกล่นขึ้นจนเกือบเห็นส่วนอ่อนไหวที่ถูกปกปิดอยู่ภายใน



“นี่…ฉันขอยกเลิกข้อเสนอกับนาย” เสียงหวานเอ่ยสั่นเครือ หากแต่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคำสัญญานั่นกลับส่ายหัวปฏิเสธ มือกรานทั้งสองข้างค่อย ๆ ปลดกระดุมเสือสูทเนื้อดีที่ตนใส่ออกช้า ๆ



“ฉันไม่ยอมรับในคำพูดของนาย” เสีงทุมเอ่ยตอบกลับมือกรานนั้นเริ่มปลดกระดุมเสือเชิ้ตที่ตัวเองสวมใส่ออกช้า ๆ ที่จริงแล้วตัวของเฮลาสเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบประวิงเวลาอะไรแบบนี้หรอก หากแต่ตนได้เหนสีหน้าที่หลากหลายอารมณ์ของคนตรงหน้าความรูสึกที่อยากจะ ‘แกล้ง’ มันกประทุขึ้น มือกร้านค่อย ๆ โยนเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอายของตนออกพรอมกับเดินเข่าขึ้นเตียงไปหาร่างโปร่งบางนั่น



“โอยฉันไม่เอาของ ๆ นายแล้วส่วนนงสาวฉัน ฉันดูแลเองได้” ครีแวนเอ่ยคืนของที่ตนนั้นได้ตกลงไว้ทั้งหมด ซึ่งมีหรือชายหนุ่มที่มีนามว่า ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ จะยอม ซึ่งแน่นอนเขาไม่ยอมรับขอเสนอที่อีกฝ่ายมอบให้ริมฝีปากหนาเหยียดรอยยิ้มเสียงทุ้มเอ่ยตอบออกไปอย่างเย็นชา “ฉันให้อะไรกับใครไปแล้วฉันไม่รับคืน” สิ้นเสียงทุ้มร่างสูงนั้นกขึนคร่อมร่างโปร่งบางนั่นทันที มือหยาบข้างหนึ่งรวบมือองร่างโปร่งบางนั่นไว้เหนือหัว ส่วนอีกข้างหนึ่งค่อย ๆ ปลดปมเชือกของเสือคลุมอาบน้ำ และเมื่อปมเชือกคลายหน้าที่ต่อไปของมือกร้านก็คือการปลดอาภรณ์ของร่างโปร่งบางนี้ ซึ่งมันก็ยังทำหน้าที่ได้ดีเช่นเคย เรือนกายขาสะอาดนั้นประจักษ์แก่สายตาขาเรียวยาวพยายามบิดไขวกันเพื่อปิดบังของสงวนของตนเองเอาไว้



“มองบ้าอะไรหันไปทางอื่นเลย อ่ะ…อื้อ” เสียงหวานกล่าวไล่แต่เจ้าของคำพูดนี้ก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้จนจบประโยค พลันใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มศีรษะลงก่อนจะขบเม้มลงบนยอดอกสีชมพูหวานนั่น ลิ้นกร้านไล่เลียยอดอกราวกับว่ามันเป็นลูกเชอร์ที่แสนหหอมหวานก่อนจะดูดกลืนมันไปจนหมด



ร่างโปร่งบางแอ่นอกรับดวยความเสียวซ่านมือบางที่ถูกรวบไวเหนือหัวตอนนี้ถูกคลายออก หากแต่ผู้เป็นเจ้าของมือทั้งสองข้างนั้นกับไม่สามารถยกมันขึ้นมาเพื่อปัดปองหรือปฏิเสธการกระทำของอีกฝ่ายได้ เรียวขาขาวเหยียดยันไปที่เตียงมือทังสองข้างนั้นจิกลงไปบนผาปูที่นอนจนเป็นรอย



“อะ…อื้อ…” เสียงครางแว่วหวานนันดังไปทั่วหองซึ่งเสียงพวกนั้นไม่ได้ทำให้ตัวของเฮลาสนั้นรำคาญเลยสักนิด ซ้ำมันกลับฟังแลวระรื่นหูด้วยซำ ใบหน้ากร้านคมเปลี่ยนจากยอดอกด้านขวาไปด้านซ้ายก่อนจะใช้ลิ้นดุนดันและดูดเม้มอีกเช่นเดิม ตอนนี้แผ่นอดสีนวลนั้นเต็มไปด้วยรอยตรีตราจองสีกุหลาบ ร่างทั้งร่างอ่อนระทวยไปด้วยราคะที่พุ่งขึ้นสูง



‘ต้องการมากกว่านี้อยากให้เขาสัมผัสมากกว่านี้’ และเมื่อสติสัมปชัญญะนั้นหายไป ร่างโปร่งบางร่างนี้ก็กับกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานในฤดูติสัด ใบหน้าสวยนั้นแดงก่ำไพลินนำงามที่ประดับอยู่บนดวงหน้าขาวนั้นเต็มไปด้วยแรงปรารถนา ขาเรียวยาวทังสองข้างแยกออกมือทั้งสองข้างค่อยจับใบหน้าของร่างสูงให้ขึ้นมาสัมผัสกับริมฝีปากของตน คราวนี้รสจูบนั้นไม่ไดหวานละมุมหรืออ่อนโยนอีกแล้ว ลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัดตอบสนองกันอย่างรอนแรงและเมื่อชายหนุ่มร่างสูงถอนริมฝีปากตนออกนำสีใสกไหลเยิ้มตามออกมา ริมฝีปากบางค่อย ๆ ไลเลียริมฝีปากหนานั้นช้า ๆ ก่อน สัมผัสครั้งต่อมาจะเริ่มตนขึนอีกครั้ง มือบางโอบรอคอแกร่งราวกับว่าถาตนปล่อยมือนั้นร่างสูงร่างนี้จะหายไปทันที และก็เป็นเช่นเดียวกันกับร่างสูงมือกร้านทั้งสองข้างนั้นก็โอบรัดรอบคออีกฝ่ายอย่างหวนแหนเช่นกัน



การแลกจูบนั้นยังคงดำเนินต่อไปอีกสักพัก ในท้ายที่สุดการเชื่อต่อกันทางริมฝีปากก็ไม่เพียงพอกับคนทั้งสองอีกแล้ว ริมฝีปากหนาละออกก่อนจะจับให้อีกฝ่ายนอนคร่อมตนโดยให้ใบหน้าสวยนั้นหันหัวไปทางอีกฝั่งแทน ซึ่งสิ่งที่เฮลาสตองการจะทำในครั้งนี้มันไม่ใช่แค่เพียงการและจูบอีกแล้ว ลิ้นกร้านค่อย ๆ ไล้เลียส่วนอ่อนไหวของร่างโปร่งบางส่วนนิ้วแกร่งนั้นค่อย ๆ แทรกสอดเข้าไปในช่องทางรักสีหวานนั่นอย่างช้า ๆ



การปรนเปรอทั้งด้านหน้าและช่องทางด้านหลังของชายหนุ่มร่างสูงนั้นแทบจะทำให้ครีแวนปลดปล่อยออกมานับครั้งไม่ถ้วนถ้าไม่ติดที่อีกฝ่ายนั้นแกล้งเย้าแหย่เขาก่อน เพราะทุกครั้งที่เขาจะปลดปล่อยความต้องการของตนเองออกมามือกร้านของคน ๆ นั้นก็จะหยุดมือลงแล้วปล่อยให้ครีแวนนั้นส่ายสะโพกออนวอนอย่างหน้าอาย และเมื่อเขาเริ่มเอ่ยปากร้องขอชายหนุ่มคนนั้นก็จะเริ่มปรนเปรอเขาอีกครั้งหากแต่มันก็วนกลับไปเป็นเช่นเดิมเพราะเมื่อตนนั้นจะปลดปล่อยความต้องการออกมามือแกร่งนั้นก็จะหยุดมือลงเสียทุกครั้ง จนในที่สุดครีแวนก็ไม่สามารถอดทนอต่อไปอีกได้ ริมฝีปากบางค่อย ๆ งับปลายซิบกางเกงเนือหนาของอีกฝ่ายลงพรอมกับปลดปล่อยแกนกายที่พองนูนด้วยอารมณ์ออกมา ใบหน้าสวยมองแกนกายอันแสนใหญ่โตที่อยู่ตรงหนาก่อนเขาจะใชริมฝีปากตนครอบครองมันไปจบหมดสิ้น ลิ้นเรียวค่ะ ๆ เลียแกนกายของอีกฝ่ายช้า ๆ หากแต่เมื่อริมฝีปากนั้นไปบรรจบที่ส่วนปลายริมฝีปากสีสดนันกจะแกลงเม้มริมฝีปากให้อีกฝ่ายสะดุ้งเสียงทุกครั้ง



ในตอนนี้คนทั้งสองไม่มีใครยอมกันอีกแล้วร่างสูงแกร่งใช้ริมฝีปากครอบครองแกนกายอีกฝ่ายนิ้วแกร่งนั้นค่อย ๆ เตรียมความพร้อมและปรนเปรอร่างโปร่งบางของอีกฝ่ายและเช่นเดียวกันกับร่างโปร่งบางที่อยู่ด้านบนใบหน้าสวยนั้นละเลียดชิมความเป็นชายของอีกฝ่ายราวกับว่ามันเป็นของเลิศรสสะโพกบางของตนนั้นพลางส่ายหยอกเย้าอีกฝ่ายน้อย ๆ และถ้าหากจะให้เปรียบการกระทำของคนทั้งสองคนว่าคล้ายคลึงกับอะไรก็คงเปรียบได้กับสัตว์เดรัจฉานที่กำลังมัวเมาไปกับการร่วมรักที่แสนเร้าร้อน



คนทังสองยังคงปรนเปรอซึ่งกันและกันอย่างไม่หยุดหย่อนจนทายที่สุดฝ่ายที่ปลดปล่อยความต้องการของตนออกมาก่อนก็เป็นครีแวน น้ำสีขาวขุ่นนั้นไหลออกมาจากร่างโปร่งบางจนมันเประใบหนาส่วนหนึ่งของร่าสูงริมฝีปากบางละออกจากแกนกายอันแสนใหญ่โตของชายหนุ่มผูมีเรือนผมสีเปลวเพลิงใบหน้าสวยนั้นซุกลงไปที่ท้องนอยชายชายหนุ่มร่างสูงอย่างอ่อนแรงสะโพกบางยังคงแผ่นขึ้นนำรักของร่างโปร่งบางนั้นยังคงไหลรินออกมา



นั่นอาจจะเป็นเพราะตัวของครีแวนนั้นไม่เคยได้ปลดปล่อยมันออกมาเลยหลังจากที่เขาได้เดินออกจากคฤหาสน์แห่งนี้ไป ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เฮลาสรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ร่างสูงค่อย ๆ จับให้ใบหน้าสวยหันกลับมานั่งเผชิญหน้้ากับตัวเขา ร่างโปร่งบางนี้อ่อนแรงจนต้องเอนซบไปที่แผ่นอกอีกฝ่าย


“ทำความสะอาดให้หน่อยสิครีแวน...ฉันรู้ว่านายไม่ได้ต้องการแค่นี้หรอกถ้าทำดีฉันจะให้รางวัล” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูและเมื่อเสียงนั้นเอ่ยจบลงริมฝีปากหนาก็เริ่มขบเม้มไล้ตามซอกคอขาวอีกครั้งใบหน้าสวยเอียงคอให้อีกฝ่ายสัมผัสและเมื่อชายหนุ่มคนนั้นสูดดมและลินรสเรือนร่างขาวสะอาดจนพอใจแล้วหน้าที่ต่อไปของครีแวนกคือการทำความสะอาดร่างกายให้กับร่างสูงตรงหน้า



ใบหน้าสวยโน้มลงไปเลียทำความสะอาดนำรักของตนตรงบริเวณแผ่นอกกว้างลิ้นเล็กนั้นเลียสะเปะสะปะอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางแต่สุดท้ายริมฝีปากบางนั้นก็จัดการแผ่นอกกว้างนั้นจนสะอาดและเขาก็ไม่ลืมที่จะทิ้งรอยจูบเม้มของตนไว้บ้างประปราย



“เด็กดี” มือกร้านแทรกนิ้วมือตนเข้าไปในกลุ่มเส้นผมสีแปลกตาก่อนจะลูบไล้อย่างเบามือ “แบบนี้ก็ต้องให้รางวัลอย่างที่พูดเอาไว้” สิ้นเสียงทุ้มร่างโปร่งบางก็ถูกผลักให้นอนราบไปที่เตียง เรียวขาขาวถูกแยกออกกว้างอีกครั้งเพื่อรองรับสิ่งที่ใหญ่โตให้แทรกเข้ามาทางด้านใน



แต่ส่วนปลายที่อีกฝ่ายพยายามที่จะดันเข้ามามันถึงกับทำให้ร่างของครีแวนสะดุ้งออกมาเฮือกใหญ่ช่องทางรักนี้นั้นไม่ได้ผ่านการร่วมรักมานานแล้วการที่จะแทรกส่วนที่ใหญ่โตของชายหนุ่มผู้มีดวงเนตรสีเมนนั้นคงจะลำบากเสียหน่อย ร่างสูงทำท่าจะผละออกเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับช่องทางสวาทนี้อีกครั้งหากแต่เรียวขาขาวกับเกี่ยวกระวัดรอบเอวแกร่งราวกับไม่อยากให้อีกฝ่ายถอนมันออก ริมฝีปากหนาคลี่รอยยิ้มร้ายขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะตัดสินใจทำตามคำเรียกรองของร่างที่อยู่เบื้องล่าง




มือแกร่งยกยาทั้งสองขางให้สูงขึ้นก่อนจะแทรกแกนกายของตนเข้าไปทางด้านในอย่างรุนแรง ซึ่งการกระทำเช่นนั้นทำให้ครีแวนสะดุ้งเฮือกและครวญครางออกมาไม่เป็นภาษา หากแต่ความเจ็บปวดเพียงแค่นั้นก็ไม่อาจที่จะทำให้ร่างที่รองรับแกนกายอันแสนใหญ่โตนั้นลืมเลือนความต้องการของตนได้ ร่างโปร่งบางนั้นนิ่งข้างไปสักพักจนท้ายที่สุดช่องทางสีหวานนั้นก็พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของเฮลาสได้



ใบหน้าคมโน้มลงไปพรมจูบทั่วใบหน้าขาวและมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่สะโพกแกร่งเริ่มขยับเข้าออกตามความต้องการของตน ท่อนแขนเรียวบางโอบรัดรอบคออีกฝ่ายแน่นเรียวขาขาวนั้นยังคงแยกออกกวางขึนเพื่อใหอีกฝ่ายแทรกตัวเข้ามาได้ลึกขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าสวยนั้นแดงก่ำนัยน์เนตรสีนำทะเลลึกระรื่นไปด้วยน้ำตา



“แรงกว่านี้…ลึกกว่านี้ อะ…อะ….อื้อ” เสียงหวานเอ่ยร้องขอซึ่งในท้ายประโยคก็ไม่ลืมที่จะหลุดครางหวาน ๆ ให้อีกฝ่ายฮึกเฮิมเล่น ซึ่งความจริงแล้วต่อให้ครีแวนไม่เอ่ยรองขอเฮลาสก็ตัดสินใจที่จะแทรกตัวให้ลงลึกไปกว่านี้และตอกย้ำให้คน ๆ นี้รู้ว่าทุกส่วนของร่างกายตนนั้นเป็นของเขาเพียงผู้เดียว



ร่างสูงพยายามแทรกตัวลึกลงไปให้ถึงที่สุด ซึ่งร่างที่นอนระทวยอยู่ใต้ร่างของเฮลาสก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ยิ่งเขาแทรกตัวลงไปลึกมากเท่าไหร่ช่องทางสวาทนั่นก็ยิ่งดูดกลืนแกนกายของเขามากขึ้นเท่านั้น และเช่นเดียวกันในเวลาที่เขาถอนความเป็นชายของตนออกจากช่องทางรักนั่นสะโพกบางก็ขยับตามราวกับกว่าไม่ต้องการให้เขาจากไปไหน การกระทำที่แสนน่ารักน่าชังเช่นนี้ของครีแวนทำให้เฮลาสพึงพอใจเป็นอย่างมาก ยิ่งอีกฝ่ายร้องของเขาก็ยิ่งอยากตอบสนอง



แกนกายอันแสนใหญ่โตนั้นยังคงขยับเข้าออกอย่างไม่หยุด เสียงดูดกลืนที่ดังออกมาจากช่องทางรักนั้นยังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนในท้ายที่สุดความตองการที่มากล้นกมาถึงขีดสุดเฮลาสกระแทกแกนกายของตนเขาสู่ช่องทางสีฉ่ำนั่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเขาจะปลดปล่อยความตองการของตนออกมาทั้งหมด ซึ่งมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากตัวของครีแวนเลย หยาดน้ำสีขาวขุ่นไหลออกจากแกนกายจนเปรอะเปื้อนไปทั่วหน้าท้องขาว ร่างโปร่งบางนั้นหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อนหากแต่เขาก็ยังรูสึกว่าร่างกายของตนนั้นยังอยากใหร่างตรงหน้าครอบครองเขาอีกและความคิดนั่นมันก็ไม่ไดต่างอะไรไปกับชายหนุ่มร่างสูงเลยสักนิด ใบหนาคมโมนลงไปประทับริมฝีปากพรอมกับเริ่มดูดเม้มรีมฝีปากบางนั่นอีกครั้ง ลิ้นของทังคู่เกี่ยวกระหวัดอย่างหื่นกระหายพร้อม ๆ กับช่องทางรักที่เริ่มคับแน่นเพราะแกนกายอันแสนใหญ่โตอีกครั้ง



บทเพลงรักที่ทังสองสรรค์สร้างยังคงบรรเลงต่อไปและดูเหมือนว่าคืนนี้มันก็คงจะไม่จบลงง่าย ๆ เช่นเดียวกัน











หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 9] 09/11/2014 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 09-11-2014 16:58:30


----------------------ขอตัดบ้างกลัวคนอ่านเลือดหมดตัวค่ะ--------------------


“วิเวียนอยู่ไหน ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย” เสียงหวานเอ่ยเรียกผู้เป็นน้องสาว หากแต่คำตอบที่ร่างโปร่งบางได้รับนั้นคือความเงียบงัน คิ้วเรียวยาวขมวดเป็นปมแน่นเมื่อตนไม่เห็นใครอยู่ภายในห้อง ‘วิเวียนไม่น่าไปไหนได้นี่หรือว่าไอเด็กนั่น’ ครีแวนคิดในทางแง่ร้ายเอาไว้ก่อนร่างโปร่งบางเร่งสาวเท้าพาตัวเองเข้าไปในห้องและหยุดลงที่บานประตูบานหนึ่งที่สามารถเปิดเชื่อมไปถึงห้องพักส่วนตัวของผู้เป็นเจ้าของห้องได้



และครีแวนก็ไม่คิดที่จะเคาะประตูเป็นมารยาทมือบางจับลูกบิดและเดินเข้าไปในห้องทันที และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็คือเตียงสี่เสาที่ตั้งอยู่กลางห้องและที่เดนสะดุดตาไปกว่านั้นนั่นก็คือร่างเล็กของเด็กสาวที่นอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนานั่น ครีแวนหละอยากจะเดินเข้าไปเขกหัวน้องสาวคนนี้สักทีแต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรตามความคิด บ่าข้างหนึ่งของครีแวนก็ถูกสะกิดเบา ๆ พร้อมกับถอยคำทักทายยามเช้า “สวัสดีตอนเช้าครับ กว่าคุณจะมารับน้องสาวได้นี่ใช้เวลานานเอาเรื่องเลยนะครับ” ครีแวนรีบหันหลังกลับไปทางต้นเสียงซึ่งไม่ต้องคาดเดาอะไรให้มากความเพราะคนที่เอ่ยถอยคำพวกนี้ก็คือเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องและเป็นเจ้าของเตียงที่ผู้เป็นน้องสาวของเขานอนหลับอยู่ ครีแวนมองร่างตรงหน้าที่ยังไม่ตื่นดีก่อนจะเอ่ยทักทายและขอบคุณด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ “ไง…เอ้ยสวัสดีตอนเช้า…เอ่อ…แล้วก็ขอบคุณที่ดูแลและเสียสละที่นอนให้น้องสาวตัวแสบของฉันนะ”



ซึ่งคำขอบคุณนั่นเด็กหนุ่มโบกมือแทนคำพูดก่อนเขาจะสาวเท้าเดินตรงไปยังเตียงนอนของตน เด็กหนุ่มล้มทับร่างของเด็กสาวและการกระทำนั่นทำให้เด็กสาวถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมา



“อะไรเนี่ยหนักเป็นบ้าออกไปเลยนะเราจะนอน” เด็กสาวสะดุ้งตื่นพร้อมกับใช้เท้าของตัวเองออกแรงยันไปหมายให้มันไปโดนอีกฝ่ายที่เข้ามารบกวน หากแต่เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้กลับไม่ยอมให้ร่างเล็กนั้นทำแบบนั้นได้มือกร้านจับขาทั้งสองข้างรวบไว้พร้อมกับนำผ้าห่มผืนใหญ่มาพันรอบ ๆ ตัวของเด็กสาว และเมื่อตัวกวนใจไม่อยู่ทีนีคาร์เร่ก็ได้นอนหลับอย่างสบายใจเสียงที ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัยซุกหน้าลงกับหมอนพร้อมกับหลับตาลง



ครีแวนมองภาพตรงหน้าด้วยความงุนงง นัยน์เนตรสีน้ำทะเลมองร่างของผู้เป็นน้องสาวที่โดนปราบซะอยู่หมัดแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ ‘ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นยัยน้องสาวตัวแสบสิ้นท่าแบบนี้มาก่อนแต่แบบนี้ก็ดีไปอีกแบบหนึ่งแต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เอาผามัดปากเอาไว้ถึงได้ส่งเสียงโวยวายแบบนี้’ ครีแวนส่ายศีรษะไปมาด้วยความระอาก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะก้าวเดินเข้าไปใกล้กองผ้าห่มที่ห่อตัวผู้เป็นน้องสาวของเขาเอาไว้



“นี่วิเวียนฉันมีเรื่องจะบอก” เสียงหวานเอ่ยกับผู้เป็นน้องสาวถ้อยคำนี้ทำให้เสียงแหลมเล็กละความสนใจจากเด็กหนุ่มมาเป็นพี่ชายร่วมสายเลือด



“ต่อจากนี้ไปเธอต้องอยู่ที่นี่...แล้วคาร์เร่จะกลายเป็นคนดูแลเธอ ฉันคุยกับเจ้าของที่นี่เอาไว้แล้ว” ครีแวนเอ่ยออกมาด้วยนำเสียงเรียบนิ่งหากแต่ผู้ฟังทั้งสองคนกลับไม่ไดรูสึกนิ่งตามเสียงพูดไปด้วย



