ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
__________________________________________________________________________________________
(http://i68.tinypic.com/289ct20.jpg)
#รักนี้ผีไม่เกี่ยว
สารบัญ
บทนำ เปิดหอพักผีสิง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3773961#msg3773961)
ตอนที่ 1 เจ้าที่แรง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3775458#msg3775458)
ตอนที่ 2 คนเห็นผี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3778042#msg3778042)
ตอนที่ 3 ใครบอกว่าผีไม่มีจริง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3779869#msg3779869)
ตอนที่4 พูดถึงผี ผีก็มา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3783417#msg3783417)
ตอนที่ 5 ขนหัวลุก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3786260#msg3786260)
ตอนที่ 6 เป็นเพราะกลัว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3788121#msg3788121)
ตอนที่ 7 การกลับมาของคนตาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3790447#msg3790447)
ตอนที่ 8 มาเล่นกันเถอะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3793250#msg3793250)
ตอนที่ 9 เป็นเพราะฝน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3795626#msg3795626)
ตอนที่ 10 ในความมืด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3797334#msg3797334)
ตอนที่ 11 หนู (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3800556#msg3800556)
ตอนที่ 12 ผีบอก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3800561#msg3800561)
ตอนที่ 13 ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3802410#msg3802410)
ตอนที่ 14 เพราะความตาย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3804435#msg3804435)
ตอนที่ 15 เท่านี้ที่อยากได้ยิน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3806704#msg3806704)
ตอนที่16 หลอกหลอน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3808866#msg3808866)
ตอนที่ 17 ตายแล้วแต่ยังอยู่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3812733#msg3812733)
ตอนที่ 18 ตายดีกว่า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3814988#msg3814988)
ตอนที่ 19 ไว้ชาติหน้ามาพบกันใหม่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3816968#msg3816968)
ตอนที่ 20 คำขอบคุณ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3819089#msg3819089)
ตอนที่ 21 ที่เจ็บก็หายดี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3820877#msg3820877)
ตอนที่ 22 ทั้งหมดที่มี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3822535#msg3822535)
บทส่งท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65489.msg3825534#msg3825534)
________________________________________
**นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติที่แต่งขึ้น เรื่องราว สถานที่ บุคคลใดๆ ชื่อ-นามสกุลที่ปรากฏในเรื่องไม่มีอยู่จริง หากบังเอิญซ้ำกับชื่อหรือนามสกุลจริงของท่านใดขออภัยมา ณ ที่นี้**
**ฝากเรื่องที่ผ่านมาด้วยค่า**
East meets North - บูรพากับองศาเหนือ [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56758.msg3525318#msg3525318)
Let me kiss you - จูบของเรา [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59523.msg3619207#msg3619207)
รักอิสระ [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57458.msg3563360#msg3563360)
Fight for my BAE [เรื่องสั้นมาก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61955.msg3705181#msg3705181)
Episode 1 Season 2 ธงทัพ ภูผา นาวี [ยังไม่(มีทีท่าว่าจะ)จบ] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3728758#msg3728758)
ด้วยรักและขอบคุณ
เต้าหู้ไข่ / รชา
ตอนที่ 3
ใครบอกว่าผีไม่มีจริง
ผมมายืนรอพี่ซีอยู่ที่หน้าหอในตอนเที่ยงคืน เวลากลับหอของเขาไม่แน่นอน แต่จากที่เห็นมาก็ราวๆ นี้ ยืนอยู่ไม่นาน คนที่รอก็มาถึง ผมคิดว่าเขาคงจะเมาแล้วคลานกลับมาอย่างทุกวัน แต่ผิดถนัด ผมมองไปยังเจ้าของหอที่ปั่นจักรยานที่เท็นแอบบอกมาว่าราคาแพงขนาดดาวน์บ้านได้เข้ามา เขาหันมามองผมครู่หนึ่งแล้วแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
"พี่ซี"
"ถ้าจะมาพูดเรื่องเมื่อวานเงียบปากแล้วขึ้นห้องไปเลย"
ผมเงียบปากอย่างที่เขาบอกแต่ไม่ยอมเดินออกไปจากตรงนี้
"หลบ" เขาพูดขณะที่ผมยืนขวางประตูอยู่
"วันนี้พี่ไม่เมานี่ เราน่าจะคุยกันได้ง่ายหน่อย"
"ไม่เอา ไม่คุยแล้ว" เขาพูดหน้ายุ่ง แล้วจับไหล่ผมแล้วขยับออกจากตรงนั้น เขี่ยผมทิ้งเหมือนกองขยะหน้าบ้าน ส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะหยิบคีย์การ์ดมาเปิดประตูเข้าไป ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเดินตามเขาไปด้วย
"พี่...ผมขอร้องล่ะ" เขาไม่พูดอะไร จอดจักรยานไว้อย่างทะนุถนอมแล้วหันมามองผม เสียงลมหายใจเฮือกใหญ่ดังมาจากใบหน้าเอือมๆ
"พี่ซี"
"กูถามจริง คนเราจะตามหาคนที่ตายไปแล้วเพื่ออะไร"
ผมเงียบ ไม่มีคำตอบ ผมไม่ได้อยากเห็นผีทุกตัวบนโลก ก็แค่คนเดียวที่จากกันไป อาจเป็นเพราะเราจากกันโดยไม่มีคำล่ำลา ยังมีเรื่องค้างคาในใจที่ผมอยากรู้ ผมก็เลยอยากเจอเขาอีกสักครั้ง หรือว่าอย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้ได้บอกลา อีกสักครั้งก็ยังดี
"ผมมีเรื่องอยากคุยกับเขา"
"..."
"มีเรื่องอยากถาม"
"..."
"มีคำบอกลาที่อยากให้เขาได้ยิน"
พี่ซีก้าวขาเข้ามาใกล้ เขายกสองมือจับไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ ผมเงยหน้ามองเขาและหวังว่าเขาจะเข้าใจในความปรารถนาของผม
"ไปรายการคนอวดผีสิ"
ไอ้...
"ช่วงศูนย์บรรเทาทุกข์ผีอะ เคยดูไหม"
...สัตว์ปีก!
เขาปล่อยให้ผมดีดดิ้นอยู่คนเดียวแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป จริงจังก็แล้ว ทำตัวน่าสงสารก็แล้วแต่ไม่ได้ผลกับคนๆ นั้นเลย ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจพี่ซีว่าทำไมแค่นี้ถึงช่วยไม่ได้ และไม่เข้าใจตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่? คำพูดของเขาก็วนอยู่ในหัว เก็บเอามาคิดแล้วมันก็น่าจะจริงอย่างที่เขาบอก
ผมจะตามหาคนที่ตายแล้วไปเพื่ออะไร
"พี่น่าน"
ผมสะดุ้งเฮือกหลังจากถูกเรียก ผมหันขวับไปมองก่อนจะพบเด็กชายในชุดนักเรียน คนที่เข้ามาทักฉีกยิ้มกว้างแล้วนั่งลงข้างๆ ผม
"อ้าว ไคโร"
"พี่เพิ่งกลับมาเหรอครับ" เขาว่าพลางมองผมที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา ผมพยักหน้าส่งๆ อันที่จริงผมกลับมาตั้งนานแล้วแต่มาดักรอเจอพี่ซีต่างหาก
"แล้วมึงอะ เป็นนักเรียนไม่ควรกลับดึกขนาดนี้สิ"
"ผมไปทำรายงานบ้านเพื่อนมา ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีนะ จริงจรี๊ง"
เสียงสูงติดเพดานหอดูมีพิรุธผมจึงหรี่ตามองนิดๆ ตัวมันก็ได้แต่หัวเราะกลับมา ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงดังจากในครัวก็โพล่งขึ้นเป็นเหตุให้เราทั้งคู่สะดุ้งเฮือกแล้วขยับเข้าหากันอัตโนมัติ
"เพล้ง!"
"เฮ้ย!"
ไคโรเบิกตาขึ้นอย่างตกใจตื่น พอกับผมที่หันขวับไปมองในครัวเพราะได้ยินเสียงคล้ายอะไรตกแตกจากตรงนั้น
"เสียงอะไรวะ"
"ไม่รู้ดิพี่ ผีเปล่า?" ไคโรพูดเสียงสั่นแล้วยกมือเกาะแขนผมแน่น
"ผีอะไรเล่า เดี๋ยวกูไปดู..."
"เฮ้ยๆ พี่จะไปไหน"
"ไปดูไงว่าเสียงอะไร"
"เดี๋ยวๆ" เขาฉุดผมให้นั่งลง
"อะไร?"
"ตรงนั้นน่ากลัวนะพี่" ผมมองไปยังในครัว ประตูกระจกหลังห้องครัวที่ไม่มีมีม่านกั้นทำให้มองเห็นหอแปดชั้นผีสิงนั่นได้อย่างถนัดตา เอาจริงๆ มันก็น่ากลัวนั่นแหละ แต่ความสงสัยมันมีมากกว่า ผมจึงลุกแล้วเดินตรงเข้าไปในห้องครัวนั่น ไคโรที่ดูกลัวๆ แต่ก็เดินเกาะแขนผมตามมาด้วย ผมมองเห็นเศษจานที่หล่นแตกกระจายอยู่ที่พื้น ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ก่อนแอบตกใจผ้าม่านหน้าต่างที่ปลิวสะบัดเบาๆ เพราะบานหน้าต่างถูกเปิดอยู่
"พี่น่าน เราไปจากตรงนี้กันเถอะ ไปบอกเฮียซีให้เขาจัดการดีกว่า เขาไม่กลัวผีแถมเป็นเพื่อนกับผีด้วย"
"เป็นเพื่อนกับผีเหรอ"
"ก็ผมเห็นเขาพูดคนเดียวบ่อยๆ อะ ใครๆ ก็บอกว่าเขาคุยกับผีได้"
"จริงดิ"
"เอาจริงเขาเมามั้ง" ไคโรหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ความคิดผมเริ่มเขว หรือพี่ซีจะเป็นแค่คนเมา คนเมาพูดได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ขณะความคิดกำลังสับสนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจนทั้งผมและไคโรรีบหันขวับไปมอง
"ไอรอนแมน ไอรอนแมน"
ผมหันไปเห็นว่าเท็นที่เป็นเจ้าของเสียงนั่น เขาเดินเข้ามาพลางก้มๆ เงยๆ มองหาอะไรสักอย่าง
"พี่เท็นหาอะไรอะ"
"ไอรอนแมน"
คิ้วผมขมวดเข้าหากันพอๆ กับไคโรที่ทำหน้างงๆ ไอรอนแมนจะมาอยู่อะไรที่หอนี้ล่ะวะ แม้จะงงแต่ก็ไม่ทันได้ถาม เท็นก้มมองไปยังหลังตู้เย็นแล้วก็ยิ้มกว้างเหมือนพบสิ่งที่กำลังตามหา
"มาอยู่นี่เองลูกพ่อ" เท็นใช้มือล้วงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมาจากตรงนั้น ก่อนจะพบว่าไอรอนแมนที่ว่านั่นคือแมว
"พี่เลี้ยงแมวด้วยเหรอ"
"เจอมาข้างถนน น่ารักป่ะ" เขาว่าแล้วจับแมวขึ้นมาใกล้ๆ หน้าก่อนจะเอาหน้าตัวเองถูๆ ไถๆ แมวตัวนั้น แมวอะน่ารักนะ แต่คนอุ้มนี่ทำเอาเครียด
"น่ารักเนอะ"
"น่ารัก แต่ไอรอนแมนของพี่ทำจานแตกอะ ผมแนะนำให้รีบเก็บเลยก่อนที่จะโดนเฮียด่า"
"อุ้ย...ทำไมซนแบบนี้ล่ะลูก ไม่น่ารักเลยนะ เดี๋ยวป๋าตีเลยนะ" เท็นจับแมวขึ้นแล้วตีมันเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยวจัด เอาจริงสภาพมันน่าเลี้ยงวัวมากกว่าแมวนะ ผมปล่อยให้เท็นจัดการเก็บกวาดตรงนั้นแล้วเดินออกมาข้างนอก ก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าไคโรยังคงเกาะแขนผมติดหนึบ
"เลิกกลัวได้แล้วมั้ง"
"อุ้ย ไม่รู้ตัวเลย" มันหัวเราะเบาๆ แก้เขิน แล้วขอตัวขึ้นห้องไปก่อน ผมเองก็ด้วย ในตอนที่เดินผ่านหน้าห้องพี่ซี ใจอยากเข้าไปคุยกับเขาดีๆ แต่ความหมั่นไส้ที่มีทำให้ทำได้แค่หยุดด่าอยู่ในใจ ยกมือทำท่าจะชกเข้าหน้าประตูแต่ต้องหงายเงิบเพราะคนในนั้นเปิดออกมาพอดี
"ทำไร"
"เปล่า" ผมสวนกลับอย่างเร็วแล้วลดมือลงไปไว้ด้านหลัง
"จะทำอะไรกู"
"เปล่า ไปแล้ว"
"เดี๋ยว!" ผมถูกพี่ซีดึงคอเสื้อจากด้านหลังแล้วกระชากให้กลับไปที่เดิม
"อะไรเล่า!"
"เมื่อกี้จะต่อยกูเหรอ"
"เปล่า!"
"อันธพาลนะเราเนี่ย"
"อันธพาลอะไรเล่า ปล่อย!"
ทันทีที่พี่ซีปล่อยผมออก ผมก็ยกมือทุบแขนเขาเข้าไปทีหนึ่งแล้วรีบเผ่นออกมาก่อนโดนสวน เขายืนกรานว่าจะไม่ช่วยเรื่องที่ผมขอ ผมไม่ได้อยากง้อแต่เขาดันเป็นคนเดียวที่พิเศษแบบหาใครเหมือนไม่ได้ เขาน่าจะเห็นใจผมสักหน่อย คนอะไรหน้าตาก็ดี แต่ใจดำชิบ!
...
เช้าวันถัดมา ผมตื่นเร็วกว่าปกติเพราะเสียงฝนปลุกผมขึ้นมา ไม่แน่ใจนักว่านี่มันฤดูอะไร แต่เช้านี้ฝนโปรยปรายไม่มีทีท่าจะหยุด ผมเดินลงมาข้างล่างหอได้กลิ่นอาหารหอมอบอวลมาจากครัว ก่อนเสียงของป้าทิพย์จะเรียกผมจากตรงนั้น
"น้องน่าน อาหารเช้าค่ะ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งตอนที่เห็นอาหารเช้าง่ายๆ อย่างขนมปัง ไส้กรอกและไข่ดาว วางเรียงอยู่บนโต๊ะ ป้าทิพย์บอกกับผมว่าหยิบกินได้เท่าที่ต้องการเป็นสวัสดิการหนึ่งของหอ ความเกรงใจหายไปตอนป้าทิพย์บอกว่าเป็นเงินพี่ซีซื้อมาเลี้ยงนี่แหละ ควรกินให้หมดตัวไปเลย แล้วผมก็ชอบไส้กรอกรมควันแบบนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยเลยไม่ได้ปฏิเสธตอนป้าทิพย์ตักมันใส่จานให้
"กาแฟไหมคะ"
"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ดื่มกาแฟ"
"งั้นนมสักแก้วนะคะ"
ผมกำลังจะปฏิเสธแต่ป้าทิพย์เทนมจืดใส่แก้วให้แล้ว ผมจึงต้องรับแล้วในใจก็คิดอย่างเดียวว่า เงินพี่ซี กินๆ เข้าไปเหอะ
เสร็จจากมื้อเช้า ป้าทิพย์ขอตัวไปทำความสะอาดแล้ว ส่วนผมก็เตรียมตัวออกไปข้างนอก ฝนยังตกลงมาแม้จะเบาลง ผมไม่มีร่ม ไม่รู้ว่าหายไปไหนตอนที่ย้ายหอ แล้วผมก็เกลียดฝน โคตรเกลียดเลย
ผมยกนาฬิกาขึ้นดู ยังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะได้เวลาเรียน ถ้ารออีกสักหน่อยฝนอาจจะหยุดตกก็ได้ จึงนั่งลงที่เก้าอี้หน้าหอเพื่อรอ ก่อนจะสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อตัวอะไรไม่รู้โผล่มาที่ขา
ไอรอนแมน?
