พิมพ์หน้านี้ - เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Amazing princess ที่ 09-01-2018 20:18:05

หัวข้อ: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 09-01-2018 20:18:05
     ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

Share This Topic To FaceBook




 





        คำสัญญาก่อนจากทำให้เด็กหนุ่มยึดมั่น ทว่ามีใครอีกคนดีกับเขาเหลือเกิน...แล้วเด็กหนุ่มจะเลือกใคร...

        ระหว่างคนที่ให้สัญญา...

       กับคนที่เข้ามาเติมเต็มหัวใจที่เงียบเหงา



                                                    แนะนำตัวละคร

ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในเรือนแห่งนี้ ชีวิตของเด็กหนุ่มพานพบทั้งความปวดร้าว และความสุขที่แม้ได้รับเพียงชั่วคราว

   -ยม...เด็กกำพร้าที่ถูกหลวงวินิตรับมาเป็นเด็กรับใช้ เป็นคนหัวไว แต่ชอบเก็บตัวเงียบเพราะถูกโขกสับให้ทำงานแต่ในครัว บางครั้งก็ถูกทรมานเจ็บเจียนตาย แต่เพราะสัญญาจากคนๆนั้น ทำให้ยมไปไหนไม่ได้ ยมยินดีที่จะรอแม้จะเจ็บจนตายก็ตาม

    "ยมจะรอ...จนกว่าพี่จะกลับมาจ้ะ"

    -คุณเขม...บุตรชายคนเดียวของหลวงวินิตกับคุณเขลางค์ อ่อนโยน สุภาพ เป็นความหวังเดียวในการสืบทอดวงศ์ตระกูล ทว่าคุณเขมกลับรักยมหมดหัวใจ แม้รู้ดีว่าอาจทำให้วงศ์ตระกูลต้องเสื่อมเสีย

     "รอพี่...อีกไม่นาน พี่จะไปรับยมมาอยู่ด้วยกัน"

    -คุณโดม...บุตรชายของพระยามนตรี สหายเก่าแก่ของหลวงวินิต และเป็นร้อยตรีหนุ่มที่เก่งกาจ เนื่องจากเป็นลูกที่เกิดจากแหม่มฝรั่ง ทำให้คุณโดมมีหัวคิดสมัยใหม่และชอบคิดต่าง กล้าได้กล้าเสีย ปากไวไปบ้างแต่มีความจริงใจสูง

     "รอแล้วได้อะไร ไม่กลัวบ้างเหรอว่าเขาจะลืม"


ฝากนิยายพีเรียดเรื่องแรกของเราด้วยน้าาา เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่มาอัพในเล้า เขินจัง55555

   
หัวข้อ: เรือนร้าว(YAOI)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 09-01-2018 20:37:04
เรือนร้าว1
ตอน เด็กรับใช้
บรรยากาศเรือนเก่าแก่ซึ่งสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนโอมล้อมไปด้วยพฤกษชาตินานาพันธุ์ อันถูกปลูกสร้าง ณ ใจกลางพระนคร เป็นเรือนของหลวงวินิต...ผู้ปกครองเรือนคนปัจจุบัน ณ ที่แห่งนี้มีด้วยกันทั้งหมดสามเรือนหลัก เรือนที่หลวงวินิตอาศัยนั้นเป็นเรือนใหญ่ที่สุด รองลงมาคือเรือนของคุณเขลางค์ ภริยาเอกของหลวงวินิต และเรือนถัดมานั้น คือเรือนของคุณเขม บุตรชายคนเดียวของท่าน ซึ่งนานครั้งคุณเขมจะกลับมาจากโรงเรียนประจำ

      เรือนทั้งสามควรจะมีวิถีอันสงบสุขดังเช่นบ้านเรือนอื่นทั่วไป...

     ถ้ามิใช่เพราะ...เรือนของคุณเขลางค์มักมีเสียงโอดครวญของข้าทาสวัยรุ่นทั้งหญิงชาย

     เพี๊ยะ!!!!                                                       

     “โอ๊ย!!!! ฮือ บ่าวเจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ คุณเขลางค์พอเถิดเจ้าค่ะได้โปรด โอ๊ย!!!”

      เสียงนางทาสหน้าตาสกปรกมอมแมมถูกจับล่ามตรึงไว้ใต้ถุนเรือน โดยมีนางทาสร่างใหญ่อีกคนคอยเฆี่ยนตีอย่างไม่ยั้งมือ เสียงโอดครวญวิงวอนขอความเมตตากลับทำให้คุณเขลางค์ยิ้มมุมปากอย่างมีความสุข

      “เฆี่ยนมันต่ออีเฟื้อง พอมันสลบแล้วค่อยปล่อย”

      “เจ้าค่ะ”

     เพี๊ยะ เพี๊ยะ!!!

     กลุ่มข้าทาสชายหญิงที่ถูกบังคับให้ต้องนั่งดูได้แต่ร้องไห้กอดคอกันอย่างเสียขวัญ เพราะรู้ดีว่าหากอีเฟื้องเฆี่ยนนางทาสผู้นี้จนสลบ พวกตนคนใดคนหนึ่งอาจต้องเป็นรายต่อไป

      ใช่...คุณเขลางค์มีจิตไม่ปกติ

      คุณเขลางค์มักนิยมจับทาสวัยหนุ่มสาวแล้วให้อีเฟื้องบ่าวคนสนิทเฆี่ยนตีต่อหน้า บางครั้งถ้าเกิดเกลียดใครเข้ามากๆคุณเขลางค์ก็มักจะลงมือเสียเอง แล้วเมื่อกระทำการอันโหดร้ายนี้เสร็จสิ้น ถึงจะได้รับสมุนไพรกับเงินคนละชั่งมาปิดปาก พร้อมถูกขู่ว่าหากแพร่งพรายออกไป อาจจะไม่จบเพียงเฆี่ยนตี

      ด้วยเหตุนี้ ทำให้ไม่มีใครกล้าไปฟ้องหลวงวินิต

      “อีทองสลบไปแล้วเจ้าค่ะคุณเขลางค์”

      “ปล่อยมัน แล้วให้ไอ้เม่นพาไปพัก อ้อ ให้อัฐอีทองไปด้วย”

      พอทาสที่ชื่อเม่นแบกร่างที่ไม่ได้สติของทองออกไป คุณเขลางค์ก็ลุกขึ้นจากแท่นที่นั่ง ก่อนจะเข้ามาสำรวจข้าทาสที่ตื่นตระหนกอย่างสั่นกลัวกว่าเดิม สายตาดั่งพญามัจจุราชกราดมองไปยังเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ก้มหน้านิ่ง ไม่มีท่าทีสั่นกลัวเหมือนกับทาสคนอื่นๆ

      “ดูเอ็งจะไม่กลัวเลยนะไอ้ยม  ไม่กลัวหรือไร?”

      คุณเขลางค์เอ่ยถามยิ้มเยาะ หากแต่เด็กหนุ่มกลับเงยหน้าสบตากับผู้หญิงใจดำอย่างไม่กลัวเกรง

     “อวดดีนักนะมึง อีเฟื้อง เอาหวายมา กูจะเฆี่ยนไอ้ยมเอง!”

     ครั้นเมื่ออีเฟื้องส่งหวายให้นายหญิง ทาสบ่าวคนอื่นก็รีบพากันไปหลบเร้นร้องไห้อีกมุม มือที่กำหวายลงทัณฑ์ยมอย่างไม่ยั้งมือ จนเสื้อผ้าตัวบางขาดวิ่น เลือดซิบเจ็มแผ่นหลังบางน่าเวทนา หากแต่แม้จะเจ็บเพียงใด ก็ไม่มีเสียงโอดครวญออกมาจากปากเด็กหนุ่มสักแอะ

    “ร้องออกมาสิไอ้ยม ถ้ามึงร้องกูอาจจะหยุด หึๆ”

    ยมยังคงเงียบกริบ เพราะรู้ดีว่าคนที่กำลังเฆี่ยนตนไม่ต่างจากนิรยบาลผู้นี้ไม่เคยปรานี ทั้งๆที่สุดแสนจะเจ็บด้วยคุณเขลางค์ลงหวายแรงกว่าอีเฟื้องนัก แต่ยมกลับชินเสียแล้ว เพราะตั้งแต่ที่เขาได้รับความเมตตาจากหลวงวินิตให้เข้ามารับใช้ ยมก็ถูกคุณเขลางค์ขอมาอ้างมารับใช้ในครัว

    ในครั้งนั้น ยมจึงได้รู้จักนรกบนดินที่แท้จริง

     ครั้งแรกที่ยมโดนลงหวายเขาก็ร้องไห้แทบขาดใจ อยากจะไปฟ้องหลวงวินิตก็ถูกขู่เอาถึงชีวิต ทำให้เด็กหนุ่มต้องจำใจฝืนทนเฉกเช่นทาสคนอื่น จากความทรมาน กลายเป็นความชินชากับความเจ็บ ถูกลงหวายมาตั้งแต่เก้าขวบจนอายุสิบสองได้แล้วกระมัง

     “โอ๊ย! กูเฆี่ยนมึงจนเหนื่อยแล้ว จะไปไหนก็ไปไอ้ยม พวกมึงด้วย ไสหัวไปได้แล้ว คืนนี้คุณพี่จะกลับมาจากลำปาง อย่าให้กูรู้ว่ามีใครหน้าไหนไปฟ้องนะ!”

       ครั้นเมื่อคุณเขลางค์ขึ้นเรือนไปพร้อมอีเฟื้อง ยมก็หอบหายใจรวยรินด้วยความเจ็บ พร้อมกับพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเพื่อไปทำแผลที่ห้อง

    “สมน้ำหน้าไอ้ยม อยากสะเออะอวดดีนัก” เข้ม...บ่าวทาสตัวสูงใหญ่ยิ้มเยาะ ยมได้แต่ปรายมองด้วยหางตาก่อนจะเดินออกไปไม่สนใจ

         ก่อนจะกลับถึงห้อง ยมได้ไปเก็บสมุนไพรที่แอบปลูกไว้ใกล้เรือนของคุณเขม เรือนบุตรชายของหลวงวินิตดับไฟเงียบสนิท วันนี้คุณเขมยังคงไม่กลับมาจากโรงเรียนประจำ ยิ่งคิดถึงคุณเขม ทำให้ยมยิ้มออกมาได้ด้วยหัวใจที่เป็นสุข ช่างโชคดีที่แม้คุณเขมจะเป็นลูกของคุณเขลางค์ ทว่านิสัยช่างแตกต่าง ชายหนุ่มเป็นคนสุภาพอ่อนโยนกับทุกคน

       สมุนไพรเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นต้นแห้วหมู ใบเสือหมอบ และใบฝรั่ง คุณเขมก็เป็นคนสอนเขาปลูก เพราะครั้งหนึ่งยมเคยล้มต่อหน้าคุณเขมที่กำลังอ่านหนังสือจนได้แผลเหวอะ คุณเขมจึงนำสมุนไพรเหล่านี้มารักษาอย่างไม่รังเกียจว่ายมจะเป็นเพียงข้าทาส

       “หวังว่าบ่าวจะหายทันก่อนคุณเขมจะกลับมานะขอรับ”



    ยมตื่นเช้าเพื่อทำงานหน้าที่ของตน ทุกคนต่างพากันทำงานปกติ ไม่มีใครถูกนำไปทรมานหลังจากที่หลวงวินิตกลับมาจากธุระที่ลำปางได้สามวัน       

   “เอ้า...ว่าอย่างไรเจ้ายม ตื่นแต่เช้าเลยนะ”       

 บุรุษวัยกลางคนทักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มกำลังใช้ขันรดน้ำในสวนของคุณเขลางค์ ยมได้แต่ยิ้มเล็กน้อยเพื่อเก็บซ่อนความเจ็บปวดใต้ร่มผ้า       

 หลวงวินิตเป็นชายวัยอายุประมาณสี่สิบปี หากแต่ยังคงดูหนุ่มแน่นราวอายุสามสิบต้นๆ แรกเห็นยมก็นึกชื่นชมในความเมตตาที่ท่านรับอุปการะเขาเป็นเด็กรับใช้ เพราะในเวลาที่หลวงวินิตกลับมา ทุกคนในบริเวณเรือนคุณเขลางค์จะรอดพ้นจากการถูกทรมานไปได้สักพัก       

ด้วยความเมตตาของคุณท่าน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยมไม่กล้าเปิดโปงความอำมหิตของคุณเขลางค์ เพราะหลวงวินิตนั้นรักคุณเขลางค์มากจนไม่อาจมีบ้านเล็กบ้านน้อย อีกทั้งไม่เคยรับรู้ด้วยซ้ำ ว่าภริยาของตนมีจิตไม่ปกติเพียงใด     

 “แม่เขลางค์ยังไม่ลงมาจากเรือนรึ?”     

 “ขะ...ขอรับ”  ยมตอบรับคุณท่านน้ำเสียงตะกุกตะกัก       

“เอ็งนี่ ข้ามิใช่ผีสาง จะกลัวทำไมวะ?”   

   “เอ่อ บ่าวขออภัยขอรับ”         

 “เงยหน้าขึ้นเจ้ายม อย่าให้ข้าต้องเอ็ดตะโรใส่เอ็ง”         

เด็กหนุ่มจำต้องเงยใบหน้าขึ้นตามคำสั่ง หลวงวินิตมองหน้ายมด้วยความรู้สึกเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง พลางคิดว่าหากยมเป็นผู้หญิงคงจะมีบ่าวไพร่ชายมาเกี้ยวจนหัวกระไดไม่แห้งเลยกระมัง     

   “เอ็งนี่ ถ้าเกิดเป็นหญิง ป่านนี้เอ็งอาจจะได้เป็นเมียทาสของเจ้าคุณท่านอื่นแล้ว”   

 หลวงวินิตพูดอย่างไม่ได้คิดอะไร เพราะปกติเรือนของท่านมักเป็นที่ชุมนุมของเหล่ามิตรสหายเป็นบางครั้ง แน่นอนว่าเจ้าคุณบางท่านย่อมจะสนใจไม้งามที่มีอยู่รอบๆเป็นเรื่องปกติ แต่กลับทำให้ยมทำหน้าแปลกไปนิดๆ   

    “เอ่อ แต่บ่าวเป็นชาย...”     

  “หึๆ ข้าเย้าเล่น” หลวงวินิตหัวเราะเล็กน้อย "ข้าขึ้นไปหาแม่เขลางค์ก่อน เอ็งมีอะไรไปทำก็ไปทำเถอะ"                       

 ครั้นเมื่อหลวงวินิตลับตาไปแล้ว ยมก็ทำหน้าที่รดน้ำพรวนดินต่อไป แม้จะรู้สึกเจ็บแผลจนจับไข้เล็กน้อย แต่ด้วยความที่เป็นชายและชินชากับบาดแผลมาตลอดสามปี เด็กหนุ่มจึงสามารถออกมาทำงานเดินเหินได้ราวกับคนที่หายสนิทแล้ว           

  เมื่อจัดการส่วนของเรือนคุณเขลางค์เสร็จ เด็กหนุ่มตัดสินใจยกกระบุงใส่น้ำใบใหญ่ไปรดน้ำยังเรือนข้างๆต่อ นอกจากจะมีสมุนไพรที่รักษารอยแผลของเขาแล้ว คุณเขมยังชอบปลูกดอกรักกับดอกมะลิไว้แทบจะครึ่งเรือน 

   เหตุผลก็คือ...

“เวลาที่พี่กลับโรงเรียน พี่ฝากยมดูแลทีนะ พอมันออกดอกเยอะ ยมก็เก็บมาร้อยมาลัยไปถวายพระในเรือนพี่ด้วย”   

  เห็นเขาเป็นทาสหญิงหรือไรกัน!?   

  ขณะที่ยมทำแก้มพองลมด้วยความไม่พอใจ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนถูกมองจากด้านหลังซึ่งตรงกับหน้าต่างเรือนของคุณเขมพอดี แต่ครั้นเมื่อหันไป เขากลับพบเพียงสายลมที่พัดผ้าม่านให้ปลิวล่องตาม 

   สงสัยคงจะคิดไปเอง...   

 หลังจากรดน้ำพรวนดินเป็นที่เรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ยื่นใบหน้าดอมดมความหอมของดอกมะลิชั่วครู่ ก่อนจะยกกระบุงเพื่อเอาไปเก็บในเรือนทาส     

หารู้ไม่ว่าทุกท่วงท่าของยมที่ไม่ค่อยมีผู้ใดได้เห็น กลับตกอยู่ในสายตาคมกริบที่แอบมองจากหน้าต่างสูง...     

 เมื่อเก็บกระบุงพร้อมกับอาบน้ำอาบท่ามาจากเรือนทาสแล้ว ยมจึงเดินไปยังโรงครัวเพื่อทำงานแกะสลักและทำอาหารเพื่อตั้งสำรับอาหารเช้าให้กับเรือนใหญ่ซึ่งหลวงวินิตกับคุณเขลางค์จะรับมื้อเช้าพร้อมกัน     

“พวกเอ็ง ที่เรือนใหญ่บอกคุณเขมเพิ่งกลับมาเมื่อครู่นี้เอง ตั้งสำรับไว้อีกหนึ่งที่นะ”

      เสียงแม่ครัวเก่าแก่บอกทาสที่ทำงานเป็นลูกมือ นั่นทำให้หัวใจของยมพองโต รอยยิ้มปรากฎขึ้นน้อยๆไม่มีใครเห็นบ่งบอกถึงความปรีดา     

คุณเขมของบ่าวกลับมาแล้ว



“พ่อเขม กลับมาก็มานั่งอ่านตำราเรียนเลยนะลูก ไม่คิดจะไปหาแม่เลยหรือไร?”

เมื่อทราบว่าบุตรชายคนเดียวเพิ่งกลับมาถึงเรือนเมื่อเช้านี้ คุณเขลางค์ก็รีบเดินมายังเรือนของคุณเขมแล้วทำทีเป็นน้อยอกน้อยใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวน     

 “ไม่ใช่ขอรับคุณแม่ ลูกเพียงมาจัดตำราเท่านั้น แล้วค่อยไปหาคุณแม่ที่เรือนขอรับ” คุณเขมกล่าวเสียงนุ่มเอาใจมารดา     

“เอาไว้ก่อนเถิดลูก ตอนนี้คุณพ่อรอรับมื้อเช้าอยู่ที่เรือนใหญ่ ไปพร้อมแม่เลยนะ”   

  คุณเขมจำต้องวางตำราที่ยังจัดไม่เสร็จไปก่อน แล้วจึงตามมารดาไปยังเรือนใหญ่     

   “ดูสิลูกพ่อเขม ต้นจำปีออกดอกกลิ่นหอมเชียว ไว้แม่จะให้อีเฟื้องไปวางในห้องให้นะลูก พ่อเขมจะได้สดชื่นยามทบทวนตำรา"   

    คุณเขลางค์ชวนบุตรชายพูดคุยขณะเดินไปยังเรือนใหญ่ คุณเขมตอบรับบ้างเป็นระยะ หากแต่สายตากลับมองรอบๆคล้ายจะมองหาใครสักคนที่อยากพบ   

  “มองหาอันใดรึพ่อเขม?”     

 “เอ่อ ไม่มีอะไรขอรับ ลูกว่ารีบไปพบคุณพ่อเถิดขอรับคุณแม่”


สามารถติดตามความคืบหน้านิยายได้ที่เพจ amazing princess นะค้าาาา
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 09-01-2018 20:53:19
เรือนร้าว2
ตอน ข้าวหุง
         “คุณพ่อขอรับ” คุณเขมประนมมือไหว้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม หลวงวินิตจึงเรียกบุตรชายเข้ามาใกล้ๆ
            “มาแล้วรึพ่อเขม นั่งก่อนสิ อีกประเดี๋ยวบ่าวจะยกสำรับขึ้นมา”
             ร่างสูงใหญ่ของคุณเขมนั่งลงข้างหลวงวินิตพร้อมคุณเขลางค์ สายตาก็พลางมองคนที่อยากเจอเหมือนเคยก็ยังไม่พบ สงสัยยังคงทำงานอยู่ในโรงครัวกระมัง
             “คราวนี้พ่อเขมจะกลับมาที่เรือนกี่วันเล่า  เมื่อวานพ่อเจอแหม่มเคธี่บอกว่าอีกไม่นานเจ้ากำลังจะสอบไล่ปีสุดท้ายแล้วมิใช่รึ?”
             “ลูกกลับมาห้าวันขอรับ ลูกกลับมาคงต้องอ่านตำราเยอะเป็นพิเศษ เพราะครูใหญ่บอกว่าหากลูกได้ที่หนึ่งของชั้นอีกครั้ง ท่านจะมอบทุนให้ลูกไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษขอรับ”
             “บ๊ะ! อังกฤษเชียวรึ? งั้นพ่อเขมก็ต้องตั้งใจกว่าที่ผ่านมานะรู้ไหม”
             หลวงวินิตตบบ่าคุณเขมเบาๆ เพราะปกติคุณเขมสอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนมาตั้งแต่เข้าเรียนใหม่ๆแล้ว ยิ่งได้รับความไว้วางใจจากครูใหญ่ หลวงวินิตจึงยิ่งยินดี ไม่แพ้คุณเขลางค์ที่รู้สึกดีใจไปกับบุตรชายเช่นกัน
          “เอ้านั่น พวกบ่าวยกสำรับมาแล้ว แม่เขลางค์กับพ่อเขมก็ทานข้าวก่อนเถอะ วันนี้มีอะไรกินบ้างเล่าป้าฟัก?” หลวงวินิตเอ่ยถามหัวหน้าแม่ครัวที่เดินนำบ่าวทาสยกสำรับขึ้นมา
           “วันนี้มียำใหญ่ หมูแนม แกงมัสมั่น น้ำพริกปลาทู  แล้วก็ข้าวหุงของโปรดของคุณเขมเจ้าค่ะ”
           เมื่อพวกบ่าวตั้งสำรับเสร็จ คุณเขลางค์ตักข้าวหุงส่งให้หลวงวินิตและคุณเขมตามลำดับ ทันทีที่คุณเขมตักข้าวหุงคำเล็กเข้าปาก ก็จำรสมือนี้ได้ทันที  ไม่ว่าใคร ก็ไม่สามารถปรุงข้าวหุงสู้คนๆนี้ได้
            ทั้งหอมกลิ่นข้าว กลิ่นเครื่องเทศ คละรสด้วยลูกเอ็นและใบกระวาน ที่ปลูกจากในสวนครัวท้ายเรือน
          “ฟักทองแกะสลักวันนี้งามทีเดียวนะ ป้าฟักทำเองรึ?”
          คุณเขลางค์ถามหัวหน้าแม่ครัวที่หมอบอยู่ใกล้ๆ มือก็ตักแกงมัสมั่นให้สามีและลูกชายอย่างรู้งาน
           “ว่าอย่างไรล่ะจ๊ะป้าฟัก ป้าทำเองรึ?” เมื่อเห็นว่าฟักยังเงียบ คุณเขมจึงถามแทนมารดาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
          “มิใช่บ่าวดอกเจ้าค่ะ หากแต่นอกจากฟักทองแกะสลักแล้ว ทั้งข้าวหุง แกงมัสมั่น เป็นฝีมือของเจ้ายมทำเจ้าค่ะ”
           เมื่อหลวงวินิตกับคุณเขมได้ฟังเช่นนั้นก็นึกชื่นชม ในขณะที่คุณเขลางค์กำมือแน่นซ่อนความไม่พอใจไว้เมื่อได้ยินชื่อของบ่าวไพร่ที่ชิงชังที่สุด
          “เจ้ายมนี่แปลกแท้ เป็นผู้ชาย แต่มีฝีมือทำอาหารและแกะสลักไม่แพ้หญิง หึๆ”
            “แล้วยมอยู่ไหนล่ะจ๊ะป้าฟัก? เขมอยากชื่นชมเสียหน่อยที่ปรุงข้าวหุงถูกปากนัก” คุณเขมถามขึ้นบ้าง เพราะไม่เห็นเจ้าของฝีมือคนทำข้าวหุงขึ้นมาด้วยเสียที
          “จะถามถึงมันทำไมกันเล่าพ่อเขม ทานต่อเถอะลูก”
           คุณเขลางค์เรียกคุณเขมด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย ทำให้คุณเขมจำต้องรับอาหารไปอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงพูดอันใดอีกจนนายทั้งสามรับอาหารเช้าเสร็จ พวกบ่าวไพร่จึงมายกออกไป
          ทางด้านยม...หลังจากช่วยทาสคนอื่นๆล้างถ้วยล้างชามในโรงครัวจนเสร็จ เด็กหนุ่มจึงยกกระบุงไปตักน้ำบนเรือนจนครบทั้งสามเรือน ก่อนจะเลยไปยังแปลงผักสวนครัวที่ปลูกอยู่ท้ายเรือนทาส มีทั้งสมุนไพร พืชผักที่ปลูกไว้มากมายเพื่อประกอบอาหาร ยมขุดดินตรงพื้นที่ว่างเล็กน้อยก่อนจะโรยเมล็ดใบกระวานปลูกเพิ่ม
          วันนี้ตอนที่เขากำลังกินข้าวรวมกับทาสคนอื่นๆ ป้าฟักก็เข้ามาบอกกับเขาว่าคุณเขมชมว่ายมปรุงข้าวหุงอร่อยที่สุด นั่นทำให้ยมเกือบทำจานข้าวตกจากมือด้วยหัวใจที่แทบจะหลุดออกมาจากอก
           แม้ว่านี่จะมิใช่ครั้งแรก...ที่ยมปรุงข้าวหุงให้คุณเขมรับก็ตาม
         
          “นั่นเจ้าปรุงอะไรอยู่น่ะ?”
           คุณเขมในวัยสิบห้าปีเอ่ยถามเด็กน้อยที่กำลังหยิบจับสมุนไพรอย่างคล่องแคล่วก่อนจะผัดไปกับข้าวในกระทะส่งกลิ่นหอม ตามด้วยใส่ลูกเอ็นผัดอีกเล็กน้อยแล้วนำมาใส่จานเพื่อไม่ให้ข้าวแฉะจนเกินไป
         “บ่าวทำข้าวหุงเครื่องเทศขอรับ เอาข้าวสวยมาผัดกับใบกระวาน ยี่หร่า อบเชย พริกไทยดำ กานพลู ลูกเอ็น บ่าวเห็นป้าฟักทำให้คุณเขลางค์ทานจึงจำมาฝึกทำบ้างขอรับ”
        “กลิ่นหอมจังเลยยม ขอฉันชิมได้ไหม?”
      “เอ่อ...ขอรับ...” ยมใช้ช้อนตักข้าวหุงพอดีคำส่งให้คุณเขม วินาทีนั้นเองมือของคุณเขมเผลอสัมผัสกับมือของยมโดยไม่รู้ตัว
         แต่ด้วยวัยเพียงเก้าขวบ...ยมจึงไม่ได้คิดอะไรเหมือนกับตอนนี้นัก
       “รสชาติดีทีเดียวนะยม หอมกลิ่นสมุนไพรในปาก ถูกปากฉันนัก”
      คุณเขมวางช้อนลง ก่อนจะถอดแหวนจากนิ้วส่งให้เด็กน้อยตรงหน้า
      “ฉันไม่มีอัฐจะให้ เจ้ารับแหวนวงนี้ไปเป็นรางวัลก็แล้วกัน”
     “เอ่อ อย่าดีกว่าขอรับ คะ...คือ บ่าวเกรงว่าคุณเขลางค์จะคิดว่าบ่าวขโมยของๆคุณเขมน่ะขอรับ”
      “เจ้าก็อย่าให้คุณแม่เห็นสิ” คุณเขมจับมือเล็กแบออก ก่อนจะวางแหวนบนมือให้ยมรับไว้
       “ต่อไปนี้เวลาฉันกลับมาจากโรงเรียน ยมต้องทำข้าวหุงไปให้ฉับบนเรือนทุกครั้งเลยนะ”

         
      หลังจากทำงานเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ยมจึงคิดว่าจะกลับไปนอนที่เรือนทาสทันที เวลานี้ทาสคนอื่นๆก็คงพากันกลับไปนอนแล้วเช่นกัน  แน่นอนว่าก่อนจะไปยังเรือนทาส จะต้องผ่านเรือนของคุณเขมที่ด้านในหน้าต่างยังคงมีแสงสว่างจากแสงเทียน เด็กหนุ่มยิ้มขึ้นน้อยๆ สงสัยคุณเขมกำลังทบทวนตำราอยู่กระมัง ดึกป่านนี้แล้วยังไม่หลับไม่นอน     
         “เฮ้ย! ไอ้ยม”  เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ยมจำได้ว่าเป็นเสียงของไอ้เข้ม...บ่าวทาสรุ่นราวคราวเดียวกับเขาทว่าตัวใหญ่กว่านัก มันมีนิสัยชอบพูดจาถากถางรังแกทาสที่ไร้ทางสู้ไปทั่ว     
        นี่ขนาดว่าเขาไม่เคยโต้ตอบมันกลับสักหน ไม่รู้จะตามรังควานไปถึงไหน   
       “เฮ้ยๆๆ จะรีบไปไหนวะไอ้ยม” ร่างใหญ่เดินมาขวางยมที่กำลังจะเดินหนี   
       “กูเห็นมึงด้อมๆมองๆเรือนของคุณเขมนานละ มึงคิดจะขโมยของรึอย่างไรวะ?”   
       ยมยิ้มเยาะมุมปากน้อยๆ ในเมื่ออยากให้ตอบโต้จนถึงขั้นต้องพูดกล่าวหากัน เด็กหนุ่มก็จะสนองให้ 
      “ข้ามิใช่เอ็งนะไอ้เข้ม อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าเอ็งลอบขโมยยาสูบของคุณหลวงไปขายให้กับพวกฝรั่งยาจกในตลาด”                     
        “นี่มึง!!”   
         “หึ! ข้าไม่ใช่คนขี้ฟ้อง ถ้าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ เอ็งก็เลิกวุ่นวายกับข้าเสียที”   
         ยมรีบหันหลังเพื่อเดินหนีไปอีกทาง ทว่าไม่ทันแรงของเข้มที่กระชากแขนเล็กอย่างแรง ก่อนที่ใบหน้าหวานจะถูกเหวี่ยงไปตามแรงชก     
          พลั๊วะ!!     
          “อ่อก...”  ด้วยแรงที่เยอะทำให้มีโลหิตไหลออกมาจากมุมปาก แม้จะออกมาไม่มาก แต่ความช้ำที่แก้มทำให้ยมต้องเอามือประคบด้วยความเจ็บ   
          “ไอ้ทาสอวดดีอย่างมึง ต้องเจออีกหลายหมัดถึงจะสาแก่ใจกูไอ้ยม!”   
           ร่างเล็กถูกกระชากเส้นผมรุนแรง ใบหน้าที่ไม่หวาดหวั่นของยมทำให้อารมณ์คุกกรุ่นของเข้มเพิ่มเป็นทวีคูณ มือใหญ่กำหมัดหมายจะชกใบหน้าหวานให้สาแก่ใจอีกหลายครั้ง     
            พลั๊วะ!     
          ยมที่เตรียมรับชะตากรรมอย่างอ่อนแรงประหลาดใจเมื่ออยู่ๆร่างของตนก็ร่วงลงไปกับพื้นหญ้า อีกทั้งใบหน้าไม่ได้ถูกชกเพิ่ม กลับเป็นอีกฝ่ายที่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บเสียเอง ยมจึงเงยหน้าขึ้นน้อยๆ ก็พบว่ามีบุรุษขี่ม้าขาวมาช่วยเขาไว้                 
              คุณเขมของบ่าว...     
           “เข้ม! เจ้านี่มันเก่งแต่กับคนไร้ทางสู้ เห็นทีฉันต้องสั่งสอนให้หลาบจำ!”     
           “คะ...คุณเขม ไอ้เข้มผิดไปแล้วขอรับ”  เข้มยกมือท่วมหัว ทว่าอารมณ์โกรธของคุณเขมมีมากเกินกว่าจะให้อภัย           
           “มั่น เพลิง เอาตัวเข้มไปโบยท้ายสวนยี่สิบไม้ อย่าให้คุณพ่อคุณแม่ได้ยินเป็นอันขาด ฉันไม่ต้องการรบกวนพวกท่าน”     
            “ขอรับ”  สองผู้ติดตามของคุณเขมพาตัวเข้มที่ตอนนี้หน้าซีดเซียวเมื่อรู้ถึงโทษทัณฑ์ที่กำลังจะได้รับ   
          เมื่อสั่งลงโทษคนผิดแล้ว ร่างสูงก็เข้ามาประคองคนตัวเล็กที่ได้แต่เอามือกุมไว้ที่แก้ม ใบหน้าหวานคล้ายอยากร้องไห้ทว่ากลับร้องไม่ออก   
             “จะ...เจ็บ”   
            “อย่าเพิ่งพูดอะไรอีกเลย พี่จะพาเจ้าไปทำแผลนะ”     
             คุณเขมโอบอุ้มร่างที่แทบจะหมดสติแล้วค่อยๆวางที่แท่นใต้ถุนเรือนอย่างทะนุถนอม ร่างสูงเดินไปยังต้นสมุนไพรที่ปลูกไว้จำนวนมาก คุณเขมเก็บใบรางจืดมาหนึ่งกำมือ นำกลับมาล้างน้ำแล้วตำให้ละเอียด ผสมกับการบูรอีกหนึ่งหยิบมือ จากนั้นห่อด้วยผ้าขาวทำเป็นลูกประคบ แล้วนำไปนึ่งเตาไฟให้พออุ่นสักพัก         
          “ตอนนี้เจ้ายังบาดเจ็บและอ่อนล้า พี่จะประคบไปเรื่อยๆนะ พอวันพรุ่งพี่จะทำลูกประคบให้ใหม่ เจ้าเพียงนำไปจุ่มเหล้าขาวที่พี่เตรียมให้ จะเป็นกษัยยาได้ดีนัก”     
           มือใหญ่ค่อยๆประคบรอยฟกช้ำที่มุมปากอย่างเบามือที่สุด ยมลอบมองอิริยาบถของร่างสูงที่ใส่ใจตนเองเสมอ คุณเขมเก่งรอบด้านไปเสียทุกอย่าง ทั้งรูปงาม การเรียนไม่เคยเป็นรองผู้ใด อีกทั้งยังรอบรู้ด้านสมุนไพรทุกชนิด อาจเพราะสนใจสรรพคุณของมันทำให้คุณเขมปลูกแทบจะทุกชนิดที่หามาได้       
            “แอบมองพี่ทำไมยม?” คุณเขมกระเซ้าถาม ทำเอายมสะดุ้งน้อยๆ       
            “เอ่อ...บ่าวดีขึ้นแล้วขอรับคุณ...”       
            “ยม” คุณเขมพูดขัดเด็กหนุ่มขี้นมาเสียก่อน “พี่บอกกี่ครั้งแล้ว ให้แทนตัวเจ้ากับตัวพี่ว่าอย่างไร?”     
             “แต่ บ่าวไม่กล้าขอรับ”     
             “ยม” คุณเขมทำเสียงเข้ม แสร้งทำกดดันให้เด็กหนุ่มพูดใหม่     
             “ยะ...ยมดีขึ้นแล้วจ้ะ พี่..เขม”  แม้น้ำเสียงจะตะกุกตะกักไปบ้าง แต่นั่นก็เรียกรอยยิ้มให้ร่างสูงเป็นอย่างดี     
              “เจ้ายังไม่ได้ตอบพี่เลย ว่าแอบมองพี่ทำไม หื้ม?”
               คุณเขมยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ จนจมูกสันโด่งใกล้จะชิดแก้มนวลอยู่รำไร       
             “เอ่อ...ยมแค่คิดว่า ทำไมพี่เขมถึงดูแลยมขนาดนี้ ทั้งๆที่ยมเป็นเพียง...”     
              “ยม” นิ้วยาววางบนริมฝีปากแดงสด “จงจำไว้เถิด สำหรับพี่...เจ้าไม่ใช่บ่าวไพร่...”     
              คุณเขมใช้มือหนาลูบเส้นผมคนตัวเล็กอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมสันขยับเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบข้างใบหูเด็กน้อย
           “สำหรับพี่ เจ้าคือคนสำคัญ”



         ข้าวหุงของหนูยม เมนูที่เป็นเสน่ห์ปลายจวัก และมีอยู่จริงนะคะ เพราะอยู่ในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานของรัชกาลที่2 มีการกล่าวถึงเมนูข้าวหุงปรุงอย่างเทศว่า...

ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ           รสพิเศษใส่ลูกเอ็น

ใครหุงปรุงไม่เป็น                  เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ

    ปัจจุบันก็ยังมีอยู่นะคะ แล้วแต่ว่าแต่ละคนเค้าจะปรับสูตรกันยังไง แต่ไรท์ชอบตรงที่รัชกาลที่2กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดทำข้าวหุงได้อร่อยเท่าฝีมือของพระศรีสุริเยนทราอีกแล้ว ซึ่งหมายถึงไม่มีผู้ใดถ้าทำอาหารอร่อยเท่ากับคนที่เป็นที่รักได้อีกแล้ว

 ส่วนยำใหญ่...ก็คือยำรวมมิตรแหละค่ะ ใส่สารพัดตามที่บทกลอนว่าไว้เลย

    ยำใหญ่ใส่สารพัด               วางจานจัดหลายเหลือตรา​

 รสดีด้วยน้ำปลา                     ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ

ถือเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเนอะ

เราอาจจะไม่ค่อยมีความรู้ด้านสมุนไพรมาก ผิดถูกอย่างไรท้วงติงกันได้น้ออออ

กษัยยา หมายถึง ตัวนำยา นั่นคือเมื่อนำลูกประคบมาจุ่มเหล้าขาว แผลของหนูยมก็จะหายเร็วขึ้นนั่นเอง



หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 10-01-2018 19:43:51
 เรือนร้าว3
ตอน เงาะป่า     
     คืนนี้เป็นคืนที่ยมมีความสุขมากที่สุด เพราะหลังจากที่คุณเขมประคบยาเสร็จ ร่างสูงก็พาเด็กน้อยมาส่งยังเรือนทาสที่มียมอาศัยอยู่เพียงคนเดียว
    “วันพรุ่งมาที่เรือนพี่นะ มาประคบแผลเพิ่ม หากหายได้ไวพี่จะพาเจ้าไปเที่ยวที่ๆเจ้าอยากไป”
      ใบหน้าที่อิงหมอนยิ้มสดใสอย่างมีความสุขอยู่คนเดียว แผลที่ใบหน้าแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเจอน้ำเสียงของคุณเขมเข้าไป ใครจะว่าเขาเป็นเด็กแก่แดดแก่ลมก็ได้ด้วยเขาอายุเพียงสิบสองย่างเข้าสิบสามเท่านั้น
    จะทำอย่างไรได้...ในเมื่อยมมอบความจงรักภักดีและความไว้ใจให้คุณเขมหมดสิ้นแล้ว
     วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เหมือนเดิม นั่นคือยมต้องรดน้ำพรวนดินต้นไม้ทั้งสามเรือนก่อนจะเข้าโรงครัวเพื่อเตรียมสำรับ แน่นอนว่าหลังจากดูแลส่วนของเรือนคุณเขมเสร็จ ยมก็เดินไปยังใต้ถุนเรือนเพื่อประคบแผลตามที่ร่างสูงกำชับไว้ เด็กหนุ่มอมยิ้มเมื่อพบว่ามีลูกประคบอุ่นกับเหล้าขาวถูกตระเตรียมไว้อยู่แล้ว
      คุณเขมยังคงใส่ใจเขาเสมอ...
     ยมเอาลูกประคบจุ่มเหล้าขาวสักครู่แล้วประคบเบาๆ แผลฟกช้ำไม่ค่อยปวดเท่าเมื่อวานนักอาจเป็นเพราะได้รักษาไปบ้างจนดีขึ้น
     “เอ้า...นั่นไอ้ยมใช่หรือไม่?”
    “พี่เพลิงรึ?” ยมจำได้ว่าเป็นเสียงคนสนิทของคุณเขม เพลิงแม้จะมีหน้าตาดุดัน แต่ความจริงแล้วใจดี ทำให้ยมนับถือเพลิงเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง
    “แผลเอ็งเป็นอย่างไรบ้างวะ?”
    “ดีขึ้นแล้วจ้ะพี่...”
     “เอ็งนี่โชคดีแท้” เพลิงมองลูกประคบในมือยมก่อนจะยิ้มแปลกๆออกมา “นี่ถ้าเอ็งเป็นหญิงนะ ข้าคิดว่าคุณเขมคงชอบพอเอ็งเป็นแน่”
     นี่เป็นครั้งที่เท่ากันนะที่ถูกเปรียบเทียบเขาเป็นเป็นหญิงเนี่ย!
     “เอ้าๆไอ้ยม ข้าเย้าเอ็งเล่น ไม่เห็นต้องทำหน้าบูดบึ้งเลย ฮ่าๆๆ” เพลิงหัวเราะออกมาดังลั่น ทำเอายมได้แต่ส่ายหน้าระอา
     “จะหัวเราะอีกนานไหมเพลิง?”
     น้ำเสียงดุดันทว่าแฝงไปด้วยความนุ่มนวลทำเอาทาสร่างใหญ่ทำหน้าหงอลงทันที ยมก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเล็กๆ
      คุณเขมช่วยเขาไว้อีกแล้ว...
     “ฉันใช้ให้เจ้าไปบอกป้าฟัก ว่าวันนี้ให้แยกสำรับข้ามาต่างหากมิใช่รึ?”
     “ขอประทานโทษขอรับ” เพลิงได้แต่ยิ้มแหยๆ “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้แหละขอรับ”
    “ไม่ต้อง” ร่างสูงของคุณเขมเดินเข้ามาใกล้ยมกับเพลิงที่นั่งก้มหน้าคุกเข่า “เดี๋ยวข้าใช้ยมเอง เอ็งจะไปทำอะไรก็ไป”
      “ขอรับๆ”
      เมื่อเพลิงไปแล้ว คุณเขมก็นั่งยองข้างหน้าเด็กหนุ่ม ก่อนจะยื่นมือมาเชยคางให้เด็กน้อยสบตา ตอนนี้ใบหน้าหวานแดงก่ำ ในหัวยังนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนอยู่เลย
      “ประคบแผลเพิ่มแล้วใช่ไหมยม?” คุณเขมปรับน้ำเสียงอ่อนลงถามคนตัวเล็ก
      “ขอรับ” ยมเผลอตอบรับแบบที่เคยชิน ทำเอาคุณเขมต้องทำตาดุเป็นสัญญาณให้คนตัวเล็กพูดใหม่
      โธ่...ก็มันไม่ชินนี่นา
     “ประคบเพิ่มแล้วจ้ะพี่เขม ยมไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่แล้ว”
       “ดีแล้ว” คุณเขมยิ้มอย่างพอใจ “เดี๋ยวยมจะไปที่โรงครัวตั้งสำรับอีกหรือไม่?”
      “ไปจ้ะ ยมต้องไปช่วยป้าฟักตั้งสำรับอยู่แล้ว”
      “พอดีวันนี้พี่ตั้งใจทบทวนตำรา จึงใช้ให้เพลิงไปบอกป้าฟักให้แยกสำรับมาต่างหาก แต่ตอนนี้ พี่วานเจ้าแทนได้หรือไม่?”
      “ได้จ้ะ ยมจะบอกป้าฟักให้นะจ๊ะ”
      ยมลุกขึ้นก่อนที่จะเดินโค้งศีรษะผ่านร่างสูง ทว่าเสียงคุณเขมกลับเรียกไว้
      “ยม” เด็กหนุ่มหันกลับมา เผื่อว่าคุณเขมอาจต้องการสั่งสิ่งใดเพิ่มเติม
      “วันนี้ทำข้าวหุงมาให้พี่อีกนะ”
       ในโรงครัวเหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเสียงของป้าฟักที่คอยดูเตาปรุงอาหารไปสั่วบ่าวไร่ไป เสียงของตะหลิวกระทบกระทะเพื่อปรุงอาหารชั้นเลิศจนเกิดควันโขมง บางทีก็เป็นเสียงของเหล่าทาสที่ส่วนมากเป็นทาสหญิงนั่งเด็ดผักแล้วซุบซิบนินทาเรื่องของคนอื่นอย่างสนุกปาก
       “นี่ๆ เอ็งรู้รึยังอีปริก ว่าอีทองมันเพิ่งขอลาคุณหลวงกลับบ้านนอกไปทำนาเมื่อเช้านี้เอง”
      “จริงรึ แล้วคุณเขลางค์ยอมรึนั่น เห็นว่าเป็นนางทาสคนโปรดเสียด้วย”
      “ข้าได้ยินมาว่าผัวมันเอาอัฐิมาไถ่มันออกไป คุณหลวงก็มิได้ว่ากระไรนะ ส่วนคุณเขลางค์คงต้องตามใจคุณหลวงนั่นแหละ จะกักไว้ก็คงไม่ดี เพราะหลวงท่านประกาศเลิกทาสมานานแล้วด้วย”
        นางทาสทั้งสองยังคงนั่งนินทาต่อ จนลืมไปว่ามีเด็กหนุ่มกำลังนั่งแกะสลักผลไม้ได้ยินเรื่องของนางทาสที่ชื่อทองชัดเจน ยมจำได้แม่นเพราะก่อนที่หลวงวินิตจะกลับมา คุณเขลางค์ก็ได้ทรมานนางทาสที่ชื่อทองก่อนหน้าตน
       ถึงทองจะรอดพ้นจากน้ำมือคุณหญิง แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับจากนรกบนดิน ทองคงจะต้องจำไปจนตาย
      แม้จะพ้นสภาพความเป็นทาส...แต่ความลับก็คงจะเป็นความลับตลอดไป เพื่อรักษาชีวิตของตนไว้
       ถึงหลวงท่านจะประกาศเลิกทาส  จนบัดนี้แผ่นดินมีรัชกาลองค์ใหม่แล้ว แต่คุณหลวงก็ยังคงเมตตาให้ที่พำนักแก่เหล่าทาสที่ไร้ที่ไป รวมถึงยม...เด็กกำพร้าที่ไม่มีใครสนใจจนต้องมาขอฝากตัวเป็นทาส ด้วยไร้ทั้งบ้าน พ่อแม่ ญาติมิตร โชคดีที่ยมเป็นเด็กหัวไว ด้วยความที่ต้องทำงานในโรงครัวและเทียวไปเทียวมาทั้งสามเรือนตลอด ทำให้ยมมีฝีมือในด้านการทำอาหารและแกะสลักจากการดูป้าฟัก มีฝีมือในการร้อยมาลัยและจัดดอกไม้จากการแอบมองคุณเขลางค์ยามที่มีงานใหญ่บนเรือน และพอมีความรู้ด้านสมุนไพรจากคุณเขม ซึ่งต่างกันตรงที่ว่า คุณเขมสอนยมด้วยความจริงใจ ไม่ต้องไปคอยแอบดูอย่างสองรายที่ผ่านมา
        แต่โชคชะตาคงเล่นตลก...ตรงที่ว่าเขากลายเป็นทาสที่คุณเขลางค์ชิงชัง ต้องถูกลงหวายทรมานยามที่หลวงวินิตไปราชการ เขาควรจะหนีมากกว่าอยู่
       หากจะทำอย่างไร ในเมื่อคนที่ยมรักและจงรักภักดียังอยู่ที่นี่
     แม้ว่า...เขาจะเป็นสายเลือดของหญิงอำมหิตคนนั้นก็ตาม
    ยมส่ายหัวสลัดความคิดออกไป ก่อนจะก้มหน้าก้มตาแกะสลักแตงกวาต่อจนเสร็จ แล้วจึงเดินไปตักข้าวสวย ตามด้วยเครื่องเทศที่ตระเตรียมไว้เสร็จสรรพ
      เพื่อปรุงข้าวหุงสุดฝีมือให้กับคนที่ตั้งใจทบทวนตำราบนเรือน
       “คุณเขมขอรับ บ่าวยกสำรับขึ้นมาแล้วขอรับ”
     หลังจากที่ในครัวตั้งสำรับเสร็จ ป้าฟักก็วานให้ยมเป็นคนนำสำรับไปให้คุณเขมแทน ส่วนสำรับของหลวงวินิตกับคุณเขลางค์เป็นหน้าที่ของทาสคนอื่นๆ
        “มาแล้วรึ?” คุณเขมใช้ปากกาคั่นตำราไว้แล้ววางลง ร่างเล็กจึงยกสำรับที่ส่งกลิ่นหอมมาตั้งไว้บนโต๊ะไม้กลางเรือน แล้วทำท่าจะเดินออกไป
      “ไม่ต้องไปไหนหรอกยม รอเก็บสำรับทีเดียว พี่ทานไม่นาน”
     เด็กหนุ่มจึงต้องนั่งพับเพียบลงกับพื้น ด้วยคุณเขมกำชับมิให้ยมนั่งหมอบดังเช่นทาสคนอื่นๆในเรือน
       “ไหนวันนี้ นอกจากข้าวหุงแล้วมีอะไรอีก” คุณเขมเปิดฝาชามกับข้าวชามหนึ่ง พบว่าด้านในเป็นไข่ที่ถูกเจียวแล้วทำเป็นตาข่ายห่อไส้หมูสับผัดกับหัวหอม
      “พอดีวันนี้คุณหลวงอยากทานล่าเตียง ป้าฟักจึงให้พวกบ่าวช่วยกันทำน่ะจ้ะพี่เขม”
     “พี่เคยเห็นที่แม่ครัวที่โรงเรียนเขาก็ทำคล้ายแบบนี้ แต่ไข่ที่ห่อจะเรียบ ไม่ได้เป็นแพแบบนี้หรอก”
      “ถ้าเป็นแบบนั้นเขาเรียกหรุ่มจ้ะ จะคล้ายๆล่าเตียง ต่างกันตรงรูปไข่ที่ใช้ห่อไส้เท่านั้นเอง”
       คุณเขมยิ้มเมื่อคนตัวเล็กอธิบายได้อย่างเชี่ยวชาญ เขาไม่เคยคิดว่ายมเป็นเด็กอวดดีอย่างที่พวกทาสคนอื่นซุบซิบนินทา กลับมองว่ายมฉลาดเกินวัยไปเสียด้วยซ้ำ
       “แล้วนี่อะไร?” คุณเขมเปืดฝาอีกชาม ด้านในเป็นผัดผักใบเขียว มีกลิ่นหอมของกระเทียมกับน้ำปลาแทรกมานิดๆ
      “ผัดผักหวานจ้ะ อันนี้ยมทำเอง ไว้ทานเคียงกับข้าวหุง”
     คุณเขมไม่ได้อะไรออกมาอีก ชายหนุ่มตักผัดผักทานคู่กับข้าวหุง โดยมียมคอยมองตาแป๋วอยู่เป็นระยะ
      “ผัดผักรสดีนะ ไม่เค็มไม่จืดไป…”
      เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆเมื่อได้ฟังคำชื่นชม ทว่าก็ต้องหน้าแดงไปอีกเมื่อคุณเขมพูดประโยคถัดมา
      “ส่วนข้าวหุง ยังรสดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ยิ่งเป็นรสมือของเจ้า พี่ยิ่งชอบนัก”
     เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยก้มหน้าก้มตาเพื่อซ่อนใบหน้าแดงก่ำ คุณเขมจึงหัวเราะเบาๆแล้วหยุดหยอกล้อเพื่อรับอาหารต่อไป ส่วนยมที่รอเก็บสำรับมองไปยังหนังสือที่วางอยู่ข้างๆตัวคุณเขมด้วยความสนใจ
      “สนใจวรรณคดีด้วยหรือไร?”
     เสียงนุ่มทุ้มที่ถามทำให้ยมต้องเลิกจ้องหนังสือ หากแต่คุณเขมยิ้มน้อยๆ ก่อนวางช้อนลงแล้วส่งหนังสือให้คนตัวเล็กดู
     “นี่วรรณคดีเรื่องเงาะป่า เป็นบทพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลก่อน”
       คุณเขมอธิบายแล้วนึกสะท้อนในอกอย่างใจหาย ยามที่กล่าวถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนที่บัดนี้เสด็จสวรรคตไปแล้ว
      “รู้ไหม ว่าพระองค์ใช้เวลาแต่งเรื่องนี้เพียงแปดวันเท่านั้นเอง วรรณคดีเรื่องนี้ก็เป็นที่นิยมจนถึงขั้นกลายเป็นบทเรียนภาษาไทยของโรงเรียนตั้งแต่วันแรกที่ได้ตีพิมพ์”
       “พระองค์มีพระปรีชาเหลือเกินจ้ะ” ยมรับหนังสือมาเปิดดูอย่างเบามือ ด้านในมีแต่บทกลอนเต็มไปหมด ปกติตัวหนังสือทั่วไปว่าอ่านยากแล้ว ยมที่พออ่านตัวหนังสือออกได้บ้างก็ถึงกับทำหน้างงไปชั่วขณะ
      “ยมแปลไม่ออกหรอกจ้ะ ถึงพี่เขมจะเคยสอนหนังสือยมแล้วก็เถอะ แต่แบบนี้ยากเกินไปสำหรับยมจริงๆ”
      เด็กน้อยบ่นอย่างเสียดาย แม้ในใจลึกๆนั้นอยากรู้เรื่องราวของวรรณคดีเรื่องนี้เป็นอย่างมาก คุณเขมหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปลูบศีรษะป้อยๆ
      “ตอนเย็นมาหาพี่นะ พี่จะสอนเจ้าอ่าน”
       เด็กหนุ่มกลับลงไปทำงานของตนเองปกติ ทว่าวันนี้หัวใจของยมกลับเป็นสุขกว่าทุกวัน ท่ามกลางความทุกข์ที่ได้รับจากคุณหญิง กลับได้รับความสุขจากคุณเขมที่เปรียบเหมือนร่มเงาเย็นให้พึ่งพิง จนเด็กหนุ่มไม่อยากให้คุณเขมจากไปอีกเลย
       แต่ยมก็ทำได้เพียงแค่คิด เพราะพอพ้นห้าวันที่คุณเขมกลับมา ความทรมานก็อาจจะมาเยือนในไม่ช้า
       สู้เก็บเกี่ยวความสุขตอนนี้ให้มากที่สุดน่าจะดีกว่า
      ยมทำงานจนถึงยามเย็นจวบย่ำค่ำเหมือนทุกวัน ทาสคนอื่นพากันแยกย้ายไปพัก เด็กหนุ่มก็รีบมุ่งไปยังเรือนของคุณเขมทันที ยมยิ้มขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณเขมกำลังอ่านหนังสือวรรณคดีเรื่องเงาะป่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน
       “ยมมาแล้วจ้ะ” เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าไม่มีผู้ใดเดินผ่าน ยมจึงเรียกแทนตัวเองด้วยชื่ออย่างไม่สะดุด คุณเขมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ
       “มานั่งใกล้ๆพี่สิยม”
       ยมเดินมานั่งใกล้ร่างสูงอย่างว่าง่าย
      “พี่จะเล่าเรื่องย่อคร่าวๆให้ยมฟังก่อน เวลาแปลกลอนจะได้พอจับใจความได้  ดีหรือไม่?”
       “จ้ะ” ยมพยักหน้ารับ คุณเขมจึงเริ่มเล่าเรื่องย่อของเงาะป่าให้เด็กน้อยฟังโดยไม่มีติดขัด
      “เงาะป่า...เป็นเรื่องราวรักสามเส้าระหว่างตัวละครที่ชื่อซมพลา ลำหับ แล้วก็ฮเนา แท้จริงแล้วซมพลารักกับลำหับอยู่แล้ว แต่ลำหับถูกพ่อแม่จับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับฮเนา ซมพลาตัดสินใจพาคนรักหนีตามแม้จะรู้ว่าผิดผี ฮเนาจึงตามมาล้างแค้นหมายจะชิงลำหับกลับไป ซมพลาปกป้องคนรักไว้จนตัวตาย ด้วยความเสียใจลำหับจึงใช้มีดของซมพลาฆ่าตัวตาย ฮเนารู้สึกผิดก็เลยฆ่าตัวตายไปอีกคน ศพของทั้งสามถูกฝังให้อยู่ด้วยกันในป่าใกล้หมู่บ้านซาไกนั้นเอง”
      เมื่อได้ฟังเรื่องราวย่อๆ ยมก็ทำหน้าเศร้าไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าวรรณคดีเรื่องเงาะป่าจะมีเนื้อเรื่องที่เศร้าได้ถึงขนาดนี้
      “เศร้าเหลือเกินจ้ะพี่เขม ยมสงสารทั้งสามคนเลยที่ต้องมาตายเพราะความรัก”
      “เนื้อเรื่องอาจจะฟังแล้วเศร้านัก แต่ครูที่โรงเรียนบอกพี่ว่า นอกจากเนื้อเรื่องที่เศร้ากินใจผู้อ่าน เรื่องเงาะป่ายังมีอะไรที่มากกว่าความรัก นั่นคือบทกลอนที่แฝงไปด้วยวิถีชีวิตของชาวซาไก บทขบขัน บทโศก ความงามของธรรมชาติที่ถูกร้อยเรียงผ่านภาษา พี่คิดว่าหากเจ้าอ่านจนจบ เจ้าอาจจะอยากอ่านวรรณคดีเรื่องอื่นก็เป็นได้”
      “จริงหรือจ๊ะพี่เขม?”
     “พี่จะปดด้วยเหตุใดเล่า” คุณเขมเปิดหนังสือให้คนตัวเล็กดูบทกลอนบางส่วนจนถึงหน้าสุดท้าย ก็เห็นบันทึกท้ายเล่มมีใจความว่า
      พระนิพนธ์เงาะป่าว่าตามเค้า
คนังเล่าแต่งต่อล้อมันเล่น
ใช้ภาษาเงาะป่าว่ายากเย็น
แต่พอเห็นเงื่อนเงาเข้าใจกัน
ทำแปดวันครั้นมาถึงวันศุกร์
สิ้นสนุกไม่มีที่ข้อขัน
วันที่สองของเดือนกุมภาพันธ์
ศกร้อยยี่สิบสี่มั่นจบหมดเอย
     “คนังเป็นใครหรือจ๊ะพี่เขม?”  ยมสะดุดชื่อแปลกตาตรงวรรคที่สอง หรือจะเป็นชื่อของผู้ที่ช่วยในหลวงท่านแต่งเรื่องเงาะป่ากันนะ
      “คนังเป็นเด็กชาวซาไกที่ในหลวงทรงรับอุปการะ พระองค์จึงได้รับรู้วิถีชีวิตของชาวซาไก  ภาษาก็อย และวัฒนธรรมที่แทรกอยู่ในหนังสือ ก็มาจากคนังนี่แหละ พระองค์ถึงได้แต่งเสร็จภายในแปดวันไม่ติดขัด”
      เมื่อเห็นคนตัวเล็กเริ่มเข้าใจมากขึ้น คุณเขมจึงเปิดหนังสือหน้าแรกแล้วอ่านออกเสียงให้ยมฟัง พอจบบทหนึ่งก็จะแปลความหมายกลอนบทนั้นให้ฟัง ยมจึงพอเข้าใจวิธีการอ่านนี้มากขึ้น คุณเขมอ่านกลอนมาเรื่อยๆ จนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นกลางคืน
       “เห็นฝูงปลามาเป็นพรวนทวนกระแส                  สองเงาะแบมือจ้องเที่ยวมองจับ
เหยียบศิลากลิ้งกลมลื่นล้มพับ                                  ลงนอนทับกันงอนหง่อหัวร่อริก…”
        อ่านถึงแค่นั้น คุณเขมรู้สึกได้ถึงน้ำหนักตรงหัวไหล่จึงหันมา ก็พบว่าเด็กน้อยเผลอเอียงศีรษะมาซบหลับไปเสียแล้ว
       “ยม...” คุณเขมเรียกคนตัวเล็กเบาๆ แต่กลับได้ยินเสียงอือๆตอบกลับมาแค่นั้น เมื่อเห็นว่ายังไงคนตัวเล็กไม่ยอมตื่นขึ้นมาง่ายๆ คุณเขมจึงโอบอุ้มร่างเล็กไปนอนที่เรือนทาส เมื่อเปิดประตูเข้ามาด้านใน แขนแกร่งจึงค่อยๆวางคนตัวเล็กลงนอนกับเสื่อ คุณเขมออกไปตักน้ำในตุ่ม แล้วหยิบผ้าจุ่มในน้ำหมาดๆ แล้วบรรจงเช็ดไปตามใบหน้าหวาน
        “อื้อ...”
      ด้วยเกรงว่ายมจะตื่น คุณเขมจึงรีบเช็ดตัวตามลำแขนเล็กอีกเล็กน้อยแล้ววางขันน้ำไว้ตรงหัวนอน  พร้อมกับวางหนังสือเงาะป่าลงข้างๆเด็กน้อยที่ยังคงหลับใหล
      “พรุ่งนี้พี่จะมาพบเจ้าอีก...คนดี”
      ริมฝีปากหยักศกประทับลงบนหน้าผากมนแผ่วเบา เขาไม่สนใจว่าร่างน้อยที่หลับอยู่จะมีอายุเพียงสิบสองซึ่งห่างจากเขานัก จะทำอย่างไรได้...
     ในเมื่อคุณเขมเอง...ก็มอบหัวใจให้กับเด็กน้อยคนนี้ตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้วเช่นกัน
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 10-01-2018 19:46:31
เรือนร้าว4
ตอน น้ำตาลปั้น
      นี่เป็นวันที่สี่แล้วที่คุณเขมกลับมาที่เรือนของหลวงวินิต คุณเขมมักใช้เวลาไปกับตำราเรียนเพื่อเตรียมสอบไล่ก่อนจะกลับไปยังโรงเรียนอีกสองวัน ยามเย็นคุณเขมจึงพักสายตามาคอยสอนยมอ่านเรื่องเงาะป่า ร่างสูงแทบไม่ต้องคอยอ่านคอยแปลให้ฟังเหมือนคราแรกนัก เพราะเด็กน้อยหัวไวพอที่จะจับใจความบทกลอนได้แล้ว
    “วันนี้พอแค่นี้ก็ได้ยม”
    “ขอรับ” เด็กหนุ่มพยักหน้าว่าง่าย
   “เจ้าอ่านเก่งขึ้นทุกวัน พี่กลับมาจากโรงเรียนอีกที ยมคงจะอ่านจนจบเล่มแล้วกระมัง”
    ยมได้ฟังเช่นนั้นหัวใจก็หล่นวูบ ชายที่เปรียบเหมือนร่มเงาเย็นกำลังจะจากเขาไปอีกแล้ว วันเวลาห้าวันใครว่ายาวนาน มันช่างแสนสั้นเหลือเกิน
      “ยมขอกลับเรือนทาสก่อนนะจ๊ะ”
     ร่างเล็กลุกขึ้นพรวด ทว่ามือใหญ่กลับรั้งข้อมือเด็กน้อยไว้
    “วันนี้ที่มีงานที่ภูเขาทอง” คุณเขมเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นตาม จับมือให้ยมหันมามองเขา “พี่อยากจะไปเดินเที่ยวเสียหน่อย พี่ขออนุญาตคุณพ่อแล้ว”
    “แล้วอย่างไรล่ะจ๊ะ? จะให้ยมไปตามพี่เพลิงพี่มั่นหรือไม่?”
   “สองคนนั่นไม่ไปหรอก แต่พี่จะพาเจ้าไป”
   ยมเบิกตาขึ้นอย่างงุนงง ไปงานทำบุญใหญ่กับคุณเขม...สองคน?
   “ไม่ต้องคิดอันใดแล้ว ไปกันเถิดยม”
     
         คุณเขมพายมนั่งรถลากมาลงที่งานวัดภูเขาทอง ซึ่งชายหนุ่มได้ยินมาว่าวันนี้น่าจะจัดเป็นคืนสุดท้ายเพิ่อให้ชาวพุทธทุกคนได้ขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุบนภูเขาทอง และเปิดให้พ่อค้าแม่ค้าเข้ามาเร่ขายของเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการแสดงที่มาซ้ำให้คนในงานได้ดู ไม่ว่าจะเป็นโขน ลิเก มวยไทย งิ้ว และการละเล่นพื้นบ้านจำนวนมาก
       “น้องเขมเคยมาที่นี่ไหม?” ร่างสูงถามคนตัวเล็กที่เดินมองสินค้าแปลกใหม่ที่นำมาเร่ขายด้วยความตื่นตาตื่นใจ
       “ไม่เคยจ้ะ ได้ออกมาอย่างมากเพียงแค่จ่ายตลาดใกล้เรือนเท่านั้น ยังไม่เคยมาเดินงานทำบุญอย่างนี้หรอกจ้ะ”
        “ถ้าอย่างนั้น เราขึ้นไปด้านบนภูเขาทองก่อนดีกว่า เสร็จแล้วพี่จะพายมลงมาเที่ยวต่อ”
        ร่างสูงจูงมือเด็กน้อยเดินปะปนกับกลุ่มชาวบ้านขึ้นไปยังพระบรมบรรพต คุณเขมชวนยมสักการะและปิดทองพระบรมสารีริกธาตุ 
         “ทำแบบนี้นะยม...” เมื่อเห็นว่าตอนปิดทองคงตัวเล็กยังทำแผ่นสีทองร่วงลงพื้น มือใหญ่จึงจับมือเล็กคลี่แผ่นปิดทอง แล้วใช้นิ้วโป้งช่วยกดทับจนมันไม่ร่วงลงมาได้อีก
        “ขอบคุณจ้ะ” ยมหันมาสบตาเข้ากับคุณเขมพอดี  พบว่าตอนนี้ร่างเล็กอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูง ใบหน้าหวานแดงก่ำพร้อมบางสิ่งในอกที่เต้นรัวคล้ายกลอง เมื่อเห็นท่าไม่ดีเด็กหนุ่มจึงค่อยๆมุดออกจากวงแขนแกร่ง นั่นทำให้คุณเขมหัวเราะน้อยๆกับการกระทำน่ารักของเด็กน้อย
      คุณเขมพาเด็กยมตัวน้อยเที่ยวชมบริเวณรอบๆทำให้ยมได้เห็นวิวสวยๆจากด้านบน เด็กหนุ่มรู้สึกได้ทันทีเลยว่าคนด้านล่างตัวเล็กเท่ามดก็วันนี้เอง
         “พี่จะพายมลงไปข้างล่างแล้ว อยากเที่ยวบนนี้อีกหน่อยไหม?”
        “ไม่ล่ะจ้ะ ลงไปกันเลยก็ได้”
         เมื่อได้ยินดังนั้นคุณเขมจึงพาเด็กน้อยลงมาจากภูเขาทองเพื่อเดินดูสินค้าต่อ ร่างสูงจับมือเด็กน้อยไว้แน่นด้วยค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่เจอเพื่อนที่โรงเรียนหรือคนรู้จักแถวนี้
         “นั่นน่ะน้ำตาลปั้น”  คุณเขมมองยมที่จ้องขนมที่ถูกปั้นเป็นรูปต่างๆแปลกตาด้วยความเอ็นดู
          “ยมไม่เคยเห็นขนมแบบนี้เลยจ้ะพี่เขม”
         “งั้นยมรอพี่ตรงนี้นะ”
         เมื่อเด็กน้อยพยักหน้ารับ คุณเขมจึงเดินไปเลือกน้ำตาลปั้นมาชิ้นหนึ่ง เมื่อจ่ายอัฐเสร็จกำลังจะเดินกลับมาหายมที่ยืนคอยอยู่
        “พี่เขมคะ...”
        อยู่ๆก็มีเสียงหวานของผู้หญิงทักคุณเขมขึ้น เธอสวมชุดไทยลูกไม้คอกว้าง ประดับสร้อยไข่มุกยาวถึงทรวงอก นุ่งผ้าถุงสีอ่อนยาวถึงหน้าขา ไว้ผมสั้นหยักศกตามสมัยนิยมเข้ากับใบหน้าหวานจนมีชายอื่นต่างต้องเหลียวหลังมามอง จูงมือเด็กหญิงวัยหกขวบมาใกล้ร่างสูง
        “จำน้องมิได้หรือคะ? น้องจำปาบุตรสาวของหลวงอรรถกร เพื่อนของคุณพ่อพี่เขมอย่างไรล่ะคะ”
         “อ้อ” คุณเขมพอจะจำหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมาได้บ้าง “พี่ได้ยินมาว่าน้องจำปาไปเรียนต่อที่ปีนัง ไม่คิดว่าจะได้เจอน้องที่นี่”
       “น้องเพิ่งกลับมาน่ะค่ะ เห็นว่าวันนี้มีงานภูเขาทองวันสุดท้ายเลยขออนุญาตคุณพ่อมาเที่ยว คุณพ่อก็เลยฝากแม่จำปีให้มากับน้องด้วยเสียเลย”
       “พี่จำปา  ไหนว่าจะพาน้องมาซื้อน้ำตาลปั้นมิใช่รึเจ้าคะ?” แม่จำปีเขย่าแขนพี่สาว ทำเอาพี่ๆทั้งสองหัวเราะน้อยๆด้วยความเอ็นดู
         ยมมองคุณเขมที่ยืนสนทนากับหญิงแปลกหน้าด้วยความรู้สึกที่โหวงๆจนไม่อาจอธิบายได้  ยิ่งเห็นคุณเขมยื่นน้ำตาลปั้นที่ตอนแรกบอกจะซื้อให้ตนกับแม่หญิงผู้งดงามคนนั้นแล้ว ดวงตาน้อยๆก็แทบจะร้องไห้เสียให้ได้ แต่ก็ต้องเก็บมันไว้ด้วยความเคยชิน เด็กน้อยยังคงรอคอยคุณเขมที่เดิม ผู้คนเริ่มเยอะขึ้นทุกที จนร่างเล็กร่างของใครสักคนเบียดเข้าเต็มๆ ยมหลับตาปี๋ด้วยคิดว่าร่างของตนต้องกองลงไปนั่งจ้ำเบ้ากับพื้นแน่ๆ
       หมับ!
      เด็กน้อยลืมตาขึ้นช้าๆ ร่างเล็กไม่ได้ร่วงลงไปนั่งกับพื้น ทว่าถูกใครสักคนรับไว้ได้ทันท่วงที
     “ระวังหน่อยสิ” ชายแปลกหน้าเอ่ย ก่อนจะปล่อยให้เด็กน้อยเป็นอิสระ
     “กระผมไม่ทันระวังจึงถูกเบียดเกือบล้ม  ขอบพระคุณคุณมากขอรับ”
      “คราวหลังก็ระวังหน่อยนะ” ใบหน้าหล่อยิ้มให้ยมอย่างเอ็นดู เด็กน้อยสำรวจคนตรงหน้า คนๆนี้คงมีอายุไล่เลี่ยหรืออาจจะมากกว่าคุณเขม
      “ขะ...ขอรับ”
      “เจ้าชื่ออะไรรึ?” ชายแปลกหน้าถามขึ้น  เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มหน้าหวานคนนี้อย่างน่าประหลาด
       “เอ่อ...” ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้ตอบคำถาม  เสียงดุดันก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
        “ยม!” คุณเขมจ้องหน้าชายแปลกหน้าอย่างไม่พอใจ “ยมคุยกับใคร?”
       “ไม่มีอันใดหรอกจ้ะพี่เขม เมื่อครู่ยมถูกเบียดจนจะล้ม คุณคนนี้เลยเข้ามาช่วยยมไว้เฉยๆ”
      “นี่พี่ชายเจ้ารึ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “คงมัวแต่จู๋จี๋กับสาวจนลืมน้อง ดูแลน้องให้ดีๆหน่อยสิ นี่ยังดีที่เกือบล้ม หากน้องเจ้าถูกจับไปขายจะว่าอย่างไร?  ผู้คนยิ่งละลานตาออกขนาดนี้”
       คุณเขมไม่ได้ตอบโต้ ทำได้เพียงแต่ระงับอารมณ์ของตัวเองไว้ เพราะเกรงว่าหากไปมีเรื่องแล้วรู้ถึงหูของหลวงวินิตคงไม่ดีต่อเขาและยมแน่
       “ผมขอตัวก่อนก็แล้วกัน” เขายื่นมือมาแตะไหล่ยมเบาๆ “หากมีโอกาส เราคงได้พบกันอีกนะ...ยม”
       ก่อนที่คุณเขมจะพรวดเข้ามาปัดมือชายแปลกหน้าออก ร่างสูงก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว คุณเขมนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อระงับอารมณ์มาพูดน้ำเสียงอ่อนลงกับยม
       “พี่ขอโทษนะยม  ยมไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม?”
       “ยมไม่เป็นไรจ้ะ” ยมทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อน “แล้วไหนล่ะจ๊ะ? ขนมของยม”
      “พี่ขอโทษนะ พอดีเมื่อสักครู่พี่เจอคนรู้จัก เขาพาน้องสาวมาด้วย พี่เลยสนทนานานไปหน่อย”
     “แล้วพี่เขมก็ให้ขนมที่พี่ซื้อให้ยมให้เขาไปใช่ไหมจ๊ะ?”
     เด็กน้อยเผลอถามคำถามงี่เง่าออกมาจนได้  ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบ  ยมที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอพูดประชดออกไปก็รู้สึกผิด
     “ยมขอโทษ...” คนตัวเล็กพูดเสียงสั่นก่อนจะวิ่งฝ่าผู้คนออกไป   เขาไม่เคยอ่อนแอมากถึงขนาดนี้  นี่เขาเผลอพูดอะไรออกไป  คุณเขมเป็นเจ้านายเป็นเจ้าชีวิต  เพียงแค่เอ็นดูเขามากกว่าทาสคนอื่นๆก็เท่านั้น 
      ยมวิ่งมาเรื่อยๆจนมาถึงยังริมแม่น้ำใกล้ภูเขาทอง ตรงนี้สงบเงียบเพราะผู้คนเข้าไปในงานกันหมด  เด็กน้อยนั่งชันเข่ากอดตัวเอง  ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องน้อยใจมากถึงขนาดนี้  คุณเขมหาใช่คนรักของตนไม่ 
      ก็แค่แอบรักแอบชื่นชม  จะไปเรียกร้องให้ได้อะไรกัน...
     “ยม...” เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กนั่งกอดเข่าอยู่ใกล้ริมแม่น้ำคนเดียวจึงรีบวิ่งเข้าไปหาทันที  ยมยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงแม้จะรับรู้ว่ามีคนมานั่งข้างๆ
      “รู้ไหมพี่ตกใจขนาดไหน ที่อยู่ๆยมก็วิ่งออกมาจากงานแบบนี้  พี่เป็นห่วงยมนะ”
      ใบหน้าหวานหันมามอง  น้ำตาที่ไม่เคยไหลในรอบหลายปีหยาดลงมาอาบแก้มเนียน  คุณเขมตกใจที่อยู่ๆเด็กน้อยของเขาร้องไห้ออกมา  เขาไม่ชอบเอาเสียเลย...
       “ร้องไห้ทำไมยม ไม่เอานะพี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจเอาของๆยมให้คนอื่น พี่เพียงรักษามารยาทกับคนรู้จักของคุณพ่อเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอาจเสียมาถึงคุณพ่อได้”
         เมื่อนึกได้  คุณเขมก็ยื่นน้ำตาลปั้นอันใหม่ให้เด็กน้อย  นิ้วก็เกลี่ยน้ำตาบนใบหน้าหวานด้วยความรู้สึกผิด
        “พี่ซื้อน้ำตาลปั้นมาให้ยมใหม่ หายโกรธพี่ได้รึยัง?”
         “ยมขอโทษที่พูดแบบนั้นออกไป  ยมไม่ได้ตั้งใจ...” เสียงเด็กน้อยอ่อนลง ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยิน
        “พี่ไม่โกรธยมเลยนะ...” ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้ “ยมรู้ไหม? ตอนที่ผู้ชายคนนั้นเข้ามาประคองยม พี่รู้สึกอย่างไร”
         ยมส่ายหน้าช้าๆ
        “พี่โกรธตัวเองที่ทิ้งยมจนยมเกือบล้ม แล้วพี่ก็ไม่พอใจผู้ชายคนนั้น จะว่าอย่างไรดี...เช่นนั้นพี่บอกตรงๆเลยนะ...พี่หวงยม”
          พี่หวงยม...
        “แล้วยมเล่า...หวงพี่บ้างหรือไม่?”
        เด็กน้อยเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนใบหน้าแดงก่ำ ในขณะที่ร่างสูงขยับเข้ามาแนบชิดจนไม่เหลือช่องว่าง
     “ยมมีสิทธิ์หวงพี่เขมด้วยหรือจ๊ะ?”
      “ทำไมจะมิได้...” มือใหญ่ประคองหน้าหวาน ก่อนจะกระซิบแผ่วเบา "ในเมื่อเรารักกัน"
ในเมื่อเรารักกัน...
      “พะ...พี่เขม" เด็กน้อยเบิกตาโพลง เขาไม่ได้ฝันหรือหูฝาดไปใช่หรือไม่
      “ที่พี่บอกเจ้าเมื่อตอนนั้น เจ้ายังไม่แจ้งแก่ใจอีกหรือ?”
       ตอนนั้น...
      หรือว่า...?
     “สำหรับพี่...เจ้าคือคนสำคัญ”
     คุณเขมพูดย้ำออกมาเหมือนเมื่อคืนนั้น มือใหญ่ประกบกับมือของคนตัวเล็ก
    “พี่รู้ว่ามันเร็วเกินไปสำหรับยม แต่พี่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้เช่นกัน”
     ตึกตัก...ตึกตัก...
   “พี่รักเจ้า รักมากเหลือเกิน”
   “พี่เขม...”
    ไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยใดๆออกมาอีก คุณเขมบรรจงประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากนิ่มของอีกฝ่าย จูบนี้มิได้ดูดดื่มลึกซึ้ง หากแต่หวานล้ำจนน้ำตาลปั้นที่ซื้อมากลายเป็นหม้ายทันที
สองมือประสานไม่พรากจาก เช่นเดียวกับหัวใจสองดวงที่สอดประสาน
     จนอยากให้โลกนี้หยุดหมุนตราบนานเท่านาน...



**ต้องให้รักกันเร็วหน่อยค่ะ เพราะดราม่ามันเริ่มจากนี้
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 15-01-2018 18:08:01
เรือนร้าว5
ตอน คนรักที่ห่างไกล...กับชายคนนั้น
วันนี้แล้วที่คุณเขมจะต้องกลับไปยังโรงเรียน ทั้งที่เพิ่งจะมีความสุขที่สมหวังแท้ๆ ยมกับคุณเขมจะต้องจากกันอีกแล้ว กว่าคุณเขมจะสอบไล่เสร็จแล้วกลับมาอีกครั้ง เห็นทีจะเป็นเดือนหน้า

  ยมพอจะรู้เรื่องที่คุณเขมอาจจะได้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษจากพวกนางทาสที่แอบซุบซิบกัน เด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่าประเทศอังกฤษที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน แต่มันต้องไกลมากแน่ๆ

  เพียงเท่านี้เขาทั้งสองยังห่างกันไม่พออีกหรือไร?     

 แต่ถ้าหากคุณเขมต้องไปจริงๆ ยมคงจะห้ามอะไรไม่ได้ ในเมื่อเป็นความตั้งใจของคุณเขม เด็กหนุ่มก็ควรสนับสนุนคนรักจึงจะถูก     

 เด็กน้อยนั่งอยู่บนแคร่ไม้มองพระอาทิตย์ตกดิน ไม่กล้าไปแอบมองเรือนของคุณเขมอย่างที่เคยทำเพราะตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป คำบอกรักที่คุณเขมพร่ำบอกตอนนั้นยังคงก้องอยู่ในหัว

“พี่รักเจ้า รักมากเหลือเกิน”       

      “ยม ยม”

      เสียงของเดือน...นางทาสที่แก่กว่ายมเกือบสิบปีเรียกเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลผิดกับกิริยาของนางทาสคนอื่น และเป็นคนเดียวที่ยมพอให้ความเคารพเป็นเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง นอกจากพี่เพลิงกับพี่มั่น   

    “พอดีคุณเขมให้พี่ตามเอ็งขึ้นไปบนเรือนน่ะ เห็นว่าจะให้ไปช่วยเก็บของเพิ่มเติมก่อนจะไปท่าเรือวันนี้”     

  แม้เดือนจะแปลกใจที่คุณเขมก็มีผู้ช่วยคนสนิทอยู่แล้วสองคน แต่เหตุใดจึงต้องตามยมมาช่วยอีก หากแต่เมื่อเป็นคำสั่ง ทาสอย่างเดือนก็ต้องรับคำสั่งมาอยู่ดี   

    “ยมไม่ไปได้ไหมจ๊ะ?”     

  “ไปเถอะน่า คุณเขมกำลังจะกลับโรงเรียนแล้วนะ เอ็งไม่อยากไปส่งคุณรึ?”

 เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีทาสสาว ความคิดตอนนี้สองจิตสองใจนัก ใจหนึ่งก็อยากไปส่งคุณเขมให้ถึงท่าเรือ ทว่าอีกใจนั้นกลัวว่าเมื่อจะต้องลาคุณเขมจริงๆ เขาอาจจะร้องไห้ออกมาอีก        หากสักวันคุณเขมต้องไปไกลจริง ยมจะทำใจได้หรือไม่...     

“เดี๋ยวยมตามไปนะจ๊ะ” เด็กน้อยตอบกลับทาสรุ่นพี่ไปในที่สุด   

 “อือม์...พี่ไปนะ” 

 เมื่อเดือนเดินจากไปแล้ว เด็กน้อยหันมามองดวงอาทิตย์เป็นครั้งสุดท้าย แววตาของยมสั่นระริก กว่าคุณเขมจะกลับมาก็ตั้งเดือนหน้า  นั่นสิ...เขาควรจะไปส่งชายที่รักก่อนจะจากไกลอีกครั้ง

      “คุณเขม!”

     ยมวิ่งขึ้นไปบนเรือนของคุณเขมด้วยอยากเอ่ยลาให้หายคาใจ ทว่าร่างเล็กต้องหยุดเมื่อภายในห้องมีหลวงวินิตกับคุณเขลางค์กำลังพูดคุยกับบุตรชายอยู่

     “ไอ้ยม!เอ็งนี่ไร้มารยาทนัก วิ่งเสียงดังโครมครามขึ้นเรือนได้อย่างไร”

     เมื่อถูกคุณเขลางค์เอ็ดตะโรต่อหน้าหลวงวินิตกับคุณเขม ทำให้ทาสตัวน้อยต้องนั่งหมอบคลานเข้ามาแทน

      “บ่าวขออภัยขอรับ บ่าวไม่ทันเห็นคุณทั้งสอง” ยมพูดเสียงสั่น

     “จะเห็นไม่เห็นเอ็งก็ไม่ควรวิ่งเสียงดังเช่นนี้”

   “เอาล่ะๆ พอได้แล้วแม่เขลางค์” หลวงวินิตปรามภริยาเอก คุณเขลางค์จึงจำต้องเงียบแม้ดวงตาจะมองเด็กหนุ่มอย่างกินเลือดกินเนื้อ

     “เอ็งจะมาช่วยคุณเขมเก็บของใช่ไหมยม? ไม่ต้องแล้วล่ะ เอ็งรอไปส่งคุณเขมกับคนอื่นๆเถอะ”

     “ขอรับ...”

      เมื่อยมเงยหน้าก็พบว่าสายตาคมเข้มจ้องมองมาที่ตนอยู่แล้ว วันนี้คุณเขมแต่งกายด้วยเสื้อราชปะแตนตามกฎของโรงเรียนดูสง่างามนัก

     แม้ในใจมีหลายสิ่งจะอยากจะพูดเหลือเกิน ทว่าตอนนี้เด็กน้อยทำได้เพียงลงกลับไปยังเรือนทาส

   ภายในกล่องใบเล็กที่ยมแอบซุกไว้ใต้กองเสื้อผ้าแน่นหนา ด้านในมีแหวนทองที่ได้รับเมื่อสามปีก่อน และหนังสือเรื่องเงาะป่าที่มีใบไม้ใกล้แห้งเหี่ยวคั่นหน้าไว้...

  ตอนนี้เจ้าของหนังสือกำลังจะกลับไปเพื่อสอบไล่ปีสุดท้าย  ยมควรจะเอาไปคืนให้คุณเขมอ่านมากกว่า เพราะเห็นว่าเป็นบทเรียนภาษาไทยโรงเรียนของคุณเขม

        ถึงเขาจะยังอ่านไม่จบก็ตาม...

       สองมือกอดหนังสือเรื่องเงาะป่าไว้แน่น...แล้วเขาจะคืนคุณเขมเมื่อใด ในเมื่อคุณเขลางค์คอยจับผิดตนเองอยู่

      อีกแล้วที่ยมอยากจะร้องไห้...แต่ก็ร้องไม่ออก

       “ยม...”

      เสียงอบอุ่นแบบนี้...

      “พี่เขม”

      เด็กน้อยโผกอดร่างสูงราวกับคุณเขมจะจากไปไกลแสนไกล  มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเบาๆ ริมฝีปากก็จูบซับขมับคนตัวเล็ก

       “พี่จะกลับมาเดือนหน้า เจ้ารอพี่ได้หรือไม่?”

      ไม่ไปได้ไหม...

      แต่สิ่งพูดออกมากลับสวนทางกับหัวใจ

      “จะกี่เดือนยมก็รอ พี่อย่าทิ้งยมก็พอนะจ๊ะ”

       ทั้งสองกอดอยู่เนิ่นนาน กระทั่งเด็กหนุ่มนึกอะไรบางอย่างได้

     “พี่ต้องใช้หนังสือเล่มนี้สอบไล่หรือไม่? ยมคืนให้จ้ะ”

      คุณเขมรับหนังสือเงาะป่ามา มือใหญ่เปิดหนังสือวางอะไรบางอย่างก่อนจะปิดส่งคืนให้ยมที่ยืนงุนงง

      “ยมเอาไปอ่านให้จบเถอะนะ สัญญาได้ไหมว่าถ้าพี่กลับมา เจ้าจะอ่านบทกลอนจนจบทั้งเล่ม”

        “แต่...”

       “สัญญาได้ไหมยม?”

      สายตาคมที่ตอนนี้เปลี่ยนคล้ายจะวิงวอน ทำให้ยมต้องกลืนคำถามที่อยากถามไปเสียจนหมด

       “จ้ะ”

    ฝ่ามืออบอุ่นยังคงประคองมือน้อยไม่ห่างไกล จวบจนย่ำค่ำ หลวงวินิตกับคุณเขลางค์มาส่งคุณเขมลงเรือที่ท่าน้ำด้านหน้าเรือนเรียบร้อย  เด็กหนุ่มเดินรั้งท้ายทาสคนอื่นๆเพื่อสบสายตากับร่างสูงที่มองกลับมายังตนจนเรือที่ชายหนุ่มนั่งเลือนรางไป

       ยมจะรอพี่เขม...รีบกลับมานะจ๊ะ



สามวันผ่านไป

        ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในเรือนของหลงวินิตยังคงใช้ชีวิตเหมือนเช่นทุกวัน  ยมก็เช่นกัน  หากแต่เด็กหนุ่มหาได้ทำงานด้วยใจที่หดหู่ไม่  ในใจเขาสั่งให้อดทนนับเวลารอวันที่คุณเขมจะกลับมาพร้อมข่าวดี  ยมยังคงมาดูแลสวนของคุณเขมเหมือนเดิม บางครั้งยามว่าง เด็กหนุ่มก็จะอาสาขึ้นไปทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูบนเรือนคุณเขมเพื่อแทนความคิดถึงได้บ้าง

         “ยมจ๊ะ ป้าฟักฝากมาบอกว่าหากตักน้ำเสร็จแล้วให้ยมตามไปทำขนมรับรองแขกด้วยนะ วันนี้แขกของคุณหลวงจะมาที่เรือนน่ะ”

         “จ้ะพี่เดือน” ยมพยักหน้ารับรู้  เวลานี้เห็นจะมีแต่เดือนที่พอจะคุยแก้เหงาด้วยได้  ส่วนเข้มที่ถูกคุณเขมสั่งลงหวายเมื่อหลายวันก่อน  ยมก็ไม่ได้เห็นมันเข้ามายุ่งวุ่นวายอีกเลย  ซึ่งเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว

         หลังจากตักน้ำตุ่มสุดท้ายเสร็จ ยมก็มาช่วยป้าฟักในโรงครัวทันที  เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อยเพื่อเจอคุณเขลางค์กำลังจัดจีบช่อม่วงอยู่บนแคร่ไม้โดยมีเฟื้องคอยช่วย ยมกลัวว่าจะถูกหาเรื่องอีกจึงนั่งคลานเข่าเข้าไปเงียบๆ

        “มาแล้วรึไอ้ยม?” คุณเขลางค์ถามทั้งที่ก้มหน้าบรรจงจัดจีบขนมอยู่  “พอดีข้าจะทำฝอยทองต้อนรับพระยามนตรีแขกของคุณพี่เพิ่ม แต่ตอนนี้ไข่ไก่หมด เอ็งไปเก็บที่เล้าไก่ให้ข้าหน่อยสิ”

       “แต่เมื่อเช้าป้าฟักเพิ่งจะให้บ่าวไปเก็บเองนะขอรับ” ตอนนี้ตาขวาเด็กหนุ่มเริ่มกระตุก นี่คุณเขลางค์จะแกล้งอะไรเขาอีก

       “อีฟักอาจเอาไปทำสำรับหมดแล้วก็ได้ ไปเก็บให้ข้าหน่อย หากเอ็งไม่ไป ข้ากับเอ็งเห็นดีกันแน่” ประโยคหลังคุณเขลางค์กล่าวด้วยน้ำเสียงทำเอายมหวาดหวั่น หากแต่น้ำเสียงที่กล่าวออกไปนั้นแฝงไปด้วยความแข็งกระด้างกลบเกลื่อนความกลัว

      “ขอรับ...บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”

       เมื่อออกมาจากโรงครัวแล้ว ยมได้แต่กัดฟันกรอดด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าถูกแกล้ง ไข่ไก่มันจะหมดเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร ก็ในเมื่อเขาเก็บมาได้เต็มกระบุง รวมแล้วก็มากกว่าสิบฟอง

       แต่จะทำอย่างไรได้

       อดทนไว้ยม...อดทน

      สุดท้ายยมก็ต้องเดินมาถึงเล้าไก่จนได้  ยังดีที่เด็กหนุ่มยังเก็บไข่ไก่มาไม่หมดด้วยตั้งใจเหลือไว้สำหรับตั้งสำรับวันอื่นบ้าง หากแต่ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะผลักรั้วเข้าไป อยู่ๆก็มีมือประหลาดเข้ามาอุดปากใบหน้าหวานเสียก่อน

         “อื้อออ...อืออ!!”

         “เสร็จกูล่ะไอ้ยม!”

        นี่มันเสียงไอ้เข้ม!!

        “อ่อย อ่อยอ้าอะ!!!” คนตัวเล็กดิ้น ร้องโวยวายได้ไม่เต็มปากเพราะถูกอุดไว้อยู่

       “ปล่อยให้โง่รึ! คราวที่แล้วมึงทำกูเจ็บแสบมาก คราวนี้คุณเขมไม่อยู่ ดูซิว่าใครจะมาช่วยมึงได้ ฮ่าๆๆ อ๊ากกกกกกก!!!!!”

       ไอ้เข้มร้องลั่นเมื่อถูกมือถูกฟันของยมกัดเข้าอย่างแรงจนเลือดออกทำให้เผลอปล่อยคนตัวเล็ก ยมจึงสบโอกาสวิ่งกลับไปยังโรงครัวอย่างไม่คิดชีวิต

      “ไอ้ยม ฮึ่ย!! ตัวก็เล็กนิดเดียวแต่กัดเจ็บชิบหาย!!”  ไอ้เข้มได้แต่เจ็บใจเพราะให้วิ่งตามก็คงไม่ทัน เดี๋ยวทาสอ้ายอีคนอื่นจะเห็นแล้วแผนอาจจะล่ม ต้องถอยไปตั้งหลักก่อน

      “แฮ่กๆ หวังว่ามันคงตามไม่ทันหรอกนะ” เด็กน้อยวิ่งพลางหันไปมองด้านหลัง ทำให้ไม่ทันมองว่ามีกรวดหินแหลมคมอยู่ตรงหน้า

      “โอ๊ยยยย!”

     ร่างเล็กนอนลงไปกับพื้นหญ้าทันที หัวเข่าทั้งสองข้างมีเลือกออกจากการสะดุดกรวดหิน ยมลองขยับจะลุกขึ้น หากแต่ความเจ็บทำให้เด็กหนุ่มลุกไม่ขึ้น

      พี่เขม...

      หากพี่เขมยังอยู่  พี่เขมคงจะมาช่วยยมเหมือนตอนนั้น...

     “เจ้า...เจ้าเป็นอะไรไหม?”

     เสียงคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินมาก่อนทำให้เด็กน้อยเงยหน้า  คนตรงหน้าของเขาคือชายร่างสูงที่มีหน้าตาออกไปทางลูกครึ่งแบบฝรั่ง ไว้ผมรองทรงประดับด้วยหมวกหางนกยูง สวมเสื้อราชปะแตนเต็มยศคล้ายข้าราชการ หากแต่โจงกระเบนที่ส่วมใส่ดูแปลกตาเพราะมันยาวถึงข้อเท้า

     “เอ๊ะ! นี่เจ้า…ยมใช่ไหม?”

     เด็กหนุ่มพิจารณาชายตรงหน้าอย่างงุนงงเมื่อเขาเรียกชื่อของตน ยมครุ่นคิดอยู่นาน แต่เมื่อมองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูมาดเป็นคนรักสนุกแล้ว...

       หรือว่า...ชายคนนี้ คือคนที่เข้ามาช่วยเขาในงานภูเขาทองตอนนั้น!

      “คุณที่ช่วยกระผม เอ่อ...บ่าว ตอนนั้น...” ยมพึมพำ ดูจากการแต่งกายของคนตรงหน้า ทำให้ยมรู้แล้วว่าเขาหาใช่คนสามัญไม่

      “ตอนนั้นฉันอุตส่าห์ช่วยไม่ให้ล้ม แต่พอวันนี้เจ้ากลับซุ่มซ่ามเสียเอง น่าขันแท้ หึๆ” ร่างสูงลงมาประคองร่างเล็กเบาๆ

     “มันน่าขันอย่างไรเล่าขอรับ! เหวอ...” ยมโวยวายขึ้นทันทีเมื่อเห็นคนตรงหน้าหัวเราะเบาๆ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อร่างของตนถูกโอบอุ้ม

      “ปล่อยนะขอรับ!”

      ร่างสูงพายมไปนั่งบนแคร่ไม้ใกล้ๆ โชคดีที่แถวนั้นมีตุ่มใส่น้ำใบใหญ่ตั้งอยู่  ร่างสูงเปลื้องเอาผ้าชายพกที่เอวจุ่มลงไปในขันน้ำแล้วบิดหมาดๆ จากนั้นจึงค่อยๆซับลงบนแผลยังคงมีเลือดไหล

      “อู๊ย! เบาหน่อยขอรับ บ่าวแสบ”

      “ต้องล้างแผลก่อน เสียดายที่ฉันไม่มียาฝรั่งติดตัวมา ไม่อย่างนั้นจะได้ใส่ยารักษาแผลด้วยเสียเลย”

        “มะ...ไม่เป็นไรขอรับ” ยมตบเสียงตะกุกตะกัก “บ่าวมีสมุนไพรอยู่ ขอบพระคุณคุณมากนะขอรับ”

      “ไม่ต้องไหว้ฉันหรอก” ชายหนุ่มรีบจับมือเล็กเมื่อเห็นว่ายมทำท่าจะไหว้ตน “คิดเสียว่าฉันเป็นเพื่อนหรือพี่ชายคนหนึ่งของยมเถิด แล้วนี่พี่ชายยมไปไหนล่ะ?”

       “เอ่อ...คือบ่าว...” ยมกำลังจะตอบคนตรงหน้าว่าไม่มีพี่ชาย  คุณเขมที่ชายหนุ่มเจอในตอนนั้น แท้จริงแล้วคือเจ้านายของตนต่างหาก

      “นั่นพ่อโดม มานั่งทำอะไรกับเจ้ายมรึ?”

      หลวงวินิตเดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนที่สวมราชปะแตนสูงศักดิ์ หากแต่ที่ชายพกมีดาบประดับบารมีดูน่าเกรงขามนัก

     “ผู้ใดกันรึคุณหลวง?” พระยามนตรีเอ่ยถาม

     “นี่เจ้ายม เด็กรับใช้เรือนของแม่เขลางค์เขา” หลวงวินิตตอบสหายเก่าแก่ ก่อนจะหันไปถามเด็กน้อยที่ก้มหน้าด้วยความเคยชิน “แล้วนี่เอ็งไปทำอะไรมาล่ะ...ถึงได้แผลมาแบบนี้?”

        “คือ...” ยมอึกอักเล็กน้อย อยากจะบอกความจริงว่าวิ่งหนีไอ้เข้มที่กำลังจะทำร้ายตนมา แต่เพราะไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายจึงตัดสินใจปดออกไป

        “คือ...บ่าวตกใจเสียงตุ๊กแกขอรับ ไม่ทันระวังจึงสะดุดกรวดแถวนั้นล้ม แล้วคุณคนนี้ก็มาช่วยล้างแผลให้บ่าวขอรับ”

      “ไอ้นี่…เป็นชายซะเปล่าดันกลัวตุ๊กแก” หลวงวินิตหัวเราะ ทำเอาพระยามนตรีขันตามไปด้วย  เด็กหนุ่มได้แต่ก้มหน้าเพื่อซ่อนพิรุธกลบเกลื่อน

     “เอาเถอะ อย่างไรอาต้องขอบใจพ่อโดมนะ เจ้ายม...กราบขอบพระคุณพ่อโดมเสียสิ พ่อโดมเป็นถึงบุตรท่านพระยามนตรีเชียวนะ”

     “บ่าวขอบพระคุณคุณโดมขอรับ” เด็กหนุ่มก้มกราบบุตรชายท่านพระยา ทำเอาคุณโดมจับร่างเล็กไว้แทบไม่ทัน

      “ไม่เป็นไรขอรับคุณอา กระผมยินดีขอรับ” คุณโดมหันไปตอบหลวงวินิตด้วยความจริงใจ

     “คุณพี่เจ้าคะ” คุณเขลางค์เดินมาหาหลวงวินิต  “เชิญท่านพระยามนตรีขึ้นเรือนเถิดเจ้าค่ะ น้องให้บ่าวยกสำรับของว่างขึ้นไปบนเรือนแล้ว เชิญท่านพระยาขึ้นไปรับของว่างนะเจ้าคะ”

      “ขอบใจนะแม่เขลางค์” พระยามนตรียิ้มตอบรับไมตรี “ขึ้นเรือนกับพ่อเถิดเจ้าโดม เห็นว่าเจ้ามีราชการจะปรึกษาคุณหลวงมิใช่รึ?”

       “ขอรับคุณพ่อ” คุณโดมตอบรับบิดา “ฉันไปก่อนนะยม ไว้ฉันจะมาพบเจ้าอีก”

       ครั้นเมื่อหลวงวินิตนำพระยามนตรีกับคุณโดมขึ้นไปบนเรือนแล้ว ใบหน้าที่อ่อนหวานของคุณเขลางค์ในคราแรกก็เปลี่ยนเป็นมองตาเขียวใส่ยมจนเด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยๆ แต่ก็ยังทำสีหน้านิ่งเป็นปกติ

       “สำออย!”  คุณเขลางค์แขวะเด็กหนุ่มอีกเล็กน้อย ก่อนจะตามหลวงวินิตขึ้นไปบนเรือนใหญ่เพื่อช่วยผู้เป็นสามีรับรองแขกสูงศักดิ์ที่มาเยือน



     “กะอีแค่ฉุดมันไปซ้อมก็ทำไม่ได้  เอ็งนี่มันไม่ได้เรื่องเลยนะไอ้เข้ม! เฆี่ยนมันต่ออีเฟื้อง”

      “เจ้าค่ะ”

     เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!!!!

     “อ๊ากกกกก!!! บ่าวผิดไปแล้วขอรับคุณเขลางค์”

    เสียงโวยวายของไอ้เข้มเริ่มดังลั่น  คุณเขลางค์นึกขึ้นได้ว่าคุณหลวงยังพูดคุยธุระอยู่บนเรือนใหญ่ จึงให้อีเฟื้องไปหาผ้ามาอุดปากไอ้เข้มแล้วลงหวายต่อ

     “ข้าจะขึ้นเรือนไปร้อยมาลัยต่อ  เฆี่ยนมันอีกสิบไม้แล้วรีบปล่อยมัน  ข้าไม่อยากเสี่ยงให้คุณพี่เห็น”

     “เจ้าค่ะ”

   เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว คุณเขลางค์ก็ปาดทุกอย่างบนโต๊ะแป้งกระจัดกระจายด้วยความโมโหที่ไม่สามารถทำอะไรทาสที่ตนเกลียดได้เลย

     “ไอ้ยม  กูไม่หยุดแค่นี้แน่!”

     คุณเขลางค์หยิบมาลัยดอกมะลิที่ร้อยค้างไว้มาทำต่อเพื่อสงบจิตใจลง แต่แล้วก็ชะงักไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของนางทาสมาจากสวนนอกเรือน

     “นั่นเสียงอีเดือนมิใช่รึ?” คุณเขลางค์ถือเข็มมาลัยไปยังหน้าต่าง  ก็พบว่าเดือนกำลังเอาดอกลั่นทมมาทัดหูของยมแล้วหัวเราะสดใส

       “ทำไมข้าเพิ่งสังเกตว่าอีเดือนมันงามขนาดนี้”

      คุณเขลางค์รำพึง  พลางเอาแต่จ้องนางทาสสาวแสนสวยจนไม่ทันระวัง ทำให้เข็มมาลัยปักเข้าที่มือไม่ลึกมากนัก

        “บ้าจริง!” คุณเขลางค์โยนเข็มมาลัยลงบนเตียง  ดอกมะลิที่ร้อยค้างไว้เปื้อนเลือดจากมือบาง  คุณเขลางค์ยกมือที่เลือดไหลขึ้นมามองด้วยสายตาที่น่ากลัวมากกว่าทุกที

         “อือม์...อีเดือน”

        สายตาจับจ้องดอกมะลิที่อาบเลือดชวนให้นึกถึงผิวที่นวลเนียนผิดแผกจากทาสทั่วไปของเดือน

        ผิวขาวที่นวลเนียนนั่น...อยากจะให้มันประดับด้วยรอยแผลและ...

        รอยเลือด!

        ริมฝีปากแดงซับเลือดจากมือ แม้จะเจ็บแสบแต่กลับกลายเป็นว่าเป็นที่ถูกใจคุณเขลางค์นัก

       “อ่า...อีเดือน...”

        “แม่เขลางค์อยู่ข้างในรึเปล่า? ฉันเข้าไปนะ”

     เสียงของหลวงวินิตเรียกจากด้านนอก  ทำให้คุณเขลางค์ต้องซุกมือที่เปื้อนเลือดไว้  ในใจก็วิตกว่าผู้เป็นสามีจะเห็นบ่าวของตนเฆี่ยนไอ้เข้มอยู่หรือไม่  แต่เมื่อเห็นเฟื้องตามเข้ามา คุณเขลางค์จึงค่อยโล่งใจ

    “ว้าย! มือของคุณเขลางค์ไปถูกอะไรมาเจ้าคะ?!” เฟื้องร้องด้วยความเป็นห่วงนายหญิง ก่อนจะรีบหาหยูกยาและผ้าพันมาทำแผลให้คุณเขลางค์   

     “มือไปถูกอะไรมาแม่เขลางค์?” หลวงวินิตเข้ามาจับมือด้านที่ปกติผู้เป็นภริยาเอกด้วยความห่วงใยขณะที่เฟื้องกำลังทำแผลมืออีกข้าง

   “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ น้องแค่ร้อยมาลัยไม่ทันระวัง ไม่ต้องเป็นห่วงน้องนะเจ้าคะ”

หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 15-01-2018 18:10:28
เรือนร้าว6
ตอน ตรอกผีเสื้อ
“นี่ๆพวกเอ็งมาฟังทางนี้ ข้ามีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง เอ้าเร็วๆเข้า”     

 เสียงของปริกโวยวายแต่เช้าทำเอาในครัวที่กำลังตั้งสำรับวุ่นวายไปหมด เดือนที่นั่งเด็ดผักอยู่ข้างๆยมสะกิดทาสรุ่นน้องให้เงยหน้า   

  “เอ็งว่าพี่ปริกไปคันปากมาจากไหนยม? ดูสิ เสียงดังแต่เช้าเลย”     

“ไม่รู้หรอกจ้ะพี่” เด็กน้อยตอบซื่อๆ มือก็ยังบรรจงแกะสลักฟักทองต่อ     

 “ไม่รู้ก็ไปฟังกัน ข้าอยากรู้”     

 เดือนจับข้อมือเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นไปรวมกลุ่มกับทาสคนอื่นๆเพื่อฟังเรื่องที่ปริกกำลังจะเล่า ยมจึงต้องตามไปอย่างช่วยไม่ได้     

  “พวกเอ็งรู้ไหมว่าตอนที่อีทองกับผัวมันกำลังกลับบ้านนอก อยู่ๆก็ถูกโจรที่ไหนไม่รู้ฆ่ากลางทาง ตายทั้งผัวทั้งเมียเลย”     

   “ตาเถร!" ป้าฟักวางมือทาบอก “ไม่น่าเลยอีทองเอ๋ย เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ”   

    “แต่ที่น่าประหลาดก็คือ ไอ้โจรนั่นไม่ได้เอาอัฐไปสักแดงเดียว เห็นว่าพอมันฆ่าเสร็จมันก็รีบหนีไปเลย”                         

 เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกทาสคนอื่นก็พากันซุบซิบถึงเหตุการณ์น่าประหลาด เว้นเพียงแต่ยมกับเดือนที่ได้แต่เพียงเวทนาในชะตากรรมของอดีตนางทาสที่ชื่อทอง     

 เพิ่งได้หลุดจากความเป็นทาส...ก็ต้องมาพบกับความตายก่อนอันควรเสียแล้ว   

   “งานการไม่ทำหรือไร? ถึงได้มาจับกลุ่มซุบซิบนินทา!” 