เพราะทันทีที่ครีแวนนั้นเอ่ยจนจบประโยคคาร์เร่ลืมตาตื่นเต็มที่พร้อมกับลุกขึ้นนั่งและมันก็ไม่ต่างอะไรไปกับเด็กสาวผู้มีดวงเนตรสองสีที่ดิ้นจนหลุดออกจากกองผ้าห่มทันทีที่ได้ถ้อยคำที่พี่ชายตนพูดออกมา ทังสองต่างหันหน้าไปจ้องใบหน้าสวยของชายหนุ่มผู้ที่เข้ามาใหม่นัยน์เนตรสองสีที่สองคู่นั้นเต็มไปด้วยคำถามและพวกเขาก็ต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้! “ครีแวนอธิบายมาเดี๋ยวนี้ทำไมเราต้องให้ตาบ้านี่ดูแลด้วย / คุณครีแวนครับผมตองการคำอธิบายอย่างเร่งด่วนรวมไปถึงข้อตกลงที่คุณทำไว้กับน้าชายของผม” หากแต่คำถามพวกนั้นกับไร้คำตอบกลับจากร่างโปร่งบาง ครีแวนเดินหันหลังให้ทั้งสองก่อนจะรีบเร่งสาวเท้าเดินออกจากห้อง
ที่ครีแวนไม่อยากพูดหรืออธิบายอะไรออกไปนั้นนั่นก็เป็นเพราะเขาไม่อยากให้ผู้เป็นน้องสาวของตนเป็นห่วง ถึงวิเวียนจะดูแก่นแก้วและเข็มแข็งแต่ความจริงแล้วเธอก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวที่อายุ 14 ปีเท่านั้น เขาไม่อยากให้เด็กคนนี้รู้จักโลกอีกด้านที่แสนอันตรายอย่างโลกในตอนนีที่เขายืนอยู่ เขาอยากให้ผู้เป็นน้องสาวอยู่ในโลกที่มีแสงสว่างและความหวังไม่ใช่ต้องมาใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงว่าตนจะโดนฆ่า หรือตนจะตายเมื่อไหร่แบบเขาขาทั้งสองข้างค่อย ๆ กาวเดินจากไปโดยทิ้งให้ผู้เป็นน้องสาวนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นบนเตียง “ครีแวนจะทิ้งเราไปจริง ๆ เหรอ เราบอกแล้วไงว่าเราจะไม่ดื้ออีก จะไม่ขัดคำสั่งของครีแวนอีกเราบอกไงว่าเราสัญญา” เสียงสะอืนยังคงกองตามแผ่นหลังหากแต่ครีแวนก็ต้องทำเป็นใจแข็งเดินจากมา



นัยน์เนตรสองสีของเด็กหนุ่มได้แต่มองตามแผ่นหลังบอบบางนั่น เขาพอจะรู้แล้วหละว่าทำไมเจ้าของร่างโปร่งบางถึงทำเช่นนี้ มือกร้านยื่นมือไปลูบศีรษะที่เต็มไปด้วยเรือนผมยาวสีน้ำเงินอย่างเบามือ ริมฝีปากหนาพลางกล่าวปลอบขวัญร่างเล็กกว่าด้วยนำเสียงที่อ่อนโยน “พี่ชายของเธอคงมีเหตุผลที่ทำแบบนี้นั่นหละ การที่เขาเลือกให้ฉันดูแลเธอคงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วเพราะเขาไม่อยากให้เธอเป็นอันตรายถึงตัดสินใจให้พวกเราปกป้องเธอในตอนที่เขาไม่อยู่”



ยิ่งคาร์เร่พูดเด็กสาวยิ่งส่งเสียงสะอื้น นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ชายของเธอพูดแบบนี้ออกมาซึ่งคำพูดพวกนี้มันช่างเหมือนตอนที่พ่อและแม่พูดก่อนที่เขาจะจากไป มือบางค่อย ๆ ปาดน้ำตาออกก่อนจะรีบเร่งลุกขึ้นเพื่อไปเอ่ยรั้งไม่ให้พี่ชายไป



“เราจะไปห้ามครีแวนและนายต้องไปกับเราด้วย” สิ้นเสียงพูดร่างเล็กนั่นกระโดดลงจากเตียงทันทีและเธอไม่ลืมที่จะใช้มือของตนดึงร่างสูงกว่าให้ลงจากเตียงตามมา




เมื่อครีแวนเดินออกจากคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกได้สักพักร่างโปร่งบางนั้นก็เซเข้าไปพิงกับกำแพง เขาไม่ได้อยากจะทำให้ผู้เป็นน้องสาวนั้นหลั่งน้ำตาออกมาเลย หากแต่มันก็ไม่มีทางเลือกไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้นิสัยของเด็กคนนั้น ยิ่งหามเหมือนยิ่งยุ และถายิ่งไม่ห้ามเด็กคนนั้นก็จะรีบวิ่งตาม นัยน์เนตรสวยนั้นปรือหลับลงใบหน้าสวยนั้นเต็มไปด้วยความรูสึกเจ็บปวด



ทั้ง ๆ ที่สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ทำให้เด็กคนนั้นร้องไห้แต่เขาก็เผลอทำมันลงไปเสียงแล้วริมฝีปากบางเอ่ยพูดกับตัวเองมือขางหนึ่งถูกยกขึ้นมากุมบริเวณแผ่นอก แต่กระนั้นหากเขาต้องผิดสัญญาแล้วทำให้เด็กคนนั้นปลอดภัยเขาก็ยอม…เมื่อครีแวนปรับความคิดของตนให้คงที่ ริมฝีปากบางก็ทอดถอนลมหายใจออกมายาวเหยียดราวการกระทำเช่นนี้ราวกับว่ามันเป็นเครื่องช่วยปลดปล่อยความเครียดและความกังวลออกมา หากแต่ในขณะที่ร่างโปร่งบางนี้กำลังทอดถอนลมหายใจ ร่างสูงสง่าของผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้กปรากฏใบหน้ากร้านคมนั้นแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนเลยว่าในตอนนี้เขากำลังโกรธอยู่และคนที่ทำให้เขาโกรธก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าของร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา



‘คงรู้แล้วหละสิว่าฉันจะไปทำอะไร’ ครีแวนเอ่ยคำพูดนี้ในใจใบหน้าสวยแสร้งตีสีหน้าเป็นปกติกลับไปให้อีกฝ่าย ริมฝีปากบางเตรียมเอ่ยถามอีกฝ่าย หากแต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นนั่นก็เป็นเพราะทันทีที่ริมฝีปากบางจะเอ่ยพูดออกไปมือกร้านกตรงเข้ามาบีบที่ลำคอแกร่งส่วนมืออีกข้างออกแรงดันให้ร่างโปร่งบางแนบติดไปกับกำแพง



“…คิดว่าจะปิดฉันได้หรือยังไงคิดว่าฉันไม่รู้เหรอไงว่านายจะไปทำอะไรที่ไหน” ร่างสูงสง่าเค้นเสียงถาม นัยน์เนตรสีเปลวเพลิงนั้นวาวโรจน์ไปด้วยความโกรธ



ใช่แลวเฮลาส ฟีเลทัสผู้นี้กำลังโกรธซึ่งตัวของเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงรู้สึกแบบนั้นหากแต่เมื่อเขารู้ว่าร่างโปร่งบางที่เป็นของ ๆ เขาจะไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายและมีโอกาสรอดกลับมาน้อยนิด ความโกรธและความไม่พอใจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตก็ประทุขึ้นมา



นิ้วกร้านค่อย ๆ บีบตามลำคอขาวอย่างเบามือ นัยน์เนตรคมนั้นจ้องมองไปยังใบหน้าอีกฝ่ายราวกับมันเป็นคำสั่งให้ร่างโปร่งบางนี้เอ่ยตอบ และเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าคนปากแข็งเช่นครีแวนไม่คิดจะเอ่ยพูดอะไรออกไปทั้งสิ้น ทังสองคนจองหน้ากันแบบนี้ไปสักพักใหญ่ในทายที่สุดชายหนุ่มร่างสูงนั้นก็เป็นฝ่ายยอมแพ้มือกร้านปล่อยมือจากลำคอขาวท่อนแขนแกร่งที่ดันร่างโปร่งบางให้แนบชิดไปกับกำแพงแปรเปลี่ยนมาเป็นรั้งร่างเพรียวบางนั้นเข้ามาสู่อ้อมกอดของตัวเอง “ให้ฉันเป็นห่วงนายไม่ได้หรือยังไงกัน” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาหากแต่ครีแวนนั้นได้ยินมันเต็มสองรูหู



ตัวของครีแวนไม่เคยโดนใครขอร้องในลักษณะนี้และเขาก็ไม่เคยเรียกร้องคำ ๆ นี้จากใครด้วย หากแต่ชายผูนี้เป็นใครทำไมถือดีมาเป็นห่วงเขา ใบหนาขาวขึ้นสีแดงชาดมือบางนั้นถูกยกขึ้นไปดันแผ่นอกกว้างให้ถอยห่างออกไป และถ้าจะให้ครีแวนพูดถึงอารมณ์ของตนเองในตอนนี้ก็คงพูดได้ว่า ‘เขากำลังทำอะไรไม่ถูกกับถ้อยคำพวกนั้นและรวไปถึงความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้’ มือบางยกขึ้นมาปิดบังใบหน้าที่แสนแดงก่ำของตัวเองเอาไว้หากแต่มือกร้านกับออกแรงดึงมันออก



“ให้ฉันเป็นห่วงนาย...ไม่ได้หรือไง” เสียงทุมเอ่ยถามอีกครั้งซึ่งครั้งนี้ยิ่งทำใหครีแวนรูสึกสับสนยิ่งกว่าเก่าใบหน้าสวยเลือกที่จะเบนหน้าหนีริมฝีปากบางพยายามเค้นเสียงพูดของตนให้เป็นปกติ



“…นั่นมันก็เรื่องของนาย…แต่สิ่งที่ฉันจะทำต่อไปมันเป็นเรื่องของฉัน นายก็รู้ว่าไม่ว่าจะทำยังไงนายก็ไม่สามารถห้ามฉันได้และตัวฉันเองก็รู้ว่ายังไงฉันก็ไม่สามารถห้ามนายได้เช่นกัน” เมื่อเอ่ยจนจบประโยคร่างโปร่งบางก็ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายชะงักไปเพราะคำพูดของตนมอบสัมผัสอันอ่อนนุ่มไปให ริมฝีปากบางประทับจูบแผ่วเบาลงบนริมฝีปากหนาก่อนจะผละออกและวิ่งจากไป



ครีแวนไม่ได้เอ่ยห้ามอีกฝ่ายว่าไม่ให้ชายร่างสูงผู้นั้นเป็นห่วงตัวเขา…และเขาก็ไม่ได้เอ่ยอีกว่าเขาจะไม่กลับมายังที่แห่งนี้…




เจอกันตอน 10 ค่ะ




หมายเหตุ ... นิยายเรื่อง Love surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน (ว่าที่) คุณหมอ ตอนนี้ผ่านการพิจารณาครังแรกของสำนักพิมพ์ ๆ หนึ่งแล้วค่ะ แต่ต้องรอรอบ 2 เนื่องจาก เพิ่งส่งฉบับรีไรท์ไป + ความยาวที่ยาวมาก ๆ เลยอาจจะทำให้แห้ว... น้ำตาตก//
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 9] 09/11/2014 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-11-2014 18:01:22
ดุเดือด
หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 10] 27/11/2014 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 27-11-2014 19:17:51



Chapter 10



นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ครีแวนนั้นได้ก้าวเดินออกจากคฤหาสน์แห่งนี้ซึ่งในตอนนั้นความรูสึกที่ตนไดกาวเดินผ่านรั้วของสถานที่แห่งนี้มันเหมือนตนไดรับอิสระจากการพันธนาการทั้งปวงหากแต่ทำไมคราวนี้เขากลับไม่รู้สึกเช่นนั่นเล่า และนอกจากตัวของโปร่งบางจะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นความรูสึกทั้งหมดมันกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งนั่นก็คือครีแวนโหยหาและต้องการจะกลับคืนสู่คฤหาสน์แห่งนี้อีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ตัวของเขาเองนั้นก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสถานที่แห่งนี้เลยสักนิด ริมฝีปากบางเม้มเขาหากันแน่นเมื่อตนรู้สึกเช่นนั้นหากแต่เขาก็ยังเลือกที่จะสาวเท้าอย่างเร่งรีบและไม่คิดที่จะหันหลังกลับไปมองยังคฤหาสน์แห่งนั้น ขาเรียวยาวทั้งสองขางยังคงก้าวเดินอย่างมั่นคงจวบจนตนเดินผ่านพ้นสุดขอบถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์แห่งนี้



ถึงแม้ว่าร่างโปร่งบางร่างนี้จะรู้ว่าตนรู้สึกเช่นไรแต่เขาก็ไม่คิดที่จะหันหลังเดินกลับไปเด็ดขาดนั่นก็เป็นเพราะตัวของเขานั้นได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าตนนั้นจะก้าวเดินไปในเส้นทางอันแสนมืดมนแห่งนี้ ขาทั้งสองข้าวยังคงก้าวเดินต่อไปแม้ตนจะรับรู้ว่าทุกย่างก้าวที่ตนได้ก้าวเดินไปนั้นมันเป็นเหมือนกับการมุ่งตรงไปยังถนนที่มีชื่อว่าความตาย แต่จะใหทำยังไงได้กันเล่าในเมื่อเขาครีแวนนั้นได้ตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ไปตั้งนานแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนเขาจะเตรียมใจที่จะตายไว้แล้วทุกครั้งซึ่งครั้งนี้มันก็ไม่ได้แตกต่างกับการเตรียมใจในครั้งก่อน ๆ สักเท่าไหร่นัก ถ้ามันจะมีเพิ่มเข้ามาก็คงเป็นความรู้สึกสบายใจที่น้องสาวของเขาจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากตระกูลฟีเลทัสถ้าหากเขาไม่กลับไปและความรูสึกอีกอย่างหนึ่งก็คือความมุ่งมั่นที่จะทำใหตระกูลราดอล์ฟพังทลายแม้ตัวของเขาจะต้องตายตามไปก็ตาม



ขาเรียวยาวก้าวเดินอย่างมั่นคงเพื่อมุ่งตรงไปในเขตอำนาจการปกครองของตระกูลนี หากจะให้กล่าวถึงตระกูลราดอล์ฟแล้วหละก็นอกจากความโหดเหี้ยมและไร้เมตตาแล้วก็คงต้องพูดถึงเรื่องชั่ว ๆ ที่ตระกูลนี้ได้ทำ แม้ฉากหน้าจะทำตัวเป็นพ่อพระแม่พระคอยบริจาคเงินเข้าองค์กรการกุศลต่าง ๆ แต่แท้จริงแล้วไอองค์กรพวกนั้นมันก็คือสิ่งที่ตระกูลนี้ใช้ฟอกเงินที่ได้มาจากการค้าขายยาเสพติด อาวุธและรวมไปถึงค้ามนุษย์ ซึ่งความเลวรายของตระกูลนี้คนที่อาศัยอยู่ในโลกดานมืดนั้นรู้ดีและไม่มีใครที่อยากจะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องเลว ๆ ของพวกมัน หากแต่ในโลกที่อยู่อีกดานเล่าตระกูลราดอล์ฟถือว่าเป็นตระกูลที่ติดอันดับต้น ๆ ของตระกูลที่ใจบุญที่สุดเลยก็ว่าได้



มันช่างน่าสะอิดสะเอียดเสียจริงและทำไมตระกูลนี้ถึงเป็นต้นเหตุการณ์ตายของผู้ให้กำเนิดเขากันเล่า…ซึ่งเหตุผลมันก็ไม่มีอะไรมากมายเพราะในตอนที่บิดามารดาของเขาในตอนที่มีชีวิตอยู่ท่านทั้งสองเป็นเจ้าของบริษัทหนังสือพิมพ์ที่คอยทำข่างต่าง ๆ รวมไปถึงการแฉเบื้องหลังอันแสนมืดมนของตระกูลต่าง ๆ ด้วยซึ่งในเวลานั้นครีแวนไม่ทราบว่าผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนของเขากำลังสืบข่าวของตระกูลอะไรอยู่เขารูเพียงแต่ว่าทั้งสองท่านกำลังจะเสาไส้ของตระกูลตระกูลหนึ่งออกมาแต่ทั้งสองก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อนที่จะไดเผยแพร่ขอมูลพวกนั้นและที่เลวร้ายไปกว่าเอกสารทั้งหมดก็ไหม้ไปพร้อมกับบ้านหลังเดิมของเขาแล้ว
ใบหน้าสวยหลับตาลงเมื่อตนนั้นได้ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวในอดีต หากแต่ความคิดพวกนั้นก็เขามาวนเวียนอยู่ภายในสมองของร่างโปร่งบางไดเพียงครู่เดียวพลันดวงเนตรคู่งามที่ประดับอยู่บนดวงหนาขาวก็ลืมตื่นก่อนจะตัดสินใจเดินมุ่งตรงเข้าไปยังเส้นทางที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งการกาวเดินในครั้งนี้มันจะแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ เพราะในตอนนี้เขาไดย่างก้าวเขาสู่เขตการปกครองของตระกูลราดอล์ฟเรียบร้อยแล้ว และที่สำคัญไปกว่าเรื่องนั้นมันก็คงเป็นข่าวลือที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ที่ดอนฟีเลทัสถูกใจจนกักตัวไม่ให้ไปไหนป่านนี้มันคงแพร่กระจายไปทั่วแล้วหละมั้งว่าใครคือสัตว์เลี้ยงตัวนั้น…และตอนนี้สัตว์เลียงตัวโปรดของดอนฟีเลทัสอยู่ไหน



ใบหนาสวยเชิดหน้าขึ้นมองตรงอย่างมั่นใจพร้อม ๆ กับย่างก้าวเดินเข้าไปในเขตของตระกูลราดอล์ฟ ณ ที่ ๆ ครีแวนยืนอยู่มันเป็นแค่วงนอกในเขคการปกครอง หากถ้าร่างสูงโปร่งผู้นี้ก้าวพ้นถนนเส้นนี้แล้วหละก็ไม่แคล้วที่จะโดนจับตัวทันทีในฐานะตัวประกันที่ใช้ต่อรองกับดอนฟิเลทัสได้ หากแต่ครีแวนก็มิได้มีความเกรงกลัวเลยสักนิดเดียวร่างโปร่งบางนั้นค่อย ๆ ก้าวเดินตรงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเบื้องหน้าของครีแวนก็เต็มไปดวยผู้คนที่สวมชุดสูทและอาวุธครบมือ



รถลีมูซีนขับมาจอดกั้นทางเดินของร่างโปร่งบาง บานประตูสีดำสนิทค่อย ๆ เปิดออกและเผยให้เห็นร่างสูงของชายหนุ่มสูงวัยผู้หนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าตระกูลราดอล์ฟรุ่นที่ 3 ‘อีธาน ราดอล์ฟ’



“สวัสดีคุณคือครีแวน เดอ เมอร์เรสใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มสูงวัยผู้นั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนทว่าสิ่งที่ครีแวนนั้นสัมผัสได้จากรอยยิ้มมันคือความน่าขยะแขยงและน่าสะอิดสะเอียน แต่กระนั้นใบหน้าสวยนั้นก็ยังคงทำท่าทีเฉยเมยจนกระทั่งร่างสูงของชายที่สูงวัยกว่านั้นเอ่ยประโยคถัดไปออกมา ถ้อยคำพวกนั้นทำให้ใบหน้าเรียบเฉยของครีแวนแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ “ทำไมผมรู้สึกว่านามสกุลนี้ผมช่างคุ้นเคยกับมันเสียจริง…รู้สึกเมื่อราว ๆ 7-8 ปีก่อนกระมังที่ผมสนิทสนมคุ้นเคยจากคนในตระกูลนี้มาก…จนถึงกับมากเกินไป” สิ้นเสียงแหบแห้งนั่นชายผู้สูงวัยผู้นั้นก็คลี่รอยยิ้มออกมาอีกครั้งซึ่งหากคนภายนอกมองเห็นรอยยิ้มนี้แล้วหละก็พวกเขาคงคิดว่าชายผู้นี้นั้นเป็นชายชราที่แสนใจดีและอ่อนโยน แต่เมื่อคนที่อาศัยอยู่ในโลกด้านมืดมานานแบบครีแวนแล้วหละก็ พวกเขาก็คงรู้ทันทีเลยว่ารอยยิ้มนั่นมันเป็นรอยยิ้มที่อันตรายและไม่สสมควรที่จะเข้าใกล้มากที่สุด



ขาเรียวบางค่อย ๆ กาวถอยหลังหากแต่ชายผู้สูงวัยกว่าก็ไม่ยอมให้ครีแวนทำเช่นนั้นได้ มือกร้านจากการจับอาวุธยกมือขึ้นพร้อมกับเอ่ยสั่งพวกลูกน้องของตนให้จับตัวร่างเพรียวบางของครีแวนเอาไว้ “ไปจับตัวเขาซะแต่อย่าให้ถึงตายหละ…อ่อแล้วอีกอย่างอย่างทำให้ใบหน้าสวย ๆ นั่นเป็นรอยซะหละ ถ้าเกิดเป็นรอยขึ้นมาราคาการต่อรองอาจจะตกได้เมื่อเรายื่นขอเสนอไปให้ดอนฟิเลทัส” และเมื่อเจ้าของร่างโปร่งบางได้ยินถ้อยคำพวกนั้นอาวุธชิ้นแรกก็ถูกชักออกมาจากรองเท้าบูท มือบางจับมีดยาวอย่างคล่องแคล่วพรอมกับตวัดไปรอบ ๆ เพื่อให้เหล่าการ์ดที่ตั้งใจจะพุ่งเข้ามาจับตัวถอยห่างออกไป