แมวตัวสีส้มลายคล้ายลูกเสือตัวเล็กๆ เข้ามาคลอเคลียที่ขาผม
"หนาวเหรอไอ้แมว"
ผมว่าแล้วหยิบมันขึ้นมาวางบนตัก ก่อนจะยกมือเกาหลังมันเบาๆ มันทำหน้าสบายๆ แล้วซุกตัวเล็กๆ ของมันอยู่บนตักผม
"ตึ้ด"
เสียงคีย์การ์ดที่ถูกเปิดจากคนข้างในทำผมตกใจนิดหน่อย จึงหันไปมอง คนที่เปิดออกมาคือพี่ซี เขาก้มมองผมแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยทัก
"ไม่ไปเรียนเหรอ"
"ว่าจะรอให้ฝนหยุดตกก่อนอะครับ"
"ไม่มีร่มเหรอ"
"ไม่มี"
"แล้วจะไปเรียนไง"
"คงรอให้มันหยุดแหละ ถ้าไม่หยุดจริงๆ ค่อยให้เพื่อนมารับก็ได้ครับ"
"ตามใจ"
เขาพูดแค่นั้นแล้วหยิบร่มขึ้นมากางแล้วเดินออกไปสองสามก้าวก่อนจะหยุดแล้วหันมา
"ไปด้วยกันป่ะ"
ผมส่ายหน้าหน่อยๆ
"เดี๋ยวก็เข้าเรียนไม่ทันหรอก"
"ผมไม่อยากเปียก"
"ไม่เปียกหรอก" เขาฉุดผมให้ลุกขึ้นแล้วดึงเข้าไปชิดตัวเขาในพื้นที่ร่มสามารถบังเราจากฝนไว้ได้
"แล้วแมวนี่ละฮะ เอาไว้ไหนดี" ผมว่าพลางชูแมวตัวเล็กในมือให้เขาดู
"เอาไว้ในนี้แหละ" พี่ซีหยิบแมวไปจากผมแล้วเปิดประตูหอก่อนจะเอามันไปไว้ในนั้น แล้วกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม ผมเดินคู่ไปกับพี่ซีภายใต้ร่มคันนั้น มันก็จริงที่ผมจะไม่เปียกแน่ๆ แต่มันไม่ใกล้ไปหน่อยเหรอ
ผมได้แต่ก้มหน้ามอง จนมองเห็นเท้าเราสองคนที่เดินเป็นจังหวะเดียวกันเพื่อให้ก้าวไปพร้อมกัน พี่ซีใส่รองเท้าอีแตะซึ่งไม่มีความเหมาะสมใดกับชุดนักศึกษา แต่เพราะว่ามันเป็นพี่ซีแหละมั้งมันเลยไม่ได้ดูขัดหูขัดตา
"ไม่พูดอะไรกันหน่อยเหรอ"
"ครับ?" ผมสะดุ้งนิดหนึ่งที่จู่ๆ เขาพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
"ก็เห็นมันเงียบๆ อะ ชวนคุยหน่อยดิ"
"พี่มองเห็นผีได้ยังไงเหรอ"
"งั้นเงียบปากแล้วเดินไปเหอะ"
"พี่จะไม่ช่วยผมจริงๆ เหรอ"
"ไม่ช่วย"
"ครั้งเดียวนะ"
ผมพยักหน้าหงึกๆ ยกหัวคิ้วขึ้นพร้อมริมฝีปากเพื่อให้หน้าตาน่าสงสารที่สุด คนใต้ร่มคันเดียวกันยกมุมปากขึ้นยิ้ม
"แล้วทำต้องทำหน้าตาน่ารัก"
"ไรนะ"
"หน้ามึงไง หน้ารักชิบเลยแม่ง"
"แล้วจะช่วยคนน่ารักไหม"
"ไม่เว้ย"
"พี่อะ!"
"ไม่ต้องพูดแล้ว เงียบไปเลย"
"พี่...แค่ครั้ง..."
"หุบปากแล้วเดิน!"
ผมได้แต่เบ้ปากใส่ แต่ต้องแน่ใจก่อนว่าเขาไม่เห็น ด้วยส่วนสูงของเขาที่มากกว่าถ้าไม่ก้มลงมาก็คงไม่เห็น เลยแอบขยับปากด่าแบบไม่มีเสียงไปด้วย ส่วนเขาเดินให้เร็วขึ้นจนผมต้องเร่งเท้าเดินให้ทันเขา จนมาหยุดที่ตึกมนุษย์ศาสตร์ซึ่งเป็นคณะของผม
"เรียนตึกนี้ใช่ป่ะ"
"ครับ"
"ไปดิ เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทันหรอก"
ผมพยักหน้านิดหนึ่งก่อนจะออกจากร่มของเขาแล้วก้าวเข้าไปในตึก จังหวะนั้นทำให้ผมเห็นเสื้อของเขาที่เปียกไปแถบหนึ่ง
"พี่เปียกทำไมไม่บอกอะ"
"บอกมึงแล้วเสื้อมันจะแห้งป่ะล่ะ"
"พี่!"
"ก็กูบอกแล้วไงว่าจะไม่ให้มึงเปียกอะ"
"แต่ว่า..."
"เออ ช่างเหอะ ถือว่าเป็นบริการลูกค้าที่หอละกัน" เขาพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไป ผมยืนมองเขาก้าวขายาวๆ เดินเข้าตึกสถาปัตย์ไป ตอนนี้ผมก็อยากรู้จริงๆ ว่าคนแบบพี่ซี เป็นคนแบบไหนกันแน่นะ
...
วันนี้ที่คณะมีนิทรรศการมนุษย์ศาสตร์ กว่าจะเลิกกิจกรรมก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม วันนี้ไอ้ทิมเองก็ไม่ได้เอารถมาเพราะฝนตกรถติด คืนนี้ผมเลยต้องเดินกลับหอ ส่วนทิมก็ต้องเดินไปรอรถเมล์กลับบ้าน อากาศเย็นๆ และอากาศครึ้มฝนคล้ายจะตกลงมาอีกรอบทำให้ผมรู้สึกแย่ลงไปนิดหน่อย เกลียดฤดูฝนจริงๆ ให้ตายเหอะ
"มึงไม่ต้องไปส่งกูหรอก กูไปได้"
"เออ เดี๋ยวไปส่งก่อน มันดึกแล้ว"
"หอกูอยู่แค่นี้เอง"
"เดี๋ยวมึงโดนฉุดไปทำไง"
"ไอ้ห่านี่! เดี๋ยวกูตบ" ปากบอกว่าเดี๋ยวแต่มือไม่ได้รอ เลยเผลอฟาดมือใส่หัวมันไปหนึ่งทีอย่างสุดแรง
"ไอ้นี่ รุนแรงกับกูตลอด เดี๋ยวกูก็..."
เสียงทิมชะงักไปเพราะเสียงอื่นแทรกเข้ามาแทน เสียงโครมครามดังอยู่ใกล้จนทั้งผมสะดุ้งเฮือก
"เอี๊ยด! ปัง! โครม!"
ใจผมหล่นหายไปวูบหนึ่ง ก่อนกระพริบตาถี่แล้วหันมองหน้าทิม
"อะไรวะ" ทิมถามหน้าตาตื่น ผมได้แต่ส่ายหัวเบาๆ แล้วก้าวเท้าเดินไปยังต้นทางของเสียงเมื่อกี้ ทิมที่เดินตามมาด้วยดึงมือผมให้หยุดก่อน
"กูว่ารถชนกันแน่ๆ เลย อย่าไปดูเลย"
"ขอดูหน่อย"
ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินต่อไป แล้วก็จริงอย่างที่ทิมว่า รถยนต์สองคันชนกันอยู่ที่มุมถนน เสียงแตกตื่นของผู้คนที่พากันวิ่งเข้ามาดูดังจอแจ ผมเลื่อนสายตามองรถที่สภาพพังยับ เศษกระจกแหลกกระจายเต็มพื้น ร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่กลางถนน สภาพของร่างนั้นเป็นเหตุให้ผมเผลอหลับตาหนี
"เฮ้ยน่าน ไปเหอะ น่ากลัวว่ะ" ทิมดึงมือผมให้ออกมาจากตรงนั้น แต่เท้าผมไม่ขยับตาม อยู่ๆ ฝนก็ลงเม็ดลงมา ผมเงยหน้ามองเม็ดฝนนั่น แล้วเลื่อนสายตามองคนบนถนน
"น่าน ไปเหอะ"
วันที่คนรู้จักของผมตาย ฝนก็ตกลงมาแบบนั้น
สภาพรถก็ไม่ต่างอะไรจากตรงนั้น
ร่างกายของเขาก็คล้ายกับคนที่นอนอยู่ตรงนั้น
และเรื่องของวันนั้นวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดหลายปีที่ผ่านมาเหมือนหนังฉายซ้ำ ผมไม่เคยลืมว่าเขาคนนั้นตายยังไง การจากไปของเขาหลอกหลอนอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ
"ไอ้น่าน!"
เสียงของทิมดึงผมออกมาจากความคิดนั่น
"ไปเหอะ มึงเปียกหมดแล้ว มึงไม่ชอบฝนไม่ใช่เหรอ"
"อืม ไปสิ"
ผมพยักหน้ารับแล้วก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้น ได้ไม่กี่ก้าวก็กลับหยุดเดินซะเฉยๆ ความคิดบ้าบอโผล่ขึ้นมาในหัวในตอนที่หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น
ถ้าตรงนั้นมีคนตาย ตรงนั้นก็จะต้องมีผีใช่ไหม
"ทิมมึงว่าตรงนั้นจะมีผีป่ะวะ"
"ไรนะ"
"กูว่าตรงนั้นต้องมีผีว่ะ"
"ไอ้น่าน! มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย"
ผมไม่ทันได้ฟังที่ทิมพูดก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่จุดเกิดเหตุ กวาดสายตามองรอบๆ เพื่อมองหาผีหรือวิญญาณที่ผมเชื่อว่ามีจริง ผมอยากรู้ว่ามันมีวิธีไหนที่จะได้เห็นพวกเขาเหล่านั้น ผมต้องทำยังไง
"ไอ้น่าน! ออกมาเหอะ น่ากลัวจะตาย"
"เดี๋ยวดิ!"
"มึงเลิกไร้สาระแล้วออกมา!" ทิมดึงผมออกมาจากตรงนั้น แล้วลากผมจนมาหยุดอยู่ที่หน้าหอ ท่ามกลางฝนที่กระหน่ำตกลงมาไม่หยุด ทั้งผมและทิมเปียกไปทั้งตัว
"มึงเป็นอะไรไอ้น่าน!"
"กูก็แค่อยากรู้ว่าผีมันมีอยู่จริงไหม"
"ไม่มีหรอก มึงเลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว"
"มึงรู้ได้ยังไงว่าไม่มี มึงก็ไม่เคยเห็นนี่"
"เพราะกูไม่เคยเห็นไง กูเลยมั่นใจว่ามันไม่มี"
"กูแค่อยากเจอ..."
"มึงไม่มีวันได้เจอมัน!"
ทิมตะโกนเสียงดังจนผมสะดุ้ง
"มึงไม่มีวันตามหามันเจอ มึงไม่มีทางเจอคนที่ตายไปแล้วได้หรอก มึงมองเห็นผีไม่ได้!"
"แต่มีคนที่มองเห็นผีได้จริงๆ นะเว้ย!"
"ไม่มี! มันไม่อยู่จริง! ไร้สาระ ปัญญาอ่อน งมงาย!"
"ไอ้ทิม!"
"ตั้งสติหน่อยไอ้น่าน!"
ผมเงียบ และก้มหน้าลงเพราะเสียงดังของไอ้ทิม ผมเป็นคนบ้า ก็แค่คนบ้า
"เข้าหอไปได้แล้ว มึงเกลียดฝน มึงไม่ชอบให้ตัวเองเปียก"
ผมพยักหน้าเบาๆ
"กูกลับก่อนนะ"
ผมมองทิมที่เดินออกไป แล้วนั่งลงที่เก้าอี้หน้าหอ ปล่อยความคิดเคลื่อนผ่านความรู้สึกไปช้าๆ มีความจริงหลายอย่างที่ผมต้องยอมรับ ผมไม่มีทางเจอคนที่ตายไปแล้ว ผีไม่มีจริง และคนที่มองเห็นผีก็ไม่มีจริง
ขณะที่ผมยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น คนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมเงยหน้ามองจึงเห็นว่าเป็นพี่ซี แม้รู้ว่ามันไม่ช่วยให้ผมหลบฝนได้พ้น แต่เขาก็ขยับตัวเองมายืนบังฝนนั่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นบังใบหน้าของผมจากฝนที่สาดเข้ามาแล้วเอ่ยบางคำท่ามกลางความเงียบ
"เดี๋ยวหาให้"
"ครับ?"
"ไอ้สิ่งที่ตามหาอยู่อะ"
"..."
"เดี๋ยวช่วยหาให้"
To be continued.
ตอนที่ 7
การกลับมาของคนตาย
วันว่างๆ อย่างวันนี้ ผมกำลังนั่งเล่นกับไอรอนแมนอยู่ที่ชั้นล่างของหอ มองดูเท็นที่กำลังปรนนิบัติตัวเงินตัวทองประดุจมันเป็นลูกรักคนใหม่ ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่าที่จริงเขาแก่กว่าผมปีหนึ่ง ใจผมกำลังสับสนว่าควรเรียกเขาว่าพี่ดีไหม
"อยู่เฉยๆ สิ เดี๋ยวป๋าทายาให้ นั่นแหละดีมาก โอ๋ๆ เด็กดี เจ็บนิดหนึ่งนะ"
คนแบบนี้ต้องเรียกพี่ไหมนะ
"ฮัดเช้ย!" ผมหันไปมองพี่ซีที่เดินออกมาจากห้องพร้อมเสียงจาม เป็นหวัดจริงจัง จามจนจมูกแดงไปหมดแล้ว เขาเดินเข้าไปในครัวหยิบน้ำออกมาขวดหนึ่งแล้วกลับออกมานั่งลงข้างๆ ผม หันมองไปที่เท็นแล้วส่ายหัวอย่างเอือมระอา
"ไอ้เท็นประสาทแดกไปแล้ว"
"ไอรอนแมนกลายเป็นแมวหัวเน่าเลย"
พี่ซีหัวเราะนิดๆ แล้วหยิบแมวไปจากตักผม เขาเกาพุงให้มันอย่างที่เคยทำ
"พี่ยังไม่หายหวัดอีกเหรอ"
"อือ หงุดหงิดชิบ" ผมว่าพลางสูดน้ำมูก ผมเข้าใจดีเลยว่ามันน่ารำคาญแค่ไหน เป็นไปได้ก็พยายามที่จะไม่ป่วยดีกว่า
"พี่ว่างยัง"
"ว่างอยู่"
"ไปข้างนอกกับผมหน่อยได้ไหม"
เขาพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเลโดยไม่ได้ถามว่าที่ไหน ผมยิ้มให้นิดๆ อย่างดีใจตอนที่เขาตกลง พี่ซีวางแมวลงกับพื้นแล้วลุกออกมากับผม เท็นที่กำลังวุ่นวายกับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่จนไม่ได้สนใจพวกเรา
"เฮีย พี่น่าน จะไปไหนอะ" ผมกับพี่ซีกำลังจะก้าวขาออกจากหอ แต่เสียงของไคโรก็หยุดเราเอาไว้ก่อน ไคโรที่เดินลงมาพร้อมกับน้ำขิงมองหน้าผมอย่างรอคำตอบ
"พาพี่ซีไปหาหมอ" ผมตอบแทน
"ฮะ?"
ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกไป น้ำขิงและไคโรสามัคคีกันร้องลั่นด้วยความตกใจ แม้แต่เท็นเองก็ละออกมาจากสัตว์เลี้ยงแล้วหันมาให้ความสนใจกับพวกเรา
"เฮียไม่สบายเหรอ"
"เป็นอะไรอะ ตับแข็งเหรอ?"
"มะเร็งปอด?"
"หรือซิฟิลิส?"
