พิมพ์หน้านี้ - ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Tigerintherain ที่ 08-07-2014 21:50:04

หัวข้อ: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 08-07-2014 21:50:04
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอนแรก 8/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 08-07-2014 21:56:43
มารอจ้า
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอนแรก 8/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 08-07-2014 22:00:10
สวัสดีค่ะ

เป็นสมาชิกใหม่  เอานิยายเรื่องแรกมาลง 

เรื่องนี้เคยลงที่เด็กดีมาก่อนค่ะ   

ส่วนตอนที่ลงที่นี่จะเปลี่ยนชื่อตัวละครใหม่  และปรับปรุงเนื้อหาเล็กน้อย  โดยรวมเหมือนเดิมค่ะ

หากมีอะไรกรุณาแนะนำด้วยนะคะ   :mew2:

-----------------------------------






1. น้องชาย


เสียงดนตรีภายในผับจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือ  เสียงกรี๊ดหูแทบดับจากสาว ๆ ที่เบียดเสียดกันอยู่หน้าเวที  ทำให้พีทยิ้มปลื้มที่มีคนชื่นชมเขามากมายขนาดนี้  เขาเดินลงจากเวทีพร้อมเพื่อนร่วมวง  หลังจากที่ร่ำลากันเสร็จแล้ว  พีทจึงเดินออกไปทางหน้าร้านผ่านบรรดาแขกที่มาใช้บริการในผับแห่งนี้

“พีท ๆๆ” 

“กรี๊ด พีทแวะทางนี้หน่อยค่ะ”  เสียงสาว ๆ เรียกร้องให้เขาแวะทักทายดังเซ็งแซ่  พีทเพียงแค่ยิ้มให้แต่ไม่แวะทักทายใคร

“จะรีบกลับแล้วเหรอพีท พ่อนักร้องเจ้าเสน่ห์  เชื่อชั้นรึยัง  ชั้นรู้ว่านายทำได้”  เจ้าของเสียงทักทายอันคุ้นเคยนั้นเป็นสาวสวยผิวเข้มในชุดเกาะอกหนังสีดำ  กางเกงขาสั้นโชว์เรียวขาสวย 

“อ้าวเกรซ ขอบใจนะที่ชม เราจะกลับแล้วล่ะ  พรุ่งนี้มีเรียนเช้า”

“หวังว่าคงไม่ทำให้เกรดนายตกนะ ไม่งั้นร้านชั้นต้องเจ๊งแน่ ๆ  ถ้าเกิดไม่มีนักร้องสุดหล่ออย่างนายคอยดึงดูดลูกค้า” 

“ไม่หรอกน่า สบายมาก จะยอมให้เกรดตกได้ไง ไม่งั้นโดนพ่อสั่งห้ามออกจากบ้านแน่”  ที่เขายังไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระเป็นเพราะพ่อไว้ใจว่าตราบใดที่พีทยังรักษาระดับการเรียนไว้ที่  ‘ดีเยี่ยม’ ได้สม่ำเสมอ  เขาก็มีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ตามใจ

“อีกอย่าง  ลูกค้าหนุ่ม ๆ  เขามาเพราะคุณหนูเกรซคนสวยสุดเซ็กซี่ต่างหาก”  พีทตอบแล้วยิ้มกว้างจนตาหยี  ไม่รู้ตัวเลยว่ายิ้มของตัวเองนั้นน่ารักขนาดไหน

“ยิ้มแบบนี้ไง  สาว ๆ ถึงได้กรี๊ดนายกันนัก”  เกรซแซวพลางยิ้มตอบ  เธออยากจะบอกอยู่เหมือนกันว่า  ครึ่งหนึ่งของหนุ่ม ๆ ที่อยู่ในร้านนั้นมาเพราะเสน่ห์ของพีทนั่นแหละ  แต่คิดอีกทีไม่บอกดีกว่า  ถ้าพีทรู้อาจจะไม่ยอมมาร้องเพลงให้เธอก็ได้   

“นี่ดีนะที่ครั้งแรกที่เราเจอกัน  นายทำหน้าบึ้งใส่ชั้น ชั้นก็เลยรอดไม่ตกหลุมนาย  ไม่งั้นเราคงไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรอก  ป่านนี้เราคงหมั้นกันไปแล้ว  ดีใจจริง ๆ” 

“ฮ่า ๆ” พีทหัวเราะกับคำพูดนั้น  ใช่แล้ว  พวกเขาสองคนเกือบถูกจับหมั้นกันแล้ว  เพราะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายอยากให้ทั้งสองตระกูลดองกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ



“พีท นี่คุณหนูเกรซ  ลูกสาวคุณเจมส์ที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของโรงแรมสาขาใหม่ที่ฮ่องกงไงลูก  รู้จักกันไว้นะ”  คริส หยาง  เจ้าพ่อธุรกิจโรงแรมหรูที่มีสาขาทั่วโลก  พ่อของเขาเองเป็นผู้แนะนำให้รู้จักหญิงสาวสวยท่าทางเรียบร้อยคนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา

“สวัสดีครับ”  เขาทักไปตามมารยาทเท่านั้น 

“สวัสดีค่ะ”  หญิงสาวคนนั้นก็ทักทายกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์เช่นกัน

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”  พีทเอ่ยอย่างเซ็ง ๆ เพราะเริ่มรู้เหตุผลที่ถูกหลอกให้มางานนี้โดยมีข้ออ้างว่าเป็นการฝึกเข้าสังคม  และรู้จักหุ้นส่วนทางธุรกิจของพ่อเพื่อสืบทอดกิจการในอนาคต

“เช่นกันค่ะ” แม้จะตอบแบบนั้นแต่หน้าตาท่าทางของเธอไม่ได้แสดงว่าอยากรู้จักเขาเลยสักนิด  บางทีเธออาจจะถูกบังคับให้มางานนี้เหมือนกัน

“สองคนนี้ดูเหมาะกันดีนะครับคุณคริส” 

พ่อยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร ก่อนจะทำทีชักชวนคุณเจมส์ไปคุยธุรกิจกับหุ้นส่วนคนอื่นที่มาร่วมงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าในโรงแรมหรูระดับ 6 ดาว  บนทำเลใจกลางเมือง ย่านที่ราคาที่ดินสูงที่สุดที่พ่อของเขาเองเป็นเจ้าของ 
เมื่อลับตาผู้ใหญ่ของทั้งคู่แล้วคุณหนูเกรซที่พีทเพิ่งรู้จักก็ขอตัวกลับทันที 

“หวังว่าเราคงไม่ต้องพบกันอีกนะคะ  เพราะไม่งั้นเราคงต้องถูกจับแต่งงานกันสักวันแน่ ๆ”

“ครับ” พีทตอบไปอย่างงง ๆ เพราะกำลังอึ้งกับคำพูดและท่าทางที่เปลี่ยนไปทันทีหลังจากพ่อของทั้งคู่เดินไปทางอื่น ยังไม่ทันไร คุณหนูคนสวยก็เดินแทบจะวิ่งหายออกจากห้องจัดเลี้ยงอันหรูหรานั้นอย่างรวดเร็ว

“อืม ดีเหมือนกัน สั้น ๆ ตรง ๆ”  พีทยิ้มให้คนที่วิ่งหนีไป 

ที่จริงเขาก็ต้องรีบเหมือนกัน  คืนนี้เพื่อนกลุ่มเต้นของเขาชวนให้ไปเที่ยวผับเปิดใหม่แห่งหนึ่งที่กำลังมาแรงสุด ๆ  หลังจากแอบออกมาจากงานเลี้ยงแล้ว เขาก็แวะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านเพื่อสลัดชุดสูทหรูยี่ห้อดังออกแล้วเปลี่ยนมาสวมกางเกงยีนส์ขาเดฟสีเข้ม  เสื้อยืดและแจ็กเกตตัวเก่งแทน  ก็บ้านเขาพื้นที่สิบไร่นี้อยู่ห่างจากโรงแรมของพ่อเพียงแค่สองบล็อกถนนเท่านั้น  ไม่เสียเวลาอะไรเลย

บริเวณด้านหน้าผับที่เขาเห็น  ดูผิวเผินก็คงไม่มีใครคิดว่าข้างในคือสถานบันเทิงยามราตรีที่วัยรุ่นแทบทั้งเมืองต่างหลั่งไหลกันมาจนแน่นร้านทุกคืน   ก็เล่นมาตั้งในแหล่งธุรกิจเสื่อมโทรมห่างไกลจากแหล่งบันเทิงยามราตรีแหล่งอื่น แต่ก็เหมาะดีนะ จะได้ปลอดหูปลอดตาคน โดยเฉพาะคนของพ่อ

ใครจะรู้ว่า  ลูกชายนักธุรกิจระดับหมื่นล้านอย่างพีทชอบเพลงฮิปฮอป  และหัดเต้นมานานแล้วโดยมีกลุ่มเพื่อนที่สนใจเพลงสไตล์เดียวกัน  ชอบเต้นเหมือนกัน  พวกเขามักนัดเจอกันเพื่อซ้อมเต้นท่าใหม่ ๆ ด้วยกัน รวมทั้งการออกมาหาประสบการณ์การเต้น  แนวดนตรีแปลกใหม่อย่างเช่นคืนนี้   

คืนนี้ผู้คนเยอะเป็นพิเศษ ดีเจก็เปิดแผ่นสร้างความสนุกสนาน กลุ่มคนที่เต้นอยู่กลางฟลอร์กำลังล้อมวงยืนเชียร์ใครสักคนหนึ่งที่เต้นอยู่กลางวงล้อมนั้น มีเสียงร้องฮือฮาออกมาเป็นระยะ  เรียกความสนใจจากผู้คนให้ยิ่งเข้าไปล้อมวงดูมากขึ้น

“โอ๊ย เจ๋งว่ะ ใครไม่รู้โคตรสวย เต้นเก่งเป็นบ้าเลย คนเชียร์กันมันส์ไปเลย”  อึนซอก  เพื่อนลูกครึ่งเกาหลีคนหนึ่งในกลุ่มที่เพิ่งฝ่าฝูงชนกลับออกมาจากกลางฟลอร์พร่ำเพ้อ     

“เฮ้ พวกเราก็ออกไปโชว์สเต็ปตามสไตล์เรากันเถอะ” 

อึนซอกร้องเรียกเพื่อน ๆ พร้อมกับโยกตัวตามจังหวะเพลงนำเพื่อนไปกลางฟลอร์แล้ว  จากนั้นพวกเขาก็ออกไปเต้นท่ามกลางผู้คนและเพลงแดนซ์จังหวะหนัก ๆ  ไม่นานทั้งกลุ่มก็ตกเป็นจุดเด่นของร้านจากลีลาการเต้นที่เร้าใจ  สนุกสนาน 

“โอ๊ะ ขอโทษครับ” พีทถอยไปชนใครคนหนึ่ง 

“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ” เจ้าของเสียงก็หันกลับมาด้วยเช่นกัน

“เอ๊ะ คุณ....”

“เฮ้ย! คุณหนูเกรซ คุณมาทำอะไรที่นี่  คุณคือคนที่เต้นกลางฟลอร์เมื่อกี้??”   

“คุณชายพีทนี่ เมื่อกี้ยังอยู่ในงาน แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่ แล้ว.....”

จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะให้กัน จากสภาพคุณหนูของทั้งคู่เมื่อตอนหัวค่ำในชุดออกงานอันหรูหรา  ตอนนี้ทั้งคู่กลับแต่งตัวตามสไตล์ของตัวเองสุด ๆ   จากโรงแรมหรู 6 ดาวที่ได้รับรางวัลการออกแบบสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมจากหลายสถาบัน   ทั้งคู่กลับยืนอยู่ในสถานบันเทิงที่แน่นขนัดไปด้วยนักท่องราตรีแหล่งบันเทิงเสื่อมโทรมมุมหนึ่งของเมือง   

หลังจากแนะนำตัวกันอีกครั้งในแบบตัวตนที่แท้จริง  พีทก็ได้รู้ว่าคุณหนูเกรซกับเขาชอบการเต้น  ชอบเพลงสไตล์ฮิปฮอปเหมือนกัน  และต้องปกปิดความชอบส่วนตัวนี้ไม่ให้คนในครอบครัวของทั้งคู่รับรู้เหมือนกันอีกด้วยจากพื้นฐานครอบครัวตระกูลสูงและร่ำรวยเหมือนกันทำให้พวกเขาเข้าใจความอึดอัดของกันและกันได้ดี  พวกเขาจึงกลายเป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นมา   



หลังจากร่ำลาเกรซแล้วพีทก็ขับรถออกจากผับ  ก็ร้านเดิมที่เขาเจอกับเกรซครั้งแรกนี่แหละ  หลังจากที่พวกเขาเป็นเพื่อนกันได้ไม่นาน  เกรซก็แอบซื้อกิจการแห่งนี้ไว้โดยปกปิดไม่ให้ครอบครัวรู้ 

“จะได้เก็บไว้แดนซ์ได้ตลอดเวลาไง”  เกรซเคยให้เหตุผล
“สมกับเป็นคุณหนูตระกูลอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งจริง ๆ  เธอนี่” 
     

-------------------------------------------



ภายในบริเวณบ้านกว้างใหญ่ใจกลางเมืองสว่างไปด้วยโคมไฟที่จุดไว้ทั่วบริเวณ บ้านหลังใหญ่สไตล์วิกตอเรียโบราณสามชั้นตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางพื้นที่  ล้อมรอบด้วยสวนสวยที่จัดแต่งอย่างดี  มีสระว่ายน้ำและสนามเทนนิสอยู่ด้านหนึ่ง   

แต่พีทไม่ได้จอดรถหน้าตึกใหญ่เปล่าเปลี่ยวหลังนั้นหรอก  เขาขับเลยไปยังมุมสวนด้านทิศเหนือที่มีต้นไม้ใหญ่หนาแน่น   มีบ้านไม้สองชั้นสไตล์อังกฤษสีขาวน่ารักซ่อนอยู่ริมสระน้ำ  มองจากบ้านหลังใหญ่แทบไม่เห็นเนื่องจากต้นไม้ใหญ่เก่าแก่แผ่ร่มใบบดบัง   ด้านหน้าบ้านเป็นชานไม้กว้างปูล้ำเข้าไปในสระน้ำที่ขุดขึ้นขนาดใหญ่กินพื้นที่เกือบไร่  ซึ่งเขามักจะออกมานั่งหย่อนเท้าลงน้ำยามเหงา   

พีทเดินเข้าไปภายในห้องนั่งเล่นผ่านแกรนด์เปียโนสีขาวหลังใหญ่ที่ไม่มีใครแตะมานานเนื่องจากสายเปียโนขาดไปเส้นหนึ่งจากความเก่าแก่ของมัน   พอดีกับที่ช่างซ่อมเปียโนมือหนึ่งต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจากปัญหาด้านสุขภาพจึงต้องปล่อยให้ตั้งทิ้งไว้อย่างนั้น   

บ้านหลังนี้สร้างให้แม่ของเขาใช้เป็นที่พักผ่อนเพื่อรักษาอาการป่วยจากโรคประจำตัว   พ่อจึงนำแกรนด์เปียโนหลังโปรดของแม่มาตั้งไว้เพื่อให้แม่ได้เล่นยามว่าง   แต่แม่ไม่ได้อยู่ชื่นชมบ้านหลังนี้เลยด้วยซ้ำเพราะต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล  และเสียชีวิตในเวลาต่อมาเมื่อเขาอายุเพียงแค่สามขวบเท่านั้น

เกือบตีสองแล้วแต่พีทยังนอนไม่หลับ  เฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในร้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา   

“มันคืออะไรกันนะ”  เขารำพึงกับตัวเอง 

คืนนี้เขาร้องเพลงตามปกติ  แต่ขณะที่อยู่บนเวทีนั้นกลับรู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา  มันไม่เหมือนสายตาของนักเที่ยวที่มองเขาร้องเพลง มันทำให้เขารู้สึกอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก  เหมือนถูกดึงดูดให้หันไปมอง  แต่แสงไฟที่ส่องตรงมาที่เวทีทำให้เขามองเห็นไม่ชัดเจน   

ความรู้สึกว่าถูกจับตามองยังคงติดตามเขามาถึงที่บ้านเลยทีเดียว       
 
หากพีทลุกออกไปยืนที่ริมหน้าต่าง  เขาก็จะได้เห็นร่างของใครคนหนึ่งยืนมองตรงมาที่ห้องของเขา  ร่างนั้นยืนอยู่นานทีเดียวก่อนจะเดินกลับไปตึกใหญ่อย่างเงียบกริบ

---------------------------------------







หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอนแรก 8/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 08-07-2014 22:19:25
2. พี่ชาย


“คุณชายครับ  คุณท่านให้ผมมาเรียนว่าเย็นนี้ให้กลับมาทานข้าวที่บ้านใหญ่ครับ  คุณท่านมีเรื่องจะคุยกับคุณชายครับ”

พ่อบ้านเก่าแก่ของตระกูลโทรศัพท์มาบอกจากบ้านใหญ่  ไม่มีใครกล้าเข้ามาในบ้านนี้หากเขาไม่อนุญาต  มีเพียงแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดและดูแลเรื่องอาหาร  แต่ก็มาเป็นเวลาเท่านั้น  นอกจากนั้นใครก็ห้ามมายุ่มย่ามในบ้านของเขา

ลุงฉีเป็นคนเดียวที่เขาคุยด้วยบ่อยที่สุดในบ้านนี้  ปกติเขาเป็นคนร่าเริง  ยิ้มแย้มแจ่มใส   แต่หลังจากวันนั้นที่ใครบางคนจากไป  เขาก็เปลี่ยนเป็นคนเงียบขรึม  เก็บตัว  มีเพียงเจ้าแรมโบ้และดนตรีเท่านั้นที่เป็นเพื่อนช่วยผ่อนคลายความเหงา   เขาโชคดีที่ยังมีเพื่อนอยู่บ้าง   ทั้งกลุ่มเพื่อนที่ชอบเต้นเหมือนกันและเพื่อนที่ตั้งวงดนตรีร่วมกัน   ช่วยให้เขาไม่กลายเป็นคนเก็บกดเมื่อโตขึ้น  ทุกวันนี้เขายังมีความสุขได้เพราะดนตรี

“ขอบคุณครับลุงฉี”  คนพูดยิ้มไปกับโทรศัพท์   

ถึงแม้จะตอบลุงฉีไปแบบนั้นแต่พีทก็ไม่ยอมกลับบ้าน  หลังเรียนเสร็จเขาอยู่ซ้อมดนตรีจนได้เวลาไปร้องเพลงที่ร้าน  เขาจะกลับไปทำไมให้โดนห้ามอีก  สู้หลบหน้าไปเลยดีกว่า  พ่อจะได้ไม่มีโอกาสสั่งให้เขาเลิกร้องเพลง 

หลังจากที่คนของพ่อรายงานว่าพีทแอบไปเป็นนักร้องในผับ พ่อก็สั่งห้ามเขาทันที   ด้วยเหตุผลทางความเหมาะสมของทายาทผู้สืบทอดธุรกิจและเหตุผลด้านความปลอดภัย 



“พีทเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลนะ จะไปร้องเพลงในผับให้ได้อะไรขึ้นมา ถ้าว่างนักก็มาช่วยงานพ่อสิพีท” 

“งานของพ่อผมไม่สนหรอก พ่อก็ยกให้คนอื่นไปสิ ผมไม่อยากได้” พีทเน้นเสียงที่คำว่า ‘คนอื่น’

“พีทอย่าพูดแบบนั้น  ส่วนของพ่อก็ต้องเป็นของพีทในอนาคต แล้วอีกอย่างผับนั่นก็อยู่ในโซนแออัด ใครบ้างไม่รู้  ถ้าเผื่อมันรู้ว่าพีทเป็นใคร  มันอันตรายนะลูก” 

การที่เกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยล้นฟ้าขนาดนี้ก็เป็นสาเหตุให้เขาตกอยู่ในอันตรายได้เหมือนกัน   พีทเคยเกือบถูกลักพาตัวหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ยังแบเบาะ   เขาจึงมีผู้ติดตามเพื่อรักษาความปลอดภัยตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ 

แต่พีทไม่ฟัง  ถ้าเขาไม่ยอมแล้วใครจะห้ามได้แม้แต่พ่อก็เถอะ  เขามีวิธีต่อต้านชนิดที่พ่อก็ยังต้องยอมแพ้

พีทมาร้องเพลงที่นี่เพราะคำขอร้องของเกรซ  ที่วงประจำของร้านถูกซื้อตัวไปจากผับคู่แข่ง  ตอนแรกเขาร้องเพลงเพราะความชอบ เป็นงานอดิเรกเท่านั้น ไม่เคยคิดว่าเสียงของเขาจะไพเราะขนาดเป็นนักร้องกับใครได้ แต่เกรซไม่คิดแบบนั้นหลังจากที่เธอมีโอกาสแวะมาฟังเขาซ้อมดนตรี

“ชั้นมีเพื่อนเก่งขนาดนี้ทำไมชั้นไม่เคยรู้เลย พีท นายต้องช่วยชั้นนะ ไม่งั้นชั้นจะฟ้องพ่อนาย ถ้านักธุรกิจใหญ่อันดับหนึ่งของเอเชียได้รู้ว่าลูกชายสุดที่รักเป็นเด็กฮิปคงจะภูมิใจน่าดูนะพีท”   

‘นี่คือคำขอร้องหรือคำขู่กันแน่?  มากไปแล้วแม่สาวขาแดนซ์’ 

“น้อย ๆ หน่อย  ยัยคุณหนูหมื่นล้าน  วันนี้ไม่ไปเล่นเพลงคลาสสิกให้ว่าที่คู่หมั้นเธอฟังเหรอ  กลับบ้านไปเล่นไวโอลินเลยไป  กิ้ว กิ้ว”  พีทเอาเรื่องเจ็บปวดของเกรซมาแซวคืนบ้าง พลางทำหน้าทำตาล้อเลียน

หลังจากที่พวกเขาช่วยกันล่มแผนดองสองตระกูลได้สำเร็จ  เกรซยังถูกครอบครัวสรรหาผู้ชายที่เหมาะสมมาให้เลือกอีกไม่ขาดสาย

“หนอย นายทึ่มนั่นน่ะเหรอ โอ๊ย อย่าให้เซดเลย  วัน ๆ คุยแต่เพลงคลาสสิก  คุณหนูครับคราวหน้าเราไปดูเทศกาลดนตรีที่เวียนนากันนะครับ  มีโน่น  นี่นั่น  บลา บลา บลา  โอ๊ย ชั้นอยากตะโกนใส่หน้าตาทึ่มนั่นดัง ๆ ว่าชั้นชอบฮิปฮอป ชั้นชอบบีทบ็อกซ์  ชั้นชอบเต้น”

เสียงบ่นยืดยาวของเกรซทำให้พีทยิ้มขำ พวกเขามักจะแซวกันแบบนี้เสมอ จะมีใครเข้าใจเขาได้ดีเหมือนคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน   





ถ้าคนคนนั้นยังอยู่  เขาคงจะเป็นคนที่เข้าใจพีทมากที่สุด   

‘บ้าที่สุด  ไปคิดถึงทำไม’   พีทสลัดความคิดนั้นออกไป  จู่ ๆ ความคิดถึงที่ถูกเก็บซ่อนไว้ลึกสุดในใจก็ย้อนกลับมา  ดูเหมือนมันจะเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่เมื่อคืน

“เฮ้ พีท  ยืนเหม่อทำไม  พร้อมรึยัง  วงเราจะขึ้นแล้วนะ”  พี่ร็อกกี้  มือกีตาร์ของวงร้องบอก  เรียกสติพีทให้กลับมา




มาอีกแล้วความรู้สึกถูกจับตามองเหมือนเมื่อวาน  พีทพยายามที่จะไม่สนใจความรู้สึกที่รบกวนเขามาตลอดคืนนี้ตั้งแต่เขาเริ่มขึ้นเวทีเลยทีเดียว   

‘อีกนิดเดียว  เพลงสุดท้ายแล้ว  เขาจะได้ลงไปดูสักทีว่าใคร...’

“สำหรับเพลงสุดท้ายนี้  ขอมอบให้กับทุกคนที่กำลังคิดถึงใครบางคนอยู่นะครับ”

เสียงกรี๊ดจากผู้คนเบื้องหน้าดังตอบรับทันที  เสียงร้องของเขากล่อมผู้คนให้คล้อยไปกับเพลงเหงา ๆ มันเป็นเพราะอารมณ์ความคิดถึงของเขาเองรึเปล่านะที่ส่งความคิดถึงไปกับเพลงนี้  ทำให้คนฟังถึงกับนิ่งเงียบเหมือนถูกสะกด   

เสียงปรบมือและเสียงร้องเฮดังขึ้นทันทีที่เสียงร้องของเขาสิ้นสุดลง     

“พีท  เพลงสุดท้ายนี่ร้องดีจริง ๆ  ชั้นเกือบร้องไห้แน่ะ  นายส่งอารมณ์ได้ดีมาก  คิดถึงใครรึเปล่าน๊า” แม่สาวบีทบ๊อกซ์เจ้าของร้านเข้ามาถามพร้อมกับรอยยิ้ม พลางทำตาเล็กตาน้อยแบบจับผิด   

ถ้าจะพูดกันตามจริงมีไม่กี่คนที่กล้าแซวเขาแบบนี้  ถึงแม้จะไม่มีใครรู้สถานะที่แท้จริงของเขา  แต่เหมือนคนอื่นเหล่านั้นสัมผัสได้ถึงบุคลิกบางอย่างจึงไม่กล้าเล่นหัวกับเขามากนัก

“คิดถึงบ้าอะไร  ก็ร้องไปตามอารมณ์เพลง  ผมเป็นมืออาชีพนะคร้าบคุณนาย” 

พีทลากเสียงยานคางพร้อมกับยิ้มน่ารักให้เพื่อนสาว  ถ้าสนิทกันแล้วถึงจะได้รู้ว่าความจริงพีทเป็นคนขี้เล่น  ไม่ได้ขี้หงุดหงิดเป็นคุณชายเจ้าอารมณ์

“ย่ะ ชั้นบอกกี่ครั้งแล้วว่าชั้นไม่ใช่คุณนายนะยะ  แม้ชั้นจะสวยและรวยมากก็เหอะ  ชั้นเป็นคุณหนูผู้เพียบพร้อมตะหาก”

“ฮ่า ๆ  ให้มันจริงเหอะ  เนี่ยนะสภาพคุณหนูของเธอ”

เกรซหันมาค้อนให้เล็กน้อยแต่ใบหน้าอมยิ้ม  เพราะตอนนี้เธอใส่เสื้อยืดตัวใหญ่  กางเกงรัดรูปลายเสือดาว  สวมหมวกลายเจ็บเฉียงไปด้านหนึ่งและยังใส่กำไลไว้จนเต็มแขน  เปรี้ยวซ่าสมกับคำว่า ‘คุณหนูผู้เพียบพร้อม’ ทีเดียว

“เอาล่ะ ลงไปจอยกับแขกหน่อยสิ  สาว ๆ พวกนั้นเรียกร้องแทบจะบ้ากันอยู่แล้ว  มีแต่คนอยากคุยกับนายนะ”

“เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าใคร” 

พีทพึมพำกับตัวเองโดยที่เกรซไม่ทันได้ยินเพราะถูกเรียกจากเด็กในร้านให้ช่วยไปดูเรื่องพนักงานใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามา

“พีท เราไปก่อนนะ  วันนี้ผู้จัดการหยุดเลยต้องดูแลเอง”  เกรซว่าแล้วก็เดินจากไปอย่างเร่งรีบ

---------------------------------




‘ไม่ใช่’  หนุ่มนักร้องรำพึงกับตัวเอง 

หลังจากเดินไปตามโต๊ะ  ทักทายผู้คนรอบกาย  แม้คืนนี้จะเป็นคืนวันจันทร์แต่ผู้คนก็ยังเต็มร้าน   เขาเดินทักทายลูกค้าแต่ละโต๊ะไปเรื่อย ๆ  พยายามสบตาแขกแต่ละคนเพราะอยากรู้ว่าใครที่มองเขา...ตลอดเวลา

ขณะที่เดินไปตามโต๊ะ หนุ่มน้อยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเดินตรงไปที่มุมสงบมุมหนึ่งของร้าน  เพราะเขาถูกทักทายจากบรรดาแขกที่เข้ามารายล้อม ไม่รู้สึกว่าร่างกายเหมือนถูกดึงดูดอย่างช้า ๆ  จนกระทั่ง....

“โอ๊ย!” 

คนในมุมมืดที่พีทไม่ทันสังเกตเห็นมาก่อนเพราะมัวแต่เดินหันซ้ายหันขวาตามเสียงเรียกเดินเข้ามาชนเขา  แรงปะทะทำให้เขาเสียหลัก  ถ้าไม่ถูกคว้าแขนไว้ก่อน

“ขอโทษครับ”

เสียงนุ่มนั้นกระแทกเข้าโสตประสาทของเขาทันที  ทำไมเสียงนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักแห่ง  ไวเท่าความคิด  พีทหันไปมองคนที่ชนเขาทันทีแล้วอึ้งไปนาน   เสียงที่ว่าคุ้นยังไม่เท่ากับใบหน้าที่เขาเห็น 

เหมือนมาก  เหมือนใครคนหนึ่งที่จากกันไปนานแสนนานตั้งแต่เขายังเด็ก   

ตาแบบนี้  จมูกแบบนี้   ยิ้มแบบนี้.....ไม่จริงใช่ไหม

“พี่  พี่ฮั่น?”  คำเรียกหลุดจากปากพีทอย่างแผ่วเบา  เขายังตกใจอยู่  คนที่ยืนอยู่หน้าตาคล้ายมาก

‘ใช่รึเปล่า?’   พีทเห็นใบหน้าของคนในความทรงจำลอยมาซ้อนทับภาพคนที่เห็นข้างหน้า ทำไมเขารู้สึกคุ้นเคยกับคนคนนี้อย่างประหลาด

“คุณว่าอะไรนะครับ  ผมขอโทษนะครับ  คุณเจ็บตรงไหนรึเปล่า”  คนชนไม่ได้มีทีท่าว่าจำเขาได้

“เอ่อ  มะ  ไม่เป็นไรครับ” 

‘ไม่ใช่หรอก  คงไม่ใช่’   พีทสะบัดหัวอย่างมึนงง 

ความรู้สึกผิดหวังที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร  นี่หมายความว่าเขายังอยากเจอคนคนนั้นอีกเหรอ   

ไม่.....เขาไม่ได้อยากเจอใครทั้งนั้น

“เอ่อ  ปล่อยผมได้แล้วล่ะ  ผมไม่เป็นอะไร”  เสียงของเขาแห้งผากเมื่อรับรู้ว่าไม่ใช่คนที่เขาคิด  มือที่จับรอบแขนเขาไว้ค่อย ๆ ปล่อยอย่างอ้อยอิ่ง 

“เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไรนะครับ”   คนหน้าคล้ายถามพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ

ดวงตาของพีทยังจับอยู่ที่ใบหน้าของคนแปลกหน้า

‘เวลายิ้มก็เหมือน’ 

“เอ่อ  คือว่าคุณเหมือนพะ..พี่  เอ่อ  คนที่ผมเคยรู้จักน่ะ  เหมือนมากเลย”     

ดูเหมือนคนที่เพิ่งชนเขามีสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย  แต่ก็กลับมายิ้มเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว

“แต่คุณคงไม่ใช่”  พีทพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดเสร็จพีทเดินกลับทันที  แรงอารมณ์บางอย่างพุ่งขึ้น  ทั้งตกใจที่เจอคนที่หน้าคล้ายมากและกลับเสียใจที่ไม่ใช่คนคนนั้น   แค่คนหน้าคล้ายเท่านั้นเอง 

‘แล้วทำไมเราต้องรู้สึกแย่แบบนี้ด้วย  บ้าที่สุด’

ความทรงจำครั้งยังเด็กหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว  เรื่องที่เขาพยายามลืมมันไปแต่ไม่เคยลืมได้เลย   และตอนนี้มันกำลังย้อนกลับมาอีกครั้ง



“พี่ฮ่านนนน พี่ฮั่น  พี่ฮั่น อยู่ที่ไหนมาหาน้องพีทหน่อย”

เด็กชายพีทวัยห้าขวบร้องเรียกพร้อมกับเบะปากเริ่มจะร้องไห้  ร่างอ้วนกลมนั้นพยายามเดินตามหาเจ้าของชื่อ  แต่พี่ฮั่นยังไม่โผล่ออกมาจากมุมใดในสวน

“แง๊ พี่ฮั่น ๆ อยู่ไหน ฮือ ๆ”  เด็กน้อยเริ่มใจเสียจึงร้องไห้เสียงดังมากขึ้นทุกที  เมื่อกี้พวกเขาเล่นซ่อนหากันแต่พีทตามหาพี่ฮั่นเท่าไรก็หาไม่เจอ
 
“พีท พี่อยู่นี่ โถ ๆ พี่มาแล้ว ไม่ร้องนะ” เด็กชายอายุราวเก้าขวบวิ่งพรวดพราดออกมาจากพุ่มไม้ด้านหนึ่งด้วยความตกใจเสียงร้องของน้องชาย

“โอ๋ ๆ อย่าร้องน๊า พี่แค่ไปเอาขนมมา นี่ไง ขนมอร่อย ๆ ไง น้องพี่ฮั่นอย่าขี้แยนะ”  พี่ชายพยายามปลอบน้อง

“ฮือ ๆ พีท พีท นึกว่าพี่หนีไปแล้ว”  พีทยังสะอื้นอยู่แต่เห็นได้ชัดว่าพยายามหยุดร้องไห้  เพราะเขาเป็นน้องพี่ฮั่น  ต้องไม่ขี้แย

“โธ่เอ๋ย น้องพีท พี่ไม่หนีไปไหนหรอกครับ พี่จะอยู่กับพีทแบบนี้ไปทุกวันเลย”

“ห้ามหนีไปไหนนะ” พีทย้ำอีกครั้ง

“สัญญา”  นิ้วก้อยกลม ๆ สั้น ๆ ยื่นออกมา

“พี่สัญญา”  คนพี่พูดพร้อมกับเอานิ้วก้อยมาเกี่ยวกันไว้เพื่อให้สัญญา  พร้อมกับยิ้มจนตายิบหยี





พี่ฮั่นโกหก   พี่ฮั่นไม่รักษาสัญญา





หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 1-3 8/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 08-07-2014 22:31:00
3. ถูกทำร้าย


หลังจากพาตัวเองออกมาจากร้านได้สำเร็จ   พีทเดินไปตามทางเดินระหว่างตึกร้างไม่ไกลจากร้านเท่าไรนัก  วันนี้เขาขับลัมโบร์กินี่ Reventon สีดำสุดเฉี่ยวมาทำงาน   เพราะรถโตโยต้าคันเก่งที่ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเข้าอู่  ไม่มีใครนอกจากเกรซที่รู้ว่าเขาเป็นใคร   ดังนั้นเขาจึงต้องแอบมาจอดรถให้ไกลหูไกลตาผู้คน   เสียงฝีเท้าของพีทหยุดลงกะทันหัน  เขาหยุดยืนนิ่งเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง   

‘มีคนตามมา!’   พีทกำมือแน่น  สูดลมหายใจลึกแล้วจึงหันกลับไปเผชิญหน้า

“รู้ตัวไวดีนี่  คุณชาย”  เสียงเหี้ยมเอ่ยทักทันที

หนุ่มน้อยกวาดตามองกลุ่มคนที่ยืนประจันหน้า   ประเมินสถานการณ์อยู่ในใจ   พวกมันมากันห้าคน   รูปร่างแต่ละคนสูงใหญ่  ถ้าพวกมันบุกเข้ามาพร้อมกันเขาคงแย่   

“อย่าขัดขืนจะดีกว่า  จะได้ไม่เจ็บตัว”  เสียงเดิมพูดขึ้นมาอีก  พร้อมกับยกปืนเล็งมาที่เขา

“พวกแกต้องการอะไร”   เขาเอ่ยถามเพื่อถ่วงเวลา   

‘พวกมันรู้ว่าเขาเป็นใคร  ลักพาตัวหรือ? เขาโตเกินกว่าจะลักพาตัวแล้วนะ’
  แม้ท่าทางภายนอกเขายังคงสงบนิ่งอยู่  แต่หัวสมองกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางเอาตัวรอด 

“ไม่ต้องถาม!  ยอมให้จับซะจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”  มันตะคอกกลับพร้อมกันนั้นพวกที่เหลือก็ปรี่เข้าหาเขาทันที

พีทไม่มีเวลาคิดต่อแล้ว   เขาตวัดเท้าเตะเข้าปลายคางคนที่ใกล้เขาที่สุดอย่างรวดเร็ว   คว้าคอเสื้อพวกมันอีกคนทุ่มลงพื้นในท่ายูโดที่ถนัดแล้วหมุนตัวฉีกออกจากวงล้อม   พวกมันที่เหลือพุ่งตัวใส่เขาทันที   พีทพยายามหลบหมัดและเท้าของพวกมันที่จู่โจมเข้ามาพร้อมกัน   เขาพยายามต่อสู้แต่พวกมันมีคนมากกว่า   

“พลั่ก!” เขาถูกฟาดที่หลังอย่างแรงจนทรุดตัวลง  เป็นโอกาสให้พวกมันรุมเขาทันที   พีทถูกชก  ทั้งหมัดทั้งเท้าที่ประเคนเข้าที่ลำตัวเขาจนทรุดลงกับพื้นคอนกรีต

“เฮ้ย  พวกมึงลากมันขึ้นมา”

“เมื่อกี้มึงเตะกูเหรอ”   สิ้นเสียง  ปลายไม้ก็กระแทกเข้าที่ท้องเขา  พีทจุกจนตัวงอ  เสียงเหี้ยมเอ่ยขึ้นไม่ชัดนักเนื่องจากคนพูดยังมีเลือดกบปากจากฝีเท้าของพีทเอง

“พลั่ก!”  ไม้ท่อนเดิมฟาดลงมาแถวขมับเขาอย่างไม่ปรานี   ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วศีรษะ  เลือดข้น ๆ ทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว  พีทมึนงง  ตาเริ่มพร่า  เขาพยายามประคองสติตัวเองไว้

“เฮ้ย  พวกมึงพอได้แล้ว  ลากมันไปขึ้นรถ”

“เฮ้ย!!” 

“พลั่ก  ตุบ ๆ”

“โอ๊ย...”   

จังหวะที่พวกมันกำลังจัดการกับเขาอยู่นั่นเอง   ทันใดนั้นก็เกิดเสียงต่อสู้ขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกมันเหมือนกำลังสู้กับใครอีกคนหนึ่ง นักเลงสองคนที่หิ้วปีกเขาอยู่ทิ้งเขาลงทันทีเพื่อไปช่วยพรรคพวกตัวเองที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ  พีททรุดลงบนพื้นช้า ๆ    ความเจ็บปวดที่ขมับทวีความรุนแรงมากขึ้น    ตาพร่าเลือนของเขาเห็นพวกนั้นล้มลงทีละคน   

“พีท!!”

ในความรางเลือนนั้น พีทได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อเขามาจากที่แสนไกล  ก่อนที่สติของเขาจะดับวูบลง

ร่างหนุ่มน้อยถูกประคองจากคนที่เข้ามาช่วยเขาไว้  ชายหนุ่มคนนั้นกำลังโทรศัพท์เพื่อสั่งการอะไรบางอย่างก่อนที่จะแบกร่างที่หมดสติขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว




“น้องพีท  น้องพีทเป็นยังไงบ้างลูก” 

เสียงอ่อนโยนของหญิงวัยกลางคนเรียกหลังจากที่เห็นพีทเริ่มขยับตัว   เขาลืมตาช้า ๆ  ปวดแปลบที่ขมับขึ้นทันทีที่รู้สึกตัว   เมื่อหันไปตามเสียงเรียก  คุณโรส  แม่เลี้ยงของเขาเองที่นั่งอยู่ใกล้   เขาคงอยู่ที่ห้องนอนของตนเองในบ้านใหญ่

“คุณคะ  น้องพีทรู้สึกตัวแล้ว”  คุณโรสเรียกพ่อของเขาทันที

“พีท  เป็นยังไงบ้าง  เจ็บตรงไหนบ้างลูก”  พ่อถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 

“พ่อเป็นห่วงลูกมาก รู้ไหม  พ่อบอกแล้วใช่ไหมไม่ให้ไปแถวนั้น  มันอันตรายแค่ไหนลูกรู้รึเปล่า  ถ้าพี่เขาไปช่วยไม่ทันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” 

“คุณคะ  อย่าเพิ่งว่าอะไรแกตอนนี้เลยค่ะ  น้องพีทปลอดภัยแล้ว”  คุณโรสห้ามพ่อเสียงดุ   พ่อของเขาเงียบเสียงไปทันทีที่ถูกภรรยาสุดที่รักห้าม

“ก็ได้คุณโรส  ให้พีทดีขึ้นก่อนแล้วค่อยคุยกัน  พีทนอนต่อเถอะ”  ท้ายประโยค  พ่อหันมาบอกพร้อมกับเอื้อมมือมาลูบหัวเขาเบา ๆ เหมือนตอนเขาเป็นเด็ก   พีทสัมผัสได้ถึงความรักของพ่อผ่านมืออบอุ่นนั้น  เขารู้ว่าพ่อเป็นห่วง  คุณโรสกับพ่ออยู่คุยกับเขาสักครู่จึงออกไปเพื่อให้เขาได้พักผ่อน

‘ใครกันที่ส่งคนมา  แล้วส่งมาเพื่ออะไร?’

พีทตั้งคำถามกับตัวเองพลางนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน  แต่ความเจ็บปวดที่พุ่งเข้ามาทำให้เขาต้องหยุดคิด ไม่นานเขาก็หลับไปอีกครั้ง




เขายืนอยู่ในสวน  กำลังร้องไห้และโวยวายไปด้วย 

“พี่ฮั่นโกหก  พี่ฮั่นไม่รักษาสัญญา  ทำไมต้องไปด้วย  ไหนบอกว่าจะอยู่ด้วยกัน  ฮือ ๆๆ” 

น้ำตาเขาไหลเปื้อนหน้าจนมอมแมม  พีทเสียใจมาก  เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียใจมากขนาดนี้  เพราะตอนที่แม่จากไปเขายังเล็กมากจึงไม่รู้เรื่องอะไรนัก  แต่ตอนนี้เขาโตแล้วและรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของการสูญเสียคนสำคัญ 

“ผมเกลียดพี่  ได้ยินไหมผมเกลียดพี่ฮั่นแล้ว”   พีทตะโกนไปยังสระน้ำกว้าง  เสียงของเขาเองที่สะท้อนกลับให้ได้ยินซ้ำไปซ้ำมาในหัว

มือที่กำลังเช็ดหน้าชะงักไปกับเสียงร้องครางแผ่วเบาจากร่างที่กระสับกระส่ายอยู่บนเตียง  เหงื่อผุดพรายท่วมตัว  พีทกำลังเพ้อจากไข้ขึ้นสูง  พร้อมกันนั้นความทรงจำอันเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจก็แทรกผ่านรอยร้าวออกมา  มันคอยตามหลอกหลอนเขาอยู่เสมอในเวลาที่เขาอ่อนแอ

“พี่...พี่ฮั่น...ไม่  อย่าไป  ฮือ  พี่  พี่ฮั่น  เกลียด”  น้ำตาหยดหนึ่งไหลจากหางตา  ดวงตาเคลื่อนไหวไปมาใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทเหมือนคนฝันร้าย

“พี่ขอโทษที่จากไป  แต่ตอนนี้พี่กลับมาแล้ว  พีทยกโทษให้พี่ได้ไหม” 

เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา  พร้อมกับใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน

พีทหันขวับไปอย่างรวดเร็ว พี่ชายของเขายืนอยู่  แม้ภาพที่เขาเห็นจะเลือนรางแต่เขามั่นใจว่าคือพี่ฮั่นจริง ๆ   

‘พี่ฮั่นกลับมาแล้ว’    พีทวิ่งเข้าไปหาพี่ชายของเขาทันที 

“พี่กลับมาแล้ว  พี่ไม่ไปไหนแล้ว”  เสียงพี่ฮั่นกระซิบอยู่ริมหู  มือใหญ่อบอุ่นลูบศีรษะเขาเหมือนต้องการปลอบประโลมใจ   สัมผัสที่คุ้นเคย 

พีทรู้สึกผ่อนคลายลงจากความอบอุ่นที่ได้รับ ร่างกายหยุดดิ้นรนจนสงบ  ลมหายใจสม่ำเสมอ   เขาจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง 




“คุณชายคะ  คุณท่านเชิญพบที่ห้องทำงานค่ะ”

“ขอบใจนะ เดี๋ยวผมไป”

สาวใช้รับคำแล้วเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นที่เขาพักผ่อนอยู่   ผ่านมาสองวันแล้วจากคืนที่เขาถูกทำร้ายและเกือบถูกลักพาตัว  เขาต้องอยู่พักรักษาตัวที่บ้านใหญ่โดยมีคุณโรสคอยดูแล  พ่อกับคุณโรสบินกลับจากอังกฤษทันทีที่ได้ทราบว่าเขาถูกทำร้าย  พีทยังไม่รู้ว่าพ่อจัดการอะไรไปบ้าง  บางทีพ่อคงจะเรียกเขาไปคุยเรื่องนี้

“อ้าวพีท  เข้ามานั่งนี่สิ”  พ่อลุกจากโต๊ะทำงานหรูหรา   เดินมานั่งที่ชุดรับแขกอีกด้านหนึ่งของห้องทำงาน  พีทเดินไปทรุดตัวนั่งข้างพ่อของเขา 

คริสมองมาที่ลูกชายของตนด้วยความห่วงใย   มองใบหน้าลูกชายที่คล้ายเขามาก  ทั้งใบหน้าเรียวยาว  ดวงตาสีน้ำตาล  จมูกโด่ง ริมฝีปากเล็กได้รูปเหมาะเจาะ  เวลายิ้มดวงตามักส่องประกายแวววาวทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนหวาน 

พีทจะเหมือนแม่เวลาเขายิ้ม 

“พ่อมีอะไรครับ” 

“เรื่องสำคัญมากลูก   ลูกหายดีแล้วใช่ไหม” 

“ดีแล้วครับ  แผลแห้งดีแล้ว”  พีทแตะแผลที่ถูกตีที่ขมับ   ผมเขาแหว่งเล็กน้อยจากการโกนเพื่อเย็บแผล

“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญนะพีท  สามวันก่อนพ่อให้ลุงฉีตามลูกมากินข้าวเพราะพ่อจะคุยเรื่องนี้กับลูกแต่ลูกก็ไม่มา   เรื่องมันเลยเกิดขึ้นก่อนที่พ่อจะเตือนลูกทัน”   

“พีท  พ่อกำลังจะเล่นการเมือง  อีกสามเดือนพ่อจะลงสมัครเป็นผู้ว่าการรัฐ” 

“อะไรนะพ่อ  พ่อจะเล่นการเมืองเหรอ  ทำไมล่ะครับ  แค่งานธุรกิจพ่อก็แทบไม่มีเวลาแล้ว”  พีทแย้งทันที   ที่ผ่านมาพ่อไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านเลย  แค่เดินทางไปมาเพื่อดูแลกิจการก็เหนื่อยแย่แล้ว   เวลาอยู่กันพร้อมหน้ายังไม่ค่อยจะมี

“พ่ออยากทำน่ะลูก   ลูกก็รู้ว่าตระกูลเราเล่นการเมืองมานานตั้งแต่รุ่นปู่ทวดแล้ว  พ่อก็อยากสานต่อ อย่าห้ามพ่อเลยลูก  ตอนนี้เรื่องธุรกิจพ่อกำลังหาคนช่วย  พีทยังไงล่ะ  ลูกเรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้วนี่”

“ไม่เอานะครับ  พีทยังไม่พร้อม  พีทยังอยากใช้ชีวิตวัยรุ่นของพีทอยู่  พีทยังไม่อยากทำงาน” 

ถ้าเป็นคุณหนูบ้านอื่นคงโวยบ้านแตกไปแล้วที่ถูกบังคับ  แต่พีทไม่ทำแบบนั้น  เขาแค่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม  พูดง่าย ๆ  ก็คือทำเสียงออดอ้อนนั่นแหละ  ไม่พูดเปล่าหนุ่มน้อยยังเอียงหัวไปซบไหล่พ่อของตนอย่างประจบ

“ไม่เอาน๊าคุณพ่อสุดหล่อของน้องพีท  พีทขอเวลาอีกสองสามปีนะครับ  ตอนนี้พีทอยากใช้ชีวิตให้สนุกก่อน  พ่อยังหนุ่มอยู่เลยแล้วก็เก่งมาก พ่อยังเป็นเจ้าพ่อวงการธุรกิจได้อีกนานเลย  น๊า พีทขอนะครับ”   

เจอลูกอ้อนแบบนี้พ่อไม่เคยใจแข็งได้สักที ทุกคนรู้ว่าพ่อรักและตามใจเขามากเพราะเขาขาดแม่ตั้งแต่เด็ก  เรื่องเดียวที่พ่อเคยขัดใจเขานั้นส่งผลร้ายแรงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด   กว่าพีทจะกลับมาเป็นลูกชายที่น่ารักเหมือนตอนนี้ก็ใช้เวลานานทีเดียว  จากนั้นมาพ่อก็เลยไม่อยากขัดใจเขาอีก

“ไม่ต้องมาช่วยเต็มตัวหรอกลูก     พ่อแค่อยากให้พีทเริ่มเรียนรู้งานไปก่อนจนกว่าพีทจะพร้อม  ทำให้พ่อได้ไหม”

“แต่ผมไม่ว่างนี่”  พีทยังต่อรอง

"นี่แหละพ่อถึงต้องห้ามลูกไปร้องเพลงที่นั่นอีก เอาเวลาว่างมาเรียนรู้งานธุรกิจของเราดีกว่า  อีกอย่างพ่อก็กำลังจะเล่นการเมือง  ตอนนี้พรรคฝ่ายตรงข้ามเริ่มระแคะระคายแล้ว  พ่อเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกนะ  เลิกร้องเพลงจะได้ไม่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงให้พวกมันมาลักพาตัวลูกเหมือนคืนนั้น  คนของพี่...เอ่อ   คนของพ่อสืบมาแล้วว่าพวกมันต้องการตัวลูกไปเพื่อขู่ไม่ให้พ่อเล่นการเมือง  พ่อขอร้องนะลูก   เลิกร้องเพลงเถอะ”

ได้ไงล่ะ  การร้องเพลงคือความสุขของเขา  เขาชอบเวลาที่ยืนอยู่บนเวที ได้เห็นใบหน้าผู้คนชื่นชมไปกับเสียงเพลงที่เขาเปล่งออกมา

“พีททำไม่ได้หรอกพ่อ  พีทชอบร้องเพลง”  พีทตอบตามตรง

“พีท!”  พ่อเริ่มเสียงเข้มขึ้นมาบ้าง  ความจริงก็ไม่เกินการคาดเดาของคริสหรอก  แต่ก็อดโมโหไม่ได้เพราะความเป็นห่วงลูกชาย

"พ่อเข้าใจว่าพีทชอบร้องเพลง  แต่ตอนนี้มันไม่ปลอดภัยนะลูก  พ่อไม่อยากให้เหตุการณ์แบบวันนั้นเกิดขึ้นอีก   คราวนี้พีทได้รับบาดเจ็บขนาดนี้    พ่อไม่อยากคิดว่ามันอาจจะรุนแรงมากกว่านี้  ถ้าพ่อลงรับสมัครในสามเดือนหน้า”

“ปกติพ่อก็ส่งบอดี้การ์ดตามผมอยู่แล้วนี่ฮะ   ทำไมคราวนี้เขาถึงปล่อยให้ผมถูกทำร้ายได้”   พีทฉุกคิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น  บอดี้การ์ดของเขาหายไปหมด  แม้จะไม่แสดงตัวชัดเจนแต่พีทก็รู้เสมอว่ามีพวกเขาคอยดูแลความปลอดภัยตลอดเวลา

“พวกเขาถูกทำร้ายเหมือนกันลูก”  คริสไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดว่า บอดี้การ์ดที่ดูแลความปลอดภัยให้พีททุกคนถูกเก็บในคืนนั้นด้วย  แม้แต่คนของเขาที่ปลอมตัวเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านก็ไม่รอด  พวกมันสืบรู้ทุกอย่าง สิ่งนี้ทำให้เขาเป็นห่วงลูกชายมาก  นี่เป็นความกังวลเดียวของเขา  พีทไม่รู้หรอกว่ากำลังเผชิญอันตรายร้ายแรงขนาดไหน

“พ่อก็ส่งมาใหม่สิครับ  ส่งมาเยอะ ๆ ก็ได้  คราวนี้ผมไม่บ่นหรอก  แต่พีทขอไปร้องเพลงเหมือนเดิมนะ”  ความเป็นห่วงของพ่อเขารับรู้ได้  ที่ผ่านมาเขาบ่นทุกครั้งที่มีคนคอยติดตามอย่างน้อยสองสามคนเสมอ  ถ้าพ่อห่วงขนาดนี้  เขาจะยอมให้พวกบอดี้การ์ดตามเขาเป็นพรวนเลยก็ได้  แม้จะเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้างก็ตาม

“คราวนี้พ่อคงตามใจลูกไม่ได้  พีท นี่คือคำสั่ง  พ่อขอให้ลูกเลิกร้องเพลงที่นั่นซะ  แล้วเริ่มเรียนรู้งานบริหาร  พ่อจะส่งคนมาสอนงานให้”  อยู่ ๆ พ่อก็ออกคำสั่งกับเขา

“ไม่มีทาง ผมไม่ยอมแน่”  พีทหงุดหงิดทันที  ทำไมพ่อต้องออกคำสั่งกับเขาด้วย  เขาบอกไปแล้วว่าเขาชอบร้องเพลงและเขาก็ยอมให้พ่อจัดคนอารักขาเพิ่มแล้ว  ไม่เห็นมีอะไรน่าห่วงอีก  ทำไมยังห้ามเขา  พ่ออยากให้เขาอาละวาดอีกหรือไง

“พีท  พ่อเป็นห่วงพีทนะ”  เสียงคริสอ่อนลงเล็กน้อย 

“พ่อ พีทขอยืนยันครั้งสุดท้าย พีทไม่เลิกร้องเพลงแน่” พีทเลิกยิ้มแล้ว ใบหน้าเริ่มแสดงความหงุดหงิด 

“เฮ้อ  ถ้างั้นเรามาพบกันครึ่งทางดีกว่า”  พ่อยังต่อรอง   

“พ่อจะยอมให้ลูกไปร้องเพลงที่ร้านนั่น แลกกับการที่ลูกต้องมาเรียนรู้งานธุรกิจของพ่อ   ตกลงไหม”

“ตกลงครับ”  พีทรีบตกลงทันที 

ก็แค่ไปศึกษางาน  ไม่ได้ทำเต็มตัวสักหน่อย  ตอนนี้เขาก็เรียนด้านธุรกิจอยู่แล้ว  ทั้งการเงิน  การธนาคารและการบริหาร  สำหรับเขาแล้วเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องง่ายมาก  พ่อลืมไปแล้วหรือว่าเขาเป็นนักศึกษาคะแนนสูงสุดของมหาวิทยาลัยทางด้านธุรกิจอันดับหนึ่งของประเทศ  และเทอมหน้าเขาก็ต้องไปฝึกงานอยู่แล้ว  ก็ถือเป็นการเรียนรู้งานของพ่อไปด้วย

“ถ้างั้นมาเรื่องต่อไป” 

“อะไรนะครับ  พ่อยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอครับ”

“เมื่อกี้พีทยอมให้มีบอดี้การ์ดแล้วใช่ไหม”  คราวนี้พ่อยิ้มกว้าง  ทำให้ใบหน้าเริ่มมีอายุนั้นดูอ่อนโยนลง

“พ่อหาให้แล้ว ไม่เยอะหรอก  แค่คนเดียวเท่านั้นแหละ เขาฝีมือดีมาก  แต่ไม่ได้มาเป็นบอดี้การ์ดให้อย่างเดียวนะ พี่เขาจะมาช่วยสอนงานโรงแรมให้ลูกด้วย  พ่อให้เขามาเป็นผู้ดูแลลูกแทนพ่อตอนที่พ่อไม่อยู่”

“อะไรกันพ่อ  ไม่มีบอดี้การ์ดแต่มีผู้ดูแลงั้นเหรอ  ผมโตแล้ว ไม่ใช่เด็กแล้วนะจะได้มีพี่เลี้ยง ไม่เอาหรอก แค่บอดี้การ์ดคอยตามเหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้ว  คราวนี้จะสิบยี่สิบคนก็ตามใจพ่อแล้วกัน  แต่ผมไม่เอาพี่เลี้ยงหรอก  ผมดูแลตัวเองได้”  เรื่องอะไรกันเนี่ย พ่อคิดอะไรอยู่  พ่อก็รู้ว่าเขาไม่ชอบให้ใครมาเดินตามต้อย ๆ คอยประกบตลอดเวลา  เขาชอบอยู่คนเดียว

“ก็พ่อยอมให้พีทไปร้องเพลงแล้วนี่  พีทก็ต้องยอมมาฝึกงานของพ่อแล้วก็ยอมให้มีบอดี้การ์ดด้วย  พ่อรวมทั้งสองอย่างไว้ในคนคนเดียวเลย  พีทตกลงกับพ่อแล้วนะ อย่าคืนคำ”

พีทอึกอัก  ทำไมพ่อมาไม้นี้  แล้วเขายังเป็นคนเสนอให้พ่อส่งบอดี้การ์ดมาอีกด้วย

“ก๊อก ๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นราวกับนัดเวลาไว้   พ่อเขาเอ่ยอนุญาตให้เข้ามาได้

“พี่เขาคงมาแล้วล่ะ”

คุณโรส   เดินนำเข้ามาพลางเอ่ยทักคนทั้งคู่ในห้องด้วยน้ำเสียงแจ่มใสยิ่งนัก  “เป็นไงกันบ้างคะ  ตกลงกันได้แล้วใช่ไหมพ่อลูก”  เธอเอ่ยแล้วเบี่ยงตัวให้เห็นร่างสูงที่เดินตามมาข้างหลัง




“คุณ!!” 


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 1-3 8/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-07-2014 22:44:28
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 1-3 8/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 09-07-2014 19:35:30
4.ปะทะ


“สวัสดีครับลุงคริส  สวัสดีครับคุณชาย” 

เสียงนุ่มเอ่ยทักมาจากร่างสูงกำยำในชุดสูทสีดำพอดีตัว ช่วงขายาวเดินเข้ามาหยุดยืนไม่ไกลนัก  ใบหน้าคม  คิ้วเข้มพาดขวางหน้าผากกว้าง  ดวงตาชั้นเดียว  จมูกโด่งเป็นสัน  ริมฝีปากบางยิ้มมุมปากเล็กน้อยส่งให้ใบหน้านั้นดูหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม

“มีอะไรหรือพีท”  เสียงพ่อถามพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย  แล้วลอบสบตากับคุณโรสซึ่งกำลังแอบอมยิ้มอยู่เช่นกัน

“ปะ เปล่าครับพ่อ”  พีทงงไปหมดแล้ว  คนที่เดินตามหลังคุณโรสเข้ามาคือคนที่เขาเจอที่ผับในคืนนั้น  ทำไมเขามาอยู่ที่นี่  คน ๆ นี้คือคนที่พ่อจะให้มาดูแลเขาหรือ 

‘เอ๊ะ หรือว่า...’   จากนั้นเหมือนมีแสงสว่างวาบในหัว    ความเข้าใจก็หลั่งไหลอย่างรวดเร็วราวสายน้ำ   

“นี่พ่อหลอกผมใช่ไหม  พ่อตั้งใจจะให้นายนี่มาเป็นบอดี้การ์ดอยู่แล้ว  พ่อส่งนายนี่มาตั้งหลายวัน  แล้วพ่อยังหลอกให้ผมตกลงไปช่วยงานพ่อด้วย  พ่อวางแผนไว้หมดแล้วใช่ไหม”

“พีท  พูดอะไรน่ะลูก  พ่อตั้งใจจะบอกลูกตั้งหลายวันแล้ว   แต่ลูกไม่ยอมมาคุยกับพ่อเอง”

‘ไอ้หมอนี่สินะที่จับตาดูเขาอยู่เมื่อหลายวันก่อน    ทำเอาเขากังวลจนนอนไม่หลับ หนอย  แอบไปนั่งในร้านทำตัวเป็นนักท่องราตรี  แถมที่เดินชนกันก็คงตั้งใจล่ะสิ  หมอนี่รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร  ยังแกล้งทำเป็นคนแปลกหน้า’   ความคิดที่ว่าถูกพ่อรวมหัวกับหมอนั่นหลอกเขาทำให้เขาโมโห
 
“พ่ออย่าบอกนะว่าพวกนักเลงนั่นก็คนของพ่อด้วย” 

“เปล่านะพีท   พวกนั้นมันเป็นพวกศัตรูของพ่อจริง ๆ  ใครจะส่งคนไปทำร้ายลูกตัวเองกันล่ะ  คืนนั้นพี่เขาแค่ไปสังเกตการณ์แล้วโชคดีที่พี่เขาช่วยเราไว้ได้ทัน  พีทควรจะทำความรู้จักพี่เขาไว้แล้วก็ขอบคุณเขาด้วย”

“ผมไม่ยอมรับคนของพ่อหรอก  แล้วข้อตกลงอะไรของพ่อ  ผมขอยกเลิก!” 

“ลูกผู้ชายพูดแล้วคืนคำได้ไง”  อยู่ ๆ นายนั่นก็พูดขึ้นลอย ๆ  หน้าตายิ้มแย้มตอนนี้ดูกวนประสาทพีทมาก

“อย่ามายุ่ง!”   พีทตอกกลับ  ‘ไอ้หมอนี่กล้าดียังไง’ 

“พีท  อย่าทำตัวแบบนี้สิ  เสียมารยาทนะ  ขอโทษพี่เขาซะ”

พีทเบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ  พ่อจะให้เขาขอโทษเหรอ  หมอนี่เป็นใครกันทำไมเขาจะต้องขอโทษ  แล้วหน้าตาท่าทางกวนอวัยวะเบื้องล่างแบบนี้นะ  ใครกันแน่ที่ต้องขอโทษเขา

ก่อนที่จะเกิดอะไรต่อไปเสียงโทรศัพท์มือถือของคุณคริสก็ดังขึ้น  เพียงแค่เหลือบดูสายที่โทรเข้ามา  คุณคริสก็รีบลุกขึ้นทันที

“พีท  พ่อมีประชุมที่อังกฤษพรุ่งนี้เช้าต้องรีบไปขึ้นเครื่อง ไปเถอะคุณโรส”

“พ่อ ได้ไงอ่ะ พีทไม่ยอมนะ”  พีทโอดครวญ

“พ่อไม่ยอมรับคำยกเลิกของพีทหรอกนะ พีทตกลงกับพ่อแล้ว  ลูกต้องเชื่อฟังพี่เขานะ  พ่อให้สิทธิ์พี่เขาในการตัดสินใจทุกเรื่องแทนพ่อ  อย่าดื้อกับพี่เขาล่ะ พ่อไปนะลูก”  คุณคริสว่าแล้วก็เดินตรงไปที่ประตูทันที

“อะไรกันพ่อ  พ่อทำแบบนี้ได้ยังไง  นายนี่เป็นใครกันทำไมพ่อต้องให้มาดูแลผม  แล้วเรื่องอะไรจะต้องมาตัดสินใจแทนพ่อด้วย  เรื่องของผม  ผมตัดสินใจเองได้  พ่ออธิบายมาก่อน” 

พีทไม่เข้าใจ  ทำไมพ่อจะต้องฝากเขาไว้กับคนแปลกหน้า เขาโตแล้วดูแลตัวเองได้  และที่สำคัญนายนั่นเป็นใคร?  พีทพยายามจะคุยกับพ่อให้รู้เรื่อง  แต่พ่อรีบเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับรู้ว่าขืนอยู่นานกว่านี้คงต้องตอบคำถามกันอีกยืดยาว

“ไปก่อนนะจ๊ะน้องพีท”  คุณโรสเข้ามากอดเขาไว้ทำให้เขาไม่สามารถออกฤทธิ์อะไรได้  จากนั้นก็เข้าไปกอดลานายนั่นด้วย  พีทตาโตทีเดียวที่เห็นความสนิทสนมระหว่างคุณโรสกับนายนั่น   ทั้งสองคนพูดอะไรกันเล็กน้อยก่อนที่คุณโรสจะออกไป
เกิดความเงียบขึ้นทันทีที่ประตูห้องทำงานปิดลง 

‘เรื่องนี้เขาไม่ยอมแน่!’ 

พีทก้าวเท้าออกจากห้องทันทีแต่ยังไม่ถึงประตู  หมอนั่นก็ก้าวมาขวางเขาไว้

“หลีกไป!”  กล้าดียังไงมาขวางเขา

“พ่อคุณให้ผมดูแลคุณ   ตอนนี้ผมไม่อนุญาตให้คุณออกไป”   ใบหน้ายียวนกวนประสาทนั่นยิ่งทำให้พีทโมโห

“เราน่าจะทำความรู้จักกันก่อนนะ  แล้วคุณค่อยขอบคุณที่ผมช่วยคุณทีหลังก็ได้”   นายนั่นพูดแล้วก็เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบาย ๆ ดูเหมือนกำลังสนุกที่ได้กวนประสาทเขา

“ชั้นบอกให้หลีกไป!” พีทกัดฟันกรอด 

เขาเบี่ยงตัวหลบคนตรงหน้าเพื่อจะเดินออกจากห้อง  นายนั่นกลับเดินมาดักเขาไว้อีก  พีทหันไปจ้องหน้านายนั่นอย่างเอาเรื่อง  แต่คนที่ยืนตรงหน้าเขากลับมองมาอย่างท้าทาย  ดวงตาที่คล้าย.....

“พลั่ก”  พีทผลักนายนั่นอย่างแรงแล้วเดินตรงไปที่ประตู  รีบสาวเท้าออกไปทันทีก่อนที่ความโกรธจะทะลุขีดความอดทน  เขาเดินไปหน้าบ้านอย่างรวดเร็วแต่ไม่ทัน   รถคันใหญ่ของพ่อเคลื่อนออกไปแล้ว

“เรื่องบ้าอะไรกัน”  พีทสบถออกมา  “ผมไม่ยอมหรอกพ่อ  ไม่มีทาง” 

หน้าตากวนอารมณ์ของนายนั่นแวบเข้ามา

“อย่าโผล่หน้ามาให้เห็นอีกนะ  นายเจ็บตัวแน่”

“ผมไม่มีทางเจ็บตัวหรอก  อย่าลืมสิว่าผมช่วยคุณจากพวกโจรนั่น” เสียงดังข้างหลังทำให้เขาชะงัก

“นายจะตามมาทำไม ไปไกล ๆ เลย  อย่าคิดว่ารับคำสั่งจากพ่อแล้วชั้นจะต้องเชื่อนายนะ”  พีทหันไปตวาด  ใบหน้าหนุ่มน้อยตอนนี้โกรธจัด

“ผมไม่ได้รับคำสั่ง  พ่อคุณต่างหากที่เป็นฝ่ายขอร้องผมเอง”  นายนั่นกลับตอบมาหน้าตาเฉย

“มันจะมากไปแล้วนะ  คนอย่างพ่อชั้นไม่มีทางขอร้องบอดี้การ์ดกระจอก ๆ อย่างนายแน่  เป็นแค่การ์ดธรรมดาทำเป็นใส่สูท  คิดว่ามันจะยกระดับขึ้นมาได้รึไง คนอย่างนายไม่มีสิทธิ์มาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำ ออกไปจากบ้านชั้นไม่งั้นชั้นจะเรียกคนมาจัดการนาย!!” 

ใบหน้ายียวนนั้นเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำสบประมาทของพีท  แต่ไม่นานเขาก็กลับมายิ้มอีก  ดวงตาฉายแววขำขันอะไรบางอย่าง

“จะลองดูมั้ยล่ะว่าผมเป็นแค่การ์ดกระจอก ๆ รึเปล่า  ถ้าคุณล้มผมได้  ผมจะยอมไปเอง  แต่ถ้าผมชนะคุณ  คุณต้องเชื่อฟังผมตามที่พ่อคุณสั่งไว้  กล้าไหมล่ะ”

‘ว่าไงนะ  สู้กันน่ะเหรอ หึ กำลังอยากชกหน้าคนพอดี’  พีทคิดในใจ 

“ข้อเสนอไม่เลวนี่ ชั้นตกลง  รับรองว่านายได้กระเด็นออกจากบ้านชั้นแน่”  พีทกระหยิ่มยิ้มย่อง  เสนอตัวมาแบบนี้ไม่รู้จักคุณชายพีทซะแล้ว 

“อย่ากลับคำพูดก็แล้วกัน  คุณชาย”   นายนั่นตอบกลับมา   ใบหน้ามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมไม่แพ้กัน




ไม่นานนัก  ทั้งคู่ก็อยู่ในห้องออกกำลังกายขนาดใหญ่ของบ้าน  ที่ผนังด้านหนึ่งติดกระจกเงาเต็มผนัง   ด้านขวาของห้องติดตั้งอุปกรณ์ออกกำลังกายหลากหลายชนิด 
 
พีทถูกบังคับให้เรียนการต่อสู้แทบทุกชนิดมาตั้งแต่เด็กเพื่อให้สามารถป้องกันตัวเองได้ยามตกอยู่ในอันตราย  และเขาก็เก่งเสียด้วย  เขาไม่เคยแพ้ใครถ้าสู้กันตามกติกา   ยกเว้นเหตุการณ์สามวันก่อนที่เขาโดนรุม  พวกนั้นเป็นมืออาชีพแถมยังตัวใหญ่กว่าเขา  แต่ครั้งนี้เป็นการสู้ตัวต่อตัว  เขาคงไม่เสียเปรียบมากนัก   

‘อยากรู้เหมือนกันว่าจะเก่งแต่ปากรึเปล่า’

พีทประเมินคู่แข่งอยู่ในใจ  แม้ว่าเขากับนายนั่นดูจะสูงไล่เลี่ยกันแต่เมื่อคนท้าเริ่มถอดสูท เนคไท และพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นเหนือศอกเผยให้เห็นร่างกำยำ  กล้ามแขนเป็นมัด ๆ พีทก็เริ่มหวั่นขึ้นมาบอกไม่ถูก  ถ้าเทียบกันแล้วนายนั่นตัวหนากว่าเขามาก

‘นี่คนหรือหมียักษ์??’

“ผมพร้อมแล้ว คุณพร้อมเมื่อไรก็เข้ามาเลย” นายหมีร้องบอก หน้าตาไม่มีความกังวลอะไรทั้งสิ้น  ท่าทางสบาย ๆ เหมือนพวกเขากำลังจะเล่นซ่อนหากันแทนที่กำลังจะชกกันอยู่นี่

‘ไอ้หมอนี่มันมั่นใจชะมัด’

พีทคิดขณะก้าวขึ้นไปบนพื้นที่ปูด้วยเบาะสำหรับซ้อมยูโด  เขาเริ่มย่างสามขุมเข้าไปช้า ๆ สมองก็คิดรูปแบบการต่อสู้ที่จะนำมาใช้   คู่ต่อสู้ของเขาก็เดินเข้ามาใกล้แต่ยังทิ้งระยะห่างไว้เล็กน้อย   ดวงตาทั้งคู่จ้องมองกันแน่วแน่เพื่อรอจังหวะที่ใครจะโจมตีก่อน  และเมื่อได้จังหวะพีทก็ตวัดเท้าทันที 

เป้าหมายอยู่ที่ใบหน้ากวนนั่นแหละ 

‘อยากกวนตีนดีนัก เอาไปกินให้อิ่มละกัน’ 


แต่แทนที่เท้าเขาจะเตะโดนหน้าคู่ต่อสู้ นายหมีแค่เอนตัวไปด้านหลังด้วยความรวดเร็วพร้อมกับใช้มือขวาจับเท้าเขาไว้  พริบตาเดียวพีทถูกจับเหวี่ยงลงพื้นทันที

“โครม!” 

เสียงร่างกายเขากระทบพื้น  ร่างสูงกำยำโถมลงมา  ใช้ลำตัวพาดทับเขาและออกแรงกดไว้  แขนข้างขวาถูกยึดแน่น   ส่วนแขนข้างซ้ายก็ถูกกดไว้ด้วยน้ำหนักตัว   พีทใช้ขาสองข้างที่เป็นอิสระพยายามยันพื้นเพื่อยกตัวให้หลุดจากการกดด้วยท่ายูโดนี้   แต่ดูเหมือนยิ่งออกแรงก็ยิ่งถูกกดไว้แน่นกว่าเดิม

“อิปป้ง!!!”

เสียงคนที่ทับอยู่ด้านบนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีชัยหยุดการดิ้นรนของเขาทันที

‘เป็นไปได้ยังไง  นี่มันแค่พริบตาเดียวเท่านั้นเขาก็ลงมานอนกองกับพื้น’ 

 “ชนะแล้ว”  เสียงเจ้าเล่ห์ดังออกจากปากแดง ๆ ที่กำลังนอนขวางพาดตัวเขาอยู่ 

‘อ๊ะ อะไรนะ!’   เขากำลังถูกทับอยู่  หน้าขาวนั่นลอยอยู่ห่างเพียงแค่คืบ 

“ปล่อย!”  พีทตะโกนเสียงดัง

“ไม่!  จนกว่านายจะพูดว่ายอมแพ้ก่อน”   นายนั่นลอยหน้าลอยตาตอบกลับมา

“ไม่มีทาง ลุกออกไปเดี๋ยวนี้” พีทออกคำสั่ง  เขาพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากสภาพนี้  แต่นายหมียักษ์แข็งแรงมาก  แรงกดทับทำให้เขาแทบขยับตัวไม่ได้เลย

“ว่าไง  ถ้านายไม่ยอม  เราก็จะอยู่ท่านี้กันจนเย็นนั่นแหละ  ดีมะ” 

“ไม่มีทาง!”

พีทไม่ยอมแพ้  รวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายใช้เท้ายันพื้นเพื่อดันตัวขึ้นแล้วสะบัดตัวอย่างแรงอีกครั้ง  ตัวเขาหลุดเพียงชั่วครู่เท่านั้นกลับถูกรวบกดไว้อีกครั้ง  คราวนี้แน่นหนากว่าเดิม  ใบหน้ากวนนั้นกลับใกล้เข้ามามากขึ้น 

“หยุดนะ!” 

คนข้างบนตะคอกเสียงเฉียบขาดทำให้พีทหยุดนิ่งทันที  แววตาขี้เล่นนั้นแปรเปลี่ยนเป็นดุดันจ้องมองเขาเขม็ง  พีทจ้องตากลับด้วยความโกรธ   ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันเหมือนจะใช้สายตาต่อสู้กันแทน  แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร  พีทกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้จ้องตาอยู่อย่างนั้น   หัวสมองเริ่มว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก

‘ตึก ตึก ตึก’    จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา......   

“ก็ได้ ก็ได้  ชั้นยอมแพ้”  พีทกัดฟันตอบไปเพื่อให้หลุดจากภาวะนี้โดยเร็ว  แค่ครั้งนี้เท่านั้น  คราวหน้านายไม่รอดแน่

“อย่าลืมข้อตกลงของเราล่ะ  ผมเป็นผู้ดูแลคุณ   มีสิทธิ์แทนพ่อคุณทุกอย่าง”

รอยยิ้มกวนกลับมาอีกแล้ว

“งั้นก็ลุกออกไปซะที”

คนข้างบนค่อย ๆ ยกตัวขึ้นนั่งข้างตัวเขา

“ถอยไป!”

“ยังถอยไปไม่ได้หรอก  คุณต้องยกหัวขึ้นก่อน”     

‘อะไรนะ ทำไม?’    พีทเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างรองศีรษะเขาไว้  นายหมีเลื่อนมือขวาของตัวเองที่รองหัวเขาออกทีละน้อย
จังหวะที่ทุ่มพีทลงบนพื้น   นายหมีเอามือตัวเองรองไว้เพื่อไม่ให้หัวคุณชายเจ้าอารมณ์กระแทกแตกไปอีกรอบ 

พีทผุดลุกขึ้นรวดเร็ว  ใบหน้าบึ้งตึง  หลังตั้งตัวได้เขาก็เดินพรวดพราดออกไปจากห้องทันที 

‘นายหมี’ ยิ้มน้อย ๆ พลางลุกขึ้นเก็บเสื้อสูทขึ้นพาดบ่า เดินตามออกไปเหมือนกัน







หมายเหตุ : ในกีฬายูโด  อิปป้ง  คือทำคะแนนได้ 1 คะแนน โดยมีเงื่อนไข... 1.) ทุ่มคู่แข่งขันโดยหงายหลังลงกับพื้นเวทีอันถูกต้องตามหลักของวิชายูโด หรือซ้อนท่าทุ่มให้หลังคู่แข่งขันลงกับพื้น เต็มหลัง คือ 100% 2.) สามารถยกคู่แข่งขันขึ้นสูงประมาณเสมอไหล่ของตนในขณะที่คู่แข่งขันนอนหงายอยู่ 3.) ท่าจับ (ล็อก) ให้จำนน โดยจับล็อกคู่แข่งขัน ตามหลักท่าของวิชายูโด ดิ้นไม่หลุดเป็นเวลา 30 วินาที 4.) ในท่าล็อกรัดคอ หรือหักแขน โดยคู่แข่งขันยอม หรือเป็นผลทำให้คู่แข่งขันหมดสติ
ที่มา http://www.geocities.ws/slot_design/j_vocab.html



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 4 9/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-07-2014 00:36:54
 :z1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 4 9/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 10-07-2014 18:21:33
5. ปะทะ


หนุ่มน้อยทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรดริมสระน้ำบริเวณหน้าบ้านของเขา  ความโกรธยังกรุ่นอยู่ภายใน  หัวใจเต้นแรง 

‘เขาแพ้นายอวดดีนั่น แพ้ในกีฬาที่เขาถนัดที่สุดเสียด้วย  บ้าชะมัด!’     

‘โอ๊ย  ปวดหัวอีกแล้ว’   


เขาเอามือคลึงศีรษะตัวเองเบา ๆ  หวังว่ามันจะดีขึ้น

“โฮ่ง ๆ” เสียงเห่าต้อนรับของแรมโบ้  สุนัขตัวโปรดพันธุ์ลาบาดอร์สีน้ำตาลอ่อนดังขึ้น   พร้อมกันนั้นมันวิ่งพาร่างอุ้ยอ้ายเข้ามาหาพลางกระดิกหางฟาดไปมาด้วยความดีใจ

“ไงแรมโบ้  เหงามั้ย  ไม่เจอกันตั้งสองวัน”  พีทถามสุนัขแสนรักของเขา  แรมโบ้นั่งลงข้างเก้าอี้เอาคางมาวางบนเข่าเจ้านายของมัน  เหลือบตาสีน้ำตาลของมันขึ้นจ้องมองราวกับจะตอบคำถาม

“โฮ่ง” 

“หืม  อืม”  พีทตอบอย่างไม่ค่อยสนใจนักเพราะเขากำลังหงุดหงิด 

“โฮ่ง”  เจ้าแรมโบ้เห่าอีกเหมือนจะถามว่าเจ้านายเป็นอะไร

“หืม  เป็นอะไรเหรอ  โมโหคนมาน่ะ  กวน...สุด ๆ เลย” 

พีทวางมือใหญ่ลงบนหัวเจ้าแรมโบ้  ดวงตาเหม่อมองไปยังสระน้ำข้างหน้า  ลูบมือไปตามขนที่อ่อนนุ่มของมัน  เขาปลดปล่อยอารมณ์ขุ่นมัวให้ไหลไปกับสายลมอ่อนที่พัดโชยมา  สักพักอารมณ์โกรธเมื่อครู่จึงเบาบางลง   

ภาพคุณชายน้อยนั่งเล่นกับหมาขนยาวตัวใหญ่ริมน้ำ  ทำให้ ‘นายหมี’ ที่เดินมาจากบ้านใหญ่ชะงักฝีเท้า เจ้าแรมโบ้ยกขาขึ้นเขี่ยเจ้านายเหมือนอ้อนทำให้เจ้านายของมันหัวเราะ ใบหน้าพีทที่กำลังยิ้มนั้นสดใสเหมือนเป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ  นายหมีหยุดยืนนิ่งตามองตรงไปยังภาพนั้น  ริมฝีปากยิ้มกว้าง   

พีทเล่นกับเจ้าแรมโบ้อยู่ครู่ใหญ่จนอารมณ์เย็นลงจึงลุกไปอาบน้ำ




เสียงกุกกักเหมือนมีใครกำลังทำอะไรอยู่นอกห้อง ทำให้คนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำขมวดคิ้ว  เขาสั่งห้ามทุกคนแล้วว่าไม่ให้เข้ามาวุ่นวายในบ้านของเขา  แล้วใครกันที่กล้าขัดคำสั่ง  พีทเปิดประตูห้องตัวเองออก  คนที่เขาเจอทำให้ระดับอารมณ์ที่เย็นลงแล้วพุ่งสูงทันที

“นายขึ้นมาทำอะไรที่นี่ นี่เป็นบ้านส่วนตัวของชั้น ออกไปเดี๋ยวนี้” เจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่ทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร   

“......”  ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

“นี่นาย  ได้ยินมั้ย  ชั้นสั่งให้นายออกไปจากที่นี่  ไม่งั้นชั้นจะเรียกคนมาหิ้วนายออกไป!”  คราวนี้พีทตะโกน   

“ทำไมคุณไม่เป็นคนหิ้วผมออกไปเองล่ะ ว่าไง ลองอีกทีก็ได้นะ” 

นายนั่นไม่ตอบคำถาม  กลับย้อนเขาเรียบ ๆ ร่างสูงใหญ่เอามือเท้าสะเอว  ยิ้มมุมปากแบบที่พีทแปลว่ากำลังเยาะเย้ยเขา

‘โอ๊ย  ไอ้หมอนี่’    พีทพลุ่งพล่าน   เข้าไปกระชากคอเสื้อบอดี้การ์ดจอมกวนพร้อมกับเงื้อหมัดขึ้น  แต่มือใหญ่ของนายนั่นกลับยกขึ้นรับหมัดเขาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะชกลงไปบนหน้า

“ลืมข้อตกลงของเราแล้วรึไง  คุณชาย  คุณแพ้ผมเพราะฉะนั้นคุณต้องเชื่อฟังผมเพราะผมเป็นผู้ดูแลคุณ”   ใบหน้ากวนประสาทนั่นลอยอยู่ใกล้    มือนายนั่นกำหมัดเขาไว้ไม่ปล่อย

พีทพยายามข่มอารมณ์  กระชากมือออกแล้วผลักไหล่นายหมีอย่างแรง  แต่ทำให้นายหมีแค่เซเล็กน้อย   ตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดใหญ่รวมทั้งกล่องกระดาษหลายขนาดวางอยู่ตามทางเดินหน้าห้องนอนฝั่งตรงข้ามห้องของเขา
 
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่นายมายืนในบ้านของชั้น  แล้วข้าวของพวกนี้ของใคร?”

“ก็ผมจะต้องดูแลคุณทั้งเรื่องงานและความปลอดภัย  เพราะฉะนั้นผมก็ต้องมาอยู่ที่นี่สิ จะได้ทำงานได้สะดวกไง”  เสียงตอบกลับนั่นพูดเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา  แถมยังยิ้มตอบตาหยี

“แต่นี่เป็นที่ส่วนตัวของชั้น  ห้ามใครเข้ามาถ้าชั้นไม่อนุญาต  ถ้านายอยากอยู่ก็ไปนอนบ้านใหญ่แทนนอย่ามาเสนอหน้าที่นี่!!”
ด้วยความรู้สึกปนเปกันหลายอย่าง ทั้งโกรธ ทั้งอายที่สู้แพ้  และหมั่นไส้หน้าตาท่าทางยียวนของหมอนั่น   ทำให้พีทใช้ถ้อยคำรุนแรงทั้งที่ปกติเขาเป็นเด็กน่ารักไม่เคยหยาบคายกับใคร

“ผมไม่สนใจหรอก  พ่อคุณให้สิทธิ์ผมทุกอย่าง  ผมจะทำอะไรก็ได้แม้แต่สั่งให้คุณย้ายออกจากบ้านนี้  ไม่เชื่อโทรถามก็ได้”

“นาย!  ฝันไปเถอะ”

พีทกลับเข้าห้องต่อสายตรงถึงพ่อ  ทันทีที่คุณคริสรับโทรศัพท์ทางไกลจากลูกชาย  เขาก็ตอบกลับมายืดยาวโดยไม่รอให้พีทได้มีโอกาสฟ้องอะไร

“พีท พ่อขอร้องล่ะ นี่พ่อทำเพื่อลูกนะ เชื่อพ่อสักครั้งแล้วทำตามที่พี่เขาบอก  อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกอาละวาดอะไรที่บ้าน  พี่เขาจะรายงานเรื่องพีทให้พ่อฟังทุกเรื่อง  พ่อไม่มีเวลาแล้ว  แค่นี้ก่อนนะลูก”  จบประโยคแล้วคุณคริสวางสายทันที

พีทอึ้งไปเป็นเวลานานกับคำตอบที่ได้รับ  ตั้งแต่เกิดมาคนที่สั่งเขาได้มีพ่อคนเดียวเท่านั้น  คราวนี้มันเกิดอะไรกับชีวิตเขา  วันดีคืนดีก็มีใครไม่รู้โผล่มาแล้วออกคำสั่งเขายิ่งกว่าพ่ออีก  ความคิดวนเวียนไปมาในหัว  ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว  แต่ในที่สุดพีทก็คิดออก

“หึ  ชั้นจะทำให้นายเป็นฝ่ายขอไปเอง  คอยดู!” 





“โธ่โว้ย ๆๆๆ”  เขาอยากจะตะโกนให้โลกแตก  หลังจากที่พีทตั้งปฏิญาณจะทำให้นายนั่นถอยกลับออกจากบ้านเขา  เขาก็เริ่มต้นแผนการร้ายกาจของตัวเองทันที   

หลายชั่วโมงก่อนพีทโทรไปหาลุงฉีพ่อบ้านของตระกูลที่บ้านใหญ่ สั่งให้ส่งคนมาขนของพร้อมกับโยนนายการ์ดตัวแสบออกจากบ้านของเขา    ลุงฉีตอบกลับเสียงเรียบว่า

“ผมคงส่งใครไปไม่ได้ครับคุณชาย  ตอนนี้คนที่สั่งการในบ้านได้มีแต่เขาเท่านั้น  พวกเราทุกคนถูกกำชับจากคุณท่านด้วยตัวเองว่าห้ามช่วยคุณชายต่อต้านเขาครับ” 

เขาไม่ยอมแพ้  จึงเรียกการ์ดมาจากบริษัทประจำที่ใช้บริการเพื่อมาจัดการ ‘เก็บ’ นายหมีทันที   บริษัทส่งคนมาเร็วตามคำสั่งแต่ก็กลับออกไปเร็วเช่นกัน  เมื่อการ์ดกว่าสิบคนที่กรูกันเข้าไปจัดการนายหมีกลับถูกจัดการ ‘เก็บ’ ด้วยฝีมือนายนั่นเพียงคนเดียว!  ทุกคนสะบักสะบอมไปตาม ๆ กัน   

พีทมองสภาพของการ์ดฝีมือดีแต่ละคนอย่างเจ็บใจ   นายนั่นยืนกอดอกมองดูผลงานตัวเองเหมือนจะเยาะเย้ยอยู่กลาย ๆ แล้วกลับเข้าห้องไป

เมื่อคนทำอะไรนายนั่นไม่ได้  พีทเลยเรียกแรมโบ้ขึ้นไปชั้นบน  เจ้าแรมโบ้นั้นเชื่องกับเขาเท่านั้น  แต่กับคนอื่นแม้แต่พ่อที่เป็นคนซื้อเจ้าแรมโบ้มาให้ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้  พีทรู้ว่าถ้าแรมโบ้ได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคย  มันจะคุ้ยข้าวของในห้องนั้นกระจุยกระจายแล้วคาบเจ้าสิ่งแปลกปลอมออกไปกัดทึ้งจนเสียหาย  และยิ่งเป็นคนแปลกหน้าแรมโบ้มักกระโจนเข้าใส่   ด้วยน้ำหนักตัวของมันจึงทำให้คนแปลกหน้าล้มลงทันที  ฟันอันแหลมคมของแรมโบ้เคยทำให้บอดี้การ์ดหลายคนของเขาได้แผลเหวอะหวะกันคนละแผลสองแผลมาแล้ว   

เขาแกล้งเคาะประตู ทิ้งแรมโบ้ไว้ที่หน้าห้องแล้ววิ่งเข้าไปแอบดูอยู่ในห้องตัวเองซึ่งอยู่ตรงข้าม  แรมโบ้กระโจนใส่คนในห้องทันทีที่ประตูเปิดออก  เสียงเห่าของเจ้าแรมโบ้ดังเพียงสองสามครั้งกลับเงียบไป  ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย  พีทรออยู่นานจนในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้ต้องเปิดประตูเข้าไปดูเพราะเป็นห่วงแรมโบ้   

สิ่งที่เห็นทำให้เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง  เจ้าแรมโบ้นอนอยู่บนพรมหน้าเตียงเอาหัวอันใหญ่โตของมันก่ายไว้บนตักนายนั่นที่นั่งพิงเตียงอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์   
 
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?’

“หมานายน่ารักดีนะ ใช่มั้ยแรมโบ้” ท้ายประโยคนายหมีหันไปถามแรมโบ้  เจ้าแรมโบ้จอมทรยศยังยกหัวขึ้นมาเห่าตอบเหมือนดีใจที่ได้รับคำชม   

พีทกระแทกประตูปิดเสียงดังสนั่นแล้วกลับเข้าห้องตนเอง   

‘หนอย แรมโบ้ แกอดมื้อเย็นแน่’ 

เจ้านายตัวโตแต่ใจน้อยของแรมโบ้คิดแค้นหมาตัวเองอยู่ในใจ  พีทแค้นใจมากไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สามารถทำอะไรนายนั่นได้เลย  นายหมียักษ์ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน

“โว้ย ๆๆ  จะทำยังไงต่อดีเนี่ย” 

พีทคิดไม่ตกกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด  เขากุมขมับ รู้สึกถึงเส้นเลือดเต้นตุบ ๆ อยู่ใต้นิ้ว  รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว  แต่เขาต้องหยุดทุกอย่างไว้เท่านี้ก่อน  ตอนนี้เย็นมากแล้วเขาต้องรีบออกจากบ้าน  คืนนี้เขาต้องไปร้องเพลงหลังจากที่ขอลาป่วยไปสองวัน   เกรซบ่นเสียกระบุงโกยตอนที่เขาโทรไปบอกเมื่อสองวันก่อน 


“บ้านนายใช้การ์ดบริษัทไหนเนี่ย  แย่ชะมัด ปล่อยให้คุณชายถูกทำร้ายได้ยังไง  ตอนนี้นายโอเคแล้วใช่ไหม” 

“แล้วชั้นจะทำยังไงเนี่ย  นายไม่อยู่แล้วใครจะร้องเพลงล่ะ   หรือจะให้พี่ร็อกกี้ร้องแทนดีมั้ย”  เกรซประชดมาตามสาย เพราะพี่ร็อกกี้คือมือกีตาร์ฝีมือฉกาจของวง  เพื่อนในวงยกให้เป็นมือกีตาร์เทวดา  แต่เรื่องเสียงร้องอย่าถามถึง  ควายออกลูกยังร้องเพราะกว่า  อันนี้เจ้าตัวยอมรับเองไม่ได้มีใครใส่ความแต่อย่างใด




พีทอมยิ้มเมื่อนึกถึงภาพพี่ร็อกกี้ยืนร้องเพลงบนเวที  ผับชื่อดังคงหมดชื่อเสียงกันคราวนี้ 

‘แล้วเกรซหาใครมาร้องแทนนะ’
  เขาคิดอย่างกังวลขณะเดินออกจากห้องนอนส่วนตัว   ปรายตามองไปยังห้องนอนตรงข้ามที่ปิดเงียบ   

‘ฝากไว้ก่อนเถอะนายหมี ไว้กลับมาแล้วค่อยว่ากัน’

ร่างสูงโปร่งของหนุ่มน้อยเดินมาตามทางเดินเพื่อไปยังโรงรถที่อยู่ชั้นใต้ดินของบ้าน  แต่เรียกโชว์รูมอาจจะเหมาะกว่า  เพราะพ่อเขาสะสมรถเก่าหลายรุ่นเป็นงานอดิเรก  พีทเองก็เป็นเจ้าของซูเปอร์คาร์หลายคัน  ซึ่งส่วนใหญ่พ่อมักซื้อให้เป็นของขวัญในโอกาสพิเศษ  ทั้งลัมโบร์กินี่  แอสตันมาร์ติน  เฟอร์รารี่  และบิ๊กไบต์ยี่ห้อดังที่เขามักแอบพ่อขี่ไปทะเลคนเดียวเวลามีเรื่องกลุ้มใจ
เสียงเครื่องยนต์แปดสูบกระหึ่มใกล้เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า  กระจกด้านข้างลดลงอย่างช้า ๆ  นายหมีเอียงตัวมาทางด้านผู้โดยสาร

“ขึ้นมาสิ  ผมจะไปส่ง”   
 
พีทขมวดคิ้ว ‘นี่บอดี้การ์ดระดับไหนกันขับออดี้ R8 รุ่นล่าสุด’ 

เขาไม่ขยับ  กำลังคิดหนักว่าควรจะจัดการกับนายหมีนี่อย่างไรดีเพราะไม่ว่าทางไหนดูเหมือนเขาจะทำอะไรนายนี่ไม่ได้เลย   

“ไม่ต้องไปโรงรถให้เสียเวลาหรอก  รถคันไหนคุณก็ใช้ไม่ได้เพราะผมเก็บกุญแจทั้งหมดแล้ว” หมียักษ์ชูกุญแจโรงรถให้ดูเป็นการยืนยัน  ใบหน้านั้นยิ้มมุมปากดูเหมือนกำลังสนุกที่ได้เอาคืนเขา

“อ้อ  รถคุณผมก็ล็อกล้อหมดทุกคัน” 

“อะไรนะ!  นาย!....กล้าดียังไง”   คุณชายของบ้านถึงกับกำหมัดแน่นจนสั่นเมื่อนายนั่นกล้าแตะต้องรถของเขา

‘โธ่โว้ย!  เขาจะทำยังไงดี’ 


“นาย.. ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนั้นกับรถของชั้น”  พีทแทบจะเหวี่ยงกระเป๋าใส่คนในรถ  มันจะมากเกินไปแล้วนะ

“อย่าพยายามทำอะไรอีกเลยน่า  ยังไงคุณก็ทำอะไรผมไม่ได้หรอก  ผมรู้ทันคุณทุกเรื่องน่ะแหละ  เหนื่อยเปล่า  ทำตามที่ผมบอกซะก็จบ”  คนที่นั่งประจำที่คนขับพูดเรื่อย ๆ ดวงตามองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ยี่หระ 

‘ทำมารู้ดีนัก  ทำยังกับเขาไม่มีทางเลือกงั้นสิ’ 

พีทเดินไปหน้าบ้านทันที  เขาใช้รถตัวเองไม่ได้แต่เขาก็ใช้แท็กซี่ได้ แต่กลับต้องชะงักเพราะประตูบ้านกำลังเคลื่อนปิดช้า ๆ   ยามที่เฝ้าอยู่สองคนยืนขวางเขาไว้

“ขอร้องเถอะครับคุณชาย  ผมให้คุณชายออกจากบ้านคนเดียวไม่ได้ครับ  มันไม่ปลอดภัย อย่าขัดคำสั่งคุณท่านเลยครับ ผมยังไม่อยากถูกไล่ออกตอนนี้  ลูกผมเพิ่งคลอดได้สองวัน” ยามหนึ่งในสองกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนแฝงไว้ด้วยความกลัว  คงกลัวเขาและพ่อเขาไม่พอใจนั่นแหละ 

“ไปขึ้นรถเถอะครับคุณชาย  ออกไปคนเดียว  คุณท่านกับคุณโรสจะเป็นห่วงนะครับ”  ลุงหวัง  ยามอาวุโสอีกคนช่วยพูด   
คนนี้ก็เหมือนกัน  ความจริงลุงฉี พ่อบ้านจะเลิกจ้างลุงหวังเพราะแกแก่มากแล้ว  แต่เขาเองที่เป็นคนขอร้องให้จ้างลุงหวังไว้เพราะแกตัวคนเดียว  ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน  ถ้าไม่มีงานแล้วใครจะเลี้ยงดูแก

‘เฮ้อ’   พีทถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง  เขาไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนเลย  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบังเอิญหรือจงใจที่เอาสองคนนี้มาเข้ากะในวันนี้  เหมือนจะรู้ว่าพีทคงไม่ใจร้ายพอที่จะเป็นต้นเหตุให้ใครถูกไล่ออก

คนร่างสูงนั่งรออย่างสบายอารมณ์ในรถสปอร์ตสุดเฉี่ยว  ตาเรียวมองไปยังหนุ่มน้อยที่ยืนหน้าบ้านทำท่าหนักใจ  เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กนั่นหัวเสีย  เดินหน้าบึ้งกลับมาที่รถ   

‘ก็บอกแล้วว่าเขาน่ะรู้ทันเด็กนี่ทุกเรื่องน่ะแหละ หึ หึ’

“ปัง!!”  เสียงปิดประตูรถดังสนั่น  เมื่อพีทจำใจเดินมาขึ้นรถ  เขาก็เลยแกล้งปิดประตูเสียงดัง 

‘หึ  นายนี่มันแน่จริง ๆ’  พีทคิดอย่างเดือดดาล

เจ้าของรถไม่ว่าอะไร  เขาเคลื่อนรถออกทันที   




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 4 9/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 10-07-2014 18:29:45
:z1:

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 4 9/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 10-07-2014 19:12:25
ขอบคุณนักเขียนมากค่ะ  :L2:

บวกให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 5 อัพเดต 10/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 10-07-2014 22:15:18
ทำไมนายหมีไม่ยอมรับตอนที่พีททัก ทำแบบนี้เมื่อรู้ความจริงยิ่งโกรธหนัก
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 5 อัพเดต 10/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 13-07-2014 23:07:51
6. ติดตาม

“นายอย่าคิดนะว่าทำแบบนี้แล้วชั้นจะยอมเชื่อฟังนาย”  หนุ่มน้อยหัวเสียสุด ๆ ที่ถูกบีบให้ทำตามที่นายหมีต้องการ

“ผมทำเพื่อความปลอดภัยของคุณเอง อีกอย่างเราตกลงกันแล้วนี่ว่าคุณต้องเชื่อฟังผมทุกเรื่อง  ขี้แพ้ชวนตีนี่นา” น้ำเสียงท้ายประโยคนั้นล้อเลียน

“นาย!” พีทหันขวับไปอย่างจะเอาเรื่องคนอวดดีที่ยิ้มระรื่นขับรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เขากัดฟัดกรอดข่มความโกรธไว้  เขาไม่ใช่คนไม่รักษาคำพูด  เขาจำได้ว่าได้ตกลงอะไรกับนายหมียักษ์นั่นไปบ้าง  แต่นี่มันมากเกินไป ทั้งเรื่องมาใช้ห้องนอนที่บ้านส่วนตัวของเขา  ห้ามเขาใช้รถตัวเองและบีบบังคับให้เขาทำตามคำสั่ง 

“ใช่  ชั้นแพ้  ต้องเชื่อฟังคำสั่ง  แต่เรื่องมาใช้ห้องนอนที่บ้านชั้นไม่เกี่ยวกัน  นั่นมันบ้านส่วนตัว  เข้าใจไหมคำว่าส่วนตัว!” น้ำเสียงนั้นสั่นอย่างคนที่ข่มอารมณ์แทบไม่อยู่     

“บ้านหลังนั้นสร้างมาเพื่อความสวยงาม  ใช้เป็นที่พักผ่อน ไม่ได้ติดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอะไรไว้เลยแม้แต่สปริงเกอร์ดับเพลิง  แล้วคุณอยู่คนเดียว  ถ้าเกิดพวกมันแอบลอบเข้ามาเชือดคอใครจะรู้” นายหมีพูดเสียงเรียบ   ดวงตามองตรงไปยังถนนใหญ่

“ใครจะกล้าบุกเข้ามา การ์ดออกเต็มบ้านไปหมด” พีททำเสียงคล้ายกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องงี่เง่า  ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้

“ใช่ การ์ดเต็มบ้าน  แล้วตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว  แต่เรื่องแบบนี้เราควรป้องกันไว้ก่อนไม่ดีกว่าหรือ  การ์ดพวกนั้นก็แค่เฝ้าระวังด้านนอก  พวกมันอาจจะลอบเข้ามาในบ้านทางใดทางหนึ่งก็ได้  พวกนี้เป็นมืออาชีพมากนะ ที่จริงแล้วคุณก็มีฝีมือด้านป้องกันตัวพอสมควร   คุณยังพลาดโดนพวกมันทำร้ายซะเกือบแย่”

“คืนที่คุณถูกพวกมันพยายามจับตัวไป  ไม่สงสัยหรือว่าทำไมบอดี้การ์ดถึงปล่อยให้คุณเดินคนเดียวจนถูกพวกมันทำร้ายเอาได้” 
“ก็ทำไมล่ะ  คงโดนซ้อมเหมือนกัน  พวกนี้ใช้ไม่ได้!” 

“บอดี้การ์ดกลุ่มนั้นเป็นกลุ่มที่ฝีมือระดับดีเยี่ยมทุกคน  แต่ถูกเก็บก่อนที่คุณจะเดินไปเอารถประมาณครึ่งชั่วโมง” 

“หา! อะไรนะ”  หนุ่มน้อยหันกลับไปมองนายหมีที่กำลังขับรถอยู่เพื่อต้องการการยืนยันว่าหูเขาไม่ได้ฝาด  ก็พ่อบอกว่าพวกเขาแค่โดนทำร้ายนี่

“เรื่องจริง  พ่อคุณไม่ต้องการให้คุณรู้เพราะกลัวคุณตกใจและคิดมาก แต่ผมอยากบอกเอาไว้   คุณจะได้ไม่ประมาท   รู้เอาไว้เถอะว่าชีวิตคุณตอนนี้น่ะไม่ปลอดภัยแม้แต่วินาทีเดียว”   น้ำเสียงนั้นจริงจังไม่มีความขี้เล่น  กวนประสาทสักนิด

เรื่องที่บอดี้การ์ดถูกเก็บทำให้พีทถึงกับอึ้งไปนาน  เขากำลังประสาทเสียเพราะไม่คิดว่าเรื่องมันจะร้ายแรงขนาดนี้  แม้ว่าเขาจะไม่สนิทสนมคุ้นเคยกับการ์ดกลุ่มนั้นมากนักเพราะเขาชอบความเป็นส่วนตัว   บอดี้การ์ดที่ติดตามเขาจึงต้องติดตามแบบห่าง ๆ ไม่ทำตัวโดดเด่น   พีทคุ้นหน้าคุ้นตาแต่ละคนพอสมควรเพราะติดตามกันมาสองสามปี   เขาก็อดใจหายไม่ได้กับความโชคร้ายของคนเหล่านั้น

พีทมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องบอดี้การ์ดจนลืมไปว่าพวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่เรื่องที่นายหมีไปยึดห้องนอนที่บ้านของเขา

นายหมีเหลือบตามามองหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่พลางถอนหายใจ   เด็กนี่ไม่รู้เลยว่าบอดี้การ์ดทั้งกลุ่มนั้นถูกปลิดชีวิตอย่างไร  มีเพียงเขาที่ตามไปเจอภายหลังเท่านั้นที่รายงานเรื่องนี้ให้คุณคริสฟัง 

“ผมคงยอมให้คุณนอนคนเดียวรอให้พวกนั้นลอบเข้ามาเก็บไม่ได้หรอก” น้ำเสียงที่เอ่ยแฝงไปด้วยความห่วงใยจากส่วนลึกที่พีทไม่ทันสังเกต

“พ่อคุณเป็นห่วงคุณมาก  ท่านรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องไม่ยอมให้ผมไปพักที่นั่น   แต่คราวนี้คงต้องขอขัดใจกันบ้างเพื่อตัวคุณเองด้วย  ผมรับรองว่าจะทำตัวให้เงียบที่สุดไม่ให้คุณรู้เลยว่ามีผมอยู่ด้วย  ตกลงไหม”  นายหมีเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่พวกเขาเงียบกันไปนาน

พีทไม่ตอบ เขาตวัดสายตาคมมองไปที่นายหมีครู่หนึ่งจึงหันหน้าออกนอกหน้าต่างไม่สนใจอะไรอีก  เขามีทางเลือกหรือ  ถึงเขายืนยันคำเดิมว่าไม่ได้ นายนั่นก็คงอ้างเรื่องที่เขาต้องฟังคำสั่งอยู่ดี   

‘โอ๊ย  อยากชกหน้าหมี’


เท่านี้คนที่นั่งขับรถก็คลี่ยิ้มออกมาทีละนิด ‘ไม่ตอบก็แสดงว่าไม่ปฏิเสธ  แต่ถึงแม้ไม่ยอม เขาก็จะอยู่บ้านนั้นให้ได้น่ะแหละ อุตส่าห์ไปอยู่ที่อื่นตั้งนาน กลับมาคราวนี้ขออยู่ใกล้ ๆ หน่อยแล้วกัน’

ความเงียบปกคลุมบรรยากาศการเดินทางตลอดเส้นทางที่เหลือ พีทหยุดโวยวาย  กลับเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด  เขาขยับเสื้อแจ็กเกตที่ใส่อยู่ให้กระชับขึ้น  กอดอกไว้ขณะเหม่อมองไปภายนอกรถ


หลังจากใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีจากบ้าน  ขับอ้อมเมืองมาถึงแหล่งบันเทิงอีกมุมหนึ่งของเมือง  รถสปอร์ตคันเฉี่ยวก็จอดลงบริเวณที่จอดรถวีไอพีหน้าร้านเรียกความสนใจจากผู้คนแถวนั้นได้เป็นอย่างดี  ก็ใครจะคิดว่าจะมีคนขับรถสปอร์ตราคาแพงมาจอดในย่านเสื่อมโทรมนี้

‘หมดกัน  จอดหน้าร้านขนาดนี้ใครก็รู้หมดน่ะสิว่าเขาเป็นใคร  แล้วไหนว่าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย  ทำตัวเด่นซะขนาดนี้ทำไมไม่ติดป้ายประกาศไปเลยล่ะว่าเขาเป็นคุณชายทายาทธุรกิจหมื่นล้าน’ 
พีทคิดประชดประชันในใจ

“มากับผม  ไม่ต้องกลัวอะไรหรอกน่า”  นายหมีตอบราวกับล่วงรู้ความคิดเขา

ใบหน้าเรียวบึ้งตึง  พีทไม่อยากให้ใครรู้ว่าฐานะทางบ้านที่แท้จริงเป็นอย่างไร   เขาอยากเป็นแค่คนธรรมดาที่ร้องเพลงเป็นอาชีพเท่านั้น  แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกจึงเปิดประตูลงไป    ชายหนุ่มทั้งสองคนกลายเป็นเป้าสายตาของผู้คนหน้าร้านทันที

“เธอดูสิ   พีทมากับใครน่ะ ขับรถหรูเสียด้วย  อีกคนนั้นหล่อจังเลย”  สาว ๆ ที่ยืนแถวหน้าร้านส่งเสียงร้องถามกันในกลุ่ม
เสียงงึมงำด้วยความชื่นชมดังตามหลังพวกเขาเป็นระยะ  แต่พีทไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น  เขารีบเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อเตรียมตัว  ปล่อยให้คนที่ตามมาถูกกลืนกับฝูงชนด้านหลัง




“พีท  นายมากับใครน่ะ โห หล่อชะมัด  เท่สุด ๆ ไปเลย  พวกผู้หญิงเค้าเม้าท์ในห้องน้ำกันใหญ่เลย”

พอเจอหน้า  คุณหนูเกรซผู้เพียบพร้อมก็ไม่มีแก่ใจจะถามไถ่อาการเจ็บป่วยของเขา  กลับตั้งเป้าไปสนใจนายหมีซะนี่  พีทที่อารมณ์เสียอยู่แล้วยิ่งทวีความหมั่นไส้มากยิ่งขึ้น   ใบหน้าเรียวยาวนั้นบูดสนิทเมื่อได้ยินเพื่อนสาวชมคนที่เขาไม่ชอบหน้า

“หึ  พวกผู้หญิง!”

“อะไรอ่ะพีท  มาเหวี่ยงอะไรเราละเนี่ย”

“..เอ่อ โทษที นายเป็นไงบ้าง ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” เกรซคิดขึ้นได้หลังจากสังเกตเห็นพีทใส่หมวกไหมพรมจนปิดหูเพื่อปิดรอยแผลและผมที่แหว่งไปส่วนหนึ่ง   

“นายใส่หมวกแบบนี้ดูน่ารักดีนะ” เกรซยิ้ม  ทำให้ใบหน้าสวยเก๋นั้นดูอ่อนโยน

“เพิ่งนึกได้หรือไงว่าเพื่อนเพิ่งโดนตีหัวมาน่ะ”  พีทยังเหวี่ยง 

วันนี้มันเป็นวันอะไรกัน  เขาอารมณ์ขึ้นลงมาตั้งแต่ตอนสาย  เดี๋ยวโกรธ  โมโห  พอใจเย็น  อารมณ์ดีแล้วก็กลับต้องมาโกรธอีก ปวดหัวแทบระเบิด จะไม่ไหวแล้วนะ

“แล้วตกลงวันนี้นายมากับใครล่ะ เพื่อนนายเหรอ ท่าทางดีนะ” 

คำถามเกรซสะกิดใจเขาขึ้นมากะทันหัน  นั่นสินะ เขาไม่ทันสังเกตเลยว่านายหมีนั่นเป็นใครมาจากไหน  นอกจากหน้าตาท่าทาง บุคลิกดีแล้ว นายนั่นยังแต่งตัวดี  เสื้อผ้าที่ใช้ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเสื้อผ้ายี่ห้อดังระดับเดียวกับเขา  แล้วยังขับรถหรูขนาดนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่   

“เอ่อ  คนของพ่อน่ะ  ส่งมาดูแล”  เขาตอบเลี่ยงไป

“เหรอ  ดูดีเกินจะเป็นแค่บอดี้การ์ดนะ”  เกรซตั้งข้อสังเกต

พีทไม่ตอบว่าอะไรเพราะเขาก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน นายหมีนั่นต้องไม่ใช่บอดี้การ์ดธรรมดาแน่

“อ้อ  เกรซ  แล้วเธอให้ใครมาร้องเพลงแทนล่ะ” 

“เอ่อ  อ๋อ  นายแคนน่ะเหรอ  เป็นเด็กเสิร์ฟที่ชั้นเพิ่งรับมาไง  พี่ร็อกกี้แกไปเข้าห้องน้ำแล้วได้ยินนายนั่นร้องเพลงเห็นว่าเสียงใช้ได้เลยเรียกให้มาลองร้องดู  ก็พอใช้ได้นะ  แต่วันนี้นายมาแล้ว  นายแคนก็ไปเสิร์ฟเหมือนเดิมล่ะ” 

“อืม  งั้นเหรอ  โทษทีนะที่ทำให้ลำบาก” 

“เฮ้ย  มะ..ไม่เป็นไรหรอก ไม่ลำบากอะไรสักหน่อย ฉันสบายดี  โอเค๊” 

เกรซกลับตอบตะกุกตะกักผิดปกติ  และเหมือนเธอจะรู้ตัวจึงรีบขอตัวออกไปดูร้านด้านนอก  ปล่อยให้พีทเตรียมตัว




คืนนี้น่าจะเป็นเหมือนทุกคืนที่พีทร้องเพลง แต่ตลอดเวลาที่อยู่บนเวทีเขากลับไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไร เพราะรู้สึกได้ว่านายบอดี้การ์ดนั่นคงจับตามองเขาอยู่มุมใดมุมหนึ่งของร้าน    เกิดความรู้สึกแปลก ๆ กับเขา  ที่ผ่านมาลูกค้ามากหน้าหลายตาก็คอยจับจ้องดูเขาเวลาร้องเพลง  เต้น  หรือพูดคุยกับแขกซึ่งเป็นเรื่องปกติ   แต่คราวนี้มันแปลกไปบอกไม่ถูก เขารู้แค่ว่าเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ มันทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไรนัก

เกือบเที่ยงคืนแล้วแต่พีทยังไม่ค่อยอยากกลับ  เมื่อนึกได้ว่าต้องไปเผชิญหน้ากับคนที่เขาไม่ชอบและแสดงท่าทางต่อต้านอย่างชัดเจน  ทั้งที่ตอนนี้เขาอยากกลับไปพักผ่อนใจจะขาด  ยิ่งเวลาผ่านไปความเจ็บปวดที่ขมับก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น  เขารู้สึกวูบวาบตามร่างกายเหมือนกำลังเป็นไข้     
   
พีทเลี่ยงออกไปบริเวณหลังร้าน  ซึ่งเป็นห้องเก็บของพวกเหล้าและไวน์   เขาอยากอยู่ลำพังสักครู่เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกอึดอัดที่แน่นอยู่ภายใน  โดยไม่รู้ตัว  เขาถูกชนจากใครคนหนึ่งที่วิ่งพรวดพราดออกมาจากห้องเก็บของ

“โอ๊ย!”

“อ้าว เกรซ” พีทแปลกใจที่เกรซอยู่ที่นี่  ปกติคนที่เข้าออกห้องนี้เป็นฝ่ายธุรการของร้านมากกว่า 

“เฮ้  เกรซร้องไห้ทำไม  เป็นอะไรรึเปล่า”   น้ำเสียงตกใจของพีททำให้เกรซรีบปาดน้ำตาทันที

“มะ ไม่มีอะไรหรอกพีท  เราเข้าไปดูไวน์น่ะ  แล้วฝุ่นบนชั้นไวน์มันกระเด็นเข้าตา  แล้วใส่คอนแทคด้วย  มันก็เลยยิ่งเคืองตา  เอ่อ  เราขอตัวไปล้างตาก่อนนะพีท”

“เฮ้ย  เกรซ  อย่าเพิ่งไป”  พีทรีบคว้าแขนเพื่อนสาวไว้

“เราพาไปดีกว่านะ  ตาเธอเป็นแบบนี้เดี๋ยวจะตกบันได  เสียโฉมขึ้นมาจะหาแฟนไม่ได้น๊า”  พีทพูดเล่นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ  เขาสังเกตเห็นความผิดปกติแต่คิดว่าให้เพื่อนเป็นคนพูดเองจะดีกว่า

พวกเขาขึ้นไปที่ห้องผู้จัดการ  พีทนั่งรอที่โซฟารับแขก  ส่วนเกรซเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำครู่ใหญ่แล้ว

“ครืด ๆ” เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาสั่น  หน้าจอเป็นเบอร์แปลกเขาก็เลยไม่สนใจ  ปล่อยให้โทรศัพท์สั่นอยู่อย่างนั้นจนเสียงเงียบไป  แต่ไม่นานเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้นแทนทำให้พีทขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เกรซยังคงเงียบอยู่ในห้องน้ำ  เขาจึงตัดสินใจรับสาย

“ทำไมคุณไม่รับโทรศัพท์ผม  คิดจะหลบอยู่บนนั้นไปอีกนานเท่าไร  ได้เวลากลับบ้านแล้ว”  ทันทีที่ได้ยินเสียงพีทหันไปที่ผนังกระจกทันที   

เบื้องล่างเขาเห็นแสงสว่างจากโทรศัพท์มือถือที่แนบหูนายบอดี้การ์ดที่มุมหนึ่งของร้าน  ใบหน้านั้นเงยขึ้นมองตรงมาราวกับรู้ว่าเขาต้องหันมามอง พีทถึงกับอึ้งไปที่นายนั่นรู้ว่าเขาอยู่ข้างบน  เขาอยากจะโกรธ  โมโหแล้วต่อว่ากลับแรง ๆ เหมือนกัน   แต่วันนี้ทั้งวันเขาเหนื่อยมากพอแล้วทั้งที่เพิ่งฟื้นตัวจากการถูกทำร้าย  พีทจึงตอบโต้ไปเพียงแค่วางสายแล้วกลับไปนั่งที่เดิม ไม่สนใจอะไรอีก

“อ้าวพีท  ยังไม่กลับเหรอ  เอ่อ  เราไม่เป็นไรแล้วล่ะ”  เกรซออกจากห้องน้ำสักที   ดวงตากลมโตของเกรซแดงก่ำ
 
“เธอโอเครึเปล่า  ดึกแล้วกลับบ้านเถอะเดี๋ยวเราขับให้  คืนนี้ยืมรถกลับบ้านก่อนนะ  พรุ่งนี้เช้าจะให้คนขับไปคืน” 

“อืม  ดีเหมือนกัน”  เกรซดูเหมือนคนใจลอย  ตอบตกลง

ทั้งคู่เดินออกจากร้าน  พีททำเป็นลืมไปว่าเขามากับใคร แต่เมื่อไปถึงลานจอดรถกลับเจอร่างสูงใหญ่ยืนพิงรถคันหรูของตัวเองรออยู่   

‘จมูกไวจริงนะ  มิน่าถึงเจ้าแรมโบ้ถึงไม่กัด  พวกเดียวกันนี่’
  คุณชายทำหน้าบูด

“คิดจะให้คุณเกรซไปส่งที่บ้านละสิ  ให้ผู้หญิงไปส่งมันไม่เป็นสุภาพบุรุษนะครับคุณชาย”  น้ำเสียงนั้นจงใจกวนเขาแน่ ๆ

“เป็นแค่บอดี้การ์ด  อย่ามายุ่งเรื่องเจ้านาย  ถอยไป”  อดไม่ได้จึงตอกกลับบ้าง

นายหมีไม่สนใจคำดูถูกนั้น  กลับเดินตรงมาหาทั้งคู่

“สวัสดีครับคุณหนูเกรซ ผมเป็นผู้ดูแลคุณชายพีทครับ”

ร่างสูงใหญ่ของนายหมีเดินเข้ามาแนะนำตัวกับเกรซ ทำให้พีทเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ แต่เพื่อนของเขาดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากนัก  กล่าวทักทายสั้น ๆ แล้วขอตัวไปขึ้นรถ 
 
นายนี่นอกจากจมูกไวแล้วยังแสนรู้อีกต่างหาก รู้ด้วยว่าเกรซเป็นใคร แต่คิดไปคิดมาถ้าเรื่องแค่นี้ไม่รู้ก็ไม่ควรมาทำงานนี้หรอกนะ
พีทจะเดินตามเกรซไปอีกคนกลับถูกมือแข็งแรงดึงแขนไว้  ร่างสูงโปร่งชะงัก  เขาสะบัดแขนออก  คิ้วขมวดอย่างไม่ชอบใจ  ปรายตามองบอดี้การ์ดแสนรู้เหมือนจะถาม

‘อะไรอีกล่ะ?’

“คุณจะไปส่งคุณหนูเกรซที่บ้านใช่ไหม  เดี๋ยวผมจะขับตามไป”   

พูดแล้วร่างสูงใหญ่นั้นก็หันกลับพลางก้าวขายาว ๆ เดินไปที่รถ  ทำให้พีทแปลกใจอีกหนเพราะไม่คิดว่านายหมีจะรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรต่อไป   

ไม่นานรถสปอร์ตสองคันก็เคลื่อนตามกันไป ทิ้งให้ใครอีกคนที่ยืนอยู่หลังร้านมองตามด้วยความรู้สึกหลากหลาย

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 5 อัพเดต 10/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 13-07-2014 23:16:05
7. ป่วย


พีทจอดรถหรูของเกรซหน้าตึกหลังใหญ่ เขารอจนกระทั่งเกรซเดินเข้าบ้านเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับมาขึ้นรถอีกคันที่จอดรออยู่
 
ระหว่างทางกลับบ้านไม่มีใครพูดอะไร  พีทนั่งเงียบ  เขาเหนื่อยและอ่อนเพลียอย่างมาก  วันนี้ทั้งวันเขาใช้พลังงานไปกับเรื่อง...พีทปรายตาไปยังคนที่ขับรถอยู่อย่างไม่ชอบใจ  แล้วเกรซอีกคน  เขาครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เกรซเสียใจ  ปกติเกรซเป็นคนร่าเริง  พวกเขามักจะนัดไปซ้อมเต้นด้วยกันเวลาว่าง  เกรซไม่มีเรื่องใดที่จะทำให้เธอเสียใจได้นอกจากเรื่องที่ทางบ้านเตรียมหาคนที่เหมาะสมมาเป็นคู่หมั้นคู่หมาย

“พวกคุณดูสนิทกันดีนะ”  เสียงนุ่มนั้นก็เอ่ยลอย ๆ ทำลายความเงียบ

“.....”
 
“แล้วทำไมไม่ยอมหมั้นกันล่ะ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็เห็นชอบนี่” 

“.....”

ยังคงไม่มีคำตอบจากหนุ่มน้อยที่นั่งนิ่งหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างตอนนี้ออดี้เคลื่อนมาหยุดที่ทางเดินเข้าบ้านริมน้ำแล้ว

“พีท”

เสียงเรียกนั้นอ่อนโยนมาก  ทำให้พีทที่กำลังหมกมุ่นกับความคิดตัวเองชะงัก  เขาหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ สบตาคนที่มองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว

“อย่ามาทำตีสนิท   ชั้นไม่ชอบ!”    น้ำเสียงแสดงความหงุดหงิดอย่างชัดเจน  ตอนนี้เขาปวดหัวรุนแรงและเพลียเหลือเกิน  เขาอยากจะอาบน้ำอุ่นจัดแล้วนอนทันที   ไม่มีแรงจะทะเลาะกับใครแล้ว

“ทำไมละ  คนทำงานด้วยกันควรจะสนิทกันไว้  ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย  ผมชื่อฮัท  ยินดีที่ได้รู้จัก”  เจ้าตัวว่าพลางหันหน้ามายิ้มให้  ตั้งแต่เจอหน้ากันเขาเพิ่งได้มีโอกาสแนะนำตัว  ก็คุณชายมัวแต่โมโห  โวยวาย  แถมยังท้าสู้อีกต่างหาก 

‘ฮัท?’    พีทครางชื่อนี้อยู่ในใจ   รู้สึกเจ็บแปลบในส่วนลึกอย่างไม่เคยเป็น ‘หมอนี่หน้าคล้ายแล้วยังชื่อคล้ายอีกหรือนี่’ 

“เรียกพี่ฮัทก็ได้  ดูเป็นกันเองดี”  น้ำเสียงนั้นแผ่วลงเหมือนกล้า ๆ กลัวๆ

“ไม่จำเป็น!  ชั้นไม่มีพี่ชาย  แล้วนายก็ไม่ใช่พี่ชั้น!”

อะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั้นตอบกลับมา  ขนาดคนฟังยังรู้สึกได้   รอยยิ้มจางหายไปทันที

“ผมเป็นพี่ชายให้ก็ได้นะ เอาไหม”  คนอยากเป็นพี่ยังไม่ละความพยายาม  รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนเหมือนจะยืนยันคำพูด

“ชั้นขอเตือนครั้งสุดท้าย  อย่ามายุ่งกับชีวิตชั้น  นายแค่ทำหน้าที่ของนายไป เข้าใจมั้ย!”  พีทกระแทกประตูรถปิดเสียงดังสนั่นด้วยแรงอารมณ์บางอย่าง  เขาเดินจ้ำหายเข้าไปในบ้านหลังน้อยริมน้ำอย่างรวดเร็วทิ้งให้คนในรถยังนั่งอยู่ที่เดิม

ใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้เศร้าหมอง   นายหมีหลับตาพิงศีรษะกับเบาะ กัดกรามจนเป็นสันนูนราวกับกำลังกลั้นความเสียใจไว้




เสียงกระแทกประตูห้องนอนดังโครมครามทำให้เจ้าแรมโบ้ที่เดินตามหลังนายมาเผ่นลงบันไดแทบไม่ทัน   อาการแบบนี้แรมโบ้เรียนรู้ว่าควรอยู่ให้ห่างนายมากที่สุด  แรมโบ้ตรงเข้าไปกระดิกหางเป็นพวงให้นายอีกคนของมันแทน 

“ไงแรมโบ้ ตกใจเหรอ”  ร่างสูงใหญ่ย่อตัวลง  มือใหญ่อบอุ่นนั้นลูบหัวสุนัขตัวโปรดของคุณชายอย่างเศร้าสร้อยพลางเงยหน้ามองขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบน  ความคิดล่องลอยกลับไปยังเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่

“ไม่จำเป็น!!  ชั้นไม่มีพี่ชาย  แล้วนายก็ไม่ใช่พี่ชั้น” 

ประโยคนี้ยังสะท้อนก้องในหัวเขา  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“โฮ่ง”  แรมโบ้เห่าแล้วเอียงหัวมองดูนายของตน 

เจ้านายถอนหายใจยาวนานแล้วจึงลุกขึ้น   ร่างสูงใหญ่เดินสำรวจรอบบ้านสีขาวหลังน้อยจนทั่ว เขาโทรสั่งการ์ดที่เฝ้าระวังอยู่นอกรั้วจนเรียบร้อยดีแล้วจึงขึ้นบันไดเข้าไปในห้องนอนใหม่ที่เพิ่งเข้ามายึดครอง  ข้าวของส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกล่อง  ไม่ได้นำออกมาจัดเรียง  เขาตรงไปเปิดโน้ตบุ๊กเครื่องเล็กบางเฉียบที่วางบนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ริมหน้าต่างบานสูงแทบจรดเพดาน  จัดการเรื่องงานทางอินเตอร์เน็ตอยู่นาน  เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงไปอาบน้ำ

เกือบตีสามแล้วกว่านายหมีจะออกจากห้องน้ำ   ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่เกิดจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมีหยาดน้ำเกาะพราว  มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันร่างกายท่อนล่างไว้  เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผม  บรรยากาศขณะนี้เงียบสงัด   เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานเบา ๆ เป็นระยะ 

“ตึง!!”

เสียงสิ่งของตกกระทบพื้นไม่ดังนักจากด้านนอกห้องนอน  โดยอัตโนมัติ   นายหมีพุ่งตัวไปหยิบปืนที่วางบนโต๊ะทำงานมากระชับในมือแน่น 

‘เสียงอะไร?!’ 


เขาก้าวไปที่ประตูห้อง  แง้มประตูออกเพียงเล็กน้อย  ดวงตาเล็กมองไปบริเวณทางเดินสลัวภายนอกห้อง ไม่มีความเคลื่อนไหวใด  เขาแง้มประตูกว้างขึ้นอีกนิด  แสงสว่างเพียงเล็กน้อยมาจากโคมไฟเล็กตรงบันไดห่างออกไปทางขวามือ ไม่มีสิ่งผิดปกติใด  ดวงตาพลันไปเห็นแสงไฟอ่อนลอดผ่านประตูห้องนอนฝั่งตรงข้าม  เขาตัดสินใจเดินตรงไปห้องนั้น  มือใหญ่ขยับลูกบิดอย่างเบามือ  ห้องไม่ได้ล็อก  เขาผลักประตูเข้าไปช้า ๆ 

แสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟบนโต๊ะหัวเตียง ทำให้เห็นสภาพภายในห้องนอนสีขาวขนาดใหญ่ได้ชัดเจน  ร่างกำยำที่ถือปืนถอนหายใจอย่างโล่งอก  มือที่จับปืนในท่าเตรียมพร้อมปล่อยลงข้างตัว  มืออีกข้างเสยผมที่ยังชื้นอยู่เล็กน้อย  ใบหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่ผ่อนคลายลงเมื่อมองไปที่เตียง   

พีทนอนคว่ำตะแคงหน้าไปทางหนึ่งบนเตียงกว้าง  มือข้างหนึ่งพาดออกมานอกเตียง  หมอนกระเด็นไปอีกทางหนึ่ง  ผ้าห่มพันระเกะระกะรอบตัวเหมือนคนนอนดิ้น   กรอบรูปเล็ก ๆ ตกอยู่บนพื้น

‘สงสัยพีทคงเผลอเอามือไปปัดกรอบรูปตก’


เขาคิดพลางก้มลงไปเก็บกรอบรูปนั้นขึ้นมา  ดวงตาชั้นเดียวจ้องมองไปที่กรอบรูปในมือแล้วต้องนิ่งไปนาน   กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอ   มือที่จับกรอบรูปกำแน่นจนเกร็ง

ภาพนั้นเป็นรูปเด็กชายสองคนยืนหันข้างให้  เด็กชายที่ตัวสูงกว่าหันใบหน้ามายิ้มให้กล้องอย่างเต็มที่จนตาแทบปิด ด้านหลังมีเด็กชายอีกคนวัยสี่ขวบ  มืออวบสองข้างจับแน่นอยู่ที่เอวของคนที่สูงกว่าใบหน้ากลมนั้นหัวเราะร่าเพราะได้เล่นรถไฟไปเที่ยวรอบบ้าน 

ใบหน้าคมยิ้มเศร้าให้กับรูปในมือ   ความรู้สึกหลากหลายที่เกิดขึ้นทำให้เขาจ้องมองรูปที่สีซีดไปตามกาลเวลาอยู่นาน  จนกระทั่งได้ยินเสียงครางแผ่วเบาจากคนบนเตียง  เขารีบวางกรอปรูปบนโต๊ะข้างเตียงแล้วก้มลงไปใกล้ร่างที่นอนท่ามกลางผ้าห่มยุ่งเหยิง  ได้ยินเสียงครางเบาเหมือนกำลังเจ็บปวด  เขาขมวดคิ้วก่อนจะวางมือใหญ่ลงบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อแล้วต้องสะดุ้งเพราะรับรู้ถึงอุณหภูมิที่สูงผิดปกติ 

“ไม่สบายตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”  คนที่เปลือยท่อนบนพึมพำหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้สังเกตว่าพีทไม่สบาย  เดินออกจากห้องไปรวดเร็วผิดจากตอนเข้ามา  และกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมแก้วน้ำและยา  นายหมีเปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดกางเกงนอนแล้ว  มือใหญ่จับร่างที่นอนอยู่ให้พลิกนอนหงาย  ร่างอุ่นจัดนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ  เขาพลิกศีรษะของพีทไปทางหนึ่งเพื่อดูแผลที่ถูกตี 

“บ้าจริง” ชายหนุ่มสบถเมื่อเห็นแผลเย็บเกือบสิบเข็มนั้นมีเลือดซึมแผลคงจะปริและคงจะอักเสบด้วย  ความรู้สึกผิดเข้าเกาะกุมจิตใจ  เขาไม่น่าไปท้าพีทเลย   แผลคงจะเปิดเพราะพวกเขาสู้กันเมื่อเช้า  คิดแล้วเขาจึงจัดแจงทำแผลใหม่   พีทร้องครางและกระสับกระส่ายตลอดเวลาที่เขาทำแผล ท่าทางคงจะเจ็บไม่น้อย   เห็นแล้วเขาก็ยิ่งเจ็บใจตัวเอง    หลังจากทำแผลเสร็จแล้วจึงใช้ผ้านุ่มซับเหงื่อตามใบหน้าและลำคออย่างเบามือ  คนที่นอนไม่รู้ตัวส่ายหน้าไปมาเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น

“พีท พีท ตื่นเถอะ  ลุกขึ้นมากินยาก่อน” 

เสียงปลุกเบาใกล้หูพร้อมกับแรงเขย่าที่ไหล่ทำให้พีทเริ่มรู้สึกตัว   คนป่วยลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก  คิ้วขมวดเพราะอาการปวดหัวอย่างรุนแรง  ใบหน้าที่เขาเห็นกำลังก้มมามองเขาอยู่ 

“ฮื่อ ออกไป อย่ามายุ่ง” ทันทีที่รับรู้ว่าคนที่เข้ามาปลุกเป็นใครก็เอ่ยปากไล่   แต่เสียงที่ออกมานั้นแหบพร่าฟังแทบไม่เป็นคำ   พีทพยายามยกมือไม้ปัดป่ายไปมาทั้งที่แทบยกแขนตนเองไม่ขึ้นเพราะอาการไข้ทำให้เขาอ่อนเพลีย
 
“กินยาก่อนนะ เสร็จแล้วพี่ก็จะออกไป”  คนที่เฝ้ามองอยู่ยึดแขนที่ปัดป่ายไปมาไว้แล้วกดให้แนบกับลำตัว   พีทฮึดฮัดแต่ไม่มีแรงต่อต้าน 

นายหมีสอดแขนซ้ายไปใต้ไหล่ยกตัวคนที่นอนอยู่ขึ้นมาแล้วขยับตัวเข้าไปด้านหลังใช้ตัวเองเป็นที่พิงให้คนป่วย จับศีรษะพีทอิงไว้กับไหล่ ใช้แขนข้างซ้ายประคองไว้  พีทส่ายหน้าหนี   พยายามจะขยับตัวออกแต่ไม่เป็นผลเพราะถูกประคองอยู่ในอ้อมแขนแน่นหนา  นายหมีใช้มือข้างที่ว่างหยิบยายื่นให้ถึงปาก

“กินยานะ”  คนที่ประคองอยู่พยายามหว่านล้อม  พร้อมกับป้อนยาไปด้วย 

“ฮื่อ”  เสียงครางอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ของคนป่วยที่ไม่ยอมกินยา   พีทพยายามยกตัวเองขึ้นนั่งทั้งที่แรงจะยกแขนยังไม่มี

“กินยานะ อย่าดื้อสิ  ไม่กินยาพี่ก็ไม่ไปนะ จะรออยู่แบบนี้แหละ ถ้าพรุ่งนี้ไม่หายก็ไม่ต้องไปร้องเพลงล่ะ” 

คนป่วยนิ่วหน้าจากความเจ็บปวดที่แล่นปราดไปทั่วศีรษะเพราะพยายามขยับตัวหนี   จึงยอมหยุดแต่โดยดีแต่ยังทำท่าฟึดฟัดเหมือนไม่พอใจทั้งที่ไม่มีแรง จำใจอ้าปากรับยาที่ยื่นป้อนให้  นายหมีประคองแก้วน้ำให้คนป่วยดื่มน้ำตามช้า ๆ  จากนั้นจึงวางคนป่วยลงบนเตียงตามเดิม   มือใหญ่จัดศีรษะให้ตะแคงไปทางด้านที่ไม่ถูกตีอย่างแผ่วเบา

“นอนเถอะ”  เสียงทุ้มนั้นบอกแผ่วเบาใกล้ ๆ   

ทันทีที่หัวถึงหมอน  คนป่วยก็หลับไปอย่างรวดเร็ว   




พีทหลับไปแล้ว  ลมหายใจสม่ำเสมอไม่มีอาการกระสับกระส่ายอีก  นายหมียังคงนั่งพิงหลังตนเองกับหัวเตียงข้างคนที่หลับสนิท  คอยเฝ้าใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามใบหน้า  ลำคอและแขนเพื่อลดอุณหภูมิ   มือใหญ่ลูบศีรษะของพีทอย่างแผ่วเบา  ใบหน้ายามหลับของพีทเหมือนเด็กเล็ก ๆ ดูไร้พิษสง    ไม่เหมือนคุณชายพีทที่เจ้าคิดเจ้าแค้น  จอมวางแผน  โกรธไม่เลิกอย่างที่เขาเจอเมื่อเช้า

“ป่วยแล้วยังจะอวดเก่งอีก  ดื้อจริงนะเรา  ตั้งแต่เด็กเลย” 

เขาละสายตาจากใบหน้าที่หลับสนิทมองไปทั่วห้องเป็นครั้งแรก  ตอนแรกที่เข้ามาเขาไม่ทันได้สังเกตสิ่งใดเพราะความตกใจ   ตอนนี้เจ้าของห้องหลับไปแล้วเขาจึงใช้โอกาสนี้มองสำรวจไปรอบห้อง 

ห้องนี้มีลักษณะคล้ายกับห้องที่เขาครอบครองอยู่  ผนังด้านซ้ายมีภาพเพ้นท์สีสดเป็นตัวอักษรที่เขามองไม่ออก  อีกฝั่งตรงข้ามวางโต๊ะทำงานขนาดใหญ่เต็มไปด้วยหนังสือ   คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด  กีตาร์โปร่งตัวหนึ่งตั้งไว้กับขาตั้ง

เขายิ้มเมื่อเห็นกีตาร์โปร่งตัวนั้น  หันกลับมามองคนป่วยที่นอนอยู่ด้วยดวงตาเป็นประกาย คนตัวใหญ่ยิ้มกับความลับบางอย่าง  เกิดความรู้สึกดีใจ ปลื้มใจเพียงแค่เห็นกีตาร์ตัวนั้นตั้งอยู่  ไม่รู้ทำไมหัวใจค่อยพองตัวอย่างช้า ๆ 

ในที่สุดเมื่ออดไม่ได้จึงขยับตัวลงจากเตียงตรงไปที่กีตาร์ตัวนั้น   มือใหญ่จับกีตาร์ตัวเก่าขึ้นมาลองกรีดนิ้วลงไป  เสียงกีตาร์สะท้อนกังวานในห้อง  กีตาร์ตัวนี้ได้รับการดูแลอย่างดีแทบไม่มีรอยขีดข่วนอะไร  สายกีตาร์ตั้งเสียงไว้เรียบร้อยแสดงว่าเจ้าของคงหยิบมาเล่นบ่อย ๆ  คนตัวใหญ่ยิ้มกว้างกว่าเดิม  มองไปที่คนบนเตียงอีกครั้งหนึ่ง 

พีทยังคงหลับสนิท   เขาจึงนั่งลงที่เก้าอี้และเริ่มต้นเล่นกีตาร์ตามท่วงทำนองที่คุ้นเคย   


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 6-7 อัพเดต 13/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-07-2014 00:06:46
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 6-7 อัพเดต 13/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 14-07-2014 20:39:54
8. เจ้าของร้านกับเด็กเสิร์ฟ


“บ้าที่สุด!  นายนั่นกล้าดียังไงมาทำกับชั้นแบบนี้  นายเจอดีแน่  นายแคน!”  เกรซน้ำตาไหลด้วยความเจ็บใจ  ชกหมอนใบใหญ่จนขนนกกระจายออกมาปลิวว่อนบนเตียงนอนหลังใหญ่ที่ปูด้วยผ้าสีขาวลายดอกไม้เล็ก ๆ   สาวน้อยทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มอย่างแรง   คุณหนูเกรซของบ้านหลับตาลง  เรื่องราวหลายอย่างไหลวนอยู่ จะสลัดอย่างไรก็ไม่ยอมหลุด   มันคอยแต่เฝ้าวนเวียนอยู่ในใจเธอ

หลายวันก่อนมีคนมาสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟ   เกรซจึงเรียกไปคุยรายละเอียดเนื่องจากผู้จัดการร้านลาป่วย
“เข้ามาได้” เกรซร้องบอกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู 

เจ้าของร้านคนสวยกำลังยืนมองผนังกระจกในห้องผู้จัดการ  ห้องนี้อยู่บนชั้นลอยของร้าน  เป็นเหมือนห้องสังเกตการณ์  ผนังด้านหนึ่งกรุด้วยกระจกบานกว้างซึ่งสามารถมองเห็นบริเวณร้านด้านล่างได้ทั้งหมดโดยที่คนข้างล่างไม่สามารถมองเข้ามาภายในได้

“สวัสดีครับ  ผมมาสมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟครับ”

เสียงทุ้มไพเราะเอ่ยขึ้นด้านหลัง    เมื่อเธอหันไปเผชิญหน้าผู้ที่เข้ามาใหม่  คิ้วเรียวก็ขมวดด้วยความแปลกใจ 

คนที่เข้ามาในห้องดูดีเกินกว่าจะมาเป็นพนักงานเสิร์ฟ  รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาอย่างกับพระเอกหนังฮ่องกง   คิ้วเข้ม    จมูกโด่งรับกับใบหน้า  ริมฝีปากบางได้รูปสวย  ดวงตาสีดำสนิท  แววตาดูใสซื่อ   

‘แบบนี้ลูกค้าผู้หญิงคงเรียกหากันให้ควั่กแน่เชียว’
  เกรซคิด 

ที่สำคัญ  เธอรู้สึกเหมือนเคยเห็นคนหน้าตาคล้ายแบบนี้ที่ไหนสักแห่ง

“เอ๊ะ  ทำไมหน้าคุ้น ๆ  เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า” 

“เปล่าครับ  ผมเพิ่งเห็นหน้าคุณเป็นครั้งแรกนี่แหละครับ” 

แต่คุณหนูผู้เฉลียวฉลาดอย่างเกรซหรือจะเชื่ออะไรง่าย ๆ  เธอเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น  เงยหน้าเพ่งพินิจดูคนตรงหน้า  อะไรบางอย่างยังคาใจเธออยู่แต่เธอนึกไม่ออก  ใบหน้านี้ดูคุ้นตาเหมือนเคยเจอผ่าน ๆ  แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก   เกรซก้มลงพิจารณาหลักฐานการสมัครงานในมืออย่างละเอียด เอกสารทุกอย่างในนั้นดูเรียบร้อยดีไม่มีอะไรผิดปกติ  ในที่สุดเมื่อหาข้อติอะไรไม่ได้เธอจึงตัดสินใจรับเขาไว้เพราะตอนนี้พนักงานที่มีอยู่ก็แทบจะไม่พอโดยเฉพาะวันศุกร์และเสาร์

“จะให้เรียกนายว่าอะไร   อยู่ที่นี่นายสามารถใช้ชื่ออะไรก็ได้” 

“ผมชื่อแคนครับ  เรียกแคนก็ได้ครับ”  พนักงานเสิร์ฟคนใหม่ของร้านตอบแล้วยิ้มกว้างให้

 แววตาแพรวพราววิบวับที่มองมาทำเอาเกรซอึ้งไปทีเดียว  เธอรู้สึกเหมือนตกลงไปในบ่อทรายดูดยังไงไม่รู้  ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะว่าแคนยิ้มแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ใบหน้าเขาน่ามองขึ้นกว่าเดิมเสียอีก




พนักงานใหม่เริ่มงานวันแรกก็เกิดเรื่องทันที  เกรซถูกตามตัวด่วนเนื่องจากแขกทะเลาะกัน  พนักงานรายงานว่ากลุ่มลูกค้าสาวสองโต๊ะต่างติดใจพนักงานคนใหม่และต้องการให้บริการเฉพาะพวกเขากลุ่มเดียว จึงเกิดการเขม่นกันขึ้น  พนักงานใหม่พยายามรอมชอมด้วยการบริการให้ทั้งสองโต๊ะ  แต่ไม่รู้ว่าไปพูดอีท่าไหนจึงทำให้แขกทั้งสองกลุ่มเข้าตะลุมบอนกันแทน   หลังจาก
เคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย  นายแคนก็ถูกเรียกไปสอบสวน

“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ  ผมแค่บอกว่าผมจะบริการให้ทั้งสองโต๊ะ  แขกเขม่นกันเองครับ  ผมไม่รู้เรื่อง” 

พนักงานใหม่ตอบปฏิเสธพร้อมกับส่ายหน้า  ใบหน้าซื่อ ๆ นั้นเหมือนไม่รู้เรื่องใด  แต่เพราะอะไรไม่รู้เกรซกลับมีความรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น  นายแคนดูเป็นคนฉลาดมากกว่าหน้าตาที่แสดงออกว่าเป็นคนซื่อ  เกรซสอบถามจนไม่มีข้อสงสัยอะไรแล้วจึงต้องปล่อยไป   เพราะการมีเรื่องราวชกต่อยเป็นเรื่องธรรมดาของธุรกิจนี้อยู่แล้ว   เพียงแต่คราวนี้ฝ่ายที่มีเรื่องเป็นผู้หญิงด้วยกันเอง

วันต่อมา  เกรซจับตามองพนักงานเสิร์ฟคนใหม่ตลอดเวลา  ไม่นานเธอก็ได้รู้ว่านายแคนเป็นคนมีเสน่ห์มากขนาดไหน  ใบหน้าคมนั้นมีรอยยิ้มอยู่เสมอทำเอาลูกค้าสาวเคลิ้มไปทีเดียว  ดูได้จากจำนวนลูกค้าวัยรุ่นสาว ๆ ที่คอยเรียกหาและพยายามหว่านเสน่ห์ให้เขา  แต่ดูเขาไม่ยอมรับไมตรีใครกลับบริการลูกค้าด้วยความสุภาพ  ไม่ฉวยโอกาส 
 
‘มิน่าล่ะ ทำแบบนี้พวกนั้นยิ่งคลั่งไปใหญ่  เข้าใจบริหารเสน่ห์นะนายคนซื่อ’ 
       
เมื่อสังเกตบ่อยเข้า   เกรซกลับพบว่านายแคนมีบุคลิกบางอย่างที่ทำให้เธอไม่อาจมองข้าม  ลักษณะท่าทางที่แตกต่างจากคนทั่วไป  มีความมั่นใจ ฉลาด ทันคน  มีบุคลิกเหมือนคนที่ไม่เคยยอมใคร  ถ้าใครมาบอกว่านายแคนเป็นลูกคนรวย  เกรซก็คงจะเชื่อได้ไม่ยาก แต่ข้อมูลในใบสมัครงานแคนเป็นเพียงคนตกงานธรรมดา  เรียนจบแค่ระดับมัธยมปลาย




เจ้าของร้านเงยหน้าขึ้นมองเพดานอย่างเหนื่อยใจทันทีที่ได้รับรายงานเรื่องแขกทะเลาะกัน 

‘อีกแล้วเหรอ  คืนนี้สามครั้งแล้วนะ’ 

ตั้งแต่นายนั่นมาทำงานก็เกิดเหตุการณ์แขกมีเรื่องกันทุกคืน  และต้นเหตุทั้งหมดมาจากคนคนเดียวคือ  นายแคน!!




แคนถูกตามตัวไปที่ห้องผู้จัดการครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้  เขาอมยิ้ม  แววตาหมายมาดอะไรสักอย่างขณะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องผู้จัดการ

“นี่มันอะไรกันฮะ  นายแคน  นี่ครั้งที่เท่าไรแล้วที่นายเป็นต้นเหตุให้แขกทะเลาะกัน   ชั้นชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ  กรุณาอย่าบริหารเสน่ห์ของนายมากนักได้มั้ย  ช่วยทำตัวเป็นพนักงานเสิร์ฟธรรมดาเหมือนที่คนอื่นเป็นจะได้หรือเปล่า” 

คุณหนูเกรซแหวใส่เขาทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น  ใบหน้า ‘เจ้านาย’ สาวแดงก่ำทีเดียวด้วยความโกรธ  คิ้วเรียวสวยนั้นขมวดมุ่น  แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับมองว่าเธอยังสวยอยู่ดี  เขาแสร้งยิ้มซื่อเหมือนทุกครั้งแล้วหาเรื่องแก้ตัวเหมือนทุกทีที่ถูกเรียกมาโวยเรื่องทำแขกทะเลาะกันเพื่อ ‘แย่ง’ เขา

“เปล่านะครับคุณหนู  เอ้ย!  เจ้านาย  ผมก็ทำหน้าที่ตามปกติครับ”  มีแววขี้เล่นในดวงตาคมที่มองมา

“เมื่อกี้นายเรียกชั้นว่าอะไรนะ”  เกรซกลับสะดุดใจกับคำที่เขาตั้งใจเรียก

“ผมก็เรียกว่าเจ้านายไงครับ”  ตอบแล้วยิ้มโปรยเสน่ห์ให้คุณหนูสักหน่อย

“ไม่ใช่  นายไม่ได้เรียกแบบนั้นตอนแรก  นายเรียกชั้นว่า  เอ่อ  ช่างมันเถอะ”  กลายเป็นเกรซเองที่ลังเล 

‘คงกำลังคิดว่าทำไมเขาถึงเรียกเธอว่าคุณหนู  ใช่ไหมล่ะ’ 


“ชั้นขอเตือนนายเป็นครั้งสุดท้าย     ห้ามนายทำให้แขกทะเลาะกันอีก  ถ้ามีเรื่องอีกนายถูกไล่ออกแน่” 

“โธ่  เจ้านายคร้าบ  ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ  อย่าใจร้ายกับผมเลย  ผมยังต้องหาเลี้ยงครอบครัว  ทั้งอากง  อาม่า  อาอี้  อาตี๋  อาหมวย  ถ้าผมถูกไล่ออก  ครอบครัวผมจะเอาอะไรกินล่ะครับ”   คำพูดคล้ายจะเป็นการขอร้องแต่ใบหน้านั้นกลับดูไม่เหมือนคนที่กำลังเดือดร้อนอะไรเลย 

“อีกอย่างตั้งแต่ผมมาทำงานที่นี่  ผมก็เรียกลูกค้าสาว ๆ ได้เยอะนะครับ  ถึงแม้ว่าแขกจะทะเลาะกันไปบ้าง  เจ้านายก็น่าจะสังเกตเห็นว่าตั้งแต่ผมทำงานมาเนี่ย  ที่นี่คนแน่นทุกคืน   แล้วร้านขายเหล้ามันก็ต้องมีคนเมา  เมาแล้วก็ต้องมีบ้างที่คนจะมีเรื่องกัน  บางทีก็ไม่เกี่ยวกับผมเลย  แต่พอมีเรื่องทีไรก็โทษผมทุกทีทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”  เขาว่าเสียงอ้อน  พลางทำหน้าตาน่าสงสาร

“นายอย่ามาแก้ตัวหน่อยเลย  ไม่ใช่นายคนเดียวหรอกนะที่เรียกลูกค้าได้ ไม่มีนายร้านชั้นก็อยู่ได้  อย่าหลงตัวเองมากนัก”  เจ้านายสาวตอกกลับ

‘โอ้โห  แผนหว่านเสน่ห์ของเขาไม่ได้ผลเหรอเนี่ย จัดมาชุดใหญ่เลยนะคุณหนู’ 


เขารู้เหมือนกันว่าไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่เรียกลูกค้า  ผับยอดนิยมนี้นอกจากจะมีดีเจเปิดแผ่นเจ๋งแล้วยังมีวงดนตรีฝีมือเยี่ยมเป็นจุดขาย  โดยเฉพาะนักร้องนำที่นอกจากจะเสียงดีแล้ว  รูปร่างหน้าตายังเป็นดาราได้สบาย  ขนาดเขาเป็นผู้ชายยังต้องยอมรับเลย 
 
หลังจากโดนคาดโทษไว้โดยเจ้านายคนสวย  แคนก็ทำตัวดีขึ้น  เขาก็ต้องเว้นระยะห่างไว้บ้างเพราะเขาอยากอยู่ให้คุณหนูเกรซปวดหัวไปนาน ๆ นี่     

‘ตัวปัญหา’ ของคุณหนูคิดพลางยิ้มหวานให้ลูกค้า  แต่คราวนี้คงเป็นคราวซวยของเขาที่ลูกค้ามีห่วงติดมา  ห่วงใหญ่เสียด้วย

“เฮ้ย  ยิ้มให้แฟนกูทำไมวะ  มึงอยากมีปัญหาเหรอ” 

“เอ่อ  ปะ เปล่าครับ  ผมยิ้มให้ทุกคนครับคุณ”

“นี่มึงกวนตีนกูเหรอ” 

‘พี่นั่นแหละกวนตีนผม’  แคนคิดในใจ  แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาคิดมันจะฉายชัดออกไปทางสายตา

“เปล๊า  ผมไม่กล้ากวนตีนพี่หรอกคร้าบ  พี่กล้ามโต”  แคนพยายามอดกลั้นความโกรธไว้ ‘ไปเจอกันข้างนอกสิวะ’

“มึงไม่ต้องมาแกล้งชมกู  ตามึงกำลังด่ากูอยู่อย่านึกว่ากูไม่รู้  แห้ง ๆ อย่างมึง  กูชกทีเดียวก็จอด  มึงจะลองมั้ย”  พี่กล้ามโตตะคอกใส่  คว้าคอเสื้อเขาพร้อมกับเงื้อหมัดขึ้น 

แคนหลบหมัดนั้นได้หวุดหวิดแล้วสวนกลับทันที  หมัดลุ่น ๆ ของเขาชกเข้าที่ปลายคางอย่างถนัดถนี่  ลูกค้าร่างใหญ่สลบกลางอากาศ  ล้มลงเสียงดัง   เสียงวี้ดว้ายและเสียงกรีดร้องอย่างตกใจของคนรอบทิศนั้นเรียกสติของแคนให้กลับมา

“ซวยแล้วกู  ไอ้แคน”  แคนอยากจะบ้าตาย 




“นายแคน  นายเก็บของไปได้เลย  ชั้นไล่นายออก!” 

คำประกาศิตฟาดลงมาตรงหน้าหนุ่มเจ้าเสน่ห์หรือที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหนุ่มเจ้าปัญหาไปแล้ว

“แต่ผมโดนหาเรื่องก่อนนะครับ ไอ้หมอนั่นมันชกผมก่อน  ผมก็เลยเผลอชกคืน”  ท้ายประโยคเสียงแคนเบาลง  ก็พอรู้อยู่หรอกว่าช่วงนี้ไม่ควรทำตัวมีปัญหา

“เผลอเหรอ!  นายบอกว่าเผลอชกงั้นเหรอ!  ขนาดทำเค้าสลบเนี่ยนะเผลอของนาย  นี่นายรู้ไหมว่าร้านชั้นจะเสียหายขนาดไหน  ลูกค้าถูกพนักงานเสิร์ฟชกจนสลบแล้วใครจะกล้ามาเที่ยวร้านชั้นอีก  หมดกันชื่อเสียงที่สะสมมา”  เกรซดูคล้ายจะพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ  เธอไม่รู้จะทำยังไงกับนายนี่แล้ว 

“เดี๋ยวผมชดใช้ค่าเสียหายให้ก็ได้ จะได้จบเรื่องกันไป”  แคนพูดอย่างไม่แคร์เท่าไรนัก  ก็เขาถูกหาเรื่องก่อนนี่นา  จ่ายค่าทำขวัญให้ก็ดีเท่าไรแล้ว

“ไหนบอกว่ามีครอบครัวต้องเลี้ยงดูไง  นายจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าทำขวัญให้ลูกค้า” 

“เอ่อ ก็ ก็  เจ้านายก็หักจากเงินเดือนผมไง นะครับ  แต่อย่าไล่ผมออกเลยนะคร้าบ  เจ้านายสุดสวยของแคน” 

“หยุดนะนายแคน  อย่ามาลามปามกับชั้น  นี่เหรอคืออาการสำนึกผิดของนาย  ชั้นไม่ทนอีกแล้ว  ชั้นพูดคำไหนคำนั้น  นายออกไปได้แล้วก่อนที่ชั้นจะให้การ์ดมาโยนนายออกไป”

แคนอยากจะแก้ตัวเพื่อหาทางให้ตัวเองอยู่ต่อ   แต่เจ้านายกลับไม่ยอมฟังอะไรอีก  ใบหน้าสวยตอนนี้บึ้งตึง  พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  มือเรียวนั้นจึงคว้ามือถือขึ้นกดรับและเลิกสนใจเขาอีก  เขาจึงต้องจำใจเดินออกมาจากห้อง

เขารู้ว่าเธอโกรธแต่คราวนี้เขาไม่ผิดนี่  แม้ว่าที่ผ่านมานั่นเขาไม่เถียงหรอกว่าเป็นเพราะเขา  ก็เขาตั้งใจ ‘สร้าง’ปัญหาขึ้นมาเอง  แล้วคราวนี้เขาจะทำอย่างไรดี  แคนเริ่มจะเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว 

เขากำลังสนุก
 
เขาอยากอยู่กวนใจคุณหนูต่อ




“ว่าไงนะพีท!  เธอถูกลักพาตัวเหรอ ฮื่อ แล้วเป็นไงมั่ง....” 

เสียงเกรซกลับเครียดกว่าเดิมเมื่อได้ยินปลายสาย   เธอปรายตามองเหมือนจะไล่ให้เขารีบออกไปจากห้องเสียที   

“บ้านนายใช้การ์ดบริษัทไหนเนี่ย  แย่ชะมัด   ปล่อยให้คุณชายถูกทำร้ายได้ไงเนี่ย    ตอนนี้โอเคแล้วใช่ไหม   เฮ้อ   แล้วชั้นจะทำยังไง นายไม่อยู่แล้วใครจะร้องเพลงล่ะ  หรือจะให้พี่ร็อกกี้ร้องแทนดีมั้ย” 

เสียงคุณหนูเกรซดังแว่วออกมานอกห้องที่แคนแอบยืนฟังอยู่  ตอนแรกเขาก็ไม่อยากจะรู้หรอก  แต่เพราะชื่อนักร้องนำของวงที่สนิทสนมกับเจ้านายเป็นพิเศษทำให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นของเขาถูกกระตุ้น   

‘ดีล่ะ’
แคนยิ้มให้กับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมา

‘คุณไล่ผมไปไหนไม่ได้หรอกคุณหนูเกรซของผม หึ หึ’




หลังจากที่เขาถูกคุณหนูไล่ออก  เขาก็เดินลงมาเห็นพี่ร็อกกี้เข้าห้องน้ำโดยบังเอิญ   แคนเดินตามเข้าไปทันทีพร้อมกับร้องเพลงเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจ  พี่ร็อกกี้โผล่หน้าออกจากห้องน้ำด้านในทำตาโตเหมือนเขาคือพระมาโปรด

“อ้าว  แคน  เสียงนายเหรอเนี่ย”

“ครับพี่  ทำไมครับหรือว่าผมร้องห่วย โทษทีครับ”  แคนตีหน้าซื่ออย่างคล่องแคล่ว  ก็ทำมาตั้งนานแล้ว

“เฮ้ย  เปล่า ๆ เสียงใช้ได้นี่  ไม่รู้นะนี่ว่าร้องเพลงได้ด้วย  พอดีเลย นี่ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม” 




“ไม่ได้!!” 

“พี่ร็อกกี้หาคนอื่นเถอะค่ะ  เกรซไม่ยอมให้นายแคนร้องเพลงแทนแน่  นายแคนอาจร้องเพลงได้ในห้องน้ำ  แต่เขาไม่เคยร้องกับวงมาก่อนอาจจะพลาดก็ได้  อีกอย่างเกรซไล่เขาออกแล้วด้วย” 

คุณหนูเกรซแทบจะร้องกรี๊ดทีเดียว  ตอนที่เห็นพี่ร็อกกี้ลากเขาไปหลังเวทีก่อนจะประกาศว่าหาคนร้องเพลงแทนได้แล้ว    ในขณะที่ทุกคนในวงกำลังเครียดเพราะนักร้องนำไม่มา

“โธ่ คุณเกรซครับ  เราจะหาใครได้ละครับ  ผมโทรตามเพื่อนทุกคนหมดแล้วไม่มีใครว่างสักคน  พวกผมแต่ละคนก็ร้องห่วยคุณเกรซก็รู้  อีกสิบนาทีก็ต้องเล่นแล้ว  เราเลทมาสี่สิบห้านาทีแล้วนะครับ  ให้นายแคนร้องเถอะครับ  ผมรับรองว่านายแคนทำได้แน่   อีกอย่างนายนี่ก็หน้าตาดี  สาว ๆ คงไม่โวยกันมากถ้าเขาไม่เห็นพีท”   

สมาชิกในวงเริ่มเห็นด้วยกับพี่ร็อกกี้  นาทีนี้ใครจะร้องก็คงไม่มีทางเลือกแล้ว  แต่แคนดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้
แคนยิ้ม  หันหน้าไปมองคุณเกรซอย่างเป็นต่อ 

‘ไม่ต้องกลัวผมจะทำวงล่มหรอกครับ  ผมน่ะ  อดีตนักร้องนำของวงมหาวิทยาลัยเชียวนะ’  เขาได้แต่คิดแต่เขาพูดไม่ได้  ขืนพูดก็ความแตกน่ะสิ

เกรซกัดริมฝีปากคิดหนัก  เธอไม่อยากเห็นหน้านายแคนอีกแม้แต่นาทีเดียว  แต่ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกแล้ว

“ก็ได้ค่ะ  แค่คืนนี้เท่านั้นนะคะ  พรุ่งนี้เกรซจะหาคนอื่นมา” 

คุณหนูจำใจตกลงในที่สุด  ทำให้แคนที่จับตามองอยู่แล้วยิ้ม  แววตาเจ้าเล่ห์

“ผมไม่ร้องดีกว่า”   แคนที่ยืนเงียบ ๆ โพล่งขึ้นมา   

“เฮ้ย!!!!”  เสียงคนทั้งวงร้องประสานขึ้นพร้อมกัน

พี่ร็อกกี้ตาเหลือก  ‘ก็เมื่อกี้มันยังตกลงว่าจะร้อง?’




เกรซแทบจะกระโดดบีบคอเขาทีเดียว  เมื่อเขาขอคุยกับเจ้านายโดยลำพังแล้วยื่นข้อเสนอบางอย่างแลกกับการขึ้นไปร้องเพลงแทนพีท

“นาย   ว่า   อะไร   นะ!!”   

เจ้านายคนสวยของเขากัดฟันพูดแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก

“ผมบอกว่าถ้าให้ผมร้องเพลง  คุณต้องให้ผมกลับมาทำงานที่นี่อีก” 

“มันจะมากไปแล้วนะนายแคน  นี่นายจะแกล้งชั้นใช่มั้ย .....” 

เกรซคงจะต่อว่าอะไรต่อไปอีกยืดยาว  ถ้าพี่ร็อกกี้ไม่เดินเข้ามาเร่งให้แคนรีบขึ้นเวทีเพราะหน้าเวทีเริ่มโวยวายที่ไม่เห็นวงดนตรีขึ้นสักที   

“ผมถือว่าคุณตกลงแล้วกัน  แล้วผมจะมาทวงสัญญานะ” แคนถือโอกาสที่พี่ร็อกกี้เข้ามาขัดจังหวะ  มัดมือชกเจ้านายคนสวยให้ตกลง  เขาเดินขึ้นเวทีทันที




เกรซกัดริมฝีปากอย่างขัดใจเมื่อเห็นนายแคนขึ้นไปร้องเพลง  แล้วนายนั่นทำได้ดีเสียด้วย  เสียงกรี๊ดถล่มทลายตอนนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดี 

เสียงร้องนั้นทั้งนุ่มนวลและอบอุ่นเมื่อแคนร้องเพลงช้า  ใบหน้าคมมีรอยยิ้มสร้างบรรยากาศสบาย ๆ เหมือนคนเจนเวที  ทำให้คนดูหลายคนร้องเพลงคลอตาม  เมื่อวงเปลี่ยนไปเล่นเพลงที่มีจังหวะ  แคนก็ทำให้ผู้คนร่วมขยับไปกับจังหวะสนุกสนาน  แม้ว่าจะไม่ได้เต้นเก่งเหมือนพีท  แต่เขาก็ทำให้ผู้ชมสนุกสนานได้   และเมื่อเขาลงจากเวทีแคนก็ทำให้กลุ่มสาว ๆ แทบคลั่งไปกับเสียงร้องและเสน่ห์เฉพาะตัวของเขา
 
เกรซหมุนตัวกลับขึ้นไปที่ห้องผู้จัดการทันทีที่การแสดงในคืนนี้จบลงด้วยดี   




คืนถัดมา เกรซพยายามโทรหาพี่โดมเพื่อนของพีทเพื่อขอร้องให้มาร้องเพลงแทน  แต่พี่โดมมีร้านที่ร้องประจำอยู่แล้ว  เธอจึงต้องจำใจให้นายแคนร้องเพลงแทนอีกคืน

“อย่าลืมเรื่องที่เราตกลงกันนะครับคุณหนู” 

นายแคนเดินเข้ามาพูดแทบกระซิบ จ้องมองเธอด้วยสายตาเป็นประกายวิบวับแฝงความนัยอะไรบางอย่างที่ทำให้เกรซขนลุก เธออยากจะตะโกนไล่นายแคนออกจากร้านไปซะแต่เธอทำไม่ได้  เมื่อแขกในร้านกำลังเรียกร้องเขาอยู่หน้าเวที

เกือบตีสองแล้วเมื่อเกรซเดินออกจากร้าน   หลังจากใช้เวลาตรวจบัญชีย้อนหลังก่อนส่งฝ่ายตรวจสอบบัญชี  กว่าจะรู้ตัวก็ได้เวลาร้านปิด  พนักงานส่วนใหญ่กลับหมดแล้ว   เกรซออกจากหลังร้านตรงไปที่จอดรถประจำ

ชายหนุ่มที่ยืนกอดอกพิงกำแพงหลังร้านเหมือนรอใครอยู่ทำให้เธอชะงัก  ฝ่ายคนรอนั้นเมื่อเห็นเกรซเดินมาจึงคลายมือลงแล้วเดินเข้ามาใกล้

“นายแคน นายมาทำอะไรตรงนี้”
 
ทำไมไม่รู้  เกรซรู้สึกหวั่นใจกับท่าทางของนายแคน  ครั้งก่อนนายนั่นทำตัวเป็นเหมือนลูกน้องทั่วไป   คือเชื่อฟังคำสั่ง  แต่ตอนนี้เกรซรู้สึกว่าท่าทีเขาเปลี่ยนไป  ดูมีความมั่นใจตัวเอง  แฝงอำนาจอย่างประหลาด  ที่สำคัญเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกคาม  และตอนนี้เธอยืนอยู่คนเดียว

“ผมมาทวงสัญญา” 

“สัญญาอะไร”

“ชั้นไม่ได้ตกลงอะไรกับนาย  นายขึ้นไปร้องเพลงเองชั้นยังไม่ได้ตกลงสักคำ  ชั้นให้ค่าร้องเพลงนายแล้วนายไม่ต้องมาทำงานที่นี่อีก”

คุณหนูเกรซปฏิเสธเสียงแข็ง  แต่กลับถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อร่างสูงของนายแคนก้าวมาหยุดยืนใกล้มากเกินไป

“ผมคิดอยู่แล้วว่าคุณต้องมาไม้นี้”  แคนว่าแล้วยิ้มประชด 

เขาคิดอยู่แล้ว  คุณหนูดูไม่พอใจเลยที่ต้องยอมให้เขาร้องเพลงแทน  สงสัยจะเกลียดเขามาก 
 
‘อืม  ทำให้เกลียดแล้ว  จะทำให้รักได้ไหมนะ’

“นาย  ถอยไปไกล ๆ เลย  ชั้นจะกลับบ้าน”   

แววตาแพรวพราวที่มองมาทำเอาเธอใจสั่น  ‘นายแคนคิดจะทำอะไรกันแน่?’

“ผมต้องการกลับมาทำงานที่นี่ต่อ”  ไม่พูดเปล่าแคนยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้  ทำให้คุณหนูถอยกรูดทีเดียว 

“ไว้พูดกันวันอื่น  ชั้นจะกลับแล้ว”   เกรซแก้ปัญหาไปก่อน  เธอเดินเลี่ยงออกมา  แต่ยังไม่ทันก้าวผ่านกลับถูกดึงแขนไว้

“เอ๊ะ  นายทำอะไร  ปล่อยนะ”

“ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นลูกจ้างคุณแล้ว  ผมไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งคุณแต่ถ้าคุณอยากสั่งผมได้ละก้อ   รับผมมาทำงานเหมือนเดิมสิ”  แคนยิ่งกระชับมือแน่นขึ้น

“ปล่อย!”  สาวน้อยเริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว   ไม่ว่านายแคนจะเป็นใครก็ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับเธอ

“ช่วยด้วยค่ะ  ช่วยด้วย”  จู่ ๆ เกรซก็ตะโกนขอความช่วยเหลือ

“ชะ อื้อ อ่อย  อะ อาอา”  เสียงตะโกนกลืนหายไปเพราะถูกมือใหญ่ของนายแคนปิดไว้  เกรซพยายามดิ้นให้หลุดแต่ไม่เป็นผล   นายแคนก้มหน้าเข้ามาจนใกล้  จมูกทั้งคู่แทบจะชนกันทำให้เกรซตาโต

“ตะโกนอีกที  โดนจูบแน่”   

สายตาเกรซฉายแววโกรธจัดแต่เธอทำอะไรไม่ได้เมื่อถูกปิดปากอยู่  เมื่อเห็นว่าเธอเงียบไปแล้วมือที่ปิดปากอยู่จึงปล่อยลง  เกรซจึงผลักอกนายแคนแล้วหมุนตัวเดินหนีทันที  แต่ไปได้เพียงไม่กี่ก้าวกลับพบชายสามคนยืนขวางไว้แทน

“เมื่อกี้ตะโกนให้คนช่วยใช่ไหมคุณผู้หญิง”

ชายวัยกลางคน หนึ่งในสามเอ่ยถามพร้อมกับทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย ตอนแรกที่ได้ยินเสียงก็กะจะมาดูเหตุการณ์   แต่สาวสวยในชุดเกาะอกสุดเซ็กซี่ที่เห็นทำให้พวกมันเปลี่ยนใจ  ส่วนคนที่เหลือก็มองมาด้วยแววตาหื่นไม่ปิดบัง   

“เอ่อ  มะ  ไม่มีอะไรแล้วค่ะ”  เกรซยกกระเป๋าถือขึ้นมากอดไว้โดยอัตโนมัติ  ‘บ้าที่สุด  วันนี้เธอก็แต่งตัวรัดรูปซะด้วย’

“แต่พี่ว่ามีนะ น้องสาว”  ผู้ชายหน้าเหี้ยมคนเดิมยังคงจ้องมองเธอไม่วางตา 

“ผมว่าพวกคุณเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ  เมื่อกี้เราแค่ทะเลาะกันนิดหน่อย  ตอนนี้เราตกลงกันได้แล้วใช่มั้ยจ๊ะ ที่รัก”  แคนก้าวเข้ามายืนเคียงข้างเกรซพร้อมกับเอามือโอบไหล่เปลือยของเธอไว้   

เกรซกัดฟัน   ทำทีเป็นโอนอ่อนผ่อนตามคำอ้างของนายแคน  ‘รอให้ไอ้สามคนนี่ไปก่อนเถอะ นายโดนดีแน่’

“กูว่าเขาจะไม่ได้เป็นแฟนมึงต่อแล้วล่ะเพราะน้องสาวคนสวยจะต้องไปกับพวกกู”   

สิ้นสุดคำพูดนั้น  หนึ่งในพวกมันก็ตรงเข้ามาผลักแคนทันที  แต่แคนเตรียมพร้อมอยู่แล้ว  เขายกเท้าถีบเข้าที่หน้าท้อง  พวกมันที่เหลือเห็นดังนั้นจึงพุ่งหมัดใส่บ้าง   ชายหนุ่มหลบได้หวุดหวิด   

คราวนี้อารมณ์โกรธเริ่มมาเยือนแคนบ้าง  ใช้เวลาเพียงไม่นานนักเลงทั้งสามคนกลับถูกแคนจัดการจนหมอบลงไปนอนกองอยู่บนพื้นร้องเสียงโอดโอย   เกรซที่ยืนมองอยู่แทบไม่อยากเชื่อสายตา 

นายแคนจัดการสามคนนั่นเพียงคนเดียว!

“ไปเร็วสิคุณ” แคนคว้าแขนเกรซไว้แล้วพาวิ่งออกจากบริเวณนั้นทันที  แต่วิ่งไปได้ไม่ไกล  เกรซที่วิ่งทั้งรองเท้าส้นสูงก็ล้มลง  เธอจับที่ข้อเท้าตัวเอง  เจ็บน้ำตาแทบร่วง

“คุณ! เจ็บมากไหม”  แคนถามน้ำเสียงห่วงใยพลางก้มลงจับข้อเท้าของเกรซเพื่อดูอาการ 

“เจ็บสิ  ถามได้  เพราะนายนั่นแหละ!” 

คุณหนูเกรซตวาดแว้ดใส่คนที่ถามไม่คิด  ทั้งเจ็บทั้งโมโห   แต่แคนไม่สนใจ  เขากำลังละล้าละลังเพราะกลัวว่าพวกมันจะตามมาอีก  ในที่สุดจึงตัดสินใจอุ้มเกรซขึ้นมาในอ้อมแขน   เสียงคุณหนูร้องกรี๊ดเพราะคาดไม่ถึง

“นายจะทำบ้าอะไร  ปล่อยชั้นลงนะ”   เกรซโวยวายแต่แคนไม่ฟังเสียงแล้ว  เขาอุ้มเธอไว้แล้วเดินอย่างเร่งรีบไปที่รถ

“ส่งกุญแจมาสิ  เดี๋ยวผมขับให้  คุณขับไม่ไหวหรอก”   

เมื่อมาถึงรถ   แคนวางร่างของเกรซให้ยืนด้วยขาข้างเดียวแต่ยังช่วยประคองไว้แล้วหันมาเร่งให้เกรซรีบส่งกุญแจให้เขา  โดยไม่สนใจอาการไม่พอใจของเกรซที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน 

เกรซกำลังคิดหนัก   เธอเจ็บข้อเท้าขวามากจนคิดว่าคงขับรถเองไม่ไหวแน่  แต่เธอก็ไม่อยากรับความช่วยเหลือจากนายแคนให้นายนี่เอามาเป็นข้อต่อรองกับเธออีก

ขณะที่กำลังลังเลตัดสินใจไม่ถูกนั่นเอง  เสียงตะโกนที่ดังขึ้นก็เร่งให้เธอต้องรีบตัดสินใจ  เพราะพวกนักเลงสามคนที่ถูกแคนจัดการเมิ่อครู่กำลังวิ่งตรงมาทางรถพวกเขาอย่างเอาเรื่อง 

“เฮ้ย มันอยู่นั่น” 

เกรซไม่มีเวลาแล้วจึงโยนกุญแจให้นายแคนทันที  แคนขับรถสปอร์ตคันหรูปราดออกไปอย่างฉิวเฉียดก่อนที่พวกอันธพาลทั้งหลายจะตามทัน 




“คุณไม่ควรกลับบ้านดึกดื่นขนาดนี้นะมันอันตราย  แล้วแต่งตัวแบบนี้อีก ไม่รู้รึไงว่ามัน..เอ่อ...”  แคนกลับเงียบไปเหมือนหาคำพูดอะไรไม่ถูก  ตอนนี้เขาขับรถออกจากโซน B อันแสนอันตราย  มุ่งหน้ากลับเข้าสู่ใจกลางเมือง

“มันเรื่องอะไรของนายล่ะ  ชั้นจะทำอะไร  กลับกี่โมง  แต่งตัวยังไงมันก็เรื่องของชั้น  ไม่เกี่ยวกับนาย....” 

เกรซหัวเสียอย่างมาก  ทั้งเรื่องที่นายแคนมาทวงสัญญาที่เธอไม่ได้ตกลงไว้  ทั้งถูกพวกอันธพาลนั่นแทะโลมแล้วต้องมาเจ็บตัว   ถูกนายแคนต่อว่า เธอยังคงโวยวายอยู่ในรถอีกยืดยาวซึ่งแคนก็ไม่ตอบโต้อะไรอีก  จนกระทั่งมาถึงโรงพยาบาลเกรซจึงรู้ตัว  หันมามองหน้าคนขับอย่างประหลาดใจ

“ให้หมอดูข้อเท้าคุณหน่อยนะ  เผื่อว่าจะแตกหักอะไรตรงไหนจะได้รักษาทัน”  คนที่ขับรถมาเงียบ ๆ หันมาเอ่ยกับเกรซ  น้ำเสียงอ้อนวอน

‘บ้าชะมัด ทำไมนายแคนต้องทำเสียงแบบนั้นด้วย’  เกรซสะบัดหน้าหันไปมองภายนอก  แววตาและน้ำเสียงแบบนั้นมันทำให้เธอรู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้ 




หลังจากตรวจร่างกายแล้วหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้เพราะเกรซแค่ข้อเท้าเคล็ดเล็กน้อย  ทั้งคู่กลับเข้ามาอยู่ในรถอีกครั้ง   
“นายเอาเงินที่ไหนจ่ายค่ายา  ไหนบอกว่าที่บ้านลำบากต้องเลี้ยงอากง  อาม่าอะไรไง”  เกรซที่นั่งมาเอ่ยถามเหมือนคนเพิ่งนึกอะไรได้

‘ซวยล่ะสิ  ไอ้แคน’ 


โรงพยาบาลที่เขาพาคุณหนูไป เป็นโรงพยาบาลเอกชนสำหรับผู้มีอันจะกินเท่านั้น   ค่าบริการทางการแพทย์แพงชนิดที่เด็กเสิร์ฟธรรมดาอย่าง ‘นายแคน’ ต้องทำงานถึงสามเดือนกว่าจะพอค่ายา  แต่เขาดันลืมตัวพาคุณหนูไป

‘ก็คนมันเป็นห่วงนี่’

“แล้วนายรู้ได้ไงว่าบ้านชั้นไปทางนี้”

แล้วเขาก็ลืมคิดไปเลยว่าคุณหนูต้องสงสัยที่เขารู้จักบ้าน  ขนาดคนที่ร้านยังไม่มีใครรู้ว่าคุณเกรซน่ะ   ระดับลูกคุณหนูหมื่นล้าน   เขาแก้ตัวอะไรไม่ทันแล้วเลยทำเฉย  พอดีกับที่เขาขับมาถึงจุดหมายพอดี  รถสปอร์ตเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่โถงหน้าบ้านขนาดใหญ่สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลักอย่างสวยงาม 

แคนหันไปมองเกรซที่ทำหน้านิ่ง ๆ จับจ้องมาที่เขาอยู่นานแล้ว

“ผมส่งคุณแค่นี้นะ  พรุ่งนี้ผมจะไปทำงานเหมือนเดิม” ว่าแล้วเขาก็ผลุนผลันเปิดประตูลงไปทันที

“นี่นายแคน จะไปไหน  ตอบคำถามมาเดี๋ยวนี้นะ  ชั้นบอกให้หยุด”

เกรซตะโกนสั่งให้นายแคนหยุดเพื่อตอบคำถามของเธอพลางพยายามลงจากรถอย่างทุลักทุเลเพราะเจ็บข้อเท้า 

‘หยุดได้ไง ตอนนี้ผมต้องหนีก่อนสิคร้าบ แค่นี้คุณหนูคงสงสัยเต็มที่แล้ว  เอาไว้ผมจะบอกคุณหนูทุกอย่างละกัน  แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้’   

แคนก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไม่ยอมหยุดตามคำสั่งของเกรซที่ตะโกนไล่หลังมา   เขาเดินออกมาจากรั้วสูงใหญ่แล้วตรงไปขึ้นรถที่มีคนเปิดประตูรออยู่แล้ว   

‘รับรองว่าคุณหนูจะคาดไม่ถึงทีเดียว!’




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 6-7 อัพเดต 13/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 14-07-2014 20:42:30
8. เจ้าของร้านกับเด็กเสิร์ฟ (2)





นายแคนโผล่มาทำงานอย่างที่ลั่นวาจาไว้  เกรซไล่ยังไงนายนั่นก็ไม่ยอมไป

“ผมรับรองน่าว่าจะไม่ปล่อยให้ใครมีเรื่องกันเพราะแย่งผมอีก”

แววตาจริงจังบนใบหน้าคมยืนยันกับเธอ  เวลานี้พวกเขายืนอยู่บริเวณหน้าห้องเก็บของ   หลังจากเกรซเดินตามหาเขาเสียทั่วร้านจนพบนายแคนที่เข้ามาเอาไวน์  เกรซต้องการนำเงินค่ายามาคืนและบอกให้เขากลับบ้านไป

“งั้นนายก็อธิบายมาสิว่านายเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ายา   มันแพงขนาดนั้น”

เกรซอยากจะถามด้วยว่านายแคนรู้จักบ้านเธอได้ยังไง  แล้วท่าทางที่นายนั่นขับรถของเธออีก  มันดูเหมือนคนที่คุ้นเคยกับรถหรูพวกนี้  เหมือนคนที่ขับรถพวกนี้เป็นประจำจึงไม่รู้สึกงงกับปุ่มหรืออุปกรณ์ไฮเทคต่าง ๆ ในรถ

“เอ่อ  ผม  ไม่ได้จ่ายค่ายาหรอกครับคุณเกรซ”  คำตอบนั้นทำให้เกรซขมวดคิ้ว

“ผม....ผมไปบอกเขาว่าให้ส่งบิลไปเก็บที่บ้านคุณเกรซแทน  เอ่อ พวกนั้นก็บ้านะครับ  เขาไม่ว่าอะไรเลยแค่พยักหน้าเฉย ๆ   ผมก็เลยเดินออกมา  แค่นี้แหละ”  สมองของเขาทำงานหนักเพื่อหาข้ออ้างมาตอบคุณหนูผู้เฉลียวฉลาด
 
‘ขอโทษนะคุณหนู ผมจำเป็นต้องโกหกจริง ๆ’

“อะไรนะ นายทำยังงั้นหรือ”  กลับเป็นคุณหนูที่เป็นฝ่ายงุนงงบ้าง   ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก  คนที่โรงพยาบาลต้องรู้จักเธออยู่แล้วเพราะที่นั่นเป็นโรงพยาบาลที่พ่อเธอมีหุ้นอยู่

“แล้วทำไมนายรู้จักบ้านชั้น”  คราวนี้มาปัญหาต่อไป 

“คนที่นี่ไม่มีใครรู้จักว่าชั้นเป็นใคร   พวกเขารู้แค่ว่าชั้นเป็นเจ้าของที่นี่เท่านั้น  นายแคน  นายเป็นใครกันแน่!” 

ดวงตากลมโตของเกรซเต็มไปความสงสัยเต็มเปี่ยม  ถ้านายแคนไม่มีคำตอบดี ๆ ให้เธอ  นายนี่กระเด็นออกจากที่นี่แน่

“เอ่อ  ผม” 

‘เอาไงดีวะแคน  ไม่ได้เตรียมคำตอบมาซะด้วย’

“ว่าไงล่ะ  ตอบมาสิ”  คุณหนูถามกลับมาเสียงเข้มทีเดียว

“ถ้านายไม่ตอบ  ชั้นจะให้การ์ดมาจัดการนาย  แล้วนายก็ไม่ต้องมาให้ชั้นเห็นหน้าที่นี่อีกเพราะมันไม่ปลอดภัยต่อชั้น” 

คนที่มาทำงานที่นี่ถูกตรวจสอบประวัติโดยละเอียดทุกคน    เกรซก็คล้ายกับพีทที่ต้องมีการ์ดคอยดูแลความปลอดภัยตลอดเวลา  และในบรรดาเด็กเสิร์ฟครึ่งหนึ่งในร้านก็เป็นบอดี้การ์ดของเธอและพีททั้งนั้น

“โธ่ คุณหนูครับ  ผมแค่บังเอิญขับมั่ว ๆ ไปครับ”  คำถามที่เร่งรัดเอาคำตอบนั้นทำให้แคนคิดอะไรไม่ทัน 

“โกหก!  ออกไปซะ  ชั้นไม่ต้องการเห็นหน้านายอีก”  เกรซโกรธกับคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นนั้นพร้อมกับความเคลือบแคลงใจอย่างมาก 

‘นายนี่เป็นใครกัน ไม่น่าไว้ใจสักนิด’

เกรซคว้าโทรศัพท์มากดหาการ์ดที่ประจำหน้าร้านทันที

“ส่งคนมาหลังร้านสองคน  ด่วนที่สุด”

สิ้นเสียงเกรซทำให้แคนที่ยืนฟังอยู่ตาเหลือก 

‘เฮ้ยคุณหนู  ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ  เขายังอยากอยู่ต่อนี่  ทำไงดีล่ะ’

“โธ่ คุณหนู เอ๊ย คุณเกรซให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะนะครับ  ผมอยากทำงานที่นี่ต่อนี่นา”  แคนตัดสินใจเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“นายเป็นใครล่ะ  ไหนบอกมาสิ”  คุณหนูยังถามคำถาม  ใบหน้าสวยเคร่งเครียดติดจะรำคาญที่เขายังอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบคำถาม
เสียงคนเดินลงบันไดใกล้เข้ามา

“คุณหนูครับ พวกผมมาแล้ว คุณหนูอยู่ตรงไหนครับ”  เสียงการ์ดคนหนึ่งร้องถามเมื่อเดินเข้ามาใกล้บริเวณที่พวกเขายืนอยู่

“ชะ อ่ะ  อู้ ๆ  อืม” 

แคนไม่มีเวลาคิดอะไร  เขาเข้าไปคว้าตัวเกรซพร้อมกับปิดปากเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อไม่ให้เธอร้องบอกการ์ดว่าพวกเขาอยู่ที่นี่  มืออีกข้างโอบเอวคุณหนูพลางดันเข้าไปในห้องเก็บของที่เปิดประตูทิ้งไว้ 

เกรซตกใจที่ถูกจู่โจม  เธอพยายามผลักนายแคนออกแต่ไม่เป็นผล  นายแคนยกมือมาปิดปากเธอไว้  ร่างที่สูงกว่าอุ้มเธอเข้ามาในสุดของห้องเก็บของแล้วเบียดเข้ามาชิดจนหลังของเกรซชนกับผนังห้อง  ใกล้จนลมหายใจปะทะกัน

“อยู่นิ่ง ๆ ก่อน” 

น้ำเสียงดุนั้นบอกสาวน้อยแผ่วเบา  แคนหันไปมองทางประตูห้องที่แง้มไว้เล็กน้อย  รอจนกระทั่งการ์ดสองคนเดินกลับไปแล้วจึงหันมาหาคุณหนูที่ดิ้นรนในอ้อมแขนอย่างหนัก   แต่เขารวบตัวเธอไว้แน่นหนาทำให้เธอทำอะไรไม่ได้มากนัก จะร้องตะโกนก็มีแต่เสียงอู้อี้ออกมาเท่านั้น

ตอนนี้เขาอยู่แนบชิดกับคุณหนูมาก   มากจนได้กลิ่นน้ำหอมของเกรซลอยเข้ามา  จนเขาเผลอสูดกลิ่นอันหอมหวานนั้นเข้าไปเต็มปอด  ร่างที่เขากอดนุ่มนิ่มจนไม่อยากจะปล่อยมือเลย   มือที่ประกบใบหน้าเล็กอยู่นั้นเสียดสีกับริมฝีปากนุ่มทำให้รู้สึกร้อนวูบในอุ้งมือเมื่อคุณหนูพยายามส่ายหน้าให้หลุดจากมือเขาที่ปิดอยู่

เกรซไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง   เธอพยายามผลักคนที่เบียดชิดให้ออกไป  รู้สึกวูบวาบไปตามเนื้อตัวที่อยู่ ๆ ก็ถูกกอด

“อยู่นิ่ง ๆ สิ”
 
เขาออกคำสั่ง  ทำให้เกรซหันมาจ้องเขาดวงตาวาวด้วยความโกรธ แต่เมื่อดวงตาของทั้งคู่สบกัน   ทุกสิ่งทุกอย่างกลับหยุดนิ่ง 
แคนลืมเรื่องทุกอย่างไปหมดสิ้น  ดวงตากลมโตของเกรซทำให้เขานิ่งงัน   แม้จะจ้องมองเขาด้วยความโกรธแต่เขากลับรู้สึกว่าอยากมองตาเธออยู่แบบนี้  ดวงตาที่มองเขาอย่างสงสัยตลอดเวลาที่เขาทำงานที่นี่  ทำให้เขาต้องหาเรื่องปวดหัวมาให้คุณหนูบ่อย ๆ เพราะอยากให้คุณหนูมองเห็นเขาอยู่ในสายตาบ้าง

ความรู้สึกเป็นเจ้าของคนในอ้อมแขนนี้ทำให้แคนเผลอลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป  ลืมว่าตัวเองเป็นใคร  อยู่ในสถานะใด  เขาปล่อยมือลง  สอดนิ้วไปตามเส้นผมนุ่มเลื่อนไปที่ท้ายทอยแล้วบังคับให้เกรซเงยหน้าขึ้น  ขณะที่ก้มหน้าลงมา 

“อ๊ะ”

เกรซร้องได้แค่นั้นกลับเงียบไปเพราะริมฝีปากที่กดลงมา  สัมผัสนุ่มนวลที่บดคลึงอยู่ทำให้เธอตกตะลึง  นิ่งไปนานจนกระทั่งแคนถอนริมฝีปากออกไปอย่างอ้อยอิ่ง 

“นาย นายทำบ้าอะไร!”

เมื่อสติกลับมา  เกรซจึงรู้ตัว  น้ำตากลบตาอย่างรวดเร็ว  เธอผลักแคนออกแล้ววิ่งออกจากห้องทันที 

แคนที่ถูกผลักออกเพิ่งรู้สึกตัวเช่นกัน   เขาหันกลับเพื่อจะฉุดเธอไว้แต่ไม่ทัน  เกรซวิ่งออกจากห้องไปแล้ว   เสียงร้องอย่างตกใจของเกรซที่ออกไปชนกับใครอีกคนข้างนอกทำให้เขานิ่งค้าง

“เฮ้  เกรซร้องไห้ทำไมเนี่ย  เป็นอะไรรึเปล่า”  เสียงนักร้องสุดหล่อประจำร้านทักคุณหนูของเขาด้านนอก 

แคนนิ่งไปอย่างเจ็บปวดไม่รู้สาเหตุ  เขากำมือแน่น  เสียงคนทั้งคู่ที่เดินห่างออกไปแล้ว  ทิ้งให้เขายืนอยู่ลำพัง

“โธ่โว้ย!”  นี่เขาทำอะไรลงไป  แคนนึกถึงหน้าคุณหนูที่น้ำตากลบอย่างเจ็บใจตัวเอง   เขาไม่น่าลืมตัวเลย 



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 8 อัพเดต 14/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 14-07-2014 22:28:15
 ขอบคุณนักเขียนค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 8 อัพเดต 14/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-07-2014 00:10:39
 o13
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 9 อัพเดต 15/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 15-07-2014 19:13:46
9. อย่ามายุ่ง


สายมากแล้วตอนที่พีทรู้สึกตัว   เขาพลิกตัวจากที่นอนตะแคงมานอนหงาย  ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก  ความเจ็บปวดที่ขมับเบาบางลงแล้วแต่ยังรู้สึกเพลียอยู่มาก  ลำคอเขาแห้งผาก  ยกมือขึ้นแตะหน้าผากตนเอง  เขายังคงมีไข้อยู่  เมื่อวานคงจะออกแรงมากไปเลยทำให้ไข้กลับขึ้นมาอีก  คิดถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็เจ็บใจที่นายหมีเข้ามาในห้องเขาโดยพลการ  และยังเห็นเขาในสภาพที่อ่อนแอที่สุด  เขาไม่มีแรงจะยกมือขึ้นด้วยซ้ำเลยต้องปล่อยให้นายนั่นจัดการอะไรตามใจชอบ 

พีทหันไปมองรูปในกรอบไม้ที่วางอยู่ที่หัวเตียง   ภาพเด็กชายสองคนในรูปทำให้เขาคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาโมโหนายนั่น  ที่มาเรียกเขาด้วยชื่อเล่นอย่างถือสนิทแล้วยังเสนอตัวเป็น ‘พี่ชาย’  อีกด้วย   

เขาไม่มีพี่ชายแล้ว  ไม่ได้อยากมีด้วย...

ทั้งที่คิดแบบนี้แต่ทำไมไม่รู้พีทกลับรู้สึกโหยหา  ยิ่งปฏิเสธเขายิ่งคิดถึง  ตั้งแต่นายหมีปรากฏตัว  ความทรงจำตอนเด็กเหมือนถูกกระตุ้นให้ย้อนคืนกลับมาอีก  ใบหน้านายนั่นมีส่วนคล้ายคนในรูปอย่างมาก  ยิ่งทำให้เขานึกถึงคนบางคนตลอดเวลา  บางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าพี่ฮั่นกลับมาแล้วเวลาที่เขาเผลอปล่อยความคิดให้ล่องลอย

‘หวังว่านายนั่นคงไม่ได้มาเห็นหรอกนะ’ 

พีทรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าเมื่อคิดถึงตรงนี้  ก็ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแสดงออกว่ายังโกรธและไม่ต้องการเจอพี่ฮั่นอีก  แต่เขายังเก็บรูปนี้ไว้ที่ข้างเตียงเสมอและหยิบมาดูทุกครั้งที่คิดถึง

“ตื่นแล้วเหรอ” 

จู่ ๆ คนที่เขากำลังคิดถึงก็โผล่เข้ามาในห้อง  ในมือมีถาดใส่ชามเข้ามาด้วย

“นี่นาย เข้ามาทำไม ออก..ไป!” เสียงแหบแห้งของเจ้าของห้องเอ่ยปากไล่ทันทีที่เห็นหน้านายหมี  คนป่วยพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก   

นายหมีไม่สนใจคำที่เจ้าของห้องเอ่ยไล่  ไล่ยังไงเขาไม่ยอมไปหรอก ร่างสูงใหญ่เดินนำถาดอาหารไปวางที่โต๊ะข้างเตียงเอ่ยถาม

“เป็นไงบ้าง  ดีขึ้นรึยัง  ผมเอาซุปมาให้”  คนพูดสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นมาถึงศอกเดินมาหยุดที่ริมเตียงใหญ่ 

“ออก ออกไป”  พีทยังยืนยันด้วยเสียงแหบพร่า  ใบหน้าเหยเก   เขากลับมาปวดหัวอีกแล้ว  ร่างที่นั่งอยู่โอนเอนจะพับอยู่รอมร่อ

นายหมีเอื้อมมือจะเข้าไปช่วยประคองไว้  กลับถูกปัดออกอย่างแรง  เขาชะงักค้าง  แววตาเสียใจฉายวูบเมื่อสบตาของคนป่วยที่จ้องตรงมาด้วยความกราดเกรี้ยว  มือที่ถูกปัดออกทิ้งลงข้างตัว  เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

พีทคงไม่ต้องการเห็นหน้าเขาแม้แต่วินาทีเดียว  ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกวาบลึกในใจ  หากใบหน้านั้นยังคงพยายามยิ้มให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง

“กินซุปซะนะแล้วก็กินยา อยู่ในถาดนี่แล้ว”  ว่าแล้วร่างสูงใหญ่นั้นก็เดินออกจากห้องไปเงียบเชียบ 

พีททิ้งตัวลงนอนอีกอย่างหมดแรง  เขารู้สึกปวดตุบ ๆ ที่แผล  มือเรียวเสยผมที่ชื้นเหงื่อพลางหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน  นี่มันเกิดอะไรขึ้น  อยู่ดี ๆ นายนั่นก็เข้ามาทำให้บางสิ่งเปลี่ยนไปจากเดิม  ที่ผ่านมาเขาเคยชินกับการอยู่คนเดียว  แต่วันนี้กลับมีคนมาบุกรุกความเป็นส่วนตัวของเขา นี่เขาจะต้องทนไปอีกนานเท่าไร ทำไมพ่อถึงต้องส่งนายนั่นมา ทำไม? ทำไม? 

ความคิดวนเวียนอยู่ในสมองเขาอยู่ตลอดเวลา  ไม่นานเขาก็ม่อยหลับไปอีก ทิ้งซุปให้เย็นชืด




ความรู้สึกเย็นจากผ้าขนหนูที่เช็ดตามใบหน้าและลำคอทำให้คนที่นอนนิ่งอยู่เริ่มขยับตัว   ทันที่ที่สติสัมปชัญญะกลับเข้าสู่สมอง  มือเรียวยกขึ้นปัดทันที   

“คุณชายครับ  ลุงเองครับ”   เสียงลุงฉีพ่อบ้านรีบร้อนบอกคุณชาย

พีทลืมตามองหน้าชายสูงอายุที่กำลังเช็ดตัวให้เขาอย่างโล่งใจ  พึมพำขอโทษลุงฉีเสียงแหบแห้ง  ลุงฉีช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า  จากนั้นก็เรียกสาวใช้ให้ยกโต๊ะเล็กสำหรับทานอาหารบนเตียงมาวางให้  บนโต๊ะมีอาหารสำหรับคนป่วยที่ปรุงอย่างดีหลายอย่าง   พีทกินได้เพียงนิดเดียวก็อิ่ม  เขากินยาเสร็จก็ล้มตัวนอนทันที   หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย   

“อย่าให้ใครรบกวนผมนะครับลุง”  เอ่ยเสียงแหบ 

ได้ยินเสียงลุงฉีกับสาวใช้เดินออกจากห้องแล้วปิดประตูตามหลัง พีทนอนกระสับกระส่ายตลอดทั้งบ่าย  เขานอนไม่ค่อยสบายตัวนักจนกระทั่งเย็นจึงกัดฟันลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปร้องเพลง  คนป่วยมองภาพสะท้อนของเขาเองในกระจก

‘โทรมชะมัด วันนี้จะร้องเพลงไหวรึเปล่าเนี่ย  แค่เดินไปเดินมาในห้องก็แทบจะไม่มีแรง’   

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น   พีทเดินไปหยิบโทรศัพท์ขณะที่ใช้มือกดไปที่แผลตัวเอง  เขารู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ อีกแล้ว 

คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ  ชื่อที่ปรากฏทำให้เขาแปลกใจ

“เกรซ” เสียงที่เปล่งออกมาทำให้เขาสงสัยตัวเอง  นี่เขาจะไปร้องเพลงทั้งที่เสียงแห้งแบบนี้เหรอเนี่ย 

“พีท พีท ได้ยินรึเปล่า  เราได้ยินว่านายไม่สบาย เป็นอะไรมากไหม คืนนี้มาร้องเพลงไหวรึเปล่า”  เสียงเกรซถามมายืดยาว  น้ำเสียงร้อนรน

“เกรซ  รู้ได้งะ........”   

‘ตายล่ะ เสียงหายไปแล้ว’  เขาพยายามจะพูดแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา 

“พีท พีท  ได้ยินไหม  ทำไมไม่ตอบล่ะ....” 

พีทวางสายแล้วรีบกดส่งข้อความแทน

‘เกรซ เราป่วย ไม่มีเสียง วันนี้คงไปร้องเพลงไม่ได้แล้ว  ขอโทษนะ  ให้นายแคนร้องแทนได้ไหม’

ใช้เวลานานกว่าปกติ  กว่าเกรซจะส่งข้อความกลับมา 

‘จะหาคนร้องแทน  หายไว ๆ นะ’

‘เฮ้อ  ทำเกรซลำบากอีกแล้ว วันนี้วันศุกร์ซะด้วย’
พีทถอนใจยาว  แต่เขาคงไปไม่ไหวจริง ๆ   ขนาดเมื่อคืนเขายังเอาตัวแทบไม่รอด  โชคดีที่ร้องเพลงช้าเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ต้องใช้แรงมากเท่าเพลงเต้น   

‘เอ๊ะ เกรซรู้ได้ไงว่าเขาป่วย ลุงฉีด้วย หรือว่า...นายนั่น’ ความคิดว่านายหมีนั่นมายุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาทำให้พีทหัวเสีย

‘ยุ่งไม่เข้าเรื่อง’

เขาเดินลากขากลับไปที่เตียง  แทบจะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม

‘เฮ้อ ทั้งปวดหัวทั้งหงุดหงิด’

จากนั้นไม่นานมีเสียงเคาะประตูห้องดังเบา ๆ

‘ใคร?’  เขาไม่มีเสียงจะถาม   เขาบอกลุงฉีแล้วว่าห้ามใครรบกวน   

คุณชายตั้งท่าจะระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่อ ก็พอดีที่คนด้านนอกส่งเสียงเข้ามาก่อน

“คุณชายคะ  อาหารเย็นค่ะ”  เสียงสาวใช้เรียกมาจากนอกห้อง   

พีทถอนหายใจ  อนุญาตให้คนนำอาหารเย็นเข้ามาเสียงแหบ สาวใช้วางถาดอาหารบนโต๊ะเล็กแล้วเดินตัวลีบออกไป  ตอนแรกเขาไม่ค่อยอยากกินอะไรนัก  แต่เพราะกลิ่นหอมของซุปที่วางบนโต๊ะเล็กข้างเตียงทำให้ท้องเขาเริ่มจะร้องครวญครางบ้างแล้ว  เขาขยับเข้าไปใกล้โต๊ะ  ยกช้อนมาตักชิมซุปที่ร้อนกำลังดี   

‘วันนี้เปลี่ยนคนทำรึเปล่าเนี่ย’ รสชาติซุปเปลี่ยนไป  แต่....มันอร่อยมาก   เขาหยิบขนมปังกระเทียมเข้าปากบ้าง 
 
‘อืม  อร่อยจัง’




“เป็นไง เรียบร้อยไหม”  ร่างสูงใหญ่ยืนรอที่บันไดชั้นล่างเอ่ยถามสาวใช้ที่เดินตัวลีบออกจากห้องนอนของคุณชาย

“เรียบร้อยค่ะ” สาวใช้ค้อมตัวตอบพลางทำหน้าขัดเขินเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ดูแลของคุณชาย

“ขอบใจนะ” ร่างสูงใหญ่นั้นกล่าวพลางยิ้มให้   ยิ่งทำให้สาวใช้ทำตัวไม่ถูกมากขึ้น  เธอขอตัวแล้วรีบก้มหน้าเดินกลับไปห้องครัว  ทิ้งให้คนที่ยืนตรงหัวบันไดมองขึ้นไปชั้นบน  แววตาแสดงความห่วงใยชัดเจนยามที่เขาอยู่ลำพัง 




ดึกสงัดแล้วเมื่อประตูห้องค่อยแง้มเปิดทีละน้อย  เหมือนไม่ต้องการสร้างเสียงดังรบกวนคนป่วยที่นอนหลับอยู่ในห้อง  ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ  แสงจากโคมไฟยังเปิดทิ้งไว้  เขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงกว้าง ดวงตามองตรงไปที่คนที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจยาวนาน 

‘เฮ้อ  ทำไมโตมาแล้วดื้อกว่าเดิมละเนี่ย’   มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมตัวเองที่ตกมาปรกหน้าแล้วยิ้มนิด ๆ 

‘ยังไงเขาก็ต้องพยายามละน่า  สักวันพีทคงยอมยกโทษให้’   

คิดแล้วเขาก็ยิ้มได้มากขึ้น  หย่อนกายลงนั่งบนเตียงอย่างแผ่วเบา  ตาจับอยู่ที่ใบหน้าเผื่อเจ้าตัวจะรู้สึกตัวขึ้นมา  แต่ร่างที่นอนอยู่ยังคงหายใจสม่ำเสมอไม่รับรู้อะไร  เขาวางมือแตะหน้าผากคนที่นอนอยู่แล้วยิ้มเพราะพีทตัวไม่ร้อนแล้ว  ใบหน้าด้านข้างที่เห็นหลับสนิท

อดที่จะคิดถึงเหตุการณ์ตั้งแต่เขามาถึงบ้านนี้ไม่ได้  ดวงตาคู่นี้มองเขาอย่างไม่ชอบใจตั้งแต่แรกเจอเลยทีเดียว  จนเขาอยากจะบีบจมูกเชิด ๆ นี้สักทีเวลาพีทตั้งหน้าตั้งตาทะเลาะกับเขา

นายหมียิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวันก่อน  เจ้าเด็กนี่แสบใช่เล่น  คอยหาเรื่องกำจัดเขาต่าง ๆ นานา  แต่ทำยังไงก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก  ใบหน้านั้นยิ้มกว้างมากขึ้น   

‘เขารู้ทันทุกอย่างแหละน่า...’ 

เขานั่งอย่างนั้นอยู่นาน   จึงขยับไปจัดผ้าห่มให้แล้วลุกขึ้นกลับห้องของตน




พีทต้องพักรักษาตัวต่ออีกสองวัน  ไม่ได้ไปร้องเพลงที่ร้านเพราะเกรซหาคนมาร้องเพลงแทนแล้ว  พี่ร็อกกี้  มือกีตาร์และหัวหน้าวงโทรมาบอกให้เขาใช้เวลานี้ลองแต่งเพลงใหม่ ๆ ดูบ้าง   พีทเบื่อที่ต้องนอนแกร่วบนเตียงเฉย ๆ  จึงใช้เวลาว่างเล่นกีตาร์ที่ชานไม้ริมสระเพื่อลองแต่งเพลง

เขาสบายใจมากขึ้นเมื่อไม่เห็นนายหมีมาป้วนเปี้ยนในบ้าน   มีเพียงลุงฉีและสาวใช้ที่คอยดูแลเรื่องอาหารและยาให้เขา   

‘นายนั่นคงรักษาสัญญาสินะที่บอกว่าจะทำตัวเงียบ ๆ’





“เป็นไงบ้างครับลุงฉี”  ผู้ดูแลของคุณชายถามพ่อบ้าน   ละสายตาจากแฟ้มเอกสารบนโต๊ะทำงานหันไปมองลุงฉี   เวลานี้เขาย้ายตัวเองมานั่งทำงานอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านใหญ่เพื่อปล่อยให้คุณชายได้พักผ่อนและเขาจะได้หาโอกาสจัดการเรื่องอะไรหลายอย่างได้สะดวก

“ร่าเริงเหมือนเดิมแล้วครับ   เห็นไปนั่งเล่นกีตาร์อยู่ริมสระกับเจ้าแรมโบ้”  ลุงฉีตอบยิ้ม ๆ  วางกาแฟและของว่างลงแล้วเลี่ยงออกไปทำงานต่อ

คนถามหันไปมองทางบ้านเล็กริมสระทางทิศเหนือ จากช่องระหว่างพุ่มไม้ที่บดบังสายตา เขามองเห็นคุณชายนั่งเล่นกีตาร์อยู่ไกล ๆ  มุมห้องนั่งเล่นตรงนี้เป็นจุดเดียวที่สามารถมองเห็นทะลุไปถึงบ้านโน้นได้  เพราะตัวบ้านเกือบทั้งหมดจะถูกบังสายตาจากต้นไม้ใหญ่ในสวน  พีทคงสบายใจที่ไม่เห็นเขาอยู่รบกวนความเป็นส่วนตัว  ใบหน้าคมนั้นค่อยคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา....

‘ใครจะยอมให้รู้ล่ะว่าเขาแอบเข้าไปเฝ้าคนป่วยทุกคืน’

คนร่างสูงยิ้มให้ภาพนั้น  ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 9 อัพเดต 15/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-07-2014 00:04:14
 o13
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 9 อัพเดต 15/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 16-07-2014 18:53:36
10. ตีสนิท


เช้าวันจันทร์พีทลงมาจากห้องนอนเพื่อไปเรียนหลังจากที่หยุดไปทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา  หนุ่มน้อยใส่เสื้อยืดลายกราฟฟิกสีขาวสวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีแดงที่พับแขนขึ้นเหนือข้อศอก   เขาเดินลงบันไดพลางใส่หมวกไหมพรมเพื่อปิดแผลที่เกือบหายแล้ว

พีทชะงักเมื่อเดินเข้าครัว  คนที่เขาเจอที่โต๊ะอาหารทำให้อารมณ์บูดทันที  นายหมีนั่งกินอาหารเช้าพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย  อาหารอีกชุดหนึ่งวางตรงที่ประจำของเขา  ที่พื้นข้างล่างแรมโบ้ก็กำลังจัดการอาหารของตัวเองอย่างสบายอารมณ์

“โฮ่ง”  แรมโบ้หันมาเห่าทักทาย  ทำให้คนที่โต๊ะเงยหน้ามาเห็นเขา

“อรุณสวัสดิ์”  เจ้าตัวว่าแล้วยิ้มให้จนตาหยี   

‘หึ ยิ้มซะตาปิดขนาดนั้น  มองเห็นใครด้วยเหรอ’
   พีทคิดในใจ  ใบหน้าหนุ่มน้อยบึ้งตึง ‘แรมโบ้ก็อีกตัว  ไปสนิทนายนั่นได้ไง’

พีทสังเกตว่านายหมีเลิกใส่สูทแล้ว  เปลี่ยนมาใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า  ผมที่เคยเซตให้เรียบวันนี้กลับปล่อยให้ปรกหน้าผากทำให้ใบหน้านั้นดูเด็กลง   

“ทานข้าวสิ  พีท”  คนที่โต๊ะอาหารชวนเขากินข้าว

“บอกแล้วว่าอย่ามาทำตีสนิท ชั้นไม่ใช่เพื่อนเล่นของนาย  พ่อจ้างนายมาก็เท่านั้น  อย่าคิดว่าชั้นแพ้พนันแล้วนายจะมาทำตัวสนิทสนมได้”

พีทตอกกลับอย่างหงุดหงิดจนแรมโบ้ที่กำลังแทะกระดูกนิ่งค้าง   มันเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจที่เจ้านายอารมณ์เสียแต่เช้า

คนที่ถูกเขาต่อว่านิ่งไป  ริมฝีปากปากเม้มแน่น  และเมื่อเขาเอ่ยถาม  น้ำเสียงนั้นดูเศร้าสร้อย

“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นคนที่ชอบดูถูกคนอื่น  ทำไมล่ะ แค่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้จักคุณตอนเจอกันที่ผับแค่นั้นเองเหรอ  คุณถึงได้โกรธเกลียดผมขนาดนี้” 

‘....ก็นายหน้าเหมือนพี่ฮั่นน่ะสิ....’
   พีทตะโกนอยู่ในใจ   

ทำไมเขาถึงไม่ชอบหน้าหมอนี่ทั้งที่เรื่องที่ผับก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เรื่องเรียนรู้งานของพ่อเขาก็เป็นคนตกลงเอง  เรื่องมีบอดี้การ์ดเขาก็เป็นคนเสนอเอง

เป็นเพราะนายหมีเหมือนคนคนนั้นมาก  ทั้งใบหน้า ดวงตา เหมือนกระทั่งเวลายิ้ม  มันคอยแต่จะทำให้เขาคิดถึงพี่ฮั่นมากขึ้นทุกขณะ  แต่เขาก็รู้อยู่ตลอดเวลาว่าไม่มีทางที่คนคนนั้นจะกลับมา  ในเมื่อมันผ่านมาตั้งหลายปี 

บางที...พี่ฮั่นคงจะลืมเขาไปแล้ว...คนใจร้ายนั่น

ความคิดที่ว่าพี่ฮั่นลืมเขาไปแล้วทำให้พีทแทบจะตะคอกใส่คนตรงหน้าเขา 

“ชั้นจะรู้สึกอะไร จะเกลียดใคร ไม่ใช่เรื่องของนาย!  แล้วก็ขอย้ำด้วยว่านี่มันบ้านชั้น  นายไม่มีสิทธิ์มาทำตัวเริงร่าที่นี่!”  ร่างสูงโปร่งว่าแล้วเดินออกไปจากห้องครัวทันที  กินอะไรไม่ลงแล้ว

เมื่อเดินออกมาจากบ้านเขาก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาจะไปเรียนยังไง  รถคันเก่งก็อยู่ที่อู่  กุญแจรถคันอื่นก็ถูกริบไปแล้ว  จะเดินออกไปขึ้นแท็กซี่ก็ไม่รู้ว่าจะเจอลูกไม้เหมือนเมื่อวันก่อนอีกรึเปล่า วันนี้ตื่นสายเสียด้วย 
 
‘บ้าชะมัด  เพราะนายนั่นคนเดียวชีวิตเขาถึงได้ยุ่งเหยิงแบบนี้’

ขณะที่เขายืนลังเลอยู่นั่นเอง  ขายาวก็ก้าวมาหยุดยืนไม่ห่างนัก

“เดี๋ยวผมไปส่ง”  น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลเสมอแม้ว่าเพิ่งจะโดนพีทต่อว่ารุนแรงมาเมื่อครู่

“ยังกับชั้นมีทางเลือกอื่นงั้นแหละ”  พีทกระแทกเสียงใส่  นอกจากน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจแล้วหน้ายังเหวี่ยงอีกด้วย

“คุณไม่มีทางเลือกเท่าไรหรอก  ทางเลือกเดียวที่คุณมีคือทำตามที่ผมสั่ง  เอ่อ ที่ผมขอร้องแล้วกัน”  คนว่าเปลี่ยนท่าทีมายิ้มกวน  มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีด

“นายอย่ามายั่วโมโหชั้นแต่เช้านะ  ถ้าชั้นทนไม่ไหวขึ้นมาเมื่อไรนายเจอดีแน่!” 

พีทหันไปกระชากปกเสื้อเชิ้ตนายหมีด้วยแรงโทสะแต่คนตรงหน้าเขาแค่เซไปเล็กน้อย  เขาอยากจะชกหน้าหล่อ ๆ นั่นให้ยับซะบ้าง  แต่คำขู่ของเขาไม่มีผล  นายหมีไม่สะทกสะท้านอะไร  กลับยิ้มกวนใส่เขาไม่หยุด   

“ผมจะรอนะคุณชาย”  พูดพลางยื่นหน้ามาใกล้  มือใหญ่เอื้อมมาปลดมือเขาที่จับปกเสื้ออยู่  พีทผลักมือออกทำท่ารังเกียจใส่   แล้วเดินหนีไปยืนรอที่รถหรูที่จอดพร้อมแล้วที่ลานข้างหน้า 

คนถูกผลักยังยิ้มมุมปาก  ทำหน้าระอาเหมือนเห็นเด็กอนุบาลขู่ว่าจะไม่กินข้าวเย็นยังไงอย่างงั้น   เขาจัดปกเสื้อให้เรียบร้อยพลางเดินไปที่รถ  แต่ต้องชะงักเมื่อคุณชายออกคำสั่ง

“เดี๋ยว  เปิดประตูด้วย”  คนออกคำสั่งยืนกอดอกรออยู่  ใบหน้าเหมือนจะเยาะ

‘ว่าไงนะ’  นายหมีเลิกคิ้ว ‘เห็นเขาเป็นคนขับรถรึไง’   

แต่เมื่อมองหน้าคุณชายแล้วเขาก็ได้คำตอบ  คุณชายก็คงเห็นเขาเป็นคนขับรถนั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่ออกคำสั่ง

‘หึ คนขับรถที่ไหนหล่อขนาดนี้  อ๊ะ  บริการหน่อยแล้วกัน  คุณชายจะได้อารมณ์ดี’  

เขายิ้มให้ตัวเอง  จากนั้นคนขับรถสุดหล่อก็เดินไปเปิดประตูรถให้คุณชายแถมโค้งให้ด้วย  คุณชายปรายตามองอย่างหมั่นไส้เป็นกำลัง  แต่ก็ยอมขึ้นรถไปโดยดี
   
“เร็วด้วย  จะสายแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า อีกตั้งยี่สิบนาที  คอยดูแล้วกัน”  นายหมีให้คำรับรองแข็งขันทำให้คุณชายยิ่งทวีความหมั่นไส้มากขึ้น 

‘ระวังเหอะ  ถ้าเขาสายแม้แต่นาทีเดียวเป็นเรื่องแน่’

----------------------------------



ออดี้แปดสูบเลี้ยวปราดเข้าจอดในช่องจอดอย่างนุ่มนวลทั้งที่ขับมาด้วยความเร็วสูง  พีทนั่งใจเต้นมาตลอดทาง  ก็นายหมีขับยังกะกำลังแข่งฟอร์มูล่าวัน  เลี้ยวซ้ายป่ายขวาซะเขาแทบมึน  ปกติเขาก็ขับรถเร็วเหมือนกันแต่ไม่ฉูดฉาดเท่าที่นายนี่ขับหรอก
เขามาทันเวลาก่อนเข้าเรียนเกือบสิบนาทีตามที่มีคนโม้ไว้
     
“ทันรึเปล่าครับคุณชาย”  เสียงทุ้มนั้นถาม  ใบหน้าคมยิ้ม

‘รู้อยู่แล้วจะถามอีกทำไม’
  พีทว่าอยู่ในใจ  แต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้  นายหมีรู้ว่าเขาเรียนเวลาอะไร  รู้แม้กระทั่งว่าเขาเรียนอาคารไหน  เพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาพีทไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว 

มหาวิทยาลัย T ที่เขาเรียนอยู่  เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ  ได้ชื่อว่าเข้าเรียนยากที่สุดเพราะคัดแต่คนที่เก่งที่สุดเข้าเรียน   มีชื่อเสียงมากด้านการบริหารธุรกิจ  การตลาด  การโรงแรม  รวมไปถึงดนตรีและศิลปะ  เป็นมหาวิทยาลัยที่ตระกูลหยางของเขาเป็นผู้ก่อตั้งและให้ทุนสนับสนุน

บริเวณอาคารสถานที่ตกแต่งอย่างสวยงาม  ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่   มีอุปกรณ์การศึกษาทันสมัย   รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นอีกมากมาย  ทั้งสปอร์ตคลับ   ห้องสมุด  สระว่ายน้ำ  สนามฟุตบอล 
   
พีทลงจากรถเข้าไปที่ตึกเรียนทันที  ไม่สนใจว่านายหมีจะทำอะไรต่อไป 




“อ้าว พีท มาเรียนได้สักทีนะ นายหายไปไหนตั้งหลายวัน”  โดม  เพื่อนรุ่นพี่คณะเดียวกันทักทันทีที่เขาเดินเข้าห้องเรียนมา

“หวัดดีพี่โดม  โดนพวกจิ๊กโก๋มันดักตีหัวน่ะ  หัวแตกมาเรียนไม่ไหว”

พีทบอกพลางทรุดตัวลงนั่ง  โดมมองไปที่หมวกที่เขาใส่ไว้แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ 

พวกเขาเรียนชั้นเดียวกัน  แต่เพราะพีทเรียนเร็วไปหนึ่งปี  โดมจึงอายุมากกว่าเขา  โดมเป็นหนุ่มร่างอวบใจดี  เป็นคนคอยรับฟังปัญหาของพีทเสมอ โดมจึงเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่พีทสนิทที่สุด

“อ้าวแล้วเป็นไรมากไหม  พีทไปมีเรื่องอะไรกับพวกมัน ไปกวนมันเข้าหรือว่ามันกะปล้น?” 

“ไม่รู้เหมือนกันพี่  พอดีมีคนช่วยไว้ก่อน”  อยู่ ๆ หน้านายนั่นก็ลอยเข้ามาในหัว 

“แล้วพี่มาหาว่าผมเป็นคนไปกวนก่อนได้ไง ผมเนี่ยนะ” พีทชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ก็หน้านายมันเหวี่ยงน้อยอยู่เมื่อไรละ พีท” 

‘ดูพี่โดมตอบเขาสิ’

พีทไม่อยากเล่าเรื่องที่เขาถูกปองร้ายจากคู่แข่งทางการเมืองของพ่อจึงตอบเลี่ยงไป  ดูเหมือนพี่โดมก็เข้าใจเขา  พี่โดมไม่เคยเซ้าซี้อยากรู้เรื่องอะไรยกเว้นว่าพีทอยากจะเล่าเอง   เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงคบกันได้นาน  ไม่เหมือนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นที่มักต้องการเป็นเพื่อนพีทด้วยสาเหตุเพราะ

เขารวย!




หลังชั่วโมงเรียนอันยาวนานจบลง  สองหนุ่มเดินออกจากห้องเรียนด้วยความรีบร้อนด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันคือหาข้าวกิน  ตอนเช้าพีทไม่ได้กินอะไรเลยเพราะโมโหนายหมีจึงรีบออกจากบ้าน  ตอนนี้เขาจึงหิวมาก  ส่วนพี่โดมนั้นก็หิวตลอดเวลาอยู่แล้ว

พวกเขาไม่ต้องเสียเวลาไปต่อคิวที่โรงอาหารเลย  เพราะเมื่อพีทเดินออกมาก็เจอนายหมียืนรออยู่  ร่างสูงใหญ่สมส่วนนั้นยืนพิงไหล่กับกำแพง มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง  อีกข้างหิ้วถุงใบใหญ่  ดวงตาเล็กชั้นเดียวจ้องตรงมายังทางเดินออกจากห้องเรียนเหมือนจะคอยอยู่   ดังนั้นพวกเขาจึงสบตากันทันทีที่พีทเดินออกมา

‘ออกมายืนโชว์ตัวเชียวนะ คงคิดว่าเท่ห์ซะเต็มประดา’

พีทค่อนขอดอยู่ในใจเพราะนักศึกษาสาวแต่ละคนที่เดินผ่านไปมา ต่างก็แอบมองมาทางที่นายหมียืนอยู่ตลอดเวลา  เสียงพูดคุยพึมพำดังไปทั่วบริเวณเพราะสงสัยว่านายหมีเป็นใคร  และนายนั่นก็ยืนรออยู่ตรงทางเดินที่ทุกคนต้องผ่านเสียด้วย 

ตอนนี้คนที่ถูกนินทาอยู่ในใจเดินตรงมายังพวกเขา
   
“มาทำไม  ทำไมไม่ไปรอที่รถ”  พีทต่อว่าทันที

“ผมคิดว่าคุณคงหิวก็เลยซื้อมาให้”  นายหมียกถุงใบใหญ่ขึ้นเล็กน้อยประกอบคำพูด  พร้อมกับเอ่ยแนะนำตัวกับโดม

“สวัสดีครับ  น้องคงชื่อโดมใช่ไหม” 

“เอ่อ  ครับ  ผมโดมครับ”  โดมตกใจเล็กน้อยที่มีคนรู้จักเขา  เพราะปกติเขาเป็นคนธรรมดาไม่ได้โดดเด่นอะไร 

“พี่ชื่อฮัทครับ มาดูแล....คุณชาย” 

คนพูดแนะนำตัวเองสั้น ๆ  ท้ายประโยคเขาเหลือบตาไปมองคนที่ยืนหน้าบูดอยู่  ซึ่งโดมก็เข้าใจทันที   

เรื่องพีทมีบอดี้การ์ดนั้นเป็นเรื่องปกติ  เขาเคยเห็นคนเหล่านั้นคอยดูแล ‘คุณชาย’ อยู่ห่าง ๆ  เวลาพวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกัน  แต่พี่ฮัทเป็นคนแรกที่เข้ามาแนะนำตัวกับเขา 

‘ปกติพีทไม่ชอบให้มีใครมาตามติดนี่นา’
คนสมองไวอย่างโดมนึกรู้ทันทีว่าทำไมพีทถึงทำหน้าบูด   

พีทเหล่ตามองนายหมีมาตีสนิทกับพี่โดมของเขา  ถ้านายนั่นเป็นผู้หญิงคงได้เป็นนางงามมิตรภาพแน่ ๆ

“กินข้าวด้วยกันนะ พี่ซื้อมาเผื่อแล้ว เยอะแยะเลย”  นายหมีชวนโดมที่กำลังทำตาวาวเวลาได้กลิ่นอาหาร

“พี่โดม เราไปกินที่โรงอาหารเหอะ ไม่ต้องสนใจนายนี่หรอก  เอายาถ่ายใส่มาด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้”

พีทยกแขนคล้องคอพี่โดม  พยายามลากร่างอวบใหญ่ของพี่โดมไปโรงอาหารกับเขาให้ได้  แต่โดมยังขืนตัวไว้

“แต่ว่าพี่เขาซื้อมาแล้วนะพีท  อีกอย่างไปโรงอาหารตอนนี้คนเต็มแล้วแน่ ๆ เรากินไอ้นี่เหอะ”  โดมที่หิวจนตาลายชี้นิ้วไปที่ถุงอาหาร 

“ไม่เอาพี่โดม  ไปกินร้านประจำหน้ามหาลัยก็ได้  เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”  พีทยังไม่ยอมแพ้

“คนแพ้ต้องทำตามคำสั่ง อย่าลืมสิ  นายคงไม่เป็นคนไม่รักษาคำพูดหรอกใช่ป่ะ”  นายหมีหันมาตอกย้ำเขาอีกครั้ง 

‘ยิ้มเยาะเย้ยเขาด้วย  หนอย  หมียักษ์!’     