“คิดว่าฉันจะโง่มากพอที่เดินเข้ามาที่นี่โดยไม่มีอาวุธหรือยังไงกัน…และที่ฉันมาที่นี่ก็ไม่ได้มาให้นายจับตัวเพื่อไปต่อรองกับดอนฟีเลทัสหรอกนะ ฉันมาที่นี่ด้วยธุระส่วนตัวที่นายฝากไว้มานาน” ริมฝีปากเหยียดรอยยิ้ม นัยน์เนตรคู่งามสีไพลินที่ประดับอยู่บนดวงหน้าสวยนั้นวาวโรจน์ด้วยความโกรธ มือบางเกลี่ยเรือนผมสีนำเงินเข้มออกจากวิสัยทัศน์การมองก่อนที่ข้อมือบางจะตวัดมีดยาวเพื่อป้องกันตัว ดาบแรกถูกตวัดไปยันดามปืนในมือของการ์ดคนหนึ่งเอาไวขาเรียวยาวนั้นตวัดเตะเพื่อใหอีกฝ่ายล่าถอยออกไป หากแต่การป้องกันตัวเช่นนั้นมันก็ไม่สามารถที่จะปกป้องครีแวนให้เข้าไปถึงตัวของอีธานได้ ลูกกระสุนนัดแรกถูกยิงเฉี่ยวขาหยาดโลหิตนั้นไหลรินออกมาจากบาดแผลบาดแผลแรกริมฝีปากบางพยายามกัดฟันเพื่อสะกัดกันความเจ็บปวดพวกนั้น และถ้าหากมันมีเพียงแค่แผลเดียวครีแวนก็ไม่หวั่นเกรงสักเท่าไหร่นักเพราะตัวของร่างโปร่งบางนี้ไม่ได้อ่อนแอที่จะล้มลงไปนอนกับพื้นเพียงแค่โดนกระสุนปืนนัดเดียวยิงเฉี่ยวขา หากแต่ในตอนนี้บนเรืองร่างของครีแวนนั้นมีรอยแผลเกินสิบแผลแม้มันจะไม่ไดโดนยิ่งเข้าไปตรง ๆ แต่มันก็สร้างความเสียหายได้มากพอดี ร่างสูงโปร่งพยายามหาช่องทางเขาประชิดชายหนุ่มผู้สูงไวกว่าและเขากทำสำเรจ หากแต่ร่าง ๆ นี้ก็ทำไดแต่เข้าไปประชิดเท่านั้นเพราะไม่ทันทีคมมีดในมือบางจะได้ตวัดโดนผิวกายชายร่างสูง เสียงกระสุนปืนสองนัดดังขึ้น โดยกระสุนนัดแรกถูกยิงไปที่ขาเรียวบางจนทะลุไปอีกฝั่งและอีกนัดถูกยิงไปเฉี่ยวไปที่บ่า



ร่างโปร่งบางที่ยืดหยัดต่อสู้เพียงคนเดียวนั้นค่อย ๆ ล้มลงมือข้างที่ถืออาวุธนั้นก็ค่อย ๆ คลายฝ่ามือจนมีดยาวเล่มนั้นร่วงลงไปกระทบกับพื้นเช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้าของมัน นัยน์เนตรสีไพลินค่อย ๆ ปรือลงก่อนจะปิดสนิทเช่นเดียวกับสติที่ค่อย ๆ หลุดลอยออกไป



“ภารกิจเสร็จสิ้น…ต่อจากนี้ไปเป็นเรื่องที่นายต้องจัดการแล้วเจ้าบ้า” นี่เป็นถ้อยคำสุดท้ายที่ถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบาง ใบหน้าสวยนั้นอมยิ้มเล็กน้อยก่อนที่โลกทั้งโลกจะดับมืดลง




-เมื่อสามชั่วโมงก่อน-



‘นายตัดสินใจที่จะตาย…แล้วเคยถามคนอื่นก่อนไหมว่าเขาอยากให้นายตายหรือเปล่า’ เสียงทุ้มตวาดกร้าวเมื่อร่างโปร่งบางนั้นพยายามที่จะวิ่งหนีตนไป ‘ไม่ใช่แค่ฉัน...นายถามน้องสาวของนายหรือเปล่าว่าเขาอยากให้นายแก้แค้นจนตัวตายไหม” ซึ่งถ้อยคำที่ร่างสูงสง่าเอ่ยออกมานั้นทำให้เรียวขายาวทั้งสองข้างชะงักและหยุดลง



‘ตลอดมานายคิดว่าการแก้แค้นของนายหนะมันสำคัญที่สุด…แต่นายก็ไม่เคยคิดเลยว่าการมีชีวิตอยู่ของนายมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของน้องสาวและนายก็คิดว่าการที่เด็กคนนั้นอยู่ในการคุมครองของฉันแล้วจะอยู่รอดปลอดภัย ใช่มันเป็นเช่นนั้นมันเป็นอย่างที่นายคิดนั่นหละครีแวน…แต่นายไม่เคยคิดเลยใช่ไหมว่าถ้านายขอให้ฉันช่วย…เรื่องราวทั้งหมดมันจะง่ายกว่าที่นายจัดการเรื่องทั้งหมดนั่นคนเดียว” ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ครีแวนถึงกับสะอึกและไม่รู้จะกล่าวตอบโต้อะไรออกไปเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายร่างสูงผู้นี้เอ่ยออกมามันถูกทั้งหมด



ครีแวนไม่เคยมองคนรอบข้างไม่เคยคิดว่าคนรอบข้างนั้นจะรู้สึกยังไง เขาคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองและเชื่อมั่นในความคิดของตนเท่านั้น ซึ่งส่วนนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดหาก แต่ในบางกรณีสิ่งที่ครีแวนเลือกที่จะทำมันผิดเพราะบางสิ่งบางอย่างมันก็เกินความสามารถที่คน ๆ เดียวจะจัดการได้หมดแต่ตัวของร่างโปร่งบางก็เลือกที่จะทำมันด้วยตัวคนเดียวอย่างเช่นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
‘…มันเรื่องของฉันฉันเชื่อมั่นแต่ตัวเอง ฉันไว้ใจแต่ตัวเอง แล้วคนอย่างนายที่มีพร้อมทุกอย่างมันจะไปเข้าใจอะไรคนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปเล่า’ ครีแวนตะโกนกลับในขณะที่ตนหันหลังให้อีกฝ่ายอยู่ น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาสั่นเครือและเป็นเช่นเดียวกับไหล่บอบบางที่สั่นไม่แพ้กัน ความเย็นชาและแข็งกระด้างทั้งหมดของครีแวนนั้นมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะป้องกันเพื่อไม่ให้ความอ่อนแอของตนถูกเผยออกมา แต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งก่อสร้างมันก็มักจะผุพังตามกาลเวลา ซึ่งกำแพงภายในใจของครีแวนก็ไม่มีการยกเว้นเช่นกัน ริมฝีปากบางเม้นเขาหากันแน่น คิ้วเรียวบางที่ถูกจัดเรียงไว้บนดวงหน้าขาวขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว
‘ถ้าไม่เข้าใจก็ถอยไปซะ ฉันมีเรื่องที่จะต้องไปทำ’ ร่างสูงเพรียวหันหลังกลับ นัยน์เนตรที่แข็งกร้าวและมักจะวาวโรจน์ไปด้วยความโกรธตอนนี้กลับสั่นไหว ในตอนนี้กำแพงภายใจจิตใจของครีแวนที่ถูกสร้างขึ้นอย่างแน่นหนาและอยู่มาอย่างยาวนานมันกำลังจะพังทลายลง ‘ดังนั้นนายช่วยอย่ามาขวางฉันจะได้ไหม…เฮลาส’ ครีแวนเอ่ยเสียงอ่อนราวกับเขากำลังร้องขออีกฝ่าย หากแต่ทางฝ่ายชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงเข้มดั่งเปลวเพลิงนั้นก็ไม่คิดที่จะยอมฟังคำรองขอ มือกร้านเอื้อมมือไปกอบกุมข้อมือบางแน่นก่อนจะรั้งให้อีกฝ่ายเซเข้ามาหาตน



‘นายมีที่ให้พักพิงไม่ใช่แล้วหรือยังไง…นายบอกว่าไม่ไว้ใจใครนอกจากตัวเองแล้วทำไมนายถึงฝากคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนายไว้กับฉันกัน’ เสียงทุ้มเข้มเอ่ยเตือนสติและมันก็เป็นอย่างที่ตัวของเฮลาสนั้นพูดออกมาถ้าตัวของครีแวนไม่ได้ไว้ใจชายหนุ่มร่างสูงสง่าคนนี้แล้วเขาจะยอมฝากคนที่สำคัญมากกว่าชีวิตของตนเองอย่างยัยวิเวียนให้คน ๆ นี้ดูแลได้ยังไง มือบางอีกข้างที่ไม่ไดถูกกอบกุมดวยมือแกร่งเอื้อมมือขึ้นไปแตะแผ่นอกอีกฝ่ายก่อยจะขย้ำจนแน่น



คน ๆ นี้ทำให้ตัวเขาเปลี่ยนไป


คน ๆ นี้ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง



และคน ๆ นี้ทำให้ตัวของครีแวนนั้นอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ‘ฉัน…ไม่คิดที่จะตาย…และฉันก็ยังไม่อยากตาย แต่ตัวของฉันต้องไปจัดการเรื่องราวพวกนั้นด้วยตัวเอง ฉันปล่อยมันไปไม่ได้…ปล่อยไปไม่ได้จริง ๆ’ เสียงหวานเอ่ยออกมาสั่นเครือ หากแต่บนนัยน์เนตรสวยนั้นกลับไม่มีน้ำตาไหลรินออกมาเลยสักหยดเดียว



ท่อนแขนแกร่งค่อย ๆ โอบรัดเอวบางมือแกร่งนั้นค่อย ๆ จับศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีน้ำเงินนั้นเอนมาซบที่แผ่นอกของตน ‘ให้ฉันเป็นห่วงนายไม่ได้หรือยังไงกัน ครีแวน’ ถ้อยคำนี้ถูกเอ่ยมาอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้คำตอบของมันไม่เหมือนเก่าอีกแล้ว ใบหน้าสวยพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เป็นการตอบรับ ซึ่งนั่นก็ทำให้ริมฝีปากของเฮลาสคลี่รอยยิ้มออกมาอย่างยินดี



หลังจากการคุยและปรับความเขาใจของครีแวนและเฮลาสนั้น มันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการ ๆ หนึ่ง ซึ่งแผนการนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการจัดการตระกูลราดอล์ฟ ความจริงแล้วเฮลาสนั้นไม่ค่อยจะเหนดวยกับแผนการนี้สักเท่าไหร่นักเพราะชายหนุ่มร่างสูงคนนี้มีนิสัยที่ไม่ค่อยจะชอบยุ่งกับใครถ้าเกิดคน ๆ นั้นไม่ยุ่งกับตนก่อน ปละตั้งแต่ชายหนุ่มผู้นี้ก้าวขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการมาเฟียตระกูลราดอล์ฟหรือ ‘อีธาน ราดอล์ฟ’ ก็ไม่เคยที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของเขาเลยสักนิด ซึ่งเหตุผลแค่นั้นกเพียงพอแลวที่เขาจะไม่เข้าไปยุ่งกับตระกูลนั้น ทว่าตัวของเฮลาสก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีความคิดที่จะล้มล้างอำนาจของเขาอยู่ หากแต่ในเวลานั้นชายร่างสูงผู้เป็นเจ้าของดวงเนตรคมสีโกเมนนั้นไม่เคยเผยจุดอ่อนให้ใครเห็นมาก่อนทางนั้นก็ไม่สามารถที่จะล้มเขาได้สำเร็จ เพียงแต่ในตอนนี้เขากลับมีจุดอ่อนเสียแล้วที่สำคัญไปกว่านั้นจุดอ่อนของเขาเป็นจุดอ่อนที่มีนิสัยดื้อดึง เอาแต่ใจและที่สำคัญไปกว่าอะไรทั้งหมดคน ๆ นี้ก็ไม่ยอมที่จะให้เขาปกป้องเสียอีก ช่างเป็นจุดอ่อนที่สร้างเรื่องน่าปวดหัวให้เขาเสียจริง แต่กระนั้นตัวของเฮลาสก็เลือกที่จะปกป้องอีกฝ่ายแม้อีกฝ่ายจะไม่ค่อยพอใจและยินยอมให้ปกป้องสักเท่าไหร่



‘ฉันบอกไงว่าจะเป็นนกต่อให้ ให้ฉันเข้าไปทำลายมันจากภายใน…ต่อให้ทำลายมันไม่ได้พวกนั้นก็ต้องแบ่งคนมาดูแลทางฉันมากพอสมควร ที่สำคัญตอนนี้ทุกคนรู้หมดแล้วว่าฉันเป็นคนที่นายกักตัวไว้ไม่มีใครดึงความสนใจของมันดีเท่ากับฉันอีกแล้ว’ เสียงหวานตะคอกใส่ร่างสูงก่อนจะหันไปถามความคิดเห็นเด็กหนุ่มผู้มีนัยน์เนตรสองสีผู้ซึ่งเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของเฮลาส ‘นายคิดเหมือนฉันใช่ไหมคาร์เร่’ ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมานั่นกคือการพยักหนาขึ้นลงเบา ๆ แทนคำตอบ และในเมื่อเสียงในการประชุมเป็นเอกฉันท์ เฮลาสก็จนมุมที่จะโต้แย้งความคิดเห็น ใบหนากร้านคมขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม ใบหน้าคมนั้นแสดงสีหน้าและแววตาที่ท่าทางไม่พอใจออกมา ซึ่งไม่แปลกที่เฮลาส ฟีเลทัสผู้นี้จะไม่พอใจนั่นก็เป็นเพราะเขาโดนเด็กที่อายุน้อยกว่าเขาสิบกว่าปีและไม่ใช่แค่คนเดียวหากแต่ถึงสองคนนั่งเถียงเขาจนเขาพูดตอบโต้อะไรไม่ออก ชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้ได้แต่พยักหน้าตอบแบบขอไปทีพร้อมกับลุกออกไปทันทีที่แผนการทุกอย่างถูกอธิบายออกมาจนจบ



ไม่ใช่ว่าจะไม่ยอมรับในแผนการนั่นว่ามันยอดเยี่ยมจนไรที่ติหากแต่เขาต้องการที่จะปกป้องคน ๆ นั้นถึงได้ไม่ยอมรับในการตัดสินใจ ใบหน้าคมคลายความตึงเครียดลงเฮลาสนั้นพยายามที่เรียกสติและความนิ่งขรึมตนเองให้กลับคืนมา



ในตอนนี้ตัวของเฮลาสนั้นทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนอกจากการทำตามแผนการที่วางไว้ให้ดีที่สุด ร่างสูงก้าวเดินลงไปยังห้องโถงใหญ่พร้อมกับออกคำสั่งให้เหล่าลูกนองของตนมารวมกัน




เมื่อทุกอย่างนั้นเป็นไปตามแผนร่างโปร่งบางที่แสร้งทำเป็นสลบเพราะบาดเจ็บจากการโดนยิงก็ลืมตาตื่นขึ้นในตอนนี้ร่างของเขาอยู่พามายังห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งดูสภาพโดยรอบแล้วห้อง ๆ นี้ไม่เหมือนกับห้องที่ใช้คุมขังนักโทษสักเท่าไหร่นักและสิ่งที่ทำให้ครีแวนคิดแบบนั้นก็คงจะเป็นเตียงสาวสะอาดที่ร่างของเขานอนอยู่รวมไปถึงพวกเครื่องเรือนต่าง ๆ ที่ถูกจัดไวอย่างหรูหราหากแต่ดูแล้วเรียบง่าย สถานที่แห่งนี้คงจะเป็นห้องว่างสักห้องหนึ่งภายในคฤหาสน์ของตระกูลราดอล์ฟ และเมื่อสมองวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดเสรจสินร่างโปร่งบางกค่อย ๆ กระเถิบไปที่ปลายเตียงพร้อมกับใช้เท้าของจนยันไปที่พื้น ทว่าทันทีที่ขาเรียวยาวทั้งสองข้างนั้นแตะลงไปบนพื้นความเจ็บปวดก็แล่นแปร๊บขึ้นมาจนทำให้ครีแวนหลุดครางเบา ๆ ออกมาด้วยความเจ็บปวด



‘เจ็บชะมัด’ ริมฝีปากบางบ่นพึมพำกับตนเองเบา ๆ หากแต่ใบหน้าสวยนั้นก็มิไดแสดงอาการใด ๆ ออกมา ขาข้างที่บาดเจ็บถูกยกขึ้นมาวางไว้บนเตียงมือเรียวบางค่อย ๆ สำรวจบาดแผลที่เกิดขึ้น ‘โดนยิงจนกระสุนทะลุไปอีกฝั่ง…แกต้องไม่ได้ตายดีแน่อีธาน ราดอล์ฟ’ ครีแวนได้แต่กร่นด่าอีกคนภายในใจเพราะในตอนนี้ตัวเขานั้นไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนั่งนิ่ง ๆ รอให้คน ๆ นั้นมาถล่มที่นี่ตามแผน ใบหน้าสวยเหม่อมองออกไปที่หน้าตานัยน์เนตรคมสีไพลินนั้นหรี่ตามองไปจนสุดสายตาพลันริมฝีปากบางกคลี่รอยยิ้มออกมาอย่างยินดี “มาแล้วสินะ” เสียงหวานเอ่ยกับตนเองเบา ๆ



พลันบานประตูที่เคยปิดสนิทก็ถูกเปิดออกพร้อม ๆ กับร่างสูงของชายผู้สูงวัยที่มีนามว่า ‘อีธาน’ ดวงเนตรสวยปรายตาไปมองชายผู้เข้ามาใหม่ด้วยแววตาไม่เป็นมิตร



“สะดวกสบายหรือเปล่าครับห้องนี้หนะ” เสียงแหบแหงของชายชราเอ่ยถามซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าครีแวนนั้นเลือกที่จะใช้ความเงียบเป็นคำตอบ นัยน์เนตรคู่งามเหลือบมองชายชายผู้สูงวัยกว่าเพียงครู่ก่อนจะเมินหน้าหนีอีกฝ่ายไป



“ไม่สบายสินะครับ แต่ก็ต้องขออภัยด้วยคุณต้องอยู่ที่นี่จนกว่าดอนฟีเลทัสจะยอมมอบทุกอย่างให้แก่ผม” ชายผู้สูงวัยกว่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม หากแต่ชายคนนี้กลับไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับสิ่งที่ตนพูดเลยสักนิดเดียวเพราะเท่าที่ครีแวนรับรู้ได้จากความรู้สึกชายคนนี้นั้นกำลังมีอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดพอดูที่ตัวของครีแวนแสดงท่าทางที่ไม่คิดจะแยแสตัวเขา



ใบหน้าสวยยังคงเมินหน้าหนีมือเรียวบางพลางเกลี่ยเส้นผมพลางม้วนปลายผมของตนเล่น ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของครีแวนนั้นยิ่งยั่วยุอารมณ์โกรธของชายผู้สูงวัยกว่าให้พุ่งสูงขึ้นไปจนถึงขีดสุด มือบางที่เกลี่ยเส้นผมอยู่ถูกกระชากพร้อมกับมือกร้านอีกข้างหนึ่งที่ตวัดมือตบลงไปที่ใบหน้าสวยนั่นเต็มแรง “อย่าคิดว่าแกเป็นตัวหมากสำคัญแล้วฉันจะไม่ทำอะไรแกได้นะไอวิปริต” เมื่อมนุษย์ถูกกความโกรธเขาครอบงำหนากากที่ถูกสวมไว้เพื่อใช้บดบังธาตุแท้ของตนก็ถูกเปิดออกดั่งเช่นชายคนนี้ ทั้งกิริยาที่หยาบคายรวมไปถึงถ้อยคำที่ดูถูกดูแคลน



ใบหน้างามที่หันไปตามแรงตบค่อย ๆ เบนกลับไปจ้องมองที่ใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ใช่แล้วในตอนนี้ครีแวนกำลังหัวเราะและเหตุผมที่ทำให้ร่างโปร่งบางร่างนี้หัวเราะออกมาเสียจนตัวงอก็คงเป็นธาตุแท้ของชายคนนี้ที่ถูกเผยออกมาให้เขาได้เห็น



ทั้ง ๆ ที่ชื่อเสียงของ ‘อีธาน ราดอล์ฟ’ นั้นในโลกด้านมืดมันช่างน่าเกรงกลัว หากแต่ตนได้เข้ามาสัมผัสอย่างใกล้ชิดแล้วคน ๆ นี้ก็มีนิสัยไม่ได้ต่างกับเด็กเอาแต่ใจเลยสักนิด ใครไม่ยอมทำตามก็ไม่พอใจพร้อมกับโวยวายให้คน ๆ นั้นสนใจตนการกระทำแบบนี้มันช่างเหมือนเด็กน้อยเสียงจริง ใบหน้าสวยจ้องใบหน้าที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาอีกสักพักก่อนจะละความสนใจและจ้องมองออกไปที่หน้าต่างเช่นเดิม ในตอนนี้ครีแวนไม่คิดที่จะให้ความสนใจกับผู้ใหญ่ที่โตแต่ตัวแล้วนั่นก็เป็นเพราะสิ่งที่เขาควรจะสนใจในตอนนี้ก็คือแผนการขั้นต่อไปต่างหาก



และเมื่อความวุ่นวายด้านนอกนั้นได้เริ่มต้นขึ้น พลันริมฝีปากสีสดก็คลี่รอยยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รูสึกตัว ซึ่งรอยยิ้มที่ผุดออกมาจากมุมปากของครีแวนนั้นทำให้อีธาน ราดอล์ฟแปลกใจเป็นอย่างมากและเหตุผลที่ชายผู้สูงวัยคนนี้แปลกใจก็คงเป็นเพราะไม่ว่าเขาจะใช้คำพูดเสียดสีหรือทำร้ายร่างกายร่างโปร่งบางนี้ขนาดไหน สีหน้าและแววตาของคน ๆ นี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว
“แกยิ้มอะไรของแก” เสียงแหบแห้งนั้นเอ่ยถามพร้อมกับมือกร้านที่เอื้อมมือไปกระชากเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตาให้หันมาทางตน แต่กระนั้นครีแวนกไม่คิดที่จะเอ่ยตอบริมฝีปากบางยิ่งคลี่รอยยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเก่าก่อนจะพ่นน้ำลายที่เปื้อนเลือดออกไป



“ฉันยิ้มให้กับความล่มจมของแกหละมั้ง” ริมฝีปากบางนั้นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหยียดหยาม นัยน์เนตรคู่งามหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูกดูแคลน ซึ่งในถ้อยคำที่ครีแวนเอ่ยออกไปนั้นดอนแห่งตระกูลราดอล์ฟนั้นไม่ได้เข้าใจความหมายของถอยคำเหล่านั้นเลยสัก มันมือกร้านถูกง้างขึ้นอีกหลายต่อหลายครั้งเพื่อตวัดตบลงไปบนแก้มเนียนนั่น และในทุก ๆ ครั้งที่ใบหน้าสวยนั้นหันไปตามแรงตบครีแวนก็มักจะเบนหน้าตนกลับมามองยังใบหน้าของดอนสูงวัยผู้นี้เสมอ ซึ่งการกระทำเช่นนีของครีแวนมิได้ทำเพื่อร้องขอความเห็นใจจากอีกฝ่าย แต่ที่ตัวของร่างโปร่งบางผู้มีเรือนผมสีน้ำทะเลลึกเลือกทำเช่นนั้นก็เป็นเพราะเขาอยากจะดูสภาพของคนที่ใกล้จะไม่เหลืออะไรในชีวิตต่างหาก ริมฝีปากสีสดยังคงยิ้มเยาะนัยน์เนตรคู่งามยังคงเต็มไปด้วยการดูแคลน ‘อีธาน ราดอล์ฟ’ ชายคนนี้ช่างเป็นชายที่สุดแสนจะโง่เง่าเสียจริงและสิ่งที่ทำให้ครีแวนคิดเช่นนั้นก็คงเป็นเพราะแผนการที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่ถึงชั่วโมงกว่านี้กระมัง