"ไอ้ห่าพวกนี้!" พี่ซียกมือทำท่าจะเขกกบาลพวกเขาด้วยความเดือดจัดหลังจากโดนวินิจฉัยโรคร้ายพวกนั้น แต่ละโรคนี่บ่งบอกไลฟ์สไตล์ของเฮียแกมาก
"กูแค่เป็นหวัด"
"ใครจะไปรู้ล่ะพี่ ร้อยวันพันปีเคยป่วยที่ไหน แล้วนี่เป็นหนักเลยเหรอถึงต้องไปหาหมอ"
"หนักดิ เนี่ยขี้มูกไหลจนโพรงจมูกจะพังอยู่ละ ปล่อยไว้นานกว่านี้ระยะสุดท้ายแน่ๆ" ผมบอกอย่างนั้น พวกที่เหลือก็ได้แต่พยักหน้ารับ ผมว่าพวกเขาไม่ได้แปลกใจที่พี่ซีป่วย แต่น่าจะแปลกใจที่ผมออกไปกับพี่ซีมากกว่า จึงได้ยินเสียงสนทนาแว่วๆ ตามหลังมา
"สองคนนั้นมันไปสนิทกันตอนไหนวะ"
"เออ นั่นดิ"
ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปสนิทกับพี่ซีตอนไหน แต่พักนี้เราก็คุยกันบ่อย พี่ซีไม่ใช่คนแปลกหน้า กระทั่งตอนนี้ผมก็พาเขามาที่โรงพยาบาลอย่างที่บอก แต่เมื่อถึงหน้าโรงพยาบาลคนข้างๆ ก็หันมาโวยลั่น
"เฮ้ย! พามาที่นี่ทำไม"
"ก็พี่ป่วยอ่ะ ก็ต้องหาหมอดิ"
"จะบ้าเหรอ แค่เป็นหวัดเนี่ย ไม่เอา ไหนบอกจะไปหาเพื่อนมึงที่ตายไง"
"ใครบอก"
"มึงบอกให้ออกมาข้างนอกกับมึง"
"ผมหมายถึงที่นี่แหละ พี่ไม่สบายอะ" ผมไม่รู้ว่าเขาเข้าใจว่าไง แต่จริงๆ ผมก็ตั้งใจจะพาเขามาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว ก็พี่ซีไม่สบายเพราะผม เลยรู้สึกผิดอย่างห้ามไม่ได้ ผมไม่อยากให้เขาทรมานกับอาการหวัดที่ตัวเขาเองก็ดูหงุดหงิดเลยพามาหาหมอซะเลย
"ไปเร็วครับ"
"ไม่ไปเว้ย"
"เฮ้ยพี่ ทำไมดื้อวะ?"
"ก็กูไม่ได้เป็นอะไร"
"ก็เป็นหวัดเนี่ย"
"เดี๋ยวมันก็หายเอง ทำไมต้องมาโรงพยาบาลด้วย"
"ก็โรงพยาบาลมันมีหมอ"
"แต่มันก็มีผีด้วยไง!"
"..."
"เยอะด้วย"
ประโยคหลังเขาเสียงเบาลงไป ผมเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจว่าโรงพยาบาลคงเป็นสถานที่น่ากลัวสำหรับเขา
"ไม่อยากเข้าไปใช่ไหม"
"อือ"
"โอเค ไม่บังคับก็ได้"
พี่ซีพยักหน้ายิ้มๆ ผมเองก็ไม่อยากให้เขาต้องกลัวจึงตั้งใจจะพากันกลับ แต่ในจังหวะที่กำลังหันกลับ ผมหันไปเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาทางเราเลยดึงมือพี่ซีให้หลบ และในตอนที่จับมือเขาอยู่ก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาเพราะอุณหภูมิจากร่างกายเขา
"พี่ซี พี่ตัวโคตรร้อนเลยอะ"
"ก็ปกติเปล่า"
ผมส่ายหน้ายิกเลื่อนมือไปสัมผัสหน้าผากเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างตกใจ
"ไม่พี่ นี่มันโคตรร้อนเลย เฮ้ยนี่ไม่สนุกแล้วนะ เกิดมันเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือไข้เลือดออก ลามไปเป็นมะเร็งตับขึ้นมาจะทำยังไง"
"มึงก็เวอร์!"
"ไปหาหมอเถอะพี่ ไหนๆ ก็มาแล้ว"
ผมรู้สำหรับเขาโรงพยาบาลมันน่ากลัว แต่ความเจ็บป่วยมันก็อันตรายเช่นกัน เกิดเป็นอะไรหนักขึ้นมากว่านี้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไง ผมเดินนำเข้าตึกโรงพยาบาล แต่พี่ซีทำท่าอิดออดไม่ยอมตามมา
"มาเถอะครับ"
"แต่มัน..."
"เดี๋ยวให้จับมือตลอดทางเลยเอ้า!"
เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วยื่นมือมาจับมือผม ก่อนผมจะจูงมือเขาเข้าไป กลายเป็นเราสองคนเดินจับมือกันเข้าโรงพยาบาล เรียกว่าเดินจับมือกันก็ไม่ถูกซะทีเดียว ก็พี่ซีเอาแต่ก้มหน้างุด ส่วนผมก็แทบจะลากเขาเข้ามา สภาพเหมือนเด็กจูงหมาโกลเดนท์ตัวใหญ่ๆ แล้วหมาดื้ออะ หมาไม่ยอมเดินตามเลยต้องฉุดๆ เข้ามา ลำบากอะ
"กึก!"
ผมหยุดเดินไปด้วยหลังจากที่พี่ซีหยุดเดินกะทันหัน เดาได้ไม่ยากว่าเขาคงเห็นอะไรเข้าอีกแล้ว พี่ซียิ้มแห้งๆ แล้วหลบทางให้อะไรบางอย่าง
"อยู่ตรงนี้เหรอพี่"
เขาพยักหน้านิดๆ
"ไปแล้ว"
แล้วก็เป็นอย่างนั้นตลอดทาง เชื่อแล้วว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมสิ่งไม่มีชีวิตเหล่านั้นจริงๆ พี่ซีสะดุ้งเป็นรอบที่หลายสิบจนกระทั่งหาหมอเสร็จ เขาแทบจะวิ่งสี่คูนร้อยออกมาจากที่นั่น
"ไม่มาโรงพยาบาลแล้วนะ ต่อให้เจ็บป่วยปางตายก็ไม่ต้องพามา" เขาพูดด้วยเสียงหงุดหงิดเล็กๆ ผมแอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทางเหมือนเด็กงอแงของเขา
"นี่ถ้าไปตึกอุบัติเหตุพี่ต้องหัวใจวายตายแน่ๆ" ผมพูดแซว เพราะตึกนั่นน่าจะอุดมไปด้วยบรรดาผีที่ตายแบบไม่ปกติ แข้งขาหัก หัวขาดแขนหลุดอะไรทำนองนี้น่าจะเยอะ
"แค่นี้กูก็หายใจไม่ทันละ"
"เหงื่อเต็มมือเลยเนี่ย" ผมว่าแล้วแกล้งเอามือไปเช็ดกับเสื้อของเขา ตลอดเวลาเขาไม่ยอมปล่อยมือออกจนเหงื่อท่วมมือผมไปหมด เขาเองเลื่อนสายตามามองหน้าผมแต่ไม่พูดอะไร
"อะไร?"
"เปล่า"
"ก็พี่มองอะไรขนาดนั้น"
"มึงเหมือนเครื่องรางไล่ผีเลย"
อ้าว เห็นกูเป็นอะไร ยันต์กันผีหรือกระจกแปดทิศงี้?
"ถ้าเปลี่ยนกันได้ก็ดี มึงอยากเห็นผีแต่ไม่ได้เห็น กูไม่เคยอยากเห็นแต่ต้องเจอทุกวัน"
"ถ้าผมเจอแบบพี่ ผมก็กลัวแบบพี่แหละ"
พี่ซียิ้มให้หน่อยๆ
"เคยเจอหนักสุดแบบไหนเหรอ หัวขาดงี้ไหม หรือคลานออกมาจากทีวีนี่มีป่ะ"
"น่ากลัวสุดที่เคยเจอ ก็ผีกระโดดตึกตายอะ หน้ายุบไปครึ่ง กระดูกหักทั้งตัว มันไม่มีหน้าแต่พูดได้อะ หลอนโคตรๆ" เขาพูดพลางทำท่าขนลุกขนพอง ผมยังแอบสยองไปด้วย
"พี่ไม่เคยบอกใครเรื่องที่ตัวเองเห็นผีได้เลยเหรอ"
"บอกไปใครจะเชื่อวะ มีแต่คนโง่กับคนบ้าเท่านั้นแหละที่จะเชื่อ"
อ้าว!
"เฮ้ย ไม่ได้ว่ามึง"
"แต่มันเข้านี่เต็มๆ ไง แต่ก็ไม่เถียงหรอก ผมมันทั้งบ้าทั้งโง่ แต่ทำไงได้ละ"
"ถามอะไรหน่อยดิ"
"ครับ?"
"ทำไมถึงยังเชื่อว่ามันยังอยู่อะ"
ผมเงียบ มันอาจจะไม่มีเหตุผลแต่ผมแค่เชื่อว่าเขายังอยู่ ผมแค่รู้สึกว่าเขายังอยู่ ทั้งๆ เขาไม่มีตัวตน แต่ผมยังคงฝันถึง หลายครั้งก็รู้สึกไปเองว่าเขาอยู่ใกล้ๆ พี่ซีเคยบอกว่าคนที่ยังมีเรื่องค้างคาอยู่ต่อให้ตายก็จะไปไหนไม่ได้ ผมเชื่อว่าเขาเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น คนที่ยังวนเวียนอยู่
"เฮ้ย ทำไมต้องหน้าเครียดด้วยวะ ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้"
ผมส่ายหน้ายิ้มๆ
"กลับหอกันดีกว่าครับ"
"ไปดิ อยู่ที่นี่นานๆ ก็ไม่ชอบนักหรอก วันนี้เจอมาเยอะแล้วไม่อยากเห็นอะไร เหี้ย!"
พี่ซีร้องลั่นพร้อมกับกับหยุดกึก ผมหันไปมองสีหน้าของเขาซึ่งอาการคล้ายกับคราวก่อนที่หอแปดชั้น เดาว่าตรงหน้าเขาจะต้องมีอะไรที่สยองนองเลือดอยู่ตรงนั้นแน่ๆ จึงหลับตาแน่นพูดพึมพำคนเดียว
"กูไม่เห็น...กูไม่เห็น..."
แต่กูว่าเห็นนะพี่
ผมยิ้มออกมานิดหน่อยแล้วยื่นมือไปจับมือเขาเอาไว้ อีกคนลืมตาขึ้นมองมือของเราที่จับกันอยู่
"ไม่ต้องกลัวนะครับ"
มุมปากของพี่ซีขยับเป็นรอยยิ้ม แล้วเดินตามผมที่จูงมือเขาออกมา
"กึก!"
เขาหยุดเดินกะทันหันจนมือที่จับกันอยู่เกือบจะหลุดออกจากกัน เขาหันมามองผมด้วยใบหน้านิ่งๆ
"เมื่อกี้พูดอะไรนะ"
"ครับ?"
"เมื่อกี้หนูพูดอะไร"
"ยังไม่ได้พูดอะไรเลย"
พี่ซีกระพริบตาสองสามที แล้วหันมองซ้ายมองขวา แล้วหยุดมองตรงสบตากับผม
"เมื่อกี้ได้ยินจริงๆ นะ"
"ผีพูดมั้ง"
ผมกะแซวเล่น แต่พี่ซีไม่ตลก เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากหันมองบางอย่างก่อนมาหยุดนิ่งอยู่กับที่ หลับตาลงแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน เป็นกิริยาที่เป็นแบบนี้ทุกครั้งตอนที่เขาเห็นผี เขาพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วลืมตาขึ้นมองสิ่งตรงหน้าที่ผมไม่เห็น
"เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ"
เขาไม่ได้พูดกับผม ในสายตาผมมันก็คือการพูดคนเดียว แต่ในความเชื่อของผม ผมรู้ตรงนั้นยังมีใครอีกคน
"รออยู่เหมือนกัน"
"..."
"คิดถึงมากเหมือนกัน"
ผมเบิกตาขึ้นเพราะประโยคที่พี่ซีพูดขึ้นมา ประโยคที่พี่ซีอาจไม่เข้าใจ แต่ผมรู้ชัดเจนดี แค่นั้นผมก็รู้เลยว่ามันออกมาจากปากของใคร ผมพยายามจะบอกกับพี่ซีถึงคนที่เขากำลังคุยอยู่ เพราะความตกตะลึงทำให้เอ่ยมันออกมาอย่างติดขัด
"พี่ซี...นั่น...นั่นเพื่อนผม"
"เนี่ยเหรอคิท" พี่ซีพูด ไม่ใช่กับผม แต่กับบางสิ่งที่อยู่ทางด้านซ้ายของผม ดวงตาของพี่ซีเลื่อนจากพื้นถนนขึ้นไปจรดที่กลางอากาศ ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ รู้สึกชาไปทั้งหน้า ปากที่อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับขยับไม่ออก
"อ้าว" พี่ซีร้องออกมาเบาๆ แล้วหันซ้ายหันขวา
"พี่ซี"
"มันไปแล้ว"
"คิท"
ผมเอ่ยชื่อหนึ่งที่ค้างอยู่ในใจผมตลอดมา นั่นเป็นเขา ครั้งนี้เป็นเขาจริงๆ
"คิทยังอยู่"
พี่ซีพยักหน้ารับ
"มันอยู่ที่นี่เหรอ มันยังอยู่ตรงนี้ใช่ไหม"
"ตรงนี้ไม่อยู่แล้ว"
"พี่ซี! เรียกมันกลับมาได้ไหม! เรียกมันกลับมาก่อนได้ไหม!"
พี่ซีหันมองซ้ายมองขวาก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
"คิท! มึงอยู่ที่นี่ใช่ไหม ออกมาเลยนะเว้ย! พี่เขามองเห็นมึงได้ มึงออกมาเลยนะ!" ผมตะโกนลั่นวิ่งไปทั่วเพื่อต้องการให้เขาออกมา
"น่าน"
"ไอ้คิท! มึงออกมาสิวะ!"
"น่าน! มันไปแล้ว!"
"มันต้องอยู่ดิพี่ มันยังอยู่ที่นี่"
"ถ้าอยู่พี่ก็ต้องเห็นดิวะ! แต่นี่ไม่มีเว้ย!"
เสียงตะโกนของพี่ซีทำให้ผมหยุดการกระทำของตัวเอง ผมเป็นคนบ้า ยิ่งเหมือนคนบ้า ผมงมงายกับสิ่งเหล่านี้มานาน ผมอาจโหยหาและไร้ที่พึ่งพาจึงลุ่มหลงเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้ผมรู้และเชื่อสนิทใจว่านั่นคือคิท นั่นคือคิทจริงๆ
ผมทรุดตัวลงนั่งไปกับพื้น ไม่เคยอยากร้องไห้ แต่ทุกครั้งน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ผมเชื่อมาตลอดว่าคิทมันไม่ไปไหน และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเกิดขึ้นจริง ไม่รู้ว่าจริงหรือฝัน แต่หลายครั้งก็รู้สึกว่าคิทมันยังอยู่ตรงนี้ อยู่ใกล้ๆ กันมาตลอด
พี่ซีนั่งลงข้างๆ ผมแต่ไม่ได้พูดอะไร ให้ความเงียบปล่อยให้เรานั่งอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง ก่อนพี่ซีจะพูดขึ้นมาก่อนเพื่อปลอบประโลมผม
"ไม่เป็นไรนะ"
"ครับ"
"อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเขายังอยู่ไง"
ผมพยักหน้ารับคำพูดของพี่ซี
"พี่จำหน้าเขาได้แล้ว ถ้าเจอคราวหลังจะรีบบอกทันทีเลย"
ผมพยักหน้าอีกที
"แต่บอกเพื่อนนะว่ามาทีหลังมาแบบปกติก็ได้ มาสยองอย่างนั้นพี่หัวใจจะวายว่ะ" ผมยิ้มนิดๆ ออกมาได้เพราะคำพูดของเขา พี่ซีที่นั่งอยู่ตรงหน้าเลื่อนสายตามามองหน้าผม มือหนึ่งยกเท้าคางตัวเอง อีกมือยื่นมาจับหน้าผมให้เงยขึ้น แล้วบีบเข้ามาที่แก้มเบาๆ
"ยิ้มดิ"
"..."