     เสียงดุดันทรงอำนาจดังขึ้นทำให้พวกทาสต้องพากันเงียบกริบ คุณเขลางค์เดินเข้ามาพร้อมกับบ่าวคนสนิท ก่อนจะปรายตามองไปยังทาสสาวที่ตอนนี้นั่งนิ่งเช่นทาสคนอื่นๆ   

  “ไอ้ยม อีเดือน วันนี้ข้าจะไปตลาดช่วงสายๆ พวกเอ็งต้องไปช่วยข้าถือของ”     

 กล่าวเพียงแค่นั้นคุณเขลางค์ก็เดินออกจากครัวไป     

 “แล้วพวกเอ็งน่ะ ทำงานทำการได้แล้ว เดี๋ยวคุณเขลางค์ของข้าจะเคืองได้” เฟื้องกำชับพวกบ่าวคนอื่นทิ้งท้าย ก่อนจะเดินตามผู้เป็นนายหญิงกลับเรือน   

  “หนอย...ข้าล่ะหมันไส้อีเฟื้องจริงเชียว คิดว่าเป็นคนสนิทก็เลยอวดเบ่ง”  ปริกทำหบ้าเบ้จนป้าฟักต้องเอาตะหลิวมาตีแขน   

  “โอ๊ยป้า! ตีฉันทำไมเนี่ย?” ปริกลูบแขนต้วเองป้อยๆ   

  “เดี๋ยวอีเฟื้องมันก็ได้ยินพวกเราจะซวยกันหมด ไปๆ พวกเอ็งแยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว!”     

 เมื่อพวกทาสพากันไปทำหน้าที่ของตน เดือนก็แยกยมออกมาคุยกระซิบเพียงสองคน     

“วันนี้คุณเขลางค์มาแปลก อยู่ๆก็มาให้เราสองคนไปตลาดด้วย ยมคิดอย่างไร?”       

 “ทำตามที่คุณเขลางค์สั่งเถอะพี่เดือน” ยมตอบอย่างไม่ใส่ใจ     

 “เอ็งนี่น้า...” เดือนส่ายหัวให้กับคำตอบของทาสรุ่นน้องที่ช่างพูดน้อยเหลือเกิน ก่อนจะนั่งทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติ



 “คุณพี่เพิ่งกลับมาไม่กี่วัน ต้องไปราชการอีกหรือเจ้าคะ?”  คุณเขลางค์แสร้งถามหลวงวินิตเสียงน้อยใจขณะที่เดินมาส่งที่ท่าน้ำหน้าเรือนพร้อมบ่าวไพร่       

“มันเป็นราชการด่วนน่ะ แม่เขลางค์เข้าใจฉันนะ อีกสองวันก็กลับมาแล้ว”     

   “เช่นนั้นเดินทางดีๆนะเจ้าคะคุณพี่” คุณหญิงยิ้มให้กับผู้เป็นสามี     

   “จ้ะ แล้วฉันจะรีบกลับ" หลวงวินิตจูบหน้าผากมนของภรรยาอ่อนโยน “งั้นฉันไปก่อนนะ ไอ้กลอง ไปกันได้แล้ว” คุณหลวงหันไปสั่งคนสนิทก่อนจะก้าวลงเรือ         

 “ขอรับคุณหลวง”       

 ครั้นเมื่อหลวงวินิตเดินทางแล้ว บ่าวไพร่ทั้งหลายก็พากันแยกย้าย ทว่าคุณเขลางค์ยังคงอยู่ที่เดิม ใบหน้าสวยงามมีรอยยิ้มประดับดูน่ากลัวมากกว่าสวยงาม     

     “คุณเขลางค์เจ้าขา..." เฟื้องเรียกผู้เป็นนายขึ้นอย่างรู้งาน “จะให้บ่าวจับพวกทาสเด็กๆขังไว้ก่อนไหมเจ้าคะ?”                     

     “วันนี้ยังก่อนอีเฟื้อง" คุณเขลางค์หันไปตอบ “เพราะวันนี้มีอะไรน่าดูกว่านั่งดูทาสที่โดนเอ็งเฆี่ยน หึๆ”                               

     “คุณเขลางค์หมายถึงอีเดือนรึเจ้าคะ?” อีเฟื้องยิ้มอย่างมีเลศนัย       

    “เอ็งนี่มันรู้ใจข้า” คุณเขลางค์ยิ้มเยาะ “เอาหูมานี่ ข้ามีงานให้เอ็งไปทำ”     

    “เจ้าค่ะ”     

    ครั้นเมื่อคุณเขลางค์กระซิบแผนบางอย่างจนหมด เฟื้องก็พยักหน้าเพื่อรับคำสั่งจากผู้เป็นนายหญิงของตนทันที     

        “ได้เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ ว่าแต่...บ่าวสงสัยเจ้าค่ะ”

       “เอ็งสงสัยอะไรอีเฟื้อง?”

       “ทำไมคุณเขลางค์ถึงเอาไอ้ยมไปด้วยล่ะเจ้าคะ?”

       “หึ...” คุณเขลางค์ยกมุมปากเล็กน้อย “ก็แค่...”

 

ตลาดช่วงยามสายอาจดูไม่ครึกครื้นเหมือนยามเช้ามากนัก แต่ก็ยังคงมีผู้คนเดินซื้อของกันอยู่ไม่น้อย คุณเขลางค์เดินเข้าไปในร้านแพรไหมเสียส่วนใหญ่ โดยมีเดือนและยมคอยเดินถือของตามไม่ห่าง       

  “ข้าจะทำรังนกไปเยี่ยมคุณหญิงเพ็ญ เอ็งไปซื้อของรังนกนางแอ่นที่ร้านเถ้าแก่เล้งให้ข้าทีสิไอ้ยม”       

  “แต่ร้านเถ้าแก่เล้งอยู่ไกลจากตรงนี้พอควรเลยนะขอรับ”  ยมตอบเสียงแผ่วเมื่อเห็นคุณเขลางค์จ้องตนตาขวาง

   “เอ็งไปซื้อเถอะน่ะ ซื้อเสร็จก็กลับเรือนไปก่อนได้เลย ข้ารีบใช้”

    ยมจึงจำต้องรับอัฐจากคุณเขลางค์มาอย่างเสียไม่ได้  ตอนนี้เหลือเพียงแค่เดือนอยู่กับคุณเขลางค์สองคน

    “ส่วนเอ็งอีเดือน ตามข้ามา”

      คุณเขลางค์เลือกซื้อผ้าแพรพรรณได้สักพักก็ออกจากร้าน  เดือนเดินตามนายหญิงออกมาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าทางที่คุณหญิงกำลังเดินมันใกล้ออกนอกเส้นของตลาดไปแล้ว

    “คุณเขลางค์จะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?” เดือนมองรอบๆด้วยความแปลกใจ เพราะตรงนี้แทบไม่มีผู้คนพลุ่งพล่านเหมือนในตลาด

        “ตามข้ามาเงียบๆเถอะอีเดือน”

        คุณเขลางค์พาเดือนมายังที่ๆแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในตรอกลึกสุดของตลาด ด้านนอกดูเป็นหอพักธรรมดา หากแต่ด้านในนั้นประดับตกแต่งคล้ายหอนางโลมที่เดือนพอจะเคยได้ยินมาปากต่อปาก เพราะด้านในเต็มไปด้วยหญิงสาวที่นุ่งน้อยห่มน้อย บางนางกำลังประทินโฉมของตน  ในขณะที่บางคนกำลังนั่งตักผู้ชายที่เข้ามาพักผ่อนหย่อนใจกลางวันแสกๆ

       “ที่นี่มันโคมเขียวนี่เจ้าคะคุณเขลางค์ บ่าวว่าเรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ” เดือนตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อโดนหญิงนางโลมจับจ้องมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

      “อาคุณหญิงมาแล้วหรือเจ้าคะ อาซ้อกำลังรอพบคุณหญิงอยู่พอดี เชิญที่ห้องรับรองเจ้าค่ะ”

      หญิงร่างท้วมแต่งกายคล้ายชาวจีนเดินออกมาต้อนรับด้วยสำเนียงจีนแปร่งๆ  คุณเขลางค์พยักหน้าก่อนจะหันไปสั่งนางทาสตัวน้อยที่ยังสั่นกลัว

       “เอ็งรอข้าด้านนอกนี่แหละ ข้าเข้าไปคุยธุระสักครู่ อาเง็ก พาข้าไปพบนายเอ็งได้แล้ว”

      “เจ้าค่ะ”

      เมื่อคุณเขลางค์เดินหายเข้าไปด้านในแล้ว เดือนนั่งรอนายหญิงได้สักพักหญิงรับใช้คนเดิมที่ชื่อเง็กก็เดินเอาถาดกาน้ำชามาวางบนโต๊ะรับรอง

        “ดื่มชารอไปก่อนนะอีหนู อาคุงหญิงคุยธุระกับอาซ้อไม่นานหรอกน่า” เง็กรินน้ำชาส่งให้เดือน

        “ขอบใจจ้ะ” นางทาสสาวยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างไม่คิดอะไร ทำให้ไม่ทันเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเง็ก

       ผ่านไปนานเท่าใดแล้วที่คุณเขลางค์ยังไม่กลับออกมา  เดือนอยากกลับเรือนแต่ก็กลับไม่ได้เพราะกลัวคุณเขลางค์สั่งทำโทษ

       “เป็นอะไรอีหนู ท่าทางลื้อดูเพลียๆ?” เง็กถาม แต่มุมปากแฝงด้วยความเลศนัย

      “ฉันรู้สึกปวดหัว อยากนอนน่ะจ้ะ” เดือนตอบไปตามจริง เพราะตั้งแต่ดื่มน้ำชาเข้าไปก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ อีกทั้งยังมีอาการง่วงทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเป็น

      “ลื้อนอนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวอาคุงหญิงออกมาอั๊วจะปลุก”

     “จ้ะ” ตอนนี้เดือนไม่อาจฝืนอาการวิงเวียนได้ เปลือกตาจึงปิดลงพร้อมกับใบหน้าที่ฟุบลงกับโต๊ะทันที เมื่อเห็นแผนการสำเร็จเง็กจึงวิ่งเข้าไปรายงานคุณเขลางค์กับอาซ้อด้านในทันที

      “อีหนูนั่นหลับไปแล้ว อาซ้อจะให้อั๊วทำยังไงต่อ?”

      “พาขึ้นไปห้องรับรองแขกด้านบน...” อาซ้อกางพัดขนพัดเบาๆ “เอาห้องที่ดีที่สุดนะอาเง็ก”

       “ได้เลยซ้อ...”

       เมื่อเง็กเดินออกไปแล้ว คุณเขลางค์จึงหยิบอัฐิถุงใหญ่ยื่นให้อาซ้อเพื่อตบรางวัล

      “เอ้านี่อัฐห้าชั่ง แล้วเหยียบเรื่องนี้ไว้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น”

     “ขอบพระคุงอาคุงหญิง” อาซ้อยื่นมือไปรับถุงอัฐิตาวาวด้วยความโลภ  “ตอนนี้เชิญอาคุงหญิงไปสำราญในฐานะแขกพิเศษของตรอกผีเสื้อเจ้าค่ะ”

       “อีเฟื้อง...”

      “เจ้าคะคุณเขลางค์” นางทาสร่างท้วมเตรียมรับคำสั่งต่อจากนี้

      “ระหว่างที่ข้าจัดการกับอีเดือน เอ็งรีบตามไอ้ยมไปที่ร้านเถ้าแก่เล้ง ไปดูว่าป่านนี้ไอ้ยมเป็นอย่างไรบ้าง แล้วกลับมารายงานข้า"”

   

ภายในร้านเถ้าแก่เล้งไม่ค่อยมีคนมากมายเหมือนร้านอื่นเท่าใดนัก ไม่สิ...เรียกได้ว่าไม่มีคนเดินภายในร้านมากกว่า อาจเป็นเพราะสินค้าจากประเทศจีนที่เอามาขายค่อนข้างราคาสูง หากไม่ติดว่าคุณเขลางค์ให้อัฐมาจำนวนมาก ให้ตายอย่างไรยมก็ไม่กล้ามายังร้านแห่งนี้คนเดียวเป็นแน่

      “อ้าว...นั่นอายมใช่ไหม?” เถ้าแก่ร่างท้วมเงยหน้าขึ้นจากลูกคิด มองเด็กน้อยด้วยสายตากรุ้มกริ่ม

     “คือ...คุณเขลางค์ให้มาซื้อรังนกนางแอ่นรังหนึ่งจ้ะ คุณเขาจะทำรังนก”

     “อ่า  รอเดี๋ยวนา อั๊วไปหาของเดี๋ยวมา...”

      เด็กน้อยยืนมองรอบๆร้านเถ้าแก่เล้งระหว่างรอรังนก มีทั้งโสมและสมุนไพรที่คิดว่าน่าจะนำเข้าจากประเทศจีนเพื่อขายให้คนมีฐานะซื้อไปบำรุงร่างกาย

      “มาเลี้ยวอายม...เอ้านี่ๆๆ”

     เด็กหนุ่มยื่นอัฐส่งให้เถ้าแก่เล้งแล้วจะเดินออกไปจากร้าน ทว่าจู่ๆร่างเล็กก็ถูกชายร่างท้วมกอดรัดจากทางด้านหลัง

   “เถ้าแก่! นี่มันอะไรกัน!? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!!” ยมดิ้นจนรังนกในมือลงไปกองกับพื้น หากแต่เถ้าแก่เล้งหัวเราะในลำคอ

       “อั๊วน่ะถูกใจอายมมานานแล้ว มาอยู่กับอั๊วเถอะน่า แล้วลื้อจะสุขสบายไปตลอดชีวิก”

      “ไม่!!!...” ยมใช้กำลังที่มีอยู่กระทุ้งศอกใส่หน้าใบหน้าเถ้าแก่ตัณหากลับก่อนจะรีบวิ่งสุดแรง แต่เพราะมีแผลจากการหกล้มเมื่อวาน ทำให้เด็กหนุ่มเซหกล้มตอนใกล้ถึงประตูร้าน

       “โอ๊ย!”

      “ลื้อหนีอั๊วไม่พ้นหรอกอายม ฮ่าๆ” เถ้าแก่เล้งค่อยๆเข้าไปหมายจะจับตัวร่างเล็ก

     “อย่า...อย่าเข้ามา...” ยมคลานถอยหลังอย่างไม่ยอมสุดชีวิต แค่คิดว่าตนเองจะตกเป็นของไอ้เถ้าแก่นี่ก็สยองเต็มทีแล้ว

     ปัง!

     “เฮ้ย! ใครมายิงปืนแถวนี้วะ!?” เถ้าแก่เล้งโวยวาย

      “ผมเอง”

     ร่างสูงในเครื่องแบบของตำรวจนครบาลถือปืนเข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มแปลกหน้าอีกสองคน ยมเบิกตาอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าคนที่มาช่วยเป็นใคร

      “คุณโดม  ช่วยบ่าวด้วยขอรับ”

      “ลื้อเป็นใครวะ?! นี่มันเรื่องของผัวเมีย!” เถ้าแก่โวยวายออกมาหน้าด้านๆ

    “ผมร้อยตรีดนัย...ขอจับกุมเถ้าแก่เล้งข้อหาลักลอบนำของผิดกฎหมายเข้ามาค้าในสยาม” คุณโดมกล่าวน้ำเสียงดุดัน ก่อนจะหันไปสั่งเพื่อนตำรวจรุ่นน้องด้านหลังให้จับกุมเถ้าแก่เล้ง

      “วายุ ขจร ฉันฝากเถ้าแก่นี่ไปส่งให้ทางการสอบสวน”

       “แล้วพี่โดมล่ะ?” ขจรถามเมื่อเห็นว่าตำรวจรุ่นพี่ไม่ไปด้วยกัน

      “เด็กคนนี้เป็นน้องชายของฉัน พวกนายพาผู้ต้องหาไปก่อน พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปที่กรม”

       เมื่อวายุกับขจรพาผู้ต้องหาไปแล้ว  คุณโดมก็เข้ามาหายมเพราะคิดว่าเด็กน้องอาจจะหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่...เพราะนอกจากเด็กน้อยจะไม่ร้องไห้สั่นกลัวอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว  อาการสั่นกลัวก็ไม่มีออกมาให้เห็น

      “เป็นอย่างไรบ้างยม? เถ้าแก่นั่นทำร้ายยมรึเปล่า?” ร้อยตรีหนุ่มถามเสียงนุ่มนวล  เด็กหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย

     “ยมไม่เป็นอะไรขอรับ” เด็กหนุ่มตอบตามจริง แม้อาจจะเจ็บจากการสะดุดล้มไปบ้าง แต่ก็น่าจะยังเดินเหินได้ปกติ

     “แล้วยมมาทำอะไรที่นี่? ดีนะที่ฉันวางแผนจะมาจับเถ้าแก่เล้งพอดี ไม่อย่างนั้นยมแย่แน่ๆ ”

     “คุณเขลางค์ให้บ่าวมาซื้อรังนกขอรับ บ่าวไม่เคยรู้เลยว่าเถ้าแก่เล้งจะ เอ่อ...” เด็กน้อยก้มหน้าด้วยความกลัว

    “ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะยม” คุณโดมเอื้อมมือลูบเส้นผมป้อยๆ ทำเอาเด็กหนุ่มหัวใจสั่นไหว

      ทำไมทำเหมือนพี่เขมอย่างไรอย่างนั้นเลยเล่า!?

      เวลาที่ปลอบใจ...พี่เขมก็จะลูบศีรษะแบบนี้กับยมเสมอ ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มหวั่นไหว

     “ฉันจะพาไปส่งที่เรือนคุณอาวินิต ลุกไหวไหม?”

     “ไหวจ้ะ” เด็กน้อยลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมีแรงบ้างแล้วจริงๆ คุณโดมจึงพายมออกมาจากร้านเพื่อไปส่งยังเรือนหลวงวินิต

      “เอ่อ...คุณโดมขอรับ...” ยมเรียกร่างสูงเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้

     “บ่าวลืมไปว่าคุณเขลางค์ให้มาซื้อรังนก แต่บ่าวทำตกไว้ในร้านเถ้าแก่เล้ง...”

     ยมพูดไม่จบ เพราะไม่กล้าบอกร่างสูงว่าหากไม่เอารังนกกลับไปให้คุณเขลางค์ มีหวังอาจถูกเฆี่ยนหลังลายเป็นแน่  ยิ่งเมื่อเช้าคุณหลวงเพิ่งไปว่าราชการต่างจังหวัด จากที่ปกติก็ถูกทรมานทั้งที่ไม่มีความผิดอยู่แล้ว หากไม่ทำตามคำสั่ง...อาจจะโดนมากกว่าเดิมหลายเท่า

          “ที่เรือนของฉันพอจะมีอยู่บ้าง ตามฉันไปประเดี๋ยวได้หรือไม่?”

         “แต่ว่า...”

          “ไม่ต้องแต่ ยมจะได้ไม่ต้องเสียอัฐเพิ่มอย่างไร...ไม่ดีรึ?”

     สุดท้ายเด็กน้อยต้องตามคุณโดมไปจนได้ เรือนของคุณโดมนั้นไม่เหมือนเรือนของหลวงวินิตแม้แต่น้อย เพราะเป็นบ้านที่ปลูกออกไปทางยุโรปสมกับฐานะบิดาของคุณโดม รั้วนั้นก็หาได้ทำด้วยไม้ หากแต่มันคล้ายแท่งเหล็กขนาดเล็กหลายๆแท่งเรียงห่างกันโดยมีลวดลายสีทองประดับ

      “เดินเล่นรอในสวนไปก่อนนะ ประเดี๋ยวจะไปเอารังนกมาให้”

     “ขอรับ...”

      เมื่อคุณโดมเดินหายเข้าไปในเรือน เด็กน้อยก็เดินสำรวจในสวนกว้างซึ่งมีพรรณไม้แปลกตามากมายที่เขาไม่เคยเห็น ทว่ามีดอกไม้ดอกหนึ่งที่สะดุดตายมมากที่สุด ดูคล้ายๆดอกกุหลาบสีแดงที่ยมเคยเห็นที่เรือนใหญ่ หากแต่ดอกไม้ชนิดนี้มีสีขาวดูบริสุทธิ์บอบเช่นเดียวกับกลีบของมัน หรือจะเป็นดอกกุหลาบสายพันธุ์อื่นกัน?

     “นี่ดอกไลเซนทัส เป็นดอกไม้ที่ฉันชอบมากที่สุด”

     !!!


**ใครที่รู้ว่าเดือนโดนอะไร...ก็...ตามนั้นค่ะ555555
 
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 15-01-2018 18:12:13
เรือนร้าว7
ตอน ไลเซนทัส
“ดอกไล...อะไรนะขอรับ?”     

   “ไลเซนทัส” คุณโดมหัวเราะเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มทำสีหน้างุนงง “เป็นภาษาอังกฤษน่ะ”   

   “ภาษาอังกฤษ เหมือนที่คุณเขมเคยอ่านหรือขอรับ?” ยมเผลอกล่าวชื่อคนรักออกมาตามที่ใจคิด     

    “คุณเขมรึ?” ร่างสูงเลิกคิ้ว ด้วยรู้สึกคุ้นถึงนามนี้นัก       

 “บุตรชายของคุณหลวงวินิตขอรับ” ยมอธิบายอย่างซื่อๆ “แล้วก็เป็นคนเดียวกับที่คุณเข้าใจผิดว่าเป็นพี่ชายของบ่าวด้วย”         

 คุณโดมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพราะครานั้นที่ไปเรือนของหลวงวินิตพร้อมบิดา หลวงวินิตก็กล่าวเพียงแต่ว่าคุณเขมบุตรชายเพิ่งกลับไปเรียนต่อได้ไม่นาน       

 ที่แท้...คุณเขมคือคนเดียวกับที่เขาเข้าใจผิดว่าเป็นพี่ชายของยม     

  “หึๆ ถึงว่าเหตุใดเจ้าทั้งสองแต่งกายไม่เห็นเหมือนกัน คนพี่แต่งกายดูมียศ ในขณะคนน้องแต่งกายมอมแมมราวไม่ได้อาบน้ำสิบวัน”         “...”

 เด็กน้อยถึงกับไปต่อไม่ถูกเมื่อเจอถ้อยคำที่ตรงแสนตรงของคนตรงหน้า จนมือใหญ่ยื่นห่อบางอย่างส่งให้                       

“เอ้านี่รังนก...ลองเปิดห่อดูก่อนก็ได้ ฉันไม่หลอกยมหรอก”   ร้อยตรีหนุ่มยังแกล้งยมต่อไป เด็กหนุ่มเปิดห่อขึ้นมาเมื่อเห็นว่าด้านในเป็นรังนกจริงก็โล่งใจ         

อย่างน้อยเขาก็คงรอดจากหวายนรกไปได้อีกวัน         

 “ขอบพระคุณขอรับ...” เด็กหนุ่มทำท่าจะไหว้           

 “อย่าๆ ไม่ต้องๆ” คุณโดมยื่นมือมาจับมือเล็กไว้ “พอดีฉันไม่ค่อยชินหากมีใครมาไหว้น่ะ"

 เด็กหนุ่มทำสีหน้าแปลกใจหนักกว่าเดิม จนคุณโดมยิ้มออกมาอีกครั้งด้วยความเอ็นดู         

   “เอาเถอะ ยมออกมานานแล้วใช่ไหม?  ฉันจะพาไปส่ง”         

  คราแรกยมไม่ยอมเพราะเกรงใจ แต่เป็นเพราะคุณโดมยืนยันจึงต้องให้ร่างสูงพาไปส่งจนได้  คุณโดมนี่ช่างแปลกคนจริงๆเลย  บางครั้งก็นิสัยอบอุ่นเหมือนคุณเขม  หากบางครั้งก็ชอบเย้าแหย่ตนเล่น  คาดเดายากจริงคนๆนี้

    “...”

       ยมนั่งเงียบมาตลอดทางเพราะตัวเกร็งอยู่บนยานพาหนะคันสีดำมะเมื่อมที่คุณโดมเรียกว่ารถยนต์  มันไม่เหมือนรถลากที่เคยนั่งกับคุณเขมเพราะที่นั่งนั้นนุ่มและนั่งสบายกว่ามาก  อีกทั้งรอบทิศมีประตูครึ่งกระจกที่ลดลงมาเพื่อให้มีอากาศเข้ามาภายใน คล้ายรถม้าเหมือนที่คุณเขมเคยเล่าให้ฟัง  หากแต่เมื่อคุณโดมขยับวัตถุทรงกลมสีดำอยู่ด้านข้าง  มันก็ออกตัวไปเองโดยที่ไม่ต้องมีคนหรือม้าคอยลาก ทำเอาเด็กน้อยร้องตกใจเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอของแปลกใหม่เช่นนี้ ขณะที่ยานพาหนะประหลาดกำลังออกตัว เด็กน้อยก็เห็นดอกไม้สีขาวแบบเดียวกับในสวนวางอยู่บนวัตถุคั่นกลางระหว่างเบาะนั่ง

       “คุณโดมมีดอกไล...เซนทัสในรถยนต์ด้วยหรือขอรับ?” ยมพอจะพูดชื่อดอกไม้ภาษาต่างประเทศได้บ้างแม้จะแปร่งไปสักนิดก็ตาม

        “ใช่ กลิ่นมันไม่หอมแรงจนเกินไป อีกทั้งยังมีความหมายดีด้วยนะ ยมอยากรู้ความหมายของมันหรือไม่?” ร้อยตรีหนุ่มมาถามแวบหนึ่ง ยมพยักหน้าเพื่อบอกว่าอยากรู้

        “มันหมายถึงการเอาใจใส่ ความทรงจำที่ดี มิตรภาพที่ดี...” เด็กหนุ่มสังเกตว่าที่รอยยิ้มของคุณโดมมีรอยยิ้มน้อยๆ หากรอยยิ้มนั้นเศร้าจนเด็กน้อยสังเกตได้

      “เหมือนคุณแม่ของฉัน ที่เสียไปก่อนที่ฉันจะเรียนจบนายร้อยตำรวจ”

     กล่าวเพียงนั้น  ความเงียบงันก็แทรกเข้ามาในบรรยากาศบนรถ จนกระทั่งคุณโดมขับรถมาถึงเรือนของหลวงวินิต

       “ฉันส่งแค่ตรงนี้นะ”

      “ขอบพระคุณที่มาส่งบ่าวขอรับ” ยมยกมือไหว้คุณโดมเร็วๆเพราะเกรงว่าร่างสูงจะห้ามอีก  “เอ่อ...ว่าแต่ประตูเปิดอย่างไรหรือขอรับ?”

        “เปิดอย่างนี้...”  คุณโดมเอี้ยวตัวมาฝั่งที่เด็กหนุ่มนั่ง ก่อนจะบอกวิธีพร้อมเปิดประตูให้เด็กน้อยจนเข้าใจ

        “ขอบพระคุณเรื่องรังนกด้วยนะขอรับ” ยมทำท่าจะลงจากรถ

       “เดี๋ยวสิ...” คุณโดมเรียก ก่อนจะยื่นดอกไลเซนทัสส่งให้เด็กหนุ่ม “ฉันให้ยม ห้ามปฏิเสธ เพราะที่บ้านฉันมีอีกเยอะ”

       “คุณโดมมอบให้บ่าวทำไมหรือขอรับ?” เด็กน้อยถามงงๆ เมื่ออยู่ๆร้อยตรีหนุ่มส่งดอกไม้ชื่อฝรั่งมาให้ตนรับ

       “แด่มิตรภาพ...ระหว่างฉันกับยม”



      “ฮึก ฮือ...”

     ภายในห้องรับรองแขกพิเศษซึ่งอยู่ด้านบนสุดของตึกตรอกผีเสื้อ ร่างเปลือยเปล่าที่คลุมผ้าห่มปกปิดรอยช้ำของเดือนร้องไห้ราวกับจะขาดใจ ในขณะที่ฝ่ายกระทำอย่างคุณเขลางค์กลับสวมเสื้อผ้าและแต่งผมหน้ากระจกบานใหญ่อย่างสบายอารมณ์

      ก๊อกๆ

      “นั่นใคร?”

      “บ่าวเองเจ้าค่ะคุณเขลางค์” เฟื้องตะโกนตอบนายหญิง

     “เอ็งรอหน่อย ข้าแต่งตัวสักครู่”

     เงียบเสียงบ่าวคนสนิท คุณเขลางค์ก็จัดแจงเสื้อผ้าผมเผ้าให้เรียบร้อยเหมือนก่อนหน้า  ร่างระหงเดินไปยังนางทาสสาวที่นอนหันหลังร้องไห้ไม่หยุด

       “เดี๋ยวข้ามา แล้วค่อยกลับพร้อมกันนะ นางทาสของข้า”

      ใบหน้าสวยก้มลงหอมแก้มเดือน หญิงสาวอยากจะเบือนหน้าหนีแต่ก็ทำได้เพียงยอมให้คุณเขลางค์หอมแก้มด้วยความรู้สึกพะอืดพะอม

        “มีอะไรก็ว่ามาอีเฟื้อง” คุณเขลางค์ถามความคืบหน้าบ่าวคนสนิทเมื่อเข้ามาในห้องที่ปลอดคน

       “คือ…” เฟื้องทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทำให้คุณเขลางค์ต้องเอ็ดตะโรใส่

      “อ้ำๆอึ้งๆอยู่นั่นแหละ ว่ามาเร็วเข้า!”

      “คะ...คือ เถ้าแก่เล้งเจ้าค่ะ ถูกทางการจับตอนที่กำลังจะปู้ยี่ปู้ยำไอ้ยม มันเลยรอดเจ้าค่ะ”

   “อะไรนะ!” ร่างระหงทะลึ่งลุกขึ้นพรวด ก่อนจะปัดข้าวของแถวนั้นระเนระนาดลงพื้นระบายความแค้น “กูอุตส่าห์ส่งไอ้ยมไปลงนรก นี่มันรอดกลับมาอีกแล้วรึ! ทำไมมันดวงแข็งขนาดนี้นะ”

        คุณหญิงพูดระบายเมื่อไม่สามารถทำอะไรยมได้  หญิงสาวล่วงรู้มาว่าเถ้าแก่เล้งนิยมชมชอบเลี้ยงเด็กผู้ชายวัยขบเผาะไว้บำเรอกาม  คุณเขลางค์จึงใช้โอกาสนี้ลวงให้ยมไปซื้อรังนกเพื่อให้เถ้าแก่ตัณหากลับนั่นปู้ยี่ปู้ยำจนยมไม่สามารถกลับมาที่เรือนได้อีก

       “แล้วคุณเขลางค์จะทำอย่างไรต่อเจ้าคะ?” เฟื้องทำใจกล้าถามเมื่อเห็นว่าอารมณ์ของนายหญิงเริ่มสงบลง

       “ปล่อยมันไปก่อน ต้องมีสักวันที่มันทำตัวเอง! ถึงตอนนั้นข้านี่แหละ ที่จะส่งมันลงนรกเป็นครั้งที่สอง!!!”



   เมื่อกลับมาถึงเรือน ยมก็ทำงานตามหน้าที่ของตนเป็นปกติ เด็กน้อยมองหาเดือนก็ไม่พบ ถามทาสคนอื่นๆก็บอกว่ายังไม่กลับจากตลาดพร้อมคุณเขลางค์ ยมรอเดือนตลอดทั้งวันจวบจนย่ำค่ำก็ได้ยินมาจากป้าฟักว่าทาสรุ่นพี่ไม่สบายหนักหลังจากกลับมาพร้อมคุณเขลางค์ ต้องการพักเพียงคนเดียวและไม่ต้องการพบผู้ใด ร่างเล็กจึงเดินกลับไปยังเรือนทาสของตนแล้วตั้งใจว่าจะไปแวะไปหาเดือนวันพรุ่ง

     เด็กน้อยยกกองผ้าหนาแน่นออกเพื่อเปิดกล่องด้านใน มือเล็กหยิบหนังสือเงาะป่าเปิดดูหลังจากที่ไม่ได้อ่านมาหลายวัน ก็พบกระดาษข้อความที่คิดว่าคุณเขมคงใส่ให้ตนวันนั้นเป็นแน่ ยมยิ้มขึ้นน้อยๆก่อนจะเปิดมันอ่านใจความข้างใน

       ถึง ยม

พี่อยากจะให้จดหมายความในแก่เจ้ามานานแล้ว ตลอดสามปีที่ผ่านมา...พี่ไม่เคยคิดมองเจ้าเป็นทาสเป็นบ่าวอย่างที่ผู้อื่นมอง แรกพบที่พี่เห็น พี่ก็เอ็นดูเจ้าเหลือเกิน จนเกิดเป็นความรักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

แต่ยามที่พี่ให้แหวนเจ้าครานั้น พี่ก็รู้ตัวแล้วว่ามิใช่รางวัลที่เจ้าเพียงทำข้าวหุงถูกปาก

หากเป็นแหวน...ที่พี่อยากมอบให้เจ้าด้วยหัวใจ

พี่ดีใจเหลือเกินที่หัวใจของเจ้าคิดตรงกับพี่

เดือนหน้าพี่จะกลับมาหาเจ้าทันทีที่พี่สอบไล่เสร็จ รอพี่หน่อยนะ...พี่จะกอดเจ้าให้หายคิดถึง  และจะกลับมาฟังเจ้าอ่านเงาะป่าให้ฟังอีกครั้ง

                                                              พี่รักเจ้าเสมอ

เขม 

              “พี่เขมของยม...” เด็กน้อยปิดกล่องใบเล็กที่มีเพียงแหวนไว้ที่เดิม ก่อนจะหยิบหนังสือเงาะป่ามานอนกอดไว้แนบอก ใบหน้าตาหวานมองดวงจันทร์ผ่านบานหน้าต่างที่เปิดรับลมไว้

               คืนนี้พระจันทร์ช่างงดงามนัก...

               พี่เขมจะมองดวงจันทร์เหมือนที่ยมมองหรือไม่นะ?

               ดวงตาหวานล้ำหันมามองดอกไลเซนทัสที่เขาวางไว้บนแจกันเก่าแก่ที่ได้รับจากหลวงวินิต พลางนึกถึงความหมายที่คุณโดมเป็นคนกล่าวให้ฟัง

มันหมายถึงการเอาใจใส่ ความทรงจำที่ดี มิตรภาพที่ดี...

      “เหมือนที่พี่เขมเอาใจใส่ยมใช่ไหมจ๊ะ?” เด็กน้อยรำพึงเบาๆด้วยใจที่เป็นสุข ร่างเล็กลุกขึ้นดับตะเกียงเพื่อให้แสงจันทร์ลอดเข้ามาให้แสงสว่างแทน  สองมือยังกอดหนังสือไว้แนบอกไม่ห่าง

       รู้สึกเหมือนมีพี่เขมอยู่เคียงข้างตลอดเวลาเลย

       เด็กน้อยอมยิ้มให้กับความคิดของตนเอง ก่อนที่พระจันทร์จะขับกล่อมให้เด็กน้อยค่อยๆหลับตาลงให้พบกับความฝันที่ดี

       แม้วันพรุ่งนี้  อาจจะต้องพบฝันร้ายในชีวิตจริงก็ตาม...

     

   ยม...
      ร่างสูงในเสื้อผ้าลำลองจ้องพระจันทร์ที่เด่นสง่าท่ามกลางดารานับหมื่นพัน  พลันใบหน้าหวานของเด็กน้อยที่คุณเขมถวิลหาคือสิ่งที่มาบังความงดงามของแสงจันทร์  พรุ่งนี้จะเป็นวันสอบไล่วันสุดท้าย หากแต่ต้องยังอยู่เพื่อรอประกาศผลสอบและพิธีจบการศึกษาซึ่งกินเวลาไปเกือบหนึ่งเดือนเต็ม

       หวังว่าจดหมายที่พี่แนบไปกับหนังสือเงาะป่า...เจ้าคงได้เปิดอ่านแล้ว

       ยิ่งคิดถึงคนตัวเล็กที่เรือนของหลวงวินิตผู้เป็นบิดา รอยยิ้มอบอุ่นไม่ต่างไปจากแสงจันทร์คลี่ยิ้ม เขาคิดถึงยมเหลือเกิน

       คิดถึงทั้งความเขินอาย ความหัวไวเกินเด็กที่เจ้าตัวมีผิดแผกจากทาสอื่น

       คิดถึงรสมือข้าวหุงกับผัดผักหวานที่คนตัวเล็กปรุงเพื่อเขาจากมา

        การรอคอย  มันทรมานอย่างที่ใครกล่าวไว้จริงๆ...

       คุณเขมเริ่มคิดถึงอนาคตข้างหน้า  ทั้งเขาและยมต้องได้อยู่ด้วยกันแม้อาจมีอุปสรรคขวางกั้น ชายหนุ่มตระหนักถึงข้อนี้ดี  คุณเขมเป็นถึงบุตรชายของคุณหลวงซึ่งมีหน้ามีตาในสังคม  แม้วันข้างหน้าอาจต้องถูกจับคลุมถุงชนกับผู้มีศักดิ์เสมอ

       แต่คุณเขมก็จะไม่ยอมแพ้

       เมื่อถึงตอนนั้น  คุณเขมจะไม่ยอมให้ยมห่างกาย

      จะปกป้องคนตัวเล็ก  ด้วยชีวิตของเขาเอง
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 16-01-2018 12:40:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 16-01-2018 20:09:15
เรือนร้าว8
ตอน ดอกไม้ที่ชื่นชอบ
ดอกมะลิรอบสวนชุ่มชื่นจากหยาดน้ำที่เด็กน้อยดูแลเป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าวันนี้ดอกมะลิออกดอกสวยงามเป็นจำนวนมาก ยมจึงนำกระจาดมาเด็ดเพียงพอสำหรับร้อยมาลัยไปไว้ห้องพระตามที่ร่างสูงเคยชอบกำชับไว้  รวมทั้งเก็บดอกรักและดอกกุหลาบแดงในสวนมาเล็กน้อยเพื่อร้อยพู่อุบะอย่างที่เคยทำเป็นประจำ

       เด็กน้อยบรรจงจีบดอกมะลิร้อยเรียงบนแคร่ยามว่าง  วันนี้แม้หลวงวินิตจะยังไม่กลับเรือน หากแต่โชคดีที่วันนี้บ่าวคนอื่นพูดกันว่าคุณเขลางค์อ่อนเพลียจึงพักผ่อนอยู่บนเรือนตลอดทั้งวัน ยมถึงค่อยโล่งใจที่สามารถรอดจากหวายนรกของคุณหญิงไปได้อีกวัน

      ส่วนเดือน...ตั้งแต่กลับมาเมื่อวานก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนทาสเพียงลำพังจนถึงตอนนี้ อ้างว่าป่วยหนักจากแสงแดดในตลาด  เด็กน้อยจึงแบ่งดอกมะลิไว้ส่วนหนึ่งเพื่อนำไปทำยาลดไข้ให้ทาสรุ่นพี่ เขาว่ากันว่าได้ผลดีนัก

       หลังจากแต่งตัวมาลัยดอกมะลิด้วยอุบะดอกกุหลาบสีแดงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยก็นำพวงมาลัยไปวางไว้ในห้องพระบนเรือนของคุณเขมที่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดอยู่  และไม่ลืมที่จะสวดมนต์เพื่อให้จิตใจสุขสงบลงด้วย

        *‘หากเวรกรรมของลูกนั้นใกล้หมดลงเมื่อใด  ขอให้ลูกได้พบความสงบสุขในชีวิตด้วยเถิด ลูกเหนื่อยเหลือเกิน’*

       ร่างเล็กก้มกราบพระสามครั้งแล้วจึงกลับลงมายังเรือนทาสดังเดิม  ยมนำดอกมะลิที่แบ่งไว้ใส่ในครกแล้วใช้สากตำให้ละเอียด

        “ยม” เสียงของร้อยตรีหนุ่มดังขึ้นทำให้ยมต้องวางสากลง “นั่นยมทำอะไรอยู่รึ?”

       “คุณโดม” เด็กน้อยลุกไปนั่งคุกเข่าลงด้านล่างอย่างเคยชิน  เพื่อให้ผู้เป็นนายนั่งบนแคร่ วันนี้คุณโดมสวมเครื่องแบบร้อยตรีบ่งบอกว่าวันนี้ไปเข้ากรมตำรวจมา

      “บ่าวกำลังทำยาไปให้พี่สาวของบ่าวขอรับ พี่สาวของบ่าวไม่สบาย”

     “ลุกขึ้นมานั่งเถอะยม” ร้อยตรีหนุ่มประคองร่างเล็กให้ขึ้นมานั่งด้วยกัน “ฉันไม่ชอบเลย ทั้งๆที่หลวงประกาศเลิกทาสมานานแล้ว ยังต้องมาพบเห็นอะไรอย่างนี้อีก”

        ด้วยความที่คุณโดมเป็นบุตรชายของพระยามนตรีที่เกิดจากแหม่มฝรั่ง แล้วจบจากโรงเรียนนายร้อยที่ประเทศอังกฤษที่ตอนนี้เป็นประเทศมหาอำนาจ หากแต่ไร้การปฏิบัติที่แบ่งชนชั้นเช่นนายกับทาสมานานแล้ว เมื่อกลับมาทำงานรับราชการที่กรมตำรวจที่สยามจนได้เลื่อนยศเป็นร้อยตรีด้วยความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ต้องพบว่าแม้ในหลวงรัชกาลก่อนจะสั่งประกาศเลิกทาสแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเมื่อผลัดแผ่นดินรัชกาลองค์ต่อมาทาสในเรือนใช่ว่าจะไม่มีเลย ทาสบางเรือนยังคงเกรงกลัวและยังคงไม่มีสิทธิเทียบเท่าผู้เป็นนาย

     “บ่าวเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้ญาติ ก็มีคุณหลวงที่เมตตาให้ที่อยู่อาศัยแก่บ่าว ไม่อย่างนั้นบ่าวคงต้องตายข้างถนน”

     “แล้วพี่สาวที่ยมพูดถึงคนนั้นเล่า?”

     “พี่เดือนมิใช่พี่สาวแท้ๆของบ่าว แต่พี่เดือนเป็นคนเดียวที่บ่าวนับถือเหมือนพี่สาวคนหนึ่งขอรับ”

     “เฮ้อ” เมื่อได้ฟังความจากยมคุณโดมก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความสงสารเด็กน้อยตรงหน้านัก  ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้ยมหายกังวล

      “แล้วนี่คุณอาวินิตไปไหนล่ะ? พอดีหัวหน้าของฉันรู้ว่าฉันรู้จักคุณอา เลยฝากฉันนำลิ้นจี่กับลูกพลับจีนมาให้”

       “คุณหลวงไปราชการตั้งแต่เมื่อวานขอรับ ตอนนี้ที่เรือนเหลือแต่คุณเขลางค์อยู่คนเดียวขอรับ ป้าฟักบอกว่าคุณเขลางค์ต้องการพักผ่อน แต่เช้าจึงยังมิได้ลงจากเรือนขอรับ”

      “อย่างนั้นหรือ?” คุณโดมกล่าวลอยๆ ก่อจะหันมาสนทนากับยมต่อ “ถ้าอย่างนั้นระหว่างรอ ฉันขอนั่งดูยมตำยาได้หรือไม่?”

      “เอ่อ...ขอรับ”

       ร้อยตรีหนุ่มนั่งดูเด็กน้อยตำดอกมะลิสดที่เก็บมาจากสวน ก่อนจะนำถ้วยพิมเสนมาผสมเข้าด้วยกันแล้วโขลกทำเป็นตัวยาอย่างชำนาญ

     “เพิ่งรู้นะว่ายมมีความรู้ด้านสมุนไพรด้วย” คุณโดมมองเด็กหนุ่มที่ตั้งใจทำตัวยายิ้มๆ

   “คุณเขมเป็นคนสอนขอรับ” ยมคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้เอ่ยชื่อของชายผู้เป็นที่รัก “ไม่ใช่แค่ตัวยาจากดอกมะลิอย่างเดียว ที่สวนของคุณเขมยังปลูกสมุนไพรหลายชนิดเพื่อให้ทาสคนอื่นๆที่ป่วยนำตัวยาไปรักษาได้ขอรับ”

     น่าแปลกที่ร้อยตรีหนุ่มรู้สึกไม่ชอบใจยามที่เด็กน้อยตรงหน้าเอ่ยถึงนามของคุณเขมอะไรนั่น เพราะยามที่ยมเอื้อยเอ่ยถึงนามนั้น สีหน้าของยมก็ดูจะมีความสุขผิดกับทุกครั้ง   

       “แล้วนี่คุณเขมของยมไปไหนเสียเล่า?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เพราะนอกจากที่งานภูเขาทองแล้ว ทุกครั้งที่มายังเรือนแห่งนี้คุณโดมก็ยังไม่เคยพบบุตรชายของหลวงวินิตเลยสักครั้ง

     “คุณเขมกลับโรงเรียนเพื่อสอบไล่ปีสุดท้ายขอรับ” ยมตอบขณะโขลกตัวยาให้ละเอียด ร้อยตรีหนุ่มจึงนึกขึ้นมาได้เพราะเมื่อตอนมาพบหลวงวินิตท่านก็เคยบอกไว้แล้ว ว่าคุณเขมกำลังจะเรียนจบปีสุดท้าย

     “คุณเขมของยมอายุน้อยกว่าฉัน ถ้าฉันเรียกแค่เขมอย่างเดียว ยมคงจะไม่ว่ากระไรฉันหรอกนะ”

       ร้อยตรีหนุ่มลอบมองปฏิกิริยาของยม เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปโขลกตัวยาต่อ

      “ไม่หรอกขอรับ บ่าวทำตัวยาเสร็จแล้ว ขอตัวไปหาพี่เดือนก่อนนะขอรับ”

     “เดี๋ยวสิ” ร้อยตรีหนุ่มเรียกเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กทำท่าจะลุก ก่อนจะยื่นดอกไลเซนทัสส่งให้ “ดอกไลเซนทัสดอกที่สอง ฉันให้ยมนะ”

         เด็กน้อยรับมาอย่างงุนงง

       “ที่คุณโดมให้มาเมื่อวานยังไม่เฉาเลยนะขอรับ เหตุใดจึงให้ดอกใหม่มาอีก”

     “อย่าลืมสิว่าฉันชอบประดับดอกไลเซนทัสไว้บนรถ แต่ก่อนที่ฉันจะลงจากรถมา ฉันเห็นดอกไลเซนทัสแล้วนึกถึงยม” คุณโดมกล่าวออกมาจากใจจริง เพราะเด็กน้อยตรงหน้าช่างบอบบางและบริสุทธิ์เหมือนดอกไม้ที่ร้อยตรีหนุ่มชื่นชอบนัก  “แล้วฉันก็รู้ ว่ายมชอบดอกไลเซนทัสมากด้วย”

      “ขอบพระคุณขอรับ บ่าวขอตัวก่อน”

      เด็กน้อยเดินจากไปแล้ว คุณโดมทำท่าจะลุกเพื่อนำผลไม้ไปฝากให้คุณเขลางค์มอบให้หลวงวินิต แต่ครั้นเมื่อหันไปก็พบว่าร่างระหงของคุณเขลางค์ยืนรอพร้อมเฟื้องอยู่แล้ว

      “อาต้องขอโทษด้วยนะพ่อโดม พอดีอาเพิ่งหายจากอาการเพลียจึงลงมารับลมเสียหน่อย นำของมาให้คุณหลวงรึ?”

    “ขอรับ...” คุณโดมยื่นห่อผลไม้ให้คุณหญิง “หัวหน้าของผมรู้จักกับคุณอาวินิต จึงฝากให้ผมนำลิ้นจี่กับลูกพลับจีนมาให้ขอรับ”

       “อาฝากขอบน้ำใจแทนคุณหลวงด้วยนะพ่อโดม” คุณเขลางค์ยิ้มมุมปากเล็กน้อย

      “ขอรับ เช่นนั้นกระผมขอตัวก่อนนะขอรับ ออกจากกรมมานานแล้ว”

     ครั้นเมื่อร้อยตรีหนุ่มเดินจากไปแล้ว สายตาที่เป็นมิตรของคุณเขลางค์ก็พลันเปลี่ยนเป็นร้ายมองตามเด็กน้อยที่กำลังถือตัวยามารักษาอาการของเดือน

      จะรักษาอีเดือนรึ...มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกไอ้ยม!!



    “พี่เดือน พี่เดือนเป็นอย่างไรบ้าง?

   ยมนั่งลงข้างๆเสื่อที่หญิงสาวนอนหันหลังให้ ร่างบางของนางทาสสาวห่มผ้าหนาทำให้ยมคิดว่าเดือนคงหนาวเพราะพิษไข้ หากแต่เรียกเท่าใดเดือนก็ไม่ยอมตอบทาสรุ่นน้องกลับทั้งๆที่ยังตื่นอยู่

    “ยมบดยามาให้พี่นะ พี่หันมาหายมหน่อยสิ”

    “ออกไปก่อนเถอะยม พี่อยากอยู่คนเดียว” นางทาสสาวตอบเสียงสั่น

   “พี่เดือนลุกขึ้นมาก่อนเถอะนะ ยมจะเอาตัวยานี้สุมบนหน้าผากพี่ ความเย็นจากดอกมะลิจะได้ช่วยให้พี่หายป่วยอย่างไรล่ะ”

      ยมวางถ้วยยาไว้ข้างๆก่อนจะเอามือไปแตะหน้าผากทาสรุ่นพี่   

   “เอ็งวางไว้เถอะ เดี๋ยวพี่ลุกขึ้นมาทำเอง”  เดือนบอกยมเสียงแผ่ว   

 “ในเมื่ออีเดือนมันไม่อยากได้ก็ไม่ต้องไปเซ้าซี้มันสิไอ้ยม”     

 ยมหันไปตามเสียง ก็พบว่าอีเฟื้องเดินเข้ามาด้านในก่อนจะคว้าถ้วยยาเดินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยรีบวิ่งตามนางทาสร่างท้วมออกไปทันที     

  “พี่เฟื้อง เอายาคืนมานะ!”     

 “เอ็งอยากได้ยาคืนไหมล่ะไอ้ยม?” อีเฟื้องหลบด้านหลังคุณเขลางค์ แล้วส่งถ้วยยาให้ผู้เป็นนายหญิง     

 “คุณเขลางค์ คืนยาตัวนั้นให้บ่าวเถิดขอรับ" แม้ด้านในจะผูกใจเจ็บ แต่เมื่อนึกได้ว่าเดือนยังนอนซมอยู่ในเรือนก็พยายามอ้อนวอน         

แม้รู้ทั้งรู้ว่าอาจไม่ได้รับเศษเสี้ยวจากความเมตตา...

 “เกลียดบ่าว...บ่าวไม่ว่า แต่ยาตัวนั้นบ่าวตั้งใจทำมารักษาอาการของพี่เดือน”   

  “อือม์ ก็มาเอาไปสิ”       

“แต่...คุณเขลางค์เจ้าคะ..." เฟื้องโวยเมื่อเห็นนายหญิงยื่นถ้วยยาที่ตนไปแย่งมาคืนให้เจ้าของ     

“เงียบน่า ว่าอย่างไร?มาเอาคืนไปสิ”   

 ยมเม้มปากด้วยไม่รู้ว่าคุณเขลางค์จะมาไม้ไหนอีก แต่เมื่อนึกถึงพี่เดือนเด็กน้อยจึงค่อยๆคลานเข้าไป ทว่ายังไม่ทันจะได้ยื่นมาไปรับ คุณเขลางค์ก็แสร้งทำถ้วยยาตกพื้นเข้าเต็มๆ     

 “ตายจริง! อยู่ๆแขนข้าก็อ่อนแรง เอ็งคงต้องทำใหม่แล้วล่ะไอ้ยม หึๆ”     

คนเสแสร้งกลับขึ้นเรือนอย่างไม่สำนึก ทิ้งให้ยมนั่งมองถ้วยยาที่ตนอุตส่าห์ตั้งใจทำตาละห้อยเพราะอยากให้ผู้ที่ให้ความเคารพเหมือนพี่สาวหายจากอาการป่วย     

 คุณเขลางค์ช่างใจดำ อำมหิตยิ่งนัก!     



เด็กน้อยเดินกอดถ้วยยากลับไปที่เรือนของคุณเขมอีกครั้ง แววตาน่าสงสารคล้ายจะร้องไห้มองดอกมะลิที่ออกดอกชูช่องดงาม มันงามยิ่งกว่าตอนที่เด็กหนุ่มเก็บไปก่อนหน้านี้เสียอีก     

งามจนเด็กหนุ่มตัดใจเด็ดไม่ลง 

  "นอกจากพี่เขมแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้หรอกว่า ยมชอบดอกมะลิมากที่สุด..."

  เพราะดอกมะลิก็เป็นดอกไม้ที่คุณเขมก็ชอบมากที่สุดเช่นเดียวกัน...



สุดท้ายยมก็ตัดใจเก็บดอกมะลิมาตำยาให้เดือนเป็นครั้งที่สองจนได้  หากแต่คราวนี้เฝ้าระวังจนแน่ใจว่าคุณเขลางค์กลับขึ้นเรือนไปแน่นอนแล้วเด็กน้อยจึงเข้ามาในเรือนทาสของเดือน  ก็พบว่าเดือนได้หลับไปด้วยพิษไข้เสียแล้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้เด็กน้อยฉงนก็คือ...ขวดยาฝรั่งสีน้ำตาลพร้อมกับขันน้ำที่ตั้งไว้ข้างๆเสื่อที่นางทาสสาวกำลังหลับนอน

     ยาของผู้ใดกัน? ทั้งที่ค่อนข้างมีราคาแพง แต่กลับมาอยู่ในเรือนทาสนี้

     “แค่กๆ”

    เสียงไอของเดือนทำให้ยมเลิกสนใจขวดยาฝรั่ง เด็กน้อยค่อยๆพลิกตัวทาสรุ่นพี่อย่างเบามือที่สุด

    “พี่เดือน!”

    ยมร้องอย่างตกใจก่อนจะเอามือปิดปาก เมื่อพบว่าใบหน้าของเดือนเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำคล้ายกับรอยตบตี เด็กน้อยถือวิสาสะเปิดผ้าห่มออกดูก็พบว่าตามลำแขนก็เต็มไปด้วยรอยอะไรสักอย่างที่เหมือนรอยหวาย  หากแต่รอยแผลนั้นไม่ได้เป็นทางยาว แสดงว่าน่าจะมาจากอย่างอื่นเสียมากกว่า

     “คุณเขลางค์ทำพี่เดือนใช่ไหม? โธ่...มิน่าเล่าถึงได้แกล้งไม่ให้ยมทำยาให้พี่”

    ความจริงยมใคร่อยากจะรู้สาเหตุที่เหตุใดคุณเขลางค์จึงต้องทำเดือนได้ถึงขนาดนี้ หากเด็กน้อยยังเกรงใจคนป่วยที่ยังหลับไม่รู้เรื่องอยู่ จึงทำได้เพียงนำตัวยาจากดอกมะลิมาสุมไว้บนหน้าผากของนางทาสสาว  ก่อนจะล้มตัวลงนอนเพื่อรอให้ความเย็นจากดอกมะลิออกฤทธิ์ช่วยลดไข้ของพี่เดือน

     ‘หวังว่าตัวยาที่พี่เขมเคยพร่ำสอนยม...จะช่วยให้พี่เดือนหายโดยเร็วนะจ๊ะ’

   “ยม...ยม...”

    เสียงของเดือนทำให้เด็กน้อยค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ เมื่อเห็นว่าเดือนกำลังกรอกตาเพื่อมองว่ามีอะไรอังอยู่บนศีรษะตนเอง

   “บนหัวพี่มีอะไรวางอยู่น่ะ?”

   “พอดียมทำดอกมะลิโขลกกับพิมเสนมาอังหน้าผากพี่ค้างคืนไว้จ้ะ เขาว่าช่วยลดไข้ได้ดีนัก” ยมอธิบายพลางหยิบผ้าชุบน้ำค่อยๆเช็ดนำตัวยาออกจากหน้าผากของเดือน แล้วลองเอามือแตะเพื่อดูอาการ

   “ไม่ค่อยมีไข้แล้วนะจ๊ะพี่ วันพรุ่งพี่เดือนก็หายสนิทแล้ว  ยมบอกกับเดือนด้วยรอยยิ้มที่ดีใจนักที่ตัวยาได้ผล

   “ขอบใจเอ็งนะยม” เดือนมองเด็กน้อยที่รักประดุจน้องชายด้วยสายตาที่เอ็นดู เด็กน้อยมักห่วงใยตนเสมอยามเจ็บไข้

   “พี่เดือน...” ยมตัดสินใจถามสิ่งที่ค้างคาใจมาตั้งแต่เมื่อคืน “พี่ไปทำสิ่งใดให้คุณเขลางค์ขุ่นเคืองหรือไม่ ทำไมทั้งใบหน้ากับแขนของพี่ถึงมีรอยคล้ายถูกตบตีนักเล่า?”

  “ไม่มีอะไรหรอกยม” เดือนตอบทาสรุ่นน้อง หากแต่สายตานั้นหลบหลีกที่จะเผชิญอย่างเห็นได้ชัด “เอ็งไปทำงานเถอะ ประเดี๋ยวเอ็งต้องไปตั้งสำรับอีกมิใช่รึ?”

   “แต่...”

   “ถ้าเอ็งยังรักพี่อยู่ เอ็งอย่าได้ถามเกี่ยวกับรอยบนตัวพี่อีกเลย ถือว่าพี่ขอร้องนะยม”

   เดือนกล่าวจบก็เบือนหน้าหนี เพื่อหลบซ่อนแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ นางทาสสาวไม่อยากให้เด็กที่มีอายุเพียงสิบสองอย่างยมต้องมารับรู้ความโหดร้ายที่ตนได้รับจากหญิงอำมหิต

    ความบัดสี...และราคีที่เดือนไม่อาจจะลบล้างได้ตลอดชีวิต!

   “ยมขอโทษจ้ะ เช่นนั้นพี่เดือนพักผ่อนเถิดนะ แล้วยมจะมาหาจ้ะ”

     เมื่อเด็กหนุ่มออกจากเรือนของเดือนไปแล้ว นางทาสสาวก็ปล่อยโฮออกมาอย่างเหลือทน ปล่อยให้หยาดน้ำตาเปียกท่วมหมอนอิงจนเปียกปอน

       ให้ตายก็จะให้ยมรู้เรื่องอย่างนี้ไม่ได้

       เรื่องบัดสีวันนั้นที่ตรอกผีเสื้อ...มันจะต้องเป็นความลับตายไปกับเดือนตลอดไป!



คุณเขลางค์เอาอีกแล้วเร้ออ สงสารหนูยมจุง

มีผู้ชายมาจีบหนูยม พี่เขมกลับมาจัดการเดี๋ยวนี้//รีดคนหนึ่งได้กล่าวไว้ ก๊ากกกกก

**ใครรักดอกไม้ไทยๆอย่างดอกมะลิให้มาอยู่ทีมคุณเขม ส่วนใครรักดอกไม้ฝรั่งอย่างไลเซนทัสให้อยู่ทีมคุณโดม ฮ่าาาา

​**ว่าแต่ ยาฝรั่งนี่ของใครกันน้อออ
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 16-01-2018 20:21:34
เรือนร้าว9
ตอน เจ็บที่เพิ่งพบ...แล้วจะห่างไกล
เวลาผ่านไปจนครบกำหนดหนึ่งเดือน...พิธีจบของโรงเรียนจัดขึ้นทันทีที่ประกาศผลสอบเป็นที่เรียบร้อย  และตอนนี้เสียงของอาจารย์ท่านหนึ่งกำลังประกาศรายชื่อนักเรียนที่มีผลการเรียนดีของระดับชั้น จนมาถึงคนสุดท้าย

        “ผู้ที่สอบได้ที่หนึ่งของปีการศึกษาชั้นสุดท้าย ได้แก่ เขม วินิตราชศักดิ์”

       เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังขึ้นทันทีที่ผู้ขึ้นมารับประกาศนียบัตรคนสุดท้ายเดินขึ้นมาด้านหน้าหอประชุมโรงเรียน  ตามด้วยครูใหญ่ที่กล่าวแสดงความยินดีแก่ผู่ที่จบการศึกษาเป็นอันเสร็จพิธี

        “คุณเขมเก่งจริงๆเลยนะขอรับ กระผมได้เพียงลำดับที่ห้าของชั้นเท่านั้นเอง” เพื่อนร่วมชั้นเข้ามาแสดงความยินดีกับคุณเขม

         “ลำดับที่ห้าก็เก่งมากแล้วขอรับคุณแท่ง” คุณเขมกล่าวแสดงความยินดีด้วยน้ำเสียงสุภาพ

        “คุณเขมนอกจากจะเรียนเก่งแล้วยังไม่ถือตัวด้วยนะขอรับ ไม่เหมือนคนแถวนี้ ได้ที่สองแล้วยังไล่แขวะเพื่อนคนอื่นอีก”

         คุณแท่งหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่มีหน้าตาออกไปทางฝรั่งด้วยความหมันไส้  ทำให้คุณเขมต้องปรามเพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมชั้นมีเรื่อง

      “อย่าไปมองคุณดอมอย่างนั้นสิขอรับคุณแท่ง อย่างไรเสียวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการศึกษาแล้ว วันพรุ่งพวกเราต่างต้องแยกย้ายไปเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ารับราชการตามที่คุณพ่อคุณแม่ของทุกคนคาดหวังไว้”

       “นั่นสินะขอรับ...” คุณแท่งปรับเสียงให้อ่อนลง “คุณเขมยังใจเย็นเสมอเลยนะขอรับ”

       “คุณเขมขอรับ มาอยู่ตรงนี้เอง บ่าวตามหาเสียทั่ว”

      คุณเขมหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นหู เมื่อเห็นว่าผู้ใดเป็นคนเรียกก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างปรีดา

      “น้ากลอง...ถ้าน้ากลองอยู่นี่ แสดงว่าคุณพ่อมาด้วยอย่างนั้นรึ?”

       “ขอรับ ตอนนี้คุณพระกับคุณเขลางค์รอคุณเขมอยู่ที่ห้องของคุณครูใหญ่ รีบไปกันเถิดขอรับ”

       “กระผมขอตัวก่อนนะขอรับคุณแท่ง”

         น้ากลองรีบพาคุณเขมไปยังห้องครูใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอประชุมมากนัก น้ากลองเคาะประตูเพื่อบอกว่าคุณเขมมาแล้วก่อนจะผลักประตูเข้าไป ก็พบว่าผู้เป็นบิดาที่บัดนี้ได้รับบรรดาศักดิ์ยศเป็นคุณพระวินิตราชศักดิ์กำลังสนทนาอยู่กับครูใหญ่โดยมีคุณเขลางค์นั่งอยู่ข้างๆ

        “คุณพ่อ คุณแม่ขอรับ” ร่างสูงเข้าไปกราบผู้เป็นบิดาและมารดา  คุณเขลางค์กอดจูบลูกรับขวัญลูกชายด้วยความคิดถึง

       “แม่คิดถึงลูกเหลือเกินพ่อเขม”

      “คุณครูใหญ่บอกพ่อหมดแล้วล่ะ ว่าเจ้าสอบไล่ได้ที่หนึ่งของชั้นจนได้ เก่งจริงๆลูกพ่อ” คุณพระตบบ่าบุตรชายอย่างยินดี

        “อย่างนั้นหรือขอรับ?”

         “ถูกต้องแล้วพ่อเขม” เสียงครูใหญ่แทรกขึ้น “กระผมจะมอบทุนให้พ่อเขมไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษเป็นเวลาสี่ปี เมื่อกลับมาแล้วก็จะได้รับราชการเช่นคุณพระต่อไป ไม่ทราบว่า คุณพระกับคุณหญิงจะขัดข้องสิ่งใดหรือไม่ล่ะ?”

        “กระผมยินดีขอรับครูใหญ่ เพราะพ่อเขมจะได้นำวิชาความรู้มารับราชการได้ในภายภาคหน้า บ้านเมืองยังต้องการคนเก่งอีกมากนักขอรับ”

        “แล้วคุณหญิงล่ะขอรับ?” ครูใหญ่ถามต่อ

       “อิฉันยินดีเจ้าค่ะ เพราะมันเป็นความต้องการของพ่อเขมมาตั้งแต่เด็ก ที่จะได้นำวิชาความรู้มารับราชการในภายหน้า”

       “หากคุณพระกับคุณหญิงเห็นสมควรแล้ว กระผมก็จะมอบทุนให้พ่อเขมเสียเลย เพราะทางโรงเรียนได้ติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยล่วงหน้าแล้ว ทางนั้นยินดีรับพ่อเขมเข้าศึกษาอย่างยิ่งตั้งแต่ยังไม่ทันสอบไล่ครั้งสุดท้าย แต่...”

       “แต่อะไรหรือขอรับ?”

    “อีกเจ็ดวันพ่อเขมจะต้องเดินทางทันทีตามธรรมเนียมตั้งแต่ครูใหญ่คนก่อนเป็นผู้ริเริ่ม เพื่อเตรียมตัวปฐมนิเทศที่ทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดขอรับ”



    “พวกเอ็งๆ ข้ามีข่าวด่วนมาบอก ว้ายยย!!”

     ด้วยความรีบทำให้ร่างแคระแกร็นของอีปริกล้มคะมำกลางโรงครัว ยมที่นั่งแกะสลักผลไม้อยู่ใกล้ๆจึงช่วยพยุงอีปริกขึ้นมา

     “ข่าวด่วนอะไรของเอ็งห้ะอีปริก?” ป้าฟักถามด้วยความหงุดหงิด เพราะอีปริกเสียงดังทีเดียวทำให้ตนเกือบทำผัดผักไหม้คากระทะ

    “คุณพระ...กำลังจะพาคุณเขมกลับมาที่เรือนวันนี้แล้วจ้า”

    “จริงเหรอวะอีปริก? เอ็งไม่ได้มั่วใช่ไหม?”

   “จริงสิป้า ก็ฉันอยู่กำลังเก็บผักอยู่กับอีแตน แล้วไอ้กลองผัวมันก็กลับมาส่งข่าวว่าคุณพระขอรับตัวคุณเขมกลับมาก่อน ฉันเลยวิ่งกลับมาบอกป้านี่แหละ”

    “โอ๊ย!! ดีใจจังโว้ย ยมเอ้ย...เดี๋ยววันนี้ข้ายกหน้าที่ให้เอ็งทำข้าวหุงให้คุณเขมนะ คุณเขมเขาชอบรสมือเอ็ง” ป้าฟักหันไปบอกยมด้วยน้ำเสียงที่ยินดี   พร้อมๆกับเสียงของบ่าวทาสในโรงครัวพากันเซ็งแซ่บ่งบอกว่ายินดีที่บุตรชายคนเดียวของคุณพระกำลังจะกลับมาเรือนที่จากไปเสียนาน

    “ได้จ้ะ...” ยมตอบรับป้าฟัก ก่อนจะเดินคว้ากระจาดเดินออกไปจากโรงครัวเพื่อเก็บสมุนไพรมาปรุงรสข้าวหุง

      เมื่อยมเดินถือกระจาดมายังสวนผักท้ายเรือน เด็กน้อยก็เก็บผักกับสมุนไพรที่จะใช้ทำข้าวหุงต้อนรับคุณเขม อีกทั้งยังเก็บผักหวานบ้านไว้ผัดทานคู่กับข้าวหุง วันนี้ยมคิดว่าจะทำหรุ่มอย่างที่เคยตั้งใจให้คุณเขมด้วย

     “ยม...”

     เมื่อเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมาเมื่อพบว่าร่างสูงของร้อยตรีหนุ่มกำลังถือห่ออะไรบางอย่างส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ยมวางกระจาดไว้ข้างๆเพื่อนั่งคุกเข่ากับพื้นดิน

     “คุณโดม...”

    “พอดีคุณพ่อทราบว่าเขมกำลังจะกลับมาวันนี้  แต่ท่านติดธุระกะทันหัน จึงฝากฉันนำแอปเปิ้ลมาแสดงความยินดีกับคุณอาน่ะ แล้วนี่...ยมทำอะไรอยู่?”

    “บ่าวตั้งใจมาเก็บสมุนไพรไปทำสำรับขอรับ”

    “แล้ว...” ร่างสูงนั่งยองๆใกล้ๆเด็กน้อย “วันนี้ยมจะทำอะไรบ้างเหรอ?”

   “บ่าวจะทำข้าวหุงกับผัดผักหวาน ของโปรดของคุณเขมขอรับ” ยมตอบคุณเขมแล้วอมยิ้มด้วยใบหน้าที่เป็นสุข รอยยิ้มของยมนั้นทำเอาร้อยตรีหนุ่มถึงกับคลี่ยิ้มตาม

    นี่เจ้าตัวจะรู้ตัวบ้างไหม...ว่าเวลาที่ยมยิ้ม โลกนี้ช่างสดใสแค่ไหน

    “ข้าวหุงเหรอ...มันเป็นอย่างไร? ฉันไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน”

    “เป็นข้าวสวยนำมาผัดปรุงรสกับเครื่องเทศขอรับ ใส่ใบกระวาน อบเชย กานพลู แล้วก็ลูกเอ็น คุณเขมชอบทานคู่กับผัดผักหวานขอรับ”

      คุณเขม...อีกแล้ว...

     เอ่ยชื่อนี้บ่อยเสียจริง

     “รู้สึกว่ายมจะเอ่ยถึงคุณเขมบ่อยเหลือเกิน ฉันถามหน่อยเถิด ยมเคารพคุณเขมขนาดนั้นเชียวหรือ?”   

     “เอ่อ...” เด็กน้อยถือกระจาดแล้วทำท่าจะลุกขึ้น “นี่ใกล้ยามเย็นแล้ว บ่าวขอกลับไปเตรียมตั้งสำรับก่อนนะขอรับ”

    “เดี๋ยวยม...” มือใหญ่คว้าแขนเล็กไว้ นั่นทำให้ยมไม่ทันระวังจนข้อเท้าเผลอสะดุดตั้งท่าจะล้ม กระจาดที่เก็บสมุนไพรร่วงลงไปกับพื้น เด็กน้อยหลับตาปี๋ด้วยคิดว่าจะร่วงลงไปกับพื้นแล้ว แต่...

    “คะ...คุณโดม...” เด็กน้อยเบิกตากว้าง เมื่อพบร่างของตนถูกร้อยตรีหนุ่มรับไว้ในอ้อมกอด

    “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะ ที่ฉันช่วยยมไม่ให้ล้ม”

    “คุณโดมปล่อยบ่าวก่อนขอรับ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” ใบหน้าหวานหันซ้ายขวาด้วยความหวาดระแวง แต่คุณโดมกลับกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น

      “ว่าอย่างไรเล่า? ยมยังไม่ได้ตอบฉันเลย”

     “ขอรับ บ่าวเคารพคุณเขมที่สุด ปล่อยได้แล้วขอรับ บ่าวไม่สนุกขอรับ”

   แต่ดูร้อยตรีหนุ่มจะไม่เลิกแกล้ง คุณโดมจึงยังไม่ยอมปล่อยร่างน้อย อีกทั้งดวงตาสีนิลแบบฝรั่งยังคงจ้องใบหน้าหวานที่ตอนนี้ดูจะไม่ค่อยชอบใจนัก

      “ยม!”

     เสียงนี้มัน...

     ยมหันใบหน้าไปตามต้นเสียง ก็พบร่างสูงใหญ่ที่ยมคิดถึงกับพี่มั่นพี่เพลิงยืนอยู่ไม่ห่างจากแปลงผักนัก แววตาของคุณเขมมองด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ ก่อนที่ร่างสูงเดินหันหลังกลับออกไปอย่างรวดเร็ว

    “พี่เขม...พี่เขมฟังยมก่อน...” เด็กน้อยผลักร้อยตรีหนุ่มเต็มแรง ก่อนจะวิ่งตามคนรักออกไป วินาทีนี้ยมไม่สนใจแล้วว่าจะถูกทั้งสามคนที่อยู่ตรงนั้นมองอย่างไร

      “นี่...อย่าบอกนะว่า...” คุณโดมพึมพำอย่างไม่ใคร่จะเชื่อนัก ส่วนเพลิงเองที่เคยเย้ายมเล่นไว้ว่าคุณเขมอาจชอบยมหากเป็นหญิง พอมาเกิดขึ้นจริงแล้วก็ทำเอาตกใจไปเหมือนกัน

      คุณเขมชอบยมจริงๆ...ทั้งที่ยมเป็นผู้ชาย!!



      “พี่เขม...ฟังยมก่อนนะจ๊ะ”

       ยมวิ่งตามคนตัวสูงมาจนทัน โชคดีที่ไม่มีใครผ่านมาแถวนั้นคุณเขมจึงหยุดเดิน ก่อนจะหันมาสวมกอดยมไว้แนบแน่น

     “พะ...พี่เขม...” เด็กน้อยเบิกตาโพลงเมื่อถูกสวมกอด สองเรียวแขนเล็กกอดตอบคุณเขมกลับเช่นกัน

    “พี่ขอโทษนะที่เดินหนีมา พี่เพียง...ทนไม่ได้หากมีผู้ใดมายุ่งเกี่ยวกับยม”

     ร่างสูงกระซิบข้างหูคนตัวเล็กตามที่หัวใจสั่ง ทันทีที่กลับมาถึงเรือนช่วงใกล้ยามเย็น คุณเขมก็ขออนุญาตคุณพระกับคุณหญิงวินิตราชศักดิ์ออกมาเดินเล่นด้านนอกเรือนเพื่อรับลมจากอากาศที่ใกล้เย็นย่ำ หากแท้จริงแล้วต้องการมาหาคนตัวเล็กที่แสนคิดถึง แต่เมื่อมาพบว่ายมกำลังอยู่ในอ้อมกอดของคนที่คุณเขมพอจะจำได้ลางๆว่าเคยพบที่งานภูเขาทองก็เกิดอาการหึงหวง แต่ก็ต้องรีบออกมาเพราะเกรงว่าจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่จนเผลอไปทำร้ายคนที่มายุ่งกับคนของเขา

     หากแต่เพียงเสียงของเจ้าตัวน้อยตามเรียกจากด้านหลัง...อารมณ์ที่ร้อนหุนหันนั้นก็แทบแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นที่รู้สึกผิดต่อเจ้ายมน้อย

    เพราะร่างสูงว่าอย่างไรคนตัวเล็กคงไม่ได้ตั้งใจ

    พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษจริงๆ...

   “คุณโดมไม่ได้ทำอะไรยมหรอกจ้ะ” ใบหน้าหวานซุกบนอกแกร่ง “เมื่อครู่ยมจะล้ม เขาเลยช่วยยมไว้เท่านั้นเอง”

     เด็กน้อยเต็มใจรับสัมผัสอบอุ่นอยู่เนิ่นนาน กระทั่งทั้งสองต้องผละออกจากกันก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า หากแต่สองมือยังแนบประสานไม่ห่าง

       “ยมดีใจที่พี่เขมฟังยม ยมคิดว่าจะถูกพี่เขมเกลียดเสียแล้ว”

      “พี่รักยม” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยหนักแน่น “พี่รักยม”

      สองดวงตาสอดประสานด้วยหัวใจที่สุขล้น ในที่สุดหัวใจทั้งสองดวงก็กลับมาพบกัน

      แม้คุณเขมจะกังวลใจลึกๆก็ตาม

     “ยม คือ...” คุณเขมกำลังจะบอกเรื่องที่จะต้องเดินทางไปประเทศอังกฤษกับคนรัก หากแต่เด็กน้อยปล่อยมือใหญ่ออกช้าๆ

     “ยมต้องไปช่วยป้าฟักแล้วพี่เขม ไว้พี่เขมรอทานข้าวหุงของยมนะจ๊ะ” เด็กน้อยเดินออกไป หากคุณเขมพูดตามหลังยมไปว่า

     “ค่ำนี้พี่จะไปพบเจ้าที่เรือน”

     ร้อยตรีหนุ่มเดินขึ้นบันไดบนเรือนใหญ่เมื่อบ่าวไพร่มาบอกว่าคุณพระวินิตราชศักดิ์เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนของคุณเขมได้สักพัก ก็พบว่าทั้งคุณพระและคุณหญิงต่างนั่งรออยู่บนแท่นแล้ว

      “นั่งก่อนสิ ว่าอย่างไรพ่อโดม? แล้วท่านพระยามนตรีไม่มาด้วยรึ?” คุณพระเชื้อเชิญแขกก่อนจะเอ่ยถามถึงบิดาของชายหนุ่ม

      “พอดีคุณพ่อทราบว่าเขมกลับมาจากโรงเรียนวันนี้ แต่ท่านติดธุระกะทันหัน จึงให้หลานนำแอปเปิ้ลมาแสดงความยินดีที่เขมเรียนจบขอรับคุณอา” ว่าจบ ร้อยตรีหนุ่มก็ยื่นห่อแอปเปิ้ลสีแดงสดจำนวนหนึ่งส่งให้คุณพระ

     “ผลไม้นอกเสียด้วย อาฝากขอบใจถึงคุณพ่อของเจ้าด้วยนะพ่อโดม” คุณพระมองของฝากอย่างพอใจ ก่อนจะสั่งให้กลองนำไปเก็บในครัว “เดี๋ยวสักพักพวกบ่าวจะยกสำรับขึ้นมา พ่อโดมอยู่รับข้าวเย็นที่นี่ด้วยกันนะ”

     “ขอบพระคุณคุณอาขอรับ...” ร้อยตรีหนุ่มไหว้ผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม “แต่หลานต้องไปเข้ากรมต่อ วันนี้หัวหน้าเรียกประชุมสำคัญขอรับ”

     “อือม์...ช่างน่าเสียดายนัก เลยอดเจอพ่อเขมลูกชายของอาเลย”

     ความจริงหลานเพิ่งเจอเขมเมื่อสักครู่นี้เองขอรับคุณอา...

      “ไว้วันอื่นหากว่าง หลานจะมาขอรับ”

    “รีบหน่อยก็ดีนะพ่อโดม” คุณพระกล่าวเตือน “เพราะอีกเจ็ดวัน พ่อเขมกำลังจะเดินทางไปประเทศอังกฤษแล้ว”

       เคร้ง!!

     “ว้ายเจ้ายม! ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้ห้ะ...หกหมดเลยเห็นไหม?!” ป้าฟักเอ็ดเด็กน้อยที่พลั้งทำขันน้ำลอยดอกมะลิเพื่อรับแขกหกเรี่ยราด

     “ยม...ยมขอโทษจ้ะป้าฟัก” ยมเสียงสั่นคล้ายจะร้องไห้ หากแต่ไม่ใช่เพราะถูกป้าฟักเอ็ด หากแต่เป็นเพราะได้ยินสิ่งที่คุณพระวินิตกล่าวเมื่อครู่ต่างหาก

     นี่พี่เขมของยม...เพิ่งจะกลับมาหายมแท้ๆ จะจากยมไปอีกแล้วหรือไร?

     “อย่าไปเอ็ดเจ้ายมมันเลยอีฟัก...” คุณพระเอ่ยด้วยน้ำเสียงเมตตา “คุณโดมกำลังจะกลับพอดี เอ็งลงไปช่วยบ่าวคนอื่นยกสำรับก็แล้วกัน”

    “ขอรับ” เมื่อได้ยินยมก็คลานออกไปก่อนที่จะเดินลงไปจากเรือน โดยที่คุณโดมมองตามไปไม่วางตา

      อยู่ๆยมก็ดูเศร้านัก

      “หลานขอตัวก่อนนะขอรับ”

      หลังจากกราบลาคุณพระแล้ว ร้อยตรีหนุ่มก็จะเดินลงบันไดเพื่อกลับไปยังรถที่จอดอยู่ด้านนอก หากแต่สายตาก็มองหาคนตัวเล็กที่คิดว่าน่าจะยังไปได้ไม่ไกลด้วยรู้สึกผิดอยู่ลึกๆที่ทำเขมเข้าใจยมผิดในตอนนั้น

     “หายไปเร็วจริงๆ”

     เมื่อเห็นว่าอย่างไรก็ไม่พบยมอีก คุณโดมจึงตัดใจเดินกลับไปยังรถยนต์คู่ใจ ใบหน้าคมอย่างฝรั่งมองดอกไลเซนทัสที่เบาะข้างๆก็นึกถึงเด็กน้อย แต่ครั้นจะกลับเข้าไปอีกครั้งก็คงจะไม่ดีนักเพราะเพิ่งเสร็จธุระไปเมื่อสักครู่นี้เอง

      เขาจะมาอีก...

      มาเพื่อมอบดอกไลเซนทัสให้ยม...



 เวลาผ่านไปจนถึงสองยาม เมื่อเห็นว่าผู้เป็นบิดาและมารดาเข้านอนแน่แล้ว คุณเขมจึงลงมาจากเรือนเพื่อไปหาคนตัวเล็กตามที่บอกไว้ตอนเย็น ในใจรู้สึกร้อนรุ่มเพราะเมื่อตอนเย็นที่ยมยกสำรับขึ้นมา คุณเขมจ้องคนตัวเล็กที่เบือนหน้าหนีคล้ายจะหลบซ่อนแววตาแสนเศร้าตลอดเวลา อยากจะเอ่ยถามตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่อาจทำได้

        “ยม พี่มาแล้ว...”

    เมื่อได้ยินเสียงของคุณเขม ยมที่กำลังอ่านหนังสือเงาะป่าก็ต้องวางลงเพื่อเปิดประตูเรือนให้คนรักเข้ามาด้านใน ด้วยกลัวว่ายามดึกดื่นยุงร้ายจะกัดคุณเขมเอา ทันทีที่คุณเขมเข้าไป ร่างของเพลิงกับมั่นที่แฝงกายอยู่ในพุ่มไม้ก็ค่อยๆยื่นหน้าออกมา

      “เอ็งแน่ใจนะไอ้เพลิง ว่าคุณเขมมารักกับไอ้ยม” มั่นสะกิดคู่หู

     “เออน่ะ! เอ็งเงียบๆแล้วตามข้ามาเถอะ”

     เพลิงจุ๊ปากก่อนจะค่อยๆพามั่นย่องไปแถวบานหน้าต่างที่ถูกปิด แล้วแนบหูเพื่อฟังเสียงคนด้านในพูดคุยกัน

    “ยม...ใยเจ้าจึงไม่มองหน้าพี่” คุณเขมเชยคางมนเพื่อให้เด็กน้อยสบตา “ตั้งแต่ตอนที่เจ้ายกสำรับขึ้นมาแล้ว พี่มองเจ้าตลอดเวลา แล้วเจ้ากลับเบือนหน้าหนี”

    “พี่เขม...” ยมก้มหน้าเพื่อหลบแววตาที่เศร้าสร้อย “ยมดีใจด้วยนะจ๊ะ ที่...พี่เขมจะได้ทำตามความฝันเสียที”

      “ยม...” ร่างสูงขยับกายเข้าไปใกล้ร่างน้อย “เจ้ารู้แล้วอย่างนั้นรึ?”

      “ยมได้ยินคุณพระพูดน่ะจ้ะ” เด็กน้อยหันหลังให้คนรัก “พี่ต้องไปนานเท่าใด?”

     คุณเขมเงียบไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจคำที่ยากจะเอื้อนเอ่ยออกมา

    “สี่ปี”

     !!!

    “ฮึก...”

    เด็กน้อยปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม จนร่างสูงต้องคว้าร่างน้อยเข้าไปกอดแนบแน่น สองแขนเล็กกอดชายอันเป็นที่รักราวกับว่าคุณเขมจะหายไปเดี๋ยวนั้น

     “ยม...เพียงเจ้าบอกพี่มา ว่าเจ้าไม่อยากให้พี่ไป พี่จะสละทุนไปอังกฤษทันที” มือใหญ่เกลี่ยหยาดน้ำใสบนใบหน้าหานอ่อนโยน คุณเขมมิได้พูดเพื่อเอาใจคนตัวเล็ก หากแต่มันถูกร้อยเรียงมาจากหัวใจ “พี่ยอมทิ้งทุกอย่าง...เพื่อยม!!”

      “เฮ้ย...ไม่ได้นะเว้ยไอ้ยม อย่าพูดนะโว้ย อื้อ!!” มั่นดิ้นเมื่อถูกมือของเพลิงปิดปากแน่น

     “เอ็งอย่าเสียงดังสิวะไอ้มั่น เดี๋ยวก็ถูกโบยหลังลายหรอก!” เมื่อมั่นพยักหน้าเข้าใจเพลิงจึงค่อยๆปล่อยมือเพื่อแอบฟังต่อ

      “พี่จะทิ้งความฝันของพี่ได้อย่างไร...” เด็กน้อยใจกล้าขึ้นมาสบตาคนรัก สองมือเล็กประคองใบหน้าคมคาย “ยมยินดีกับพี่เขมนัก ที่พี่จะได้ทำตามความฝัน อย่างน้อย...เราก็มีเวลาตั้งเจ็ดวันที่ได้อยู่ด้วยกัน”

      “ยม...” คุณเขมเรียกชื่อของเด็กน้อยไม่รู้เบื่อ ดวงตาสีนิลเข้มมองแววตาน่ารักของยมไม่กะพริบ “พี่รักยมมากนะ”

     “ยม ก็...” เด็กน้อยหน้าแดง ยังมิทันจะได้ตอบกลับ ก็ได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากนอกเรือนทาสของยมมาจากบริเวณบานหน้าต่างที่ปิด ร่างสูงจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดเพื่อดูต้นเสียงทันที พบว่าร่างของเพลิงล้มทับมั่นที่นอนลงไปกองกับพื้น

     “มั่น เพลิง!”

 
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 18-01-2018 19:57:56
เรือนร้าว10
ตอน คำมั่นสัญญา
“บ่าว...บ่าวผิดไปแล้วขอรับ...” เพลิงกับมั่นรีบนั่งคุกเข่าแล้วยกมือท่วมหัวผู้เป็นนายหวังให้คุณเขมใจเย็นลง เพราะเวลาที่ร่างสูงตรงหน้าโกรธเมื่อใดก็เปรียบเหมือนมีพายุลูกใหญ่เข้ามาเมื่อนั้น

      “บ่าวไม่ได้ตั้งใจนะขอรับ...ก็...ก็ไอ้เพลิงนั่นแหละ ที่พาบ่าวมาแอบฟังว่าคุณเขมกับไอ้ยม เอ่อ...”

     “แต่เอ็งก็ตามข้ามาไม่ใช่รึไอ้มั่น ห้ะ!!” เมื่อเห็นว่าเพื่อนโยนความผิดให้ตนคนเดียวเพลิงก็หันไปโวยทันที

     “เอาล่ะ เจ้าสองคนพอได้แล้ว” คุณเขมรีบห้ามคนสนิททั้งสอง “ในเมื่อพวกเจ้ารู้แล้ว ฉันขอล่ะ...เพลิง มั่น ช่วยเก็บเป็นความลับได้หรือไม่? ”

        “แต่สักวันคุณพระก็ต้องรู้ความจริงนะขอรับ” น้ำเสียงของเพลิงเริ่มจริงจัง “บ่าวทั้งสองแม้ต้องตายก็ยินดีจะช่วยคุณเขม  แล้วคุณเขมจะบอกความจริงกับคุณพระเมื่อใดขอรับ? ”

         “มันยังไม่ถึงเวลาหรอกเพลิง” ร่างสูงถอนหายใจเฮือกยาว “สี่ปีเมื่อฉันกลับจากอังกฤษ ฉันจะตั้งใจทำงานรับราชการจนมีความมั่นคง เมื่อนั้นฉันถึงจะบอกความจริงกับคุณพ่อเรื่องของฉันกับยม”

      “แต่กาลข้างหน้า คุณเขมจะเป็นผู้มีหน้ามีตาในสังคม หากมีคนรักเป็นผู้ชายแล้ว...คุณเขมมิเกรงกลัวถูกครหาจากสังคมรอบด้านหรือขอรับ?” ครานี้มั่นเป็นฝ่ายถามออกมาตรงๆ หากแต่ท่าทีของคุณเขมนั้นหาได้วิตกกับคำถามไม่

       “ฉันไม่กลัว ฉันคิดถึงอนาคตข้างหน้าไว้แล้ว”น้ำเสียงอบอุ่นกล่าวอย่างมาดมั่น ทำเอาเด็กน้อยที่แอบฟังจากด้านในหัวใจเต้นระส่ำ

       “แม้กาลข้างหน้าอาจถูกกดดันหรือมีอุปสรรคเพียงใด ฉันกับยมจะฝ่ามันไปด้วยกันให้ได้ ยมเป็นคนรักของฉัน ฉันจะปกป้องเขาด้วยชีวิต”



   “พี่เขมอ่านหนังสือภาษาอังกฤษหรือจ๊ะ?” ร่างน้อยเอ่ยถามคุณเขมที่กำลังอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า The Merchant of Venice ขณะวางจานขนมรังไรสีสันสวยงามน่ารับประทานบนโต๊ะอ่านตำรา ผ่านไปเข้าวันที่สองแล้วทั้งคุณเขมกับยมใช้เวลาอยู่ด้วยกัน หากยมก็ยังทำงานปกติมิได้ทิ้งงานซึ่งเป็นหน้าที่แต่อย่างใด

       “พี่ชอบอ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษน่ะ จะได้เป็นการฝึกภาษาไปด้วย เวลาไปอังกฤษจะได้ไม่อายฝรั่งมังค่าเขา” คุณเขมพูดแล้วส่งยิ้มเล็กน้อย หากแต่ยมยิ่งฟังกลับยิ่งใจหาย ดวงตาหวานล้ำอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

       “ยม...พี่ขอโทษ” คุณเขมวางหนังสือลงก่อนจะเข้ามาประคองใบหน้าหวาน “ระหว่างที่เราอยู่ด้วยกัน พี่จะไม่พูดถึงเรื่องประเทศอังกฤษอีก”

       “ยมไม่ได้เป็นกระไรจ้ะ” มือเล็กสัมผัสคนรัก ก่อนจะชวนคุณเขมเปลี่ยนเรื่องพูดคุย “ยมอ่านเงาะป่าจบแล้วนะจ๊ะ อยากอ่านให้พี่ฟัง แต่พี่เขมคงไม่สะดวกตอนนี้ ถ้าอย่างนั้น...”

      “ดีเลย... ” คุณเขมวางวรรณกรรมลง “พี่อยากฟังยมอ่าน อ่านให้พี่ฟังหน่อยนะคนดี”

     “แต่ตอนนี้พี่เขมอ่านภาษาอังกฤษอยู่มิใช่หรือจ๊ะ?”

      “พี่อยากฟังเสียงยมอ่านมากกว่า” คุณเขมลองยื่นหนังสือวรรณกรรมมาให้เด็กน้อยหมายจะแหย่เล่น “หรือว่ายมอยากลองอ่านเล่มนี้ดู”

     “ไม่เอา...” เด็กน้อยส่ายหน้ารัวทันที แค่ภาษาสยามก็อ่านยากอ่านเย็นจะแย่ “อย่างนั้นพี่เขมรอสักครู่นะจ๊ะ เดี๋ยวยมกลับไปเอาหนังสือเงาะป่าที่เรือนก่อน”

       เด็กน้อยหันหลังเดินไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะได้ยินเสียงเพลิงกับมั่นที่นั่งหมอบอยู่ใกล้ๆหัวเราะคิกคัก

    “ไอ้ยมมันอ่านภาษาปะกิตไม่ออกดอกขอรับคุณเขม ” เพลิงแซ็วก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม “มันอ่านแต่ภาษารักออกเท่านั้นแหละขอรับ”

     “เพลิง!” คุณเขมทำเสียงดุใส่คนสนิท หากแต่เด็กน้อยก็พอจะรู้ว่าร่างสูงกลังกลั้นเสียงหัวเราะอยู่ ทำเอาแก้มเนียนพองลมอย่างช่างงอน

       พี่เขมบ้า! เห็นท่าทางสุขุมอ่อนโยน แต่หากเย้าเล่นก็ทำเอาเขินได้เหมือนกันนะ!



เมื่อหยิบหนังสือเงาะป่าแล้วกำลังจะกลับเรือนของคุณเขม ยมก็มาพบกับคนที่เพิ่งทำให้ตนกับคนรักเกือบผิดใจกันเมื่อวานมายืนตรงหน้าราวกับดักรอไว้ คุณโดมยังคงแต่งกายร้อยตรีเต็มยศ  ในมือก็ถือดอกไลเซนทัสสีขาวบริสุทธิ์ ครั้นเมื่อยมตัดสินใจเลี่ยงไปอีกทาง ร้อยตรีหนุ่มกลับหันมาเห็นแล้วรีบวิ่งตามยมไปทันที

      “ยม! เดี๋ยวสิยม”คุณโดมวิ่งมาด้านหน้ายมอย่างรวดเร็ว “อย่าหนีฉันอย่างนี้สิ”

     “คุณพระอยู่บนเรือนขอรับ...” ยมตอบเลี่ยงเผื่อว่าร้อยตรีหนุ่มอาจจะมีธุระสำคัญกับคุณพระวินิตราชศักดิ์

    “ฉันไปพบคุณอามาแล้ว” คุณโดมขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำสียงจริงจังไม่ขี้เล่นเหมือนอย่างเคย “ยมยังโกรธฉันอยู่หรือไม่?”

     “บ่าวไม่ได้โกรธขอรับ” ร่างน้อยกำลังจะเดินหนีไปอีกทาง หากแต่ร้อยตรีหนุ่มขยับมาด้านหน้าดักไว้

     “ฉันพอจะรู้นะ...” แววตาสีนิลฝรั่งฉายดูจริงจัง “ว่ายมกับเขมน่ะมีความสัมพันธ์อย่าง...คนรัก”

    “คุณโดมรู้!?” แขนน้อยแทบจะทำหนังสือเงาะป่าร่วงลงจากพื้นเมื่อมีอีกคนรับรู้ความสัมพันธ์ของตนกับคุณเขม ดวงตาหวานระริกอ่อนไหว “บ่าวขอร้องนะขอรับ คุณโดมช่วยปิดเป็นความลับด้วย บ่าวไม่อยากให้คุณเขมเดือดร้อนเพราะบ่าว”

      “ไม่ต้องกังวลหรอก ยมเป็นเด็กดี ฉันจะไม่ยอมให้ยมเดือดร้อน” ร้อยตรีหนุ่มลูกครึ่งถอนใจ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “วันนี้ฉันไม่ได้มาเพื่อจะบอกยมเรื่องนี้หรอกนะ ฉันจะมาลายม”

    “คุณโดมจะไปไหนขอรับ?”

    “หัวหน้าของฉันสั่งให้ไปประจำการที่เชียงใหม่ เพราะช่วงนี้ที่นั่นมีโจรชุกชุมมากยิ่งกว่าในพระนครอีก” น้ำเสียงเข้มเศร้าสร้อย เด็กน้อยได้ฟังก็รู้สึกเห็นใจที่คุณโดมต้องพลัดจากเรือนไปไกล

    “คุณโดมต้องไปนานเท่าใดขอรับ?”

    “ไม่มีกำหนดที่แน่นอน หรือจนกว่าจะปราบโจรได้จนหมด” ร้อยตรีหนุ่มยื่นดอกไลเซนทัสให้ยม “ฉันคงไม่ได้มาให้ดอกไลเซนทัสนี้กับยมอีกนาน รับไว้เถอะ ฉันอยากมีความทรงจำที่ดีกับยม”

    “ขอรับ” เด็กน้อยรับดอกไลเซนทัสมาจากร้อยตรีหนุ่ม “บ่าวขอให้คุณโดมแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งหลายแล้วปราบโจรได้สำเร็จนะขอรับ จะได้กลับสู่พระนครเร็วๆ”

      “ขอบใจนะ” คุณโดมยื่นมือไปลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างเอ็นดู ซึ่งยมก็ไม่ได้ห้ามอะไร “แค่นี้ฉันก็ดีใจมากแล้ว”

      “มาแล้วเหรอยม? แล้วนั่นถือดอกไม้อะไรมาด้วยน่ะ?”             

    คุณเขมวางวรรณกรรมเวนิสวานิชฉบับภาษาอังกฤษลงเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเดินกลับขึ้นเรือนมาพร้อมหนังสือเงาะป่า แต่อีกมือก็ถือดอกไม้สีขาวคล้ายดอกกุหลาบ

    “ดอกไลเซนทัสจ้ะ คือ...เมื่อครู่ยมเจอคุณโดมก่อนจะกลับขึ้นเรือนมา คุณโดมมาบอกลายมเพื่อไปประจำการที่เชียงใหม่ แล้วคุณโดมให้มา”

      ยมตอบเสียงแผ่วเมื่อเห็นว่าคุณเขมเริ่มทำหน้าตึง เด็กน้อยมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าเพลิงกับมั่นไม่ได้นั่งอยู่ด้วยเหมือนก่อนหน้านั้นจึงค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ร่างสูง ก่อนจะซบใบหน้าไหล่แกร่งเพื่อเอาใจคนรัก

     “อย่าทำหน้าอย่างนี้สิจ๊ะ คุณโดมเพียงแค่เอ็นดูยมเป็นเพียงน้องชายก็เท่านั้น พี่เขมอย่าคิดมากเลยนะ” เด็กน้อยอ้อนร่างสูงเสียงหวาน เมื่อเห็นว่าขนมรังไรที่ยกมาคุณเขมยังไม่ได้แตะต้อง มือน้อยจึงหยิบมาจ่อริมฝีปากหนาเพื่อป้อนเอาใจ

     “พี่เขมเคยบอกยมว่าถ้าทานของหวานแล้วอารมณ์จะดี ถ้าอย่างนั้นยมก็ต้องป้อนขนมพี่เขม พี่เขมจะได้อารมณ์ดีใช่ไหมจ๊ะ?”

       “หึๆ” ร่างสูงกลั้วหัวเราะในลำคอ สิ่งที่เขาเคยบอกเคยแนะนำยมเวลาที่ถูกใครดุจนเครียด กลับมาย้อนเข้าตัวเขาเองเสียนี่

      “เด็กน้อยของพี่...” มือใหญ่ลูบเส้นผมนุ่มของเด็กน้อย ก่อนที่จะงับขนมรังไรสีสวยเข้าปาก ก่อนจะหยิบขนมมาผลัดป้อนกับยมบ้าง ทั้งสองผลัดกันป้อนขนมรังไร หากแต่ตอนนี้คุณเขมจะเป็นฝ่ายป้อนเสียมากกว่า

     “พอแล้วจ้ะพี่เขม”ยมดันมือใหญ่ที่ทำท่าจะป้อนขนมมาอีก “พี่เขมอยากให้ยมอ่านเงาะป่าให้ฟังมิใช่หรือจ๊ะ?  ยมว่ายมอ่านเลยดีกว่า”



       เขาว่าวันเวลาแห่งความสุขช่างผันผ่านไปเร็วนัก ก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ วันนี้เข้าสู่วันที่ห้าที่คุณเขมมาอยู่กับยม บางครั้งหากไม่มีอะไรร่างสูงก็จะเพียงมานอนกอดคนตัวเล็ก ก่อนจะตื่นออกไปก่อนไก่โห่เพราะเกรงว่าจะมีบ่าวไพร่มาเห็น จนกระทั่งถึงเวลาย่ำค่ำที่วันพรุ่งจะเป็นวันที่หก คุณเขมก็ชวนร่างน้อยนั่งชมแสงจันทร์ที่มีดาราเป็นบริวาร แล้วต่างหวนนึกถึงคืนที่จากไกล

    “ตอนที่พี่ยังนอนที่โรงเรียน พี่ชอบมองพระจันทร์มากเลยยมรู้ไหม?” เสียงนุ่มทุ้มกระซิบแผ่วข้างหู

   “จริงหรือจ๊ะ...ยมนึกว่ายมชอบมองอยู่ฝ่ายเดียว” ดวงตาหวานล้ำมองหน้าชายคนรัก

   “แต่พี่จะชอบมากกว่านี้ หากพี่ได้มองพระจันทร์ข้างๆยม”

    ถ้อยคำหวานซึ้งถูกร้อยเรียงออกมาจากข้างใน ทำเอายมอายตัวม้วน ก่อนจะซบใบหน้าหวานออดอ้อน

    “ยมอยู่นี่แล้วนะจ๊ะ…อยู่กับพี่เขม”

    สองดวงตาประสบกันอีกครา แววตาสีนิลเข้มมองใบหน้าหวานเกินทาสชายอื่นด้วยความเสน่หา คุณเขมชอบทุกอย่างที่เป็นยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตากลมโตที่คอยออดอ้อนเขา แม้ยามห่างกันแววตาคู่นี้ก็จะตรึงอยู่ในหัวใจของร่างสูงเสมอ

    “ดวงตาของยมสวยเหลือเกิน” ว่าจบใบหน้าคมคายก็จุมพิตที่เปลือกตาของเจ้ายมตัวน้อย ก่อนที่นิ้วเรียวยาวที่ลูบไล้ไปที่ริมฝีปากอิ่ม

    “ยะ...ยมขอไปปิดหน้าต่างก่อนนะจ๊ะ”

     ร่างเล็กลุกขึ้นไปปิดบานหน้าต่างเรียบร้อย ก็กลับมานั่งอยู่ข้างๆคนรัก อยู่ๆคุณเขมก็คว้าเข้าไปกอดแนบชิดจนไม่เหลือช่องว่าง

    “พี่อยากจูบยม” ร่างสูงเอ่ยสิ่งที่ปรารถนาออกมาตรงๆ เด็กน้อยเบิกตากว้าง หากแต่ก็ยอมให้ริมฝีปากหนาค่อยๆโน้มลงมาประกบเบาๆ ก่อนที่คุณเขมจะยื่นใบหน้าไปกระซิบแผ่วข้างคนตัวเล็ก

    “พี่อยากให้ยมเป็นของพี่...ทั้งตัวและหัวใจ”

   “พี่เขม...”

    คุณเขมประคองกอดร่างเล็กให้ค่อยๆนอนราบลง ก่อนที่ริมฝีปากหยักศกจะแตะลงบนกลีบปากนุ่มแผ่วเบา มือใหญ่ทั้งสองก็ประคองใบหน้าหวานอย่างทะนุถนอม จากจูบแผ่วเบาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงเมื่อลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาด้านในโพรงปากหวาน     

 “อื้ออออ!!”