ไม่เท่านั้นนายหมียังหันไปเล่าให้โดมฟังด้วยว่าพวกเขาพนันกันแล้วเขาแพ้นายหมี   ต้องยอมทำตามคำสั่งทุกอย่าง   
โดมทำตาวาวทะลุแว่นตาหนาที่เขาใส่อยู่เอ่ยล้อเลียน

“นั่นแน่  ไม่รักษาสัญญาไม่ได้นะพีท  ลูกผู้ชายต้องรักษาสัญญาสิ” 

‘หนอยพี่โดม  หิวจนตาลายน่ะสิไม่ว่า’   พีทคิดอย่างหงุดหงิด

ในที่สุดทั้งสามคนจึงหาที่นั่งแล้วจัดการกับอาหารด้วยความไม่เต็มใจนักของพีทที่ต้องรักษาคำพูดของตัวเอง   

อาหารญี่ปุ่นนานาชนิดถูกจัดการโดยผู้ชายตัวโต ๆ สามคนจนเกลี้ยง  ระหว่างกินอาหารนายหมีก็ชวนโดมคุยอย่างออกรส   และเมื่อจบมื้ออาหารพวกเขาดูเหมือนเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาสักสิบปี  ทำให้พีทหงุดหงิดอีกรอบ   

‘อะไรเนี่ยทำไมพี่โดมไปสนิทกับนายนั่นเร็วขนาดนี้  เขาไม่ยอมนะ  พี่โดม!’


---------------------------------------------



ตลอดทั้งวันนายหมีติดตามเขาไปทุกที่ในมหาวิทยาลัย  พีทรู้สึกขุ่นใจเพราะมันทำให้เขากลายเป็นจุดเด่นมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีนายนั่นตามเขาและพี่โดมไปไหนมาไหนด้วย   นายหมีนั่นดึงดูดสายตาคนให้หันมาจ้องมองพวกเขาสามคนมากขึ้นโดยเฉพาะสาว ๆ   ด้วยบุคลิกและหน้าตาระดับดาราของหมอนั่น  พีทคิดอย่างเดือดดาล  สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวจึงโวยวายใส่

“เมื่อไรนายจะเลิกตามชั้นไปไหนสักที  มันน่าเบื่อนะ ทำไมนายไม่รอที่รถเหมือนพวกบอดี้การ์ดคนอื่นเขาทำกัน  ชั้นรำคาญ”

“ผมเป็นผู้ดูแลคุณ  ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันสิ” 

ภายใต้ใบหน้าใสที่ยิ้มน้อย ๆ นายหมีตอบคำถามของพีทอย่างใจเย็น  พีทไม่รู้หรอกว่าเขาคอยสังเกตทุกสิ่งรอบตัว  ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่พีทมักไปเป็นประจำในมหาวิทยาลัย  เพื่อนทุกคนที่อยู่รอบกาย  แม้แต่โดม เพื่อนสนิทของพีทก็ถูกตรวจสอบประวัติมาแล้วล่วงหน้า  พีทได้รับข้อมูลเพียงบางส่วนจึงไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  ไม่อย่างนั้นคุณคริสคงไม่เป็นกังวลขนาดนี้

“แต่ชั้นเบื่อหน้านาย!”  พีทว่าแล้วเดินหนี 

โดมส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยกับพีท  พี่ฮัทไม่ได้น่ารำคาญสักหน่อย  เขาหันไปสบตากับบอดี้การ์ดของพีทพบว่าใบหน้านั้นยังคงยิ้มเหมือนไม่รู้สึกอะไร 

“อย่าคิดมากเลยนะครับพี่ฮัท  ปกติเขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอะไร” 

“อ๋อ  ไม่เป็นไรครับ  พี่เข้าใจ”  เจ้าตัวว่าแล้วยิ้มให้โดมอีกครั้ง

“เราไปกันเถอะครับ  สงสัยพีทจะไปห้องซ้อม” 

ทั้งสองคนพบพีทอยู่ที่ห้องซ้อมดนตรี  หนุ่มน้อยนั่งอยู่หน้าคีย์บอร์ดกำลังพรมนิ้วบรรเลงเพลงอย่างคล่องแคล่ว  ดูเหมือนพีทจะอารมณ์ดีขึ้นเมื่อได้เล่นดนตรี   

“พี่นั่งอยู่แถวนี้ก็ได้ครับ” 

โดมชี้ที่นั่งมุมหนึ่งในห้องซ้อม  ตัวเขาเข้าไปทักทายเพื่อนในวงอย่างร่าเริง  เสียงทักทายตอบกลับมาเซ็งแซ่  โดมจึงแนะนำนายหมีง่าย ๆ  เขาตะโกนท่ามกลางเสียงกีตาร์  เสียงกลอง  ชี้ไม้ชี้มือไปทางนายหมี

“นี่พี่ฮัทนะ  เป็นพี่พีท” 

‘เฮ้ย!’
พีทเงยหน้าขึ้นมองพี่โดมทันที  ‘ทำไมพี่โดมทำแบบนี้อ่า  นายหมีไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาสักหน่อย  เป็นแค่คนที่พ่อเขาส่งมา  พี่โดมก็รู้นี่’ 

พีทยังอึ้งอยู่แต่ไม่ทันแล้ว  เพื่อนร่วมวงทุกคนพร้อมใจกันทักทาย ‘พี่ชายพีท’

“หวัดดีพี่  ผมริทคร้าบ”  หนุ่มร่างเล็กน่ารักเงยหน้าขึ้นทักทายคนแรก 

“หวัดดีพี่ ผมแทนนะ”  หนุ่มร่างโปร่งสะพายกีตาร์ไฟฟ้าที่ยืนอยู่ข้างริทเอ่ยแนะนำตัวพลางโอบแขนไปที่ริท  หนุ่มร่างเล็กหันไปยักคิ้วให้แทนอย่างน่ารัก 
   
คนอื่นต่างแนะนำตัวกับนายหมี  พีทมองภาพนายหมีทำตัวเนียนเป็นพี่ชายเขาอย่างไม่ชอบใจ  เมื่อพี่โดมหันมาเห็นเข้าก็ยักคิ้วให้อย่างล้อเลียน  แล้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี  พีทตวัดสายตาอย่างไม่พอใจไปที่นายหมี  ใบหน้าคมนั้นยิ้มกว้างจนตาแทบปิดกลับมาให้เขา  นายนั่นไม่เกรงใจเขาสักนิด  หนุ่มน้อยได้แต่ฮึดฮัดในใจแต่ไม่แสดงอะไรออกมาเพราะกลัวเพื่อนในวงสงสัย
 
เมื่อทักทายกันพอสมควรแล้วพวกเขาก็เริ่มซ้อม  พีทพยายามตั้งใจเล่นดนตรีไปพร้อมกับวงแต่ไม่ค่อยมีสมาธินักเพราะรู้สึกถูกจับตามองอยู่ตลอด  หลายครั้งหลายคราเมื่อเขาเผลอ  เขารู้สึกเหมือนถูกมองอยู่ แต่พอตัวเองหันกลับไปมองบ้าง  ดวงตาคู่นั้นกลับกำลังมองไปที่อื่น  เป็นแบบนี้อยู่หลายทีจนกระทั่งพวกเขาซ้อมเสร็จ

ในที่สุด  บรรยากาศสนุกสนานตลอดเวลาสองชั่วโมงในห้องสี่เหลี่ยมเล็กก็สิ้นสุดลง  หลังซ้อมเสร็จพวกเขาจึงเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ  พลางพูดคุยกันไปด้วย  เสียงริทแหย่คนโน้นคนนี้อยู่ตลอดเวลา

“อ่ะ น้ำเย็น ๆ”  ขวดน้ำแร่ถูกยื่นมาตรงหน้าเขา 

พีทที่กำลังก้มเก็บสายไฟอยู่เงยหน้าขึ้นรับก่อนจะรู้ตัวว่าคนที่ยื่นให้คือคนที่นั่งเฝ้าเขาตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมา  ขวดน้ำเย็นเฉียบทำให้พีทไม่อยากปฏิเสธเพราะเขาก็กำลังกระหายน้ำอยู่เหมือนกัน   นายหมียิ้มให้เขาแล้วหันไปแจกจ่ายน้ำเย็นให้คนอื่นในวงบ้าง  เสียงขอบคุณดังไปทั่วห้องซ้อม   

หลังจากกล่าวลากับเพื่อนร่วมวงแล้ว   หนุ่มน้อยสะพายกระเป๋าพาดบ่าแล้วกอดคอพี่โดมออกจากห้องซ้อม  ปล่อยให้ ‘พี่ชายพีท’ เดินตามหลังมาเพียงลำพัง

“พี่โดม  ทำไมพี่บอกทุกคนอย่างงั้นอ่ะ  นายหมีนั่นไม่ใช่พี่ผมนะ” 
 
พีทกระซิบกระซาบถาม  พี่โดมทำหน้างงเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจความหมาย 

“อ้าว  พี่ฮัทคือนายหมีเหรอ  ฮ่า ๆ  สมตัวเขาดีนะ  แล้วพีทจะให้พี่บอกว่าไงล่ะ  บอดี้การ์ดคนใหม่เหรอ  ไอ้พวกนั้นได้หัวเราะตายเลย  คุณชายพกบอดี้การ์ดมาเรียนด้วย  อีกอย่างนะหน้าตาท่าทางพี่ฮัทไม่สมกับเป็นบอดี้การ์ดสักติ๊ด  หล่อขนาดนี้  สาว ๆ ที่คณะมองกันตาเป็นมัน  ต้องเป็นพี่ชายนายนั่นแหละพีท  ถึงจะเหมาะ”

พีทกัดฟันอย่างไม่ชอบใจนักกับคำตอบของพี่โดม 

นายนั่นไม่ใช่พี่เขา! 

แต่...พีทฉุกคิด  ใช่  นายนั่นหน้าตาท่าทางดีเกินกว่าจะเป็นแค่บอดี้การ์ด  แล้วเป็นใคร?  สักวันเขาต้องรู้ให้ได้

---------------------------------------------



หลังเลิกซ้อมก็เป็นเวลาค่ำแล้ว  นายหมีขับรถออกจากมหาวิทยาลัยด้วยความเร็วไม่เท่ากับตอนเช้าแต่พวกเขาก็ผ่านรถคันอื่นไปอย่างรวดเร็ว

ภายในรถเงียบสนิท  ไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอก  พีทเพิ่งมีโอกาสมองสำรวจไปรอบบริเวณที่นั่งผู้โดยสารและคนขับ  ออดี้คันนี้สวยมาก  ทั้งภายในและภายนอก  เห็นแล้วคนบ้ารถอย่างเขาก็ชักอยากลองขับขึ้นมาบ้าง   

‘คนขับรถ’  ของคุณชายจอดรถหน้าบ้านอย่างนุ่มนวล   เจ้าแรมโบ้ที่รออยู่วิ่งเข้ามาทักทายเจ้านายเหมือนทุกวันที่เขากลับบ้าน   แต่วันนี้เจ้าแรมโบ้หันไปเห่าให้นายหมีที่เดินตามมาสมทบเขาอยู่ข้าง ๆ เหมือนจะทักทายด้วย   

‘หนอย แรมโบ้ สนิทกันเร็วเชียวนะ ทีคุณพ่อจะเล่นด้วยทำเป็นขู่  ไม่ยอมให้จับ’
   เจ้านายน้อยของแรมโบ้แอบค่อนขอดหมาตัวเองในใจแล้วจึงผละเข้าบ้านไป 

เจ้าแรมโบ้วิ่งไปหานายหมีทันที  คนตัวใหญ่ลูบหัวลูบหลังแรมโบ้แล้วแอบกระซิบ

“เจ้านายแกงอนแล้วนะ รู้ป่ะ”  คนพูดอมยิ้มแล้วก็ออกเดินเข้าบ้านตามไปอีกคน

พีทเข้าบ้านไปอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อเตรียมตัวไปที่ร้านตามปกติ  แต่เมื่อเขาลงมาข้างล่างก็พบนายหมีอยู่ในห้องครัว  กำลังวุ่นวายกับการจัดโต๊ะอาหาร

“มากินข้าวก่อนสิ”  คนตัวใหญ่ยังอยู่ในชุดเดิมตั้งแต่เช้า  เงยหน้ามาเรียกเขาให้เข้าไปที่โต๊ะอาหาร

“คุณชอบกินแซลมอนไหม  วันนี้มีแซลมอนรมควันด้วยนะ” คนชวนกินข้าวว่า  มือก็สาละวนจัดจานวางบนโต๊ะ

“ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบผม  แต่เรามาสงบศึกกันก่อนดีไหม  ถือว่าเวลากินข้าวเป็นเวลาพักแล้วกัน  อิ่มแล้วคุณค่อยหาเรื่องผมอีกก็ได้ โอเคไหม?”  คนพูดเงยหน้าจากโต๊ะอาหารมาสบตาเขาอย่างอ่อนโยน   ไม่มีร่องรอยการประชดประชันอยู่ในแววตา

‘เวลากินข้าวคือเวลาสงบศึกงั้นหรือ’

ไม่รู้ทำไมเหมือนกันพีทรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดนั้น  อาจเป็นเพราะเขาหิวข้าวมาก  หรืออาจจะเป็นเพราะสายตานั้นก็ได้  สายตาเหมือนเวลาที่พี่ฮั่นมองเขา     

‘ดีเหมือนกันท้องอิ่มแล้วค่อยว่ากัน’

คิดดังนั้นแล้วเขาก็ก้าวเข้าไปยังห้องครัว   คนสองคนนั่งลงที่โต๊ะอาหาร  ไม่มีใครพูดอะไร  มีแต่เสียงช้อนส้อมกระทบจานดังเป็นครั้งคราว  แต่บรรยากาศรอมชอมนั้นทำให้แรมโบ้ที่นั่งมองเจ้านายทั้งสองอยู่วางหัวของมันลงบนขาหน้าพลางหลับตาอย่างเป็นสุข

หลังอาหารเย็นผ่านไป  พีทกลับเข้าห้องไปเพื่อหาโน้ตเพลง   เมื่อกลับออกมาอีกครั้งนายหมีก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมอยู่แล้วเพื่อรอไปส่งเขาที่ร้าน
 
‘เฮ้อ’  คุณชายถอนหายใจ  จากนี้ไปเขาคงไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวอีกแล้วยกเว้นเวลานอน




“นายจะตามติดชั้นไปอีกนานแค่ไหน”  พีทถามคนที่กำลังขับรถอยู่  เวลานี้ดึกมากแล้ว  หลังจากร้องเพลงเสร็จเขาก็กลับทันทีไม่แวะทักทายลูกค้าเหมือนเคย   

คนถามมองตรงไปข้างหน้า  คำถามราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ นั้นทำให้นายหมีหันมามองชั่วครู่ก่อนหันไปขับรถต่อ

“ก็จนกว่าผมจะแน่ใจว่าคุณปลอดภัย”  คนตอบก็ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบปานกัน

น้ำเสียงปกติแต่คำตอบกวนทำให้คนที่ตั้งใจจะพูด ‘ดี’ ด้วยขุ่นใจ  เมื่อพีทถามต่อจึงมีร่องรอยของความไม่พอใจ

“เมื่อไรล่ะ  ต้องรอให้พ่อได้รับเลือกตั้งก่อนรึไง” 

“ก็ไม่แน่นะ ถ้าพวกนั้นยังไม่ยอมหยุด ผมก็ต้องดูแลคุณไปเรื่อย ๆ”  คนตอบยังคงความราบเรียบในน้ำเสียงเป็นปกติ

“แค่นี้ก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว  นายไม่เบื่อรึไง”   น้ำเสียงเริ่มแฝงความไม่พอใจ

“ไม่หรอก  สนุกดี”  คราวนี้คนตอบหันหน้ามายักคิ้วกวน ๆ ส่งให้ 

‘หนอย หมียักษ์! คนอุตส่าห์พูดดีด้วยกลับมากวนประสาท’

พีทไม่รู้ว่าตัวเองเคืองนายหมีตรงไหน  ตรงที่นายนั่นยักคิ้วหรือตรงสายตาที่มีแววสนุกที่ได้ยั่วโมโหเขา

“แต่ชั้นเบื่อหน้านาย!” 

ในที่สุดคุณชายก็ทนไม่ไหว จึงอดไม่ได้ที่จะ ‘เหวี่ยง’ ว่าแล้วคุณชายก็หันหน้าออกนอกรถยกมือกอดอก  หน้าบูด 

เพราะคุณชายหันหน้าออกไปอีกด้าน  จึงไม่ได้เห็นคนที่ขับรถอยู่ลอบยิ้มมุมปาก  เขาแค่แกล้งยั่วโมโหนิด ๆ หน่อย ๆ คุณชายก็อารมณ์บูดซะแล้ว  ตั้งแต่กลับมาเขาทำให้คุณชายอารมณ์เสียไปกี่ทีแล้วนะ  เขารู้สึก ‘สนุก’ ที่ได้เห็นพีทโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเวลาต่อปากต่อคำกับเขาจนอยากจะต่อยเขาสักหมัดแต่ทำไม่ได้  คิดแล้วนายหมีก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างขึ้น

‘หึ  เด็กนี่ยั่วโมโหขึ้นจริง ๆ’


---------------------------------








หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 9 อัพเดต 15/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 16-07-2014 18:55:07
10. ตีสนิท (2)




บอดี้การ์ดของพ่อยังคงติดตามพีทไปไหนมาไหนทุกวัน   ทุกสถานที่ที่เขาไป  ทั้งที่มหาวิทยาลัยและที่ผับของเกรซ  พีททำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อคิดสมเพชตัวเอง  นี่เขากลายเป็นเด็กอนุบาลตั้งแต่เมื่อไร ที่ต้องมีพี่เลี้ยงมาคอยไปรับไปส่งที่โรงเรียนหรือเวลาไปไหน  เขากลายเป็นเด็กที่ดูแลตัวเองไม่ได้ต้องมีผู้ปกครอง  ทั้งที่ผ่านมาเขาดูแลตัวเองมาตลอดตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยเพราะพ่อเห็นว่าเขาโตแล้วจึงปล่อยให้คิดและตัดสินใจทุกเรื่องด้วยตนเอง พีทจึงมีอิสระเต็มที่ที่จะทำสิ่งใดก็ได้  อีกอย่างพ่อกับคุณโรสมักจะเดินทางไปติดต่อธุรกิจต่างประเทศอยู่เสมอ  ทำให้เขาเคยชินกับการอยู่คนเดียวมาตั้งนาน   แต่ตอนนี้เขากลับต้องอยู่ในสายตานายนั่นตลอดเวลา

‘เฮ้อ วันนี้ลองหนีไปเองจะดีไหมนะ’ เขาคิดไปเรื่อยเปื่อย  เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างกลับต้องชะงักเมื่อเพราะมีสิ่งหนึ่งยื่นมาขวางหน้าเขาไว้

‘กุญแจรถ!’

“อยากลองขับบ้างไหม”  นายหมียืนอยู่ตรงหัวบันไดยื่นกุญแจออดี้ R8  มาตรงหน้า

‘ว่าไงนะ ให้ลองขับเหรอ  เห็นเขาเป็นเด็กเห็นแก่ของเล่นรึไง’  พีทขมวดคิ้วกึกด้วยความคาดไม่ถึงว่า จู่ ๆ นายหมีจะยอมให้เขาขับรถของตัวเอง

‘จะว่าไปแล้วเขายังไม่เคยขับออดี้เลยนี่นะ รถสัญชาติเยอรมันยี่ห้อนี้ถือได้ว่าเป็นรถที่มีระบบช่วงล่างดีที่สุดในโลกด้วย’


“นึกยังไงเอารถมาให้ลอง” พีทลองหยั่งเชิง  หันไปมองหน้านายหมี  พยายามทำหน้าเฉยแต่แววตาตื่นเต้นอยากจะลองขับจนปิดไม่มิด

“ก็ไม่มีอะไรนี่  ผมแค่คิดว่าคุณคงจะเบื่อที่มีคนขับรถพาไปไหนมาไหนตลอดเวลา  ผมคิดว่าคุณน่าจะชอบขับมากกว่านั่งเฉย ๆ”

‘หืม นายหมีนี่เดาแม่นแฮะ ใช่ เขาชอบขับมากกว่า แล้วออดี้คันนี้ก็สวยชะมัด  อยากลองเร่งเครื่องแรง ๆ ด้วยตัวเองดูสักทีว่าจะสักแค่ไหน  เอาไงดี?’

ในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะความไม่ชอบส่วนตัวไป เมื่อหนุ่มน้อยรับกุญแจดอกนั้นมาแล้วเดินลิ่วออกจากบ้านไปลองรถทันที

เจ้าของซูเปอร์คาร์สุดหรู   หันไปมองด้านหลังไว ๆ ของหนุ่มน้อยอย่างนึกเอ็นดู  พีทไม่ใช่ว่าไม่มีรถเป็นของตัวเอง ที่จอดอยู่ในโรงรถนั่นก็มากมายใช้ไม่หมด  และยังมีรถจำลองเหมือนจริงหลายขนาดเป็นของสะสมเต็มห้องที่บ้านใหญ่   แต่ความชอบเรื่องรถที่เป็นมาตั้งแต่เด็กไม่ยอมจางหาย   จนโตก็ยังชอบอยู่  สมกับเป็นลูกคุณคริสจริง ๆ 

คนตัวใหญ่เดินยิ้มแย้มออกมาจากบ้าน  เขาเห็นหนุ่มน้อยกำลังเปิดท้ายรถออดี้พิจารณาเครื่องยนต์อยู่อย่างตื่นเต้น

“เครื่องยนต์ของลัมโบร์กีนี่”  หนุ่มน้อยว่า

“ใช่ ใช้เครื่องยนต์ของลัมโบร์กีนี่  แต่คนละรุ่นกับคันนั้นนะ” นายหมีพยักหน้าไปทางโรงรถใต้ดิน   เขาหมายถึงลัมโบร์กีนี่ Reventon สีดำของพีทที่โดนล็อกล้ออยู่

“ตัวถังเอามาจาก Bugati  ส่วนช่วงล่างก็เป็นของออดี้เอง  ระบบช่วงล่างที่ดีที่สุดเข้าโค้ง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสบาย ๆ”  เจ้าของเล่าเรื่อย ๆ   รู้สึกสนุกที่ได้คุยกับคนที่ชอบรถเหมือนกัน

พีทเดินวนดูรถรอบคันอยู่ครู่จึงขึ้นไปลองนั่ง ออดี้คันนี้สวยมาก  เบาะนั่งใหญ่พอดีตัวทำให้นั่งสบาย  เห็นแล้วหนุ่มน้อยก็แทบจะรอไม่ไหว  เมื่อนายหมีก้าวเข้ามานั่งอีกด้านพีทจึงสตาร์ทรถทันที  เขานั่งฟังเสียงเครื่องอยู่ครู่จึงลองเร่งเครื่อง  ใบหน้าหนุ่มน้อยยิ้มกว้างดีใจที่ได้ลองของใหม่  เขาเหยียบคันเร่งเพื่อลองฟังเสียงเครื่องยนต์ดูหลายที 

สำหรับคนที่รักรถเป็นชีวิตจิตใจ  เสียงเครื่องยนต์ก็เป็นเหมือนเสียงเพลงของนักดนตรีนั่นแหละ   
 
“ไปลองเลยดีกว่า” ใบหน้าเรียวหันมายิ้มให้  แล้วออดี้คันหรูก็ปราดออกจากบ้านทันที 

พีทติดใจเจ้าออดี้มาก  หลังจากได้ลองขับออกนอกเมืองไปเส้นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยวเขาก็เหยียบคันเร่งจนมิด  เขาลองขับอยู่นานจนนายหมีต้องเตือนว่าใกล้ถึงเวลาต้องไปที่ร้าน   หลังจากออกจากร้านหนุ่มน้อยก็ขอขับกลับมาเอง  นายหมีไม่ว่าอะไรเมื่อส่งกุญแจให้  เจ้าของซูเปอร์คาร์ที่นั่งอยู่เคียงข้างแอบลอบยิ้มเมื่อพวกเขาพูดคุยเรื่องรถกันตลอดทาง  เพราะคุณชายลืมเรื่องไม่พอใจทั้งหมดทันทีเมื่อได้ ‘ของเล่น’  ใหม่   

แต่เมื่อเช้าวันถัดมาพีทอยากจะลองขับอีก  คราวนี้นายหมีไม่ยอม

“อย่าขับอีกเลย  นั่นมันหน้าที่ผม  คุณนั่งไปน่ะดีแล้ว”  เจ้าของรถว่าง่าย ๆ

“อะไร?  แล้วทีเมื่อวานทำไมให้ลองล่ะ”  หนุ่มน้อยเริ่มหงุดหงิดที่ไม่ได้ดังใจ

“ก็ลองขับไง  ไม่ได้ให้ขับทุกวัน  ขึ้นรถเถอะ  เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน”  นายหมีว่าแล้วก็ก้าวเข้าไปนั่งรอเขาในรถ

“อะไรเนี่ย  หวงแล้วเอามาให้ขับทำไมเล่า”  คุณชายเริ่มโวยวายเสียงดัง

“โธ่เอ๊ย  ไม่ขับก็ได้  เดี๋ยวซื้อมาขับแข่งซะนี่  คราวนี้เอาเครื่องสิบสูบเลย  ดูสิว่ารถของนายจะตามทันมั้ย”  พีทเข้าไปนั่งบนรถปิดประตูเสียงดังด้วยความหงุดหงิด  หน้ายิ้มแย้มตอนแรกขณะนี้กลับบูดสนิท

“ผมไม่ได้หวง  ถ้าหวงจะยอมให้คุณลองขับเหรอ  แต่มันเป็นหน้าที่ผมที่ต้องดูแลความปลอดภัยให้คุณ  คุณนั่งเฉย ๆ ดีกว่า  ถ้าคุณทำตัวดีผมจะพิจารณาให้ขับอีก  ดีไหม”  คนพูดว่าแล้วหันมายิ้มให้อย่างปลอบใจ 

นายหมีนั่นคิดว่าเขาเป็นเด็กสิบขวบรึไง ถึงได้หลอกล่อเขายังกับว่าเขาเป็นเด็กไม่รู้ความ   พีทหน้าบูดบึ้ง   ความไม่ชอบใจเหมือนวันก่อนกลับเข้ามาอีกแล้ว  ตอนแรกคิดว่าจะลอง ‘ญาติดี’ ด้วย  แต่ตอนนี้ขอถอนคำพูด!

นายหมีไม่ได้พูดต่อว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นคืออะไร 

พีทขับรถเก่งสมกับเป็นคน ‘เล่นรถ’   แต่ด้วยความที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่จึงขับรถด้วยความคะนอง  แม้บนถนนเล็ก ๆ พีทกลับเหยียบคันเร่งจนมิดทั้งที่ยังมีผู้ใช้รถคันอื่นอยู่บนถนนด้วย  ความคะนองแบบนี้ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา   ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจใหญ่หลวงเกินกว่าใครจะคาดคิดและเขาก็ไม่ต้องการให้มันเกิด 

เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่อันตรายอยู่แล้ว    เขาไม่อยากเพิ่มความเสี่ยงให้มากขึ้นอีก  พีทควรจะต้องปลอดภัย   

มันเป็นหน้าที่ของเขา




ระยะเวลาเพียงไม่นานที่นายหมีติดตามเขาไปมหาวิทยาลัย  พีทแปลกใจที่เพื่อนทุกคนของเขาสนิทสนมกับ ‘พี่ชายพีท’ อย่างรวดเร็ว  เขายังคงไม่ชอบใจที่นายนั่นถืออภิสิทธิ์เหนือเขา  บังคับให้เขาต้องทำตามแค่เพราะเขาแพ้เพียงครั้งเดียว  พี่โดมถึงกับส่ายหน้าอย่างระอาที่เห็นเขาทำตัว ‘ไม่น่ารัก’ กับนายหมี

“พี่ฮัทคุยสนุกออก  เพื่อนในวงชอบพี่ฮัทกันทุกคน  พี่เห็นเขาดูแลพีทดีนะ ไม่เห็นจะน่ารำคาญเลยสักนิด  ดีเสียอีก  เหมือนมีพี่ชายเพิ่มมาอีกคน”

โดมอดไม่ได้จึงขอออกความเห็นบ้าง   เวลานี้พวกเขากำลังพักผ่อนหลังจากที่นั่งทำรายงานกันมาหลายชั่วโมง 

ตอนนี้พี่โดมยกให้ ‘พี่ฮัท’ เป็นฮีโร่เลยทีเดียว  เพราะหลายครั้งที่พี่ฮัทของพี่โดมเป็นที่ปรึกษาเรื่องเรียนให้เขาและพี่โดมในบางวิชาที่เจ้าตัวเคยเรียนมา   พี่โดมมักจะขอให้นายหมีแปลเอกสารภาษาอังกฤษให้ฟังบ่อยครั้งเวลาพวกเขาต้องใช้ข้อมูลเขียนรายงานส่งอาจารย์  ซึ่งนายหมีก็คอยช่วยอย่างเต็มที่เสมอ  บางครั้งก็ช่วยเป็นธุระในการขอข้อมูลประกอบการจากบริษัทชั้นนำหลายแห่งที่พวกเขาต้องใช้เพื่อประกอบรายงาน   ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ exclusive ชนิดที่ทำให้อาจารย์ของพวกเขาตกตะลึงมาแล้ว   บางครั้งนายหมีก็ยกตัวอย่างทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่นำมาใช้จริงในการบริหารการเงินของโรงแรมของพ่อเขา  นายนั่นอธิบายละเอียดยิบเหมือนต้องการให้พีทได้เรียนรู้งานของพ่อไปด้วย   

พีทเก็บความสงสัยของเขาไว้  ได้แต่คิดว่าคนระดับไหนกันที่รู้ข้อมูลเชิงลึกได้ขนาดนี้   ขนาดเขาเป็นลูกชายของพ่อยังเข้าไม่ถึงข้อมูลระดับนี้เลยด้วยซ้ำ

“ผมไม่ชอบให้ใครมาตามติด  พี่ก็รู้นี่”  พีทเถียง 

‘ยกเว้นนายนั่นจะยอมให้เขาขับออดี้อีกนะ’

“พีทก็อย่าคิดว่าเขาเป็นบอดี้การ์ดสิ    คิดว่าเขาเป็นเพื่อน  เป็นพี่ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนพี่ไง  ไม่เห็นพีทรำคาญอะไรพี่เลย  เราเรียนด้วยกัน  กินข้าวด้วยกัน  ซ้อมดนตรีด้วยกันอีก”  พี่โดมให้เหตุผล

“โธ่ พี่โดม  นายนั่นไม่ใช่พี่ผมสักหน่อย  อีกอย่างเขาตามผมแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนะตั้งแต่ตื่นนอนจนจะเข้านอนด้วยซ้ำ  ผมเหม็นหน้านายนั่นจะตายอยู่แล้ว  พี่เข้าใจไหม  ไม่รู้เมื่อไรพ่อจะกลับมา”

พีททำปากยื่นประกอบคำพูดนั้น  ถ้าเป็นเวลาอื่นโดมก็คงจะเห็นว่าท่าทางนั้นของพีทดูน่ารักเหมือนเด็กน้อยเวลาถูกขัดใจ  แต่ตอนนี้โดมชักอยากจะดีดปากยื่น ๆ นั่นแทน 

พูดไม่ทันขาดคำคนที่ถูกกล่าวถึงก็เดินมาที่โต๊ะพอดี  ร่างสูงใหญ่เดินยิ้มกว้างเข้ามาพร้อมกับถุงพลาสติกบรรจุอาหารว่างและขนมหลายอย่างที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต  คนตัวใหญ่หยิบขวดนมมาวางไว้ตรงหน้าพีทแล้วส่งถุงขนมให้โดม   โดมรับถุงขนมมาพร้อมกับหันหน้าไปมองพีท ยักคิ้วให้เหมือนจะบอกว่า

‘พี่พูดถูกไหมล่ะว่าพี่ฮัทน่ะ  ดูแลนายดีจะตาย’


พีทเห็นดังนั้นจึงอยากกวนใครบางคนขึ้นมาบ้าง

“ไม่อยากกินนม” 

“งั้นเอาน้ำผลไม้ไหมล่ะ”  นายหมีหันไปหยิบถุงอีกใบหนึ่งขึ้นมาเปิดออกทำท่าจะหยิบขวดน้ำผลไม้ 

‘เอ๊ะ  ซื้อมาเผื่อขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย’  พีทมองเห็นขวดน้ำผลไม้หลายชนิดอยู่ในถุงนั้น

“จะกินน้ำปั่น”  พีทยังกวนต่อ

“คุณจะกินอะไรกันแน่  ไหนลองบอกมาชัด ๆ สิ”

“ก็น้ำผลไม้ไง  แต่ต้องปั่นด้วยนะ  มีมะ” 

“ไม่มี  แล้วถ้าไม่กินของที่ผมซื้อมาก็ไปหากินเองละกัน”  คนตัวใหญ่ว่าเสียงเรียบพลางเก็บขวดน้ำผลไม้ใส่ถุงไว้ตามเดิมแล้วทำท่าไม่สนใจอะไรอีกหันไปกินขนมกับโดม 

ปล่อยให้คุณชายหน้าหงิกอยู่คนเดียวที่กวนประสาทเขาไม่สำเร็จ




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 10 อัพเดต 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 16-07-2014 23:05:03
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 10 อัพเดต 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-07-2014 23:45:32
 :impress2:


คิคิ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 10 อัพเดต 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 17-07-2014 18:59:06
11. ไม่ปลอดภัย



ท้องฟ้ามืดสนิทแล้วกว่าพีทจะออกจากมหาวิทยาลัย เขานั่งไปเงียบเชียบไม่ต้องการพูดคุยอะไร  นายหมีก็ขับรถไปเงียบ ๆ ไม่พูดคุยกวนประสาทเขาเหมือนกัน  รถสปอร์ตมุ่งหน้าไปอีกมุมเมืองด้วยความเร็วสูง     ภายในรถมีแต่เสียงเพลงเปิดคลอเบา  อากาศในรถเย็นสบายไม่ร้อนเหมือนอากาศภายนอก  เบาะหนังที่เขานั่งอยู่ก็นุ่มสบายจนพีทที่เหนื่อยมาทั้งวันเริ่มเคลิ้มหลับ 

ทันใดนั้น  นายหมีก็เร่งเครื่องเร็วขึ้น  เขาเริ่มขับเปลี่ยนช่องทางจราจรไปมาเพื่อแซงรถคันหน้า  รถฉวัดเฉวียนไปมาจนพีทต้องลืมตาขึ้นมา  เขานิ่วหน้า

“นายจะรีบไปไหน  ทำไมนายไม่ขับให้มันดี ๆ เหมือนชาวบ้านเขาล่ะ”  ว่าโดยไม่มองหน้าคนขับ 

“...เอี๊ยด!!!....”

รถเบรกกะทันหัน  หักปาดออกทางซ้ายแล้วเร่งเครื่องต่อไปเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง 

คราวนี้พีทจึงสังเกตเห็นความผิดปกติ  เมื่อมองกระจกด้านข้างเห็นรถสปอร์ตแต่งสีดำติดฟิล์มมืดทั้งคันกำลังขับตามพวกเขา รถคันนั้นทำความเร็วขึ้นมา  เพียงชั่ววินาทีก็ขับมาประกบด้านที่เขานั่งพร้อมกับกระจกด้านข้างที่เลื่อนลงพร้อมอยู่แล้ว

พีทมองเห็นผู้ชายสวมแว่นตาดำเพียงแวบเดียว    แต่สิ่งที่พวกมันถือไว้ในมือต่างหากที่ทำให้เขาร้องขึ้นด้วยความตกใจ

“เฮ้ย!!!!!!!!”

ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น  ออดี้ก็พุ่งตัวทะยานไปข้างหน้าด้วยเครื่องยนต์แปดสูบที่ทำงานเต็มกำลัง  พาพวกเขาหลุดออกจากภาวะคับขันนั้นได้อย่างฉิวเฉียด  พีทหันไปมองรถสีดำคันนั้นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังด้วยดวงตาตื่น  หัวใจสูบฉีดแรงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกขับรถประกบ 
 
“กลัวรึเปล่า”  เสียงทุ้มจากคนข้างกายเขาถามขึ้น

พีทไม่ตอบ  จะให้ตอบยังไงล่ะ ถือปืนเล็งมาขนาดนั้น  ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดเดียวพวกเขาโดนยิงแน่ ๆ  แต่ให้บอกว่ากลัวก็เสียฟอร์มสิ   
 
ซูเปอร์คาร์ยังคงวิ่งต่อไปด้วยความเร็วสูงสม่ำเสมอบนโทลเวย์ที่เป็นเส้นทางออกนอกเมือง   เมื่อคิดว่าพ้นจากการติดตามแล้วนายหมีจึงลดความเร็วลง

“พวกมันเป็นพวกเดิมนั่นรึเปล่า” 

“ไม่แน่ใจนะ แต่คิดว่าใช่”  นายหมียังคงสงบนิ่งอยู่เหมือนเดิม ไม่มีทีท่าตระหนกตกใจกับการถูกประกบที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ
 
“คุณเห็นอะไรบ้าง”  นายหมีถามเขา   

“ก็เห็นคนใส่แว่นตาดำถือปืนน่ะสิ  ถามได้” 

“ผมอยากรู้รายละเอียดกว่านี้หน่อย เช่น คุณทันสังเกตไหมว่าปืนที่พวกมันถือมีลักษณะไหน  คุณน่าจะรู้จักปืนบ้างนี่  หรือมือปืนมีลักษณะยังไง แก่หรือวัยกลางคน”  เจ้าของคำถามยังคงใจเย็น

พีทค่อยคลายความตกใจลงแล้ว  จึงเริ่มกลับไปคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างละเอียด 

“คนถือปืนนั่นมองไม่ทันแต่มันใช้ Colt 9 มม.”

“อืม  ตาไวใช้ได้นะ”  นายหมีนั่นชมเขา

“ตาไวอะไรกันล่ะ!   เป็นเพราะนายนั่นแหละ  ที่ปล่อยให้พวกมันขับรถประกบได้  พวกมันมีเวลามากพอที่จะยิงเราได้เลยนะ”

“ก็ถ้าไม่ปล่อยให้มันประกบ  เราจะได้เห็นหน้าพวกมันเหรอ”

“ว่าไงนะ  นายตั้งใจให้พวกนั้นตามเราทันงั้นเหรอ” 

“มันก็แหงอยู่แล้ว  รถผมแรงขนาดนี้  ถ้าเร่งจริง ๆ พวกนั้นตามไม่ทันหรอก” 

‘ยังจะมั่นใจอีกนะ  เขาหัวใจจะวายอยู่แล้วเมื่อกี้’

“บ้าชะมัด!”  พีทพึมพำกับตัวเอง

นี่มันจะเล่นแรงเกินไปแล้ว  แค่พ่อเขาจะเล่นการเมืองถึงขนาดส่งคนมาเก็บเขาเลยหรือ  เขากลับไปครุ่นคิดถึงคำพูดของพ่อก่อนที่จะไปอังกฤษ  มันเริ่มเล่นแรงตามที่พ่อคาดจริง ๆ  นี่ผ่านไปแค่ไม่ถึงสองอาทิตย์เขาถูกโจมตีแล้วสองครั้ง เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า กว่าพ่อจะลงรับสมัครจนเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อย  เขาจะเจออะไรอีกเท่าไร

“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรหรอกน่า สบายใจได้” นายหมีละสายตาจากถนนข้างหน้าหันมามองเขาแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน  เพียงครู่เดียวก็หันหน้าไปขับรถต่อ

‘ตึก ตึก’ จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นจนเขารู้สึกได้ 

พีทรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจจากคำพูดและรอยยิ้มปลอบใจนั้น  เกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับเหตุการณ์นี้ขึ้นมาอย่างประหลาด  ภาพเรื่องราวที่เลือนรางเมื่อตอนเด็กคล้ายกับจะชัดเจนขึ้น  พี่ฮั่นมักจะปลอบใจเขาแบบนี้เสมอเวลาพวกเขาแอบผู้ใหญ่ไปเล่นอะไรที่โลดโผน
 
นี่เขาเป็นอะไร  ทำไมถึงได้คิดถึงขึ้นมามากมายขนาดนี้   เขากำลังคิดถึงคนที่จากไปนาน   

สิบปีแล้วสินะ



เสียงเคาะประตูห้องนอนทำให้ร่างที่นอนเหยียดยาวบนเตียงขนาดหกฟุตขยับตัวตื่น  เขางัวเงียดูนาฬิกาหัวเตียงที่บอกเวลาเก้านาฬิกาตรง จากนั้นจึงลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตู

“มีอะไร” ถามด้วยเสียงงัวเงีย หนุ่มน้อยผมยุ่งเพราะเพิ่งตื่น เขาอยู่ในชุดนอนเสื้อยืดสีขาวที่เนื้อผ้าย้วยแล้วเพราะใช้มานาน   กางเกงนอนสีซีดที่หาสีเดิมไม่เจอ 

“ตื่นได้แล้ว สายแล้ว  วันนี้เราต้องซ้อมนะ” นายหมีที่อยู่ในชุดออกกำลังกาย   ยืนอยู่นอกห้องส่งยิ้มสดใสมา

“ซ้อมอะไร  วันนี้วันเสาร์  วันหยุด  เข้าใจไหมวันหยุด! วันหยุด!!”  พีทหัวเสีย   ยกมือขยี้ผมตัวเอง  เมื่อคืนเขากลับจากร้านก็ตีสองแล้ว 

“ยูโดไง  คุณคงไม่ได้ซ้อมมานานแล้วใช่ไหม วันนั้นถึงได้แพ้ผมเร็ว”

“อยากชนะบ้างไหม  แข่งกันมั้ยล่ะ” 




พีทนั่งหน้าบูดอยู่ในห้องออกกำลังกายของบ้าน  เขาเหนื่อยจนพูดไม่ออกเพราะถูกบังคับให้มาออกกำลังกาย  พอเขาโวยวายไม่ยอมมาก็โดนถากถางต่าง ๆ นานา  เรื่องไม่รักษาสัญญา  เรื่องที่เขาสู้แพ้   นายหมีจับจุดเขาถูก  ก็นายนั่นเอาเรื่องที่เขาแพ้มาเยาะเย้ยเขา คนอย่างพีทมีหรือจะยอม ตอนแรกเขาคิดแต่ว่าจะเอาคืนนายหมีให้ได้เลยยอมลงมาที่นี่    ตอนนี้เขาออกกำลังกายมาเกือบชั่วโมงแล้ว   ยังไม่ได้แก้แค้นอะไรสักนิดเดียวเพราะนายนั่น

หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น

“วิ่งแข่งกันมั้ยล่ะ ถ้าคุณวิ่งได้ไกลกว่าผมค่อยมาสู้กัน” นายหมีว่าพลางก้าวขึ้นไปบนลู่วิ่งออกกำลังกาย   พีทจึงไม่เห็นแววตาเจ้าเล่ห์บนใบหน้า

สิบนาทีต่อมา

“แค่วิ่งไม่ถึงสิบห้านาทียังหอบขนาดนี้ คุณทำอะไรผมไม่ได้หรอก อย่าลองเลย  ผมไม่อยากเอาเปรียบเด็ก”  นายหมีพูดขณะวิ่งบนลู่วิ่งข้างเขา  ขนาดวิ่งด้วยความเร็วกว่าเขาแล้วพูดไปด้วย  นายนั่นยังไม่หอบสักนิด  ส่วนเขาสิ...

นายนั่นแกล้งสบประมาทเขาแล้วก็ได้ผลเสียด้วย  พีทไม่ชอบแพ้ใคร  เขาเป็นคนที่ถ้าลองจะทำอะไรแล้วจะต้องทำอย่างเต็มที่  ดังนั้นเขาจึงกัดฟันวิ่งต่อแล้วมานั่งหมดแรงอยู่นี่

“ไง  หมดแรงล่ะสิ”  น้ำเสียงรื่นรมย์ถาม

พีทที่เหนื่อยจนพูดอะไรไม่ออก ฉุนกึก  เขาหันกลับตั้งท่าจะตอกใส่คนเจ้าเล่ห์บ้าง   แต่กลับพบขวดน้ำดื่มที่มีหยดน้ำเกาะพราวยื่นมาตรงหน้าแทน 

“กินน้ำก่อนแล้วค่อยบ่นนะ” 

“ไม่ต้องมาทำมีน้ำใจหรอก ชั้นเอาคืนแน่”  พีทเอ่ยอาฆาตแล้วก็คว้าขวดน้ำเย็นขึ้นดื่มอย่างกระหาย

“ระยะนี้คุณควรจะออกกำลังกายแล้วก็ซ้อมยูโดไว้นะ  คุณก็เห็นแล้วว่าพวกมันเล่นแรงขนาดไหน”

ใบหน้าคมมองตรงมายังเขา เหงื่อไหลตามใบหน้าลงสู่ปลายคางทีละหยด ผมบางส่วนที่ปรกหน้าผากเปียกเพราะเหงื่อ สายตาที่มักแฝงแววขี้เล่นอยู่เสมอแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง  และถ้าเขาตาไม่ฝาดเขาเห็นความห่วงใยอยู่ในนั้นด้วย   

“วันไหนคุณล้มผมได้ ผมจะยอมทำตามคำสั่งคุณบ้าง ตกลงไหมล่ะ”  หน้าจริงจังเปลี่ยนมายิ้มให้เขา 

“หืม ว่าไงนะ” 

ข้อเสนอนี่มันช่างเย้ายวนใจเขาเหลือเกิน สมองของเขากำลังแล่นไปไกลแล้วถึงแผนการหลากหลายที่เขาจะเอามาเล่นงานนายหมี  พีทหัวเราะอยู่ในใจ 

‘อีกไม่นานหรอก  นายต้องแพ้แน่!!’

“ตกลง  นายอย่าลืมก็แล้วกัน” 

แต่คราวนี้พีทไม่ตกหลุมหรอก  หมอนี่รู้ว่าเขาไม่ชอบการถูกท้าทายและความพ่ายแพ้จึงแกล้งทำให้เขายอมรับคำท้าแล้วทำตามที่นายนั่นต้องการ  แล้วยังกล้าใช้ลูกไม้เดิมกับเขาอีก  คิดว่าเขาจะซื่อบื้อล่ะสิ  ที่เขายอมตกลงเป็นเพราะเขาคิดเหมือนกันว่าเขาจะทำตัวปกติเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว  ในเมื่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นมันผิดปกติ   เขาก็ต้องป้องกันตัวเองด้วย  คราวที่แล้วพวกมันห้าคนเขายังเอาไม่อยู่   แล้วถ้าพวกมันมากันมากกว่าเดิมเขาจะทำยังไง   

‘จะคอยพึ่ง...’  พีทเหลือบตามอง ‘นายนั่นตลอดเวลาคงไม่ได้’

นายหมีนั่นยิ้มอีกแล้ว  คราวนี้ยิ้มกว้างจนตาหยี  ดูน่ารักไม่สมกับหน้าตาแบดบอยของตัวเองสักนิด   

ภาพคุณชายหน้าบูด  เหลือบตากลม ๆ มามองทำให้คนที่เฝ้ามองอมยิ้ม 

‘เหวี่ยงเก่งชะมัดเด็กบ้า!’


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 10 อัพเดต 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 17-07-2014 19:05:24
12. ความฝัน


เวลาบ่ายของเขาไม่ถูกรบกวนจากใคร  พีทใช้เวลานี้ทบทวนบทเรียนโดยมีเจ้าแรมโบ้นอนมองเขาอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่าง  นายหมีหายตัวไปตลอดทั้งบ่ายทำให้พีทสบายใจ   เขานั่งเก้าอี้ประจำบนชานกว้างริมสระ หงส์สีขาวหลายตัวเล่นน้ำอยู่ในสระอย่างสบายอารมณ์   สายลมเย็นพัดโชยผ่านมาเป็นระยะ  พีทผ่อนคลายอารมณ์มากขึ้นหลังจากเกิดเรื่องราวมากมายในระยะเวลาเกือบเดือน 

เขาถูกนักเลงรุมซ้อม  หัวแตก  เพราะพรรคการเมืองคู่แข่งส่งมาเพื่อขู่ไม่ให้พ่อเล่นการเมือง 

อีกหลายวันถัดมามีมือปืนขับรถประกบ  เขารอดได้หวุดหวิด 

ตอนนี้เขาต้องกลับมารื้อฟื้นยูโดแต่เขายังอยากร้องเพลง 

เขามีบอดี้การ์ดส่วนตัว  คนที่เขาไม่ชอบหน้าแต่หน้านายหมีกลับไปคล้าย...




เด็กชายอ้วนจ่ำม่ำกำลังเล่นรถยนต์ของเล่นอยู่ในห้องส่วนตัว รอบกายเต็มไปด้วยรถคันเล็กที่มีรูปร่างเหมือนของจริง  มีทั้งขนาดเล็กเท่าฝ่ามือที่เด็กจะจับได้และขนาดใหญ่ขนาดเด็กขึ้นไปนั่งภายในได้  พี่เลี้ยงหลายคนช่วยเล่นเป็นเพื่อน  แต่ไม่นานเด็กชายร่างกลมก็โมโหร้องไห้จ้า  มือกลมป้อมนั้นคว้ารถของเล่นขว้างปาใส่บรรดาพี่เลี้ยง  ไม่ว่าใครจะปลอบ  จะหลอกล่อด้วยตุ๊กตาอื่น  เด็กน้อยก็ไม่ยอมหยุด

“ปู๊น ๆ รถไฟมาแล้ว ปู๊น ๆ ใครจะขึ้นรถไฟมั่ง ปู๊น ๆ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเรียกความสนใจจากเด็กชายตัวอ้วนกลมให้หยุดร้องไห้ทันที

“ไปเที่ยวด้วยกันมั้ย  รถไฟจะออกแล้วนะ” 

เด็กชายแปลกหน้าคนหนึ่งมายืนอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครรู้ ใบหน้ากลมกำลังยิ้มกว้างจนตาชั้นเดียวนั้นแทบปิด  เขาทำมือเหมือนกำลังจับพวงมาลัยรถที่มองไม่เห็นอยู่

ร่างอ้วนจ่ำม่ำที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองของเล่นเงยหน้ามองผู้มาใหม่  น้ำตายังเปื้อนแก้มยุ้ยนั่น   สายตาจับจ้องไปยังคนแปลกหน้าที่ยิ้มชวนให้ขึ้นรถไฟ   

เขาไม่เคยเล่นรถไฟ 

“ขึ้นรถไฟกันนะ”  แขนอวบยื่นมือมาเป็นเชิงชักชวน

มือเล็กป้อมนั้นจึงยื่นส่งให้  ไม่นานทั้งคู่ก็ขึ้นรถไฟโดยคนตัวเล็กเกาะเอวคนตัวใหญ่ไปเที่ยวทั่วบ้าน  ทั้งห้องนอน  ห้องครัวและในสวนที่มีผีเสื้อบินวนไปทั่ว  เสียงหัวเราะของทั้งสองดังประสานกันเป็นระยะ ได้ยินไปถึงห้องรับแขกที่มีผู้ใหญ่สองคนคุยกัน

“ท่าทางพีทจะเข้ากับฮั่นได้ดีนะครับ  ดูสิเล่นกันน่ารักเชียว” 

โชคชะตาคงกำหนดไว้ เมื่อเด็กชายสองคน คนหนึ่งเพิ่งครบสี่ขวบได้ไม่นาน และอีกคนวัยแปดขวบ  กลายเป็นพี่น้องกันตั้งแต่ครั้งแรกที่พีทยื่นมือไปหาพี่ฮั่นแล้ว

นับจากวันนั้นคุณโรสกับพี่ฮั่นก็เข้ามาอยู่ในบ้าน  พีทจึงมีพี่ชายตั้งแต่นั้นมา  เด็กน้อยติดพี่ชายคนนี้มากเพราะเคยเป็นลูกคนเดียวมาก่อน  พอมีพี่ชายคอยเล่นด้วยจึงติดแจ ไม่ยอมห่าง ต้องรอพี่ชายกลับจากโรงเรียนทุกวัน 

พีทที่เกือบจะเป็นคุณหนูเอาแต่ใจเปลี่ยนเป็นเด็กชายน่ารักเพราะเชื่อคำพูดพี่ฮั่นทุกคำ พี่ฮั่นไม่ให้พีทงอแงเอาแต่ใจ ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ถ้าพีทเป็นเด็กดี พี่ฮั่นก็จะพาไปเล่นอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่เด็กวัยแปดขวบจะคิดขึ้นมาได้เพื่อให้น้องสนุก   
 
พวกเขาอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา 

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อพีทอายุสิบขวบ วันที่พ่อมาบอกว่าพี่ฮั่นต้องไปอังกฤษด้วยเหตุผลบางอย่างที่เด็กอย่างเขาไม่เข้าใจ เขาร้องไห้เสียใจ พร่ำอ้อนวอนไม่ให้พี่ฮั่นจากไป  แต่พี่ฮั่นทำหน้าเศร้าปฏิเสธเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านนี้

“พี่ขอโทษนะพีท  พี่ต้องไปจริง ๆ พี่ขอโทษที่รักษาสัญญาไว้ไม่ได้”  มือของพี่ฮั่นโอบไหล่น้องไว้พยายามอธิบาย

“พี่ฮั่นไม่รักษาสัญญา  คนโกหก คนใจร้าย ไหนว่าจะเล่นกับพีทตลอดไป ถ้าพี่ไปพีทจะเกลียดพี่ จะโป้งได้ยินไหม”

พีทร้องไห้ฟูมฟายไม่ยอมให้พี่ฮั่นไป เขาเอาแต่กอดเอวพี่ชายไว้แน่น  ทั้งอ้อนวอน ทวงสัญญา แม้กระทั่งขู่ว่าจะโกรธถ้าพี่ฮั่นไป 

แต่พี่ฮั่นก็จากไป พีทเศร้าเสียใจมาก เขาเปลี่ยนไปไม่ร่าเริงเหมือนเก่า กลายเป็นเด็กเจ้าอารมณ์เหมือนเดิม ไม่พูดจากับใครแม้แต่พ่อและคุณโรส ถ้าใครเอ่ยถึงพี่ฮั่นให้ได้ยิน พีทจะอารมณ์เสียขึ้นมาทันทีและขว้างปาสิ่งของที่อยู่ใกล้มือ คุณโรสจึงเก็บรูปภาพและข้าวของทุกอย่างของพี่ฮั่นไว้ในห้องเพื่อให้ไกลจากสายตาเขา 
 
พีทเป็นแบบนี้อยู่หลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงร้องของอะไรบางอย่างหน้าห้องนอน

“งื๊ด ๆ” ลูกหมาตัวผู้พันธุ์ลาบาดอร์อายุราวสี่เดือนส่งเสียงร้องอยู่ในกล่อง  ที่คอของมันมีปลอกคอหนังห้อยป้ายชื่อว่า ‘แรมโบ้’  เขาตกหลุมรักเจ้าแรมโบ้ทันที  คุณชายน้อยอุ้มเจ้าแรมโบ้ขึ้นแนบอก

“แกก็ถูกทิ้งเหมือนกันเหรอ ไม่เป็นไรนะ เราจะดูแลนายเอง” 

เจ้าตัวเล็กนั้นมองสบตาเขานิ่งเหมือนเข้าใจคำปลอบ มันเลียหน้าเขาเป็นคำตอบ  จากนั้นมาหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวจึงกลายเป็นเหมือนเพื่อนซี้ ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา พีทเลิกซึมเศร้าเพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลเจ้าแรมโบ้ ทั้งคอยป้อนนม อาบน้ำ ให้อาหาร พาไปหาหมอ  แรมโบ้ทำให้พีทไม่เหงา  มันทำให้เขาสดใสร่าเริงขึ้น 

วันเกิดปีที่สิบสอง พีทได้รับของขวัญเป็นกีตาร์โปร่ง มีการ์ดเขียนไว้ว่า ‘สุขสันต์วันเกิด  เล่นให้เก่งนะ’  เขากระโดดโลดเต้นไปทั่วบ้าน   หลังจากนั้นทุกคนในบ้านจึงได้เห็นภาพคุณชายตัวน้อยหัดเล่นกีตาร์ที่บ้านริมน้ำ มีเจ้าแรมโบ้วัยกำลังซนวิ่งอยู่รอบตัว  บางครั้งก็ได้ยินเจ้านายน้อยดุสุนัขตัวโปรด เมื่อกระดาษโน้ตเพลงถูกแรมโบ้คาบไปเล่นจนฉีกขาด  บางครั้งเจ้าแรมโบ้ก็นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้าง ๆ  ฟังเจ้านายร้องเพลงพลางดีดกีตาร์   ทุกคนสบายใจที่เห็นเขากลับมาร่าเริงเหมือนเดิม




“ฮื่อ”  พีทพลิกหน้าหนีเจ้าแรมโบ้ที่เข้ามาเลียหน้าเขา

“ไม่เอาแรมโบ้”   คราวนี้แรมโบ้คาบเสื้อเขาแล้วดึง

“โฮ่ง!” 

พีทสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเห่าของแรมโบ้  เขาหันมองรอบตัว  แสงอาทิตย์ยามเย็นกำลังสาดส่องสะท้อนผิวน้ำเป็นแสงสีส้มระยิบระยับ  สายลมโชยเอื่อย  เขายังนั่งอยู่ริมสระน้ำหน้าบ้าน   

‘นี่เขาฝันไปเหรอเนี่ย’ 

ความฝันถึงเรื่องตอนเด็กแจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ

“เฮ้อ”

หนุ่มน้อยถอนหายใจกับตนเอง  เท้าแขนกับเข่า  สอดมือทั้งสองลูบไปตามเส้นผมของตนเอง   สมองครุ่นคิดถึงภาพที่เขาเห็น  เขาคงคิดถึงพี่ฮั่นมากถึงได้ฝันถึง  พีทไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขาคิดถึงพี่ฮั่นตลอดสิบปีที่ผ่านมา   แม้ว่าจะโกรธแต่ก็คิดถึง
 
ปีแรกที่พี่ฮั่นจากไป   พีทเสียใจเพราะเขารักพี่ชายคนนี้มากและไม่ต้องการแยกจากพี่ฮั่น  เขาโกรธที่พี่ฮั่นบอกว่าต้องไป  โกรธพ่อที่ส่งพี่ฮั่นไปไกลจากเขา  ไม่อยากพูดถึง ไม่อยากได้ยินใครก็ตามพูดถึงคนคนนี้อีก  พ่อและคุณโรสจึงไม่เคยเอ่ยถึงพี่ฮั่นให้ได้ยินอีกเลย

เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี พีทที่เติบโตขึ้นก็ได้รู้เหตุผลของพ่อที่ต้องส่งพี่ฮั่นไปไกลถึงอังกฤษ   

 
 
วันหนึ่งเจ้าแรมโบ้วิ่งเข้าไปในห้องนอนที่เปิดทิ้งไว้เพื่อทำความสะอาด แล้วคาบตุ๊กตาตัวหนึ่งติดมาด้วย  มันคาบตุ๊กตาตัวนั้นมาวางที่ตักเขาเหมือนต้องการเล่นด้วย  เขาจำตุ๊กตาตัวนั้นได้ทันที  มันเป็นตุ๊กตาหมีของพี่ฮั่นที่ให้เขาเป็นของขวัญวันเกิดตอนเด็ก  เวลานั้นเขาขว้างมันทิ้งไปเพราะยังโกรธเจ้าของอยู่  ตุ๊กตาไปตกที่เท้าของพ่อที่กำลังเดินเข้ามาพอดี    พ่อมองไปที่พีทอย่างตำหนิ  เข้าใจได้ทันทีว่าตุ๊กตานั้นเป็นของใคร 

“พีท ยังไม่เลิกโกรธพี่เขาหรือลูก นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว”  พ่อถอนหายใจอย่างอ่อนใจกับความใจแข็งของเขา  ก้มลงหยิบตุ๊กตาหมีที่เก่าจนเปื่อยแล้วขึ้นมาวางไว้ที่โต๊ะแล้วจึงตัดสินใจเล่าเรื่องบางอย่างให้เขาฟัง  เรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

“พ่อขอให้พีทฟังพ่อให้จบ อย่าเพิ่งโกรธนะลูก ฟังที่พ่อเล่าแล้วลูกค่อยตัดสินใจว่าจะโกรธพี่เขาต่อหรือเลิกโกรธพี่เขาเสียที พี่เขาจำเป็นต้องไปจริง ๆ”

“ตอนนั้นลูกยังเด็ก พ่อไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลูกเข้าใจสถานการณ์ได้ยังไง  มันไม่ใช่แค่การย้ายไปเรียนต่อไฮสกูลแต่มันเป็นการหนีภัยเลยก็ว่าได้”

“พีทจำตอนนั้นได้ไหม วันที่พ่อบอกว่าพี่ฮั่นไปเยี่ยมญาติกับคุณโรสน่ะ ก่อนพี่ฮั่นจะไปอังกฤษสามวัน” 

พีทนิ่ง  ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ  แต่เขากำลังนึกย้อนกลับไปเวลานั้น

“ความจริงแล้วพี่ฮั่นไม่ได้ไปเยี่ยมใครเลย  แต่พี่ฮั่นถูกลักพาตัว”

“ว่าไงนะครับ!”

นี่เป็นเรื่องที่เขาเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก  ความรู้สึกตอนที่ได้ยินเรื่องนั้นหลากหลายปนเปกันไปหมด  พี่ฮั่นถูกลักพาตัวตอนอายุ 14  เขาถูกฟาดด้วยสันปืนจนสลบ  พวกโจรจับเขาใส่ถุงคลุมศีรษะพาไปไว้ที่ตึกร้างแห่งหนึ่งนอกเขตเมือง พวกโจรไม่ติดต่อกลับมา พ่อและคุณโรสได้รับข่าวจากคนขับรถเมื่อหาตัวพี่ฮั่นไม่พบ พ่อจึงส่งนักสืบออกตามหาทั้งคืนแต่ไม่ได้ข่าวอะไรเลย  พบแต่ร่างไร้วิญญาณของบอดี้การ์ดส่วนตัวสองคนที่ถูกจัดฉากทำให้ดูเหมือนว่าเกิดอุบัติเหตุบนถนนโทลเวย์ออกนอกเมือง 
 
เช้าวันรุ่งขึ้น  คุณฟงซึ่งเป็นอาของคุณพ่อและเป็นญาติฝ่ายพ่อคนเดียวที่เหลืออยู่เข้ามาในบ้านพร้อมกับยื่นเงื่อนไขที่ทำให้คุณโรสแทบช็อค  แกประกาศว่าเป็นคนลักพาตัวพี่ฮั่นไป  คุณฟงพร้อมทั้งคุณตาของพีทร่วมมือกัน  พวกเขาไม่ต้องการให้พ่อรับพี่ฮั่นเป็นบุตรบุญธรรมเพราะไม่อยากให้พี่ฮั่นมีส่วนในมรดกของตระกูล  ถ้าพ่อเขาไม่ทำตามคุณปู่ฟงจะไม่คืนพี่ฮั่นให้   แต่จะส่งไปประเทศที่สามโดยที่จะไม่มีใครสามารถตามหาตัวเจออีกเลย  นอกจากนั้นคุณปู่ฟงยังขู่จะขายหุ้นกิจการโรงแรมทั้งหมดซึ่งจะส่งผลร้ายแรงต่อกิจการของตระกูลหยาง   พ่อไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมจำนนต่อเงื่อนไขนั้น 

วันถัดมาพี่ฮั่นจึงถูกส่งตัวกลับบ้านพร้อมกับรอยแผลทั่วตัวจากการถูกทรมาน  ร่างกายเด็กหนุ่มซูบซีดเพราะไม่ได้รับน้ำและอาหารใดตั้งแต่ถูกจับตัวไป  คุณโรสตัดสินใจจะพาพี่ฮั่นย้ายไปอยู่อังกฤษกับญาติที่นั่น  แต่พ่อไม่ยอม พ่อยังยืนยันจะให้พี่ฮั่นและคุณโรสอยู่ที่บ้านนี้ต่อไป  ทั้งคู่ทะเลาะกันใหญ่โตเพราะคุณโรสเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกชาย  เธอกลัวว่าคุณฟงหรือคุณตาของพีทอาจจะคิดทำร้ายลูกชายอีกถ้าพี่ฮั่นยังอยู่ใกล้ชิดคุณคริสต่อไป

พี่ฮั่นที่เข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ได้พอสมควรจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอไปอยู่อังกฤษด้วยตัวเองเพื่อตัดปัญหาทั้งหมด  โดยให้เหตุผลเรื่องการศึกษาต่อและเหตุผลด้านความปลอดภัย   เขาไม่ต้องการให้แม่ไปไกลจากบ้านเกิดแล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่   แม่เขาเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรงมามากพอแล้ว  เขาต้องการให้แม่อยู่กับลุงคริสที่นี่ต่อไป   
 
“พีทลืมคิดไปรึเปล่าว่าพีทไม่ได้เสียใจคนเดียว  คุณโรสเองก็เสียใจไม่แพ้กันที่ต้องส่งลูกชายตัวเองไปอยู่ไกลขนาดนั้น  ความจริงคุณโรสเลือกที่จะไปอยู่อังกฤษกับฮั่นก็ได้  แต่คุณโรสยอมที่จะไม่ไปเพราะเห็นว่าฮั่นเองก็โตแล้ว   อีกเหตุผลคือคุณโรสต้องการอยู่ดูแลพ่อและพีทด้วย”




เกิดความรู้สึกหนักอึ้งในจิตใจหลังจากวันนั้น  พีทเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น  เขาคิดว่าเข้าใจเหตุผลของผู้ใหญ่ที่ต้องส่งพี่ฮั่นไปไกลเพื่อความปลอดภัย  แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่พีทยังคาใจอยู่มาก  นั่นคือ  ทำไมพี่ฮั่นไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านเลยสักครั้ง  โทรศัพท์หรือจดหมายก็ไม่เคยส่งมาหาแม้แต่ฉบับเดียว  แล้วเขาจะหายโกรธได้อย่างไรในเมื่อพี่ฮั่นไม่กลับมา

คงมีแต่พี่ฮั่นที่จะอธิบายได้



“โฮ่ง”

เจ้าแรมโบ้เห่าอีกครั้ง  ดึงพีทให้หลุดออกจากห้วงความคิด เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าแรมโบ้   มือเรียวเอื้อมมือไปลูบขนนุ่มของแรมโบ้แล้วเอียงหน้ายิ้มให้

“หิวล่ะสิ”  เจ้าแรมโบ้ตอบรับด้วยการส่ายหางไปมา

พีทจึงลุกขึ้นหันกลับเพื่อเดินไปหยิบอาหารของแรมโบ้ในบ้าน แต่ต้องชะงักไปเมื่อมองเห็นนายหมีกำลังยืนมองเขาอยู่ตรงประตู  ต่างคนต่างชะงักเพราะไม่คิดว่าจะเห็นอีกฝ่าย  เกิดบรรยากาศแปลก ๆ ขึ้นชั่วระยะหนึ่ง  นายหมีตั้งตัวได้ก่อนจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเก้อเขิน   

“ผมกำลังจะมาตามคุณไปกินข้าวเย็น”  นายนั่นยกมือปัดผมไปมา  ท่าทีแปลก

‘พี่  พี่ฮั่น!’  พีทที่ยังคงชะงัก  ครางเรียกชื่อนั้นในใจ

ใช่แล้ว  นายหมีหน้าเหมือนพี่ฮั่นในความฝันเมื่อครู่มาก  เปลี่ยนไปแค่ความสูงใหญ่ของร่างกาย   ไม่เจ้าเนื้อเหมือนเมื่อก่อน     เค้าโครงใบหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น 

‘ทำไมนายนี่เหมือนพี่ฮั่นขนาดนี้?’ 

ที่ผ่านมาเขาจำภาพสุดท้ายของพี่ฮั่นจากความทรงจำของเขาเอง ซึ่งผ่านมานานหลายปี  รูปทั้งหมดของพี่ฮั่นถูกเก็บไว้ในห้อง  ซึ่งเขาไม่เคยเข้าไปอีกเลยตั้งแต่เจ้าของห้องทิ้งไป  ครั้งแรกที่เขาเจอนายหมีเขาจึงคิดแค่ว่าคนหน้าคล้ายเท่านั้น  ไม่น่าจะเป็นพี่ฮั่นเพราะพี่ฮั่นอยู่อังกฤษไม่เคยกลับมาเลยสักครั้ง   
 
แต่เมื่อกี้ที่เขาฝัน  ภาพพี่ฮั่นในความทรงจำนั้นชัดเจนมากเหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิด  พอได้มาเห็นนายหมีตอนนี้  ตรงนี้ จึงได้รู้ว่าเหมือนเหลือเกิน  เหมือนจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน   หรือว่า....



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 11-12 อัพเดต 17/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-07-2014 23:42:02
 o13


อุ้ยๆๆ เริ่มคิดได้แล้วสิน่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 10 อัพเดต 16/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 18-07-2014 17:18:42
:L2: :L2:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ :impress2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 11-12 อัพเดต 17/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 18-07-2014 17:19:35
o13


อุ้ยๆๆ เริ่มคิดได้แล้วสิน่ะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  :-[

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 11-12 อัพเดต 17/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 18-07-2014 17:31:27
13. นายเป็นใคร?



“นายเป็นใคร  ทำไมถึงมาทำงานกับพ่อ”   พีทถามขณะพวกเขาเดินทางไปยังสถานที่ตั้งของผับดังด้วยออดี้คันเดิมที่พลิ้วผ่านรถคันอื่นด้วยความเร็วสูง

“หืม นึกไงถึงถามล่ะ” คนขับที่ทำหน้านิ่ง ๆ มาตั้งแต่เย็นลดความเร็วลงเล็กน้อย  หันมาถามคนที่นั่งเคียงกันมาในรถ

นายหมีกำลังครุ่นคิดอยู่เหมือนกัน  เรื่องท่าทีที่เปลี่ยนไปของคุณชายของเขา วันก่อนยังดื้อกับเขาทุกเรื่องอยู่เลย  วันนี้กลับทำตามที่เขาบอกทุกเรื่องจนเขาแปลกใจ แล้วเมื่อตอนเย็นอีก  ภาพพีทที่มองมา  สายตาคู่นั้นเหมือนรู้ความจริงบางอย่าง  ความจริงที่เขายังไม่ได้บอก ไม่กล้าบอก จากนั้นพีทก็เฉยไป  ดวงตาเหม่อลอยเหมือนคนกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ภายใน

“ก็ไม่มีอะไร  แค่อยากรู้  นายต้องเก่งมากเลยนะพ่อถึงได้ไว้ใจขนาดนี้” 

พีทยังคงถามต่อ ท่าทางเหมือนคนกำลังมีเรื่องในใจ ใบหน้าเรียวนั้นมองตรงไปยังถนนข้างหน้า ชั่วแวบหนึ่งดวงตาของหนุ่มน้อยหันมามองคนขับ  ใบหน้าด้านข้างที่เขาเห็นนั้นราวรูปปั้น  จมูกโด่งชัดเป็นสันตรงยาวจากหว่างคิ้วเข้มที่พาดเหนือดวงตาชั้นเดียว   ริมฝีปากบางนั้นเม้มเล็กน้อยเหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง  ลังเล?  สับสน? 

“เอ่อ ผมก็มาสมัครงานกับบริษัทพ่อคุณที่อังกฤษไง ท่านคงเห็นประวัติผมแล้วเลยชวนมาทำงานที่นี่” 

“แล้วประวัตินายเป็นยังไงล่ะ  พ่อถึงได้สนใจ”  พีทยังคงถามต่อ

“ผมเรียนจบธุรกิจระหว่างประเทศ  เคยทำงานกับเครือโรงแรมฮิลตันที่นิวยอร์กอยู่พักหนึ่ง  เบื่อก็เลยลาออกมาสมัครกับโรงแรมพ่อคุณ  ก็เรียนรู้งานได้เกือบปี  พ่อคุณเลยให้มาช่วยดูแลคุณ  ผมก็เลยมา”

คำตอบนั้นเป็นการบอกเล่าชีวประวัติคร่าว ๆ ไม่ลงรายละเอียดอะไร 

“แล้วครอบครัวล่ะ  พ่อแม่  พี่น้องเป็นใครอยู่ที่ไหน” 

พีทถามอีก  ไม่รู้เพราะอะไรเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับการรอคอยคำตอบ

“เอ่อ ผม คือ พ่อผมเสียแล้วตั้งแต่ผมเด็ก ๆ เหลือแม่คนเดียว  ตอนนี้แม่อยู่อังกฤษ”  เสียงคนขับตอบมาแผ่วเบาเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ

พีทหันกลับไปมองคนข้างตัวใหม่อีกครั้ง   

‘คล้ายพี่ฮั่นเลย...'

“แล้วไงต่อล่ะ”  เขาถามอีก  ดวงตาจ้องตรงไปที่ใบหน้าด้านข้างของคนที่ขับรถอย่างตั้งใจเกินความจำเป็นเพราะนายหมีไม่หันกลับมามองที่เขาเลย  ดวงตานั้นจ้องตรงไปที่ถนนอย่างแน่วแน่

“หมดแล้ว  ผมตอบได้เท่านี้  เรื่องอื่นผมขอเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัว” 

“ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะ ทีเรื่องชั้นนายยังรู้ทุกเรื่อง  ขนาดพี่โดม เกรซ  นายก็รู้จักพวกเขาแล้วทำไมชั้นจะรู้เรื่องนายบ้างไม่ได้” ไม่ยุติธรรมเลย นายหมีรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเขา  แต่เขาไม่เคยรู้เรื่องอะไรนายนี่เลยสักอย่าง  ชื่อจริงเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

“ผมต้องรู้เรื่องคุณเพราะมันเป็นงาน  แต่เรื่องของผม เอ่อ ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”

“ไม่มีอะไรก็เล่ามาสิ   ทำไมต้องเป็นความลับด้วย....”

“ผมขอโทษ  ถ้าคุณอยากรู้อะไร  คุณถามพ่อคุณเองก็แล้วกัน  แต่ผมตอบได้เท่านี้จริง ๆ”   น้ำเสียงตอบกลับอ่อนโยนราวกับว่าคนตอบก็ลำบากใจที่ให้คำตอบได้เพียงเท่านี้

“เท่านี้เองเหรอ”  พีทย้ำ   

“แค่นี้แหละ  คุณมีอะไรรึเปล่า”  ท้ายคำถามนายหมีหันมาถามพลางมองมา

“ไม่มีอะไรแล้ว” พีทหันหน้ามองออกไปยังวิวภายนอก

เขาเงียบไปเพราะความคิดกำลังหมุนเปลี่ยนไปมา ทั้งสับสนปนเปจากข้อมูลที่ได้รับ  มีบางอย่างที่มีเชื่อมกันอยู่  ถ้านายหมีไม่ใช่คนที่เขาคิดก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไป  แต่ถ้าใช่ล่ะ...เขารู้สึกเจ็บหนึบ ๆ ตรงอกด้านซ้าย 

‘อะไรกันความรู้สึกคล้ายความผิดหวังแบบนี้’ 

นายหมีไม่ยอมบอกอะไรเขาสักอย่าง  ทำไมต้องปิดบัง  เขาอยากจะโกรธที่นายหมีไม่ยอมตอบคำถาม แต่ความสับสนที่เกิดขึ้นมีมากกว่า เขาเหมือนคนกำลังจมอยู่ในธารน้ำวนแห่งความไม่เข้าใจ  จมดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ 

ความคิดเขาต้องหยุดชะงักลงเพราะรถจอดสนิท นายหมีปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออกแล้วรออยู่  พีทเปิดประตูลงไปด้วยหัวใจที่เริ่มเหนื่อยล้า  ไม่เข้าใจเรื่องอะไรสักอย่างเดียว  ใบหน้าเขายามนี้จึงดูไม่สดใสเหมือนเคย  เขาเดินเข้าร้านไป   ไม่สนใจใคร
นายหมีมองตามหลังหนุ่มน้อย ในใจก็เริ่มคิดกังวลถึงเรื่องที่คุยกันในรถเมื่อครู่




ตั้งแต่วันนั้นพีทก็ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาในสิ่งที่เขาสงสัย  เขาพยายามโทรหาพ่อ  แต่พ่อมักจะทำงานยุ่งเสมอเวลาเขาโทรไปจนเขาอ่อนใจ ไม่อยากโทรไปรบกวนพ่ออีก  เมื่อไม่ได้คำตอบจากพ่อ พีทจึงไปที่บ้านใหญ่เพื่อหาหลักฐาน เขาตรงไปที่ห้องนอนของพี่ฮั่นซึ่งอยู่ตรงข้ามห้องนอนเขาในบ้านใหญ่  ห้องที่เขาไม่เคยย่างกรายเข้าไปอีกเลยตั้งแต่เจ้าของห้องทิ้งไป เขาอยากจะเข้าไปดูรูปพี่ฮั่นที่ถ่ายก่อนที่จะไปอังกฤษเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง  และคาดหวังว่าบางทีอาจจะมีรูปพี่ฮั่นตอนที่อยู่อังกฤษเก็บไว้บ้าง

พีทหยุดยืนตรงหน้าห้องอยู่นาน  เกิดอาการลังเล  เขากลัวว่าถ้าไม่ใช่พี่ฮั่นก็คงเป็นแค่คนหน้าคล้าย  แต่ถ้าเป็นพี่ฮั่นจริง ๆ เขาจะทำยังไง?

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจจะเปิดเข้าไปดู เขายื่นมือไปจับลูกบิดหมุนแต่กลับเปิดออกไม่ได้ เขาเขย่าลูกบิดอย่างขัดใจเพราะห้องล็อกอยู่

“ลุงฉี ลุงฉีครับ”  พีทเดินตามหาจนพบลุงฉีกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัวชั้นล่างของบ้านใหญ่

“ลุงฉี  เอ่อ  มีกุญแจห้อง  เอ่อ  ห้องตรงข้ามห้องนอนของผมรึเปล่า”  รู้สึกแปลกที่ไม่กล้าเอ่ยชื่อนั้นออกมา

ลุงฉีคิดไปพักหนึ่งจึงตอบเขา

“กุญแจห้องนั้นไม่ได้อยู่ที่ลุงแล้วครับ  น่าจะอยู่ที่คุณโรส” 

แววตาสงสัยของลุงฉีมองมาทำให้พีททำตัวไม่ถูก ลุงฉีจะต้องสงสัยอยู่แล้วเพราะเขาไม่เคยสนใจจะเข้าไปดูอะไรในห้องนั้นตั้งแต่เจ้าของห้องทิ้งไป

“ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรครับ”  พีทขอบคุณลุงฉีแล้วเดินออกมา

‘โธ่  ถ้าอยู่ที่คุณโรสแล้วตอนนี้อยู่ไหนละนี่  คุณโรสก็ไม่อยู่เสียด้วย’   พีทคิดอย่างเสียดาย   เขาเดินกลับไปที่บ้านหลังเล็กริมสระอย่างหมดหวัง


ท่าทีที่แปลกไปของพีททำให้นายหมีต้องจับตามองเงียบ ๆ   ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาพีทเปลี่ยนไป  ไม่ดื้อดึงเหมือนเก่า  กลับเงียบขรึม  ไม่ร่าเริง  บางครั้งบางคราวนายหมีก็จับได้ว่าพีทมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่แปลกไป พีทไม่ได้มองเขาด้วยแววตาไม่ชอบใจหรือต่อต้านเหมือนเดิม แต่กลับมีแววตาเศร้า  บางครั้งพีทก็มองเขาตรง ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยคำถามทำให้เขาต้องคอยหลบตาอยู่เสมอ  เขาคิดว่าเขาดูออกว่าพีทคิดมากเรื่องอะไร  แต่เขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้  กลัวเหลือเกินว่าถ้าพีทรู้ความจริงเขาอาจจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้   




“อ้าว พีท มาแล้วเหรอ” เพื่อนร่วมวงหันมาทักทายหนุ่มน้อยนักร้องนำของวงที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพักหลังเวที  แต่พีทเพียงแค่ยิ้มกลับไป 

“เฮ้ยพีท  เมื่อกี้คุณเกรซเขาถามหานายแน่ะ”  เสียงพี่ร็อกกี้ร้องบอก 

มีเสียงล้อเลียน  เป่าปากกันเกรียวกราวหลังคำบอกเล่านั้น  พีทส่ายหน้าอย่างระอา ทุกคนในวงชอบแซวเขากับเกรซว่าแอบคบกันอยู่  พีทอธิบายว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนกันจนอ่อนใจ ดูเหมือนว่าคำพูดเขาเป็นเพียงลมพัดแล้วผ่านไปไม่มีใครเชื่อสักคน  แต่ต่อหน้าเกรซพวกพี่เขาก็ไม่กล้ากันหรอก   พีทมองไปที่วงอย่างเหวี่ยง ๆ

‘คนยิ่งกลุ้มอยู่’

“พี่ร๊อกกี้วันนี้ฝากลิสต์รายชื่อเพลงให้พีทด้วยนะครับ เดี๋ยวขอไปหาเกรซหน่อย”

นั่นไง  ไม่ทันขาดคำคนแก่ทั้งวงก็ส่งเสียงวี้ดวิ้วกันเซ็งแซ่  พีทเกาหัวทำหน้ายุ่งแล้วเดินออกไป เขาตามหาเกรซไม่เจอจึงลองโทรหา  เสียงดนตรีแทรกเข้ามาในโทรศัพท์  เกรซตะโกนมาตามสาย 

“พีท เราอยู่ที่โต๊ะวีไอพีแวะมาหน่อย” เสียงเกรซกลืนหายไปกับเสียงเพลงแดนซ์ที่เปิดกระหน่ำ

พีทวางสายแล้วออกเดินไปยังโต๊ะวีไอพี พบเกรซนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มสาว ๆ  แปลกหน้า  เขาตรงเข้าไปทักทาย  เกรซจึงแนะนำเขาให้เพื่อนของเธอรู้จัก 

“พวกนี้เป็นเพื่อนที่คณะน่ะ เขาอยากมาฟังนายร้องเพลง”

เกรซว่าก่อนหันไปแซวเพื่อนตัวเองที่พากันจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียวพีทยิ้มกว้างให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร ทำเอากลุ่มเพื่อนของเกรซอายม้วนกันไปหลายคน  บางคนกรี๊ดเบา ๆ ในลำคอ   เขาทำหน้าเหวอจนเกรซรีบแซว

“นายไม่รู้ตัวรึไงว่าเวลานายยิ้มส่งสายตาแบบนี้มันหวานซะจนทำเอาสาว ๆ แทบละลาย นี่พวกเธออย่าเขินมากเพื่อนชั้นไม่ใช่ดารา”  ท้ายประโยคเกรซหันไปแซวเพื่อนตัวเอง เพื่อน ๆ ส่งค้อนกลับมาให้กันใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะของเธอและชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่ม 

หนุ่มหล่อที่อยู่ท่ามกลางสาวสวยกลุ่มใหญ่ดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คน ใครที่นั่งตรงนั้นก็เด่นอยู่แล้วเพราะเป็นที่วีไอพี  แต่นี่มีนักร้องสุดหล่อประจำร้านแวดล้อมไปด้วยสาวสวยแต่งตัวเปรี้ยว ยิ่งทำให้ทั้งกลุ่มตกเป็นเป้าสนใจ

ไม่เว้นใครบางคนที่เฝ้ามองอยู่นานแล้ว



Yeah baby make me crazy girl
Don't move don't move girl Don't move don't move closer girl yeah
อย่าเขยิบมาใกล้ ช่วยขยับไปไกลไกล ขอได้ไหมหัวใจผมวายวอดกันพอดี
My heart beats coz you make it crazy
หยุดเดี๋ยวนี้นะก่อนที่หัวใจผมมันจะวาย



เสียงเพลงสุดท้ายจบลงพร้อมกับท่าเต้นสุดเร้าใจจากนักร้องหนุ่มร่างสูง  เวลายิ้มดวงตาส่องประกายวิบวับดึงดูดสายตา   เรียกเสียงกรี๊ดกระหึ่มราวกับอยู่ในคอนเสิร์ตก็ไม่ปาน  พีทหอบเล็กน้อยเพราะร้องและเต้นติดต่อกันหลายเพลง   เกรซและกลุ่มเพื่อนสาวส่งเสียงกรี๊ดให้นักร้องฮิปฮอปมาดคุณชายกันอย่างสนุกสนาน  หลังวงเล่นแล้วยังมีดีเจเปิดแผ่นต่อ  กลุ่มสาว ๆ จึงออกสเต็ปแดนซ์กันอย่างไม่มีใครยอมใคร  พีทออกมาจากห้องพักหลังเวทีแล้วจึงเข้าไปร่วมวงด้วย 

“เกรซไหวป่าวเนี่ย ดูสิ ทำไมกินเยอะขนาดนี้  เดี๋ยวเธอจะกลับบ้านไหวเหรอ  เราจะกลับแล้วนะ  ให้เราไปส่งไหม”  ก่อนกลับพีทหันไปถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

“หือ พีท เราม่ายเป็นไร  เรายังไหว เดี๋ยวกลับกับแจน” เสียงเกรซอ้อแอ้ดูเหมือนจะเมาแล้วแต่ยังยืนยันว่ายังไหว

“แน่นะ”  พีทย้ำ

“เฮ้ย นาย เรายังไหว”

แม่คุณหนูทำท่ามือ ‘โย่ว’ ใส่พีทให้ดูว่าเธอยังโอเค    เขาจึงหันไปเอ่ยลาเพื่อนของเกรซแต่แทนที่สาว ๆ จะหันมาลาเขา   สายตาทุกคู่กลับมองผ่านเขาทางด้านหลังเหมือนตกตะลึงอะไรบางอย่าง  เสียงกรี๊ดดังขึ้นเมื่อหนุ่มหล่ออีกคนโผล่มายืนเคียงข้างเด็กฮิปมาดคุณชาย

“เราต้องกลับแล้ว  เดี๋ยวนี้เลย!” 

เสียงคุ้นหูกระซิบอยู่ใกล้มาก  มือแข็งแรงสอดเข้ามาจับแขนเขาไว้   

“ฮึ๊ย  อะไรของนาย”  พีทหันไปมองคนที่พรวดพราดเข้ามาตาขุ่น 

‘อะไรเนี่ย  ทำไมนายนี่เสียมารยาทแบบนี้’   

“มีคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนหน้าร้านสักพักแล้ว มาเยอะด้วย เราต้องรีบแล้ว” คราวนี้น้ำเสียงนั้นร้อนรนมากขึ้น  มือที่จับอยู่บีบเล็กน้อยเหมือนเตือนให้รู้ถึงอันตราย

เท่านี้พีทก็เข้าใจ  เขารีบหันไปลาเกรซกับเพื่อน ก่อนที่นายหมีจะลากเขาออกไปทันที  แต่พวกเขากลับเคลื่อนตัวไปได้ไม่เร็วนักเพราะคนในผับหนาแน่นเนื่องจากคืนนี้เป็นคืนวันเสาร์  นายหมีเดินนำไปอยู่ข้างหน้ามือที่จับแขนเขาแน่นกระชับ  พีทอยากจะบอกหลายครั้งว่าเขาเดินเองได้  แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่สนใจ  ก่อนออกจากร้านนายหมีแวะเข้าไปคุยอะไรบางอย่างกับแคน  ลากเขาไปด้วย 

“แคนฝากดูแล....ด้วย  แล้วก็ระวังตัวด้วย” นายหมีพยักพเยิดไปทางโต๊ะวีไอพี  คุยสองสามประโยคแล้วก็ลากเขาออกมานอกร้าน  เขาแทบจะถูกยัดเข้าไปในรถ  นายหมีรีบขับออกไปทันทีด้วยความรวดเร็ว

“นายแน่ใจเหรอว่าเป็นพวกมัน  อาจจะเป็นแขกในร้านก็ได้”  พีทหันไปถาม

ไม่ทันขาดคำ เสียงรถแต่งท่อก็ดังกระหึ่มอยู่ข้างหลัง  เขาใจหายวาบรีบหันไปมองทันที 

‘เฮ้ย!  คราวนี้มากันเป็นฝูง  เต็มถนนไปหมด’
  เขาอ้าปากค้าง 

“พีท! นั่งดี ๆ แล้วคาดเข็มขัดด้วย” 

น้ำเสียงเฉียบขาดทำให้พีทต้องเชื่อฟังทันที  เหมือนเตือนว่า 

คราวนี้ของจริง!!!



-----------------------------------------
ลงมาหลายตอนแล้วไม่รู้มีใครอ่านอยู่รึเปล่า  ตอนแรกก็ไม่มั่นใจว่าในเล้าเป็ดจะชอบอ่านแนวนี้กันไหม  เพราะออกแนวคุณชาย  ดูเว่อร์ ๆ   คงไม่ใช่แนวของหนุ่ม ๆ น่าจะเหมาะกับสาววายมากกว่า  ตอนแรกกะจะขึ้นหัวกระทู้ว่าเหมาะสำหรับสาววายด้วยซ้ำ  แต่เรื่องนี้มีบทบู๊นะคะ  ตอนหน้านี่แหละ

ชอบไม่ชอบยังไงติชมได้นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ


 :mew1:

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 13 page 2 อัพเดต 18/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-07-2014 20:25:23
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 13 page 2 อัพเดต 18/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-07-2014 02:07:53
 o13



ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 13 page 2 อัพเดต 18/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 19-07-2014 13:43:07
อ่านคะ อ่าน สนุกดี อยากรู้
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 13 page 2 อัพเดต 18/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 19-07-2014 23:41:09
สนุกค่ะ รออ่านอยู่นะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 13 page 2 อัพเดต 18/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ยัยหมูตัวกลม ที่ 20-07-2014 22:41:44
ชอบๆๆๆ  รออ่านอยู่น้า :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 13 page 2 อัพเดต 18/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 21-07-2014 19:40:02
14. ถูกตามล่า


“เอี๊ยด เอี๊ยด บรื๊นนน” 

เสียงเครื่องยนต์ผ่านท่อไอเสียที่แต่งให้ดังกว่าปกติกว่าสิบคันเร่งความเร็วเพื่อจะตามออดี้ R8 ที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง  ขณะนี้ตีหนึ่งกว่าแล้ว ไม่มีรถคันอื่นบนถนนเลยจึงเป็นโอกาสให้กลุ่มรถที่ตามมากระจายตัวเต็มถนนไปหมด รถที่แต่งเครื่องอย่างดีของพวกมันพยายามเร่งความเร็วขึ้นมาประกบออดี้ที่วิ่งอยู่ด้านหน้า

ทันใดนั้นออดี้คันงาม จำต้องหักหลบเมื่อเจอรถบรรทุกเลี้ยวตัดหน้าไปในระยะกระชั้นชิด  เสียงห้ามล้อดังไปทั้งถนนทำให้ซูเปอร์คาร์เสียจังหวะ เปิดโอกาสให้รถพวกมันขับตีคู่ขึ้นมาทางซ้ายด้านที่พีทนั่งอยู่ พวกมันหักขวาเข้ามากะทันหันกะจะชน  ออดี้เร่งเครื่องเสียงกระหึ่มหนีได้อย่างฉิวเฉียด  ส่งผลให้รถคันนั้นไถลไปชนกับแนวคอนกรีตที่กั้นข้างถนนอีกด้านหนึ่งแทน   เกิดเสียงดังโครมครามตามมาทันที 

พีทหันไปมองเห็นรถอีกสองสามคันที่ตามมาชนเข้ากับรถคันแรกเสียงดังสนั่น   เขาลอบกลืนน้ำลาย

‘นี่มันยังกะในหนังเลย’ 

แต่เขาต้องตาโตอีกครั้งเมื่อพวกมันที่เหลือกำลังไล่ตามมา   ภาพรถอีกหลายคันที่ใกล้เข้ามาทุกขณะทำให้เขาหันไปเร่งนายหมี

“เร็วเข้า  มันมาทางซ้ายแล้ว”  พีทร้องบอก 
 
ซูเปอร์คาร์หักซ้ายทันทีเพื่อกันไม่ให้พวกมันขึ้นมาประกบได้ เสียงล้อบดกับถนนดังแสบแก้วหูเมื่อรถคันหน้าพยายามกันไม่ให้รถคันหลังแซง โดยการขับส่ายซ้ายขวาไปมา ในขณะที่รถอีกสองคันที่ตามมาพยายามแย่งชิงโอกาสเพื่อขับขึ้นแซง รถสามคันขับบี้กันมาด้วยความเร็วสูงบนถนนใหญ่  มีอีกหลายคันตามหลัง  ป้ายเรืองแสงขนาดใหญ่ข้างถนนผ่านสายตาพีทไปอย่างรวดเร็ว เขาแทบตะโกน

“ข้างหน้าเป็นสามแยก  เลี้ยวซ้ายเข้าโซน A  ขวาไปสนามบิน!!!” 

เหลือระยะทางอีกไม่ถึงร้อยเมตรออดี้ยังไม่ลดความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว  พีทหันไปมองนายหมีที่ยังเหยียบคันเร่งด้วยความหวั่นใจ   
 
“เบรก  เบรก!!!”   เขาตะโกน   

รถที่ขับขนาบซ้ายขวาสองคันผลุบหายไปจากสายตาเพราะต้องลดความเร็วเมื่อถึงทางแยกข้างหน้า   แต่ออดี้ยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง  ฉับพลันนั้นนายหมีเหยียบเบรกแล้วหักพวงมาลัยอย่างแรง  ออดี้หมุนดริฟท์เข้าโค้ง  ล้อหลังหมุนไถลกับพื้นถนนด้วยองศาที่กว้างกว่าล้อหน้า เสียงล้อไถลไปบนพื้นถนนดังบาดแก้วหู  เกิดควันสีขาวท้ายรถจากการเหยียบคันเร่งพร้อมกับการเหยียบเบรคเพื่อเข้าโค้งโดยที่ความเร็วลดลงเพียงเล็กน้อย 
 
นายหมีตัดสินใจเลี้ยวซ้ายไปทางโซน A ซึ่งเป็นย่านตึกแถวเสื่อมโทรม  เพราะทางไปสนามบินตั้งรั้วกั้นติดป้าย ‘ถนนชำรุด’

พีทคลายมือที่กำสายเข็มขัดนิรภัยจนเหงื่อซึมเมื่อรถผ่านโค้งนั้นมาแล้ว  หัวใจสูบฉีดแรงเพราะความตื่นเต้น  เขาหันไปมองข้างหลัง  พวกมันยังตามมาไม่ห่างและกำลังเร่งความเร็วตามมา

“จะทำไงต่อ  มันไม่ยอมปล่อยเราแน่”

“ล้วงไปใต้เบาะสิ”  นายหมีสั่ง

พีทสอดมือไปใต้เบาะ  ควานหาเพียงครู่ก็พบวัตถุแข็ง ๆ  เขาเบิกตากว้างเมื่อดึงปืนซิก  ซาวเออร์  (SIG-Sauer P226R)  ขนาด 9  มม. ขึ้นมา

“ใช้เป็นรึเปล่า”  นายหมีละสายตาจากถนนหันมาถาม  แววตาซีเรียส

“เป็น  แต่ไม่ชอบยิง”  เขาเคยเรียนยิงปืนมาบ้างไม่จริงจังนัก 

“ปลดเซฟซะ เตรียมตัวไว้” นายหมีสั่งเขาเร็ว ๆ  ตัวเองก็ดึงเบเร็ตต้า (Beretta 92FS Inox)  ขนาด 9 มม.  ออกมาถือเหมือนกัน

“ปัง ๆๆ” 

“เฮ้ย!!” 

พีทตกใจแทบเสียสติเมื่อได้ยินเสียงปืนดัง  พวกมันเปลี่ยนจากการขับรถตามประกบมายิงขู่แทน  เพราะออดี้เริ่มทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อย ๆ

“ไม่ต้องห่วงคันนี้กันกระสุน” ร่างสูงใหญ่บอกพลางเลื่อนกระจกด้านคนขับลง   เขาใช้มือซ้ายประคองพวงมาลัยไว้ขณะที่ยื่นมือขวาหันออกไปด้านหลังยิงโต้กลับบ้าง

“ปัง ๆๆ” 

เพียงลั่นไกสองสามครั้งรถที่ตามมาก็ถูกกระสุน  ทำให้เครื่องยนต์ระเบิดพลิกคว่ำทันที  เสียงเครื่องยนต์ระเบิดดังกึกก้องบนถนนสายเปลี่ยวนั้น

แต่ไม่สามารถหยุดพวกมันได้!  รถหลายคันที่ตามมาขับหลบรถคันหน้าที่พลิกคว่ำกลับเร่งความเร็วตามมาแล้วยิงสวนกลับมาหลายนัด

นายหมีหันกลับมาเร่งเครื่องหนีทันที  เมื่อรถคันหลังเริ่มกระหน่ำยิงใส่พวกเขาบ้าง   เสียงปืนดังข้างหลังอีกหลายนัด นายหมีขับรถฉวัดไปทางซ้ายบ้าง ทางขวาบ้าง เพื่อหลบกระสุนทำให้ความเร็วของรถลดลง  เสียงลูกปืนยังกระทบตัวรถเป็นระยะ

รถวิ่งไปได้เพียงครู่เดียวก็เกิดเสียงดังผิดปกติที่ท้ายรถ   พร้อมกันนั้นออดี้ก็เอียงวูบไปด้านหนึ่ง 

“รถเป็นอะไร”  พีทหันหน้าไปถามคนขับ  รู้สึกสังหรณ์แปลก ๆ ทันที

“ยางแบน  คงถูกยิง”  เสียงนั้นแสดงความกังวลเป็นครั้งแรก   

ล้อที่ยางแบนบดกับถนนทำให้รถสั่น  ต้องลดความเร็วลงเพราะรถเริ่มส่ายไปมา  พีทหันไปมองคนข้างกาย  แววตาตื่น  เริ่มเกิดความกลัวขึ้นมา

นายหมีจึงตัดสินใจเลี้ยวไปยังหมู่บ้านจัดสรรที่สร้างเสร็จไปได้เพียงครึ่งโครงการแล้วต้องปล่อยร้างเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ  ทางเข้าหมู่บ้านมืดสนิท  นายหมีปิดไฟหน้าลงเพื่อไม่ให้รถที่ตามมาสังเกตเห็นได้ง่าย   

ในที่สุดพวกเขาต้องจอดรถ  พีทละล้าละลังไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป  เสียงนายหมีสั่งต่อไปว่า

“ลงจากรถเร็วเข้า  เราต้องหาที่ซ่อน  ถ่วงเวลาไว้ก่อน” 

ร่างสูงใหญ่ในเสื้อแจ็กเก็ตสีดำก้าวลงจากรถ  เขาอ้อมมาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารแล้วคว้าตัวพีทออกมาอย่างรวดเร็ว  ลากเขาวิ่งเข้าไปในซอยลัดข้าง ๆ ทันที   พอดีกับที่พวกมันตามมาถึง  พวกเขาได้ยินเสียงรถแต่งอีกหลายคันตามเข้ามาในซอย  นายหมีเร่งฝีเท้าขึ้นอีกพาเขาลัดเลาะไปตามบ้านร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จท่ามกลางความมืดสนิท   

ตอนนี้พวกมันคงเห็นออดี้จอดทิ้งไว้แล้ว  พีทประเมินสถานการณ์ในใจ  พลันก็ถูกดึงเข้าไปหลบที่บ้านหลังหนึ่ง  นายหมีดันเขาเข้าไปจนลึกสุดของบ้าน  ส่วนตัวเองกลับขยับไปริมผนังเพื่อฟังความเคลื่อนไหว 

พวกเขายืนอยู่เงียบ ๆ มีเพียงเสียงลมหายใจหอบเบา  ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้พีทรู้สึกหวั่นใจ  กลัวไปต่าง ๆ นานา  กลัวว่าพวกมันจะโผล่มาจากมุมใดมุมหนึ่ง  หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ  เขาเอามือกดหน้าอกไว้ 

‘อย่าเต้นแรงนักสิ  เดี๋ยวพวกมันได้ยิน’

“ปัง ๆๆ” 

เสียงปืนดังรัวท่ามกลางความเงียบสงัดทำให้พีทสะดุ้งสุดตัว  เขาหันไปสบตากับนายหมีทันที   คนตรงหน้ายกนิ้วจรดริมฝีปากเป็นเชิงให้เงียบ 

รอ....

‘พวกมันคงยิงออดี้จนพรุนแล้วมั้ง ถ้าเขายังอยู่ในรถก็คงเป็นเขานี่แหละที่จะพรุน’ 

พีทใจเต้นรัวแทบทะลุออกมานอกอก  เขายอมรับว่าเขากลัว   ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยตกอยู่ในอันตรายขนาดนี้  คิดพลางกำมือที่ถือปืนแน่นขึ้น  เขาคงต้องพึ่งเจ้านี่ซะแล้ว 
 
นายหมีขยับถอยเข้ามาจนถึงที่ที่เขายืนอยู่  ทำท่าทางเหมือนบอกให้เขาขยับเข้าไปอีก ได้ยินเสียงพวกมันตะโกนโหวกเหวกอยู่ไม่ไกลนัก  จับใจความได้ว่าพวกมันแยกกันค้นหา

“ไม่มีที่ไปแล้ว”  พีทถอยเข้าไปจนไหล่ชนกำแพงอีกด้าน  เสียงเขาสั่น   

ร่างสูงใหญ่ที่ยืนแนบติดกับเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอย่างรวดเร็ว โทรเร่งคนปลายสายให้รีบตามมา  เขาบอกตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้ให้ปลายสายเข้าใจจากนั้นจึงหันมามองเขา   นายหมียกมือตบไหล่เขาแล้วบีบเป็นเชิงปลอบ

“ไม่ต้องกลัวนะ นายต้องปลอดภัย”

ดวงตาคู่นั้นสบตาเขาเพื่อยืนยันคำพูดแล้วหันกลับไปมองด้านนอก เพราะอะไรไม่รู้ คำพูดนั้นสร้างความอุ่นใจให้กับคนที่กำลังหวาดกลัวอย่างมาก จิตใจที่ถูกเกาะกุมด้วยความกลัวกลับผ่อนคลายลงอย่างประหลาด หัวใจเขากลับมาเต้นด้วยจังหวะปกติอีกครั้ง   

อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียว




พวกมันคงเดินตามหากันไปทั่วหมู่บ้านร้าง ประเมินจากเสียงอึกทึกครึกโครมจากการพังประตู   ทุบหน้าต่างกระจก  ราวสิบนาทีผ่านไปเสียงอึกทึกเหล่านั้นค่อยเบาลง   

“แกร็ง”  เสียงเหมือนใครสะดุดเศษเหล็กดังแว่วเข้ามา

นายหมีแทบกระโดดออกไปริมผนัง พีทขยับตัวเพื่อเตรียมพร้อม มือกำปืนกระบอกนั้นแน่นขึ้น  เกิดความเงียบแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นภายใต้ความมืดพีทเห็นเงาลาง ๆ ของปลายกระบอกปืนโผล่เข้ามา   ฉับพลันนั้นนายหมีคว้าข้อมือคนแปลกหน้าบิดแล้วดึงเข้าหาตัว  กระแทกเข่าใส่ท้องพวกมัน  มีเสียงร้องโอ๊ยอย่างไม่ทันตั้งตัวแล้วก็เงียบไปเพราะถูกสันมือใหญ่สับลงที่ท้ายทอยอย่างเหมาะเหม็ง  ร่างในชุดดำล้มลง

“เก็บปืนมันไว้  เร็ว!”   นายหมีสั่งเขา  ส่วนตัวเองก็ก้มลงจัดการมัดมือร่างในชุดดำไพล่หลังด้วยเข็มขัดของมันเอง 

“เฮ้ย  หยุด!”  พวกมันอีกคนโผล่เข้ามาพร้อมใช้ปืนจ่อไหล่พีทที่ยืนหันหลังให้   

พีทใจหายวาบ 

ร่างสูงใหญ่ของนายหมีขยับออกจากร่างที่เขาเพิ่งมัดมือเสร็จอย่างเชื่องช้า เขายกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้

“มึง ถอยไป” ชายชุดดำที่มาใหม่ออกคำสั่งให้นายหมีถอยไป  นายหมีกลับหันไปสบตาพีทที่มองอยู่ก่อนด้วยดวงตาหวั่น  แล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ 

“ดวิชากิ*”

“มึงพูดอะไร  กูบอกให้มึงถอยไปไง  อยากให้ไอ้นี่ตายเหรอ!”  เสียงนั้นตะคอกซ้ำ 

ช่วงเวลาที่มันหันไปตะคอกนายหมี พีทจึงได้จังหวะหมุนตัวกลับ ตวัดส้นเท้าเตะไปยังปลายคางร่างชุดดำนั้นทันที

“โครม”

ร่างสันทัดในชุดดำล้มลงกระแทกเศษวัสดุก่อสร้างบนพื้น เสียงดังโครมคราม  เขาตรงเข้าไปเตะปืนกระเด็นออกจากมือ  นายหมีตามมาเตะลำตัวซ้ำอีกหลายครั้ง  ร่างนั้นส่งเสียงอึกอักอยู่ครู่จึงแน่นิ่งไป

“ไปเร็ว!” นายหมีหันมาลากแขนเขาวิ่งออกจากบ้านหลังนั้น  ทั้งคู่ลัดเลาะไปตามบ้านร้างติด ๆ กัน   

“ปัง ๆๆ”

เสียงปืนดังขึ้นใกล้มาก  กระตุ้นให้พวกเขาวิ่งต่อไปไม่ยอมหยุด  เสียงปืนดังรัวขึ้นอีกหลายนัดจับทิศทางไม่ได้ 

พีทก้มตัวหลบพร้อมกับถูกฉุดให้นอนคว่ำลำตัวราบกับพื้น  ศีรษะเขาถูกกดไว้ด้วยมือหนา  นายหมีใช้ลำตัวบังเขาไว้  เสียงเท้ากระทบพื้นหลายคู่ดังสะท้อนบนพื้นดิน  เสียงโหวกเหวกของพวกมันสั่งให้แยกกันตามหา 

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ  เขารู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจเต้นของคนที่เอาตัวบังเขาอยู่ด้านบน   

“ทางนี้” นายหมีลุกขึ้นลากเขาวิ่งสั้น ๆ ไปหลบที่ซากกำแพงบ้านที่อยู่ทางซ้ายมือ 

พีททิ้งตัวพิงกำแพงอย่างเหนื่อยหอบ รู้สึกเสียดหน้าอกอย่างแรง  เขาไม่ได้วิ่งเต็มกำลังขนาดนี้มานาน  ร่างสูงใหญ่ก้าวไปยืนหลบริมกำแพงหันหน้าออกไปด้านนอก  มือข้างหนึ่งกำปืนกระชับในมือเตรียมพร้อม   มืออีกข้างกดรับโทรศัพท์ที่สั่นอยู่นานแล้ว

“โอเคเข้ามาท้ายหมู่บ้าน เจอกันที่ถนนเมน” 

นายหมีวางสายพอดีกับเสียงเท้าของคนสองสามคนวิ่งตามมา พวกมันเห็นแสงสว่างจากโทรศัพท์จึงกระหน่ำยิงมาทางที่พวกเขาหลบอยู่ กระสุนปืนโดนกำแพงที่พวกเขาหลบอยู่จนก้อนอิฐแตกกระจาย  พีทยกมือขึ้นปิดศีรษะตนเองเมื่อเศษหินตกลงมาใส่พวกเขา

“ก้มไว้”  นายหมีหันมาคว้าไหล่เขาไว้  มือใหญ่กดศีรษะเขาแนบอกเพื่อกันเศษอิฐที่ตกลงมาประปรายจากกระสุนปืนที่ระดมยิงมาทางพวกเขา จากนั้นจึงยิงสวนออกไปบ้าง  เสียงปืนที่โต้กลับทำให้พวกมันหยุดชะงักเพียงครู่แล้วสาดกระสุนกลับมาอีกชุดใหญ่  นายหมีหันกลับมาเปลี่ยนแมกกาซีนชุดใหม่แล้วยิงกลับไปอีกหลายนัด   

“โอ๊ย”  เสียงพวกมันร้องแทรกเสียงปืนที่ยังคงยิงสู้กัน  พวกมันชะงักไปชั่วครู่  เป็นโอกาสให้พวกเขาหนี

“ไป!!” 

เมื่อนายหมีหันมาสั่ง พีทออกวิ่ง นายหมีหันกลับไปยิงซ้ำอีกครั้งแล้วออกวิ่งตามมา

ร่างสูงสองร่างวิ่งทะลุออกจากซากบ้านร้าง เสียงพวกมันตะโกนบอกพรรคพวกให้วิ่งตามทำให้พวกเขาเร่งฝีเท้า ข้างหน้าเป็นพื้นที่กว้างคล้ายกับสวนสาธารณะ  นายหมีลากเขาเลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ซอยหนึ่ง  เสียงพวกมันตะโกนโหวกเหวกสั่งกันเองให้ตามพวกเขาให้ทัน   เสียงปืนยิงไล่หลังมาอีกหลายนัด

สุดทางแล้วมีทางแยกขวาออกสู่ถนนกว้าง  พวกเขาวิ่งออกไปเต็มกำลัง 

ฉับพลันก็พบกับแสงไฟหน้ารถสาดตรงมา




*หมายเหตุ: ในกีฬาเทควันโด ดวิชากิ (Dwi Chaki) คือท่าหมุนตัวเตะกลับหลังโดยใช้ส้นเท้า (Back kick)


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 14 page 2 อัพเดต 21/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 21-07-2014 19:55:26
15. ทำความเข้าใจ (1)



รถหลายคันจอดกึกลงทันควัน  พีทถูกแสงไฟสาดเข้าตาจนตาพร่า  เสียงการเคลื่อนไหวหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน  คนจำนวนหนึ่งลงจากรถวิ่งสวนเขาเข้าไปยังซอยที่พวกเขาวิ่งออกมา  นายหมีลากแขนเขาไปยังรถคันใหญ่คันหนึ่ง ดันเขาให้ขึ้นไปบนรถแล้วสั่ง
 
“คุณปลอดภัยแล้ว อยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมมา”

จากนั้นจึงหันไปสั่งบอดี้การ์ดในชุดแจ็กเกตดำสองสามคนให้คอยเฝ้าเขา ขณะเดียวกันก็เรียกหาแมกกาซีนชุดใหม่มาเปลี่ยน

“แล้วนายจะไปไหน”   จู่ ๆ พีทก็เกิดกลัวที่นายหมีจะทิ้งเขาไว้ที่นี่

“เอาคืน”

น้ำเสียงเหี้ยมนั้นทำให้พีทถึงกับอึ้งไป  แสงไฟจากหน้ารถที่ส่องมาทำให้เห็นแววตาเอาจริงประกอบคำพูดนั้นทำให้เขาแอบกลืนน้ำลาย

นายหมีเดินลับไปแล้ว  ทิ้งการ์ดสองคนให้ยืนเฝ้าที่ประตูรถทั้งสองด้าน  อีกคนนั่งประจำที่คนขับ  พีทหลับตาพิงศีรษะกับเบาะนุ่ม  เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก  ผ่อนลมหายใจลงช้า ๆ มีเสียงปืนแว่วมาอีกหลายนัด หนุ่มน้อยไม่สนใจความเคลื่อนไหวภายนอกอีก  ปล่อยให้ใครจัดการกันไปตามหน้าที่

เวลาผ่านไปไม่นาน เสียงเปิดประตูอีกด้านทำให้เขาลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว  บอดี้การ์ดของเขากลับมาขึ้นรถ  ร่างสูงใหญ่ถอดแจ็กเกตสีดำออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนแนบติดกับลำตัวเห็นกล้ามเนื้อชัดเจน  เหงื่อไหลเป็นทางจากใบหน้าลงไปตามลำคอหายเข้าไปในเสื้อ  พีทไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง  เขาเหนื่อยจนไม่อยากจะพูดอะไร ถ้านายหมีกลับมาแล้วทุกอย่างก็คงเรียบร้อย 

ไม่นานขบวนรถจึงเคลื่อนออกจากหมู่บ้านร้างเพื่อกลับเข้าสู่เขตเมือง

“รถนายล่ะ” 

“ไว้ให้คนมาเอาไป ไม่เสียหายอะไรมาก  แค่รอยบุ๋มทั่วคัน  เคาะสักหน่อยก็โอเค” ร่างกำยำในเสื้อกล้ามสีขาวตอบเรื่อย ๆ

พีทหลับตาลงอีกเพราะทั้งเหนื่อยและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงนายหมีพูดคุยกับคนข้างหน้าไม่ดังนัก สลับกับโทรศัพท์สั่งงานอะไรบางอย่างที่พีทจับใจความไม่ได้ 

เขาครึ่งหลับครึ่งตื่นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่มือที่ปล่อยทิ้งข้างตัว  พีทลืมตาขึ้นมาครึ่งหนึ่ง  มองเห็นคนข้างกายเอื้อมมือมาแกะมือเขาที่ยังคงกำปืนซาวเออร์ไว้ในมือแน่น  สัมผัสจากนิ้วอุ่นทำให้เขาปล่อยให้นายหมีคลายนิ้วเขาที่จับปืนจนเกร็ง  ในรถมืดพอสมควร  พีทหันมองศีรษะที่ก้มอยู่  ผมปรกใบหน้า  เขามองไล่ไปตามคิ้วเข้ม  เปลือกตาที่หลุบมองต่ำ  สันจมูกโด่งยาว  ริมฝีปากบาง  สันคางที่เป็นเหลี่ยมนิด ๆ  ลำคอ  จนกระทั่งไหล่กว้าง  สิ่งที่เขาคิดหลายวันกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง   

‘พี่ฮั่นใช่ไหม?’  เขาอยากจะเอ่ยถามเหลือเกิน
 
นายหมีหยิบปืนไปเก็บไว้ที่ช่องเก็บของข้างประตู 

“เป็นไงบ้าง  หายตกใจรึยัง” 

เสียงอ่อนโยนผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ  มือใหญ่นั้นบีบนวดนิ้วที่เกร็งของเขาไปด้วย  ใบหน้าในความมืดนั้นเงยขึ้นมามองเขา  พีทเพียงแต่พยักหน้า รู้สึกร้อนวูบวาบไปตามนิ้วมือที่ถูกบีบนวด  เขาค่อย ๆ ดึงมือออก หันหน้าไปอีกทางเพราะความคิดฟุ้งซ่านที่แวบเข้ามาทำให้เขาไม่กล้าสบตาคนที่นั่งอยู่ข้างเขา  นายหมีไม่ว่าอะไรอีก   ทั้งสองคนนั่งเงียบไปจนกระทั่งรถเคลื่อนเข้าสู่บ้าน
ใหญ่และหยุดลงที่ทางเดินเข้าสู่บ้านริมน้ำ   
 
พีทพาร่างอันอ่อนเพลียลงจากรถ  เวลานี้เกือบตีสี่แล้ว อากาศเย็นรอบกายทำให้เขารู้สึกหนาวขึ้นมา  นายหมีสั่งงานการ์ดสองสามคำแล้วรีบเดินตามมาสอดมือใหญ่กำแขนเขาไว้   พีทชะงักแต่ไม่ทันทำอะไร   คนตัวใหญ่ก็ดึงเขาเดินไป

‘เอาไว้คราวหน้าค่อยสะสางทีเดียว ตอนนี้ปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน’   เขาคิดอย่างเหนื่อยล้า 

นายหมีลากเขาขึ้นไปจนถึงหน้าห้องนอน เปิดประตูแล้วเอ่ยเสียงอ่อน 

“นายโอเคนะ”

“อาบน้ำอุ่น ๆ แล้วค่อยนอน” 

คนอ่อนวัยกว่าพยักหน้าอย่างขอไปทีแล้วเข้าห้องนอนตนเอง 

หลังอาบน้ำอุ่นจัด  หนุ่มน้อยล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทันที  ไม่รับรู้ว่ามีใครเปิดประตูเข้ามา  ร่างสูงใหญ่ที่ยังอยู่ในชุดเดิมก้าวเข้ามาในห้อง ในมือมีแก้วนมที่อุ่นกำลังดี  เขาชะงักที่เห็นพีทหลับไปแล้วจึงวางแก้วนมไว้ที่โต๊ะทำงาน  เดินอย่างแผ่วเบากลับไปที่เตียง   มือใหญ่คลี่ผ้าห่มคลุมให้อย่างนุ่มนวล  เขาก้มลง

“ฝันดีนะ  น้องพีท”




“โฮ่ง ๆ”  เสียงเห่าของเจ้าแรมโบ้ปลุกหนุ่มน้อยให้ตื่นในที่สุด

พีทลืมตามองไปทั่วห้องนอนตัวเอง  เมื่อรู้สึกตื่นเต็มที่  เรื่องราวที่เขาเพิ่งผจญมาเมื่อคืนก็ไหลกลับเข้ามาในความทรงจำ

พ่อจะว่ายังไงนะ  ถ้ารู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับเขาบ้าง  เขาเริ่มรู้แล้วว่าสถานการณ์มันเลวร้ายขนาดไหน ทำไมพ่อถึงไม่อยากให้เขาไปร้องเพลงที่ร้านของเกรซอีก  ก็เพราะที่นั่นเป็นแหล่งเสื่อมโทรมที่ห่างไกลจากการสอดส่องของเจ้าหน้าที่  ใครจะทำอะไรก็ได้  แม้แต่ไล่ฆ่ากันกลางถนนเหมือนที่เขาโดนมาแล้ว   

และ....เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงส่งนายนั่นมา 

นายหมีเก่งอย่างที่พ่อบอก  มีฝีมือการต่อสู้ขั้นสูง  คล่องแคล่ว  ตัดสินใจรวดเร็วเฉียบขาดไม่แพ้บอดี้การ์ดมืออาชีพแต่บุคลิกท่าทางดีเกินกว่าจะเป็นแค่บอดี้การ์ด  เรื่องนี้คนใกล้ตัวเขาต่างก็สังเกตเห็น  ทั้งฉลาด  เจ้าเล่ห์ 

ที่สำคัญคือ พ่อไว้วางใจมากถึงขนาดปล่อยให้เขาอยู่ภายใต้การดูแลของนายนั่น  ปกติคนที่พ่อไว้ใจต้องเป็นคนที่ทำงานด้วยกันมานาน  รู้จิตรู้ใจกันเป็นอย่างดี  หรือไม่ก็ต้องเป็นคนในครอบครัว 

คำว่า ‘คนในครอบครัว’ ทำให้เขาสะดุด    เศษความคิดที่กระจัดกระจายในสมองเหมือนกลับมาเข้าที่เข้าทางเสียที 
 
‘จริงสินะ  ถ้าพ่อจะไว้ใจใคร มีอีกแค่คนเดียวที่เหลืออยู่  โอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว’    พีทถอนหายใจ   เขาค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง

‘ต้องเป็นพี่ฮั่นแน่ ๆ’ 

พีทคิดไปถึงเหตุการณ์คับขันทั้งหลายที่เขาเผชิญหลายครั้งหลายครา  นายหมีจะเรียกเขาด้วยชื่อเล่นเหมือนคนที่เผลอเรียกด้วยความเคยชิน แล้วก็ชอบแทนตัวเองว่า ‘พี่’ คราวก่อนตอนที่เขาไม่สบายนายหมีก็แทนตัวเองว่าพี่  แล้วพ่อก็เรียกนายนั่นเหมือนว่าเป็นพี่ของเขา   แต่ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาสงสัยแล้วทำไมต้องแกล้งเป็นคนอื่น?

หลายวันก่อน เขาตกใจเมื่อคิดว่านายหมีที่มาคอยดูแลความปลอดภัยอาจจะเป็นพี่ฮั่น  ความรู้สึกต่อมาคือโกรธที่ถูกหลอกและไม่เข้าใจ เขาเฝ้าครุ่นคิดถึงเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำทุกคนรวมหัวกันหลอกเขา  ทั้งโกรธทั้งเสียใจ แต่ความโกรธเบาบางลงเพราะเหตุการณ์เมื่อคืน  เขาต้องเผชิญกับอันตรายขนาดนั้น   พ่อคงไม่ไว้ใจใครอีกแล้วนอกจากพี่ฮั่น   แล้วสิ่งที่นายนั่นทำก็เพื่อปกป้องเขา

ถ้าพ่อบอกตั้งแต่แรกว่าเป็นพี่ฮั่น  เขาจะรู้สึกยังไงนะ โกรธ?  เกลียด? หรือดีใจ?  คราวนี้เขากลับไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองว่าเขาคิดอย่างไร  เขาอยากจะถามเหลือเกินว่าทำไมไม่กลับมา  เขารอให้พี่ฮั่นกลับมาตั้งหลายปีแล้วจะได้เลิกโกรธสักที  แต่พี่ฮั่นก็ไม่กลับ  พอกลับมาก็ปิดบังตัวเองไว้  เมื่อเขาถามก็ไม่ตอบความจริง

ทำไม?  ทำไม?  ทำไม?

แล้วจะทำยังไงถ้าสิ่งที่เขาคิดเป็นเรื่องจริง หรือถ้าเขาคิดฟุ้งซ่านไปเองเขาจะทำยังไงต่อไป

‘เฮ้อ’ 

ไม่เข้าใจเหตุผลอะไรเลยสักอย่าง  ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจตัวเองเลย  สับสนกับความรู้สึกของตนและไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองสรุป 

พีทหันไปมองเจ้าแรมโบ้ที่นั่งเอาหัวพาดไว้ที่เตียง ดวงตาสีน้ำตาลของมันมองหน้าเขาอยู่นานแล้ว  เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปลูบหัวสุนัขอย่างรักใคร่

‘แกเข้าใจชั้นไหม แรมโบ้’

พีทลูบหัวแรมโบ้พลางปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปนาน 

เอาล่ะ เรื่องที่เขาสงสัยเขาจะพับเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน  ใครอยากเป็นอะไรก็ปล่อยให้เขาเป็น  อยากเป็นบอดี้การ์ดหรือลูกจ้างของพ่อก็ตามใจ  วันหนึ่งเขาคงได้รู้  นั่นสินะ เขาจะคิดมากไปทำไมในเมื่อนายหมีบอกเขาว่าเป็นบอดี้การ์ด  เขาก็จะเชื่อตามนั้นก็แล้วกัน   ดูสิว่าจะเป็นคนอื่นไปได้นานแค่ไหน อีกอย่างเขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าถ้าเป็นพี่ฮั่นจริง ๆ  เขาจะทำยังไง 
 
ตอนนี้นายนั่นชื่อ ‘ฮัท’ เป็นผู้ดูแลที่พ่อส่งมาเพื่อดูแลความปลอดภัยให้เขาและสอนงานธุรกิจของพ่อ  เขามีหน้าที่ต้องเชื่อฟังหมอนั่น  พีทตัดสินใจได้ในที่สุด 

เมื่อคิดได้แล้วหนุ่มน้อยจึงคลายความกังวลที่สะสมมานาน รู้สึกผ่อนคลายจิตใจที่หนักอึ้งมาหลายวัน   เขายิ้มอย่างพอใจ

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น   พีทมองหน้าจอแล้วกดรับ

“ไง  แม่สาวฮิปขี้เมา  โทรมาแต่เช้าเชียวนะ”  พีทส่งเสียงสดใสไปตามสาย

“เช้าที่ไหนพีท  นี่มันเที่ยงแล้ว”  น้ำเสียงไม่สู้ดีนักของเกรซตอบกลับมา

พีทหันไปมองนาฬิกาที่ผนังแล้วทำตาโต เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะนอนตื่นสายขนาดนี้ 

“แล้วเธอมีอะไรรึเปล่า ทำไมเสียงเป็นแบบนี้ล่ะ” เขาละสายตาจากนาฬิกา  กลับไปถาม

“ฮื่อ  นิดหน่อยน่ะพีท  เรามีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ  เราไม่รู้จะคุยกับใคร”  เสียงอู้อี้ตอบมา

พวกเขาคุยต่ออีกเล็กน้อย  พีทจึงนัดเจอเกรซที่ร้านเค้กชื่อดังที่โรงแรมของพ่อเขาเอง   หลังวางสายเขาจึงรีบเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง 




เสียงเดินลงบันไดของหนุ่มน้อยทำให้คนที่กำลังคุยโทรศัพท์เสียงเครียดชะงัก  รีบวางสายจากคู่สนทนาทันที  นายหมีลุกจากโต๊ะอาหารที่แปรสภาพเป็นโต๊ะทำงานชั่วคราว โน้ตบุ๊กและแฟ้มเอกสารวางเรียงราย   

“จะไปไหน”  นายหมีเอ่ยถามคนที่เตรียมตัวพร้อมออกจากบ้าน 

“ไปหาเพื่อนที่โรงแรม” 

พีทตอบโดยไม่มองหน้า ขณะก้มลงใส่รองเท้าผ้าใบสีส้มแสบตา  เขาหมายถึงโรงแรมหกดาวของพ่อที่เขาวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็กซึ่งห่างจากบ้านเพียงสองบล๊อกถนน  ตอบแล้วก็เดินออกจากบ้านไม่สนใจใคร  เขาตั้งใจว่าจะเดินไปที่โรงแรมเพราะยังมีเวลาเหลือก่อนถึงเวลานัดกับเกรซ   อีกอย่างโรงแรมก็ใกล้แค่นี้   

“ไปทำไม นายไม่ควรออกไปไหน  เวลานี้มันอันตราย เพิ่งโดนตามล่ามาหยก ๆ”   นายนั่นเตือนเขาเสียงเรียบ  นายหมีเดินตามเขาออกมาด้วย

“เรื่องส่วนตัว  ถ้านายกลัวมากก็หดหัวอยู่ในบ้านสิ  ชั้นไม่อยู่เฉย ๆ หรอกนะ  น่าเบื่อจะตาย”  พีทว่าไปด้วยเดินไปด้วย

“ทำไมเมื่อคืนไม่เห็นปากเก่งแบบนี้ล่ะ  ผมเห็นคุณปากซีดปากสั่น  กลัวพวกมัน”  นายนั่นตอกกลับเขาและยังเดินตามมา

พีทชะงัก  ‘หนอย  หมียักษ์!’   

เมื่อคืนที่ถูกไล่ยิง  เขาเพิ่งคิดว่านายนี่ก็ ‘พอใช้’ แต่ไอ้ที่คิดมาทั้งหมดถือว่าเขาคิดผิดแล้วกัน  นายนี่ไม่เก่งแต่เรื่องบู๊อย่างเดียว  ยังปากเก่ง  กวนประสาทเป็นเลิศอีกด้วย 

“ใช่  นายจะว่ายังงั้นก็ได้  แล้วมันหน้าที่ใครล่ะที่ควรจะดูแลความปลอดภัยของชั้นให้ดีกว่านี้น่ะ  นี่นายดันขับรถเข้าไปแถวบ้านร้างนั่นให้พวกมันมาตามล่าเอาได้  ถ้าชั้นเป็นอะไรขึ้นมา  นายไม่ได้มายืนเบ่งอยู่ตรงนี้หรอก  พ่อชั้นเอานายตายแน่” 

“ก็มันเป็นเพราะใครล่ะที่เป็นคุณชายอยู่ดี ๆ ไม่ชอบ  ไปเป็นนักร้องให้สาว ๆ กรี๊ดตามผับ   แล้วผับในโรงแรมพ่อตัวเองมีก็ไม่ร้อง  ต้องแอบไปร้องที่โซน B แทนน  ทั้งไกลทั้งอันตราย  แบบนี้เอาตัวเข้าไปเสี่ยงเองตะหาก  นี่ดีเท่าไรแล้วที่ผมพาคุณหนีมาได้  ยังไม่สำนึกบุญคุณ” 

ร่างใหญ่โตนั่นโต้กลับชนิดที่ไม่กลัวเกรงบารมีพ่อเขาสักนิด  พูดจาทวงบุญคุณหน้าตาเฉย

“ชั้นจะทำอะไร ร้องเพลงที่ไหนแล้วมันหนักหัวนายรึไงไม่ทราบ ขนาดพ่อชั้นยังห้ามไม่ได้  นายก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง  แล้วบุญคุณอะไร  นายต้องทำหน้าที่ของนายตะหาก  อย่ามาทวง”

“ใช่ ผมทำตามหน้าที่ คุณก็อย่าบ่นสิเวลาผมทำตามหน้าที่น่ะ” นายหมีว่าพลางยิ้มเย้ย

‘อ้าว เอ๊ะ หมายความว่าไง นี่เขาเผลอพูดอะไรไปเนี่ย  โธ่เอ้ย พีท’   

พีทหัวเสีย  “นายอย่าพลาดก็แล้วกัน  ชั้นไม่เอานายไว้แน่”  พีทขู่แล้วรีบเดินหนี

นายหมีหยุดยืนหัวเราะให้กับคำขู่ของพีท  คุณชายของเขาขู่มากี่ครั้งแล้วนะ ไม่มีทางที่เขาจะพลาดท่าให้คุณชายหรอก 

‘นายกับพี่มันกระดูกคนละเบอร์’

คนตัวใหญ่ส่ายหน้า  แววตาที่มองไปที่ด้านหลังของพีทแฝงไปด้วยความเอ็นดูเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง   

แววตาที่พีทไม่มีโอกาสเห็น




ร่างสูงโปร่งของคุณชายจอมขู่เดินลิ่วตรงไปที่ประตูบ้าน  ลุงหวังที่เฝ้าอยู่เปิดประตูเล็กข้างรั้วให้แต่โดยดี  พีทแปลกใจที่คราวนี้ลุงหวังยอมให้เขาออกจากบ้านได้  แต่แล้วความคิดก็เปลี่ยนไปเมื่อมองเห็นสายตาลุงหวังที่มองไปข้างหลังเขา  พีทหันไปมองบ้างก็พบนายหมีที่เดินตามมายักคิ้วให้  เขาหันหน้ากลับพลางบ่นอยู่ในใจคนเดียว 

‘ตามยังกะหมาตามเจ้าของงั้นแหละ’ 

แต่เขาก็ว่าอะไรไม่ได้เพราะเพิ่งเถียงกันไปหมาด ๆ เรื่องทำตามหน้าที่

พีทเดินไปตามทางเท้า  ซ้ายมือคือรั้วบ้านของเขาเองที่ยาวจนจรดถนนบล็อกถัดไป  นายหมีเร่งฝีเท้ามาเดินเคียงข้างเขาอีกด้าน    เขาเหลือบตามองคนที่สูงไล่เลี่ยกับเขาเดินล้วงกระเป๋าท่าทางสบายใจ 
 
‘หมอนี่สบายใจได้ทุกเรื่องรึไงนะ’

ตั้งแต่มาอยู่ที่บ้าน พีทไม่ค่อยเห็นนายนี่เดือดร้อนกับเรื่องอะไรรอบตัว ขนาดโดนเขาหาเรื่องทุกวันยังยิ้มรับ

“เมื่อคืน  นายทำยังไงกับพวกนั้นล่ะ” 

“หืม  นึกไงถึงถาม”  นายหมีเลิกคิ้วหันมามองเขา

“ก็อยากรู้ นายอย่าบอกนะว่าพวกนั้นโดนเอ่อ...หมดน่ะ” พีทเว้นคำนั้นไว้  ไม่กล้าคิดเลยว่านายหมีจะกล้าทำเรื่องน่ากลัวเช่นการฆ่าคน

ร่างสูงที่เดินเคียงข้างยิ้มเล็กน้อย  ‘ขนาดคำว่าฆ่ายังไม่กล้าพูดเลย  เด็กน้อยเอ๋ย’   

“ไม่มีใครตายหรอกน่า ผมก็แค่ต้องการข้อมูลจากพวกมัน ผมไม่ฆ่าใครหรอก  แค่เจ็บตัวนิดหน่อย”  เจ้าตัวไม่อยากบอกว่า พวกนั้นเจ็บแทบปางตายต่างหาก  เพราะเขาต้องการข้อมูลการจ้างวานทั้งหมดเพื่อเป็นหลักฐานเวลาเอาคืน   
 
“พวกเดิมเหรอ”  พีทถามย้ำ

“อืม”

“แล้วนายรู้รึเปล่าว่าทำไมต้องเล่นแรงขนาดนี้ด้วย พ่อยังไม่ทันลงสมัครเลยด้วยซ้ำ แค่โปรโมทยังไม่เคย ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ ฝ่ายโน้นกลัวอะไรนักหนา”

เขาสงสัยมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสถามพ่อเลย  ไหน ๆ พ่อก็ไว้ใจนายหมีขนาดนี้แล้ว  คงรู้อะไรดีอยู่บ้างหรอก

“คุณคงลืมไปว่าพ่อคุณมีอิทธิพลมากขนาดไหนทางด้านธุรกิจ และธุรกิจก็เป็นส่วนหนึ่งของการเมือง   ตระกูลคุณเล่นการเมืองมานานตั้งแต่มีประชาธิปไตยในประเทศนี้ด้วยซ้ำ  พ่อคุณถูกชักชวนให้เล่นการเมืองมานานแล้ว  ท่านปฏิเสธมาหลายสมัย  คราวนี้พร้อมจะเล่นการเมือง   พ่อคุณกลับตัดสินใจจะลงสมัครกับพรรคเล็ก ๆ  ที่มีอุดมการณ์  ไม่ยอมลงกับพรรคเดิมที่เคยเป็นสมาชิกมาตอนรุ่นคุณปู่  พวกพรรคการเมืองเดิมคงแค้นน่าดู  เพราะนอกจากจะขาดเงินอุดหนุนพรรคแล้ว  พ่อคุณยังเป็นตัวเก็งที่มาแรงมาก” 

“อย่างที่บอกว่ามีคนอยากให้พ่อคุณลงสมัครมาหลายสมัย และมีโอกาสที่จะชนะสูงมาก  ถ้าพ่อคุณได้รับเลือก   พวกพรรคการเมืองเดิมอาจเสียผลประโยชน์มหาศาล  ผมคงไม่ต้องสาธยายนะว่าผลประโยชน์ทางการเมืองน่ะ  มันมีอะไรบ้าง  มากมายขนาดไหน  พวกนั้นทำอะไรไม่ได้เลยหันมาใช้วิธีนี้แทน”

พีทฟังอย่างอึ้ง ๆ เขารู้ว่าพ่อเขาเก่ง  เป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่างและตระกูลเขาเล่นการเมืองมานาน  แต่ไม่เคยรู้รายละเอียดขนาดนี้  นี่ละมั้งพ่อถึงเป็นห่วงเขา นึกแล้วก็เคืองชะมัด นายนี่ช่างรู้ดีไปทุกอย่าง ส่วนเขาสิ พ่อไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้เขาฟังเลย  ขนาดเขามีอันตรายขนาดนี้พ่อยังบอกเขาแค่บางส่วน  นายนี่ซะอีกที่....

“คุณไม่ต้องน้อยใจไปหรอกว่าทำไมคุณถึงไม่เคยรู้เรื่องอะไรพวกนี้”

คำพูดนั้นทำให้เขาหยุดเดิน  หันไปมองคนที่เดินข้างเขา นายหมีพูดขึ้นมาเหมือนกำลังอ่านใจเขาได้งั้นแหละ

“เพราะพ่อคุณรักคุณมากต่างหาก  ท่านเลยไม่อยากให้คุณกังวลใจกับเรื่องอะไรก็ตาม”  นายหมีหยุดเดินบ้าง  เขาหันมายิ้มให้คนที่กำลังจะน้อยใจพ่อตัวเอง

พีทมองสบตาคนพูดตรง ๆ   คนคนนี้ ‘อ่าน’ เขาออกขนาดนี้เลยหรือ  ขนาดพี่โดมที่พีทสนิทมาตั้งนานยังไม่รู้ใจเขาเท่านายนี่เลย
 
เกิดความเงียบระหว่างสองหนุ่ม   ทันใดนั้นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งซึ่งขับมาจากถนนฟากตรงข้ามด้วยความเร็ว  ตีโค้งกลับรถข้ามเลนเข้ามาใกล้บริเวณที่พวกเขายืนอยู่  นายหมีได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์จึงหันไปมอง  คนขี่ใส่แจ็กเกตดำสวมหมวกกันน็อกสีดำพุ่งตรงเข้ามา

“พีท  ระวัง!” 

แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรเลย  คนตัวใหญ่พุ่งเข้าหาพีททันที  แรงปะทะทำให้ทั้งคู่เสียหลักเซไปชนกำแพงด้านหลัง  เขาโถมกอดพีทไว้ทั้งตัว โดยใช้ตัวเองเป็นที่กำบัง  กดศีรษะพีทไว้แน่น   เกร็งตัวรับอันตรายอะไรก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น












ไม่มีอะไรเกิดขึ้น   มีแต่ความเงียบ


“บ้าเอ๊ย”  เสียงสบถของนายหมี  เขาหันไปมองมอเตอร์ไซค์คันนั้นที่ขี่ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลางถอนหายใจ

‘ตกใจหมด  นึกว่าพวกมันส่งมือปืนมาเก็บถึงหน้าบ้านซะอีก’

สายตาเขาจับจ้องไปยังมอเตอร์ไซค์คันนั้น   ก่อนจะพยักหน้าให้การ์ดชุดดำที่เห็นเหตุการณ์เช่นกันให้ตามประกบมอเตอร์ไซค์คันนั้นทันที จากนั้นจึงหันหน้ากลับมามองคนในอ้อมแขน 

“บอกแล้วใช่ไหมว่ามันอันตราย  ออกมานอกบ้านแบบนี้น่ะ”  ดุคนที่เขายังกอดไว้แน่น  สายตาคมจ้องตรงไปที่หน้าพีทที่ยังดูตกใจอยู่ไม่น้อย  ใบหน้าคนทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจากระดับความสูงที่ใกล้เคียงกัน

“ปะ ปล่อยได้แล้ว”  พีทที่เหมือนจะหายตกใจแล้วยกมือขึ้นดันตัวเขาออก 

“นายนั่นแหละที่คิดมากไปเอง นั่นก็แค่แมสเซนเจอร์ ไม่ใช่มือปืนสักหน่อย บ้ารึเปล่า”  พีทโวยวาย  เขารู้สึกแปลก  เหมือนหน้าจะร้อน ๆ  ยังไงไม่รู้   ก็นายนั่นโถมเข้ามาไม่ทันตั้งตัว

“ถ้าเกิดเป็นมือปืนจริง คุณไม่ได้มายืนอวดเก่งแบบนี้หรอก” แขนที่กอดรัดอยู่ค่อยคลายออก  นายหมีถอยหลังทีละนิด

“ชั้นไม่ตายหรอก นายนั่นแหละที่จะตายก่อน”

คุณชายว่าให้เสียงดัง กลบเกลื่อนความรู้สึกประหลาดของตัวเองแล้วก็เดินหนีไป  ทิ้งให้นายหมียืนส่ายหน้าให้กับเด็กโข่งขี้โมโหที่เดินลิ่วไปแล้ว 
 
“ไม่เป็นไร  ตายก่อนก็ได้แต่พีทต้องปลอดภัย”  คนร่างสูงพึมพำพูดกับตัวเองแล้วรีบสาวเท้าเดินตามไป ‘ประกบ’ เด็กขี้โมโหที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว



ใช้เวลาอีกครู่เดียวทั้งสองคนก็เดินมาถึงโรงแรม   บริเวณด้านหน้าโรงแรมตกแต่งด้วยสวนสวยที่ได้รับการออกแบบอย่างดี   ตัวอาคารสูงสามสิบกว่าชั้นออกแบบไว้อย่างมีเอกลักษณ์  ได้รับรางวัลการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมจากหลายสถาบัน  แม้ว่าจะสร้างมานานแต่ยังคงดูร่วมสมัย บริเวณโถงทางเข้าด้านหน้าตกแต่งสวยงามด้วยดอกไม้นานาชนิด   

พนักงานต้อนรับสองคนโค้งให้สองหนุ่มเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปด้านใน 

ผู้จัดการที่ยืนหน้าฟร้อนท์สังเกตเห็นชายหนุ่มสองคนที่เดินเข้ามาแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง  เขารีบพุ่งตัวออกมาจากเคาน์เตอร์  แต่เดินมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้นก็ชะงัก  หยุดฝีเท้าลงทันควันเมื่อได้รับสายตาดุเป็นเชิงห้ามจากคนที่เดินตามหลังคุณชาย

พีทสังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของผู้จัดการที่เขาคุ้นเคยตั้งแต่เด็กก็หันกลับไปมองคนที่เดินตามมา  นายหมีเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่าเขามีอะไร พีทจึงหันกลับมาตามเดิม 

‘เอาเหอะ  เขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน’   

เขาส่งยิ้มเป็นเชิงทักทายให้ผู้จัดการที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่แล้วเดินต่อไป โรงแรมนี้ตั้งมาก่อนเขาจะเกิดด้วยซ้ำ  เขาวิ่งเล่นที่นี่ตั้งแต่เด็กจนแทบจะหลับตาเดินได้แล้ว  หนุ่มน้อยเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยตรงไปยังร้านเค้กชื่อดัง   

เกรซมารออยู่แล้วที่โต๊ะมุมหนึ่งที่เป็นส่วนตัว

“ไง  มานานแล้วเหรอ  โทษนะที่ให้รอ” พีทที่นั่งลงเรียบร้อยเอ่ยทัก   สังเกตเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของเกรซทันที 

“เรามาก่อนเวลาน่ะ  ไม่เป็นไรหรอก” 

เกรซวันนี้มาในมาดคุณหนูเต็มที่ ใบหน้าตกแต่งเล็กน้อย เธอสวมชุดกระโปรงแขนกุดลายดอกไม้ดูอ่อนหวาน ตุ้มหูโลหะ กำไลและแหวนแปลก ๆ หายไป  กลับมีสร้อยเพชรเม็ดเล็กเข้าชุดแทน 

“มีอะไรให้เราช่วยได้บ้าง”  พีทเอ่ยถาม   เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้เกรซไม่สบายใจ

“เรื่องเดิมแหละพีท พ่อกับแม่หาคนให้เราอีกแล้ว แต่คราวนี้พ่อเอาจริง เราต้องหมั้นเดือนหน้า”  ใบหน้าคมสวยนั้นเศร้าไปเมื่อเล่าเรื่องให้เขาฟัง

หลังจากที่เล่าเรื่องราวให้เขาฟังอยู่ครู่ใหญ่เกรซก็กลับไปเหม่อลอยอย่างคนที่จมอยู่กับความคิดตัวเอง   พีทที่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรจึงหาเรื่องชวนคุย

“เกรซ  เมื่อคืนตอนเราออกไปแล้ว  มีอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม ที่ร้านเป็นไงบ้าง”

“ก็วุ่นวายนิดหน่อยแต่ไม่มีใครเป็นอะไร”

ตอบแล้วเกรซก็กลับไปเหม่ออีกเหมือนจมอยู่กับความคิดบางอย่าง พีทมองหน้าเพื่อนแล้วก็ครุ่นคิด  เกรซดูแปลกไป  เหมือนมีเรื่องอื่นรบกวนจิตใจด้วย  แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าเกรซยังไม่เล่าก็แสดงว่าเพื่อนยังไม่พร้อม   

“วันก่อนเกรซให้ใครมาร้องเพลงแทนเรานะ”  พีทหาเรื่องคุยต่อ

“เอ่อ  อ๋อ  เขาชื่อ ชิน  มาขอออดิชั่น  พี่ร็อกกี้ก็เลยลองให้ขึ้นโชว์เลย เขาทำได้ดีนะ เต้นเก่งพอ ๆ กับพีทเลย”

“เหรอ  แล้วเธอว่าไงล่ะ  รับเขามาร้องประจำเลยมั้ย ช่วงนี้เราก็ไม่ค่อยสะดวก  โดนล่าหนักเลย”

พีทหมายถึงเรื่องที่เขาต้องลางานหลายครั้งเพราะถูกคู่แข่งทางการเมืองของพ่อลอบทำร้าย 

“อืม เราก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน  บางทีอาจจะให้ชินร้องแทนวันที่พีทไม่มาดีไหม  ลูกค้ายังแฮปปี้กับนายอยู่นะ”




นายหมีที่เลี่ยงไปนั่งโต๊ะห่างออกมาเฝ้ามองภาพหนุ่มสาวสองคนที่นั่งคุยกัน 

‘เข้าใจหาที่นัดสาวนะ’  

แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องผ่านกระจกเข้ามาทำให้ร้านสว่างไสว   ร้านเค้กนี้ตกแต่งสไตล์อังกฤษคล้ายบ้านของพีท   บรรยากาศคงจะดีกว่านี้ถ้าใบหน้าของสองหนุ่มสาวจะยิ้มแย้ม  หยอกล้อกัน  แต่ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังปรึกษากันใบหน้าเครียด  เขาคิดว่าเขารู้ว่าคุณหนูเกรซมาปรึกษาเรื่องใดกับพีท  แต่ที่เขาไม่รู้คือระหว่างสองคนนี้  พวกเขาคิดอย่างไรต่อกัน
 
กาแฟถูกเสิร์ฟพร้อมกับที่โทรศัพท์ของเขาสั่น   นายหมียิ้มเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ 

“ไง  นายนี่จมูกไวชะมัด”  เขาทักทายปลายสาย





หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 14 page 2 อัพเดต 21/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 21-07-2014 19:57:04
15. ทำความเข้าใจ (2)



หลังจากแยกกับพีทแล้ว   เกรซสั่งให้คนขับรถมุ่งตรงไปห้างสรรพสินค้าใหญ่  เธอไม่อยากกลับบ้าน ใบหน้าสวยคมนั้นหมองเศร้าตลอดเวลา
 
ตั้งแต่เกิดมาเธอได้รับการเอาอกเอาใจจากผู้คนรอบข้างเสมอ เนื่องจากเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว  ไม่เคยได้รับความผิดหวัง  ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอต้องการสิ่งใดแล้วไม่เคยได้  มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เธอไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้  พ่อกับแม่เป็นห่วงลูกสาวคนเดียวของท่านมาก  หวังจะฝากฝังเธอกับผู้ชายดี ๆ ที่มีชาติตระกูลทัดเทียมกันเพื่อให้ช่วยดูแลลูกสาวคนเดียวและกิจการของพวกเขา  เกรซเคยให้เหตุผลกับพ่อแม่ว่าถึงเธอเป็นผู้หญิง  เธอก็สามารถดูแลกิจการของครอบครัวได้แต่ไม่มีใครสนใจ

‘คงเพราะเป็นผู้หญิงสินะ’ 

คิดแล้วน้ำตาก็ไหล  เกรซปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่สนใจจะเช็ดออก เดี๋ยวมันก็ไหลอีก 

‘ช่วงนี้มันเกิดอะไรกับชีวิตเธอกันนะ’

สาวน้อยหันไปมองตึกสูงข้างถนน  ปล่อยความคิดให้ล่องลอย  จู่ ๆหน้าใครบางคนก็ลอยเข้ามาในความคิด 

‘บ้าที่สุด!’

มือบางทุบเบาะข้างตัวเสียงดังเหมือนต้องการระบายความโกรธ เมื่อนึกถึงหน้านายนั่น  ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคราวก่อนในห้องเก็บของหลังร้าน นายนั่นยังกลับมาเสิร์ฟที่ร้านอยู่ทุกวัน  ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เกรซกลับเป็นฝ่ายที่ไม่กล้าไปไล่นายแคนอีก  เธอไม่กล้ามองหน้านายนั่นด้วยซ้ำ  จึงต้องปล่อยให้นายแคนยังเดินไปเดินมาอยู่ในร้านโดยที่เธอแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเขาอีกต่อไป

เมื่อคืนหลังจากพีทถูกลากกลับบ้านกะทันหัน ผู้คนในร้านก็แตกตื่นเพราะมีคนเห็นชายแปลกหน้าหลายคนถือปืนเดินเข้ามาในร้าน  จากนั้นความโกลาหลวุ่นวายก็ตามมาเมื่อใครต่อใครวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง  โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดจากการที่แขกหลายร้อยวิ่งหนีออกจากร้านพร้อมกัน

เกรซที่กำลังมึน  ไม่รู้เรื่องอะไรแน่ชัด ถูกฉุดแขนไปทางหลังร้านโดยไม่ทันตั้งตัว  เมื่อออกมาเจอสายลมเย็นนอกร้านจึงรู้ว่าคนที่ดึงเธอมาคือคนที่เธอไม่อยากเจอที่สุด

“นาย  ปล่อยนะ” เกรซสะบัดมืออย่างแรงแต่แคนกำมือรอบแขนเธอไว้แน่นหนา

“ปัง ๆ ๆ” 

“กรี๊ด”

เสียงปืนดังก้องสะท้อนทำให้เธอตกใจ  ยกมือขึ้นปิดหู  คนที่ยืนใกล้คว้าเธอเข้าไปในอ้อมแขนทันที นายแคนพาเธอไปหลบที่มุมอับมุมหนึ่ง เสียงปืนตามมาแผ่ว ๆ อีกหลายนัดพร้อมทั้งเสียงรถแต่งหลายคันขับเร่งเครื่องออกไปจากบริเวณร้าน 

“พวกมันไปแล้ว  ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” 

เสียงกระซิบใกล้หู  เกรซที่กำลังตกใจเสียงปืนจึงเพิ่งรู้ตัว  เงยหน้าขึ้นมาพอดี   ใบหน้าทั้งคู่แทบชนกัน   ด้วยความตกใจเธอจึงผลักนายแคนออกด้วยกำลังทั้งหมด   พอดีกับการ์ดที่ประจำอยู่หน้าร้านวิ่งตามมาเจอ

“คุณหนู  ปลอดภัยไหมครับ  กลับกันเถอะครับ  ตอนนี้ที่นี่ไม่ปลอดภัย”   

เกรซเดินออกไปทันที  ไม่เหลียวกลับมามองนายนั่นอีก



------------------------------------------

สวัสดีค่า  มาช้าไปหลายวันก็เลยลงสองตอน
พรุ่งนี้เจอกันค่ะ




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 14-15 page 2 อัพเดต 21/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-07-2014 23:36:42
 o13


สนุกๆๆๆๆ ติดตามต่อไป
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 14-15 page 2 อัพเดต 21/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-07-2014 01:09:44
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 14-15 page 2 อัพเดต 21/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 22-07-2014 19:15:59
16. ไม่ใช่พี่ชาย


“พี่โดมไปกินบุฟเฟต์กันป่ะ”

พีทหันไปถามพี่โดมที่กำลังเก็บของ พวกเขาซ้อมดนตรีกันเสร็จแล้ว  สมาชิกส่วนใหญ่เก็บของกันเรียบร้อยแล้วแต่ยังแวะคุยกับ ‘พี่ชายพีท’ กันอย่างสนุกสนาน   โดยเฉพาะหนุ่มน่ารักตัวเล็กอย่างริทที่มักเข้าไปคุยกับนายนั่นบ่อยครั้ง   ทำให้แทนต้องตามไป ‘เก็บเด็ก’  ของตัวเองเสมอ   ส่วนนายนั่นน่ะเหรอ... 

‘ชิ  ทำตัวสมกับตำแหน่งนางงามมิตรภาพมาก’ 


พีทประชดอยู่ในใจพลางทำปากยื่นเหมือนเด็กถูกขัดใจ หันหน้าหนีจากภาพนั้น  ไม่รู้ตัวเลยว่าหน้าตาท่าทางของตัวเองอยู่ในสายตา ‘พี่ชายพีท’ ตลอดเวลา  ทำให้คนที่เฝ้ามองแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว

“คุณชายคร้าบ  นี่มันสิ้นเดือนนะคร้าบ เห็นใจคนตัวเล็ก ๆ อย่างกระผมบ้าง ช่วงนี้กรอบหมดแล้ว”  หนุ่มร่างอวบแต่เสียงทรงพลังตอบ   

“พี่จะกรอบได้ไง  ตัวพี่หนาขนาดนี้” พีทแหย่  ทำหน้าทำตาล้อเลียนพี่โดม

“บ๊ะ ไอ้นี่  เดี๋ยวฟ้องพี่ฮัท”  โดมหาพวกทันที 

“งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยง  เอาไหมโดม” นายหมีที่เพิ่งเสร็จภารกิจนางงามเดินมายื่นข้อเสนอ   พาดแขนที่ไหล่หนาของโดม

“ว้าว ๆๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ขัดศรัทธาละกันนะคร้าบ  ผมไม่ชอบขัดใจใคร” 

พีทเหล่มองพี่โดมที่รีบตกลงรับข้อเสนอ  นี่ก็อีกคน  เรื่องกินไม่เคยพลาด

“อะไรอ่ะ หมีสามตัวจะไปกินบุฟเฟ่ต์เหรอ ไปด้วยนะ”  เสียงริทร้องขึ้นมาหลังได้ยินพวกเขาตกลงกัน

“ไปด้วยนะพี่ฮัท  ผมไปด้วยน๊า”  ริทหันมาอ้อนพี่หมี

“ไอ้ริท ถ้าอยากกินไปกินกับพี่ก็ได้!” 

สิ้นประโยคนั้นแทนหันไปคว้าคอคนตัวเล็กไว้แล้วลากออกจากห้องซ้อมทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ริทได้เถียงอะไร เสียงริทโวยวายไปตามทางทำให้เขายิ้มขำ  แต่เมื่อบังเอิญหันไปสบตากับนายหมีที่มองมาพอดี  เขาก็หุบยิ้ม 

พวกเขาถูกเพื่อนในวงเรียกกันเล่น ๆ ว่าหมีสามตัว  เพราะความที่ตัวใหญ่  กินเก่ง  บ่นเก่งและมักไปไหนด้วยกันเสมอ  เป็นฉายาที่พีทไม่เต็มใจรับสักเท่าไร  ก็เขาไม่ได้อยากให้นายนี่มาตามเขานี่นะ

ตอนนี้หมีสามตัวนั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง บนโต๊ะเกลื่อนไปด้วยจานอาหารที่ว่างเปล่าซ้อนกันสูง

“ทำไมพีทไม่เรียกชื่อพี่ฮัทล่ะ เห็นเรียกแต่นายนี่ นายนั่นตลอด ไม่น่ารักเลย” โดมเอ่ยถามขึ้นมากลางโต๊ะอย่างสงสัยมานาน

“นั่นสิ   บอกให้เรียกพี่ฮัทก็ไม่ยอมเรียก”  หมีตาตี่รีบสนับสนุนหมีร่างอวบทันที

“มีพี่โดมคนเดียวก็พอแล้ว ไม่อยากได้พี่เพิ่มหรอก” หมีจอมเหวี่ยงตอบ  ใบหน้านิ่งแต่แฝงความหมายในคำตอบ  เขาก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อไปจึงไม่สังเกตเห็นดวงตาที่วูบไหวไปกับคำตอบนั้น  ชั่วขณะเดียวนายหมีก็กลับมายิ้ม

“มีเพิ่มอีกก็ไม่เห็นเป็นไรเลย อบอุ่นดีนะ” น้ำเสียงยังคงร่าเริง  นายหมีหันไปหัวเราะกับโดมจนตาปิด 

“นั่นสิพีท  ทำไมล่ะ”  โดมยังคงถามต่อ 

“ก็เพราะนายไม่ใช่พี่ชั้นน่ะสิ  เรื่องง่าย ๆ” คำตอบนั้นเล่นเอาคนฟังสะอึกไปทีเดียว   

โดมส่ายหน้ากลมของตัวเองอย่างระอา  นี่ถ้าพีทเป็นน้องเขา  คงต้องตีสั่งสอนกันบ้าง

“แล้วทำไมพีทเรียกพี่ว่าพี่ล่ะ  ก็เรียกพี่ฮัทด้วยสิ”  โดมยังใจเย็น

“.....”   พีทกลับคีบซูชิเข้าปาก  ความเงียบคือคำตอบ 

“เด็กดื้อ”  นายหมีพึมพำ  ดวงตานั้นเหลือบมองพีทเพียงแวบเดียวแล้วหันไปทางอื่น 

เด็กดื้อเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่แคร์  แค่เขาเลิกโวยวายเชื่อฟังตามคำสั่งนายหมีนี่ก็ดีเท่าไรแล้ว  พีทเป็นคนฉลาด  เขารู้ว่าเขาควรทำสิ่งใด  การดื้อไม่เชื่อฟังของเขาอาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย พ่อก็ตามใจเขามากแล้วที่ยังอนุญาตให้เขาไปร้องเพลงได้เหมือนเดิม  เขาก็ต้องทำตามที่พ่อขอร้องคือเชื่อฟังนายหมี ไม่ดื้อ ไม่ซน  เพราะเขาก็ไม่อยากให้พ่อและคุณโรสเสียใจ  แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องญาติดีกับนายหมีนี่นา  มันคนละเรื่อง!
 
“พี่โดมจะฝึกงานที่ไหน  ฝึกที่โรงแรมพ่อผมไหม  จะได้ไปด้วยกัน” 

พีทเปลี่ยนเรื่อง สองหนุ่มเปลี่ยนมาปรึกษากันเรื่องการฝึกงานในเทอมสุดท้าย  ทิ้งให้อีกคนนั่งกินข้าวไปคนเดียว  แววตาร่าเริงอยู่เป็นนิจของนายหมีฉายแววเศร้ายามที่สองคนนั้นไม่เห็น  ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจเขาเสียใจยิ่งกว่าท่าทีภายนอกมากนัก

-----------------------------------


เฟอร์รารี่ F430 ขับออกจากห้างสรรพสินค้าที่สองหนุ่มมากินบุฟเฟ่ต์   ซูเปอร์คาร์คันใหม่ของนายหมีทะยานไปข้างหน้ามุ่งสู่สถานบันเทิงโซน B ที่แสนอันตราย  น่าแปลกที่พีทยังคงไปร้องเพลงที่ร้านเดิมอยู่ทุกวัน  แม้จะเกิดเรื่องร้ายแรงเมื่อหลายวันก่อนและนายหมีก็ไม่ได้ห้ามเขาเสียด้วย  แต่พีทสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น

อย่างแรกคือมีคนคอยเฝ้าหน้าร้านของเกรซเพิ่มมากขึ้น ความจริงพวกเขาทำตัวตามปกติเหมือนนักเที่ยวทั่วไปถ้าไม่มีใครสังเกตก็คงไม่รู้  แต่พีทจำใบหน้าพวกเขาบางคนได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่นายหมีเรียกให้ไปช่วยพวกเขาที่หมู่บ้านร้าง

อย่างที่สองคือ เกิดข่าวการวางระเบิดรถติดตามของที่ปรึกษาพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามหลังวันที่เขาถูกตามล่าสองวัน รถหลายคันพลิกคว่ำบาดเจ็บกันไปหลายคน  รวมไปถึงข่าวตำรวจสืบคดีแก็งค์แต่งรถซิ่งที่ขับชนราวกั้นถนน  พบว่าหนึ่งในผู้บาดเจ็บเป็นมือปืนรับจ้างหนีการติดตามหลายคดี  งานนี้เป็นข่าวครึกโครมอยู่หลายวันเพราะมือปืนที่บาดเจ็บให้การพาดพิงไปยังผู้ว่าจ้างที่เป็นนักการเมืองฝ่ายนั้นหลายคน  นักข่าวให้ความสนใจเป็นอย่างมากจึงต้องมีการสืบสาวกันอีกยาว  ข่าวนี้ทำให้นายหมีถึงกับยิ้มออกเมื่อได้ยิน 

“ฝีมือนายเหรอ”  พีทหันไปถามคนที่นั่งฟังข่าวอย่างตั้งใจ 

นายหมีเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ตอบคำถาม เขาคิดว่านี่คงเป็นการเอาคืนจากฝ่ายของเขาบ้างเพราะเขาไม่ถูกติดตามเลยตั้งแต่นั้น

และอย่างที่สามคือ  นายหมีหันมาบังคับให้เขาซ้อมยูโดบ่อยขึ้น 

“พวกมันคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่  คุณต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ  อย่าประมาท”  นายหมีเตือนเขาขณะที่พวกเขาอยู่ในห้องออกกำลังกาย

พีทซ้อมยูโดกับนายหมีมาหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่เคยเอาชนะนายนั่นได้สักที  ไม่ว่าจะงัดท่าไม้ตายอะไรมา  ดูเหมือนว่านายนั่นจะรู้ทันเขาตลอด  เขาโดนทุ่มทุกครั้งจนเหนื่อยใจเพราะทำอย่างไรก็ไม่ชนะ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรบ้างไหมที่เขาจะชนะนายหมีได้ ไม่รู้เมื่อไรเขาจะได้ออกคำสั่งนายหมีบ้าง

คนที่ทำหน้าที่ขับรถแอบชำเลืองมาที่หนุ่มน้อยที่นั่งหลับตาฟังเพลงไปเงียบ ๆ เขายิ้มเศร้าให้ตัวเองเพียงลำพัง 

พีทไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติฝ่ายเดียว  เขาเองก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของพีทด้วย  ตอนนี้พีทไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเขาเหมือนตอนแรก  กลับเชื่อฟังที่เขาบอก ไม่ดื้อ  ไม่เอาแต่ใจ  แต่สิ่งที่ยังคงเหมือนเดิมคือพีทไม่เคยยอมรับเขา  ในสายตาของพีท  เขาคงเป็นเพียงแค่คนที่พ่อส่งมาดูแล  เป็นแค่คนนอก  โดมเสียอีกที่พีทสนิทใจด้วย 

‘เฮ้อ  ทำไมเขารู้สึก...อิจฉาโดม’


---------------------------------------



คืนวันนี้พีทเตรียมตัวร้องเพลงตามปกติ   พี่ร็อกกี้ก็เอ่ยถามเขา

“พีท  คุณเกรซหายไปไหน  ไม่มาดูร้านหลายวันแล้ว”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ” ความจริงพีทพอจะรู้สาเหตุอยู่บ้าง แต่คงจะบอกพี่ร็อกกี้ไม่ได้หรอกว่าเกรซกำลังเสียใจที่ถูกบังคับให้หมั้นกับใครไม่รู้ที่พ่อแม่หาให้

“อ้าว  คนรักกันก็ต้องรู้สิ”  เสียงคนอื่นแทรกเข้ามาทันที

‘นี่แสดงว่าคงหูผึ่งรอฟังกันอยู่ล่ะสิ’
  พีทเหนื่อยหน่ายกับข้อหาว่าเขากับเกรซ ‘เป็นแฟนกัน’ จะแย่แล้ว

“เฮ้อ”  เขาถอนหายใจเป็นคำตอบ

“เออ พีท พี่ว่าจะถามหลายทีแล้ว  พีทมากับใครเหรอ  คนหล่อ ๆ น่ะ เห็นไปกลับด้วยกันทุกวันเลย  ขับรถหรูซะด้วย”   หลังคำถามนั้นมีหลายเสียงพึมพำอยากรู้คำตอบ

“ใช่ ๆ ขับรถระดับนั้นคงรวยน่าดู  เพื่อนนายเหรอพีท”

“เอ่อ...”  พีทอึกอักตอบไม่ถูกเพราะไม่คิดมาก่อนว่าคนในวงจะสนใจเรื่องเขา

“หรือว่าเป็นแฟน  ที่พีทบอกว่าเป็นเพื่อนกับเกรซเพราะว่าคบอยู่กับนายหน้าหล่อนั่นรึเปล่า  รับส่งกันทุกวันขนาดนี้  ผิดปกตินะ”   สิ้นคำถามนั้นมีเสียงโห่ตามด้วยเสียงเป่าปากเปี้ยวป๊าวกันยกใหญ่ 

“หา  ว่าไงนะ!”  เหมือนมีใครสาดน้ำใส่เขาโครมใหญ่

“เฮ้ยพวกพี่คิดอะไรกันอยู่เนี่ย จะบ้าเหรอ นายนั่นไม่ใช่แฟนผมนะ นายนั่นแค่..แค่...”  พีทโวยวายเสียงดัง  เขาเว้นวรรคเพราะสมองกำลังคิดหาข้ออ้างเหมาะ ๆ 

“เป็นญาติน่ะ” เขาตอบในที่สุด

‘เอาแบบนี้ไปก่อน คงดีกว่าเป็น..เอ่อ..แฟนละกัน’

“แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ  แค่หยอกเล่นแค่นี้เอง  เป็นแฟนกับคุณเกรซก็บอกมาเหอะน่า”   พี่ร็อกกี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาแซวเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย 
 
เสียงหยอกล้อกันในห้องนักดนตรียังคงดำเนินต่อไป  แต่คนที่ยืนฟังอยู่นอกห้องกลับรู้สึกปวดร้าวอยู่ลำพัง  ร่างสูงโปร่งนั้นหมุนตัวเดินออกไปเพื่อทำงานต่อ




แก้วเครื่องดื่มถูกวางลงที่โต๊ะประจำที่นายหมีจับจองทุกคืน ใบหน้าคมนั้นมองพนักงานเสิร์ฟหน้าตาบูดสนิทแล้วจึงเอ่ยทักทาย

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะแคน  เดี๋ยวแขกสาว ๆ ก็หายหมด” คนที่นั่งอยู่พูดพลางมองไปรอบร้าน  สาวสวยหลายคนมองมาทางนี้แล้วส่งยิ้มให้  เขาเพียงแต่ส่งยิ้มกลับไปแต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้
   
“ช่างเหอะพี่  ผมไม่สนสาว ๆ พวกนั้นหรอก”  แคนตอบกลับ

“หรือว่าคิดถึงใครอยู่ ไม่เห็นหน้าหลายวันแล้วนี่” ประโยคแซวนั้นทำให้คนหน้าบูดยิ่งทำหน้าหงิกกว่าเดิม

“ถึงผมจะคิดถึงเขา  เขาก็คงไม่คิดถึงผมหรอก  คงเป็น ‘น้องพี่’ มากกว่าที่เขาจะคิดถึงน่ะ” 

“ไม่มีอะไรหรอกน่า  อย่าคิดมากเลย  เขาอาจจะเป็นเพื่อนกันจริง ๆ  ถ้าเขารักกัน  ทำไมตอนแรกถึงไม่ยอมหมั้นกันล่ะ”  นายหมีตั้งข้อสังเกต

“เท่าที่พี่รู้  เขาสองคนไม่ได้นัดดูตัวกัน  ครอบครัวแต่ละฝ่ายแค่แนะนำให้รู้จักกันไว้  เผื่อว่าถูกใจแล้วอาจจะลงเอยกันก็ได้  แต่ตอนนั้นพวกเขาแค่คบกันเป็นเพื่อน  ตอนผู้ใหญ่ลองถามว่าหมั้นกันไหม  เห็นสองคนนั้นวางแผนล่มงานหมั้นกันซะดิบดี”   

ถ้าพีทมาได้ยินเรื่องที่เขารู้ลึกขนาดนี้คงซักไม่เลิก   เด็กนั่นยิ่งฉลาด ๆ อยู่ด้วย  เรื่องจับผิดล่ะเก่งนัก  เขาพลาดไม่ได้เลย   นายหมียิ้มมุมปากเมื่อมองไปที่ ‘เด็กฉลาด’ ที่กำลังร้องเพลงบนเวที

“เริ่มต้นไม่ได้คิดแต่ตอนนี้อาจจะคิดก็ได้นี่ครับ  เห็นสนิทสนมกัน ขับรถไปส่งมั่ง  เป็นห่วงเป็นใยกันตลอด  มีปัญหาก็ปรึกษากัน  อีกอย่างผมไม่เห็นน้องพี่มีเพื่อนผู้หญิงสักคน  ขนาดผู้หญิงกรี๊ดกันทั้งร้านก็ไม่เห็นจะสนใจใคร”   แคนตั้งข้อสงสัย

คราวนี้คนแก่กว่าเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด แคนพูดถูก พีทไม่มีเพื่อนผู้หญิงที่สนิทนอกจากเกรซ ไม่ว่าจะเพื่อนที่มหาวิทยาลัยหรือเพื่อนกลุ่มไหน  เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองคนคบกันในสถานะใด  เจ้าตัวก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย  เขาเคยมั่นใจว่าเขารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับคุณชายของเขา  แต่เรื่องหัวใจเขากลับไม่รู้อะไรเลย

“นายก็ทำให้เขาคิดถึงนายบ้างสิ”

“โธ่  เขาเกลียดหน้าผมจะแย่” 

“ก็นายไปทำอะไรให้เขาเกลียดล่ะ นายยังไม่ได้บอกเขาไม่ใช่เหรอว่านายเป็นใคร  แล้วเขาจะเกลียดนายได้ไง” 

“ก็...ก็  มันก็มีบ้าง”  แคนตอบไม่เต็มปากนัก  ความจริงแล้วก็เยอะอยู่ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาแกล้งทำให้แขกสาว ๆ  มีเรื่องทะเลาะกันกลางผับเป็นประจำอ่ะนะ

--------------------------------------



“ทำไมนายดูสนิทกับแคนล่ะ วันที่เราโดนตามเก็บก็เห็นแวะคุย เป็นบอดี้การ์ดแฝงมารึเปล่า”   พีทถามขึ้นมาขณะที่พวกเขาเดินทางกลับบ้าน

‘นั่นไง  เด็กฉลาด  เอาแล้วไหมล่ะ’   นายหมีสะดุ้งอยู่ในใจ 

“ไม่ใช่หรอก  แคนเขาแค่คุยถูกคอ  เลยเรียกมาคุยด้วย”  แก้ตัวไปก่อนแล้วกัน

พีทเอียงหน้าไปมองนายหมีที่กำลังขับรถอยู่  พิจารณาใบหน้านั้นอยู่ครู่จึงละสายตาไปมองถนนต่อ

“เหรอ  นึกว่านายเป็นพวก  เอ่อ  แบบว่า...ซะอีก”

“เอี๊ยดดดดดดดดด”

เสียงห้ามล้อดังสนั่นถนน  คนในรถไม่ทันระวังตัวจึงพุ่งไปข้างหน้าตามแรง  แต่คนขับก็ยกแขนซ้ายขึ้นมากันตัวพีทไม่ให้พุ่งไปกระแทกกระจกข้างหน้าได้ทันทีทั้งที่เข็มขัดนิรภัยก็ทำงานได้ดีสมราคาจึงไม่มีใครหัวกระแทก เฟอร์รารี่หักจอดข้างทางทันที

“นายทำบ้าอะไรเนี่ย!!”  พีทตกใจ  หันไปโวยวาย

“เอ่อ โทษที”  คนขับดึงแขนที่พาดขวางกั้นไว้กลับไปจับพวงมาลัย  นายหมีดูจะตกใจอยู่ไม่น้อย  แต่น่าจะเป็นเพราะคำถามของพีทมากกว่า

“ก็คุณมาถามอะไรผมแบบนั้นล่ะ  ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย  คิดอะไรบ้า ๆ ตกใจหมด”  นายหมีตั้งตัวได้แล้วกับคำถามประหลาดนั้น  หันกลับไปตอบอย่างขุ่นเคือง  คิ้วขมวด

“แต่หน้านายก็ให้อยู่นะ  ดูแบดบอย หนุ่ม ๆ คงชอบกันอยู่หรอก ดูพี่ริทสิ  เห็นชอบมาเจ๊าะแจ๊ะคุยอยู่ทุกวัน”  พีทยังพูดต่อไป

‘เด็กนี่  เผลอไม่ได้เลยนะ’  นายหมีคิดขณะที่หักพวงมาลัยกลับสู่ถนนใหม่อีกครั้ง 

“ผมจะไปรู้เหรอ  หน้าผมก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด แล้วริทมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”

“พี่ริทเขาเป็นเด็กพี่แทนไม่รู้รึไง  แฟนน่ะแฟน  เข้าใจรึเปล่า  ระวังไว้เหอะ  สนิทมาก ๆ คุยมาก ๆ  สักวันพี่แทนโมโหขึ้นมานายจะลำบาก”

“หือ??  ลำบาก  ผมรู้แล้วเรื่องนั้น  ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ก็คุยกันปกติ”

“ก็แล้วไปสิ  นายจะร้อนตัวทำไม”  พีทได้โอกาสเหน็บไปที

คราวนี้นายหมีเป็นฝ่ายเหลือบมองพีทบ้าง เขาสงสัยขึ้นมาตงิด ๆ คืนนี้พีทแปลกไปกว่าทุกครั้ง ปกติไม่เห็นสงสัยอะไรเขา วันนี้กลับมาถามคำถามที่ทำเอาเขาไปไม่ถูกเลยทีเดียว

“ว่าแต่เด็กเสิร์ฟคนนั้นหน้าตาคุ้น ๆ นะ  ยังกะลูกอาปีเตอร์ที่ไปเรียนที่อังกฤษเลย  ว่ามั้ย” พีทเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติเรียบเรื่อยเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งใด  แต่ประโยคบอกเล่าธรรมดานั้นกลับทำให้นายหมีเสียวสันหลังวาบทีเดียว   

“เหรอ  ผมไม่รู้จักลูกคุณปีเตอร์หรอก”   

‘งานนี้ตัวใครตัวมันละกันนะแคน  เขาขอเอาตัวรอดก่อน’

“แน่นะ”  สายตาเหมือนรู้ทันฉายอยู่ในดวงตานั้น 

“แน่สิ”   นายหมียังทำใจดีสู้  ‘เสือน้อย’
 
“ไม่รู้จักก็แล้วไป คงจะหน้าคล้ายกัน นอกจากฝาแฝดแล้วในโลกนี้จะมีคนหน้าเหมือนกันสองคนได้ยังไง  ถูกไหม”

“เอ่อ”     

‘..ตึก ตึก...ตอบไงดีล่ะเนี่ย’

คำถามเหมือนรู้ทันนั้นทำเขาเกิดหวั่นใจว่าพีทอาจจะรู้อะไร  เขายังไม่อยากให้พีทรู้ความจริง  ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าคนที่นั่งข้างเขารู้ความจริงจะเกิดอะไรขึ้น
 
ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่พีทไม่เคยแสดงออกว่าหายโกรธ ไม่เคยแสดงออกว่าคิดถึง   ในทางตรงข้าม  พีทแสดงอาการต่อต้านทันทีเวลาพูดเรื่อง ‘พี่ชาย’ ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าบอกเพราะกลัว  เขากลัวว่าพีทจะไม่ต้องการเขาแล้ว  เขายังอยากอยู่แบบนี้ไปอีกสักพัก  ให้เขาได้มั่นใจเสียก่อน 

รถเคลื่อนเข้าสู่ตัวบ้านพอดี  เขาถือโอกาสไม่ตอบ  ส่วนพีทก็ไม่ต่อความอะไร  หนุ่มน้อยลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้านไปเหมือนไม่เคยพูดประโยคที่แฝงความนัยนั้นเลย  ทิ้งให้คนถูกถามเฝ้าใคร่ครวญถึงความหมายของคำถามนั้น

---------------------------------



คืนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงดาว  ร่างของคนที่นอนเหยียดยาวบนเก้าอี้นอนริมสระสั่นสะท้านเพราะน้ำค้างลงยามนี้  เกือบตีสามแล้วแต่พีทยังนอนไม่หลับ  เรื่องราวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมายังค้างคาในหัว  เขาไม่อาจสลัดเรื่องในร้านอาหารเมื่อเย็นออกได้  ใจส่วนหนึ่งที่เชื่อว่าคนตรงหน้าเขาคือ ‘พี่ฮั่น’ ทำให้เขาไม่อยากออกฤทธิ์อะไรมาก  แต่พอคิดว่าพี่ฮั่นร่วมมือกับพ่อและคุณโรสหลอกเขา  มันก็อดที่จะโกรธไม่ได้

‘ทำไมถึงไม่ยอมพูดความจริง เห็นเขาเป็นเด็กอมมือรึไง ถึงได้โกหกกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า’
 

ความคิดนี้ทำให้เขาเจ็บปวด  คราวก่อนเขาคิดง่าย ๆ ว่าจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้เรื่อยไป  แต่เย็นนี้พี่โดมถามคำถามที่สะกิดใจเขา  เรื่องทำไมเขาไม่เรียกนายนั่นว่า ‘พี่ฮัท’   

จะเรียกได้ยังไงในเมื่อไม่ใช่.....     

ทั้งที่หลอกคนอื่นว่าเป็นบอดี้การ์ดที่พ่อส่งมา  แต่กลับอยากเป็นพี่ชายของเขาอีกคน   เขาไม่เข้าใจความคิดนายหมีจริง ๆ

‘ให้ตายสิ  นายต้องการอะไรกันแน่!’



“นอนไม่หลับเหรอ” 

“โอ๊ย  ทำไมนายต้องโผล่มาเงียบ ๆ ล่ะ  ตกใจหมด”  พีทสะดุ้งที่นายหมีโผล่เข้ามายืนข้างเก้าอี้นอนเงียบเชียบ   เขาลุกขึ้นนั่งพลางโวยวาย

“นายมาทำไม  ชั้นอยากอยู่เงียบ ๆ แค่นายมายึดห้องนอนในบ้านนี้  ชั้นก็เสียความเป็นส่วนตัวมากพอแล้ว  อย่ามารบกวนได้มั้ย” เขากำลังเคืองอยู่พอดี  ตัวต้นเหตุก็โผล่มา

“ผมเอานมมาให้  กินตอนอุ่น ๆ จะได้หลับสบาย” ในมือใหญ่มีแก้วนมอยู่  นายหมีวางแก้วไว้บนโต๊ะเล็กข้างเก้าอี้ที่พีทนอนอยู่  น้ำเสียงสลดไปเพราะโดนต่อว่า ใบหน้าด้านข้างที่พีทเห็นดูเจ็บปวดกับคำต่อว่าของเขาเอง   

พีทชะงักไปเล็กน้อยเพราะคิดไม่ถึง  ใบหน้าที่เศร้าไปของนายหมีทำให้เขานึกเสียใจที่พูดจารุนแรงโดยไม่รู้ตัว

“คิดเรื่องอะไร  บอกกันมั่งสิ”  เพียงครู่เดียว  นายหมีก็เปลี่ยนท่าที  ไม่พูดเปล่ายังเดินไปลากเก้าอี้มานั่งข้างเขาอีกด้วย
 
‘นี่ฟังกันมั่งมั้ยว่า  อย่ารบกวน’

“เรื่องคุณหนูเกรซเหรอ”  คนมาใหม่เดา

ใบหน้าเคืองของพีท  เหลือบมามองนายหมีชั่วครู่ 

“ไม่ใช่เรื่องของนาย”  คำพูดรุนแรง  แต่น้ำเสียงนั้นอ่อนลงกว่าปกติอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่ทันรู้สึก

“ก็เห็นคนกลุ้มใจนึกว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะแฟนจะต้องไปหมั้นกับคนอื่น”

พีทเงยหน้ามองท้องฟ้าดำมืดอย่างเบื่อหน่าย 

‘อีกแล้วเหรอ เขากับเกรซดูเหมือนแฟนกันมากขนาดนั้นเชียว ไม่ว่าใครต่อใครก็พากันคิดว่าเขาทั้งคู่รักกัน  แล้วนายนี่รู้ได้ไงว่าเกรซจะต้องหมั้น เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้เล่านี่นา’

“นายรู้ได้ไงว่าเกรซกำลังจะหมั้น”

“ผมรู้แล้วกัน  ผมต้องรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณนี่  มันเป็นงาน”     

“ว่าไงล่ะ  คุณกลุ้มเรื่องคุณเกรซจริง ๆ รึเปล่า”  นายหมีถามย้ำอีก

“เราเป็นแค่เพื่อนกัน  เราสนิทกันเพราะชอบอะไรเหมือน ๆ กัน” 

“แล้วชอบอะไรล่ะ”  น้ำเสียงที่ถามสนอกสนใจ

“ก็ชอบดนตรี  ชอบเพลงสไตล์เดียวกัน  แล้วเราก็ยังอยู่ในสถานะเดียวกัน เป็นคุณหนู รวยล้นฟ้า ต้องสืบทอดกิจการ แต่ไม่เคยมีใครเข้าใจอย่างแท้จริงว่าพวกเราต้องการอะไร  อยากทำอะไร  นายเข้าใจไหม  คนสองคนที่มีปัญหาเหมือนกัน  ต่างก็รับฟังปัญหาของกันและกัน  เราคบกันแบบนี้แหละ” 

อะไรไม่รู้ทำให้เขายอมเล่าให้นายหมีฟัง  อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่ถามไถ่เหมือนเป็นห่วงเป็นใย   หรืออาจจะเพราะเขาก็เบื่อแล้วกับการถูกเข้าใจผิดเรื่องเขากับเกรซ

“คิดว่าเข้าใจนะ”  ใบหน้าที่เห็นในแสงสลัว  ดูหมองลงไป   

‘มีคนที่พร้อมจะเข้าใจอยู่อีกคน คนที่นั่งอยู่ข้างนายตอนนี้ไง’  นายหมีครุ่นคิดเพียงลำพัง

“แต่ว่าความเข้าอกเข้าใจกันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความรักก็ได้นะ”

“อะไรของนาย อยากให้ชั้นกับเกรซเป็นแฟนกันรึไง” หนุ่มน้อยไม่เข้าใจ  นายหมีดูสนใจอยากจะรู้จริงจังเรื่องเขากับเกรซตั้งแต่วันแรกที่มาเลยทีเดียว

“ก็ไม่แน่  วันหนึ่งเราสองคนอาจจะรักกันขึ้นมาก็ได้ อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็มีอะไรหลายอย่างที่เข้ากันได้  แต่ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกัน” พีทคิดเช่นนั้น   ตอนนี้เขารู้สึกแค่เพื่อนและเขาก็รู้ว่าเกรซก็คิดเหมือนกับเขา   แต่อนาคตเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจรู้ได้ 

เกิดความเงียบระหว่างพวกเขาทั้งคู่   แม้จะไม่มีใครพูดอะไรอีก  แต่ในความเงียบนั้นคนสองคนที่นั่งข้างกันบนชานไม้หน้าบ้านกลับกำลังทำความเข้าใจอีกฝ่ายอยู่ในใจ 

พีทเพิ่งสังเกตว่าคนคนนี้ดูแลและใส่ใจเขามากกว่าที่คิด แม้กระทั่งเวลานี้  ทั้งที่เขาอยากนั่งคิดอะไรเพียงลำพัง  นายหมีก็ยังดึงดันจะนั่งเป็นเพื่อน และกลับทำให้เขารู้สึกอุ่นใจที่มีใครสักคนมานั่งฟังความคิดของเขา และนี่เป็นครั้งแรกที่พีทเอ่ยปากเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครสักคนฟัง

นายหมีก็เพิ่งได้รู้ว่าพีทคิดอย่างไรกับเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวของตน  พวกเขาคบกันอย่างเพื่อนที่ดีต่อกันอย่างที่เขาคิดไว้ตั้งแต่แรก  พีทไม่ได้รักเกรซ

สายลมเย็นพัดมากระทบร่างที่นั่งเคียงกันอยู่ริมสระน้ำหน้าบ้าน พวกเขาต่างก็จมอยู่ในความคิดของตนเอง  เวลาผ่านไปครู่ใหญ่นายหมีจึงตัดสินใจกลับไปนอน  เขาลุกขึ้น

“อย่าลืมกินนมนะเดี๋ยวมันจะเย็นซะหมด แล้วก็รีบเข้านอนได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย”  สั่งเสร็จแล้วขายาว ๆ  ในกางเกงนอนสีซีดก็เดินกลับไป

ลับร่างของนายหมีแล้ว  พีทหันไปมองแก้วนมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แต่ดวงตาเหม่อลอยเมื่อความทรงจำวัยเด็กย้อนกลับมา




“เอ้า พีท กินนมซะจะได้โตไว ๆ”  เด็กชายร่างอวบยื่นแก้วนมสีขาวส่งมาให้  ใบหน้ากลมนั้นส่งยิ้มจนตาปิด

“ไม่เอา ไม่กิน”  เด็กน้อยวัยหกขวบส่ายหน้าไปมาแสดงความตั้งใจแน่วแน่ 

“ไม่กินก็ไม่โตนะ แล้วเมื่อไรจะสูงเท่าพี่ล่ะ” คนเป็นพี่ยังพยายามกล่อมน้องน้อย

“พี่กินให้ดูก่อนนะ”  ว่าแล้วคนสูงกว่าก็ยกแก้วนมขึ้นดื่มเพียงเล็กน้อย 

“อืมม  อร่อย”  คนเป็นพี่ส่งรอยยิ้มยืนยันคำพูด

“จริงเหรอ”  น้องชายตัวกลมถาม แววตาเริ่มลังเล  ‘นมอร่อยเหรอ?’

“จริงสิ  พี่ไม่โกหกหรอก   อร่อยจริง ๆ นะ  กินแล้วจะได้ตัวโตเท่ากัน  แล้วพี่จะสอนให้เล่นบาส พีทอยากเล่นเป็นไม่ใช่เหรอ แต่พีทต้องสูงให้เท่าพี่ก่อนนะ คนตัวเล็กเล่นไม่ได้หรอก” 

“กิน ๆๆ  พีทจะกินนม  พีทจะสูงให้เท่าพี่ฮั่นเลย  รอพีทก่อนนะ”  คราวนี้คนตัวเล็กไม่รอช้า รับแก้วนมที่พี่ส่งให้  ยกขึ้นดื่มจนหมดแก้วเพราะอยากสูงเท่าพี่

“อร่อยจังเลย” 




“ตอนนี้เราสูงเท่ากันแล้วนะ” 

พีทเอ่ยเสียงเบาถึงคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้   มือเรียวเอื้อมหยิบแก้วนมที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นดื่มช้า ๆ จนหมด  นมอุ่นกำลังดี  ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากลำคอลงไปถึงท้องและทั่วร่างกายที่เย็นเพราะตากน้ำค้าง   

อุ่นไปถึงหัวใจที่เหน็บหนาวของเขาทีเดียว

----------------------------






หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 14-15 page 2 อัพเดต 21/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 22-07-2014 19:17:12
16. ไม่ใช่พี่ชาย (2)



“ฮัดชิ้ว!”

พีทจามตั้งแต่ตื่นนอน  เที่ยงพอดีตอนที่เขาออกมาจากห้องนอน  กลิ่นอาหารลอยมากระทบจมูกทันทีที่ลงบันไดมาถึงชั้นล่าง  เขาเดินไปที่ห้องครัวที่ทาสีขาว  ผนังด้านหนึ่งของห้องครัวเป็นหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่เปิดออกเพื่อรับลมและระบายกลิ่น
 
ร่างสูงใหญ่ของนายหมีหันหลังให้เขา ขณะก้มหน้าปรุงอาหารอยู่หน้าเตาอย่างคล่องแคล่ว  พีทหยุดยืนมองอยู่นานจนกระทั่งนายหมีหันกลับมาเพื่อวางอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว  หน้าใสนั้นมันเล็กน้อยเพราะอยู่หน้าเตา  เหงื่อซึมตามขมับไหลหายไปในเสื้อยืดที่สวมอยู่   ภาพนายหมีใส่ชุดกันเปื้อนกลับดูน่ารักขัดกับหน้าตาของตัวเอง

“อ้าว  ตื่นแล้วเหรอ  กำลังคิดว่าจะไปเรียกพอดี  มานั่งสิ  กินข้าวกัน”  นายหมีหันมาเห็นพีทเข้าพอดีจึงเรียกไปกินข้าว

“สปาเกตตีคาโบนาร่าซูเปอร์เบคอนของโปรดนายไง” พ่อครัวยิ้มอวดอาหารจานเด็ดของตนเอง

พีทชะงักเท้าที่กำลังก้าว  เขาหยุดนิ่ง  ใบหน้าเรียวฉงนน้อย ๆ ของเขาทำให้นายหมีชะงักไปเหมือนกัน   

“เอ่อ..คือ..คือลุงฉีบอกว่านายชอบกินไง”  คนที่กำลังถือจานอาหารอึกอึกเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

“เมื่อคืนกลับไปนอนกี่โมงอ่ะ เป็นหวัดรึเปล่า นอนตากน้ำค้างตั้งนาน” เขาวางจานลงที่โต๊ะ หลบสายตาที่จ้องตรงมาอย่างแน่วแน่ของพีท

พีทเงียบไปแล้ว  บรรยากาศที่กำลังสดใสเปลี่ยนไปจนน่าอึดอัด หนุ่มน้อยไม่พูดอะไรอีกหลังจากเดินมาที่โต๊ะ  ทำเพียงแค่ก้มหน้ากินสปาเกตตีไปเงียบ ๆ   ปล่อยให้นายหมีนั่งเขี่ยจานอาหารของตนพลางแอบมองพีทอย่างหวั่นใจ 

‘บางทีเขาก็ลืมตัวไปบ้าง  ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะคิดยังไง  ต้องสงสัยอะไรเขาแน่’   คิดแล้วก็อยากเขกหัวตัวเอง ตอนทำไม่ได้คิดอะไรเลย  เขาแค่อยากทำสิ่งที่ชอบให้ก็เท่านั้น  จนลืมคิดถึงสถานะปัจจุบันระหว่างเขากับคนที่นั่งตรงข้ามนี้ไป

“อ้าว ลุงฉี สวัสดีครับ”  นายหมีเงยหน้าจากจานอาหารเห็นลุงฉีกำลังเดินเข้ามาในห้องครัว  ใบหน้าชายสูงวัยยิ้มให้คุณชายทั้งคู่

“สวัสดีครับลุงฉี”  คนที่นั่งตรงข้ามเขาหันกลับไปทักพ่อบ้านอาวุโสบ้าง

“สวัสดีครับคุณชาย  เมื่อเช้าคุณท่านโทรมาให้คุณชายไปงานวันเกิดคุณปีเตอร์แทนท่านเย็นนี้ครับ”

“อ้าว  พ่อโทรมาเหรอ  แล้วทำไมไม่เรียกผมล่ะครับ”   หนุ่มน้อยแปลกใจเพราะปกติพ่อมักจะโทรมาสั่งเขาด้วยตัวเองเสมอ

“คุณท่านบอกว่าโทรแล้วแต่คุณชายไม่รับสายก็เลยโทรไปที่บ้านใหญ่”  ลุงฉีตอบ

“อ๋อ  จริงด้วย  สงสัยนอนเพลินเลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์”

“เดี๋ยวผมจะให้เด็กเอาชุดสูทของคุณชายมาส่งนะครับ” ลุงฉีบอกแล้วกำลังเดินกลับ  แต่คงนึกอะไรออกจึงหันมาใหม่

“อ้อ  คุณท่านยังบอกว่าเสร็จงานประชุมที่ยุโรปแล้ว  จะกลับอาทิตย์หน้าครับ” 

“จริงเหรอครับ  ขอบคุณครับลุงฉี” พีทตาโตทีเดียวที่ได้รับข่าวดี  หนุ่มน้อยเปลี่ยนเป็นยิ้มสดใสเพราะดีใจที่พ่อกับคุณโรสจะกลับบ้าน   อารมณ์จึงแจ่มใสขึ้น
 
ลุงฉีเดินกลับออกไปแล้ว  นายหมีที่แอบมองเด็กหนุ่มตรงหน้าเห็นใบหน้ายิ้มแย้มแล้วจึงค่อยโล่งใจ  จึงลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม

“อร่อยมั้ย”  ถามไปแล้วแทบจะกลั้นใจรอคำตอบ

“ก็...ใช้ได้”  หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นมาตอบ  พลางย่นจมูกทำปากยื่นใส่อย่างน่ารัก

จู่ ๆ หัวใจเหมือนสะดุดไปหนึ่งจังหวะเพียงแค่เห็นภาพนั้น 

‘อะไรกันความรู้สึกแบบนี้’


เขาดีใจที่พีทไม่โกรธ  ความรู้สึกเป็นสุขไหลอาบไปทั่วร่าง  คนตัวใหญ่ยิ้มกว้าง  หยิบส้อมมาม้วนเส้นสปาเกตตีส่งเข้าปากตัวเองบ้าง 

‘อาหารมื้อนี้วิเศษที่สุดเลย’




หลังอาหารกลางวันสิ้นสุดลง  พีทคว้ากีตาร์โปร่งตัวเก่าไปนั่งเล่นหน้าบ้าน  เขารู้สึกปลอดโปร่งใจจนอยากจะแต่งเพลง  นิ้วเรียวไล่โน้ตไปเรื่อยตามแต่ใจจะสั่ง  หยุดจดโน้ตบนสมุดและเริ่มเล่นใหม่  ลมพัดเย็นทำให้เขาปล่อยความคิดให้ไหลไปกับสายลม  ใบหน้าใครบางคนเมื่อตอนกลางวันโผล่มาในห้วงความคิด  ตอนที่เขาชมเรื่องสปาเกตตี   

‘ยิ้มหน้าบานเชียวนะ’ 

“หึ”  เขาทำเสียงประชดไปกับลมฟ้าอากาศถึงคนในความคิด   

สปาเกตตีคาโบนาร่าซูเปอร์เบคอนเป็นของโปรดเขาตอนประถม ชื่อนี้เขาเป็นคนตั้งเองด้วย  พีทสั่งให้แม่ครัวทำสปาเกตตีใส่เบคอนเยอะ ๆ ทุกมื้อ   จนพี่ฮั่นเบื่อเพราะถูกบังคับให้กินด้วยกัน   ถึงกับประกาศว่าจะไม่กินสปาเกตตีอีกตลอดชีวิต     

‘คงจะเผลอสินะ’ 


พีทไม่รู้จะโกรธหรือดีใจ  ความรู้สึกอันไหนมีมากกว่ากันเขาตอบไม่ได้  ใจหนึ่งก็โกรธที่ยังถูกหลอกอยู่   

แต่อีกใจลึก ๆ ก็เหมือนมีดอกไม้ดอกเล็ก ๆ กำลังเบ่งบานอยู่ภายใน  เขาคลี่ยิ้มทีละน้อย  ดวงตาเป็นประกาย  แอบดีใจที่ยังมีคนจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนเป็นเด็ก  อาหารโปรดของเขาคืออะไร

“ฮัดชิ้ว!”  เขาจามอีกแล้ว



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 16 page 2 อัพเดต 22/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 22-07-2014 20:45:49
ยิ่งอ่านยิ่งสนุกนะเรื่องนี้
พี่ฮั่นแกล้งหลุดเปล่า เรื่องสปาเก็ตตี้
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 16 page 2 อัพเดต 22/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-07-2014 22:37:33
 :-[
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 16 page 2 อัพเดต 22/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 23-07-2014 20:47:17
17. งานเลี้ยง



นายหมีหายตัวไปตลอดบ่ายอีกครั้ง  พีทจึงไปออกกำลังกายที่บ้านใหญ่และกลับเข้าบ้านมาเมื่อเกือบสี่โมง  เขาอาบน้ำแล้วเตรียมตัวเพื่อไปงานเลี้ยงวันเกิดคุณปีเตอร์ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและคู่ค้าคนสำคัญของพ่อ  งานเลี้ยงวันนี้คงมีนักการเมืองและนักธุรกิจทั้งวงการไปร่วมอวยพร  เพราะคุณปีเตอร์เป็นเจ้าของธุรกิจผู้กุมอำนาจธุรกิจด้านอาหารและการเกษตรครอบคลุมทั่วเอเชียและกำลังขยายไปยังแถบอเมริกาและยุโรป  นอกจากนี้ยังร่วมทุนด้านการโรงแรมกับพ่ออีกด้วย 

พีทเคยออกงานประเภทนี้กับพ่อมาบ้าง เขาจึงไม่รู้สึกลำบากอะไรที่คราวนี้ต้องฉายเดี่ยวเป็นตัวแทนพ่อและคุณโรส   ร่างสูงโปร่งที่เข้าสู่วัยหนุ่มแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ปกเสื้อขลิบด้วยผ้าสีเข้ม  ไม่ผูกเนคไทแต่สวมทับด้วยเสื้อกั๊กติดกระดุมเข้ากับสูทอาร์มานี่สีดำทั้งชุดทับด้านนอก  ปัดผมไปด้านข้างให้เรียบร้อย  ดูเปลี่ยนจากหนุ่มน้อยสุดฮิปมาเป็นคุณชายเต็มตัว  แต่ยังคงสวมต่างหูประดับเพชรเม็ดเล็กที่ใส่ประจำไว้

เขาเดินมาตามทางเดินมุ่งสู่ลานจอดรถหน้าบ้านริมสระ  แผ่นหลังของร่างที่เริ่มคุ้นตายืนหันหลังรออยู่ที่รถ  ขายาวของคุณชายก้าวช้าลงเมื่อใช้เวลาสังเกตคนที่ยืนรออยู่ 

เมื่อก้าวเข้าไปใกล้  พีทเพิ่งสังเกตว่าคนคนนี้มีแผ่นหลังที่ตรงและกว้างเพียงไร   เมื่อก่อนตอนเป็นเด็ก  เขาจำได้แค่เพียงมืออบอุ่นที่คอยจับจูงเสมอเวลาไปไหนด้วยกัน  ตอนนี้มือคู่นั้นจะยังอบอุ่นเหมือนเดิมรึเปล่านะ

ขณะเดียวกัน  เสียงฝีเท้าจากบ้านริมสระทำให้เจ้าของร่างสูงกำยำที่สวมสูทสีเข้มเปลี่ยนท่าจากที่ยืนมือไพล่หลังหันกลับมา  เด็กฮิปของเขาอยู่ในชุดสูทสีดำเหมือนกัน  ดูแปลกตาไปจากที่เคยเป็น  ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ใบหน้าที่มักจะยิ้มเสมอเวลาอารมณ์ดีเวลานี้ดูนิ่งขรึม  แต่กลับส่งเสริมให้พีทดูสง่า ผมที่เซตให้ปัดไปด้านข้างเปิดหน้าผาก  ดูหล่อเหลา  เขายิ้มกว้างให้ภาพนั้น
 
เมื่อพีทเดินมาถึง  ใบหน้ายิ้มแย้มเอ่ยทัก

“แต่งตัวแบบนี้แล้วดูเป็นผู้ใหญ่นะ” รอยยิ้มและน้ำเสียงแฝงความชื่นชมไม่ปิดบัง   

พีทก้าวมายืนตรงหน้า  ใบหน้าเรียวนั้นดูเขินนิด ๆ ที่ได้รับคำชม   หากเจ้าตัวกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อตอบนายหมี

“ก็คนมันหล่อ  ใส่อะไรก็ต้องดูดีสิ”   ว่าพลางยักคิ้วให้   

‘นายก็ดูดีเหมือนกันแหละ’  พีทคิดในใจ   

นายหมีกลับมาใส่สูทเต็มยศเหมือนครั้งแรกที่เจอกันอย่างเป็นทางการ  ผูกเนคไทสีเข้มเหมือนสูทที่สวมใส่  ผมดำถูกเซตเสยไปด้านหลัง ไม่ปล่อยให้ปรกหน้าผากเหมือนทุกวัน  คิ้วเข้ม  ดวงตาคม  แววตานิ่งสงบในตอนแรกที่หันกลับมาทางเขา ทำให้พีทต้องยอมรับในใจว่า
 
นายหมีช่าง...‘น่าเกรงขาม’   
   
‘นี่คงเป็นตัวจริงของนายสินะ  ที่มาทำเป็นบอดี้การ์ดนั่นก็แค่เล่นสนุกล่ะสิ’    

นายหมีส่ายหน้าเล็กน้อยกับคุณชายของเขา  ก่อนจะเดินไปเปิดประตูเฟอร์รารี่คันงาม  รอจนพีทเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้วจึงปิดประตูให้ ส่วนตัวเองก็กลับเข้ามานั่งประจำที่คนขับ  บรรยากาศในรถดูเปลี่ยนไปจากวันก่อน ดูเหมือนกำแพงระหว่างเขากับคุณชายได้ถูกทำลายลงทีละน้อยเมื่อเขาสังเกตว่าพีทไม่ได้มีท่าทีไม่ชอบใจอีกต่อไป  กลับผ่อนคลายและยิ้มให้เขาบ่อยขึ้น

‘เพราะสปาเกตตีนั่นรึเปล่านะ  ถ้ารู้แบบนี้ทำให้กินตั้งนานแล้ว’ 


คนที่นั่งขับรถยิ้มมุมปาก  เมื่อคุณชายของเขากำลังวุ่นวายเปิดแผ่นซีดีหาเพลงที่ต้องการ  เสียงหนุ่มน้อยร้องคลอไปกับเพลงนุ่ม ๆ ทำให้เขารู้สึกอิ่มใจ ไม่รู้ตัวเลยว่าขับรถช้าลง




เฟอร์รารี่จอดลงที่หน้าโรงแรม  พนักงานที่ประจำอยู่ด้านหน้ารีบเดินมาเปิดประตูพร้อมกับโค้งให้อย่างนอบน้อม  นายหมีปล่อยให้พนักงานรับรถนำไปจอด  ตัวเขาก้าวเดินตามร่างสูงโปร่งของพีทเข้าไปภายใน  เขามองไปที่แผ่นหลังคุณชายที่เอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ  ดูเปลี่ยนไปจากภาพเด็กวัยรุ่นที่ใส่กางเกงยีนส์เสื้อยืดยืนร้องเพลงอยู่บนเวที  เป็นชายหนุ่มเต็มตัว ดูสมาร์ท สมกับที่เป็นลูกชายคุณคริส   คิดแล้วนายหมีก็ยิ้มออกมาขณะขายาวก้าวตามติด

พนักงานโรงแรมต่างพากันโค้งให้เมื่อสองหนุ่มเดินผ่าน  ทำให้พีทขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะพนักงานโรงแรมสาขาใหม่ไม่น่าจะรู้จักเขา เพราะปกติเขาเป็นคนเก็บตัว  พนักงานส่วนใหญ่รู้จักแต่ท่านประธานโรงแรมเท่านั้น 

แล้วโค้งให้ใคร?

พีทตวัดสายตาไปด้านหลังรวดเร็วพอที่จะเห็นนายหมีที่เดินตามมาพยักหน้าเล็กน้อยให้กับพนักงานเหล่านั้น  คนที่เดินตามหลังหันมาเห็นสายตาของเขาจึงชะงักไปเพียงนิดเดียว  นิดเดียวเท่านั้น  จากนั้นใบหน้าคมก็กลับมาปกติเหมือนเดิม 

“มีอะไรรึเปล่า”

คนที่เดินตามหลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถามหนุ่มน้อยที่อยู่ดี ๆ ก็หันกลับมา ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างรู้ทันของคุณชายทำให้เขาแอบสะดุ้งในใจแต่ยังวางหน้าเฉย  ดวงตาที่มองมานั้นฉายชัดว่ารู้  รู้บางสิ่งบางอย่างแต่พีทไม่พูดอะไร  ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำสนิทหันกลับ  เดินตรงเข้าไปในลิฟต์แก้วที่เปิดรออยู่เพื่อพาพวกเขาไปยังชั้นที่จัดงาน

คนมีความลับแทบจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เลยทีเดียว  แรกสุดเขาตั้งใจจะโดดงานนี้แล้วส่งคนอื่นมาแทน  แต่หลังจากที่เช็ครายชื่อแขกทั้งหมดที่จะมาร่วมงานแล้วพบว่ามีรายชื่อนักการเมือง ‘ตัวการ’ ฝ่ายตรงข้ามมาร่วมงานด้วย  ทำให้ไม่อาจปล่อยให้พีทมากับคนอื่นได้  ด้วยความเป็นห่วงจึงทำให้เขาต้องมาเอง  แม้ว่าจะทำให้เขาต้องหลบหน้าหลบตาใครไปบ้าง
 
พีทเองก็สังเกตเห็นความผิดปกติหลายอย่างแต่ไม่อยากพูด บอดี้การ์ดของพ่อนี่ใหญ่มากขนาดพนักงานโรงแรมทุกคนโค้งให้  ตั้งแต่ลงมาจากรถพวกเขาได้รับการบริการอย่างดียิ่งกว่าแขกวีไอพี  นายนี่คงตำแหน่งใหญ่น่าดู 

‘เอาเหอะ วันนี้เขาอารมณ์ดีมาทั้งวัน  เขาจะทำไม่รู้ไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน’ 





งานเลี้ยงวันเกิดคุณปีเตอร์จัดในโรงแรมสาขาใหม่ที่ตระกูลหยางเป็นเจ้าของ   ห้องจัดเลี้ยงหรูหราตกแต่งด้วยดอกไม้และไม้พุ่มจำนวนมากราวกับจำลองสวนดอกไม้มาไว้ในงานขณะนี้แน่นขนัดไปด้วยแขกเหรื่อแต่งกายสวยงามเดินไปมาเพื่อทักทายหรือจับกลุ่มพูดคุยกัน   ผู้คนในแวดวงธุรกิจรวมไปถึงนักการเมืองต่างพร้อมใจมาร่วมงานนี้  รวมไปถึงนักข่าวหลายสำนักที่มาทำข่าวอย่างคึกคักจนห้องจัดเลี้ยงที่จุคนได้หลายร้อยคนแน่นไปถนัดตา

พีทเข้าไปทักทายคุณปีเตอร์และภรรยาที่ยืนต้อนรับแขกอยู่บริเวณหน้าห้องจัดเลี้ยงพร้อมกับอวยพรสั้น ๆ 

“พีท สบายดีไหม” 

คำถามของคุณปีเตอร์นั้นฟังผิวเผินก็อาจเหมือนไม่มีอะไร  แต่พีทที่สบตากับเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจของพ่อมานาน  เข้าใจความหมายที่แฝงมาเป็นอย่างดี

“สบายดีครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ” หนุ่มน้อยตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ชายสูงวัยกว่าอย่างขอบคุณ   
 
คุณปีเตอร์ก็คล้ายกับพ่อของเขา ที่เป็นผู้กุมอำนาจทางธุรกิจและถูกชักชวนเข้าสู่วงการการเมืองมาหลายครั้งหลายคราแต่ยังใจแข็งปฏิเสธไม่เล่นการเมือง  คนสูงวัยกว่าจึงเข้าใจสถานการณ์ขณะนี้ได้ดี   

เขาคุยกับคุณปีเตอร์เล็กน้อยจึงขอตัวเพื่อให้คุณปีเตอร์รับแขกอื่นต่อไป  คุณชายหันกลับมาก็มองไม่เห็นบอดี้การ์ดของเขาแล้ว  ร่างสูงเดินเข้าไปภายในงานจึงพบว่าคนที่เขามองหาอยู่เข้ามายืนหลบมุมรอแล้วในห้องจัดเลี้ยง

“กลัวเจอคนรู้จักรึไง”  คุณชายเหน็บทันที   

นายหมีกลับทำเฉยกลบเกลื่อนเหมือนไม่ได้ยินคำเหน็บแนมนั้น   เขาผายมือเป็นเชิงให้คุณชายเดินนำเข้าไปในงาน

งานเลี้ยงจัดแบบค๊อกเทล  มีการจัดอาหารบริการหลายจุดทั่วงาน  พนักงานเสิร์ฟที่ได้รับการอบรมอย่างดีถือถาดเงินที่บรรจุอาหารว่างชิ้นเล็กพอดีคำ  และเครื่องดื่มหลายประเภทบรรจุในแก้วมีก้านทรงสูงเดินบริการแก่แขกที่จับกลุ่มคุยกัน
 
พีทรับแก้วแชมเปญมาจากพนักงานที่ค้อมตัวส่งให้  เขายกขึ้นจิบเล็กน้อย  ความแรงของเครื่องดื่มทำให้เขารู้สึกร้อนวูบวาบตั้งแต่คอลงไปทีเดียว   

“คุณไม่น่ารีบดื่มของพวกนี้นะ ท้องยังว่างอยู่ เดี๋ยวก็เมา” นายหมีห้ามไม่ทัน  เอ่ยเตือนเสียงเบา

“เล็กน้อยน่า  แชมเปญแค่แก้วเดียว” 

“เอ้า ทานนี่สิ”  มือใหญ่ยื่นจานกระเบื้องใบเล็กที่บรรจุคานาเป้หน้าต่าง ๆ  กับมินิแซนวิชดูน่ากินส่งให้  แล้วคว้าแก้วแชมเปญออกจากมือพีทวางกลับคืนไปที่ถาดของพนักงานที่ผ่านมาพอดี 

หนุ่มน้อยรับจานอาหารว่างมา  ก็พอดีมีมือบางสอดเข้ามาจับแขนเขาจากด้านหลัง  เขาหันไปก็ต้องตาโต

“อ้าว  เกรซ  คิดแล้วเชียวว่าต้องเจอที่นี่”  เขาทักเพื่อนสาวคนสวย 

“วันนี้แต่งตัวซะสวยเลยนะ  มากับที่บ้านรึเปล่า”

“หวัดดีพีท  สวัสดีค่ะ”  ท้ายประโยคสาวน้อยหันไปทัก ‘ผู้ดูแล’ ของพีท

แม้ว่าร่างสมส่วนของเกรซจะสวมใส่เสื้อผ้าสวยงาม แต่ใบหน้าสวยนั้นกลับดูเศร้าหมอง  ไม่สดใสเลยสักนิด  พีทจึงถามด้วยความเป็นห่วง

“เธอโอเคไหม  ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

“เกือบไม่ไหวแล้วพีท  นายจำได้ใช่ไหมว่าคนที่พ่อแม่จะให้เราหมั้นด้วยเป็นลูกชายคุณปีเตอร์เจ้าของวันเกิดวันนี้”  เกรซพูดเสียงสั่นเครือ  ดวงตากลมมีหยาดน้ำใสคลอ  แต่เธอก็รีบเงยหน้าไม่ให้น้ำตาไหลออกมา  แล้วรีบยิ้มกลบเกลื่อน

“เราจำได้ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ  เข้มแข็งไว้” พีทให้กำลังใจเพื่อน  เขาวางมือบนผมนุ่มสลวยของเกรซ  โยกเบา ๆ อย่างปลอบใจ  ไม่รู้เลยว่าท่าทีนั้นอยู่ในสายตาของใครบ้าง

“แล้วเจอกันรึยัง”  พีทอยากรู้เหมือนกันว่าจะใช่คนเดียวกับที่เขาคิดรึเปล่า  เขาเคยเจอลูกชายคุณปีเตอร์แค่ครั้งเดียวในงานวันเกิดคุณปีเตอร์เมื่อหลายปีก่อน  ก่อนที่ลูกชายคุณปีเตอร์จะไปเรียนต่อที่อังกฤษ 

“ยังไม่เจอ  เรา..เรา..ไม่อยากเจอใครเลยพีท”  น้ำเสียงของเกรซแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ช่างเถอะเราไม่อยากคิดมากอะไรอีกแล้ว  เมื่อกี้เห็นนาย  เราดีใจแทบแย่  มาได้จังหวะพอดีเรามีเรื่องรบกวนนายหน่อย”  เกรซที่พยายามทำตัวร่าเริงหันมาถาม

“เอ้า  มีเรื่องอะไร  ว่ามา”  หนุ่มน้อยตอบพลางส่งยิ้มอบอุ่นให้

“เราต้องขึ้นไปร้องเพลงเป็นของขวัญวันเกิดน่ะ  พีทช่วยเล่นเปียโนให้หน่อยสิ  ถ้านายขึ้นไปเป็นเพื่อนเราคงอุ่นใจขึ้นเยอะ”  เกรซเขย่าแขนพีทน้อย ๆ ใบหน้าอ้อนวอน

“โธ่  แค่นี้เอง  เรื่องเล็ก”  พีทยิ้มให้อีกครั้ง

ทั้งสองคนคุยกันเรื่องเพลงที่จะใช้กันสักครู่   พีทจึงหันมาทาง ‘ผู้ดูแล’ ของเขา 
 
“ผมจะไปทางโน้นกับเกรซ  ต้องไปเล่นเปียโนให้เจ้าหญิงแสนสวยหน่อย  เดี๋ยวมานะ”  เขาว่าพลางยื่นจานอาหารว่างที่ยังไม่ได้แตะนั้นกลับคืนไปที่นายหมี 
 
“เดี๋ยว”  ร่างสูงที่ยืนฟังอยู่รีบเอ่ยแต่ไม่ทันแล้ว  พีทกับเกรซเดินเคียงกันไปที่ด้านข้างเวทีแล้ว

“เฮ้อ”  คนตัวใหญ่ที่ยืนมองทั้งสองคนถอนหายใจเพียงลำพัง  ก็ดีเหมือนกันเขาจะได้ ‘หลบ’ ง่ายขึ้น   ตั้งแต่เข้ามาในงานเขาต้องคอยสังเกตผู้คนในงานเพราะกลัวใครต่อใครเข้ามาทัก  ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยอยากมางานนี้เท่าไรแถมมากับเด็กฉลาด  กลัวจะหลุดให้พีทจับได้   

“ดูท่าทางเขาเหมาะกันดีนะพี่ ไม่รู้ทำไมถึงยอมหมั้นกับผม” 

ร่างสูงโปร่งของใครอีกคนก้าวมายืนข้างนายหมีอย่างเงียบเชียบ  คนมาใหม่สวมสูทเช่นกัน  ใบหน้าคมเข้มจับตามองไปที่ร่างบางที่เดินเคียงข้างพีทไป  ทั้งคู่ยืนมองคนสองคนที่เตรียมตัวแสดงอยู่ด้านข้างเวทีไม่ไกลเท่าไรนัก แต่เพราะผู้คนที่เดินขวักไขว่ทำให้พอจะบดบังพวกเขาไปได้บ้าง

นายหมีกลั้นยิ้มกับคำพูดประชดประชันนั้น  เขารู้อยู่ตลอดว่าคนพูดไม่เคยชอบใจเวลาเห็น ‘สองคนนั้น’  อยู่ด้วยกัน

“หึงรึไง”  นายหมีแกล้งถาม 

“เปล๊า  อย่างผมนะเหรอจะหึง  ผมไม่ได้อยากหมั้นด้วยซะหน่อย  แค่เพราะพ่อผมกับพ่อเขาเป็นเพื่อนรักกันก็เลยอยากให้ลูกดองกันแค่เนี่ย  เหตุผลอะไรไม่เข้าท่าสักนิด”   คนไม่อยากหมั้นปฏิเสธเสียงสูงเชียว

“พี่ถามพีทมาแล้ว  พีทบอกว่าเขากับคุณหนูเกรซเป็นเพื่อนกัน” 

“จริงเหรอพี่”  เสียงนั้นถามกลับอย่างกระตือรือร้นเป็นพิเศษ 

นายหมีหรี่ตาชั้นเดียวของตนมองคนข้าง ๆ

“ไหนว่าไม่หึง  ไม่อยากหมั้นไง  แล้วดีใจทำไมที่สองคนนั้นเป็นแค่เพื่อนกัน”

“เอ่อ”  เห็นสายตาจับผิดของเพื่อนรุ่นพี่แล้ว  คนข้าง ๆ ก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน  พอดีกับที่เสียงประกาศบนเวทีเรียกความสนใจของคนทั้งงาน

พิธีกรของงานได้เชิญเจ้าภาพ นั่นคือคุณปีเตอร์และภรรยาขึ้นมาบนเวที  ตามด้วยแขกผู้ใหญ่หลายท่านให้ขึ้นมาอวยพรเจ้าภาพของงาน หลังจากแขกกล่าวอวยพรแล้วพิธีกรจึงได้เชิญชมการแสดงพิเศษ 

เสียงเปียโนพลิ้วกังวานดังแทรกเสียงพูดคุยของบรรดาแขกเหรื่อ เรียกความสนใจของทุกคนให้หันไปมองเป็นจุดเดียว  ชายหนุ่มที่กำลังบรรเลงเพลงนั้นส่งยิ้มให้กับผู้ชม  นิ้วที่พรมลงบนเปียโนก่อให้เกิดเสียงอันไพเราะ แผ่วหวาน  ข้างเปียโนหลังใหญ่ปรากฏร่างสมส่วนของสาวสวยในชุดราตรียาวสีขาว  และเมื่อเธอเริ่มต้นร้องเพลง  ผู้คนในห้องโถงใหญ่นั้นก็แทบลืมหายใจ   คนสองคนที่ยืนมองอยู่ต่างจ้องมองไปที่เวทีอย่างลืมตัว 

เสียงปรบมือแสดงความชื่นชมให้กับนักร้องสาวสวยและนักเปียโนกิตติมศักดิ์ดังกึกก้องในห้องจัดเลี้ยงนั้นยาวนาน  ทั้งคู่ควงกันออกมาโค้งรับเสียงปรบมือทำให้คนที่จับตามองว่าที่คู่หมั้นสาวตลอดเวลาแทบทนไม่ได้  เขากัดฟันพูดกับร่างสูงใหญ่ที่ยืนปรบมืออยู่ใกล้

“ไม่เหมือนคนเป็นเพื่อนกันเลยนะพี่ ดูยังไงก็คู่รัก”

คนช่างประชดเอ่ยด้วยน้ำเสียงขัดเคือง ‘นั่นว่าที่คู่หมั้นของผมนะ’

“ใจเย็นๆ น่า แคน” 

นายหมียิ้มปลอบใจให้คนที่อุตส่าห์ปลอมบัตรประชาชน  เอกสารสารพัด ลงทุนไปสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟในผับดังเพราะอยากเห็นหน้าว่าที่คู่หมั้น ก่อนจะตัดสินใจว่าจะยอมหมั้นหรือจะ ‘หนี’

พิธีกรกำลังเชิญแขกดื่มอวยพรให้เจ้าภาพ  นายหมีมองไปที่คุณชายของเขาบนเวทีที่ยกแก้วแชมเปญขึ้นดื่ม  คิ้วหนาขมวดกึกอย่างไม่ชอบใจนักที่เห็นพีทดื่ม ก็เด็กนั่นยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็น   

ฝ่ายว่าที่คู่หมั้นหนุ่มก็หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าคมเข้มนั้นขมวดมุ่นเมื่อเห็นคนทั้งคู่ชนแก้วกันบนเวที  เขากำมือแน่นเพื่อคุมอารมณ์ จับตามองจนกระทั่งสองคนบนเวทีเดินลงมา 

“ไว้ค่อยคุยกันนะพี่ ผมต้องไปแล้ว” 

แคนพยักพเยิดไปยังคนทั้งคู่ที่กำลังเดินตรงมาที่พวกเขายืนอยู่แล้วรีบหลบฉากไปทันควัน  ปล่อยให้นายหมียืนรอทั้งคู่อยู่เพียงลำพัง

พีทและเกรซเดินกลับมาหานายหมีที่ยืนรออยู่ หนุ่มน้อยยิ้มพลางพูดอะไรบางอย่างกับคนข้างตัว  ทั้งคู่คุยหยอกล้อกันระหว่างทางที่เดินมา ใบหน้าเกรซดูสดใสขึ้น  คนที่ยืนมองอยู่เห็นภาพนั้นกลับรู้สึกแปลก  เขาอธิบายไม่ถูก  ก่อนที่จะหาเหตุผลอะไรได้พีทก็เดินเข้ามาถึงพอดี

“เพลงเพราะมากครับ”  นายหมีกล่าวชมสาวน้อยข้างกายพีท

“ขอบคุณมากค่ะ”  เกรซตอบแล้วยิ้มให้ 

“คราวหน้าถ้าคุณชายเขาไม่สบาย  คุณเกรซก็ขึ้นร้องแทนได้สิครับ   เสียงเพราะขนาดนี้  รับรองว่าคุณชายพีทตกกระป๋องแน่” 

‘นายหมีชมคุณหนู แล้วมาแขวะอะไรเขาล่ะเนี่ย’ 

พีทเลิกคิ้วหนาของตัวเอง หนุ่มน้อยทำหน้ายุ่งไม่จริงจังนัก

“วงพี่ร็อกกี้เล่นแต่เพลงผู้ชาย   แล้วเรนจ์เสียงของเกรซแบบนี้ถ้าจะร้องให้เข้ากับวงต้องลดคีย์ลง  ต้องซ้อมเพื่อปรับคีย์กันก่อนด้วย   อยู่ ๆ จะให้ร้องเลยได้ที่ไหน  มันจะไปคนละทาง  เข้าใจป่ะ” 

คุณชายพีทเป็นคนตอบคำถามเสียเองไม่รู้เพราะหมั่นไส้นายหมีรึเปล่า  เกรซพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับพีท  เธอคุยอยู่ครู่แล้วขอตัวกลับไปหาคุณพ่อที่ยืนคุยกับเจ้าภาพอยู่อีกด้านของห้องจัดเลี้ยง  ทันทีที่คุณหนูเกรซหันหลังให้ พีทก็ถูกลากออกจากงานทันที

“นี่นายทำอะไร จะลากชั้นไปไหนเล่า”  พีทโวยวายเสียงเบา มือนายหมีจับเหนือศอกเขากระชับแน่น  ดึงเขาแทรกตัวผ่านบรรดาแขกเหรื่อในงาน

‘ทำไมนายนี่ชอบลากเขาซะจริง’

“กลับบ้านไง” นายหมีหันมาตอบ  แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่ไม่อยากอยู่ในงานนี้อีกต่อไป  หงุดหงิดพิกล

พีทไม่มีโอกาสจะโต้เถียงอะไร  เมื่อหมียักษ์ลากเขาไปจนถึงลิฟต์แก้วที่เคลื่อนมาถึงพอดี  ทั้งคู่เข้าไปในลิฟต์  นายหมีหันกลับมากดชั้นที่ต้องการ 

ขณะที่ลิฟต์ฝั่งที่เขาอยู่ค่อยๆ ปิดลง  พอดีกับที่ลิฟต์ฝั่งตรงข้ามเปิดออก  คนที่ยืนอยู่ในลิฟต์ด้านตรงข้ามทำให้เขาตกตะลึงไปชั่วขณะ

ความโกรธเกลียดพุ่งขึ้น  เขากำหมัด  ฟันขบกันแน่น  เขาไม่เคยลืมใบหน้าของคนชั่วร้าย   

คนที่ออกคำสั่งให้ลักพาตัวเขาเมื่อสิบปีก่อน!!!