"มึงยิ้มแล้วเหมือนหนู"
"พี่ซี"
เขาหลุดหัวเราะแล้วยกเช็ดน้ำตาที่เลอะหน้าของผม
"ก็อยากจะให้ยืมผ้าเช็ดหน้านะ แต่เลอะขี้มูกว่ะ เอาป่ะ"
"พี่เก็บไว้เหอะ"
"โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ เดี๋ยวพี่ซื้อเมล็ดทานตะวันให้กิน"
เขาว่าแล้วยื่นมือมาเคาะหัวผมเบาๆ ผมยิ้มออกมาเพราะเขาที่พยายามจะปลอบใจ แม้ผมจะไม่ได้อยากเป็นหนูแฮมเตอร์แต่ก็รู้สึกขอบคุณ และผมเชื่อพี่ซีหมดหัวใจโดยไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย
To be continued.
ตอนที่ 13
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
ผมมาอยู่ที่สุสานหลังวัดเพราะพี่ซีชวนผมมาหาผีสาวที่ตึกแปดชั้น ผมรู้ทีหลังว่าเธอชื่อ มินท์ มินท์เป็นคนมาบอกกับพี่ซีเรื่องน้ำขิง เพราะมินท์เราจึงไปช่วยน้ำขิงไว้ได้ทัน พี่ซีบอกว่ามินท์มาทวงบุญคุณด้วยการขอให้เอาอาหารที่อยากกินมาให้ พี่ซีเลยปฏิเสธไม่ได้เพราะบอกว่าโดนขู่จะหักคอให้ตาย วันนี้จึงลากผมมาเป็นเพื่อน ผมพร้อมที่จะเข้าไปในสุสานตั้งนานแล้วแต่คนข้างๆ ยังเหมือนจะทำใจไม่ได้
"พี่ ไปยัง จะมืดแล้ว ตอนมืดน่ากลัวกว่านี้อีกนะ"
"นี่ขนาดยังไม่ได้เดินเข้าไปยังออกมาต้อนรับกันเพียบเลย"
"อยู่กันเยอะเลยเหรอพี่"
"อย่างกับมีฟูลมูนปาร์ตี้"
"ไปเหอะน่า ไม่น่ากลัวหรอก"
"ก็มึงไม่เห็นอย่างกูนี่หว่า" พี่ซีทำเสียงอิดออดขณะที่ผมจับมือเขาลากให้เดินเข้าไป เอาจริงมันก็น่ากลัวอยู่เหมือนกันนะ สถานนี้เงียบสงบ เต็มไปด้วยโกศบรรจุอัฐิ บวกกับอากาศของฤดูฝน ลมพัดผ่านหน้าเย็นๆ ไม่อาจรู้ได้ว่าอะไรวิ่งผ่านหน้าหรือเปล่า แต่คนข้างๆ ผมรู้ เขาสะดุ้งเฮือกหลายต่อหลายครั้งก่อนเราจะมาหยุดกันที่โกศเก็บอัฐิของมินท์ รูปหน้าโกศนั่นยิ้มกว้างและผมเพิ่งเห็นหน้าตาของเธอเป็นครั้งแรก
"คนนี้เหรอมินท์ สวยนะเนี่ย"
"มันบอกว่า ตัวจริงสวยกว่าในรูปอีก" พี่ซีพูดขึ้น เธอคงอยู่ตรงนี้ด้วย พี่ซีจัดการจุดธูปแล้วปักลง แกะอาหารที่มินท์บอกว่าอยากกินวางเอาไว้ ผมวางดอกไม้สีขาวที่พี่ซีบอกว่ามินท์ชอบลงไป ผมกล่าวขอบคุณมินท์ในใจที่ช่วยเรื่องน้ำขิง ไม่อย่างนั้นเรื่องคงแย่มากกว่านี้ไปแล้ว
หลังจากเสร็จจากตรงนั้น ผมกับพี่ซีออกมานั่งที่เก้าอี้หน้าสุสาน พี่ซีไม่คุยกับผมเลย เพราะดูเหมือนจะยุ่งอยู่กับการทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ผมหันมองคนข้างๆ ที่พูดคนเดียวไม่ได้หยุด ซีจิตสัมผัสมากเลยพี่
"พี่ซี"
เขาละสายตาจากอากาศอีกฝั่งหันมาหาผมแล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ
"ทำไมมินท์ต้องฆ่าตัวตายด้วยอะ"
พี่ซีเงียบ ก่อนเลื่อนสายตาไปมองข้างหลังผม ผมเดาว่ามินท์อาจจะอยู่ตรงนี้แล้วไม่พอใจในคำถามของผมก็ได้จึงรีบออกปากไปก่อน
"หรือผมไม่ควรถาม ผมไม่รู้ก็ได้ครับ"
พี่ซีส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยปากเล่าให้ผมฟัง
"มันอกหักไง แค่อกหักก็หาเรื่องตายเฉยเลย กระจอกชิบ"
ผมหันมองพี่ซีที่หันไปด่าความว่างเปล่าข้างๆ ตัวผม
"ทำไม กูพูดผิดหรือไง อีผีไม่มีสมอง เป็นพี่เป็นน้องกู กูจะตบให้ กะอีแค่ผู้ชายคนเดียว ทำไม! มึงจะเอาหรือไง!"
"พี่ซี" ผมดุหน่อยๆ ตอนที่เขาโวยวายอยู่ ปกติคนไหมเนี่ยยืนทะเลาะกับวิญญาณ
"ยังไงก็ต้องขอบคุณมินท์จริงๆ นะครับ ถ้าน้ำขิงเป็นอะไรไป เราก็คงเสียใจกันมากกว่านี้"
"อืม มันไม่อยากให้ไอ้ขิงเป็นแบบมันไง ก็เลยรีบมาบอก"
ผมพยักหน้าเบาๆ
"มันเสียใจนะ ยังเสียใจอยู่จนทุกวันนี้"
"มินท์คงเหงามากใช่ไหม"
"เออ ถึงได้มาวุ่นวายกับกูบ่อยนัก" ประโยคนี้เขาพูดเคืองๆ ขณะหันมองตาขวางๆ
"ก็พี่เป็นคนเดียวที่มองเห็นพวกเขาได้นี่"
"ถามกูไหมว่ากูอยากเห็นหรือเปล่า... เฮ้ย!" ผมสะดุ้งตอนพี่ซีเสียงดังขึ้นมาขณะยังพูดไม่ทันจบประโยค ก่อนหันมองขวับไปอีกทาง
"มีอะไรเหรอพี่"
"เพื่อนมึงอะ" เขาพูดแล้วลุกขึ้น มองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาใครสักคน
"คิทเหรอ"
พี่ซีไม่ตอบผมก่อนจะเดินเข้าไปในสุสานนั่น ผมเองก็เดินตามไปด้วย
"เฮ้ย! จะไปไหนวะ" พี่ซีเปลี่ยนจากการก้าวเท้าเร็วๆ เป็นวิ่ง
คิท ถ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ก็ออกมาเหอะ มาคุยกันให้รู้เรื่อง ขอให้กูได้คุยกับมึงสักครั้ง
"เปรี้ยง!"
ทั้งผมและพี่ซีหยุดกึกเมื่อได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมา ไม่นานนักท้องฟ้าครึ้มๆ เมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นดำมืด เรามาหยุดอยู่ในด้านในสุดของสุสานที่ทะลุด้านหลังไปเป็นป่ารก บรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ ขนาดผมยังรู้สึกว่าที่นี่น่ากลัวเลย ผมมองพี่ซีที่มองมาทางผมและในป่านั่นสลับกันไปมา ก่อนเขาจะตัดสินใจเดินต่อไปยังป่ารกนั่น ผมไม่อาจรู้ได้ว่าเขามองเห็นอะไรบ้าง แต่ผมคิดว่ามันคงน่ากลัวขนาดนี้ทำให้เขาต้องกำหมัดแน่นแล้วเดินช้าลง
"พี่ซี..."
"เปรี้ยง!"
เสียงฟ้าคำรามไม่หยุด ในจังหวะเดียวกันฝนก็ลงเม็ดลงมา หนาเม็ดจนไม่อาจจะเดินฝ่าต่อไปได้ พี่ซีจึงดึงมือผมเข้าไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่
"น่านเปียกหมดเลย"
"ไม่เป็นไรครับ พี่เปียกกว่าอีก" ผมพูดขณะที่ถูกพี่ซีเอาตัวเองบังฝนที่สาดมาโดน
"เพื่อนน่านหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะหนีทำไม"
"ไม่เป็นไรพี่"
"ขอโทษนะ ตามให้ไม่ทันอีกแล้ว"
"พี่ซี..."
"ฮึ?"
"มันน่ากลัวมากใช่ไหม"
"..."
"สิ่งที่พี่เห็นอะ"
"น่านก็อยู่นี่ไง ไม่กลัวหรอก"
"ถ้าพี่กลัว ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ ผมไม่รู้ว่าพี่ต้องเห็นอะไรบ้าง แต่รู้ว่าพี่กลัว แล้วถ้ากลัวก็ไม่ต้องทำแบบนี้แล้วก็ได้"
เขาทำเหมือนไม่สนใจคำพูดของผม หันหน้าหนีไปอีกทาง แต่ยื่นมือมาจับมือผมเอาไว้ ก่อนคำพูดเบาๆ ดังแทรกเสียงฝนมาให้ผมได้ยิน
"กูทำเพื่อมึงนั่นแหละ"
ผมกัดริมฝีปากตัวเองแล้วก้มหน้าลง ความคิดในหัวผมตีกันให้วุ่นไปหมด ผมไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง เพราะไม่เคยรู้สึกอะไรกับใครแบบนี้มานานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นก็ตั้งแต่ตอนที่คิทยังมีชีวิตอยู่ ผมกับคิท เราเป็นมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่คนรัก และคิทจากผมไปทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันยังติดค้างอยู่ในใจผม
ผมรักคิทไหม
"เปรี้ยง!"
คิทรักผมไหม
"เปรี้ยง!"
แล้วต่อจากนี้ผมจะรักใครได้หรือเปล่า...
...
หน้าที่หลักหลังเลิกเรียนของผมก็ยังคงเป็นการที่ต้องแบกงานไปส่งอาจารย์ที่ห้อง ประธานเอกนี่มันต้องเป็นกันตลอดสี่ปีให้ครบวาระแบบนายกรัฐมนตรีเลยหรือไงวะ ไม่มีใครคิดอยากจะทำรัฐประหารหรือปลดผมออกกลางคันบ้างเลยหรือไง ผมบ่นอยู่ในใจแล้วก็รวบกองงานขึ้นถือ คราวนี้เป็นรายงานเล่มหนาของเพื่อนกว่าสี่สิบชีวิตในคลาสมันเลยหนักกว่าปกติ
"หนักป่ะวะ" ทิมที่ยังอยู่ในห้องเอ่ยถาม ผมขมวดคิ้วมองหน้ามัน ใบหน้าบูดบึ้งของผมก็น่าจะเดาได้ว่ามันหนักหรือไม่หนัก กูไม่ใช่นักยกน้ำหนักทีมชาติซะหน่อย
"งั้นเดี๋ยวกู..."
"จะช่วยเหรอ"
"ไปสูบบุหรี่รอที่รถนะ"
"เพื่อนเหี้ย!" ผมด่ามันชัดๆไปทีหนึ่ง อีกฝ่ายก็ทำหน้าลื่นแล้วเดินออกไป ผมส่ายหน้าเบาๆ แล้วเดินเอารายงานไปส่งที่ตึกคณะ แน่นอนว่าต้องผ่านห้องหุ่นอาถรรพ์ของตึกสถาปัตย์ และระหว่างทางนั้นผมหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาคุ้นๆ กำลังแบกเฟรมอันใหญ่กว่าตัวหลายเท่าด้วยท่าทางทุลักทุเล จึงส่งเสียงเรียกไป
"แคท"
เธอหันซ้ายหันขวาหาคนเรียกไม่เจอ ก่อนจะวางเฟรมลงแล้วมองเข้าไปในห้องหุ่นด้วยหน้าตาตื่นแปลกๆ ริมฝีปากผมยกขึ้นนิดๆ ก่อนในใจจะคิดเล่นอะไรสนุกๆ ผมวางกองรายงานไว้อีกมุมแล้วค่อยๆ เดินเข้าไป เฟรมที่สูงกว่าตัวบังผมมิดจนเธอไม่ทันมองเห็น จึงเปิดโอกาสให้ผมแกล้งได้สบายๆ ผมก้าวเท้าเบาๆ แล้วโผล่หน้าออกไปจากหลังเฟรม
"แคท!"
"กรี๊ด!"
"โอ๊ย!" ผมร้องลั่นเมื่อแคทใช้ไอ้เฟรมอันเท่าบ้านนี่ทุ่มมันลงมาใส่ จนผมลงมานอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นพร้อมกับโดนเฟรมนั่นหล่นทับ เหมือนตึกแปดชั้นถล่มใส่
"พี่น่าน!"
"เออ พี่เอง!"
"ไอ้พี่บ้า! เล่นอะไรเนี่ย ตกใจหมด" แคทดึงเฟรมออกไปจากตัวผม ก่อนผมจะค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นมา ตะปูหลังเฟรมเกี่ยวมือจนเลือดซิบ แม่งเอ๊ย! ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวเร็วเกินไป
"เจ็บไหมเนี่ย"
"เจ็บดิ"
"ก็พี่จะแกล้งหนูทำไมล่ะ" แคทยกเฟรมวางพิงกับผนังห้อง แล้วช่วยดึงผมให้ลุกขึ้น
"คิดว่าผีห้องหุ่นหรือไง"
"นี่ๆๆ! เงียบเลยนะ" แคทว่าแล้วยื่นมือมาปิดปากผม
"ทำไม"
"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่สิ ของเขาแรงจริงนะพี่"
ผมพยักหน้าเบาๆ ก็ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อซะหน่อย มันเป็นห้องเก็บหุ่นของพวกที่เรียนประติมากรรม หุ่นบางตัวก็น่ากลัวจริงผมไม่ปฏิเสธ แต่พี่ซีบอกว่าเขาไม่เคยเห็นผีในห้องนั้น มันเป็นแค่เรื่องไซโคโง่ๆ จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องเท่านั้นผมก็เลยเชื่อพี่ซีมากกว่า
"แล้วนี่จะแบกอะไรมาเนี่ย"
"งานของเทอมที่แล้ว อาจารย์ให้เอากลับบ้านอะ"
"แล้วไม่มีใครช่วยเหรอ แฟนไปไหนอะ"
"อย่าพูดถึงได้ป่ะพี่ หงุดหงิด"
"ทะเลาะกันอีกละ?"
"ทุกวันอะพี่"
"ไม่ดีทำไมไม่เลิกวะ"
"รักไง"
แคทพูดหน้ายุ่งๆ ผมเองก็ได้แต่พยักหน้าเบาๆ อยากทำความเข้าใจน้องแล้วก็ปลอบใจมันเหมือนกัน แต่เรื่องของตัวเองยังจัดการไม่ได้เลย ไม่กล้าเสนอหน้าไปช่วยใครหรอก
"แล้วนี่จะขนไปไหนอะ พี่ช่วยป่ะ"
"ไม่เป็นไรพี่ หนูมีคนช่วยแล้ว"
"ใครอะ"
"พี่รหัสหนู ดีดนิ้วทีเดียวก็มาแล้ว นู่นมาพอดี" แคทพยักหน้าไปอีกทาง ผมหันไปมองก่อนจะพบผู้ชายตัวสูงอยู่ในชุดนักศึกษาที่ไม่เรียบร้อยกับรองเท้าอีเตะกากๆ ใบหน้าที่คุ้นเคยดีนั่นหันมาเห็นผมก่อนเราจะอยู่ในอาการเดียวกัน
"พี่ซี"
"หนู"
"อ้าว พี่สองคนรู้จักกันเหรอ?"