ใบหน้าสวยยังคงเชิดใบหน้ามองอีกฝ่าย นัยน์เนตรสีไพลินที่จ้องมองไปนั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกสะใจ ถึงแมแผนการครั้งนี้จะตองยืมมือของดอนแห่งตระกูลฟีเลทัสเข้ามาช่วย แต่ยังไงการล่มสลายของตระกูลราดอล์ฟนี้ก็มีเขาเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักในแผนการ และในขณะที่ฝ่ามือกร้านของดอนแห่งราดอล์ฟจะตวัดไปสัมผัสที่แก้มเนียนสวยนั่นอีกครั้งเสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทของดอนสูงวัยก็ดังขึ้น


v
v
v
v
v
v
v
v



หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 10] 27/11/2014 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 27-11-2014 19:20:38
“ไม่รับโทรศัพท์เหรอ…นายอาจจะได้ฟังอะไรดี ๆ จากโทรศัพท์นั่นก็ได้นะ” เสียงหวานเอ่ยดังนิ้วเรียวบางถูกตวัดชี้ไปที่กระเป๋าเสื้ทสูทสีดำสนิทนั่น และเมื่อชายหนุ่มผู้สูงวัยกว่าได้ยินเช่นนั้นมือกร้านที่เตรียมตวัดตบใบหน้าสวยก็ลดมือลงและเปลี่ยนไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อสูทของตนออกมา นิ้วกร้านกดรับสายพร้อมกับกรอกเสียงตนลงไป “มีอะไร” และเมื่อปลายสายกรอกเสียงตอบกลับมาใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ใบหน้ากร้านหันกลับมามองร่างโปร่งบางที่ยังคอยส่งรอยยิ้มมาให้



พลันความสงสัยทั้งหมดทั้งมวลที่ตีกันอยู่ภายในสมองก็ได้พบกับคำตอบ ความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในเขตปกครองของตระกูลราดอล์ฟเกิดขึ้นเพราะร่างสูงเพรียวคนนี้ โทรศัพท์มือถือในมือถูกปาทิ้งพร้อม ๆ กับร่าสูงของชายผู้สูงวัยก็ถลาเข้าไปเงื้อหมัดต่อยไปที่ใบหน้างามนั่นเต็มแรง “แกสินะที่วางแผนเรื่องพวกนี้ทั้งหมด” สิ้นประโยคนี้ริมฝีปากบางก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “เพิ่งจะมาฉลาดตอนนี้สินะ…ฮะ ๆๆ ...แกนี่มันโง่กว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลยนะอีธาน ราดอล์ฟ ฉันไม่น่าคิดอะไรมากมายให้ปวดสมองเลยนะเนี่ยถ้าแกจะจัดการง่ายขนาดนี้” ริมฝีปากเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดวงเนตรคู่งามยังคงจ้องมองตรงไปที่ใบหน้าอีกฝ่าย



“แล้วเป็นไงหละโทรศัพท์หนะมันเป็นข่าวที่ดีมากเลยใช่ไหม” เมื่อประโยคนี้เอ่ยจบลงร่างของครีแวนก็ถูกฮีธานต่อยเข้ามาที่ท้องเต็มแรง ริมฝีปากบางพยายามกัดเมนเข้าหากันเพื่อสะกดกลั้นอาการเจ็บปวด แต่กระนั้นร่างของเขามันอ่อนล้าเกินกว่าจะรองรับความเจ็บปวดทั้งหมดได้ ร่างสูงโปร่งนั้นค่อย ๆ ทรุดลงไปนอนลงที่พื้นมือบางเผลอยกขึ้นมากอบกุมท้องของตัวเองเอาไว้ หากแต่ความเจ็บปวดพวกนั้นมันก็ไม่สามารถลบล้างความสะใจออกไปจากตัวของครีแวนได้ริมฝีปากบางยังคงเหยียดรอยยิ้มกว้างและไม่คิดจะหยุดเอ่ยถ้อยคำดูถูกดูแคลนออกมา “เป็นยังไงบ้างหละความรู้สึกของคนที่กำลังจะไม่เหลืออะไรไม่สิ…ต้องเรียกว่าไม่เหลืออะไรแล้วต่างหาก” เสียงพูดเสียดสียังคงดังไปทั่วห้อง ซึ่งคำพูดพวกนั้นยิ่งทำให้ดอนราดอล์ฟโกรธเป็นอย่างมาก ร่างสูงโปร่งถูกต่อยและเตะอีกหลายทีจนในท้ายที่สุดความอดทนของชายผู้สูงวัยกว่าก็หมดสิ้น มือกร้านล้วงเข้าไปในเสื้อสูทก่อนจะควักปืนบาเร็ตต้าร์ออกมา



“แกมัน…” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยความโกรธ มือข้างที่ถือปืนบาเรตต้าร์สีดำสนิทถูกตวัดจ่อเลงไปที่ศีรษะของร่างโปร่งบาง



“เลว…ที่สุด” และเมื่อเสียงแหบแห้งนั้นเอ่ยออกมาจนจบประโยค เจ้าของใบหน้าสวยก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง



หากคนอื่นเอ่ยคำด่าใส่เขาเช่นคำว่าเลวแล้วหละก็ ครีแวนก็คงยอมรับคำด่าพวกนั้นอย่างเต็มใจหากแต่ครั้งนี้ครีแวนกลับนึกขำเพราะว่าถ้าคนอย่างอีธาน ราดอล์ฟเอ่ยด่าเขาว่าเลวแล้วหละก็การกระทำของพวกมันจะเรียกว่ายังไง



“นายนี่มันทำให้ฉันหัวเราะได้เรื่อย ๆ ไม่หยุดจริง ๆ” เสียงหวานเอ่ยออกมามือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นไปจับปากกระบอกปืนให้หันเบนไปทางอื่น “นายด่าฉันว่าเลว…แล้วตัวนายหละดอนราดอล์ฟค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าอาวุธเถื่อนใช้องค์กรการกุศลเป็นที่ฟอกเงินอย่างนี้จะเรียกว่ายังไง” ริมฝีปากบางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แขนข้างที่ไม่ได้ทำอะไรค่อย ๆ ยันกายตนให้ลุกขึ้นยืน “แต่ถ้าให้ฉันด่านาย…ฉันคงใช้คำว่า ‘ระยำ’ หละมั้ง” เมื่อร่างโปร่งบ่างเอ่ยออกมาจนจบประโยคเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้ง ในตอนนี้ครีแวนนั้นเข้าใกล้คำว่าสติแตกมากขึ้นทุกที ใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำค่อย ๆ สะบัดผมที่ปรกใบหน้าตนออก ส่วนมือข้างที่กอบกุมปากกระบอกปืนไว้ถูกกระชากให้ออกห่างจากตน หากแต่การกระทำพวกนั้นของร่างโปร่งบางกลับทำไม่สำเร็จปืนกระบอกเดิมถูกเบี่ยงกลับมาจ่อที่ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีน้ำเงินเข้มก่อนนิ้วแกร่งนั่นจะปลดเซฟตี้ล็อคของปืนกระบอกนั้น



“ปากดีนักนะ…แต่มันก็ทำให้ฉันเข้าใจว่าทำไมดอนฟีเลทัสถึงถูกใจนายเอามาก ๆ เพราะว่าปากดีและบ้าดีเดือดแบบนี้นี่เองเขาถึงได้ถูกใจนัก แต่สำหรับฉัน…ฉันเกลียดคนอย่างนายที่สุดเกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตาย” สิ้นประโยคที่เอ่ยออกมาจากปากของชายผู้สูงวัย กระสุนนัดแรกก็ถูกเหนี่ยวไกและยิงออกมาแรงดีดของปืนทำให้ร่างบอบบางนั้นเซถลาถอยหลังทรุดลงไปนั่งที่พื้น



มือบางยังคงสั่นเพราะแรงดีดของปืนหยาดโลหิตสีชาตินั้นไหลรินออกจากบาดแผลที่แก้ม ถ้าหากครีแวนไม่ไหวตัวทันและใช้มือข้างนั้นเบี่ยงปากกระบอกปืนไปเสียก่อนป่านนี้ตัวของร่างโปร่งบางนั้นคงได้นอนลงไปจมกองเลือดอยู่ที่พื้นแล้ว



ร่างสูงโปร่งนั่งหายใจหอบอยู่กับพื้นมือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาปาดเลือดที่ไหลรินออกมา หากแต่ร่าง ๆ นี้ก็นั่งสบายใจอยู่ไม่นานปืนบาเร็ตต้าร์กระบอกเดิมถูกเล็งมาที่ร่างของเขาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กระสุนนัดที่สองที่ถูกยิงออกมาจากปากกระบอกปืนนั้นมันไม่พลาดเป้าเหมือนัดแรกอีกแล้วเพราะกระสุนนัดนั้นพุ่งตรงเข้ามาเจาะที่หน้าท้องของครีแวนอย่างจัง



ราวกับว่าเวลาที่เคยเดินเป็นปกตินั้นหยุดลง ใบหน้าสวยค่อย ๆ ก้มลงมองไปที่หน้าท้องมือบางค่อย ๆ ยกขึ้นมาแตะบาดแผลที่เกิดขึ้น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนร่างโปร่งบางจะหงายหลังนอนจมกองเลือดของตน



สติที่เคยอยู่กับร่างนั้นเริ่มเลือนหายใบหน้าสวยที่เคยคลี่รอยยิ้มและหัวเราะตอนนี้กลับแหงผาก นัยน์เนตรสีไพลินที่เคยทอประกายนั้นค่อย ๆ ดับแสงลง…



หากว่าถ้าว่าเขาตายตอนนี้…มันก็คงไม่น่าจะเสียใจแล้วหละมั้งเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้…เขาก็ได้ทำไปหมดแล้วแต่ในตอนนี้ความรู้สึกพวกนั้นของเขามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว…นัยน์เนตรสวยค่อย ๆ ปรือหลับลงพร้อม ๆ กับสติที่ดับวูบไป
…แต่ฉัน...ไม่อยากตาย…ฉันยังไม่อยากตาย...



และถ้าหากฉันบอกนายไปแบบนั้น…นายจะมาช่วยฉันไหม...เฮลาส ฟีเลทัส...





ในขณะเดียวกันด้านนอกของคฤหาสน์ตระกูลราดอล์ฟ รถยนต์คันหรูถึงเทียบมาจากหน้าประตูของคฤหาสน์บานประตูสีดำสนิทค่อย ๆ เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของเฮลาส ฟีเลทัส นัยน์เนตรคมปรายตามองไปรอบ ๆ ก่อนมือกร้านจะโบกมือให้ลูกน้องของตนถอยออกห่างจากตัวเขาไป ในตอนนี้ตระกูลฟีเลทัสได้เข้ายึดครองเขตของปกครองของตระกูลราดอล์ฟไปสามในสี่ส่วนแล้วและที่สุดท้ายที่เขานั้นต้องเข้าไปควบคุมพื้นที่นั่นก็คือคฤหาสน์ของตระกูลราดอล์ฟนั่นเอง



ร่างสูงก้าวเดินไปยังประตูบานใหญ่ที่เปิดกว้างออกก่อนจะสาวเท้าตนเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบ ในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฮลาสนั้นรีบร้อนที่จะไปช่วยคน ๆ หนึ่ง ใบหนากร้านคมนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียดหากแต่ชายหนุ่มร่างสูงนั้นยังคงมีความสุขุมและความเยือกเย็นอยู่ในตัว



“ดอนราดอล์ฟอยู่ไหน” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยตะคอกใบหน้ากรานคมนั้นหันเบนไปรอบ ๆ กายเพื่อเค้นหาคำตอบจากเหล่าการ์ดของคฤหาสน์ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ และเมื่อชายร่างสูงผู้นี้ไม่ได้คำตอบเสียงทุ้มตะโกนถามอีกครั้งหากแต่ครั้งนีน้ำเสียงที่ถูกเอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยความเกรียวกราด “ฉันถามว่ามันอยู่ไหนหรืออยากให้ฉันเอากระบอกปืนกรอกปากถามพวกแกทีละคน” ในตอนนี้ตัวของเฮลาสนั้นอยากรู้ว่าดอนของแก๊งค์ราดอล์ฟนั้นอยู่ที่ไหนและที่แห่งใดเป็นที่กักขังของของเขาเอาไว้และเมื่อเสียงทุ้มประกาศออกไปอย่างนั้นเหล่าผู้คนที่กลัวความตายก็ส่งเสียงกันอืออึงเพื่อแย่งกันตอบและเมื่อชายหนุ่มร่างสูงนั้นได้ความ ธุระที่เฮลาสมีกับคนพวกนี้ก็หมดลง



นัยน์เนตรสีโกเมนวาวโรจน์ขึ้นอีกครั้งพร้อมกับหันหลังและออกคำสั่งให้เหล่าลูกน้องของตนจัดการปิดปากเหล่าการ์ดพวกนั้น ร่างสูงค่อย ๆ เดินจากมาทีละก้าว ๆ และในทุกครั้งที่เท้าทั้งสองข้างนั้นเหยียบลงบนพื้นเสียงปืนก็ดังขึ้นทีละนัด…ทีละนัด ก่อนมันจะเงียบลงเมื่อร่างสูงก็เดินหายไปด้านในคฤหาสน์



แม้ชายหนุ่มร่างสูงจะมีความแขงกร้าวเป็นเกราะกำบังหากแต่ความจริงแล้วภายในใจของเขาก็มีความวิตกมากพอดูเกี่ยวกับเรื่องของคน ๆ นั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้สัตว์เลียงตัวโปรดของเขาจะทำเรื่องวุ่นวายไปไหนต่อไหนกันแลว คิ้วคมเข้มขมวดเป็นปมแน่นใบหน้ากร้านคมนั้นแสดงให้ถึงความรู้สึกกังวลอย่างปิดไม่มิด



และเมื่อเฮลาสก้าวเดินเข้าไปใกล้จุดหมายทีละก้าว ๆ ความรู้สึกหนักอึ้งในจิตใจมันก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นที่ละเล็กทีละน้อยและเมื่อขาแกร่งทั้งสองข้างก้าวมาถึงจุดหมายปลายทาง



เบื้องหน้าของชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงดั่งเปลวเพลิงก็คือบานประตูสีขาวบริสุทธิ์และสิ่งที่อยู่ด้านหลังบานประตูนั้นก็คือสถานที่ที่ร่างโปร่งบางผู้ซึ่งของเขารออยู่ มือกร้านค่อย ๆ เอื้อมมือไปจับกลอนประตูและค่อย ๆ บิดลูกบิดเปิดเข้าไปช้า ๆ และเมื่อบานประตูเปิดกว้างมากพอที่จะเผยให้เห็นสภาพภายในห้อง นัยน์เนตรคมกริบสีโกเมนนั้นกตองเบิกกว้างเพราะสภาพภายในห้องนั้นมันช่างแตกต่างจากที่เขาคิด เพราะร่างสูงสง่าของดอนแห่งตระกูลราดอล์ฟนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ใบหน้ากร้านคมที่มีริ้วรอยตามวัยนั้นคลี่รอยยิมกว้างราวกับกำลังตอนรับเขา หากแต่มันก็มีสิ่งหนึ่งที่ผิดแปลกไปเพราะร่างโปร่งบางของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินนั้นกลับไม่ได้อยู่ภายในห้อง ขาแกร่งค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปทีละก้าว ๆ จนในที่สุดเขาก็พบร่างที่ตนนั้นต้องการเจอ หากแต่ร่าง ๆ นั้นกลับอยู่ในสภาพที่ตัวของเฮลาสนั้นไม่อยากจะเชื่อเพราะใบหน้าสวยที่ประดับไปด้วยดวงเนตรสีไพลินที่แข็งกร้าวและร่างสูงโปร่งที่เคยยืนหยัดอย่างทระนงบัดนี้กลับไม่มีอีกแล้ว ใบหน้างดงามนั้นขาวซีดส่วนร่างสูงโปร่งนั้นทรุดลงไปนอนหายใจโรยรินอยู่ที่พื้น และเมื่อนัยน์เนตรสีโกเมนเห็นภาพ ๆ นั้นจนเต็มตาความรู้สึกที่สะกดกลั้นภายในใจก็ประทุขึ้น



มือกร้านรีบล้วงมือเข้าไปในเสื้อสูทพร้อมกับหยิบปืนคู่ใจออกมาจากเสื้อก่อนพร้อมกับตวัดหันไปเล๊งที่ร่างชองชายหนุ่มผู้สูงวัยกว่าที่นั่งอยู่กลางห้อง “แกน่าจะรู้ว่าที่แกทำลงไปมันคืออะไรอีธาน ราดอล์ฟ แกกำลังหาเรื่องตายอยู่นะตอนนี้” เสียงทุ้มเอ่ยเสียงกร้าวนัยน์เนตรคมกริบสีแดงชาดนั้นวาวโรจน์ขึ้นอีกครั้งด้วยความโกรธ ซึ่งอีกฝ่ายนั้นก็ไม่ต่างกันมือที่หยาบกรานจากการจับอาวุธก็ยกปืนขึ้นเลงมายังชายหนุ่มร่างสูงมืออีกข้างนั้นค่อย ๆ ยันกายขึ้นยืนและใช้เท้าข้างหนึ่งเตะเขี่ยร่างโปร่งบางนั้นให้ออกไปจากทางเดินของตน และการกระทำเช่นนั้นของเขายิ่งทำให้ตัวของเฮลาสทวีความโกรธมากยิ่งขึ้น



นิ้วกร้านเหนี่ยวไกโดยที่ไม่เลงใบหน้ากร้านคมนั้นนิ่งสนิทและเรียบเฉยราวกับรูปปั้น ซึ่งชายผู้สูงวัยกว่าก็ทำเช่นนั้นเหมือนกันหากแต่การกระทำของเขานั้นช้า กว่ากระสุนนัดแรกที่พุ่งออกจากปากกระบอกปืนคู่ใจของเฮลาสพุ่งตรงเข้าไปที่แผ่นอกของอีธาน หากแต่เฮลาสก็ไม่หยุดเพียงแค่นั้นนิ้วกร้านยังคงเหนี่ยวไกรัวจนหมดแม๊ก



นัยน์เนตรคมกริบที่แสนเย็นชามองดอนราดอล์ฟตรงหน้าราวกับว่าคน ๆ นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชันต่ำ ชายหนุ่มร่างสูงมองร่างร่างนั่นเพียงช่วงครู่ก่อนจะก้าวเดินเลยไปโอบอุ้มร่างโปร่งบางออกไปจากห้อง



แม้ความโกรธทั้งหมดจะปลดปล่อยออกไปบ้างแต่กระนั้นมันก็ยังไม่สามารถทำให้ความตึงเครียดภายในจิตใจของเฮลาสนั้นสงบลงเลยสักนิด



ร่างสูงสง่าโอบกอดร่างโปร่งบางที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นอย่างหวงแหน ก่อนจะขึ้นรถออกจากคฤหาสน์ราดอล์ฟที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง





___________________________




สำหรับแจก...ค่ะ... ขยิบตา// (กติกา...อยู่ในเพจค่า)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpa1/v/t1.0-9/1560553_677474172349854_8243335631085020809_n.jpg?oh=b27042b559c808148b496d68f8d84faa&oe=55110D5B&__gda__=1427509094_e93ea0ac14ad8da61f61d995bdcbd76a)

หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 11] 27/11/2014 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 21-01-2015 19:26:50




แหะ ๆ หายหัวไปนานขอโทษค่าาา




Chapter 11



บางครั้งเวลาที่คนเราใกล้จะตายมักมองเห็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อเช่นตัวของครีแวน เดอ เมอร์เรส ในตอนนี้เขากำลังมองเห็นภาพที่ไม่น่าเชื่ออยู่ ในขณะที่สติที่ลางเลือนและดวงตาที่พร่ามัวสิ่งที่ปรากฏชัดในสมองนั่นก็คือภาพของชายร่างสูงคนหนึ่งที่ตนแสนคุ้นเคย เรือนผมยาวสีแดงดั่งเปลวเพลิงปลิวไสวตามแรงลมที่พัดผ่านบานหนาต่าง ทว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่ตัวของร่างโปร่งบางนั้นไม่คุ้นชินเลยสักนิด นั่นก็คือใบหน้ากร้านคมที่เคยส่งยิ้มยียวนให้ครีแวนทุกครั้งในยามเจอหน้ากันบัดนี้มันเต็มไปด้วยกราดเกรี้ยวอีกทั้งดวงเนตรคมกริมนั้นวาวโรจน์ดั่งเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำและไม่มีท่าทีจะดับลง นัยน์เนตรสีน้ำทะเลลึกกระพริบตาอีกครั้ง ภาพที่ปรากฏก่อนหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเป็นภาพของชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นชักปืนออกมาจากเสื้อสูทและกระหน่ำยิงมาที่คนที่นั่งเหยียบร่างของเขาอยู่ หยาดเลือดของคน ๆ นั้นสาดกระเซนมาโดนใบหน้าขาวพร้อม ๆ กับร่าง ๆ นั้นล้มลงไปนอนแน่นิ่งที่พื้นและนั่นคือสิ่งที่ครีแวนรับรู้ก่อนสติและดวงตาทั้งสองข้างจะดับวูบลง



เขาไม่ได้ทราบต่อเลยว่าร่างของเขานั้นถูกพาออกจากที่แห่งนั้นได้อย่างไร ใครเป็นคนที่พาตัวของเขาออกมาจากที่แห่งนั้น
สตินั้นจมดิ่งลงไปในความมืดมิดมากกว่าการนิทราใบหน้าสวยนั้นค่อย ๆ ลืมตื่นและพบว่าตนนั้นอยู่ในชุดสีขาวสะอาดตามือบางถูกยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าตนออก นัยน์เนตรนั้นปรายตามองไปยังสถานที่รอบ ๆ ด้วยความสงสัย สวนดอกไม้กับทุ่งหญ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตาหากแต่ตัวของเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน ครีแวนพยายามนึกเรื่องราวต่อจากภาพเหตุการณ์นั้นทว่าเขาคิดยังไงมันก็คิดไม่ออก ท่อนแขนเรียวบางค่อย ๆ ยันตัวขึ้นขาทั้งสองข้างนั้นเริ่มก้าวเดินไปตามเส้นทาง