----------------------------------------------

จำได้ไหมเอ่ยว่าใครเป็นคนลักพาตัวเมื่อสิบปีก่อน  ^^
ขอบคุณที่ทักทายกันค่ะ  คุณ insomniac คุณ cavalli




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 17 page 2 อัพเดต 23/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-07-2014 00:10:51
 :3123:

เป็นกำลังใจ ไห้ สู้ๆ จ้า ^^
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 17 page 2 อัพเดต 23/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 25-07-2014 17:27:11
18. ทะเลาะ



พีทงงเล็กน้อยที่ถูกลากออกจากงานเลี้ยงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบงานประเภทนี้อยู่แล้วก็ตาม  แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์  ท่าทีนายหมีที่ผิดปกติไปจากเมื่อครู่ทำให้เขางงกว่าเดิม 

“นายเป็นอะไร  มีเรื่องอะไรรึเปล่า ทำไมทำหน้าตาแบบนั้นล่ะ” เขาอดไม่ได้จึงถาม 

“เปล่า ไม่มีอะไร”  คนที่ยืนกำหมัดแน่นกัดฟันตอบกลับมา  ใบหน้าที่พีทเห็นเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

‘แล้วยังจะมาบอกว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอ  ไม่บอกความจริงเขาอีกแล้วสินะ’

“นายรู้ไหมว่าทำไมนายไม่เคยได้การยอมรับจากชั้น  ก็เพราะนายไม่เคยมีความจริงใจให้ชั้นไงล่ะ”

พีทเริ่มหงุดหงิดอีกแล้วกับการถูกปิดบังความจริง  ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโรงแรมเขาเห็น ‘อะไร’ ตั้งหลายอย่าง   แต่นายหมีกลับปกปิดทุกอย่างไม่ให้เขารู้

คนที่ทำหน้าเครียดชะงักไปกับคำพูดนั้น  เขาไม่จริงใจเหรอ?  พีทไม่รู้หรอกว่าทำไม  มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่พีทไม่เคยรู้

แรงโกรธเกลียดเมื่อครู่ทำให้เขาแทบคุมอารมณ์ไม่ได้เมื่อถูกพีทต่อว่า  ต้องพยายามข่มอารมณ์จนสุดความสามารถก่อนจะตอบ

“อย่าเพิ่งถามเลย  กลับบ้านก่อนเถอะ”

“ทำไมล่ะ พูดเรื่องความจริงใจนี่ต้องหงุดหงิดเลยเหรอ  นายมีอะไรต้องปิดบังรึไง!” 

พีทสวนกลับไม่ยอมแพ้  แววตานั้นเหมือนท้าทายอยู่ในที ใบหน้าเรียวตอนนี้แดงก่ำ  คงเป็นเพราะเครื่องดื่มดีกรีแรงที่ดื่มเข้าไปเมื่อครู่ทำให้อารมณ์ตอนนี้รุนแรงขึ้นกว่าปกติ  เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง   

“พีท! เมารึไง ค่อยคุยกันวันหลัง!”   นายหมีเสียงกร้าวแทบตะคอก  กำหมัดแน่นเพราะแทบจะควบคุมตัวเองไว้ไม่ไหวแล้ว  พีทไม่ได้เห็น ‘ใคร’ เหมือนที่เขาเห็นก่อนที่ลิฟต์จะปิด

ตอนนี้ลิฟต์พาพวกเขามาถึงล็อบบี้ชั้นล่างแล้ว  เขาก้าวออกจากลิฟต์ก่อนมุ่งหน้าไปยังทางออก ใบหน้าเขาตอนนี้น่ากลัวทีเดียว

พีทยังคงยืนอยู่ในลิฟต์  ชะงักอยู่กับคำพูดประโยคสุดท้าย  ความไม่เข้าใจปรากฏบนใบหน้า  ทั้งงุนงงกับท่าทีแปลกไปและเสียใจกับเรื่องเดิมอีกครั้งแล้วครั้งเล่า  ก่อนที่ลิฟต์จะปิดลงอีกครั้งพีทก็รู้สึกตัว  เขาก้าวออกจากลิฟต์บ้างแต่ไม่ได้ตรงไปทางออกที่นายหมียืนหันหลังรออยู่  กลับเดินตรงไปยังที่จอดรถของโรงแรมอีกด้านหนึ่ง   พนักงานโค้งให้พร้อมกับเปิดประตูลีมูซีน  เขาก้าวขึ้นไปนั่งแล้วสั่งคนขับให้เคลื่อนรถออก

ร่างสูงที่ยืนรออยู่หน้าล็อบบี้หันกลับมาอีกทีก็เห็นพีทขึ้นลีมูซีนของโรงแรมออกไปแล้ว 

“บ้าที่สุด  ไปไหนของเขา” 

กว่าพนักงานจะเอาเฟอร์รารี่มาเทียบเขาก็แทบจะเข้าไปกระชากพนักงานออกจากรถเพื่อขับตามลีมูซีนของโรงแรมไป  แต่การจราจรที่คับคั่งจากบรรดาแขกเหรื่อที่เดินทางมาร่วมอวยพรวันเกิดนักธุรกิจดังระดับประเทศ ทำให้เขาไม่สามารถขับตามลีมูซีนได้ทัน  คนในรถเริ่มกระวนกระวายใจ   

‘พีทเป็นอะไร  ทำไมถึงทำอย่างนี้’

เขาคว้าโทรศัพท์กดโทรหาคนที่ขึ้นรถหนีไปแต่คนปลายทางไม่ยอมรับ

โทรศัพท์  ชายหนุ่มกระแทกฝ่ามือเข้ากับพวงมาลัยอย่างขัดใจ  หงุดหงิด   

“โธ่โว้ย!”

เขาพยายามข่มอารมณ์  เขารู้ตัวว่าอารมณ์ไม่ปกติตั้งแต่เห็นไอ้คนใจร้ายนั่น  ไม่ได้ตั้งใจจะว่าน้องเลย  อารมณ์โมโหชั่ววูบทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่  แล้วจู่ ๆ พีทก็หนีไปขึ้นรถโรงแรมโดยไม่บอกกล่าวอะไร  ความเป็นห่วงกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายพีทเริ่มคืบคลานเข้าเกาะกุมจิตใจ เริ่มกังวลไปสารพัดเพราะเมื่ออยู่ในงานเขาเห็นพรรคฝ่ายตรงข้ามมาร่วมงานเลี้ยงด้วย ถ้าพวกมันเห็นพีทอาจจะทำอะไรขึ้นมาก็ได้

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหยุดความคิดของเขา  มือใหญ่ที่กำพวงมาลัยแน่นเปลี่ยนไปคว้ามือถือมากดรับ  จึงได้รู้ว่าการ์ดบางส่วนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตามลีมูซีนของโรงแรมไปได้ทัน  คนของเขาแจ้งว่ารถกำลังมุ่งหน้าออกสู่ถนนใหญ่

เขาวางสายแล้วคิดอะไรได้  จึงโทรกลับไปที่โรงแรมสั่งอะไรหลายประโยคไปที่ปลายสาย  รอเพียงไม่นานปลายสายก็โทรกลับมาแจ้งให้ทราบว่าลีมูซีนของโรงแรมกำลังไปส่งคุณชายที่บ้าน

“เฮ้อ”  ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า   ก่อนจะหักรถออกทางแยกเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านทันที




เฟอร์รารี่วิ่งด้วยความเร็วมาจอดลงที่หน้าประตูบ้าน  เสียงแตรรถดังกังวานเร่งให้ยามมาเปิดประตู  จอดรถแล้วชายหนุ่มก็แทบกระโดดลงจากรถ  เสียงประตูรถปิดดังสนั่น  ขายาวก้าวเข้าบ้านรวดเร็วตามแรงอารมณ์

เสียงเคาะประตูหน้าห้องพีทดังรัวเร็ว  เจ้าของห้องที่เพิ่งถอดสูทตัวนอกออกชะงักนิ่ง  รู้ทันทีว่าใครที่มาเคาะหน้าห้อง  ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเปิดดีหรือไม่  พีทถอนหายใจ  ความรู้สึกหน่วง ๆ แบบนี้มันคืออะไรกันแน่  มันอึดอัดสับสน  ไม่รู้จะทำยังไง  จะปล่อยมันไว้เขาก็ไม่สบายใจ  เขาไม่ชอบใจเลย

“พีท  ออกมาคุยกันหน่อย” นายหมีเรียกเสียงเข้มแบบที่ไม่เคยใช้กับเขามาก่อน   

“ชั้นไม่มีอะไรจะคุย ไว้คุยกันวันหลัง”  คนในห้องตัดสินใจตอบด้วยคำพูดที่คนได้ยินแทบสะอึกเพราะตัวเขาเพิ่งจะใช้ประโยคนี้ตอบพีทตอนที่อยู่ในลิฟต์ของโรงแรม

“ผมขอโทษที่หงุดหงิดใส่คุณ  แต่ออกมาคุยกันก่อนได้ไหม” น้ำเสียงคนนอกห้องอ่อนลง   

“ชั้นไม่อยากคุย ได้ยินมั้ย เลิกรบกวนชั้นซะที!”  คราวนี้คนในห้องตะโกนออกมาสุดเสียง 

‘อย่ามายุ่งได้ไหม  เขาต้องการอยู่คนเดียว’ 


“ถ้าคุณโกรธผม  คุณจะชกผมจะทำอะไรผมก็ได้  แต่ผมไม่อยากให้คุณทำแบบนี้อีก  รู้ไหมว่ามันอันตรายแค่ไหนที่กลับบ้านมาคนเดียว  พวกมันจ้องจะเล่นงานคุณอยู่นะ  รู้ตัวบ้างรึเปล่า  อย่าทำให้คนอื่นเป็นห่วงสิ”

“ชั้นจะเป็นจะตายยังไงมันก็เรื่องของชั้น  นายจะมาห่วงทำไม  นายเป็นแค่คนที่พ่อจ้างมาดูแลชั้นไม่ใช่เหรอ  อย่ามายุ่ง!”  พีทตะโกนกลับไป   

คนที่ยืนอยู่นอกห้องแทบหมดแรงจากคำพูดเหล่านั้น   ทำไมเขาจะไม่ห่วงล่ะ  ถ้าไม่ห่วงคงไม่ยอมทำตัวเป็นคนอื่นนานขนาดนี้หรอก  พีทคงไม่เข้าใจว่าเขาอยากจะบอกขนาดไหนว่าเขาเป็นใคร  เขาอยากเป็นคนที่ดูแลน้องในฐานะ ‘พี่ชาย’  ไม่ใช่บอดี้การ์ดบ้าบออะไรที่เขาและลุงคริสสร้างขึ้นมา   

แต่เพราะท่าทีของพีทเองทำให้ทุกคนกังวลใจ  พีทไม่เคยแสดงท่าทีว่าหายโกรธเขาเลย  ไม่พูดถึง  หากใครพูดถึงเขาก็เดินหนี  ไม่ยอมรับรู้    ทุกคนเป็นห่วงว่าถ้าเขากลับมา  พีทอาจจะยังคงโกรธอยู่และไม่ยอมรับเขาเป็นพี่ชายเหมือนเดิม  ลุงคริสคงไม่อาจวางใจใครให้ดูแลลูกชายคนเดียวของท่าน  นอกจากเขา   

“พีท....” 

“อย่ามาเรียกชั้นแบบนั้น  นายไม่มีสิทธิ์!!” 

พีทตะโกนออกมาอีก  เสียงนั้นสั่นพร่า  พีทก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน  ความโกรธ ไม่เข้าใจ เสียใจ เขาก็ไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันปนกันไปหมด รู้เพียงแต่ว่า...ทรมาน 

‘ถ้านายอยากกลับไปเรียกเหมือนเดิมก็บอกมาสิว่านายคือพี่ฮั่น จะมาหลอกว่าเป็นคนอื่นทำไม’  พีทในตอนนี้ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น  ร่างนั้นสั่นน้อย ๆ

คำพูดที่ตะโกนออกจากคนในห้องเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ฟาดลงมากลางใจที่หนักอึ้งของคนที่ยืนอยู่ด้านนอก 

‘พอกันที!’ 

ความทรมานใจที่ต้องปิดบังตัวเอง  ความอึดอัด  สิ่งที่เขาอดทนมานานหลายปี  คนที่อยู่ที่นี่จะไปรู้อะไรว่าเขาต้องเผชิญอะไรมาบ้างตลอดสิบปีที่ผ่านมา
 
เสียงกระแทกประตูเพียงครั้งเดียว  ประตูบานไม้เก่าแก่ก็เปิดออกอย่างง่ายดาย   นายหมียืนอยู่ที่ประตู ใบหน้ากราดเกรี้ยวแบบที่พีทไม่เคยเห็นมาก่อน  เขาตรงเข้ามาคว้าแขนพีทให้ลุกขึ้นมาคุยกัน

“ทำไมจะเรียกไม่ได้   ‘พี่’ จะเรียก  จะทำไม”

“ปล่อย!!  นายไม่ใช่พี่ชั้น  สำหรับชั้นนายเป็นคนอื่น!!!”

พีทสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมอย่างแรง น้ำตากลบอย่างรวดเร็ว  เขาใช้หลังมือปาดทิ้งไม่ให้มันไหลออกมา

“เมื่อไรจะเลิกดื้อซะที  หา...คนอย่างนายจะเข้าใจอะไร” อีกฝ่ายตะคอกกลับบ้าง 

คนที่น้ำตากลบตาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนคนนี้ตะคอกใส่

“คนอย่างชั้นมันเป็นยังไง  จะให้เข้าใจอะไรล่ะ  นายก็บอกมาสิว่ามันเพราะอะไรมันอะไรกันนักกันหนาถึงต้องมาทำตัวเป็นคนอื่นแบบนี้ จะหลอกกันไปถึงเมื่อไร  สนุกมากนักรึไง!”   พีทตะคอกกลับไปด้วยความโกรธปานกัน

สายตาตัดพ้อที่มองตรงมา ทำให้อีกฝ่ายชาวาบไปทั้งร่าง

‘พีทรู้?  รู้ว่าเขาเป็นใคร  ตั้งแต่เมื่อไรกัน’

“พีท  รู้ตั้งแต่เมื่อไร”  เขาถามน้ำเสียงอ่อนล้า 

“รู้อะไรล่ะ รู้ว่านายเป็นใครน่ะเหรอ  นายจะเป็นใครมันก็เรื่องของนาย ชั้นไม่สนอีกแล้ว  คนอย่างนายไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป”  พีทตะโกนออกไปจนสุดเสียง   มือทั้งสองข้างออกแรงผลักอกคนตรงหน้าด้วยความโกรธ

‘ไม่มีความหมายทั้งที่เขาทำทุกอย่างเพื่อทุกคนน่ะเหรอ’


คนถูกผลักเซไปด้านหลัง 

‘ไม่มีความหมาย...’


ประโยคนี้ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก  ความน้อยใจ  เสียใจมากมายจากไหนไม่รู้ไหลเข้าท่วมร่างเขาอย่างรวดเร็ว  แล้วแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ เขาโกรธจนหูอื้อตาลาย  มือใหญ่คว้าปกเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พีทสวมอยู่กระชากอย่างแรง 

“ใช่ พี่มันไม่มีความหมายอะไรเลย ทั้งที่พี่ต้องไปอยู่อังกฤษ อยากจะกลับมาก็กลับไม่ได้ทั้งที่อยากจะมาใจจะขาด  แต่สำหรับพีทพี่ไม่มีความหมายเลย” 

“แล้วทำไมไม่กลับมาล่ะ โทรศัพท์สักครั้งก็ไม่เคย  นายหายหัวไปไหนมาตั้งสิบปี!”  ใบหน้าเรียวนั้นแดงก่ำ  พีทก็โกรธไม่แพ้กัน  เขาพยายามจะแกะมือที่จับปกเสื้อเขาออก  แต่มือนั้นราวกับคีมเหล็กแกะยังไงก็แกะไม่ออก

“ก็เพราะไอ้ฟงไง  คุณปู่น้อยของนายไงล่ะ  ไอ้คนอำมหิตนั่น”  คลื่นความโกรธถาโถมเข้ามาอีกเมื่อต้องกัดฟันพูดชื่อคนที่เขาเกลียดที่สุดออกมา

“หยุดนะ!  นายมีสิทธิ์อะไรมาว่าคุณปู่ฟงแบบนี้” 

“ทำไมจะว่าไม่ได้  ก็เพราะไอ้ฟงนั่นแหละที่ทำให้พี่กลับมาไม่ได้  มันขู่จะฆ่าแม่  รู้ไว้ซะ!”  เขาตะโกนออกไปสุดเสียง  ด้วยแรงอารมณ์เขาเขย่าพีทจนตัวโยน  พีทปลิวไปมาตามแรงกระชากนั้น 

“ก็เพราะมันไง  พี่ถึงไม่เคยได้กลับมาที่นี่ตั้งแต่ไปอังกฤษ  มันส่งคนไปขู่ว่าถ้าพี่กลับมาหรือติดต่อใครในครอบครัวมันจะลักพาตัวแม่!!  นายเข้าใจไหม!!!  มันใช้วิธีเดียวกับที่พี่เคยเจอ  ลักพาตัวแล้วอาจจะฆ่าทิ้งก็ได้  พี่ต้องทำตาม”  คำพูดที่พร่างพรูออกมาแฝงด้วยความเจ็บปวดที่ไม่มีใครรู้ 

‘พีทเคยรู้ไหม เคยเข้าใจอะไรบ้างรึเปล่า’ 


เรื่องพวกนี้เขาไม่เคยบอกคุณคริสกับแม่เลย  เพราะกลัวว่าไอ้ฟงจะทำตามที่มันขู่   ตอนนั้นเขายังเด็ก  ยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้จึงต้องยอมทำตาม

เขาทนไม่ได้แล้ว  ยิ่งพูดความอัดอั้นตันใจทั้งหมดที่เก็บมานานหลายปีราวกับถึงจุดระเบิด  ทุกสิ่งทุกอย่างไหลออกมาราวกับน้ำทะลักออกจากเขื่อน 

“พีทไม่ได้เสียใจคนเดียว  พี่ก็เสียใจด้วยเหมือนกันที่ต้องทิ้งแม่  ทิ้งพีทและชีวิตที่แสนสุขไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่พี่ไม่ต้องการ  แต่พี่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ทุกคนสบายใจ  คนที่อยู่สุขสบายที่นี่ไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวด  มันว้าเหว่ยังไงบ้าง  พีทยังอยู่ที่นี่กับพ่อในขณะที่พี่ต้องอยู่คนเดียวในที่ที่ไม่รู้จักกับไอ้พวกนักเลงนั่น!!” 

เขาทนเก็บทุกสิ่งทุกอย่างมานานหลายปี  ตอนนี้เขาจะไม่ทนอีกต่อไป  เขาจะไม่เก็บอะไรไว้อีกแล้ว เขาไม่อยากหลอกใครอีกต่อไปแล้ว ถ้าพีทจะโกรธอีกเขาจะเป็นฝ่ายไปเอง  เขาผลักร่างตรงหน้าออกราวกับรังเกียจ  พีทเซถอยไปชนกับตู้เสื้อผ้าด้านหลังเสียงดังแต่เขาไม่สนใจ  ร่างสูงใหญ่ยังคงระบายความในใจออกมาไม่ยอมหยุด  หัวใจที่อ่อนล้าเจ็บจนชาไปหมด

“พีทไม่รู้หรอกว่าพี่ต้องเผชิญกับเรื่องอะไรบ้าง  เด็กอายุ 14 ที่ไปอยู่อังกฤษคนเดียว  ถูกนักเลงตามขู่ว่าจะทำร้ายแม่   มันทรมานขนาดไหน   กว่าลุงคริสจะรู้เรื่อง  กว่าพี่จะเป็นอิสระ”

“อะไรนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”  พีทตกตะลึงกับสิ่งที่เขารับรู้เป็นครั้งแรก  นี่มันเรื่องบ้าอะไร....เขางงไปหมดแล้ว

“ใช่!  พี่มันคนใจร้าย  คนไม่รักษาสัญญา  แล้วพีทเคยคิดบ้างไหมว่าพีทไม่ได้เจ็บปวดคนเดียว  พี่ก็ไม่ต่างจากพีทเลย  พี่ไม่เคยโกรธพีทที่ไม่เข้าใจพี่  แต่พีทกลับไม่เคยให้อภัยพี่เลย   ที่ต้องมาแกล้งเป็นคนอื่นก็เพราะไอ้ความเจ้าคิดเจ้าแค้นโกรธไม่เลิกของพีทนั่นแหละ ถ้าพี่เดินเข้ามาบอกว่าพี่กลับมาแล้วพีทจะให้อภัยพี่รึเปล่า  พีทจะยอมรับพี่รึเปล่า  ลองถามตัวเองดูแล้วกัน”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่  พีทกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก  เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้   ไม่เหมือนที่เขาคิดไว้สักนิด

“พะ  พี่  พี่ฮั่น”  พีทเรียกชื่อออกมาในที่สุด 

แต่ ‘ฮั่น’ ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว  เขาไม่ฟังอะไรอีกต่อไป
 
“พี่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว  พีทจะคิดยังไงก็แล้วแต่พีทก็แล้วกัน  พอที!!” 

ร่างสูงเดินรวดเร็วออกจากห้องไป    ความรู้สึกรุนแรงยังพลุ่งพล่านผลักดันให้เขาออกไป   เขาทนไม่ได้แล้ว   เขาไม่ได้คิดไม่ได้วางแผนว่าจะไปที่ไหน   รู้แค่ว่าต้องไปให้ไกลจากที่นี่ให้มากที่สุด  ที่ที่เขาอยากกลับมาตลอดเวลา แต่คนที่นี่ไม่เคยต้องการเขาเลย

ความรู้สึกผิดหวัง  ความเสียใจท่วมท้น  แทบหายใจไม่ออก 

‘บ้าที่สุด’  เขายกมือขยุ้มตรงอกซ้ายไว้  ‘ทำไมมันเจ็บแบบนี้’

ความโกรธเพียงตัวเดียวที่ผลักเขาออกจากบ้าน เขาเดินมาถึงเฟอร์รารี่ที่ยังจอดทิ้งไว้ที่เดิม  ก้าวขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที 
 
พีทวิ่งออกจากบ้านทันเห็นแค่ท้ายรถสปอร์ตที่เลี้ยวออกจากบ้านไปแล้ว  เขาทำอะไรไม่ถูก  มึนงง  สับสนไปหมด 

นี่เขาทำอะไรลงไป



...พี่ฮั่น...







หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 18 page 2 อัพเดต 25/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-07-2014 19:29:47
 :katai5: :katai1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 18 page 2 อัพเดต 25/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 25-07-2014 21:09:29
หวาา ทะเลาะกันซะแล้ว พี่ฮั่นใจเย็นๆนะพีทเค้าไม่รู้เรื่องนี่นาาา
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 18 page 2 อัพเดต 25/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 27-07-2014 20:16:32
19. กลุ้มใจ



เกรซที่ยังอยู่ในงานสังเกตเห็นพีทถูกลากออกจากงานเช่นนั้นก็ยิ้ม  เธอรู้สึกแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นพีทเป็นแบบนี้  ปกติคุณชายคนนี้เคยยอมใครที่ไหน  พีทเป็นตัวของตัวเองมากจนไม่เคยยอมตามใจใคร  เห็นมีแต่พี่ฮัทนี่แหละที่ทำให้พีทต้องยอมทำตามทุกอย่าง

คุณหนูคนสวยจมอยู่กับความคิดตัวเองจนกระทั่งคุณเจมส์เข้ามาสะกิด

“ขึ้นไปกันเถอะลูก”  คุณเจมส์กล่าวพร้อมกับใช้มือรุนหลังลูกสาวตนเองให้ก้าวไปข้างหน้า  เกรซงุนงงที่ถูกดึงให้ขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง 

‘อะไรกัน’

เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลิน  เธอจึงไม่รู้ตัวเลยว่าคุณปีเตอร์และภรรยาได้ขึ้นไปยืนบนเวทีอีกครั้ง ก่อนจะประกาศการหมั้นหมายระหว่างลูกชายของตนกับลูกสาวคนเดียวของคุณเจมส์  เพื่อนรัก

“อะไรนะคะพ่อ ไหนว่าลูกต้องหมั้นเดือนหน้าไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมถึงประกาศกลางงานแบบนี้ละคะ ลูกตั้งตัวไม่ทัน”  เกรซยังขืนตัวไว้ไม่ยอมขึ้นเวที  เธอฉุดแขนผู้เป็นพ่อไว้พลางพยายามอ้อนวอน

“รอก่อนไม่ได้หรือคะพ่อ  ลูกขอร้อง”  ใบหน้าสวยนั้นเริ่มมีน้ำตาคลอ

คุณเจมส์เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาแล้วก็อดสงสารไม่ได้  แต่เขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาเลือกให้ลูกสาวเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว  จึงต้องข่มใจไว้ 

“อย่าดื้อเลยลูกรัก  ไม่ว่าวันนี้หรือเดือนหน้า  ลูกก็ต้องหมั้นอยู่ดี”  คุณเจมส์ตอบพลางจับมือลูกสาวไว้   มืออบอุ่นของผู้เป็นพ่อยื่นมาเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน 

“ลูกสาวแสนสวยของพ่อ  พ่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกแล้ว  เชื่อใจพ่อเถอะ” 

เกรซจำใจต้องเดินตามหลังผู้เป็นบิดาขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง เธอต้องทำตามที่พ่อขอร้องเพราะสายตาของคนนับร้อยภายในงานต่างกำลังจ้องมองมาที่เธอผู้เดียว

เมื่อก้าวขึ้นไปบนเวที  น้ำตาที่กลบตาทำให้เกรซมองเห็นไม่ชัดเจน  เธอกล้ำกลืนน้ำตาร้อน ๆ ของตนเองลงไป  พยายามเรียกความเข้มแข็งของตน   ลูกชายคุณปีเตอร์ที่ยืนอยู่บนเวทีดูคุ้นตาเธออย่างประหลาด  เมื่อเดินเข้าไปใกล้  คนที่ยืนมองตรงมาสบตาเธออย่างแน่วแน่ทำให้เธอตกใจแทบสิ้นสติ 

‘นายแคน!!?’   เกรซรู้สึกชาวาบไปทั้งร่างเมื่อมองเห็นเขายืนอยู่ข้างคุณปีเตอร์
 
‘นี่มันอะไรกัน นายแคนยืนอยู่ตรงนั้น เป็นลูกชายคุณปีเตอร์และเป็นคู่หมั้นของเธอ??’

เกรซมึนงงไปหมดแล้ว   ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมาย  ดวงตากลมโตว่างเปล่าไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป  เธอเพียงแต่ทำตามที่ผู้ใหญ่สั่ง ไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  ไม่รับรู้ว่าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายพูดอะไร  ไม่รับรู้ว่าใครต่อใครกำลังปรบมือแสดงความยินดี   เกรซไม่เห็นใครทั้งนั้น

จนกระทั่งความรู้สึกเย็น ๆ จากแหวนที่สอดเข้ามาที่นิ้วนางข้างซ้าย พร้อมกับแสงแฟลชวูบวาบจากนักข่าวหลายสิบคนเบื้องล่างเวทีทำให้เกรซสะดุ้งอย่างเพิ่งรู้สึกตัว  เงยหน้าขึ้นสบตากับสายตาคมของคนตรงหน้าที่มองมาจับอยู่ก่อนแล้ว

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณหนู” แคนกล่าวเป็นครั้งแรกกับ ‘คู่หมั้น’ ของเขา

---------------------------------------



“พี่อยู่ไหน อยู่ที่บ้านรึเปล่า”

แคนกรอกเสียงไปตามโทรศัพท์น้ำเสียงไม่ร่าเริงเหมือนเคย  เขาโทรหาพี่ฮั่นเพราะมีเรื่องไม่สบายใจ  เสียงอู้อี้ของพี่ฮั่นตอบกลับมาทำให้เขาแปลกใจนิด ๆ เมื่อได้รับคำตอบเขาก็วางสายแล้วเดินออกจากงานเลี้ยงที่ยังดำเนินไปไม่เลิกรา 

ใช้เวลาไม่นานชายหนุ่มก็มาถึงผับหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมือง  เขาเดินผ่านเก้าอี้หนานุ่มตรงไปยังที่ประจำของพวกเขาในผับ  จนกระทั่งพบร่างสูงใหญ่นั่งดื่มอยู่คนเดียวในมุมมืด

“พี่นึกยังไงมานั่งกินเหล้าคนเดียวที่นี่  ทุกทีผมชวนไม่เคยมา จะกลับบ้านท่าเดียว  เป็นอะไรรึเปล่าพี่ฮั่น”  แคนถามพลางทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ 

พนักงานปราดมารินเครื่องดื่มสีอำพันวางให้ตรงหน้าอย่างรู้หน้าที่ แคนยกดื่มทีเดียวหมดแก้ว  เสียงแก้วเปล่าที่วางกระทบบนโต๊ะทำให้ฮั่นเหลือบตาขึ้นมองหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้า

“แล้วนายล่ะมีเรื่องอะไรรึเปล่าถึงยกซดขนาดนี้  มีเรื่องกับคุณหนูรึไง” 

การคาดเดาส่ง ๆ ของเขาทำให้แคนสะอึกไปทีเดียว

“ก็  ก็  ไม่เชิงหรอกพี่  ไม่ได้มีเรื่องกัน...”

“แค่หมั้นกัน เท่านั้นแหละ”

“อะไรนะ!! ไหนบอกเดือนหน้าไง  แล้วหมั้นตอนไหน  อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้” ฮั่นตกใจไม่น้อยกับข่าวที่ได้รับ  ใบหน้าแคนตอนนี้บึ้งตึงทีเดียวทำให้พอจะเดาอะไรได้บ้าง

“เอ้า ชนกันหน่อย”  แคนยกแก้วที่พนักงานเติมเหล้าให้ใหม่ขึ้นชนกับแก้วในมือของพี่ฮั่น ไม่มีแก่ใจจะตอบคำถาม 

ทำไมเขาไม่มีความสุขเลยทั้งที่เขาเพิ่งมีคู่หมั้นสาวสวยมาหมาด ๆ เพราะความโกรธทีเดียวที่เห็นพีทกับเกรซบนเวที  เห็นสองคนนั้นสนิทสนมกัน  จนทำให้ว่าที่คู่หมั้นอย่างเขาแทบทนไม่ได้เมื่อคิดว่าผู้ชายที่ยืนเคียงข้างเกรซควรจะเป็นเขา 

ตั้งแต่เขาแอบไปเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้าน  ภาพทั้งสองคนที่สนิทสนมกัน  หยอกล้อกันเสมอทำให้เขาอยากแกล้งคุณหนู  ทำให้เขาอยากอยู่กวนใจคุณหนูไปนาน ๆ  แต่หลายครั้งก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้  เขาไม่เคยชอบใจเลยเมื่อเห็นทั้งคู่สนิทกัน   พนักงานทุกคนในร้านก็คิดตรงกันกับเขาว่าสองคนนั้นรักกัน  เพียงแต่สถานะของเจ้าของร้านกับนักร้องนำทำให้ทั้งคู่ไม่ยอมรับออกมาตรง ๆ

ความรู้สึกที่คิดว่าเขาเป็นเจ้าของทำให้เขาแทบจะทนเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกันไม่ไหว  อารมณ์อะไรไม่รู้ที่ทำให้เดินไปบอกพ่อให้ประกาศหมั้นทันที พ่องงไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำร้องขอนั้น  แต่พ่อก็ไม่ขัดอะไรเมื่อประกาศกลางงานเลี้ยงว่าลูกสาวคุณเจมส์เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเขา 

แต่เขาคงทำผิดไปเมื่อเห็นเกรซที่ขึ้นมาบนเวที  ใบหน้าคมสวยนั้นดูตกใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าเขาเป็นใคร  เธอปฏิบัติตามที่ผู้ใหญ่บอก  แต่เขาเห็นว่าสายตาของเธอนั้นว่างเปล่าเหมือนไม่รับรู้อะไรแล้ว  มีเพียงตอนที่เขาสวมแหวนให้เท่านั้นที่เธอรู้สึกตัว  เงยหน้าขึ้นสบตาเขา  แววตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความไม่เข้าใจ

แคนเหลือบไปมองที่นิ้วก้อยข้างขวาของตัวเอง  ยังเห็นรอยขาวรอบนิ้วที่เกิดจากแหวนที่เขาใส่ติดนิ้วถูกถอดออก  แหวนทองคำขาวประดับเพชรเม็ดเล็กตามลักษณะของแหวนผู้ชาย  ที่ตอนนี้ไปอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าของดวงตาคมที่มีน้ำตาคลอคู่นั้น   ไม่น่าเชื่อว่าจะสวมลงไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอพอดิบพอดี!

มือที่ถือแก้วเหล้ากำแน่นขึ้นเมื่อนึกถึงแววตาเสียใจของคู่หมั้นตัวเอง

ฮั่นที่นั่งดื่มอยู่สังเกตเห็นอาการนั้นของแคน  แต่เมื่อแคนยังไม่เล่าเขาก็ไม่อยากจะถามอะไร  ลำพังเรื่องของตัวเขาเองก็หนักหนาพออยู่แล้ว 

เพราะอารมณ์โกรธเพียงเท่านั้นที่ทำให้เขาหุนหันออกจากบ้าน  เขาเพียงแต่ทนไม่ได้อีกแล้วที่จะถูกโกรธแบบนี้ต่อไป  สิ่งที่เขาทนมานานหลายปีเทียบไม่ได้เลยกับความเสียใจที่น้องไม่เคยยกโทษให้เขา  มือใหญ่กำแก้วเหล้าแน่นขึ้นก่อนจะยกขึ้นดื่ม  บางทีเหล้าอาจจะช่วยให้เขาลืมความเสียใจได้บ้าง 

---------------------------------



พีทรอพี่ฮั่นกลับมาจนเกือบเช้าก็ไม่เห็นวี่แวว  เขาพยายามกดโทรศัพท์หาแต่กลับไม่มีสัญญาณใด หนุ่มน้อยซุกตัวอยู่ที่ซอกเล็กระหว่างเตียงนอนกับผนังห้อง  ใบหน้าหม่นหมอง  น้ำตาไหลตลอดเวลา  เฝ้าแต่คิดถึงเรื่องราวที่เขาเพิ่งได้ยินจากปากพี่ฮั่น

ไม่เป็นอย่างที่เขาคิดเลยสักนิด  พี่ฮั่นต้องเจออะไรบ้างเขาไม่เคยรู้เลย ไม่คิดว่าคุณปู่ฟงจะทำถึงขนาดนั้น  เขามีเรื่องต้องคุยกับพี่ฮั่นมากมายเหลือเกิน  เขาอยากขอโทษอยากบอกว่าเสียใจ  อยากจะอ้อนวอนอะไรก็ตามที่ทำให้พี่ฮั่นกลับมาและยกโทษให้เขา 

ร่างที่นั่งกอดเข่าอยู่สั่นสะท้าน  เฝ้ารอเสียงอะไรก็ตามที่จะแสดงว่าพี่ฮั่นกลับมาแล้ว 

แต่พี่ฮั่นไม่กลับ  มีแต่ความเงียบที่ดังสะท้อนออกมา 

คนที่นั่งกอดเข่าค่อย ๆ เผลอหลับไป

----------------------------------



เช้าวันถัดมาเมื่อพีทตื่น  สิ่งแรกที่เขาทำคือตรงไปเปิดประตูห้องนอนฝั่งตรงข้าม  แต่ห้องนั้นว่างเปล่าไม่มีร่องรอยว่าพี่ฮั่นกลับมานอนเมื่อคืนนี้  พีทแทบหมดแรงทำอะไรต่อไปเมื่อออกมาจากห้องนั้น  เขาเดินลงไปข้างล่าง  ตรงไปที่ห้องนั่งเล่น  ห้องครัว  ไม่พบใครที่เขาอยากเจอมากที่สุด   

การ์ดสองคนยืนเฝ้าอยู่ที่ชานไม้ริมสระหน้าบ้าน  ใบหน้าของหนึ่งในสองคนนั้นคุ้นตาพีทอยู่บ้าง

“นายชื่ออะไร”  พีทถามการ์ดคนที่เขาคุ้นหน้า

“เคนครับคุณชาย”  ชายร่างสูง  ผมทรงสกินเฮดตอบกลับมา

“ทำไมพวกนายมาอยู่ตรงนี้  พี่ฮั่นล่ะ”  น้ำเสียงถามแสดงความกังวล  อย่าให้เป็นแบบที่เขากลัวเลย

“คุณฮั่นให้พวกเรามาแทนครับ”  น้ำเสียงราบเรียบนั้นตอบอีกครั้ง 

‘อ้อ  การ์ดพวกนี้รู้ตัวจริงของพี่ฮั่นตลอดเลยสินะ มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น’ 

ความน้อยใจพุ่งขึ้นมาอีก  พีทรีบปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป เป็นเพราะเขาเองที่ทำให้ใครต่อใครเข้าใจไปว่าเขายังโกรธพี่ฮั่นอยู่  จนไม่อยากบอกความจริงเขา

“แล้วพี่ฮั่นไปไหน”  เขาถามอีก

“ไม่ทราบครับ  พวกเราได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าคุณชายที่นี่เท่านั้น” การ์ดคนเดิมตอบ

พีททรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดอย่างอ่อนแรง 

‘พี่ฮั่นไปไหน  ทำไมไม่กลับมา’

--------------------------------



รถสีดำคันใหญ่จอดลงที่ช่องจอดประจำ  เคนลงจากรถมาเปิดประตูให้  พีทก้าวขาลงจากรถอย่างเหนื่อยล้า ใบหน้าเรียวนั้นเศร้า  ดวงตาบวมช้ำจากการอดนอนและร้องไห้ทั้งคืน  เขาเดินเร็ว ๆ ไปเข้าห้องเรียนไม่สบตาใคร   

“เฮ้ย พีท ไปทำอะไรมาทำไมตาบวมตุ่ยขนาดนั้น”  พี่โดมทักเขาทันทีที่เห็นหน้า

“นิดหน่อยน่ะ”  คนตาบวมไม่รู้จะตอบยังไง

“มีเรื่องอะไรรึเปล่า บอกพี่ได้นะ”

เสียงพี่โดมเอ่ยกับพีทอย่างอ่อนโยน  แววตาใต้แว่นหนานั้นยืนยันตามคำที่พูด  พีทไม่ตอบอะไร  เขาเอียงตัวพิงศีรษะไว้กับไหล่หนาของพี่โดมเหมือนต้องการกำลังใจ  พี่โดมไม่ว่าอะไรต่อ  ทำเพียงแค่เอื้อมมือมาโอบไหล่เขาไว้  เขย่าเบา ๆ  อย่างปลอบใจ
หลังสิ้นสุดชั่วโมงเรียน  โดมสังเกตเห็นชายแปลกหน้าสองสามคน ยืนบ้าง นั่งบ้างอยู่ใต้อาคารเรียนที่พวกเขาเพิ่งออกมา  เขาหันไปถามพีททันที

“วันนี้พี่ฮัทไม่มาเหรอ” 

พีทไม่ตอบ  ใบหน้าเศร้านั้นสลดลงกว่าเดิม  ซึ่งโดมสังเกตเห็นทันที  เขามองพีทด้วยสายตากังวล 

‘สงสัยทะเลาะกันแหงม ๆ ปกติพี่ฮัทไม่เคยห่างจากพีทเลยสักครั้ง  ท่าทางจะเรื่องใหญ่นะนี่’




พีทยังคงเศร้าอยู่แม้ว่าพวกเขาจะมาซ้อมดนตรีกันตามปกติ ทุกคนในวงต่างก็ถามหาพี่ฮัท  โดยเฉพาะคนตัวเล็กอย่างริท

“พีท พี่ฮัทไปไหนอ่า เราอุตส่าห์รีบมา  เนี่ยวันนี้มีเรื่องเม้าท์ตั้งหลายเรื่อง”  คนตัวเล็กทำหน้ายู่ไปทีเดียวเมื่อเห็นแต่พีทกับพี่โดม

“อยากเม้าท์ก็เม้าท์ให้พี่ฟังก็ได้ไอ้ริท เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่แล้วนะ”

แทนโผล่มาตอนไหนไม่รู้  ใช้แขนเพียงข้างเดียวรวบตัวริทจากด้านหลังแล้วลากถอยหลังออกจากห้องซ้อมไป  เสียงริทดังโวยวายที่โดนลากโดยไม่รู้ตัว  แต่พอลับหายจากประตูไปเสียงโวยวายนั้นกลับเงียบไปดื้อ ๆ ทุกคนในห้องซ้อมส่ายหน้าพลางยิ้มเหมือนเคยชินกับเหตุการณ์แบบนี้   

พีทมองภาพนั้นดวงตาเหม่อลอยไปถึงใครบางคนที่หายไป

-----------------------------------



“เฮ้  โย่ว  Man!  หายไปไหนนานเลย  เจอกันหน่อย”  อึนซอก  เพื่อนลูกครึ่งเกาหลีของพีทส่งเสียงมาตามสาย

“ชวนเกรซมาด้วยนะ พวกเราอยากเจอ”  อึนซอกว่าแล้วก็วางสายไป

พีทหันไปลาพี่โดมอย่างเหงาหงอย  หลังออกจากห้องซ้อมแล้ว เขาเดินกลับไปที่รถพลางกดโทรศัพท์ไปด้วย เสียงเกรซที่ตอบกลับมาเหมือนคนกำลังร้องไห้  แต่เกรซก็ตกลงไปเจอเพื่อนของเขาที่ผับใหม่ที่อึนซอกเป็นคนค้นพบ




เสียงดนตรีแนวเทคโนแดนซ์กระหึ่มในผับขนาดเล็กที่แออัดด้วยนักท่องราตรี   พีทกับเกรซเต้นอย่างบ้าคลั่งอยู่กลางวงเพื่อนไม่ยอมหยุดติดต่อกันหลายเพลงแล้วโดยไม่มีทีท่าจะหยุดพัก

เสียงเพลงช่วยบรรเทาความรู้สึกเจ็บปวดของเขาไปได้บ้างเมื่อใช้เวลาที่มีไปกับการเคลื่อนไหวร่างกาย  ไม่ต้องคิดอะไรอีก  เขาไม่ได้ถามว่าเกรซเป็นอะไร  เพราะดวงตาที่แดงช้ำนั้นก็บอกอะไรได้ดี  เกรซก็ไม่ถามอะไรเขาเหมือนกัน

พวกเขาแค่เต้นไปตามจังหวะดนตรี  เต้นเพื่อให้ลืมความเสียใจเหล่านั้น  แค่ชั่วคราวก็ยังดี

บางครั้งบางคราวพีทก็ตะโกนร้องเพลงไปกับเสียงเพลงที่ดังกลบเสียงร้องไห้ในใจของเขาเอง



-------------------------------




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 19 page 2 อัพเดต 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-07-2014 23:42:02
 :z13:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 19 page 2 อัพเดต 27/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 31-07-2014 18:21:23
20. ทะเล



เกือบตีหนึ่งแล้วเมื่อรถสีดำคันเดิมเข้ามาจอดที่ทางเดินเข้าบ้านริมน้ำ บอดี้การ์ดชุดเดิมลงมาเปิดประตูให้คุณชายที่นั่งหลับตาพิงศีรษะกับเบาะโดยไม่รู้ตัวว่ามาถึงบ้านแล้ว   พีทลืมตาอย่างช้า ๆ  ก่อนจะลงจากรถเดินเข้าบ้าน

เขาไม่ได้ไปร้องเพลงที่ร้านอีก  ได้แต่โทรให้พี่ร็อกกี้เรียก ‘ชิน’ มาร้องแทน  เกรซก็เลิกไปที่ร้านเหมือนกัน  ทั้งคู่ทำเหมือนว่าที่ร้านนั้นไม่มีความหมายอะไรกับพวกเขาอีกต่อไป ในเมื่อพวกเขาไม่มีความสุขที่จะร้อง ไม่มีความสุขที่จะเต้นอีกแล้ว  เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแต่ละวันที่ผ่านไปเขาทำอะไรไปบ้าง เหมือนชีวิตยังดำเนินไปแต่ไม่จดจำสิ่งใด รู้สึกได้แต่ความว่างเปล่า




“เฮ้ พวกนายเป็นอะไร ทำตัวเหมือนคนอกหักเลย”  อึนซอกถามเขากับเกรซในคืนถัดมาหลังจากที่พวกเขานัดเจอกัน  แววตาของอึนซอกมองมาด้วยความห่วงใย 

คำถามนั้นทำให้เขากับเกรซหันมามองหน้ากันอยู่ครู่  แต่ความเงียบคือคำตอบ

เขาออกไปตระเวนราตรีกับเพื่อนกลุ่มเต้นและเกรซเป็นคืนที่สามแล้ว  เกรซถึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้เขาฟัง  คืนที่เขาทะเลาะกับพี่ฮั่น 

ครั้งแรกที่เขาเห็นพี่แคนในคราบของพนักงานเสิร์ฟก็รู้สึกคุ้นหน้า  แต่เพราะรู้ว่าพี่แคนเป็นถึงลูกชายเจ้าพ่อของวงการธุรกิจทางการเกษตรและอาหารส่งออก  ไม่น่าจะมายืนอยู่ในผับวัยรุ่นแบบนั้นทำให้เขาเลิกสนใจต่อ  ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็น ‘พี่แคน’ จริง ๆ  และยังเป็นคู่หมั้นของเกรซอีกด้วย   พี่แคนคิดอะไรอยู่นะถึงได้ทำแบบนี้

“เราถูกหลอกเหมือนกันเลย”

ดวงตากลมโตของเกรซมองมาเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น  แววตาสงสัย  ทำให้เขาตัดสินใจเล่าเรื่องพี่ฮั่นให้เพื่อนฟัง  บางทีอาจจะทำให้ความอึดอัดของเขาลดลงได้บ้าง

“พวกเราจะทำยังไงต่อไป”  เขาถามเกรซไปแบบนั้น 

ใบหน้าเศร้าของเกรซตอบกลับมา




เวลาดึกเช่นนี้ บ้านหลังน้อยก็เงียบสงบเหมือนเช่นทุกวัน แต่ทำไมเขากลับรู้สึกถึงความว่างเปล่ามากกว่าตอนที่เขาอยู่คนเดียวซะอีก ก่อนหน้านี้แค่ไม่กี่เดือนเขายังอยู่ได้   เวลาเหงาก็ออกไปเต้น ไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนในวง แต่ตอนนี้แม้จะออกไปเที่ยวทุกคืน  แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรี มีเพื่อนฝูงล้อมหน้าล้อมหลัง แต่เขากลับเหงา แค่ไม่กี่วันที่พี่ฮั่นหายไป   
 
เหงา.....แทบจะขาดใจ



“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่นายมายืนในบ้านของชั้น แล้วข้าวของพวกนี้ของใคร”

“ก็ผมจะต้องดูแลคุณทั้งเรื่องงานและความปลอดภัย  ผมก็ต้องมาอยู่ที่นี่สิจะได้ทำงานได้สะดวกไง” 

“แต่นี่เป็นที่ส่วนตัวของชั้น ห้ามใครเข้ามาถ้าชั้นไม่อนุญาต ถ้านายอยากอยู่ก็ไปนอนบ้านใหญ่แทนนอย่ามาเสนอหน้าที่นี่!” 



ขายาวก้าวมาหยุดอยู่ที่ห้องนอนฝั่งตรงข้ามห้องตัวเองโดยไม่รู้ตัว  พีทคิดถึงเรื่องวันแรกที่พี่ฮั่นกลับมาอย่างปวดร้าว  ตอนนั้นเขาไล่พี่ฮั่นที่ตรงนี้ 

เขายืนหน้าห้องอยู่นานจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป

ห้องนั้นมีสภาพเหมือนวันที่พี่ฮั่นจากไป เตียงใหญ่ตั้งอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านเป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่มีแฟ้มเอกสารหลายปึกตั้งเรียงไว้

พีทเดินไปนั่งลงที่เตียงใหญ่  รู้สึกหนักหน่วงในใจ ความรู้สึกผิดวนเวียนในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เขาทิ้งตัวไปบนเตียงนุ่ม  นอนคิดเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลาเกือบสองเดือนตั้งแต่พี่ฮั่นกลับเข้ามาในชีวิตเขา คนที่เขาเฝ้ารอคอยให้กลับมาตลอดเวลา 

แต่เป็นเขาเองที่ทำให้พี่ฮั่นจากไปอีก  เพราะเขาทั้งนั้น...

“โธ่โว้ย”

พีทตะโกนออกมาอย่างสุดจะทน  ผุดลุกขึ้นกลับห้องตนเอง  แต่ก่อนออกจากห้องเขาเพิ่งสังเกตเห็นตู้ติดผนังใบหนึ่งดูคุ้นตา  ร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้ตู้ไม้สี่เหลี่ยมที่แขวนอยู่กับผนังห้องใกล้กับประตู   ปกติตู้นี้ติดอยู่ที่ห้องใต้ดินของบ้านใหญ่ที่สร้างไว้เพื่อเก็บรถโบราณหายากหลายรุ่น  เป็นตู้สำหรับเก็บกุญแจรถทุกคันในบ้าน  กุญแจแต่ละดอกจะมีพวงกุญแจทำด้วยไม้เป็นรถจำลองขนาดเล็ก  บอกให้รู้ว่าเป็นกุญแจของรถคันใด   

พีทมองนิ่งไปที่พวงกุญแจรูปบิ๊กไบค์   มอเตอร์ไซค์คันเก่งของเขา

‘อยู่นี่เอง’

ร่างสูงของหนุ่มน้อยเปลี่ยนมาสวมแจ็กเกตหนังสีดำ  สวมถุงมือหนัง เดินออกจากบ้านริมสระตรงไปยังบ้านใหญ่

การ์ดสองคนที่เฝ้าอยู่นอกบ้านตกใจที่คุณชายเดินออกจากบ้านเวลาดึกขนาดนี้ พวกเขาเดินรวดเร็วตามคุณชายไปที่บ้านใหญ่  และหยุดยืนรอที่หน้าประตู  คุณชายเข้าไปเพียงไม่นานพวกเขาก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มก้องมาจากชั้นใต้ดินของบ้าน  เพียงครู่เดียวบิ๊กไบค์ BMW S1000R ก็ขับปราดออกมาจอดกึกอยู่ตรงหน้าพวกเขา 

คุณชายเปิดหมวกกันน็อกสีดำสนิทออก 

“ตามมาสิ”

พีทอยากจะขี่บิ๊กไบค์ไปคนเดียวเหมือนเคย  แต่คำพูดใครบางคนยังก้องอยู่ 

เขาไม่ควรทำให้ใครเป็นห่วง  แม้ว่าคนคนนั้นอาจจะเลิกห่วงเขาแล้วถึงไม่ยอมกลับมา 

เขาเลื่อนหน้ากากหมวกกันน็อกลงแล้วบิดคันเร่งเสียงดัง การ์ดสองคนรีบวิ่งไปที่รถสีดำคันใหญ่  พร้อมกับสั่งการ์ดคนอื่นที่เฝ้าอยู่ด้านนอกให้เตรียมพร้อม   

พีทออกตัวทันทีที่เห็นการ์ดสามสี่คนขึ้นประจำบนรถแล้ว บิ๊กไบค์วิ่งด้วยความเร็วสูงไปตามถนนโทล์เวย์ออกนอกเมือง   เมื่อพ้นจากเขตเมืองได้ครู่ใหญ่   เส้นทางก็เริ่มชันและคดเคี้ยวตามสภาพภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขา  รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เข้าโค้งซ้ายขวาด้วยความเร็วสูงราวกับนักแข่งในสนาม ผิดแค่ว่านี่เป็นถนนจริง ๆ     
 
ดวงจันทร์ลอยต่ำลงในทิศตะวันตกฉายแสงนวลไปทั้งถนนเมื่อถึงทางลาดลงเขาที่คดโค้ง  เวลาเช่นนี้จึงมีรถบนถนนแค่สามคันที่ขับตามกันมา  การ์ดที่ขับรถคันใหญ่อีกสองคันต้องเหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อทำความเร็วตามบิ๊กไบค์ที่วิ่งฉิวอยู่ข้างหน้าให้ทัน

ใช้เวลาอีกแค่สี่สิบนาทีก็เริ่มเห็นแสงระยิบระยับสะท้อนแสงจากดวงจันทร์ทางซ้ายมือ   ถนนสายยาวที่มีภูเขาสูงต่ำสลับกันไปข้างทางเปลี่ยนเป็นพื้นที่ราบที่มีทุ่งหญ้าขึ้นเรียงราย  ซ้ายมือเขามีแสงสะท้อนจากน้ำทะเลวิบวับ  กลิ่นไอเค็มลอยเข้ากระทบจมูก 

ไม่นานบิ๊กไบค์ก็ชะลอความเร็วลง  แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนส่วนบุคคล

ประตูรั้วเปิดรออยู่แล้ว  ยามที่เฝ้าอยู่โค้งให้เขาอย่างคุ้นเคย  มอเตอร์ไซค์คันโตผ่อนความเร็วลงจนกระทั่งจอดสนิทที่หาดทรายกว้าง  แนวหาดทรายสีขาวละเอียดยาวสุดสายตา

ที่นี่เป็นหาดส่วนตัวของเขาเองจึงเงียบสงบ  พีทเป็นเจ้าของตั้งแต่เกิดเพราะพ่อยกให้เป็นของรับขวัญลูกชายคนแรก ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดในบริเวณนี้ยกเว้นบ้านสีขาวหลังน้อยที่ปลูกซ่อนในดงไม้ใหญ่เพื่อไม่ให้ขัดสายตา จากตรงนี้จะเห็นอาคารสีขาวไม่สูงนักตั้งอยู่ลิบ ๆ เป็นโรงแรมขนาดเล็กในเครือของตระกูลหยางที่เน้นการพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ  เรียบง่าย  แต่แฝงไปด้วยความหรูหราและการบริการอันเยี่ยมยอด

พีทถอดหมวกกันน็อกและเสื้อแจ็กเกตสีดำออกพาดบิ๊กไบค์  เหลือเพียงเสื้อยืดสีเข้มข้างใน  เดินไปทิ้งตัวลงบนผืนทราย  เอามือหนุนศีรษะมองท้องฟ้าที่ปราศจากดาว  สายลมเย็นโชยอ่อนพัดพาเอากลิ่นไอทะเลมากระทบร่างที่นอนเหยียดยาว  มืออีกข้างสอดเข้าไปในทรายละเอียด  สัมผัสความเนียนนุ่มของเม็ดทราย   

เขามักขี่มอเตอร์ไซค์มานอนดูดาวที่นี่เสมอเวลาที่ไม่สบายใจ  แต่คืนนี้กลับมองไม่เห็นดาวสักดวง  ท้องฟ้ามืดหม่นเหมือนกับใจเขาตอนนี้   

อีกไม่นานพระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว  ความคิดเขาล่องลอยกลับไปยังคืนก่อนที่เขาทะเลาะกับพี่ฮั่น  ความรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดบีบคั้นเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เขารู้ความจริง   แต่ความเสียใจของเขาไม่อาจเปรียบกับความเสียใจของพี่ฮั่นได้เลย 

‘พี่ฮั่น  พีทขอโทษ  ยกโทษให้น้องชายที่งี่เง่าคนนี้ได้ไหม  กลับมาหาพีทได้ไหม’


พีทกำทรายไว้ในมือแน่น  แต่ทรายกลับไหลออกไปตามช่องว่างระหว่างนิ้วมือเขา พี่ฮั่นอยู่ที่ไหน  ทำไมเขาไม่รู้เรื่องอะไรของพี่ฮั่นเลย พี่ฮั่นไปอยู่ที่ไหนเขาก็สุดรู้  มีแต่พี่ฮั่นที่รู้เรื่องเขา  ทำไมเขางี่เง่าขนาดนี้นะ

“พี่ฮั่นนนนนนนน”

พีทผุดลุกขึ้นตะโกนไปในทะเล   เสียงตะโกนของเขาดังแทรกไปกับสายลม  เขาตะโกนชื่อพี่ฮั่นครั้งแล้วครั้งเล่า  เผื่อว่าพี่ฮั่นจะได้ยิน  เผื่อว่าพี่ฮั่นจะยอมยกโทษให้เขาแล้วกลับมา 

หยดน้ำตาไหลออกจากหางตาช้า ๆ  พีททรุดตัวนั่งซบใบหน้ากับหัวเข่าตนเอง  ไหล่เขาสั่นอย่างรุนแรง  เสียงร้องไห้ของเขากลืนไปกับเสียงคลื่นกระทบฝั่ง 

พีทนั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานเท่าไรไม่รู้   ร่างที่นั่งชันเข่าข้างหนึ่งเหม่อมองไปยังน้ำทะเลสีครามที่สาดซัดเข้าหาฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่าไม่มีวันสิ้นสุด แสงอาทิตย์อบอุ่นเริ่มทอแสงฉาบไปทั่วหาดทรายเงียบเหงาแห่งนี้   

เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อโทรศัพท์มือถือสั่น  มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู  หัวใจพองโตด้วยความหวังว่าจะเป็นพี่ฮั่นโทรมา  แต่กลับต้องห่อเหี่ยวลงอีกครั้งเมื่อหน้าจอเป็นรูปพ่อกับคุณโรส  เขาตัดสินใจกดรับ

“หวัดดีครับพ่อ  โทรหาพีทแต่เช้าเลย   มีอะไรรึเปล่าครับ”  เขาพยายามทำเสียงให้ร่าเริงแต่ภายในใจกลับไม่สดใสเหมือนน้ำเสียง

“พีท  กลับบ้านเถอะลูก  ไปทะเลคนเดียวมันอันตรายนะ” 

ความห่วงใยของพ่อส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์มาถึงเขาเลยทีเดียว พีทไม่แปลกใจที่พ่อรู้ว่าเขาอยู่ไหน  แต่ที่เขาแปลกใจก็คือ  ตั้งแต่พี่ฮั่นมาอยู่ที่บ้าน พ่อไม่เคยโทรมาเพราะเป็นห่วงเลยสักครั้ง  แต่คราวนี้พ่อโทรมา

“ครับ”  เขาวางสายพลางถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย 

พี่ฮั่นคงเลิกห่วงเขาแล้วสินะ  บอดี้การ์ดพวกนั้นถึงต้องรายงานไปที่พ่อ 
 
อากาศตอนนี้กำลังเย็นสบาย ลมพัดอ่อน แสงแดดยังไม่แรงมาก เขาเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีน้ำเงินสด  อยากนั่งอยู่ตรงนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องคิด  ไม่ต้องทำอะไร  เขาไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตโดดเดี่ยวเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

แต่ในที่สุดพีทตัดสินใจกลับ  ร่างสูงกลับไปสวมแจ็กเกตและหมวกกันน็อกอีกครั้ง  เสียงบิดมอเตอร์ไซค์ดังก้องไปทั้งชายหาด    รถยนต์สองคันที่จอดเฝ้าดูเขาอยู่ห่างออกไปค่อย ๆ เคลื่อนรถขับตามมา
 
ขากลับเข้าเมืองใช้เวลานานกว่าเดิม   พีทไม่สามารถขี่ให้เร็วได้เหมือนเมื่อคืนเพราะตาเขาพร่ามัวจากน้ำตาของเขาเอง

-------------------------------



เกือบถึงบ้านแล้วเมื่อโทรศัพท์มือถือสั่นอีกครั้ง  คราวนี้พี่โดมโทรหาเขา  พีทจอดบิ๊กไบค์ที่ข้างทางเพื่อรับโทรศัพท์

“ว่าไงครับ พี่โดม” 

“พีท  พีทมาหาพี่ที่....หน่อยนะ  เอ่อ  พี่  มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” 

เสียงพี่โดมฟังดูแปลกไปกว่าเดิม  ดูลุกลี้ลุกลนพิกล  ทำให้เขาแปลกใจเพราะปกติพวกเขาเจอกันที่มหาวิทยาลัยทุกวันอยู่แล้ว
 
หลังวางสายพีทขี่บิ๊กไบค์กลับเข้าสู่ใจกลางเมืองและหยุดลงที่ตึกแถวแห่งหนึ่งที่ภายในเป็นห้องซ้อมดนตรีที่เก่าโทรม ซึ่งพวกนักเรียนที่หัดเล่นดนตรีมักมาใช้บริการเนื่องจากราคาค่าห้องไม่แพงนัก 

‘แล้วพี่โดมจะนัดเขามาที่นี่ทำไมเนี่ย’

พีทถอดหมวกกันน็อกออก  ผลักประตูกระจกที่แตกร้าวบางส่วนเข้าไปภายใน ห้องซ้อมดนตรีนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลยสักคน

‘แล้วพี่โดมอยู่ที่ไหนกัน’  พีทลองเปิดประตูห้องซ้อมห้องแรกดู

“อ้าวพี่โดม  มาทะ...โอ๊ะ!”

“พีท! พวกนายอย่าทำอะไรพีทนะผมขอร้อง  พีท  พีทตื่นสิ  พีท...”   

เสียงโดมหายไปเพราะถูกใครคนหนึ่งในนั้นเอาผ้ายัดปากเขาไว้   

ร่างของพีทถูกตีที่ท้ายทอยล้มลงตรงประตู  หมวกกันน็อกที่ถือมาด้วยหล่นกระทบพื้นเสียงดัง   

------------------------------




สวัสดีค่า  ขอโทษที่หายไปหลายวัน  พีทถูกตีหัวสลบไปเลย 
แล้วเจอกันค่ะ


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 20 page 2 อัพเดต 31/7/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 02-08-2014 02:15:22
21. ตกอยู่ในอันตราย



คนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมกำโทรศัพท์แน่นขึ้นไม่รู้ตัว  เลือดในกายเย็นเฉียบเมื่อได้รับรายงานจากคนของเขาว่าคุณชายหายเข้าไปในตึกแถวแห่งหนึ่งกลางเมือง  การ์ดที่ตามมาเห็นคุณชายหายเข้าไปด้านในนานผิดสังเกตจึงพังประตูเข้าไปภายในแต่ไม่พบใคร   เจอเพียงแค่มือถือและหมวกกันน็อกของพีทตกอยู่ที่พื้นเท่านั้น

เขาสั่งปิดประชุมทันที   คณะกรรมการทั้งหมดในห้องประชุมหันมามองเขาเป็นตาเดียว  ทุกคนงุนงงที่เขาลุกพรวดพราดออกจากห้องประชุมไปโดยไม่ให้คำอธิบายใด  คนที่เพิ่งออกจากห้องประชุมใจร้อนรุ่มกดโทรศัพท์วุ่นวายขณะที่ขายาวก้าวเข้าไปในลิฟต์ 

“ภายในสิบห้านาทีพวกนายต้องหาพีทให้เจอก่อนที่พวกมันจะลงมือทำอะไร  รายงานทุกระยะ  ผมต้องการรู้ทุกเรื่อง!” เขาตะคอกใส่ปลายสาย 

“โธ่โว้ย!”  มือใหญ่ทุบผนังลิฟต์ซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้น  ข่าวที่ได้ยินทำเขาแทบทรุด  นึกโกรธตัวเองที่ออกจากบ้าน  ทิ้งพีทอยู่กับการ์ดไม่ได้ความพวกนั้น

“พีท อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ” 

เขากัดฟันแน่นพยายามควบคุมอารมณ์  พิงศีรษะกับผนังลิฟต์  ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งเสียใจ  เขาต้องตั้งสติ  ต้องหาพีทให้เจอก่อนจะเกิดอะไรขึ้น  เมื่อลิฟต์เปิดเขาวิ่งออกจากลิฟต์ตรงไปที่เฟอร์รารี่ที่ติดเครื่องรอ  ขับออกไปอย่างรวดเร็ว   

อีกสิบนาทีถัดมาคนของเขาก็ส่งข่าว   

“สายของเราที่ตามฝ่ายโน้นได้ยินพวกมันคุยกันเรื่องโรงแรมนอกเมืองครับ  สายยังบอกอีกว่ามีการส่งคนไปเตรียมสถานที่ตั้งแต่เมื่อวาน  ผมให้คนของเราล่วงหน้าไปก่อนแล้วชื่อโรงแรม.....”

“แล้วความเคลื่อนไหวพวกฝ่ายตรงข้ามล่ะ”

“ยังไม่มีครับ  คาดว่าพวกมันคงจะรอเวลาก่อนจะติดต่อเรามา” ปลายสายตอบ

“ดี  พวกนายเตรียมตัวให้พร้อมไว้  อีกยี่สิบนาทีเจอกัน” 

ฮั่นวางสายไปด้วยความสงสัยระคนหวั่นใจ  โรงแรมที่ได้รับรายงานมาเป็นโรงแรมจิ้งหรีดที่ไม่ค่อยมีใครไปใช้บริการ  อยู่นอกเมืองไปพอสมควร  พวกมันเอาพีทไปไว้ที่นั่นทำไม???

---------------------------------------------



“พีท  พีทตื่นสิ  พีทได้ยินไหม  พีท”  เสียงเรียกดังไม่ไกลนัก 

พีทเริ่มรู้สึกตัวทีละน้อย ปวดหัวทันที   ‘โอ๊ย ไอ้พวกนี้มันชอบตีหัวเขาเสียจริง’

ร่างที่นอนตะแคงบนเตียงเริ่มขยับตัวแต่ก็ทำได้จำกัด  เพราะถูกมัดมือไพล่หลังอยู่  ขาก็ถูกมัดด้วย  พีทขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

“พี่โดม เกิดอะไรขึ้น  แล้วนี่เราอยู่ที่ไหนกัน”

พีทถามพลางก้มลงสำรวจสภาพตนเองและรอบห้อง  ที่นี่เป็นเหมือนโรงแรมเก่าโทรม  เตียงที่เขานั่งอยู่ปูด้วยผ้าขาวที่เก่าจนเป็นคราบเหลืองมีกลิ่นอับ วอลเปเปอร์เก่าลอกจากผนังเป็นแผ่น  เฟอร์นิเจอร์ในห้องมีเพียงโต๊ะเครื่องแป้งและเก้าอี้ซึ่งโดมนั่งอยู่
 
“คงเป็นโรงแรมที่ไหนสักแห่งนอกเมือง  ตอนที่พีทสลบไปพวกมันก็เอาเราสองคนขึ้นรถ  พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราอยู่ที่ไหนแต่คงไกลจากเมืองเพราะนั่งอยู่ในรถนานพอดู”

“พีท  พี่ขอโทษที่ต้องโกหก  อย่าโกรธพี่เลยนะ  พวกนั้นมันไปที่บ้านแล้วจับพี่มา  บังคับให้พี่โทรหาพีทไม่งั้นมันจะทำร้ายพ่อกับแม่  พี่เลยต้องโทรเรียกพีทไปที่ตึกแถวนั่น  พี่ขอโทษนะ” 

เสียงโดมเล่าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ต้องหลอกพีทให้พวกมันจับมา

“ช่างมันเถอะครับ  ผมต่างหากที่ต้องขอโทษพี่โดม  พวกนั้นมันต้องการตัวผมเลยต้องทำให้พี่โดมเดือดร้อนไปด้วย”

“เราจะทำยังไงดี” โดมถามอย่างเป็นกังวล  เริ่มเครียดกับสิ่งใดก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

“เราต้องหาอะไรมาตัดไอ้สายบ้า ๆ  นี่ออกก่อน” 

พีทลองขยับแขนดู  พวกมันรัดแขนเขาด้วยเข็มขัดรัดสายไฟ  ทำให้ไม่สามารถขยับได้เลยแม้แต่นิดเดียว  เขาพยายามขยับจนเข็มขัดพลาสติกเสียดสีข้อมือเขาจนแสบไปหมด  แต่ในห้องนี้ไม่มีอะไรเลยที่คมพอจะใช้ตัดสายพลาสติกที่รัดข้อมือเขาได้

ก่อนที่พวกเขาจะทำอะไรต่อไปประตูห้องก็เปิดออก  เสียงเหี้ยมของชายร่างใหญ่หยุดการเคลื่อนไหวของเขาทั้งคู่

“รู้สึกตัวแล้วเหรอ คุณชาย”  ใบหน้าหยาบกระด้างนั้นเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม 

“กว่าจะตามจับมึงได้  เล่นเอาพวกกูเหนื่อยไปเท่าไร  ถ้ามึงไม่มีค่าหัวแพงขนาดนี้  กูขอยกเลิกไปนานแล้ว  แม่ง”  ผู้ชายร่างใหญ่เดินมากระชากเขาเขย่าจนพีทหัวสั่นหัวคลอนแล้วก็ผลักลงไปบนเตียงอีกครั้ง

“เฮ้ย  มึงสองคนเอาไอ้คุณชายนี่ไปได้แล้ว”  ชายคนเดิมร้องบอก   พวกมันอีกสองคนเดินเข้ามาหิ้วปีกพีทดึงให้ลุกขึ้นยืน  พีทดิ้นไปมาพยายามขัดขืนแต่ไม่เป็นผล

“พีท  พีท”  พี่โดมร้องเรียกเขาอย่างเป็นห่วง

“หุบปากไอ้อ้วน  ไม่งั้นมึงได้เจอดีแน่”  เสียงเหี้ยมขู่พร้อมกับชักปืนขึ้นจ่อขมับของโดม  ซึ่งเงียบเสียงไปทันที 

“ดิ้นนักนะมึง”  สิ้นเสียงนั้น  ชายร่างใหญ่ก็ต่อยเข้าที่ท้อง  เขาจุกจนตัวงอ  พวกมันลากเขาออกไปจากห้อง  ทิ้งให้โดมนั่งมองด้วยความหวั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น

พีทถูกลากเข้ามาอีกห้องหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับห้องเมื่อครู่  ผิดแต่เพียงว่ามีกล้องวีดีโอสามตัวตั้งอยู่รอบเตียง!

‘มันอะไรกัน!’

พีทมองไปที่กล้องอย่างหวั่นใจ  เขาหันไปมองพวกมัน สายตาที่มองกลับมาทำให้เขาถึงกับขนลุก  พวกมันจะทำอะไรกันแน่

“รออยู่ที่นี่ก่อนนะคุณชาย  เดี๋ยวได้สนุกแน่”  พวกมันหัวเราะในลำคอก่อนจะโยนเขาไปบนเตียงอย่างไม่ปรานีปราศัยนัก  แล้วออกจากห้องไป 

เมื่ออยู่คนเดียวในห้องเก่าอับ  ยิ่งทำให้พีทกลัว  กลัวว่าสิ่งที่เขากำลังกลัวจะเป็นจริง 

เพียงครู่เดียวพวกมันก็กลับเข้ามาอีก  พีทที่กำลังพยายามลุกขึ้นยืนถูกผลักให้ล้มลงบนเตียงอีกครั้ง พวกมันคนหนึ่งตามมากดไหล่เขาไว้ไม่ให้ขยับตัวหนี  ในมือมีขวดน้ำติดมาด้วย  ชายอีกคนที่สวมหมวกไหมพรม  ใบหน้ามีหนวดเครารุงรังเดิมอ้อมเตียงมาอีกด้าน 

“เอ้ย  มึงจับปากมันไว้”  ชายคนที่มีหนวดเคราสั่ง 

พีทได้ยินดังนั้นก็ดิ้นรนหนักขึ้นทันที    ร่างที่ถูกมัดยกเท้าขึ้นถีบคนที่พยายามจับหน้าเขาทำให้มันล้มลงไปจากเตียง  เขาพยายามยันตัวลุกขึ้น  แต่กลับถูกกระชากให้หงายลงไปบนเตียงอีกจากคนที่อยู่อีกฝั่ง  หมัดลุ่น ๆ กระแทกเข้าที่ท้องอย่างไม่ปรานี   ฝ่ามือหยาบหนาฟาดลงมาบนใบหน้าฉาดใหญ่  จากนั้นพวกมันก็จับคางเขาไว้แล้วยัดอะไรบางอย่างเข้ามาในปาก 
 
“เฮ้ย  มึงเอาน้ำมา”  ไอ้คนที่มีหนวดเคราร้องบอกพรรคพวก

ผู้ชายคนที่ถูกพีทถีบล้มไป   ลุกขึ้นคว้าขวดน้ำ   พวกมันพยายามกรอกน้ำใส่ปากเขา  พีทใช้ลิ้นดันเม็ดยานั่นออกมาแล้วพ่นทิ้ง   น้ำเข้าปากและจมูกจนเขาสำลัก

“มึงจะกินยาหรือมึงจะกินตีนกู ไอ้หน้าหล่อ!”

เสียงเหี้ยมนั้นถามอย่างเอาเรื่อง  มือหนานั้นหยิบยาขึ้นมาใหม่ คราวนี้มันบีบจมูกพีทไว้  รอจนกระทั่งเขาทนไม่ไหวต้องอ้าปากหายใจ จังหวะนั้นมันก็ยัดยาเข้ามาอีกครั้ง  พวกมันอีกคนก็กรอกน้ำตาม 
 
พีทดิ้นรน  เขาส่ายหน้าไปมาจนพวกมันรำคาญ  ฝ่ามือหนาฟาดลงมาอีกครั้ง  พีทชาใบหน้าทั้งแถบแต่เขาไม่ยอมแพ้  ยังพยายามดิ้นให้หลุดจากมือของพวกมันที่กดร่างเขาไว้  แม้ว่าจะเจ็บปวดจากการถูกพวกมันซ้อมเพื่อให้เขายอมกินยา

ในที่สุดพวกมันก็ยอมหยุดเมื่อไม่สามารถทำให้พีทกลืนยาลงไปได้

“แม่งเอ๊ย”  คนที่สวมหมวกไหมพรมเดินออกจากห้องไปอย่างหงุดหงิดเต็มกำลัง 

พีทใช้โอกาสนี้หายใจ  เขาไอเพราะสำลักน้ำ แสบจมูกไปหมด 

ไม่นานชายคนเดิมก็กลับเข้ามาอีกพร้อมกับลากพี่โดมเข้ามาด้วย!

“พี่  พี่โดม”   พีทครางอย่างตกใจ

“มึงจะกินยาดี ๆ  หรือจะให้ไอ้อ้วนนี่แดกลูกตะกั่วกูแทน  หา!” 

เสียงกร้าวนั้นพูดพร้อมกับจ่อปืนไปที่ขมับของโดม  พีทตกใจแทบสิ้นสติ  มองไปที่พี่โดมที่หลับตาแน่น  เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งตัว 

‘เขาจะทำยังไงดี’

“พลั่ก”  ไอ้คนใจโหดใช้สันปืนตบไปที่ศีรษะโดมอย่างแรง  ร่างอวบของโดมล้มลงกระแทกพื้น  เขาร้องครางอย่างน่าสงสาร 

“มึงจะกินหรือไม่กิน หา! กูไม่มีเวลารอมึงทั้งวันหรอกนะโว้ย” ไอ้คนเดิมจ่อปืนตรงไปที่พี่โดมที่ยังนอนอยู่ที่พื้น 

“กะ กิน  ฉันยอมกินแล้ว  อย่าทำอะไรพี่โดมนะ”  พีทตะโกน

พวกมันยัดยาใส่ปากเขาอีกครั้ง  บีบจมูกเขาไว้พร้อมทั้งกรอกน้ำตามมา  พีทจำใจต้องกลืนยาเม็ดนั้นลงไป  พวกมันเห็นเขากลืนยาลงไปแล้วก็ทิ้งเขาไว้  แล้วลากพี่โดมที่ทรุดอยู่ที่พื้นออกไปด้วย 

“พี่โดม  พี่อดทนไว้ก่อนนะ”  พีทร้องบอกพี่โดมที่ถูกลากออกไป

“มึงไม่ต้องเป็นห่วงไอ้อ้วนนั่นหรอก  มึงห่วงตัวมึงเองจะดีกว่า ไอ้หน้าหล่อ  ฮ่า ๆ”  ไอ้คนใจร้ายหันมาตะคอกใส่เขา  พลางหัวเราะแปลกประหลาดทำให้พีทขนลุก   

‘พวกมันเอายาอะไรให้เขากินกันแน่’
  ความวิตกกังวลค่อย ๆ เกิดขึ้น

“ขอให้มีความสุขนะคุณชาย”  พวกมันพูดส่งท้าย  ทิ้งให้คนฟังกังวลใจมากขึ้นกับประโยคนั้น 

‘มีความสุข?  มีความสุขบ้าอะไรกัน??’


เสียงประตูปิดลง พีททิ้งตัวบนเตียงอย่างอ่อนแรง จุกที่ท้อง ปวดไปทั้งตัวเพราะพยายามขัดขืนพวกมัน  เขาปล่อยให้น้ำตาไหล  ตอนนี้เขาคิดถึงพี่ฮั่นมากเหลือเกิน   เพราะทุกครั้งเวลาเขาตกอยู่ในอันตรายเขามีพี่ฮั่นอยู่ด้วยเสมอ  แต่ตอนนี้...

“พี่อยู่ไหน  ช่วยพีทด้วย”  พีทร้องครางอย่างสิ้นหวัง   

เขานอนนิ่งเอาแรงอยู่ครู่จึงพยายามขยับตัว  สองขาขยับทีละน้อยเพื่อพาตัวเองลงจากเตียง  ตาเหลือบไปมองกล้องวีดีโอที่ตั้งอยู่  คิดอะไรออก

“โครม ๆๆ”

พีทใช้เท้าถีบขาตั้งกล้องพวกนั้นให้ล้มลง  เขาพยายามใช้สองเท้าที่ถูกมัดเตะกล้องให้กระแทกผนัง   เสียงที่ดังโครมครามเรียกให้พวกมันเปิดประตูเข้ามาดู

“บ้าเอ๊ย”

ไอ้คนใจโหดสบถเมื่อเห็นกล้องทั้งหมดตกกระแทกพื้น  มันตรงเข้ามาจับเขาเหวี่ยงไปกระแทกผนังด้านหนึ่ง  พีทที่เท้ายังถูกมัดติดกันปลิวไปตามแรง  ศีรษะกระแทกกับผนังอย่างแรงจนเขามึนงงทรุดลงกับพื้น  พวกมันที่เหลือตรงเข้าไปเก็บกล้องขึ้นมาใหม่แล้วตามมาลากเขาขึ้นไปไว้บนเตียงอีกครั้ง

“ถ้ามึงทำอะไรอีก  ไอ้อ้วนข้างนอกได้แดกลูกตะกั่วกูแน่”  พวกมันขู่แล้วออกจากห้องไป

‘จะทำยังไงต่อไปดี’  พีทคิดอย่างเหนื่อยอ่อน  เขาระบมไปหมดทั้งตัว  เรี่ยวแรงแทบไม่เหลือ  ได้แต่มองไปรอบห้องจนเห็นผ้าม่านสีซีด  ฝุ่นจับ   

‘หน้าต่าง!’

ใช่แล้ว  ถ้าประเมินจากยอดไม้ที่เห็น  เขาคงอยู่ไม่สูงมากนัก  อย่างมากก็คงแค่ชั้นสาม  ถ้าเขากระโดดลงไปจะเป็นยังไงมั่งนะ เขายอมกระโดดลงไปดีกว่าจะยอมเป็นเหยื่อของพวกมัน 

คิดดังนั้นพีทจึงพยายามรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่เคลื่อนตัวทีละน้อย 

ฉับพลันนั้นก็รู้สึกร้อนขึ้นมา 

‘ทำไมมันร้อนแบบนี้’
  จู่ ๆ เขาก็รู้สึกร้อนวูบวาบบริเวณลำตัวลามไปทั่วทั้งร่างกาย  หัวใจเต้นเร็วขึ้น
 
‘นี่เราเป็นอะไร? ร้อน ทำไมถึงร้อนอย่างนี้ ต้องเป็นเพราะยานั่นแน่ ๆ  บ้าชะมัด’


พีทพยายามเตือนตัวเองให้ตั้งสติ  แต่ดูเหมือนไม่ช่วยอะไรเลย เหงื่อเริ่มผุดตามร่างกาย  ร้อนวูบวาบทั่วไปหมด 

เสียงประตูเปิดออกอีกครั้ง  พีทรวบรวมสติกลับมา  ลืมตาขึ้นมอง 

ดวงตาเขาพร่าไปชั่วขณะ  เห็นภาพคนแยกเป็นสองคนแล้วรวมร่างกันใหม่แล้วแยกออกไปหลายร่าง  เขาสะบัดศีรษะ  พยายามมองอีก  คนที่เขามองเห็นแปลกไปจากพวกที่เข้ามาก่อนหน้า   

ชายที่เข้ามาใหม่รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ผิวพรรณขาวสะอาด  แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจแทบสิ้นสติคือ...

นายนั่นมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันร่างกายท่อนล่างไว้!






หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 21 page 2 อัพเดต 2/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 02-08-2014 05:52:16
คราวนี้พี่พีทมาช่วยแล้วแล้ว กวาดล้างไอพวกนี้ให้สิ้นซากซะทีเถอะ ไม่งั้นมันก็ไม่เลิกซะที ตาต่อตาฟันต่อฟันไปเลย
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 21 page 2 อัพเดต 2/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Spelling_B ที่ 02-08-2014 19:10:27
ขอบคุณงับ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 21 page 2 อัพเดต 2/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 04-08-2014 22:12:16
22. บุกเดี่ยว


เฟอร์รารี่สีแดงสดกำลังวิ่งไปบนถนนด้วยความเร็วสูงสุด  ฮั่นได้รับรายงานถึงสถานที่ตั้งของโรงแรมจากสายของเขาที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว 

ซูเปอร์คาร์ลดความเร็วลงเมื่อเครื่อง GPS แจ้งตำแหน่งให้ทราบว่าใกล้จะถึงจุดหมาย ชายหนุ่มหักรถเข้าจอดในพงหญ้าร้างข้างทาง  เขาถอดสูทและเนคไทโยนทิ้งไว้บนเบาะ  พับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเหนือศอกลวก ๆ    คว้าปืนคู่กายพร้อมแมกกาซีนบรรจุกระสุนลงจากรถ 

เขากวาดสายตาไปรอบบริเวณอย่างรวดเร็ว   คนของเขายังมาไม่ถึง ขายาวออกวิ่งลัดเลาะไปยังโรงแรมที่เห็นห่างออกไปทันที

รอใครไม่ได้แล้ว ใจเขาร้อนเหมือนมีใครมาสุมไฟไว้ภายใน  พีทตกอยู่ในอันตราย   
 
บริเวณรอบโรงแรมมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด  รอบด้านมีแต่ป่าและหญ้าขึ้นแน่นขนัด   

‘ใครเป็นคนคิดมาสร้างโรงแรมไว้แถวนี้?’

ฮั่นวิ่งใกล้ถึงตัวโรงแรมแล้วจึงหยุดเพื่อมองหาสายของเขา 

“คุณฮั่น ๆ” 

เสียงเรียกเบาจากทางขวามือทำให้ฮั่นหันไปเพ่งมอง  เขาเกือบจะไม่สังเกตเห็นถ้าชายคนนั้นไม่ยกมือขึ้นโบกเพราะเจ้าของเสียงซ่อนตัวอยู่กลางพุ่มไม้เตี้ยที่มีใบดกหนา 

ร่างสูงใหญ่ย่องเข้าไปใกล้  บริเวณนั้นเต็มไปด้วยหญ้าขึ้นสูงช่วยบดบังพวกเขาได้ดี

“เป็นไงบ้าง”  เขาถามทันที

“ตอนผมมาถึงไม่เห็นคุณชายแล้วครับ พวกมันคงเอาตัวไว้ข้างในโรงแรมน่าจะอยู่ชั้นสองเพราะผมเห็นพวกมันเดินไปมาหลายคน  รอบบริเวณนี้มีคนของพวกมันสักยี่สิบคนกระจายอยู่ทั่วเลยครับ  มีปืนทุกคน  ผมเห็นรถตู้สีดำมาจอดแล้วมีคนลงมา  ท่าทางแปลกเพราะไม่เหมือนลูกน้องพวกมัน  เพิ่งเข้าไปสักสิบนาทีนี่แหละครับ” 

ฮั่นฟังข้อมูลแล้วก็มองสำรวจบริเวณโดยรอบ โรงแรมตรงหน้าเป็นโรงแรมสองชั้น  หันหน้าไปด้านที่ติดกับถนนซึ่งอยู่ซ้ายมือเขา ตัวอาคารเก่าโทรมเพราะขาดการดูแล  มองจากตรงนี้เขาเห็นประตูด้านข้างโรงแรมใกล้กับลานจอดรถ  เขาตัดสินใจทันที

“นายอยู่รอพวกนั้นก็แล้วกัน  ถ้ามากันพร้อมแล้วก็บุกทันที  ผมจะเข้าไปก่อน  ถ้ามีอะไรก็โทรมา” 

“แต่คุณชายครับ  มันอันตรายนะครับ  คนของมันเต็มไปหมด  คุณเข้าไปคนเดียวจะไม่ปลอดภัย”  นายนั่นเตือน

“พีทก็อยู่ในนั้นคนเดียวเหมือนกัน  น่าเป็นห่วงกว่าซะอีก!”

ว่าแล้วคนใจร้อนก็พุ่งตัวออกจากที่ซ่อนทันที  เขามองเห็นลานจอดรถขนาดเล็กที่มีรถจอดอยู่สองสามคัน   คาดว่าน่าจะเป็นรถของพวกมันทั้งหมด อีกคันเป็นรถตู้สีดำตามที่สายเพิ่งรายงาน   คนของพวกมันเฝ้าอยู่สองคนเดินผ่านไปมา  ร่างสูงใหญ่ลอบเข้าไปโดยอาศัยรถที่จอดอยู่เป็นที่กำบัง  เขาย่อตัวซอยเท้าเร็ว ๆ ไปหลบที่รถคันหนึ่ง  มองซ้ายขวาแล้วก็เคลื่อนเข้าไปใกล้มากขึ้นโดยใช้รถที่จอดอยู่เป็นที่กำบังตัวจนไปหยุดที่หลังรถตู้สีดำที่เขาหมายตาไว้   

เขากระชับปืนในมือ  ยืนนิ่ง  รอจังหวะที่พวกมันหนึ่งในนั้นเดินผ่านจึงลอบเข้าไปทางด้านหลัง  ใช้สันปืนกระแทกที่ท้ายทอยทีเดียวมันก็หมดสติล้มลง จัดการลากมากองไว้หลังรถตู้  จากนั้นจึงลอบเข้าไปด้านหลังของยามอีกคน ยามคนที่สองหมดสติด้วยวิธีการเดียวกัน   

รวดเร็ว  เงียบกริบ

เขาหันซ้ายขวา  เมื่อแน่ใจแล้วจึงลอบเข้าไปที่ประตูด้านข้าง  เปิดประตูอย่างเงียบเชียบแล้วค่อย ๆ แทรกตัวเข้าไปภายใน  แสงแดดจ้าด้านนอกทำให้ภาพภายในอาคารมืดไปชั่วขณะ  ก่อนที่เขาจะปรับสายตาได้ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุเย็น ๆ  ที่ท้ายทอย

“มึงเป็นใคร!”

ไม่ต้องรอให้ถามซ้ำ  ฮั่นแทงศอกซ้ายกระแทกไปด้านหลังอย่างแรงเข้าที่ใบหน้าของคนข้างหลังซึ่งเตี้ยกว่าเขา  แล้วหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว  คว้าเสื้อด้านหน้ากระชากเข้ามา  กระแทกเข่าสวนไป  ร่างนั้นงอตัวลงจึงเป็นโอกาสให้เขาใช้สันปืนกระแทกเข้าท้ายทอยถนัดถนี่  ร่างตรงหน้าทรุดลง  แน่นิ่ง 

“ตึง”  เสียงปืนหล่นกระแทกพื้น   เขาก้มลงไปคว้าปืนมันมาอย่างว่องไว   

“เฮ้ย”  พวกมันอีกสองคนโผล่ออกมาเห็นเพื่อนที่นอนนิ่งบนพื้น 

มันเห็นเขาแล้ว!

“ปัง ๆๆ” 

พวกมันยิงใส่เขาทันที  เสียงปืนสะท้อนก้องในโรงแรม   เขาพุ่งตัวเข้าไปหลบที่ตู้ล้อเข็นของแม่บ้านที่วางทิ้งไว้บนทางเดินเพื่อใช้เป็นที่กำบัง
 
‘บ้าชะมัด!  คราวนี้พวกมันรู้ตัวกันหมดแน่’

“เฮ้ย!!  เกิดอะไรขึ้น!” 

เสียงเท้าหลายคู่วิ่งกรูกันเข้ามาภายในโรงแรมหลังจากที่ได้ยินเสียงปืนดังก้อง  พวกมันตะโกนถามกันวุ่นวายและเรียกพรรคพวกให้ตามมาสมทบ

“มีคนแอบเข้ามา  อยู่ตรงโน้น”  เสียงหนึ่งร้องบอก

“ปัง ๆๆ”

พายุลูกปืนที่กระหน่ำยิงมาทำให้เขาต้องหลบ  กระสุนปืนกระทบสิ่งของบนตู้ล้อเข็นแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ  เศษปูนขาวจากผนังถูกกระสุนเจาะปลิวว่อนไปทั่ว

เขากระชับปืนในมือ  มืออีกข้างจับตู้ล้อเข็นไว้แน่น  หัวสมองคิดหาวิธีการอย่างเร่งด่วน  ขยับไปแอบมองดูตามช่องว่างของล้อรถเข็น

โรงแรมนี้ก็เหมือนโรงแรมทั่วไปที่ตรงกลางจะเป็นโถงต้อนรับที่มีเคาน์เตอร์รับแขกอยู่ด้านใน  ตอนนี้พวกมันรวมอยู่ตรงโถงกลางโรงแรม  ยืนจังก้ายิงใส่เขาอย่างไม่กลัวเกรงเพราะพวกของตนมีมากกว่า  บางส่วนซุ่มอยู่ที่เคาน์เตอร์ เยื้องไปทางขวามือเป็นบันไดขึ้นชั้นสอง 

เขาพยายามกวาดสายตาไปโดยรอบ 

‘โคมไฟ!  ได้การล่ะ’
 

ฮั่นตัดสินใจยิงไปที่โคมไฟแก้วระย้าที่ติดอยู่เหนือหัวของพวกมัน 

เพียงนัดเดียว  โซ่เหล็กเส้นหนาที่คล้องโคมไฟขนาดใหญ่ไว้กับเพดานก็ขาด  โคมแก้วระย้าหลุดร่วงใส่พวกมันที่ซุ่มอยู่ด้านล่าง

พวกมันบางคนถูกโคมไฟกระแทกใส่อย่างจัง  บางคนก็พุ่งตัวหลบได้ทัน  โคมแก้วตกกระทบพื้นแตกกระจายไปทั่ว  พวกมันต่างก็กระเจิดกระเจิงออกจากห้องโถง   

เขาใช้โอกาสที่พวกมันเผลอ   ผลักตู้ล้อเข็นวิ่งออกจากที่ซุ่มตรงเข้าใส่  ยิงปืนที่ยึดมาได้เมื่อครู่กราดไปทั่ว  พวกมันเป็นแค่ลูกน้องปลายแถวที่รักตัวกลัวตายเป็นเหมือนกัน  จึงวิ่งหนีลนลานไปด้านนอกเมื่อเจอเขาสวนกลับ 

เขาได้โอกาสวิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว 

“ปัง ๆๆ” 

“โอ๊ย!”  คนที่เฝ้าทางเดินชั้นบนถลันลงมาจึงโดนยิงทันที  มันล้มกลิ้งตกบันไดไป 

เมื่อก้าวไปถึงชั้นบน  ชายในชุดดำร่างใหญ่คนหนึ่งที่ซ่อนกายอยู่มุมบันไดโผล่เข้ามากะทันหัน  เขาตวัดเท้าเตะไปที่ปลายกระบอกปืนก่อนที่มันจะลั่นไก  ปืนหล่นลงพื้นกระเด็นไปอีกทาง  อีกฝ่ายพุ่งร่างใหญ่โตเข้าใส่เขาทั้งตัว  เท้าขนาดใหญ่ของมันถีบเข้าที่ชายโครงทำให้เขาล้มลงไปบนพื้น  ฮั่นพลิกตัวหลบเท้าของมันที่ตามกระทืบซ้ำได้ทันหวุดหวิด  เหลือบสายตาไปเห็นปืนที่ตกบนพื้นจึงกลิ้งตัวไปคว้าปืนที่ตกอยู่ขึ้นมา  ก่อนจะสวนกลับรวดเร็ว

“ปัง!” 

“อ๊ากกกก” 

ร่างใหญ่โตของคนชุดดำตรงหน้าโอนเอนจะล้มเพราะถูกเขายิงสวนเข้าชายโครง   เขาตรงเข้าไปล็อกคอมันจากด้านหลัง  เอาปืนจ่อที่ขมับ  กดลงไป

“น้องกูอยู่ที่ไหน  หา!” 

เขาตะโกนใส่หูมันพลางกดปลายกระบอกปืนแน่นขึ้น  ใจเขาจะขาดอยู่แล้วเพราะความกลัว  กลัวว่าน้องจะเป็นอันตราย

ยังไม่ทันได้คำตอบอะไร  เสียงฝีเท้าอีกหลายคู่กระทบพื้นทำให้เขาต้องหันไปมอง

“ปัง ๆๆ”

พวกมันสาดกระสุนมาโดยไม่ให้เขาตั้งตัว  เขาหันร่างหนาที่ล็อกตัวไว้ใช้เป็นเกราะให้ตัวเองได้ทัน   พวกมันจึงกระหน่ำยิงใส่ร่างเพื่อนของมันแทน  ร่างนั้นกระตุกรุนแรงเมื่อกระสุนเจาะเข้าตามร่างกายนับไม่ถ้วน  กลิ่นเลือดคละคลุ้งเมื่อเลือดจำนวนมากทะลักออกจากร่างที่เขาล็อกอยู่  พวกมันกระหน่ำยิงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาทำให้เขาต้องถอยหลังพลางลากร่างที่เขาล็อกไว้ไปด้วย   ในที่สุดพวกมันต้องหยุดเมื่อเห็นว่าพรรคพวกตัวเองเป็นฝ่ายรับกระสุนแทน   

จากที่ตั้งรับเมื่อครู่   คราวนี้เป็นตาของเขา!

“ปัง”  คนหน้าสุด

“ปัง”  คนถัดมาล้มลงอีก

“ปัง ๆๆ”  พวกมันร่วงลงพื้นทีละคน 

ฮั่นผลักร่างที่ไร้วิญญาณออก วิ่งไปกระชากพวกมันคนหนึ่งที่ทรุดนั่งที่พื้น  มือกุมท้อง  แขนขวามีเลือดอาบ

“มึงเอาน้องกูไปไว้ไหน บอกมา!”

เขาตะคอกถามเสียงสั่นอย่างข่มอารมณ์ไม่อยู่  จ่อปลายกระบอกปืนที่หน้าผากไอ้คนที่มีหนวดเครารุงรัง 

“ไม่รู้”

แม้จะถูกเขาจ่อปืนอยู่แต่ไอ้คนนี้ยังไม่มีความกลัวสักนิด  กลับมองตอบเขาแววตาท้าทาย

“ปัง”

“อ๊ากกกก” 

เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด   เมื่อเขาเปลี่ยนมากดปลายกระบอกปืนยิงใส่ต้นขามันแทน  ระยะยิงใกล้ขนาดนี้  กระสุนจึงทะลุขาฝังลงพื้น 

“มึงจะบอกรึยัง หา!”   

เขาถามเป็นครั้งสุดท้าย   เลื่อนปลายกระบอกปืนมาจ่อที่ใต้คาง   แววตาไม่เหลือความปรานีอีกต่อไป

“ห้องสะ สุดท้าย”  เสียงตอบกระท่อนกระแท่นเพราะความเจ็บปวด 

ฮั่นออกแรงลากมันขึ้นมา ใช้ปืนจี้หัวไว้  แล้วผลักให้มันเดินลากขานำเขาไปที่ห้องนั้น


-------------------------------------


ขอบคุณที่ติดตามค่ะ   







หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 22 page 2 อัพเดต 4/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 05-08-2014 16:42:47
กว่าจะตามทัน อ่านเป็นวันเลย สนุกดีค่ะ รอตอนต่อไป   :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 22 page 2 อัพเดต 4/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 08-08-2014 16:24:58
23. ยา


“อา..อา...”

พีทนอนร้องครวญคราง  ใบหน้าส่ายไปมาเพราะความรู้สึกรุนแรงระเบิดในกายจนแทบทนไม่ได้  ยานั่นกำลังออกฤทธิ์  มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกบางอย่าง  เป็นความรู้สึกต้องการอย่างรุนแรง  เขาคิดอะไรไม่ออก แล้วก็ร้อน  ร้อนไปหมด  เหงื่อออกท่วมตัวจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม  เขาดิ้นพล่านไปมา  ขาที่ถูกมัดถีบไปมาบนเตียงจนผ้าปูเตียงยับย่น   มือที่ถูกมัดไพล่หลังเสียดสีกับสายพลาสติกทำให้บาดเข้าไปในเนื้อลึกขึ้นกว่าเดิม  คราบเลือดเปื้อนบนเตียงกระจายไปทั่วแต่เขาไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด 

เขากำลังทรมาน

คนที่เข้ามาใหม่เดินเข้ามาสำรวจกล้องที่ตั้งไว้อย่างลวก ๆ   กล้องเสียไปหนึ่งตัว  ร่างเกือบเปลือยนั่นจัดตำแหน่งกล้องใหม่อย่างใจเย็น  ปล่อยให้คนที่ถูกมัดดิ้นพล่านต่อไป  ดวงตาที่มองเด็กหนุ่มบนเตียงเต็มไปด้วยความพึงพอใจ 

‘เด็กนี่หน้าตา ผิวพรรณดีทีเดียว ถูกใจเขามาก ท่าทางจะเป็นลูกคนรวย ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง’    คิดพลางยิ้มมากขึ้น
 
อา...เขาชอบจริง ๆ เวลาเห็นคนดิ้นทุรนทุรายเพราะความต้องการอย่างนี้   รออีกนิดเด็กนั่นก็จะหมดแรงไปเอง  เหลือแต่ความต้องการล้วน ๆ ซึ่งเขาจะตอบสนองให้อย่างจุใจเลยทีเดียว  งานนี้ได้ทั้งเงินและได้สนุกกับคนที่เขาพึงใจ  คุ้มจริง ๆ

พีทดิ้นจนเหนื่อย  เขาอ่อนแรงลงทีละน้อยแต่ความต้องการกลับทะยานสูงขึ้นทุกนาทีที่ผ่านไป  เตียงอ่อนยวบตามน้ำหนักของคนที่นั่งปลายเตียง  พีทสะดุ้งเมื่อข้อเท้าถูกยึดไว้   เขาพยายามดิ้นเท่าที่จะพอมีแรงแต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์

“เก็บแรงไว้ดีกว่า  ดิ้นไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก หนุ่มน้อย”  น้ำเสียงยานคางนั้นทำให้คนบนเตียงขนลุกเกรียว 

“แกร๊ก”  สายพลาสติกที่รัดข้อเท้าถูกตัดขาดด้วยมีดพับเล็ก ๆ

พีทพยายามจะขยับตัวหนีทันทีที่เป็นอิสระ ทว่า เขากลับไร้เรี่ยวแรง  เท้าที่เป็นอิสระถีบไปมาบนที่นอนอีกเมื่อความรู้สึกรุนแรงพุ่งขึ้น 

‘ไม่ไหวแล้ว’ เขาเริ่มหายใจแรง

“รู้สึกเป็นไงบ้าง หืม?”  อีกฝ่ายพูดพลางมองสำรวจไปทั่วตัว 

‘ดูยังอายุน้อยอยู่เลย  กลิ่นเด็กหนุ่มช่างหอมยวนใจเขาที่สุด’
 
“ทรมานใช่ไหม”  เขาลากเสียง  เลื่อนนิ้วไปตามใบหน้าเรียวที่ส่ายไปมา...

“เดี๋ยวก็จะรู้สึกดีขึ้นเอง”   คนพูดหัวเราะอย่างหมายมาดอะไรบางอย่าง

คนที่นอนอยู่บนเตียงสติแทบไม่เหลือ  ไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งใด  ดวงตาเริ่มเหม่อลอยไม่โฟกัสที่ใด  เหมือนกำลังเมา  ไม่รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ปฏิกิริยาของร่างกายอยู่นอกเหนือการควบคุมเพราะฤทธิ์ยา  ความทรงจำสุดท้ายเขานึกถึงหน้าพ่อ  คุณโรส 
และพี่ฮั่น

‘พี่ฮั่นช่วยด้วย’


“ปัง ๆๆ ”   

มือที่กำลังจะแตะร่างเด็กหนุ่มชะงัก   

“เสียงอะไร เฮ้ย อะไรวะ ตกใจหมด ใครมายิงประทัดอะไรแถวนี้  ไหนคนจ้างบอกว่าแถวนี้ไม่มีใครไง”  น้ำเสียงนั้นเริ่มหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ

“ปัง ๆๆ” 

เสียงดังอีก   คราวนี้คนที่คิดตอนแรกว่าเป็นเสียงประทัดทำหน้าแปลกใจอีกครั้ง  มันไม่เหมือนเสียงประทัดแต่นี่มัน 

เสียงปืน!!!

ร่างเกือบเปลือยเริ่มละล้าละลังเพราะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก เสียงปืนสะท้อนก้องภายในเหมือนอยู่กลางสนามรบ  ดังรอบทิศเหมือนมีคนยิงกันในโรงแรม  เขาผละลงจากเตียงทันใด  แล้วก้าวไปเปิดประตูเพื่อดูเหตุการณ์ภายนอก 

ทันที่ที่ประตูเปิดออก  พวกนักเลงที่จ้างเขามาก็ล้มลงหน้าประตูพอดี  ชายคนนั้นร้องครวญคราง  ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน

“อ๊ากกก” 

ร่างใหญ่ที่พันผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวรีบถอยหนีจากประตูทันที   นี่มันเกิดอะไรขึ้น  คนข้างนอกกำลังจะฆ่ากันตายแล้ว  เขาต้องหนีก่อนแล้ว  ซวยฉิบ  คิดว่าจะได้เงินกลับต้องมาเจอนักเลงมีเรื่องกัน

ผู้ชายคนหนึ่งถลันเข้ามา  พอเห็นสภาพของเขา   สภาพห้อง   สภาพคนที่นอนอยู่บนเตียง  ไอ้หน้าหล่อนั่นก็ยกปืนเล็งมาที่เขา 

“มึงทำอะไรน้องกู!!!”

“มะ มะ ไม่ได้ทำอะไร”  เขาเกิดติดอ่างขึ้นมาทันทีที่เห็นปลายกระบอกปืนตรงหน้าเหงื่อไหลท่วมอย่างรวดเร็ว 

“มึงทำอะไร  บอกมา!!!”

ฮั่นตะคอกเสียงดัง   มือที่กำปืนแน่นสั่นนิด ๆ เพราะความหวั่นใจ  พวกมันกำลังจะทำอะไร  ทำไมไอ้หน้าขาวนี่ถึงอยู่ในสภาพนี้ แล้วไอ้กล้องบ้า ๆ นั่นอีก

“อา  อา  ช่วย.. ช่วยด้วย” 

เสียงร้องครางกระท่อนกระแท่นจากคนที่นอนบนเตียงทำให้การสอบสวนยุติลง  ฮั่นไม่มีเวลาแล้ว  เขาชกหน้าไอ้หน้าขาวนั่น เพียงหมัดเดียวร่างที่เกือบเปลือยนั้นก็สลบกลางอากาศทรุดฮวบลงกับพื้น  ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

“พีท!”  เขาถลาไปที่เตียงทันที

พีทนอนร้องคราง ใบหน้าแสดงความทรมานอย่างสาหัส  ส่ายหน้าไปมาอยู่อย่างนั้น  มือทั้งสองถูกมัดไพล่หลังอยู่  เท้าที่เป็นอิสระถีบไปมาบนเตียง   ฮั่นจับใบหน้านั้นเขย่าเบา ๆ  พร้อมกับเรียกชื่อไปด้วย

“พีท  พีทเป็นอะไร  ไม่เป็นไรนะ พี่มาแล้ว  พีท  ได้ยินไหม” 

‘พีทเป็นอะไร  ทำไมดิ้นทุรนทุรายอย่างนี้’ 

ดวงตาของพีทลืมขึ้นแต่กลับเหม่อลอยไม่รับรู้อะไร  เมื่อเขาพยายามสอดแขนเพื่อดึงตัวขึ้นมา  พีทกลับผวาเบียดตัวเข้าหาเขา  เขาโอบร่างที่ดิ้นรนไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง  คว้ามีดพับที่ตกอยู่บนเตียงมาตัดสายรัดพลาสติกที่มัดมือพีทออก 

ทันทีที่เป็นอิสระ สองแขนนั้นเอื้อมมากอดเขาไว้พลางเบียดร่างเข้าหา ร่างที่เขาสัมผัสร้อนจัด  พีทที่ไร้สติขยับตัวเคลื่อนบดเบียดกับตัวเขา เสียงร้องครางฟังไม่ได้ศัพท์  นั่นทำให้ฮั่นเข้าใจทันที 

“พีท  ได้ยินพี่ไหม  พีท  ตั้งสติไว้ก่อน”  เขากอดพีทไว้แล้วออกแรงลากร่างที่ขาดสตินั้นลงจากเตียง  ตรงไปที่ห้องน้ำเล็ก ๆ  แล้วเปิดฝักบัว

“พีท  ไม่เป็นไรนะ  ตั้งสติไว้” 

ฮั่นพยายามเรียก  เขาตบหน้าพีทเบา ๆ เพื่อเรียกสติแต่ดูเหมือนไม่ได้ผล  พีทส่ายหน้าไปมา 

น้ำเย็นจากฝักบัวทำให้เขาทั้งคู่เปียกปอนไปด้วยกัน    พีทดิ้นทุรนทุรายเพราะยากำลังออกฤทธิ์  หายใจแรง   ฮั่นต้องรวบแขนพีทไปด้านหลัง  จับไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง  เขากอดร่างที่ดิ้นรนหนักหน่วงนั้นไว้  กดศีรษะที่เปียกปอนของน้องไว้ที่ไหล่   เจ็บแปลบเมื่อคนในอ้อมแขนกัดไหล่เขาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายดิ้นรนด้วยความทรมานทำให้เขาต้องยึดร่างในอ้อมแขนไว้แน่น  รู้สึกถึง
แรงเต้นของหัวใจถี่รัวแนบอกเขา 

“พีทได้ยินไหม  พีทไม่เป็นไรนะ  อดทนไว้  พี่อยู่นี่แล้ว”

เสียงน้ำและเสียงเรียกชื่อดังสะท้อนก้องในห้องน้ำนั้นยาวนาน  สายน้ำเย็นทำให้ร่างที่ดิ้นทุรนทุรายอ่อนแรงลงจนกระทั่งหมดสติไปในที่สุด 

--------------------------------------



ภายในโกดังเก็บของขนาดใหญ่  กลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนล้อมรอบคนสามคนที่อยู่ใจกลาง  ชายหนุ่มที่ยังสวมชุดเดิมตั้งแต่ออกจากโรงแรมยืนหอบ เหงื่อท่วมร่างกำยำจนเสื้อเชิ้ตขาวที่เปื้อนเลือดไปทั่วแนบติดกับลำตัวเห็นกล้ามเนื้อชัดเจน  ฮั่นยืนกำหมัดแน่น  ขบฟันเพื่อสะกดอารมณ์โกรธของตนไว้   
 
เบื้องหน้าเขาคือร่างชายสองคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนักเลงที่ลักพาตัวพีทไปไว้ที่โรงแรม  ทั้งสองอยู่ในสภาพยับเยินเมื่อถูกซ้อมอย่างหนักตั้งแต่ถูกจับมา  แผลที่ถูกยิงมีคนทำแผลให้ลวก ๆ แค่พอห้ามเลือดเท่านั้น    มือและเท้าถูกรัดไว้ด้วยเข็มขัดรัดสายไฟเหมือนที่มันทำกับพีทและโดม  เขาหอบน้อย ๆ หลังจากลงมือซ้อมพวกมันด้วยตัวเอง  เขายังต้องการข้อมูลจากพวกมันอยู่จึงยังต้องยั้งมือไว้

หลังจากที่เอาตัวพีทและโดมออกจากโรงแรมจิ้งหรีดนั่นได้ เขาก็สั่งให้คนถล่มโรงแรมนั่น   พวกมันที่รอดชีวิตถูกจับขังไว้ในโกดัง   ส่วนตัวหัวหน้ากำลังถูกซ้อมแทบปางตายแทบเท้าเขา 

ข้อมูลที่พวกมันพูดออกมาทำให้เขาตกใจ  นิ่งค้างไปนาน  เลือดในกายเย็บเฉียบ  ก่อนที่ความโกรธที่สุดในชีวิตจะระเบิดออกจากกลางอกแล้วแผ่กระจายไปทั่วร่าง  สมองว่างเปล่า ไม่รู้ตัวว่าตะโกนเสียงดังออกไปแค่ไหน

พวกมันต้องการจะแบล็กเมลล์คุณคริส  โดยใช้พีทเป็นเครื่องมือ  มันจะทำให้พีทเป็นดาราหนังประเภทนั้น!!

ฮั่นไม่ทันฟังจนจบ  ไอ้สองคนนั่นก็ถูกซ้อมซ้ำจนหน้าตาแตกยับเยิน  เท้าใหญ่ ๆ ประเคนลงบนตัวพวกมันอย่างลืมตัว   เขาโกรธจนหูอื้อ   คว้าปืนลั่นไกจนหมดแมกกาซีน  พวกมันยังโชคดีที่คนของเขาปัดมือเขาออกได้ทัน  ไม่งั้นคงต้องหาที่ฝังให้พวกมันแทน 

คนของฮั่นที่ยืนเฝ้าดูอยู่ลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวั่นใจ    คุณชายของพวกเขาเวลาโกรธเต็มที่แล้วน่ากลัวชนิดที่ใครก็คาดไม่ถึงทีเดียว  สองคนนั่นต้องซี่โครงหักไปแล้ว  ไม่รู้ว่าเครื่องในจะช้ำขนาดไหน  พวกมันคิดผิดแท้ ๆ ที่รับงานนี้

“รีดข้อมูลมาให้หมด  แล้วเอามันไปเก็บไว้ก่อน  หลักฐานแน่นหนาเมื่อไรค่อยส่งตำรวจ”  เขาสั่งคนของเขาแล้วเดินออกมา 
ยังมีอีกเรื่องที่ต้องสะสาง....ไอ้หน้าขาวนั่น




‘ไอ้หน้าขาว’ ถูกซ้อมจนจมูกโด่งนั่นหักไม่มีชิ้นดี  ฮั่นยั้งมือไว้ได้ทันก่อนที่จะทำให้มันกรามหักจนพูดไม่ได้  เขาเค้นคอจนแน่ใจว่ามันพูดความจริงทั้งหมด

“ผะ  ผม  ยะ ยัง  มะ ไม่ได้  ไร  ละ เลย   มะ ไม่เชื่อ  ก็  ดะ ดู วีดี  โอ  สิ   สะ เสื้อ ผ้า  ก็  ก็  อยู่  อยู่ครบ”

เสียงกระท่อนกระแท่นของไอ้หน้าขาวบอกเขา  ร่างนั้นทรุดอยู่บนพื้น   ยกมือกุมซี่โครงของตัวเองไว้ 

------------------------------------



เฟอร์รารี่พุ่งทะยานไปข้างหน้ารวดเร็ว  แต่คงไม่เท่าจิตใจของคนขับที่ร้อนรุ่มอัดแน่นไปด้วยความโกรธที่ยังคุกรุ่นอยู่ไม่ยอมจางหาย

ไอ้หน้าขาวนั่นถูกส่งเข้าโรงพยาบาลกะทันหันเพราะซี่โครงทิ่มปอด  ใจเสาะจริง ๆ โดนเขาเตะแค่ครั้งสองครั้งก็ทรุดแล้ว   เขาอยากจะบีบคอให้มันตายคามือเขาเสียด้วยซ้ำเมื่อได้ฟังสิ่งที่มันเล่า 

ยานั่นทำให้พีทมีความต้องการอย่างรุนแรง  ภาพที่เขาเห็นน้องดิ้นทุรนทุรายบนเตียงในโรงแรมนั่นคอยหลอกหลอนเขาตลอดเวลา  ถ้าเขาไปไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น

มือที่กำพวงมาลัยแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว  เกือบไปแล้ว....

พวกมันต้องชดใช้อย่างสาสมแน่! 

-----------------------------------


 :mew1: :mew1: :mew1:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 23 page 2 อัพเดต 8/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 08-08-2014 22:04:16
สาวให้ถึงตัวบงการ แล้วจัดหนักไปเลยครับพี่ฮั่น
จะเกี่ยวข้องกับปู่หรือเปล่านะ

แอบน้อยใจแทนคนแต่งนะ
เรื่องสนุกขนาดนี้  กระแสคนอ่านทำไมไม่ค่อยแรงเลย
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 23 page 2 อัพเดต 8/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-08-2014 23:48:29
เพิ่งได้ลองอ่านเรื่องนี้  สนุกค่ะ  สำนวนอ่านแล้วลื่นไหลดี 

ขอบคุณค่ะที่เขียนนิยาย สนุก ๆ มาให้ได้อ่าน  เป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 23 page 2 อัพเดต 8/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Spelling_B ที่ 09-08-2014 22:18:54
ขอบคุณค่ะ   :pig4: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 23 page 2 อัพเดต 8/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 09-08-2014 22:27:07
สนุกค่ะ  o13

ขอบคุณนักเขียน สู้นะคะ เราเป็นกำลังใจให้

รออ่านต่อไป
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 23 page 2 อัพเดต 8/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 10-08-2014 18:46:08
24. ความเข้าใจ


“พีท  เป็นยังไงบ้างลูก”  เสียงอ่อนโยนของพ่อเรียกเมื่อเห็นพีทลืมตาขึ้นช้า ๆ

“พ่อ  คุณโรส”  พีทเรียกด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน  เขาโล่งใจเมื่อเห็นใบหน้าของพ่อและคุณโรส 

‘นี่เขาไม่ได้ฝันใช่ไหม  พ่อกับคุณโรสอยู่ตรงนี้  เขาปลอดภัยแล้วใช่ไหม’


อ้อมแขนอบอุ่นของพ่อสวมกอดเขาไว้แน่น   คริสได้รับข่าวทันทีที่ลงจากเครื่องบินส่วนตัวว่าลูกชายถูกลักพาตัว โชคดีที่ฮั่นตามไปช่วยไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้อภัยตัวเอง 

นานทีเดียวกว่าพ่อลูกจะคลายอ้อมกอด  จากนั้นคุณโรสจึงเข้ามากอดเขาไว้บ้าง

“ไม่เป็นไรแล้วนะจ๊ะ”  คุณโรสเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน  มือบางลูบศีรษะเขานุ่มนวลเต็มไปด้วยความรักเช่นกัน

‘เขาอยู่ในห้องพักผู้ป่วย นี่เขาปลอดภัยแล้ว เขาจำได้ว่าเขาถูกบังคับให้กินยา แล้ว...แล้ว  เกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง’ 

คำถามมากมายมารออยู่  พีทสบตากับพ่อ ...แต่

“พีทพักผ่อนเถอะนะ  พ่อไม่ยังไม่อยากให้ลูกคิดอะไรตอนนี้  หมอบอกว่าลูกต้องพักผ่อนมาก ๆ  เราค่อยคุยกันทีหลังนะลูก” 

แท้จริงแล้วคุณคริสไม่กล้าคุยเรื่องนี้ต่างหาก เขารู้สึกผิดต่อลูกชาย เพราะเขาเป็นต้นเหตุทำให้พีทต้องตกอยู่ในอันตราย  พีทไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้ ให้เขาเจ็บแทนซะดีกว่า

พีทกลืนคำถามเหล่านั้นลงไปเมื่อเห็นหน้าพ่อ  พยายามฝืนยิ้มเพื่อให้ท่านเห็นว่าเขาไม่เป็นไร  แม้ว่าจะยังเจ็บแก้มซีกซ้ายทั้งแถบ

“พีทไม่เป็นไรแล้ว  พ่อไม่ต้องห่วง” เอ่ยพลางยิ้มกว้างขึ้น 

ทั้งสามคนใช้เวลาคืนนั้นด้วยกันในห้องพักผู้ป่วย   พ่อและคุณโรสไม่พูดถึงใครอีกคนราวกับว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีเขาอยู่ 

พีทไม่รู้จะถามพ่ออย่างไร  เขาอยากรู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  ใครไปช่วยเขาออกมาจากโรงแรมนั่น  แล้วพี่ฮั่นอยู่ที่ไหน  ทำไมพี่ฮั่นไม่มา  หรือพี่ฮั่นยังโกรธเขาอยู่  คำถามวนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดคืน

----------------------------



ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออกอย่างเงียบเชียบ  ก่อนจะปิดลงอีกครั้งอย่างแผ่วเบาเพราะไม่ต้องการรบกวนคนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้  ขายาวก้าวไปบนพรมอย่างเชื่องช้าเหมือนลังเล  ผิดกับใจที่ร้อนรุ่ม  กว่าจะกลับไปสะสางเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยก็ล่วงเลยเวลามานานจนใกล้รุ่ง  แต่เขาทนรอให้เช้าไม่ไหวเหมือนกัน  เขาอยากมาดูด้วยตาตัวเองว่าพีทปลอดภัยแล้ว

ระยะทางสั้น ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนแสนไกล  เมื่อเดินเข้าไปใกล้เตียงคนป่วยทีละก้าว  พีทนอนนิ่งใบหน้าตะแคงไปอีกด้าน  ภายนอกดูปกติไม่มีบาดแผลอะไร  เขาก้มมองคนที่นอนอยู่ด้วยสายตารู้สึกผิด  เพราะเขาทิ้งน้องไปวันนั้นทำให้พวกมันจับตัวไป  ถ้าเขายังอยู่น้องคงไม่ต้องเจ็บตัวอย่างนี้  ต้องขบฟันแน่นเพื่อข่มใจเมื่อนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้น
 
‘โชคดีที่ไปทันเวลา’ 

แสงไฟอ่อนจากโคมไฟข้างเตียงทำให้เห็นใบหน้าเรียวที่นอนตะแคง ยังมีรอยแดงเหลืออยู่จาง ๆ 

‘พวกมันทำรุนแรงขนาดนี้’

มือเขาสั่นเมื่อใช้นิ้วไล้ไปที่แก้มอย่างเบามือ  ทันทีที่มือสัมผัส   พีทก็ลืมตาขึ้นเหมือนคนยังไม่หลับ   

ฮั่นชะงัก...หยุดนิ่ง

เมื่อตาสบตากัน  ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่ผ่านมาเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เหมือนเวลาสิบปีที่เต็มไปด้วยความโกรธ  การรอคอยของเขามลายไป เรื่องที่พวกเขาทะเลาะกันเป็นเพียงแค่ฝันร้าย

“พี่ฮั่น”  พีทลุกขึ้นโผเข้ากอดพี่ฮั่นเต็มแรง

‘นี่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม นี่พี่ฮั่นตัวจริงใช่ไหม’

เขาเพิ่งรู้ว่าเขาคิดถึงพี่ชายคนนี้มากขนาดไหน  ช่วงเวลาแค่ไม่กี่วันที่พี่ฮั่นหายไป  ช่วงเวลาที่เขาตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงที่สุดเขานึกถึงแต่พี่ฮั่น  เขามีเรื่องจะพูดมากมายเหลือเกิน 

“พี่ฮั่น  พีท  พีทขอโทษ  ขอโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา  เรื่องที่โกรธพี่   พูดจาไม่ดีกับพี่......”  เขาพูดต่อไม่ได้  ไม่รู้จะพูดยังไงดี  เขาทำไม่ดีตั้งหลายเรื่อง ไม่รู้พี่ฮั่นจะยกโทษให้ไหม  ความรู้สึกผิดมากมายท่วมจิตใจ  น้ำตากลบตาอย่างรวดเร็ว

“พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษพีท พี่ไม่น่าทิ้งพีทไปทำให้พีทต้องถูกพวกมันทำร้ายขนาดนี้” 

แขนแข็งแรงนั้นกอดตอบแน่นเช่นกัน  เสียงพี่ฮั่นสะท้อนอยู่ข้างหูอย่างอ่อนโยน  มือใหญ่ลูบผมเขา  ปลอบเขาเหมือนเมื่อตอนเด็กเวลาเขาร้องไห้   

พีทผละแขนออก
 
“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ  พี่ต่างหากที่เป็นฝ่ายที่เจ็บปวดกว่าผม  ผมเลิกโกรธที่พี่จากไปแล้ว  แต่ผมโกรธที่พี่ไม่กลับมา  ผมรอพี่กลับมาแต่พี่ไม่กลับมาเลย  ฮึก ๆ  ผม...” 

คนพูดเริ่มร้องไห้หนัก สะอึกสะอื้นจนตัวโยน  พีทเอามือปาดน้ำตา  พยายามจะพูดต่อ  เขาต้องอธิบาย  เขาเข้าใจแล้วว่าพี่ฮั่นต้องเผชิญเรื่องร้ายแรงอะไรบ้าง  ที่ผ่านมาเขาคิดถึงแต่ตัวเองจนลืมนึกถึงใจพี่ฮั่น 

“ไม่เป็นไร พีท พี่ไม่เป็นไร  ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”  มือใหญ่ประคองหน้าเขาไว้  พี่ฮั่นสบตาแล้วเอ่ยประโยคนั้นช้า ๆ  พร้อมกับยิ้ม...ยิ้มที่อ่อนโยนที่สุด

“เราดีกันนะ”   

ฮั่นพูดประโยคที่คุ้นเคย  เมื่อก่อนพวกเขาพูดแบบนี้ด้วยกันเสมอเวลาต้องการขอคืนดีกัน   

พีทโผเข้ากอดพี่ชายไว้อีกครั้งแทนคำตอบ 

‘ไม่อีกแล้ว  เขาจะไม่โกรธพี่ฮั่นอีกและจะไม่ปล่อยให้พี่ฮั่นไปไหนอีกแล้ว’ 

ฮั่นเซนิด ๆ เมื่อพีทกอดเขาไว้เต็มแรง   แขนเข็งแรงกอดตอบแน่นเช่นกัน   เขารู้สึกโล่งอก  ความรู้สึกมากมายที่เขาต้องแบกรับมานานหายไปในพริบตา  เพียงแค่ได้กอดน้องไว้

พีทซุกหน้าที่ไหล่หนาของพี่ชาย  เพียงเท่านี้  สิ่งที่เขาต้องการมาตลอดอยู่ในอ้อมแขนเขาแล้ว   พีทคิดอะไรไม่ออกอีก  เขารู้แค่ว่าเขาได้พี่ชายกลับคืนมา

นานทีเดียวกว่าทั้งคู่จะผละจากกัน  พีทเขินนิด ๆ เมื่อนึกได้ว่าตัวเองร้องไห้หนักขนาดไหน   

‘นี่เขาอายุยี่สิบแล้วนะ  มาร้องไห้เป็นเด็ก ๆ ได้ไง’   เขาเหลือบตามองพี่ฮั่น  ‘อ๊ะ  พี่ฮั่นก็ร้องไห้เหมือนกัน’ 

ดวงตาชั้นเดียวของพี่ฮั่นแดงก่ำ มือใหญ่นั้นลูบท้ายทอยของตัวเองไปมา ยิ้มเขินก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง   ถามอย่างห่วงใย

“พีทเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

พี่ฮั่นถามแล้วก็นิ่งไปเมื่อเห็นข้อมือที่พันผ้าพันแผลไว้จนรอบทั้งสองข้าง   พี่ชายเอื้อมมือมาจับข้อมือเขาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมอง  พีทที่มองอยู่ยิ้มให้อย่างปลอบใจเพราะดวงตาพี่ฮั่นที่เงยขึ้นสบ  มีน้ำตาคลอหน่วย 

“ไม่เจ็บเท่าไรหรอกครับ  แค่นี้เองสบายมาก  ดูสิคนป่วยต้องมาปลอบคนเยี่ยมไข้”  เขาพูดแล้วเอื้อมมือมาปาดน้ำตาที่กำลังจะหยดของพี่ชาย

“มานี่สิพี่” 

ฮั่นลุกขึ้นด้วยความงุนงง  หลังคำพูดนั้นพีทก็โอบพี่ชายไว้ทั้งตัว เขาปล่อยตัวเองให้ซบอยู่กับไหล่ที่กว้างไม่แพ้กันของน้องชาย  มือพีทยกขึ้นลูบหลังเขาเหมือนที่เขาเคยทำเวลาเขาปลอบใจพีทตอนเด็ก ๆ

“ที่ผ่านมา  พี่ปกป้องดูแลผมมาตลอด  ต่อจากนี้ไปขอให้ผมได้ตอบแทนพี่บ้างนะ”

“ได้ไง  นั่นมันหน้าที่พี่ตะหาก”  เสียงอู้อี้ของพี่ชายตอบกลับมา  เขาพูดทั้งที่ยังวางคางอยู่ที่ไหล่น้อง

“โห  พี่ที่ไหนขี้แยขนาดนี้ ร้องไห้ยังกะเขื่อนแตก”

คนน้องแซวทำให้ฮั่นรีบผละออก  แต่เมื่อมองเห็นหน้าน้อง  น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลอีกครั้ง  เพราะใบหน้าพีทก็เปียกน้ำตาไม่ต่างจากเขา 

คนทั้งสองสบตาที่มีน้ำตาคลอของอีกฝ่าย  มือของทั้งคู่ยกขึ้นพร้อมกัน  ต่างฝ่ายต่างยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้า
รอยยิ้มทั้งคู่สว่างไสวเมื่อสวมกอดกันไว้อีกครั้ง




เช้าวันถัดมา คุณคริสและคุณโรสที่เดินออกจากห้องพักรับรองที่อยู่ด้านในห้องผู้ป่วยก็ต้องแปลกใจ  เมื่อเห็นพีทหลับบนเตียง  ข้างกันนั้น ‘พี่ชาย’ นั่งเก้าอี้ข้างเตียงซบใบหน้าบนเตียงคนป่วย

ทั้งคู่หลับสนิท

--------------------------------



ขอบคุณ  insomniac,  titansyui, Spelling_B, Onlymin  ที่ติดตามอ่านและให้กำลังใจนะคะ

 :mew1: :mew1: :mew1:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 24 page 3 อัพเดต 10/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Spelling_B ที่ 10-08-2014 21:45:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 24 page 3 อัพเดต 10/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 12-08-2014 21:55:12
25. กลับมาเป็นเหมือนเดิม



เกือบเที่ยงแล้วเมื่อพีทรู้สึกตัวตื่น  เขาหันไปมองข้างเตียงตรงที่พี่ฮั่นนั่งอยู่เมื่อคืนทันที   

พี่ฮั่นไม่อยู่!!

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอจ๊ะน้องพีท”

คุณโรสเดินยิ้มสดใสเข้ามาในห้องผู้ป่วย  ในมือเธอมีลิลลี่ช่อใหญ่  คุณโรสเดินเอาแจกันดอกไม้มาตั้งข้างเตียงแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“คุณพ่อกับพี่ฮั่นไปทำงานแล้วล่ะ” 

“คุณโรส....”  พีทกลับพูดไม่ออก
 
‘คุณโรส  แม่ของพี่ฮั่น’

“พีทขอโทษครับคุณโรส  สำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา  ที่พีทโกรธพี่ฮั่น  ทำตัวไม่ดีกับพี่ฮั่น  ทั้งที่คุณโรสกับพี่ฮั่นไม่เคยโกรธพีทเลย  ทั้งที่คุณโรสยอมอยู่ที่นี่เพื่อดูแลคุณพ่อกับพีท  ทำให้พี่ฮั่นต้องอยู่คนเดียว.....”

คุณโรสเข้ามากอดเขาไว้แน่น  มือบอบบางของเธอลูบผมพีทอย่างอ่อนโยน  เมื่อคุณโรสคลายอ้อมแขนออกแล้วมองหน้า ‘ลูกชายอีกคน’ ของเธอ  พีทน้ำตาคลอ

“น้าไม่เคยโกรธพีทหรอกลูก  พีทก็เหมือนลูกชายน้าคนหนึ่งเหมือนกัน  แล้วพีทก็เป็นน้องพี่ฮั่น  พี่เขาไม่เคยโกรธน้องชายตัวเองหรอกนะ”

คุณโรสบอกพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน   ยิ้มที่เหมือนลูกชายของเธอ

---------------------------------------



โรสแยกออกไปเตรียมอาหารกลางวัน  แต่ก็ลอบมองไปยังหนุ่มน้อยที่วุ่นวายกดโทรศัพท์หาพี่ชายตัวเองด้วยความรู้สึกโล่งใจที่ทั้งสองคนกลับมาดีกันแล้ว   สิ่งที่เธอกับคุณคริสคาดหวังมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา   เธอคิดไปถึงวันแรกที่เดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น  ในฐานะภรรยาคนใหม่ของตระกูลหยางที่ยิ่งใหญ่



ความกังวลใจต่าง ๆ ท่วมล้นหัวใจดวงน้อยของเธอ  โรสกุมมือลูกชายวัยแปดขวบของตนไว้แน่น  กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากคนในบ้าน  กลัวเหลือเกินเพราะเธอไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือยอะไร  เธอเป็นแม่ม่าย  แถมยังมีลูกชายติดมาด้วย
ฝ่ายคุณคริสเองก็เป็นพ่อม่ายเหมือนกัน   โรสได้ทราบว่าเขามีลูกชายวัยกำลังซนคนหนึ่ง  ซึ่งคุณคริสเองกำลังหนักใจเพราะลูกชายนั้นขาดแม่ตั้งแต่เด็กและกำลังจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาเพราะมีอารมณ์รุนแรงเวลาไม่ได้ดังใจ  ขว้างปาข้าวของ  ทำร้ายพี่เลี้ยงจนไม่มีใครทนได้

โรสหวั่นใจเหลือเกินว่าถ้าเธอและลูกชายเข้ามาเพิ่มในครอบครัวอาจจะทำให้ลูกชายคุณคริสยอมรับไม่ได้  มันอาจจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม

คุณคริสพาเธอและลูกเดินไปรอบบ้าน  แนะนำให้เธอรู้จักกับ ‘พี่ฉี’ พ่อบ้านที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่เลี้ยงให้คุณคริสตั้งแต่เด็ก ๆ

“ลูกชายคุณล่ะคะ คริส”  โรสถามในที่สุด  เมื่อพวกเขาสามคนเดินชมบ้านจนทั่ว  กระทั่งมาถึงห้องรับแขกที่มองออกไปเห็นสวนดอกไม้

“ผมขอไปดูน้องนะครับแม่  ลุงคริส”  ใบหน้ากลม  แก้มแดง  ปากแดงอย่างเด็กสุขภาพดีเงยถามผู้ใหญ่ทั้งสองคน

“ไปสิฮั่น อยู่ห้องชั้นบนสุดทางเดินแน่ะ” คริสบอกด้วยรอยยิ้มพลางหันมาสบตาเธออย่างให้กำลังใจ  แววตาที่มีความรักเสมอมาทำให้เธออุ่นใจขึ้น

“แกอยากมีน้องมาตั้งนานแล้วค่ะ”  โรสบอกพลางมองตามหลังลูกชายที่วิ่งขึ้นไปข้างบนอย่างร่าเริง

ทั้งคู่พูดคุยกันในห้องรับแขก  แต่โรสกลับเหลือบตามองไปที่ประตูตลอดเวลาด้วยความกังวลจนคริสต้องเอื้อมมือมาจับมือเธอไว้ 

“มันต้องผ่านไปด้วยดีครับ”

หลังคำพูดนั้น  เสียงหัวเราะของเด็กชายสองคนดังแทรกเข้ามา เรียกสายตาของผู้ใหญ่ในห้อง  ภาพเด็กชายสองคนที่เกาะเอวกันวิ่งอยู่ในสวนทำให้ผู้ใหญ่สองคนยิ้มออกมา  โรสน้ำตาไหลด้วยความโล่งใจ


--------------------------------------



“พี่ฮั่น  พี่อยู่ไหน  พี่ทิ้งผมได้ไงอ่ะ ผมไม่ยอมนะ”

พีทโวยวายไปตามสาย   เมื่อตอนเช้ามืดพี่ฮั่นยังบอกว่าจะไม่ไปไหนแล้ว  แล้วทำไมเขาตื่นมาไม่เจอพี่ฮั่น

“พี่มาทำงาน”  พี่ฮั่นตอบเสียงเบาเหมือนมีพิรุธ

“อะไรอ่ะ  ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นล่ะ  ผมป่วยอยู่นะพี่   พี่ทิ้งผมไปได้ไง  ไม่รู้อ่ะ  พี่รีบกลับมาด้วย” 

โวยวายเสร็จแล้วก็ตัดสายไปเสียเฉย ๆ  แล้วยิ้มกริ่มอยู่คนเดียวที่ได้แกล้ง ‘พี่ชาย’     

ครั้งแรกในรอบสิบปีเชียวนะ

คนเป็นพี่วางสายลงด้วยความงุนงง  แต่เมื่อเงยหน้าไปเห็นดวงตาหลายคู่ที่มองมาที่เขาเป็นตาเดียวก็ต้องแกล้งทำขรึมกลบเกลื่อน   แล้วเริ่มประชุมต่อ

---------------------------------------



รถสองคันเคลื่อนเข้าสู่บ้านหลังใหญ่ที่มีอาณาเขตกว้างขวางตั้งอยู่ใจกลางเมือง  บนเขตเศรษฐกิจที่ราคาที่ดินมีค่ายิ่งกว่าทอง  รถสีดำคันใหญ่จอดสนิทลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่  แต่เฟอร์รารี่ที่ขับตามมากลับขับเลยไปจอดที่หน้าบ้านหลังน้อยริมสระ

คริสยืนมองลูกชายตัวเองที่โวยวายเสียงดังตั้งแต่ลงจากรถเลยทีเดียว เขาส่ายหน้ากับตนเองเพราะไม่รู้จะแก้นิสัยเอาแต่ใจของลูกชายได้ยังไง  แล้วยิ่ง ‘พี่ชาย’ กลับมาแบบนี้   อาการเอาแต่ใจของพีทน่าจะหนักกว่าเดิม

‘เห็นทีจะต้องพึ่งฮั่นซะแล้วล่ะ’  

คริสยิ้มพลางหันไปมอง ‘ลูกชายคนโต’ รายนั้นก็เป็นคนเดียวที่ทั้งยอมตามใจ  แต่ขณะเดียวกันก็มีวิธีทำให้พีทเลิกเอาแต่ใจ  โรสที่เพิ่งลงจากรถเดินมาสมทบข้างเขา  คริสเอื้อมมือใหญ่อบอุ่นมากอดไหล่ผู้หญิงที่เป็นแก้วตาดวงใจของเขาไว้ 

“ผมไม่รู้จะขอบคุณสิ่งที่ฮั่นทำเพื่อพีทได้อย่างไร  มันมากมายเหลือเกิน  ถ้าไม่มีเขาเสียคนพีทคงไม่ได้มายืนอยู่ที่นี่”

“อย่าพูดแบบนั้นสิคะคริส  คุณต่างหากที่ช่วยพวกเราไว้  โรสต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ  ถ้าไม่มีคุณ  ฮั่นอาจจะไม่ได้มายืนตรงจุดนี้คงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้เหมือนกัน” 

คริสต่างหากที่ช่วยเธอและลูกไว้  เมื่อธุรกิจของครอบครัวเธอต้องล้มละลายจากวิกฤตฟองสบู่แตกกลายเป็นหนี้มหาศาล  สามีเครียดจนหัวใจวาย  ก็มีคริสเพียงคนเดียวที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ  ปลดภาระหนี้สินและกอบกู้ธุรกิจของครอบครัวเอาไว้ได้  และยังส่งต่อกิจการนั้นคืนให้ลูกชายของเธอเมื่อเขาโตขึ้น

“เราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่คะ  พี่จะช่วยน้องก็ไม่แปลก  ฮั่นทำถูกต้องแล้วค่ะ”

“งั้นที่ผมทำก็ไม่แปลกใช่ไหม  ก็นั่นลูกชายคนโตของผมเหมือนกันนี่” 

สองสามีภรรยายิ้มให้กันอย่างเข้าใจ  ทั้งคู่ยืนมองลูกชายของตนสักพักแล้วจึงเดินเข้าบ้านไป



“ผมไม่เป็นไรแล้วน่าพี่”  พีทว่าอย่างอ่อนใจขณะเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ เข้าไปยังบ้านของเขา  ตลอดทางจากโรงพยาบาลจนถึงบ้าน  พวกเขาเถียงกันเรื่องที่พีทต้องการกลับไปร้องเพลงที่ร้านในคืนนี้   ในขณะที่คนพี่สั่งห้ามเด็ดขาด

พีทโวยจนเหนื่อย  แต่พี่ฮั่นก็ไม่ยอมสักที

“ไม่ได้ไปที่ร้านตั้งหลายวัน  พี่ร๊อกกี้โทรมาบ่นจนหูจะยานอยู่แล้ว  ผมไม่อยากให้พี่ ๆ ว่าได้ว่าผมไม่มีความรับผิดชอบอ่า” 

“ไปไม่ได้  นายเพิ่งออกจากโรงพยาบาลนะ ตัวยังช้ำอยู่เลย  จะไปทำไม  เดี๋ยวไข้กลับอีก”

คนเป็นพี่เดินตามหลัง  มองจับอยู่ที่เด็กขี้โวยวายที่เดินอยู่ข้างหน้า  ดวงตาชั้นเดียวมีแววเสียใจอยู่ในนั้น  ไม่กล้าพูดต่อว่า  น้องเพิ่งโดนลักพาตัวไปหมาด ๆ ความคิดนั้นทำให้เขาเจ็บปวดอยู่เสมอเมื่อนึกถึง

“ก็ ก็ ผมอยากร้องเพลงนี่”

พีทหันกลับมารวดเร็วแล้วหยุด ทำให้คนที่ตามมาต้องเบรกตัวโก่ง ทั้งคู่หยุดยืนตรงทางเดิน  ฮั่นมองไปที่คนขี้โวยวาย  ใบหน้าเรียวยิ้มเผล่ให้เขา  ดวงตามีแววอ้อนวอน

“ผมอยากร้องเพลง  คงเพราะมีความสุขละมั้ง  ก็พี่ฮั่นกลับมาแล้ว” พีทยิ้มอีก

“ไม่ได้”  ฮั่นกัดฟันตอบกลับไปแล้วหลบตา  เสไปมองสระน้ำด้านหน้า ถ้าขืนเขาสบตาเด็กนี่ต่อ  เขาต้องใจอ่อนแน่

“โห พี่อ่ะ ก็ผมอยากไปนี่  น๊า ให้ผมไปเหอะ นะ  นะครับ”  พีทเริ่มงัดลูกอ้อนออกมาใช้หลังจากที่โวยวายอยู่นานแล้วไม่สำเร็จ   เอื้อมมือไปเขย่าแขนของคนตรงหน้า

“ไม่ได้”

คราวนี้พี่ชายทำหน้ายุ่งเมื่อจำใจต้องปฏิเสธ  พีทหุบยิ้มทันที หน้ามุ่ยไปทีเดียว  ร่างที่สูงพอ ๆ กับเขากำลังจะหันกลับแต่เขาคว้าแขนไว้ก่อน
 
“พีท  รอให้หายดีก่อนเถอะนะ  พี่เป็นห่วงพีท  เราเพิ่งโดนพวกมัน เอ่อ...พี่   พี่ขอเวลาสะสางเรื่องพวกมันก่อน  พี่ถึงจะวางใจให้พีทไปร้องเพลงที่เดิมอีก  พีทรอก่อนได้ไหม”  เพราะกลัว  ทำให้เขาไม่รู้ตัวเลยว่าทอดเสียงอ่อนขนาดไหน

พีทที่หันหน้าไปอีกทางจึงหันหน้ากลับมา  สบตาพี่ชายแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า   ฮั่นจึงปล่อยแขนที่ยึดไว้ให้เป็นอิสระดังเดิม  หนุ่มน้อยหันกลับไปเดินเข้าบ้านต่อ 
 
“ไม่ไปก็ได้  แล้วทำไมพี่จะต้องทำเสียงแบบนั้นด้วยล่ะ ใครอ้อนใครกันแน่เนี่ย”  หนุ่มน้อยบ่นพึมพำอยู่คนเดียว  ทำหน้ายุ่ง  ยกมือเกาหัววุ่นวาย

พีทจำใจต้องโทรไปบอกพี่ร็อกกี้ว่าขอลาต่ออีกหลายวัน  เสียงพี่ร็อกกี้บ่นมาตามสายอยู่นาน  ทำให้หนุ่มน้อยต้องดึงมือถือออกห่างพลางทำหน้ายุ่ง

พี่ชายที่ยืนประกบอยู่ได้ยินเสียงแว่วจากโทรศัพท์ว่า ‘คนดูเรียกร้อง’ ‘ให้ชินมาร้องแทน’ และ ‘รีบกลับมา’

ในที่สุดพีทก็วางสาย   เงยหน้ามามองเขาที่ยืนกอดอกมองอยู่เงียบ ๆ ด้วยแววตาจริงจังเป็นการบังคับกลาย ๆ ตั้งแต่เริ่มโทร 

“พอใจยัง” 

เขาไม่ตอบว่าอะไร  เพียงแต่ยิ้มให้อย่างพอใจที่พีทยอมทำตามที่เขาขอร้อง

---------------------------------------



“พี่โดม อาจารย์ว่าไงบ้างครับ”

พีทถามขณะกำลังนั่งกินอาหารเกาหลีกันในห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมือง   แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปร้องเพลงแต่พี่ฮั่นก็พาเขารวมทั้งพี่โดมออกมาหาอะไรอร่อย ๆ กิน  เป็นการเลี้ยงปลอบใจคนป่วยที่ดูเหมือนจะเข้าทางพี่โดมเป็นพิเศษ   เพราะพีทเห็นพี่โดมเอาแต่กินแทบจะไม่เงยหน้ามาคุยกับใครเลย   พี่โดมยังคงมีผ้าพันแผลที่ศีรษะและข้อมือเช่นเดียวกับเขา

“อาจารย์ให้นายกับพี่ส่งใบรับรองแพทย์  แล้วเราก็มีสิทธิ์สอบเหมือนเดิม”

พีทกับพี่โดมขาดเรียนไปสองวันในวิชาอาจารย์สุดโหดที่ห้ามนักศึกษาขาดเรียนแม้แต่คาบเดียว  ไม่อย่างนั้นจะหมดสิทธิ์สอบ

“เฮ้อ  แล้วไป  ถ้าผมไม่ได้สอบวิชานี้พ่อบ่นตายแน่   แล้วต้องอดไปร้องเพลงอีก  ขนาดตอนนี้...” พีทปรายตามองพี่อีกคนที่นั่งกินเงียบ ๆ “....ขนาดตอนนี้ยังไม่ได้ไปเลย”  เขาต่อจนจบประโยค

ฝ่ายคนที่ถูกพาดพิงถึงกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ใช้ตะเกียบคีบอาหารวางให้ที่จานของน้องชายแล้วคีบส่งเข้าปากตัวเองบ้าง

“ดีแล้วเราเป็นน้องก็ควรจะเชื่อฟังพี่เขาไว้เดี๋ยวพี่ฮั่นหนีไปอีก  คราวที่แล้วใครไม่รู้ร้องไห้หาพี่ตาปูดเชียว”   โดมหันไปพยักพเยิดเล่าให้คนที่กินข้าวเงียบ ๆ   

“เฮ้ย  พี่โดม!” พีทพยายามทำไม้ทำมือห้ามพี่โดมเล่าเรื่องที่เขาร้องไห้หาพี่ฮั่นจนตาบวมไปเรียน   แต่ไม่ทันแล้ว

‘พี่โดมอ่า เอาความลับมาเล่าได้ไง’ 


“หือ ร้องไห้ตาปูด? ”
 
พี่ชายชะงักมือที่กำลังจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วหันไปมองพีท   คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างคาดไม่ถึงก่อนจะเริ่มต้นหัวเราะ

“ไม่ขำนะพี่  ตัวเองเป็นต้นเหตุแท้ ๆ ยังจะขำอีก เดี๋ยวจะโกรธแล้วนะ”  พีทรู้สึกเขินเรื่องที่ตัวเองร้องไห้หนักขนาดนั้น 

‘ก็คนมันเสียใจนี่นา’

โดมส่ายหน้าเมื่อเห็นพีทโวยที่เขาถาม  ทำให้พี่ฮั่นรู้ว่าตัวเองขี้แยขนาดไหน 

‘เจ้าพีทเอ๋ย ไม่ทันแล้วล่ะ’ 

เขาคีบอาหารเข้าปากแล้วมองไปที่สองคนตรงข้ามที่นั่งเถียงกันอยู่ สองคนนี้คงคิดถึงกันมากเพราะตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวด้วยกัน โดมเห็นพี่ฮั่นกับพีทพูดคุย  หัวเราะด้วยกันอยู่ตลอดเวลา  เหมือนลืมไปว่าเขาก็นั่งอยู่ด้วย  ปล่อยให้เขากินอาหารไปเรื่อย ๆ  นานพอดูกว่าพีทจะหันมาถามเขาเรื่องเรียน   
 
พีทเล่าเรื่องพี่ฮั่นให้เขาฟังทั้งหมดตอนที่พวกเขาอยู่ที่โรงพยาบาล โดมแทบจะตบเข่าฉาดทีเดียวตอนที่รู้ว่า  พี่ฮั่นคือพี่ชายที่ไปอยู่อังกฤษนานถึงสิบปี 


“พี่ก็คิดอยู่ว่าทำไมพี่ฮั่นถึงดูแลและเป็นห่วงพีทมากผิดปกติ เกินกว่าบอดี้การ์ดธรรมดา” 

พีทบอกว่าตัวเองนั้นจำพี่ฮั่นตอนอายุ 14 ได้แม่น  แต่พี่ฮั่นที่พีทเจออีกสิบปีถัดมาทำให้เขาลังเล  เพราะพี่ฮั่นไม่ได้เจ้าเนื้อเหมือนตอนวัยรุ่นแต่ตัวสูงใหญ่ ใบหน้านั้นแม้จะคล้ายเดิมแต่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยตามวัย แล้วพ่อกับพี่ฮั่นก็ไม่ยอมบอกความจริงทำให้เขาสับสนอยู่นาน

“พีททำเหมือนจะบอกพี่ว่าถ้าพ่อพีทบอกว่าเป็นพี่ฮั่น พีทจะหายโกรธงั้นสิ” เขาจำได้ว่าย้อนพีทไปแบบนั้น


“ไม่รู้เหมือนกัน  ผมไม่ได้คิดไว้นี่”  พีททำหน้าสลดตอบกลับเขา

“คราวนี้นายก็อย่าดื้อ  อย่าเอาแต่ใจมากล่ะพีท ไม่งั้นพี่เขาทนไม่ได้ขึ้นมาหนีไปแล้วนายจะร้องไห้ขี้มูกโป่งมาฟ้องพี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วนะ”



โดมทำหน้าตาสลักสำคัญเมื่อกล่าวประโยคตักเตือนนั้น    เห็นทีเขาต้องแอบไปกระซิบพี่ฮั่นสักหน่อย  ให้สั่งสอนเจ้าเด็กเอาแต่ใจนี่ให้เข็ด 

แต่ตอนนี้   เมื่อเขาเห็นพี่ฮั่นกับพีทตั้งแต่เจอกันมาจนถึงเดี๋ยวนี้  เขาก็ต้องเปลี่ยนใจ 

พีทน่าจะอาการหนักกว่าเดิม  เพราะตั้งแต่เขาเจอหน้าสองคนนี้   คนเป็นพี่ไม่เคยขัดอะไรพีทสักอย่างเดียว   ตามใจยิ่งกว่าตอนเป็นพี่ฮัทซะอีก

‘ก็ต้องคอยดูกันต่อไป’  โดมได้ข้อสรุปในที่สุด



-----------------------------------



  :mew3: :mew3: :mew3:





หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 25 page 3 อัพเดต 12/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 13-08-2014 12:20:11
ขอบคุณค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 25 page 3 อัพเดต 12/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: green1313 ที่ 13-08-2014 19:39:34
สนุกมากกก มาเป็นกำลังใจให้คนแต่ง อย่าหายไปน่ะ รอตอนต่อไปอยู่ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 25 page 3 อัพเดต 12/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 13-08-2014 19:57:15
ขอบคุณจ้า 
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 25 page 3 อัพเดต 12/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 13-08-2014 20:39:04
26. เรื่องบนเตียง


ฮั่นเพิ่งออกจากห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูนอกห้อง ร่างที่ยังเปียกน้ำพันผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียวเดินไปเปิดประตู

“เฮ้ย ทำไมพี่ไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยล่ะ”

พีทที่ยืนอยู่หน้าห้องหันหน้าหนีคนที่เปิดประตูให้ทำให้ฮั่นยิ้มนิด ๆ ที่คนน้องโวยวาย   แปลกตรงไหนที่เขานุ่งผ้าเช็ดตัวมาเปิดประตูให้  ก็คนเพิ่งออกจากห้องน้ำ   

“เข้ามาสิ”  เจ้าของห้องว่าพลางเดินไปเช็ดตัวเร็ว ๆ แล้วคว้ากางเกงนอนมาสวม

พีทที่สวมชุดนอนเรียบร้อยเดินถือหมอนเข้ามาด้วย  เขาเดินไปนั่งบนเตียง
 
“มานอนด้วย”  เขาว่าง่าย ๆ วางหมอนลงแล้วก็ทิ้งตัวลงนอน   ดวงตาจับอยู่ที่ด้านหลังของพี่ชายที่กำลังค้นเสื้อนอนอยู่  แผ่นหลังกว้างนั้นเต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นรูป  V shape  สวยงาม 

‘สาว ๆ เห็นคงกรี๊ดสลบ’
  คนเป็นน้องคิดในใจ

“ทำไม  กลัวผีเหรอ”  คนพี่ถามแล้วแอบอมยิ้ม  ตั้งแต่เขาแอบเข้าห้องพีทตอนดึก ๆ   พีทเปิดไฟหัวเตียงทิ้งไว้ทุกคืน  โรคกลัวผีนี่เป็นตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยหาย

“กลัวที่ไหน  ผมไม่กลัวผีแล้ว  ผมมานอนเป็นเพื่อนพี่ต่างหาก”  คนไม่กลัวผีว่า

“ให้มันจริงเหอะแล้วนอนเปิดไฟทุกคืนทำไม  ถ้าไม่กลัวผี  กลัวความมืด หืม?”  พี่ชายเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงพลางก้มมองคนที่นอนเถียงเขาอยู่

“แล้วพี่รู้ได้ไงว่าผมนอนเปิดไฟอ่ะ”  พีทกลับย้อนเขา  แววตาใคร่รู้

“เอ่อ” 

‘เอาล่ะสิ จะตอบยังไงล่ะเนี่ย’
  เขายกมือปัดผมไปมาเพราะจนด้วยคำตอบ  จะให้บอกว่าแอบเข้าห้องน้องบ่อย ๆ ก็เพิ่งรู้สึกว่ามันแปลก ๆ อยู่  พีทจะว่ายังไงนะถ้ารู้เรื่องนี้

“ก็เห็นแสงลอดออกมาไง”  ในที่สุดก็หาข้ออ้างได้

“โธ่  นึกว่าแอบเข้าห้องผมตอนดึก ๆ ซะอีก” 

‘เฮ้ย เดาถูกด้วยแฮะ’ 

คนพี่สะดุ้งอยู่ในใจ แต่แววตาของพีทที่เขามองเห็นนั้นไม่ได้แฝงความนัยอะไรไว้  ฮั่นทรุดตัวนั่งข้างเตียง  คว้าข้อมือน้องมาดู
 
“นี่ อาบน้ำแล้วทำไมปล่อยให้ผ้าพันแผลเปียกแบบนี้เนี่ย  เดี๋ยวแผลก็ไม่แห้งสักที” 

พี่ชายบ่นเสร็จก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อหยิบกล่องอุปกรณ์ทำแผลขึ้นมา  พีทยังนอนอยู่ท่าเดิมเมื่อคนเป็นพี่เดินกลับเข้ามาในห้องนอนแล้วเริ่มต้นทำแผลใหม่ให้เขา  หนุ่มน้อยจ้องมองพี่ฮั่นที่กำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาอย่างเบามือ

‘ทำไมพี่ฮั่นถึงดีกับเขาแบบนี้นะ’

“เอาล่ะ  เสร็จแล้ว”  ใบหน้าที่ก้มทำแผลนั้นเงยขึ้นแล้วยิ้มให้ 

“ขอบคุณครับ”  พีทยิ้มตอบมาตาหยี 

คนเป็นพี่เดินเอากล่องยาไปวางไว้ที่โต๊ะแล้วเดินอ้อมเตียงไปอีกด้าน

“พี่นอนดิ้นนะ” คนนอนดิ้นว่าเมื่อล้มตัวลงนอนบ้าง ซ่อนใบหน้าอมยิ้มของตัวเองไว้เมื่อนึกเรื่องสนุก ๆ ได้  เตือนพีทไว้ก่อนเผื่อน้องตื่นมากลางดึกจะได้ไม่ตกใจ  แต่ขออย่าให้คนขี้เซาอย่างพีทตื่นตอนดึกเลยจะดีกว่า 

“ไม่เห็นจำได้เลย” พีทหันมาทางพี่ฮั่นที่ดูวุ่นวายจัดผ้าห่มให้เขาและตนเอง




หลังจากปิดไฟแล้ว ไม่มีใครพูดอะไรอยู่ครู่ จนกระทั่งพีททำลายความเงียบขึ้น

“ผมขอโทษนะ”   พีทพูดลอย ๆ ในความมืด 
 
“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ก็...ก็ทุกเรื่อง”

น้ำเสียงติดขัดนั้นทำให้คนฟังเข้าใจทันทีว่า  พีทกำลังเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา  ดีนะที่พี่ฮั่นปิดไฟแล้วทำให้เขากล้ามากขึ้น  เขาอยากขอโทษพี่ฮั่นอีกหลายครั้งกับหลายเรื่องที่เขาทำให้พี่ฮั่นเสียใจ  ตั้งแต่คืนนั้นที่พวกเขาทำความเข้าใจกัน  พีทยังไม่มีโอกาสเลย  ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไรเขาก็ยิ่งสำนึกได้ว่าพี่ฮั่นทำอะไรมากมายเพื่อเขา  ในขณะที่เขาก็ทำอะไรมากมายที่ทำร้ายจิตใจพี่ฮั่น

“พี่บอกแล้วไงว่าพี่ไม่โกรธเราน่ะ” 

“แต่ผมทำไม่ดีกับพี่หลายเรื่องนี่  ขอโทษกี่ครั้งก็ไม่หมดหรอก”

“ถ้าไม่เลิกขอโทษ  พี่จะโกรธจริง ๆ นะ”  เขาทำเสียงเข้มขึ้นมา

“โธ่ พี่อ่ะ คนกำลังสำนึกผิดนะ” 

พีทว่าเสียงอ่อน  ทำให้ฮั่นอยากเห็นหน้าคนที่ทำเสียงนั้นตงิด ๆ ตอนนี้เจ้าตัวคงกำลังทำหน้างออยู่แน่ ๆ

“เอาล่ะ เลิกคิดมากแล้วก็นอนได้แล้ว”  เขาพูดแล้วก็เอื้อมมือไปวางบนผมนุ่มของคนที่นอนข้างเขา  ลูบไปมา

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งหนึ่ง 

“ตอนพี่ไปอยู่อังกฤษ  เอ่อ  เป็นไงบ้าง  เล่าให้ผมฟังได้ไหม”  เสียงพีทเอ่ยถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“จะรู้ไปทำไม พี่ไม่อยากไปนึกถึงมันอีกแล้ว มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว” 

เสียงเรียบเฉยของพี่ฮั่นตอบกลับมาเหมือนรู้สึกแบบนั้นจริง  แต่พีทยังอยากรู้

“คุณปู่ส่งคนไปขู่พี่ที่อังกฤษจริงเหรอ” 

เสียงพีทขยับตัวบนที่นอน  ในความสลัวรางนั้นเขาเห็นพีทเปลี่ยนมานอนตะแคงหันมาทางเขา  ตาวาว ๆ ในแสงสลัวมองมาที่เขานิ่ง

“อืม” 

“ตอนนั้นพี่ลำบากมากไหม”

“พวกนักเลงนั่นไม่ได้ทำอะไรพี่หรอก  เขาแค่ส่งมาคุมไม่ให้พี่ติดต่อกับใครที่บ้าน  พี่โดนยึดพาสปอร์ต จะไปทำใหม่ก็ไม่ได้เพราะพวกนั้นตามประกบตลอดเวลา พวกมันขู่ไม่ให้พี่บอกใคร ไม่งั้นแม่จะมีอันตราย  แต่เขาก็ห้ามไม่ให้ลุงคริสกับแม่มาเยี่ยมพี่ไม่ได้เหมือนกัน”

“เวลาลุงคริสกับแม่ชวนให้กลับบ้าน  พี่ต้องโกหกว่าติดเรียนบ้าง ไปซัมเมอร์แคมป์บ้าง  ซ้อมกีฬาบ้าง  เพราะพี่บอกท่านไม่ได้ว่าพาสปอร์ตโดนยึดไป  พี่กลัวแม่จะไม่ปลอดภัยตามที่พวกมันขู่  ตอนนั้นพี่ยังเด็ก  ไม่รู้จะทำยังไงก็จำเป็นต้องทำตาม”

หลังจากที่ลุงคริสรู้ว่าคุณอาของตัวเองส่งคนมาคุมเขาที่อังกฤษอยู่นาน   ลุงคริสโกรธมาก  มากแบบที่เขาไม่เคยเห็นลุงคริสโกรธขนาดนี้มาก่อน  ลุงคริสบินกลับทันที  เขาไม่รู้ว่าลุงคริสจัดการอย่างไร  แต่อีกสัปดาห์ต่อมาพวกนักเลงนั่นก็หายตัวไปและเขาก็ได้พาสปอร์ตคืน   

“ทำไมคุณปู่ถึงไม่อยากให้พี่ฮั่นกลับบ้าน  ไม่ให้ติดต่อใครที่บ้านล่ะ  ผมไม่เข้าใจ”  พีทถามอีก

เขาถอนหายใจ  เขากำลังคิดว่าจะตอบคำถามพีทอย่างไรดี เรื่องพวกนี้ควรจะเก็บให้ตายไปกับวันเวลาที่ผ่านไป หรือควรจะเล่าให้พีทได้รับรู้เอาไว้  เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเรื่องเก่าพวกนี้ถึงเป็นต้นเหตุให้เขาต้องเผชิญเรื่องร้าย ๆ มาหลายปี

“พี่บอกมาเถอะ  ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครบอกอะไรผมสักอย่าง  ผมต้องอยู่กับความเข้าใจผิดมาตั้งนานจนทำอะไรไม่ดีไปตั้งหลายอย่าง  คราวนี้ผมขอรู้ความจริงบ้างได้ไหมพี่ฮั่น...” พีทเอื้อมมือมาจับแขนเขาเขย่าเบา ๆ น้ำเสียงอ้อนนั่นทำให้เขาใจอ่อน

“มันเป็นเรื่องตั้งนานมาแล้ว  พี่ก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานเท่าไร” 

“แม่เล่าว่าเมื่อก่อนคุณตากับคุณยายของพี่กับ ‘เขา’ เป็นเพื่อนรักกันมาก  พวกเขาสามคนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก” 

‘อะไรนะ  คุณปู่น้อยเป็นเพื่อนกับคุณตาคุณยายของพี่ฮั่น!’

พีทตกใจกับเรื่องที่เขาเพิ่งได้รับรู้เป็นครั้งแรกแต่ยังกลั้นใจฟังพี่ฮั่นพูดต่อ  เขาขยับตัวไปใกล้พี่ฮั่นมากขึ้น

“แม่บอกว่าตอนที่คุณตากับคุณยายตกลงใจจะแต่งงานกัน เขาเสียใจมาก  ทุกคนตกใจที่เห็นเขาเสียใจขนาดนั้น  ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าเขาแอบรักคุณยายอยู่  เขาทะเลาะกับคุณตารุนแรง  เขาโกรธคุณตามาก  หลังจากนั้นเขาก็ตัดความเป็นเพื่อนกับคุณตาคุณยาย  ไม่ว่าคุณตาคุณยายจะทำอย่างไรเขาก็ไม่ยอมยกโทษให้  คุณยายก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงโกรธไม่เลิก  คุณแม่เองก็รู้เพียงเท่านี้”

“ตอนแรกคุณยายไม่เคยเล่าให้แม่ฟังหรอกเพราะคุณยายบอกว่ามันเป็นเรื่องเก่า  เขาน่าจะลืมหรือยกโทษให้คุณตาคุณยายได้แล้ว  แต่ตอนที่แม่มาบอกว่าจะแต่งงานกับลุงคริสซึ่งเป็นหลานชายของเขา  คุณยายเลยจำเป็นต้องเตือนคุณแม่ไว้”

“ลุงคริสเล่าเหมือนกันว่าถ้าเขารู้เขาคงทำทุกวิถีทาง ไม่ให้ลุงคริสแต่งงานกับแม่  แต่ตอนนั้นลุงคริสแอบไปจดทะเบียนกับแม่เงียบ ๆ  เพราะกลัวเขาไม่ยอมรับ  กว่าเขาจะรู้เรื่องลุงคริสกับแม่ก็แต่งงานกันตามกฎหมายไปแล้ว  เขาเลยทำอะไรไม่ได้”

“คุณปู่ฟงเลยพาลไม่ชอบทั้งคุณโรสกับพี่ด้วยใช่ไหม  ถึงไม่ยอมให้พ่อรับพี่เป็นลูกบุญธรรม  ไม่อยากให้พี่กลับมาบ้านอีก”

“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น”   

‘เรียกว่าเกลียดเข้ากระดูกดำน่าจะเหมาะกว่า’ พี่ชายคิดแต่ไม่ได้พูดออกมา

“เรื่องร้ายแรงขนาดนี้เลยหรือ  ผมไม่คิดเลยว่าคุณปู่จะทำขนาดนี้” 

พีทพึมพำ  ลำคอแห้งผากเมื่อได้รับรู้เรื่องราว  พวกเขาเงียบกันไปอีกครั้งหนึ่ง  ไม่มีใครพูดอะไรต่อ  เรื่องราวทั้งหมดกำลังวนเวียนอยู่ในหัว พีทไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย 

คุณปู่ฟงของเขาครองตัวเป็นหนุ่มโสด  ไม่สนใจใคร  ค่อนข้างเข้มงวดแต่ก็ใจดีกับเขาเสมอ   พีทไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณปู่ฟงจะเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ทั้งหมด

“ผม  ผมไม่เคยรู้อะไรเลยแล้วผมยังโกรธพี่ตั้งนาน” 

พีทผุดลุกขึ้นนั่ง  สิ่งที่เขารู้มันเกินกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มากนัก เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ฮั่นถึงได้เกลียดคุณปู่ฟง  พี่ฮั่นต้องเจอเรื่องแย่ ๆ เพราะคุณปู่ของเขา 

“ผม ผมขอโทษแทนคุณปู่ด้วย” ความรู้สึกผิดกลับมาอีกแล้ว พีทก้มหน้า ไหล่สั่นสะท้าน  เขาพูดกระท่อนกระแท่นเพราะพยายามกลั้นน้ำตาไว้

“ไม่เป็นไร พีท ไม่เป็นไร  มันผ่านมาแล้ว พี่ไม่เป็นไร” ฮั่นลุกขึ้นนั่งด้วย  เอื้อมมือไปแตะไหล่น้องในความมืดเพื่อบอกว่าเขาไม่ได้คิดมากเรื่องพวกนั้นแล้ว

เสียงร้องไห้แผ่วเบาของพีทแทรกมากับความมืด  พีทพยายามกลั้นไว้แล้วแต่เขาทำไม่ได้  เขายกแขนขึ้นเช็ดน้ำตา  มือพี่ชายที่แตะไหล่เลื่อนมาที่ท้ายทอยรั้งคนที่ร้องไห้หนักเข้ามาแล้วกอดไว้อย่างนุ่มนวล

“พี่ไม่เป็นไรแล้ว พีทอย่าร้องเลย”  เสียงอ่อนโยนปลอบอยู่ข้างหูพร้อมกับลูบผมน้องชายเพื่อปลอบใจ 

“เพราะแบบนี้ไง  ถึงไม่อยากเล่าให้ฟัง” 

พีทซบที่ไหล่หนาของพี่ฮั่น  แขนทั้งสองข้างกอดคนเป็นพี่ไว้แน่น ปลดปล่อยความรู้สึกเสียใจออกมาเป็นน้ำตา  เขารู้แล้วว่าคนคนนี้ทำอะไรเพื่อเขามากมายขนาดไหน 

ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่ฮั่นดูแลเขาเป็นอย่างดีในขณะที่เขาหาเรื่องพี่ฮั่นตลอดเวลา  ดื้อรั้น  เอาแต่ใจ  แต่พี่ฮั่นก็อดทน  พี่ฮั่นทำทุกอย่างเพื่อป้องกันเขาจากอันตราย  ทั้งที่คุณปู่ฟงทำร้ายพี่ฮั่นมาตลอดเวลาหลายปี  แต่พี่ฮั่นกลับทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขาซึ่งเป็นหลานของคนที่พี่ฮั่นเกลียด  เขารู้ว่าพี่ฮั่นเกลียดคุณปู่ฟงมากขนาดไหนแม้พี่ฮั่นจะไม่พูดออกมา ภาพใบหน้าพี่ชายที่เขาเห็นตอนทะเลาะกันนั้นยังติดตาเขาอยู่  เขาไม่เคยเห็นพี่ฮั่นทำหน้าน่ากลัวขนาดนั้นมาก่อน

“ถ้าเสียใจมาก  พีทก็ชดใช้ให้พี่สิ เอามั้ย”  คนเป็นพี่พยายามทำเสียงร่าเริง  ขืนปล่อยให้พีทร้องไห้ต่อไปแบบนี้  ไม่นานเขาคงร้องตามไปด้วยแน่ ๆ

‘หือ  พี่ฮั่นว่าอะไรนะ’   พีทผละออกเพื่อมองหน้าพี่ฮั่นในความมืด 

“พี่จะให้ผมทำอะไร  ผมจะทำให้หมดเลย  บอกมาเลย  พี่ฮั่น”

“ยังไม่บอก”   นิ้วเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาให้เบามือ โชคดีที่เขาปิดไฟแล้วพีทจึงไม่ได้เห็นว่าเขากำลังอมยิ้มเมื่อคิดไปถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เขาจะหาโอกาสแกล้งน้อง

“อ้าว  อะไรอ่ะ  บอกมาเถอะ  ผมจะทำให้ทุกอย่างเลย” 

“ถึงเวลาแล้วจะบอก  อย่าลืมที่พูดก็แล้วกัน”

“ผมไม่ลืมแน่”   พีทให้สัญญา

คืนนั้น  กว่าทั้งคู่จะหลับก็เลยเที่ยงคืนไปนานแล้ว  พีทนอนขดตัวอย่างเป็นสุขข้าง ๆ พี่ชาย   

เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่เขาหลับสนิทโดยไม่ฝันอะไรเลย




------------------------------------



 :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 26 page 3 อัพเดต 13/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 13-08-2014 20:48:09
ฟินค่ะ ท่ามกลางความมืดภายในห้องนอนนั่น....เขาสองคนนอนคุยกัน ลุกขึ้นมากอดกันไว้ปลอบใจ สุดท้ายก็มีกันและกันข้างกายตลอดทั้งคืน :ling1:

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 26 page 3 อัพเดต 13/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 17-08-2014 20:13:42
27. วันใหม่



ความรู้สึกเหมือนเตียงยวบลงทำให้คนที่นอนขดตัวใต้ผ้าห่มรู้สึกตัวตื่น  เขายืดตัวช้า ๆ กวาดมือออกไปจนสุดแขน  ทันใดนั้นร่างที่นอนอยู่ก็ดีดตัวผึงขึ้นจากที่นอน  ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงตกใจเมื่อน้องชายเกือบชนเข้ากับเขาที่นั่งอยู่

“พี่ฮั่น” พีทลืมตาเห็นพี่ชายนั่งอยู่ริมเตียง  อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว  เขาขยับเข้าไปกอดคนเป็นพี่ไว้ทันที

“มากอดพี่ทำไมเนี่ย หืม” คนเป็นพี่กอดตอบหลวม ๆ มือข้างหนึ่งลูบท้ายทอยก่อนจะสอดมือไปตามเส้นผมนุ่ม  ลูบหัวทุยที่ซบอยู่ที่ไหล่เขา

“ก็จะได้มั่นใจไงว่าไม่ได้ฝันไป พี่กลับมาแล้ว” พีทตอบแล้วคลายอ้อมแขน หันมองพี่ฮั่นเต็มตา  คนตรงหน้ายิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน 

“พี่ตัวหอมจัง” พีทว่าแล้วยิ้มให้พี่ชาย 

เมื่อก่อนเขาก็เคยได้กลิ่นน้ำหอมของนายหมีบ้างเวลาพวกเขาใกล้ชิดกันโดยไม่ตั้งใจ  แต่เช้าวันนี้พี่ฮั่นตัวหอมมาก  มากจนเขาไม่อยากปล่อยแขนเลย 

“อะไร ไปอาบน้ำได้แล้ว  เดี๋ยวลุงคริสกับแม่จะรอนาน”  คนตัวหอมว่าแล้วหลบตาไปมองผ้าห่มแทนเพราะรู้สึกเขินที่พีทพูดแบบนั้น 

พีทรับคำแล้วก็กระโดดจากเตียงกลับเข้าห้องตัวเองอย่างร่าเริง  ทิ้งให้คนเป็นพี่นั่งอมยิ้มอยู่ที่เดิม




“เล่นอะไรน่ะพีท” 

พี่ฮั่นเอียงหน้ามาถามเขา  ขายาวก็ก้าวไปข้างหน้า  เช้าวันนี้พวกเขาเดินไปบ้านใหญ่เพื่อกินอาหารเช้ามื้อแรก ‘ทั้งครอบครัว’ 
หนุ่มน้อยที่เดินตามหลังพี่อมยิ้มกับคำถามของพี่ฮั่น เขาเอื้อมมือทั้งสองข้างมาเกาะเอวคนที่เดินข้างหน้าไว้ไม่ยอมปล่อยตั้งแต่เดินออกจากบ้านริมสระ 

“เล่นรถไฟไง ไม่ได้เล่นตั้งนานแล้ว” คนน้องว่า หน้าตาสดใส ใบหน้าเขาตอนนี้เหมือนเป็นเด็กชายตัวน้อยอายุสักห้าขวบก็ไม่ผิดนัก

เพราะเดินตามอยู่ข้างหลังคนน้องจึงไม่ได้เห็นใบหน้ายิ้มกว้างของคนเป็นพี่  พีทอาจจะจำไม่ได้แล้วว่าครั้งแรกที่พวกเขาเจอกัน  เขาก็ชวนพีทเล่นรถไฟแบบนี้   

“งั้นแวะไปสวนก่อนไปกินข้าวไหม”  คนขับรถไฟถามผู้โดยสาร 

“ไป  ไปเล้ยยยย” 

มือใหญ่ของพี่ฮั่นยกขึ้นมาจับมือเขาที่เกาะเอวพี่ฮั่นไว้ทั้งสองข้าง  จากนั้นทั้งสองคนก็ขี่รถไฟอ้อมไปที่สวน  วนรอบสระว่ายน้ำที่คนขับรถไฟแกล้งวิ่งเฉียดไปริมสระทำเอาผู้โดยสารร้องเสียงหลงเพราะกลัวตกน้ำ  เสียงหัวเราะทั้งคู่ดังประสานกันดังแว่วเข้าไปถึงในครัวก่อนจะตรงไปบ้านใหญ่

พีทรู้สึกแปลกเมื่อพี่ฮั่นจับมือเขาพาวิ่งเหยาะ ๆ ไป   เขาก้มมองมือตัวเองที่อยู่ในมือใหญ่อบอุ่นนั้น    เมื่อก่อนพวกเขาก็เล่นด้วยกันแบบนี้   แต่ทำไมคราวนี้มันแปลกไป   

พีทมัวแต่มองจึงไม่ทันระวังเมื่อคนข้างหน้าหยุดกะทันหัน  เพราะพวกเขามาถึงประตูด้านข้างของบ้านซึ่งติดกับห้องครัวแล้ว  พีทจึงชนเข้ากับหลังพี่ฮั่นเต็มแรง  หน้าผากโขกกับศีรษะคนข้างหน้า

“โอ๊ย!” 

“อ้าวพีท เจ็บมั้ย เหม่อรึไงถึงหยุดไม่ทัน”  คนข้างหน้าหันกลับมารวดเร็ว  แววตาเป็นห่วงเป็นใย 

“ไหน  เจ็บตรงไหน”  ยกมือขึ้นใช้นิ้วโป้งคลึงที่หน้าผากเขา

“เอาล่ะ หายเจ็บนะ เพี้ยง”  ลมอุ่นสัมผัสหน้าผากเขาแผ่วเบาเมื่อพี่ฮั่นจับหัวเขาให้ก้มลง   

“เมื่อก่อนจำได้ว่าพี่ต้องก้มไปคุยกับพีท เดี๋ยวนี้สูงเท่าพี่แล้วนะ” มือใหญ่เลื่อนลงมาจับบ่าน้องชายทั้งสองข้าง  มองสำรวจเขาอยู่ครู่

พีทนิ่งไปแล้วตั้งแต่พี่ฮั่นเอื้อมมือมาแตะที่หน้าผาก เกิดอะไรขึ้นบ้างเขาไม่รู้ตัวเท่าไรเพราะมัวแต่จ้องหน้าพี่ฮั่น 

“หายรึยัง”  คนเป่ายิ้มให้ 

“ไป  ไปกินข้าวกัน”  ว่าแล้วก็เข้ามาโอบไหล่เขา  ดึงเข้าบ้านไป 

พีทพยายามเรียกสติตนเองกลับมา  ก้าวตามพี่ฮั่นเข้าไปภายใน

‘แล้วทำไมเราต้องตื่นเต้นด้วยเนี่ย’

ความรู้สึกแปลกที่เกิดขึ้น ทำให้พีทเดินแยกจากพี่ฮั่นเข้าไปในครัวที่คุณโรสกำลังเตรียมอาหารง่วนอยู่  พี่ชายกำลังจะเดินตามเข้าไปแต่คุณคริสที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหารหันมาเห็นเข้าพอดี  จึงพยักหน้าเรียกให้ไปคุยด้วย

คุณโรสยืนหันหลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ในครัวขนาดใหญ่ที่สว่างไสวจากแสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านกระจกเข้ามา  พีทสอดแขนกอดคุณโรสจากข้างหลัง วางคางตัวเองบนไหล่บอบบางของแม่เลี้ยง  เอ่ยถามเสียงหวาน

“คุณโรส  วันนี้ทำอะไรให้พีทกินมั่งครับ”

คุณโรสสะดุ้งเล็กน้อย  เธอหันมาหัวเราะให้คนขี้อ้อนด้านหลัง

“ของโปรดพี่ฮั่นทุกอย่างเลย  ไม่มีของพีทสักอย่าง”  คุณโรสแกล้งว่า

“ดีครับ  เพราะพี่ฮั่นชอบอะไร  พีทก็ชอบเหมือนกัน” 

หนุ่มน้อยว่าพลางยิ้มกว้าง  ทำให้คุณโรสหันมาค้อนให้เขา  ใบหน้าที่มีส่วนคล้ายกับลูกชายนั้นยิ้มสดใสทำให้ดูอ่อนเยาว์กว่าเดิม  ความจริงคุณโรสก็ดูไม่แก่เลยสักนิด  ใครหลายคนมักบอกเขาว่าคุณโรสดูเหมือนพี่สาวเขามากกว่าจะเป็นแม่เลี้ยง  เพราะแบบนี้พ่อถึงไม่เคยปล่อยให้คุณโรสไปไหนมาไหนคนเดียวสักครั้ง  ต้องพาคุณโรสไปด้วยตลอด  ยิ่งเขาโตขึ้นดูแลตัวเองได้แล้วพ่อกับคุณโรสแทบจะทิ้งเขาไว้ที่บ้านเลยทีเดียว 

โชคดีที่พี่ฮั่นกลับมาแล้ว  เขาจะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป

พีทช่วยคุณโรสยกจานอาหารมาวางบนโต๊ะ หันไปกล่าวอรุณสวัสดิ์กับพ่อที่นั่งคุยกับพี่ฮั่นเสียงเบา  พ่อกับพี่ฮั่นรีบหยุดการสนทนาทันที

“อะไรอ่ะพ่อ  ทำไมต้องมีความลับกัน บอกพีทบ้างสิ” เขาทรุดตัวลงนั่งข้างพ่อ  ตรงข้ามพี่ฮั่น

“ไม่มีอะไรหรอกลูก เรื่องงานน่ะ” พ่อบอกพลางยิ้มกว้าง  แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ครอบครัวกลับมาเป็นเหมือนเดิม

“พี่ฮั่น”  พีทหันไปคาดคั้นพี่แทน

“เอาไว้พี่จะเล่าให้ฟังทีหลังนะ”  คนพี่ว่าพร้อมกับหันไปยิ้มให้คุณคริส  อย่างรู้กันสองคน

‘พ่อกับพี่ฮั่นมีความลับกับเขาอีกแล้ว’ พีทเลิกคิ้วหนาของตนเองอย่างสงสัยแต่เขาก็ไม่ซักอะไรต่อ  เดี๋ยวพี่ฮั่นก็คงบอกเองเมื่อถึงเวลา

มื้อเช้าที่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ทำให้ทุกคนเจริญอาหาร  เสียงพูดคุยประสานเสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะ  บางครั้งบางคราวก็มีเสียงโวยวายของพีท  เด็กโข่งเอาแต่ใจ

“พีท คราวนี้พ่อคงไม่ต้องไปไหนแล้วแต่คงไม่มีเวลาอยู่บ้านเท่าไร เพราะตอนนี้ทางพรรคกำลังจะเปิดตัวพ่อแล้ว  คงต้องเริ่มเดินสายหาเสียงเสียที” 

คริสหันมาบอกลูกชายหลังจากพวกเขาทานอาหารกันเสร็จแล้ว  คุณโรสกำลังเสิร์ฟกาแฟ

“พ่อคงต้องให้พี่ฮั่นดูแลลูกต่อไป  มีอะไรก็ปรึกษาพี่เขานะ พ่อยกทุกอย่างให้พี่เขาตัดสินใจ  ตกลงไหม” 

“ครับ”   พีทหันไปยิ้มให้พ่อ  เลื่อนเหยือกนมกับโถน้ำตาลไปตรงหน้าให้อย่างเอาใจ

“คราวนี้ไม่บ่นแล้วเหรอลูก  คราวที่แล้วยังโวยเต็มบ้านเลย พ่อหนีแทบไม่ทัน”  พ่อหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาวางบนศีรษะของเขา โยกเบา ๆ อย่างเอ็นดู 

พีทย่นจมูก  ทำให้พี่ชายที่นั่งตรงข้ามมองนิ่ง

“อะไรล่ะพ่อ  ก็ตอนนั้นพ่อหลอกผมนี่  ตอนนี้ผมรู้แล้ว”  คนพูดเหลือบตาไปมองพี่ฮั่นที่นั่งตรงข้ามเขา   แววตาที่ส่งไปยังพี่ชายทำให้คนเป็นพี่ยิ้มออกมา

-----------------------------------



หลังอาหารเช้าอันแสนสุข  พ่อกับคุณโรสก็ออกไปทำงาน  พีทก็เตรียมตัวไปเรียนตามปกติ เขาแปลกใจที่พี่ฮั่นยังทำเหมือนเดิมคือตามเขาไปมหาวิทยาลัยด้วย  พี่ฮั่นให้เหตุผลว่ายังไม่วางใจเรื่องความปลอดภัยของเขา แม้ว่าพ่อจะประกาศตัวเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐแล้วก็ตาม  ฝ่ายตรงข้ามคงจะมุ่งเป้าไปที่ตัวพ่อแทน  แต่เขาเองก็ยังคงไม่ปลอดภัย

แม้พี่ฮั่นจะยอมบอกเขา ‘นิดหน่อย’ ว่าได้เตรียมการโต้กลับฝ่ายโน้นมานานแล้ว  การเอาคืนครั้งนี้ใช้เวลาพอสมควรจึงจะเห็นผล  แต่พี่ฮั่นก็ไม่ยอมบอกเขาชัดเจนว่าจัดการอะไรไปบ้าง  บอกแค่ให้เขารอดู   

พีทไม่ต้องรอนาน  เพราะอีกไม่กี่วันต่อมาก็เกิดข่าวใหญ่ขึ้น  เมื่อนักข่าวได้รับเอกสารแสดงการทุจริตการจัดซื้ออาวุธของกองทัพจำนวนหลายพันล้าน   ซึ่งหัวหน้าพรรคฝ่ายตรงข้ามดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอยู่ หลักฐานนั้นนอกจากจะมีเอกสารการจัดซื้ออย่างผิดกฎหมาย  ยังมีหลักฐานการโอนเงินหลายร้อยล้านเข้าบัญชีธนาคารของตัวแทนหลายทอด  และคลิปวีดีโอการพบปะอย่างลับ ๆ ระหว่างรัฐมนตรีกับตัวแทนบริษัทค้าอาวุธขณะเดินทางไปดูงานต่างประเทศ  รวมทั้งคลิปเสียงการพูดคุยทางโทรศัพท์อีกหลายครั้ง  ข่าวนี้ทำให้หัวหน้าพรรคและลูกพรรคหลายคนถูกตรวจสอบ

นอกจากจะถูกตรวจสอบเรื่องการทุจริตแล้ว  ยังมีการเผยแพร่ ‘คลิปฉาว’ ระหว่างหัวหน้าพรรคกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกในพรรคนั้นด้วย  หัวหน้าพรรคถูกตั้งคำถามจากประชาชนเรื่องศีลธรรม   เพราะเขามีภาพพจน์เป็นคนรักครอบครัว   ตรงข้ามกับสิ่งที่ประชาชนเห็นในคลิปนั้นอย่างสิ้นเชิง คลิปฉาวนั้นดูจะเป็นกระแสแรงยิ่งกว่าข่าวการทุจริตเสียอีก  ประชาชนแทบทุกคนที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตต่างก็พูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อนเมื่อได้ดูคลิปนั่น เรื่องนี้เป็นข่าวดังไปทั้งประเทศเพราะทุกคนให้ความสนใจอย่างมาก มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคมและในโลกไซเบอร์   และเนื่องจากกำลังจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐในอีกสองเดือนข้างหน้า  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จึงส่งผลต่อคะแนนเสียงของพรรค  และทำให้ความเชื่อมั่นของพรรคสั่นคลอนอย่างมาก

พีทที่ติดตามข่าวนี้เช่นกันเข้าไปกอดพี่ฮั่นในเช้าวันหนึ่งก่อนพวกเขาจะออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัย

“ขอบคุณนะพี่  สำหรับทุกเรื่องที่ทำให้พ่อกับผม” 

เสียงเขาสั่นจากความตื้นตันใจ  สิ่งที่พี่ฮั่นทำเพื่อเขาและพ่อทำให้เขาพูดไม่ออก

พี่ฮั่นไม่ตอบอะไร   ทำเพียงยกมือขึ้นลูบผมเขาแล้วกระชับอ้อมกอดแน่นเช่นกัน

--------------------------------------------



“พี่อ่ะ ไหนพี่บอกว่าถ้าจัดการพวกนั้นได้แล้ว จะให้ผมกลับไปร้องเพลงที่ร้านไง”

พีทเอ่ยถามพี่ฮั่นเย็นวันหนึ่งหลังจากกลับถึงบ้าน  พี่ฮั่นสัญญาว่าจะรอให้เขาหายดีก่อนแล้วถึงจะอนุญาตให้กลับไปร้องเพลงได้ นี่เขาหายดีมาตั้งหลายวันแล้ว  พวกพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามก็เกือบจะถูกยุบพรรคอยู่แล้ว   

เขายังไม่ได้ร้องสักเพลง!

พี่ชายนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวยาว  ละสายตาจากรายการข่าวตรงหน้ามามองเขา  ก่อนจะหยิบรีโมทมากดปิดโทรทัศน์

“พีท พี่คิดว่าพีทควรจะไปเลิกร้องเพลงที่ผับได้แล้วนะ”

พี่ชายตอบเขาอย่างระมัดระวังราวกับรู้ว่าพีทจะต้องถามขึ้นมาสักวันหนึ่ง  และคำตอบของเขาจะเป็นตัวกำหนดปฏิกิริยาต่อไปของน้องชาย

“อ้าว ทำไมพี่พูดแบบนี้ล่ะ ผมไม่ยอมหรอก นี่พี่กะจะให้ผมเลิกไปร้องเพลงที่นั่นใช่ไหม  ถึงไม่ยอมให้ผมไปตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลน่ะ?” 

นั่นไง  คุณชายกำลังจะเริ่มแล้ว

“พี่เห็นว่าพีทกำลังจะสอบแล้ว  แล้วเทอมนี้พีทขาดเรียนบ่อย  น่าจะเลิกร้องเพลงแล้วมาเตรียมตัวสอบ  อีกอย่างเทอมหน้าก็ต้องไปฝึกงานด้วย  พี่กลัวพีทจะเหนื่อย” 

“แต่ว่า...”   

“ให้โอกาสคนอื่นที่เขาพร้อมกว่าเราได้ขึ้นไปยืนบนเวทีบ้างดีกว่าไหม?” 

พี่ชายพูดตัดบทขึ้นมาก่อนที่พีทจะหาข้ออ้างอะไรทัน
 
“พี่พูดแบบนี้หมายความว่าไง พี่คิดว่าผมไม่ดีเหรอ”

พีทโวยวายทันทีเมื่อได้ยินพี่ฮั่นพูดแบบนั้น  นี่พี่ฮั่นคิดว่าเขาไม่พร้อมอะไร  เขาร้องเพลงไม่ดีตรงไหน?

“มานี่มา”  คนเป็นพี่ต้องลุกไปกอดคอน้องชายมานั่งด้วยกันก่อนจะอธิบาย

“พี่หมายความว่าตอนนี้มีคนอื่นที่เขาพร้อมจะทำเป็นอาชีพแต่พีทน่ะทำเป็นงานอดิเรก  ทำเพราะใจรัก  อีกอย่างช่วงนี้พีทมีหน้าที่หลายอย่างต้องทำ  ทั้งเรียน  สอบและต้องฝึกงาน”   

“พีทต้องลางานบ่อย  อ๊ะ อย่าเพิ่งโวย”  พี่ฮั่นยกนิ้วชี้ห้ามไว้ก่อนที่พีทจะทันอ้าปากด้วยซ้ำ

“พี่หมายถึงพีทจำเป็นต้องขาดงาน  ทำให้คนในวงเขาต้องวุ่นวายหาคนร้องแทนหลายครั้ง  แล้วตอนนี้เขาก็หาคนใหม่ได้แล้วแต่นักร้องใหม่เขายังไม่มีโอกาสได้ทำเต็มตัวเพราะติดที่ว่าพีทเป็นนักร้องนำอยู่แล้ว  เขาต้องรอวันที่พีทไม่ว่างเท่านั้นถึงจะได้ร้อง  พีทคิดว่าแบบนี้มันไม่สร้างความลำบากให้คนอื่นเหรอ”

พีทนิ่งไปเมื่อได้ฟังเหตุผลยืดยาวทั้งหมดที่พี่ฮั่นพูด  เขาลืมคิดเรื่องนี้ไป  เขาคิดแค่ว่าเขาอยากร้องเพลง  เขาชอบที่ได้ยืนอยู่บนเวที  แต่เขาลืมไปว่ายังมีอีกหลายคนต้องเดือดร้อนเพราะเขาอีกหลายคน

“แต่พี่ร็อกกี้บอกว่าลูกค้าอยากให้ผมไปร้องนี่” เด็กดื้อยังคงพยายามจะหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเสียงอ่อย

“พี่รู้ เป็นเพราะพีทร้องประจำที่นั่นมาพักใหญ่  พีทมีคนที่ชื่นชมอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง  วันที่พีทหายไปเขาก็ต้องเรียกร้องให้กลับมามันเป็นเรื่องปกติ  แต่พีทจะร้องเพลงอยู่ที่ร้านนั้นได้อีกกี่ปี   พีทจะเป็นนักร้องในผับตลอดไปจนแก่งั้นหรือ  พี่ถามจริง ๆ”

“วันหนึ่งพีทก็ต้องเลิกร้องเพลงถูกไหม  พีทก็ต้องไปทำอะไรอย่างอื่น เพียงแต่ว่าพีทอาจจะเลิกเร็วไปหน่อยแค่นั้นเอง  เราควรจะเปิดโอกาสให้คนอื่นได้มายืนอยู่ตรงนั้นบ้าง  อย่าลืมสิว่าเราน่ะมีภาระที่รออยู่ข้างหน้าอีกมากมายเลยนะ  กิจการของลุงคริสน่ะ  ไม่ใช่ของเล่น ๆ พี่จะเตือนไว้ก่อน”  พี่ชายบอกเสียงอ่อน

“ผมไม่สนงานของพ่อหรอก  พี่ฮั่นก็รับไปสิ” 

ทายาทของคุณคริสหน้างอเป็นจวัก โยนหน้าที่ให้พี่ชาย  พี่ฮั่นพูดเหมือนพ่อเลยว่าเขาต้องเป็นคนสืบทอดกิจการของพ่อ  ทั้งที่เขาไม่ได้ต้องการเลย  เขาอยากทำอย่างอื่นมากกว่า

“ไม่ได้หรอก มันเป็นของพีท พี่อาจจะช่วยได้นิดหน่อยแต่มันเป็นความรับผิดชอบของพีทนะมาโยนให้พี่ได้ไง”  พี่ฮั่นวางมือใหญ่บนหัวเขา โยกไปมาเหมือนที่ทำเป็นประจำ

“ผม ผม ผมยังไม่อยากทำนี่ ผมอยากวิ่งเล่นก่อน นะพี่ฮั่น” 

พีทเริ่มจะทำเสียงอ่อนเขย่าแขนหนาของพี่ชายเบา ๆ  แต่ดูเหมือนพี่ฮั่นจะรู้ทันเขาเพราะพี่ฮั่นยังทำหน้าเฉย   แววตาเอาจริงแบบที่เขาก็รู้ว่าถึงเขาจะดึงดันไปก็ไม่มีประโยชน์

“พีทไม่อยากเริ่มงานของลุงคริสตอนนี้ก็ได้  แต่ยังไงเรื่องร้องเพลงพี่เห็นว่าควรจะหยุด” 

ถึงแม้พี่ฮั่นจะพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาแต่ประโยคนั้นกลับแฝงด้วยอำนาจบางอย่างที่ทำให้เขาไม่กล้าขัด  พีทย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจเมื่อเห็นลางแพ้ของตัวเองอยู่รำไร   พี่ฮั่นหาเหตุผลอะไรตั้งมากมายมาค้านเขาได้ทุกประเด็น

‘หึ  เจ็บใจชะมัด!’

-----------------------------------



พีทซึมไปเลยเมื่อต้องคิดหนักเรื่องนี้  เขาไม่ใช่คนไม่รับผิดชอบ  เขารู้ว่าเขามีภาระเรื่องใดรออยู่ข้างหน้า เขาไม่คิดจะหนีหรอก  เขาแค่ต้องการเวลา เขาอยากจะทำสิ่งที่เขาชอบอย่างการร้องเพลง  เล่นดนตรีต่อไปสักพัก  พีทยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอดคืนจนกระทั่งเช้า  เรื่องแรกที่เข้ามาในหัวตอนตื่นก็คือการต้องตัดสินใจว่าจะเลิกร้องเพลง

“พีท  เป็นอะไร” 

พี่ชายสังเกตเห็นหน้างอของพีทตั้งแต่ตื่นนอน  จนเมื่อมานั่งที่โต๊ะอาหารแล้ว  ก็ยังเขี่ยอาหารไปมาไม่ยอมกินอะไร 

หลังจากคุยกันเรื่องให้พีทเลิกไปร้องเพลงที่ผับแล้วน้องก็เงียบไปนานจนเข้านอน  ความจริงเขาถูกลุงคริสขอร้องให้ช่วยพูดให้พีทเลิกร้องเพลงตั้งแต่วันแรกที่กลับมาแล้ว  ที่ผ่านมาเขายังปล่อยให้พีทไปร้องเพลงที่นั่นอยู่ทั้งที่รู้ว่ามันอันตราย  เพราะเขาเองก็รู้ว่าพีทรักการร้องเพลงขนาดไหน
 
ที่สำคัญเขาเองก็ ‘รัก’ ที่จะเห็นน้องร้องเพลง เขาชอบมองแววตาสดใสเวลาพีทร้องเพลง  แววตาที่เขาหลงใหลตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นพีทร้องเพลงบนเวทีก่อนจะกลับมาในฐานะ ‘ผู้ดูแล’  ของคุณชาย

“ไม่เป็นไรครับ  ผมปวดหัวนิดหน่อย” 

‘นั่นไง  ตอบตามสูตรเป๊ะ’

“เสียดายจัง อุตส่าห์จะชวนไปดูคอนเสิร์ตซะหน่อย”  คนถามเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงร่าเริง  จับตามองที่น้องชายที่ทำหน้างออยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะอาหาร

“อะไรนะพี่”  พีทเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารทันควัน

“พี่จะชวนไปดูคอนเสิร์ต  กะจะทำเซอร์ไพรส์สักหน่อย  พีทดันไม่สบายซะนี่”

คนพูดยิ้มให้  ล้วงมือไปที่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต  หยิบบัตรคอนเสิร์ตสองใบมาวางบนโต๊ะ  พีทหันไปคว้าบัตรใบหนึ่งขึ้นมาดูแล้วก็ทำตาโต

“เฮ้ย  ผมอยากดูวงนี้เล่นมาตั้งนานแล้ว  พี่ไปหามาได้ไงอ่ะ  ผมยังจองไม่ทันเลย”  พีทหันไปมองพี่ฮั่นตาเป็นประกาย  ลืมตัวไปว่าเมื่อกี้เพิ่งปดพี่ว่าปวดหัวอยู่แหมบ ๆ

“มือชั้นนี้แล้ว  เรื่องแค่นี้สบายมาก”  คนพี่พูดพลางยิ้มโอ่ที่ตัวเองหาบัตรคอนเสิร์ตนี้มาได้ 

“ทำหน้ายังกะเจ้าแรมโบ้เห็นกระดูกงั้นแหละ”  พี่ฮั่นแซวเขา

พีทไม่เคืองสักนิดกับคำแซวนั้น  เขากำลังดีใจ  เพราะวงนี้เป็นวงโปรดของเขามานานแล้ว  พีทติดตามข่าวการจัดคอนเสิร์ตและรอคอยเวลาเปิดขายบัตรอย่างใจจดใจจ่อ  แต่เมื่อถึงวันเปิดขายบัตรจริง ๆ  เขากลับกำลังเศร้าเรื่องที่ทะเลาะกับพี่ฮั่นจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง  ขนาดวันนี้เป็นวันเล่นคอนเสิร์ตเขายังจำไม่ได้สักนิด  ถ้าพี่ฮั่นไม่หยิบบัตรคอนเสิร์ตนี่มาวางที่โต๊ะเขาก็คงลืมไปแล้ว 

พีทก้มมองตั๋วคอนเสิร์ตในมืออีกครั้ง  กัดปากตัวเอง  เขาดีใจสุด ๆ เลย 

“แต่พีทปวดหัวนี่นา พี่ว่าเราอย่าไปเลย พักผ่อนดีกว่า” มือใหญ่เอื้อมมาคว้าตั๋วคอนเสิร์ตในมือเขาไปอย่างรวดเร็วแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ   ทำท่าไม่สนใจอีก

พีทตาค้าง 

“เฮ้ย  พี่ฮั่น  ไม่ไปได้ไง  ผมหายปวดหัวแล้ว  เราไปกันเหอะ นะ นะ” 

เขาชะโงกตัวข้ามโต๊ะมาเขย่ามือพี่ฮั่นทีเดียว

“อยากไปจริงอ่ะ” คนพี่ยิ้ม  ซ่อนแววตาเจ้าเล่ห์ไว้แทบไม่มิด

“จริงสิคร้าบ” 

“ไหนอ้อนหน่อยสิ” 

‘หา  ว่าไงนะ  พี่ฮั่นจะให้เขาอ้อนเนี่ยนะ  เห็นเขาเป็นเด็กหรือไง’ 


‘แต่ว่า...’ พีทมองไปที่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตพี่ฮั่น  ทำท่าคิด 

‘มันก็คุ้มอยู่นะ  ไม่ได้ดูคอนเสิร์ตนี้คงหาโอกาสดูอีกยากแน่ ๆ แล้วตั๋วนั่นก็เป็นที่วีไอพีซะด้วย  อยู่หน้าสุด!’ 

‘โอ๊ย  คิดแล้วเรื่องอ้อนนั่น’ 

‘เรื่องเล็ก!’





คนเป็นพี่มองไปที่พีทที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี  หนุ่มน้อยกำลังวุ่นวายอยู่กับการค้นตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ของตัวเองเพื่อหาเสื้อใส่ไปดูคอนเสิร์ตเย็นนี้พร้อมกับร้องเพลงไปด้วย 

เขาส่ายหน้าน้อย ๆ ให้น้องชาย  เย็นนี้จะไปดูวงเล่นอยู่แล้วแต่พีทก็ยังเปิดแผ่นของวงดนตรีชื่อดังนี้ดังกระหึ่มห้องนอน

นึกไปถึงตอนเช้าที่โต๊ะอาหาร  พีททำตัวเหมือนแมวทีเดียว  หนุ่มน้อยลุกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมาทรุดนั่งที่เก้าอี้ข้างเขา  เอาหัวทุยของตัวเองมาสีที่ไหล่  ยกมือมาเกาะแขน   ยิ้มหวานนั่นยังไม่เท่ากับเสียงอ่อนที่อ้อนวอนเขาขอไปดูคอนเสิร์ต

 
“พี่หมี  ให้น้องไปดูคอนเสิร์ตน๊า  พี่หมีใจดี”

“นะคร้าบบบ”

‘พี่หมี’ ยิ้มเมื่อนึกถึงคำนี้  พีทสารภาพกับเขาเขิน ๆ ว่าแอบเรียกเขาว่า ‘นายหมี’ ตั้งแต่ตอนโน้น  พีทช่างสรรหาคำเรียกแต่เขากลับชอบชื่อนี้

เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อซึมซับภาพของพีทที่เขาเห็นไว้ 

เวลาพีทยิ้มอ้อนแบบนี้  มันเป็นภาพน่ารักในสายตาเขาเสมอมาตั้งแต่พีทยังเป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ แล้วลากเสียงแบบนี้อีก  คนใจแข็งที่ไหนก็อดใจอ่อนไม่ได้หรอก 

เขาต้องข่มใจอย่างมากไม่ให้ตัวเองตอบตกลงเร็วเกินไป ปล่อยให้พีทอ้อนวอนอยู่นานทีเดียวก่อนจะพยักหน้า  พีทยิ้มร่าลุกจากเก้าอี้มากอดคอเขาจากด้านหลังวางคางเรียวของตัวเองบนไหล่เขาแล้วขอบคุณซ้ำ ๆ อยู่นาน  เขายกมือขึ้นลูบหัวทุยนั่นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ 

‘น้องใครนะ  น่ารักชะมัด’

คุ้มจริง ๆ ที่โทรไปขู่แคนให้หาบัตรมาให้จนได้

“พี่จำไว้เลยนะ  ผมต้องติดสินบนใครตั้งเยอะแยะ  กว่าจะเอาบัตรนี่มาได้เนี่ย  คอนเสิร์ตบ้าอะไร  บัตรหายากยิ่งกว่าตั๋วดูแมนยู ลิเวอร์พูลเตะกันซะอีก  คราวหน้าพี่ต้องช่วยผมด้วย”  แคนว่าพลางทำหน้าเคืองตอนที่ยื่นบัตรคอนเสิร์ตให้เขา




“พี่ฮ่านนน   พี่ฮั่น”  เด็กชายพีทเดินหน้างอมาทรุดตัวนั่งข้างเขา

“ผมไม่มีเสื้อใส่”  เขาว่า 

ฮั่นเลิกคิ้วหนาของตัวเองอย่างแปลกใจ  แล้วไอ้ที่กองอยู่บนเตียงเป็นภูเขาย่อม ๆ นี่มันอะไร

“ขอไปดูที่ตู้พี่หน่อยนะ  น๊า” 

‘นี่คนหรือแมว?’

พี่ชายคิดพร้อมกับยิ้มเมื่อพีทเอาหัวมาถูกับไหล่เขาอีกแล้ว  คราวนี้เหลือบตากลม ๆ มาใช้สายตาอ้อนวอนแทน

“ไปสิ...”

เขาก็ไม่เคยทนได้หรอกกับท่าทางอ้อนแบบนี้  พีทฝึกวิทยายุทธจนเชี่ยวชาญตั้งแต่เด็กเชียวล่ะ  ไม่ว่าลุงคริส  แม่เขาหรือลุงฉี โดนพีทอ้อนใส่แล้วเป็นต้องใจอ่อนทุกราย

ในที่สุดพีทก็หาเสื้อตัวที่ถูกใจได้  แถมยังยึดหมวกเขาไปด้วย

“พี่ใจดีที่สุดเลย”  คนน้องว่าพลางเข้ามากอด

‘หายซึมไปเลยสินะ’   

-------------------------------------


แล้วเจอกันค่ะ

 :mew1: :mew1: :mew1:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 27 page 3 อัพเดต 17/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 17-08-2014 22:00:52
พี่ฮั่นสอนน้องซะหายดื้อเลย
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 27 page 3 อัพเดต 17/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-08-2014 22:27:52
 :pig4: :L2: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 27 page 3 อัพเดต 17/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 19-08-2014 19:46:46
28. ก่อนสอบ


“ไหนวันก่อนพี่บอกว่าช่วยงานพ่อไง วันนี้ไม่ทำเหรอ”

พีทหันไปถามพี่ฮั่นที่แต่งตัวยังกะนักศึกษาอย่างเขา  พี่ฮั่นมักจะใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์สีเข้ม  บางวันก็มีหมวกหรือเสื้อกั๊กสวมทับ  และเพราะพี่ฮั่นเป็นคนสูงใหญ่ รูปร่างดีอย่างนักกีฬาทำให้ดึงดูดสายตาคนทั้งมหาวิทยาลัย
 
ใครต่อใครก็เลิกสงสัยกันแล้วว่าพี่ฮั่นมาทำอะไรที่คณะของเขา  ทุกคนในคณะของเขาเคยชินเสียแล้วที่เห็นพี่ฮั่นมานั่งรอเขาเรียน  เพื่อนเขาหลายคนก็รู้จักคุ้นเคยกันดีกับพี่ฮั่น  โดยเฉพาะสาว ๆ ในคณะ  ทั้งสาวแท้สาวเทียมที่ตั้งตารอกันเลยทีเดียว

“ทำสิ”  คนที่ขับรถตอบโดยไม่ละสายตาจากถนน

“ทำตอนไหนล่ะ  ตอนผมเรียนน่ะเหรอ”  พีทหันหน้าไปมองคนที่ขับรถอยู่  เขาเลิกคิ้ว

“ใช่ ก็ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ไง” 

เขาใช้เวลาตอนที่พีทเข้าเรียน  สั่งงานทางอินเตอร์เน็ตหรือโทรศัพท์  บางครั้งบางคราวก็ให้เลขาเอาเอกสารที่เป็นเรื่องด่วนมาให้เซ็นที่มหาวิทยาลัย  พีทไม่ทันสังเกตหรอก  ก็ตอนนั้นหน้าเขาพีทยังไม่ค่อยจะมอง

“แล้วพี่ทำงานอะไร”  พีทยังคงสงสัย

“ทำงานให้ลุงคริสไง” 

“ทำอะไรล่ะ ทำไมไม่บอกให้ชัด ๆ ล่ะ”  น้องยังถามอีก

“ทุกอย่าง”
 
“ไม่บอกผมอีกแล้วนะ”  หน้าคุณชายเริ่มเหวี่ยงแล้ว

“ไม่บอกตรงไหน  ก็ตอบคำถามทุกคำเลย”  คนเป็นพี่ว่า ใบหน้าอมยิ้ม

เท่านี้พีทก็รู้ตัว ‘พี่ฮั่นกำลังแกล้งยั่วโมโหเขาอยู่ใช่มั้ย?’