"แล้วแคทรู้จักน่านด้วยเหรอ"
"แล้วพี่เป็นพี่รหัสแคทเหรอ" ไม่มีใครให้คำตอบ เอาแต่ผลัดกันถามจนกระทั่งเราหัวเราะออกมาพร้อมกัน ดึงสติแล้วมาคุยกันดีๆ ผมจึงรู้ว่าน้องรหัสที่พี่ซีรักนักรักหนาก็คือแคทน้องสาวของคิทซึ่งเป็นเพื่อนของผม ทฤษฏีโลกกลมทำหน้าที่ของมันได้ดีเยี่ยมอย่างไม่เคยรู้มาก่อน
ผมกับพี่ซีช่วยแคทขนเฟรมรูปวาดนั่นไปส่งที่รถขนของ ก่อนผมจะแยกไปส่งรายงานแล้วเดินกลับไปหาไอ้ทิมที่ยืนรอหน้าหงิกรออยู่ที่รถ เข้าไปถึงก็บ่นใส่ทันที
"มึงไปไหนมาวะนานจัง"
"ใครใช้ให้มึงรอล่ะ มึงจะกลับก่อนก็ได้นี่"
เพราะพูดแบบนั้นจึงโดนกำปั้นเขกหัวเข้ามาแรงๆ ทีหนึ่ง
"เจ็บ!"
"เถียงกูอะ"
ผมได้แต่ขยับปากด่าแบบไม่มีเสียงตอนไอ้ทิมหันไปอีกทาง
"เมื่อกี้กูเห็นมึงเดินไปกับไอ้ฝรั่งนั่นอะ"
"พี่ซี"
"จะเอบีซีอะไรกูไม่สนอะ แล้วมึงสนิทกับมันมากหรือไง"
"แล้วมึงนอยด์อะไรอะ หึงกูป่ะ"
"หึงป้ามึงดิ!"
"จะไปรู้เหรอ เห็นดุกูจัง"
"กูไม่ได้หึงเว้ย กูเป็นห่วง"
"ห่วงเรื่องอะไร"
"มึงจะรักใครอะ..."
"..."
"ขออนุญาตไอ้คิทหรือยัง"
คำพูดของทิมกระแทกเต็มแรงเข้าที่ความรู้สึกของผม ลำพังตัวเองก็สับสนอยู่มากพอแล้ว ยังจะมาพูดแบบนั้นให้ผมคิดมากเข้าไปอีก ก็แล้วจะให้ทำยังไง...จะให้ผมทำยังไง
...
ผมกลับมาถึงหอแต่ไม่ทันจะเปิดประตูเข้าไป ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมีแขนของใครสักคนพาดเข้ามาคล้องคอ เอาจริงๆ ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใคร มีคนเดียวในหอที่แขนใหญ่แล้วก็หนักแบบนี้
"พี่ซี หนัก!"
"ทำไมมาช้าจังอะ"
"ไปหาอะไรกินมา"
"อ้าว ว่าจะชวนกินข้าวซะหน่อย"
"ถ้าพี่เลี้ยงก็ไปได้"
"เห็นแก่กิน"
ผมยักไหล่หน่อยๆ ก็พี่รวย อยากปลอกลอกพี่
"ไปเดินเล่นกันป่ะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงไอติม"
"เดินเล่น?"
"อือ วันนี้อากาศดี ฝนไม่ตกหรอก"
"แล้วพี่ไม่ไปกินเหล้าเหรอ"
"จะเลิกแล้ว"
"ตอแหล"
ผมเผลอพูดหยาบใส่อีกฝ่ายจึงขยับแขนที่พาดอยู่บนคอล็อกแน่นจนผมตัวลอย
"พี่ซี!"
"เป็นหนู ไม่มีสิทธิ์พูดจาหยาบคาย"
"ทีพี่ยังหยาบได้เลย"
"พี่เป็นพี่ไง"
"ไม่แฟร์!"
"อ่ะๆ เดี๋ยวต่อไปนี้พี่พูดเพราะกับน่านก็ได้"
"ถ้าหลุดหยาบมา ผมตีปากพี่เลยนะ"
"ได้ดิ สรุปไปป่ะเนี่ย เดินเล่นอะ"
"แล้วเลี้ยงไอติมอะไรอะ"
"ก็ไปเลือกเอาดิ"
"แล้วเอาสองอันได้ไหม"
พี่ซีหันขวับมองตาขวาง ผมจึงยิ้มแห้งๆ กลับไป ก่อนจะยอมออกไปเดินเล่นกับเขา อากาศดีอย่างที่เขาบอกเราจึงเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย แวะซื้อไอติมในมินิมาร์ทใกล้หอ ผมเอามาสองโคนเพราะคิดจะโลภมากแต่กินไม่ทันมันละลายก่อน พี่ซีเลยเอาอันที่เหลือไปกินต่อ เราเดินผ่านสวนสาธารณะ แวะเล่นของเล่นเด็กอยู่พักหนึ่ง เรื่องที่อยากจะพูดคุยก็ผุดขึ้นมาผลัดกันชวนคุยจนบทสนทนาระหว่างเราไม่ได้เงียบเลย ผมก็ไม่รู้ว่าที่ทำอยู่มันรู้สึกยังไง แต่ที่แน่ๆ ผมกำลังสบายใจ...สบายใจมากจริงๆ
"พี่ซี"
"ฮึ?"
"พี่ชอบแคทเหรอ"
"ตลก"
"ไม่ชอบเหรอ"
"รักมันนะ แต่ไม่ใช่แบบนั้น"
"รักแบบน้องสาว"
"อือ แบบน้องสาว"
"พี่นี่มีคนในครอบครัวเยอะเนอะ" ผมพูดแซวๆ ก็เขารักทุกคนเหมือนเป็นเป็นพี่น้อง ดังนั้นคนในครอบครัวเขาจึงเยอะเป็นพิเศษ
"พี่ก็รักน่านแบบคนในครอบครัวนะ"
"แบบพี่น้องอะเหรอ"
"แบบผัวเมียอะ"
"เพี๊ยะ!"
ผมยกมือตบปากเขาเข้าไปทีหนึ่ง
"ตบทำไมเนี่ย!"
"ก็บอกว่าพูดหยาบจะโดนตีปากไง" พี่ซีขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วหันไปบ่นพึมพำ
"เป็นผัวเมียกันมันหยาบคายตรงไหนวะ"
ผมยกมือชกไหล่พี่ซีแรงๆ ซ้ำไปอีกทีหนึ่งเพราะความหมั่นไส้ล้วนๆ เขาหัวเราะแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ
"พี่เคยบอกแคทเรื่องคิทป่ะ"
"ก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นน้องไอ้คิทวันนี้แหละ"
"อ้าวเหรอ"
"แคทมันก็ไม่เคยพูดถึงพี่มันเลยนะ"
"คิทตายไปนานแล้ว คงมีแต่ผมที่ยังไม่ปล่อย"
"ชอบมันมากเหรอ"
"ครับ?"
"น่านอะ ชอบไอ้คิทมากเหรอ"
"..."
"ยังรักมันอยู่เหรอ"
"..."
"ปัง!"
เสียงดังลั่นขัดบทสนทนาของเราเป็นเหตุให้ผมทั้งเขาและหันไปมอง พลุที่แตกประกายอยู่บนท้องฟ้าคือต้นเหตุของเสียงเมื่อครู่ มีลูกทีสอง สาม สี่และตามติดๆ กันจึงดึงความสนใจของอีกฝ่ายไป จนลืมคำถามเมื่อครู่
"สวยว่ะ" พี่ซีว่าแล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ผมเผลอมองหน้าเขา แสงไฟจากพลุส่องประกายอยู่ในดวงตาของเขา คำถามของเขาก็วิ่งวนอยู่ในหัว และก็เป็นอีกครั้งที่ผมยังไม่ได้พูดความรู้สึกของตัวเองออกไป
To be continued.
ตอนที่ 15
เท่านี้ที่อยากได้ยิน
"คิทอยู่ที่นี่แล้ว"
"พี่ว่าอะไรนะ"
"คิทอยู่ที่นี่แล้ว ยืนอยู่ตรงนี้ ข้างๆ น่านเลย"
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะคำพูดของพี่ซี หันมองไปรอบๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีทางมองเห็น ผมเลื่อนสายตาเงยขึ้นมองหน้าพี่ซีที่พยักหน้าเบาๆ ให้ผมเชื่อว่าคิทอยู่ตรงนี้จริงๆ
"สิ่งที่อยู่ในใจน่าน พูดมันออกมาสิ"
ผมยังคงเงียบอย่างคนไม่มีสติ ผมเกลียดฝนยิ่งกว่าอะไรแต่วันนี้ไม่แม้แต่จะก้าวเท้าเขาไปหลบ พี่ซีที่ไม่เคยยอมให้ผมเปียกแม้แต่ละอองฝน แต่วันนี้เขากลับปล่อยให้ผมเปียกปอนอยู่อย่างนั้น เม็ดฝนที่หนาเม็ดขึ้นกระทบใบหน้าและร่างกายจนรู้สึกเจ็บผมจึงได้สติกลับมาในตอนนั้น
"พี่ซี พี่ไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม" ผมถามออกไปโง่ๆ ทั้งๆ ที่ใจผมมันเชื่ออย่างสนิทใจอยู่แล้ว เพราะคนๆ นี้คือพี่ซี เขาไม่มีทางโกหกผมอยู่แล้ว
"คิทอยู่ตรงไหนครับ"
พี่ซีเลื่อนสายตาไปทางซ้ายของผม ผมเองขยับตัวเองหันตามไปทางนั้นด้วย ผมมองไม่เห็นอะไรนอกจากสายฝนที่กระหน่ำตกลงมา คิทอยู่ตรงนี้แล้ว ข้างๆ ผมเลย ผมมีเรื่องอยากพูดตั้งมากมาย แต่ความรู้สึกในใจมันก็ติดขัดซะจนพูดไม่ออกขึ้นมาซะอย่างนั้น สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่ได้
"น่าน"
ผมพยักหน้ารับพี่ซี แล้วถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง พร้อมจะพูดเรื่องที่อยากพูดออกไป
"คิท กูคิดถึงมึงนะ"
"..."
"คิดถึงมึงจริงๆ"
"..."
"มึงทิ้งกูไปแบบนี้ได้ไงวะ"
"..."
"กูไม่รู้ว่ากูกำลังทำอะไรอยู่ กูบ้าหรือเปล่าที่เชื่อว่ามึงยังอยู่ กูแค่มีความเชื่อโง่ๆ เชื่อว่ามึงจะกลับมา"
"..."
"กูรักมึง"
ผมพูดคำนั้นออกไป ขณะที่พี่ซีหันมองไปอีกทาง ก้าวหนึ่งที่พี่ซีถอยออกไปจากผม หากแต่คำพูดอีกคำของผมหยุดเขาเอาไว้
"แต่ตอนนี้รักคนอื่นไปแล้ว"
"..."
"ยกโทษให้กูนะคิท"
"..."
"แต่กูรักเขาได้ใช่ไหม"
พี่ซีไม่ได้พูดอะไรกระทั่งตอนที่ผมก้าวเท้าเขาไปหาเขา
"พี่ซี คิทมันได้ยินผมไหม"
พี่ซีไม่ตอบ ยังคงเงียบจนผมต้องถามซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
"พี่ซี คิทได้ยินไหม"
"ได้ยิน มันได้ยินทุกอย่าง"
"คิทตอบผมไหม"
"..."
"พี่ซี คิทตอบว่าไง"
"..."
"พี่ซี ถามคิทสิว่าผมรักพี่ได้ไหม!"
"ได้"
ผมพยักหน้ารับก่อนก้มหน้าลงช้าๆ ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่พยายามกลั้น
"แค่นี้ใช่ไหมที่อยากได้ยิน"
พี่ซีพูดเสียงเรียบก่อนขยับเข้ามาดึงตัวผมเข้าไปกอด ผมพูดเรื่องที่อยากพูด ผมถามเรื่องที่อยากถาม แม้เป็นเรื่องโง่เง่าไร้สาระแต่นั่นทำให้เรื่องค้างคาที่เกาะกุมอยู่ในใจของผมถูกคลายออก กำแพงสูงที่เคยขวางกั้นพังทลายลงตรงนั้น ผมต้องรู้ตัวและยอมรับ คิทตายจากผมไปแล้ว ผมจะเก็บคิทไว้เป็นความทรงจำที่ดีที่สุด และชีวิตผมต้องเดินต่อไป
...
วันต่อมาผมไปเรียนไม่ทันเพราะลืมตั้งนาฬิกาปลุก แถมฝนยังตกหนักมากเลยเป็นเรื่องยากที่จะลุกขึ้นมาจากเตียง ผมทิ้งตัวนอนกลิ้งอยู่บนเตียงในตอนบ่ายๆ ของวัน หิวก็หิวแต่ขี้เกียจฝ่าฝนออกไปหาอะไรกินเลยนอนหิวมันอยู่อย่างนั้น
"ก็อกๆๆ"
"พี่น่านครับ!"
ผมเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงหลังจากได้ยินเสียงเรียกของไคโร เดาว่าวันนี้ไคโรก็โดดเรียนเหมือนผม มันยังคงเรียกซ้ำเสียงดังอยู่ที่หน้าประตู ผมจึงไหลลงมาจากเตียงแล้วลากเท้าออกไปเปิดประตูให้
"มีไร"
"เฮียให้มาเรียกลงไปกินข้าว"
"ขี้เกียจอะ"
"ไม่ต้องขี้เกียจเลย เฮียสั่งพิซซ่ามาให้ ไปเร็ว"
"ยังไม่ได้อาบน้ำเลย"
"ไม่ต้องอาบหรอก หอมแล้ว"
ผมตัวแข็งทื่อเมื่อโคโรยื่นหน้าเข้ามากดปลายจมูกเข้าที่ข้างลำคอของผม
"เฮ้ย ทำอะไร!"
"ก็ดมไง"
"โรคจิตป่ะเนี่ย!"
"อะไรอ่า"
ผมรีบก้าวเท้าหนีไคโรลงไปข้างล่าง ขณะที่มันก็เดินตามมาด้วยพร้อมกับพล่ามถามไม่หยุด
"พี่น่านว่าใครโรคจิต ฮะ!"
"ก็มึงไง"
"โรคจิตยังไง! โรคจิตตรงไหน!"
"อย่ามานั่งข้างกูนะเว้ย!" ผมผลักไคโรออกไปตอนที่มันกำลังจะตามมานั่งข้างๆ บนโซฟา มันจึงถอยไปนั่งกับเท็นแทน
"เป็นอะไรกันวะ"
"พี่น่านว่าผมเป็นโรคจิตอะ"
"แล้วมึงไปทำอะไรเขาล่ะ"
"ก็แค่ดมเอง"
"แต่มึงดมซอกคอกูเลยนะเว้ย!"
"มึงว่าไงนะ" เสียงของพี่ซีที่โผล่มาจากด้านหลังถามขึ้น
"ไม่มีไรเฮีย"
"มึงทำอะไรน่าน"
"ดมเฉยๆ"
ผมชี้นิ้วจิ้มเข้าที่ลำคอตัวเองเพื่อฟ้องพี่ซีว่าไคโรกดจมูกลงมาตรงนี้เลย ผ่านใบหน้าบูดๆ ของตัวเองพี่ซีเลยรู้ว่าผมไม่พอใจไคโร เขาจึงจัดการเด็กนั่นด้วยการหยิบหมอนขึ้นฟาดในทันที
"โอ๊ย! เจ็บนะเฮีย!"
"ไอ้โรคจิต!"
"เฮียพอแล้ว ขอโทษๆ!"
ไคโรกลิ้งตัวหนีลงไปนั่งกับพื้นแล้วยกสองมือขึ้นพนมเพื่อขอร้องให้พี่ซีหยุด ผมหลุดขำกับท่าทางของมันจึงโบกมือปัดๆ เป็นเชิงให้พี่ซีหยุด เขาจึงโยนหมอนใส่หน้าไคโรไปอีกที ชี้นิ้วคาดโทษแล้วก้าวเท้ามานั่งข้างๆ ผม
"ทำเป็นว่าผม จริงๆ เฮียก็อยากทำใช่ป่ะล่ะ"
"อะไรมึง"
"ตอนเมายังบอกว่าอยากได้พี่น่านอยู่เลย"
"ไอ้ไคโร"
"จริงๆ นะพี่น่าน วันนั้นเฮียบอกว่าพี่น่านโคตรน่าปล้ำเลย"
"หนูอย่าไปฟังมัน" พี่ซีว่าพลางยกมือขึ้นปิดหูผม
"เฮียอะโรคจิตกว่าผมอีก นี่อย่าให้ผมเล่านะว่าเฮียเคยพาใครมานอนที่ห้องอะ"
"ไอ้ไคโร!"