“มีใครอยู่ไหมเฮ้” เสียงหวานตะโกนถามไปรอบ ๆ หากแต่คำตอบที่ได้กลับมานั้นมันก็คือความเงียบงัน พลันคิ้วเรียวยาวก็ขมวดเป็นปมแน่นและก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะได้ส่งเสียงโวยวายอะไรต่อ เสียงขานชื่อของร่างสูงโปร่งนี่ก็ดังขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นถอยคำหรือนำเสียงที่เอ่ยดังนั้นมันช่างอ่อนโยนและคุ้นเคยเสียจริง เจ้าของนามนั้นหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะออกแรงวิ่งไปหาต้นกำเนิดของเสียงนั่น



ร่างโปร่งบางนั้นเหนื่อยหอบจากการวิ่งแต่กระนั้นเท้าทั้งสองข้างก็ไม่คิดที่ชะลอฝีเท้าตนลง เขายังคงสาวเทาวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเขาก็มาถึงต้นกำเนิดเสียงเรียกขานนั้น พลันใบหน้าสวยที่มักจะแข็งกร้าวตลอดเวลานั้นอ่อนลง ดวงเนตรคมที่เคยจ้องมองผู้คนอย่างไม่หวาดหวั่นนั้นเริ่มมีหยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมา



“…พ่อ...แม่...เหรอ…” ถ้อยคำพวกนั้นถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ครีแวนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นจะเป็นผู้ให้กำเนิดตน หากแต่เขาไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะทันทีที่เสียงหวานนั้นเอ่ยจนจบประโยคใบหน้าอันแสนอ่อนโยนของคนทั้งสองก็พยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ แทนคำตอบ ในเวลานั้นครีแวนแทบจะทรุดลงไปนั่งร้องไห้ที่พื้นราวกับเด็ก ๆ แต่เขาก็ยังคงเก็บอาการทั้งหมดไว้ตามนิสัยที่แข็งกระด้าง มือบางถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาออกตากดวงเนตรสีไพลินทั้งสองข้าง



“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…ไม่ใช่ว่าไปเกิดกันทั้งสองคนแล้วหรือยังไง” เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างทีแรกทีจริง ซึ่งถ้อยคำพวกนั้นก็สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนได้ แต่ทันทีที่ครีแวนเผลอมือกร้านของผู้เป็นบิดาก็ถูกเคาะลงบนศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นไหมสีน้ำเงิน “แกนี่มัน…ไม่ว่าจะตอนไหนปากก็ชวนหาเรื่องตลอดเวลาจริง ๆ” เสียงทุ้มของบิดากล่าวแต่การลงโทษยังไม่หมดแค่นั้น มือบอบบางของมารดาก็หวดเข้าที่สีข้างจนทำให้ครีแวนทรุดลงไปนั่งตัวงอที่พื้น “แม่สอนแล้วไม่ใช่หรือไงว่าให้พูดเพราะ ๆ กับผู้หลักผู้ใหญ่” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มอันตราย หากแต่บรรยากาศที่แลจะตึงเครียดเล็กน้อยนี่ก็อยู่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้นพลันเสียงหัวเราะของผู้ให้กำเนิดทั้งสองก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับมือของทั้งสองท่านบรรจงลูบศีรษะของลูกชายตนอย่างเบามือ



“ต่อจากนี้ไปลูกไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้วหละ…เพราะทุกอย่างมันจบลงแล้ว” น้ำเสียงนุ่มของผู้เป็นมารดาเอ่ยดัง ท่อนแขนทั้งสองข้างนั้นค่อย ๆ เอื้อมมือไปโอบกอดลูกชายของตนอย่างเบามือ



“แต่ความจริงลูกไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ ลูกไม่จำเป็นต้องพาตัวเองเข้ามาในโลกที่แสนอันตรายจนจมดิ่งไปกับมันแบบนี้” ผู้เป็นบิดาเอ่ยติเตียนหากแต่ชายหนุ่มคนนี้ก็ภูมิใจลูกชายคนนี้มิไม่น้อย แต่กระนั้นความเป็นห่วงมันก็มีมากกว่าความภูมิใจมือกร้านเคาะลงบนศีรษะของร่างสูงโปร่งนั่นอีกทีเพื่อเป็นการทำโทษที่เด็กน้อยของพวกเขานั้นทำอะไรเกินตัว



“ก็ไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนสักหน่อยก็แค่ได้ข้อมูลมาแล้วก็ว่างเลยเข้าไปออกกำลังกายนิดหน่อย” เสียงหวานเอ่ยแก้ตัวใบหน้าสวยที่ได้จากผู้เป็นมารดาเบนหน้าหลบสายตาของทั้งสอง ซึ่งการกระทำของร่างสูงโปร่งนี้ทำให้ทั้งสองคนถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง



ไม่ว่ายังไงหรือจะโตมากแค่ไหนคน ๆ นีก็ยังเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งเริ่มหัดเดินสำหรับพวกเขาทั้งสองอยู่ดี ร่างเล็กของหญิงสาวผละออกจากการโอบกอดผู้เป็นลูกชายมือเล็กทั้งสองขางค่อย ๆ ประคองแกมนวลนั่นและกดจมูกตนลงไปอย่างหนุ่มนวล เธอไม่ไดทำแบบนี้กับผู้เป็นลูกชายมานานมากแล้ว ระยะเวลาก็คงจะเป็นตั้งแต่ตัวของเธอนั้นได้ตายจากไป หญิงสาวผละออกจากร่างโปร่งนั่นอีกครั้งพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่แสนเศร้าสร้อยออกมาและเช่นเดียวกับผู้ให้กำเนิดอีกคนชายร่างสูงนั้นก็ส่งสายตาที่แสนเศร้าออกมา
แม้พวกเขาอยากที่จะอยู่กับลูกชายของตนมากแค่ไหนแต่เขาทั้งสองก็ไม่สามารถพรากชีวิตของเด็กคนนี้ได้…นอกจากเด็กคนนี้เลือกที่จะละทิ้งชีวิตของตนเอง



“อยากที่จะกลับไปหาพวกเขาหรือเปล่า” ทั้งสองเอ่ยถามผู้เป็นบุตรชายของตนใบหน้าของทั้งสองคนนั้นเต็มไปด้วยความตรึงเครียด ซึ่งคำถาม ๆ นี้ทำให้คิวเรียวยาวที่ประดับบนใบหน้าสวยเลิกคิวขึ้นด้วยความสงสัยแต่ความสงสัยพวกนั้นก็คั่งค้างอยู่ในจิตใจของร่างโปร่งบางไม่นาน ใบหน้าของมารดาก็ยิ้มออกมาจาง ๆ พร้อมกับชี้นิ้วให้ครีแวนเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า ในตอนแรกครีแวนต้องพยายามเพ่งสายตามองไปหากแต่เมื่อเวลาผ่านไปภาพเหตุการณ์พวกนั้นก็ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร่างของผู้เป็นน้องสาวของเขาจับมือและร้องไห้ตลอดเวลาจนเผลอหลับไป หรือจะเป็นภาพของเด็กหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงชาดที่คอยแวะเวียนมาดูน้องสาวของเขาที่เผลอหลับไปรวมไปถึงคอยเดินวนเวียนรอบ ๆ เตียงที่มีร่าง ๆ หนึ่งที่นอนไร้สติอยู่ และเมื่อครีแวนพยายามเพ่งสายตาตนมองไปยังภาพเหตุการณ์พวกนั้นภาพทั้งหมดก็แปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าของชายร่างสูงผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงดั่งเปลวเพลิงคนหนึ่งยืนมองร่างโปร่งบางที่ไม่ได้สติอยู่ ซึ่งนัยน์ตาที่ชายหนุ่มร่างสูงคนนี้จ้องมองไปยังร่าง ๆ นั้นมิได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา



แต่ถ้าหากมีใครพินิจมองไปที่ใบหน้าคมนั่นแล้วหละก็คน ๆ นั้นก็คงจะรู้ทันทีเลยว่าชายร่างสูงผู้นี้อดหลับอดนอนเพื่อเฝ้ารอให้ร่าง ๆ นี้ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยเสีงโวยวาย เอ่ยถ้อยคำทะเลาะกับเขามานานขนาดไหน ครีแวนมองภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตนด้วยแววตาสับสนก่อนจะผละสายตาหันกลับมามองยังผู้ให้กำเนิดตน หนึ่งคือเลือกความตายและอยู่กับผู้ให้กำเนิดตน อีกหนึ่งคือเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป…



ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนครีแวนคงเลือกข้อหนึ่งอย่างไม่ลังเลแต่ในตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แม้ใจหนึ่งครีแวนเลือกที่จะอยู่กับผู้ใหกำเนิดหากแต่เมื่อตนเห็นผู้เป็นน้องสาวรวมไปถึงชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นแล้วมันทำให้ครีแวนลังเล…ลังเลที่จะเลือกมีชีวิตอยู่ต่อไป…นัยน์เนตรคู่งามหลับตาลงพร้อม ๆ กับทบทวนความทรงจำทั้งหมดที่วนเวียนอยู่ในสมอง



เขาไม่เคยมีปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่หากแต่ที่เขายังคงมีชีวิตอยู่นั้นก็เพื่อแก้นแค้นกับผู้ให้กำเนิดทั้งสอง ทว่าในตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดมันจบลงแล้วแต่ทำไมเขายังมีความรู้สึกที่ยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ เขาไม่อยากตาย...ยังไม่อยากตาย เมื่อความคิดพวกนั้นลอยเข้ามาในหัวสมองพลันนัยน์เนตรคู่งามก็ลืมตื่นขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างนั้นไร้ความลังเลก่อนริมฝีปากบางนั้นแต่ได้คลี่รอยยิ้มจาง ๆ ไปให้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองของตน เพียงแค่นั้นทั้งสองคนก็เข้าใจแล้วว่าลูกชายคนนี้ของตนเลือกที่จะเดินไปทางไหน



ร่างสูงโปร่งหันหลังก่อนจะวิ่งกลับไปยังเส้นทางเดินที่ตนเคยเดินมาร่างสูงโปร่งออกวิ่งห่างไปเรื่อย ๆ และก่อนที่ร่างโปร่งนี้จะหายไปใบหน้าสวยก็หันกลับมาคลี่รอยยิ้มจาง ๆ ให้กับผู้ให้กำเนิดของตน



มนุษย์…เกิดมาเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป…ไม่ใช่เกิดมาเพื่อที่จะตาย…



นัยน์เนตรสีไพลินหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะลื่มตื่นหากแต่ครั้งนี้มันยากลำบากมากกว่าเดินมาก ร่างสูงโปร่งพยายามที่จะลืมตาตนจนในที่สุดดวงเนตรทั้งสองข้างก็ลืมตื่นซึ่งครั้งนี้ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาไม่ใช่ท้องฟ้าสีครามอีกแล้วแต่มันกลับเป็นเพดานที่คุ้นตาและร่างของเขานอนอยู่บนเตียงที่แสนคุ้นเคย



ห้องของดอนฟีเลทัสหรือชายผู้ที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ท่อนแขนเรียวบางพยายามยันกายตนให้ลุกขึ้นนั่งหากแต่แขนทั้งสองข้างนั้นกับไม่ทำตามที่สมองสั่งปลายนิวเรียวไดแต่ขยับเพียงนิดแต่การกระทำนั่นทำให้เด็กสาวที่นอนกุมมืออยู่สะดุ้งตื่น



“ครีแวน?...ครีแวนฟื้นแล้วเหรอ…ห่ะครีแวนฟื้นแล้ว ครีแวนนนนนนนนนนน!!!!! คนบ้านี่นายคิดจะตายก่อนน้องสาวเรียนจบหรือยังไง คนบ้า เห็นแก่ตัว อีตาหน้าตาย บ้าที่สุดอย่าเพิ่งหลับ ตื่นขึ้นมาฟังเราด่าต่อก่อน” น้ำเสียงแหลมเล็กที่เอ่ยออกมานั้นพูดออกมาไม่ค่อยจะเป็นภาษาหากแต่เมื่อนัยน์เนตรสองสีนั้นเห็นว่าพี่ชายของตนฟื้นขึ้นจากการนิทราพลันริมฝีปากเล็กก็กรีดร้องเรียกชื่อของพี่ชายตนออกมาเสียงดังพร้อมกับถ้อยคำต่อว่าแบบไม่ยั้ง แต่มันก็ยังดีที่เด็กสาวยังควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้กระโดดเขย่าคอคนเจ็บได้อยู่ไม่เช่นนั้นครีแวนคงมีอาการโคม่าอีกรอบหนึ่ง มือที่อ่อนแรงพยายามที่จะยกมือขึนเพื่อห้ามปรามน้องสาวตน แต่ก่อนที่ครีแวนจะได้ทำเช่นนั้นร่างโปร่งบางนี้ก็ถูกกระชากเข้าไปอยู่ในวงแขนแกร่งของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งคน ๆ นั้นห่วงใยและรอคอยให้ร่างโปร่งบางนี้ฟื้นขึ้นมาไม่ต่างไปกับผู้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของครีแวนเลย ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ มือบางถูกยกขึ้นไปจับท่อนแขนอีกฝ่าย ริมฝีปากบางคลี่รอยยิ้มพรอมกับเอ่ยถ้อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง



“ปล่อยมือออกไปซะ เจ็บแผล…ฉันจะไม่ตายเพราะโดนยิงแต่คงจะตายเพราะโดนนายกอดนี่หละดอนฟีเลทัส” เมื่อเอ่ยจนจบประโยค ริมฝีปากหนานั่นก็คลี่ยิ้มพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ ซึ่งการที่ชายหนุ่มร่างสูงคนนี้แสดงอาการออกมาเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะร่างที่ยังคงอยู่ในออมแขนของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยไม่เปลี่ยนไปแม้จะก้าวผ่านความตายมาแล้วรอบหนึ่ง ท่อนแขนแกร่งค่อย ๆ คลายอ้อมกอดตนออกก่อนจะประคองให้ร่างโปร่งบางนั้นนอนลงไปที่เตียงอีกครั้ง



“ฉันจะเรียกหมอมา...ส่วนวิเวียนกลับไปนอนได้แล้วตอนนี้เลยเวลานอนของ ‘เด็ก’ แล้ว คาร์เร่พาวิเวียนกลับไปที่ห้องพักซะ” เสียงทุ่มดังพร้อมกับสั่งให้ผู้เป็นหลายชายของตนพาเด็กสาวไปเข้านอน แต่มีหรือเด็กสาวจะยินยอมให้เด็กหนุ่มผมแดงพาตนกลับไปยังห้องพัก ‘ไม่มีวันซะหรอก’ เด็กสาวพยายามดิ้นไปมาเพื่อให้ข้อมือตนหลุดออกจากการกอบกุมหากแต่มือข้างนั้นของเด็กหนุ่มปล่อยมือของเธอแล้วแทนที่เธอจะได้วิ่งถลากลับไปที่เตียงนอนของผู้เป็นพี่ชาย ร่างของเธอกับถูกแบกขึ้นบ่าของเด็กหนุ่มนัยน์ตาสองสี



“ขอตัวก่อนนะครับ และขอโทษที่รบกวนเวลาพักผ่อน…วิเวียนเลิกดินอยากร่วงลงไปที่พืนหรือยังไง” ในประโยคแรกเด็กหนุ่มเอ่ยพูดกับผู้เป็นน้าชายหากแต่ในประโยคหลังนั้นเด็กหนุ่มเอ่ยกับเด็กสาวที่ดื้นไปมาอยู่บนบ่าตนและเมื่อวิเวียนไดยินคำเตือนนั่นร่างเล็กก็ยอมอยู่เฉย ๆ และให้คาร์เร่พาเดินออกไปนอกห้อง และเมื่อบานประตูกว้างนั้นปิดสนิทลงภายในห้องก็เหลือเพียงคนสองคนที่นั่งหันหน้าเข้าหากัน หนึ่งคือคนเจ็บปางตายที่เพิ่งฟืนอีกหนึ่งคือดอนหนุ่มผู้ที่คอยเฝ้าดูแลร่างที่นอนหลับใหลไม่ได้สตินานนับอาทิตย์ มือกร้านค่อย ๆ เอื้อมมือไปเสยเรือนผมสีน้ำเงินเข็มอย่างเบามือก่อนจะละลงมือไปไล้แกมนวลเล่น



“…นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าหลับไปนานเท่าไหร่” เสียงทุ้มเอ่ยถามซึ่งใบหน้างามนั่นส่ายหัวไปมาแทนคำตอบ



“อาทิตย์กับอีกสามวัน…ก็รวม ๆ แล้วสิบวันหลังจากวันนั้น” เฮลาสเอ่ยพูดออกมาต่อซึ่งร่างโปร่งบางที่นอนอยู่บนเตียงนั้นได้แต่พยักหน้าตอบแทนเอ่ยพูด



“แล้วรู้ไหมว่านายมีความผิดติดตัวอยู่…” ในประโยคแรก ๆ ที่เฮลาสเอ่ยครีแวนก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่การที่อีกฝ่ายบอกว่าเขามีความผิดนั้น ตัวของเขาไม่รู้เรื่องเลยจริง ๆ ใบหน้าสวยที่ติดซีดเต็มไปด้วยความสงสัย ซึ่งตัวของชายหนุ่มร่างสูงนั้นก็ไม่ทำให้ร่างโปร่งบางที่นอนอยู่บนเตียงสงสัยอยู่นาน ริมฝีปากหนาเหยียดรอนยิ้มอันตรายพร้อม ๆ กับโน้มตัวลงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมน “นายผิดที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง…ทำให้ทุกคนอดหลับอดนอนเพราะนาย...และที่สำคัญกว่านั้นนายทำให้ฉันไม่มีสมาธิในการทำงาน”



v
v
v
v
v

หัวข้อ: Re: [Yaoi Novel] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 11] 27/11/2014 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 21-01-2015 19:30:10



ในถ้อยคำแรก ๆ ที่เฮลาสเอ่ยออกมานั้นครีแวนก็พอที่จะเข้าใจอยู่ เขาผิดจริงที่ทำให้ทุก ๆ คนเป็นห่วงไม่ว่าจะก่อนเริ่มแผน ในขณะที่ดำเนินแผนหรือตอนที่แผนการทั้งหมดเสร็จสิ้น อีกทั้งการที่เขานอนหลับเป็นตายไปสิบวันคนทุกคนในคฤหาสน์ก็คงวิ่งวุ่นวายเรื่องการดูแลคนเจ็บคนอื่น ๆ รวมทั้งผลัดเปลี่ยนมาดูแลเขา แล้วไหนทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองต้องทำอีก อันนี้มันก็เป็นความผิดของเขาอีกหนึ่งอย่าง หากแต่ในประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยออกมานั้นทำให้ครีแวนถึงกับชะงักและสรรหาคำมาโต้เถียงกับอีกฝ่ายไม่ถูก ‘คน ๆ นี้บอกว่าตัวเขาทำให้อีกฝ่ายไม่มีสมาธิในการทำงาน’ มันบ้าไปกันใหญ่แล้ว พลันใบหน้าสวยก็สีมือบางนั้นปัดมือกร้านให้ละมือออกจากใบหน้าตน



หากจะให้พูดแล้วหละก็ครีแวนคงเรียกว่าอาการนี้เป็นอาการของคนที่กำลังเขินอาย แต่ที่สำคัญไปกว่าอาการพวกนั้นนั่นก็คือต่อมรับรู้ความรู้สึกของเขามันต้องเสียแน่นอนนั่นก็เป็นเพราะ ‘ตัวของเขากำลังอายกับคำพูดที่ไร้ความหวานสิ้นดี’ ซึ่งสีหน้าและการกระทำของครีแวนก็ไม่อาจที่จะรอดพ้นสายตาของเฮลาสได้ มือกร้านไม่ยอมละออกจากใบหน้าขาวนิ้วเรียวยาวละไปเกลี่ยเส้นไหมสีน้ำเงินที่ปรกหน้าตนเล่น



“เขิน...ฉันไม่คิดว่าคนอย่างนายจะรู้สึกเขินได้ง่าย ๆ แบบนี้นะครีแวน” เสียงทุ้มเอ่ยเย้าแหย่ ริมฝีปากหนาเหยียดรอยยิ้มร้ายกาจออกมา และครีแวนก็ไม่พอใจที่จะเห็นรอยยิ้มพวกนันมือบางเอื้อมไปคว้าหมอนอีกใบที่วางอยู่ข้างกายพร้อมกับเหวี่ยงฟาดไปที่ใบหน้ากร้านคมนั่นทันที



“คิดไปเองแล้ว! ออกจากห้องไปเลยไปไม่เคยได้ยินเหรอว่าคนป่วยต้องการการพักผ่อนหนะออกไปเลย” ริมฝีปากบางกล่าวไล่ผู้เป็นเจ้าของห้อง และเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าคนอย่าง เฮลาส ฟีเลทัส หรือจะยอมออกไปง่าย ๆ พลันร่างสูงสง่ากลุกขึ้นพร้อมกับเดินอ้อมไปอีกฝั่งของเตียง การกระทำเช่นนั้นทำให้ครีแวนแอบสงสัยหากแต่เขาก็มิได้มีความคิดเช่นนั้นอยู่นานพลันร่าง ๆ นั้นก็ทรุดตัวพร้อมกับเอนนอนลงไปบนเตียง “ราตรีสวัสดิ์ครีแวน และนายลืมอะไรบางอย่างไปที่นี่เป็นคฤหาสน์ของฉันและที่สำคัญไปกว่านั้นห้อง ๆ นี้และเตียงที่นายนอนอยู่ก็เป็นของ ๆ ฉัน ซึ่งนายไม่สามารถไล่ฉันออกไปได้ ดังนั้นอย่าโวยวายให้เสียเวลา ถาอยากพักผ่อนก็นอนซะไม่ใช่โวยวายแบบนี้” เฮลาสเอ่ยอธิบายพรอมกับสั่งสอนครีแวนไปในตัว ใบหน้าสวยบิดเบียวดวยความโกรธก่อนจะใช้หมอนใบเดิมที่อยู่ในมือหวดฟาดไปที่ร่างกายของชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงดั่งเปลวเพลิงไม่ยั้ง



“นายไม่ออกฉันออกเอง” หลังจากที่ครีแวนกระหน่ำตีอีกฝ่ายด้วยหมอนจนพอใจ เขาก็ตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายเดินออกไปเอง ร่างโปร่งบางค่อย ๆ ขยับตัวไปที่ขอบเตียงหากแต่เขาก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจคิด มือกร้านจากการจับอาวุธเอื้อมมือมาโอบกอดร่างโปร่งบางและดึงให้ร่าง ๆ นั้นเข้ามาแนบชิดกับแผ่นอกของตน