“พี่อ่า แกล้งยั่วโมโหผมอีกแล้ว” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปเขย่าแขนพี่ชายอย่างมันเขี้ยว 

“เฮ้ย  พีท  พี่ขับรถอยู่”  คนพี่ยกแขนหนี  ทำเสียงดุไม่จริงจังนัก

“ชอบยั่วโมโหผมตลอดเลย  สนุกรึไง”  พีทโวย  เหลือบตากลมมามองคนข้างกายอย่างขัดเคือง

“สนุกดีออก พี่ชอบดูหน้าเราตอนโมโหนี่”  คนพี่ว่าแล้วเอื้อมมือใหญ่มาโยกหัวเขา   

พี่ฮั่นหัวเราะเสียงเบา  ดวงตาชั้นเดียวนั้นแทบปิดเวลาพี่ฮั่นหัวเราะแบบนี้ทำให้พีทมองหน้าพี่ฮั่นเพลินทีเดียว  เขาชอบมองเวลาพี่ฮั่นหัวเราะ เพราะมันทำให้เขารู้สึกเป็นสุขไปด้วย 

คนถูกมองเมื่อรู้ตัวก็ค่อย ๆ หยุดหัวเราะ จากนั้นก็เม้มปากแน่นเหมือนทำตัวไม่ถูกที่น้องชายจ้องมองไม่วางตา 

พีทมองพี่ฮั่นจนพอใจแล้วก็หันหน้ากลับไปสนใจวิวข้างทางต่อ  เพราะตัวเองก็เริ่มรู้สึกแปลกเช่นกัน  เขาจ้องหน้าพี่ฮั่นนาน ๆ แล้วรู้สึกเหมือนตกบ่อทรายดูดยังไงไม่รู้   เหมือนยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนถูกดูดลึกลงไป



เหลืออีกไม่กี่วันพวกเขาจะปิดเทอมแล้ว  พี่ฮั่นเสนอว่าจะมา ‘อยู่เป็นเพื่อน’  จนพีทปิดเทอมแล้วหลังจากนั้นจะกลับไปทำงานเสียที  พีทหน้างอเมื่อพี่ฮั่นพูดแบบนั้น  เลยโดนพี่ฮั่นเหนี่ยวคอไว้  มือพี่ฮั่นยกมาขยี้ผมเขาจนยุ่งไปหมด

“หน้างอทำไม  เรานอนด้วยกันทุกคืน”  พี่ฮั่นว่า

“ไหนพี่ว่าผมอาจจะยังไม่ปลอดภัยไง” เขาเถียง

“ก็เดี๋ยวพีทก็จะไปฝึกงานแล้วนี่   พี่ก็ทำงานแถวนั้นแหละ”

คำตอบนั้นทำให้เขายิ้มออกมาได้

--------------------------------



หลังเลิกเรียนแล้ว หมีสามตัวก็มาห้องซ้อมหลังจากที่หยุดซ้อมไปนาน ริทแทบกระโดดเข้าหาพี่ฮั่นทันทีที่เข้ามาในห้องซ้อมทีเดียวเพราะพี่ฮั่นหายไปหลายวัน

อยากจะกอดพี่โดมแน่น ๆ สักทีเมื่อพีทไม่ต้องแก้ไขความเข้าใจผิดอะไรมากตอนที่บอกเพื่อนในวงว่าความจริงแล้ว ‘พี่ชายพีท’  ชื่อฮั่น ไม่ได้ชื่อฮัท 
 
“พี่หายไปไหนมา  พวกผมซ้อมเพลงใหม่กันแล้วนะ งานคอนเสิร์ตวันคริสต์มาสอีฟคราวหน้าจะใช้เพลงนี้ด้วย  คราวนี้พี่โดมได้โชว์เดี่ยวส่งท้ายก่อนจบแน่  พี่คงไม่ปวดท้องไส้ติ่งจะแตกเหมือนคราวที่แล้วใช่ป่ะ”  ริทหันมาแซวโดม 

เรื่องโดมปวดท้องเพราะไส้ติ่งอักเสบจนขึ้นร้องเพลงไม่ได้เมื่อตอนพวกเขาอยู่ปีหนึ่งเป็นเรื่องตลกที่พวกเขามักเอามาแซวโดมเสมอ

“อ้าวริท  คนเราจะมีไส้ติ่งกันสองสามอันให้อักเสบได้ทุกปีเชียวเหรอ  นายก็ว่าไป”   โดมหันมาแก้ตัว  นี่เป็นคำตอบโต้ที่แรงที่สุดแล้วสำหรับคนเรียบร้อยอย่างโดม  ผู้ชายใจดี

“ก็ไม่แน่นะพี่โดม  ผมว่าพี่อาจจะมีอยู่หลายอันก็ได้นะ ก็พุงพี่ใหญ่ขนาดนี้อ่ะ” 

ริทยังคงแซว  เรียกเสียงหัวเราะเฮฮาจากคนอื่นได้เป็นอย่างดี  โดมส่ายหน้ากลมของตัวเองแต่ไม่ว่าอะไร  เพราะทุกคนในวงรู้ดีว่าถึงโดมจะมีพุง แต่เรื่องความฮอตนี่เขาก็ไม่น้อยหน้าใครในวงหรอกนะ 

ใครจะคิดว่าหนุ่มอ้วนกลมอย่างโดม  สาว ๆ วิ่งเข้าหากันยิ่งกว่าพวกที่หน้าตาดีไปวัน ๆ ซะอีก  ดูได้จากเวลาซ้อมเสร็จ  หน้าห้องซ้อมมักจะมีขนมนมเนยมาวางไว้ให้  ของโดมทั้งนั้น  แม้ว่าช่วงหลังจะเริ่มมีของฝากของ ‘พี่ชายพีท’ มาบ้างก็ตาม

“อ้าวพีท  หวัดดี”  ดูเหมือนริทเพิ่งมองเห็นเขา  ทั้งที่เขายืนอยู่ข้างพี่ฮั่นตั้งแต่แรก

“หวัดดีคร้าบบบ” 

หนุ่มน้อยลากเสียงยาว  โอบแขนไปที่ไหล่พี่ชาย  มองคนตัวเล็กด้วยสายตาอย่างหนึ่งทำให้คนตัวเล็กต้องคิ้วขมวด  ริทคุยอยู่ครู่จึงถอยไปเตรียมตัวกับคนอื่นในวง  จากนั้นพีทก็ไม่ได้สนใจใครอีกเพราะเขาเอาแต่คุยกับพี่ชายตลอดเวลาจนสมาชิกมากันครบแล้วก็ยังไม่รู้ตัว

โดมถูกริทสะกิดให้ดูอะไรบางอย่าง  คนตัวเล็กไม่พูดอะไร  แต่ท่าทางของริทนั้นทำให้โดมต้องหันกลับไปดูอย่างตั้งใจ  เขามองสองพี่น้องแล้วก็ยิ้มเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็น  ตั้งแต่พี่น้องกลับมาคืนดีกันพีทไม่เคยละสายตาจากพี่ชายเลย  จะทำอะไรต้องมีพี่ชายอยู่ด้วยตลอดเวลา  ตัวเขาแทบจะตกกระป๋องไปเลยทีเดียว 

“ช่วงก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้  ทำไมอยู่ดี ๆ มาคุยกันกระหนุงกระหนิงได้ล่ะพี่โดม”  ริทกระซิบถามเขา

“ช่วงก่อนทะเลาะกันนิดหน่อย  ตอนนี้ดีกันแล้ว”  โดมว่า

“ผมว่ามันแปลกนะ”  ริททำหน้ายุ่ง  คนตัวเล็กหรี่ตาเหมือนจับความผิดปกติได้  ทำให้โดมต้องหันกลับไปมองคนทั้งคู่อีกครั้ง

‘แปลกเหรอ ไม่มั้ง’ 

“อย่าคิดมากเลยริท  เราซ้อมกันเถอะ” โดมตัดบทเพียงเท่านี้แต่ตัวเองกลับแอบสังเกตการณ์อยู่คนเดียวตลอดการซ้อมที่เหลือ

หลังซ้อมเสร็จ  ทุกคนในวงตกลงกันว่าจะไปฉลองกันก่อนสอบ  โดยที่ ‘นางงามมิตรภาพ’  ของพีทเสนอตัวเป็นเจ้ามือ

“พี่ฮั่นใจดีจังเลย  งั้นผมไม่เกรงใจละนะจะกินให้เรียบเลย”  เสียงริทว่า 

พีทแอบมองไปที่คนตัวเล็กที่ชอบไปอยู่ใกล้พี่ฮั่นของเขา    แล้วหันไปมองพี่แทนที่กำลังยืนมองคนทั้งคู่อยู่เช่นกัน 

‘จะวางมวยกันรึเปล่านี่’   เขาแอบคิดอย่างหวั่นใจพลางหันไปมอง ‘ตัวต้นเหตุ’ 

พี่ฮั่นมองสบตาเขาทันทีเหมือนรออยู่แล้ว  พยักหน้าเล็กน้อยเหมือนเรียกให้เขาเข้าไป  พีทกัดปากตัวเองคิดอยู่ครู่จึงยอมเดินเข้าไปใกล้  เขาวางสองมือเกาะไหล่กว้างของพี่ฮั่นทางด้านหลัง  ยื่นหน้าวางคางตัวเองไว้กับไหล่พี่ชายด้านหนึ่ง  จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้ริทแล้วทำท่าพยักพเยิดไปข้างหลัง

ริทหันหลังไปเห็นพี่แทนยืนมองมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่สายตาน่ากลัวแล้วก็แทบทรุด  คนตัวเล็กรีบเข้าไปเกาะแขนพี่แทนทันที

“ป่ะ พี่แทน  ไปกินเลี้ยงกัน  ริทหิวแล้ว  พวกเราไปกันเถอะ  ไปร้านเดิมนะ เร็วเข้า”

ประโยคหลัง  ริทหันไปชวนเพื่อนคนอื่นในวงที่เตรียมพร้อมกันอยู่แล้ว รอแต่ริทนั่นแหละ  คนที่เหลือส่ายหน้าอย่างเคยชินเสียแล้วกับเรื่องแบบนี้แล้วทยอยเดินออกจากห้องซ้อม 

พี่ฮั่นหันมายิ้มใส่ตาเขาแล้วเอ่ยชวนให้เดินไปด้วยกัน  ทั้งสองหนุ่มเดินคุยกันไปโดยที่พีทยังเกาะไหล่พี่ฮั่นไปตลอดทาง  มีโดมเดินปิดท้ายขบวน

------------------------------



เสียงเคาะประตูหน้าห้องพีทดังสองสามครั้งประตูก็เปิดออก เจ้าของห้องหันไปมองคนที่เปิดประตูเข้ามาเพียงแวบเดียวก็หันไปสนใจหนังสือตรงหน้าต่อ

“พี่ฮั่นยังไม่นอนเหรอ  ดึกแล้วนะ”

“กึก”   แก้วนมสีขาวถูกวางลงบนโต๊ะทำให้คนอ่านหนังสือต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“เอานมมาให้”  พี่ฮั่นพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

“ขอบคุณคร้าบ”  คนที่นั่งอยู่ขอบคุณพร้อมกับเงยหน้ายิ้มให้จนตาแทบปิดทีเดียว

“อ่านหนังสือสอบเหรอ” คนส่งนมถามพลางยกมือเกาท้ายทอยตัวเอง เพราะทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น   เขายังไม่เดินออกจากห้องไปแต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อจึงได้แต่มองไปรอบห้อง  หาเรื่องคุย

“ครับ”  เจ้าของห้องตอบขณะที่ก้มหน้าลงไปจดอะไรบางอย่างบนกระดาษที่เต็มไปด้วยเนื้อหาสำคัญที่เขาย่อไว้จนเต็ม  เวลานี้ล่วงเข้าวันใหม่มาเกือบชั่วโมงแล้วแต่พีทยังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสืออยู่  เพราะก่อนหน้านี้เขาขาดเรียนไปหลายครั้งจึงต้องกลับมาทบทวนบทเรียนเอง

“ดึกแล้ว ยังไม่นอนเหรอ  พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาอ่านต่อก็ได้นี่”  คนพี่เดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างไม่รู้จะทำอะไรแต่ก็ไม่ยอมออกจากห้องไปสักที  ทำเหมือนจะรอนอนพร้อมใครอีกคน

“พี่นอนก่อนเหอะ ขออ่านตรงนี้ให้จบก่อน”  พีทบอกโดยไม่หันหน้ามาเพราะแอบอมยิ้มกับท่าทางพี่ฮั่นที่ไม่ยอมนอน
 
ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาล  พีทก็อพยพตัวเองไปนอนกับพี่ฮั่นทุกคืน  เขาไม่อยากนอนคนเดียวอีกแล้ว  อีกอย่างเมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ  พวกเขามักเข้านอนด้วยกันเสมอ    แม้ว่าต่างคนก็ต่างมีห้องนอนของตัวเองแต่พีทเคยชินเสียแล้วที่ต้องมีพี่ฮั่นนอนด้วยทุกคืน  พี่ฮั่นทำให้เขาอุ่นใจและฝันดี

หนุ่มน้อยกลับมาสนใจหนังสือตรงหน้าต่อ  ไม่ได้สนใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร  เมื่ออ่านทบทวนจนพอใจแล้วจึงวางปากกา  เก็บหนังสือ  ปิดโคมไฟ  เขาเมื่อยขบไปทั้งตัวจากการนั่งอ่านหนังสือเป็นเวลานาน   อยากจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้ว 

แต่เมื่อเขาหันกลับไปก็ต้องแปลกใจเพราะพี่ฮั่นนอนหลับบนเตียงอยู่ก่อนแล้ว 

พีทเดินไปใกล้เตียงพลางก้มลงมองคนที่ครองเตียงเขาอยู่ พี่ชายนอนแผ่อยู่กลางเตียงเต็มที่  ท่าทางหลับสบาย  เห็นแบบนี้แล้วทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะนอนตรงไหน 

ใบหน้าพี่ชายตอนหลับสนิททำให้เขาอยากจะหนีบจมูกโด่ง ๆ นี่สักที  เอาคืนบ้างเพราะพี่ฮั่นชอบกวนประสาทเขา  ตั้งแต่แรกเจอเลย 

‘ยั่วโมโหเก่งชะมัด  ไอ้พี่บ้า’

คนเป็นน้องแอบมองหน้าพี่ฮั่นจนพอใจแล้วจึงเดินไปปิดไฟ เดินอ้อมเตียงไปอีกด้าน  หย่อนตัวลงนอนทีละนิดเพราะกลัวทำคนตัวใหญ่สะดุ้งตื่น

“ราตรีสวัสดิ์ครับ  พี่ชาย”
-----------------------------------



จากนั้นทุกคืนที่พีทอ่านหนังสือเตรียมสอบ  ก็จะมีนมอุ่น ๆ มาส่งให้ก่อนนอนทุกคืน  พนักงานร่างใหญ่ส่งนมเสร็จก็นอนรอพีทอ่านหนังสือ  บางครั้งก็เอาหนังสือมาอ่านฆ่าเวลาบ้าง  บางครั้งก็หลับไปก่อน  เป็นแบบนี้ทุกคืนจนเขาสอบเสร็จ 

พีทคิดว่าตอนพี่ฮั่นยังไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร  เขาต้องอยู่กับนายหมีแทบตลอดเวลาแล้ว  แต่ตอนนี้พวกเขากลับอยู่ด้วยกันตลอดแทบยี่สิบสี่ชั่วโมงตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งเข้านอนเลยทีเดียว

เขาลืมไปแล้วว่าที่ผ่านมาเขาอยู่คนเดียวมาได้อย่างไร  รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาอยู่คนเดียวไม่ได้อีกต่อไป  เขาต้องการเห็นพี่ฮั่นอยู่ในสายตาตลอดเวลา  ไม่ว่าพี่ฮั่นจะทำอะไรอยู่ที่ไหน  ไม่รู้ว่าเป็นเขาเองที่ติดพี่ซะจนไม่ยอมห่างหรือเป็นเพราะพี่ฮั่นเองที่ไม่ยอมให้เขาอยู่คนเดียว  พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา  ผลัดกันเล่าเรื่องที่ผ่านมาของตนเองเหมือนจะชดเชยเวลาสิบปีที่ต้องห่างกัน




เวลานี้พีทกำลังช่วยพี่ฮั่นจัดของ เพราะของบางส่วนยังอยู่ในกล่องที่พี่ฮั่นขนมาจากอังกฤษ  พวกเขาตกลงกันว่าจะไม่ย้ายกลับไปนอนที่บ้านใหญ่ เพราะพี่ฮั่นก็ชอบบ้านหลังนี้เหมือนกัน

เสียงพีทร้องฮือฮาดังอยู่เป็นระยะเวลาเปิดกล่องโน้นกล่องนี้แล้วเจอของถูกใจทำให้พี่ชายต้องคอยมองอยู่บ่อย ๆ  ว่าเจ้าน้องชายจะเจออะไรบ้าง   พีทช่วยพี่ฮั่นเคลียร์ของได้มากเพราะพอเห็นอะไรถูกใจพีทก็ ‘ยึด’ ทันที 
   
เจ้าแรมโบ้ก็ทำตัวเหมือนนายของมันด้วย  เวลาพีทค้นของอะไรมันก็ทำจมูกฟุดฟิดดมกล่องไปด้วยและคอยเห่าใส่อะไรก็ตามที่มีกลิ่นผิดปกติ สุดท้ายเจ้าแรมโบ้ก็เดินไปทิ้งตัวลงนอนที่พรมหน้าเตียงเพราะโดนพีทดุใส่

หลังจากจัดของไปได้มากแล้วพวกเขาก็นั่งลงที่พรมหน้าเตียง  นิ้วเรียวของนักเปียโนพลิกอัลบั้มรูปดูพร้อมกับเอ่ยถามถึงใครต่อใครในรูปหรือสถานที่ที่ปรากฏในรูปนั้น

“พี่ไปหัดพวกป้องกันตัวนี่ตอนไหน  แล้วยิงปืนอีก ยังกะพวกมืออาชีพ” 

พีทถามเมื่อเห็นรูปพี่ฮั่นถ่ายกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ทุกคนใส่เสื้อยืดแขนยาวสีดำเหมือนเป็นเสื้อทีม  หลายคนในภาพนั้นถือปืนสั้น  บางคนก็ถือปืนยาวอัดลม  แต่ละคนในรูปดูแตกต่างกันเหมือนมาจากคนละมุมโลก  บางคนผิวขาวจัด  บางคนเป็นผิวสี  พี่ฮั่นดูจะอายุน้อยที่สุดในกลุ่มนอกนั้นเป็นผู้ใหญ่กันหมด 

“ก็เพราะพวกนักเลงที่ตามประกบพี่ไง  บางครั้งมันก็เข้ามาขู่เอาเงินบ้าง  ตอนแรกก็พี่ก็ให้ไปแต่ระยะหลังชักหนักข้อ  พอพี่ไม่ให้พวกมันก็จะใช้กำลัง  พี่เลยไปเรียนเพิ่มเพื่อป้องกันตัวเอง  เลยพอเอาตัวรอดได้  ก็ได้พวกนักเลงนั่นแหละเป็นคู่ซ้อม  หลัง ๆ มาพี่โตขึ้นพวกนักเลงพวกนั้นก็ไม่กล้ามาทำอะไรอีก  จนบอดี้การ์ดของลุงคริสสังเกตเห็นพวกนั้นว่าเป็นคนของ ‘เขา’ เรื่องมันก็เลยแดงขึ้นมา”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ  พี่เป็นอิสระแล้วทำไมพี่ไม่กลับบ้านล่ะ”  พีทถามเรื่องที่ยังคาใจเขาอยู่  ก็เขารอพี่ฮั่นกลับมาตั้งหลายปี 

“ก็มีคนโกรธพี่อยู่น่ะสิ ไม่ยอมยกโทษให้สักที”  ตอบพร้อมกับเอามือมาวางบนหัวน้องชาย  โยกเบา ๆ อย่างเอ็นดู

“เพราะผมเอง”  พีทว่า  ใบหน้าสดใสนั้นหมองลง  วางอัลบั้มรูปในมือลงอย่างไม่มีแก่ใจจะดูต่อ

“ก็..มีส่วนบ้าง  ความจริงช่วงนั้นพี่ทำหลายอย่าง  ต้องเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย  เรียนหนักมาก ช่วงปิดเทอมพี่ก็ไปช่วยงานลุงคริส  ตอนนั้นโรงแรมเราที่อังกฤษกับยุโรปกำลังขยายสาขา  ลุงคริสเลยให้พี่ไปช่วย”

“ผมคิดว่าพี่คงลืมผมแล้วซะอีก” พีทเงยหน้ามอง  แววตาเศร้าเสมอเมื่อคิดว่าพี่ฮั่นลืมเขา

“พี่ไม่เคยลืมพีทหรอก  ความจริงพี่ก็กลับมาหลายครั้ง”

“หา! อะไรนะ พี่กลับมาบ้านเหรอ  เมื่อไร ทำไมผมไม่รู้ล่ะ”  พีทคิ้วขมวดอย่างแปลกใจ  หันไปคว้าไหล่ของพี่ฮั่นที่รีบหลบตาเขาทันทีที่พูดจบ 

‘พี่ฮั่นพูดจริงหรือแกล้งพูดเล่นกันแน่  ทำไมเขาไม่เคยรู้เลยล่ะ’

“ก็พี่ไม่อยากให้รู้น่ะแหละ  อีกอย่างพี่คิดว่าพีทคงเกลียดพี่แล้ว  พีทคงไม่อยากเจอพี่อีกแล้วพี่ก็เลยไม่บอก  บางครั้งพี่ก็อยู่ที่บ้านใหญ่แล้วพีทก็นอนอยู่บ้านนี้แต่พี่ไม่กล้ามา  พี่ยอมรับว่าพี่กลัว”
 
ฮั่นหันไปมองหน้าน้องแวบหนึ่งแล้วก็เฉไฉไปมองที่อื่นแทน 

พีทไม่เคยรู้เลยว่าหลายครั้งที่เขากลับมา  เขามักจะมาแค่วันสองวันแล้วก็มาพักที่บ้านใหญ่ทุกครั้ง  แต่พีทที่ย้ายตัวเองไปอยู่บ้านริมน้ำทำให้ไม่สังเกตว่ามีใครบางคนกลับมา  ไม่มีใครกล้าบอกเพราะพีทเคยสั่งทุกคนไว้แล้วว่าห้ามเอ่ยชื่อพี่ฮั่นให้ได้ยินอีก  ทุกคนในบ้านจึงเข้าใจว่าพีทยังโกรธอยู่  เขาทำเพียงแค่เฝ้ามองพีทเพียงลำพังอยู่ในห้องนั่งเล่น   มุมที่เห็นบ้านริมน้ำชัดที่สุด  บางครั้งบางคราวก็เดินไปใกล้ยามดึกแล้วหยุดยืนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่  เฝ้ามองไปที่ห้องนอนที่เปิดไฟทิ้งไว้ทุกคืน

“อะไรนะ ทำไมพี่ทำแบบนี้อ่า ไม่รู้รึไงว่าผมรอพี่อยู่ตั้งหลายปี” พีทว่าเสียงเบาแล้วก็เงียบไป  ก็เขานั่นแหละเป็นต้นเหตุให้ใครต่อใครคิดไปว่ายังโกรธพี่ฮั่นอยู่ 

พีทเริ่มจะเศร้าอีกแล้ว  พี่ชายจึงยกแขนไปกอดไหล่คนเป็นน้องไว้  เขย่าเบา ๆ เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร

“พีทอย่ารู้สึกผิดเลย  ก็พีทไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่  พีทก็โกรธไปตามประสาของพีท พี่รู้ว่าถ้าพีทรู้เรื่องทั้งหมด  พีทคงไม่โกรธพี่  ถูกไหม” 

“อีกอย่างเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับพีทเลย มันเป็นเพราะเขาที่เจ้าคิดเจ้าแค้น  เรื่องมันก็ตั้งนานมาแล้วเขายังไม่ยอมให้อภัย” 

“แต่เป็นเพราะผม  ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าผมยังโกรธพี่อยู่” 

“พี่อย่าทำแบบนี้อีกนะ อย่าหันหลังแล้วเดินจากไปเหมือนที่ผ่านมา มีอะไรพี่คุยกับผมก่อนอย่าหนีไปแบบนั้นอีก  ผมคงรับมันไม่ไหวอีกแล้วถ้าพี่หันหลังจากไปอีก” 

พีทพูดเสียงเศร้า  เขายังจำความรู้สึกพวกนั้นได้ดี  เขาต้องจมอยู่กับการรอคอยให้พี่ฮั่นกลับมาโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย  การรอคอยมันทรมานเพียงใดเขารู้ดี  ไม่เอาอีกแล้วความรู้สึกถูกทิ้งอยู่ข้างหลังเฝ้ารอคอยให้พี่ฮั่นกลับมา

“ครับ”  คนเป็นพี่รับคำ  ส่งแววตามาเหมือนให้สัญญา 

พีทจึงค่อยโล่งใจมากขึ้น 

“โฮ่ง” แรมโบ้ที่นอนกลิ้งอยู่ใกล้เห่าตอบรับด้วย  เรียกรอยยิ้มจากเจ้านายของมัน

“อะไรแรมโบ้ นี่แกก็คิดเหมือนชั้นใช่ป่ะ”  เจ้านายหันไปลูบหัวแรมโบ้สุนัขตัวโปรด  แรมโบ้ส่ายหางเป็นพวงใหญ่โตของมันตอบรับ 

“พีทเลี้ยงหมาเก่งนะ  แรมโบ้แก่ขนาดนี้แล้วยังดูแข็งแรงดี”  ฮั่นเอื้อมมือมาลูบเจ้าแรมโบ้บ้าง

“พี่ทำยังไง  แรมโบ้ถึงยอมดีด้วยล่ะ  ปกติมันดุจะตายไม่เชื่องกับใครเลย  ขนาดพ่อซื้อมันมามันยังไม่ยอมให้จับเลย”

พีทถามในสิ่งที่สงสัยมานาน   เขาคิดว่าแรมโบ้คงจะชอบพี่ฮั่นมันถึงยอมเชื่องกับพี่ฮั่นเป็นคนแรกนอกจากเขา 

พี่ฮั่นไม่ตอบว่าอะไรแต่เดินไปค้นอัลบั้มรูปในกล่องอีกใบหนึ่งมาเปิดให้เขาดู  รูปที่เขาเห็นเป็นรูปพี่ฮั่นตอนไปอังกฤษใหม่ ๆ สวมเสื้อสเวตเตอร์สีครีมนั่งอยู่หน้าเตาผิงขนาดใหญ่กำลังอุ้มสุนัขสีน้ำตาลตัวหนึ่งในอ้อมแขน 

“แรมโบ้?”  พีทแปลกใจ 

ที่พี่ฮั่นอุ้มอยู่นั่นมันแรมโบ้ตอนเล็ก ๆ นี่นา  แต่แรมโบ้ดูตัวเล็กกว่าตอนที่เขาได้รับแรมโบ้เป็นของขวัญจากพ่อ   พีทจำปลอกคอในรูปนั้นได้  มันคือปลอกคออันเดียวกับที่ติดมากับแรมโบ้  วันแรกที่แรมโบ้มาอยู่หน้าห้องนอนเขาเมื่อสิบปีที่แล้ว 

เขามองหน้าพี่ฮั่นที่ยิ้มให้

“พี่เลี้ยงแรมโบ้มาตั้งแต่มันอายุได้เดือนเดียว   ตอนแรกก็เลี้ยงไว้แก้เหงา   พอแม่กับลุงคริสมาเยี่ยมแล้วเล่าเรื่องพีทไม่ยอมพูดกับใครให้ฟังพี่ก็เลยฝากเจ้าแรมโบ้มาให้พีทเลี้ยงไงจะได้ไม่เหงา  แต่กลัวพีทจะโกรธแล้วไม่ยอมเลี้ยงแรมโบ้เลยขอให้ลุงคริสบอกว่าซื้อมันมาเอง”

“แรมโบ้มันคงจำกลิ่นพี่ได้  มันเลยไม่กัด”

มิน่าล่ะ เจ้าแรมโบ้เคยเข้าไปคาบตุ๊กตาที่อยู่ในห้องนอนของพี่ฮั่นออกมาวางบนตักเขาเหมือนอยากเล่นด้วย  มันคงคุ้นกลิ่นพี่ฮั่นซึ่งเป็นเจ้านายคนแรกของมัน   

พีทจ้องมองรูปนั้นอยู่นาน  เขาเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ฮั่น  พูดอะไรไม่ออก

“เจ้าแรมโบ้มันรู้จักพีทตั้งแต่แรกแล้ว  เพราะพี่เอาตุ๊กตาของพีทติดไปที่โน่นด้วย  มันชอบเล่นกับตุ๊กตาตัวนั้น  พีทคงไม่ว่านะ  ตอนนี้ตุ๊กตาของพีทมันขาดหมดแล้ว”

คนพูดเล่าเรื่อย ๆ เหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดาเสียเหลือเกิน  แต่พีทกลับตื้นตันจนไม่รู้จะพูดอย่างไร 

เขาได้แต่คอยสอบถามเรื่องราวตอนที่พี่ฮั่นอยู่ที่อังกฤษ  บางครั้งพี่ฮั่นก็เล่าเรื่องพี่แคนให้ฟังว่าพวกเขารู้จักกันได้อย่างไร  พี่ฮั่นกับพี่แคนเคยไปสร้างวีรกรรมพิเรนทร์ ๆ อะไรไว้บ้าง   

แต่มีอีกเรื่องที่พีทยังไม่ได้ถามและก็ไม่กล้าถาม  นั่นคือเรื่องที่เขาถูกบังคับให้กินยา  เขารู้แค่ว่าพี่ฮั่นมาช่วยไว้ได้ทันแต่เขาไม่กล้าถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  เขายังจำความรู้สึกตอนกินยานั่นเข้าไปได้  มันเป็นประสบการณ์อันเลวร้ายที่เขาอยากจะลืม 

พี่ฮั่นก็ไม่เล่าเรื่องคราวนั้นให้เขาฟังเช่นเดียวกัน

-----------------------------------



คืนนี้มีปาร์ตี้เลี้ยงอำลาให้เขา พีทจำใจต้องลาออกจากวงหลังจากคิดอยู่นาน  ในที่สุดเขาก็ต้องยอมลาออกตามเหตุผลของพี่ฮั่น  บรรดาลูกค้าที่ได้ทราบข่าวต่างพากันเสียดาย  คืนอำลานี้จึงมีนักเที่ยวกลางคืนมารวมตัวกันจนแน่นร้าน  พีทใช้เวลาร้องเพลงเพื่ออำลาอยู่จนดึกดื่น

เกรซไม่ว่าอะไร  เธอเข้าใจเหตุผลของเขา  ที่จริงแล้วเกรซแทบจะเลิกพูดไปแล้วด้วยซ้ำ  ถามคำตอบคำและยิ่งเงียบมากขึ้นเมื่อเธอมาที่ร้าน  อย่างเช่นคืนนี้  เกรซนั่งเฉยอยู่กับพี่ฮั่น  ไม่พูด  ไม่ยิ้มแย้มเหมือนเคย

ฮั่นมองสาวน้อยที่นั่งอย่างนิ่งเฉยด้วยแววตากังวล  หลังจากที่ประกาศหมั้นแล้วแคนก็ไม่มาที่ร้านอีกเหมือนกัน  เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้  แคนก็หายเข้ากลีบเมฆ  ไม่ติดต่อเขาเหมือนเดิม 

‘เดี๋ยวคนอื่นก็ทำคะแนนนำไปก่อนนะแคน’
   ฮั่นครุ่นคิดอยู่คนเดียวเมื่อสายตาคมสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง

‘ชิน’ นักร้องนำคนใหม่ของวงที่มาแทนพีทยืนอยู่อีกมุมของร้าน  เขาเป็นหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาดี  ใบหน้าคมเข้ม  จมูกโด่งจากเชื้อชาติทางยุโรปแต่มีตาและสีผมเป็นสีดำอย่างคนเอเชีย   ชินไม่ได้เป็นคนยิ้มเก่งเหมือนพีท  เขามักจะทำหน้านิ่งเฉย  จะยิ้มก็ต่อเมื่อมีเรื่องสนุกจริง ๆ เท่านั้น  แต่ดวงตานิ่งนั้นกลับน่าดึงดูดอย่างประหลาด   

และเวลานี้ดวงตาคู่นั้นก็กำลังจ้องตรงมายังสาวน้อยที่นั่งอยู่ไม่ไกลเขา  มองอยู่นานแล้วแต่เกรซไม่รู้ตัวสักนิด

คนที่ผ่านโลกมาพอสมควรเห็นแววตาแบบนั้นก็รู้ทันทีว่านักร้องคนใหม่ของวงคิดอย่างไรกับเจ้านายสาวสวย   แววตาคนมีความรักดูไม่ยากหรอก เวลาเรารักใคร  คนคนนั้นก็อยู่ในสายตาเราตลอดเวลา  โดยไม่รู้ตัวเขาหันกลับไปมองหนุ่มนักร้องอีกคนที่กำลังจะร้องเพลงสุดท้ายของตัวเอง

“เพลงสุดท้ายนี้  ผมอยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่อธิบายยาก  มันเหมือนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ในชีวิตที่ผมได้มายืนอยู่ตรงนี้  ตอนนี้  ผมอยากจะขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราได้มาเจอกัน  ราวกับว่ามันเป็นพรหมลิขิตครับ”

เสียงกรี๊ดหูแทบดับของกลุ่มลูกค้าสาว ๆ หน้าเวทีดังตอบรับประโยคนั้น  ผู้คนที่อยู่หน้าเวทีร้องคลอไปกับเพลงนั้นดังกระหึ่ม พี่ ๆ ในวงปล่อยให้พีทโชว์เดี่ยวเป็นการอำลา 

พีทร้องเพลงสุดท้ายพร้อมกับเล่นกีตาร์โปร่งไปด้วย  สายตาของน้องชายจ้องตรงมาที่เขาส่งความหมายตามที่ร้องทุกคำ  เขามองสบตากลับไปเช่นกัน  หัวใจพองโตทีละน้อยกับเพลงที่มีความหมายลึกซึ้ง

เพลงสุดท้ายจบลงอย่างสวยงาม  ทุกคนในวงเดินเข้ามากอดหนุ่มน้อยกลางเวทีพลางกล่าวคำอำลา   เป็นภาพที่สวยงามในสายตาทุกคู่ที่จ้องมองจากด้านล่าง

เกรซถึงกับน้ำตารื้น  เมื่อเห็นภาพนั้น

-----------------------------



“พี่ฟังเพลงสุดท้ายรึเปล่า”

พีทเอ่ยถามเสียงยานคางเพราะถูกคะยั้นคะยอจากทุกคนในวงให้ดื่มไปหลายแก้ว  จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะพี่ร็อกกี้ขู่ว่าจะร้องเพลงให้ฟัง  ทุกคนในวงหัวเราะกันใหญ่เมื่อเห็นพีทรีบยกแก้วเครื่องดื่มสีอำพันขึ้นดื่มจนหมดแก้วทีเดียว

“ฟังสิ” คนที่ทำหน้าที่ขับรถตอบเสียงเบา 

เขากังวลเมื่อเห็นพีทดื่ม  เพราะครั้งสุดท้ายที่พีทดื่ม  พวกเขาทะเลาะกันรุนแรง 

“ผมร้องให้พี่นะ” คนเมาหันมายิ้มให้อย่างน่ารัก  ดวงตาส่งความหมายตามที่พูด

ไม่ต้องบอกก็รู้  ก็เล่นร้องเพลงแล้วมองตรงมาที่เขาตลอดเวลา  ขนาดเกรซที่นั่งเฉยไม่สนใจใครยังรู้สึกได้

พีทหันกลับไปตามเดิมพลางหัวเราะร่วนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปพอสมควร  ใบหน้าแดงก่ำ  มือไม้เปะปะไม่อยู่นิ่ง  ฮัมทำนองตามเพลงที่เปิดคลอในรถอย่างอารมณ์ดี 

‘วันนี้แปลก  ดื่มแล้วอารมณ์ดี’    ฮั่นคิดเงียบ ๆ

เขาเห็นพีทดื่มไปหลายแก้ว ใจหนึ่งก็อยากจะห้าม แต่เห็นพีทสนุกสนานอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนในวงแล้วเขาก็ไม่อยากขัดใจ  อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะคอแข็งสักแค่ไหน  แต่พอเห็นสภาพคนที่นั่งคอพับคออ่อนข้างเขาแล้วก็สรุปได้ว่าน้องยัง ‘อ่อน’ กว่าเขานัก   

คนขับเร่งเครื่องให้เร็วขึ้นอีกเพราะท่าทางคนคออ่อนจะไม่ไหวแล้ว




คนเมาเดินเซนิด ๆ เมื่อเข้ามาถึงห้องนอน  พีทยืนยันว่ายังไหว  ฮั่นจึงปล่อยให้พีทจัดการตัวเอง   ส่วนเขาก็กลับเข้าห้องตนเองเพื่ออาบน้ำเช่นกัน

เจ้าของห้องนอนนิ่งไปแล้วเมื่อฮั่นเดินกลับมาที่ห้องน้องชาย  เขาหันไปจัดผ้าห่มให้เรียบร้อยจึงล้มตัวลงนอนบ้าง 

พีทขยับเมื่อรู้สึกว่าเตียงยวบเพราะน้ำหนักตัวของใครอีกคน  เจ้าน้องชายขยับเข้ามานอนจนชิด  หนุนหมอนใบเดียวกัน  เอื้อมมือมากอดเขาไว้  ซุกหน้าที่ไหล่เขา

“รักพี่มาก ๆ นะคร้าบ”  เสียงงัวเงียนั้นบอกก่อนจะหลับไปอย่างรวดเร็ว


---------------------------------------

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า   :mew1: :mew1: :mew1:




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 28 page 3 อัพเดต 19/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 19-08-2014 23:43:45
นอนหมอนใบเดียวกันด้วย คึคึ

คือจริงๆน่าจะต่ออีกหน่อย ให้พี่ฮั่นแอบหอมแก้มน้องบ้างไรบ้าง :ling1:

ขอบคุณนักเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 28 page 3 อัพเดต 19/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-08-2014 00:55:44
 :L2:  ขอขบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 28 page 3 อัพเดต 19/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: smile_aex ที่ 22-08-2014 09:12:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 28 page 3 อัพเดต 19/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: green1313 ที่ 22-08-2014 13:30:12
เป็นกำลังใจให้คนแต่ง เนื้องเรื่องสนุกมาก
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 28 page 3 อัพเดต 19/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 23-08-2014 01:16:06
29. ฝึกงาน



“ทำไมเช้านี้พี่กินกาแฟตั้งสองถ้วย  นอนไม่พอเหรอ”  พีทถามพี่ชาย  ทำหน้าแปลกใจ

ฮั่นเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ยอมสบตา  เขาไม่ตอบอะไร 

‘จะบอกยังไงล่ะ  ก็ตัวเองเป็นต้นเหตุแท้ ๆ ยังไม่รู้ตัวอีก’

เมื่อคืนหลังจากพีทพูดประโยคนั้นจบก็หลับไปเลย ไม่รู้ตัวเลยว่าทำให้ใครต้องนอนไม่หลับเพราะเขาเกิดใจเต้นแรงจากประโยคนั้น  แล้วลมหายใจอ่อนที่รดอยู่ข้างแก้มอีก  มันทำให้เขาหน้าร้อนขึ้นมากะทันหัน  ได้แต่นอนนิ่งไม่กล้าขยับตัวมาก  ประโยคนั้นทำให้เขาคิดอะไรไปมากมาย  จนเผลอหลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเช้า

เขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำหนังสือพิมพ์ไว้แน่นจนกระดาษยับย่นเมื่อนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน  รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าอีกแล้ว



พีทมองพี่ฮั่นที่แปลกไป  ไม่ยอมสบตาเขาตั้งแต่เช้าแล้ว 

‘งอนอะไรเขารึเปล่าเนี่ย’

“พี่เป็นอะไรอ่ะ ทำไมพูดแล้วไม่มองหน้า โกรธอะไรผมรึเปล่า”  พีทอดไม่ได้ที่จะถามคนที่นั่งขับรถมาเงียบ ๆ  ตั้งแต่ออกจากบ้าน

“เปล่า  ไม่มีอะไรนี่”  พี่ฮั่นตอบและยังคงไม่หันมามองเขาสักนิด

“นี่พี่  น้องอยู่ตรงนี้นะ  เวลาพูดน่ะสบตาด้วยสิ”  พีทอดไม่ได้หันไปมองพี่ฮั่น  พลางยกนิ้วโป้งชี้เข้าหาตัวเอง

“ครับ”  คนเป็นพี่หันมาสบตาเพียงแวบเดียวแล้วหันไปขับรถต่อ

“เฮ้อ”  พีทแกล้งถอนหายใจเสียงดัง  ‘พี่ใครทำไมดื้อแบบนี้เนี่ย’



ออดี้ R8  ที่กลับมาสวยเหมือนเดิมหลังจากเข้าอู่อยู่นาน  จอดลงตรงหน้าล็อบบี้โรงแรมสาขาใหม่ของตระกูลหยางที่พีทเพิ่งมีโอกาสมาเป็นครั้งที่สอง  พนักงานเปิดประตูให้พวกเขาพร้อมกับโค้งให้  เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องโถง  ชายหนุ่มทั้งสองคนก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนบริเวณนั้นทันที พนักงานเกือบทั้งหมดในล็อบบี้หันมาเห็นพวกเขาก็หยุดกิจกรรมทุกอย่างที่กำลังทำแล้วโค้งให้เหมือนเมื่อครั้งที่เขามางานเลี้ยง 

พีทกำลังจะหันมาถามแต่พี่ฮั่นกลับเอามือรุนหลังเขาให้เดินต่อไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาซักถามอะไร   เมื่อพวกเขาเข้าไปในส่วนรับแขกก็พบพี่โดมรออยู่แล้วด้วยความกระวนกระวายใจ

“พีท  พี่ฮั่น  มาสักที  ผมรอจนตื่นเต้นไปหมดแล้วเนี่ย”
 
โดมบอกทันทีที่สองพี่น้องเดินมาถึง  เขามาถึงโรงแรมก่อนหน้านี้สักครึ่งชั่วโมง  พอพนักงานทราบว่าเขามาฝึกงานพร้อมกับคุณชาย  พนักงานก็ต้อนรับอย่างดี  เสิร์ฟชาและอาหารว่างมากมายจนเขาทำตัวไม่ถูกที่อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นคนสำคัญ   เขาก็รู้มาบ้างว่าพีทเป็นลูกชายเจ้าของโรงแรม  แต่เขาไม่คิดว่าโรงแรมหกดาวที่เขากำลังยืนอยู่นี้จะ ‘อลังการ’ ขนาดนี้
 
โรงแรมนี้ออกแบบมาอย่างหรูหรา  ทันสมัย  สร้างด้วยกระจกและโครงสร้างเหล็กที่ออกแบบให้เป็นโดมทรงสูง  มีต้นไม้ใหญ่หลากชนิดปลูกอยู่ภายใน  มีการตกแต่งสวนสวยงาม  เสียงน้ำตกจำลองไหลเอื่อยสร้างบรรยากาศธรรมชาติ   ดอกกุหลาบหลากสีประดับอยู่ทุกมุมของโรงแรม   กลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ  กระจายไปทั้งล็อบบี้เลยทีเดียว   ของประดับตกแต่งก็ล้วนได้รับการคัดสรรอย่างดี มีรูปภาพขนาดใหญ่วาดโดยศิลปินระดับโลกประดับอยู่เป็นระยะ  นอกจากนี้บรรดาแขกที่มาใช้บริการในโรงแรมดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบุคคลระดับสูง  แต่งกายดี   พนักงานบริการของโรงแรมคอยให้บริการอย่างดีเยี่ยมเหมือนที่เขาได้รับจนต้องมานั่งทำตัวไม่ถูกอยู่นี่

‘โรงแรมหรูขนาดนี้  เด็กนี่มันว่าที่มหาเศรษฐีชัด ๆ  แล้วก็ไม่บอกกันก่อนว่ารวยขนาดนี้’  โดมคิดอย่างหมั่นไส้น้อย ๆ 

วันนี้เป็นวันแรกของการฝึกงาน  เดิมทีพวกเขาต้องเริ่มฝึกงานในเทอมที่สอง  แต่ทางโรงแรมเรียกให้พวกเขามาฝึกงานทันทีที่สอบเสร็จ  พีทกับพี่โดมแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว  ผูกเนคไทเรียบร้อย  ต้องไปพบผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมเพื่อรายงานตัวและรับมอบหมายงาน

“ไม่ไปด้วยกันเหรอ” พีทหันไปถามพี่ฮั่นที่เปลี่ยนมาสวมสูทสีเข้ม ดูเหมือนจะมาทำงานเช่นกัน

“ไม่ล่ะ  พวกนายไปกันเถอะ”  คนพูดหันมามองพลางยิ้ม

พีทเลิกคิ้วอย่างฉงนเล็กน้อยกับใบหน้ายิ้มมีเลศนัยนั้น  แต่เขาไม่ซักถามอะไร   ตั้งแต่พี่ฮั่นกลับมาก็มีแต่เรื่องเซอร์ไพรส์เขาตลอดเวลา ไม่แน่วันนี้คงมีอะไรอีก   

ลับหลังน้องชาย  แววตาคนพี่กลับมาเจ้าเล่ห์อีกครั้ง  เขายืนมองส่งพีทกับโดมที่พากันเดินเข้าลิฟต์เพื่อเริ่มต้นการฝึกงาน

“เดี๋ยวก็เจอกัน”  คนเจ้าเล่ห์พึมพำอยู่คนเดียวจากนั้นก็เดินไปขึ้นลิฟต์สำหรับผู้บริหารที่พนักงานเปิดคอยอยู่แล้ว

---------------------------------



สองหนุ่มมาลงทะเบียนฝึกงานพร้อมกับนักศึกษาจากหลายคณะหลากสถาบัน  โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมหกดาวขนาดใหญ่  ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสิบโรงแรมที่ดีที่สุดของเอเชีย  รวมทั้งได้รับรางวัลการให้บริการยอดเยี่ยมจากหลายสถาบัน  จึงมีนักศึกษาจำนวนมากสนใจจะเข้าฝึกงานเพื่อเก็บไว้ในประวัติของตนเองก่อนจบการศึกษา 

“คนเยอะเหมือนกันนะพีท”  พี่โดมเปรยกับเขาเมื่อพวกเขาเข้ามาในห้องประชุม

“ถ้ามาจากมหาวิทยาลัยเดียวกับเราก็คงสักยี่สิบ  แต่มีมาจากที่อื่นด้วย  ปีนี้คนฝึกงานเยอะจริง ๆ” 

ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมขึ้นกล่าวต้อนรับนักศึกษาฝึกงาน  จากนั้นจึงได้แนะนำโรงแรมอย่างกว้าง ๆ ให้นึกศึกษาทุกคนได้รู้จัก  เสียงพึมพำของนักศึกษาเกิดขึ้นเป็นระยะเมื่อได้เห็นภาพโรงแรมสาขาอื่นทั่วโลก  และโรงแรมสาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว  การให้บริการอันหลากหลาย  รวมไปถึงบุคคลระดับโลกที่โรงแรมเคยให้การต้อนรับ   พี่โดมที่นั่งข้างเขาก็ทำเสียงตื่นเต้นไปด้วย พีทแอบอมยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนในห้องประชุม 

‘พ่อเขาก็เก่งเหมือนกันนะนี่’ 

หลังจากแนะนำเรื่องต่าง ๆ ไปจนถึงเวลาการทำงาน   กฎเกณฑ์ที่นักศึกษาทุกคนต้องปฏิบัติตามแล้ว  ผู้จัดการก็ขึ้นมากล่าวอีกครั้ง

“ก่อนที่นักศึกษาทุกคนจะแยกย้ายกันไปฝึกงานแต่ละส่วนของโรงแรม  ผมขอเชิญรองประธานบริหารของโรงแรมขึ้นมากล่าวต้อนรับนักศึกษาทุกคน..”

“....ขอเชิญคุณ เฮนรี หยาง ครับ”   

สิ้นคำประกาศนั้นนักศึกษาทุกคนปรบมือต้อนรับ พร้อมกับมีเสียงฮือฮาเกิดขึ้นโดยเฉพาะจากนักศึกษาสาว ๆ ที่นั่งด้วยกันเป็นกลุ่มด้านหน้า
   
“ใครอ่ะพีท  ไม่ใช่พ่อนายนี่”  พีทกับพี่โดมที่นั่งด้านหลังหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ 

คำตอบของคำถามเดินขึ้นมาบนเวทีแล้ว

--------------------------------------



“เฮนรี หยาง  งั้นเหรอ” 

พีทเอ่ยทักคนที่ยืนริมผนังกระจกบานใหญ่มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง   ใบหน้าคมที่มองตรงไปยังวิวทิวทัศน์ด้านนอกหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเขา  หนุ่มน้อยเดินไปหยุดยืนใกล้  ใบหน้าเรียวยิ้มกว้าง  ดวงตาจับจ้องไปยังคนที่ก้มหน้าไม่ยอมสบตากับเขา 

“รองประธานบริษัทสินะ”

เขายิ้ม ไม่แปลกใจเท่าไร  ก็จับพิรุธได้ตั้งหลายอย่างตั้งแต่แรก

บอดี้การ์ดที่ไหนจะขับซูเปอร์คาร์ราคาสิบกว่าล้าน  รู้เรื่องงานโรงแรมและธุรกิจทั้งหมดถึงขนาดพ่อส่งมาสอนงานให้เขา  เดินเข้าโรงแรมแต่ละทีพนักงานพร้อมให้บริการยิ่งกว่าแขกวีไอพี  ไปทางไหนก็มีพนักงานโค้งให้ตลอดทาง ก็ตำแหน่งเป็นรองแค่พ่อเขาคนเดียวนี่นา  ขนาดเขาเป็นลูกพ่อ  พนักงานที่นี่ยังไม่รู้จักเขาสักนิด

‘นายหมี’ นี่ ‘ใหญ่’ กว่าที่เขาคิดซะอีก

เวลานี้ทั้งคู่อยู่ในห้องทำงานของรองประธานบนชั้นสูงสุดของอาคารสำนักงานซึ่งสร้างติดกับตัวโรงแรม  หลังจากเสร็จพิธีการต้อนรับแล้วทางโรงแรมได้จัดอาหารกลางวันไว้เป็นการเลี้ยงต้อนรับ  ก่อนจะให้ทุกคนแยกย้ายไปเริ่มต้นฝึกงานตามแผนกของตนในตอนบ่าย  เขาถูกผู้จัดการเชิญขึ้นมาที่ห้องนี้ทันทีที่เลิกประชุม
 
“ตอนนี้เราก็เป็นพี่น้องกันตามกฎหมายแล้วสิเนี่ย  ไม่รู้ตัวเลย” พีทกอดอกมองดูรองประธานบริษัท  พ่อรับพี่ฮั่นเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมายตั้งแต่เมื่อไรเขาไม่รู้เลย  แล้วตำแหน่งรองประธานอีก  แต่ช่างเถอะ  ยังไงเขาก็ยินดีอยู่แล้ว

“ก็ เอ่อ ไม่รู้จะบอกยังไง” เจ้าตัวว่า  ยกมือขึ้นปัดผมแถวท้ายทอยตัวเองดูขัดเขิน

“โกรธพี่รึเปล่า”

“โอ๊ย  ใครจะโกรธพี่ล่ะ  ที่ผ่านมาผมโกรธพี่มามากพอทั้งชีวิตแล้ว  ต่อจากไปนี้พี่จะทำอะไร  ผมไม่มีวันโกรธพี่หรอก”  พีทบอกพี่ฮั่นเสียงดัง  ใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา

‘พี่ฮั่นเขินเขาทำไมเนี่ย’

“ไม่ว่าพี่จะเป็นใคร  นามสกุลอะไร  พี่ก็ยังเป็นพี่ของผมตลอดไป  รู้ไว้ซะ”  ประโยคนั้น  พีทยื่นหน้าเข้าไปบอกคนเป็นพี่ใกล้ ๆ  ราวกับจะให้แน่ใจว่าพี่ฮั่นจะต้องได้ยินทุกคำของเขา 

ดวงตาทั้งคู่สบกัน  ฮั่นยืนนิ่งไปกับคำพูดของน้องชาย  ค่อย ๆ ซึมซับความหมายของประโยคนั้นทุกคำ  เขาขยับตัวเข้ามาใกล้   ดวงตาทั้งคู่ยังสบกันอยู่แน่วแน่   คนเป็นพี่ยกมือแตะข้างแก้ม  นิ้วเรียวยาวสอดไปตามเส้นผมนุ่มก่อนจะเลื่อนมือไปด้านหลังรั้งเข้ามาใกล้   มืออีกข้างคว้าตัวพีทมากอดไว้แน่น

“พี่ฮั่น”  พีทประหลาดใจกับท่าทีของพี่ฮั่นที่เปลี่ยนไป  แล้วมากอดเขาไว้อีก 

“ขออยู่แบบนี้สักพักนะ”  เสียงพี่ชายบอกอยู่ข้างหู 

พีทยกแขนขึ้นกอดตอบพี่ชายบ้าง  เขาหลับตา  วางคางตัวเองบนไหล่หนาของพี่ฮั่น  ปล่อยตัวตามสบาย  ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรง  รู้สึกสุขใจเมื่ออยู่แบบนี้

“รักพี่มาก ๆ นะ”  อยู่ ๆ เขาก็อยากบอก 

“รู้แล้ว  เมื่อคืนพีทก็บอกแล้ว”  เสียงพี่ฮั่นตอบข้างหูเสียงเบา

“บอกตอนไหน  ไม่เห็นจำได้เลย”

“พี่ได้ยินก็แล้วกัน”




เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำให้สองหนุ่มคลายอ้อมกอดกันและกันอย่างอ้อยอิ่ง  โดมเดินเข้ามาในห้องอีกคน  เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นคนสองคนในห้องมีท่าทีขัดเขิน   แม้ทั้งสองคนจะยืนห่างกันคนละมุมแต่ทำไมบรรยากาศในห้องดูสดใสบอกไม่ถูก เขามองไปที่พี่ฮั่นที่ทำหน้านิ่ง  เม้มปากแน่นแต่หน้าแดงไปถึงหู  ส่วนพีทนั้นก็หันมายิ้มกว้างให้  แววตาสดใสอย่างคนที่มีความสุข

‘ต้องมีอะไรสักอย่างสิน่า’ 

------------------------------------



“ทำอะไรไม่เคยปรึกษากันเลยนะคริส  แกคงเห็นว่าชั้นเป็นแค่ไอ้แก่ใกล้ตายคนหนึ่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจ ไม่จำเป็นที่จะต้องให้เกียรติกันแล้วใช่ไหม” 

“ผมเห็นว่าคุณอากำลังรักษาตัวอยู่เลยไม่อยากรบกวนครับ  คุณอาไม่ควรมีเรื่องใดให้กังวล  มันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพนะครับ”

“แกไม่ต้องมาทำพูดดีหรอก  ชั้นรู้ว่าแกพยายามปกปิดเรื่องพวกนี้แค่ไหน  แกไม่อยากให้ชั้นรู้ด้วยซ้ำ!”  คนที่นอนอยู่บนเตียงตะคอกกลับ  ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยดูโกรธเกรี้ยว

“จัดการอะไรตามใจชอบเลยนะ  เห็นว่าชั้นแก่แล้ว  หมดพิษสงแล้วล่ะสิถึงได้กล้าทำอะไรใต้จมูกชั้นขนาดนี้  แกกล้าเอาหลานของคนที่ชั้นเกลียดมาเป็นลูก  เอามันมาบริหารกิจการของตระกูล  แกกล้าดียังไงถึงทำแบบนี้!!”

“คุณอาครับ  ฮั่นเป็นเด็กดี  เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการดูแลกิจการของเรา  คุณอาอยากให้ผมเล่นการเมืองไม่ใช่เหรอครับ  ตอนนี้ผมก็กำลังทำอย่างที่คุณอาต้องการแล้ว  ผมต้องพึ่งเขาให้ดูแลกิจการ  เขาทำเพื่อผม  เพื่อพีทนะครับ  คุณอาเลิกเกลียดพวกเขาเถอะครับ”

“ไม่มีทาง!! ชั้นไม่มีวันยกโทษให้พวกมันเด็ดขาด  แล้วชั้นขอเตือนแกไว้ก่อนนะคริส  อย่าให้ไอ้ฮั่นอยู่ใกล้ชิดกับพีทมากไปกว่านี้  ชั้นพยายามจะแยกพวกมันออกตั้งแต่เด็ก  แต่แกก็ทำให้มันกลับเข้ามาในชีวิตของลูกชายของแกอีก แล้วแกจะต้องเสียใจ”

“ทำไมล่ะครับคุณอา  พีทอยู่กับฮั่นปลอดภัยที่สุดแล้ว  ฮั่นช่วยชีวิตพีทไว้หลายครั้งแล้วนะครับ  ผมไว้ใจเขา”

“ไม่ได้  แกไม่เข้าใจ  ชั้นจะไม่ยอมให้พีทอยู่ใกล้ชิดมันอีกต่อไป  ถ้าแกไม่ฟังที่ชั้นเตือน  ชั้นจะจัดการเอง!” 

คริสไม่เข้าใจหรอก  ตั้งแต่เขากลับจากรักษาตัวที่อเมริกา  ครั้งแรกที่เขาเห็นมันในลิฟต์นั่น  เขาก็ต้องสั่งคนให้สืบข่าวเรื่องนี้อยู่เงียบ ๆ  แล้วสิ่งที่เขากลัวก็เป็นจริง 

รูปถ่ายของพีทที่นักสืบส่งมาให้ จะต้องมีไอ้พี่ชายนอกสายเลือดติดมาด้วยแทบทุกภาพ  มันอยู่กับพีทตลอดเวลาแทบไม่เคยห่างกัน  ลักษณะท่าทางที่เห็น  ดูก็รู้ว่ามันใกล้ชิดกับพีทขนาดไหน  แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่เขากลัวนั่นคือ  สายตา!

สายตาของหลานชายคนเดียวของเขา  สายตาของพีทเวลาที่มองมัน  สายตาแบบนั้นเขามองปราดเดียวก็รู้แล้ว  เขาเห็นหลานชายก็เหมือนเห็นตัวเอง  พีทจะต้องเสียใจเพราะมัน  คนพวกนั้นทำเขาเจ็บแสบที่สุดในชีวิตจนกระทั่งตอนนี้  เขาจะไม่ยอมให้หลานคนเดียวของเขาต้องเจ็บปวดเหมือนกับที่เขาเป็น   

ไม่มีวัน!

“ชั้นขอสั่งให้แกรีบแยกเจ้าพีทออกจากมันซะ  ก่อนที่แกจะต้องเสียใจ”

“ถ้าแกไม่ทำ  ชั้นจะทำเอง  แล้วอย่าหาว่าชั้นไม่เตือน” 

“คุณอาอย่าทำอะไรแบบนี้อีกเลยครับผมขอร้อง เลิกยุ่งกับครอบครัวของผมเสียที  ไม่งั้นคุณอาก็อย่าหาว่าผมไม่เตือนเหมือนกัน”

น้ำเสียงอ่อนใจในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง  เมื่อคริสต้องเตือนคุณอาให้เลิกทำร้ายคนในครอบครัวเขา  ความอดทนของเขาก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน 

“แก! ไอ้คริส  ไอ้หลานทรยศ  ชั้นจะไม่ยกสมบัติให้แก  ชั้นจะถอนหุ้นคืนทั้งหมด”

“ตามใจคุณอาสิครับ  อย่าลืมว่าตอนนี้หุ้นของคุณอาเหลือเพียงนิดหน่อยเท่านั้น  คุณอาจะถอนหุ้นไปก็ไม่ทำให้ผมสะเทือนอะไรเลย  คนที่ถือหุ้นใหญ่มีเพียงผมกับฮั่นเท่านั้น   มันไม่เหมือนเมื่อสิบปีที่แล้วที่คุณอาเอาเรื่องหุ้นมาขู่ผมได้แล้วนะครับ”

“เป็นไปไม่ได้!!  หุ้นอีกส่วนเป็นของบริษัทอื่นร่วมทุน  มันจะเป็นของไอ้ฮั่นได้ยังไง”

“นั่นมันแค่บริษัทบังหน้าเท่านั้นแหละครับ  ก็แค่ยืมชื่อคนอื่นมาเป็นตัวแทน  แต่เจ้าของที่แท้จริง...”

“ชื่อ เฮนรี หยางครับคุณอา”   คริสเอ่ยชื่อของฮั่นอย่างตั้งใจจะตอกย้ำ

“อะไรนะ! แก คะ  โอ๊ย  โอ๊ย”  มือแห้งเหี่ยวของคุณฟงยกขึ้นมากดตรงหน้าอกไว้  ใบหน้าแสดงความเจ็บปวด

“คุณอา!”

คริสเห็นดังนั้นจึงชะงักไป   เขาตกใจที่อาการของคุณอากำเริบขึ้นกะทันหัน

พยาบาลส่วนตัวที่ยืนอยู่ริมห้องปราดเข้ามาข้างเตียงทันที 

“ท่านคะ  ออกไปก่อนเถอะค่ะ  เดี๋ยวอาการคุณฟงจะทรุดหนักกว่านี้” 

คริสออกจากคฤหาสน์ใหญ่ของคุณอาของเขามาด้วยหัวใจเหนื่อยหน่าย  เหนื่อยกับความเจ้าคิดเจ้าแค้นของอาของตน 

คุณอาเกลียดพ่อกับแม่ของโรสมากถึงกับไม่ยอมให้เขาแต่งงานกับโรสทั้งที่พวกเขารักกันมาก  เขายังจำปฏิกิริยาร้ายแรงของคุณอาตอนที่รู้ว่าผู้หญิงที่เขารักและต้องการแต่งงานด้วยเป็นลูกสาวของคนที่คุณอาเกลียด   เขาถูกกีดกันทุกวิถีทางไม่ให้คบกับโรสต่อไป  ถูกบังคับให้แต่งงานกับแม่ของพีท  ส่วนโรสก็ถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงานกับคนที่ครอบครัวหาให้เช่นกัน 

เขากับโรสไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้จนกระทั่งมาเจอกันอีกครั้ง  ความรักของพวกเขายังคงอยู่แม้ว่าต่างฝ่ายจะต้องแต่งงานกับคนอื่น  แต่เขากับโรสยังคงมีความรักต่อกันเสมอจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่ในที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ลูกของเขาทั้งคู่ก็เข้ากันได้ดีชนิดที่เขาเองยังไม่กล้าหวัง  พีทรักพี่ชายต่างสายเลือดคนนี้มาก  ในขณะที่ฮั่นก็ทำอะไรเพื่อพีทมาตลอดตั้งแต่เด็ก  แทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพีททีเดียว

ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดีแต่คุณอาก็เข้ามาขวางไว้อีกครั้ง  เขากับโรสต้องทนทุกข์กับความแตกแยกของครอบครัวอยู่นานหลายปี  จนวันนี้เมื่อครอบครัวได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน  คุณอาก็ต้องการให้เขาแยกพี่น้องออกจากกันอีกแค่เพราะคุณอาเกลียดตากับยายของฮั่น

เขาไม่มีวันยอมแน่ 

------------------------------



พีทกับพี่โดมได้รับมอบหมายให้ไปฝึกงานที่ฝ่ายจัดการประชุมสัมมนา  มีหน้าที่ประสานงานลูกค้าและเตรียมห้องสำหรับการประชุมหรืองานสัมมนาและห้องจัดเลี้ยงสำหรับงานแต่งงาน   

โรงแรมสาขาใหม่นี้ได้สร้างศูนย์ประชุมนานาชาติไว้เพื่อรองรับการจัดการประชุมขนาดใหญ่ระดับประเทศ  โดยมีการลงทุนสร้างศูนย์ประชุมขนาดใหญ่จุคนได้หลายพันคน  สามารถใช้จัดคอนเสิร์ต  แข่งกีฬา  มีฮอลล์แสดงสินค้าขนาดใหญ่และขนาดเล็กไว้รองรับ  นอกจากการให้บริการห้องพักอันหรูหราซึ่งเป็นการให้บริการหลักของโรงแรมแล้ว  ฝ่ายจัดประชุมก็ถือได้ว่าเป็นการให้บริการที่สำคัญไม่แพ้กันอีกด้านหนึ่งด้วย 

เริ่มฝึกงานวันแรกเขาก็ถูกจัดให้มาประจำในแผนกสำคัญทั้งที่เด็กฝึกงานส่วนใหญ่ได้ประจำในแผนกอื่น  พีทคิดว่าเรื่องนี้คงมีการแทรกแซงจาก ‘ใครบางคน’ 

และแม้ว่าทุกคนในแผนกจะทราบดีว่าเขาเป็นใคร  แต่ทุกคนก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นเพียงนักศึกษาฝึกงานธรรมดาคนหนึ่ง  ทำให้เขาสบายใจอย่างมากเพราะเขาชอบทำตัวธรรมดามากกว่าการเป็นคุณชายลูกเจ้าของโรงแรม 

เวลานี้เขากับพี่โดมกำลังช่วยกันจัดเตรียมงานสัมมนาที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า  ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ร่วมเข้าประชุมการจัดเตรียมงานและได้รับมอบหมายงานของแต่ละคนแล้ว

“ผมว่าเราน่าจะมีจอฉายเพิ่มอีกข้างละตัวนะ  เผื่อคนนั่งข้างหลังมองไม่เห็น” 

“พี่ก็คิดเหมือนกัน  เป็นจอโปรเจคเตอร์หรือเป็นทีวีจอแบน  อันไหนจะดีกว่ากัน”

“จอโปรเจคเตอร์ก็ดีเหมือนกันนะ เก็บง่าย น้ำหนักเบา แล้วก็ขนาดใหญ่ ดูจากรายการของสงสัยเราต้องทำเรื่องขอซื้อเพิ่มแล้ว”

“อนุมัติ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังพวกเขา

“อ้าวพี่ฮั่น  มาตั้งแต่เมื่อไร”  โดมหันไปทัก  ‘ท่านรองประธาน’ 

ตอนเช้าที่รู้ความจริงเขาก็ตกใจในตอนแรก  แต่พอมาคิดดูอีกที รองประธานจะไม่ใช่พี่ฮั่นได้อย่างไร  ก็เป็นลูกชายท่านประธาน  เป็นพี่ของพีทนี่  ก็ต้องเป็นคนนี้แหละ

“มาเดี๋ยวนี้แหละ   พี่มาตรวจความเรียบร้อยของศูนย์ประชุมน่ะ  เพราะวันนี้ท่านรัฐมนตรีจะมาดูความคืบหน้างานประชุมผู้นำเศรษฐกิจตอนนี้น่าจะมาถึงแล้ว”

“อ้าว  แล้วพี่มาอยู่ตรงนี้ทำไมล่ะ ไปรับแขกสิ”  พีทเงยหน้ามาถามอย่างสงสัย

“ก็มาชวนพีทไปด้วยกัน  จะได้รู้จักผู้ใหญ่ไว้  เร็วเข้า”

“ผมต้องไปด้วยเหรอ ทำไมอ่ะ พี่ไปคนเดียวก็ได้นี่นา” พีทคิ้วขมวดอย่างสงสัยเพราะเขาเป็นเด็กฝึกงานจะให้ไปรับท่านรัฐมนตรีก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร

“ไม่ได้  ต้องไปด้วย  ห้ามดื้อ  เร็วเข้า” รองประธานพยักหน้าเรียกยิก ๆ 

พีทหันไปลาพี่โดมทันที   แล้วลุกเดินตามท่านรองประธานไปอย่างว่าง่าย

‘ตานี้ล่ะเชื่อฟังเชียวนะพีท  ตอนเป็นพี่ฮัทล่ะ  เห็นดื้อจะเป็นจะตาย’ 


โดมมองตามพีทที่เดินโอบไหล่พี่ฮั่นไปแล้วก็ส่ายหน้า  พี่ฮั่นก็อีกคน   ความจริงพี่ฮั่นเป็นถึงรองประธาน  ใหญ่สุดในโรงแรมนี้แล้ว จะโทรสั่งให้ใครมาตามเด็กฝึกงานก็ได้  ไม่จำเป็นต้องเดินลงมาเองถึงฝ่ายจัดประชุมนี่ 
 
‘คงเป็นห่วงล่ะสิ’  คนหัวไวอย่างโดมมองปราดเดียวก็รู้แล้ว 



พีทถูกพี่ฮั่นลากไปพบท่านรัฐมนตรีที่มาดูสถานที่จัดประชุมสุดยอดผู้นำเขตเศรษฐกิจซึ่งรัฐบาลเป็นเจ้าภาพในเดือนหน้า 

โรงแรมของพวกเขาเป็นผู้ชนะการประมูลเป็นสถานที่จัดประชุมและที่พักสำหรับผู้นำสำคัญจากหลายประเทศ  การเตรียมการส่วนใหญ่ดำเนินการไปแล้วกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์  เหลือเพียงรายละเอียดบางส่วนที่ต้องรอการตอบรับจากตัวแทนประเทศที่จะเข้าร่วมประชุม 

การพูดคุยรายละเอียดส่วนใหญ่พี่ฮั่นเป็นคนอธิบายทั้งหมด  ส่วนเขาก็กลายมาเป็นเลขาส่วนตัว  คอยจดบันทึกสิ่งที่ได้มีการพูดคุยกัน  พีทแปลกใจอย่างมากเพราะก่อนหน้านี้พี่ฮั่นตามดูแลเขาตลอดเวลา  แล้วพี่ฮั่นเอาเวลาที่ไหนไปเตรียมการประมูลและเตรียมการงานประชุมพวกนี้ที่ต้องใช้เวลาการเตรียมการอย่างน้อยสามเดือน 
 
เพียงระยะเวลาที่เดินตามพี่ฮั่นพาคณะรัฐมนตรีดูงานในโรงแรมเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ฮั่นถึงมีตำแหน่งสูงขนาดนี้ทั้งที่อายุยังน้อย  พี่ฮั่นทำงานเก่งมาก  พี่ชายของเขามีบุคลิกของผู้นำ  มีความมั่นใจในตนเอง ที่สำคัญคือรู้ทุกเรื่องในธุรกิจนี้  เป็นตัวแทนของพ่อได้สบาย ๆ   

มิน่า  พ่อถึงวางมือไปเล่นการเมือง  ก็มีคนช่วยเก่งขนาดนี้ 

พีทมองแผ่นหลังพี่ฮั่นอย่างทึ่งจัด  เพราะเขาเพิ่งเคยเห็นพี่ฮั่นเวลาทำงานเป็นครั้งแรก  ใบหน้านั้นไม่ได้มีความขี้เล่นหรือกวนประสาทเหมือนเคย กลับเต็มไปด้วยความจริงจัง  เอาใจใส่งานทุกรายละเอียดแต่ยังคงมีรอยยิ้มเสมอ  เขาใช้เวลาที่เดินตามพี่ฮั่นสังเกตทุกคนรอบตัว  พนักงานแต่ละคนที่เขาพบต่างก็ตั้งใจทำงานอย่างแข็งขัน  แววตาของพนักงานที่มองมายังผู้บริหารมีแต่ความชื่นชม   ดูเหมือนพวกเขามี ‘ศรัทธา’ ต่อผู้บริหารของเขา แม้แต่ท่านรัฐมนตรีก็ดูชื่นชมพี่ฮั่น  ถึงกับเอ่ยปากชวนไปออกรอบเมื่อเสร็จสิ้นการจัดประชุมที่สำคัญนี้   
 
หลังจากส่งท่านรัฐมนตรีและคณะผู้ติดตามกลับแล้ว  ฮั่นเพิ่งมีโอกาสคุยกับ ‘เด็กฝึกงาน’ เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาลงไปลากตัวมา

“เบื่อไหม  เหนื่อยรึเปล่า”

“ไม่ครับ สนุกดี” ใบหน้าเรียวนั้นยิ้มส่งมาให้  ดูเหมือนพีทไม่เคยเหนื่อยที่จะยิ้มให้เขาเสมอ

“พี่อยากให้พีทได้รู้จักผู้ใหญ่กับศึกษางานไปด้วยเลยพามา  พี่ก็เรียนรู้งานจากลุงคริสด้วยวิธีนี้เหมือนกัน” 

รองประธานเล่าช้า ๆ  เอื้อมมือไปแตะหลังพีทให้ออกเดินไปด้วยกัน  เวลานี้เลยเวลาเลิกงานมาพอสมควรพีทจึงไม่กลับไปที่แผนกอีก  ทั้งสองคนเดินตรงไปที่ลิฟต์ผู้บริหาร

“ฝึกงานวันแรกเป็นไงมั่ง  สนุกไหม” 

“ก็สนุกดี ขอบคุณพี่นะ” พีทหันไปกระแทกไหล่ตัวเองกับไหล่คนข้างกายเป็นเชิงหยอก

“เรื่องอะไร”  คนถูกกระแทกอมยิ้มเมื่อทำไม่รู้ไม่ชี้ถาม 

“โธ่  พี่  ผมรู้นะว่าทำไมผมถึงได้ไปอยู่ฝ่ายจัดประชุมน่ะ เด็กฝึกงานเกือบห้าสิบคนมีผมกับพี่โดมแค่สองคนที่ได้อยู่แผนกนั้น  แล้วพี่ไปบอกหัวหน้าฝ่ายให้ทำตัวปกติเหมือนผมเป็นนักศึกษาธรรมดาใช่มั้ยล่ะ  ไม่งั้นเขาไม่กล้าใช้ผมทำงานหรอก”   

พีทรู้ว่าพี่ฮั่นต้องทำแบบนั้นแน่ อยู่กับพี่ฮั่นไปนาน ๆ แล้วเขาก็ชักจะเริ่ม ‘อ่าน’ พี่ฮั่นออกบ้างแล้ว 


(มีต่อ)


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 28 page 3 อัพเดต 19/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 23-08-2014 01:17:05
29. ฝึกงาน (ต่อ)


หลังจากกลับมาจากโรงแรม  ท่านรองประธานยังหอบงานกลับมาทำต่อที่บ้านอีก  พีทที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้วเห็นคนเป็นพี่ก้มหน้าอ่านเอกสารหน้าเคร่งอยู่จึงเอ่ยถาม

“งานมันเร่งขนาดนั้นเลยเหรอ  ถึงยังไม่อาบน้ำอ่ะ  มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”

คนที่นั่งทำงานอยู่เงยหน้ามายิ้มให้ 

“ดีเลย มานั่งสิ  เดี๋ยวพี่อธิบายให้”

เด็กฝึกงานไปยกเก้าอี้มานั่งข้างพี่ฮั่นแล้วเริ่มต้นฟังสิ่งที่พี่ฮั่นอธิบายอย่างตั้งใจ  ทั้งคู่นั่งทำงานด้วยกันอยู่จนดึกดื่น  ยิ่งเวลาผ่านไปพีทก็เกิดความสงสัยอะไรอีกหลายอย่าง  เขาตั้งคำถามตลอดเวลาเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เรียนรู้งานของพ่อ

กว่าทั้งคู่จะเข้านอนก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว  พอหัวถึงหมอนพีทก็หลับไปทันที  คนพี่ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินมาหยุดที่ข้างเตียงแล้วยิ้ม   

‘เด็กฝึกงาน’ ของเขาพอถึงเวลาก็เอาจริงเอาจังเหมือนกัน  เขานึกใบหน้าพีทที่ตั้งอกตั้งใจฟังที่เขาสอนทุกคำแล้วก็ยิ้มกว้างมากขึ้น  ตั้งใจแล้วก็ฉลาด  หัวไว 

“พี่ฮั่นมานอนเร็วเข้า  ดึกแล้ว”  พีทพูดทั้งที่ยังหลับตาอยู่  เขาได้ยินเสียงพี่ฮั่นออกจากห้องน้ำตั้งนานแล้ว

“อ้าว พี่นึกว่าหลับไปแล้วซะอีก”

พี่ชายพูดแล้วก็เดินไปล้มตัวนอนอีกด้าน ปิดไฟหัวเตียง พีทรอจนพี่ฮั่นนอนเรียบร้อยแล้วจึงขยับตัวเข้าไปจนชิด  พาดแขนไปกอดพี่ฮั่นไว้แถมยกขาก่ายพี่ฮั่นไว้อีกด้วย 

“พีท  อะไรเนี่ย  นอนดี ๆ สิ”  คนพี่บ่น

“ไม่เอา ก็พีทชอบกอดพี่ฮั่นนี่  อุ่นดี”  คนพูดทำเสียงงัวเงียเหมือนง่วงเต็มแก่

“เฮ้อ”  คนพี่ถอนหายใจแล้วก็เงียบไปโดยไม่เห็นว่าเจ้าน้องชายตัวดีแอบยิ้มในความมืด 

เจ้าน้องชายก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่า กลางดึกหลังจากที่เขาพลิกตัวเปลี่ยนท่านอน  กลับกลายเป็นตัวเองนั่นแหละที่โดนกอด..

ทั้งคืน

-----------------------------------



“มาแล้ว เร็วเข้า”  เสียงนักศึกษาสาวที่มาฝึกงานร้องบอกเพื่อน ๆ เมื่อเธอเห็น ‘คุณชาย’ เดินมา   

เสียงชื่นชมดังขึ้นเมื่อพวกเธอเห็นคนที่ลือกันว่าเป็นลูกชายคนเล็กของเจ้าของโรงแรมมาฝึกงานในโรงแรมนี้ด้วย 

ภาพหนุ่มน้อยที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเดินติดต่องานระหว่างแผนกทำให้พนักงานสาวทั้งโรงแรมแอบมองและลอบยิ้มให้กัน  ก็คนอะไรน่ารัก  ยิ้มเก่งและไม่ถือตัวสักนิด 

“โอ๊ย  หล่อมาก  ยิ้มทีใจละลายเลย”

“เพื่อนชั้นที่ฝึกงานอยู่ฝ่ายจัดประชุมบอกว่าชื่อพีท  เก่งมาก ๆ เลยล่ะ เค้าว่ายังไม่มีแฟนด้วย”

“จริงเหรอ  ว๊าย  เดินไปทางโน้นแล้ว”

“นี่พวกเธอทำอะไรกัน” 

เสียงหัวหน้าแผนกที่มายืนฟังอยู่นานแล้วเอ่ยถามอยู่ข้างหลังกลุ่มนักศึกษาฝึกงานที่กำลังแอบมองทำให้ทั้งกลุ่มวงแตก  ต่างรีบแยกย้ายกันไปทำงาน  หัวหน้าแผนกส่ายหน้าอย่างระอากับพฤติกรรมของสาว ๆ พวกนี้   

ตั้งแต่ ‘คุณชาย’ มาฝึกงานก็ทำให้เกิดความวุ่นวายขนาดย่อม ๆ ภายในโรงแรม  นักศึกษาฝึกงานและพนักงานทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ต่างจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องนี้แทบไม่เป็นอันทำงาน

ลูกชายคุณคริสมาฝึกงานเหมือนนักศึกษาทั่วไป  ตอนแรกก็ไม่มีใครรู้  แต่เพียงไม่นานข่าวก็กระจายไปทั่วโรงแรมอย่างรวดเร็ว  ทุกคนก็อยากเห็นลูกชายคนเล็กกันทั้งนั้น  เพราะตอนที่ ‘คนพี่’ มาทำงานใหม่ ๆ ก็ทำเอาสาว ๆ ในโรงแรมแทบคลั่งไปแล้วเพราะความที่หน้าตาดี  ทำงานเก่ง  คล่องแคล่วและเป็นกันเองอย่างมาก  ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ชนะใจคนทั้งโรงแรมไว้ได้

พอมีข่าวลือเรื่อง ‘คนน้อง’ มาฝึกงาน  ทุกคนก็ตั้งตารอ  และก็ไม่ผิดหวังเลย  ข่าวที่ได้ยินมีแต่เสียงชื่นชม  เมื่อลูกชายท่านประธานปฏิบัติตัวเหมือนนักศึกษาฝึกงานธรรมดา  ไม่มีสิทธิ์พิเศษอะไรแต่กลับตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่  แม้เลิกงานแล้วก็มักจะเห็น ‘คนน้อง’ เดินตามพี่ชายไปทั่วโรงแรม 

ดูเหมือนเป็นกิจวัตรไปแล้วที่คนทั้งโรงแรมจะได้เห็น  ภาพสองพี่น้องใช้เวลาหลังเลิกงานเดินดูแต่ละแผนกทั่วโรงแรม  ทั้งโรงครัว  ห้องซักรีด  จนกระทั่งห้องเก็บของหลังโรงแรม  ท่านรองประธานมักจะเดินอธิบายแต่ละแผนกในโรงแรมโดยมีหนุ่มน้อยเดินตาม  คอยจดทุกสิ่งทุกอย่างลงสมุดในมือและตั้งคำถามในสิ่งที่สงสัย  บางครั้งก็สอบถามกับพนักงานโดยตรงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม   คนที่ได้พูดคุยหรือทำงานร่วมกันต่างก็มาเล่าให้ฟังถึงความน่ารัก เก่งและขยันขันแข็งของคุณชาย

------------------------------------




แล้วเจอกันค่า

 :mew1: :mew1: :mew1:




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 29 page 3 อัพเดต 23/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 23-08-2014 20:13:44
เด็กฝึกงานคนนี้น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 29 page 3 อัพเดต 23/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 24-08-2014 10:51:00
สองพี่น้องน่ารักกันจัง :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 29 page 3 อัพเดต 23/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 25-08-2014 22:06:58
30. เมา



หลังจากการเดินตรวจโรงแรมทุกเย็นแล้วพีทก็ขึ้นมาช่วยงานพี่ฮั่นต่อ  ทั้งคู่นั่งทำงานด้วยกันจนค่ำทุกวันเพราะการประชุมผู้นำเศรษฐกิจกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ 

“พีท  เหนื่อยรึเปล่า  พี่จะชวนไปข้างนอกหน่อย”

“ไปไหนครับ” พีทเงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมาถาม เวลานี้ก็เกือบสองทุ่มแล้วพวกเขายังนั่งทำงานอยู่ในห้องรองประธาน  แล้วพี่ฮั่นจะชวนไปไหน

“เหอะน่า  ตามมาแล้วกัน”




สถานที่ที่พวกเขามาถึงอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก  แถบนี้เป็นย่านร้านอาหารและผับหรูหลายแห่ง  พี่ฮั่นจอดรถหน้าผับแห่งหนึ่งซึ่งพีทเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก  เขามองดูสถานที่อย่างสนใจเพราะที่นี่เป็นผับสำหรับคนวัยทำงานจึงแตกต่างจากผับของเกรซที่เป็นแหล่งรวมวัยรุ่น  ดูวุ่นวาย 

พนักงานที่แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกหูกระต่ายปรี่เข้ามาต้อนรับทันทีที่เห็นพี่ฮั่น  พี่ชายหันมาพยักหน้าเรียกเขาก่อนจะเดินนำเข้าไปในร้านอย่างคุ้นเคย  ภายในร้านไม่ค่อยสว่างมากนัก  มีเพียงแสงจากโคมไฟเล็กตั้งโต๊ะ ชุดเก้าอี้หนังบุนวมอย่างดี  เสียงเพลงแจ๊สนุ่มหูคลอเบา ๆ สร้างบรรยากาศ 
 
เขาสังเกตเห็นสาวสวยหลายคนในชุดเดรสสุดเซ็กซี่ส่งสายตามาทางเขาอย่างสนใจ  คนที่เพิ่งเข้าสู่วัยหนุ่มยิ้มตอบกลับ  แววตาแพรวพราว

“เห็นสาว ๆ ล่ะยิ้มหวานเชียวนะ” 

คนพี่ที่แอบสังเกตอยู่เอ่ยแซว   แต่แทนที่พีทจะเขินที่ถูกพี่ชายแซว   เขากลับยักคิ้ว  หันมายิ้มให้

“ของมันแน่อยู่แล้ว”  พูดพลางยิ้มร่า 

“ทำไมตอนร้องเพลงที่ร้านเกรซไม่เห็นสนใครเลย  ทำไมมาเจ้าชู้เอาตอนนี้ล่ะ” 

“โธ่พี่  ก็ที่โน่นน่ะมีแต่เด็กวัยรุ่นผมไม่ชอบหรอก  ผมชอบสาว ๆ ที่โตแล้ว  คุยกันรู้เรื่องดี” หนุ่มน้อยตอบ  ยังคงยิ้มหวานส่งให้หญิงสาวในร้านไม่หยุด

“ชอบคนอายุมากกว่าเหรอ”  คนพี่หันไปถามจริงจัง

“ฮื่อ”  คนน้องตอบแล้วยิ้มให้พี่ชาย 
 
‘ถ้ายิ้มแบบนี้  สาว ๆ เสร็จทุกรายแน่’   ฮั่นส่ายหน้าเล็กน้อย   ยกแขนไปกอดคอน้องชายแล้วเดินนำไปยังโต๊ะประจำ
 
“โผล่มาสักทีนะ แคน”  เขาเอ่ยเมื่อเดินมาถึงและพบคนที่โทรนัดเขาออกมารออยู่ก่อนแล้ว

“ไปดูงานที่ยุโรปแทนพ่อน่ะพี่  กะทันหันนิดหน่อยเลยไม่ได้บอก”

แคนทำหน้าแปลกใจที่พี่ฮั่นพาพีทมาที่นี่ด้วย  เขาหันไปสบตาเพื่อนรุ่นพี่ด้วยสายตาสงสัย   พี่ฮั่นยิ้มตอบเป็นเชิงบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี 

“สวัสดีครับพี่แคน”  พีทเอ่ยทักพี่แคนก่อน 

“เอ่อ  พีท หวัดดีครับ”

แคนยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง  ทักตอบอย่างขัดเขินเมื่อคิดได้ว่าเขาแกล้งทำเป็นไม่รู้จักพีทตอนที่แอบไปเป็นเด็กเสิร์ฟ  แล้วเขาก็ยังแอบไม่พอใจบ่อยครั้งเวลาเห็นพีทอยู่กับ....คู่หมั้นของเขา

“พี่เป็นคู่หมั้นเกรซก็ไม่บอก  เพื่อนผมเครียดมากเลยนะ” 

พีทว่าพลางนั่งลงข้างพี่ฮั่น  แคนถึงกับหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ก็ที่เขาโทรชวนพี่ฮั่นมาวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้นั่นแหละ   

“แล้ว  เอ่อ  เพื่อนพีทเป็นยังไงบ้าง” 

“ก็ซึมไป  ไม่ร่าเริงเท่าไร”  คำตอบนั้นทำให้แคนยิ่งเศร้าลง

“รีบทำอะไรสักอย่างเถอะแคน  ไม่งั้นนายจะเสียใจทีหลังนะ” ฮั่นพูดขึ้นบ้าง  เขายังไม่แน่ใจว่าจะบอกแคนอย่างไรเรื่องนักร้องใหม่ของเกรซ 

“ไหนลองเล่าเรื่องราวให้ฟังที วันก่อนนายมัวแต่ดื่ม พี่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไร”

คนอายุมากสุดในกลุ่มหันมาถามแคน   

แคนเล่าให้พี่ฮั่นฟังสั้น ๆ  เขาไม่อยากพูดมากนักเพราะพีทนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย  จะบอกได้ยังไงว่าเป็นเพราะเขาทนเห็นพีทสนิทสนมกับคู่หมั้นเขาไม่ได้เลยประกาศหมั้นกลางอากาศแบบนั้น   

พีทเองก็สังเกตได้เหมือนกันว่าพี่แคนคงเข้าใจผิดเรื่องเขากับเกรซเหมือนกับคนอื่น

“พี่คิดว่าผมกับเกรซคบกันอยู่ใช่มั้ยล่ะ” พีทถามตรงไปตรงมา

แคนเสมองไปที่แก้วเหล้าตรงหน้า  ก่อนที่จะยอมรับออกมาตรง ๆ เช่นกัน

“งั้นผมขอพูดตรงนี้เลยว่า  ผมกับเกรซเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น  เราไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกันนอกจากนี้  ชัดไหมพี่” 

“เอ่อ  ครับผม”  แคนรับคำ 

แววตาเขาเศร้าลงไปอีกเมื่อสบตาจริงจังของอีกฝ่าย  เขาเริ่มตระหนักแล้วว่าความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นเลย  เรื่องทั้งหมดที่มันยุ่งเหยิงนี่เป็นเพราะเขาคิดไปเองทั้งนั้น  พีทก็ยืนยันแล้วว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนกัน  แล้วที่เขาโกรธเวลาสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน จนทำให้ต้องมีการหมั้นหมายกันกะทันหัน ทั้งที่ยังไม่เคยได้แนะนำตัวกันสักครั้งก็เป็นความผิดเขาทั้งหมด  เขาเอง

มือของแคนคว้าแก้วเหล้ายกดื่มจนหมด 

พีทเห็นอาการนั้นแล้วจึงหันไปหาพี่ฮั่นเหมือนจะปรึกษา ‘เอาไงดี’

“ผมขอถามจริง ๆ เหอะ  พี่คิดยังไงกับเพื่อนผม”

“เอ่อ อะไรนะ” แคนดูตกใจที่ถูกพีทถามเรื่องนี้  เรื่องที่เขาก็ยังไม่แน่ใจ  ไม่กล้ายอมรับกับตัวเอง

“พี่ชอบเพื่อนผมรึเปล่า  ถึงยอมหมั้นน่ะ”

‘ตรงประเด็นเลยนะ’   คนที่นั่งฟังเงียบ ๆ คิดอยู่ในใจ  ชำเลืองไปมองน้องชายที่ทำหน้าจริงจังสอบถามแคนอย่างตรงไปตรงมา 

“ถ้าพี่ยังไม่รู้ว่าพี่คิดยังไงกับเพื่อนผมแล้วพี่ไปเร่งให้อาปีเตอร์ประกาศหมั้นทำไมละครับ  หรือพี่ไม่สนใจว่าจะรักหรือไม่รักก็ได้แค่ทำตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ  แค่นั้นรึเปล่า”

“ไม่  มันไม่ใช่อย่างนั้น  พี่ไม่ได้อยากทำตามผู้ใหญ่  ไม่งั้นไม่ลงทุนไปเป็นเด็กเสิร์ฟให้เพื่อนนายโขกสับหรอก”  แคนว่า

“ถ้างั้นเพราะอะไรล่ะครับ”  พีทย้อนถาม

“.....”

“ถ้าพี่ชอบเกรซจริงก็รีบแก้ไขอะไรเสียเถอะครับ  ผมไม่อยากให้เพื่อนผมเสียใจ  ตอนนี้เกรซก็เครียดมากแล้ว  ข้าวปลาไม่กิน  ผอมจะแย่แล้ว” 

พีทไม่มีความเห็นเรื่องที่พี่แคนไม่บอกเกรซว่าตัวเองเป็นใคร  เขาไม่อยากจะโทษว่าเป็นความผิดของพี่แคนทั้งหมด  บางทีพี่แคนก็คงมีเหตุผลของเขาเอง  เพราะ...เขาหันไปมองพี่ฮั่น 

เพราะพี่ฮั่นก็มีเหตุผลของตัวเองที่ไม่ยอมบอกความจริงกับเขาเหมือนกัน  รู้สึกโล่งอกที่เขากับพี่ฮั่นเข้าใจกันแล้ว  ไม่งั้นเขาก็คงไม่ต่างจากเกรซตอนนี้  พีทเอื้อมมือไปตบขาพี่ฮั่นเบา ๆ ยิ้มอยู่คนเดียวแล้วเอนตัวพิงกับเบาะนุ่ม  พาดแขนบนพนักเก้าอี้นั้นอย่างสบายใจ  พี่ฮั่นหันมาทำตาโตใส่แต่ไม่ถามอะไร

แคนนิ่งไปอย่างกำลังใช้ความคิด  เขาคิดยังไงกับเกรซนะ 

ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอหน้าในห้องผู้จัดการ ร่างสมส่วนที่แต่งกายด้วยเสื้อแขนกุดสีสดใส  กางเกงดิสโก้แพนท์ที่แนบติดลำตัวอวดสะโพกกลมกลึง  ขาเรียวงาม  ดูเซ็กซี่จนเขาแอบกลืนน้ำลาย   

คุณหนูเดินตรงมา  ดวงตากลมโตที่พิจารณาเขาอย่างละเอียดทำให้เขาอดใจเต้นไม่ได้  ตอนนั้นเขาคิดเพียงว่าเขาคงตื่นเต้นเพราะกลัวถูกจับได้ว่าปลอมตัวมา  ยิ่งคุณหนูเอ่ยว่าคุ้นหน้าเขายิ่งทำให้เขายิ่งเครียด หัวสมองคิดวุ่นวายเพราะนึกไม่ออกว่าเกรซจะคุ้นหน้าเขาได้อย่างไรเพราะพวกเขาไม่เคยเจอกันมาก่อน

คุณหนูที่เขาเห็น เปรี้ยวเข็ดฟันเชียวล่ะ  ต่างจากที่เขาเคยคิดไว้อย่างสิ้นเชิง  เขาเคยคิดว่าลูกสาวของคุณเจมส์ที่เลี้ยงยังกับไข่ในหินคงจะนุ่มนิ่ม อ่อนแอ  เป็นประเภทที่ต้องมีคนดูแลตลอดเวลา  แต่คุณหนูเกรซ ‘ตัวจริง’ ที่เขาเจอไม่ใช่แบบนั้น คุณหนูเก่งทีเดียวที่กล้าทำอะไรนอกกรอบขนาดนี้  จัดการบริหารธุรกิจกลางคืนได้ดีแม้ว่าจะเรียนหนังสือไปด้วย  เพราะครั้งแรกที่เขาได้ยินจากพี่ฮั่นว่าร้านที่พีทไปร้องเพลงเป็นของว่าที่คู่หมั้นก็ทำให้เขาตกใจจนต้องขอฟังซ้ำเพราะคิดว่าพี่ฮั่นพูดผิด
 
แอบไปซื้อผับไว้แล้วหนีที่บ้านไปขลุกอยู่ที่นั่นเกือบทุกคืน  ทำให้เขาเกิดอยากเห็นหน้าถึงขนาดเขาตัดสินใจยอมไปเป็นเด็กเสิร์ฟ  พอเจอแล้วก็เกิดอยากรู้จักตัวตนที่แท้จริง  ไม่ใช่ในแบบที่ครอบครัววางกรอบไว้ให้  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เรื่องมันเลยเถิดขึ้นมาจนเขาไม่อยากไปไหน  อยากอยู่กวนใจคุณหนูไปเรื่อย ๆ

จนกระทั่งวันนั้น  หลังจากประกาศหมั้นสายฟ้าแลบ  เขาก็ไม่มีโอกาสเห็นหน้าคู่หมั้นตัวเองอีกเลย  เกรซก้มหน้าตลอดเวลาจนกระทั่งเดินลงจากเวทีพร้อมคุณพ่อแล้วหายออกจากงานไปโดยที่คุณเจมส์ยังไม่รู้  เขาจึงไม่มีโอกาสได้อธิบายอะไร

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา  หลับตาทุกคืนก็เห็นแต่หน้าคู่หมั้น  ดวงตากลมที่มีน้ำตาคลอ 

แบบนี้เรียกว่ารักรึเปล่าล่ะ

พีทสะกิดพี่ฮั่นให้มองไปที่พี่แคนที่เงียบไปอย่างใช้ความคิด  เขาดึงไหล่พี่ฮั่นให้เอนตัวมาพิงเบาะหนังนุ่มด้วยกัน  กอดไหล่พี่ฮั่นไว้ เอียงหน้าไปกระซิบเพราะไม่อยากให้คนที่นั่งตรงข้ามรู้ตัว

“พี่ว่าไง  พี่แคนชอบเพื่อนผมรึเปล่า” 

“ดูจากอาการแล้วก็คงใช่แหละ ไม่งั้นจะหึงเกรซขนาดนั้นเหรอ  แค่พีทกับเกรซคุยกันยังแทบเต้น  แต่คงยังไม่รู้ตัว”  คนแก่ประสบการณ์ตอบเสียงกระซิบปานกัน

“ไม่รู้ได้ไง  เวลาเรารักใครเราต้องรู้สิ  เวลาเกลียดยังรู้เลย”  คนน้องว่า

“หืม?  ก็ไม่แน่นะพีท  บางทีคนเราก็อาจจะความรู้สึกช้าก็ได้นี่  กว่าจะรู้ตัวอาจต้องใช้เวลา”  พี่ฮั่นโต้

“อะไร  ไม่รู้ตัวได้ไง  เวลาเรารักใครก็ต้องคิดถึงคนคนนั้นตลอดเวลา อยากอยู่ใกล้ชิด  อยากแชร์ความรู้สึกอะไรด้วยกันไม่ใช่เหรอ”

“แน่ะ  รู้ดีจริงนะ  ไหนบอกมาสิว่ามีแฟนมากี่คนแล้ว”  พี่ฮั่นเอียงหน้าถามเขา

“โห  อย่ามาดูถูกกันนะ  มันก็ต้องมีกันบ้างสิ  สาว ๆ น่ะ”  คนน้องว่า  ยักคิ้วให้

“ถ้าเป็นน้องเชอร์รี่  คริสติน่ากับอึนเฮนี่อย่าเอามารวมนะ”  คนพี่พูดดักคอไว้ก่อน

“โธ่ พี่อ่ะ ไม่นับสามคนนี้ผมก็ไม่เหลือใครแล้วสิ” 

พีทอยากจะโวยที่พี่ฮั่นไม่ให้เขานับ ‘แฟนสมัยอนุบาล’ ด้วย   แต่เขากลับยิ้มเพราะพี่ฮั่นจำเรื่องสมัยนั้นได้

ฮั่นคิดถึงเรื่องเก่าแล้วก็ยิ้มกว้าง 



พีทริมีแฟนตั้งแต่เข้าอนุบาลเลยทีเดียว แล้วก็ยังร้ายไม่เบาที่คบทีเดียวสามคนรวด แถมยังพาสาวน้อยทั้งสามคนมาแนะนำตัวให้เขารู้จักอีกต่างหาก 

ฮั่นเมื่อตอนนั้นหมั่นไส้น้องเป็นกำลัง  พีทกลับบอกอย่างไม่แคร์ว่าสามสาวเป็นฝ่ายเข้ามาขอเป็นแฟนเขาเอง

แต่เวลาผ่านไปไม่นานพีทกลับทำหน้าบูดใส่เขาเย็นวันหนึ่งที่เขาไปรับที่ห้องเรียน

“น้องพีทเป็นอะไรครับ”  คนเป็นพี่ก้มหน้าถาม

“โป้งพี่แล้ว” ใบหน้าอ้วนกลมนั้นบูดบึ้ง คิ้วขมวดมากที่สุดเท่าที่พีทจะทำได้

“อ้าว พี่ทำอะไรล่ะ โกรธพี่เรื่องอะไร ไหนบอกมาก่อน”  คนเป็นพี่ย่อตัวนั่งลงเพื่อถามน้อง

“พวกสามสาวเค้าบอกว่าจะไม่เป็นแฟนกับพีทแล้ว”  ปากอวบ ๆ นั้นฟ้อง

“อ้าว ทำไมล่ะครับ” คนพี่ถามใบหน้าอมยิ้ม โถ โดนสาวหักอก หนีมาฟ้องพี่เลย

“พวกนั้นบอกว่าชอบพี่ฮั่นอ่ะ ไม่ยอมนะ พีทไม่ยอม โป้งพี่แล้ว  พีทโป้งพี่” 

พีทโวยวายหนักขึ้นทุกที ร่างอ้วนกลมนั้นพยายามดิ้นหนีแต่ฮั่นจับแขนน้องไว้แน่น ไม่ยอมให้ไปไหน

“ไม่มั้ง  เค้าจะมาชอบพี่ทำไมล่ะ”  คนเป็นพี่พยายามแก้ไข

“อึนเฮกับเชอร์รี่บอกว่าพี่ฮั่นใจดี คริสติน่าบอกว่าชอบคนอายุมากกว่า  เขาอยากให้พี่ฮั่นมารับตอนเย็นเหมือนพีท  พีทไม่ยอมนะ ห้ามพี่ฮั่นมีแฟน พี่ฮั่นของพีท พีทไม่ยอมยกให้ใคร”  คุณชายร่างกลมส่ายหน้ายืนยันคำพูด

ฮั่นส่ายหน้าน้อย ๆ ที่โป้งนี่ไม่ใช่เพราะกลัวสามสาวมาเป็นแฟนเขา แต่โป้งเพราะไม่ยอมยกเขาให้คนอื่นเหรอเนี่ย

สุดท้ายคนเป็นพี่ต้องปล่อยให้พีทกึ่งลากกึ่งจูงมือเข้าไปหาสามสาวที่นั่งเล่นชิงช้ากันอยู่  แล้วบอกสามสาวตามที่พีทบังคับว่าเขามีแฟนแล้ว  คงจะมาเป็นแฟนสามสาวอีกไม่ได้ 

สาว ๆ กลับทำให้พีทโมโหมากขึ้นอีก  เมื่อพวกเธอตอบเขาว่า  พวกเธอรับได้  ขอแค่พี่ฮั่นยอมเป็นแฟนกับพวกเธอก็พอ

พีทโกรธเขาไปสามวันเลยทีเดียว




“มีเท่านี้ทำมาคุย” 

คนพี่ว่ากับคน ‘มีประสบการณ์’ อย่างพีท  ถ้าเป็นเมื่อก่อนพีทอาจจะโกรธที่ต้องถูกสาวบอกเลิก  แต่เขาคิดว่าถ้าเป็นตอนนี้พีทไม่จำเป็นต้องโกรธเลย  เพราะมีสาวสวยตั้งมากมายที่แอบมองน้องชายเขาอยู่  แค่ในผับนี้ก็แทบเลือกไม่ไหวแล้วแต่พีทคงไม่รู้ตัว

“อะไรอ่ะ  ข่มเหรอ  แล้วพี่ล่ะ  มีใครที่ไหนเล่ามาเลยพี่ฮั่น” 

“ไม่มีหรอก” 

“โห ไม่เชื่อหรอก  พี่ผมหล่อ  เสน่ห์แรงขนาดนี้  พวกสาว ๆ ที่มหาวิทยาลัยมองพี่ตาปรอยกันทุกคน  ไม่รู้ตัวรึไง”   

พี่ฮั่นของเขาแทบจะทำให้นักศึกษาสาวที่คณะไม่เป็นอันทำอะไรเวลาไปไหนมาไหนกับเขาและพี่โดม  ตอนนี้เพื่อนที่คณะเขารู้จักพี่ฮั่นกันแทบทั้งนั้นเพราะความที่เป็นคนอัธยาศัยดี  เห็นใครมองมาก็ยิ้มให้  บางคนที่กล้าหน่อยก็เข้ามาคุยด้วย  พี่แกก็คุยตอบเป็นอันดีแนะนำตัวเสร็จสรรพว่าเป็นพี่ชายเขา  แบบนี้จะไม่ให้สาว ๆ  หลงได้ยังไงล่ะ 

คิดไปคิดมาเขาก็อดโมโหไม่ได้ไม่รู้เพราะอะไร  พีทไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอทำหน้าเหวี่ยงใส่คนพี่ที่นั่งเคียงข้าง

“ไม่มีจริง ๆ พี่ไม่มีเวลา” 

คนเจ้าเสน่ห์ยังคงยืนยันคำเดิม  พี่ชายประหลาดใจที่พีททำหน้าเหมือนกำลังเคืองเขาอยู่

“เป็นอะไร  พีท  ทำไมทำหน้าแบบนั้น  พี่พูดอะไรผิดเหรอ”

“เอ่อ เปล่าครับ” 

เขาเพิ่งรู้สึกตัวจึงพยายามกลบเกลื่อนอาการนั้น  มือเขาเสไปคว้าแก้วมาดื่ม 

‘แล้วเขาจะโมโหทำไมเนี่ย’

ทั้งสองคนกลับมาวิจารณ์เรื่องแคนต่อไป  จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องอื่น 

แคนที่คิดอะไรอยู่นานเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาเงียบนานเกินไปแล้ว  แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับต้องแปลกใจเพราะพี่ฮั่นและพีทไม่มีใครสนใจเขาอยู่เลย  เอาแต่นั่งคุยกันสองคน  แคนมองอย่างพิจารณาแล้วก็คิ้วขมวด 

‘ปกติพี่ฮั่นไม่คุยกะใครแบบนี้นี่หว่า’ 

ระยะเวลาที่เขารู้จักพี่ฮั่นมาหลายปีที่อังกฤษ  เวลาพี่ฮั่นพูดคุยกับเพื่อนฝูงมักจะสรวลเสเฮฮา  เวลาคุยเรื่องจริงจังก็ไม่เคยต้องกระซิบกระซาบหน้าแทบจะชนกันขนาดนี้   

‘แต่นี่น้องรักนี่นะ’  เขานึกขึ้นได้   

พี่ฮั่นเคยเล่าเรื่องพีทให้เขาฟังอยู่เหมือนกัน  จากกันตั้งหลายปีพี่ฮั่นยังรักน้องเหมือนเดิมตลอดเลย  ลูกคนเดียวอย่างเขาเห็นแล้วยังอิจฉา 

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร แคนก็ยิ่งดื่มหนักขึ้นทุกที เขาคะยั้นคะยอให้อีกสองคนดื่มเป็นเพื่อนด้วย  พีทหันไปมองหน้าพี่ฮั่นยังไม่ได้ถามอะไร  คนพี่สั่งห้ามทันที

“พีทอย่ากินเลย  เหล้าพวกนี้มันแรง  คออ่อนอย่างเราเดี๋ยวก็เมาพับหรอก”

“อะไรอ่ะ พี่หาว่าผมคออ่อนเหรอ  ดูถูกกันนี่นา”  พีทโวยวายไม่ยอมแพ้  เขาคว้าแก้วเตรียมจะยกขึ้นดื่มแต่มือพี่ฮั่นคว้าไว้ก่อน

“พี่ล้อเล่น  อย่าดื่มเลยเดี๋ยวไม่มีใครขับรถ  พี่จะดื่มเป็นเพื่อนแคนเองนะ”

พี่ฮั่นทำเสียงแบบนี้อีกแล้ว  เวลาพี่ฮั่นพูดเสียงอ่อนแบบนี้ทีไรเขาก็ดื้อไม่ออกทุกที   

พีทปล่อยให้พี่ฮั่นดื่มเป็นเพื่อนพี่แคนไปเรื่อย ๆ ทั้งสามหนุ่มใช้เวลาพูดคุยอยู่ในผับจนดึกดื่นโดยที่ไม่ได้ข้อสรุปอะไรเลย  พีทก็ไม่รู้จะช่วยพี่แคนได้อย่างไรเพราะเกรซก็ไม่คุยเรื่องนี้กับเขาเลยตั้งแต่รู้ว่าพี่ฮั่นเป็นใครและรู้จักกับพี่แคนมาหลายปีตั้งแต่อยู่อังกฤษ

ในที่สุดทั้งสามคนก็ต้องกลับเมื่อได้เวลาปิดร้าน  ฮั่นโทรเรียกคนขับรถของแคนให้ช่วยพาแคนที่เมาหนักกลับบ้าน   ส่วนตัวเขาที่ดื่มหนักเหมือนกันคว้าคอพีทมากอดไว้และปล่อยให้น้องชายประคองเดินออกจากผับ  พีทจับมือพี่ฮั่นที่พาดไหล่เขาไว้  มืออีกข้างโอบไปรอบเอวคนตัวใหญ่แล้วพาเดินออกจากร้าน  คนในอ้อมแขนเขาเดินเซไปมาทำให้เขาเดินลำบากขึ้น 

“พี่เดินดี ๆ หน่อย  ผมหนัก จะแบกไม่ไหวแล้ว”  คนน้องบ่น  แต่ดูเหมือนคนเมาไม่ได้ยินอะไร

“ฟู่ว์”  พีทพ่นลมหายใจ 

ในที่สุดเขาก็ประคองพี่ชายกลับมาขึ้นรถได้เรียบร้อย  เขาเดินอ้อมไปอีกด้านเพื่อไปประจำที่คนขับ 

ทันใดนั้นก็มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งร้องขึ้นทำให้เขาหันไปมอง  ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังขอโทษขอโพยหญิงสาวที่เขาชนจนล้มลงไปนั่งพับกับพื้น  เขาช่วยฉุดร่างหญิงสาวคนนั้นให้ขึ้นมายืนเหมือนเดิม 

พีทขมวดคิ้วเพราะใบหน้าด้านข้างของชายคนนั้นที่เขาเห็นในมุมมืดมีส่วนคลับคล้ายคลับคลากับคนที่เขารู้จัก  เขาเพ่งมองอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ  ดูเหมือนชายคนนั้นก็รู้ตัวว่ากำลังเป็นจุดสนใจของเขาจึงรีบขอโทษผู้หญิงที่เขาชนแล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

พีททิ้งความสงสัยของเขาไว้  เดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไป


----------------------------------

  :monkeysad: :o12:

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 30 page 3 อัพเดต 25/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Spelling_B ที่ 26-08-2014 00:36:25
พี่ฮั่นเมาแบบนี้ ตอนนอนนั่จะมีแอบหอมแก้มน้องป่ะเนี่ย :ling1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 30 page 3 อัพเดต 25/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 27-08-2014 21:02:25
31. หวั่นไหว



“ไม่ไหว  เดินไม่ไหว  พีทช่วยหน่อย”

เสียงอ้อแอ้พูดไม่ชัดของพี่ฮั่นร้องบอก  เมื่อเขาขับรถมาจอดหน้าบ้านเรียบร้อยแล้วเปิดประตูเข้าไปดึงตัวพี่ฮั่นออกมา 

“พี่เดินด้วยสิ  ผมจะไม่ไหวแล้วนะ”  พีทพยายามร้องบอกให้พี่ฮั่นช่วยก้าวขาเดินบ้าง  เพราะตอนนี้พี่ฮั่นแทบจะทิ้งน้ำหนักทั้งหมดมาที่เขา

ทุลักทุเลพอสมควรกว่าเขาจะพาคนเมาตัวใหญ่ขึ้นบันไดเข้าไปในห้องนอนได้  เขาเอื้อมไปเปิดไฟข้างประตูห้องนอนทำให้ต้องปล่อยมือ  คนเมาเสียหลักเอียงตัววูบ

“เฮ้ย!”   สิ้นเสียงร้องอย่างตกใจของเขา  ทั้งคู่ล้มลงที่เตียง

“เฮ้อ”  พีทพลิกตัวลงจากร่างคนเมาที่เขานอนทับอยู่มานอนแผ่หราบนเตียงอย่างหมดแรง 

‘ไหนอวดว่าคอแข็ง ทำไมถึงเมาไม่รู้เรื่องแบบนี้เนี่ย’


คิดพลางเหลือบตามามองคนที่นอนนิ่ง  พี่ฮั่นเมาหลับไปแล้ว  พีทพลิกตัวนอนตะแคง  เท้าแขนกับศีรษะตัวเองมองดูคนที่หลับไม่รู้เรื่อง  เขาลองยกมือพี่ฮั่นขึ้นแล้วปล่อย  มือพี่ฮั่นตกลงข้างตัวแล้วก็นิ่งไปเหมือนเดิม  พีทยิ้มเมื่อเห็นสภาพพี่ชาย

‘ท่านรองประธาน  บอดี้การ์ดจอมกวนของเขา  เมากะเค้าเป็นด้วยเหรอเนี่ย’


เขานึกสนุกจึงเอื้อมมือไปบีบจมูกโด่ง ๆ นั้นไว้   เพียงครู่เดียวคนเมาก็สะบัดหน้าหนีเพราะหายใจไม่ออกแล้วก็กลับไปนอนต่อ

“ฮ่า ๆ”  พีทหัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่ได้แกล้งพี่ 

‘แกล้งอะไรต่อดีนะ’

เขายื่นหน้าไปใกล้มากขึ้น  จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วเบาของคนที่นอนอยู่  เวลามองใกล้แบบนี้แล้วเพิ่งรู้ว่าพี่ฮั่นมีแผลเป็นที่หน้าผากด้วยเขาไม่เคยสังเกตเห็นเลย 

‘ไปโดนอะไรมานะ’   นิ้วยาวลากผ่านหน้าผากแผ่วเบาแล้วหยุดที่รอยแผลเป็นเล็กกลางหน้าผาก

‘คิ้วพี่ฮั่นหนาจัง’   นิ้วชี้ของเขาไล้ไปตามแนวคิ้วดกหนา

‘จมูกสวย’
 
เขาเลื่อนนิ้วมาลากไปตามสันจมูกโด่งอย่างเชื่องช้า  มองตามนิ้วที่ลากลงไปเรื่อยจนหยุดที่ริมฝีปาก  เขาจ้องมองปากแดง ๆ นั้นอยู่นานโดยไม่รู้ตัว 

จู่ ๆ ความคิดประหลาดอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง 

‘เฮ้ย!!!’  พีทตกใจความคิดของตนเอง  พรวดพราดลุกขึ้นนั่ง 

‘บ้าน่า คิดอะไรบ้า ๆ’

เขาแปลกใจตัวเองที่คิดอะไรประหลาดแบบนั้นจึงตัดสินใจลุกออกจากเตียง



ทันทีที่คนน้องหายลับเข้าไปในห้องน้ำ  คนที่นอนนิ่งอยู่ลืมตาขึ้นทันที เขายกมือขึ้นเสยผมอย่างแรง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

‘โอ๊ย  ใจหายหมด’ 

ตอนแรกเขาคิดแค่ว่าจะแกล้งน้องให้แบกเขาขึ้นมานอน  ก็เลยแกล้งทำเป็นเมาไม่รู้เรื่องจนกระทั่งล้มลงไปบนเตียงด้วยกัน 

เสียงพีทหัวเราะคิกคักเมื่อแกล้งบีบจมูกเขา เขากำลังคิดหาทางแกล้งน้องอยู่จึงยังนอนนิ่ง จากนั้นก็สัมผัสถึงลมหายใจบางเบารินรดใบหน้า ความรู้สึกเหมือนคืนที่พีทเมาแล้วขยับมานอนจนชิดกลับมาในสมองอีกครั้ง เขายังจำได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของหัวใจตัวเองได้ดี  ไม่กล้าลืมตาขึ้นมา 

นิ้วที่สัมผัสแผ่วที่หน้าผากทำให้เขาใจเต้นอยู่เพียงลำพัง  รู้สึกร้อนไปตามนิ้วที่ลากผ่านหน้าผาก  คิ้ว จนกระทั่งถึงปลายจมูก   สัมผัสนั้นก็หยุดอยู่นาน  เขากลั้นใจนอนนิ่งต่อไปโดยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งรู้สึกว่าพีทลุกออกไปจากเตียง ได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำจึงลืมตาขึ้นมา

อะไรกันเนี่ย  ตั้งใจจะแกล้งน้องแท้ ๆ  แต่พีทกลับทำให้เขา
 
....หัวใจจะวาย....




หลังจากพีทเข้าห้องน้ำไปยืนสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่ครู่ใหญ่จึงออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นตรงไปที่เตียงนอนของตัวเอง พี่ชายยังคงนอนนิ่งอยู่เหมือนเดิม  เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าและลำคอให้คนที่นอนอยู่เพื่อให้สบายตัว  คิดหนักว่าจะเปลี่ยนเสื้อให้พี่ฮั่นได้อย่างไรเพราะพี่ฮั่นตัวใหญ่กว่าเขามาก  แค่ตอนพยุงพี่ฮั่นเดินเข้าบ้านเขายังประคองแทบไม่ไหว   

ในที่สุดพีทจึงตัดสินใจลองเรียกคนที่นอนนิ่งดู

พี่ฮั่นงัวเงียอยู่ครู่แล้วจึงลืมตาขึ้น 

“พี่ไปอาบน้ำนะ” คนเมาพูดโดยไม่มองหน้า แล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องนอนตัวเอง  ทิ้งให้พีทนั่งงงที่พี่ฮั่นหายเมาลุกเดินกลับห้องหน้าตาเฉย

“อะไรเนี่ย”   คนน้องพึมพำอย่างประหลาดใจ   

--------------------------



“พีท พีท เป็นอะไร  ฟังพี่อยู่รึเปล่า” 

เสียงเรียกจากคนที่นั่งตรงข้ามทำให้พีทเพิ่งรู้สึกตัว  เขาไม่รู้เลยว่าพี่ฮั่นกำลังพูดอะไรอยู่เพราะมัวแต่....

เขาเอาแต่คิดเรื่องเมื่อคืนก่อน  ตั้งแต่คืนก่อนที่เขาเกิดความคิดประหลาดนั้นขึ้นเขาก็สลัดความคิดนั้นไม่หลุด  มันคอยแต่จะลอยเข้ามาในหัวเสมอเวลาที่เขาเผลอ  เวลาที่เขาต้องเผชิญหน้ากับพี่ฮั่น  แล้วอาการที่เขาใจสั่นบ่อย ๆ นี่อีก
 
นี่เขาเป็นอะไร  เขาคิดมาตั้งหลายวันแล้วก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง  เขามักจะทำตัวไม่ถูกเวลาพี่ฮั่นอยู่ใกล้  บางทีก็เอาแต่จ้องพี่ฮั่นอยู่แบบนั้นโดยไม่รู้สึกตัวจนพี่ฮั่นจับได้บ่อย ๆ

“ว่าไงล่ะ  พีทเป็นอะไรรึเปล่าหรือว่าเหนื่อย” 

เสียงพี่ฮั่นถามอย่างอ่อนโยน  มองมาที่เขาด้วยแววตาห่วงใย  สายตาของพี่ฮั่นที่มองมาทำให้เขา...ไม่อยากยอมรับเลยว่าสายตาแบบนั้นทำให้เขาหวั่นไหว ได้แต่คิดว่าตัวเองต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ พี่พูดถึงไหนแล้วขออีกทีนะ”

พีทกลบเกลื่อนแล้วหันกลับไปถามเรื่องงาน  เปิดเอกสารที่วางตรงหน้าแล้วทำทีเป็นตั้งใจอ่านเอกสาร

พี่ชายที่นั่งมองอยู่ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจที่เห็นท่าทางเหม่อลอยของน้อง  ปกติพีทเป็นคนเอาจริงเอาจัง  ไม่เคยเหม่อลอยเวลาทำงาน  แต่สองสามวันมานี้พีทแปลกไป

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นดึงให้ทั้งสองคนกลับมาสู่โลกแห่งความจริง  พี่ฮั่นรับโทรศัพท์แล้วเดินไปคุยที่ริมกระจกอีกด้านของห้องทำงาน  ทำให้พีทมีเวลาตั้งตัวหลังจากก้มลงอ่านเอกสารแต่เนื้อหาในนั้นไม่เข้าหัวเขาเลยสักนิด

หนุ่มน้อยลอบถอนหายใจ  ทำไมเขาต้องฟุ้งซ่านขนาดนี้   ทำไมเขาต้องคิดแบบนั้นกับพี่ฮั่นด้วย  เขาไม่เข้าใจตัวเองเลย

ขายาวของพี่ฮั่นเดินกลับมานั่งลงตรงหน้าเขาอีกครั้ง  พีทรีบรวบรวมสติกลับมาที่เอกสารตรงหน้า  แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก  คราวนี้เป็นสายของเขา

“เกรซชวนไปฟังเพลงที่ร้านพี่โดม พี่จะไปกับผมไหม”   

พีทที่วางสายลงแล้วหันมาถามพี่ชาย

“ไปสิ  ว่าแต่ชวนแคนไปด้วยได้ไหม”  คนตรงหน้าเขาถามอย่างไม่แน่ใจนัก

“จะดีเหรอพี่  เดี๋ยวเกรซโกรธผมนะ  นี่ดีเท่าไรแล้วที่ชวนผมไปข้างนอก  เกรซไม่คุยกับผมตั้งหลายวันแล้วตั้งแต่รู้เรื่องน่ะ”
 
“เอาเป็นว่าพี่จะโทรบอกแคนแล้วกัน  จะมาหรือไม่มาก็แล้วแต่   อย่างน้อยก็สร้างโอกาสให้แคนได้คุยกับเกรซบ้าง”

แคนเล่าให้พวกเขาฟังว่า  พยายามจะไปขอโทษคู่หมั้นตัวเอง  ทั้งไปหาที่บ้านและที่ร้าน  แต่เกรซไม่เคยยอมคุยเลยสักครั้ง  แคนเองก็กลุ้มใจอย่างมาก

ทั้งสองหนุ่มเดินออกจากลิฟต์ตรงไปยังล็อบบี้ด้านหน้าที่มีออดี้จอดรออยู่แล้ว  พีทดึงแขนพี่ฮั่นไว้ก่อนจะบอก

“วันนี้ให้ผมขับนะ”  เขาเอ่ยขออนุญาตพร้อมทั้งยิ้มอ้อน  เพราะรู้แล้วว่าถ้ายิ้มแบบนี้แล้วพี่ฮั่นไม่เคยปฏิเสธอะไรเขาเลยสักครั้ง

“ได้สิ”  คนพี่เห็นรอยยิ้มนั้นแล้วก็ปฏิเสธไม่ลงเหมือนเคย 

ภาพคุณชายทั้งสองเดินไปขึ้นรถหรูนั้นอยู่ในสายตาบุคคลหนึ่งตลอดเวลา  คนที่นั่งอยู่บริเวณล็อบบี้ทำทีเป็นอ่านหนังสือพิมพ์แต่กดโทรศัพท์รายงานให้คนปลายสายฟังอย่างละเอียด

----------------------------




เสียงกีตาร์ดังแว่วเข้ามาในห้องนอนทำให้คนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำยิ้มกับตัวเอง  พี่ฮั่นชอบหยิบกีตาร์ไปเล่นบ่อย ๆ แต่ไม่ค่อยร้องเพลงเท่าไร  อย่างดีก็ฮัมเพลงตาม  แต่กลับชอบคะยั้นคะยอให้เขาเป็นคนร้องแทน

“พี่ชอบฟังพีทร้องเพลง” 

มันเป็นประโยคธรรมดาที่ใครหลายคนก็เคยบอกเขาแบบนี้ แต่คราวนี้พี่ฮั่นทำให้เขาถึงกับทำตัวไม่ถูกไปเลย  ก็ประโยคธรรมดานั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มอ้อนและเสียงทอดอ่อน  แล้วสายตาแบบนั้นอีก  ถ้าเขาเป็นผู้หญิงเขาคงตกหลุมรักพี่ฮั่นไปแล้ว

พี่ฮั่นชอบฟังเสียงของเขา

พีทยิ้มเมื่อนึกถึง  เขานึกย้อนกลับไปครั้งก่อนที่พวกเขานั่งเล่นกีตาร์กันที่ชานหน้าบ้าน  การได้ร้องเพลงทำให้เขามีความสุข  แต่พอมีพี่ฮั่นอยู่ด้วยไม่รู้ทำไมเขารู้สึกว่ามันดีกว่าเดิม 

พีทยิ้มกว้างมากขึ้น  ถ้าใครมาเห็นหน้าเขาตอนนี้ต้องคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว  ก็เขาหุบยิ้มไม่ได้  แค่คิดถึงพี่ฮั่นเขาก็รู้สึกมีความสุขแล้ว 

มันคืออะไรกันนะ 

พีทเช็ดผมลวก ๆ แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดโน้ตบุ๊กเพื่อเตรียมเอกสารสำหรับการประชุมพรุ่งนี้

“ไม่เช็ดผมให้แห้ง เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

พร้อมกับคำพูดนั้นเขาก็มองอะไรไม่เห็นเพราะมีผ้าขนหนูลอยมาโป๊ะบนหัว  พี่ฮั่นเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้  มือใหญ่ขยี้หัวเขาอย่างมันเขี้ยว

“พี่อ๊า  ผมเจ็บน๊า”  เขาประท้วง 

แต่เมื่อคนพี่เริ่มต้นเช็ดผม  กลับทำได้นุ่มนวลนัก

“พี่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร  เลิกเล่นกีตาร์แล้วเหรอ” พีทเงยหน้าถามพี่ชายที่ยืนเช็ดผมให้อยู่ข้างหลัง 

“ก็นักร้องไม่มาร้องเพลงสักที  เลยมาดู”

พี่ฮั่นต้องพูดไปด้วยยิ้มไปด้วยแน่เลย ทำเสียงน่ารักเชียว  เขาอยากจะเห็นหน้าพี่ฮั่นตอนนี้จัง  พีทหลับตาปล่อยให้พี่ฮั่นยืนเช็ดผมไปเรื่อย ๆ  นิ้วพี่ฮั่นที่ขยับนวดศีรษะเขาลงน้ำหนักกำลังดี  ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย   

เขายิ้มกับตัวเอง 

‘รักพี่ฮั่นจัง’

พร้อมกับความคิดที่แวบเข้ามานี้พีทก็เริ่มรู้สึกตัวทีละน้อย 

จากจุดเล็ก ๆ ในใจ  ความรู้สึกกลับแผ่ขยายกว้างขึ้น  มากขึ้น  เขาเพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าความรู้สึกนี้พอกพูนขึ้นทุกวันที่ผ่านไป  ทุกวันที่เขามีพี่ฮั่นอยู่ 

เหมือนน้ำไหลซึมจากภูเขาไปรวมกันเป็นสายน้ำเล็กที่ซอกซอนไปตามทางแล้วรวมกันเป็นลำธาร  น้ำเพิ่มปริมาณมากขึ้น  ลำธารขยายกว้างขึ้น  จนกระทั่งไหลรวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่   แม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลเชี่ยวกราก  กระแทกตัวไปตามโขดหินอย่างไม่กลัวเกรง  ปริมาณน้ำมากขึ้นจนกระทั่งรวมกันไปสู่ทะเลอันกว้างไกล

ความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นนี้ก็เหมือนน้ำ  ที่ไหลเอ่อล้นออกจากใจเขา  ท่วมร่างกาย   

พีทรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว  นี่เขาเป็นอะไร 

‘ไม่น่า.....เขาแค่ฟุ้งซ่านไปเอง’  เขาลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว   

‘ไม่น่า  แค่รักแบบ...พี่น้อง’


‘แล้วจังหวะหัวใจที่เต้นแรงอยู่นี่คืออะไรล่ะ’
  เขาได้แต่ถามตัวเองอย่างสับสน

--------------------------------------


 :bye2:


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 31 page 3 อัพเดต 27/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 27-08-2014 22:33:15
น้องพีทอย่ามัวแต่คิดในใจนะคะนะ พี่ฮั่นออกจะอบอุ่นและเท่ขนาดนี้ หวั่นไหวแล้วรีบ ๆ บอกไปเล๊ยย

ขอบคุณนักเขียนค่ะ :mew1:

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 31 page 3 อัพเดต 27/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 28-08-2014 16:19:13
รู้ใจตัวเองไวๆนะหนูพีท :ling1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 31 page 3 อัพเดต 27/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 29-08-2014 16:41:00
32. ถูกติดตาม



“พี่ฮั่น  ตื่นได้แล้ว จะสายแล้วนะ” 

พีทเดินไปเขย่าตัวพี่ฮั่นที่ยังนอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม  พี่ฮั่นพลิกตัวไปมาเหมือนคนไม่อยากตื่นอยู่ครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นนั่ง  คนที่เพิ่งตื่นผมยุ่ง  หน้าตาเหมือนคนยังไม่ตื่นเต็มตา  ซุกตัวครึ่งหนึ่งอยู่ใต้ผ้าห่มโผล่ตัวออกมาแค่ช่วงไหล่ พีทยืนมองก็รู้สึกแปลกอีกแล้ว

ทำไมช่วงนี้เขามองพี่ฮั่นแล้วต้องตื่นเต้นด้วยก็ไม่รู้ทั้งที่เขาก็อยู่กับพี่ฮั่นมาหลายเดือนแล้ว  เขาไม่กล้ามองภาพนั้นต่อจึงเบนหน้าหนี   แต่ยังคงเร่งพี่ชายให้ลุกไปอาบน้ำก่อนที่พวกเขาจะสายไปมากกว่านี้

คนเป็นพี่เดินลงมานั่งที่โต๊ะอาหารด้วยสภาพที่ดูดีขึ้นเล็กน้อย  พีทรินกาแฟใส่ถ้วยแล้วเลื่อนไปตรงหน้า

“แฮงค์ล่ะสิ  เมื่อคืนกินหนักขนาดนั้น  วันนี้จะทำงานไหวเหรอ” 

พี่แคนโทรมาบังคับให้พวกเขาไปนั่งดื่มเป็นเพื่อนอีกแล้ว โดยไม่ยอมเล่าอะไรให้เขาฟังเลย  พีทได้แต่ปล่อยให้พี่ฮั่นคุยกับพี่แคนอย่างไม่อยากจะรบกวน   ส่วนเขาก็ใช้เวลานั้นมองพี่ฮั่นและครุ่นคิดเรื่องของตัวเองไปเงียบ ๆ

คนเป็นพี่พยักหน้าตอบ  ดูเหมือนต้องจำใจไปทำงานมากกว่า  มือใหญ่คนกาแฟอยู่ครู่แล้วยกขึ้นจิบ

“ปวดหัวรึเปล่า  เอายาไหม”  คนน้องถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย 

“อืม  ดีเหมือนกัน” 

หลังอาหารเช้าพวกเขาออกจากบ้านตามปกติ  พีทที่เปลี่ยนมาขับรถหันไปมองคนข้างตัวที่นอนหลับตาไปตลอดทางตั้งแต่ออกจากบ้านจนถึงโรงแรม

‘หายซ่าเลยนะ’   เขาคิดขำ ๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพี่ฮั่นในสภาพนี้  ทั้งขำทั้งสงสาร   

เมื่อรถจอดหน้าล็อบบี้แล้ว  เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วหันไปมองพี่ชาย  แต่พี่ฮั่นยังไม่รู้สึกตัว  พีทมองที่ใบหน้าด้านข้างที่หลับตานิ่ง  เรื่องเมื่อคืนก่อนวนกลับมาในสมอง  เขาเลื่อนสายตาไปจับที่ริมฝีปาก  หัวใจที่สงบค่อยเพิ่มจังหวะเร็วขึ้นจนเขารู้สึกได้

‘บ้าไปแล้ว จะมาใจเต้นอะไรกับพี่ฮั่น นี่พี่ชายนะ’

แต่ดูเหมือนว่าหัวใจจะซื่อสัตย์กับความรู้สึก  เขาปล่อยให้มันเต้นแรงอยู่แบบนั้น  เหลือบตาไปมองคนที่นอนอยู่อีกครั้ง  เมื่ออดไม่ได้จึงเอื้อมมือไปใช้หลังมือแตะที่หน้าผากคนที่นอนหลับตา  พี่ฮั่นจึงรู้สึกตัวลืมตาขึ้น

“ไหวไหมพี่  กลับบ้านไปนอนไหม  ลาป่วยสักวัน”  คนน้องถามด้วยน้ำเสียงกังวล 

“พี่ไม่เป็นไร ไปเถอะ  วันนี้พี่มีประชุม” 

ทั้งคู่ลงจากรถเดินเข้าโรงแรม  พีทเดินตามพี่ฮั่นไปเข้าลิฟต์ผู้บริหารด้วยทำให้คนเป็นพี่หันมามองเหมือนจะถาม

“ไปส่งพี่ก่อน  เดี๋ยวค่อยไปทำงาน”  เขาว่า  ดูภายนอกพี่ฮั่นก็เหมือนเดิมแต่เขารู้ว่าพี่ฮั่นคงปวดหัวน่าดูแต่ฝืนทำตัวปกติ 

---------------------------------



“ทำไมพี่ฮั่นไม่รับโทรศัพท์ผมเนี่ย”  เสียงพีทบ่น  ทำให้โดมที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ ๆ ต้องหันมามองอย่างแปลกใจ 

“พี่โดมวันนี้ผมไม่ไปกินข้าวด้วยนะ จะขึ้นไปดูพี่ฮั่นหน่อย  ไม่รู้หายปวดหัวรึยัง”

โดมมองใบหน้าที่เคร่งเครียดของพีทแล้วก็เข้าใจ ท่าทางแบบนี้คงจะเป็นห่วงพี่ชายมากแต่พีทคงไม่รู้ตัว  เขาเห็นพีทเอาแต่กดโทรศัพท์มาครู่ใหญ่แล้ว 

“เอาสิ  ไม่เป็นไรหรอก  เดี๋ยวพี่ไปกินกับสาว ๆ”  โดมว่าพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยน
 
สาว ๆ ที่ว่าน่ะก็เป็นเพื่อนที่ฝึกงานด้วยกันที่นี่แหละ  ที่รู้จักกันก็เพราะพวกเธอเห็นเขาเป็นเพื่อนของ ‘คุณชาย’ จึงชอบมาชวนไปกินข้าว เพื่อจะได้สอบถามเรื่องของคุณชาย  เขาไม่ว่าอะไรหรอกที่มีสาว ๆ มาคอยสอบถามเรื่องของคุณชายอยู่เนือง ๆ เขาสงสารมากกว่า  เพราะดูท่าทีแล้วพีทไม่สนใจใครเลย
 
ตั้งแต่รู้จักกันมา  เขาไม่เคยเห็นพีทสนใจสาวที่ไหนเลย  ทั้งที่ผู้หญิงแทบทั้งมหาวิทยาลัยคลั่งไคล้เขาทั้งนั้น  เพราะพีทเป็นเด็กเรียนเก่ง  ดนตรี  กีฬาก็ทำได้หมด  รูปหล่อพ่อรวย  ครบสูตรทุกอย่าง  แต่เท่าที่เขาเห็นคนที่พีทให้ความสนใจ ‘เป็นพิเศษ’  มีเพียงคนเดียว
 
ก็พี่ชายสุดที่รักนั่นแหละ

ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาห่างกันมานาน  พอมาเจอกันอีกครั้งเลยต้องมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย  แต่นี่ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้วพีทไม่มีทีท่าว่าจะหายเห่อพี่ชายเลย  ตรงกันข้ามหนุ่มน้อยกลับติดพี่ชายยิ่งกว่าเดิมซะอีก  นอกเหนือจากเวลางานแล้ว พี่น้องไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา พูดคุยกันไม่รู้เบื่อ  พีทมักจะคอยอยู่ใกล้ชิดพี่ฮั่นตลอด  ทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่ฮั่นเป็นฝ่ายคอยตามดูแล  แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นพีทที่คอยตามติดไปไหนมาไหนด้วย

พีทจะรู้ตัวไหมนะว่าทำตัวผิดปกติมากขึ้นทุกวัน  ชนิดที่ใครอาจจะไม่สังเกต  แต่เขาที่รู้จักพีทมาพอสมควรสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเชียวล่ะ



เลขาหน้าห้องแจ้งว่ารองประธานสั่งห้ามใครรบกวน  พีทพยักหน้ารับแต่กลับเดินไปเปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบาแล้วก้าวเข้าไปอย่างเงียบกริบ ทิ้งให้เลขายืนอึ้งอยู่ด้วยดวงตาหวั่น  ถ้าเกิดรองประธานโมโหขึ้นมาเธอคงแย่

พีทปิดประตูตามหลังเงียบเชียบ  ขายาวก้าวช้า ๆ ไปบนพรม  พี่ฮั่นไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน  เขาหันไปมองที่ชุดรับแขกอีกด้าน  ร่างสูงใหญ่นอนเหยียดยาวอยู่ที่โซฟา  พีทเดินเข้าไปใกล้  ก้มมองพี่ชาย  แววตาแสดงความกังวลเมื่อเห็นพี่ฮั่นนอนหลับ 
นี่แสดงว่าคงปวดหัวมากถึงได้นอน 

เท่าที่เขารู้  พี่ฮั่นเป็นคนแข็งแรงไม่เคยป่วยอะไรกับใคร  แม้จะทำงานหนักขนาดไหนก็ยังสดชื่นเสมอ ไม่ว่าจะกลับมาดึกดื่นขนาดไหนพี่ฮั่นก็ตื่นก่อนเขาทุกวัน  เพิ่งมีเช้าวันนี้แหละที่เขาตื่นก่อน

เด็กหนุ่มถอยไปที่เก้าอี้นวมฝั่งตรงข้าม  ทรุดตัวนั่งเงียบ ๆ   เขานั่งมองพี่ฮั่นที่นอนหลับตา  มือข้างหนึ่งรองศีรษะ มืออีกข้างวางอยู่บนหน้าอก  เหยียดขายาวไขว้กันพาดเลยออกจากเก้าอี้นวมตัวยาวไปอีก

เรื่องฟุ้งซ่านเรื่องเดิมวนกลับมาอีกแล้ว  พีทได้แต่ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไร  ช่วงนี้เขาทำตัวแปลกไปมากชนิดที่ตัวเองก็สังเกตเห็น  เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร  รู้แค่ว่าห้ามตัวเองไว้ไม่ไหว หรือเพราะ...เขารักและคิดถึงพี่ฮั่นมานานตลอดสิบปีที่เขาอยู่คนเดียว  ทำให้เขาอยากอยู่กับพี่ฮั่นตลอดเวลา  อยากอยู่ใกล้ชิดและหลายครั้งอยากสัมผัส เขาชอบที่จะกอดหรือแค่แตะไหล่เพียงนิดก็สบายใจ

จนกระทั่งคืนนั้น  เป็นครั้งแรกที่เขาอยากสัมผัส  ‘แบบอื่น’   

พีทยกมือลูบหน้า  เขาเป็นอะไรกันแน่  หลับตาอย่างอ่อนใจกับตัวเอง  หนุ่มน้อยเอนตัวพิงหลังกับเบาะนุ่ม  เหยียดขาไปข้างหน้า  ปล่อยตัวตามสบาย  เฝ้าสังเกตความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองที่ลอยเข้าออกในหัวสมอง  ความคิดที่ไหลผ่านเข้ามาเหมือนแผ่นฟิล์มที่มีภาพไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว 

ความทรงจำหลายเรื่องผ่านเข้ามา   

เขาเริ่มรับรู้ ‘สิ่งหนึ่ง’ จากการที่ปล่อยความคิดให้ล่องลอยอยู่นาน  มีภาพคนคนเดียวที่ลอยเข้ามาเสมอ ๆ  หายไปแวบหนึ่งแล้วก็กลับเข้ามาใหม่ 




ความรู้สึกเหมือนมีสัมผัสนุ่มแผ่วเบาที่หน้าผากทำให้คนที่เผลอหลับบนเก้าอี้นวมรู้สึกตัว  พีทขยับใบหน้า  จากนั้นก็รู้สึกว่ามีใครเอามือมาวางบนหน้าผากจึงลืมตาขึ้น

“พี่ฮั่น”

พี่ฮั่นก้มตัวอยู่เหนือเก้าอี้นวมที่เขานั่งอยู่  มือข้างหนึ่งวางบนที่พักแขน  มืออีกข้างกำลังลูบผมเขาจากนั้นจึงวางมือกับพนักเก้าอี้ที่เขานอนพิงอยู่  พีทรู้สึกเหมือนตัวเล็กลงเมื่อพี่ฮั่นยืนอยู่เหนือเขาเช่นนี้  มือที่วางบนเก้าอี้เหมือนกับต้องการกักเขาไว้ ใบหน้าที่ก้มมองเขาอยู่ทำให้พีทนิ่งงัน   

พีทเผลอมองตาพี่ฮั่นอยู่อย่างนั้นเหมือนเมื่อครั้งแรกที่พวกเขาสบตากันในห้องออกกำลังกายตอนที่พวกเขาสู้กัน   รู้สึกหายใจติดขัดเพราะสายตาแบบนั้น  ตาคู่นั้นเหมือนมีพลังดึงดูด

“พีทมาตั้งแต่เมื่อไร”  พี่ฮั่นถามทำลายความเงียบ  แต่ยังคงสบตาเขาอยู่ตลอดเวลา

“หืม?”  เสียงในลำคอนั้นเหมือนจะถามซ้ำ  ทำให้พีทได้สติ

“พักกลางวันก็ขึ้นมาครับ”

“ผมเห็นพี่ฮั่นนอนอยู่เลยไม่อยากปลุก”  พีทหลบสายตาคมกล้าที่มองมา 

“ก็เลยนอนเป็นเพื่อนพี่เหรอ”  พี่ชายยิ้มบาง  เขาตื่นขึ้นมาก็เห็นพีทนั่งอยู่ที่เก้าอี้นวมฝั่งตรงข้าม  ใบหน้าเอียงซบกับพนักเก้าอี้  ดูเหมือนเผลอหลับไป 

ในที่สุดพี่ฮั่นก็ยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง  สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง   

พีทลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก  เขาลุกขึ้นยืนบ้าง 

“พี่เป็นไงบ้าง  หายปวดหัวรึยัง” 

“ได้นอนก็ดีขึ้นแล้วล่ะ สงสัยเมื่อคืนนอนดึกด้วยเลยแฮงค์”  พี่ฮั่นยิ้มมุมปาก  ตวัดสายตามามองเขาแวบหนึ่ง

“ไปเถอะ”  คนเป็นพี่เอื้อมมือมากอดไหล่เขาไว้  พาออกเดิน

เลขาหน้าห้องถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นรองประธานเดินออกจากห้องทำงานพร้อมกับคุณชาย  ไม่ว่าอะไร   

“บ่ายนี้ผมจะออกไปธุระนะครับ  คงไม่กลับเข้ามาแล้ว  มีอะไรไว้คุยกันพรุ่งนี้”

เลขากับคุณชายที่ยืนอยู่ทำหน้าแปลกใจพร้อมกัน  พีทกำลังจะเอ่ยปากถาม  คนที่กอดไหล่เขาไว้ก็ดึงตัวให้เดินตามไปทันที 

เด็กฝึกงานทำตาโตเมื่อรองประธานกดปิดโทรศัพท์ของตัวเองทันทีที่วางสาย  เพราะพี่ฮั่นเพิ่งโทรไปลางานให้เขาโดยมีข้ออ้างว่า ‘ไปพบผู้ใหญ่’ 

“อะไรพี่” พีทยังงุนงงอยู่ที่เขาจะต้องไปพบผู้ใหญ่ที่ไหน  พี่ฮั่นกลับแบมือใหญ่ของตัวเองมาตรงหน้าเขา

“โทรศัพท์”

พีทหยิบโทรศัพท์ของตัวเองวางให้  ยิ่งงงหนักไปอีกเมื่อพี่ฮั่นคว้าไปกดปิดแล้วส่งคืนให้เขา

“พี่จะทำอะไรกันเนี่ย ผมงงแล้วนะ”

เด็กฝึกงานที่รับโทรศัพท์ตัวเองกลับคืนมาเริ่มจะทำหน้ายุ่งแล้ว พี่ฮั่นลากตัวเขาออกมาจากห้องทำงานโดยไม่บอกกล่าวอะไร  ออกจากโรงแรมไปไหนเขาก็ยังไม่รู้   แล้วโทรไปลางานให้เขาเสร็จสรรพ  ทำเหมือนว่าบ่ายนี้จะไม่กลับมาทำงานอีก 

“ไปเที่ยว”

คนขับรถทำหน้าทะเล้นเมื่อตอบเขา ใบหน้าที่นิ่งขรึมเสมอเวลาทำงานตอนนี้หายไป  กลับมายิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนตอนเป็นนายหมีอีกครั้ง 

“ไปไหนพี่ ไหนว่าไปพบผู้ใหญ่ไง  นี่มันเวลางานไม่ใช่เหรอ  พี่เป็นรองประธานนะ”  คนจริงจังอย่างพีทซักมาเป็นชุด

“ก็ใช่น่ะสิ  ถึงพี่นั่งทำงานต่อก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก  มันไม่เข้าหัวสักนิด ไปเที่ยวดีกว่า  พักผ่อน”  รองประธานหันมายิ้มให้เขาตาปิดเลยทีเดียว 

“เฮ้อ  ให้มันได้อย่างนี้สิ”  พีทแกล้งถอนหายใจ  พี่ฮั่นของเขาอู้งานก็เป็นด้วย 

สถานที่เที่ยวของพี่ฮั่นคือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่กลางเมือง  เวลาบ่ายเช่นนี้คนจึงไม่พลุกพล่านมากนัก  พี่ฮั่นถอดสูทกับเนคไทโยนทิ้งไว้บนเบาะ  แล้วหันมาเร่งให้เขาลงจากรถ  มือใหญ่ก็พับแขนเสื้อขึ้นเหนือศอกไปด้วย  พีทเลิกคิ้วหันไปมองคนที่ซ่อนหน้าภายใต้แว่นตาดำอันใหญ่  ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ 

‘เอาล่ะ  เที่ยวก็เที่ยว’

พวกเขาใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายกินข้าว  ซื้อของ  เขาถูกพี่ฮั่นลากเข้าร้านโน้นออกร้านนี้แทบหมดห้างทีเดียว  แต่สุดท้ายคนที่ได้ของมากที่สุดคือเขาเพราะพี่ฮั่นเห็นอะไรก็หยิบให้เขาลองทุกที

“เอ้า ตัวนี้เป็นไง” 

หนุ่มน้อยเดินออกจากห้องลองเสื้อ  เขาถูกบังคับให้ลองเสื้อมาหลายตัวแล้วแต่พี่ฮั่นยังไม่ถูกใจสักที  คนพี่เขม้นมองเขาอย่างพิจารณา  มือก็จับไหล่เขาให้หมุนตัว

ชั่วขณะที่เขาหันตัวไปด้านนอก  สายตาก็เจอกับใครบางคนที่คุ้นตายืนหลบอยู่นอกร้าน  ร่างสันทัดนั้นหันข้างให้เขา  ยกมืออีกข้างแนบหูเหมือนกำลังโทรศัพท์  แต่เมื่อเขาจะหันกลับไปดูซ้ำก็ถูกพี่ฮั่นจับไหล่ให้หันกลับไปแล้ว

“เฮ้ย  พีททำอะไร” 

คนพี่แปลกใจที่อยู่ดี ๆ พีทก็ฉุดเขาเข้าไปในห้องลองเสื้อ  ห้องนั้นก็ไม่เล็กเท่าไรแต่พอชายหนุ่มตัวสูงใหญ่เข้าไปอยู่ในนั้นถึงสองคน  กลับทำให้รู้สึกว่าห้องคับแคบไปถนัดตา  คนพี่ถูกดันเข้าไปข้างใน  พีทดันเขาจนหลังพิงกับผนังกระจก  ส่วนพีทขยับเข้ามาใกล้แล้วปิดประตูตามหลัง 

“ชู่ว์” พีทยกมือดันหน้าอกเขาไว้  นิ้วชี้อีกข้างยกแตะริมฝีปากตัวเองเพื่อบอกให้เขาเงียบ
 
การที่พีทหุนหันผลักเขาเข้ามาในห้องแคบ ๆ แล้วเบียดตัวเข้ามาจนใกล้ทำให้เขาเกิดตื่นเต้นขึ้นมาเฉย ๆ กับการกระทำอันแปลกประหลาดนี้  ร่างกายที่ชิดใกล้  ใบหน้าที่อยู่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ  ทำให้เขาคิดอะไรไปไกล

เพียงครู่เดียวพีทก็หันหลังออกไปแล้วปิดประตูตามหลัง  ปล่อยให้คนพี่ยืนอยู่คนเดียวในห้องลองเสื้อพลางทำหน้าประหลาดใจ  ไม่นานนักหนุ่มน้อยก็เปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง  ใบหน้าขมวดมุ่นเหมือนครุ่นคิดอะไรในใจ

“พีท เล่นอะไรเนี่ย แล้วลากพี่เข้ามาทำไม”

เพราะคนพี่กำลังคิดอะไรฟุ้งซ่านจึงไม่ทันสังเกตใบหน้าเคร่งเครียดของน้องชาย

พีทปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว   เขาส่งยิ้มให้พี่ฮั่น

“ก็อยากให้รู้ไงว่าอยู่ในห้องลองเสื้อมันอึดอัด  ผมลองมาหลายตัวแล้วนะ เมื่อไรพี่จะเลือกได้ล่ะคร้าบ” ท้ายประโยค  พีทลากเสียงแล้วยิ้ม  กลบเกลื่อนความกังวลของตัวเองไว้ได้มิดชิด 

ทั้งคู่เถียงกันเล็กน้อยขณะที่รอชำระเงินแล้วก็ออกจากร้านโดยที่พี่ฮั่นซื้อเสื้อทุกตัวที่เขาลอง  ถ้าเป็นเวลาปกติพีทคงจะบ่น  แต่ตอนนี้เขามีเรื่องให้คิด

เพราะคนที่เขาเห็นเมื่อครู่  คนที่ไม่ควรมาอยู่ในห้างแบบนี้  คนที่เขาเห็นที่ผับเมื่อคืนก่อนเป็นคนเดียวกับคนที่เขาเห็นติดตามคุณปู่ฟงตลอดเวลา

-------------------------------


คืนนี้พี่ฮั่นนอนหลับไปทันทีที่หัวถึงหมอนเลยทีเดียว แต่พีทกลับนอนไม่หลับเพราะคนที่เขาเห็นเมื่อตอนบ่ายทำให้เขาเป็นกังวลจนข่มตานอนไม่ได้   

เจเจ เป็นเด็กกำพร้าที่คุณปู่ฟงอุปถัมภ์ไว้ตั้งแต่เด็ก  พีทจำความได้ก็เห็นเขาติดสอยห้อยตามปู่ฟงแล้ว  เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ร่างเล็ก  ดวงตาชั้นเดียวแต่กลับมีผิวเข้มทำให้เขาดูแตกต่างจากคนอื่น  เจเจเป็นคนสนิทของคุณปู่ฟงที่คอยตามดูแลใกล้ชิดคุณปู่  เป็นคนที่คุณปู่ไว้ใจให้คอยจัดการธุระทุกอย่าง  เขามั่นใจว่าคุณปู่ฟงต้องส่งเจเจมาแน่นอน   

แต่สิ่งที่เขากังวลคือเจเจมาเฝ้าใคร  เขาหรือพี่ฮั่น?  หรือคุณปู่คิดจะทำอะไรพี่ฮั่นเหมือนตอนที่พี่ฮั่นอยู่อังกฤษอีก

พีทพยายามเลิกคิดแต่เขาคงเป็นกังวลมากเกินไปจนทำให้ข่มตาไม่ลง  เขาหันไปมองคนที่นอนเคียงข้าง  พี่ฮั่นหลับสนิทเหมือนคนที่ไม่มีความกังวลใด  มือข้างหนึ่งวางบนหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ  เขาพลิกตัวหันไปอีกด้านบ้าง  พีทนอนขดตัวอย่างที่ทำประจำ  หัวสมองยังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้

พี่ฮั่นอาจจะกำลังอยู่ในอันตรายก็ได้  เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณปู่ฟงจะส่งคนมาประกบเขา  ถ้ามีอะไรคุณปู่ก็โทรเรียกเขาได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว  เขาจะทำยังไงกับเรื่องนี้ 

เตียงนอนสั่นเล็กน้อยเมื่อพี่ฮั่นขยับตัว   จู่ๆ คนข้างหลังก็เอาแขนมาพาดเขาไว้ 

‘โอย  ตกใจหมด’

พี่ฮั่นขยับตัวเข้ามาจนชิด ชิดจนลมหายใจรดต้นคอเขาทีเดียว แต่ดูเหมือนไม่รู้ตัว  พีทได้แต่นอนนิ่ง ไม่กล้าขยับตัว  แม้แต่สมองที่ทำงานหนักเมื่อครู่ยังหยุดหมุน  เขาคิดอะไรไม่ออกอีก  สิ่งที่ยังเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งมีเพียงสิ่งเดียว

หัวใจของเขาเอง

--------------------------------



“ขอบใจมากเคน  เรื่องนี้อย่าให้พี่ฮั่นรู้นะ” พีทวางสาย ใบหน้าเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้รับข่าวนั้น

คุณปู่ส่งเจเจตามประกบเขากับพี่ฮั่นจริง ๆ 

พีทขอให้เคนซึ่งเป็นบอดี้การ์ดของพี่ฮั่นสืบเรื่องนี้อยู่เงียบ ๆ  เคนรายงานว่าเจเจตามเขากับพี่ฮั่นตลอดเวลา 

เขาคงจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ เขาจะไม่ยอมให้คุณปู่ทำอะไรพี่ฮั่นได้อีกเป็นอันขาด




“มาได้สักทีนะพีท  นึกว่าลืมไปแล้วว่ายังมีปู่คนนี้อยู่”   

เสียงแหบแห้งของชายชราที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียงผู้ป่วยเอ่ยทัก  ราวกับรออยู่แล้วว่าพีทจะต้องมา
 
“สวัสดีครับคุณปู่  สบายดีไหมครับ” พีททักตอบคุณปู่ฟง 

เขายืนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยขนาดใหญ่ที่คุณปู่ฟงพักรักษาตัวอยู่ ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าคุณปู่อาการทรุดหลังจากที่โมโหคุณพ่อ ทำให้ต้องกลับเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้งทั้งที่อาการเพิ่งดีขึ้น

คุณปู่ฟงเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่  ท่านเป็นน้องชายคนเดียวของคุณปู่ของเขา  ตระกูลหยางที่มั่งคั่งมักมีลูกชายเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น  เหมือนคุณปู่ของเขาที่มีน้องชายเพียงคนเดียวคือปู่ฟงซึ่งเป็นหนุ่มโสด ไม่ยอมแต่งงาน  พีทจึงเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล 

 “ไอ้โรคภัยภายนอกมันไม่เท่าไรหรอก  แต่เรื่องจิตใจนี่ต่างหากที่ทำให้ปู่กินไม่ได้นอนไม่หลับ” คุณฟงมองตรงไปยังหลานชายคนเดียวของตน  แววตากังวล

“ก็เลยส่งเจเจไปตามประกบผมงั้นหรือครับ  แล้วก็ตั้งใจให้ผมเห็นด้วยใช่ไหม  ถ้าปู่อยากคุยกับผมทำไมไม่โทรหาผมล่ะครับ ปู่ทำแบบนี้ทำไม จะบอกอะไรผมรึเปล่า”

พีทยืนข้างเตียงมองไปยังคุณปู่น้อยที่ซูบผอมลงไปมาก  แต่แววตายังคงแฝงไปด้วยอำนาจดุจเดิม

“ปู่อยากจะเตือนพีท  อย่าอยู่ใกล้ชิดไอ้ฮั่นมัน  ระวังมันจะแย่งสมบัติของเราไป”

เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลเลย  ตระกูลหยางไม่เคยพลาดให้ใครมาฉกชิงสิ่งของที่พวกเขาครอบครองได้  คุณฟงแค่อยากจะอ้างเพื่อดูปฏิกิริยาของหลานชายมากกว่า

“พี่ฮั่นไม่มีทางทำแบบนั้นหรอกครับปู่  พ่อไว้ใจพี่ฮั่น  ผมก็ไว้ใจพี่ฮั่น” 

‘หึ พ่อลูกก็คิดแบบเดียวกันสินะ  รักไอ้พวกตระกูลนั้นจริงนะ’ 

คุณฟงคิดแล้วก็สะท้อนใจ 

“ทั้งที่มันถูกปู่ทำถึงขนาดนั้นแล้ว  พีทคิดว่าคนอย่างมันจะไม่โกรธแค้น  ไม่อยากเอาคืนพวกเราบ้างรึไง  พีทจะไว้ใจมันไม่ได้”

“คุณปู่หยุดเถอะครับ  เรื่องมันตั้งนานมาแล้วไม่มีใครเขาโกรธแค้นอะไรแล้ว  มีแต่คุณปู่เท่านั้นแหละที่ยังคิดแค้นอยู่  คุณตาคุณยายของพี่ฮั่นก็เสียกันไปหมดแล้ว  ปู่จะโกรธเกลียดใครอีกทำไมครับ”

คุณฟงไม่แปลกใจที่พีทรู้เรื่องนี้   ถ้าไอ้ฮั่นมันกลับมาดีกับหลานของเขา  มันก็คงจะเล่าให้กันฟังมาแล้ว 

‘ไอ้ฮั่น’  คุณฟงคิดอย่างเคียดแค้นชื่อนี้อยู่ในใจ 

เขาพยายามแยกมันออกจากชีวิตหลานของเขาแต่มันก็กลับมาอีก  คุณฟงรู้สึกกำลังใจถดถอยเมื่อรู้ว่าตนเองไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเมื่ออดีตอีกแล้ว  เขาต้องวางมือจากธุรกิจและยกกิจการให้คริสดูแลเพราะโรคภัยร้ายแรงของตน โรคที่หมอกำชับว่าห้ามเครียดเพราะความเครียดเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายทรุดลงแต่เขากลับสลัดเรื่องพวกนี้ไปไม่ได้  ถ้าทำได้คงทำตั้งแต่เมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว 

ยิ่งตอนนี้เมื่อได้รู้ว่า  หลานชายเพียงคนเดียวกำลังจะเดินเข้าสู่วังวนเดียวกัน   เขาก็กลัวเหลือเกินว่าพีทจะต้องมีชีวิตเหมือนเขา

ยิ่งใหญ่แต่โดดเดี่ยว 

เขารู้ซึ้งทีเดียวว่าการอยู่แบบนี้มันทรมานเพียงใด  พีทต้องไม่เป็นเหมือนเขา   เขาจะต้องทำทุกวิถีทางให้หลานชายเขาหลุดจากชีวิตที่โดดเดี่ยวนี้

คุณฟงอยากจะบอกเหลือเกินว่า  ตัวเองกับพีทนั้นเหมือนกันมากเพียงใด

“หึ  มั่นใจจริงนะ  รักมันแล้วล่ะสิ” 

‘อะไรนะ! คุณปู่พูดว่าไงนะ’

“คุณปู่  คุณปู่พูดแบบนี้หมายความว่าไง  พี่ฮั่นเป็นพี่ผม” 

เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดแบบนี้กับเขา  พีทตกใจที่คุณปู่พูดเหมือนกับว่าเขารักพี่ฮั่นในแบบอื่น  ‘คุณปู่คิดอะไรบ้า ๆ’

“มันไม่ใช่พี่แก!!!!!!!”

คุณปู่ฟงตะคอกเสียงดังจนสั่นไปทั้งตัว  เสียงยิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อท่านพูดต่อ

“แกก็รู้อยู่เต็มอก  แกรักมันแล้วใช่ไหม!!  ถึงได้เถียงแทนกัน  ใช่สิ  แกมันหลานอกตัญญู  ไปรักศัตรูของปู่!!”

“คุณปู่คิดมากไปรึเปล่า  พี่ฮั่นเป็นพี่ผมนะครับ  ปู่บ้าไปแล้ว” 

พีทไม่ยอมรับคำกล่าวหาของคุณปู่   แต่ทั้งที่พูดไปแบบนั้นเขากลับใจเต้นแรง นี่คุณปู่หมายความว่าไง   

‘เขารักพี่ฮั่น?’

“อย่ามาเถียงปู่!! ทำไมปู่จะไม่รู้  ปู่เป็นปู่แกนะ  แกรัก  แกเกลียดอะไรดูปราดเดียวก็รู้แล้ว อยู่ให้ห่างจากมันซะ มันไม่มีทางรักแกเหมือนที่แกรักมันหรอก  คนอย่างมันเห็นแก่หน้าตาหน้าที่ความรับผิดชอบมากกว่าความรักเหมือนตาของมันนั่นแหละ!! แล้วแกจะต้องเสียใจ” 

“พี่ฮั่นไม่มีวันทำให้ผมเสียใจหรอกครับ”   น้ำเสียงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจยิ่งยวด  พีทมองตรงไปยังคุณปู่อย่างต้องการยืนยันความคิดตน

“พีท!!   นี่ปู่เตือนเราด้วยความหวังดีนะ  พีทเป็นหลานคนเดียวของปู่ ทำไมปู่จะไม่รู้ว่ามันจะทำให้พีทเสียใจ!”  คุณฟงก็ตะคอกกลับด้วยความมั่นใจไม่แพ้กัน 

เขารู้  รู้ดีทีเดียว

“คุณปู่ครับ  เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะครับ”  พีทตัดบท  เขาไม่อยากเถียงกับคุณปู่เรื่องแปลก ๆ พวกนี้อีก

“แล้วผมขอร้องให้เจเจเลิกตามผมซะทีเถอะครับ  ไม่งั้นบอดี้การ์ดของพี่ฮั่นจะต้องทำตามหน้าที่นะครับ   ผมไม่อยากให้ใครถูกทำร้ายเพราะผมอีก” 

“พีท!  นี่แกขู่ปู่เหรอ  ทำไมไม่ฟังสิ่งที่ปู่เตือนบ้าง  อยู่ให้ห่างจากมันซะ  กำจัดมันออกจากตระกูลได้ยิ่งดี”

“ปู่เกลียดมัน!  เกลียดมัน!  เกลียดพวกมันทุกคน!” 

คุณปู่เริ่มขึ้นเสียงอีกครั้งเมื่อพูดประโยคถัดมาเหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านสะเทือนใจ  ใบหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดที่ฝังแน่นอยู่ในใจ

“เกลียด  เกลียด  ไอ้หลิว  ลิลลี่  เกลียดมันทุกคน!”

พีททนฟังสิ่งที่คุณปู่ของเขาพูดไม่ได้อีกต่อไป   เขาลาคุณปู่แล้วเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยรวดเร็ว   

พ่อพูดไว้ไม่มีผิดว่าอย่าไปคุยกับคุณปู่เรื่องนี้อีก คุณปู่บ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่ยังคงคิดแค้นเรื่องเก่าอยู่แบบนั้นจนทำให้อาการกำเริบขึ้นมาอีกทั้งที่เพิ่งหายดีจากการรักษาตัวที่อเมริกา   

เขาพบเจเจยืนอยู่หน้าห้อง

“เลิกตามผมกับพี่ฮั่นได้แล้ว ไม่งั้นนายจะลำบาก” 

เขาหันไปบอกชายวัยกลางคนแววตาเอาจริงตามที่พูด เจเจเพียงแต่โค้งให้ไม่ตอบว่าอะไร  รู้ดีว่าคุณชายพูดแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เขาเดือดร้อน เจเจรู้ดีว่าบอดี้การ์ดของคุณชายฮั่นนั้นมีฝีมือเพียงใด 

ร่างสูงของคุณชายก้าวเท้ารวดเร็วไปตามทางเดินในโรงพยาบาล  พีทสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้ปู่ทำอะไรพี่ฮั่นได้อีก  ถ้าคุณปู่จะทำร้ายพี่ฮั่น 

เขานี่แหละที่จะทุ่มเทกำลังทั้งหมดปกป้องพี่ฮั่นเอง!




พีทก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปในโรงแรมหลังจากที่แอบออกจากโรงแรมเวลาพักกลางวันเพื่อไปเยื่ยมคุณปู่ฟง  มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง  ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเสมอเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเพราะยังครุ่นคิดถึงเรื่องที่เขาเพิ่งคุยกับคุณปู่
 
เขาไม่กล้าบอกพี่ฮั่นว่าจะไปไหนจึงให้ลีมูซีนของโรงแรมไปส่งและไปเพียงคนเดียว  เคนพุ่งปราดมาเปิดประตูให้เขาทันทีที่ลีมูซีนจอดลงหน้าโรงแรม พีทก็รู้ชะตาตัวเองทันที  แอบหวั่นใจเมื่อขึ้นมาถึงห้องรองประธานโดยมีเคน ‘คุม’ เขาขึ้นมาถึงหน้าห้องเลยทีเดียว 

“พีท  หายไปไหนมา”  พี่ฮั่นถามเสียงเรียบ 

พี่ฮั่นกลับไปทำหน้าตาน่ากลัวเหมือนเมื่อตอนที่พวกเขาทะเลาะกันอีกครั้ง ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับคุณปู่  พี่ฮั่นมักคุมอารมณ์ไม่อยู่เสมอ

พีทคิดว่าพี่ฮั่นคงรู้แล้วว่าเขาไปไหน   เขาจึงตัดสินใจพูดความจริง

“ผมไปเยี่ยมคุณปู่ที่โรงพยาบาลมาครับ”

“พีทรู้แล้วใช่ไหมว่าไม่ควรไปไหนมาไหนคนเดียว”

“ผมขอโทษครับ  แต่คุณปู่ไม่สบาย  ผมแค่ไปเยี่ยม”  เขาพยายามอธิบาย

พี่ฮั่นกำมือแน่นอย่างข่มอารมณ์  แล้วหันหน้าออกไปมองวิวภายนอก 

“ไปทำงานเถอะ”  ในที่สุดพี่ฮั่นก็พูดออกมา

--------------------------------



 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 32 page 3 อัพเดต 29/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-08-2014 18:10:57
 :L2: o13
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 32 page 3 อัพเดต 29/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Spelling_B ที่ 31-08-2014 19:21:16

พีทครับยอมรับตัวเองเถอะว่าชอบพี่ฮั่นไปแล้ว พี่เขาเท่นะ   :ling1:

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 32 page 3 อัพเดต 29/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 31-08-2014 21:57:42
สองพี่น้องสลับกันซึน
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 32 page 3 อัพเดต 29/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 01-09-2014 12:35:52
พี่ฮั่นเท่จัง

ขอบคุณนักเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 32 page 3 อัพเดต 29/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 01-09-2014 21:40:48
33. เฌอเบลล์


หลังจากวันนั้นพวกเขาก็ไม่พูดกันอีกเรื่องคุณปู่ พีทได้แต่ฝากลุงฉีให้คอยไปเยี่ยมคุณปู่แทนเขาและพ่อ

หลังเลิกงานพีทแยกย้ายกับพี่โดมแล้วเดินเข้าลิฟต์สำหรับผู้บริหารตรงไปยังห้องรองประธานเหมือนที่เขาปฏิบัติอยู่ทุกวัน  เลขาหน้าห้องแจ้งว่าพี่ฮั่นกำลังมีแขกแต่ให้คุณชายเข้าไปได้ทำให้พีทแปลกใจ  เขาเคาะประตูอยู่สองสามทีแล้วผลักประตูบานใหญ่เข้าไป 

พีทชะงักเท้าเมื่อมองเห็นคนที่นั่งอยู่ที่ชุดรับแขกมุมหนึ่งของห้อง

หญิงสาวคนหนึ่งนั่งเบียดชิดอยู่กับพี่ฮั่น ทั้งคู่หันหน้าที่กำลังคุยกันมองมาที่เขา  ใบหน้าหวานยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร  จากนั้นเธอจึงขยับตัวที่เบียดชิดพี่ฮั่นออกเล็กน้อย

‘ใคร?’ 

ได้ยินเสียงพี่ฮั่นแนะนำว่าเขาเป็นน้องชาย  หญิงสาวหน้าหวานลุกขึ้น  ร่างสมส่วนในชุดเดรสสีแดงรัดรูปโชว์สัดส่วนอันเย้ายวน  ขาเรียวที่สวมรองเท้าส้นสูงสีเดียวกับชุดเดินตรงมา ใบหน้ารูปใข่  ดวงตากลมโต  จมูกโด่งเชิดน้อย ๆ  ริมฝีปากอิ่มเคลือบลิปสติกสีแดงสดคลี่ยิ้ม   

“สวัสดีค่ะน้องพีท  เฌอเบลล์ค่ะ” 

“สวัสดีครับ  ยินดีที่ได้รู้จักครับ”  พีทยิ้มตอบกลับ 

รอยยิ้มนั้นทำให้หญิงสาวตรงหน้าเบิกตาโต 

‘น่ารัก’  เธอรำพึงในใจ 

“ได้ยินพี่ฮั่นพูดถึงมาตั้งนาน  วันนี้ได้เจอตัวจริงสักที”  เฌอเบลล์ยังคงยิ้มหวาน

พี่ฮั่นลุกขึ้นยืนบ้าง  พี่ชายเดินมาแนะนำสาวสวยให้เขารู้จัก

“เฌอเบลล์เป็นเพื่อนพี่แล้วก็เป็นหุ้นส่วนโรงแรมเราที่โน่นด้วย  มาดูงานน่ะ”

“เบลล์มาดูงานประชุมผู้นำเศรษฐกิจค่ะ เพราะครั้งหน้าเราจะต้องเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดประชุม  พี่ฮั่นหนีกลับมาทำงานที่นี่เสียแล้ว  เบลล์เลยต้องมาดูงานเองไว้เผื่อปีหน้า”   

เฌอเบลล์หันมาเล่าให้เขาฟัง  ดวงตาคู่สวยนั้นจับจ้องที่เขา  พีทยิ้มรับ

“ช่วงนี้เบลล์จะพักอยู่ที่นี่เป็นแขกของพี่  ยังไงพีทก็ช่วยดูแลด้วยนะ” 

คนเป็นพี่สังเกตเห็นสายตาของเฌอเบลล์ก็คิ้วขมวด  แต่ก็รีบเก็บอาการทันควันเมื่อพีทหันมา

“วันนี้คงไม่ทำงานต่อ  พี่จะพาเฌอเบลล์ไปเลี้ยงต้อนรับหน่อย  พีทไปด้วยกันนะ”

“ไปด้วยกันนะคะ จะได้ทำความรู้จักกันไว้  อีกหน่อยเราคงต้องทำงานร่วมกัน”  เฌอเบลล์เอื้อมมือมาเกาะแขนเขาไว้  เอ่ยชวน

“ครับ”  หนุ่มน้อยไม่คิดอะไรเมื่อส่งยิ้มกลับให้หุ้นส่วนของพี่ชาย

‘ยิ้มหวานตลอดเลยนะ’  คนเป็นพี่คิดอยู่ในใจ 

ฮั่นนึกไปถึงคืนที่เขาไปนั่งดื่มกับแคน  พีทบอกเขาว่าชอบผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แบบนี้ซะด้วย  ตอนนั้นเขาไม่คิดอะไร  แต่คราวนี้เขาเริ่มไม่ชอบใจนักแต่ยังเก็บท่าทีไว้ได้สนิทภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม 

-----------------------------------



“น้องพีทเรียนจบแล้วเหรอคะ” เสียงหวานของสาวสวยคนเดียวในโต๊ะหันมาถาม 

“ยังครับ  ตอนนี้ฝึกงานอยู่  แล้วก็มาช่วยงานพี่ฮั่นครับ” 

“แหม เก่งจังเลยนะคะ  มาฝึกงานกับพี่ฮั่นด้วย  ปกติพี่ฮั่นเฮี้ยบจะตาย  ใครทำงานให้ก็ไม่ถูกใจ  ตอนอยู่ที่โน่นไล่เลขาออกเป็นว่าเล่น หาว่าทำงานไม่ถูกใจบ้างล่ะ  คุยงานกันไม่รู้เรื่องบ้างล่ะ  บางคนแค่แอบแต่งหน้าก็โดนซะแล้ว”

คนถูกกล่าวถึงหันไปมองเฌอเบลล์  แกล้งขมวดคิ้วใส่คนที่เอาเรื่องของเขามาเล่าทำให้สาวสวยหัวเราะน้อย ๆ อย่างคนที่รู้กัน

“เอาผมมาเผาได้ไงล่ะ  ต่อหน้าต่อตากันเลยนะ” 

“แหม ก็เรื่องจริงนี่คะพี่ฮั่น” เฌอเบลล์เอียงหน้าไปสบตาพี่ฮั่นอย่างล้อเลียนทำให้ทั้งคู่หัวเราะให้กันอีกครั้ง

บริกรนำไวน์มาเสิร์ฟบทสนทนาจึงหยุดลง  เฌอเบลล์ใช้โอกาสนี้มองไปทั่วบริเวณร้านอาหาร  ทั้งสามคนกำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อดังซึ่งเป็นร้านอาหารเปิดโล่งบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมสูงกว่าสามสิบชั้น   บนความสูงระดับนี้จึงสามารถมองเห็นเมืองได้ทั้งเมือง  แสงไฟเบื้องล่างสว่างวิบวับสวยงาม  โต๊ะอาหารตั้งอยู่เรียงรายโดยรอบเพื่อให้ทุกโต๊ะสามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้  แสงไฟประดับรอบบริเวณร้านอาหารทำให้เกิดแสงสีหลากหลาย  ห้องอาหารที่นี่จึงได้รับการโหวตให้ติดอันดับร้านอาหารสุดเก๋และมักจะใช้เป็นสถานที่ขอแต่งงานบ่อยที่สุด  นอกจากวิวสวยแล้ว  รสชาติอาหารก็ไม่แพ้ใครจากเชฟฝีมือเยี่ยมที่ได้รับรางวัลระดับโลก  แต่ละเมนูได้รับการออกแบบทั้งรสชาติและหน้าตาเป็นพิเศษ

“สวยมากเลยนะคะบนนี้  ยังกับดาวบนดินแน่ะ  เข้าใจคิดนะคะพี่ฮั่น”

เฌอเบลล์ชมพลางยิ้มหวานหยด  ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปที่แสงไฟระยิบระยับด้านล่าง  สาวสวยกล่าวชื่นชมความงามของบรรยากาศและสถานที่ตั้งแต่พวกเขาขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นดาดฟ้าของโรงแรมเลยทีเดียว 

“พี่ฮั่นตั้งใจทำเป็นที่ขอแต่งงานใครรึเปล่าเนี่ย  ดูสิโรแมนติกชะมัด” 

ใบหน้าสวยหวานนั้นหันมาสบตาพี่ฮั่น  สายตาที่มีความหมายลึกซึ้ง

พีทเห็นพี่ฮั่นยิ้มให้หญิงสาวข้างกายอย่างอ่อนโยนแต่ไม่ตอบอะไร  เขามองทั้งสองคนสบตากัน  เหมือนเห็นสายใยบางเบาเชื่อมระหว่างหนุ่มสาวตรงหน้า  เขาสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ ‘พิเศษ’ ระหว่างทั้งสองคน  แม้ว่าพวกเขาก็พูดคุยกันธรรมดาแต่กลับเหมือนมีความเข้าอกเข้าใจกันบางอย่าง  สายตาที่มองกันเหมือนคนที่รู้ใจกันมานาน 

‘สองคนนี้ต้องมีอะไรมากกว่าเพื่อนร่วมงานแน่’ พีทเก็บความสงสัยของเขาไว้พร้อมกับความไม่ค่อยชอบใจนักของตัวเอง
 
แต่อย่างไรก็ตามเฌอเบลล์เป็นแขกที่น่ารัก  เธอพอใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร  บรรยากาศหรือไวน์  และแม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกับเขา เฌอเบลล์ก็ช่างสรรหาเรื่องราวมาพูดคุยได้อย่างเพลิดเพลิน  ระหว่างมื้ออาหารจึงมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม  โดยเฉพาะรอยยิ้มหวานของสาวสวยคนเดียวในโต๊ะ

หลังทานอาหารเสร็จ  พวกเขาเดินไปส่งเฌอเบลล์ที่ห้องพักวีไอพีในโรงแรม  เพราะหญิงสาวต้องการพักผ่อนและปรับตัวจากการเดินทางไกล

“ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยและสถานที่สวย ๆ นะคะ  เบลล์ชอบมาก”  เฌอเบลล์เปิดประตูแล้วหันมากล่าวราตรีสวัสดิ์กับสองหนุ่ม 

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ พี่ฮั่น” เธอตรงเข้าไปสวมกอดพี่ฮั่นไว้  ซึ่งเจ้าตัวก็กอดตอบเช่นกัน 

“ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะ น้องพีท”

ร่างอวบอิ่มผละจากพี่ฮั่นเข้ามาจูบราตรีสวัสดิ์เขาอย่างรวดเร็วแล้วเข้าห้องไป  เสียงหัวเราะดังแว่วออกมาจากหลังประตู  ทิ้งให้หนุ่มน้อยยืนนิ่งอยู่หน้าห้องอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว  พีททำตาโตใส่ประตูห้องที่เพิ่งปิดลง  เขาส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้เพื่อนของพี่ชาย

“พีท”  พี่ฮั่นหันมาเรียกเขา  น้ำเสียงแปลก

แต่เขากลับตั้งตัวไม่ทันอีกครั้ง  เมื่อพี่ฮั่นเอื้อมมือมาแตะที่หน้า ใช้นิ้วโป้งไล้อย่างเบามือบริเวณแก้มที่เฌอเบลล์เพิ่งจูบเพื่อเช็ดลิปสติกที่ติดอยู่อย่างนุ่มนวล

“เดินไปแบบนี้เดี๋ยวคนก็มองกันทั้งโรงแรม”  คนเป็นพี่ยิ้มให้เหมือนจะแซวแล้วรีบหันหน้าเดินหนีไปที่ลิฟต์

พีทเผลอยกมือแตะที่แก้มตัวเอง 

‘รู้สึกร้อน ๆ แฮะ พี่ฮั่นทำเขาใจเต้นอีกแล้ว บ่อยเกินไปแล้วนะ’   คิดแล้วก็ออกเดินตามพี่ฮั่นตรงไปที่ลิฟต์ 

“ว่าไงพี่” 

พีทกอดอกพิงผนังลิฟต์  เอ่ยถามเป็นครั้งแรกหลังจากเจอแขกคนสำคัญ  ใบหน้าฉายแววรู้ทันคนเป็นพี่แต่เขายังไม่พูด ไหนจะลองฟังก่อนว่าพี่ฮั่นจะว่าไง

ฮั่นมองหน้าคนน้องตั้งคำถาม  หลบตาแล้วยิ้มเขินกับสายตาจับผิด  ถ้าพีททำตาแบบนี้  เขามักจะถูกต้อนจนไปไม่ถูกอยู่บ่อย ๆ
 
“เบลล์ก็เป็นเพื่อนไง” 

“ยังไงล่ะ เป็นเพื่อนแต่นั่งเบียดกันเนี่ยนะแล้วก็กอดกันกลมขนาดนั้น  แบบนั้นไม่เรียกว่าเพื่อนธรรมดาหรอก”  คนน้องยกมือกอดอก มองนิ่ง

“ก็กอดกันตามประสาคนคุ้นเคยไง”  คนตอบเบนสายตาไปทางอื่น

‘อ้อ  คนคุ้นเคยงั้นเหรอ’
  ใบหน้าน้องชายบอกแบบนั้น

“ร้ายนักนะ ไม่เห็นเคยเล่าเลยว่าควงสาวเซ็กซี่ขนาดนี้”

พีทว่าเสียงเรียบ  ทำไมไม่รู้เขารู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก  อาจจะเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้เรื่องผู้หญิงของพี่ฮั่น  ก็ครั้งก่อนที่เขาถาม  พี่ฮั่นตอบว่าไม่มี  แล้วสาวสวยที่พักห้องวีไอพีหรูของโรงแรมนี่โผล่มาได้ยังไง?

“ก็บอกแล้วไงว่าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน  เป็นแค่หุ้นส่วนกัน”

“แล้วทำไมไม่คบกันต่อล่ะ  ท่าทางเขาก็คงยังจะอยากสานต่อกับพี่อยู่นะ  ไม่งั้นคงไม่มาหาถึงนี่  ผมว่าเรื่องดูงานนั่นแค่ข้ออ้างมากกว่าใช่มั้ย”  เด็กฉลาดเริ่มตั้งคำถามแล้ว

‘เด็กนี่ชักจะรู้ดีไปหน่อยแล้ว  ดูออกด้วยว่าเขากับเฌอเบลล์เป็นแค่คู่ควงกันชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น’
  แต่พี่ชายก็ยังไม่ยอมรับคำกล่าวหาของน้อง

“เบลล์แค่มาดูงานเท่านั้นเอง” 

คนเป็นพี่ให้ข้อสรุปบทสนทนาแปลกประหลาดนี้  พีทถามอย่าง  เขาตอบอีกอย่าง  แต่เด็กฉลาดก็ยังจับทางได้ตลอด

“นี่พี่เป็นพวก one night stand เหรอเนี่ย”

พีทปล่อยมือที่กอดอก เลิกคิ้วหนาของตัวเอง ยิ้มมุมปากแต่สายตาน่ะกลับไปเป็นคุณชายพีทคนเดิม 

สายตาแบบ ‘เอาเรื่อง’   

คนเป็นพี่กลับล้วงกระเป๋ายืนนิ่ง  ไม่ยอมมองหน้าน้องชาย   

‘one night stand  เหรอ  ก็คงใช่มั้ง’   

ชีวิตที่ผ่านมาเขาเรียนหนัก  ทำงานหนักเพราะต้องเดินทางไปช่วยงานคุณคริสดูโรงแรมสาขาอื่นทั่วยุโรป  ผู้หญิงที่เขาคบส่วนมากแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น  ไม่มีใครมีค่าพอให้จดจำ

“เคยรักใครจริง ๆ บ้างมั้ย?” 

คำถามเชิงประชดนั้นทำให้ฮั่นชะงัก ไม่เคยมีใครตั้งคำถามนี้กับเขามาก่อน 

‘รักเหรอ...รักสิ’

“ผมว่าแล้วว่าพี่น่ะต้องเป็นพวก  กลัวความรัก”  พีทสรุป

ลิฟต์เปิดออกพอดีทำให้บทสนทนาหยุดลง  สองพี่น้องเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่  แต่คำถามนั้นยังติดหัวพี่ชายไปตลอดทั้งคืน

------------------------------------



“พีท  ใครที่เดินกับพี่ฮั่นน่ะ”  พี่โดมพยักพเยิดให้เขาหันไปมองที่ทางเดินระหว่างอาคาร  พวกเขากำลังจัดห้องประชุมขนาดใหญ่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมสำคัญ   บรรดาตัวแทนประเทศผู้นำด้านเศรษฐกิจของโลกจะเดินทางมาร่วมประชุมที่นี่ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

“สวยมากเลย  หน้าหวาน หุ่นดี  เซ็กซี่สุด ๆ” 

นานครั้งจะเห็นพี่โดมทำเสียงตื่นเต้นเวลาเห็นสาวสวย

“อ๋อ  คุณเฌอเบลล์  เพื่อนพี่ฮั่นน่ะ” พีทตอบโดยไม่จำเป็นต้องหันไปมอง  มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละ

“เพื่อนเหรอ  เพื่อนที่ไหนควงแขนขนาดนั้นล่ะพีท ไม่ใช่มั้ง  แฟนรึเปล่า”  พี่โดมตั้งข้อสังเกต

คำถามนั้นทำให้พีทต้องหันไปมองอย่างตั้งใจ  เขาเห็นพี่ฮั่นเดินห่างออกไปแล้วโดยมีหญิงสาวกอดแขนท่าทางสนิทสนมอยู่ข้างกาย

“เดินควงกันขนาดนี้เป็นข่าวทั้งโรงแรมแน่”  โดมว่า

เรื่องทุกอย่างในโรงแรมนี้แพร่เร็วยิ่งกว่าไฟไหม้ฟางซะอีก  ขนาดเรื่องพีทเป็นลูกเจ้าของโรงแรมยังรู้กันทั่วเพียงแค่วันเดียว  ที่เขารู้เพราะมีเพื่อนที่ฝึกงานเป็นเชฟ  อยู่ถึงในครัวยังได้ยินข่าวลือถึงกับต้องเอามาถามเขา   




“สวัสดีค่ะ  น้องพีท” 

พีทละจากงานตรงหน้าเมื่อได้ยินเสียงทักอ่อนหวาน
 
“สวัสดีครับคุณเฌอเบลล์”  เขาทักทายหุ้นส่วนสาวสวยอย่างแปลกใจที่เห็นเธอปรากฏตัวที่นี่ ไม่คาดคิดว่าเฌอเบลล์จะเริ่มดูงานเร็วขนาดนี้เพราะเพิ่งมาถึงเมื่อวาน   

ด้านหลังของเฌอเบลล์  พี่ฮั่นยืนส่งยิ้มให้เขา ไม่ว่าอะไร

“เรียกพี่เบลล์ดีกว่านะคะ”  เฌอเบลล์บอกแล้วยิ้มหวานเช่นเคย

“บ่ายนี้ขออนุญาตดูงานฝ่ายจัดประชุมนะคะ” 

‘ไม่ได้ก็คงไม่ไหวล่ะ รองประธานมายืนคุมซะขนาดนี้’
  โดมที่ยืนอยู่ใกล้กับพีทแอบคิดอยู่ในใจ

ท่านรองประธานพาหุ้นส่วนเข้ามาดูงานถึงแผนกจัดประชุมโดยไม่บอกล่วงหน้าทำให้หัวหน้าแผนกต้องกุลีกุจอเชิญทั้งสองคนเข้าห้องประชุม  พนักงานทุกคนในแผนกทิ้งงานตรงหน้าแล้วเตรียมตัวเข้าประชุมด่วน
 
“พี่ฮั่นคะ เบลล์อยากให้น้องพีทเป็นคนนำเสนอค่ะ” 

เฌอเบลล์หันไปขอร้องรองประธานที่นั่งเด่นอยู่ตรงกลางที่ประชุม  ใบหน้าที่ตกแต่งอย่างดียิ้มหวาน  จากนั้นหุ้นส่วนคนสวยก็หันกลับมาหาคนทั้งห้องประชุม 

“คงไม่ว่าอะไรนะคะ”

พีทเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ  หันไปมองหัวหน้าแผนกอย่างขอความเห็น  หัวหน้าแผนกพยักหน้าให้แทบจะทันที 

เฌอเบลล์นั่งฟังคุณชายอธิบายรายละเอียดงานทั้งหมดอย่างตั้งใจ ใบหน้าสวยที่มีรอยยิ้มอ่อนหวานอยู่เป็นนิจนั้นเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม  มือเล็กจดบันทึกรายละเอียดอย่างรวดเร็ว  เธอไม่ซักถามอะไร  ปล่อยให้พีทอธิบายงานทั้งหมดของแผนกจัดประชุม  รวมไปถึงงานประชุมผู้นำเศรษฐกิจที่กำลังจะจัดขึ้นเร็ว ๆ นี้

รองประธานก็ไม่ว่าอะไรเช่นกัน  เขาตั้งใจฟังสิ่งที่พีทนำเสนอ ใบหน้าคมยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อพีทบรรยายจบ 

‘เก่งไม่เบาเลยนะ  เห็นทีเขาคงต้องเลื่อนตำแหน่งให้ซะแล้ว  เก่งขนาดนี้’

พีทอธิบายงานทุกส่วนของแผนกอย่างคนที่เข้าใจงานทะลุปรุโปร่งทั้งที่เป็นเพียงนักศึกษาฝึกงาน  ชัดเจน กระชับ น้ำเสียงกังวานมีความมั่นใจในตัวเอง 

“คุณเฌอเบลล์มีคำถามอะไรหรือเปล่าครับ”  พีทหันไปถามเมื่อสิ้นสุดการบรรยาย

“ห้องทำงานของนักข่าวที่จัดไว้สองห้อง  ติดกับห้องประชุมเลยซึ่งเบลล์ก็คิดว่าดีเพราะสะดวกในการทำงาน แต่เราจะควบคุมคนได้อย่างไรคะ  ทั้งนักข่าว  ตากล้องและเจ้าหน้าที่จำนวนมากอาจจะเดินเข้าออกพลุกพล่านรบกวนการประชุมได้”

“เราจำกัดจำนวนนักข่าวที่จะเข้าไปทำข่าวในห้องประชุมแล้วครับ ตอนนี้มีการร่วมมือกันระหว่างนักข่าวทุกสำนักในประเทศ จัดส่งตัวแทนไปทำข่าวภายในห้องประชุมเพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น  นักข่าวที่มาทำข่าวครั้งนี้จะได้ภาพและเนื้อหาการประชุมเหมือนกันทั้งสำนักข่าวภายในประเทศและสำนักข่าวต่างประเทศ”

“เรื่องนี้ทำให้การดูแลความปลอดภัยง่ายขึ้นด้วย  เพราะตัวแทนจากประเทศแถบตะวันออกกลางแจ้งว่าท่านผู้นำจะไม่เข้าร่วมประชุมถ้าเขาไม่วางใจเรื่องความปลอดภัย  ตอนนี้เราได้รายชื่อนักข่าวทั้งหมดและเช็คประวัติย้อนหลังทุกคนแล้วครับ”

“อืม เก่งนะคะ ทำให้ทุกสำนักยอมรวมกันทำข่าวด้วยกันได้” เฌอเบลล์กล่าวชม

“เรื่องนี้เป็นฝีมือรองประธานครับ”

พีทตอบแต่ไม่มองไปที่เจ้าตัวเลยสักนิด  กลับมองไปยังผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นแทน  เขาเหลือบไปเห็นหัวหน้าแผนกอ้าปากค้างกับคำตอบ เพราะเรื่องความปลอดภัยนี้อยู่นอกเหนือหน้าที่ความรับผิดชอบของฝ่ายจัดประชุม  แต่ที่เขารู้เรื่องพวกนี้ด้วยก็เพราะเขาช่วยงานพี่ฮั่นอยู่ทุกเย็นทำให้รู้งานด้านอื่นไปโดยปริยาย

“ว้าว  เบลล์นึกอยู่แล้วเชียว”  ใบหน้าเรียวหันไปยิ้มให้พี่ฮั่นซึ่งก็ยิ้มรับคำชมนั้น 

ทั้งคู่หันไปคุยกันเบา ๆ ครู่หนึ่ง  คราวนี้พีทที่ยืนอยู่หน้าห้องประชุมจ้องเขม็งไปที่คนทั้งคู่  ‘คุยอะไรกัน?’

การสอบถามดำเนินไปอีกครู่ใหญ่  พีทตอบคำถามอย่างคล่องแคล่ว  ส่วนเฌอเบลล์ก็จดบันทึกตลอดเวลา  บางครั้งก็หันไปสอบถามหัวหน้าแผนกบ้าง   

ในที่สุดการ ‘ดูงาน’ ของเฌอเบลล์ก็สิ้นสุดลง 

“เบลล์ไม่มีคำถามแล้วค่ะ ขอบคุณมากสำหรับการบรรยายวันนี้” 

หุ้นส่วนคนสวยกล่าวพลางหันไปขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมประชุม จากนั้นจึงหันไปชวนรองประธานกลับ  รองประธานรับคำแล้วหันไปมองน้องชายที่กำลังยุ่งอยู่กับการปิดไฟล์เอกสารในโน้ตบุ๊ก ไม่สนใจว่าใครกำลังจะกลับแล้ว  เขามองนิ่งอยู่ครู่อย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเรียกดีหรือไม่  ก็พอดีเฌอเบลล์ลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปที่น้องชายของเขาเสียก่อน

“พี่ไปก่อนนะคะน้องพีท  ขอบคุณสำหรับการบรรยาย”   

เฌอเบลล์แตะมือนุ่มบนหลังมือหนุ่มน้อย  พีทเงยหน้าขึ้นแล้วรีบเอ่ยลาพร้อมกับรอยยิ้ม 

เท่านี้รองประธานก็เดินออกจากห้องประชุมทันที 




ภาพรองประธานคอยเทคแคร์หุ้นส่วนสาวสวย ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องประชุมจนกระทั่งกลับออกไปทำให้คนทั้งแผนกแอบซุบซิบกัน  เพราะพวกเขาได้ข่าวลือเรื่องนี้มาตั้งแต่เช้า ไม่มีใครคาดคิดว่าตอนบ่ายเจ้าตัวจะมาปรากฏตัวที่แผนก  ยิ่งตอกย้ำข่าวลือให้น่าเชื่อถือขึ้นไปอีก

พี่ฮั่นกับเฌอเบลล์กลับออกจากแผนกไปตั้งนานแล้ว  แต่ความรู้สึกไม่ชอบใจกลับยังติดค้างอยู่ในใจใครบางคน   

พีทคิ้วขมวดอย่างไม่รู้สึกตัว  มีเพียงโดมที่สังเกตเห็น




“เก่งนะคะ น้องพี่ฮั่นเนี่ย” เฌอเบลล์ชมหลังจากที่เดินออกจากแผนก  สองหนุ่มสาวเดินเคียงกันเข้าไปในลิฟต์

“ครับ  ขอบคุณที่ชม  เดี๋ยวผมจะบอกพีทให้”  คนเป็นพี่รับคำด้วยใบหน้าเรียบเฉย

‘ใช่ พีทเก่งมาก  นี่แค่ฝึกงาน  ถ้าทำเต็มตัวคงจะเก่งยิ่งกว่านี้’


“น่าสนใจมาก”

เฌอเบลล์พูดแล้วยิ้มบาง  แววตาคู่สวยมีแววซุกซนเมื่อคิดอะไรในใจ

เด็กฝึกงานหน้าตาดียืนอธิบายเรื่องงานอย่างคล่องแคล่ว  ตอบคำถามฉะฉาน  ฉลาด  ไม่ใช่พวกลูกคนรวยที่หยิบหย่งทำอะไรไม่เป็น 

พีททำให้เธอ...ประทับใจ

รองประธานหันไปมองคนที่เดินเคียงข้างเขาทันทีที่ได้ยินคำชมของเฌอเบลล์  แววตาที่เขาเห็นทำให้เขาถึงกับคิ้วขมวด  คนที่รู้จักกันมานานอย่างเขากับเฌอเบลล์ ‘รู้ทาง’ กันดีอยู่แล้ว 

‘ไม่เอาน่า  อย่าให้เป็นอย่างที่เขาหวั่นเลย’

--------------------------------



ช่วงนี้คนทั้งโรงแรมต่างก็กำลังยุ่งเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดงานประชุมใหญ่ระดับประเทศ  พีทกับพี่โดมก็ยุ่งกับการเตรียมการประชุม พวกเขาได้รับการกำชับจากหัวหน้าฝ่ายให้เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้พร้อม  ทุกคนเริ่มเครียดกันมากขึ้นเพื่อเตรียมงานให้ดีที่สุด

พี่ฮั่นก็เช่นกัน งานประชุมสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้รองประธานต้องทำงานหนักมากขึ้นเพราะต้องควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด  แต่ใครต่อใครในโรงแรมก็ยังมีเวลาสังเกตเห็นว่าตอนนี้ข้างกายพี่ฮั่นกลับปรากฏร่างหุ้นส่วนคนสำคัญตลอดเวลา

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน  พีทรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ่อยครั้งเวลาที่เห็นหรือได้ยินคนอื่นพูดถึงเรื่องที่รองประธานควงหุ้นส่วนสาวสวยไปดูงานทั่วโรงแรม



“พีท  ช่วงนี้เป็นอะไรดูไม่ร่าเริงเลย”   

โดมเอ่ยปากถามพีทบ่ายวันหนึ่ง  หนุ่มร่างอวบไม่อยากจะเล่าต่อว่าสาว ๆ ทั้งโรงแรมอยากรู้กันทั้งนั้น  เพราะอยู่ดี ๆ คุณชายยิ้มง่ายของพวกเธอเปลี่ยนเป็นคุณชายยิ้มยากเสียแล้ว  พีทไม่ได้อารมณ์เสียใส่ใคร  แต่ใบหน้าเรียบเฉยไม่ยิ้มแย้มของเขาทำให้ใครต่อใครก็ต้องถอยไปอยู่ห่าง ๆ

“ไม่รู้เหมือนกันพี่โดม ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเป็นอะไร หงุดหงิด”

พีทกดความรู้สึกไม่ชอบใจของตัวเองไว้  พยายามไม่คิดอะไรทั้งที่แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว  เพราะช่วงนี้พี่ฮั่นถูก ‘ยึด’  โดยแขกคนสำคัญตั้งแต่เช้าจรดเย็นทีเดียว

“ตั้งแต่คุณเฌอเบลล์มาดูงาน  ดูพีทอารมณ์เสียบ่อยนะ”

“อืม  คงงั้นมั้ง  พี่ฮั่นไม่สนใจผมเลย”  พีทหน้างอลงอีก  คล้ายเด็กถูกขัดใจ

‘หวงพี่สินะ’  โดมคิดอยู่ในใจ  ก็ออกอาการขนาดนี้   

“อย่าคิดมากเลยพีท  พี่ฮั่นเขาต้องดูแลแขกนี่  ทำใจให้สบายเถอะ  ทำหน้าแบบนี้ไม่สมกับเป็นนายเลย”  พี่โดมวางมือบนไหล่เขา  บีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ

“แล้วผมต้องทำยังไงเหรอถึงจะเป็นผมคนเดิม” 

“ก็ยิ้มสิ  นายยิ้มแล้วน่ารักออก  สาว ๆ เค้าหงอยกันหมดทั้งโรงแรมแล้วรู้รึเปล่า” 

ท้ายประโยคแซวของพี่โดมทำให้เขายิ้มได้  พี่โดมล้อเขาเล่นสินะ

-----------------------------------



“พีท  เป็นอะไร  พี่เห็นเงียบไป โกรธอะไรพี่รึเปล่า” 

พีทชะงักมือที่กำลังถอดเนคไท  วันนี้พี่โดมก็เพิ่งถามเขาแบบนี้เหมือนกัน  เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร  รู้แค่ว่าไม่ชอบใจ

“พี่รู้ด้วยเหรอ  ผมเห็นพี่ยุ่งตลอด  โดยเฉพาะต้องพาพี่เฌอเบลล์ไปดูโน่นดูนี่” 

ตอบโดยที่คิดว่าปกติที่สุดแล้ว  แต่คนฟังรับรู้ทันทีว่าคนพูดกำลังไม่พอใจ  พีทเผลอดึงเนคไทผิดด้านทำให้เนคไทพันแน่นกว่าเดิม เขาพยายามดึงเนคไทออกจากปมแต่ไม่เป็นผล  ยิ่งเขาหงุดหงิดเนคไทเส้นนั้นก็ดูจะยิ่งรัดแน่นขึ้นจนแกะเท่าไรก็แกะไม่ออก

“โกรธพี่จริง ๆ ด้วย  ก็ช่วงนี้ต้องเตรียมงานประชุมกันทั้งโรงแรม”   

พี่ชายยืนมองน้องชายกำลังยื้อกับเนคไทแววตาหนักใจ  หนักใจเรื่องบางอย่างที่บอกใครไม่ได้ 

พีทมัวแต่ก้มหน้าแกะเนคไทจึงไม่เห็นแววตาของคนเป็นพี่

“เปล่า  ผมไม่ได้โกรธพี่สักหน่อย  ผมบอกแล้วไงว่าผมจะไม่โกรธพี่อีก  พี่จะไปทำอะไรกับใครผมไม่สนหรอก” 

‘ฮึ้ย  เนคไทบ้านี่  ทำไมมันแน่นแบบนี้เนี่ย’   

“จริงเหรอ”  พร้อมกันนั้นพี่ฮั่นก็เดินมาตรงหน้า  เอื้อมมือมาช่วยแกะเนคไทที่เริ่มพันกันยุ่งเหยิงให้

“ไม่เป็นไร  ผมทำเอง”  พีทบอกอย่างดื้อดึง  ถอยตัวออก

“อยู่เฉย ๆ เถอะน่า”  พี่ฮั่นออกคำสั่ง  ขยับเข้ามายืนใกล้มากขึ้น

พีทจำต้องปล่อยมือลงข้างตัวหันหน้าบูดสนิทหนีไปอีกทาง  ปล่อยให้พี่ฮั่นยืนแกะเนคไทช้า ๆ

“ถ้างั้นก็ไม่พอใจสิ ใช่ไหม” ดวงตาชั้นเดียวมองหน้าคนที่คิ้วแทบจะผูกโบว์อยู่แล้ว

“เฌอเบลล์เป็นแขก  อีกอย่างเขาก็มาศึกษางานโรงแรมเราด้วย  พี่ก็ต้องดูแล”  พี่ชายพูดเสียงอ่อนเหมือนที่เคยใช้กับ ‘เด็กชายพีท’ ไม่ใช่กับคนที่กำลังเข้าสู่วัยหนุ่มที่ยืนอยู่ต่อหน้า

“พี่ไม่มีเวลาให้ผมเลย”  เด็กชายพีทว่า

“พี่เพิ่งกลับมายังไม่ทันไรจะหนีไปมีแฟน  แล้วผมล่ะ  พี่จะทิ้งผมอีกแล้ว  ผมไม่ยอมนะ” 

เสียงดื้อดึงนั้นทำให้คนเป็นพี่ยิ้มมุมปากอย่างระมัดระวังไม่ให้คนตรงหน้าเห็น  นี่ถ้ากระทืบเท้าเหมือนตอนอยู่อนุบาลได้พีทคงทำไปแล้ว 

“ไม่เอาน่า  พี่ไม่ได้คบกับเฌอเบลล์ซะหน่อย  พี่บอกแล้วไงว่าเบลล์เป็นเพื่อน  เป็นแค่หุ้นส่วน”

คนที่หันหน้าหนีค่อย ๆ หันกลับมามองหน้าขาวปากแดงของพี่ชายตรงหน้า  หายโกรธลงไปเกือบครึ่งแต่ใบหน้ายังคงนิ่ง

“พี่ไม่หนีไปมีแฟนที่ไหนหรอกน่า” 

มือใหญ่คลายเนคไทออกจนสำเร็จ เอื้อมมือมายกปกเสื้อเชิ้ตของพีทขึ้นแล้วดึงเนคไทออก

“พี่พูดแล้วนะ ห้ามลืมด้วย  แล้วถึงพี่จะมีตอนนี้ผมก็ไม่ยอมหรอก” หน้าบูดบึ้งของน้องชายเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น

“พีทจำคำพูดของพีทให้ดีก็แล้วกัน”     

ดวงตาของพี่ชายมองสบตาพีทอย่างต้องการยืนยันคำพูด  รู้สึกอุ่นวาบอย่างเป็นสุขอยู่ลึกสุดในใจที่พีททำท่า ‘หวง’ เขา
ความเครียดบางอย่างที่ต้องเก็บไว้ในใจมลายไป 

“พี่ฮั่น จะทำอะไร”  พีทเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้พี่ฮั่นกำลังแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตเขาอยู่

“ก็แกะกระดุมให้ไง น้องพีท”

คนพูดเงยหน้ามายิ้มให้ ทอดเสียงอ่อน กระแสเสียงเจือด้วยความเอ็นดูเหมือนพีทเป็นน้องน้อยไม่แปรเปลี่ยน  มือใหญ่แกะกระดุมอย่างเชื่องช้า

‘น้องพีท’  คำเรียกที่พี่ฮั่นใช้เรียกเขาตอนเด็ก  เสียงอ่อนนั่นทำให้เขารู้สึกวูบวาบ  ยิ่งมือพี่ฮั่นที่กำลังแกะกระดุมอยู่สัมผัสแผ่วกับผิวเขา  ยิ่งทำให้เขาทำตัวไม่ถูกยิ่งขึ้น 

พี่ฮั่นทำเหมือนตอนพีทยังเด็ก  เวลาแต่งตัวไปโรงเรียนเขามักติดกระดุมผิดเสมอจนพี่ฮั่นต้องคอยแกะและติดให้ใหม่อยู่บ่อย ๆ

พีทเผลอคิดถึงเรื่องตอนเด็กอีกครั้ง  กว่าจะรู้ตัวอีกที.....

“เอ่อ พีท แกะเองได้”  เขารีบตะครุบมือตัวเองบนมือพี่ฮั่นที่กำลังแกะกระดุมเม็ดสุดท้าย

“เสร็จแล้ว”  พี่ฮั่นพูดพลางผละมือออกจากเสื้อเชิ้ต  เงยหน้าขึ้นมองตาเขา พี่ฮั่นยิ้ม 

“เรียกตัวเองว่า พีท แบบนี้น่ารักดี  พี่ชอบ”  คนพี่ยิ่งยิ้มกว้างตาปิดทีเดียว

“อะไรเล่า  ก็มาเรียกน้องแบบนั้นนี่นา  พี่อ่า”   

พีทโวยวายเสียงดังเมื่อรู้สึกเขินกับประโยคนั้น

....พี่ชอบ...

“ป่ะ ไปอาบน้ำสิ”  พี่ฮั่นเอื้อมมือมาจับไหล่เขาหมุนให้เดินไปที่ห้องน้ำ 

“คร้าบ” พีทรับคำ

อารมณ์หงุดหงิดตลอดหลายวันที่ผ่านมาหายไปเป็นปลิดทิ้ง 

‘ดีจัง  พี่ฮั่นยังเป็นพี่ฮั่นคนเดิมของเขา’



-----------------------------------

ตัดกันไปดื้อ ๆ แบบนี้แหละ 555

ขอบคุณที่ติดตามและคอมเม้นต์นะคะ  สงสัยจะไม่ใช่แนวของคนในเล้าใช่ป่ะเนี่ย   :mew2:

ถ้าไม่ถูกใจตรงไหนก็บอกได้นะคะ  ขอบคุณค่า

 :mew1:




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 33 page 4 อัพเดต 1/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: green1313 ที่ 01-09-2014 22:16:49
หวานกันขนาดนี้เลย
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 33 page 4 อัพเดต 1/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-09-2014 23:18:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 33 page 4 อัพเดต 1/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 02-09-2014 07:00:41
โอย น่ารักจังค่ะ  :ling1:

น้องพีทหนูมีแววว่าโตแล้วจะเป็นราชสีห์หนุ่มมากๆค่ะ น่าจะดุและหวงของด้วย โอย น่ารักน่าหยิก

ดูอุ่นๆมุ้งมิ้งแต่บางมีรัศมีน้องก็ดูคมดุแบบประหลาดมากค่ะ แบบดูมีอำนาจในตัว เราชอบ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 33 page 4 อัพเดต 1/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 04-09-2014 23:03:44
34. รู้ตัว



งานประชุมสำคัญใกล้เข้ามาแล้ว  พีทกำลังคิดทบทวนงานอีกมากมายที่ยังรอการสะสางขณะที่ก้าวขาออกจากลิฟต์เมื่อเคลื่อนมาถึงชั้นสูงสุด   

ฝ่ายจัดประชุมของเขากำลังมีปัญหาเพราะนักข่าวที่จะเดินทางมามีจำนวนมากกว่าที่แจ้งไว้ตอนแรก  เขาต้องจัดห้องทำงานสำหรับนักข่าวเพิ่ม  ไหนจะเรื่องอุปกรณ์ในการรายงานข่าว  รวมไปถึงห้องพักสำหรับนักข่าว   เรื่องยุ่งเพียงเรื่องเดียวกลับทำให้มีปัญหาอื่นตามมามากมาย

เลขาหน้าห้องไม่อยู่  เขาตรงไปเคาะประตูเสียงเบาสองสามครั้งแล้วเปิดเข้าไป 

ร่างอวบอิ่มของเฌอเบลล์เบียดแนบกับพี่ฮั่นจนแทบไม่มีช่องว่าง  แขนกลมกลึงของเธอยกขึ้นโอบรอบคอของคนที่สูงกว่า ใบหน้าเงยขึ้นบดเบียดริมฝีปากกับคนตรงหน้า  ทั้งสองคนไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครอีกคนเข้ามาในห้อง

ขาที่กำลังก้าวชะงักนิ่งค้าง  เขาอยากจะหันหนีจากภาพนั้น  แต่ทำไมไม่รู้ขากลับเหมือนถูกตรึงไว้  ขยับไม่ได้  ชั่วระยะเพียงครู่แต่เขากลับรู้สึกเหมือนแสนนาน  ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองจ้องมองอยู่แบบนั้น 

‘อะไรกัน  ความรู้สึกแบบนี้  นี่มัน....’

ในที่สุด  พี่ฮั่นก็เหลือบมาเห็นเขา  ร่างสูงถอนริมฝีปากออกช้า ๆ ทำให้เฌอเบลล์งุนงงที่พี่ฮั่นหยุด  เธอหันไปมองตามสายตาของเขาแล้วจึงเข้าใจ 

พีทยืนอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อไร....ไม่มีใครรู้

ทั้งคู่ผละออกจากกัน  เจ้าของร่างกลมกลึงสมส่วนถอยออกจากพี่ฮั่น เฌอเบลล์หันมายิ้มให้เขาด้วยท่าทีปกติราวกับว่าเรื่องที่พวกเขาทำนั้นเป็นเรื่องธรรมดา  เหมือนการหัวเราะอะไรแบบนั้น

“น้องพีทมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย  มีธุระกับพี่ฮั่นเหรอคะ  ตามสบายนะคะ”  หญิงสาวคนเดียวในห้องทักเขาแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกเหมือนปล่อยให้เขาพูดธุระกัน

“พีท  มีอะไรรึเปล่า”  เสียงพี่ฮั่นเรียก  ท่าทีปกติเช่นกัน 

พีทสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงพี่ฮั่นเรียก ดวงตาที่เหม่อลอยกลับมารับรู้อีกครั้ง  เขาพยายามปรับสีหน้าท่าทางของตัวเองให้ปกติที่สุด 

เขามาทำอะไรตรงนี้?  มาทำไมนะ? 

เขาไม่กล้ามองหน้าพี่ฮั่น  เพราะอยู่ ๆ เขาก็ลืมเรื่องที่ทำให้เขาต้องขึ้นมาหาพี่ฮั่นเสียเฉย ๆ  หัวสมองว่างเปล่า

“เอ่อ  ผมลืมไปแล้วว่ามีธุระอะไร  ผมขอตัวก่อน  ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะ” 

พีทว่ารวดเร็วแล้วหมุนตัวก้าวออกจากห้องไปทันทีโดยไม่ปล่อยโอกาสให้ใครสอบถามอะไร  เขาก้าวเท้ารวดเร็วจนแทบจะวิ่งออกจากห้อง  สวนกับเลขาส่วนตัวรองประธานที่กำลังเดินออกจากห้องน้ำ  เลขากำลังจะเอ่ยทักทายแต่กลับต้องชะงัก  เพราะตอนนี้ใบหน้าของลูกชายท่านประธานขมวดมุ่นเหมือนมีอะไรในใจ  เดินผ่านเธอไปรวดเร็วเหมือนไม่เห็นเธอเสียด้วยซ้ำ

พีทมองไม่เห็นใครทั้งนั้น  ไม่รับรู้สิ่งใด  เหมือนร่างกายเคลื่อนไหวไปตามความเคยชิน  เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเดินออกจากห้องเข้าไปในลิฟต์ได้อย่างไร

เมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์  จิตใจที่ว่างเปล่ากลับถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นชั่วขณะที่เขาเห็นพี่ฮั่นกับเฌอเบลล์ในห้อง  ไหลเข้าท่วมร่างเขา

พีทกำมือแน่น เขาเพิ่งรู้สึกตัว มันรวดเร็วราวถูกไฟช็อต เหมือนกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่างกระตุ้นเส้นประสาทในสมองทุกเส้น
 
หัวใจเขาเต้น....แรงจนแทบทะลุออกมานอกอก

เขารู้แล้ว!

รู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไรช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา 

ทำไมเขาถึงใจเต้นแรงเวลาที่อยู่ใกล้พี่ฮั่น  อยากสัมผัส  อยากอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา 

ทำไมเขาถึงหงุดหงิดที่เห็นพี่ฮั่นไปไหนมาไหนกับหุ้นส่วนคนสำคัญ  ไม่ชอบใจที่พี่ฮั่นอยู่กับคนอื่น  สนิทสนมกับคนอื่น  เขาต้องการให้พี่ฮั่นอยู่กับเขาเท่านั้น 

เมื่อกี้ที่เห็นทั้งสองคนคลอเคลียกันในห้องทำงานทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตัว 

เขาเพิ่งรู้ว่าเขา...หวงพี่  เขาหวงพี่ฮั่น  ไม่ชอบใจ  ไม่ชอบที่เห็นพี่ฮั่นทำแบบนั้นกับใคร  แบบนี้มันเรียกว่า....

คำพูดของคุณปู่ลอยเข้ามาในหัวสมอง

‘...รักมันแล้วล่ะสิ..’

เข้าใจแล้ว! 

เขาคิดว่าเขาคงบ้าไปแล้วเพราะเขารู้สึกตัวตอนนี้เองว่า... 



เขารักพี่ชายตัวเอง!



หนุ่มน้อยออกจากลิฟต์ไม่รู้ตัวเลยว่าเดินสะเปะสะปะไปทางไหน จนกระทั่งพี่โดมโทรตามเพราะเห็นว่าเขาหายไปนาน  พีทจึงรู้สึกตัว  เดินกลับไปที่แผนกแล้วเริ่มต้นทำงานโดยที่ไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย

----------------------------------



“พีท  เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเงียบไป” 

“เปล่าครับ  เหนื่อยนิดหน่อย” 

พีทตอบแล้วหันกลับไปดูถนนด้านหน้า  ลอบถอนหายใจ  เขาไม่กล้าสบตาพี่ฮั่นเลย  ความรู้สึกที่เกิดขึ้นยังระอุอยู่ภายในตัว   

พีทได้แต่พยายามควบคุมมันไว้เพราะตอนนี้เขาอยู่กับพี่ฮั่น  เขายังตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเป็นแบบนี้....



ฮั่นแอบมองน้องอย่างไม่เชื่อเท่าไรนัก  พีทดูซึมไปตั้งแต่เห็นเขากับเฌอเบลล์ในห้องทำงาน 


“เบลล์ขอพูดตรง ๆ นะคะพี่ฮั่น”  ร่างสมส่วนของเฌอเบลล์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่เดินมาหาเขา

“เบลล์สนใจน้องชายพี่ฮั่นค่ะ พี่ฮั่นคงไม่ว่าอะไรนะคะ”

นั่นไง เขาคิดอยู่แล้ว  สายตาของเฌอเบลล์ที่มองพีทตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอทำให้เขาหวั่นใจ 

เฌอเบลล์เป็นผู้หญิงรักอิสระ  เธอสวยและฉลาด  เกิดมาในตระกูลสูง เป็นถึงหลานสาวของดยุค (Duke) ตระกูลหนึ่งที่สืบทอดกันมาของสหราชอาณาจักร  ตระกูลนี้ครอบครองที่ดินส่วนใหญ่ของสก๊อตแลนด์ ทรัพย์สินส่วนตัวของเฌอเบลล์บางชิ้นประเมินค่ามิได้  เพราะส่วนใหญ่เป็นที่ดินและปราสาทเก่าแก่และงานศิลปะที่มีชื่อเสียงของศิลปินดังในยุคเรอเนซองซ์ 

แม่ของเฌอเบลล์เคยเป็นดาราสาวลูกครึ่งอังกฤษ-จีนที่โด่งดังก่อนจะมาแต่งงานกับลูกชายท่านดยุค  เฌอเบลล์จึงได้รับถ่ายทอดความงามที่ผสมผสานเชื้ออังกฤษและเอเชียจากแม่ไว้ได้อย่างลงตัว  เธอจึงเป็นสาวสวยรวยเสน่ห์ที่ผู้ชายทุกคนต้องยอมสยบให้  ด้วยคุณสมบัติขนาดนี้ทำให้เธอเป็นฝ่ายเลือกอยู่เสมอและเธอก็มักจะได้ในสิ่งที่เธอต้องการ  เฌอเบลล์จึงไม่เคยหยุดอยู่ที่ใคร 

เขากลัวว่าพีทคงจะต้านทานสาวทรงเสน่ห์อย่างเฌอเบลล์ไม่ไหว กลัวว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะเสียใจก็คือน้อง  ตั้งแต่ที่เขาเห็นแววตาแบบนั้นของเฌอเบลล์  เขาก็พยายามไม่ปล่อยให้เฌอเบลล์ได้มีโอกาสแวะไป ‘หว่านเสน่ห์’ ให้หนุ่มน้อยที่ฝึกงานอยู่ฝ่ายจัดประชุม  คนทั้งโรงแรมจึงเห็นเขาเดินว่อนไปไหนมาไหนกับหุ้นส่วนสาวสวย

“ผมว่าคงไม่ดีมั้ง นั่นน้องชายผมนะ แล้วเราเคย...”

“แหม พูดยังกับเราเคยมีเยื่อใยต่อกันอย่างงั้นแหละพี่ฮั่น ทั้งที่พี่เป็นคนที่ไม่สนใจเบลล์เองแท้ ๆ หวงน้องรึไงคะ”  เฌอเบลล์ขยับเข้ามาใกล้  ใช้นิ้วเขี่ยที่รังดุมเสื้อเขาไปมา

“มันไม่ใช่แบบนั้น เราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ไม่ควรมีอะไรเกินเลย” เขาหันหน้าไปทางอื่น 

“คนปากแข็ง”  นิ้วเรียวดั่งลำเทียนของเฌอเบลล์ลากไปตามสันคางของเขา จับคางเขาอย่างหมั่นไส้ 

 “เราสนิทกันขนาดนั้น ยังจะบอกว่าไม่มีอะไรเกินเลยงั้นเหรอคะพี่ฮั่น คนใจร้าย” ใบหน้าสวยหวานแหงนเงยขึ้นมองดูเขา  ดวงตาพราวระยับ ร่างอวบอิ่มขยับมายืนเบียดแนบชิด

“ถ้าคุณเหงาก็มาหาผมเถอะ แต่พีท เอ่อ  ผมไม่ พีทยังเด็ก”   เขายังคงมองตรงไปทางอื่นเมื่อเฌอเบลล์จงใจเบียดร่างเข้าหา

ไม่อยากให้ใครเห็นสายตาตัวเองเวลาพูดถึง...น้องชาย

“แหม เด็กที่ไหนกัน เบลล์จะทำให้เป็นหนุ่มเต็มตัวยังไงคะ ไม่ดีเหรอ” เสียงพูดแฝงความนัย 

“แต่พี่ฮั่นลงทุนเอาตัวเองเข้าแลกขนาดนี้ เบลล์จะรอก่อนก็ได้ค่ะ”

เฌอเบลล์ยกตัวกระซิบข้างหู  ปล่อยลมร้อนรดหูเขาซึ่งเป็นจุดอ่อนที่เฌอเบลล์รู้ดี มือนุ่มนิ่มของหญิงสาวจับใบหน้าเขาไว้ให้มองหน้าเธอ ทั้งคู่สบตากันเหมือนกำลังรื้อฟื้นความทรงจำเก่า ๆ ให้กลับมาอีกครั้ง 

คนสองคนไม่ต้องใช้คำพูดใดต่อกันอีกเมื่อริมฝีปากกำลังทำหน้าที่อื่นอยู่  เฌอเบลล์สอดมือทั้งสองข้างไปตามลำคอหนาของพี่ฮั่นแล้วคล้องไว้  เงยหน้ารับจุมพิตที่มอบให้  ริมฝีปากอวบอิ่มจูบเขากลับอย่างไม่ยอมแพ้

จนกระทั่ง...

เขายังจำใบหน้าพีทในห้องนั้นได้ดี น้องเหมือนกำลังช็อค จากนั้นก็รีบออกจากห้องไป 




มือที่กำพวงมาลัยบีบแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว  เขาแอบมองไปยังคนที่นั่งข้างกายอีกครั้ง  พีทยังคงนั่งนิ่ง  ดวงตามองตรงไปข้างหน้า

‘พีทจะคิดยังไงนะ  อยู่ ๆ ก็โผล่มาเจอบทรักระหว่างเขากับเฌอเบลล์’   


เขาไม่แน่ใจว่าน้องเป็นอะไร  เพราะสำหรับเขากับเฌอเบลล์เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก  พวกเขา ‘เคย’ ยิ่งกว่านี้อีก  แต่มันก็แค่ผ่านมาและผ่านไปไม่สลักสำคัญอะไร

ทั้งสองคนไม่พูดเรื่องนี้อีกจนกระทั่งถึงบ้าน

------------------------------------




คนที่นอนขดอยู่บนเตียงค่อยขยับตัวทีละนิดเมื่อรู้สึกตัวตื่น  พีทพลิกตัวอยู่ครู่จึงลุกขึ้นนั่งพิงหลังกับหัวเตียง  เขายกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเองอย่างเหนื่อยใจ  เขานอนไม่หลับทั้งคืน   
 
ตอนนี้เกือบหกโมงเช้าแล้ว  แสงสว่างยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง  เสียงนกร้องดังเซ็งแซ่เมื่อพวกมันตื่นออกหาอาหาร  เขามองไปรอบห้องนอนสีขาวของตัวเอง   ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเงียบสงบ  รวมทั้งคนที่ยังนอนอยู่ข้างเขาที่ยังคงหลับสนิท

สิ่งที่เขารู้เมื่อวานยังคงทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน  ไม่อยากเชื่อตัวเองเลยด้วยซ้ำ 

ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไป  แล้วมันเปลี่ยนไปได้อย่างไร  พีทได้แต่ครุ่นคิด  จะแก้ไขอะไรตอนนี้คงจะไม่ทันแล้ว   ความรู้สึกมันเกิดขึ้นแล้ว

เขารู้แค่ว่า....รัก

ตอนพี่ฮั่นหายไปจากบ้าน  เขาเสียใจ เฝ้าแต่คิดถึงเรื่องราวระหว่างเขากับพี่ฮั่น แทบอยู่ไม่ได้ เขาคิดแค่ว่าเขารักพี่ฮั่นเป็นพี่ชาย พี่ฮั่นเป็นคนเดียวที่เขาต้องการตลอดสิบปีที่พวกเขาจากกัน 

แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว  เขารู้แล้วว่าความรักที่เขามีต่อพี่ฮั่นไม่ได้เป็นเพียงแค่พี่ชายกับน้องชายอีกต่อไป  มันมากกว่านั้น  มากเท่าไรไม่รู้  เขารู้แค่ว่ามันมากกว่าที่เขาเคยรู้สึก เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก

ช่างเหลือเชื่อจริง ๆ ที่เกิดความรู้สึกแบบนี้กับตัวเอง  ความรู้สึกพิเศษแบบนี้เขาก็ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน  แค่คิดเพียงเท่านี้หัวใจก็เต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้   

เขาจะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี   

พีทนั่งนิ่งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปกับความรู้สึกของตัวเอง 

มันไม่ถูกต้อง 

แล้วจะให้เขาทำอย่างไร...

ความรักที่เป็นไปไม่ได้

เขาไม่รู้ว่านั่งเหม่ออยู่นานเท่าไร  จนกระทั่งเตียงนอนสั่นเพราะพี่ฮั่นพลิกตัวทำให้เขาสะดุ้ง  คนที่นอนอยู่เปลี่ยนท่าจากที่นอนตะแคงหันหลังมานอนหงายเอียงหน้ามาทางเขา  พีทหันไปมองพี่ฮั่นที่ยังคงหลับสนิท  ลมหายใจสม่ำเสมอ  เผลอมองที่ริมฝีปากที่ปิดสนิทยามนอนของพี่ฮั่น ความคิดเรื่องเดิมโผล่เข้ามาในสมอง

คืนที่พี่ฮั่นเมา  เขามองหน้าพี่ฮั่นแล้วเกิดความคิดบ้า ๆ ขึ้น  ความคิดที่ทำให้เขาตกใจตัวเอง   

อยากสัมผัสริมฝีปากนั้น 
 
แต่เมื่อวานนี้พี่ฮั่นกลับกำลังจูบอยู่กับคนอื่น  พีทจำไม่ได้ว่าจ้องมองอยู่นานเท่าไร  พี่ฮั่นบอกเขาว่าเป็นเพื่อนกับเฌอเบลล์  แล้วที่จูบกันในห้องทำงานนี่เรียกว่าอะไร  หรือพี่ฮั่นไม่แคร์  หรือเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกเขา

เฮ้อ  สับสนไปหมดแล้ว

สายตาเขาเหลือบไปมองคนที่นอนอยู่อีกครั้ง พีทจ้องใบหน้าที่หลับสนิทอยู่นาน  ในที่สุดเขาจึงขยับตัวลุกออกจากเตียงอย่างแผ่วเบา   ถ้าขืนนั่งมองพี่ฮั่นอยู่แบบนี้ต่อไป  เขาคงห้ามใจตัวเองไม่ไหวแน่




“ตึง  ตึง  ตึง”

เสียงตีกลองถี่รัวดังก้องในห้องซ้อมดนตรี  เสียงดังขึ้นทุกทีตามอารมณ์ที่สับสนของคนตี 

พีทหลบออกจากห้องนอนลงมาที่ห้องซ้อมชั้นล่างของบ้านและเริ่มต้นตีกลองตั้งแต่เข้ามาจนกระทั่งตอนนี้  เสียงกลองยังดังต่อไปอีก  หยุดเพียงแค่ชั่วขณะแล้วกลับมาตีใหม่  เขาตีกลองจนเหนื่อยหอบ  เหงื่อซึมตามใบหน้าและลำคอ  เสื้อนอนที่เขาใส่อยู่เปียกเหงื่อจนชุ่ม  เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มีอยู่ตีกลองเพื่อระบายความรู้สึกอัดแน่นออกมา  แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไรความรู้สึกของเขายังคงอยู่และยิ่งชัดเจนมากขึ้น 
 
‘นี่เขาจะทำยังไง จะออกไปสู้หน้าพี่ฮั่นได้ยังไง’

มือที่กำไม้ตีกลองแน่นเริ่มผ่อนแรงที่กระหน่ำตีลง  เสียงกลองเบาลงทีละน้อยจนกระทั่งเงียบสนิท  เขาซบหน้ากับกลองชุดตรงหน้า 

‘จะทำยังไงดี?’

“พีท!  พีทอยู่ในนั้นใช่ไหม  ล็อกประตูทำไม  ออกมาหน่อย” 

เสียงพี่ฮั่นเรียกอยู่นอกห้องซ้อมทำให้พีทสะดุ้ง  เขาผุดลุกขึ้น   

‘พี่ฮั่นมา!  ทำไงดี’

“พีท อยู่รึเปล่า ตอบหน่อยสิ” 

พี่ฮั่นเรียกมาพร้อมกับเคาะประตูห้องซ้อมถี่ยิบทำให้เขาต้องรีบรวบรวมกำลังใจอย่างรวดเร็ว  ขายาวที่ยังอยู่ในกางเกงนอนเดินไปเปิดประตู

“ทำอะไรน่ะ พี่ตื่นแล้วก็ไม่เจอ พี่ตามหาเสียทั่วบ้านเลย” คนเป็นพี่ยืนถามอยู่หน้าประตู  คิ้วขมวดเมื่อเห็นสภาพของพีทที่ยังอยู่ในชุดนอน  เหงื่อไหลท่วมตัวจนเสื้อนอนเปียกชุ่มไปหมด

“เอ่อ...ผม  ผมมาตีกลองไง”  พีทพยายามทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่กำลังใจเต้น  เขาก้มมองเท้าตัวเองที่โผล่ออกจากชายกางเกง  มือที่ถือไม้ตีกลองบีบแน่นกว่าเดิม

“นึกยังไงถึงมาตีกลองแต่เช้า  ดูสิเหงื่อออกเต็มไปหมด ไปอาบน้ำสิแล้วมากินข้าว  พี่หิวแล้ว”  พี่ฮั่นเอื้อมมือมาดึงแขนเขาให้ออกจากห้องซ้อมดนตรีเพื่อไปอาบน้ำ อีกมือหนึ่งก็เอื้อมมาดึงไม้ตีกลองออกจากมือเขา
 
“เป็นอะไรน่ะ หืม?”

เสียงที่อ่อนโยนเอ่ยถามเมื่อเห็นเขายังไม่ขยับ  มือใหญ่ของพี่ฮั่นยกขึ้นมาเสยผมเขาที่ปรกหน้าผากแล้ววางนิ่ง  พีทสะดุ้งที่พี่ฮั่นทำเช่นนั้น  เงยหน้ามองคนตรงหน้าแล้วก็หลบวูบ  เอียงหัวตัวเองออกจากมือใหญ่นั้นรวดเร็ว

“เอ่อ มะ ไม่  ไม่เป็นไร  ครับ” 

พี่ฮั่นชะงักไป  มือนิ่งค้าง ใบหน้างุนงง  พีทเห็นท่าทางนั้นก็รู้สึกเสียใจทันที  คิดหาคำแก้ตัวรวดเร็ว

“เอ่อ  คือ  เอ่อ  คือว่า  ผม  เหงื่อออกเต็มตัวเลย  เดี๋ยวมือพี่ฮั่นเปื้อน  ผม เอ่อ..”   เงียบไปอย่างหาคำอะไรมาพูดต่อไม่ได้ 

เขาเป็นอะไรเนี่ย  แค่พี่ฮั่นแตะนิดเดียวก็ร้อนไปหมดทั้งหน้าแล้ว  ยิ่งพี่ฮั่นยืนอยู่ต่อหน้าแบบนี้ยิ่งทำให้เขาทำตัวไม่ถูกไปใหญ่

“ไม่จริงหรอก พีทต้องคิดมากเรื่องอะไรอยู่แน่  มีปัญหาอะไรบอกพี่สิ” เสียงนุ่มนั้นยังคงถามไถ่ด้วยความห่วงใย  ขยับเข้ามาใกล้เขามากขึ้น

“ไม่ ไม่มีอะไร พี่ฮั่น ผมแค่ไม่ได้ซ้อมตีกลองมานานแล้วก็เลยมาซ้อมน่ะ”  เขาถอยหลังไปนิดหนึ่ง  หลบตาเมื่อตอบคำถามนั้น
 
จู่ ๆ พี่ฮั่นก็รวบตัวเขาเข้าไปกอด

“...พี่  พี่ฮั่น...”  พีทได้แต่เรียกพี่ฮั่นอย่างสับสน

“พี่ เอ่อ ผมเปียกทั้งตัวเลย  ปล่อยเถอะครับ”   

พีทพยายามจะดันตัวพี่ฮั่นออกเพราะตัวเขาเปียกเหงื่อจนชุ่มไปหมดแต่พี่ฮั่นกลับไม่สนใจว่าเสื้อผ้าจะเปียกเพราะเหงื่อเขา  มือใหญ่นั้นลูบหลังเขาไปมา 

“เอาล่ะ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร  แต่พีทรู้ใช่ไหมว่าถ้ามีปัญหาอะไร พีทบอกพี่ได้ทุกเรื่อง” 

เสียงนุ่มนั้นดังสะท้อนในหู  พีทได้แต่ชะงักงัน  น้ำเสียงพี่ฮั่นช่างอ่อนโยน  เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของพี่ฮั่นที่ถ่ายทอดผ่านคำพูดและอ้อมกอดนี้

“ครับ”  เสียงตอบเบาแทบกระซิบ 

หัวใจกลับสงบลงทีละนิดเมื่อปล่อยตัวเองให้พิงอยู่กับพี่ชาย  นี่เขาบ้าไปแน่ ๆ คนคนนี้ทำให้ใจเขาเต้นรัวราวกับกลองเพล  รู้สึกพลุ่งพล่านไม่เป็นตัวของตัวเอง   แต่ก็เป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้หัวใจที่สับสนวุ่นวายของเขาสงบลงเพียงแค่ได้อยู่ใกล้  ได้รับความอบอุ่นเหมือนตอนนี้

‘พี่ฮั่น  พี่ฮั่น’   เขาพร่ำเรียกชื่อนี้อยู่ในใจ
 
แต่เขาไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับพี่ฮั่นแน่

---------------------------------



 :mew1:


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 34 หน้า 4 อัพเดต 4/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 04-09-2014 23:48:37
อ่านแล้วโมโห หมั่นไส้ทั้งคนพี่ทั้งนังชะนี :beat:
บัยยยย
เชียร์ชายพีทต่อไปปปป  :hao7:
อยากเห็นชายพีทเอาคืนบ้าง
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 34 หน้า 4 อัพเดต 4/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 05-09-2014 00:42:38
ตอนนี้เขียนได้ดีมากนะคะ อ่านแล้วอินนน

ไม่ชอบใจพี่ฮั่นที่ไปจูบกับยัยนั่นเลย น้องพีทเสียใจ แต่ก็ทำให้รู้ตัวสักทีเนอะ
 o13
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 34 หน้า 4 อัพเดต 4/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 05-09-2014 07:32:41
ชายพีทคะ จับคุณพี่ปล้ำเลยค่ะ

จูบคนอื่นให้น้องเห็นคืออะไรคะ ตบ :beat:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 34 หน้า 4 อัพเดต 4/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 05-09-2014 22:36:49
นักเขียนสู้ ๆ เข้ามาให้กำลังใจอีก

มาไวๆนะคะ อยากอ่านต่อ อิอิ  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 34 หน้า 4 อัพเดต 4/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 07-09-2014 19:28:13
35. ตั้งตัว



“เราไม่อ้อมค้อมละนะ”

“พีทรักพี่ฮั่นใช่ไหม”

‘เฮ้ย  ทำไมริทถึงรู้ล่ะ’   สีหน้าเขาคงบอกเช่นนั้น  ริทจึงตอบกลับมารวดเร็ว

“ไม่ต้องงงหรอก  เราสังหรณ์ใจตั้งแต่นายโทรหาเราแล้วล่ะ  ไม่มีใครจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ดีเท่ากับเราอีกแล้วใช่มั้ยล่ะ”  หนุ่มตัวเล็กว่าแล้วยิ้มให้อย่างเข้าใจ

“เราดูออกมาตั้งนานแล้วล่ะ  พีทคงสงสัยว่าทำไมเราถึงชอบเข้าไปคุยเจ๊าะแจ๊ะกับพี่ฮั่นบ่อย ๆ ใช่มั้ย”

“เราแค่อยากดูอาการนายไง  แล้วเราก็มั่นใจว่าที่เราคิดน่ะ ไม่ผิดหรอก”  ริทยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะที่เป็นฝ่ายคิดถูก

‘อะไรนะ  ที่ริทชอบเข้าไปคุยกับพี่ฮั่นนี่แกล้งทำเหรอเนี่ย’

“เราต้องเสี่ยงให้พี่แทนโกรธตั้งหลายทีเพราะเราอยากรู้  นายน่ะเวลารักใครดูง่ายจะตาย” 

ริทคิดไปถึงวันที่พี่ฮั่นกลับมาดูพวกเขาซ้อมหลังจากที่หายไปนาน  พีทเดินมาโอบไหล่พี่ฮั่นที่ยืนคุยกับเขา  สายตาที่มองมามัน ‘หวง’ ชัด ๆ  ทั้งที่ก่อนหน้านั้น  ตั้งแต่เขาเห็นพี่ฮั่นตามมาเฝ้าพีท  ทั้งสองคนไม่เคยมีทีท่าสนิทสนมต่อกัน  พีทมักจะทำหน้าบูดตลอดเวลาและทักทายเฉพาะกับเพื่อนร่วมวงแต่กลับเมินใส่พี่ฮั่น  มีแต่พี่ฮั่นนั่นแหละที่พูดคุย ยิ้มแย้ม ทำตัวตามปกติ  แม้ว่าพีทจะไม่เคยสนใจแต่เขาเห็นพี่ฮั่นคอยดูแลพีทเสมอ  และยังเผื่อแผ่มาให้เพื่อนทุกคนของพีทด้วย
 
ดวงตาเรียวคู่นั้นไม่เคยละสายตาจากน้องชายไปไหนไกล

แล้วพอพี่ฮั่นหายไปและกลับมาอีกครั้ง  ท่าทีของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  ทั้งคู่กลับทำท่าเหมือนสนิทกันมาตั้งนานแล้ว   ตัวติดกันตลอดเวลาจนเขาแปลกใจต้องหันไปถามพี่โดม

คราวนี้คนที่ไม่ยอมละสายตา  กลับกลายเป็นน้องชาย

ริทกลับมาคิดถึงเรื่องตัวเอง  พีทมาปรึกษาเขาแบบนี้ทำให้เขาได้ย้อนกลับไปดูหนังเรื่องเก่า  เรื่องที่เขาเองก็มีประสบการณ์แบบเดียวกัน

“ตอนนี้พีทกำลังคิดมากอยู่ล่ะสิ  ว่าจะทำยังไงดี”

พีทพยักหน้าแทนคำตอบ  เขากังวลจนไม่กล้าจะปรึกษาใคร

“มันไม่แปลกหรอกที่จะรู้สึกแบบนี้  อย่าคิดมากไปเลย  พีทไม่ใช่คนแรกและคนสุดท้ายที่มีความรักแบบนี้  เชื่อเถอะ  อยู่ที่ว่าจะกล้ายอมรับความจริงรึเปล่า”  แววตาของริทที่มองมาเต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ 

“เราอยากให้พีทมีความสุขกับความรักของพีท  เราเข้าใจว่ามันยาก  เราคิดแบบนี้ตอนที่เรารักพี่แทน  เราก็รักของเราไปเรื่อย ๆ หวังแค่อยากให้คนที่เรารักมีความสุข  ความรักของพี่แทนที่ให้เรามาถือเป็นกำไรชีวิต”

“นายโชคดีนะที่พี่แทนก็รักนายด้วยน่ะ” พีทพูดเป็นครั้งแรก

ตั้งแต่ริทเดินเข้ามาที่โต๊ะก็ยิงคำพูดใส่เขาเป็นชุดทีเดียว  เขาแทบตั้งตัวไม่ทันที่ริท ‘ดูออก’ ว่าเขาจะปรึกษาเรื่องอะไร

“คงโชคดีนั่นแหละ  ทุกวันนี้ก็ขอบคุณประจำ  ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราได้เจอพี่แทน”  ริทพูดพลางยิ้ม  ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขในความรักของตน

“พีทอย่าเพิ่งท้อล่ะ   เราขออวยพรให้นายโชคดี  แต่อย่างน้อยพีทก็โชคดีอยู่แล้วที่มีพี่ชายที่รักนายขนาดนี้”

‘นายไม่ผิดหวังหรอก ขอแค่อดทนไปก่อน  แล้วนายจะต้องโชคดีเหมือนเรา’
หนุ่มร่างเล็กคิดอย่างมั่นใจในสิ่งที่เขาเห็น  แต่เขาไม่พูดหรอก  ถ้าบอกหมดมันก็ไม่สนุกน่ะสิ  ปล่อยให้พวกเขาเดินทางตามเส้นทางของพวกเขาเองจะดีกว่า  ก็กว่าที่เขาจะฝ่าฟันมาได้ก็แทบเอาตัวไม่รอดทีเดียว  พอคิดย้อนกลับไปมันก็เป็นความทรงจำที่ดี

ริทเดินออกจากร้านไปนานแล้วหลังจากพูดคุยกับเขาอยู่นาน  แต่พีทยังคงครุ่นคิดอยู่กับคำพูดของหนุ่มร่างเล็ก  เขาคิดมากมาหลายคืนแล้ว  พี่ฮั่นก็สังเกตเห็นและคอยเฝ้าถามอย่างสงสัยว่าเขาเป็นอะไร  เขาคิดอยู่นานว่าจะโทรนัดริทออกมาด้วยเหตุผลอะไร  จนกระทั่งริทรับโทรศัพท์  คนตัวเล็กไม่ถามอะไรสักคำเพียงแค่ตกลงมาเจอเขาที่ร้านกาแฟที่อยู่ใกล้โรงแรมในช่วงพักกลางวัน   

นี่เขามีอาการอะไรตั้งแต่เมื่อไรกัน  ขนาดเขาเพิ่งรู้ตัวไม่กี่วัน  แต่ริทกลับบอกว่าดูออกมาตั้งนานแล้ว 

‘มีความสุขกับความรักงั้นเหรอ’ 

เขาคงจะยังตกใจอยู่ถึงได้คิดมากขนาดนี้ ที่ผ่านมาเขาอยู่กับพี่ฮั่น เขามีความสุขมาก  พี่ฮั่นดีกับเขามาก จะว่าไปพี่ฮั่นทำอะไรให้เขามากกว่าที่เขาทำให้พี่ฮั่นเสียอีก 

ริทคงพูดถูกที่ว่าอย่างน้อยเขาก็โชคดีที่มีพี่ชายที่รักเขามากขนาดนี้   แม้พี่ฮั่นจะรักเขาเหมือนน้องชายคนหนึ่งก็ตาม  อย่างน้อยพี่ฮั่นก็รักเขา 

เขาก็รักพี่ฮั่นแม้ว่าจะคนละแบบ 

‘พีทรักพี่ฮั่นนะ’  หนุ่มน้อยยิ้มออกมาในที่สุด

----------------------------------



“พีท! หายไปไหนมา พี่โทรไปก็ปิดเครื่อง ทำไมไปคนเดียวไม่บอกใคร  รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วง” 

พี่ฮั่นก้าวฉับเข้ามาหาทันทีที่เห็นเขากลับเข้าไปในห้องทำงาน   คิ้วขมวดทีเดียว   พี่โดมนั่งหน้าซีดอยู่ทางหนึ่งถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นเขาเดินกลับมาสักที
 
“เอ่อ ผมไป...ไปซื้อกาแฟไง”  พีทคิดอะไรไม่ทัน  พี่ฮั่นมาอยู่ที่แผนกได้อย่างไร 

“แล้วไหนล่ะกาแฟ  กาแฟที่โรงแรมก็มีทำไมต้องออกไปซื้อข้างนอก นี่ไปซื้อกาแฟที่ไหนกัน  ทำไมไปนานขนาดนี้”

พี่ฮั่นคว้าแขนเขาลากออกจากห้องทำงานท่ามกลางสายตาของพนักงานที่นั่งอยู่แถวนั้นแล้วยิงคำถามยืดยาวไปด้วย  พีทอ้าปากค้างที่เห็นพี่ฮั่นซักเขาแบบนี้เป็นครั้งแรก   มองแผ่นหลังของพี่ชายที่ลากเขาไปแล้วก็ยิ้มให้ตัวเอง  อย่างน้อยพี่ฮั่นก็เป็นห่วงเขาที่สุดพอ ๆ กับพ่อและคุณโรส

“เอ้า  ตอบมาสิ”  พี่ฮั่นหยุดเดิน  หันกลับมาเร่งเอาคำตอบ

“กาแฟกินหมดแล้ว  ผมออกไปซื้อกาแฟข้างนอกแถวโรงแรมนี่แหละ กาแฟที่โรงแรมกินจนเบื่อแล้วนี่  ก็เลยไปกินที่อื่นบ้าง”

“แล้วทำไมไปคนเดียว  ทำไมไม่ชวนโดมไปด้วย  นี่เราไปไหนมาไหนคนเดียวนอกโรงแรมแบบนี้บ่อยรึเปล่า พี่เตือนเราแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ไปไหนมาไหนคนเดียว นี่ครั้งที่สองแล้วนะที่พี่รู้”  ใบหน้าคนซักเริ่มปรากฏความเครียด

“พี่ถามทำไมไม่ตอบ แล้วนี่ยิ้มอะไร” 

นาน ๆ ทีเขาจะเห็นพี่ฮั่นหัวเสียสักครั้ง  คนเป็นน้องจึงนึกขำ

“ก็ยิ้มให้พี่ขี้บ่นไง  นี่พี่หรือพ่อเนี่ย”  คนตอบก็ยังตอบไปด้วยยิ้มไปด้วย 

“พีท! พี่เป็นห่วงเรานะ” 

‘น้ำเสียงดุนี่มันคุณคริส ชัด ๆ เลย’


“คร้าบ  พีทล้อเล่น  พีทขอโทษ  พี่ฮั่นอย่าโกรธเลยน๊า” 

คนเป็นน้องเอื้อมมือมาเขย่าแขนพี่ชาย  ใช้น้ำสียงอ้อนอย่างที่รู้ว่าทำแบบนี้แล้ว  พี่ฮั่นโกรธไม่ลงสักครั้งตั้งแต่เด็กเชียวล่ะ

“พีทจะไม่ไปไหนคนเดียวอีกแล้ว จะโทรบอกพี่ฮั่นทุกครั้งดีไหม พี่ฮั่นอย่าเบื่อพีทก่อนแล้วกัน” 

เขาพูดแฝงความหมายอย่างที่รู้อยู่คนเดียว  มองพี่ฮั่นด้วยแววตาสดใส  พี่ฮั่นเป็นห่วงเขา

เขาเห็นพี่ฮั่นมีสีหน้าดีขึ้นก็ยิ้มกว้าง

“แล้วพี่มาหาผมมีเรื่องอะไรรึเปล่า”  เขาเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง

คราวนี้คนพี่กลับจนด้วยคำตอบเมื่อไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมา 

“เอ่อ ก็ ไม่มีอะไร  พี่ผ่านมาเลยแวะมาดูพอดีพีทไม่อยู่  พี่ไปทำงานล่ะนะ”  พี่ฮั่นยกมือมาตบไหล่เขาเบา ๆ แล้วก็รีบสาวเท้าเดินไปเข้าลิฟต์

พีทกลับเป็นฝ่ายงงเมื่อพี่ฮั่นรีบร้อนจากไป  เขากลับเข้ามาที่โต๊ะทำงานอีกครั้งก็พบพี่โดมรออยู่อย่างกระวนกระวาย

“พีท หายไปไหนมา  รู้ไหมว่าพี่เกือบโดนพี่ฮั่นบีบคอซะแล้ว  หูย  น่ากลัวชะมัด”  โดมว่าพลางทำหน้าสยดสยองตอนที่เขาเห็นพี่ฮั่นโมโหเป็นครั้งแรก

“โทษทีนะพี่โดม ผมไปซื้อกาแฟน่ะ” พีทหลบตาพี่โดมเพราะรู้สึกผิดที่ต้องโกหก  เขายังไม่กล้าบอกว่าเขานัดเจอริท  เกือบทำให้พี่โดมเดือดร้อนซะแล้ว

หนุ่มร่างอวบสังเกตเห็นพิรุธของพีท  พีทแอบออกไปไหนไม่รู้  ไม่บอกเขาสักคำ  แล้วพี่ฮั่นก็แวะมาหาพีทพอดี  โดมไม่เคยเห็นพี่ฮั่นเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้แค่พีทหายไป

นี่ห่วงกันเกินธรรมดาไปไหม?