  นี่เป็นจูบที่ลึกซึ้งครั้งแรกของทั้งสองคน แม้คุณเขมจะไม่เคยจูบกับผู้ใด แต่สัญชาตญาณกลับนำพาเขามอบความสุขให้คนตัวเล็กไปเอง ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กที่ตอบโต้อย่างเงอะๆงะๆด้วยไม่เคยได้รับสัมผัสเช่นนี้มาก่อน ทั้งสองจูบกันอยู่เนิ่นนานคุณเขมก็ผละออกมาเพื่อให้เด็กน้อยพักหายใจ     

 “แฮ่ก...แฮ่ก...” ร่างเล็กสูดอากาศหายใจเพราะจูบเมื่อสักครู่รุนแรงนัก แต่ยังไม่ทันได้พักไปมากกว่านี้ คุณเขมก็ประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง     

 “อื้ออออ!!” เด็กน้อยร้องเมื่อฟันขาวของคุณเขมขบกัดกลีบปากบางเล็กน้อยไม่ได้เจ็บมาก ลิ้นร้อนละเลียดทั่วกลีบปากนุ่ม ก่อนจะผละลงมาสัมผัสลำคอขาวผ่องแล้วจูบซับแทน   

  “อื้อ!” เด็กน้อยดิ้นเพราะรู้สึกจั๊กจี้ที่ลำคอ       

 “พี่จะไม่ทำรอยตรงนี้นะ” คุณเขมกล่าวแล้วค่อยๆลากริมฝีปากจูบซับต่ำลงมาจนถึงกลางไหปลาร้า ใบหน้าคมคายกดจูบตรงนั้นทำเอาเด็กน้อยสะดุ้ง   

  “พะ...พี่เขม...” ยมตกใจเมื่อมือใหญ่ทำท่าจะถลกเสื้อขึ้นด้านบน   

  “ยกแขนขึ้นหน่อยนะ คนดี"

  เสียงนุ่มทุ้มออดอ้อน เด็กน้อยยกแขนทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อท่อนบนปราศจากอาภรณ์ปกปิด ก็ปรากฏเรือนร่างขาวผ่องของเด็กน้อยที่ยังไม่เติบโตเต็มที่แข่งกับแสงจันทร์ที่ลอดสาดส่องเข้ามา   

 “อื้อ อ๊า พี่เขม”     

 ใบหน้าหล่อขบเม้มผิวเนียนบริเวณแผ่นอกบางจนเกิดรอยสีกุหลาบ ริมฝีปากอุ่นจูบซับรอบแผ่นอกเนียนก่อนที่ลิ้นร้อนจะสัมผัสยอดอกสีสดจนมันเริ่มตั้งชัน 

   “อ๊า! อึก...”      ร่างน้อยดิ้นเร่า จนมือใหญ่ต้องคอยจับสะโพกให้อยู่นิ่ง ลิ้นร้อนยังคงฉกชิงความหวานจากยอดอกจนมันแข็งสู้ลิ้น ส่วนยอดอกอีกด้านก็ถูกนิ้วร้ายบีบขยี้จนตั้งชัน 

  “อ๊ะ อ๊า!!”     มือที่ว่างอยู่สอดไปยังแผ่นหลังบางเพื่อให้รับสัมผัสได้ถนัดขึ้น ริมฝีปากจูบซับต่ำลงมาเรื่อยๆจนถึงหน้าท้องแบนราบ     

 “พี่เขม...” มือเล็กเอื้อมมาจับมือคุณเขมเมื่อรู้สึกได้ว่าผ้าโจงกระเบนถูกกระตุก ร่างเล็กสั่นสะท้านเมื่อมือใหญ่สัมผัสบริเวณกลางกาย

    “พี่อยากให้ยมเป็นของพี่คนเดียว” เสียงนุ่มทุ้มกระซิบแผ่ว “เชื่อใจพี่เถิดนะ”

   เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ผ้าโจงกระเบนก็ถูกกระตุกออกไป ตอนนี้เรือนร่างขาวเนียนผิดทาสชายทั่วไปไร้อาภรณ์ปกปิด ยิ่งเห็นร่างที่บอบบางที่เป็นเหมือนแก้วอันล้ำค่า คุณเขมก็คิดว่าจะต้องทะนุถนอมร่างนี้ไม่ให้บอบช้ำให้ถึงที่สุด

       “อื้อออ!”

       เด็กน้อยร้องเมื่อกลางกายถูกดูดกลืนเข้าไปจนมิด มือเล็กกอดศีรษะทุยไว้เพื่อระบายความเสียวซ่าน ไม่นานกลางกายเล็กก็ปลดปล่อยความสุขออกมาเต็มโพรงปากของคนตัวใหญ่

     “อ๊างง!! พะ...พี่เขม...” ยมเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนตัวใหญ่กลืนหยาดหยดของตนเองลงคอด้วยสีหน้าที่เป็นสุข

    “หวานเหลือเกินคนดี...” ลิ้นร้อนเลียที่มุมปาก มือใหญ่ยกสะโพกของเด็กน้อยขึ้นพาดบ่า ก่อนจะส่งนิ้วร้ายเข้าไปสำรวจช่องทางคับแคบด้านใน

      “อึก พี่เขม ยมเจ็บ...” ใบหน้าหวานเริ่มมีน้ำตาคลอ ริมฝีปากหยักศกยื่นไปจูบซับหยาดน้ำตาคู่นั้น

     “อย่าเกร็งนะเด็กดี ผ่อนคลายแล้วเจ้าจะรู้สึกดี”

    เด็กน้อยผ่อนคลายอย่างว่าง่าย ความเจ็บเริ่มเลือนหายไป จนตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้

     “อ๊า!!”

     เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยเริ่มปรับสภาพได้แล้ว คุณเขมก็ส่งนิ้วที่สองและสามเข้าไปในช่องทางคับแน่น ทำเอาร่างสูงต้องคำรามออกมาอย่างสุขสม

     “อ่า ดี...ดีจังเลย...”

      เมื่อเห็นว่าเบิกทางจนแน่ใจว่าเด็กน้อยไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว คุณเขมก็ปลดโจงกระเบนของตนออก เผยความเป็นชายที่ใหญ่โตเกินชายไทยจนเด็กน้อยเริ่มรู้สึกกลัว

     “ยม...ยม...” เด็กน้อยพูดเสียงตะกุกตะกัก หากแต่เสียงอบอุ่นลงมากระซิบปลอบโยนข้างหูอ่อนโยน

     “เชื่อใจพี่นะยม...เชื่อใจพี่...”

    “...” ไร้เสียงน้อยๆตอบ หากแต่ใบหน้าหวานพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกว่าตอนนี้ยมพร้อมจะเป็นของพี่เขมทั้งกายและใจ ร่างสูงจึงจับกลางกายที่ใหญ่โตจ่อเข้าไปในช่องทางคับแน่นที่เบิกทางไว้แล้วล่วงหน้า

    “อึ๊ก...อ๊า พี่เขม ยม ยมเจ็บ ฮือ!!”

    ร่างเล็กร้องไห้ปานจะขาดใจเมื่อถูกกลางกายของชายอันเป็นที่รักค่อยๆหยัดเข้ามาจนสุด ริมฝีปากหยักก็ลงมาจูบดื่มด่ำกลีบปากบางเพื่อให้คลายความเจ็บปวดลงได้บ้าง ลิ้นร้อนแทรกสอดเข้าไปดูดดื่มความหวานไม่รู้เบื่อ ก่อนจะผละออกมาเมื่อเห็นว่าร่างน้อยพอจะปรับสภาพได้บ้างแล้ว

        “ผ่อนคลายอีกนิด คนดี” เสียงทุ้มย้ำเตือนเมื่อเห็นว่าร่างน้อยตัวเกร็งเป็นครั้งที่สอง ใบหน้าหวานพยักหน้ารับแล้วผ่อนคลายจนกลางกายใหญ่รู้สึกได้

      “พี่จะค่อยๆขยับนะ...”  ร่างใหญ่ค่อยๆขยับช้าๆเพื่อถนอมเด็กน้อยให้ถึงที่สุด  แม้ยมจะรู้สึกเจ็บ หากตอนนี้ความซ่านเสียงเริ่มเข้ามาแทนที่ความรู้สึกนั้น

     “อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!!!”

      “อ่า...ไปพร้อมกันนะคนดี”

     สองร่างที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกอดกันไม่ยอมห่าง คุณเขมขยับสะโพกเร็วขึ้นทำให้คนตัวเล็กครางออกมาด้วยความรู้สึกดีมากกว่าเดิม พร้อมกับจิกเล็บลงบนแผ่นหลังกว้างเพื่อระบายอารมณ์ที่ใกล้จะปลดปล่อยในอีกไม่นาน

      “อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!!! พี่เขมจ๋า” ยมครางอ้อนคนรักเสียงหวาน

     “อ่า เด็กน้อยของพี่...”

      ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเนิ่นนานแข่งกับเวลาแห่งพระจันทร์ จนกระทั่งหัวใจทั้งสองดวงต่างปลดปล่อยความสุขสมออกมา คุณเขมถอนกลางกายใหญ่ออกเพื่อให้คนตัวเล็กพัก ตอนนี้ยมตัวน้อยนอนหอบตัวโยนด้วยความเหนื่อยล้า เรือนกายทั้งสองร่างที่กอดก่ายหยาดชื้นไปด้วยเหงื่อไหล ใบหน้าคมคายคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขที่ได้ครอบครองหัวใจของคนตัวเล็กเป็นคนแรก

        ตอนนี้ยมเป็นของคุณเขมทั้งกายและใจแล้ว

        ได้รักเด็กน้อยคนที่ทั้งรัก และทั้งหวง

        และอีกสี่ปีหลังกลับจากอังกฤษ คุณเขมตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องพายมไปอยู่ด้วยกันสองคน ในฐานะคนที่เขารักมากที่สุด

          “ยมเป็นของพี่แล้วนะ...” คุณเขมก้มใบหน้าลงมาประทับจุมพิตบนหน้าผากมน ดวงตาคู่น้อยหลับตาพริ้มรับสัมผัสอันอ่อนโยนจากคนรัก “เจ้าเป็นของพี่คนเดียว”

         “พี่เขม” สองมือน้อยประคองใบหน้าของคนรัก “พี่เขมก็เป็นของยมคนเดียว เป็นคนที่อยู่ในหัวใจของยมคนเดียว”

          กล่าวจบ ใบหน้าหวานก็ยื่นไปประกบริมฝีปากหนาอย่างนุ่มนวล เป็นครั้งแรกที่ยมกล้าจูบคุณเขม ซึ่งร่างสูงก็ตอบรับสัมผัสของคนตัวเล็กอย่างเต็มใจ

         “พี่เขมจ๋า...”

         “จ๋า...?” คุณเขมตอบรับเสียงหวาน

         “สัญญากับยมนะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด พี่เขมจะมียมเพียงคนเดียว”

         “พี่ให้สัญญา คนดี” ร่างสูงตอบรับคนตัวเล็กอย่างหมายมั่น ใบหน้าหวานซบลงบนแผงอกแกร่งออดอ้อนเมื่อได้ยินคำมั่นสัญญาของชายอันเป็นที่รัก

         “หลับตาลงเถิดนะคนดี” คุณเขมตระกองกอดยมตัวน้อยให้อิงหมอน ก่อนที่ร่างสูงจะตามลงไปกอดร่างเล็กแนบกาย “พี่จะนอนกอดเจ้าก่อนจากไกล”

          เพียงแค่นั้นน้ำตายมก็ไหลออกมาเมื่อได้ยินคำว่าจากไกล แม้ดวงตาน้อยจะปิดสนิท แต่คุณเขมก็ยังสัมผัสได้ถึงความอ่อนไหวในแววตาที่หลบซ่อน มือใหญ่เอื้อมไปเช็ดน้ำตาคนตัวเล็กก่อนจะค่อยๆเข้าสู่ห้วงนิทราไปด้วยกัน

        คำมั่นสัญญาของใจสองดวง จึงมีพระจันทร์ในค่ำคืนนั้นเป็นพยานในความรักของสองร่างที่กอดแนบชิดไม่ห่างกาย

   

 เวลาดำเนินจนมาถึงช่วงยามบ่ายของอีกวัน ดวงตาน้อยฝืนลืมตาขึ้นอย่างหนักหน่วง ก็พบว่าร่างสูงที่เข้ามากำลังบรรจงเช็ดตัวให้อย่างทะนุถนอมราวกับยมเป็นแก้วที่มีค่า

     “พี่เขม...” ยมพึมพำเสียงแหบแห้งเมื่อมือใหญ่อังหน้าผากมน ตอนนี้เนื้อตัวของยมรู้สึกอ่อนเปลี้ยไม่ค่อยมีแรงเท่าใดนัก

     “ยมมีไข้นิดหน่อย พี่เช็ดตัวให้แล้ว วันนี้ยมไม่ต้องออกไปทำงานหรอกนะ”

    “ไม่ได้จ้ะ ยมต้องไปช่วยป้าฟักตั้งสำรับ เดี๋ยวพี่เขมจะไม่ได้ทานข้าวหุงของยม”

    คำพูดที่แสนน่าเอ็นดูทำให้คุณเขมคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ริมฝีปากหนาเอื้อมเข้ามาจูบหน้าผากมนแผ่วเบา ในใจรู้สึกผิดที่เมื่อคืนเผลอรุนแรงกับคนตัวน้อยไปหน่อย

    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พี่ให้เพลิงไปบอกป้าฟักแล้วว่ายมไม่สบาย” คุณเขมยื่นใบหน้าไปแตะหน้าผากของเด็กน้อยอ่อนโยน “พี่เป็นห่วงยมมากกว่า พี่ยกข้าวต้มกับยาแก้ไข้มาให้ยมแล้ว เดี๋ยวพอพี่ออกไปยมค่อยทานข้าวทานยาแล้วพักผ่อนเสียนะ”

     หน้าผากของทั้งสองสัมผัสกันอยู่เนิ่นนาน  ริมฝีปากประกบกลีบปากอิ่มเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากเรือนทาสไป ยมมองตามคนรักด้วยหัวใจที่เป็นสุข เมื่อทานข้าวต้มร้อนๆเสร็จเด็กน้อยก็หยิบยาที่คนรักทำมาให้ ก่อนที่ตาน้อยๆจะค่อยๆปิดลง ในใจก็คิดว่าจะอ่านเงาะป่าที่ใกล้จะจบให้คุณเขมฟังในวันพรุ่ง

       แต่หารู้ไม่ว่า...เมื่อดวงตาหวานล้ำปิดลง จะต้องพลัดพรากจากคนรักโดยที่ยังไม่ได้ล่ำลา

       คุณเขมกลับมาที่เรือนใหญ่เพราะมั่นมาบอกว่าคุณพระวินิตราชศักดิ์ตามตัวด่วน ชายหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อพบว่าสาเหตุที่ผู้เป็นบิดาเรียกคืออะไร

      “คุณครูใหญ่” คุณเขมไหว้แขกผู้ใหญ่ของคุณพระ เมื่อครูใหญ่รับไหว้แล้วจึงพูดธุระของตนทันที

     “พ่อเขมก็มาแล้ว กระผมมีเรื่องที่จะแจ้งด่วนจะแจ้งขอรับ” ครูใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “มีอะไรหรือขอรับคุณครูใหญ่?” คุณเขมถามด้วยใจที่เริ่มวิตก

    “กระผมติดต่อโฮสต์ที่ประเทศอังกฤษไว้แล้ว เขาเป็นญาติห่างๆของกระผม คุณพระกับคุณหญิงไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะขอรับ แต่...”

   “อะไรหรือเจ้าคะคุณครูใหญ่?” คุณเขลางค์ที่เงียบมานานถามขึ้นบ้าง

   “เรือที่จะพานักเรียนทุนเดินทางไปประเทศอังกฤษจะเดินทางคืนนี้ พ่อเขมต้องเดินทางไปที่ท่าเรือเพื่อเตรียมตัวเดินทางทันที”

   “เหตุใดมันกะทันหันเช่นนี้เล่า? ไหนว่ากำหนดการคือวันพรุ่งสองยามมิใช่หรือขอรับคุณครูใหญ่?” คุณพระวินิตราชศักดิ์ถามด้วยความประหลาดใจ ที่จู่ๆกำหนดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้

    “คุณพระทราบเรื่องที่ในหลวงทรงประกาศสงครามกับเยอรมันแล้วใช่ไหมขอรับ?”

    “ขอรับ ในหลวงท่านตัดสินพระทัยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว” คุณพระตอบคุณครูใหญ่ เพราะพอจะได้ยินขุนนางจากในวังมาบ้าง ว่าก่อนหน้านั้นในหลวงตัดสินพระทัยเข้าช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรเพราะเล็งเห็นว่าหากชนะสงคราม สยามจะได้เรียกร้องสิทธิในการแก้สนธิสัญญาเบาว์ริงมาตั้งแต่รัชกาลก่อนๆ

     “วันพรุ่งพระองค์จะส่งกองกำลังทหารไปร่วมรบที่ประเทศฝรั่งเศส ในวังจึงให้มาแจ้งกะปิตันที่มีหน้าที่พานักเรียนทุนไปยังอังกฤษว่าจะต้องรีบออกเดินทางก่อนกำหนด เพื่อให้วันพรุ่งพระองค์จะได้เสด็จมาอวยชัยทหารที่ท่าเรือได้โดยสะดวก พ่อเขมเร่งเดินทางเถิด มิเช่นนั้นอาจไม่ทันเที่ยวเรือรอบนี้”



     “ยม เป็นอย่างไรบ้าง?”

      หลังจากหลับไปนานเพราะพิษไข้ เด็กน้อยก็ลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของทาสรุ่นพี่มาปลุกอยู่ข้างๆ “ป้าฟักบอกว่าเอ็งไม่สบาย พี่เลยมาดูอาการ”

    “พี่เดือน...” ร่างน้อยค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีเดือนคอยช่วย “ยมหลับไปนานแค่ไหนแล้วจ๊ะ?”

    “ก็นานจวบจนตอนนี้ก็ค่ำแล้วล่ะ พอดีคนอื่นเขาไปส่งคุณเขมกันเกือบหมด พี่ก็เลยพักมาดูอาการเอ็งสักหน่อย”

      “อะ...อะไรนะ? คุณเขม คุณเขมไปไหน?” เด็กน้อยถามด้วยน้ำเสียงที่ตกใจจนเดือนสะดุ้ง

     “พอดีที่โรงเรียนมาแจ้งว่าคุณเขมจะต้องเดินทางคืนนี้แทนน่ะสิ เอ็งน่ะไม่สบายก็นอนพักเถอะ” เดือนกล่าวแล้วทำท่าจะประคองยมลง

    “คุณเขม! ยมจะไปหาคุณเขม!”

    ร่างของเด็กน้อยวิ่งออกไปท่ามกลางความตกใจของเดือน นางทาสสาวพยายามวิ่งตามไปแต่ก็ไม่ทัน เด็กน้อยวิ่งออกจากทางหลังเรือนเพื่อไปยังท่าเรือที่ค่อนข้างไกลจากเรือนคุณพระวินิตนัก หากแต่เพราะอยากลาพี่เขม ยมจึงหาได้สนระยะทางที่ไกลไม่

    พี่เขม...จะจากยมโดยยังไม่ทันล่ำลาเชียวหรือ?

    น้ำตาของยมไหลออกมาตลอดทาง ร่างน้อยก็วิ่งสุดกำลังแม้ร่างกายอาจรับไม่ไหวด้วยยังไม่หายป่วยดี เท้าที่รีบวิ่งจนไม่มองทางเจ็บระบม แต่ยมก็ยังพยุงตัวไปยังท่าเรือจนได้แม้หนทางจะไกลสำหรับผู้ที่เดินทางเท้ามากโข

    “ลุง ลุงจ๊ะ...” ยมเรียกชายชราที่มีหน้าที่ดูแลความสะอาดของท่าเรือ “เรือที่พานักเรียนทุนไปยังอังกฤษออกไปหรือยังจ๊ะ?”

     “เพิ่งออกไปเมื่อตะกี้เองไอ้หนู เอ็งถามทำไมรึ?”

     เมื่อได้ยิน น้ำตาของยมก็แทบจะไหลออกมาอีกครั้ง หากแต่เสียงของชายชราก็พูดขึ้นมาอีกก่อนจะไปทำความสะอาดรอบๆต่อ

    “เอ็งกลับบ้านไปเถอะไอ้หนู ข้าต้องดูแลความเรียบร้อย วันพรุ่งในหลวงท่านจะมาส่งขบวนทหารไปเมืองฝรั่ง”

      “ไอ้ยม!” เสียงของมั่นกับเพลิงทำให้ยมรีบวิ่งเข้าไปทั้งคู่

   “พี่เพลิง พี่มั่น” น้ำตายมแทบจะไหลออกมาอีกครั้ง หากแต่ครานี้กลับร้องไม่ออก ด้วยมันจุกแน่นสุมในอก

    “ตอนข้ากลับเรือนพร้อมคุณพระ ข้ากับมั่นมาหาเอ็งที่เรือน เดือนมันบอกว่าเอ็งวิ่งออกไปไหนไม่รู้ แต่ข้ารู้ทันทีว่าเอ็งต้องมาที่นี่”

    “พี่เพลิง พี่มั่น...เหตุใดพี่เขมถึงเดินทางเร็วกว่ากำหนดเล่า?”

 “ก็วันพรุ่งในหลวงท่านจะเสด็จมาที่ท่าเรือแห่งนี้ คุณเขมจึงต้องเดินทางไปพร้อมนักเรียนทุนคนอื่นเร็วก่อนกำหนด” ครานี้มั่นเป็นฝ่ายตอบ

    “ก่อนไปคุณเขมได้ฝากฝังให้ข้ากับไอ้เพลิงคอยดูแลเอ็งจนกว่าคุณเขมจะกลับมา”

     เมื่อได้ฟังความจริงยมก็ปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลออกมา เด็กน้อยมองไปยังเรือเล็กที่หากพายออกไปคงจะไปอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ต่อให้พายออกไปก็ไม่อาจติดตามเรือที่คุณเขมเดินทางได้อยู่ดี

      อยากจะฝากลมกับมหาสมุทรไปบอกกับพี่เขม...

     ขอให้พี่เขมเดินทางถึงอังกฤษโดยปลอดภัยทีเถิด

      ยมจะรอ...จนกว่าพี่จะกลับมาจ้ะ



พี่เขมก็ไปแล้ว คุณโดมก็ไม่อยู่ ขอเวลาไรท์ทำใจกับดราม่าแป๊บนะ ฮืออออ

เค้าไม่ค่อยถนัดเอ็นซีอ่ะตะเอง เขียนสุดความสามารถแล้วจีๆ//คุณเขมเป็นอมตะเพราะกินเด็ก55555
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่11--
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 21-01-2018 11:48:42
เรือนร้าว11
ตอน คราวเคราะห์1
“ยม...มาช่วยพี่ตากเสื้อหน่อยสิ”

       “จ้ะพี่เดือน”

       วันเวลาผ่านไปสามปี บัดนี้ยมเติบโตเป็นหนุ่มน้อยวัยสิบห้าปี ใบหน้ายังคงหวานสังเกตได้จากดวงตากลมโตอันหวานล้ำ คิ้วโก่งคล้ายคันศร ริมฝีปากแดงเป็นกระจับ แม้ผิวกายไม่ได้ขาวเนียนเท่าเมื่อก่อนด้วยทำงานตรากตรำหากยังคงมีราศีกว่าทาสทั่วไปนัก  ร่างน้อยสูงขึ้นจากเมื่อสามปีก่อน หากแต่ก็สูงกว่าเดือนเพียงนิดเดียวเท่านั้น ทั้งยังดูบอบบางคล้ายแก้วล้ำค่าที่พร้อมจะเปราะได้ตลอดเวลาอีกต่างหาก

       หลังจากยมช่วยงานเดือนเสร็จ ก็มาช่วยทำสำรับมื้อเย็นยกไปให้คุณพระวินิตราชศักดิ์กับคุณเขลางค์บนเรือนใหญ่ ขณะที่เด็กน้อยกำลังนั่งเด็ดผักอยู่บนแคร่ อยู่ๆอีปริกก็ยกกระจาดใบกระวานเข้ามาหมายจะโยนงานเพิ่มให้เด็กน้อย

    “ยมเอ้ย! ข้าวานเอ็งเอาใบกระวานไปเด็ดหน่อย ป้าฟักจะเอาไปทำมัสมั่น” อีปริกวางกระจาดก่อนจะรีบวิ่งออกไปนอกโรงครัว

   “จะรีบไปไหนของเขานะ?” ยมพึมพำก่อนจะหยิบกระจาดมาเด็ดใบกระวาน พลางหวนให้นึกถึงคนที่อยู่ไกลแสนไกล

      สามปีแล้วสินะที่พี่เขมจากยมไปเมืองฝรั่งมังค่า

    เด็กน้อยรำพึงในใจ ใบกระวานที่เด็ดยมใคร่อยากทำข้าวหุงในพี่เขมทาน เหลืออีกหนึ่งปี หนึ่งปีที่พี่เขมจะกลับมา

     “ยม พี่ช่วยเด็ดนะ” ร่างของทาสรุ่นพี่นั่งลงข้างๆ ก่อนที่เดือนจะช่วยยมเด็ดใบกระวานอย่างคล่องแคล่ว

     ทุกชีวิตที่เรือนของคุณพระวินิตราชศักดิ์ยังคงดำเนินเหมือนทุกวันที่ผ่านมา หากแต่อาจจะมีบ่าวไพร่บางคนเริ่มเก็บอัฐแล้วออกไปทำไร่ทำนาเองบ้างก็มี ส่วนใครที่เป็นคนเก่าคนแก่ก็ยังคงตั้งใจทำงานตอบแทนที่คุณพระเมตตาให้ที่พักอาศัยต่อไป

      หลังจากยกสำรับขึ้นเรือนใหญ่เรียบร้อย ยมก็กลับมาทานข้าวที่โรงครัวและช่วยเก็บล้างตามปกติพร้อมกับบ่าวทาสคนอื่นๆ แล้วจึงไปทำงานตามหน้าที่ประจำของตน นั่นก็คือดูแลสวนของทั้งสามเรือน

    ต้นมะลิที่เรือนของคุณเขมยังคงออกดอกชูช่อแข่งขันเมื่อได้รับสายธารที่ยมเป็นคนวักจากขัน จนทั้งลำต้นได้รับความชุ่มชื่น ยมยังคงทำหน้าที่เก็บดอกมะลิไปร้อยมาลัยถวายพระที่เรือนของคุณเขมเป็นประจำ วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อยมตกแต่งพวงมาลัยดอกมะลิเสร็จจึงจะขึ้นเรือนของคุณเขมเพื่อนำพวงมาลัยไปถวายพระเช่นเคย

     “ไอ้ยม!”

     “คุณเขลางค์...”

    ผั๊วะ!!!

    ร่างของยมนอนลงไปกับพื้นหญ้าเพราะคุณเขลางค์ตวัดมือตบลงบนใบหน้าหวานเต็มแรง ยมเงยหน้ามองคุณเขลางค์อย่างไม่เข้าใจว่าตนทำอะไรผิด

    “นี่เอ็งจะขึ้นไปขโมยของบนเรือนลูกข้ารึ? เอ็งทำมากี่ครั้งแล้วไอ้ยม!?” คุณหญิงชี้หน้ายมกราดเกรี้ยว

   “มิใช่นะขอรับ...” ยมชูมาลัยดอกมะลิให้คุณหญิงพินิจ  “บ่าวเพียงแค่จะนำมาลัยดอกมะลิที่ร้อยเองไปถวายพระที่ห้องพระตามที่คุณเขมสั่งก่อนไปอังกฤษเท่านั้น”

   “ลูกข้าน่ะรึ!? เอ็งโกหก ลูกข้าเนี่ยนะจะใช้เอ็งร้อยมาลัยถวายพระ หึ!” คุณเขลางค์กระชากมาลัยงามเต็มแรงแม้ยมจะพยายามยื้อไว้ก็ไม่อาจสู้แรงได้ ก่อนจะส่งให้คนสนิทที่ประกบอยู่ด้านหลัง

   “อีเฟื้อง...”

   “เจ้าค่ะ” ทาสร่างท้วมรับมาลัยมาอย่างรู้งาน ก่อนจะปามันลงพื้นแล้วยกตีนเหยียบลงไปเต็มแรง

  “พี่เฟื้อง อย่านะ...ยมขอร้องล่ะ” ร่างน้อยกระเสือกกระสนหมายจะเข้าไปแย่งมาลัยกลับมา หากตีนของอีเฟื้องขยับไปอีกทางแล้วย่ำมาลัยดอกมะลิจนมันไม่เหลือความงามอีกต่อไป

   “จำไว้นะไอ้ยม หากข้าเห็นเอ็งกำลังขึ้นเรือนลูกข้าอีก เอ็งอาจไม่ต่างอะไรจากมาลัยใต้ตีนอีเฟื้องนี่!”

   เมื่อกล่าวจบคนใจร้ายก็เดินกลับออกไป อีเฟื้องยิ้มเยาะแทนนายหญิงก่อนจะใช้ตีนเขี่ยมาลัยที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเศษฝุ่นดำเปื้อนความขาวบริสุทธิ์ของดอกมะลิแล้วตามคุณเขลางค์ออกไป

   “ฮึก...”

    ร่างน้อยคลานเข้าไปประคองมาลัยดอกมะลิที่เปื้อนฝุ่นด้วยความเสียใจ ไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาหวานล้ำ มีเพียงเสียงสะอื้นเล็กน้อยที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอ

    “พี่เขม ยมขอโทษที่ต่อไปยมคงร้อยมาลัยตามที่พี่ชอบกำชับมิได้แล้ว”

   “ไอ้ยม...เกิดอะไรขึ้น!?”

    เพลิงกับมั่นที่เพิ่งกลับมาจากดูแลสวนวิ่งเข้ามาดูเด็กหนุ่มที่นั่งกอดพวงมาลัยไว้แนบอก มั่นคว้าร่างของยมเข้ามาประคองไว้ โดยที่เพลิงได้แต่มองตามคุณเขลางค์ด้วยสายตาที่ระอาในความโหดร้ายของนายหญิง ภาพของยมที่กอดมาลัยดอกมะลิเปื้อนดินตรงหน้าทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

     “คุณเขลางค์ทำเอ็งอีกแล้วใช่ไหมวะ?”

      ใช่ว่าทั้งสองจะเป็นคนสนิทของคุณเขม...จะไม่รับรู้เรื่องนี้

      เรื่องความอำมหิตที่มีไม่กี่คนที่รู้

     แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องที่...คุณหญิงวินิตราชศักดิ์เกลียดยมมากที่สุดในบรรดาบ่าวไพร่

     หากเพียงแต่ถ้าเรื่องของคุณเขลางค์ถึงหูคุณเขม

    ชีวิตของทั้งสองก็อาจไม่ได้อยู่รับใช้บุตรชายของคุณพระวินิตต่อไปเช่นกัน



  สองวันต่อมา...คุณพระวินิตราชศักดิ์ต้องตามข้าราชการขุนนางอื่นไปยังพระนครศรีอยุธยาเป็นเวลาห้าวัน สบโอกาสคุณเขลางค์ที่มิได้ลงหวายทรมานพวกทาสมาเกือบเดือน ครั้นเมื่อถึงยามเย็น อีเฟื้องก็ไปลากตัวทาสหนุ่มสาวนั่งจับกลุ่มใต้ถุนเรือนของนายหญิงเหมือนอย่างที่ผ่านมา

    “เอ...เริ่มที่ใครก่อนดีน้า...”

    นิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะที่มุมปาก คุณเขลางค์พินิจดูเหล่าทาสที่นั่งจับกลุ่มกันด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงหวานหากแต่มันไม่ต่างจากพญามัจจุราชกำลังจะลากตัวลงนรก จะมีเพียงเดือนกับยมเท่านั้นกระมังที่ไม่มีสีหน้าตื่นกลัวแต่อย่างใด สายตาของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์มองไปยังเดือนเป็นคนแรก หากแต่สักพักกลับเบือนไปยังนางทาสที่นั่งร้องไห้อยู่ใกล้ๆแทน

    “อีเฟื้อง!ลากอีแดงออกมา”

    “เจ้าค่ะ”

    “คุณเขลางค์อย่านะเจ้าคะ อย่าลงหวายบ่าวเลยบ่าวกลัว!” นางทาสวัยรุ่นราวคราวเดียวกับยมร้องไห้หนักกว่าเดิมด้วยความหวาดกลัว แม้จะเคยถูกลงหวายมาครั้งสองครั้งแล้ว แต่แดงก็หาได้ชินชาไม่

    เพี๊ยะ...เพี๊ยะ!!!

    “โอ๊ยยย!! ฮือ บ่าวขอร้องเจ้าค่ะบ่าวขอร้อง ฮือ”

    เสียงนางทาสร้องไห้ดังระงมขอความเมตตากลับทำให้หญิงอำมหิตกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจราวกับกำลังชมการแสดงละครอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งแดงสลบคาหวายจึงยัดยากับอัฐปิดปากแล้วใช้ทาสผู้ชายตัวใหญ่แบกร่างนางทาสผู้โชคร้ายออกไป

      “ไอ้ยม...ออกมา...”

     “อย่าขอรับ...” เพลิงให้มั่นรั้งตัวยมไว้ เขาอยากปกป้องคนรักของคุณเขมให้ถึงที่สุด “เอาบ่าวไปลงหวายแทนก็ได้”

      “ไม่ใช่เรื่องของเอ็งไอ้เพลิงไอ้มั่น!” คุณเขลางค์ชี้นิ้วใส่คนสนิทของบุตรชาย “อย่าคิดว่าเป็นคนสนิทของลูกข้าแล้วจะขออะไรก็ได้”

      “ไม่เป็นไรจ้ะพี่มั่นพี่เพลิง” เด็กหนุ่มแกะมือของมั่นออก “ยมชินกับรอยหวายแล้ว”

   ประกาศิตจากคุณหญิงวินิตราชศักดิ์ทำให้ยมต้องเดินออกมาจากกลุ่มทาสที่นั่งเกาะกลุ่มร้องไห้ ร่างเล็กนั่งหมอบให้อีเฟื้องมัดข้อมือกอดเสาใต้ถุนเรือนอย่างเคยชิน ก่อนที่นางทาสร่างท้วมจะส่งหวายให้ผู้เป็นนายหญิง

    “มึงนี่มันยังอวดดีไม่เปลี่ยน...” คุณเขลางค์แตะหวายลงบนกลางแผ่นหลังของยมเบาๆ “กูเฆี่ยนมึงมาตั้งแต่อายุเก้าขวบจนมึงอายุสิบห้า หากไม่นับครั้งแรก กูยังไม่เคยเห็นน้ำตาของมึงอีกเลย”

     “...” แววตาของยมจงใจจ้องหญิงอำมหิตอย่างไม่เกรงกลัว จนใบหน้าสวยงามของคุณเขลางค์เกรี้ยวกราดที่ไม่สามารถทำให้ยมกลัวตนได้เลย

   “หึ...นี่สำหรับมึงที่กล้าขึ้นไปบนเรือนพ่อเขม”

    เพี๊ยะ!!!

   “อึก...”

    เสียงหวายกระทบกับแผ่นหลังรุนแรงตั้งแต่คราแรกทำเอายมจุกได้เหมือนกัน หากแต่ครั้งต่อไปเด็กหนุ่มเริ่มจะชินชาจนกลายเป็นความนิ่งคล้ายไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีก ยิ่งเป็นเช่นนั้นคุณเขลางค์ก็ยิ่งลงหวายไม่ยั้งมือ ตอนนี้เสื้อผ้าของยมขาดวิ่นอีกทั้งยังมีเลือดซึมเต็มแผ่นหลังน่าสงสาร เพลิงกับมั่นก้มหน้าหลบซ่อนความรู้สึกผิดที่ไม่อาจปกป้องยมได้จากมารดาของคุณเขมได้เลยสักครั้ง ขนาดเดือนที่ในคราแรกไม่มีน้ำตาสักหยดตอนนี้เริ่มจะร้องไห้ด้วยสงสารยมจับใจนัก

      “คุณเขลางค์ พอเถิดเจ้าค่ะบ่าวขอร้อง...มาลงหวายบ่าวแทนก็ได้”

     เสียงร้องไห้ของเดือนทำให้มือที่กำหวายแน่นนั้นหยุดชะงัก ดวงตาคมกริบตวัดไปมองหน้าเดือนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

     “ฮึ่ย!! อีเฟื้อง มาปล่อยมัน!!”

   คุณเขลางค์กระแทกหวายลงกับพื้นเต็มแรงก่อนจะเดินออกไปที่สวนเพื่อระงับอารมณ์โกรธที่ยังไม่คลาย อีเฟื้องจึงมาปล่อยเด็กหนุ่มก่อนจะตามนายหญิงออกไป

     “ยม...เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากใช่ไหม?” เดือนคลานเข้ามาประคองเด็กหนุ่มที่นอนหายใจรวยริน หากยมชินแล้วแม้คุณเขลางค์อาจจะเพิ่มแรงตามอารมณ์ที่โกรธจัดก็ตาม

    “ยม...ยมไหวจ้ะ พี่เดือนไปพักเถอะนะ ยมไหวจริงๆ”

     “ไม่เป็นไร มาเถอะ...พี่ช่วยพยุงนะ” เดือนพูดพร้อมกับช่วยประคองยมลุกขึ้นยืนหมายจะพากลับไปพัก โดยมีเพลิงกับมั่นมาช่วยอีกแรง

       “อีเดือน!คุณเขลางค์ให้มาตาม” อีเฟื้องเดินมากระชากแขนของนางทาสสาว แต่ยมพยายามรั้งไว้สุดกำลังด้วยคิดว่าเดือนอาจถูกพาไปลงหวายอีกเพราะปกป้องตน

       “ไม่! แค่ยมคงเดียวยังไม่สาแก่ใจอีกรึ? อย่าพาพี่เดือนไปนะ...”

       “เจ็บแล้วยังไม่เจียมสังขารนะไอ้ยม!”

      ร่างของยมที่ถูกเหวี่ยงมีเพลิงมารับไว้ได้ทัน เด็กน้อยร้องเรียกทาสสาวที่ถูกอีเฟื้องกระชากให้ตามออกไป

      “พี่เดือน...” ดวงตาหวานล้ำเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา “พี่เพลิงพี่มั่น คุณเขลางค์จะทำอะไรพี่เดือนไหม?”

     “ข้าไม่รู้ยม...” เพลิงส่ายหน้า “ข้าว่าตอนนี้เอ็งห่วงตัวเองก่อนเถอะว่ะ ไปทำแผลที่เรือนคุณเขมก่อน ไป...ไอ้มั่น”

       มั่นพยักหน้ารับ ก่อนที่จะช่วยพยุงร่างเล็กที่เจ็บปวดจากบาดแผลไปยังเรือนของคุณเขมทันที แม้ยมจะเป็นห่วงเดือนแค่ไหนก็จำใจต้องตัดใจเพราะตนเองนั้นก็เจ็บเหลือเกิน



     “โธ่เว้ย!! เสียอีกแล้วหรือวะเนี่ย?!”

     ไอ้เข้มเตะกรวดที่เรียงรายตามทางด้วยอารมณ์หงุดหงิด อุตส่าห์แอบอาศัยจังหวะช่วงที่คุณพระไม่อยู่ออกไปพนันไก่ชนตั้งแต่เย็นหวังจะได้อัฐกลับมาสักสามสี่ชั่ง แต่ไม่เลย...นอกจากจะไม่ได้กลับมาสักแดงแล้วยังต้องเสียอัฐในฐานะที่แพ้พนันตั้งหกชั่ง ทุกวันนี้อัฐที่ออมเพื่อจะใช้ออกไปตั้งต้นยังมีแค่น้อยนิด นับประสาอะไรกับจะเอาเงินไปคืนให้เจ้าของบ่อนเล่า

     “นั่นเรือนไอ้ยมนี่หว่า...”

     ไหนๆก็เดินผ่านเรือนของคนที่หมันไส้มานานแล้ว ยิ่งเมื่อเห็นว่าตอนนี้เจ้าของเรือนทาสหลังเล็กไม่อยู่ก็ได้ใจ  ไอ้เข้มจึงค่อยๆย่องเข้าไปหมายจะขโมยอัฐ แล้วเริ่มค้นห้องอย่างแนบเนียน

     “หรือว่ามันซ่อนไว้ใต้หมอนวะ?”

    แต่พอเปิดหมอนขึ้นมาก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่า หาตรงอื่นก็หาไม่เจอจนไอ้เข้มเริ่มหงุดหงิด

   “โธ่เว้ย! มันซ่อนอัฐไว้ไหนวะ?!”

   ไอ้เข้มถีบกองเสื้อผ้าที่พับไว้บนหัวนอนด้วยความโมโหที่ไม่สามารถหาอัฐพบ แต่แล้วมันก็ใจเย็นลงเมื่อเห็นว่ากองผ้าที่ระเนระนาดนั้นมีกล่องใบไม่เล็กไม่ใหญ่ซุกซ่อนไว้อยู่

    “หึๆ เสร็จกูล่ะ”

    ไอ้เข้มนั่งยองๆก่อนจะหยิบกล่องขึ้นมาเปิด ก็พบว่าด้านในมีแหวนทองลวดลายนพรัตน์ดูเก่าแก่กับหนังสืออีกเล่มหนึ่งซึ่งไอ้เข้มอ่านตัวหนังสือไม่ออก หากตอนนี้มันไม่ได้สนใจ แววตาของมันละโมบเมื่อเจอของมีค่าอย่างแหวนนพรัตน์มากกว่า

    “ที่แท้ไอ้ยมมันมีของดีนี่เอง ท่าทางวงนี้น่าจะขายได้หลายชั่ง”

     มันรีบฉกชิงแหวนเหน็บไว้ที่ชายพกทันที ก่อนจะเอาวางกองผ้าแล้วซุกกล่องยัดไว้ดังเดิม ไอ้เข้มแง้มประตูออกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้วจึงค่อยๆวิ่งออกไปทันที โดยไม่รู้ตัวเลยว่าถูกสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ไกลๆ





  ต้นแห้วหมูกับใบฝรั่งจากเรือนของคุณเขมทำให้เด็กน้อยรู้สึกดีขึ้นเสมอที่ได้ประคบ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดผ่านมานอกจากมั่นกับเพลิงที่ทำลูกประคบสมุนไพรให้ยมคอยประคบรอยแผล จนกระทั่งเลือดแข็งตัวและไม่ค่อยแสบเท่าคราแรกนัก ใบหน้าหวานสัมผัสกับลูกประคบแผ่วเบาพลางคิดถึงเจ้าของเรือนที่ยังไม่กลับมาเสียที ดวงตาหวานล้ำก็จับจ้องไปยังพระจันทร์คล้ายจะฝากข้อความไปถึงคนที่อยู่แดนไกล

      พี่เขมจ๋า...ต่อให้ยมต้องถูกทรมานจนตาย ยมก็จะรอ

      “เป็นอย่างไรบ้างวะยม? ดีขึ้นหรือยัง?” เพลิงรับประคบมาจากยมแล้วไปตั้งไว้ที่เดิม

      “ดีขึ้นหน่อยแล้วจ้ะพี่ ขอบใจนะจ๊ะที่อาสาตำยาประคบให้”

     “ข้าก็รู้สึกผิดนี่หว่า นี่ถ้าคุณเขมรู้ว่าข้าไม่อาจปกป้องเอ็งได้ ข้าคงไม่แคล้วถูกโบย”

      “ยมเข้าใจพี่เพลิงจ้ะ...” ยมยิ้มรับน้อยๆเพราะเพลิงกับมั่นแม้จะเป็นคนสนิทของคุณเขม แต่อย่างไรฐานันดรก็คือบ่าวไพร่ ที่ไม่อาจขัดความต้องการของผู้เป็นนายได้ แม้การกระทำของคุณเขลางค์จะโหดร้ายผิดมนุษย์มนานัก

      “ยมขอกลับเรือนนอนก่อนนะจ๊ะ”

     “เอ็งไหวรึ? ให้ข้าไปส่งเถอะ” เพลิงอาสา หากแต่เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฎิเสธ

      “ยมชินแล้วล่ะจ้ะ พี่เพลิงพี่มั่นพักเถอะนะ ยมเดินกลับได้ ”

     “ประเดี๋ยวข้าจะต้มยาแก้ไข้เอาไปให้นะ จะได้ดักพิษไข้ไว้ก่อน เอ็งโดนไปไม่น้อยเลยนะไอ้ยม” มั่นที่กำลังนั่งปรุงยาอยู่ใกล้ๆพูดขึ้น

     “จ้ะ”

     ยมรับคำก่อนจะเดินเพื่อกลับเรือนนอน แต่ก่อนจะถึงเรือนของตนนั้นต้องผ่านเรือนของเดือนที่นอนคนเดียวเช่นกัน ความจริงคราแรกเดือนก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพังเหมือนเด็กหนุ่มหรอก หากแต่ตั้งแต่ป้าแรมแม่ของเดือนเสียเดือนจึงอยู่คนเดียวตลอดมา

      “เรือนของพี่เดือนยังเปิดไฟอยู่นี่” ยมพึมพำ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้หมายจะเรียกทาสรุ่นพี่ด้วยเป็นห่วงว่าถูกคุณเขลางค์ทำร้ายหรือไม่

       “อื้อ...อย่า อย่าเจ้าค่ะ อ๊า!!”

        !!!

       ยมเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงครวญครางของเดือนลอดออกมา มือที่กำลังจะเคาะบานประตูไม้เก็บแนบข้างลำตัวแทบไม่ทัน แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับเสียงของต้นเหตุด้านใน

      “อ่า อีเดือน เอ็งอย่าเกร็งสิ”

     เจ้าของเสียงทรงอำนาจไม่ต่างกับพญามัจจุราช...ที่เพิ่งสั่งทรมานบ่าวไพร่เมื่อหัวค่ำ

      พี่เดือน กับ...

     คุณเขลางค์!!!

    เด็กน้อยตัดสินใจทำใจกล้าแง้มประตูเล็กน้อย ก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ มือเล็กยกขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงตกใจ

    “อ๊ะ อ๊า!!”

     ภาพตรงหน้า...คือร่างเปลือยเปล่าของเดือนร้องครางอยู่ใต้ร่างของคุณเขลางค์ซึ่งยังคงสวมเสื้อผ้าครบ

    “ฮึก...”

    ยมยกมือปิดปากก่อนจะรีบปิดประตูทันที แสดงว่าที่ผ่านมารอยช้ำบนผิวหน้ากับตามลำตัวของเดือน ก็เป็นฝีมือคุณเขลางค์น่ะสิ!!

    เด็กหนุ่มเดินก้าวถอยหลังให้เงียบที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียง

   ต้องหนี...จะให้คุณเขลางค์รู้ไม่ได้ว่าตนอยู่นี่

    แต่แล้ว...

     “อ๊ะ...อ๊า!!!”

    เสียงร้องของเดือนทำให้ร่างเล็กที่กำลังเดินหนีสะดุ้งตกใจจนเผลอสะดุดล้มกับบันไดกอไผ่ขนาดเตี้ย แผ่นหลังที่เจ็บกระแทกเข้ากับพื้นดินเต็มๆ

     โครม...

     ยังไม่ทันที่ยมจะได้ร้องด้วยความเจ็บทั้งเท้าทั้งแผ่นหลัง เสียงเปิดประตูก็เปิดออกดังด้วยแรงโทสะ

    “ไอ้ยม!!” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ยังไม่ทันที่ร่างของคุณเขลางค์จะเข้ามาถึง เดือนที่ตอนนี้พันกายด้วยผ้าห่มผืนยาวก็มารั้งผู้เป็นนายหญิงไว้

     “คุณเขลางค์เจ้าขา เข้าไปต่อกับเดือนด้านในเถิดเจ้าค่ะ” เสียงหวานแสร้งทำออดอ้อน หากแต่สายตาจ้องไปยังเด็กน้อยเป็นสัญญาณบอกให้รีบหนีไป ยมที่เข้าใจในทันทีจึงรีบลุกหนีอย่างไม่ลังเล

   “คุณหญิงเข้าไปต่อกับเดือนเถอะนะเจ้าคะ...โอ๊ย!!” ร่างของเดือนล้มคะมำเพราะถูกตบเข้าที่ใบหน้าเต็มแรง คุณเขลางค์ตวัดมองเด็กหนุ่มที่วิ่งหนีไปได้ไกลพอสมควรแล้ว

     “ไอ้ยม...กูคงต้องจัดการมึงขั้นเด็ดขาดเสียที!”


**เม้นให้กำลังใจหนูหน่อยนะค้าาา
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่12--
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 22-01-2018 13:23:52
เรือนร้าว12
ตอน คราวเคราะห์2
เมื่อออกจากเรือนของยมไปได้สักพัก ไอ้เข้มก็มองซ้ายขวาเพื่อดูว่ารอบๆมีคนผ่านมาหรือไม่อย่างหวาดระแวง ครั้นเห็นว่าไม่มีใครก็ค่อยเดินเร็วเพื่อกลับเรือนของตัวเอง

     “ไอ้เข้ม!!”

      เสียงอีเฟื้องดังขึ้นทำให้เข้มชะงัก มันตบแหวนที่ซ่อนไว้ในชายพกแล้วตั้งท่าจะเดินหนี แต่ก็ไม่พ้นนางทาสร่างท้วมที่รีบมายืนดักหน้าไว้อย่างรวดเร็ว

     “เฮ้ย! โห่พี่เฟื้อง ฉันตกใจหมด”

    “เอ็งจะไปไหนไอ้เข้ม? ท่าทางเอ็งมีพิรุธ” อีเฟื้องถามเสียงแข็งอย่างจับผิด

   “ฉันก็กลับเรือนฉันน่ะสิ ง่วงจะตายอยู่แล้ว” เข้มแสร้งอ้าปากหาววอดแล้วจะเลี่ยงออกไป แต่อีเฟื้องกางแขนขวาป้องกันไม่ให้หนี

   “ตะกี้ข้าเห็นนะ ว่าเอ็งเข้าไปขโมยของในเรือนของไอ้ยม เอ็งเข้าไปทำไมห้ะ?”

    “มีอะไรกัน!?”

    เสียงของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์ดังขึ้น ทำให้ไอ้เข้มกับอีเฟื้องต้องนั่งหมอบลง ใบหน้าเกรี้ยวกราดของคุณเขลางค์หันไปหาบ่าวคนสนิทเพื่อให้ตอบคำถาม

     “บ่าวเห็นไอ้เข้มเข้าไปในเรือนของไอ้ยม ท่าทางมันมีพิรุธเหมือนไปขโมยของมาเลยเจ้าค่ะ”

    “จริงรึไอ้เข้ม...”ใบหน้างดงามตวัดมองบ่าวร่างยักษ์เกินวัย “เอ็งไปขโมยอะไร? เอามาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”

    “เอ่อ...” ไอ้เข้มเลิ่กลั่ก จนอีเฟื้องที่นั่งหมอบอยู่ข้างๆต้องดุ

   “เอ็งจะให้คุณเขลางค์ดูดีๆหรืออยากถูกลงหวายห้ะ?!”

  “ขอรับๆ” ด้วยความกลัวหวายมากกว่าจึงยอมหยิบแหวนนพรัตน์ที่ซ่อนเอาไว้ยื่นให้คุณเขลางค์ “บ่าวติดหนี้พนันแต่ไม่มีอัฐไปใช้ คราแรกหมายจะขโมยแค่อัฐ แต่บ่าวไปพบแหวนทองที่มันซ่อนไว้ เห็นว่าน่าจะขายได้หลายอัฐเลยขโมยมาแทนขอรับ”

     คุณหญิงรับแหวนนพรัตน์จากไอ้เข้มมาพินิจ เพียงแวบเดียวก็จำได้ทันทีว่าเป็นแหวนนพรัตน์ที่คุณพระวินิตราชศักดิ์ซื้อมามอบให้คุณเขมในวันที่มีอายุครบสิบขวบปี

      ‘ไอ้ยม...มึงกล้าขึ้นไปขโมยของๆลูกกูเจียวรึ!!’

     แต่ในที่สุด วันที่ไอ้ยมทำตัวของมันเองก็มาถึง!

    “ไอ้เข้ม...เอ็งไปพบแหวนวงนี้ในเรือนของไอ้ยมแน่ใช่ไหม?” คุณเขลางค์ถามหลังจากระงับโทสะพร้อมกับจ้องแหวนในมือ

    “ขอรับ คุณหญิงอย่าสั่งโบยบ่าวนะขอรับ หากบ่าวไม่เอาอัฐไปใช้หนี้พวกมันเอาบ่าวตายแน่ขอรับ...” ไอ้เข้มวิงวอนพร้อมกับก้มลงกราบเสียงสั่น คุณเขลางค์กระตุกมุมปากอย่างสมเพชก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

    “หึ...หากเอ็งทำงานให้ข้า ข้าจะบำเหน็จเอ็งด้วยอัฐที่มากพอที่จะใช้หนี้ เอ็งสนหรือไม่เล่าไอ้เข้ม?”

    “สนขอรับ ขอเพียงคุณเขลางค์สั่งบ่าวมาเท่านั้น” ทาสร่างยักษ์ตอบนายหญิงด้วยความดีอกดีใจที่นอกจากจะไม่ถูกลงหวายแล้ว ยังได้อัฐมาใช้หนี้อีกด้วย

   คุณเขลางค์หันหลังให้ทาสทั้งสองแล้วนำแหวนขึ้นมาพินิจอีกครั้ง พลางนึกถึงไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างยมที่บังอาจทำให้ตนโกรธถึงขีดสุดแล้ว

      “มึงบังอาจขโมยแหวนลูกกู กูไม่เอามึงไว้แน่ไอ้ยม!”



 ร่างน้อยกลับเข้ามาหลับนอนในเรือนด้วยความเหน็ดเหนื่อย ดวงตาปิดสนิทไม่รับรู้สิ่งใดอีกด้วยล้าเต็มทีด้วยพิษไข้ หากริมฝีปากแดงนั้นยกมุมปากด้วยใจเป็นสุข  ดูแล้วเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่กำลังหลับฝันหวาน

    หารู้ไม่ว่าฝันร้ายที่ไม่อาจลบเลือนกำลังจะกรายเข้ามา!

    ไอ้เข้มค่อยๆเปิดประตูเบาๆ ในมือถือเชือกกับผ้าชุบยาสลบที่คุณเขลางค์มอบให้เข้ามาด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้ผิดพลาดซ้ำสอง ร่างยักษ์นั่งยองเบาๆข้างๆเด็กน้อยที่ยังคงหลับฝันดี ก่อนที่มือใหญ่เข้าใช้ผ้าอุดปากยมแน่นเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกไป

    “อื้อออ!!!”

  ดวงตาน้อยเบิกโพลงเมื่อรับรู้ได้ถึงอันตราย หากแต่บาดแผลที่เพิ่งถูกโบยทำให้ยมมีไข้จึงไร้กำลังที่จะขัดขืน ก่อนจะสลบไปในที่สุด

    “เสร็จกู”

    เข้มกระตุกยิ้มก่อนจะใช้เชือกมัดมือมัดเท้าให้แน่น ก่อนจะแบกร่างของยมขึ้นพาดบ่าก่อนจะพาออกไปนอกเรือน โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามั่นที่กำลังจะมาหายมเพื่อเอายาแก้ไข้มาให้ได้เห็นเหตุการณ์เข้าทั้งหมด

     “ไอ้เข้ม! นั่นเอ็งจะเอายมไปไหน!?”

     มั่นถลาเข้าไปกระชากร่างของไอ้เข้มทันทีเพื่อจะแย่งตัวของยมมา ทาสทั้งสองคนยื้อยุดกันไปมาอยู่นาน แต่ด้วยความที่เข้มนั้นตัวใหญ่กว่ามากโข กำปั้นหนักมันชกหน้าของมั่นทีเดียวก็ล้มแน่นิ่งไป

    “อั๊ก!”

     “เกือบไปแล้วไหมล่ะ” ไอ้เข้มพึมพำ ก่อนจะแบกร่างของยมเข้าไปยังห้องเก็บของด้านหลังเรือนของคุณเขลางค์ตามคำสั่งของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์

      “มาแล้วรึ?” ร่างระหงที่นั่งอยู่บนแท่นเก่าแสยะยิ้ม ในมือกำแหวนนพรัตน์แน่น ก่อนจะพยักหน้าให้อีเฟื้องสาดน้ำใส่ร่างน้อยที่ไอ้เข้มวางกับพื้น

     “แค่กๆ”

      ยมสำลักน้ำที่อีเฟื้องสาดเข้าใบหน้าเต็มๆ สมองประมวลจำได้ว่าตอนที่ตนหลับก็ถูกไอ้เข้มเอาบางอย่างมาอุดปากแล้วจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีก ดวงตาเบิกกว้างเมื่อพบว่าตอนนี้ตนมาอยู่ในที่ๆหนึ่งที่ค่อนข้างเหม็นอับและร้างจากการที่ไม่ได้ทำความสะอาดมานาน อีกทั้งเมื่อขยับก็พบว่าถูกพันธนาการที่ข้อมือและเท้า โดยมีหญิงอำมหิตนั่งอยู่เบื้องหน้าไม่ต่างจากพญามัจจุราชกำลังชูบางอย่างขึ้นมา

      แหวน...แหวนของพี่เขมที่มอบให้เมื่อหลายปีก่อน!!

     มาอยู่ที่คุณเขลางค์ได้อย่างไร!?

      “นี่มันอะไรกันขอรับคุณเขลางค์!”

         ผั๊วะ!!!

    ใบหน้าของยมหันไปตามแรงตบ ก่อนที่ใบหน้าของยมจะเงยขึ้นมาเพราะคุณเขลางค์กระชากเส้นผมอย่างรุนแรง

      “มึงกล้าขโมยแหวนของพ่อเขมรึไอ้ยม!? ห้ะ!”

     ผั๊วะ! ผั๊วะ!!!

     “ว่ายังไง ตอบกูมา!!!” คุณเขลางค์ถามน้ำเสียงกระแทกใส่หน้าเด็กหนุ่ม

    “บ่าวตอบไม่ได้ขอรับ”

     ยมจงใจปดนิรยบาลตรงหน้า อย่างไรยมก็จะให้คุณเขมมาเดือดร้อนกับเขาไม่ได้  เพราะหากคุณเขลางค์ล่วงรู้ความสัมพันธ์ของตนกับคุณเขม เรื่องนี้จะต้องถือหูคุณพระอย่างแน่นอน แล้วคุณเขมอาจไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ที่เคารพนับถืออีก

     ต่อให้ต้องถูกตัดลิ้น...ก็จะไม่มีวันพูดออกไป!

     “นี่มึงจงใจกวนประสาทกูรึ ห้ะ!! อีเฟื้อง!” ร่างระหงกระแทกร่างเล็กลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง ตอนนี้มุมปากของยมเต็มไปด้วยรอยเลือด อีเฟื้องส่งหวายให้ผู้เป็นนายอย่างรู้หน้าที่

      เพี๊ยะ!!!

     “นี่สำหรับที่มึงบังอาจขโมยแหวนของพ่อเขม”

    คุณเขลางค์ลงหวายอย่างไม่ยั้งมือ รอยแผลที่ยังไม่ทันจะหายถูกซ้ำลงไปอย่างรุนแรง ยมกัดปากจนห้อเลือดด้วยความเจ็บปวดเหลือคณา เลือดซึมทะลุเสื้อสีขาวเต็มแผ่นหลังน่าสยดสยอง ขณะที่ผู้ลงทัณฑ์กลับหัวเราะอย่างสาแก่ใจ

    เพี๊ยะ...เพี๊ยะ!!

     “อ๊ากกกก!!!” ยมร้องลั่นเมื่อคุณเขลางค์ค่อยๆรดน้ำเกลือลงไปซ้ำบนรอยแผลสด แต่นั่นยังไม่สาแก่ใจเท่ากับ...

    “อีเฟื้อง มึงไปเอาของมา”

    ร่างระหงของคุณเขลางค์ทิ้งหวายลงอย่างรุนแรงก่อนจะยืนหอบด้วยความเหนื่อย ยมที่ตอนนี้ไม่มีกำลังจะขัดขืนได้เลยเบิกตากว้างเมื่ออีเฟื้องส่งไม้คีบถ่านไฟที่ร้อนระอุให้คุณเขลางค์ ก่อนจะเข้ามากระชากเส้นผมให้เด็กหนุ่มสบตากับผู้เป็นนายหญิง ส่วนไอ้เข้มเอาผ้าอุดปากเพื่อกลั้นเสียงของเด็กหนุ่มไม่ให้เล็ดลอดออกไป

     “อื้อ...อื้อ...”

     “และนี่...สำหรับที่มึงล่วงรู้ความลับของกู”

     ฉ่า...   

     ฉ่า...!!!!

    “อื้อออออออออออออ!!!!”

    น้ำตาของยมแทบจะหลั่งออกมาเป็นสายเลือดเมื่อถูกถ่านสีดำร้อนระอุนาบบนใบหน้าอย่างไร้ความปรานี ร่างเล็กดิ้นทุรนทุรายคล้ายตกอยู่ในกองไฟเอาชีวิตรอด แม้นจะเจ็บปวดเพียงใดก็ไม่อาจเรียกให้ผู้ใดมาช่วยได้

     “ฮึก...อื้อ อื้อออออ อืออ...” น้ำตาจากดวงตาที่ปิดสนิทหลั่งรดความเจ็บปวดและความร้อนแสบสันหากแต่คุณเขลางค์กลับมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มราวกับเป็นประติมากรรมชิ้นเอก

     “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

     หญิงอำมหิตหัวเราะลั่นอย่างคนโรคจิต แววตาโหดร้ายจ้องไปที่ใบหน้าหวานของยมที่ตอนนี้มีบาดแผลสดน่าสยดสยองด้วยความสาแก่ใจยิ่ง

     “แผลบนใบหน้าของมึง...” คุณเขลางค์โยนไม้คีบถ่านทิ้งไป ก่อนจะเข้ามากระชากเส้นผมเด็กหนุ่มอย่างรุนแรง “มันจะเหมือนกับรอยแผลที่อยู่ในใจกู!!”

      “คุณเขลางค์จะให้บ่าวทำอย่างไรต่อเจ้าคะ?” เฟื้องถามขึ้น

     “ไม่ต้องแล้วอีเฟื้อง แต่เอ็งไอ้เข้ม ข้าอยากเห็นเอ็งกระทืบไอ้ยมเป็นขวัญตานัก หึๆๆ”

    “ตามที่คุณเขลางค์บัญชาขอรับ” ไอ้เข้มแสยะยิ้ม ก่อนจะกระชากเส้นผมของยมแล้วลงมือเตะต่อยอย่างไม่ปรานี

     “ฮึก อื้อๆๆๆ”

     คุณเขลางค์นั่งมองภาพตรงหน้าราวกับชมละครในโรงมหรสพ จนกระทั่งไอ้เข้มที่เตะต่อยร่างเล็กอย่างไม่ปรานีเริ่มสังเกตว่าร่างของยมนั้นแน่นิ่งไป

      “หยุดทำไมไอ้เข้ม? ข้ากำลังสนุกอยู่เลย”

   ไอ้เข้มไม่ตอบคุณเขลางค์ หากแต่ก้มลงนั่งยองๆแล้วยื่นมือไปอังจมูกของเด็กหนุ่มที่ตอนนี้ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าของมันซีดเผือดก่อนจะรายงานผู้เป็นนายเสียงสั่น

      “คุณเขลางค์ ไอ้ยมไม่หายใจ มันตายแล้วขอรับ!”



      ไอ้เข้มแบกร่างของยมมายังป่าช้าที่อยู่ท้ายวัดห่างไกลจากเรือนของคุณพระเพียงลำพัง แม้จะหวาดกลัวเสียงเห่าหอนกับบรรยากาศที่ขนลุกเพียงใด สุดท้ายมันก็หาบริเวณว่างพอที่จะฝังศพเด็กหนุ่มจนได้

      *“ฝังศพไอ้ยมเสร็จ เอ็งไปรับรางวัลกับอีเฟื้องที่ท่าน้ำท้ายวัดได้เลยนะ ข้าไม่อยากเสี่ยงให้อ้ายอีในเรือนมาเห็นเข้า”*

       “เอาล่ะ ตรงนี้แหละ”

   ไอ้เข้มวางร่างของยมไว้บนพื้นดิน ก่อนจะคว้าจอบที่พกมาเตรียมขุดดินเพื่อฝังร่างที่ไร้วิญญาณของยม หากแต่...

     “เฮ้ยไอ้หนุ่ม! นั่นเอ็งทำอะไรวะ?”

     ไอ้เข้มสะดุ้งโหยง แต่เมื่อหันไปก็พบว่าชายชราในเสื้อผ้าสีขาวสะอาดที่มีหน้าที่ดูแลป่าช้าผืนนี้ยืนจ้องมาก็ค่อยโล่งใจ

     “โธ่ลุง...ฉันตกใจหมด”

     “แล้วเอ็งมาทำอะไร? ที่นี่มันป่าช้า ไม่ใช่ที่ๆจะมาตามใจชอบนะโว้ย”

    “ฉัน เอ่อ พอดีฉัน อ้อ...ฉันจะเอาศพเพื่อนฉันมาฝังจ้ะ มันเพิ่งตายเมื่อครู่นี้เอง มันไม่มีญาติที่ไหนฉันเลยจะเอามาฝังจ้ะ”

    “เอ็งอย่าเอาศพมาฝังซี้ซั้วนะโว้ย...” ชายชรากล่าวน้ำเสียงจริงจัง “ข้าน่ะเป็นสัปเหร่อ ศพไร้ญาติแบบนี้ต้องจัดการพิธีเล็กน้อยแล้วใส่เงินปากผีมันก่อน เดี๋ยวข้าฝังศพเพื่อนเอ็งเอง เอ็งกลับไปได้แล้ว”

     “จ้ะๆ” เมื่อเห็นว่าสีหน้าของชายชราจริงจังทำให้ไอ้เข้มเชื่อสนิทใจ เพราะอย่างไรศพไอ้ยมก็ต้องถูกฝังอยู่ดี อีกทั้งตนไม่ต้องเปลืองแรงฝังศพไอ้ยมอีกด้วย “ถ้าอย่างนั้นฉันฝากลุงด้วยแล้วกันนะ”

      ไอ้เข้มยกมือไหว้ลุงสัปเหร่อก่อนจะรีบวิ่งจากไป เมื่อพ้นสายตาไอ้เข้ม ชายชราก็เรียกคนที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ออกมา

     “ไอ้เพลิง ไอ้มั่น ออกมาได้แล้วโว้ย”

      บ่าวคนสนิทของคุณเขมออกมาจากที่กำบังเมื่อได้ยินเสียงเรียกของลุงเบิ้ม...สัปเหร่อที่มีศักดิ์เป็นญาติห่างๆของมั่น ทั้งสองรีบเข้าไปดูอาการของยมทันที

     “นี่ไอ้เข้มมันแค้นอะไรไอ้ยมมาถึงได้ทำกับมันขนาดนี้!? จะเอาถึงชีวิตเลยหรือไร!!!”

     เพลิงทุบกำปั้นกับพื้นดินจนห้อเลือดด้วยความโกรธ รู้สึกเกลียดตัวเองที่มาช่วยคนรักของคุณเขมไม่ทัน เพราะเพิ่งจะรู้จากปากมั่นว่าไอ้เข้มพาตัวยมไปไหนไม่รู้ เพลิงจึงรีบไปค้นหาจนทั่วเรือนก็ไม่พบ จนกระทั่งมั่นสังเกตเห็นไอ้เข้มแบกร่างของยมออกมาจากหลังเรือนคุณเขลางค์มุ่งไปยังป่าช้า จึงรีบแอบติดตามแล้วให้ลุงเบิ้มทำทีไล่ไอ้เข้มออกไปเพื่อมาดูอาการของยม

    “เอ็งไม่ต้องกังวลหรอก ไอ้หนูนี่ยังไม่ตาย เกือบถูกฝังทั้งเป็นแล้วไหมล่ะ!” ลุงเบิ้มอังจมูกของยมก็พบว่ายังมีลมหายใจอยู่ เพลิงกับมั่นจึงค่อยโล่งใจได้บ้าง

     ยมขยับเปลือกตาขึ้นมาช้าๆแล้วกลอกตาไปมา ก็พบว่าเพลิงกับมั่น แล้วก็ชายชราอีกคนกำลังจ้องมองตนอยู่

    “โอ๊ย!!” เด็กหนุ่มรู้สึกปวดแสบบนใบหน้าจนน้ำตาเล็ด มั่นจึงเข้าไปประคองคนรักของเจ้านาย “ฉันเจ็บเหลือเกิน”

     “เรื่องมันเป็นอย่างไรไอ้ยม ใยหน้าเอ็งเละเช่นนี้...เล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้เลย!”

     ด้วยความอดทนที่ตอนนี้เก็บไม่ไหวอีกต่อไป ยมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้ทั้งสามคนฟัง ว่าตนถูกไอ้เข้มแบกมาให้คุณเขลางค์ทรมานสาหัส ไม่ว่าจะเป็นเฆี่ยนรอยแผลซ้ำ ถูกสาดน้ำเกลือรดแผล แต่ที่สาหัสเจียนตายก็คือถูกถ่านร้อนๆทาบบนใบหน้าไปแทบจะครึ่งหน้า  นอกจากนี้ยังถูกไอ้เข้มซ้อมปางตาย เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจกลั้นลมหายใจแกล้งตายเพื่อเอาตัวรอดเฉพาะหน้าโดยยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชีวิตรอดจากการถูกฝังทั้งเป็นหรือไม่ แต่โชคดีที่ลุงเบิ้มผ่านมาพบเข้าจึงรอดชีวิตราวปาฏิหาริย์

    “โชคดีนะที่เอ็งแกล้งตายออกมา ไม่อย่างนั้นเอ็งได้ตายจริงๆแน่” เพลิงส่ายหน้าอย่างเวทนาในโชคชะตาของยม “ดีนะที่ไอ้มั่นมันเห็นไอ้เข้มกำลังแบกเอ็งไปไหนไม่รู้ แต่กว่าจะมาบอกข้า ก็ถูกไอ้เข้มมันเล่นงานเข้าเสียก่อน”

      “ขอบใจลุงเบิ้มมากนะจ๊ะที่ช่วยฉันสองคน” มั่นเอ่ยขอบคุณญาติห่างๆ

    “เออๆ ไม่เป็นไรโว้ย ข้าว่าไอ้หนูนี่คงกลับไปที่เรือนไม่ได้แล้วล่ะ คุณเขลางค์อะไรนั่นเอาตายแน่”

   “เป็นตายร้ายดีอย่างไรฉันก็ไม่ยอมให้ไอ้ยมกลับเรือนแน่ๆ” เพลิงมองเด็กหนุ่มก่อนถอนหายใจดังเฮือกอย่างเวทนา “ไอ้ครั้นจะให้หนีไปไกลๆ ใบหน้าเอ็งก็ยังเป็นแผลเหวอะ อีกทั้งยังถูกเฆี่ยนซ้ำปางตายอีกต่างหาก อย่างไรก็ต้องรักษาเอ็งก่อน”

     “เอาอย่างนี้ ให้ไอ้หนูมาซ่อนตัวที่เรือนข้าแล้วรักษาตัวไปก่อน แล้วจากนั้นค่อยว่ากันดีไหมเล่า?” ลุงเบิ้มเสนอ ด้วยใจที่สงสารในชะตาของเด็กหนุ่ม

      “ก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะลุง” เพลิงเห็นด้วย “ปล่อยให้คุณเขลางค์คิดว่าไอ้ยมตายแล้วน่าจะดีกว่า เธอจะได้เลิกจองล้างจองผลาญมันเสียที”

   

  “เอ้านี่...รางวัลของเอ็ง”

     เมื่อเสร็จภารกิจ ไอ้เข้มจึงเดินมารับรางวัลตามที่คุณเขลางค์สัญญาไว้กับอีเฟื้องที่มายืนรออยู่ที่ท่าน้ำท้ายวัดนานแล้ว

     “ขอบใจจ้ะพี่เฟื้อง” ไอ้เข้มรับถุงอัฐมาก่อนจะเปิดดูด้านในด้วยความโลภ “โหย ตั้งสิบชั่ง คุณเขลางค์ช่างใจดีเหลือเกิน”

     “ใช่ คุณเขลางค์ของข้ายังมีรางวัลให้เอ็งอีก สนไหมล่ะ?”

    “สนสิ ว่าแต่อะไรรึพี่เฟื้อง?”

    ไอ้เข้มทำตาโตด้วยความละโมบ แต่ไม่ทันระวังอีเฟื้องที่ใช้มีดคมกริบใบเล็กแทงเข้ากับหน้าท้องเต็มแรง เสื้อสีขาวที่มันสวมใส่ชุ่มไปด้วยเลือด

    “นี่ไงล่ะ รางวัลอีกอย่างของเอ็ง”

   “อั๊ก! อี อีเฟื้อง...อั๊ก...” ไอ้เข้มชี้หน้านางทาสที่ทรยศหักหลังตนเอง แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงจนถูกแทงซ้ำเป็นครั้งที่สอง

 “หึๆๆๆ” อีเฟื้องกระหน่ำแทงจนมีดใบเล็กมิดด้ามก่อนจะถอนออกมา  หยาดหยดสีแดงกระเซ็นใส่ใบหน้าแสยะยิ้ม ร่างของไอ้เข้มใกล้ล้มลงกับพื้นจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็ถูกตีนของนางทาสร่างท้วมถีบตกน้ำหายไป อีเฟื้องกระตุกยิ้มชั่วร้ายอีกครั้งก่อนโยนมีดทิ้งแม่น้ำเพื่อทำลายหลักฐานไม่ให้สาวมาถึงคุณเขลางค์ได้

    ตู้ม!!!

    “เชิญเอ็งไปใช้อัฐในนรกเถอะไอ้เข้ม หึๆๆ”


**นิยายหนูเงียบจังฮือออ ขอกำลังใจหน่อยนะค้าา
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่12--
เริ่มหัวข้อโดย: mizuamechang ที่ 22-01-2018 20:31:43
เพิ่งเห็นและอ่านรวดเดียวเลยค่ะ โหยย รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่12--
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 23-01-2018 01:00:20
โรคจิตของแท้เลย น่ากลัวมาก
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่13--
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 23-01-2018 15:10:09
 เรือนร้าว13
ตอน ความลับในหนังสือเงาะป่า
 “เจ้ายมเอ๊ย...ลุกมาประคบแผลก่อน”

   ลุงเบิ้มประคองร่างบอบช้ำของยมที่นอนราบบนเสื่อให้ขึ้นมานั่งเบาๆด้วยตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่หายดีนัก รอยแผลบนใบหน้าของยมนั้นแม้จะถูกประคบด้วยใบบัวบกฆ่าเชื้อลุกลามได้ทันเวลา แต่เพราะเป็นแผลเหวอะที่โดนความร้อนสาหัสเกินที่สมุนไพรจะรักษาทำให้ยมเสียโฉมไปครึ่งหน้าในที่สุด                       

 “รอยหวายเอ็งก็ดีขึ้นแล้ว ส่วนไข้ก็เริ่มจะทุเลาลงบ้าง...” ชายชรากล่าวพลางยื่นลูกประคบให้ยมกดลงบนแผลที่หน้าเบาๆ “แต่ข้าล่ะเวทนาเอ็งเหลือเกินว่ะ ยังเด็กอยู่แท้ๆ กลับต้องมาพบอะไรที่โหดร้ายเกินจะรับ” 

 “ยมชินแล้วล่ะจ้ะ...” มือเล็กสัมผัสรอยแผล “ชินตั้งแต่เด็ก”     

น้ำเสียงช้ำโศกของเด็กหนุ่มทำให้ลุงเบิ้มทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยความสงสาร ร่างผอมเกร็งนั่งลงข้างๆก่อนจะเล่าเรื่องของตนขึ้นมา   

 “ข้าก็มีลูกสาว แต่มันป่วยตายพร้อมกับแม่มันเมื่อสองปีก่อน ถ้ามันยังอยู่มันคงอายุเท่าๆเอ็ง ข้าถึงเข้าใจความเจ็บปวดอาการปางตายของเอ็งดี”       

  เด็กหนุ่มตั้งใจฟังลุงเบิ้มพูดเสียงเศร้า ก่อนที่ชายชราจะกล่าวขึ้นมาอีก

    “แต่เอ็งโชคดีกว่าลูกข้านักเจ้ายม อย่างน้อยเอ็งยังมีชีวิตรอด แม้ใบหน้าเอ็งจะต้องเสียโฉมไปครึ่งหน้าก็เหอะ”

    เมื่อประคบเสร็จยมก็ส่งลูกประคบสมุนไพรคืนให้ลุงเบิ้ม ชายชราส่งยาแก้ไข้ให้ยมดื่มก่อนจะให้เด็กหนุ่มนอนแล้วตนก็ออกไปทำหน้าที่จัดการพิธีศพของวัดต่อ มือเล็กลูบรอยแผลที่ไม่มีวันจางหายได้อีกต่อไปบนใบหน้าด้วยใจที่เจ็บช้ำ ลำพังรอยแผลที่เกิดจากการเฆี่ยนตียังพอรักษาให้หายได้เร็ววัน หากแผลบนใบหน้าที่ถูกความร้อนจากถ่านไม่ต่างไปจากความอำมหิตของผู้กระทำนั้น มันไม่ต่างกับตราบาปที่ติดตัวยมไปตลอดชีวิต

       ต้องกลายเป็นคนหน้าผีแทบครึ่งหน้า...จากกรรมที่ไม่ได้ก่อ

      นี่มันเวรกรรมอันใดของตนกันแน่!?

       ขอให้บาปกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม...?

     นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว เป็นเวลาที่คุณพระวินิตราชศักดิ์กลับมาถึงเรือน ครั้นตนอยากจะกลับไปยังเรือนเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะเมื่อวานมั่นกับเพลิงมาส่งข่าวว่าได้ยินคุณเขลางค์พูดป้ายสีกับคุณพระว่ายมขโมยแหวนนพรัตน์ของคุณเขมแล้วถูกจับได้ จึงหนีออกจากเรือนหายสาบสูญ ทั้งที่แท้จริงคุณเขลางค์รู้อยู่แก่ใจ...ว่าแท้จริงตนได้ถูกฝังอยู่ในป่าช้าไปแล้ว

      “พี่เขม...”

    เด็กน้อยน้ำตารินไหลออกมา ด้วยคิดถึงคนที่อยู่แสนไกล ทั้งที่อีกหนึ่งปีเท่านั้น คุณเขมก็จะกลับมาหายม มาปกป้องยมแล้วแท้ๆ

       “ถ้าพี่เขมเจอยม พี่เขมจะเกลียดหน้าผีของยมไหม?...”

       แม้ไม่อาจกลับเรือนไปรอคอยคนรัก...

      ยมก็ขอให้พี่เขมไม่ลืมคำมั่นสัญญาก็ยังดี

      แม้วันที่พี่เขมกลับมารับราชการแทนคุณแผ่นดิน แม้พี่เขมอาจจะไม่ตามหายมแล้ว

      ยมจะไม่ลืมคำสัญญาของเราเช่นกัน



   วันต่อมา...เมื่อลุงเบิ้มเห็นว่ายมเริ่มมีอาการดีขึ้นแล้วจึงให้ออกมาสูดอากาศด้านนอกเพื่อรับลมยามเช้าบ้าง เนื่องจากสายลมโชยในยามเช้าไม่ค่อยแรงอีกทั้งยังบริสุทธิ์ทำให้ยมสามารถสูดอากาศดีเข้าเต็มปอด

     “ข้าว่าเอ็งเอาผ้าคลุมหน้าออกเถอะไอ้ยมเอ๊ย...” ชายชราบอกเด็กหนุ่มที่นั่งใกล้ๆขณะกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นตามพื้นมาตามลม “นี่ยังเช้ามืดอยู่  ไม่เป็นไรหรอกน่า”

     “...” เด็กหนุ่มเงียบพร้อมกระชับผ้าคลุมหน้าแน่นขึ้น เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเห็นใบหน้าที่ไม่ต่างกับผีของตน ถึงแม้ว่ารอยแผลอาจไม่ได้ลามทั่วใบหน้ามากก็ตาม

     “เออๆ เอาเถอะๆ เอาที่เอ็งสบายใจแล้วกัน” ชายชราพูดก่อนที่จะกวาดใบไม้ต่อ ยมมองบริเวณรอบๆ ใกล้เรือนหลังเล็กท้ายวัดของลุงเบิ้มปลูกต้นไม้ไว้มากมาย ยิ่งมีลมเย็นๆโชยมาทำให้ได้กลิ่นของพรรณไม้นานาโชยมา

     แต่กลิ่นที่ยมคุ้นเคยและคิดถึงมากที่สุด...ก็คงเป็นดอกมะลิขาวบริสุทธิ์ที่ปลูกอยู่ติดกับต้นสักและต้นปีบขนาบด้านข้าง

     ‘พี่เขม...’

     ร่างน้อยลูบดอกมะลิตูมยังไม่ออกดอกชูช่อเต็มที่ จมูกโด่งสวยที่มีรอยแผลยื่นเข้าไปดอมดมกลิ่นหอมที่คิดถึง

      คิดถึงดอกมะลิที่เรือนของคุณเขม

      ที่ไม่มีวันจะได้กลับไปอีก...

    “ดูเอ็งจะชอบดอกมะลินะ” เสียงลุงเบิ้มพูดขึ้น ยมพยักหน้ารับน้อยๆ

   “ปกติยมชอบร้อยมาลัยดอกมะลิถวายพระจ้ะ...”

   เด็กหนุ่มหยุดพูดก่อนที่จะหวนนึกถึงความหลังในวันนั้นอีกครา...

    ความทรงจำที่เรือนที่มีทั้งความขื่นขมระทม...

    และพานพบความความสุขแม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว...กับชายคนรัก



วันนั้นคุณเขมเพิ่งกลับมาจากโรงเรียน มาพบร่างของเด็กน้อยวัยสิบขวบกำลังบรรจงจีบดอกมะลิร้อยเรียงอย่างงดงาม ขณะที่ยมหยิบดอกมะลิดอกหนึ่งขึ้นมา มือใหญ่ดอกรวบมือน้อยมาหอมอย่างหยอกเย้าจนเด็กน้อยอายตัวม้วน

 “คะ...คุณเขม...” ตอนนี้เด็กน้อยน่ารักแก้มแดงเป็นลูกตำลึงที่ถูกบุตรชายของหลวงวินิตหยอกเย้า คุณเขมหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงข้างๆ

“พี่ไม่ชอบให้ยมเรียกเช่นนี้เลย...” ร่างสูงในเครื่องแบบราชปะแตนของโรงเรียนขยับเข้ามาใกล้ “เรียกใหม่ซะ...ไหนเรียกพี่เขมซิคนดี”

“แต่ว่า...”

“เรียกเถิดนะ...แค่ยามอยู่กับพี่สองคนก็ได้”

“พะ...พี่ พี่เขม...” ยมเรียกรัวจนลิ้นแทบพันกัน เด็กน้อยเบือนหน้าหนีผู้เป็นนายด้วยความอาย แต่มือใหญ่ก็ยื่นมาลูบเส้นผมอย่างเอ็นดู

 “ดีมาก...” คุณเขมเผยอรอยยิ้มชื่นชม ก่อนที่ดวงตาสีนิลจะจ้องไปที่ดอกมะลิที่อยู่ในกระจาด “ยมเอาดอกมะลิที่ไหนมาร้อยมาลัยรึ?”

“เอ่อ...” เด็กน้อยอึกอัก ใครจะไปกล้าบอกเล่าว่าตอนที่ไปรดน้ำต้นมะลิที่เรือนของคนตรงหน้าแล้วเห็นดอกมะลิลาสะพรั่งเต็มต้น  จนอดใจไม่ไหวต้องแอบเด็ดมาร้อยมาลัยเล็กน้อย

   “หึๆ จริงสิ ทั้งเรือนก็มีเพียงเรือนพี่ที่ปลูกต้นมะลิไว้เรือนเดียว” คุณเขมหัวเราะในลำคอแผ่วเบาเมื่อแกล้งคนตัวเล็กที่ก้มหน้างุดสำเร็จ

   “คะ...คุณเขมอย่าลงโทษบ่าวนะขอรับ”

   “ยม...พี่ไม่ชอบ” เสียงทุ้มแสร้งดุ จนร่างน้อยสะดุ้งไปเล็กน้อย น้ำเสียงสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้

   “พี่เขม ยมขอโทษ”

เมื่อได้ยินเด็กน้อยแทนตนเองด้วยชื่อ คุณเขมก็ยิ้มกว้างละไม มือใหญ่ยื่นไปลูบเส้นผมสะอาดด้วยความเอ็นดู

   “รู้ไหม...พี่ชอบยามที่เจ้าแทนตัวเองเช่นนี้จัง ” ใบหน้าหวานเงยขึ้นมาสบสายตาคมกริบ “พี่ไม่ลงโทษเจ้าหรอกนะ พี่เพียงอยากให้เจ้าทำบางอย่างให้พี่เท่านั้น”

“อะ...อะไรหรือจ๊ะ?”

เด็กน้อยถามเสียงหวานเพราะไม่อยากถูกดุ มือใหญ่ส่งดอกมะลิในมือให้เด็กน้อยรับไว้ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มละมุนว่า

   “ต้นมะลิที่เรือนพี่...” ใบหน้าคมคายเข้ามาแนบชิดร่างเล็ก ก่อนจะเบือนหันไปยังทิศที่เรือนของตนเอง

 “เวลาที่พี่กลับโรงเรียน พี่ฝากยมดูแลทีนะ พอมันออกดอกเยอะ ยมก็เก็บมาร้อยมาลัยไปถวายพระในเรือนพี่ด้วย”



“ยมเอ๊ย!นั่งร้อยมาลัยไปก่อนนะ พอดีหลวงพ่อเรียกไปธุระนิดหน่อยเดี๋ยวมา” ลุงเบิ้มหอบข้าวของพะรุงพะรังใส่ย่ามเดินมาบอกเด็กหนุ่มที่กำลังบรรจงร้อยมาลัยดอกมะลิที่ชายชราเต็มใจให้เก็บมา เพราะอาจเป็นสิ่งเดียวที่พอจะเยียวยาจิตใจของยมได้

     “จ้ะลุง” เด็กน้อยตอบสั้นๆ

    “แล้วอย่าออกไปไหนเกินจากเรือนข้านะ” ลุงเบิ้มกำชับเป็นครั้งสุดท้ายก้อนจะเดินออกไปทำธุระนอกวัดตามที่หลวงพ่อสั่ง     

     ยมยังคงบรรจงร้อยเรียงพวงมาลัยดอกมะลิเหมือนอย่างที่ผ่านมา พฤษชาติงดงามในมือยังคงตราตรึง ด้วยคิดถึงคนที่เคยมอบให้เด็กหนุ่มรักษาดูแลยามห่างไกล

      มาลัยดอกมะลิลางดงามถูกแต่งตัวด้วยพู่อุบะจนเสร็จ ดวงตาหวานล้ำจ้องมองมันอย่างเพลิดเพลิน อย่างน้อยได้อยู่ที่นี่ก็สบายใจ ไม่ต้องระแวงผู้ใดที่เรือนหลังที่จากมาอีก

     ยกเว้นพี่เดือน...

     “ป่านนี้พี่เดือนจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?”



     นางทาสสาวนั่งกอดเข่าร้องไห้ที่ท่าน้ำท้ายเรือนที่ทอดยาวไปถึงด้านหน้า หยาดน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ครั้ง เรื่องที่ยมขโมยแหวนของคุณเขมเป็นที่ลือลั่นไปทั้งเรือน บ่าวไพร่ต่างพากันซุบซิบนินทาไม่เว้นแต่ละวัน

    ข้าก็พอรู้นะว่าไอ้เข้มมันชอบลักเล็กขโมยน้อย แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กเงียบๆอย่างไอ้ยม มันจะมือไวขโมยของๆคุณเขมด้วย ดีนะที่คุณเขลางค์จับได้เสียก่อน

นั่นสิ...ไม่อย่างนั้นมันจะขโมยอะไรอีกก็ไม่รู้ ไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ

   เรื่องนี้คราแรกคุณพระวินิตราชศักดิ์ก็ไม่ใคร่อยากจะเชื่อนักแม้จะเห็นว่าแหวนของคุณเขมอยู่ที่คุณหญิง  แต่เพราะมีอีเฟื้องมายืนยันว่าเห็นไอ้เข้มกับยมต่างขึ้นไปขโมยของบนเรือนคุณเขมแล้วถูกจับได้ทั้งคู่ ก่อนที่จะหนีจากเรือนเพื่อหลีกเลี่ยงความผิด

    ส่วนเดือน ตั้งแต่วันที่ยมหายไป เธอก็เหมือนตัวคนเดียว ในใจก็รู้สึกผิดตลอดเวลาว่าทั้งหมดเป็นความผิดของตน ตลอดเวลาสามปีที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคุณเขลางค์โดยที่ไม่ได้เต็มใจ คนที่ล่วงรู้ความลับกลับกลายเป็นเด็กที่ถูกหญิงอำมหิตคนนั้นจ้องทำร้ายตลอดเวลา

     จนกระทั่ง...ยมหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!!

     หากแต่ข้าวของภายในเรือนตอนนี้...ยังคงอยู่ครบ

     ไม่! พี่ไม่เชื่อ พี่ไม่เชื่อว่ายมทำแบบนั้น

    หญิงสาวรู้จักยมดี เด็กหนุ่มไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใดนับตั้งแต่ขอฝากตัวเข้ามาเป็นทาสที่นี่ แม้อาจถูกทรมานก็ไม่เคยเรียกร้องขอความเห็นใจจากผู้ใด แต่เพราะวันหนึ่งเดือนเกิดถูกตัวต่อต่อยเข้าขณะปีนเก็บมะม่วงบนต้นใหญ่แล้วตกลงมาอย่างแรงตรงหน้ายมที่เดินผ่านมาพอดี เด็กน้อยที่แม้จะร่างเล็กกว่าเดือนก็มาช่วยประคองไปนอนพักโดยไม่เกี่ยงงอนแล้วเก็บสมุนไพรมาทำหยูกยารักษาจนกระทั่งหญิงสาวหายดี

     แต่นั้นเป็นต้นมา...เดือนก็ได้รู้แล้วว่า ยมเป็นเด็กดีมากคนหนึ่ง และไม่เคยทำร้ายใครแม้ว่าจะถูกกระทำก่อนก็ตาม หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเข้าหาและช่วยเหลือยมบ้าง จนก่อเกิดความผูกพันเหมือนดังพี่น้องร่วมสาบาน

     หากจะให้เชื่อว่ายมขโมยของคุณเขมแล้ว...เดือนยิ่งไม่อาจเชื่อได้จริงๆ

    เพราะเธอรู้จากเพลิงกับมั่นตั้งแต่วันที่ยมวิ่งออกไปที่ท่าเรือตั้งแต่สามปีก่อนแล้วว่า ยมเป็นคนรักของคุณเขม!                   

   แน่นอนว่าเธอต้องช่วยกันปิดเพราะหากแพร่งพรายออกไปภัยร้ายอาจมาถึงทั้งตัวยม และตัวของบุตรชายคุณพระวินิตราชศักดิ์เอง

    “เอ้า! เร็วๆเข้าหน่อย เดี๋ยวคุณเขลางค์จะรอนาน”

   เดือนเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าบ่าวทาสกลุ่มหนึ่งกำลังพากันยกของออกมาจากเรือนทาส ซึ่งถ้าหญิงสาวจำไม่ผิด ข้าวของพวกนั้นเป็นของๆยม!

      “หยุดนะ!พวกเอ็งจะเอาของๆยมไปไหน”

     นางทาสสาววิ่งตามไปแย่งหีบเสื้อที่พอจำได้ว่าเป็นของยมกับทาสร่างใหญ่ เดือนสู้แรงไม่ได้ถูกผลักกระเด็นก้นจ้ำเบ้ากับพื้นหญ้าดังตุ๊บ

     “ไม่ใช่เรื่องของเอ็งอีเดือน”

    “แต่มันไม่ใช่ของๆเอ็ง!” สวนกลับไปทันควัน อย่างไรเธอก็ไม่ยอม “พวกเอ็งไปเอาของที่เรือนยมออกมาทำไม ห้ะ!?”

    “คุณเขลางค์สั่ง ข้าขัดไม่ได้” ทาสชายร่างยักษ์ตอบ ก่อนจะพยักหน้าให้คนอื่นรีบสาวเท้าเดินต่อรวดเร็ว  นางทาสสาวขบคิดครู่หนึ่ง หากพวกทาสคนอื่นไม่ได้หยิบเอาไปตามชอบ แต่เป็นคำสั่งของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์...

     จริงสิ! ลืมได้อย่างไร!? วันนี้คุณพระไปประชุมราชการกลับค่ำมืดนี่!

     !!!

     “คุณเขลางค์? อย่าบอกนะว่า...”



     ฟืนมัดยาวกองสุมจนก่อเกิดไฟฟอน  กองเพลิงสีแดงฉานลุกพรึบสมพอกับร่างของหญิงอำมหิตที่สวมอาภรณ์สีเลือดหมูเพื่อรับกับอารมณ์ที่ไม่ต่างไปจากกองไฟ

    “เอาเสื้อมันมาอีเฟื้อง!” น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยสั่ง ดวงตาคมกริบกราดมองบ่าวไพร่ที่ก้มหน้าก้มตาราวกับไม่รู้เห็นเรื่องที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้

     “นี่เจ้าค่ะ”

     นางทาสร่างท้วมส่งผ้ากองหนึ่งให้ผู้เป็นนายหญิง คุณเขลางค์กระตุกยิ้ม ก่อนจะโยนเสื้อผ้าเหล่านั้นลงกองไฟที่ลุกโชนดังพรึ่บ

      ‘ข้าอุตส่าห์ส่งข้าวของเครื่องใช้ไปให้ในนรกเจียวนะ ขอบใจข้าเสียด้วยไอ้ยม!’

 เสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ของทาสในเรือนคุณพระวินิตราชศักดิ์ที่ชื่อว่ายมกำลังถูกทำลายไปทีละน้อยจนหมดสิ้น กระทั่งอีเฟื้องส่งกล่องใบเล็กให้นายหญิงของตนเอง

     “นี่กล่องอะไรอีเฟื้อง?” คุณเขลางค์ปรายตามองแล่วเอ่ยถาม

    “กล่องของไอ้ยมเจ้าค่ะ พวกอ้ายอีมันไปพบในกองผ้าที่ยัดไว้จึงแยกออกมา”

     “หึ!”คุณหญิงรับกล่องใบนั้นมาหมายจะเปิดดูของด้านใน แต่ทว่า...

   “อย่าเจ้าค่ะ!” เดือนวิ่งเข้ามาแย่งกล่องในมือของคุณเขลางค์มากอดไว้แน่น “ขอร้องเถิดเจ้าค่ะ ละของชิ้นนี้ไว้ด้วยเถิด”

    “มึงกล้านักเรอะอีเดือน!?” อีเฟื้องหมายจะเข้าไปแย่งกล่องในอ้อมกอดของเดือนแล้วตบสั่งสอนสักทีสองที

    “หยุด! ไม่ต้อง” คุณเขลางค์สั่งเสียงเข้ม ก่อนจะหันไปมองหน้าเดือนที่ร้องไห้กอดกล่องใบนี้ไม่ยอมปล่อย

    “ไม่ใช่ธุระของเอ็ง เอากล่องนั่นส่งมาให้ข้า”

 “ไม่...ไม่เจ้าค่ะ” นางทาสสาวส่ายหน้าร้องไห้ไม่หยุด ก่อนจะค่อยๆคลานเข้าไปกอดขาร่างระหงแล้ววิงวอน “ได้โปรดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียบ่าวก็รักยมเหมือนน้องแม้ยมจะทำผิดก็ตาม เหลือสิ่งของๆยมให้บ่าวดูต่างหน้าเถิดเจ้าค่ะ นะเจ้าคะ ฮึก...บ่าวขอร้อง...”

     สองมือกอดขาเรียวขอความเมตตา แต่แขนก็ยังหนีบกล่องไว้แน่นไม่ยอมปล่อย คุณเขลางค์หายใจเฮือกหนักครั้งหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะสะบัดขาออกจนร่างของนางทาสตัวเล็กนอนลงไปกับพื้นหญ้า

     “พวกเอ็งดับไฟได้แล้ว อ้อ...อย่าให้เรื่องนี้รู้ถึงหูคุณพี่ ไม่อย่างนั้นพวกเอ็งจะไม่ได้อัฐสักแดงเดียว!”

     “ขอรับ” เสียงทาสคนหนึ่งตอบรับคุณหญิงวินิตราชศักดิ์ ร่างระหงในอาภรณ์สีเลือดหมูก้าวเท้าฉับไวออกไปอย่างรวดเร็ว

     “คุณเขลางค์ คอยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”

    อีเฟื้องรีบวิ่งตามนายหญิงที่อารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก ส่วนทาสคนอื่นๆก็จัดการดับไฟด้วยใบหน้าเรียบนิ่งราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน



      นางทาสสาวรีบกลับเข้าไปในเรือนทาสของตนทันทีที่คุณเขลางค์ไม่สนใจในกล่องใบเล็กอีกต่อไป มือเล็กเปิดออกดูก็พบว่าด้านในเป็นหนังสือเก่าพอสมควร ปกสีเหลืองเก่าใกล้ขาดเต็มที มิน่าเล่า...คุณเขลางค์จึงไม่สนใจที่จะเปิดมองความด้านใน

        พรึ่บ!

    แผ่นกระดาษใบหนึ่งร่วงลงบนตักนางทาสสาว เดือนหยิบออกมาเปิดออกดูก็ได้แต่ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยไม่รู้หนังสือ เพราะด้านในนั้นเป็นข้อความยาวเต็มกระดาษน่าปวดหัว

     ก๊อกๆ

    เดือนรีบซุกกระดาษใบเล็กใส่หนังสือแล้วเก็บในกล่องไว้เช่นเดิม ก่อนจะลุกไปเปิดบานประตูไม้ นางทาสสาวค่อยโล่งใจไปบ้างเมื่อเห็นว่าผู้มาเคาะเรียกเป็นผู้ใด

     “โธ่ พวกเอ็งเองรึ?ไอ้เพลิงไอ้มั่น”

     “อีเดือน” เพลิงรีบพรวดพราดเข้ามาถามนางทาสสาวด้วยสีหน้ากังวล “ตอนข้ากลับมาจากวัดข้าได้ยินพวกทาสคนอื่นคุยกัน ว่าคุณเขลางค์เอาเสื้อผ้าข้าวของๆไอ้ยมไปเผาเสียสิ้นเลยเจียวรึ?”

     “เอ่อ...” เดือนอึกอัก ด้วยรู้สึกผิดที่ไม่อาจห้ามปรามกระกระทำของผู้เป็นนายหญิงได้เลย ยิ่งเห็นสีหน้าของเพลิงที่ดูจะโกรธจัดแล้ว ความรู้สึกผิดก็ยิ่งถาโถม จนมั่นต้องถามซ้ำด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่า

    “เอ็งพูดมาเถอะเดือน ไม่ใช่ความผิดของเอ็ง แต่มันเป็นความผิดของผู้หญิงคนนั้นต่างหาก”

    “ใช่...” ในที่สุดหญิงสาวก็จำต้องกล่าวออกมา “ข้าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่ก็ไม่อาจห้ามได้ ข้าเป็นเพียงบ่าว จะไปสู้ก็ไม่วายโดนเฆี่ยน แต่...”

    “แต่อะไรวะอีเดือน?”

    “หนังสือของยมที่ซ่อนในกล่องยังไม่ถูกเผา ข้าห้ามไว้ทัน”

    ร่างบางหันไปหยิบหนังสือกล่องใบเล็กส่งให้เพลิง ทาสหนุ่มเปิดมันออกก็เบิกตากว้าง ถ้าจำไม่ผิดเขาเคยเห็นคุณเขมให้ยมอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ฟัง

     หนังสือแบบเรียนเก่าที่ถูกตีพิมพ์แรกๆจนมุมปกเยินเล็กน้อย วรรณคดีเรื่องเงาะป่า

    “ข้าจำได้...คุณเขมเธอให้หนังสือเล่มนี้กับยมไว้ตั้งแต่สามปีที่แล้ว” มั่นกล่าวขึ้น ทาสหนุ่มจำหนังสือในมือของเพลิงได้ เพราะตอนที่คุณเขมมอบให้ยมสภาพก็ค่อนข้างยับเยินเช่นนั้นอยู่แล้ว พอเด็กหนุ่มนำมาเก็บรักษาจึงทำให้สภาพไม่ต่างไปจากเมื่อสามปีก่อนนัก

    “จริงสิ ตอนข้าเอาหนังสือออกมา มีกระดาษใบหนึ่งร่วงมาด้วย แต่ข้าอ่านไม่ออกหรอกนะ”

    “กระดาษรึ?” เพลิงทวน ก่อนจะคลี่หนังสือเรื่องเงาะป่าออกช้าๆ ก็พบว่าด้านในมีกระดาษซ่อนอยู่จริง มือใหญ่ส่งหนังสือให้มั่นถือเพื่ออ่านใจความ โชคดีที่เขาพอรู้หนังสือจากการเป็นคนสนิทของคุณเขมมาบ้างจึงพอจับความออก

ถึง ยม

พี่อยากจะให้จดหมายความในแก่เจ้ามานานแล้ว ตลอดสามปีที่ผ่านมา...พี่ไม่เคยคิดมองเจ้าเป็นทาสเป็นบ่าวอย่างที่ผู้อื่นมอง แรกพบที่พี่เห็น พี่ก็เอ็นดูเจ้าเหลือเกิน จนเกิดเป็นความรักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

แต่ยามที่พี่ให้แหวนเจ้าครานั้น พี่ก็รู้ตัวแล้วว่ามิใช่รางวัลที่เจ้าเพียงทำข้าวหุงถูกปาก

หากเป็นแหวน...ที่พี่อยากมอบให้เจ้าด้วยหัวใจ

พี่ดีใจเหลือเกินที่หัวใจของเจ้าคิดตรงกับพี่

เดือนหน้าพี่จะกลับมาหาเจ้าทันทีที่พี่สอบไล่เสร็จ รอพี่หน่อยนะ...พี่จะกอดเจ้าให้หายคิดถึง  และจะกลับมาฟังเจ้าอ่านเงาะป่าให้ฟังอีกครั้ง

พี่รักเจ้าเสมอ

เขม

    “อีเดือน!” เพลิงเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษใบเล็ก ถามเดือนเสียงเข้มอย่างหวาดวิตก “คุณเขลางค์เห็นจดหมายฉบับนี้หรือไม่”

    “เธอยังไม่ทันเปิดกล่อง ข้าก็แย่งเอามาเสียก่อนที่คุณเขลางค์เธอจะเผาอีกชิ้น” นางทาสสาวตอบ “ข้อความในกระดาษนั้นมีกระไรร้ายแรงรึไอ้เพลิง?”

    “ไอ้มั่น...” เพลิงหันไปกำชับกับคู่หู “เอ็งออกไปดูลาดเลาแถวนี้ ข้าไม่อยากให้ผู้ใดผ่านมาได้ยิน”

     “ได้ๆ”

    เมื่อมั่นเดินจ้ำออกไปสำรวจรอบเรือนทาสแล้ว เพลิงก็อ่านใจความให้เดือนฟัง นางทาสสาวเบิกตาด้วยความตกใจ มือเรียวทาบอกด้วยความโล่ง

     “คุณพระคุณเจ้า! เกือบไปแล้วไหมเล่าที่คุณเขลางค์ไม่พบ เอ็งเอาหนังสือเก็บไว้มิดชิดเลยนะไอ้เพลิง”

   “แน่ล่ะ...หากกระดาษนี้ถึงมือคุณเขลางค์หรือคุณพระ คนที่เสียหายมากที่สุดคือคุณเขมที่กำลังจะกลับมาปีหน้า” เพลิงคว้ากล่องสีดำมะเมื่อมใบเล็กมาเก็บหนังสือเข้าที่ “ขอบใจเอ็งว่ะอีเดือนที่ไปพบเข้าก่อน ข้าจะเก็บรักษามันไว้เอง”

     ให้ความลับในหนังสือเรื่องเงาะป่า...ปิดเงียบเช่นนี้ไปตลอดจนกว่าจะถึงเวลาที่คุณเขมจะเผชิญหน้าตามที่ให้สัญญากับยมเมื่อสามปีที่แล้ว

         “สี่ปีเมื่อฉันกลับจากอังกฤษ ฉันจะตั้งใจทำงานรับราชการจนมีความมั่นคง เมื่อนั้นฉันถึงจะบอกความจริงกับคุณพ่อเรื่องของฉันกับยม”

“แต่กาลข้างหน้า คุณเขมจะเป็นผู้มีหน้ามีตาในสังคม หากมีคนรักเป็นผู้ชายแล้ว...คุณเขมมิเกรงกลัวถูกครหาจากสังคมรอบด้านหรือขอรับ?”