“นอนซะ...นายยังไม่หายดี” แค่คำพูดสั้น ๆ เท่านั้นมันก็ทำให้ความคิดที่จะดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมกอดนี้ก็หมดไป ครีแวนยอมที่นอนอยู่เฉย ๆ ในวงแขนแกร่งพร้อมกับหลับตาลงเพื่อเขาสู่หวงนิทรา หากแต่คนที่นอนมาอย่างยาวนานนับสิบวันอย่างเขามีหรือที่จะหลับได้ง่าย ๆ ดวงเนตรคู่งามลืมตื่นอีกครั้งหลังจากหลับไปได้เพียงแค่ห้านาทีใบหน้าสวยเบี่ยงมองไปที่ใบหน้าของผู้เป็นเจาของอ้อมกอด ก่อนจะพยายามยกมือขึ้นมาแตะเบาที่ใบหน้ากร้านคมนั่น



นิ้วเรียวไล้ตามโครงหน้าจุดแรกที่ครีแวนสัมผัสนั่นก็คือดวงเนตรทั้งสองข้างของเฮลาส ในเวลาที่มันลืมตื่นสีของมันจะเป็นสีแดงชาดและเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่ถ้าใครหารกล้าที่จะพินิจมองดวงเนตรคู่นี่อย่างถี่ถ้วนแล้ว คน ๆ นั้นก็จะรู้เลยว่าดวงตาสีโกเมนนี้น่าหลงใหลมากขนาดไหน มือบางละสัมผัสออกจากเปลือกตาของอีกลงก่อนจะละมือลงไปแตะที่สันจมูกโด่งและไล่ลงไปหยุดอยู่ที่ริมฝีปากหนา… ริมฝีปากหนาที่ชอบเหยียดรอยยิ้มอันตรายทั้งถ้อยคำที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากของคน ๆ นี้มันมันถอยคำที่ฟังแล้วน่าหมั่นไส้และชวนหาเรื่องทะเลาะอยู่บ่อย ๆ หากแต่เมื่อใดที่ริมฝีปากของเขาถูกมันครอบครองแล้วหละก็ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากล่าวออกมาทั้งหมดก็หายวับไปจากสมองและแปรเปลี่ยนความรู้สึกไม่พอใจพวกนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นรสชาติหอมหวานหากแต่มันก็ร้อนแรงในฉบับของชายหนุ่มร่างสูง



ครีแวนพินิจมองใบหน้ากร้านคมนั่นอยู่นานสองนาน ซึ่งตัวของร่างโปร่งบางนั้นก็รับรู้ได้ว่าร่างกายของชายคนนี้มันอ่อนล้าอย่าเห็นได้ชัดและการที่อีกฝ่ายหลับลึกจนไม่รู้สึกถึงกับสัมผัสของเขามันก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าคน ๆ นี้ต้องการ การพักผ่อนมากมายขนาดไหน มือเรียวบางของครีแวนค่อย ๆ ละมือตนออกจากใบหน้ากร้านคมอย่างเบามือแต่ในขณะที่ผิวเนื้อของครีแวนจะละออกจากกันมือบอบบางอีกข้างก็ถูกยกมาสัมผัสกับริมฝีปากตนและยื่นไปประทับลงบนริมฝีปากหนาของอีกฝ่าย สิ้นการกระทำร่างโปร่งบางก็ค่อย ๆ จ่มดิ่งสู่ห้วงนิทราตามชายร่างสูงไป



นี่…เฮลาส…นายรับรู้ใช่ไหมว่าสิ่งที่ฉันร้องขอในเวลาที่ฉันกำลังจะตายคืออะไร…และคนที่พาฉันออกจากสถานที่แห่งนันก็คงเป็นนายเหมือนกันใช่ไหม...




เมื่อราตรีกาลผ่านพ้นพลันดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณกสาดส่องแสงเข้ามาทางหนาต่าง ร่างโปร่งบางที่อยู่ในอ้อมแขนแกร่งค่อย ๆ ขยับร่างกายตนใหหลุดพ้นจากพันธนาการ หากแต่การกระทำเช่นนั้นของครีแวนกลับทำให้อีกฝ่ายออกแรงโอบกอดร่างของเข้ามากกว่าเก่า ใบหน้าสวยฝังลงไปบนแผ่นอกกว้าง ลมหายใจอุ่น ๆ นั้นเป่ารดศีษระที่เต็มไปด้วยเรือนผมสีนำเงินเข้มแปลกตา ซึ่งครีแวนก็ไดแต่นอนนิ่ง ๆ ให้อีกฝ่ายนันโอบกอดไม่ใช่ว่าเขาจะรู้สึกดีที่โดนชายร่างสูงคนนีโอบกอดหากแต่เป็นเพราะถ้าเขาขยับตัวแล้วบาดแผลที่เกิดขึ้นมันจะทำให้เขาเจ็บปวดจนต้องอยู่นิ่ง ๆ ไปหลายนาทีและถ้าเกิดเขาออกแรงดิ้นแล้วหละก็อาการของเขานั้นคงโคม่าอีกรอบแน่นอน



ดังนั้นการที่จะทำให้ตัวของครีแวนปลอดภัยที่สุดนั่นก็คือการนอนนิ่ง ๆ ไม่ขยับตัวไปไหนและรอให้อีกฝ่ายนั้นตื่นขึ้นมาคลายอ้อมกอดออกจากตัวของเขาเอง ซึ่งความคิดเช่นนั้นมันคงเปนตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วถ้าเกิดไม่มีใครเปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องเหมือนตอนนี้



บานประตูไมสีดำสนิทถูกเปิดกว้างออกพร้อม ๆ กับร่างของเด็กสาวที่ถลาวิ่งเข้ามาภายในห้องแต่เท้าทั้งสองข้างของเธอนั้นยังไม่ถึงจุดหมาย ร่างเล็กนั่นก็ต้องชะงักลงเด็กสาวมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องนี้ด้วยสีหน้าและแววตาที่ตกตะลึงแต่เธอก็แสดงอาการเช่นนั้นออกมาเพียงครู่เดียวเท่านั้นพลันใบหน้าน่ารักนั่นก็คลี่รอยยิ้มเย้าแหย่ออกมา “เอะ…ครีแวนนี่เราจะได้พี่เขยแทนพี่สะใภ้สินะ” ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากเล็กนั่นทำเอาครีแวนสะดุ้งสุดตัวและรีบลุกขึ้นนั่งโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง



ซึ่งทันทีที่ร่างโปร่งบางออกแรงให้ร่างกายของตนหลุดออกจากอ้อมแขนแกร่ง แม้เสียงร้องจะไม่หลุดเลดรอดออกจากริมฝีปากสีซีดแต่สีหน้าและท่าทางที่ครีแวนแสดงออกมานั้นทำให้คนที่เข้ามาใหม่อย่างวิเวียนและคาร์เร่รูสึกเจ็บปวดแทน เด็กหนุ่มรีบสาวเท้าตนมาที่เตียวและช่วยพยุงร่างโปร่งบางนั้นให้ลุกขึ้นนั่ง แต่กระนั้นชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของวงแขนแกร่งที่โอบกอดร่างของครีแวนมาตลอดทั้งคืนกลับไม่ยอมปล่อยให้ร่างที่ชวนหลงใหลนั้นเป็นอิสระ นัยน์เนตรคมกริบสีเปลวเพลิงลืมตาขึ้นและเอื้อมมือตนไปปัดมือของเดกหนุ่มนั่นออก



“เช้าแล้วเหรอ...ฉันบอกแล้วไงว่าจะเข้ามาในห้องของฉันต้องเคาะประตูก่อน” ถ้อยคำถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสนิทซึ่งถ้อยคำและนำเสียงที่ถูกเอ่ยออกมานั้นแสดงให้เหนถึงความรู้สึกที่ไม่พอใจ



แต่กระนั้นเด็กสาวผู้ไม่เคยหวั่นเกรงต่อสิ่งใดก็ไม่คิดที่จะยอมเงียบเสียงของตนลง ซ้ำยังคงวิ่งถลามานั่งบนเตียงนอนอันแสนนุ่มของชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้เสียด้วย “ครีแวน ๆ …เดี๋ยวหมอจะมาตรวจแล้วนะ แต่งตัวให้มันดี ๆ หน่อยสิ กระดุมเสื้อหลุดแล้วนะ” เด็กสาวกล่าวบอกผู้เป็นพี่ชายมือเล็ก ๆ นั่นถูกเอื้อมเข้าไปกลัดกระดุมชุดนอนให้อย่างเบามือ



“เอาเสร้จแล้วเราไม่เคยเห็นครีแวนนอนดิ้นจนกระดุมเสือหลุดเลยนะ…แล้วก็เอ๋…รอยอะไรหนะ” เสียงแหลมเล็กยังคงพูดเจื้อยแจ้ว หากแต่มันเงียบลงเมื่อนัยน์เนตรสองสีของเด็กสาวดันไปสังเกตเห็นร่องรอยที่รอบคอของอีกฝ่าย มือเล็กค่อย ๆ ปัดเส้มผมที่มีสีเดียวกับตนขึ้นก่อนจะตวัดสายตาไปมองใบหนากรานคมของผู้กระทำรอยนั่น



“…นี่คุณน้า...ลักหลับคนมันไม่ดีนะ...” ถ้อยคำสั้น ๆ ตรง ๆ ถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากเลก ซึ่งประโยดที่เดกสาวคนนี้เอ่ยออกมานั้นมันดูเหมือนจะไม่มีอะไรหากแต่คำพูดพวกนันมันกลับทำให้ครีแวนถึงกับสำลักน้ำลายของตนจนไอเสียตัวงอ แต่ทว่าคำพูดพวกนี้ของวิเวียนกลับไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มร่างสูผู้เป็นเจ้าของร่องรอยพวกนั้นได้ริมฝีปากหน้าแปรเปลี่ยนเปนเหยียดรอยยิ้มกว้าง มือกร้านั้นหันไปประคองใบหน้าสวยก่อนจะประทับริมฝีปากตนลงไป



จูบครั้งนี้เป็นแตะริมฝีปากกับอย่างแผ่วเบาเท่านั้นซึ่งครีแวนก็ไม่คิดที่จะเอ่ยว่าอะไรออกมาหรอกถ้าเกิดภายในห้องนั้นมีเพียงแค่ตัวของเชากับชายร่างสูงนั้นเพียงสองคน ท่อนแขนเรียวบางออกแรงงผลักแผ่นอกกว้างของอีกฝ่ายให้ถอยห่างมืออีกข้างถูกยกขึ้นมือปิดที่ริมฝีปากของตน



“ไอบ้า…ถอยออกไปห่างๆ เลยไอโรคจิตกับคนป่วยยังไม่เว้น” เสียงนุ่มกล่าวพร้อม ๆ กับพยายามนำพาร่างที่อ่อนแรงของตนให้ออกห่างจากอีกฝ่าย ซึ่งภายในห้องนี้กมีแค่เพียงร่างโปร่งบางของครีแวนและร่างสูงสง่าของเฮลาสเท่านั้นที่ขยับร่างกายได้ส่วนคนอื่น ๆ นั้นนิ่งค้างจนกลายเป็นรูปปั้นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งสองคนก็นิ่งค้างกันอยู่ได้ไม่นานนักสติของทั้งสองก็กลับคืนสู่ร่าง ใบหน้าของเด็กสาวขึ้นสีแดงก่ำด้วยความเขินอาย ส่วนเด็กหนุ่มนั้นแม้จะไม่ไดรูสึกเขินอายกับภาพตรงหน้าแต่มันก็ทำให้เขาตกใจไม่ใช่น้อยที่เห็นน้าชายของตนมีอาการคลายกับคนที่กำลังมีความรัก แต่กระนั้นน้าชายของเขาก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองกับลังตกหลุมรักชายหนุ่มที่แสนดือนึงคนนี้ คาร์เร่เลือกที่จะเสตามองไปทางอื่นแทนพร้อมจูงมือลากเด็กสาวที่เขาต้องดูแลให้ถอยห่างออกจากเตียง



“ตอนนี้หมอกำลังจะมาแล้วหละครับ และถ้าเกิดคุณไม่อยากลำบากโดนคุณหมอต่อว่าเอาตอนนีคุณควรจะลุกออกจากเตียงและให้ครีแวนเขานอนพักเงียบ ๆ บนเตียง ‘คนเดียว’ นะครับ” คาร์เร่เอ่ยบอกผู้เป็นน้าชายของตน และดูเหมือนว่าคน ๆ นี้จะไม่ขัดข้องอะไรกับการลุกออกจากเตียง ชายหนุ่มร่างสูงผละออกจากร่างโปร่งบางมือกร้านเอื้อมไปลากเก้าอี้มาวางไว้ข้างเตียง



“ถ้าฉันนั่งตรงนี้และดูการตรวจของหมอคงไม่เป็นไรใช่ไหม” เฮลาสกล่าวถามความคิดเห็นของผู้เป็นหลานชาย ซึ่งไม่ต้องให้ใครบอกคาร์เร่ก็รู้ว่ามันคือการประชดล้วน ๆ ใบหนาหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัยพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ แทนคำตอบก่อนจะเดินลากเด็กสาวในการดูแลของตนไปเปิดประตูห้องเพื่อเชิญหมอเข้ามาภายใน



“เชิญทางนี้ครับแต่ถ้าให้ผมแนะนำ คุณหมอกรุณาตรวจคนป่วยเร็ว ๆ หน่อยก็ดีนะครับผมคิดว่าถ้าเกิดตรวจช้าหรือจับตัวคนไข้มากเกินไปคุณหมออาจจะมีปัญหากับเขาก็ได้ครับเพราะดูจากท่าทางตอนนี้ของดอนฟิเลทัสดูเหมือนว่าตอนนี้เขายังคงพักผ่อนไม่เพียงพอและถ้าหากทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมาผมคิดว่าเราอาจจะเป็นอันตรายกับอารมณ์ที่กำลังแปรปรวนของเขาตอนนี้ก็ได้ครับ” คาร์เร่เอ่ยอธิบายถึงอารมณ์ของผู้เป็นน้าชายและเป็นการดีที่เหล่าหมอและพยายามไม่ต้องรอให้เด็กหนุ่มเอ่ยซ้ำอีกครั้งหนึ่งนั่นก็เป็นเพราะพวกเขาต่างวิ่งเข้าไปตรวจร่างกายของคนป่วยทันทีและการตรวจครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นการตรวจคนไข้ที่รวดเร็วในประวัติศาสตร์การแพทย์เพราะเวลาที่พวกเขาใช้ในการตรวจอาการของร่างโปร่งบางนั้นพวกเขาใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้นการตรวจร่างกายของครีแวนก็สิ้นสุดลง และเมื่อเหล่าหมอและพยาบาลต่างเดินออกจากห้องไปร่างสูงสง่าก็ลุกจากเก้าอี้และเคลื่อนตัวไปนั่งบนเตียงเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้และเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าครีแวนจะไม่คิดที่จะให้ชายร่างสูงคนนี้ขึนมาร่วมเตียงกับเขาอีกเป็นอันขาด ร่างโปร่งบางพยายามคลานลงจากเตียงมือบางเอือมไปหยิบไม้เท้ามาช่วยพยุงร่างกาย



“ขอโทษทีฉันคิดว่าฉันพักผ่อนมามากพอดูแล้ว ดังนั้นฉันขอตัวไปเดินเล่นก่อนและถ้าเกิดนายจะพักผ่อน…เชิญพักผ่อนตามสบายดอนฟีเลทัส” ครีแวนเอ่ยพร้อมกับพยุงตัวเองให้เดินออกห่างจากเตียง ใบหน้าสวยนั้นคลี่รอยยิ้มร้ายพร้อมเดินออกจากห้องไป



ถึงแม้ว่าร่างกายครีแวนนั้นจะยังไม่หายดีแต่เขาก็ไม่คิดที่จะนอนอยู่เฉย ๆ บนเตียง ร่างโปร่งบางค่อย ๆ พยุงตัวเดินไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดร่างของเขาก็เดินออกมายืนที่ระเบียงชั้นชันบนสุดของคฤหาสน์ ซึ่งสถานที่แห่งนี้เจ้าของบ้านหรือ ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ เขาจัดไว้ให้เป็นมุมทานน้ำชายามบ่ายดังนั้นในระเบียงแห่งนี้จึงมีร่มเงาของต้นไม้อยู่มากครีแวนยังคงสาวเท้าเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด ครีแวนก็หาที่นั่งพักได้สักทีใบหน้าสวยคลี่รอยยิ้มอ่อนออกมาใบหน้าสวยแหงนขึ้นไปมองท้องฟ้ายามเช้า



ความเงียบมันมักจะทำให้ความว้าวุ่นในจิตใจนั้นสงบลง หากแต่ความสงบสุขรอบ ๆ ตัวของครีแวนนั้นมันก็อยู่ไม่ได้นาน ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงดั่งเปลวเพลิงก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าพร้อมรับพ่อบ้านและสาวใช้ที่ถือถาดอาหารเช้าเข้ามาด้วย



“ตอนนี้กำลังจะเลยเวลาอาหารเช้าฉันเลยสั่งให้พ่อบ้านเตรียมอาหารอ่อน ๆ ให้ พอทานเสร็จจะไดทานยาที่หมอเตรียมไว้ให้” ชายหนุ่มร่างสูงนันพูดด้วยน้ำเสียงเรียบตามนิสัยของเขา หากแต่ใบหน้าคมนั้นกลับเบนหน้าหนีไปทางอื่น ดูท่าทางแล้วว่าวันนี้ ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ คงไม่ได้ทำงานอีกหนึ่งวัน ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้เหล็กดัดในฝั่งตรงข้ามกับครีแวน



“ทานอาหารเช้ากันเถอะ” เสียงทุ้มกล่าวพร้อมกับเริ่มจัดการอาหารเช้าที่อยู่ตรงหน้าตน ซึ่งอาหารในจานของครีแวนเป็นซุปรสชาติอ่อน ๆ ที่ที่ย่อยง่ายสำหรับคนที่เพิ่งฟื้นไข้ ส่วนอาหารเช้าในจานชองเฮลาสเป็นพาสต้าแบบง่าย ๆ แต่เครื่องปรุงนั้นคงไม่ต้องพูดถึงเลยว่าส่วนประกอบของมันจะเลิศหรูขนาดไหน และเมื่อคนทั้งคู่ทานอาหารเช้าจนเสร็จผ้าเช็ดปากก็ถูกยกขึ้นมาเช็ดริมฝีปากของตนเบา ๆ



“ฉันรู้ว่าแค่นั้นนายไม่อิ่มหรอกครีแวน สนใจขนมปังไหม” เฮลาสเอ่ยกลั้วหัวเราะมือกร้านยื่นขนมปังชิ้นหนึ่งไปให้ร่างโปร่งบางที่นั่งอยู่เบื้องหน้าตน และเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าตัวของครีแวนต้องปฏิเสธมือบางถูกยื่นไปพร้อมกับรอยยิ้มก่อนที่ปัดมือกร้านที่ยื่นขนมปังให้


“ขอโทษด้วยฉันหากินเองได้ และที่สำคัญ…อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นสัตว์เลี้ยงของนาย เฮลาส” นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ครีแวนเอ่ยชื่ออีกฝ่ายได้อย่างเต็มปากเต็มคำและก็ดูเหมือนว่าการที่ครีแวนเอ่ยพูดออกไปแบบนั้นทำให้ชายร่างสูงถึงกับชะงัก ใบหน้ากร้านคมนั้นมิไดแสดงสีหน้าอะไรออกมาแต่ถ้าดูจากปฏิกิริยาหรือท่าทางแล้ว ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าครีแวนนั้นกำลังทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ในตอนนี้



และดูเหมือนว่าเวลาแห่งการแก้แค้นของครีแวนก็ไดเริ่มต้นขึ้น ริมฝีปากบางคลี่รอยยิ้มอ่อนไปให้อีกฝ่ายนัยน์เนตรสวยปรือตามองอีกฝ่ายอย่างเย้ายวน  ถึงแม้ในตอนนี้ครีแวนจะป่วยหนักจนออกแรงต่อสู้ไม่ได้ก็ตาม แต่ทว่าการแสดงของเขายังคงใช้ได้ดีเช่นเดิม มือบางละไปจับแก้วนำเพื่อยกขึ้นดื่มเนตรคู่งามยังไม่ยอมละสายตาไปจากใบหน้าของอีกฝ่าย



ถ้าหากครีแวนแกล้งหยอกเย้าแบบนี้ในเวลาปกติเขาคงไม่มีทางได้นั่งจ้องหน้าชายร่างสูงคนนี้แบบนี้หรอก หากแต่ในตอนนี้เขาเป็นต่อทุกอย่างไม่ว่าจะร่างกายที่อ่อนแอจนอีกฝ่ายไม่สามารถแตะต้องได้ หรือจะเป็นท่าทางที่ผิดแปลกไปของชายร่างสูง ครีแวนได้แต่ลอบยิ้มในใจมือบางค่อย ๆ ละมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตนออกหนึ่งเม็ด



“อากาศร้อนเอาเรื่องเหมือนกันนะฉันแค่หลับสนิทไปสิบวันเองนะ” ครีแวนพูดพลางเอามือของตนเปิดคอเสื้อเพื่อให้ลมพัดผ่านหากแต่การยั่วยุของร่างโปร่งบางนั้นก็ต้องหยุดลง มือกร้านเอื้อมมือไปกลัดกระดุมเสื้ออีกฝ่ายก่อนจะเดินวนไปกระชากแขนร่างโปร่งบางขึ้นมาอุ้มแล้วพาเข้าไปด้านใน



ใบหน้างามที่ซีดเซียวอยู่แล้วยิ่งซีดหนักเข้าไปใหญ่ในตอนนี้ร่างสูงกำลังก้าวเดินไปตามทางเดินซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานที่ที่อีกฝ่ายนั้นจะพาไปที่ไหนถ้าไม่ใช่ห้องส่วนตัวของชายคนนี้ มือบางกำเสื้อสูทของชายร่างสูงแน่นก่อนที่ร่างโปร่งบางของครีแวนจะหายเข้าไปในห้องพักส่วนตัวของชายร่างสูงผู้นี้



มือบางยังคงกำเสือของอีกฝ่ายแน่นแต่การคาดเดาของครีแวนดูเหมือนจะผิดไป ร่างสูงนั้นค่อย ๆ ว่างร่างโปร่งบางลงบนเตียงอย่างเบามือก่อน ก่อนที่เขาจะทรุดตัวนั่งชันเข่าใบหน้าหน้าคมของเขาอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าสวยนั่น



“สนุกไหมที่ได้แกล้งฉันแบบนั้นหนะ” เสียงทุ้มนิ่งเอ่ยถาม ซึ่งคำถามนั้นทำให้ครีแวนรู้สึกตกใจเล็กน้อยแต่กระนั้นเขาก็ยังไม่คิดที่จะละความพยายาม ใบหน้างดงามนั้นคลี่รอยยิ้มอีกครั้งและแสร้งพูดออกไปตามบทละครที่วางไว้ในหัว