--------------------------------------



เสียงกีตาร์จากห้องนอนฝั่งตรงข้ามทำให้พี่ชายที่ทำงานอยู่ในห้องตัวเองอมยิ้ม 

‘วันนี้พีทอารมณ์ดีแฮะ  เล่นกีตาร์ด้วย’ 

เขาเห็นพีททำหน้าเครียดมาหลายวันแล้ว  วันก่อนก็หนีไปตีกลองคนเดียวในห้องซ้อม  เขาตามหาจนทั่วบ้านอยู่นานกว่าจะได้ยินเสียงกลองแว่วออกมาจากห้องซ้อม  แต่เสียงกลองที่ตีออกมาไม่ได้เป็นจังหวะอะไรเลย  มันเหมือนคนที่ตั้งท่าจะตีอย่างเดียว  เหมือนตีเพื่อระบายอารมณ์อะไรสักอย่างมากกว่า   
 
เสียงแว่วของน้องชายลอยเข้ามาทำให้เขาหยุดนิ่ง  พยายามเงี่ยหูฟังเพลง


‘มันเกิดอะไรกับหัวใจ  ควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง
จะห้ามยังไงก็ไม่มีทาง  ให้มันหยุดคิดถึงเธอ
จะบอกอย่างไรก็ไม่ฟัง  เมื่อใจมันยังเรียกร้องหาเธอ
คนเดียวในใจชัดเจนคือเธอ  ท่าทางมันคงจะเผลอ...รักเธอหมดใจ’


เพลงต่อมาก็ยังเป็นเพลงรัก  คนที่แอบฟังอยู่อีกห้องเริ่มคิ้วขมวด 

‘พีทร้องเพลงรัก  หรือว่า...’



หนุ่มน้อยที่นั่งเล่นกีตาร์อยู่บนเตียงหยุดร้องเมื่อเพลงจบลง เขาพลิกหน้ากระดาษไปมาเพื่อหาเพลงอื่น

“ร้องเพลงรักทั้งนั้นเลย แอบรักใครรึเปล่าพีท”

ฮั่นยืนกอดอกพิงตัวกับกรอบประตูห้องนอน  แอบฟังอยู่นานแล้ว  เขาเห็นเพียงด้านข้างของน้องชายที่นั่งเล่นกีตาร์อยู่บนเตียง  แต่เพียงเท่านี้ก็รู้ว่าน้องชายต้องร้องเพลงไปด้วยยิ้มไปด้วยแน่ ๆ   ขนาดเขายืนอยู่ข้างหลังยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ส่งออกมากับเสียงเพลง 

ความรู้สึกของคนที่กำลังมีความรัก

เสียงทักข้างหลังทำให้พีทหันมา  เขาเห็นน้องทำตาโตเหมือนตกใจ  คำถามนั้นทำให้พีทหันหน้าหนี  มือพลิกหน้ากระดาษวุ่นวาย 

“ว่าไงล่ะ” คราวนี้เขาเดินมาทิ้งตัวนั่งตรงหน้า  ถามคาดคั้นอย่างอยากรู้จริง ๆ

“เพลงรักอะไร ผมก็สุ่ม ๆ ร้องไปงั้นแหละ” 

คำตอบที่ได้ยินทำให้เขาแอบโล่งอกอยู่ในใจ

“จริงเหรอ  นึกว่าแอบรักสาวที่ไหน” 

พีทเหลือบตามองเขาเมื่อได้ยินประโยคนั้น  แล้วจ้องเขาด้วยแววตาที่ทำเอาเขาใจเต้น  รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนพุ่งมากระทบทำให้หัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้วกลับเต้นรัวมากขึ้น   

สายตาของน้องชาย   มันช่าง....มัน...

เขย่าหัวใจเขา

ไม่นานพีทก็ยิ้มออกมา  ยิ้มทั้งตาทั้งปาก 

‘ยิ้มแบบนี้สินะ สาว ๆ ทั้งโรงแรมถึงได้เครซี่น้องชายเขา  เห็นแล้วชักไม่อยากให้พีทไปฝึกงานที่โรงแรมต่อซะแล้วสิ’

“พี่ฮั่นอยากฟังเพลงอะไร  เดี๋ยวผมจะร้องให้ฟัง”  พีทว่า  ยื่นสมุดโน้ตเพลงทั้งปึกมาตรงหน้า

“งั้นพี่เล่นดีกว่า  พีทร้องไปแล้วกัน” 

ฮั่นคว้ากีตาร์ไปจับบ้าง  เขาต้องหาอะไรทำเพื่อกลบเกลื่อนอาการหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะของตัวเองตอนนี้  เขาก้มหน้าก้มตากดคอร์ดไล่โน้ตไปมาอยู่ครู่  กรีดนิ้วอีกสองสามทีแล้วเงยหน้ามองน้องชาย  เหมือนรอว่าพีทจะร้องเพลงอะไร

เสียงเพลงจากบ้านริมสระลอยตามลมไปถึงบ้านใหญ่  ลุงฉีที่ออกมาเดินเล่นก่อนนอนยิ้มอ่อนกับเพลงเหล่านั้น

‘เพลงรักของพวกคนหนุ่มล่ะสิ’
ชายสูงวัยพูดกับตัวเอง




พีทร้องเพลงแล้วก็แอบมองพี่ฮั่นตลอดเวลา  คนตรงหน้าเขามัวแต่ก้มหน้าดูคอร์ดเพลงในสมุดทำให้เขามีโอกาสมองพี่ฮั่นได้นาน ๆ   

พี่ฮั่นเงยหน้าขึ้นจากสมุดโน้ตก็สบตาเขาพอดี  อยู่ดี ๆ พี่ฮั่นก็เล่นผิดจังหวะ  แต่ก็รีบกลับมาเล่นจังหวะเดิมได้อย่างรวดเร็วแล้วก็หลบตาเขากลับไปมองคอร์ดในสมุดอีก 

‘ทำไมพี่ฮั่นทำตัวแปลก จับคอร์ดผิด ๆ ถูก ๆ’


ในที่สุดพี่ฮั่นก็หยุดเล่น  เมื่อเล่นผิดอีกหลายครั้ง

“อ้าวพี่ฮั่น  หยุดทำไมอ่ะ”  พีทงง  เอียงคอถามคนที่อยู่ดี ๆ ก็หยุดเล่นกลับยกมือปัดผมไปมา

“เปลี่ยนเพลง”  พี่ฮั่นว่าแล้วก็พลิกสมุดโน้ตแต่กลับไม่รู้จะเล่นเพลงอะไร

“เปลี่ยนทำไมล่ะคร้าบ  หรือว่าเล่นไม่ได้กันแน่”  พีทที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงยื่นตัวไปถามพี่ชายที่นั่งตรงข้าม  แววตาล้อเลียน

“หนอย ว่าพี่เหรอ  ว่าพี่  นี่ ๆๆ”

“โอ๊ย  พี่!  ผมหายใจไม่ออก” 

พีทดิ้นพล่านไปมาเมื่อพี่ฮั่นวางกีตาร์ลงกับพื้นข้างเตียง  หันไปคว้าหมอนมาแกล้งกดหน้าเขาไว้ 

แค่หมอนปิดหน้าไม่อึดอัดเท่าไรหรอกเพราะพี่ฮั่นไม่ได้ออกแรงมาก  แต่น้ำหนักตัวของพี่ฮั่นสิที่ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก เมื่อหมียักษ์ทำท่าตะปบเหยื่อ  เขาจึงแก้ลำด้วยการใช้ขาทั้งสองข้างเกี่ยวเอวคนข้างบนไว้แล้วออกแรงเหวี่ยงพี่ฮั่นให้ล้มไปด้านข้าง 

หมียักษ์ล้มทำให้เตียงยุบทีเดียว  พีทเลยได้ทีคว้าหมอนไปกดหน้าพี่ฮั่นบ้าง

“ฮ่า ๆๆ”  เขาหัวเราะเสียงดังในห้องนอนเพราะดีใจที่เอาคืนพี่ฮั่นได้

“เฮ้ย  พีท  พี่หายใจไม่ออก”  เสียงอู้อี้ของคนเป็นพี่ดังลอดออกมา  พี่ฮั่นส่ายหน้าไปมาใต้หมอน

“ล้มหมีได้แล้ว”  เขาหัวเราะดังขึ้นอีก  ดีใจที่นานทีจะเอาชนะพี่ฮั่นได้

“เฮ้ย!” 

พีทหัวเราะค้างเพราะพี่ฮั่นดึงหมอนออกอย่างว่องไว  แล้วหันมาคว้าตัวเขาที่คร่อมอยู่ด้านบนให้พลิกลงมานอนบนเตียงแทน

“ไหน เมื่อกี้ใครว่าล้มหมีนะ”   พี่หมีที่ก้มอยู่เหนือเขายิ้มแค้น ๆ  ที่ถูกเขาเอาคืน 

“อ๊ากกก  พี่  ไม่เอา  อ๊ากกกก  พี่  หยุดน๊า  อ๊ากกกก” 

พีทร้องโวยวายเสียงดัง  ดีดตัวไปมา  ขาถีบกับเตียงเมื่อพี่ฮั่นแกล้งจั๊กจี๋เอวเขา  เขาพยายามปัดมือพี่ฮั่นออกแต่มือพี่ฮั่นก็ขยับอย่างรวดเร็ว นิ้วยาวจิ้มตัวเขาทางโน้นบ้าง  ทางนี้บ้าง  เสียงพี่ฮั่นหัวเราะอย่างสะใจที่ได้เอาคืนเขา

“ฮ่า ๆ โอ๊ย พี่ พอแล้ว พอ  พอแล้ว”

เขาพลิกตัวหลบไปมา  งอตัวแล้วก็สะดุ้งแรง ๆ เป็นระยะเพราะนิ้วพี่ฮั่นจี้เอวเขาไปทั่ว  เสียงหัวเราะของพี่ชายผสมกับเสียงร้องโวยวายของเขาให้หยุดดังก้องในห้องนอน  พีทพยายามจะจี้เอวพี่ฮั่นเพื่อเอาคืนบ้างแต่ไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนักเพราะพี่ฮั่นไม่บ้าจี้เหมือนเขา  เขาต้องเปลี่ยนมาพยายามรวบข้อมือหนาของพี่ฮั่นไม่ไห้แกล้งเขาอีก  พี่ฮั่นก็ไม่ยอมแพ้  ไม่ยอมให้เขาจับมือได้
 
การต่อสู่ยังคงดำเนินไปท่ามกลางเสียงโวยวายและเสียงหัวเราะ  พวกเขากลิ้งตัวไปมาบนเตียง ในที่สุดพี่ฮั่นรวบตัวเขาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง  กอดเขาไว้แน่น  มืออีกข้างจิ้มไปรอบเอว  เขาพยายามดิ้นไปมาแต่ไม่หลุดสักที

“อ๊าก  พี่ฮ่าน โอย ยอมแล้ว ๆ พีทยอมแล้ว” 

พีทตะโกนเสียงดังพร้อมทั้งหอบไปด้วย  เขาหัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว

“ฮ่า ๆ  พี่ชนะอีกแล้ว”  พี่ฮั่นว่า  ทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้างเขา

พีทนอนหอบอยู่ในอ้อมแขนหลวม ๆ ของพี่ชาย  เพราะเหนื่อยจากการดิ้นหนี  เสียงพี่ฮั่นหัวเราะอยู่ใกล้ ๆ คงถูกใจที่เอาชนะเขาได้   

คนแพ้หันหน้าเคืองของตัวเองไปมองคนที่หัวเราะเสียงใส  สบตาพี่ฮั่นเข้าพอดี  ใบหน้าที่เอียงซบบนเตียงของทั้งคู่อยู่ไม่ห่างกันมากเพราะตอนนี้พี่ฮั่นกอดเขาอยู่จากการเล่นเมื่อครู่

พี่ฮั่นหยุดหัวเราะกะทันหัน  พวกเขาสบตากันนิ่ง 

ทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวราวกับตกอยู่ในมนต์สะกดของกันและกัน 

ช่วงเวลาแสนสั้นแต่เหมือนนานแสนนานในความรู้สึกของเขา  ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ  มีเพียงเสียงหัวใจเต้นเท่านั้นที่ดังชัดเจน 

ในที่สุดพี่ฮั่นก็รวบตัวเขามากอดก่อนจะปล่อยแขนอย่างเชื่องช้า  คนตัวโตพลิกไปนอนหงาย  สอดแขนรองใต้ศีรษะของตนเอง   ดวงตาจ้องมองไปยังเพดาน 

เงียบไปครู่

“พีท  เคยรักใครไหม”

เสียงที่เอ่ยถามเต็มไปด้วยความลังเล  ไม่แน่ใจ  เหมือนคนถามก็ตัดสินใจอยู่นานก่อนจะเอ่ยออกมา 

พีทที่ยังคงนอนตะแคงมองพี่ฮั่นอยู่ทำตาโตกับคำถามนั้น  เขาได้ยินเสียงเต้นรัวที่หน้าอกตัวเองเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ฮั่นถึงอยากรู้

“อะไรเนี่ยพี่  นึกยังไงมาถามเรื่องพวกนี้อ่ะ” 

เขาตอบเสียงดัง  ทำท่าไม่สนใจกับคำถามจริงจังของพี่ชาย  พลิกตัวไปนอนหงายบ้าง 

จะให้ตอบยังไงล่ะ  เจ้าตัวนอนอยู่ข้างเขานี่

“พี่อยากรู้”   พี่ฮั่นว่าเสียงเบา  ยังคงจ้องมองไปบนเพดาน

“แล้วพี่ล่ะ  เคยรักใครรึเปล่า  อ๋อ  พี่เป็นพวกกลัวความรักนี่ใช่ไหม” 

พีทย้อนถามบ้าง  ตะแคงหน้าหันไปมองพี่ชาย  เขาเคยพูดเรื่องนี้กับพี่ฮั่นค้างไว้ตั้งแต่วันที่เจอเฌอเบลล์วันแรก 

“พีท  พี่ถามเราก่อนนะ”  พี่ฮั่นย้ำมาอีก  เหลือบตาเรียวเล็กมองเขาชั่วครู่ 

'เอาไงดีล่ะ'  หัวสมองเขาเริ่มหมุนติ้วเพื่อหาคำตอบ

“ผม  มะ ไม่ เอ่อ...เอาเป็นว่าถ้าผมรักใครแล้วผมจะบอกพี่เป็นคนแรกเลย โอเคไหมพี่ฮั่น”  เขาพูดเสียงเบา  ไม่กล้ามองหน้าพี่ชายเพราะประโยคนั้นของตัวเอง 

‘ผมรักพี่ไงล่ะ’ 

คนที่นอนเคียงข้างหันหน้ามามองน้องชายที่นอนอยู่ใกล้  แล้วหันกลับไปมองเพดานอีกครั้ง

“อืม”  พี่ฮั่นรับคำเสียงเบา 

พีทแอบมองใบหน้าด้านข้างของคนข้างกายเพราะพี่ฮั่นเงียบไปเหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่าง

ทำไมพี่ฮั่นถึงถามเขาเรื่องนี้  จะว่าไปแล้วพี่ฮั่นก็เคยถามเรื่องเขากับเกรซ  ดูจะสนใจเรื่องความรักของเขามากกว่าตัวเขาเองซะอีก  ทำไมนะ?

“ผมตอบคำถามพี่แล้ว   คราวนี้พี่ตอบผมบ้างสิ”   

ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น  เขาไม่เคยรู้เลยว่าที่ผ่านมาพี่ฮั่นเคยรักใครมาบ้างหรือกำลังรักใครอยู่รึเปล่า

“พี่เคยรักใครบ้าง  เล่าให้ผมฟังบ้างสิ”

“เอ่อ ก็  ก็ไม่มีอะไรนี่  เอาเป็นว่าถ้าพี่รักใครแล้วพี่จะบอกพีทแล้วกัน” 

“อ้าว ได้ไงอ่ะพี่ มาลอกคำตอบผมได้ไงเนี่ย พี่อ่ะ ทำไมพี่ไม่เล่าเรื่องของตัวเองบ้างล่ะ”

“ก็ทีพีทยังไม่ตอบคำถามพี่เลย  พีทก็ตอบมาก่อนสิแล้วพี่จะตอบมั่ง”

“ผมตอบไปแล้วไง  พี่นั่นแหละมาลอกคำตอบผมอ่ะ  พี่ฮั่นขี้โกง ๆ” 

เขาโวยวายที่พี่ฮั่นไม่ยอมเล่าเรื่องความรักของตัวเองให้ฟัง  ทีเรื่องของเขาพี่ฮั่นยังรู้เลย 

“พี่ไม่คิดเรื่องพวกนี้หรอก  ตอนนี้พี่คิดแต่เรื่องงาน  ลุงคริสก็ปล่อยมือเรื่องธุรกิจหมดแล้ว  พี่ต้องรับผิดชอบต่อ” 

'ไม่คิดก็ดีสิ  พี่ฮั่นจะได้อยู่กับเขาแบบนี้ไปนาน ๆ'
   

คำตอบของพี่ชายทำให้เขาคิดถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมา  แค่พี่ฮั่นไปไหนมาไหนกับเฌอเบลล์เขายังทนแทบไม่ได้เลย  ถ้าวันหนึ่งพี่ฮั่นแต่งงานไป  เขาจะเป็นยังไงนะ 

พวกเขาเงียบกันไปครู่หนึ่ง  พีทจมอยู่กับความคิดของตนเอง  พี่ฮั่นก็เช่นกัน  ในที่สุดพี่ฮั่นก็ลุกขึ้น  พี่ชายเห็นสภาพเตียงแล้วก็บ่น

“ดูสิ  เตียงยับหมดเลย”  คนเป็นพี่ว่า 

พีทหันไปมองรอบเตียงบ้าง  ตอนนี้หมอน  ผ้าห่มกระจัดกระจายอยู่คนละทิศละทางบนพื้นรอบเตียง  ผ้าปูเตียงหลุดลุ่ย  ยับย่น

“เป็นเพราะพี่นั่นแหละ”  เขาบ่นบ้าง  ก็พี่ฮั่นเป็นคนเริ่มก่อนนี่

“ไปนอนห้องพี่ดีกว่า”

พี่ฮั่นว่าแล้วก็หันมาดึงแขนเขาให้ลงจากเตียงโดยไม่ยอมปล่อยแม้ว่าพีทจะโวยวายให้เก็บหมอนกับผ้าห่มให้เรียบร้อยก่อน  คนเป็นพี่ปิดไฟ  ปิดประตูแล้วลากน้องไปถึงเตียงของตัวเองเลยทีเดียว

-------------------------------------------



จุ๊บ จุ๊บ

 :mew1:




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 35 หน้า 4 อัพเดต 7/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 07-09-2014 21:16:32
 :really2: :really2: :really2: :really2: :really2: :really2:  เมารักน้องพีททททททททททททททททททททท
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 35 หน้า 4 อัพเดต 7/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 07-09-2014 23:12:19
ชายพีทสู้ๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 35 หน้า 4 อัพเดต 7/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Spelling_B ที่ 08-09-2014 19:24:07
พี่ฮั่นน้องพีท  o13
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 35 หน้า 4 อัพเดต 7/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 10-09-2014 22:43:54
พี่ฮั่น อร๊ายยยยย  :ling1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 35 หน้า 4 อัพเดต 7/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 11-09-2014 14:16:54
อ่านรวดเดียว ชอบบบบบบ สนุกมากอ่ะ o13 พี่กะน้องใจตรงกันแล้วรอเมื่อไหร่ใครจะบอกก่อนน๊า   :katai4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 35 หน้า 4 อัพเดต 7/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 11-09-2014 17:06:06
 :mew1: :mew1: :mew1:....กลับมาอ่านกี่รอบก็มีความสุข .......รักน้องพีทคร้าบ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 35 หน้า 4 อัพเดต 7/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 11-09-2014 18:30:15
ผมว่าเป็นนิยายที่น่าอ่านดีครับ การเขียนก็ถือว่าดีอ่านรื่นไหลดีครับไม่สะดุดเลย แต่ตามที่ผมอ่านแล้ว จากการอินในเนื้อเรื่อง มันทำให้ผมอึดอัดกับความรู้สึกของสองพี่น้องนี้ เหมือนฝ่ายนายเอกผมจะหลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น เหมือนพี่จะเห็นแก่ตัว แต่ผมก็เข้าใจอยู่นะใจจุดนี้ ส่วนผมตอนแรกเห็นชื่อเรื่องแล้วมันไม่น่าสนใจอ่ะ เหมือนมันจะดราม่าเยอะอะไรเงี้ย มันไม่สะดุดใจมั้ง แล้วเป็นคนแต่งหน้าใหม่ด้วยคนไม่รู้จักถึงทำให้คนไม่ค่อยสนใจ ที่ผมมาอ่านเนี้ย มีคนแต่งนิยายเรื่องหนึ่งที่ผมติดตามนิยายของเขาอยู่ บอกต่อนิยายเรื่องนี้ดีน่าสนใจ ผมเลยเข้ามาอ่าน แล้วก็ตามทันเรื่องนี้แล้ว ชอบนิยายเรื่องนี้นะ แต่แอบหวั่นใจกับความดราม่านะ แบบกว่ามันจะหักมุม ผมคงแย่แน่ถ้าเป็นแบบนั้น แต่ก็จะติดตามจนจบเลยละครับ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 35 หน้า 4 อัพเดต 7/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 11-09-2014 19:32:18
มาม่ากำลังมา
คนน้องรู้ใจตัวเองแล้ว คนพี่ยังแยกไม่ออกสินะ หรือว่าก็รู้ตั้งแต่แรก
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 35 หน้า 4 อัพเดต 7/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 11-09-2014 21:34:32
36. มือที่สาม



“น้องพีท เลิกงานรึยังคะ?” 

เฌอเบลล์ส่งเสียงสดใสมาตามสาย  เธอใช้โทรศัพท์ภายในโทรหาเขาที่แผนกทำให้เขาแปลกใจ

“ครับ  เลิกแล้วครับ” 

“ดีค่ะ พี่มีเรื่องปรึกษาน้องพีทเกี่ยวกับฝ่ายจัดประชุม  เจอกันหน่อยได้ไหมจ๊ะ?”

พีทแปลกใจที่เฌอเบลล์จะปรึกษาเขาเรื่องงานประชุมผู้นำเศรษฐกิจ  เพราะเขาเป็นเพียงแค่นักศึกษาฝึกงาน  คงไม่มีความรู้หรือประสบการณ์อะไรมากมายให้ปรึกษา  แต่เฌอเบลล์ก็ดึงดันจะคุยให้ได้ เธออ้างว่าพี่ฮั่นกำลังยุ่ง ไม่อยากรบกวน  และบอกว่าเขาช่วยงานพี่ฮั่นอยู่ทุกเย็นน่าจะรู้ข้อมูลดีอยู่แล้ว 

เฌอเบลล์นัดเจอเขาที่คอฟฟี่ช้อปติดกับสวนด้านทิศใต้ของโรงแรม

คอฟฟี่ช้อปของโรงแรมเป็นร้านเปิดโล่งมีแนวระเบียงไม้ฉลุสีขาว  ซึ่งจัดวางชุดรับแขกทำด้วยหวายถักเป็นลวดลายงดงามบุด้วยเบาะผ้าไหมหนานุ่มสีสันสดใส  ทำให้แขกสามารถชมสวนไปพร้อมกับการจิบเครื่องดื่มชั้นดี ตรงกลางระเบียงมีบันไดสองสามขั้นยื่นลงไปในสวนที่จัดที่นั่งไว้หลายมุม  ซึ่งจัดเป็นสวนกุหลาบที่รวบรวมกุหลาบนานาพันธุ์จากทั่วทุกมุมโลกมาปลูกไว้  ทั้งกุหลาบดอกโตก้านตรงแข็งสวยจับใจ  และซุ้มกุหลาบไม้เลื้อยปลูกคลุมหลังคาโดมสีขาว  ที่ภายในตั้งชุดเก้าอี้สนามสีขาวสำหรับนั่งจิบชาหรือกาแฟยามบ่าย  กลิ่นกุหลาบกรุ่นกำจายอยู่ทั่วไปในสวน 

สวนกุหลาบนี้จึงเป็นที่นิยมของแขกที่ชื่นชอบกุหลาบหายากหลากพันธุ์และนิยมการจิบน้ำชายามบ่ายพร้อมเค้กนานาชนิด  ซุ้มกุหลาบที่เป็นจุดเด่นคือซุ้มกุหลาบขาวที่อยู่ลึกสุดของสวน  ซึ่งเป็นจุดที่แขกนิยมมานั่งมากที่สุดเพราะปลูกกุหลาบพันธุ์ Sombreuil สีขาวซึ่งเป็นกุหลาบไม้เลื้อยพันธุ์โบราณที่สั่งนำเข้า  กุหลาบชนิดนี้มีกลีบดอกมากกว่า 200 กลีบอัดแน่นในดอกเพียงดอกเดียว  และตอนนี้กำลังออกดอกสีขาวสะพรั่งไปทั้งต้นที่เลื้อยคลุมซุ้มหลังคาโค้ง  ส่งกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นน้ำชา

พ่อเขาเป็นคนสั่งให้จัดสวนนี้ให้คุณโรส   พีทยิ้มเมื่อนึกถึง  พ่อเขาเป็นผู้ชายโรแมนติกขนาดนี้

เมื่อเขาเดินเข้าไปในสวนก็พบเฌอเบลล์นั่งอยู่ใต้ซุ้มกุหลาบสีขาวที่เป็นไฮไลท์ของสวนแห่งนี้  และบังเอิญเธอก็สวมชุดกระโปรงสีขาวด้วย  สาวสวยในชุดขาวนั่งอยู่ใต้ซุ้มกุหลาบสีขาวตัดกับสีเขียวสดของใบและหญ้าที่พื้นดูราวกับเจ้าสาวนั่งรอเจ้าบ่าวก่อนเข้าพิธีวิวาห์เลยทีเดียว

“ขอโทษที่ให้รอนะครับ  พี่เบลล์”  พีทเอ่ยทักเมื่อเดินเข้าไปใกล้

บนโต๊ะมีชาเอิร์ลเกรย์และขนมสองสามอย่าง  เฌอเบลล์วางมือที่ถือถ้วยชาลงบนจานรอง  ใบหน้าเรียวงามที่กำลังชื่นชมราชินีแห่งดอกไม้หันกลับมาทางเขา  ความงามของสาวสะพรั่งที่นั่งอยู่ท่ามกลางดอกกุหลาบแห่งนี้ราวกับสวรรค์เสกสรรขึ้นมา
 
งาม  ราวกับเฮเลนแห่งทรอย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่กำลังเพลินกับการจิบชาชมกุหลาบอยู่ทีเดียว นั่งสิคะน้องพีท”  เฌอเบลล์ตอบเสียงอ่อนหวานส่งยิ้มสดใส
 
พีทยิ้มตอบแล้วทรุดตัวนั่ง  เฌอเบลล์จึงรินชาใส่ถ้วยกระเบื้องเคลือบอย่างดีเลื่อนให้เขาอย่างเอาใจ

“ที่นี่สวยมากเลย  พี่ชอบทุกอย่างของโรงแรมนี้  สวนนี้ก็สวยมาก  ดูสิ  กุหลาบพันธุ์นี้สวยมากเลยนะคะ  กลีบซ้อนกันสวยมากเลย   คุณพ่อน้องพีทช่างโรมานซ์...”

“...ไม่รู้ว่าลูกชายจะโรแมนติกเหมือนคุณพ่อรึเปล่า” ท้ายประโยค  เฌอเบลล์ช้อนสายตาขึ้นมองเขาพร้อมกับยิ้มหวาน  แววตามีความหมาย

“ถ้าเป็นคนพิเศษก็คงมีบ้างครับ”

พีทส่งยิ้มให้  ในใจกลับไพล่ไปคิดถึงใครอีกคนพร้อมกับแปลกใจตนเอง  ขนาดหญิงสาวงดงามนั่งอยู่ในบรรยากาศที่เป็นใจแบบนี้เขากลับคิดถึงคนอื่น

เฌอเบลล์เห็นยิ้มหวานนั้นแล้วกลับใจเต้นแรง  เธอชอบรอยยิ้มของหนุ่มน้อยตรงหน้าตั้งแต่แรกเจอทีเดียว 

“แหม อยากเป็นคนพิเศษคนนั้นบ้างจัง  น้องพีทจะรังเกียจรึเปล่าคะ” 

พีทเลิกคิ้วอย่างแปลกใจที่เฌอเบลล์ทำท่าเหมือนสนใจในตัวเขา เห็นไปไหนมาไหนกับพี่ฮั่นตลอดเวลา  แล้วเขายังเห็นสองคนนั้นในห้องทำงาน  เขานึกว่า....

“เอ่อ  ผมคิดว่าพี่เบลล์กับพี่ฮั่น...”  พีทอึกอัก  ภาพทั้งสองคนที่แนบชิดกันนั้นยังติดตาเขาอยู่

“โถ  น้องพีทยังจำเรื่องวันนั้นได้อีกเหรอ  ไม่มีอะไรหรอกค่ะ  พี่กับพี่ฮั่นเป็นเพื่อน  เป็นหุ้นส่วนกันแค่นั้นเอง”   เฌอเบลล์ยิ้มหวานอย่างนึกเอ็นดู   แค่จูบกัน  ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับเธอ

“แต่ว่าถ้าเป็นน้องพีท  พี่ไม่อยากเป็นแค่เพื่อนร่วมงานนะ  พี่อยากเป็นคนพิเศษของน้องพีท”

พร้อมกันนั้นมือเรียวเล็กก็เอื้อมมาแตะมือเขาที่วางบนโต๊ะ  เฌอเบลล์บีบมือเขาเบา ๆ อย่างต้องการยืนยัน  พีทใจเต้นไปทีเดียวที่เฌอเบลล์ทำท่าเฟลิตกับเขาเช่นนี้  แต่เขายังยิ้มให้อย่างสุภาพ 

‘เอาไงดี?’

“เอ่อ  ผมมีคนที่ชอบแล้วล่ะ”  เขาตัดสินใจบอกเฌอเบลล์ตามตรงเพื่อตัดปัญหา  นึกถึงคนพิเศษของตัวเองแล้วก็ยิ้มเศร้า  คนคนนั้นคงไม่รู้ตัวหรอก

“อะไรกันน้องพีท  พูดจริงหรือคะ  โธ่  ทำพี่อกหักเลย” 

เฌอเบลล์หน้าเสียไปเลยทีเดียว  เธอเคยถามพี่ฮั่นแล้วว่าพีทมีคนรักรึเปล่า  พี่ฮั่นตอบแบบไม่เต็มใจเท่าไรว่าพีทไม่มีใคร  นี่พีทมีคนพิเศษแล้ว  ใครกัน?

พีทเริ่มรู้สึกอึดอัด  เฌอเบลล์บอกว่าจะคุยเรื่องงานแล้วทำไมพวกเขากลับมานั่งอยู่ในสวนแล้วคุยกันเรื่อง  ความรัก?

ก่อนที่เฌอเบลล์จะมีโอกาส ‘ต้อน’ หนุ่มน้อยให้ตกหลุมของเธอ  ขายาวของใครคนหนึ่งก็ก้าวมาหยุดตรงหน้าหนุ่มสาวทั้งคู่

“อ้าวเบลล์  พีท  มาทานชากันเหรอ”  เสียงคุ้นเคยทำให้พีทเงยหน้าขึ้นมอง 

คนที่มายืนตรงหน้าทำให้เขาใจเต้นผิดจังหวะ  ก็กำลังนึกถึงพี่ฮั่นก็ปรากฏตัวพอดี

“พี่ฮั่น  มาทำอะไรที่สวนเหรอคะ”  เฌอเบลล์ถามอย่างแปลกใจ

“พี่ผ่านมาพอดี  เห็นคุยกันอยู่ก็เลยแวะมาดู”  พี่ฮั่นตอบแล้วหันไปมองน้องชาย

“พีท  เลิกงานแล้วทำไมไม่ขึ้นไปข้างบนล่ะ พี่มีงบการเงินจะให้เราดู” พี่ฮั่นว่าเสียงเรียบ

พีทสบตาพี่ฮั่นแล้วก็คิ้วขมวด  ดูออกทันทีว่าพี่ฮั่นกำลังไม่พอใจ 

เฌอเบลล์เงยหน้าพิจารณาร่างสูงตรงหน้าเมื่อได้ยินคำตอบของพี่ฮั่น  คิ้วเรียวขมวดอย่างแปลกใจเช่นกัน   เพราะตรงที่เธอนั่งอยู่นี้เป็นมุมในสุดของสวนกุหลาบ  พี่ฮั่นจะ ‘ผ่าน’ มาได้อย่างไร  ต้องตั้งใจเดินเข้ามาเท่านั้นแหละ ถึงจะเจอเธอกับหนุ่มน้อยนั่งอยู่ในสวนนี้

สัญชาตญาณของผู้หญิงทำให้เธอลอบมองคนตรงหน้า  พี่ฮั่นมองพีทสายตาดุทีเดียว 

ทำไมพี่ฮั่นถึงไม่พอใจขนาดนี้นะ  ไม่พอใจที่เธอชวนน้องชายมานั่งจิบชาในสวนงั้นหรือ  ถ้าเธอไม่รู้จักพี่ฮั่นมานานอาจจะคิดว่าพี่ฮั่นกำลังหึงเธออยู่ แต่เธอก็รู้ดีว่าระหว่างเธอกับพี่ฮั่นมันไม่มีอะไรเกินเลย  แล้วพี่ฮั่นไม่พอใจทำไม 

"...พีทยังเด็ก..."

บทสนทนาระหว่างเธอกับพี่ฮั่นในห้องทำงานลอยเข้ามา  ตอนนั้นเธอคิดว่าพี่ฮั่นหวงน้อง

ความเข้าใจอย่างหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา  ดวงตากลมนั้นเบิกกว้างอย่างเพิ่งตระหนักถึงความจริงบางอย่างที่เธอไม่เคยสังเกต 

มิน่าล่ะ  ตั้งแต่เธอเกริ่นกับพี่ฮั่นว่าพีทนั้นน่าสนใจ  เธอกลับไม่เคยมีโอกาสได้เจอหนุ่มน้อยอีกเลย

ริมฝีปากอวบอิ่มคลี่ยิ้ม  เพราะพี่ฮั่นตาม ‘ประกบ’ เธอสินะ  ตอนนั้นเธอเข้าใจว่าพี่ฮั่นคงแค่ดูแลตามหน้าที่  เพราะเธอเป็นเพื่อนร่วมงาน  เป็นหุ้นส่วนโรงแรมที่อังกฤษ  และพวกเขาสนิทกันมาพอสมควร

‘ร้ายจริงนะ  พ่อคนหวงน้อง’

ดวงตากลมโตของเฌอเบลล์ตวัดไปมองหนุ่มน้อยตรงหน้าด้วยสายตาพินิจเป็นครั้งแรก   

ภาพพีทที่โผล่เข้ามาในห้องตอนที่เธอกับพี่ฮั่นกำลัง ‘รื้อฟื้นความหลัง’ กัน  ใบหน้าเด็กหนุ่มเหมือนคนกำลังช็อก  แค่น้องเข้ามาเห็นพี่ชายกำลังอยู่กับผู้หญิงไม่น่าจะตกใจมากขนาดนั้น

"...ผมมีคนที่ชอบแล้ว..."


เฌอเบลล์เผยยิ้มมุมปาก  เธอเริ่มเข้าใจบางสิ่งบางอย่างแล้ว  ดวงตาของแม่เสือสาวฉายแววสนุก 

---------------------------------




“พี่โกรธอะไรผมรึเปล่า”

พีทเอ่ยถามคนที่เดินดุ่มเข้าบ้านไปโดยไม่มองหน้าเขาตั้งแต่แยกจากเฌอเบลล์ที่โรงแรม  พอเฌอเบลล์เดินลับไปปุ๊บพี่ฮั่นก็หุบยิ้มทันที  ท่าทีเปลี่ยนไปจนเขาตามไม่ทัน

“เปล่า” 

เสียงพี่ฮั่นตอบกลับมาทำให้เขาขมวดคิ้วอยู่ข้างหลัง  ก็เสียงขุ่นขนาดนี้ยังจะบอกว่าไม่โกรธอีกเหรอ  เวลาพี่ฮั่นโกรธ เขาเห็นแล้วก็ไม่สบายใจ  เขาอยากทำอะไรก็ได้ให้พี่ฮั่นหายโกรธ

“ผมรู้นะ  พี่อย่ามาหลอกกันเลย” 

พีทพยายามจะรู้ให้ได้ว่าพี่ฮั่นโกรธเขาเรื่องอะไร  เวลาพี่ฮั่นไม่สบายใจเขามองทีเดียวก็รู้แล้ว  มันก็เหมือนตอนที่เขาไม่สบายใจนั่นแหละ  เขาไม่เคยหลอกพี่ฮั่นได้เลย  พี่ฮั่นก็รู้ทุกครั้งที่เขาไม่สบายใจ  อยู่ที่ว่าพี่ฮั่นจะเอ่ยถามหรือจะปล่อยให้เขาเล่าเอง  เหมือนคราวที่แล้วที่เขาหนีไปตีกลองคนเดียวในห้องซ้อม

“พี่โกรธที่ผมไม่ขึ้นไปทำงานตอนเย็นเหรอ  ก็พอดีพี่เบลล์โทรมา” 

“พีท  พอเถอะ!”  พี่ฮั่นพูดเสียงดัง  หยุดขาที่กำลังก้าวทำให้เขาต้องหยุดตามไปด้วย 

“พี่แค่เหนื่อยน่ะ ช่วงนี้ต้องเตรียมงานใหญ่” 

พูดแล้วพี่ชายก็ก้าวเท้ารวดเร็วเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจจะหันมาคุยกับเขาสักนิด

“พี่ฮั่น”   อดไม่ได้พีทจึงดึงแขนคนที่เดินอยู่ข้างหน้าให้หันมาคุยกัน 

พี่ฮั่นหยุดแต่ไม่ยอมหันกลับมา  พีทถอนหายใจ  มองแผ่นหลังของพี่ฮั่นด้วยความไม่เข้าใจ

“ถ้าผมทำอะไรให้พี่โกรธ  ผมขอโทษนะ” 

“ไม่มีอะไรจริง ๆ พีท  พี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อน”  น้ำเสียงนั้นอ่อนลงเล็กน้อย  แต่เขารู้ว่าพี่ฮั่นพูดไปอย่างนั้นเอง 

พีทจำต้องปล่อยแขนพี่ฮั่นช้า ๆ

คนเป็นพี่เดินหายลับเข้าไปในบ้าน  พีทจึงเดินไปทรุดตัวนั่งเก้าอี้ตัวโปรดที่ชานหน้าบ้าน  ถอนหายใจอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจ  แรมโบ้เดินออกจากบ้านมาทรุดตัวนั่งบนพื้นข้างเขาราวกับรู้ว่าเขาไม่สบายใจ   พีทหันไปลูบหัวสุนัขตัวโปรด  สอดมือไปตามเส้นขนอันอ่อนนุ่มของมัน   คิดทบทวนว่าเขาทำอะไรให้พี่ฮั่นไม่พอใจ

เสียงข้อความเข้าทำให้เขาต้องหยุดคิด  พีทเปิดอ่านข้อความนั้นแล้วก็ลุกพรวดพราดก้าวเท้ารวดเร็วเข้าไปในบ้าน  แต่เมื่อขึ้นบันไดจนใกล้ถึงชั้นบนกลับย่องอย่างเงียบกริบไปที่หน้าห้องพี่ฮั่น   

เขาแง้มประตูทีละนิด  ห้องนอนพี่ฮั่นว่างเปล่า  พีทถอนหายใจอย่างโล่งอก  มองไปที่ห้องน้ำ  ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัว   พี่ฮั่นคงกำลังอาบน้ำอยู่   เขารีบออกจากบ้านริมสระตรงไปที่บ้านใหญ่  ในใจก็เริ่มเกิดความกังวลขณะที่ขาก็ก้าวไปข้างหน้า 

มีเพียงเรื่องเดียวที่เคนจะติดต่อกับเขา 

ความปลอดภัยของพี่ฮั่น

หลังจากวันที่เขาแอบหนีพี่ฮั่นไปเยี่ยมคุณปู่  เจเจก็หายไป  เรื่องนี้ทำให้พีทคลายความกังวลใจไปได้มาก  แต่เขายังคงสั่งให้เคนและบอดี้การ์ดคนอื่นคอยเฝ้าติดตามดูแลความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลาโดยไม่บอกให้พี่ฮั่นรู้  เขารู้ดีว่าถ้าพี่ฮั่นรู้ว่ากำลังถูกติดตามอีกครั้ง  คราวนี้พี่ฮั่นต้องไม่อยู่เฉยแน่

เขาตรงเข้าไปที่ห้องออกกำลังกาย  เคนยืนรออยู่แล้ว  ท่าทางเครียด

“เคน  มีอะไร”   

“มีมือปืนตามประกบคุณฮั่นครับ  แต่พวกผมจับได้ซะก่อน  คุณชายดูนี่สิครับ” 

เคนยื่นโทรศัพท์มือถือให้เขาดู  ในนั้นมีรูปมือปืนคนที่ว่าถูกซ้อมสะบักสะบอมและอาวุธปืนหนึ่งกระบอก 

‘ปืนเก็บเสียง!’   พีทเงยหน้าขึ้นมองเคน  แววตาส่งคำถาม  เคนพยักหน้าทันทีแต่ไม่พูดอะไรต่อ

‘คุณปู่!  คุณปู่ส่งมา  นี่กะจะเอาให้ถึงตายเลยหรือ  ทำไมคุณปู่ทำแบบนี้’ 

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคุณปู่ถึงได้เกลียดพี่ฮั่นขนาดนี้

“คุณชายจะเอายังไงครับ”

เคนถามกลับพร้อมกับแววตาหนักใจ  เรื่องจะง่ายกว่านี้มากถ้าบอกให้เจ้าตัวรู้ว่ามีคนไม่ประสงค์ดีต่อชีวิต  ทั้งที่เขาต้องรายงานเรื่องนี้ให้เจ้านายตามหน้าที่  แต่เขาก็เข้าใจดีว่าทำไมคุณชายถึงอยากให้เขาปิดเรื่องนี้ไปก่อน   

คนหนึ่งก็คุณปู่  อีกคนหนึ่งก็พี่ชาย  คนกลางมีแต่หนักใจ

“เพิ่มกำลังคนอีก  ขอหน้าใหม่นะ  พี่ฮั่นจะได้ไม่รู้  ผมไม่อยากให้พี่ฮั่นเป็นกังวล  เรื่องคุณปู่ผมจะปรึกษาพ่อเอง”

พีทกลับออกจากบ้านใหญ่ด้วยหัวใจหนักอึ้ง  เฝ้าแต่คิดวนเวียนถึงเรื่องนี้ 

จะทำยังไงให้คุณปู่ยอมวางมือ  เขาจะทำยังไงดี

พี่ฮั่นยังคงเงียบไปทั้งคืน ไม่ยอมมองหน้า ไม่คุยกับเขา  พีทได้แต่คอยแอบมองไปที่พี่ฮั่น  เห็นหน้านิ่ง ๆ ของพี่ชายแล้วเขาก็ไม่กล้าซักอะไรอีกเพราะเขาก็กำลังกังวลเช่นกัน 

------------------------------------




ใบหน้าเครียดของเขาทำให้พี่โดมที่กำลังจะทักทายตามปกติเปลี่ยนคำถามทันที

“พีท  เป็นอะไร  ทำไมทำหน้าบูดตั้งแต่เช้า”   

สายตาของพี่โดมที่มองมาด้วยแววตาห่วงใยทำให้พีทปรับสีหน้าใหม่  เขาส่งยิ้มอ่อนให้พี่โดม

“พี่ฮั่นโกรธผมเรื่องอะไรไม่รู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”   

พีทบอกพี่โดมแค่ส่วนเดียวเท่านั้น  เรื่องพี่ฮั่นโกรธเขาเป็นเรื่องเล็กน้อยถ้าเทียบกับเรื่องที่พี่ฮั่นกำลังตกอยู่ในอันตราย

‘ก็คงหวงน้องละมั้ง  อยู่ดี ๆ สาวสวยสุดเปรี้ยวก็แอบโทรมานัดน้องชายไปกินชา’   โดมแอบคิดอยู่คนเดียว

เมื่อวานหลังจากที่พีทเดินออกไปพบเฌอเบลล์  เขาก็กดโทรศัพท์สายตรงหาพี่ฮั่นทันที  ตั้งแต่คราวก่อนที่พี่ฮั่นโผล่มาหาพีทที่แผนกตอนกลางวันแล้วพบว่าพีทหายไปโดยที่เขาเองก็ไม่รู้  เขาก็ถูกพี่ฮั่นขอร้องแกมบังคับให้โทรรายงานถ้าพีทไปไหนกับใคร 

จะไม่ให้เขาเชื่อฟังได้ยังไง  ก็ท่านรองประธานเล่นเอาผลการฝึกงานมาขู่เขา 

‘เฮ้อ  พี่น้องคู่นี้  ทำอะไรรู้ตัวกันบ้างรึเปล่านะ’ 




---------------------------------------

 :hao7:

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 33 page 4 อัพเดต 1/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 11-09-2014 21:37:23
โอย น่ารักจังค่ะ  :ling1:

น้องพีทหนูมีแววว่าโตแล้วจะเป็นราชสีห์หนุ่มมากๆค่ะ น่าจะดุและหวงของด้วย โอย น่ารักน่าหยิก

ดูอุ่นๆมุ้งมิ้งแต่บางมีรัศมีน้องก็ดูคมดุแบบประหลาดมากค่ะ แบบดูมีอำนาจในตัว เราชอบ


ดุเรื่องของพี่ชายค่ะ  เรื่องอื่นพีทใจดี  อิ อิ

รอดูน้องพีทอีกสองสามตอนนะคะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 36 หน้า 4 อัพเดต 11/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 11-09-2014 21:43:03
เฌอเบลล์จะทำอะไรล่ะทีนี้
เรื่องคุณปู่อีก
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 35 หน้า 4 อัพเดต 7/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 11-09-2014 21:46:38
ผมว่าเป็นนิยายที่น่าอ่านดีครับ การเขียนก็ถือว่าดีอ่านรื่นไหลดีครับไม่สะดุดเลย แต่ตามที่ผมอ่านแล้ว จากการอินในเนื้อเรื่อง มันทำให้ผมอึดอัดกับความรู้สึกของสองพี่น้องนี้ เหมือนฝ่ายนายเอกผมจะหลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น เหมือนพี่จะเห็นแก่ตัว แต่ผมก็เข้าใจอยู่นะใจจุดนี้ ส่วนผมตอนแรกเห็นชื่อเรื่องแล้วมันไม่น่าสนใจอ่ะ เหมือนมันจะดราม่าเยอะอะไรเงี้ย มันไม่สะดุดใจมั้ง แล้วเป็นคนแต่งหน้าใหม่ด้วยคนไม่รู้จักถึงทำให้คนไม่ค่อยสนใจ ที่ผมมาอ่านเนี้ย มีคนแต่งนิยายเรื่องหนึ่งที่ผมติดตามนิยายของเขาอยู่ บอกต่อนิยายเรื่องนี้ดีน่าสนใจ ผมเลยเข้ามาอ่าน แล้วก็ตามทันเรื่องนี้แล้ว ชอบนิยายเรื่องนี้นะ แต่แอบหวั่นใจกับความดราม่านะ แบบกว่ามันจะหักมุม ผมคงแย่แน่ถ้าเป็นแบบนั้น แต่ก็จะติดตามจนจบเลยละครับ

ขอบคุณที่คอมเม้นต์ค่า  ฝากให้ช่วยติดตามต่อไปนะคะ

เรื่องชื่อ  อันนี้เป็นความสามารถอันต้อยต่ำของเราเอง  เราเป็นคนตั้งชื่อไม่เก่ง  คือเขียนเรื่องขึ้นมาก่อนได้ตั้งหนึ่งในสามแล้ว  ถึงมาคิดชื่อเรื่อง  สุดท้ายก็เปิดกูเกิ้ลแล้วบังเอิ้นนน  บังเอิญไปเจอชื่อเพลง "ตรงนั้นคือหน้าที่  ตรงนี้คือหัวใจ"  ของมนต์แคน  แก่นคูนขึ้นมา  ก็เลยยืมมาซะเลย   ถ้าดูจากนิยายในเล้าแล้วชื่อเรื่องก็เชยมาก 555  เนื้อเรื่องก็เชยด้วยแหละค่ะ  ไม่ใช่แนวนักศึกษา  นักเรียนอ่ะ  คือแบบว่าคนเขียนเลยวัยนั้นมาแล้ว  กร๊ากกกก  ประจานตัวเองทำไม

คุณชัดเจนกาบติดตามนักเขียนท่านไหนอยู่เหรอคะ  อยากขอบคุณจัง  อุตส่าห์แนะนำเรื่องของเราด้วย  ทำให้มีคนอ่านเพิ่ม ^^

ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปนะคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 35 หน้า 4 อัพเดต 7/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 11-09-2014 21:50:16
มาม่ากำลังมา
คนน้องรู้ใจตัวเองแล้ว คนพี่ยังแยกไม่ออกสินะ หรือว่าก็รู้ตั้งแต่แรก


เอิ่มมมม  แม่นมากค่ะ  มาม่ากำลังมา o13
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 36 หน้า 4 อัพเดต 11/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: 4life ที่ 11-09-2014 22:02:41
เพิ่งตามอ่านจนถึงตอนนี้ พูดเลยว่านายเอกทำตัวเป็นเด็กมากกกกก
ส่วนพระเอกก็ยังไงล่ะ..บทจะงอนก็งอน เหมือนจะฉลาดเเต่โง่
เสนอตัวนอนกับคู่ขาเก่าเพื่อไม่ให้มายุ่งกับนายเอก มันขัดๆ กับมาดบอดี้กาดคนเก่งของนยายอยู่นาาา
เหมือนหาทางออกไม่ได้ต้องเอาตัวเข้าเเรก..
ปู่ก็เเค้นไม่เข้าเรื่องเข้าราวเเก่จะตายเเล้ว ไม่ปล่อยวาง พีทเอาเเกไปทิ้งวัดซัก2-3อาทิตย์ดิ๊
ชะนีเฌอเบลล์ยัง.. ไม่รู้ดีหรือร้าย เเต่ที่เเน่ๆ หมั่นใส้ อยากให้มีคนมาดัดนิสัยมั้นจั๊ยมั้นใจของนาง
เเล้วดึงชีออกจากชีวิตสองพี่น้องซะ เพราะเเค่เรื่องคุณปู่ก็เยอะพอเเล้ว ไม่ต้องมีชะนีมาป่วน

เป็นกำลังใจให้คนเขียนเน้อ.. :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 36 หน้า 4 อัพเดต 11/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 11-09-2014 22:38:29
กำลังตามอ่าน สนุกดีแต่เพิ่งจะอ่านถึงตอนที่18
สู้สู้ :a2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 36 หน้า 4 อัพเดต 11/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: smile_aex ที่ 11-09-2014 22:53:08
มาตามคำแนะนำของนักเขียนที่ตามอยู่ท่านนึงครับ(จากเรื่องดอกฟ้าฯ)

สนุกมาก เป็นกำลังใจให้สองพี่น้องรักกันไวๆครับ
อย่ามาม่าหนักนะ :ling3:

ตามต่อไป

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 36 หน้า 4 อัพเดต 11/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 11-09-2014 23:03:35
กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยปู่สินะ เห็นใจปู่แต่ก็มั่นใจพี่ฮั่นว่าจะไม่ทำให้น้องพีทเสียใจ

เรื่องนี้อ่านแล้วน่ารัก ภาษาไหลลื่น อ่านแล้วรู้สึกหวานๆๆบอกไม่ถูก กลัวช่วงหลังเป็นมาม่าอย่างเดียวเลย

ยังไงก็จะติดตามอ่านต่อไปคะ เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 36 หน้า 4 อัพเดต 11/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 12-09-2014 11:32:57
 
 ช๊อบชอบเรื่องนี้อะ....     :m1:

 นั่งอ่านมาตั้งกะเมื่อคืน  พึ่งจะตามทันมะเกี๊ยะ


 นุ้งพีทน่าร็อกมว๊ากกกก   พี่ฮั่นก็.. โอ๊ย.. ผู้ชายในฝัน   ปลื้มอะ


 ปู่ฟ่งก็จะละสังขารไม่วันนี้ก็วันพรุ่งแล้ว ยังไม่ยอมปล่อยวางอีก  สรุปคนที่ท่านปู่มี episode ด้วยนี่มิใช่คุณยายของเฮียฮั่นชิมิ?

 รบกวนถามนิดนึงฮะ  พีทและขุนศึกตระกูลหยางนี่มิใช่คนไทย แต่อยู่เมืองไทย หรือว่าเนื้อเรื่องมัน set อยู่เมืองนอกอะ?

 ทีแรกไม่ชอยยัยริทซี่เลย  แบบว่าอะไรอะตัวเองก็มีพี่แทนอยู่แล้วยังจะมาก้อร่อก้อติกกะเฮียฮั่น แต่พอมารู้ว่าเป็นแผน  You go girl!

 ส่วนแม่เบ๋ว น่าพาหล่อนไปกรีดยางทางใต้มาก เผื่อจะเอามาพอกหน้าบ้างอะไรบ้าง ไร้ยางอายสิ้นดี

 แต่ตอนนี้ชีเริ่มระแคะระคายว่าน่าจะมีอะไรในกอไผ่ระหว่างสองหนุ่มฮ๊อตตระกูลหยางแล้ว

 ถ้าชีช่วยให้ทั้งคู่รู้ใจตัวเอง ฉันจะให้โล่นาง แต่ถ้าคิดจะทำอย่างอื่นละก็...  หล่อนเจอฉันแน่!!!   ฉันก็รักของฉันเข้าใจมั่งไหม!?!


 รอตอนต่อไปอยู่นะครัช
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 36 หน้า 4 อัพเดต 11/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 12-09-2014 12:20:30
ได้ข่าวแว้วๆว่าจะมีมาม่าชามโต สงสัยเป็นฝ่ายน้องแน่ๆ งานนี้ ส่วนคนที่แนะนำคือ คนแต่งนิยายเรื่องดอกฟ้ากับหมาวัดครับ เขาแนะนำมานะ คุณคนแต่งก็รองแวะเข้าไปดูนะ เผื่อจะจุดประกายความคิดในการแต่งนิยายเพิ่ม ผมว่าที่คุณคนแต่งพูดมา มันไม่ใช่หรอกครับ ไม่เชยนะ แถมแต่งได้ดีด้วย เดียวนี้ไม่ค่อยมีแต่งแนววัยทำงานเท่าไหร่เลยครับ ผมว่าคุณคนแต่งไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมว่ามีคนชอบแนวนิยายที่คุณคนแต่งอยู่มากที่เดียวครับ สู้ ๆ พร้อมกับรอตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 36 หน้า 4 อัพเดต 11/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 12-09-2014 22:53:39
พี่ฮั่นหึงก็บอกไปเซ่โฮ้ยยยน้องยิ่งอ่อนๆเรื่องความรักอยู่ พี่ไม่พูดน้องไม่รู้หรอกนะพี่คิดไรอยู่ อึนไปนะพี่ แล้วคุณปู่นี่แบบ... :katai1:

แว่วว่ามาม่ากำลังจะมา?? ขอหลบนิดนะ แต่ถ้ามาจริงก็อยากอ่านแบบได้อารมณ์เลยค่ะ จัดมาสู้ ๆ  :ling3:

ขอบคุณนักเขียนค่ะ

รออ่านต่อไป
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 36 หน้า 4 อัพเดต 11/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: McKnight ที่ 13-09-2014 09:25:59
ตามมาอ่านจากคำแนะนำของน้องมิน (coffeeQbread) คร้าบ
เพิ่งเริ่มอ่าน เริ่มต้นมาน่าติดตามครับ จากชื่อเรื่องดูท่าแล้วจะดราม่าหนัก รึเปล่า?? 
ไว้อ่านทันตอนล่าสุดแล้วจะเม้นท์ให้อีกรอบนะครับ







หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 36 หน้า 4 อัพเดต 11/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 13-09-2014 10:37:42
พี่ฮั่นหึงก็บอกน้องสิค้าาา
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 36 หน้า 4 อัพเดต 11/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 13-09-2014 15:07:01
37. ปาร์ตี้



ประตูห้องทำงานบานใหญ่เปิดออกเผยให้เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสูทพอดีตัวสีเข้ม  ใบหน้าคมที่มักยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจยามนี้กลับนิ่งเฉย  แต่ยังคงน่ามองอยู่เสมอ   ข้างกายเขาปรากฏร่างหุ้นส่วนสาวสวยก้าวเดินออกมาพร้อมกับพูดคุยอะไรบางอย่างกับคนใกล้ตัว  ใบหน้าเรียวที่กำลังสนทนานั้นงดงามราวกับภาพวาด  ท่วงท่าสง่างามราวเจ้าหญิง 

เลขาหน้าห้องรองประธานมองภาพนั้นเหมือนความฝัน  ทั้งคู่ดูเหมาะกันราวกับหลุดออกมาจากนิยายโรแมนติกสักเรื่อง

‘คงไม่นานหรอก เธออาจจะได้ยินข่าวดีละมั้ง’ 

รองประธานแวะคุยธุระกับเลขาสองสามคำแล้วก็ออกเดินตามหุ้นส่วนคนสวยที่เดินไปยืนรออยู่หน้าลิฟต์ 

เมื่อลิฟต์เปิดออก  คนที่ยืนรอด้านนอกก็แปลกใจ

“อ้าว น้องพีท สวัสดีจ๊ะ”  เฌอเบลล์ทักน้ำเสียงอ่อนหวาน  แววตาหญิงสาวมีเลศนัยเมื่อมองหน้าหนุ่มน้อยแล้วก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของคนที่ยืนข้างกายเธอ

“พีทมาทำอะไรตรงนี้  บ่ายนี้ไม่ทำงานเหรอ  อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันประชุมแล้วนะ”  รองประธานตั้งคำถามกับน้องชายทันที  ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาด  เพราะพีทไม่เคยเถลไถลเรื่องงานเลยสักครั้ง  แล้วทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้

“พ่อบอกให้ผมไปกับพี่ฮั่นด้วย”  เด็กฝึกงานบอก   

“ทำไมลุงคริสจะให้พีทไปพบท่านรัฐมนตรีล่ะ แล้วทำไมพี่ไม่รู้เรื่อง” คนเป็นพี่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย  ยกมือแตะหลังเฌอเบลล์ให้ก้าวเข้ามาในลิฟต์ด้วยกัน   

ตั้งแต่ลุงคริสยกงานทุกอย่างให้เขาบริหาร   ลุงคริสก็ไม่เคยเข้ามาจัดการอะไรอีก  ปล่อยให้เขามีอิสระทำทุกสิ่งตามที่เห็นสมควร

“ไม่รู้เหมือนกันครับ  ถ้าพี่สงสัย  พี่ก็โทรหาพ่อเองแล้วกัน  ผมแค่ทำตามที่พ่อสั่ง”  พีทอ้างว่าเป็นคำสั่งพ่อเพราะรู้ว่าพี่ฮั่นไม่โทรไปถามแน่  พ่อกับพี่ฮั่นทำงานด้วยกันมานานตั้งแต่พี่ฮั่นยังเป็นวัยรุ่นด้วยซ้ำ  จึงรู้ใจและไว้ใจกันมากกว่าเขาซึ่งเป็นลูกแท้ ๆ เสียอีก

“แล้วงานของพีทล่ะ”  พี่ฮั่นยังคงซักต่อ 

คราวนี้พีทขมวดคิ้วบ้าง  พี่ฮั่นถามเหมือนไม่อยากให้เขาไปด้วย ทั้งที่ตัวเองก็เคยลากเขาไปเที่ยวห้างตอนบ่าย   ตอนนั้นพี่ฮั่นยังไม่เอ่ยถามเขาเรื่องงานสักคำ

“ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว  หัวหน้าอนุญาตแล้ว” 

ความจริงแล้วหัวหน้าปฏิเสธไม่ได้ต่างหาก  แค่เขาสั่งเลขาของพี่ฮั่นให้โทรไปบอกหัวหน้าแผนกของเขาเวลาพี่ฮั่นมีนัดข้างนอก  อ้างว่ารองประธานสั่ง เท่านี้หัวหน้าก็ไม่กล้ามีปัญหา  และถึงแม้เลขาของพี่ฮั่นจะไม่โทรไปอ้าง  เขาแค่เดินไปบอกว่าจะไปดูงานกับรองประธาน  หัวหน้าก็คงไม่กล้าปฏิเสธอยู่ดี เพียงแต่เขาไม่อยากทำให้ใครมาว่าได้ว่าเขาใช้สิทธิพิเศษ

“แหม พี่ฮั่น ถามอะไรซอกแซกคะ น้องพีทอยากจะทำหรือไม่ทำก็ได้อยู่แล้ว  อีกอย่างการไปพบท่านรัฐมนตรีก็งานเหมือนกัน  น้องพีทจะได้เรียนรู้การเข้าหาผู้ใหญ่ด้วย” 

เฌอเบลล์เหมือนระฆังช่วยชีวิตไว้  ก่อนที่พี่ฮั่นจะซักอะไรเขาต่ออีกยืดยาว

ลิฟต์เลื่อนมาถึงข้างล่างพอดี  คนเป็นพี่ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็หาข้ออ้างอะไรไม่ได้จึงเดินออกไปที่หน้าล็อบบี้  ตรงไปที่ลีมูซีนที่จอดรอ  พีทหันไปยิ้มให้เฌอเบลล์อย่างขอบคุณซึ่งเธอก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน จากนั้นจึงชักชวนให้รีบออกเดินตามรองประธานที่เดินลิ่วไปขึ้นรถก่อนแล้ว

----------------------------------



เสียงสัญญาณจากลิฟต์บอกให้รู้ว่าลิฟต์ได้เคลื่อนที่มาถึงชั้นสูงสุดของอาคารสำนักงานแล้ว   ขายาวของรองประธานก้าวอย่างรวดเร็วตรงมาที่โต๊ะเลขาหน้าห้อง

“คุณเดซี่  ทำไมพีทถึงรู้ว่าผมมีนัดกับประธานจัสมินกรุ๊ปเช้าวันนี้แล้วเมื่อวานตอนที่ผมไปพบท่านรัฐมนตรีอีก นี่พีทโทรมาถามคุณรึเปล่า”

รองประธานเอ่ยถามเลขาส่วนตัวทันทีที่กลับจากการนัดพบข้างนอก หน้าตาไม่พอใจอย่างมาก   เลขาที่ทำงานง่วนอยู่สะดุ้งที่ได้ยินคำถามนั้น  เธอรีบลุกขึ้นยืนทันที 

“เอ่อ  เปล่านี่คะ คุณชายไม่ได้โทรมาถามอะไรเลยค่ะ”  เดซี่ก้มหน้าก้มตาตอบ

“แล้วพีทจะรู้ได้ยังไง  ก็คุณเป็นคนจัดตารางนัดหมายให้ผม คุณรู้ดีที่สุด”

รองประธานยังไม่คลายความสงสัย  พีทเหมือนรู้เวลานัดหมายของเขาเป็นอย่างดี  เวลาเขาออกไปพบลูกค้าหรือไปธุระข้างนอกพีทจะมาคอยอยู่ทุกครั้งโดยมีข้ออ้างว่าลุงคริสให้ตามไปด้วย  เขาได้แต่แปลกใจที่ลุงคริสให้พีทไปดูงานกับเขา   

“ดิฉันไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ ว่าคุณชายทราบได้ยังไง”   

เลขาเริ่มหน้าซีดลงทุกขณะเมื่อพยายามตอบคำถามของรองประธาน เวลานี้เธอกุมมือตัวเองแน่น  กลัวเหลือเกินว่าถ้ารองประธานซักต่อ  เธอจะต้องหลุดพูดความจริงออกมาแล้วถ้ารองประธานรู้เธอโดนไล่ออกแน่ ๆ ไม่ว่าจะจากฝ่ายรองประธานเองหรือจะเป็นฝ่ายคุณชาย  มองไปทางไหนก็มีแต่ทางตัน

“เอาล่ะ ไม่รู้ก็แล้วไป”  รองประธานเห็นอาการหน้าซีดปากสั่นของเลขาก็เข้าใจไปว่าเขาคงจะบีบคั้นเธอมากเกินไป   จึงเลิกซักถามแล้วเดินเข้าห้องทำงานของตัวเอง

“เฮ้อ”  เดซี่ทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้อย่างหมดแรงทีเดียว   

แต่กลับต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อโทรศัพท์มือถือตัวเองสั่นอยู่บนโต๊ะ เดซี่เหลือบตามองไปที่ห้องทำงาน   เห็นประตูห้องปิดเรียบร้อยดีแล้วจึงกดรับโทรศัพท์แล้วเริ่มต้นรายงานเวลานัดหมายของรองประธานให้ปลายสายฟัง

“ขอบคุณมากครับคุณเดซี่  สิ้นปีนี้คุณรอรับโบนัสชิ้นใหญ่ได้เลย”

--------------------------------




“พีท ช่วงนี้เป็นอะไร ทำไมตามพี่แบบนี้ล่ะ” 

ฮั่นอดทนมาหลายวันแล้ว  ตั้งแต่พีทเริ่มตามประกบติดเขาแทบตลอดเวลา  แม้ว่าน้องจะต้องฝึกงานแต่ก็ใช้เวลาพักเที่ยงขึ้นมาหาเขาที่ห้องทำงาน  ตามออกไปข้างนอกด้วย  ไม่ว่าเขาจะออกไปกับลูกค้าหรือผู้บริหารคนอื่น  ไม่ว่าเขาจะออกไปไหนมาไหนกับใครพีทก็ตามไปด้วยทุกหนทุกแห่ง

เขาอุตส่าห์พยายามดึงเฌอเบลล์ให้ออกห่างจากน้อง  พยายามไม่ให้เฌอเบลล์มีโอกาสหว่านเสน่ห์  แต่พีทกลับมาตามติดเขาแบบนี้กลับยิ่งทำให้เฌอเบลล์มีโอกาสใกล้ชิดน้องชายมากขึ้น   และตอนนี้เฌอเบลล์ก็ไปไหนมาไหนกับเขาตลอดเวลา  ทั้งที่ก่อนหน้านี้เฌอเบลล์มักจะออกไปหาเพื่อนหรือมีนัดกินข้าวกับเพื่อนชายบ้าง  แต่สองสามวันที่ผ่านมาเฌอเบลล์ไม่ออกไปธุระกับเพื่อนที่ไหนอีกเลย

น้องก็รู้ว่าเขาไม่พอใจแต่พีทกลับทำไม่สนใจ  กลับไปทำตัวสนิทสนมกับเฌอเบลล์แทน   ยิ่งเขาหงุดหงิดไม่คุยกับน้องก็ยิ่งทำให้สองคนนั้นหันมาคุยกันมากขึ้น   เขาต้องทนมองเห็นคนทั้งคู่หยอกล้อ  หัวเราะให้กัน  จนเขาอดคิดไม่ได้ว่า  ถ้าไม่มีเขาขวางไว้เฌอเบลล์คงรวบหัวรวบหางน้องเขาไปแล้ว

“ไม่มีอะไรนี่ครับ  ผมก็ทำตามปกตินี่  พี่รำคาญผมเหรอ” คนน้องว่าเรียบเรื่อยเหมือนสิ่งที่เขาทำอยู่นี้เป็นเรื่องธรรมดา 

“เปล่า  แต่พี่  เอ่อ พี่อึดอัด”   

พีทสะอึกไปเมื่อได้ยิน รู้สึกน้อยใจกับคำพูดของพี่ชาย  เขากล้ำกลืนความรู้สึกนี้ลงไปและฝืนทำตัวปกติ 

“เมื่อก่อนเราก็อยู่ด้วยกันตลอดนี่   ตอนโน้นพี่ก็ตามผมทุกฝีก้าวเลย ทำไมตอนนี้อึดอัดล่ะ”

พีทใช้น้ำเสียงนิ่งเหมือนเดิม  แต่พี่ฮั่นคงไม่รับรู้กระแสความน้อยใจที่ไหลวนอยู่ลึกในใจของเขา  พี่ฮั่นไปไหนมาไหนกับเฌอเบลล์แทบตลอดเวลา  ตั้งแต่เริ่มงานจนกระทั่งเลิกงาน  ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมาก  พอเขาเริ่มตามพี่ฮั่นบ้างกลับบอกว่าอึดอัด

พี่ฮั่นจะรู้ไหมว่ามันไม่สนุกหรอกนะที่ต้องคอยมองดูพี่ฮั่นสนิทสนมกับเฌอเบลล์ต่อหน้าเขา

“ก็พี่อยากให้พีทมีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นบ้างไง” พี่ชายพยายามอธิบายอย่างใจเย็น 

“ผมไม่อยากไปทำอะไรอย่างอื่นนี่”  พีทยังยืนยันที่จะทำเหมือนเดิมต่อไป 

“พีท!  เราไม่ใช่เด็กแล้วนะที่จะมาคอยตามพี่ไปไหนมาไหนด้วยน่ะ” คราวนี้คนเป็นพี่เริ่มเสียงดังขึ้นมาบ้างแล้ว

พีทแทบข่มความรู้สึกน้อยใจไว้ไม่อยู่กับประโยคตัดรอนนั้น  เขารู้ดีทีเดียวว่าพี่ฮั่นไม่พอใจอย่างมาก   แต่เขาทำตามที่พี่ฮั่นต้องการไม่ได้  เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกพี่ฮั่นเป็นยังไงเมื่อถูกเขาต่อว่าแรง ๆ ตอนที่พี่ฮั่นเป็นฝ่ายตามดูแลความปลอดภัยให้เขา

“คราวก่อนพี่ยังไม่ให้ผมไปไหนมาไหนคนเดียวเลย   คราวนี้ผมไปคนเดียวได้แล้วเหรอ  พี่คงเบื่อผมแล้วใช่ไหม” 

เสียงพูดเบาลงเพราะกำลังใจเสีย  ตอนเขาแอบไปปรึกษาริท  พี่ฮั่นยังเดือดร้อนที่เขาหายไป  แต่ตอนนี้เขาคงไม่สำคัญอีกแล้ว

“พีท  อย่าดื้อสิ”   พี่ฮั่นพูดอย่างเหนื่อยใจ 

“ยังไงผมก็จะทำแบบนี้ต่อไป”  แรงฮึดในจิตใจสั่งให้เขาอดทนต่อไป 

พี่ฮั่นถึงกับทำหน้าเซ็งไปเลยทีเดียว  เขาก็ไม่อยากทำให้พี่ฮั่นอึดอัดหรอก  เขาไม่อยากรู้  ไม่อยากเห็นเวลาพี่ฮั่นเอาอกเอาใจเฌอเบลล์แม้แต่นิดเดียว  แต่เขาต้องทำเพราะเขาไม่อยากเสี่ยงให้พี่ฮั่นถูกลอบทำร้ายอีก 
 
พีททำตามที่พูดไว้  เขายังคงคอยติดตามพี่ฮั่นไปไหนมาไหนตลอด แม้ว่าพี่ฮั่นจะไม่พอใจเขาก็ตาม 

----------------------------------------



สามวันก่อนการประชุมเป็นช่วงเวลาแห่งความยุ่งเหยิง   เวลานี้ทุกคนต่างก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานสำคัญ  ปัญหาใหม่เกิดขึ้นทุกวันให้คอยตามแก้   พีทเห็นพี่ฮั่นทำงานหนักตลอดเวลา  พี่ฮั่นต้องติดต่อประสานงานกับหลายฝ่ายทั้งรัฐบาล  นักข่าว  นักธุรกิจหลายฝ่าย  แทบไม่ห่างจากโทรศัพท์ เพราะทุกฝ่ายจะต้องมาเตรียมพร้อมสำหรับงานประชุมในอีกสามวันข้างหน้า

เขาได้แต่คอยติดตามพี่ฮั่นไปตลอดเวลา  ทำได้เพียงแค่จับตามองแผ่นหลังของพี่ชายที่ไม่เคยหันกลับมามองเขาเลยสักครั้ง

ช่วงเวลาที่มีการประชุม  ทั้งโรงแรมตกอยู่ในความดูแลของตำรวจสากลที่เข้ามาดูแลความปลอดภัยของผู้นำประเทศที่เข้าร่วมประชุม  มีการตรวจตราอย่างเคร่งครัดทั้งสถานที่จัดประชุมและผู้คนที่เข้าออกโรงแรม  ทำให้พีทคลายความกังวลเรื่องความปลอดภัยของพี่ฮั่นไปได้ชั่วคราว

พี่ฮั่นทำงานหนักตลอดช่วงที่มีการประชุมสำคัญ  เขาก็เช่นกัน  เขาก็ตั้งใจทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง  ทั้งหน้าที่ของเด็กฝึกงาน  หน้าที่ที่ต้องช่วยงานพี่ฮั่นและเรียนรู้การทำงานใหญ่ระดับชาติไปด้วยพร้อมกัน   พวกเขาอยู่แต่ในโรงแรมไม่มีเวลาออกไปไหนเลย  ออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่และกลับเข้าบ้านหลังเที่ยงคืนทุกวัน  ไม่มีเวลาพูดคุยกันมากนัก   กลับถึงบ้านก็แทบหมดแรงจะทำอะไร  เวลานอนก็แทบจะไม่มี

ในที่สุดงานประชุมสุดยอดผู้นำเศรษฐกิจก็ผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย ได้รับคำชื่นชมจากทุกฝ่ายอย่างล้นหลาม  มีแต่เสียงชื่นชมเมื่อการจัดประชุมดำเนินไปได้ด้วยดี   มีการตกลงเซ็นสัญญาความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจที่สำคัญระหว่างประเทศ   ข่าวการประชุมมีแต่ด้านบวกทำให้รัฐบาลพอใจกับความสำเร็จนี้ในฐานะเจ้าภาพจัดงาน   และในฐานะหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลประโยชน์ด้านการค้าจากการทำสัญญาร่วมกัน




“พี่ฮั่น  น้องพีท เจอพอดีเลย”

เฌอเบลล์เรียกพวกเขาไว้เมื่อทั้งคู่กำลังเดินเข้ามาในโรงแรมตรงไปยังลิฟต์  ขาเรียวที่สวมรองเท้าส้นสูงก้าวตรงมาด้วยท่วงท่าสง่างาม  ใบหน้าสวยหวาน   รูปร่างสมส่วนในชุดสูทสีครีมช่วยขับผิวขาวของเฌอเบลล์ให้เด่นขึ้นดึงดูดสายตาคนที่อยู่บริเวณนั้นให้หันมาจ้องมองเธอ   

หนุ่มหล่อสองคนที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงัก 
 
คนพี่เห็นหุ้นส่วนสาวสวยเดินตรงมาก็ลอบถอนหายใจด้วยความหนักใจแต่ยังเก็บสีหน้าไว้ได้มิด  เอ่ยทักทายเฌอเบลลตามปกติ 

ส่วนคนน้องก็คิ้วขมวดเพราะไม่ค่อยชอบใจเช่นกันที่พี่ฮั่นหันไปให้ความสนใจกับหุ้นส่วนคนสวย   เขาพยายามปรับสีหน้าให้ปกติเมื่อเห็นหญิงสาวเดินมาใกล้ 

ไม่เหมือนหญิงสาวที่กำลังเดินตรงมา ใบหน้างดงามที่ตกแต่งอย่างดีนั้นยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มทั้งคู่

“เย็นนี้ว่างไหมคะทั้งสองคน  เพื่อนเบลล์จัดปาร์ตี้ค่ะ เบลล์เลยมาชวน  พี่ฮั่นจำไรอันได้ไหม  คนที่เป็นเพื่อนแคนด้วยไงคะ”

“ไปด้วยกันนะคะ  แคนก็ไปนะ  คนกันเองทั้งนั้น” 

ท้ายประโยค  หุ้นส่วนสาวสวยหันไปหาหนุ่มน้อยเป็นเชิงเชิญชวนให้ไปปาร์ตี้ด้วยกัน

“ผมขอตัวได้ไหมเบลล์  งานประชุมเพิ่งเสร็จไปเมื่อวาน  ยังมีอะไรให้ต้องเคลียร์อีกตั้งหลายเรื่อง  คืนนี้อยากพักผ่อน  คงไม่มีแรงไปปาร์ตี้ต่อ”

คนเป็นพี่เห็นดังนั้นก็ปฏิเสธทันที  ถ้าเขาไปพีทก็ต้องตามไปด้วยแน่  ใครจะยอมล่ะ

“พี่ฮั่นไม่ควรพลาดงานนี้นะคะ  พี่ฮั่นก็เห็นว่าลูกชายผู้นำประเทศตะวันออกกลางมาประชุมคราวนี้ด้วย  รู้ไหมคะว่าเขาเป็นเพื่อนกับไรอัน  แล้วเขาจะไปปาร์ตี้คืนนี้ด้วย ไรอันกระซิบมาว่าถ้าอยากลงทุนทำโรงแรมที่ประเทศนั้นก็ต้องใช้โอกาสนี้เท่านั้น”

“พี่ฮั่นก็รู้นี่คะว่าการจะลงทุนที่โน่นน่ะมันยากขนาดไหน  ถ้าเราไม่รู้จักใครโอกาสก็คือศูนย์นี่เอง  นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้วนะคะ  ไปเถอะค่ะ”  ใบหน้างามนั้นมีแววอ้อนวอน

เฌอเบลล์นั้นสนใจจะลงทุนในประเทศแถบตะวันออกกลางมานานแล้ว   แต่เธอยังไม่มีเครดิตพอที่จะลงทุนด้วยตัวเอง  แม้ว่าเธอจะมีเงินทุนหนาขนาดไหนก็ตาม  เธอจำเป็นต้องร่วมทุนกับใครสักคนที่เป็นที่เชื่อมั่นในวงการนี้  และพี่ฮั่นคือความหวังของเธอ 

รองประธานเงียบไปอย่างกำลังใช้ความคิด  เฌอเบลล์พูดถูกทีเดียว  นี่เป็นโอกาสที่ดีมากที่จะได้เจรจาธุรกิจ  เขารู้ว่าเฌอเบลล์ต้องการโอกาสนี้มากแค่ไหน  เขาเองก็เช่นกัน 

ในที่สุดเฌอเบลล์ก็ยิ้มออกเมื่อพี่ฮั่นตกลงไปปาร์ตี้  และคนที่ไม่เคยห่างพี่ชายเลยในช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน

-------------------------------------




แสงแดดยามสายลอดผ่านผ้าม่านบางเข้ามากระทบใบหน้าคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง  พีทรู้สึกตัวตื่นเมื่อสายมากแล้ว  เขาขยับตัวช้า ๆ เพราะปวดหัวจี๊ดทันทีที่ตื่นนอน  เมื่อหันมองรอบกายก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนพี่ฮั่น  เมื่อคืนเขากลับถึงบ้านเมื่อไรก็ไม่รู้ตัว  จำได้แค่ว่าถูกพี่แคนบังคับให้ดื่มเป็นเพื่อน

พี่แคนยังคงกลุ้มอกกลุ้มใจเรื่องคู่หมั้นตัวเอง  เกรซเลิกหลบหน้าพี่แคนแล้ว  เธอกลับไปทำตัวตามปกติ  พูดคุยกับพี่แคนอย่างสุภาพ  แต่กลับทำให้พี่แคนกลุ้มใจกว่าเดิมเพราะยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเกรซแค่ทำไปตามหน้าที่เท่านั้น

พีทก็ไม่อยากจะดื่มหนักเหมือนกัน  แต่คนบางคนทำให้เขาหงุดหงิดจนเผลอดื่มไปหลายแก้ว



หลังจากเฌอเบลล์กับพี่ฮั่น ‘เจรจาธุรกิจ’ กันเรียบร้อยแล้ว    สาวสวยกลุ่มใหญ่เพื่อนของเฌอเบลล์ก็เข้าไปรุมล้อมโต๊ะใหญ่ที่มีลูกชายของผู้นำประเทศตะวันออกกลาง ไรอันและเพื่อนอีกสองสามคนรวมทั้งพี่ฮั่นด้วย

พวกหนุ่ม ๆ และพี่ฮั่นนั่งอยู่ท่ามกลางสาวสวยเพื่อนของพี่เฌอเบลล์ตลอดคืน  เขาได้แต่เฝ้ามองไปที่กลุ่มสาว ๆ ที่คลอเคลียพูดคุยกับพี่ฮั่นอยู่ไม่ห่าง  หนุ่ม ๆ ในโต๊ะนั้นก็เฮฮาสนุกสนานกับสาวสวยในกลุ่ม

เพิ่งรู้ว่าพี่ฮั่นคุยเก่งขนาดนี้  สาวสวยที่ล้อมรอบพี่ชายของเขาหัวเราะร่าเริง  แม้เขาจะรู้ว่าพี่ฮั่นเป็นคนที่เข้ากับคนได้ง่ายแต่ก็อดเคืองไม่ได้อยู่ดี 

จากที่เฉย ๆ ทำให้เขาเฉยแทบไม่ไหว  ตลอดทั้งคืนเขาเอาแต่รู้สึกไม่พอใจ  ไม่อยากให้พี่ฮั่นอยู่กับใคร  เขาคิดว่าเขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพี่แคนเวลาเห็นเขากับเกรซอยู่ด้วยกันแล้ว  มันไม่สนุกเลยที่ต้องเก็บความรู้สึกพวกนี้ไว้

พีทพยายามกดความไม่พอใจของตนเองไว้  พยายามไม่คิดมาก เขาไม่ได้อยากมางานแบบนี้เลยแต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้พี่ฮั่นมาคนเดียว  เขารู้ว่าพี่ฮั่นไม่พอใจที่เขาตามติดตลอดเวลา  แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาคิดออก  คุณปู่คงจะลงมือได้ยากขึ้นถ้าเขายังคงวนเวียนอยู่ใกล้พี่ฮั่น 

เขากับพี่แคนนั่งชนแก้วกันไปเงียบ ๆ เหมือนต่างคนก็ต่างจมอยู่กับความคิดของตน  นานทีก็หันมาคุยกันสักประโยค 

“แคน น้องพีท ขอนั่งด้วยคนนะคะ” 

สาวสวยในชุดเดรสรัดรูปสีดำสั้น  คว้านคอลึกโชว์เนินอกอวบอิ่ม เอ่ยขออนุญาตสองหนุ่มในโต๊ะ แคนเงยหน้าขึ้นทักเฌอเบลล์พลางเชื้อเชิญให้นั่ง  แต่ร่างอวบอิ่มนั้นกลับเดินอ้อมมานั่งข้างเขา

“ทำไมมานั่งกันสองคนล่ะคะ  ไม่ไปคุยกันตรงโน้น” เฌอเบลล์บุ้ยใบ้ไปทางโต๊ะใหญ่ที่พี่ฮั่นนั่งอยู่ท่ามกลางสาวสวยมากหน้าหลายตาที่เฝ้าเอาอกเอาใจไม่ขาด 

“พอดีพี่แคนกลุ้มใจนิดหน่อยครับ  ผมเลยมานั่งเป็นเพื่อน” 

พี่แคนเลิกคิ้วตัวเองเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น  พีทบอกว่าพี่แคนกลุ้มใจ  แต่ตัวเขาเองก็หน้าบูดไม่แพ้พี่แคนเหมือนกัน  แล้วเขาก็รู้ว่าพี่แคนดูออกว่าเขาไม่พอใจที่พี่ฮั่นแยกไปนั่งกับสาว ๆ ด้านโน้น

เมื่อมีคนอื่นมาร่วมวงด้วยบทสนทนาจึงเปลี่ยนมาเป็นเรื่องทั่วไป  เฌอเบลล์ทำให้พวกเขาสองคนร่าเริงขึ้นเพราะเธอเป็นคนคุยสนุกและมีอารมณ์ขัน  ไม่นานสองหนุ่มก็ร่วมหัวเราะไปกับบทสนทนาเรื่องไร้สาระมากมายที่เฌอเบลล์สรรหามาคุย  แคนเหมือนจะลืมเรื่องกลุ้มใจไปได้ชั่วคราวเมื่อเปลี่ยนมาเป็นคนเล่าเรื่องตลกบ้าง  พีทก็ลืมความขุ่นใจจากคนบางคนไปได้เช่นกัน

ยิ่งพวกเขาคุยกันถูกคอมากเท่าไรพวกเขาก็ยิ่งชนแก้วกันบ่อยขึ้น  พีทไม่รู้เลยว่าเขาเมาตอนไหนและกลับบ้านมาได้อย่างไร




หนุ่มน้อยดึงผ้าห่มออกจากตัว  เห็นทีต้องลุกแล้ว 

“เฮ้ย?!!”





“พี่ฮั่น  พี่ฮั่น” 

เสียงลงบันไดโครมครามทำให้คนที่นั่งเหม่ออยู่หน้าทีวีที่ชั้นล่างรู้ตัว  มือใหญ่คว้ารีโมทมากดเปิดทีวีทันเวลาเมื่อพีทลงบันไดมาถึง

“เมื่อคืนผมมานอนได้ไงอ่ะ  แล้วทำไมผมเหลือบ๊อกเซอร์ตัวเดียวล่ะ” 

พีทที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วลงมาตามหาพี่ฮั่น   เขาตกใจที่ตื่นมา  เขาเหลือบ๊อกเซอร์แค่ตัวเดียว  แล้วเมื่อคืนเขาจำอะไรแทบไม่ได้เลย

“พีทคงเดินมาเองมั้ง” 

พี่ฮั่นว่า  หน้าตานิ่งเฉยแต่ไม่มองที่เขาเลย   พีทชะงักคำถามเรื่องเมื่อคืนเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น

“พี่ฮั่น  โกรธอะไรผมเหรอ”  ว่าแล้วก็ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้นวมข้างพี่ชาย

“เปล่า”  ปากว่าเปล่า  แต่พี่ฮั่นกลับหันหน้าหนี

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ  พี่ฮั่นกดรับโทรศัพท์แล้วเดินออกไปคุยด้านนอกทิ้งให้เขานั่งงงอยู่ที่เดิม  เขานั่งรอพี่ฮั่นโทรศัพท์อยู่นานก็ไม่เห็นพี่ฮั่นกลับมา  พีทออกเดินตามหาพี่ฮั่นจนทั่วบ้านก็ไม่เจอ 

หนุ่มน้อยเดินไปทรุดตัวลงนั่งหย่อนเท้าแช่น้ำที่ชานหน้าบ้าน  รู้สึกอ้างว้างขึ้นมาแค่พี่ฮั่นทำท่าไม่สนใจ  ทำเมินเฉยกับเขา  แม้จะพยายามคิดทบทวนว่าคืนที่ผ่านมาเขาทำอะไรให้พี่ฮั่นไม่พอใจรึเปล่า  แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก  พี่ฮั่นต่างหากที่ทำให้เขาไม่ชอบใจ 

‘ตัวเองทิ้งน้องไปนั่งกับคนอื่นแท้ ๆ  ยังจะมาโกรธเขาได้ไง’

เสียงโทรศัพท์เขาดังขึ้น   พีทประหลาดใจไม่น้อยที่คนที่โทรมาคือเฌอเบลล์

“พี่เบลล์มีธุระอะไรรึเปล่าครับ”

“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ เมื่อกี้พี่โทรหาพี่ฮั่นตั้งใจจะชวนน้องพีทกับพี่ฮั่นไปทานข้าวเย็นแต่พี่ฮั่นบอกว่าน้องพีทไม่สบาย  พี่ก็เลยโทรมา  ดีขึ้นรึยังจ๊ะ” 

‘หือ? เขาไม่สบาย  ตอนไหนกัน?’   แม้จะงุนงงแต่พีทก็เออออตามที่พี่ฮั่นว่า 

เฌอเบลล์ชวนคุยอยู่สักครู่จึงวางสายไป 

“สวีทกันจังนะ”

พีทสะดุ้งที่ได้ยินคำพูดนั้น  เขาหันกลับไปรวดเร็วแต่พี่ฮั่นเดินเข้าบ้านไปแล้ว  เห็นแค่แผ่นหลังกว้างของพี่ชายที่ลับหายไป  เขารีบลุกขึ้นตามไปทันที

“พี่ฮั่น คุยกันหน่อย”  พีทเดินตามไปทันพี่ฮั่นที่หน้าห้องนอน  เขาคว้าไหล่พี่ฮั่นให้หันกลับมา 

พี่ชายยอมหันหน้ามาสบตาเขาสักที  แต่ดวงตากร้าวที่มองมาแสดงความไม่พอใจชัดเจน

“พีท  พี่ขอเตือนให้อยู่ห่างเฌอเบลล์ไว้นะ”

“ทำไมครับ”  เขาถามอย่างสงสัย  มันเรื่องอะไรกัน  ทั้งเรื่องที่พี่ฮั่นบอกเฌอเบลล์ว่าเขาป่วยและเรื่องที่ห้ามเขาอยู่ใกล้เฌอเบลล์

“ทำอะไรลงไปยังไม่รู้ตัวอีกรึไง!”

คนเป็นพี่สะบัดเสียงใส่แล้วดึงตัวเขาเข้าไปในห้อง   แรงดึงนั้นทำให้คนน้องถึงกับนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ  พี่ฮั่นเดินไปหยิบเสื้อในตะกร้าโยนไปบนเตียงแล้วหันหน้าไปมองทางอื่น

“เอ้า  ดูซะ!” 

พีทจำเสื้อตัวนั้นได้ทันทีเพราะเป็นเสื้อที่เขาใส่เมื่อคืนนี้   เขาก้าวไปหยิบเสื้อตัวนั้นขึ้นมา  พลิกดูจนกระทั่งเห็นรอยสีแดงจาง ๆ เปื้อนบริเวณปกเสื้อเชิ้ตหลายจุด

รอยลิปสติก! 

มีได้ยังไง เขาจำไม่ได้จริง ๆ

พีทพยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา  เมื่อคืนเขานั่งอยู่กับพี่แคนและเฌอเบลล์  หรือว่า....

“พี่ฮั่น ผมจำไม่ได้จริง ๆ ผมไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นนะ”  พีทหน้าเสียไปเพราะไม่รู้ว่ารอยพวกนี้มาอยู่ที่เสื้อเขาได้ยังไง   

“นายจำไม่ได้แล้วรู้ได้ยังไงว่าไม่ได้ทำ!” พี่ฮั่นย้อนกลับ  หน้าตาน่ากลัว

“แต่...”  เกิดความลังเลในน้ำเสียงเมื่อเขาหาคำแก้ตัวไม่ออก

“นายอย่ามาแก้ตัว  แล้วพี่ขอเตือนให้อยู่ห่าง ๆ เฌอเบลล์ไว้  ถ้านายไม่อยากถูกปั่นหัว  ไม่อยากเสียใจเหมือนผู้ชายทุกคนที่เฌอเบลล์คบแล้วทิ้ง”  เสียงพี่ฮั่นเหมือนคนที่พยายามข่มความโกรธไว้แล้วแต่ก็ยังขุ่นเคือง

“ผมไม่มีทางคิดอะไรกับเฌอเบลล์หรอก”  เขาย้ำ

พีทพยายามจะมองสบตาพี่ชายเพื่อยืนยันคำพูด  แต่พี่ฮั่นไม่ยอมสบตาเขา  ใบหน้าด้านข้างที่เขามองเห็นมีแต่ร่องรอยความโกรธ

“ไม่คิดงั้นเหรอ  ไม่คิดแล้วรอยพวกนั้นมันมาได้ยังไงล่ะ!....”

“เด็กอย่างนายจะไปรู้ทันอะไรกับเล่ห์เหลี่ยมคนเสน่ห์แรงอย่างเฌอเบลล์  ยังไม่ทันไร.....” 

“พี่อย่ามาว่าผมดีกว่า”  พีทสวนกลับ  เริ่มโกรธขึ้นมาบ้างเพราะเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด

“พี่ยังทำได้เลย  พี่หวงเฌอเบลล์ใช่ไหมล่ะคน ‘คุ้นเคย’ กันนี่”  เขาเน้นคำว่าคุ้นเคย  ขณะเดียวกันก็เจ็บปวดเพราะคำนั้น

“พีท! พี่บอกว่าเบลล์เป็นเพื่อน”  คนเป็นพี่เริ่มเสียงดังขึ้นบ้าง  ยิ่งพีทย้อนเขา  ยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้น

“เพื่อนเหรอ!  เพื่อนที่ไหนเขาจูบกันในห้องทำงานล่ะ  ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้วทำไมพี่จะต้องโมโหด้วยล่ะ  ถ้าผมกับเฌอเบลล์จะทำแบบนี้!!”

เขาชูเสื้อในมือประกอบคำพูดตัวเอง  ใบหน้าท้าทาย 

“พีท!!!...”

พี่ชายก้าวเข้ามารวดเร็วเหมือนคุมอารมณ์ไม่อยู่แต่ก็หยุดเท้าไว้ได้ทันตรงหน้าเขา  พีทตกใจที่พี่ฮั่นก้าวพรวดเดียวมาอยู่ตรงหน้า  เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งแต่ยังคงจ้องตาพี่ฮั่นอย่างท้าทาย   ตาต่อตาจ้องมองกันด้วยแรงโทสะ  เขาเห็นพี่ฮั่นกัดฟันแน่นจนเป็นสันนูน  ราวกับต้องข่มอารมณ์อย่างมาก 

“ได้!!!  ถ้านายอยากรู้นัก  พี่จะบอกก็ได้ว่าพี่กับเฌอเบลล์คบกันอยู่  ห้ามนายเข้าใกล้เฌอเบลล์อีก  คราวนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม!”

-----------------------------------------


ดราม่านิดหน่อยนะคะ :mew1:


ขอบคุณคุณมิน coffeeQbread คนแต่งเรื่อง ดอกฟ้ากับหมาวัดที่ช่วยแนะนำนิยายของเรานะคะ  ยินดีมาก ๆ ค่ะ 


ตอบคุณ blanchard

ตอนที่เขียนเริ่มต้น  เรานึกไปถึงบรรยากาศคุณชายประมาณ F4 ค่ะ  แบบคนรวยอ่ะ  บ้านใหญ่ มีซูเปอร์คาร์  คนรับใช้  เสื้อผ้าแบรนด์เนมอะไรประมาณนี้  สถานที่ก็เลยไม่ระบุชัดเจนเลยสักที่  ชื่อตัวละครก็เลยออกแนวจีนปนฝรั่ง  ประมาณฮ่องกง ใต้หวัน  อะไรประมาณนี้ค่ะ

ก็ไม่รู้ว่าคนอ่านจะรู้สึกตามรึเปล่า หรืออ่านไปแล้วมันติดขัดตรงไหนก็บอกได้ค่ะ


ฝากให้ช่วยติดตามต่อไปนะคะ  เฌอเบลล์จะทำอะไรหว่า...
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 13-09-2014 20:38:30
หึงใครทำไมไม่บอกกันไปตรงๆ ล่ะ
เดาผิดไปผิดมากันอย่างนี้ เป็นบ่อเกิดดราม่าในตอนต่อไปสินะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 13-09-2014 22:12:49
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:ตูเครียดดดดดดดดดดดด :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 13-09-2014 22:35:40
ขอบคุณคุณ Tigerintherain ที่ให้ความกระจ่างเรื่อง Setting...  แอร๊ยยย.. คิดถึงคุณชายฮัวเจ๋อกับเต้าหมิงซื่อ!!!

เมื่อก่อนกรี๊ดเอฟซื่อ ถึงขนาดไปลงเรียนจีนกลางเลย ติ่งมากอะเรา    :try2:


กลับเข้าเรื่อง...  ทำไมไม่คุยกันดี ๆ อะทั้งพี่ทั้งน้องเลย ประชดประชันกันไปมา เดี๋ยวก็เลยเถิดกันไปใหญ่

ยัยเบ๋วชีก็ได้ใจใหญ่ ปั่นหัวคนพี่ จูงจมูกคนน้อง

มันจะเป็นอย่างไรต่อนิ???

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: kjkjji ที่ 14-09-2014 08:15:46
เหย คนพี่อาการชัดมากนะ  :a5:
ทำไมเราอ่านแล้วรู้สึกเหมือนพี่ฮั่นแกรู้ใจตัวเองแล้วเลย? แบบหวงหนักขนาดนี้ไม่ใช่พี่น้องแล้วม้างงงงงงง
ไม่รู้ตัวอีกก็ไปไถกลบข้าวเลยเฮีย
คือเราชอบเบลล์นะ ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นมันต้องมีมือที่สามอ่ะไม่งั้นคงไม่ไปถึงไหนกัน
แบบหวงกันไปหึงกันมา รักกันซะแระ :z1: ปากแข็งกันเหลือเกิ๊น
แต่อีกมุมก็เดาเจตนาเธอไม่ออกเหมือนกัน เหมือนจะดูความสัมพันธ์ออกแล้วเลยไม่รู้ว่าที่ทำอยู่เนี่ย ตั้งใจยุให้พี่น้องแกรู้ใจกันสักทีหรืออยากได้คนน้องจริงๆ ถ้าเป็นอย่างหลังคือ  :katai1: :katai1: :katai1:

แต่ตอนนี้ขอ   :z6: พี่ฮั่นสักทีเถอะ พูดอะไรออกไปยะ!!
เดี๋ยวยุให้คุณปู่พาน้องหนีไปเรียนต่างประเทศซะเลย โมโห ฮึ่ยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: thyme812 ที่ 14-09-2014 22:47:41
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 15-09-2014 10:38:00
พี่ฮั่น พี่พูดอะไรออกมารู้ตัวป่ะวะเนี่ย น้องเสียใจนะ  :z3: :z3:

มีอะไรหันหน้าเคลียร์กันตรง ๆ เหอะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 15-09-2014 23:12:20
ยังตามอ่านไม่ทัน
สนุกมาก พี่ฮั่นตามใจน้องสุดๆ
แอบแว่บไปตอนล่าสุด....แต่ตอนล่าสุดนี่ อ๊ากกก อิพี่ไปพูดแบบนั้นกะน้องทำไม เง้อ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 16-09-2014 08:19:56
โอ้ยอยากเอาอิโต้เฉาะหัวพี่ฮั่น

หึงน้องก็บอกว่าหึงน้องสิ

ทำให้เรื่องบานปลายเลย อู้ววว

ตอนนี้รู้สึกสงสารน้อง
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: cross ที่ 16-09-2014 13:42:55
น้องพีทของพี่ มาหาพี่มา อย่าร้องนะลูกก
อยากตบอิพี่จริงๆให้ตายเหอะ
สงสารน้องอ่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 17-09-2014 01:49:21
:-)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 17-09-2014 07:53:25
เดาไม่ผิดจริงๆ จะไปรักมันทำไมไอ้พี่ชายเฮงชวยแบบนั้น รู้ไว้นะพีคคนอย่างไอ้ฮั่นรักใครจริงไม่เป็นหรอก เรื่องที่มันทำมันทำเพื่อตัวเองทั้ง คนเห็นแก่ได้แบบนั้นไปหลงรักมันได้ยังไงว่ะไม่เข้าใจเลย เหมือนรักแท้แพ้ความต้องการเลยว่ะฮั่น ถึงปากจะบอกว่ารัก แต่ก็ยังไปมีสัมพันธ์กับคนอื่น ก็อย่างที่บอกไอ้ฮั่นมันก็ผู้ชายเลวๆคนหนึ่ง เหมือนที่ผู้ชายทั่วไปคนหนึ่ง เมื่อเสนอมา ก็สนองตอบ ประมาณนั้น รับทราบไหมพีท นายรักคนผิดแล้ว
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 37 หน้า 5 อัพเดต 13/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 17-09-2014 20:47:19

38. ภาวะตึงเครียด



คนที่พูดออกไปเพราะความโกรธทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างแรง ถอนหายใจเฮือกใหญ่  รู้สึกเสียใจทันทีที่พูดออกไปเมื่อเห็นดวงตาเจ็บช้ำของน้องชาย

นี่เขาเป็นอะไร  ทำไมถึงควบคุมตัวเองได้ยากนัก  เมื่อก่อนเขาคิดว่ามันคงจะ ‘พอไหว’ แต่เมื่อเจอของจริงเข้า  เขาก็แทบคุมตัวเองไม่ได้  แค่เห็นเฌอเบลล์นั่งคุย  หัวเราะกับพีทในสวนหลายวันก่อนก็ทำเอาเขาข่มอารมณ์ไว้แทบไม่ไหว   

ภาพสองหนุ่มสาวนั่งในซุ้มกุหลาบสีขาวดูคล้ายกับคู่รักที่เหมาะสมกำลังหยอกล้อกัน  มันเป็นภาพที่สวยงามสำหรับใครอื่นที่เฝ้ามองอยู่ แต่เขากลับต้องกล้ำกลืนความจริงนี้ลงไปอย่างอยากลำบาก  เขารู้ว่าพีทไม่ผิดเลยแม้แต่น้อยและมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะทำแบบนั้น 

เขา...เขาต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด

ได้แต่ทนเก็บความไม่พอใจของตัวเองไว้เพราะรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความผิดของใครเลย  เขาเองต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายควบคุมตัวเอง  แม้ว่าจะเห็นเฌอเบลล์พูดคุยกับพีทอย่างสนิทสนมก็ต้องอดทน

แต่เมื่อคืนเฌอเบลล์กลับทำให้เขาแทบคลั่ง  แค่คิดมือเขาก็กำแน่น หันไปชกหมัดลงกับหมอนอย่างแรง 

เขาถูกเพื่อนผู้หญิงของเฌอเบลล์เข้ามารุมล้อมโดยไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสปฏิเสธ  สาวสวยทั้งกลุ่มมีเรื่องชวนให้เขาพูดคุยชนแก้วทั้งคืน ได้แต่แอบมองไปที่โต๊ะที่พีทนั่งดื่มกับแคนอย่างเป็นห่วงที่ปล่อยให้น้องต้องนั่งโดดเดี่ยวกับแคน   

ไม่นานเฌอเบลล์ก็ทำให้เริ่มรู้ว่าเขาเสียท่าแม่สาวจอมวางแผนเสียแล้ว  เฌอเบลล์ให้เพื่อนสาวทั้งกลุ่มมาคอยรุมเขาแล้วตัวเองก็หลบไปโปรยเสน่ห์ใส่น้องชายของเขา  ต้องอดทนอย่างมากที่เห็นพีท  แคน  และเฌอเบลล์พูดคุยกันอย่างออกรส ในขณะที่เขาไม่อยากคุยกับใครเลยแต่ก็ต้องพยายามรักษามารยาท     

พีทดื่มหนักกว่าปกติ  เลิกปาร์ตี้แล้วเขาต้อง ‘หิ้ว’ พีทที่เมาจนคอพับคออ่อนออกจากงานปาร์ตี้มาจนถึงบ้าน  พีทเมาไม่รู้ตัวสักนิด 

ต้องข่มความโกรธแทบตายเมื่อเห็นรอยลิปสติกทั้งที่ปาก  แก้ม ต้นคอ แม้กระทั่งเสื้อเชิ้ต! 

เฌอเบลล์ทำอย่างที่เขากลัวจริง ๆ  เธอเป็นคนมีเสน่ห์ใครก็ชอบอยู่ใกล้  และถ้าเธอตั้งใจจะหว่านเสน่ห์ให้ใครแล้ว....ไม่มีคำว่าพลาด!

ไม่รู้ว่าเมื่อคืนพีทกับเฌอเบลล์ทำอะไรไปถึงไหน  เขาได้แต่คิดฟุ้งซ่านทั้งคืนตั้งแต่เห็นรอยลิปสติกบนหน้าน้อง

“โธ่โว้ย!”  มือใหญ่ทุบที่นอนข้างตัวซ้ำไปซ้ำมา

แล้วเมื่อกี้เฌอเบลล์ยังโทรนัดพวกเขาออกไปข้างนอกอีก  ฮั่นถอนหายใจกับตัวเองอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับความรู้สึกนี้   ต้องข่มอารมณ์มากเพียงใดกว่าจะตัดสินใจ ‘เคลียร์’ กับเฌอเบลล์ 



เขาเรียกเฌอเบลล์ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เธอจะวางสาย

“เบลล์  พี่มีเรื่องคุยด้วย” 

“เรื่องน้องพีทใช่ไหมคะ”

เฌอเบลล์ตอบกลับมาทันทีราวกับรู้อยู่แล้วว่าเรื่องคุยของพี่ฮั่นจะเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้  นอกจากเรื่องที่เธอ ‘ลงมือ’ ไปเมื่อคืน

“ใช่ เบลล์ทำแบบนี้หมายความว่าไง” เขาพยายามทำน้ำเสียงปกติที่สุดแต่ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงขุ่นเคืองขนาดไหน

“เบลล์เคยบอกพี่ฮั่นไปแล้วนี่  ว่าเบลล์สนใจน้องชายพี่ฮั่น” เธออ้าง

“แต่เราตกลงกันแล้ว!”   

“ทำไมล่ะคะ ถ้าน้องพีทเขาเป็นฝ่ายสนใจเบลล์เอง พี่ฮั่นจะว่าอะไรได้”  น้ำเสียงที่ตอบกลับไม่แคร์สักนิด 

“เบลล์!” 

“พี่ฮั่นจะโกรธทำไมคะ เป็นห่วงน้องพีทหรือว่าหึงน้องพีทกันแน่”  เสียงหัวเราะร่วนอย่างชอบใจของเฌอเบลล์ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์

“เบลล์  พูดอะไร”  เขาตกใจกับคำพูดนั้น  มือกำโทรศัพท์แน่นจนเกร็ง

“อย่ามาทำกลบเกลื่อนเลยค่ะ เบลล์ดูออกน่าว่าพี่ฮั่นรักใคร หรือต้องให้พูดคะ พี่ฮะ....”

เขาเขวี้ยงโทรศัพท์ในมือทิ้งทันทีก่อนที่จะได้ยินประโยคถัดมา  ร่างกายหอบด้วยอารมณ์โกรธเหมือนคนเพิ่งไปวิ่งรอบสนามสักสิบรอบ กำมือแน่นแล้วเดินกลับไปที่บ้านริมสระ 

โทรศัพท์ราคาแพงกระเด็นกระดอนไปไกล  ลุงหวัง ยามเก่าแก่ของบ้านที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักเดินไปเก็บโทรศัพท์ขึ้นมา  ตัวเครื่องแค่เป็นรอยแต่ยังไม่แตกหักอะไร  หน้าจอเพียงแค่ดับไป  ยังได้ยินเสียงเฌอเบลล์ดังแว่วออกมาจากโทรศัพท์ 

------------------------------------




พีททิ้งตัวบนเตียงอย่างแรง  ดวงตาจับจ้องที่โคมไฟบนเพดาน 

เจ็บ!  พี่ฮั่นกับเฌอเบลล์  ตั้งแต่เมื่อไร?  แล้วมาบอกว่าเป็นเพื่อนกันทำไม?


“ไม่เอาน่า พี่ไม่ได้คบกับเฌอเบลล์ซะหน่อย ก็บอกแล้วไงว่าเบลล์เป็นเพื่อน  เป็นแค่หุ้นส่วน”   

“พี่ไม่คิดเรื่องนี้หรอก  ตอนนี้พี่คิดแต่เรื่องงาน.....”



คำพูดพวกนั้นของพี่ฮั่นคงเป็นแค่ลมปากสินะ

พี่ฮั่นโกหก! 

เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ฮั่นถึงไม่เคยพอใจเลยเวลาเขาพูดคุยกับเฌอเบลล์   พวกเขาเคยคบกันนี่นะ จะยังมีเยื่อใยกันอยู่ก็คงไม่แปลก 

พีทยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้
 
เจ็บ เจ็บไปหมด

เขาโทรหาเฌอเบลล์ทันทีที่ตั้งสติได้เพื่อสอบถามความจริง  แต่เธอไม่รับโทรศัพท์  แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

-------------------------------------



 
หลังจากที่เขากับพี่ฮั่นทะเลาะกันเมื่อตอนสาย  พวกเขาต่างก็หลบหน้ากันทั้งที่ปกติวันหยุดแบบนี้เขากับพี่ฮั่นมักไปออกกำลังกายที่บ้านใหญ่  บางทีก็ออกไปกินข้าวหรือดูหนังด้วยกันเสมอ   

พ่อกับคุณโรสที่อุตส่าห์หาเวลาว่างมากินข้าวเย็นที่บ้านด้วยก็เอาแต่เฝ้ามองมาที่พวกเขาที่นิ่งเงียบอย่างสงสัยที่พวกเขาไม่พูดคุยกันเหมือนปกติ 

หลังอาหารเย็น  พีทจึงมีโอกาสเข้าไปคุยกับพ่อเป็นการส่วนตัวในห้องทำงาน 

พ่อจัดคนไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่คฤหาสน์ของคุณปู่แล้ว  พ่อพูดกับเขาด้วยความหนักใจไม่แพ้กัน   ทั้งที่พ่อก็เหนื่อยไม่น้อยจากการเดินสายหาเสียงอย่างหนัก  ต้องระวังตัวเองจากการถูกลอบทำร้ายจากพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามและคู่แข่งอีกหลายราย  และยังต้องมาหนักใจเรื่องคุณปู่อีก   

พวกเขาคุยกันสั้น ๆ  ใช้เวลานั้นถ่ายทอดความห่วงใยระหว่างกัน   พ่อก็ห่วงพี่ฮั่นไม่แพ้เขา

เพราะพวกเราเป็น  ‘ครอบครัวเดียวกัน’




นานเท่าไรไม่รู้  เสียงจากโทรศัพท์ทำให้พีทที่เผลอหลับสะดุ้งตื่น  ความง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้งเมื่ออ่านข้อความที่ส่งมา
 
เวลานี้เกือบสี่ทุ่มแล้ว  พีทออกไปเจอเคนที่โรงรถใต้ดินที่บ้านใหญ่ และกลับเข้าบ้านริมสระมาด้วยความหนักใจกว่าเดิม  ใบหน้าเคร่งเครียดโดยไม่รู้ตัว  เดินเข้าบ้านเชื่องช้าเพราะครุ่นคิดถึงข่าวที่ได้รับมาเมื่อครู่

ข่าวที่ได้รับจากเคนไม่เคยทำให้เขาสบายใจได้เลย  คราวนี้มีคนน่าสงสัยติดตามพวกเขามาตั้งแต่เมื่อวานแต่ไหวตัวทัน  หนีไปก่อนที่เคนจะจับได้  เคนกำลังให้คนของเขาตามสืบอยู่อย่างเร่งด่วน  เคนเองก็ร้อนใจไม่แพ้กันถึงต้องรีบมาบอกข่าวก่อน  ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปต้องมีการเพิ่มจำนวนยามรอบบ้านมากขึ้นอีก

ทำไมเรื่องราวมันถึงได้หนักหนาขนาดนี้  ตอนค่ำพ่อเพิ่งบอกเขาว่าส่งคนไปเฝ้าดูที่คฤหาสน์ของคุณปู่แล้ว  แต่นี่กลับมีมือปืนตามประกบพวกเขาอยู่

พีทคิดมากจนปวดหัวแทบระเบิดอยู่แล้ว  เขาอยากจะตะโกนระบายความอัดอั้นที่สะสมอยู่ภายใน   อยากระบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องทนเก็บไว้   อยากตะโกนใส่หน้าพี่ชายสักทีว่าเขาไม่ได้อยากยุ่งกับเฌอเบลล์สักนิด ไม่อยากตามไปไหนที่พี่ฮั่นไปกับเฌอเบลล์  แต่เขาเลี่ยงไม่ได้  เขาทำไม่ได้  เขาไม่มีวันยอมเสี่ยงให้พี่ฮั่นถูกลอบทำร้ายอีกเป็นอันขาด 

เพราะมัวแต่คิดจึงไม่รู้ตัวว่าเดินมาถึงหน้าห้องนอนตัวเอง 

“พีท ออกไปไหนมา” 

เสียงพี่ฮั่นทำให้มือที่กำลังจะเปิดประตูห้องตัวเองชะงัก  หัวใจกระตุกวูบ   เขาหันกลับไปเห็นพี่ฮั่นยืนกอดอกพิงตัวกับกรอบประตูห้องนอนฝั่งตรงข้าม  ดูเหมือนว่าพี่ฮั่นยืนรอเขาอยู่  เมื่อกี้เขาไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย

“ผม...ผมไปเดินเล่น”  เขาตอบแล้วหลบตาที่จ้องอย่างจับผิด

“แล้วคุยอะไรกับเคน”   พี่ฮั่นถามเขาเสียงแข็ง

‘พี่ฮั่นเห็น?’ 

'อะไรเนี่ย  พี่ฮั่นเห็นเขาเดินออกมาจากบ้านใหญ่กับเคนตั้งแต่เมื่อไร?'

พีทตกใจแต่พยายามควบคุมตัวเองให้เป็นปกติที่สุด   คิดหาคำตอบวุ่นวาย 

“เอ่อ  ไม่ ไม่มีอะไรครับ  พอดีผมเจอเคนเข้าเวรพอดี  เลยแวะทักทาย”   

“นึกว่ามีความลับอะไรที่ต้องแอบไม่ให้พี่รู้ซะอีก”

คนที่ยืนพิงกรอบประตูนั้นพูดขึ้นลอย ๆ  แม้พีทจะไม่เห็นหน้า   แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าพี่ฮั่นกำลังจ้องเขม็งมาที่เขา

“ผมไปนอนก่อนนะ”  เขาตัดบทดื้อ ๆ ขืนอยู่ให้พี่ฮั่นซักต่อ  พี่ฮั่นต้องรู้จนได้แน่  พีทหนีเข้าห้องตัวเองทันที

“พี่!!.....”   

พี่ฮั่นกลับคว้าแขนเขาไว้แล้วดึงเข้าไปห้องนอนฝั่งตรงข้าม  พีทถูกลากมาจนถึงเตียง  พี่ฮั่นผลักเขาให้ทรุดนั่งบนเตียง  พีทขยับตัวไปที่ริมเตียงอีกด้านหนึ่งเมื่อพี่ฮั่นนั่งลงบนเตียงตาม   ก่อนที่เขาจะทำอะไรพี่ฮั่นก็คว้าไหล่เขาไว้แล้วกดให้นอนลง

“นอนสิ  แค่พี่ห้ามไม่ให้ยุ่งกับเฌอเบลล์นี่โกรธจนต้องหนีไปนอนห้องตัวเองเลยเหรอ  ไหนบอกว่าไม่มีทางคิดอะไรไงล่ะ  ถ้าพี่ไม่ให้เข้าใกล้เฌอเบลล์ทำไมต้องโมโห!!” 

ประโยคประชดประชันนั้นทำให้พีทชะงัก 

มันอะไรกันนักหนาแค่เรื่องของคุณปู่ก็เหนื่อยมากพอแล้ว  นี่พี่ฮั่นยังมาหาเรื่องเขากับเฌอเบลล์อีก 

เขาจะทนไม่ไหวแล้วนะ!

“ผมเคยบอกพี่แล้วว่าผมไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเฌอเบลล์  แล้วผมจะบอกให้นะ ถ้าพี่อยากทำอะไรกับเฌอเบลล์ก็ทำไปเลย  เชิญตามสบายผมไม่สนใจ!” 

เขากระแทกเสียงบ้าง  พี่ฮั่นอยากจะทำอะไรก็เชิญเลย  เขาจะไม่สนใจอีกแล้ว   
 
“ขอให้จริงเถอะ  แล้วอย่าให้พี่เห็นอีกนะว่าแอบไปทำอะไรกันลับหลัง” พี่ฮั่นตอบกลับท่าทางหงุดหงิดเหมือนกัน

“ผมจะไปนอนห้องผม!!”  พีทลุกพรวดพราดขึ้นทันที  ทนไม่ไหวแล้ว   

“ไม่ต้องไป!!  นอนนี่แหละ” 

เขาถูกคว้าแขนไว้  พี่ฮั่นกระชากเขาให้ลงมานอนที่เตียงตามเดิม  พีทเสียหลักล้มลงไปบนเตียง  พยายามจะดึงตัวออกแต่พี่ฮั่นยังจับแขนไว้แน่น

หยุดนะ!!!!” 

พี่ฮั่นตวาดเสียงเฉียบขาดทำให้เขาชะงัก  ร่างกายที่พยายามจะลุกขึ้นกลับนิ่งไป  ดวงตาที่มองมาไม่ได้มีความอ่อนโยนอีกต่อไป  กลับเต็มไปด้วยความโกรธ 

พีทได้แต่ชะงักงันกับสายตานั้น  ดวงตาที่มีอำนาจต่อเขาเสมอ  แรงบีบที่แขนเปรียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดที่บีบคั้นใจเขาตอนนี้

เขาทิ้งตัวลงบนเตียง  หันหน้าไปอีกทาง  หลับตาแน่น  ไม่เคยคิดว่าตัวเองอ่อนแอมากขนาดนี้

แต่ตอนนี้พีทปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่สนใจอะไรอีกแล้ว 

----------------------------------


 :hao5: :hao5: :hao5:


ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

 :mew1:




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 38 หน้า 5 อัพเดต 17/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 17-09-2014 20:53:43
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:ตูเครียดดดดดดดดดดดดดดด :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 38 หน้า 5 อัพเดต 17/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 18-09-2014 00:16:09
โอ๊ยยยย...  หงุดหงิด หงุดหงิด  อยากเบิร์ดกะโหลกทั้งพี่ทั้งน้องเลย    :m16:

 ไม่คุยกันดี ๆ  ทึกทักเอาเองทั้งนั้น  ถ้าไม่มีฝ่ายไหนยอมก่อนนะ  พินาศแน่ ๆ

 อีตาปู่ก็อะไรนักหนา ไม่ยอมปล่อยวางสักที กะจะหอบความแค้นไปนอนคุยกับรากมะขามเลยเรอะ!

 ว่าแต่เป็นไปได้เหรอที่เฮียฮั่นจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกปองร้าย!?! ตอนเป็นบอดี้การ์ด เฮียออกจะเมพขนาดนั้น?
 
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 38 หน้า 5 อัพเดต 17/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 18-09-2014 00:33:43
โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

คุยกันเถอะ ขอร้อง

คิดเองเออเองกันไปไกลละพี่น้องคู่นี้

คุยกันนี่รู้เรื่องไปนานละ

 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 38 หน้า 5 อัพเดต 17/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 18-09-2014 00:35:38
อึดอัด อร๊ากก
รีบๆเข้าใจกันนะ อยากเห็นสองคนกลับมามุ้งมิ้งกันอีกอ่า
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 38 หน้า 5 อัพเดต 17/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 18-09-2014 10:31:07
 :beat:ตบพี่ฮั่นซักที

หล่อนปากหนักให้ได้อะไรคะพี่ฮั่นนน
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 38 หน้า 5 อัพเดต 17/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: kjkjji ที่ 18-09-2014 19:14:29
โอ้ย อะไรของพี่ฮั่นเนี่ยยยยยยยยยยย   :katai1:
น้องมันบอกไม่ได้คิดอะไรก็ไม่ได้คิดอะไรสิยะ!!! อย่าเอาความโกรธมาลงที่น้องนะ  :z6:
สงสารพีท เป็นห่วงเค้า ตัวเองยังจะโดนทำร้ายจิตใจอีก  :o12: ถ้าพี่ฮั่นงี่เง่ากว่านี้อีกสักสองสามตอนนะ หนูหนีไปเลยลูก ไม่ต้องไปสนใจคนพี่มันแล้ว ปล่อยมันบ้าไปเลย ฮือออออ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 38 หน้า 5 อัพเดต 17/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 18-09-2014 19:33:34
โป้งพี่ฮั่น  :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

คนใจร้าย  เค้าสงสารพีท  :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 38 หน้า 5 อัพเดต 17/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 21-09-2014 18:35:20
รอๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 38 หน้า 5 อัพเดต 17/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 21-09-2014 20:04:50
39. ความจริง



ร่างสมส่วนในชุดเดรสสีดำรัดรูปสวมทับด้วยเสื้อสูทสีครีมที่สะบัดไปมาตามท่วงท่าการเดินราวนางแบบบนรันเวย์  เผยให้เห็นเอวคอดเล็ก สะโพกกลมกลึง ขาเรียวงามชนิดที่ผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา  เฌอเบลล์เดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงานรองประธานก็ได้ยินเสียงแว่วทันที  มือที่กำลังจะเคาะประตูนิ่งค้าง  คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ  เสียงเหมือนพี่ฮั่นกำลังต่อว่าใครสักคน

ทันใดนั้นประตูห้องทำงานบานใหญ่ก็เปิดออก  เลขาเดินหน้าซีดออกมา  น้ำตาจวนหยดทีเดียว  เมื่อเงยหน้ามาเห็นเฌอเบลล์ยืนอยู่หน้าประตู จึงรีบปาดน้ำตาทิ้ง  เฌอเบลล์หันไปดึงทิชชูบนโต๊ะส่งให้  เลขารับไปแล้วพึมพำขอบคุณ 

“รองประธานโมโหเรื่องอะไรจ๊ะ”

เธอเคยทำงานกับพี่ฮั่นที่อังกฤษมานานพอสมควร  จึงรู้นิสัยการทำงานของพี่ฮั่นเป็นอย่างดี  แบบนี้แสดงว่าเลขาคงทำงานพลาดสักอย่าง เพราะพี่ฮั่นจะดุเฉพาะเวลาใครทำงานไม่ถูกใจเท่านั้น   แต่เวลาอื่นนี่ดีใจหาย แม้จะคาดเดาว่าเลขาต้องทำอะไรผิดไปสักอย่างแต่กระแสเสียงที่เอ่ยถามก็เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ  เพราะรู้ดีว่าเวลาพี่ฮั่นโมโหนี่น่ากลัวอย่าบอกใคร
 
“ดิฉันลืมใส่ตัวเลขในช่องรายงานผลประกอบการไตรมาสนี้ค่ะ  รองประธานเลยโมโห”  เลขาว่าแล้วก็เช็ดน้ำตา

‘เอ๊ะ  เรื่องเล็กน้อยนี่นา  ทำไมดุขนาดเลขาร้องไห้’

“วันนี้รองประธานเป็นอะไรไม่รู้ค่ะ ดูหงุดหงิดตั้งแต่เช้าแล้ว ใครก็เข้าหน้าไม่ติดเลย”  เดซี่ยังคงเล่าต่อไป   

‘นั่นสิ เธอเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าวันนี้พี่ฮั่นอารมณ์เสีย  เพราะอะไรนะ’

“อย่าคิดมากเลยนะจ๊ะ ทำใจให้สบายเถอะ” 

เฌอเบลล์บอกแล้วยิ้มให้เดซี่อย่างอ่อนโยน   เธอยืนรอจนกระทั่งเลขาสงบใจได้แล้วจึงเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป

“โมโหอะไรคะพี่ฮั่น เลขาร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้ว  ดุจังเลย”

เฌอเบลล์ส่งเสียงอ่อนหวานเมื่อเข้ามาในห้องทำงาน  เธอคิดว่าพี่ฮั่นคงโมโหเรื่องงาน  แต่ใบหน้าเคร่งเครียดที่เงยขึ้นมองเธอทำให้เฌอเบลล์ถึงกับชะงักเพราะไม่เคยเห็นพี่ฮั่นทำหน้าน่ากลัวแบบนี้มาก่อน   ขาเรียวที่กำลังก้าวชะงักอยู่ที่เดิม  เธอกลับไม่กล้าเดินเข้าไป

“พี่ฮั่น  เอ่อ  โกรธเบลล์เรื่องอะไรคะ” 

คนที่นั่งที่โต๊ะทำงานไม่ตอบ  กลับหมุนเก้าอี้หันหน้าไปมองผนังกระจกด้านหลังทำเหมือนไม่อยากคุยกับเธออีก  เฌอเบลล์เห็นอาการนั้นถึงกับกลืนน้ำลาย  ใช่แน่ ๆ พี่ฮั่นต้องโกรธเธอแน่  แววตาแบบนั้นเฌอเบลล์เห็นแล้วยังขนลุก 

หรือพี่ฮั่นยังโกรธเรื่องปาร์ตี้คืนวันก่อนอยู่  เธออธิบายไปแล้วนี่นา  พี่ฮั่นนั่นแหละที่ตัดสายเธอทิ้ง

“พี่ฮั่นยังโกรธที่เบลล์แกล้งอยู่เหรอคะ”  กลั้นใจถาม

“เบลล์ขอโทษอีกครั้งก็ได้ค่ะ  เบลล์นึกว่าพี่ฮั่นเข้าใจแล้วก็หายโกรธเบลล์แล้วซะอีก  ก็แกล้งนิดหน่อยเอง”  เธอว่า

คนที่นั่งหลังเก้าอี้หมุนตัวหันกลับมาทันที  เขาผุดลุกขึ้นยืน  คิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม

“เบลล์หมายความว่ายังไง  แกล้งพี่?  แกล้งอะไร?” 

“อ้าว  ก็คืนที่มีปาร์ตี้ไงคะ  ที่เบลล์แกล้งเอาลิปสติกทาแก้มน้องพีทไง เบลล์อธิบายให้พี่ฮั่นไปแล้วนี่?”  คราวนี้เฌอเบลล์เป็นฝ่ายงงบ้าง 

“อะไรนะ! แกล้งเอาลิปทาแก้ม?  นี่มันเรื่องอะไร เบลล์ แล้วอธิบายตอนไหนพี่ไม่เห็นรู้เรื่อง” 

คนที่ยืนค้ำโต๊ะอยู่นิ่งไปเหมือนกลับไปทบทวนเหตุการณ์ 

“ก็ที่เราคุยโทรศัพท์กันไงคะ เบลล์ยังแซวพี่ฮั่นเลยว่าหึงน้องพีทใช่ไหม นี่พี่ฮั่นไม่ได้ยินหรือคะ เบลล์พูดไปตั้งยืดยาว”

“ไม่ได้ยิน พี่ เอ่อ  ตอนนั้นพี่ขว้างโทรศัพท์ทิ้งไปแล้ว”  พี่ฮั่นพูดเสียงเบา  คิ้วขมวดมากขึ้น 

“โธ่  พี่ฮั่น  นี่แสดงว่าวันนี้ทั้งวันพี่ยังโกรธเบลล์  โกรธน้องพีทอยู่ใช่ไหมเนี่ย  เรารึอุตส่าห์โทรไปนัดกินข้าวเย็นกะว่าจะเล่าให้ฟังพี่ฮั่นก็ไม่ยอมไป  นี่พี่ฮั่นไม่ได้ยินที่เบลล์พูดจริงเหรอคะ”

“คืนนั้นที่ปาร์ตี้น่ะ  เบลล์ไม่ได้ทำอะไรน้องพีทนะคะ  น้องพีทเมาไม่รู้เรื่อง แคนก็เมาพับ  เบลล์เลยแกล้งเอาลิปสติกทาแก้มน้องพีทน่ะ  กับแถวปกเสื้อเท่านั้นเอง  เบลล์ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นนะ”

“เบลล์ ขอโทษก็ได้ค่ะ เบลล์แค่อยากแกล้งพี่ฮั่นบ้าง ก็พี่ฮั่นมาตามประกบเบลล์ไม่ให้โอกาสเบลล์เจอน้องพีทเลย  เบลล์เลยเอาคืนบ้าง” 

เฌอเบลล์อธิบายมายืดยาวราวกับกลัวว่าถ้าเธอบอกพี่ฮั่นช้ากว่านี้   พี่ฮั่นอาจจะระเบิดอารมณ์ออกมาได้ทุกเมื่อ

“โธ่  เบลล์!”

เฌอเบลล์เห็นพี่ฮั่นทรุดตัวกลับไปนั่งเก้าอี้อย่างหมดแรงทีเดียว เธอมองเห็นพี่ฮั่นดูหนักใจอย่างมาก  นี่สงสัยไปโมโหใส่น้องชายแน่ ๆ เชียว

“พี่ฮั่นนะพี่ฮั่น  รักน้องพีทก็ไม่บอกนี่เบลล์จะได้ไม่ยุ่ง  นี่เบลล์ไม่รู้ ก็น้องพีทน่ารักจะตายเห็นแล้วอดใจไม่ไหว” 

สาวสวยกลับมาใช้น้ำเสียงร่าเริงอีกครั้งเมื่อได้อธิบายความจริงไปแล้ว  เผยแววตาซุกซนของแม่เสือสาว

คนที่นั่งอ่อนแรงอยู่เมื่อครู่ชะงักกึกกับคำพูดนั้น  เงยหน้ามองเฌอเบลล์  กำลังตั้งท่าจะปฏิเสธ

“อ๊ะ อย่ามาปฏิเสธเลย โมโหขนาดนั้น  แค่เบลล์พูดว่าสนใจน้องพีท  พี่ฮั่นยังหาเรื่องดึงเบลล์ออกห่างทั้งที่เบลล์ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรสักอย่าง  แล้วเบลล์แกล้งแค่นี้ยังโกรธแทบตาย....” 

คนพูดเท้าแขนลงกับโต๊ะทำงาน  จ้องตาพี่ฮั่นเพื่อย้ำคำพูดประโยคถัดมา

“พี่ฮั่นไม่ต้องยอมรับก็ได้ค่ะ  แต่รู้ตัวบ้างรึเปล่า....ว่าเก็บอาการไม่อยู่น่ะ” 
 
เธอเห็นพี่ฮั่นเบิกตาโตอย่างตกใจแล้วหันหน้าหนี  ทำหน้ากระอักกระอ่วน 

'คิดไม่ถึงว่าจะมีใครรู้ความลับของตัวเองล่ะสิ'
 
สาวสวยยิ้มมุมปากอย่างพอใจ  เธอกำลังสนุกทีเดียว  ก็นาน ๆ เธอจะมีโอกาสไล่ต้อนพี่ฮั่นได้สักที  ก็คนคนนี้น่ะจอมวางแผน เจ้าเล่ห์ร้ายกาจ  ตอนอยู่ที่โน่นทำตัวเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ใครก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน  ทั้งเรื่องธุรกิจและเรื่องผู้หญิง!

“เบลล์เลิกยุ่งกับน้องพีทก็ได้  เห็นแก่ความสัมพันธ์ของเรานะคะ” 

สาวสวยพูดอย่างไว้เชิง  ผละจากโต๊ะทำงานมายืนกอดอกด้วยท่วงท่าสง่างามตามแบบฉบับของเธอ  เฌอเบลล์ไม่บอกหรอกว่าถึงเธอไม่เลิกยุ่ง  พีทก็คงไม่สนใจเธออยู่ดี  จะบอกได้ไง  เสียฟอร์มสาวเจ้าเสน่ห์อย่างเฌอเบลล์หมดน่ะสิ 
 
แม้จะเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ ‘ทำความคุ้นเคย’ กับหนุ่มน้อย  แต่เธอก็ต้องยอมเพราะเธอกับพี่ฮั่นต้องทำธุรกิจร่วมกันไปอีกนาน  คนเก่ง  มีฝีมือขนาดนี้  เธอไม่ยอมเสี่ยงทะเลาะกับพี่ฮั่นแน่

“เอาล่ะ เบลล์เอาคืนพี่ฮั่นแล้ว เบลล์จะไม่โกรธพี่ฮั่น  พี่ฮั่นก็อย่าโกรธเบลล์นะคะ”
 
เฌอเบลล์ยิ้มหวานส่งให้  เมื่อได้แก้ไขความเข้าใจผิดแล้ว พี่ฮั่นจะได้เลิกโมโหสักที

“พี่ฮั่นจะอนุญาตให้เบลล์ไปขอโทษน้องพีทไหมคะ หรือพี่ฮั่นจะขอโทษแทน?”

“เบลล์!” 

พี่ฮั่นเรียกเธอเสียงเข้ม  สายตาดุ  แต่เฌอเบลล์ไม่สะทกสะท้านอะไรกลับยิ้มกว้างให้กับคน ‘หวงน้อง’   และสายตารู้ทันนั้นทำให้รองประธานถึงกับเถียงไม่ออก




เฌอเบลล์ออกจากห้องไปแล้วหลังจากปรึกษาเรื่องงานอยู่ครู่ใหญ่ทิ้งให้ท่านรองประธานต้องหลับตาอย่างเหนื่อยใจ   คนที่เพิ่งได้รับรู้เรื่องราวกุมขมับอย่างหนักใจ 

นี่เขาทำอะไรลงไป  มิน่าล่ะ  พีทดูมึนงงกับเรื่องราวอย่างมากแต่เขาคงโกรธมากจนไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลย
 
ฮั่นหลับตา  ทิ้งตัวจมอยู่ในเก้าอี้  ภาพน้องที่หลับไปทั้งน้ำตาเมื่อคืนยังติดตาเขาตลอดเวลา  เขาเฝ้าแต่โทษตัวเองที่ทำให้น้องเสียใจแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น  จะผลักเฌอเบลล์ให้อยู่ห่างก็ทำไม่ได้เพราะเป็นทั้งหุ้นส่วนโรงแรม  มาดูงานและเป็นทั้งเพื่อนด้วย  ก็เลยเอาไปลงกับน้อง  ห้ามไม่ให้พีททำอะไรแบบนั้นทั้งที่เขาก็รู้ว่ามันไร้เหตุผลสิ้นดี  แต่เขาทนไม่ได้

แล้วที่โมโหใส่น้องไปทั้งหมดนั่นจะทำยังไงดี?

-----------------------------------


มาแล้วค่า    :mew1:

ตอนหน้ามาดูกันว่าพี่ฮั่นจะไปขอโทษน้องยังไง





หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 39 หน้า 5 อัพเดต 21/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-09-2014 22:58:18
 :กอด1: :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 39 หน้า 5 อัพเดต 21/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 21-09-2014 23:08:02
 :z3: พี่ฮั่นไปขอโทษน้องด่วนเลยนะ สงสารน้องพีทอ่า :ling1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 39 หน้า 5 อัพเดต 21/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 22-09-2014 07:46:19
ไปง้อน้องเลยนะอิพี่ฮั่น ชิๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 39 หน้า 5 อัพเดต 21/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 22-09-2014 09:26:13
แนะนำให้พีครักคนใหม่ไปเลย ไม่แนะนำให้รักไอ้เชี้ยฮั่น มันไม่คู่ควรกับพีทสักนิด น่าจะทำให้ไอ้เหี้ยฮั่นเจ็บปวดบางนะคุณคนแต่ง ผมไม่ยอมนะ แบบนี้ไม่แฟร์เลย
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 39 หน้า 5 อัพเดต 21/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 22-09-2014 15:01:36
พี่ฮั่น คิดใหม่ทำใหม่เลยพี่ รีบไปง้อน้องเดี๋ยวนี้เลยนะ  :ling1:  :katai1:


ตอนต่อไปขอแบบยาวๆได้ป่ะคะคุณคนแต่ง  o13
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 39 หน้า 5 อัพเดต 21/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 22-09-2014 19:17:24
:-) :-)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 39 หน้า 5 อัพเดต 21/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: kjkjji ที่ 22-09-2014 19:26:36
 o12 กว่าจะคิดได้นะพี่ฮั่น!
รอบนี้ขอจัดพี่ฮั่นหนักๆนะคะจะได้เป็นอุทาหรณ์ว่าไม่ควรทำร้ายน้องทางกายวาจาใจแบบนี้อีก  :katai1: โฮ่ย พูดแล้วโมโห
อย่าลืมเคลียร์เรื่องเบลล์ด้วยล่ะ บอกน้องไปแล้วนี่ว่าคบกันอยู่น่ะ หึ้ อยากจะให้น้องทำหมางเมินใส่ซะให้เข็ด!
หมั่นไส้พี่ฮั่นที่สุดในโลกกกกกกกกกกกกก
 :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 39 หน้า 5 อัพเดต 21/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 26-09-2014 18:18:30


http://www.youtube.com/watch?v=H1kGJoGVpOs


40. Canon in C and D major


เสียงเปียโนดังพลิ้วทำให้คนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำชะงัก 

‘ใครเล่นเปียโน?’ 

แต่เปียโนสายขาดนี่นา

แม้จะคิดว่าช่างซ่อมเปียโนมือหนึ่งน่าจะหายจากอาการป่วยแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสจะโทรตามช่างให้มาซ่อมเปียโนหลังโปรดของแม่

‘นี่มัน Canon in D major  เสียงไม่เพี้ยนด้วย  แสดงว่า...’

พีทหุนหันออกจากห้องนอนลงไปชั้นล่างทันที  แต่เมื่อก้าวลงบันไดไปเรื่อย ๆ  ขาของเขาก็ก้าวช้าลงเมื่อเห็นคนที่นั่งเล่นเปียโนเพลงโปรดของเขา 

พี่ฮั่นเงยหน้าขึ้นจากเปียโนมายิ้มให้  นิ้วยาวยังคงพรมลงบนแป้นอย่างแม่นยำ  ไม่ผิดไปสักโน้ต

เสียงเปียโนที่นุ่มนวลนั้นเหมือนมีแรงดึงดูด  พีทเดินเหมือนคนไม่รู้ตัวเข้าไปใกล้  ยกมือสัมผัสเปียโนหลังโปรดของแม่  จ้องมองไปที่เส้นสายภายในแกรนด์เปียโนที่ขึงอยู่จนเต็ม  สายเปียโนสั่นเมื่อถูกค้อนเปียโนตีกระทบ   เขาลากนิ้วไปบนเปียโนช้า ๆ อย่างรำลึก 

คิดถึง....เวลาเขาคิดถึงแม่ทีไรเขาก็มักจะมานั่งเล่นเปียโนหลังนี้ทุกครั้ง  พีทรู้สึกว่ามันทำให้เขาใกล้ชิดกับแม่เสมอ  แต่ตั้งแต่สายเปียโนขาด  เขาก็ไม่ได้แตะอีกเลย
 
‘เกือบปีแล้วสินะ’

แล้วใครซ่อมเปียโนให้เขา....

ดวงตาเหลือบมองไปที่คนที่กำลังเล่นเพลงโปรดของเขาอยู่   

พี่ฮั่น?

เขาเล่นเปียโนตัวนี้มาตั้งแต่เริ่มต้นเรียนเปียโนตอนสี่ขวบ หลังจากพี่ฮั่นมาอยู่บ้านได้ไม่นาน  ความจริงพ่อจับเขาเรียนตั้งแต่สามขวบครึ่งแล้วแต่เพราะตอนนั้นเขามัวแต่เล่นไม่สนใจอะไร  เวลาครูมาสอนที่บ้านก็แกล้งขว้างปาของเล่นใส่  จนครูทนไม่ได้ลาออกกันไปหลายคน  ไม่มีใครบังคับเขาได้เลย 

พอพี่ฮั่นมาอยู่ที่บ้าน  เด็กชายพีทเห็นพี่ฮั่นเล่นเปียโนก็เลยร้องโวยวายจะเล่นบ้าง  จนในที่สุดเขาก็ยอมเรียนเปียโนจริงจัง

Canon in D major จบลงทำให้คนที่ยืนมองเปียโนนิ่งรู้สึกตัว  หันไปมองพี่ฮั่นที่นั่งอยู่

“พี่ให้ช่างมาซ่อมให้แล้ว  พีทไม่ควรปล่อยให้สายขาดนาน ๆ แบบนี้นะ  นี่ช่างเปลี่ยนให้ใหม่หมดเลย” 

น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนเหมือนเดิม  พีทจำไม่ได้แล้วว่าพี่ฮั่นพูดดี ๆ กับเขาแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร  เพราะพวกเขาไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไรนักตั้งแต่เขาเริ่มตามติดพี่ฮั่น  แล้วพี่ฮั่นรู้ได้ยังไงว่าเปียโนของแม่สายขาด  แล้วช่างมาซ่อมตอนไหนกัน  ไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะซ่อมแกรนด์เปียโนเก่าแก่

มือของพี่ฮั่นเอื้อมมาจับข้อมือเขาไว้  ดึงให้เขาก้าวมายืนใกล้เก้าอี้  ตรงหน้าพี่ฮั่น  คนเป็นพี่จับข้อมือเขาไว้ทั้งสองข้าง  เงยหน้ามองสบตา

“พีท  เอ่อพี่...พี่ขอโทษที่โมโหพีทเรื่องเฌอเบลล์  เรื่องที่ห้ามพีทเข้าใกล้เบลล์  พี่เอ่อ  คือเบลล์เค้าแกล้งน่ะ  พี่ผิดเอง  พี่ขอโทษ”  พี่ชายเงยหน้ามองเขาด้วยแววตารู้สึกผิด 

‘นี่พี่ฮั่นซ่อมเปียโนให้เขาเพื่อขอโทษที่โมโหเขาเหรอเนี่ย ลงทุนไปมั้ง’


พีทก้มลงสบตาพี่ชายที่มองมาอยู่นาน  เขาเห็นแต่ความเสียใจในดวงตาคู่นั้น 

เกิดความเงียบชั่วขณะเมื่อเขายังมองลึกลงไปในตาเรียวคู่เดิม ราวกับจะค้นให้เจอสิ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของพี่ชาย  เริ่มเกิดความไม่แน่ใจวูบไหวในตาคู่เรียวที่เขามองเห็นเมื่อเขายังคงนิ่ง 

ก่อนที่บรรยากาศที่นุ่มนวลของ Canon in D major จะเจือจางไป  พีทก็คลี่ยิ้มออกมาทีละนิด

“ผมเคยบอกแล้วไงว่าผมจะไม่โกรธพี่น่ะ”

เขาส่งยิ้มอ่อนให้คนที่นั่งอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำเสียงที่ทอดอ่อนหรือแววตาเว้าวอนของพี่ฮั่นที่ทำให้เขาใจอ่อนยวบ  แค่พี่ฮั่นขอโทษเขา  ความตึงเครียดทั้งหมดระหว่างเขากับพี่ฮั่นก็สลายไปทันที  ความรู้สึกเสียใจราวกับถูกลมแรงพัดหายวับไป
 
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ฮั่นถึงให้อภัยเขาได้อย่างง่ายดายทั้งที่พี่ฮั่นถูกทำร้ายและต้องเจ็บปวดตลอดหลายปีที่ผ่านมา  แค่พี่ฮั่นขอโทษเขาเพียงเท่านี้เขาก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น 
 
มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่จะให้อภัยคนที่เรารัก 

“พีท  เอ่อ..เรา..เราดีกันนะ”

พี่ฮั่นพูดเสียงเบาแทบกระซิบ  ไล้นิ้วโป้งที่ข้อมือทั้งสองข้างแผ่วเบา

“ครับ” 

เขายิ้มกว้างกว่าเดิมให้คนตรงหน้าทำให้พี่ฮั่นยิ้มออก  มือที่จับเขาไว้บีบแน่นเหมือนจะถ่ายทอดความรู้สึกดีใจของตน  พีทรู้สึกเป็นสุขที่พี่ฮั่นจะไม่โกรธเขาแล้ว

“มานี่สิ” 

คนเป็นพี่ดึงให้เขาไปนั่ง  พี่ฮั่นขยับตัวออกเล็กน้อยเพื่อแบ่งที่ให้เขานั่ง  เก้าอี้ตัวเดิมดูเล็กไปถนัดเมื่อชายหนุ่มสองคนนั่งเบียดกัน  ไม่เหมือนตอนเป็นเด็ก  ที่พวกเขานั่งกันสบาย ๆ

“เล่นด้วยกันนะ”  พี่ฮั่นบอก  ยิ้มให้แล้ววางมือซ้ายที่แป้นรอ

พีทวางมือขวาของตัวเองลงบ้าง  พอพี่ฮั่นให้สัญญาณเขาก็พรมนิ้วลงไป 

ทั้งที่ไม่ได้เล่นเพลงนี้มานานแต่เขากลับจำโน้ตทุกตัวได้อย่างแม่นยำ มือขวาของเขากับมือซ้ายของพี่ฮั่นเล่นประสานกันได้เหมือนเป็นคนคนเดียวกัน ทั้งที่ไม่ได้เล่นด้วยกันมานานถึงสิบปี  มือที่ว่างอยู่ของเขากับพี่ฮั่นเคลื่อนไปจับกันไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
 
พวกเขาทำแบบนี้เสมอเวลาพีทไม่ยอมซ้อมเปียโน  พี่ฮั่นมักจะหลอกให้เขามาซ้อมโดยบอกว่าจะช่วยเล่น ‘ครึ่งหนึ่ง’  นั่นหมายถึงพี่ฮั่นจะช่วยกดคอร์ดให้แล้วเขาเป็นคนเล่นเมโลดี้  จากนั้นคนเจ้าเล่ห์อย่างพี่ฮั่นก็จะแกล้งกดคอร์ดผิด ๆ ถูก ๆ  คร่อมจังหวะบ้าง  เล่นเร็วบ้าง  จนเขาโมโหต้องเปลี่ยนมาเป็นคนเล่นเอง 

กว่าเด็กชายพีทจะรู้ตัวว่าถูกพี่ฮั่นหลอกให้ซ้อมเขาก็หลงรักการเล่นเปียโนไปแล้ว  เด็กน้อยรักเสียงเพลงที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นมาและมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่นดนตรี

การเล่นเปียโนทำให้เขาผ่อนคลาย  เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของสายเปียโนทำให้เกิดเสียงคีย์ต่าง ๆ ประสานกันเป็นเพลง 

เสียงเปียโนเพลงโปรดที่ก้องกังวานในบ้านทำให้เขายิ้มกว้าง 

เมื่อเสียงสุดท้ายของ Canon in D major จบลง  พีทยกมือขึ้นจากแป้นช้า ๆ  หันไปมองคนข้างกายที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“พี่ยังจำเพลงนี้ได้ด้วยเหรอ  นี่เราไม่ได้เล่นกันมาตั้งนานแล้ว”

“จำได้สิ  เพลงโปรดของพีทนี่  เรื่องของพีทพี่จำได้ทุกเรื่องนั่นแหละ” 

พี่ฮั่นพูดแต่ไม่มองหน้าเขา  กลับเอามือไปกดแป้นเปียโนเล่นอย่างคนทำตัวไม่ถูก  แต่คนฟังกลับหันไปมองพี่ฮั่นเต็มตา  จ้องอยู่อย่างนั้น 

“ผมก็จำเรื่องของพี่ได้ทุกเรื่องเหมือนกัน  แล้วก็รู้ด้วยว่าตอนนี้พี่กำลังเขินอยู่ด้วยถูกไหม”  เขาไม่พูดเปล่ากลับเอียงตัวลงไปมองคนที่ก้มหน้าอยู่นิด ๆ

“พีทอ่า”  พี่ฮั่นแก้เขินโดยการแกล้งบีบคอเขา  แล้วเขย่าเบา ๆ 

“ฮ่า ๆ”  เสียงพีทหัวเราะชอบใจ

คนเป็นพี่มองหน้าน้องชายที่หัวเราะอย่างสุขใจแล้วก็ยิ้มไปด้วย  หลายวันที่ผ่านมาเขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของพีทเลย  เพราะพวกเขามีแต่ความไม่เข้าใจกัน  เขาไม่พอใจน้อง  ไม่รู้ว่าน้องจะเสียใจขนาดไหนที่เขาทำตัวแย่ขนาดนั้น

พี่ฮั่นคลายมือออก  พีทมองสบตาพี่ชายที่มองเขานิ่ง  มือใหญ่ของพี่ชายเลื่อนไปที่ท้ายทอยสอดนิ้วไปตามเส้นผม  มืออีกข้างหนึ่งดึงไหล่รั้งเขาเข้าไปกอด 

“พีท  พี่ขอโทษ”  พี่ฮั่นกอดเขาไว้แน่น 

พีทกอดตอบเช่นกัน  เขาตบหลังพี่ฮั่นเบา ๆ  เหมือนต้องการจะบอกว่าเขาไม่เป็นไร  หลายวันที่ผ่านมาเขาคิดถึงอ้อมกอดนี้มากแค่ไหนพี่ฮั่นคงไม่รู้  พีทอมยิ้มกับตัวเอง  แอบกดจมูกแถวซอกคอคนที่เขากอดอยู่แผ่วเบา เสียงพี่ฮั่นพึมพำขอโทษสลับกับเรียกชื่อเขาเบาราวกระซิบที่ข้างหู 

‘เขาเคยบอกพี่ฮั่นรึยังนะว่า เขาชอบให้พี่ฮั่นเรียกชื่อเขา’ พีทคิดอย่างสุขใจเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของพี่ฮั่น 

พี่ชายและ...คนที่เขารัก

พี่ฮั่นกระชับอ้อมแขนมากขึ้น  ร่างกายที่แนบชิดกันทำให้เขารู้สึกได้ว่าหัวใจพี่ฮั่นเต้นแรง  มือที่ลูบหลังเขาอยู่ทำให้รู้สึกประหลาด  น้ำหนักมือเหมือนกดให้เขาขยับแนบชิดพี่ฮั่นมากขึ้นไปอีก  มืออีกข้างลูบไปมาที่หลังคอเขา  เสียงนุ่มแผ่วกระซิบทำให้เขารู้สึก....

“พี่ฮั่น”  เขาเรียกพี่ชายเสียงเบา 

พี่ฮั่นไม่เคยกอดเขาแบบนี้มาก่อน  ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกหน้าร้อนจนต้องรีบคลายอ้อมกอด  พี่ฮั่นดูเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อได้ยินที่เขาเรียก  หยุดมือที่กำลังเคลื่อนไหวแล้วคลายอ้อมแขน   พีทกัดฟันเมื่อรู้สึกถึงหัวใจเต้นถี่รัวของตัวเอง 

แค่อยู่ใกล้พี่ฮั่นก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงอยู่แล้วแต่พี่ฮั่นกลับทำให้มันเต้นแรงมากขึ้นไปอีก  หัวใจเขาทำงานหนักเกินไปแล้วนะ พี่ฮั่นรู้ตัวบ้างไหม?

ชายหนุ่มทั้งคู่ทำตัวไม่ถูกเมื่อคลายอ้อมกอดกันและกัน   ต่างฝ่ายต่างก็หันไปมองทางอื่น

“เราเล่นกันอีกเพลงไหม”

พีทพูดทำลายบรรยากาศแปลก ๆ ระหว่างกัน  ด้วยการชวนพี่ฮั่นเล่นเปียโน

“คราวนี้ Canon in C นะ”  เขาบอกแล้ววางมือขวารอ

ตลอดเพลงมีแต่รอยยิ้มของทั้งสองคน มือข้างที่ว่างเคลื่อนไปจับกันไว้อีกครั้งในขณะที่เล่นเพลงโปรดของพี่ฮั่น 

เพลงเดียวกันเพียงแค่เล่นคนละโน้ต 


---------------------------------

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 39 หน้า 5 อัพเดต 21/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 26-09-2014 18:34:29
http://www.youtube.com/watch?v=SjKrpxjp7ao

41.If I ain’t got you.


หลังจากเล่นเปียโนกันอีกหลายเพลงเขาก็ถูกพี่ฮั่นลากขึ้นไปนอน 

คนตัวใหญ่กอดไหล่เขาไปตลอดทางจนถึงเตียง  พีทยิ้มอย่างเป็นสุขที่พวกเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม  เขาล้มตัวลงนอนหลับตาทันที  รอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้า  พี่ฮั่นเดินไปปิดไฟแล้วกลับมาล้มตัวลงนอนเคียงข้าง  พีทรับรู้จากเตียงที่ยวบลงตามน้ำหนัก  คนเป็นพี่ขยับมานอนใกล้  เอื้อมมือมาจัดผ้าห่มให้เขา  พีทอมยิ้มในความมืด

‘พี่ฮั่นของเขาน่ารักที่สุดในโลกเลย  ยกเว้นเวลาโมโหนะ’

“พีท  พี่ขอโทษนะ”  พี่ฮั่นพูดเสียงเบา

พี่ฮั่นยังคงเอ่ยขอโทษเขาอีกหลายครั้งแม้ว่าเขาจะตอบกลับไปทุกครั้งว่าเขาไม่โกรธแล้ว  คราวนี้เขาจึงเงียบ  อยากจะลองดูว่าพี่ฮั่นจะขอโทษเขาอีกนานไหม


“ถ้าพีทอยากได้อะไรหรือจะให้พี่ทำอะไร  พี่จะทำให้หมดเลย  แก้ตัวที่ตะคอกใส่พีทวันนั้นทำให้พีท...เอ่อ...เสียใจ”

ฮั่นพูดเสียงเบาลงเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองตวาดใส่น้องวันก่อน  เขาโกรธจนไม่ทันยั้งคิด  ไม่รู้ว่าน้องจะเสียใจขนาดไหน  เขารู้ว่ามันสายไปที่จะเรียกคืนสิ่งที่เขาทำพลาดไป  เขาจึงอยากที่จะทำอะไรตอบแทน   


แม้จะดีใจที่พี่ฮั่นพูดแบบนั้นแต่พีทยังคงนิ่ง ไม่ตอบรับ

‘ผมไม่อยากได้อะไรหรอก’ 



เกิดความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะ

“พีท  ทำไมไม่ตอบล่ะ หลับแล้วเหรอ”   

เตียงนอนยวบลงเมื่อคนเป็นพี่ยกตัวขึ้นมองน้องชายที่นอนตะแคงหันไปอีกด้านหนึ่ง  ฮั่นเห็นแต่ใบหน้าด้านข้างของน้องชาย พีทเหมือนหลับไปแล้ว

“น้องพีท...หลับจริงอ่ะ”  เขากลับลงไปนอนตามเดิม  เอ่ยถามเสียงอ่อน


พีทยิ้มบางกับตัวเอง  นึกเรื่องอะไรบางอย่างได้จึงเงียบต่อไป

“น้องพีท  น้องพีท”   เสียงอ่อนของพี่ฮั่นเรียกเขามาอีก   
 
‘มาแล้วเสียงแบบนี้  พี่ฮั่นทำเสียงแบบนี้อีกแล้ว เขาอยากเห็นหน้าพี่ฮั่นตอนนี้จัง’   พีทคิดพลางยิ้มกว้าง  รู้สึกว่าพี่ฮั่นขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น พร้อมกับพึมพำเรียกชื่อเขา


เมื่อพีทไม่ตอบรับใด ๆ คนพี่จึงเงียบไป  เขาขยับตัวเข้าไปใกล้น้องชายมากขึ้นแล้วหยุดนิ่งอยู่แบบนั้น   

รอ.....


เวลาผ่านไปครู่ใหญ่  พีทที่รอฟังพี่ฮั่นอยู่เริ่มรู้สึกง่วงทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังตาสว่างยังอยากเล่นเปียโนต่อ   ถ้าพี่ฮั่นไม่ลากเขาขึ้นมานอนเขาก็คงเล่นเปียโนอีกนาน   แต่พอได้มานอน   เตียงนอนหนานุ่มทำให้ร่างกายผ่อนคลาย   ความเสียใจก็หมดไปเพราะพวกเขากลับมาดีกันเหมือนเดิมทำให้ตอนนี้หนังตาเขาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ และก่อนที่จะเคลิ้มหลับไป  น้องชายก็ขยับเปลี่ยนมานอนตะแคงอีกข้างตามความเคยชิน

 
พีทที่พลิกตัวมานอนตะแคงอีกข้างหนึ่งจึงหันหน้าเข้าหาคนที่นอนชิดอยู่  คนที่รออยู่แล้วคว้าตัวน้องชายเข้าไปกอดทันที   รู้ดีทีเดียวว่าพีทชอบนอนตะแคงด้านไหน  แอบยิ้มเจ้าเล่ห์ในความมืด น้องไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขยับเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเขา   

คนขี้เซาอย่างพีท   ถ้าหลับแล้วต่อให้จัดคอนเสิร์ตวงร็อกอยู่ข้างเตียงก็ยังหลับได้สบาย

-----------------------------



“Good morning  น้องพีท  ตื่นได้แล้ว”

คนถูกเรียกขยับตัวเพราะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงพี่ฮั่นกำลังเรียกเขา  แต่หลังจากลืมตาแล้วกลับไม่พบใคร  หันไปดูที่นอนข้างกายก็พบว่าพี่ฮั่นหายไป  พี่ฮั่นคงตื่นก่อนเขาตามเคย

“โฮ่ง”  เสียงเจ้าแรมโบ้เห่าอยู่ปลายเตียงทำให้เขาหันไปมอง  เจ้าแรมโบ้ยกขาทั้งสองข้างเกาะอยู่ที่ปลายเตียง  เมื่อมันเห็นเขาตื่นแล้วมันก็ผละจากเตียงเดินไปที่ประตูที่เปิดทิ้งไว้  ออกจากห้องไป 

‘สงสัยพี่ฮั่นส่งเจ้าแรมโบ้มาปลุกเขาแน่ ๆ’ 




หนุ่มน้อยที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินลงมาข้างล่างก็ได้กลิ่นทันที 

‘สปาเกตตี!’ 

เขาคิดแล้วแทบจะกระโดดลงบันได  ตรงไปที่ครัวสีขาวอย่างร่าเริง   

พี่ฮั่นกำลังตักเส้นสปาเกตตีออกจากหม้อที่มีน้ำเดือดจัด ไอน้ำสีขาวลอยฉุยอยู่เหนือเส้นสปาเกตตีที่ต้มจนได้ที่แล้ว

“พี่ฮั่น  อรุณสวัสดิ์ครับ”  พีทเดินเข้าไปข้างหลังพี่ชาย  วางคางตัวเองบนไหล่กว้างนั้น 

“อ้าว...”  คนที่ยืนอยู่หน้าเตาหันหน้าไปมองเพราะรู้สึกถึงน้ำหนักที่ไหล่  แต่เกือบชนเข้ากับหน้าน้องชายที่อยู่ใกล้  คนเป็นพี่จึงหันหน้ากลับรวดเร็ว

“ตื่นแล้วเหรอ”  ฮั่นพูดเสียงเบา  อยู่ ๆ พีทก็ยื่นหน้ามาใกล้  ทำให้เขา...หัวใจเต้นแรง

“ให้พีทช่วยนะ”  คนน้องยิ้มหวาน  น้ำเสียงกระตือรือร้นอยากช่วยพี่

แต่ประโยคนั้นทำให้พี่ชายชะงัก  เขาปิดเตา  หันตัวกลับมาทำให้น้องชายต้องกลับไปยืนตามปกติ  ฮั่นอยากจะหัวเราะ 

‘คุณชายพีทน่ะเหรอจะช่วยเขาทำอาหาร  คนที่ไม่เคยแม้แต่จะชงกาแฟกินเองเนี่ยนะ’
   คิดแล้วเขาก็ส่ายหน้าน้อย ๆ  ใบหน้าอมยิ้ม

“อะไรอ่ะทำไมพี่ต้องส่ายหน้าด้วยล่ะ ผมช่วยไม่ดีรึไง” คนน้องเริ่มโวยวายเมื่อเห็นเขาทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ 

“พี่ว่า  พีทอย่าช่วยจะดีกว่านะ  ให้พี่ทำเองน่ะดีแล้ว  พี่ไม่อยากเรียกรถดับเพลิง”  คราวนี้คนเป็นพี่หัวเราะเมื่อคิดไปไกล

“พี่อ๊า  นี่ผมอุตส่าห์หวังดีนะ หาว่าผมจะทำครัวพังรึไง”  เสียงโวยดังขึ้นอีก

“ฮ่า ๆ  ใช่  กลัว  พี่ว่าพีทอยู่เฉย ๆ ดีกว่า” 

“พี่ฮั่น!”  คราวนี้น้องชายเริ่มทำหน้างอ  เหลือบตากลมมามองเขาอย่างไม่พอใจ

“ถ้าอยากช่วยงั้นพี่ขอหนึ่งเพลง จบเพลงแล้วก็กินได้เลย”

เขาพูดแล้วก็หันไปหยิบกระทะก้นแบนขึ้นตั้งบนเตา  เปิดเตาแล้วใส่น้ำมันมะกอกลงไป   

“ก็ได้!”  พีทว่าเสียงกระแทกกระทั้นแต่ก็ยอมเดินออกจากครัวแต่โดยดี

เขาหันไปหยิบเบคอนหนึ่งถ้วยเต็มใส่ลงไป...ซูเปอร์เบคอน 



ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเปียโน  พีทไล่โน้ตเป็นการวอร์มอยู่ครู่จึงเริ่มต้นเล่นเพลง 

เสียงเปียโนเพลงฮิตแนวอาร์แอนด์บีดังขึ้นทำให้คนที่ได้ยินอมยิ้ม  เพลงนี้เขารู้จัก
 
คนที่อยู่หน้าเตาใส่เส้นสปาเกตตีลงไปในกระทะ  ก่อนจะเทครีมที่ผสมใข่และชีสแล้วลงไปแต่ยังตั้งใจฟัง....

ได้ยินเสียงพีทฮัมเพลงตามทำนอง 




Some people live for the fortune
คนบางคนอยู่เพื่อโชคลาภ

Some people live just for the fame
บางคนมีชีวิตอยู่เพื่อชื่อเสียง

Some people live for the power yeah
บางคนอยู่เพื่ออำนาจ

Some people live just to play the game
บางคนอยู่เพียงเพื่อแย่งชิง

Some people think that the physical things define what's within
บางคนคิดว่าสิ่งของนอกกายบ่งบอกถึงตัวตนที่ซ่อนอยู่ภายใน

And I've been there before
ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเป็นเช่นนั้น

But that life’s a bore
แต่ชีวิตแบบนั้นช่างน่าเบื่อ

So full of the superficial
ทุกสิ่งเป็นเพียงความฉาบฉวย

Some people want it all
บางคนต้องการทุกสิ่ง

But I don't want nothing at all
แต่ฉันไม่ต้องการสิ่งใด

If it ain't you baby
ถ้ามันไม่ใช่เธอ

If I ain't got you baby
ถ้าฉันไม่มีเธอ, ที่รัก

Some people want diamond rings
บางคนอยากได้แหวนเพชร

Some just want everything
บางคนอยากได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

But everything means nothing
แต่ทุกสิ่งล้วนไม่มีความหมาย

If I ain't got you
หากฉันไม่มีเธอ

Some people search for a fountain
บางคนค้นหาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์

Promises forever young
ที่มอบความเยาว์วัยไปตลอดกาล

Some people need three dozen roses
บางคนต้องการดอกกุหลาบช่อใหญ่

And that's the only way to prove you love them
เพียงเพื่อพิสูจน์ความรัก

Hand me the world on a silver platter
ยื่นโลกทั้งใบมาให้ฉัน

And  what good would it be?
แล้วมันจะมีอะไรดี

With no one to share, with no one who truly cares for me
หากไม่มีใครสักคนจะแบ่งปัน  ไม่มีใครสักคนที่ห่วงใยฉันอย่างแท้จริง

If I ain't got you with me baby
ถ้าฉันไม่มีเธออยู่กับฉัน  ที่รัก

So nothing in this whole wide world don’t mean a thing
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีความหมาย

If I ain’t got you with me baby*
ถ้าฉันไม่มีเธออยู่กับฉัน  ที่รัก



อาหารโปรดของใครบางคนเสร็จพอดีเมื่อท่อนสุดท้ายของเพลงจบลง  เขาก้าวออกจากครัว 
 
เพลงนี้มีความหมาย....เพลงที่พีทร้องมีความหมายเสมอ

เสียงเปียโนโน้ตสุดท้ายกลืนหายไปในอากาศเขาก็เดินมาหยุดอยู่ข้างเปียโนพอดี  พีทหันหน้ากลับมามองเขา  น้องชายยิ้มให้

“ผมตอบคำถามพี่แล้วนะ”   

“คำถามอะไร?”   เขายังคงตั้งตัวไม่ทัน   

“ก็ที่พี่ถามผมเมื่อคืนไง....”  น้องชายตอบพร้อมกับยิ้มกว้างจนตาหยี

“ถ้าพีทอยากได้อะไรหรือจะให้พี่ทำอะไร  พี่จะทำให้หมดเลย  แก้ตัวที่ตะคอกใส่พีทวันนั้น” 

เขานึกไปถึงคำถามของเขาเมื่อคืน  คำถามที่พีทไม่ได้ตอบ   

‘นี่แสดงว่าพีทยังไม่หลับงั้นเหรอ  แล้ว..’

“ผมไม่ต้องการอะไรเลย ผมต้องการแค่พี่คนเดียว” ดวงตาของน้องชายจ้องตรงมาพร้อมกับพูดประโยคนั้น   

“Everything means nothing if I ain’t got you” 


เมื่อสบตากับน้องชาย  สายตาแบบนั้น  เหมือนวันที่พวกเขานั่งเล่นกีตาร์ด้วยกัน

ความหมายของบทเพลงกำลังกระแทกใส่เขาอย่างแรง  ความหมายที่สะท้อนก้องไปมาในหัว  ความรู้สึกร้อนลุกลามจากใบหน้าแผ่ลงไปทั้งตัว
 
ทำไมใจมันสั่น  เขารู้สึกเหมือน....

เหมือนกำลังถูกบอกรัก ยังไงไม่รู้แฮะ

ขณะที่เขากำลังทำตัวไม่ถูกอยู่นั่นเอง  พีทก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วรวบตัวเขาไปกอดแน่น  คนเป็นน้องยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อคลายอ้อมกอด

“เอาคืน”   

น้องชายว่าแล้วก็เดินฮัมเพลงเข้าครัวไป  ทิ้งให้เขายืนอยู่หน้าเปียโน ยกมือขึ้นกุมหน้าอกตัวเอง  พยายามสงบใจทั้งที่หัวใจกำลังเต้นอย่างหนักหน่วงทีเดียว

พีททำอะไรรู้ตัวบ้างรึเปล่า?


---------------------------------------



เค้ามาแว้ว  :mew1:

ไม่รู้ว่าวิธีเอาไฟล์วีดีโอลงกระทู้ทำยังไง  ก็เลยแปะได้เฉพาะลิงค์  ถ้าใครนึกเพลงไม่ออกลองกดฟังดูได้นะคะ  เพลงเพราะ อิ อิ




*หมายเหตุ : เพลง If I ain’t got you  ศิลปิน : Alicia Keys
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 40-41 หน้า 6 อัพเดต 26/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-09-2014 22:05:17
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 40-41 หน้า 6 อัพเดต 26/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 26-09-2014 23:58:59
ดีกันแล้ววววว :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 40-41 หน้า 6 อัพเดต 26/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 27-09-2014 01:24:47
ในที่สุดก็เข้าใจกันซะที

ลุ้นตั้งนาน

เมื่อไหร่เค้าจะบอกรักกันน้ออ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 40-41 หน้า 6 อัพเดต 26/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Guy_BLove ที่ 27-09-2014 08:49:40
 :o8: :-[
มาต่อเร็วๆนะคะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 40-41 หน้า 6 อัพเดต 26/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 28-09-2014 22:40:55
อร๊ายยยยยย บรรยากาศอบอุ่นมาก พี่ฮั่นน่ารัก อบอุ่น โอ่ยยยย อยากได้แบบนี้สักคน
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 40-41 หน้า 6 อัพเดต 26/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 29-09-2014 00:08:22
จุดพลุฉลอง
เค้าดีกันแว้ว เย้ๆๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 40-41 หน้า 6 อัพเดต 26/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 04-10-2014 00:25:18
.
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 40-41 หน้า 6 อัพเดต 26/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 04-10-2014 16:42:33
เป็นไงหล่ะ โดนหมัดเด็ดของพีทเข้าไปหน่ะพี่ฮั่น 555
หนูพีทนี่ร้ายนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 40-41 หน้า 6 อัพเดต 26/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 04-10-2014 16:53:35
หายไปหลายวันแล้วนะ คิดถึงน้องพีท
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 40-41 หน้า 6 อัพเดต 26/9/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 05-10-2014 19:56:02

42. เกือบไป



หลังจากที่พนักงานทุกคนร่วมกันจัดงานประชุมผู้นำเศรษฐกิจด้วยความทุ่มเททั้งแรงใจแรงกายจนงานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี  ท่านรองประธานจึงจัดงานเลี้ยงขอบคุณให้พนักงานทั้งโรงแรม   

เวลานี้เขากับพี่ฮั่นนั่งอยู่โต๊ะประธานในงานที่จัดในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ของโรงแรม  พนักงานส่วนใหญ่ที่เลิกงานแล้วต่างพากันมาร่วมงานจนเต็มห้อง พี่โดมขึ้นไปร้องเพลงอยู่บนเวที ได้รับเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ ดังกระหึ่มทีเดียว

งานนี้เป็นงานที่จัดภายในอย่างเป็นกันเองจึงไม่มีอะไรเป็นทางการนัก เน้นเพียงให้ทุกคนสนุกสนานเฮฮาจากงานหนักที่ผ่านไป  บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงกำลังคึกคัก  กลุ่มพนักงานและเด็กฝึกงานต่างกระโดดโลดเต้นอยู่หน้าเวทีอย่างเมามันจากวงดนตรีที่เปลี่ยนมาเป็นวงร็อกชื่อดัง  บริเวณด้านหลังของห้องจัดเลี้ยงที่พวกเขานั่งอยู่เป็นโต๊ะของพนักงานอาวุโสที่นั่งกินดื่มพูดคุยกันไปตามประสาผู้ใหญ่  ผู้คนเดินขวักไขว่กันในงานเลี้ยง
 
พี่ฮั่นกับเฌอเบลล์นั่งอยู่ใกล้กัน  ส่วนเขานั่งอยู่ด้านตรงข้ามของโต๊ะกลมตัวใหญ่  ที่ว่างบางส่วนเป็นของฝ่ายบริหารอาวุโสที่ลุกไปคุยกับเพื่อนร่วมงานโต๊ะอื่น 

คราวนี้เขาไม่รู้สึกอะไรที่เห็นพี่ฮั่นกับเฌอเบลล์พูดคุยกัน  พี่ฮั่นบอกเขาเสียงอ่อนว่ากลัวเขาจะตกหลุมเสน่ห์เฌอเบลล์แล้วจะถูกทิ้งเหมือนทุกคนที่ผ่านเข้ามา  ก็เลยไม่อยากให้เขาใกล้ชิดกับสาวสวยมากเกินไป  พีทก็กึ่ง ๆ จะเห็นด้วย  เพราะเขาก็เกือบโดนเฌอเบลล์ต้อนไปเหมือนกัน  แต่พี่ฮั่นไม่รู้หรอกว่าเหตุผลอีกครึ่งหนึ่งที่สำคัญกว่าของเขาคืออะไร

‘ก็เขารักคนอื่นอยู่แล้วนี่’ 

คิดแล้วพีทก็หันไปมอง ‘ใครคนนั้น’  ที่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ  แอบยิ้มอยู่คนเดียว

พนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะแล้วถอยออกไป  เฌอเบลล์เปิดฝาหม้อที่ควันฉุยนั้นออก  มือเรียวโบกให้ไอควันจากหม้อนั้นพัดเข้าหาตัวพร้อมกับสูดกลิ่นอาหาร  เอ่ยอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยกับกลิ่นอันหอมหวนนั้น  เธอตักอาหารใส่ถ้วยส่งให้พี่ฮั่น  ก่อนจะตักส่งให้เขาด้วย

“น้องพีท ชิมนี่สิคะ”  มือเล็กของเฌอเบลล์ละจากถ้วยมาแตะที่มือเขาพลางเอ่ยชวน  แม้จะบอกพี่ฮั่นว่าจะเลิกยุ่งกับน้องชายแต่เฌอเบลล์ก็อดไม่ได้ที่จะหว่านเสน่ห์เล็ก ๆ น้อย ๆ ตามประสา

เขาเพียงแต่ยิ้มให้แล้วหันไปใช้ช้อนคนซุปที่เฌอเบลล์ตักให้  หันไปมองที่พี่ฮั่นโดยอัตโนมัติ  พี่ฮั่นจ้องเขม็งมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว  แต่พี่ฮั่นส่งยิ้มให้ จากนั้นพี่ฮั่นหันไปยิ้มหวานให้เฌอเบลล์ที่ชักชวนให้ลองชิมซุป

พีทหันไปมองหาพี่โดมที่ลงจากเวทีตั้งนานแล้วแต่กลับหายไปไหนไม่รู้  เขาหันมองรอบห้องจนกระทั่งมาหยุดที่จุดหนึ่งริมประตูหลังของห้องจัดเลี้ยง  พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งมองมาที่โต๊ะเขาอยู่ก่อนแล้ว  พีทสังเกตเห็นใบหน้าที่มองตรงมาแล้วก็ขมวดคิ้ว

พนักงานเสิร์ฟคนนี้ท่าทางแปลกบอกไม่ถูก

“พี่ฮั่นทานสิคะ อร่อยนะคะ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด” 

เสียงเฌอเบลล์ชักชวนให้พี่ชายลองชิมอาหารทำให้เขาละสายตาจากพนักงานเสิร์ฟท่าทางแปลกคนนั้นหันไปมองตามเสียงของเฌอเบลล์  พี่ฮั่นตักซุปนั้นชิมไปนิดหนึ่งเหมือนต้องการรักษาน้ำใจคนชวนมากกว่าจะอยากกินจริงจัง  พีทจึงตักซุปนั้นชิมบ้างแล้วหันกลับไปมองพนักงานเสิร์ฟคนเมื่อกี้อีกครั้ง

‘หายไปไหนแล้ว?’

พนักงานเสิร์ฟคนนั้นหายไปจากห้องจัดเลี้ยงเหมือนไม่เคยมีใครยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน
 
พีทแปลกใจ  แปลก  แปลกมาก  รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาดบอกไม่ถูก  เขาคิดอย่างสงสัยขณะที่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม 

โดยไม่รู้ตัวเขากลับมามองพี่ฮั่นอีกครั้ง  คนเป็นพี่กำลังทำตัวแปลกไป ดูยุกยิกอยู่ไม่สุข  มือใหญ่ของพี่ฮั่นล้วงเขาไปในเสื้อสูทของตัวเอง  เขาเห็นพี่ฮั่นลูบไปตามเนื้อตัวทั้งซ้ายขวา  เกามือใหญ่ของตัวเองเหมือนกำลังคัน 

‘อะไรนะ!’

เขาตวัดสายตาไปที่ใบหน้าพี่ชายอย่างรวดเร็ว  ดวงตาชั้นเดียวของพี่ฮั่นดูเล็กลงกว่าเดิม

‘พี่ฮั่นตาบวม!!’

พีทลุกพรวดพราดออกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ตรงไปคว้าแขนพี่ฮั่นขึ้นทันที  เสียงร้องอย่างตกใจของเฌอเบลล์ทำให้คนในโต๊ะหันมามองเป็นจุดเดียว  พี่ฮั่นก็ตกใจเช่นกัน

แต่เขาไม่รออะไรแล้ว  ช้าไม่ได้แล้ว!

“พี่ฮั่นไปห้องน้ำเดี๋ยวนี้”  เขาว่าแล้วดึงตัวพี่ฮั่นให้ลุกขึ้น

“พีท! อะไร? เดี๋ยว”

คนเป็นพี่จำต้องลุกขึ้นตามแรงฉุดของพีทที่เดินปรี่เข้ามาดึงแขนบังคับให้ลุก  พีทลากพี่ชายออกจากห้องจัดเลี้ยงแทบจะวิ่งทีเดียว  ทิ้งให้เฌอเบลล์ยังคงนั่งงุนงงอยู่ที่โต๊ะ 

เขาผลักประตูห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด  ลากพี่ฮั่นเข้าไปด้วย  โชคดีที่ห้องน้ำใหญ่นั้นว่างเปล่า  เขาล็อกประตูแล้วหันหน้ากลับมา  ตอนนี้พี่ฮั่นตาบวมแทบปิดแล้ว 

“พีท  จะทำอะไร” 

“พี่ถอดสูทออกเดี๋ยวนี้เลย  เร็วเข้า” 

พี่ฮั่นยังคงงงอยู่แต่ก็ยอมถอดสูทออกตามคำสั่ง  พีทเห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือไปถอดเนคไทออกแล้วลงมือแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของพี่ชายอย่างรวดเร็ว

“พีท! จะทำอะไร??”  พี่ฮั่นคว้ามือเขาไว้ให้หยุดการกระทำแปลก ๆ นี้  คิ้วขมวด

“พี่อยู่เฉย ๆ !”  เขาสั่งเสียงเฉียบขาดเป็นครั้งแรก 

เขาใจร้อนรนจนแทบจะกระชากเสื้อเชิ้ตพี่ฮั่นขาดอยู่แล้ว  ในที่สุดพีทก็รอไม่ไหวกระชากเสื้อเชิ้ตขาวนั้นออกอย่างแรง  แผ่นอกแน่นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่เห็นกำลังขึ้นผื่นแดงเป็นปื้นไปทั่ว  พีทตกใจแทบสิ้นสติ  เงยหน้าขึ้นสบตากับพี่ชายที่เพิ่งมองเห็นหน้าอกตัวเองเช่นกัน

“พี่กินซุปเมื่อกี้ไปเยอะไหม?!!”

“คำเดียว” 

พีทคว้าโทรศัพท์มากดโทรทันที

“เคน  เตรียมรถออกเดี๋ยวนี้  ผมจะพาพี่ฮั่นไปโรงพยาบาล  เรื่องฉุกเฉิน!!!” 

วางสายแล้วพีทก็ลากพี่ฮั่นออกจากห้องน้ำทันที  พี่ชายใช้มือข้างที่ว่างรวบเสื้อเชิ้ตที่ยังไม่ได้ติดกระดุมไว้ลวก ๆ พยายามร้องถามน้องชายที่ทำตัวลุกลี้ลุกลนแค่เขาเป็นผื่น

“พีท เดี๋ยว นี่เรื่องอะไร  ทำไมต้องรีบอะไรขนาดนี้แค่ผื่นขึ้นเอง”  พี่ฮั่นพยายามดึงเขาไว้เพื่อพูดกันให้รู้เรื่องก่อน

“พี่ไม่รู้ตัวรึไงว่ากำลังแพ้กุ้งอยู่น่ะ!!!” 

เขาตะโกนไปด้วยและดึงตัวพี่ฮั่นไปด้วย  คนเป็นพี่ถึงกับนิ่วหน้าจากแรงดึงที่มีกำลังมากกว่าปกติ

“แต่ซุปนั่นไม่มีกุ้งนี่  พีท”

“แต่อาการพี่เป็นเร็วขนาดนี้  มันไม่ธรรมดาแล้วพี่ฮั่น  เร็วเข้า  พี่ต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!!!” 

พีทเริ่มวิ่งทำให้คนที่ตามหลังต้องวิ่งตามไปติด ๆ

น้องชายใจร้อนรน  ลากแขนพี่ชายที่ยอมตามมาโดยดีไปที่หน้าล็อบบี้  แขกที่มาใช้บริการหันมองสองหนุ่มที่วิ่งลากกันไปยังทางออกโรงแรมด้วยสายตาประหลาดใจแต่พีทไม่มีเวลาสนใจ  เขาวิ่งไปที่รถสีดำคันใหญ่ที่จอดรอ  เคนนั่งประจำที่คนขับพร้อมอยู่แล้ว  เขาผลักพี่ชายเข้าไปในรถทันทีแล้วออกคำสั่ง

“ไปเร็ว!  ด่วนที่สุด!”   

รถออกตัวรวดเร็วมุ่งตรงไปโรงพยาบาล 

พวกเขาถูกเหวี่ยงไปมาในรถเพราะเคนกำลังขับปาดหน้ารถแต่ละคันอย่างเร่งด่วน  โชคดีที่ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้วรถราจึงไม่แน่นมากนัก ไม่มีใครสนใจเสียงไซเรนของรถตำรวจที่ขับจี้ตามมาเพราะพวกเขาฝ่าไฟแดงมาตลอดทาง

พีทวุ่นวายกดโทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาลประจำครอบครัว  สั่งอะไรหลายอย่างยืดยาว  หลังวางสายแล้วจึงหันหน้ามาทางพี่ชายที่กำลังนั่งอึ้งอยู่ข้างกาย ใบหน้ากังวลชัดเจนเมื่อพี่ฮั่นเริ่มเกาหนักขึ้น  ตอนนี้พี่ฮั่นตัวแดงไปทั้งตัวแล้ว

“พีท...พี่....ไม่ เป็นไร”

เสียงพี่ฮั่นบอกเมื่อเห็นคนเป็นน้องวุ่นวายกับอาการเขาเกินเหตุ  เขาแค่กำลังคันตามเนื้อตัวซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนแพ้กุ้ง ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองหายใจเร็วขึ้น

“ไม่เป็นไรได้ยังไง  พี่ไม่รู้ตัวรึไงว่าตัวเองตาบวมแทบปิดแล้วเนี่ย  ซุปนั่นต้องมีกุ้งอยู่ด้วยแน่ ๆ แค่พี่โดนไอยังขึ้นผื่นขนาดนี้  แล้วนี่กินเข้าไปด้วยอีกไม่นานหรอก  เราต้องไปโรงพยา...พี่ฮั่น!!!!”

พูดยังไม่ทันขาดคำคนเป็นพี่ก็เริ่มหอบ  หน้าอกขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงเพราะกำลังหายใจไม่ออกเนื่องจากหลอดลมเริ่มตีบ

“พี่ฮั่น ทำใจดี ๆ ก่อนนะ!”  พีทกดไหล่พี่ชายให้พิงกับเบาะแล้วหันไปเร่งคนที่ทำหน้าที่ขับรถ

“เคน  อีกไกลไหม  เร็วหน่อย  พี่ฮั่นหายใจไม่ออกแล้ว!!!!” 

เขากดนิ้วที่ต้นคอพี่ฮั่นเพื่อจับชีพจร  รับรู้ถึงความดันโลหิตที่อ่อนลงทุกขณะ อีกไม่นานพี่ฮั่นจะช็อกเพราะความดันต่ำลง  ระบบไหลเวียนโลหิตจะล้มเหลว!!!

‘บ้าที่สุด’   พีทสบถกับตัวเอง   ‘ขอให้ทันด้วยเถอะ’

“เคน!  เร็วเข้า” 

พีทแทบตะโกนแล้วตอนนี้ มือไม้เขาสั่นไปหมดแล้ว  พี่ฮั่นกำลังจะหายใจไม่ออกและตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว  ต้องไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด  หมอเท่านั้นที่จะช่วยพี่ฮั่นได้!

ฮั่นเริ่มหอบหนักขึ้นทุกขณะ  รู้สึกเหมือนหายใจเท่าไรก็ไม่พอสักที  อึดอัดเหมือนคนกำลังจมน้ำ  มือเขาปัดป่ายเพราะความทุรนทุรายจากการขาดอากาศหายใจ  ใบหน้าพร่ามัวของน้องชายกำลังเรียกเขา  เสียงสั่นของพีทร้องเรียกอยู่ข้างกายให้ตั้งสติและพยายามหายใจ  เขาพยายามแล้วแต่ลมหายใจที่เข้าไปน้อยนิดเหลือเกิน  ตาเขาเริ่มพร่ามัวเพราะขาดอากาศ  สติเริ่มเลื่อนลอย  ได้ยินเสียงเรียกของพีทจากที่แสนไกล

ก่อนที่จะไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป


----------------------------------------


มาแว้ววววววว

มาลุ้นกันว่าพี่ฮั่นจะเป็นอะไรรึเปล่า :katai1:

ขอบคุณที่ติดตามค่า

 :mew1:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 42 หน้า 6 อัพเดต 5/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 05-10-2014 23:57:40
ขอให้ปลอดภัยนะพี่ฮั่น
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 42 หน้า 6 อัพเดต 5/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 07-10-2014 00:51:54
แปะไว้ก่อง
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 42 หน้า 6 อัพเดต 5/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: kjkjji ที่ 08-10-2014 08:34:00
ชื่อตอนว่าเกือบ แปลว่าพี่ฮั่นรอด 5555555
โอ้ย ยิ่งอ่านยิ่งหลงน้องพีทนะ คนอะไรใส่ใจแล้วยังดูเป็นผู้ใหญ่(เกินตัว)อีก
ที่จริงตอนแรกเราแอบขัดใจนิดหน่อยนะที่น้องพีทยกโทษให้พี่ฮั่นง่ายๆ
แต่พอมาคิดอีกที เออ พีทเป็นคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากนะ ดูโตกว่าพี่ฮั่นอีก เรื่องความรักอ่ะ
คิดดู ขนาดพี่แกบอกว่าคบกับเบลน้องมันยังยอมตามติดด้วยความเป็นห่วงทั้งที่แบบต้องเห็นภาพบาดตาทุกวันๆ แต่ก็ยังไม่ทำตัวงี่เง่าใส่พี่ฮั่นเลย -_- คนพี่นี่แค่มีคนมาเกาะแกะน้องก็ระเบิดลงละ แค่น้องยิ้มให้คนอื่นก็หน้าตึงละ 555555
เอาเถอะ จะโกรธกันไปทำไมนานๆเนอะ หวานกันซะขนาดนี้ น่ารักเกินไปแล้ววววว
เรื่องนี้ฟีลกู้ดมากกก คงไม่มีเรื่องมือที่สามแล้วมั้ง รู้ใจตัวเองกันขนาดนี้แล้วนี่(แต่ดูท่าทางคงไม่คิดจะบอกกันสินะ -_-) ได้แต่ลุ้นว่ามันจะรู้ใจอีกคนตอนไหนนน(วะ!?) 55
ส่วนคุณปู่ กัดไม่ปล่อยเลยอ่ะ  :เฮ้อ: รักหลานชายจริงๆหรือแค้นเค้ามากจนหน้ามืดตามัวกันแน่
น้องพีทน่าจะบอกความจริงพี่ฮั่นไปนะ พี่แกจะได้รู้จักระมัดระวังตัวเองบ้าง นี่ทำตัวเหรอหราสุดอะไรสุด 555
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 42 หน้า 6 อัพเดต 5/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 08-10-2014 17:02:04
เกือบไปแล้วนะพี่ฮั่นไม่ระวังตัวเล๊ยยยยย :ling1:

ต้องให้น้องคอยดูแลตลอดๆอ่ะ


ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 42 หน้า 6 อัพเดต 5/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 08-10-2014 22:02:08


ต่อตอนที่แล้วอีกนิดนึงนะคะ  พอดีก๊อปมาจากไฟล์เวิร์ดไม่หมด

-------------------------------------------------------------------------------------




พีททรุดตัวพิงประตูห้องฉุกเฉินอย่างเหนื่อยอ่อน  ปล่อยน้ำตาร้อนให้ไหล  ไหล่สั่นอย่างควบคุมไม่อยู่  เขาร้องไห้ไม่อายใคร
 
‘ใคร? ใครที่กล้าทำเรื่องอย่างนี้’ 

เขาตั้งคำถามกับตัวเองทั้งที่รู้คำตอบอยู่เต็มอก  คนเดียวเท่านั้นที่จะทำถึงขนาดนี้ 

‘คุณปู่!' 

ทำไมคุณปู่ฟงต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย  คุณปู่รู้อยู่แล้วว่าเขารักพี่ฮั่น  ก็ยังพยายามจะทำร้ายคนที่เขารักที่สุดอีก  แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้เลย 

มือเขากำแน่นอยู่ข้างตัว  เขาไม่ได้ยกมันขึ้นมาปาดน้ำตา  แต่กลับกดโทรศัพท์เพื่อสั่งการบางอย่าง 
 
เป็นครั้งแรกที่เขาจะทำแบบนี้  และมันต้องเป็นครั้งสุดท้าย!

-------------------------------------------------------------






43. แรงผลักดัน



พีทนั่งนิ่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วยโดยไม่ขยับมาราวหนึ่งชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่พี่ฮั่นย้ายออกจากห้องฉุกเฉินมาพักฟื้นที่ห้องพักผู้ป่วย 

เขาพาพี่ฮั่นมาเกือบไม่ทัน  พี่ฮั่นหยุดหายใจไปเกือบนาทีก่อนที่หมอจะฉีด Adrenalin กระตุ้นได้ทัน  เขารออยู่ข้างนอกห้องแทบเป็นบ้าเพราะความกลัว  เคนต้องฉุดเขาไว้ไม่ให้เขาบุกเข้าไปในห้องฉุกเฉิน

ใจเขาแทบขาดตอนที่เห็นพี่ฮั่นหยุดหายใจ  มันเป็นช่วงเวลาอันเลวร้ายยิ่งกว่าตอนที่ตัวเองตกอยู่ในอันตราย  ยิ่งกว่าตอนที่เขาถูกจับไป 

ถ้ามาไม่ทัน.....

พีทมองไปยังคนป่วยที่นอนไม่รู้สติอยู่บนเตียง หน้าอกพี่ฮั่นสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ   หมอให้รอดูอาการคืนนี้อีกคืน  พี่ฮั่นยังไม่ปลอดภัย

พี่ฮั่นแพ้กุ้งมาตั้งแต่เด็กแล้ว  แพ้หนักชนิดที่แค่เดินผ่านหม้อปรุงอาหารที่มีกุ้งอยู่แล้วไอจากหม้อนั้นสัมผัสผิวก็ขึ้นผื่นแดงคันคะเยอทั้งตัวแล้ว  ที่ผ่านมาคุณโรสดูแลเรื่องอาหารของพี่ฮั่นเป็นอย่างดี พี่ฮั่นจึงไม่เคยเป็นอันตราย  มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่พี่ฮั่นแพ้หนักถึงขั้นหายใจไม่ออก  ครั้งนั้นพี่ฮั่นเผลอกินอาหารที่มีส่วนผสมของกุ้งเข้าไปโดยไม่รู้ตัว  และตอนนั้นเขาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย 

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ฮั่นเกิดอาการรวดเร็วขนาดนี้ ทั้งที่พี่ฮั่นกินเข้าไปแค่คำเดียวกลับเกิดอาการแพ้ทันที  แสดงว่าปริมาณกุ้งที่อยู่ในหม้อนั้นต้องสูงมาก

ถึงขั้นวางยากันแบบนี้! 

พีทลูบใบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน  ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับเขาด้วย  คนหนึ่งก็เป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่  อีกคนก็เป็นพี่ชายที่เขารักมาก  เป็นคนที่เขารักยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง

ประตูห้องเปิดออก  คุณโรสถลาเข้ามารวดเร็ว  พีทรีบลุกไปคว้าตัวคุณโรสไว้

“คุณโรสเดี๋ยวครับ ใจเย็น ๆ ครับ  พี่ฮั่นปลอดภัยแล้วครับ  ตอนนี้พักอยู่”   

เขารอจนคุณโรสตั้งสติได้แล้วจึงประคองพาไปที่เตียง  คุณโรสวางมือลูบผมลูกชาย  น้ำตาไหลริน  เธอพูดไม่ออกอยู่นาน
 
พีทปล่อยให้คุณโรสนั่งอยู่ข้างเตียง  หันไปสบตาพ่อที่ยืนอยู่อีกฟากเตียงอย่างมีความหมาย 

พ่อรับรู้ทันที  สองพ่อลูกเดินออกจากห้องพักไปยืนคุยกันที่ระเบียง




“พี่ฮั่นถูกวางยาแน่ ๆ ครับ”

คริสมองใบหน้าลูกชายที่มีส่วนคล้ายตัวเขาเองอยู่ไม่น้อย  แววตาของลูกชายที่มองมามีแววเจ็บช้ำ  คริสรู้ดีว่าพีทรักพี่ชายคนนี้มากขนาดไหน  ทุกคนรับรู้ได้จากเวลาที่เขาโกรธ
 
รักมากก็โกรธมาก   

“พีทมั่นใจแล้วหรือลูก เรื่องนี้เราจะคิดเอาเองไม่ได้นะ มันเรื่องคอขาดบาดตาย”  คริสเอ่ยถามทั้งที่รู้เหมือนกับที่ลูกชายรู้

“ปกติพี่ฮั่นไม่เคยออกอาการเร็วขนาดนี้นะครับพ่อ  นี่แค่สิบห้านาทีเท่านั้นตั้งแต่พี่ฮั่นกินคำแรก  พี่ฮั่นก็หายใจไม่ออกแล้ว  ผมคิดว่าต้องมีคนแอบเอากุ้งใส่ลงไปในอาหาร  ผมให้เคนจัดการเก็บตัวอย่างซุปนั้นส่งวิเคราะห์แล้วครับ ไม่เกินคืนนี้คงได้รู้ผล”

คริสมองหน้าลูกชายของเขาอย่างหนักใจ  เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในครอบครัวของเขาเลย  ฮั่นถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ไม่เคยทำอะไรผิด  แค่เกิดเป็นหลานของคนที่คุณอาฟงเกลียด  โชคดีที่โรสเป็นผู้หญิง  ไม่อย่างนั้นโรสคงจะถูกลอบทำร้ายไปด้วย  แต่ฮั่นกลับเป็นฝ่ายรับเคราะห์แทน

“พ่อ  ผมไม่ยอมนะ  เรื่องนี้ต้องไม่เกิดขึ้นอีก”  เขามองตาพ่อเพื่อยืนยันคำพูด  เรื่องนี้เขาไม่ยอมแน่และจะจัดการด้วยตัวเอง

“พ่อรู้  พีท พ่อก็ไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นซ้ำสองเหมือนกันโดยเฉพาะเรื่องนี้เกิดจากคนในตระกูลของเราเอง” 

“เรื่องคุณปู่พ่อจะจัดการเอง  พีทไม่ต้องห่วงนะลูก”  พ่อวางมืออบอุ่นบนไหล่เขา บีบแรง ๆ เป็นการยืนยัน

“อีกเรื่องครับ พ่อ”

“อะไรหรือลูก”

พีทสูดหายใจลึกก่อนจะสบตาพ่ออย่างแน่วแน่









“ผมรักพี่ฮั่น”




-----------------------------------------


 :mew1: :mew1: :mew1:


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 42 หน้า 6 อัพเดต 5/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 08-10-2014 22:11:21
ชื่อตอนว่าเกือบ แปลว่าพี่ฮั่นรอด 5555555
โอ้ย ยิ่งอ่านยิ่งหลงน้องพีทนะ คนอะไรใส่ใจแล้วยังดูเป็นผู้ใหญ่(เกินตัว)อีก
ที่จริงตอนแรกเราแอบขัดใจนิดหน่อยนะที่น้องพีทยกโทษให้พี่ฮั่นง่ายๆ
แต่พอมาคิดอีกที เออ พีทเป็นคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากนะ ดูโตกว่าพี่ฮั่นอีก เรื่องความรักอ่ะ
คิดดู ขนาดพี่แกบอกว่าคบกับเบลน้องมันยังยอมตามติดด้วยความเป็นห่วงทั้งที่แบบต้องเห็นภาพบาดตาทุกวันๆ แต่ก็ยังไม่ทำตัวงี่เง่าใส่พี่ฮั่นเลย -_- คนพี่นี่แค่มีคนมาเกาะแกะน้องก็ระเบิดลงละ แค่น้องยิ้มให้คนอื่นก็หน้าตึงละ 555555
เอาเถอะ จะโกรธกันไปทำไมนานๆเนอะ หวานกันซะขนาดนี้ น่ารักเกินไปแล้ววววว
เรื่องนี้ฟีลกู้ดมากกก คงไม่มีเรื่องมือที่สามแล้วมั้ง รู้ใจตัวเองกันขนาดนี้แล้วนี่(แต่ดูท่าทางคงไม่คิดจะบอกกันสินะ -_-) ได้แต่ลุ้นว่ามันจะรู้ใจอีกคนตอนไหนนน(วะ!?) 55
ส่วนคุณปู่ กัดไม่ปล่อยเลยอ่ะ  :เฮ้อ: รักหลานชายจริงๆหรือแค้นเค้ามากจนหน้ามืดตามัวกันแน่
น้องพีทน่าจะบอกความจริงพี่ฮั่นไปนะ พี่แกจะได้รู้จักระมัดระวังตัวเองบ้าง นี่ทำตัวเหรอหราสุดอะไรสุด 555



ที่พีทยกโทษให้ง่ายนี่มีเหตุผลนะคะ  ส่วนคุณปู่ก็มีเหตุผลอีกเช่นกัน 

พีทไม่บอกพี่ฮั่นก็เพราะลำบากใจ  พีทรู้จักปู่ตัวเองดีกว่าใครแต่ไม่เข้าใจเหตุผลของปู่ฟง  แล้วก็รู้ว่าพี่ฮั่นเกลียดปู่ที่สุดในชีวิต  พีททำเท่าที่จะทำได้แล้วค่ะ

ฝากติดตามต่อไปนะคะ

---------------------------------------

ขอบคุณ Onlymin, Pe๊aNu๊T, titansyui, andaseen, paladin.kn, Guy_Blove และ shikyu3211 ด้วยค่าที่ติดตาม

 :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 43 หน้า 6 อัพเดต 8/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 09-10-2014 00:45:25
จะกลายเป็นเรื่องใหญ่อีกรึป่าว
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 43 หน้า 6 อัพเดต 8/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 10-10-2014 22:19:06
ว๊ากก งานนี้เรื่องจะใหญ่กว่าเดิมมั้ยเนี่ย
คุณพ่อจิว่าไงนะ ลุ้นอ่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 43 หน้า 6 อัพเดต 8/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 12-10-2014 20:00:12
44. ลงมือ



ร่างที่ถูกซ้อมหนักทรุดอยู่แทบเท้าแต่กลับไม่ยอมปริปากใด ๆ เจเจถูกเคนบุกเข้าไปจับตัวมาจากคฤหาสน์ของคุณปู่ฟงเลยทีเดียว เขาถูกซ้อมหนักเพื่อให้ยอมสารภาพความจริงแต่เจเจกลับไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดออกมาเลย

เคนรายงานว่าลูกน้องของเจเจปลอมตัวเป็นพนักงานเสิร์ฟแอบเอาสารสกัดจากกุ้งไปใส่ในซุปหม้อนั้น  แล้วฉวยโอกาสตอนที่คนพลุกพล่านในงานเลี้ยงยกไปเสิร์ฟถึงโต๊ะ  หมอนั่นคือคนที่เขาเห็นใส่ชุดพนักงานเสิร์ฟในงานเลี้ยง และตอนนี้มือของไอ้คนใจร้ายที่เป็นคนเทสารสกัดนั่นลงในหม้อก็หักหลายท่อนด้วยฝีมือคนของพี่ฮั่น

ลูกน้องของเจเจสารภาพว่าเป็นคนใส่สารสกัดจากกุ้งในซุปนั้น ปริมาณที่ใส่ลงไปสูงขนาดคนที่แพ้กุ้งอาจเสียชีวิตได้ในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงแม้กินเข้าไปเพียงคำเดียว!

คุณปู่จงใจทำถึงขนาดนี้

“เจเจ  ผมขอถามคำเดียว  เรื่องนี้คุณปู่เป็นคนสั่งใช่ไหมรวมทั้งมือปืนที่ส่งมาด้วย”

ความเงียบคือคำตอบ  พีทพยักหน้าให้คนของพี่ฮั่น  เจเจกับลูกน้องถูกลากไปมัดขึงกางแขนกางขากับกำแพงด้านหลัง  เขารับปืนซิก ซาวเออร์วาววับจากเคนที่ยื่นส่งให้ 

ไม่เสียเวลาเล็งอะไรเลยเมื่อเหนี่ยวไกทันที  ไม่ลังเล


“ปัง!”


“ปัง!”


“อ๊ากกกก!!!!!!!!!!!!”


กระสุนเจาะเข้าที่กำแพงเหนือไหล่ซ้ายเพียงนิดเดียว  เสื้อที่เจเจใส่อยู่ถูกกระสุนเฉี่ยวขาดเป็นรู  คนถูกมัดขึงหูแทบดับจากเสียงกระสุนเจาะเข้าที่กำแพงที่เขาถูกจับขึงอยู่  ลูกน้องของเจเจร้องอย่างหวาดกลัวทั้งที่กระสุนยังไม่ได้เจาะเข้าที่ส่วนใดของร่างกาย

คุณชายแค่ยิงไปที่กำแพง  สูงกว่าไหล่ซ้ายหมอนั่นเพียงนิดเดียว เหมือนที่ยิงเหนือไหล่เจเจ 

คนละนัดแต่ตำแหน่งเดียวกัน!

เจเจมองไปที่ดวงตาของหลานชายคนเดียวของคุณฟงอย่างหวั่นใจ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายตาแบบนี้ของคุณชาย  มันกราดเกรี้ยวเต็มไปด้วยความโกรธแค้น 

คุณชายที่น่ารัก  ยิ้มเก่งของคุณฟงหายไปแล้ว  คนตรงหน้าเขาเหมือนเป็นอีกคนที่มีแต่ความ ‘เหี้ยม’   

ทำไมไม่รู้เจเจกลืนน้ำลายอย่างหวั่นใจแต่ยังเก็บปากเงียบ

“จำไม่ได้หรือ  ว่าใครเป็นคนสอนผมยิงปืน”  คุณชายเอ่ยถามเสียงเย็น  ดวงตาจ้องไปที่เจเจไม่คลาดแม้เพียงนิด

คนที่ถูกมัดอยู่เบิกตากว้างอย่างเพิ่งจำได้  ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว 

เขาลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง!! 

คุณชายไม่ชอบยิงปืนเลยแต่ถูกบังคับให้เรียน ไม่ใช่เพราะกลัวหรือยิงไม่เก่ง  แต่เพราะยิงแม่นยังกับจับวางต่างหากที่ทำให้คุณชายไม่ชอบแตะปืน
 
มือข้างนั้นยิงปืนแม่นยังกับเทวดา!

คุณชายไม่ยิงปืนเพราะรู้ตัวดีว่า  ถ้าลองได้ยิงออกไปแล้วต้องตรงเป้าทุกนัด  ไม่มีพลาด 

และคนที่สอนคุณชายยิงปืนคือคุณฟง  คุณปู่ของคุณชายเอง!

นี่คงเหลือทนแน่แล้วถึงได้ยอมจับปืนอีก  เจเจยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งกลัว  เมื่อกี้คุณชายแค่จงใจให้พลาด  แต่คราวนี้?  เขาเริ่มจะกลัวตายขึ้นมาบ้างแล้ว

“คุณชาย  อย่าทำแบบนี้เลยครับ”

“ทำแบบไหนล่ะเจเจ  ผมไม่ควรทำหรือ  แล้วที่คุณทำล่ะเจเจ....ควรทำ  งั้นหรือ ?”

น้ำเสียงเย็น ๆ พูดยานคาง  ยิ่งทำให้เจเจขนลุกมากขึ้นอีก
 
“ผม  เอ่อ  ผม...” 

“ว่าไงล่ะ”

เจเจเงียบไปอย่างจนคำตอบ  เขาจำเป็นต้องทำเพราะคุณฟงคือคนที่มีพระคุณต่อเขา  ชั่วชีวิตนี้ก็ชดใช้ให้ไม่หมด  ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่คุณฟงสั่งให้เขาทำเป็นสิ่งที่ผิดบาปแต่เขาก็ต้องทำ


“ปัง!  ปัง!”


“อ๊ากกกกกก!!!!!!!!!!!”


เสียงลูกน้องของเจเจกรีดร้องอย่างหวาดกลัวมากขึ้น  เมื่อคุณชายยิงปืนไปเหนือไหล่ขวาระดับเดียวกับที่ไหล่ซ้ายไม่พลาดสักเซนเดียว   กระสุนอีกนัดเจาะที่กำแพงเหนือไหล่ขวาของเจเจเช่นเดียวกัน 

เจเจยังคงกัดฟันแน่น  พยายามจะข่มความกลัวที่คืบคลานเข้าสู่จิตใจทีละน้อย

เมื่อรออยู่ครู่แล้วยังไม่ได้รับคำตอบ  ปลายกระบอกปืนที่ลดลงนั้นก็กลับยกขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้หันไปทางลูกน้องของเจเจ



“ปัง!”  ใกล้เข่าซ้าย


“ว๊ากกกกกกก!!!!!!!!!”






หยุดนิ่งไป  ........19  20   21  22  วินาที  ท่ามกลางความเงียบในห้อง











“ปัง!”  ใกล้เข่าขวา



“อ๊ากกกก  อย่า ๆ  ผมกลัวแล้ว   ผมกลัวแล้ว  ผมยอมแล้ว  ได้โปรด”   



ลูกน้องเจเจตะโกนอย่างน่าสมเพชเมื่อกระสุนเจาะเข้าที่กำแพง  มันร้องไปด้วย  หอบเหมือนคนวิ่งระยะไกลไปด้วย  เพราะความหวาดกลัวกำลังกระตุ้นให้หัวใจสูบฉีดอย่างรุนแรง   

เจเจกัดฟันแน่นเมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างคนกลัวตายของลูกน้องตัวเอง

คุณชายยิงทีละนัด  ช้า ๆ แต่ละจุดทิ้งระยะเวลาเกือบสามสิบวินาที   

ช่วงเวลาสั้น ๆ  ระหว่างการยิงแต่ละนัดเป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจจนแทบทนไม่ได้  มันทำให้คนที่ถูกมัดขึงอยู่ใจแทบปลิดปลิวเพราะความกลัว  เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรลูกกระสุนจะเจาะเข้าร่าง 

และยิ่งคุณชายตั้งใจยิงให้โดนแค่ถาก ๆ แบบนี้   ยิ่งกระตุ้นให้เกิดความหวาดกลัวจากก้นบึ้งจิตใจทีเดียว









“ปัง!”  เหนือศีรษะ  ผมบางส่วนร่วงลงมา 









ลูกน้องของเจเจเริ่มกรีดร้องไม่เป็นภาษามนุษย์  ร่างที่ถูกมัดแน่นเริ่มดิ้นรนหนักเพราะทนยืนให้เป็นเป้านิ่งแบบนี้ไม่ได้แล้ว   

แต่ถึงแม้จะดิ้นรนหนักขนาดไหนก็ดิ้นไม่หลุด








23………24………..25……….26    วินาที









“ปัง!” ใต้เป้ากางเกง







เสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาดังก้องในห้องสี่เหลี่ยมทึบนั้นเมื่อคุณชายยิงปืนไปทั่วร่างของคนที่ถูกจับมัดขึงอยู่  ที่เข่าซ้ายและขวา  เหนือหัวและใต้เป้ากางเกง 

ทุกจุดไม่ได้เจาะเข้าที่ส่วนใดของร่างกาย  ลูกตะกั่วขนาด 9 มม.  เพียงแค่เจาะเข้า ‘เฉียด’ บริเวณนั้นชนิดขนไหม้เลยทีเดียว

ลูกน้องของเจเจฉี่ราดไปแล้วเพราะความกลัวจับใจเมื่อโดนยิงขู่ขนาดนี้  มันพร่ำร้องขอชีวิต  ส่งเสียงร้องครางเหมือนหมาตัวหนึ่งอย่างน่าสมเพช

พีทไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว  ก่อนที่มันจะเทสารสกัดนั่นลงไปในหม้อ  ไม่มีใครมีโอกาสได้ร้องขอชีวิตจากมันด้วยซ้ำ

ดวงตาคนยิงไม่เหลือแววเวทนาสักนิดเดียวเมื่อหันกระบอกปืนไปที่คนสนิทของคุณปู่





“ปัง!”







“ปัง!”








“ปัง!”









“ปัง!”






คราวนี้เป็นตาของเจเจเมื่อคุณชายหันปลายกระบอกปืนมายิงที่เขา ทุกจุดเหมือนลูกน้อง  แต่ละนัดทิ้งระยะห่างนานเกือบนาที   บีบคั้นจิตใจเจเจในแต่ละวินาทีที่ผ่านไป 

ลูกกระสุนแค่ถากผิวหนังเขาเลือดซิบเท่านั้นเอง!

ความรักตัวกลัวตายแล่นริ้วเข้าสู่จิตใจ  ได้กลิ่นคาวเลือดที่ไหลจากหัวตัวเองซึมลงมาตามหน้าผาก  ไหลลงมาตามสันจมูก  หยดลงบนเสื้อ  เจเจทำได้เพียงแค่กัดกรามแน่นจนเป็นสันนูนเพื่อข่มความกลัวไว้  หัวใจเต้นแทบทะลุหน้าอกเพราะความกลัวสุดชีวิต

การยิงปืนขู่   ล้อเล่นกับความกลัวตายของคนแบบนี้   เป็นวิธีการของคุณฟงเลยทีเดียว  เจเจรู้ดี  เขาเคยแต่เห็นคุณฟงยิงขู่ลูกน้องที่หักหลังแต่ไม่เคยโดนเองกับตัว 

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าไอ้ความรู้สึก ‘เฉียดตาย’  มันเป็นอย่างไร



 
“เจเจ...คราวนี้ไม่พลาดหรอกนะ...ตรงไหนดี...กระดูกไหปลาร้าดีไหม ต่ำลงมาแค่นิ้วเดียว”

เสียงเหี้ยมนั้นถามมาอีกครั้งอย่างไม่ต้องการคำตอบ  เพราะหลังจากพูดประโยคนั้นจบ  มือของนักดนตรีก็เปลี่ยนเป็น....



มือปืน! 





“ปัง!  ปัง!”



“อ๊ากกกกก    อ๊ากกกกก”




คุณชายส่งกระสุนลูกแรกเจาะร่างกายคนทั้งคู่ทันที  เจเจได้ยินเสียงกระดูกไหปลาร้าตัวเองแตกพร้อมกับเสียงร้องอย่างโหยหวนของตัวเอง  ผสมปนเปกับเสียงที่ร้องดังยิ่งกว่าของลูกน้อง  เมื่อกระสุนเจาะเข้าที่ไหปลาร้าข้างซ้ายของเขาและหมอนั่นคนละนัด  ต่ำกว่าจุดที่กระสุนนัดแรกเจาะที่กำแพง...

หนึ่งนิ้ว  พอดิบพอดี!



คนที่เฝ้ามองอยู่โดยรอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก  ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือคุณชายที่พวกเขารู้จัก

คุณชายฮั่นน่ะ ‘โหด’ เพราะทำทุกวิถีทางที่จะเอาคืนคนที่ทำกับเขาอย่างสาสมเจ็บปวดยิ่งกว่า 

แต่คุณชายที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขานี้ ‘เหี้ยม’  เพราะแต่ละนัดที่ยิงออกไป  เพียงแค่บิดมือนิดเดียวก็ฆ่าคนได้แล้ว

คนที่ล้อเล่นกับความตายของคนขนาดนี้....

นี่ใช่คุณชายคนเดียวกับคนที่วิ่งหนีกระสุนปืนตามหลังคุณชายฮั่นที่หมู่บ้านร้างนั้นแน่หรือ 

ตอนนั้นคุณชายก็มีปืนอยู่ในมือแต่กลับไม่ยิงออกไปแม้แต่นัดเดียว  คราวนี้กลับเหนี่ยวไกโดยไม่เสียเวลาเล็งสักนิด  ดวงตาคู่นั้นไม่กระพริบเลยด้วยซ้ำเมื่อกดไกปืน   

และที่สำคัญ   ยิงแม่นยังกับจับวาง

เคนแอบมองไปที่เจเจอย่างกลัวแทน




“ผมยอมแล้ว  คุณชาย  ผมยอมแล้ว!” 

เจเจกำลังหวาดกลัว  ความเจ็บปวดนั้นไม่เท่าไรหรอก  เขาเคยเจ็บมามากกว่านี้เสียอีก   แต่ภาพครอบครัวของเขาเองต่างหากที่ทำให้เขาต้องยอม  เขายังตายไม่ได้

“ว่าไงนะ”  มือที่ถือปืนอยู่ยังคงเล็งมา ปลายกระบอกปืนนิ่งไม่ขยับ

“คุณฟงเป็นคนสั่งให้ผมจัดการเองครับ  คุณท่านไม่อยากให้คุณชายใกล้ชิดกับคุณฮั่นแต่คุณชายไม่ฟัง  คุณท่านเลยสั่งเก็บ ครับ”  เจเจกัดฟันข่มความเจ็บปวดตอบ

ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ  ความเงียบนั้นบีบเค้นคนที่รอคอยการตัดสินใจ   

ว่าจะเป็นหรือจะตาย?!   





ในที่สุด  พีทก็ลดปืนลงข้างตัวแล้วส่งปืนกลับคืนให้เคน  สั่งให้ส่งตัวเจเจไปโรงพยาบาล  เสียงผู้คนในห้องทึบนั้นลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

คุณชายเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที


----------------------------------------------




พีทไม่โหดเท่าไรเลยนะ

 :hao3:


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 44 หน้า 6 อัพเดต 12/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 12-10-2014 21:02:17
คราวนี้น้องพีทจะทำไงต่อหนอ เจเจน่าสงสารนะเป็นแค่คนรับคำสั่งทำก็โดนไม่ทำก็โดน
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 44 หน้า 6 อัพเดต 12/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 14-10-2014 16:33:27
กรี๊ดดดน้องพีททท ได้ใจป้ามากเลยลูก


เค้าชอบพีทเวอร์ชันนี้ :ling1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 44 หน้า 6 อัพเดต 12/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: kjkjji ที่ 14-10-2014 17:14:46
 :a5: หน่องพี๊ท...

 o22 o22 o22 o22 o22

แอดวานซ์ไปแล้วลูก คือเป็นตัวละครที่มีอะไรให้คิดไม่ถึงตลอดเวลาเลยอ่ะ
ทีแรกเรานึกว่าอิมเมจพีทออกแนวปริ้นซ์ๆหน่อย แบบ แสนดี ไนซ์ ยิ้มเก่ง ใครๆก็รักแต่นี่ม่างแกเล่นมาอย่างโหดเลยนี่หว่าาาาาาาาา
โถ พ่อเสือหนุ่ม  :-[

นี่ทึ่งตั้งแต่บอกพ่อแล้วนะว่ารักพี่ฮั่น -_- บทแกจะชัดเจนก็ชัดเจนซะ พี่ฮั่นไม่ได้ครึ่งเลยจ้า กั๊กกันไว้ทำไมตั้งนาน55555


ตอนนี้กลัวอย่างเดียวเลย
กลัวน้องพีทจะรุกพี่ฮั่น ถ้าเป็นงั้นนี่เราเงิบนะ ฮืออ ลุ้นพี่ฮั่นมาตั้งนานนนนนนน รุกน้องเถอะค่ะ! กอบกู้ศักดิ์ศรีความแมนของพี่คืนมา *กรีดร้อง*
 :z3:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 44 หน้า 6 อัพเดต 12/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 14-10-2014 18:01:52
น้องพีท อิฉันชอบมาดนี้คะ บอกเลย
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 44 หน้า 6 อัพเดต 12/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 15-10-2014 19:38:25
สุดยอดมากเลยพีท
เพิ่งเคยเห็นโหมดนี้อ่ะ สุโค่ยยย
ลุ้นฉี่ราด 555
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 44 หน้า 6 อัพเดต 12/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 15-10-2014 21:24:42
45. เผลอ



เขากลับเข้ามาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง  พี่ฮั่นยังคงนอนหลับอยู่  คุณโรสนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง  พีทเดินไปกอดไหล่แม่เลี้ยงของเขาไว้แน่น  คุณโรสก็กอดตอบเขาแน่นเช่นกัน  คนที่พวกเขารักสุดหัวใจยังไม่พ้นจากขีดอันตราย  พวกเขากำลังถ่ายเทความเจ็บปวดของกันและกัน

“น้องพีท ขอบคุณมากนะลูกที่ช่วยพี่ฮั่นไว้  ถ้าไม่ได้พีท  พี่ฮั่นคง...”  คุณโรสพูดทั้งน้ำตา

“คุณโรสอย่าพูดแบบนั้นสิครับ พี่ฮั่นก็เคยช่วยผมไว้ตั้งหลายครั้ง” 

พีทเอื้อมมือไปเกลี่ยน้ำตาให้แม่เลี้ยงของเขาอย่างนุ่มนวล  แต่ตัวเองกลับน้ำตาไหล  คุณโรสกอดเขาแน่นแทนคำพูดใด  พวกเขากอดกันและกันอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่

“คุณโรสนอนเถอะครับเดี๋ยวพีทเฝ้าต่อให้เอง” ในที่สุด พีทก็เอ่ยทำลายความเงียบอันน่ากลัวนี้
 
คุณโรสอิดออดอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมเดินไปพักในห้องพักสำหรับญาติภายในห้องพักผู้ป่วย  พ่อของเขาหลับไปแล้วเพราะอ่อนเพลียจากการตระเวนหาเสียงโค้งสุดท้าย 

เมื่อคุณโรสปิดประตูห้องพักไปแล้ว  พีทจึงหันมามองพี่ฮั่นที่นอนหลับบนเตียง

ตาพี่ฮั่นกลับมาเป็นปกติแล้ว  ผื่นที่ขึ้นตามตัวก็ยุบเหลือแต่รอยแดงจาง ๆ ยังคงมีรอยยาสีขาวป้ายตามแขนเพื่อบรรเทาอาการคันจากอาการแพ้

เขามองใบหน้านั้นอยู่นาน  ความรักความเป็นห่วงท่วมท้นหัวใจ  นึกถึงตอนที่พี่ฮั่นกำลังดิ้นทุรนทุรายในวินาทีแห่งความเป็นความตายแต่เขาเองกลับทำอะไรไม่ได้ก็แทบจะขาดใจ  เพิ่งรู้ว่ารักคนคนนี้มากขนาดไหนก็ตอนที่พี่ฮั่นกำลังตกอยู่ในอันตรายที่สุดนั่นเอง

เขาเอื้อมมือไปสัมผัสมือของพี่ฮั่นที่วางอยู่บนอก จับไว้เหมือนต้องการความมั่นใจ  เอื้อมมืออีกข้างไปลูบผมคนที่หลับอยู่

‘พี่ฮั่น..พีทขอโทษ ขอโทษแทนคุณปู่ด้วย ต่อจากนี้ไปจะไม่มีใครทำอะไรพี่ฮั่นอีก’

ดวงตาเขาจับอยู่ที่ใบหน้าของพี่ชายที่นอนหลับ  มือที่ลูบผมเลื่อนมาแตะที่ใบหน้า  ใช้นิ้วโป้งไล้แผ่วเบาแถวขมับคนที่นอนอยู่

พี่ฮั่นของเขา...

อยู่ ๆ ความรู้สึกมากมายที่มีต่อพี่ชายคนนี้ก็ไหลทะลักออกจากใจ  ความรักที่เขาเก็บไว้ไม่ให้พี่ฮั่นรู้เหมือนเก็บไว้ไม่ไหวอีกต่อไป  มันมากมายเกินกว่าที่เขาจินตนาการ  ทำให้เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่าง 
 
พีทก้มหน้าลงไปใกล้ใบหน้าพี่ชายที่นอนหลับอยู่
 
สัมผัสริมฝีปากบางเบาที่เปลือกตาที่ปิดสนิท  ปลายจมูก  หยุดนิดหนึ่งอย่างชั่งใจแล้วกดจูบที่ริมฝีปากแผ่วเบา

เพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้นเขาก็ถอนริมฝีปากตัวเองออก  เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ต้องชาวาบไปทั่วร่างเมื่อสบตากับคนที่นอนอยู่

“พี่ฮั่น!!”     