“ฉันไม่กลัว ฉันคิดถึงอนาคตข้างหน้าไว้แล้ว”

“แม้กาลข้างหน้าอาจถูกกดดันหรือมีอุปสรรคเพียงใด ฉันกับยมจะฝ่ามันไปด้วยกันให้ได้ ยมเป็นคนรักของฉัน ฉันจะปกป้องเขาด้วยชีวิต”

หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่13--
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 23-01-2018 16:37:32
น่าสงสาร  :mew2:
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่14--
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 23-01-2018 20:22:10
เรือนร้าว14
ตอน บาปซ้ำ...กรรมซัด

    หลังจากยมอาบน้ำเสร็จก็กลับเข้ามายังเรือนหลังเล็ก ก็พบว่าร่างผอมของชายชรากำลังเคี้ยวหมากอย่างเอร็ดอร่อย บนตักมีเชี่ยนหมากวางไว้

   “อ้อ มาพอดีเลยยมเอ๊ย!” ลุงเบิ้มหันมาพูดกับเด็กหนุ่ม ในปากก็เคี้ยวหมากจนฟันแดงเถือกไปหมด มือเหี่ยวย่นส่งเชี่ยนหมากให้ยม  “เคี้ยวหมากไหม? อร่อยนะโว้ย”

   “ขอบใจจ้ะลุง แต่ยมไม่ชอบเคี้ยวหมากจ้ะ” ยมตอบยิ้มๆ เพราะเคยเห็นป้าฟักกินแล้วชอบบ่นโอดโอยปวดเหงือกเป็นประจำแต่ก็หาได้เข็ดหลาบไม่ แต่ที่สำคัญคุณเขมเคยบอกว่าหากไม่อยากมีคราบฟันที่ดำ....ห้ามเคี้ยวหมากเหมือนทาสคนอื่นเด็ดขาด

    “เอ็งนี่แปลกว่ะ...” ลุงเบิ้มบ้วนน้ำหมากใส่ขันใบเล็ก ก่อนจะใช้มือเหี่ยวเช็ดปากลวกๆ “เอ็งนี่ดูสำอางเหมือนผู้หญิงเลยนะไอ้ยม”

     “โธ่ลุง...”

    ยมบ่นอุบอิบ...นี่เขาถูกล้ออีกแล้วหรืออย่างไร?  ชายชราได้ยินก็หัวเราะเล็กน้อยพลางหยิบขันน้ำใกล้ๆมาบ้วนปากล้างคราบน้ำหมากในปาก

     “เออๆ ข้าหยอกเอ็งเล่นโว้ย เออนี่...เอ็งนอนก่อนได้เลยนะ วันนี้ข้าต้องไปทำพิธีที่ป่าช้า อาจจะกลับเกือบๆสางว่ะ”

    “จ้ะลุง” คนตัวเล็กพยักหน้ารับ ก่อนจะช่วยลุงเบิ้มจีบหมากพลูใส่ห่อใบตองเพื่อให้ชายชรากินระหว่างไปธุระที่ป่าช้า

    “เอ็งนี่จีบหมากสวยนะ เออ ขอบใจมาก ข้าไปล่ะ”

    ชายชรากระชับถุงย่ามแล้วเดินออกไปทันที ส่วนยมก็นำขันที่เต็มไปด้วยน้ำหมากที่ลุงเบิ้มบ้วนทิ้งไว้ไปล้างอย่างไม่รังเกียจ เด็กหนุ่มอาศัยอยู่กับลุงเบิ้มมาหลายวันแล้ว สัปเหร่อชราเอ็นดูยมเหมือนลูกหลานไม่ต่างจากเพลิงและมั่น ยมจึงอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจที่ไม่ต้องมาคอยระแวง แม้ลุงเบิ้มจะกำชับไม่ให้ยมออกไปไหนเกินหน้าเรือน แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้คิดเบื่ออะไร ด้วยคิดว่าตนรอดชีวิตมาได้ก็ดีเหลือเกินแล้ว

      ก็อย่างที่สัปเหร่อชราเคยบอกครั้งหนึ่ง...แม้จะเสียโฉมไปเกือบครึ่งหน้า แต่ก็ยังดีกว่าไร้วิญญาณ!

      ครั้นเมื่อยมดูแลบ้านช่องจนเรียบร้อยดีแล้ว ร่างเล็กก็กลับมานอนคดตัวบนเสื่อผืนยาว ยื่นแขนไปดับตะเกียงแสงไต้ให้มอดลง จะมีก็เพียงแสงดาวที่ส่องประกายระยับ แค่นั้นก็ทำให้หยาดน้ำตาหลั่งรินอาบแก้ม

      “ฮึก...ยมคิดถึงพี่เขม”

     พระจันทร์สาดส่องราวกับจะคอยปลอบใจเด็กน้อย ไม่มีครั้งใดเลยที่ยามคิดถึงคนที่อยู่แดนไกลแล้วจะไม่ร้องไห้ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าอาจไม่มีโอกาสได้พบคนรักอีก แต่ในใจลึกๆ อยากจะฝากพระจันทร์ไปบอกคนทางนั้นเหลือเกิน

     พี่เขม...มารับยมที พายมหนีไปที

     หนีไปในที่ๆมีเพียงเรา...



  ช่วงนั้น ณ กรุงลอนดอนอยู่ในช่วงเหมันตฤดูพอดี ยิ่งไปกว่านั้น...ช่วงนี้เด็กๆต่างพากันคึกคักกันเป็นพิเศษ เพราะเพิ่งผ่านพ้นคริสมาสต์อีฟมาหมาดๆ ทุกบ้านล้วนมีการประดับตกแต่งต้นคริสมาสต์ประชันความสวยงามอลัง รับกับหิมะขาวที่ร่วงโปรยปรายด้านนอกของแต่ละบ้าน

     ก๊อกๆๆ

     “Hello! Mrs.Crew...” ชายหนุ่มถอดหมวกโค้งตัวสุภาพพร้อมยื่นกล่องของขวัญกล่องใหญ่ เมื่อมีสุภาพสตรีชาวเอเชียผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินมาเปิดประตูให้ “Merry Chrismas! คุณอาอดัมไม่อยู่หรือครับ?”

     “ขอบใจจ้ะ...สุขสันต์วันคริสมาสต์เช่นเดียวกันนะจ๊ะจอห์น” สตรีผู้เป็นภรรยาของคุณอดัมกล่าวต้อนรับจอห์นเป็นภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำแล้วรับกล่องของขวัญมา  “คุณอดัมไปธุระจ้ะ มาพบคุณเขมใช่ไหม? เดี๋ยวน้าขึ้นไปตามให้”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมขอขึ้นไปตามเองดีกว่า” ชายหนุ่มตาน้ำข้าวยกมุมปากท่าทีทะเล้นน้อยๆ“อย่างเขมจะทำอะไร? นอกจากปลูกต้นไม้ก็เอาแต่อ่านตำราบนห้อง จริงไหมครับน้าจูลี่”

      “นั่นสินะ” คุณน้ำใจ...หรือที่เพื่อนบ้านชาวอังกฤษคนอื่นนิยมเรียกว่าจูลี่หัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นตามสบายนะ น้าขอไปอบขนมในครัวก่อน”

       เมื่อหญิงวัยกลางคนเดินเข้าครัวไปแล้ว จอห์นก็วิ่งขึ้นบันไดไม้ขึ้นชั้นสองอย่างเคยชิน บ้านของสองสามีภรรยามีสองชั้นก็จริง หากแต่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เรียกว่ากะทัดรัดน่าอยู่เสียมากกว่า เพราะบ้านหลังนี้คอยรองรับนักเรียนทุนจากสยามที่มาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ครั้งละประมาณคนสองคน ภรรยาของมิสเตอร์ครูว์เป็นญาติใกล้ๆของผู้อำนวยการโรงเรียนที่คุณเขมศึกษา คุณเขมจึงได้มาพักที่นี่โดยมีมิสเตอร์ครูว์กับคุณน้ำใจคอยดูแล

      “เขม...เปิดประตูให้ไอหน่อย”

     หนุ่มน้อยตาน้ำข้าวเคาะประตูเรียกเจ้าของห้องเสียงดัง ไม่นานร่างสูงใหญ่เจ้าของห้องก็เดินมาเปิดประตูพลางยิ้มทักทายเพื่อนสนิท จอห์นจึงเดินเข้าไปสำรวจห้องก่อนจะนั่งบนเตียงนุ่มสบายใจเฉิบ

     “โธ่ยู...นี่คริสมาสต์แท้ๆ ยังจะอ่านหนังสืออีกหรือเขม?” จอห์นบ่นเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะเขียนหนังสือเต็มไปด้วยตำราเล่มใหญ่พร้อมกับสมุดจดบันทึกที่เต็มไปด้วยสรุปน่าปวดหัว

     “ก็ต้องขยันสิจอห์น เหลืออีกไม่ถึงปีพวกเราก็จะจบกันแล้วนะ ไอล่ะคิดถึงบ้านเกิดที่สยามเต็มที” ร่างสูงตอบเป็นภาษาอังกฤษชัดคำพลางย่อตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ติดกับโต๊ะหนังสือ คุณเขมกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นเพื่อนชาวฝรั่งเบ้หน้า จอห์นเป็นเพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัย ออกจะนิสัยทะเล้นและขี้เกียจไปบ้าง แต่ก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเช่นกัน

      “ยูคิดถึงบ้านที่สยาม...” ใบหน้าขาวแบบฝรั่งยิ้มทะเล้น “หรือคิดถึงใครที่สยามกันแน่?”

     เมื่อได้ฟังคุณเขมถึงกับไปต่อไม่ถูก ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนสนิทหากแต่หันไปจดสรุปอีกเล็กน้อยก่อนจะเก็บตำราเข้าที่

      “ไอหิวแล้ว...ไปข้างล่างกันเถอะ”

     “เดี๋ยวสิเขม ยูยังไม่ได้ตอบคำถามไอ!”

     จอห์นโวยวายเมื่อคนร่างสูงเดินหนีลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหยักศกยิ้มเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆก็คิดถึงคนที่อยู่สยามขึ้นมาจริงๆ คราแรกจอห์นไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ด้วย หากแต่นานวันเข้าถูกเซ้าซี้ทำให้คุณเขมเผลอพูดออกไป

     “I have my cute lover already.”

ฉันมีคนรักที่น่ารักอยู่แล้ว

      นับจากตอนนั้นคุณเขมก็ไม่ยอมบอกอะไรอีกแม้จะถูกหลอกถามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้บุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์ใจเต้นเสียทุกครา

      สามปีแล้ว...ที่ไม่ได้พบ

      คิดถึงเหลือเกิน...

     “ลงมาแล้วรึพ่อเขม น้ากำลังจะขึ้นไปตามพอดีเลยจ้ะ”

    คุณน้ำใจวางจานไก่งวงอบตัวอวบบนโต๊ะอาหารที่เรียงรายไปด้วยจานชาม และอาหารเย็นรสเลิศ นอกจากนี้มิสเตอร์ครูว์ยังให้ภรรยาเตรียมไวน์แดงเพื่อขอบคุณพระเยซูในค่ำคืนคริสมาสต์อีกด้วย

     แกร๊ก!

    “กลับมาแล้วจ้ะ” ร่างสูงใหญ่ของมิสเตอร์ครูว์ หรือ อดัม ครูว์...ถอดเสื้อโค้ทที่ประปรายไปด้วยหิมะแขวนไว้ใกล้ๆ ก่อนจะเข้าไปจุมพิตหน้าผากคุณน้ำใจเบาๆ

   “ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ” หญิงสาวปัดใบหน้าของสามีที่ยังมีเศษหิมะออกเบาๆ “ทานดินเนอร์กันเถอะนะคะ น่าเสียดายที่พ่อบูรพาไปทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัย ไม่อย่างนั้นคงได้อยู่รับประทานอาหารด้วยกันพร้อมหน้า”

      คุณน้ำใจกล่าวถึงคุณบูรพา...นักเรียนทุนชาวสยามอีกคนที่ตนกับสามีทำหน้าที่โฮสต์คอยดูแล แต่นานครั้งคุณบูรพาถึงจะกลับมาด้วยติดพันกิจกรรมพิเศษเป็นนักร้องประสานเสียงประจำมหาวิทยาลัย จนแทบจะมีมหาวิทยาลัยเป็นบ้านหลังที่สองเสียมากกว่าแล้วกระมัง

       ครั้นมื้อค่ำผ่านไป ตามบ้านต่างพากันร้องเพลงเฉลิมฉลองคริสมาสต์ เว้นเพียงแต่บ้านโฮสต์มิสเตอร์ครูว์ที่ภรรยาคนไทยไม่ค่อยชินกับวัฒนธรรมคริสมาสต์เสียเท่าใดจึงพากันแยกย้ายพักผ่อนตามประสา คุณเขมขึ้นห้องมาอ่านตำราหลังจากส่งเพื่อนสนิทเรียบร้อย ดวงตาคมคายสีนิลเข้มแบบชายไทยกวานอ่านตัวหนังสือภาษาอังกฤษก่อนจะจดสรุปตามที่เข้าใจ จนเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบ ร่างสูงรู้สึกได้ว่าหิมะที่นอกบานหน้าต่างกระจกเริ่มซาลง บนฟากฟ้าเริ่มมีดวงดาวสดใสระยับแม้จะไม่มาก แสงของพระจันทร์ของแดนยุโรปใยจะสุกสกาวเท่าพระจันทร์แดนสยาม

      มือใหญ่เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักใบเล็กแล้วหยิบถุงใบจิ๋วขึ้นมา ด้านในคือแหวน...มันอาจไม่ใช่แหวนเพชรราคาแพง หากแต่เป็นแหวนที่เขาตั้งใจเก็บออมจากค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาสามปีกว่าจะซื้อได้ แหวนวงนี้จะมีวงเดียวในโลก เพราะคุณเขมสลักชื่อสำหรับคนพิเศษในหัวใจลงไปด้วย

       ‘YOM’

     หากให้อธิบาย...แหวนวงนี้ไม่ต่างจากแหวนขอแต่งงาน ยิ่งคุณเขมได้รับการศึกษาเช่นฝรั่งแล้ว ทำให้ชายหนุ่มยิ่งเปิดทัศนคติต่อความรักได้กว้างขึ้น

      ความรักที่แท้จริงทำให้เรามองข้ามหน้าตา อายุ หรือแม้กระทั่งเพศ

     ไม่ว่าจะเพศชายทั้งสองจะรักกัน...มันก็คือความรักที่ไม่ต่างจากชายหญิง

     แล้วทำไมคุณเขมจะแต่งงานกับยมไม่ได้เล่า?

      อีกปีเดียว...ที่พี่จะไม่จากไกลจากเจ้าอีก

      อีกปีเดียว...ที่พี่จะพิสูจน์ให้คุณพ่อคุณแม่เห็น ว่าพี่สามารถทำให้พวกท่านภูมิใจในหน้าที่การงานข้างหน้าได้

     เราต้องได้อยู่ด้วยกัน...ไม่จากกันอีก

     “พี่แทบจะรอมอบให้เจ้าไม่ไหวแล้วยมเอ๋ย”



      จักจั่นเรไรส่งเสียงเจื้อยแจ้วมากจากร่มไม้ใหญ่ สายลมโชยพัดกลิ่นมะลิกรุ่นทำให้ร่างน้อยหลับสบายลืมความทุกข์ได้ชั่วคราว ค่ำคืนนี้คล้ายจะสงบงันเหมือนเช่นที่ผ่านมา...

      “ไอ้งั่ง...เร็วๆสิวะ”

     ร่างของชายร่างยักษ์ทั้งสองคนหันมองลาดเลาซ้ายขวา พวกมันเดินย่องจนเริ่มเข้าใกล้เรือนหลังเล็กท้ายวัดของสัปเหร่อที่ปลูกอยู่เพียงหลังเดียว

     “เฮ้ยๆไอ้เต่า มึงแน่ใจเหรอว่าจะขโมยของเรือนหลังนี้ ทั้งเก่าทั้งโทรม จะมีของให้ขโมยเหรอวะ?” ไอ้งั่งสะกิดเพื่อน

    “เอาน่ะ...ทำไงได้วะ ตะกี้ไม่ถูกกัดจมเขี้ยวก็ดีตายห่า” ไอ้เต่าบ่นพลางย่อเข่าหอบเหนื่อย เพราะเมื่อครู่พวกมันสองคนพากันไปขโมยของที่เรือนใหญ่ของเศรษฐีผู้มั่งคั่ง แต่ยังไม่ทันจะไดลงมือก็ถูกสุนัขไทยหลังอานตัวใหญ่นับสิบชีวิตที่เลี้ยงไว้ตามไล่กัด ทำให้ต้องเผ่นหัวซุกหัวซุนจนมาถึงวัดเก่าแก่แห่งนี้

     “ไม่แน่นะโว้ยไอ้งั่ง...เรือนเล็กที่ติดกะวัดอาจมีพระเครื่องสะสมก็ได้ ถ้ามีคงขายได้หลายชั่งอยู่ได้หลายวัน ไปโว้ย!”

    เพราะเรือนของลุงเบิ้มมีขนาดเล็ก ไอ้เต่าจึงเดินขึ้นบันไดไม้เพื่อส่องบานหน้าต่างมองด้านในอย่างง่ายดาย ไอ้งั่งย่องมาชะแง้มองบ้างแล้วรีบสะกิดเพื่อน

      “ข้างในมีไอ้หน้าผีมันนอนอยู่ว่ะ กูว่าเปลี่ยนไปที่อื่นเหอะ”

     ขณะที่ไอ้เต่าเริ่มลังเลเล็กน้อยเพราะด้านในเรือนเล็กและคับแคบนัก อีกทั้งยังมีร่างของเด็กน้อยนอนเกาะกะอยู่อีกด้วย หากแต่เพราะความโลภบังตาสักพักมันก็ตัดสินใจตั้งท่าจะปีนเข้าไปจนได้

      “เฮ้ย! หยุดนะโว้ยไอ้หัวขโมย!”

     เสียงลุงเบิ้มทำให้ไอ้เต่าที่กำลังปีนเข้าด้านในหยุดชะงัก ชายชราลืมของทำพิธีจึงต้องแวบกลับมาเอา ไม่คิดเลยว่าอยู่ๆจะมีโจรที่ไหนมาขึ้นเรือนทั้งที่ตนก็แทบไม่มีทรัพย์สินอะไรมากมายนอกจากอัฐค่าจ้างที่ได้รับจากการทำงานในวัดเล็กน้อย

     “มาก็ดีแล้วไอ้แก่!” เมื่อเห็นว่าเจ้าของเรือนเป็นเพียงชายชราร่างเล็กก็ทำวางท่ากร่าง ไอ้งั่งควักมีดที่เหน็บไว้ที่ชายพกขึ้นมาขู่ “มีของมีค่าเท่าใดเอามาให้หมด ถ้ายังอยากแก่ตายอยู่!”

     “มึงพกมีดตั้งแต่แรกทำไมไม่ฟันหมาวะ!? มึงนี่มันงั่งสมชื่อจริงๆ!” ไอ้เต่าตบกะบาลเพื่อนไปหนึ่งทีเต็มแรง ก่อนจะแย่งมีดพกมาขู่สัปเหร่อชราบ้าง

     “ว่าไง!ถ้าไม่อยากตายส่งของมีค่ามา!!” มันพูดแล้วหันไปมองร่างน้อยที่หลับใหลไม่รู้เรื่องราวอยู่ด้านใน “หรือแกอยากให้ไอ้หน้าผีข้างในมันถูกแทง”

     “อย่าทำหลานข้านะโว้ย!  ตกลงๆ พวกเอ็งรอตรงนี้นะ ข้าจะไปเอาพระเครื่องมาให้” ลุงเบิ้มพยายามปรับน้ำเสียงอ่อนลง ลำพังตนเพียงคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารักษาชีวิตของยมไว้ไม่ได้ ชายชราคงไม่มีหน้าไปพบกับมั่นเพลิงอีก

     ร่างผอมเกร็งของชายชราเดินเข้าไปในบ้าน ลุงเบิ้มถอยหายใจด้วยความโล่งใจที่เด็กหนุ่มยังคงหลับลึกไม่รู้เห็นกับเหตุการณ์เลวร้าย ก่อนจะตัดใจรวบรวมพระเครื่องและถุงอัฐเพียงน้อยนิดทั้งหมดที่มีกำไว้แล้วเดินออกไปนอกเรือนเบาๆ

    ‘ขอล่ะ...อย่าเพิ่งให้หลานข้าตื่นขึ้นมาเลย’

    “ทำไมมีแค่นี้วะไอ้แก่? กะอีแค่พระเครื่ององค์เล็กๆจะได้สักกี่ชั่งกันเชียว!?” ไอ้เต่าตะคอกเหิมเกริม

    “ข้าก็มีเท่านี้แหละ” ชายชรากล่าวไปตามสัตย์จริง  อย่างไรเสีย...ยอมเสียทรัพย์อย่างไรก็ดีกว่าเสียชีวิตแล้วกัน “เอาของไปแล้วไสหัวไปเลยนะ...ไม่อย่างนั้นข้าแจ้งทางการแน่!”     

 “หนอยไอ้แก่!!”     

เมื่อโจรใจบาปได้ยินว่าทางการก็เลือดขึ้นหน้า  ไอ้เต่าพุ่งตัวหมายจะกระหน่ำแทงลุงเบิ้ม แต่ชายชราเบี่ยงตัวหลบทัน หากถึงคราวเคราะห์เพราะไอ้งั่งอาศัยช่วงนั้นคว้ามัดฟืนขนาดพอดีมือที่กองแถวนั้นทุบศีรษะชายชราเข้าเต็มแรง     

   อั๊ก!!     

  ร่างของลุงเบิ้มล้มลงหมดสติทันที ไอ้เต่าฉวยโอกาสนั้นกระหน่ำแทงแผ่นหลังของชายชราไม่ยั้งด้วยเกรงว่าหากปล่อยไป มันทั้งสองอาจถูกตามจับและต้องโทษอาญาแผ่นดิน

    “ไอ้แก่มันตายแล้วไอ้เต่า” ไอ้งั่งยื่นมืออังจมูกชายชรา ก็พบว่าตอนนี้ลุงเบิ้มไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว “เอาไงต่อวะ?”                     

   “ตายซะได้ก็ดี...” ใบหน้าเหี้ยม​โหดของไอ้เต่ากระตุกยิ้มชั่ว “ข้าว่าด้านในไอ้แก่ต้องซ่อนของมีค่าไว้อีกแน่ๆ ตามมา!!”

     ไอ้เต่าเดินนำเพื่อนสนิทเข้าไปด้านใน ก่อนจะแยกกันรื้อค้นของมีค่าจนข้าวของกระจัดกระจาย ก็ไม่พบของมีค่าใดซุกซ่อนไว้เลย

     “โธ่เว้ย!! ไม่มีแล้วจริงๆด้วยว่ะไอ้งั่ง!” ไอ้เต่าสบถด้วยความหงุดหงิด  เมื่อพบว่าทั้งเรือนไม่มีของมีค่าเลยนอกจากพระเครื่องกับถุงอัฐในมือ “ไปเถอะโว้ย ได้แค่พระเครื่องไปขายก็ยังดี”

     “เดี๋ยวๆ” ไอ้งั่งสะกิดเพื่อน มองร่างของเด็กน้อยที่ยังหลับสนิทไม่รู้เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นด้วยสายตาโลมเลีย  “มึงว่าไอ้เด็กนี่รูปร่างมันดีไหมวะ?”

       “มึงอย่าบอกนะ...ว่าหน้าผีขนาดนี้มึงยังจะ โอ๊ย!!” โจรใจทรามกุมขมับกับความคิดวิปริตของเพื่อน ความหื่นกามไม่ใครเข้าออกใครแท้ๆ หน้าตาเละเทะไม่สนขอให้ได้เอาก็เป็นพอ

    “เออน่า เดี๋ยวกูทำคนเดียว มึงออกไปดูต้นทางไป!” ไอ้งั่งไล่เพื่อน ไอ้เต่าส่ายหน้าระอาแต่ก็ยอมออกไปดูต้นทางแต่โดยดี สบโอกาสให้ใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวขยับเข้าไปใกล้ซอกคอขาวผ่องที่ปราศจากบาดแผลเหมือนใบหน้า

      หน้าเหมือนผี...แต่ส่วนอื่นสวยเหมือนกันนี่หว่า

     “อื้อ!!” ยมครางเมื่อถูกรบกวนบริเวณต้นคอ ดวงตาน้อยปรือตาขึ้น แต่แล้วก็ต้องเบิกโพลงอย่างตื่นกลัวเมื่อพบว่าใครก็ไม่รู้ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้

      “แก...แกเป็นใคร...!? ลุงเบิ้ม ลุงเบิ้มช่วยยมด้วย!!”

     “ไม่มีใครช่วยมึงได้หรอก มาเป็นเมียกูซะดีๆ”

     ไอ้งั่งแสยะยิ้มชวนสยอง ร่างของยมถูกมันคร่อมไว้จนแทบมิดจนหาทางรอดได้ยากยิ่งนัก สัมผัสน่าขยะแขยงทำให้ยมอยากจะร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด ในขณะที่เด็กหนุ่มเกือบจะเสียท่าเต็มที ก็พลันนึกมาได้ว่าลุงเบิ้มกำชับให้ตนซ่อนมีดไว้ใต้หมอนตามเกิดเหตุสุดวิสัย  มือเล็กที่ไม่ถูกตรึงรีบคว้ามีดทำครัวใต้หมอนมากระหน่ำแทงแผ่นหลังไอ้โจรหื่นกามไม่ยั้ง

      “อ๊ากกก!!!”

     เมื่อเห็นว่าโจรแน่นิ่งไปแล้ว ยมก็ผลักร่างของมันออกด้วยความขยะแขยง เด็กหนุ่มเก็บโยนมีดใกล้ๆร่างที่อาบเลือดของโจรชั่วอย่างหวาดกลัว ยมพยายามรวบรวมสติแล้วหยิบผ้ามาห่อมีดเหน็บชายพกไว้ ทุกอย่างล้วนไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น ด้านนอกอาจจะมีคนที่จ้องจะทำร้ายยมอีกก็ได้

    เพราะขนาดมีใบหน้าอัปลักษณ์ยังถูกจ้องทำร้ายในเชิงนี้ได้ หากลุงเบิ้มไม่กำชับตนให้ซ่อนมีดใต้หมอนไว้ป้องกันตัวจะเป็นอย่างไร

      “ลุงเบิ้ม!”

     เด็กน้อยรีบลุกขึ้นผลักประตูออกไป ก็พบว่าร่างของชายชราที่ตนเคารพคนหนึ่งนอนอาบเลือดแน่นิ่ง ยมรีบเข้าไปประคองลุงเบิ้มที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณเสียแล้ว

     “ลุง...ลุงเบิ้ม!! ลุงตื่นขึ้นมาสิ ตื่นขึ้นมา”

     ไม่ว่ายมจะเรียกเท่าไหร่ ก็ไม่มีเสียงของชายชราที่เป็นเหมือนที่พึ่งยามยากตอบกลับมา แสดงว่าโจรที่เข้าไปทำร้ายตนด้านใน คือคนที่ฆ่าลุงเบิ้มอย่างนั้นหรือ?

      “เฮ้ย! ไอ้หน้าผีมันออกมาได้ยังไงวะ!? มึงทำอะไรเพื่อนกู!”

      ไอ้เต่าที่ออกไปดูต้นทางรอบเรือนหลังเล็กได้ยินเสียงของเพื่อนจึงรีบวกกลับมา มันยกมีดขึ้นชี้ขู่อาฆาตหน้าเด็กหนุ่ม ยมตัดสินใจวางร่างของชายชราก่อนจะรีบวิ่งหนีด้วยรู้สึกได้ถึงลางร้าย

     “ช่วยด้วย!” ยมวิ่งลงจากเรือนอย่างรวดเร็วพลางตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกไอ้เต่าจับตัวไว้ทันและลงมือบีบคอระหงอย่างแรง

     “อั๊ก!!!”

      “หึ! มึงรอดจากไอ้งั่งมาได้ แต่กูไม่ปล่อยให้มึงรอดแน่”

      มือใหญ่บีบลำคอยมเต็มแรง ร่างน้อยดิ้นทุรนทุรายด้วยหายใจไม่ออกเต็มที แต่ยมก็ยังมีสติพอที่จะหยิบมีดที่พกมาด้วยอ้อมไปด้านแผ่นหลังใหญ่ ก่อนที่จะ...

      “อ๊ากกกกกก!!!”

      ไอ้เต่าร้องลั่นเมื่อท้ายทอยด้านหลังถูกกระหน่ำแทงไม่ยั้ง น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความกลัว มือของมันปล่อยลำคอของยมเป็นอิสระก่อนจะล้มแน่นิ่งไป เด็กหนุ่มมองมีดในมือก่อนที่จะโยนมันทิ้งไปข้างๆร่างของโจรชั่วที่พยายามจะฆ่าตนเมื่อสักครู่ ดวงตาหวานสั่นระริกนองไปด้วยน้ำตา ใบหน้าของยมส่ายรุนแรงหวังเพียงให้ฝันไปเท่านั้น

     ไม่ได้ฝัน...

       เด็กหนุ่มฆ่าคนตายถึงสองคน...เพียงเพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น!!

      “ไม่...ยม ยมไม่ได้ตั้งใจ ยมป้องกันตัว”

      ร่างเล็กออกวิ่งไปไกลอย่างไร้จุดหมาย ในใจหวาดกลัวว่าหากตนไม่หนี อาจถูกทางการจับข้อหาฆ่าคนตาย แม้ว่ายมจะไม่ได้มีเจตนาก็ตาม แต่เพราะกลัว...

      กลัวจะถูกข้อหากระทำเกินเหตุ

      กลัวจะถูกส่งตัวให้ทางการ

      กลัวทุกอย่าง...กลัวไปหมด...

      ต้องหนี...หนีไปให้ไกล

      แล้วจะไปไหน!? หนีไปไหนดี!!

       ร่างเล็กล้มลงอย่างอ่อนล้าเพราะวิ่งหนีจากจุดเกิดเหตุมาไกลเหลือเกิน ดวงตากลอกดูรอบด้านก็พบว่าหนีมาถึงดงป่าร้างห่างไกลจากวัดพอสมควร กระทั่งหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งชมจันทร์อยู่บนหลังเกวียนเหลือบมาเห็นเด็กหนุ่มที่นอนอยู่กลางทรายอย่างไร้เรี่ยวแรง

      “ไอ้หนู...เป็นอย่างไรบ้าง?” นางลุกจากเกวียนเล่มเก่าเดินเข้ามาหายม ก่อนจะช่วยประคองร่างเล็กขึ้นมาช้าๆ “น้าช่วยนะลูก มานั่งพักบนเกวียนของน้ามา”

      เด็กน้อยมองตาปรืออย่างเมื่อยล้า ยอมให้หญิงผู้ใจดีตรงหน้าประคองตนเดินไปนั่งบนเกวียน นางส่งกระบอกไม้ไผ่ที่เต็มไปด้วยน้ำให้ยม ใบหน้าของหญิงตรงหน้าดูไม่หวาดกลัวรอยแผลของยมแม้แต่น้อย

      “ดื่มน้ำก่อน ไม่ต้องกลัวน้านะ น้าไม่ทำร้ายเอ็งหรอก”

       นางยิ้มอ่อนโยน จนยมต้องรับน้ำมาดื่มอย่างเสียไม่ได้ หากแต่ท่าทียังคงระแวงหญิงตรงหน้าอยู่ เวลานี้เป็นไปได้เด็กหนุ่มไม่อยากไว้ใจผู้ใดเลย

      “น้าชื่อพะยอม..” หญิงแปลกหน้าแนะนำตัวขึ้น “น้ากับผัวน้ามีอาชีพเร่ร่อนขายของ พอดีผัวน้าไปส่งสินค้าประเดี๋ยวก็มา แล้วเอ็งเล่า...เป็นใครกันรึ?”

      “คือ...”ยมยื่นกระบอกน้ำคืนให้หญิงสาว “ฉันชื่อยม อาศัยอยู่กับลุงท้ายวัดห่างไกลจากที่นี่ แต่เมื่อครู่มีโจรบุกขึ้นเรือน ลุงของฉันถูกฆ่า แต่ฉันหนีมาได้ ยังไม่รู้จะไปไหนเลยจ้ะ”

       เด็กหนุ่มบอกความจริงเพียงความส่วนกับหญิงแปลกหน้า ไม่กล้าบอกว่าตนกำลังจะถูกไอ้โจรชั่วขืนใจแล้วแทงพวกมันเพื่อป้องกันตัว แต่เกรงพูดไปอาจไม่มีใครเชื่อ

      ในเมื่อยมเป็นชาย...อีกทั้งมีใบหน้าอัปลักษณ์เสียด้วย

      “คุณพระคุณเจ้า...ฟาดเคราะห์ไปนะลูกนะ” น้าพะยอมลูบต้นแขนปลอบโยนเด็กหนุ่ม “ถ้าคืนนี้เอ็งไม่มีที่ไป นอนพักบนหลังเกวียนของน้าเอาแรงก่อนก็ได้”

     “แต่ว่า...”

    “ไม่ต้องห่วงน้าหรอก เดี๋ยวน้าต้องรอผัวน้ากลับมาอยู่แล้ว วันพรุ่งค่อยว่ากันก็ได้ลูก”

    หญิงแปลกหน้าร่างอวบลุกให้เด็กหนุ่มล้มตัวนอน ยมเองแม้อยากจะปฏิเสธ แต่ตอนนี้ร่างกายมันสั่งให้ดวงตาที่อ่อนล้าปิดลง จนเด็กหนุ่มหลับสนิทไปในที่สุด ทำให้ยมไม่ได้สังเกตใบหน้าที่ใจดีของน้าพะยอมแปรเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้ม!

      หนีโจรมาเจอโจรโดยไม่รู้ตัวแล้ว...ไอ้เด็กโง่!

พาคุณเขมมาทักทายแล้วน้าคุณผู้โช้มมมมม เห็นมั้ยว่าคุณเขมเค้ารักน้องขนาดจะขอแต่งงาน ดูวววววว




​**คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจนะคะ หน้าตาไม่สนขอเพียงได้ทำ สมัยนี้มันก็ยังมีจริงๆ

กำลังจะถึงจุดพลิกผันที่แท้ทรูของเรื่องแล้วเด้อออออออ

​**สปอยยย ใครทีมคุณโดม ตอนหน้าเตรียมป้ายไฟมาเลยนะค้าา55555
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่12--
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 23-01-2018 21:39:31
ฮอลลลลลล คุณพี่จะล่อลวงน้องไปตั้งแต่สิบสองไม่ได๊ กลับมาช่วยน้องเร๊ววว ไม่งั้นจะยกน้องให้คุณโดมแล้วนะ!
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่15--
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 24-01-2018 14:26:29
 เรือนร้าว15
ตอน ชายคนนั้น
ร่างสูงโปร่งในเครื่องแบบกรมตำรวจก้าวลงมาจากรถยนต์สีดำมะเมื่อมคันงาม ในมือถือดอกไลเซนทัสสีขาวหนึ่งดอกติดมาด้วย ส่วนอีกมือถือห่อผลไม้เมืองเหนือพะรุงพะรัง คุณโดมมองเรือนของคุณพระวินิตราชศักดิ์ที่ไม่ต่างจากเมื่อสามปีก่อนเท่าใดนัก หากแต่เดี๋ยวนี้บ่าวไพร่ในเรือนบางตาลงไปมาก คงเป็นเพราะคุณพระเมตตาให้หลายชีวิตในเรือนได้ออกไปตั้งต้นชีวิตใหม่

      สามปีแล้วที่ไม่ได้มา...

      ป่านนี้...เด็กน้อยคงเติบใหญ่ขึ้นแล้วสินะ

     “คุณอาวินิตอยู่ไหม?” ร้อยโทหนุ่มถามทาสที่เดินผ่านมาหน้าเรือน

     “คุณพระอยู่บนเรือนกับคุณหญิงขอรับ” ทาสชายคนนั้นตอบ ก่อนทำท่าจะเข้ามาช่วยถือห่อผมไม้ห่อใหญ่“ให้บ่าวช่วยถือนะขอรับ”

    “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าขึ้นไปเรียนคุณอาบนเรือนก็พอว่าบุตรของพระยามนตรีมาขอพบ”

  เมื่อทาสคนนั้นเดินขึ้นเรือนไปล่วงหน้า ชายหนุ่มร่างสง่าก็มองหาคนที่อยากจะพบ คุณโดมมั่นใจว่าหากได้พบอีกครั้งจะต้องจำได้แน่นอน

     เด็กน้อยที่มีดวงตาหวานแต่เศร้าสร้อย ขณะเดียวกันก็แฝงด้วยการรอคอยใครสักคนอย่างมีความสุข

     ยม...

     “ว่าอย่างไรพ่อโดม? จากบ้านจากเรือนไปทำงานเชียงใหม่เสียนาน ถูกคุณพ่อบ่นคิดถึงบ้างหรือไม่เล่า?” คุณพระวินิตราชศักดิ์ทักร้อยตรีหนุ่มอย่างอัธยาศัย โดยมีคุณเขลางค์นั่งบีบนวดผู้เป็นสามีให้คลายเมื่อยอยู่ข้างๆ

     “ก็มีบ้างขอรับคุณอา ที่เชียงใหม่ชอบมีคนร้ายชุกชุมให้ปราบไม่เว้นแต่ละวัน บางทีกว่าจะตามจับได้คนหนึ่งก็ต้องใช้เวลาเกือบปี”

        “แล้วนี่นึกอย่างไรถึงลงมายังพระนครเล่า?” คุณพระถามต่อ

       “หลานเพิ่งได้เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจโทขอรับ นี่ก็เพิ่งมารับตำแหน่งไปเมื่อวานนี้เอง”

      “ฮ่าๆ พระยามนตรีคงภูมิใจน่าดูทีเดียว”

      คุณพระเจรจาพาทีกับแขกผู้มาเยือนอยู่เสียนาน จึงทำให้ทราบว่าตลอดเวลาที่ปฏิบัติปราบโจรที่เชียงใหม่นั้นหาใช่เรื่องง่าย บางรายนั้นต้องตามล่าอยู่เป็นปีกว่าจะนำกำลังจับกุมได้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดบุตรชายพระยามนตรีผู้นี้จึงได้เลื่อนขั้นตั้งแต่อายุยังน้อยนัก อีกไม่นานอาจได้เป็นถึงพันตรีเลยกระมัง

      “อาเห็นพ่อโดมคล้ายมองหาอะไร? มีอะไรหรือเปล่า?”

      ประมุขแห่งเรือนสังเกตว่าสายตาของแขกผู้มาเยือนคล้ายจะมองหาอะไรบางอย่าง...แต่เหมือนจะไม่พบเสียที

      “พอดีหลานมีของมาฝากยมด้วยขอรับ...” ร้อยโทหนุ่มมองดอกไลเซนทัสในมือ “คุณอาพอจะทราบ...”

     “ไอ้ยมมันหนีจากเรือนไปแล้ว” คุณหญิงวินิตราชศักดิ์ที่เงียบอยู่นานเอ่ยขัดขึ้น จนคุณพระต้องหันมามองปราม

      “ไม่เอาน่าแม่เขลางค์...”

     “ขออภัยเจ้าค่ะ น้องเพียงไม่ใคร่อยากได้ยินชื่อนี้นัก” คุณเขลางค์แสร้งทำเสียงเศร้าสำนึก

      หากแต่เธออยากจะพูดด้วยซ้ำว่าคนที่ชื่อยม...มันได้ตายไปจากโลกนี้แล้วต่างหาก!

      “คืออย่างนี้พ่อโดม...” คุณพระถอนใจเฮือกยาว ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือนให้ฟัง “แม่เขลางค์เขาจับได้ว่าไอ้ยมกับไอ้เข้มมันขึ้นไปขโมยของบนเรือนพ่อเขม มันสองคนจึงหลบหนีความผิดน่ะ ทุกวันนี้อาเองก็ยังแคลงใจ เพราะนิสัยอย่างไอ้เข้มยังพอว่า แต่ไอ้ยมนี่สิ มันดูซื่อๆมาตั้งแต่เด็ก จนไม่อาจจะเชื่อได้เลยจริงๆ”

    “ขึ้นชื่อว่าเป็นบ่าวเป็นไพร่ อย่างไรก็ไว้ใจไม่ได้หรอกเจ้าค่ะคุณพี่” คุณเขลางค์พูดขึ้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด

    “ฉันว่ายามที่ฉันพูดถึงยมทีไร...ดูแม่เขลางค์จะไม่ค่อยพอใจเท่าใดนะ”

    “คุณพี่!! คุณพี่คิดว่าน้องกล่าวเท็จรึเจ้าคะ!?”

     คุณเขลางค์แสร้งตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ ก่อนจะก้าวเดินลงจากเรือนฉับไวโดยมีอีเฟื้องตามลงไปด้วย ทางด้านคุณพระเองก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมาเมื่อเจอกับอารมณ์ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายของเอกภริยา

     “พ่อโดม อาต้องขอโทษแทนคุณหญิงด้วยนะ”

     “ไม่เป็นกระไรขอรับ” ร้อยโทหนุ่มตอบรับคุณพระ “นี่ก็ใกล้เวลาโพล้เพล้เข้าเต็มที หลานว่าจะลากลับเชียงใหม่เสียเลย”

       คุณพระเดินมาส่งแขกหน้าเรือนจนกระทั่งร้อยโทดนัยก้าวขึ้นรถยนต์คันเก่ง ร่างสูงวางดอกไลเซนทัสไว้ข้างเบาะคนขับ คุณโดมกราบลาคุณพระวินิตราชศักดิ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะออกรถเพื่อกลับเชียงใหม่ ดวงตาสีนิลตามแบบฝรั่งมองดอกไลเซนทัสที่เป็นหม้าย พลางครุ่นคิดว่า...

       ยมจะขโมยของๆคนรักไปทำไมกัน?

      ขณะที่มือใหญ่บังคับพวงมาลัยไปด้านหน้า ทางนี้เป็นทางที่ไม่ค่อยมีบ้านเรือนปลูก ผู้คนก็ไม่ค่อยสัญจรกันไปมาอาจเป็นเพราะยามนี้โพล้เพล้แล้วก็เป็นได้ หากแต่อยู่ๆก็มีชาวบ้านประมาณสองสามคนมาโบกรถ สีหน้าของพวกเขาคล้ายมาขอความช่วยเหลือ คุณโดมจึงลดกระจกลงเพื่อพูดคุยด้วยหากมีเหตุร้ายแรงจะได้ช่วยเหลือได้ทัน

      “พ่อหนุ่มๆ พ่อหนุ่มช่วยที”

     “มีอะไรเกิดขึ้นหรือครับป้า?” ร้อยโทหนุ่มถามเมื่อเห็นว่าหญิงชาวบ้านวัยทองมีสีหน้าร้อนรนนัก

     “ที่ท้ายตลาดนู่น...” ชาวบ้านอีกคนชี้นิ้วบอกกลายๆบอกทางข้างหน้า “ลุงเห็นเด็กหน้าตามีแผลเหวอะคนหนึ่งถูกจับมัดนอนไว้เหมือนทาส พอดีลุงเห็นว่าพ่อหนุ่มเป็นตำรวจ ช่วยเด็กคนนั้นทีเถอะ ลุงสงสารมัน”



        ยมค่อยๆปรือตาขึ้นมาก็พบว่าตนยังนอนอยู่บนเกวียนเล่มเก่าที่อาศัยเป็นที่หลับนอนเมื่อคืน หากแต่เมื่อกลอกตามองรอบด้าน ตรงนี้ไม่มีใครผ่านมา หากแต่มีเสียงโหวกเหวกโวยวายพูดเจรจาซื้อขาย ไหนจะมีผู้คนที่เดินกันดูวุ่นวายมาแต่ไกล

       แต่ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีใครเดินผ่านมาตรงนี้สักคน

      เด็กน้อยยันกายลุกขึ้นนั่งด้วยสับสนไปหมด หากแต่เมื่อยามที่ขยับก็จะล้มทุกครา...ทำให้ยมรู้ทันทีว่าถูกมัดมือมัดเท้าไว้!!

      เท่าที่จำความได้ เมื่อคืนตนมาพบกับหญิงสาวท่าทางใจดีคนหนึ่งในดงป่าร้าง นางเอาน้ำให้ตนดื่มแล้วให้หลับบนหลังเกวียน

         แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร?

       “ตื่นแล้วเหรอ?”

       ยมหันไปตามเสียงเรียก ก็พบว่าน้าพะยอม...คนที่ช่วยตนไว้เมื่อคืนเดินเข้ามาหาตนช้าๆ ใบหน้าที่อ่อนโยนเมื่อคืนแปรเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้ม นางเข้ามาจิกเส้นผมอย่างแรงจนร่างเล็กต้องขยับขึ้นนั่ง ใบหน้าเด็กหนุ่มแหงนมองฟ้า

       “เสียดาย...หน้าผีๆอย่างเอ็งคงขายเป็นได้แค่ทาส หึๆ” หญิงสาวกลั้วหัวเราะ

      “น้าพะยอม...ทำไม...” แววตาเด็กหนุ่มสั่นระริก สับสนไปเสียทุกอย่าง เหตุใดท่าทีของหญิงใจดีถึงเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้

       เพี๊ยะ!!

      ร่างของยมล้มลงบนเกวียนตามแรงตบ แม้จะแสบหน้าเพียงใดก็ร้องไม่ออก ทำได้เพียงอ้าปากค้างเมื่อเห็นอากัปกิริยาของหญิงใจดีคนนั้นเปลี่ยนไปราวกับคนละคน

     “เงียบปากไป ข้าไม่อยากทำสินค้าแรงนัก”

      สินค้า...อย่างนั้นรึ!?

      “อีพะยอม...ข้าซื้อแตงกวามาให้แล้ว” ชายร่างใหญ่แปลกหน้ายื่นกระบุงแตงกวาใบเล็กวางไว้ท้ายเกวียน “อีกสักพักคนของเศรษฐีกล่ำจะมารับตัวไอ้เด็กนี่ไปนะ”

      “เศรษฐีกล่ำรึพี่เพ้ง...” พะยอมถามสามี “ที่เขาร่ำลือว่าชอบทรมานทาสถึงตายน่ะนะ?”

     “เออ...ข้ารับอัฐมาแล้ว นี่ไง”

         พะยอมรับถุงอัฐมาเปิดดู แววตาละโมบประกายเมื่อเห็นว่าข้างในคงมีอัฐไม่ต่ำกว่าสิบช่างแน่กระมัง

    “ไอ้เศรษฐีกล่ำนี่มันใจป้ำแท้ ขนาดพี่บอกว่ามันหน้าผีก็ยังเอา”

    “ก็เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยมีใครขายตัวเป็นทาสแล้วนี่โว้ย เอ็งดูมันให้ดีแล้วกัน อย่าให้ไอ้เด็กนี่มันหนีไปก่อนล่ะ”

      “แล้วพี่จะไปไหน?”

     “พอดีข้าเห็นเด็กที่ไหนไม่รู้ น่าจะหลงกับแม่มัน อายุไม่น่าเกินสิบขวบ คงขายได้ราคางามกว่านี้แน่” เพ้งตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงอัฐกองโต อากัปกิริยาของเมียมันก็ไม่ต่างกันนัก

      “อย่างนั้นรีบไปเลยพี่ หลอกมาให้ได้นะ อย่าให้หลุดมือเชียว”

      พอพ้นร่างของเพ้ง พะยอมก็ชี้หน้าขู่เด็กหนุ่มที่ไม่มีทางสู้อย่างดุดัน ไม่เหลือเค้าความอ่อนโยนเหมือนตอนนั้นแม้แต่น้อย

      “อย่าคิดจะหนีเชียวนะมึง!”

      ผิดคาด...แทนที่เด็กหนุ่มจะรู้สึกกลัว ตอนนี้ยมกลับมองหน้าหญิงใจชั่วอย่างไม่กลัวเกรง

      ไม่น่าเลย...ทั้งที่จะไม่ไหวใจใคร แต่กลับถูกเปลือกน้ำใจของคนชั่วหลอกเอาเสียได้

      “ยัง...ยังจะมามองข้าแบบนั้นอีก!” พะยอมง้างมือหมายจะตบแผลบนหน้าให้หายคันมือ

      “ที่น้าพะยอมบอกว่ามีอาชีพเร่ร่อนขายของ...คือความศักดิ์ศรีของมนุษย์ด้วยกันเองอย่างนั้นรึ?”

       “ปากดีรึมึง!?”

      เพี๊ยะ!!!

    พะยอมตบหน้ายมเต็มแรงจนหน้าหัน ร่างเล็กนอนคะมำกระแทกกับพื้นเกวียน เท่านั้นยังไม่พอ...หญิงสาวคว้าแตงกวาในกระบุงมายัดใส่ปากเด็กหนุ่มที่ไม่ทันระวังตัว ก่อนจะจิกกระชากเส้นผมให้แหงนมองตน

     “เดี๋ยวพอมึงไปอยู่กับเศรษฐีกล่ำ มึงจะปากดีไม่ออก!” หญิงชั่วกระซิบเสียงเข้ม มุมปากแสยะจนยมนึกกลัว

      “เอ้านั่น!!แล้วเอ็งเป็นใครวะ? มามองข้าทำไม?”

      พะยอมถามเหวี่ยงๆเมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มหน้าตาสะอาดมองตนกำลังตบสั่งสอนสินค้าอยู่นานแล้ว ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ ยมขมวดคิ้วเข้ากับกันด้วยรู้สึกเหมือนเคยเห็นคนๆนี้มาก่อน

      “พี่สาวใจเย็นๆ คือ...ฉันกำลังอยากได้คนมาดูแลบ้าน”

     “แล้วไง?”

     “ฉันสนใจเด็กคนนี้ ขายให้ได้ไหมเล่า?”

    “วุ้ย! ขายไม่ได้โว้ย แต่ถ้าเอ็งอยากจะได้ รอผัวข้าไปหลอกเด็กมาก่อน ไปๆๆ”

    พะยอมโบกมือไล่ หากแต่เพราะไม่ทันระวังชายหนุ่มคนนั้นก็เข้ามาจับตัวร่างของพะยอมไว้ ก่อนจะใส่กุญแจมือป้องกันไม่ให้หนี

      “นี่...อะไรกัน เอ็งเป็นใครกันแน่วะ!?”

     “ผมเป็นตำรวจ ทางเราออกหมายจับสองผัวเมียลอบค้าทาสอย่างพวกคุณมานานแล้ว โดนข้อหาหนักแน่คราวนี้!!”

     “ปล่อย...ปล่อย!! เข้าใจผิดแล้ว เด็กนั่นมันเป็นเด็กรับใช้ ข้าจะทำยังไงกับมันก็ได้”

    “ไว้ไปแก้ตัวกับทางการพร้อมไอ้เพ้งสามีของคุณก็แล้วกัน”

   “ไม่!!” พะยอมดิ้นโวยวายเมื่อได้ยินชื่อสามี ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าตัวเพ้งเองคงไม่วายถูกจับเช่นเดียวกัน ใคร...ใครที่คาบข่าวไปบอกตำรวจ!!

     “เรียบร้อยดีนะวายุ”

    “เรียบร้อยครับพี่โดม ตอนนี้ขจรพาตัวไอ้เพ้งส่งทางการแล้ว เดี๋ยวผมจะพาเมียของมันตามไป ขอบคุณพี่มากๆนะที่ส่งข่าวมาบอกพวกผมสองคน”

      พอวายุพาตัวผู้ต้องหาออกไป คุณโดมจึงรีบเข้ามาดูอาการของร่างเล็กที่ถูกมัดให้นอนบนเกวียน ก่อนจะแก้มัดให้เด็กหนุ่มเป็นอิสระ

      “เป็นอย่างไรบ้าง? ผมจะพาไปส่งบ้านนะ บ้านอยู่ไหนล่ะ?”

    ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา เมื่อแก้มัดเสร็จร้อยโทหนุ่มก็ประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นนั่ง คุณโดมดึงแตงกวาที่เป็นต้นเหตุที่เด็กหนุ่มพูดไม่ได้ออกมา หากแต่เมื่อได้มองพิจารณาแววตาของคนตรงหน้าจริงจังแล้ว

      ดวงตาเศร้าปนหวานคู่นั้น...

     ดวงตาเศร้า...ที่เหมือนรอคอยใครบางคน...

     แม้จะผ่านไปสามปีแล้วก็ตาม แต่ดวงตาคู่นี้กลับอยู่ในความทรงจำของคุณโดมแทบจะตลอดเวลา

     “ยม...ยมใช่ไหม??”

     ร่างน้อยชะงักเมื่อได้ยินคนตรงหน้าเรียกชื่อของตน ดวงตาหวานล้ำมองร้อยโทหนุ่มตรงหน้า ด้วยรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งกว่านายตำรวจคนเมื่อครู่เสียอีก     

      “ยมจำฉันไม่ได้รึ?” เจ้าของดวงตาสีนิลขี้เล่นยังคงจับจ้องเด็กน้อยไม่วางตา “โดม...ลูกชายของพระยามนตรีอย่างไรเล่า”

       คุณโดม...

      จำได้แล้ว...คนที่มอบดอกไลเซนทัสให้ก่อนจะจากไปเชียงใหม่เมื่อสามปีก่อนคนนั้น

     คนที่ช่วยยมไม่ให้ถูกเถ้าแก่ตัณหากลับปู้ยี้ปู้ยำ

     คนที่ช่วยไม่ให้ยมหกล้มที่งานวัดภูเขาทอง

     “คุณโดม ช่วยบ่าวด้วย ฮึก!!!”

     ร่างน้อยผวาเข้ากอดร้อยโทหนุ่ม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลปลดปล่อยน้ำตาที่อัดอั้นความโหดร้ายที่ได้รับอย่างแสนสาหัส มือใหญ่ก็คอยลูบแผ่นหลังปลอบโยน คุณโดมสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่แทรกซึมเนื้อผ้าจนเปียกชื้น

       ยมคงตกใจและเสียขวัญเป็นอย่างมาก

“ลุงเห็นเด็กหน้าตามีแผลเหวอะคนหนึ่งถูกจับมัดนอนไว้เหมือนทาส พอดีลุงเห็นว่าพ่อหนุ่มเป็นตำรวจ ช่วยเด็กคนนั้นทีเถอะ ลุงสงสารมัน”

          “ยม...”

         พลันร้อยโทหนุ่มก็นึกถึงคำที่ชาวบ้านกลุ่มนั้นบอก คุณโดมผละร่างเด็กหนุ่มเพื่อพิจารณาใบหน้าของยมถี่ถ้วนอีกครั้ง ใบหน้าหวานไม่ต่างจากเมื่อก่อนนั้น มีรอยแผลเหวอะหวะอยู่ที่แก้มซีกซ้ายเกือบถึงดวงตา!!

      “ยม ทำไมหน้ายมเป็นเช่นนี้ บอกฉันมาใครทำ!!!?”

      วินาทีนั้นคุณโดมเดือดดาลกับรอยแผลที่เห็น คนที่ทำร้ายยมนั้นจิตใจช่างโหดเหี้ยมราวไม่ใช่มนุษย์

      “...” เด็กน้อยได้แต่ส่ายหน้าไม่ยอมตอบ ริมฝีปากแดงกัดเม้มไม่ปริแม้คำเดียว  เจ้าของดวงตาสีนิลถอนใจดังเฮือกก่อนจะระงับอารมณ์โกรธ ร่างสูงโอบอุ้มคนตัวเล็กออกเดินไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ห่างจากท้ายตลาดเท่าใดนัก

     “คะ...คุณโดม...”

    “ขอโทษนะที่เสียงดัง ฉันลืมไปว่ายมอ่อนแรงเหลือเกิน”

    ยมยอมให้คุณโดมอุ้มมาแต่โดยดี ไม่ขัดขืนแต่อย่างใด...ครั้นเมื่อเดินมาถึงรถ คุณโดมก็เปิดประตูหลังช้อนร่างเล็กให้ค่อยๆนอนราบกับเบาะนิ่ม มือใหญ่ลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างอบอุ่น

      “ฉันจะพายมไปส่งที่เรือนคุณอา”

     “อย่า! อย่าพาบ่าวกลับไปนะขอรับ” ร่างน้อยผวาเกาะแขนคุณโดม “บ่าวกลับไปที่นั่นไม่ได้”

      คุณโดมมองเด็กน้อยที่ใบหน้ายังมีคราบน้ำตาปนเปื้อน เมื่อนึกถึงเรื่องของยมที่คุณพระเล่าให้ฟัง...คุณโดมก็พยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ

     “ถ้าเช่นนั้นฉันจะพายมกลับเชียงใหม่ด้วยกัน หวังว่ายมคงไม่ขัดข้องอะไร”

    “แล้วแต่คุณโดมจะกรุณาบ่าวขอรับ...” ดวงตาน้อยหรี่ลงเพื่อปกปิดแววเศร้า “บ่าวไร้บ้าน เรือนที่บ่าวอาศัยบ่าวก็ไม่อาจกลับไปได้แล้ว บ่าวไร้ที่พึ่ง ไร้ญาติขาดมิตรเหลือเกิน”

     “โธ่ยม...” คุณโดมยื่นมือเช็ดน้ำตาเปียกปอนแก้มสองข้าง แม้ในใจจะมีคำถามมากมายเหลือเกิน แต่อย่างมากก็ทำได้เพียงเช็ดน้ำตานี่เอง

     “หลับตาลงเถิดนะเด็กดี” ริมฝีปากหนายื่นไปจุมพิตหน้าผากมน มืออุ่นด้านขวาเอื้อมมาปิดเปลือกตาน้อยให้ค่อยๆหลับใหล

    “จะไม่มีฝันร้ายสำหรับเธออีก”

   ร้อยโทหนุ่มเดินไปเปิดประตูรถด้านหน้า หยิบดอกไลเซนทัสสีขาวบริสุทธิ์วางไว้บนแผ่นอกด้านซ้ายของเด็กหนุ่มที่ตอนนี้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว

    แด่มิตรภาพ...

    ฉันจะช่วยเหลือมิตรภาพคนนี้ให้หลุดพ้นจากฝันร้ายเอง



 ดวงตาหวานฉ่ำปรือน้อยๆกลอกมองรอบๆ ยมยังคงนอนอยู่บนเบาะด้านหลังรถยนต์ของคุณโดม ทีแรกยมนึกว่าตนคงกลัวจนเก็บไปฝัน แต่ครั้นเมื่อร่างเล็กค่อยๆยันกายขึ้น ก็พบว่ามีดอกไม้สีขาวคุ้นตาตกลงมาที่หน้าตัก

      ดอกไลเซนทัส!

      แสดงว่าคุณโดมลงมาช่วยยมจริงๆหรือนี่?

      ยมรอดจากพวกคนเลวได้แล้วอย่างนั้นหรือ!?

      “คุณโดม...”

     “อ้าวยม...ตื่นแล้วรึ?” คุณโดมถามขึ้นพลางเคี้ยวก้อนข้าวเหนียวตุ้ยๆ เด็กน้อยยันกายลุกขึ้นมองร่างสูงแล้วอดที่จะอมยิ้มไม่ได้   

 “ถึงเชียงใหม่แล้วหรือขอรับ?” เด็กน้อยเอ่ยถามเสียงงัวเงีย ขยี้ตาเบาๆ 

 “ยังไม่ถึงหรอกยม” มือใหญ่ยื่นมาลูบเส้นผมคนตัวเล็ก “ฉันแค่พักรถเสียหน่อยน่ะ วันพรุ่งไม่เกินเย็นก็น่าจะถึงเชียงใหม่แล้วล่ะ”   

 “ขอรับ...”   

  โครก...   

 “หึๆๆ” ร่างสูงในเครื่องแบบร้อยโทกลั้วหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงโครกครากมาจากเด็กน้อย คุณโดมยื่นห่อข้าวเหนียวกับหมูเค็มตากแห้งที่นำติดตัวมาตั้งแต่เดินทางออกจากบ้านส่งให้ นั่นทำให้ยมยิ่งหน้าแดงด้วยความอายเสียงท้องร้องของตัวเองเข้าไปอีก     

 “หิวล่ะสิ...เอ้านี่ กินไปก่อนนะ”     

“ขอบพระคุณขอรับ" เด็กน้อยยกมือไหว้ก่อนจะรับข้าวเหนียวมาปั้นเข้าปาก กลิ่นหอมจากข้าวเหนียวยิ่งเรียกน้ำย่อยจากเด็กน้อยเป็นอย่างดี เพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว     

 “ไม่ต้องรีบกินนะยม” คุณโดมมองร่างน้อยที่เคี้ยวข้าวตุ้ยๆด้วยความหิว ไม่รู้หรอกนะว่าคนตัวเล็กตรงหน้าผ่านทุกข์อะไรมาบ้าง...แต่คงจะสาหัสและอิดโรยจนน่าเวทนา     

 เด็กที่ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าผู้ใด...กลับแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขา   

 “กินเยอะๆนะ  ผอมเหลือเกินเด็กน้อย” คุณโดมวางห่อหมูเค็มตากแห้งกับกระติกน้ำส่วนของตนไว้ข้างๆคนตัวเล็ก ตาก็พิจารณาร่างกายผ่ายผอมราวจนเนื้อหนังแทบจะติดกระดูกอยู่แล้ว     

 “แต่นี่ของคุณโดมนะขอรับ”   

  “ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันจะเอนหลังเสียหน่อย ขับรถมาค่อนคืนฉันก็เมื่อยนะ”     

 เสียงนุ่มทุ้มพูดติดตลก ก่อนจะปรับเบาะเอนตัวลงนอนแล้วเอามือก่ายหน้าผาก ยมเคี้ยวหมูเค็มตากแห้งพลางมองไปรอบๆ ตรงนี้ไม่ค่อยมีบ้านคนนักเพราะตรงนี้อยู่ติดกับชายป่า หากแต่แสงไต้ของแต่ละบ้านที่น้อยนิดนั้นพอจะเผื่อแผ่ความสว่างมาถึงรถยนต์ของคุณโดมได้บ้าง

     “ยมรู้ไหม...” เสียงนุ่มทุ้มกล่าวขึ้นแม้ดวงตาจะปิดเพื่อพักสายตา “ปกติเวลาที่ฉันปฏิบัติงานอยู่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยได้นั่งพักเอนหลังเช่นนี้หรอก”

       เด็กน้อยยกกระติกน้ำขึ้นจิบสองสามอึก ก่อนจะเอ่ยถามบ้าง “คุณโดมทำงานหนักหรือขอรับ?”

    “ใช่ คนร้ายที่นั่นเยอะจนนำกำลังจับแทบไม่หวัดไม่ไหว ไหนจะต้องวางแผนตระเวนพื้นที่ใกล้เคียงไม่ได้หยุดพัก” ร้อยโทหนุ่มหมาดๆพร่ำบ่น

    “ดังนั้นการที่ฉันได้ลงมาพระนครเป็นครั้งแรกในรอบสามปี มันเหมือนเป็นการพักผ่อนไปในตัวเชียวล่ะ แม้จะลงมาเพราะเรื่องงานก็เถอะ”

     อยู่ๆใบหน้าคมคายฉบับฝรั่งก็ลืมตาขึ้น แล้วหันมามองยมที่ยังคงเคี้ยวหมูเค็มเต็มปากก่อนจะกลืนลงท้อง

     “ยม...”

    “ขอรับ...”

    “ยมจะไม่บอกฉันจริงๆหรือ? ว่าใครทำร้ายยมถึงขนาดนี้”

     ใบหน้าที่มีแววตาเศร้าประดับสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากแดงเม้มเข้าหากันแน่น แม้แต่คุณโดมยังสังเกตได้ว่าเด็กน้อยคงผ่านความจริงอันโหดร้ายมาสาหัสเอาการ

      จนไม่อยากจะพูดมันออกมาให้ช้ำใจอีก

     ช่างน่าสงสาร...จับใจ

    “เอาเถิด...อย่าคิดมาก ฉันไม่เซ้าซี้ยมแล้ว” ร่างสูงปรับเอนเบาะกลับขึ้นมานั่งเหมือนเดิม “อิ่มหรือยัง? ฉันจะได้เก็บกวาด”

     “อิ่มแล้วขอรับ”

    หลังจากร่างสูงกับยมช่วยกันเก็บกวาดเศษขยะเสร็จในเวลาไม่นานนัก ขณะที่กายเล็กกำลังก้มตัวลงนอน เสียงนุ่มทุ้มก็ปรามไว้เสียก่อน

     “อย่าเพิ่งนอนสิยม เพิ่งกินอิ่มเดี๋ยวก็จุกกันพอดี”

    เมื่อถูกดุ...ร่างน้อยจึงจำต้องลุกขึ้นเปลี่ยนมานั่งพิงกับเบาะรถแทน แต่แล้วดวงตาน้อยๆก็ต้องมองร้อยโทหนุ่มอย่างแปลกใจที่อยู่ๆร่างสูงก็ลุกจากเบาะข้างหน้าอ้อมมาเปิดประตูหลังฝั่งที่ว่างอยู่

      “คุณโดมจะนอนตรงนี้หรือขอรับ?” ยมถามอย่างแปลกใจ “ถ้าเช่นนั้นบ่าวไปนอนด้านหน้านะขอรับ”

     “ไม่ต้องหรอกยม” คุณโดมขยับเข้ามาใกล้คนตัวเล็ก “ฉันขอยืมตักยมนอนก็แล้วกัน”

      ยังไม่ทันที่ยมจะเอ่ยปากยอมอย่างสมัครใจ ร่างสูงก็เอนศีรษะหนุนตักคนตัวเล็กที่ตอนนี้ได้แต่นั่งตัวเกร็งไม่กล้าดิ้น เพราะใบหน้าหล่อคมคายเอาแต่จ้องตนไม่วางตา

     แม้คุณโดมจะมีคำถามมากมายอยากถามเหลือเกิน...แต่ก็ต้องนึกถึงความรู้สึกของยมเสียก่อน

      ไว้ถึงเวลา...ค่อยถามก็แล้วกัน

      “ฉันเหนื่อย...แต่ถ้ายมเมื่อยก็บอกฉันนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

      พูดเพียงแค่นั้น เปลือกตาของร้อยโทหนุ่มก็ปิดสนิททันทีโดยไม่รอให้ยมได้พูดอะไร เด็กน้อยเองก็ได้แต่มองร่างสูงที่นอนหลับเป็นตายด้วยความสงสารเช่นเดียวกัน เป็นตำรวจที่ต้องดูแลทุกข์สุขประชาชน คงจะเหนื่อยมากสินะ

    มือเล็กลูบเส้นผมสะอาดของคุณโดมแผ่วเบา พลางมองใบหน้าคมคายที่หลับสนิทท่าทีไม่ต่างจากเด็กเล็กยามหนุนตักมารดา ยมไม่เคยได้รับสัมผัสแบบนั้นหรอก...แต่เด็กน้อยก็พอจะรับรู้ได้ว่ามันช่างอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความรักจนน่าอิจฉานัก

      ก็เพียงเด็กกำพร้า...ที่ทั้งชีวิตมีเพียงคนในหัวใจเท่านั้น

     คนที่เคยให้ยมหนุนตักยามง่วงเหงาหาวนอนขณะชมจันทร์ เป็นสัมผัสที่อบอุ่นที่สุดในชีวิตแล้ว

      ค่ำนี้ดวงดาวสุกสกาว...ราวกับเอาใจช่วยยมนัก

     อย่างน้อยครั้งนี้บาปกรรมที่ยมรับนั้นก็พัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว...เด็กน้อยหวนนึกถึงลุงเบิ้มผู้มีบุญคุณให้ที่หลบซ่อนแก่ยม ลุงเบิ้มเป็นคนดี...ไม่สมควรมาตายเพราะถูกโจรฆ่าเช่นนี้เลย พี่เพลิงกับพี่มั่นคงจะเสียใจมาก

     ‘ยมขอให้ดวงวิญญาณของลุงเบิ้มไปสู่ภพภูมิที่ดี อย่าได้พบเจอกับสิ่งเลวร้ายเหมือนที่ได้ประสบอีกเลย’



**ไหนใครอยู่เรือนพระรอง แสดงตัวหน่อยยย คุณโดมมาแล้วววว

**เค้าเจอกันแล้ว แสดงตัวหน่อยเร้ววววว ทีมเขมยม ทีมโดมยม55555





หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่15--
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 24-01-2018 15:01:42
มีทีมตบคุณหญิงมั้ยคะ 555
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่15--
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 24-01-2018 17:36:41
รำคาญคุณหญิงชอบกล ติดตามนะ
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่15--
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 24-01-2018 20:52:18
โชคดีมาเจอคุณโดม น้องยมชีวิตรันทด ไปอยู่เชียงใหม่แล้วจะเจอคนที่เฝ้ารอยังไงหล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่16--(50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 24-01-2018 21:21:27
​เรือนร้าว16
ตอน ขนมเกลือ(ครึ่งแรก)
     พิธีศพคืนแรกของลุงเบิ้มถูกจัดขึ้นอย่างเงียบๆ เพราะลุงเบิ้มไม่ได้มีญาติที่ไหนนอกจากมั่นที่เป็นญาติห่างๆ รวมถึงเจ้าอาวาสที่มาเป็นทั้งเจ้าภาพและนำสวดอภิธรรมพร้อมทั้งพระเณรรูปอื่น โดยมีเด็กวัดนับสิบชีวิตคอยมาแวะเวียนดูแลงานเป็นระยะ พิธีนี้จึงกำหนดให้มีการสวดเพียงสามวันแล้วเผาทันที

      “ฮึก ฮือ...” มั่นวักขันเงินใบเล็กรดน้ำศพของชายชราที่ตนเคารพรัก แม้ว่าลุงเบิ้มจะเป็นเพียงญาติห่างๆ แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่มั่นพึ่งพาได้เสมอจนมั่นผูกพันราวกับเป็นพ่ออีกคน ไม่คิดเลยว่าจะมาจากกันโดยไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้

     “ไม่เป็นไรนะไอ้มั่น เดี๋ยวข้าพาไปนั่ง”

      เพลิงประคองร่างเล็กกว่าขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ในศาลา มั่นพิงใบหน้าลงบนอกแกร่งของเพื่อนรักอย่างอ่อนแรง

      “ฮึก ไม่คิดเลยว่า...ขนาดสัปเหร่อที่อาศัยท้ายวัด แทบจะไม่มีของมีค่าให้ปล้น ไอ้พวกโจรใจบาป ฮึก...มันยังจะทำชั่วๆอย่างนี้ได้” มั่นกล่าวระบายแค้นปนสะอื้น เพลิงได้แต่โอบเพื่อนรักแล้วลูบแขนปลอบโยน

     “ทำใจเถอะนะไอ้มั่น ถึงอย่างไร ไอ้โจรพวกนั้นก็ตายตกไปตามกัน ชดใช้ความผิดที่มันทำลุงเบิ้มต้องตาย”

      หลังจากทำใจให้สงบลงได้บ้าง มั่นก็ค่อยๆยันตัวออกจากอ้อมแขนของเพลิง แล้วทำท่าจะลุกไปยังกลุ่มหญิงชาวบ้านที่กำลังตำหมากเพื่อใช้นำไปใส่ปากของศพลุงเบิ้มต่างเงินปากผี

      “เอ็งจะไปไหนไอ้มั่น?”

     “ลุงเบิ้มชอบเคี้ยวหมากมาก...” มั่นตอบเพื่อนรักเสียงสั่น “ลุงเบิ้มเป็นที่พึ่งให้ข้าได้ในยามยาก ข้ายังไม่เคยทำอะไรให้ลุงเลย ข้า...ข้าอยากทำอะไรตอบแทนบุญคุณบ้าง”

      เมื่อมั่นเดินออกไปแล้ว เพลิงก็ไปช่วยเด็กวัดคนอื่นๆนิมนต์เจ้าอาวาสกับบรรดาภิกษุสามเณรเข้ามาในศาลาเพื่อสวดอภิธรรมศพคืนแรกต่อไป

      ศพของลุงเบิ้มถูกพบยามสาย เป็นจังหวะเดียวกับที่ตนกับมั่นตั้งใจนำหนังสือเงาะป่ามาคืนยม แต่ปรากฏว่ามีเพียงศพของคนแปลกหน้าสองคนซึ่งน่าจะเป็นโจรมาปล้นชิงทรัพย์ เพราะในย่ามของโจรคนหนึ่งมีพระเครื่องเก่าแก่ของลุงเบิ้มอยู่สองสามองค์ และข้างๆโจรที่นอนตายอยู่นอกเรือนซึ่งเป็นคนเดียวกับเจ้าของย่ามใบนั้นมีมีดทำครัวที่เปื้อนเลือดวางอยู่ ดูก็รู้ว่าน่าจะเกิดจากการป้องกันตัวของเหยื่อ

     และเหยื่อคนนั้น...ก็คือยม!

   ยมคงกลัวความผิดที่ป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ จึงได้หนีหายสาบสูญไปจนยากที่จะตามติด ครั้นอยากจะให้ทางการช่วยสืบหา...ก็เกรงว่าเรื่องที่ยมยังมีชีวิตอยู่อาจรู้ไปถึงคุณเขลางค์เข้าสักวัน

     แต่เรื่องที่กลัวมากที่สุดก็คือ...

      ‘แล้วคุณเขมกลับมา...ข้าจะบอกอย่างไร?’

      จะทำอย่างไรดี!?



        “ยม...ยม...”

       เสียงนุ่มทุ้มเรียกคนตัวเล็กที่ขดตัวนอนสบาย มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่ประใบหน้าที่มีรอยแผลเบาๆด้วยความสงสาร แต่แล้วก็ต้องหยุดการกระทำเมื่อเด็กน้อยค่อยๆปรือตาขึ้นมา

         “ตื่นแล้วรึ?”

       “อื้อ!” ยมขยี้ตาเบาๆเพราะแสงแดดจากนอกรถลอดเข้ามาแยงดวงตา เด็กน้อยกลอกตามองรอบๆก็พบว่าศีรษะทุยของตนกำลังหนุนบนตักแกร่งของชายหนุ่ม

        “คุณโดม...” ร่างเล็กทะลึ่งลุกขึ้นมานั่งพรวด “เมื่อคืนคุณโดมเป็นฝ่ายนอนตักบ่าวมิใช่หรือขอรับ? แล้ว...”

      ยมกำลังจะถามต่อว่าแล้วทำไมจนถึงสลับมานอนตักคุณโดมเสียได้ แต่ร้อยโทหนุ่มก็ชิงพูดตัดบทว่า

      “พอดีฉันตื่นขึ้นมาเจอยมนั่งหลับน่ะ กลัวยมจะเมื่อยฝ่ายเดียว ฉันก็เลยให้ยมนอนตักฉันคืนบ้าง” คุณโดมตอบคำถามพลางยักคิ้วกวน ส่วนเด็กน้อยได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำอะไรไม่ถูก

     “นี่ก็สายมากแล้ว อาจจะถึงตัวเมืองเชียงใหม่เกือบเย็นๆ” ร่างสูงขยับตัวลงจากด้านหลัง เพื่อไปประจำตำแหน่งคนขับ “มานั่งข้างหน้าด้วยกันสิยม”

       เด็กน้อยเปลี่ยนมานั่งเบาะข้างคนขับอย่างว่าง่าย เด็กน้อยนั่งงุนงงอยู่กับวิธีคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่นานโดยมีคุณโดมคอยจ้อง จนคนตัวเล็กคาดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองสำเร็จ

       “ตอนนี้เราอยู่กันที่ลำปางนะ...เดี๋ยวพอพ้นลำปางก็ถึงเชียงใหม่แล้วล่ะ”

      คุณโดมพูดขึ้น ดวงตาสีนิลแบบฝรั่งก็มองเด็กน้อยที่มองบรรยากาศรอบๆ จากหมู่บ้านแถวชายป่าสู่เขตเมืองที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนของผู้คน ถนนหนทางเริ่มมีความเจริญมากขึ้นทำให้รถยนต์ของคุณโดมขับง่ายไม่ติดขัดเหมือนตอนที่อยู่ในป่า คุณโดมมองเด็กน้อยที่ยังคงนั่งซึมไม่ค่อยพูดไม่จาตลอดทาง ร่างสูงจึงแวะเวียนซื้อของกินมากมายตามข้างทางกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าอย่างเป็นกันเองแทบจะตลอดทาง ด้วยหวังจะให้ยมได้ลืมความทุกข์ที่มีเสียบ้าง

      “คุณโดมขอรับ...” เด็กน้อยหมายจะเตือนให้คุณโดมหยุดซื้อของกินเสียที เพราะตอนนี้ไม่ว่าทั้งของคาวหวาน ร้อยโทหนุ่มฝากไว้ที่ตนจนแทบจะไม่มีที่วางอยู่แล้ว

      “รอเดี๋ยวนะยม” คุณโดมลดกระจกถามแม่ค้าที่นั่งขายขนมมากมายในหาบเร่ “ขนมในหาบมีอะไรบ้างครับ?”

     “มีเข้าหนมเปี่ยง เข้าหนมซะละอ่อน กับเข้าหนมเกลือเจ้า เปิ้นเพิ่งยะฮ้อนๆจากบ้านเลยเน้อ” แม่ค้าตอบคุณโดมเป็นภาษาเหนือ แต่คนที่ทำหน้างุนงงกลับเป็นยมเสียเอง

    “เหมาหมดเลยครับ”

     “ได้กะเจ้า”

     แม่ค้าหยิบขนมในหาบเร่ห่อใบตองใหญ่จนหมดด้วยความดีใจที่ขายหมดภายในครั้งเดียว คุณโดมยื่นอัฐส่งให้แม่ค้าก่อนจะรับห่อขนมมาฝากยมไว้เช่นเคย

    “บ่าวว่า คุณโดมซื้อมากไปรึเปล่าขอรับ?”

   “ปกติฉันก็ทานเยอะอย่างนี้แหละ” คุณโดมยื่นมือไปหยิบห่อขนมมาเคี้ยวตุ้ยๆอย่างไม่ใส่ใจ “ยมคิดว่าฉันใช้อัฐฟุ่มเฟือยไปเหรอ?”

     “ปะ...เปล่านะขอรับ” เด็กน้อยตอบน้ำเสียงแผ่วเบา “บ่าวเพียงจะบอกว่าที่ซื้อมายังไม่ทันจะทานหมดเลย บ่าวเกรงว่าถ้าของเหลือมันน่าเสียดาย”

    “หึๆ ฉันก็ไม่ได้ซื้อเยอะอย่างนี้บ่อยๆหรอกนะ” มือใหญ่ลูบเส้นผมคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู “ฉันว่าฉันจอดขวางทางซะแล้ว รีบกลับเชียงใหม่กันดีกว่า”

      ระหว่างที่เดินทาง คุณโดมก็ชวนยมกินของที่ซื้อมาแทบจะตลอดทาง หากแต่เป็นร้อยโทหนุ่มเสียเองที่ทานมากกว่า อีกทั้งยังหลอกใช้ให้ยมคอยป้อนให้อ้างว่ามือไม่ว่างอีกต่างหาก แต่ถึงกระนั้นคุณโดมก็คอยเหลือบมองเด็กน้อยที่ดูเหมือนจะชอบทานขนมเกลือที่ซื้อมาเหลือเกิน

      “ยมรู้ไหม...” คุณโดมพูดขึ้นขณะที่เด็กน้อยกำลังกัดขนมสีขาวนวลเข้าปาก “ว่าขนมเกลือที่ยมทานอยู่มีเรื่องเล่าตลกๆด้วยนะ”

     “อย่างไรหรือขอรับ?” คิ้วโก่งขมวดเข้าหากันด้วยความฉงน

    “ฉันได้ยินชาวเหนือชอบคุยกันปากต่อปาก ว่าถ้ามีหนุ่มใดมาเกี้ยวสาวแล้วสาวคนนั้นไม่ชอบ ก็ให้เอาขนมเกลือไปมอบให้ชายคนนั้น...”

      “เพราะอะไรกันหรือขอรับ?” ยมเอ่ยถามต่อด้วยความใคร่รู้

      “ก็เพราะว่าขนมเกลือมันทำมาจากแป้งล้วน แล้วหากกินมากๆเข้าก็จะปวดท้อง พอชายคนนั้นจุกแล้วก็จะพูดไม่ออก จนต้องกลับบ้านกลับเรือนไปรักษาอย่างไรล่ะ”

     เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าของขนมเกลือจนจบ ยมก็ทำหน้าเจื่อนๆลงไปนิดๆเพราะทานขนมเกลือไปประมาณสองสามชิ้นได้ จึงตัดสินใจยื่นขนมเกลือสีนวลไปจ่อที่ปากของคนเล่าเรื่องแทน

     “บ่าวว่าบ่าวไม่กินแล้วดีกว่า บ่าวไม่อยากปวดท้อง”

     “เอ้า! แล้วเอามาให้ฉันทานเนี่ยนะ?”

     “คุณโดมตัวใหญ่ ทานแค่นี้ไม่ปวดท้องง่ายๆหรอกขอรับ”

     ร้อยโทหนุ่มหัวเราะน้อยๆ แต่ก็ยอมงับขนมจากมือคนตัวเล็กแต่โดยดี ไม่คิดเลยว่าแค่เรื่องเล่าปากต่อปากจากชาวบ้านจะทำให้ยมเชื่อได้ถึงขนาดนี้ เท่านั้นยังไม่พอ...ยังเผื่อแผ่แป้งจากขนมเกลือมาแบ่งปันเขาอีก!

     แต่เอาเถอะ...เพราะตอนนี้ยมดูมีความสุขขึ้นกว่าก่อนหน้านั้น เขาก็ดีใจมากแล้วล่ะนะ

        คุณโดมขับรถมาถึงเชียงใหม่ยามเย็นตามที่คาดการณ์ไว้  ร่างสูงขับเคลื่อนยานพาหนะสีขาวทรงสี่เหลี่ยมกลับมายังเรือนปั้นหยาขนาดเล็กกะทัดรัดที่ค่อนข้างเก่าแก่ด้วยมีอายุมากกว่าสิบปี สีขาวที่ถูกทาโดยรอบเริ่มหมองดำ หลังคาบ้านตกแต่งด้วยกระเบื้องสีเขียวแก่ รั้วสีน้ำตาลปักบริเวณรอบเรือนรับกับพันธุ์ไม้เขียวขจี ยมจ้องบ้านหลังนั้นไม่วางตา นอกจากเรือนของพระยามนตรีที่จำได้ว่าเคยไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็มีเรือนหลังน้อยนี่แหละที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยพบเห็น

       “นี่บ้านของฉันเอง เจ้าของเดิมเขาขายทิ้งราคาถูก...” คุณโดมพูดคุยกับยมขณะไขกุญแจเข้าบ้าน “แต่ฉันไม่ค่อยอยู่หรอกนะ บ้านก็เลยรกอย่างที่เห็นนี่แหละ”

      ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่ร่างสูงกล่าวสักนิด ตั้งแต่เข้ามายมก็สังเกตเห็นว่าสวนหญ้ารอบๆเรือนปั้นหนารกไปด้วยเศษใบไม้แห้งที่ร่วงสุมมากมายหลายกอง คุณโดมคงจะกวาดไว้ลวกๆแต่ไม่ได้กำจัดสินะ

     “เข้ามาสิ”

     เด็กน้อยถือของกินที่คุณโดมซื้อมาตามเข้าไปในตัวบ้านพะรุงพะรัง คุณโดมพายมเดินสำรวจเรื่อยๆ ด้านในมีห้องพักมากถึงสี่ห้อง ห้องแรกที่เห็นคือห้องเก็บของเก่าที่สะสมจนแออัดไปหมด ห้องต่อมาเป็นห้องประกอบอาหาร แต่มันค่อนข้างสกปรกเพราะถูกทิ้งร้างมานาน คุณโดมบอกว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็เข้าครัวครัวแทบจะนับครั้งได้คือตอนที่เข้ามาต้มไข่ต้มทานกับข้าวคลุกเกลือเท่านั้น นอกนั้นคือนิยมซื้อจากตลาดไม่ก็ทานร่วมกับเพื่อนร่วมงานที่กรมเสียมากกว่า

      “ไม่ต้องหัวเราะฉันเลยนะยม...” คุณโดมทำหน้าดุเมื่อเห็นยมอมยิ้มน้อยๆ

    “เปล่านะขอรับ” เด็กน้อยหน้าเจื่อนลง ก่อนจะวางห่อของกินวางไว้บนโต๊ะไม้ที่ดูสะอาดที่สุดในห้องทำครัว “บ่าวเพียงคิดว่าทำไมคุณโดมถึงไม่ค่อยมีเวลาทานอาหารดีๆก็เท่านั้น”

     “ตำรวจก็อย่างนี้แหละ เวลาทานยังไม่ค่อยจะมี นับประสาอะไรกับลงมือทำเล่า”

     ร้อยโทหนุ่มพายมเดินมาอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่เกือบในสุดของบ้าน มือใหญ่ไขกุญแจเข้าด้านในก่อนจะให้ยมเดินตามเข้ามา

       “นี่ห้องนอนเดิมของเจ้าของเรือนคนก่อน ฉันยกห้องนี้ให้ยมก็แล้วกัน อย่างไรห้องนี้ก็ไม่ได้ถูกใช้อยู่แล้ว”

      แม้ห้องจะมีสภาพเก่า แต่ก็ยังไม่ถึงกับทรุดโทรมนัก ด้านในมีเพียงเตียงวางติดกับบานหน้าต่าง ใกล้ๆมีโต๊ะขนาดเล็กไว้เขียนหนังสือ และยังมีตู้ใหญ่ที่ทำจากไม้สักไว้สำหรับเก็บเสื้อผ้าหรือของใช้จุกจิก

       “คุณโดมไม่ได้นอนห้องนี้หรือขอรับ?” ยมถามด้วยความสงสัย เพราะหากร้อยโทหนุ่มยกห้องนี้ให้ แล้วเจ้าของเรือนนอนที่ใดกัน

       “ฉันนอนอยู่อีกห้องน่ะ” คุณโดมตอบ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุย “ไว้ตอนเย็น ฉันจะพาไปซื้อเสื้อผ้ากับของใช้ให้ยมนะ ส่วนหมอนมุ้งมีอยู่ในตู้เสื้อผ้า ยมจัดการเองได้ใช่ไหม?”

      “ขอรับ...” ร่างน้อยนั่งหมอบกราบผู้มีพระคุณรวดเร็วจนคุณโดมไม่ทันห้าม “บ่าวขอบพระคุณคุณโดมนักขอรับที่ให้ที่ซุกหัวนอนแก่บ่าว บ่าวจะตั้งใจทำงานบ้านรับใช้ตอบแทนขอรับ”

      “ไม่เอาน่ายม...ลุกขึ้นเลย” ร้อยโทหนุ่มประคองคนตัวเล็กขึ้นมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่นี่หาใช่เรือนของคุณอาวินิต ต่อไปยมไม่ใช่ทาส แต่เป็นน้องชายคนหนึ่งของฉัน เข้าใจไหม?”

      เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าจริงจัง ยมจึงจำต้องรับคำร้อยโทหนุ่มที่มองตนไม่วางตา

      “จ้ะ...”

     “ยม...” คุณโดมทิ้งตัวนั่งบนเตียงนุ่ม “ถ้าฉันอยากจะถามอะไรสักอย่างจากยมจะได้ไหม?”

    “จ๊ะ? คุณโดม” เด็กน้อยยังคงเรียกคุณโดมอย่างนี้เช่นเดิม ด้วยไม่กล้าตีเสมอบุตรชายของพระยามนตรีผู้มีพระคุณกับตน

      “ก่อนจะฉันจะเจอยม ฉันได้ไปพบคุณอาวินิตมา” ร่างสูงเริ่มถามคำถามเสียงเครียด “ท่านบอกฉันว่ายมไปขโมยของๆคุณเขมแล้วถูกคุณเขลางค์จับได้ ฉันอยากรู้ด้วยตัวเองว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

      เมื่อคุณโดมถามคำถาม ภายในห้องก็มีแต่ความเงียบกริบ คุณโดมมองร่างน้อยที่นั่งคุกเข่าลงบนพื้นห้องเพื่อรอคำตอบ

       “ข้า...ยม ขอสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย” ยมประนมมือเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ น้ำเสียงสั่นเครือเมื่อต้องได้ยินความจริงอันโหดร้ายอีก “ต่อให้ตัวต้องตาย ยมก็ไม่มีทางทรยศต่อพี่เขม”

  ดวงตาหวานล้ำมองผู้มีพระคุณเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ร่างสูงประคองคนตัวเล็กให้ขึ้นมานั่นเสมอตนด้วยความสงสารจากใจ

       รู้ทั้งรู้อยู่แล้วล่ะ...ว่าเขมเป็นคนที่ยมรัก เผลอๆคงรักมากกว่าชีวิตเสียอีก

      “ฉันรู้ ฉันเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่ายมจะทำ” ใบหน้าคมคายมองเด็กน้อยที่มีแววตาซึมเศร้า “แล้วยมพอจะบอกฉันได้ไหม ว่าเหตุใดถึงออกจากเรือนคุณอามาเช่นนี้?”

        “ยม...”

       แม้จะอยากพูด...แต่ก็ไม่อาจพูดออกไปได้

       ถึงอย่างไรคนที่ทำร้ายตนก็คือมารดาของคุณเขม ถ้าหากเรื่องนี้ทราบถึงทางการ หาใช่เพียงคุณพระวินิตราชศักดิ์จะเสียชื่อในแวดวงสังคม แต่คุณเขมเล่า...

       เมื่อคุณเขมกลับมาจากอังกฤษ คุณเขมจะต้องมีชีวิตในการรับราชกาลที่ยาวไกล

      จะเป็นที่รู้จักในวงสังคมไม่ต่างจากคุณพระ

       จะได้ทำตามความฝันอย่างที่ตั้งใจ

        และจะมีอนาคตที่รุ่งเรืองและได้ทดแทนคุณบิดามารดาอย่างที่บุตรคนหนึ่งได้กระทำ

       ให้เรื่องในอดีต...ตายไปกับตัวนี่แล คงจะดีที่สุด!

        “ยมขอไม่พูดถึงมันอีกได้ไหม” เด็กน้อยก้มหน้าพูด ไม่ยอมสบตากับร้อยโทหนุ่มเพื่อหลบซ่อนแววเศร้า

       “เอาเถอะ” คุณโดมประคองใบหน้าของยมให้สบสายตา ก่อนจะกล่าวกับเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงนุ่มแต่แฝงด้วยความจริงจัง   

      “ไม่ว่ายมจะผ่านอะไรมา ฉันขอให้ยมเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที่นี่ ฉันจะไม่ถามเรื่องที่ผ่านมาของยมอีก”



------------------------------------------------------------------50%----------------------------------------------------------------

**ไรท์เพิ่งลงนิยายในนี้ครั้งแรกเพิ่งรู้ว่าลงตอนนึงได้ไม่เกิน20000คำ แต่งงมากเลยค่ะ ตอนนี้ก็ไม่ถึง20000แต่ทำไมอัพไม่ได้ก็ไม่รู้55555 ครึ่งหลังเดี๋ยวมาต่อพรุ่งนี้นะค้าา
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่16--(ครึ่งแรก)
เริ่มหัวข้อโดย: snpmrth ที่ 25-01-2018 03:02:59
สนุกมากเลยค่ะ แต่ชีวิตหนูยมน่าสงสารมากค่ะ อยากให้น้องได้เจอความสุขบ้าง  :hao5:
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ♡
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่16--(ครึ่งหลัง)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 25-01-2018 09:00:37
เรือนร้าว16(ครึ่งหลัง)
ตอน ขนมเกลือ
คุณโดมพายมออกมาซื้อเสื้อผ้าและของใช้ที่ตลาดใจกลางเมืองเชียงใหม่ แม้เด็กน้อยจะเกรงใจบอกให้ออกมาวันพรุ่งแทนก็ได้ แต่อย่างไรคุณโดมก็บอกว่าขับรถมาไม่ไกลจากเรือนนัก ยมจึงถูกคุณโดมพามาซื้อข้าวของที่ตลาดแห่งนี้จนได้

        ตลาดกลางคืนเมืองเหนือคึกคักไม่ต่างไปจากในพระนครเท่าใด ผู้คนชายหญิงเดินผ่านกันจนละลายตา เสียงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าพากันแข่งขันขายของเซ็งแซ่เป็นภาษาเหนือจนยมแทบจะฟังไม่ค่อยออกนัก พอคุณโดมซื้อเสื้อผ้าให้ยมได้ประมาณสองสามชุด ทั้งสองก็มาหยุดอยู่ที่ร้านค้าซึ่งมีผ้าหลากสีมากมายเรียงรายพับไว้

       “ผ้านี้สีดูเรียบๆ เหมาะกับยมดีนะ” มือใหญ่ยื่นผ้าสีนวลที่พับไว้ส่งให้เด็กน้อยพินิจดู

       “จ้ะ สวยดีจ้ะคุณโดม” ยมหัดพูดอย่างที่คุณโดมต้องการให้ชิน เพราะตั้งแต่ออกจากเรือน ยามที่ตนเผลอแทนหรือพูดเหมือนคราที่ยังเป็นทาสทีไร ก็ถูกร้อยโทหนุ่มเอ็ดเสียตลอด

       “ผืนละเท่าไหร่ครับ?”

       “ผืนละสองชั่งกะเจ้า”

      เมื่อได้ยินราคาที่ค่อนข้างสูงก็ทำเอายมแทบจะอ้าปากห้าม แต่ไม่ทัน คุณโดมยังเลือกผ้าที่มีสีอ่อนๆอีกสี่ห้าผืนให้ยมแล้วส่งถุงอัฐให้แม่ค้า

       “ไม่แพงไปหรอก ฉันแค่อยากให้ยมนุ่งผ้าดีๆบ้างก็เท่านั้น”

      เมื่อรับห่อผ้าเสร็จสรรพ คุณโดมก็พายมไปซื้อของจำส่วนตัวอีกเล็กน้อย ก่อนจะพากันผ่านร้านของสดกับขนมนานาชนิดสีสันน่ารับประทานและแปลกตา

        “ปกติแล้วคุณโดมเคยซื้อของสดมาทำกับข้าวไว้บ้างไหมจ๊ะ?” ยมเอ่ยถามขณะที่กำลังเดินผ่านแผงของสด

      “ไม่ค่อยหรอก ปกติฉันจะตุนไว้แค่ข้าวสารและไข่ไก่เสียมากกว่า”

      “หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ยมขอให้คุณโดมซื้อจำพวกผักกับเนื้อเพิ่มนิดหน่อยได้ไหมจ๊ะ?”

      “ยมจะทำกับข้าวให้ฉันทานรึ?” ใบหน้าคมเข้มเลิกคิ้ว

      “จ้ะ คุณโดมทานแต่ข้าวกับไข่ไก่ คงจะเบื่อแย่”

   “หึๆ ฉันชินเสียแล้วล่ะ” ร้อยโทหนุ่มหัวเราะน้อยๆ แต่ก็ยอมซื้อของสดตามที่ยมต้องการ ส่วนมากจะซื้อผักสดกับผักดองเสียมากกว่าเนื้อเพราะเนื้อสัตว์จำพวกหมูไก่ปลาค่อนมีราคาสูงนัก

    “ยมจะซื้อของกินอะไรเพิ่มเติมไหม? ผ่านตรงร้านขนมพอดี นั่นไง ขนมเกลือ” คุณโดมชี้ไปยังกองขนมสีเหลืองนวลคุ้นตา เด็กน้อยรีบส่ายหน้ารัว

    “ไม่เอาจ้ะคุณโดม ไม่เอาแล้ว!”

    “ฮ่าๆๆๆ” ริมฝีปากหนาเผยอหัวเราะเมื่อเห็นว่ายมทำหน้าเหมือนตอนที่เขาเล่าเรื่องของขนมเกลือบนรถให้ฟัง “ฉันเย้าเล่นน่า แล้วอย่างอื่นล่ะ?”

     คุณโดมถามเด็กน้อยที่ถือห่อของสดในมือพะรุงพะรัง เมื่อเห็นว่ายมส่ายหน้าเพราะเห็นว่าของที่ซื้อมาตั้งแต่ตอนสายยังพอเหลืออยู่  จึงพาเด็กน้อยกลับเรือนปั้นหยาที่ไม่อยู่ไกลจากตลาดนัก ขณะที่ยมกำลังวางของสดในครัว ร่างสูงก็มาอากัปกิริยาเด็กน้อยอย่างเอ็นดูก่อนจะพูดขึ้นมา

     “ไว้ฉันจะพายมไปซื้อเสื้อผ้าอีกนะ”

     “ไม่ต้องแล้วจ้ะ แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับยมแล้ว” เด็กน้อยหันมายิ้มให้ร้อยโทหนุ่ม “ขอบพระคุณคุณโดมมากนะจ๊ะ”

    “ขอบพระคุณอะไรกัน ไม่เอายม ต่อไปนี้ให้พูดขอบคุณแทน ฉันไม่ใช่เจ้าชีวิตยมนะ”

    เด็กน้อยก้มหน้างุดก่อนพยักหน้ารับน้อยๆ “ขอบคุณจ้ะ คุณโดม ยมว่าเดี๋ยวยมจัดของว่างให้ทานก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะกินไม่ได้นะจ๊ะ”

     ร่างเล็กเอื้อมมือไปชั้นที่มีจานอยู่ไม่กี่ใบหมายจะมาจัดของคาวหวาน แต่เอื้อมสุดก็แล้วเขย่งก็แล้วอยู่นานสองนานก็ไม่ถึงเสียที ร้อยโทหนุ่มยิ้มกว้าง ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหยุดที่ด้านหลังของเจ้ายมตัวน้อย

     “หยิบไม่ถึงก็ไม่ต้องหยิบนะ...” เสียงนุ่มทุ้มแซ็วหยอกล้อ มือใหญ่เอื้อมหยิบจานทั้งสองใบอย่างง่ายดาย เด็กน้อยทำหน้าบู้บี้หันมาสบตาใบหน้าหล่อแบบลูกครึ่งตะวันตกเข้าพอดี

      ‘ทำไมมันเหมือนกับตอนนั้นเลยนะ...?’

“ทำแบบนี้นะยม...” เมื่อเห็นว่าตอนปิดทองคงตัวเล็กยังทำแผ่นสีทองร่วงลงพื้น มือใหญ่จึงจับมือเล็กคลี่แผ่นปิดทอง แล้วใช้นิ้วโป้งช่วยกดทับจนมันไม่ร่วงลงมาได้อีก

       “ขอบคุณจ้ะ” ยมหันมาสบตาเข้ากับคุณเขมพอดี  พบว่าตอนนี้ร่างเล็กอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูง ใบหน้าหวานแดงก่ำพร้อมบางสิ่งในอกที่เต้นรัวคล้ายกลอง เมื่อเห็นท่าไม่ดีเด็กหนุ่มจึงค่อยๆมุดออกจากวงแขนแกร่ง นั่นทำให้คุณเขมหัวเราะน้อยๆกับการกระทำน่ารักของเด็กน้อย

      คิดถึง...

      ยมคิดถึงพี่เขมเหลือเกิน...

        “ยม...” เสียงนุ่มทุ้มสะกิดเรียกเมื่ออยู่ๆยมก็เหม่อเงียบไป “ยม!”

        “จะ...จ๊ะ คุณโดม?” ยมเรียกสติกลับคืนมาทันที พอยามที่คิดถึงคนที่อยู่แสนไกลทีไร เป็นต้องเหม่อลอยอยู่ร่ำไป

         “ฉันเทของกินใส่จานแล้ว มาทานด้วยกันสิ”

        คุณโดมวางจานที่ใส่ทั้งข้าวหอม ปลาดุกย่าง น้ำพริกหนุ่ม จิ้นส้มหมูหรือที่คนภาคกลางเรียกแหนม พอรับทานของคาวเสร็จแล้วยังมีขนมเกลือและขนมแปลกชนิดอีกสองอย่างที่ยมไม่เคยลิ้มลอง จานหนึ่งเป็นขนมสีดำหนืดๆมีมะพร้าวขูดโรย ส่วนอีกจานเป็นขนมสีเขียวคล้ายๆขนมชั้นของภาคกลางหากแต่มีถั่วเขียวบดโรยต่างมะพร้าวขูดน่ารับประทาน

       “ขนมสีดำๆน่ะ เขาเรียกขนมเปี่ยง ภาษากลางคือขนมลิ้นหมา” คุณโดมอธิบายเด็กน้อยที่สนอกสนใจกับขนมตรงหน้า “ส่วนอีกจาน เขาเรียกขนมซะละอ่อน หรือขนมถาด ที่พระนครฉันก็เคยเห็นเขาทำเร่ขายกันนะ”

         “อร่อยจ้ะ” เด็กน้อยหยิบขนมลิ้นหมาขึ้นชิม “เหมือนกำลังทานข้าวเหนียวกับถั่วดำก็ไม่ปาน”

         “อร่อยก็ทานเยอะๆนะ จะได้แข็งแรง”

         “ไม่น่าเชื่อเลยนะจ๊ะ ว่าคุณโดมจะมีความรู้เรื่องขนมด้วย” ยมรีบกลืนขนมลงคอแล้วรีบถามด้วยความใสซื่อ นึกว่าร้อยโทหนุ่มตรงหน้าจะเอาแต่ทำคดี จนไม่สนใจเรื่องรอบด้านอื่นเสียอีก

     “ฉันไปทำคดีที่ลำปางบ่อยรองจากเชียงใหม่ ผ่านตลาดไหนก็ชอบซื้อขนมเป็นประจำ จนฉันสนิทกับแม่ค้าบางคนไปแล้วล่ะ”

    คุณโดมยกมุมปากยิ้มๆแล้วหยิบขนมถาดเข้าปาก ยมทานไปไม่ทันไรก็เริ่มอิ่มแปล้ ในขณะที่ร้อยโทหนุ่มยังคงหยิบขนมทั้งสามทานอย่างเอร็ดอร่อย

     “อิ่มแล้วหรือยม? ฉันเห็นยมทานไปไม่กี่ชิ้นเอง”

     “อิ่มแล้วจ้ะ ยมว่าจะไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของเข้าตู้เสียหน่อย”

     “อย่างนั้นก็ไปพักเถอะ ถ้าอยากอาบน้ำก็ไปหลังบ้านได้เลย ฉันตักน้ำไว้ตั้งแต่ก่อนไปพระนครแล้ว” คุณโดมบอกพลางยังคงทานขนมตรงหน้าที่ใกล้จะหมด ยมพยักหน้ารับรู้ร่างสูงก่อนจะแอบยิ้มขำ

       คุณโดมทานเก่งจังเลย มิน่าถึงได้ตัวโตนัก

      “ฉันรู้นะว่ายมนินทาฉันอยู่”

      “เปล่านะจ๊ะ ไปแล้วจ้ะไปแล้ว”

    ด้านหลังเรือนปั้นหยาหลังน่ารักเป็นลำคลองกว้างใหญ่ หากแต่ช่วงเวลามืดค่ำไม่ค่อยมีเรือแจวผ่านสัญจรเท่าใดนัก เด็กน้อยนุ่งผ้าขาวม้าถือขันเดินมาเปิดฝาโอ่งใบใหญ่เพื่ออาบน้ำชำระร่างกายที่ไม่ได้อาบน้ำมาสองวันเต็ม แสงจันทร์จากฟากฟ้าสะท้อนเงาในน้ำเป็นวงหน้าสวยงาม หากแต่มีรอยบาปตีตราบนหน้าบดบังความงามไปครึ่งหนึ่ง เด็กน้อยปล่อยให้น้ำตาหลั่งรินในโชคชะตาที่แล้วมาของตน

       ขอให้เวรกรรมระหว่างยมกับคุณเขลางค์จบกันที่ชาตินี้

      ชาติหน้าฉันใด อย่าได้มาผูกพยาบาท ตามล้างตามผลาญตนอย่างไม่มีวันเลิกราอีกเลย

      ยมอาบน้ำชำระร่างกายอยู่เป็นเวลานานจึงจะเสร็จ เรือนร่างแม้จะไม่ขาวมากนัก แต่ก็ไม่ค่อนไปทางคล้ำเต็มไปด้วยหยาดน้ำที่ตักอาบ เด็กน้อยกำลังจะเปิดประตูเพื่อเช็ดเท้าบนผ้าขี้ริ้วให้แห้ง

     “คะ...คุณโดม...” ยมเรียกน้ำเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเห็นว่าร่างสูงที่ตอนนี้นุ่งผ้าขาวม้า เปลือยท่อนบนเผยกล้ามเนื้อแข็งแรงสมกับเป็นนายตำรวจหนุ่มกำลังเดินตรงมายังประตูหลังบ้านพอดี

     “อาบน้ำนานเหมือนกันนะเนี่ย ว่าจะไปตามอยู่พอดี” คุณโดมยิ้มทะเล้น

     “เอ่อ...คือ...”