“ใครแกล้งนายกันคิดไปเองหรือเปล่า…ฉันก็แค่ร้อนเท่านั้นเอง” เมื่อเอ่ยจนจบประโยค ใบหน้างามก็เชิดหน้าขึ้นราวกับกำลังง้องอน แต่การแสดงพวกนั้นมีหรือที่ตัวของเฮลาสนั้นจะดูไม่ออกมือกร้านยกมือขึ้นไปจับปลายคางมนก่อนจะออกแรงดันนัยน์เนตรคู่งามนั้นหันกลับมาจ้องมองกับเนตรสีชาดของตน “มองหน้าฉันแล้วลองพูดคำพูดพวกนั้นใหม่สิ และถ้านายพูดได้โดยไม่แสดงท่าทางเขินอายออกมาฉันจะเชื่อว่านายไม่ได้แสดงละคร…ครีแวน”



แค่เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อของร่างโปร่งบางพลันใบหน้าขาวซีดก็ขึ้นสีเรื่องขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ” คราวนี้ความคิดของครีแวนที่จะแกล้งชายหนุ่มร่างสูงนั้นถูกตลบหลังเสียแล้ว ใบหน้าสวยพยายามที่จะเบี่ยงหน้าหนีแต่ยังไงมือกร้านก็จับคางมนหันกลับมาจ้องมองดวงตาของตนอยู่ดี การกระทำเช่นนี้ยังดำเนินต่อไปอีกสักพักจนในท้ายที่สุดครีแวนก็เป็นฝ่ายขอยอมแพ้ใบหน้าสวยยอมก้มลงมองไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายริมฝีปากบางพลางเม้นเข้าหากันด้วยความรู้สึกที่เขินอาย ตั้งแต่เกิดมาครีแวนไม่เคยมีไอความรู้สึกพวกนี้มาก่อนเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกหวั่นไหวหรือเขินอายกับการกระทำและคำพูดแต่ทำไมครั้งนีเขากลับรู้สึกแปลก ๆ กับคน ๆ นี้ มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาปิดบังใบหน้าของตนเอาไว้ริมฝีปากบางพลางกล่าวไล่ให้อีกฝ่ายถอยห่างออกไปจากตน



“ถอยออกไป…และอย่าเข้าใกล้ฉันเกินสามเมตรถ้านายเข้าใกล้ฉันเกินสามเมตรนายตายแน่เฮลาส” ชื่อของอีกฝ่ายถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางอีกครั้งซึ่งครั้งนี้มิได้กล่าวออกมาจากการแสดงละครหากแต่มันกล่าวออกมาด้วยความเคยชิน และเมื่อครีแวนนั้นรู้ตัวว่าตนพูดอะไรออกไปพลันใบหนาขาวซีดก็ยิ่งขึ้นสีแดงก่ำยิ่งขึ้นไปอีกมือบางทั้งสองขางยังคงปิดบังใบหน้าของตน แต่ทว่าเฮลาสกับใช้มือทั้งสองข้างของตนรั้งมือบอบบางทั้งสองข้างออกก่อนจะยื่นใบหน้าตนเพื่อประทับริมฝีปากตนลงไปลิ้มรสความหวานจากร่างตรงหน้า ลิ้นสากไล้เลียรีมฝีปากสีสดราวกับว่าเขานั้นกำลังชิมอาหารเลิศรสแต่กระนั้นอาหารจานเด็ดที่อยู่เบื้องหน้าของชายร่างสูงยังปรุงไม่สำเร็จดี เขาละริมฝีปากของตนออกก่อนจะเอ่ยพูดถ้อยคำที่ทำให้ความรู้สึกของครีแวนนั้นร่วงดิ่งลงเหวลึกที่ไม่มีวันปีนขึ้นมาได้



“อีกสามอาทิตย์ฉันจะกลับรัสเซียและไม่มีกำหนดจะกลับมาที่ประเทศนี้อีกถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริง ๆ” สิ้นเสียงพูดสมองของครีแวนก็ไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้อีกแล้วใบหน้าสวยได้แต่พยักหน้าขึ้นลงเป็นคำตอบหากแต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นมันคืออะไร



เฮลาส ฟีเลทัส…สิ่งที่นายทำมันเลวที่สุด…






ทิ้งระเบิดแล้วจากไป.....
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 12 end] 22/04/2015 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 22-04-2015 07:00:53



Chapter 12



ถ้าหากตอนนั้นตัวของครีแวนนั้นเลือกความตายตัวของเขาก็คงไม่ต้องมานั่งสิ้นหวังและสมเพชตัวเองแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็รู้มาตลอดว่าชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงดั่งเปลวเพลิงนั้นมองชีวิตของร่างโปร่งบางเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยงในอาณัติตัวหนึ่งเท่านั้น แต่ทำไมตัวของเขากลับรู้สึกว่าบางครั้งชายคนนั้นก็แสดงความอ่อนโยนบางอย่างออกมา มันไม่ใช่ความสงสารและความเห็นใจมันเป็นการกระทำที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ว่าคน ๆ นั้นทำเช่นนี้เพื่ออะไร หากแต่มพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ชายที่มีนามว่าเฮลาสเปรียบเสมือนเชือกที่ดึงเขาออกจากเหวลึก แต่ทำไม…ตอนนี้เชือกเส้นนั้นกับถูกตัดขาดและทำให้ร่างของเขาร่วงหล่นลงมาก้นหุบเหวอีกครั้ง



ไม่เคยรู้สึกเลยว่าการที่ถูกคน ๆ นึงที่มีอิทธิพลต่อชีวิตปล่อยทิ้งไว้เพียงคนเดียวมันเงียบเหงาและรู้สึกเศร้าใจขนาดนี้ เมื่อก่อนเขาไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นน้องสาวหรือคนอื่น ๆ ที่เขาทิ้งไว้ข้างหลังมันจะรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้ตัวของครีแวนนั้นรับรูสึกความรูสึกเจ็บปวดพวกนั้นได้หมดแล้ว ใบหน้าขาวยังคงเชิดหน้ามองไปทางด้านนอกหน้าต่างดวยความทระนง ทว่าหากใครได้จ้องมองดวงเนตรสีไพลินที่ถูกประดับอยู่บนใบหน้าสวยที่ราวกับถอดแบบมาจากรูปสลักหินก็คงรู้ว่าร่างโปร่งบางผู้แสนงดงามคนนี้กำลังรูสึกเช่นไร ริมฝีปากสีสดเม้นเข้ากันจนแทบจะเป็นเส้นตรง มือบอบบางที่ถือแก้วนำดื่มอยู่นั้นเกิดรอยร้าวและแตกออกจนบาดลึกลงไปบนผิวกายสีน้ำนมของตน ซึ่งครีแวนก็ไม่คิดที่จะใส่ใจอะไรกับมันมากเขายังคงปล่อยให้หยาดโลหิตสีชาดที่เกิดจากบาดแผลบนผ่ามือตนนั้นไหลลงสู่พื้นพรมที่มีสีเฉกเช่นเดียวกัน



ครีแวนยังคงนั่งเหม่อลอยมองออกไปที่หนาต่างอีกสักพัก ไม่นานนักบานประตูสีทึบที่เชื่อมกับห้องทำงานของชายหนุ่มร่างสูงก็ถูกเปิดออกซึ่งผู้ที่เดินเข้ามาด้านในนั้นมิใช่คนอื่นเลยนอกจากคนที่เป็นตนเหตุทำให้ตัวของครีแวนกลายเป็นคนที่ไร้ชีวิตไร้จิตวิญญาณเช่นนี้



นับจากตอนที่เฮลาสเอ่ยพูดกับครีแวนนั้นเวลามันก็ผ่านมาแล้วร่วมสองอาทิตย์และในระยะเวลาสองอาทิตย์นั้นครีแวนปฏิเสธที่จะพูดคุยกับชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้ทุกทางจนชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงนั้นจนใจที่จะพูดคุยกับร่างโปร่งบาง จึงทำให้ทุกครั้งที่เฮลาสก้าวเข้ามาในห้อง ๆ นี้เพื่อดูแลคนป่วยที่แสนดือดึงบรรยากาศโดยรอบนั้นจะดูอึดอัดขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายสิบเท่า ซึ่งเฮลาสก็ไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มร่างโปร่งบางผู้หงุดหงิดง่ายและเอาแต่ใจนั้นทนความรู้สึกที่เกิดขึ้นพวกนี้ได้ยังไงทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนความเงียบเพียงแค่ช่วงวินาทีเดียวคน ๆ นี้ก็ไม่สามารถอดทนได้



นัยน์เนตรคมกริบมองแผ่นหลังบางที่ดูผอมแห้งกว่าปกติ พลันสายตาตนก็ไปเจอหยดโลหิตที่ไหลรินออกมาจากมือบอบบางนั่น ความวิตกกังวลที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวของเฮลาสมันก็ปะทุขึ้นขาแกร่งทั้งสองข้างนั้นรีบสาวเท้าเข้าไปหาร่าง ๆ นั้นพร้อมกับประชากมือบางที่ยังคงกำเศษแก้วน้ำนั่นขึ้นมา



คิ้วเรียวขมวดเป็นปมแน่น เนตรคมสีเปลวเพลิงส่งสายตาติเตียนที่แฝงไปด้วยความห่วงใยไปให้ร่างโปร่งบาง ซึ่งการตอบโต้ของร่าง ๆ นั้นก็คือความเงียบงันรวมไปถึงไพลินน้ำงามที่ประดับอยู่บนดวงหน้าขาวนั้นก็ไม่ได้หันมามองตอบโต้ชายร่างสูงเหมือนครั้งก่อน ๆ ใบหน้าสวยนั้นยังคงนิ่งสนิทและไร้ความรู้สึก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เฮลาสไม่คุ้นชินเอาเสียเลยเพราะตัวของเขาชอบที่จะฟังเสียงหวานนั้นโวยวายและนัยน์เนตรคู่งามส่งสายตาอาฆาตมาเสียมากกว่า



ร่างสูงค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นพรมนิวกร้านบรรจงหยิบเศษแก้วที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายออก มันเป็นการกระทำที่แสนนุ่มนวลและอ่อนโยน หากแต่สิ่งที่เฮลาสกระทำลงไปนั้นมันทำให้ตัวของเขารู้สึกแย่ยิ่งขึ้นไปอีก ใบหน้าสวยยังคงเหม่อมองไปนอกหน้าต่างแม้ภายในใจหยาดนำตามันจะไหลรินออกมา ทว่าดวงเนตรที่แสนเศร้านั้นกลับไม่มีหยาดนำตาไหลรินออกมาสักหยดเดียว



ครีแวนพลาดที่ให้อีกฝ่ายเข้าก้าวเข้ามาในชีวิตของตนมากมายขนาดนี้ คน ๆ นี้ก้าวเข้ามาจนมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ครีแวนไม่อย่าจะสูญเสียไป มือบางชักมือออกจากการกอบกุมของมือแกร่งและปฏิเสธที่จะให้อีกฝ่ายนั้นทำแผลให้ เพราะตัวของเขานั้นอยากให้หยาดเลือดพวกนี้ไหลออกจากฝ่ามือของเขาไปให้หมด เขาจะได้ตาย ๆ ไปสักที ทว่าชายหนุ่มร่างสูงกลับไม่ยอมให้ครีแวนทำเช่นนั้น มือกร้านเอื้อมไปคว้ามือบอบบางนั้นและกอบกุมมันตนแน่นยิ่งกว่าเก่า ก่อนเขาจะแหงนใบหน้าของตนขึ้นมาสบตากับดวงเนตรสีไพลิน หากมองเพียงชั่วครู่เฮลาสก็รับรู้แล้วว่าร่าง ๆ นี้กำลังสับสนซึ่งเหตุผลที่ร่าง ๆ นี้กำลังรู้สึกแบบนั้นแม้จะเป็นตัวของเฮลาสเองก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าภายในใจของคนตรงหน้านี้กำลังรู้สึกเช่นไร มือกร้านที่เป็นอิสระค่อย ๆ ยกขึ้นมาไล้แก้มนวลนั่นก่อนจะกดเพื่อให้ร่างตรงหน้าตนโน้มศีรษะลงมา



ริมฝีปากคมสัมผัสกับริมฝีปากนุ่มนั่นเพียงช่วงครู่พลันมือบอบบางอีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดันให้เฮลาสนันผละออกและก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงคนนี้จะได้สัมผัสกับริมฝีปากสีสดนั่งอีกครั้ง ฝ่ามือนั่นก็หวดตบลงไปที่แก้มสากของอีกฝ่ายเต็มแรง รอยแดงจากการประทะเกิดขึนทันทีที่มือบางละออกใบหน้าสวยนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ซึ่งไม่ใช่แค่ครีแวนคนเดียวที่ไม่พอใจตัวของเฮลาสก็ไม่เข้าใจความไร้เหตุผลของอีกฝ่ายเช่นกัน



มือกร้านที่กอบกุมมือที่บาดเจ็บของอีกฝ่ายถูกเจ้าของกระชากเข้าหาตัวซึ่งนั่นก็ทำให้ร่างโปร่งบางที่ไม่ไดยึดเกาะอะไรไว้เซลงไปซบที่แผ่นอกกว้างทันที “บอกฉันสิว่านายเป็นอะไร…ครีแวน” เสียงทุ้มเข้มกล่าวถามพร้อมกับเอ่ยนามของร่างที่อยู่ในอ้อมแขน ส่วนมือกร้านอีกข้างถูกยกขึ้นไปลูบเบาที่เรือนผมสีน้ำเงินเข้มแปลกตา



ถ้าร่างในออมแขนไม่เอ่ยบอกว่าตนไม่พอใจอะไร ตัวของเฮลาสก็ไม่สามารถรับรู้ความคิดของอีกฝ่ายได้แม้เขาจะคาดเดาการกระทำหรือความรู้สึกของคนอื่นได้ แต่กับคน ๆ นี้ คนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขานั้น ตัวของเฮลาสไม่สามารถทำความเข้าใจหรือคาดเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เลย มือกร้านออกแรงกระชับแน่นขึ้นไปอีกหากแต่ร่างในอ้อมแขนนั้นกับดิ้นรนเพื่อให้ตนเป็นอิสระ



ซึ่งเฮลาสก็เลือกที่จะไม่ขัดใจร่างโปร่งบางร่างนี้มือแกร่งคลายวงแขนแต่มืออีกข้างกยังกอบกุมขอมือบางที่บาดเจ็บนั่นอยู่



“ปล่อยฉัน…” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่ฟังดูเป็นเอกลักษณ์ของร่างตรงหน้านั้นเอ่ยขึ้นแม้มันจะแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถรอดพ้นโสตประสาทการรับฟังของเฮลาสได้ มือแกร่งยังคมกอบกุมขอมือบางนั้นแน่นแทบคำปฏิเสธ ซึ่งมันทำให้ครีแวนต้องกัดฟันและกระชากมือของตนออกจากการจับกุมของอีกฝ่าย ริมฝีปากบางเมนเข้าหากันแน่นเพื่อสะกดกลั้นความเจ็บ ใบหนาขาวซีดนั้นพยายามที่จะตีสีหน้าเป็นปกติเพื่อไม่ให้ชายร่างสูงตรงหน้ารับรู้ความเจ็บปวดของตน หากแต่ความผิดเพี้ยนไปแค่นิดเดียวของใบหน้าสวยร่างสูงสง่านั้นกลับจำได้หมด เฮลาสไม่คิดที่จะฝืนรังขอมือบางนั้นไวกับตน มือกร้านค่อย ๆ คลายมือตนออกพร้อม ๆ กับใชมืออีกข้างประครองร่างโปร่งบางไม่ให้หงายหลังไปกระแทคกับเก้าอี้ “อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวฉันไปเรียกคนมาทำแผลให้” ริมฝีปากหนาเอื้อนเอ่ยออกมาเพียงแค่นั้นก่อนจะยันกายตนให้ลุกขึ้นยืนและก้าวเดินออกไปจากห้อง



นัยน์เนตรสีไพลินไดแต่มองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปแต่ผู้เป็นเจ้าของดวงเนตรคู่นั้นกลับเลือกที่จะนั่งอยู่นิ่ง ๆ และรอคอยให้คนที่ชายร่างสูงนั้นเรียกเข้ามาทำแผลให้กับตน





ใบหนาสวยก้มมองฝ่ามือตนที่ถูกพันด้วยเทปสีขาวสะอาด ซึ่งคนที่ทำแผลให้เข้าก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคาร์เร่หลายชายเพียงคนเดียวของคน ๆ นั้น ซึ่งเมื่อเด็กหนุ่มเหนบาดแผลที่เกิดขึ้นคิวเข้มที่อยู่บนใบหน้าที่หล่อเหลาทั้งแต่เยาว์วัยนั้นก็ขมวดเป็นปมแน่น เดกหนุ่มแทบจะวิ่งออกไปเรียกผู้เป็นน้าชายมาถามถึงเหตุผลที่ร่างโปร่งบางนั้นบาดเจ็บหากแต่ร่างสูงที่ยังไม่โตเต็มที่นั้นกับถูกมือเรียวบางรั้งไว้เสียก่อน ใบหน้าสวยส่งรอยยิ้มอ่อนตอบไปและนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มใจเย็นและยอมทรุดตัวลงเพื่อนนั่งทำแผลให้แก่เขา



ครีแวนรู้ว่าคาร์เร่นั้นล่วงรู้ถึงความรู้สึกที่สับสนของเขาหากแต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ร่างสูงร่างนี้จะฉลาดปราดเปรื่องมากแค่ไหนแต่เขาก็ไม่ฉลาดมากพอที่จะคิดตามเกมส์ที่เต็มไปด้วยกลโกงของน้าชายตนทันมันถึงทำให้คาร์เร่ไม่สามารถช่วยอะไรครีแวนได้เลย เพราะเขารับรู้เพียงแค่ว่าน้าชายของตนนั้นจะกลับรัสเซียในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าเท่านั้น ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ รวมไปถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับร่างโปร่งบางนี้เขาไม่ล่วงรู้เลยสักนิดเดียว และถ้าหากให้คาร์เร่คาดเดาในสิ่งที่น้าชายของตนจะทำต่อไป คน ๆ นั้นคงตัดสินใจที่จะทิ้งร่างโปร่งบางนี้ไปแน่นอน เด็กหนุ่มไม่อยากที่จะคิดเช่นนั้นแต่เท่าที่เขาทราบคน ๆ นั้นมักที่จะเขี่ยบางสิ่งที่ตนเองเบื่อแล้วทิ้งไปให้พ้นทางเดินของตน ซึ่งการคงอยู่ของ ‘ครีแวน เดอ เมอร์เรส’ ในตอนนี้คือสิ่งที่น่าเบื่อสำหรับคน ๆ นั้นแน่นอน แต่มันก็มีบางสิ่งที่ดูผิดแปลลกไปจากปกติ เพราะทุกครั้งที่ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นจะกลับรัสเซียหรือจะบินไปติดต่อธุรกิจที่ไหนคาร์เร่จะเป็นคนจัดการทั้งหมดแต่ครั้งนี้คน ๆ นั้นกลับปฏิเสธที่จะให้เขาทำธุรการทั้งหมดและที่สำคัญไปกว่านั้นการกลับรัสเซียโดยที่ไม่คิดจะกลับมาที่นี่มันเป็นการตัดสินใจที่น่าสงสัยเสียจริง



มือกร้านปล่อยมือออกจากขอมือบางก่อนจะเดินตรงไปเปิดประตูห้องเพื่อให้เด็กสาวเข้ามาหาผู้เป็นพี่ชาย ร่างเล็กนั่นวิ่งเข้าไปหาร่างโปร่งบางด้วยสีหนาและแววตาที่เป็นห่วงแต่มันก็อยู่เพียงช่วงครู่เท่านั้น ใบหน้าเศร้าและเหงาหงอยนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างออกมา นัยน์เนตรคมสองสีมองใบหน้าน่ารักนั่นอยู่นาน ก่อนจะเริ่มเข้าใจว่าการที่น้าชายของตนชอบมองใบหน้าสวยที่มักเปลี่ยนไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ของร่างโปร่งบางนั้นทำไม นั่นก็คงเป็นเพราะใบหนาที่แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์มันทำให้ความตึงเครียดและความรู้สึกหนักอึ้งนั้นหายไปนั่นเอง



คาร์เร่ได้แต่ยืนมองเด็กสาวและผู้เป็นพี่ชายของเธออยู่อย่างนั้น แต่จะมีใครรู้บ้างว่าเหตุผลที่เด็กหนุ่มคนนี้มองไปยังคนทั้งคู่นั้นก็คือเขาต้องการมองใบหน้าของเด็กสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินเข้มแปลกตาที่แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ต่าง ๆ บางทีนี่อาจจะเป็นโรคติดต่อทางพันธุกรรมในตระกูลฟีเลทัสก็ได้กระมังที่ชอบมองใบหน้าของคนที่พิเศษสำหรับตัวเองมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป
กาลเวลานั้นค่อย ๆ ดำเนินอย่างเชื่องช้าซึ่งเวลาที่ผ่านไปนั้นมันเหมือนกับเป็นมีดนับร้อยนับพันเล่มที่ค่อย ๆ พุ่งเข้ามาทิ่งแทงในจิตใจของครีแวน แม้ใบหน้าสวยยังคงนิ่งสนิทเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าจิตใจของร่าง ๆ นี้นั้นมันช่างอ่อนแออย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน



ครีแวนขังตัวเองอยู่ในห้องของชายร่างสูงผู้มีเรือนผมสีแดงชาดมาตลอดสามอาทิตย์ ซึ่งเรียกได้ว่าตั้งแต่ครีแวนได้รับรู้เรื่องราวจากริมฝีปากหนานั่น ร่างโปร่งบางนั้นก็ไม่คิดที่จะย่างกรายออกไปทางด้านนอกเลยสักก้าวเดียวและเช่นเดียวกับชายร่างสูงหลังจากที่คน ๆ นั้นเจอเหตุการณ์ในวันนั้นวันที่เขาบีบแก้วจนแตกคามือ ชายคนนั้นก็ไม่คิดที่จะย่างกรายเข้ามาภายในห้อง ๆ นี้ซึ่งเป็นที่พำนักของตนเลยสักก้าวเดียว