‘พี่ฮั่นตื่นตั้งแต่เมื่อไร!’


“พีท  ทำอะไร”

พีทไม่ตอบ  คิดไม่ถึงว่าพี่ฮั่นจะตื่นมาพอดี  ไม่ทันตั้งตัว  เขาหันหน้าเดินหนีแต่พี่ฮั่นกลับคว้าแขนเขาไว้ได้ทัน  มือนั้นจับแขนเขาแน่น 

“เดี๋ยวก่อน”  พี่ฮั่นพูดเสียงแหบ

พีทหันหน้าไปทางอื่น  ไม่กล้าสบตา  หัวใจกำลังเต้นรัวราวกับมีใครมาตีกลองอยู่ในอก

“พีท  ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง  เรา...เป็นพี่น้องกัน”

“ผมรู้”  พีทหลับตา  เขาทำอะไรลงไป?

“อย่าทำแบบนี้อีก”

ประโยคนั้นทำให้เขาลืมตารวดเร็ว  หันไปมองสบตาคนที่อยู่บนเตียงนิ่ง  เขาเห็นแต่ความจริงจัง  พี่ฮั่นไม่ต้องการให้เขาทำแบบนี้  ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นมาจนจุกอก  พีทกัดฟันถาม

“พี่ไม่อยากรู้หรือว่าทำไมผมทำแบบนี้”   

“เอ่อ  มะ  ไม่  พีท  มันไม่ถูกต้อง”

เขากล้ำกลืนความรู้สึกนั้นลงไป  ตัดสินใจกะทันหันที่จะพูดบางสิ่งบางอย่าง

“ผม..”   

“พีท!  ไม่ต้องพูดแล้ว  แล้วพี่ห้ามเราทำแบบนี้อีก  เราเป็นพี่น้องกันเข้าใจไหม!”

คำพูดที่ได้ยินเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางอก  เผาไหม้จิตใจเขา   

ความรู้สึกมากมายของเขาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้  ความรักที่ทำให้เขาลืมตัวไปชั่ววูบกลับถูกทำลายลงภายในพริบตาจากประโยคนั้นของพี่ฮั่น 

พีทเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยด้วยดวงตาปวดร้าว  ตาพร่ามัวมองอะไรไม่เห็น  จำไม่ได้ว่ากลับมาอยู่ที่ห้องนอนตัวเองในบ้านริมสระได้อย่างไร

-------------------------------------------



ร่างผอมบางของชายวัยเจ็ดสิบเศษพยุงร่างขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบากจากอาการป่วยและอ่อนเพลียเห็นได้ชัด   

หลายวันก่อนเขาสั่งให้เจเจจัดการ ‘เก็บ’ ไอ้หลานคนทรยศนั่นซะ  ไอ้ฮั่นหลานของคนที่เขาเกลียด  ยิ่งมันใกล้ชิดกับตระกูลเขาเท่าไรเขาก็ยิ่งทวีความโกรธมากขึ้นเท่านั้น  มันกลับมาตอกย้ำความเจ็บปวดของเขาตลอดเวลา

มือที่เต็มไปด้วยรอยย่นสอดเข้าไปใต้หมอน  หยิบภาพขาวดำเก่าแก่นั้นออกมาลูบแผ่วเบา

‘หลิว  นายตายไปตั้งนานแล้วยังส่งหลานชายมาหลอกหลอนชั้นอยู่อีก  ต้องการแก้แค้นชั้นใช่ไหม  นายคงเกลียดชั้นมากใช่ไหมถึงทำอย่างนี้....’

เขานิ่งไปนาน  ตลอดสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความสุขสักครั้งในชีวิตตั้งแต่หลิวแต่งงานกับลิลลี่ 

'ไอ้ฮั่นมันกำลังจะย้อนรอยตาของมัน มันต้องไม่อยู่ทำร้ายหลานของเขาอีก' มือที่กำลังลูบภาพนั้นแปรเปลี่ยนเป็นกำแน่น 

‘เจเจจัดการไปถึงไหนแล้วนะ’


“ใครที่อยู่ข้างนอก  เรียกเจเจให้หน่อย” 

ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมพยาบาลประจำตัวของเขา  คุณฟงขมวดคิ้วทันที

“แกเป็นใคร  เข้ามาได้ยังไง  แล้วเจเจอยู่ที่ไหน?”  ท้ายประโยคเขาหันไปถามพยาบาลส่วนตัวที่เดินหน้าซีดเข้ามา

“เจเจถูกคุณชายยิงเมื่อคืนครับท่าน  ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลครับ”

“อะ อะไรนะ!“  ชายสูงวัยร้องอย่างตื่นตระหนก   พีทยิงเจเจ  ทำไม?  หรือว่าเจเจทำพลาด

ใบหน้าชายสูงอายุนั้นดูแก่ลงสักสิบปีเมื่อรับรู้ข่าวร้าย  เขาหันมาถามชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ด้วยดวงตาหวั่นเป็นครั้งแรก

“แล้วแกเป็นใคร” 

“ผมเป็นคนของคุณคริสครับ   ตอนนี้คุณคริสสั่งให้ผมมาคอย ‘ดูแล’ ท่านที่บ้านนี้จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยครับ”

“อะไรนะ  แล้วคนของชั้นไปไหนหมด  เล่ย  ตง  อู๋  เข้ามาเดี๋ยวนี้” 

คุณฟงตะโกนเรียกลูกน้องเสียงแหบแห้ง

“ไม่มีใครอยู่แล้วครับ  ที่บ้านนี้มีเพียงแม่บ้าน  พยาบาลและคนของคุณคริสเท่านั้นครับท่าน  หากท่านต้องการอะไรท่านสั่งผมได้ครับ”

ชายแปลกหน้านั้นพูดอย่างสุภาพแต่ท่าทีที่แสดงออกนั้นราวกับเป็นคนออกคำสั่งเสียมากกว่า

“ไอ้  ไอ้  คริส  แก  ไอ้หลานทรยศ  ไอ้หลานอกตัญญู  แก  รักคนอื่นมากกว่าอาตัวเองงั้นรึ  แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!!” 

คุณฟงเริ่มต้นอาละวาดด้วยการหยิบข้าวของใกล้ตัวขว้างปา  ตะโกนด่าหลานชายตัวเอง  แต่ทำได้ไม่นานก็เริ่มหายใจอย่างยากลำบาก  มือผอมบางนั้นกดแน่นที่หน้าอก

“คุณท่าน  คุณท่านคะ  นาย  ช่วยเรียกรถพยาบาลด่วน!!” 

-------------------------------------



พีทนั่งจมอยู่บนเตียงนานเท่าไรไม่รู้  ตั้งแต่เขากลับมาจากโรงพยาบาลเมื่อคืนเขาก็นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้ขยับไปไหน 

ว่างเปล่า  ไม่เหลือสิ่งใดในสมอง  คิดอะไรไม่ออก  น้ำตาเหือดแห้งไปนานแล้ว 

พี่ฮั่นไม่แม้แต่จะยอมฟังว่าสิ่งที่เขาต้องการพูดคืออะไร  สิ่งที่เขารู้สึกคืออะไร 

พี่ฮั่นย้ำแต่เพียงว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน  เรื่องนั้นเขารู้อยู่แล้ว! 

ไม่แม้แต่จะยอมรับรู้ความรู้สึกของเขา  ทำไม? 

เสียงเปิดประตูห้องนอนดังขึ้น  คนเพียงคนเดียวที่จะกล้าเปิดประตูห้องนอนเขาเข้ามา 

พีทยังนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิมเหมือนไม่ยอมรับรู้ว่ามีใครเข้ามาในห้อง 

บรรยากาศในห้องคล้ายถูกบีบ  อัดแน่นเต็มไปด้วยความอึดอัด  ไม่มีใครพูดอะไร  คนที่เข้ามาในห้องยืนนิ่งไปเหมือนพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน  นานทีเดียวกว่าจะมีเสียงเรียกชื่อเขา 

พีทไม่ตอบ  ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ทั้งสิ้น  เขายังคงนั่งนิ่ง  แววตาไม่รับรู้เมื่อกำลังจมดิ่งลึกไปในทะเลของความเสียใจ เขาสำลักความเจ็บปวดที่ไหลเข้าท่วมปอด  ความเสียใจแทรกอยู่ทุกอณูของร่างกาย  เจ็บจนชาไปหมด

เตียงยวบเมื่อมีคนนั่งลง

“พีท  พี่ขอโทษ”

ดวงตาพีทมีแววรับรู้ขึ้นมาชั่วขณะ  เขาหันมาเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีคนกำลังพูดด้วย 

น้ำเสียงอ่อนโยนจากพี่ชายคนเดิม  แต่ทำไมไม่รู้พีทกลับรู้สึกว่าคำพูดนั้นกรีดแทงเข้าไปในใจเขา  บาดซ้ำตรงแผลเดิมที่ได้รับคืนก่อน  เสียงอ่อนโยนเคยปลอบประโลมใจเขาเสมอเวลาที่เขาเสียใจ  แต่ครั้งนี้เสียงนั้นกลับทำให้เขาปวดร้าว  เพราะรู้ว่ามันมาจากความเสียใจที่ไม่อาจตอบสนองความรู้สึกของเขาได้  เสียใจที่ทำตามที่เขาต้องการไม่ได้

พีทมองหน้าพี่ฮั่นนิ่ง  รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเหลือเพียงน้อยนิด

“ผมรักพี่ฮั่น”

ความรู้สึกทั้งหมดส่งผ่านคำพูดสั้น ๆ และแววตาของเขา  บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้สึกต่อคนตรงหน้า  ความรู้สึกพิเศษที่มีให้แค่คนเพียงคนเดียว

“ไม่”   พี่ฮั่นปฏิเสธทันทีแล้วหลบตา

เหมือนน้ำกรดราดซ้ำลงไปบนใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลเมื่อได้ฟังคำปฏิเสธซ้ำอีก  พี่ฮั่นพูดออกมาแทบไม่เสียเวลาคิดอะไรเลย  มันคงน่ารังเกียจมากสินะที่เขาคิดเช่นนี้กับพี่ชาย  ทั้งที่สิ่งนี้เป็นความรู้สึกที่พิเศษที่สุดของเขา

“พีท  เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”

“พีท พี่  พี่ไม่รู้จะพูดยังไง  พีทจะโกรธ จะด่าว่า จะทำอะไรพี่ก็ได้  แต่พี่อยากให้เราเป็นเหมือนเดิม พีท ได้ยินพี่รึเปล่า”

พีทไม่ตอบ  แววตาที่มองมาไร้ความรู้สึกอีกต่อไป

จะให้เขารู้สึกอะไรได้อีกในเมื่อความรู้สึกทั้งหมดของเขาได้ส่งไปแล้ว  และพี่ฮั่นได้ทำลายมันลงไปพร้อม ๆ กับหัวใจของเขา

...ด้วยมือของพี่ฮั่นเอง...

พีทเพียงแต่หันหน้ากลับไปเหมือนเดิมไม่สนใจอะไรอีก  พี่ฮั่นยังพูดอะไรต่ออีกยืดยาวแต่เขาไม่ได้ยินเสียแล้ว  เขานั่งนิ่งเหมือนเดิมจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูปิดลง

เมื่ออยู่คนเดียวอีกครั้ง  หยดน้ำก็ไหลจากตา  จากหัวใจที่ย่อยยับไป

...เพียงแค่ชั่วคืน....


-----------------------------------------



 :hao5:  :mew6:




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 45 หน้า 7 อัพเดต 15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 16-10-2014 03:29:19
ไหงมามาม่ายับแบบนี้อ่ะ แล้วไอ่พี่ฮั่นมันเป็นอะไรของมันทำไมถึงทำกับน้องแบบนี้
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 45 หน้า 7 อัพเดต 15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: ST.tuktik ที่ 16-10-2014 08:10:56
พี่ฮั่นนิสัยไม่ดี ทำน้องพีทร้องไห้  :sad12: :sad12:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 45 หน้า 7 อัพเดต 15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 16-10-2014 08:36:14
แต่เดิมไม่ได้คิดมากเรื่องใครรุกใครรับ

แต่พอมาแนวนี้แล้ว หมั่นไส้ฮั่นค่ะ พีทปล้ำมันเลย :ling2:

โอย เกลียดคนคิดเยอะมีอะไรไม่ยอมพูด

ไม่ชัดเจน หวงก้างแต่ไม่ชัดเจน ไม่ยอมรัยความรู้สึกคนอื่น ทำน้องร้องไห้ไม่อนุญาตให้เป็นพระเอกย่ะะะ  :beat:

ไม่ต้องมาคิดแทนน้องได้ปะว่าอะไรดีไม่ดีต่อน้อง พีทลูก ซบอกป้านะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 45 หน้า 7 อัพเดต 15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 16-10-2014 12:19:18
เอ่อ คือก็เข้าใจความคิดพี่ฮันนะ แต่หมั่นไส้ว่ะ สงสารพีท
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 45 หน้า 7 อัพเดต 15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: cross ที่ 16-10-2014 12:31:16
สงสารพีทอ่ะ เจ็บจนไม่รู้จะเจ็บยังไงแล้วนั่น
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 45 หน้า 7 อัพเดต 15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: kjkjji ที่ 16-10-2014 13:26:06
 :katai1:
คะ..คุณปู่คะ อะไรกันคะ ยกมือรีเควสต์ตอนพิเศษค่ะ!

สำหรับอีพี่ฮั่น  :z6:

นี่นี่นี่ :beat: :beat: :beat:

ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยรึเปล่าน่อ  :เฮ้อ: คุณปู่ดูแค้นเคืองมากแสดงว่าอดีตคุณตาต้องทำอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจมากแน่ๆ เดาว่าไม่ใช่เรื่องคุณย่าแบบที่ทุกคนเข้าใจ หรือเราจะคิดเยอะไปเนี่ย555
ยิ่งอ่านยิ่งเคืองอีพี่ฮั่นนะ ความดีที่พี่ทำมาตอนต้นๆเรื่องถูกหักล้างไปหมดแล้ว ลาก่อนค่ะ ต่อจากนี้จะทำอะไรก็ทำไป อย่ามาเข้าใกล้น้องอีกนะ
สนับสนุนให้น้องพีทมีเมีย หาแฟนสวยๆ เลิศๆแล้วแต่งงานไปเลยลูกก เอาให้คนพี่มันเจ็บช้ำน้ำใจตายไปเลย เชอะ
พี่ฮั่นทำฉันโกรธมาก! แบบมากมาก!
 :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 45 หน้า 7 อัพเดต 15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 17-10-2014 21:55:21
อิพี่ฮั่น
ปฏิเสธความรู้สึกน้องทำไม
แล้วก่อนหน้านี้แกจะหวงก้างน้องเพื่อ?
 คนใจร้าย
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 45 หน้า 7 อัพเดต 15/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 19-10-2014 23:52:41
46. เสียใจ



‘เสียง เสียงอะไร??’

ต้องใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าเขาจะนึกออกว่าเสียงนั้นคือเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาเอง

‘อยู่ที่ไหน??’  มือเขาควานหาเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมแบนไปทั่วเตียง

เสียงหายไปแล้ว เขานิ่งไปอีก

‘เสียงมาอีกแล้ว  มาจากไหนนะ?? ตอนนี้กี่โมง ทำไมถึงได้มืดแบบนี้’

เขาลืมตาขึ้นแทบไม่ไหว  ตอนนี้ตาเขาคงบวมแน่ ๆ พีทพยายามยกเปลือกตาอันหนักอึ้งของตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก  เห็นแสงสว่างจากมือถืออยู่ห่างไปเล็กน้อย  เขาเอื้อมมือไปกดรับ

“พีท  นี่พี่เองนะ”

“พี่โดม!!  ฮึก ๆ” 

ทันทีที่ได้ยินเสียงพี่โดม  พีทก็ร้องไห้หนักทันที  พูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป 

นานทีเดียวกว่าจะตั้งสติได้  พี่โดมยังคงรออยู่ในสายอย่างใจเย็น

“พีทพี่มีเรื่องจะคุยด้วย  ออกมาได้รึเปล่า  พี่รออยู่หน้าบ้านนะ”  น้ำเสียงพี่โดมอ่อนโยนเหมือนกับรู้ว่าเขากำลังมีปัญหา

‘พี่โดมอยู่หน้าบ้าน?’

เรื่องที่ได้ยินทำให้เขาได้สติขึ้นมา  ร่างสูงของพีทพยายามยกตัวขึ้นนั่ง  เวลานี้มืดแล้ว  ห้องเขามืดไปหมดไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยาม  พีทกัดฟันลุกไปห้องน้ำจัดการตัวเองอยู่ครู่แล้วเดินออกจากบ้าน 

พี่โดมยืนรออยู่ที่ข้างรถของตัวเอง  พีทเดินไปถึงก็โผเข้ากอดพี่โดมทันที  พี่โดมไม่ถามอะไรเลย  มืออบอุ่นตบที่ไหล่เหมือนให้กำลังใจ  ชวนเขาขึ้นรถแล้วขับออกไป   

พวกเขาไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟที่ไม่วุ่นวาย  พีทนั่งจมอยู่ในเก้าอี้ ปล่อยน้ำตาให้ไหลอยู่นานก่อนจะรวบรวมสติกลับมา  เขาเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่โดมฟังทั้งหมด  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจ  สิ่งที่เขาต้องการบอกพี่ฮั่นแต่เจ้าตัวไม่ยอมรับฟัง  เขาเล่าให้พี่โดมฟังแทนทั้งหมด

พี่โดมไม่แปลกใจอะไรเลย  ไม่ได้มองเขาเหมือนตัวประหลาด  มีเพียงสายตาแสดงความห่วงใยและคำปลอบใจให้เขา พี่โดมนั่งฟังไปเงียบ ๆ บางครั้งก็ยกมือขึ้นตบไหล่บีบอย่างให้กำลังใจ 

หลังจากพีทได้เล่าทุกสิ่งทุกอย่าง  พวกเขานั่งเงียบกันไปนานจนในที่สุดโดมก็พูดขึ้น

“พีท  พี่ไม่รู้ว่าพี่ฮั่นทำแบบนั้นเพราะอะไร  แต่สิ่งที่พี่ยืนยันได้คือพี่ฮั่นก็รักพีทนะ แต่ในรูปแบบไหนพี่ก็ไม่รู้  พีทอย่าเสียใจไปเลย”

โดมนึกถึงวันที่พี่ฮั่นพาพีทออกมาจากโรงแรมที่พวกเขาถูกจับตัวไป  ใครที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นรับรู้ได้ทันทีว่าพี่ฮั่นเป็นห่วงน้องชายมากขนาดไหน พี่ฮั่นเดินตามเปลพยาบาลที่เข้าไปรับตัวพีทที่หมดสติไม่ยอมห่างจนถึงโรงพยาบาล   แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ในรถพยาบาลคันนั้นด้วยแต่ดูเหมือนพี่ฮั่นไม่เห็นเขาเลยแม้แต่นิดเดียว   เพราะพี่ฮั่นเฝ้าแต่มองไปยังคนที่นอนสลบไม่รู้สึกตัวตลอดเวลา  นี่ยังไม่นับรวมเรื่องอื่นอีกตั้งมากมายที่เขาสังเกตเห็น

แม้กระทั่งเวลานี้  เขาไม่ได้โทรหาพีทโดยบังเอิญ  แต่เป็นเพราะมีคนที่ร้อนใจโทรตามให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนน้องชายต่างหาก

โดมมองไปยังเพื่อนรุ่นน้องที่นั่งเงียบ  พีทคงกำลังเสียใจอยู่  คงต้องให้เวลาสักหน่อย




พี่โดมขับรถมาส่งพีทที่หน้าบ้าน  ให้กำลังใจเขาก่อนจะขับรถจากไป 

พีทเหม่อมองตามท้ายรถพี่โดมจนลับตา  แม้พี่โดมจะไม่มีทางออกให้เขาแต่พีทก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง  หลังจากได้ระบายสิ่งที่อัดแน่นในใจออกมา  ได้แต่ขอบคุณพี่โดมที่เสียสละเวลามาอยู่เป็นเพื่อนยามที่เขาไม่มีใคร  ก่อนหน้านี้เขารู้สึกโดดเดี่ยวกว่าครั้งไหนในชีวิต   แต่ตอนนี้เขาอุ่นใจมากขึ้นที่รู้ว่า  อย่างน้อยยังมีพี่โดมที่เข้าใจและรับฟังเขา

พีทกลับเข้าบ้านริมสระ  ภายในบ้านเงียบสงัดในเวลาเกือบตีหนึ่งแบบนี้  มีเพียงแสงไฟจากภายนอกที่ลอดเข้ามาภายในบ้าน
 
เขาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพี่ฮั่น  คิดอะไรอยู่นานจากนั้นจึงหมุนตัวเข้าห้องตนเองไปเงียบเชียบ

---------------------------------------------



“พี่หายดีแล้วเหรอ  มากินเหล้าเนี่ย  เดี๋ยวก็หามส่งโรงพยาบาลไม่ทัน” 

แคนเอ่ยถามพี่ฮั่นที่คราวนี้เป็นฝ่ายโทรเรียกให้เขามานั่งเป็นเพื่อนกินเหล้า  ซึ่งเขาก็เต็มใจทีเดียวเพราะตนเองก็มีเรื่องกลุ้มใจเช่นกัน  แต่ดูเหมือนพี่ฮั่นจะมีเรื่องที่หนักหนากว่าเขา  ใบหน้าเศร้าหมองของเพื่อนรุ่นพี่เป็นเครื่องยืนยันคำสันนิษฐานได้ดี  พี่ฮั่นไม่เคยเศร้าเสียใจมากขนาดนี้มาก่อน

“หายแล้ว”  คนตัวใหญ่ว่าแล้วก็ยกแก้วขึ้นดื่ม

“น้องพี่นี่เก่งนะ เห็นอาการแวบเดียวก็ดูออกเลย  ถ้าไปช้ากว่านี้อีกนิดคงแย่  ไม่อยากจะคิดเลย”

แคนที่รู้จักพี่ฮั่นมาตั้งหลายปียังไม่เคยรู้เลยว่าพี่ฮั่นแพ้กุ้งหนักขนาดนี้  เขาเอื้อมมือมาตบไหล่พี่ฮั่นด้วยความรู้สึกโล่งใจที่พี่ฮั่นปลอดภัย  ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ฮั่น  แค่คิดก็ใจหายแล้ว

คนที่นั่งกุมแก้วเหล้าบีบมือแน่นเพียงแค่ได้ยินแคนเอ่ยถึง ‘น้องชาย’

ใช่  พีทรู้ทันทีที่เห็นเขามีอาการทั้งที่เขายังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังเกิดอาการแพ้กุ้ง  เขาแค่รู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อยเท่านั้น    แต่พีทกลับสังเกตเห็นและพาเขาไปโรงพยาบาลได้ทันเวลา
 
เขาคาดคั้นเคนจนรู้ว่าใครเป็นคนลงมือ  โกรธแทบทนไม่ได้ที่ถูกลอบทำร้ายอีกครั้งจากไอ้คนใจร้ายนั่น  แทบแล่นไปจัดการมันด้วยตัวเองทีเดียว  แต่สิ่งที่เคนเล่าต่อมาทำให้เขาถึงกับนิ่งไป  พีทยิงเจเจกับลูกน้องเข้าโรงพยาบาลแทนเขาแล้ว   เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองถ้าเคนไม่ยืนยันว่าเห็นกับตาว่าพีทยิงปืนแม่นขนาดไหน   

พีท  คนที่แม้แต่คำว่า ‘ฆ่า’ ยังไม่กล้าพูด  เด็กน้อยจิตใจอ่อนโยนคนนั้นกล้ายิงคนได้  สิ่งนี้ทำให้เขาหยุดความโกรธไว้ได้  อย่างน้อยน้องก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขา

เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพีทถึงตามติดเขาตลอดเวลา  พีทรู้มาตลอดว่า ‘มัน’ จ้องจะทำร้ายเขาอยู่  น้องเป็นห่วงเขา  ยอมให้เขาต่อว่าอย่างไม่พอใจบ่อย ๆ  ก่อนหน้านั้นเขากลับไม่สนใจ  ไม่พูดคุยกับน้อง  ทั้งที่พีททำไปทั้งหมดเพราะกลัวเขาเป็นอันตราย  การที่พีทวนเวียนอยู่ใกล้เขาตลอดเวลา  ทำให้คนของมันหาโอกาสลงมือได้ยากขึ้นเพราะกลัวว่าหลานชายตัวเองจะเป็นอันตรายไปด้วย

‘พีท’   เขาเรียกชื่อนี้อยู่ในใจ   ‘พี่ขอโทษ’

“รักพี่มากๆ นะ” 

คำพูดเดิมยังก้องอยู่ในหัวไม่เคยจางหาย  พีทเคยพูดแบบนี้  เขาดีใจที่รู้ว่าน้องก็รักเขาไม่แพ้กัน   ตอนนั้นเขารู้ว่าน้องรักเขาเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง

แต่....

“ผมรักพี่ฮั่น”

เผลอยกมือแตะริมฝีปากตัวเอง  ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินคำนั้น....ไม่เคยคิด  ความรู้สึกนุ่มนวลนั้นยังติดตรึงอยู่ที่เดิมไม่ยอมจางหาย  เขายังจำความรู้สึกนั้นได้ดีแม้จะตกใจแทบสิ้นสติที่จู่ ๆ พีทก็ทำแบบนั้น   

มันทั้งซาบซ่าน  อ่อนหวาน  แต่ขณะเดียวกันเขาก็เจ็บปวดเพราะรู้ว่าทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ 

เขาย้ำเตือนตัวเองมาตลอด  หน้าที่ความรับผิดชอบ  หน้าตาทางสังคม  และที่สำคัญ  บุญคุณของลุงคริสท่วมท้น  ทำให้เขาต้องหยุดทุกสิ่งทุกอย่างแต่เพียงเท่านี้ก่อนจะสายเกินไป

“ฮั่น  ลุงฝากน้องด้วยนะ  ฮั่นเป็นคนที่ลุงไว้ใจมากที่สุด” 

ประโยคสั้น ๆ ของลุงคริสที่พูดกับเขาก่อนที่เขาจะย้ายกลับจากอังกฤษ   

คำพูดเพียงไม่กี่คำแต่เต็มไปด้วยความหมายมากมายที่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา  มือที่บีบไหล่เขาไว้ราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมด

เขารู้ว่าลุงคริสเป็นห่วงพีทมากขนาดไหนเมื่อตัดสินใจจะลงเล่นการเมือง  รู้ว่าลุงคริสฝากความหวังไว้ที่เขามากมายเพียงใด  เขารู้จักลุงคริสดีพอ ๆ กับที่ลุงคริสรู้จักเขา

พีทต้องไปได้ไกลกว่านี้  พีทคือน้องของเขา  น้องเล็กที่เขาดูแลมาตั้งแต่เด็ก
 
ทั้งที่รู้  ทั้งที่ย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลา  ยิ่งเขาคอยย้ำกับตัวเองมากเท่าไรเขากลับจดจำความรู้สึกถึงสัมผัสนั้นได้แม่นยำ
 
ฝังแน่นในหัวใจ

------------------------------------------



พีทไม่อยากจะออกจากห้องไปพบหน้าใครทั้งนั้น  แต่เขาต้องไป แม้ว่าเขาจะต้องฝืนใจมากขนาดไหน  หน้าที่และความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่เขาถูกปลูกฝังมาตั้งแต่จำความได้ 

เขารีบออกจากบ้านแต่เช้าตรู่  เคนปล่อยให้เขาขับรถออกจากบ้านโดยไม่มีท่าทีห้ามปรามแต่อย่างใด  ทำเพียงแค่ก้าวขึ้นรถโฟร์วิลด์คันใหญ่ขับตามมาห่าง ๆ

‘หึ’  พีททำเสียงประชดกับตัวเองเมื่อมองกระจกหลังเห็นรถของเคน

พี่ฮั่นรู้จักเขาดีเสมอและคงจะเดาได้ว่าเขาต้องทำแบบนี้  มือที่กำพวงมาลัยบีบแน่นขึ้นเพียงแค่นึกถึงพี่ฮั่น   ความทรงจำไหลย้อนกลับไปถึงวันก่อน  เรื่องราววันนั้นปรากฎแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า 

เขามองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากภาพพี่ฮั่นลอยไปมาเต็มไปหมด  ยิ่งเห็นก็ยิ่งเจ็บปวด ไม่รู้ตัวสักนิดว่าเหยียบคันเร่งจมลงไปมากขึ้น ใบหน้าเคร่งเครียดของพี่ฮั่นที่เอ่ยย้ำว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน  ความเจ็บปวดแทรกซึมไปทั่วร่าง พีทไม่รับรู้ว่ารถกำลังเร่งความเร็วขึ้น  ซูเปอร์คาร์ทะยานไปข้างหน้า  เขาเหยียบลงไปจนเข็มบนหน้าปัดบอกความเร็วแตะที่ระดับสูงสุด
 
320  กิโลเมตรต่อชั่วโมง!

“......”   เสียงเปียโนที่คุ้นเคยดังแทรกเข้ามา
 
พีทสะดุ้งเฮือก  ดวงตาที่เหม่อลอยกลับมาโฟกัสภาพข้างหน้าแล้วต้องเบิกตากว้าง  ไฟท้ายรถบรรทุกแก๊สสว่างกระแทกตาเขา
 
รถข้างหน้ากำลังเบรก!!!

“เอี๊ยดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!”

แอสตัน มาร์ติน One-77 คันงามหักซ้ายออกได้ทันชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดก่อนจะแฉลบเข้าจอดข้างทางกะทันหัน  เสียงเบรกดังเสียดแก้วหู  ทิ้งรอยล้อสีดำบนถนนเป็นทางยาวเกือบร้อยเมตรก่อนที่ซูเปอร์คาร์คันนั้นจะจอดสนิท 

คนที่อยู่ภายในรถถอนหายใจพลางทิ้งศีรษะกับเบาะรถอย่างอ่อนแรง

‘เกือบไปแล้ว’ 

เสียงโทรศัพท์มือถือยังคงดังติดต่อกันไม่ยอมหยุด  พีทคว้ามือถือขึ้นมากดไว้กับหน้าอกตัวเอง  ปล่อยน้ำตาให้ไหล

‘พี่ฮั่นโทรหาเขา’

เสียงเรียกเข้าที่ตั้งไว้เฉพาะสายเรียกของพี่ฮั่นไม่น่าจะดังแทรกเสียงเพลงที่เขาเปิดกระหน่ำในรถได้  แต่เขากลับได้ยิน  และเสียงเล็ก ๆ นั่นดึงสติเขาให้กลับมา 

เสียงเรียกเข้าที่อัดจากเปียโน  ‘Canon in C’

พีทนั่งอยู่ในรถอยู่นาน  จนกระทั่งเคนมาเคาะเรียกที่หน้าต่างกระจก

“คุณชาย  ผมขอโทษครับ” เคนพูดพร้อมกับดึงตัวเขาออกมาจากรถ เปลี่ยนให้เขาไปนั่งฝั่งผู้โดยสารแล้วตัวเองก็เข้าประจำที่คนขับแทน

“ขออนุญาตนะครับคุณชาย”  เคนเอ่ยอีกครั้งก่อนจะดึงมือถือในมือเขาขึ้นกดรับเพื่อบอกปลายสายว่าเขาปลอดภัย




ในที่สุดเขาก็มาถึงโรงแรม  เวลาเช้าเช่นนี้มีเพียงพนักงานเดินไปมา  พีทเดินไปทรุดตัวนั่งที่ซุ้มกุหลาบขาวในสวน  ใจยังเต้นแรงอยู่เมื่อเพิ่งเฉียดความตายมาเมื่อครู่  เขานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น  จมอยู่กับความคิดจนได้เวลาทำงาน

พี่โดมเข้ามากอดเขาไว้แน่นทันทีที่เห็นเขาเดินเข้ามาในแผนก   

“พีท  ดีขึ้นรึยัง” 

ใบหน้าเศร้าของเขาคือคำตอบ  พี่โดมมองหน้าเขาด้วยแววตาหนักใจ แต่ไม่พูดอะไรต่อ   ทำเพียงแค่ตบไหล่ให้กำลังใจแล้วชวนเขาคุยเรื่องงานตามปกติ

------------------------------------------



พีทหลบหน้าพี่ฮั่น  หลายวันแล้วที่หลังจากออกจากโรงแรมเขาก็แวะไปที่ผับของเกรซ  นั่งอยู่เงียบ ๆ ในมุมหนึ่ง  รอจนกระทั่งผับเลิกจึงขับรถกลับบ้าน

ชินร้องเพลงเก่งทีเดียวและก็เต้นเก่งมาก  พีทยิ่งมองเขาก็ยิ่งนึกถึงคำพูดของพี่ฮั่นที่บอกให้เขาลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่พร้อมกว่าเขาขึ้นมาทำหน้าที่ 

พี่ฮั่นพูดถูก  ชินเป็นมืออาชีพมาก  เขาเอนเตอร์เทนคนดูให้สนุกสนานตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งได้อย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย

‘พี่ฮั่น’ เขายิ้มเยาะกับตัวเอง  แม้จะหลบหน้าพี่ฮั่น  แต่ตลอดเวลาเขาไม่เคยไม่นึกถึงพี่ฮั่นเลย  ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีเรื่องของพี่ฮั่นเกี่ยวข้องเต็มไปหมด 

‘พี่ฮั่น’  แค่คิดถึงก็เจ็บปวด

เขาได้แต่เฝ้ามองไปที่เวทีแต่จิตใจกลับล่องลอยไปที่อื่น  ไม่ใช่ผับดังแห่งนี้




“พีท  นายเป็นอะไรรึเปล่า”

เกรซทรุดตัวลงนั่งใกล้ ๆ  เธอเห็นพีทเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วและได้แต่เฝ้ามองด้วยความเป็นห่วง  เมื่ออดไม่ได้จึงลองเข้ามาถาม

“อกหัก”  เขาตอบตรง ๆ

“เฮ้ย!  อะไร  นายไปรักใครตอนไหน  ทำไมเราไม่เคยรู้เลย” 

เกรซทำตาโต  เธอแปลกใจอย่างมากที่พีทบอกว่าอกหัก  ก็ไม่เคยเห็นพีทมีทีท่ากับใครเลยนี่  แล้วอกหักได้ไง?

พีทกลับพูดไม่ออก  แค่นึกถึงน้ำตาก็มารอที่หัวตาแล้ว  เขาต้องเงยหน้าพิงศีรษะกับเบาะนุ่มไว้ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

เกรซมองอาการนั้นของเพื่อนแล้วก็คิ้วขมวด  หัวสมองทำงานเร็วรี่เพื่อทบทวนเรื่องราวตั้งแต่แรกที่เธอกับพีทรู้จักกันมา 

ใครที่เข้ามาในชีวิตเขา  คนที่เธออาจจะรู้จัก  ต้องเป็นคนที่ช่วงนี้พีทสนิทด้วย  ต้องเป็นคนที่พีทให้ความสนใจเป็นพิเศษ  ต้อง...

“อย่าบอกนะว่า นายรัก  เอ่อ...”  คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น  เกรซไม่กล้าพูดออกมา

พีทหันมามอง  ใบหน้าของเพื่อนเหมือนคนกำลังลำบากใจ

“อย่าว่ากันนะ”  เกรซถามเหมือนขออนุญาต  สบตาคุณชายแล้วก็รวบรวมความกล้าพูดออกมา

“นายรักพี่ฮั่นใช่...มั้ย?”  หางเสียงเบา

คราวนี้พีทเป็นฝ่ายทำตาโตบ้าง

“เกรซ เธอรู้ได้ไง”

เขาแปลกใจอีกครั้ง  คราวก่อนริท  ล่าสุดก็พี่โดม  นี่เกรซอีกคน  ทำไมทุกคนเดาถูก  ทำไมทุกคนถึงดูออกว่าเขารักใคร  นี่เขาออกอาการอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ 

“เฮ้อ”  สาวสวยถอนหายใจ  ใช่จริง ๆ ด้วย

เกรซเงียบไปอย่างตั้งสติ  จากนั้นจึงเริ่มต้นพูด

“ตอนแรกเราก็คิดไม่ออกเพราะเรารู้ดีว่านายไม่ได้คบกับสาวที่ไหน นายไม่เคยสนใจใครเลยทั้งที่มีแต่คนชอบนายตั้งเยอะแยะ  แต่พอนึกดูดี ๆ คนที่เข้ามาอยู่ในความสนใจของนายน่ะมีแค่คนเดียว  แม้ว่าตอนแรกนายจะทำท่าไม่สนใจก็เหอะ”

“พอพี่ฮั่นมา นายก็เปลี่ยนไป  รู้ตัวไหม” คราวนี้เกรซยิ้มเมื่อนึกถึงพฤติกรรมที่แปลกไปของเพื่อน 

พีทส่ายหน้า  มือที่วางพนักเก้าอี้ขยุ้มเบาะนุ่มนั้นไว้แน่น  แค่ได้ยินคนพูดถึงพี่ฮั่น  นี่เขาเป็นขนาดนี้เชียวหรือ?

“เรารู้ว่าพีทน่ะชอบความเป็นส่วนตัว  ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องของนายใช่ไหม  ไม่ว่าใครก็ตาม  แต่กับพี่ฮั่นนายกลับยอมให้พี่ฮั่นตามติดได้ขนาดนั้น  แล้วพี่ฮั่นยังสามารถทำให้นายทำตามที่เขาต้องการได้ด้วย  เราว่าคนอย่างนายถ้าไม่ยอมซะอย่าง ไม่ว่าใครก็คงเปลี่ยนใจนายไม่ได้แต่พี่ฮั่นทำได้.....” 

“....ความจริงต้องบอกว่า  พีท ‘ยอม’ ให้คนคนนี้  ถูกไหมล่ะ”   สาวสวยว่าพลางยิ้ม

“นายเป็นคนน่ารักนะ  กับเรา  นายไม่เคยโกรธหรือว่าอะไรเรารุนแรงสักที  ขนาดพี่ร็อกกี้แซวแรง ๆ ไม่เห็นนายเคยโกรธเลย  แต่กลับโมโหใส่พี่ฮั่นอยู่คนเดียว  เราว่าพี่ฮั่นคงจับจุดนายถูกใช่ไหมล่ะว่าทำยังไงถึงจะทำให้คุณชายโมโหได้  หรือไม่ก็คงเป็นเพราะนายให้ความสำคัญกับเขาไงถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนเวลาถูกยั่วโมโหน่ะ  ปกติคนเราถ้าไม่สนใจซะอย่าง  ไม่ว่าเขาจะทำอะไรมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย....” 

คราวนี้เกรซยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงตอนที่เธอเห็นพีททะเลาะกับผู้ดูแลบ่อย ๆ ในร้าน

“คนมีโลกส่วนตัวอย่างนายกลับต้องการให้มีพี่ฮั่นอยู่ด้วยตลอดเวลา  นายน่ะไม่เคยห่างจากพี่ชายเลยนะตั้งแต่พี่ฮั่นกลับมา  แสดงว่าคนคนนี้ต้อง ‘พิเศษ’ นายถึงต้องการอยู่ใกล้เขา”

“จำคราวก่อนนั้นได้มั้ย  ที่เรานัดไปฟังเพลงที่ร้านพี่โดมกันน่ะ” 

เกรซยิ้มเมื่อนึกถึงเดือนก่อนที่เธอโทรไปชวนพีทให้ไปนั่งฟังพี่โดมร้องเพลงที่ร้านอาหารกึ่งผับที่พี่โดมร้องประจำอยู่   

“เรามาถึงร้านแล้วหลบไปยืนอยู่แถวเคาน์เตอร์บาร์  แล้วแอบมองนายเอาแต่คุยกับพี่ฮั่น ไม่สนใจใครเลย.....”



เธอเดินเข้ามาในร้านก็สังเกตเห็นทั้งคู่ทันที  ภาพสองหนุ่มที่นั่งเคียงกันจนชิดทั้งที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่ก็ยังมีที่เหลือเฟือ  ทั้งคู่พูดคุยกันสนุกสนาน พีทที่คอยโอบไหล่พี่ชายตลอดเวลา  ทำไมไม่รู้  มันทำให้เธอรู้สึกไม่อยากเข้าไปทำลายบรรยากาศ 

'ทำเหมือนโลกนี้มีแค่พวกเขาสองคนอย่างนั้นแหละ'  เกรซมองไปแล้วก็ยิ้มให้ภาพนั้น

พีทดูสดใสขึ้นมากตั้งแต่พี่ฮั่นกลับมา  เมื่อก่อนเพื่อนเธอก็เป็นคนร่าเริง  เวลาร้องเพลง  เวลาเต้น  เขามักจะยิ้มอย่างเป็นสุขเสมอเพราะได้ทำในสิ่งที่เขารัก  แต่คราวนี้มันแปลกไป  เธอรู้สึกว่าพีทดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม 

เพราะมีพี่ฮั่นใช่ไหมล่ะ




ตอนนั้นเธอคิดว่าพีทอาจจะกำลังมี ‘ความรัก’  เพราะสายตาของพีทนั้นแสดงชัด  แต่คนตรงหน้าพีทเป็นพี่ฮั่น  ทำให้เธอคิดเพียงว่าพีทคงจะรักพี่ชายคนนี้มาก

“เราว่านายคงไม่รู้ตัวหรอก  ตอนนั้นน่ะ  เวลาเรารักใครแววตามันปิดไม่มิดหรอก”   

สาวสวยทำหน้าตาแก่ประสบการณ์เมื่อกล่าวประโยคนั้น  มองหน้าเพื่อนที่นั่งฟังเงียบ

ใบหน้าพีทตอนนี้อมทุกข์ หม่นหมอง ไม่เหมือนที่ผ่านมา

“นี่แล้วเรื่องเป็นยังไงถึงอกหัก  พี่ฮั่นเขารักคนอื่นหรือเพราะ เอ่อ..”   คราวนี้เกรซกลับพูดไม่ออก

พีทถอนหายใจหนักหน่วง  ก่อนจะเอ่ย

“มันเป็นไปไม่ได้ ใช่  แบบที่เธอคิดไงล่ะ” เขายอมรับ  ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปิดบัง

“เราเป็นพี่น้องกันแค่นี้มันก็จบแล้ว  ยังไม่ทันเริ่มด้วยซ้ำ” 

พอมีคนรับฟังความรู้สึกเขา  เขากลับพูดถึงมันได้อย่างไม่เจ็บปวดมากนัก  อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนที่คอยรับฟังเขาอยู่  ทั้งริท  พี่โดมและเกรซ

'แต่พวกเขาไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ นี่'  สาวสวยแย้งอยู่ในใจ 
 
“แล้วพี่ฮั่นเขาคิดยังไงกับนายล่ะ  เราหมายถึงความรู้สึกที่แท้จริงของพี่ฮั่นน่ะ” 

เกรซย้อนถามพลางนึกไปถึงพี่ฮั่นที่เธอเคยเห็น 

คนที่เป็นห่วงความปลอดภัยของพีทมากถึงกับยอมเป็นคนอื่นเพื่อมาดูแลน้องชาย  ทั้งที่เป็นถึงรองประธานบริษัทแต่ก็ยอมมาเป็นคนคอยรับคำสั่งคุณชายยอมให้พีทต่อว่าอย่างไม่พอใจบ่อย ๆ 

ตลอดเวลาที่พี่ฮั่นอยู่  เธอเห็นพี่ฮั่นดูแลพีทเป็นอย่างดี  จะว่าไปพี่ฮั่นทำอะไรเพื่อพีทมามาก  มากกว่าพี่ชายทั่วไปจะทำให้น้องซะอีก

‘เป็นไปได้ไหมว่าพี่ฮั่นอาจจะ...’

“เขาไม่ยอมรับความรู้สึกของเราด้วยซ้ำ เขาเอาแต่พูดว่าเราเป็นพี่น้องกัน  เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน” 

พีทพูดแทรกความคิดของเกรซ  ใบหน้าสลดลงเมื่อต้องพูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก  คำพูดที่ตอกย้ำเขามากขึ้น

'แต่ยังไงมันก็คงแปลกนั้นแหละ ถ้าพี่น้องจะรักกันเอง  แล้วลุงคริสกับคุณโรสจะยอมรับได้หรือ  อืม  เรื่องนี้มันก็จบตั้งแต่ไม่เริ่มจริง ๆ นั่นแหละ'

เกรซเงียบไปเมื่อครุ่นคิดถึงปัญหานี้  แววตาที่มองเพื่อนเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ 

เท่าที่เธอรู้พีทไม่เคยรักใครมาก่อน  เขาแค่ยิ้มเวลามีสาวสวยมาทำท่าสนอกสนใจแต่ไม่เคยสานต่อกับใคร  เกรซยังเคยแซวเพื่อนเธอบ่อย ๆ

“เราเฉย ๆ นะ ไม่รู้สึกอะไรจะให้สานต่อทำไม  เอาไว้ไปตกหลุมรักใครแล้วค่อยว่ากัน”  พีทเคยตอบเธอแบบนั้น
 

แล้วพอเขามีความรักขึ้นมา  ก็กลับเป็นความรักที่ยาก   

“เฮ้อ”   ที่ปรึกษากลับกลายเป็นฝ่ายถอนหายใจเสียเอง

“พีท  เราก็ไม่รู้จะช่วยนายยังไง  เอาเป็นว่าขอให้นายดีขึ้นไว ๆ ละกันนะ”  เกรซบอกแล้วยิ้มให้เพื่อนอย่างจริงใจ

พีทหันไปยิ้มกับเกรซอย่างขอบคุณ  อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โดดเดี่ยว 

“ขอบใจนะเพื่อน  โย่ว”  หนุ่มน้อยยกกำปั้นชนกับเกรซ   

เธอหัวเราะให้กับท่าทางเด็กฮิปอกหักของคุณชาย 

--------------------------------------



 :mew1: :mew1:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 46 หน้า 7 อัพเดต 19/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 20-10-2014 00:32:00
สงสารพีทอ่ะ
เห้อ หนีออกจากบ้านไปเลยดีมั้ย 555
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 46 หน้า 7 อัพเดต 19/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 20-10-2014 04:07:21
ตัดอกตัดใจต่างคนต่างเดินทางใครทางมันดีที่สุด ปู่ฟงก็เคยเตือนแล้วนิ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 46 หน้า 7 อัพเดต 19/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 20-10-2014 22:42:10
แปะไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวหลังสอบเสร็จจะมาอีดิท

ตอนที่แล้วไม่ได้เมนท์ให้เลยขอโทษนะ ติดสอบจริง ๆ ค่ะนี่ก็ยังไม่เสร็จ  :m15:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 46 หน้า 7 อัพเดต 19/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 22-10-2014 02:02:12
อ่านทีเดียวเลย ชอบอ่ะสนุกดี
สงสารคุณพี่ชายจัง รักแหละแต่ทำอะไรไม่ได้
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 46 หน้า 7 อัพเดต 19/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-10-2014 02:28:23
กลัวจนไม่กล้าเดินหน้านี่น่าตีตูดที่สุดเลยค่ะพี่ฮั่น ฮึ่ย

ช่างเถอะ น้องพีทตั้งใจทำงานนะคะลูก ดูแลตัวเองดีๆด้วย
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 46 หน้า 7 อัพเดต 19/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 24-10-2014 21:57:43
มาอ่านอีกรอบก็แค้นอิพี่ฮั่นอีก
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 46 หน้า 7 อัพเดต 19/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 26-10-2014 19:49:55
47. การต่อสู้



เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสมอเวลาที่เรามีความทุกข์  พีทแทบจะนับทุกนาทีให้ผ่านไปโดยเร็ว  แต่เวลาก็ทำงานได้อย่างเที่ยงตรง  คงเป็นเพราะจิตใจของเขาเองที่ไม่มีความสุข  เฝ้าแต่นับคืนวันให้ผ่านไป
 
พีทยังคงไปที่ร้านเกรซอยู่ทุกวัน  เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร 

แอสตัน มาร์ตินขับเข้ามาในบ้านใหญ่กลางกรุงนั้นอย่างรวดเร็ว  เสียงเบสหนัก ๆ ของเพลงฮิปฮอปจากเครื่องเสียงชั้นดีดังลอดออกจากซูเปอร์คาร์คันงามท่ามกลางความสงบยามราตรีแล้วเงียบเสียงกะทันหันพร้อมกับเครื่องยนต์ที่ดับสนิท   เจ้าของรถก้าวลงมาหยุดนิ่งอยู่ข้างรถ  พลางเหม่อมองผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ไปยังหน้าต่างกระจกบานสูง  ห้องที่เขาเห็นปิดไฟมืด
 
‘...คงหลับไปแล้ว...’


เขาเดินอย่างเชื่องช้าไปตามทางเดินอันเปล่าเปลี่ยวในเวลาดึกเช่นนี้ ถ้านี่เป็นเมื่อก่อนเขาคงเพิ่งจะกลับจากผับของเกรซหลังจากที่ร้องเพลงเสร็จ  ตอนนี้เขาก็เพิ่งออกจากผับของเกรซเช่นกัน  แต่เขาไม่ได้ไปร้องเพลง  เขาแค่ไปนั่งฟังเพลง  ไปนั่งดูบรรยากาศคึกคักของผู้คน  เขาไปเพียงเพราะเขาอยู่เงียบ ๆ ตามลำพังไม่ได้  จะอยู่ได้ยังไงในเมื่อ.....

ร่างสูงก้าวเข้าไปในบ้าน  ปิดประตูเสียงเบา  ในบ้านไม่มืดนักเพราะมีแสงไฟจากห้องครัว

“พีท” 

เสียงเรียกชื่อทำให้เขาสะดุ้ง หันไปตามเสียงนั้น 

พี่ฮั่นที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในครัวกำลังลุกขึ้น  ดูเหมือนกำลังรอเขาอยู่  พีทไม่หยุดกลับก้าวเท้าเร็วขึ้นเพื่อไปห้องนอนของตัวเอง  แต่ไม่ทัน  พี่ฮั่นก้าวเข้ามาคว้าแขนเขาไว้ก่อนที่เขาจะถึงบันได

“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”  น้ำเสียงนั้นอ่อนล้า  ใบหน้ามีแต่ความเศร้าเสียใจ  แต่พีทไม่เห็นเพราะเขาไม่มองหน้าพี่ฮั่นเลย
 
พีทไม่ตอบ  พยายามจะดึงแขนออก   แต่มือที่จับแขนเขาไว้นั้นไม่ยอมปล่อย  กลับดึงให้เขาเดินตามเข้าไปในครัวที่เปิดไฟสว่าง

“พีท  อย่าทำแบบนี้เลย  พี่เป็นห่วง”   
 
ร่างสูงใหญ่ของพี่ชายหันกลับมาเมื่อทั้งคู่เข้าไปในครัวแล้ว

“พี่จะเป็นห่วงผมเรื่องอะไร  ผมไม่ได้ทำอะไรเสียหาย  ผมแค่ออกไปนั่งฟังเพลง  อีกอย่างพี่ก็ส่งเคนคอยตามผมอยู่แล้วนี่  ไม่มีอะไรที่ต้องห่วง ที่สำคัญผมไม่ต้องการความห่วงใยจากใคร!”   
 
น้ำเสียงนั้นขุ่นมัวแบบที่เคยใช้กับ ‘นายหมี’  พีทหันหน้าไปอีกทาง ไม่อยากเห็นหน้า
 
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง  พีทเป็นน้องพี่”  น้ำเสียงของพี่ชายยังคงนุ่มนวลแม้จะถูกเขาต่อว่า

“ผมรู้แล้ว!  พี่ไม่ต้องมาคอยย้ำหรอก  พ่อยังไม่เคยห้ามผมเลย  พี่จะห้ามผมด้วยเหตุผลอะไร?” 

คราวนี้เขาหันหน้ามา สายตากร้าว

“ผมจะทำอะไรก็ได้  มันเรื่องของผม  อย่า  มา  ยุ่ง!”  เขาพูดเน้นทีละคำ  จ้องเข้าไปในดวงตาของพี่ฮั่น  แววตาเอาเรื่อง

“พีท...”

เสียงพี่ฮั่นเรียกเหมือนคนกำลังอ่อนล้า  มือที่กำแขนเขาไว้คลายออกเล็กน้อย  แต่เมื่อเขาพยายามสะบัดออก  พี่ฮั่นกลับไม่ยอมปล่อย

“พีท  เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ” 

“มันจะกลับไปเหมือนเดิมได้ยังไง  ในเมื่อความรู้สึกผมเปลี่ยนไปแล้ว พี่จะมาแคร์อะไร  เพราะยังไงพี่ก็ไม่สนอยู่แล้วนี่ว่าผมจะคิดอะไร  จะรู้สึกอะไร  ปล่อย!” 

เขาพยายามกระชากแขนกลับมา  แต่พี่ฮั่นก็ไม่ยอมเช่นกัน  กลับดึงเขาให้เข้าไปใกล้มากขึ้น

“พี่ขอโทษที่...ต้องพูดแบบนั้น  แล้วพีทจะให้พี่ทำยังไง  เราก็รู้อยู่แล้วว่ามัน.....”

“ผมไม่สนหรอกว่ามันจะเป็นยังไง  ผมสนแค่พี่คนเดียว  ผมแค่อยากรู้ว่าพี่คิดยังไง  คนอื่นผมไม่สนใจ!”

“ว่าไงล่ะ  พี่จะตอบได้ไหม"

พีทมองตรงไปยังดวงตาของพี่ชาย  พี่ฮั่นอ้างว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน  มันเป็นไปไม่ได้ 

แต่สิ่งที่เขาอยากรู้คือความรู้สึกของพี่ฮั่น  ความรู้สึกที่มีต่อเขา

“พีท  พีทยังไม่เข้าใจ  ชีวิตคนเรามันไม่ได้มีแต่ความรักอย่างเดียวนะ   พีทยังมีอนาคตที่ดีรออยู่  ชีวิตพีทเพิ่งจะเริ่มต้น  ยังมีอีกหลายสิ่งที่จะต้องทำต่อไปอีกมากมาย  มีอะไรดี ๆ  รออยู่ข้างหน้า.....”

“พีทเป็นทายาทคนเดียวของตระกูล  เป็นลูกชายของลุงคริส  ต้อง....”

“ก็บอกว่าผมไม่สนไงล่ะ!!  พี่ไม่เข้าใจรึไง ไอ้เงินทอง  เกียรติยศ ชื่อเสียงของตระกูล  หน้าตาในวงสังคม  สิ่งจอมปลอมพวกนั้นผมไม่ต้องการ  สิ่งเดียวที่ผมต้องการคืออะไร  พี่จำไม่ได้รึไง!”   

เสียงนั้นสั่นอย่างคนที่แทบคุมอารมณ์ไม่อยู่  มือที่ทิ้งข้างตัวกำแน่น

พี่ฮั่นลืมมันไปหมดแล้วหรือ  สิ่งที่เขาเคยบอก  เพลงนั้น...

“แล้วยังไงล่ะพีท  พี่จะคิดยังไงแล้วมันสำคัญตรงไหนในเมื่อไม่ว่ายังไงเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ดี เราเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ไม่ได้หรอกนะ  พีทจะให้พี่ทำยังไง”

อีกแล้วสินะที่พี่ฮั่นเอาเรื่องพวกนี้มาตอบเขา  ความจริงที่เจ็บปวด ทิ่มแทงใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า   

พีทหันหน้าหนีเมื่อน้ำตาไหลอย่างคุมไม่อยู่   มือที่จับเขาไว้แน่นคลายออกอย่างรวดเร็ว  พีทจึงรีบก้าวเท้าออกจากครัว

“...ปล่อย!...”   

เขาสะบัดตัวอย่างแรงเมื่อสองแขนของพี่ฮั่นสวมกอดเขาไว้จากด้านหลัง   พี่ฮั่นรวบแขนแนบติดกับลำตัวจนเขาดิ้นไม่หลุด   แขนอีกข้างของพี่ฮั่นกอดไหล่เขาไว้แน่น   พี่ฮั่นขยับร่างเข้ามาจนชิด  พีทพยายามแกะมือพี่ฮั่นแต่ไม่สำเร็จ เขาพยายามดิ้นอีก  ยิ่งเขาร้องไห้หนักพี่ฮั่นก็ยิ่งกอดเขาไว้แน่น 

“พีท  พี่ขอโทษ  ขอโทษจริง ๆ  ขอโทษที่ทำให้พีทเสียใจ”  เสียงอู้อี้ของพี่ฮั่นดังอยู่ข้างหู  ซบใบหน้าตัวเองกับไหล่เขา  พร่ำขอโทษ

แต่พีทไม่ยอม  เขาพยายามจะดิ้นให้หลุดจากสภาพนี้  เขาไม่ต้องการฟังคำขอโทษ 

สิ่งที่เขาอยากรู้คือความรู้สึกของพี่ฮั่นต่างหาก   

เขากลั้นเสียงสะอื้นไว้  กัดฟัน   

“ผมบอกให้ปล่อยไงเล่า!” 

แขนที่กอดรัดเขาอยู่คลายออก  ความอบอุ่นที่อยู่ข้างหลังหายวูบไป  พีทกลับหนาวสะท้านเมื่อพี่ฮั่นถอยห่างไป  แต่แล้วพี่ฮั่นก็จับไหล่ให้เขาหันกลับไปแล้วสวมกอดเขาไว้อย่างรวดเร็ว  คราวนี้พีทแทบขยับไม่ได้ 

“พีทร้องไห้  พี่ไม่เคยปล่อยให้พีทร้องไห้คนเดียว  พีทก็หยุดร้องก่อนสิ  แล้วพี่จะปล่อย”

“ฮึก ๆๆ  ไม่  ปล่อยผม!” 

ทำไมพี่ต้องจำเรื่องเก่าได้ด้วย  พี่ฮั่นคอยปลอบเขาเสมอเพื่อทำให้เขาคลายความโศกเศร้า  แต่คราวนี้มันเจ็บปวดเพราะคนที่ทำให้เขาเสียใจ  คนที่ทำให้เขาร้องไห้ก็คือคนที่กำลังกอดปลอบใจเขาอยู่ 

“ปล่อย!”   

“พี่จะทำให้ผมสับสนไปถึงไหน  พี่ไม่ยอมรับความรู้สึกผม  เอาแต่พูดเรื่องพวกเราเป็นพี่น้องกันแล้วพี่จะมาปลอบใจผมทำไม ไม่รู้รึไงว่าผมเจ็บ  เจ็บแทบตายอยู่แล้ว”

พี่ฮั่นจะมาสนใจใยดีเขาอีกทำไม  ทำไมไม่ปล่อยให้เขาไป

พีทเริ่มสะอื้นหนักเมื่อได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของพี่ชาย  ความรู้สึกอ้างว้างตลอดหลายวันที่ผ่านมายิ่งทำให้เขาโหยหาอ้อมกอดนี้  คนที่เขาต้องการเพียงคนเดียว  เขาอยากจะทิ้งตัวซบกับไหล่หนานั้นไว้  ไม่อยากจะคิดอะไรต่อไปเพราะเหนื่อยเหลือเกิน
 
สองแขนเขายกขึ้นช้า ๆ  อยากจะกอดคนคนนี้ไว้ไม่ให้ห่างไปไหน   

“พีท  พีทเป็นน้องพี่”

มือที่กำลังจะกอดตอบชะงักค้าง  ร่างกายเขานิ่ง  เจ็บแปลบที่หน้าอกด้านซ้ายจนแทบไม่ไหว  เขากำมือแน่นก่อนที่คนที่กอดน้องชายไว้จะถูกผลักออกอย่างแรง  พีทใช้กำลังทั้งหมดผลักพี่ฮั่นออก

“พอได้แล้ว! ไม่ต้องย้ำหรอก  เท่านี้ผมก็เจ็บปางตายแล้ว”   

เขาตะโกนใส่หน้าพี่ฮั่นก่อนจะวิ่งหนีไป




พีทขังตัวเองไว้ในห้อง  ทรุดตัวลงกับพื้น ไหล่สั่นสะท้านอย่างหนัก

‘เป็นน้อง....แล้วพี่ทำแบบนั้นทำไม’   

เขายังจำสัมผัสนั้นได้แม่นยำและแอบดีใจทุกครั้งที่นึกถึง  แต่ตอนนี้เขาได้แต่สับสน
 
คืนที่พวกเขาทะเลาะกันเรื่องเฌอเบลล์  พี่ฮั่นไม่รู้หรอกว่าคืนนั้นเขานอนไม่หลับเพราะเสียใจที่พี่ฮั่นตวาดใส่เขาเสียงดัง ได้แต่นอนปล่อยน้ำตาให้ไหล  เฝ้าแต่คิดวนเวียนถึงเรื่องที่พี่ฮั่นบอกว่าคบกับเฌอเบลล์  จนกระทั่งเตียงนอนสั่นเพราะพี่ฮั่นขยับตัว

เขารู้สึกว่าที่นอนใกล้ตัวยวบลง  ได้แต่หลับตานอนนิ่ง  มีแต่ความเงียบจนได้ยินเสียงพี่ฮั่นถอนหายใจแผ่วเบา 

แต่แล้วเขาแทบสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนวลซับน้ำตาให้  จากนั้นสัมผัสนั้นก็หายไป  พี่ฮั่นนอนลงเคียงข้างแล้วขยับตัวเข้ามากอดจากด้านหลัง เขาแทบจมอยู่ในอ้อมกอดของพี่ฮั่น  มือใหญ่ของพี่ฮั่นวางทับมือเขาแล้วจับไว้แน่น  เสียงแผ่วของพี่ฮั่นกระซิบขอโทษแต่กลับชัดเจนในความเงียบกลางดึก
   
เขาถึงได้หายโกรธพี่ฮั่นง่ายดายขนาดนั้น  พี่ฮั่นคงคิดว่าเขาไม่รู้...

พี่ชายที่ไหนจะแอบจูบซับน้ำตาให้น้องล่ะ  เป็นพี่น้องแล้วพี่ทำแบบนั้นทำไม?

น้ำตาไหลเป็นทางเมื่อคิดถึงเรื่องคืนนั้น  พีทยกมือขึ้นแตะบริเวณหางตา  ลากนิ้วไปตามรอยน้ำตาของตัวเอง  ตรงที่ที่พี่ฮั่นเคยฝากรอยไว้บางเบา 

น้ำตาไหลออกมาอีก  เขากลับใช้หลังมือถูที่ผิวบริเวณนั้นอย่างแรงเหมือนต้องการเช็ดรอยนั้นออก

แต่มันไม่เคยจางหาย 
 
เพราะรอยนั้นได้ฝังรากลึกลงไปในหัวใจ




‘พี่ชาย’  ยืนนิ่งอยู่ในครัว  กำหมัดแน่น   
 
ความพยายามที่จะกล้ำกลืนความรู้สึกเสียใจของตนไว้พังทลายเมื่อพีทหันหลังหนีไป  ในที่สุดร่างนั้นก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับพื้น  ปล่อยน้ำตาไหลเป็นทางยาว   

เป็นฝ่ายปฏิเสธก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจ็บปวด  ใครเล่าจะรู้และเข้าใจ?

-----------------------------------------



หลังจากที่พีทหนีเข้าห้องตัวเองไปแล้ว  เขาก็กลับไปนอนแต่ข่มตาลงไม่ได้เลยเพราะเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคืน   

สายพอสมควรทีเดียวเมื่อเขาเห็นน้องชายเดินลงบันไดตรงมาที่โต๊ะอาหารที่เขานั่งจิบกาแฟอยู่  ใบหน้าเรียบเฉยของพีททำให้เขารู้สึกเสียใจแต่ต้องทำเป็นปกติ   

จู่ ๆ พีทก็ลุกขึ้นมาท้าสู้เขา

“พี่เคยสัญญาว่าถ้าผมชนะพี่ได้ พี่จะยอมทำตามคำสั่งผมใช่ไหม  วันนี้ผมขอลองอีกที”

“แล้วพีทอยากให้พี่ทำอะไรล่ะ บอกมาเลยก็ได้  ถ้าทำได้พี่จะทำให้”  เขาหันไปบอกน้องเสียงอ่อน 

“พี่ไม่ทำให้ผมหรอก  เรามาสู้กันตามสัญญาดีกว่า  ถ้าผมแพ้ พี่ก็ไม่ต้องผิดคำสัญญาอะไร  หรือพี่ไม่กล้า”     

ทำไมไม่รู้เขาคิดว่ามีอะไรบางอย่างในสายตานั้น  เขาจำใจต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดยูโดแล้วลงไปที่ห้องออกกำลังกายที่บ้านใหญ่ 

พีทรออยู่แล้ว 

ระหว่างที่เดินไปบ้านใหญ่  ใจก็คิดอย่างกังวลว่าอะไรที่ทำให้พีทอยากออกคำสั่งเขา  แล้วเขาจะทำอย่างไร  จะสู้อย่างเต็มที่หรือจะแกล้งแพ้  จะได้จบเรื่องกันไป 

เขาคิดว่าพีทคงจะเอาชนะยากอยู่สักหน่อย  เขารู้ทันน้องทุกอย่างน่ะแหละ  พีททำเหมือนลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนสอนให้พีทเล่นยูโด  แค่ท่ายืนเขาก็รู้แล้วว่าพีทจะจู่โจมเข้ามาอย่างไร   เทคนิคพวกนั้นเขาเป็นคนสอนน้องเองทั้งหมด  แล้วจะไม่ให้เขารู้ทันได้ยังไง?




“ไม่ว่าจะอย่างไร  ถ้าผมชนะพี่  อย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะ” 

ใบหน้าพีทเคร่งเครียด แววตาน้องชายเปลี่ยนไป  ดูเหมือนพีทมุ่งมั่นที่จะเอาชนะมากกว่าครั้งใด ๆ ที่พวกเขาสู้กัน

“ตกลง”

ทั้งสองคนก้าวขึ้นไปบนเบาะคนละมุม   ต่างคนต่างจ้องมองกันและกันพร้อมกับเดินวนเป็นวงกลมเพื่อหาช่องว่างในการโจมตี

ครั้งนี้พีทไม่ยอมลงมือก่อน  พวกเขาเพียงแต่เดินวนไปมาอยู่อย่างนั้น  ทั้งคู่เดินวนซ้ายขวาสลับกันไปมาอยู่นานราวกับกำลังทดสอบความอดทนของแต่ละฝ่าย  ว่าใครจะหมดความอดทนก่อนกัน

ในที่สุดเขาตัดสินใจลงมือก่อน  จังหวะที่พีทเปลี่ยนจากการเดินวนขวาเป็นวนมาทางซ้ายเขาพุ่งเข้าไปจับสาบเสื้อยูโดไว้  อาศัยร่างกายที่หนากว่ากระแทกตัวเข้าใส่  เท้าข้างขวาสอดไปเตะปัดเท้าซ้ายของพีทอย่างแรง  คนตรงหน้าเสียหลักถูกเขาจับทุ่มลงทันที   

แต่ก่อนที่หลังคู่ต่อสู้จะกระทบพื้นเบาะ คราวนี้พีทใช้เท้ายันพื้นเบาะไว้ได้ทันก่อนที่ตัวจะกระแทกพื้น   มือน้องที่จับสาบเสื้อเขาไว้เช่นกัน  ดึงลงมาในจังหวะที่เขาก้มตัวทุ่มทำให้เขาต้องแก้ไขด้วยการม้วนหน้า  ดีดตัวออกจากการถูกดึง  ต่างคนต่างปล่อยมือออกจากเสื้อแต่ละฝ่าย
 
เขาผุดลุกขึ้นยืนรวดเร็ว  พีทก็ลุกขึ้นรวดเร็วพอกัน  พวกเขากลับมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมสำหรับโจมตีอีกครั้ง
 
“ไม่เลวนี่  รู้จักดัดแปลง  ไม่ใช้ท่าเดิมอีก”  เขาเอ่ยชมคนตรงหน้า

ทั้งคู่เริ่มเดินวนรอบเป็นวงกลมอีกครั้ง  พีทไม่วอกแวกเลยแม้แต่นิดเดียว  แม้เขาจะพยายามหลอกล่อด้วยการชวนคุยเพื่อให้น้องเสียสมาธิ ใบหน้าเรียวที่เขามองเห็นมีแต่ความจริงจัง   ตามองตรงจับที่ใบหน้าอีกฝ่ายแน่วแน่ทำให้พี่ชายต้องคิดอย่างรวดเร็ว

พวกเขาพุ่งตัวเข้าหากันพลางกระชากเสื้อกันไปมาเพื่อหาจังหวะ  ดันตัวฝ่ายตรงข้ามไปมา  พีทพยายามหาช่องว่างเพื่อเตะตัดขาคู่ต่อสู้  เขายกขากันไว้ได้ทันก่อนจะใช้ร่างกายที่หนากว่ากระแทกตัวใส่คนตรงหน้า  ทำให้พีทต้องถอย 

“โอ๊ย!”

พีทร้องเหมือนเสียหลักทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ 

น้องชายใช้จังหวะนั้นพุ่งเข้าใส่  กลายเป็นเขาเองที่เสียจังหวะหลุดให้พีทคว้าตัวไว้  วินาทีสุดท้ายที่พีทจับเขาเหวี่ยง  เขากลับใช้ข้อได้เปรียบที่ตัวหนักกว่าทิ้งตัวลงต่ำทำให้จุดศูนย์ถ่วงในการทุ่มต่ำลง   แรงกระชากลงต่ำทำให้พีทเสียจังหวะทันที  ฮั่นจึงเป็นฝ่ายดึงน้องลงมาพลิกตัวรวดเร็ว

“โครม!” 

เสียงร่างกระทบพื้นเบาะ  กลับเป็นพีทที่ถูกกดอยู่  คนถูกกดอยู่ใช้เท้าทั้งสองยกตัวขึ้นเพื่อสะบัดตัวเองออกจากการกดของพี่ชาย  แต่เขาไม่ยอมหรอก  พีทไม่เคยดิ้นหลุดเวลาถูกเขากดด้วยท่ายูโดแบบนี้สักครั้ง

พีทพยายามสะบัดตัวอย่างแรงแต่ไม่เป็นผล  ใบหน้าเรียวนั้นดูมุ่งมั่นจะเอาชนะให้ได้  เขาก้มเข้าไปใกล้มากขึ้นพร้อมกับออกแรงกดมากกว่าเดิม  เริ่มนับ

1… 2… 3…. 4…..พีทใช้เท้ายันตัวเพื่อสะบัดอีก 

15…16....




ก่อนที่เขาจะชนะ จู่ ๆ พีทก็หยุดดิ้นรน  หันมามองหน้าเขานิ่ง 

สายตานั้นหยุดทุกการกระทำของเขาเมื่อเผลอสบตาคู่นั้นเข้า  สองมือของน้องชายที่จับเสื้อยูโดเขาไว้กลับคลายออก  พีทเอื้อมมือมาจับใบหน้าเขาไว้ จากนั้นจึงสอดมือไปด้านหลังรั้งคอเขาให้ก้มลง  เขาตกใจเมื่อพีทยื่นหน้ามาใกล้แล้วฉกวูบไปที่ด้านข้าง

“อ๊ะ”

“พะ พีท  ปล่อย”  เขากัดฟันพูดเสียงพร่า 

ริมฝีปากนุ่มของพีทกำลังเม้มแน่นที่ติ่งหู  ซึ่งเป็นจุดอ่อนของเขา!

“พีท..อย่า..ปล่อย”

เขาพยายามร้องบอก   ความรู้สึกบางอย่างทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว พีทบดริมฝีปากกับผิวบริเวณนั้นไปมา  ทำให้เขาอ่อนแรง

ก่อนที่จะคิดอะไรออกน้องกลับเป่าลมอ่อนใส่หูแล้วใช้ลิ้นนุ่มเลียอย่างแผ่วเบา  คนที่อยู่ด้านบนขนลุกซู่อย่างห้ามไม่ได้ 

“อ๊ะ  พีท  หยุด  พะ  พอ ได้แล้ว”  เขาพยายามห้ามเสียงติดขัด  ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอปล่อยมือตั้งแต่เมื่อไร 

พีทใช้โอกาสนี้พลิกตัวอย่างรวดเร็ว  พริบตาเดียวเขากลับเป็นฝ่ายที่ถูกพีทกดไหล่ไว้  คนที่อยู่เหนือเขาใช้ทั้งร่างของตัวเองกดทับเขาไว้  ใบหน้าเรียวยังคงก้มลงมาคลอเคลียที่ข้างแก้ม   

พีทไม่ยอมหยุด  กลับใช้ริมฝีปากเม้มแน่นที่ติ่งหูอีก ใช้จมูกซุกไซ้อยู่บริเวณนั้น  ปล่อยลมหายใจร้อนรดใบหูทำให้เขาขนลุก

“พีท  พีท  อย่า”

เสียงตะกุกตะกักของเขาพยายามร้องบอกให้หยุด  แต่พีทกลับทำสิ่งตรงกันข้ามเมื่อกดจูบลงไปบริเวณข้างแก้ม  เม้มปากเบา ๆ ไปบริเวณที่อ่อนไหวของเขา  มือที่พยายามผลักน้องกลับไร้เรี่ยวแรง  ทำได้เพียงยึดไหล่ของคนข้างบนไว้แน่น  ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองนอนหมดท่าอยู่อย่างนั้น 

พีทเปลี่ยนมาใช้ริมฝีปากเม้มที่ติ่งหูอีกข้าง  ทำแบบเดียวกัน  ยิ่งทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก

‘ไม่ไหวแล้ว’   

ความรู้สึกเสียวซ่านแผ่ไปทั่วร่าง  เขาถึงกับอ่อนไปหมดแค่ถูกขบเบา ๆ 

แรงขบที่ใบหูเขาเม้มแรงขึ้นเหมือนทิ้งทวนก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงแผ่ว ดึงสติเขากลับมา 





“อิปป้ง”



-----------------------------------------


 :mew2:

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 47 หน้า 7 อัพเดต 26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 26-10-2014 20:08:43
ถ้าพี่ฮั่นมันเยอะมากพีทก็ปล่อยมันไปดิ จะไปสนมันอยู่อีกทำไม
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 47 หน้า 7 อัพเดต 26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: cross ที่ 26-10-2014 20:29:04
หวังว่าชัยชนะครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้พีทเลิกสนใจฮั่นนะ
ตัดใจเถอะพีท ฮั่นไม่แม้แต่จะมีความกล้า ไม่กล้าแม้แต่จะรับความจริงว่ารู้สึกยังไง ฮั่นแค่คนขี้ขลาดแค่นั้นเอง ถ้ารักกันจริงๆอุปสรรคหรือสิ่งที่ตามมามันจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย รักไม่ได้ก็ไม่ต้องรักนะพีท  ความเจ็บสักวันมันต้องหาย
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 47 หน้า 7 อัพเดต 26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 26-10-2014 20:31:18
สมน้ำหน้าพี่ฮั่น!  แพ้ไปเถอะโดนน้องเลียหูแค่นี้ก็อ่อนระทวยแล้ว

แอร๊ยยย เชียร์ให้พีทเป็นรุกเลยดิ่  พี่ฮั่นขี้กลัว คิดโน่นนี่นั่นเยอะนิสัยเคะชัด ๆ น้องพีทสิถึงจะแมนแท้สมชาย

รอตอนต่อไปค่ะ :katai4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 47 หน้า 7 อัพเดต 26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 26-10-2014 20:32:50
555 พีทร้ายกาจมาก รู้จักใช้ความเจ้าเล่ห์ เอาเถอะพีท ใครจะว่าไงอย่าไปสน ในเมื่อเราอยากได้เราก็ต้องทำทุกวิถีทางถูกปะ ตราบใดทางที่เราทำไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน อ่านจบแบบฮาก๊ากอะ รู้สึกพี่ฮั่นอาจจะโดนน้องกดนะ คิกๆๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 47 หน้า 7 อัพเดต 26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 26-10-2014 21:29:46
ชิ เดี๋ยวอิพี่ฮั่นก็อ้างนู้นนี่นั่นอีกแหละ
แต่เอ พี่ฮั่นเกรงใจคริสาเปล่านะ ถึงทำแบบนี้
แต่ มันต้องกล้าๆหน่อยสิ ชิ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 47 หน้า 7 อัพเดต 26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: kjkjji ที่ 27-10-2014 14:02:08
 :a5:

ขุ่นพระ *ยกมือทาบอก* หรือน้องพีทจะเป็นรุกคะ!!!!!!!!!!!? คุณพี่ฮั่นโดนแค่นี้ทำเป็นระทวย ความแมนที่ผ่านมาของพี่หายไปไหนหมด!
มันจุ๊งเลย นี่ถึงขั้นพูดไม่ออก...
น้องพีท....

 o22

ไม่กล้าเดาอะไรอีกต่อไปแล้ว ช็อค กรี๊ดดด ทำไมน้องพีทเธอแมนเหลือเกิน :o12:

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 47 หน้า 7 อัพเดต 26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: zenixs ที่ 29-10-2014 21:22:27
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ค่ะ สนุกมากๆ เลย
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ :L2:
เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นเลย สงสารทั้งคู่นะ
อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆ ว่า น้องจะจัดการกับพี่ฮั่นยังไง
 :ling1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 47 หน้า 7 อัพเดต 26/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 31-10-2014 00:15:28
48. คำสั่ง



หลังคำพูดนั้น  พีทยกหน้าขึ้นจ้องมองเขาที่เพิ่งได้สติ 

“พี่แพ้แล้ว” 

หน้าเรียวที่อยู่ห่างเพียงนิดเดียวนั้นบอก  แววตาคนเป็นน้องที่จ้องมาเต็มไปด้วยความพึงพอใจในชัยชนะของตนเอง
 
แต่กลับไม่มีรอยยิ้ม

“อะไร  ขี้โกงนี่  ทำแบบนี้”  เขาประท้วง  หายใจแรง ยังคิดอะไรไม่ออกเมื่อสบตาที่มองนิ่ง

“เราไม่ได้ตกลงกันนี่ว่าจะชนะกันด้วยวิธีไหน พี่ปล่อยให้ผมกดได้ตั้งเกือบนาที  หรือไม่จริง  พี่คงไม่ตั้งใจจะลืมสัญญาของเราใช่ไหม  ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ พี่เคยพูดกับผมวันแรกที่พี่กลับมา จำได้ไหม”

“พี่ไม่ได้ลืมหรอก แต่นี่มันขี้โกงนี่  เล่นมาทำแบบนี้”

พีทมองตาเขาอย่างไม่แคร์  ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไร  ยังไงเขาก็ชนะพี่ฮั่นแล้ว  เขาสบตาน้องแล้วก็เข้าใจ  พีทไม่ยอมแน่ถ้าเขาไม่ยอมรับว่าตัวเองแพ้  เขาถอนหายใจ

“ก็ได้พี่แพ้แล้ว พี่จะยอมทำตามคำสั่งของพีท พีทจะให้พี่ทำอะไรล่ะ” 

เขาทิ้งศีรษะตัวเองกับพื้นเบาะอย่างอ่อนแรงเหมือนจำนนต่อความพ่ายแพ้ของตัวเอง  พวกเขายังพูดกันทั้งที่พีทยังทับอยู่บนตัวเขา  ดูเหมือนไม่มีใครสนใจที่จะขยับเปลี่ยนท่าไป

“พี่สัญญาแล้วนะว่าจะทำตามคำสั่งผม” 
   
ดวงตาพีทมองอย่างต้องการความมั่นใจก่อนที่จะพูดอะไรออกมา

“พี่สัญญา”



“ถ้างั้นจูบผมสิ”    เสียงเบาแทบกระซิบ



“อะไรนะ!  พีท  นะ  นายว่าอะไร” 

ดวงตาที่จ้องกลับมาไม่มีร่องรอยว่าพูดเล่น 

“ผมบอกว่าให้จูบผม!”  คราวนี้พีทเสียงดังขึ้น

“แต่...”  เขาสบตาน้องชายแต่กลับพูดไม่ออกไปเสียเฉย ๆ     

แววตาพีทที่มองมาไม่ได้มีความล้อเล่นอยู่เลย  ดวงตาคู่นั้นกลับเหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้ว  ดูเหมือนว่าพีทก็กลั้นใจที่จะเอ่ยคำสั่งนี้ออกไป 

น้องชายไม่ฟังอะไรอีกแล้วเมื่อเลื่อนมือมาประคองใบหน้าพี่ชายไว้  ก้มลงไปหาริมฝีปากที่กำลังจะเอ่ยปฏิเสธนั้นทันที

เขาตกตะลึงเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มที่ริมฝีปากตัวเอง สัมผัสแบบเดียวกับคืนที่เขาเข้าโรงพยาบาลกลับมาอีกครั้ง  เขาไม่เคยลืมมัน  เพราะเขาเฝ้าแต่วนเวียนคิดถึงสัมผัสนั้นตลอดเวลา 
 
เพียงแค่ริมฝีปากอันอ่อนนุ่มแตะบางเบา  เกราะเหล็กหนาที่ห่อหุ้มหัวใจไว้ก็ปริร้าวไปทั่ว   

พริบตาเดียวเปลือกนอกอันแข็งแกร่งก็แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ  ความรู้สึกทั้งหมดที่เก็บซ่อนไว้พลันไหลทะลักออกจากใจ   ความรู้สึกล้นปรี่ที่แทบเก็บไว้ไม่อยู่  ได้ชะเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางกั้นเขาไว้ออกไป   

เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสเขาก็ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่มีคำว่าพี่น้อง  ไม่มีคำว่าเหมาะสม  หน้าตา  ชื่อเสียง  ไม่มีอะไรทั้งนั้น
 
กำแพงความถูกต้อง  บุญคุณ  หน้าที่ที่เขาเพียรสร้างไว้จนสูงใหญ่  กลับพังทลายไปในพริบตาที่พวกเขาสัมผัสกันและกัน

มีเพียงเขากับคนในอ้อมแขนนี้ 

เท่านั้น



มือเขายกขึ้นประคองใบหน้าที่แนบชิดนั้นไว้บ้าง มืออีกข้างสอดไปตามเส้นผมนุ่ม  เลื่อนไปด้านหลังกดท้ายทอยคนข้างบนให้ชิดเข้ามามากอีกในขณะที่เงยหน้าขึ้นจูบตอบ




จูบตอบสนองนั้นทำให้พีทกลายเป็นฝ่ายที่ตั้งรับไม่ทันเมื่อพี่ฮั่นจูบเขา  สมองว่างเปล่าเมื่อลิ้นร้อนสอดเข้ามาสัมผัสกับลิ้นเขาช้า ๆ แล้วก็เกี่ยวกระหวัดพันไว้  เขาไม่รู้ว่าเป็นเขาเองที่เผลอร้องครางหรือเป็นเสียงของพี่ฮั่นที่ครางออกมา

เพียงครู่เดียวพี่ฮั่นก็ถอนจูบออกทำให้เขารู้สึกตัว  ลืมตาขึ้น 

แต่แล้วเขากลับถูกจับพลิกตัวลงแล้วพี่ฮั่นเป็นฝ่ายอยู่ด้านบนแทน  ปากแดง ๆ นั้นก้มลงมาอย่างรวดเร็ว  จูบเขาอย่างร้อนแรง

ลูกเสือที่ยังไม่เคยออกล่าเหยื่อหรือจะอาจหาญมาสู้เสือหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ใช้ชีวิตผ่านป่าดงดิบรกชัฎมามากมาย  ออกล่าเหยื่อด้วยประสบการณ์ ไม่เพลี่ยงพล้ำและไม่ให้โอกาสเหยื่อตัวไหนมีโอกาส  แม้แต่จะรู้ตัวว่ากำลังจะถูกโจมตี!

สัมผัสอันวาบหวามช่ำชองนั้นก็ไม่ให้โอกาสหนุ่มน้อยได้ตั้งตัวเช่นกัน   

“อื้อ...”   เสียงครางอู้อี้ของเขา 
 
จูบเร่าร้อนนั้นทำให้เกิดความรู้สึกซาบซ่านไหลอาบไปทั่วร่าง  เขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพราะไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ 

พีทคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ได้แต่ปล่อยให้พี่ฮั่นเป็นฝ่ายทำอะไรตามใจชอบ  รับรู้เพียงแต่ว่าตัวเองกอดคนด้านบนไว้ 

“อา..” ไม่รู้ตัวว่าร้องครางออกไปเมื่อพี่ฮั่นเลื่อนริมฝีปากไปจูบที่คางเรียว  แตะจูบหนักเรื่อยลงไปที่ซอกคอแล้วเม้มแน่นที่ผิวบริเวณนั้น
 
“พี่...พี่ฮั่น”

เขากลับอ่อนแรงไปหมดเมื่อพี่ฮั่นทำแบบนั้น  ริมฝีปากนั้นซุกไซ้ไปทั่ว มือใหญ่ของพี่ฮั่นสอดเข้าไปในเสื้อยูโดที่หลุดลุ่ย  ลูบไล้ไปตามลำตัว  หัวสมองเขาว่างเปล่า  แค่จูบของพี่ฮั่นก็ทำให้เขาหัวหมุนตามไม่ทันแล้ว แต่นี่พี่ฮั่นยังลากมือใหญ่สัมผัสไปทั่วตัวเขา  ทำให้เขาร้อนไปทุกจุดที่มือพี่ฮั่นลากผ่าน   

ได้ยินเสียงร้องครางของตัวเองเมื่อพี่ฮั่นยังคงขบเม้มตามซอกคอเขา จมูกโด่งนั้นกดแรง ๆ ไปตามจุดที่ทำให้รู้สึกวาบหวิวอย่างคนมีประสบการณ์ สร้างความปั่นป่วนให้ก่อตัวมากขึ้น 

ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นได้มอมเมาเขา  หนุ่มน้อยได้แต่จมดิ่งไปกับความรู้สึกใหม่นี้อย่างห้ามไม่ได้   

ได้แต่ปล่อย...ปล่อยใจไป

“...พี่..ฮั่น”

พี่ฮั่นกลับมากดจูบปิดเสียงร้องครางของเขาไว้  มันเป็นจูบที่เรียกร้องให้เขาตอบสนอง  เขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ทำตามที่พี่ฮั่นทำเมื่อสอดมือไปตามเส้นผมหนาลูบไปตามหลังคอ  กดให้พี่ฮั่นแนบริมฝีปากชิดลงมาอีก  มืออีกข้างสอดไปใต้เสื้อยูโด  สัมผัสร่างกายที่เต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของคนข้างบนบ้าง  ได้ยินพี่ฮั่นครางเสียงต่ำในลำคออย่างพอใจ

เวลาผ่านไปเท่าไรไม่รู้เมื่อจูบร้อนแรงนั้นช้าลงทีละนิดอย่างนุ่มนวล จนกระทั่งเหลือแต่เพียงริมฝีปากแตะไปมา  พี่ฮั่นหยุดนิ่ง  ยกใบหน้าขึ้นเล็กน้อย  จมูกพวกเขาแตะกันอยู่แต่ริมฝีปากนั้นถอยออกไป 

พีทจึงเริ่มรู้สึกตัว  เงยหน้าขึ้นเพื่อจะสัมผัสริมฝีปากนั้นอีกเหมือนยังไม่เต็มอิ่ม  แต่พี่ฮั่นกลับถอยไปอีกคล้ายกับต้องการแกล้ง  เมื่อไม่ได้ดังใจพีทจึงผลักคนเป็นพี่ออก  เขายกตัวขึ้น  เป็นฝ่ายอยู่เหนือพี่ฮั่นอีกครั้งแต่คราวนี้มือพี่ฮั่นกลับจับใบหน้าเขาดึงลงไปประกบกับริมผีปากที่รออยู่แล้ว

จูบร้อนแรงกลับมาอีกครั้ง  พีทหัวหมุนติ้ว  ลิ้นทั้งคู่พันกระหวัดกันไปมา  ริมฝีปากที่บดเบียดกัน ร่างกายที่เคลื่อนไหวแนบชิด  สัมผัสของพี่ฮั่นทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่ม  วูบวาบในช่องท้อง 
 
“อื้อ...” เขาครางออกมาอย่างสุดจะทน 

แทบจะรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมดไว้ไม่ไหว  มือเขาขยุ้มไหล่คนเป็นพี่ไว้แน่นตามแรงอารมณ์ที่ค่อย ๆ ไต่ระดับสูงขึ้น  สติกระเจิดกระเจิงไปแล้ว

พีทเริ่มรู้สึกเบาหวิวลมหายใจหอบกระชั้นเหมือนกำลังลอยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  เขากำลังจะหายใจไม่ออกเมื่อจูบนั้นเร่าร้อนขึ้นทุกวินาทีที่ผ่านไป  เขาเริ่มดิ้นรน ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอบีบไหล่ของพี่ชายแรงแค่ไหน

ในที่สุดความเร่าร้อนนั้นก็ค่อยผ่อนลง   พี่ฮั่นขยับไปจูบปลายคางทำให้เขามีโอกาสหายใจก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะกลับมาอีกครั้ง
คราวนี้เปลี่ยนเป็นความอ่อนหวานเมื่อริมฝีปากนั้นเล็มจูบอย่างเชื่องช้า  พี่ฮั่นออกแรงเม้มริมฝีปากล่างของเขาแล้วบดเบียดไปมา

พี่ฮันเงยหน้าจูบหนัก ๆ ที่ริมฝีปากเขาเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนที่มือใหญ่ที่ประคองใบหน้าเขาไว้จะดึงให้เขาซบลง
 
พีทหอบหนัก  ซบหน้าลงที่ข้างแก้มของคนเป็นพี่  มือเขายังจับแน่นที่ไหล่พี่ชาย  หัวใจเต้นแรงแทบทะลุออกมานอกอก ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อไป  ได้แต่ปล่อยตัวให้ซบอยู่แบบนี้ 

พี่ฮั่นกอดเขาไว้แน่น  มืออบอุ่นลูบไปมาบนหลังเขาเหมือนจะปลอบ  เขารู้สึกว่าพี่ฮั่นก็หอบน้อย ๆ จากแรงสะท้อนขึ้นลงบนอกหนาเป็นจังหวะเดียวกัน

พวกเขาซบกันและกันอยู่ครู่ใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไร 

พายุอารมณ์ที่โหมกระหน่ำคนทั้งคู่ในห้องออกกำลังกายนั้นเริ่มอ่อนแรงลงทีละน้อย จนกระทั่งเหลือเพียงสายลมบางเบา พร้อมกับสำนึกผิดชอบค่อยคืบคลานเข้าสู่สมอง ทุกสิ่งที่ถูกพัดหายไปชั่วคราวกลับก่อเกิดอย่างรวดเร็วชั่วขณะเดียวก็กลายเป็นกำแพงหนา

ทันใดนั้นพี่ฮั่นก็พลิกตัวเขาให้ลงไปนอนบนเบาะ  พีทมึนงงเมื่อพี่ฮั่นลุกขึ้นนั่ง
 
“พี่ทำตามที่พีทสั่งแล้ว  พอใจแล้วใช่ไหม”  ถามทั้ง ๆ ที่นั่งหันหลังให้

พีทมองแผ่นหลังของพี่ฮั่นอย่างไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปกะทันหัน

“เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”

พี่ฮั่นพูดรวดเร็วแล้วลุกขึ้น  ออกจากห้องซ้อมไป   

ไม่แม้แต่จะหันกลับมา


------------------------------------------

ขอบคุณสำหรับคำคอมเม้นต์นะคะ

ขอโทษด้วยที่อาจทำให้ใครเข้าใจอะไรผิดไป  หวังว่าอ่านตอนนี้แล้วคงเห็นแล้วว่าใครรุกใครรับนะคะ 555

ดูเหมือนว่าจะมีแต่คนไม่ชอบพี่ฮั่นอ่า  พี่ฮั่นไม่ดีหรือเราเขียนไม่ดีรึเปล่า   :mew2:


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: 4life ที่ 31-10-2014 00:29:15
ไม่ชอบพระเอก อ้ำอึ้งโลเล เหมือนจะเข็งเเกร่งเเต่จริงๆ เเล้วไม่ได้เรื่องเล้ย
ทั้งชีวิตมีเเต่คงชี้ทางให้ไป
 ที่สำคัญเกลียดนังโรสคู่ขามัน

//อินจัดดดดดดด :hao7:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 31-10-2014 06:26:09
มันก็ไม่ใช่พี่ฮั่นไม่ดีหรอกนะแต่การกระทำต่างหากที่ไม่ดีที่ทำพีทเสียใจซ้ำแล้วซ้ำอีกในเมื่อใจก็รักแต่กลับปฏิเสธน้องยังกล้ามากกว่าที่จะยอมรับ. เพราะงั้นจากที่พิจารณาดูแล้วฮั่นไม่สมควรได้รับความรักจากน้องอีกต่อไปแค่นั้นเอง.ฮั่นจะทำเหมือนตาของตัวเองที่ทิ้งปู่ฟงไปแต่งงานแล้วให้พีทเจ็บไปจนตายเหมือนปู่ฟงหรือไง. อย่างนี้ก็จะเป็นการยืนยันคำพูดที่ว่าไม่มีรักแท้ในหมู่เกย์หรือชายรักชายงั้นหรือ. อันนี้เราวิจารณ์จากเนื้อเรื่องแล้วก็การแสดงออกของตัวละครนะไม่ได้ว่านิยายไม่ดี. แต่ว่านิยายแต่ละเรื่องมันก็ต้องมีตัวละครที่เรารักและที่เราเกลียดเช่นเดียวกันใช่ว่าจะเกลียดเฉพาะตัวร้ายที่ไหน.  ตัวดีที่ทำอะไรขัดหูขัดตาไม่เป็นไปตามที่เราอยากให้เป็นเราก็เกลียดได้เช่นกัน. เคนะจ๊ะ ;)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: cross ที่ 31-10-2014 07:51:23
ตัดใจเถอะพีท เจ็บซ้ำๆแบบนี้ทำร้ายใจตัวเองเกินไป คนเรามันจะเจ็บเจียนตายได้อีกนานแค่ไหนเชียว
ฮั่นเป็นคนที่ขี้ขลาดสุดๆ เป็นไปได้อยากให้พีทเจอคนที่ดีกว่านี้ คนที่พร้อมจะสู้ ฝ่าฟันไปด้วยกัน ไม่ใช่คนที่ผลักให้พีทถอยห่าง ทำร้ายกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าบอกว่าฮั่นเองก็เจ็บไม่ต่างจากพีท มันก็ใช่ แต่พีทเจ็บมาเยอะกว่าไหม ถ้ากลับมาเป็นแบบนี้อย่ากลับมาหาพีทตั้งแต่ต้นยังจะดีกว่า
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 31-10-2014 09:53:54
จิ้มไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 31-10-2014 12:35:48
สงสารพีท :m15:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 31-10-2014 13:51:52
 :mew4: หนักใจแทนทั้งคู่
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 31-10-2014 17:52:43
ชิ พีท หนีไปให้ไกลๆเลย
เขียนดีแล้วงับ เพราะเขียนจนทำให้คนอ่านอินกับตัวละครได้ ถือว่าผ่านนะ
อยากให้พีทไปอยู่กับคุณปู่จริงๆ เผื่อบางคนจะกล้ามากกว่านี้
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: kjkjji ที่ 01-11-2014 09:17:01
ฮู่วว พี่ฮั่นคะ  :เฮ้อ:
วันไหนน้องเป็นของคนอื่นขึ้นมาแล้วพี่จะรู้สึก
ทำไมไม่มีความกล้าเลยเนี่ยย เห็นพี่ฮั่นเป็นแบบนี้แล้วหงุดหงิดหัวใจ
สงสารน้อง  :m15: เราเป็นพีทนี่คงเซ็งพี่ฮั่นไปแล้วอ่ะ ทำเงิบมาหลายรอบละ เป็นเราคงสะบัดบ็อบใส่ไม่ใยดีอะไรอีพี่ฮั่นอีกต่อไปแล้ว (นี่มองในมุมมองน้องที่ไม่รู้ว่าพี่ฮั่นมันคิดอะไรอยู่นะ เห็นแล้วท้อใจแทน)
นี่ถ้าน้อง(ยอม)ถอยห่างออกมาพี่ฮั่นมันจะตามกลับไปป่ะ? หรือคิดว่า เออ ดีแล้ว ปล่อยไป ?

เฮ้ย เฮ้ย เฮ้อ นี่รอว่าสักวันจะมีชายหนุ่มรูปงามมาคลุกคลีน้องพีทให้อีพี่ฮั่นมันปั่นประสาทเล่นเลยนะ ใช้ผู้หญิงดาเมจมันคงจะน้อยไป เชอะ  :m19:

ปล. คนแต่งแต่งดีแล้วค่ะ พี่ฮั่นก็เป็นคนดีค่ะ คือเป็นตัวละครที่ดี แล้วที่โดนด่านี่ก็ไม่ใช่เพราะความเลวอ่ะค่ะ 5555 แค่เป็นตัวละครที่น่าหมั่นไส้เฉยๆ แบบคิดเยอะไปไหนจ๊ะพ่อ บางเรื่องที่พี่ฮั่นทำก็นะ..เจ็บแทนน้องพีทจริงๆ ไว้ตัวเองโดนบ้างแล้วจะรู้สึก!
ไม่ใช่ว่าพี่ฮั่นไม่ดีนะ แต่เราแค่เอ็นดูน้องพีทมากเกินไปแค่นั้นเองงงงงง  :m3: กร๊ากกกก
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 07-11-2014 17:13:40
:-)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: zenixs ที่ 07-11-2014 18:30:25
พี่ฮั่นเป็นคนดีในหลายเรื่องๆ เข้าใจเหตุผลนะว่าพีทเป็นลูกของผู้มีพระคุณ
แต่บางครั้งถ้าจะต้องเก็บความรู้สึกแล้วเจ็บทั้งสองฝ่าย สู้ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคที่จะเข้ามาด้วยกันดีกว่ามั้ย
เห็นเป็นแบบนี้แล้วมันหน่วง  :hao5:

อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่า เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 10-11-2014 20:22:14
มาให้กำลังใจน้องพีททท!!!

รอตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 14-11-2014 23:18:03
รอน้องพีท
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 24-11-2014 19:03:57
ดัน
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 29-11-2014 12:36:00
.
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 48 หน้า 7 อัพเดต 31/10/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 30-11-2014 10:27:51
49. ปล่อยมือ


คนที่รีบออกจากห้องออกกำลังกายจนแทบวิ่งนั้นกลับไปที่บ้านริมสระ ตรงไปที่ห้องนอนส่วนตัว  ปิดประตูเสียงดัง  พิงร่างสูงใหญ่ของตนกับประตูบานใหญ่   
   
นี่เขาทำอะไรลงไป  เขารู้ว่าเขาสามารถเลี่ยงคำสั่งนั้นได้  แต่เขากลับเผลอปล่อยหัวใจไป  เขาลืมตัว!

ก้มลงมองสภาพตัวเองแล้วต้องถอนหายใจแรง  เสื้อยูโดหลุดลุ่ยไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้  เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกเปลือยเปล่าของตัวเองไว้  รับรู้แรงสั่นสะเทือนข้างใต้นั้น  อารมณ์วาบหวามเมื่อครู่ยังตกค้างอยู่ในร่างกาย  เขาตรงไปยังห้องน้ำเปิดน้ำเย็นรดตัวเอง
 
อีกนิดเดียวเท่านั้น  ถ้าพีทไม่ดิ้นเพราะหายใจไม่ทันเขาคงจะเผลอทำอะไรมากกว่านี้

ไม่ได้! จะทำแบบนั้นไม่ได้  ทำไม่ได้  นั่นน้องนะ  ครอบครัวของเขาเอง  เขาจะทำแบบนี้ไม่ได้  เรื่องนี้ต้องไม่เกิดขึ้นอีก

เขาได้แต่พร่ำเตือนตัวเองไม่ให้ทำแบบนี้ราวกับว่าสิ่งที่เขาทำลงไปเป็นความผิดมหันต์   แต่ในขณะเดียวกันความรู้สึกร้อน ๆ ที่เพิ่งผ่านมากลับยังติดแน่นลึกลงไปในใจ
 
ช่วงเวลานั้น  ช่วงเวลาที่ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีพี่ไม่มีน้อง ไม่มีความถูกต้องมาคอยเตือน เป็นช่วงเวลาที่ได้ทำตามที่ตัวเองปรารถนามาแสนนาน  ความปรารถนาอันลึกลับได้เผยออกจากที่ซ่อนที่ลึกที่สุดของใจ  ผลักดันให้เขาทำตามความต้องการของตน
 
เขาเองก็ต้องการไม่ต่างกัน เพียงแต่สิ่งที่แสดงออกมานั้นเขาต้องบังคับตัวเองแค่ไหน  พีทไม่มีวันเข้าใจ....

น้ำตาร้อน ๆ ไหลปนออกมากับน้ำเย็นจากฝักบัว  ร่างสูงใหญ่ที่ยังอยู่ในชุดยูโดอันเปียกชุ่มพิงหลังกับผนังห้องน้ำ  ทรุดตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้น  ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว   

ช่วงขณะที่เผลอตัวความรู้สึกทั้งหมดที่ถูกปลดปล่อยออกมามันมหาศาลเกินกว่าที่เขาคิดไว้มากมายนัก   

มันล้นจนเขาเก็บไว้ต่อไปไม่ไหว  เขาต้องการบอกน้องเช่นกันว่าเขารู้สึกอย่างไร 

อยากจะกอดน้องไว้ในอ้อมแขนไม่ให้ห่างไปไหน 

อยากจะบอกว่ารัก...มากล้นเพียงใด 

ช่วงเวลาที่พวกเขามีแต่กันและกันในอ้อมแขน เขาอยากจะพูดมันออกไป  คำที่เขาเก็บไว้มานาน

แต่เขากลับได้สติเมื่อตาเหลือบไปเห็นภาพในกรอบขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังในห้องออกกำลังกาย  ภาพน้องชายใส่ชุดยูโดกำลังชูเหรียญทองในมือยืนเคียงข้างกับลุงคริสที่ส่งยิ้มสดใส  แววตาภาคภูมิใจในความสำเร็จของลูกชาย  ภาพนั้นกระชากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ปลิวหายไปให้กลับมา 
 
เขาหักหลังลุงคริสไม่ได้!

เจ็บปวดเมื่อต้องพูดออกไปเช่นนั้น  ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นใช้มีดอันแหลมคมจ้วงแทงเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่ปรานี  ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าแม้กระทั่งปลายเล็บ

“โธ่โว้ย!” 

เขาตะโกนอย่างเหลืออด  ทุบกำปั้นลงกับพื้นกระเบื้องห้องน้ำจนมือแตก  เลือดสีแดงละลายไหลไปกับสายน้ำที่เปิดรดตัวเอง 

เขาทำไม่ได้  เขาทำลายอนาคตน้องไม่ได้

“พีท...พีท  พี่ขอโทษ”   ได้แต่พูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น

น้ำเย็นจากฝักบัวยังคงรินรดคนที่นั่งอย่างหมดแรงในห้องน้ำ ดวงตาแดงก่ำ  เขายังจำภาพลุงคริสที่เดินเข้ามาในบ้านของพ่อได้  เมื่อลุงคริสปรากฏตัว  ชีวิตเหมือนพลิกจากจุดต่ำสุดขึ้นมาอีกครั้ง  เขายังจำความรู้สึกวันนั้นได้ดี  ไม่เคยลืมเลย



เสียงเคาะประตูบ้านดังเบา ๆ ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะเปิดออก  ร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ  แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางประตูทำให้เด็กชายที่เดินออกมาจากด้านในมองแขกแปลกหน้าไม่ชัดเพราะแสงจ้าที่ส่องเข้ามา

ในสายตาของเด็กวัยเกือบแปดขวบตอนนั้น  ร่างที่เดินเข้ามาพร้อมกับแสงแห่งรุ่งอรุณที่ฉายมาจากด้านหลังทำให้ลุงคริสดูราวกับทูตสวรรค์ลงมาบอกข่าวดีกับเขาและแม่ที่กำลังลำบาก 

เวลานั้นเขากำลังเสียขวัญเพราะพ่อเพิ่งเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายจากความเครียด  ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน  พวกเขาเป็นหนี้มหาศาลเพราะค่าเงินที่ลอยตัว  ถูกยึดบ้าน  ทรัพย์สินทุกอย่างถูกยึดไปหมด  แม่กลายเป็นบุคคลล้มละลายทั้งที่ยังจัดการเรื่องงานศพคุณพ่อไม่เสร็จ  ญาติพี่น้องที่เหลืออยู่ก็หันหน้าหนี  แม่ต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือเพื่อนเก่าหลายคนแต่ทุกคนก็ปฏิเสธหมด

จนกระทั่งลุงคริสมาที่บ้านในวันสุดท้ายก่อนที่จะต้องย้ายออก  ลุงคริสมาช่วยกอบกู้ธุรกิจที่กำลังล้มและช่วยปลดหนี้ให้แม่  และสาเหตุนี้ที่ทำให้ลุงคริสต้องขายหุ้นให้อาของตัวเอง  แล้ว ‘มัน’ ก็ใช้เงื่อนไขนี้มาขู่ลุงคริสตอนที่ลักพาตัวเขาไปทรมาน  มันขู่ว่าจะถอนหุ้นคืน  ลุงคริสจึงต้องยอมที่จะไม่รับเขาเป็นบุตรบุญธรรมเพราะกลัวธุรกิจที่กำลังก้าวหน้าจะต้องล้มครืนทั้งหมด

คนที่หมดหวังทุกอย่างในชีวิตอย่างแม่และเขา เหมือนคนที่ลอยเคว้งอยู่กลางมหาสมุทร  ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว  กำลังอ่อนแรงลงทุกขณะ  พวกเขากำลังจะหมดแรงจมลงสู้ก้นทะเลลึก  แล้วทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งมาฉุดเขาและแม่ขึ้นไป 

ลุงคริสกอดเขาและแม่ไว้  เขารู้ทันทีว่าเขาปลอดภัย  เหมือนคนที่รอดพ้นจากความตายอันหนาวเหน็บไปสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นและมั่นคง  ลุงคริสกลายเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้แม่และเขาที่กำลังไร้ที่พึ่ง  เป็นคนที่สร้างเขาให้เป็นได้อย่างทุกวันนี้




“ลุงคริส”

เขาพึมพำเอ่ยชื่อคนที่เขารักเหมือนพ่อคนหนึ่ง  คนที่ทำเพื่อแม่และเขามากขนาดนี้  เขาต้องตอบแทน  และพีทเป็นลูกชายของลุงคริส  เป็นทายาทคนเดียวที่ต้องดูแลสืบทอดกิจการของตระกูลต่อไป  เขามีหน้าที่ทำให้พีทประสบความสำเร็จ 
 
เขารู้ดีว่าพีทต้องไม่ยอมรับความคิดนี้   ลุงคริสทำไปเพราะรักแม่และรักเขาอย่างลูกคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ  ไม่เคยคิดเรื่องบุญคุณหรือการตอบแทนอะไรแม้แต่น้อย   

พีทก็เหมือนพ่อ  พีทรับเขาเป็นพี่ชายด้วยความเต็มใจตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวเข้ามาในบ้าน  เชื่อใจและไว้ใจเขาเท่ากับที่ลุงคริสไว้ใจ ไม่เคยมีข้อสงสัยใดที่วันหนึ่งเขาก็เข้ามาเป็นลูกชายอีกคนของลุงคริส  เป็นลูกชายบุญธรรม  เป็นคนที่มาดูแลกิจการทั้งหมด  มีอำนาจดำเนินการทุกอย่างเทียบเท่าลุงคริส

เขารู้ว่าพีทต้องต่อต้านถ้าได้รู้ว่าเขาคิดเช่นนี้  เพราะน้องไม่เคยสนใจเรื่องบุญคุณอะไรเหล่านี้เลย   พีทไม่ต้องการการตอบแทนใด ๆ  แต่สิ่งที่น้องต้องการเขากลับทำให้ไม่ได้ 

แล้วจะให้เขาทำอย่างไร   

ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า น้องจะเข้าใจ

------------------------------------------------



ล่วงเลยเข้าวันใหม่มาพอสมควร  เขาพยายามนอนมานานแล้วแต่กลับตาสว่างเฝ้าแต่คิดวนเวียนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องออกกำลังกาย

เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังรัวเร็ว  ร่างที่นอนลืมตาโพลงในความมืดหันไปมองอย่างสงสัยแต่เขาก็ลุกขึ้น   

พีทยืนอยู่หน้าห้อง  ดวงตาบวมช้ำ

“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”   

เห็นดวงตาเจ็บปวดของน้องชายแล้วแทบทนไม่ได้  อยากจะเข้าไปปลอบให้หายเศร้าใจ  อยากจะอธิบาย...

เขากัดฟัน  กลั้นใจไว้ 
 
ไม่ได้!  นั่นน้องชาย

“นี่มันดึกแล้ว  มีอะไรไว้คุยกันพรุ่งนี้เถอะ”  เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับน้องจึงได้แต่หลบตา  ทำท่าจะปิดประตู  แต่พีทกลับเอื้อมมือมาจับขอบประตูไว้เหมือนจะท้าว่าเขาจะกล้าปิดประตูทับมือน้องรึเปล่า....

เขาไม่กล้า

“ผมพูดไม่นานหรอก”  เสียงราบเรียบนั้นบอกมา

“พี่คิดยังไงกับผม”

ดวงตาพีทมองตรงมาแน่วแน่เหลือเกิน   เขาเสียอีกที่เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตา

“พีท  ถามอะไร”   
 
“ผมถามว่าพี่คิดยังไง  ผมแค่อยากรู้เท่านั้น”   

เสียงคาดคั้นนั้นถามมาอีก พีทไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย  กลับถามเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตรงไปตรงมา ไม่ได้ถามด้วยอารมณ์  เหมือนพวกเขากำลังถกกันเรื่องทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์มากกว่ากำลังถามกันเรื่อง  หัวใจ

“พีท พีทเป็นน้องพี่  เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”   เขามีคำตอบให้ได้เพียงเท่านี้ 

“นี่คือคำตอบของพี่ใช่ไหม”

“ใช่”

“แล้วจูบนั่นล่ะ  แบบนั้นมันเป็นพี่น้องเหรอ” 

คราวนี้เขาหันกลับไปมองหน้าคนถาม  พีทถามเหมือนรู้  รู้ว่าที่เขาทำลงไปทุกสิ่งนั้นไม่ได้เกิดจากคำสั่ง  มันเป็นความปรารถนาของเขาเองทั้งหมด 

เขาหลบตาน้องอีกครั้ง  กำมือแน่นเมื่อต้องโกหกซ้ำอีก

“พีท  พี่ทำตามที่พีทสั่งนะ  ตามสัญญาไงล่ะ” 

เขาเหลือบไปเห็นรอยช้ำสองสามจุดที่โผล่พ้นเสื้อยืด  บริเวณลำคอของคนที่เขาเพิ่งบอกว่าเป็นน้องชาย  เป็นคนในครอบครัว
 
มันเป็นรอยแดงช้ำชัดเจนทีเดียว  เขากำมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว 
 
รอยนั้น....ของเขาเอง

“ใช่ผมรู้  ก็แค่ทำตามคำสั่งเหรอ”   

เขาขบฟันแน่นก่อนจะต้องพูดอีกครั้ง

“ใช่  แค่นั้น  และมันก็จบไปแล้ว”   

“ผมเข้าใจแล้ว”

น้ำเสียงนิ่งเหมือนเดิมนั้นทำให้เขาเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ  ทำไมพีทไม่โกรธ 

ดวงตาของน้องชายที่มองมากลับราบเรียบว่างเปล่า  ท่าทีปกติเหมือนไม่มีความรู้สึกใด   

เหมือนมีใครมาเทน้ำเย็นจัดรดบนศีรษะ  ความเย็นยะเยือกไหลลามลงมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  ร่างกายเจ็บปวดเหมือนมีเข็มแหลมคมนับร้อยนับพันกำลังทิ่มแทงเขาอยู่  แค่แววตาที่ว่างเปล่าคู่นั้น 

ดวงตาคู่นั้นไม่มีเขาอยู่อีกแล้ว!

นั่นทำให้คนที่มองอยู่แทบหมดแรงเมื่อตระหนักในทันทีว่ามันกำลังจะสายไปแล้ว  กำลังจะสายเกินไป....

เขากัดฟันกรอด  มือสั่นจนต้องกำไว้แน่นเมื่อเกิดการต่อสู้ในจิตใจอย่างหนัก  ใจหนึ่งก็สั่งให้ทำตามหัวใจตัวเอง  ส่วนอีกใจหนึ่งก็สั่งให้มั่นคงต่อหน้าที่ของตน

พีทปล่อยมือที่จับขอบประตูช้า ๆ หันกลับเพื่อจะเข้าห้องตัวเอง

เหมือนโลกหมุนช้าลงกะทันหัน  ภาพน้องชายกำลังหันหน้ากลับไปอีกทางเกิดขึ้นดังภาพสโลว์โมชั่น   มือที่ปล่อยจากขอบประตูเคลื่อนลงไปข้างตัวทีละน้อย  ทีละน้อย 

ภาพพีทที่หันหลังให้กำลังก้าวไปยังห้องนอนของตัวเอง  มือแตะลงตรงที่จับประตู  ประตูเปิดช้า ๆ  ขาของน้องชายกำลังจะก้าวเข้าไป

‘พีทของเขา’  ราวกับกำลังจะหลุดจากมือเขาไปตลอดกาล 

ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป  วินาทีสุดท้ายนั้น  เขาก็ตัดสินใจได้

“พีท..”  เขาคว้าข้อมือน้องไว้ได้ทันก่อนที่พีทจะก้าวเข้าห้องส่วนตัว

ทุกอย่างกลับหยุดนิ่ง  โลกที่เคลื่อนที่ช้าลงนั้นหยุดหมุน  ไม่มีความเคลื่อนไหว  มีแต่ความเงียบที่แผ่ปกคลุม  เงียบจนเขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของตัวเอง

“ปล่อยผม”   พีทตอบเสียงนิ่งดุจเดิม  ไม่หันกลับมามองสักนิด

“พีท...พี่..”   

“พี่บอกว่าเรื่องพวกนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก  เพราะฉะนั้น...” 




“....ปล่อยมือจากผมซะ....”





------------------------------------------



“พี่โดม  ทำไมคุณชายสองคนเค้าดูแปลกไปล่ะ” 

หนึ่งในสามสาวที่มักมาชวนโดมไปกินข้าวบ่อย ๆ เอ่ยถาม  เวลานี้เลิกงานแล้ว  เขาถูกสามสาวนัดมากินกาแฟที่ร้านกาแฟเจ้าประจำใกล้โรงแรม ส่วนพีทขึ้นไปช่วยรองประธานสรุปผลการดำเนินงานก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมรับทราบ 

“แปลกยังไง”  โดมถามกลับ  เขาเองก็แปลกใจที่มีคนสังเกตเห็นความผิดปกติของสองคนนั้น

“ก็ดูเมินกันยังไงไม่รู้”  สาวคนที่สองว่า

“ใช่  พวกเราเห็นคุณชายพีทยิ้มนะ  แต่เวลามองรองประธานเหมือนมองผ่าน ๆ ยังไงไม่รู้  เหมือนกับมองแต่ไม่อยู่ในสายตา”   สาวคนแรกให้เหตุผลสนับสนุน

“นั่นสิ  คุณชายยืนข้างกันนะตอนที่ไปส่งนายกฯ ประเทศตะวันออกกลางกลับวันก่อนน่ะ  แต่ทำไมไม่มองหน้ากันก็ไม่รู้” สาวคนที่สามเล่าบ้าง  เธอฝึกงานฝ่ายต้อนรับอยู่ที่ล็อบบี้จึงเห็นเหตุการณ์

“นี่พวกเธอสังเกตกันขนาดนี้เลยเหรอ  คิดไปเองรึเปล่า” โดมพยายามเปลี่ยนความคิดสามสาว  แต่ในใจกลับรู้สึกเป็นห่วงแทนสองคนนั้น  ขนาดคนอื่นยังเห็นอะไรขนาดนี้

“ไม่คิดไปเองหรอกค่ะพี่โดม  พวกเราน่ะมองคุณชายมาตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้เวลาตรวจโรงแรมเห็นไปด้วยกันตลอด  คนน้องชอบเกาะไหล่  คนพี่ก็ชอบโอบไหล่ยังกะกลัวหาย  แล้วก็คุยกันตลอดเวลา  ทำเหมือนโลกนี้มีกันอยู่แค่สองคนซะงั้น  แต่ช่วงนี้ไม่ไปไหนด้วยกันเลย  พวกที่ฝึกงานแผนกขนมบ่นว่าคุณชายทำให้พวกนั้นทำขนมไม่อร่อยแล้ว”

“หลายวันมานี่ดูพวกเขาหมางเมินกันนะ  ไม่คุยกัน ไม่เห็นหยอกกันเหมือนเดิม”

“แล้วคุณชายพีทก็เลิกยิ้มไปเลย  หน้านิ่งตลอด  พวกเราเห็นแล้วไม่สบายใจ”

“ใช่  พวกเราชอบเห็นคุณชายเค้าดีกันมากกว่า  เวลาพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้วมันดู  อืมม..”

“...น่ารัก...”   

สามเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน  พูดแล้วสามสาวก็กลับไปสุมหัวกันเอง พูดคุยถึงความน่ารักในแบบที่โดมไม่เข้าใจ   เขาขมวดคิ้วมองสามสาวแล้วครุ่นคิดกับตัวเอง

'สาวๆ พวกนี้หูตายังกะสับปะรดเลยนะนี่  เก็บข้อมูลกันละเอียดยิบขนาดนี้  นี่มาฝึกงานหรือมาสืบราชการลับกันแน่'

โดมคิดพลางส่ายหน้ากับตัวเอง  อันที่จริงตัวเขาก็เห็นอะไรที่ผิดปกติเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองพี่น้อง  พีทไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลยกลับมีท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างที่สามสาวสังเกตเห็น  ยังทำทุกอย่างตามปกติแต่เขารู้สึกว่ามันน่าเป็นห่วงมากกว่าเดิม

คืนที่เกิดเรื่องใหม่ ๆ พีทร้องไห้หนัก  เจ็บปวดทรมานเหมือนคนที่ได้รับแผลสด  ขยับเพียงนิดเดียวก็ปวดแปลบปลาบไปทั่ว   แต่ผ่านมาสองสามวันนี้พีทกลับไม่มีแม้แต่ความเศร้าเสียใจ   กลับกลายเป็นเย็นชาเหมือนคนที่หัวใจเจ็บจนด้านชาจนไม่สามารถรู้สึกอะไรได้อีกแล้ว   แม้ว่าพีทยังพูดคุยกับเขาและเพื่อนร่วมงานตามปกติ   แต่เขาก็สังเกตได้ว่ามันเป็นแค่การแสร้งทำเท่านั้น

และเขารู้ดีทีเดียวว่าคนที่ทำให้พีทเป็นแบบนี้ก็คงเสียใจไม่แพ้น้องชายหรอก  พี่ฮั่นถึงกับโทรหาเขาให้ช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนพีทคืนนั้นทั้งที่พีทบอกว่าพี่ฮั่นไม่ยอมรับความรู้สึกของเขา  แต่โดมกลับแปลกใจที่พี่ฮั่นเป็นเดือดเป็นร้อนจนทนไม่ได้

เขาคิดว่าพี่ฮั่นนั่นแหละทำตัวแปลกที่สุดแล้วตั้งแต่สั่งให้เขาคอยจับตาดูพีทและโทรรายงานเวลาพีทไปที่ไหนกับใคร   ตอนนี้เขาแทบจะต้องโทรรายงานความเคลื่อนไหวทุกชั่วโมงทีเดียว  สิ่งที่พี่ฮั่นทำให้น้องชายทั้งหมดมันเกินพี่ชายไปไกลโข  แต่กลับปฏิเสธพีท

ทำดีกับเขาทุกอย่าง  พอเขารักก็บอกไม่ให้รัก  แปลกดีไหมล่ะ


--------------------------------------------



มาแว้ว   :mew1: :mew1: :mew1:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 49 หน้า 8 อัพเดต 30/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 30-11-2014 10:56:11
จิ้มไว้ก่อง
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 49 หน้า 8 อัพเดต 30/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: zenixs ที่ 30-11-2014 11:16:46
ไชโย ตอนใหม่มาแล้ว  :mc4:

สุดท้าย ตอนนี้ก็เจ็บทั้งคู่ :o12:

คืนดีกันเร็วๆ นะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 49 หน้า 8 อัพเดต 30/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 01-12-2014 13:01:28
กล้าเสี่ยงหน่อยสิอิพี่ฮั่น ชิๆ
สงสารพีทมากกว่าอ่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 49 หน้า 8 อัพเดต 30/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: green1313 ที่ 02-12-2014 10:54:07
กล้าๆหน่อยซิ พี่ฮั่น
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 49 หน้า 8 อัพเดต 30/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: gambee ที่ 02-12-2014 15:22:13
พลาดเรื่องนี้ได้ไง

ขอบคุณคนแต่งสำหรับเรื่องสนุกๆนะคะ

รอตอนต่อไปจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 49 หน้า 8 อัพเดต 30/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 06-12-2014 23:58:43
50. ตัดสินใจ


“ว้า  เสียดายจัง  วันนี้นึกอยากจิบชาในสวนกลับมีคนตัดหน้าไปซะแล้ว” 

เสียงบ่นของเฌอเบลล์ทำให้คนที่เหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่างกระจกหันกลับมา

“มีอะไรเหรอ  เบลล์”   เขาถามอย่างไม่ใส่ใจนัก  แค่ถามตามมารยาทเท่านั้น

เฌอเบลล์วางโทรศัพท์ภายในลงบนแป้น  เงยหน้าสวยหวานขึ้นยิ้ม

“เบลล์อยากจิบชาน่ะค่ะ เลยโทรไปที่คอฟฟี่ช้อป จะให้พนักงานช่วยจองโต๊ะให้หน่อย  เพราะซุ้มกุหลาบมุมในสุดของสวนนั่นน่ะ  คนแย่งกันนั่งยังกับเล่นเก้าอี้ดนตรีเชียว  แต่พนักงานบอกว่ามีคนจองแล้วตั้งแต่เช้า  และเบลล์ก็ใช้สิทธิพิเศษขอเปลี่ยนเป็นโต๊ะอื่นให้แขกแทนไม่ได้ด้วย...” 

เฌอเบลล์ยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย  เมื่อเอ่ยต่อจนจบประโยค

“เพราะคนที่จองโต๊ะ  เป็นลูกชายคนเล็กของเจ้าของโรงแรมนี้...”

คนที่ไม่สนใจสิ่งใดรอบตัวหันกลับมารวดเร็ว แต่ก็เจอกับสายตารู้ทันของเฌอเบลล์เข้า  ชายหนุ่มถึงกับทำตัวไม่ถูก  เขารีบกลบเกลื่อนอาการนั้นทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิดเพราะเฌอเบลล์จับตามองอยู่แล้วและสังเกตเห็นทันที

เฌอเบลล์ยิ้มให้กับคนปากแข็งที่เธอรู้จักดี

‘ยังจะมาทำไม่รู้ไม่เห็นอีก  ทั้งที่ตัวเองน่ะอยากรู้เต็มแก่แล้วใช่มั้ยล่ะ ว่าทำไมน้องพีทถึงได้ไปจองโต๊ะในสวน’   สาวสวยคิดพลางยิ้มมากขึ้น

'เอาล่ะ เธอจะไม่แกล้งพี่ฮั่นต่อก็ได้ ให้เวลาคนปากแข็งได้จัดการอย่างที่เขาอยากทำเถอะ  ดูสิตอนนี้คงอยากแล่นลงไปดูเต็มทีแล้วว่าน้องพีทนัดกับใคร'   เฌอเบลล์คิดแล้วก็เอ่ยขอตัวไปทำงานต่อ
 
คนที่พยายามทำตัวปกติเห็นเฌอเบลล์เดินออกจากห้องแล้วก็กดโทรศัพท์ทันที 

ความรู้สึกหลังจากที่ได้รับข้อมูลนั้นหลากหลายปนกันไปหมด โล่งอกที่โดมบอกว่าพีทนัดกับเกรซ  แต่กลับเกิดความหวั่นใจขึ้นมาแทรกเมื่อคิดสงสัยต่ออีกว่าเหตุใดพีทจะต้องนัดเกรซไปคุยกันในที่ที่เหมาะสำหรับคู่รักมากกว่าจะนัดคุยกับเพื่อนสนิทธรรมดา?

------------------------------------------



พีทนัดเจอกับเกรซที่คอฟฟี่ช้อปที่โรงแรมสาขาใหม่ที่เขาฝึกงานอยู่  หลังจากได้ระบายความรู้สึกของตัวเองให้เกรซฟังที่ร้านวันก่อนแล้วเขาก็ไม่ได้เจอเพื่อนอีกเลย  และเมื่อวานเกรซก็โทรหาเขา  เสียงของเธอเศร้าสร้อย

“เกรซ  เป็นไง  ชอบสวนกุหลาบไหม”   

พีทถามพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจกับสวนกุหลาบของพ่อ  เขารู้ว่าแขกผู้หญิงส่วนใหญ่ต่างประทับใจกับสวนกุหลาบที่ติดกับคอฟฟี่ช้อปนี้กันมาก  จึงอยากจะให้เกรซมาชมสวนกุหลาบที่นี่ด้วย   ดังนั้นซุ้มกุหลาบขาวสุดโรแมนติกที่อยู่ในสุดของสวนจึงถูกตั้งป้ายจองตั้งแต่เช้า

“ชอบมากเลย  กุหลาบพันธุ์นี้เราไม่เคยเห็นเลยพีท  สวยมาก  นี่ถ้าแม่เราเห็นนะ  คงจะกรี๊ดแน่  แม่ชอบกุหลาบมาก”

สีหน้าของเกรซดูสดใสขึ้นเมื่อนั่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้สีขาวที่เบ่งบานเต็มซุ้ม  ส่งกลิ่นหอมอ่อน  ดวงตากลมโตของเธอเอาแต่จ้องมองไปรอบสวนอย่างชื่นชม 

พีทยิ้มกว้างที่ทำให้เกรซมีสีหน้าดีขึ้น  พวกเขาคุยกันเรื่องสัพเพเหระกันครู่ใหญ่  เขากำลังรอคอยให้เพื่อนเล่าอะไรออกมา  ท่าทีของเกรซเหมือนคนที่มีเรื่องอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูด  เขามองหน้าเพื่อนก่อนจะตัดสินใจถามสิ่งที่อยากรู้  แม้จะรู้ว่านี่เป็นการเสียมารยาทอย่างมากแต่เขาก็ไม่อยากให้เรื่องมันคาราคาซังมากไปกว่านี้อีกแล้ว

“เกรซมีปัญหากับพี่แคนใช่ไหม?”

เกรซไม่โทรหาเขาแน่ถ้าไม่มีปัญหาอะไร  และปัญหาเดียวในชีวิตคุณหนูเกรซคือเรื่องการแต่งงาน  นี่เป็นเรื่องแปลกระหว่างพวกเขา  เขากับเกรซคล้ายกันอย่างหนึ่งคือถ้ายังไม่ถึงเวลาจะยังไม่เล่าเรื่องใด แต่พอไม่ไหวจริง ๆ แล้ว  พวกเขาคุยเปิดอกกันทุกเรื่องทีเดียว 

ใบหน้าสวยคมนั้นเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด  ก่อนจะยอมรับออกมาตามตรงเมื่อถูกถามตรงประเด็น

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น  เล่าให้เราฟังได้ไหม” 

คราวก่อนเกรซก็รับฟังเรื่องของเขาแล้ว  คราวนี้เขาอยากฟังเรื่องของเกรซบ้าง 

เพื่อนคนสวยของเขาถอนหายใจก่อนจะเล่าทุกสิ่งให้เขาฟัง

“วันที่เราคุยกันไง   หลังจากที่นายกลับแล้ว ....”



หลังจากที่เด็กฮิปอกหักขอตัวกลับบ้าน  เกรซยังคงนั่งอยู่ที่เดิมก่อนที่  ชิน นักร้องนำคนใหม่จะทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม  ใบหน้าคมเข้มของเขามีแววเคร่งเครียด  มองเธออยู่นานจนเธอแปลกใจ

“ชิน  มีอะไรจะคุยรึเปล่า  มีปัญหาเรื่องร้องเพลงเหรอ” 

เกรซเอ่ยถามนักร้องประจำร้าน  ท่ามกลางเสียงดนตรีเพลงรักที่เปิดคลอในช่วงท้ายก่อนร้านจะปิด แม้จะใกล้เวลาปิดร้านแล้วแต่นักท่องเที่ยวยังคงหนาตา และหลายคนกำลังมองตรงมาที่เธอนั่งอยู่กับนักร้องสุดหล่อประจำผับแห่งนี้

“พี่ร็อกกี้บอกว่าคนที่เพิ่งลุกไปเมื่อกี้เป็นคนรักของคุณเกรซ” ชินกลับตอบด้วยประโยคที่เธอแปลกใจ

เกรซอมยิ้มกับความเข้าใจผิดที่ใครต่อใครก็เชื่อเช่นนั้น  เธอก็พอรู้มาบ้างเรื่องที่แทบทุกคนในร้านคิดว่าเธอกับพีทแอบคบกันอยู่  พวกเขาไม่รู้นี่นะว่าเธอกับพีทเกือบจะเป็นคู่หมั้นกันด้วยซ้ำ

“ไม่ใช่หรอกค่ะ เกรซกับพีทเป็นเพื่อนกัน  เราไม่เคยคิดเรื่องคนรักอะไรกันเลย”

ชินมองหน้าเธอนิ่งก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้มที่หาได้ยากทำให้ใบหน้าคมนั้นดูละมุนลง สายตาและรอยยิ้มของเขาทำให้เกรซรู้สึกแปลกใจ ชินไม่เคยมองเธอด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน  เวลาพวกเขาพูดคุยกันเขาก็พูดคุยกับเธออย่างสุภาพ ไม่เคยมีแววตาหรือท่าทางเจ้าชู้อะไรเลย

“ถ้างั้น  ผมก็มีความหวังอยู่”  เขาตอบพลางยิ้มพราวมากขึ้น

ใบหน้าสาวสวยดูอึ้งไปเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้

“ผมชอบคุณ”

ชินพูดแล้วมองสบตาเธอ  ยิ้มมุมปากราวกับพอใจอะไรบางอย่างก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไป

เกรซมองตามร่างสูงของนักร้องประจำร้านที่เดินออกไป ยังตกตะลึงอยู่กับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ 

แปลกจริง  เธอไม่เคยเอะใจสักนิดว่าชินคิดอะไรแบบนั้นกับเธอ  ก็เห็นเขาปฎิบัติต่อเธอเหมือนที่ปฏิบัติต่อคนอื่น อาจจะมีความเกรงใจบ้างเพราะเธออยู่ในฐานะนายจ้าง  แต่นอกนั้นแล้วเขาก็ทำตัวปกติ

เกรซเพิ่งสังเกตว่ารอบกายเธอตอนนี้มีสายตาหลายคู่จับจ้องมา  หลายคนกำลังซุบซิบกันอย่างสงสัยเพราะชินเป็นคนที่ไม่คุยสุงสิงกับใคร  ร้องเพลงเสร็จเขาก็นั่งอยู่ในกลุ่มนักดนตรี ไม่ค่อยออกมาทักทายแขกเท่าไรนัก แต่วันนี้กลับเดินตรงมานั่งตรงที่วีไอพีที่เธอนั่งอยู่  ท่ามกลางสายตาลูกค้าสาวหลายรายที่คอยเฝ้ามองเพราะอยากจะได้โอกาสแบบนั้นบ้าง

'เฮ้อ ทำไงดีล่ะ  ชินคงไม่รู้ว่าเธอมีคู่หมั้นแล้ว' 

คิดถึงคู่หมั้นแล้วเกรซก็ถอนหายใจอีกครั้ง  เธอคงไม่เหลือโอกาสให้ใครเพราะเธอถูกกำหนดแล้วว่าต้องแต่งงานกับนายแคน   

คิดแล้วดวงตากลมโตก็กลับร้อนผ่าวเกรซพยายามกล้ำกลืนน้ำตาของตนลงไป

'บ้าจริง จะร้องไห้ทำไม'  นั่นเป็นหน้าที่ที่เธอต้องทำ  หน้าที่ของลูกที่ดี  หน้าที่อันเจ็บปวด

เมื่อกี้เธอเพิ่งปลอบใจเพื่อนเพราะเพื่อนไปรักคนที่ไม่ควรรักแต่ตอนนี้เธอกำลังเจ็บปวดเพราะเธอไม่สามารถรักใครได้เลย   
ไม่รู้ว่าอย่างไหนจะเจ็บกว่ากัน




“คุณนี่ดึงดูดแต่นักร้องนะ”

เสียงคุ้นหูดังขึ้นเมื่อเกรซเดินออกจากหลังร้านเพื่อกลับบ้าน เวลานี้ดึกมากแล้ว  มีเพียงพนักงานและการ์ดสองสามคนเดินผ่านไปมา เธอหันกลับไปตามเสียงก็พบคู่หมั้นตัวเองยืนกอดอกพิงกับกำแพงอยู่  ท่าทางเหมือนคอยอยู่นานแล้ว 

เกรซมองหน้าเขานิ่ง รู้สึกแปลบปลาบในหัวใจเมื่อได้ยินคำประชดประชัน  ใบหน้าที่เธอเห็นนิ่งเฉย สายตาคมกล้าที่มองมามีร่องรอยของความขุ่นใจมองตรงมาที่เธอไม่ยอมคลาดสายตา ความเฉยชานั้นทำให้เธอใจเสียอย่างไม่รู้สาเหตุ  เกรซหมุนตัวกลับ  ก้าวเท้ายาวตรงไปที่รถของตน

“จะไปไหนล่ะ”  คู่หมั้นหนุ่มคว้าแขนเธอไว้  ดึงให้เธอหันกลับไปเผชิญหน้า

เกรซควบคุมสติไว้เมื่อถูกจับแขนไว้แน่น  เธอเงยหน้าสบตาว่าที่คู่หมั้นของตนอย่างสงบ 

“คุณอย่าลืมสิว่าคุณมีคู่หมั้นแล้ว แล้วผมไม่ชอบให้คุณคุยกับคนอื่น” แคนพูดเสียงกัดฟัน 

ความเงียบของเธอคือคำตอบ  เกรซไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรแล้ว  ที่ผ่านมาเธอพยายามทำทุกอย่างตามที่ทุกคนต้องการ  พยายามยอมรับเส้นทางที่พ่อแม่กำหนดไว้ให้  พยายามทำหน้าที่ของตน  แต่การนิ่งเฉยของเธอกลับทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
เขากำมือรอบแขนเธอแน่นขึ้นจนเกรซนิ่วหน้า

“นาย  ฉันเจ็บ” 

“หึ  รู้สึกรู้สาอะไรด้วยรึไง ทำไมไม่ทำเฉยต่อล่ะ  คุณจะเมินเฉยกับผมไปอีกนานแค่ไหน”  คนตรงหน้าประชดกลับ

“คุณจะให้ฉันทำอะไรอีก ฉันพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว  คุณต้องการอะไร” 

เธอเอ่ยถามเสียงสั่น  ความแข็งแกร่งที่พยายามสร้างเป็นเกราะป้องกันตนเองเริ่มสั่นคลอนเมื่อไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายแคนต้องมาบีบคั้นอะไรเธออีก ในเมื่อเธอเพียงแค่คุยกับเพื่อน กับลูกจ้างของตน 

“ก็ทำตัวให้เหมาะสมกับการเป็นคู่หมั้นผมไง  ผมไม่ชอบ  แล้วก็เลิกเฉยชาสักที  คุณทำประชดผมใช่ไหม” 

“ฉันพยายามทำดีที่สุดแล้ว  ฉันทำได้เท่านี้  ถ้าคุณไม่พอใจฉันก็หมดปัญญา”  เธอตอบกลับ  รู้สึกแน่นหน้าอกกับความเสียใจของตน

“นี่เราจะพูดจาดี ๆ กันสักครั้งไม่ได้รึไง  ผมก็ขอโทษไปแล้วที่หลอกคุณ  คุณจะให้ผมทำอะไรอีก  บอกมาสิ  แล้วก็เลิกทำตัวแบบนี้สักที”

เกรซยังคงไม่มองหน้าคู่หมั้นของตน ใครกันแน่ที่ไม่พูดจาดี ๆ เขาเป็นฝ่ายต่อว่าเธอก่อนทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

แรงบีบที่แขนเพิ่มขึ้นทำให้เกรซต้องนิ่วหน้า แต่เธอไม่ยอมร้องออกมาอีก ได้แต่กัดฟันไว้

“คุณ ปล่อยมือเถอะ ไม่เห็นเหรอว่าคุณเกรซเจ็บน่ะ” พร้อมกับคำพูดนั้น มือของใครอีกคนจับแขนของแคนไว้เพื่อให้หยุด

“ชิน!!” 

เกรซครางเสียงเบา  ตกใจที่เห็นชินเข้ามาห้าม  เขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร  เธอเหลือบตามองคู่หมั้นตัวเองด้วยดวงตาหวั่น ใบหน้าของแคนนิ่งแต่ดวงตาราวกับกำลังมีไฟสุมอยู่ในนั้น 

เขากำลังโกรธจัด!

“ผมไม่ได้ต้องการรบกวนพวกคุณ  แค่ไม่อยากให้คุณทำร้ายผู้หญิง”

ชินเอ่ยขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด ชายหนุ่มสองคนสบตากันอย่างท้าทาย  เธอเห็นแคนกัดฟันเหมือนข่มอารมณ์  แต่ในที่สุดเขาก็ปล่อยแขนเธอ นักร้องหนุ่มหันมายิ้มให้เกรซก่อนจะเอ่ยลา

“หมดธุระของผมแล้ว  ขอตัวครับ” 

เกรซลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อชินหันหลังเดินจากไปด้วยท่าทีปกติ  แต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องใจหายวาบเมื่อสบตาคนตรงหน้า  แคนมองเธออยู่  แววตาเขาทั้งโกรธและเจ็บปวด  เขากำหมัดแน่น ไม่มีใครพูดอะไรต่อไป  เกรซก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วกับสถานการณ์อย่างนี้

ในที่สุดแคนก็เอ่ยขึ้น

“คุณคงรังเกียจผมมากใช่ไหม  คุณยิ้มแย้มพูดคุยกับทุกคน  แต่กับผม  คุณแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นเอง  มันคงลำบากใจมากสินะที่ต้องหมั้นกับคนอย่างผม”

เกรซกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินคู่หมั้นเธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เขาไม่โวยวาย  ไม่ต่อว่าอะไรเธออีก  เธอเห็นเขาสูดลมหายใจลึกราวกับรวบรวมกำลังใจ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่เธอไม่คาดคิด

“ผมจะปล่อยคุณไปก็ได้  ถ้าคุณเจอใครที่ดีกว่าผม  ถ้านักร้องนั่นดีกว่าผม ถ้าคนคนนั้นดีพอที่จะทำให้พ่อกับแม่คุณสบายใจผมจะถอนหมั้นให้” 

ทั้งที่เธอควรจะดีใจที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น  แต่ทำไมเธอกลับปวดร้าวจากคำพูดของเขา

แคนพูดแล้วก็หันหลังเดินจากไป




“หลังจากวันนั้นเขาก็หายไป  เราไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโกรธ  เราไม่รู้จะทำยังไงแล้วพีท  เราพยายามทำทุกอย่างให้ดีแล้วทั้งที่เราไม่มีความสุขเลย เราจะทนไม่ไหวแล้ว”

เกรซพูดเสียงเครือ  น้ำตาเธอเจียนหยดแล้ว  มือเรียวรีบยกขึ้นปาดมันทิ้งรวดเร็ว

พีทได้แต่นั่งนิ่งเมื่อได้รับรู้เรื่องราว  รู้สึกเห็นใจเพื่อนอย่างมาก เกรซไม่เคยมีท่าทีเจ็บปวดต่อหน้าเขาแบบนี้มาก่อน  เขาเอื้อมมือวางบนหลังมือของเกรซบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ

“เราทนไม่ไหวแล้ว เราไม่อยากอยู่ในสภาพนี้อีกแล้ว  แต่...”
 
เกรซก้มหน้า  กำมือแน่นอย่างชั่งใจว่าจะพูดต่อดีหรือไม่  สิ่งที่เธอคิดมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา  เธอไม่เห็นหนทางใดแล้ว แต่เธอไม่กล้าเอ่ยเพราะ

...เพราะมันเกี่ยวข้องกับคนที่นั่งตรงหน้าเธอนี้โดยตรง

พีทมองท่าทีอึดอัดพูดไม่ออกของเพื่อน  เข้าใจสถานการณ์นี้ทันที

“เกรซคิดว่าคนที่ดีพอที่จะทำให้พี่แคนยอมถอนหมั้นคือเราใช่ไหม?”

เขาเอ่ยถามทั้งที่มั่นใจว่าสิ่งที่เขาคิดถูกต้อง   

พีทเข้าใจ  เกรซคงมองไม่เห็นใครอื่นแล้วที่จะดีพอให้พี่แคนยอมถอนตัวไป 

เขารู้ดีว่าพ่อกับแม่เกรซคงไม่ยอมแน่ถ้าเกรซจะแต่งงานกับคนที่ไม่เหมาะสม   และเขาก็ดีเพียงพอที่จะดูแลลูกสาวของพวกเขาได้  เขากับเกรซเคยถูกวางตัวจะให้หมั้นหมายกันมาก่อนด้วยซ้ำ  แต่ตอนนั้นพวกเขารู้สึกต่อกันอย่างเพื่อน  อีกอย่างเกรซก็รู้ว่าเขาคงรักใครไม่ได้อีกแล้วในเมื่อความรักของเขามันเป็นไปไม่ได้  วันหนึ่งข้างหน้าเขาก็ต้องแต่งงานกับใครสักคนเช่นกัน   

ดังนั้นความต้องการของเขากับเกรซคือสิ่งเดียวกัน

“ชะ ใช่  พีท...”   เกรซเงยหน้ารวดเร็วเมื่อพีทพูดเช่นนั้น   

“เรา เรา ไม่รู้จะทำยังไงแล้วพีท เราไม่ได้ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากนาย แต่เราอยากขอร้องให้นายช่วย...”

“ไม่เป็นไรหรอก  เราจะช่วยเธอเอง” พีทยิ้มให้  อย่างน้อยเขากับเกรซก็เป็นเพื่อนกัน  มันคงไม่ยากเท่าไร

เกรซกลับน้ำตาไหลเมื่อได้ยินเขาตอบตกลง  เธอคิดกังวลอยู่นานหลายคืน  แต่พีทกลับตกลงใจอย่างง่ายดาย  เขาทำเหมือนกับว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดา เธอเข้าใจดี  เพราะพีทไม่เหลือหัวใจจะให้ใคร ไม่เหลือหัวใจจะเจ็บปวดอีกแล้วสินะ
 
“พีท  เราขอบใจมากที่ยอมช่วยเรา  เราเหมือนเอาเปรียบนาย  วันหนึ่งข้างหน้าถ้าเกิดนายไปรักใคร  นายบอกเรานะ  เราจะหลีกทางให้” 

“บ้าน่า เธอก็รู้ว่าเราคงรักใครไม่ได้อีกแล้ว” เขาตอบเกรซเสียงเศร้าเมื่อกลับมานึกถึงเรื่องของตัวเอง

พวกเขาเงยหน้ามามองกัน   สบตากันอย่างเข้าใจ

พีทมองหน้าเพื่อนแล้วนึกไปถึงคู่หมั้นของเกรซ  หวังว่าพี่แคนคงไม่โกรธเขา  แม้จะรู้ว่าพี่แคนคิดอย่างไรกับเพื่อนเขา  ถ้าเกรซไม่ได้รักพี่แคนเธอก็มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้  แต่เขาต้องมั่นใจเสียก่อน

“เกรซ  เราถามตามตรงนะ  คิดยังไงกับพี่แคน?”

ใบหน้าแสดงความตกใจของเกรซทำให้เขาถึงกับขำ  แต่เพียงไม่นานหน้าสวยคมนั้นก็เริ่มมีเลือดฝาด  เหมือนหัวใจกำลังเต้นแรงสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย  เกรซไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองหน้าแดงเพียงใด  แล้วท่าทีอึกอักพูดไม่ออกแบบนี้ทำให้เขานึกไปถึงตอนที่เขาถามคำถามนี้กับพี่แคน 

อาการเดียวกัน!

“ชอบพี่แคนรึเปล่า” 

เขาถามย้ำอีก  ยิ่งทำให้เกรซทำตัวไม่ถูกมากขึ้น เธอก้มหน้านิ่ง

“เอ่อ...ไม่ ไม่รู้เหมือนกัน” ในที่สุดสาวน้อยก็ตอบออกมาเสียงเบาหวิว เหมือนไม่แน่ใจตัวเอง

“เอาแบบนี้ดีกว่า  เราเปลี่ยนคำถามนะ  ถ้าเกิดพี่แคนเค้าชอบเธออย่างจริงใจ  เธอจะว่าไง  จะยอมยกโทษ  จะให้โอกาสเขาไหม”

“เราไม่รู้  นายนั่นจะคิดอะไรกับเราล่ะ  เขาเห็นเราเป็นแค่ตัวตลกที่จะหลอกอะไรก็ได้  นึกจะทำอะไรก็ทำไม่เคยสนใจสักนิดว่าเราจะคิด  จะรู้สึกยังไง  แล้วเราก็ไม่สนใจว่าเขาจะคิดยังไงอีกแล้ว  เราอยากเป็นอิสระ”

“จะไม่ให้โอกาสพี่แคนหน่อยหรือ  มันก็เหมือนให้โอกาสตัวเองด้วยนะ  ถ้าวันหนึ่งเธอรู้สึกดีกับพี่แคน  ทุกอย่างก็จะลงตัว  เธอก็จะได้รักคนที่พ่อแม่ต้องการ”  เขาพยายามโน้มน้าว

'ถ้านายแคนมีความรู้สึกดี ๆ กับเธองั้นหรือ?  การกระทำแบบนั้นหรือที่แสดงออกว่าเขามีความรู้สึกดีต่อเธอ  อีกอย่างนายนั่นก็ไม่เคยพูด'

คำพูดของเพื่อนทำให้ความคิดเกรซต่อสู้กันอยู่ภายใน  ความดื้อดึงทำให้เธอยังดึงดันที่จะหลีกหนีโดยที่ไม่ยอมคิดตรึกตรองสิ่งใดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน

ความเงียบของเกรซคือคำตอบ  เธอก้มหน้านิ่ง
 
“คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะทำแบบนี้  แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะไม่เสียใจทีหลังน่ะ”  พีทถามย้ำอีกครั้ง

“เราแน่ใจ”

----------------------------------------



คนที่นั่งเงียบ ๆ ที่ชานหน้าบ้านริมสระถึงกับสะดุ้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังทำลายความเงียบในเวลาดึกสงัดเช่นนี้   

เขาวางแก้วเหล้าที่ถืออยู่ในมือลงแล้วคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ

จากนั้นไม่เกินครึ่งชั่วโมง  ร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามาในผับประจำที่เขามักนัดกับแคนเสมอ  แคนขอร้องให้เขามานั่งเป็นเพื่อนโดยที่ไม่อธิบายอะไรซึ่งเขาก็ตอบตกลงทันที   

สภาพเพื่อนรุ่นน้องดูโศกเศร้า  ทันทีที่เขาทรุดตัวนั่งลงแคนก็เอ่ยทันที

“พี่  ทำไมน้องพี่ทำแบบนี้ล่ะ เขาคิดอะไรอยู่กันแน่  ผมทนไม่ไหวแล้วนะ ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนกันไม่ได้คิดอะไรไง  แล้วนี่มันอะไรกัน  ทำไมพี่ปล่อยให้น้องพี่ทำอะไรแบบนี้  ทำไมพี่ไม่ห้ามล่ะ” 

“เฮ้ย  อะไรกัน  แคน  นายค่อย ๆ พูดสิ มันเรื่องอะไรกัน”

“นี่พี่ยังไม่รู้หรือ...” 

เสียงแคนเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนตั้งสติ  ยกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่มจนหมดแล้วจึงเริ่มต้นเล่า

ช่วงเย็นที่ผ่านมาพีทกับเกรซนัดเจอเขา  แคนเล่าน้ำเสียงปวดร้าวว่าทั้งคู่ดูใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ  พูดคุยหยอกล้อกันราวกับเป็นคนรักกัน โดยไม่สนใจใครทั้งนั้นแม้แต่เขาที่เป็นคู่หมั้น   ทั้งที่เขาเคยบอกไปแล้วว่าเขาไม่ชอบให้เธอพูดคุยกับคนอื่น 

แต่สิ่งที่เกรซเอ่ยออกมากลับทำให้เขาปวดร้าวยิ่งกว่า  ร่างกายชาไปหมดเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด



“คุณเคยบอกว่าถ้าเกรซเจอคนที่ดีกว่า  คุณจะยอมถอนหมั้น”   

“เกรซกับพีทตกลงกันแล้วค่ะ  พวกเราจะหมั้นกัน”   
 
“อะ  อะไรนะ  ไหนพีทบอกว่าเป็นเพื่อนกันนี่  แล้วจะหมั้นกันได้ยังไง” 

“ไม่เห็นแปลกอะไรเลยนี่คะ คราวก่อนชั้นยังหมั้นกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนได้เลย  คราวนี้คนที่จะหมั้นด้วยรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว  เมื่อก่อนผู้ใหญ่ก็เคยเห็นดีเห็นงามจะให้หมั้นกันด้วยซ้ำ  พีทเขามาก่อนคุณนะ”     




คนที่ได้ยินข่าวนั้นถึงกับนิ่งไปนาน  เจ็บปวดแทบขาดใจ มือกำแน่น  กัดฟันจนเป็นสันนูน

พีทกับเกรซจะหมั้นกัน!  ตั้งแต่เมื่อไร  ไม่จริงใช่ไหม  แคนต้องพูดเล่นแน่ ๆ

ภาพสองหนุ่มสาวที่โน้มตัวเข้าหากันพลางกระซิบกระซาบอย่างใกล้ชิดในสวนกุหลาบวันก่อน  ภาพที่ยังติดตารบกวนจิตใจทำให้เขาปวดใจอยู่ลึก ๆ  ทั้งที่รู้ว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน  ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าพีทไม่ได้มีใจกับใครอื่น  ทั้งที่เขาเป็นคนปฏิเสธน้องแต่เขาก็ยังเจ็บปวด   

เย็นนี้ที่พีทออกไปเพราะนัดเกรซไว้สินะ  พีทกำลังทำอะไรอยู่กันแน่

เขาข่มใจจนสุดความสามารถก่อนจะเอ่ยถามเพื่อนรุ่นน้อง

“แคน  แล้วนายว่ายังไง”   

น้ำตาไหลจากหางตาแคนช้า ๆ แต่แคนไม่สนใจจะเช็ดมัน  เขาก้มหน้าต่ำก่อนจะตอบ

“ก่อนหน้านั้นผมไปหาเขาที่ร้าน  ผมเห็นเขานั่งคุยกับพีทอยู่นาน  พอพีทกลับออกไป  นักร้องคนใหม่ก็นั่งลงแทนที่  นั่นคู่หมั้นผมนะพี่  ตอนนั้นผมโกรธที่เขาคุยกับคนอื่นแต่ทำเฉยเมยกับผม  ผมไม่ชอบใจที่เห็นเขาพูดกับใคร”

“ผมเป็นคนพูดกับเขาเองว่าถ้าเขาเจอคนที่ดีกว่าผม คนที่พ่อแม่เขายอมรับ  ผมจะยอมถอนหมั้น  แต่ผมไม่คิดเลยว่าสองคนนั่นจะทำแบบนี้”

“จะให้ผมปฏิเสธได้อย่างไร  เพราะผมเป็นคนพูดเอง แล้วพีทเองก็เหมาะสมกับเกรซทุกอย่าง  ผมไม่รู้จะทำไงแล้วเหมือนกัน  พี่ช่วยอะไรผมได้ไหม  ช่วยพูดกับพีทให้ยกเลิกได้ไหม  ผมเครียดจะตายอยู่แล้ว”

----------------------------------

มีต่อค่ะ






 :mew1: :mew1: :mew1:




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 49 หน้า 8 อัพเดต 30/11/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 06-12-2014 23:59:55
50. ตัดสินใจ (ต่อ)



สายลมเย็นของฤดูหนาวพัดผ่านมาวูบหนึ่งทำให้ร่างที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้นอนตัวโปรดที่ชานหน้าบ้านต้องกอดตัวเองแน่นขึ้น   

พีทนั่งครุ่นคิดอยู่ตรงนี้มานานแล้วหลังจากปรึกษากับเกรซทางโทรศัพท์เรื่องที่พวกเขาตัดสินใจร่วมกัน   

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าดำมืดเบื้องบน  ความคิดหมุนวนไปมาถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่  เขากำลังทำอะไร?  สิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม? 
 
‘เฮ้อ’  พ่นลมหายใจยาวเพียงลำพัง  ทำไมชีวิตมันถึงได้ยากขนาดนี้

เมื่อวานที่นัดเจอกับพี่แคน  พี่แคนมองเขาด้วยแววตาเจ็บปวดเมื่อได้รู้ว่าเขาตกลงใจจะหมั้นกับเกรซ   ทั้งที่เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าพี่แคนรู้สึกอย่างไรกับเกรซ  พี่แคนพยายามข่มอารมณ์ของตนไว้ก่อนจะขอเวลากับเกรซสักระยะก่อนจะตัดสินใจ  และรับปากว่าจะเป็นฝ่ายบอกผู้ใหญ่ด้วยตัวเอง
 
เขาเองก็รู้สึกเสียใจที่ทำให้พี่แคนเจ็บปวด   แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเองแล้วเช่นกัน  ตอนนี้เขาเหมือนคนที่เดินอยู่ท่ามกลางความมืดมิด  มองหาทางออกเท่าไรก็หาไม่เจอ ได้แต่คลำมะงุมมะงาหราไปตามสัญชาตญาณ

พีทนั่งอยู่นาน  จนในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้นอนเพื่อกลับเข้าห้องตนเอง  แต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นพี่ฮั่นยืนอยู่ด้านหลังเงียบ ๆ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

หลังจากวันที่เขาคุยกับพี่ฮั่นหน้าห้องนอน  เขาก็แทบไม่มองหน้าพี่ฮั่นอีกเลย  ต่างคนต่างก็หลบหน้ากัน  แต่คราวนี้พี่ฮั่นกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขา

พีทเคยคิดว่าทำใจได้แล้วที่จะเลิกสนใจพี่ฮั่นอีกต่อไป  แต่เพียงแค่เห็นพี่ชายยืนอยู่หัวใจที่คิดว่าด้านชาไปแล้วกลับเต้นผิดจังหวะ  ปวดแปลบไปเสียทุกครั้งที่มันเต้นแรง

“มีความสุขจริงนะ” คนที่ยืนอยู่นานแล้วเอ่ยขึ้น 

เขายืนมองพีทคุยโทรศัพท์มานานแล้ว  ทั้งที่ดูออกว่าทั้งสองคนนี้ต้องวางแผนกัน  แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่ชอบใจเลยที่เห็นพีททำแบบนี้  ทั้งที่เคยบอกตัวเองว่าพีทต้องมีอนาคตที่ดี  มีคนที่คู่ควร  คนที่เหมาะสมกันทั้งฐานะและสถานภาพทางสังคม  แต่ตัวเขาเองกลับทนไม่ได้แค่รู้ว่าพีทจะหมั้นกับเกรซ  เขาก็ปัดความคิดนี้ออกจากสมองไม่ได้เลย  เรื่องนี้วนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา  เลิกคิดไม่ได้แม้สักวินาที  กระทั่งข่มตานอนยังทำไม่ได้  แววตาว่างเปล่าของพีทคอยตอกย้ำเขาอยู่ตลอดเวลา  พีทคงไม่เหลือพื้นที่สำหรับเขาแล้ว 

เจ็บปวดเมื่อรู้ว่าสิ่งที่น้องตัดสินใจนั้นเขาไม่มีสิทธิ์ห้าม  เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาใช้ย้ำเตือนตัวเองตลอดมาเช่นกัน   

หัวใจที่เต้นอย่างอ่อนแรงลงทุกขณะทำให้เขาตระหนักตอนนี้เองว่ามันไม่ง่ายเลย

“ครับ” 

พีทตอบอย่างไม่ยี่หระ ไม่ยอมมองหน้าเขา  คำตอบของน้องยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก

“อย่าทำแบบนี้เลยพีท  สงสารแคนน่า”   

พีทไม่แปลกใจที่พี่ฮั่นรู้เรื่องนี้  พี่ฮั่นควรจะยินดีที่เห็นเขาได้เจอคนที่เหมาะสม

“มันก็อยู่ที่พี่แคนนั่นแหละ  ถ้าพี่แคนไม่มีใจกับเกรซก็ควรถอนหมั้นไปเสีย”

“พีทก็น่าจะรู้ว่าแคนคิดยังไงกับเกรซ  ทำแบบนี้ไม่ดีเลย”

“ใช่  ผมรู้ว่าพี่แคนคิดอย่างไรกับเกรซแต่เกรซไม่รู้นี่  พี่แคนไม่ยอมบอกอะไรเอง  ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ”  พีทว่าแล้วก็เดินเลี่ยงไป  เขาไม่อยากต่อปากต่อคำอะไรกับพี่ฮั่นอีก 

“เดี๋ยว  พีท”  พี่ฮั่นเดินเข้ามาขวางเขาไว้

พีทยืนนิ่งแต่ยังไม่ยอมมองหน้า  เสไปมองพื้นข้าง ๆ แทน

“เลิกทำแบบนี้เถอะ  เห็นแก่แคน”

“ผมบอกแล้วไงว่ามันอยู่ที่พี่แคน  ถ้าพี่แคนรักเกรซพี่แคนก็ควรทำให้เกรซเข้าใจว่าพี่แคนรู้สึกยังไง  แต่ถ้าไม่  พี่แคนก็ควรถอนตัวไป”

“ถ้าพี่แคนขี้ขลาดมากนัก  ก็ไม่คู่ควรกับเกรซหรอก”  เขาพูดแล้วมองตรงไปยังดวงตาของพี่ชายอย่างจะย้ำ

“พ่อแม่ของเกรซไม่ยอมหรอก”  พี่ชายใช้ผู้ใหญ่มาเป็นข้ออ้าง

“ทำไมจะไม่ยอม   ผมด้อยกว่าพี่แคนตรงไหน   พ่อแม่ของเกรซไม่สนหรอกว่าจะเป็นใคร   ขอแค่ดูแลลูกสาวของเขาได้ดี  มีฐานะทัดเทียมกัน  มีเกียรติเหมือนกัน  จะเป็นผมหรือพี่แคนก็คงไม่ต่างกัน”   

“ยังไงเกรซก็ต้องแต่งงานกับใครสักคนอยู่ดี   มันคงจะดีกับเกรซถ้าคนที่เธอต้องแต่งด้วยเป็นผม  เพราะอย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนกัน  พ่อของเราก็เคยอยากให้เราหมั้นกันมาก่อนด้วยซ้ำ  มันไม่ยากสำหรับเราหรอก  เพราะถึงแม้เราไม่ได้รักกันแต่เราก็อยู่ด้วยกันอย่างเพื่อนได้” 

พีทคิดอย่างนั้นจริง ๆ  เขากับเกรซเป็นเพื่อนที่เข้าใจกันและกันดี  จนเขาคิดว่าถ้าเป็นเกรซ   เขาคงจะใช้ชีวิตร่วมกับเธอได้ไม่ยาก  เกรซก็คิดเช่นนั้น  ในเมื่อผู้ใหญ่ต้องการให้เธอมีคนดูแล  พีทดูจะเป็นคนที่เธอสบายใจที่สุด  พวกเขาตกลงกันว่าจะใช้ชีวิตตามที่ใจปรารถนาโดยไม่ก้าวก่ายกันและกัน 

วันหนึ่งข้างหน้าพวกเขาอาจจะรักกัน

“พีท  นายจะบ้ารึไง  นายไม่ได้รักเกรซ!” 

คนพี่พูดเสียงสั่น  กำมือแน่นอย่างพยายามควบคุมตัวเอง  เขาอยากจับตัวพีทมาเขย่าแรง ๆ  สักสองสามทีแล้วสั่งให้เลิกทำตัวแบบนี้ซะ  แต่เขาก็รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์

“ใช่!  พี่ก็รู้ดีนี่ว่าผมรักใคร!”

พีทแทบตะคอกประโยคนั้นใส่คนตรงหน้า  พี่ฮั่นเป็นคนปฏิเสธเขาเอง  แล้วจะมีปัญหาอะไรถ้าเขาจะหมั้นกับคนอื่น 

เขาเห็นพี่ฮั่นนิ่งไปนิด  แต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากไปกว่านี้อีก  เขากลับเป็นฝ่ายที่เจ็บปวด 

ทำแบบนี้พี่ฮั่นคงยินดีกับเขาสินะ

เสียงพี่ฮั่นถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

“นี่พีทประชดพี่ใช่ไหม”

“เปล่าครับ  ทำไมพี่คิดว่าผมจะประชดพี่ล่ะ  ผมพูดจริง  ผมรู้ว่ายังไงเรื่องของผมมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  ผมเป็นทายาทของตระกูล มีหน้าตา มีชื่อเสียงต้องรักษา  ผมต้องคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่าตัวเอง” 

พีทใช้คำพูดของพี่ฮั่น  คำพูดที่เขาฟังจนเบื่อ  สิ่งที่พี่ฮั่นพร่ำบอกเขา

“ผมขอตัวไปนอนก่อน  ราตรีสวัสดิ์ครับ...” 

“...พี่ชาย...”

ท้ายประโยคเขามองตรงไปที่พี่ฮั่น   ย้ำคำนั้นให้คนเป็นพี่ได้ยิน  คำที่ตอนนี้เขาเกลียดมัน  คำที่ทิ่มแทงจิตใจเขา 

คราวนี้พี่ฮั่นปล่อยให้เขาเดินเข้าบ้านไปโดยไม่ขัดขวางอะไรเขาอีก



‘พี่ชาย’ ยืนกำหมัดแน่น ฟันขบกันจนเป็นสันนูน

ทำไม  ทำไมมันถึงเจ็บปวด  เจ็บทั้งที่เขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว  แต่ทำไมเขาไม่มีความสุขเลย  เขาเคยคิดว่าเขาทนได้ที่จะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในใจ  เพื่อตอบแทนบุญคุณของลุงคริส  เพื่อครอบครัวของเขา

แต่ตอนนี้เขาแทบจะทนไม่ไหวแล้ว 

-----------------------------------


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 50 หน้า 8 อัพเดต 7/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 07-12-2014 01:44:48
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
รอตอนต่อไปครับ   
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 50 หน้า 8 อัพเดต 7/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 07-12-2014 10:01:29
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 50 หน้า 8 อัพเดต 7/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 07-12-2014 10:03:11
จิ้มๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 50 หน้า 8 อัพเดต 7/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 07-12-2014 10:12:05
“ถ้าพี่แคนขี้ขลาดมากนัก  ก็ไม่คู่ควรกับเกรซหรอก” 

ประโยคนี้ น่าจะเหมาะกับพี่ฮั่นด้วยนะ อิอิ
เป็นไงล่ะ เจ็บมั้ยล่ะพี่ฮั่น
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 50 หน้า 8 อัพเดต 7/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 07-12-2014 11:50:27
จะให้บอกมั้ยว่าสมน้ำหน้า แคนก็ด้วยถ้ายังไม่ทำอะไรให้ชัดเจนก็สมน้ำหน้าด้วยอีกคนเอาแต่นั่งฟูมฟายแต่กลับไม่ทำอะไรเลย เอาพ่อแม่มาผูกมัด แต่กลับไม่ใช้หัวใจตัวเองผูกมัด
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 50 หน้า 8 อัพเดต 7/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 09-12-2014 12:11:28
ดัน
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 50 หน้า 8 อัพเดต 7/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 09-12-2014 12:16:55
แปะไว้ก่อนค่ะ

เดี๋ยวสอบเสร็จมาอีดิทนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 50 หน้า 8 อัพเดต 7/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: cross ที่ 09-12-2014 12:58:51
เฮ้อออออออออออออออ พูดไรไม่ออก
เมื้อไหร่จะดราม่าหมดนะ อ่านละใจจะขาดตามแต่ละคน
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 50 หน้า 8 อัพเดต 7/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 14-12-2014 07:14:38
:-)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 50 หน้า 8 อัพเดต 7/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 15-12-2014 21:01:59
51. เหตุผลหรือความรู้สึก


ร่างสูงใหญ่ยันกายขึ้นนั่งบนเก้าอี้นอนริมสระ  เขายกมือลูบหน้าตัวเองพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน  ตั้งแต่พูดกับพีทเมื่อคืน  เขาก็หมดแรงจะคิดทำสิ่งใด  ทำได้เพียงทรุดตัวนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหน จิตใจว้าวุ่นแม้แต่จะข่มตานอนก็ทำไม่ได้ ได้แต่นั่งปล่อยจิตใจให้ลอยไปเรื่อยเปื่อย  จนกระทั่งแสงอาทิตย์เริ่มจับที่ขอบฟ้า
 
พีทกับเกรซจะหมั้นกัน....คำพูดของน้องชายยังคงก้องอยู่ในหัวเขา พีทบอกอย่างไม่แคร์ว่าใครจะต้องเจ็บปวดจากการตัดสินใจของตัวเองบ้าง ไม่เฉพาะแคนที่เสียใจ  เขาเองก็ปวดร้าวไม่แพ้ใคร 


“ผมบอกแล้วไงว่ามันอยู่ที่พี่แคน ถ้าพี่แคนรักเกรซ พี่แคนก็ควรทำให้เกรซเข้าใจว่าพี่แคนรู้สึกยังไง  แต่ถ้าไม่  พี่แคนก็ควรถอนตัวไป”

“ถ้าพี่แคนขี้ขลาดมากนัก ก็ไม่คู่ควรกับเกรซหรอก” 



พีทพูดถูกทีเดียว  ถ้ารักก็ต้องบอกให้รู้  แต่พีทไม่เคยรู้เพราะเขาไม่เคยบอก  เขามันขี้ขลาด แม้พีทจะเคยถาม เขาก็กลับโกหก เพียงเพราะต้องการรักษาครอบครัว  เพราะเขาไม่อยากทำลายอนาคตที่งดงามของน้อง  พีทยังมีสิ่งที่ดีรออยู่


“ทำไมพี่คิดว่าผมจะประชดพี่ล่ะ  ผมพูดจริง  ผมรู้ว่ายังไงเรื่องของผมมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ผมเป็นทายาทของตระกูล ผมมีหน้าตา มีชื่อเสียงต้องรักษา  ผมต้องคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่าตัวเอง”

“พี่ชาย” 



ใบหน้าของพีทขณะที่เอ่ยคำนี้ตอกหน้าเขาเมื่อคืนยังติดตาเขาอยู่  น้องเรียกเขาว่าพี่ชาย  และเขารู้แน่ชัดว่าพีทหมายความตามที่พูดจริง ๆ 

ขณะนี้เขาเป็นเพียงแค่พี่ชาย   พี่.... 

นี่มันสายไปแล้วใช่ไหม  เขาปล่อย ‘พีทของเขา’ ให้หลุดมือไปแล้วใช่ไหม 

‘พีท....’  ได้แต่พร่ำเรียกชื่อนี้อยู่ในใจ

แรมโบ้ที่นอนอยู่ไม่ห่างเดินมานั่งใกล้เก้าอี้  ยกหัวอันใหญ่โตของมันมาวางบนเข่าของเขา  เหลือบตาสีน้ำตาลของมันขึ้นจ้องมองราวกับรู้ว่าเขากำลังไม่สบายใจ  เขาลูบขนนุ่มของมัน   ดวงตาเหม่อไปยังสระน้ำด้านหน้า
 
 
“พี่ก็รู้ดีนี่ว่าผมรักใคร”


ไม่ มันยังไม่สายเกินไป สิ่งที่เขาปล่อยให้หลุดมือไป เขาจะไขว่คว้ามันกลับมา  ถ้าพีทหมดรักเขาแล้ว  เขาก็จะทำให้น้องกลับมารักเขาเหมือนเดิม

เขาปล่อยมือจากแรมโบ้ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน

-------------------------------------



“โดม  นายอยู่ไหน” คำถามนี้แปลว่า  ‘พีทอยู่ที่ไหน  ทำอะไรและเป็นอย่างไร’

“ผมกับพีทมาเตรียมงานแต่งงานของลูกชายหัวหน้าพรรคอยู่ที่ศูนย์ประชุมครับ  กินข้าวเรียบร้อยแล้ว พีทก็เหมือนเดิมครับ”

โดมตอบมาเป็นชุดโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายถามซ้ำ  เพราะเขาต้องตอบคำถามนี้ทุกวัน  วันละหลายครั้ง

“ขอบใจนะ” 

รองประธานเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า  ใบหน้ากลับไปเคร่งเครียดกว่าตอนก่อนที่จะโทรศัพท์หาโดม  เขาลืมไปว่าเย็นนี้มีงานแต่งงานลูกชายของคุณโทนี่ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ลุงคริสเป็นสมาชิกอยู่และเย็นวันนี้ลุงคริสต้องมาร่วมงานด้วย

‘พีทจะบอกลุงคริสเรื่องที่จะหมั้นกับเกรซรึเปล่านะ’ 

เขารู้ดีว่า แม้ลุงคริสจะเดินทางบ่อย  ทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกชายเท่าไร  แต่พ่อลูกก็ไม่เคยห่างไกลกัน  พวกเขารักและสนิทกันมาก  ลุงคริสรู้ทุกเรื่องของลูกชายและมักจะนำมาเล่าให้เขาฟังเสมอ   

เขามัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยไม่รู้ตัวเลยว่าได้เดินลงมาจนกระทั่งถึงสวนน้ำตกบริเวณหน้าศูนย์ประชุมแล้ว  ฮั่นเดินเข้าไปในสวนน้ำตกขนาดใหญ่  หยุดยืนนิ่งอยู่ในมุมหนึ่ง

สวนนี้สร้างเป็นน้ำตกจำลองขนาดใหญ่สูงราวห้าเมตร  มีธารน้ำไหลวนไปรอบสวน  บริเวณนี้ปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้จนแน่นขนัด  บนคาคบไม้มีกล้วยไม้ป่าออกดอกสีสันสวยงามแปลกตา  เสียงน้ำตกสร้างบรรยากาศเสมือนอยู่ท่ามกลางป่าเขา  ละอองน้ำจากน้ำตกแตกกระจายสะท้อนแสงแดดเป็นสีรุ้ง 

บรรยากาศที่งดงามไม่ได้ทำให้ใจที่ร้อนรุ่มของเขาสงบลงได้เลย

ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังคนกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังวุ่นวายเตรียมงานแต่งงาน  ร่างสูงที่คุ้นตาเขาเดินติดต่องานไปมาไม่หยุดพัก  เขาทำได้แค่เพียงเฝ้ามองอยู่แบบนี้ 

ตั้งแต่คืนวันนั้นที่พีท ‘หันหลัง’ ให้เขา  พวกเขาแทบไม่ได้เจอกันเลย  เขาพยายามหลบหน้าน้องเพราะความรู้สึกผิดที่ต้องโกหก  ทำให้น้องเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า  แต่พีทกลับเปลี่ยนไป   พีทไม่ได้มีท่าทีเสียใจอะไรเลย  กลับมีใบหน้าเรียบเฉย  ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใด พีทพูดคุยกับเขาเฉพาะเรื่องงาน  ส่วนเรื่องอื่นกลับกลายเป็น ‘เรื่องส่วนตัว’ ทั้งสิ้น  ท่าทีเฉยชาเช่นนี้เป็นกับเขาคนเดียวเท่านั้น  กับคนอื่นพีทก็ยิ้มแย้มพูดคุยตามปกติดูจะร่าเริงกว่าเดิมด้วยซ้ำ   

เขาไม่คาดคิดเลยว่าท่าทีที่แปลกไปของน้องชายจะตามมาด้วยการตกลงหมั้นกับเกรซ   สิ่งนี้บีบหัวใจเขาตลอดเวลาตั้งแต่ได้รู้ข่าว   ปวดร้าวราวกับถูกใครเด็ดหัวใจไป   แล้วเมื่อคืนนี้พีทที่เผชิญหน้ากับเขาก็พูดถึงการหมั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย  ราวกับว่าเรื่องระหว่างเขากับน้องไม่เคยเกิด  วันนั้นในห้องออกกำลังกายราวกับฝันไป  บางทีพีทคงจะตัดเขาออกจากชีวิตไปแล้ว
 
เขาหันกลับไปที่หน้าห้องจัดเลี้ยงอีกครั้ง  เด็กฝึกงานเพียงสองคนของแผนกจัดประชุมต่างทำหน้าที่อย่างแข็งขัน   โดมกำลังเดินตรวจดูความเรียบร้อยทั่วไป  ในมือมีแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ หนุ่มร่างอวบเดินมาคุยอะไรบางอย่างกับพีทท่าทางเครียด จากนั้นพีทจึงกดโทรศัพท์หาใครบางคนด้วยสีหน้าเป็นกังวล   

แม้จะยืนอยู่ในระยะไกลแต่เขาก็สังเกตได้ว่าทั้งคู่คงจะเหนื่อยและร้อนมาก  โดมยืนมองพีทโทรศัพท์  มือก็พับแขนเสื้อเชี้ตขึ้นเหนือศอกไปด้วย  เนคไทถูกรูดเก็บไปแล้ว  หนุ่มร่างอวบปลดกระดุมเปิดคอเสื้อให้กว้างเพื่อระบายความร้อน  ด้านหลังเสื้อเชิ้ตของโดมเปียกเหงื่อจนชุ่ม น้องชายเขาก็เช่นกัน  ดูท่าทางพีทคงจะร้อนมากเพราะเหงื่อไหลเป็นทางจากหน้าผากลงมาตามใบหน้า  หายเข้าไปในเสื้อเชิ้ตที่ยังติดกระดุมมิดชิด

เห็นอาการเช่นนั้นแล้วเขาก็นึกสงสารที่เห็นน้องวิ่งวุ่นไปมา  พีทเป็นถึงลูกชายเจ้าของโรงแรม กลับต้องมาจัดเตรียมงานแต่งงานซึ่งมีแต่รายละเอียดปลีกย่อยมากมายจนเหน็ดเหนื่อย  แล้วช่วงนี้อากาศก็อบอ้าวผิดปกติ   ดูเหมือนกำลังจะมีพายุใหญ่ภายในวันสองวันนี้  เขาล้วงโทรศัพท์ออกจากเสื้อสูทกดหาผู้จัดการแผนกจัดประชุม

“คุณเฉินครับ   ผมขอตัวพีทขึ้นมาช่วยงานหน่อยครับ  ครับ รายงานสรุปผลการดำเนินการประชุมผู้นำเศรษฐกิจที่ผ่านมาพีทเป็นคนทำ  แล้วพอดีมีปัญหานิดหน่อย ใช่ครับ  ตอนนี้ครับ  ให้โดมมาด้วยก็ดีครับจะได้ช่วยกัน   ขอบคุณครับ” 
 
วางสายแล้วก็กดโทรศัพท์อีกครั้ง

“คุณเดซี่ อีกสักพักพีทกับโดมจะขึ้นไปที่ห้องผมนะครับ ให้เขารอผมอยู่ที่นั่นก่อน  เดี๋ยวผมจะขึ้นไป  ขอบคุณครับ”

จากนั้นจึงหันหลังเพื่อกลับเข้าห้องทำงานตัวเองเสียที แต่เมื่อหันมา เขากลับต้องตกใจเมื่อพบเฌอเบลล์ยืนอยู่ 

‘มาตั้งแต่เมื่อไร?’

“ยืนมองใครอยู่เหรอคะ” 

ริมฝีปากสีสดนั้นถาม  เฌอเบลล์ยิ้มหวาน  แววตารู้ทัน 

เธอเห็นพี่ฮั่นมายืนอยู่ตรงนี้ก็แปลกใจเพราะปกติพี่ฮั่นจะทำงานอยู่ที่สำนักงาน  หรือไม่ก็ออกไปพบลูกค้ามากกว่าจะมายืนคุมงานเองแบบนี้  เธอจึงแอบย่องเข้ามาดูว่าพี่ฮั่นดูอะไรอยู่  แต่เมื่อมองตามสายตาของพี่ฮั่นก็ทำให้เธอยิ้มออกมา
 
คนถูกถามถอนหายใจหนักหน่วง  พูดไม่ออกเสียเฉย ๆ  ทำให้เฌอเบลล์แปลกใจ

“พี่ฮั่นเป็นอะไรรึเปล่าคะ ทำไมหมู่นี้พี่ฮั่นดูเครียดจัง น้องพีทอีกคน หายหน้าหายตาไปเลย  เบลล์กลับจากญี่ปุ่นตั้งหลายวันแล้วยังไม่เจอเลย คิดถึงจัง”

ดวงตากลมโตของเฌอเบลล์หันไปมองหนุ่มน้อยที่ทำงานอยู่อีกด้าน แกล้งส่งสายตาเจ้าชู้ไปทางโน้น

“เบลล์!”

คนที่ทำหน้าสลดอยู่หันหน้ามารวดเร็วเมื่อได้ยินว่าเฌอเบลล์คิดถึงน้องชาย

“โถ พี่ฮั่น พูดแค่นี้ก็หึงแล้ว  ถ้าหึงขนาดนี้แล้วทำไมยังปล่อยให้เรื่องคาราคาซังแบบนี้ล่ะคะ  สงสารน้องพีท”

“เบลล์ พูดอะไร” เขาอึกอักพูดไม่ออกเพราะคิดไม่ถึงว่าเฌอเบลล์จะคาดเดาอะไรได้มากมายขนาดนี้

“นี่  พี่ฮั่นคิดว่าไม่มีใครรู้  ไม่มีใครเห็นอะไรหรือไงคะ  พี่ฮั่นน่าจะรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว  แล้วเบลล์ก็ดูออกด้วยว่าน้องพีทน่ะก็รักพี่ฮั่นมากเหมือนกัน ทำไมพี่ถึงปล่อยให้มันเป็นแบบนี้คะ  คิดมากเรื่องอะไร”

“ไม่มีอะไรหรอกเบลล์”   

‘อธิบายไปเฌอเบลล์ก็คงไม่เข้าใจเขาหรอก’


“แหม  อย่ามาทำกลบเกลื่อนหน่อยเลย  พี่ฮั่นไม่กล้าใช่ไหมล่ะ นั่นลูกชายคุณคริสนี่  เด็กอนาคตไกล  ทายาทคนเดียวของตระกูลหยางที่ยิ่งใหญ่  ลูกชายเจ้าพ่อธุรกิจโรงแรมระดับโลก ลูกชายผู้ว่าการรัฐคนใหม่  โอ๊ย! พี่คิดเรื่องพวกนี้ใช่ไหมถึงไม่กล้าทำอะไรน่ะ” 

เฌอเบลล์กำมือตัวเองเขย่าอย่างไม่ถูกใจ  นี่ถ้าอยู่ในห้องทำงานเป็นสัดส่วนละก้อเธอคงกระทืบเท้าด้วยความขัดใจไปแล้ว  พี่ฮั่นช่าง ‘แสนดี’ อะไรอย่างนี้ 

“เบลล์ รู้?”

คนช่างแสนดีเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนและหุ้นส่วนสำคัญอย่างแปลกใจที่เฌอเบลล์มองเขาได้ทะลุปรุโปร่ง

“รู้สิคะ  ถึงแม้เบลล์จะเป็นคนนอก  แต่เบลล์ก็รู้จักพี่ฮั่นพอสมควร เบลล์รู้ว่าพี่ฮั่นเป็นคนยังไง ไม่งั้นเราคงเป็นเพื่อนกันต่อไม่ได้หรอกค่ะ ขนาดพี่ฮั่นไม่เคยสนใจเบลล์แท้ ๆ  เป็นผู้ชายคนอื่นเบลล์เชิดใส่ไปนานแล้ว” 

สาวสวยกลับมายืนกอดอกทำท่า ‘เชิด’ ใส่พี่ฮั่นให้ดูซะเลย 

เธอถอนหายใจแล้วหันกลับมาหาคนตรงหน้า  มองตรงเข้าไปในดวงตาของคนที่เป็นทั้งเพื่อนชายที่เธอเคยหลงใหล   พี่ชายที่เธอนับถือและเพื่อนร่วมงานที่เธอให้การยอมรับ

“พี่ฮั่นทำอะไรถูกต้อง มีเหตุผลทุกอย่าง ไม่เคยทำสิ่งใดด้วยอารมณ์ชั่ววูบ พี่จึงไม่เคยทำอะไรผิดพลาด  แต่พี่ฮั่นลืมไปรึเปล่า..ว่าเรื่องความรักน่ะ  เหตุผลใช้ไม่ได้หรอกนะคะ  มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วน ๆ  บางทีเหตุผลก็ไม่มีความหมายหรอกค่ะ....”

มือเรียวเล็กเอื้อมมาจับแขนพี่ฮั่นไว้  สายตาที่มองชายหนุ่มตรงหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ

“เลิกคิดมากเถอะนะคะ  พี่ฮั่นน่ะกลัวอะไรไปหมด  คิดแทนคนอื่นไปหมด  ทำไมไม่ลองถามตัวเองบ้างว่าสิ่งที่พี่ฮั่นทำเพื่อน้องน่ะ น้องพีทต้องการรึเปล่า  แล้วสิ่งที่น้องพีทต้องการคืออะไร”

“พี่ฮั่นกลัวน้องพีทผิดหวังเสียใจเพราะเบลล์  ถึงได้คอยตามกีดกันไม่ให้เบลล์สนิทสนมกับน้องพีทใช่มั้ยล่ะ  พี่ฮั่นเป็นห่วงน้องทุกเรื่อง  พี่ฮั่นเห็นแก่อนาคตของน้องพีท” 

“แต่พี่ฮั่นรู้ไหม  ไม่ใช่เบลล์หรอกค่ะที่จะทำให้น้องพีทเสียใจ...” 


“คนที่จะทำให้น้องพีทเสียใจมากที่สุดคือพี่ฮั่นเองนั่นแหละ  รู้ตัวบ้างรึเปล่า”

------------------------------------------

 :mew1: :mew1: :mew1:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 51 หน้า 8 อัพเดต 15/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-12-2014 22:28:29
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 51 หน้า 8 อัพเดต 15/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 15-12-2014 23:24:18
จิ้มก่อง
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 51 หน้า 8 อัพเดต 15/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 16-12-2014 03:54:36
ขอให้ทุกอย่างสายไปเรียกร้องอะไรกลับคืนไม่ได้ สมน้ำหน้าไอ่พี่ฮั่นมาก
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 51 หน้า 8 อัพเดต 15/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 16-12-2014 09:24:18
ยกนิ้วให้เบลล์เลยอ่ะ
รีบง้อน้องเลยนะพี่ฮั่น อิอิ
งานนงนี้พีทจิว่าไงนะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 51 หน้า 8 อัพเดต 15/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 16-12-2014 13:59:22
เบลล์ยอดเยี่ยมไปเลย
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 51 หน้า 8 อัพเดต 15/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 16-12-2014 15:04:23
พี่ฮั่นนนน ทำไมปล่อยให้คาราคาซังแบบนี้อ่ะ
คุณคริสไม่ว่าอะไรหรอกนะ ? พีทก็บอกกับคุณพ่อไปแล้วไม่ใช่หรอว่าชอบฮั่นอ่ะ
อย่าปล่อยให้เรื่องมันสายไปมากกว่านี้เลยนะ
ปล.เพิ่งมาอ่าน5555 รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 51 หน้า 8 อัพเดต 15/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Anong2013 ที่ 17-12-2014 00:00:54
น้องพีทกำลังจะแต่งงานแล้ว

อี่พี่ฮั่นพื่งมารู้ใจตัวเองตอนเขาจะแต่งงานกันนี้หรออี่พี่ฮั่น :z6:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 51 หน้า 8 อัพเดต 15/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Anong2013 ที่ 17-12-2014 00:10:14
เขารออยู่มาเร็วๆนะตัวเอง :katai4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 51 หน้า 8 อัพเดต 15/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 20-12-2014 20:27:23
:) :)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 51 หน้า 8 อัพเดต 15/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 21-12-2014 22:06:03
52. ไปทะเลอีกครั้ง


เด็กฝึกงานสองคนเดินไปตามทางเดินภายในโรงแรมอย่างไม่รีบร้อนนัก  หลังจากผู้จัดการเข้ามาบอกให้พวกเขาละจากงานตรงหน้าแล้วรีบขึ้นไปที่ห้องทำงานรองประธานโดยด่วน   พีททำหน้าแปลกใจที่รายงานของตัวเองมีปัญหา   

โดมถึงกับถอนหายใจอย่างสบายใจเมื่อได้หลบจากอากาศร้อนอบอ้าวภายนอกเข้ามาในอาคารที่ติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ร่างอวบของโดมกลับมาแต่งกายเรียบร้อยแล้ว  ก่อนที่สองหนุ่มจะเดินเข้าลิฟต์ไป  โทรศัพท์ของพีทก็ดังขึ้นทำให้ทั้งคู่ชะงัก 

พีทหันมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความแปลกใจก่อนจะกดรับ   

“หวัดดีครับพ่อ....ครับ ๆ  พีทจะไปเดี๋ยวนี้!” 

พีทวางสายแล้วหันมามองหน้าพี่โดม  สีหน้าเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด  ทำให้โดมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“พีท  มีอะไรรึเปล่า” 

“พี่โดม พ่อโทรมาบอกว่าคุณปู่ผมอาการไม่ค่อยดี เพ้อหาผม ผมไปโรงพยาบาลก่อนนะ”

ว่าแล้วพีทก็สาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้โดมมองตามหลังพีทที่วิ่งหายไป 

เขาคงไม่ต้องขึ้นไปแล้ว  เพราะเขารู้ดีว่าพี่ฮั่นไม่ได้ต้องการให้เขาไปช่วยงานอะไรหรอก  ข้ออ้างทั้งนั้นแหละ

‘เฮ้อ  เหนื่อยใจแทนพี่น้องคู่นี้จริง ๆ’

-----------------------------------------------------



หลังจากกลับจากโรงพยาบาลก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม  พีทเอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงไม่ทำอะไร  ความคิดวนเข้าออกหัวสมองเขาหลายเรื่อง  ถอนหายใจหลายครั้ง

คุณปู่อาการทรุดลง บ่ายวันนี้ที่เขาไปหาคุณปู่ที่โรงพยาบาล คุณปู่เรียกหาแต่เขา  เขาทำได้เพียงเข้าไปนั่งใกล้เตียง จับมือผอมซูบนั้นไว้อย่างต้องการให้กำลังใจ  แต่คุณปู่กลับมองเขาด้วยแววตาห่วงใยแทนราวกับรับรู้ได้ว่าเขากำลังเสียใจ  กำลังเจ็บปวดทรมาน   

เขาไม่อยากทำให้คุณปู่เป็นห่วงจึงพยายามทำตัวร่าเริงทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้  ได้แต่นั่งอยู่ข้างเตียงจนกระทั่งคุณปู่หลับไป
 
“....มันจะทำให้พีทเสียใจ”  คำพูดของคุณปู่กลับมาย้อนเขา  วนเวียนอยู่แบบนั้น

“พี่ฮั่นไม่มีวันทำให้ผมเสียใจ....”
 
เขาจำได้ว่าเขาเคยตอบคุณปู่ไปแบบนั้น 

คุณปู่พูดถูก พี่ฮั่นทำให้เขาเสียใจจริง ๆ เจ็บปวดไปหมด  และไม่มีทางออกใดนอกจากจะต้องตัดใจ  เขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้  เขาพยายามแล้ว  แต่มันห้ามใจไม่ได้!

แม้ว่าพี่ฮั่นจะทำให้เขาเสียใจ แต่เขาก็ยังรักพี่ฮั่นเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปเลย   

ความรู้สึกรักพี่ฮั่นเป็นความรู้สึกพิเศษที่เขาไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน เขารู้สึกแบบนี้กับพี่ฮั่นเป็นคนแรก  มันลึกซึ้งจนบรรยายไม่ถูก  รู้แค่ว่าคนคนนี้เท่านั้นที่เขาต้องการ  พี่ฮั่นเป็นคนเดียวที่เขาต้องการอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา 

แต่สำหรับพี่ฮั่น  เขาคงไม่ใช่คนที่ทำให้พี่ฮั่นรู้สึกพิเศษด้วย  เขาเป็นได้แค่น้องชายเท่านั้น

แต่วันนั้นในห้องออกกำลังกาย  พวกเขากลับทำสิ่งที่เกินกว่าคนที่เป็นพี่น้องจะทำต่อกัน  เวลาที่เหมือนอยู่กันแค่สองคนในห้องนั้นเหมือนอยู่แค่สองคนในโลก  ช่วงเวลานั้นเขากับพี่ฮั่นกลับทำเหมือนว่าเขาทั้งคู่มีความรักต่อกัน พี่ฮั่นทำเหมือนว่าใจตรงกันกับเขา  เหมือนพี่ฮั่นก็ปรารถนาที่จะทำเช่นเดียวกัน 

แบบนั้นมันคือการทำตามคำสั่งหรือ 

เผลอเอามือแตะที่คอ  พีทเลื่อนนิ้วสัมผัสผิวบริเวณนั้นแผ่วเบา พลางรำลึกถึงช่วงเวลานั้น  ความทรงจำยังแจ่มชัดเหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิด

Kiss mark ของพี่ฮั่นที่ทิ้งไว้เป็นรอยไม่ยอมจางหาย เขาต้องติดกระดุมทุกเม็ดจนถึงคอเพื่อปิดรอยช้ำนั่นเวลาเขาไปฝึกงาน   และเอาแต่ยกมือแตะที่รอยนั้นบ่อยครั้งเวลาเขาเผลอนึกไปถึงคนที่ฝากรอยไว้   คนที่บอกว่าทำตามคำสั่ง

ได้แต่กดแรง ๆ ที่หน้าอกตัวเอง  เมื่อได้ยินพี่ฮั่นพูดตอกย้ำว่าทำตามคำสั่งของเขา  ได้แต่ทิ้งตัวนอนอย่างหมดแรงอยู่บนเบาะซ้อมยูโดจนเย็นย่ำ เสียใจจนไม่รู้จะเสียใจอะไรอีกต่อไป  เขาเจ็บจนชาไปหมดจนนึกว่าหัวใจตายด้านไปซะแล้ว  แต่หัวใจก็กลับมาเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึง  ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากัน  เขาได้แต่อดทนทำเหมือนไม่มีอะไร

เหนื่อยเหลือเกิน  ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้  เมื่อไรเขาจะหลุดจากสภาพนี้เสียที  เขาไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว  เขาพยายามทำตัวเหมือนเดิมแต่ทำไมไม่รู้มันเหนื่อย  เขาพยายามจนเหนื่อยเต็มที  แม้ว่าภายนอกเขาจะดูปกติแต่ก็เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น  หลังประตูห้องนอนปิดลงเขาก็กลับไปเป็นคนเดิมที่อ่อนแอและน่าสมเพช   

เขาจะทำยังไงกับความอึดอัดแบบนี้  ถ้าพวกเขาลืมเรื่องทั้งหมดนี่ได้  ถ้าพวกเขากลับไปรักกันเหมือนพี่น้องเหมือนเดิมได้คงจะดี  เขาอยากหลับตาตื่นขึ้นมาแล้วลืมเรื่องยุ่งยากเหล่านี้เสียให้หมด

ไม่อยากอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแบบนี้อีกแล้ว  เขาต้องไปไหนสักแห่ง 

อย่างน้อยก็เพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นนี้ออกไป 

ความคิดชั่ววูบนั้นทำให้พีทตัดสินใจกะทันหันที่จะไปทะเลอีกครั้ง แม้ว่าจะดึกมากแล้วแต่เขาไม่สนใจ   

ฝนกระหน่ำใส่เขาเมื่อขี่เจ้าบิ๊กไบค์ออกนอกเขตเมืองได้เพียงครู่เดียว  สองข้างทางไม่มีร่มเงาอะไรที่พอจะบังสายฝนได้ทำให้เขาตัดสินใจขี่ต่อไปเรื่อย ๆ แต่ลดความเร็วลง  ฝนยังคงตกหนักจนเขาเปียกชุ่มไปทั้งตัวแม้จะใส่แจ็กเก็ตหนังคลุมไว้

'ดีเหมือนกัน ให้ฝนชะเอาความเจ็บปวดของเขาออกซะบ้าง มันติดค้างอยู่ในตัวเขามามากเกินไปแล้ว'


กว่าจะถึงหาดส่วนตัวก็กินเวลาเกือบสองชั่วโมง  ฝนตกตลอดเส้นทางทำให้เขาหนาวสั่น  มือที่บิดคันเร่งเย็นเฉียบจนแทบไร้ความรู้สึก  พีทจอดบิ๊กไบค์หน้าบ้านสีขาวหลังเล็กที่ซ่อนในดงไม้  ฝนและลมจากทะเลยังคงซัดกระหน่ำใส่บ้านไม่ขาดสาย

บ้านหลังนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากเพราะทำเป็นบ้านส่วนตัวของเขาเอง ด้านหน้าเป็นระเบียงกว้าง  ติดกับห้องนั่งเล่นที่มีชุดรับแขกเล็ก ๆ ถัดเข้าไปเป็นห้องนอนใหญ่ที่มีห้องน้ำในตัว  ห้องครัวเล็กอยู่ด้านหลัง

พีทถอดรองเท้าชุ่มด้วยน้ำออกวาง  น้ำหยดเป็นทางตามเท้าที่เดินเข้าบ้านไป  เขาถอดเสื้อผ้าที่เปียกโชกออกจนหมดแล้วเข้าไปอาบน้ำอุ่นจัด  ร่างกายที่เย็นเยียบเพราะตากฝนมาเกือบสองชั่วโมงทำให้เขาต้องการความอบอุ่น   

เขายืนนิ่งใต้สายน้ำอุ่นจัดนั้นอยู่นานจนกระทั่งร่างกายเริ่มอบอุ่นขึ้นทีละน้อย 

พีทสวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำเพียงตัวเดียวเมื่อออกจากห้องน้ำ  ตรงไปที่ตู้เย็นในห้องครัว  เขาอยากได้นมอุ่น ๆ สักแก้ว  แต่ในตู้เย็นนั้นไม่มีนมสดอยู่เลย  ไม่มีแม้แต่น้ำผลไม้  มีแต่พวกอาหารแช่แข็งและเครื่องดื่มอื่น  คงต้องรอให้เช้าเสียก่อนจึงจะสามารถโทรไปสั่งให้แม่บ้านของโรงแรมที่อยู่ห่างไปเล็กน้อยให้เอาอาหารสดมาส่ง 

พีทปิดประตูตู้เย็นอย่างหงุดหงิด  ยกมือขึ้นเสยผม  เวลาอยู่บ้านเขากินนมอุ่น ๆ ก่อนนอนทุกคืน

‘เฮ้อ’ ปวดแปลบอีกแล้วเมื่อคิดได้ว่า ‘ใคร’ ที่เคยอุ่นนมให้กินทุกคืน 

เมื่อไรเขาจะลืมเรื่องพวกนี้ได้  เมื่อไรเขาจะเลิกปวดใจเสียที

‘บ้าชะมัด’  พีทสบถในใจ  อยากจะออกมาเปลี่ยนบรรยากาศกลับต้องมาอยู่แต่ในบ้านเหมือนเดิม  อยากออกมาดูดาว  แต่ท้องฟ้าก็มีแต่เมฆดำ สายฝนและลมพายุ

ลมเย็นพร้อมกับละอองน้ำฝนพัดกรูเข้ามาในช่องลมด้านบนใกล้กับเพดานทำให้เขาหนาวขึ้นมาอีก  ยิ่งมาอยู่ใกล้ทะเลแบบนี้ลมยิ่งแรงกว่าเดิม 

อยู่ ๆ พีทรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา  เขากลับเข้าไปในห้องนอน  ล้มตัวนอนบนเตียง  ขดตัวให้แน่นที่สุด  เอื้อมมือกอดตัวเองไว้ใต้ผ้าห่ม 


“พีททำไมถึงนอนงอแบบนั้น  เดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก”  พี่ฮั่นเคยถามเขาในคืนหนึ่งที่พวกเขาเข้านอนด้วยกัน

“ก็มันเป็นเองนี่  นอนแบบนี้แล้วผมหลับสบาย” พีทว่าเสียงงัวเงียเพราะเริ่มง่วง

“รู้ไหมว่านอนแบบนี้เป็นเพราะอะไร”  พี่ฮั่นยังคงชวนคุย

“เพราะพีทขาดแม่ตั้งแต่เด็กไง  ท่านี้มันเป็นท่าที่พวกเราทุกคนนอน ตอนอยู่ในท้องแม่ รู้ไหม” 

“พีทคิดถึงแม่ไหม”  เสียงพี่ฮั่นอ่อนโยนเหลือเกิน

“คิดถึงสิ  ผมได้แต่ดูรูปแม่  จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนแม่กอดรู้สึกยังไง” 

เขาไม่รู้ว่าพี่ฮั่นคิดอะไรอยู่  อยู่ดี ๆ พี่ฮั่นก็สอดมือเข้ามาตรงไหล่  เอื้อมมืออีกข้างมาดึงเขาที่นอนหันหลังให้พลิกตัวเข้าไปในอ้อมแขน  พีทพูดอะไรไม่ออกเมื่อพี่ฮั่นกอดเขาไว้

“นอนเถอะ”  พี่ฮั่นพูดเสียงเบา 

พีทรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมกอดนั้น  เขานอนอุ่นในอ้อมอกนั้นไปจนถึงเช้าเลยทีเดียว




แต่คืนนี้เขาทำได้เพียงแค่กอดตัวเองไว้  วันเวลาเช่นนั้นคงไม่ย้อนกลับมาอีกแล้ว  เขาขยับกอดตัวเองแน่นขึ้นก่อนจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน  พีทไม่รู้สึกตัวเมื่อเขาปัดผ้าห่มออก  เหงื่อท่วมร่างที่ใส่แค่เสื้อคลุมอาบน้ำจนชุ่ม  รู้แค่ว่าตัวเองไข้ขึ้น  ร้อนและปวดหัวแทบระเบิด  เขานอนกระสับกระส่ายไปจนกระทั่งบ่ายของอีกวันก็ยังไม่มีแรงลุกขึ้นมาทำอะไร  จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเอาโทรศัพท์มือถือไปวางที่ไหน ไม่มีแรงแม้แต่จะส่งเสียงเรียกใคร   ยามที่เฝ้าหน้าประตูรั้วคงไม่มีวันเดินมาเจอเขานอนป่วยในบ้านนี้แน่  เพราะทุกคนรู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้ใครมาล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว 

พีทนอนหลับไปอีกครั้งทั้งที่ยังมีไข้ขึ้นสูง

ภาพความทรงจำตอนเด็กผุดขึ้นในสมองอันพร่าเลือนด้วยพิษไข้ ไม่เรียงลำดับและไม่ชัดเจนนัก  เสียงเรียกอ่อนโยนของผู้หญิงคนหนึ่ง  เบาราวสายลมกระซิบ 

‘แม่’   

คิดถึงเหลือเกิน  ภาพแม่ในความทรงจำเขาช่างเลือนราง 

เสียงเด็กชายตัวเล็ก ๆ ร้องเรียกหาแม่ในห้องเด็กที่เกลื่อนไปด้วยของเล่นมากมาย   ผู้คนในห้องนั้นพยายามปลอบ  พยายามหลอกล่อด้วยของเล่นนานาชนิด  แต่ไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยต้องการเลย  เขาต้องการไออุ่นจากแม่  เด็กชายตัวน้อยไม่เข้าใจว่าแม่หายไปไหน  จึงได้แต่ร้องหา  แต่แม่ไม่มาเสียที....

“น้องพีท” 

เสียงเด็กชายอีกคนหนึ่งเรียกเขา  เมื่อเขาหันไป  กลับพบเด็กผู้ชายตัวโตส่งยิ้มให้  เขามองด้วยความแปลกใจ  ดวงตาจับจ้องไปที่ผู้มาใหม่ที่เดินตรงมาหา  เด็กชายตัวโตย่อตัวนั่งลง  เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาบนแก้มอวบ  บอกว่าอย่าร้องไห้

ภาพเปลี่ยนไปรวดเร็ว  เด็กชายตัวน้อยเติบโตขึ้น  กำลังนั่งบนจักรยานคันเล็กที่เพิ่งหัด มือยังไม่แข็ง จักรยานคันนั้นส่ายไปมา เขาร้องเรียกพี่ชายที่จับอยู่ท้ายจักรยานด้วยความกลัว  ไม่มั่นใจ

“ไม่เป็นไรพีท พี่ไม่ปล่อยมือหรอก  พี่ไม่ยอมให้พีทเจ็บตัวหรอกน่า” เสียงพี่ชายร้องบอกให้ความมั่นใจเลือนหายไปกับความมืดที่เข้าครอบงำ

มืดไปหมด  ฉับพลันนั้นก็มีแสงวูบวาบ  เป็นแสงสีที่ชวนให้เวียนหัวยิ่งนัก  เกิดแสงสว่างสีขาวราวสปอตไลท์ฉายตรงมาที่เขา  เสียงผู้คนมากมายกำลังสนุกสนานไปกับดนตรีจังหวะเร็ว ๆ เขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น จนกระทั่งชนเข้ากับใครคนหนึ่ง  คนที่หน้าคล้าย....

“พี่  พี่ฮั่น”

“พีท!”

เสียงอบอุ่นตอบรับพร้อมกับสัมผัสที่คุ้นเคยวางลงบนหน้าผาก มือใหญ่ของพี่ฮั่นลูบผมเขาเหมือนทุกครั้ง  ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างประหลาด

‘พี่ฮั่นมาแล้ว’


ความอ้างว้างเดียวดายอันตรธานหายไปทันทีเมื่อได้รับสัมผัสอบอุ่น เหมือนความเหน็บหนาวที่มลายไปทันทีที่แสงอาทิตย์สาดส่องมา
   
รู้สึกเหมือนมีผ้าขนหนูซับบนใบหน้าและลำคอ  พี่ฮั่นเช็ดตัวให้เขา

“พีท  น้องพีท” 

เสียงพี่ฮั่นกระซิบเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา  รางเลือน  เขาอยากตอบรับเสียงเรียกนั้น  แต่เขาไม่มีแรง

ความรู้สึกเหมือนมีสัมผัสแตะที่ริมฝีปาก  สัมผัสนุ่มบดริมฝีปากบังคับให้เขาเผยอปากออก  ลิ้นนุ่มแทรกเข้ามาดันอะไรบางอย่างที่เป็นเม็ดกลมไว้ในปากเขา  จากนั้นก็รู้สึกว่าริมฝีปากถูกประกบปิด  น้ำถูกลำเลียงลงมาทีละนิด  เขากลืนน้ำลงคอไปอัตโนมัติพร้อมกับเม็ดกลมนั้น  น้ำบางส่วนไหลซึมออกจากปาก  ริมฝีปากนุ่มนั้นเคลื่อนอย่างเชื่องช้ามาจูบซับน้ำที่ไหลตามใบหน้าเรื่อยลงไปจนถึงคอแล้วเม้มเบา ๆ  ที่ผิวบริเวณนั้น

“อือ..”

เขาเผลอร้องครางออกมา  ปากนุ่มนั้นกลับมาใหม่  กดจูบอีกครั้งแล้วคลอเคลียอยู่แบบนั้นไม่ห่าง


“พี่รักพีท”




พีทสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินประโยคนั้น  เขาลุกพรวดพราดขึ้นนั่งบนเตียงหันมองรอบกาย  เขายังอยู่ในบ้านริมทะเล  และอยู่คนเดียว!

ไม่มีใครในฝันอยู่ตรงนี้

‘ฝันไปเหรอเนี่ย’   

พีทยกมือลูบหน้าตัวเอง   นี่เขาฟุ้งซ่านขนาดนี้เลยหรือ 

เขายกมือแตะหน้าผากตัวเอง  พบว่าตัวไม่ร้อนแล้ว  มองไปรอบกายอีกครั้ง  ทุกอย่างยังเหมือนเดิม  พีททิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง น้ำตาไหล แค่ประโยคในฝันกลับทำให้เขาดีใจอย่างประหลาด  แค่ความคิดฟุ้งซ่านของเขาเองกลับทำให้เขารู้สึกชุ่มชื้นหัวใจ  แปลกที่มันทำให้เขามีพลังมากขึ้น  แค่ฝันก็ยังดีเพราะพี่ฮั่นบอกว่า  ‘รักเขา’

เขาเฝ้าแต่นึกถึงประโยคนั้นวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา  เพราะมันทำให้เขามีความสุข  เหมือนคนหลงทางกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่กำลังจะขาดใจตายเพราะขาดน้ำ  แล้วได้เจอโอเอซิสที่มีบ่อน้ำใสเย็นอยู่ใจกลางโดยไม่คาดฝัน น้ำที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตอันแห้งแล้งให้อยู่ต่อไป  ความฝันนั้นช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจเขาให้มีกำลังใจต่อไป

เสียงโทรศัพท์ที่หัวเตียงกรีดร้อง  ทำให้คนที่อยู่กับความฝันสะดุ้งเฮือก  หันไปตามเสียงแล้วต้องประหลาดใจ  เขาลืมเสียสนิทว่ายังมีโทรศัพท์บ้านอยู่ที่หัวเตียง!

‘โธ่เอ๋ย!’

หลังจากรับโทรศัพท์แล้วก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเพราะแม่บ้านโรงแรมโทรมาแจ้งว่าจะนำอาหารและเสื้อผ้ามาส่ง

‘สงสัยยามคงโทรไปบอก’

--------------------------------------------



หนุ่มน้อยใช้เวลาตลอดทั้งเช้าไปกับการนอนมองทะเล  เขาย้ายตัวเองมานอนบนเบาะนุ่มที่ระเบียงหน้าบ้าน พาดขาไว้กับราวระเบียง

เช้าวันนี้พายุใหญ่ได้พัดหายไปแล้ว  ท้องฟ้ากลับเป็นสีฟ้าสดใส  เขาได้แต่เฝ้ามองไปที่เกลียวคลื่นสีขาวที่ม้วนตัวหาฝั่งไม่มีที่สิ้นสุด และกลับไปทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา

ดวงตาเขามองตรงไปยังทะเลเบื้องหน้า  กลับเห็นแต่ภาพพี่ชายในความทรงจำผุดขึ้น  ทั้งรอยยิ้มและแววตาที่มองเขา ทุกอิริยาบถ ทุกเหตุการณ์ที่มีพี่ฮั่นอยู่  พี่ฮั่นทำให้เขาใจเต้นแรง  สุขใจเพียงแค่นึกถึง  แต่ก็เป็นคนแรกและคนเดียวที่ทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบบ้า  ทุกข์ทรมานเพราะความผิดหวัง เสียใจ  ทำให้เขาเสียน้ำตา  เป็นคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของเขาเหลือเกิน

น้ำตาไหลจากหางตาโดยไม่รู้ตัว  พีทยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง  สูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกกำลังใจของตน   เขาต้องเลิกเสียใจกับเรื่องพวกนี้เสียที  เขาเสียใจมามากพอแล้ว 

สายลมอ่อนพัดโชยมาเหมือนจะช่วยเช็ดน้ำตาให้ 

ตอนนี้เมื่อได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง  ได้ใช้สติไตร่ตรองปัญหาอย่างถี่ถ้วน ความเข้าใจก็จุดขึ้น  ตั้งแต่คืนที่เขาเผลอทำแบบนั้นลงไปแล้วถูกปฏิเสธ เขาเสียใจเพราะพี่ฮั่นไม่ได้คิดเหมือนเขา  เสียใจเพราะพี่ฮั่นไม่แม้แต่จะยอมรับความรู้สึกของเขา 

เขาคงจะตั้งตัวไม่ทันถึงได้เสียใจมากมายขนาดนั้น  ทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้มาก่อนด้วยซ้ำ  เขาตั้งใจจะเก็บมันไว้และมีความสุขกับมันเงียบ ๆ  เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรื่องของเขามันเป็นไปไม่ได้  ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม  นอกจากจะต้องตัดใจ

พี่ฮั่นไม่ได้รักเขาในแบบที่เขารัก

มันเป็นเพราะเขาทั้งนั้นที่คิดอะไรไปเอง พี่ฮั่นไม่ผิดอะไรเลย
 
เมื่อได้ลองคิดดูทุกแง่มุมแล้วพีทก็ต้องยอมรับกับตัวเอง  เขามันบ้าไปจริง ๆ  เขาน่าจะคิดได้เร็วกว่านี้  เขาลืมไปว่าตัวเองเป็นใครมีภาระใดรออยู่ข้างหน้า  เขาเป็นทายาทคนเดียวของตระกูล  วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะต้องแต่งงานกับใครสักคนเพื่อมีลูกสืบสกุล
 
'เฮ้อ  ชักจะเข้าใจความเจ็บปวดของเกรซอยู่ราง ๆ'

ลมพัดมาอีกวูบหนึ่ง  กลิ่นทะเลลอยมาบางเบา  พีทเงยหน้ามองท้องฟ้าสดใส  ไร้เมฆ 

ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อคืนจะมีพายุใหญ่ที่นำพาสายลมและสายฝนสาดซัดหนักหน่วง ไม่มีใครหยุดได้ ต้องปล่อยให้มันพัดผ่านไป ตอนนี้ท้องฟ้ากลับมางดงามตามเดิม ทะเลกลับมาสงบราบเรียบ ไม่เหลือเค้าเลยว่าทะเลได้โหมกระหน่ำซัดเข้าหาฝั่งอย่างบ้าคลั่งเพียงใด

ชีวิตก็เป็นแบบนี้รึเปล่านะ  หมุนเวียนสับเปลี่ยนไปมา  มีวันที่ฝนตกฟ้าคะนอง  มีวันที่สดใสสวยงามเหมือนทะเลยามนี้

หลายวันที่ผ่านมา  เขาทุรนทุราย  พยายามดิ้นรนเพื่อหาทางออกแต่กลับไม่พบหนทางใด  มีเพียงความมืดมน  มองเห็นอะไรได้แค่รางเลือน   

พีทถอนหายใจยาวนาน   คงจะมีสักวันที่เขาจะได้พบกับท้องฟ้าสดใส  แสงแดดที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตเขา   สักวันหนึ่งเขาคงจะดีขึ้นกว่านี้

ชีวิตตอนนี้ไร้ซึ่งทางออก มีแต่ต้องอดทนต่อไปเท่านั้น  ที่เขายังอดทนต่อไปก็เพื่อประคองความเป็นครอบครัวให้เหมือนเดิมมากที่สุด  เพราะเขาเองก็รู้ดีว่ากว่าครอบครัวจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมต้องใช้เวลาถึงสิบปี   

เขาไม่อาจทำลายครอบครัวของตัวเองได้  เขาเข้าใจแล้วว่าพี่ฮั่นหมายความว่าอย่างไร

‘พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน’


มันไม่มีทางอื่นอีกแล้ว  แต่จากนี้ไปเขาคิดว่าเขาคงจะไม่ทรมานมากนักเพราะประโยคนั้นในฝัน  เขายังจำเสียงอบอุ่นนั้นได้ไม่ลืม 

จะไม่มีวันลืม.....




ลมทะเลพัดแรงมาอีกระลอก  เสียงคลื่นซัดสาดตลอดเวลา  พีทเหม่อมองน้ำทะเลสีน้ำเงินอยู่นาน  ใจที่ร้อนรุ่มของเขาค่อยผ่อนคลายลง

แม้มันจะยังเจ็บปวด 

แต่ลดลง

-------------------------------------------



หลังอาหารกลางวันเขาจึงตัดสินใจกลับ  พีทกลับมาสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับที่ใส่มาเมื่อวันก่อนซึ่งซักรีดจนหอมกรุ่น  ก่อนกลับเขาแวะถามยามเก่าแก่ที่เฝ้าประตูรั้ว 

“เมื่อคืนมีใครมาที่นี่บ้างไหม”  ความหวังน้อย ๆ ในใจเขาจุดขึ้น

“ไม่มีครับ”  คำตอบนั้นทำให้ใจที่พองฟูของเขายุบตัวลง
 
‘ฝันจริง ๆ สินะ  แต่ไม่เป็นไร  แค่ฝันก็มีความสุขแล้ว’

พีทปิดหน้ากากหมวกกันน็อกลงตามเดิม แล้วบิดคันเร่งห่างออกไปก่อนจะเพิ่มความเร็วเมื่อออกสู่ถนนใหญ่




ยามถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคุณชายจากไปแล้ว  ยกมือผอมบางตบลงไปที่กระเป๋าเสื้อ  เงินปึกหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในนั้น

“รับไปเถอะ แล้วอย่าบอกพีทนะว่าผมมา”  เจ้าของเงินยื่นส่งให้แล้วขับออดี้ออกไปตอนเช้ามืด


คุณชายมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง  จนไม่ได้สังเกตเห็นรอยล้อรถยนต์ที่ทิ้งไว้อย่างชัดเจนบนผืนทรายนั้นเลยแม้แต่น้อย


----------------------------------------


มาแล้วค่า  ขอบคุณที่ติดตามค่า

 :mew1: :mew1: :mew1:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 52 หน้า 9 อัพเดต 21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 21-12-2014 22:30:48

เมื่อไหร่จะถึงวันนั้น
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 52 หน้า 9 อัพเดต 21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 21-12-2014 23:52:41
จิ้มก่อง
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 52 หน้า 9 อัพเดต 21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 22-12-2014 03:56:34
สรุปว่าพีททำใจได้และเข้าใจไอ้พี่ฮั่นซะอย่างนั้น. เห้ออ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 52 หน้า 9 อัพเดต 21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 22-12-2014 09:47:59
จะเป็นไงต่อละทีนี้
ดูท่าพีทจะถอดใจละ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 52 หน้า 9 อัพเดต 21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 22-12-2014 16:08:58
พี่ฮั่นมาจริงๆด้วย
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 52 หน้า 9 อัพเดต 21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-12-2014 17:31:36
ดีแล้วค่ะ พีทเริ่มทำใจได้จริงๆแล้ว

แบบนี้เราว่าน่ากลัวสำหรับพี่ฮั่นมากกว่านะ


เพราะนั่นหมายความว่าน้องจะเริ่มดีขึ้นและรักคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ฮั่นได้ในสักวันจริงๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 52 หน้า 9 อัพเดต 21/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 24-12-2014 21:29:30
53. คุณปู่ฟง


พีทขี่บิ๊กไบค์กลับถึงบ้านก็พบลุงฉีกำลังเดินวนไปมาหน้าบ้านเหมือนเสือติดจั่น  เมื่อได้ยินเสียงบิ๊กไบค์ดังกระหึ่มเข้ามาลุงฉีก็หยุดชะงักแล้วก้าวเท้าอย่างรวดเร็วตรงมาหาเขาทันทีโดยไม่รอให้เขาลงจากรถ  ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย

“คุณชายครับ  เร็วเถอะครับ  คุณฟงอาการทรุดครับ”

ราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ  พีทชะงักค้าง   ลุงฉีเข้ามาจับแขนเขาไว้  เขย่าพร้อมกับเรียกจนเขาได้สติ  พีทปิดหน้ากากหมวกกันน็อกลงอีกครั้ง   บิดบิ๊กไบค์ออกจากบ้านไปด้วยความร้อนใจ



คุณปู่ฟงเครียดหนักจนเส้นเลือดในสมองแตก  หมอกำลังช่วยชีวิตอยู่ในห้องผ่าตัด   

วันนี้เป็นวันประกาศแต่งตั้งผู้ว่าการรัฐอย่างเป็นทางการ  พ่อเขาชนะคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น  ได้รับเลือกตามที่หลายฝ่ายคาดไว้   คืนนี้จึงเป็นคืนเลี้ยงฉลองของผู้ว่าการรัฐคนใหม่  และตอนนี้พ่อและคุณโรสกำลังอยู่ในงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จของพรรค  เจเจไม่กล้าโทรหาพ่อและคุณโรสเพื่อบอกข่าวร้าย จึงโทรหาลุงฉีแทน

พีททรุดตัวนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องผ่าตัดอย่างเหนื่อยล้า  ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่การช่วยชีวิตยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จสิ้น

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขา  คืนนี้เขาจะผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี่ไปได้ยังไงกัน

“คุณชายเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนเถอะครับ”  เจเจยื่นผ้าขนหนูเย็น ๆ ให้ 

พีทรับผ้าเย็นผืนนั้นขึ้นมาเช็ดหน้าตัวเอง เจเจทรุดนั่งลงห่างไปเล็กน้อย  พีทมองหน้าคนสนิทของคุณปู่แล้วก็รู้สึกเสียใจ

“ผมขอโทษนะที่ยิงคุณ”  เขาเอ่ยอย่างเสียใจ  ตอนนั้นเขาโกรธมาก  มากจนลืมตัว  เขาลืมไปว่าเจเจมีครอบครัว  มีลูก

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณชาย ผมก็ผิดจริง ๆ ที่ทำแบบนั้น  โดนเท่านี้ยังน้อยไป”

เจเจก็รู้สึกผิดเช่นเดียวกัน  เขาคิดถึงแต่บุญคุณที่ต้องตอบแทนคุณฟง โดยลืมไปว่าคนที่เขาลอบทำร้ายก็เป็นลูกชายของคุณโรสและคุณคริสเช่นกัน ถ้ามีใครมาทำอะไรลูกของเขา  เขาก็คงไม่ยกโทษให้เช่นกัน   

พวกเขาเงียบกันไปครู่ใหญ่

“คุณปู่จะเป็นอะไรมากไหม”  พีทเปลี่ยนมาถามเรื่องอาการคุณปู่แทน

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” เสียงเจเจเศร้าสร้อย  ดวงตาชั้นเดียวหลุบมองพื้น 

พีทรู้ว่าเจเจคงไม่อยากให้เขาเห็นความอ่อนแอของตน เขารู้ว่าเจเจรักและเทิดทูนคุณปู่มากเพราะคุณปู่เคยช่วยชีวิตเจเจไว้ก่อนจะรับเจเจมาอยู่ที่บ้าน

“ขอให้ท่านปลอดภัย”  พีทหลับตาพิงศีรษะกับกำแพงด้านหลังอย่างอ่อนแรง

เจเจนั่งมองหลานชายผู้สืบทอดของคุณฟงอย่างพิจารณาอยู่เงียบ ๆ ความคิดในหัวเขากำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง 

ในที่สุดเจเจก็ตัดสินใจได้

“คุณชายครับ” 

พีทลืมตาขึ้นมามองตามเสียงเรียกของเจเจ  เขาเห็นเจเจยื่นอะไรบางอย่างมาให้  เขารับกรอบรูปเล็ก ๆ นั้นมา

“พี่ฮั่น?”

ชายหนุ่มในรูปนั้นคล้ายพี่ฮั่นมาก  ไม่ว่าจะเป็นรูปหน้าเหลี่ยมนิด ๆ ดวงตาเรียว จมูกโด่งจัด ริมฝีปากบาง  แต่รูปนี้ดูเก่ามาก  เป็นรูปขาวดำที่เก่าจนกระดาษเริ่มเหลือง ไม่น่าจะต่ำกว่าสามสิบปี

“นี่คุณหลิวครับ  คุณตาของคุณฮั่น” 

‘อะไรกันเนี่ย!  ทำไมเหมือนกันขนาดนี้  นี่มันพี่ฮั่นชัด ๆ’ 

พีทเงยหน้าขึ้นมองเจเจอย่างต้องการคำยืนยันว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นความจริง

“รูปนี้เก่ามากแล้วนะครับ  เป็นรูปที่คุณฟงสอดไว้ใต้หมอนและหยิบมาดูก่อนนอนทุกคืน”

‘เอ๊ะ คุณปู่เกลียดคุณตากับคุณยายของพี่ฮั่นนี่’

“คุณฟงเคยบอกผมว่า  พวกตระกูลหยางนี่นิสัยเหมือน ๆ กันทั้งนั้นเลยนะครับ”  เจเจหันหน้าไปทางสวนที่ติดกับห้องผ่าตัด  ดวงตาเหม่อราวกับกำลังนึกทบทวนเรื่องราว

“คุณชายคงไม่รู้ตัวว่า  คุณชายเหมือนคุณฟงมากกว่าที่ใครคิด”
 
เจเจหันกลับมามองหน้าหลานของคุณฟง  ดวงตาชั้นเดียวของเขามองตรงเข้าไปในดวงตาของพีท  แววตาที่คล้ายกับคุณฟง

“ยังไงเหรอเจเจ”  หนุ่มน้อยเลิกคิ้ว  หันไปมองชายวัยกลางคนอย่างสงสัย  เพราะรู้ดีว่าหน้าตาเขากับคุณปู่ฟงไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไร  เขาเหมือนคุณปู่ของเขาเองมากกว่า  ส่วนคุณปู่ฟงนั้นเหมือนแม่หรือย่าทวดของเขา

“คุณทั้งคู่เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกัน  โกรธนาน  แต่รักใครรักจริง รักแล้วไม่เคยเปลี่ยนใจ  เรื่องนี้คุณคริสก็เป็นเหมือนกัน แล้วที่ประหลาดมากคือคนตระกูลหยางรักคนในครอบครัวนั้นมาตลอด   ตั้งแต่คุณฟง  คุณคริสแล้วก็คุณชาย”

เจเจหมายความว่าอย่างไร?  เจเจรู้หรือว่าเขารู้สึกอย่างไรกับพี่ฮั่น?  เขาได้แต่นิ่งงันกับเรื่องราวใหม่ที่ได้รับรู้  จึงปล่อยให้เจเจได้อธิบาย 

“คุณชายกับคุณฟงรักคนที่คล้าย ๆ กัน”

“อะไรนะ เจเจ?” 

‘หมายความว่าไง  เขากับคุณปู่??’