    “หึๆ ไปแต่งตัวเถอะ ฉันเองก็เหนียวตัวไม่ต่างจากยม อยากอาบน้ำจะแย่”

    ร่างสูงเดินสวนคนตัวเล็กเพื่อออกไปอาบน้ำบ้าง แต่ก็ยังไม่วายหันมาถามยมที่ตอนนี้ยืนหน้าแดงด้วยความอายที่ร่างกายของยมแข็งแรงสู้ร้อยโทหนุ่มได้ไม่ถึงเศษเสี้ยว

    “แน่ใจนะว่าอาบสะอาดแน่แล้ว อยากจะอาบกับฉันอีกรอบก็ไม่ว่านะ”

   “มะ...ไม่เอาจ้ะ ยมขอไปแต่งตัวก่อนนะจ๊ะ”

    เด็กน้อยเดินจ้ำอ้าวจะเดินกลับห้อง แต่เพราะยังไม่ทันเช็ดเท้าให้แห้งสนิททำให้ร่างเล็กคล้ายจะลื่นล้มคะมำลงไปกับพื้นอีกครั้ง

     “ดีนะที่รับทัน ฉันช่วยยมเป็นครั้งที่สามแล้วนะ”

     คุณโดม...ช่วยยมไม่ให้ล้มลงกับพื้นอีกแล้วรึ?

   “คุณโดม ปล่อยยมก่อนจ้ะ”

     เด็กน้อยดิ้นเมื่อร่างเล็กสัมผัสถูกกับแผงอกแกร่งเปลือยเปล่า หากอ้อมแขนแข็งแรงยังไม่ยอมปล่อยคนตัวเล็กโดยง่าย จังหวะนั้นเอง สายตาของทั้งสองก็เผลอสบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ

     ตึกตัก...ตึกตัก

    เสียงหัวใจเต้นระรัวคล้ายรัวกลองของใครคนใดคนหนึ่งเต้นไม่เป็นส่ำ ริมฝีปากทั้งสองชิดใกล้เกือบสนิท ใบหน้าคมเข้มทำท่าจะโน้มลงมา บรรยากาศชวนเผลอไผลนั้นทำเอายมเกือบจะหลับตาพริ้มรับสัมผัส

   “สัญญากับยมนะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด พี่เขมจะมียมเพียงคนเดียว”

“พี่ให้สัญญา คนดี”

     พลัน...คำมั่นสัญญาที่ให้ต่อกันกับคนรักที่ห่างไกลก็วนเวียนขึ้นมาในหัว เสียงความทรงจำก้องกังวานราวกับย้ำเตือน ร่างน้อยจึงเบือนหน้าหลบสัมผัสจากชายคนนั้นแล้วมุดตัวออกมาทันที แล้วเหมือนฝ่ายเริ่มที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเกือบทำผิดมหันต์ต่อเด็กหนุ่มก็ได้แต่มองยมอย่างสำนึกผิด

          “ยม...คือว่า...ขอโทษนะ”

         “ไม่เป็นกระไรหรอกจ้ะ มันเป็นอุบัติเหตุ ยมซุ่มซ่ามเอง” ยมส่งยิ้มน้อยๆให้ราวกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น “ยมหนาวแล้วล่ะ ขอเข้าไปแต่งตัวก่อนนะจ๊ะ”

        ครานี้เด็กน้อยเดินช้าๆเพื่อไม่ให้ลื่นล้มเป็นหนที่สองอีก คุณโดมมองตามไปจนกระทั่งยมหายเข้าห้องนอนของตัวเอง ยมอาจทำเหมือนเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นก็จริง หากแต่ร้อยโทหนุ่มกลับตราตรึงดวงตางดงามที่ได้มองชัดเจนกว่าครั้งไหน

        เสียงที่เต้นระรัวที่มาจากใครสักคน...เสียงนั้นดังมาจากด้านในแผ่นอกด้านซ้ายของเขาเองนั่นแหละ



 “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ปกปักรักษาเรือนแห่งนี้ หากบาปกรรมของลูกจบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้แล้ว ได้โปรดปกป้องคุ้มครองลูกจากอันตรายด้วยเถิด”

         ร่างน้อยที่ตอนนี้ผลัดเปลี่ยนเสื้อนอนเป็นที่เรียบร้อยก้มกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหมอนนุ่ม ก่อนจะระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยแล้วก้มกราบอีกสามครั้งจึงค่อยล้มตัวลงนอน นี่เป็นครั้งแรกที่ยมได้นอนฟูกที่นุ่มไม่ต่างจากหมอนเหมือนที่ผู้มีฐานะใช้นอนกัน ร่างเล็กพลิกไปมานอนไม่หลับ อาจจะเป็นเพราะแปลกที่ หรือไม่คุ้นกับฟูกแบบนี้กระมัง

       แต่ที่สำคัญ...

      “พี่เขม...” ดวงตาหวานล้ำมองพระจันทร์ที่เหมือนจะยิ้มปลอบใจให้ “หวังว่าพี่เขม จะระลึกถึงสัญญาของเราได้นะจ๊ะ”

      คำมั่นสัญญาในครานั้น...ทำให้ยมระลึกถึงพี่เสมอมา

      ยมคิดถึงพี่เหลือเกิน...อยากอ่านหนังสือให้พี่ฟังอีกสักครั้ง

      อยากจะกลับไปหาดวงใจของตน

      แต่กลับไปไม่ได้...

     “พักนี้เราร้องไห้บ่อยจัง” มือน้อยปาดน้ำตาที่เริ่มหลั่งรินอีกหน ริมฝีปากยกยิ้มน้อยๆบอกกลายๆให้เข้มแข็ง “ยมยังระลึกความรักของเราเสมอเลย เราต้องเชื่อใจพี่เขมสิ”

      ยมค่อยๆข่มตาให้เข้าสู่นิทราโดยมีดวงจันทร์ขับกล่อม จนกระทั่งคนตัวเล็กเอนกายหลับสบายราวกับไม่ทุกข์ร้อนสิ่งใดอีก

      แม้ใจหนึ่งสุดจะหวั่นกลัว...ว่าคนรักที่ห่างไกล อาจลืมเลือนความสัมพันธ์ และคำมั่นสัญญา!



**เป็นกำลังใจให้หนูด้วยนะค้าาา ย้ำอีกครั้งว่าเพิ่งเคยแต่งครั้งแรกอาจจะผิดพลาดไปบ้าง ติชมได้เลยค่า
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่16--(ครึ่งแรก)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 25-01-2018 10:10:28
ยมมมมม ฟ้องพี่โดมไปสิ่!! แง้ขุ่นพระกลับมาช้า เราย้ายเรือไปหาพี่โดมแล้ว!
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่16--(ครึ่งแรก)
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 25-01-2018 13:27:31
สงสารยม :hao5:
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่17--(ครึ่งแรก)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 25-01-2018 15:23:39
เรือนร้าว17(ครึ่งแรก)
ตอน ถวิล
     คุณโดมออกมาเดินเล่นภายในสวนตั้งแต่เช้ามืด แม้ยามปกติจะชอบวิ่งรอบๆตามบ้านเรือนอื่นถัดไปมากกว่า แต่เพราะรู้ว่าเด็กน้อยยังไม่ตื่นก็ห่วงความปลอดภัยมากกว่า จึงทำได้เพียงเดินเล่นสลับกับกระโดดชกลมเพื่อบริหารร่างกายให้แข็งแรง หวังให้ร่างกายขับเหงื่อออกจากร่างกาย รวมถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่ยังไม่อาจสลัดออกไปจากหัวได้เลย

         เกือบทำผิดมหันต์กับยมแล้วไหมล่ะ...

        ร้อยโทหนุ่มออกแรงชกลมแรงขึ้นเพื่อสะบัดภาพในหัวออกมากขึ้น หยาดเหงื่อชุ่มทั้งใบหน้าคมคายและตามเสื้อผ้าลำลองอยู่บ้านสบายๆ จนเมื่อรู้สึกว่ากล้ามเนื้อเริ่มเมื่อยล้าจึงหยุดนั่งเพื่อไม่ฝืนร่างกายต่อจนมากไป

        “แฮ่ก...แฮ่ก...”

       ริมฝีปากหนาสูดปากหายใจเบาๆผ่อนคลาย ใบหน้าที่หยาดไปด้วยเหงื่อจากการออกกำลังหงายขึ้นมองฟ้า ดวงตาสีนิลแบบฝรั่งปิดลงน้อยๆไม่ให้หยาดเหงื่อเข้า กายขาวค่อนไปทางคล้ำด้วยปฏิบัติงานรับใช้แผ่นดินตรากตรำกระเพื่อมขึ้นลงจากการหอบ เมื่อพอหายเหนื่อยแล้วจึงยันกายลุกขึ้นเดิน แล้ววักน้ำจากตุ่มใบเล็กที่ตั้งอยู่หน้าบ้านชำระเหงื่อไคลก่อนจะเปิดประตูเข้าบ้าน

     แกร่ก...แกร่ก

     กลิ่นหอมโชยมาจากในห้องทำครัวที่ปกติร่างสูงแทบไม่เคยย่างกรายเข้าไปช่วงเช้า เพราะส่วนมากคุณโดมมักอาศัยหิ้วท้องไปยังที่ทำงานหรือไม่ก็อาจเป็นข้าวเหนียวกับน้ำพริกในตลาด นานครั้งที่จะเข้าไปต้มไข่ไก่ที่ซื้อมาตุนไว้กับข้าวที่หุงค้างคืนประทังหิว หากแต่วันนี้ห้องทำครัวดูสะอาดสะอ้านกว่าเมื่อวาน คุณโดมแอบมองคนตัวเล็กกำลังเจียวกระเทียมส่งกลิ่นหอมจากกระทะอย่างคล่องแคล่ว ใกล้ๆนั้นมีเนื้อสัตว์กับผักอย่างอื่นที่ซื้อมาเมื่อคืนวางเคียงไว้ด้วยกัน

       “ยม...”

      “คุณโดม...” ยมหันมายิ้มให้กับร่างสูงที่พิงหลังมองอยู่ไม่ไกล “รอสักครู่นะจ๊ะ ยมกำลังทำสำรับเช้าอยู่ วันนี้คุณโดมไม่รีบออกไปทำงานใช่ไหม?”

      “ยังหรอก กว่าจะออกไปก็ตอนสายๆนู่นน่ะ” คุณโดมเดินเข้ามาใกล้คนตัวเล็ก “ทำอะไรบ้างเนี่ยหื้ม?”

      “ยมกำลังทำข้าวต้มหมูจ้ะ แล้วก็ว่าจะทำไชโป๊ผัดไว้ทานเคียงกับไข่เจียว อ้อ แล้วก็มีหมูฝอยอีกอย่างด้วยจ้ะ”

       “แค่กลิ่นกระเทียมเจียวก็น่าทานแล้ว” คุณโดมยื่นจมูกดมกลิ่น “อยากทานแล้วสิ”

      “คุณโดมไปอาบน้ำก่อนเถอะจ้ะ ออกมาอีกทีสำรับคงจะเสร็จ”

      “เหม็นเหงื่อฉันรึยม?” คุณโดมแกล้งถามยิ้มๆ เมื่อเห็นว่ายมขยับตัวไม่เข้าใกล้

      “จ้ะ เหม็น” เด็กน้อยตอบไปตามตรง ร่างสูงหัวเราะน้อยๆ เขายื่นมือไปลูบศีรษะคนตัวเล็กอย่างเอ็นดูก่อนที่จะเดินออกจากครัวเพื่อไปอาบน้ำชำระร่างกายตามที่เด็กน้อยบอกจริงๆ

       ร่างสูงตักน้ำชโลมกายชะล้างเหงื่อไคลอย่างสบายใจ ช่วงเช้ามืดเรือสัญจรยังไม่ค่อยสัญจรมากมาย เพราะปกติแล้วจะเริ่มทยอยออกมาค้าขายเมื่อช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นตรงหัวเสียมากกว่า ร้อยโทหนุ่มมองฟ้าไกลที่ยามนี้เริ่มเข้าใกล้สู่เช้าวันใหม่เต็มที

      เหตุการณ์เมื่อคืน...จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก

     คุณโดมตั้งใจบอกกับตัวเอง พร้อมๆกับตักน้ำชโลมกายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อหยุดคิดถึงเหตุการณ์นั้น ร่างสูงเช็ดตัวเล็กน้อยแล้วเดินกลับมาแต่งกายเครื่องแบบร้อยตำรวจโทซึ่งมีป้ายชื่อกำกับไว้เป็นความน่าภาคภูมิใจ

     ร.ต.ท.ดนัย  มนตรีพาณิชย์

    ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...พระยามนตรีผู้เป็นบิดาดูจะยังเฉยชากับตำแหน่งใหม่ที่เพิ่งได้รับอยู่ดี เพราะตอนที่กลับพระนคร เขาก็ถูกบิดาบ่นอยู่เสมอเกี่ยวกับยศตำแหน่งว่าได้รับช้า...ทั้งที่มีบิดาเป็นถึงพระยา

‘ถ้าเจ้าได้เป็นทหารอาสาไปร่วมรบที่ยุโรปตั้งแต่แรก ป่านนี้เจ้าคงได้เลื่อนยศสูงกว่านี้ ดูซิ! นี่กว่าจะได้เลื่อนยศเป็นร้อยโท ก็ต้องตรากตรำเสี่ยงชีวิตลุยจับโจรที่มันพร้อมจะฆ่าเจ้าได้ทุกเมื่อ’

      ก็จริงอยู่...เพราะมีครั้งหนึ่งที่คุณโดมถูกชักชวนให้ไปเป็นทหารอาสาในสงครามครั้งที่ผ่านมา ด้วยมีระดับเป็นถึงนักเรียนอังกฤษและมีบิดาเป็นยศถึงพระยา แต่สุดท้าย...คุณโดมเลือกที่จะไปทำคดีที่เชียงใหม่แทน ช่วงนั้นเชียงใหม่มีการปล้นฆ่าชิงทรัพย์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แม้คราแรกท่านพระยาจะมิใคร่พอใจนัก หากแต่ไม่อาจขัดความตั้งใจของบุตรชายคนโตได้ ประกอบกับช่วงนั้นท่านพระยาต้องจัดการฝากฝังคุณดอม...น้องชายต่างมารดาของคุณโดมให้เข้ารับราชการหลังเรียนจบอีกด้วย ทำให้ได้เพียงแค่พร่ำบ่นสาปส่งก่อนคุณโดมจะเดินทางก็เพียงเท่านั้น

     ครั้นเมื่อร้อยโทหนุ่มแต่งกายเต็มยศเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินกลับมายังห้องทำครัวซึ่งมีทั้งข้าวต้มหมูร้อนๆ เคียงผัดไชโป๊ ไข่เจียว แล้วก็หมูฝอยตั้งเต็มโต๊ะ เพียงเท่านั้นก็ทำให้น้ำย่อยของคุณโดมทำงานด้วยความหิว

      “ทานได้เลยใช่ไหมเนี่ย?” คุณโดมถามเด็กน้อยยิ้มๆ พอยมหันมาตอบเป็นเชิงบอกว่าทานได้ ร่างสูงจึงนั่งลงบนเก้ากี้ไม้ แล้วหยิบช้อนเพื่อเตรียมตักข้าวต้มหมูที่ส่งกลิ่นหอมน่าทานเข้าปาก

     “ไม่มานั่งทานกับฉันหรือยม?” ร้อยโทหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นยมกำลังหันหลังทำอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆเตาประกอบอาหาร

     “พอดีเห็นว่าในนี้มีปิ่นโตเก็บไว้อยู่ ยมก็เลยจะแบ่งกับข้าวไว้ให้คุณโดมไปทานที่ทำงานน่ะจ้ะ”

     “อ้อ...” คุณโดมพยักหน้ารับรู้ เพราะเคยซื้อปิ่นโตเก็บไว้เมื่อนานมาแล้วจริงๆ แต่ก็ถูกเก็บไว้ในครัวไม่เคยนำมาใช้เสียที ก็ดีเหมือนกัน เขาเองก็เริ่มเบื่อๆกับชีวิตที่ต้องไปซื้อกับข้าวข้างนอกทานเต็มทีแล้ว

     “เมื่อคืนหลับสบายดีไหมยม? แปลกที่หรือไม่?”

     พอเห็นยมจัดแจงปิ่นโตเสร็จแล้วกลับมานั่งร่วมโต๊ะด้วย คุณโดมก็ชวนยมพูดคุยเพื่อไม่ให้มื้อเช้าเงียบเหงาจนเกินไป

     “นิดหน่อยจ้ะ ยมไม่เคยนอนฟูกมาก่อน ต้องนอนดิ้นไปมาอยู่นานกว่าจะหลับลง”

     ดวงตาสีนิลแบบฝรั่งมองเด็กน้อยด้วยความสงสารชั่วครู่ แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ เพื่อให้คนตัวเล็กทานข้าวอย่างมีความสุขจนกับข้าวพร่องไปไม่น้อย

     “ฉันอิ่มแล้วล่ะ ยมออกไปส่งฉันทีสิ”

      ร่างสูงในเครื่องแบบร้อยตำรวจโทก็เดินไปที่รถยนต์ที่จอดหน้าเรือนปั้นหยาโดยมียมเดินตามมาส่ง ในมือถือปิ่นโตติดออกมาด้วย

     “ข้าวกลางวันจ้ะคุณโดม”

     “ขอบใจมากนะยม” คุณโดมรับปิ่นโตจากเด็กหนุ่ม แล้วกำชับก่อนจะก้าวขึ้นรถ“อยู่เรือนคนเดียวน่ะ ลงกลอนไว้ให้ดีนะ อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?”

      “จ้ะ ยมอยู่ได้ ยมจะลงกลอนหลังจากคุณโดมออกไปแล้วนะจ๊ะ”

      “ดีมาก อย่างนั้นฉันไปก่อนนะ” คุณโดมเปิดประตูรถ ก้าวขึ้นไปนั่งแต่ยังไม่ปิดประตู “อ้อ...ขอบใจที่ทำปิ่นโตให้ฉันไปทานมื้อกลางวันด้วยนะยม”

      พอยานพาหนะสีดำออกเคลื่อน เด็กน้อยมองตามไปสักพักจนรถยนต์ของคุณโดมหายไป ขณะที่ยมกำลังจะเข้าบ้านและลงกลอนตามที่คุณโดมกำชับ ก็ต้องขมวดคิ้วอย่างงุนงงเมื่ออยู่ๆมีหญิงวัยประมาณห้าสิบท่าทางใจดีคนหนึ่งจูงเด็กชายตัวน้อยเดินต้อยๆ แล้วทำท่าเหมือนจะเรียกตน

     “เดี๋ยวก่อนจ้ะ”

     กลัว...

     ไม่อยากไว้ใจใครเลย

  “ไม่ต้องกลัวป้าอย่างนั้นหรอกลูก ป้าไม่ได้จะมาทำร้ายเสียหน่อย” แกยิ้มอย่างเป็นมิตรเมื่อเห็นสีหน้าหวาดระแวงของยม สำเนียงภาษากลางชัดถ้อยชัดคำยามเจรจา “ป้าชื่อแจ่ว พอดีเพิ่งย้ายมาจากสุโขทัยเมื่อวานนี้พร้อมลูกหลาน ก็เลยอยากรู้จักคนบ้านใกล้เรือนเคียงไว้น่ะลูก”

     “จะ...จ้ะ...” คนตัวเล็กพยักหน้ารับรู้ แต่กระนั้นในใจลึกๆก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ดี ยมไม่อยากหลงเชื่อหน้ากากสองหน้าจากที่เคยถูกหลอกมาแล้วอีก

    “พี่ชายกลัวย่าหนูขมทามมาย?” เด็กชายวัยสี่ขวบที่หญิงชราจูงมาด้วยทำแก้มพองลม แขนป้อมๆเท้าสะเอวจ้องคนตรงหน้าตาแป๋ว “ย่าของหนูใจดีที่สุดในโลก ทำไมพี่ชายทำหน้าอย่างน้าน?”

     แววตาน่ารักของเด็กชายตัวเล็กที่จ้องยมอย่างไม่ถูกชะตาด้วย...กลับไม่ได้ทำให้ยมรู้สึกแย่ ตรงกันข้าม ยมกลับเอ็นดูหนูน้อยคนนี้ตั้งแต่แรกเห็นเลยต่างหาก

    และความน่ารักของหนูขม ทำให้ความระแวงของยมเริ่มลดลงได้บ้าง

     “หนูขม อย่าไปว่าพี่อย่างนั้นสิลูก” ป้าแจ่วหันมาปรามหลานชาย “อย่าไปถือสาหลานป้าเลยนะ พ่อชื่ออะไรกันเล่า? แล้วอยู่เรือนหลังนี้คนเดียวรึ?”

    “ฉันชื่อยมจ้ะ” ยมตอบ ปรับน้ำเสียงพูดปกติ เพราะดูไปดูมาแล้ว...ย่าหลานคู่นี้ไม่น่ามีพิษภัยอะไรจะมาหลอกตนหรอกกระมัง “ฉันอยู่ที่นี่กับพี่ชาย พี่ชายฉันเพิ่งออกไปทำงานเมื่อครู่นี้เอง”

    “อย่างนั้นหรือพ่อ” ป้าแจ่วเอ่ยรับรู้ ก่อนจะยื่นผลไม้แปลกตาที่ติดมือมาตั้งแต่ออกจากเรือนยื่นให้ยม “พอดีก่อนมาถึง ลูกชายของป้าซื้อลูกตาวจากชาวสวนมาเยอะ เลยเอามาแบ่งให้เพื่อนบ้านได้ทานบ้างน่ะ”

     “ขอบใจนะจ๊ะป้า” สองมือไหว้ขอบคุณแล้วรับของจากหญิงชรามา

     “ย่าแจ่ว หนูขมหิวแล้ว กลับได้ยาง?” เด็กน้อยกระตุกมือยายแจ่วถามเสียงยานคาง มือเล็กอีกข้างลูบท้องป้อยๆน่าเอ็นดู ยมมองภาพตรงหน้าที่หลานกำลังอ้อนผู้เป็นยายแล้วยิ้มตาม

    “ก่อนออกมาก็กินไปแล้วนี่หนูขม หิวอีกแล้วรึ?” ป้าแจ่วหันไปถามกับเจ้าหลานตัวน้อย ก่อนจะเงยหน้าบอกลายม “ป้าว่าป้ากลับเรือนก่อนก็แล้วกัน”

    “เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะ...”

      ยมกลับเข้าไปเก็บลูกตาวด้านในห้องทำครัว ตักหมูฝอยใส่ห่อใบตองที่แบ่งเก็บไว้ทานมื้อกลางวันแล้วเดินกลับมาหาย่าหลานทั้งสองคนที่ยังคงยืนรอที่เดิม

    “หนูขมใช่ไหม...” ทวนชื่อเด็กน้อยเพื่อความแน่ใจ แล้วยื่นห่อหมูฝอยส่งให้หนูขม“ถ้าหิวก็กินหมูฝอยของพี่ไปก่อนก็ได้ พี่ทำเองเลยนะ”

    “พี่ทำเองหรือจ๊ะ?!” หนูขมทำตาโต เพราะหมูฝอยทอดกรอบในห่อใบตองช่างน่ากินยิ่ง ลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านั้นแทบจะจ้องเขาเขม็ง ตั้งแง่ไม่ถูกชะตากับพี่ชายคนนี้อยู่แล้ว

    “ไหว้ขอบคุณพี่เขาสิลูก เขาให้ของเรานะหนูขม แล้วก็ขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่พี่เสียเลย อ้อ เรียกพี่เขาว่าพี่ยมด้วยนะลูก” ป้าแจ่วสอนหลานชาย หนูขมยกมือไหว้พี่ชายตรงหน้าก่อนจะรับห่อหมูฝอยนั้นมา

    ถึงใบหน้าพี่ชายจะมีรอยแผลดูน่ากลัว แต่ก็ใจดีเหมือนกันนะ...ให้ของกินหนูขมด้วย

    “หนูขมขอบคุณพี่ยมจ้ะ แล้วก็ขอโทษที่หนูพูดไม่ดีใส่พี่ยมด้วย”

    “ไม่เป็นกระไรหรอกนะ” ยมนั่งยอง ก่อนจะยื่นมือไปลูบเส้นผมสะอาดของเด็กชายอย่างนึกเอ็นดู “หนูขมเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่ ใครๆก็รักหนูขมนะ”

   “พี่ยมใจดีที่สุดเล้ย!” เด็กน้อยยิ้มแป้นไร้เดียงสา เรียกเสียงหัวเราะจากผู้เป็นย่ากับพี่ชายข้างบ้านได้เป็นอย่างดี 

    “แล้วบ้านป้าแจ่วอยู่ไหนกันจ๊ะ?”  ครานี้ยมเงยหน้าถามหญิงชราอย่างใคร่รู้

    “ถัดจากเรือนของพ่อไปอีกสี่หลัง จะมีเรือนหลังเก่าติดกับแปลงสวนครัว ป้าอยู่กับลูกชายกับสะใภ้ แล้วก็หนูขมนี่แหละ แต่วันนี้ลูกชายป้าไปหางานทำกับเมียมันจึงไม่ได้มาด้วย”

     “อ้อ..” ยมพยักหน้ารับรู้ ป้าแจ่วบอกลายมแล้วจะพาเจ้าตัวยุ่งกลับบ้าน แต่แล้วหนูขมกลับไม่ยอมเดินตาม อีกทั้งยังมองยมตาแป๋วแหววน่ารักอีกด้วย

       “หนูขมจะมาเล่นกับพี่ยมนะ  หนูขมชอบพี่ยมจ้ะ”

      คำพูดน่ารักไร้เดียงสาทำให้ยมได้แต่อมยิ้มตาม เด็กอะไรหนอ...น่ารักน่าชัง ยมไม่เคยถูกชะตาเด็กคนไหน เท่ากับหลานของป้าแจ่วคนนี้ได้เลยจริงๆ



   “คุณโดมครับ ไปทานขนมจีนน้ำเงี้ยวหน้าร้านขายของชำกันดีไหม? ไม่ไกลจากที่กรมเท่าใดนัก” เพื่อนตำรวจยศร้อยตรีถามคุณโดมหลังประชุมเกี่ยวกับคดีสำคัญ

      “ขอบคุณที่ชวนนะครับ แต่เห็นทีคงจะไม่ได้ เพราะวันนี้ผมเอาปิ่นโตมาครับคุณกล้า”

      “วันนี้มาแปลกนะครับ ทุกทีไม่เคยเห็นคุณโดมพกปิ่นโต” ร้อยตำรวจตรีกล้าหาญหัวเราะเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจอะไร  “ไม่เป็นกระไรครับ เดี๋ยวผมไปทานกับแม่วาดเมียของผมก็ได้”

      ร่างสูงเดินลงบันไดมาพร้อมกับร้อยโทกล้าหาญ ก็พบว่าหญิงสาวหน้าตาแช่มช้อยมายืนยิ้มแฉ่งมารอผู้เป็นสามีอยู่แล้ว

      “รอนานไหมแม่วาด?”

     “ไม่นานหรอกค่ะ” แม่วาดเข้ามาคล้องแขนผู้เป็นสามี “แล้วพี่โดมไปด้วยไหมคะ?”

     “พี่ไม่ไปครับน้องวาด พอดีพี่พกปิ่นโตมาแล้ว ไว้โอกาสหน้านะครับ”

     ร้อยโทหนุ่มเอ่ยลาภรรยาของเพื่อนตำรวจอย่างสุภาพ ปกติแล้วคุณโดมไม่ได้ไปรับประทานอาหารกลางวันกับคุณกล้าหาญซึ่งถูกส่งมาประจำการจากพระนครด้วยกันบ่อยนัก บางครั้งก็นั่งทานกับตำรวจคนอื่นในโรงอาหารของกรมตำรวจภูธรเชียงใหม่ นานครั้งที่จะทานตัวคนเดียวก็มีบ้าง หนักสุดคือมีคดีเร่งด่วนเข้ามาจนไม่ได้ทานอะไรเลยก็มี

      ภายในห้องทำงานหนึ่งห้องประกอบไปด้วยโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ประมาณสองสามโต๊ะ แต่ละโต๊ะกองสุมไปด้วยเอกสารเขียนสำนวนคดีมากมาย เนื่องจากยามนี้เป็นเวลาพักเที่ยงจึงทำให้ไม่มีใครอยู่สักคน คุณโดมทิ้งตัวบนเก้าอี้อย่างเมื่อยล้า ก่อนจะหยิบปิ่นโตที่ยมเป็นคนจัดมาให้ออกมา ในนั้นมีกับข้าวที่แบ่งมาจากเมื่อเช้า หากแต่เปลี่ยนจากข้าวต้มเป็นข้าวหอมมะลิที่ยมแบ่งเผื่อไว้เพื่อสะดวกต่อการพกมายังที่ทำงาน คุณโดมตักไชโป๊เคียงไข่เจียวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ พลางอมยิ้มที่รสชาติไม่ต่างจากเมื่อเช้านักแม้กับข้าวจะชืดไปบ้างแล้วก็ตาม

     “ป่านนี้ยมทำอะไรอยู่กันนะ?”

     ร้อยโทหนุ่มพึมพำก่อนจะตักข้าวสวยเคียงไข่เจียวเข้าปาก เด็กน้อยที่อยู่เรือนปั้นหยาเพียงลำพังอาจจะเหงาแย่ รีบทานข้าวแล้วสรุปสำนวนคดีให้เสร็จเร็วๆดีกว่า จะได้ไม่ต้องกลับค่ำมืดให้ยมอยู่คนเดียวนานๆ

---------------------------------------------------------------50%--------------------------------------------------------------------



     
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่17--(อัพครบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 25-01-2018 15:38:44
เรือนร้าว17(ครึ่งหลังอัพครบ)
ตอน ถวิล
 
      ณ พระนคร

       “เจ้าดอม เมื่อไหร่เจ้าจะไปทำงานเสียที พระยาสุรศักดิ์พร่ำบ่นพ่อทุกเมื่อเชื่อวันว่าไม่เคยเห็นหัวเจ้าเลย”

      พระยามนตรีส่ายหน้าระอาที่บุตรชายคนเล็กที่เกิดจากภรรยาชาวสยามนั้นวันๆเอาแต่นั่งแต่งกาพย์กลอน แม้ด้วยความฉลาดสามารถเรียนได้สูสีพร้อมกับบุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์ทำให้สามารถฝากเข้าทำงานกับพระยาสุรศักดิ์ จนได้ยศตำแหน่งขุนได้อย่างรวดเร็วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรนานครั้งคุณดอมกลับไม่ใคร่สนใจงานการเท่าใดนัก เพราะมัวแต่โปรดปรานบทละครและกาพย์กลอนอยู่นั่นเอง

     “วันนี้ไม่มีประชุมราชการนี่ขอรับคุณพ่อ กระผมก็อยากอยู่เรือน ทำในสิ่งที่ชอบบ้างก็เท่านั้น” คุณดอมแก้ต่างบิดา

     “เฮ้อ!” พระยามนตรีถอนหายใจดังเฮือก “ลูกคนโตก็ได้เลื่อนยศเชื่องช้าไม่ทันใจ คนเล็กก็วันๆเอาแต่แต่งกลอนไม่สนใจงานการ นี่ถ้าเจ้าเรียนได้ที่หนึ่งเหมือนพ่อเขมล่ะก็...ป่านนี้คงได้เป็นนักเรียนทุนโก้อยู่อังกฤษแล้ว”

      คุณดอมที่ได้ยินบิดากล่าวถึงคู่แข่งสมัยเรียนก็หูผึ่ง เงยหน้าขึ้นด้วยความเคืองเล็กๆด้วยทุกวันนี้ยังริษยาคุณเขมไม่หายแม้จะเรียนจบมาถึงสามปีแล้วก็ตาม เพราะบุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์อะไรนั่นนอกจากจะเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้ว ยังสอบไล่ได้ที่หนึ่งจนอาจารย์ใหญ่ชอบใจมอบทุนไปเรียนต่อยุโรปเก๋โก้

     ในขณะที่ตน...กลับถูกเพื่อนร่วมชั้นตีตนออกห่าง ถูกนินทาว่าหยิ่งยะโส เรียนเก่งสู้คุณเขมไม่ได้แล้วยังทำอวดเก่ง แล้วจะไม่ให้ตนชอบคุณเขมอะไรนั่นได้อย่างไรล่ะ!?

      “หึ! คุณพ่อมีเบี้ยอัฐมากมาย แต่กลับไม่ส่งผมไปเอง มิอย่างนั้นผมคงโก้ไม่แพ้คุณเขมอะไรนั่นหรอกขอรับคุณพ่อ”

     “แล้วใครใช้ให้เจ้าเรียนด้อยกว่าพ่อเขมเล่า?!”

     “คุณพ่อ!”

      คุณดอมผุดลุกขึ้นจากที่นั่งทำหน้าโกรธเกรี้ยว เพราะหลายครั้งที่ตนมักถูกเปรียบเทียบกับลูกขุนน้ำขุนนางด้วยกัน ไม่ใช่เพียงแค่ตน แต่คุณโดมผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาก็โดนด้วยว่าเป็นบุตรพระยารับราชการในกระทรวงดีๆไม่ชอบ กลับไปดิ้นรนเสี่ยงชีวิตกับโจรผู้ร้ายโดยไม่สนใจว่าจะได้รับยศตำแหน่งอะไร แต่พอถึงคราวตนได้รับราชการบ้าง มีความชอบในการประพันธ์บทละครจนได้รับยศเป็นขุนวรประพันธ์ หากถึงกระนั้นก็ยังหาเป็นที่พอใจแก่บิดาไม่

     “วันก่อนฉันเจอคุณพระวินิตราชศักดิ์ เห็นว่ากำหนดกลับของพ่อเขมคือกลางปีหน้า คุณพระจึงตั้งใจจะฝากฝังพ่อเขมกับฉันให้ทำงานราชการเสียเลย คนเก่งๆอย่างพ่อเขม ฉันเชื่อว่าไม่พ้นปีคงได้ตำแหน่งหลวงเหมือนคุณพระในวัยหนุ่มเป็นแน่”

     “อะไรนะขอรับ!?” คุณดอมขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “สามปีมานี้กระผมยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหลวงเสียที คุณพ่อยังจะไปช่วยคุณเขมอะไรนั่นอีกหรือขอรับ?!”

     “อย่ามาขึ้นเสียงใส่พ่อนะเจ้าดอม!” พระยามนตรีเอ็ดตะโรบุตรชายคนเล็ก “ในเมื่อมีลูกถึงสองคน แต่ละคนมันไม่ได้ดั่งใจ ฉันก็จะสนับสนุนลูกของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่บ้างจะเป็นกระไรไป”

     พระยามนตรีส่ายหน้าหัวเสียเดินกลับเข้าไปในบ้าน คุณดอมมองตามบิดาด้วยความหงุดหงิดและคับแค้นใจ เขาเป็นถึงบุตรที่เกิดจากมารดาชาวสยามที่เป็นลูกขุนน้ำขุนนางสูงส่ง ไม่เหมือนกับพี่ชายที่เกิดจากแหม่มฝรั่งมังค่าภรรยาคนแรกของคุณพ่อ

     จะมายอมให้บิดาส่งเสริมลูกของเพื่อนที่มียศถาต่ำต้อยกว่ากระนั้นรึ! ไม่มีทาง!!

     ในเมื่อผู้เป็นพ่อไม่เห็นหน้าไม่เห็นหัวตัวเองบ้าง เขาเองก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกัน!

    รอวันที่คุณเขมกลับมาก่อนเถอะ...จะจัดการให้สาสมทีเดียว!



       “ยม เปิดประตูหน่อย ฉันกลับมาแล้วนะ”

      เมื่อได้ยินเสียงของคุณโดม ร่างน้อยก็รีบเดินจ้ำอ้าวมาเปิดประตูที่ลงกลอนไว้แทบจะทันทีเพราะเกรงว่าคุณโดมจะรอเสียนาน

      “ทำอะไรอยู่?”

      “เพิ่งทำกับข้าวเสร็จจ้ะ” ยมตอบคุณโดม รับปิ่นโตที่ร้อยโทหนุ่มส่งมาให้ คุณโดมยิ้มมุมปากก่อนเดินเข้าไปในห้องทำครัว ก็พบว่าบนโต๊ะมีอาหารประมาณสองสามอย่างวางอยู่แล้ว

    “หื้ม?” สายตาคมกริบเห็นพวงลูกตาวตั้งไว้อยู่มุมห้อง ก่อนจะหันไปถามยมที่เดินตามมาติดๆ “นั่นยมไปเอาลูกตาวมาจากไหนน่ะ?”

   “เอ่อ...คือ...” ยมตอบเสียงสั่นๆ คุณโดมจะดุตนไหมหนอที่ตนพูดคุยกับคนแปลกหน้า “พอดีใกล้ๆเรือนมีเพื่อนบ้านย้ายมาใหม่ เขานำลูกตาวมาให้เพราะแค่อยากรู้จักบ้านใกล้เรือนเคียงน่ะจ้ะ คุณโดมไม่ว่า...”

    “ฉันจะว่ายมทำไมกัน” คุณโดมพูดดักขึ้นพลางพับแขนเสื้อเพื่อล้างมือล้างไม้ให้ถนัด “ยมจะคุยกับเพื่อนบ้านฉันก็ไม่ว่าหรอก แค่จำไว้ว่าต้องคอยระวังตัว แต่ถ้าเขามาดีจริงก็ไม่ต้องถึงขั้นไประแวง เข้าใจไหม?”

     เด็กน้อยยิ้มแหย หากแต่ก็พยักหน้ารับรู้โดยดี คุณโดมจึงชวนยมทานมื้อเย็นด้วยกัน จากครั้งแรกที่ยมตัวเกร็งด้วยไม่เคยนั่งเสมอนายมาตลอดเริ่มชินกับการร่วมโต๊ะกับร้อยโทหนุ่มเสียแล้ว

    “อยู่คนเดียว เหงาไหมยม?” คุณโดมเอ่ยถามไถ่เพื่อไม่ให้มื้อนี้เงียบเหงาจนเกินไป

    “ก็นิดหน่อยจ้ะ...” ยมตอบขณะตักผัดผักเข้าปาก

   “เดี๋ยวทานข้าวเสร็จ ฉันจะพายมไปซื้อเสื้อผ้าข้าวของเพิ่ม จะได้ไปซื้อของสดเพิ่มด้วย ดีไหม?”

     ยมพยักหน้าหงึกๆ ตามใจคุณโดมเพราะรู้ดีว่าถึงจะปฏิเสธอย่างไรคุณโดมก็คงจะดึงดันพาตนออกไปอยู่ดี ดังนั้นเมื่อคุณโดมเป็นฝ่ายอาสาเก็บล้างจานชามเสร็จ ร่างสูงก็พายมขับรถยนต์คู่ใจออกมาเดินเล่นตลาดยามเย็นที่เดียวกับเมื่อวานแทน วันนี้แตกต่างจากเมื่อวานตรงที่ผู้คนเดินกันให้ควั่กมากกว่าเดิมเสียอีก

    “นี่ๆตั๋วๆ เห็นว่าวันนี้จะมีคณะละครจากบางกอกสิมาเล่นให้ผ่อละเน้อ” เสียงหญิงชาวบ้านเดินเกาะกลุ่มพูดคุยกันตื่นเต้น

    “แต้กา? เรื่องอะหยังอีเครือ?”

    “บ่ฮู้สิ เปิ้นว่ารีบไปผ่อกันติกว่า ขะใจ๋เข้า!”

   แม้ภาษาเหนือจะค่อนข้างยากที่จะจับใจความสำหรับยม แต่เด็กน้อยก็พอจะจับใจความได้ว่าวันนี้จะมีคณะละครจากพระนครมาแสดงให้ชม ราวกับรู้ใจ...เพราะอยู่ๆคุณโดมก็สะกิดถามเด็กน้อยขึ้นมา

     “ยมอยากดูละครไหม?”

     ยมพยักหน้าหงึกหงัก จากที่ตอนแรกจะมาซื้อของอย่างเดียว กลายเป็นว่าตอนนี้คุณโดมก็เดินนำยมมายังลานกว้างกลางตลาดที่มีพรมและแท่นปูไว้สำหรับนางรำรำแสดง ความจริงยมก็เคยเห็นผ่านในพระนครมาบ้าง แต่ไม่เคยได้นั่งชมใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน ละครเปิดเรื่องด้วยการมีเด็กสองคนที่ถูกทาผิวจนดำมิดหมีมาสร้างสีสันให้ชาวบ้านพากันหัวเราะขบขันในอากัปกิริยาเฉกเช่นชาวซาไก ก่อนจะมีตัวละครเด่นสามคนเริ่มแสดงบทสำคัญตาม ส่วนใหญ่บทกลอนจะไม่ค่อยมีเท่าใด จะหนักไปทางพูดและอารมณ์ของคนแสดงสมกับเป็นละครนอกมากกว่า

      “พี่ฮเนาปล่อยฉันนะ ช่วยด้วย จ้วยเปิ้นโต้ย!”

     คนแสดงเป็นลำหับตะโกนขอความช่วยเหลือกลางคำเหนือคำเมื่อถูกฮเนายื้อยุด แต่ก็ถูกซมพลาลอบเอาไม้พลองตีหัวจนล้มตึงไปบนพื้นท่าทางขบขันเรียกเสียงหัวเราะจากชาวบ้าน ยมชมละครชุดนี้อย่างมีอารมณ์ขันร่วมกับคนอื่นโดยมีคุณโดมนั่งขำท้องแทบหงายอยู่ข้างๆ

     จนกระทั่งเรื่องดำเนินมาถึงตอนที่ฮเนามาแย่งชิงลำหับกลับบ้าน แต่ซมพลาไม่ยอมจึงเกิดการต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร เมื่อฮเนาใกล้จะเสียที พี่ชายของฮเนาก็เป่าลูกดอกอาบนาพิษปักหน้าผากซมพลาจนตาย ลำหับร้องไห้คร่ำครวญเข้าถึงบท ยกมีดปลอมที่ใช้แสดงฆ่าตัวตายตามคนรัก ฮเนาพร่ำพรรณนาความรักที่มีต่อลำหับก่อนจะแทงตัวตายตามด้วยความรู้สึกผิด ทำเอาชาวบ้านร้องโห่อยู่ชั่วคราวเพราะเรื่องจบอย่างไม่มีความสุข จนต้องเอาเด็กที่เล่นเป็นคนังกับไม้ไผ่มาปิดฉากเรียกเสียงหัวเราะถึงจะยอมกลับไปนั่งดูที่เดิม

       “คณะละครนี่ก็แปลกแท้ รู้ทั้งรู้ว่าชาวบ้านส่วนมากไม่ชอบละครที่จบแย่ ก็ยังจะเอามาเล่น” คุณโดมส่ายหน้าพลางบ่นพลาง ผิดกับยมที่ยังคงนั่งดูเด็กตัวเล็กทั้งสองไม่วางตา โดยเฉพาะเด็กที่สวมบทบาทเป็นคนัง...

      พระนิพนธ์เงาะป่าว่าตามเค้า

คนังเล่าแต่งต่อล้อมันเล่น

ใช้ภาษาเงาะป่าว่ายากเย็น

แต่พอเห็นเงื่อนเงาเข้าใจกัน

ทำแปดวันครั้นมาถึงวันศุกร์

สิ้นสนุกไม่มีที่ข้อขัน

วันที่สองของเดือนกุมภาพันธ์

ศกร้อยยี่สิบสี่มั่นจบหมดเอย

    “คนังเป็นใครหรือจ๊ะพี่เขม?”  ยมสะดุดชื่อแปลกตาตรงวรรคที่สอง หรือจะเป็นชื่อของผู้ที่ช่วยในหลวงท่านแต่งเรื่องเงาะป่ากันนะ

“คนังเป็นเด็กชาวซาไกที่ในหลวงทรงรับอุปการะ พระองค์จึงได้รับรู้วิถีชีวิตของชาวซาไก  ภาษาก็อย และวัฒนธรรมที่แทรกอยู่ในหนังสือ ก็มาจากคนังนี่แหละ พระองค์ถึงได้แต่งเสร็จภายในแปดวันไม่ติดขัด”

      ว่าแล้ว...ก็คิดถึงหนังสือเงาะป่าที่ยังอยู่ที่เรือนของตนเหลือเกิน

      ตั้งแต่จากมา ยมไม่มีของๆพี่เขมติดมาแทนความคิดถึงแม้แต่ชิ้นเดียว...

   หวังว่าพี่มั่นพี่เพลิง...จะเก็บหนังสือเล่มนั้นไว้คืนคุณเขมแทนนะ

   “ยม เหม่ออีกแล้ว..” ร้อยโทหนุ่มสะกิดเรียกเมื่อเห็นยมเหม่อลอยได้สักพัก ก่อนจะลุกเพื่อเดินนำยมไปซื้อของ“ละครจบแล้ว ไปซื้อของกันดีกว่า”

       “จะ...จ้ะ คุณโดม”

       เมื่อหลุดออกจากภวังค์ได้ยมก็รีบตอบรับคนตัวใหญ่ เดินตามร่างสูงต้อยๆ เขาพายมไปซื้อเสื้อผ้าราคาไม่แพงเพิ่มสองสามชุดอ้างไว้ใส่นอนจะได้สบายๆ ตามด้วยของสดไว้ให้ยมทำอาหารมื้อต่อไป กระทั่งได้ของครบคุณโดมก็จะพายมกลับเรือน หากแต่ระหว่างเดินกลับนั้นคุณโดมก็หยุดชะงักเมื่อเห็นร้านเล็ๆที่มีต้นไม้พรรณหายากปลูกเรียงราย หน้าร้านมีดอกไลเซนทัสประดับปะปนกับพรรณไม้อื่น คุณโดมมองอย่างฉงนด้วยไม่คิดว่าจะได้มาเจอที่เมืองเหนือเช่นนี้

     “สนใจดอกไลเซนทัสรึพ่อหนุ่ม?” ลุงเจ้าของร้านหน้าตาใจดีทักทายคุณโดมอย่างมีอัธยาศัย ภาษาบางกอกชัดถ้อยคำราวชาวพระนคร “นี่ดอกไม้เทศเจียวนะ เจ้านายเก่าลุงเป็นฝรั่ง ท่านปันพรรณไม้พวกนี้มาให้ลุงปลูก ลุงเห็นว่าได้ราคางามจึงนำมาขายนี่แหละ”

     สุดท้ายแล้วคุณโดมก็ได้ซื้อดอกไลเซนทัสมาจากลุงคนขายในราคาที่ไม่ได้แพงหูฉี่อย่างที่คิดไว้แต่แรกนัก ก็ดีเหมือนกัน...เห็นแล้วก็คิดถึงดอกไลเซนทัสที่เรือนของบิดาเหลือเกิน  ร้อยโทหนุ่มหันไปมองร่างเล็กที่กำลังหลับตาพริ้มเพื่อดอมดมกลิ่นหอมของดอกมะลิลาอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าคมคายแบบฝรั่งยกมุมปากยิ้มน้อยๆ

    “ยมอยากได้ดอกมะลิรึเปล่า?”

    เพราะเห็นว่ายมไม่ยอมห่างจากต้นมะลิต้นเล็ก คุณโดมจึงตัดสินใจควักอัฐส่งให้ชายชรารวมกับดอกไลเซนทัส ก่อนจะช่วยกันนำต้นไม้ทั้งสองไปไว้เบาะหลังเพื่อกลับเรือนเพราะยามนี้ก็ใกล้ค่ำมืดเต็มที

    “เรียบร้อยแล้วนะยม” คุณโดมยืนมองผลงานหลังจากนำทั้งต้นไลเซนทัสกับมะลิมาปลูกเข้าไว้ใกล้ๆกัน หัวใจของทั้งสองยามที่มองดอกไม้ที่ชื่นชอบ ก็ย่อมมีความคิดอ่านต่างหันออกไป

    หัวใจหนึ่งมองดอกไลเซนทัส...นอกจากจะระลึกถึงหญิงสาวที่สวยที่สุดในชีวิต เขายังแน่วแน่ที่จะรักษามิตรภาพที่ชิดใกล้

     หากแต่อีกหนึ่งหัวใจที่มองดอกมะลิ...กลับมีเพียงสิ่งเดียวที่นึกคิด

     คิดถึงคนอีกคน...ที่ชื่นชอบดอกมะลิเช่นเดียวกัน!

    “ยม...” คุณโดมเรียกยมที่ยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขยามมองดอกมะลิ “ดูยมมีความสุขมากขึ้นนะ ตั้งแต่ฉันซื้อดอกมะลิให้”

    “ก็มันเหมือนได้อยู่กับพี่เขมนี่จ๊ะ” ยมพลั้งเผลอตอบตามที่ใจนึกคิด นั่นทำให้คุณโดมทำหน้านิ่งอย่างเห็นได้ชัด

     “ยมยังรอเขมอยู่อย่างนั้นหรือ?”

     “เอ่อ...” ใบหน้าของเด็กน้อยเจื่อนลง พยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบ

    “ความรักของยมนี่มั่นคงดีนะ” ริมฝีปากหนายิ้มมุมปาก พูดเหมือนที่ใจคิดเช่นเดียวกัน หากนั่นกลับทำให้แววตาของยมสลดลง

     “ก็ทั้งชีวิตของยม มีแค่พี่เขมคนเดียวนี่จ๊ะ” แม้กลีบปากสวยจะยิ้มน้อยๆ แต่น้ำเสียงนั้นแผ่วเหลือเกิน “ยมเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตาย คนที่อยู่ด้วยแล้วยมรู้สึกอบอุ่นที่สุด ก็คือพี่เขม”

     “หึ...” ร้อยโทหนุ่มเหล่มองเด็กหนุ่มที่รู้สึกว่าตอนนี้จะกล้าพูดถึงคุณเขมดีอย่างนั้นอย่างนี้...มากเหลือเกิน

      “ฉันรู้แล้ว ว่ายมรักเขมมากขนาดไหน” ร่างสูงนั่งยอง ชำเลืองมองดอกไลเซนทัสบ้าง “ก็เหมือนที่ฉันรักคุณแม่ของฉันนั่นแหละ”

คุณอันนา...เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในความทรงจำของคุณโดม ดวงตากลมโตสวยสีฟ้า ผิวที่ขาวเนียนสมเป็นหญิงยุโรป เส้นผมสีบลอนด์สลวยงดงามประบ่า แม้โดยชาติกำเนิดจะเป็นแหม่มฝรั่ง แต่คุณอันนาเล่าให้ฟังว่าเธออยู่กับคุณตาในสยามมาตั้งแต่แบเบาะ จึงสามารถเจรจาพาทีภาษาสยามได้ไม่ติดขัด คุณโดมในวัยเยาว์แม้จะดูเผินๆแล้วชอบเล่นซนตามประสาเด็ก หากแท้จริงแล้วกลับมองออกทุกอย่างว่าแววตาของมารดาเศร้ามากแค่ไหน เพราะยามที่ร้องไห้เสียใจคุณอันนามักจะชอบมานั่งเหม่อลอยท่ามกลางทุ่งไลเซนทัสสีขาวบริสุทธิ์ที่งดงาม

  “มัมครับ”

คุณโดมในวัยห้าขวบวิ่งเข้ามากอดร่างของมารดาที่นั่งหันหลังอยู่ที่ดงดอกไลเซนทัสในสวนของพระยามนตรี คุณอันนาปาดน้ำตาก่อนจะหันมายิ้มให้ลูกชายที่เธอรักแสนรัก

  “โดม...เด็กดีของมัม” เธอโอบกอดลูกชายตัวน้อย หลบซ่อนใบหน้าสวยหวานที่ตอนนี้ดวงตาสีฟ้าแดงก่ำ “นี่ได้เวลามื้อเที่ยงแล้วนะ ทำไมยังไม่ทานข้าวจ๊ะ?”

“โดมอยากทานกับมัมครับ” เด็กน้อยออดอ้อนผู้เป็นมารดา “คุณพ่อไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน โดมเหงา”

“โธ่...มายเดียร์”

คุณอันนาแทบจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ แม้จะเป็นภรรยาเอก แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างออกหน้าออกตา ที่ทุกวันนี้เธอได้รับการดูแลอย่างดีก็เพราะเพียงเธอมีเลือดเนื้อเชื้อไขของพระยามนตรีก็เท่านั้น แต่คุณอันนาเองไม่เคยมองคุณโดมเป็นเครื่องมือคอยรั้งผู้เป็นสามีแม้แต่น้อย หากแต่เธอก็อยากให้ลูกชายมีครอบครัวที่อบอุ่น จึงยอมก้มหน้าก้มตารับสภาพต่อไป

  “แค่ก...แค่ก...” หญิงสาวไอสำรอกออกมาจนต้องเอามือปิดปากไว้ ครั้นเมื่อพินิจอีกที หยาดสีแดงเปื้อนฝ่ามือขาวเนียนเต็มมือ เวลาของเธอใกล้หมดตั้งแต่วินาทีนี้แล้วสินะ

นี่ล่ะ...สาเหตุที่เธอถูกสามีทิ้งขว้าง เพื่อแสวงหาหญิงอื่นที่เหมาะสมอยู่ร่ำไป

“มัม! ทำไมมัมไอเป็นเลือด ฮือ!” เด็กน้อยร้องไห้คร่ำครวญเมื่อเห็นสภาพอิดโรยหน้าเวทนาของมารดา หากแต่คุณอันนาฝืนยิ้มก่อนจะยื่นดอกไลเซนทัสให้ลูกชาย

    “โดม ที่รักของมัม” เธอกุมมือน้อยของลูกชาย...ที่เธอรักทั้งหมดของหัวใจ “หากมัมไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ดอกไลเซนทัสนี้จะเป็นเครื่องเตือนความทรงจำของเรา โดมจำความหมายของมันได้ใช่ไหม?”

“ฮึก...จำได้ครับ มันหมายถึง ความรัก ความทรงจำที่ดี และมิตรภาพที่ดีด้วย” คุณโดมตอบมารดาเสียงสั่นเครือ คุณอันนายิ้มรับน้อยๆเมื่อได้ฟังคำตอบ

“จงจำไป...ตลอด...นะจ๊ะ...”

ดวงตาสีฟ้าเริ่มปิดสนิท มือเรียวที่เปื้อนเลือดยังคงเกาะกุมลูกชายตัวน้อยไม่ห่าง ลมหายใจของคุณอันนาเริ่มผ่อนแรงลง ครั้นเมื่อเลือดออกทั้งเจ็ดทวาร มือของมารดาที่คล้ายปกป้องคุ้มครองดวงใจของตนก็ร่วงหล่นเช่นเดียวกับวิญญาณในร่าง

  “มัม ฮือ! มัมครับ!!!”

 จากเหตุการณ์ในวันนั้น...ชีวิตที่ไม่มีแม่ คุณโดมต้องทนแบกรับความกดดันที่บิดาต้องการ เขาทำได้ทุกอย่าง...ยกเว้นก็แต่ความฝันที่อยากจะเป็นตำรวจ พิทักษ์สันติราษฎ์เพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อีกทั้งตอนนี้นอกจากจะได้ปลูกดอกไลเซนทัสในเรือนปั้นหยาเพื่อนึกถึงคุณอันนาที่ล่วงลับไปแล้ว เขายังมีคนคอยช่วยดูแลดอกไม้ที่เขารักที่สุดในชีวิตอีกด้วย

      เรียกว่าเป็นความสุขก็คงไม่ผิดกระมัง

       ‘มัมครับ...ไม่ต้องห่วงว่าผมจะอยู่คนเดียว ผมไม่เหงาอีกต่อไปแล้วนะครับ’

      “เศร้าเหลือเกินจ้ะ”

       เมื่อได้ฟัง...ยมก็เข้าใจอย่าถ่องแท้ทันที ว่าเหตุใดคุณโดมถึงได้รักดอกไลเซนทัสมากถึงขนาดนี้ เพราะต่างคนต่างมีดอกไม้แทนใจอยู่ในใจ เพื่อคิดถึงคนที่รัก

        แต่มันต่างตรงที่...คนที่คุณโดมรักไม่กลับมาแล้วนั่นเอง!

    “คุณแม่ยังอยู่กับฉันเสมอแหละนะ” ใบหน้าคมคายยิ้มส่งให้ ก่อนจะยื่นมือไปแตะหัวไหล่เอ่ยถามคนตัวน้อย “แล้วยมล่ะ? ในเมื่อยมไม่ได้อยู่เรือนคุณอาแล้ว ยมว่าเขมจะตามหายมไหม?”

    “ยม...” อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีก้อนในลำคอ คล้ายเหมือนจะพูดไม่ออก แต่ก็เปล่งเสียงพูดออกไปจนได้ตามใจนึก  แววตาจับจ้องมะลิลาด้วยใจถวิล

    “ยมจะรอ ต่อให้ต้องรอชั่วชีวิต ยมก็จะรอ”
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่18--
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 26-01-2018 20:33:00
เรือนร้าว18
ตอน เธอ

    ร่างของยมค่อยๆนั่งยองเพื่อรดน้ำดอกมะลิที่เฝ้าฟูมฟักถนอมอย่างดี เวลาผ่านผันกี่เดือนกี่วันไม่อาจนับ ยมไม่เหงาเหมือนคราแรกที่คุณโดมพามาอยู่ด้วยเพราะบางครั้งป้าแจ่วจะแวะเวียนทำกับข้าวกับปลามาให้ยมถึงเรือนแล้วยังเผื่อแผ่มายังคุณโดมอีกด้วย และแน่นอนว่าเจ้าหนูขมที่บอกว่าชอบยมในครานั้น กลับกลายเป็นเด็กขี้อ้อน...ติดใจรสชาติของหมูฝอยที่พี่ยมทำให้กินตลอดเวลา  จนหมึกกับชมผู้เป็นพ่อแม่ต้องพาหนูขมมาส่งให้ยมเลี้ยงดูอยู่บ่อยครั้ง

    วันนี้ก็เช่นกัน...     

 “ยม พี่พาหนูขมมาส่ง วันนี้รบกวนยมอีกวันนะ”     

 “รบกวนอะไรกันจ๊ะพี่ชม” ยมยิ้มให้มารดาของหนูขมที่มักแวะเวียนพาลูกชายตัวจ้อยมาฝากตนประจำ ด้วยเข้าใจว่าพี่ชมกับพี่หมึกผู้เป็นสามีของหญิงสาวต้องทำงานเลี้ยงดูป้าแจ่วกับลูก จนไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงดูหนูขมเท่าใดนัก

“มาหาพี่มาหนูขม”       

“พี่ไปทำงานก่อนนะยม” จันทร์หันไปกำชับลูกชายที่ตอนนี้กอดแขนอ้อนยมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “อย่าดื้อกับพี่ยมนะหนูขม”       

 “ลุงโดมไปทำงานแล้วหรือจ๊ะ?”       

พอพ้นร่างของมารดาที่เดินออกไปจากเรือนของคุณโดมแล้ว หนูขมก็เริ่มเปิดเรื่องพูดคุยกับพี่ชายที่แสนดีของตนเสียงเจื้อยแจ้ว         

“หนูขม พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกคุณอาโดมอย่างนั้น คุณอาโดมยังหนุ่มอยู่เลย”     

“หนูขมผิดไปแล้วจ้ะพี่ยม” หนูขมตัวน้อยทำหน้าสำนึกผิด ก็ลุงโดมชอบบ่นจู้จี้เวลาที่ตนชอบมาเล่นกับพี่ยมนี่นา       

 ‘ยม...อย่าทำหมูฝอยให้หนูขมบ่อยนักสิ ดูซิ...ตัวจ้ำม่ำขนาดนี้ ต่อไปอาโดมเรียกตุ้ยนุ้ยดีกว่า’       

 อีกทั้งยังชอบเรียกหนูขมว่าตุ้ยนุ้ยด้วย     

 ไม่เอา! ไม่เห็นชอบเลย     

“พี่ไม่ได้โกรธหรอกนะ” ยมลูบศีรษะเด็กน้อยป้อยๆ “พี่รู้ว่าหนูขมไม่ชอบที่อาโดมพูดตรงๆ แต่อย่างไรอาโดมก็อายุมากกว่า หนูขมก็ต้องเคารพอาโดมนะ”       

“จ้ะ” ใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์จ้องยมตาแป๋ว “หนูขมรักพี่ยม หนูขมจะทำตามที่พี่ยมบอก”       

“ดีมากหนูขม” ยมยิ้มให้หนูขมอย่างเอ็นดู “เรามารดน้ำต้นไม้กันดีกว่า ถ้าเสร็จเร็วพี่จะทำหมูฝอยให้กินดีไหม?”               

 “เย้! หมูฝอยๆ”       

ร่างเล็กป้อมกระโดดไปมาอย่างดีใจ แล้วรีบกุลีกุจอช่วยยมรดน้ำต้นไม้ทั่วเรือน ขณะที่หนูขมกำลังรดน้ำดอกชงโคที่ออกดอกชูช่อไสว สายตาแป๋วแหววก็เหลือบเห็นยมยังคงจ้องดอกมะลิลาไม่วางตาโดยที่ในมือยังถือขันรดน้ำอยู่       

สงสัยจัง...ว่าพี่ยมชอบดอกมะลิมากๆ หรือว่ากำลังคิดถึงใครซักคนกันน้า?       

 “พี่ยมมม...” เด็กน้อยเรียกเสียงยาว “พี่ยมคิดถึงใครอยู่? เหม่อนานแล้วน้า”       

“ถามอะไรแก่แดดจังหนูขม” ยมหันมาขยี้เส้นผมเด็กน้อยตัวจ้อย “ให้น้ำดอกชงโคเสร็จแล้วเหรอ?”       

“เสร็จแล้วจ้ะ” หนูขมยิ้มแป้น ก่อนจะเข้ามารดน้ำที่โคนต้นมะลิลาที่ออกดอกงามชูช่อ “หนูจะช่วยพี่ยมดูแลดอกมะลิเอง พี่ยมชอบอะไร หนูขมก็ชอบด้วย”       

ยมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยังคงยิ้มพลางลูบเส้นผมเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู มองร่างป้อมๆที่ยิ้มแป้นแล้วค่อยๆวักน้ำดูแลเจ้าต้นมะลิลาอย่างทะนุถนอมราวกับกลัวมันจะบอบช้ำอย่างไรอย่างนั้น       

“พอแล้วล่ะหนูขม พี่รดไปบ้างแล้ว เดี๋ยวมะลิก็บวมน้ำพอดี” พี่ชายที่แสนดีของหนูขมเรียกแล้วเข้ามายื่นขันน้ำฝนเย็นๆส่งให้ “ดื่มน้ำก่อนนะหนูขม เดี๋ยวพี่จะเข้าไปทำหมูฝอยให้กิน”       

“เย้! หมูฝอยๆๆๆ” เด็กน้อยร้องดีใจแล้วยกน้ำเย็นขึ้นดื่ม ยมรับไปเก็บก่อนจะจูงพาร่างป้อมๆเข้าบ้าน เจ้าหนูน้อยมองยมทำอาหารตาแป๋วแหวว นั่งเก้าอี้ไม้แกว่งขาไปมาอย่างไม่มีอะไรทำก่อนที่จะส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามนู่นนี่ไปตามประสาเด็ก           

 “เมื่อไหร่หนูขมจะทำอาหารเก่งแบบพี่ยมบ้างน้า???”     

“ต้องรอให้หนูขมโตกว่านี้ก่อนนะ” ยมหันมาตอบยิ้มๆขณะรอให้เนื้อหมูในหม้อต้มจนสุก “แล้วพี่จะสอนหนูขมทำอาหารหลายๆอย่างเลย”   

 “จริงๆน้า? อย่าโกหกหนูขมด้วย ไม่งั้นงอน” แก้มตุ้ยนุ้ยเริ่มพองๆ จนพี่คนโตกว่าอดอมยิ้มไม่ได้   

“พี่จะโกหกหนูขมทำไมกัน”

สักพักเมื่อรู้สุกว่าด้านในหมอเริ่มเดือด ยมจึงค่อยๆยกเนื้อหมูขึ้นมาพักไว้จนเริ่มเย็นตัวลง     

“เอาอย่างนี้ดีไหม หนูขมก็คอยช่วยพี่ก่อน เดี๋ยวเริ่มจากฉีกเนื้อหมูให้เป็นฝอยนะ”     

 “ได้เล้ยย!!” ร่างป้อมๆดีดผึงจากที่นั่ง รีบเดินต้อยๆเข้ามามองยมสอนฉีกหมูด้วยแววตาที่สนอกสนใจเป็นพิเศษ               

  “อย่างนี้นะหนูขม”       

 ยมส่งเนื้อหมูอีกส่วนที่หั่นแบ่งไว้ส่งให้หนูขมฉีกใส่ถาดใบใหญ่ เพราะล้างมือจากด้านนอกจนสะอาดแล้วจึงไม่ต้องเสียเวลาเท่าใดนัก ในตอนแรกหนูขมแทบจะทำให้หมูฝอยกลายเป็นหมูสับแทนเสียแล้ว แต่ยมกลับไม่ดุด้วยรู้ว่ามันอาจจะยากไปสักหน่อยสำหรับเด็กอายุเพียงสี่ขวบ กลับกันยังคอยสอนอย่างใจเย็นจนเนื้อหมูไม่เละเทะเหมือนกับครั้งแรก   

 “เก่งมากเลย” ยมยกถาดหมูฝอยเพื่อนำไปปรุงรสเพิ่ม

“เดี๋ยวต่อไปพี่จะเอาเนื้อหมูฝอยไปลงกระทะ หนูขมไปนั่งก่อนนะ อย่าเข้าใกล้เตาเข้าใจไหม?”   

  หนูขมพยักหน้ารับแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม ดวงตาใสแป๋วยังคงจ้องพี่ยมไม่วางตา พี่ยมของหนูขมหยิบอะไรบางอย่างจากขวดผสมในหมูฝอยไม่มากแล้วจึงนำไปลงกระทะที่ตั้งน้ำมันไว้ก่อนแล้ว สักพักก็มีกลิ่นของหมูฝอยหอมๆฟุ้งๆเข้ามาแตะจมูกเล็กที่สูดกลิ่นฟุดฟิด     

“เสร็จแล้วนะหนูขม กินข้าวไปด้วยนะ อย่ากินแต่หมูฝอยล่ะ”      หนูขมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเห็นพี่ชายของตนหันกลับไปทำอะไรบางอย่างเพิ่มเติม

“แล้วพี่ยมยังไม่กินเหยอ?”     

 “หนูขมกินก่อนเลย พี่ว่าจะทำกับข้าวเพิ่มนิดหน่อย วันนี้อาโดมกลับเร็วแน่ะ”     เมื่อได้ยินชื่อของคุณอาตำรวจ เด็กน้อยก็ทำแก้มพองไม่ชอบใจแล้วยัดหมูฝอยเคี้ยวตุ้ยๆ ยมหัวเราะก่อนจะหันไปทำกับข้าวเพิ่มเติม     

 เด็กก็คือเด็ก...ไม่ชอบให้ใครว่าเป็นเรื่องธรรมดา



หลังจากพาเจ้าเด็กน้อยทานข้าวจนอิ่มหนำ ยมก็พาหนูขมที่ตอนนี้อ้าปากหาววอดๆมานอนตรงโซฟาเก่ากลางเรือน เพราะจะได้รอรับคุณโดมได้นั่นเอง   

 “พี่ยม...” หนูขมแหงนหน้ามองยมที่ให้ร่างป้อมๆนั่งตัก “หนูขมอยากรู้...”     

“อยากรู้อะไรหรือหนูขม?”     

 “ทำไมพี่ยมชอบดอกมะลิจังเลย?” คำถามของเด็กน้อยทำเอายมชะงัก ครั้นจะเงียบก็เงียบได้ไม่นานเพราะดวงตากลมโตจ้องรอคำตอบตาแป๋ว   

 “ก็...” ยมอิงใบหน้าซบลงบนโซฟานุ่ม ตัดสินใจตอบโดยปราศจากสิ่งมดเท็จ “มันเป็นดอกไม้ของคนที่พี่รักน่ะสิ”             

  “หมายถึงลุง เอ๊ย! อาโดมน่ะหรือจ๊ะ?” คล้ายจะทำหน้าบู้ หากยมส่ายหน้าปฏิเสธ     

 “ไม่ใช่คุณอาโดมหรอกนะ”     

 “แล้วพี่ยมรักใคร!?”        คราวนี้ร่างของเด็กน้อยที่แทบจะง่วงเหงาหาวนอนในคราแรกถึงกับดีดตัวลุกถามเค้นพี่ชายที่แสนดีของตน คราวนี้ยมไม่รู้จะตอบอย่างไร...     

  รู้อย่างนี้โกหกไปเสียก็ดี     

 “ตุ้ยนุ้ย ยังไม่งีบอีกเหรอ?”     

 เสียงของร้อยโทหนุ่มทำให้หนูขมรีบทิ้งตัวลงนอนเหยียดบนโซฟาทันที ทำหน้าหงิกครุ่นคิด...เรียกว่าตุ้ยนุ้ยอีกแล้วเหรอ?

 หนูขมไม่ได้อ้วนเสียหน่อย ก็แค่มีพุงน้อยๆนิดเดียวเอง แม่จันทร์ยังบอกเสียด้วยซ้ำว่าเป็นพุงเสน่ห์สาวรักสาวหลง               

 หึ!!   

   “หนูขม ตื่นมาไหว้อาโดมก่อน จริงๆเลยเด็กคนนี้” มีแต่เสียงหายใจเข้าออกจากการนอนหลับหรือที่เรียกว่ากรนมาเป็นคำตอบแทน ดูก็รู้ว่าหนูขมแกล้งหลับหนีลุงโดมไปแล้ว หนีความผิดได้ไม่เนียนเลยจริงๆ     

 “ช่างเขาเถอะ สงสัยตุ้ยนุ้ยคงง่วงพอดี” คุณโดมพูดยิ้มๆ แม้จะรู้ทันเด็กน้อยไม่ต่างกับยม ถึงอย่างนั้นร้อยโทหนุ่มก็ยังเรียกตุ้ยนุ้ยไม่เลิกอยู่ดีเช่นกัน

    “ทำไมคราวนี้ คุณโดมไม่เรียกให้ยมไปเปิดประตูล่ะจ๊ะ?”     

 "พอดีฉันเห็นว่าประตูไม่ได้ลงกลอน ก็เลยเข้ามาเสียเลย เผื่อว่ายมทำอะไรอยู่ฉันจะได้ไม่ขัดจังหวะ” คุณโดมถอดเสื้อนอกออกยื่นให้ยมนำไปแขวนใกล้ๆ ยมยิ้มแหยเพราะวันนี้มัวแต่ดูหนูขมเพลินจนไม่ทันได้ดูรอบบ้าน   

 “โชคดีที่ฉันกลับมาเร็ว แต่คราวหลังต้องลงกลอนทุกครั้งนะ ยิ่งมีตุ้ยนุ้ยมาอยู่ด้วย ยิ่งต้องดูแลความปลอดภัยเข้าใจไหม?”    ยมพยักหน้ารับรู้อย่างสำนึกผิด คุณโดมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ใกล้ๆ มองยมกำลังแขวนเสื้อนอกของตนแล้วกลับมานั่งลงบ้าง เด็กหนุ่มมองเด็กตัวจ้อยจากที่แกล้งหลับกลายเป็นหลับสนิทจริงๆ ร้อยโทหนุ่มคิดในใจว่า...ทุกครั้งที่ยมยิ้มสดใส ความเศร้าหมองรอบด้านก็แทบจะไม่มี จนอยากให้ให้ยมยิ้มอย่างนี้ตลอดไป     

และไม่อยาก...ให้ยมต้องช้ำโศกอีกต่อไปเลย     

ใช่...สิ่งที่ยมพูดกับหนูขม คุณโดมได้ยินหมดแล้ว ถึงได้เข้ามาขวางไม่ให้เด็กน้อยถามยมต่อ เพราะยมอาจจะเศร้าอีก   

  “ยม...” คุณโดมเรียกเด็กหนุ่ม ยมเงยหน้าหันมาพูดคุย     

 “จ๊ะ?”     

“ยมยังไม่ลืมเขมใช่ไหม?” สุดท้ายคุณโดมก็อดถามไม่ได้ “อีกไม่นานเขมจะกลับมาแล้วนะ จะครบกำหนดปีที่เขมจะกลับจากอังกฤษ”   

 “ยังจ้ะ...” ยมฝืนตอบเสียงโศก “ยมเคยบอกคุณโดมไปแล้วนี่จ้ะ ว่าต่อให้ต้องรอชั่วชีวิต ยมก็จะรอ”     

 คำตอบที่เหมือนกับตอนนั้น หากเป็นช่วงเวลานั้นแล้วคุณโดมยังคงเห็นใจสงสารชะตาของยมเป็นปกติ     

 แล้วทำไมครานี้เขาถึงเจ็บ...ที่ได้ยินคำตอบเช่นนี้   

บอกไม่ถูก...     

 “แต่ฉันไม่อยากให้ยมรอแล้ว..”  ไม่มีการเผลอพูดพลั้ง ทุกถ้อยคำถามคุณโดมคิดมาดีแล้ว ร่างสูงเดินไปยืนตรงหน้าร่างของเด็กหนุ่ม

“รอแล้วได้อะไรยม? ไม่กลัวบ้างหรือว่าเขาจะลืม”     

 “คุณโดม...หมายความว่า...”     

 “ฉันรู้ว่าฉันเห็นแก่ตัว...” ร้อยโทหนุ่มรวบรวมความกล้า มือใหญ่จับขอบโซฟาประชิดเข้าใกล้ ใบหน้าคมคายห่างยมไม่ถึงคืบ     

 “ให้โอกาสฉันบ้างได้ไหม?”   

  !!!   

“ฉันรู้สึกดีกับยม ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันแล้ว”     

    “คือ...” เด็กหนุ่มยังไม่ทันจะให้คำตอบ หากแต่คุณโดมกลับทาบทับริมฝีปากลงมามอบสัมผัสอบอุ่นจนยมต้องหลับตาเคลิ้มไปชั่วครู่

      พี่รักยมนะ...

    พลัน...ภาพและเสียงเมื่อครั้งวันวานกลับซ้อนเข้ามาในหัวของยม ร่างเล็กใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ผลักร้อยโทหนุ่มออก  ใบหน้าของยมเบือนหนีไม่อาจสบตากับผู้ที่กล้าทำอุกอาจใส่ตน

     “ยมขอโทษคุณโดมนะจ๊ะ...แต่ชาตินี้ หัวใจของยมเป็นของพี่เขมเพียงคนเดียว”

    “ยม...คือ...” คุณโดมกำลังจะขอโทษที่ปล่อยให้ความหลงผิดและความเห็นแก่ตัวตรอบงำความคิดและจิตใจ แต่เด็กหนุ่มกลับพูดขัดเสียก่อนว่า

     “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่...ยมจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นจ้ะ”



     เวลาผ่านไปหนึ่งปีเต็ม...

    เมื่อพิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยได้เสร็จสิ้นไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ คณะกะปิตันที่มีหน้าที่มารับกลุ่มนักเรียนทุนชาวสยามก็ได้เดินทางมาเทียบท่าเรือลอนดอนเป็นที่เรียบร้อย   

   “ขอให้ถึงสยามโดยสวัสดิภาพนะ คุณเขม คุณบูรพา”   

  มิสเตอร์ครูว์พร้อมด้วยภรรยา และเจ้าจอห์นสหายของคุณเขมเดินมาส่งสองนักเรียนชาวสยาม การที่ได้ทำหน้าที่โฮสต์ดูแลทั้งสองคน ทำให้เกิดความผูกพันไม่มากก็น้อย เสมือนว่าทั้งสองคือสมาชิกในครอบครัวเช่นกัน   

 “ผมทั้งสองคนขอขอบพระคุณโฮสต์ทั้งสองที่คอยดูแลพวกเราอย่างดีเสมอมาครับ” คุณเขมกล่าวอ่อนน้อม พร้อมๆกับไหว้พร้อมคุณบูรพาขอบคุณผู้ใหญ่ทั้งสอง   

  “หากมีโอกาส เราคงได้พบกันที่สยามนะจ๊ะ” คุณน้ำใจยิ้มอย่างมีไมตรี

   “เขม ยูห้ามลืมไอนะ หากมีโอกาส ไอจะไปหายูที่สยาม” จอห์นยังคงพูดคุยน้ำเสียงทะเล้นแม้ยามบอกลา คุณเขมพยักหน้ารับยิ้มๆ

     “ไอไม่ลืมยูหรอกนะ แต่ก่อนจะไปหาไอ ยูต้องหางานทำก่อน เรียนจบแล้วอย่ามัวแต่เที่ยว”

     จอห์นเบ้หน้า ไหวไหล่น้อยๆเป็นเชิงบอกว่าเอาน่า...จริงจังอีกแล้ว เพื่อนชายจากสยามคนนี้จริงจังตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนวันกลับเหลือเกิน

      ร่างสูงมองท่าเรืออังกฤษจากบนเรือใหญ่ที่พานักเรียนทุนสยามกลับประเทศ คุณเขมโบกมืออำลามิสเตอร์ครูว์กับคุณน้ำใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้าไปรวมกับกลุ่มนักเรียนชาวสยามที่สนิทกันตั้งแต่ตอนเดินทาง     

 “กลับไปครานี้...คุณบูรพาตั้งใจจะรับราชการ หรือมีแผนการจะทำอะไรหรือขอรับ?”       

คุณบูรพาที่ใครต่อใครต่างก็ว่ากันว่างดงามราวกับรูปปั้นวีนัส หากแต่มีความมั่นใจและกล้าแสดงออกเป็นอย่างมาก และความมั่นใจนี้ทำให้คุณบูรพามีเพื่อนฝูงมากมายไม่ว่าจะเป็นเพื่อนนักเรียนชาวสยาม หรือจะเป็นชาวอังกฤษก็ตาม       

“กลับไปสยามครานี้ คุณพ่อจะฝากฝังผมกับท่านพระเจนดุริยางค์ ผมจะได้เล่นดนตรีฝรั่งในราชสำนักอย่างที่เคยฝัน”       

 คุณเขมได้ฟังก็อมยิ้มที่บิดาของเพื่อนชายนั้นค่อนข้างใจกว้าง ยินยอมให้เรียนเกี่ยวกับดนตรีจนได้รับทุนมาเรียนต่อจนสามารถเล่นได้ทั้งดนตรีไทยและเทศ อีกทั้งยังมีเสียงที่ไพเราะขับร้องบทเพลงได้หลากหลายภาษา

 ส่วนตัวคุณเขมเอง...แม้ลึกๆจะชื่นชอบด้านการเรียนยาและสมุนไพรมากกว่าจนอยากจะเรียนแพทย์ แต่ในเมื่อคุณพระวินิตราชศักดิ์ตั้งใจฝากความหวังให้ตนรับราชการต่อไป จึงตัดสินใจเรียนสาขาวิชารัฐศาสตร์เพื่อนำวิชาความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ คุณเขมเองก็หาได้กล้ำกลืนฝืนทนไม่ อีกทั้งจบมายังได้คะแนนสูงที่สุดของสาขาอีกต่างหาก

      “คุณเขมขอรับ” เพื่อนชายในกลุ่มนักเรียนสยามคนหนึ่งเรียก “อีกประเดี๋ยวคุณบูรพาจะเล่นซอฝรั่ง หรือที่เรียกว่าไวโอลินให้ฟังด้วยนะขอรับ  ไปฟังกันเถิดขอรับ”

        ‘...โอ้อกคิดถึง คิดถึงคะนึงนอนวัน

นอนไห้ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า

โอ้อกคิดถึง คิดถึงคะนึงนอนวัน

นอนไห้ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า

       ...ทรงกลด สวยสดโสภา

แสงทองส่องหล้า ขวัญตาเรียมเอย

ทรงกลด สวยสดโสภา

แสงทองส่องหล้า ขวัญตาเรียมเอย’

          เสียงนุ่มนวลชวนฟังของผู้ขับร้องชาวสยาม ประสานกับผู้บรรเลงดนตรีจากสำนักพระราชวังอันประกอบด้วยระนาดขิมซอ อีกทั้งยังมีไวโอลินหรือที่เรียกว่าซอฝรั่งโดยมีคุณบูรพาคอยประโคมขับกล่อม บทเพลงลาวคำหอมในค่ำคืนนี้จึงไพเราะเสนาะหูราวกับเสียงเพลงจากสวรรค์ โดยเฉพาะกับคุณเขมที่กำแหวนใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเล็กบนอกด้านซ้าย

    ยมที่รักของพี่...พี่กำลังจะกลับไปหาเจ้า

    พี่จะขอโอกาสจากคุณพ่อให้ได้รักกับยม...ขอโอกาสทำงานรับราชการแทนคุณแผ่นดินเพื่อแสดงให้เห็นว่าต่อให้คุณเขมจะรักใคร เขาก็สามารถนำพาสกุลวินิตราชศักดิ์ให้รุ่งเรืองในภายภาคหน้าได้

    กลับมาถึงสยามครานี้...พี่จะไม่ห่างจากเจ้าไปไกลแสนไกลอีกแล้ว

      “เดี๋ยวสิขอรับคุณเขม”

    ขณะที่กำลังจะเดินกลับไปนอนพัก คุณเขมก็หันมามองต้นเสียงที่คุ้นหูของเพื่อนที่พักในบ้านหลังเดียวกัน เขาเป็นชายหนุ่มที่ตัวค่อนข้างเล็กกว่าคุณเขมเล็กน้อยเท่านั้น หากแต่มีใบหน้างดงามคล้ายรูปปั้นเทพีวีนัสอย่างที่ใครต่อใครร่ำลือ ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากที่สลักแดงสวย ผิวขาวเหมือนหิมะ ดวงตากรีดคมจนผู้หญิงใดๆยังต้องอาย

      “คุณบูรพานั่นเอง” คุณเขมยิ้มทักทายอย่างไมตรี “เพลงลาวคำหอมของสยามที่เคยฟังผ่านๆตอนเด็ก ไม่คิดเลยว่าพอได้นำมาเล่นคู่กับดนตรีฝรั่ง จะไพเราะได้ถึงเพียงนี้”

      “ก็พ่อครูบันลือน่ะสิ อุตส่าห์แกะโน้ตเพลงให้เข้ากับจังหวะไวโอลินจนได้ ก็ต้องชื่นชมแกนั่นแหละ”

      คุณบูรพาเอ่ยถึงครูสอนดนตรีที่คอยสอนดนตรีไทยให้ตนมาตั้งแต่เด็ก และยังได้รับคำสั่งจากบิดาของตนให้มาคอยสอนให้คอยเล่นดนตรีไทยแม้ยามอยู่อังกฤษ คุณบูรพาจึงยังคงเล่นดนตรีไทยอยู่เสมอควบคู่กับดนตรีสากล จนสามารถนำเพลงไทยมาเล่นเข้ากับดนตรีตะวันตกอย่างไวโอลินได้ไพเราะนั่นเอง

     “แต่คุณบูรพาก็สามารถขับกล่อมบทเพลงได้ไพเราะ และเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้มากเลยนะขอรับ”

     “ผมคงเล่นดนตรีถึงอารมณ์จริงๆ...” คนหน้าสวยกรีดยิ้มหัวเราะ “เพราะผมเห็นคุณเขมทำท่าเหมือนกุมหัวใจตลอดเวลายามที่ฟังเพลง เหมือนกำลังคิดถึงใคร”

     คุณเขมเงียบกริบ หลบหลีกสายตาของคุณบูรพาที่มองตนอย่างจับผิด ไม่คิดเลยว่าพอได้มาสนทนากับคุณบูรพายาวๆครั้งนี้ จะทำให้ตนใบหน้าร้อนวูบวาบได้

      หากเป็นคนอื่น...คงหน้าร้อนวูบวาบเพราะใบหน้าที่สลักเสลาอันงดงามของคุณบูรพาแทบทั้งสิ้น

      แต่สำหรับคุณเขม...กลับร้อนรนเพราะคำพูดที่ตรงไปตรงมาต่างหาก

     “ใครกันหนอ...” ริมฝีปากสวยยิ้มกริ่ม ที่สามารถทำให้บุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์ที่ใครต่อใครต่างพากันลือว่าถ้อยคำตอบคำให้ทำหน้าคล้ายไปต่อไม่ถูกได้ “หญิงสยามคนใดกัน...ที่ทำให้คุณเขมเพ้อหาได้ถึงขนาดนี้”

     “ไม่ใช่ผู้หญิงขอรับ...” ตอบสวนไปทันควัน แต่ก็แทบอยากจะโขกศีรษะตัวเองยิ่งนักที่พูดอะไรบ้าๆออกไป

      “เอ่อ...คุณบูรพา...”

  “ผมเข้าใจแล้วขอรับคุณเขม” ร่างโปร่งเข้ามาตบบ่ากว้างเบาๆ “ไม่ต้องกังวลว่าผมจะรังเกียจหรอกขอรับ ผมก็...”

     กล่าวถ้อยได้เท่านี้ก็ชะงัก คุณบูรพากลืนคำพูดตามที่ใจคิดทันควัน ใบหน้างดงามที่สดใสก่อนหน้าพลันเศร้าลง ราวกับคิดถึงใครซักคน

     ทั้งคิดถึง...และทั้งน้อยใจเลยล่ะ

     “คุณบูรพาไม่รังเกียจที่ผมมีคนรักเป็นผู้ชายหรือขอรับ?”

    แม้จะยังไม่ค่อยวางใจด้วยไม่ได้สนิทสนมกับคุณบูรพาเท่าที่ควร แต่ในเมื่อพลั้งปากพูดไปแล้ว คุณเขมก็ยังถามทวนเพื่อให้แน่ใจ

    “ไม่เห็นน่ารังเกียจตรงไหน” คุณบูรพายักไหล่ “ผมว่าความรักไม่เห็นจะเกี่ยวกับเพศตรงไหน มันไม่ผิดหรอกขอรับหากเราจะรักใคร ลางทีผมก็คิดนะว่าหากสยามเปิดกว้างกว่านี้ ความรักในรูปแบบเดียวกับคุณเขมก็คงกล้ารักกันเปิดเผย เช่นเดียวกันกับความรักของชายหญิง”

     ค่อยโล่งใจไปที...ที่คุณบูรพาก็คิดเช่นเดียวกับตน เพราะหากเป็นคนอื่น คุณเขมอาจถูกรังเกียจไปแล้วก็ได้

    คราวหลัง...เขาคงต้องระวังคำพูดสักหน่อยแล้ว

   “คุณเขมคงจะรักหนุ่มน้อยคนนั้นน่าดู” คุณบูรพาเอ่ยถามยิ้มๆ “เขาคงจะน่ารักและเอาอกเอาใจคุณเขมน่าดูทีเดียว”

   “ขอรับ ยมน่ารักที่สุด” คราวนี้คุณเขมกล้าตอบถ้อยคุณบูรพาได้เต็มคำ ในเมื่อคุณบูรพาเต็มใจรับฟัง เขาก็กล้าจะเล่าเช่นกัน “แล้วยมก็รักผมมากที่สุด เช่นเดียวกับที่ผมรัก”

    “หึๆ...” คุณบูรพาหัวเราะน้อยๆ หากแต่ใบหน้าสวยงามคมคายนั้นกลับคล้ายมีบางอย่างอยู่ในใจ “ก็ดีแล้วล่ะขอรับ หากวันใดที่คุณเขมได้แต่งงานกับคนที่รัก อย่าลืมเชิญผมให้มาเล่นดนตรีในงานแต่งด้วยเล่า ไม่อย่างนั้นผมโกรธคุณเขมยาวแน่ๆ”

     คนร่างสูงกว่าไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มรับขบขันที่คุณบูรพาทำแก้มป่องน้อยๆ เพิ่งได้ประจักษ์นิสัยใจคอที่แท้จริงของเพื่อนที่อยู่ร่วมโฮสต์หลังเดียวกันมาร่วมสี่ปีก็วันนี้เองนี่แหละ





     เปิดตัวคุณบูรพาคนงามมมม ก็บอกแล้วไง 'เขา' สวย รวย เล่นดนตรีเก่งเวอร์(เคยมาแต่ชื่อครั้งแรกในตอนบาปซ้ำ...กรรมซัดจ้า5555)
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่18--
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 27-01-2018 14:16:14
หนูยมช่างรักมั่นในเขม สงสารพี่โดมจิงรุย :hao5:
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่18--
เริ่มหัวข้อโดย: snpmrth ที่ 27-01-2018 17:11:02
 สงสารไปหมดทุกคนเลยค่ะ ทั้งคุณโดม ทั้งน้องยม และคุณเขมที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฮือ
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่19--
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 28-01-2018 19:20:24
เรือนร้าว19
ตอน ฝัน
 
  ความมืดมิดรอบด้านที่ไม่อาจแสวงหาทางออก บรรยากาศช่างเย็นเฉียบจนเด็กหนุ่มต้องกอดตัวเองแน่น ดวงตาหวานกลอกซ้ายขวาหาแสงสว่างหมายพบทางออก รอบด้านนี้ช่างน่ากลัว...น่ากลัวเหลือเกิน ไม่เอา! ไม่อยากอยู่ตรงนี้!                       

 “ไอ้ยม!”     

 เสียงทรงอำนาจราวมัจจุราชทำให้ร่างร้อยตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาเบิกระริกด้วยความหวาดกลัว  ร่างของหญิงสาวห่มสไบสีแดงสด ผมประบ่าสยายตามกระแสลมพัดแรง นางง้างไม้คีบถ่านร้อนระอุเสียงฉ่าเข้ามาใกล้   

 “อย่า! คุณเขลางค์ ไม่!!”     

ยมวิ่งหนีหญิงอำมหิตอย่างไม่คิดชีวิต แต่เพราะรอบด้านช่างมืดมิดเหลือเกิน ร่างเล็กจึงสะดุดล้ม และทำได้เพียงยกมือท่วมหัววิงวอนขอความเมตตาทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีความหมาย   

 “ยะ...อย่า!!!”     

ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ทว่าจู่ๆรัตติกาลที่ครอบคลุมกลับแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่าง พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของคุณเขลางค์     

“กรี๊ดดดดดด!!!”     เมื่อปรือตาขึ้นมา ยมก็พบว่าร่างของหญิงอำมหิตคนนั้นเลือนหายไป ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่อบอุ่นรอบกาย เป็นสัมผัสที่ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง   

 “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”   

 “คะ..คุณโดม”   

 ร้อยโทหนุ่มสวมกอดร่างเล็กแผ่วเบา หากแต่ชั่วครู่เท่านั้นเอง คุณโดมคลี่ยิ้มให้ยมอีกครั้งก่อนที่ร่างใหญ่จะกลายเป็นเพียงเศษเถ้าธุลีปลิวพัดไปกับสายลม   

พอสายลมพัดพาแสงสว่างไป...รอบด้านก็กลายเป็นวังจม! 

  พลัน...ยมก็รู้สึกได้ว่ามีสายน้ำอยู่รอบๆ เด็กหนุ่มกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด พยายามแหวกสายธาราขึ้นฝั่ง แต่เพราะอ่อนแรงอ่อนล้า ร่างกายจึงใกล้จมสู่บาดาล   

  หมับ!     

 ราวกับมีใครมาต่อลมหายใจ ดวงตาน้อยที่จะปิดเต็มทีค่อยๆลืมขึ้นใต้น้ำ คนนั้นประกบริมฝีปากเข้ามาช่วยต่อลมหายใจให้ยมมีแรงจนสามารถดำผุดดำว่ายจะขึ้นฝั่งได้ หากแต่ขณะใกล้ถึงด้านบนฝั่ง ยมหันกลับมามองผู้ที่ช่วยชีวิตตนไว้เพียงเสี้ยวนาที     

เขาส่งยิ้มให้ ดวงตาสีนิลคมคายปีติที่ช่วยดวงใจของเขาสำเร็จ

กว่ายมจะรู้...ร่างนั้นกลับกลายเป็มจมลงสู่บาดาลแทนที่จะเป็นตน!     

พี่เขม!!      ไม่...ไม่!!!!



 “พี่เขม...ฮึก พี่เขม...”     

ร่างน้อยดิ้นส่งเสียงละเมอ ก่อนที่จะผวาออกจากฝันร้ายได้ในที่สุด ยมหอบเหนื่อยราวกับเพิ่งได้แหวกว่ายสายน้ำจริงๆ มือเล็กสัมผัสแก้มของตน ก็พบว่ามีหยาดน้ำรินจากดวงตาใกล้เหือดแห้งเต็มที   

“พี่เขม!! ฮือ...”     ยมนั่งกอดเข้าร้องไห้ยามที่ภาพในฝันนั้นกลับเข้ามาติดตาอีกครา     

ทำไมต้องมาฝันอะไรอย่างนี้ด้วย?     

หัวใจของยม...เต้นระรัวหนักราวกับถูกฉีกกระชาก ยิ่งเห็นภาพของพี่เขมส่งยิ้มให้ก่อนจะหายไป   

“พี่ยม...”   

 เสียงสะอื้นของยมทำให้เด็กตัวจ้อยที่หลับอยู่ใกล้ๆต้องขยี้ตาขึ้นมาด้วยความงัวเงีย แต่พอตื่นได้เต็มตาหนูขมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นน้ำตาของพี่ชายที่แสนดี   

 “พี่ยม...พี่ยมร้องไห้ทำไมจ๊ะ?”     

จริงสิ เมื่อคืนพี่หมึกพาหนูขมมาส่งเพราะต้องไปธุระต่างเมืองพร้อมพี่จันทร์นี่นา     

 “ไม่มีอะไรหนูขม” คนอายุมากกว่าปาดน้ำตา ฝืนยิ้มน้อยๆแม้ใจมันจะขาดแล้วก็ตาม “พี่ฝันร้ายนิดหน่อยน่ะ ขอโทษที่ทำให้ตื่น หนูขมนอนต่อเถอะ”     

 “ไม่อาว...หลับไม่ลงแล้ว” มือป้อมขยับมาเช็ดน้ำตาที่ยังไม่เหือดแห้งบนใบหน้าของยม รวมทั้งหยาดน้ำบนแผลอย่างไม่เกี่ยงงอน       

“หนูขมเคยเห็นแม่จันทร์ร้องไห้เพราะฝันร้าย พ่อหมึกเลยบอกว่าให้ร้องออกมาให้หมด แล้วลืมเรื่องที่ร้ายๆออกไป”       

เจ้าหนูแสนฉลาดเกินวัยเอ่ยปลอบยมเสียงเจื้อยแจ้ว เมื่อได้ฟังเด็กหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ใจจริงก็อยากจะร้องตามคำแนะนำอยู่หรอก     

แต่มันร้องไม่ออกแล้วต่างหาก   

 “มาให้พี่กอดทีมาหนูขม”      ร่างป้อมโผกอดยมอย่างว่าง่าย สัมผัสจากเด็กน้อยไร้เดียงสาที่มีแต่ความจริงใจมอบให้ ทำให้ใจที่ปวดร้าวของยมกลับมาดีขึ้นอย่างรวดเร็ว...แม้อาจจะไม่ทั้งหมดก็ตาม   

 “ฝันร้ายกลายเป็นดีนะจ๊ะพี่ยม”   

 หนูขมขยับใบหน้าตุ้ยนุ้ยจูบซับพี่ชายแผ่วเบา ยมยิ้มรับด้วยความเอ็นดูที่หนูน้อยพยายามปลอบตนเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้   

ขอบคุณนะหนูขม   

 หวังว่าฝันร้ายของพี่ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นจริงๆ

     ร้อยโทหนุ่มนั่งรับประทานอาหารเช้าปกติ หากสายตากลับจับจ้องยมที่ยื่นจานข้าวส่งให้หนูขมด้วยท่าทีเซื่องซึม แวบแรกหากมองไม่พลาด เหมือนเจ้าหนูจะแอบลูบแขนของพี่ชายเบาๆคล้ายจะปลอบใจ     

“ยมเป็นอะไรรึเปล่า?”     

ในที่สุดก็อดถามไม่ได้ เด็กหนุ่มส่ายหน้าตอบรับแทนคำพูด ก่อนจะนั่งลงเพื่อทานข้าวบ้าง   

  “วันนี้พี่ไม่ได้ทำหมูฝอยนะหนูขม ช่วงนี้ราคาหมูแพงขึ้น กินต้มจืดผักกาดไปก่อนนะ”   

   “ได้จ้ะ...อะไรที่พี่ยมทำ หนูขมจะกินให้หมดเล้ย!”   

เด็กน้อยตอบน้ำเสียงเริงร่า นั่นทำให้คุณโดมลืมเรื่องท่าทีของยมแล้วหันมาแซ็วเจ้าหนูจำไมแทน   

    “ดีแล้ว ตุ้ยนุ้ยต้องทานผักเยอะๆ จะได้แข็งแรง”     

   "งื้อ!! ไม่เอาชื่อตุ้ยนุ้ย!!" หนูขมงอแง ทำให้จากที่ซึมเซา ยมต้องมาคอยปรามศึกทั้งคู่แทน   

   "คุณโดมไม่ต้องไปว่าหนูขมเลยนะจ๊ะ คุณโดมเองก็ทานเก่งใช่ย่อย ตัวถึงได้โตเหมือนกัน"

  “เดี๋ยวนี้ยมกล้าพูดขึ้นนะ...หึๆ” ใบหน้าคมคายยกยิ้มขึ้นน้อยๆก่อนจะตักต้มจืดเข้าปาก ไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรกับหนูขมอีกด้วยตอนนี้เจ้าตัวกลมทำหน้าบู้บี้เต็มที  เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด คุณโดมจึงไม่รับประทานอย่างเร่งรีบดังเช่นทุกวัน พอรับอาหารเช้าเสร็จก็ยังอาสาล้างจานแทนพร้อมให้เหตุผลว่ายมทำงานมาทุกวันจึงอยากให้พัก แต่ก็ไม่วายเหลือบไปมองร่างป้อมที่กระโดดหยองแหยงรอบๆพี่ชายของเขาอย่างออดอ้อน

    “ไหนๆลุงโดม เอ๊ย! อาโดมก็ล้างจานให้พี่ยมแล้ว ไปเล่นไล่จับกับหนูขมในสวนกันน้าพี่ยม”

     “ได้สิ” เห็นตากลมๆสบมาเพื่ออ้อนขนาดนี้ ใครไม่ตามใจก็ด้านชาเต็มที

    “เย้! ไปกันๆ”

     หนูขมออกวิ่งเกิดเสียงโครมครามจนคุณโดมต้องหันมาเตือนไปหนึ่งที ยมหัวเราะพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ก็เล่นไล่จับทีไรตนต้องเป็นฝ่ายคอยจับทุกที เพราะคนชวนเล่นให้เหตุผลว่าถนัดวิ่งหนีมากกว่าน่ะสิ

       “นี่แน่ะ! พี่จับหนูขมได้แล้ว!”

       หลังจากไล่จับอยู่เป็นเวลานานยมก็จับตัวเจ้าเด็กน้อยได้สำเร็จ หนูขมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อถูกพี่ชายจับได้ในเวลาไม่นาน ขนาดหนูขมวิ่งหนีพี่ยมสุดแรงเกิดแล้วนะเนี่ย!

        เด็กต่างวัยหัวเราะสนุกสนานอยู่เป็นเวลานาน กระทั่งยมเหลือบไปเห็นต้นมะลิที่ตนเฝ้าฟูมฟักมาตลอดเกิดพังลงมาทั้งต้นราวกับถูกอัสนีบาตผ่าลงมาก็ไม่ปาน ในขณะที่ต้นไม้รอบๆกลับไม่เป็นอะไร!

      “ต้นมะลิ...”

       ยมก้มลงสำรวจซากต้นที่เคยงดงาม บัดนี้แทบจะแหลกลาญไม่เหลือชิ้นดี มือน้อยเก็บดอกมะลิขึ้นมาช้าๆ ดวงตาสั่นระริกคล้ายร้องไห้เมื่อนึกถึงความฝันในตอนั้น

       พี่เขมยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย...ก่อนจะจมลงไปกับสายน้ำ

       นี่มันลางสังหรณ์อะไร...

       “พี่ยม” หนูขมเดินมาช่วยเด็กหนุ่มเก็บดอกมะลิใส่ฝ่ามือขาวหยาบ “ทำไมต้นมะลิของพี่เป็นอย่างนี้ล่ะจ๊ะ?”

       “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันหนูขม...”

        ไม่รู้ทำไม ภาพในความฝันกับซากปรักหักพังของต้นมะลิตรงหน้า ทำให้ยมเกิดลางสังหรณ์แปลกๆอย่างไรชอบกล

      “ยม เกิดอะไรขึ้น?”

   คุณโดมที่เพิ่งล้างจานเสร็จเดินตามออกมาหมายจะมาเฝ้าเด็กทั้งสองเล่นในสวนขมวดคิ้วแปลกใจ เมื่อเห็นว่ายมกลับช้อนดอกมะลิไว้เต็มกำมือ แววตาที่ไม่ได้ฉายแววเศร้ามานานกลับหมองลงอีกครั้งคล้ายมีบางอย่างที่อยู่ในใจ

      “ต้นมะลิของพี่ยมเป็นอะไรไม่รู้จ้ะลุงโดม”

      หนูขมเป็นฝ่ายตอบ เพราะพี่ชายที่แสนดีของตนกำลังเหม่อลอย เมื่อคุณโดมพอเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างจึงเข้ามาลูบแผ่นหลังยมอย่างปลอบโยน

       “เมื่อคืนฝนตกหนัก สงสัยต้นมะลิคงจะได้รับความเสียหายจากพายุลมฝนกระมัง ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่”

         ยมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ด้วยในใจนั้นแสนพะว้าพะวัง ดอกมะลิเป็นเสมือนตัวแทนของพี่เขม ทำให้ยมยังนึกถึงพี่เขมตลอดเวลา

        และจะไม่กังวลมากขนาดนี้ หากต้นมะลิไม่หักโค่น ในเวลาที่ไล่เลี่ยกับฝันร้ายที่เพิ่งผ่านไป

        พี่เขมคงกำลังจะกลับมาสยามแล้ว แม้ชาตินี้จะได้กลับมาพบพานอีกหรือไม่...แต่ยมขอให้พี่เขมอย่าได้รับอันตรายใดๆเหมือนในฝันเลย

         ฝันที่พี่...จากยมไปต่อหน้าต่อตา!



กะปิตันพาเรือมาเทียบท่าสยามหลังจากเวลาผ่านไปนานเกือบเดือน บริเวณท่าเรือเต็มไปด้วยบรรดาขุนน้ำขุนนางร่ำรวยที่มารอรับบุตรกลับบ้าน ตอนนี้เหล่านักเรียนทุนต่างพากันทะยอยลงจากเรือช้าๆ     

 “คุณเขมๆ” คุณบูรพาสะกิดคุณเขมที่กลายเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เดินทางกลับจากอังกฤษ “คุณพ่อของผมรออยู่ตรงนู้น คุณเขมจะไปกับผมไหมขอรับ?”     

  ยังไม่ทันที่คุณเขมจะตอบ คนที่ชักชวนเขาตอนแรกกลับทำหน้าหมองลงแทนที่ความร่าเริงเมื่อครู่ ดวงตากรีดงดงามเบิกโพลง หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำยามที่พยายามจับจ้องผู้ที่ทำให้ตนต้องเป็นอย่างนี้   

   'ทำไมเหมือนเจอเจ้าเด็กนั่นอยู่แถวนี้นะ!?'   

   “คุณบูรพาเป็นอะไรรึเปล่าขอรับ?”     

 เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนชายไม่ค่อยสู้ดีจึงเอ่ยถาม หากคุณบูรพาเพียงแต่ยิ้มฝืดๆส่งให้ หากคุณเขมมองไม่ผิด เหมือนดวงตากรีดสวยคู่นั้นกลับมองหาอะไรบางอย่างแต่ไม่พบอยู่ด้วย   

    “ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ผมคงคิดไปเองเท่านั้น”   

     คุณเขมไม่ได้ถามอะไรต่อ ได้แต่เดินตามร่างสง่างามไปพบกับครอบครัวของคุณบูรพา บิดาของคุณบูรพาคือขุนภิรมย์ เป็นขุนนางชั้นสูงจากเมืองสุพรรณบุรี เป็นคนร่างสูงใหญ่ น้ำเสียงดุดันน่ายำเกรง ภรรยาของท่านชื่อคุณบุหลัน ซึ่งงดงามคนละแบบกับคุณเขลางค์ แต่ที่เหมือนกันก็คงจะเป็นตอนที่คุณบุหลันกอดบุตรชายและปล่อยให้ออดอ้อนเสียเต็มที่                      “ลูกคิดถึงคุณแม่เหลือเกินขอรับ คิดถึงเพลงที่คุณแม่ร้องกล่อม คิดถึงฝีมือทำขนมบุหลันดั้นเมฆของคุณแม่ คิดถึง...”     