พี่ซีปล่อยมือจากหูผมแล้วกระโดดเข้าไปตีกับไคโร เท็นส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วขยับมานั่งข้างๆ ผม แล้วชวนกันกินพิซซ่าที่วางอยู่บนโต๊ะ
"น่านเอาอันไหน"
"เอาอันนี้"
ผมชี้ไปที่พิซซ่าหน้าที่ชอบ ก่อนเท็นจะหยิบมันออกมาให้ ผมกัดพิซซ่านั่นเข้าไปคำโต ความหิวผสมโรงกับความอร่อยผมจึงซัดพิซซ่าชิ้นนั้นเรียบในเวลาอันรวดเร็ว พี่ซีที่เลิกตีกับไคโรแล้วกลับมานั่งข้างๆ ผม
"อร่อยเหรอมากครับ"
"อร่อย"
"เอาอีกไหม"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนพี่ซีจะหยิบมาให้อีกชิ้น แต่คราวนี้เป็นขอบชีสที่ผมไม่ชอบจึงพลิกด้านขอบนั่นส่งให้คนข้างๆ
"ไม่กินขอบ กินให้หน่อย"
"เฮียไม่กินพิซซ่า เอามาให้ผมก็ได้"
ไคโรพูดขึ้นแล้วอ้าปากรอ ผมกำลังจะเลื่อนมือไปป้อนใส่ปากไคโรแต่ถูกพี่ซีดึงกลับแล้วก้มลงงับไปก่อน
"ใครบอกกูไม่กิน"
"เอ้า! ปกติไม่เห็นกิน"
"น่านป้อน กูเลยกิน" พี่ซียิ้มหน่อยๆ ขณะเคี้ยวพิซซ่าเต็มปาก ผมก็หลุดยิ้มตามออกมาแล้วกัดพิซซ่าในมือตัวเองบ้าง มื้อกลางวันตอนบ่ายๆ ของพวกเราดำเนินไปพร้อมเสียงพูดคุยกระทั่งจบลงด้วยความอิ่มจนตัวแน่น
พี่ซีบอกว่าป้าทิพย์ลากลับบ้านที่ต่างจังหวัดอาทิตย์หนึ่ง ช่วงนี้เราจึงต้องทำความสะอาดกันเอง ใช้คำว่าเราไม่ถูกนักเพราะเห็นมีพี่ซีคนเดียวที่กำลังเก็บกวาดเช็ดถูห้องนั่งเล่นตรงนี้ ผมอิ่มแล้วกลายเป็นก้อนๆ จึงขยับไม่ได้ ไคโรนั่งเล่นเกมในมือถือ เท็นนั่งเกาพุงไอรอนแมนพร้อมกับดูซีรีส์ในทีวีไปด้วย
"ไอ้ไค ไปหยิบถุงขยะให้หน่อยดิ"
"ทำไมต้องมาใช้อะ"
น้องเล็กของหอบ่นอุบเพราะถูกเรียกใช้ แต่เท่าที่ผมเห็นพี่ซีก็เรียกใช้มันบ่อยที่สุดในบรรดาพวกเราแล้ว
"ใช้อยู่ได้ เฮียไม่มีมือมีตีนหรือไง"
"กูมีมือมีตีน แต่ก็มีมึงไว้ใช้งานด้วยไง ไปหยิบมา!"
"ค้าบ!" ไคโรโยนมือถือทิ้งก่อนวิ่งไปหยิบถุงขยะมาส่งให้พี่ซี เจ้าของหอที่ตอนนี้พ่วงตำแหน่งแม่บ้านไปด้วย คุกเข่าลงข้างโต๊ะแล้วเก็บเศษซากที่เหลือจากการกินเมื่อครู่ลงถุงขยะ หยิบผ้าที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าหลังกางเกงขึ้นมาเช็ดโต๊ะจนเงาวับ ผมหลุดขำออกมาต่อหน้าเขา
"ขำไรหนู"
"พี่เป็นเจ้าของหอจริงใช่ป่ะ"
"เออดิ ชีวิตกูต้องมาลำบากอะไรเนี่ย"
"ช่วยไหมครับ"
"นั่งเฉยๆ เหอะเราอะ"
เขาพูดแค่นั้นก่อนจะยกขาผมขึ้นเพื่อเช็ดเศษอาหารที่ตกอยู่ที่พื้น ก่อนรวบถุงขยะไปพิงไว้ข้างโซฟาแล้วหันไปสั่งไคโรอีกที
"เอาขยะไปทิ้งด้วยมึงอะ"
"ผมอีกละ!"
"มึงจะลุกไปทิ้งดีๆ ไหม"
"โอเคๆ เดี๋ยวทิ้ง"
"ทิ้งให้คนอื่นทำอะดิ ลุกเลย!"
"พี่ซี เดี๋ยวผมเอาออกไปทิ้งเอง" ผมเสนอตัว
"ไม่ต้อง ให้ไอ้ไคมันทำ เดือนนี้มันยังไม่จ่ายค่าหอพี่ ให้มันทำงานใช้หนี้"
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะออกไปซื้อของข้างนอกพอดี"
"ข้างนอกฝนตกอยู่นะ"
"ไปได้"
"งั้นเดี๋ยวพี่ไปด้วย"
ผมไม่ได้ปฏิเสธตอนที่พี่ซีบอกจะมาด้วย ถึงห้ามเขาก็ต้องมาอยู่ดี และร่มคันใหญ่ในมือคนตัวสูงก็ช่วยให้ผมไม่เปียกอย่างทุกครั้ง กระทั่งเราเดินมาถึงมินิมาร์ท ผมตั้งใจมาซื้อครีมอาบน้ำแต่ดูท่าจะต้องเสียเงินไปกับช็อกโกแลตลดราคาอีกจำนวนหนึ่ง ผมหันมองพี่ซีที่ยืนอยู่หน้าชั้นเครื่องดื่ม ขณะที่พี่ซีกำลังยื่นมือทำท่าจะหยิบขวดเบียร์ ผมก็ยื่นมือตัวเองไปจับมือเขาเอาไว้ก่อน
"พี่ไม่กินเบียร์ได้ไหม"
"ห้ามเหรอ"
"ไม่ได้ห้าม ขอร้อง"
"ไม่ต้องกินหรอกนะ"
"..."
"นะครับ"
"..."
"ไม่ต้องกินได้ไหม ฮึ?"
"อย่ามาทำตัวน่ารักนะไอ้เด็กคนนี้"
"ก็ผมเป็นห่วงพี่ไง"
พี่ซีนิ่งไปครู่หนึ่งตอนผมพูดแบบนั้น เขาเงียบจนผมต้องสะกิดถามว่าผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
"ดีใจว่ะ เหมือนไม่มีคนเป็นห่วงมานานแล้วอะ"
ผมหลุดยิ้มออกมาในตอนนั้น แล้วหยิบน้ำผลไม้สองกล่องขึ้นมาตรงหน้าแทน
"กินอันนี้แทนนะ"
"ได้ครับ"
เขายอมรับอย่างว่าง่าย ผมก็ดีใจที่เขาเชื่อผม ไม่งั้นพี่ซีต้องเป็นแอลกอฮอล์ลิซึ่มแน่นอน เสร็จจากซื้อของเราก็กลับมาที่หอ ไคโรกับเท็นไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว พี่ซีก็หายเงียบเข้าไปในห้อง ผมเป็นคนเดียวที่ไม่มีอะไรทำ ทิ้งตัวเองลงบนโซฟาอย่างเบื่อๆ หยิบรีโมทขึ้นจิ้มไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่เจอช่องที่ถูกใจจึงกดปิดไป หันไปเล่นกับแมวแมวยังเดินหนีเลยคิดดู ผมเลยคิดจะกลับไปนอนต่อบนห้องดีกว่า แต่แค่จะเดินขึ้นบันไดชั้นสามก็ยังขี้เกียจจึงยืนมองขั้นบันไดอยู่อย่างนั้นเพื่อทำใจก่อน
"เป็นอะไรอะ"
ผมหันมองพี่ซีที่เปิดประตูห้องออกมา
"ขี้เกียจขึ้นบันไดอะ พี่ทำลิฟต์ได้ไหม"
"ชั้นสามเอง"
"แค่คิดก็หนื่อยแล้วอะ"
"งั้นมาห้องพี่ก่อน" พี่ซีพูดพลางเปิดประตูห้องให้ ผมไม่ปฏิเสธแล้วเดินเข้าไปในห้องเขาแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆ ทันที พี่ซีที่เดินตามเข้ามายืนขำผมอยู่ข้างๆ เตียง
"หัวเราะไร"
"พุงออก" เขาว่าแล้วดึงเสื้อผมที่เปิดขึ้นตอนนอนลงมาปิดพุง
"ก็พี่แหละ เลี้ยงพิซซ่าทำไม"
"แล้วหนูกินเยอะทำไม"
"อร่อยไง" ผมตอบเสียงเบา ก่อนพี่ซีจะนั่งลงบนเตียงด้วยกัน ผมหันไปสนใจโมเดลการ์ตูนใกล้ๆ หัวเตียง มือซนหยิบมันมาตัวหนึ่งแต่เจ้าของก็ดูไม่ได้หวง
"พี่ชอบเหรอ"
"เปล่า ของพ่อ"
ผมพยักหน้ารับแล้ววางมันลงที่เดิม ผมรู้มาจากเท็นว่าพ่อของพี่ซีเสียไปเมื่อสามปีก่อน แต่ตัวพี่ซีเองไม่เคยพูดถึง เอาจริงๆ ก็ไม่เคยพูดเรื่องตัวเองให้ผมฟังเลย
"พี่ซี"
"ฮึ?"
"พี่เป็นลูกครึ่งอะไร"
"แม่เป็นฝรั่งเศส"
"แล้วพี่พูดภาษาฝรั่งเศสได้ไหม"
"ฟังออกแต่พูดไม่ได้"
"อ้าว ทำไมอะ"
"พี่เกิดที่นี่ โตนี่ที่ มีแววจะตายที่นี่ด้วยจะไปพูดกับใครล่ะครับ"
"แม่ไม่สอนเหรอ"
"แม่พูดไทยใส่ตลอดอะ"
"นี่มันฝรั่งปลอมชัดๆ"
พี่ซีส่ายหน้าขำๆ ผมชวนเขาคุยเรื่องที่อยากรู้ กระทั่งรู้สึกหนักที่ตาเพราะง่วงนอนจึงมุดหน้าลงไปบนหมอน
"จะนอนเหรอ"
"นอนได้ไหม"
"ได้ดิ"
"พี่นอนไหม"
"ไม่ดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปทำงานส่งอาจารย์ก่อน"
ผมพยักหน้ารับ ตอนที่เขากำลังลุกออกไปก็ดึงมือเขาเอาไว้ก่อน
"พี่ซี"
"หืม?"
"คิทมันไม่ได้โกรธผมใช่ไหม"
"ไม่โกรธหรอก"
"ค่อยสบายใจหน่อย"
"..."
"เพราะผมชอบพี่มากเลยนะ"
...
To be continued.
ตอนที่ 17
ตายแล้วแต่ยังอยู่
ซี solo :
ผมโกหกน่าน เพราะคิดว่ามีผมเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรจริงไม่จริง ผมอยากปล่อยให้น่านเชื่อแบบนั้นแล้วก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทุกอย่างมันดีอยู่แล้วผมไม่ควรทำมันพัง แต่ความรู้สึกผิดตามติดตัวผมเป็นเงา น่านเชื่อในตัวผม และยิ่งเขาเชื่อมากเท่าไร ความผิดของผมก็กัดกินใจไปมากเท่านั้น จริงอยู่ที่ความจริงเรื่องนี้มันไม่มีคนรู้ แต่ผีรู้
มีผีตัวหนึ่งที่รู้
"พี่หลอกน่านทำไม"
ผมหันไปมองเสียงที่ดังก้องขึ้นข้างหู แต่ไม่มีใคร มือกำขวดเบียร์แน่นตอนที่เสียงหลอนนั่นดังขึ้นอีกที
"พี่หลอกน่านทำไม!"
สิ้นเสียงที่ตะโกนอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น เจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เพราะผมมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ผมจึงมองเห็นมัน...ไอ้คิท
มันมาในรูปแบบการตายที่สยดสยอง ผมกลัวแต่ต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ผมยกเบียร์ขึ้นกรอกปากหมดขวดในทีเดียว แล้วเดินขึ้นห้องโดยไม่พูดอะไร ไอ้ผีตัวนั้นยังคงตามมากรอกหูด้วยคำถามเดิม
"พี่หลอกน่านทำไม!"
"..."
"ผมรู้ว่าพี่เห็นผม"
ผมเกลียดการที่ตัวเองมองเห็นผีได้ แล้วยังต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ไม่รู้ว่าอะไรก็ตามที่บงการให้ผมเป็นแบบนี้ ผมอยากบอกว่ามันหนักเกินไปสำหรับผม ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันมองสิ่งที่น่าสยดสยองตรงหน้า
"ทำหน้าดีๆ แบบนี้กูกลัว"
วิญญาณสยองหน้าค่อยๆ แปรสภาพกลับมาเป็นวิญญาณในรูปแบบปกติ ผมจึงได้เห็นหน้าชัดๆ ของคนที่ชื่อคิท คนที่เป็นพี่ชายของแคท คนที่น่านเคยรัก
"มึงไม่หนีกูแล้วเหรอ" ผมถามเสียงเรียบ เพราะทุกครั้งที่ไอ้คิทต้องการจะปรากฏตัว เมื่อมองมาเห็นผมมันก็จะรีบหนีไปราวกับไม่กล้าสู้หน้า แต่คราวนี้มันยอมโผล่มาให้เห็นกันซึ่งๆ หน้า สาเหตุเพราะผมไปโกหกน่านว่าคิทมันอยู่ด้วย ก่อนน่านจะยอมพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาจนหมด ผีที่ถูกพาดพิงคงไม่พอใจจึงตามมาโวยวายกับผมถึงที่
"ผมถามว่าพี่โกหกน่านทำไม!"
"กูแค่อยากรู้ว่าน่านคิดอะไร"
"แค่นั้นถึงกับต้องโกหกมันเรื่องผมเลยเหรอ น่านมันอ่อนไหวกับเรื่องนี้มากพี่ก็รู้แล้วยังไปหลอกมันอีก"
"แต่มึงก็ได้ยินทุกคำที่น่านพูดนี่"
มันเงียบขณะที่ผมก็มองมันไม่ละสายตา
เหี้ยอะไรวะชีวิตกู ต้องมายืนจ้องหน้าเป็นเดือดเป็นแค้นอยู่กับผี กูหึงน่าน โคตรหึงเลย หึงกับคนยังมีสิทธิ์เอาชนะได้ นี่หึงกับผีกูจะเอาอะไรไปสู้มันวะ แต่ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ผมไม่มีทางยอมแพ้ ต่อให้มันมาหักคอผมตรงนี้ผมก็ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
"น่านควรลืมมึง แล้วให้กูแทนที่มึงได้แล้ว"
"แต่ผมไม่ยอม"
"ไม่ยอมแล้วมึงทำอะไรได้"
"..."
"บอกกูสิว่ามึงจะทำอะไรได้ มึงตายไปแล้ว ตรงนี้ไม่มีที่ของมึงแล้ว"
"แต่น่านรักผม"
"มันรักกู"
"ไม่! น่านรักผม!"
"ผีเหี้ย! ตายแล้วก็ไปเกิดดิวะ"
"ผมจะไปได้ยังไง ผมต่างหากที่ยังค้างคาใจ..."
ไอ้ผีนั่นพูดแค่นั้นก่อนหายวับไปอย่างทุกครั้ง ผมทิ้งตัวเองลงบนที่นอน ลืมตามองเพดานด้วยความว่างเปล่า นี่มันเรื่องอะไรกันวะ แบบนี้ใจร้ายกับกูไปหน่อยไหม
...