“คุณฟงไม่มีความลับอะไรกับผมหรอกครับ”

เจเจมองจับใบหน้าหลานชายคนเดียวของคุณฟง   ยังจำได้ดีถึงแววตาแสดงความเจ็บปวดของคุณฟงเมื่อเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง

คนที่รักและเทิดทูนคุณฟงเช่นเขาตกใจไม่น้อยที่ได้รู้เรื่องจากปากคุณฟงด้วยตัวเอง  คุณฟงคงอยากระบายบางสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจมานานให้ใครสักคนฟัง  ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ถึงความรักที่คุณฟงมีเสมอมา แม้จะโกรธ  เกลียด  แต่ก็ยังรักไม่เคยเสื่อมคลาย

“คนที่คุณฟงรักมาตลอดไม่ใช่คุณลิลลี่ตามที่ใคร ๆ คิด”   

“แล้วคุณปู่รักใคร?” พีทเอ่ยถาม  แต่คำตอบก็โผล่ติดตามมาอย่างรวดเร็ว 

รูปคุณตาหลิวในมือเขา!!

“คุณปู่รักคุณตาของพี่ฮั่น?”  พีทพูดแทบกระซิบ  ไม่น่าเชื่อ

“ครับ  คุณฟงเคยบอกกับผมบ่อย ๆ ว่า คุณฟงเห็นคุณชายแล้วก็เหมือนเห็นตัวเองนั่นแหละครับ”

“คุณรู้ใช่ไหมเจเจ  ว่าผม  เอ่อ”  เขาพูดไม่ออก

“คุณชายรักคุณฮั่น  ถูกไหมครับ  ผมได้แต่คิดว่าคุณฟงอาจจะคิดไปเอง  แต่สิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจก็คือ  วันที่คุณชายยิงผมนั่นแหละครับ....”

“ถ้าไม่รักขนาดนั้น  คุณชายคงไม่จับปืนอีกแน่”

คุณปู่รักคุณตาของพี่ฮั่นเหรอเนี่ย  เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง  มิน่าคุณปู่ถึงรู้  คุณปู่คงเห็นมานานแล้วถึงได้เตือนเขา 

พีทก้มไปมองรูปในมืออีกครั้ง 

“คุณปู่ถึงได้พยายามแยกผมจากพี่ฮั่นใช่ไหม” 

เขาถามโดยไม่เงยหน้ามองเจเจ  เขารู้แล้วว่าคุณปู่ต้องเจ็บปวดมากขนาดไหนที่ผิดหวังในความรัก  คุณปู่ไม่อยากให้เขาเจ็บปวดเหมือนท่านจึงได้พยายามเตือนเขา  แต่มันก็สายเกินไป

“ตั้งแต่เด็ก ๆ เลยครับ” 

“แล้วคุณตาหลิวรู้รึเปล่าครับว่าคุณปู่รักเขาน่ะ”

“รู้ครับ  พวกท่าน..."



"รักกัน”


“อะไรนะ!!!” 

---------------------------------------



เจเจยังนั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดที่เดิม  แต่พีทเดินออกมาที่สวนหย่อมเล็กบริเวณนั้น ในมือเขามีหลายจดหมายฉบับที่เก่าจนเหลือง บางฉบับยังไม่เคยเปิดอ่าน  เจเจเล่าว่าเจอจดหมายพวกนี้เก็บใส่กล่องอย่างดีอยู่ที่โต๊ะทำงานของคุณฟง  เป็นจดหมายที่คุณตาหลิวเขียนมาหลังจากที่คุณตาหลิวแต่งงานไปแล้วหลายปี  เนื้อหาในนั้นเต็มไปด้วยคำขอโทษ  คำอธิบายและคำบอกรัก
   
เขาต้องการอากาศบริสุทธิ์เพื่อระบายความรู้สึกหลากหลายในจิตใจเขาตอนนี้  คืนนี้ช่างพิสดาร  เรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนรอเวลาที่จะเกิดขึ้นภายในคืนนี้  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาตั้งรับไม่ทัน   เหมือนถูกรุมชกซ้ายขวายังไม่ทันหายเมาหมัดก็ถูกอัปเปอร์คัทเข้าปลายคางจนตาลาย  ไม่มีเวลาตั้งตัว

เรื่องที่พี่ฮั่นไม่รักเขาช่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเรื่องที่เขาได้รู้จากเจเจ

คุณปู่ฟงของเขารักคุณตาของพี่ฮั่นมาก่อน  พวกเขารักกัน  แต่สุดท้ายคุณตาหลิวเลือกที่จะแต่งงานกับคุณลิลลี่

เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครยอมรับสินะ

พีทเข้าใจดีว่าเรื่องนี้มันยากขนาดไหน  เขารู้อยู่เต็มอก  รู้ซึ้งเข้าไปถึงกระดูกทีเดียวล่ะ

คุณตาหลิวเลือกที่จะรักษาหน้าตา ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ทำเพื่อสืบทอดกิจการของครอบครัวทั้งฝ่ายของคุณตาหลิวเองและของคุณปู่ฟงด้วย 

คุณปู่โกรธแค้นทั้งสองคนมาก  ไม่ยอมยกโทษให้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้

พีทถอนหายใจ  เขาก็เคยโกรธพี่ฮั่น 

สิบปี...

เขารู้ดีว่ามันทรมานมากขนาดไหนที่จมอยู่กับความโกรธนี้  แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาได้รู้แล้ว  เขาเลิกโกรธพี่ฮั่นแล้ว  พี่ฮั่นไม่เคยทำอะไรผิดเลย  พี่ฮั่นทำทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องเหมือนที่คุณตาหลิวทำ  พี่ฮั่นถูกทำร้ายมามากเกินพอแล้ว  พี่ฮั่นจะต้องไม่ทุกข์ใจกับเรื่องอะไรอีกแล้ว 

เขาและคุณปู่ต่างหากที่ควรจะต้องเป็นฝ่ายขอโทษและทำความเข้าใจ

โชคชะตาช่างเล่นตลกกับพวกเขาจริง ๆ  คุณปู่ฟงรักคุณตาหลิว  พ่อเขาก็รักคุณโรสซึ่งเป็นลูกสาวของคุณตาหลิว  แล้วเขาเองก็รักพี่ฮั่นที่เป็นหลานของคุณตา 

แต่เขาไม่ได้โชคดีเหมือนพ่อ  เขาแค่มีพี่ชายที่รักเขาเป็นน้องชาย 

แต่เท่านี้ก็ดีเพียงพอแล้วนี่นา

“มีความสุขกับความรัก”  เสียงเล็ก ๆ ของริทดังขึ้น

พีทนึกถึงฝันประหลาดของตัวเอง  ประโยคนั้นที่คอยหล่อเลี้ยงหัวใจเขา 

เขาจะยอมรับกับโชคชะตาของตัวเอง  พีทเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สว่างด้วยแสงไฟ  ไร้แสงดาว 

ยิ้มให้กับท้องฟ้าไร้ดาวนั้น....ยิ้มอย่างยินดี

------------------------------------------------



คุณปู่ฟงยังอยู่ในห้องไอซียู  หมอผ่าตัดเรียบร้อยแล้วแต่ไม่รับรองความปลอดภัยเพราะเส้นเลือดสำคัญแตก  คุณปู่อาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก  ถ้าโชคดีคุณปู่อาจจะฟื้น  แต่หมอไม่อาจรับรองได้ว่าคุณปู่จะตื่นขึ้นมาในสภาพใด

เจเจทรุดตัวลงกับพื้นร้องไห้อย่างหนัก  ส่วนเขาก็พูดไม่ออก  พวกเขาได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่รับรู้วันเวลาที่ผ่านเข้ามา

พีทนั่งเฝ้าคุณปู่มาสองวันแล้ว คุณปู่ตื่นขึ้นมาในที่สุด แต่ดวงตาว่างเปล่าไม่ตอบสนอง ขยับตัวไม่ได้แม้แต่นิดเดียว  หมดความรู้สึกตั้งแต่คอลงไป  หมอส่ายหน้าอย่างหมดหวังเมื่อจำใจต้องตอบว่า ‘รอเวลา’ 

เจเจเอาแต่นั่งเศร้า  เขาไม่ทำสิ่งใดเลยได้แต่นั่งเฝ้าคุณปู่ฟงอยู่ตลอดเวลา  พีทก็เช่นกัน 

“ทะ ทะ ละ...”   
 
พีทกับเจเจหันหน้ามามองกันเหมือนเห็นผี  เมื่อกี้คุณปู่พูด?

“คุณปู่พูดว่าอะไรครับ”  พีทถลาเข้าหาเตียงผู้ป่วย 

“ทะ ทะ” เสียงแหบแห้งพยายามจะเอ่ย  ดวงตาของคุณปู่จ้องมาที่เขาเขม็งราวกับต้องการสื่อสาร

“ทะเลหรือเปล่าครับคุณชาย  คุณฟงชอบที่นั่น  ที่โรงแรมติดทะเล ติดกับหาดส่วนตัวของคุณชายไงครับ”  เจเจหันมาทางเขา  ดวงตามีความหวัง

“ปู่อยากไปทะเลหรือครับ” 

พีทเห็นแววตารับรู้ของคุณปู่ที่จ้องกลับมา

“ถ้างั้นพีทจะพาคุณปู่ไป!”



หมออนุญาตให้ถอดเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ช่วยชีวิตออกได้ พีทกับเจเจร้องไห้รับสภาพนั้น  การถอดเครื่องช่วยพวกนี้หมายความว่าเวลาสุดท้ายของคุณปู่เหลืออีกไม่นานแล้ว 

พีทใจเต้นตอนที่กดโทรศัพท์ไปหาพี่ฮั่น  แต่กลับติดต่อไม่ได้จึงโทรไปบอกพ่อและคุณโรสว่าคุณปู่ต้องการอากาศบริสุทธิ์  เขาก็เลยจะไปอยู่เป็นเพื่อนและขอให้พ่อจัดการเรื่องการฝึกงานของเขา   

พ่อรับปากจะจัดการให้และบอกว่าพี่ฮั่นบินด่วนไปญี่ปุ่นหลายวันแล้วตั้งแต่เช้ามืดก่อนที่พีทจะกลับจากทะเล

เขากับเจเจเห็นพ้องกันที่จะพาคุณปู่มาที่นี่เป็นที่สุดท้าย  ตามความปรารถนาของท่าน  เจเจยื่นสมุดบันทึกเล่มหนาให้เขาและบอกให้ดูหน้าสุดท้าย  มันบันทึกไว้เมื่อหลายปีก่อน

“ฉันขอตายที่หาดของเรา  ที่ที่เราเจอกันครั้งแรก  ขออยู่เป็นที่สุดท้าย”





ตั้งแต่มาถึงโรงแรม  พีทเอาแต่นั่งอยู่ข้างคุณปู่ฟงที่นั่งเก้าอี้ล้อเข็นตรงระเบียงห้องพักของโรงแรมเป็นเวลานาน   พวกเขาเอาแต่เหม่อมองไปที่ทะเล  มองคลื่นสีขาวม้วนตัวกระแทกหาดทราย  เขาหัวเราะเยาะกับตัวเองเมื่อตระหนักอีกอย่างหนึ่งว่าเขากับคุณปู่เหมือนกันมากเพียงใด 

พวกเขารักทะเลเหมือนกัน  ใช้เวลาร่วมกันครั้งละหลายชั่วโมง  ทำเพียงแค่นั่งมองน้ำซัดเข้าหาฝั่งอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย

คุณปู่ดูเหมือนอาการดีขึ้นเมื่อได้อากาศบริสุทธิ์  พยาบาลส่วนตัวที่ช่วยดูแลคอยหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าให้คุณปู่ฟัง  เธอบอกว่าจะช่วยกระตุ้นการรับรู้ได้บ้าง




เกือบสัปดาห์แล้วที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่  อาการของคุณปู่ยังคงทรงตัว  ไม่ทรุดหนักแต่ก็ไม่ดีขึ้น  คุณปู่มีไข้ขึ้นสูงติดกันหลายคืน เขา เจเจ และพยาบาลผลัดกันคอยดูแลและเช็ดตัวให้คุณปู่   พวกเขาหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืนเพราะคุณปู่เพ้อหนักแต่เสียงร้องนั้นไม่เป็นคำชัดเจนนัก  พยาบาลต้องคอยดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา  เธอบอกว่าคุณปู่อาจจะช็อกขึ้นมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่งก็ได้ 

พวกเขาสบตากันอย่างเข้าใจเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก 

คืนนี้เป็นคืนที่คุณปู่อาการทรุดลง   ร่างกายไม่รับอาหารใดแม้แต่น้ำ  พวกเขาได้แต่คอยเช็ดตัวและผลัดกันเฝ้าไข้

ความรู้สึกดำทะมึนดั่งยมทูตกำลังคืบคลานเข้ามาที่ห้องพัก  ใกล้เข้ามาทุกขณะประหนึ่งคืนนี้เป็นคืนสุดท้าย

ใกล้รุ่งแล้วเมื่อพีทเห็นแสงสีส้มชำแรกออกจากขอบฟ้า  เขาอ่อนเพลียแทบลืมตาไม่ไหวเพราะอดนอนติดต่อกันหลายคืน 
พยาบาลซบหลับกับเก้าอี้นวมข้างเตียง  มีเพียงเจเจที่ยังฮึดสู้   

แสงอาทิตย์สว่างขึ้นทุกขณะแต่ดวงตาเขากลับค่อย ๆ ปิดลงเพราะความเหนื่อยอ่อน  ในที่สุดเขาก็หลับไปบนโซฟาใหญ่ในห้องนั้นพร้อมกับที่ประตูห้องพักเปิดออก

เจเจเป็นเพียงคนเดียวที่ตื่นอยู่  เขาเบิกตามองคนที่เข้ามาในห้องนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา 

คุณฟงก็เช่นกัน  ดวงตาที่เหม่อลอยตลอดเวลาของคุณฟงมองจับใบหน้านั้นเขม็งเหมือนกลับมารับรู้อีกครั้งหนึ่งอย่างมหัศจรรย์

“หลิว” 

เสียงแหบแห้งของชายชราเอ่ยขึ้น 

เจเจทั้งดีใจและตกใจที่ได้ยินคุณฟงพูด  หลายวันที่ผ่านมาคุณฟงไม่มีแรงแม้แต่จะกลืนอาหาร  แต่ตอนนี้คุณฟงกลับมาพูดเหมือนปกติ 

“นายมารับชั้นแล้วใช่ไหม” คุณฟงยังพูดต่อไป  ดวงตาจ้องตรงไปยังใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำของตนตลอดสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา

“ผมไม่ใช่คุณตา”  ผู้มาเยือนเอ่ยตอบ

“หลิว ชั้นไม่ขอโทษหรอกนะ ที่ทำลงไปทั้งหมด เป็นเพราะนาย” 

คุณฟงยังจ้องไปที่ดวงตาคู่นั้นอย่างดื้อดึงไม่เคยเปลี่ยน  ภาพความหลังครั้งเก่าไหลผ่านดวงตาของชายชราช้า ๆ 

ครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันที่นี่  ทะเลาะกันเพราะไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่แรก  แต่เหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นทำให้พวกเขากลายมาเป็นเพื่อนรักกัน พวกเขาผูกพันและมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน   

ภาพเจ้าของดวงตาเรียวที่จากไปเพื่อทำหน้าที่ของลูกชายผู้สืบสกุลเป็นภาพสุดท้ายที่อยู่ในความทรงจำของคุณฟง

“แต่ผมยกโทษให้” 

ดวงตาที่จ้องกลับมาไม่มีความโกรธเกลียดอีกต่อไป  กลับมีแต่ความสงสารเมื่อเห็นสภาพของคนที่เคยทำร้ายเขา   คนที่ทำร้ายคุณฟงไม่ใช่คุณตาแต่เป็นความเคียดแค้นภายในจิตใจของคุณฟงเองต่างหากที่กัดกินความสุขของชีวิตที่เหลือ  คงไว้แต่ความทุกข์ใจแม้ใกล้วาระสุดท้ายของชีวิต

“นายทำกับชั้นแล้ว  นายยังทำร้ายหลานของชั้นด้วย”   เสียงแหบแห้งนั้นยังเอ่ยต่อเหมือนระบายความรู้สึกคับแค้นใจออกมา
   
“ผมไม่เคยคิดทำร้ายพีท” 

สายตาคนพูดเปลี่ยนไปจับอยู่ที่คนที่นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลียบนโซฟาตัวใหญ่  พีทยังคงหลับไม่รับรู้เรื่องราวใด

“ไม่ทำร้ายเหรอ  หลิว  นายเห็นสภาพของชั้นไหม  ตลอดเวลาที่ผ่านมาสี่สิบกว่าปีชั้นไม่เคยมีความสุขเลย  พีทก็กำลังจะเป็นเหมือนกัน”

“ไม่!” 

เขาหันกลับมาอีกครั้ง  กล่าวปฏิเสธเสียงแข็ง  เขาจะไม่ปล่อยให้พีทตกอยู่ในสภาพเดียวกับชายชราตรงหน้าเขาเช่นนี้

“นี่คือความรักของนายสินะ ความหวังดีลม ๆ แล้ง ๆ ที่นายอ้างมาตลอด  หน้าที่ความรับผิดชอบของตระกูล หน้าตาทางสังคม หึ  ข้ออ้างทั้งนั้น”  ดวงตาขาวขุ่นที่มองตรงมายังไม่ลดความโกรธแค้น 

“ไม่ใช่”  ไม่อีกแล้ว  พีทจะไม่ต้องเสียใจอีกแล้ว

“นายไม่เคยรักชั้นเลย  นายรักแต่ตัวเอง  รักหน้าตา  ศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล  สิ่งจอมปลอมพวกนั้น”

“แต่ผมรักพีท”   คำตอบนั้นมั่นคงยิ่งนัก

แต่คุณฟงนั้นไม่เชื่อสักนิด  เขาเคยได้ยินคำพูดพวกนี้ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว 

‘คราวนี้นายยังพูดเหมือนเดิมอีกเหรอ หลิว นายไม่เคยเปลี่ยนไปเลย  แต่คราวนี้ชั้นไม่เชื่อนายอีกแล้ว’

“หึ  แค่ลมปากเท่านั้น  หลิว  สุดท้ายแล้วนายก็เลือกลิลลี่”

“ดูให้ดี  ดูวาระสุดท้ายของชั้นให้ดี  เป็นเพราะนาย  หลิว....”



“คนทรยศ”



นั่นคือคำสุดท้ายที่คุณฟงมีโอกาสพูด

เสียงร้องไห้โหยหวนของเจเจปลุกพีทและพยาบาล   

พยาบาลตรงเข้าตรวจชีพจรอย่างรวดเร็ว  เปิดเปลือกตา  ฟังเสียงเต้นของหัวใจและเริ่มต้นปั๊มหัวใจ  เธอทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา  จนในที่สุดเธอก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง 

พีททำอะไรไม่ถูก ได้แต่ผวาเข้าไปจับมือของคุณปู่ฟงไว้ 

เขาจับมือที่ยังอุ่นจนกระทั่งมันเย็นเฉียบ  จนกระทั่งมีมือใครบางคนเข้ามาดึงตัวเขาออกไป

ไม่มีคำพูดใด  มีเพียงอ้อมแขนที่กอดเขาไว้  มืออบอุ่นที่ลูบหลังเขาตลอดเวลา  พีทแทบจะไม่รับรู้สิ่งใดอีก  เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นหนัก
 
และทิ้งตัวเองไว้ในอ้อมแขนของ....พี่ชาย....

----------------------------------------


 :mew1: :mew1: :mew1:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 53 หน้า 9 อัพเดต 24/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 24-12-2014 22:20:11
พีทไม่ได้ครึ่งของปู่ฟงสักนิด เข้าใจง่ายทำใจง่ายเกินไป คนที่ทิ้งความรักไปโดยที่อ้างหน้าที่หรือคนอื่นรอบตัวหน้าทางสังคม. คนๆนั้นไม่มีค่าที่เราจะอภัยให้เลยสักนิด ที่ปู่ทำร้ายฮั่นอันนั้นไม่ถูกก็จริงเพราะฮั่นไม่ใช่ตาหลิว แต่เรื่องที่ปู่แค้นจนลมหายใจสุดท้ายนี่ไม่ผิดเลยสักนิด ถึงศาสนาพุทธจะบอกว่าให้อภัยอโหสิกรรมไม่คิดแค้นคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ความเจ็บแค้นของคนเราไม่เหมือนกันไม่เท่ากันนี่นา จะให้หายแค้นง่ายๆได้ไงล่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 53 หน้า 9 อัพเดต 24/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 24-12-2014 22:44:25
ปู่ฟงไม่ผิด เลยนะ แต่ปู่น่าสงสารมาก ไม่รู้จักคำว่าให้อภัย ปู่คงรักคุณตาหลิวมากเกินไป รักแบบต้องการหวังครอบครอง แต่ในขณะที่ถ้ามองมุมขอฝคุณตาหลิว คุณนาหลิวก็ไม่ผิด ในเมื่อเขามีหน้าที่ และวงศ์ตระกูลที่จำเป็นต้องรักษาไว้ ความรัก มันไม่ผิด แต่จะผิดก็ต่อเมื่อทำร้ายคนอื่น ถ้าคุณตาหลิวไม่แต่งงาน ก็เท่ากับสร้างความทุกข์ให้พ่อ ให้แม่ ไม่รู้สิ ยังไง ปู่ฟงก็ จงจมไปกับความแค้นต่อไป ส่วนฮั่น ขอให้คิดได้ไว ๆ หน้าที่ กับหัวใจ บางครั้งมันก็จำเป็นต้องสวนทางกัน แต่ถ้ามันเดินไปด้วยกันได้คงจะดี
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 53 หน้า 9 อัพเดต 24/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 25-12-2014 12:07:36
แงงงปู่ฟงไปแล้ว
เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้เองสินะ
พี่ฮั่นที่บอกจะไม่ทำให้พีทเสียใจขอให้พูดจริงเถอะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 53 หน้า 9 อัพเดต 24/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 25-12-2014 12:54:44
สงสารปู่ฟงนะ ไปสบายแต่ก็ยังมีความแค้น
ฮั่นอย่าเดินรอยตามคุณตาหลิวก็แล้วกันนะ
เผื่อปู่ฟงแกคอยดูอยู่ แกอาจจะไม่ต้องห่วงพีทอีก
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 53 หน้า 9 อัพเดต 24/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 26-12-2014 05:47:58
แต่เราชอบที่น้องพีททำใจง่ายๆและเข้าใจง่ายๆนะ แต่ถึงจะไม่เข้าใจเราก็คิดว่าไม่เป็นไรถ้าน้องจะไม่โกรธพี่ฮั่น..


โกรธไปตัวเองก็ทุกข์เราอยากให้น้องทำใจให้ได้แล้วถอยจากพี่ฮั่นเองมากกว่าค่ะถึงพี่ฮั่นจะเลิกบื้อขึ้นมาก็เถอะ เซ็งฮีค่ะ ให้น้องพีทไปหาคนอื่นที่ดีกว่าแทน :laugh:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 53 หน้า 9 อัพเดต 24/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 26-12-2014 09:23:13
สงสารปู่ฟง สงสารพีท :ling2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 53 หน้า 9 อัพเดต 24/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 17-01-2015 12:11:43
:)  :)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 53 หน้า 9 อัพเดต 24/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: arissara ที่ 19-01-2015 00:00:25
มาถึง ตรงนี้คือ หัวใจ  สักทีสินะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 53 หน้า 9 อัพเดต 24/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 20-01-2015 13:46:22
:)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 53 หน้า 9 อัพเดต 24/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 21-01-2015 22:20:37
54. ก่อนคริสต์มาส


งานศพคุณปู่ฟงผ่านพ้นไปแล้ว  กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศที่อดีตนักธุรกิจตระกูลดังได้เสียชีวิตลง  ตระกูลหยางที่ยิ่งใหญ่เหลือทายาทเพียงสองคนคือ  พ่อกับเขา

คุณโรสกอดสองพ่อลูกไว้ในอ้อมแขนเล็ก ๆ ของเธอ  พวกเขาแทบไม่พูดอะไรกันเลยตั้งแต่คุณปู่ฟงเสียชีวิต  ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตน 

พีทแทบจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลย  เขาเอาแต่โศกเศร้าที่คุณปู่จากไป ได้แต่ทำทุกสิ่งทุกอย่างตามที่พี่ฮั่นกระซิบบอกอยู่ข้างหู  พี่ฮั่นเป็นคนที่เข้ามาจัดการงานศพของคุณปู่อย่างสมเกียรติแทนคุณพ่อ  เพราะคุณพ่อก็เพิ่งรับหน้าที่ผู้ว่าการรัฐคนใหม่  ยังต้องยุ่งอยู่กับการทำงานหนัก  พี่ฮั่นจึงเป็นคนจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง  จนกระทั่งทุกอย่างสิ้นสุดลง



“พีท” พี่ฮั่นเข้ามากอดเขาไว้แน่นเมื่อพวกเขากลับถึงบ้าน  พีทได้แต่ปล่อยตัวเองให้อยู่ในอ้อมแขนพี่ฮั่น

‘พี่ชาย  พี่ชาย  พี่ชาย’ เขาท่องไว้ในใจ 

เมื่อพวกเขาคลายอ้อมกอด  พีทก็ยิ้มให้พี่ฮั่นได้อย่างสนิทใจ

“พี่เลิกเกลียดคุณปู่ได้ไหม” 

นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดมาตลอดตั้งแต่ไปอยู่กับคุณปู่ที่ทะเล  แม้จะรู้ว่าสิ่งที่คุณปู่ทำกับพี่ฮั่นมันร้ายแรงขนาดไหน  แต่เขาก็หวังเหลือเกินว่าอยากให้พี่ฮั่นให้อภัยคุณปู่ของเขา 

“พี่ยกโทษให้เขาแล้วล่ะ” 

พี่ฮั่นมองเขา  ยกมือใหญ่วางบนผมแล้วโยกหัวเขาไปมา  พีทคว้าข้อมือใหญ่ของพี่ฮั่นไว้  มองตรงเข้าไปในดวงตา

“พี่ไม่โกรธคุณปู่จริง ๆ นะ”  เขาเขย่ามือพี่ฮั่นอย่างต้องการความแน่ใจ

พี่ฮั่นพยักหน้าให้  มองตรงมายังดวงตาเขาเช่นกัน

“ขอบคุณครับ”  พีทยิ้มอย่างยินดี 

ต่อนี้ไปพวกเขาคงจะกลับมาเป็น ‘ครอบครัว’  เหมือนเดิมสักที



เวลานี้ใกล้ถึงเทศกาลคริสต์มาสแล้ว  อากาศหนาวเย็นทำให้ผู้คนต้องห่อร่างของตนภายใต้เสื้อกันหนาวตัวหนา  บรรยากาศทั่วทั้งเมืองเริ่มคึกคักเมื่อใกล้เทศกาลสำคัญ 

โรงแรมสาขาใหม่ของตระกูลหยางก็เริ่มตกแต่งประดับประดาด้วยริบบิ้นสีแดงและเขียว  กลางโดมสูงของโรงแรมได้ตั้งต้นคริสต์มาสความสูงขนาดตึกสามชั้น  ประดับด้วยกล่องของขวัญและลูกไฟหลากสีสวยงาม  กลายเป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวมักจะเข้ามาถ่ายรูปและเข้าร่วมเทศกาลช็อกโกแลตที่โรงแรมจัดขึ้น

พีทกลับไปฝึกงานต่อแม้ว่าจะยังคงเศร้าอยู่มาก  เขาทำทุกอย่างเหมือนที่ผ่านมา  เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนการฝึกงานก็จะสิ้นสุดลง  เขากับพี่โดมกลับไปซ้อมวงหลังจากที่ไม่ได้ซ้อมร่วมกันมานานร่วมเดือนเพราะพวกเขาต้องเล่นดนตรีในวันคริสต์มาสอีฟ  ซึ่งเป็นงานรื่นเริงประจำปีของมหาวิทยาลัย และปีนี้เป็นปีสุดท้ายของพวกเขาแล้ว  ทุกคนจึงตั้งใจจะเล่นกันให้เต็มที่เพื่อส่งท้าย

วันนี้เป็นวันแรกที่พีทไปซ้อม  ริทแอบเข้ามากระซิบถามเขาทันทีที่เจอหน้ากัน  พีทบอกแค่ว่าเขากับพี่ฮั่นกลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม แม้จะเจ็บปวดที่ต้องเล่าเรื่องนี้ให้ริทฟัง  แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางเพื่อน ๆ พีทกลับพบว่าเขาทนได้มากขึ้น  ริทมองหน้าเขาอย่างไม่เชื่อแต่ไม่พูดอะไร  ตบไหล่เขาอย่างให้กำลังใจแล้วถอยไปซ้อมต่อ 

เพราะไม่ได้ซ้อมกันมานาน  วันนี้พวกเขาจึงใช้เวลาเล่นดนตรีร่วมกันเกือบสี่ชั่วโมง  เสียงพี่แทนบ่นตลอดเวลาเพราะริทมักทำให้ทั้งวงเสียจังหวะด้วยการเสนอเพลงใหม่ ๆ ให้พวกเขาเล่นในงานวันคริสต์มาสอีฟที่ใกล้เข้ามา 

การได้เล่นดนตรีร่วมกับเพื่อน ๆ  ทำให้เขาคลายความโศกเศร้าจากการสูญเสียคุณปู่ลงได้บ้าง  ดนตรีทำให้เขามีความสุขเสมอ

กว่าพีทจะกลับถึงบ้านเป็นเวลาดึกแล้ว  เขาเดินเข้าบ้านที่เงียบสงบ  เมื่อกลับเข้าห้องตัวเองก็ต้องแปลกใจ  ห้องนอนเขาเปิดไฟหัวเตียงทิ้งไว้  แสงนวลตาทำให้เห็นคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

‘พี่ฮั่น?  มานอนห้องเขาทำไมเนี่ย  แล้วจะทำยังไงล่ะ?’ 

พีทยืนนิ่งอยู่นาน  จากนั้นจึงตัดสินใจไปอาบน้ำ

หนุ่มน้อยขยับตัวลงนอนบนเตียงอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวจะทำให้คนที่นอนหลับไปก่อนแล้วสะดุ้งตื่น  เขานอนนิ่งที่ริมเตียง  ยังตาสว่างอยู่แม้จะดึกมากแล้ว
 
เมื่อได้กลับมาอยู่กับตัวเองเขาก็กลับไปคิดวนเวียนถึงเรื่องของคุณปู่ ได้แต่เสียดายที่คุณปู่มัวแต่จมอยู่กับความโกรธจนไม่ยอมยกโทษ ไม่ยอมเข้าใจคุณตาหลิว  ชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณปู่จึงไม่มีความสุขเลย 

พีทสัญญากับตัวเองไว้ว่า  เขาจะต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตเหมือนคุณปู่โดยที่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำใจเรื่องพี่ฮั่นได้วันไหน 

อาจจะเร็ว ๆ นี้  ปีหน้า  อีกสองสามปี หรืออาจจะไม่มีวันนั้นเลยก็ได้

เหมือนคุณปู่ฟง เหมือนคุณพ่อที่มีรักแท้เพียงครั้งเดียว   

‘เฮ้อ’ เขาพ่นลมหายใจแผ่วเบากับตนเอง  พ่อเขาโชคดีจริง ๆ

ความคิดย้อนกลับไปอีกเรื่องที่ยังไม่ได้รับคำตอบ คือเรื่องที่เขาคุยกับพ่อในคืนนั้นที่โรงพยาบาล  หลังจากวันนั้นพ่อกับเขาก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีกเลย พ่อทำงานยุ่งเสมอ  และมีเรื่องอื่นเกิดขึ้นตั้งมากมายทำให้เขาไม่มีโอกาส  แต่เวลานี้เขากับพ่อคงไม่จำเป็นต้องคุยกันเรื่องนี้อีกแล้ว   บางทีพ่ออาจจะโล่งใจที่เขาจะทำลืมเรื่องนี้ไปเสีย



หลังจากที่เขาบอกพ่อไปแล้ว  พ่อนิ่งเงียบไปนาน  เขารู้ว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากสำหรับพ่อ  แต่ในที่สุดพ่อก็เอ่ยขึ้นมา

“พีทพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง  พ่อรู้อยู่แล้วว่าลูกน่ะรักพี่ฮั่นมาก ใคร ๆ ก็รู้” 

พีทรู้ว่าพ่อเข้าใจความหมายของเขาตั้งแต่ครั้งแรกแต่เขาก็อธิบาย

“มันไม่เหมือนเดิมครับ มันเปลี่ยนไป ผมรักเขาเหมือนคนรัก รักแบบที่คุณพ่อรักคุณโรส”

พ่อเขาเงียบไปอีก พีทมองใบหน้าของพ่อนิ่ง ช่วงเวลาที่เงียบงันระหว่างเขากับพ่อก่อให้เกิดบรรยากาศของความอึดอัด 

“เอาแบบนี้แล้วกัน  พ่อขอเวลาคิดอะไรสักพักนะ  แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่ ได้ไหมพีท”  เสียงพ่ออ่อนโยนเหมือนเคย 

“ครับพ่อ” 

เท่านี้  ก็ดีกว่าที่เขาคาดหวังไว้แล้ว 




พ่อยังคงทำงานหนัก ออกพื้นที่  ดูแลประชาชน  ไปโน่นมานี่ไม่ได้หยุดหย่อน  คุณโรสก็พลอยยุ่งไปด้วยเพราะต้องออกงานสังคม งานการกุศลอีกมากมายทั้งที่ไปในนามภรรยาผู้ว่าการรัฐและไปเป็นตัวแทนคุณพ่อ 

แต่ตอนนี้ปล่อยให้มันเงียบหายไปตามเวลาที่ผ่านไปน่ะดีแล้ว  ให้มันเลือนหายไป

เตียงสั่นเหมือนพี่ฮั่นกำลังขยับตัวทำให้ความคิดเขาสะดุด  คนที่ยังไม่หลับนิ่งทันที  แต่แล้วเขากลับต้องตกใจเมื่อวงแขนแข็งแรงของพี่ฮั่นขยับมารวบตัวเขาไว้จากด้านหลังแล้วลากเขาเข้าไปนอนกลางเตียง

“พี่!  ทำอะไรเนี่ย”

เขาตกใจ หันหน้ากลับไป หน้าเขาแทบจะชนเข้ากับหน้าพี่ฮั่นที่นอนตะแคงหันหน้ามาทางเขา 

“ทำไมนอนซะริมขนาดนั้น  เตียงออกจะกว้าง”  พี่ฮั่นว่า ยังไม่ขยับใบหน้าหนีไปไหน  แววตาที่เขาเห็นในความมืดดูวาววามคล้ายเสือกำลังจะล่าเหยื่อ  ทำให้เขาขนลุก

“ก็ ก็  ไม่มีอะไร”  พีทหันหน้ากลับ

“แล้วไปซ้อมดนตรีทำไมไม่บอก  คราวหน้าจะไปไหนต้องโทรบอกพี่ทุกครั้ง  เป็นห่วงรู้ไหม”  ท้ายประโยคพี่ฮั่นลากเสียงนุ่มอ่อนโยน 

“ทำไมต้องบอกด้วยมันเรื่องของผมนี่  แล้วพี่ทำอะไรเนี่ย” 

แขนเข็งแรงนั้นกระชับเข้ามา

“ก็กอดพีทไง  ตัวเราเย็นขนาดนี้” 

พี่ฮั่นขยับเข้ามาใกล้อีก  ร่างที่แนบอยู่ด้านหลังอุ่นจัดทำให้คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ รู้สึกอุ่นสบาย  แต่เขาจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้

“เฮ้ยพี่ ปล่อย ผมอึดอัด”   พีทพยายามงัดแขนที่กอดเขาไว้  แต่เหมือนกับเอาไม้จิ้มฟันไปงัดท่อนซุงยังไงยังงั้น

“เมื่อก่อนพีทยังนอนกอดพี่ได้เลย  คราวนี้พี่กอดบ้างไม่ได้รึไง  ไม่รู้ล่ะห้ามเถียง แล้วก็นอนได้แล้ว” 

ไม่พูดเปล่า   พี่ฮั่นจับไหล่เขาให้หันกลับมาแล้วพลิกตัวเขาให้นอนตะแคงหันหน้าเข้าหา  พี่ฮั่นทำเหมือนเขาเป็นหมอนข้าง  สองมือกอดเขาไว้  ขาอีกข้างก็ก่ายล็อกแน่นหนา  พีทแทบหายใจไม่ออก  เขาพยายามดิ้นอยู่ครู่กลับทำอะไรไม่ได้จึงถอนหายใจแรงอย่างตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน

‘พี่ฮั่นทำแบบนี้ไม่ดีเลย ทำให้เขาใจเต้นแรงอีกแล้ว แล้วเมื่อไรเขาจะทำใจได้สักที’

ไม่นานร่างที่นอนเกร็งนั้นก็ค่อยผ่อนคลายตัวเอง  กลับขยับเข้าไปแนบชิดมากขึ้นเหมือนต้องการไออุ่นจากคนที่กอดเขาอยู่ ซุกหน้าที่ซอกคอหนา  เอื้อมมือไปกอด  ‘พี่ชาย’ ไว้บ้าง 

‘ขอแค่คืนนี้  พรุ่งนี้ค่อยเริ่มต้นใหม่’
  พีทคิดอย่างเหนื่อยล้าก่อนค่อย ๆ จมสู่นิทรารมย์

คนกอดอมยิ้มในความมืดกับคนขี้เซาในอ้อมแขน  หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง  เขาจะหลับได้ยังไง  ก็ลมหายใจอ่อนรดซอกคออยู่แบบนี้  มันกลับทำให้เขายิ่งตาสว่างกว่าเดิมซะอีก

---------------------------------



ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะกลับไปสู่ ‘สภาพเดิม’ อย่างแท้จริง เมื่อวันนี้มีเสียงโวยวายของคุณชายรับอรุณ   พีทเดินโวยวายออกจากบ้านริมสระเพราะพี่ฮั่นแอบเอากุญแจรถเขาทุกคันไปซ่อน  ไม่ยอมให้เขาขับรถไปทำงานเองทั้งที่เขาบอกแล้วว่าต้องไปซ้อมดนตรีกับพี่โดมต่อหลังจากเลิกงาน

“ก็เดี๋ยวพี่ไปส่ง”  คนพี่ว่า

พีทพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน  อ่อนใจกับความดื้อของพี่ฮั่น

“พี่จะตามไปทำไมล่ะ  ไม่มีใครทำอะไรผมหรอกน่า  พ่อก็เป็นผู้ว่าการรัฐแล้ว พรรคโน้นก็ถูกยุบไปแล้ว  อีกอย่าง...” พีทหยุดแล้วกลับหันมาเผชิญหน้าคนที่เดินตามหลังเขา

“ผมก็พกปืนแล้วด้วย   คราวนี้ใครหน้าไหนที่มันกล้าเข้ามา  โดนส่องแน่!!”  น้องชายว่าเสียงเอาจริง ไม่รู้ว่าหมายถึงพวกศัตรูหรือต้องการขู่คนตรงหน้ากันแน่

คนเป็นพี่แอบกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินว่าพีทพกปืน   ตั้งแต่พีทยิงเจเจกับลูกน้องไปคราวนั้นดูเหมือนพีทจะ ‘แกร่ง’ มากขึ้น  เหมือนคนที่ก้าวข้ามความกลัวภายในจิตใจตนเองได้แล้วก็กลับเข้มแข็ง  พีทไม่กลัวที่จะยิงปืนออกไปอีกแล้ว  แต่การค้นพบว่าตัวเองควบคุมมันได้ต่างหากที่ทำให้พีทมั่นใจที่จะใช้มันเพื่อป้องกันตัวเอง
 
แล้วยิงแม่นขนาดนั้น  แค่คิดคนพี่ก็เริ่มสยอง  แต่ยังพยายามยิ้มสู้

“ก็อยากไปเฝ้านี่  พีทน่ารัก  เดี๋ยวมีใครฉกไป”  พี่ฮั่นพูดหน้าตาเฉย 

“อะไรเนี่ย พี่พูดอะไร ใครจะ...”

พีทได้ยินประโยคนั้นก็ทำตัวไม่ถูก  เขาหันหนี  ก้าวเท้าเร็ว ๆ ออกไปหน้าบ้าน  หน้าบึ้ง 

ทำไมพี่ฮั่นพูดแบบนี้  พี่ฮั่นไม่เคยพูดลักษณะนี้กับเขามาก่อน  แต่ขณะเดียวกันเขาก็อดรู้สึกเขินไม่ได้  อะไรกันเนี่ย?

คนเป็นพี่เดินตามมาล็อกคอเขาไว้แล้วลากเขาไปขึ้นรถ  แทบจะยัดเขาใส่รถเลยทีเดียว




ทุกคนในวงยิ้มแย้มเฮฮาเมื่อเห็นพี่ฮั่นแวะมาที่ห้องซ้อมด้วย   เสียงคนในวงทักทายพี่ฮั่นดังขรมในห้องซ้อมทีเดียว   พีทมองอย่างขัดใจ  เขาไม่เข้าใจเลยว่าพี่ฮั่นจะมาทำไม  พี่ฮั่นทำแบบนี้แล้วเมื่อไรเขาจะตัดใจได้สักที 

อยู่ ๆ คนที่ทักคนโน้นคนนี้ไปทั่วก็หันมาเหมือนรู้ว่าเขากำลังมองอยู่  พี่ฮั่นส่งยิ้มให้เขาทำให้พีทรีบหันหน้าหนี  ตลอดการซ้อมสามชั่วโมง  พี่ฮั่นก็ทำให้เขาไม่มีสมาธิเพราะเขารู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา 

ริทที่แอบมองทั้งสองคนตั้งแต่แรกแอบส่งสัญญาณให้พี่โดมสังเกตคนทั้งคู่  ไม่มีใครเห็นว่าริทกับโดมลอบยิ้มให้กันอย่างรู้กันสองคน

หลังเลิกซ้อมแล้วพี่ฮั่นก็เดินแจกน้ำให้ทุกคนเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ  ทำให้คนน้องปรายตามองอย่างหมั่นไส้
 
‘ทำยังกะตัวเองเป็นสมาชิกในวงงั้นแหละ’

พีทรับขวดน้ำขึ้นดื่มอย่างกระหายแต่ยังคงส่งสายตาไม่ชอบใจไปที่พี่ชาย   คนเป็นพี่กลับยิ้มให้อย่างไม่สะทกสะท้านกับสายตาเหวี่ยงของคุณชาย  เอ่ยแซว

“จะกินน้ำหรือจะเหวี่ยงก็เลือกเอาสักอย่างสิพีท” 

พีทแทบสำลักน้ำเพราะพี่ฮั่นกลับมากวนประสาทเขาอีกครั้ง  เขาลดขวดน้ำที่กำลังดื่มลง  หันมาเอาเรื่องพี่ชายจอมกวนทันที

“ผมจะทำมันทั้งสองอย่างนี่แหละ ทำไม พี่มีปัญหาเหรอ”  เขาโวยวาย หน้าบูดขึ้นอีกเท่าตัว 

“ไม่มีปัญหาหรอก  พีทจะทำอะไรพี่ไม่กล้าว่าหรอก  พี่กลัว”  คนพี่บอกว่ากลัวแต่หน้าตาท่าทางนั้นไม่เป็นอย่างที่พูดเลยสักนิด  กลับทำหน้าทำตาล้อเลียนกวนประสาทพีทมากขึ้นไปอีก

“หนอย  พี่ฮั่น  อย่ามากวนประสาทผมนะ  คนยิ่งอารมณ์เสียอยู่  พี่จะกวนอะไรนักหนาเนี่ย  ถ้าพี่มาแล้วมากวนประสาทผมแบบนี้อย่ามาเลยดีกว่า  นี่ ได้ยินที่ผมพูดไหม  ยิ้มอะไรเนี่ย......” 

พีทยิ่งโมโหมากขึ้น  เดินเข้าไปใกล้พี่ชายอย่างเอาเรื่อง  ทำให้พี่ชายต้องถอย   ตากลม ๆ นั้นจ้องไปที่คนที่ยิ้มมุมปากเหมือนถูกใจอะไรบางอย่าง  พีทบ่นชุดใหญ่ใส่พี่ชาย  แทบจะผลักพี่กระแทกผนังอยู่แล้ว

ทุกคนในห้องซ้อมหันมามองสองคนที่ยืนทะเลาะกันอีกมุมหนึ่งอย่างงุนงงที่เห็นพีทโวยวายขนาดนั้น   แค่พี่ฮั่นพูดเล่นด้วยเท่านั้นเอง   แต่ดูเหมือนทั้งสองคนจะไม่รู้ตัวว่าคนอื่นในวงกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่  ริทหันไปพยักพเยิดกับโดมพลางยิ้มสนุกสนานที่ได้เห็นอะไรแบบนี้  คราวนี้ไม่ต้องแอบทำเลยเพราะพีทไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัวสักนิด

“พี่อย่าทำให้ผมโมโหนะ....”

พีทดึงเสื้อยืดของพี่ชายไปมาอย่างขัดใจ  ส่วนพี่ชายนั้นถอยจนประชิดกำแพงด้านหลังแล้ว  กำลังยกมือทั้งสองข้างขึ้นระดับอกทำท่าเหมือนยอมแพ้แต่ยังยิ้มระรื่น  ในที่สุดเมื่อทั้งสองคนยังไม่รู้ตัวสักที  แทนจึงตัดสินใจเข้าไปห้ามศึกสองพี่น้องตระกูลหยาง

“เฮ้ย  พีท  พอเหอะ อย่าบ่นเลยน่า  มา  มาทางนี้ดีกว่า” 
 
แทนเข้าไปกอดคอพีทดึงตัวออกห่างจาก ‘ตัวต้นเหตุ’   พีทถูกแทนดึงตัวแยกออกมาอีกมุมหนึ่ง  โดยที่เขาไม่โวยวายอะไรกลับปล่อยให้แทนดึงตัวไปอย่างง่ายดายทำให้ ‘ตัวต้นเหตุ’ มองอย่างแปลกใจ   

‘ทีกับคนอื่นไม่เคยว่า ไม่เคยโวยเลยนะพีท  กับพี่นี่ใส่เอา ใส่เอาเป็นชุดเชียวนะ’

เขายังคงเฝ้ามองน้องชายต่อไป  พีทเลิกทำหน้าบูดแล้ว  กลับไปพูดคุยอะไรบางอย่างกับแทนซึ่งดึงกระดาษแผ่นใหญ่ขนาดเท่าโปสเตอร์หนังออกมาวางบนโต๊ะที่เกลื่อนด้วยสมุดโน๊ตเพลง  ไม้ตีกลอง  กระดาษ  ปากกาหลากสี  จากนั้นคนทั้งคู่ก็ไม่สนใจใครอีกเพราะพีทกำลังวาดอะไรบางอย่างลงบนกระดาษนั้นพร้อมกับอธิบายไปด้วย   

ภาพพีทที่ก้มหน้าชี้ไม้ชี้มือบนกระดาษกับแทนอย่างจริงจังทำให้เขาเฝ้ามอง  ไม่รู้ตัวเลยว่ายิ้มกว้างแค่ไหน  แต่ไม่นานรอยยิ้มนั้นก็เริ่มจางลงไปทุกขณะ  เมื่อเห็นคนทั้งคู่ขยับมาพูดคุยกันใกล้มากขึ้น 

‘คุยอะไรกันนักกันหนาเนี่ย  ทำไมต้องใกล้ขนาดนั้น  หน้าแทบจะชนกันอยู่แล้ว’

ทนไม่ไหว  ขายาวจึงก้าวเข้าไปที่โต๊ะที่ทั้งสองคนยืนอยู่

“ทำอะไรกันอ่ะ พีท”  เอ่ยถามน้องชายที่กำลังลากดินสอไปมา

“ถ้าลองแบบนี้ล่ะ ดีขึ้นไหม  ชื่อพวกเราก็ใส่แค่ชื่อเล่นก็พอ  เพราะทุกคนรู้จักพวกเราอยู่แล้ว  เน้นตรงคอนเซปต์งานกับวัน เวลาจัดงานดีกว่า..” พีทไม่ตอบกลับหันหน้าไปถามแทน 

แทนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจแต่ก็รีบตอบคำถาม

“เออ  ดีเหมือนกัน  แบบนี้ก็ดูไม่รกดี  ตกลงเอาแบบนี้แหละ  เดี๋ยวให้พวกฝ่ายศิลป์เอาไปทำต่อ”  แทนว่าแล้วก็คว้ากระดาษแผ่นใหญ่ขึ้นดูอีกครั้งก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
 
“เดี๋ยวพี่แทน  พีทไปด้วย” พีทไม่สนใจใครทั้งนั้น  กลับเดินไปกอดคอแทนแล้วออกไปจากห้องซ้อม

คนที่ยืนเป็นส่วนเกินทำหน้าสลดเมื่อโดนน้องชายเมินใส่  เขาหันกลับมาหาริทที่กำลังหัวเราะร่ากับพี่โดม

“ริท!”

“เฮ้ย  อะไรพี่  เรียกริทเสียงดังทำไม  อยู่กันแค่นี้”  ริทตอบกลับ  หันหน้าไปยักคิ้วกับโดมอย่างรู้กันสองคน

“นายไม่เห็นเหรอว่าพี่แทนของนายกอดคอไปไหนไม่รู้กับพีทน่ะ”

พี่ชายถามเสียงดัง  หน้ายุ่ง  ชี้ไม้ชี้มือเริ่มโวยวาย   ดู ‘หลุด’ จากภาพรองประธานผู้มีอำนาจสูงสุดของกลุ่มธุรกิจตระกูลหยางที่ยิ่งใหญ่   

ริทกับโดมหันมามองหน้ากันแล้วพวกเขาก็เริ่มต้นหัวเราะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย 

พีทต่างหากที่กอดคอแทนออกไป

“นี่พวกนายไม่ใช่เวลาตลกนะ  พี่ถามไม่ได้ยินรึไงริท”  คราวนี้เสียงนั้นเริ่มเอาจริงขึ้นมาบ้าง

“ครับ ได้ยินครับ ใจเย็นสิพี่ฮั่น”  ริทยังกลั้นหัวเราะอยู่  แต่ก็พยายามตอบคำถาม

“ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับ  ปกติพีทก็สนิทกับพี่แทนอยู่แล้ว  พวกเขารู้จักกันมาก่อนผมอีก  ผมมาทีหลังด้วยซ้ำ”  ริทว่า

“เนี่ย  สองคนนั่นชอบแอบไปดูคอนเสิร์ตด้วยกันบ่อยจะตาย  เค้าเป็นแฟนคลับวงเดียวกัน  เวลาไปกินเหล้ากันนะ  คุยกันเรื่องเพลงนี่ได้ยันเช้าเลยพี่ แล้วสองคนนั้นยังชอบสะสมกีตาร์เหมือนกันด้วย  มีร้านประจำ.....” 

ริทยังคงเล่าต่อไป  ไม่รู้ว่าเป็นการอธิบายหรือช่วยใส่ไฟกันแน่เพราะคนที่ได้ยินเบิกตาโตมากที่สุดในชีวิตเมื่อได้ยินเรื่องพวกนี้เป็นครั้งแรก

‘สนิทกันมาก่อน  ไปดูคอนเสิร์ตด้วยกันบ่อย ๆ  คุยกันยันเช้า’  คำพูดพวกนี้ลอยไปมาในหัวพี่ชาย

โดมมองหน้าพี่ฮั่นที่หน้าหงิกขึ้นทุกขณะแล้วรีบถองศอกใส่ริททันที เขาต้องหยุดริทก่อนที่พี่ฮั่นจะโมโห  เพราะเคยเห็นพี่ฮั่นโมโหมาแล้วจึงไม่อยากเสี่ยงชีวิตอีกครั้ง

คนเป็นพี่หันไปมองยังประตูห้องซ้อม  ท่าทางกระวนกระวายมากขึ้น เมื่อพีทกับแทนยังไม่กลับมาเสียที  เขาหันกลับมาหาโดมอีกครั้งด้วยความสงสัย  กลับพบดวงตาสองคู่จ้องมาที่เขาก่อนแล้ว

“พี่จะมาแสดงออกอะไรตอนนี้  ช้าไปรึเปล่า” 

โดมเลิกหัวเราะแล้ว กลับถามพี่ฮั่นด้วยน้ำเสียงเรียบ ใบหน้าจริงจัง นึกไปถึงคืนที่พีทร้องไห้จะเป็นจะตายตอนที่ถูกปฏิเสธแล้วก็อดสงสารไม่ได้

“ผมว่าพีทเค้าคงตัดใจแล้วล่ะ พี่อย่าทำแบบนี้เลย ผมสงสารเพื่อน”  ริทก็เลิกยิ้มแล้วเช่นกัน  พูดสนับสนุนขึ้นมาบ้าง

“เอ่อ..”

คราวนี้ฮั่นเป็นฝ่ายที่พูดไม่ออก  ไม่ทันตั้งตัวเมื่ออยู่ดี ๆ สองคนนี้ก็เปลี่ยนมาซักไซ้เขาแทน

“พี่อย่าทำให้พีทเสียใจอีกเลย   แค่นี้พีทก็เจ็บมากพออยู่แล้ว  ถ้าพี่ไม่คิดอะไรผมว่าพี่อยู่ห่าง ๆ พีทจะดีกว่านะ” 

ริทว่ามาอีกครั้งอย่างไม่เกรงกลัว  ทำให้โดมแอบสะใจอยู่คนเดียวภายใต้ท่าทางเรียบร้อยของตัวเอง     เขาก็อยากพูดหรอกแต่สถานะเด็กฝึกงานของโรงแรมทำให้เขาต้องสงบปากสงบคำไว้บ้าง

“นี่พวกนายอย่ามองพี่ในแง่ร้ายสิ  พี่ก็ไม่มีความสุขหรอกนะที่เคยทำให้พีทเสียใจน่ะ”

ใบหน้าคมนั้นหมองลงไปเมื่อถูกต่อว่า เขาก็ไม่อยากให้พีทเสียใจอีกแล้วเหมือนกัน  คราวที่แล้วตั้งใจจะเคลียร์กับน้อง  สถานการณ์กลับไม่เป็นใจ

“แล้วพี่กำลังทำอะไรอยู่ล่ะ ไอ้ที่พี่กำลังทำอยู่ตอนนี้น่ะเหรอที่พีทจะไม่เสียใจ  ผมว่ามันดูไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไรนะพี่  มันจะทำให้พีทสับสนมากกว่า” 
 
ริทยังคงใส่มาเป็นชุด  ทำให้โดมที่ยืนอยู่ข้างคนตัวเล็กเหลือบตาไปมอง  ดูท่าทางริทจะ ‘อิน’ กับเรื่องนี้มาก  ก็คนเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อนคงเข้าใจอะไรดีกว่าเขาล่ะนะ

“ริท  นายไม่เข้าใจ”   คนถูกต่อว่าก็ทำหน้ากลุ้มใจ

“ใช่  ผมไม่เข้าใจแล้วผมก็คิดว่าพีทก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน  พี่บอกว่าเป็นพี่น้องกันนี่แล้วไอ้ที่พี่เป็นอยู่เนี่ย  มันเกินพี่น้องนะพี่...”
 
“พี่รู้”   

“รู้แล้วไงล่ะพี่  รู้แล้วพี่คิดจะทำอะไรไหม  พี่จะปล่อยให้เป็นแบบนี้อีกนานเท่า....” 

ริทเงียบเสียงไปทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นพีทเดินกลับเข้ามาที่ห้องซ้อมอีกครั้ง 

“ริท  ไปดูพี่แทนหน่อย  ทะเลาะกับพวกฝ่ายศิลป์อีกแล้ว” 

พีทเดินทำหน้าเหนื่อยหน่ายเข้ามา  ร้องบอกคนตัวเล็กให้รีบไปจัดการพี่แทน

“หา  อีกแล้วเหรอ  พี่แทนนะพี่แทน  บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ใจเย็น ๆ ไม่เคยฟังกันบ้างเลย  นี่ทะเลาะกับใครล่ะเนี่ย  พวกนั้นเค้าเอือมพวกเราจะแย่อยู่แล้วเพราะพี่แทนคนเดียว  ถ้าเกิดว่าทะเลาะกันแล้วไม่ยอมทำโปสเตอร์ให้วงเราจะทำยังไง...”

เสียงริทบ่นยืดยาวตามหลังมาอีก  แม้ว่าคนตัวเล็กจะรีบเดินออกจากห้องซ้อมไปแล้วก็ตาม  พีทมองตามคนตัวเล็กที่เดินออกไปจนสุดสายตา เขาได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น  ดวงตามีแววเศร้า  คนที่จับตามองน้องชายตลอดเวลาเห็นท่าทางนั้นแล้วก็เจ็บปวดไปด้วยเพราะพอจะเดาได้ว่าพีทเศร้าไปเพราะเรื่องอะไร
   
“พีท  กลับกันเถอะ”   

โดมที่ยืนมองอยู่เช่นกัน  เป็นฝ่ายเข้ามากู้สถานการณ์  เขายกแขนขึ้นตบไหล่เพื่อนรุ่นน้องหนัก ๆ แล้วลากพีทออกไป  ทิ้งให้คนเป็นพี่ถอนหายใจยาว  หันไปคว้ากระเป๋าพีทแล้วตามไปเช่นกัน

------------------------------



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 53 หน้า 9 อัพเดต 24/12/57
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 21-01-2015 22:21:16
(ต่อ)

เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคริสต์มาสอีฟ  พวกเขาซ้อมหนักจนดึกดื่นทุกคืน  พี่ฮั่นยังคงตามไปดูเขาซ้อมทุกวันเช่นกันแม้ว่าเขาจะบ่นอย่างไรก็ตาม 

พีทได้แต่แปลกใจที่พี่ฮั่นทำตัวแปลกไปกว่าเดิมมาก  ชอบเข้ามาคลอเคลียใกล้ชิดเขา  บางครั้งก็เข้ามากอดเขาดื้อ ๆ  และที่สำคัญคือดวงตาเรียวคู่นั้นแปลกไป  มันทำให้เขาใจเต้นทุกครั้งที่เผลอสบตาด้วย

เขาไม่อยากคิดอะไรมากไปจึงทำเพียงแค่หลบตาแล้วพยายามไม่อยู่ใกล้พี่ฮั่นเกินความจำเป็น  แต่มันก็หลบเลี่ยงได้ยากโดยเฉพาะเวลานอน 

เขาถึงกับเอ่ยปากขอให้พี่ฮั่นกลับไปนอนที่ห้อง  แต่คนอย่างพี่ฮั่นไม่เคยตามใจใครอยู่แล้วนอกจากตัวเอง  พี่ฮั่นไม่ยอมกลับ  เขาไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป

ใครเป็นเด็กเอาแต่ใจกันแน่?  ที่ผ่านมาใครต่อใครก็เข้าใจว่าเขาเป็นเด็กเอาแต่ใจ  ก็เพราะพี่ฮั่นนั่นแหละที่คอยตามใจเขา  แต่ใครจะรู้ว่าคนที่เอาแต่ใจ ‘ตัวจริง’ คือพี่ฮั่นนั่นแหละ  เขาเอาแต่ใจตัวเองได้ถ้าพี่ฮั่น ‘อยาก’ ตามใจเขา  แต่ถ้าพี่ฮั่นไม่อยากเขาก็ต้องเป็นฝ่ายยอม 

แล้วคืนนี้เขาก็ต้อง ‘ยอม’

“พรุ่งนี้พี่ต้องไปญี่ปุ่นตั้งหลายวัน  คืนนี้ห้ามขัดใจ”  พี่ฮั่นว่าเมื่อล้มตัวลงนอนแล้วขยับเข้ามาใกล้ทันที

‘เขาเคยขัดใจพี่ฮั่นได้ด้วยเหรอ  เอาแต่ใจขนาดนี้’   พีทได้แต่ทำหน้าขมวดเมื่อได้ยินคำพูดแปลก ๆ  แต่เรื่องที่พี่ฮั่นจะไปญี่ปุ่นดึงความสนใจเขา

“พี่จะไปทำไมล่ะ  โรงแรมที่โน่นมีปัญหาเหรอ   เพิ่งเริ่มก่อสร้างนี่”
   
จะไปพรุ่งนี้แล้วทำไมเพิ่งมาบอก  เรื่องที่พี่ฮั่นจะไปญี่ปุ่นทำให้เขาใจหาย  พี่ฮั่นจะไม่อยู่
 
“ก็แผ่นดินไหวคราวที่แล้ว  พี่ต้องบินด่วนไปญี่ปุ่นตอนเช้ามืดวันที่พีทหนีพี่ไปนอนทะเลไง ไปตั้งหลายวัน  พอกลับมายังไม่ได้นอนสักงีบ ก็รีบบึ่งรถไปหาพีทที่ The beach อีก”

‘ไปทันดูใจคุณปู่ฟงเป็นคนสุดท้ายเสียด้วยซ้ำ’   พี่ชายละประโยคนั้นไว้เพราะไม่อยากให้พีทกลับไปเสียใจเรื่องคุณปู่อีก

The beach  เป็นชื่อเรียกโรงแรมในเครือตระกูลหยางที่อยู่ติดกับหาดส่วนตัวของพีท  เป็นชื่อเล่นที่พวกเขาใช้เรียกกันเฉพาะในครอบครัว  พวกเขามีห้องส่วนตัวทั้งชั้นอยู่บนสุดของโรงแรม  ยกเว้นพีทที่มีบ้านพักอยู่ที่หาดส่วนตัว

พี่ฮั่นยกตัวขึ้นจ้องมองหน้าเขา  แววตาวาววับภายใต้แสงสลัวรางในห้องนอน  พีทสบตาแล้วต้องหลบวูบกับสายตาคมที่มองมา  เพราะกลับไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องฝันประหลาดของตัวเอง  รู้สึกเขินเมื่อนึกถึงฝันนั้น  แล้วคนในฝันก็อยู่ข้างเขา 

พีทหันหน้าหนีพร้อมกับขยับตัวนอนตะแคงหันหน้าไปอีกด้าน ทำท่าเหมือนจะนอนแล้ว แต่พี่ฮั่นคว้าไหล่เขาไว้รั้งให้กลับมานอนหงายตามเดิมพร้อมกับขยับเข้ามากอดเขาไว้  คนตัวใหญ่วันนี้ทำตัวเป็นเด็กเมื่อมานอนซบที่ไหล่  ยกแขน  ขาก่ายเขาที่นอนอยู่
 
“ตอนนั้นพีทอยู่ที่ทะเล  คงไม่รู้ข่าวว่าแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น  โรงแรมเราที่กำลังสร้างที่โน่นเสียหายบางส่วนก็เลยต้องไปประเมินโครงการกันใหม่ว่าจะทำต่อหรือจะยอมขาดทุนพับโครงการไป  เพราะมันเสี่ยงอยู่พอสมควรถ้าสร้างเสร็จไปแล้วเกิดมีแผ่นดินไหวหนักกว่านี้  เราอาจเสียหายมากกว่าเดิม” 

พี่ฮั่นพูดเสียงอู้อี้เล็กน้อยเพราะซุกหน้าอยู่ที่ไหล่เขา ปล่อยลมหายใจร้อนรดต้นคอทำให้เขาหายใจติดขัด   

“แล้วพี่ว่าไง จะทำต่อไหม” พีทถามต่ออย่างสนใจ เขาพลาดเรื่องสำคัญแบบนี้ได้ยังไงกัน 

“พี่กำลังตัดสินใจอยู่  ตอนนี้ทางโน้นประเมินค่าเสียหายและความเสี่ยงเสร็จแล้ว   กระทรวงพาณิชย์เชิญไปประชุมเรื่องความเชื่อมั่นการลงทุน พีทเข้าใจใช่ไหม  เราจะเปิดหรือปิดโครงการไปเฉย ๆ ไม่ได้มันมีหลายขั้นตอน” 

“ครับ”  เขาตอบเสียงเบาแล้วเงียบไปอย่างใช้ความคิด เรื่องแบบนี้มันเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติซึ่งเราคาดการณ์อะไรแทบไม่ได้เลย  ถ้าเป็นเขา  เขาจะทำยังไงนะ 

ความคิดต้องหยุดชะงักเมื่อพีทเพิ่งรู้ตัว
 
‘นี่พี่ฮั่นทำอะไรเนี่ย  ทำไมมือไต่ไปทั่ว?’

“พี่นอนนิ่ง ๆ สิ  ผมจั๊กจี้”  ว่าแล้วเขาก็คว้าจับข้อมือพี่ชายที่ขยับไปทั่วให้อยู่นิ่ง

“พีท  กอดพี่หน่อยสิ”  อยู่ ๆ พี่ฮั่นก็พูดขึ้นมา

‘อะไรนะ  วันนี้พี่ฮั่นเป็นอะไรเนี่ย’

“พีท  พีทกอดพี่หน่อย นะ พี่หนาว” 

น้ำเสียงทอดอ่อน  พี่ฮั่นแหงนหน้าขึ้นมองเขานิด ๆ ทำให้จมูกโด่งนั้นสัมผัสแผ่วเบาที่คางเรียว  หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ 

“น๊า น้องพีท กอดพี่หมีหน่อย พี่หมีจะไม่อยู่อีกตั้งหลายวัน  ต้องนอนคนเดียว  น๊า  กอดพี่หมีหน่อย” 

พี่ฮั่นกลับมาซบที่ไหล่เขาตามเดิม  ขยับเข้ามาชิดเขามากขึ้นพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

“น้องพีท  น้องพีท  น้องพีทๆๆๆ" 

"พีท-พีท  พีท-พีท  พีท-พีท” 

เสียงอ้อนยังคงพร่ำเรียกเขาไม่ยอมหยุด  และก็คงไม่หยุดจนกว่าเขาจะทำตามที่พี่ฮั่นต้องการ  พีทถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะพลิกตัวเข้าหาพี่ชายแล้วกอดคนช่างอ้อนไว้ในอ้อมแขน  พี่ฮั่นกลับเป็นฝ่ายที่ซุกตัวอยู่กับอกเขาบ้าง

“ไม่อยากไปเลย  ไม่อยากไปไหน  อยากอยู่บ้าน  อยากอยู่กับพีท..” 

เสียงพี่ฮั่นพึมพำก่อนจะหลับไปอย่างรวดเร็ว 

พีทถอนหายใจอีกครั้งอย่างอ่อนใจกับตัวเอง  สุดท้ายแล้วเขาก็ยังตัดใจไม่ได้  แค่รู้ว่าพี่ฮั่นจะไม่อยู่หลายวันเขาก็ใจหวิว ๆ แล้ว  เขาไม่ชอบการถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเลย

พี่ฮั่นคิดอะไรอยู่นะ พี่ฮั่นบอกว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันแต่สิ่งที่พี่ฮั่นทำมันคืออะไร  เขาได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลาว่าทำไมพี่ฮั่นถึงทำแบบนี้ เมื่อไรเขาจะทำใจได้สักที  เมื่อไรความทรมานทุกวันของเขาจะหายไป  มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนและทำอย่างไรมันถึงจะสิ้นสุด




พี่ฮั่นหลับไปแล้ว  โดยที่ปล่อยให้เขาจมอยู่กับความสับสน ไม่เข้าใจ  พีทสอดนิ้วตัวเองไปตามเส้นผมนุ่มของพี่ชาย  ลูบไล้ไปมา  ก้มไปมองคนที่นอนซบอยู่ 

คืนนี้พี่ฮั่นเป็นของเขา  ถ้าเป็นไปได้เขาจะไม่ปล่อยพี่ฮั่นไปไหนเลย

พีทแตะริมฝีปากลงที่หน้าผาก  กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น

“ฝันดีนะ  พี่ฮั่นของพีท”

-----------------------------------



อากาศเย็นเฉียบในเวลาใกล้รุ่งของฤดูหนาวแทรกเข้ามาเมื่อความอบอุ่นที่แนบชิดทั้งคืนหายไป   คนที่นอนอยู่ขดตัวใต้ผ้าห่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เมื่อเตียงยวบลงอีกครั้งใกล้กับร่างที่นอนตะแคงขดตัวยังคงหลับสนิท  มือใหญ่เอื้อมไปจัดผ้าห่มให้แล้วลูบผมคนที่นอนอยู่แผ่วเบา  จากนั้นจึงก้มลงไปมองใบหน้าที่หลับสนิทราวกับเด็กชายตัวน้อย  ก่อนจะแตะสัมผัสแผ่วเบาที่ขมับอยู่นานราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมด  ริมฝีปากคลอเคลียอยู่ตามไรผม  เสียงพึมพำข้างหูพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้คนที่ยังอยู่ในห้วงนิทราฝันดี

ในที่สุดสัมผัสอ่อนหวานนั้นก็ผละไป   

ทั่วทั้งบ้านตกอยู่ในความสงบในเวลาใกล้รุ่งเช่นนี้  มีเพียงเสียงนกร้องจิ๊บอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เมื่อพวกมันเริ่มตื่นออกหาอาหาร

ไม่นาน  เสียงเปียโนเพลงโปรดของใครบางคนก็ดังแทรกอากาศเย็นจัดในยามเช้ามืดขึ้นไปถึงห้องนอนที่เปิดประตูแง้มไว้  เสียงเปียโนอันอ่อนหวานลอยขึ้นไปเคล้าคลอคนที่นอนอยู่ราวกับต้องการกล่อม

คนที่บรรเลงเพลงนั้นไม่ได้มองที่แป้นเปียโนเลย  กลับเห็นแต่หน้าใครอีกคนตลอดเวลา  คนที่กอดเขาไว้ทั้งคืน 

เสียงโน้ตสุดท้ายระเหยหายไปนานแล้วก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะลุกขึ้น  มองขึ้นไปยังห้องนอนที่ใครอีกคนยังนอนหลับสนิทราวกับไม่อยากจากไกล

ถอนหายใจเบาก่อนจะเดินออกจากบ้านไป

------------------------------------



เค้ามาแว้วววววววว

สวัสดีปีใหม่นะคะ

 :mew1: :mew1: :mew1:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 54 หน้า 9 อัพเดต 21/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 21-01-2015 22:39:20
พี่ฮั่นเริ่มชัดเจน  :impress2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 54 หน้า 9 อัพเดต 21/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 22-01-2015 13:07:52
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 54 หน้า 9 อัพเดต 21/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-01-2015 14:32:48
อยากหาใครมาดึงความสนใจพีทจากพี่ฮั่นจังค่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 54 หน้า 9 อัพเดต 21/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 22-01-2015 15:01:49
สงสารพีท ตัดใจไปเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 54 หน้า 9 อัพเดต 21/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 22-01-2015 17:07:25
อย่าทำเป็นเล่นนะอิพี่ฮั่น​  ไม่งั้นจะยุให้พีทหนีไปเลย
ชิชิ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 54 หน้า 9 อัพเดต 21/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 30-01-2015 12:02:04
55. ปรึกษา


ภายในบ้านหลังใหญ่สามชั้นที่ตั้งตระหง่านกลางพื้นที่กว้างใจกลางเมือง  เจ้าของบ้านที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกจากห้องน้ำ ขยับผ้าผูกเอวของเสื้อคลุมนอนให้แน่นขณะที่เดินตรงไปที่เตียงไม้โอ๊คเก่าแก่

“คุณโรส  ผมมีเรื่องปรึกษา”

คริสเดินมาหยุดที่เตียงนอน  เกริ่นกับภรรยาก่อนจะเปิดผ้าห่มแล้วแทรกตัวเข้าไป  ขยับตัวไปชิดร่างนุ่มหอมกรุ่นที่นอนอยู่ 

โรสวางหนังสือในมือลงแล้วหันใบหน้างดงามมามองสามีอย่างสงสัย ท่าทางของคริสดูเป็นกังวล  ในสายตาของคนที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน  เธอดูออกว่าคริสกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ  ท่าทางคิดหนักว่าจะพูดอย่างไร

“คือ  เอ่อ...เรื่องพีท”

โรสขยับตัวมากขึ้นเพื่อมองหน้าสามีที่กำลังพูดไม่ออก  เหมือนกำลังเลือกคำที่จะพูดให้ดีที่สุด

“ผมกับพีทไม่เคยมีความลับกัน” 

คริสเริ่มต้น  หลบตาโรสก่อนจะตัดสินใจเอ่ย

“ตอนฮั่นแพ้กุ้งเข้าโรงพยาบาล....” 

“พีทบอกผมว่า  แกรักฮั่น”

“รักแบบคนรักน่ะ”

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เลยทีเดียวเมื่อพูดสิ่งนี้ออกไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันทำให้เขาไม่สบายใจมานานและต้องการระบายออกสักที  เขาคิดมากมาเป็นเดือนแล้วตั้งแต่ลูกชายตัวเองบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาที่โรงพยาบาลในคืนที่ฮั่นถูกทำร้าย   แววตาที่จริงจังของลูกชายที่เขามองเห็น เขาจำได้ว่าเขาได้แต่นิ่งไปอย่างทำอะไรไม่ถูก  คิดไม่ถึงว่าพีทจะรักพี่ชายเขาในแบบอื่น
   
“โรส...” 

คริสเริ่มหวั่นใจเมื่อโรสนิ่งไปเหมือนตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเล่า  เอื้อมมือไปจับไหล่ภรรยาไว้แน่นเหมือนให้กำลังใจ  โรสคงจะไม่คาดคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นเพราะเขาเองก็ไม่คิดเหมือนกัน   

ในที่สุดโรสก็ค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาทำให้คริสแปลกใจ

“โอ๊ย  ดีใจจัง”  เธอว่าพลางยิ้มกว้างกว่าเดิม 

‘ทำไมโรสดีใจ??  เขากลุ้มจะแย่แล้ว’


“โรสกับฮั่นก็ไม่เคยมีความลับกันหรอกค่ะ  คุณก็รู้ว่าโรสเป็นผู้หญิงที่เขาสนิทที่สุด”  เธอเอียงหน้ายิ้มให้เขาอย่างจะปลอบ 

“ฮั่นมาสารภาพกับโรสตั้งหลายปีแล้วว่า....” 

“แกรักน้องพีท”   

ใบหน้าของโรสส่งยิ้มประกายสดใสเมื่อได้รู้ว่าพีทก็คิดเช่นเดียวกับลูกชายของเธอ  ถ้าเป็นแบบนั้นฮั่นก็คงไม่ต้องเสียใจอีกแล้วสินะ

‘แต่...คริสล่ะ คริสจะว่ายังไงนะ’

คริสถอนหายใจแผ่วเบา  'โรสก็รู้เรื่องนี้แล้วหรือ?'  เขาอุตส่าห์คิดหนักมาตั้งนานเพราะไม่รู้จะบอกกับโรสอย่างไร
 
กลับกลายเป็นโรสที่แปลกใจแทน

“คริสคะ  ทำไมคุณไม่ตกใจอะไรเลย  คริส...”

“ผมรู้แล้วล่ะ  ฮั่นเขามาบอกผมแล้ว  เขามาขออนุญาต..”

“อะไรนะ!!!!  ว่าไงนะคริส  คุณล้อโรสเล่นใช่ไหม?”   

'ฮั่นน่ะหรือ?' โรสกลับเป็นฝ่ายแปลกใจเมื่อได้รู้ว่าลูกชายไปคุยเรื่องนี้กับคริส   

“เรื่องแบบนี้ล้อเล่นกันได้เหรอโรส  ผมพูดจริง  เขามาพูดกับผมวันที่ผมไปงานแต่งงานของลูกชายคุณโทนี่ที่โรงแรมสาขาใหม่ของเรา”

งานแต่งงานนี้จัดที่โรงแรมสาขาใหม่  เจ้าบ่าวเป็นลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองที่คริสเป็นสมาชิกอยู่  และเจ้าสาวก็เป็นลูกสาวของนายทหารระดับสูง  แขกเหรื่อที่มาร่วมงานจึงมีจำนวนมากจนต้องใช้ห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ของโรงแรม  โรสไม่ได้มางานนี้ด้วยเพราะต้องไปร่วมงานแต่งงานอีกงานหนึ่ง

ฮั่นใช้เวลาหลังจากงานเลิกแล้วเข้ามาขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว  พวกเขาเดินไปคุยกันในสวนน้ำตกอยู่นานจนดึกดื่น

คริสได้แต่นิ่งเงียบไป  โรสก็เช่นกัน  เขารู้ว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องที่รักกันมากทั้งที่ไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ  แต่กลับห่วงใยและคิดถึงกันแม้ว่าจะห่างกันนานถึงสิบปี   

สองคนนั้นต่างก็รักกัน....




“แล้ว เอ่อ  คุณว่าไงคะ” 

โรสถามขึ้นมาในที่สุด  หลังจากเงียบไปครู่  ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความกังวล  'ฮั่นพูดอะไรกับคริสนะ'

คริสไม่มองหน้าเธอเลย  กลับมองไปทางอื่น   แววตาเต็มไปด้วยความหนักใจ  แม้จะรู้ว่าคริสก็รักลูกชายเธอไม่น้อยไปกว่าลูกชายของตัวเอง แต่เธอก็ไม่กล้าคาดหวังว่าคริสจะยอมรับเรื่องพวกนี้ได้  เธอและฮั่นรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร   คริสคือคนที่พวกเขาเกรงใจเสมอ   ถ้าคริสไม่เห็นด้วย  เธอและฮั่นก็คงต้องยอม  แต่คริสก็รักพีทมากเหมือนกัน  รักและตามใจทุกอย่าง

ถ้าเกิดว่า....

คริสยังคงเงียบ

“คริส”

โรสเอ่ยเสียงเบาด้วยความหวั่นใจ  การที่คริสเงียบไปนานทำให้เธอเครียดมากขึ้นทุกขณะราวกับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์กำลังรอการตัดสินจากศาล คำตัดสินที่จะชี้เป็นชี้ตายให้กับเธอ 

เสียงถอนหายใจแผ่วเบาของคริสทำให้เธอแทบกลั้นหายใจรอคอยคำตอบ

“ก็ลูกชายผมทั้งคู่นี่  ผมจะว่าไงได้ล่ะ” 

คริสพูดอย่างตัดสินใจดีแล้ว  เรื่องนี้เขาก็คิดหนักตั้งแต่พีทบอกเขาเลยทีเดียว

ดวงตาของโรสเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง  ‘คริสพูดจริงหรือนี่!’

“นี่คุณพูดจริงรึเปล่าคะ  ทำไมคุณยอมรับง่ายจัง  ไม่โกรธหรือคะ  ดูสิ  โรสกับฮั่นอุตส่าห์ปิดเป็นความลับเพราะกลัวคุณไม่ยอมรับ   เพราะคิดเสมอว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”

“ผมไม่อยากให้พีทเป็นเหมือนคุณอา  คุณอาน่าสงสารมาก” 

คริสถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงคุณฟง

คุณอาเป็นคนที่เขารักเหมือนพ่ออีกคนหนึ่ง  เพราะคุณอาก็ทำหน้าที่แทนพ่อของเขาตั้งแต่พ่อเขาเสียเมื่อเขายังเป็นวัยรุ่น  คุณอาเป็นคนที่ดูแลกิจการแทนพ่อ  ดูแลและรักเขาเหมือนลูก 

เขาเพิ่งรู้สาเหตุที่แท้จริงเมื่อไม่กี่ปีนี่เองว่าเหตุใดคุณอาของเขาถึงครองตัวเป็นโสด  ทำไมคุณอาถึงได้โกรธพ่อของโรสมากจนไม่ยอมให้อภัย

เขาไม่อยากเห็นลูกชายตัวเองต้องมีชีวิตแบบนั้น

“คุณแม่ของโรสก็น่าสงสารเหมือนกัน  เพราะต้องอยู่กับคนที่ไม่เคยรักคุณแม่เลย”   

เสียงของโรสแฝงแววเศร้าเพราะรู้มาตลอดว่าคุณแม่รักคุณพ่อข้างเดียวจนกระทั่งเสียชีวิต  ในขณะที่คุณพ่อรักคุณแม่อย่างเพื่อน   พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างเพื่อนสนิทมากกว่าอยู่กันแบบสามีภรรยา

คริสมองตาโรสอย่างเข้าใจ  พวกเขาหันมาสวมกอดกันไว้  ต่างคนต่างก็ลูบหลังปลอบประโลมอีกฝ่าย  รู้ดีทีเดียวล่ะว่าการต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักนั้นมันเจ็บปวดเพียงใด 

คริสเงียบไปอย่างทบทวนเรื่องราว  เขาลูบผมนุ่มของโรสไปมา

“ตอนที่ได้ยินพีทพูดครั้งแรกว่าแกรักฮั่น  ผมแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่ตกใจมากเท่าที่คิด  หลังจากที่ผมกลับมาคิดทบทวนดู  ผมคิดว่าผมอาจจะมีสังหรณ์ลึก ๆ อยู่ในใจมานานแล้วก็ได้  เพราะผมเคยสงสัยมานานแล้วว่าทำไมพีทถึงได้ติดพี่ชายมาก...”

คริสนึกไปถึงตอนที่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกตอนพีทอายุเพิ่งสี่ขวบ  หลังจากฮั่นพาพีทไปเล่นรถไฟในสวน   พีทไม่เคยห่างพี่ชายอีกเลย  พวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา  วันไหนที่พีทป่วย  ฮั่นก็จะไม่ยอมไปโรงเรียน  อ้อนวอนโรสขออยู่เป็นเพื่อนน้อง  พีทก็ไม่แพ้พี่หรอกเพราะพีทก็จะประท้วงไม่ยอมกินข้าวกินยาถ้าพี่ฮั่นไม่ยอมอยู่เป็นเพื่อนเขา

วันที่ฮั่นต้องไปอังกฤษพีทจึงเสียใจมาก   คริสไม่คาดคิดเหมือนกันว่าพีทจะเสียใจมากมายขนาดนี้  ลูกชายเขาซึมเศร้าอยู่เกือบครึ่งปี   และคนที่ทำให้พีทกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมก็คือฮั่น  ที่ฝากเจ้าแรมโบ้มาให้น้องชาย ฝากกีตาร์มาเป็นของขวัญวันเกิด  ทำให้พีทเลิกซึมเศร้า  กลับไปร่าเริงขึ้น

“....พีทรักฮั่นมากตั้งแต่เล็กแล้ว  แล้วฮั่นก็รักและดูแลพีทมาตั้งแต่แรกที่มาอยู่ที่นี่   ผมไม่คาดคิดเลยว่าทั้งสองคนจะรักและเข้ากันได้ดีขนาดนั้น”   

“ตอนที่ฮั่นตกลงกลับบ้านเพื่อมาดูแลพีท  ตอนที่พวกเรากลับมายืนพร้อมหน้ากันในห้องทำงานผมหลายเดือนก่อน   แม้ว่าพีทจะไม่รู้ว่านี่คือพี่ชายของเขา  แต่ผมก็รู้สึกว่าพวกเรากลับมาเป็นครอบครัวกันเหมือนเดิม   คุณก็รู้ว่าผมสบายใจมากขนาดไหน   ผมหมดกังวลทุกสิ่งทุกอย่าง  ตอนนี้ผมรู้แล้ว   ผมคิดว่าผมเข้าใจนะ  โรส...”

มันอาจจะถูกกำหนดไว้แล้วก็ได้ ว่าสองคนนี้ต้องผูกพันกัน

คริสนิ่งเงียบไป  ก่อนจะพูดต่อ

“โรสเชื่อไหม  ผมเคยคิดเสียดายว่าทำไมฮั่นไม่เป็นลูกชายของผมกับคุณ  เขาเป็นคนที่ผมไว้ใจมากที่สุด ลูกชายคุณสุดยอดมากเลยนะโรส  เขาเป็นดังใจผมทุกอย่าง  ทำงานเก่ง  เฉลียวฉลาด  ซื่อสัตย์   และเป็นพี่ชายที่รักพีทมาก”

“แน่นอนสิคะ ก็คุณปั้นเขามาเองกับมือเลยนี่  จะไม่ได้ดังใจได้ยังไง จริงไหม”  โรสเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้  ซึ่งคริสก็หันมายิ้มให้เธอเช่นกัน  มือเล็ก ๆ ของเธอยกขึ้นลูบแก้มของสามีไว้ด้วยความรัก

“ความจริงทุกอย่างเป็นเพราะผมเองนั่นแหละ  ถ้าผมไม่เกิดนึกอยากเล่นการเมืองตอนนี้ฮั่นก็คงคุมงานอยู่ยุโรป  แต่เป็นเพราะผมที่ทำให้ฮั่นต้องมารับภาระดูแลกิจการแทนทั้งหมดและยังรับดูแลพีทแทนผมด้วย  ผมเองนี่แหละที่ฝากพีทไว้ในมือเขา”

“...คุณจำได้ไหม  ผมยกพีทให้ฮั่นดูแล  ตั้งสองครั้ง”

โรสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย   ครั้งแรกตอนที่พีทอยู่ในอันตรายคริสก็ไว้ใจให้ฮั่นดูแลลูกชายของเขา  แม้เมื่อพวกเขากลับมาอยู่บ้านพร้อมหน้ากันแล้วคริสยังคงให้ฮั่นดูแลลูกชายต่อ  โรสได้แต่หวังว่าคริสคงจะอยากให้ฮั่นดูแลน้องชายไปเรื่อย ๆ

“ขอบคุณนะคะคริส  ที่เข้าใจและมั่นใจในตัวฮั่น”  โรสพูดขณะที่มองตรงเข้าไปในดวงตาของสามีอย่างตื้นตัน   คริสเป็นคนที่มีน้ำใจต่อเธอและลูกเหลือเกิน

“สิ่งที่ฮั่นทำก็ไม่แพ้ผมหรอก  อย่าคิดมากสิโรส” คริสยิ้ม จูบลงบนผมนุ่มนั้นด้วยความรัก

“อีกอย่าง  ถึงแม้ผมจะไม่ยอมผมก็คงห้ามเขาไม่ได้หรอก  คุณไม่ได้เห็นแววตาของฮั่นตอนที่บอกผม  ผมรู้ทันทีเลยว่าถึงแม้ผมจะไม่ยอม  เขาก็คงไม่สนใจ  เพราะเขารักพีทเหลือเกิน”

คริสรู้จักฮั่นดีพอ ๆ กับตัวเอง  แววตาแบบนั้น  มีแต่ความจริงและความดื้อรั้นในแบบของเขา  แววตาที่ฉายชัดว่าไม่มีใครหยุดความต้องการของเขาได้  นอกจากเขาจะหยุดตัวเอง

ลมหนาวกลางเดือนธันวาคมพัดมากระทบหน้าต่างกระจก  แต่ในห้องนอนใหญ่นั้นมีแต่ความอบอุ่นจากความรักและความเข้าใจกันของคนสองคน  โรสรู้สึกยินดีที่ได้รู้ว่าต่อจากนี้ไปเธอจะไม่มีสิ่งใดให้กังวลอีกแล้ว  ชีวิตเธอไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากอยากให้ลูกมีความสุข

“ผมนึกออกแล้ว”  คริสพูดขณะวางคางตัวเองบนผมนุ่มของภรรยา

“เรื่องอะไรคะ” 

“เราหมดหวังกับฮั่นกับพีทแล้วเรื่องทายาท” 

โรสอยู่ในอ้อมกอดของสามีจึงไม่ได้เห็นแววตาซุกซนของเขา

“เราก็มาสร้างทายาทกันใหม่เถอะ ดีไหม  ลูกของเราไง”   

น้ำเสียงของคริสแผ่วลง   กระแสเสียงเจือด้วยความปรารถนาเมื่อคิดถึงบางสิ่งที่เขากับโรสห่างหายไปนาน  เสน่ห์หาของกุหลาบงาม  กลิ่นหอมบางเบาที่ตราตรึงหัวใจ  ความสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างเขากับผู้หญิงที่เขารักเพียงคนเดียวในชีวิต 

“ไหวหรือคะ”  โรสเงยหน้าขึ้นสบตาคริส  มีแววล้อเลียนอยู่ในดวงตาคู่งาม

“แน่ะ  ดูถูกผมหรือ  ลองดูก่อนไหมล่ะ”  คริสยิ้มแฝงความนัย   

เสียงโรสหัวเราะคิกอย่างนึกสนุกที่อยู่ดี ๆ คริสก็ลุกขึ้นมาชวนเธอมีลูก  เธอต้องบอกให้คริสรู้ว่ามันไม่ง่ายเหมือนตอนสาว ๆ หรอก  เพราะตอนนี้พวกเขาอายุมากกันแล้ว 

แต่ตอนนี้ปากเธอไม่ว่าง...



-----------------------------------

ตอนหน้าเรามาย้อนความหลังกันนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่า

 :mew1:


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 55 หน้า 9 อัพเดต 30/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-01-2015 18:11:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 55 หน้า 9 อัพเดต 30/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 30-01-2015 21:33:50
น่าให้พีทเอาคืนพี่ฮั่นให้หนักๆก่อนนะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 55 หน้า 9 อัพเดต 30/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 30-01-2015 22:27:35
พ่อกับแม่ไฟเขียวกันหมดแล้ว ในที่สุดก็จะได้รักกกันจริงๆซักทีเนอะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 55 หน้า 9 อัพเดต 30/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 31-01-2015 15:51:08
เห้อออออ​    โล่งอกที่ขุ่นพ่อเปิดไฟเขียว
 ดีใจแทนทั้งสองคนด้วยนะ​  :)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 55 หน้า 9 อัพเดต 30/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 02-02-2015 23:31:56
:)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 55 หน้า 9 อัพเดต 30/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 03-02-2015 10:58:28
ไฟเขียวแล้วสินะ เรื่อง พ่อแม่ :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 55 หน้า 9 อัพเดต 30/1/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 06-02-2015 20:01:26
56. คริสต์มาสอีฟ



คริสต์มาสอีฟเมื่อสามปีก่อน


เด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังเดินก้าวเท้ายาว ๆ  ด้วยความเร่งรีบเกือบชนเข้ากับหนุ่มร่างเล็กที่วิ่งพรวดพราดออกมาจากมุมตึก  เมื่อหนุ่มร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาก็ร้องออกมา  ใบหน้าที่เขามองเห็นนั้นกำลังตื่นตระหนกด้วยเรื่องบางอย่าง

“พีท!  พีท!  พี่โดมปวดท้อง  ทำไงดี”  ริท  หนุ่มร่างเล็กร้องบอกเขาพลางเข้ามาเขย่าแขน

“อะไรนะ พี่โดม!”

พีทที่กำลังเดินทางมาถึงวิ่งตรงไปตามทางเดิมที่ริทเพิ่งวิ่งผ่านมา เขาตรงเข้าไปในห้องพักนักดนตรีทันที  ความจริงมันก็คือห้องพักนักกีฬานั่นแหละ  แต่ตอนนี้พวกนักดนตรีกำลังใช้อยู่   ริทหยุดพักนิดหนึ่งแล้วจึงออกวิ่งตามไป

พีทวิ่งเข้าไปในห้องรวดเร็ว  คนในห้องทั้งหมดหันมามองเขาพลางส่งเสียงร้องอย่างยินดี  พีทตรงเข้าไปมุมในสุดที่ทุกคนในวงกำลังรุมล้อมอยู่   พี่โดมนั่งหน้าซีดกุมท้องตนเองในห้องพัก  ใบหน้าเหยเกของพี่โดมทำให้ทุกคนในวงที่รุมล้อมอยู่ต่างร้องเรียกด้วยความห่วงใย

“พีท  โดมปวดท้อง  ร้องไม่ไหวแน่ เอาไงดี” พี่แทนหันมาถามความเห็นเมื่อเขาเข้ามาใกล้

“พี่โดม ไหวไหม” พีทตรงเข้าไปแตะไหล่หนาของพี่โดม ใบหน้าบิดเบี้ยวของพี่โดมส่ายไปมา

“พี่ไปกินอะไรมา”

“พี่ไม่ได้กินอะไร  พี่เจ็บตรงนี้”  โดมชี้ให้พวกเขาดูที่ท้องซีกขวาของร่างกาย

“เฮ้ย หรือว่าไส้ติ่งอักเสบ?”  พีทสันนิษฐาน  คนอื่นในวงหันมามองที่เขาเป็นจุดเดียว

“ต้องส่งโรงพยาบาลด่วน  ถ้าเกิดใส้ติ่งแตกขึ้นมา  พี่โดมแย่แน่”   
 
พีทคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรวดเร็ว  โทรสั่งให้บอดี้การ์ดเข้ามารับตัวพี่โดมทันที

“แล้ว   เรา   เอาไง  ดี   อีก  ไม่ถึง   ครึ่ง   ชั่วโมง   ต้อง  ขี้น  เวทีแล้ว” 

ริทที่วิ่งตามมาถึงแล้วเอ่ยถาม  พลางหอบไปด้วย 

พี่โดมเป็นนักร้องนำของวงดนตรีประจำมหาวิทยาลัย   และวันนี้มหาวิทยาลัยจัดปาร์ตี้ในวันคริสต์มาสอีฟ  พวกเขาในฐานะวงน้องใหม่ต้องขึ้นแสดง  แล้วพี่โดมมาป่วยในเวลาสำคัญเช่นนี้

“โธ่โว้ย! อุตส่าห์ซ้อมกันมาเกือบปีกลับไม่ได้โชว์หรือเนี่ย” แทนร้องอย่างเสียดาย

“พะ พีท ให้พีทร้อง”  พี่โดมกัดฟันพูดทั้งที่กำลังจะเป็นลมจากอาการปวดท้องอยู่แล้ว

“อะไรนะพี่!”  พีทประหลาดใจที่อยู่ ๆ พี่โดมก็โยนหน้าที่ร้องเพลงให้เขา

“เออ ใช่ ลืมไปได้ไง นายร้องได้นี่”   

ริทว่าอย่างเพิ่งนึกได้  เบิกตาโตมาทางเขา  เวลาพวกเขาซ้อมพีทมักเป็นคนร้องคอรัสกับพี่โดมเสมอ  เขาเล่นคีย์บอร์ดไปด้วยร้องไปด้วยได้นี่

บอดี้การ์ดวิ่งมาถึงห้องพักพอดี  พวกเขาจึงช่วยกันพยุงโดมออกจากห้องเพื่อไปโรงพยาบาล




เสียงผู้คนกรีดร้องสนั่นในโรงยิมขนาดใหญ่ที่ดัดแปลงเป็นเวทีคอนเสิร์ตชั่วคราวเมื่อหนุ่มหล่อน้องใหม่ประจำมหาวิทยาลัยออกมายืนตรงกลางเวที  สมาชิกในวงทยอยกันออกมาประจำตำแหน่งเพื่อเริ่มต้นการแสดง แสงจากสปอต์ไลท์พุ่งตรงไปที่หนุ่มน้อย  ทำให้เขาหรี่ตาเพราะไม่ชินกับแสงจ้า  ภาพนั้นกลับทำให้สาว ๆ กรีดร้องมากขึ้นไปอีก

“กรี๊ดดด  นั่น  พีท”

“ไหนใครบอกว่าโดมเป็นนักร้องนำไง”

“ไม่รู้เหมือนกัน  ได้ข่าวว่าพีทเล่นคีย์บอร์ดนี่”

“กรี๊ดดดดด  พีท  น่ารักจังเลย”

ดูทุลักทุเลอยู่ครู่หนึ่งกว่าวงดนตรีจะพร้อม  พวกเขาตกลงกันอย่างเร่งด่วนเพราะต้องขาดมือคีย์บอร์ดไปในเพลงเต้น  แต่เพลงช้านั้นพีทสามารถเล่นคีย์บอร์ดพร้อมกับร้องเพลงได้   

ในที่สุดเสียงกลองก็เริ่มต้นขึ้น  เสียงเฮของผู้คนตอบรับทันที 

ผู้คนเบียดเสียดเข้าไปที่หน้าเวทีหนาแน่นขึ้นทุกทีเมื่อวงดนตรีเริ่มต้นเล่นเพลงสนุกสนาน   พีทเต้นไปด้วยพร้อมกับร้องเพลงไปด้วย  ไม่มีใครกระทั่งคนในวงที่รู้ว่าเขาเต้นได้  เพลงแนวฮิปฮอปนั้นพีทกลับร้องเต้นได้ดี ท่าทางของหนุ่มน้อยคล่องแคล่วเหมือนมันออกมาเองจากกล้ามเนื้อ  แทบไม่ต้องคิดเลยทีเดียว  เขาขยับร่างกายเข้ากับเพลงเหมือนซ้อมมานานแล้วทั้งที่ทุกคนในวงเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกพร้อมกับคนดู   เสียงกรี๊ดตอบรับมากมายเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดหลังจากพวกเขาเล่นเพลงสนุกสนานติดต่อกันหลายเพลง 

“กรี๊ดดดด  ทำไมชั้นไม่เคยรู้ว่าพีทเต้นเก่งขนาดนี้”

“นึกว่าเล่นดนตรีเป็นอย่างเดียวนะนี่  นี่ร้องเพลงด้วย”

“พีท ๆๆ”

เสียงพึมพำพูดคุยกันของผู้ชมดังขึ้นเมื่อวงหยุดพักเพื่อเปลี่ยนมาเล่นเพลงช้า  แทนเปลี่ยนมาพูดคุยทักทายกับคนดูบ้าง  เรียกเสียงกริ๊ดได้ไม่แพ้พีทเลย  เขาแนะนำสมาชิกแต่ละคนในวง  ไม่มีใครสังเกตว่าหนุ่มร่างเล็กที่อยู่บนเวทีแอบทำหน้างออยู่คนเดียว

ท่ามกลางคนดูที่แน่นขนัดโรงยิมขนาดใหญ่นั้นปรากฏร่างสูงของใครคนหนึ่งที่เพิ่งฝ่าสายลมเยือกเย็นด้านนอกเข้ามาถึงประตูโรงยิม 
 
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ลดฮู้ดหนาสีเข้มออก  สะบัดหัวไปมาอยู่ครู่   สายตาคนที่อยู่ใกล้ประตูนั้นมองไปยังชายหนุ่มคนนั้นเป็นจุดเดียวเพราะคนที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นนั้นหล่อจัด   คิ้วเข้ม  ตาเรียว  จมูกโด่ง  ผิวขาว  ปากแดงเพราะเพิ่งผ่านอากาศหนาวเย็นข้างนอกมา
 
เสียงซุบซิบเกิดขึ้นแถวนั้นรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง  ทุกคนอยากรู้ว่าคนที่มาใหม่นั้นคือใคร  แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้  ผู้คนได้แต่เฝ้ามองชายหนุ่มร่างสูงสง่าคนนั้นเดินแทรกเข้าไปท่ามกลางฝูงชน   แม้เข้าไปอยู่กลางผู้คนหน้าเวทีแล้วยังสังเกตเห็นได้อย่างเด่นชัด

เสียงดนตรีเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งทำให้ผู้คนร้องเฮ   หนุ่มน้อยยิ้มให้ผู้ชมเช่นเคย  แววตาเปล่งประกายอย่างเป็นสุขเพราะได้ทำในสิ่งที่ชอบนั่นคือการร้องเพลง   และเพลงนี้เขาชอบเป็นพิเศษ 

“ห่างจากเธอแค่นี้  องศาเดียวจริง ๆ 
ห่างแค่นี้  แค่เอี้ยวตามอง 
แต่ฉันเองก็หมดทางที่จะทำให้เธอรับรู้”

ความรู้สึกภายในใจปลดปล่อยออกมากับเนื้อร้องนั้น  เสียงหลบสูงกลับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง  เขาส่งความรู้สึกแทรกออกไปตามความหมายของเพลง

ชายหนุ่มที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าไปหน้าเวทีหยุดชะงักไปกับเสียงที่ได้ยินเป็นครั้งแรกหลังจากที่จากกัน  เสียงอันไพเราะที่ตรึงเขาไว้   ดวงตาเรียวคู่เดิมจับจ้องไปที่ใบหน้าที่เขาคิดถึงมานาน   คนที่เขาเห็นแต่รูปถ่ายที่แม่เอามาให้ดู 

‘ไม่เหมือนในรูป’

น้องชายที่เขาเห็นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีผอมกว่าในรูปครั้งล่าสุด แล้วก็สูงใหญ่  ดูโตเป็นหนุ่มแล้ว 

“เพียงเศษตาของเธอ  อยากให้เธอหันมอง 
ส่งใจเรียกร้องให้ฟ้องถึงความในใจ”

กระแสความรู้สึกที่ส่งมากับเสียงเพลงตรงเข้าปะทะคนที่เฝ้ามองอยู่ข้างล่างทันที 

‘พีท’  เขาเรียกอยู่ในใจ

พีทลืมตาขึ้นราวกับรับรู้ว่ามีคนกำลังเรียกเขา   มองตรงไปยังผู้ชมล่างเวที 

“เพียงเศษตาก็พอ  แค่ให้เธอสนใจ 
ให้รู้ไว้ว่าฉันไม่เคย  อยู่ไกลจากสายตา”

เหมือนมีพลังดึงดูดบางอย่าง  ตลอดเพลงที่เหลือพีทกลับจับจ้องไปตรงจุดหนึ่งของคนดูข้างล่าง   เขากวาดสายตาไปจนสบตาคู่หนึ่งที่จ้องเขม็งและมองอยู่เช่นนั้น

คนข้างล่างก็เช่นกัน  เขายืนนิ่ง  ตาจับอยู่ที่ใบหน้าคนที่ร้องเพลงไม่ขยับไปไหน  แววตามองอย่างหลงใหล 

น้องของเขา  น้องร้องเพลงเพราะมาก และการแสดงออกทางสีหน้านั้นยิ่งส่งให้เพลงนั้นสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น  เขาชอบเวลาน้องร้องเพลงมากที่สุด  เพราะแววตาแสดงออกถึงความสุขที่ได้ร้องเพลง  มันทำให้เขาเผลอมองจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง 

เสียงกรีดร้องดังท่วมท้นเมื่อจบเพลงแล้ว  นักร้องจำเป็นส่งยิ้มให้กับผู้ชม  เป็นยิ้มแบบเขินอายเล็ก ๆ เหมือนคนที่ยังไม่มั่นใจว่าเพลงที่ร้องออกไปดีพอรึเปล่า  แต่เสียงกรี๊ดหูแทบดับของสาว ๆ ทำให้เขายิ้มมากขึ้นและเขินที่ได้รับการตอบรับที่ดี 

พีทกัดปากตัวเองเวลาเขิน  หลบตามองลงต่ำแล้วยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อเงยหน้ามองมาทางคนดู  เขายิ้มจนตาหยี

ยิ้มนั้นเหมือนหมัดพุ่งตรงกระแทกใจใครอีกคน  ใบหน้าเขาชะงักงันเหมือนกำลังถูกน็อก  หัวใจเต้นรัวแรง  เขายกมือขึ้นจับหน้าอกตัวเอง 

‘นี่เขาเป็นอะไร’

ดวงตาจับไปที่คนบนเวที  มองไม่วางตา  จดจำทุกรายละเอียดที่มองเห็นไว้

‘พีท’  เขาพร่ำร้องชื่อนี้ในใจ

ไม่อยากไปเลย  อยากฟังน้องร้องเพลงอีก  แต่เขาไม่มีเวลาแล้ว...

ร่างสูงเด่นที่อยู่ท่ามกลางผู้ชมคอนเสิร์ตเดินแทรกผู้คนออกมาด้านข้างเวทีแล้วเดินกลับออกไปทางเดิม   ผู้คนที่เขาเดินผ่านต่างเหลียวกลับมามอง เพราะหนุ่มหล่อที่เดินผ่านไปนั้นยิ้มกว้างให้ใครไม่รู้  ใบหน้าคมนั้นสว่างไสว 

แขกแปลกหน้าเดินออกจากโรงยิมไปขึ้นลีมูซีนที่ติดเครื่องรออยู่ จากนั้นลีมูซีนจึงเคลื่อนตัวตรงไปยังสนามบิน

‘คุ้มจริง ๆ ที่กลับมา’

---------------------------------------


พีทกลับถึงบ้านริมสระเมื่อเวลาเกือบหนึ่งนาฬิกาของวันคริสต์มาส หนุ่มน้อยเดินฮัมเพลงคริสต์มาสขณะที่ก้าวไปตามทางเดินเข้าบ้าน  เขารู้สึกเป็นสุขอย่างประหลาด  คงเป็นเพราะวันนี้เขามีโอกาสได้ร้องเพลงต่อหน้าคนทั้งมหาวิทยาลัยละมั้ง

หนุ่มน้อยถอดเสื้อกันหนาวตัวหนาของตัวเองออกเมื่อเข้ามาในตัวบ้านแล้ว  มองไปยังห้องครัวที่เปิดไฟทิ้งไว้   กล่องของขวัญห่ออย่างสวยงามสองกล่องอยู่บนโต๊ะกินข้าว 

‘ซานตาคลอสเอาของขวัญมาส่งให้เขาแล้ว’  หนุ่มน้อยคิดเล่น ๆ ขณะที่ก้าวเข้าไปในห้องครัว 

ในกล่องหนึ่งเป็นเค้กคริสต์มาส  พีทตาวาวด้วยความชอบใจ 

‘ของคุณโรสแน่ ๆ’ 


หนุ่มน้อยใช้นิ้วป้ายครีมหนานั้นขึ้นชิม

‘อร่อย’   ยิ้มออกมาอย่างเด็กได้ของถูกใจ 

ตาเขาหันไปมองที่กล่องของขวัญอีกกล่อง  ยกขึ้นเขย่าเบา ๆ 

‘อะไรน๊า....’ กล่องนี้ไม่หนักเท่าไร  เขาเปิดออก

‘รองเท้า!!!!’
 
รองเท้าผ้าใบสีส้มแสบตายี่ห้อโปรด 

‘นี่มันรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกขายที่นิวยอร์ค  ยังไม่วางขายที่ช้อปที่ร้านประจำเลย’  พีทพลิกดูที่ป้ายด้วยความตื่นเต้น 
 
‘โอ้โห  พ่อรู้ได้ยังไงว่าเขากำลังอยากได้รุ่นนี้  สีนี้ด้วย’

ใบหน้าของหนุ่มน้อยตอนนี้ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายเพราะได้ของขวัญถูกใจ   พีทดูนาฬิกาแล้วกดโทรศัพท์ทันที  ตอนนี้ที่โน่นคงกำลังบ่ายโมง   คุณโรสเป็นคนรับโทรศัพท์  เธอบอกว่าพ่อกำลังคุยโทรศัพท์กับลูกค้าสำคัญอยู่

“เมอร์รี่คริสต์มาสครับคุณโรส  ขอบคุณสำหรับเค้กนะครับ  พีทชอบมากเลย  แล้วฝากขอบคุณพ่อด้วยนะครับ  รองเท้าสวยมาก  พ่อพีทรู้ใจวัยรุ่นจริง ๆ”   




พีทวางสายไปแล้ว  คุณโรสยิ้มกับโทรศัพท์ในมือ  เธอพึมพำเหมือนจะบอกหนุ่มน้อย

“จากพี่ฮั่นจ้ะ” 

----------------------------------------



ตอนนี้ย้อนอดีตกันนิดหน่อยนะคะ  เดี๋ยวตอนหน้า....อิ อิ

ใกล้จบแล้วค่า  ฝากติดตามด้วยนะคะ 

และขอบคุณสำหรับคนที่คอยคอมเม้นต์ให้ด้วยค่า 

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 56 หน้า 10 อัพเดต 6/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 06-02-2015 21:59:14
เพิ่งอ่านถึงตอนล่าสุด(ที่ไม่ใช่ตอนนี้)ไปเมื่อหลายวันก่อน แต่ไม่มีโอกาสเม้นเลย
ตอนนี้ได้โอกาสเม้นสักที อิอิ
ชอบเรื่องนี้นะ สนุกกกก ภาษาสวยมาก คนอ่านนี่ขัดใจพี่ฮั่นเบาๆ ทำไมชอบทำน้องเสียใจ
มาอัพต่อเร็วๆ นะคะ รออยู่  :z2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 56 หน้า 10 อัพเดต 6/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 07-02-2015 15:28:01
ปักธงรออ่านต่อ ให้กำลังใจ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 56 หน้า 10 อัพเดต 6/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 07-02-2015 18:45:10
รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 56 หน้า 10 อัพเดต 6/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 08-02-2015 02:33:22
คุณพ่อคุณแม่ไฟเขียวแล้ว
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 56 หน้า 10 อัพเดต 6/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 11-02-2015 21:03:48
57. All I want for Christmas is you


คอนเสิร์ตวันคริสต์มาสอีฟของมหาวิทยาลัยผ่านไปด้วยความประทับใจ  พวกเขาได้รับเสียงปรบมือดังกึกก้องยาวนานเมื่อกล่าวคำอำลาแก่คนทั้งมหาวิทยาลัย  เพราะพวกเขากำลังจะจบการศึกษาในอีกไม่นาน

พีทมองไปที่คนหนาแน่นที่อยู่เบื้องล่างเวที  ผู้คนเบียดเสียดราวกับว่าคนทั้งมหาวิทยาลัยมารวมตัวกันที่นี่ทั้งหมด  ทำให้โรงยิมขนาดมาตรฐานนั้นดูคับแคบไปทีเดียว  บรรยากาศแบบนี้ทำให้เขานึกไปถึงครั้งแรกที่เขาได้ร้องเพลงที่นี่ตอนเขาอยู่ปีหนึ่ง  นั่นทำให้รู้ว่าเขารักการร้องเพลงขนาดไหน 

เพลงสุดท้ายที่พี่โดมร้องอำลา  ผู้คนร้องตามกันไปทั้งโรงยิม  พี่โดมร้องออกมาจากใจส่งความรู้สึกไปถึงคนดูทุกคนพลอยดึงให้ทุกคนในโรงยิมนั้นมีอารมณ์ร่วมไปด้วย  เสียงคนทั้งโรงยิมร้องเพลงเดียวกันดังกระหึ่ม 

ก่อนคอนเสิร์ตจะจบพวกเขาร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน  บรรยากาศสนุกสนานเฮฮาเพราะคืนนี้เป็นคืนคริสต์มาสอีฟ พรุ่งนี้ทุกคนก็จะไปฉลองกับครอบครัว 

เขาเคยคิดว่าคริสต์มาสครั้งนี้เขาคงไม่โดดเดี่ยวเหมือนทุกปีที่ผ่านมา เพราะพี่ฮั่นกลับมาแล้ว  แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม เขาต้องอยู่ฉลองคนเดียวเพราะพี่ฮั่นไปญี่ปุ่นหลายวันแล้วและไม่มีกำหนดกลับ 

หลังเล่นดนตรีเสร็จพวกเขาก็แทบจะออกจากโรงยิมไม่ได้ เมื่อผู้คนต่างก็เข้ามารุมล้อมเพื่อทักทาย  ถ่ายรูป  บางคนก็เอาของขวัญคริสต์มาสมาให้  พีทถูกรุมถ่ายรูปจนตาพร่าจากแสงแฟลช  เขาได้รับของขวัญจนเต็มท้ายรถ

พวกเขาไปเลี้ยงฉลองกันที่ร้านประจำ  สมาชิกทุกคนของวงตกลงกันว่าพวกเขาจะอยู่กันถึงเช้าเพื่อฉลองคริสต์มาสและเลี้ยงอำลาไปด้วย   ทุกคนดื่มกันอย่างสนุกสนาน  ไม่เว้นแม้แต่พี่โดมที่ไม่เคยยอมกินเหล้ากับเพื่อน ๆ สักครั้ง  แต่คราวนี้พี่โดมเมาพับไปก่อนใคร 

พีทก็ดื่มมากเหมือนกันแต่ยังประคองสติตัวเองไหว  เขาแอบมองไปที่คนตัวเล็กที่นั่งพิงไหล่พี่แทน  ริทตาปรอยอย่างคนเมาแล้วแต่ยังร้องเพลงเสียงดังอยู่ตลอดเวลา  ต่างจากพี่แทนที่ชวนคนโน้นคนนี้ชนแก้วแล้วหัวเราะสนุกสนาน  แต่มืออีกข้างหนึ่งกอดไหล่ริทไว้ไม่ปล่อยและไม่เคยละสายตาจากริทเลย 

เขาได้แต่อิจฉาริท

ไม่ถึงตีสามทุกคนก็เมากันหมดเพราะกินกันไปหลายขนาน  พีทก็เมาแทบประคองตัวเองไม่ไหว  เขาใช้เวลานานกว่าปกติกดโทรศัพท์เพื่อโทรตามบอดี้การ์ดให้ช่วยพาทุกคนขึ้นรถและขับรถตระเวนส่งเพื่อนทุกคนกลับบ้านจนครบ

ในที่สุดรถสีดำคันใหญ่ก็จอดลงที่บ้านริมสระ  บอดี้การ์ดลงมาเปิดประตูรถให้คุณชายที่พยายามจะลงจากรถเองอย่างทุลักทุเล   เวลานี้ล่วงเลยเข้าสู่วันคริสต์มาสแล้ว  อากาศหนาวจัด  พีทพ่นไอขาว ๆ ออกมาเมื่อเขาหายใจแรง  ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากไหนสักแห่ง  ทั้งเมืองตกอยู่ในบรรยากาศรื่นเริงสนุกสนาน  ผู้คนทั้งเมืองต่างเฉลิมฉลองไปกับเทศกาลนี้

ยกเว้นเขา 

คริสต์มาสของเขาคือวันแห่งความโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง  พ่อกับคุณโรสไม่เคยมีเวลาฉลองคริสต์มาสกับเขามาหลายปีแล้วเพราะต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศ 

ปีนี้ก็เช่นกัน  พ่อกับคุณโรสไม่เคยว่างเลยตั้งแต่เสร็จสิ้นงานศพของคุณปู่  งานผู้ว่าการรัฐของพ่อไม่ให้โอกาสเขาแม้แต่จะกล่าวทักทายกับพ่อสักประโยค  บางทีเขาก็อดคิดไม่ได้ว่า  ที่เขาสู้อุตส่าห์พยายามหักห้ามใจตัวเองเพื่อรักษาความเป็นครอบครัวไว้   ก็เพื่อให้ตัวเองอยู่โดดเดี่ยวในวันที่คนอื่นอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในเทศกาลเช่นนี้นะหรือ?

เขาจะทำไปทำไม  เขาจะทนรักษาครอบครัวไว้ทำไม  ในเมื่อไม่มีใครในครอบครัวมีเวลาให้เขาสักนิด   

พีทเดินเซเข้าบ้านช้า ๆ  ลมหนาวพัดกรูเข้ามาทำให้หนาวสะท้าน  ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงประตูหน้าบ้านเสียที  หนุ่มน้อยทิ้งกระเป๋าเป้ไว้ข้างรองเท้าผ้าใบสีส้มแสบตาคู่โปรดที่ถอดทิ้งไว้ที่โถงทางเดินเข้าบ้าน  คนที่เดินผ่านอากาศหนาวเย็นข้างนอกเข้ามารู้สึกอบอุ่นกะทันหันเมื่อเดินเข้ามาภายใน  ในบ้านอบอุ่นเหมือนมีใครก่อกองไฟไว้ 
 
สงสัยซานตาคลอสคงจะเอาของขวัญมาส่งให้เขาไม่ได้แล้ว  เพราะที่เตาผิงมีคนจุดไฟไว้  แสงสีส้มจากกองไฟที่ลุกโชนอาบไปทั่วห้องนั่งเล่นทำให้ห้องนั่งเล่นว่างเปล่านั้นดูอบอุ่น 

คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว   

พีทควานมือเปะปะไปตามผนังเพื่อเปิดสวิทช์ไฟ

‘เฮ้ย!!!!’

มือลึกลับเอื้อมมากอดเขาไว้จากด้านหลัง  รวบเขาเข้าไปในอ้อมแขน ก่อนที่เขาจะร้องตะโกนด้วยความตกใจก็มีเสียง

“เมอร์รี่ คริสต์มาส”  เสียงนุ่มที่คุ้นเคยกระซิบที่ริมหู

พีทชาวาบไปทั้งร่างเพราะคาดไม่ถึง  แทบหายเมาเป็นปลิดทิ้งทีเดียว 

‘ไหนบอกว่าไปทำงานที่ญี่ปุ่นไม่กลับนี่’

เขาหันกลับไปมองพร้อมกับสองแขนที่กอดเขาไว้ก็คลายออก เพื่อจับตัวเขาให้หันกลับมา

“พี่ฮั่น”  เขาคราง ทั้งตกใจ  แปลกใจและดีใจ  ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันปนกันไปหมด ทำให้เขามึนเหมือนที่เขากินเข้าไปทั้งเหล้า เบียร์และไวน์จากงานเลี้ยงอำลากับเพื่อนในวง

‘พี่ฮั่นกลับมาแล้ว’

คืนนี้เขาคงไม่เหงาเหมือนหลายวันที่ผ่านมา  ความเหน็บหนาวที่ต้องอยู่คนเดียวละลายไปเพราะความอบอุ่นใจจากการที่มี ‘ใครสักคน’  มาอยู่กับเขาในคืนเช่นนี้

“กลับดึกจัง พี่รอตั้งนาน”

พี่ฮั่นพูดเสียงเบา  มือทั้งคู่ของพี่ฮั่นจับมือเขาขึ้นมาประกบกันแล้วถูมือตัวเองกับมือที่เย็นเฉียบของเขาเพื่อทำให้อุ่นขึ้น

‘หา อะไรนะ  พี่ฮั่นมารอเหรอ’  พีทตาโต

“แล้วทำไมพี่ไม่โทรมาล่ะ  ผมจะได้รีบกลับ” 

พีทพูดตะกุกตะกักเพราะสายตาพี่ฮั่นที่มองมา  ทำตาเชื่อมใส่เขาด้วย  นี่เขาเมาแน่ ๆ เลยตาฝาด

“ก็เห็นว่าเลี้ยงอำลากัน  เลยไม่อยากรบกวน”

‘เอ๊ะ  รู้ด้วยว่าเขาไปเลี้ยงกับเพื่อน ๆ’

“เข้าไปข้างในเถอะ”

พี่ฮั่นดึงเขาเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่อบอุ่นจากกองไฟที่ลุกโชนในเตาผิง เปิดสวิทช์ไฟที่ซ่อนอยู่มุมหนึ่ง  หลอดไฟหลากสีที่ประดับต้นคริสต์มาสต้นใหญ่สว่างขึ้น  ห้องนั่งเล่นถูกตกแต่งด้วยแสงหลากสีจากต้นคริสต์มาสและหลอดไฟเล็ก ๆ ที่ซ่อนไว้ตามมุมห้อง  เขาจ้องมองไปที่ต้นคริสต์มาสที่ตั้งอยู่ใกล้กับเตาผิงด้วยดวงตาพร่ามัวเพราะแสงสะท้อนสีทองวาววับจากของตกแต่งหลากหลาย  มีทั้งลูกบอล  กวาง  ตุ๊กตากามเทพและทูตสวรรค์อันเล็กอันน้อยจนเต็มต้น  ของขวัญมากมายกองใหญ่อยู่ใต้ต้นคริสต์มาส

เขาไม่ได้ประดับต้นคริสต์มาสมาหลายปีแล้ว   

พี่ฮั่นทรุดตัวนั่งลงบนพรมขนสัตว์หนานุ่มใกล้เตาผิง  ดึงเขาให้นั่งลงด้วย   ความร้อนจากกองไฟทำให้ร่างกายเขาเริ่มอบอุ่นขึ้นทีละน้อย  พีทถอดเสื้อกันหนาวตัวหนาออกเหลือเพียงสเวตเตอร์สีขาว   

พี่ฮั่นหยิบของขวัญกล่องหนึ่งส่งให้เขา 

“นี่ของขวัญของพีท  จากพี่” 

“ขอบคุณครับ” 

พีทรับของขวัญมาด้วยความมึนงงเล็กน้อย   เขาอาจจะเมาแล้วคิดไปเองก็ได้  นี่พี่ฮั่นกลับมาฉลองคริสต์มาสกับเขาจริง ๆ ใช่ไหม  หรือเขาแค่เมา  นี่เป็นจินตนาการของเขาเองใช่ไหม

‘เอาล่ะ ถ้าในกล่องนี่มีของขวัญจริง เขาจะเชื่อว่าเขาไม่ได้เมา’  คิดแล้วนิ้วยาวก็ลงมือแกะของขวัญ  แต่กลับถูกห้ามไว้

“เดี๋ยวพีท  อย่าเพิ่งแกะ  ไว้แกะทีหลัง  นะ”  พี่ฮั่นคว้ามือเขาไว้  ทำให้เขาชะงัก

“นี่ของพ่อกับแม่”  พี่ฮั่นส่งซองสีครีมกลิ่นหอมกรุ่นใบหนึ่งให้แทน
 
‘เอ๊ะ นี่เขาเมาอยู่แน่ ๆ เขาได้ยินพี่ฮั่นพูดว่า พ่อกับแม่’ 

พีทรับซองนั้นมาด้วยความมึนงง  หยิบการ์ดในนั้นเปิดออกอ่าน เขาพยายามอ่านอยู่นานแต่เขาคงเมาจนตาลาย  เพราะยิ่งอ่านก็ยิ่งงง  ไม่เข้าใจเนื้อหาในนั้นเลยแม้แต่น้อย  เขาเงยหน้าขึ้นมองพี่ฮั่นที่สบตากับเขาทันทีราวกับจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา  ดวงตาเรียวคู่นั้นเปล่งประกายบางอย่างที่เขาดูไม่ออก   

“เมาจนอ่านไม่รู้เรื่องละสิ  มานี่  พี่จะอ่านให้ฟัง”

พี่ฮั่นคว้าการ์ดแผ่นนั้นไปจากมือเขา พีทมองพี่ฮั่นที่กำลังเปิดการ์ดเตรียมตัวอ่านอย่างตั้งใจ  เขาคงเมาเพราะเขาเห็นว่าพี่ฮั่นหน้าแดงจัด


ฮั่นและพีท  ลูกรัก 

       สุขสันต์วันคริสต์มาสนะลูก  พ่อกับแม่ขออวยพรให้ลูกทั้งคู่มีความสุขมาก ๆ  พ่อกับแม่ไม่มีสิ่งใดจะให้ลูกนอกจากจะบอกว่าพ่อกับแม่ยินดีในสิ่งที่ลูกต้องการทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเรื่องเรียน  เรื่องงาน  หรือเรื่องความรัก 
       จงทำทุกสิ่งตามความต้องการของลูก 

                                                           รักลูกทั้งสองคนสุดหัวใจ 
                                                               จากพ่อกับแม่




พี่ฮั่นยิ้มกว้างเมื่ออ่านการ์ดนั้นจบ  เงยหน้ามองเขาช้า ๆ  พีทมึนไปแล้วกับข้อความนั้น 

‘พ่อกับแม่?’   

คำว่าพ่อกับแม่ทำให้เขาแปลกใจจนไม่ได้ใส่ใจกับข้อความที่เหลือในการ์ด  ปกติเขาเรียกแม่เลี้ยงของเขาว่า ‘คุณโรส’ เพราะติดมาจากพ่อ  และพี่ฮั่นก็เรียกพ่อของเขาว่า ‘ลุงคริส’   พวกเขาไม่ได้เรียกพ่อหรือแม่แบบนั้นมาก่อน
     
นี่พ่อกับคุณโรสหมายความว่ายังไง  หรือการที่เปลี่ยนมาเรียกพ่อกับแม่จะเป็นการตอกย้ำให้เขารู้ว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันมากไปอีก  หรือนี่คือคำตอบของพ่อ? 



“พีท!!” 

คนเป็นพี่เรียกอย่างตกใจเมื่อเห็นพีทลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว  เขารีบลุกขึ้นไปคว้าตัวน้องให้มาคุยกันก่อน

“พีท  เดี๋ยวก่อน  อย่าเพิ่งไป” 

พีทก้มหน้าเมื่อไม่สามารถดึงตัวจากมือที่จับแขนเขาไว้แน่น

“พีท  เป็นอะไร”  คนพี่ใช้มือข้างที่ว่างจับใบหน้าพีทให้เงยขึ้นมาคุยกัน 

“ไม่เป็นไรครับ” 

พีทหันหน้าหนี ความรู้สึกเสียใจที่เคยคิดว่าไม่มีอีกแล้วกลับเข้ามาไหลเวียนในร่างกายเขาอีกครั้งเพียงแค่ได้รู้คำตอบของพ่อ   แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีทางออก  แต่ก็ยังเสียใจ

“เดี๋ยวพีท  เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า”  พี่ฮั่นยังคงดึงเขาไว้ไม่ยอมปล่อย

“เข้าใจผิดเหรอ  เข้าใจอะไรผิดล่ะ  พ่อกับคุณโรสแค่เขียนอวยพรเท่านั้นเอง” 

เขาพยายามตั้งสติ  นี่เขาคงเมาถึงรู้สึกเสียใจขนาดนี้ 

“นี่จับใจความอะไรไม่ได้เลยหรือ?”   

“ไม่รู้  ผมไม่รู้เรื่องแล้ว  พี่ปล่อยเถอะผมจะไปนอน”

เขาไม่เข้าใจอะไรแล้ว  พีทดึงแขนออกจากมือพี่ฮั่นจนสำเร็จ  หันกลับไปเพื่อเดินออกจากห้องนั่งเล่น

“ไม่ให้ไป มาสู้กันดีกว่า ใครแพ้ต้องทำตามคำสั่ง ตกลงนะ”  พี่ฮั่นเดินมาขวางเขาไว้แล้วพูดประโยคนั้นรวดเร็ว

“เฮ้ย  อะไรเนี่ยพี่  ผมไม่เล่นนะ  ผมง่วงแล้ว!”  พีทว่าแล้วก็เดินเลี่ยงไปอีก

แต่คนพี่ไวกว่า  ย่อตัวลงรวดเร็ว  รวบเอวน้องชายไว้แล้วแบกตัวน้องชายขึ้นบ่าโดยไม่ให้โอกาสตั้งตัว  เพียงสองสามก้าวคนตัวใหญ่ก็ทุ่มร่างพีทลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น

พีทงุนงงที่เขาถูกจับมาทุ่มลงบนโซฟา   พี่ฮั่นโถมตัวลงมา

“เฮ้ย  พี่ เล่นอะไรเนี่ย  ลงไปก่อน  ผมหนัก”  พีทโวยวายที่พี่ฮั่นทิ้งตัวทับเขาไว้ โซฟาตัวนี้ไม่ใหญ่พอสำหรับคนตัวใหญ่อย่างพวกเขาสองคนนะ

“พีทแพ้แล้ว ต้องทำตามคำสั่ง” 

หน้าพี่ฮั่นลอยอยู่ห่างจากเขานิดเดียว จมูกพวกเขาแทบจะชนกันแล้ว  พีทหันหน้าหนี   พยายามผลักพี่ฮั่นให้ลุกออกไปแต่พี่ฮั่นกลับจับมือเขาไว้ แล้วแกล้งกดตัวลงมาอีก   

“พี่ขี้โกงนี่  ผมไม่ได้ตกลงอะไรด้วยเลย  พี่พูดเองเออเอง  ผมไม่รู้เรื่องด้วยหรอก  ลุกไปได้แล้ว  ผมจะไปนอน!”  พีทโวยวายเสียงดัง   

“ไม่มีทาง  คราวที่แล้วใครโกงพี่ก่อนล่ะ เล่นโจมตีจุดอ่อนกันก่อนนี่  พี่จำได้นะ” 

พีทชะงักเมื่อพี่ฮั่นพูดถึงเรื่องคราวนั้น  คราวนั้น เขา...เขาหลบตาพี่ชายเมื่อนึกถึงเรื่องวันนั้น  รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมากะทันหัน
 
“คราวนี้พีทต้องทำตามคำสั่งพี่บ้าง” คนพูดไม่ปิดบังแววตาและน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยเล่ห์กลแม้แต่น้อย

“ไม่มีทาง  ผมยังไม่ทันตั้งตัวนี่  พี่ขี้โกง ขี้โกง ขี้โกง”  พีทไม่ยอม   โวยวายเสียงดังว่าพี่ฮั่นขี้โกง
 
“ก็ได้ ก็ได้  ถ้าพีทคิดว่าพี่โกง  เรามาสู้กันใหม่เอาไหมล่ะ”  พี่ฮั่นว่า ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มไม่มีอาการหนักใจอะไร

คนเป็นพี่ลุกขึ้นจากโซฟา  ดึงแขนพีทให้ลุกขึ้นด้วย  พีทตั้งตัวได้แล้วก็รีบวิ่งหนีทันที  แต่เขาวิ่งยังไม่ถึงบันไดพี่ฮั่นก็วิ่งมาดักเขาไว้ได้ทัน พี่ชายยิ้มกวน

“กลัวแพ้ใช่ไหมล่ะ นายไม่เคยชนะพี่ได้สักทีนี่  ครั้งสุดท้ายชนะเพราะเล่นทีเผลอ” 

ท้ายประโยคนั้นพี่ฮั่นทำหน้าตาล้อเลียน  ยิ้มเยาะใส่เสียด้วย  คนไม่ยอมแพ้ใครอย่างพีทก็เลือดขึ้นหน้าบ้างแล้วจากคำสบประมาทนั้น  เขาชะงักเท้าที่กำลังก้าวแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่เป็นฝ่ายท้า  ดวงตาเริ่มฉายแววเอาจริง


พี่ชายมองแล้วก็ยิ้มกวนใส่อีก   

‘พีทนี่หลอกง่ายชะมัด  ท้านิดท้าหน่อยก็ตกหลุมทุกที  เรื่องไม่ยอมแพ้ใครนี่คงอยู่ในสายเลือดสินะ’   คิดแล้วก็เริ่มก้าวถอยหลัง  พวกเขาคงต้องใช้พื้นที่กันหน่อย
 
เขาก้าวถอยหลังไปพีทก้าวตามมาเช่นกัน   พวกเขาจ้องตากันแน่วแน่ไม่ยอมหลบเพราะถ้าเผลอเมื่อไรอีกฝ่ายลงมือแน่ ๆ 

 
พีทมองหน้าพี่ฮั่นที่กลับมากวนประสาทเขาอีกครั้ง 

‘ไหน ๆ พี่ฮั่นก็ท้าเขาแล้ว ขอเอาคืนหน่อยแล้วกัน ตอนเป็นนายหมีกวนประสาทเขาไว้เยอะ’  คิดดังนั้น  พีทขยับเข้าไปทันที

“พลั่ก”

พี่ชายหลบหมัดที่พุ่งมารวดเร็วนั้นเกือบไม่ทัน  หมัดของพีทโดนปลายคางเขาไม่เต็มหมัดแต่ก็ทำให้หน้าเขาสะบัดอย่างแรง  ฮั่นถอยไปตั้งหลักสองสามก้าว  ยกหลังมือเช็ดที่ปลายคางตัวเองพลางทำหน้าแปลกใจที่พีท ‘เอาจริง’ 

เวลานี้พวกเขาอยู่ในครัวแล้ว 

“พี่อย่าถอยสิ ใครกันแน่ที่ไม่กล้า แน่จริงก็เข้ามา”   คนน้องท้าบ้าง  พีทกำมือแน่นตั้งการ์ดเตรียมพร้อม

ฮั่นหยุดชะงักกับคำท้านั้น ยิ้มมุมปากเหมือนถูกใจอะไรบางอย่าง คนตัวใหญ่ปักหลักยืนอยู่ที่เดิมในท่าเตรียมพร้อม 

พีทส่งหมัดลุ่น ๆ เข้าที่ใบหน้าทันที  คนเป็นพี่ใช้แขนซ้ายที่ตั้งการ์ดยกสูงสกัดหมัดของน้องได้ทันแล้วก้มตัวต่ำเพื่อหลบหมัดซ้ายที่เหวี่ยงตามมารวดเร็ว  หมัดชกลมนั้นทำให้พีทเสียศูนย์  พี่ชายที่ก้มตัวอยู่จึงพุ่งเข้ามารวบตัวน้องชายแล้วดันถอยหลังออกจากห้องครัวรวดเร็วเหมือนการแท็คเวลาเล่นรักบี้ 

“เฮ้ย!”

พีทตั้งตัวไม่ทันเมื่อถูกดันตัวเข้าไปในห้องนั่งเล่น  เขาถูกพี่ฮั่นผลักลงบนพรมหนาหน้าเตาผิง 

พี่ชายก็เกือบหลบไม่ทัน เมื่อกำลังจะทิ้งตัวลงมาทับแต่พีทยกเข่าขึ้นรออยู่ก่อนเพื่อกันตัวเอง  ฮั่นกลับไปทิ้งตัวลงข้าง ๆ ใช้ลำตัวใหญ่พาดทับช่วงอกน้องชายไว้ด้วยท่ากดยูโดของเขาที่พีทไม่เคยดิ้นหลุด

พีทกลับพลิกตัวเป็นนอนคว่ำทั้งที่พี่ฮั่นยังพาดตัวทับอยู่ด้านบน ดันตัวเองลุกขึ้นรวดเร็วเพราะการคว่ำตัวทำให้แขนและขามีแรงยันพื้น  ร่างพี่ฮั่นจึงถูกดันตัวขึ้นไปด้วย  พีทใช้โอกาสนั้นดีดตัวออก   

พวกเขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง 

พีทถอยไปยืนตั้งหลักอยู่หน้าเตาผิง  ส่วนคนพี่ก็ถอยไปยืนอยู่อีกด้านของห้องนั่งเล่น 

“ผมไปนอนคิดหาทางแก้ท่ากดของพี่มานานแล้ว   คราวนี้พี่ทำอะไรผมไม่ได้หรอก”

พีทยิ้มอย่างสะใจให้พี่ชายที่เขาหาวิธีแก้ตัวหลุดจากท่ากดของพี่ฮั่นได้เป็นครั้งแรก  พี่ชายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเช่นกันแต่เขายังยิ้มกวนใส่น้องได้อีก 

‘พี่ไม่ได้มีไม้ตายแค่อย่างเดียวหรอกนะพีท’  แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามางัดไม้ตายอะไรอีก  เขามีเรื่องจะคุยกับน้อง

พีทจ้องตาพี่ฮั่นเขม็งอย่างระแวดระวังตัวมากขึ้น  เพราะคนพี่นั้นไม่มีทีท่าจะหนักใจอะไรเลยที่เขาหาทางแก้ลำพี่ฮั่นได้แบบนี้
 
เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นพี่ฮั่นเลิกตั้งการ์ด  กลับมายืนปกติแล้วเดินตรงเข้ามาหาเขาธรรมดา ๆ

‘เอ๊ะ  พี่ฮั่นจะมาไม้ไหน’

ชั่ววินาทีที่พีทเผลอ  ทันใดนั้นพี่ฮั่นก็พุ่งมารวบตัวเขาไว้  แขนขวาเขาถูกพี่ฮั่นรวบแนบกับลำตัว  คนพี่ใช้แรงทั้งหมดรัดเขาไว้แน่นแต่มือซ้ายเขายังว่างจึงเงื้อขึ้น

‘ขอสักทีเถอะ’



 :hao7: :hao6: :katai2-1:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 11-02-2015 21:39:21
(2)




“พี่รักพีท”


คำพูดนั้นชัดเจนแทงทะลุทุกประสาทการรับรู้

‘หา อะไรนะ’ 

พีทชะงักมือที่กำลังจะชกค้างกลางอากาศเพราะประโยคนั้น 

‘อะไรกัน  ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  อยู่ดี ๆ ก็โพล่งขึ้นมาแบบนี้’


พีทที่นิ่งค้างไป  เปิดโอกาสให้พี่ชายรวบมือเขาที่เงื้อหมัดค้างไว้ลงมา  ฮั่นรวบแขนทั้งสองข้างของพีทไปข้างหลัง  ดันตัวน้องชายจนชนกับกำแพงข้างเตาผิงอย่างง่ายดาย

“ชนะแล้ว”

พีทที่กำลังตกตะลึงอยู่เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว  เขาสะดุ้งเมื่อรับรู้ว่าถูกรวบตัวจนหมดทางหนีแล้ว

‘ชนะงั้นเหรอ’

หันมองหน้าคนที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา พี่ฮั่นพูดแบบนี้แค่เพื่อเอาชนะเขางั้นเหรอ  พี่ฮั่นทำได้ยังไง  คำพูดพวกนั้นมันคงไม่มีความหมายสินะถึงเอ่ยออกมาได้ง่ายดายขนาดนั้น  พี่ฮั่นไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเขาเลย  ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาต้องพยายามมากเท่าไรที่จะทำตัวให้เหมือนเดิม  พยายามหักห้ามใจแค่ไหนที่จะไม่ให้คิดอะไรเกินไปกว่าพี่ชาย  เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน   เขาต้องทนเจ็บปวดมากขนาดไหน  พี่ฮั่นเคยคิดถึงใจเขาบ้างรึเปล่า
 
ไม่ได้รักกันแล้วพูดทำไม  ทำไม?

“พีทต้องทำตามคำสั่ง”

พี่ฮั่นที่แนบชิดเขาอยู่  ยังพูดต่อไปเหมือนไม่เห็นว่าเขากำลังเสียใจ เหมือนไม่สนใจความรู้สึกของเขา
 
เจ็บ  เจ็บไปหมด  ไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหน  รู้แต่ว่ามันเจ็บจนชาไปทั้งตัว   

“พี่สั่งให้พีทตอบคำถามพี่”

‘คำถามบ้าอะไร  จะมาถามอะไรตอนนี้!!’
 

แววตากราดเกรี้ยวของเขาบอกแบบนั้น  ในเมื่อตอนนี้เขาพูดไม่ออกแล้ว

“ขอให้ตอบความจริง  แค่คำถามเดียว” 

เขามองหน้าพี่ฮั่นที่ยังคงถามคำถามต่อไป  เขาทนไม่ไหวแล้ว  พีทออกแรงดิ้นรนพยายามสะบัดมือที่ถูกรวบไว้ด้านหลังด้วยแรงที่เหลืออยู่  แต่พี่ฮั่นที่ดันร่างมาจนชิดนั้นทำให้เขาขยับแทบไม่ได้

“พีทรักใคร”

‘อะไรนะ ทำไมพี่ฮั่นถึงถามแบบนี้’


ร่างกายที่กำลังดิ้นอย่างหนักหยุดกะทันหัน  เขางงไปหมดแล้ว  พีทสับสนไปหมดแล้วกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่

นี่มันอะไรกัน  เขาเมาใช่ไหม  นี่เขาหูฝาดไปเองรึเปล่า  ทำไมเขาต้องมาสู้กับพี่ฮั่นในเช้าวันคริสต์มาสทั้งที่ควรจะกำลังนอนอุ่นบนเตียงนุ่มของตัวเอง  ต้องมาฟังคำพล่อย ๆ ของพี่ฮั่นที่ใช้เพื่อเอาชนะเขา  ต้องมาตอบคำถามบ้า ๆ ทั้งที่พี่ฮั่นก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว!

“พี่เป็นบ้าอะไร  พี่กำลังทำอะไรอยู่”  เขาตะโกนออกไป 

“พี่ไม่รู้รึไงว่าผมเจ็บปวด ไม่รู้รึไงว่ามันทรมานขนาดไหน  แล้วพี่มาถามคำถามนี่เพื่ออะไร  พี่จะให้ผมพูดไปทำไมในเมื่อมันไม่มีความหมายอะไรสำหรับพี่เลย” 

เขาตะโกนอีก  เขาทนไม่ไหวแล้ว  อยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้ว  พีทสะบัดตัวอย่างแรงแต่พี่ฮั่นไม่ยอมปล่อย  มือใหญ่ที่รวบแขนเขาไว้ด้านหลังทั้งสองข้างเหมือนกอดเขาไว้ทำให้เขาหนีไม่ได้  พี่ฮั่นกลับเบียดตัวชิดเข้ามาอีก  แนบหน้าผากตัวเองกับหน้าผากเขา 

“พี่อยากได้ยินอีก”   

พีทหันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อดิ้นไม่หลุด  เขาไม่ตอบได้แต่กัดฟันกลั้นน้ำตาไว้  กดความเสียใจที่พุ่งจากกลางอกนั้นลงไปอีก

“พีท”  เสียงแผ่วอ่อนกระซิบเรียก

“พีทรักใคร” 
 
พี่ฮั่นถามอีก  ริมฝีปากคลอเคลียอยู่ที่ริมหูเขา  กดจมูกโด่งแถวไรผม 

พีทเบิกตากว้างอย่างตกใจ  ตัวแข็งนิ่งค้างจากการกระทำของพี่ฮั่น  สัมผัสนั้นอ่อนละมุน  นุ่มนวลเมื่อปลายจมูกนั้นลากผ่านไปตามไรผมช้า ๆ อย่างจงใจ  แตะริมฝีปากแผ่วหวาน 

พีทกัดฟันแน่นกับความรู้สึกสะท้านที่เกิดขึ้น  ไม่ว่ายังไงพี่ฮั่นก็มีอิทธิพลเหนือเขาทุกเรื่อง  แค่เสียงที่กระซิบอยู่ริมหูแบบนี้  แตะแผ่วเบาแบบนี้ก็ทำเขาใจสั่น  เขาอยากจะดิ้นรนหนีเพื่อเป็นอิสระจากความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้นี้  แต่กลับขยับไปไหนไม่ได้! 

“ว่าไง พีทรักใคร” คำถามยังตามมาอีกครั้ง 

คราวนี้พี่ฮั่นลากจมูกโด่งนั้นไปลงไปอีก  ไล้เบา ๆ  กดจูบเรื่อยลงไปตามลำคอ 

“อ๊ะ พี่..”  แรงดูดเม้มที่ต้นคอทำให้เขาเจ็บแปลบ  แต่กลับสร้างความวาบหวามให้เพิ่มขึ้น 

“อะ อื้อ” 

พีทกัดฟันข่มเสียงครางของตัวเอง  ความรู้สึกวูบวาบเหมือนครั้งก่อนทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว  ความรู้สึกที่พี่ฮั่นเคยฝากไว้เมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ในห้องออกกำลังกาย  ความรู้สึกนั้นกำลังทำให้เขาหัวหมุนคิดอะไรไม่ออก  เขาหลับตากลับเห็นแต่หน้าพี่ฮั่น  คนคนเดียวที่เขาคิดถึงตลอดเวลา

“ผม...ผม  รัก  พี่ฮั่น” 

คำตอบแทบไม่เป็นคำของเขาทำให้พี่ฮั่นหยุดการกระทำ 

ก่อนที่เขาจะรู้ตัวพี่ฮั่นก็จับคางเขาให้หันกลับมา  พีทมีโอกาสสบตาพี่ฮั่นเพียงครู่เดียว   แต่ก็นานเพียงพอที่จะสะกดเขาไว้  ริมฝีปากนั้นกดลงมาจนแนบสนิท  พีทยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก  ปากนุ่มที่บดคลึงอยู่ทำให้เขาเบลอไปหมด ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าพี่ฮั่นปล่อยมือตั้งแต่เมื่อไร มือเขายกนิ่งค้างกลางอากาศอย่างไม่รู้จะวางตรงไหน

เพียงครู่เดียวพี่ฮั่นก็ผละริมฝีปากออก  พี่ชายถอยหน้าออกไปเล็กน้อย  ยกมือประคองหน้าเขาไว้  จ้องตรงมา  แต่สายตาเขากลับเอาแต่จ้องมองไปที่ปากแดง ๆ ที่เพิ่งผละไป  ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเมาเหล้าหรือกำลังเมาจูบของพี่ฮั่นกันแน่

“พีทรักใคร” 

เสียงพี่ฮั่นกระซิบถามมาอีก พร้อมกับเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง  ใช้ปลายจมูกปัดไปมาที่จมูกเขาอย่างหยอกล้อ

“หืม?”  เสียงแผ่วเบานั้นเหมือนต้องการคำตอบ  แตะจูบบางเบาที่มุมปาก

“ผม  รัก  พี่ฮั่น”  เขาตอบอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย

พี่ฮั่นจูบเขาอีก  ริมฝีปากนั้นบดเบียดแนบชิด  มือใหญ่ข้างหนึ่งสอดไปตามเส้นผม  กดท้ายทอยให้เขาเงยหน้าขึ้นรับสัมผัสอ่อนหวานก่อนจะสอดลิ้นมาตวัดพันลิ้นเขาไว้

พีทแทบไม่รู้ตัวอีกแล้วว่ากำลังเกิดอะไรต่อไปเมื่อพี่ฮั่นกำลังปรนเปรอเขาด้วยริมฝีปากร้อนราวกับรู้ว่าเขายังไม่เต็มอิ่มกับรสจูบ  มือที่ยกนิ่งค้างคว้ากอดคนตรงหน้าไว้  เขาเคลื่อนมือไปทั่วแผ่นหลังกว้าง  พี่ฮั่นเบียดตัวกับเขาไปมา  จูบอ่อนโยนนั้นเริ่มร้อนแรงขึ้นทุกนาทีที่ผ่านไป  กระตุ้นให้ตอบสนอง 

คงเป็นเพราะความคิดถึง  ความรัก  ความต้องการที่เกิดขึ้นมานานแต่ต้องเก็บซ่อนไว้  เมื่อมีโอกาสได้สัมผัสกันและกัน  สิ่งที่อยู่ภายในก็ผลักดันให้คนทั้งคู่ปลดปล่อยทุกสิ่งที่อัดแน่นออกมา  ต่างฝ่ายต่างก็ถ่ายทอดความรู้สึกของตนผ่านร่างกายที่แนบสนิทจนไม่มีอะไรมาแทรกได้ 

วันเวลาเหมือนหยุดนิ่ง โลกกำลังหยุดเคลื่อนไหว  มีเพียงแค่คนสองคนที่กำลังเคลื่อนไหวไปตามจังหวะหัวใจที่เต้นประสานกัน

พีทไม่รับรู้สิ่งอื่นใดยกเว้นเพียงแค่ริมฝีปากที่สร้างความรัญจวนใจ ทำให้เขาล่องลอย  ทำได้เพียงแค่ยึดพี่ชายไว้แน่น  จนกระทั่งมือพี่ฮั่นสอดเข้าไปในเสื้อสเวตเตอร์  ลูบหนัก ๆ ที่หลังพีทก็สะดุ้งสุดตัว  ถอนใบหน้าตัวเองออก

“พี่ฮั่น ปล่อยก่อน!” 

เขาจับข้อมือที่กำลังเคลื่อนจากแผ่นหลังมาที่หน้าอกไว้แน่น   ก้มหน้าเพราะไม่กล้าสบตา  หน้าเขาต้องแดงไปหมดแน่ ๆ เพราะตอนนี้เขารู้สึกร้อน  ร้อนไปทั้งหน้าทั้งตัว 
 
‘พี่ฮั่นกำลังทำอะไร?’

พี่ฮั่นยอมหยุดแต่กลับกอดเขาไว้แทน  พีททิ้งตัวไว้ในอ้อมแขนพี่ฮั่นอย่างคนหมดแรง  กองไฟในเตาผิงนั้นมอดไหม้จนเหลือเพียงไฟกองเล็กแต่ห้องนั่งเล่นยังคงอบอุ่น   มีเพียงเสียงหายใจแรงของคนสองคน

“พีท  พีท  พีท”   พี่ฮั่นเรียกเขาเสียงพร่าเต็มไปด้วยอารมณ์   ริมฝีปากร้อนนั้นยังคงลากไปมาข้างหู   
   
“อืม”  พีทรับคำเสียงเบาหวิวพอกัน  พยายามเรียกสติตัวเองกลับคืน  เขายังคงถูกมอมเมาจากสัมผัสของพี่ฮั่นจนเบลอไปหมดแล้ว  สมองแทบไม่สั่งงานอะไรเพราะสิ่งที่พี่ฮั่นกำลังทำนั้นดึงความสนใจเขาไปหมดสิ้น
 
“รู้บ้างไหมว่าทำให้พี่ทนแทบไม่ไหวแล้วน่ะ” 

“อะไร  พี่ฮั่นหมายความว่าอะไร” 

“ก็...ก็...ไม่มีอะไร”   

“กอดพี่บ้างสิ”  พี่ชายกระซิบเสียงออดอ้อนก่อนจะกดริมฝีปากนุ่มไปตามลำคอทำให้ความรู้สึกที่ยังคุกรุ่นอยู่พุ่งทะยานขึ้นอีก  พีทเผลอเบียดตัวเข้าหา

“พี่ทำแบบนี้ทำไม ไม่ดีเลย” 

ทั้งที่พูดแบบนั้นแต่สองมือของเขากลับกระชับอ้อมกอดแน่น  กอดด้วยความรู้สึกคิดถึง  ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่มีต่อพี่ชายคนนี้  คนที่เขาพยายามจะเลิกรักแต่ความรักที่มีก็ยังคงล้นหัวใจ

“พี่บอกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่เหรอ  พี่บอกให้ผมตัดใจ แล้วพี่ทำแบบนี้ทำไม”  เขาสับสนไปหมดแล้วเพราะพี่ฮั่นพูดอย่างหนึ่งแต่กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง 

คำถามนั้นทำให้พี่ชายหยุดการเคลื่อนไหว  เงยหน้ามามองคนที่กำลังสับสน  ยิ้มอ่อนโยนให้น้องชาย

“พี่คุยกับพ่อแล้ว” 

ความสงสัยปรากฏชัดในดวงตาคนฟัง

“อะไร  พี่คุยอะไรกับพ่อผมเหรอ” 

“พ่อกับแม่รู้เรื่องแล้ว  แล้วก็ไม่ว่าอะไร  คำตอบอยู่ในการ์ดแล้ว”

‘คำตอบอยู่ในการ์ด? อะไร แล้วพ่อว่ายังไงล่ะ’

ดวงตาเขายังคงเต็มไปด้วยคำถาม  พีทเอนตัวไปด้านหลังเพื่อมองหน้าคนพูดให้ชัด  พี่ฮั่นมองสบตาเขาด้วยสายตาที่ทำให้เขานิ่งงัน  สายตาที่เคยทำให้เขาใจเต้นแรงตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาสู้กันในห้องออกกำลังกาย

“พ่อบอกว่ายินดีกับความรักของเราไงล่ะ  เด็กโง่” 

“ความรักของเรา?” 

“ก็  พีทรักพี่   พี่ก็รักพีทไง”   

‘อะไรนะ’

“วันนั้นพี่ไปหาพีทที่ทะเล  ตั้งใจจะบอกแต่พีทกลับไม่สบาย  ไข้ขึ้น  เพ้อด้วย  เพ้อหาพี่” 

จริงหรือนี่  คืนนั้น....ที่บ้านริมทะเล  คืนนั้นที่เขาไม่สบายเขาไม่ได้ฝันไปเองหรอกหรือ  พี่ฮั่นอยู่ที่นั่น  แล้วที่สิ่งเขาได้ยิน  มันคือความจริงใช่ไหม? 

มือของพี่ฮั่นเคลื่อนมาจับใบหน้าเขาไว้   ใบหน้าของพี่ฮั่นสว่างไสว  พี่ชายจ้องลึกเข้าไปในดวงตา  ตรึงเขาไว้ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่ส่งมา  สายตาที่มีแต่ความจริงไม่เหลือเค้าล้อเล่นเลยสักนิด

 จากนั้นพี่ฮั่นก็ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน  รอยยิ้มที่มีให้เขาเสมอก่อนจะย้ำอีกครั้ง

“พี่รักพีท  รักมาตั้งนานแล้ว”

เกิดความว่างเปล่าชั่วขณะเมื่อได้ยินประโยคไม่คาดฝันนั้น 

พีทรู้สึกคล้ายกับว่าเขาหยุดหายใจไปชั่วคราว  ร่างกายหยุดเคลื่อนไหว  หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินสิ่งที่พี่ฮั่นพูด   ความหมายของประโยคนั้นกำลังซึมซับเข้าไป   แทรกซึมไปทั่วร่างกาย
 
‘.....รัก.....พี่ฮั่นรักเขา’

คำว่ารักของพี่ฮั่นตรงเข้ากระแทกที่หน้าอก  กระตุ้นหัวใจที่เคยแตกสลายให้เริ่มเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง  หัวใจที่เขาเคยคิดว่าคงไม่รู้สึกอะไรได้อีกแล้วกลับกำลังพองฟูอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจเอ่อท้นไปทั่วร่าง  พีทรู้สึกชาไปทั้งร่างกาย  มีเพียงหัวใจที่เต้นถี่รัวตอบสนองคำพูดอันมีความหมาย
 
ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกสับสน  ไม่แน่ใจว่ามันคือเรื่องจริงหรือความฝัน ความรู้สึกหลากหลายที่เกิดขึ้นได้ไหลผสมปนเปไปกับความสุขใจที่ได้ยินคำสำคัญ  เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกเช่นไร  แต่มันได้หลอมรวมกันและปลดปล่อยออกมาเป็นน้ำตา

เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิด  จนกระทั่งพี่ฮั่นใช้ปลายนิ้วไล้แผ่วเบา  เช็ดน้ำตาให้เขาอย่างอ่อนโยน   

พีทมองพี่ฮั่นด้วยดวงตาพร่ามัว  ครู่ใหญ่กว่าจะหลุดคำถามออกมาได้

“ตะ..ตั้ง...ตั้งแต่เมื่อไร?”   

เขาเห็นพี่ฮั่นเม้มปากแน่น  ดูขัดเขิน  ก่อนจะตอบคำถาม

“คริสต์มาสอีฟ  ตอนพีทอยู่ปีหนึ่ง” 

‘อะไรนะ ตอนปีหนึ่ง!’   พีทได้แต่นิ่งงันเมื่อสมองคิดทบทวนอย่างรวดเร็ว  นั่นมันตั้งแต่สามปีที่แล้ว   พี่ฮั่นรักเขามานานขนาดนั้น  แสดงว่าที่ผ่านมา.....

แล้วที่ผ่านมามันคืออะไร?  ทำไม? ทำไมต้องปฏิเสธเขา

ความทรงจำอันเจ็บปวด  ความรู้สึกเสียใจ  ผิดหวัง  หัวใจเขาที่ถูกพี่ฮั่นทำลายไปแล้วครั้งหนึ่ง  ความเจ็บปวดอันทุกข์ทรมานไหลย้อนกลับมา  พีทผลักพี่ชายออกทันที  ใบหน้ากราดเกรี้ยวเมื่อได้รู้ความจริง 
 
“แล้วพี่ปฏิเสธผมทำไมล่ะ  ไม่รู้รึไงว่าผมเจ็บปวดขนาดไหน  ไม่รู้รึไงว่าผมทรมาน  ผมรักพี่แทบเป็นบ้าแต่พี่กลับบอกให้เราเป็นพี่น้องกัน  พอผมพยายามจะรักเหมือนพี่ชาย  พี่กลับมาบอกว่ารักผมงั้นเหรอ  พี่สนุกมากไหม  สนุกมากใช่ไหมมาปั่นหัวกันแบบนี้!”

เขาเสียใจมากขนาดไหน  พี่ฮั่นเคยรู้บ้างรึเปล่า  ทั้งที่รักเขาแล้วทำไมถึงบอกว่าไม่ได้รัก  ทำไมต้องทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้

พีทใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอีก คราวนี้ไม่ใช่เพราะความสับสน  แต่มันมาจากความโกรธ  ความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขารู้จัก ความเจ็บปวดที่ได้รับจากคนคนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ

“ไหนพีทบอกว่าจะไม่โกรธพี่ไง”  พี่ชายเอ่ยเสียงอ่อน  เอื้อมมือมาจับแขนน้องไว้  แม้พอจะคาดเดาได้ว่าพีทต้องโกรธเมื่อรู้เรื่องที่เขาเก็บไว้มานาน  แต่ก็อดใจเสียไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีโกรธขึงของน้องชาย   

พีทกระชากมือตัวเองออกอย่างแรง

“ผมขอยกเลิก!  ผมโกรธพี่แล้ว  ไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีกนะ!”   

พีทตะโกน  เจ็บปวดเพราะความไม่เข้าใจ  เจ็บปวดที่พี่ฮั่นไม่เคยบอก  ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายพูดและแสดงออกทุกอย่างแม้กระทั่งออกคำสั่ง  แล้วมาบอกทำไมตอนนี้  ตอนที่เขากำลังจะตัดใจ

“พีท พี่ขอโทษ”

ใบหน้าคมของพี่ชายสลดลง  มองน้องชายด้วยสายตารู้สึกผิด  แต่พีทมองไม่เห็นสายตานั้นเลยเพราะดวงตาเขากำลังถูกบดบังด้วยความโกรธ

“พีท  พี่ขอโทษที่ทำให้พีทเสียใจ  พี่มีเหตุผล  พีทฟังพี่ก่อน”   

พี่ชายก้าวเข้ามาใกล้อีก  พีทปัดมือพี่ชายที่ยื่นมา  ขยับถอยแต่ทำได้เพียงนิดเพราะติดกำแพงด้านหลัง  ท่าทางนั้นทำให้พี่ชายชะงัก   

“ไม่!!!  ผมไม่อยากฟัง   ผมเกลียดพี่”   เขาตะโกนอีก   

“แต่พี่รักพีท”   พี่ชายตอบกลับมาทันที

“รักงั้นเหรอ!!!  พี่รักผมภาษาอะไร  ทำไมผมถึงเจ็บปวดแบบนี้ล่ะ นี่เหรอความรักของพี่   ความรักของพี่คือการเก็บเงียบแล้วทำให้ผมเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองบ้าไปคนเดียวงั้นเหรอ   พี่ไม่รู้รึไงว่าคืนนั้นที่ทะเลผมคิดไปว่าผมฝันไป ผมเหมือนคนโง่ที่เอาแต่นึกถึงเรื่องความฝัน   มีความสุขลม ๆ แล้ง ๆ กับฝันบ้าบอของตัวเอง...”   

“...แต่ตอนนี้พี่กลับมาบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง  ถ้างั้นตอนนี้พี่คงลืมตัวใช่ไหมที่พูดเรื่องทั้งหมดนี่  พรุ่งนี้พี่ก็คงมาบอกกับผมว่าให้ลืมเรื่องคืนนี้ซะเพราะพี่แค่พูดเล่นใช่รึเปล่า   ความรักของพี่คือการล้อเล่นกับหัวใจของผมใช่ไหม”

“ไม่ใช่นะพีท   พี่ไม่ได้ตั้งใจ”

“พอผมบอกว่าผมรักพี่  พี่ไม่ยอมรับความรู้สึกผมด้วยซ้ำ  ปล่อยให้ผมบ้าอยู่ได้คนเดียว  พี่บอกให้เราเป็นพี่น้องกันทำไม  ผมเสียใจจะตายอยู่แล้ว   ตอนเราสู้กัน  พี่....”   

‘พี่จูบผมขนาดนั้น   แล้วกลับพูดว่าทำตามคำสั่งของเขา’  

พี่ฮั่นไม่รู้รึไงว่าเขาต้องกลั้นใจมากแค่ไหนที่ต้องเอ่ยคำสั่งอันน่าละอายนั่น  เพราะเขายังหวัง  คิดเข้าข้างตัวเองว่าพี่ฮั่นอาจจะมีใจบ้างแต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี   

“....แล้วมาบอกตอนนี้ทำไม”  น้ำตาไหลเป็นทางยาว  พีททนไม่ไหวอีกแล้ว  พี่ฮั่นทำร้ายจิตใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

“ผมเกลียดพี่แล้ว” 

“ไม่ใช่  พีทไม่เคยเกลียดพี่   พีทเพิ่งบอกพี่ว่า...”

“มันเป็นอดีตไปแล้ว!  ตอนนี้ผมเกลียดพี่  เกลียด  ได้ยินชัดไหม!”

‘เขาไม่รักแล้ว ไม่รักพี่ฮั่นแล้ว’  พีทคร่ำครวญอยู่ในใจ 

แต่ทั้งที่เป็นคนพูดออกไปเองเขากลับเจ็บปวด  น้ำตาไหลลงมาอีก  พีทปล่อยให้มันไหล  ยกมือขึ้นกดตรงหน้าอก  ความรู้สึกทั้งหมดไหลมารวมกันอยู่ที่อกด้านซ้าย   บีบคั้นหัวใจเขาจนปวดไปหมด  หายใจแทบไม่ออก  หมดเรี่ยวแรงแทบจะยืนไม่ไหว
 
“ฮึก  ฮึก”  เขาพยายามกลั้นสะอื้น  เจ็บที่หน้าอกจนต้องก้มตัวลง

พี่ฮั่นก้าวเท้าพรวดเดียวถึงตัว  คว้าเขาไปกอดแน่น

“พีท พี่ขอโทษ  พีทจะให้พี่ทำอะไรเพื่อเป็นการไถ่โทษพีทบอกมาสิ  พี่จะทำทุกอย่าง  พีทอย่าโกรธพี่เลย” 

เพราะน้องชายอยู่ในอ้อมแขนจึงไม่เห็นว่าคนพูดก็กำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน  น้ำตาที่กลั้นไว้นานแล้วหยดลงบนไหล่ของน้องชายจนชุ่ม
 
“ปล่อย!!!”

พีทยังคงพูดทั้งที่ถูกกอดแน่นหนา ในเมื่อตอนนี้เขาไม่มีแรงแม้แต่จะยืนต่อไป

“ไม่มีทาง พี่รักพีท  พี่จะไม่ยอมอยู่ห่างพีทอีกแล้ว”
 
น้ำตาพี่ชายไหลลงมาอีก  ความเจ็บ  ความทรมานจากการที่ต้องอยู่ห่างไกลจากน้องชาย  ทำได้เพียงคิดถึง  แอบมาหา  แอบเฝ้ามองโดยที่น้องชายไม่เคยรับรู้  ความทุกข์ใจที่สะสมมานานจนตกตะกอนอยู่ก้นบึ้งหัวใจถูกกวนขึ้นมาอีกครั้ง  ความทุกข์ที่ทิ่มแทงเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันทำให้เขาเจ็บปวด  แต่เขาจะไม่ยอมไปไหนอีกแล้ว

“อย่ามาให้ผมเห็นหน้าอีก  ผมเกลียดพี่แล้ว!” ความดื้อรั้น ไม่ยอมใคร ทำให้พีทรวบรวมกำลังที่เหลือผลักพี่ฮั่น 

คำพูดนั้นทำให้คนที่ได้ยินแทบหมดแรง จึงถูกน้องชายผลักออกอย่างง่ายดาย

“ออกไป!  ออกไปจากบ้านผม  ผมเกลียดพี่   ได้ยินไหมว่าผมเกลียดพี่แล้ว...”   

ถ้าคำพูดเป็นเหมือนดังมีดอันแหลมคม  พีทก็ได้ใช้คำพูดนั้นกรีดลงไปที่หัวใจของพี่ชาย   คำว่า ‘เกลียด’ นั้นกรีดลึกเข้าไปในหัวใจหม่นเศร้าของคนที่ได้ยิน  หัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความรักที่ต้องการจะถ่ายทอดให้คนที่เขารักได้รับรู้กลับเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ  หัวใจที่เจ็บปวด  อ่อนแรง  และเต้นช้าลงทุกขณะ
 
พี่ชายถอยหลังตามแรงผลักแต่ยังไม่ยอมออกจากห้องนั่งเล่น  พีทตรงเข้ามาจะผลักอีกกลับถูกจับไว้   สองแขนเขาถูกยึดไว้แน่น  พีทพยายามดึงแขนออกจากมือที่จับแน่นเหมือนคีมเหล็ก

“พีท  ฟังพี่อธิบายก่อน”   คนพี่พยายามพูดเพื่อให้น้องสงบลง 

แต่พีทไม่ฟังอะไรอีกแล้ว  เกิดการยื้อยุดกันขึ้นเมื่อพีทพยายามจะผลักพี่ฮั่นแต่คนพี่กลับยึดแขนเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย   

เขายิ่งโกรธเมื่อทำอะไรคนตรงหน้าไม่ได้  โกรธจนหูอื้อตาลาย  พละกำลังเพิ่มขึ้นจากแรงผลักดันภายในอันรุนแรง   เขากระชากมือตัวเองออกแล้วผลักคนตรงหน้าอย่างแรงให้ถอยออกไปจากห้องนั่งเล่น   และเมื่อคนพี่พยายามก้าวเข้ามาอีก  หมัดที่กำแน่นนั้นก็ตามมาโดยไม่ทันยั้งคิด

“พลั่ก!!”

พี่ชายเซถอยหลังไปสองสามก้าว  มึนงงเมื่อใบหน้าสะบัดจากแรงชกนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวชั่วขณะ  เขายกมือขึ้นแตะที่มุมปาก  หันหน้ากลับมามองน้องชายที่ยืนนิ่งเช่นกัน   

พีทกำลังก้มมองมือตัวเองสีหน้าตกใจเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าได้ทำอะไรลงไป   

ฮั่นมองไปยังคนที่ยืนกำหมัดแน่น  แววตามีแต่ความเจ็บปวด  ความเจ็บปวดอันชาชิน  เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บเพราะหมัดของน้องชาย  แต่สิ่งที่พีทแสดงออกมาต่างหากที่ทำให้เขาเจ็บปวด 

“พีท”  น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลเหมือนปกติ 

เสียงเรียกเบากลับทำให้น้องชายสะดุ้ง 

“ออกไป!”  พีทยังคงไล่โดยไม่สนใจอะไรอีก

คนพี่ได้ยินก็ต้องกัดฟันข่มความเสียใจของตนไว้เมื่อคิดว่าน้องชายคงไม่ต้องการเขาอีกแล้ว   เขาคงจะตัดสินใจช้าไป 

เพียงเท่านี้ก็ปวดร้าวแทบทนไม่ได้  เขากำมือแน่น  กล้ำกลืนความรู้สึกทุกอย่างลงไป 

‘ไม่เป็นไร’   คิดอย่างปลอบใจตัวเอง   

เขาเจ็บจนชินเสียแล้ว  เพราะความเจ็บปวดไม่ได้เพิ่งเกิด  มันเกิดมาตั้งนานแล้ว  ที่ผ่านมาเขารู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่มีหวังตั้งแต่แรก  ความเจ็บปวดมันเกิดขึ้นพร้อมกับความรักนั่นแหละ  เป็นเหมือนเงาที่คอยติดตามไปตลอดเวลา   

เพราะตั้งแต่รู้ตัวว่ารักเขาก็ไม่เคยไม่เจ็บปวด   

แม้จะพยายามห้ามใจ  พยายามเปลี่ยนไปรักคนอื่น  แม้จะเปลี่ยนไปคบใครก็ไม่เคยเปลี่ยนใจตัวเองได้  ยิ่งได้ใกล้ชิด ได้กลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม  ความรักที่เคยหักห้ามไว้กลับยิ่งเพิ่มขึ้น   แต่ยิ่งความรักพอกพูนขึ้นมากเท่าไรความทรมานก็ยิ่งทบทวี   เขาก็ยิ่งร้าวรานเพราะนอกจากจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว  ยังต้องเป็นคนเอ่ยคำพูดอันร้ายกาจเพื่อทำร้ายน้องด้วยตัวเอง   เขาเสียใจเพราะคนที่ทำให้น้องต้องเสียใจก็คือตัวเขาเอง  เสียใจเพราะทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้

หลายต่อหลายครั้งที่คิดจะถอยห่าง   หลายครั้งที่คิดจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่นี่แล้วกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่   แต่ก็ตัดใจกลับไปไม่ได้เพราะน้องคือคนที่เขาต้องการอยู่เคียงข้างตลอดมา   น้องคือคนสำคัญที่เขาคิดถึงมาตลอดสิบปีที่ห่างกัน   แค่เขาไปญี่ปุ่นไม่กี่วันยังกระวนกระวายเพราะความคิดถึง  แล้วเขาจะจากไปได้อย่างไร

และเขาก็มีหน้าที่ที่จะต้องดูแลทุกสิ่งทุกอย่างแทนลุงคริส  ดูแลกิจการ  ทรัพย์สินมหาศาลที่เป็นของน้องในอนาคต   เขาทิ้งไปไม่ได้เพราะรู้ดีว่าน้องไม่ต้องการจะสืบทอดกิจการพวกนี้แม้แต่น้อย   เขารู้ว่าพีทอยากทำอะไร   

มือที่ทิ้งข้างตัวกำแน่นขึ้นอีก

‘ไม่เป็นไร’    เขาปลอบใจตัวเองอีกครั้งด้วยคำพูดเดิม 

พีทแค่พูดออกไปด้วยอารมณ์  น้องแค่โกรธที่เขาไม่บอก เขาเข้าใจน้องชายดี  ถ้าได้ฟังคำอธิบายพีทคงจะเข้าใจ ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าไร ไม่ว่าจะอย่างไรเขาคงจะปล่อยมือจากพีทไปไม่ได้อีกแล้ว  เขาจะไม่ทนอีกแล้ว  ไม่มีใครห้ามความต้องการเขาได้อีกแล้วแม้แต่ตัวเขาเอง 

คิดแล้วก็สูดลมหายใจลึก  รวมรวมกำลังใจให้กลับมาอีกครั้ง

“ขอพี่อธิบายก่อนได้ไหม  ไม่นานหรอก  แล้วพี่จะไป”

เขาเห็นพีทกำลังจะพูด  จึงรีบตัดบทก่อนที่น้องจะมีโอกาสไล่เขาอีกครั้ง

“พี่ขอเวลา  นิดเดียวเท่านั้น”

พีทหันหน้าหนี  แต่ไม่มีทีท่าจะไล่เขาอีก  เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“พี่ขอโทษที่เคยทำให้พีทเสียใจ  ขอโทษที่ต้องปฏิเสธ  พี่คงเรียกคืนสิ่งที่พี่ทำลงไปไม่ได้  พี่ทำได้เพียงแค่ขอให้พีทยกโทษให้”

“เหตุผลที่พี่ต้องปฏิเสธ  พีทคงจะรู้ดีอยู่แล้ว  คำพูดที่พี่พูดออกมาพี่ก็เจ็บปวด  แต่ก็ต้องพูดเพราะพี่ไม่เห็นหนทางใดที่จะดีกว่านี้....”   

“พี่เสียใจที่ทำให้พีทเจ็บปวด  พี่ก็ทุกข์ไม่น้อยไปกว่าพีทเพราะความเจ็บปวดของพี่มันเริ่มต้นตั้งแต่รักพีทนั่นแหละ  พี่รู้ดีว่าตัวเองอยู่ตรงไหน  อยู่ในฐานะอะไร  พีทจะมาคิดอะไรกับคนอย่างพี่ที่เป็นเพียงลูกติดของแม่เลี้ยง พีทคู่ควรกับคนอย่างเกรซ  กับคนที่มีฐานะทัดเทียมกัน  ไม่ใช่คนที่ยืนต่อหน้าพีทคนนี้”

“อีกอย่างลุงคริสเป็นคนที่มีบุญคุณกับแม่กับพี่มาก   เขาเป็นเหมือนพ่อคนที่สอง  พี่หักหลังเขาไม่ได้  แม้ว่าพี่จะรักพีทมากแค่ไหนก็ตาม  สิ่งที่พี่ทำได้คืออยู่เคียงข้างพีทจนกว่าพีทจะประสบความสำเร็จ  พีทต้องมีอนาคตที่ดี”

“พี่เคยคิดว่าสิ่งที่พี่ทำเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพีท  พี่มันโง่ที่คิดเอาเอง  ยัดเยียดสิ่งที่พีทไม่เคยต้องการ  ทำให้พีทเสียใจ  ไม่คิดเลยว่าเป็นเพราะตัวพี่เองที่ทำให้พีทเจ็บปวด  ตอนนี้พี่รู้แล้ว  จากนี้ไปพี่จะไม่ทำให้พีทเสียใจอีกเพราะพี่ก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน...”

เสียงเปียโนเพลงฮิตแนวอาร์แอนด์บีกระจ่างชัดในความทรงจำ  พีทเคยเล่นเพลงนี้ให้เขา  ทำให้เขาใจสั่นจากความหมายอันลึกซึ้งที่ส่งผ่านบท

เพลง  ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยประโยคนี้ให้น้องฟัง

“Everything means nothing if I ain’t got you.”   

“ชีวิตพี่ก็ไม่มีความหมายถ้าไม่มีพีท  ไม่ว่าพีทจะให้พี่อยู่ในฐานะอะไร  จะเป็นแค่คนดูแลหรือเป็นพี่ชาย  ถ้าพี่ได้อยู่เคียงข้างพีทไม่ว่าจะเป็นอะไร  พี่ก็พอใจ”

“ความรักของพี่เป็นแบบนี้  พี่อาจจะไม่ได้พูด ไม่เคยบอกโดยตรง  แต่พี่ได้บอกผ่านสิ่งที่พี่ทำทั้งหมดไปตั้งนานแล้ว...”

“ทุกสิ่งที่พี่ทำ  พี่ทำเพราะพี่รักพีท”

เขามองไปที่น้องชายที่ยืนนิ่ง   พีทหลับตาเหมือนไม่ต้องการเห็นเขาอีกแม้สักวินาทีเดียว   ฮั่นถอนหายใจเบา

“บางครั้งพี่ก็น้อยใจนะ  พี่เข้าใจพีทเสมอไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม  แต่พีทไม่เคยเข้าใจพี่บ้างเลย   ตอนเด็กพีทไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ต้องไปอยู่อังกฤษแล้วทิ้งให้พีทอยู่คนเดียวตั้งนาน  พี่ไม่เคยโกรธที่พีทไม่เข้าใจ  ไม่เคยโกรธที่พีทไม่ยกโทษให้   แต่ตอนนี้พีทโตแล้วน่าจะเข้าใจและคิดได้บ้างว่าพี่ทำเพราะอะไร  ทุกสิ่งที่พี่ทำมีเหตุผลเสมอ   พีทน่าจะนึกออกบ้างว่าพี่ทำอะไรบ้างที่แสดงถึงความรักที่พี่มีให้   ถ้าพี่ไม่รักก็คงไม่ห่วง  ไม่มาดูแล  พี่เคยหวังว่าพีทน่าจะเข้าใจ  แต่สุดท้ายแล้วพีทกลับไม่เคยเข้าใจอะไรพี่เลย”

“พีทลองใช้เวลาคิดดูเถอะ  พี่ไม่รีบหรอก  พี่มีเวลาให้พีททั้งชีวิตนี่แหละ”

พี่ชายพูดแล้วก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นไป 







-------------------------------------

 :mew1: :mew1: :mew1:


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 11-02-2015 21:48:38
(3)


พีทยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแม้พี่ฮั่นจะเดินออกไปแล้ว   สิ่งที่พี่ฮั่นพูดยังลอยวนอยู่รอบตัวเขาแต่พีทยังไม่เข้าใจ  ความโกรธ  ความดื้อดึงทำให้เขาไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น 

แสงสว่างในห้องนั่งเล่นลดลงจากกองไฟที่มอดไหม้เกือบหมดแล้ว มีเพียงความเงียบ  ทุกสิ่งสงบนิ่ง  พีทเริ่มอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ 

“ติ้ง” 

เสียงเล็ก ๆ จากไมโครเวฟส่งสัญญาณเมื่อครบเวลาที่ตั้งไว้   ดึงพีทให้หลุดจากภวังค์ 

เขาหันตามเสียงไปที่ห้องครัวที่เปิดไฟสว่างก็เห็นพี่ฮั่นกำลังหยิบแก้วนมออกจากไมโครเวฟวางลงบนจานรองแล้วเดินจากห้องครัวตรงมายังห้องนั่งเล่นที่เขายืนอยู่

พีทเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพนั้น  รู้สึกราวกับถูกกระแทกด้วยของแข็งเข้าที่ศีรษะอย่างแรง  เขานิ่งงันเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว  ทุกสิ่งทุกอย่างในสมองที่หยุดเคลื่อนไหวกลับกำลังทำงานอย่างเต็มกำลัง
 
สิ่งที่พี่ฮั่นได้อธิบาย  ทุกเรื่องราว  ทุกสิ่งทุกอย่างไหลกลับเข้าสู่สมองอย่างรวดเร็ว   ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างไหลผ่านเร็วรี่ เหมือนแผ่นฟิล์มเลื่อนผ่านด้วยความเร็วสูง  ความเข้าใจสว่างวาบในหัว  ช่วงระยะเวลาแค่ไม่กี่วินาที  เขากลับเข้าใจเรื่องราวได้ทั้งหมด 

เพียงแค่เห็นพี่ฮั่นถือแก้วนมก้าวเข้ามาพีทก็เข้าใจ  เหมือนมีใครมาเปิดสวิทช์ไฟในห้องอันดำมืดที่เขายืนอยู่   แสงไฟสว่างจ้าขับไล่ความมืดมิดที่บดบังความจริงหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เคยสังเกต  ไม่เคยเก็บมาคิด

สิ่งที่พี่ฮั่นทำเสมอมาเป็นเพราะรัก  ทุกสิ่งทุกอย่าง  ทุกการกระทำ  เพราะรักถึงได้ทำ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ฮั่นทำมีเหตุผลเสมอ   เขาเพิ่งเข้าใจเหตุผลเหล่านั้นตอนนี้เอง

พี่ฮั่นเข้ามารับภาระดูแลกิจการทั้งหมดแทนพ่อเพื่อให้พ่อปลีกตัวไปเล่นการเมือง   พี่ฮั่นกลับมาดูแลเขาเมื่อเขากำลังตกอยู่ในอันตรายแม้ว่าเขาจะยังไม่ยกโทษให้  แม้ว่าจะต้องอยู่ในฐานะอื่นก็ยอม 

ไม่ว่าจะถูกเขาหาเรื่องสารพัดอย่างไรก็ไม่เคยโกรธ  ไม่เคยทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย  กอดเขาไว้เมื่อเข้าใจผิดว่ามีมือปืนมาดักยิงที่หน้าบ้าน  ใช้ตัวเองปกป้องเขาโดยไม่เสียเวลาคิดถึงชีวิตตัวเอง  ช่วยเขาจากโรงแรมนั่น  ในช่วงเวลาที่กำลังอยู่ในอันตรายที่สุดเขาคิดถึงแต่พี่ฮั่น

ดูแลเขาตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเขาหลับ  รู้จักและเข้าใจเขาทุกอย่าง  พี่ฮั่นทำทุกอย่างเพื่อเขา แม้ว่าเขาจะเป็นหลานของคนที่ทำร้ายพี่ฮั่นจนต้องหนีไปอยู่ที่อื่น  แม้ว่าพี่ฮั่นจะถูกปองร้ายจนแทบเอาชีวิตไม่รอด 

พี่ชายที่ไหนก็คงไม่เคยทำอะไรมากมายขนาดนี้ 

พีทได้แต่นิ่งงันเมื่อเริ่มเข้าใจการกระทำทั้งหมด 

พี่ฮั่นต้องปฏิเสธทั้งที่รักเขามาตั้งแต่สามปีที่แล้ว  พี่ฮั่นรู้มาตั้งนานแล้วสินะว่ามันเป็นไปไม่ได้  รู้มาก่อนเขาและคงจะเจ็บปวดมานานแล้ว  ตอนนั้นเขายังไม่ได้รักพี่ฮั่นเลยด้วยซ้ำ  ใกล้กันแต่รักไม่ได้เพราะความเป็นพี่น้อง  ความรู้สึกนี้พีทเคยรู้สึกมาแล้วและรู้ซึ้งดีว่ามันเจ็บปวดเพียงไหน   

สัมผัสอันลึกซึ้งของพี่ฮั่นในห้องออกกำลังกาย  สิ่งที่พี่ฮั่นทำเป็นมากกว่าคำสั่ง  นั่นคือความรู้สึกที่แท้จริงของพี่ฮั่นใช่ไหม  เวลานั้นเขาก็รับรู้ความรู้สึกนั้นได้ชัดเจนแต่เขากลับเชื่อคำลวงของพี่ฮั่นที่พูดเพียงเพื่อให้เขาเข้าใจผิด  คนที่ไม่เคยโกหกใครอย่างพี่ฮั่นทำไมต้องหลบตาตอนพูดปฏิเสธเขา เพราะพี่ฮั่นรู้ดีว่าเขาต้องดูออก
 
“พีทยังมีอนาคตที่ดี  มีเรื่องอะไรรออยู่ข้างหน้าตั้งมากมาย” 

พี่ฮั่นพูดแบบนั้นเพราะเห็นแก่อนาคตเขามากกว่าอนาคตของตัวเอง ความรักของพี่ฮั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา พี่ฮั่นรักเขาโดยไม่มีข้อแม้ ไม่ต้องการการตอบแทน  หวังเพียงให้เขาได้พบเจอแต่สิ่งที่สวยงาม  มีอนาคตที่สดใส

สิบปีที่ผ่านมา  แม้กระทั่งตอนนี้  พี่ฮั่นไม่เคยโกรธอะไรเขาเลยสักครั้งเพราะพี่ฮั่นเข้าใจเขา  เขาต่างหากที่เอาแต่โกรธพี่ฮั่น ไม่เคยคิด ไม่เคยทำความเข้าใจเหตุผลของพี่ฮั่นเลยสักครั้ง   

แต่ตอนนี้...เขาเข้าใจแล้ว 

พี่ชายเดินเอาแก้วนมไปวางที่ขอบเหนือเตาผิง   หยุดยืนอยู่ครู่อย่างชั่งใจก่อนจะหันมาบอกเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนเดิม ไม่แปรเปลี่ยน

“พีทกินนมแล้วก็นอนเถอะ นี่จะเช้าแล้ว”

นมอุ่น ๆ ก่อนนอนทุกคืน  แม้กระทั่งเวลานี้  ทั้งที่เขาเพิ่งเผลอลงมือกับพี่ฮั่น  ทั้งที่เขาเพิ่งตะโกนไล่พี่ฮั่นออกจากบ้าน

พีทยังยืนนิ่ง ยังคงตั้งตัวไม่ทันในสิ่งที่เพิ่งเข้าใจ  เขากำลังมึนงงเมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป

“เมอร์รี่คริสต์มาส น้องพีท”

เสียงอ่อนโยนบอกอีกครั้งก่อนที่พี่ฮั่นจะหันกลับ  เดินออกจากห้องนั่งเล่นตรงไปที่บันได 

พีทเงยหน้ารวดเร็วมองตามร่างที่ก้าวห่างออกไป  ขึ้นบันไดไปทีละขั้น  ความเข้าใจกระจ่างแจ้งเมื่อครู่กำลังทำงาน  ผลักดันให้ร่างกายตอบสนอง 

ในที่สุด  เขาก็รู้...




“พี่ฮั่น!!!”

มือที่กำลังเปิดประตูห้องนอนส่วนตัวหยุดชะงักเมื่อพีทวิ่งขึ้นไปชั้นบนแล้วโผเข้าไปกอดพี่ฮั่นทางด้านหลังอย่างแรง  ซบใบหน้าตัวเองกับหลังกว้างใหญ่ของพี่ชาย

“พี่ฮั่น  พีทเข้าใจแล้ว  เข้าใจแล้ว..”

“พีท  พีทขอโทษ  พี่ฮั่นอย่าโกรธพีทเลยนะ”

ร่างที่ถูกกอดอยู่นิ่งไป  ก่อนที่พีทจะได้ยินเสียงถอนหายใจบางเบา มือใหญ่อบอุ่นยกขึ้นวางทาบแขนเขาที่กอดไว้  พี่ฮั่นเงยหน้าขึ้นวางศีรษะตัวเองกับไหล่เขาที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง

“พี่ไม่โกรธพีทหรอก  พี่เองก็ผิดที่ทำให้พีทเสียใจ  ทำให้พีทเจ็บปวด”

“พีทขอโทษที่พูดจาไม่ดี  พีทไม่ได้ตั้งใจ...”

ร่างสูงใหญ่ของพี่ชายจับแขนเขาให้คลายออกแล้วหันกลับมา พวกเขาสบตากันเป็นครั้งแรกหลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังคลี่คลาย

“พีทรักพี่...”

พีทพูดไม่ได้อีกต่อไปเมื่อพี่ฮั่นดึงเขาเข้าไปในห้องรวดเร็ว  ปิดประตูเสียงดัง ดันเขาติดประตู  แล้ว....

Kiss

One deep kiss

พีทยกมือดันพี่ฮั่นออกเมื่อเริ่มหายใจไม่ทัน  แต่พี่ฮั่นกลับจับข้อมือเขากดไว้กับประตู  ผละริมฝีปากออกแค่วินาทีเดียวให้เขาหายใจแล้วกลับมาจูบใหม่ 

เร่าร้อน  รุนแรง

พีทขยุ้มมืออีกข้างกับไหล่ของพี่ฮั่นไว้  ไม่มีคำพูดใดอีกต่อไป เมื่อคนทั้งสองกำลังถ่ายทอดความรักต่อกันผ่านร่างกายที่แทบหลอมเป็นร่างเดียว มือที่เคลื่อนสัมผัสกันและกัน  ความรู้สึกทั้งหมดกำลังแลกเปลี่ยนผ่านจุมพิตที่เร่าร้อน 

พี่ฮั่นขยับร่างกายเบียดกับตัวเขาอย่างจงใจทำให้พีทสะดุ้ง  ถอยหนี  แต่ขยับไปไหนไม่ได้เพราะถูกเบียดจนหลังติดประตูแล้ว
 
“อื้อ” 

เขาร้องประท้วงในลำคอเพราะพี่ฮั่นยิ่งขยับเคลื่อนไหวมากขึ้น ความรู้สึกพุ่งปราดเพราะกำลังถูกกระตุ้นหนักหน่วง  ตั้งตัวไม่ทันกับเรื่องนี้ 

เขาไม่...เขาผละริมฝีปากออก  พี่ฮั่นกลับจับคางเขาไว้บังคับให้เงยหน้าขึ้นในขณะที่ใช้จมูกซุกไซ้ไปตามลำคอ   

“พี่ฮั่น  เดี๋ยว...”

พี่ฮั่นไม่ยอมหยุดกลับสอดมือไปใต้เสื้อสเวตเตอร์แล้วลากมือไปทั่วทั้งแผ่นหลัง  สัมผัสเนื้อตัวเปลือยเปล่าของเขา  สัมผัสที่ทำให้เขาร้อนรุ่ม

“พี่ฮั่น พีท...”

เสียงขาดหายไปเมื่อพี่ชายกลับมาจูบเขาอีกพร้อมกับเบียดสะโพกเข้ามา  อารมณ์ความต้องการของวัยหนุ่มพุ่งทะยาน  เป็นความต้องการรุนแรงเหมือนตอนที่เขาถูกบังคับให้กินยาที่โรงแรมจิ้งหรีดคราวนั้น  พีทต้องกัดฟันข่มความรู้สึกเสียวซ่านที่เกิดขึ้นก่อนจะรวบรวมสติกลับมา  เขาต้องหยุดพี่ฮั่นก่อน 

เขาคว้าข้อมือของพี่ชายไว้เมื่อพี่ฮั่นเลื่อนมือต่ำลง 

“พี่หยุดก่อน  ผมบอกให้หยุด!” 

พีทตะโกน  ทั้งตกใจและกำลังสับสนกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น  คนทั้งคู่หอบอย่างหนักเมื่อในที่สุดพี่ฮั่นก็ยอมหยุด

“พีท...มีอะไร พูดเร็วสิ”  เสียงพี่ฮั่นพูดขาด ๆ หาย ๆ  ริมฝีปากร้อนพรมจูบเขาไปทั่วใบหน้า

“ก็พี่จะทำอะไร  ผม...ตั้งตัวไม่ทัน มัน..” 

พีทเองก็พูดติดขัดเช่นกัน  หลบใบหน้าจากริมฝีปากนั้นไปมา  เขากำลังร้อนวูบวาบไปทั้งตัว

พี่ฮั่นหันมายิ้มให้เขา  แววตาวาววาม

“ไม่ต้องกลัวหรอก พีทหัวไว  เดี๋ยวก็รู้”

พี่ชายก้มมาหาเขาอีกแต่พีทหันหน้าหนี   ตัวสั่นอย่างไม่รู้สาเหตุเมื่อความคิดกำลังเตลิดไปไกลจากคำพูดของพี่ชาย

“อะไรเล่า  พี่จะทำบ้าอะไร”   เขากัดฟันข่มใจไว้

เมื่อคนน้องหันหน้าหนีไม่ยอมให้จูบอีก คนพี่ก็ไม่ยอมแพ้ ริมฝีปากร้อนยังคงคลอเคลียไปทั่วใบหน้า  ไรผม  ข้างแก้ม
 
“ไม่บ้านะ ถ้าไม่ได้ทำ พี่นี่แหละจะบ้า” กระซิบเสียงพร่า  มือของพี่ชายยกขึ้นจับใบหน้าเขา  บังคับให้หันมา

“พี่ฮั่น! ผมไม่เอานะ ปล่อย ผมจะไปนอน” 

พีทใช้มือข้างที่ว่างดันตัวพี่ฮั่นออกแต่พี่ชายไม่สะเทือนแม้แต่น้อย  กลับแกล้งขยับเข้ามาอีก

“ไม่ให้ไป จะนอนก็นอนที่นี่สิ นอนกับพี่ไง”

ดวงตาเรียวนั้นวาววับเมื่อพูดประโยคอันล่อแหลม  พีทกลืนน้ำลายเมื่อสบตาที่เปี่ยมไปด้วยความต้องการ  แววตาที่บ่งบอกถึงไฟแห่งความปรารถนาที่ถูกจุดขึ้นแล้วและคงไม่ยอมดับลงง่าย ๆ  คนเอาแต่ใจอย่างพี่ฮั่นต้องไม่ปล่อยเขาไปแน่  หัวสมองเขากำลังทำงานอย่างหนักพยายามหาทางเอาตัวรอด

“ไม่เอา ผมจะไปนอนห้องผม พี่อย่าตามมานะแล้วก็ห้ามมานอนกับผมอีก ผมจะนอนคนเดียว”  เขาพยายามดันร่างหนาของพี่ชายออกอีกครั้ง 
 
“ได้ไงล่ะ  ไม่ยอมหรอก"

พี่ชายกลับคว้าข้อมือเขาไว้  มือทั้งคู่ของเขาถูกพี่ฮั่นรวบกดไว้กับประตูเหนือศีรษะ  พี่ฮั่นยิ้มอย่างมีชัยก่อนจะก้มหน้ามาหาเขา  แต่พีทหันหน้าหนีอีก  ไม่ยอมแพ้

“พี่  ปล่อยนะ  ผมจะบอกพ่อ”   

‘นี่คนอายุยี่สิบหรือเด็กห้าขวบ?’
พี่ชายคิดในใจ  เอะอะจะฟ้องพ่อนี่มันเด็กชายพีทตอนอยู่อนุบาลชัด ๆ

“บอกไปเลย   คิดเหรอว่าพี่จะปล่อยให้เรามีโอกาสออกจากห้องนี้ไปฟ้องพ่อน่ะ”

พีทตาโตเมื่อคำขู่ของเขาใช้ไม่ได้ผล  พยายามดิ้นหนีแต่พี่ฮั่นกลับเบียดสะโพกเข้ามา
 
“อ๊ะ...”  เขาถึงกับสะดุ้ง  แววตาตระหนก 

ยิ่งเขาขยับตัวหนีก็ยิ่งเสียดสีร่างกายกับพี่ฮั่นมากขึ้น  ยิ่งเป็นการกระตุ้นอารมณ์มากขึ้นไปอีก  พีทหยุดนิ่งก็เท่ากับเปิดโอกาสให้พี่ฮั่นทำอะไรตามใจชอบ  คนเป็นพี่ลากจมูกแทรกลงไปตามเสื้อสเวตเตอร์คอวีที่เขาสวมอยู่  เม้มริมฝีปากกับผิวหน้าอกเขา  แรงเสียดสีจากปากนุ่มนั้นทำให้พีทกัดฟัน พยายามดึงสติตัวเองไว้ทั้งที่การกระทำนั้นกำลังทำให้เขาเตลิด!

“พะ.พี่ฮั่น..ผมบอกว่าไม่ก็ไม่ไงล่ะ จะลองเสี่ยงกับซาวเออร์ของผมรึไง”   

หมดหนทางแล้วพีทต้องเอาปืนมาขู่  พี่ฮั่นถึงกับหลุดหัวเราะกับคำขู่เขาก่อนจะเงยหน้ามาพูด  ราวกับเขาเป็นเด็กอายุสักห้าขวบกำลังขู่จะไม่ไปโรงเรียน

“พีทอย่าเอาปืนมาขู่พี่เลย”   

“ผมไม่ได้ขู่  ผมเอาจริง”

พี่ชายถอนหายใจ  พยายามข่มอารมณ์ตัวเองไว้อีกครั้งก่อนจะพูดต่อ         

“พี่ไม่กลัวหรอก  ตอนนี้พีทมีปืนที่ไหน  แล้วพี่จะบอกให้นะ ใครเขาพกปืนไว้ในกระเป๋าเป้กัน  หืม?  แบบนั้นจะหยิบทันอะไร”

พี่ชายยิ้มอย่างเอ็นดูให้หนุ่มน้อยในวงล้อมของตนเอง  ยิงปืนแม่นขนาดไหนก็ไม่มีความหมายหรอกถ้าไม่มีปืนในมือ

สถานการณ์ดูจะดีขึ้นเมื่อพี่ชายไม่มีท่าทีคุกคามพีทอีก  แต่ยังไม่ปล่อยมือเขา

“พี่ฮั่น  ปล่อยพีทเถอะ  พีทง่วงแล้ว”  พีทพยายามหว่านล้อม   มองพี่ฮั่นด้วยสายตาอ้อนที่เคยใช้ได้ผลเสมอ  พี่ชายกลับยิ้มอย่างรู้ทัน 
 
“เอาไว้อ้อนเวลาอื่นนะพีท  ตอนนี้พี่ไม่ปล่อยพีทไปไหนแน่  แล้วไหนใครเคยบอกว่าจะชดใช้ให้พี่นะ  ใช่พีทพูดรึเปล่า”

“ชดใช้อะไร  ผมพูดตอนไหน”  น้องชายกลับแปลกใจ 

พี่ฮั่นขยันสร้างความมึนงงให้เขาจริง ๆ   ตั้งแต่เขากลับเข้าบ้านพี่ฮั่นก็ทำให้เขาสับสนไม่รู้กี่ครั้งจนถึงตอนนี้

“อ้าว ก็คืนแรกที่พีทกอดหมอนมาขอนอนกับพี่ไง ใครไม่รู้ร้องไห้ฟูมฟายบอกว่าจะชดใช้ให้ที่โกรธพี่ตั้งสิบปี  พีทพูดแล้ว  ห้ามคืนคำ”

พีทเบิกตาโตเมื่อนึกถึงคำพูดตัวเองขึ้นมาได้

“ผมไม่ได้เป็นคนเสนอว่าจะชดใช้ให้สักหน่อย  พี่ต่างหากที่เป็นคนเสนอ”

“แต่พีทก็ตกลงแล้ว   พีทบอกว่าพีทจะทำให้ทุกอย่างชดเชยให้พี่ไง” 

พี่ชายจ้องมา  มีบางสิ่งแฝงอยู่ในดวงตาที่พีทเห็น

“คราวนี้แหละ พี่จะให้พีทชดใช้ให้สาสมเลยล่ะ  พี่รับรอง”

“อะไรอ่ะพี่ฮั่นให้ผมทำเรื่องอื่นสิเรื่องนี้..ไม่เอา”  เขาเริ่มดิ้นหนีอีกเมื่อเริ่มเข้าใจความหมายของการชดใช้  ใครจะยอมล่ะ

“พีทไม่อยากรู้เหรอว่าพี่รักพีทขนาดไหน พี่จะแสดงให้ดูไงล่ะ”

ไฟปรารถนากลับมาลุกโชนอีกครั้งเมื่อพี่ฮั่นเริ่มต้นทำสิ่งที่ค้างอยู่เมื่อครู่   

“พี่ฮ่านนนน  ผมไม่อยากรู้แล้ว  ปล่อย  ปะ...” 

เสียงขาดหายเมื่อริมฝีปากถูกปิดอีกครั้ง  คราวนี้พีทไม่มีโอกาสปฏิเสธอีกแล้วเมื่อพี่ชายกำลังโหมกระหน่ำสัมผัสเขาจนทั่ว   กระตุ้นจุดอ่อนไหวของเขาทุกจุด  พี่ฮั่นปล่อยมือเขาลงแต่พีทกลับไม่มีแรงจะต่อต้านใด ๆ  ทำได้เพียงแค่ยึดไหล่คนตรงหน้าไว้แน่น   ร่างกายเกร็งแทบยืนไม่ไหว 

ความรู้สึกวาบหวามซาบซ่านเช่นนี้ทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม  ขณะเดียวกันเขาก็กลัวเพราะไม่เคยเห็นพี่ฮั่นแบบนี้มาก่อน  ที่ผ่านมาพี่ฮั่นไม่เคยทีท่าทีเช่นนี้  แม้พวกเขาจะนอนด้วยกันทุกคืน  แม้พี่ฮั่นจะกอดเขาแต่พี่ฮั่นก็ไม่เคย...ร้อนแรงแบบนี้  ท่าทีของพี่ชายทำให้เขากลัว

พีทกัดฟันข่มเสียงครางของตัวเอง  ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นทำให้ใจเขาแทบหลุดลอย   แต่เพราะยังหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้เขาไม่สามารถปล่อยจิตใจและร่างกายไปตามอารมณ์ได้

“พะ  พี่  ฮะ  ฮั่น...”   เสียงสั่น  ทั้งกลัว  ทั้งประหม่า

พี่ฮั่นหยุดชั่วครู่ราวกับรู้ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไร  เลื่อนมือมาจับใบหน้าเขาไว้อย่างนุ่มนวล  ใช้นิ้วโป้งไล้ไปตามแก้มแผ่วเบาอย่างจะปลอบ

“พี่ต้องการพีท” 

ประโยคนั้นราวกับมีมนต์     

สายตาที่มองตรงมาสื่อความหมายตามคำพูด  พี่ชายจ้องตาเขาอยู่อย่างนั้น  สายตาที่มีแต่เขาอยู่ในนั้นตลอดมา  ตรึงเขาไว้ด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักทั้งหมดที่มี  พีทไม่อาจหลบตาได้เลย  ยิ่งเขาจ้องมองก็เหมือนถลำลึกลงไปทุกที   สายตาที่มีแต่ความรักของพี่ชายกำลังขับไล่ความกลัวของเขาออกไปขณะเดียวกันก็กระตุ้นความปราถนาของเขาให้ใต่ระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

เขาหลับตาลงเมื่อใบหน้าพี่ชายเคลื่อนเข้ามาใกล้ พี่ฮั่นแตะริมฝีปากนุ่มแผ่วเบาที่หน้าผาก  เปลือกตา  แล้วเลื่อนลงมาตามสันจมูก  จูบที่ปลายจมูก

พี่ฮั่นทำเหมือนที่เขาทำคืนนั้น  คืนที่เขาแอบจูบพี่ฮั่นที่โรงพยาบาล รู้สึกอุ่นวาบในใจเมื่อรับรู้ได้ว่าพี่ฮั่นจดจำทุกสิ่ง  ทุกการกระทำของเขา

พี่ชายแตะที่ริมฝีปากเขาอย่างแผ่วเบา  บดคลึงริมฝีปากเขาทีละนิด สัมผัสที่เต็มไปด้วยความรัก  จูบอันแสนอ่อนหวานทำให้พีทเริ่มล่องลอย ร่างกายที่เกร็งเพราะความตื่นตระหนกเริ่มโอนอ่อนเมื่อจิตใจคลายความกังวล 
   
อารมณ์รักที่คุกรุ่นอยู่แล้ว  เพียงสัมผัสนุ่มนวลก็โน้มน้าวเขาให้คล้อยตาม  ไม่นานไฟอารมณ์ในตัวเขาก็ลุกโชน   ความอ่อนหวานก็เริ่มแปรเปลี่ยน เมื่อพี่ชายกำลังเพิ่มระดับความร้อนแรงขึ้นทุกขณะด้วยจูบเร่าร้อนที่กระตุ้นอารมณ์ให้กระเจิดกระเจิง

“รักนะ พี่รักพีท”  เสียงพึมพำบอกรักดังแว่ว  ก่อนคำว่ารักจะถูกถ่ายทอดผ่านการสัมผัสทางกาย   

พีทปล่อยหัวใจและร่างกายไว้ในมือของพี่ชายและคนที่เขารัก

เสียงระฆังยามเช้าของวันคริสต์มาสดังแว่ว   สายลมหนาวด้านนอกพัดเอาความเย็นแทรกผ่านหน้าต่างที่ปิดไม่สนิทเข้ามาในห้องนอนที่จะไม่เย็นเยียบอีกต่อไป หากห้องนั้นกำลังอบอุ่นจากไฟรักที่ลุกโชน 

ยามเช้าที่แสนสงบ  มีเพียงเสียงกระซิบเรียกชื่อกันและกัน

และคำว่า 


“..รัก..”



------------------------------------


 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:




หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 11-02-2015 23:44:24
มายาวจุใจมาก

ขอจิ้มก่อนน้าาา


ไว้จะมาอ่าน..... งานรุมสุม​ToT
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 12-02-2015 02:10:49
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
ฟินมากมาย รักกันได้สะที ดีใจจัง
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 12-02-2015 02:47:19
เข้าใจกันก็ดีแล้ว
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-02-2015 11:30:01
ยาว อ่านเพลินกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: taroni ที่ 12-02-2015 21:16:09
เข้าใจกันแล้ว  :o8:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 12-02-2015 21:18:26
เย้ๆๆๆๆๆ
ในที่สุดก็เข้าใจกันแล้ว
ต่างคนต่างเจ็บ​มาเยอะ.... ตอนนี้ก็ค่อยสบายใจ​หน่อยนะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 14-02-2015 02:35:02
ตาแฉะเลย  เรื่องนี้สนุกมากเลยจ้า  ขอบคุณที่แต่งให้อ่านน้าาาาา  สู้ๆจ้าคุณคนเขียน
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 14-02-2015 04:32:25
กรี๊ดน้องพีท พี่ฮั่นห้ามรุนแรงนะยะะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: arissara ที่ 15-02-2015 22:32:27
โอ้วววว ทำตามหัวใจซะทีนะที่รัก
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-04-2015 18:01:10
 :katai5:    แอบแว๊บเข้ามารอตอนใหม่    :mew3:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: sleepybear ที่ 30-04-2015 18:44:45
ไม่ว่าเมื่อไหร่ เรื่องนี้ก็ยังเป็นที่หนึ่งในใจเสมอ
 :L1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 57 หน้า 10 อัพเดต 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 01-05-2015 14:53:42

58. สองคน หนึ่งใจ


บรรยากาศการเฉลิมฉลองของวันคริสต์มาสในเมืองใหญ่ยังคงคึกคัก  ทั่วทั้งเมืองต่างถูกประดับประดาไปด้วยสัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาส  สัญลักษณ์แห่งความรื่นเริง   ต้นสนขนาดใหญ่ถูกประดับประดาด้วยหลอดไฟ   ตุ๊กตายักษ์และกล่องของขวัญ 
 
เสียงเพลงวันคริสต์มาสลอยละล่อง  กล่อมผู้คนที่เดินขวักไขว่ในห้างสรรพสินค้าที่เพิ่งสร้างขึ้นใกล้กับโรงแรมหรูที่ตั้งมานานกว่าสามสิบปีกลางเมือง  ทุกใบหน้ามีแต่รอยยิ้มในเทศกาลแห่งความสุข   ลมหนาวยังคงพัดแรงแต่คงไม่สามารถทำให้คู่รักหลายคู่ที่ออกมาเดินเล่นยามบ่ายเหน็บหนาวได้   

ต่างจากบรรยากาศในบ้านใหญ่ใจกลางเมืองนั้นลิบลับ  บ้านใหญ่สามชั้นสไตล์วิกตอเรียโบราณนั้นกลับว่างเปล่า  ร้างผู้คน  เจ้าของบ้านทั้งสองคนใช้เวลาในวันหยุดเดินทางไปพักผ่อนบนเกาะส่วนตัวที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้  มีเพียงลุงหวัง  ยามเก่าแก่ของบ้านที่ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนคอยเดินตรวจตราดูแลความเรียบร้อย

และชายหนุ่มอีกสองคนที่ยังคงเก็บตัวเงียบในบ้านสีขาวหลังเล็กที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของบ้าน ริมสระน้ำขนาดใหญ่  ห้องนอนในบ้านสองชั้นสไตล์อังกฤษยังคงสงบเงียบ  แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เข้ามา
   
ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษใส่เสื้อคลุมเดินออกจากห้องน้ำ พร้อมทั้งเช็ดผมไปด้วย  เขาหยุดยืนนิ่งที่ปลายเตียงของตนมองไปยังคนที่นอนขดตัวใต้ผ้าห่มที่ยังคงนอนหลับสนิทโดยไม่มีทีท่าจะตื่นง่าย ๆ   แววตาที่มองไปยังเตียงนอนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข  ยิ้มให้คนที่หลับไม่รู้เรื่องบนเตียง  ยิ้มเพราะเขากับน้องปรับความเข้าใจกันแล้ว 

‘ต้องปล่อยให้พักก่อน เมื่อเช้าคงจะเพลียมาก’ 


คิดแล้วเจ้าตัวก็หน้าแดงขึ้นมาเสียเฉย ๆ  ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กขยี้ผมตนเองไปมา  แอบเขินอยู่คนเดียวเมื่อภาพเหตุการณ์ตอนเช้ามืดย้อนกลับมาในความทรงจำ   

พีทอยู่ในอ้อมแขนเขาตลอดเวลา  เสียงเรียกชื่อเขาดังสะท้อนในห้องนอน  ใครเรียกก็ไม่มีความหมายเท่า  ความสุขฉายชัดในดวงตาเพราะไม่คาดหวังว่าวันหนึ่งเขาจะสมหวัง   ดวงตาเรียวจับไปที่เสี้ยวใบหน้าที่โผล่พ้นผ้าห่มอีกครั้ง   

‘พีท’  คนที่เขารักและคนที่รักเขา

ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรถึงความสุขล้ำลึกที่ได้รับ  ความสุขจากการที่ได้รับความรักตอบ  ความสุขที่ได้รู้ว่าน้องก็รักเขามากเช่นกัน แม้จะกลัว  แม้จะไม่คุ้นเคยแต่เมื่อเขาบอกว่าเขาต้องการน้องก็ยินยอม   

เขารู้ว่าเขาเอาแต่ใจมากขนาดไหน  พีทต้องอดทนเพียงใด  แม้เขาจะรู้ว่าได้สร้างความสับสนให้พีทมากแค่ไหน  แต่เขาเก็บความต้องการของตัวเองไว้ไม่ไหวมันมากล้นจนรอสักนาทีไม่ได้อีกต่อไป  แล้วพีทน่ารักขนาดนั้น เขาทนมาได้เกือบปีก็นับว่าเก่งแล้ว 

ใบหน้าคมยิ้มกว้างมากขึ้น   ความรู้สึกกึ่งเขินกึ่งเป็นสุขแบบนี้มันคืออะไรนะ 

แล้วเมื่อเช้านี้พีทน่ารักมาก  ตามใจเขาทุกอย่าง  ไม่ว่าเขาจะต้องการทำอะไรน้องก็ไม่เคยขัด  คนตัวใหญ่ยกมือแตะหน้าผากของตนเองเพราะรู้สึกหน้าร้อนจัดแค่คิดเรื่องอะไรไปไกล

‘อา....คิดถึงพีทจัง’ 

พร้อมกันนั้นขายาวก็ก้าวไปหยุดที่เตียงนอน  ทรุดตัวลงแผ่วเบา  ขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วล้มตัวนอนตะแคงมองร่างที่นอนขดอยู่อย่างอารมณ์ดี น้องชายยังคงนอนอยู่ในท่าเดิมราวกับว่าจะไม่มีสิ่งใดจะมาทำให้ตื่นได้ เขาสอดมือตัวเองไปตามเส้นผมนุ่ม ลูบไปมาเบา ๆ 

‘ตั้งแต่นี้ไปคงไม่จำเป็นต้องแอบทำแล้วสินะ’   ยิ้มกว้างกับความลับของตัวเอง 

ตั้งแต่กลับบ้านมาอยู่ในฐานะ ‘นายหมี’  เขาก็มักแอบเข้าห้องน้องตอนดึกบ่อย ๆ  แอบเข้าไปจูบราตรีสวัสดิ์โดยที่พีทไม่เคยรู้ตัว  ไม่เคยรู้เลยว่าเขาแอบนอนกอดทุกคืนตั้งแต่พีทย้ายมานอนกับเขา 

ฮั่นก้มตัวลงทีละนิด  แตะริมฝีปากที่หน้าผากน้องชาย   

‘ถ้าเล่าความลับของเขาให้ฟัง พีทจะโกรธเขาไหมนะ’

พีท เด็กขี้เซาของเขา เด็กอ้วนที่กินทุกอย่างที่ขวางหน้า  เล่นแต่รถของเล่น  รถทุกแบบไม่ว่าจะเป็นรถธรรมดา รถบรรทุก มอเตอร์ไซค์ รถสปอร์ตและรถไฟที่พวกเขาเคยต่อรางของมันยาวไปทั่วบ้าน  และห้ามใครก็ตามเคลื่อนรางออกอยู่นานเกือบเดือน  เวลาชวนกินข้าวทีไร  เด็กอ้วนก็จะหยุดโมโหแล้วกลับไปโมโหต่อหลังจากกินทุกอย่างเรียบหมดแล้ว   ถ้าอยากให้หายโกรธก็ต้องเอารถของเล่นมาไถ่โทษ

เด็กอ้วนจอมดื้อ  ใครต่อใครก็บอกเขาแบบนั้น  คุณชายพีทน่ะเอาแต่ใจ  ดื้อรั้นกับทุกคนรวมทั้งเขาด้วย  แต่เป็นเพราะเขายอมให้หรอกนะ เขายอมให้พีทเอาแต่ใจเสมอเพราะเขาชอบรอยยิ้มสดใสของพีทเวลาอารมณ์ดี  แต่ใครจะรู้ว่าเด็กดื้อคนนี้ก็ไม่เคยขัดใจเขาเหมือนกัน  พีทก็ตามใจเขาเสมอเวลาที่เขาเกิดอยากเอาแต่ใจขึ้นมาบ้าง

“พีทไม่ชอบเห็นพี่ฮั่นโกรธ พีทไม่สบายใจ”  เด็กชายตัวอวบเงยหน้าบอกเขา  ยิ้มแหย ๆ เพราะกลัวพี่ฮั่นโกรธ


เขายังคงลูบผมพีทไปมาเหมือนไม่รู้ตัว   ดวงตาเหม่อเมื่อนึกไปถึงหลายเดือนก่อน  ช่วงเวลายามเช้าเป็นช่วงเวลาที่เขาชอบเพราะเขาจะมีโอกาสตื่นขึ้นเห็นหน้าพีทเป็นคนแรกและฉวยโอกาส Morning Kiss น้องทุกเช้า  หลังจากกระซิบปลุกข้างหูสักพักพีทจะเริ่มรู้สึกตัวทีละน้อยเขาก็มีเวลาที่จะลุกจากเตียงหรือแกล้งทำเป็นว่ากำลังแต่งตัวอยู่
 
เขาเผลอยิ้มอีกแล้ว

พีทขยับตัวทำให้เขาหันไปมอง แต่น้องเพียงแค่เปลี่ยนท่ามานอนคว่ำ ตะแคงใบหน้าไปอีกด้านหนึ่ง  สอดมือเรียวของตนเข้าไปใต้หมอนที่หนุนอยู่ก่อนจะหลับไปอีกครั้ง   ผ้าห่มที่เลื่อนหลุดจากไหล่เผยให้เห็นรอยช้ำเล็ก ๆ  หลายจุดบนแผ่นหลังที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมา   

มือที่กำลังจะเลื่อนผ้าห่มให้ชะงัก  เปลี่ยนใจจากที่จะห่มผ้าให้กลับเป็นดึงผ้าห่มหนานุ่มออก   เขาแตะนิ้วแผ่วเบาไปที่รอยช้ำหนึ่งบนหลัง  ยิ้มมุมปากกับ Kiss mark ของตัวเอง  รอยจูบที่แสดงความเป็นเจ้าของ   ก้มตัวลงไปใกล้แล้วจูบลงไปอีกครั้งที่รอยเดิมราวกับจะประทับไว้
 
‘พีทเป็นของเขา’

สัมผัสแผ่วเบาเคลื่อนไปตามแผ่นหลัง  กดริมฝีปากนุ่มไปเรื่อย ๆ เขากลับไปคิดถึงตอนที่ฝากสัมผัสนี้  เสียงครางในลำคอของคนใต้ร่าง  มือที่สอดประสานกันตรึงไว้กับที่นอนนุ่ม  ร่างกายที่แนบชิดกัน   ความทรงจำนั้นทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาเสียเฉย ๆ

เขาต้องข่มความรู้สึกตัวเองไว้ก่อน  คิดแล้วจึงขยับตัวขึ้น  กดจูบหนัก ๆ ไปที่ท้ายทอยของน้องชายส่งท้ายก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมให้

คนเป็นน้องกลับกำลังเคลื่อนไหว  ขยับตัวเล็กน้อยราวกับสัมผัสของเขาจะเป็นการปลุก  พีทพลิกหน้ากลับมาด้านที่เขานอนอยู่  คิ้วขมวดทั้งที่ยังไม่ลืมตา   ใบหน้าน้องชายทำให้เขาเปลี่ยนใจจากที่อยากจะให้น้องได้พักผ่อนเขากลับทนไม่ไหว  อยากให้พีทตื่นขึ้นมาสบตากับเขาเสียที

“พีท  ตื่นเถอะ นี่จะสี่โมงแล้ว”  เขากระซิบแผ่วที่ข้างหูก่อนจะกดจมูกคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม

ไม่นานคนน้องก็เริ่มขยับตัว  พีทงัวเงียอยู่ครู่จึงลืมตาขึ้น  ดวงตาที่เขาเห็นดูเลื่อนลอยในตอนแรกแต่เมื่อจับโฟกัสได้และรู้ว่าเขากำลังมองอยู่  พีทกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว  น้องชายพลิกตัวหนีคว้าหมอนที่หนุนอยู่ขึ้นมาปิดหน้าตัวเองทันทีแต่ขยับไปไหนไม่ได้เมื่อเขาคว้าตัวไว้  พีทส่งเสียงฮึมฮัมในลำคออย่างขัดใจเมื่อขยับหนีไม่ได้เพราะเขารวบตัวน้องชายไว้ทั้งผ้าห่ม

“พีทเป็นอะไร  ทำไมเอาหมอนปิดหน้าแบบนั้น”  เขาเอ่ยทักเป็นประโยคแรก  ยกตัวขึ้นมองแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้คนที่นอนหันหลังให้   

“ไม่ให้เห็นหน้าก็ไม่เป็นไร  พี่รู้ว่าพีทเขินใช่ไหม”  เพราะเขาก็กำลังเขินเหมือนกัน  โชคดีที่พีทหันหน้าหนี  เขาคิดว่าตอนนี้หน้าเขาคงแดงไปหมดแล้ว

“พี่แค่อยากให้พีทตื่นขึ้นมาเห็นพี่อยู่ตรงนี้  พีทจะได้ไม่คิดว่าพีทฝันไปไงล่ะ”  เขายิ้มกับตัวเอง   ตอนนี้พีทคงกำลังคิดทบทวนเรื่องราวหัวหมุนอยู่แน่ ๆ 

“อย่าดิ้นสิ”  พีทจะขยับตัวหนี  เขาก็ดึงตัวไว้ 

“พีท น้องพีท น้องพีท”

ไม่รู้เป็นไง  เขาอยากเรียกน้องอีกหลายครั้ง  อยากให้น้องรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ไม่ได้หายไปไหน  เสียงอ่อนของเขาทำให้พีทหยุดดิ้นแต่มือยังกอดหมอนแน่น  ซุกหน้าอยู่ใต้หมอนทำยังกับจะอยู่แบบนี้ไปทั้งวัน

“พี่ขอกอดพีทแบบนี้ได้ไหม จนกว่าพีทจะพร้อม” เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น  ทอดเสียงอ่อน

พีทยังคงเฉย ไม่ตอบรับ  เขาปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมบรรยากาศในห้องนอนของตัวเอง  เริ่มต้นนับถอยหลังในใจ 

ทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวไปครู่  จากนั้นเขาก็ออกแรงกระชากหมอนที่น้องชายกอดไว้โดยไม่ให้ตั้งตัว  โยนหมอนใบนั้นทิ้งไปด้านหลังแล้วจับร่างน้องชายให้หันกลับมา

“อ๊ะ”  พีทร้องก่อนจะพยายามดึงผ้าห่มคลุมศีรษะตนเองไว้อีก 

“พี่...”  พีทร้องประท้วงในผ้าห่ม  ก้มหน้างุดที่อกเขาเมื่อดิ้นหนีไปไหนไม่ได้เพราะผ้าห่มที่พันตัวอยู่ทำให้ตัวเองถูกพันธนาการ

“หายงงรึยัง” เขาดึงผ้าห่มที่คลุมอยู่ออก ใบหน้าน้องชายซุกอยู่ในอก เลื่อนมือลูบผมคนในอ้อมแขนไปมา  ทั้งอยากสัมผัสและอยากจะปลอบประโลมใจ

“พี่ไม่ให้ผมตั้งตัวเลย  ผม...ผมทำตัวไม่ถูก” 
 
เสียงแผ่วเบาของน้องชายทำให้เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น

“ก็ทำเหมือนเดิมสิ”  เขาอมยิ้ม

“จะเหมือนเดิมได้ยังไงเล่า  ก็...ก็...”  เสียงอึกอักเหมือนคนพูดไม่ออก

“ถ้างั้นก็รู้แล้วสินะ ว่าตอนนี้เราเป็นมากกว่าพี่น้องแล้ว”

เขายิ้มกว้างมากขึ้น  กดจมูกโด่งของตนลงบนผมนุ่มอีกครั้งอย่างแสนรัก  ความสุขอาบท่วมท้นล้นใจเมื่อนึกถึงการเปลี่ยนแปลงระหว่างเขาและคนที่ซุกอยู่ในอกกว้าง

“พี่อ๊า...”  พีทดิ้นยุกยิกอยู่ในผ้าห่มอย่างขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้

“พีทนั่นแหละที่ทำให้พี่ตั้งตัวไม่ทัน ใครที่จู่โจมพี่ก่อนล่ะ  จำไม่ได้รึไง วันที่พี่แพ้กุ้งเข้าโรงพยาบาล  พี่ตื่นมาตกใจแทบแย่”

“พี่ฮั่น!”   น้ำเสียงงอแง

เขาหัวเราะเสียงสดใส  การยั่วโมโหน้องเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาโปรดปราน

“อ๋อ พี่ก็เลยปฏิเสธผมทันทีเลยงั้นสิ  เวลาพี่ตกใจตั้งตัวไม่ทัน  พี่ก็เลยทำร้ายจิตใจผมงั้นเหรอ”

น้ำเสียงเคืองของน้อง  ทำให้เขาอยากเห็นหน้างอ ๆ ที่ต่อปากต่อคำกับเขา

“ก็ถ้าพีทจูบพี่นานกว่านั้นพี่ก็คงไม่มีโอกาสจะปฏิเสธพีทหรอก แต่แบบนั้นเขาไม่เรียกจูบหรอกนะ  แค่แตะเท่านั้นแหละ”

“โอ๊ย!  พีท  พี่เจ็บนะ”

พีทแก้ลำเขาด้วยการกัดแรง ๆ ที่ไหล่เขาทีหนึ่ง  ทำให้เขาต้องร้องซี้ดด้วยความเจ็บ 

“เมื่อเช้าก็กัดพี่   ตอนบ่ายตื่นมาก็กัดอีกแล้ว  สมกับเป็นเจ้านายแรมโบ้จริงนะ”   

“พี่อ๊า ห้ามพูด” พีทมุดหน้าหนีลงไปอีก พยายามจะดึงผ้าห่มออกแต่ไม่สำเร็จ

เขาหัวเราะขำกับอาการเขินไม่เลิกของพีท  ลูบผมน้องไปมา  พวกเขาเงียบกันไปครู่หนึ่ง

“พีท  พี่ขอโทษเรื่องวันนั้นนะ  พี่ผิดเอง  พีทเป็นคนช่วยชีวิตพี่ไว้แท้ ๆ  ขอบคุณสักครั้งพี่ยังไม่ได้พูดเลย...” 

“วันนั้น  ขอบคุณมากนะที่ช่วยพี่ไว้  ถ้าพีทไม่อยู่ด้วยพี่คงตายกลางงานเลี้ยงไปแล้ว”

เขายังจำได้ดีถึงความทรมาน  ทุรนทุรายเมื่อกำลังขาดอากาศหายใจ ได้ยินเสียงหวีดดังข้างหู   ดวงตาพร่ามัว   ความทรงจำสุดท้ายคือใบหน้าของคนที่เขารักที่สุด   

“กลัวพี่ตายใช่มั้ยล่ะ”

เขายิ้มมุมปาก  แอบดีใจเมื่อนึกถึงหน้าตาเป็นห่วงเป็นใยของน้องตอนที่ลากเขาไปโรงพยาบาล ถ้าพีทไม่สังเกตเห็นอาการเขาทันท่วงที  ป่านนี้เขาคงนอนอยู่ในหลุมแล้ว  ไม่ได้มานอนกอดใครบางคนอยู่อย่างนี้หรอก

“อะไรเล่า  จะขอบคุณทำไม  พี่ก็เคยช่วยผมไว้นี่” 

“งั้น ขอโทษก็ได้  ที่ทำให้พีทเสียใจ” 

“ผม..ไม่โกรธพี่แล้ว”   

“จริงนะ”  ถามย้ำอีกครั้ง 

‘พีทพูดจริงใช่ไหม? พีทจะรู้รึเปล่านะว่าเขาดีใจขนาดไหนที่พีทยกโทษให้เขา’ 

“แต่ผมไม่ยกโทษเรื่องเมื่อเช้าหรอก พี่ทำอะไรไม่ให้ตั้งตัวกันเลย” พีทโวยวาย

“ก็ขืนให้พีทมีเวลาคิดสิ  พีทไม่ยอมแน่  ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ” 

เขารู้ว่าพีทเป็นคนฉลาด ถ้าพีทมีเวลาคิดสักนิด ไม่นานหรอกน้องก็จะเริ่มตั้งคำถามแล้วเขาก็คงต้องนั่งตอบคำถามอีกยืดยาว  ขืนรอให้พีทมีเวลาเตรียมตัวแล้วเมื่อไรเขาจะมีโอกาส  พีทไม่เคยรู้หรอกว่าที่ผ่านมาเขาต้องอดทนมากขนาดไหน  ต้องข่มใจเพียงใดเวลาที่พวกเขาอยู่ใกล้ชิดกัน

“ตัวเองก็เคยออกคำสั่งทำให้พี่ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกันนี่ เล่นโจมตีจุดอ่อนแล้วสั่งให้พี่ทำอะไรน๊า  พี่ยังฟังคำสั่งไม่จบเลย  พีทจูบพี่ซะแล้ว”   เขาย้อนพีทเข้าบ้าง

“อะ  อะไรเล่า  แบบนั้นเหรอไม่ทันตั้งตัวของพี่น่ะ  ผมต่างหากที่ไม่ทันตั้งตัว” 

คนเป็นพี่แอบอมยิ้มกับประโยคย้อนกลับของน้อง  คงเป็นเขานี่แหละที่ทำให้น้องหัวหมุน  เสื้อยูโดหลุดลุ่ย   คราวนั้นเขาก็แทบจะหยุดตัวเองไว้ไม่ไหวเหมือนกัน

“แต่คราวนี้พีทจะสั่งพี่อีกก็ได้นะ  พี่พร้อมแล้ว  ไถ่โทษไง”

“พี่บ้า! ผมไม่สั่งพี่หรอก  ถ้าจะสั่งนะ  ผมขอสั่งให้เลิกกอดผมสักทีแล้วก็ออกไปจากห้องด้วย  ผมจะไปอาบน้ำ”

“ไม่ไป  พีทจะอาบน้ำก็ไปสิ  พี่ไม่ว่าอะไรนี่  ว่าแต่พีทลุกไหวรึเปล่า ให้พี่ช่วยไหม”

เสียงที่เอ่ยถามนั้นแผ่วลง  เจือด้วยความหมายบางอย่าง  เขายิ้มกับตัวเอง  ก้มหน้าลงพยายามจะสบตาน้องให้ได้แต่พีทกลับมุดหน้าหนีอีก

“พี่ฮั่นอ่ะ  พี่สนุกมากรึไง  ทำให้ผมหัวหมุน  ทำตัวไม่ถูกแบบนี้อ่ะ  ผม...ไม่น่าเลย...”  พีทยุกยิกอยู่ในม้วนผ้าห่ม  พูดไม่ออกไปเสียเฉย ๆ 

“หรือพีทเสียใจเรื่องเมื่อเช้า  พี่ว่าพี่ไม่ได้ยินคำปฏิเสธนะ ได้ยินแต่พีทเรียกหาแต่พี่กับบอกว่า....”