   “ฮื้อ...พอแล้วลูกบูรพา” คุณบุหลันปรามบุตรชายที่แสนประจบให้หยุดพูด แต่มือก็ยังสวมกอดคุณบูรพาแน่นไม่ต่างกับเจ้าลูกตัวดี  “ดูซินั่น พ่อเขมมองใหญ่แล้วน่ะ”     

   “เออแล้วนี่ คุณพ่อของพ่อเขมรออยู่ตรงไหนกันรึ?” ครานี้เป็นขุนภิรมย์ที่เอ่ยถาม     

  “ผมยังไม่พบคุณพ่อเลยขอรับคุณอา คงจะยังมาไม่ถึงกระมังขอรับ”     

 “น่าเสียดาย นี่ถ้าหากไม่ติดว่าต้องรีบกลับสุพรรณล่ะก็...อาอยากพบคุณพระวินิตราชศักดิ์ผู้เก่งกาจจนเป็นที่กล่าวขานนัก”       

  ขุนภิรมย์พูดด้วยความสัตย์จริง...ความเก่งและความรู้ในการรับราชการของคุณพระวินิตราชศักดิ์เป็นที่ลือเลื่องไปทั่วพระนครกับหัวเมืองใกล้เคียง แม้อาจไม่ได้เทียบตำแหน่งพระยาใหญ่โต แต่เพราะวิสัยซื่อสัตย์และเด็ดเดี่ยวนั้น ทำให้คุณพระเป็นที่เคารพยำเกรงของใครต่อใครที่ได้พบเจอ   

     “อย่าลืมสัญญานะขอรับ คุณเขม” ก่อนจาก คุณบูรพาก็ไม่วายมากระซิบข้างหูคุณเขมเบาๆไม่ให้ผู้ใหญ่ทั้งสองได้ยิน ร่างสูงทำได้เพียงพยักหน้า กลบซ่อนใบหน้าที่แดงสุกกล่ำคล้ายตำลึงไว้       

 อีกแล้วรึ?                 



หลังจากขุนภิรมย์พาคุณบูรพากลับไปแล้ว ร่างสูงเดินฝ่าฝูงชนที่ยังคงมารอรับบุตรหลานกันพลุ่งพล่าน แต่เพราะจังหวะดีคุณเขมจึงพบคุณพระวินิตราชศักดิ์กับคุณเขลางค์กำลังยืนสนทนากับพระยามนตรี พร้อมชายหนุ่มอีกคนซึ่งถ้าจำไม่ผิด...น่าจะเป็นคุณดอมผู้เป็นบุตรชายคนรองของท่าน   

  “คุณพ่อ คุณแม่” ริมฝีปากหยักศกคลี่ยิ้ม ช่างน่าเสียดายที่ครานี้กลับไม่เห็นแม้แต่บ่าวไพร่ในเรือนมาคอยติดตามอย่างเคย แต่ไม่เป็นกระไรหรอกมัง ยมคงคอยเขาอยู่ที่เรือนแล้ว         

      คนดี...พี่กลับมาแล้ว พี่จะได้พบเจ้าแล้ว     

  “กรี๊ดด!! ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย! โจรขโมยกระเป๋าฉัน!!”       คุณเขมหันไปมองตามเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวแปลกหน้า เมื่อเห็นว่าใครต่อใครต่างพากันหวาดกลัวไม่กล้าเข้าไปช่วยจับโจร ชายหนุ่มตัดสินใจวิ่งตามร่างของโจรที่วิ่งหนีไปไกลถึงท่าเรือร้าง มันพยายามแทงคุณเขมด้วยมีดสั้นที่พกติดตัว แต่ร่างใหญ่กว่าหลบทัน ก่อนจะสู้กับมันอย่างได้เปรียบและชิงกระเป๋าคืนมาได้ในที่สุด   

      พลั่ก!!     

    ของแข็งบางอย่างฟาดลงบนท้ายทอยของคุณเขมเต็มแรง ขณะที่คุณเขมใกล้สิ้นสติเต็มที ภาพของเด็กน้อยที่ตั้งใจจะกลับไปพบก็ลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง   

     ภาพสุดท้าย...คือภาพที่คุณเขมกอดยมแนบแน่น ก่อนจากไกล... 

      ศีรษะของคุณเขมกระแทกบนพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียง วัตถุเล็กๆทรงกลมกระเด็นออกจากกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายที่เจ้าตัวเก็บไว้ตลอดเวลา เพชรน้ำงามที่คุณเขมสั่งทำเพื่อคนที่รักสุดหัวใจสะท้อนเตะตาสองโจรชั่ว มันคนหนึ่งก้มเก็บแหวนขึ้นมามองเพราะอ่านตัวอักษรสลักไม่ออก แต่สักพักก็ไม่ได้สนใจอีก

    “ท่าทางแหวนวงนี้น่าจะขายได้ราคางามว่ะ ไปกันได้แล้วไอ้เกลอ ทิ้งมันไว้ที่นี่แหละ เอากระเป๋าไปด้วย”

    อย่า...อย่าเอาไป...

     ในห้วงคะนึงของคุณเขมมืดดับ เสียงในความทรงจำเฮือกสุดท้ายดังก้อง ก่อนสติจะวูบลงจนเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า

‘พี่เขม...สัญญากับยมนะ ว่าจะมียมเพียงคนเดียว’

      ‘พี่สัญญา...’



       เพล้ง!!

      เศษจานแตกกระแทกร่วงลงพื้นครัวอย่างที่ไม่เคยเป็น ยมหอบหายใจหวั่นๆก่อนจะกลั้นใจค่อยๆเก็บเศษจานทีละชิ้น คุณโดมเพิ่งออกไปทำงาน ส่วนพี่จันทร์ก็เพิ่งมารับตัวหนูขมกลับจึงไม่มีใครอยู่ ทำให้เสียงตกแตกเมื่อครู่ยังคงดังก้องในหัวไปมาราวกับเสียงเตือน

      “ตกแตกได้ไงกันนะ?” ยมพึมพำ จำได้ว่าจานใบนี้ก็ไม่ได้วางริมขนาดที่มันจะตกลงมาแตกได้ จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งที่สองที่ข้าวของพัง เมื่อวันก่อนต้นมะลิก็ถูกพายุพัดจนพังเหลือทิ้งไว้เพียงซาก วันนี้ก็มาเป็นจานชามในห้องทำครัวอีก

      “อึ๊ก!”

     หยดสีแดงไหลออกจากนิ้วเรียวปริ่มๆเมื่อยมเอื้อมหยิบเศษจานชิ้นสุดท้าย เด็กหนุ่มกลั้นใจหยิบมันไปทิ้งแล้วดูดนิ้วห้ามเลือดไม่ให้ไหลไปมากกว่านี้

     ทำไมกัน...รู้สึกไม่ดีเลย?

    หยาดเหงื่อไหลท่วมใบหน้ามากกว่าทุกที...ในใจก็รู้สึกโหวงๆไม่ต่างจากวันที่ต้นมะลิถูกภัยธรรมชาติหักโค่นจนพัง

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย...ขออย่าให้พี่เขมพบกับอันตรายเลย


**ขอบคุณทุกคอมเม้นเลยน้าาา เยิ้ฟฟฟ

หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่20--
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 29-01-2018 16:24:17
เรือนร้าว20
ตอน เธอ...คือใคร

“พ่อเขมฟื้นหรือยังหมอ?”   

  หมอหนุ่มทำได้เพียงส่ายหน้า ผ่านไปสามวันนับจากเหตุการณ์ในวันนั้นคุณเขมยังไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที จนคุณพระเกรงว่าบุตรชายอาจได้รับอันตราย   

  “บริเวณศีรษะและท้ายทอยได้รับการกระทบกระเทือน อีกทั้งยังค่อนข้างใกล้กับจุดชีพจร ผมคงต้องจำเป็นที่จะเรียนคุณพระว่า...เอ่อ...”   

  “อะไรรึ?”   

  “คุณเขมอาจมีโอกาสฟื้นตัวช้ามาก หรืออาจไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยครับ”   

   “หมายความว่า...ผมอาจเสียพ่อเขมไปอย่างนั้นรึ?”     

   คุณหมอหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะเลี่ยงขอตัวไปดูคนไข้ห้องอื่น     

 “พ่อเขม...พ่อจะทำอย่างไรดี?”         

บุตรชายที่ฝากความหวังในการสืบวงศ์ตระกูล บุตรที่เฝ้าเลี้ยงดูจนเป็นถึงนักเรียนนอกเป็นที่ชื่นชมของผู้ได้พบเห็น ตอนนี้กลับไม่เห็นหนทางที่จะฟื้นขึ้นมาเสียเลย         

จะทำเช่นไร?



  “คุณพี่เจ้าคะ พ่อเขมเป็นอย่างไรบ้าง?”       

ทันทีที่คุณพระวินิตราชศักดิ์กลับมาถึงเรือน คุณเขลางค์ก็ปรี่เข้ามาถามอาการของบุตรชายจากผู้เป็นสามีทันที คนเป็นแม่นั้นร้อนรนอยากจะตามไปดูอาการของลูกตั้งแต่แรกหากแต่ร้องไห้จนเป็นลมไปเสียก่อน 

  “แม่เขลางค์ คือว่า...”       

เพลานี้คุณพระแทบไม่อาจสบสายตากับผู้เป็นภรรยาได้ คุณเขลางค์นั้นต่อให้ภายนอกดูเป็นคนเข้มแข็งและมีอำนาจเพียงใด แต่ถ้าเป็นเรื่องลูกซึ่งนับว่าเป็นเรื่องอ่อนไหวของผู้เป็นแม่แล้ว ยามนี้คุณหญิงวินิตราชศักดิ์อ่อนแอเหลือเกินจนเฟื้องต้องคอยดูแลตลอดเวลา     

 “คุณพี่บอกน้องมาเถิดเจ้าค่ะ น้องเป็นห่วงลูก”   

  “พ่อเขม...” เสียงทุ้มของคนเป็นพ่อเริ่มสั่นเครือ เจ็บปวดยามที่จำต้องบอกสิ่งที่ไม่อยากบอกกับภรรยา "หมอบอกว่า...พ่อเขมอาจจะฟื้นตัวได้ช้ามาก หรือ...อาจมีโอกาสไม่ฟื้นขึ้นมาอีก”     

 สิ้นคำ...คุณเขลางค์ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายบ่าวทาส อีเฟื้องคอยพัดวียื่นยาหอมให้นายของมันไม่ห่าง แม้แต่เดือนที่นั่งหมอบอยู่ไม่ไกลยังนึกสงสารคุณหญิงจับใจ

    แม้จะมีนิสัยใจคอโหดเหี้ยม...แต่อย่างไรก็มีข้อดี นั่นก็คือรักลูก     

  “พ่อเขมลูกแม่!!...แม่ยังไม่ทันได้กอดรับขวัญ ก็ถูกอ้ายโจรชั่วทำร้ายถึงชีวิต ฮือ!!”       

 “ว้าย! คุณเขลางค์เจ้าขา!!” อีเฟื้องรับร่างของนายหญิงที่เป็นลมลงไปอีกครั้ง คุณพระปรี่มาดูอาการของภรรยาเอกท่ามกลางความแตกตื่นของเหล่าทาสไพร่     

  “แม่เขลางค์!”



เด็กหนุ่มก้มลงกราบต่อหน้าพระพุทธรูปภายในวัดโบสถ์เก่าแก่แห่งหนึ่งของเชียงใหม่ คุณโดมชำเลืองมองคนตัวน้อยที่หลับตาพลางประนมมืออธิษฐานบางอย่างด้วยใจที่แน่วแน่     

“สบายใจขึ้นบ้างไหมยม?”       

พักหลังมานี้ร้อยโทหนุ่มสังเกตได้ว่ายมเริ่มพูดน้อยลงเข้าไปทุกที ขนาดมีหนูขมมาคอยพูดคุยเป็นสีสันของบ้านก็ยังไม่ทำให้จิตใจยมดีขึ้นได้เลย จนถึงวันหยุดคุณโดมจึงพาออกมาทำบุญที่วัดหมายจะให้ยมรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง     

“จ้ะ”  เด็กหนุ่มยิ้มส่งให้ "ยมสบายใจขึ้น ที่ได้อธิษฐานบางสิ่งต่อคุณพระคุณเจ้า"   

“ยมอธิษฐานสิ่งใดรึ?”      ยมไม่ตอบ หากแต่นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตนรู้สึกเจ็บที่ใจมาตลอดหลายวันนับตั้งแต่ฝันครั้งนั้น     

 ทุกครั้งที่เจอเรื่องร้าย...ภาพของพี่เขมก็จะวนเวียนเข้ามาบ่อยครั้งจนยมอดกังวลไม่ได้   

 ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย...หากพี่เขมพบเรื่องร้ายถึงชีวิตอย่างที่ลูกกังวลตลอดมา ขอให้พี่เขมปลอดภัยจากอันตรายทีเถิด ไม่ว่าต้องแลกด้วยชีวิตของยม ยมก็ยอม’



     เรากลับมาที่เรือนคุณพ่อได้อย่างไร?

     คุณเขมมองรอบด้านที่คุ้นเคยด้วยความพิศวง น่าแปลกที่ไม่มีเหล่าข้าทาสในเรือนเดินกันให้วุ่นเหมือนเคย ร่างสูงเดินกลับมาที่เรือนส่วนของตนเองหมายจะถามเพลิงและมั่นให้รู้ความ

      “เพลิง มั่น...พวกเจ้าอยู่ไหนกัน?”

     ไม่มีเสียงตอบรับจากคนสนิททั้งสอง คุณเขมส่ายศีรษะปิดตาด้วยความงงงวยที่ไม่มีใครอยู่ที่เรือนสักคน หากแต่เมื่อลืมตาขึ้นมา ก็พบร่างของใครบางคนกำลังเด็ดดอกมะลิลาใส่กระจาดใบเล็กอย่างเพลิดเพลิน ครั้นเมื่อเด็กคนนั้นหันมาพบกับคุณเขมโดยบังเอิญ ก็ส่งยิ้มทักด้วยความคิดถึง

      “พี่เขม พี่เขมกลับมาแล้ว”

     ใบหน้าที่ควรจะงดงามหมดจดตรงหน้าแม้เป็นชาย กลับถูกบดบังแทนที่ด้วยรอยแผลเหวอะหวะ แต่ก็ไม่ได้กลบรอยยิ้มน่ามอง กับดวงตาหวานล้ำอย่างจับจ้องคุณเขมด้วยความคิดถึงอย่างไม่ปกปิด

       หารู้ไม่ว่าคำถามที่ได้รับกลับคืนมันเจ็บปวด...แทนที่เด็กน้อยจะได้ยินคำว่า ‘พี่คิดถึงเจ้า’ อย่างที่ควรจะเป็น

      “เธอ...คือใคร?”

      คำถามแรกที่ชายหนุ่มเอ่ยถ้อย ทำให้ดวงตาเปล่งประกายนั้นหมองลง รอยยิ้มค่อยๆหุบ เด็กน้อยปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้าๆ

       “เหตุใดพี่เขมถามยมเช่นนั้นเล่า? หรือพี่เพียงเย้าเล่นเท่านั้น?”

       “ฉัน...” มือใหญ่กุมศีรษะตนเองด้วยรู้สึกวิงเวียนไม่ทราบสาเหตุ

        เหมือนเคยพบ...เคยเห็นที่ใดมาก่อน...

        รู้สึกผูกพัน แต่กลับจำไม่ได้ว่าเคยพบพานกับเด็กคนนี้ตั้งแต่เมื่อใด

        แล้วเขา...กับเด็กคนนี้ เคยพบกันมาก่อนรึ?

        “ฉันกับเธอเคยพบกันอย่างนั้นรึ?”

        “พี่เขม...” เสียงหวานพูดเสียงสั่นเมื่อได้ยินคำตอบจากชายคนรัก “พี่สิ้นรักยมแล้วรึ?”

       “ฉันกับเธอน่ะหรือ...รักกัน?” ตอนนี้คุณเขมปวดศีรษะไปหมด เด็กที่บอกว่าชื่อยมจึงปรี่เข้ามาดูอาการด้วยความเป็นห่วง

       “พี่เขม...เจ็บหรือจ๊ะ?”

      น่าอัศจรรย์...ยามที่มือน้อยสองข้างแตะขมับเบาๆ ความเจ็บปวดของร่างสูงก็มลายหายไปเสียสิ้น ความอบอุ่นจากคนตรงหน้าที่ได้รับ ทำให้มือใหญ่เผลอกอบกุมเจ้าคนตัวน้อยไว้

       ถึงจะไม่คุ้นเคยกับคนตรงหน้า...แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามีความผูกพัน คล้ายกับว่าเคยรักกันเมื่อนานมาแล้ว รึเปล่า?

       “ฉันน่ะรึ...คนรักของเธอ”

     น่าแปลก...ที่ไม่รู้สึกรังเกียจรอยแผลบนใบหน้า ซ้ำยังยื่นมือไปลูบแผ่วเบาคล้ายจะปลอบใจสงสาร เด็กคนนี้คงผ่านเรื่องร้ายมาสินะ

     “พี่เขมจำยมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” ยมฝืนยิ้ม แววตาน้อยๆสั่นคลอน คละเคล้าไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด “แค่พี่เขมไม่เป็นอันตราย ยมก็ดีใจ”



      “คุณพระขอรับ คุณเขมขยับตัวแล้วขอรับ!”       

กลองปลุกคุณพระวินิตราชศักดิ์ที่นอนอยู่ใกล้ๆบุตรชายไม่ห่าง ร่างที่ไม่ไหวติงมาราวๆสามวันเริ่มกระดิกนิ้ว ริมฝีปากซีดคล้ายจะพึมพำอะไรซักอย่างไม่อาจจับใจความได้     

 “ไปตามหมอมาเร็วไอ้กลอง เร็วเข้าสิ!”     

  ครั้นเมื่อบ่าวคนสนิทวิ่งออกไป คุณพระก็เข้ามาดูอาการของบุตรชายใกล้ๆ ท่านคลี่ยิ้มด้วยความยินดีไม่น้อย หากคุณเขลางค์อยู่ตรงนี้ก็คงจะดีใจไม่ต่างกับตน

   “คุณพ่อ...”   

“พ่อเขมฟื้นแล้ว!” คุณพระเอ่ยออกมาด้วยความยินดีมากล้นเมื่อเห็นดวงตาของบุตรชายปรือขึ้นน้อยๆเรียกตน เป็นเวลาเดียวกันกับที่กลองเดินนำคุณหมอเข้ามาด้านในห้องพักคนไข้ 

   “คุณหมอมาแล้วขอรับ”   

 “ปาฏิหาริย์แท้ๆ...” คุณหมอกล่าวอย่างเหลือเชื่อ เพราะเพิ่งเคยพบเห็นคนไข้อาการสาหัสที่จู่ๆกลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว “อาการนี้กว่าคนไข้จะฟื้นได้ต้องใช้เวลาหลายวัน เท่าที่หมอดูอาการก็มีเพียงบวมช้ำเล็กน้อยเท่านั้น แล้วไม่ทราบว่าคุณเขมมีอาการปวดหัวบ้างไหมครับ?”     

  คุณเขมพยักหน้าตอบรับ เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นจากภาพที่เห็นก่อนจะลืมตา ก็มีอาการคล้ายจะปวดศีรษะได้ตลอดเวลา         

 “อาการปวดหัวของพ่อเขม จะมีผลอะไรไหมหมอ?” คุณพระเอ่ยถามด้วยความสงสัย       

  “ผมขออนุญาตพิสูจน์อะไรหน่อยนะครับ”     

    คุณหมอหนุ่มหันมามองคุณเขม แล้วเริ่มถามคำถามแรกอย่างจริงจัง

 “ผมจะขอถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคุณนะครับ"     

  “ครับ”       

  “ข้อแรก...สิ่งที่คุณเขมชอบทำยามว่าง คืออะไรครับ?”   

  “ผมชอบอ่านหนังสือ แล้วก็ปลูกต้นสมุนไพร”       

เมื่อเห็นว่าคนไข้ตอบคำถามได้โดยไม่ต้องใช้ความคิด คุณหมอถึงยิงคำถามเรื่อยๆ คุณเขมก็สามารถตอบได้ทุกข้อ จนมาถึงข้อสุดท้าย...         

“แล้วก่อนที่คุณเขมจะฟื้นขึ้นมา คุณเขมเห็นภาพอะไร แล้วคนที่คิดถึงเป็นคนสุดท้ายคือใครครับ?”   

 “ภาพสุดท้าย...อึก...” ร่างสูงยกมือกุมขมับ ภาพนั้นมันเลือนราง แม้แต่เสียงที่ก้องในหัวก็เบาแผ่วจนไม่อาจจับใจความออก       

“หมอว่า...หมอพอจะทราบแล้วครับคุณพระ”  คุณหมอหนุ่มหันมาพูดกับผู้มีศักดิ์ “คุณเขมไม่สามารถจดจำภาพสุดท้ายที่นึกถึงได้ เพราะช่วงนั้นศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนพอดี และมีผลทำให้คุณเขมไม่สามารถจำคนในภาพนั้นได้ชั่วคราว รวมถึงความทรงจำที่มีต่อคนๆนั้นด้วย”     

  “หมายความว่าพ่อเขมจำคนสุดท้ายที่นึกถึงไม่ได้รึ?”       

  “ใช่ครับ” คุณหมอหนุ่มพยักหน้า “แต่ถ้าหากโดยรวมคุณเขมยังสามารถจำคนรอบตัว หรือจำความรู้ความสามารถที่มีได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วครับ พักฟื้นอีกสองวันคงออกจากที่นี่ได้”       

  เมื่อหมอหนุ่มตรวจดูอาการเสร็จ จึงให้คุณเขมทานยาลดอาการบวมช้ำและนอนหลับพักผ่อน ในขณะที่คุณพระยังคงคิดไม่ตกเลยว่าคนสุดท้ายที่คุณเขมนึกถึง...คือใคร     

  พ่อเขมนึกถึงใครกัน?           



 หลังจากคุณเขมฟื้นขึ้นมาท่ามกลางความเป็นความตาย สร้างความปีติยินดีให้กับทุกคนอย่างยิ่งโดยเฉพาะคุณเขลางค์ คุณเขมเริ่มต้นตั้งใจทำงานรับราชการตั้งแต่ตำแหน่งเล็กๆ ทั้งที่คุณพระวินิตราชศักดิ์สามารถฝากพระยามนตรีเข้าทำงานในตำแหน่งใหญ่โตก็ย่อมได้ ซึ่งคุณพระเองก็ไม่ได้ขัดข้อง อีกทั้งค่อยเบาใจเมื่ออาการป่วยในตอนนั้นไม่ได้มากระทบหน้าที่การงานของบุตรชายแต่อย่างใด     

 คุณเขมตั้งใจใช้ความรู้ความเก่งในการทำงานอย่างขยันขันแข็ง...โดยเริ่มจากตำแหน่งขุนเป็นอันดับแรก จนต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นหลวงเขมราฐ ด้วยเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนให้ในหลวงทรงก่อตั้งสถานเสาวภา เพื่อให้ประชาชนได้รับ'วัคซีน' ป้องกันโรคร้ายที่อาจเข้ามาระบาดในสยามแลประเทศใกล้เคียง     

   เป็นที่น่าภาคภูมิใจสำหรับบิดา...ที่แม้จะทำงานได้เพียงไม่ถึงปี กลับได้เลื่อนขั้นเป็นหลวงเร็วกว่าตนในตอนหนุ่มเสียอีก       

 “มาแล้วรึพ่อเขม...” คุณพระวินิตราชศักดิ์เรียกบุตรชายที่ตอนนี้เรียกได้ว่า ‘โก้’ อย่างเต็มตัว เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่คนชมชอบ ไหนจะรูปลักษณ์ หน้าที่การงานที่คาดว่าน่าจะไปได้ไกลมากกว่านี้ รวมทั้งรถยนต์ยุโรปคันโก้ที่สั่งซื้อมาตามความต้องการของคุณพระที่อยากให้บุตรชายเดินทางไปทำงานได้สะดวก เพราะตอนนี้ถนนหนทางเริ่มดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ผู้ดีส่วนมากจึงริเริ่มที่จะนิยมมีรถขับกันนักต่อนัก     

  เห็นทีจะเหลือก็เพียง...คู่ครองที่เหมาะสม     

 “ขอรับคุณพ่อ...” ชายหนุ่มตอบบิดา แต่แล้วก็ต้องทำหน้าฉงนเมื่อพบผู้ใหญ่แปลกหน้าทั้งสองคน รวมถึงหญิงสาวที่แต่งองค์ทรงเครื่องงดงามนั่งอยู่ใกล้ๆ     

  “พ่อเขม ไหว้คุณพระอรรถกรกับคุณหญิงชวนชมเสียสิ”   

 เมื่อผู้น้อยไหว้เคารพแขกผู้ใหญ่ทั้งสอง คุณพระอรรถกรก็เริ่มแนะนำหญิงสาวหน้าแฉล้มที่นั่งอยู่ใกล้ๆคุณหญิงชวนชม ซึ่งคุณเขมก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบอยู่ไม่น้อย     

 “จำได้หรือไม่พ่อเขม นี่แม่จำปาลูกสาวของอา”     

 “ไหว้พี่เขาสิจ๊ะลูก” มารดาของหญิงสาวแตะหลังแม่จำปาน้อยๆ เธอค่อยๆประนมมือแล้วคลี่ยิ้มพองามส่งให้        “น้องเคยพบกับพี่เขมล่าสุดที่งานภูเขาเมื่อสี่ปีก่อน พี่เขมจำได้ไหมคะ? ตอนนั้นน้องพาแม่จำปีมาซื้อน้ำตาลปั้นเจ้าเดียวกัน”               

 “ครับ”         

คุณเขมตอบแม่จำปาพอเป็นมารยาทหากแต่เขากลับจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ...อย่าว่าแต่ร้านน้ำตาลปั้นเจ้าใดเลย ตนยังจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าเคยไปงานภูเขาทอง แล้วไปกับผู้ใด   

    ในเมื่อปกติเขาไม่ใช่คนชอบเที่ยวงานรื่นเริงเพียงลำพัง     

  ครั้นพอจะนึกถึง...ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะอีกแล้ว แต่จะให้หุนหันออกไปทันทีบิดาอาจจะเสียหน้าแขกผู้ใหญ่ คุณเขมจึงจำต้องรอฟังผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกัน       

“พ่อเขม...” คุณพระวินิตราชศักดิ์เอ่ยชื่อบุตรชายอีกครั้ง “พ่อเขมก็เจริญในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าพ่อตอนหนุ่มๆเสียอีก พ่อภูมิใจในตัวพ่อเขมนะ”     

   “ขอรับ คุณพ่อ”         

“แล้วไหนๆพ่อเขมก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้ว...” คุณเขลางค์พูดสมทบ พลางลุกขึ้นไปแตะไหล่แม่จำปาเบาๆด้วยความเอ็นดู “แม่ก็อยากให้พ่อเขมได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่ครอบครัวด้วยเช่นเดียวกัน”       

   “คุณพ่อ คุณแม่ หมายความว่า?”         

คุณเขมสับสนไปหมด ทั้งท่าทีของคุณเขลางค์ที่ท่าทางจะรักใคร่เอ็นดูแม่จำปาเสียเต็มประดา ไหนจะท่าทีบิดม้วนเขินอายของหญิงสาวอีก       

  ไม่ใช่อย่างที่คิดใช่ไหม?       

   “ใช่พ่อเขม...” คุณพระวินิตราชศักดิ์ยิ้มน้อยๆ “พ่อจะให้พ่อเขม หมั้นหมายกับแม่จำปาเอาไว้ก่อน”         



ข่าวเรื่องการหมั้นหมายของบุตรชายคุณพระวินิตราชศักดิ์ กับบุตรีของคุณพระอรรถกรกำลังเป็นที่กล่าวขานอย่างยินดี เพราะต่างฝ่ายต่างเกิดมามีชาติตระกูลสูงส่ง มีความรู้ความสามารถที่เรียกได้ว่าแทบจะเท่าเทียมกัน อีกทั้งตอนนี้แม่หญิงทั้งพระนครต่างพากันริษยาแม่จำปาที่ได้ครอบครองหัวใจของคุณเขมที่ทั้งรูปงามและรวยทั้งทรัพย์สินความรู้     

 แต่คุณเขมกลับไม่ยินดียินร้ายกับข่าวนี้เท่าใดนัก   

 เพราะภาพเลือนราง กับน้ำเสียงเศร้าสร้อยแหบแห้งของเด็กหนุ่มคนนั้น ยังดังก้องไปทั้งความทรงจำน่ะสิ     

น่าเสียดาย...ที่แม้แต่ชื่อ คุณเขมก็ไม่อาจจะจดจำได้เลย   

   ทั้งที่อยากจำไว้เป็นความทรงจำแท้ๆ   

  “เธอเป็นใครกันแน่?”     

ร่างสูงนอนก่ายหน้าผากพึมพำ อาการปวดหัวตลอดสามเดือนยังไม่หายสนิท แต่คุณเขมเลือกที่จะโกหกบิดาว่าไม่มีอาการอะไรเพราะไม่ต้องการให้คนรอบตัวเป็นห่วง     

   ‘คุณพ่อขอรับ ลูกยังไม่รู้จักน้องจำปาดีเลย จะให้ลูกหมั้นกับน้องได้อย่างไร?’     

  ‘เช่นนั้นก็ทำความรู้จักน้องไว้เสียสิ พ่อเขมเองก็ยังไม่มีใคร ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน’   

   ถึงคุณพระจะกล่าวเช่นนั้นก็เถอะ...แต่อย่างไรคุณเขมกลับไม่อาจลบภาพที่รางเลือนนั้นไปได้อยู่ดี   

   และไม่รู้สึกได้เลยว่า...ตนจะสามารถรักแม่จำปาเพื่อแทนที่คนในภาพได้     

การแต่งงาน มันต้องมาจากความรักไม่ใช่หรือ?   

 “ไอ้เพลิง ข้าว่าคุณเขมคงจะลืมยมแล้วกระมัง”     

 สองบ่าวคนสนิทของคุณเขมนั่งจับเข่าเข้าหากัน เพราะตั้งแต่คุณเขมหายจากอาการป่วยจากโรงหมอในครั้งนาน นายของตนกลับไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนจะเดินทางไปอังกฤษ เพลิงเองก็ปักใจเชื่อว่าอุบัติเหตุสมองกระทบกระเทือนในครั้งนั้น...อาจส่งผลให้คุณเขมลืมยมก็เป็นได้     

 “ข้าก็ว่าเช่นนั้นแหละวะไอ้มั่น” เพลิงถอนหายใจ พลางนึกสงสารในชะตาชีวิตของคนทั้งสอง “คุณเขมลืมใครไม่ลืม กลับลืมเมียตัวเอง แล้วป่านนี้ยมจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ข้าล่ะสงสารทั้งสองคนจริงๆ”     

  “แต่ข้าว่ายมอยู่...ก็คงเหมือนตายทั้งเป็น” มั่นกล่าวออกมาตามที่ใจนึก “คุณเขมลืมยมอย่างนั้น หากยมรู้คงทรมาน มันรักของมันล่ะนะ”   

    “แต่ข้ามีความหวังว่ะไอ้มั่น...” ใบหน้าคล้ำกรานจากแดดหลับตาพึมพำ “ข้ายังมีความหวัง หากคุณเขมกับยมเป็นเนื้อคู่กันจริง อย่างไรทั้งสองคนก็ต้องได้พบกัน”   

     “แล้วเอ็งจะบอกความจริงคุณเขมอย่างไรวะ?”   

   “ข้าบอกแน่...” เพลิงยื่นมามาโยกศีรษะอดีตเพื่อนสนิทที่ตอนนี้กลายเป็นคนรักเบาๆ ให้คลายกังวล “แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป หากไม่ใจเย็น...เรื่องนี้อาจบานปลายและลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โต เอ็งเข้าใจใช่ไหมมั่น?”       

   คนตัวเล็กกว่าพยักหน้ารับ ก่อนจะซุกใบหน้าเข้าหาอกแกร่งแม้ภายในใจลึกๆจะกังวลเหลือเกิน     

    แต่ก็อย่างที่เพลิงบอก...หากคู่กันแล้ว ก็ต้องไม่แคล้วกัน!         





เนื่องจากไรท์เป็นเพียงนศ. แถมไม่ได้เรียนสายวิทย์มา หากข้อมูลการแพทย์ผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่20--
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 29-01-2018 16:48:47
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่21--
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 30-01-2018 21:05:42
เรือนร้าว21
ตอน ใจที่บอบช้ำ

“อ้าว! นั่นคุณโดมใช่ไหมน่ะ?”  เสียงของตำรวจอาวุโสทำให้คุณโดมที่กำลังอ่านสำนวนคดีเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนที่ร่างสูงจะไหว้ผู้มียศสูงกว่า                     

 “ท่านสารวัตรมาธุระด่วนที่เชียงใหม่หรือครับ?”     

 “ผมเพิ่งทำธุระเสร็จ กำลังจะกลับที่พักแล้วก็มาพบคุณพอดี” ท่านสารวัตรจากพระนครบอก “ไม่ได้พบคุณโดมตั้งนาน สบายดีรึ?”

 “ขอตอบตรงๆแล้วกันครับ ค่อนข้างเหนื่อย แต่ตอนนี้ได้พักมากขึ้นเพราะโจรเริ่มอาละวาดน้อยลงแล้ว” คำพูดตรงไปตรงมาทำเอาสารวัตรหนุ่มใหญ่หัวเราะน้อยๆ

   “หึๆ คุณนี่ยังพูดตรงเสมอนะ” มือหยาบกร้านแตะไหล่กว้างอย่างเป็นกันเอง “ผมกำลังจะไปหาอะไรทานแถวนี้ คุณโดมไปกับผมนะ ผมมีเรื่องจะพูดด้วย”

 “ครับท่าน” ร้อยโทหนุ่มรับคำ แม้จะสงสัยกับคำพูดของผู้เป็นหัวหน้าว่าเรื่องที่จะพูดจะใหญ่สักแค่ไหน นายตำรวจต่างยศระดับพากันมานั่งในมุมร้านเล็กๆซึ่งขายจำพวกอาหารเหนือข้างทาง รวมถึงขนมนมเนยที่หาทานได้ทั่วไป ทั้งสองสั่งของกินมาสองสามอย่างก่อนที่จะเริ่มเปิดประเด็นพูดคุยกัน

   “ผมขอพูดกับคุณโดมเรื่องงานก่อนก็แล้วกัน” ท่านสารวัตรวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากว่าคุณโดมสามารถปราบโจรที่ชุกชุมได้จนหมดแล้ว คุณจะทำงานที่นี่ต่อ หรืออยากย้ายกลับไปทำงานที่พระนครเล่า?”

   “ผม...” ร้อยโทหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อต้องมฟังคำถามที่ตัดสินใจลำบากเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนตนคงตอบกลับไปว่าอยากกลับพระนครเพราะไปเจอยม

    แต่ในเมื่อตอนนี้...คนที่ตนชอบอยู่ใกล้แค่นี้ ใกล้แค่เอื้อม

    แม้ความหวังที่จะให้ยมรับรักกลับ ช่างริบหรี่เหลือเกิน

   “เอาเถอะคุณโดม ผมไม่ใช่คนตัดสินใจเรื่องนี้ คนตัดสินใจเรื่องที่จะย้ายไม่ย้ายของคุณในตอนนี้ ก็คือสารวัตรกอบกู้คนเดียว” หมายถึงสารวัตรประจำกรมตำรวจเชียงใหม่ที่ตนเพิ่งเข้าไปพบ

     “ครับ”

     “อ้อ...ผมมีอีกเรื่องจะมาแจ้ง ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แต่เป็นเรื่องน่ายินดีมากนะ”

    “เรื่องอะไรครับ?”

   “คุณโดมรู้จักกับคุณพระวินิตราชศักดิ์ แล้วรู้จักคุณเขมบุตรชายของท่านไหมเล่า? เห็นว่าตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษ ก็ตั้งหน้าตั้งตารับราชการจนตอนนี้ได้เป็นหลวงแล้วนะ เก่งเกินอายุมากจริงๆ”

     เมื่อได้ฟังสิ่งที่อดีตหัวหน้าของตนพูด คุณโดมก็ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยรู้สึกไม่ชอบใจในชื่อนี้เท่าใด เพราะมันเป็นชื่อของคนที่ยมรัก!

      “ครับ ผมเคยพบอยู่ครั้งหนึ่ง แต่นานมากแล้วทีเดียว”

       และเป็นวันแรก...ที่ได้พบกับยมเช่นเดียวกัน

       “กำหนดการยังไม่แน่นอน แต่เร็วๆนี้ ผมว่าคุณโดมเตรียมหาวันลงไปพระนครด้วยล่ะ”

        “ท่านสารวัตรหมายความว่าอย่างไรครับ?”

        “ก็คุณเขมกำลังจะหมั้นกับคุณจำปา บุตรสาวของคุณพระอรรถกรเร็วๆนี้น่ะสิ”



คุณโดมขับรถกลับบ้านด้วยใจที่ห่อเหี่ยว ใบหน้าคมคายราวกับอึดอัดใจไม่อยากจะบอกเรื่องที่ได้รับฟังมาจากอดีตหัวหน้างานของตน     

  ใจหนึ่งไม่อยากบอก...เพราะถ้ายมรู้ ยมอาจจะเสียใจจนขาดใจตาย     

  หากแต่อีกสำนึกกลับสั่งให้คุณโดมเห็นแก่ตัว!

   จะตัดสินใจเช่นไร?       

“เฮ้อ!”       

ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความลำบาก ตอนนี้ยมกำลังนั่งกอดเข่าฟังหนูขมนั่งพูดคุยเจื้อยแจ้ว มีแต่เสียงหัวเราะสดใสของเด็กทั้งสองวัยดังรอบสวน

ความคิดที่เห็นแก่ตัวที่เข้ามาชั่ววูบพลันมลายไปสิ้น

 ก็เคยสัญญากับตัวเองมิใช่รึโดม...ว่าอยากเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของยมตลอดไป     

 อยากให้รอยยิ้มนั้นหายไปหรือไร?       

 “คุณโดมกลับมาแล้วหรือจ๊ะ?”       

เสียงใสทักถาม ส่วนเจ้าหนูจำไมที่คุยแจ้วกับพี่ชายใจดีก็หยุดปากเงียบกริบ แก้มป้อยๆพองลมเมื่อรู้ชะตากรรม         

 “ว่าอย่างไรตุ้ยนุ้ย...” คุณลุงตำรวจปากเสียในความคิดของหนูขมหัวเราะน้อยๆ ในมือมีห่ออะไรบางอย่างติดมาด้วย “อาซื้อขนมมาให้เยอะแยะเลยนะ ไม่สนใจรึ?”     

  หนแรกเด็กน้อยไม่มีท่าทีสนใจ จึงทำเป็นหน้านิ่งแล้วซบไหล่ออดอ้อนพี่ยมต่อ แต่สักพักนางจันทร์แม่ของเจ้าหนูมารับเท่านั้นล่ะ...         

 “พี่ยม...” เด็กน้อยกระตุกชายเสื้อพี่ชาย ยมไม่รอให้เด็กน้อยพูดต่อด้วยรู้ทันว่าจะให้ตนทำอะไร

   “หนูขม ฟังพี่นะ” ยมเอื้อมมือกุมหัวไหล่น้อยเบาๆ “หากอาโดมให้ของ หนูขมต้องไหว้ขอบคุณ ไม่ใช่แค่อาโดมนะ รวมถึงผู้ใหญ่คนอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นหนูขมจะมานึกเสียดายทีหลัง หนูขมเข้าใจที่พี่พูดไหม?”

    “เข้าใจจ้ะพี่ยม” เจ้าหนูพยักหน้ารับ คุณโดมได้ฟังก็หัวเราะนิดๆก่อนจะยื่นขนมส่งให้หนูขม

      “เอ้านี่ อาให้นะ”

     “ขอบคุณจ้ะอาโดม” หนูขมจรดมือไหว้ขอบคุณงามๆ แล้วรับขนมมาไว้ในมือ จากนั้นมารดาของเจ้าหนูจึงเข้ามาพูดคุยกับทั้งสองคนเล็กน้อยก่อนจะจูงมือหนูน้อยพากลับบ้านไป ครั้นเมื่อเหลือกันอยู่สองคน ใบหน้าคมคายที่ฝืนยิ้มมาตลอดกับหุบรอยยิ้มนั้นลง ดวงตาคมคายมองคนตัวเล็กที่กำลังจ้องเจ้าตัวเล็กเดินจูงนางจันทร์ผู้เป็นแม่กลับบ้าน สิ่งที่อดีตหัวหน้าตำรวจพูดนั้นยังคงก้องในหัว

      หากยมมารู้ความจริงทีหลัง มันจะมีค่าเท่ากันรึเปล่านะ?

     อึดอัดเหลือเกิน

  “คุณโดมหน้าตาดูไม่สบายใจเลย หากมีอะไรบอกยมได้นะจ๊ะ” ยมหันมาพบคุณโดมที่ทำสีหน้าพะอืดพะอมคล้ายทุกข์ร้อนพอดี จึงอดที่จะเป็นห่วงผู้มีพระคุณไม่ได้     

 “ยม...”  ร้อยโทหนุ่มเบือนหน้าหนีคนตัวเล็ก อย่างไรก็บอกไม่ได้จริงๆ ยมต้องเสียใจเป็นที่สุด     

  “คุณโดม...”  ยมยื่นมือมาแตะฝ่ามือหยาบเบาๆ “ยามยมเดือดร้อนอะไร คุณโดมยังคอยเป็นที่ปรึกษา แล้วยังคอยช่วยยมเสมอมา พูดมาเถิดจ้ะ ยมอยากจะรับฟัง”     

  “ฉัน...” สีหน้าของคุณโดมอึดอัดเต็มทน จนเด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกว่ารบเร้าผู้มีพระคุณมากไป   

 “ยมขอโทษที่ทำให้คุณโดมรำคาญใจจ้ะ” ร่างเล็กทำท่าจะลุกจากไป ใบหน้าคมคายเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม เผลอพลั้งในสิ่งที่อึดอัดออกมา     

 “เขมกำลังจะแต่งงาน”   

     !!!     

“คุณโดม...ว่าอย่างไรนะจ๊ะ?”   

 พูดไปแล้ว...พูดออกไปแล้ว   

  ความอึดอัด และความเห็นแก่ตัวที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจสั่งให้ร้อยโทหนุ่มพูดออกไป

  อย่างไรความจริงก็คือความจริง ที่ยมต้องรู้เข้าซักวัน     

   “คุณโดม มันไม่จริงใช่ไหมจ๊ะ?”

   “วันนี้ฉันพบหัวหน้าของฉัน มาทำธุระที่กรมตำรวจเชียงใหม่...” กัดฟันและข่มใจพูด ความตั้งใจที่จะปกปิดตั้งแต่แรกพังทลายลงเมื่อความคิดสั่งให้ชายหนุ่มตัดสินใจบอกความจริง

       “เขามาส่งข่าวว่า...เขมเขากำลังจะหมั้นหมายกับคุณจำปา บุตรีของคุณพระอรรถกรเพื่อนคุณอาวินิต”

      ดังมีมีดอันแหลมคมมาปักเสียบทรวงกลางหัวใจ หยดน้ำจากดวงตาไหลอาบแก้ม ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งเข้าไปเก็บตัวเงียบตัวเงียบในห้องเพียงลำพัง

      ปัง!!

     เสียงประตูปิดลงดังสนั่น พร้อมๆกับเสียงปล่อยโฮสุดจะเจ็บปวดของเด็กหนุ่ม มือน้อยกุมแผ่นอกด้านซ้ายด้วยความทรมานคล้ายถูกของมีคมกรีดเข้าที่หัวใจ

      “ฮึก ฮือ...พี่เขม พี่ลืมสัญญาของเราจริงๆหรือ?”

      ร่างของยมค่อยๆทรุดพิงฝาผนังห้อง น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลตอกย้ำความเจ็บช้ำ ใจหนึ่งแสนเจ็บที่คนรักผิดคำสัญญาก่อนจากไกลในคืนนั้น

       ส่วนอีกใจ...กลับไม่อาจปักใจเชื่อสนิทจากคำคนที่เล่าต่อๆกันมาอยู่ดี

       “ฮึก ฮือ ยมไม่เชื่อ ไม่เชื่อ โฮ ไม่เอาแบบนี้!!”

       กำปั้นเล็กทุบลงกับพื้นแรงๆจนรู้สึกเจ็บ แต่ก็ยังไม่เท่าความทรมานที่ได้ยิน แม้ยังไม่ได้เห็นกับตา...แต่เหตุใด มันจึงจะขาดใจได้ถึงเพียงนี้

       หัวใจทั้งดวงในอก แทบจะสลายออกเป็นเสี่ยงๆ

       คนใจร้าย!! ไหนคำสัญญา? คำสัญญาที่พี่เขมสัญญากับยม ว่าจะมียมเพียงคนเดียว

       “ฮือ พี่เขมสิ้นรักยมจริงๆหรือ?”

       แม้จะไม่อาจปักใจเชื่อ หากเพียงแค่ภาพของพี่เขมยามเคียงข้างกับหญิงอื่นที่มียศฐาสูงศักดิ์เสมอ ดูแล้วช่างเหมาะสมที่จะได้เคียงคู่ ก็คล้ายมีมีดมากรีดเฉือนหัวใจเจ้าตัวน้อยให้แทบดับดิ้น

          ปวดใจเหลือเกิน ใจจะขาดอยู่แล้ว!

         หรือวันเวลาที่ยมรอคอยพี่ มันไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว?

      “ฮือ ฮึก พี่เขม พี่เขม..."

       เสียงสุดท้ายแหบแห้งจนไร้คำที่จะเปล่งออกมาอีก จนม่านน้ำตานั้นสลัวไปหมด สติสัมปัญชัญญะดับวูบลง ร่างน้อยทรุดสลบลงกับพื้นอย่างอ่อนล้าจากการร้องไห้อย่างหนัก พอๆกับร่างสูงที่ยืนพิงกำแพงอยู่ด้านนอก

      นี่เขาทำอะไรลงไป?

     กว่าจะคิดได้ ก็สายเสียแล้ว!       



รถยนต์สีขาวแบบยุโรปจอดเทียบใกล้ๆเรือนไทยเก่าแก่ของคุณพระอรรถกร คุณเขมเดินอ้อมไปเปิดประตูให้สุภาพสตรีที่นั่งอยู่ข้างคนขับตามธรรมเนียมแบบฝรั่ง นั่นทำให้แม่จำปาได้แต่ยิ้มด้วยความเขินเพราะคิดว่าว่าที่คู่หมั้นของเธอกำลังเอาอกเอาใจ

         “ขอบคุณพี่เขมมากนะคะ ที่มาส่งน้อง”

         “ครับ น้องจำปา” คุณเขมคลี่ยิ้มส่งให้เธอพอเป็นพิธี “นี่ก็ใกล้มืดแล้ว รีบขึ้นเรือนเถิดนะครับ”

       “ค่ะ ไว้วันพรุ่ง น้องจะทำขนมไปให้พี่เขมนะคะ”

       “ไม่ต้องลำบากหรอกครับน้องจำปา พี่เกรงใจ” คุณเขมพูดออกไปด้วยใจจริง และคนอื่นอาจมองหญิงสาวไม่งามเอาได้

       “แต่น้องเต็มใจทำให้ค่ะ” แม่จำปายิ้มสดใสส่งให้ชายหนุ่ม ใบหน้างดงามปกปิดความเขินอายไม่มิด “พรุ่งนี้เจอกันนะคะ น้องขึ้นเรือนก่อน”

     หลังจากร่างอรชรของแม่จำปาขึ้นเรือนเป็นที่เรียบร้อย คุณเขมไม่ได้ขับรถยนต์กลับเรือนของบิดาทันที อาการปวดหัวเล็กน้อยยังคงเป็นเรื่อยๆอย่างไม่มีท่าทีจะหาย จึงแวะเทียบท่าใกล้ๆตลาดกลางคืนที่ใจกลางพระนคร ร่างสูงสง่าก้าวลงมาจากรถอีกครั้งก่อนจะเดินหายเข้าไปปะปนกับฝูงชน นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่คุณเขมมาเดินเที่ยวเพียงลำพังโดยไร้ผู้ติดตาม หากแต่หาใช่เพราะชอบตามวิสัย แต่เพื่อให้อาการปวดหัวหายไปเล็กน้อยก็ยังดี

       คุณเขมเดินมาเรื่อยๆก็มาหยุดตรงบริเวณลานกว้าง มีกลุ่มคนแต่งกายแสดงอุปรากรจีน พวกเขาขีดเขียนใบหน้าขาววอก ตามซอกตานั้นมีทั้งสีเขียวแดง โดยเฉพาะตัวแสดงสตรีนั้นค่อนข้างจะแต่งหน้าจัดเต็มกว่าผู้แสดงชาย เสียงที่พูดออกมาแต่ละคนแปร่งๆเป็นจีนแต้จิ๋วกำลังแสดงละครที่เป็นนิยมของจีน และเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านเช่นกัน

          ไม่ต้องบอกก็รู้...ก็งิ้วนั่นแหละ!

          “รับน้ำตาลปั้นไปทานระหว่างชมงิ้วไหมจ๊ะ? ราคาไม่แพงนา”

          น้ำตาลปั้น...

       คุณเขมหันไปมองต้นเสียง พ่อค้าเร่ส่งน้ำตาลปั้นรูปดอกไม้สีสวยส่งให้เด็กผู้หญิงที่อ้อนขอผู้เป็นแม่กิน อาการปวดศีรษะที่เหมือนจะดีขึ้นกลับมาอีกครั้ง!

         *“นั่นน่ะน้ำตาลปั้น”  คุณเขมมองยมที่จ้องขนมที่ถูกปั้นเป็นรูปต่างๆแปลกตาด้วยความเอ็นดู*

“ยมไม่เคยเห็นขนมแบบนี้เลยจ้ะพี่เขม”

“งั้นยมรอพี่ตรงนี้นะ”

          “ยม...”

         ได้ยินแค่ชื่อ...แต่ภาพในอดีตตอนนั้นเลือนรางจนมองไม่เห็น และจำไม่ได้อีกด้วย ว่าคนชื่อยมคนนั้นมีความสัมพันธ์กับตนแบบใด

         ยม...เป็นใครกัน?

        ถ้าถามเพลิงกับมั่น สองคนนั่นจะรู้จักไหมนะ?

        เมื่อกลับมาถึงเรือน ร่างสูงก็ก้าวลงจากรถแล้วเดินกลับไปยังเรือนของตนเพื่อเรียกตัวบ่าวคนสนิททั้งสองคนเพื่อถามความ แต่ยังไม่ทันจะพ้นเรือนใหญ่ของบิดา เสียงทุ้มทรงอำนาจของคุณพระวินิตราชศักดิ์ก็ดังขึ้น

        “อ้าวนั่น พ่อเขม ทำไมวันนี้กลับมืดค่ำเช่นนี้เล่า?”

        “พอดีลูกเพิ่งกลับจากไปส่งน้องจำปาขอรับ เห็นมืดค่ำแล้วให้น้องกลับเองคนเดียวคงไม่ดี”

        “อ้อ ดีๆ” คุณพระยิ้มอย่างพึงใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ถ้าอย่างนั้นพ่อเขมกลับไปพักผ่อนเถอะ วันพรุ่งจะได้ไปทำงานแต่เช้า”

        “เอ่อ...คุณพ่อขอรับ!”

        ยังไม่ทันที่ผู้เป็นบิดาจะก้าวขึ้นเรือน คุณเขมตัดสินใจเรียกคุณพระด้วยอยากรู้อะไรบางอย่างที่คาใจ คุณพ่ออาจจะรู้จักคนที่ชื่อยมก็ได้

        “มีอะไรรึเปล่าพ่อเขม?”

        “คือ...คุณพ่อรู้จักคนที่ชื่อยมไหมขอรับ?”

        “ถามพ่อทำไมพ่อเขม?”

     “คือ...” คุณเขมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามผู้เป็นบิดาถึงสิ่งที่อยากใคร่รู้ “อยู่ๆลูกก็รู้สึกคนชื่อคนนี้ขึ้นมา เหมือนเคยรู้จักมาก่อน คุณพ่อพอจะทราบบ้างหรือไม่ขอรับ?”

     “อือม์ นั่นสิ พ่อเขมจากเรือนไปถึงสี่ปี คงจะลืมพวกบ่าวทาสในเรือนไปบ้าง” คุณพระใคร่ครวญอย่างไม่นึกสงสัยอะไรในตัวคุณเขมอีก “ยมมันเป็นทาสในเรือนของแม่เจ้านั่นแหละ ท่าทางมันซื่อๆเรียบร้อย จนกระทั่งเมื่อปีก่อน แม่ของเจ้าจับได้ว่ามันขึ้นไปขโมยแหวนของพ่อเขม มันกลัวความผิดถึงได้หนีออกจากเรือนไป”

       ยม...คือเด็กทาสในเรือนที่ขโมยของ?

       หรือจะไม่ใช่คนในความทรงจำ...

      “พ่อเองก็ไม่ได้เชื่อสนิทใจหรอกนะ เห็นมันใสซื่อ ไม่มีพิษไม่มีภัย แต่ช่างเถิด...เรื่องมันก็นานนักหนาแล้ว ครั้นจะตามหาเพื่อเค้นความก็คงใช่เรื่อง”

      คุณพระถอนหายใจเบาๆ ฝ่ายคุณเขมเองก็ผิดหวังด้วยนึกว่าจะได้รับคำตอบที่กระจ่าง หรือเขาควรจะลืมคนในความทรงจำคนนั้นเสียที...

      แต่ครั้นพอจะลืม อาการปวดหัวนั่นจะต้องกำเริบทุกคราไป

       “ลูกขอตัวขึ้นเรือนก่อนนะขอรับคุณพ่อ”

       “ไปเถิดพ่อเขม พ่อเองก็จะไปพักแล้วเหมือนกัน”

      ร่างสูงเดินกลับมายังเรือน กลิ่นหอมของต้นมะลิลาที่ปลูกห้อมล้อมส่งกลิ่นโชยกรุ่น มือใหญ่เอื้อมมันขึ้นเด็ดดม จู่ๆอาการปวดหัวที่กำเริบนั้นเริ่มจะทุเลาลง

      ภาพเลือนร่างของคนตัวน้อยในความทรงจำ ที่ยื่นมือมาแตะขมับให้เขาผ่อนคลาย

      ต้องมีซักวัน...ที่ฉันจะจำเธอให้ได้



      “ยม ฉันซื้อกับข้าวกับปลามาให้ยมแล้วนะ หิวรึเปล่า?”

      ร้อยโทหนุ่มเคาะประตูเรียกคนที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ด้านใน ไม่มีเสียงตอบรับ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันชั่วครู่ก่อนที่คุณโดมจะกล่าวขึ้นมาอีก

      “ถ้าหิวก็ไปทานในครัวนะยม วันนี้ฉันต้องไปบุกจับขาใหญ่อาจกลับมืดค่ำหรืออาจเป็นวันพรุ่ง หากยมเบื่อก็ออกไปหาหนูขมได้นะ”

      บอกกล่าวเพียงนั้นร้อยโทหนุ่มก็เดินออกจากบ้านไปด้วยใจที่ห่อเหี่ยวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่วันที่ยมรู้ข่าวที่คุณเขมกำลังจะหมั้นหมายกับคุณจำปา เด็กหนุ่มก็เอาแต่เก็บตัวเงียบ ยามที่คุณโดมพยายามจะเคาะประตูเรียก ก็มักจะได้ยินเสียงร้องไห้พร่ำเรียกหาชื่อคนรักเสียงแหบแห้ง น่าเวทนายิ่งนัก

    หวังว่ายมจะทำใจได้สักวัน...นานแค่ไหน เขาก็จะรอ

    เวลาดำเนินไปจากเวลาเย็นจนรัตติกาลย่ำเยือน แม้จะหิวท้องไส้กิ่วเพียงใดยมก็ไม่ได้ไปแตะต้องข้าวปลาที่คุณโดมหามา ยมลงกลอนประตูบ้านแล้วเดินออกมาเรื่อยๆเพื่อไม่ให้ตนเองฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ เด็กหนุ่มร้องไห้จนน้ำตามันเหือดแห้งไปเอง ดวงตาหวานบวมช้ำอย่างหนักด้วยแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ภายในจิตใจว้าวุ่นไปด้วยความน้อยใจที่พี่เขมลืมสัญญา

    พี่เขมลืมสัญญาของเราแล้ว...จริงๆหรือ? ยมไม่อยากเชื่อเลย

    “อ้าว! นั่นพ่อยมใช่ไหมนั่น?”

    กว่าจะรู้ตัวอีกที ยมก็มาหยุดอยู่ที่เรือนหลังเล็กเก่าแก่ของป้าแจ่ว แม้หลังมันจะเล็ก หากแต่สมาชิกในเรือนอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า ดีกว่าเรือนปั้นหยาหลังใหญ่ที่ตนเพิ่งเดินออกมาด้วยความรู้สึกว้าเหว่เป็นไหนๆ

    “หนูขมอยู่ไหมจ๊ะป้าแจ่ว?”

    “แม่จันทร์พาหนูขมเข้านอนแล้ว พ่อยมมามืดไปนิด” หญิงชราพูดพลางบ้วนหมากทิ้งลงพื้น “แต่ไหนๆก็มาแล้ว มานั่งเล่นให้ผ่อนคลายอารมณ์ก่อนเถอะ ดูหน้าตาพ่อยมไม่ค่อยสู้ดีเลย”

      เด็กหนุ่มพยักหน้า ด้วยเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยกันดีทำให้ยมสามารถนั่งชมจันทร์ได้อย่างสบายใจโดยมีหญิงชรานั่งเคี้ยวหมากอยู่ใกล้ๆ ดวงตาน้อยมองพระจันทร์ที่มักจะเป็นกำลังใจให้ยมอยู่เสมอ

      กำลังใจ...ให้ยมยังมีชีวิต เพื่อรอคอยพี่เขมเพียงคนเดียว

     “เจ้าหมึก! นี่เอ็งพาเพื่อนมาก๊งเหล้าอีกแล้วเรอะ?”

     เสียงป้าแจ่วโวยวายลูกชายทำลายบรรยากาศที่เงียบงัน เมื่อพ่อของหนูขมเดินกอดโอ่งใบเล็กเล็กไว้ใส่สุราดื่มกินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนอีกประมาณสองสามคน

      “ไอ้ไปล่มันเพิ่งได้งานน่ะแม่ ก็ต้องฉลองกันหน่อย อย่าบ่นน่าแม่”

     “หือ! ข้าเห็นไม่ว่าเพื่อนคนไหนได้งานเอ็งก็หาเรื่องตั้งก๊งเหล้าฉลองทุกครั้งไปมิใช่รึห้ะไอ้หมึก?”

     เจ้าลูกชายตัวดียักไหล่ไม่สนใจคำพร่ำบ่นของคนเป็นแม่ อีกทั้งยังตั้งวงโดยมีสุราอาหารที่ซื้อมาจากข้างนอกวางไว้ ป้าแจ่วได้แต่ส่ายหน้าเอือมๆที่พักนี้หมึกเริ่มจะตั้งวงเหล้าบ่อยมากไป

      “ยมเอ้ย! เดี๋ยวป้าจะกลับเข้าไปข้างในก่อนนะ พวกเอ็งก็อย่าเสียงดัง โดยเฉพาะเอ็งไอ้หมึก ตั้งวงไม่เกรงใจลูกเต้าเล้ย!!”

      เมื่อป้าแจ่วกลับเข้าไปด้านใน ยมเองก็ทำท่าจะกลับเรือนปั้นหยาเช่นเดียวกัน หากแต่เสียงของหมึกเรียกตัวเด็กหนุ่มไว้

      “ว่าอย่างไรยม? หน้าตาเอ็งดูหมองไปนะ สนใจมากินเหล้าย้อมใจกับพวกข้าไหมวะ?”

     ถ้าเป็นเมื่อก่อน...ยมคงปฏิเสธทันควันเพราะรู้ดีว่าสุราเมรัยทำให้คนดื่มกินไม่มีสติ แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มกลับคิดหนัก

      “หากดื่มแล้ว จะลืมทุกข์ได้จริงๆหรือจ๊ะ?”

     “ก็แน่สิวะ!” หมึกตอบแล้วกระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง “ข้าไม่รู้หรอกว่าเอ็งไปทุกข์อะไรมา แต่ข้ารับรอง เอ็งดื่มแล้วจะลืมเรื่องไม่ดีได้หมดเลยโว้ย”

      หรือว่าเหล้า...จะทำให้เราลืมทุกข์จากคนใจร้ายชั่วคราว?

      เอาก็เอา...

     “ฮื้อ!ขมจังเลยพี่หมึก”

      เมื่อได้ลิ้มลองก็แทบอยากจะบ้วนทิ้ง แต่หมึกกลับยัดให้ยมกระดกไปจนหมด อีกทั้งยังให้ยมดื่มแก้วสองแก้วตามต่ออีกต่างหาก

     “แรกๆก็อย่างนี้แหละโว้ย เดี๋ยวสักพักเอ็งจะชิน”

     หากยมไม่เจ็บช้ำน้ำใจมาก่อนหน้า ก็คงจะขอหยุดไว้เพียงแก้วแรกและขอตัวกลับบ้านด้วยสติที่สมบูรณ์ แต่ความเจ็บช้ำครั้งนี้สั่งให้ยมเชื่อหมึก

      ดื่มกินเหล้า...เพื่อให้ลืมทุกข์ แม้เพียงชั่วคราวก็ยังดี

     แก้วแล้วแก้วเล่า...จนผ่านไปถึงสองยาม แก้มของยมแดงอย่างเห็นได้ชัดด้วยฤทธิ์สุราเริ่มออกเต็มที่ ในขณะที่หมึกกับเพื่อนยังคงคอทองแดงดื่มกันไม่เลิก พอเหล้าหมดก็จะเวียนกันออกไปซื้อมาเพิ่ม

      “ไม่อาว...พอแล้ว” ยมพูดเสียงยานคางเมื่อหมึกส่งแก้วเหล้ามาให้อีก เพียงแค่นี้ก็จะประคองสติให้อยู่กับตัวแทบไม่ไหวแล้ว

      “ไอ้หมึก เด็กมันไม่เอาก็พอเหอะโว้ย มึงก็มาก๊งกับพวกกูต่องาย”

      “เออๆ ก็ได้วะ เอ้าชน...”

      เสียงแก้วเหล้ากระทบกันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่เป็นเวลาเดียวกับที่ป้าแจ่วเดินออกมาจากเรือนแล้วเห็นยมแทบจะฟุบหลับคาเสื่อ เท่านั้นเอง...อารมณ์โกรธของหญิงชราถึงได้พุ่งขึ้นมา

      “ไอ้หมึก! นี่เอ็งมอมเหล้าพ่อยมรึห้ะ? พ่อยมยังเด็กเอ็งไปมอมเหล้าเขาอย่างนี้ได้ยังไง!”

     “ป้าแจ่ว หยุดก่อนครับ!”

     ร้อยโทหนุ่มเข้ามาห้ามหญิงชราที่กำลังตีสั่งสอนลูกชายด้วยความโกรธ คุณโดมเพิ่งกลับมาจากจับเสือใหญ่ พอกลับมาเห็นประตูลงกลอนก็พอจะทราบได้ในทันทีว่ายมต้องมาอยู่ที่นี่

      “คุณโดมก็ดูมันสิ มอมเหล้ายมจนเมาไปหมด ยมยังเด็กอยู่เลยนะ”

     “ไม่เป็นไรครับป้า เดี๋ยวผมพายมกลับเอง” พูดจบ ร่างสูงก็เข้าไปโอบอุ้มยมที่ตอนนี้เมามายเต็มที่ เด็กหนุ่มดิ้นแรงจนคุณโดมเกือบอุ้มไม่อยู่ แต่ก็พากลับมาถึงเรือนปั้นหยาจนได้

     “แหวะ!!”

     เพราะไม่เคยดื่มมาก่อน ยมจึงอาเจียนออกมาอย่างง่ายดาย ทำให้เนื้อตัวของคนเมากับคนอุ้มสกปรกเลอะเทอะพอสมควร พอเข้ามาในห้องของยมได้ คุณโดมก็ค่อยๆวางร่างเล็กลงบนฟูกนอน แล้วถอดเสื้อที่เปื้อนไปด้วยอ้วกออก ตามด้วยเสื้อผ้าของตัวเองจนเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวด้านใน

     “เช็ดตัวก่อนนะยม” มือใหญ่บิดผ้าชุบน้ำหมาดๆ ก่อนจะเช็ดไล่ไปตามร่างกายขาวเนียนของคนตัวเล็ก คุณโดมคอยจับจ้องอาการของยมตลอดเวลาเผื่อยมอยากจะอาเจียนออกมาอีก

       “พี่เขม ฮึก ทำไมทำกับยมแบบนี้?”   

 แม้ตอนนี้คนตัวเล็กแทบไร้สติ หากแต่ยังคงเปล่งชื่อของคนในหัวใจไม่ขาดสายเช่นเดียวกับน้ำตาที่หลั่งรินด้วยความเจ็บปวด ร้อยโทหนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย   

 ทั้งสงสารหัวใจที่ปวดร้าวของยม   

   และความรู้สึกเกลียดต้นเหตุที่ทำให้คนที่ตนรักต้องร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า     

 “ยมรักฉันบ้างไม่ได้เลยรึ?” เสียงทุ้มต่ำกล่าวถ้อยรำพันแผ่วเบา อย่างไรยมก็คงไม่มีทางได้ยิน “ถ้ายมรักฉันสักนิด ฉันจะไม่ทำให้ยมต้องเจ็บ”     

 “ฮือ...พี่เขม พี่เขมลืมสัญญาที่ให้กับยมได้ยังไง...”     

   คุณโดมมองเด็กน้อยที่เมามายด้วยความปวดใจ และรู้ตัวดีว่าตนคงไม่อาจแทนที่คุณเขมได้   

   “ยม...”   

  “พี่เขม...” ยมเผยอยิ้มเรียกหาคนรักทั้งที่ตายังปิดสนิท คล้ายกับลืมเรื่องที่กำลังทุกข์สาหัสไปหมดสิ้น “พี่เขมกลับมาหายมแล้วหรือจ๊ะ?”   

   พลัน...ความเห็นแก่ตัวในก้นบึ้งหัวใจกลับสั่งให้คุณโดมก้มลงมองสัมผัสที่ริมฝีปากนุ่มตรงหน้า     ก่อนจะก้มลงมอบจูบให้กับยมแทนคนที่เด็กหนุ่มละเมอเรียกหา

​             

  แม้จะไม่ใช่คนในหัวใจ...แต่ขอเป็นตัวแทนก็ยังดี       

“อื้อ!!พี่เขม อย่าแกล้งยม...”   

 เสียงครางดังระงมเรียกชื่อคนรัก แม้ไม่ได้ช่วยให้คุณโดมหยุดการกระทำที่เห็นแก่ตัว แต่สิ่งที่อยู่ภายใต้แผ่นอกด้านซ้ายนั้นกลับเจ็บร้าวและปวดแสบ       

ก็เป็นแค่ตัวแทน     

  “อ๊ะ!”       

ร่างเล็กเกร็งกระตุกเมื่อรู้สึกว่าผ้าโจงกระเบนถูกถอดออกจนเปลือยเปล่า คุณโดมสอดนิ้วเข้าไปเบิกช่องทางคับแน่นที่มีเพียงคุณเขมเท่านั้นที่ได้ล่วงล้ำ แต่บัดนี้ร้อยโทหนุ่มกำลังจะได้ครอบครองคนตัวน้อยที่เฝ้าคิดถึงมาตลอดหลายปี

     โดยไม่ได้สนใจเลยว่าการกระทำแบบนี้...จะสร้างบาปกรรมและความเจ็บช้ำทั้งตัวเองไปตลอดชีวิต   

   “อื้อ! พี่เขม”     

    รักเขมมากขนาดนั้นเลยหรือยม?     

    เป็นฉันบ้างไม่ได้เลยรึ?   

   แม้จะเจ็บจนไม่อยากจะสานต่อ...แต่ด้านมืดในใจกลับสั่งให้ร่างสูงค่อยๆถอดกางเกงออกแล้วสอดใส่ความเป็นชายเข้าไปในช่องทางคับแคบ เด็กหนุ่มที่ไม่มีสติหลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียวก็เผลอไผลตามสัมผัสที่ได้รับ เพราะคิดว่าพี่เขมกำลังแกล้งตน     

"พี่เขมจ๋า...อื้อ! อย่าแกล้งยม"       

 "อ่า!"

   ขณะที่ฝ่ายหนึ่งคิดว่ากำลังสุขสมกับคนรัก หากอีกฝ่ายกลับจงใจมีความสัมพันธ์กับร่างตรงหน้าอย่างเจ็บปวด ที่ต้องมาเป็นเพียงตัวแทนของเขม ไม่ใช่คนที่ยมรัก โดม...แกรู้ใช่ไหม? แกก็แค่ตัวแทน

   ตัวแทน...ที่รักยมไม่น้อยไปกว่าเขมเลย!



**สุดท้ายเมิงก็บอกยมอยู่ดีนี่หว่า...อีคุณโดม!!!

หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่21--
เริ่มหัวข้อโดย: snpmrth ที่ 31-01-2018 01:25:19
ปวดใจเหลือเกินเจ้าค่ะ ฮือ
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่21--
เริ่มหัวข้อโดย: pookyss ที่ 31-01-2018 16:36:08
่อ่านรวดเดียวเลย
รอตอนต่อไปนะคะ
 :mew3:
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่22--
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 02-02-2018 21:30:45
เรือนร้าว22
ตอน อภัย
    “ว่าอย่างไรจ๊ะพ่อบูรพา? เพิ่งกลับมาจากเมืองฝรั่งดูงามขึ้นเป็นกอง” 

     เสียงแม่ค้าในตลาดโห่แซ็วเกรียวกราว เมื่อบุตรชายของขุนภิรมย์แห่งเมืองสุพรรณที่เขาว่ากันว่ารูปงามยิ่งกว่าใครมาเดินเล่นในตลาดยามเช้าเพียงลำพัง ด้วยคุณบูรพาไม่ชอบให้มีใครมาติดตามจึงไม่ขอมีบ่าวรับใช้เหมือนเช่นคุณบริพัตร์ผู้เป็นน้องชาย       

   “พอดีบูรพาอยากทานน้ำพริกเคียงข้าวสวยร้อนๆของพี่แฟง อยู่เมืองฝรั่งมานานได้ทานแต่นมเนยไม่ถูกจริตเท่ากับข้าวกับปลาของพี่จ้ะ”

คนหน้าสวยยิ้มหวานส่งให้คนขาย นอกจากอาหารฝีมือคุณบุหลัน ก็ยังมีร้านข้าวแกงข้างทางของพี่แฟงที่ตนชอบแวะเวียนมาทานหลังซ้อมดนตรีเสร็จเป็นประจำนี่ล่ะที่ถูกปากรองมาจากรสมือของมารดา       

 “ยังปากหวานเหมือนเดิมนะจ๊ะพ่อบูรพา ไม่บอกก็รู้ จะให้พี่เพิ่มไข่ต้มให้ด้วยก็บอกมาเถอะน่า” พี่แฟงพูดดักอย่างรู้ทัน ชายหนุ่มจึงรีบยิ้มหวานอ้อนทันที       

  “พี่แฟงก็...รู้ทันบูรพาตลอดเลยนะจ๊ะ”       

  “แต่พี่ก็ต้องให้ล่ะนะ อ้อนซะขนาดนี้” หญิงสาวตักข้าวเคียงน้ำพริกปลาทู แล้วยังมีไข่เป็ดต้มสองฟองใส่จานมาให้ด้วย     

   “ขอบใจจ้ะ คนสวยของบูรพา” คุณบูรพายิ้มหวานเหมือนเด็กที่ได้รับของกินสมใจอยาก ก่อนจะค่อยๆตักข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย โดยมีพี่สาวใจดียังวางจานผักไว้ทานเคียงเผื่อดับความเผ็ดร้อนของน้ำพริกอีกด้วย       

ขนมปังจืดๆของนอกรึ...จะสู้รสเผ็ดของน้ำพริกเคียงข้าวสวยร้อนๆของสยาม       

 “เอ๊ะ! ทุกทีที่ตลาดนี้ขายเพียงแต่ของกินของใช้ แล้วเหตุใดวันนี้จึงมีคนนำของมีราคามาขายด้วยเล่า?” เสียงพี่แฟงหันไปถามเพื่อนสนิทที่กำลังขายผลไม้อยู่ใกล้ๆ 

   “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นคนอื่นเขาว่าพ่อค้าคนนี้ขนของมีค่ามาจากพระนคร ของแต่ละอย่างนี่แพงๆทั้งนั้นเลยล่ะ”     

 ‘ถึงว่า...คนไม่ค่อยเวียนมาซื้ออยู่แผงเดียว’

      คุณบูรพาคิดในใจก่อนที่จะทานข้าวจนอิ่มหมีพีมัน เมื่อยื่นอัฐส่งให้แฟงแล้วจึงจะกลับเรือนเสียเลย โดยที่ทางกลับนั้นต้องผ่านแผงพ่อค้าขายของมีราคาที่แฟงพูดถึงก่อนหน้านั้น ที่แผงเรียงรายเต็มไปด้วยของสวยงามมากมาย แต่ราคาแลดูแพงหูฉี่นัก       

 “วุ้ย!! กำไลวงเล็กแค่นี้ขายตั้งร้อยห้าสิบบาท ทองเก๊รึเปล่าก็ไม่รู้!!”         

หญิงคนนั้นวางกำไลทองวงเล็กคืนที่เดิมด้วยอารมณ์หงุดหงิด แต่สิ่งที่ทำให้คุณบูรพาขมวดคิ้วด้วยความฉงน คือแหวนเพชรวงเล็กที่อยู่ใกล้ๆกำไลวงนั้น ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบมองใกล้ๆ แหวนวงนี้เป็นเพชรน้ำงามมีราคา อีกทั้งยังมีชื่อสลักไว้เสียด้วยสิ       

  ทำไมถึงคุ้นชื่อนี้เหลือเกิน?             



“แหวนเพชรน้ำงาม มีชื่อสลักไว้เสียด้วย”

“คุณบูรพา!” ร่างสูงสะดุ้งเมื่อเสียงของเพื่อนสนิทในยามนี้ทักขึ้น คุณบูรพาจับจ้องแหวนเพชรวงเล็กในมือของสหายหนุ่มที่หยิบขึ้นมาดูต่างหน้าคนรักแล้วยิ้มน้อยๆ

“เด็กคนนั้นโชคดีเสียจริงๆ ที่คุณเขมรักมากถึงขนาดนี้ เฮ้อ!” คนหน้าสวยถอนใจเฮือกใหญ่ พลางหวนนึกถึงเมื่อหลายปีก่อน ที่ได้พบกับใครซักคน

“เอาน่าขอรับ...” คุณเขมปลอบใจเพื่อนสนิท “ซักวันผมเชื่อว่าจะต้องมีคนที่รักคุณบูรพา เช่นเดียวกับที่ผมรักยมขอรับ”



“ลุงได้แหวนนี้มาจากไหนกัน? แหวนวงนี้เป็นของเพื่อนผม มันมาอยู่กับลุงได้อย่างไร!?”       

เมื่อระลึกได้แล้วว่าตนเคยเห็นแหวนวงนี้ที่ใด คุณบูรพาก็ไม่รีรอที่จะซักถามพ่อค้าทันที แม้ในใจอาจคิดไปแล้วว่าคนๆนี้อาจจะขโมยแหวนมาจากเพื่อนของตนก็ได้   

   “แล้วพ่อหนุ่มจะทำน้ำเสียงเคืองทำไมกัน? แหวนวงนี้มีคนมาขายต่อให้ตอนข้าไปพระนคร ข้าไม่ได้ขโมยมาจากเพื่อนเอ็งเสียหน่อย”   

   “แล้วลุงได้แหวนวงนี้มาจากใคร?” เมื่อได้ฟังความจากปากพ่อค้า คุณบูรพาจึงค่อยปรับเสียงให้ใจเย็นลง เพื่อได้ฟังความที่กระจ่างมากกว่านี้       

“ข้าก็รับมาขายต่อๆกันมาน่ะซี่ แต่ถ้าพ่อหนุ่มจะเอาก็ต้องจ่ายนา อย่างไรมันก็คือของซื้อของขาย”   

 ‘งก!’   

  นี่คือความคิดแรกที่คุณบูรพาอยากจะเปล่งด่าคนขายคนนี้ แต่ครั้นจะต่อปากต่อคำก็คงจะมีเรื่องไม่จบไม่สิ้น และอาจไม่ได้แหวนวงนี้ไปคืนให้คุณเขม     

  แสดงว่าจะต้องเกิดเรื่องเลวร้ายกับชายหนุ่ม จนทำให้แหวนวงนี้ถูกฉกชิงไปโดยง่าย เพราะคุณเขมหวงแหวนวงนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด     

 “สี่สิบบาทขาดตัว ว่าอย่างไรพ่อหนุ่ม ถ้าไม่เอาก็วาง!”



 ความเจ็บปวดที่กลางกายทำให้ยมขมวดคิ้ว พอลองขยับร่างกายความแสบสันก็วิ่งแล่นเข้าหาเต็มเปา เด็กหนุ่มตัดสินใจค่อยๆลืมตาขึ้นมองรอบๆ ก่อนจะค่อยเอนกายขึ้นลุกนั่งทั้งที่รู้สึกปวดแสบที่ช่องทางด้านหลัง

     แต่ไม่มีสิ่งใดเจ็บ...ยิ่งไปกว่าร่างกำยำเปลือยเปล่าที่นอนอยู่ข้างๆ! 

“คะ...คุณโดม...”     น้ำตาที่ไหลรินออกมาอีกครั้ง หาใช่ความเจ็บจากคนรัก   

 แต่เจ็บ...ที่ผู้มีพระคุณซึ่งยมไว้ใจเสมอมา ได้ทำความไว้วางใจที่มีของเด็กหนุ่มหักสะบั้นลง     ร่างเล็กค่อยๆขยับตัวลงจากเตียงแม้จะเจ็บกลางกายเหลือคณา เดินอย่างไร้เรี่ยวแรงหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายตามพื้นสวมใส่แล้วเดินไปยังหลังบ้าน ปล่อยตัวให้ทรุดลงร้องไห้ด้วยความเจ็บช้ำ       

 ไม่มีใครรักและหวังดีกับตนอย่างแท้จริงซักคนเลย!! ไม่มี!!   

    ทั้งคนที่ยมเคารพในฐานะผู้มีพระคุณ       

 ทั้งคนที่รอคอยด้วยความรัก...และสัญญาที่มีต่อกัน     

  นี่มันเวรกรรมอะไรของตนกัน? อยากตายเหลือเกิน จะมีชีวิตไปทำไมถ้าไม่มีใครที่รักจริงๆ     

   “ฮือ...อยากตาย อยากตาย”     

ริมฝีปากพึมพำถ้อยคำที่เจ็บปวด ปรายตามองสายน้ำที่ไหลเอื่อยยามเช้าแล้วคิดอยากจะเดินลงน้ำตายให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาทรมานถึงเพียงนี้     

    สัญญานะ...   

   พี่สัญญา...   

     “ฮือ! คนใจร้าย...นี่ยมยังคงมีชีวิตเพื่อคำสัญญาน่ะเหรอ...”     

สองแขนโอบกอดถามคำถามตัวเอง แค่คำสัญญาที่ไม่เคยจางหายไปจากใจ ทำให้เด็กหนุ่มถีบตนเองพ้นจากความตายได้ทุกครั้ง     

 แต่ครั้งนี้คนให้สัญญา....กลับทำให้ยมอยากจะตายเสียเอง

     แม้จะเจอเรื่องร้ายที่ซ้ำเข้ามา แค่ยามที่ยมนึกถึงพี่เขม ก็ทำให้ยมยืนหยัดที่จะขอมีชีวิต เพื่อพบหน้าพี่อีกครั้ง แม้นว่าอาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม...   

   เด็กหนุ่มประคองร่างกายที่เจ็บช้ำครั้งแล้วครั้งเล่ากลับเข้าไปในเรือน ก็เห็นคนที่ทำลายความไว้ใจของตนหักสะบั้นเดินออกมาจากห้องนอนด้วยสีหน้าที่มีเหงื่ออาบเต็มพลั่ก เวลานี้ยมไม่อาจจะสบสายตากับผู้มีพระคุณได้เลย     

  “ยม...”      เสียงร้อยโทหนุ่มเรียกแผ่วเบาด้วยความรู้สึกผิดที่ท่วมท้น เขามันเลวเหลือเกิน...ทั้งที่ยมยังไม่ทันได้ลืมคุณเขม ก็ยังไปรังแกใจดวงน้อยให้บอบช้ำเข้าไปอีก ทั้งที่ตนสาบานกับตนเองทุกเมื่อเชื่อวันว่าจะไม่ยมต้องเศร้าหรือร้องไห้เพราะเขา   

   แต่นี่...มันยิ่งกว่าทำให้ยมต้องร้องไห้เสียอีก   

  “คุณโดมไม่ต้องคิดมากหรอกนะจ๊ะ” เด็กหนุ่มฝืนพูดออกมาจนได้ “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ยมจะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ของเรายังเหมือนเดิม เช่นพี่....เช่นน้อง...”       

พูดออกไปตามที่ใจคิด...แม้แทบจะมองหน้าไม่ติด หากอย่างไรแล้วคุณโดมก็คือผู้มีพระคุณที่ช่วยยมมาหลายครั้ง หากไม่มีคุณโดม...ตนเองคงจะเร่ร่อน จนอาจไปตายเอาข้างทางน่าอนาถ       

 และถ้าเป็นเพียงความผิดพลาดที่คุณโดมอาจไม่ได้ตั้งใจ แล้วทำไมยมจะให้อภัยไม่ได้     

“ยม...ยมรักฉันบ้างไม่ได้เหรอ?”      คุณโดมเอื้อมเข้าไปจับมือทั้งสองของเด็กหนุ่มไว้ แต่ยมกลับทำเพียงก้มหน้าก่อนจะให้คำตอบที่ปวดใจต่อคุณโดมอีกครั้ง                     

  “ก็ยมบอกคุณโดมไปแล้วนี่จ๊ะ ว่าชาตินี้ ยมรักพี่เขมได้เพียงคนเดียว”   

   เด็กหนุ่มเอ่ยเพียงนั้นก็ค่อยๆจับมือของร้อยโทหนุ่มออก แล้วกลับเข้าไปด้านในห้องเพื่อสงบจิตใจ ใบหน้าคมคายหันมองคนตัวเล็กหายเข้าไปพลางคะนึงคิด...   

     ความเห็นแก่ไม่เคยส่งผลดีแก่ใคร ซ้ำยังทำให้คนๆนั้นต้องทรมานเป็นทวี   

   แต่จะเจ็บอย่างไร เขาก็รักยมอยู่ดี...       

อยากรัก และอยากให้ยมรักตอบเพียงเศษเสี้ยวก็ยังดี     

  “ฉันขอโทษนะยม แต่ที่ฉันทำไป เพราะฉันรักเธอจริงๆ”



       ค่ำคืน ณ เรือนของคุณพระวินิตราชศักดิ์ คุณเขมนอนก่ายหน้าผากด้วยความเหนื่อยล้าจากงานที่ทำ งานราชการใครเขาว่าสบาย ไหนจะรับงานซ้ำๆเดิมๆมาครุ่นคิดหารือ ไหนจะต้องไปตามหัวเมืองบ่อยครั้ง แต่ก็ยังไม่เท่ากับความกดดันและความอิจฉาริษยาจากขุนนางเก่าแก่ที่ไม่มีความก้าวหน้าในชีวิตราชการ

       โดยเฉพาะกับคุณดอม...บุตรชายของพระยามนตรีที่บางครั้งจะชอบเข้ามาพูดคุยเสียดสีบ่อยครั้ง แต่คุณเขมก็โต้กลับไปได้เช่นเดียวกัน

“งานหลวงใหญ่ครานี้...คุณเขมต้องคิดอ่านการณ์ดีๆนะขอรับ ไม่เช่นนั้นจะเสียงานเสียการ เสียถึงคุณอาวินิตด้วย”

“แล้วคุณดอมเคยเห็นผมทำงานพลาดไหมเล่าขอรับ?”

แม้ไม่อยากจะตอบถ้อยคำดูอวดเก่งเช่นนั้นเท่าใด หากแต่ขีดจำกัดของคนเราก็ต้องมีถึงขีดสุดเช่นเดียวกัน

  “หึ! นอกจากผมจะไม่เคยทำพลาดแล้ว ยังได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ให้ทำงานใหญ่เสียด้วย แล้วคุณดอมเล่าขอรับ? ได้ทำอะไรให้คุณอามนตรีภูมิใจบ้างหรือยัง?”

คุณดอมไม่ได้ตอบ แต่คุณเขมก็คาดเดาสายตาที่ถูกมองจากคนที่คอยเหน็บแนมตนออก สายตาของคุณดอมมองคุณเขมด้วยความอิจฉาริษยาอย่างปิดไม่มิด

ใครว่ามีเพียงนารีที่เคียดแค้นริษยาซึ่งกันและกันแล้วจะมองด้วยสายตาแบบนี้

ผู้ชาย...ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าใดเลย

    ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงใหญ่หมายจะลงไปเดินเล่นให้บรรเทาความตึงเครียด กลิ่นดอกมะลิลายังหอมโชยต้องปลายจมูกแม้ยามกลางคืน อยู่ๆภาพดวงตาคู่หนึ่งก็ปรากฏต่อหน้า ดวงตาคู่นั้นหลานล้ำ...แต่ก็ดูมีแววเศร้าโศก เคล้าด้วยน้ำตาตลอดเวลา

        อยากจะจำเธอให้ได้...เพราะฉันมีความรู้สึกว่า ฉันเคยรักกับเจ้าของดวงตาคู่นี้

         “เอ๊ะนั่น! พี่เดือนใช่หรือไม่?”

      คุณเขมเอ่ยทักทาสสาวที่น่าจะมีอายุแก่กว่าตนประมาณสองสามปีขณะที่เดินเล่นมาเรื่อยๆ เดือนหยุดหมอบอยู่เพียงแค่นั้นเมื่อถูกบุตรชายของคุณพระทักเรียก

        “คุณเขมยังไม่นอนหรือเจ้าคะ?”

       “เขมยังไม่ง่วงหรอกนะ แล้วพี่เดือนเล่า? ดึกดื่นป่านนี้ยังไม่กลับไปพัก”

     “เอ่อ...” นางทาสสาวอึกอัก จะให้ตอบคุณเขมได้อย่างไรเล่าว่าคุณเขลางค์เรียกให้ตนไปทำเรื่องน่าอดสูบนเรือน

       ส่วนสาเหตุที่เดือนไม่อาจหนีไปจากหญิงใจร้ายคนนั้นได้ก็คือ...

      “ถ้าเอ็งไม่อยากมีจุดจบเหมือนอีทอง เอ็งห้ามหนีไปจากข้า! อ้อ...จำที่เอ็งสัญญาไว้ด้วย ทุกครั้งที่รับใช้ข้า พวกอ้ายอีทั้งหลายที่ยังอยู่ที่นี่ จะรอดพ้นจากหวายของข้าเท่ากับจำนวนครั้งที่เอ็งมารับใช้ จำไว้!”

    หลังจากที่เรือนนี้ไม่มียม คุณเขลางค์บังคับให้ตนมาบำเรอกามแลกกับรอยหวายของพวกข้าทาสในเรือน แม้เดือนเองก็เคยอยากจะไปฟ้องทางการเพียงใด แต่เธอก็เป็นเพียงทาสชั้นต่ำ แม้นปริปากกล่าวถึงความชั่วของคุณหญิง ขี้คร้านอาจมีแต่คนคิดว่าโกหกที่บังอาจใส่ความภริยาของคุณพระผู้มีความอ่อนหวานเรียบร้อยต่อใครที่ได้พบเห็น

        ดังนั้น ทางเดียวที่จะพ้นกรรมจากหญิงชั่วคนนี้ คือความตาย!

        แต่ก่อนตาย...เดือนก็หวังอยากให้คุณเขลางค์ได้พบกับผลกรรมที่ก่อ ทั้งกับอีทอง....นางทาสที่เคยบำเรอคุณเขลางค์แลกอัฐไปให้ผัวแล้วถูกจับได้จึงถูกจ้างวานฆ่าปาดคอ รวมถึงทุกคนในเรือน ที่ถูกหญิงชั่วคนนี้ทารุณไม่ต่างจากสัตว์!

        “เอาเถอะพี่เดือน เอ้อ...เขมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

        “คุณเขมมีอะไรจะถามบ่าวรึเจ้าคะ?” เดือนเงยหน้าขึ้นตอบ อย่างน้อยยังดีที่บุตรชายกลับได้นิสัยอ่อนโยนและถ่อมตนมาจากบิดา มิเช่นนั้นเดือนคงได้หวาดระแวงทั้งแม่...ทั้งลูก

        “พี่เดือนรู้จักคนที่ชื่อยมหรือไม่?”     

         หากว่าคนที่ชื่อยมเคยเป็นทาสในเรือนนี้ อาจจะรู้จักกับเดือนก็เป็นได้ เขาจะได้รู้เสียทีว่าตนมีความสัมพันธ์กับคนชื่อยมเช่นไร

         “คุณเขม...” นางทาสสาวนึกประหลาดใจที่อยู่ๆได้ยินคำถามเช่นนั้น ก็พอจะได้ยินมาอยู่เหมือนกันว่าคุณเขมได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะจากปากต่อปากที่ได้ฟังมา แต่ก็ไม่คิดเลยว่า...จะลืมชื่อคนสำคัญที่สุดไปเสียได้

         นึกสังหรณ์ใจแปลกๆตั้งแต่คุณเขมไม่กล้าปฏิเสธการหมั้นกับคุณจำปาอะไรนั่นแล้ว

         “คนที่ชื่อยม เป็นคนที่สำคัญกับชีวิตของคุณเขมมากนะเจ้าคะ หากยมรู้ คงจะเสียใจนัก”

           เดือนเอื้อนเอ่ยออกมาตามที่ใจนึก เพราะขนาดวันที่คุณเขมจากยมไปโดยไม่ได้บอกลา ตนยังจำภาพที่ยมวิ่งร้องไห้ตามคุณเขมออกไปทั้งที่ยังมีไข้ได้ไม่ลืม ถ้าไม่รักและบูชามากเหลือเกิน...ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

          “แล้วยม มีความสัมพันธ์เช่นใดกับเขมรึ?”

          “ยมเป็น...”

          “อีเดือน!!”

         เสียงพญามัจจุราชทำให้นางทาสสาวหุบปากเงียบเพราะหวาดกลัว ส่วนคุณเขลางค์เมื่อเห็นว่าคุณเขมยืนอยู่ด้วยจึงปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

         “พ่อเขม ดึกดื่นเช่นนี้ทำไมยังไม่นอนลูก?”

         “ลูกนอนไม่ค่อยหลับขอรับ จึงออกมารับลมเสียหน่อย เจอพี่เดือนเดินผ่านมาจึงพูดคุยเล็กน้อยขอรับคุณแม่”

         คุณเขมพูดปัดเรื่องของยม เพราะยังจำได้ดีว่าผู้เป็นบิดาเคยกล่าวว่าคุณเขลางค์กล่าวหาว่ายมขโมยของ หากได้พูดออกมาคุณแม่อาจอารมณ์ไม่ดี

         “ไปนอนได้แล้วลูก อีกเดี๋ยวแม่ก็จะกลับขึ้นเรือนแล้วเหมือนกันจ้ะ”

        ชายหนุ่มจำต้องลามารดากลับขึ้นเรือนตนเองอย่างเสียไม่ได้ เมื่อพ้นจากของลูกชาย คุณเขลางค์ก็ปรายตามองเดือนเป็นสัญญาณว่าให้ตามไป นางทาสก้มต่ำหลบซ่อนแววตาทุกข์โศก

        คืนนี้คุณพระคงไม่อยู่...คุ้มกะลาหัวตนเองอีกแล้วสินะ เพราะถ้าอยู่ คุณเขลางค์คงไม่ลงมาตามตนเองถึงตรงนี้

        เมื่อร่างของเดือนก้าวพ้นธรณีประตูเรือนคุณหญิง มือน้อยค่อยๆปิดประตูลงกลอนตัวสั่นเทายามที่เพิ่มหันไปสบสายตาของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์

        “บอกมาอีเดือน...เอ็งกำลังคิดจะทำอะไร!?”

       “โอ๊ย!!บ่าวเจ็บเจ้าค่ะคุณเขลางค์ บ่าวเจ็บ...” เดือนร้องโอดโอยเมื่อเส้นผมถูกกระชากอย่างแรง หญิงอำมหิตปรายมองทั่วเรือนร่างของคู่นอนก่อนจะโยนคนตัวเล็กกว่าลงบนเตียงแล้วขึ้นคร่อม

        “ที่เอ็งพูดกับพ่อเขม...เอ็งคิดจะจับลูกข้าใช่ไหม!? ห้ะ!!”

        “เปล่านะเจ้าคะ คุณเขมเพียงแวะพูดคุยกับบ่าว บ่าวไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ”

        เพี๊ยะ!!

      หยาดน้ำเล็กๆกระเด็นออกจากดวงตาพร้อมกับใบหน้าที่ถูกตบตีครั้งแล้วครั้งเล่า เสื้อผ้าถูกกระชากออกเสียดสีเนื้อตัวบาดเจ็บ ปล่อยให้หญิงชั่วคนนี้ย่ำยีอย่างสาแก่ใจด้วยความทุกข์ทรมาน ความสัมพันธ์แต่ละครั้งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความรัก แต่มันมาจากความจำยอม

       “คนต่ำๆอย่างเอ็ง ไม่มีวันจะได้ไปเป็นเมียคนอื่น โดยเฉพาะลูกข้า จำไว้!!”



 คุณเขมเดินทางมาพร้อมกับพระยาสุรศักดิ์ที่ปากเกร็ด หลังจากที่พบปะประชุมกับเหล่าขุนนางเป็นที่เรียบร้อย จากที่ตั้งใจจะกลับเรือนโดยไว พระยาเก่าแก่ที่เป็นเคารพยำเกรงต่อคนรุ่นใหม่ก็พาบุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์มายังเรือนริมน้ำแห่งหนึ่งดูเก่าแก่ แต่ก็ไม่ได้บั่นทอดทัศนียภาพความงดงามล้อมรอบลงไปเลย

       เรือนที่แห่งนี้เป็นเรือนหลังเล็ก อาจไม่ได้โอ่อ่าเท่าเรือนของคุณพระ แต่กลับสงบร่มรื่นด้วยไกลจากตัวเมืองพอควร อีกทั้งยังติดริมน้ำที่เชื่อมไปสายเดียวกับแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย ทำให้ครั้งแรกที่คุณเขมได้มาเห็น ความรู้สึกชอบที่แห่งนี้จู่ๆก็พลันเข้ามาในความคิด

         ความคิด...ที่อยากสร้างอนาคตครอบครัวกับใครซักคน ที่ไม่ใช่แม่จำปา

         “เรือนหลังนี้มีอายุมาตั้งแต่ฉันมีอายุเพียงยี่สิบกว่าๆ” พระยาสุรศักดิ์...ขุนนางเก่าแก่ที่ย่ำเข้าสู่วัยชราเอ่ยบอกคุณเขม “แต่พอแม่ใจเมียฉันเสีย ฉันรู้สึกว่าเรือนหลังนี้มันกว้างเกินไปที่จะอยู่ หากคุณเขมรู้จักผู้ใดที่กำลังหาซื้อบ้านช่อง ก็เสนอเรือนริมน้ำที่นี่ได้นะ ฉันคิดไม่แพงหรอก”

        แววตาของท่านพระยาหมองลง หากมองไม่ผิด...ก็คงคิดถึงภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของท่านกระมัง

        “ท่านพระยาขอรับ...”

        “มีอะไรรึ? หลวงเขมราฐ”

        “ถ้าหากผมอยากจะซื้อเรือนริมน้ำแห่งนี้ไว้เอง จะได้หรือไม่ขอรับ?”

        “คุณหลวงจะซื้อไว้เป็นที่พัก หรือเรือนหอกับแม่จำปากันเล่า?”

         คุณเขมนิ่งไปชั่วครู่ พลางคิดว่าหากได้มาใช้ชีวิตร่วมกับคนรักที่แท้จริง ณ เรือนแห่งนี้ คงจะมีความสุขมากไม่น้อย

        คนรักที่แท้จริง...รึ?

        กว่าจะได้กลับจากธุระเข้าจริงก็นับว่ามืดมากแล้ว ที่เรือนของคุณพระวินิตราชศักดิ์มีเพียงบ่าวเก่าแก่อาศัยเดินวนเวียนไปมา คุณเขมเดินกลับเข้ามาในเรือน ก็พบหนังสือเล่มเก่าถูกวางอยู่บนโต๊ะอ่านเขียน

       เงาะป่า...

       “บ่าวรอคืนให้คุณเขมมานานแล้วขอรับ ที่ไม่ได้คืนตั้งแต่แรกก็เพราะเกรงจะเป็นเรื่องใหญ่”       

เสียงบ่าวคนสนิทดังขึ้น สาเหตุที่เพลิงกับมั่นเพิ่งได้นำหนังสือมาคืนให้คุณเขมก็เพราะรู้ความจากเดือนว่านายของตนพอจะรู้แล้วว่าเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับยม...

        คุณเขมหยิบหนังสือมาพิจารณาพักหนึ่ง หนังสือแบบเรียนภาษาเรื่องเงาะป่า คลับคล้ายกับว่ามีบางสิ่งที่สำคัญหากเปิดดูเนื้อหาด้านใน มือใหญ่เปิดหนังสือก็พบกระดาษแผ่นเล็กที่มีข้อความถึงใครซักคน

     ถึง ยม

พี่อยากจะให้จดหมายความในแก่เจ้ามานานแล้ว ตลอดสามปีที่ผ่านมา...พี่ไม่เคยคิดมองเจ้าเป็นทาสเป็นบ่าวอย่างที่ผู้อื่นมอง แรกพบที่พี่เห็น พี่ก็เอ็นดูเจ้าเหลือเกิน จนเกิดเป็นความรักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

แต่ยามที่พี่ให้แหวนเจ้าครานั้น พี่ก็รู้ตัวแล้วว่ามิใช่รางวัลที่เจ้าเพียงทำข้าวหุงถูกปาก

หากเป็นแหวน...ที่พี่อยากมอบให้เจ้าด้วยหัวใจ

พี่ดีใจเหลือเกินที่หัวใจของเจ้าคิดตรงกับพี่

เดือนหน้าพี่จะกลับมาหาเจ้าทันทีที่พี่สอบไล่เสร็จ รอพี่หน่อยนะ...พี่จะกอดเจ้าให้หายคิดถึง  และจะกลับมาฟังเจ้าอ่านเงาะป่าให้ฟังอีกครั้ง

พี่รักเจ้าเสมอ

เขม 



    “นี่...อย่าบอกนะว่า...”   

   “อย่างที่คุณเขมคิดขอรับ” ทาสหนุ่มเอ่ยเฉลยไขข้อสงสัย “ยม...เป็นคนรักของคุณเขม”     

   “คนรักของฉัน? อึก!”       

  อาการปวดศีรษะกลับมาอีกครั้งจนคุณเขมต้องยกมือขึ้นกุมขมับ ภาพเลือนรางในครั้งนั้นโผล่ขึ้นมาอีกครา ครั้งนี้คล้ายจะชัดขึ้น...จนเกือบจะมองเห็นภาพเจ้าของดวงตาเศร้าคู่นั้นชัดเจน

        ทำไมรู้สึกเจ็บปวด...ที่บังอาจลืมคนรักที่ชื่อยมคนนั้น

         เจ็บ...ที่ความอ่อนแอ ทำให้ลืมคนรักไปเสียได้

  เมื่อนั้น           

ซมพลาระทึกอกหมกไหม้

เสียวจิตพิษแล่นตลอดใน         

โลหิตหลั่งไหลวายปราณ

    เสียงบทกลอนที่เปล่งอ่านให้ใครฟังแล่นเข้ามาในหัว เป็นบทที่ซมพลาดิ้นรนด้วยเจ็บปวดจากลูกดอกอาบยาพิษ ตายไปพร้อมกับนางลำหับคนรัก โดยมีเสียงคนได้ฟังตอบกลับเมื่อได้สดับฟังกลอนบทนี้

     “เศร้าเหลือเกินจ้ะพี่เขม”

      ก๊อกๆ!!!

     ดังอุปสรรคมาขัดขวางความทรงจำอีกครา มีเสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าประตูเรือน ภาพที่คุณเขมกำลังจะได้เห็นพลันหายไปอย่างน่าเสียดาย   

   กำลังจะได้เห็นหน้า'คนรัก'อยู่แล้วแท้ๆ   

   “พ่อเขม...พ่อมีเรื่องจะพูดด้วย”   

 หลังจากเพลิงลุกไปเปิดบานประตูให้คุณพระเข้ามา ร่างสูงใหญ่ของบิดานั่งลงใกล้กับคุณเขม ก่อนจะกล่าวเรื่องสำคัญกับบุตรชายทันที   

 “อะไรหรือขอรับคุณพ่อ?”   

 “วันนี้พ่อไปเจรจาเรื่องหมั้นกับคุณพระอรรถกรมา ได้ฤกษ์ได้ยามที่เหมาะควรแล้ว”   

 "แต่ คุณพ่อ..." คุณเขมกำลังจะเอ่ยค้าน แต่ก็ถูกบิดาพูดดักเสียก่อน ดวงตาของคุณพระวินิตราชศักดิ์ปรายมองลูกชาย ด้วยความจริงจังและเด็ดขาดกว่าที่เคยเป็น     

 “อีกเจ็ดวัน พ่อจะจัดพิธีหมั้น พร้อมกับพิธีแต่งงานไปด้วยเสียเลย!”

หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่22--
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 02-02-2018 22:24:11
สงสารน้องยมพี่เขมก็กำลังจะจำได้อยู่แล้วเชียว
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่22--
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 02-02-2018 23:42:19
มีความปวดกระเพาะเลยอ่า
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่23--
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 04-02-2018 09:03:14
เรือนร้าว23
ตอน หวน

   เช้าวันแต่งงานของคุณเขมกับคุณจำปา ร่างสูงในเสื้อราชปะแตนมีศักดิ์กอดหนังสือเงาะป่าไว้แน่นราวกับคล้ายได้กอดคนรัก แม้ไม่อาจจะจำใบหน้ากับความทรงจำที่มีต่อคนชื่อยมได้ แต่ความอบอุ่นยามที่นึกถึงและได้กอดหนังสือเล่มนี้ ทำให้รู้สึกสบายใจแม้ยามที่ตึงเครียดหนักหนา   

   “ฉันขอโทษที่จำเธอไม่ได้...”

   เสียงทุ้มรำพึงกับตัวเอง โทษตัวเองซ้ำๆที่ไม่อาจจำคนๆนั้นได้ “ขอโทษที่ฉันไม่เข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธคุณพ่อ ฉันไม่เหมาะจะคู่ควรกับเธอซักนิด”       

 น้ำตาเจ้ากรรมไหลเอ่อออกจากขอบตาร้อนผ่าว ขนาดไม่อาจจำยมคนนั้นได้ยังรู้สึกเจ็บที่ใจจนต้องเอามือไปกุมแผ่นอกด้านซ้ายไว้   

 ความเข้มแข็งที่เคยมี...มันหายไปไหนเสียหมดเล่า?   

 “ไอ้เพลิง...” มั่นสะกิดตนรัก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง "เราหมดหวังที่จะให้คุณเขมกลับมาจำยมได้แล้วใช่ไหม?”   