แต่ความจริงแล้วเรื่องที่อีกฝ่ายจะจากไปนั้นครีแวนสมควรจะดีใจเสียมากกว่า หากแต่ทำไมร่างโปร่งบางร่างนี้กับไม่รู้สึกดีใจที่จะได้อิสรภาพกลับคืนมาเลยสักนิด ซ้ำเขายังเจ็บปวดมากกว่าเสียอีกที่ตนได้รับรู้เรื่องราวพวกนั้น หรือมันอาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากโดนคนอื่นมองด้วยสายตาสมเพชเวทนาว่าถูกชายคนนั้นทิ้งให้อยู่ที่นี่ หรือเป็นเพราะเขาไม่อยากที่จะโดนคนอื่น ๆ มองว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ชายคนนั้นเบื่อและกำลังจะทิ้งขว้าง… ซึ่งตัวของครีแวนก็ไม่อาจเขาใจได้



ร่างโปร่งบางยังคงนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างเหมือนเช่นทุกวัน หากแต่ใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทระนงนั้นในตอนนี้มันกลับดูเศร้าหมองและจิตใจนั้นกำลังอ่อนแอ



และถ้าหากให้นับวันเวลาแล้วหละก็วันนี่นี่หละที่เป็นวันที่ชายร่างสูงคนนั้น ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ จะเดินทางจากประเทศนี้ไปโดยไม่มีการหวนกลับมา…ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อตนคิดเช่นนั้น แม้ใจนั้นอยากจะเอ่ยรั้งอีกฝ่ายไม่ให้จากไปแต่ทิฐิในตัวของครีแวนนั้นยังคงมีมากกว่า



แม้จะไม่อยากสูญเสียแต่ถ้าตนได้ตามที่หวังไว้มันจะเป็นอย่างไรกันเล่า ‘ในเมื่ออีกฝ่ายเบื่อและต้องการที่จะทิ้งเขาไป’ ต่อให้เขาไปอ้อนวอนขอร้องขนาดไหนความรู้สึกของคน ๆ นั้นก็ไม่อาจที่จะกลับคืนมาได้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะยอมตามที่เขาร้องขอมันก็เป็นแค่การยื้อเวลาต่อไปเท่านั้น…และมันคงต้องมีสักสักวันคน ๆ นั้นก็จะเขี่ยเขาทิ้งไปอย่างไม่ใยดีซึ่งสภาพแบบนั้นมันดูน่าสมเพชยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก สู้เขายอมถอยออกห่างตั้งแต่ตอนนี้เลยไม่ดีกว่าเหรอ



มือบางพลางแตะไล่วนตามขอบถ้วยน้ำชาก่อนที่จะละไปจับที่หูของถ้วยและยกมันขึ้นดื่ม ชาอุ่น ๆ และรสชาติของมันทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของครีแวนสงบลงได้ แต่มันก็สงบลงได้สักพักหนึ่งเท่านั้นเพราะแค่เวลาผ่านไปเพียงเสี้ยววินาทีความว้าวุ่น เศร้าหมองนั้นก็กลับคืนมาอีกเช่นเดิม ไม่มีอะไรที่จะทำให้ตัวของครีแวนนั้นลืมเลือนเรื่องของคน ๆ นั้นได้แล้วหรืออย่างไร ทำไมคน ๆ หนึ่งที่เข้ามาในชีวิตไม่ถึงสามเดือนดีกับตราตรึงอยู่ในความทรงจำของร่างโปร่งบางได้ถึงขนาดนี้



ความรู้สึกที่ครีแวนมีให้อีกฝ่ายนั้นมันไม่ใช่ความรู้สึก ‘รัก’

มันไม่ใช่ความรู้สึก ‘หลงใหล’

และที่สำคัญมันไม่ใช่ความรู้สึก ‘เถิดทูนหรือบูชา’



ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคน ๆ นั้นเลยสักนิดแต่ทำไมตัวของเขาถึงตัดความสัมพันธ์กับชายร่างสูงคนนั้นไม่ขาด ไม่สิแค่คิดจะตัดเขาก็ยังทำไม่ได้เลย



ครีแวนยังคงนั่งเงียบอยู่ภายในห้อง พลันเสียงบานประตูนั้นค่อย ๆ เปิดอ้าออกพร้อม ๆ กับร่างสูงของเด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสี



“ครีแวน…เออคุณควรลงไปชั้นล่างสักหน่อยนะครับ น้าชายของผมกำลังออกเดินทางแล้ว” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยดังและเมื่อเดกหนุ่มเอ่ยจนจบประโยคบรรยากาศโดยรอบของครีแวนนั้นเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ใบหน้าสวยเบนกลับไปมองใบหน้าของเด็กหนุ่ม ทั้งสีหน้าและแววตาของเขาพยายามที่จะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติมากที่สุด



“ทำไมฉันต้องไป มีความจำเป็นอะไรกัน” ริมฝีปากบางพูดออกไปห้วน ๆ เพื่อแสดงให้เดกหนุ่มเห็นว่าเขาไม่ได้รูสึกหวั่นไหวอะไรกับคำพูดพวกนั้นเลยสักนิด หากแต่ครีแวนนั้นจะรู้ตัวบ้างไหมว่าทุกประโยคที่ตนเอ่ยออกไปน้ำเสียงนั้นมันสั่นเครือขนาดไหน



“คุณ..คงไม่อยากโดนบังคับใช่ไหมครับ” ริมฝีปากหนาของเด็กหนุ่มเอ่ยออกมาอีกครั้ง ซึ่งประโยคนี้ทำให้ครีแวนเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา ‘โดนบังคับ ? ใครจะมาบังคับเขากัน ไม่สิใครหน้าไหนที่คิดจะมาบังคับเขากันต่างหาก’ นัยน์เนตรคู่งามส่งแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยออกไป พลันคำตอบทั้งหมดก็ถูกเฉลยเมื่อบานประตูห้องเปิดกว้างอีกครั้งพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวคน ๆ หนึ่งที่ครีแวนไม่อยากเจอมากที่สุดในตอนนี้ ‘เฮลาส ฟีเลิทัส’



ร่างสูงสง่าเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างโปร่งบาง ใบหน้ากร้านคมนั้นเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและไม่พอใจ “ฉันให้คาร์เร่มาตามทำไมไม่ลงไปตามที่สั่ง” เสียงทุ้มตะโกนกร้าว มือกร้านเอื้อมไปคว้าข้อมือบางไว้แน่น แต่มีหรือที่ครีแวนจะยอมให้อีกฝ่ายมาขึ้นเสียงและใส่อารมณ์กับเขา ท่อนแขนเรียวบางพยายามกระชากมือของตนกลับแม้มันจะทำให้ตนรู้สึกเจบปวดจากการระบมของบาดแผลแต่ครีแวนก็ไม่คิดที่จะสนใจมัน



“ทำไมต้องให้ฉันไปส่งนายหรือไง ฉันไม่ใช่ญาติของนาย ลูกน้องของนาย หรืออีตัวของนายนะ” ริมฝีปากบางเอ่ยตอกกลับ แต่ดูเหมือนมันไม่สามารถทำอะไรใบหน้าที่ดานชาของร่างสูงนี้ไดเลยสักนิดแต่ที่ยังดีที่เฮลาสยังมีมารยาทมากพอที่จะยอมฟังครีแวนนั้นเอ่ยออกมาจนจบประโยคและเมื่อเสียงหวานที่สั่นเครือนั้นเอ่ยจบลงประโยคเด็ดที่ถูกงัดออกมาเป็นไม้ตายสุดท้ายของดอนหนุ่มก็ถูกเอ่ยดัง



“นายไม่ใช่อะไรทั้งนั้นแต่นายเป็นของ ๆ ฉัน…นายเป็นของ ๆ ฉันคนเดียวและตลอดไป” ราวกับว่ามีหยาดน้ำอุ่นสาดเข้ามากระทบกับใบหน้าสวย พลันแก้มขาวก็ขึ้นสีแดงก่ำ พร้อม ๆ กับร่างโปร่งบางที่ค่อย ๆ เซตัวเข้าไปอยู่ในวงแขนแกร่ง
‘ทำไม…ตัวเขาไม่มีแรงเลย…’ ครีแวนเอ่ยถามตนเองหากแต่ตอนนี้สติที่เคยมีอยู่กับตัวนั้นช่างพล่ามัวเหลือเกิน มือบางพยายามยันกายออกห่างจากร่างสูง ทว่าร่างทังร่างกับไรเรียวแรง ใบหน้างดงามแหงนหน้าขึ้นไปมองใบหน้าคมนั้น พลันรอยยิ้มชั่วร้ายก็พริ้มพรายออกมาจากริมฝีปากหนา



เมื่อเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นครีแวนก็รู้ตัวแล้วว่าตนนั้นถูกอีกฝ่ายเล่นงาน ใบหน้าสวยหันไปมองยังกาน้ำชาที่ถูกนำมาเสริฟสลับกับหันมามองยังใบหน้ากร้านคม นัยน์เนตรคู่งามนั้นจ้องมองชายร่างสูงที่ประคองร่างของตนไม่ให้ทรุดลงไปกับพื้นด้วยสายตาราวกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ดูเหมือนฤทธิยากที่อยู่ในนั้นมันจะซึมลึกเข้าไปในระบบประสาททั้งหมดของครีแวนเสียแล้ว การดิ้นรนของครีแวนดำเนินต่อไปได้อีกครู่หนึ่งในที่สุดสติที่ลางเลือนนั้นก็ดับวูบลงและสิ่งที่ปรากฏชัดในตัวเนตรของร่างโปร่งบางนี้เป็นครั้งสุดท้ายก็คือ รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของชายคนนั้น…ชายหนุ่มร่างสูงที่แสนจะแข็งประด้างและชั่วร้ายที่สุดเท่าที่ครีแวนเคยเจอมา
‘นี่เฮลาส…ที่นายยิ้มแบบนั้นมาให้ ฉันคิดเข้าข้างตัวเองได้ใช่ไหมว่านาย…ก็ไม่อยากสูญเสียฉันไปเช่นเดียวกับฉันที่ไม่อยากสูญเสียนาย’





ร่างโปร่งบางที่จมเข้าสู่ห้วงนิทราถูกมือแกร่งช้อนตัวและอุ้มขึ้นมาแนบชิดกับแผ่นอก ชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังโอบอุ้มร่าง ๆ นั้นหันกลับมาส่งยิ้มจาง ๆ ให้กับผู้เป็นหลานชาย



“กว่ายานอนหลับขั้นรุนแรงจะออกฤทธิ์…นี่ผมคิดว่าอาจจะมีการฆ่ากันตายก่อนได้กลับรัสเซียซะแล้วสิ” เสียงทุ้มที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดีเอ่ยดังก่อนเขาจะทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก



“นั่นสิ…ใครจะไปคิดว่าเจ้าสัตว์เลียงตัวนี้จะดื้อดึงและทิฐิสูงขนาดนี้ ดีที่เตรียมแผนสำรองเอาไว้ไม่งั้น มีหวังกำหนดการเลื่อนหมดแน่ ๆ ฉันไม่ชอบอะไรที่ผิดพลาดซะด้วยสิ” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนจะกระชับวงแขนตนให้ร่างโปร่งบางนั้นเข้ามาแนบชิดกับแผ่นอกตน นัยน์เนตรคมสีเปลวเพลิงพินิจมองใบหนาสวยที่หลับสนิทอยู่เพียงครู่ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกไปจากห้อง



แผนการนี้ถูกวางไว้ตั้งแต่วันแรกที่ครีแวนนั้นกลับมายังคฤหาสน์แห่งนี้ในสภาพโชกเลือด เฮลาสนั้นตั้งใจอยู่แล้วว่าถ้าขอบเขตการปกครองของตระกูลราดอล์ฟตกอยู่ในเงื้อมือของตระกูลฟีเลทัสทั้งหมด ตัวของเฮลาสก็คิดที่จะกลับสู่บ้านเกิดที่ตนจากมา ซึ่งตัวของชายร่างสูงนั้นไม่คิดที่จะกลับไปคนเดียวโดยทิ้งของ ๆ ตนเอาไว้ที่นี่อยู่แล้ว



ดังนั้นแผนการหลอกร่างโปร่งบางนั้นก็ถูกสร้างขึ้น โดยตัวของเฮลาสเองและทุก ๆ คนในคฤหาสน์นั้นล่วงรู้ถึงแผนการทั้งหมด ซึ่งยกเว้นคนเดียวนั่นก็คือร่างโปร่งบางผู้ที่จะเป็นเหยื่อของแผนการนี้ และการที่เขาไม่ค่อยได้โผล่หน้าเข้ามาวนเวียนและก่อกวนร่างโปร่งบางของเขานั่นก็เป็นเพราะการยื่นขอสัญชาติให้หนุ่มลูกครึ่งที่ตอนนี้หลับใหลในอ้อมแขนของเขารวมไปถึงผู้เป็นน้องสาวมันยากเอาเรื่อง แม้เขาจะใช้อำนาจทางการเงินเข้ามาช่วยแล้วมันก็ยังคงยากลำบากอยู่ดี นัยน์เนตรคมก้มลงมองใบหน้าขาวนั้นเพียงชั่วครู่ก่อนจะพาร่างที่หลับใหลนั้นไปกับตน…



และในตอนนี้สัมภาระรวมไปถึงคนที่กลับไปยังรัสเซียก็ครบถ้วนเสียที เครื่องบินส่วนตัวลำใหญ่ทะยานขึ้นสู่ฝากฟ้าและค่อย ๆ บินออกห่างจากน่านฟ้าประเทศอังกฤษ





กาลเวลานั้นได้หมุนวนจนแสงอาทิตย์นั้นสาดส่องเข้ามายังหนาต่างอีกครั้ง ร่างโปร่งบางที่หลับใหลค่อย ๆ ลืมตาตื่นใบหน้าสวยนั้นปรายตามองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความสงสัยนั่นก็เพราะหลังจากที่ครีแวนโดนวางยาจนหมดสติไปเขาก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลยสักนิดเดียวว่าชายร่างสูงที่สุดแสนจะน่าหมั่นไส้คนนั้นทำอะไรกับเขาบ้าง มือบางค่อย ๆ ยันกายเขยิบไปที่ขอบเตียงขาทั้งสองข้างค่อย ๆ ก้าวแตะลงไปยังพื้นพรม ในตอนนี้ครีแวนรู้สึกว่าตัวของเขานั้นยังคงนอนอยู่บนเตียงหนานุ่มหลังเดิมของชายร่างสูงที่ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ



ร่างโปร่งบางนั้นสาวเท้าตนเดินไปรอบ ๆ ห้อง นัยน์เนตรคู่งามนั้นปรายตามองพวกเครื่องเรือนต่าง ๆ ที่จัดอยู่ภายในห้อง พลันความคิด ๆ หนึ่งก็แล่นเข้ามาภายในสมอง ‘ถึงแม้มันจะเหมือนแต่ก็ยังคงแตกต่าง เพราะห้อง ๆ นี้ถึงจะเหมือนกันกับห้องของหมอนั่นแต่มันก็มีบางจุดที่ยังแตกต่าง เขาถูกพามาสถานที่แห่งไหนกัน’ เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นร่างโปร่งบางก็ระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเก่ามือบางพยายามเอื้อมไปคว้าอาวุธประจำกายขึ้นมาเพื่อป้องกันตัว หากแต่ก่อนที่คมมีดจะถูกชักออกมาเล่นกับแสง บานประตูไม้สีดำสนิทที่ราวกับถอดแบบมาจากห้อง ๆ นั้นถูกเปิดออกพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของชายหนุ่มที่ครีแวนไม่คิดว่าเขาจะอยู่ ณ ที่แห่งนี้



“เฮลาส ฟีเลทัส นายทำอะไรกับฉัน แล้วตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน” เสียงหวานตะโกนกร้าวร่างโปร่งบางนั้นเร่งสาวเท้าเดินไปประจันหน้ากับเจ้าของใบหน้ากร้านคมนั่น ซึ่งชายหนุ่มร่างสูงนั้นได้แต่คลี่รอยยิ้มจาง ๆ ให้และส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ มือกร้านค่อย ๆ เอื้อมขึ้นไปลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีน้ำเงินแปลกตาเบา ๆ พลันความโกรธทั้งหมดนั้นก็แปรเปลี่ยนเปนความเขินอายใบหน้าสวยนั้นสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น และนั่นก็ยิ่งเป็นการกระทำที่ทำให้เฮลาสได้ใจ มือกร้านอีกข้างหนึ่งถูกยื่นไปโอบรอบเอวบางให้เข้ามาแนบชิด เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยกระซิบแผ่วเบาข้างใบหู



“นายคิดว่าฉันจะทิ้งของที่เป็นของฉันไว้หรือยังไง ส่วนเรื่องที่ตอนนี้นายอยู่ไหน...นายอยู่ในห้องนอนของฉัน” แม้ประโยคแรกจะเรียกสีชาดขึ้นมาแต่งแต้มบนดวงหน้าขาวได้อีกครั้ง หากแต่ในประโยคสุดท้ายครีแวนถึงกับอยากจะฝืนตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งนั้นแล้วประเคนหมัดให้ไปเสียหนึ่งหมัด ทว่าชายหนุ่มร่างสูงนั้นรู้ทันมือกร้านกระชับอ้อมกอดตนให้แน่นยิ่งขึ้นกว่าเก่าและยอมเอ่ยตอบคำถามที่อีกฝ่ายอยากรู้ “รัสเซีย...ตอนนี้เราอยู่รัสเซีย”



สิ้นเสียงทุ้มราวกับว่าโลกทั้งโลกของครีแวนที่เคยหมุนอยู่ตลอดเวลานั้นหยุดลง ใบหน้าสวยเอี้ยวหันกลับไปมองใบหน้าของชายร่างสูงด้วยความงุนงง นัยน์เนตรคู่งามนั้นเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ตัวของร่างโปร่งบางเลือกไม่ถูกว่าจะถามคำถามไหนก่อนดี นัยน์เนตรคมสองคู่นั้นจ้องมองซึ่งกันและกันอยู่ช่วงระยะหนึ่งพลันใบหน้ากร้านคมก็ค่อย ๆ โน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากสีสดที่เตรียมตัวจะเอ่ยถามคำถาม รสสัมผัสที่ครีแวนได้รับมันยังคงหอมหวานและนุ่มละมุนก่อนมันจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงจนแทบจะเผาไหม้คนทั้งสองคนเป็นเถาธุลี และเมื่อริมฝีปากหนานั้นผละออกคำตอบที่ครีแวนอยากจะรู้ทั้งหมดก็ถูกส่งผ่านมาทางริมฝีปากคมของชายร่างสูงผู้นี้เรียบร้อยแล้ว



ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงก่ำด้วยความเขินอาย ก่อนร่างบอบบางของตนนั้นนั่นจะถูกมือแกร่งสวมกอดอีกครั้ง



“ถึงนายจะทำแบบนี้ไม่ว่าจะกี่ครั้ง…ฉันก็ยังคงเกลียดนายอยู่ดี เฮลาส ฟีเลทัส ไอคนเจ้าเล่ห์” เสียงหวานพึมพำออกแผ่วเบาก่อนมือทั้งสองเขาจะถูกยกขึ้นไปกอดตอบชายหนุ่มที่ตนเอ่ยปากบอกว่าเกลียดนั่นแน่น



………………




บางครั้งคำว่ารักมันไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมา…เพราะว่ามันสามารถสัมผัสได้จากการกระทำของคนทั้งสองคน
ฉันเกลียดนาย ‘เฮลาส ฟีเลทัส’ แต่ฉัน…ก็อยากอยู่กับนายตลอดไปเช่นกัน



- End -




ข่าวสารที่ตองการสอบถาม


(http://image.ohozaa.com/i/137/wWhFX0.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/yiw8VT0jNuP0Fdz3)
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 12 end] 22/04/2015 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-04-2015 02:23:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 12 end] 22/04/2015 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 27-04-2015 03:46:30
 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 12 end] 22/04/2015 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 28-04-2015 15:05:40
 :pig4: สนุกมาก
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 12 end] 22/04/2015 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 29-04-2015 12:56:35
โบ๊ะ!โอ~~~โอ๊ะโม๊ะ!!โอ๊ยยยยยยย!!อ๊ากกกกย๊ากกก!! สนุกกมากกกกกกกกกกกกกกกค่ะ งี๊ดดดดดดสนุกจริง.....เกือบพลาดเพราะเห็นมี 2 หน้า 12 ตอนเอง ที่ไหนได้แต่ละตอนยาวมาก เนื้อเรื่องก็สนุก ภาษาที่ใช้สลวยสวยดี บรรยายให้ได้ลุ้นนนนอยู่ตลอดว่า บรรทัดต่อมาจะพูดอะไร จะเป็นไปตามที่เราคิดใหม? บางฉากก็ตรง ถูกใจใช่เลย แบบนี้แหล่ะ บางฉากก็เอ้ย เออ ใช่ คิดได้ไง เห็นด้วยๆ ไรงี้ 555......ค่อยๆรักกันไป ไม่งี่เง่า  ชอบอ่ะค่ะ มากๆ ..

ขอบคุณมากนะค่ะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน แต่งดีจริงค่ะ เนื้อเรื่องสนุกมาก ถึงคำจะผิดปานกลาง แต่ก็โอค่ะ เพราะเราเข้าใจ มีผลงานอีกไหมนะเออ อืมม เดี๋ยวจะตามไปหาอ่านหาดูก่อนนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 12 end] 22/04/2015 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 30-04-2015 16:08:24
สนุกมากกกกกกก คะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนมีผลงานดีดี แบบนี้มาให้อ่านอีกเยอะๆๆๆ นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [Chapter 12 end] 22/04/2015 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 01-05-2015 17:35:01
 o13
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [แจ้งข่าวค่ะ] 16/05/2015 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 16-05-2015 08:52:55


ฝากด้วยนะคะ ^^


แจ้งข่าวรีปรินท์ค่ารายละเอียดตามนี้ค่า : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46880.new#new


สอบถามและติดต่อได้ที่เพจ : https://www.facebook.com/pages/WIFACs-Work-Page/376396462412920


หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [แจ้งข่าวค่ะ] 16/05/2015 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 16-06-2015 00:09:41
ตอนแรกเห็นหน้าแล้วนึกว่าจะนิดเดียว
แต่นี่2หน้าเต็มไปด้วยเนื้อๆทั้งนั้น
สนุกดีค่ะ ชอบคาร์เร่มาก
อ่านทีเดียวจบเลย
อาจจะมีติดขัดเรื่องคำที่ซ้ำกัน ประโยคงงๆบ้าง
แต่ก็ยังโอเคอยู่
จะรอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [แจ้งข่าวค่ะ] 16/05/2015 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Cressent ที่ 21-06-2015 01:24:02
 :heaven
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ] - Blue Rose พันธนาการสีชาด - [แจ้งข่าวค่ะ] 16/05/2015 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 19-05-2017 22:50:05
เปิดจอง รอบรีปรินท์ Blue Rose ค่ะ


https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeYEf8BqavpebmoiLljnvmrAmvGiFHbf_0z1qxsLpb2cgehGA/viewform?usp=sf_link