แม้ผมจะรู้แล้วว่าน่านคิดยังไงกับผม แต่ผมมันเห็นแก่ตัว และใจกว้างไม่พอที่จะยอมให้น่านคิดถึงคนเก่า คนที่ตายไปแล้วไม่ควรมีบทบาทอะไรในชีวิตน่านเลย แต่หลายครั้งน่านก็คิดถึงมันแล้วพูดออกมาให้ผมฟัง
"คิทตายตรงนั้น"
ผมเงียบไปตอนที่น่านบอกกับผม พลางชี้ไปยังถนนเส้นหนึ่งที่ผมสะดุดกึกตอนหันมอง
"รถเขาชนเข้ากับสะพานตรงนั้น ผ่านไปสามปีแล้วยังลืมไม่ได้เลย"
"ชนสะพาน สามปีที่แล้ว" ผมทวนคำพูดของน่านแล้วหันมองตำแหน่งนั้นอีกครั้ง ภาพอุบัติเหตุของผมเมื่อสามปีก่อนพุ่งเข้ามาในหัวจังหวะที่ความรู้สึกเจ็บแปลบแทรกเข้ามาจนพูดอะไรไม่ออก
"พี่ซี"
"..."
"พี่เป็นอะไรหรือเปล่า"
"เปล่า ไม่เป็นไร"
ผมพูดปัดๆ แต่ความทรงจำในหัวที่เคยแตกเป็นเสี่ยงประกอบเข้ากันจนทุกอย่างชัดเจนขึ้นมาในตอนนั้น ผมถูกรถชนที่นี่ พ่อตายที่นี่ และไอ้คิทตายที่นี่...
...
ท่ามกลางความมืดและบรรยากาศชวนขนลุก ผมฝ่าความกลัวเข้ามาในสุสานหลังวัดคนเดียว เพื่อมายืนอยู่ที่หน้าโกศเก็บกระดูกของไอ้คิท ผมโกรธจนอยากถีบรูปหน้าศพนั่นให้แตกคาตีนแต่ห้ามใจตัวเองไว้แล้วเรียกมันออกมา
"มึงออกมาเลย"
"..."
"กูบอกให้มึงออกมา!"
มันปรากฏตัวขึ้นในตอนนั้นด้วยสภาพปกติที่ทำให้ผมกล้าพอที่จะยืนจ้องหน้ามันท่ามกลางบรรยากาศมืดครึ้ม
"ผมคิดอยู่แล้วว่าวันหนึ่งพี่ต้องรู้"
"มึงก็เลยหนีกูตลอด ทุกครั้งที่กูมองเห็นมึงใช่ไหม"
"วันนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้ตั้งใจนะพี่..."
"กูไม่ต้องการคำอธิบายของมึง"
"แล้วพี่มาที่นี่ทำไม"
"มึงทำให้กูต้องเป็นแบบนี้"
"..."
"มึงขับรถชนกู"
"..."
"ชนพ่อกู"
"..."
"มึงทำให้พ่อกูตาย"
"เปรี้ยง!" เสียงฟ้าผ่าลงมาหลังจากผมพูดประโยคนั้นจบ เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนโผล่เข้ามาในหัวเหมือนหนังฉายซ้ำ ผมกับพ่อไม่ได้ทำอะไรผิด แต่พ่อต้องมาตายเพราะไอ้วัยรุ่นที่ไม่มีกระทั่งใบขับขี่แถมยังเมาแล้วขับ แม้มันจะตายไปด้วย แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่ามันยุติธรรม มันไม่สมควรตาย แบบนั้นมันง่ายเกินไป
"ผมขอโทษ"
"คำขอโทษของมึงไม่มีประโยชน์เลย พ่อกูไม่มีวันได้ยิน"
"ผมขอโทษจริงๆ"
ผมคลายหมัดที่กำแน่น จริงอยู่ที่อยากจะกระโดดชกหน้ามันสักทีแต่ก็รู้ว่าไม่มีทางทำได้เพราะมันเป็นวิญญาณ จึงสงบใจตัวเองแล้วถอนหายใจเรียกสติอีกครั้ง
"ที่มึงยังไม่ไปไหน ไม่ใช่เพราะน่าน แต่เป็นเพราะกูกับพ่อใช่ไหม"
"ผมรักน่าน แล้วน่านก็รักผม"
"ตอบคำถามกูไอ้ผีเหี้ย"
"..."
"ที่มึงยังอยู่เพราะกูหรือเพราะน่าน"
มันก้มหน้าหลบตา ก่อนยอมจำนนด้วยการพยักหน้ารับเบาๆ
"น่านก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมยังไปไหนไม่ได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด"
"..."
"สาเหตุจริงๆ คือพี่"
"..."
"มันเป็นเพราะผมยังไม่เคยขอโทษพี่เลย ผมไม่เคยกล้าพูดว่าขอโทษ แถมยังต้องหนีทุกครั้งที่พี่มองเห็น เพราะผมไม่กล้า"
"..."
"ผมอยากไปให้พ้นจากสภาพนี้แต่ทำไม่ได้ ความรู้สึกผิดมันมีมากเกินไป มากเกินกว่าที่ผมจะปล่อยให้มันนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้นแล้วไปในที่ที่ควรไป"
"แล้วการที่มึงเร่ร่อนอยู่แบบนี้มันจะช่วยอะไร"
"ผมอยู่อย่างสำนึกผิด"
"..."
"อยู่เพื่อรอวันที่พี่จะยอมให้อภัย"
ผมไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง ผมคิดโกรธเคืองคนที่ทำให้พ่อต้องตายมาตลอดชีวิต ถ้าพ่อยังอยู่ผมคงจะถามพ่อว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี ผมอยากฆ่ามันให้ตายอีกครั้งแต่พ่อคงไม่อยากให้ผมคิดแบบนั้น พ่อไม่ได้สอนให้เป็นคนแบบนั้น และชีวิตก็สอนผมว่าเราไม่มีเวลามากพอที่จะโกรธแค้นใครได้นานไปทั้งชีวิต
"มึงไปเถอะคิท"
"..."
"กูให้อภัย"
หากเป็นพ่อก็คงจะพูดแบบนี้เหมือนกัน...
...
ผมเดินกลับมาจากสุสานก่อนมาหยุดที่ริมแม่น้ำกว้าง ทอดสายตาไปยังแผ่นน้ำที่กระทบแสงไฟระยิบระยับ
"เฮียขา!"
"ไปไกลๆ เลย อารมณ์ไม่ดี" ผมพูดเบาๆ กับผีที่ปรากฏตัวข้างๆ
"เป็นอะไรอะ"
ผมหันไปหามินท์ เอาหลังพิงราวสะพาน มองดูผีผู้หญิงที่สวมชุดนักศึกษา มันเป็นผีตัวเดียวที่ผมไม่กลัวและไม่เคยมาอย่างสยดสยอง ผมมองเห็นมินท์ครั้งแรกหลังจากมันฆ่าตัวตายได้ไม่นาน ผีที่เอาแต่ร้องไห้อย่างน่ารำคาญ เมื่อก่อนมันไม่เคยพูดอะไรได้แต่คร่ำครวญ หลังๆ มานี้พูดไม่หยุดปาก รำคาญกว่าตอนมันเอาแต่ร้องไห้อีก
"มินท์ ทำไมมึงไม่ไปเกิดวะ"
"ไปไม่ได้ เขาไม่ให้ไป"
"ใครวะ"
"เฮียไม่เข้าใจหรอก ต้องลองตายดูถึงจะรู้"
อีนี่ ถ้ากูเตะผีได้รับรองว่ามึงปลิวไปนู่น
"ได้ยินนะเฮีย"
ผมหันมองตาขวางที่มันถือวิสาสะมาล่วงรู้กระทั่งเรื่องที่คิดในใจ
"แล้วมึงจะต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานไหม"
"หนูก็ไม่รู้ ก็ไม่อยากติดอยู่แบบนี้หรอกแต่ไปไหนไม่ได้ หนูทำบาป ทำร้ายตัวเอง"
"แล้วไอ้ผีที่เลือกที่จะไม่ไปเกิดเองล่ะ มันทำได้ไงวะ"
"ยังห่วงอะไรล่ะมั้ง ก็เลยไม่ยอมไป"
ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนหันมองเด็กสองคนที่ปั่นจักรยานผ่านไป เด็กนั่นหันมองผมแล้วหันไปคุยกัน
"พี่เขาคุยคนเดียวเว้ย"
"เออ สงสัยจะคนบ้า รีบไปเร็ว"
ไอ้เด็กเปรต เดี๋ยวโดนเตะ
"เฮียคิดมากเรื่องคิทกับน่านเหรอ"
"มึงรู้ได้ไงเนี่ย"
"หนูรู้ทุกเรื่องแหละ"
"ผีขี้เสือก"
"เฮีย ปากงี้อยากโดนบีบคอตายป่ะ"
"เดี๋ยวนี้มึงกล้ากับกูเหรอ"
"เหอะ! ไม่ทำให้เสียแรงหรอก เดี๋ยวเฮียก็ตับแข็งไม่ก็มะเร็งปอดตายเองแหละ"
"ถ้ากูตายจะตามไปกระทืบมึงคนแรกเลยอีผี"
"คนร้าย!"
"ไปไกลๆ เลยไป กูจะกลับละ"
มินท์ยักไหล่หน่อยๆ ก่อนหายวับไป เป็นวิญญาณแม่งคงจะดีตรงไม่ต้องเดินนี่แหละ ป่านนี้มินท์มันถึงหอไปแล้วแต่ผมยังเดินลากเท้าไปเรื่อยๆ ตอนแรกจะกลับหอแต่เปลี่ยนใจเลี้ยวเข้าร้านเหล้าแทน
เมื่อผมรู้ตัวว่าความเมาช่วยไม่ให้มองเห็นผีได้ ผมก็ใช้เหล้าเป็นทางออกหลีกหลีความกลัวพวกนั้นมาตลอด วันไหนที่สติสัมปชัญญะของตัวเองเหนือการควบคุมผมก็จะกลายเป็นคนปกติ ไม่มองเห็นผี ไม่สัมผัสถึงวิญญาณ แต่ก็อย่างที่ใครๆ บอก ผมคงต้องตับแข็งตายในไม่ช้านี้แน่นอน ชีวิตนี้คงอยู่ได้ไม่นานก็รีบๆ แดกเข้าไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวตายไม่ได้แดกอีก
ผมรินเหล้าใส่แก้วก่อนจะเทน้ำเปล่าตามลงไป จังหวะที่กำลังจะยกขึ้นดื่มก็มีมือหนึ่งดึงแก้วนั่นไปก่อน ผมมองเด็กผู้หญิงที่ยกแก้วเหล้ากระดกรวดเดียวเกลี้ยง เห็นว่าเป็นแคทเลยยกมือทุบหัวมันไปทีหนึ่ง
"เดี๋ยวก็เมาตายห่าหรอก"
"ทำไมมานั่งกินเหล้าคนเดียวเนี่ย พี่ขอแก้วใบ" ประโยคหลังมันหันไปพูดกับเด็กในร้านเหล้าที่เดินผ่านมาพอดี
"ใครบอกให้มึงกิน"
"เดี๋ยวกินเป็นเพื่อน"
"เป็นอะไร ทะเลาะกับผัว?"
"ปากหมางี้ไงเลยไม่มีใครคบ" แคทยื่นมือมาหยิกแขนผมผม แรงจนต้องโยกตัวหลบ
"เออๆ ทะเลาะกับแฟนอีกแล้วหรือไง"
"อือ เรื่องเดิมๆ" แคทรับแก้วมาจากเด็กเสิร์ฟ แล้วจัดการชงเหล้าก่อนจะยกแก้วมาชนกับแก้วผม
"แล้วมาประชดรักด้วยการกินเหล้าเนี่ยนะ เท่ตายล่ะ"
"ว่าแต่หนู พี่เนี่ยเป็นอะไร เมาจนคอจะไม่อยู่บนบ่าอยู่แล้ว"
ผมยกคอตัวเองขึ้นมาวางบนขวดเหล้าเพื่อค้ำไม่ให้มันลงไปกองกับโต๊ะ
"ว่าไง เป็นอะไร"
"กูก็มีเรื่องเครียดของกูบ้าง"
"พี่ซี"
"อือ"
"พี่ชอบพี่น่านเหรอ"
"อือ"
"จริงป่ะเนี่ย แล้วพี่น่านชอบพี่ป่ะ"
"ชอบดิ"
"จริงเหรอ ดีใจว่ะ"
"ดีใจอะไร"
"พี่น่านจะได้ลืมพี่คิทสักที"
ผมเงยหน้ามองแคทที่พูดมันออกมาด้วยรอยยิ้ม
"พี่คิทไม่ได้จริงจังอะไรกับพี่น่านเลยด้วยซ้ำ ไม่เคยชัดเจนกับพี่น่านแล้วก็มาตายไปก่อน กลายเป็นพี่น่านที่ไม่กล้ารักใครไปเลยเพราะเขา หนูสงสารพี่น่านจริงๆ นะ"
"ใช่ คนผิดคือพี่มึง"
"ก็คงงั้นอะ แต่พี่คิทตายไปแล้วนะ ป่านนี้ไปเกิดใหม่เป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้"
"เกิดใหม่ห่าอะไร วนเวียนอยู่แถวนี้แหละ"
"พี่ซี พูดอะไรอะ"
"ไอ้คิทไง มันยังไม่ไปไหนเลย วันก่อนยังมาเถียงกับกูอยู่เลยว่าน่านรักมันอย่างนั้นอย่างนี้ ไอ้ผีหวงก้าง"
"พี่เมามากเลยนะ"
"กูก็คิดงั้นแหละ"
ผมพยายามตั้งหัวให้ตรงแต่ก็พบว่าคอมันทรยศไม่เป็นอย่างที่คิด โลกก็หมุนไปหมุนมาเหมือนต้องการจะแกล้งอะไรกัน ความคิดในหัวก็วิ่งวนตีกันจนสับสน ผมรู้สึกผิดกับน่านที่โกหกเขา และกับไอ้คิทเอง ผมสับสน เหมือนกับว่าผมยังไม่คิดที่จะให้อภัยมันจริงๆ อย่างที่พูดออกไป มันเร็วเกินกว่าที่ผมจะทำใจยอมรับได้
To be continued.
ตอนที่ 19
ไว้ชาติหน้ามาพบกันใหม่
น่าน :
"น่าน"
"..."
"ไอ้น่าน"
ผมหันมองไอ้ทิมที่เรียกเสียงดัง แต่ไม่ได้ฟังว่าก่อนหน้านั้นมันพูดอะไรก็เลยถามซ้ำไป
"พูดกับกูป่ะ"
"ทั้งห้องก็มีมึงกับกูเนี่ย พูดกับผีมั้ง"
"พูดว่าไงเหรอ"
"สติอะมีไหม"
ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะเมื่อครู่มัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่
"มึงพูดไรเหรอ ขออีกที"
"กูบอกให้มึงไปอาบน้ำได้แล้ว"
"อ๋อ โอเค"
ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ ช่วงนี้ผมมานอนที่บ้านไอ้ทิมเพราะไม่ยังอยากกลับหอ พูดตรงๆ คือผมไม่อยากเจอพี่ซี ผมถอนหายใจหลายครั้งต่อวัน ครั้งนี้ก็อีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ แวบหนึ่งที่ผมต้องหันขวับมองกระจกเพราะเห็นเงาของอะไรสักอย่างวูบผ่านหน้าผมไป แต่ก็เห็นแค่ตัวเองในกระจกนั้น ผมเลื่อนสายตามองซ้ายมองขวาอย่างช้าๆ ผมรู้สึกหนาวเย็นทั้งที่เหงื่อออก ผมระแวงจนคิดไปเองหรือว่ามีบางอย่างตามผมอยู่จริงๆ ก็ไม่แน่ใจ แต่หลายครั้งที่ผมเห็นเงาของบางคนในกระจก หลายครั้งที่ต้องเหลียวมองข้างหลังเพราะรู้สึกว่ามีคนตามมา
ผมสงสัยว่าใช่คิทหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นมันก็ช่วยออกมาให้เห็นตรงๆ เลยเถอะ
ผมออกมาจากห้องน้ำ ทิมก็นอนอยู่บนเตียงรออยู่แล้ว มันเอาผ้าห่มผืนนิ่มที่ผมชอบไปใช้อีกแล้ว รู้ว่ามันเป็นของมันแหละแต่ผมชอบผืนนั้นมันอุ่นดีเลยดึงๆ อยู่สองสามทีให้มันปล่อย
"อะไร"
"ขอผืนนี้"
"มึงนี่!"