 “เฮ้อ!”  เพลิงถอนหายใจดังเฮือก กุมมือของมั่นแน่นด้วยความตันใจ     

   หากเป็นคุณเขมคนก่อน คงจะกล้าฝ่าฟันอุปสรรค และปฏิเสธการแต่งงานอย่างหนักแน่น ไม่รู้เป็นเวรกรรมแต่ชาติปางไหนของเจ้านายกับเจ้าทาสยมตัวน้อย ฝ่ายหนึ่งต้องพลัดพรากจากเรือนไม่รู้จุดหมาย อีกฝ่ายกลับแทบไม่เหลือความทรงจำกับคนรัก...แม้จะเริ่มจำได้เลือนราง แต่ก็ไร้ประโยชน์

      ขอโทษนะยม...แต่ข้าพยายามสุดความสามารถแล้วจริงๆ

      พิธีหมั้นถูกจัดขึ้นในตอนเช้าที่เรือนใหญ่ของคุณพระวินิตราชศักดิ์ แขกเหรื่อที่มาล้วนเป็นขุนน้ำขุนนางที่คุ้นหน้าคุ้นตา ฝีมืออาหารว่างทั้งคาวหวานรับรองแขกเหรื่อล้วนเป็นฝีมือของคุณเขลางค์กับทางด้านของเจ้าสาวสวยงามวิจิตร  คุณพระที่นั่งเคียงภรรยามองดูบุตรชายกับแม่จำปาที่สวมสไบปักดิ้นไหมเงินงดงามสมกับเป็นเจ้าสาวในวันนี้ 

     “สวมแหวนให้น้องสิลูกพ่อเขม”       

      หญิงสาวเขินอายตัวม้วนเมื่อถูกฝ่ายชายค่อยๆช้อนมือขึ้นเบาๆ ก่อนที่แหวนใกล้จะถูกบรรจงสวมใส่ที่นิ้วนาง

       ปัง!!!

      เสียงวงมโหรีหยุดเล่น เมื่อเสียงยิงปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องตกใจของแขกเหรื่อ คุณเขมหันไปมองก็พบว่าชายสองคนที่แต่งกายซ่อมซอถูกใครบางคนยิงจนเลือดอาบ แล้วล้มตึงแน่นิ่งลงไป

      “พ่อ...พ่อดอม...”

      เสียงพระยามนตรีพึมพำตกใจและเสียใจระคน เมื่อในมือของบุตรชายคนเล็กนั้นถือปืนหันตรงกับทิศที่แขกไม่ได้รับเชิญสองคนพอดิบพอดี

      “ไม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่ ไม่!!!”

      คุณดอมส่ายหน้าด้วยความกลัวแรงๆ ทำท่าจะวิ่งออกไปจากงาน ไม่มีใครเข้าไปจับตัวคนยิงเว้นเสียแต่คุณเขม ที่อาศัยจับตัวบุตรชายของพระยามนตรีไว้ได้ในขณะที่กำลังวิ่งลงไปทางบันไดเรือน

      “คุณดอม หยุดเถอะนะขอรับ วางปืนลงแล้วค่อยๆพูดจากัน”

     “ไม่!! ที่ผมต้องทำเช่นนี้ ก็เพราะคุณนั่นแหละคุณเขม!!”

    คุณดอมหันขวับมองคุณเขมด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวและริษยามาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ให้ตายเขาก็จะไม่ยอมพูดความจริง ว่าแท้จริงแล้วเขานั่นแหละที่ส่งคนมาทำร้ายคุณเขมอาการสาหัส หากกลับถูกหักหลังจากคนที่ตนว่าจ้างไปเสียได้

        ปัง!!!

    “พ่อเขม!!!”

    คุณพระวิ่งเข้ามาหาคุณเขมพร้อมคุณเขลางค์ กระสุนจากปืนสีดำมะเมื่อมในมือคุณดอมต้องถูกแขนด้านซ้ายของชายหนุ่ม แต่นั่นกลับทำให้ร่างสูงแน่นิ่งไป ศีรษะนั้นกระแทกลงบนพื้นเรือนสลบไปพร้อมๆกับร่างของคุณดอมที่วิ่งหลบหนีลงจากเรือนไม่คิดชีวิต

     “ใครก็ได้....พาพ่อเขมไปโรงหมอที!!”



     เราอยู่ที่ไหน?

     รอบๆมีเพียงแสงสีขาวล้อมกายสูง ก่อนจะแปรเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ตรงหน้า โดยที่ตนยังคงยืนอยู่บนผาสูง มีอีกหนึ่งชีวิตกำลังยืนหันหลังประชิดขอบผามากเกินจนคุณเขมเริ่มระแวง

     “เธอ!!”

    คนๆนั้นหันมาส่งยิ้มให้คุณเขม ทั้งสองสบสายตากันอีกครั้ง อีกครั้ง

   “เธอคือยมใช่ไหม?”

   “พี่เขม...”

    คนตรงหน้าส่งยิ้มให้คุณเขมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะทิ้งตัวหงายลง รอบด้านเบาหวิวไร้สิ่งกระแทกจนร่างเล็กนั้นตกลงไปในมหาสมุทรกว้างใหญ่

      “ไม่!!!”

     บางสิ่งสั่งให้ร่างสูงกระโดดลงจากผาสูงชันตามลงไปอย่างไม่กลัวตาย แม้รอบๆนั้นจะเต็มไปด้วยความมืด แต่สองแขนนั้นยังคงแหวกว่ายเพื่อตามหายมให้พบ

     ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาประดังในหัว

      ไม่อยากสูญเสีย ไม่อยากเสียคนๆนี้ไป

       เธออยู่ไหน กลับมาหาฉันเถิดนะ...



    “คุณเขมเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

     ชายหนุ่มหน้าแฉล้มพรวดเข้ามาพบคุณพระวินิตราชศักดิ์ที่ทำได้เพียงกุมขมับด้วยความตึงเครียด ใบหน้าวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองคนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

   “พ่อหนุ่มเป็นใครกันรึ?”

    “กระผมชื่อบูรพา เป็นเพื่อนของคุณเขมตอนที่เรียนอังกฤษด้วยกันขอรับ”

   “อย่างนั้นรึ” คุณพระยังไม่คลายกังวล “พ่อเขมปลอดภัยแล้ว เห็นว่ายังสลบอยู่เลย มานั่งก่อนสิ อีกสักพักหมอคงออกมา”

     คุณบูรพาพยักหน้า ก่อนจะขยับตัวนั่งใกล้ๆกับคุณพระวินิตราชศักดิ์ ใบหน้าวัยกลางคนถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดระบายความในใจออกมา

    “ความจริงอาไม่ควรเร่งจัดงานให้พ่อเขมเช่นนี้ ฤกษ์ยามก็ไม่ค่อยจะดี แม้พ่อเขมจะไม่ได้บาดเจ็บหนักก็เถอะ แต่...”

     “ในเมื่อฤกษ์ยามนี้ไม่ค่อยจะดี แล้วคุณอาบังคับคุณเขมให้แต่งงานยามนี้ทำไมกันขอรับ?”

      คุณบูรพาถามหยั่งเชิง  เมื่อยามได้ยินว่าคุณเขมกำลังจะเข้าพิธีกับคนที่ไม่ได้ชื่อยมอย่างที่เคยพูด ชายหนุ่มก็นึกฉงนจึงเดินทางมาพิธีหมั้นเพื่อเค้นความให้แน่ชัด แต่ก็ต้องมาพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นมาเสียก่อน

     “คือ...” คุณพระมีท่าทีอึกอักจนคุณบูรพาเริ่มจับอาการได้ อาการนี้ที่เรียกว่า ‘พิรุธ’ นั่นแล

    “พูดมาเถิดขอรับ ผมเป็นเพื่อนสนิทของคุณเขม รู้เรื่องของคุณเขมทุกอย่าง หรือแม้แต่เรื่องของเด็กที่ชื่อยม คนรักของคุณเขม”

     คุณพระมองคุณบูรพาด้วยความอึ้ง พ่อหนุ่มผู้นี้คงจะเป็นเพื่อนที่พ่อเขมไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่ง ถึงได้วางใจเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังได้ถึงเพียงนี้

    นั่นสิ...จะปิดพิรุธไปได้อีกนานแค่ไหนกัน

    “อา...”



 เจ็ดวันก่อนที่จะถึงวันแต่งงาน คุณพระวินิตราชศักดิ์ไปพบคุณพระอรรถกรเพื่อดูฤกษ์ยามวันหมั้นหมายของบุตรชายกับแม่จำปา ซึ่งทางฝ่ายสาวเจ้านั้นต้องการให้มีงานให้เร็วที่สุด เพราะเห็นว่าปีนี้คุณจำปาใกล้จะอายุครบยี่สิบแล้ว จึงอยากให้บุตรีคนเดียวของตระกูลได้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที

     “ก็ดีเหมือนกันนะเจ้าคะ หมั้นเช้า แต่งบ่าย น้องจะได้หมดห่วงแม่จำปาเสียที” คุณหญิงจำปาสนับสนุนออกหน้า มีเพียงคุณพระวินิตราชศักดิ์เท่านั้นที่เห็นว่างานออกจะกะทันหันไปเสียหน่อย

      “คุณพระ คุณหญิง เพียงงานหมั้นก็กะทันหันถึงเพียงนี้ หากจะให้แต่งไปด้วย กระผมเกรงว่าภายในเวลาเพียงเจ็ดวัน ฤกษ์ยามอาจจะไม่ใคร่ดีนัก เพราะจะเตรียมการไม่ทันเอา”

      “โอ๊ย! กะทันหันอะไรกันเจ้าคะพี่วินิต อาหารคาวหวานเอยงานพิธีเอย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ชวนชมกับคุณพี่เขลางค์เถิดเจ้าค่ะ แล้วก็แขกที่เชิญมา ก็ล้วนเป็นขุนน้ำขุนนางมียศเสียทั้งนั้น ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ” คุณหญิงชวนชมพูดเองเออเองเสร็จสรรพ โดยมีคุณพระอรรถกรเออออตามเสียด้วย

    “เรื่องนี้แม่ชวนชมได้พูดกับแม่จำปาแล้ว แม่จำปาไม่มีปัญหาอะไร เหลือก็แต่ฝ่ายชายนี่ล่ะ คุณพระวินิตอย่าลืมไปบอกพ่อเขมนะขอรับ”

     คุณพระวินิตราชศักดิ์ทำได้เพียงนิ่งเงียบเมื่อได้ฟังฝ่ายนั้นพูดเองเออเองเสร็จสิ้น กังวลถึงเรื่องฤกษ์ยามที่กะทันหันเกินไปจากเดิม เขาว่ากันว่าอาจเป็นฤกษ์ยามที่ไม่ใคร่จะเหมาะเท่าใดนัก

       กลับไปถามความเห็นพ่อเขมก่อนก็แล้วกัน

       หากพ่อเขมไม่เต็มใจ...ค่อยว่ากันอีกที

    กว่าจะกลับมาถึงเรือนก็ดึกดื่นมากแล้ว คุณพระไม่ได้กลับขึ้นเรือนใหญ่ทีเดียว แต่กลับเดินตรงไปยังเรือนของบุตรชายที่คาดว่าน่าจะกลับมาจากธุระที่ปากเกร็ดกับพระยาสุรศักดิ์แล้ว

     ‘ตะเกียงยังไม่ดับ แสดงว่าพ่อเขมยังไม่นอน’

     เมื่อเดินขึ้นเรือนแล้วทำท่าจะเคาะประตูเรียก คุณพระก็ขมวดคิ้วเพราะได้ยินเสียงของคนสนิทบุตรชายพูดอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับยม

     นี่พ่อเขมสงสัยอะไรให้ตัวยมอีกแล้วรึ?

     “นี่...อย่าบอกนะว่า...”

“อย่างที่คุณเขมคิดขอรับ” ทาสหนุ่มเอ่ยเฉลยไขข้อสงสัย “ยม...เป็นคนรักของคุณเขม”

“คนรักของฉัน? อึก!”

    มีแต่เสียงของเพลิงกับมั่นที่เรียกนายของมันอย่างเป็นห่วงคล้ายกับว่าคุณเขมกำลังเจ็บอะไรสักอย่าง พลันอยู่ๆคำพูดของหมอหนุ่มในวันที่คุณเขมประสบอุบัติเหตุก็แล่นขึ้นมา

     คุณเขมไม่สามารถจดจำภาพสุดท้ายที่นึกถึงได้ เพราะช่วงนั้นศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนพอดี และมีผลทำให้คุณเขมไม่สามารถจำคนในภาพนั้นได้ชั่วคราว รวมถึงความทรงจำที่มีต่อคนๆนั้นด้วย

       หรือว่า...คนสุดท้ายที่พ่อเขมนึกถึง ก็คือเจ้ายม!!

        เจ้ายม...มันเป็น...

        แสดงว่าก่อนพ่อเขมจะเดินทางไปอังกฤษ จะต้องไปแอบรักกับเจ้ายมเป็นแน่ นานขนาดนี้เจียวรึ!?

       นึกโกรธที่บุตรชายคนเดียวของตระกูลวินิตราชศักดิ์กล้ากระทำสิ่งเสื่อมเสีย ริอาจไปรักทาสในเรือนก็ว่าแย่นักหนา แต่ทาสคนนั้นมันดันเป็นชาย!!

       อีกทั้งยังเป็นหัวขโมย...ที่ขโมยของๆคุณเขมอีกต่างหาก

    แต่...

    หากพ่อเขมลืมยมไม่เหลือแม้ความทรงจำเพียงเสี้ยวเกี่ยวกับยม ก็ควรฉวยเอาโอกาสนี้ให้พ่อเขมแต่งงานกับแม่จำปาให้เร็วที่สุด เป็นเพียงทางเดียวเท่านั้น

     แม้วันนี้ทั้งสองอาจจะยังไม่รักกัน แต่ในวันหน้าอาจจะผูกใจรักกันก็ได้

     พ่อไม่อยากบังคับ...แต่พ่อไม่ต้องการให้เจ้านึกถึงยมและกลับไปตามหายมอีก หากสังคมรู้จะพากับติฉินนินทา เสื่อมเสียไปทั้งตระกูล รวมถึงอนาคตที่ยาวไกลของตัวคุณเขมเอง

       พ่อขอโทษ...ที่พ่อต้องเห็นแก่ตัว



     “แล้วคุณอาไม่คิดบ้างหรือขอรับ? ว่าหากคุณเขมเกิดจำยมได้ขึ้นมาซักวันในวันที่จำต้องใช้ชีวิตกับคุณจำปา คุณเขมจะทุกข์แค่ไหนที่ต้องเลือก ระหว่างภรรยาที่จำต้องตบแต่ง กับคนที่คุณเขมรักมากที่สุดแม้จะผิดประเพณี”

      คุณบูรพาพรั่งพรูความอึดอัดหลังจากที่ได้ฟังในสิ่งที่คุณพระยอมสารภาพมาทั้งหมด

    ยมหนีไปจากเรือนเพราะถูกเข้าใจว่าขโมยของ ส่วนคุณเขม...หลังจากที่แยกกันได้ไม่นานก็ถูกโจรทำร้ายจนไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับยม

      คุณเขมไม่ได้ทอดทิ้งยม เพียงแค่หลงลืมไปชั่วคราว...เพราะเป็นคนสุดท้ายที่นึกถึง

    เผลอๆ คงจะนึกถึงทุกลมหายใจเสียด้วย

      “แต่อา...อาไม่อยากให้พ่อเขมต้องเสียชื่อเสียงเพราะขี้ปากคนนินทา หากวันนั้นมาถึง”

     “คุณอาขอรับ...” ชายหนุ่มเข้าไปจับมือชายกลางคนที่ยามนี้แสดงด้านอ่อนแอออกมาให้เห็น “เรื่องงานก็ส่วนงาน เรื่องส่วนตัวนั่นก็อีกเรื่อง ขี้ปากคนนินทาก็เช่นกัน พวกเขาก็นินทาไปตามประสาเมื่อเห็นคนทำผิด แต่ผมเชื่อนะขอรับ คุณเขมเป็นคนเก่งอนาคตไกล ความรักของเขาจะเป็นแรงผลักดันพาคุณเขมก้าวข้ามมันไปได้”

    “แต่เจ้ายม...มันเป็นผู้ชาย”

    “ความรักไม่จำกัดเพศหรอกนะขอรับ...” คุณบูรพากุมมือ มองคุณพระด้วยสีหน้าจริงจังกว่าเดิม “ทุกคนมีความรักทั้งสิ้น ความรักไม่เคยจำกัดว่าผู้ชายต้องรักผู้หญิงเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว คุณเขมจะรักยมจนถึงขั้นจะสร้างครอบครัวด้วยกันหรือขอรับ?”

   “พ่อบูรพาหมายความว่าอย่างไรรึ?”

    คุณบูรพาหยิบถุงใบเล็กจากชายพกที่เหน็บไว้อย่างดี ชายหนุ่มเทสิ่งนั้นในมือ คุณพระเบิกตาขึ้นเมื่อเห็นว่ามันคือแหวนเพชรน้ำงามที่สลักชื่อเป็นภาษาฝรั่งไว้

    “แหวนวงนี้...คุณเขมตั้งใจออมเงินส่วนตัวซื้อเพื่อกลับมามอบให้คนที่เขารัก ซึ่งมันควรจะถึงเวลานั้นได้แล้ว คุณเขมเป็นคนเก่ง พิสูจน์หน้าที่การงานจนได้ตำแหน่งใหญ่โตเป็นที่น่าภูมิใจ ส่วนเรื่องส่วนตัว หากตัดปัญหาคนนอกไปได้ คุณเขมจะได้ใช้ชีวิตกับคนที่เขารักได้อย่างมีความสุข”

   “ความสุขของพ่อเขม...”

   คุณพระพึมพำ ไม่นานคุณหมอที่ดูอาการของคูรเขมก็เดินออกมาให้คุณพระสามารถเข้าเยี่ยมคนเจ็บได้ เพียงแต่อย่าส่งเสียงรบกวนเพราะยังคงสลบจากบาดแผลอยู่

    “พ่อบูรพาเข้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวอาตามเข้าไปทีหลัง”

    “ขอรับคุณอา”

    ภายในห้องคนเจ็บ ร่างของคุณเขมยังคงสลบยาวนานแต่ก็ปลอดภัยดีเพราะวิถีกระสุนถูกเพียงต้นแขนไม่ได้ร้ายแรง แม้ดูผิวเผินสงบนิ่งไม่ไหวติง หากใบหน้าคมคายนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อไคลคล้ายกับกำลังเผชิญกับสิ่งใดก็ไม่ปาน

      “กำลังนึกถึงคนนั้นสินะ คุณเขม”

      คุณบูรพาก้าวเข้าไปไกลเบาที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวน เขาแบมือของคุณเขมออกแล้ววางแหวนน้ำงามล้ำค่าที่สู้อุตส่าห์ดั้นด้นนำมาคืนให้เพราะความเข้าใจผิดในคราแรก แต่ตอนนี้รู้แล้ว...ว่าคุณเขมต้องการแหวนวงนี้คืนมากเพียงใด

     แล้ววางมือที่กำแหวนข้างนั้น วางไว้บนแผ่นอกแกร่งด้านที่มีหัวใจเต้นระรัวอยู่ใต้นั้น

      มีความรู้สึกได้เลยว่า...อีกไม่นานเจ้าของแหวนที่แท้จริง กำลังจะกลับมาพบคุณเขมอีกครั้ง

     การที่คุณเขมลืมยมในครั้งนี้ยาวนานสาหัสนัก และก็ต้องเป็นตัวคุณเขมเอง ที่จะต้องจำยมให้ได้ จำคนรัก จำทุกอย่างที่เป็นของคุณเขม

      “ผมหวังว่าถ้าได้พบกันครั้งหน้า ผมจะได้ไปเล่นไวโอลินที่งานแต่งคุณเขมกับยมเสียทีนะขอรับ”



 ภายใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง คุณเขมแทบหมดสิ้นความหวังในการตามหายม แต่แล้วเหมือนมีบางสิ่งหนักอึ้งราวกับก้อนหินไหวนาบบนหน้าผากก็ไม่ปาน สองมือกุมศีรษะขมับ เจ็บปวดเหลือเกิน ราวกับวิญญาณจะถูกฉีกกระชากอย่างไรอย่างนั้นแหละ

      จำครั้งแรกที่เราพบกันได้ไหมพี่เขม?

      เสียงแว่วสะท้อนจากที่ไหนซักที่ ตอกย้ำให้ชายหนุ่มที่เกือบจะไร้ความหวังกลับมาจดจำบางสิ่งที่เคยลืมไป

    ครั้งแรกที่เราได้พบ...

    ยม...เด็กกำพร้าไร้พ่อแม่ ทำให้ต้องเร่ร่อนขอทานไร้ที่อยู่คุ้มกะลาหัว จนได้รับความเมตตาจากคุณหลวงวินิตในตอนนั้นให้มาเป็นเด็กรับใช้ในเรือน ความจริงตอนนั้นคุณหลวงไม่ได้อยากจะรับเพราะทางหลวงเพิ่งประกาศเลิกทาสได้ไม่นาน ไหนจะทาสเก่าแก่ที่ไร้ที่ไปอีก

    แต่เมื่อเจ้ายมตัวน้อยไร้ซึ่งที่ไปเงยหน้า สบตากับคุณเขมที่จ้องมองด้วยความเอ็นดูก่อนหน้า แววตาเศร้าคู่นั้นวิงวอนขอร้องซึ่งคุณเขมพอจะดูออก

    “วันนี้เป็นวันที่ลูกอายุครบสิบห้า ลูกไม่ต้องการของขวัญอะไร นอกจากได้ช่วยเด็กคนนี้ไม่ให้ต้องลำบากอีก”

      ทั้งที่คุณเขม...ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ แต่ก็จะทำ

      ความเอ็นดู และความเมตตาในครั้งนั้น ค่อยๆหล่อหลอมเกิดเป็นความรักในใจของคนทั้งคู่ จากแต่แรกฐานะนายกับบ่าว แปรเปลี่ยนมาเป็นรักที่ต้องหลบซ่อน

      แต่คุณเขมก็สัญญา ว่าซักวันจะมารับยมไปอยู่ด้วย

     จำได้หรือยัง?

      อ๊ากกก!!!

     ขณะที่เจ็บใกล้เจียนตายเต็มที สองมือน้อยของคนที่หนีหายไปจากคุณเขมก็กลับเข้ามาประคองคนรักอย่างทะนุถนอม แม้ใต้มหาสมุทรนั้นจะมืดไร้แสงสว่าง แต่สองหัวใจกลับมองทะลุความมืดนั้นส่งผ่านซึ่งกันและกัน

     ยม...ใครทำใบหน้าของยมเป็นแบบนี้?

     ชายหนุ่มตั้งคำถามเมื่อลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของคนที่เขารักที่สุดมีรอยแผลเหวอะ มือใหญ่นั้นประคองดวงหน้าของเจ้าตัวน้อยก่อนจะกดจูบลงบนแผลนั้นอย่างไม่รังเกียจ อีกฝ่ายคลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดีด้วยรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง

      พี่เขม...พี่เขมจำยมได้แล้ว จำได้เสียที



     “ยม ยม!!”

  คุณเขมทะลึ่งลุกพรวดขึ้นมา เหงื่อกาฬไหลอาบใบหน้าคมหายพลางหอบเหนื่อยคล้ายกับได้เวียนว่ายอยู่ในมหาสมุทรนับสิบครั้ง น้ำตาไหลเอ่อออกตาเมื่อนึกถึงภาพแรกที่นึกถึงยามตื่น

    “ยม ยมอยู่ไหน?”

    ภาพของยมที่มีแผลตราบนหน้าน่าเวทนา อยากจะคว้าเจ้าตัวน้อยที่แสนคิดถึงมาตลอดมากอดแนบกาย อยากจะฆ่าคนที่ทำร้ายยมต้องเจ็บให้เจ็บยิ่งกว่า!

     แต่ยม...ยมอยู่ไหน ตั้งแต่กลับมาถึง เขายังไม่ได้เจอยมเลย

    “แหวน...”

   มือด้านซ้ายประคองสิ่งที่อยู่ในกำมือออกพบแหวนน้ำงามที่ซื้อให้ยมตั้งแต่อยู่อังกฤษ แหวนที่ถูกขโมยไปในครั้งนั้นได้กลับมาหาคุณเขมอีกครั้ง ไม่ผิดเป็นแน่

     แหวนเพชรน้ำงาม...ที่สลักตัวอักษรสามตัว YOM

     แหวนที่ใช้ดูต่างหน้า...ยามที่คิดถึงยม อยากเห็นหน้ายม

     แหวน...ที่อยากจะขอยมมาใช้ชีวิตด้วยกัน

    “ยม เจ้าอยู่ไหนน่ะ? ยม”

    “พอฟื้นก็เอาแต่เรียกหาเจ้ายมเลยนะพ่อเขม”

    เสียงทุ้มใหญ่ของผู้เป็นบิดาดังนั้น ใบหน้าคมคายที่เวลานี้เต็มไปด้วยคราบน้ำตาหันไปมองคุณพ่อที่มองตนเองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม

     “มีอะไรอยากจะพูดหรือไม่?”

    “คุณพ่อ...”

    “พ่อรู้เรื่องของเจ้ากับยมหมดแล้ว เล่ามาพ่อเขม ก่อนที่เจ้าจะถูกทำร้ายจนความจำเสื่อมเกี่ยวกับยม เจ้าไปรักกับยมตั้งแต่เมื่อไหร่?”

      “ขอรับ” ในเมื่อคุณเขมตั้งใจจะสารภาพอยู่นานแล้ว เขาก็จะตอบ ความทรงจำของเขากับยมได้คืนมาแล้ว แต่ก็ไม่ลืมเช่นกันว่ายามนี้เขามีหน้าที่การงานที่ดี พอเชิดชูตระกูลให้คุณพ่อภูมิใจ

     “ลูกกับยมรักกัน ลูกรักยมตั้งแต่วันที่ยมก้าวเข้ามาที่เรือนของคุณพ่อ แล้วยม...ยมก็เป็นเมียของลูกแล้วด้วย”

    “พ่อเขม!”

   เพี๊ยะ!!

   “พูดออกมาได้ไม่อายปาก! พ่อไม่เข้าใจเลย ว่าสิ่งใดดลใจให้เจ้ารักยมขนาดนี้ ทั้งที่มัน...”

     แม้ในใจพยายามจะยอมรับ แต่มันก็กะทันหันเกินไปที่จะปรับตัว

     บุตรชายคนเดียว...มันรักกับเด็กผู้ชาย!

   “ลูกต้องการพบยม...” แม้จะเจ็บจนชาตรงแก้มไปหมด แต่คุณเขมก็ยังไม่ละความพยายาม “ยมอยู่ที่ใดขอรับ” 

   “พ่อเคยบอกเจ้าไปแล้วพ่อเขม ว่าเจ้ายมมันขโมยแหวนนพรัตน์ของเจ้า พอถูกจับได้แล้วหลบหนี รู้เช่นนี้แล้วเจ้ายังจะรักมันลงไหมเล่า?”

     แหวนนพรัตน์วงนั้น?

    *“นั่นเจ้าปรุงอะไรอยู่น่ะ?”*

คุณเขมในวัยสิบห้าปีเอ่ยถามเด็กน้อยที่กำลังหยิบจับสมุนไพรอย่างคล่องแคล่วก่อนจะผัดไปกับข้าวในกระทะส่งกลิ่นหอม ตามด้วยใส่ลูกเอ็นผัดอีกเล็กน้อยแล้วนำมาใส่จานเพื่อไม่ให้ข้าวแฉะจนเกินไป

“บ่าวทำข้าวหุงเครื่องเทศขอรับ เอาข้าวสวยมาผัดกับใบกระวาน ยี่หร่า อบเชย พริกไทยดำ กานพลู ลูกเอ็น บ่าวเห็นป้าฟักทำให้คุณเขลางค์ทานจึงจำมาฝึกทำบ้างขอรับ”

“กลิ่นหอมจังเลยยม ขอฉันชิมได้ไหม?”

“เอ่อ...ขอรับ...” ยมใช้ช้อนตักข้าวหุงพอดีคำส่งให้คุณเขม วินาทีนั้นเองมือของคุณเขมเผลอสัมผัสกับมือของยมโดยไม่รู้ตัว

แต่ด้วยวัยเพียงเก้าขวบ...ยมจึงไม่ได้คิดอะไรเหมือนกับตอนนี้นัก

“รสชาติดีทีเดียวนะยม หอมกลิ่นสมุนไพรในปาก ถูกปากฉันนัก”

คุณเขมวางช้อนลง ก่อนจะถอดแหวนจากนิ้วส่งให้เด็กน้อยตรงหน้า

“ฉันไม่มีอัฐิจะให้ เจ้ารับแหวนวงนี้ไปเป็นรางวัลก็แล้วกัน”

“เอ่อ อย่าดีกว่าขอรับ คะ...คือ บ่าวเกรงว่าคุณเขลางค์จะคิดว่าบ่าวขโมยของๆคุณเขมน่ะขอรับ”

“เจ้าก็อย่าให้คุณแม่เห็นสิ” คุณเขมจับมือเล็กแบออก ก่อนจะวางแหวนบนมือให้ยมรับไว้

“ต่อไปนี้เวลาฉันกลับมาจากโรงเรียน ยมต้องทำข้าวหุงไปให้ฉันบนเรือนทุกครั้งเลยนะ”

แหวนวงนั้นที่เขาตั้งใจมอบให้เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้ยมถูกกล่าวหาจนต้องระเห็จออกจากเรือนเลยอย่างนั้นหรือ?

   หากย้อนเวลากลับไปได้...เขาจะไม่มองแหวนวงนั้นให้ยม ถ้ายมต้องมาเดือดร้อนเพราะแหวนวงเดียว

   ความจริงมันก็เป็นความผิดของพี่ด้วย พี่ขอโทษนะยม พี่ขอโทษ

   “แหวนวงนั้น ลูกเป็นคนมอบให้ยมเองขอรับคุณพ่อ เป็นรางวัลที่ยมปรุงข้าวหุงอร่อยถูกปาก และลูก...ลูกอยากมอบให้เป็นของแทนใจด้วย”

   ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้ เขาก็จะช่วยยมให้พ้นผิด ยมเป็นเด็กซื่อบริสุทธิ์ คุณเขมไม่ยินยอมให้ใครต่อใครต้องเข้าใจผิดเช่นนี้ต่อไปเป็นแน่

    “ลูกยังเด็ก ไม่คิดเลยว่าแหวนวงนั้นจะทำให้ยมต้องเดือดร้อนในภายหลัง ยมต้องถูกกล่าวหาทั้งที่ไม่ใช่คนผิด ยิ่งเป็นคนที่ลูกรักด้วยแล้ว ลูกยอมไม่ได้ขอรับ”

    “เฮ้อ!!” คุณพระถอนหายใจเสียงดัง พูดสิ่งใดไม่ออกอีก ร่างของบิดาหันหลังให้บุตรชายเพราะยังไม่อาจยอมรับได้จริงๆ แม้จะได้ฟังความจริงจากปากแล้วก็ตาม ทั้งที่ลึกๆคุณพระก็รู้สึกผิดที่เผลอเข้าใจว่ายมมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยเช่นนั้น

   “คุณพ่อขอรับ” ร่างสูงก้าวลงจากเตียงคนเจ็บ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นกราบแทบเท้าของบิดา “ลูกช่างเลว ที่ไม่อาจแต่งงานกับน้องจำปาตามที่คุณพ่อต้องการ ลูกขอกราบขอขมาที่ทำให้คุณพ่อต้องเสียใจ แต่ลูกก็พิสูจน์หน้าที่การงานให้คุณพ่อได้เห็นแล้วว่าลูกก็ทำความภูมิใจให้ตระกูลได้ แต่เรื่องของความรัก ลูกขอโอกาสเถิดขอรับ ลูกขอออกไปตามหายม ลูกอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มียม”

     คำพูดจากหัวใจบอกผ่านเสียงเศร้าเครือ ความทรมานที่เขาต้องลืมยมทำให้คุณเขมรู้ตัวมากขึ้นว่าหากชาตินี้เขาไม่ได้เคียงคู่กับยมเพียงคนเดียว เขาก็แทบจะขาดใจเสียให้ได้

     ขอโอกาส...ให้ลูกเลวคนนี้ได้รักกับยมด้วยเถิด



    “พี่เขม...”

    ซากต้นมะลิลาในคราวนั้นยมไม่อาจทิ้งได้ลง แม้จะถูกหักโค่นจนไม่เหลือดอกมะลิลาผลิบานให้ได้ยลโฉม แต่มันก็คือเครื่องหมายแทนใจให้ยมระลึกถึงพี่เขมได้อยู่ดี

     ดูเหมือนจมปลักอยู่กับอดีต

    ยมยอมรับข้อนั้น...แต่เป็นอดีตที่ยมไม่อาจลืมออกไป

    “พี่เขมรู้ไหมจ๊ะ? ว่าเมื่อคืนยมฝันถึงพี่ด้วยนะ ฝันว่าพี่กอดยม พี่มารับยมไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคน เรามีเรือนหลังเล็กอาศัยอยู่ด้วยกันสองคน”

     เด็กหนุ่มฝืนยิ้มและพร่ำให้ซากต้นมะลิฟัง แม้รู้ทั้งรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้...ความจริงกับความฝันมันช่างแตกต่างกันมากต่างหาก

    แค่คิด...ก็ไม่มีน้ำตาให้ไหลแล้ว

   มันเจ็บไปหมด

   “คิดถึงพี่...”

   ร้อยโทหนุ่มที่แอบมองอยู่ไม่ไกลมองยมด้วยความสงสาร เขาได้รับข่าวจากบิดาเมื่อหลายวันก่อนว่าวันหมั้นของคุณเขมถูกเลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่คุณโดมไม่มีความกล้าพอที่จะบอกยม เพราะกลัวว่าหากยมเจ็บช้ำเหมือนในครั้งนั้น ยมอาจจะคิดอะไรตื้นๆถึงชีวิตก็ได้

     จิตใจยิ่งอ่อนไหว จนเข้าขั้นอ่อนแอเหลือเกิน

    “ยม...” คุณโดมเรียกชื่อเด็กหนุ่มเบาๆ ยมหันมาสบตาแล้วยิ้มน้อยๆส่งให้ ดวงตาคมเข้มมองซากดอกมะลิที่กองไว้ตรงหน้าแล้วทอดถอนใจ

    “ซากมันแห้งเหี่ยวหมดแล้ว ทิ้งไปเถอะเดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่”

     “อย่านะจ๊ะ” เด็กหนุ่มร้องห้าม “อย่าทิ้งนะจ๊ะคุณโดม ซากต้นมะลิต้นนี้ทำให้ยมรู้สึกว่ามีพี่เขมอยู่ด้วย”

    “ยม...”

     มือสากยื่นไปบีบมือเล็กนุ่มนวล แต่สิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นว่ายมแกะออกไม่ยอมให้แตะต้อง ตั้งแต่วันนั้นที่มีความสัมพันธ์กับคุณโดม ยมก็เริ่มกลัวการถูกสัมผัสทีละนิดเพราะไม่ใช่สัมผัสที่เต็มใจ เด็กหนุ่มยันกายลุกหมายจะไปตระเตรียมสำรับเย็นแต่ก็ถูกร้อยโทหนุ่มรั้งไว้

      “เดี๋ยวสิยม!”

     “คุณโดม ปล่อยนะจ๊ะ!”

   ข้อมือเล็กถูกพันธนาการเหนียวแน่น ก่อนที่กายเล็กทั้งร่างจะถูกกระชากให้เข้ามาแนบชิดกับแผงอกแกร่ง คุณโดมฝังจมูกสันโด่งลงบนแก้มข้างที่เนียนไร้บาดแผลแล้วกระซิบถามเสียงแผ่ว

    “ได้โปรด รักฉันบ้างได้ไหม? อย่ามัวแต่จมปลักกับอดีตที่เขาไม่เห็นค่าของยมเลยนะ”

    คำรักที่คุณโดมพร่ำบอก ทนไม่ได้อีกแล้วที่จะถูกเฉยชา ต้องทำเป็นเหมือนเพียงพี่น้องทั้งที่ใจรักมากกว่านั้น แม้ทุกครั้งและรวมถึงครั้งนี้ จะยังถูกผลักไสจากคนตรงหน้าก็ตาม

     “ใช่ ยมจมปลักอยู่กับอดีต แต่นั่นเป็นเพราะยมรักพี่เขมมากแม้ในวันนี้เขาจะไม่เห็นค่าของยมแล้ว ครั้งหนึ่งยมเคยลองพยายามตัดใจ แต่ยมก็ยิ่งเจ็บ ยมลืมพี่เขมไม่ได้จริงๆ”

    เด็กหนุ่มกล่าวเสียงสะอื้นแม้ไม่มีน้ำตาจะให้ไหลแล้ว คุณโดมคว้าร่างน้อยมากอดปลอบ ยมดิ้นหมายจะผลักไสออกเพราะรู้สึกไม่ชอบสัมผัส

      “ทำไมยม? รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยรึ?”

     “ยมไม่ได้รังเกียจ” ร่างของยมก้าวถอยห่างทีละนิด “แต่ยมไม่ชอบสัมผัสนี้ ไม่ใช่สัมผัสพี่เขม”

    “แต่ฉันรักยม”

  ร่างสูงวิ่งเข้ามากอดรวบรัดเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมกอด ใบหน้าคมคายพรมจูบพร่ำบอกรักไปทั่วในขณะที่ยมพยายามผลักไสด้วยความกลัว

      คุณโดมในเวลานี้ไม่ใช่ผู้มีพระคุณเหมือนในตอนนั้น ไม่ต่างกับคนที่เคยทำร้ายเขาเลย!

     “พ่อโดม!!”
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่24--(7/02/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 07-02-2018 19:49:53
 เรือนร้าว24
ตอน เจ็บ

 เพี๊ยะ!!   

 “ฉันไม่คิดเลยว่าจะมีลูกกล้าทำสิ่งอัปยศต่อตระกูลได้ถึงเพียงนี้!”      พระยามนตรีตบใบหน้าสั่งสอนลูกชายด้วยความอับอาย ก่อนจะหันไปตะคอกเด็กหนุ่มที่ยืนทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใกล้ๆ

    “ไอ้เด็กอัปลักษณ์ จะไปไหนก็ไป อย่ามาให้ฉันเห็นหน้า!” 

    “คุณพ่อ!”   

    “ยมไปเรือนป้าแจ่วนะจ๊ะ”

   เด็กหนุ่มบอกคุณโดมน้ำเสียงขมขื่นเมื่อถูกตะคอก นานแล้วที่ห่างหายจากการถูกกระทำเช่นนี้ ร่างเล็กเดินก้มตัวผ่านพระยามนตรีอย่างรวดเร็วเพื่อรีบไปจากที่ตรงนี้

    “ยม ยม!”

    “ไม่ต้องสนใจมัน เข้าไปคุยกับพ่อข้างในเดี๋ยวนี้!!”

    พระยามนตรีเดินนำบุตรชายเข้าไปในเรือนปั้นหยา พระยามนตรีมองรอบด้านด้วยสายตาหยามเหยียด...นี่หรือบ้านที่คุณโดมบอกสุขสบายหนักหนา เมื่อเทียบกับบ้านของตนก็ไม่ต่างกับกระต๊อบหลังเล็กดีๆนี่เอง

      “นี่รึ? บ้านที่เจ้าบอกพ่อว่าสุขสบายนักหนา หึ!” ท่านพระยาเหยียดยิ้มดูถูก

     “คุณพ่อมีธุระอันใดก็ว่ามาเถิดขอรับ”

    “ทีแรกฉันก็จะมาบอกเรื่องด่วนอยู่หรอก” พระยามนตรีตอบน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าโกรธจัด ภาพที่บุตรชายคนโตยืนกอดกับเจ้าเด็กหน้าผีนั่นยังตรึงตา “แต่พอมาถึง กลับต้องมาเห็นภาพบัดสีวิปลาส ยิ่งเห็นว่าแกกำลัง...หึ! แกไปทำอย่างนี้กับผู้หญิงฉันยังไม่รู้สึกอับอายขนาดนี้เลยเจ้าโดม!”

    “ลูกรักยมขอรับคุณพ่อ!”

     คุณโดมยืนยันเสียงหนักแน่น ผู้เป็นบิดานิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะถลาเข้าไปชกลูกชายด้วยความโกรธเท่าทวี

   “ตระกูลฉันไม่เคยมีใครวิปริตผิดเพศ แล้วฉันก็ไม่เคยสั่งไม่เคยสอนให้แกชอบผู้ชาย หึ! เห็นทีกลับพระนครคราวนี้ ฉันจะไม่ให้กลับมาเชียงใหม่ได้อีก ลูกคนเล็กก็ชั่วช้า คนโตยังจะมาผิดเพศไปเสียอีก”

     กลับพระนคร ลูกคนเล็กชั่วช้า?

     เจ้าดอมไปทำอะไรผิด?

     “คุณพ่อ หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”

   “นี่ล่ะ เรื่องที่ฉันจะมาบอก” น้ำเสียงตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด แต่เสียงนั้นคล้ายกับเสียใจและผิดหวังด้วยสั่นเครือ “เจ้าดอม...มันฆ่าคนตาย”

     “อะ...อะไรนะขอรับ?”

   “ที่งานหมั้นของพ่อเขม...” ร่างของท่านพระยายืนหันหลัง หลบซ่อนแววตาผิดหวังไม่ให้บุตรชายคนโตเห็น “มีชายแปลกหน้าสองคนขึ้นมาบนเรือนกลางงาน แต่ก็ถูกเจ้าดอมชักปืนขึ้นมายิง อีกทั้งยังยิงพ่อเขมจนบาดเจ็บอีกต่างหาก”

     “แล้วเขมเป็นอะไรมากไหมขอรับ?”

     “พ่อเขมน่ะไม่เป็นอะไรมาก ปลอดภัยแล้ว” ยังคงฝืนพูดทั้งที่แทบจะอกแตกตายกับการกระทำของลูกคนเล็ก “ทางการจับเจ้าดอมข้อหาฆ่าคนตายได้แล้ว แต่ไม่ยอมสารภาพถึงสาเหตุที่ทำ แกเป็นตำรวจและยังเป็นพี่มัน ฉะนั้น...แกต้องรีบกลับพระนครไปกับฉันเดี๋ยวนี้!”

      คุณโดมเดินมายังเรือนหลังเล็กของป้าแจ่วอย่างห่อเหี่ยว เมื่อถูกพระยามนตรีบังคับให้กลับลงไปพระนครเร่งด่วนบัดเดี๋ยวนี้ ครั้นจะพายมไปด้วยก็เห็นจะไม่ดี ด้วยหนึ่ง...พระยามนตรีเกลียดหน้ายมยามนี้ยิ่งนัก

     และสอง...เขาไม่ต้องการให้ยมลงไปพบเขม

     ดังนั้นคนที่จะไว้ใจได้มากที่สุด...ก็คงจะเป็นบรรดาญาติมิตรเคียงใกล้ และยังเป็นเรือนที่บางครั้งยมก็แวะเวียนมาค้างกับหนูขมเป็นประจำ

      “ยมล่ะครับ?"     

    ร้อยโทหนุ่มเดินมาถามหญิงชราที่นั่งตำหมากบนแคร่ไม้ไผ่ด้วยใจพะวง ที่ยามนี้เขาจำต้องเป็นฝ่ายทิ้งยมไปเสียเอง     

 “เล่นกับหนูขมจนหลับไปแล้วน่ะพ่อ จะให้ป้าเข้าไปตามไหมเล่า?” หญิงชราทำท่าจะลุกไปตาม แต่ก็ถูกคุณโดมห้ามไว้

     “ไม่ต้องครับป้า ผมเพียงแค่...จะขอฝากยมไว้กับป้าได้ไหมครับ?”

   เพราะไม่รู้ว่า...อีกนานแค่ไหนที่เขาจะได้กลับขึ้นเหนือมาอีกครั้ง

   ความจริงเขาจะพายมไปด้วยก็ได้ แต่เพราะความเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากจะเสียยมให้กับเขม ทำให้เขาเลือกที่จะทำเช่นนี้

     อย่างไรคุณเขมก็มีคู่หมั้น...ถึงจะพายมลงไปด้วย ยมก็คงจะเจ็บช้ำเสียเปล่าๆ

    “แล้วพ่อจะไปไหนกันรึ? นานไหม?”

   “ผมต้องลงไปพระนครด่วน อาจจะเจ็ดวัน หรือประมาณหนึ่งเดือนครับ”

   หรือหากชะตาไม่เข้าข้าง...

  ก็อาจจะนานโขกว่าพอควร

    “นานเช่นนั้นเจียวรึ?”

   “ครับ ก่อนไป ผมขอเข้าไปหายมครู่หนึ่งได้ไหม?”

   เมื่อเจ้าของเรือนพยักหน้าอนุญาต ร่างสูงก็รีบเดินเข้าไปแทบจะทันที ตอนนี้คนตัวเล็กกำลังนอนกอดเจ้าหนูขมไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น มือใหญ่เอื้อมไปลูบเส้นผมเจ้ายมแผ่วเบา

     ไม่อยากเสีย...คนตรงหน้าให้คนอื่น

     “รอฉันก่อนนะ แล้วฉันจะกลับมา”

    หากได้กลับมา...เขาจะไม่ยอมเสียยมไปจริงๆ และจะอยู่กับยมตลอดไปแม้ใจจะเจ็บ

    เจ็บที่ไม่เคยได้ความรักตอบ





   “อะไรนะ! นี่แม่ไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม!?”

   คุณเขลางค์แทบลมจับเมื่อได้ยินสิ่งที่ออกจากปากของบุตรชาย เพราะทันทีที่คุณเขมกลับมาจากรักษาตัว เรื่องถอนหมั้นก็เป็นเรื่องแรกที่ออกจากปากของคุณเขมทันที

   “ลูกจะไม่แต่งงานกับน้องจำปาขอรับคุณแม่ ลูกไม่เคยรักน้อง แต่งงานไปก็ทรมานด้วยกันเสียเปล่า”

   “แล้วฝ่ายน้องเขาจะคิดอย่างไรเล่า? คุณพระอรรถกรเป็นเพื่อนของคุณพ่อ พ่อเขมทำเช่นนี้ก็เท่ากับทำลายชื่อเสียงของคุณพ่อเช่นกันนะลูก!!”

  ร่างของมารดายืนหันหลังให้บุตรชาย คุณพระเองก็ได้แต่ถอดถอนใจอยู่ใกล้ๆ พลางส่งสายตาให้คุณเขมสารภาพความจริงบางอย่างกับคุณเขลางค์

     “แต่ลูกมีคนที่ลูกรักแล้วขอรับคุณแม่”

    คุณเขมตัดสินใจบอกความจริงไม่ผิดบัง ตั้งแต่ความทรงจำเกี่ยวกับยมกลับคืนมา ความเข้มแข็งที่เคยมีก่อนหน้าก็เหมือนจะได้คืนมาพร้อมๆกันอีกด้วย

     ยมเองก็จะได้พ้นข้อครหาว่าเป็นโจรลักขโมย

    “ใคร!?” ใบหน้าสวยงามแทบจะหันขวับมามองบุตรชาย “บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะพ่อเขม หากไม่ใช่แม่จำปา ลูกรักผู้ใดกันแน่?”

    “ลูก...รักยมขอรับคุณแม่” บอกความจริงไปในที่สุด ความจริงที่ควรบอกมานานถึงความสัมพันธ์ของเขากับยม ไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าคุณเขลางค์จะคิดอย่างไร

     “อะ...อะไรนะ?” คุณเขลางค์นิ่งอึ้งไปซักพักเพราะสิ่งที่ไม่เคยคิดกลับเกิดขึ้น “พ่อเขมไม่ได้หมายถึง...”

    “ยมไม่ได้ขโมยแหวนนพรัตน์ แต่แหวนวงนั้นลูกเป็นคนให้ยมเอง คุณแม่ขอรับ คุณแม่กำลังเข้าใจยมผิด”

    เพี๊ยะ!!

    “ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่” แววตาของคุณเขลางค์แปรเปลี่ยนเป็นโกรธจัดเมื่อได้รู้ความจริง แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดนางก็ยังเกลียดไอ้เด็กยม

     แล้วสิ่งที่คาดไม่ถึง สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิด...มันจะมาเกิดขึ้นที่ลูกชายของตน!!

    โกรธจนแทบอยากจะกรีดร้องออกมาให้ดังลั่น

     “ต่อไปนี้ ฉันไม่ใช่แม่ของแก”

    “คุณแม่ คุณแม่ขอรับ!”

    ร่างของคุณเขลางค์เดินหายเข้าไปในห้องพัก คุณเขมตามไปเคาะเรียกเท่าใดก็ไม่ยอมเปิดออกหรือปริคำพูดออกมาซักคำ

    “พ่อเขม แม่เขาคงโกรธและทำใจไม่ได้ ลุกขึ้นมาก่อนเถิด”

  คุณพระเรียกบุตรชาย คุณเขมจึงได้แต่ลุกขึ้นแต่ก็ยังหันไปมองที่ประตูเรือนด้วยความเสียใจที่คุณแม่ไม่ยอมรับฟัง เขายอมถูกตบหน้าอีกร้อยครั้งหากมารดารับฟังในสิ่งที่เขาเป็นบ้าง

    “ความรักระหว่างเพศเดียวกัน เป็นเรื่องที่ใครๆก็ยอมรับไม่ค่อยได้” ผู้เป็นบิดาได้แต่พูดปลอบ เพราะกว่าที่ท่านจะทำใจได้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร และยิ่งได้เห็นความมั่นคงของบุตรชายที่มีต่อยมแล้ว ก็ยากที่จะเอาเรือไปขวาง

     “ให้เวลาแม่เขาอีกหน่อยเถิด พ่อเชื่อว่าอย่างไรแม่เจ้าก็ต้องเข้าใจซักวัน”



    คุณเขมพาบิดามาเยี่ยมคุณดอมหลังจากถูกศาลพิพากษาคดีความร้ายแรง ความจริงแล้วโทษของคุณดอมนั้นร้ายแรงถึงขั้นถูกประหารชีวิต แต่ไม่มีใครได้ล่วงรู้เลยว่าพระยามนตรีนั้นได้ใช้เส้นสายขอลดโทษให้บุตรชายคนเล็ก โทษจึงลดเหลือเพียงจำคุกสิบห้าปี แต่เพราะผู้ต้องหาให้การสารภาพจึงลดโทษเหลือลงมาเพียงเจ็ดปีครึ่งเท่านั้น และยังต้องออกจากราชการที่ทำอยู่ ซึ่งนับว่าเป็นโทษที่เบาบางที่สุดสำหรับการฆ่าคนตายโดยเจตนาแล้ว

    “น่าเสียดายอนาคตพ่อดอมนะ” คุณพระเอ่ยกับคุณเขม “เพราะใจที่ริษยาเพียงเรื่องเล็กน้อย ทำให้ชีวิตต้องเป็นเช่นนี้ในที่สุด”

    คุณเขมพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้พูดอะไร เพราะตอนที่เข้าเยี่ยมนักโทษนั้นมีเพียงบิดาที่เข้าไปพร้อมกับพระยามนตรี ด้วยพอจะรับรู้ว่าคุณดอมเกลียดตนเพียงใด

      คำสารภาพที่กล่าวต่อหน้าศาล...คุณดอมจ้างวานคนมาลอบทำร้ายเพราะริษยาที่พระยามนตรีเคยลั่นวาจาจะฝากฝังคุณเขมให้เข้ารับราชการ แต่เพราะไม่มีอัฐอีกครึ่งมอบให้เป็นค่าจ้างเนื่องด้วยเสียทรัพย์ส่วนตัวจำนวนมากจากการแพ้พนันเพื่อนกวีด้วยกัน พวกนั้นจึงข่มขู่คุกคามจนคุณดอมระแวง จนในวันแต่งงานของคุณเขมสองโจรนั้นหมายจะมาเปิดโปงความจริง คุณดอมจึงเผลอลั่นไกปืนพกด้วยความกลัวจนโจรสองคนนั้นดับ

     จะโกรธก็โกรธอยู่หรอกที่ได้ทราบความจริงเช่นนี้...

    แต่ในเมื่อคนผิดได้รับโทษแล้ว ก็ถือว่าจบเรื่องกันไปเสียที

   “อ้อพ่อเขม...” คถุณพระขานเรียกอีกครั้ง “พ่อจะไปพูดธุระกับพระยามนตรีเสียหน่อย พ่อเขมไปรอพ่อที่รถก่อนก็ได้นะ เพิ่งทำงานเมื่อวานมาเหนื่อยๆ”

     “ขอรับคุณพ่อ”

   หลังจากแยกกัน ขณะที่คุณเขมกำลังเดินกลับมายังรถที่จอดนอกเรือนจำ ก็พบกับรถสีดำเมื่อมขับสวนเข้ามา ซึ่งชายหนุ่มพอจะจำได้ว่าเป็นรถของผู้ใด

    หากจำไม่ผิด...คุณเขมเคยพบเจ้าของรถคันนี้มาแล้วครั้งสองครั้งที่ศาล แล้วคนๆนั้นก็มาจะปรายตามองเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเช่นกัน

     “ดูเหมือนเขมจะอยากทักทายพี่นะครับ”

     ร่างสูงก้าวลงมาจากรถหลังจากจอดเทียบเสร็จ ชายสองคนต่างยืนประจันหน้าด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าใดนัก เขาทักทายคุณเขมด้วยน้ำเสียงยียวน แม้เวลาจะผ่านไป คุณโดมก็ยังจะพอจำคนที่ยมเฝ้ารอมาตลอดชีวิตได้ แม้หน้าตาผิวพรรณอาจผ่องขึ้นและร่างอาจจะสูงใหญ่กว่าตนเล็กน้อยต่างจากเมื่อห้าปีก่อนก็ตาม

       “อย่างนั้นหรือครับ? คุณโดม”

       “ไม่ต้องเรียกห่างเหินขนาดนั้นก็ได้นะ”

     คุณเขมหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาที่จ้องมองอย่างไม่เป็นมิตรระคนด้วยความยียวนคู่นั้น เหมือนเคยเห็นจากที่ไหนซักแห่งเมื่อนานมาแล้ว

      “มิได้ครับ ผมค่อนข้างถือ หากไม่ใช่คนสนิทก็จะเรียกละไว้ว่าคุณ”

   “หึ...” คุณโดมกระตุกมุมปากเหยียดๆ “ถึงว่าเล่า ยมถึงได้เรียกเขมว่าพี่ได้เต็มปากเต็มคำ”

  “อะไรนะ!?” ร่างสูงเข้าไปประชิดร้อยโทหนุ่มใกล้ๆ จำได้แล้ว...คนๆนี้ใช่ไหมที่เคยสนิทชิดใกล้กับยมก่อนจะเดินทางไปอังกฤษ “คุณจะบอกอะไรผม พูดมาเลยจะดีกว่า!”

    “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่...” ยังคงพูดติดยียวนเช่นเดิม มองบุตรชายของพระวินิตราชศักดิ์อย่างเกลียดชังแกมริษยาที่ได้เป็นเจ้าของหัวใจของยม

    “ก็แค่อยากจะบอกว่า นายน่ะเป็นอดีต แต่ตอนนี้ยมเป็นเมียฉันแล้ว”

    ดั่งฟ้าผ่าลงมากลางใจคุณเขม เสี้ยวหนึ่งแทบจะทำให้ทรุดลงกับที่ แต่สิ่งที่ออกมาจากคุณโดมนั้นชัดถ้อยชัดคำจนคุณเขมทนไม่ไหวชกใบหน้าคมของคุณโดมเข้าเต็มแรง

   พลั่ก!!!

   “คุณทำอะไรยม คุณทำอะไรเมียผม!!! แล้วคุณเอาเมียผมไปไว้ที่ไหน!?”

   คุณโดมถมเลือดทิ้งเพราะถูกชกเต็มเหนี่ยว เขาไม่ได้สวนกลับเพราะตั้งใจให้ทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้

   ในเมื่อยมไม่มีทางลืม...เขาก็ต้องให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด

   ยามเมื่อรักใคร ก็ต้องเห็นแก่ตัวกันทุกคน แม้ว่าทางนั้นจะเลวจะผิดมากแค่ไหนก็ตาม

   พลั่ก!!

   ร้อยโทหนุ่มต่อยสวนกลับไปบ้างจนร่างตรงหน้าล้มลง แต่ก็ยังตวัดขึ้นมองด้วยสายตาอาฆาตแค้นในคำพูดที่ได้ฟัง

   “ไม่เอาสิเขม อย่าเลือดร้อน...” คุณโดมยักคิ้วยียวน คุณเขมลุกจากพื้นขึ้นพรวดถลาเข้ามาดึงคอเสื้อหมายจะเตรียมชกอีกครั้งให้หายแค้น

  “คุณ!!”

  ต่างฝ่ายต่างกระชากคอเสื้ออย่างไม่มีใครยอมใคร เตรียมเงื้อหมัดขึ้นจะชกคนที่เกลียดกันอีกครั้ง คนที่เดินผ่านแถวนั้นหันมองแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามเพราะกลัวโดนลูกหลง

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะพ่อเขมพ่อโดม!” คุณพระวิ่งเข้ามาห้ามศึก ตามด้วยพระยามนตรีที่เดินเร็วตามมาติดๆ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดต้องลงไม้ลงมือกันอย่างนี้?”

    “ว่าอย่างไรพ่อโดม…ทำไมถึงมาทะเลาะกับพ่อเขมที่นี่!?” พระยามนตรีถามสมทบ ตามองบุตรคนโตเคืองไม่น้อย

    “มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยขอรับคุณพ่อ คุณอา” ร้อยโทหนุ่มเหลือบไปมองคุณเขมที่ได้แต่ตวัดมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจ “พอดีผมพูดไม่ถูกหูเขมเท่าใดนัก แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วขอรับ จริงไหมเขม?”

      “ขอรับ”

    แม้จะไม่พอใจและค้างคาในสิ่งที่คุณโดมพูดนัก แต่ก็จำต้องรักษามารยาทต่อหน้าพระยามนตรีไว้ แต่เขาสัญญากับตัวเองว่าจะต้องกลับมาเค้นความจริงจากคุณโดมให้ได้ว่ายมอยู่ที่ไหน

     “แล้วพ่อโดมเล่ามาทำอะไรที่นี่ ไหนว่ากลับไปพบหัวหน้าที่กรมตำรวจมิใช่รึ?” ท่านพระยาเอ่ยถามบุตรชาย

      “ผมเพียงจะมาเรียนคุณพ่อว่า ผมจะกลับเชียงใหม่เย็นนี้เสียเลยขอรับ แล้วผมจะลงมาหาเจ้าดอมเท่าที่จะมาได้”

       “แต่ฉันไม่อนุญาต!” พระยามนตรีเข้ามากระชากแขนบุตรชาย “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกจะกลับไปทำไม แต่ไม่ต้องห่วง แกจะไม่มีวันได้กลับไปอีก”

       “หมายความว่าอย่างไรขอรับคุณพ่อ?” 

       “ก็หมายความว่าถ้าแกก้าวออกจากพระนครเมื่อใด” พระยามนตรีกระซิบข้างหูบุตรชายอย่างเหี้ยมโหดไม่ให้คุณพระกับคุณเขมได้ยิน “เถ้ากระดูกของแม่แกที่ฉันเก็บไว้ แกจะไม่มีวันได้กลับเข้าไปหาอีก”

      “คุณพ่อ!!”

      เถ้ากระดูกของคุณอันนาที่ถูกเก็บไว้ในโกศใบเล็กถูกตั้งไว้กลางบ้าน เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คุณโดมยังคงกลับมาพระนครสม่ำเสมอเพื่อมากราบไหว้มารดาที่จากตนไปนานแล้ว เพราะไม่อาจนำไปด้วยได้เนื่องจากถูกพระยามนตรีสั่งห้ามเด็ดขาด

      “หากไม่อยากให้ฉันทำอะไรโกศแม่แก ก็กลับบ้านพร้อมฉันเดี๋ยวนี้!”

     พระยามนตรีหันไปลาคุณพระเป็นครั้งสุดท้ายและพาคุณโดมกลับทันที ทำให้คุณเขมไม่ได้สังเกตเลยว่าดวงตาที่ยียวนใส่เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด แต่สิ่งที่คุณเขมพอจับใจความได้นั้นคือคำพูดของพระยามนตรียามที่คุณโดมจะมาลากลับ

‘อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกจะกลับไปทำไม…’

    ดูมีลับลมคมใน...หรือว่ายมจะอยู่ที่นั่น!?

     “พ่อเขม...” คุณพระเอ่ยเรียกบุตรชาย “ปกติเจ้ามิใช่คนเลือดร้อน เรื่องเมื่อครู่ที่เจ้าวิวาทกับพ่อโดม พ่อไม่เชื่อหรอกนะว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย”

     “คุณพ่อ...”

     “เรื่องนั้นเกี่ยวกับเจ้ายมใช่ไหม?”

    “ขอรับ”

    คุณเขมเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้คุณพระฟัง ทำเอาผู้เป็นบิดาได้แต่อึ้งในเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น และเพิ่งได้รู้ว่าคุณโดมนั้น สนิทกับยมมานานเพียงใดแล้ว

    “ลูกจะไปตามหายมขอรับคุณพ่อ” คุณเขมขออนุญาตคุณพระ “ลูกขอไปตามหายมที่เชียงใหม่นะขอรับ เป็นไปได้ลูกจะเดินทางวันพรุ่งเสียเลย”

     “แต่เจ้าไม่เคยไปเชียงใหม่มาก่อนนะพ่อเขม” คุณพระปรามบุตรชาย “แล้วเจ้าแน่ใจได้อย่างไร ว่าพ่อโดมจะพายมไปไว้ที่นั่น”

      “ลูกจะเสี่ยงขอรับคุณพ่อ” คุณเขมสบตาคุณพระด้วยความมาดมั่น เขาพรากจากยมมานานมากแล้ว ไม่ว่าจะไกลสุดหล้าฟ้าเขียว เขาจะตามหัวใจของเขากลับคืนมาให้จงได้

        “ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ลูกก็จะพายมกลับมาให้จงได้ขอรับ”



  หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องราววุ่นวาย คุณเขมก็พาผู้เป็นบิดาขับรถยนต์กลับเรือน คุณพระวินิตราชศักดิ์เอามือก่ายหน้าผากคิดบางอย่างเรื่อยเปื่อย จะว่าไปหลังจากที่คุณพระยังไม่ให้คำตอบเรื่องที่คุณเขมจะไปตามยม อยู่ๆก็พลันคิดถึงเรื่องของคุณเขลางค์ขึ้นมาอีกครั้ง       

    ‘เหตุใดแม่เขลางค์ถึงจงเกลียดจงชังยมขนาดนั้น แม้จะรู้ว่ายมไม่ได้เป็นคนทำผิดก็ตาม’       

     เอี๊ยดดดด!!!

      “เกิดอะไรขึ้นพ่อเขม!?”

      “มีคนวิ่งตัดหน้ารถขอรับคุณพ่อ...” คุณเขมรีบเปิดประตูจะลงไปดูทันที “คุณพ่อรอประเดี๋ยวนะขอรับ”

       “เดี๋ยวพ่อเขม พ่อลงไปด้วย” คุณพระเปิดประตูรถตามลงมา

       ร่างที่ทรุดลงกับพื้นหน้ารถยนต์นั้นสกปรกมอมแมม มันกำลังชันเข่าร้องโอดโอยด้วยความเจ็บจากอุบัติเหตุเมื่อครู่

        “เจ้า เจ้าเป็นอะไรไหม?”

        ’ฮื้อ!”

        มันค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณี แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง

       “คุณพระ คุณเขม...” มันเรียกชื่อชายหนุ่มเสียงแหบแห้ง แล้วยังเหลือบไปมองชายวัยห้าสิบผู้เป็นอดีตนาย “ในที่สุดบ่าวก็ได้พบคุณเขม แล้วก็คุณพระด้วย หึๆๆ”

      “นี่เจ้า...”

       “คุณเขมจำไอ้เข้มไม่ได้รึขอรับ?” มันค่อยๆฝืนความเจ็บลุกยืน ให้คุณเขมมองมันใคร่ครวญ

       “ไอ้เข้มที่มันเคยรังแกยมจนคุณเขมสั่งลงโทษอย่างไรเล่าขอรับ”

     “ไอ้เข้ม! นี่เอ็งอย่างนั้นรึ?” คุณพระขมวดคิ้วถามฉงน “ไหนแม่เขลางค์ว่าเอ็งขโมยสมบัติพ่อเขมแล้วหนีไปอย่างไรเล่า แล้วทำไมถึง...”

       “หึๆ ฮ่าๆๆๆ” อดีตบ่าวในเรือนหัวร่อดังลั่น นึกสมเพชที่นายทั้งสองช่างไม่รู้อะไรเสียเลย

      แต่ก็ถึงเวลาที่ควรจะรู้ความจริงของนางหญิงแพศยาคนนั้นได้เสียที!

     “นี่คุณพระเชื่อคำพูดของนังผู้หญิงกาลีคนนั้นด้วยรึขอรับ จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้ความจริงอีก บ่าวล่ะสงสารเสียจริง โดยเฉพาะคุณพระนะขอรับ หึๆๆๆ”

       “ไอ้เข้ม!” คุณเขมทนไม่ไหวจนต้องขึ้นเสียงใส่ “อย่าเรียกคุณแม่แบบนั้นนะ คุณแม่ของฉันเป็นคนดีเพียบพร้อม อย่าได้เรียกคุณแม่เช่นนั้น

        “เฮ้อ!”

       ไอ้เข้มแสร้งถอนใจเหนื่อยหน่าย เงียบไปพักหนึ่งแล้วหยิบถุงใบเล็กสกปรกที่เหน็บติดตัวส่งให้กับคุณเขม เมื่อคุณเขมเปิดออกจึงพบอัฐในนั้นเป็นจำนวนค่อนข้างมาก

      “ไอ้ถุงอัฐถุงนั้นน่ะ...” น้ำเสียงเล่าเย้ยหยันถึงความรู้ไม่เท่าทันของทั้งสอง “มันคือถุงอัฐที่นังเขลางค์ติดสินบนบ่าวฆ่าไอ้ยม!”

      “อะ...อะไรนะ?” คุณเขมถามย้ำอีกครั้ง ส่ายหน้าไม่เชื่อ “เอ็งโกหก ยมยังไม่ตาย ยมแค่หายจากเรือนไปก็เท่านั้น เอ็งอย่าพูดอะไรพล่อยๆนะไอ้เข้ม!!!”

     “พ่อเขม ใจเย็นก่อนลูก” คุณพระต้องรีบปรามบุตรชายที่อารมณ์ร้อนเพราะเรื่องที่เกี่ยวกับยมหลายครั้งหลายครา “ไหนเอ็งเล่ามาซิไอ้เข้ม เอ็งต้องการจะมาบอกอะไรพวกข้ากันแน่!”

      “หึๆ” มันหัวเราะราวกับคนจิตไม่สมประกอบ “ถ้าเช่นนั้น ก่อนที่บ่าวจะเล่าเรื่องของไอ้ยม บ่าวขอเล่าความจริงให้คุณพระฟังก่อนนะขอรับ ว่าความจริงแล้วนั้น นังคุณเขลางค์อะไรนั่น...มันชอบเฆี่ยนตีบ่าวไพร่เด็กๆในเรือน อีกทั้งยังลอบนำนางทาสสาวๆมาเล่นเพื่อนบนเรือนเป็นประจำยามที่คุณพระต้องไปว่าราชการ!”

หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่25--(09/02/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 09-02-2018 07:01:45
 เรือนร้าว25
ตอน ผลกรรม   
   “คุณเขลางค์อย่าเจ้าค่ะบ่าวกลัวแล้ว”

     เสียงของนางทาสดังมาจากเรือนหลังเล็กที่ไอ้เข้มกำลังจะเดินผ่าน ด้วยความสงสัยว่าเป็นเสียงผู้ใดจึงแอบแง้มมองผ่านหน้าต่างไม่ให้คนข้างในเห็น แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบร่างของนางเดือนดิ้นขลุกขลักอยู่บนตักของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์

    “เอ็งอย่าร้องสิอีเดือน เดี๋ยวอ้ายอีด้านนอกมันจะได้ยิน!” คุณเขลางค์ก้มหอมแก้มเดือนชื่นใจ แสยะยิ้มจนนางทาสสาวตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “ขนาดป่วยตัวยังหอมขนาดนี้เจียวรึ ข้าชอบ”

    “ฮึก คุณเขลางค์...” สองมือไหว้ท่วมหัวลนลาน เนื้อตัวบวมช้ำไปทั้งตัวเป็นสาเหตุของพิษไข้ เธอไม่มีแรงจะขัดขืนผู้หญิงใจยักษ์คนนี้ได้เลย “บ่าวไม่สบายจริงๆเจ้าค่ะ ปล่อยเถอะเจ้าค่ะเดี๋ยวยมมันเข้ามาเห็นนะเจ้าคะ”

    “หึๆ ข้าก็ไม่ได้จะมาทำอะไรเอ็งหรอก” คุณเขลางค์วางขวดเล็กรูปทรงประหลาดลงข้างๆขันน้ำ “ก็แค่จะเอายาฝรั่งมาให้เอ็งกิน เอ็งจะได้หายเร็วๆ”

   “บ่าว บ่าวรับไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”

    “แต่เอ็งต้องกิน...” โน้มใบหน้าสวยคมเข้าไปใกล้เจ้านกน้อยในกรงแล้วกล่าวเสียงเหี้ยม “เอ็งจะได้หายมารับใช้ข้าเร็วๆ”

   “อื้อ!! ฮึก...”

    เดือนหลับตาปี๋เมื่อริมฝีปากของคุณเขลางค์บดเบียดลงมาอย่างรุนแรงเอาเป็นเอาตาย ได้แต่นิ่งงันตัวสั่นในความอัปยศอีกครั้งเพราะไม่อาจขัดขืนหรือทำอะไรได้เลย จะไปฟ้องร้องบอกใครก็คงไม่มีคนเชื่อ จึงจำต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไป

    “นี่คุณเขลางค์กับพี่เดือน เป็น...”

ไอ้เข้มค่อยๆถอยห่างออกมาเงียบๆแล้วพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา แอบยกมุมปากยิ้มขำเมื่อได้รู้ความจริงบางอย่างตามประสาวัยรุ่นคึกคะนอง

สนุกซะแล้ว...



     “ไม่จริง...” คุณพระส่ายหน้ารัว แทบจะทรงตัวไม่อยู่จนคุณเขมต้องคอยรับไว้ “เอ็งโกหกข้าใช่ไหมไอ้เข้ม?”

     “บ่าวไม่โกหกเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานหรอกขอรับ” ไอ้เข้มเดาะลิ้นบอก “นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่นังคุณหญิงมันจ้างให้บ่าวทำร้ายยมจน...มันต้องตาย”

      น้ำเสียงท้ายๆของมันเบาลงอย่างรู้สึกผิด ยิ่งเมื่อได้เห็นแววตาที่คุณเขมมองมาที่ตนอย่างเคียดแค้นระคนกับเสียใจ ถ้าหากมันย้อนเวลากลับไปได้ มันจะไม่ยอมร่วมมือกับคุณเขลางค์ทำร้ายยมเป็นอันขาด มันเล่าเรื่องที่ร่วมมือกับคุณเขลางค์จนยมถึงแก่ความตายในครั้งนั้นจนถึงตอนที่มันถูกอีเฟื้องทำร้ายและถีบตกลงไปในน้ำ แต่โชคดีที่แผลไม่ลึก มันจึงพอตะเกียกตะกายว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้ แม้จะตกระกำลำบากถึงขั้นต้องเร่ร่อนขอทาน แต่มันก็รอคอยวันที่จะได้ชำระแค้นกับคุณเขลางค์สักวันหนึ่ง

      “ตกลงเรื่องเป็นเช่นใดกันแน่? ยมยังมีชีวิต หรือว่าตายไปแล้ว”

      สับสนไปหมด...เขาควรจะเชื่ออย่างไหนกัน? แต่ถ้าหากยมตายไปแล้วจริงๆ เหตุใดความฝันที่ผ่านมาคุณเขมจึงยังฝันเห็นคนรักพร่ำเตือนคำสัญญาว่าให้มารับไปอยู่ด้วยกัน

       “ตอนนี้บ่าวคิดว่า...คุณพระรีบกลับเรือนไปเห็นความจริงเถิดนะขอรับ แล้วคุณพระกับคุณเขมอาจจะได้รับคำตอบที่ค้างคาอยู่ก็เป็นได้”

        มันแสยะยิ้มส่งท้ายก่อนจะวิ่งหายไปเร็วๆ เข้าข้างทางที่มืดมิดไม่เห็นตัว ราวกับคนผ่านมาแล้วผ่านไป คุณพระมองตามด้วยความอ่อนแรง ไม่ค่อยอยากจะเชื่อในสิ่งที่มันว่ากล่าวเท่าใดนัก

    เรื่องที่คุณหญิงเล่นเพื่อนกับทาสในเรือนนั้น...อาจยากที่จะเชื่อ

   แต่เรื่องที่คุณเขลางค์สั่งฆ่ายมแล้วปกปิด เรื่องนี้ค่อนข้างน่าคิด แต่ถ้าหากเป็นเรื่องจริงเล่า?

  “พ่อจะไปถามความจริงแม่เขลางค์!”

    ครั้นเมื่อคุณเขมจอดรถยนต์สีขาวเทียบหน้าเรือน คุณพระก็รีบลงจากรถตรงไปที่เรือนของคุณเขลางค์ทันที โดยไม่ทันสังเกตอีเฟื้องที่เพิ่งกลับจากบ่อนตรงกลับเรือนนายของมันเช่นเดียวกันยืนปิดปากลนลานเมื่อเห็นคุณพระกลับมาเร็วก่อนเวลา

    “ตาเถร! ต้องรีบไปเตือนคุณเขลางค์ อื้อ!!!”

    ใบหน้าท้วมถูกมือปริศนาขนาดใหญ่อุดไว้สุดแรง แม้อีเฟื้องจะดิ้นหนีขนาดไหนก็ไม่เป็นผลจนสลบลงที่ตรงนั้น ส่วนเจ้าของมือปริศนานั้นแสยะยิ้มสาแก่ใจแล้วมองไปยังทิศของเรือนคุณหญิงวินิตราชศักดิ์

    วันนี้จะเป็นวันที่นายของมึงชะตาขาด...อีแก่ใจชั่ว!!!

      คุณพระค่อยๆเดินขึ้นเรือนให้เบาที่สุดด้วยความปวดร้าวจากคำพูดทีได้รับฟังมาจากไอ้เข้ม แล้วเสียงของคนสองคนที่ดังลั่นเรือนนั้นยิ่งเป็นเหมือนมีดเล่มคมปักกลางใจ เสียงด้านในที่ชัดเจนเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี เสียงของนางทาสสาวที่ตนเห็นมาตั้งแต่อ่อน ครางเรียกชื่อภรรยาของตนกระเส่า       

  "อ๊ะ...อ๊าา คุณเขลางค์ อื้อ!!"       น้ำตาแห่งบุรุษเพศไหลรินอาบแก้ม ใจหนึ่งไม่อาจปักใจเชื่อว่าภรรยาของตนจะกล้าทำอะไรเช่นนี้ คุณพระฝืนผลักประตูเข้าไปด้วยใจที่สั่นคลอน...และใจสลายยามได้เห็นภาพตรงหน้า     

ภาพของเมียรัก กำลังจูบอยู่กับนางทาสสาวชื่อเดือน!!   

   “คุณพี่!!”   

 คุณเขลางค์คว้าเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เดือนได้แต่ร้องไห้เมื่อความจริงถูกเปิดโปงอย่างกะทันหัน คุณพระมองคนทั้งสองสลับกันด้วยใจสลาย   

  “ทำไม...แม่เขลางค์ทำกับฉันเช่นนี้?”     

น้ำเสียงสั่นถามด้วยความเสียใจในขณะที่ฝ่ายผิดได้แต่ทำสีหน้าพะอืดพะอม คุณพระรักคุณเขลางค์มากจนไม่ยอมมีบ้านเล็กบ้านน้อยเช่นเรือนอื่น แต่นี่หรือ...สิ่งที่ได้รับตอบ?   

 คนทรยศ... 

   “นานเท่าใดแล้วแล้ว?" คุณพระเอ่ยถามด้วยความปวดใจ "นานเท่าใดที่แม่เขลางค์ทรยศความรักของฉัน?"     คุณหญิงวินิตราชศักดิ์ช้อนตาขึ้นมองสามี แววตาที่ควรจะรู้สึกผิดคู่นั้นกลับกลายเป็นว่าโกรธเคืองเสียแทน 

   “น้องไม่เคยทรยศต่อคุณพี่ มีแต่คุณพี่และคุณพ่อที่ทำน้อง!”     

 “หมายความว่าอย่างไร?”     

สับสนไปเสียหมด...     เขาไปทรยศแม่เขลางค์ตั้งแต่เมื่อใดกัน     

“คุณพี่จำแม่กอบัวได้ไหมเล่าเจ้าคะ?”     

แม่กอบัวรึ?     

บุตรสาวคนเดียวของพระยาศรีมรรคา...ขุนนางผู้ภักดีอันเป็นที่ถูกกล่าวขานนับแต่แผ่นดินของพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อน หญิงสาวหน้าตาหวานเหมือนน้ำผึ้งเดือนห้า แววตาเศร้าแต่ก็น่าค้นหาคู่นั้น สมัยก่อนตัวติดกับคุณเขลางค์ตลอดเวลาก่อนที่จะแต่งงาน ในงานแต่งก็ยังได้พูดคุยสองสามคำก่อนที่จะไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย   

  “เกี่ยวอะไรกับแม่กอบัว?” คุณพระวินิตราชศักดิ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย เรื่องของเดือนยังไม่ทันคลายก็มีเรื่องอีกคนที่ไม่น่าเกี่ยวอะไรด้วยมาข้องโยง   

 “เพราะแม่กอบัว ที่ทำให้น้องต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้!” น้ำตาไหลอาบแก้มหญิงชั่ว ผู้เป็นสามีได้แต่ขมวดคิ้วฉงน ในใจตอนนี้รวดร้าวเกินกว่าจะรับไหว แต่ก็ต้องฝืนถามออกไปอีกครั้ง     

 “อย่างไรกันแน่!? เกี่ยวอะไรกับแม่กอบัว ฉันสับสนไปหมดแล้ว!”   

  “น้องกับแม่กอบัว เรารักกัน!” คุณเขลางค์พูดสวนขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว ร้องไห้ด้วยความเจ็บช้ำเมื่อนึกถึงความหลัง   

 “แต่เราถูกจับแยกจากกัน เพราะไอ้น้องชายทรยศมันฟ้องคุณพ่อ น้องถูกบังคับให้ต้องแต่งงานกับคุณพี่เพื่อกลบข่าวที่น้องไปมีความรักที่ผิดประเพณีกับบุตรีของพระยาศรีมรรคา!”     

  ข่าวลือสตรีสูงศักดิ์ทั้งสองเมื่อยี่สิบปีก่อนที่ว่ากันว่าหลบหนีการคลุมถุงชน บ้างก็ว่าเล่นเพื่อนกันจนกล้าทำผิดประเพณี คุณพระในตอนนั้นไม่ใคร่ปักใจเชื่อเพราะรักในตัวคุณเขลางค์มาก     

  ไม่คิดเลย...ว่าหญิงที่รักเดียวจะทำกับตนได้ถึงเพียงนี้     

 ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันจนมีพ่อเขมเป็นโซ่ทองคล้องใจ แม่เขลางค์ไม่เคยนึกรักตนแม้สักนิด แต่กลับมีใจปฏิพัทธ์ต่อหญิงด้วยกัน   

 “อย่าบอกนะว่าที่แม่เขลางค์นอนกับอีเดือน...เป็นเพราะ...”   

   “ใช่เจ้าค่ะคุณพี่" ร่างระหงเข้าไปโอบนางทาสที่ตัวสั่นด้วยความเจ็บช้ำพูดไม่ออก  “อีเดือนมันก็ที่แค่ระบาย แต่มันสวยและซื่อสัตย์กว่าคนอื่นหน่อย น้องก็เลยใช้งานนานกว่าคนอื่นๆ คุณพี่จำอีทองได้หรือไม่เล่า นั่นก็หนึ่งในที่ระบาย แต่มันกลับหนีไปกับผัว น้องจึงต้องคว้าอีเดือนมาแทนอย่างไรเจ้าคะ!!”   

 นางทาสได้แต่ร้องไห้เจ็บปวด บางครั้งที่ตนอยากป่วยตายจะได้พ้นทุกข์เหมือนอีทอง แต่ยาฝรั่งจากหญิงอำมหิตก็มักจะถูกส่งมาบังคับให้กินเพราะจะได้หายเพื่อมาบำเรอกามกิจ เป็นที่ทรมานกายและใจเกินทน   

 “ว่าอย่างไรเจ้าคะคุณพี่ มีอะไรจะถามอีกไหมเจ้าคะ?” คุณเขลางค์เหยียดยิ้มสามีอย่างที่ไม่เคยเป็น กายของคุณพระทรุดลงกับพื้น กุมแผ่นอกด้านซ้ายด้วยความเจ็บใจ     

“มีขอรับคุณแม่!”     

“พ่อเขม..."   

  ดวงตาของคุณเขมแดงก่ำ เสียใจที่ได้รับรู้ธาตุแท้ของมารดาบังเกิดเกล้า ใบหน้าคมคายมองคุณเขลางค์ด้วยความสงสัยที่ค้างคาเช่นเดียวกับบิดา   

 “ยมไปทำอะไรให้คุณแม่นักหนา ลูกรู้หมดแล้วว่าคุณแม่เป็นคนทำร้ายยมแล้วยังป้ายความผิด เดิมทีลูกอยากจะฆ่าคนที่ทำร้ายยมเหลือเกิน แต่ก็ไม่เคยคิด ว่าคนๆนั้นจะเป็นแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง!” 

   แววตาแรกที่คุณเขลางค์เหลือบมองบุตรชายนั้นสั่นระริกเมื่อเห็นความเจ็บปวดในแววตาของคุณเขม แต่แล้วก็กลับกลายเป็นเสียงสะอื้น      เสียงสะอื้นที่แยกไม่ออกว่าร้องไห้ หรือหัวเราะสาแก่ใจกันแน่

    “ก็มันอยากหน้าเหมือนไอ้ราชฟ้าทำไมกัน!”     

    คุณเขมขมวดคิ้วฉงนเมื่อได้ฟังคำตอบ ในขณะที่คุณพระค่อยๆระลึกเมื่อยี่สิบปีก่อน   

  เจ้าราชฟ้า...น้องชายต่างมารดาของคุณเขลางค์ จะว่าไปแล้วก็มีหน้าตาหวานละม้ายคล้ายยม ที่ไม่เหมือนจุดเดียวก็เห็นจะเป็นดวงตาของยมที่กลมโตและสะดุดตากว่า แต่รู้สึกว่าจะเสียชีวิตเพราะโรคประหลาดก่อนที่คุณเขมจะเกิดเสียอีก     

   “ยิ่งเห็นหน้าไอ้ยม มันเหมือนกับว่ามีไอ้ราชฟ้าตามมาหลอกหลอนตลอดเวลา ทั้งๆที่มันตายไปแล้ว ข้าเกลียดมันเพราะมันคนเดียวที่ทำให้ความรักของข้าพังทลายลง!! ข้าก็เลยฆ่ามันไงล่ะ ก่อนตายข้ายังทำให้หน้าของมันไม่ต่างจากผีด้วย สนุกจะตาย ฮ่าๆๆๆ!!!”

   คุณเขมร้องไห้หนักขึ้นเมื่อได้รู้ว่านอกจากคุณเขลางค์จะเป็นคนที่วางแผนฆ่าหัวใจของตนอย่างเยือกเย็นไร้สำนึก ยังได้รู้ความจริงบางอย่างอีกว่า...

     จิตใจมารดาที่เขารักมากที่สุด...ทั้งโหดเหี้ยมอำมหิต เหมือนไม่ใช่มนุษย์เดินดินปกติอีกต่อไปแล้ว

    ผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่แม่ที่รักเขา ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนโยนที่คอยกอดจูบรับขวัญหลังจากที่ตนกลับจากโรงเรียน ไม่ใช่ผู้หญิงที่คอยพะวงและห่วงยามที่คุณเขมเจ็บไข้ได้ป่วยแม้เพียงเล็กน้อย

    และที่สำคัญ...

     ยมถูกคุณแม่ฆ่าตายแล้วจริงๆน่ะหรือ?...ถูกฆ่าเพียงเพราะความแค้นส่วนตัว จนต้องมาทำลายชีวิตของคนที่ไม่รู้ความอะไรด้วย

       แม้จะเจ็บปวดกับเรื่องที่ตั้งรับไม่ทันและเกินจะรับไหว แต่ก็ต้องเข้ามาประคองร่างของบิดาที่เจ็บช้ำไม่แพ้กันให้ค่อยลุกยืน ก่อนหันไปพูกกับนางทาสสาวที่ยังคงตัวนิ่งงันด้วยความกลัวรอบด้าน 

    “พี่เดือน รีบใส่เสื้อแล้วออกไปก่อนเถิดนะ”     

  “เจ้าค่ะ”     

เดือนคว้าเสื้อผ้าใกล้ๆมาสวมใส่ลวกๆแล้วรีบวิ่งปาดน้ำตาออกจากห้องโดยไม่เหลียวหลังกลับมา คุณเขมหันมามองมารดาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะประคองบิดาออกไป   

   ประตูหลังนั้นถูกปิดลง คุณเขลางค์ปล่อยตัวพิงลงบนกำแพงห้อง น้ำตาไหลที่ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย อีกไม่นานอีเดือนก็คงจะไปจากตน คุณพระไม่เหลือความเชื่อใจ หรือแม้แต่ลูกที่รักเหมือนดวงใจก็ไม่คิดเคารพ   

   “ฮือ!!เพราะพวกมึงทีเดียว อีเดือน ไอ้ยม ทั้งลูกทั้งผัวถึงได้เกลียดกู!!”

   จู่ๆไฟจากแสงไต้ก็พลับดับไม่มีสาเหตุ ร่างระหงที่นั่งกอดเข่ากลอกตามองไปรอบๆ ก่อนจะกรีดร้องเมื่อเห็นภาพหลอนตรงหน้า     

 “กรี๊ดดดดดด!!!!”   

  ภาพของอีทอง...อดีตนางทาสที่เคยบำเรอกามให้ตน หน้าของมันเต็มไปด้วยเลือดและแผลพุพองหน้าสยดสยอง   

  “มึงไม่ต้องไปโทษใครหรอกอีเขลางค์!!” ร่างนั้นชี้นิ้วมาทางคุณเขลางค์ที่ตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว จนร่างระหงต้องยกมือท่วมหัววิงวอนขอชีวิต 

   “อะ อีทอง อย่าทำอะไรข้าเลยข้ากลัวแล้ว กรี๊ดดดด!!”   

 นางหลับตาปี๋เมื่อผีอีทองยื่นมือมาบีบคอเต็มแรง อดีตทาสเรือนคุณพระวินิตราชศักดิ์มองคุณเขลางค์ด้วยใจที่อาฆาตแค้น     

 “มึงบังคับให้กูบำเรอทั้งที่ไม่เต็มใจ พอผัวกูจะพากูหนีไปจากมึงมึงก็ส่งอีเฟื้องไปฆ่ากูตายกลางทาง อีกทั้งยังทิ้งศพกูไว้ให้แร้งกาจิกทึ้ง วิญญาณของกูไม่ได้ไปผุดไปเกิด ก็เพราะมึง!!!”   

   “อึ่ก...ขะ...ข้าขอโทษ ปะ...ปล่อย...” 

   “แล้วมึงยังมีหน้าไปทำร้ายคนอื่น วิญญาณกูไม่ได้ไปผุดไปเกิดก็ไม่เป็นไร แต่กูต้องทวงความยุติธรรมให้ทุกคนที่ถูกมึงทำร้าย แล้วกูก็รอวันที่มึงไม่เหลือใคร เพื่อจะได้ซ้ำเติมมึง ฮ่าๆๆๆ!!”     

“ฮึก...ฮือ...” เพราะถูกบีบคอทำให้พูดออกมาลำบาก ภาพลวงตาผีอีทองแสยะยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อนเอ่ยบางอย่างออกมา   

  “น่าเสียดายที่กูเป็นเพียงแต่ภาพที่มึงเห็น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน มึงทำสิ่งใดกับใครไว้ กูจะให้มึงเห็นอีกครั้ง หึๆๆๆๆ”   

  ภาพของอีทองหายไปทันทีที่กล่าวจบ แต่แล้วภาพในอดีตที่ตนทำร้ายก็กลับย้อนเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง     ภาพที่ตนทำร้ายบ่าวทาสในเรือนอย่างโหดร้ายทารุณ

ภาพที่ตนฆ่าคนบริสุทธิ์มากมายรวมถึงยมที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพราะเพียงแค่มีหน้าตาเหมือนน้องชายที่ชิงชังเพียงเท่านั้น     

 “คุณเขลางค์ทำยมทำไมขอรับ...” ภาพที่ยมมีใบหน้าเหวอะหวะผุดขึ้นมาทำให้คุณเขลางค์กรีดร้องด้วยความกลัว         

  “ท่านพี่เขลางค์ฆ่าราชฟ้าทำไม...”   

  “ทำร้ายบ่าว ฆ่าบ่าวทำไม?”   

 “กรี๊ดดดดดดดด!!!!!! ฮือ อย่า! อย่าเข้ามา!!!!”     

“คุณเขลางค์ คุณเขลางค์เจ้าคะ!!”    อีเฟื้องเปิดประตูเรือนพรวดเข้ามาประคองนายของมันที่นั่งชันเช่ากุมศีรษะกรีดร้องราวคนเสียสติ กว่าจะรู้ว่าคุณพระมาเห็นความจริงทั้งหมด ตนก็เพิ่งฟื้นหลังจากถูกใครบางคนทำร้ายจนสลบเหมือด

    “ไป!!! ไปให้พ้น ไปให้พ้นนะ!!”

     ร่างท้วมนั้นก็ถูกผลักออกอย่างแรงพร้อมเสียงตวาดขับไล่ มันอยากจะเข้าไปดูอาการนายของมันอีกครั้งแต่ก็กลัวถูกผลักออกมาเต็มแรงเหมือนเมื่อครู่อีก ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนใดบันดาลให้คุณเขลางค์เห็นภาพหลอนจนคลุ้มคลั่งได้ถึงปานนี้

      “ใครก็ได้ ใครก็ได้ช่วยคุณเขลางค์ของข้าที!!”

      ดังคำขอความช่วยเหลือนั้นสลายไปกับอากาศ เพราะแทบทั้งคืนนั้น...คุณเขลางค์ต้องจมอยู่กับภาพหลอนอันเลวร้าย จิตและสติเฮือกสุกท้ายที่มีค่อยๆหลุดลอยและไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย



  หลังจากส่งบิดากลับไปพักผ่อนที่เรือนใหญ่แล้ว คุณเขมก็เดินโซเซกลับมาที่เรือนของตน ร่างสูงปล่อยตัวคุกเข่าต่อหน้าต้นมะลิลาที่ส่งกลิ่นหอม ยิ่งทำให้คุณเขมปล่อยโฮออกมาอย่างมาอายผู้ใดอีกต่อไป

       “ยม พี่ขอโทษ พี่มันโง่เองที่ปล่อยให้ยมอยู่กับอันตรายมาตลอด พี่ขอโทษ!!!”

      แม้จะยังไม่แน่ใจว่ายมยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ร่างสูงกลับกอดต้นมะลินั้นแนบแน่น ยามนี้ในใจเอาแต่พร่ำโทษตัวเองที่เชื่อว่ายมรอตนอยู่ในที่ปลอดภัยมาตลอด และยิ่งได้รู้ว่าคนที่ทำร้ายยมมาตลอด...กลับเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของตัวเอง

       เจ็บปวดเหลือเกิน...เจ็บจนไม่รู้จะพูดระบายสิ่งใดออกมา ในใจมีเพียงคำว่าขอโทษ และสัญญาว่าหากยมยังมีชีวิตอยู่...คุณเขมจะไม่พายมกลับมาที่นี่อีก

        แต่ถ้ายมตายไปแล้วจริงๆ...

        คุณเขมก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกัน

     “คุณเขมขอรับ” เพลิงรีบเข้ามาดูอาการของผู้เป็นนาย “บ่าวทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แล้ว คุณเขมเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

     “ไอ้เพลิง ข้าว่าพาคุณเขมกลับขึ้นเรือนก่อนเถอะ” มั่นตามมาสมทบ เพลิงพยักหน้าเห็นด้วยจึงพยายามจะเข้าประคองคุณเขม แต่ร่างสูงนั้นกลับยังไม่ยอมปล่อยอ้อมแขนจากต้นมะลิลาต้นเล็ก แม้จะถูกแมลงเหลือบไรกัดต่อยก็หาได้สนใจไม่

       “เพลิง มั่น ยมตายแล้วจริงๆหรือ? คุณแม่ฆ่ายมตายไปแล้วจริงๆใช่ไหม?”

       “ยมยังไม่ตายขอรับคุณเขม...” เพลิงตอบไปตามตรง เพราะไม่อาจทนเห็นสภาพน่าเวทนาของนายได้อีกต่อไป บ่าวทั้งสองมองนายของมันด้วยแววตาที่สงสารจับใจ

        “ก่อนที่ยมจะถูกฝัง บ่าวไปช่วยมันไว้ได้ทันขอรับ”

       คำพูดนั้นทำให้คุณเขมเบิกตาด้วยความยินดี ถลาเข้ามาจับไหล่กว้างของมั่นแล้วไต่ถามอย่างยินดีนัก “แล้วตอนนี้ยมอยู่มี่ไหนกันแน่? อย่าบอกนะว่าอยู่กับคุณโดมบุตรของพระยามนตรี!”

      “ทีแรกนั้น...บ่าวได้ฝากให้ยมอยู่กับญาติของไอ้มั่น” เพลิงเป็นฝ่ายตอบ เพราะไม่อยากให้คนรักพูดถึงญาติที่ตายไปแล้ว

       “แต่ลุงของมันถูกโจรปล้นทรัพย์แล้วฆ่าตาย นับตั้งแต่วันนั้น บ่าวก็ไม่ได้เจอยมอีกแล้วขอรับ ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ถ้าหากคุณเขมเชื่อว่ายมมันอยู่อยู่กับคุณโดมจริง บ่าวก็โล่งใจที่อย่างน้อยมันยังปลอดภัย”

       ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่คุณโดมอะไรนั่นกล่าวมา...ก็ไม่ได้โกหกแต่อย่างใดน่ะสิ

      ขอแค่ยมยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นเหมืนกับน้ำทิพย์รดชโลมใจคุณเขมแล้ว ไม่ว่าตอนนั้นต่อให้ยมผลักไสหรือจะยังรัก รู้เพียงว่าตอนนี้จะต้องไปตามหาหัวใจของเขาอีกดวงให้พบ หรือไม่ว่ายมจะเป็นของคุณโดมอะไรนั่น คุณเขมก็จะไม่สนใจอดีตที่เจ็บปวดทั้งนั้น

      รอพี่ก่อนนะยม พี่กำลังจะไปหาเจ้าแล้ว



**ตอนหน้าคุณเขมจะได้พบน้องแล้วค่ะ เขีัยนให้พบสักทีเหอะ เพราะถ้าไม่รวมเรื่องความฝันอิคุณเขมไม่ได้เจอน้องมาหลายตอนละนะ55555
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่26--(11/02/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 11-02-2018 18:57:36
เรือนร้าว26
ตอน ใจสองดวง...ที่กลับมาพบ

 การเดินทางที่ยาวนานมาเชียงใหม่ค่อนข้างยาวนานด้วยไม่เคยเดินทางมาก่อน แต่คุณเขมก็อาศัยถามทางมาเรื่อยๆและสอบถามเส้นทางการเดินทางจากเพื่อนร่วมงานมาบ้าง เมื่อมาถึงเชียงใหม่จึงจบลงด้วยเช่าบ้านหลังเล็กเพื่อใช้เป็นที่พำนักระหว่างออกตามหาคนรัก ส่วนตัวคุณพระเองนั้นไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใดแล้ว เพราะ...

    “พ่อไม่อยากทำร้ายพ่อเขมเหมือนที่ทำร้ายแม่ของเจ้า ไปเถิด...ไปตามหาหัวใจของเจ้าให้พบ ไม่ต้องห่วงทางนี้”

      ห่วงทางนี้ที่ว่านั่นคือ...คุณหญิงวินิตราชศักดิ์ที่เงียบซึมเซาไม่ยอมออกมาจากเรือนนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ครั้นคุณพระจะส่งตัวให้ทางการนั้นก็เป็นเหมือนเป็นการซ้ำเติม จึงได้แต่ให้บ่าวทาสในเรือนคอยดูแลไม่ให้คุณเขลางค์ก้าวออกจากเรือนเป็นอันขาด   

  “เฮ้อ...” คุณเขมเอนกายลงนอนสักพักด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง เขาหยิบแหวนที่ได้คืนมาขึ้นมอง เพชรเม็ดงามสลักเด่นเคียงชื่อคนรักแวววับทำให้น้ำตาของคุณเขมไหลออกมาอีกครั้ง 

   “พี่กำลังทำตามสัญญาของเราแล้ว พี่มารับแล้ว รอพี่ก่อนนะยม”



     “พี่ยมจ๋า!!”

     เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าเด็กน้อยเรียกยมพี่ชายที่แสนดี ร่างป้อมๆนั้นถลากอดรัดพี่ยมที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้รอบสวนอย่างเพลิดเพลิน สีหน้าของยมที่เคยซีดเซียวนั้นดีขึ้นเล็กน้อย หากขอบตายังคล้ำเพราะคิดถึงคนที่อยู่ในใจอยู่ดี

     “หนูขม! ออกจากบ้านมาคนเดียวได้ยังไงกันหื้ม?” เมื่อมองซ้ายขวาไม่เห็นพี่หมึกพี่จันทร์ที่จะต้องเดินมาส่งหนูขมเป็นประจำ ยมก็แอบดุเด็กน้อยไปนิดหน่อยเพราะนับวันหนูขมยิ่งกล้าทำอะไรแสบๆมากขึ้นทุกที เช่นออกจากบ้านคนเดียวโดยไม่ได้บอกใครแม้จะไม่ได้ไกลก็ตามที

      “หนูขมบอกย่าแล้วจ้ะ ว่าจะออกมาหาพี่ยม” เจ้าหนูขมยิ้มแฉ่ง ทำท่าจะจูงมือพี่ชายออกไป “ย่าก็เลยให้หนูมาชวนพี่ยมไปกินข้าวด้วย”

      “ก็แล้วไป...” ยมลูบศีรษะเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู จึงปิดประตูลงกลอนทั้งในและนอกเพื่อป้องกันโจรขึ้นบ้านแล้วจูงมือหนูขมเดินออกไปพร้อมกัน ยมจะลงกลอนเป็นประจำยามที่ต้องออกไปข้างนอกตัวบ้าน

       โดยไม่รู้เลยว่า...นั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ยมได้มองเรือนปั้นหยาหลังนี้

     บรรยากาศเรือนหลังเล็กของป้าแจ่วแม้จะคับแคบ แต่กลับร่มรื่นด้วยพฤษชาติมากมายหลายพันธุ์ ยมบิข้าวเหนียวทานเคียงกับน้ำพริกหนุ่มอันเป็นอาหารหลักของคนภาคเหนือ ความสุขเล็กๆน้อยๆที่ได้รับนี้ทำให้เด็กหนุ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้นมาบ้าง

     “ย่าจ๋า...” หนูขมกลืนหมูทอดดังอึ๊ก ก่อนจะกอดแขนคนเป็นย่าออดอ้อน “หนูขมอยากไปเที่ยวงานวัดที่ตลาด ย่าพาหนูไปหน่อยน้าๆๆ”

      “เอาอีกแล้ว ไปฟังเจ้าบึกมันโม้มาอีกแล้วใช่ไหมหนูขม?” ป้าแจ่วส่ายหน้า ข้างๆบ้านนี้มักลูกอายุโตกว่าหนูขมสักสองสามปีมักจะไปเที่ยวที่นู่นที่นี่แล้วกลับมาเล่าให้หนูขมฟังเป็นประจำ จนหลานของตนนั้นเกิดอยากรู้อยากเห็น และอยากจะไปเที่ยวตามที่เขาเล่ากันบ้าง

    ก็อยากจะตามใจหลานเหมือนอย่างเคยอยู่หรอก

    แต่ยิ่งอายุมาก สังขารก็ไม่ค่อยจะดี เริ่มเจ็บออดๆแอดๆตามประสาคนวัยชรา

   “ยมพาหนูขมไปก็ได้จ้ะป้า เคยไปหลายครั้งอยู่เหมือนกัน พอจะจำเส้นทางได้”

     ที่แห่งนี้...ใกล้สุดจะมีวัดวาอารามตั้งติดกับตลาดยามเย็น จึงมักใช้เป็นสถานที่จัดงานวัดประจำปีอีกด้วย เห็นว่าช่วงนี้เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเขาพูดกันว่าละครเร่ที่นำมาแสดงนั้นสนุกน่าประทับใจ ไหนจะอาหารคาวหวานและของสวยงามอีกต่างหาก ยมจำเส้นทางได้เพราะคุณโดมเคยพาไปซื้อของทำกับข้าวที่นั่นเป็นประจำ

     นึกถึงชื่อนั้นขึ้นมา...แล้วรู้สึกแปลกๆอย่างไรชอบกล แม้จะระลึกเสมอว่าคุณโดมคือผู้มีพระคุณ แต่เหตุการณ์ตอนนั้นก็ยังคงตามหลอกหลอนยมไม่เลิกรา

       “เย่! พี่ยมใจดีที่สุดเล้ย!!” คราวนี้หนูขมเข้ามากอดพี่ชายใจดีแล้วถูหน้าป้อมๆออดอ้อนแทน ทำเอาย่าแจ่วหมดความหมายไปเลยทีเดียว เสียงแจ้วที่คอยอ้อนนั้นทำให้ยมอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วไม่ได้นึกถึงคุณโดมอีก



   ตลาดยามเย็นแห่งนี้ที่ปกติก็ว่าครึกครื้น ยิ่งจัดงานทำบุญประจำปีแล้วยิ่งมากด้วยผู้คนที่พากันเดินพลุ่งพล่านเป็นเท่าตัว ยมเดินจูงมือหนูขมเดินมาเรื่อยๆ มองสินค้าตามทางที่เต็มไปด้วยอาหารคาวหวาน บางครั้งก็เจอเสื้อผ้าแพรพรรณสวยๆงามๆ แต่ก็ยังไม่ได้ซื้ออะไร จนกระทั่ง...

      “ขนมน่ากินจังเลยจ้ะพี่ยม”

     หนูขมชี้ไปยังร้านที่วางขนมข้าวแต๋นวางเรียงรายดูน่ารับทาน ใกล้ๆยังมีขนมอื่นไม่ว่าจะเป็นขนมกล้วย ขนมแตงไทย หรือขนมมันสำปะหลังที่สามารถทำให้เด็กๆถึงกับน้ำลายหกได้ ยมมองถุงอัฐใบเล็กที่ป้าแจ่วให้ยมพกติดตัวเพราะรู้ดีว่างานวัดที่มากด้วยของกินมากมายเช่นนี้ หนูขมจะต้องร้องกกินขนมอย่างแน่นอน

        “อ่า...งั้นหนูขมรอพี่ตรงนี้ก่อนนะ ห้ามไปไหนเข้าใจไหม?”

       “จ้ะ!”

   เด็กน้อยรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ยมจึงเดินไปยังร้านขนมร้านที่หนูขมอยากกิน ผู้คนต่างมองใบหน้าที่มีแผลเหวอะของยมด้วยสีหน้าต่างกันออกไป บางคนก็มองด้วยความสงสารเวทนา บ้างก็มองด้วยความหวาดกลัว หรือบ้างก็มองด้วยความสมเพชระคนกับความแขยง แต่เด็กหนุ่มกลับชินกับสายตาเหล่านั้นเสียแล้ว

        “หนูขม...รอพี่นานไหม?”

        เมื่อกลับมาตรงที่เดิมที่ควรมีเด็กน้อยยืนรออยู่ ยมกลับพบแต่เหล่าผู้คนที่ยืนปะปนเดินผ่านกันไปมาจนลานตา แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของหนูขม  จึงเป็นไปได้ว่าหนูขมอาจถูกเบียดจนพลัดหลงไปที่อื่นเสียแล้ว

       “หนูขม!”