“พี่ฮั่น!”   

คราวนี้พีทดิ้นหนัก  พยายามจะดึงตัวออกจากอ้อมแขนเขา

“ก็ได้  พี่ไม่พูดถึงเรื่องเมื่อเช้าอีกก็ได้  มันคงไม่มีความหมายอะไรสำหรับพีทสินะทั้งที่มันเป็นเรื่องดีที่สุดในชีวิตพี่เลย”

เขาพูดเสียงเบาราวกับน้อยใจนักหนา  ขณะที่ก้มมองคนที่ซุกหน้าอยู่ พีทไม่ยอมมองหน้าเขาก็เลยไม่เห็นแววตาเจ้าเล่ห์







ฝ่ายคนที่ยังหลบหน้าพี่ชาย  ได้ยินคำตัดรอนนั้นก็ใจเสีย 

ทำไมพี่ฮั่นพูดแบบนี้  ทำไมมันจะไม่มีความหมายกับเขา  ก็มันกำลังจะเปลี่ยนไปนี่ไงล่ะ  เขาถึงไม่กล้าสบตาพี่ฮั่นเพราะเขาทำตัวไม่ถูก

ที่ผ่านมาพวกเขาเป็นพี่น้องกันมาตลอด  แม้ความรักของเขาจะเปลี่ยนไปแต่ความสัมพันธ์ของพวกเขายังเหมือนเดิม  แล้วมันก็เปลี่ยนไปเพียงแค่ข้ามคืนโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว  เขาต้องการเวลาปรับตัวปรับใจ  มันไม่ได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือหรอกนะ  แม้ว่าพี่ฮั่นจะทำเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาก็ตาม

“มะ ไม่ใช่  พี่อ่ะ ไม่ใช่แบบนั้นนะ” เขาอึกอัก 

พี่ฮั่นนะพี่ฮั่น  หาเรื่องอะไรมาค้านเขาได้ทุกเรื่อง  แม้แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ามันก็เป็นเพราะพี่ฮั่นเองทั้งหมด  แต่พี่ฮั่นก็ยังสามารถพูดเหมือนกับว่าเขาเป็นคนผิดจนได้

“พี่อย่ามาพูดแบบนั้นนะ ทีตอนที่ผมบอกรักพี่  พี่ก็ปฏิเสธ ทั้งที่ผมคิดว่าความรู้สึกที่ผมมีให้พี่เป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดเหมือนกัน  พี่รู้ไหมว่าผมเสียใจขนาดไหน” 

‘แค่พูดเท่านี้ยังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย  พี่ฮั่นจะรู้บ้างไหม’

“พีท พี่ขอโทษ...”

พี่ฮั่นเอ่ยขอโทษเขาอีก  พี่ชายพร่ำขอโทษเขาอยู่ข้างหูพร้อมกับมือของพี่ฮั่นก็ลูบไล้ผ่านผ้าห่มที่คลุมร่างเขา   พีทถอนหายใจกับอกหนา   เขารู้ว่าพี่ฮั่นก็เสียใจไม่แพ้กัน   เขาต้องเลิกคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาสักที  เพราะถ้าเขาไม่ลืมอดีตเขาก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้

“แต่เมื่อกี้พีทบอกว่าไม่โกรธพี่แล้วไง  แล้วเมื่อกี้ว่าอะไรนะ พีทว่าพีทรักพี่ใช่ไหม ว้า ได้ยินไม่ค่อยชัดเลย” 

พี่ชายเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงร่าเริงทำให้เขาประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนกะทันหัน 

‘หนอย  สลดได้ไม่นานก็กลับมาร่าเริงเร็วจริงนะ’


“ผมบอกว่าผมเกลียดพี่ตะหาก” 
 
“พีทอ่ะ  ไม่ใช่สักหน่อย  พีทบอกว่า..พีทรักพี่” 

พี่ฮั่นทำเสียงแบบนี้อีกแล้ว  เสียงแบบที่ใช้เวลาอ้อนเขาโดยเฉพาะ

“ไม่ใช่   ผมไม่รักพี่แล้ว”

“ไม่จริง  เมื่อเช้าใครไม่รู้ตอบคำถามพี่ว่ารักพี่ฮั่น  พี่จำได้”  คนพี่กลับย้อนมาอีก 

“แล้วผมก็บอกว่าเกลียดพี่แล้ว”

“แล้วพีทก็บอกว่าพีทเข้าใจแล้ว  พีทขอโทษไง แล้วพีทก็..”

“พี่ฮั่น!!  โว๊ะ ไม่เอาแล้ว  ผมไม่เถียงกับพี่แล้ว”

เพราะความโมโหจึงเงยหน้าไปโวยวายกับพี่ชาย  ลืมไปว่าตัวเองกำลังหลบหน้าพี่ฮั่นอยู่   เขาสบตากับพี่ฮั่นทันทีราวกับว่าคนพี่รอจังหวะนี้อยู่แล้ว  พี่ฮั่นก้มมาหารวดเร็ว
 
“อื้อ”  จูบแรกระหว่างกันหลังตื่นนอน 

พี่ฮั่นกดริมฝีปากนิ่งอยู่นาน  พีทรู้สึกเหมือนเขาเองก็รอสิ่งนี้อยู่เช่นกัน  เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสที่เต็มไปด้วยความรักที่พี่ฮั่นมีต่อเขา   พี่ชายจูบเขาแผ่วเบาก่อนจะเริ่มต้นขยับริมฝีปากไปมา  พวกเขาแค่คลึงริมฝีปากของตนกับอีกฝ่าย  บางเบา  แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายเพราะต่างคนต่างก็รู้อย่างแน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายรักตนมากเพียงใด   

และเมื่อริมฝีปากนั้นถอยไปพีทก็เข้าใจ

ที่ผ่านมาเขารู้แค่ว่าพี่ฮั่นเป็นคนที่เขารักเป็นพี่ชาย  ปะปนกับความรักแบบคนรัก  รักเหมือนที่พ่อรักคุณโรส   เขารู้แค่ว่าเขาอยากอยู่ใกล้ชิด  อยากสัมผัส โอบกอด   แต่เขาไม่เคยคิดเรื่องความสัมพันธ์แบบนี้มาก่อน   ดังนั้นเมื่อพี่ฮั่นจู่โจมเขา  เขาก็เลยตั้งตัวไม่ติด  ตกใจและกลัว 

แต่ตอนนี้  ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้จากจูบบางเบาทำให้เขาเข้าใจ และยอมรับความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป   ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย  ที่ผ่านมาเขารู้แค่ว่าความรักที่เขามีต่อพี่ฮั่นเป็นความรู้สึกพิเศษที่มีให้แค่คนคนเดียวเท่านั้น   แต่ตอนนี้มันลึกซึ้งและแนบแน่นกว่าที่เขาเคยรู้สึก   เพราะเขาได้ก้าวข้ามเส้นกั้นสถานะระหว่างเขากับพี่ฮั่นไปแล้ว   เวลานี้พวกเขาเป็นมากกว่าพี่น้อง   เป็นมากกว่าคนในครอบครัวเดียวกัน   

เขาและพี่ฮั่นเป็นคนคนเดียวกัน 

มีใจดวงเดียวกัน

พีทกลับไปซุกหน้าที่ซอกคอของพี่ชายอีกครั้ง  หัวใจเต้นแรง  มือพี่ฮั่นลูบหลังเขาไปมา 

“พีทไม่ได้สับสนอยู่คนเดียวหรอก   พี่น่ะคิดมากกว่าพีทอีก   สับสนวุ่นวายใจอยู่ตั้งสองปีกว่า  ตั้งแต่แอบกลับมาตอนคริสต์มาสอีฟ  แอบไปดูพีทร้องเพลงที่มหาวิทยาลัย  เห็นพีทเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราจากกันตอนพีทสิบขวบ”  เสียงทุ้มของพี่ฮั่นดังสะท้อนอยู่ในอกกว้างที่เขาอิงแอบอยู่

“แค่พีทยิ้มพี่ก็ใจเต้นแล้ว  กลับไปคิดมากอยู่นานเป็นเดือนว่าตัวเองเป็นอะไร   ทำไมภาพพีทถึงได้ติดตาติดใจอยู่อย่างนั้น  กว่าจะรู้ใจตัวเองน่ะ”

“แต่พอเข้าใจตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้   เพราะว่าเราเป็นพี่น้องกันแล้วตอนนั้นพี่ก็รู้ว่าพีทโกรธพี่อยู่  ไม่รู้ว่าจะยกโทษให้ไหม  ไม่รู้ว่าพีทลืมพี่ไปแล้วรึเปล่า  พี่พยายามไม่คิด  พยายามเลิกรักแต่พี่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้  ตั้งแต่นั้นมาก็เลยหาโอกาสมาบ้านบ่อย ๆ  แอบมาดูพีทเล่นดนตรีวันคริสต์มาสอีฟทุกปี พี่รู้แค่ว่าพี่ทำได้แค่นี้”

“พี่มาดูผมทุกปีเหรอ” 

“อืม  เมื่อวานก็ไป”

“พี่ฮั่น...”

พีทครางเสียงแผ่วเมื่อได้รู้เรื่องราว  เมื่อวานพี่ฮั่นกลับจากญี่ปุ่นมาดูเขาเล่นดนตรีแล้วรอเขาหลายชั่วโมงจนเขากลับบ้านงั้นเหรอ
 
รู้สึกอบอุ่นอยู่กลางใจที่เต้นแรง   เกิดความรู้สึกตื้นตันใจเหลือประมาณ  พีทจูบลงไปที่รอยแยกของเสื้อคลุมอาบน้ำ  ตรงอกซ้ายที่หัวใจของพี่ฮั่นเต้นอยู่ข้างใต้  จูบด้วยความรู้สึกขอบคุณที่พี่ฮั่นรักเขา  รับรู้ว่าพี่ฮั่นก็จูบลงบนผมเขาเช่นกัน  พวกเขาขยับตัวเข้าหากัน
 
“พีทรักพี่ตอนไหน  เล่าให้ฟังบ้างสิ”

พีทเงียบไปเพื่อทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา  เขาไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเริ่มรักพี่ฮั่นตั้งแต่เมื่อไร  เขาจำได้แค่ว่าพี่ฮั่นทำให้เขาใจเต้นแรงเวลาอยู่ชิดใกล้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาสบตากันความรู้สึกของเขาเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อไรเขาก็ไม่รู้ตัว 

“ไม่รู้เหมือนกัน  ผมรู้ตัวอีกทีก็รักพี่ไปแล้ว”   

คิดถึงตัวเองตอนที่รู้ตัวว่าคิดกับพี่ฮั่นเกินพี่ชาย  เขาคิดมากอยู่หลายวันจนต้องปรึกษาริทกว่าจะเข้าใจตัวเอง   

“ขอบคุณนะที่รักพี่”   พี่ฮั่นพูดแล้วก็กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นไปอีก 

พวกเขาเงียบกันไปอีกราวกับจะปล่อยความรู้สึกให้ล่องลอยในห้องนอนกว้าง   ความรักของพวกเขากำลังลอยวนอยู่รอบกาย  อบอุ่นและอ่อนหวาน 

พีทรู้สึกอุ่นใจเมื่อนอนอยู่แบบนี้  ในวันหยุดที่เงียบสงบ  ในบ้านที่อบอุ่นและปลอดภัย  กับคนที่เขาต้องการอยู่ด้วยตลอดเวลา  หลายวันที่ผ่านมาเขาต้องนอนเพียงลำพังในห้องนอนอันเปล่าเปลี่ยว  เปิดไฟทิ้งไว้ทุกคืน  เฝ้าแต่คิดถึงช่วงเวลาที่เคยมีพี่ฮั่นนอนอยู่เคียงข้าง  คนที่ทำให้เขาอุ่นใจเสมอ

“พีท”   ในที่สุดพี่ฮั่นก็เอ่ยทำลายความเงียบ

“จากนี้ไป เรา...เราจะเดินร่วมทางไปด้วยกันใช่ไหม”  พี่ฮั่นถามเหมือนคนไม่มั่นใจ

“ถ้าพี่ไม่ปล่อยมือจากพีท   พีทจะจับมือพี่ไปตลอดไหม”

‘พี่ฮั่น’ 

เขาได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ  หัวใจของพี่ฮั่นที่อยู่ใต้อกหนาที่เขาแนบอยู่กำลังเต้นถี่รัว  หัวใจพี่ฮั่นกำลังเต้นแรง

“พีท”  เสียงพี่ฮั่นเรียกมาอีก

คราวนี้หัวใจเขาเริ่มเต้นแรงตามบ้างเมื่อต้องตอบคำถามสำคัญ  พี่ฮั่นอาจจะคิดว่าเขาคงลืมมันไปแล้วแต่เขาไม่เคยลืมเลย  วันแรกที่พวกเขาเจอกัน

“พี่ฮั่นจำได้ไหม  พี่ชวนผมเล่นรถไฟตอนเราเจอกันครั้งแรก...” 

ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ  น่าแปลกที่เขากลับจดจำรายละเอียดได้อย่างแม่นยำราวกับว่ามันเพิ่งเกิด

“พีทจำได้ด้วยเหรอ  พี่นึกว่าพีทลืมไปแล้วซะอีก  ตอนนั้นพีทยังสี่ขวบอยู่เลย” 

พีทไม่มีโอกาสเห็นว่าคนพี่กำลังยิ้มกว้างขนาดไหน   เพราะไม่เคยลืมวันแรกที่เขากับน้องเจอกัน   ไม่คิดมาก่อนว่าน้องจะจำเรื่องในวันนั้นได้เหมือนกับตัวเอง

“จำได้สิ  ตอนนั้นผมกำลังร้องไห้อยู่  ผมได้ยินเสียงพี่ชวนผมขึ้นรถไฟแล้วผมก็เห็นพี่ยื่นมือมา”

พี่ฮั่นตอนเด็กยืนยิ้มจนตาปิดให้เขา มืออวบยื่นมารอ  รอให้เขาวางมือลงไป 

ใจเขาเต้นแรงก่อนจะตอบคำถาม

“ผมคงฝากชีวิตไว้ในมือพี่  ตั้งแต่ผมยื่นมือไปหาพี่แล้วล่ะ” 

ใช่แล้ว  ตั้งแต่นั้นมาพี่ฮั่นไม่เคยปล่อยมือจากเขาเลย  พี่ฮั่นดูแลเขามาตลอด  แม้ว่าตัวจะต้องอยู่ห่างไกลก็ยังคิดถึงเขา  เหมือนกับที่เขาก็ไม่เคยลืมพี่ฮั่น  เฝ้ารอคอยให้พี่ฮั่นกลับมาตลอดเวลา

“พีท...”  เสียงพี่ฮั่นค่อนข้างสั่น

“ถึงพี่จะปล่อยมือผม  ผมก็ไม่ยอมหรอก   ผมจะคว้ามือพี่มาอีกครั้ง  จับให้แน่นเชียวล่ะ คอยดูเถอะ”

จบประโยคนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมองพี่ฮั่น  จ้องตรงไปในดวงตาคู่เดิม เลิกหลบหน้าพี่ฮั่นสักที 

พี่ฮั่นพลิกตัวเขานอนราบกับเตียงนุ่ม  ทาบตัวเองอยู่เหนือเขา  ใช้ศอกยันร่างไว้  ใบหน้าของพี่ฮั่นที่เขาเห็นเต็มไปด้วยความตื้นตัน  พวกเขาสบตากันเนิ่นนาน  ถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างผ่านสายตา 

เขากับพี่ฮั่นไม่เคยห่างไกลกัน  แม้จะอยู่คนละทวีป  แม้จะจากกันไปนานพวกเขาก็คิดถึงกันเสมอ  พี่ฮั่นไม่จำเป็นต้องถามเขาด้วยซ้ำเพราะพวกเขาเดินด้วยกันมาตลอด  แม้ช่วงเวลาหนึ่งจะต้องแยกกันไปคนละทางแต่ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาพบกัน
และก้าวไปบนเส้นทางเดียวกัน

พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงไปทางทิศตะวันตก  แสงสีส้มฉายผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้องนอนนั้น   ช่วงเวลาคริสต์มาสเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข แม้เวลาของวันกำลังจะหมดไป   แต่ความรักของคนในห้องนั้นกำลังเติบโต  ความรักที่เริ่มต้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน  ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน  ราวกับเกิดมาเพื่อกันและกัน

พีทดึงมือตัวเองออกจากผ้าห่มที่พันตัวจนสำเร็จ  เอื้อมมือไปประคองใบหน้าพี่ฮั่นไว้  มองใบหน้าของคนที่เขารัก

“รู้ใช่ไหม ว่าผมจะพูดอะไร”

เขาถามพลางยิ้มให้  ยิ้มที่ทำให้หัวใจคนพี่เต้นผิดจังหวะ  รอยยิ้มที่จับหัวใจของพี่ชาย

“รู้ แต่พี่อยากได้ยินอีก”  พี่ฮั่นตอบเขาเสียงแผ่วเบา 

คนเป็นพี่ละมือข้างหนึ่งขึ้นมาวางซ้อนบนมือเขาที่ประคองหน้าพี่ฮั่นอยู่  ลูบไปมาแผ่วเบาก่อนจะหันไปจูบลงตรงกลางฝ่ามือเขาแล้วหันมาสบตา...

รอคอย

สัมผัสร้อนนั้นวิ่งเร็วจี๋จากกลางฝ่ามือตรงเข้าสู่หัวใจ

เขาสบตาแล้วเอ่ยถ้อยคำนั้น  ชัดเจน







“ผมรักพี่ฮั่น”   








“พี่ก็รักพีท” 







---------------------------------------------




 :mew1: :mew1: :mew1:





หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 01-05-2015 15:36:25
หวานสุดๆไปเลย
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: gwaiplay ที่ 01-05-2015 16:01:08
บอกรักดันได้ซะทีนะ  o13
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 01-05-2015 17:10:12
 :mew1: :m1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 01-05-2015 20:48:50
ให้ตายเถอะ....ตายคาหน้าจอคอมฯ
มันฟินแบบสุดๆไปเลย ดีใจด้วยนะทั้งสองคน
เวลาที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันมาถึงแล้ว
#จิกหมอนรัวๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-05-2015 21:29:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 03-05-2015 06:58:33
มาอ่านตามแนะนำของอีกเรื่องค่ะ สำนวนดีแต่ชื่อเรื่องมันทำให้เราเกือบพลาดเรื่องนี้
แค่สองตอนแรกก้อติดจนอ่านรวดเดียวเลย อบอุ่นความรักสองพี่น้อง
ท้ายเรื่องมีมาม่าเพราะพี่ฮั่นคิดเยอะแต่ลงเอยด้วยดี น้องโดนจำกินแล้ว อิอิ
ขอหวานๆก่อนจบหลายตอนนะ คนเขียนสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 09-05-2015 23:29:37
โอ๊ยยย มดกัดดดด  :hao6:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 23-05-2015 23:54:00
:)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 31-05-2015 00:01:07
:)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 19-06-2015 17:32:29
59. คริสต์มาส


เกรซขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อสบสายตาคมที่หันมาโดยบังเอิญ เขามองเธอนิ่งครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปคุยกับคุณเจมส์ต่อ  ภายใต้ท่าทียิ้มแย้มร่าเริงตามปกติของเขา  เกรซรู้ว่าเขาแสร้งทำเพื่อให้เธอไม่ต้องตอบคำถามกับพ่อแม่ สาวน้อยกำมือที่วางบนตักแน่นพลางคิดอย่างกังวล 
   
‘นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่’

เธอกับพีทตกลงจะหมั้นกันเพื่อให้เขายอมถอนตัวออกไป แต่เขากลับต้องมานั่งร่วมโต๊ะอาหารค่ำพร้อมหน้าครอบครัวของเธอในวันคริสต์มาสจากคำเชิญของคุณพ่อ

“กับข้าวไม่อร่อยหรือลูก แม่เห็นลูกไม่ค่อยกินอะไรเลย”  คุณแม่หันมาถามอย่างห่วงใย  ทำให้เธอต้องรีบปฏิเสธแล้วตักอาหารกินไปคำหนึ่งเพื่อเอาใจผู้เป็นแม่และกลบเกลื่อนอาการผิดปกติของตน
 
สายตาเขามองมาอีกแล้ว  เกรซได้แต่ก้มหน้านิ่ง รู้สึกผิดอย่างไรบอกไม่ถูก  รู้สึกผิดต่อครอบครัวที่คิดจะปฏิเสธคนที่พ่อกับแม่หาให้  รู้สึกผิดต่อนายแคนกับสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้

หลังอาหารมื้อค่ำที่ผ่านไปด้วยความกระอักกระอ่วน  พ่อกับแม่ก็ขอตัวไปจิบชากันสองคนในห้องดูหนังส่วนตัวเพื่อเปิดโอกาสให้เธอและคู่หมั้นมีโอกาสได้พูดคุยกันทั้งที่มันไม่จำเป็นเลย  เพราะเธอกับเขาคงไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้วในเมื่อเธอเป็นคนขอให้เขาถอนหมั้นแต่ดูท่าทางแคนจะไม่คิดเช่นนั้น

“ผมขอโทษที่ทำให้คุณอึดอัดที่ต้องมาทำตัวเป็นคู่หมั้นของคุณในวันนี้ ทั้งที่ผมควรจะบอกพ่อกับแม่คุณเรื่องที่เราจะถอนหมั้นกัน  ผมเสียใจที่ทำให้คุณไม่สบายใจ”

น้ำเสียงที่พูดมาไม่มีร่องรอยของการประชดประชันเหมือนทุกครั้ง ใบหน้าเขานิ่งไม่แสดงความรู้สึกใด

“ผมมีเรื่องจะตกลงกับคุณ”   

“เรื่องอะไรคะ”

เกรซเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเขาบอกว่ามีเรื่องจะตกลง ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?

เขามองหน้าเธออยู่ครู่  ดวงตาคมที่มองมากำลังไหวระริกราวกับเขาต้องกลั้นใจอย่างมาก

“ผมรู้ว่าคุณอึดอัดที่ต้องหมั้นหมายกับคนที่คุณไม่ต้องการแต่คุณจำเป็นต้องทำเพราะพ่อกับแม่เป็นห่วง  ผมจะไม่ทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว  คุณไม่จำเป็นต้องหมั้นกับพีทก็ได้เพราะผมรู้ว่ายังไงคุณก็ไม่ได้รักพีทอยู่ดี  พวกคุณเป็นเพื่อนกันแล้วผมก็แน่ใจว่าพี่ฮั่นคงไม่ยอมแน่  คุณแค่ต้องการอิสระใช่ไหม”

“ผมจะให้ของขวัญคริสต์มาสคุณ  ผมจะให้อิสระคุณเอง  ผมจะไม่มาวุ่นวายอะไรกับคุณอีก  คุณอยากทำอะไรหรือจะคบใครก็ตามใจคุณ ผมจะไม่ห้ามแต่ผมจะไม่ถอนหมั้น  ปล่อยให้ผู้ใหญ่รับรู้ว่าเราเป็นคู่หมั้นกันเหมือนเดิมคุณจะได้ไม่ต้องเหนื่อยหาใครต่อใครมาหมั้นกับคุณอีก  เพราะถึงแม้ไม่ใช่ผมหรือพีทพ่อแม่คุณก็ต้องหาใครคนอื่นมาให้คุณอยู่ดี   คุณเลี่ยงมันไม่ได้ซึ่งผมก็คิดว่าคุณเข้าใจดีอยู่แล้ว...”

“วันข้างหน้า ถ้าคุณรักใครสักคนที่คุณต้องการอยู่กับเขา  คุณค่อยมาบอกผมก็แล้วกัน  ผมจะถอนหมั้นให้”

“ผมสัญญา”

เกรซนิ่งตะลึงไปกับสิ่งที่เขาพูด 

‘นายนี่มันเอาแต่ใจจริง ๆ  จะคิดจะทำอะไรไม่เคยถามฉันสักคำ อยากจะหมั้นก็ประกาศหมั้น อยากจะไปก็ไป เคยถามความเห็นฉันบ้างไหม ฉันโกรธคุณเพราะคุณมันคิดเองเออเองนี่แหละ’

“เพียงเท่านี้แหละที่ผมอยากจะบอก”

แคนมองหน้าคู่หมั้นของตนเองคล้ายกับจะเป็นการลาจากนั้นขยับตัวเดินจากไป  เกรซที่กำลังอึ้งจึงเพิ่งรู้สึกตัว

“เดี๋ยว...นาย”

ไม่ทันแล้ว  ร่างสูงของคู่หมั้นเดินออกจากห้องนั่งเล่นนั้นไปแล้ว  และตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกเลย





ในขณะที่คู่หมั้นกำลังตกลงกัน   อีกสองคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็กำลังตกลงกัน

“พี่ฮั่นช่วยผมคิดหน่อย ผมจะบอกเกรซยังไงดี”

คนเป็นน้องนอนคว่ำอยู่บนเตียงกว้าง วางคางเรียวของตนบนหมอนนุ่ม  เอ่ยถามคนพี่ที่วุ่นวายแกะของขวัญกองใหญ่อยู่ที่พรมหน้าเตียง 

หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วความจริงบางสิ่งก็ค่อยกลับเข้าสู่สมองของน้องชาย เมื่อนึกได้ว่าตัวเองกับเกรซตกลงอะไรกันไว้  ใบหน้าพีทเป็นกังวลเมื่อคิดว่าต้องถอนคำพูดตัวเองทั้งที่เวลายังผ่านไปไม่ถึงเดือน

‘แย่ชะมัด ก็ตอนนั้นพี่ฮั่นบอกว่าเป็นพี่น้องกันนี่ แต่ดูตอนนี้สิ  ตอนนี้พี่ฮั่นทำอะไรกับเขาไว้แล้วยังไม่สนใจจะช่วยเขาอีก’

เขามองไปที่พี่ชายที่ขะมักเขม้นแกะของขวัญอย่างตั้งใจ ของขวัญชิ้นแรกที่พี่ฮั่นแกะออกจากกล่องเป็นหมวกสีแดง  พี่ชายลองสวมทันทีแล้วเอียงหมวกไปมาเพื่อเช็คว่ามุมไหนดูดีที่สุดดูเหมือนเด็กโข่งได้ของขวัญยังไงยังงั้น   

น้องชายแอบอมยิ้มที่เห็นพี่ฮั่นดีใจขนาดนั้นเพราะเขาก็ดีใจมากเหมือนกัน

คนพี่นั้นแทบไม่สนใจจะตอบคำถามเพราะกำลังดีใจกับของขวัญเกือบสามสิบชิ้นที่กองอยู่ตรงหน้า  หลังจากที่พวกเขาใช้เวลาอยู่บนเตียงพูดคุยกันอยู่นานเขาก็ทวงของขวัญคริสต์มาสจากน้อง   



“พี่ให้ของขวัญคริสต์มาสพีทแล้ว  ไหนล่ะของขวัญของพี่”   

พีทมองหน้าเขาอย่างรู้ทัน  รู้ดีว่าถ้าตัวเองไม่มีของขวัญให้พี่ชายแล้วพี่ชายคงหาโอกาสขอ ‘ของขวัญพิเศษ’ เองแน่  น้องยิ้มให้เขาแต่หลบตา  ยกมือปัดผมตัวเองไปมา  อาการแบบนี้ทำให้เขาประหลาดใจ

พีทเขิน?

“ของขวัญของพี่อยู่ในห้องผม”  พีทว่า ใบหน้าเริ่มซับสีเลือดขึ้นทีละน้อย

“พี่ไปเอาเองได้ไหม อยู่ในลังไม้ใต้เตียงนะ”  พีทพูดเสียงอู้อี้เมื่อซบหน้าลงกับหมอน ชี้ไม้ชี้มือไปทางห้องนอนของตน

‘เอ๊ะ ทำไมต้องเอาของขวัญไว้ใต้เตียงด้วยล่ะ?’ 

เขามองคนที่ซุกหน้ากับหมอนใบใหญ่ ในหัวเต็มไปด้วยคำถามแต่น้องไม่ยอมตอบอะไรอีก  ดังนั้นขายาวของเขาจึงก้าวออกจากห้องไปยังห้องน้องชาย  คำตอบรออยู่ใต้เตียงตามที่พีทบอก  แต่ลังไม้ที่ลากออกมานั้นทำให้เขาประหลาดใจอย่างที่สุด  ลังไม้นั้นสูงประมาณสามสิบเซนติเมตรกว้างขนาดแรมโบ้ลงไปนอนในนั้นได้

‘ของขวัญคริสต์มาสของเขาอยู่ในนี้งั้นเหรอ?’ 

เขายกลังไม้นั้นกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง มันหนักพอสมควร
 
พีทเงยหน้าจากหมอนเมื่อได้ยินเสียงเขาเดินกลับเข้าห้อง  มองมาที่ลังไม้นั้นแล้วก็ยิ้มเขิน

“อะไรน่ะพีท ทำไมต้องเก็บในลังนี่ด้วย ทำยังกับหีบสมบัติ”  เขาถามอย่างสงสัย

“ก็หีบสมบัติน่ะสิ ของขวัญของพี่เป็นสมบัติที่มีค่าของผม”   

เขาวางลังไม้อัดบนพรมหน้าเตียงก่อนจะเปิดฝาไม้นั้นออก กวาดสายตามองดูของทุกชิ้นที่วางอยู่ในนั้นอย่างแปลกใจ

‘ของขวัญ? ทำไมเยอะขนาดนี้ล่ะ?’ 

กล่องของขวัญหลายกล่องวางอยู่ในนั้น มีหลายขนาด ห่อด้วยกระดาษสีสดใสที่เริ่มซีดจาง มือใหญ่หยิบกล่องหนึ่งขึ้นมาดู

การ์ดบนกล่องนั้นเขียนว่า “Merry Chirstmas 2009”

เขาหยิบอีกกล่องขึ้นมาอีก

การ์ดบนกล่องอีกใบเขียนว่า  “สุขสันต์วันเกิดปีที่ 19”

อีกกล่องเขียนว่า   “...สุขสันต์วันเกิดปีที่ 22...”

อีกกล่องหนึ่ง  “Happy New Year 2010”

เขาเงยหน้ามองน้องอย่างประหลาดใจ

“ของขวัญของพี่ตั้งแต่พี่ไปอังกฤษ  ผมอยากจะให้พี่แต่พี่ไม่กลับมา  ผมก็เลยเก็บมันไว้”  น้องชายบอกแล้วก็หลบตา

“หมดนี่  เป็น..เป็นของขวัญที่พีทจะให้พี่แต่เก็บไว้งั้นเหรอ”   เขาถามพลางชี้ไปที่ลังไม้ตรงหน้า

“ครับ” พีทพยักหน้า ซบหน้าลงกับหมอนอีก  หน้าแดงจัด

“โอ๊ยพี่! ผมหนัก”

พีทโวยวายไม่จริงจังนักเมื่อเขากระโดดขึ้นเตียงโถมเข้ากอดน้องทั้งตัว  พวกเขากลิ้งไปมา  เขารัดร่างน้องชายไว้แน่น

“พีท-พีท   พีท-พีท”  เขาเรียกน้องด้วยความดีใจแกมขัดเขิน

สิ่งของที่เห็นยังไม่เท่ากับความรู้สึกปลาบปลื้มใจที่ได้รู้ว่าพีทไม่เคยลืมวันสำคัญของเขา  พีทแสดงออกมาตลอดว่าโกรธเขาอยู่  แต่กลับมีของขวัญวันเกิดให้เขาทุกปี  แม้จะไม่ได้ให้เขาแต่น้องก็เก็บไว้ 

ดีใจ  ความรู้สึกนี้อาบไปทั้งตัว 

“พีท น่ารักจัง” 

เขาว่าแล้วก็พรมจูบไปทั่วใบหน้าน้องชาย   ทำเสียงจ๊วบจ๊าบไปด้วย  พีทพยายามส่ายหน้าหนีแต่ก็หนีไม่พ้นเพราะเขาจูบลงไปทุกที่ ในที่สุดน้องก็พลิกตัวขึ้นมาทับเขาไว้ ใช้ศอกทั้งสองข้างยันที่นอน  ยกหน้าตนเองขึ้นเพื่อไม่ให้เขาทำอะไรได้

“ดีใจจังเลย”

เขาบอกพลางยิ้มกว้าง ยกมือแตะข้างแก้มแล้วสอดมือของตนไปตามเส้นผมนุ่มของน้องชาย ใช้นิ้วโป้งไล้เบา ๆ  ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความรู้สึกอันเปี่ยมล้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับพีทเพียงคนเดียว มืออีกข้างกอดร่างที่อยู่ด้านบนไว้ มองใบหน้าคนที่เขารัก
 
‘พีทจะรู้ไหมนะว่าเขามีความสุขขนาดไหน’ 

สายตาที่เปี่ยมด้วยความสุขของพี่ชายทำให้พีทที่มองอยู่รู้สึกเขิน  เพราะเขาเองก็มีความสุขที่เห็นพี่ฮั่นมีความสุขเช่นกัน

“อะไรเล่า ก็พี่ยังเคยฝากแรมโบ้มาให้ผมเลย” พีทว่าก่อนจะหลบตา เปลี่ยนมาทิ้งตัวซบไว้บนร่างหนาของพี่ชาย เท้าคางไว้บนมือข้างหนึ่ง ใบหน้าพวกเขาอยู่ใกล้กัน

“ผมดีใจที่ได้ให้ของขวัญพี่ ไม่ต้องแอบเก็บไว้อีก” พีทพูดพลางเลื่อนมือไปแตะข้างแก้มของพี่ฮั่น ลูบไปตามคางพี่ชายแผ่วเบา มองสบตา

“รู้ไหมว่าผมดีใจมากขนาดไหนที่พวกเราได้อยู่ด้วยกันอีก”

สัมผัสของน้องชายช่างนุ่มนวล  เขาชอบที่พีททำแบบนี้  มันทำให้เขารู้สึกดี
 
“ไม่รู้หรอก พีทก็ทำให้พี่รู้สิ”

พี่ชายว่าเสียงเบาลง  ดวงตาแพรวพราวอย่างมีความหมาย เขาคาดว่าพีทคงจะเขินกับคำพูดแฝงความนัยของเขาแต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อน้องก้มลงมา

เขาหลับตาลงเมื่อจูบอ่อนโยนของน้องชายแตะลงที่หน้าผาก พีทลากริมฝีปากแตะเพียงแผ่ว ๆ ไปตามสันจมูก หยุดนิ่งเหนือริมฝีปากเขาครู่หนึ่ง ทำให้เขารอคอยจนต้องลืมตาขึ้นมา และเมื่อตาสบตาทุกอย่างรอบกายเหมือนเลือนหายไป หัวสมองเขาว่างเปล่า มีเพียงสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักที่ส่งมาก่อนที่น้องชายจะกดจูบที่ริมฝีปาก   

เขาหลับตาลงอีกครั้ง กระแสความรู้สึกบางอย่างไหลผ่านริมฝีปากนุ่มที่บดคลึงอยู่แทรกซึมไปทั่วร่าง ทำให้เขาเกิดความปิติ อิ่มเอิบใจ  เขาปล่อยให้น้องชายเป็นฝ่ายสัมผัส  ผ่อนคลายร่างกายตามสบายเพื่อรับความรักที่ถ่ายทอดผ่านริมฝีปากนุ่มนั้นอย่างเต็มที่  พีทเคลื่อนริมฝีปากช้า ๆ  บดริมฝีปากนุ่มกับเขาเบา ๆ ก่อนจะเพิ่มแรงมากขึ้นทีละนิด

“อืม” 

เขาครางในลำคอกับความรู้สึกรัญจวนใจจนต้องกอดน้องชายที่ซบอยู่บนร่างเขาไว้แน่น  พีททำให้เขารู้สึกวูบวาบในช่องท้อง มือของน้องชายลูบไปตามเส้นผม  ลำคอ  ใช้นิ้วโป้งดันปลายคางเขาให้เงยขึ้นอีกนิดเพื่อให้ริมฝีปากได้แนบสนิทกันมากขึ้น
 
จูบนี้ช่างอ่อนหวาน  สัมผัสเหล่านั้นเต็มไปด้วยความรัก  นุ่มนวลและลึกซึ้ง ลิ้นนุ่มแตะแผ่วเบาที่ริมฝีปากก่อนจะสอดมาภายใน ตวัดพัวพันกับลิ้นเขาเพียงนิดอย่างหยอกล้อแล้วถอยไป 

พีทกดริมฝีปากนุ่มลงอีกครั้งเนิ่นนาน  ยังรู้สึกเหมือนมันผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นเองเมื่อพีทผละไป

ความรักที่ส่งมานั้นยังไหลวนอยู่ทั่วร่าง  เขาใช้เวลาซึมซับมันไว้ในใจก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆ  สายตาน้องชายที่มองมาบอกทุกสิ่งทุกอย่าง เขารู้แล้วว่าพีทยินดีเพียงใดที่เขากลับมาอยู่ข้างกายน้องอีกครั้ง

“พีทอ่า..”

กลับกลายเป็นว่าเขาเขินซะเอง




“พี่ฮั่น  ได้ยินที่ผมถามไหม” 

พีทถามย้ำอีกครั้งเมื่อพี่ชายยังไม่มีทีท่าจะตอบคำถาม ตอนนี้พี่ฮั่นใส่หมวกสีแดง  สวมสร้อยเงินเส้นยาวที่มีจี้เป็นตัวอักษร H ขนาดใหญ่  ใส่นาฬิกาที่ข้อมือทั้งซ้ายและขวา  พีทจำของขวัญของตัวเองได้ทุกชิ้น  เวลานี้พี่ฮั่นกำลังแกะของขวัญคริสต์มาสเมื่อสองปีที่แล้วและพี่ชายคงไม่รีรอที่จะลองสวมรองเท้าหนังสีดำหุ้มข้อนั้นทันที

“ช่วยไม่ได้นี่  นายอยากผูกเรื่องขึ้นมาเองก็แก้เองสิ  จะมาให้พี่ช่วยทำไม”

พี่ชายว่าแล้วทำท่าไม่สนใจ เมื่อกำลังลุกขึ้นเดินไปมา หลังจากลองสวมรองเท้าหนังที่ดุนด้วยกระดุมสีเงินเป็นลวดลายแปลก  ใบหน้าพี่ชายสดใสเพราะได้ของขวัญถูกใจ 

“พี่อ่ะ  มันก็เพราะพี่นั่นแหละ ถึงทำให้ผมตกลงหมั้นกับเกรซน่ะ”

“อ๋อ  งั้นก็ยอมรับแล้วสิว่าตอนนั้นจะหมั้นกับเกรซประชดพี่ใช่ไหม” 

พี่ชายหยุดเดินแล้วหันมาทางเขา ยกมือกอดอกแล้วยิ้มเยาะ

“เอ่อ ไม่ ไม่ใช่นะ ผมแค่คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ต่างหาก พี่อย่าคิดเข้าข้างตัวเองสิ  ตอนนั้นผมไม่สนพี่แล้วตะหาก”

“จริงเหรอ”   พี่ฮั่นเดินกลับมาทรุดตัวนั่งบนเตียงใกล้กับเขาที่นอนขวางเตียงอยู่

“จริง” เขายืนยัน ทำหน้าจริงจังทั้งที่ความจริงแล้วก็แอบยอมรับกับตัวเองอยู่ลึก ๆ ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาตกลงจะหมั้นกับเกรซก็เพราะพี่ฮั่นนั่นแหละ

พี่ฮั่นส่ายหน้าราวกับไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย  วางมือใหญ่บนหัวเขาแล้วโยกไปมาราวกับเขายังเป็นเด็ก

“ไม่ต้องบอกเกรซหรอก พี่บอกแคนแล้วให้จัดการเรื่องนี้เอง  มันเป็นเรื่องของเขาสองคน คนนอกอย่ายุ่งเข้าใจไหม”

พี่ฮั่นพูดพร้อมกับเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผาก ‘คนนอก’  ออกแรงผลักเบา ๆ  อย่างหมั่นไส้

“พี่อ่ะ ผมตั้งใจดีนะ แค่อยากช่วยเพื่อนเท่านั้นเอง ก็เกรซเศร้าขนาดนั้น  ถ้าไม่หนักหนาจริง ๆ เกรซไม่เล่าให้ผมฟังหรอก” เขาตอบ รู้อยู่หรอกว่ามันเรื่องของคนสองคนแต่ตอนนั้นเขาเองก็สับสนวุ่นวายใจอยู่นี่นา ใครจะไปคิดอะไรออก

“ยังไงเราก็ไม่ควรไปยุ่ง รู้ไหม คราวหน้าห้ามนะ พี่ไม่ยอมให้พีทไปหมั้นกับใครแน่”

“ทำไมผมจะต้องเชื่อพี่ด้วยล่ะ”  พีทพลิกไปนอนหงาย  เอียงหน้าไปมองพี่ชาย  หน้างอเมื่อโดนพี่ฮั่นว่า

“ก็พีทเป็นของพี่นี่  ต้องเชื่อฟัง”

“อ๊า...”

พี่ฮั่นพูดอะไรเนี่ย พีทพลิกหน้าหนีเพราะกำลังเขินแต่พี่ฮั่นกลับจับไหล่เขาทั้งสองข้างกดไว้กับเตียง  ก้มลงมาจนชิดก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแฝงความหมาย

“หรือต้องให้ทบทวนไหม  พี่ไม่เกี่ยงหรอกนะ  จะทบทวนท่าไหนก็ได้ทั้งนั้น”

พี่ชายหยุดการแกะของขวัญของปีก่อนไว้ชั่วคราว แล้วหันมาเรียกร้องของขวัญคริสต์มาสของปีนี้จากน้องแทน 

“เฮ้ย  พี่  ไม่เอา  พี่  ไม่เอา  พีทไม่...”

พีทไม่มีโอกาสปฏิเสธ  ได้แต่คิดอยู่ในใจคนเดียว 

‘พี่ฮั่นนะพี่ฮั่น  ระวังตัวให้ดีเถอะ  พีทเอาคืนแน่’





---------------------------------


ขอโทษที่หายไปนานค่า  อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วค่ะ  ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  จุ๊บๆ

 :mew1: :mew1: :mew1:

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 19-06-2015 17:53:58
60. หึง



“ดีใจจังเลย  คุณชายกลับมาดีกันแล้ว” 

สาวสวยผิวขาวจัดหนึ่งในสามสาวพูดขึ้นทันทีที่ทรุดตัวลงนั่งในร้านกาแฟขนาดเล็กใกล้โรงแรม สถานที่ที่พวกเธอทั้งสามนัดเจอกับพี่โดมเสมอเวลาพักกลางวันหรือหลังเลิกงาน

“นั่นสิ  มีอะไรดี ๆ  รึเปล่าคะพี่โดม  คุณชายพีทน่ะ  ยิ้มหวานตลอดเลย  พวกสาว ๆ แผนกอื่นแทบจะทำงานกันไม่รู้เรื่องแล้ว นี่ฝากมาถามกันใหญ่เลย”

สาวน้อยคนที่สองถามขึ้นมาบ้าง  เธอสังเกตเห็นได้ก่อนใครเพราะเธอฝึกงานอยู่ที่ล็อบบี้

วันแรกของการทำงานหลังจากหยุดคริสต์มาส  คุณชายทั้งสองคนเดินเข้ามาในโรงแรมพร้อมกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  สดใส  พูดคุยกันตลอดเวลาแทบไม่สนใจใคร  ไม่ใช่เธอเท่านั้นที่สังเกตเห็น ใครต่อใครที่อยู่ในห้องโถงนั้นต่างก็จ้องมองไปที่คนทั้งคู่แล้วลอบยิ้มให้กัน   

“เอ่อ..”  โดมเป็นคนที่รู้ดีที่สุดแต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง

“ดีกันแล้วมั้ง” เขาว่าพลางยิ้มอย่างยินดีที่ทั้งสองคนกลับมาดีกันเหมือนเดิม  เขาเห็นหน้าตาสดใสของพีทแล้วก็รู้สึกมีความสุขตามไปด้วย นึกไปถึงตอนที่เห็นพีทเดินยิ้มกว้างเข้ามาที่แผนกตอนเช้า 


สายตาเปล่งประกายอย่างคนมีความสุขของพีทที่เขาไม่ได้เห็นมานานทำให้เขาเอ่ยถาม

“ผมกับพี่ฮั่นเข้าใจกันแล้ว”

พีทตอบคำถามแต่ก้มหน้าก้มตามองดูรองเท้าตนเองท่าทางพิรุธ

“เข้าใจว่าไงล่ะพีท”

ความจริงก็เดาได้ไม่ยาก ก็หน้าตาอิ่มสุขขนาดนี้ รอยยิ้มแบบนี้ มีแต่พวก ‘อินเลิฟ’  เท่านั้นแหละที่เป็นกัน

“ก็  ก็  ก็เข้าใจก็คือเข้าใจไงพี่โดม  แค่นี้แหละ”

พีทยังคงหลบตาเขา  ยกมือปัดผมตัวเองไปมา 

เขินขนาดนี้ ยังจะบอกว่าแค่นี้งั้นเหรอ เสียดายที่ริทไม่อยู่ตรงนี้ ไม่งั้น เขาคงได้รู้รายละเอียดทุกขุมขนเลยแหละ ใครที่โดนริทซักแล้วไม่หลุดความจริงนี่  ต้องระดับจารชนเท่านั้น     



โดมคิดแล้วก็ส่ายหน้ากลมของตัวเอง 

“ช่างเถอะ  เห็นคุณชายดีกันแล้วพวกเราก็ดีใจไปด้วย”  สาวคนที่สามพูดบ้าง  ทำให้โดมแอบโล่งใจที่ไม่ต้องคิดหาคำตอบอะไรอีก

“พี่โดม พวกเราฝึกงานเสร็จแล้วจะได้เจอกันอีกไหม แต่เราคิดว่าจะกลับมาสมัครงานที่นี่ล่ะ อยากอยู่ดูคุณชายพีทไปนาน ๆ” 

สาวคนแรกหันไปถามโดมที่นั่งยิ้ม  ท้ายประโยคเธอหันไปพูดกับเพื่อนอีกสองคน

“เราก็คิดจะมาสมัครที่นี่เหมือนกัน  ดีจังเลยพวกเราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม....”

อีกสองสาวที่เหลือตอบรับทันที  สีหน้ายินดีที่ความคิดของพวกเธอตรงกัน 

โดมละความคิดเรื่องพีทไว้ก่อน หันมาพูดคุยกับสามสาวเรื่องอนาคตของพวกเขาต่อไป


-----------------------------------




คุณชายคนน้องที่คนทั้งโรงแรมแอบเฝ้ามองกลับไม่ได้กำลังยิ้มหวานเหมือนที่สามสาวกล่าวถึง พีทกำลังนั่งหน้าบูดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของรองประธาน เขากำลังรู้สึกว่าเขาคิดผิดที่ให้โบนัสคุณเดซี่เป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับมัลดีฟส์พร้อมที่พักและพ็อกเก็ตมันนี่  เป็นรางวัลที่เธอส่งตารางนัดของพี่ฮั่นให้เขาช่วงที่เขาตามติดพี่ฮั่น  ที่คิดผิดเป็นเพราะว่าพี่ฮั่นรีบอนุมัติให้คุณเดซี่พักร้อนยาวถึงสิบวัน แล้วออกคำสั่งให้เขามาทำหน้าที่เลขาแทน 

เขาต้องติดตามพี่ฮั่นออกไปข้างนอกแทบทุกวันเพื่อไปพบลูกค้า เข้าประชุมกับผู้บริหารระดับสูง จดบันทึกการประชุม จัดตารางนัดหมาย จัดเตรียมเอกสารมากมาย  เขาเพิ่งรู้ว่าพี่ฮั่นมีงานมากมายขนาดไหน  นอกจากงานบริหารโรงแรมทั้งหมดแล้วพี่ฮั่นยังต้องดูแลกิจการด้านอื่นของพ่อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนร่วมกับครอบครัวของเกรซ  ธุรกิจอาหารส่งออกที่เป็นหุ้นส่วนกับคุณปีเตอร์  พ่อของพี่แคน  และยังมีธุรกิจโลจิสติกส์ที่ส่งออกสินค้าไปทั่วโลกซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของพี่ฮั่นเอง
 
เวลาพี่ฮั่นออกไปพบลูกค้า  ไปประชุมหรือไปตรวจโรงแรมสาขาอื่นพี่ฮั่นก็พาเขาไปด้วยทุกครั้ง  ทั้งที่เขาไม่เคยเห็นพี่ฮั่นพาคุณเดซี่ไปไหนด้วยเลยสักครั้ง  พีททำงานจนหัวหมุนแทบไม่มีเวลาพัก  เพราะ ‘เจ้านาย’ ก็ทำงานตลอดเวลา  รับโทรศัพท์แทบทุกนาที  แต่ถึงแม้ว่าจะงานยุ่งขนาดไหน ‘เจ้านาย’ ก็ยังหาเวลามาคลอเคลียแนบชิดเขาเสมอ   แค่สั่งให้เขาขึ้นมาทำหน้าที่เลขาชั่วคราวก็ทำให้คนอื่น ๆ แปลกใจแล้ว  ‘เจ้านาย’ ยังบังคับให้เขามานั่งทำงานอยู่ในห้องรองประธานด้วยกันราวกับไม่อยากให้เขาคลาดสายตา เวลาออกไปข้างนอกพวกเขาก็ทำตัวปกติเหมือนเคยแต่พอกลับเข้ามาในห้องรองประธานทีไร....

พีทกัดริมฝีปากตัวเองเมื่อนึกไปริมฝีปากนุ่มที่จูบเขาเมื่อตอนบ่ายก่อนที่จะออกไปข้างนอก  ทั้งที่พอกลับบ้านพวกเขาก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลาอยู่แล้วแต่พี่ฮั่นก็ไม่เคยเบื่อที่จะทำแบบนี้

แต่วันนี้พี่ฮั่นกลับออกไปเพียงคนเดียวแล้วสั่งให้เขารออยู่ในห้องทำงานจนกว่าพี่ฮั่นจะกลับ  เขารออยู่สามชั่วโมงแล้ว  พีททำงานที่ค้างไว้จนเสร็จนานแล้วพี่ฮั่นยังไม่ปรากฏตัว

‘ท่านรัฐมนตรีจะคุยอะไรกันนักกันหนาเนี่ย แล้วทำไมต้องนัดเป็นส่วนตัวขนาดนี้ถึงกับโทรมาหาพี่ฮั่นโดยตรง’

เกือบสองทุ่มแล้วเมื่อเสียงเปียโนที่คุ้นเคยดังขึ้น  พีทกดโทรศัพท์เพื่อรับสาย

“พีท พี่ขอโทษที่ให้รอนะ พีทกลับบ้านก่อนเลย  พี่คงจะกลับตอนนี้ไม่ได้  ปลีกตัวไปไม่ได้จริง ๆ  เจอกันที่บ้านนะ...”

พี่ฮั่นพูดมายืดยาวแล้วก็วางสายไปโดยไม่ให้โอกาสเขาตอบกลับแม้แต่คำเดียว  ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด

‘อะไรเล่า แล้วมาบอกให้รอทำไมเนี่ย’ 


เขาบ่นกับหน้าจอโทรศัพท์ที่มีรูปของพี่ฮั่นกำลังส่งยิ้มให้  แลบลิ้นใส่คนในโทรศัพท์ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานใหญ่เพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน  แต่เมื่อเดินไปที่หน้าล็อบบี้กลับต้องแปลกใจเมื่อพบออดี้จอดนิ่งสนิทอยู่  เคนส่งกุญแจให้พร้อมกับบอกสั้น ๆ
 
“คุณฮั่นให้คุณชายขับกลับบ้านครับ”

“แล้วพี่ฮั่นล่ะ”  พีทรับกุญแจมาพร้อมกับถาม

“รถโรงแรมจะไปส่งครับ”

คราวนี้พีทยิ้มกว้าง 

‘เสร็จเขาล่ะ พี่ฮั่นไม่อยู่ รถก็แรงขนาดนี้’

หลังจากใช้เวลาครู่ใหญ่ฝ่าการจราจรอันแน่นขนัดออกจากตัวเมืองได้  ออดี้คันงามก็ได้อวดสมรรถภาพอย่างเต็มที่ เมื่อพีทกำลังทดสอบระบบช่วงล่างที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลกด้วยการเข้าโค้งซ้ายขวาด้วยความเร็วเกือบสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงไปตามถนนอันคดเคี้ยวที่มุ่งไปยังหาดส่วนตัวของเขาเอง

‘สมราคาจริง ๆ รถเกาะถนนดีเยี่ยม แรงและนิ่มไม่แพ้ Porsche  หรือ Ferrari  เลย’

เขายิ้มกว้างเมื่อขับพ้นจากโค้งช่วงสุดท้ายมาแล้ว อีกไม่นานถนนจะเป็นเส้นตรงยาวเกือบสี่สิบกิโลเมตรก่อนจะถึงหาดส่วนตัว
 
‘คอยดูเถอะ’ หนุ่มน้อยยิ้มก่อนที่จะเหยียบคันเร่งลงไปอีก 


----------------------------------------






ออดี้คันงามเลี้ยวเข้าประตูรั้วสูงใหญ่ด้วยความเร็วสูงแล้วหยุดลงทันทีด้วยระบบเบรกชั้นยอดตรงทางเดินเข้าบ้านริมสระ  คนขับลงจากรถอย่างร่าเริง ใบหน้าเรียวยิ้มกว้างเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ  เดินตรงไปหาเจ้าของรถที่ยืนทำหน้าเรียบเฉยรออยู่นานแล้ว

“พี่ฮ่านนนน”

พีทยิ้มกว้างเข้าไปหาพี่ชายที่ยืนกอดอกนิ่ง  รู้ทันทีว่าพี่ฮั่นไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่เขาหายไปนาน  แต่ยังยิ้มได้เพราะรู้อีกเช่นกันว่ายังไงพี่ฮั่นก็ไม่โกรธเขาหรอกเพราะพี่ฮั่นเอารถมาให้เขาขับเอง พี่ฮั่นต้องรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องแอบขับไปลองเครื่องแน่  อีกอย่างใครที่ปล่อยให้เขารอเงกก่อนล่ะ

“กลับมานานแล้วเหรอคร้าบบบบ”  เขายื่นมือไปเกาะแขนพี่ชายไว้ เขย่าเบา ๆ ทำเสียงอ้อน

“นึกว่าจะนอนเสียที่หาดแล้ว” เจ้าของออดี้ว่า เหลือบตาเรียวมามองเขาที่เข้ามาเกาะแขนอยู่ข้างกาย

“ก็อยากจะนอนดูดาวที่โน่นเหมือนกัน  แต่กลัวว่าเจ้าของรถจะนอนไม่หลับเพราะกลัวออดี้คันโปรดจะมีรอยขีดข่วน”

“พีท”  เสียงเข้มของพี่ฮั่นเรียกเขา 

“พี่ไม่ได้ห่วงรถ พี่เป็นห่วงเราตะหาก” พร้อมคำพูดนั้นมือใหญ่ของพี่ฮั่นก็คลายออก เอื้อมมาจับหัวเขาไว้  โยกเบา ๆ  มองตรงมา

“จนป่านนี้แล้ว  ยังไม่รู้รึไงว่าสิ่งสำคัญที่สุดของพี่คืออะไร” 

พีทหลบตา เพราะความรู้สึกที่ส่งมาพร้อมกับคำพูดที่แสนอ่อนโยนกำลังทำให้เขาทำตัวไม่ถูก แปลกใจที่ยังทำตัวไม่ชินเสียทีกับการกระทำและคำพูดที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ฮั่น

“พีทไม่ได้กลัวพี่จะว่าเรื่องรถหรอก  ไม่ว่ายังไงพีทก็ต้องกลับมานอนบ้านอยู่แล้วเพราะพี่รู้ว่าพีทน่ะนอนคนเดียวไม่ได้แล้วต่างหาก  พีทจะนอนไม่หลับถ้าไม่มีพี่นอนด้วยใช่ไหมล่ะ” 

คราวนี้พี่ชายก้มหน้ามาพูดใกล้ ๆ ยิ้มกว้าง  ดวงตาพราวระยับ

“โห พี่อย่ามาโมเมเอาเองสิ  ผมนอนคนเดียวมาตั้งนานทำไมผมจะนอนอีกไม่ได้  แล้วตอนนี้ผมก็ไม่อยากนอนกับพี่หรอก พี่ต่างหากที่....”   

พีทว่าแล้วก็หยุดไปเฉย ๆ เมื่อนึกได้ว่าเขาพูดอะไรออกไปก็ดูท่าทางจะไม่เป็นผลดีกับตัวเองนัก  พี่ฮั่นกับเขาไม่เคยห่างกันสักคืนตั้งแต่....คริสต์มาส ไม่รู้ใครกันแน่ที่นอนคนเดียวไม่ได้ เขาจะกลับไปนอนที่ห้องตัวเองแล้วพี่ฮั่นยอมซะที่ไหน  คิดได้เท่านี้เจ้าตัวก็หน้าร้อนฉ่าขึ้นมาซะงั้น   

“พี่นอนคนเดียวไม่ได้  รู้ก็ดีแล้ว  รู้แล้วก็ห้ามขัดใจเข้าใจไหม” 

มือใหญ่อบอุ่นเอื้อมมาจับคางเรียวของเขาไว้  บีบเบา ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว  พูดจบพี่ฮั่นก็โอบไหล่เขาไว้แล้วดึงให้เดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน

“พี่อ่า...”   พีทพูดได้เท่านั้นเอง   

เขาเอื้อมมือไปโอบเอวหนาของพี่ฮั่นไว้บ้าง ทั้งสองหนุ่มเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน 

เสียงพูดคุยดังแว่วภายในบ้านหลังน้อยริมสระทำให้ลุงหวังที่เข้ายามอยู่ยิ้มกว้างให้กับสองพี่น้องที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อย
 
และคนอีกสองคนที่ยืนมองอยู่ที่หน้าต่างบนห้องนอนของบ้านใหญ่   

‘พ่อกับแม่’ หันมายิ้มให้กันก่อนจะหันหลังให้หน้าต่าง  เดินกลับไปที่เตียงนอน





“พีทกินอะไรมารึยัง  พี่สั่งอาหารญี่ปุ่นร้านโปรดของพีทมาด้วย  กินด้วยกันไหม” 

เมื่อเข้ามาถึงในบ้านแล้วพี่ฮั่นก็หันมาถาม

“พี่ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ”  พีทกลับแปลกใจ   

“ยัง  เก็บท้องไว้รอกินพร้อมพีทไง” 

พวกเขานั่งลงที่โต๊ะในครัวแล้วเริ่มต้นกินอาหารมื้อเย็นด้วยกัน

“ท่านรัฐมนตรีมีธุระอะไรกับพี่เหรอ  ถึงได้ไปนานขนาดนั้นน่ะ” 

พีทถามขึ้นมาหลังจากที่พวกเขากินอาหารจนใกล้อิ่มแล้ว  พี่ชายชะงักมือที่กำลังจะคีบอาหารตรงหน้า วางตะเกียบแล้วหันไปคว้าน้ำชาขึ้นดื่ม

“ก็ไม่มีอะไรมาก ท่านแค่อยากเลี้ยงขอบคุณเป็นพิเศษเรื่องประชุมผู้นำเศรษฐกิจคราวที่แล้วน่ะ  เห็นว่าได้รับคำชมจากท่านนายกฯ ด้วยก็เลยเป็นปลื้ม  มาเลี้ยงขอบคุณพี่อีกที”

พีทเหลือบตามองพี่ชายครู่หนึ่งเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง  พี่ฮั่นมีท่าทีแปลกไป  แต่เขาก็ปัดความคิดนั้นทิ้งเสียเพราะดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาเป็นกังวลได้  ก็แค่ไปกินข้าวกับรัฐมนตรี

พวกเขาเงียบกันไปอีกครั้ง  ต่างคนก็ต่างจัดการอาหารตรงหน้า  ครู่ใหญ่พี่ฮั่นจึงเอ่ยถามเขา

“พีท”

“ครับ”

“เรียนจบแล้ว  พีทจะทำอะไรต่อ”

พีทเหลือบตามองพี่ชายอย่างแปลกใจกับคำถาม

“ทำไมพี่ถึงถามแบบนั้นล่ะ ทำยังกับว่าผมมีทางเลือกงั้นแหละ  ถ้าผมบอกว่าจะไม่ช่วยงานพี่แล้วพี่จะอนุญาตรึเปล่าล่ะ”

“แล้วพีทจะทำอะไรล่ะ บอกมาสิ” พี่ฮั่นกลับย้อนถาม  มองเขาด้วยดวงตาจริงจัง

“ผม....” 

พีทหยุดมือที่กำลังจะคีบซูชิ  หลบสายตาพี่ฮั่นไปมองที่จานอาหารตรงหน้า เขากำลังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะบอกพี่ฮั่นอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งที่เขาคิด  สิ่งที่เขาต้องการทำมาตลอด

“อยากเป็นนักร้อง?”

พีทเงยหน้ารวดเร็ว หันไปมองพี่ฮั่นที่ยิ้มบางมาให้ ประโยคนั้นแทงใจเขาอย่างแรง  พี่ฮั่นรู้เสมอว่าเขาชอบอะไรและอยากทำอะไร 

“พี่รู้ด้วยเหรอ”

“เรื่องของพีท  พี่รู้ทุกเรื่องแหละ...”  พี่ชายยิ้มให้อย่างอ่อนโยน 

“พีทอยากทำอะไรก็ทำเถอะ พี่ไม่ห้ามหรอก พ่อกับแม่ก็เขียนบอกในการ์ดแล้วว่ายินดีกับทุกสิ่งที่พีทเลือก”

พีทมองพี่ชายอย่างประหลาดใจ  เขาไม่คาดคิดเลยว่าพี่ฮั่นจะอนุญาต  เพราะที่ผ่านมาพี่ฮั่นย้ำเสมอว่าเขาต้องรับผิดชอบกิจการของพ่อทั้งหมด

“พี่ไม่ห้ามผมเหรอ ก็ไหนที่ผ่านมาพี่อยากให้ผมดูแลกิจการของพ่อไง ทำไมคราวนี้ยอมให้ผมทำตามใจได้ล่ะ”

“ก็พีทตามใจพี่แล้วนี่  พี่ก็ต้องตามใจพีทบ้าง” 

พี่ฮั่นใช้แววตามองมาเพื่ออธิบายข้อความส่วนที่เหลือที่ไม่ได้เอ่ย

'อีกแล้ว  พี่ฮั่นชอบพูดแบบนี้อีกแล้ว  เรื่องที่เขาตามใจพี่ฮั่น...ก็เรื่อง...ใช่ที่ไหนล่ะ  เขาขัดไม่ได้มากกว่า แล้วทำไมหน้าเขาต้องร้อนด้วยเนี่ย'

“ไง ถ้ารู้แบบนี้ พีทคงจะยอมตามใจพี่ซะตั้งนานแล้วใช่ไหม” พี่ชายพูดเข้าข้างตัวเองหน้าตาเฉย  ยิ้มเจ้าเล่ห์ 

“ถึงผมไม่ยอม พี่ก็ต้องตามใจผมอยู่ดี ผมรู้หรอกน่า”

พีทไม่ยอมหลบตาทั้งที่ก็เขินเช่นกัน  เขาหันหน้าไปมองพี่ฮั่น  สู้สายตากับพี่ชาย

เขารู้ดีว่าถึงแม้เขาจะไม่ไปช่วยงานพี่ฮั่นก็ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างได้อยู่แล้ว  คนที่พิสูจน์เรื่องนี้ได้ก็คือพ่อของเขาเอง  พ่อไม่ยอมวางมือแน่ถ้าไม่ไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวพี่ฮั่น  และพี่ฮั่นก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพ่อเขาคิดไม่ผิด พี่ฮั่นดูแลทุกสิ่งทุกอย่างได้ดีเยี่ยม  อีกอย่างเขาก็รู้อีกเช่นกันว่าพี่ฮั่นก็ชอบที่จะเห็นเขาร้องเพลง เขารู้สึกถึงสายตาของพี่ชายเสมอเวลาที่เขาอยู่บนเวทีตั้งแต่ครั้งแรกที่พี่ฮั่นกลับมาแล้วแอบไปดูเขาร้องเพลงที่ร้านของเกรซด้วยซ้ำ

ในที่สุดพี่ฮั่นก็ต้องเป็นฝ่ายหลบตา  พี่ชายแก้เขินโดยการใช้ตะเกียบคีบซูชิมาวางในจานให้เขาแทน
 
“ถ้าพีทต้องการให้พี่ช่วย เรื่องธุรกิจพี่จะดูแลให้  พีทก็ไปทำในสิ่งที่พีทชอบเถอะ พี่อนุญาต”

“จริงนะพี่ฮั่น  พี่พูดแล้วนะ”

“จริงสิ น้องพีท...”

คำพูดพี่ชายขาดหายเมื่อพีททิ้งตะเกียบโผเข้าไปกอดพี่ฮั่นไว้แน่นแล้วขอบคุณพี่ชายซ้ำไปซ้ำมา

พี่ชายยิ้มกว้างกับตนเอง ยกมือขึ้นกอดตอบพีทบ้าง  เพราะเขาก็มีความสุขที่เห็นน้องมีความสุขเช่นกัน



---------------------------------------------








รองประธานเหลือบดวงตาชั้นเดียวของตนมองไปยังน้องชายที่ยืนข้างกายเขา  พีททำหน้าเรียบเฉย  ท่าทีปกติ  แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ 

เสียงกริ่งของลิฟต์ดังขึ้นเมื่อเคลื่อนขึ้นมาถึงชั้นสูงสุดของกลุ่มอาคารสำนักงาน  พีทเดินออกไปก่อน  เมื่อมาถึงหน้าห้องทำงาน  เลขาหน้าห้องเงยหน้าขึ้นทักทายรองประธานและคุณชาย  พีทที่เดินอยู่ข้างหน้าเขาเพียงแค่พยักหน้าให้

“รองประธานคะ เมื่อครู่คุณโรซาลีนมาขอพบค่ะแต่รองประธานไม่อยู่ เธอฝากข้อความไว้ค่ะ” 

เลขายื่นซองจดหมายสีชมพูหอมกรุ่นให้  เขาแอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัวเมื่อยื่นมือไปรับซองนั้นมา พร้อมกับมือข้างหนึ่งของน้องชายสอดมาจับต้นแขนเขาไว้แน่น

“แล้วมีโทรศัพท์อีกสามราย  มาจาก....” 

เดซี่อ้าปากค้างเมื่อรองประธานถูกดึงตัวเข้าไปในห้องทำงานอย่างรวดเร็ว  ประตูห้องทำงานปิดเสียงดังโครมใส่หน้าเธอทีเดียว














หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 58 หน้า 10 อัพเดต 1/5/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 19-06-2015 17:54:58
ุ60. หึง (ต่อ)



“พีท??...”

พี่ชายนิ่วหน้าเมื่อถูกดึงเข้าไปในห้องทำงานกะทันหันด้วยแรงที่มากกว่าปกติ  พีทปิดประตู  ผลักเขากระแทกกำแพงจากนั้นโถมร่างเบียดเข้ามาจนชิด  เขาทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเท่านั้น  ริมฝีปากน้องชายก็ประกบลงทันที

จูบรุนแรงนั้นทำให้เขางุนงงกับท่าทีของพีทที่เปลี่ยนไป รู้ทันทีว่าน้องชายกำลังรู้สึกอย่างไร  เพราะพีทไม่เคยจูบเขาอย่างนี้   น้องสัมผัสเขาด้วยความอ่อนโยนเสมอ   แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรต่อไปพีทก็ผละริมฝีปากออก

“อ๊ะ!  พีท  อย่าสิ  เดี๋ยว  กะ....”

เขาพูดไม่ออกอีกต่อไปเมื่อต้องกัดฟันข่มเสียงครางของตัวเองไว้  เพราะริมฝีปากน้องชายกำลังจูบหนักหน่วงไปตามลำคอแล้วกลับมาเม้มแน่นที่ติ่งหู  ปากนุ่มบดเนื้ออ่อนบริเวณนั้นไปมา ลมหายใจร้อนที่รดหูทำให้เขาวูบไหว

เขาพยายามจะดันตัวน้องชายออกเพื่อพูดกันให้รู้เรื่องก่อน  เขารู้ว่าพีทกำลังเข้าใจผิด  แต่น้องชายกลับจับข้อมือเขาไว้แน่นไม่ยอมให้เขาผลักออก  พีทกลับมาจูบเขาอีกครั้ง เขาได้แต่ปล่อยให้น้องชายเป็นฝ่ายทำตามใจ  อารมณ์รุนแรงภายในผลักดันให้พีทไม่อ่อนโยนเหมือนเคย 
 
ในที่สุดความรุ่มร้อนในอารมณ์นั้นก็ค่อยผ่อนลงเหลือเพียงริมฝีปากที่แตะกันนิ่ง  พีทแนบหน้าผากตัวเองกับหน้าผากเขา น้ำตาหยดหนึ่งหล่นลงแก้มทำให้เขาตกใจรีบยกมือขึ้นจับใบหน้าน้องออกเพื่อดูให้แน่ชัด 

พีทกำลังร้องไห้

“พี่เป็นของผม  ผมไม่ยอมยกพี่ให้ใครแน่!”

น้องชายพูดเสียงดัง  กลั้นสะอื้นไปด้วย  แววตาบ่งบอกอารมณ์โกรธและเสียใจ

“พี่เป็นของพีท” 

เสียงอู้อี้ของน้องชายบอกมาอีกเมื่อพีทกลับไปซุกหน้ากับไหล่เขา  เสียงสั่นน้อย ๆ น้องชายกำเสื้อสูทที่เขาสวมไว้แน่น

“พีท  ฟังพี่ก่อนนะ”  เขายกมือตัวเองลูบลงไปบนหลังน้องชายช้า ๆ   แขนอีกข้างกอดร่างที่ซบอยู่  กระชับแน่น

“พีทไม่ยอม พีทไม่ยอม”  เสียงอู้อี้ของพีทยังดังแว่วเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด

เขาปล่อยให้พีทซบอยู่แบบนั้น  รอให้น้องสงบลงเสียก่อน

แต่พีทไม่อาจสงบใจลงได้เลย  กลับดึงตัวออก  ถอยหลังไปสองสามก้าว  ยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองเหมือนเด็ก

“มันเรื่องอะไรกัน!!  พี่บอกมาสิ  ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครทำไมถึงบอกว่ากำลังจะมาเป็นพี่สะใภ้ผม เขาจะแต่งงานกับพี่งั้นเหรอ!!??”

คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวเขามาตั้งแต่ก่อนขึ้นมาบนห้องทำงานนี้  มันเกิดขึ้นทันทีที่ได้ยินผู้หญิงคนนั้นพูด

“เขาเป็นลูกสาวท่านรัฐมนตรี”  พี่ชายตอบเสียงเบา  ท่าทางหนักใจ

“พีท ใจเย็นก่อน ฟังพี่อธิบายก่อน”

แต่พีทเย็นไม่ไหวแล้ว  ใจเขาร้อนราวกับมีใครกำลังสุมไฟอยู่ภายใน

“ทำไมพี่ไม่เคยบอกผม  พี่รู้จักเขาตั้งแต่เมื่อไร  พี่ไปตกลงกับเขาเมื่อไรแล้วเรื่องของเราล่ะ...”  พีทปาดน้ำตาอีก  “พี่ตั้งใจจะบอกผมตอนไหน  ถ้าผมไม่เจอกับตัวเองพี่ก็คงไม่บอกผมใช่ไหม!!”

“พีท  พี่เห็นว่ามันไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไร!!! ไม่มีอะไรงั้นเหรอ  ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าจะแต่งงานกับพี่  ยังบอกว่าไม่มีอะไรงั้นเหรอ!”  พีทตะคอกใส่พี่ชาย   

“พีท พี่ไม่ได้จะแต่งกับเขา..” พี่ชายยังคงพยายามอธิบายอย่างใจเย็น

“ไม่งั้นเหรอ ไม่ได้จะแต่ง  แล้วที่พี่ไปกินข้าวกับท่านรัฐมนตรีเป็นนานสองนานนั่น  ไม่ได้ไปตกลงอะไรกันเหรอ  แล้วลูกสาวรัฐมนตรีที่เราเจอที่สวนกุหลาบเมื่อกี้เป็นอะไรกับพี่ล่ะ แล้วจดหมายเมื่อกี้อีก ผมนึกว่าเขาเป็น ‘แฟน’ พี่ด้วยซ้ำ!” 

พีทกระชากเสียงถามอีก  ใบหน้าเรียวมีแต่ความโกรธและความไม่เข้าใจ  เขาแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว  ผู้หญิงสวยเฉียบคนนั้นเดินตรงมาที่ซุ้มกุหลาบในสวนที่พวกเขานั่งจิบกาแฟกันอยู่  ทรุดตัวนั่งข้างพี่ฮั่นอย่างถือสนิท  ยิ้มโปรยเสน่ห์ทักทายพี่ฮั่นของเขายังไม่ทำให้เขาโกรธเท่ากับคำพูดต่อมาของเธอ  เขายังจำหน้าตาและคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเขาได้ดีทุกคำ  มันไหลวนในหัวเขาไปมาซ้ำ ๆ

เธอแนะนำตัวว่าชื่อโรซาลีน  หญิงสาวแต่งตัวเปรี้ยวสะบัดคนนั้นบอกว่ากำลังจะมาเป็นพี่สะใภ้เขา  เขาได้แต่นิ่งงันไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น  หันไปมองหน้าพี่ฮั่นทันทีอย่างต้องการคำอธิบาย  พี่ฮั่นทำหน้ากระอักกระอ่วนแต่กลับไม่มีคำปฏิเสธ!

เขาโกรธ  กระแสความโกรธแล่นขึ้นจนจุกอก  พยายามอย่างมากที่จะควบคุมตัวเองให้เป็นปกติจนกระทั่ง ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ขอตัวกลับ  ทนเก็บอาการจนกระทั่งจวนจะถึงห้องทำงาน  แต่ความอดทนก็สิ้นสุดลงเพราะโรซาลีนคนสวยยังฝากจดหมายไว้ก่อนที่จะลงไปเจอพวกเขาที่สวนโดยบังเอิญ  แล้วพี่ฮั่นก็ยังรับจดหมายนั่นมา!

มากเกิน  มากเกินไป 

“พีท คุณโรซาลีนแค่เข้าใจผิด พี่ไม่ได้ตกลงอะไรกับท่านรัฐมนตรีเลย ถามพ่อก็ได้  วันนั้นพ่อกับแม่ก็อยู่ด้วย พ่อจะยอมได้ยังไงในเมื่อพ่อก็รู้ว่าพี่รักพีท พี่สัญญากับพ่อแล้วว่าจะดูแลพีท  พี่จะผิดคำพูดได้ยังไง”

“เข้าใจผิดงั้นเหรอ   แล้วพี่ไปทำอะไรให้เขาเข้าใจผิดรึเปล่าล่ะ  ทำไมเขาถึงได้เข้าใจผิดอะไรขนาดนั้น”  พีทกระชากเสียงถามอีก  ยังไม่คลายความโกรธ

“เรื่องนี้พี่ก็ไม่รู้  แต่พี่ยืนยันได้ว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากปฏิเสธท่านรัฐมนตรี  พี่บอกท่านไปแล้วว่าพี่มีคนที่พี่รักอยู่แล้ว” 

“พี่รักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากพีท  พีทได้ยินไหม” เขาทอดเสียงอ่อน 

พีทนิ่งไป หันไปมองทางอื่น  ไม่ยอมมองหน้าพี่ชาย

“พีท พี่เคยโกหกพีทรึเปล่า”   

มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา คนเป็นพี่มองหน้าบูดบึ้งของน้องชายแล้วถอนหายใจยาว  เรื่องนี้เขาก็หนักใจมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นร่วมงานกับท่านรัฐมนตรีเลยทีเดียวเพราะท่านรัฐมนตรีเอ่ยทักเขาตั้งแต่ครั้งแรกเลยว่าได้ยินชื่อเขามาจากลูกสาว

เขารู้จักโรซาลีนมาตั้งแต่ยังทำงานอยู่ที่อังกฤษ  เธอเป็นสาวสวยสุดเปรี้ยว  ฐานะลูกสาวรัฐมนตรีทำให้เธอใช้ชีวิตฟู่ฟ่า เอาแต่เที่ยวและปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงกลุ่มใหญ่  เป็นสาวสังคมในมหาวิทยาลัยที่ใครก็รู้จักแต่ยังไม่เด่นเท่าเฌอเบลล์

โรซาลีนเป็นคู่แข่งกับเฌอเบลล์มาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย  เฌอเบลล์เคยเล่าให้ฟังว่าทั้งคู่ไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็นและกลายเป็นคู่แข่งกันในทุกด้านตั้งแต่เรื่องเรียน  แฟชั่น  เครื่องแต่งกาย  การเข้าสังคม  แข่งกันแม้กระทั่งคู่ควงที่ทั้งคู่มักควงมาอวดกันเป็นประจำ  ไม่เว้นแม้กระทั่งเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ทั้งสองคนแข่งกันเพื่อเอาชนะ

แต่ไม่เคยมีใครชนะใจเขาได้  เขาควงกับเฌอเบลล์เพราะคุณคริสนั้นรู้จักกับพ่อของเธอและพวกเขาก็พูดคุยกันถูกคอ  มีความคิดที่คล้ายกัน  เฌอเบลล์บอกกับเขาตามตรงว่าต้องการเอาชนะโรซาลีน พวกเขาตกลงคบกันชั่วคราวอย่างตรงไปตรงมา  แม้ว่าช่วงหลังเฌอเบลล์จะทำท่ามีเยื่อใยกับเขาอยู่บ้างแต่คนอย่างเฌอเบลล์พูดคำไหนคำนั้น  เธอไม่เคยผิดคำพูด 

ส่วนโรซาลีน เขาจดจำเธอได้เพียงแค่หน้าตาและรู้แค่ว่าเธอเป็นลูกสาวรัฐมนตรี  นอกจากนั้นแล้วเขาไม่เคยสนใจ  แต่ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอกันอีก 

เขาไม่บอกน้องเพราะเรื่องพวกนี้ไม่อยู่ในหัวเขามาตั้งแต่แรก  คนที่เขาให้ความสนใจตลอดเวลามีแค่คนตรงหน้านี้เท่านั้น

ฮั่นเอื้อมมือไปดึงแขนน้องชายเข้ามาใกล้  พีทขืนตัวไว้แต่เขาก็ออกแรงดึงตัวน้องชายเข้ามาโอบไว้จนชิด  ใช้นิ้วโป้งไล้ไปบนแก้มเพื่อเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบาพร้อมกับเรียก

“น้องพีท”

พีทยังเงียบไม่ตอบอะไรแต่ความกราดเกรี้ยวเมื่อครู่ลดลง

“รู้ไหมว่าพี่ชอบที่พีทเป็นแบบนี้  พี่ชอบที่พีทหวงพี่  มันทำให้พี่รู้ว่าพีทรักพี่มากแค่ไหน ใช่รึเปล่า พีทรักพี่ใช่ไหม”

“ไม่”  เสียงดื้อดึงของน้องชายตอบทันควัน 

“หืม?” 

เขาไล้นิ้วไปบนแก้ม  เลื่อนไปช้า ๆ ตามคางเรียว  ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกแทบชนกัน  พีทถอยหนีแต่ก็ขยับไปไหนไม่ได้เพราะเขากอดน้องอยู่ 

น้องชายถอนหายใจ  รู้ดีว่าโกหกตัวเองไม่ได้

“ไม่เคยไม่รัก  ผมรักพี่จนจะบ้าอยู่แล้ว  แต่ตอนนี้ผมเสียใจผมไม่ยอมให้พี่รักคนอื่น...”

เสียงเงียบไปเมื่อเขายื่นหน้าไปแตะริมฝีปากน้องไว้ด้วยริมฝีปากนุ่มของตนเองเพื่อหยุดคำพูดถัดไป  จากนั้นจึงถอนออก  เขายิ้มแล้วเอ่ย

“ไม่เอา  น้องพีท  พี่ไม่เคยรักคนอื่น...”   

“รู้ไหมว่าพี่รักใคร?”   เขาหยุดแล้วมองตากลมที่แสนดื้นรั้นคู่นั้นก่อนที่จะพูดต่อ

“พี่รักคนที่ยืนทำหน้างออยู่ตรงนี้ต่างหาก  คนที่พี่รักน่ะเป็นคุณชายจอมเหวี่ยงแล้วก็ขี้โมโหขี้โวยวายที่สุดเลย...” 

เขาดึงมือทั้งสองข้างของพีทให้โอบไปรอบเอวของตัวเองเพื่อกอดเขาไว้บ้าง

“พี่รักคนที่โตแล้วแต่ยังกลัวผีอยู่  พี่รักเด็กดื้อ เอาแต่ใจ โกรธไม่เลิกแต่ยิงปืนแม่นชะมัด  แล้วก็รักพี่ชายที่สุดเลย ใช่ไหม พีทรักพี่ฮั่นใช่รึเปล่า บอกพี่อีกทีได้ไหม น้องพีท” 

เสียงอ่อนเอ่ยถามมาพร้อมกับยิ้ม ดวงตาส่งความหมาย

พีทมองสบตาเขา  เขาเห็นใบหน้าตัวเองอยู่ในดวงตาของน้อง

“พีท....”  เสียงน้องชายคล้ายกำลังลังเลก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความมั่นใจ
 
“พีทรักพี่ฮั่น  พี่ฮั่นของพีท..”  พีทว่าแล้วกลับไปซุกหน้าที่ไหล่พี่ชายอีกครั้ง เบียดตัวเข้าไปจนชิด  ถ้าแทรกตัวเข้าไปได้พีทคงจะทำไปแล้ว   

เสียงพึมพำตอบรับและท่าทีอ้อนนั้นทำให้เขายิ้มกว้าง  เวลาแบบนี้คือเวลาที่น้องต้องการความรัก  เขากอดน้องไว้  ก้มไปกระซิบที่ข้างหูพูดประโยคเดิมที่เคยพูดอยู่ทุกคืนอีกครั้ง  น้องชายพยักหน้ารับรู้กับไหล่เขายิ่งทำให้เขายิ้มมากขึ้น 

เขาพิงหลังตัวเองกับกำแพงด้านหลัง โอบน้องชายไว้พลางลูบหลังไปมา ปล่อยให้พีทซบอยู่นานเพื่อปลดปล่อยความโกรธให้ไหลออกไป เพื่อให้จิตใจคลายความร้อนรุ่มลง 

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะก่อนที่พีทจะเอ่ย

“พี่ฮั่น” 

“ครับ”

“พีทขอโทษที่โมโห”  เสียงอู้อี้ของน้องพูดอย่างเคอะเขิน

“พีทก็รู้ว่าพี่ไม่เคยโกรธพีท ไม่เป็นไรนี่  พี่ยอมให้พีทไถ่โทษนะ”

เขาพูดแผ่วเบาแฝงความนัยที่รู้กันสองคน  พีทเบียดร่างเข้ามาหาอีกคล้ายจะตอบรับคำเสนอของเขา น้องชายกดจูบที่ซอกคอเขาคล้ายดังคำสัญญาก่อนจะกลับมาซบที่ไหล่  สัมผัสนุ่มละมุนนั้นทำให้เกิดกระแสอุ่นวิ่งวนไปทั่วร่าง  พีทไม่รู้เลยว่ากำลังทำให้เขา ‘ร้อน’ ขึ้นมา

“พี่จะไม่แต่งงานกับเขาจริง ๆ ใช่ไหม”  พีทถามย้ำอย่างต้องการความมั่นใจ

“จริงสิ” เขายืนยันหนักแน่น  พยายามข่มความรู้สึกรุ่มร้อนของตนลงไปและตั้งสติกลับมาที่บทสนทนา 

‘ตอนนี้ยังไม่ได้  รอให้กลับบ้านก่อนเถอะ’

“แล้วทำไมเขาถึงบอกผมแบบนั้นล่ะ  ถ้าพี่ไม่ไปตกลงกับเขาแล้วเขาจะพูดแบบนั้นได้ยังไง”

เสียงถอนหายใจของเขาทำให้คนที่ซบอยู่เงยหน้าขึ้นมอง 

“พี่ปฏิเสธท่านรัฐมนตรีไปแล้ว พี่บอกท่านแล้วว่าพี่มีคนที่พี่รัก คงไม่สามารถไปรักลูกสาวท่านได้อีก พี่ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านคิดอะไรอยู่ ไม่เข้าใจว่าทำไมโรซาลีนถึงยังเข้าใจแบบนั้น”

“แล้วพ่อว่าไงล่ะ พ่อก็รู้เรื่องของเรานี่นา”

“พ่อกับแม่ไม่ว่าอะไร  พ่อกับแม่เข้าใจว่าเรื่องคงจบแค่นี้  แต่หลังจากวันนั้นพี่ยังไม่ได้คุยกับพ่อเหมือนกัน  ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังรึเปล่า”

เรื่องการแต่งงานอาจจะแค่การเชื่อมความสัมพันธ์  เพื่อที่  ‘อะไร ๆ’ จะได้ง่ายขึ้นมากกว่า  เขาคิดว่าการแต่งงานนี้มันแค่เรื่องบังหน้าเท่านั้นเองโดยมีผลประโยชน์มหาศาลเป็นวัตถุประสงค์หลัก  เพราะตอนนี้เขากับคุณเจมส์  พ่อของเกรซกำลังกว้านซื้อที่ดินโซน A และ B  ซึ่งเมื่อสิบห้าปีที่แล้วเป็นแหล่งธุรกิจเสื่อมโทรมแต่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นแหล่งที่ดินที่มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นเพราะมีข่าววงในว่ารัฐบาลวางแผนจะขยายเขตเมืองและเขตเศรษฐกิจไปยังบริเวณเหล่านั้น  ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการตกลงลงทุนจากการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจคราวที่แล้ว 

คนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดและเป็นผู้มีอำนาจในการอนุมัติโปรเจ็กต์ยักษ์ใหญ่ก็ไม่ใช่ใครอื่น  ท่านรัฐมนตรีคนนี้แหละ

ท่านอาจจะเล็งเห็นแล้วว่ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเขาและคุณเจมส์จะได้รับผลประโยชน์สูงสุด และในเมื่อท่านมีอำนาจในการเซ็นอนุมัติ ทำไมท่านจะนิ่งเฉยรอให้พวกเขาได้ประโยชน์  ท่านก็คงอยากได้อะไรตอบแทนบ้าง 

แต่เขาคาดไม่ถึงว่าสิ่งตอบแทนที่ท่านอยากได้นั้นจะรวมถึงการพ่วงเขาไปเป็นลูกเขยด้วย

บุคคลผู้เป็นใหญ่ย่อมมองการณ์ไกลเสมอ  ท่านรัฐมนตรีคงมองมานานแล้ว  เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงเมตตาเขามาก  เพราะนอกจากเขาจะสร้างผลประโยชน์แก่ท่านได้มหาศาลแล้ว  การเกี่ยวดองเป็นญาติในฐานะพ่อตาก็มีผลดีอย่างมากต่อชื่อเสียงและความมั่นคงทางการเงินและตำแหน่งของท่าน  ในเมื่อพ่อและพรรคการเมืองที่พ่อเป็นสมาชิกกำลังก้าวหน้าไปได้ดีในแวดวงการเมือง

โรซาลีนต้องมีส่วนในเรื่องนี้ด้วยแน่  บางทีเธออาจจะอยากเอาชนะเฌอเบลล์อีกครั้ง  เพราะตั้งแต่เฌอเบลล์มาดูงานที่นี่ก็มีข่าวซุบซิบในวงสังคมไม่เว้นแต่ละวันเรื่องที่เขาเอา ‘ว่าที่เจ้าสาว’  มาซุกไว้ที่โรงแรม

“เบื้องหลังอะไรพี่ฮั่น”

พีทถามมาอีกทำให้ความคิดเขาหยุดชะงัก  ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักสองเดือนเขาคงดึงพีทไปนั่งคุยกันที่โต๊ะทำงานอย่างละเอียด  พวกเขาคงนั่งถกกันเรื่องการลงทุน ความเสี่ยง อัตราการเติบโต อะไรต่อมิอะไรอีกยืดยาว แต่ตอนนี้หลังจากเขาอนุญาตให้พีททำตามใจตัวเองแล้ว เขาก็ไม่อยากเอาเรื่องปวดหัวพวกนี้ไปใส่ให้น้องคิดอะไรอีกจึงตอบเลี่ยง ๆ ไป

“พี่ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน พีทคิดว่านักการเมืองทำอะไรจะไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องด้วยงั้นเหรอ”

“ไม่ต้องห่วงนะ  พี่จะรีบแก้ไขอะไรให้เร็วที่สุด  พีทเชื่อใจพี่ไช่ไหม” 

ถามแล้วก็ยกมือข้างหนึ่งลูบไปตามลำคอน้อง  สอดมือไปท้ายทอย  นวดเบา ๆ ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อีกครั้ง

“หืม?”  ครางในลำคอ 

“ครับ  พีทเชื่อใจพี่”  น้องชายตอบแล้วยิ้มให้หลังจากคลายความกังวลทุกอย่างลง

เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อย  เคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อีกนิดจนริมฝีปากแทบจะสัมผัสกันแต่เขากลับหยุดไว้ 

เมื่อครู่นี้น้องระดมจูบเขาด้วยความโกรธ เอาแต่ใจ ตอนนี้เขากำลังรอให้น้องแก้ตัว 

พีทนิ่งไปนิดก่อนจะเข้าใจ  เอียงหน้าเล็กน้อยก่อนจะแตะริมฝีปากลงแผ่วเบา  น้องเป็นฝ่ายจูบเขาอีกครั้งแต่คราวนี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

เขาอิงตัวกับกำแพงด้านหลัง  ปล่อยหัวใจให้ล่องลอยไปกับสัมผัสนุ่มละมุน   



--------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 59-60 หน้า 11 อัพเดต 19/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 19-06-2015 19:55:27
 :mc4: มาแล้ว ๆ  :pig4: :pig4:  จ้า
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 59-60 หน้า 11 อัพเดต 19/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 20-06-2015 13:21:29
พีทหึงน่ากลัวววว

ไม่ต้องกลัวนะพีท พี่ฮั่นรักใครไม่ได้อีกแล้วหล่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 59-60 หน้า 11 อัพเดต 19/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 20-06-2015 21:07:16
คิดมากไปป่าวพีท พ่อแม่ก็รู้แล้วนี่นา ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 59-60 หน้า 11 อัพเดต 19/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 22-06-2015 08:49:43
มีเรื่องเครียดเข้ามาอีกแล้ว
เฮ้อออออ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 59-60 หน้า 11 อัพเดต 19/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 24-06-2015 21:22:27
61. เรื่องของคู่หมั้น


เกรซเดินคิ้วขมวดเข้ามาทางประตูหลังร้าน  ช่วงสองสามวันนี้เธอรู้สึกว่าที่นี่แปลกไปมาก  ผู้คนก็มาเที่ยวกันตามปกติแต่เธอกลับรู้สึกว่ามันแปลก นักเที่ยวกลางคืนที่เดินไปมาบริเวณนี้ไม่ใช่วัยรุ่นอย่างเคย กลับเป็นกลุ่มวัยกลางคนท่าทางนักเลงเดินไปมาบริเวณด้านหน้าและรอบร้าน  บางครั้งบางคราวเธอก็เห็นพวกเขาจ้องมองมา  ทำให้เธอขนลุก

เมื่อเข้ามาภายในร้านแล้วเกรซจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก  รู้สึกปลอดภัยขึ้น  ร่างบอบบางเดินตรงไปบันไดด้านหลังเพื่อขึ้นไปที่ห้องทำงานชั้นบน

ตั้งแต่เธอมาซื้อกิจการที่นี่ไว้เมื่อปีก่อน  ผู้คนก็แห่กันมาเที่ยวที่นี่มากขึ้นจนทำให้เกิดร้านอาหารกึ่งผับและสถานบันเทิงหลายรูปแบบผุดตามมาเป็นดอกเห็ด จนตอนนี้ที่นี่กลายเป็นแหล่งบันเทิงดังของเมืองไปแล้ว  ตึกแถวที่เคยร้างรอบบริเวณนี้ก็เปลี่ยนโฉมไป  จากที่เคยเงียบสงัดกลายเป็นสถานที่ที่มีแต่ผู้คนและเสียงดนตรีคึกคักตลอดทั้งคืน
     
โชคดีที่เธอใช้เงินส่วนตัวซื้อที่ดินบริเวณนี้ไว้ทั้งหมด และปล่อยให้ร้านค้าที่นี่เช่าผ่านบริษัทส่วนตัวที่แอบจดทะเบียนเงียบ ๆ แม้แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยรู้  ทำให้ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องการถูกบอกเลิกสัญญาเช่า  ซึ่งขณะนี้กำลังมีข่าวลือหนาหูว่าที่ดินแถบนี้กำลังถูกกว้านซื้อไปจากนายทุน 

‘หวังว่าคงไม่ใช่บริษัทของพ่อหรอกนะ’

คุณหนูเกรซ  ลูกสาวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศคิดหนักอยู่ในใจ  เพราะเธอเป็นผู้หญิงพ่อจึงไม่เคยเล่าเรื่องงานของพ่อให้ฟังเลยสักครั้ง เพราะพ่อเห็นว่าหน้าที่หัวหน้าครอบครัวเป็นเรื่องของฝ่ายชาย  ส่วนผู้หญิงก็แค่ทำหน้าที่แม่บ้านและดูแลลูกเหมือนที่แม่ของเธอปฏิบัติ แต่เธอไม่คิดเช่นนั้น  เธอชอบงานบริหารและอยากดูแลธุรกิจของพ่อด้วยตัวเอง  แต่พ่อไม่เคยเปิดโอกาส 

“คุณเกรซ”

เสียงเรียกด้านหลังทำให้เกรซชะงักเท้าที่เพิ่งเดินขึ้นบันไดไปได้สองสามขั้น  หันกลับมา

“เอ่อ ชิน สวัสดีค่ะ”

สาวน้อยหันไปทักทายนักร้องหนุ่มที่หยุดยืนอยู่ด้านล่าง  ใบหน้าคมของเขาที่เงยขึ้นมองดูเธอทำให้เกรซต้องรีบหลบตา เพราะตั้งแต่เขามาคุยกับเธอวันนั้นแล้ว  ชินก็ไม่เคยปกปิดสายตาเวลามองเธออีกต่อไป ดวงตาเขาแสดงความรู้สึกชัดเจน
 
“สวัสดีครับ  ผมแค่อยากมาทักทายคุณก่อน  แล้วอยากบอกว่าวันนี้ช่วยฟังเพลงแรกของผมด้วยนะครับ” 

ชินพูดแล้วก็ยิ้มให้ ใช้ดวงตาคมของเขาจ้องมาอีกจนทำให้เกรซเริ่มทำตัวไม่ถูก

“ผมมาบอกเท่านี้  ขอตัวนะครับ”




เพลงนั้นเป็นเพลงรัก  มีความหมายถึงการแอบรักผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเจ้าของแล้ว  หากรักที่ชายหนุ่มมีนั้นมากเกินจะตัดใจได้  เขาจึงตัดสินใจที่จะรอ  รอจนกว่าเธอจะหันมา

เกรซยืนมองนิ่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน  รู้สึกสับสน  ทั้งรู้สึกผิดและเสียใจที่ทำให้เขาเจ็บปวด



หลังวันคริสต์มาส เธอมาที่ร้านด้วยจิตใจที่หนักอึ้งไม่สดใสเหมือนเคย 

“คุณเกรซ คุณมีปัญหาอะไรรึเปล่า ผมเห็นคุณดูเครียด ไม่ร่าเริงเลย”

“เอ่อ  ไม่  ไม่มีอะไรค่ะ”

“คุณมีปัญหากับ ‘เขา’ ใช่ไหม”  ชินกลับถามตรงประเด็น

เกรซถอนหายใจอย่างเคร่งเครียด ชินคงเดาได้ไม่ยาก ในเมื่อเขาเคยเข้ามาขวางระหว่างที่เธอกำลังมีปัญหากับคู่หมั้นของตัวเอง
ตั้งแต่นายแคนเดินออกจากชีวิตเธอในวันคริสต์มาส เธอก็คิดมากจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ได้แต่ทนเก็บความอึดอัดของตนเองไว้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา และเมื่อชินเข้ามาถามด้วยความห่วงใย  ความจริงใจของเขาก็ทำลายทำนบที่กั้นความคิดความรู้สึกทั้งหมดของเธอไว้  เธอทนเก็บมันไม่ไหวอีกต่อไปจึงตัดสินใจจะเล่าให้ใครสักคนฟัง

เกรซเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง  เรื่องการปลอมตัวมาเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้าน  การหมั้นหมายโดยไม่คาดฝันและความไม่เข้าใจระหว่างเธอกับคู่หมั้น 

“คุณแค่โกรธที่ถูกหลอกใช่ไหม  คุณโกรธที่เขาทำเหมือนคุณเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่เขาจะทำยังไงก็ได้โดยที่ไม่ได้แคร์เลยว่าคุณจะรู้สึกยังไง ใช่ไหม  แต่คุณไม่ได้เกลียดเขา คุณแค่อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง  มีความรักเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ”

คำพูดของชินทำให้เธอแปลกใจ  เขาเข้าใจเธอมากขนาดนี้  ในขณะที่นายแคน...

ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะถามความเห็น ไม่เคยสักครั้งที่จะถามว่าเธอรู้สึกอย่างไร คิดแล้วเธอก็เจ็บปวด ทำไมต้องเสียใจแบบนี้นะ

“แล้วตอนนี้คุณจะคิดมากทำไมครับ ในเมื่อเขาเปิดโอกาสให้คุณแล้ว ก็แค่มีเขาเป็นคู่หมั้นไว้ให้พ่อกับแม่คุณสบายใจ  คุณน่าจะขอบคุณเขานะที่เขายอมขนาดนี้”

“ยกเว้นแต่ว่า....”

เกรซหันมองหน้าเขา  ชินดูเหมือนไม่อยากพูดเท่าไรนัก  แต่ในที่สุดเขาก็พูด

“ยกเว้นแต่คุณก็มีความรู้สึกดี ๆ กับเขา คุณถึงเสียใจที่เขาทำท่าถอยห่างไป”

“เอ่อ ไม่ ไม่ เกรซไม่ได้คิดอะไรกับเขา” เจ้าของร้านสาวสวยหลบตา น้ำเสียงตะกุกตะกักเมื่อตอบคำถาม

“ไม่ได้คิดอะไร  แล้วทำไมถึงได้เศร้าแบบนี้ล่ะครับ”

“ไม่นี่ เกรซยังปกติเหมือนเดิม เกรซเกลียดนายนั่น เกลียดที่เขาไม่เคยถามไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น  ดีแต่ทำตามใจตัวเอง”

ใบหน้าคมสวยเชิดขึ้นอย่างหยิ่งทระนง เธอไม่ใช่คนอ่อนแอ  เธอไม่มีวันเสียใจให้กับคนที่ไม่เคยสนใจความรู้สึกของเธอ

ท่าทีดื้อดึงและไม่ยอมรับความจริงของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ชินปวดใจอยู่ลึก ๆ แต่เขาฝืนยิ้ม  เกรซไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองปากไม่ตรงกับใจขนาดไหน  เขาเห็นแล้วก็แทบจะมั่นใจได้เลยว่าเขาหมดหวัง  แต่เขากลับมีความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา

“คุณไม่ได้รักเขา  ผมพูดถูกไหม”

“ชะ เอ่อ ใช่ค่ะ”

“งั้นคุณก็คงคบกับผมได้ใช่ไหม”

“เอ่อ อะไรนะ”

“ก็คู่หมั้นคุณเปิดโอกาสให้คุณมีอิสระที่จะคบกับใครก็ได้แล้วนี่  แล้วคุณก็ยืนยันแล้วว่าคุณไม่ได้รักเขา งั้นคุณก็คบกับใครก็ได้ คุณก็รู้แล้วว่าผมรู้สึกดี ๆ กับคุณ เราก็คบกันสิ”   ชินพูดมาหน้าตาเฉย 
 
แต่เกรซกลับรู้สึกว่าเขาเอาจริง

“ผมรู้ว่าคุณคงกำลังสับสน  ผมไม่ได้ต้องการให้คุณมารักผม ที่ผมต้องการคือผมไม่อยากให้คุณปฏิเสธที่จะรับความรักและความหวังดีของผม แค่รับมันไว้  อย่าโยนมันทิ้งก็พอ”

“วันหนึ่งถ้าคุณรู้จักตัวเองดีพอ คุณค่อยมาปฏิเสธผมก็ได้ ผมจะไม่รั้งคุณไว้  เพราะคุณมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะรักหรือไม่รักใคร ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกครับ ผมแค่อยากให้คุณเปิดโอกาสให้ผมได้ทำอะไรให้คุณบ้าง อยากรู้ไหมว่าทำไมคุณถึงไม่มีความสุข ทั้งที่คู่หมั้นคุณก็เปิดโอกาสให้ขนาดนี้แล้ว”

แววตาที่จริงใจของเขาทำให้เกรซปฏิเสธไม่ลง เขารู้อยู่แล้วว่าโอกาสของเขามีน้อยนิดแต่เขากลับอยากใช้โอกาสนั้นทำอะไรดี ๆ ให้เธอ  ดังนั้นชินจึงเข้ามาในชีวิตเธอเงียบ ๆ ไม่ทำให้เธอลำบากใจ  เขาแค่โทรหาเวลาเธอกลับบ้านยามดึก  พวกเขาเจอกันเฉพาะเวลามาที่ร้าน ชินจะนั่งลงที่โต๊ะประจำของเธอ พูดคุยเรื่องทั่วไป เรื่องเพลง ดนตรี  ดินฟ้าอากาศ  และบ่อยครั้งที่เขาทำให้เธอสนุกไปกับเรื่องธรรมดาที่เขาเล่าด้วยหน้าตาเรียบเฉยแต่มันกลับตลกจนเธออดที่จะหัวเราะดัง ๆ ไม่ได้  เธอแปลกใจที่เธอกับเขาเข้ากันได้ดีเหมือนที่เธอสนิทกับพีทพร้อมกับความเข้าใจบางอย่างที่ค่อยแจ่มชัดขึ้นทุกวันที่ผ่านไป

หลังจากที่คู่หมั้นให้โอกาสเธอ ช่วงเวลาไม่นานชินก็มาขอโอกาสนั้น  เกรซก็เลิกครุ่นคิดถึงสิ่งใดอีก กลับปล่อยจิตใจไป ปล่อยให้ชินเข้ามาสนิทสนมคุ้นเคยกับเธอมากขึ้นในขณะที่นายแคนกลับหายหน้าไปจากชีวิตเธอโดยสิ้นเชิง

แต่ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ปิดขังหัวใจตัวเองไว้ เธอกลับแปลกใจที่หัวใจกลับไม่โบยบินไปดังที่ใจคิด หัวใจเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม





เมื่อเพลงแรกจบลง  พี่ร็อกกี้ก็เปลี่ยนมาเล่นเพลงจังหวะเร็วขึ้น  เรียกให้บรรดานักเที่ยวลุกขึ้นยืนโยกตัวไปตามจังหวะสนุกสนานเกรซจึงเดินกลับขึ้นไปที่ห้องทำงาน

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ทำให้สาวน้อยที่กำลังนั่งทำงานอยู่เงยหน้ามองอย่างสงสัยก่อนจะเอ่ยอนุญาต  ผู้จัดการร้านเดินตรงเข้ามาสีหน้าไม่สู้ดีนัก 

“คุณเกรซครับ  มีคนมาขอพบครับ”

ร่างบอบบางทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้รับแขกในมุมสงบมุมหนึ่ง   ตรงหน้าเธอเป็นชายวัยประมาณเกือบสามสิบปีแต่งตัวราวกับนักธุรกิจ  เขามีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมชัดเจน  ตาชั้นเดียว จมูกโด่ง ริมฝีปากที่ยิ้มเหยียดตลอดเวลา จะว่าหน้าตาดีก็พอไหว  แต่เธอว่าถ้าคัดเลือกให้แสดงละครสักเรื่องหนึ่งแล้ว ผู้ชายคนนี้คงจะเหมาะกับบทตัวโกงมากที่สุด  เพราะนอกจากหน้าตาจะเหมาะกับบทแล้ว  ลูกน้องอีกสองคนที่สวมสูทแบบที่ขายทั่วไปตามตลาดนัดทับเสื้อเชิ้ตสีขาวยืนขนาบเก้าอี้รับแขกสองข้างก็ยิ่งส่งเสริมให้เขาดูคล้ายพวกนักเลงที่ไปไหนมาไหนกับลูกสมุนอีกด้วย

“สวัสดีครับคุณเกรซ ผม โจ เหลียงครับ”  ชายหนุ่มคนนั้นยื่นนามบัตรให้พลางแนะนำตัว

เกรซรับนามบัตรนั้นมาอ่าน 

“บริษัท เจแอนด์เค เรียลเอสเตต จำกัด” 

คิ้วเรียวขมวดอย่างแปลกใจ  บริษัทนี้ไม่เคยผ่านตาเธอเลย  เกรซรู้จักบริษัทอสังหาริมทรัพย์แทบทุกบริษัทเพราะเป็นเรื่องที่เธอเรียนอยู่และเกี่ยวข้องกับธุรกิจของครอบครัว  เธอศึกษาโครงสร้างและผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้อย่างละเอียด  ดังนั้นเธอจึงเอะใจทันทีที่เห็นชื่อบริษัทที่ไม่คุ้นเคยนี้  ก็ประเทศนี้มีบริษัทเรียลเอสเตตขนาดใหญ่แทบจะนับนิ้วได้และยักษ์ใหญ่ของวงการนี้ก็คือคุณเจมส์  พ่อของเธอเอง

“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเป็นคนซื้อที่ตรงนี้จากคุณเกาเมื่อปีที่แล้ว  คือผมอยากจะขอซื้อที่ตรงนี้ต่อ”  ชายหนุ่มตัวโกงคนนั้นพูดตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม

“คุณให้ราคามาเลย  เท่าไรผมก็จะซื้อ” เขาพูดมาอีก  น้ำเสียงกระหายราวกับหมาป่ากำลังจะขย้ำเนื้อสดชิ้นโต

แต่เกรซไม่ ‘หมู’ อย่างที่ใครมอง  เธอมองออกว่าคนแบบไหนที่เป็นคนจริงและแบบไหนที่เป็นประเภท ‘จับเสือมือเปล่า’ นายคนนี้ก็พวกนักเลงทั่วไปที่สักแต่ว่ามีเงินก็คิดว่าจะทำอะไรก็ได้  เธอมองออกว่าเขาก็แค่นายหน้าคนหนึ่งที่ทำทีเป็นคนซื้อแล้วก็นำไปขายต่อให้นายทุนอีกที
 
“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ  เกรซไม่มีความคิดจะขายที่ตรงนี้หรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ” 

เกรซก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน  เธอไม่มีความจำเป็นที่จะขายที่ตรงนี้และที่สำคัญเธอรู้ดีเหมือนกับที่ชายหนุ่มตรงหน้ารู้เช่นเดียวกันว่าที่ดินตรงนี้กำลังจะมีมูลค่าสูงขึ้น  ซึ่งเป็นผลจากโครงการขยายเขตเมืองและเขตเศรษฐกิจของรัฐบาล

“คุณอย่าเพิ่งรีบตอบผมสิครับ  ลองเก็บไปคิดก่อน  ผมจะมาเอาคำตอบอีกสามวันแล้วกัน  คิดดี ๆ นะคุณ”  โจ  เหลียงยังคงเซ้าซี้อีกโดยไม่สนใจว่าเธอจะบอกปัดไปแล้ว

“เกรซยืนยันคำเดิมค่ะ  ไม่ขายค่ะ” 

“ปัง!”  ชายหนุ่มคนนั้นตบโต๊ะเสียงดัง  เขาเปลี่ยนท่าทีรวดเร็ว

“ผมบอกให้เอาไปคิดดูก่อน ไม่ได้ยินรึไง!”

ท่าทางสุภาพเรียบร้อยในตอนแรกนั้นเปลี่ยนไปทันที  คนตรงหน้าเธอกำลังแสดงบทตัวโกงได้ดีเยี่ยมอย่างที่เธอได้ประเมินไว้แต่แรก  เพราะตอนนี้ใบหน้าเขาบูดบึ้ง  แสยะยิ้มน่าเกลียดใส่เธอทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธ  เกรซยังคงควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้ได้ดี  มองคนตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉยเป็นปกติ  แต่ผู้จัดการที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบกดโทรศัพท์เรียกบอดี้การ์ดอย่างรู้หน้าที่

“ดิฉันยืนยันคำเดิมค่ะ”

ชายหนุ่มสามคนเดินกร่างออกจากร้านหลังจากที่พยายามจะข่มขู่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ   แต่บอดี้การ์ดชายร่างใหญ่สองคนเดินเข้ามาประกบคุณหนูของเขาเสียก่อนทำให้พวกของโจ เหลียงต้องรีบขอตัวกลับ  แต่ยังคงโวยวายเสียงดัง  เดินเตะเก้าอี้  ล้มโต๊ะไปตลอดทางจนกระทั่งออกจากร้านไปโดยทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้เกรซหนักใจ

“ผมจะทำให้คุณยอมขายที่ให้ผมให้ได้  ไม่ว่าวิธีไหนก็ตาม  คอยดูก็แล้วกัน!!” 





หลังจากวันนั้นนายโจก็ทำตามทุกคำพูดของตัวเอง  ผับของเกรซถูกก่อกวนทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการส่งนักเลงมาข่มขู่เธอให้ยอมขายที่ดิน  ส่งนักเลงมาทำลายข้าวของและลูกค้าที่มาเที่ยวในร้านอย่างโจ่งแจ้ง  ขว้างระเบิดมือไปจนถึงขั้นลอบวางเพลิง  บริเวณร้านค้าแหล่งบันเทิงรอบนี้ก็พลอยโดนลูกหลงด้วย   แต่ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ถูกควบคุมไว้ได้ทันท่วงที  บอดี้การ์ดของเธอทำงานได้ดีเยี่ยม  ไม่มีลูกค้าคนไหนได้รับอันตรายจากการก่อกวนจากพวกนักเลง  ร้านของเธอและร้านข้างเคียงเสียหายไม่มากนักเนื่องจากการ์ดจำนวนมากเข้าจัดการพวกนักเลงได้ทันที  แม้กระทั่งนักเลงที่ส่งมาขู่เธอถึงร้านก็ถูกรวบตัวไว้ได้ก่อนที่จะเดินลงจากรถด้วยซ้ำ

เกรซได้แต่แปลกใจกับประสิทธิ์ภาพในการทำงานที่ดีเยี่ยมเช่นนี้  ถึงกับเอ่ยถามบอดี้การ์ดส่วนตัว   บอดี้การ์ดตอบแค่ว่าพวกเขาทำตามหน้าที่ตามปกติ


--------------------------------------------------------






“พ่อ  ช่วยฮั่นคิดหน่อยสิครับ  ฮั่นจะทำยังไงดี”   รองประธานกลุ่มธุรกิจหยางกรุ๊ปเอ่ยทันทีที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของผู้ว่าการรัฐ   

คริสเงยหน้าจากเอกสารตรงหน้าขึ้นมามอง ‘ลูกชายคนโต’ แล้วก็ยิ้ม  ราวกับว่าเรื่องเดือดร้อนของลูกชายเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเหมือนการทะเลาะกับเพื่อนสมัยประถมอะไรแบบนั้น  ร่างสูงใหญ่ของฮั่นทรุดลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน  ใบหน้าคมเคร่งเครียด   เขาถอนหายใจยาวราวกับหนักอกหนักใจเป็นอย่างมาก

“ทำไมล่ะ  พีทยังไม่หายโกรธเหรอ”   คริสเอ่ยถาม
       
ตั้งแต่ฮั่นเข้ามาคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมาที่สวนน้ำตก เขาก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธได้  จึงขอข้อแลกเปลี่ยนให้ลูกชายคนนี้เลิกเรียกเขาว่า ‘ลุงคริส’ เสียที 

“เปล่าครับ  พีทไม่โกรธแล้ว  แต่ดูเหมือนท่านรัฐมนตรีจะเอาจริง รวมทั้งลูกสาวท่านด้วย”

“โรซาลีนน่ะเหรอ”

คริสมองหน้าฮั่นอย่างหมั่นไส้เป็นกำลัง ก็ลูกคนนี้ ‘เอาเรื่อง’ น้อยซะที่ไหน  เรื่องผู้หญิงน่ะขึ้นชื่อพอ ๆ กับความเก่งกาจด้านธุรกิจทีเดียว  แล้วผู้หญิงแค่คนเดียวทำไมจะจัดการไม่ได้  เมื่อก่อนยังสลับสับรางกับสาว ๆ ทีละโขยง

โรสเล่าให้เขาฟังว่าเฌอเบลล์เคยนั่งวิเคราะห์ให้เธอฟังเป็นฉาก ๆ  ว่าเรื่องนี้ควรจะจบตั้งแต่แรกเพราะฮั่นก็ปฏิเสธท่านรัฐมนตรีอย่างตรงไปตรงมาแล้ว  แต่ที่ยังเป็นปัญหาอยู่ก็เพราะเจ้าตัวน่ะเป็นหนุ่มหล่อ  เสน่ห์เหลือร้าย  พ่วงด้วยดีกรีนักธุรกิจไฟแรง  เป็นรองประธานหยางกรุ๊ป  ว่าที่ประธานคนต่อไปและยังเป็นลูกชายของผู้ว่าการรัฐอีก  ผู้หญิงที่ไหนก็มีแต่วิ่งเข้าหาและยิ่งโรซาลีนเคย ‘คลั่งไคล้’ ลูกชายคนนี้มาตั้งแต่สมัยอยู่อังกฤษ โอกาสแบบนี้โรซาลีนคงไม่ปล่อยให้หลุดมือเป็นครั้งที่สองแน่

“ครับ” หน้างอของลูกชายทำให้คริสถึงกับส่ายหน้า  พีทคงไม่เคยเห็นพี่ชายตัวเองเป็นแบบนี้แน่  ฮั่นจะเป็นเด็กทันทีที่อยู่ตามลำพังกับเขาหรือโรส  ไม่ว่าจะผ่านวัยเด็กมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม

“พ่อลูกเขาไม่ได้คุยกันหรอกหรือ  เราก็ยืนยันแล้วนี่”

“แต่คราวนี้ท่านรัฐมนตรียื่นเงื่อนไขขอผลตอบแทน  ถ้าท่านเซ็นอนุมัติโครงการขยายเขตเศรษฐกิจ  ท่านจะขอสิบเปอร์เซ็นต์ของผลประกอบการโครงการพัฒนาพื้นที่ของเราเป็นเวลายี่สิบปีแลกกับการที่ไม่ต้องแต่งงานกับลูกสาวท่าน  แต่ถ้าผมยอมแต่งท่านต้องการกระดาษใบเดียวตอนอนุมัติโครงการ”

เรื่องที่ได้ยินทำให้คริสถึงกับวางปากกา  ถอนหายใจยาว  เอนร่างไปพิงพนักเก้าอี้ด้านหลัง  สีหน้าหนักใจขึ้นมาทันที

“เท่าไรล่ะ”  คริสถาม  กระดาษแผ่นนั้นคงต้องเขียนเลขศูนย์ต่อท้ายยาวแน่ ๆ

“สามร้อยล้านครับ”

คริสยังคงนิ่งเมื่อได้ยินตัวเลขที่ลูกชายบอก

“พอไหว” คริสว่า   

ตัวเลขเท่านี้พวกเขาจ่ายได้อยู่แล้วเพราะฮั่นสามารถทำให้ผลกำไรงอกเงยได้มากมายกว่านี้หลายร้อยเท่า  แต่ท่านรัฐมนตรีก็ฉลาดพอดู ท่านคงคิดรอบคอบแล้วว่าการได้เกี่ยวดองกับฮั่น  กับตระกูลหยางมีผลประโยชน์กว่านั้นมาก 
และถึงแม้ว่าฮั่นจะไม่ได้เป็นลูกชายเขา ไม่ได้ใช้สกุลหยาง ฮั่นก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร  เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโลจิสติกส์รายใหญ่ของประเทศ และต้นตระกูลเดิมของโรสนั้นก็เคยเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้มาแล้ว  คุณปู่ของโรสหรือตาทวดของฮั่นเคยเป็นนายกฯมาสองสมัย  คู่แข่งทางการเมืองกับคุณปู่ของเขาเอง!   

“นี่เรามีค่าตัวแพงนะนี่” คริสเปลี่ยนมายิ้มแซวลูกชาย ท่านรัฐมนตรีเรียกตั้งสิบเปอร์เซ็นต์ของผลประกอบการ  ไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ

“พ่อครับ!” ฮั่นหน้างอขึ้นไปอีกเมื่อถูกแซวเช่นนี้  เขาคิดมากมาหลายวันแล้วตั้งแต่ท่านรัฐมนตรีเรียกเขาเข้าพบเป็นครั้งที่สอง

“เรื่องนี้คุณเจมส์ไม่ยอมแน่ครับถ้าท่านรัฐมนตรีเกิดเปลี่ยนใจไม่อนุมัติ หรืออนุมัติขยายไปโซนอื่นแทน  คุณเจมส์รอโอกาสนี้มานานแล้วตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้ได้รับเลือกตั้ง  ที่โซน A น่ะพวกเราซื้อเก็บไว้เกือบจะห้าปีแล้วยังไม่ได้พัฒนาอะไรเลยทั้งที่อยู่ใกล้สนามบินขนาดนั้น  นี่ผมกลุ้มมาหลายวันแล้วนะครับ” 

ฮั่นรู้ดีทีเดียวว่าคุณเจมส์ไม่สนใจแน่ว่าเขาจะต้องแต่งงานกับใครบ้างเพื่ออำนวยผลประโยชน์มหาศาลให้  ก็ในเมื่อลูกสาวของตัวเองคุณเจมส์ยังตกลงให้หมั้นกับแคนโดยไม่สนใจความรู้สึกของเกรซแม้แต่นิด

“แล้วเราคิดยังไงล่ะ”

“ผมไม่แต่งแน่  ผมไม่สนไอ้ผลประโยชน์หลายพันล้านพวกนั้นหรอกครับ  ที่ตรงนั้นถ้าไม่มีการขยายเราเก็บไว้เฉย ๆ ก็ได้  ยังมีที่อีกตั้งหลายแห่งที่น่าสนใจ  โซนอื่นเราก็พอมีแต่อาจจะต้องแข่งกับบริษัทอื่นมากหน่อย  ผมกลัวว่าคุณเจมส์จะไม่ยอมเท่านั้นเอง”

คริสยิ้มอย่างรู้ดีอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ฮั่นต้องไม่ยอม  และรู้แน่ชัดว่าถ้าพีทรู้เรื่องนี้  พีทก็คงไม่ยอมเช่นกัน  ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายเอาเรื่องมากกว่ากันระหว่างพี่กับน้อง  และเงื่อนไขที่เกินรับได้นั่นอีก  พวกเขาไม่ได้จนตรอกถึงขั้นต้องทำขนาดนั้น

“เรื่องคุณเจมส์ไม่ต้องห่วง พ่อจะคุยเอง” คริสตอบ  มองหน้าลูกชายด้วยแววตาเอ็นดู
 
เท่านี้คนที่หน้าบูดอยู่ก็ค่อยยิ้มออก  เขายิ้มกว้างจนตาแทบปิด 

“มีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ฮั่นอยากให้พ่อคุยกับคุณเจมส์ด้วยครับ” 

ฮั่นวางแฟ้มบางที่ถือติดมือมาตั้งแต่แรกบนโต๊ะทำงานของคริส ผู้เป็นพ่อเปิดแฟ้มนั้นด้วยความสงสัย  กวาดสายตาดูเนื้อหาตรงหน้าแล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองลูกชายอย่างประหลาดใจ

“ความจริงผมรู้มานานแล้วแต่คิดว่าคุณเจมส์คงไม่เคยรู้เรื่องนี้  ผมหวังว่าพ่อคงจะช่วยได้บ้าง  ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลยนะครับ”
 
“นั่นสิ  คิดไม่ถึงเลย  ไม่เหมือนพีทนะ รายนั้นเขารักดนตรีเหมือนแม่เขา” 

คริสก็รู้เหมือนกับที่ฮั่นรู้  ว่าพีทชอบอะไร  แต่ที่ผ่านมาคริสก็ยังพยายามจะให้พีทเดินตามรอยเขาทั้งที่ลูกชายไม่ค่อยชอบเท่าไร  โชคดีที่มีฮั่นอีกคน

“ถ้าให้พีททำจริง ๆ น้องก็เก่งเหมือนกันครับ  ดูตอนฝึกงานก็รู้แล้ว”

เจ้าตัวพูดแล้วก็ยิ้มเมื่อนึกถึงใครคนนั้น  เมื่อมองสบตาคริสเขาก็ทำท่าเหมือนเขินก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาหา  ‘สองพ่อลูก’ ลุกขึ้นกอดกันอย่างรักใคร่ 

ฮั่นกอดพ่อคนที่สองด้วยความรู้สึกขอบคุณ  ทั้งรักและเทิดทูน

คริสลูบผมลูกชายไปมา ยิ้มกับตัวเอง เขาช่างโชคดีเหลือเกินที่มีครอบครัวอบอุ่นตามที่เขากับโรสเคยฝันร่วมกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น  ฮั่นเป็นทั้งลูกชายและเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานที่เขาไว้ใจ  เป็นคู่คิดด้านธุรกิจและคอยเป็นผู้ช่วยเขาตลอดมา  แม้กระทั่งรับหน้าที่ดูแลพีท  เขาคงไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้วเมื่อมีลูกชายคนนี้คอยดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง

เสียงเคาะประตูห้องแผ่วเบาราวกับเกรงใจหนักหนาจากด้านนอก ทำให้สองพ่อลูกคลายอ้อมกอด 

“ผมคงต้องไปแล้ว  งานพ่อคงยุ่ง  เจอกันที่บ้านครับ”



----------------------------------------------------



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 59-60 หน้า 11 อัพเดต 19/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 24-06-2015 21:34:55
(ต่อ)




“บึ้มมมม!!!!!!!!!!”




เสียงเหมือนระเบิดดังกึกก้องทำให้คนที่นั่งทำงานเงียบ ๆ สะดุ้งสุดตัว   ทันใดนั้นไฟก็ดับวูบลง  ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ  ชั่วไม่กี่วินาทีก็ตามมาด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมทันทีเมื่อในผับที่เต็มไปด้วยแสงสีวูบวาบชวนปวดหัวนั้นมืดลงกะทันหัน  ผู้คนกรีดร้องอย่างตกอกตกใจ  ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นตามมา 


“บึ้ม ๆๆ!!!!!!!!!!!!!!” 



เสียงระเบิดยังดังติดต่อกันมาอีกหลายนัดและดังมาจากหลายจุด แสงไฟแดงฉานจากจุดที่ระเบิดทำให้เห็นภาพผู้คนวิ่งหนีออกมาจากร้านรวงที่อยู่บริเวณนี้  หลังจากนั้นก็มีเพียงความมืดและเสียงตะโกนโหวกเหวกของคนนับร้อยนับพันที่วิ่งหนีกันอลม่าน 
 
ท่ามกลางความสับสน  ความตื่นตระหนกของฝูงชนที่วิ่งไปมา  ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้าไปทางประตูหลังร้านที่เปิดกว้างอยู่  ตรงไปที่บันไดขึ้นชั้นสองโดยอาศัยแสงสว่างอันน้อยนิดจากโทรศัพท์มือถือแต่เขากลับเคลื่อนที่ไปได้อย่างรวดเร็วราวกับชำนาญทาง  ประตูห้องทำงานที่เปิดอ้าทำให้เขาหวั่นใจเมื่อร่างสูงของเขาพรวดเข้าไปภายใน
 
“โธ่โว้ย!”

ทุบมือตัวเองไปบนกำแพงอย่างเจ็บใจ ห้องนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่เขาคอยเฝ้าอยู่  สภาพห้องเหมือนมีการต่อสู้กันภายใน  เก้าอี้ล้มระเนระนาด  เอกสารในห้องนั้นกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น  กระเป๋าถือของผู้หญิงตกอยู่ 
 
แต่คุณหนูเกรซหายไป!!!





“แคน!”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียกแล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก  พี่ฮั่นกับพีทเดินตรงมาด้วยความรวดเร็วพร้อมกับชายฉกรรจ์อีกกลุ่มใหญ่  ทุกคนอยู่ในชุดรัดกุมเตรียมพร้อม ไฟฉาย อุปกรณ์สื่อสารและอาวุธครบมือ   

แคนเห็นพีทก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ  ช่วงเวลาเช่นนี้มันอันตรายมากขนาดไหน  พี่ฮั่นย่อมรู้ดีอยู่แล้วแต่ทำไมถึงพาพีทมาด้วย

“พี่พาพีทมาด้วยไม่กลัวหรือ  ผมว่ามันอันตรายนะ” เขาแอบกระซิบกับพี่ฮั่นทันทีเพราะความเป็นห่วงหนุ่มรุ่นน้อง

“ไม่เป็นไรแคน พีทไม่ใช่เด็กแล้ว เขาดูแลตัวเองได้”

ฮั่นพูดเพียงเท่านั้น  ไม่มีเวลาอธิบายต่อว่าพีทนั้นมีฝีมือพอตัว  คนที่พีทไม่เคยเอาชนะได้มีแค่เขาเท่านั้นแล้วฝีมือยิงปืนก็ไม่เป็นรองใคร

คำยืนยันของพี่ฮั่นทำให้แคนคลายความกังวล  เขาไม่ทันคิดอะไรต่อ  พีทก็ตั้งข้อสังเกต

“พี่เช็คที่บ้านเกรซรึยังครับ  บ้านเพื่อนเกรซล่ะ”

“พี่โทรถามเพื่อนทุกคนแล้ว  เกรซไม่ได้อยู่กับใครเลย”  แคนตอบพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือของเกรซที่ตกอยู่ในห้องทำงานให้ดู 

“แล้วแจ้งความรึยังครับ  พ่อแม่ของเกรซรู้เรื่องรึยังครับ” พีทถามอีก  เริ่มเกิดความกังวลมากขึ้น

“เรื่องนี้คงบอกตำรวจไม่ได้เกรซจะเสียหาย  แล้วเขตนี้พีทก็รู้ว่าพวกเจ้าหน้าที่ไม่กล้ามา  ไม่งั้นนายจะโดนขับรถไล่ล่าเหมือนคราวที่แล้วเหรอ  ตอนนี้พ่อแม่ของเกรซไปทัวร์ยุโรปกับแม่พี่  คงจะบอกใครไม่ได้”

พีทเงียบไปกับเหตุผลของพี่แคน   เขาหันไปมองพี่ฮั่นที่ยืนคิดอะไรเงียบ ๆ

“ใครเห็นเกรซเป็นคนสุดท้าย”  พี่ใหญ่สุดในกลุ่มถาม

“พี่ร็อกกี้ครับ  ก่อนจะขึ้นเวทีเกรซมาทักทายพี่ร็อกกี้ก่อนเดินขึ้นไปข้างบนแล้วอยู่บนนั้นจนกระทั่งเกิดระเบิด  ผมถามการ์ดทุกคนแล้ว  เขาบอกว่าไม่เห็นใครท่าทางพิรุธที่จะพาเกรซออกไปจากแถบนี้เลย  ผมเป็นคนแรกที่ขึ้นไปที่ห้องทำงานของเกรซตอนที่ระเบิดลูกแรกดัง  แต่ผมไปไม่ทัน  พวกมันเร็วมากเหมือนวางแผนมาเป็นอย่างดี”

“เราจะทำยังไงดีพี่ฮั่น  ผมมืดไปหมดแล้ว  นี่คนของผมส่วนใหญ่ก็โดนลูกหลงไปด้วย  มันวางระเบิดหลายจุด  ตอนนี้การ์ดอีกส่วนหนึ่งต้องให้ไปลาดตระเวนรอบ ๆ แถวนี้  ผมถึงต้องขอให้พี่ช่วย  พี่เอาคนมาเท่าไร”

“หมดบริษัทเลย  นี่เรียกคนของไรอันมาด้วย  ไรอันกำลังจะตามมา นายไม่ต้องห่วง  ระดับลูกชายผู้บัญชาการตำรวจคงพอมีใครดี ๆ ติดมือมาด้วย”

“ผมว่าพวกมันอาจจะกบดานอยู่แถวนี้ก็ได้นะพี่แคน  พี่ให้ใครตรวจพวกตึกร้างรอบนี้รึยังครับ” 

พีทตั้งข้อสังเกตอีก  ถ้าเกรซไม่ได้ถูกนำตัวออกไปก็ต้องยังอยู่แถวนี้  เขาเคยเอารถหรูของตัวเองไปจอดในซอยแถวตึกร้างห่างไปเล็กน้อย  แถวนั้นเป็นอาคารพาณิชย์หลายชั้นที่ทิ้งร้าง  แล้วเขาก็เคยถูกดักทำร้ายเพราะความที่มันเปลี่ยว  ไม่มีทางที่ใครจะเดินผ่านแถวนั้นแน่   ถ้าใครคิดจะซ่อนตัวอยู่ในตึกร้างเหล่านั้นคงต้องใช้เวลาทั้งคืนกว่าจะค้นจนทั่ว 

“พี่กำลังคิดเหมือนกันพีท  แต่คนของเราไม่พอเลยดูได้แค่รอบนี้เท่านั้น  แล้วมันมืดมาก  พวกมันระเบิดหม้อแปลงทั้งหมดเลย  นี่กำลังติดต่อหารถปั่นไฟมา” 

ตอนนี้พวกเขาพูดกันใต้แสงสปอต์ไลท์ที่หามาติดตั้งชั่วคราว  รอบนี้มืดสนิท
 
คำพูดของพีททำให้ฮั่นฉุกคิด  หันไปขอยืมไฟฉายจากการ์ดคนหนึ่งแล้วเดินตรงไปที่หลังร้านทำให้คนที่เหลือเดินตามไปด้วย  แสงไฟจากไฟฉายกำลังสูงหลายอันส่องไปทั่วบริเวณ  พวกเขาเดินอย่างระมัดระวังขึ้นไปชั้นบนพบสภาพห้องที่ระเนระนาดด้วยแฟ้มเอกสาร โต๊ะและเก้าอี้ล้มบนพื้นตามที่แคนบอก 

หลังจากตรวจดูทุกสิ่งอย่างละเอียดแล้วจึงเดินออกจากห้องนั้น  พี่ใหญ่สุดในกลุ่มเดินนำช้า ๆ  พลางสังเกตทุกสิ่งรอบกายราวกับจะลองคาดเดาสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ยอมให้สิ่งใดคลาดสายตาไปได้  พวกเขาลงบันไดไปชั้นล่างอีกครั้งพร้อมกับฉายไฟกราดไปทั่วพื้นที่โล่งก่อนถึงประตูทางออกหลังร้าน  ทันใดนั้นฮั่นก็หันกระบอกไฟฉายกลับเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง  สายตาทุกคู่หันมองตามแสงไฟ

รองเท้าส้นสูงข้างหนึ่งตกบนพื้น  แคนตรงไปเก็บขึ้นมารวดเร็ว  เขาพลิกดูยี่ห้อ 

“จูเซ็ปเป้ ซาน็อตติ (Giuseppe Zanotti)”

แคนคว้าโทรศัพท์มือถือมากดหาข้อมูลทันที  ไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นสบตาคนที่ยืนรอคอยอยู่  ความหวังจุดประกายในดวงตาสีนิลของเขา

“รองเท้านี่อาจจะเป็นของเกรซ  ยี่ห้อนี้ราคาเป็นหมื่น  คนแถวนี้คงไม่มีใครใส่แน่  พี่ฮั่น” 

แคนหันไปมองหน้าพี่ฮั่น  พวกเขาสบตากันสามคน  บางที....

แคนกำรองเท้าข้างนั้นไว้แน่น  เดินตามพี่ฮั่นออกไปทันทีในขณะที่พีทโทรตามการ์ดที่เหลือให้ตามพวกเขาไป  พวกเขากระจายตัวกันหาโดยรอบ ใช้เวลาเพียงไม่นาน  ในที่สุดแคนก็เจอ 

ตรงทางแยกหนึ่งซึ่งเป็นทางลัดทะลุไปยังโซนอาคารพาณิชย์  บริเวณที่พีทเคยถูกดักทำร้าย   

ที่ตกอยู่บนพื้นคือรองเท้าอีกข้าง  ยี่ห้อเดียวกัน! 

และไม่ไกลนั้นพีทจำได้ทันที  กำไลที่เกรซชอบใส่จนเต็มแขนเวลาที่เธอไม่ใช่ ‘คุณหนูเกรซ’ หล่นอยู่ 

พี่ฮั่นเดินเข้าไปในซอยนั้นทันทีพร้อมทั้งฉายไฟไปบนพื้นคอนกรีต พวกเขาเดินอย่างรวดเร็วแต่เก็บเสียงให้มากที่สุดไปอีกราวห้าสิบเมตร  และตรงสุดซอยที่เป็นทางออกสู่แถวยาวเหยียดของอาคารพาณิชย์ร้างราวสามสิบคูหา แสงสะท้อนวิบวับของอะไรบางอย่างบนพื้น 
 
กำไลแบบเดียวกัน!



---------------------------------------------------






“เซ็นซะ!” 

เสียงเหี้ยมตะคอกใส่  กระแทกปากกาบนโต๊ะอย่างแรง

“ไม่มีทาง!  ชั้นไม่มีวันยอมขายที่ให้คนอย่างนาย!  ไม่รู้รึไงว่ากำลังเล่นกับใคร  พ่อชั้นต้องเอาตำรวจทั้งกรมมาจับนายแน่  พวกแกไม่รอดหรอก” 

เกรซเอ่ยคำขู่นั้นอย่างเคียดแค้นที่พวกมันกล้าบุกเข้าไปจับตัวเธอมา แม้จะรู้ดีว่าพวกมันไม่สะทกสะท้านกับคำขู่ของเธอหรอก  แต่ก็ต้องพยายามพูดอะไรก็ได้เพื่อถ่วงเวลาให้ใครก็ได้มาช่วยเธอให้ทัน

มือหยาบหนาจับใบหน้าของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ บีบแน่นด้วยอารมณ์โกรธคุกรุ่นที่กล้ามาขู่คนอย่างโจ เหลียง  แรงบีบที่คางของเกรซเพิ่มมากขึ้นจนเธอต้องนิ่วหน้า 

“มึงจะเซ็นหรือไม่เซ็น!!!  ถ้ามึงเซ็นดี ๆ มึงจะได้เงินค่าที่ติดไม้ติดมือด้วย  แต่ถ้ามึงทำให้กูโมโหมากกว่านี้มึงจะไม่ได้อะไรเลย  แล้วมึงก็อาจจะไม่ได้กลับไปเชิดเป็นเจ้าของผับแต่มึงจะได้ไป....”

คำพูดนั้นขาดหายเมื่อคนพูดจงใจเก็บคำที่น่ากลัวนั้นไว้ก่อน  แต่ดวงตาชั้นเดียวที่จ้องเขม็งนั้นกลับอธิบายอะไรได้มากกว่าคำพูด  เกรซเห็นสายตานั้นแล้วก็ขนลุก  เมื่อคิดไปถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเอง ความหวาดกลัววูบไหวในดวงตากลมก่อนที่เธอจะสลัดความคิดน่ากลัวนั้นทิ้งไป  พยายามเข้มแข็ง  คิดหาทางเอาตัวรอด

โจ  เหลียงผลักมือตัวเองที่จับใบหน้าเล็กนั้นออก  แสยะยิ้มน่าเกลียดใส่หญิงสาว

“เซ็นซะ!”

เกรซยังไม่ยอมจับปากกาบนโต๊ะ  กลับจ้องไปที่ใบหน้าคนร้ายทีละคน  ประเมินสถานการณ์ในใจ

“ปัง!!”  วัตถุสีดำสนิทขัดจนเป็นมันวาวกระแทกบนโต๊ะอย่างแรงทำให้สาวน้อยสะดุ้งสุดตัว

“อย่าให้กูต้องเสียเวลาอีก...”

เกรซมองปืนที่อยู่บนโต๊ะด้วยดวงตาหวั่น

‘พวกมันจะกล้าทำอะไรเธอจริงหรือ ถ้าเธอไม่ยอมเซ็นพวกมันจะฆ่าเธอใช่ไหม  แต่ถ้าเธอตายแล้วพวกมันก็จะไม่ได้อะไรเลย’ คิดดังนั้นจึงสูดลมหายใจลึก
 
“นายทำแบบนี้ทำไม  ชั้นบอกแล้วว่าชั้นไม่ขาย จะทำยังไงชั้นก็ไม่ขายหรอก  นึกว่าฉลาดอยู่คนเดียวรึไง ใครขายให้นายก็โง่แล้ว คนกระจอกอย่างนายไม่มีทางมีเงินซื้อที่ตรงนี้ได้หรอก  อย่าสะเออะมาขอซื้อเลยจะดีกว่า  แล้วอย่าคิดว่าจะทำอะไรชั้นได้นะ บอดี้การ์ดของชั้นต้องตามหาชั้นเจอแน่  พวกแกต้องเข้าคุก  รับรองว่าพวกแกจะไม่ได้เห็นเดือน.....”

“มึง!!!!...”

เกรซยังยั่วโมโหนายนั่นได้ไม่เท่าไร  มือหยาบหนาของนายโจที่ยังถือปืนอยู่ก็ฟาดลงมาที่ใบหน้าสวยคมนั้นด้วยแรงโทสะ 

“ผวัะ!!!”

ใบหน้าเกรซสะบัดตามแรงที่ฟาดมาอย่างไม่ปรานี เธอล้มลงไปบนพื้น  แน่นิ่ง

“เฮ้ย  ไอ้ไท่  มึงไปดูสิ  ตายรึเปล่าวะ” 

ลูกน้องคนหนึ่งตรงไปเขย่าร่างบอบบางที่แน่นิ่งกับพื้น  ผมบางส่วนตกระใบหน้าเห็นเสี้ยวหน้าเพียงเล็กน้อย  แต่เกรซยังนิ่งอยู่
 
ไอ้ไท่เงยหน้าขึ้นบอกลูกพี่

“สงสัยสลบไปแล้วครับลูกพี่” 

“โธ่โว้ย!!  มันสลบแล้วจะเซ็นโอนที่ให้กูได้ยังไงวะ ไอ้เชี่ยเอ้ย!”  เท้าใหญ่ถีบโครมไปบนเก้าอี้ไม้จนล้มไปอีกทาง

“เวลาก็มีไม่มากด้วย  ถ้าเกิดมีใครเรียกตำรวจขึ้นมาเดี๋ยวลูกพี่มึงได้ตามมึงกลับบ้านเก่าแน่”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่เมื่อลูกน้องก็ไม่มีความคิดอะไรที่ดีเกินไปกว่าลูกพี่นัก

“เฮ้ยมึงทำยังไงให้มันตื่นสิวะ กูไม่มีเวลารอมันตื่นหรอกนะโว้ย พ่อมึงก็เหมือนกัน  เดี๋ยวมันแห่กันมาแล้วกูก็ซวยเท่านั้น”

“ผมว่าเราลองเอาน้ำมาราดดีกว่านะครับ”  ลูกน้องคนเดิมเสนอ

“แล้วมึงมีน้ำมั้ย  ไอ้โง่!”

“ผมจะลงไปดูที่รถแล้วกันครับ  ลูกพี่”

“ไอ้เชี่ย  รีบลงไปเร็ว ๆ เลยนะมึง  ก่อนที่กูจะเตะมึงสลบไปอีกคน”







ร่างผอมแห้งก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ที่รถตู้สีดำคันใหญ่ที่จอดซ่อนอยู่ในช่องว่างระหว่างอาคารที่พวกมันกบดานอยู่  ค้นหาขวดน้ำดื่มที่เคยกลิ้งไปมาในรถ  ร่างนั้นยืนนิ่งทันทีเมื่อมีวัตถุบางอย่างกดลงตรงกลางหลัง  พร้อมกับมือข้างหนึ่งเอื้อมมาปิดปากไว้แน่น

“ถ้ามึงไม่อยากตาย  อย่าส่งเสียง!”

ดวงตาชั้นเดียวเบิกโพลงเมื่อถูกบังคับให้หันมา  กลุ่มคนชุดดำจำนวนมากยืนกระจายตัวกันรอบตึกที่พวกมันกบดานอยู่  พรรคพวกบางส่วนที่เฝ้าประตูด้านนอกนอนไม่ได้สติบนพื้นกำลังถูกมัดรวมกันด้วยฝีมือกลุ่มคนชุดดำ
 
พวกมันมาตั้งแต่เมื่อไร?  แล้วมากันมากมายขนาดนี้แต่กลับเงียบกริบราวกับเงาที่เลื่อนไปบนพื้นถนนน  ร่างผอมแห้งนั้นเหลือบตามองขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของอาคารอย่างลืมตัว 

‘ซวยแล้วลูกพี่!’




----------------------------------------------------





เสียงเคาะประตูทำให้คนที่นั่งหงุดหงิดเพราะรอลูกน้องอยู่นานแล้วเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะสะบัดใบหน้าสี่เหลี่ยมนั้นเป็นเชิงบอกให้ลูกน้องอีกคนไปเปิดประตู  แต่เสียงคนข้างนอกที่เอ่ยสวนมาก่อนทำให้คนทั้งห้องชะงักนิ่ง

“พี่โจ  เปิดประตูหน่อยครับ”

คนสี่ห้าคนหันมามองหน้ากันดวงตาตื่น  รู้ทันทีว่ากำลังไม่ปลอดภัยเพราะ ‘พี่โจ’ คือรหัสบอกถึงอันตราย  ลูกพี่ที่ตั้งสติได้ก่อนรีบถลาเข้าไปกระชากร่างที่นอนไม่รู้สติบนพื้น  เขย่าตัวอย่างแรงแต่เกรซยังคงนิ่ง 

“มึง  ตื่นสิวะ”  เสียงพูดลอดไรฟันออกมา

เสียงเคาะประตูดังมาอีกเร่งให้มันตัดสินใจจิกผมเกรซกระชากขึ้นอย่างแรง  ทำให้คนที่แกล้งนอนสลบต้องร้องออกมาเพราะความเจ็บปวด 

“มึงลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้  ก่อนที่กูจะยิงมึงทิ้งซะ” 

เสียงกัดฟันพูดแผ่วเบาพร้อมกับกดกระบอกปืนเข้าที่ท้อง ออกแรงลากหญิงสาวบอบบางขึ้นจากพื้น  ล็อกคอเกรซจากด้านหลังใช้ปืนจี้เธอไว้  คนที่เหลือในห้องต่างถอยร่นไปยืนรวมกับลูกพี่ที่ใช้เกรซเป็นตัวประกัน 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีกพร้อมกับเสียงอาไท่เร่งพี่โจให้เปิดประตู  แต่ไม่มีใครเดินไปเปิดประตู  คนที่อยู่ในห้องต่างกระชับปืนในมือแน่นเตรียมพร้อมอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องโดยมีเกรซถูกล็อกคอเป็นตัวประกันยืนอยู่หน้าสุด

เสียงข้างนอกเงียบไป  ดูเหมือนคนข้างนอกก็เริ่มรู้เช่นกันว่าคนในห้องรู้ตัวกันแล้ว



“โครม!!!!”


บานประตูถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรง   พร้อมกับร่างผอมแห้งถูกผลักให้ถลาเข้ามาในห้อง

ไม่มีการรีรอใด ๆ ทั้งสิ้น  เสียงปืนดังสนั่นทำลายความเงียบในยามวิกาลทันที

“ปัง!!!! ๆๆๆๆๆ” 


พวกที่ยืนตั้งรับอยู่อีกฟากห้องรัวปืนไม่ลืมหูลืมตา 

“พวกมึงหยุด!  หยุดก่อน!  นั่นมันอาไท่”   

ลูกพี่โจที่ถือปืนจี้ตัวประกันไว้ร้องสั่งลูกน้องของตนเสียงหลงเมื่อสังเกตเห็นลูกน้องคนสนิทที่รับใช้รองมือรองเท้ามานานกำลังถูกปลิดชีพไปต่อหน้าต่อตาด้วยฝีมือพวกเดียวกันเอง   ร่างผอมแห้งนั้นส่ายสะบัดไปมาเมื่อลูกกระสุนเจาะร่างทีละหลายนัด เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นไปบนผนังห้อง ท่ามกลางแสงไฟแรงเทียนต่ำจากแบตเตอรี่อันเล็กและแสงวูบวาบจากปืนหลายกระบอกที่ระดมยิง   

เมื่อพวกมันหยุดยิง  ร่างผอมแห้งของลูกน้องผู้โชคร้ายก็ทรุดลงจมกองเลือด   

ทันทีที่เสียงปืนสิ้นสุดลง  คนจำนวนหนึ่งก็ถลันเข้ามาในห้องพร้อมกับถือปืนเล็งตรงมา  ชายหนุ่มทั้งกลุ่มหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างบอบบางของหญิงสาวที่พวกเขาตามหาถูกจับเป็นตัวประกัน

“ถ้ามึงอยากให้อีหนูนี่ตาย  มึงก็เข้ามา!”



-----------------------------------------



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 59-60 หน้า 11 อัพเดต 19/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 24-06-2015 21:56:24
(ต่อ)




ภายในห้องสี่เหลี่ยมชั้นบนสุดของอาคารพาณิชย์ที่ทิ้งร้าง  แสงสว่างในห้องมีเพียงแสงจากไฟดวงเล็กที่ลูกน้องของโจ เหลียงถืออยู่  กับแสงไฟประดับด้ามปืนหลายกระบอกที่ส่องมาจากฝ่ายที่เข้ามาใหม่  คนสองกลุ่มยืนประจันหน้ากัน  ต่างฝ่ายต่างยกปืนเล็งไปที่ฝ่ายตรงข้าม  คุมเชิงกันอยู่   

แต่ดูเหมือนใบหน้ากลุ่มคนร้ายแต่ละคนจะเริ่มเกิดความหวาดหวั่นเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากกว่า  และถึงแม้คนเหล่านั้นจะไม่ใช่ตำรวจแต่ก็มีรูปร่างสูงใหญ่  บุคลิกท่าทางแต่ละคนก็ไม่เบาเลย  ที่สำคัญคือพวกมันใช้กระสุนไปเกือบหมดแล้วจากที่กระหน่ำยิงพรรคพวกตัวเองอย่างโง่เขลา 

เกรซมองเห็นกลุ่มคนที่มาช่วยเธอแล้วก็โล่งใจแม้ว่าตัวเองจะยังถูกล็อกคอแน่น  เธอเห็นหน้าแต่ละคนไม่ชัดเจนนักเนื่องจากแสงไฟสาดเข้าตา

‘การ์ดของเธอคงมาช่วยเธอเแล้ว’

“ทิ้งปืนซะ ถ้าไม่อยากให้นังนี่ตาย!!” นายโจพูดเสียงเย็นขณะที่กดปลายกระบอกปืนเข้าที่ขมับของตัวประกัน 

“เรามาคุยกันดี ๆ ดีกว่าน่า”  เสียงชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหูของเกรซเอ่ยขึ้น  เขายืนอยู่หน้าสุด  พยายามต่อรอง

“กูไม่คุย!  กูบอกให้พวกมึงวางปืนไม่ได้ยินรึไงวะ  อยากให้นังนี่ตายใช่ไหม!” 

โจ เหลียงใช้มือข้างที่ถือปืนเลื่อนออกจากขมับ  เล็งไปที่กลุ่มคนตรงหน้า  ส่ายปืนไปมาทางซ้ายและขวาพร้อมทั้งออกคำสั่งให้ฝ่ายที่บุกรุกวางปืน  จากนั้นปลายกระบอกปืนก็กลับมากดที่ขมับของเกรซอีกครั้ง  แรงกดนั้นถึงกับทำให้ใบหน้าตัวประกันเอียงไปทางหนึ่ง  เกรซหลับตาแน่นเพราะความหวาดกลัวแต่ปืนหลายกระบอกที่เล็งตรงมาก็ยังไม่ยอมลดลง

เวลาผ่านไปหลายนาทีท่ามกลางความเครียดระหว่างทั้งสองฝ่าย  ยังไม่มีใครเคลื่อนไหว  แรงที่รัดคอเธอยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีกเมื่อนายโจกำลังโกรธมากขึ้นทุกขณะ 

“กูบอกให้วางปืน!!” นายโจตะคอกอีก

ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมเริ่มปรากฏความเครียดอย่างเห็นได้ชัด  ตาเหลือกโปน  เหงื่อไหลเป็นทางจากใบหน้าลงไปตามลำคอ  มือที่ถือปืนกดที่ขมับตัวประกันเริ่มสั่น  ในขณะที่ตัวประกันก็กำลังจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว  เกรซที่ถูกล็อกคออยู่กำลังหวาดกลัวอย่างมาก  เธอตัวสั่นอย่างรุนแรง

กลุ่มคนที่ยืนอยู่อีกฟากมองสบตากันรวดเร็ว  ทุกคนรู้ดีว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่เป็นผลดีกับตัวประกัน  เพราะนายโจอาจจะเครียดจนขาดสติผลั้งมือทำอะไรขึ้นมาก็ได้ 

เมื่อเหตุการณ์เริ่มตึงเครียดจนถึงที่สุด  ก็มีคนทิ้งปืนลงบนพื้น 

“พวกเราวางปืนเถอะครับผมขอร้อง  เกรซจะไม่ไหวแล้ว  ผมกลัวเธอจะเป็นอันตราย” 

“เร็ว ๆ เซ่”  โจ เหลียงขู่สำทับมาอีก  กดปืนแรงมากขึ้นจนเกรซต้องร้องออกมาด้วยความกลัวจับหัวใจ

คนที่เหลือในกลุ่มเริ่มทิ้งปืนลงพื้นทีละคน  พร้อมกับชูมือขึ้นระดับอก 

ยกเว้น...

“มึง!!!  ไอ้เด็กเมื่อวานซืน  กูบอกให้มึงวางปืน!” 

คนเพียงคนเดียวที่ยังไม่ยอมทิ้งปืน  พีทยืนเล็งซาวเออร์ตรงมานิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด  นิ่งราวกับหุ่น

“พีท!  พี่บอกให้วางปืนไง  เดี๋ยวนี้!” 

เสียงสั่นของแคนตะคอกใส่พีท  เขาขยับตัวจะเข้าไปดึงมือที่ถือปืนลงกลับถูกขวางไว้ด้วยมือของพี่ฮั่นที่ยืนอยู่ใกล้   

พี่ฮั่นก็ทิ้งปืนลงแล้วเช่นกัน  แคนหันมองพี่ฮั่นด้วยความโกรธที่ห้ามเขาแต่เมื่อมองเห็นดวงตาของพี่ใหญ่ในกลุ่มกระพริบหนึ่งครั้ง  มือพี่ฮั่นที่บีบแน่นที่แขนเขาราวกับต้องการบอกบางสิ่งบางอย่างก็ทำให้เขาเอะใจ 

แคนหวนกลับนึกไปถึงตอนที่พวกเขาเคยเข้าร่วมคลับการต่อสู้ป้องกันตัวสมัยที่เรียนอยู่อังกฤษ  งานอดิเรกที่เขากับพี่ฮั่นเคยร่วมเป็นสมาชิกรุ่นเล็ก พวกเขาได้เรียนรู้การใช้อาวุธและการต่อสู้ทุกรูปแบบจากมืออาชีพที่มารวมตัวกันในคลับ  รวมถึงรหัสที่ใช้ส่งสัญญาณในภาวะคับขันเช่นนี้ 

รูปที่พีทเคยถามพี่ฮั่นตอนที่จัดของ พี่ฮั่นเป็นคนเดียวในรูปนั้นที่อายุน้อยที่สุด  แต่คนที่อายุน้อยที่สุดของคลับคือแคนซึ่งเป็นคนถ่ายภาพนั้นเอง!

แคนเห็นพี่ฮั่นมองจับไปที่คนร้ายที่จี้ปืนตรงขมับเกรซอย่างแน่วแน่  เสียงรองเท้ากระทบพื้นเบา ๆ เป็นจังหวะติดกันสองสามครั้งทำให้แคนชะงัก  ก่อนจะทำความเข้าใจสัญญาณ  เขาเห็นพี่ฮั่นขยับใบหน้าไปทางพีทที่ยืนเฉียงไปทางซ้ายมือเพียงนิดเดียวก่อนจะเคาะรองเท้าอีกครั้ง  คราวนี้แคนจึงเริ่มเข้าใจ  เขาหันกลับไปมองเกรซที่ถูกล็อกอยู่แน่นหนา  ภาวนาให้เธอตั้งสติไว้ก่อน  ขณะเดียวกันก็ตั้งใจฟังเสียงสัญญาณ  ไม่นานก็ได้ยินเสียงรองเท้าเคาะแผ่วเบาตอบกลับจากตำรวจนอกเครื่องแบบที่เป็นเพื่อนไรอัน  ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ขยับร่างกายอย่างเตรียมพร้อม

ยกเว้นพีทที่ยังยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว  มือข้างขวายังจับซาวเออร์เล็งไปข้างหน้า นิ้วชี้แตะอยู่ที่ไกปืน 

“พีท  รอ...” 

เสียงพูดลอดไรฟันของพี่ฮั่นบอกโดยไม่ขยับปากแม้แต่นิด  ทุกคนที่ยืนอยู่อีกฟากนิ่งสงัด  ดวงตาจ้องตรงมาที่ฝ่ายที่มีตัวประกันอยู่ในมือ





โจ เหลียงมองไอ้หน้าอ่อนนั้นแล้วกลับเหงื่อซึม
 
‘ทำไมมันนิ่งอย่างนี้’ 

เงามืดอีกฟากห้องทำให้เห็นใบหน้าแต่ละคนไม่ชัด  แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงกระแสที่พุ่งตรงมาที่เขาอย่างรุนแรง   คนอย่างโจ  เหลียงเคยดวลปืนกับพวกมาเฟียมานักต่อนัก  แต่เขายังไม่เคยถูกเล็งด้วยความรู้สึกรุนแรงขนาดนี้มาก่อน  ไอ้หน้าอ่อนนี่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกเพชฌฆาตกำลังเล็งมาที่เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย 

และเหยื่อคนนั้นคือเขาเอง!

เพียงชั่วระยะเวลาแค่ไม่กี่วินาทีกลับทำให้โจ  เหลียงหวาดหวั่นถึงขีดสุดเมื่อมือนั้นยังคงนิ่งราวกับปืนไม่มีน้ำหนัก  เหงื่อผุดพรายตามใบหน้าเหลี่ยมของเขา  กระแสรุนแรงนั้นทำให้เขาเริ่มกลัว  แม้จะถือปืนอยู่  แม้จะมีตัวประกันอยู่ในมือก็เหมือนไม่มีความหมายอะไรในเมื่อเขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าถ้าเขาทำให้ตัวประกันนี่ตายตัวเขาก็คงไม่รอดเช่นกัน
 
โจ  เหลียงสูดลมหายใจลึก  ตัดสินใจตะโกนขู่ไอ้หน้าอ่อนนั่นเป็นครั้งสุดท้าย

“กู   บอก  ให้  มึงวะ...”

“ยิง!!!” 

“ปัง!!!”

ชั่ววินาทีที่ปากกระบอกปืนเลื่อนออกจากขมับตัวประกันเพื่อเปลี่ยนไปเล็งคนตรงหน้าเสียงปืนก็ดังลั่น  แรงมหาศาลจากการระเบิดของดินปืนทำให้ลูกกระสุนขนาด 9 มม. ถูกอัดให้พุ่งบิดตามเกลียววนขวาออกจากปลายประบอกปืนด้วยความเร็ว 1,000 ฟุตต่อวินาที  ตรงปะทะเข้าที่ปืนที่นายโจถืออยู่อย่างถนัดถนี่   แรงปะทะที่เกิดจากความเร็วสูงและการยิงระยะใกล้ทำให้ปืนกระบอกนั้นสะบัดหมุนควงออกจากมือ  ร่างของโจ  เหลียงถอยไปด้านหลังจากแรงกระแทก

พี่ฮั่นพุ่งตัวออกจากจุดยืนราวกับม้าแข่งที่ถูกปล่อยตัวจากซอง ร่างใหญ่พุ่งเข้าไปคว้าตัวเกรซไว้แล้วเหวี่ยงกลับไปด้านหลังก่อนจะโถมร่างใส่ฝ่ายที่จับตัวประกันไว้

เสียงปืนที่ดังขึ้นโดยไม่คาดคิดทำให้ลูกน้องของโจ เหลียงชะงักไป และก่อนที่พวกมันจะทันตั้งตัวตำรวจนอกเครื่องแบบก็ล้มตัวคว้าปืนที่อยู่บนพื้นยิงใส่ลูกน้องแต่ละคนด้วยความรวดเร็ว

“ปัง ๆๆๆๆ”

“โอ๊ย ๆๆ”

คนอื่นที่เหลือเตรียมพร้อมอยู่แล้วพุ่งเข้าชาร์จทันที  เกิดความวุ่นวายชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ไม่นานทุกคนก็ถูกควบคุมตัว 
 
นายโจในสภาพสะบักสะบอมถูกใส่กุญแจมือรวมกับลูกน้องอีกยี่สิบกว่าคนที่ถูกรวบตัวอยู่ชั้นล่าง

ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบลง







พีทเข้าถึงตัวพี่ชายทันทีที่เหตุการณ์สงบลง  เขาเข้าไปจับแขนคนตรงหน้าไว้  เอ่ยถามพลางมองสำรวจที่ใบหน้าและร่างกายของพี่ชาย 

“พี่เป็นอะไรไหม  เจ็บตรงไหนรึเปล่า” 

“ไม่เป็นไรพีท  ไม่เป็นอะไร  แล้วพีทล่ะ เป็นอะ...” 

พี่ชายตอบยังไม่จบประโยคพีทก็โผเข้ากอดพี่ชายไว้แน่น

“พีท พี่ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”

พี่ชายกอดตอบพร้อมกับลูบหลังน้องไปมา  ยิ้มให้กับท่าทางเป็นห่วงหนักหนาของน้อง  ท่าทางที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ดังคนละคนกัน  พีทคนที่ยืนนิ่งราวกับนักฆ่าจ้องเขม็งไปที่เหยื่อเพื่อรอจังหวะลงมือสังหารหายไปทันทีที่ลั่นกระสุน   เพียงกระพริบตามือสังหารก็กลับมาเป็นน้องน้อยในอ้อมแขนเขาอีกครั้ง

“แล้วพีทเจ็บตรงไหนรึเปล่า” 

พีทส่ายหน้าบนไหล่เขา

“พี่ว่าพีทปล่อยพี่ก่อนดีไหม  ก่อนจะทำปืนลั่นใส่พี่”  เขาบอกคนที่กอดเขาไว้แน่น 
 
พีทคลายอ้อมแขนทันทีเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกอดพี่ฮั่นทั้งที่ยังกำซาวเออร์ไว้ในมือ เขาเอื้อมมือมาแกะปืนออกจากมือของน้องที่ยังจับปืนแน่น เลื่อนสมอล็อกเข็มแทงชนวนเป็นการใส่เซฟตี้ก่อนจะสอดปืนเหน็บไว้ที่ขอบกางเกงด้านหลังของตน

“ยิงแม่นนะ”  พี่ชายชมอย่างจริงใจ 

เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฝีมือน้องชาย  พีทไม่ได้ยิงแม่นเฉพาะเป้านิ่งเท่านั้น  แต่เป้าเคลื่อนไหวก็ไม่เป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย  ทั้งที่พวกเขาอยู่ในที่มีแสงสว่างไม่มากนักพอเห็นหน้ากันเท่านั้น  แต่พีทกลับยิงทันทีที่เขาให้สัญญาณ  ไม่ลังเลและไม่พลาด!

โจ เหลียง ไม่มีโอกาสรู้เลยว่ายิ่งให้โอกาส ‘ไอ้หน้าอ่อน’ มีเวลาเล็งมากเท่าใด  ความแม่นยำก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น  หลักฐานปรากฏชัดที่ปืนที่สะบัดไปไกล  กระสุนเจาะเข้าที่ลำปืน  ลูกกระสุนยังฝังคาอยู่  ทำเอาคนที่ได้เห็นกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน  ใครจะคิดว่า ‘ไอ้เด็กเมื่อวานซืน’ หน้าหวานที่เดินตามหลังพี่ชายไม่ห่างจะยิงแม่นขนาดนี้

พีททำหน้าเหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา

“แน่อยู่แล้ว   พี่เห็นฝีมือผมรึยัง  ระวังให้ดีเถอะ ถ้าออกนอกลู่นอกทางเมื่อไร ไม่! รอด! แน่!”

น้องชายเอ่ยคำขู่  ทำหน้าเรียบให้ดูโหดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้  แต่พี่ชายกลับยิ้มกว้างอย่างไม่เกรงกลัวแม้จะเห็นฝีมือของน้องชายอยู่เต็มตา

“ไม่กลัวหรอก  พีทไม่กล้ายิงพี่หรอก  พี่รู้ว่าพีทน่ะรักพี่ฮั่นจะตายใช่ไหม ๆ”

พูดพลางคว้าตัวน้องชายมากอดแน่นอีกครั้ง  เหวี่ยงน้องชายในอ้อมแขนอย่างมันเขี้ยวกับคนช่างขู่  เขารู้ดีว่าน้องขู่ไปอย่างนั้นเอง  เอาเข้าจริงพีทก็ใจอ่อนกับเขาเสมอ

“พี่ฮั่น  พีทเอาจริงนะ”  น้องชายยังพยายาม

“ครับ ก็ได้ กลัวก็ได้  ยอมให้พีทคนเดียวนะ” 

ยอมให้ตั้งแต่พีทยังสี่ขวบ  และคงจะยอมให้ตลอดไป

“ดีมาก”  น้องชายยกมือตบหลังเขาเบา ๆ ก่อนจะกอดเขาบ้าง

สองพี่น้องพูดคุยกันราวกับว่าอยู่กันสองคนในโลก ไม่ได้สังเกตสังกาเลยว่าใครต่อใครกำลัง ‘เก็บกวาด’ อะไรอยู่รอบตัวพวกเขา   
ทุกคนที่อยู่ในห้องเก่าโทรมนั้นส่ายหน้าให้กัน  ไรอันถึงกับบ่นออกมาเพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นเพื่อนตัวเองเป็นแบบนี้   

คนทั้งคู่คงจะยังอยู่ในโลกกันสองคนต่อไป  ถ้าไม่มีเสียงร้องอย่างตกใจของเกรซดังแทรกขึ้นมา

“นายแคน!!!”




-----------------------------------------------------





“เราไปก่อนนะ” 

หนุ่มน้อยยิ้มให้เพื่อนอย่างให้กำลังใจ  วางมือของตนบนไหล่บอบบางบีบเล็กน้อยก่อนจะปล่อย 

“พี่  อะไรเนี่ย  ทำไมต้องลากด้วยล่ะ  นี่....”

เสียงพีทลอยหายไปหลังจากประตูห้องพักผู้ป่วยปิดลงเกรซจึงหันกลับมามองหน้าคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าคมเอียงไปทางหนึ่ง เขายังคงไม่รู้สึกตัว   

เกรซลังเลอยู่ครู่ก่อนจะเอื้อมมือไปวางทับมือที่วางข้างตัว รวบมือนั้นมากำไว้แน่น  ความรู้สึกมากมายไหลวนอยู่  เพราะเพิ่งคลายความตกใจจากเหตุการณ์ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน  แต่ความรู้สึกที่เด่นชัดอยู่ในจิตใจเธอตอนนี้กลับเป็นเรื่องความรู้สึกของเธอเอง
 
ความรู้สึกที่ไม่เคยชัดเจนเลยตั้งแต่วันที่เจอเขา  เธอไม่เคยรู้แน่ชัดว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขา มีแต่ความสับสน  ไม่แน่ใจ
 
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างแจ่มชัดเหลือเกิน  เหมือนเมฆหมอกที่เคยปกคลุมท้องฟ้าถูกลมแรงพัดหายไป  ท้องฟ้ากลับแจ่มกระจ่างส่องแสงสดใสไปทุกพื้นที่  ความรู้สึกของเธอก็ชัดเจนเหมือนท้องฟ้าที่ใสกระจ่างนั้น

ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจเธอทันทีที่สัมผัสได้ถึงวัตถุเย็นที่กดขมับไว้  เธอกลัว  ตัวสั่นอย่างหนักแทบยืนไม่ไหว  ที่ยังประคองตัวไว้ได้ก็เป็นเพราะไอ้หน้าเหลี่ยมโจ เหลียงนั่นล็อกคอเธอไว้แน่นแทบหายใจไม่ออกต่างหาก  ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าใรเธอก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น  ความเครียด ความกดดัน การต้องตกอยู่ในภาวะของความเป็นความตายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตทำให้เธอปล่อยน้ำตาร้อน ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว  เธอแทบหมดแรงอยู่แล้ว  แรงที่รัดคอเธอกลับยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีกเมื่อนายนั่นกำลังโกรธมากขึ้นทุกขณะ  เขายกปืนจี้ที่ขมับเธอสลับกับเล็งไปตรงหน้าเหมือนต้องการขู่แต่ปืนหลายกระบอกที่เล็งตรงมาที่นายนั่นก็ยังไม่ยอมลดลง

เมื่อเหตุการณ์เริ่มตึงเครียดจนถึงที่สุด เสียงที่คุ้นหูเธอก็เอ่ยบอกพรรคพวกให้ทิ้งปืนเพราะกลัวเธอจะเป็นอันตราย  เสียงที่ได้ยินนั้นกระชากเธอออกจากความหวาดกลัว  เสียงนี้  เสียงนุ่มที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว 

เขาอยู่ตรงหน้า!

เกรซชาวาบไปทั้งตัวด้วยความคาดไม่ถึง จากนั้นเธอก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเพราะหูเธอดับไปแล้วจากเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง  แค่ได้ยินเสียงเขาหัวใจเธอก็เต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง  เธอหันมองตามเสียงที่เธอได้ยินจึงเพิ่งสังเกตว่าในเงามืดร่างนั้นก็คุ้นตาเธอยิ่งนัก  คนที่หายหน้าหายตาไปจากชีวิตเธอ 

‘นายแคน’ 

ได้แต่ร่ำร้องชื่อเขาอยู่ในใจ  เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเธออยากเห็นหน้าเขาขนาดไหน  นานเท่าไรแล้วที่เธอไม่ได้เห็นหน้าเขา  ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอคิดเอาว่าเธอไม่ได้สนใจอะไรเขาเลย  เธอก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ   แต่ในเวลาคับขันเช่นนี้เกรซกลับกำลังรู้ตัวทีละน้อยว่าเธอคิดถึงเขามากเพียงใด

ชั่ววินาทีที่นายโจเลื่อนปากกระบอกปืนออกจากขมับเพื่อเปลี่ยนไปเล็งพีท  เสียงปืนก็ดังลั่น  เกรซไม่รู้ตัวว่ากรีดร้องออกไปด้วยความตกใจ จากนั้นก็รู้สึกว่ามีเงาดำพุ่งตรงมากระชากเธอออกจากแขนที่รัดแน่น  เธอถูกเหวี่ยงไปด้านหนึ่ง  เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของใครอีกคนเข้าพอดีก่อนที่ความวุ่นวายจะตามมา

เสียงปืนและเสียงการต่อสู้ดังสลับกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด  ความเคลื่อนไหวหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันแต่เธอไม่รับรู้อะไรเมื่ออ้อมแขนนั้นรัดเธอไว้แน่น  ดึงไปที่ริมผนังห้องเพื่อหลบความชุลมุนวุ่นวายจากการต่อสู้ เสียงสั่นของเขาปลอบประโลม  เกรซปล่อยตัวเองอยู่ในอ้อมกอดนั้น  ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดจากความโล่งใจที่ปลอดภัย  หรือดีใจที่ได้เจอเขาในช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้   

เธอปลอดภัย  มีเพียงรอยช้ำบนใบหน้าและตามร่างกายเล็กน้อย  แต่คนที่มาช่วยเธอไว้กลับเป็นฝ่ายต้องมานอนโรงพยาบาล







สัมผัสนุ่มนวลที่ลูบผมนุ่มทำให้คนที่เผลอหลับไปรู้สึกตัว  ทันทีที่สติสัมปชัญญะกลับคืนเกรซก็เงยหน้าขึ้น  แคนที่นอนอยู่ไม่คิดว่าเกรซจะตื่นจึงสบตากับเธอทันที 

เกิดความว่างเปล่าขึ้นชั่วขณะก่อนที่ทั้งคู่จะหลบตากันและกัน  หันไปมองจุดอื่นในห้องพักผู้ป่วย  ตรงไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ดวงตาของอีกฝ่าย 

เกรซดึงมือตัวเองที่จับมือแคนออก  กลับไปนั่งหลังตรง  ยกมือขึ้นเสยผมท่าทางขัดเขิน

แคนก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน  เขาตื่นขึ้นมาสักพักแล้วและสัมผัสถึงบางสิ่งในอุ้งมือของตน  เมื่อหันไปมองก็ต้องประหลาดใจอย่างมากที่เห็นเกรซซบใบหน้าบนเตียงผู้ป่วย  มือของเธอยังจับมือเขาไว้  ได้แต่มองนิ่ง หัวใจพองโตขึ้นทีละน้อยเมื่อเห็นคู่หมั้นของตนอยู่ตรงหน้า  เมื่ออดไม่ได้จึงเอื้อมมืออีกข้างไปลูบผมดำขลับนั้นแผ่วเบา  เขาไม่ต้องการทำให้เกรซตื่น  เขาเพียงแค่อยากสัมผัสแค่ปลายผมก็ยังดี
 
ความเงียบที่เข้าครอบคลุมในห้องทำให้อึดอัดเหลือเกิน  แคนจึงตัดสินใจทำลายบรรยากาศที่ไม่น่าอภิรมย์นี้

“คุณไม่กลับบ้านเหรอ  นี่เช้าแล้ว  คุณควรพักผ่อนนะ”

เกรซเหลือบดวงตากลมโตนั้นมองคนป่วยแวบหนึ่งก็หลบตาอีก

“คุณเป็นคนไปช่วยเกรซไว้  เกรซไม่ควรทิ้งคุณให้นอนอยู่ที่นี่คนเดียว”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่เป็นไรแล้ว  ขอบคุณที่ปะ..” 

คำพูดนั้นถูกกลืนหายไปในลำคอ แคนอ้ำอึ้ง เขาจะขอบคุณที่เธอเป็นห่วงงั้นเหรอ  คงจะเข้าข้างตัวเองมากไปที่จะคิดเช่นนั้น

“เกรซเป็นห่วงคุณค่ะ...”  เสียงเกรซรีบเอ่ยตอบ 

“แล้วก็อยากจะขอบคุณที่ไปช่วย...”

เสียงเธอขาดหายไปเช่นกันเมื่อไม่รู้จะพูดอย่างไร  หลังจากที่ได้รู้ว่าเขาทำอะไรมากมายเพื่อเธอ  เกรซก็รู้สึกผิดเหลือเกินที่ไม่เคยสนใจ ไม่เคยให้อภัยที่เขาเคยหลอกลวง  ทั้งที่เขาพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้นแต่เป็นเพราะเธอเองที่ทิฐิ  ไม่ยอมให้โอกาสเขาแก้ตัว



“เราอยากให้เธอให้อภัยพี่แคนในเรื่องที่ผ่านมา ทุกสิ่งทุกอย่าง”

พีทพูดกับเธอตรงไปตรงมา หลังจากที่พวกเขาพาพี่แคนมาส่งที่โรงพยาบาล

“พี่แคนอาจจะทำผิดพลาดหลายอย่าง  แต่การให้อภัยเป็นสิ่งที่ทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้ เหมือนที่พี่ฮั่นไม่เคยโกรธเรา เหมือนเรายกโทษให้พี่ฮั่นที่เคยทำให้เราเสียใจ  เราว่าพี่แคนก็คงมีเหตุผลของเขา  มีมุมมองของเขา  เขาอาจจะทำผิดต่อเกรซแต่เราเชื่อว่าพี่แคนทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ  คนเราต่อให้ฉลาดแค่ไหน  แต่กับเรื่องความรัก  บางทีคนฉลาดที่สุดก็อาจกลายเป็นคนโง่ที่สุดก็ได้  ทำความเข้าใจกันเถอะ  เราเชื่อว่าเกรซจะไม่เสียใจ”

แววตาที่มีความสุขเป็นสิ่งยืนยันคำพูดของเขา  และคนที่ยืนเคียงข้างเขานั้นก็คือคนที่เคยทำให้พีทเสียใจ  พี่ฮั่นเอื้อมมือมากอดไหล่เพื่อนของเธอไว้ ไม่มีคำพูดใด แต่การแสดงออกนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกถึงความรักที่ทั้งสองคนมีให้กัน
   
พีทยิ้มให้เธออย่างให้กำลังใจก่อนจะขอตัวกลับ




เธอต้องให้โอกาสเขาและก็เป็นการให้โอกาสตัวเองด้วยเช่นกัน  เกรซหันหน้ามาสบตาคนที่นอนอยู่บนเตียง  สูดลมหายใจลึกก่อนที่จะเอ่ย

“เกรซอยากจะขอบคุณและขอโทษเรื่องที่ผ่านมาค่ะ ที่เกรซเคยทำไม่ดีกับคุณ ที่ไม่ยอมให้อภัยคุณ  เกรซขอโทษทุก ๆ เรื่อง”

“เอ่อ...ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ  ผมผิดเองที่หลอกคุณตั้งแต่แรกแล้วก็รวบรัดประกาศหมั้นทั้งที่เรายังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาผมทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองมาตลอด ไม่เคยนึกถึงจิตใจคุณบ้างเลย  ผมขอโทษ ขอโทษจริง ๆ”

“ดูเหมือนเราทั้งคู่ต่างก็ทำผิดต่อกันนะคะ”

“เรามาลืมสิ่งที่ผ่านมากันดีไหม  อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป เรา...” แคนหยุดอีก

‘เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม?’   
เขาถามคำถามนี้เพียงแค่ในใจ  เขาจะเริ่มต้นกับเกรซได้อย่างไรในเมื่อเธอมีใครอีกคนแล้ว  นักร้องคนนั้นที่เขาเห็นสนิทสนมกับเกรซ  และเขาเองที่เป็นคนให้โอกาสเธอ 

แคนกำมือแน่น  สะกดอารมณ์เสียใจไว้ให้ลึกลงไปในหัวใจ  ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
 
“เรามาเป็นพี่น้องกันดีไหม  ผมเป็นลูกคนเดียวแล้วผมก็อยากมีน้องสาว  คุณจะรังเกียจที่จะมีพี่อย่างผมรึเปล่า”

เขาพูดขึ้นมาอีก ทั้งที่เขาไม่เคยอยากให้เกรซเป็นอะไร  นอกจากเป็นคู่หมั้นเขาเหมือนเดิมแต่เธอคงไม่ต้องการ

หญิงสาวตรงหน้าเขาเงียบไป  เกรซก้มมองมือตนเองที่กุมกันแน่น 

“ไม่ ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ได้แล้วแต่คุณเถอะ แค่คุณยกโทษให้ผม  ผมก็พอใจ”  เขารีบตัดบทเพราะกลัวจะทำให้เกรซลำบากใจ
 
“ได้สิคะ พี่แคน”  เกรซเอ่ยในที่สุด  เธอพูดเสียงเบา ยังคงก้มหน้า

“เอ่อ ครับ ดีครับ น้องเกรซ  ดีจัง ดี ๆ  พี่รับรองว่าจะดูแลน้องเกรซให้ดี  ไม่ให้แพ้พี่ฮั่นเลย  เกรซรู้ไหมว่าพี่ฮั่นน่ะรักพีทมากเลย  พี่ฮั่นเป็นพี่ชายที่ดีมาก...”

แคนยังคงพูดอะไรต่ออีกยืดยาว  คล้ายกับว่าเขากำลังดีใจที่พวกเขาตกลงเป็นพี่น้องกัน  แต่เกรซยังคงเงียบ

“เราไปกินข้าวกันสักมื้อไหม  มีร้านนึง...” 

เสียงกลืนหายไปเมื่อคนฟังยังนิ่ง  หญิงสาวตรงหน้าดูไม่ยินดียินร้ายกับการที่พวกเขาตกลงเป็นพี่น้องกัน  จู่ ๆ เขาก็พูดไม่ออกอีกต่อไปในเมื่อจิตใจไม่ได้ยินดีกับสิ่งที่พูดออกไปเลยแม้แต่นิด  ทุกสิ่งเงียบงัน 

ในยามที่แสงแดดยามเช้ากำลังส่องแสงเข้ามาทางหน้าต่างห้องพักผู้ป่วย  เวลาเช้าเป็นดังเวลาของการเริ่มต้นใหม่แต่พวกเขายังไม่เคยได้ ‘เริ่มต้น’ กันสักครั้ง  เพราะไม่มีใครกล้าฝ่ากำแพงของตนออกมา

บรรยากาศในห้องพักผู้ป่วยอันหรูหรานั้นมีแต่ความอึดอัดของทั้งสองคน   ต่างคนต่างก็กำลังต่อสู้กับจิตใจของตน  ห้องนั้นคล้ายกับกำลังหดตัวลงทุกวินาทีที่ผ่านไป  บีบให้พวกเขารู้สึกอึดอัดมากขึ้น  อากาศที่หายใจราวกับน้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้พวกเขาหายใจไม่คล่อง 

‘นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ  ไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงของเขา’
 
แคนกำมือแน่น  เขาไม่ได้ต้องการเป็นพี่ชายเธอเลยแม้แต่นิด  เขาอยากเป็นคนที่เธอรักและให้ความสำคัญ  เขารู้ตัวเองมานานแล้วว่ารักผู้หญิงคนนี้เข้าแล้ว  อาจจะตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอหันหน้ามาในห้องผู้จัดการ   บุคลิกและความเฉลียวฉลาดของเธอทำให้เขาไม่อาจมองข้ามไปได้ 

เกรซไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยรู้จัก เธอเป็นตัวของตัวเอง  เข้มแข็งแต่อ่อนโยน  เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอกับพีทถึงเป็นเพื่อนสนิทกัน  นอกจากจะชอบเต้น ชอบร้องเพลงเป็นพวกลูกคุณหนูเหมือนกันแล้ว  พวกเขามีมุมที่อ่อนโยนเหมือนกันและเขาก็รักที่เธอเป็นแบบนั้น

เขารักคู่หมั้นของเขาเอง

“ที่จริงแล้ว  ผม...” 

“ผม..ไม่ได้อยากให้คุณเป็นน้องสาวเท่าไร....” แคนเอ่ยในที่สุด 

ใบหน้าคมสวยนั้นเงยขึ้นมาสบตา  ทำให้เขาใจเต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้

“ผมอยากให้คุณเป็นคู่หมั้นของผม  ผมอยากให้คุณยิ้มให้ผมเหมือนที่คุณยิ้มให้นักร้องคนนั้นบ้าง  ผมต้องการให้คุณอยู่เคียงข้างผมไม่ใช่คนอื่น  ผมรู้ว่าผมมันเอาแต่ใจ  ดีแต่ทำตามใจตัวเอง ไม่เคยสนใจเลยว่าคุณรู้สึกอย่างไร...”

“ผมขอโทษที่เอาแต่ใจ  แต่ผมอยากจะบอกคุณ...”

เกรซไม่ทันตั้งตัวเมื่อแคนลุกนั่งบนเตียง  ขยับมากอดเธอไว้อย่างนุ่มนวลก่อนจะกระซิบที่ข้างหู  คำกระซิบนั้นทำให้น้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตากลมหยดลงบนไหล่ของแคน  เกรซกอดเขาไว้เช่นกัน

“ค่ะ ค่ะ ค่ะ”  เธอพูดได้เพียงเท่านั้นเพราะเอาแต่ร้องไห้
 
แคนคลายอ้อมกอดออก  ใช้นิ้วไล้แผ่วเบาเช็ดน้ำตาให้  เขารวบมือทั้งคู่ของเกรซไว้ก่อนจะก้มมองที่มือข้างซ้าย

“แหวน”  แคนเอ่ยเสียงแผ่วเบา เขาเห็นแหวนของตัวเองยังประดับอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเกรซตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมาแล้ว

“คุณใส่มันด้วย”  เขาว่า มองใบหน้าสวยคมที่อยู่ใกล้

“คือ  มันถอดไม่ออก  ตั้งแต่คุณใส่แหวนให้แล้วเกรซก็ถอดแหวนไม่ได้เลย”
   
“ผมขอโทษ แหวนนี่ไม่คู่ควรกับคุณเลย...”

เขารู้สึกผิดตลอดเวลาเมื่อนึกถึงงานวันเกิดของพ่อ เขาบังคับหมั้นกับเกรซโดยไม่เคยถามความรู้สึกของหญิงสาวคนนี้  แหวนหมั้นก็เป็นเพียงแหวนเพชรเม็ดเล็ก ๆ ของตัวเองที่ใส่ติดนิ้วมาหลายปี  ไม่คู่ควรกับหญิงสาวที่มีคุณค่าต่อเขาเช่นนี้เลย 

เขาจับมือข้างนั้นไว้  พยายามจะดึงแหวนด้อยค่านั้นออก

“เอ่อ  ไม่เป็นไรค่ะ”

เกรซยื้อไว้และดึงมือออกจนได้ในที่สุด  เธอกุมมือซ้ายของตัวเองไว้ราวกับแหวนวงนั้นเป็นของมีค่า

แคนมองท่าทีนั้นด้วยสายตาประหลาดใจ  เขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ทำไมเกรซทำท่าเหมือนกับว่าไม่ต้องการให้เขาถอดแหวนออก

“คุณยังต้องการมันหรือ...”

“ค่ะ” 

ใบหน้าหญิงสาวค่อยซับสีเลือดขึ้นทีละน้อย  ในขณะหัวใจคนฟังเริ่มพองโต

“ทั้งที่มันแสดงว่าคุณมีเจ้าของแล้ว”

“ค่ะ”

“เขา  ไม่ว่าอะไรหรือ”

“ใครคะ”

“ก็..ชิน  นักร้องของคุณน่ะ”

“เขาว่าอะไรไม่ได้หรอกค่ะ เขารู้อยู่แล้วว่าเกรซมีคู่หมั้นแล้ว เราเป็นเพื่อนกันค่ะ ชินเขาแค่เข้ามาเพื่อทำให้เกรซเข้าใจตัวเอง  ตอนนี้เกรซรู้แล้ว” 

อาการพูดติดขัดและท่าทีขัดเขินของเกรซทำให้แคนเริ่มมั่นใจขึ้นทีละน้อย  เขาไม่ได้คิดไปเอง  หัวใจที่พองโตของแคนยิ่งขยายมากขึ้นไปอีก  เขาตัดสินใจถามอีกครั้ง

“คุณยินดีที่จะเป็นคู่หมั้นของผมใช่ไหม”

ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วินาทีที่แคนรอคอยคำตอบนั้นยาวนานราวกับข้ามเดือนข้ามปี  ก่อนที่เกรซจะตอบ

“ค่ะ”

ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน 

เป็นครั้งแรกที่พวกเขามองสบตากันด้วยความรู้สึกที่แท้จริงของตน  แม้ไม่มีคำพูดใดแต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านสายตาก็ทำให้คนที่เคยไม่เข้าใจกันกลับกำลังรับรู้ความในใจกันอย่างเงียบเชียบ   แม้ว่าวันนี้เกรซจะไม่ได้เอ่ยคำใดแต่คำตอบก็ชัดเจนอยู่ในใจของตนเอง 

ร่างคนทั้งคู่เคลื่อนเข้าหากัน  แคนประคองกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขน  กระชับแน่นทีละน้อย

“ขอบคุณ  ขอบคุณครับ”

เกรซหลับตาซบร่างของตนในอ้อมกอด  ยิ้มกับตนเองอย่างเป็นสุข



------------------------------------








หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 59-60 หน้า 11 อัพเดต 19/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 24-06-2015 21:57:10
(ต่อ)




“พี่ฮ่านนนน  เดินช้า ๆ หน่อย  พีทเดินตามไม่ทัน”

พี่ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าผ่อนฝีเท้าลง มือที่ดึงแขนเขาเมื่อครู่เลื่อนลงมาจับมือเขาไว้แทนทำให้พีทพยายามดึงมือตัวเองออก   เพราะกลัวคนที่เดินไปมาในโรงพยาบาลจะเห็น
   
มันคงดู...แปลก...ที่ผู้ชายสองคนจะเดินจับมือกัน   

แต่พี่ฮั่นไม่ยอมปล่อย  ยังคงจับมือเขาไว้แน่น 

“ไม่ต้องไปสนสายตาคนอื่นหรอกน่า”

“พี่อยากจับมือพีทไว้ ไม่อยากให้พีทหายไปจากสายตา”

พี่ชายพูดทั้งที่ยังไม่หันกลับมา  แต่พีทรู้สึกว่าพี่ฮั่นแปลกไป

“พี่ฮั่น  เป็นอะไรเนี่ย”

“เปล่า  แค่ไม่อยากให้พีทหายไปไหน”

“ทำไมล่ะครับ”

พี่ฮั่นหยุดเดิน  หันมามองหน้าเขา

“ก็ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยน่ะสิ  แค่พีทหายไปคราวที่แล้วพี่ก็แทบบ้า  แล้วเรื่องนี้ก็มาเกิดกับเกรซอีก  ถ้าเปลี่ยนจากเกรซเป็นพีทอีกครั้ง  พี่คงทนไม่ไหว” 

คำพูดของพี่ฮั่นทำให้พีทต้องเงยหน้ามองคนพูดให้ชัด  ดวงตาพี่ฮั่นที่มองมากำลังทำให้เขาทำตัวไม่ถูก  พี่ชายรักและเป็นห่วงเขามากเหลือเกิน ขนาดเรื่องที่เขาถูกลักพาตัวผ่านมาตั้งนานแล้วพี่ฮั่นยังไม่ลืม  ทั้งที่เขาเองไม่เคยกลับไปคิดเรื่องพวกนั้นอีกเลย

“พี่เข้าใจความรู้สึกของแคนดีว่าเขาเครียดขนาดไหน  ไม่งั้นไม่วูบไปแบบนี้หรอก”

พี่แคนหมดสติไปทันทีที่เกรซปลอดภัย  เขาแน่นิ่งไปทำอย่างไรก็ไม่ฟื้นจนต้องส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน 

พีทเพิ่งได้รู้พร้อมกับเกรซว่าหลังจากที่พี่แคนให้ของขวัญแก่เกรซด้วยการให้อิสระเธอ  พี่แคนไม่เคยหนีหายไปไหนเลย  พี่แคนยังคงคอยอยู่ใกล้ ๆ เกรซตลอดเวลา  แต่ไม่ทำให้เธอรู้ตัว  และคอยไปเฝ้าเธอที่ผับจนดึกดื่นทุกคืนแม้ว่าตัวเองจะทำงานหนักไม่มีเวลาพักผ่อน  แม้ว่าจะอดนอนติดต่อกันมาหลายคืนตั้งแต่เกรซถูกพวกนักเลงพยายามเล่นงานเพื่อขู่ให้ยอมขายที่ให้พวกมัน

ดังนั้นพอมีเหตุการณ์ที่เกรซหายไป  ความเครียดบวกกับความเหนื่อยล้าที่ต้องทำงานหนักทำให้พี่แคนถึงกับน็อกไป

“ผมไม่หายไปไหนหรอกคร้าบบบ   ถ้าพี่ฮั่นไม่เบื่อพีท  พีทก็จะคอยตามพี่ฮั่นไปจนแก่เลย” 

เขาพูดพลางยิ้มให้พี่ชาย กระชับมือแน่นเป็นการย้ำอีกครั้ง  ความจริงมีมือของพี่ฮั่นจับอยู่แบบนี้ก็อุ่นดีเหมือนกัน

ดวงตาของพี่ฮั่นมองนิ่ง  ’พีทยิ้มแบบนี้อีกแล้ว’ 

“อย่ายิ้มแบบนี้ให้ใครนะ พีท”

“หือ?  ทำไมล่ะครับ”  พีทเลิกคิ้วอย่างสงสัย

“ก็เห็นแล้วพี่อยากกลับบ้านเร็ว ๆ แล้วน่ะสิ....” 

พี่ชายยิ้มให้  มองหน้าเรียวยาวของน้องชาย  ใช้สายตาที่ทำให้พีทรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ สายตาที่พี่ฮั่นชอบมองเขาเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน  มีแต่กันและกันในอ้อมแขน

“พี่อยากกอดพีท  อยากให้พีทเรียกพี่ทั้งคืน  พี่ชอบมองหน้าพีทเวลา...” 

พีทสวนคำพูดประโยคสุดท้ายด้วยการส่งหมัดกระแทกเข้าที่ท้องของพี่ฮั่นไม่เบานัก  โทษฐานที่ทำให้เขาเขินในที่สาธารณะ  แต่พี่ชายกลับแกล้งเบียดหมัดเขากลับมา  พี่ฮั่นใช้ร่างหนาของตนเองเบียดกระแทกร่างเขาเบา ๆ   ทำให้หนุ่มน้อยต้องถอยพร้อมกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ   

พี่ฮั่นหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจแล้วก็เดินหนีไป ทิ้งให้พีทยืนประหลาดใจอยู่ครู่  แต่เมื่อมองตามแผ่นหลังของพี่ฮั่นแล้วเห็นมือข้างหนึ่งของพี่ชายยื่นมาเหมือนรออยู่ก็ทำให้เขายิ้มกว้างก่อนจะวิ่งตรงไปสอดมือของตนในอุ้งมือใหญ่อบอุ่นของพี่ชาย 

พวกเขาก้าวเดินไปพร้อมกันอีกครั้ง



--------------------------------------------------


ตอนนี้ยาวหน่อยนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

 :mew1: :mew1: :mew1:


หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: bb_b ที่ 24-06-2015 23:22:28
 o13 o13 o13
 :pig4: :pig4: :pig4:
 :jul3:  :jul3: :jul3:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 25-06-2015 08:59:01
สนุกดีค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว
น่าจะเหลือปัญหายัยผู้หญิงที่อยากจะแต่งงานกะพี่ฮั่นอย่างเดียว?

ขอบคุณนิยายดีๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 25-06-2015 10:42:40
เย้ๆๆๆ กรีดร้องด้วยความดีใจ

แคนเกรซคืนดีกันแล้ว โล่งอก

พีทเก่งมากเลย แบบนี้สิสมกับเป็นภรรยาพี่ฮั่น 5555

คนแต่งสู้ๆน้า....ขอบคุณสำหรับนิยายที่สนุกนี้มากๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-06-2015 13:12:58
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 25-06-2015 14:20:45
พีทลั่นไกเองไม่มีพลาดอยู่แล้วว  ระวังไว้นะพี่ฮั่น
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 26-06-2015 09:45:08
เพิ่งได้เข้ามาตามอ่าน สนุกมากค่ะตามอ่านแทบไม่ได้หลับได้นอน
ตอนแรกที่ไม่อ่านเพราะชื่อเรื่องเลยค่ะ วี่แววดราม่าน่าจะมาเต็มอะไรแบบนี้
พอเข้ามาอ่านถึงได้รู้ว่าสนุกมากทีเดียว จะติดตามต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 26-06-2015 11:27:56
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Wannida ที่ 26-06-2015 15:33:56
อ่านรวดเดียว 1-61 สนุกมาก ไม่คิดว่าชื่อเรื่องดราม่าแต่ซ่อนความสนุกได้ทุกรูปแบบ
สุข เศร้า อินไปกับทุกตัวละคร (ผ่านตาไปได้ไง) เง้อ อตอนแรกก็ขัดใจเหมือนกันที่พีทให้อภัยพี่ฮั่นง่ายๆ
แต่ในเมื่อเรื่องมันดำเนินมาถึงป่านนี้แล้วก็อย่าไปรื้อฟื้นเลย
แค่เจ็บปวดไปกับพีทด้วย  แอบเสียดายอยากให้รวมเล่มจัง และเสียดายที่นิยายเรื่องนี้ใกล้อวสานแล้ว
แต่จะติดตามนิยายเรื่องใหม่ของนักเขียนต่อไปค่ะ สู้ๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีค่ะ
 :กอด1: o13 :impress2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 05-07-2015 23:25:52
:)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 16-07-2015 15:45:37
:)
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: sleepybear ที่ 16-07-2015 22:46:56
น้องพีท กับพี่ฮั่น เข้าใจกันด้วยดี
รอพิชชี่กับพี่ซัน เมื่อไหร่จะเข้าใจกันสักที
#ทวงข้ามเวป
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 16-07-2015 23:41:46
รอนะคะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 18-07-2015 21:03:13
ตามอ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุดเลย ใช้เวลาไป 3 วัน  :m1:

อยากบอกว่า สนุกมากๆค่ะ การดำเนินเนื้อเรื่องดี เขียนบรรยายดี อ่านแล้วลื่นไหลไม่ติดขัด

พ๊อตเรื่องก็ดี สรุป ดีทุกอย่างค่ะ   :m3:

แต่แอบสงสัยนิดหน่อยคือเนื้อเรื่องที่ดำเนินอยู่นี่เหมือนจะไม่ใช่ในไทยเลย

ในความคิดเรามันเหมือนดำเนินเรื่องในฮองกงมากกว่าแหละ  :m26:

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 27-07-2015 23:32:01
ตามอ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุดเลย ใช้เวลาไป 3 วัน  :m1:

อยากบอกว่า สนุกมากๆค่ะ การดำเนินเนื้อเรื่องดี เขียนบรรยายดี อ่านแล้วลื่นไหลไม่ติดขัด

พ๊อตเรื่องก็ดี สรุป ดีทุกอย่างค่ะ   :m3:

แต่แอบสงสัยนิดหน่อยคือเนื้อเรื่องที่ดำเนินอยู่นี่เหมือนจะไม่ใช่ในไทยเลย

ในความคิดเรามันเหมือนดำเนินเรื่องในฮองกงมากกว่าแหละ  :m26:

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

ใช่แล้วค่า  ตอนเขียนก็มโนเอาว่าประมาณฮ่องกง ใต้หวันอะไรประมาณนี้ค่ะ ชื่อแต่ละคนก็เลยไม่ค่อยไทยเท่าไร

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 27-07-2015 23:34:17
น้องพีท กับพี่ฮั่น เข้าใจกันด้วยดี
รอพิชชี่กับพี่ซัน เมื่อไหร่จะเข้าใจกันสักที
#ทวงข้ามเวป

อัพแล้วนะคะ

 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 29-07-2015 16:47:53
สนุกจังค่ะ อยากอ่านต่อไวๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ ตอน 61 หน้า 11 อัพเดต 23/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 09-08-2015 09:43:30
บทส่งท้าย



“ใส่เส้นลงไปเลยใช่ไหมครับ”

“คลี่เส้นออกก่อน  แบบนี้” 

คนที่ซ้อนตัวอยู่ด้านหลังอธิบายพร้อมทั้งเลื่อนมือที่กอดเอวน้องชายไว้มาคลี่เส้นสปาเกตตีที่น้องกำไว้ให้แตกออกจากกัน  แล้วก็กลับไปกอดน้องไว้อีก

“แล้วจะต้มยังไงล่ะ เส้นยาวแบบนี้อ่ะ” 

“ก็เดี๋ยวข้างล่างมันอ่อนแล้วก็จมลงไปในน้ำจนหมดนั่นแหละ”

ได้ยินพี่ชายบอกดังนั้นแล้วพีทจึงค่อย ๆ จุ่มสปาเกตตีลงในหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดได้ที่  จับตามองเส้นสีเหลืองยาวค่อย ๆ อ่อนตัวลง

“อ๋า จมแล้ว” 

เสียงร้องอย่างตื่นเต้นของคุณชายทำให้คนที่ซ้อนตัวกอดอยู่ด้านหลังอมยิ้มกับตัวเอง เขาแปลกใจที่อยู่ดี ๆ พีทก็เกิดอยากจะหัดทำอาหารขึ้นมา เพราะไม่เคยคิดว่าคุณชายพีทจะอยากทำกับข้าวอะไรกับใคร 

ตอนแรกเขาปฏิเสธเด็ดขาดเพราะกลัวว่าน้องจะเผาครัวแทนการทำอาหาร  แต่น้องชายที่แอบเอาชุดกันเปื้อนของแม่บ้านมาใส่กลับดูน่ารักจนเขาปฏิเสธไม่ลง  พีทที่ยืนอ้อนวอนเขาอยู่ในครัวทำให้เขาต้องยอมตามใจน้อง 

ก็เคยใจแข็งได้ที่ไหนล่ะ  พี่ชายยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว

“แล้วเราต้องต้มนานเท่าไหร่ครับ”

“ประมาณสิบนาที”

“งั้นต้องจับเวลาไหม”  ถามพร้อมกับยกข้อมือตัวเองขึ้นดูนาฬิกา

“นานจัง  แล้วเราจะทำอะไรต่อดีล่ะ” 

พ่อครัวมือใหม่หันหน้ามาถามพี่ชายที่ยังคงวางคางตัวเองไว้บนไหล่ พีทหั่นเบคอน  ตอกไข่  เตรียมเครื่องปรุงทุกอย่างตามที่พี่ชายบอกหมดแล้ว

“ไม่มีอะไรแล้ว  เราเตรียมทุกอย่างแล้วนี่  เหลือแค่ต้มเส้นจนได้ที่แล้วก็ตั้งกระทะใส่เครื่องทุกอย่างลงไปก็เสร็จแล้ว”

เงียบไปครู่  เมื่อพีทกลับไปก้มดูเส้นสปาเกตตีในหม้อนั้นอีก  ทำเหมือนกับว่าจะช่วยเร่งให้เส้นสปาเกตตีสุกเร็วขึ้นได้ 

ในที่สุดน้องชายก็รอต่อไปไม่ไหว

“พี่ฮ่านนนน  เส้นได้ที่รึยัง”

“ยังต้มไม่ถึงนาทีเลย จะรีบไปไหน”  พี่ชายตอบ  ยังคงเพลินกับการกอดน้องไว้ในอ้อมแขนของตน

“ก็มันไม่รู้จะทำอะไรนี่  แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเส้นมันนุ่มแล้วอ่ะ”

“พีทอยากรู้เคล็บลับของแม่หรือของพี่ล่ะ”

“เอาของ..ของคุณ.. เอ่อ  ของแม่ก่อนก็ได้” 

เสียงขัดเขินของน้องชายที่เปลี่ยนมาเรียกคุณโรสด้วยสรรพนามใหม่ ทำให้พี่ชายกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น  ยื่นหน้าไปกดจมูกของตนที่แก้มน้องชายเหมือนให้รางวัล 

พีทก้มหน้านิด ๆ เพราะเขิน 

“แม่บอกว่าให้ลองขว้างเส้นสปาเกตตีไปที่กำแพง  ถ้าเส้นที่ต้มได้ที่แล้วมันจะแปะคาอยู่ที่ผนัง  แต่ถ้าเส้นยังแข็งอยู่มันจะหล่นลงพื้น”

“อะไรเนี่ย  พี่ล้อผมเล่นรึเปล่า แม่ทำแบบนั้นจริง ๆ เหรอ”

น้องถามพลางหัวเราะร่วน  กับเคล็ดลับที่ไม่น่าเชื่อว่าใครจะทำจริง

“จริงสิ  แต่แค่ช่วงที่แม่หัดทำตอนแรกเท่านั้นแหละ  พอทำบ่อยเข้าก็กะได้เอง”

“แล้วเคล็ดลับของพี่คืออะไรล่ะ  บอกหน่อยสิ”

พี่ชายแอบกลั้นหัวเราะไว้ก่อนจะพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ  ตอบคำถามน้อง

“เคล็ดลับของพี่ก็ไม่มีอะไรมากหรอก  ก็แค่ทำจนชำนาญไงล่ะ  ตอนที่พี่หัดทำสปาเกตตีใหม่ ๆ พี่ต้องลองต้มเส้นอยู่หลายสิบครั้งกว่าเส้นจะนุ่มใช้ได้  หลัง ๆ มานี่เวลาต้มเส้นสปาเกตตีไม่จำเป็นต้องจับเวลาเลย ไม่ต้องตักเส้นขึ้นมาลองจับด้วยซ้ำ  มันจะกะเวลาได้เองอัตโนมัติ  พอได้เวลาปุ๊บก็แค่ตวงสปาเกตตีออกแล้วเอาไปแช่น้ำเย็นแค่นี้เอง”

“โห  พี่โม้รึเปล่าเนี่ย  ใครจะกะเวลาได้แม่นขนาดนั้น  พี่แอบจับเวลาแน่ ๆ ผมไม่เชื่อหรอก”

“อยากลองทดสอบไหมล่ะ”  ยิ้มร้ายของจอมวางแผนปรากฏอยู่แต่น้องชายไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะตกลงไปในหลุมที่พี่ชายวางดักไว้

“เอาสิ” 

‘ตกหลุมแล้ว!’

คนที่รอจังหวะอยู่นานแล้วจับตัวน้องชายให้หันหน้ากลับมาหาแล้วจูบทันที ไม่ให้ตั้งตัว  พร้อมกับเบียดร่างหนาจนน้องชายถอยไปติดเคาน์เตอร์ครัว ทำให้น้องชายมัวเมาไปกับจูบที่เริ่มต้นด้วยความอ่อนหวาน พี่ชายกำลังทำให้พีทซาบซ่านไปกับจูบที่เร่าร้อนในบางช่วง  อ่อนละมุนในบางครา  กลับมาดุดันก่อนจะผ่อนลงอีกครั้งเพื่อให้พีทได้มีโอกาสสูดลมหายใจ 

พีทไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร  เขารู้ตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงปิดเตา  พี่ชายถอนริมฝีปากออกไปก่อนที่จะทำให้เขายืนไม่ไหว

พี่ฮั่นหันไปคว้ากระชอนอันเล็กมาตักเส้นสปาเกตตีออกจากหม้อ  นำไปพักไว้ในชามเปลแล้วหันมายิ้มให้ 

“ชิมไหม  จะได้รู้ว่าพี่พูดจริงหรือพูดเล่น”

พีทลองบิดเส้นสปาเกตตีเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วลองกินดู   

สปาเกตตีเปล่า ๆ นั้นนุ่มกำลังดีอย่างที่พี่ชายอวด  สายตาพี่ชายที่มองมาอย่างมั่นใจทำให้เขาหน้าแดง  เขาจะยอมเชื่อก็ได้ว่าพี่ฮั่นต้มเส้นสปาเกตตีเก่งเพราะนอกจากเส้นสปาเกตตีจะสุกพอดีแล้ว  พี่ฮั่นยังจูบจนเขาเคลิ้มไปอีกด้วย

“ทำเก่งขนาดนี้  คงจะจีบสาวอังกฤษหมดทั้งเกาะแล้วสิท่า  พี่คงใช้มุขนี้จูบกับสาวบ่อยล่ะสิ  ใช่ไหม” 

จูบมาราธอนของพี่ฮั่นทำให้เขาแทบจะลอยติดเพดานครัวไปแล้ว พี่ชายเขาเสน่ห์เหลือล้นขนาดนี้  นอกจากจะทำงานเก่งแล้วยังทำอาหารอร่อยด้วย  พีทไม่อยากจะคิดว่าพี่ชายเขาจะมีสาว ๆ มากหน้าหลายตาขนาดไหน  ระดับเฌอเบลล์ยังบินมาหาถึงที่นี่

“อะไรอ่ะพีท  มาหาเรื่องพี่ได้ไง พี่แค่จะโชว์ให้ดูไงล่ะว่าพี่กะเวลาแม่น ขนาดกำลังเคลิ้ม ๆ  ยังกะเวลาได้เป๊ะขนาดนี้” 

พี่ชายโวยนิด ๆ ที่โดนน้องชายใส่ความทั้งที่ยังไม่อยากละริมฝีปากเลยสักนิดแต่ต้องตัดใจก่อนที่เส้นสปาเกตตีจะเปื่อยคาหม้อเสียก่อน

พี่ฮั่นจับไหล่เขาไว้  มืออีกข้างจับคางเขาบังคับให้มองหน้า

“จะบอกให้นะว่าไม่เคยทำอาหารให้ผู้หญิงที่ไหนกินเลยนอกจากแม่  แล้วพีทไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าพี่หัดทำสปาเกตตีทำไม  ทำไมพี่ต้องมาหัดต้มเส้นสปาเกตตีแล้วเททิ้งกี่สิบครั้งกว่าจะใช้ได้  บางทีก็ต้องโยนทิ้งพร้อมกระทะนั่นแหละเพราะรสชาติมันไม่ได้เรื่อง  พีทไม่รู้จริงๆ หรือว่า...พี่ทำเพราะ..ใคร?”

ท้ายประโยคนั้นเสียงเบาลง  พี่ฮั่นยื่นหน้ามาใกล้เขา 

“เอ่อ...”  ไม่บ่อยนักที่พีทต้องเป็นฝ่ายหลบตา แต่คราวนี้พี่ฮั่นทำให้เขาเขินจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไร  หน้าเขาร้อนจัดเมื่อได้ฟังสิ่งที่พี่ฮั่นเล่า

“พี่อ่า...”  น้องชายแก้เขินโดยการสวมกอดคนตรงหน้าเขาไว้ 

พี่ชายยกมือลูบหัวทุยที่ซบไหล่อยู่  อมยิ้มอยู่คนเดียวกับเสียงอ่อนของพีทที่พึมพำเรียกเขา  เลิกสนใจสิ่งใดเพราะท่าทางอ้อนของพีทในตอนนี้ทำให้เขาอยากทำอย่างอื่นซะแล้ว  สปาเกตตีอะไรช่างมันเถอะ

“พี่หัดทำเพราะอยากทำให้พีทกิน  อยากจะทำให้พีทกินไปจนแก่เลย ไม่รู้ว่าพีทจะเบื่อก่อนรึเปล่านะ”

“ไม่เบื่อหรอก  พีทชอบกินสปาเกตตีของพี่ฮั่น” 

“ถ้าเกิดวันหนึ่งข้างหน้าพีทเกิดเบื่อสปาเกตตีของพี่  ถ้าเกิดพีทเบื่อพี่ขึ้นมาแล้วถ้าเกิดว่าพีทไม่รักพี่แล้ว...”

“อะไร  พี่อย่าพูดแบบนั้นนะ”  พีทรีบพูดตัดบทพี่ชายทันที 

“ผมไม่เคยเบื่อสปาเกตตีตราบใดที่พี่ยังทำให้ผมกินอยู่ ผมไม่มีวันเบื่อพี่ฮั่น  พี่อย่ามาดูถูกความรักของผมสิ  ขนาดพี่ทิ้งผมไปตั้งสิบปีผมยังรอพี่ตลอดเลย  แล้วผมไม่ใช่พวกโลเลเปลี่ยนใจง่ายนะ รู้ไหมว่าพวกตระกูลหยางน่ะรักใครรักจริง  คุณปู่ฟงกับพ่อยังพิสูจน์อะไรไม่ได้รึไง ใครกันแน่ที่จะเบื่อแล้วจะทิ้งผมไป...” 

“ไม่มีทางหรอก พี่ไม่มีทางหนีไปไหนอีก พี่ไม่มีวันเลิกรักพีท” พี่ชายก็รีบแทรกประโยคตัดพ้อของน้องชายเหมือนกัน

“จริงนะ”

“จริงสิ  คุณตาหลิวกับแม่ก็ยืนยันเรื่องนี้ได้นะ”  พี่ชายเอาผู้ใหญ่มายืนยันบ้าง

“ถ้าพีทยังไม่มั่นใจ  จะลองพิสูจน์ไหมว่าพี่พูดจริงรึเปล่า  กล้ารึเปล่าล่ะ”  พี่ชายเริ่มขุดหลุมพรางอีกแล้ว 

“โห อย่ามาท้านะ ทำไมผมจะไม่กล้าพิสูจน์ล่ะ ผมไม่กลัวอยู่แล้ว  แล้วพี่จะพิสูจน์ยังไงล่ะ” 

และน้องชายก็กำลังเดินไปถึงขอบหลุมอีกครั้ง

“ถ้าอยากรู้ว่าพี่จะเบื่อพีทรึเปล่า....พีทก็อยู่กับพี่ไปจนแก่สิ”

“ถ้าพี่ไม่ตายไปก่อน พี่จะอยู่เคียงข้างพีทไปจนลมหายใจสุดท้าย ไม่เชื่อลองดูก็ได้  กล้าไหม”

‘พี่ฮั่น..’ พีทนิ่งงัน  พี่ฮั่นกำลังทำให้หัวใจเขาทำงานหนักอีกแล้ว

แววตาที่มั่นคงของพี่ชายเป็นสิ่งยืนยันคำพูด  พีทอยากจะบอกพี่ชายว่าเขาเชื่อมั่นในตัวพี่ฮั่นมาตั้งนานแล้ว 

“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ แล้วพี่คิดว่าจะหนีผมไปไหนได้เหรอ อย่าลืมนะว่าผมยิงปืนแม่น”  เขาก็ขู่ไปอย่างนั้นแหละ  พี่ฮั่นก็รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่กล้า

“นี่คือคำสัญญาของพีทรึเปล่า”

“แล้วคำท้าของพี่คือคำสัญญารึเปล่าล่ะ”

“พี่สัญญา”

“ผมจะลองพิสูจน์ดู”

คำมั่นสัญญาอาจจะไม่มีความสำคัญ  ในเมื่อพวกเขากำลังจะพิสูจน์ความจริงนั้นด้วยชีวิตทั้งหมดของพวกเขา

ในที่สุดน้องชายก็ตกหลุมอีกครั้ง  คราวนี้เป็นหลุมลึกที่สุดที่พี่ชายตั้งใจจะไม่ยอมให้น้องชายหนีไปไหนได้  ส่วนคนน้องก็คงยอมตกหลุมรักของพี่ชายไปตลอด 

ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง





------------------------------------------


จบแล้วค่า

ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามมายาวนานนะคะ 

หากมีโอกาสคงได้พบกันใหม่ค่า


 :mew1: :mew1: :mew1:



หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-08-2015 13:10:13
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 11-08-2015 14:53:28
จบซะแล้วๆๆ สนุกมากกกจ้า  ยังไม่อยากให้จบเลย  อยากได้ตอนพิเศษหวานเจี๊ยบๆๆๆอีกซักตอนจัง อิอิ   :impress2:

ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้ได้อ่านค่ะ และขอเป็นกำลังใจให้คนเขียนแต่งนิยายสนุกๆดีๆต่อไปอีกหลายๆเรื่องนะจ๊ะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 11-08-2015 21:07:11
จบแล้ว
ชอบพี่ฮั่นกะพีท

รอเรื่องต่อไปค่ะ
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 12-08-2015 23:44:23
สนุกมากกกก. ไม่ผิดหวังเลยที่มาอ่านเรื่องนี้
หวานสุดๆ ดราม่าก็แบบสุดๆ บู๊สุดๆ
ครบรสมากๆเลย...เห้อ อิจฉาสองคนนี้จัง
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 13-08-2015 00:29:02
กรี๊ดจบแล้ว น้องพีทน่ารักที่สุด
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 13-08-2015 01:45:43
จบซะแล้ว ยังสนุกอยู่เลย
ขอบคุณมากค่าสำหรับนิยายสนุกๆ แบบนี้
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: sleepybear ที่ 13-08-2015 22:44:55
เป็นนิยาย y หนึ่งในห้าที่ประทับใจ

รอความคืบหน้าของ falling into you อยู่ตลอดนะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 02-10-2015 22:39:44
อ่านแล้วเพลินมากๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: REDMOON ที่ 06-10-2015 15:19:04
สนุกมาก ๆ ค่ะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุก ๆ แบบนี้มาให้ได้อ่านนะค่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: [x]-SayHi ที่ 09-10-2015 01:23:25
ขออนุญาตถามคับ
แล้วเรื่องหมั้นกับโรซาลีนนี่จบที่ 300 ล้านใช่ป่ะคับ

เรื่องสนุกดีคับ ไม่มีคำผิดให้หงุดหงิดไม่ต้องมานั่งทายอักษรกัน ปูเรื่องได้ดี ขอชมคับ ^^-
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 09-10-2015 15:50:34
ขออนุญาตถามคับ
แล้วเรื่องหมั้นกับโรซาลีนนี่จบที่ 300 ล้านใช่ป่ะคับ

เรื่องสนุกดีคับ ไม่มีคำผิดให้หงุดหงิดไม่ต้องมานั่งทายอักษรกัน ปูเรื่องได้ดี ขอชมคับ ^^-



ขอบคุณที่ชอบค่า


ถึงขั้นต้องไปขุดไฟล์มาเล่าเรื่องโรซาลีน 555  ความจริงเรื่องโรซาลีนมีอีกตอนเต็ม ๆ แต่ขอไม่ลงต่อนะคะ  เราขอเล่าย่อๆ ตรงนี้แทนค่ะ

พี่ฮั่นไม่ยอมหมั้นค่ะเลยไปขอให้คุณคริสช่วยพูดกับคุณเจมส์ (หุ้นส่วน) เพราะกลัวคุณเจมส์จะโวยวายเรื่องที่ท่านรัฐมนตรีอาจจะไม่ยอมเซ็นอนุมัติขยายเขตเศรษฐกิจไปยังโซน A และ B (เพราะถ้ายอมหมั้นเสียแค่ 300 ล้าน  แต่ถ้าไม่ยอมหมั้นต้องจ่ายถึง 10% ของรายได้มหาศาลเป็นเวลา 20 ปี  คือรัฐมนตรีกะนั่งกินนอนกินยันแก่ค่ะ)  พี่ฮั่นไม่แคร์ว่าท่านรัฐมนตรีจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ  ไงก็มีรายได้ทางอื่นอีกตั้งเยอะ  แบบรวยอ่ะ 555

อีกอย่างคือรัฐบาลชุดนี้จะหมดวาระแล้ว   ทางพี่ฮั่นก็เลยกะจะดึงเรื่องรอให้เลือกตั้งใหม่ ให้รัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาอีกที 

ส่วนโรซาลีน  นางมาประกาศตัวที่บริษัทค่ะ  แต่หงายเงิบเพราะเปิดประตูมาเจอเฌอเบลล์กำลังนั่งอยู่บนตักพี่ฮั่นในห้องทำงาน  เลยปะทะคารมกัน  นางโดนคู่ปรับเก่าอย่างเฌอเบลล์สวนกลับแล้วบอกว่าอย่ามายุ่งกับพี่ฮั่นของชั้นอีก  อิพี่ฮั่นก็เนียนนั่งเฉยๆ ปล่อยผู้หญิงตบตีเอ้ย  ฉะกันไป  สุดท้ายโรซาลีนก็เลยถอยทัพกลับเพราะเข้าใจผิดว่าพี่ฮั่นคบกับเฌอเบลล์อยู่  โดยที่ไม่เห็นว่าพีท (แฟนตัวจริง) ก็นั่งหน้างออยู่ในห้องทำงานด้วย  แต่นั่งหลบมุมอยู่ตรงโซฟาด้านใน

เฌอเบลล์แกล้งประกาศไปงั้นแหละ  ช่วยน้องพีทจะได้ไม่โดนโรซาลีนมาเกาะแกะอีก

สรุปในวงสังคมก็เลยได้ยินข่าวลือว่าพี่ฮั่นคบกับเฌอเบลล์  แต่ความจริงคือลูกชายทั้งสองของคุณคริสเขารักกันเอง  จบข่าวค่ะ

 :hao7: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-10-2015 15:19:36
ตามอ่านมา 2 วันเต็มๆ เลย เรื่องนี้
พี่ฮั่นน่ารักมากตามใจน้องสุดๆ
สงสารคุณปู่ฟง ถ้ามีโทรวแบ็คกลับไปสงสสัยคนอ่านน้ำตาท่วมยิ่งกว่านี้แน่ๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 14-10-2015 17:41:45
เขียนได้ดีนะครับขอชื่นชม เนื้อหายาวไปนิด แต่สนุกมากครับ

คาแรคเตอร์ของตัวละครชัดเจนดี ความน่าสนใจกระจายได้ทั้งเรื่อง ปัญหาทางด้านการต่อสู้ในจิตใจของตัวเองทั้งสองก็มีความสมเหตุสมผล

ชื่นชมครับรอติดตามเรื่องแน่นะครับ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: littlepink ที่ 18-10-2015 09:12:18
อ่านจบแล้ว ชอบมากเลย น้องพีทน่ารัก เหมาะสมมากฮั่นพีท ยินดีกับน้องเกรซด้วยจ้า ในที่สุดนายแคนก็สมหวังสักที
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 24-11-2015 20:35:37
 :mew1: สนุกมากค่ะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: NymPhet ที่ 04-12-2015 01:38:52
เนื้อเรื่องยาวแต่ไม่น่าเบื่อ สนุกมาก
แอบชอบช่วงดราม่า สงสัยจะโรคจิต 5555  :pig4:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 06-02-2016 11:49:05
เรื่องสนุกดีนะ แต่เราจินตนาการของสถานที่ที่เกิดเรื่องราวของเรื่องไม่ออกว่ามันคือที่ไหน ประเทศไทยคงไม่ใช่แน่ๆถึงชื่อของบางละครจะดูเป็นการตั้งชื่อเล่นแบบไทยๆก็ตาม แต่พอดูจากชื่อจริงๆของตัวละครก็ออกแนวจีนๆปนฝรั่งแบบฮ่องกง และสไตล์เรื่องก็เหมือนเรื่องของมาเฟียฮองกงเบาๆ แต่ถ้าเป็นประเทศฮองกงเขาก็ไม่มีผู้ว่าการรัฐ เราเลยจินตนาการไม่ออกว่าเรื่องมันเกิดขึ้นที่ไหนกันแน่ ติดก็ตรงนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 25-02-2016 17:20:12
เรื่องสนุกดีนะ แต่เราจินตนาการของสถานที่ที่เกิดเรื่องราวของเรื่องไม่ออกว่ามันคือที่ไหน ประเทศไทยคงไม่ใช่แน่ๆถึงชื่อของบางละครจะดูเป็นการตั้งชื่อเล่นแบบไทยๆก็ตาม แต่พอดูจากชื่อจริงๆของตัวละครก็ออกแนวจีนๆปนฝรั่งแบบฮ่องกง และสไตล์เรื่องก็เหมือนเรื่องของมาเฟียฮองกงเบาๆ แต่ถ้าเป็นประเทศฮองกงเขาก็ไม่มีผู้ว่าการรัฐ เราเลยจินตนาการไม่ออกว่าเรื่องมันเกิดขึ้นที่ไหนกันแน่ ติดก็ตรงนี้จริงๆ


ใช่แล้วค่ะว่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดในประเทศไทย  เป็นสถานที่สมมุติค่ะ  แนวๆ ฮ่องกง ใต้หวัน  อาจเป็นเพราะว่าเริ่มแรกที่คิดพล๊อต  เรานึกถึงเรื่องประมาณ F4 มันเลยออกมาทำนองนั้น   ส่วนเรื่องชื่อ ต้องบอกตรงๆ ว่า เราเขียนแฟนฟิคของคู่จิ้นคู่หนึ่งในเด็กดีมาก่อน  พอเอามาลงเล้าเป็ดก็เลยต้องเปลี่ยนชื่อตัวละครบางตัวค่ะ  เลยทำให้เกิดความลักลั่นเรื่องชื่อ  คือบางชื่อเราไม่ได้เปลี่ยน  แต่บางชื่อเราก็เปลี่ยนค่ะ  อาจทำให้ไม่ค่อยสมูทไปบ้างต้องขออภัยค่ะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tigerintherain ที่ 01-07-2016 15:50:40
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 18-03-2017 19:01:32
เพิ่งตามมาอ่านค่ะ สนุกมากๆ เสียดายที่ตอนที่เรื่องมา เรายังไม่ได้ล็อกอิน ไม่งั้นคงจะติดตามคอมเม้นต์ได้ทุกๆตอน คราวนี้อ่านรอบเดียวจบ  สามวันรวดค่ะ  ฮั่นกับพีท นี่บทของแก๊งค์ The star ชอบจัง  พล็อตดี แต่มียืดเรื่องเกรซไปบ้าง  ก็มีอ่านข้ามๆ ไป ส่วนคู่เอกนี้สมเหตุสมผล สงสารปู่ฟงมากๆ ค่ะ ฉากตอนที่ปู่จะตายเถียงสั่งลากับพี่ฮั่นนี่ประทับใจมาก ขอบคุณนะคะที่แต่งมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenz ที่ 21-03-2017 08:59:44
เหลือเชื่อเลยคุณปู่
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 18-11-2017 05:50:13
 :กอด1: สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ บทส่งท้าย จบแล้วค่ะ หน้า 12 อัพเดต 9/8/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 13-06-2019 14:34:56
เดี๋ยวๆแล้วใครจับเกรซ แล้วลูกสาวรัฐมนตรีอีกอะ