"กูชอบอะ"
"รำคาญ เมื่อไรมึงจะกลับหอมึงไปสักที"
"มึงอย่ามาบ่นเลย กูไม่ได้อยู่เฉยๆ กูกวาดห้องให้มึงด้วยนะ"
"กูไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอก แต่มึงมานอนกับกูทุกวันแบบนี้ กูกลัวอดใจไม่ไหว อยากปล้ำมึงใจจะขาด"
ไอ้เหี้ย
ผมด่ามันโดยไม่มีเสียง ทิมทำหน้าสะดีดสะดิ้ง ก่อนจะดึงผ้าห่มอีกผืนขึ้นมาห่ม ผมเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วก็พร้อมจะนอน ช่วงนี้ผมเหนื่อยล้ากับความคิดตัวเองมากจนนอนไม่ค่อยหลับ ไอ้ทิมหัวถึงหมอนก็ลาหลับไปก่อนแล้วอย่างรวดเร็ว ทิ้งผมให้พลิกตัวไปๆ มาๆ กลัวทิมมันจะรำคาญผมเลยพยายามนอนอยู่นิ่งๆ แล้วข่มตาให้หลับ เกือบชั่วโมงก่อนความง่วงจะทำงาน ผมจึงหลับตาลงไป ครู่เดียวก็ลืมขึ้นมาอีก ลืมขึ้นมองที่ปลายเตียง เห็นคนยืนอยู่ตรงนั้นจึงสะดุ้งเฮือกจนดีดตัวเองขึ้นมามอง ผมคิดว่าเป็นไอ้ทิมแต่หันไปมองตัวมันก็นอนอยู่ข้างๆ ใจผมเต้นรัวระทึก ลมหายใจติดขัดตอนหันมองไปรอบๆ แต่ไม่เจอกับอะไรแล้ว
"ติ๊ง!"
ผมสะดุ้งอีกครั้งพลางหันขวับไปมองหน้าจอมือถือที่สว่างวาบขึ้นมาเพราะมีไลน์เข้า พ่นลมหายใจเบาๆ แล้วหยิบมือถือนั่นมาเปิดดู พบว่าเป็นไลน์จากกรุ๊ปที่หอ ผมเกือบจะไม่สนใจแต่ข้อความแจ้งเตือนที่หน้าจอนั่นทำให้ต้องหยุดมอง
น้ำขิง : เฮียถูกรถชน มาที่โรงบาลเร็ว
พี่ซี…
ผมเลื่อนอ่านข้อความของคนอื่นที่ส่งมาติดๆ กัน อีกมือก็สะกิดเรียกให้ทิมตื่น
"มีไร"
"กูไปข้างนอกนะ"
"ไปไหน"
"พี่ซีถูกรถชน กูจะไปหาเขา"
ผมโกรธพี่ซีอยู่ แต่ผมเป็นห่วงเขามากกว่าจึงต้องไปหาเขา ผมยืมรถทิมแล้วรีบตรงมาที่โรงพยาบาล ก่อนมายืนเคว้งอยู่ที่แผนกฉุกเฉิน ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหนต่อ ขณะกำลังสับสนว่าจะโทรหาใครดีในตอนนี้ ผมก็หันไปเห็นแคทที่ยืนลนลานอยู่ตรงนั้นเหมือนกันจึงรีบวิ่งเข้าไปหา
"แคท"
"พี่น่าน มาหาพี่ซีใช่ป่ะ หนูรู้จากพวกพี่ที่คณะก็เลยรีบมา ไปกัน" แคทดึงมือผมไปอีกทาง ก่อนมาถึงห้องที่พี่ซีอยู่แคทเลื่อนประตูของโรงพยาบาล ส่วนผมสูดลมหายใจเรียกสติแล้วเดินตามเข้าไป พี่ซีนั่งอยู่บนเตียงหันมามองผมกับแคท ถ้าได้ยินไม่ผิด ผมว่าเมื่อกี้เขากำลังคุยกับใครอยู่ โรงพยาบาลเต็มไปด้วยสิ่งไม่มีชีวิตและเขาก็คงคุยกับผีบางตัวอยู่แน่นอน
ผมโล่งอกเมื่อเห็นสภาพของเขาที่ดูไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไรและเขาก็ดูมีสติดี พี่ซียิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้ง คราวนี้ผมยิ้มตอบ เพราะอยากให้เขารู้ว่าผมดีใจที่เขาไม่เป็นอะไร
"พี่ เป็นไงมั่ง" แคทถามขณะไล่สายตาสำรวจร่างกายคนบนเตียง
"ก็ดี"
"หนูโกรธพี่อยู่ แต่อดเป็นห่วงไม่ได้ พี่ไม่เป็นไรมากใช่ไหม"
"อือ"
เขาตอบสั้นๆ แล้วก็จ้องมองมาที่ผม ผมก็มองไปที่เขาแต่เราทั้งคู่ไม่พูดอะไร แคทใช้ศอกกระแทกผมเพื่อให้ผมพูดอะไรบางอย่าง
"แล้ว...แล้วไปทำยังไงถึงถูกรถชน" ผมถามอึกอัก
"ไม่รู้ดิ"
"เฮ้ย นี่หัวกระแทกเหรอ จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ สมองเสื่อมเลยป่ะ หนูชื่อไรจำได้ป่ะ" แคทนั่งลงขนเตียงกับพี่ซีแล้วถามหน้าตาตื่น พี่ซีหัวเราะเบาๆ แล้วดึงแคทเข้าไปกอด แม้แต่แคทเองก็ตกใจที่อยู่ๆ เขาทำแบบนั้น
"น้องแคทไง"
"ไรนะ"
"ใครจะไปลืมน้อง"
"พี่ซี พี่เรียกหนูว่าไงนะ"
"น้องแคทไง"
"พี่ซี สมองกระแทกหรือเมาเนี่ย ให้เรียกหมอไหม"
"อะไร เมื่อก่อนก็เรียกงี้ตลอด"
แคทเงียบไป ผมเองก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน มีคนเดียวที่เรียกแคทแบบนั้น มีแค่คิทที่เรียกแคทแบบนั้น
"พี่ซี หนูว่าพี่ผิดปกติมาก หนูตามหมอให้นะ" แคทพูดรัวแล้วลุกออกนอกห้องไป
"ไม่เคยเปลี่ยนเลยน้องแคท" พี่ซีหัวเราะเบาๆ แล้วเลื่อนสายตามาที่ผม
"น่าน กูรู้มึงคิดอะไรอยู่"
"ผมไม่ได้คิดอะไร"
"กูไม่ใช่พี่ซี กูคือคิท"
"พี่ซี ผมมาหาพี่เพราะเป็นห่วงทั้งๆ ที่ยังโกรธอยู่ แล้วพี่จะยังเล่นไม่เลิกเหรอ"
"น่าน กูเอง"
"ไม่ตลกโว้ย พี่เล่นอะไรของพี่วะ"
"นี่กูเอง"
"..."
"คิทไง"
มันมีเรื่องที่คนอื่นไม่เชื่อแต่ผมก็เชื่อ มีเรื่องที่คนบอกว่าไร้สาระแต่ผมคิดสวนทาง แต่ครั้งนี้มันเกินไป พี่ซีเล่นแรงเกินไป
"เป็นไปไม่ได้" ผมพูดเบาๆ แล้วก้าวเท้าถอยออกมา
"น่าน อย่าเพิ่งไป"
"..."
"เข้ามาใกล้ๆ กูหน่อยได้ไหม กูลุกไปหามึงไม่ได้"
ผมพยักหน้าเบาๆ กับตัวเอง มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเชื่ออะไรไร้สาระแบบนี้ ผมกลั้นใจหมุนตัวกลับไปหาเขาแล้วจ้องหน้าอยู่อย่างนั้น คนตรงหน้าผมคือพี่ซีแต่คำที่พูดออกมาไม่อาจชัดเจนได้ว่าเขาคือพี่ซี
"กูแค่อยากคุยกับมึงอีกครั้ง มึงกำลังเข้าใจอะไรผิดในหลายๆ เรื่อง"
ผมยกมือเบรกสิ่งที่เขากำลังจะพูด
"กูจะเชื่อได้ไงว่ามึงคือคิท"
"กูรู้มันยาก แต่กูอยู่ตรงนี้จริงๆ"
ผมเดินเข้าไปใกล้เขากว่าเดิม มองหน้าเขา ที่ยังไงก็คือพี่ซี เพราะในสายตาผมนี่มันคือพี่ซี เขาดึงมือผมให้ลงไปนั่งข้างๆ ใช้มือข้างหนึ่งแตะเข้าที่ข้างแก้มของผม
"ไม่ได้มองหน้ามึงชัดๆ นานแล้ว"
"..."
"ตั้งแต่ที่ร้านเหล้าวันนั้น"
ใจผมกระตุกวูบเมื่อเขาพูดแบบนั้น พี่ซีไม่มีทางรู้เรื่องวันนั้น
"น่าน กูได้ยินทุกคำที่มึงพูดแล้วนะ คำบอกรักของมึงก็ได้ยินตั้งแต่สามปีที่แล้วแล้วเว้ย"
พี่ซีคงไม่รู้ว่าผมพูดอะไรเมื่อสามปีก่อน
"สามปีแล้วนะ ที่ไม่ได้คุยกับมึงแบบนี้"
"คิท..."
"กูเอง กูทำให้มึงมองเห็นไม่ได้ แต่สามปีมานี้กูอยู่ข้างๆ มึงตลอดเลยนะ"
"เป็นมึงจริงๆ ด้วย"
"ขอโทษที่ทำให้กลัว แต่กูเองที่ตามมึงไปทุกที่เลย"
"ไอ้เหี้ย"
"ด่ากูทำไมเนี่ย" เขาใช้มือดึงผมเข้าไปแล้วกอดด้วยแขนข้างที่ไม่เจ็บ ผมไม่ลังเลที่จะเชื่อว่านี่คือคิทจริงๆ มันเหลือเชื่อแต่เป็นไปแล้ว ผมมองเข้าไปในตาของพี่ซี แต่กลับเป็นคิทที่อยู่ตรงนี้ ผมปล่อยให้น้ำตาตัวเองไหลออกมาแล้วเอยคำพูดปนความโกรธเคืองออกไปเบาๆ
"มึงทิ้งกู"
"มันเป็นอุบัติเหตุ กูก็เสียใจ"
"กูคิดถึงมึงมากจริงๆ"
"คิดถึงมึงเหมือนกัน"
ผมซบหน้าตัวเองลงไปบนไหล่ของร่างพี่ซีแล้วร้องไห้ออกมาโดยไม่อาจกลั้น
"น่าน อย่าโกรธพี่ซีที่เขาโกหกมึงเลย กูไม่ได้อยู่ตรงนั้นแต่ได้ยินที่มึงพูดนะ"
"..."
"มันมีเรื่องราวเยอะแยะเลยที่มึงยังไม่รู้ แต่พี่ซีไม่อยากให้มึงรู้ กูเลยพูดไม่ได้ แต่ขอให้มึงจำเอาไว้ ถ้ามึงจะโกรธ โกรธกูคนเดียว"
"..."
"กูรักมึงนะน่าน จะตอนอยู่หรือตายกูก็รักมึงแค่คนเดียว กูเสียใจที่ไม่ได้อยู่กับมึงแล้ว"
"..."
"เสียใจมากจริงๆ"
"..."
"น่าน มึงรักคนอื่นได้นะ กูยอมแล้ว"
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า
"กูขอโทษคิท"
"มึงไม่ผิดเลยน่าน ผิดที่กูคนเดียวเลยที่ทำให้มึงต้องติดอยู่กับคำพูดของกูจนไม่กล้ารักใคร"
"มึงไม่โกรธกูใช่ไหม"
"ตอนแรกก็ไม่พอใจ แต่กูมาคิดใหม่ก็ยอมแล้ว กูตายไปแล้ว ทำอะไรเพื่อมึงไม่ได้แล้ว อยู่ข้างๆ มึงยังไม่ได้เลย กูจะไปหวงมึงไว้ทำไม"
"..."
"ไม่อยากเห็นมึงเสียใจแล้ว ต่อไปนี้มึงรักเขาเท่าที่มึงอยากรักได้เลย ละทิ้งกูออกไปจากใจมึงได้แล้ว"
"..."
"มึงมีคนดีๆ ที่อยู่ข้างๆ กูก็สบายใจแล้ว"
"..."
"กูดีใจที่ได้คุยกับมึงอีกครั้งนะ คราวที่แล้วไม่ทันได้บอกลา โชคดีที่มีโอกาสนี้อีกครั้ง"
"มึงพูดแบบนี้ แปลว่าจะไปแล้วใช่ไหม"
อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
"กูอยู่นานเกินไปแล้ว ตอนนี้หมดห่วง ทั้งเรื่องมึงและเรื่องอื่น ก็คงต้องไป"
"มึงจะไปไหนเหรอ ต่อจากนี้"
"ไม่รู้ว่ะ กูคนบาปคงไม่ใช่สวรรค์แน่ๆ" เขาหัวเราะ แต่ผมไม่ น้ำตาไหลออกมาอีกระลอก
"คิท มึงควรจะบอกลาทุกคน พ่อแม่มึง แคท หรือไอ้ทิม ให้กูเรียกพวกเขามา..."
"ไม่ๆ น่าน ไม่" เขาดึงมือผมที่กำลังจะลุกออกไป
"พวกเขาทำใจได้แล้ว อยู่ในจุดที่เสียใจกับกูมามากพอ พวกเขาไม่เป็นไร ห่วงก็แต่มึง"
"กูขอโทษที่รั้งมึงเอาไว้"
"บอกแล้วไม่ใช่ความผิดมึง หยุดขอโทษ หยุดรู้สึกผิดได้แล้ว เข้าใจไหม"
ผมพยักหน้าแต่ก็หยุดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ได้
"น่าน"
"..."
"กูจูบมึงได้ไหม"
ครั้งนี้ก็ไม่รอให้ผมตอบอะไร ดึงหน้าเข้าไปทำเหมือนครั้งสุดท้ายที่มันทำ น้ำตาผมหยุดไหลไม่ได้ จูบไม่ได้เกิดจากความรักหรือปรารถนา มันกลับเป็นจูบลา จูบสุดท้ายเพื่อแทนทุกคำบอกลาไปตลอดกาล
"กูไปนะ"
ผมพยักหน้าเบาๆ ในใจไม่อยากให้เป็นแบบนั้นแต่ไม่มีสิทธิ์อะไรไปรั้งมันไว้ ได้แต่พูดเบาๆ ด้วยคำที่สุดฝืน คำบอกลาที่เจ็บปวดหัวใจที่สุด
"โชคดีนะคิท ไว้ชาติหน้ามาเจอกันใหม่"
ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่เก็บเอาไว้ ปล่อยให้มันฟูมฟายออกมาตรงนี้อย่างไม่อาย ก่อนเสียงหนึ่งของคนบนเตียงจะพูดขึ้นเบาๆ
"ร้องไห้ทำไม พี่ยังไม่ตาย"
ผมพยายามหยุดร้องไห้แล้วยันกายขึ้นไปหาพี่ซี โผเข้ากอดเขาเอาไว้แน่น พี่ซีกดหน้าผมลงบนไหล่ของเขา ใช้มันเป็นที่รองรับน้ำตาของผมที่ไหลออกมาไม่หยุด
"ไม่ร้องนะ"
"..."
"อย่าร้องเลยนะ"
ผมกอดพี่ซีเอาไว้แน่น ผ่านอ้อมกอดนั่นมีคำขอโทษของผม และมากกว่านั้นคือคำว่าขอบคุณที่อยากบอกกับเขาเป็นพันๆ ครั้ง
To be continued.