     “อ่า ขอบคุณมากครับ”

        คุณเขมโค้งตัวขอบคุณชายชราที่ให้คำแนะนำเมื่อครู่ เพราะขณะที่กำลังขับรถเที่ยวตามหายมนั้นก็รถเกิดมาน้ำมันหมดเสียกะทันหัน อาศัยถามชาวบ้านแถวนี้จึงได้รู้ว่ามีร้านขายน้ำมันเติมอยู่ท้ายตลาดที่กำลังจัดงานวัดรื่นเริง ซึ่งถ้าไม่ฝ่าฝูงชนไปเดี๋ยวนี้ก็ต้องรองานจะจบวันพรุ่งแทน ซึ่งคุณเขมไม่อาจรอนานกว่านั้นได้

     “ฮือ!!”

     หลังจากที่ต้องฝ่าคนจำนวนมากเข้าไปซื้อน้ำมันมาคอยเติมแล้วจะกลับไปที่รถยนต์ คุณเขมก็เจอกับเด็กน้อยน่ารักคนหนึ่งกำลังยืนร้องไห้น่าสงสาร ไม่มีใครเข้ามาช่วยซักคน นี่คงจะพลัดหลงกับพ่อแม่ระหว่างมาเที่ยวงานวัดกระมัง ถ้าหากไม่ช่วยตอนนี้...เด็กคนนี้อาจถูกคนใจร้ายหลอกไปขายก็ได้

      “หนู หนูหลงทางรึ?” ร่างสูงนั่งยองใกล้ๆ เจ้าเด็กน้อยหยุดร้องไห้มองชายแปลกหน้าอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก ซึ่งคุณเขมเองก็พอจะดูออก

      “น้าไม่ได้มาหลอกอะไรหนูหรอกนะ พอดีน้าเห็นหนูร้องไห้ หนูหลงทางกับพ่อแม่ใช่ไหม?” คุณเขมถามน้ำเสียงนุ่มนวลเพื่อให้เด็กน้อยไว้ใจ หนูน้อยพยักหน้าเป็นคำตอบ

      “หนูหลงกับพี่ชายของหนูจ้ะ หนูให้พี่ไปซื้อขนมให้ ฮึก รู้ตัวอีกทีก็ถูกเบียดก็มาจนหลงกับพี่จ้ะน้า ฮึก ฮือ!!” เด็กน้อยเล่าพลางสะอื้นไห้ คุณเขมเอื้อมมือใหญ่เช็ดน้ำตาให้เบาๆ ความอบอุ่นจากฝ่ามือนั้นแผ่ซ่าน รอยยิ้มนั้นคลี่บางๆอ่อนโยน จนหนูน้อยเริ่มไว้ใจคนตรงหน้า

       “ไม่ต้องร้องแล้วนะ น้าจะพาไปหาพี่ชายของหนูเอง จับมือน้าไว้นะ”

       คนตัวโตลุกขึ้นแล้วยื่นมือส่งให้เด็กน้อย ดวงตาแป๋วที่แดงก่ำจากการร้องไห้จ้องมองคุณน้าแสนดี ก่อนจะยื่นมือส่งให้อย่างไว้ใจ

       หนูขมชอบน้าคนนี้จัง...

     คุณเขมพาเด็กน้อยเดินตามหาพี่ชายมาเรื่อยๆ จนมาหลงพบกับคณะละครเร่ ดูก็รู้เลยว่าชาวบ้านส่วนมากไม่ค่อยชอบด้วยรู้ตอนจบของเรื่องราวดี ดูจากตัวละครที่แสดงเป็นเงาะซาไกชายหญิงคู่หนึ่งผ่านบทละครนิพนธ์อันงดงาม กล่าวถึงความรู้สึกของซมพลาที่รักลำหับอย่างสุดหัวใจ

        เพราะฉะนี้พี่จึงกล้าว่าเต็มปาก    จะขอฝากรักน้องอย่าหมองหมาง

เจ้าจงใคร่ครวญคิดอย่าจิตจาง            พี่ขอวางชีพไว้ในกัลยา

        บทกลอนนี้...เป็นบทเดียวกับที่เขามอบให้ยมก่อนจาก

        คุณเขมชำเลืองมองนางลำหับเขินอายยามที่ได้ฟังความรู้สึกของซมพลาเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินต่อเพื่อพาเด็กน้อยไปส่งให้พี่ชาย เป็นเวลาเดียวกับที่บทกลอนความรู้สึกของลำหับได้แถลงขึ้น

      คิดถึงบุญคุณมีช่วยชีวิต       จะจงจิตรักเจ้าไม่จางหาย

เป็นสัจจากว่าชีวิตจะวอดวาย    ข้าบรรยายตอบเสร็จจงเมตตา

    พลัน...หลังจากคำตอบของนางลำหับจบลง จู่ๆเด็กน้อยก็ปล่อยมือจากคุณเขมวิ่งไปหาใครซักคนอย่างยินดี สงสัยจะเจอพี่ชายของเขาแล้วกระมัง

   “พี่ยมจ๋า!!”

    เด็กน้อยวิ่งเข้าไปกอดรัดพี่ชายด้วยความดีใจ ร่างนั้นกอดเด็กน้อยตอบแล้วพูดบอกเป็นห่วงเด็กน้อยและขอโทษซ้ำๆที่ดูแลไม่ดี สักพักเมื่อคนๆนั้นเงยหน้าขึ้นสบตาคุณเขมที่เดินตามเด็กน้อยมา แววตาสองดวงสบประสานกัน แววตาคู่นั้น...

     ไม่ผิดแน่!

    “ยม!”

   คุณเขมไม่ได้ฝันไป คนที่เฝ้าติดตามหามาตลอดกลับมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว น้ำตาแห่งความปรีดาไหลอาบแก้ม หัวใจเต้นรัวคล้ายเสียงกลองเหมือนยามที่บอกรักยมครั้งแรก คนตรงหน้าเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน

    คิดถึง...

     “พี่เขม...”   

     ยมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?   

   น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงตาน้อยสั่นระริกด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย   

  ทั้งน้อยใจ...เสียใจ...โกรธ...ผิดหวังมากเหลือเกินที่คนตรงหน้าทำผิดสัญญาที่ให้ต่อกัน แต่ความยินดีนั้นก็มีมาก ที่การรอคอยของตนไม่สูญเปล่าอีกต่อไปแล้ว!

     “ฮึก!! พี่เขม”

     “ยม!”

     สองร่างสองหัวใจวิ่งเข้าหากัน ร่างสูงกอดคนตัวเล็กแนบแน่นไม่เหลือช่องว่าง อ้อมแขนแกร่งลูบแผ่นหลังปลอบโยนเจ้ายมตัวน้อยที่สะอื้นตัวโยน  ต่างฝ่ายต่างร้องไห้อย่างหนักจนพูดไม่ออก ถ้อยที่อยากพร่ำบอกจุกอยู่ในลำคอด้วยยินดีเกินที่จะกล่าวในยามนี้ คนตัวน้อยเองที่ความยินดีและคิดถึงมีมากกว่า ความน้อยใจเหล่านั้นจึงถูกกลืนหายไปแทบจะทันที สายตารอบด้านมองมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป จะมีก็แต่หนูขมที่ได้แต่ยืนเกาหัวแกร๊กๆด้วยความงุนงง

     พี่ยมรู้จักคุณน้าใจดีด้วยเหรอ?

      “ฮึก!! พี่เขม ยมคิดถึงพี่เหลือเกิน ฮือ คิดถึง...คิดถึงมาตลอด...”

     “พี่ก็คิดถึงเจ้านะยม” ลูบเส้นผมสะอาดคนรักแผ่วเบา แล้วจูบซับน้ำตาน้อง ไล่ต่ำลงจนถึงบริเวณแผลเหวอะ คุณเขมกดจูบแผ่วเบาอย่างไม่รังเกียจ เพราะครั้งหนึ่งในความฝันชายหนุ่มเองก็เคยจูบย้ำๆที่บาดแผลนี้มาแล้ว

      “คนดี รอพี่นานไหม? พี่ขอโทษนะที่ให้รอ พี่มารับยมแล้ว พี่กลับมาตามคำมั่นสัญญาของเรา”

    เด็กน้อยของคุณเขมพยักหน้ารัวรับรู้ ใบหน้าคมคายจูบซับหน้าผากคนรักโดยไม่สนใจสายตาที่มองมา ราวกับว่าที่ตรงนี้มีเพียงเขากับยมเพียงสองคนก็เท่านั้น

     ในที่สุด...ใจทั้งสองดวงที่พลัดพรากจากกันมาแสนนานก็ได้กลับมาพบกันเสียที!
-------------------------------------------------------------50%--------------------------------------------------

**ในที่สุดก็มาพบกับซะที กรี๊ดดดดด



 
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่26(50%)--(11/02/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: snpmrth ที่ 13-02-2018 04:19:27
อ่านแต่ละบรรทัดใจตื่นเต้นไปหมดเลยค่ะ ฮือ
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ
 o13
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่26(อัพครบ)--(15/02/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 15-02-2018 07:05:15
 เรือนร้าว26 (อัพครบ)
ตอน ใจสองดวง...ที่กลับมาพบ
 “โชคดีนะจ๊ะที่พี่เขมมาเจอหนูขมเข้าพอดี ไม่อย่างนั้นยมคงกลับไปสู้หน้าย่าของหนูขมไม่ได้เป็นแน่”

      พอคุณเขมเติมน้ำมันรถเสร็จจึงหันกลับมาส่งยิ้มให้ แล้วเข้ามาลูบใบหน้าของคนรักแผ่วเบา ยินดีเหลือเกินทีภาพตรงหน้านั้นไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

      “น้าคนนี้รึเปล่า? คนที่พี่ยมร้ากก กิ้วๆ” หนูขมลากเสียงยิ้มแซ็ว ยิ่งทำให้พี่ชายของเด็กน้อยหน้าแดงเรื่อด้วยความขวยเขิน ร่างสูงหัวเราะแล้วนั่งยองลูบศีรษะป้อยๆอย่างเอ็นดู

     “ชื่อหนูขมหรือ? ช่างพูดช่างเจรจาเสียจริง หึๆ”

     เจ้าหนูจำไมยิ้มแฉ่ง ดีใจนะที่พี่ยมรักกับคุณน้าคนนี้ หนูขมยอมให้พี่ยมอยู่กับน้าคนนี้สองคนก็ได้ ก็บอกแล้ว...ถ้าพี่ยมรักใคร หนูขมก็รักด้วย!

    คุณเขมขับรถมาส่งหนูขมที่เรือนของป้าแจ่วตามทางที่คนรักบอก แล้วจึงถือโอกาสแนะนำตัวกับหญิงชราเสียเลย ทีแรกเมื่อยมจะขยับปากบอกสถานะ คุณเขมก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

    “ผมเป็นคนรักของยมครับ”

    ทำเอาคนชราแทบลมจับที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเมื่อได้ฟังที่มาที่ไปทั้งหมด ป้าแจ่วจึงได้แต่ยินดีก่อนจะพาหนูขมไปเข้านอนเพราะตอนนี้ก็ค่ำมืดมากแล้ว ส่วนคุณเขมเองก็พาคนรักกลับมายังบ้านเช่าหลังเล็ก บ้านหลังนี้ค่อนข้างเล็กและมืดจนคุณเขมต้องจุดตะเกียงเพิ่มความสว่างรอบๆ มือใหญ่อบอุ่นนั้นกุมมือคนรักจูงเข้ามาด้านในห้องนอน แล้วเคลื่อนไปตามโครงหน้าของคนรักไม่รู้เบื่อ

   “หากนี่เป็นความฝัน...พี่ก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลยยม”

  เจ้าตัวน้อยประคองมือคนที่รักสุดชีวิตนุ่มนวล กดจูบแผ่วเบาลงอย่างออดอ้อน ความอบอุ่นนี้...ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนอีกแล้ว

    “ถ้าฝันนี้ยมได้อยู่กับพี่ไม่ต้องพรากกันอีก ยมก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาเหมือนกันจ้ะ”

    “คนดี...” ริมฝีปากอุ่นก้มลงพรมจูบคนตัวน้อย กระซิบเสียงแผ่วราวกับบอกรักครั้งแรกในครั้งนั้น “พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เป็นตายอย่างไรพี่จะไม่ปล่อยเจ้าไปอีกแล้ว”

      “พี่เขมจ๋า...” เจ้ายมน้อยเรียกชื่อออดอ้อน ริมฝีปากที่พรมจูบตามโครงหน้านั้นเลื่อนมาประทับบนกลีบปากนุ่มที่คุณเขมโหยหา ทั้งสองร่างแนบชิดไม่ยอมห่าง กระทั่งร่างสูงโอบอุ้มคนตัวเล็กออกเดินไปยังเตียงนอน

       ร่างน้อยถูกวางลงบนเตียงนุ่มอย่างทะนุถนอมแม้ริมฝีปากจะยังไม่ยอมผละจากกัน ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดตักตวงความหวานอย่างตะกละตะกลามไม่รู้อิ่มจนคนตัวน้อยถึงกับหอบตัวโยนเมื่อพี่เขมยอมผละออกจากกลีบปากแดงสดแต่โดยดี 

    “เมียรักของพี่...”เขากระซิบข้างหูแผ่วๆ แล้วขบกัดที่ติ่งหูเบาๆหยอกล้อ   

   “อื้อ!! อย่าแกล้งยม...” เจ้าตัวน้อยหน้าแดงอิดออด คุณเขมยิ้มให้ภาพน่ารักตรงหน้าก่อนจะก้มลงหอมแก้มด้านที่มีแผลนุ่มนวล     

 “พี่เขมไม่รังเกียจยมหรือจ๊ะ?”   

  ยมหน้าเจื่อนลง แผลบนใบหน้าน่าเกลียดทำให้ใครๆก็ไม่อยากเข้าใกล้ แม้แต่พี่เขมเองยมยังต้องทำใจว่าถ้าหากได้พบกันอีกครั้ง พี่เขมจะรังเกียจแผลใบหน้าไหม

   ริมฝีปากหยักศกก้มจูบย้ำบนแผลนั้นอ่อนโยนแทนคำตอบ แววตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจที่ทำให้เจ้าตัวน้อยต้องเจ็บปวดขนาดนี้   

 “พี่ขอโทษนะยม เจ็บมากไหม? พี่ขอโทษจริงๆที่ไม่ได้อยู่ปกป้องน้อง พี่ขอรับผิดทั้งหมดแทนคุณแม่ของพี่เอง”

     คุณเขมจูบบนแผลนั้นอีกครั้ง สำหรับเขา...ไม่ว่ายมจะเป็นอย่างไร เด็กน้อยก็ยังคงงดงามสำหรับเขาเสมอ เป็นสัจจริงไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ส่วนเจ้ายมเบิกตากว้างเมื่อคุณเขมรู้ว่าบาดแผลนี้เกิดจากสิ่งใด

    “พี่เขมรู้?”

    “แต่นี้ไปน้องไม่ต้องเจ็บปวดแล้วนะ ต่อไปพี่จะปกป้องยมเอง ไม่ว่าจะผ่านเรื่องร้ายสิ่งใดมา เราจะเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ ตกลงไหมคนดีของพี่?”

    แววตาหวานล้ำมองคนรัก สองมือน้อยสัมผัสไปตามใบหน้าคมคายที่ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป น้ำตาที่เคยเจ็บปวดหายไป มีแต่น้ำตาแห่งความยินดี ยินดีที่ได้สบสายตาคนรัก ได้จับมือไปด้วยกันอีกครั้ง

    แต่บาดแผลในใจนี่สิ พี่เขมจะรับยมได้ไหม?

    “พี่เขม...” ยมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ภาพที่เจ้าตัวน้อยต้องตกเป็นของคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ ถ้าพี่เขมรู้พี่เขมจะโกรธ จะยังรักยมอยู่หรือไม่?

      “ร้องไห้ทำไมอีกหื้มคนดี?” เอื้อมมือเช็ดน้ำตาน้องเบาๆ ทะนุถนอมราวแก้วงามล้ำค่า “อย่าร้องไห้อีกเลยนะยม พี่เจ็บปวดที่เห็นน้ำตาของน้อง”

      นั่นสิ...แล้วตัวเองจะไปนึกถึงความทรงจำแสนเลวร้ายทำไมกันเล่า?

      ก็ในเมื่อปัจจุบันตรงหน้า ก็ทำให้หัวใจของยมเปี่ยมสุขจนไม่อาจบรรยายถ้อยใดๆออกมาได้

      “ยมจะไม่ร้องไห้แล้วจ้ะ” กล้าเอื้อมใบหน้าไปจูบแก้มพี่เขมเป็นครั้งแรก แต่แล้วก็ต้องเขินตัวม้วนจนพูดไม่ออก คนรักหัวเราะเบาๆ

      “หึๆ เจ้าตัวน้อยของพี่ พี่รักน้องนะ”

      ถ้อยคำแสนหวานพรั่งพรูออกมาเรื่อยไปจนเจ้ายมน้อยเขินตัวม้วน สองมือเอื้อมไปสัมผัสบนใบหน้าของคนรักแล้วสบตาดวงตาสีนิลชวนมอง     

   “ยมดีใจ...ที่การรอคอยของยมไม่เสียเปล่า”   

   “ขอบคุณนะ...” กุมมือน้อยขึ้นมาจุมพิตขอบคุณย้ำๆ “ขอบคุณที่รอพี่ ขอบคุณที่ไม่เลิกรักพี่”     

   “อื้อ!!” ใบหน้าคมคายเลื่อนลงมาจูบซับซอกคอ มือใหญ่ทำท่าจะถลกเสื้อขึ้น หากแต่คนตัวน้อยร้องห้ามไว้

     “เดี๋ยวก่อนจ้ะพี่เขม”

     ร่างน้อยดันร่างคนรักออกแล้วลุกขึ้นนั่ง สองมือน้อยสั่นๆเอื้อมจับชายเสื้อเขินอาย แต่เพราะความต้องการให้คนตรงหน้าตีตรายมอีกครั้ง ยมจึงสลัดความอายทั้งหมดแล้วค่อยๆปลดอาภรณ์กั้นขวางจนกายท่อนบนเปลือยเปล่า อวดเรือนร่างขาวนวลอาบแสงเทียนที่สาดส่องน่าเชยชม

      ไม่ทันไร...คุณเขมที่ไม่อาจอดทนต่อความปรารถนาได้ก็พุ่งเข้าหาเจ้าตัวน้อยที่ยามนี้ต้องการสัมผัสจากคนรักไม่ต่างกัน  ริมฝีปากร้อนพรมจูบทั่วทั้งโครงหน้าคนรักอย่างหลงใหลโดยมองข้ามบาดแผลน่าเกลียดนั้นได้อย่างง่ายดาย

    “ตรงนี้เย็นเฉียบเลย ตื่นเต้นหรือคนดี?” จูบซับปลายจมูกคนรัก ก่อนจะมาจบที่ริมฝีปากนุ่มที่เผยอรอรับสัมผัสอยู่แล้ว จูบอันดูดดื่มไม่มีใครยอมใครคราแล้วคราเล่า จากอ่อนโยนอ่อนหวานจึงเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อนรุนแรงได้โดยง่ายดาย

      “แฮก แฮก!”

       เจ้ายมตัวน้อยหอบตัวโยนอีกครั้งจากจูบอันร้อนแรงที่คนรักมอบให้ คุณเขมก้มจูบแก้มนิ่มด้วยพึงพอใจอีกหนไม่รู้เบื่อ   ริมฝีปากอุ่นไล่ลงต่ำเรื่อยๆ จูบซับซอกคอแล้วขบเม้มจนเกิดรอยแดงชวนใหลหลง   

        "อ๊ะ อ๊า!!!"   

    เสียงหวานครวญครางเมื่อริมฝีปากหนาหยุ่นพรมจูบเวียนตามแผ่นอกเนียน จวบจนยอดอกสีเรื่อถูกลิ้นร้อนครอบครองดูดดุนจนแข็งสู้ ทั้งขบกัดพลัดกับเลียวนรอบฐานอก ความซ่านเสียวมารวมอยู่ตรงนั้นจนเจ้าตัวน้อยต้องจิกมือลงบนผ้าปูเตียงแน่น แอ่นอกรับสัมผัสที่เต็มใจจากคนที่รักที่สุดในชีวิต   

     อา!สัมผัสที่อบอุ่นอ่อนโยน...ของพี่เขม       

  “อื้อ!! อ๊า!”

        ดิ้นเร่าๆยามที่ถูกตีตราสัมผัสทั่วแผ่นอกสองข้าง ยอดอกสีสดแข็งชันและเปียกชื้นจากการถูกรังแกย้ำๆ คุณเขมยังตีตราลงต่ำไปยังหน้าท้องแบนราบ ใกล้บริเวณส่วนอ่อนไหวของกายเจ้ายมจนเสียดวูบที่ท้องน้อย

       “พี่เขม...”

      ร่างสูงผละออกมาชั่วครู่ บรรจงปลดเปลื้องอาภรณ์จนเปลือยเปล่าเผยสัดส่วนที่แข็งแรงมากด้วยกล้ามเนื้อสมเป็นชายชาตรี ใบหน้าของยมแดงระเรื่อคิดในใจ...เมื่อเทียบกับพี่เขมแล้วทำไมตนเองนั้นผอมและดูเก้งก้างเสียเหลือเกิน หากยังไม่ทันได้คิดไปมากกว่านั้น หน้าท้องแบนราบหดเกร็งด้วยชายผ้าถูกกระตุกออกจนตอนนี้เรือนร่างของยมไร้อาภรณ์ใดๆมาปกปิดขวางกั้น

      คุณเขมเบิกตากว้างมองคนรัก เวลาผ่านไปถึงห้าปี หากแต่เรือนกายของยมยังคงสวยงามแม้อาจจะเติบใหญ่ไปตามกาลเวลา ส่วนยมเองก็ได้แต่ก้มหน้าอย่างเขินอาย เรียวขานั้นถูเสียดสีไปมาด้วยความเย็นเยือก หารู้ไม่ว่ายิ่งเพิ่งความหลงใหลต่อคุณเขมมากขึ้นเป็นทวี

       “พี่เขม อื้อออ...อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!!!!”

       เจ้าตัวน้อยยิ่งร้องครางเมื่อใบหน้าคมคายครอบครองส่วนอ่อนไหวของร่างกาย แอ่นร่างขยับไปตามจังหวะที่คนรักมอบให้ ความรู้สักปวดหนึบก่อนหน้านี้จางหายเมื่อความสุขที่แทบจะล้นทะลักเข้ามาแทนที่ ลิ้นชื้นนั้นไล้เลียรอบปลายยอดระรัว  ใบหน้าหวานแหงนขึ้นเปล่งเสียงร้องไม่หยุดหย่อนอย่างสุขสม และความรู้สึกชวนสะดุ้งก็เข้ามาอีกครั้งเมื่อนิ้วร้ายเริ่มกรายหายเข้าไปในช่องทางสีหวานแล้วค่อยๆขยับทีละน้อย

     “อื้อออ!! อ๊า!!!!”

      ในที่สุดหยาดแห่งความสุขสมก็พุ่งทะลักออกมาเปื้อนใบหน้าคมคาย ส่วนหนึ่งตกลงมาเปื้อนหน้าท้องเนียน อีกส่วนริมฝีปากร้อนนั้นก็ลงมากลืนกินหยาดเล่านั้นราวกับเป็นธารหวานจากเกสรดอกไม้ก็ไม่ปาน เจ้าตัวน้อยหน้าแดงรอบที่เท่าใดก็ไม่รู้ด้วยไม่ชินกับภาพตรงหน้าเอาเสียเลย

     “คนบ้า...อ๊ะ!!”

     ยังไม่พอใจ นิ้วร้ายนิ้วที่สองก็แทรกเข้ามายังช่องทางด้านหลังเพื่อเชยชมความบริสุทธิ์ของคนใต้ร่าง มืออีกข้างก็ยกสะโพกให้ลอยสูงขึ้นเพื่อจะได้เชยชมความงามตรงนั้นอย่างถนัดถนี่

       “อย่าเกร็ง ผ่อนคลาย อ่า...ดีมากครับ”

      คุณเขมเอ่ยชมเมื่อช่องทางนั้นค่อยๆปรับสภาพไม่ให้เกร็งได้ มือน้อยขยุ้มจิกเส้นผมสะอาดระบายความหวาบหวาม ร่างของยมเกร็งกระตุกอีกคราเมื่อนิ้วร้ายนั้นดึงออก เปลี่ยนเป็นลิ้นชื้นที่ตวัดเลียช่องทางสีหวานแทน

        “อื้ออ!! พี่เขม มันสกปรกนะจ๊ะ พอเถอะจ้ะ ฮึก!!!”

       ลิ้นสากนั้นยังไม่หยุดปรนเปรอช่องทางด้านหลัง อีกทั้งนิ้วยาวทั้งห้ากลับยื่นไปรูดรั้งกลางกายเพิ่มความกระสันเพิ่มเป็นทวี ไม่นานเจ้าตัวน้อยก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคนรักพร้อมแล้ว คุณเขมจึงค่อยๆปลดผ้าท่อนล่าง เผยความเป็นชายที่ยมเคยได้สัมผัสมาแล้ว ถึงกระนั้นยมเองก็ยังคงไม่คุ้นชินกับมันเท่าใดนัก

       ของพี่เขม...ใหญ่ขึ้นรึเปล่านะ?

      อ๋า! คิดอะไรลามกเสียจริงไอ้ยมเอ๊ย!!

      “พร้อมจะเป็นของพี่อีกครั้งหรือยังคนดี?” กระซิบเสียงนุ่มจนใจของเจ้ายมแทบจะล้นออกมา คนตัวเล็กพยักหน้า แต่ก็ยังไม่กล้ามองของพี่เขมเต็มตาอยู่ดี

       ยมอายนะ...คนบ้า

       เฮือก!!!

    ความรู้สึกเจ็บแปลบถาโถมเมื่อคุณเขมค่อยๆสอดใส่ความเป็นชายเข้ามาทีละนิด แม้จะเจ็บจนน้ำตาไหล แต่เพราะว่าเป็นสัมผัสจากคนรัก ยมจึงเม้มปากเพื่ออดทนต่อความเจ็บนั้นซึ่งจะแปรเปลี่ยนเป็นอีกความรู้สึกในไม่ช้า

       “ชู่ว์!ผ่อนคลายอีกนิด อ่า...นั่นแหละครับคนดี”

       กระซิบปลอยโยนน้องแล้วจูบซับน้ำตาให้ นิ้วเรียวยาวส่งขึ้นไปคลึงยอดอกสีสดเพื่อให้คนรักบรรเทาความเจ็บ พร้อมกันนั้นก็หยัดความเป็นชายเข้าไปจนสำเร็จ

       “อึก!!อ๊า!!!”

        “อ่า ยมอย่ารัดพี่แน่นสิครับ” คำพูดหยาบโลนทำให้ยมต้องตีแขนแกร่งด้วยความเขินอาย แต่ก็ปล่อยตัวไม่ให้เกร็ง เมื่อเห็นว่าน้องค่อยๆผ่อนคลายแล้วจึงลองขยับทีละนิด

        “อ๊ะ อ๊ะ พี่เขม อย่าแกล้งยม อื้อออ!!!”

       “หึๆ พี่ไม่ได้แกล้ง” ก้มจูบน้องอีกครั้ง “พี่เอาจริง”

       แล้วขยับช้าๆเพื่อให้คนรักค่อยๆปรับตัว จนเมื่อเห็นว่าน้องไม่เจ็บอีกทั้งยังแหงนหน้าครางเสียงหวานด้วยความรู้สึกดี จึงค่อยขยับเร็วมากขึ้น

          “อ๊ะ อ๊า!!!”

          “คนดี ไปพร้อมกันนะ”

          สองขาขาวเรียวกอดรัดเชิงกรานของคนรักไว้ ในขณะที่สองแขนนั้นเอื้อมมากอดคอคุณเขมแน่น ยิ่งกระสันมากขึ้นเมื่อมือใหญ่นั้นลงต่ำมารูดรั้งกลางกายเล็กขึ้นลง แต่ก็ไม่ลืมเพิ่มจังหวะขยับให้เร็วขึ้นเช่นกัน เสียงหวานที่เอาแต่เรียกชื่อยิ่งทำให้คุณเขมได้ใจ

        “พี่เขม...พี่เขมจ๋า อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!!!”

        “ยมจ๋า อ่า!”

       เอี๊ยด...เอี๊ยด!!

       เสียงเตียงไม้นั้นขยับเสียงดังตามความแรงที่คุณเขมถาโถมใส่เจ้ายมตัวน้อย ร้อนแรงขนาดที่ว่าแสงไต้ในตะเกียงที่จุดไว้ยังร้อนสู้ไม่ได้ถึงขั้นดับ แต่ก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อสองร่างที่กอดรัดไม่ ร่างสูงยังคงกระแทกกลางกายแล้วเรียกชื่อเด็กน้อยที่เขารักอย่างโหยหา แล้วก้มลงจูบริมฝีปากมอบสัมผัสที่ร้อนแรงให้น้องอีกครั้ง

      มอบความรักให้น้อง ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า

     “อ่ะ...อ๊า!!!”

     จวบจนร่างบอบบางเกร็งกระตุก ปลดปล่อยความสุขที่ได้รับออกมาอีกครั้ง กายสูงโถมเข้าหาแล้วซบลงบนไหล่เนียนหอบเหนื่อย หยาดเหงื่อกาฬอาบไปทั่วร่างกำยำ แต่ก็ยังไม่วายโน้มริมฝีปากหอมหน้าผากมนเจ้าตัวน้อยอีกครั้ง คุณเขมค่อยๆถอนความเป็นชายอันใหญ่โตออกแล้วนอนกอดคนตัวเล็กแนบชิด อีกทั้งสายตาอันร้อนแรงที่มองคนรักทะลุรัตติกาลทำให้คนตัวน้อยขวยเขินมากกว่าเดิมเสียอีก

       “รัก...” จูบริมฝีปากลงไปเบาๆ จนเจ้าตัวน้อยอดคิดไม่ได้เลยว่าแก้มจะช้ำไปหรือยัง มือใหญ่เอื้อมลูบเส้นผมอย่างทะนุถนอมคนรักที่เป็นยิ่งกว่าหัวใจและชีวิต

      “พี่รักเจ้าเหลือเกินยมเอ๋ย รักยิ่งกว่าชีวิตของพี่เสียอีก”

      “ยมก็เหมือนกันจ้ะ” กอดพี่เขมกลับ ร่างสูงที่สัมผัสได้ ไม่ใช่เพียงภาพในฝันซ้ำๆเดิมๆ ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เป็นพี่เขมที่คอยฟังคำรักของยมเหมือนเมื่อตอนนั้น “ยมยังคงมีชีวิตและลมหายใจ เจ็บช้ำปางตายเพียงใด ยมก็จะรอพี่เขม ยมจะไม่ยอมตายจนกว่าจะได้เจอพี่อีกครั้ง”

     “ชื่นใจเหลือเกิน”

      “พี่เขมจ๊ะ?” อยู่ๆเจ้าตัวน้อยก็เอ่ยถามขึ้นมา ด้วยเรื่องที่คนรักของตนเคยหมั้นหมายกับบุตรสาวของผู้มีศักดิ์ยังคงเป็นที่คาใจไม่คลาย “ตอนที่ยังไม่พบกับพี่ ยมทราบเรื่องที่พี่แต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น พี่เขมรู้ไหมว่าตอนนั้น ยมเสียใจมากขนาดไหน”

       “เรื่องนี้พี่อธิบายได้” กอดร่างเล็กกันไม่ให้เจ้ายมกระเถิบห่าง “ฟังพี่สักนิด แล้วยมจะเข้าใจพี่”

       คุณเขมเล่าเรื่องตั้งแต่ครั้งที่ถูกทำร้ายตั้งแต่กลับมาถึงสยาม พระวินิตราชศักดิ์เล่าให้ฟังว่าคุณเขมสูญเสียความทรงจำถึงเรื่องยมชั่วคราว และถูกบีบให้หมั้นกับคุณจำปาโดยที่คุณเขมเองนั้นก็ไม่เต็มใจ จะว่าโชคดีก็ได้ที่ยังไม่ทันได้ตบแต่งเสร็จสรรพ ชายหนุ่มก็ถูกทำร้ายจนปางตาย แต่ก็รอดตายราวปาฎิหาริย์ราวกับว่าความฝันในครั้งนั้นได้ช่วยชีวิตไว้

      “ในความฝัน พี่มักเห็นคนๆหนึ่งเป็นภาพเลือนราง พี่รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่จำคนๆนั้นไม่ได้ เขาร้องไห้ให้พี่เห็น ตัดพ้อเสียใจน้อยใจจนพี่เจ็บ แต่คราที่พี่คิดว่าพี่จะสิ้นลม คนๆนั้นก็มาฉุดรั้งให้พี่กลับมามีชีวิตเหมือนกัน”

     คนๆนั้น...รึ?

    “แล้วคนที่พี่พบในฝันคนนั้น ก็คือยม”

    !!!

   “ยมจึงเป็นเหมือนลมหายใจของพี่ เป็นเจ้าชีวิตสำหรับพี่นะ”   

   “พี่เขม...”

   เจ้าตัวน้อยกอดพี่แน่นขึ้นหลังจากได้เข้าใจความจริงทุกอย่าง พี่เขมไม่ได้ลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะไม่มีใครอื่น พี่เขมยังคงรักษาสัจจะที่ให้ไม่เปลี่ยนแปลง

     ขอบคุณจริงๆจ้ะ ...ขอบคุณที่ยังรักยม

    “มีอีกหนึ่งอย่าง ที่พี่จะเล่าให้ยมฟัง”

    ร่างสูงเอี้ยวกายลุกขึ้นจุดตะเกียงอีกครั้งเพื่อหยิบบางสิ่งที่เก็บไว้ใต้หมอน คุณเขมประคองมือน้อยนั้นช้อนขึ้นจูบซับอ่อนโยน

    “แม้พี่ไม่อาจนำแหวนนพรัตน์มาคืนเจ้าได้...” คุณเขมเอ่ยถ้อยอ่อนหวาน ถ้อยนั้นยิ่งทำให้เจ้าตัวน้อยเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าพี่เขมคงจะทราบความจริงว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงได้แต่หน้าแดงอย่างปิดไม่มิดเมื่อเห็นว่าสิ่งตรงหน้าเป็นแหวนเพชรน้ำงามที่สลักตัวอักษรฝรั่งไว้

     “แต่แหวนเพชรนี้ ในคราแรกถูกฉกชิงโดยที่พี่ไม่อาจปกป้องมันไว้ได้ แต่ยามที่พี่ตื่น พี่ก็พบแหวนวงนี้อยู่ในมือ พี่จึงรู้ได้ว่าพี่ควรสวมให้ยมทันที เพราะยมคือคู่ชีวิตของพี่คนเดียวตลอดไป”

      “พี่เขม...”

     คู่ชีวิต...ของพี่เขม

    “แต่งงานกับพี่นะยม”

    “พี่เขม!”

    ยมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินถ้อยแปลกประหลาด ชายกับชายจะสามารถแต่งงานเหมือนชายหญิงสามัญได้อย่างไรกัน?

     “พี่ซื้อเรือนหอของเราไว้แล้ว เป็นเรือนเก่าริมน้ำของท่านพระยาที่พี่เคารพที่ปากเกร็ด คุณพ่อเองก็เข้าใจความรักของเรา อีกทั้งคุณบูรพาเพื่อนของพี่จะมาเล่นไวโอลินในงานแต่งเล็กๆของเราด้วย ยมเอ๋ย ความรักของเราเป็นรักที่บริสุทธิ์ ไม่ได้ทำร้ายผู้ใด ได้โปรดเชื่อใจพี่เถิด ไม่ว่าต่อไปจากเจออุปสรรคขวากหนามเพียงใด พี่จะเป็นคนปกป้องน้องจวบลมหายใจสุดท้าย”

     ในเมื่อพี่เขมพูดกล่าวออกมาถึงขนาดนี้ แล้วยมจะปฎิเสธได้อย่างไรล่ะจ๊ะ

    ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น...จะทำอะไรก็ควรรีบทำ นั่นสิ! กว่าจะได้พบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากพี่เขมปรารถนาสิ่งใด ยมก็ยินดีมอบให้พี่เขม อย่าว่าแต่ร่างกายเลย ทั้งหัวใจและวิญญาณ ยมก็มอบให้คนตรงหน้าแล้วตั้งแต่ก่อนจากในครานั้น

     “ยมจะแต่งงานกับพี่จ้ะ”   

    “ยมเอ๋ย...รู้ไหมว่าพี่ชื่นใจนักที่ได้ยินคำตอบนี้จากน้อง”   

    ริมฝีปากหยักศกคลี่ยิ้ม แล้วบรรจงสวมแหวนวงนั้นที่นิ้วนางข้างซ้าย ขณะสวมแหวนแต่งงานมือใหญ่นั้นเห่อร้อนและสั่นเทาราวกับหนุ่มหัดรัก แล้วจูบแหวนวงนั้นหลังจากที่ได้บรรจงสวมให้คนรักจนเสร็จ

   และไม่รอให้เจ้าตัวน้อยได้กล่าวสิ่งใดอีก กายสูงนั้นขึ้นคร่อมยมอีกครั้งแล้วบดเบียดริมฝีปากร้อนแรง ตีตราจับจองกายน้อยอย่างโหยหา มอบความสัมพันธ์ทางกายและใจอันร้อนแรงในค่ำคืน อีกครั้ง...และอีกครั้ง

     และจวบจน...แสงไต้ที่เพิ่งถูกจุดนั้นดับลงอีกครั้ง ก่อนที่อรุณรุ่งสางวันใหม่จะมาเยือนเสียอีก!

    ดั่งจันทร์เป็นพยานในความรัก     หทัยภักดิ์คนดีของพี่เอ๋ย

คำสัญญาของเราไม่ละเลย             พี่ได้กอดแนบยมเจ้าคนดี

    ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร        ไม่สิ้นสุดความรักที่พี่มี

ต่อให้ม้วยลมหายใจชีวี                 ขอปกป้องแก้วตาพี่ตลอดไป



**กรี๊ดดดดด!!!ตบมือสิคะรออะไรรรร พระนายได้พบกันแล้วค่ะ มีกามเทพหนูขมคอยนำพาาา ขอเสียงแม่ยกเขมยมหน่อยเร้ววววว

**เอ็นซีนี่แบบ...สูบวิญญาณไรท์ไปเต็มๆ ปกติไรท์สายอ่านมากกว่า พอมาเขียนเองละแบบ ถึงกับต้องไปคว้าน้องยีนส์ใกล้ๆมาอ่าน55555(ไรท์เขียนเอ็นซีไม่เก่งไง-...-)
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่27(50%)--(23/02/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 23-02-2018 13:38:16
  แสงในยามเช้าตรู่สาดส่อง ดวงตาหวานล้ำดวงน้อยค่อยๆลืมตา ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆ ยื่นมือไปลูบสันกรามใบหน้าของคนรักเบาๆ ความรักที่สัมผัสได้ ไม่ใช่เพียงภาพในฝันอีกต่อไป   

   “พี่เขมของยม...”     

เสียงหวานกระซิบเบาๆข้างหูร่างหนา ก่อนจะยื่นไปหน้าหอมแก้มคุณเขมแล้วกลายเป็นฝ่ายเขินอายเสียเอง                     

 “ลวนลามพี่หรือคนดี?”   

“หวา!!”   

   รีบชักมือกลับ แต่ถูกมือใหญ่คว้าอย่างรวดเร็วแล้วยกขึ้นจูบซับ     

 “พี่เขม ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กันจ๊ะ?”     

 “พี่ตื่นตั้งแต่มีเด็กซนมาจับหน้าพี่แล้ว” แกล้งจูบมือน้องย้ำๆ “แต่พี่อยากรู้ ว่ายมจะสัมผัสอะไรพี่อีก”   

  “พี่เขมบ้า!! ปล่อยเลยนะจ๊ะ!”       เจ้าตัวน้อยตีแผ่นหลังเปลือยเปล่าดังเพี๊ยะ ฉวยผ้าห่มมุดตัวหนีคนรักซ่อนหน้าแดงก่ำ คุณเขมหัวเราะก่อนจะตามไปกอดเจ้ายมแนบแน่น ยมตัวน้อยหันมาหรี่ตามองคนรักด้วยความเคือง แต่ก็ยอมให้คุณเขมฉวยโอกาสหอมแก้มอีกรอบ     

 “ไม่เอาแล้วจ้ะ พี่เขมไปอาบน้ำได้แล้วนะ ยมลุกไม่ไหวขอเวลาสักพัก” 

     คนตัวโตยิ้มกรุ้มกริ่ม โชคดีที่แค่ตะเกียงแสงไต้ดับ หากคุณเขมไม่ยั้งแรงละก็ อาจจะตามมาด้วยเตียงไม้ที่คงจะหักตามก็เป็นได้ แล้วจะไม่ให้เจ้าตัวน้อยระบมช่วงล่างได้อย่างไรกัน     

“พี่ขอโทษนะคนดี” กระซิบเสียงอ้อน “ให้พี่อาบน้ำให้ยมนะครับ” 

   “มะ...ไม่เอา...” แก้มน้อยขึ้นสีเรื่อ เพราะกลัวพี่เขมจะรุนแรงใส่อีก คุณเขมหัวเราะเบาๆก่อนจะฉวยโอบอุ้มร่างน้อยขึ้นแนบอกทั้งผ้าคลุมกาย   

   “อาบน้ำอย่างเดียว เอ...หรืออยากให้พี่ทำอย่างอื่นด้วย หื้ม?”     

  จมูกโด่งนั้นคลอเคลียแก้มนิ่มที่เห่อร้อนจนยมต้องซุกหน้า บอกพี่เสียงสั่น       

“อาบอย่างเดียวแน่นะจ๊ะ?”   

  “ก็ยมเจ็บขนาดนี้ พี่จะรังแกยมได้อย่างไรกัน”

   “...” เจ้ายมตัวน้อยก้มหน้างุด อย่างไรพี่เขมก็คือพี่เขม ทั้งอบอุ่น อ่อนโยนไม่ต่างจากเมื่อห้าปีก่อนไม่มีผิด คนๆนี้ที่ยมรัก ต่อให้ต้องทนกับสิ่งใดที่สาหัส...ณ เพลานี้ช่างคุ้มค้าสมกับวันเวลาที่รอคอยเหลือเกิน         



สามวันผ่านไป...คุณเขมมักพายมมาแวะเวียนหาหนูขมบ้างด้วยคนรักร้องขอ หนูขมเองก็ดูจะถูกอกถูกใจคุณน้ารูปงามใจดีคนนี้เป็นพิเศษ เป็นเวลาเดียวกับที่นายหมึกต้องหยุดงานมาดูแลนางจันทร์ที่เกิดอาการป่วยครั่นเนื้อครั่นตัว จึงได้รู้ว่าชายหนุ่มมีตระกูลสูงผู้นี้แสนดีกับลูกชายของพวกตนอย่างไร     

 “หนูขมเคยหลงทาง แต่น้าเขมคนนี้ช่วยหนูตามหาพี่ยม น้าเขมใจดีมากเลย วันนี้ยังซื้อขนมมาให้หนูขมอีก”                    เสียงเจื้อยแจ้วที่เล่าเรื่องความใจดีของน้าเขม ทำให้นางจันทร์เกิดความคิดบางอย่าง...เพราะเมื่อได้รู้ความจริงว่าคุณเขมคือคนรักของยม เป็นคนๆนี้ที่ยมเฝ้ารอคอยมาตลอด และดูเหมือนว่า หนูขมจะถูกอกถูกใจกับอัธยาศัยคุณน้าใจดีเสียด้วยสิ          แต่แล้วไม่นาน...กาลที่ต้องลาจากก็เวียนมาถึง ในวันนี้เอง!   

  “นี่จะกลับกันไปแล้วรึ? เหตุใดถึงกะทันหันอย่างนี้เล่าพ่อยม?”     

  หญิงชราเอ่ยถามคนทั้งสอง เพราะตอนนี้ยมพร้อมกับชายหนุ่มรูปงามที่ชื่อว่าคุณเขมกำลังมายืนบอกลาตนอยู่ตรงหน้า โดยมีนายหมึกกับนางจันทร์ยืนจับไหล่ของลูกชายตัวน้อยที่ทำท่าจะเบะปากร้องไห้เมื่อได้ยินคำบอกลาจากพี่ชายที่แสนดี           

  “พอดีพี่เขมยังมีงานที่ต้องไปกลับไปทำด่วนที่พระนครน่ะจ้ะ ยมไม่อยากให้พี่เขมเสียงาน”        เด็กหนุ่มบอกไปตามจริง เพราะผ่านไปสามวันคุณเขมนึกได้ว่ายังมีงานด่วนที่ต้องไปจัดการที่กระทรวง

และแน่นอนว่าในฐานะคนรัก...ยมจะติดตามพี่เขมไปด้วยทุกที่ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นที่ใด     

“อย่างไรยมขอบคุณป้าแจ่วที่เมตตายม ไม่รังเกียจยมนะจ๊ะ” มือทั้งสองไหว้ผู้ใหญ่ด้วยความจริงใจ ก่อนจำต้องเอ่ยชื่อคนๆขึ้นมาอีกครั้ง เผื่ออย่างน้อย ผู้มีพระคุณของยมจะได้สบายใจที่ต่อไปยมได้อยู่กับคนที่รัก หมดทุกข์โศกเสียที   

   “ถ้าหากคุณโดมกลับมาที่นี่ ยมฝากป้าแจ่วบอกลาแทนด้วยนะจ๊ะ”     

 ป้าแจ่วพยักหน้ารับรู้หลังยมยื่นกระดาษใบเล็กส่งให้ ไม่บอกก็พอจะทราบว่าคือจดหมายบอกลา แม้คุณเขมจะไม่ชอบชื่อคุณโดมอะไรนั่นเท่าใดนัก แต่กลับไม่ได้แสดงอาการหึงหวงออกมา ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของตนเองที่ทิ้งยมไปจนยมต้องลำบาก แล้วเขาก็เป็นคนที่ช่วยยม...ทำให้ยมยังมีลมหายใจได้คอยคุณเขมเช่นเดียวกัน เท่ากับคุณโดมก็มีพระคุณต่อทั้งยม และคุณเขมเช่นเดียวกัน 

    “พี่ยมจ๋า!!”       

 เด็กน้อยวิ่งเข้ามากอดพี่ชายที่รักเป็นที่สุด หนูขมไม่อาจทนเห็นพี่ชายจากไปอย่างนี้ได้ ใจจริงนั้นอยากขอตามไปด้วย แต่หนูขมก็ยังมีพ่อกับแม่ที่อยู่ทางนี้เช่นกัน   

   “หนูขม...”      ยมนั่งยองมองเด็กน้อย เจ้าหนูร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตาแป๋วนั้นแดงก่ำตนอดสงสารไม่ได้ 

   “อยู่กับหนูไม่ได้หรือ ฮึก!! พี่ยมคอยอยู่เป็นหนูตอนที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ พี่ยมตามใจหนูขมทุกอย่าง หนูขมไม่อยากให้พี่ยมไป”     

 แม้ตัวจะยังกอดรั้งไม่ยอมให้พี่ยมไป แต่สายตาแป๋วแหววนั้นก็เบนไปวิงวอนต่อคุณน้าใจดีที่โอบร่างของยมข้างๆ                “น้าจ๋า อย่าเอาพี่ยมไปเลยนะจ๊ะ หนูขมก็ไม่อยากให้น้าไปเหมือนกัน” 

   นายหมึกกับนางจันทร์ได้แต่หันหน้ามองกันแล้วทอดถอนใจ ตลอดเวลาที่พวกตนสองคนเอาแต่คร่ำเคร่งทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทิ้งลูกไว้กับคนเป็นย่า พอได้มียมมาอยู่เป็นเพื่อนจึงย่อมผูกพันเป็นธรรมดา เมื่อสองผัวเมียทราบเรื่องราวทั้งหมดจากป้าแจ่ว จึงพอจะรู้ว่าอย่างไรซักวันยมก็จะต้องกลับไป หนูขมก็คงจะเหงาเหมือนก่อนหน้าที่จะได้เจอกับพี่ยม                         หวังว่าสิ่งที่ตัดสินใจตั้งแต่เมื่อคืน...จะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด   

   “คุณเขมจ๊ะ ฉันกับพี่หมึกตัดสินใจแล้วจ้ะ ว่าจะยกหนูขมให้เป็นลูกบุญธรรม”

     “พี่จันทร์...”   

    เด็กหนุ่มอ้าปากค้างอย่างไม่คาดคิด แม้แต่เจ้าหนูที่กำลังร้องไห้ยังหยุดชะงักเมื่อได้ฟังสิ่งที่ออกจากปากของมารดา นางจันทร์คุกเข่าลงเข้ามากอดลูกชาย     

 “แม่ขอโทษที่ไม่มีเวลาอยู่กับหนู แต่แม่เชื่อว่าหากหนูได้ไปอยู่กับสองคนนี้ หนูน่าจะมีความสุขมากกว่านี้”       คนเป็นมารดาน้ำตาไหลอาบแก้ม ใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกชายเธอที่ไม่ค่อยมีเวลาได้กลับมานอนกอดเพราะเอาแต่ทำงานเลี้ยงชีพ หากได้ไปอยู่กับคนที่รักลูกของเธอจริงๆ หนูขมน่าจะมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ แม้เธอจะเพิ่งจะพบคุณเขมได้ไม่กี่ครั้ง แต่หากเป็นคนที่ยมรักมากขนาดนี้ เขาก็อาจจะรักหนูขม...เหมือนที่ยมรักก็ได้ 

   “แม่ไม่รักหนูแล้วหรือจ๊ะ?”     

เด็กน้อยสะอื้นอีกครั้งจนยมแทบจะร้องตาม หนูขมเพียงแค่ไม่อยากให้พี่ยมต้องไปเท่านั้นเอง ไม่คิดว่าแม่จะยกให้หนูขมเป็นลูกของคนอื่น ถึงคนๆนี้จะเป็นคุณน้าใจดีก็ตาม   

 “พ่อกับแม่รักหนูเสมอ แต่หนูขม...บ้านของเรายากจนมาก พ่อกับแม่ก็ผัวหาบเมียคอน ไม่มีเวลาเลี้ยงดูหนู พอแม่เห็นหนูผูกพันกับยม แม่ก็อยากให้หนูได้อยู่กับคนที่เอาใจใส่หนูได้มากกว่าพ่อกับแม่”   

  นางค่อยๆลุกยืน ดันร่างป้อมของหนูขมเบาๆส่งให้คนสองคนที่ตนปักใจ และพร้อมจะฝากชีวิตของลูกไว้ได้                    “พี่ฝากลูกของพี่ด้วยนะยม ถือว่าเห็นแก่ความสุขของหนูขม ฝากเติมเต็มความรักให้หนูขมต่อไปนะ” แล้วหันมองคุณเขมที่จ้องมองสบตาเข้ากับหนูน้อยพอดี

 “ฉันฝากลูกของฉันด้วยนะจ๊ะ หากวันไหนที่ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำหนักเหมือนยามนี้แล้ว ฉันจะลงไปเยี่ยมลูกของฉันบ้าง”     

แม้ยมอาจยังสับสนและงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วเกินความคิด คุณเขมก็หันมองคนรักแวบหนึ่งเพื่อตั้งใจจะสื่อว่า...เขาเข้าใจจุดประสงค์มารดาของเด็กคนนี้แล้ว

     “ผมเข้าใจแล้วครับ” แล้วนั่งยองสบสายตากับเด็กน้อยอีกครั้ง มือใหญ่เอื้อมไปลูบขวัญโดยที่หนูขมยืนนิ่ง ดังมีสายใยที่มองไม่เห็นเชื่อมสามชีวิตให้คล้องร่วมกัน  ทั้งป้าแจ่วกับนายหมึกมองภาพนั้นอย่างแปลกใจ เพราะหากเป็นคนแปลกหน้าใดที่แม้แต่จะเข้ามาใกล้ เจ้าหนูจะปฏิเสธและหนีท่าเดียว     

  “หนูขม ไปอยู่กับพ่อนะลูก พ่อจะเลี้ยงหนูเอง”     

  ดั่งมีสายใยบางๆที่มองไม่เห็น แววตาที่หนูขมเชื่อใจตั้งแต่แรกพบ ถ้าหากเป็นน้าคนนี้ที่พี่ยมรัก หนูขมก็จะรักด้วย  เจ้าหนูหันไปมองรอบๆ มีพ่อหมึก แม่จันทร์ รวมทั้งย่าแจ่วต่างพยักหน้าส่งให้กลายๆ

      หรือว่าชะตาบันดาล...ให้เด็กคนนี้ได้เป็นโซ่ทองคล้องรักของคุณเขมกับยม

    “หนูขมจะไปกับพ่อจ้ะ”





     ตลอดการเดินทางแม้คุณเขมจะรู้สึกเมื่อยล้า แต่ยามที่ได้หันไปมอบใบหน้าของคนรักที่อยู่เคียงข้าง ร่างสูงจึงบังคับพวงมาลัยมาถึงยังบ้านหลังใหม่ที่ปากเกร็ดจนได้ คุณเขมไม่ต้องการให้ยมกลับไปที่ๆปวดร้าวแห่งนั้นอีก 

      เรือนไทยติดริมน้ำที่มีการทำความสะอาดไปบางส่วนตั้งเด่นตระหง่าน มือใหญ่โอบเอวคนรักเดินเข้ามาทัศนาใกล้ๆ เรือนนี้อาจหาได้ใหญ่โตเท่าเรือนของคุณพระที่พระนครนัก แต่ด้วยความร่มรื่นย์รอบๆ ทำให้ยมรู้สึกหลงรักที่แห่งนี้ตั้งแต่แรกเห็น   

   “ชอบไหมคนดี?” คุณเขมกระซิบถามคนตัวน้อยที่ยามนี้จับจ้องเรือนหอหลังงามไม่วางตา เจ้ายมพยักหน้ารับ                   

   “ชอบที่สุดเลยจ้ะ ไม่กว้างเกินไป แต่ก็ไม่ได้คับแคบ หนำซ้ำริมน้ำยังมีสายบัวน่าลงไปเก็บด้วย”   

   ได้ฟังเช่นนี้...คุณเขมก็สบายใจ เพราะในใจยังรู้สึกผิดที่ไม่ได้พายมมาดูด้วยตั้งแต่แรก โชคดีที่คนรักของเขาเป็นคนชอบอะไรเหมือนๆกันแทบทุกอย่าง   

   “แล้วหนูขมล่ะลูก...” ร่างสูงหันไปถามลูกชายตัวน้อยที่กำลังจูงมือยมเช่นเดียวกัน “หนูขมชอบที่นี่ไหมครับลูก?”   

  “ชอบจ้ะพ่อเขม...พ่อยม ชอบมากๆเลย!”       หนูขมตอบเสียงเจื้อยแจ้วแล้วยิ้มแป้น คำว่าพ่อเขมพ่อยมที่ได้ฟังทำเอาเจ้ายมเอียงอาย เพราะตั้งแต่พี่เขมประกาศว่าจะรับหนูขมเป็นบุตรบุญธรรม ราวกับชะตาขีดให้หนูขมมาเป็นส่วนหนึ่งของความรัก...เจ้าหนูที่มักต่อต้านคนแปลกหน้าจึงยินยอมให้คุณน้าใจดี ได้เปลี่ยนสถานะมาเป็น ‘พ่อเขม’   

 และเปลี่ยนจากเรียกพี่ยม มาเป็น ‘พ่อยม’ !   

 ‘ยมเป็นคนรักของพ่อ ครั้นจะให้เรียกแม่ยมก็ดูพิกล ต่อไปหนูขมต้องเรียกว่าพ่อยมแทน เข้าใจไหมลูก?’   

  ‘จ้ะ พ่อเขม...พ่อยม’     

เด็กหนอเด็ก...

 หนูขมเศร้าอยู่นานที่ต้องจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่พอได้พูดคุยกับพ่อเขมเพียงไม่กี่คำกลับเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ความร่าเริงจึงกลับมาหาเจ้าหนูได้อย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยเศร้ามาก่อนเสียอย่างนั้น     

  “ห้องหับยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย คืนนี้เรานอนด้วยกันสามคนไปก่อนนะยม”   

    ด้วยเรือนหลังนี้คุณเขมซื้อไว้ตั้งแต่ยังจำยมไม่ได้จึงถูกทำความสะอาดไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ตอนนั้น...รู้เพียงแค่ว่าจะซื้อไว้เพื่อรอใครซักคนที่ตามหา ซึ่งคนๆนั้น ได้กลับมาจับมืออยู่ด้วยกัน ณ ตรงนี้แล้ว     

  “เย่ๆ พ่อเขมพ่อยมนอนกอดหนูขมๆ เอ๊ะ! ผีเสื้อสวยจังเลยยย...”     

 เจ้าเด็กน้อยกระโดดไปมาอย่างร่าเริง แล้วหันไปพูดคุยกับผีเสื้อตัวน้อยที่เกาะอยู่บนดอกไม้งามใกล้ๆแทน ตอนนี้ทั้งสามมานั่งชมความงามของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลเอื่อย คุณเขมมองมือใหญ่ที่กำลังกุมมือคนรักแนบแน่นแล้วส่งยิ้มให้กับหัวใจที่ได้กลับคืนมา       

“พี่ดีใจที่สุดเลย ที่ในที่สุดเราก็ได้สร้างครอบครัวด้วยกันตามความตั้งใจ ไม่คิดเลยการไปตามหายมครั้งนี้ เราจะได้ลูกชายของเรากลับมาด้วย”       

 “ยมก็เหมือนกันจ้ะ...” ซุกหน้าเข้าหาแผงอกแกร่งออดอ้อน ซ่อนหน้าแดงก่ำที่เขินอายไม่ให้พี่เขมมอง “ยมดีใจ ที่การรอคอยของยมไม่เสียเปล่า ดีใจ...ที่พี่เขมเองก็มั่นคงกับยม เหมือนที่หัวใจของยมมั่นคงต่อพี่” 

     ไม่มีเสียงใดๆตอบรับ มีเพียงรอยยิ้มที่คลี่บางเบา เขาก้มจูบขมับคนตัวน้อยเบาๆก่อนจะค่อยๆล้มตัวลงนอนบนตักนุ่มนิ่มของเจ้ายมตัวน้อย     

  “เดี๋ยวเย็นนี้พี่ว่าจะเข้ากระทรวงเสียหน่อย อยากนอนพักเอาแรงสักครู่ พี่เหนื่อยเหลือเกิน”     

  “เช่นนั้นขึ้นไปนอนบนเรือนแทนดีไหมจ๊ะ? พี่เขมจะได้นอนสบายๆ”     

   “อือม์...ก็ดีเหมือนกัน”  ร่างสูงค่อยๆผุดลุกขึ้น ที่จริงตักของคนรักนุ่มกว่าหมอนที่เคยหนุนนอนเสียอีก แต่เพราะกลัวเจ้าตัวน้อยจะเมื่อยเอาจึงพยักหน้าและจูงมือน้อยขึ้นไปบนเรือน       

  “หนูขม ขึ้นไปนอนกับพ่อไหมลูก?”           

คุณเขมเอ่ยชวนลูกชายตัวน้อยที่ยังนั่งจ้องผีเสื้อไม่วางตา เจ้าหนูส่ายหน้าพร้อมให้เหตุผลว่าไม่อยากขัดจังหวะของพ่อทั้งสอง ทำเอายมนั้นแทบจะเอาค้อนให้กับความแก่แดดแก่ลมของเจ้าหนูเสียจริง!   

      สายลมพัดผ่านหน้าต่างขึ้นมายังห้องนอนด้านบน ในห้องนอนที่ถูกทำความสะอาดและปูฟูกเสร็จสรรพ คุณเขมตระกองกอดเจ้าร่างน้อยให้ล้มตัวนอนลงด้วยกัน ริมฝีปากหยักศกยังไม่วายแอบพรมจูบใบหน้าน้องอย่างแนบเนียน จนคนถูกจูบหน้าแดงเป็นลูกตำลึง     

    “อื้ออ!! พี่เขม ไหนว่าง่วงนอนมิใช่หรือจ๊ะ?”       

 “หึๆ” จูบน้องอีกครั้งหนึ่งแล้วคว้าร่างคนรักเข้ามากอด “ก็ยมน่ารักขนาดนี้ พี่ก็อดใจไม่ไหวน่ะสิ”   

   “บ้า!!”     

 ยมทุบอกแกร่งไปหนึ่งที คุณเขมหัวเราะออกมาอีกครั้ง นานแล้วที่ไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะบ่อยครั้งเช่นนี้ ดวงตาคมเข้มจับจ้องวงหน้าหวานอีกครั้งแล้วค่อยๆปิดตาลงอย่างเหนื่อยล้า 

      “ฝันดีจ้ะ...พี่เขม”       คนตัวเล็กลอบจูบแก้มสากแผ่วเบา ก่อนจะซุกหน้าเข้าหาคนรักแล้วหลับไปด้วยกันในที่สุด โดยไม่ทันเห็นเจ้าหนูขมที่แอบตามขึ้นมาส่องความเป็นไปของพ่อทั้งสอง     

   “อุ๊ย!! คิกๆ”     

 เจ้าหนูยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเบาๆ เพราะเกรงว่าจะทำให้พ่อเขมที่กำลังนอนกอดพ่อยมตื่นเสียก่อน แม่จันทร์สอนไว้ว่าทำเสียงดังรบกวนคนนอนหลับเป็นสิ่งไม่ดี       

โดยเฉพาะคนที่เป็น...สามีภรรยา!!



     ชีวิตคู่ของคุณเขมเรียบง่าย ดำเนินไปตามปกติสุข คนเป็นสามีออกไปทำงานที่พระนครเช่นเดิม เพราะมีรถยนต์การเดินทางจึงสะดวกรวดเร็ว ส่วนยมก็เลี้ยงดูหนูขมที่เรือน ปัดกวาดเช็ดถูรอบๆเล็กน้อยแก้ว่าง ทำกับข้าวกับปลาคอยต้อนรับสามี ความรักของพวกเขาอาจไม่เหมือนความรักของคนอื่นนัก แต่เชื่อได้เลยว่า ไม่มีหัวใจของผู้ใดจะสุขไปกว่าคนสองคนที่สบสายตาให้กัตลอดเวลา

     จวบจนวันหนึ่งที่คุณเขมเรียกยมและหนูขมมาพูดคุยกันถึงเรื่องแต่งงานกันในเรือนแห่งนี้

     “ความจริงเราแค่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับได้แต่งงานแล้วนะจ๊ะ”

     “แต่ยมเป็นคนที่พี่รักมากที่สุด...” จับมือน้องน้อย แล้วจับจ้องวงหน้าด้วยแววตาจริงจัง “พี่อยากทำให้ทุกอย่างถูกต้อง พี่อยากรับขวัญ อยากให้ยมมีความสุขกับสิ่งที่พี่ตั้งใจจะทำให้ยม”

      ถ้อยที่แสนหวานกับแววตาคมเข้มที่มองมาด้วยความจริงใจ ทำให้ยมไม่ออกปากค้านออกมาอีก ในหัวใจของยมอบอุ่นพองโต...เมื่อได้รับขวัญจากคนรัก

     รอบๆเรือนไม่ได้จัดประดับตกแต่งพิธีรีตองอันใดมากตามที่ยมร้องขอ มีเพียงครอบครัวอันมีสมาชิกสามคน มีเพียงหนูขมลูกชายตัวน้อยเป็นพยานความรัก และแขกคนสำคัญเพียงไม่กี่คน

      “พี่เพลิง พี่มั่น พี่เดือน!!”

    “ยม...”

    เด็กหนุ่มโผเข้ากอดพี่ๆทั้งสามที่ให้ความเอ็นดูตนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ตอนที่เพลิงทราบข่าวว่าคุณเขมกำลังจะจัดงานแต่งงานเล็กๆกับยม จึงไม่รอช้าที่จะพามั่นกับเดือนเดินทางมาหายมเพื่อยินดีที่นายของตนตามหาหัวใจจนพบเสียที

    “พี่ดีใจเหลือเกินยม ดีใจที่ยมยังมีชีวิตอยู่ พี่เป็นห่วงเอ็งมากรู้ไหม?” เดือนยิ้มออกมาด้วยความปีติ เรื่องร้ายกลายเป็นดี ดีใจที่เด็กน้อยที่เธอรักเหมือนน้องชายยังมีชีวิต อีกทั้งยังเป็นผู้บริสุทธิ์ หาได้เป็นขโมยอย่างที่เคยถูกครหาไม่

    “ข้าเองก็ดีใจ หมดทุกข์หมดโศกเสียทีนะเจ้ายม แล้วข้าต้องขอโทษด้วยที่วันนั้น...”

    “ช่างมันเถิดจ้ะพี่เพลิง...” ยมชิงตัดบท “เรื่องมันผ่านมาแล้ว ลืมมันไปเถิดจ้ะ”

    “ก็ดีแล้วล่ะที่เอ็งลืมเรื่องร้ายๆไปได้”

    เสียงผู้มีศักดิ์และอำนาจ ทาสทั้งสามก้มหมอบ รวมถึงยมที่ค่อยๆก้มหมอบเช่นเดียวกันอย่างงุนงง เมื่อคุณพระวินิตราชศักดิ์ได้มาปรากฏยังที่เรือนแห่งนี้

     “คุณพระ!”   

   “อือม์...ข้าเอง” คุณพระตอบเสียงเรียบมีอำนาจ ท่านมองยมด้วยความเวทนา รอยแผลเหวอะบนใบหน้าอันเกิดจากฝีมือภริยาทำให้ยมที่ควรจะมีหน้าตาน่ารักเสียโฉม 

       คิดถูกแล้วที่เมตตา...เจ้ายมช่างน่าสงสารเหลือเกิน

     “พี่เข้าไปตรวจงานในกระทรวงมหาดไทย จึงรับคุณพ่อมาด้วยเสียเลย เกรงว่าหากไปรับที่เรือนอาจจะวุ่นวาย” คุณเขมบอกคนรักให้คลายสงสัย แต่กระนั้นเจ้ายมก็ยังคงก้มต่ำ ไม่ค่อยกล้าขึ้นสบตาผู้เป็นนายเท่าใดนัก

     “เอ็งไม่ต้องตกใจหรอกที่เห็นข้า ข้ารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”

    เห็นเจ้ายมยังหน้าตาเลิ่กลั่ก คุณพระจึงบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง คุณเขมเองก็เข้ามาจับมือคนรักไว้แล้วบีบเบาๆ หนูขมเห็นพ่อเขมกำลังกอดพ่อยมจึงวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามากอดบ้าง     

 “เอ๊ะ! แล้วเด็กคนนั้นลูกเต้าเหล่าใครกันรึ?”     

 ผู้มีศักดิ์พลันเห็นเด็กชายวัยประมาณห้าหกขวบยืนมองตาแป๋วด้วยอยากรู้ว่าแขกผู้มาเยือนคือใคร คงเป็นผู้มีศักดิ์สูงมาก พ่อยมถึงได้ก้มหมอบกราบอย่างนอบน้อม   

  “ยม พาหนูขมมาหาคุณปู่สิครับ”

 คุณเขมเรียกคนรัก ยมพยักหน้าก่อนจะจูงมือลูกชายตัวน้อยให้เดินมาหาใกล้ๆ   

  “คุณพ่อขอรับ เด็กคนนี้คือลูกของเราสองคน หนูขม กราบคุณปู่สิลูก”   

   “ทำอย่างนี้นะลูก”   

   เจ้าหนูเดินต้อยๆมาก้มลงกราบบนตักของชายวัยใกล้ชราตามที่พ่อยมเป็นคนแนะนำ โดยมีพ่อเขมคอยอธิบายเรื่องความผูกพันระหว่างยมกับหนูขมที่ทำให้คุณเขมไม่สามารถแยกทั้งสองคนได้ จึงตัดสินใจรับหนูขมเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่ตอนนั้น     

 “หากพ่อกับแม่ของเขาเป็นผู้เอ่ยปากยกให้พ่อเขมก็ต้องดูแลเด็กคนนี้ให้ดี ยมก็ด้วย เข้าใจไหม?”     

“ขอรับคุณพระ” 

 “ไหน...ขอดูหน้าหลานปู่ชัดๆหน่อยซิ”       

“ปู่จ๋าปู่รูปงามจังเลยจ้ะ” หนูขมยิ้มแป้นประจบ คุณพระกลั้วหัวเราะลูบศีรษะป้อยเบาๆ

  “ฮ่ะๆ หลานคนนี้ ช่างพูดช่างจาน่าเอ็นดูเสียจริง”

      ดูเหมือนคุณปู่จะติดใจเจ้าหลานชายคนใหม่เสียแล้ว คุณเขมกับยมเห็นเช่นนั้นจึงค่อยเบาใจ ก่อนจะแนะนำแขกที่คนที่ตนรับมางานแต่งเช่นเดียวกัน

      “ยม นี่คุณบูรพา เพื่อนที่พี่บอกว่าจะมาเล่นดนตรีงานแต่งของเรา”

      “ยมไหว้จ้ะ”

     เด็กหนุ่มจรดมือพุ่มไหว้ คุณบูรพารับไหว้แล้วยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินเข้าไปเชยชมคนรักของคุณเขมที่เจ้าตัวพร่ำว่าคิดถึงนักคิดถึงหนา ตาก็เหลือบมองนิ้วเรียวที่ได้สวมใส่แหวนเพชรวงนั้นเป็นที่เรียบร้อย

    เด็กคนนี้สินะ...คู่ชีวิตของคุณเขม

    “น้องยมนี่ตาสวยหวานจังเลยนะครับ ผิวก็เนียน ไม่แปลกที่จะทำให้คุณเขมหลงใหลขนาดนี้”

    ถ้าไม่ติดว่าใบหน้าครึ่งซีกมีแผลเหวอะ...ยมก็คงจะเป็นเด็กหนุ่มที่รูปงามกว่านี้

   คุณบูรพาคิดอย่างนึกเสียดาย แต่เพราะวันนี้เป็นวันดี ชายหนุ่มจึงหาเรื่องพูดคุยเพื่อไม่ให้ยมรู้สึกเกร็ง ด้วยตอนนี้เด็กหนุ่มได้แต่ตัวแข็งทื่อยามที่ถูกมองวงหน้า

    “เสียงก็ไพเราะชวนฟัง หากน้องยมอยากจะเรียนขับร้องกับพี่ พี่ยินดีสอนให้ดีไหมครับ พี่ไม่คิดอัฐนะ”

     “จริงหรือจ๊ะ?”

      ดวงตาหวานเบิกกว้าง เพราะใครๆต่างก็เคยบอกให้ยมหัดขับร้องเพลง แต่เพลงที่ยมร้องได้มีเพียงเพลงนกกาเหว่าที่จำได้ว่าก่อนที่จะพรากจากพ่อแม่แล้วมาเป็นทาส เป็นเสียงของแม่ที่ใช้เพลงนี้ร้องกล่อมบ่อยๆ

       วัดเอ่ย…วัดโบสถ์…ปลูกข้าวโพด สาลี…ลูกเขยตกยาก…แม่ยายก็พรากลูกสาวหนี …

ส่วนข้าวโพดสาลี …ป่านฉะนี้ก็โรยรา…

       ที่สำคัญ...ยมเคยร้องให้พี่เขมฟังครั้งหนึ่งก่อนจาก คุณเขมยังชมว่าขับร้องได้ไพเราะไม่แพ้เสียงคนขับขานมโหรีในวัง และอยากฟังเพลงอื่นจากยมอีก นี่คงเป็นโอกาสดีที่ยมจะได้ฝึกเพื่อร้องเพลงอื่นนอกจากนกกาเหว่าให้คนรักฟัง

       “จริงสิครับ น้องยมอยากร้องเพลงอะไร พี่จะสอนไม่มีกั๊กเลยนะ” คุณบูรพาเข้ามาลูบแก้มนิ่มไปมาด้วยความเอ็นดู โดยไม่ทันได้สัมผัสถึงรังสีบางอย่างที่อยู่ข้างคนตัวเล็ก

      “อะแฮ่ม!” คนหึงหวงกระแอมขึ้น ทำเอาเพื่อนสนิทถึงกับยิ้มแหย “คุณบูรพา กรุณาปล่อยมือออกจากแก้มของยมด้วยนะครับ”

       คุณบูรพาหัวเราะ ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าคุณเขมกำลัง ‘หวงเมีย’

       วงมโหรีที่คุณบูรพาได้รับสืบทอดมาจากคุณตาบรรเลงบทเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ เสียงเพลงนั้นไพเราะเด่นชัดได้ด้วยผู้ตีระนาดและสีซอสามสายสามารถบรรเลงได้ไม่มีผิดเพี้ยน คุณพระนั่งลงบนตั่งไม้สัก มองบุตรชายที่กำลังกุมมือเจ้ายมไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยอย่างรับรู้ว่า...ต้องเป็นเด็กคนนี้เท่านั้น ที่ได้ครอบครองหัวใจของคุณเขม

       “เจ้ายมเอ๋ย ต่อไปเจ้าหาได้เป็นบ่าวไพร่ไร้ศักดินา เจ้าคือคนรักของลูกข้า ดังนั้น เจ้าเองก็เปรียบเสมือนลูกชายของข้าอีกคนเช่นเดียวกัน จำไว้นะ ความรักของเจ้ากับพ่อเขมอาจไม่เหมือนผู้ใด ฉะนั้น...เจ้ากับพ่อเขมต้องประคองความรักไปด้วยกัน หนักนิดเบาหน่อย ก็ต้องให้อภัย เข้าใจไหม?”

     “ขอรับคุณพระ”

        คุณพระเอื้อมเจิมมงคลแฝดให้ยมพร้อมทั้งอวยพร เดิมทีแม้อาจไม่ค่อยเห็นด้วยว่าความรักของผู้ชายสองคนจะยั่งยืนหรือเหมาะสม แต่ทั้งคุณเขมกับยมก็ได้พิสูจน์ให้เห็น ว่าต่อให้ต้องพลัดพรากจากกัน แต่หัวใจที่มั่นคงจะนำทั้งสองให้กลับมาพบกันอีกครั้ง

        “พ่อเขม ความรักของเจ้ามั่นคง เจ้าพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าสามารถนำหน้าที่ได้ดี สมกับเป็นตระกูลวินิตราชศักดิ์ที่ใฝ่ดีทุกด้าน ในเมื่อเจ้าได้คนรักของเจ้ากลับคืนสมปรารถนา ก็จงดูแลความรักของเจ้าให้ดีจนลมหายใจสุดท้ายนะ”

        คุณเขมสดับคำบิดาที่เจิมมงคลแฝดบนหน้าผากให้ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง หันมองคนรักที่หันมามองเช่นเดียวกัน

       “ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ลูกจะขอดูแลยมตลอดไป ตราบจนลมหายใจสุดท้ายขอรับ”

       ทั้งสองก้มกราบผู้เป็นบิดานอบน้อมเพื่อแสดงความเคารพที่มีต่อบิดา คุณพระลูบขวัญของคนสองคนเพื่อเจิมให้พรและรับขวัญ งานแต่งที่ไม่ได้เอิกเกริก มีเพียงเสียงดนตรีขับขานบรรเลง แขกคนสำคัญที่มาเป็นพยานความรักของคนทั้งสอง คำอวยพรจากผู้ใหญ่ในเรื่องการใช้ชีวิตคู่

       เพียงเท่านี้...ก็ยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน
-----------------------------------------------------------50%------------------------------------------------------

 
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่27(50%)--(15/02/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 24-02-2018 02:35:35
สนุกค่ะ อ่านรวดเดียวยาวเลย
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่27(50%)--(15/02/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 24-02-2018 23:59:36
อ่านรวดเกียว มันมีความดราม่าหนักหน่วงมาก ยมโคตรอึดที่มีชีวิตอยู่รอพี่เขมจนสมหวัง คุณเขลางค์เป็นบ้าใช่ไหม พระรองก็น่าสงสารได้แค่ตอนฉวยโอกาส ชีช้ำมาก ๆ
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่27(อัพครบ)--(15/02/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 27-02-2018 20:55:37
เรือนร้าว27(อัพครบ)
ตอน ครอบครัวของเรา
    ยามค่ำคืน...วงมโหรีหยุดเล่นนานแล้ว ทว่ากลับมีเสียงดนตรีไพเราะจากคุณบูรพาที่บรรเลงกล่อมขับขาน เป็นเสียงซอฝรั่งหรือไวโอลินที่ชายหนุ่มได้ให้สัญญาว่าจะมาเล่นในงานแต่งของคุณเขมเพื่อนสนิท ยมแนบอิงศีรษะลงกับบ่ากว้างมองฝีไม้ลายมือเพื่อนของพี่เขมอย่างชื่นชม คุณบูรพา...ไม่สิ พี่บูรพาคนนี้ช่างเก่งกาจรอบด้าน ทั้งยังมีความมั่นอกมั่นใจสูง หากเด็กหนุ่มมีความมั่นใจได้สักครึ่งหนึ่งของพี่ชายคนนี้ ก็คงจะดีไม่น้อยเลย

       อย่างเช่น...ตอนที่คุณบูรพาสอนยมร้องเพลงลาวคำหอมยามบ่าย ระหว่างที่คุณพระขอตัวบุตรชายสนทนาเรื่องงานที่กระทรวงมหาดไทยสักครู่

        “ยามเมื่อลม...พัด...หวน...”

“ทรงกลด...สวยสด โส...ภา แสงทองส่องหล้า ขวัญตา...เรียม...เอย”

ยามที่คุณบูรพาเปล่งเสียงร้องตั้งแต่คำแรก ไหนจะท่อนที่ต้องเอื้อนก็ช่างไพเราะไปเสียหมด แต่เห็นใจดีก็เถอะ กว่ายมจะพอร้องเอื้อนได้ก็ถูกดุเสียหลายรอบ แต่ดีหน่อยตรงที่ยมจำเนื้อเพลงได้รวดเร็ว เป็นที่ถูกอกถูกใจอาจารย์หนุ่มหน้าสวยคนนี้นัก

“เก่งมากครับน้องยม ไว้วันพรุ่งพี่จะสอนร้องเพลงเขมรไทรโยค เพลงนี้ต้องเอื้อนเยอะมากทีเดียว ยมจะได้เก่งๆ ร้องเพลงเอาใจให้คุณเขมหลงหัวปักหัวปำไปเลย”

“พี่บูรพาพูดอะไรกันจ๊ะ?” เพราะคุณบูรพาขอร้องแกมบังคับให้เรียกพี่ ยมจึงจำต้องเรียกอย่างเสียไม่ได้ด้วยเคยชิน “อีกอย่าง ยมยังเอื้อนไม่เก่งเท่าพี่เลย พี่บูรพาเก่งจังเลยจ้ะ”

“ยมก็ชมพี่เกินไป” เอื้อมมือไปหยิกแก้มน้องด้วยความเอ็นดู แต่เพราะมือหนักไปหน่อยจึงเผลอทำให้เด็กหนุ่มร้องออกมานิดๆ

  “โอ๊ย! เจ็บจ้ะพี่บูรพา”

“เฮ้ยยม...พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ” คนแกล้งรีบปล่อยมือ ทำอะไรไม่ถูก ยิ่งได้ยินเสียงโวยมาแต่ไกลยิ่งเหงื่อแตกพลั่ก

“นั่นคุณบูรพาทำอะไรยมขอรับ!”

ตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ ที่คุณเขมไม่ยอมปล่อยให้ยมคลาดสายตา เพราะกลัวเพื่อนสนิทจอมแกล้งจะเล่นแผลงๆอะไรใส่เมียรักอีก

     “หาว...”

    หนูขมอ้าปากหาววอดๆ ขณะนั่งตักคุณพระชมคุณอาบูรพาเล่นดนตรีฝรั่ง คนเป็นปู่นึกหัวร่อริกอยู่ในใจ เออเสียงไวโอลินนอกจากจะไพเราะเสนาะผู้ฟัง แล้วยังเป็นยานอนหลับชั้นดีให้เด็กเล็กง่วงนอนอีกด้วย

    “พ่อเขม ประเดี๋ยวพ่อจะพาหนูขมไปนอนก่อนนะ เจ้ากับยมก็นั่งฟังพ่อบูรพาเล่นซอฝรั่งไปแล้วกัน”

    หลังจากคุณพระพาหลานชายเข้านอน เพลิง มั่น เดือนไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกินจึงค่อยๆเดินออกไปเงียบๆ เหลือเพียงยมที่ยังคงนอนซบคนรักฟังดนตรีไพเราะอย่างไม่รู้เบื่อ กระทั่งเพลงแรกจบ คุณบูรพาก็บรรเลงเพลงลาวสวยรวย...อันเป็นบทเพลงที่อยู่ในบทละครลิลิตพระลอ หากแต่ครานี้ถูกถ่ายทอดออกมาให้ฟังผ่านซอฝรั่งเพื่อให้คนสำคัญงานแต่งได้ฟัง หากจับทำนองได้ ก็จะมีเนื้อเพลงที่กล่าวถึงความรักของนายแก้วนายขวัญกับนางรื่นนางโรย...พี่เลี้ยงของพระลอและพระเพื่อนพระแพง ความว่า

...สองพี่เลี้ยงแม่เอ๋ยหลากจิต สงสัยคิดประหลาดใจ

หรือพระลอ หน่อไท้ ท่านแสร้งเป็นพราหมณ์ปลอมเอย

ศิษย์ทั้งคู่เที่ยงพี่เลี้ยงพระลอแล้ว เห็นหาแคล้ว หาแคล้วปู่ทาย

สมหมายแล้วเอย สาวมองเมินหาหนุ่มอะคร้าว เห็นใครน้าวเพิงพุ่ม

สองพี่เลี้ยงสองเมียงตะคุ่ม สุมทุมพฤกษาโพ้นเอย โน่นนายขวัญนั่นนายแก้ว

แน่แล้วบ่ สงกา เหลียวหวนหลบ หวนหลบเลี่ยงหน้า ซ่อนหาอยู่ไวไวเอย

สองนวลแม่เอ่ยรื่นโรย สาวชายโชยตามจับ...

สองพี่เลี้ยง สองเมียงขยับ ผลับหายบ่ให้เห็นเอย

ล่อสาวสองเผลอไล่เผลอ แต่หมายมุ่งตามไป เห็นหลงไกล หลงไกลได้ช่อง ปล่อยให้สองเจอะเอย...

    “เพลงก็ไพเราะ คนบรรเลงก็รูปงาม” ยมเอ่ยลอยๆ แต่นั่นกลับทำให้คนตัวใหญ่ขมวดคิ้ว แต่แล้วก็กลับกลายเป็นหัวร่อ มือก็โอบคนรักให้แนบชิดจนไม่เหลือช่องว่าง

     “ไม่ต้องชมคุณบูรพาบ่อยขนาดนั้นก็ได้ อ้อ แต่พี่ก็ไม่ได้นึกหวงยมแล้วล่ะ ตั้งแต่...”

    “พี่เขม หยุดพูดเลยนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่บูรพารู้เข้าความก็แตกกันพอดี”

    ยมร้องห้าม คุณเขมหัวเราะก่อนจะแกล้งหอมเย้าคนรัก กระตุกมุมปากน้อยๆพลางนึกถึงเหตุการณ์ย่ำค่ำก่อนที่คุณบูรพาจะขึ้นมาบรรเลงไวโอลินบนเรือน เรื่องมันเกิดขณะที่เจ้ายมเสร็จธุระปวดเบา แล้วไปเห็นภาพที่เด็กไม่ควรเห็นขณะเดินกลับขึ้นไปบนเรือน

      “ทำไมพี่บูรพาถึงสนิทกับเด็กคนนั้นขนาดนี้ หน้าตาก็มีแผลไม่เห็นน่าชม ทิ้งไม่ชอบ!”

เจ้ายมอาศัยหลบพุ่มไม้แถวนั้นเพื่อสังเกตการณ์ นั่นพี่บูรพากำลังพูดคุยกับผู้ใดไม่เคยพบเห็น เป็นชายหนุ่มผิวคล้ำกร้ามแดด ตัวสูงใหญ่กว่าพี่เขมเพียงนิด ท่าทางจะเป็นคนอารมณ์ร้อน ดูจากที่กำลังบีบรัดแขนคุณบูรพาจนเจ้ายมนึกเจ็บแทน

“อย่ามาว่ายมอย่างนั้นนะบุญทิ้ง! นั่นน่ะคนรักของคุณเขมเพื่อนของพี่ แล้วนี่มาได้อย่างไร พี่บอกแล้วไม่ใช่รึว่าให้รอ อีกสามวันพี่ก็จะกลับสุพรรณแล้ว”

“ก็ทิ้งคิดถึงพี่นี่จ๊ะ” เจ้าคนที่ชื่อบุญทิ้งกล่าวน้ำเสียงอ่อนยวบ แล้วสวมกอดออดอ้อนคุณบูรพาที่ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายไม่พอใจแทน “ทิ้งทนคิดถึงพี่ไม่ไหว ก็เลยแอบตามพี่มาตั้งแต่หน้ากระทรวงแล้วก็อาศัยถามคนแถวๆนี้เอา แอบมองพี่ตั้งแต่ตอนที่พี่มาถึง ทิ้งไม่ชอบเลยที่พี่สนิทกับเด็กนั่นมากกว่า”

“หึงไม่เข้าเรื่องอีกแล้วนะทิ้ง ไม่เอาน่า รอพี่เล่นดนตรีแล้วเราค่อยกลับพร้อมกันนะ”

คุณบูรพาใช้น้ำเย็นเข้าลูบเพื่อให้คนรักเชื่อฟัง ซึ่งนั่นเป็นวิธีที่ได้ผลชะงัก บุญทิ้งพยักหน้ากลายๆว่าตกลง แต่ยังไม่ทันที่คนหน้าสวยจะได้เดินจากไปไหน เจ้าเด็กยักษ์คนนั้นก็ฉวยร่างของคุณบูรพามาใกล้ก่อนจะบดเบียดริมฝีปากมอบจูบอันร้อนแรง ซึ่งคนถูกรุกรานก็ไม่ปฏิเสธ หลับตาพริ้มเต็มใจรับสัมผัสทั้งใบหน้าแดงก่ำ

“พี่บูรพามีคนรักแล้วรึนี่?”

ยังไม่ทันที่ยมจะได้คิดไปมากกว่านี้ คุณเขมที่เห็นเมียรักกำลังแอบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ก็มาสะกิดร่างเล็กเบาๆ เจ้ายมสะดุ้งเกือบร้องออกไปจนคุณเขมต้องจุ๊ปากไม่ให้มีเสียงเล็ดรอด

“พอแล้วนะทิ้ง พี่ไปแล้ว ทำตัวดีๆแล้วพี่จะให้รางวัลตกลงไหม?” คุณบูรพากอดคอกว้างกำชับแล้วเดินจากไป บุญทิ้งมองตามคนงามขึ้นเรือนด้วยรอยยิ้มจนสุดสายตา ก่อนจะไปหาที่กำบังหลบระหว่างรอคนรักเสร็จธุระบ้าง

“พี่เขม...คนๆนั้นเป็นคนรักของพี่บูรพาหรือจ๊ะ?” ยมเอ่ยถามอย่างสงสัย คุณเขมกลั้วหัวเราะพลางเดาะลิ้น

“ก็คงใช่นั่นแหละ หึๆ”

ยมหรี่ตาเล็กน้อย น้ำเสียงพี่เขมฟังดูร้ายๆแกมเหมือนพอใจอะไรสักอย่าง ไม่มีท่าทีประหลาดใจเรื่องที่คุณบูรพาแอบมาพลอดรักกับคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย

คนขี้หวง...ไม่ได้ต่างจากคนที่ชื่อบุญทิ้งอะไรนั่นเลย!



**โอ๊ยยยยยย ขอโทษนะคะที่หายไปนาน อัพแบบงงๆเช่นกัน ไรท์เมาน้ำทะเลอ่ะรีดดด ก๊ากกกก

**เค้าแต่งงานกันแล้วว เพื่อนเจ้าบ่าวนี่แรดเนอะ โปรยเสน่ห์มากไปผัวมาตามเลยเนี่ย5555

หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่28(อัพครบ)--(01/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 01-03-2018 20:27:23
เรือนร้าว28
ตอน สองชีวิต
     แสงจันทร์คืนนี้อบอุ่น ภายในเรือนหลังเล็กที่ทุกชีวิตต่างหลับใหล จะยังเหลือเพียงเจ้ายมตัวน้อยที่ยืนชมจันทร์ นึกขอบคุณพระจันทร์อีกครั้งที่นำพาเขาจนได้มาพบกับพี่เขม ก่อนจะหวนนึกถึงผู้มีพระคุณที่ถึงแม้จะเคยทำร้ายยม แต่อย่างไรบุญคุณของเขาก็ท่วมหัวเกินกว่าจักหมางเมินลงได้ แม้จะมิได้มีหัวใจรักดังเช่นพี่เขม แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงให้ความเคารพนับถือไม่น้อย

     คุณโดม...

    “ยมจ๋า มายืนชมจันทร์หรือ? คืนนี้อากาศหนาวมานอนห่มผ้าเถิด”   

   คุณเขมเพิ่งเดินสำรวจความเรียบร้อยรอบเรือน ส่วนเจ้าลูกชายตัวน้อยนั้นไม่ต้องเป็นห่วงด้วยนอนกอดกับคุณปู่อยู่ที่ห้องรับรองอีกห้อง ร่างสูงเข้าสวมกอดเจ้าตัวน้อยแน่น ยมเอนศีรษะแนบชิดออดอ้อน มือใหญ่เชยคางมนให้ขึ้นสบตาน้อยๆ   

  “คิดอะไรอยู่หื้ม?”       เด็กหนุ่มอึกอักไปเล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจพูดตามที่พี่เขมต้องการ   

  “อยู่ๆ ยมก็คิดถึงคุณโดมขึ้นมาน่ะจ้ะ ยมไม่ได้บอกลาเขาเลย อย่างไรเขาก็เป็นผู้มีพระคุณ”

      คุณโดมอีกแล้วหรือ? ชายหนุ่มไม่เคยใคร่ฟังนามนี้เอาเสียเลย แต่เพราะไม่อยากให้เจ้ายมตัวน้อยไม่สบายใจจึงระงับอาการหึงหวงไว้     

   “แต่อย่างน้อยยมก็ได้ทิ้งจดหมายไว้แล้วมิใช่หรือ? เอาเถิด...หากมีโอกาส พี่จะเข้าไปขอบคุณเขาเสียสักครั้ง เพราะเขาทำให้พี่ได้พบยมเร็วขนาดนี้”     

  ยมไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ทั้งยังรู้สึกผิดลึกๆที่ทำให้จู่ๆพี่เขมทำสีหน้าหงอยลง เด็กหนุ่มจึงรีบตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูดทันที

       “ไปอาบน้ำได้แล้วจ้ะพี่เขม เหนื่อยมาทั้งวัน ยมจะได้อาบต่อ เหม็นเหงื่อจะแย่”

      “พี่เหม็นขนาดนั้นเชียวหรือหื้ม?” คนตัวสูงโน้มจมูกฉกฉวยความหอมที่พวงแก้ม “แปลกนะ ยมก็ยังไม่ได้อาบน้ำ แล้วทำไมตัวยังหอมอยู่เลย”

      “พี่เขม...” เด็กหนุ่มทำหน้าเอียงอาย แต่แล้วก็ต้องเหวอเมื่อร่างถูกอุ้มลอยลิ่ว ก่อนจะถูกวางบนฟูกนุ่มนิ่ม ดวงตาทั้งสองสบกันครั้งแล้วครั้งเล่าลึกซึ้ง ความคิดถึงและถวิลมาที่ต้องอดทนเฝ้าคอย จนในวันนี้ที่ทั้งสองได้กลับมารักกันอีกครั้ง

      “พี่รักยมมากนะ คนดี พี่จะไม่มีวันทิ้งน้องไปอีก ไม่มีวัน!”

    โน้มริมฝีปากจูบแนบสนิท เจ้ายมตัวน้อยหลับตาพริ้มรับสัมผัส นิ้วมือข้างที่ยังสวมแหวนเพชรไม่ยอมถอดลูบแผ่นหลังกว้างอยากบอก...

       ยมดีใจ ที่เราไม่ต้องพรากจากกันอีกแล้ว

       “คนดี”

       ร่างสูงดันเจ้าตัวน้อยให้นอนราบบนเตียง มองดวงตาหวานด้วยทะนุถนอม หวงแหนเหลือเกิน เขาไม่มีวันให้ดวงใจของเขาไปเป็นของคนอื่นเด็ดขาด ยมเป็นของพี่เขมคนนี้มาตั้งแต่แรก...แล้วจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

      “อืม...”

      ริมฝีปากที่ประทับทาบลงไปส่งลิ้นเกี่ยวกระหวัดรุนแรง ก่อนศีรษะทุยจะก้มพรมจูบลงต่ำ สองร่างกอดรัดไม่ห่างกาย ความซ่านเสียวค่อยๆทวีขึ้นยามที่ริมฝีปากร้อนครอบครองกลางกายเล็ก เบิกทางอีกซักเล็กหน่อยก่อนที่ทั้งสองร่างจะสอดประสานเป็นของกันและกันอีกครั้ง...และอีกครั้ง

      เอี๊ยด...เอี๊ยด!!!

       เสียงเตียงไม้ที่เพิ่งถูกเปลี่ยนแข็งแรงพอที่จะรับแรงกระแทกรุนแรงได้ก็จริง แต่ไฟจากตะเกียงก็พลันดับ ลำบากคุณเขมต้องลุกไปจุดอีกครั้งก่อนจะกลับมานอนกอดร่างน้อยชมจันทร์ด้วยกันบนเตียงนุ่ม คืนนี้พระจันทร์ช่างงดงาม...แสงจันทร์อบอุ่นราวกับเป็นผ้าห่มอาบร่างแก่คู่แต่งงานใหม่

      “ตอบเอยตอบถ้อย...”

     เสียงนุ่มทุ้มกระซิบข้างหู เจ้ายมคลี่ยิ้มบางๆเขินอายเมื่อจู่ๆคนรักก็พูดถึงบทเพลง ‘ความรัก’ จากบทละครเวนิสวานิชที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้นำมาแปลเป็นภาษาสยาม ยมเพิ่งได้อ่านก็รู้สึกชื่นชอบบทเพลงที่หวานซึ้งถ้อยนี้นัก

      “เกิดเมื่อเห็นน้องน้อยอย่าสงสัย ตาประสบตารักสมัครไซร้ เหมือนหนึ่งคนดีของพี่สำราญครัน”

      “หือ? เนื้อผิดนะจ๊ะ...” เด็กรู้ทันเอ่ยแย้ง “ต้องเป็น ‘เหมือนหนึ่งให้อาหารสำราญครัน’ มิใช่หรือจ๊ะ?”

      “พี่เพียงอยากเห็นยมมีความสุข” คุณเขมจูบหน้าผากมน สบสายตารักใคร่ “พี่จะทำให้ยมเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ไม่ว่ายมต้องการสิ่งใด พี่ก็จะหามาให้ แม้แต่ดาวกับเดือน”

       “พี่เขม...” เด็กน้อยรับรู้ได้ถึงความรักที่แผ่ซ่านเต็มประดา “สิ่งเดียวที่ยมต้องการ คือได้อยู่กับพี่ตลอดไปเท่านั้น”

   รักที่หวานชื่น กลิ่นอายความรักตลบอบอวล เร่าร้อน รุนแรง ที่แม้แต่พระจันทร์อันเป็นพยานในรักยังต้องเขินอาย คู่แต่งงานใหม่จับมือกันไม่ยอมปล่อย คนพี่นอนกอดน้องจวบจนฟ้าสาง พร่ำรักพร่ำสัญญาไม่พรากจาก ก่อนที่วันใหม่จะย่ำเข้ามาเพื่อเริ่มต้นชีวิตคู่อีกครั้ง

       จะเหลือเพียงอีกหนึ่งชีวิต...ที่โดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน!



 พระยามนตรีต้องตามขุนนางผู้ใหญ่คนอื่นไปยังหัวเมืองบ่อยครั้ง แต่ยังไม่วายให้บ่าวไพร่เก่าแก่คอยติดตามจับตาดูคุณโดมไว้ แต่เพราะอาศัยว่าเป็นตำรวจต้องผจญกับผู้ร้ายและอันตราย ทำให้พวกนั้นไม่ค่อยกล้าตามติดร้อยโทหนุ่มขณะปฏิบัติหน้าที่เท่าใดนัก อย่างวันพรุ่งเขาก็ต้องนำกำลังไปบุกทลายตรอกผีเสื้อหลังจากได้รับข่าวมาว่าเริ่มมีการค้าสิ่งเสพติดผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง อีกทั้งยังริเริ่มขายโสเภณีให้กับพวกฝรั่งดั้งด้วยวิธีที่รุนแรงอันเกินจะรับได้ไหว

          ในหน้าที่เป็นถึงนายตำรวจผู้มีชื่อเสียง เป็นร้อยโทดนัย มนตรีพาณิชย์ ที่ได้รับความไว้วางใจจากรอบด้าน

         แต่ครั้นกลับมา จากสถานะตำรวจยศสูง ไม่ต่างอะไรกับนักโทษที่ถูกเด็กรับใช้ในบ้านเดินตามติดทุกฝีก้าว ตามคำสั่งของพระยามนตรีผู้เป็นใหญ่

      “จะไปไหนก็ไป ฉันจะเดินเล่นที่สวนนี่ล่ะ อีกซักพักถึงจะเข้าบ้าน”

      คุณโดมเอ่ยปากไล่เด็กรับใช้ในบ้านอย่างตัดรำคาญ สายตาที่มองมาดุดันน่ากลัวทำเอาเด็กสาวทรงผมสั้นเท่าติ่งหูต้องรีบห่างออกมาอย่างรวดเร็ว นับแต่วันที่ต้องถูกกักบริเวณร้อยโทหนุ่มก็เปลี่ยนไปราวคนละคน จากคนที่เคยทะเล้นและเป็นกันเองไม่ว่ากับชนชั้นใด กลับกลายเป็นคนพูดน้อยและหงุดหงิดง่าย และยังชอบปลีกวิเวกไปนั่งชมดอกไม้ฝรั่งในสวนเพียงลำพัง

       “น่ารำคาญเสียจริง!”

     ร่างสูงเร่งฝีเท้าเดินมายังสวน เขาเอนหลังกับต้นไม้ใหญ่ที่ใต้ต้นเต็มไปด้วยดอกไลเซนทัสสีขาวบริสุทธิ์ เขายิ่งมองแล้วก็ยิ่งคิดถึง สายตามองพระจันทร์ที่ว่างามที่สุดในรอบหลายเดือน

     หากเขมได้ยินในสิ่งที่เขาพูดกับบิดาในวันนั้น...เขาจะนึกไปตามหายมถึงเชียงใหม่ไหมหนอ?

     มีความเป็นไปได้...เพราะแม่จำปาที่เคยมีข่าวว่าหมั้นหมายกับเขมในครานั้น เมื่อหลายวันก่อนก็ได้ข่าวว่าเธอได้เดินทางกลับไปเรียนต่อที่ปีนัง ด้วยอับอายที่ต้องเป็นหม้ายขันหมาก ไม่กล้าสู้หน้าผู้คนในแวดวงชั้นสูงอีกต่อไป รั้นแต่จะถูกนินทาเสียเปล่า

     เช่นนั้นปานฉะนี้...เขมก็อาจจะไปรับยมแล้ว หรือไร?

      ใบหน้าคมคายกระตุกยิ้ม...

     แต่เชียงใหม่รึก็กว้างใหญ่ ขอให้เขมตามหายมไม่เจอ หากมีโอกาส เขาจะหนีกลับไปหายมที่คอยอยู่ที่เรือนปั้นหยาแห่งนั้น เขาเพียงทำให้คุณพ่อตายใจเท่านั้นว่าจะไม่ไปไหน

     คุณพ่อคงไม่ใจคอโหดร้าย ทำลายโกศของคุณแม่ได้ลง

    “ฉันคิดถึงเธอ...ยม”

    แล้วร้อยโทหนุ่มผู้เก่งไปเสียทุกอย่างจะรู้บ้างไหมหนอ? ว่าคนที่เขารักแสนรัก บัดนี้เจ้าของชื่อที่ยมพร่ำหาได้มารับและครองคู่ด้วยกันอย่างหวานชื่นเสียแล้ว!



      “กรี๊ด!! ฉันไม่ไป ฉันไหว้ล่ะอาซ้อ ฉันไม่อยากทำแล้ว”

      ที่ตรอกผีเสื้อ หญิงสาวท่าทางน่าสงสารคนหนึ่งกำลังถูกชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สองคนบังคับให้ขึ้นเกวียนไปพร้อมกับคนอื่นๆ เธอร้องไห้ด้วยรู้ดีว่าหากแม้นเธอถูกนำขึ้นเกวียนไปเมื่อใด เธอจะไม่มีโอกาสหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์อย่างที่ตั้งใจ

      “ลื้ออย่ามาทำกระแดะหน่อยเลยอาอุ่น ลื้อมันไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกแล้ว พวกลื้อ! เอามันใส่เกวียนไปให้ได้!!”

        “ไม่!! ปล่อยนะ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย!!!”

       ไม่มีวัน...คนอย่างอีอุ่นจะไม่มีวันยอมไปเป็นอีตัวอยู่ถิ่นแดนอื่นเป็นแน่ เพียงอดีตที่ผ่านมาจำต้องทำงานสิ้นคิดเช่นนี้ก็รู้สึกขยะแขยงตัวเองเต็มที ครั้นพอจะเลิกทำก็ถูกฉุดกระชากลากถูบังคับ เธอยอมตายเสียดีกว่า!!

        ปัง!!!

    ในขณะที่หญิงสาวกำลังแทบหมดสิ้นหนทาง เสียงปืนลั่นไกก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของคนที่อยู่บริเวณตรอกผีเสื้อ แม่เล้าร่างอวบอ้วนอ้าปากค้าง จะขยับขาหนีก็ถูกนายตำรวจผู้หนึ่งมาจับกุมไว้ได้ทันท่วงที

     “เราได้รับแจ้งมาว่าที่ตรอกผีเสื้อมีการค้าประเวณีผิดกฎหมาย อีกทั้งยังลักลอบค้าฝิ่นเข้ามาสยาม วายุ ขจร คุมตัวทุกคนไปสอบปากคำ!”

      ร่างของร้อยโทหนุ่มยืนตระหง่าน สั่งประกาศิตแก่ลูกน้อง อุ่นสบโอกาสที่ชุลมุนนั้นวิ่งหนีฝ่าฝูงชนที่รายล้อม แต่ก็หาได้รอดพ้นสายตาคมของร้อยโทหนุ่มผู้นำไม่

      “เฮ้อ! คงตามมาไม่ทันแล้วกระมัง!”

      หญิงสาวหอบตัวโยน ยืนพิงกำแพงอย่างอ่อนล้าเพื่อพักเหนื่อย อย่างน้อยเธอก็คงได้หลุดพ้นวงจรอุบาทว์นั่นอย่างแท้จริงแล้วสินะ หากรู้ว่าจะต้องเป็นเช่นนี้...เธอจะไม่ยอมมาเกลือกกลั้วกับอาชีพนี้เป็นแน่ต่อให้มันจะจำเป็นอย่างไรก็ตาม

     แต่ยังไม่ทันจะก้าวต่อ เธอก็รู้สึกว่าทั้งร่างเหมือนถูกหมุนให้ไปชนกับอะไรบางอย่างเข้าดังปั๊ก!!!

     “ว้าย!!”

    อุ่นหลับตาปี๋ เมิ่อค่อยๆลืมตาก็พบกับนายร้อยโทหนุ่มผู้นำจับและทลายตรอกผีเสื้อที่เธอเคยทำงานอยู่ ร่างบอบบางคิดจะวิ่งหนีอีกครั้ง แต่ก็ถูกรั้งไว้แน่น

     “คุณตำรวจคะ อย่าจับฉันเลย ฉันถูกบังคับ ฉันไม่อยากทำอาชีพนี้ตั้งแต่แรก อย่าให้ฉันต้องติดคุกติดตะรางเลยนะคะ ฉันไหว้ล่ะ”

     แววตาของเธอตื่นกลัว ยกมือไหว้ท่วมหัวพลางร้องไห้น่าสงสาร ทำเอาร้อยโทหนุ่มหัวใจกระตุก เหมือนเห็นภาพที่อยู่ในความทรงจำซ้อนทับ

     เขาเอื้อมมือไม่ให้หญิงสาวแปลกหน้าต้องกราบไว้เขา

       “อย่า! กรุณาอย่าไหว้ผม”

      แม้จะพยายามพูดเสียงเข้ม แต่ก็สั่นไหวไม่น้อย คนตรงหน้าไม่มีท่าทางเสแสร้งหรือใช้มารยาหญิงหลอกล่อเพื่อเอาตัวรอด กลับตัวสั่นเทาราวกับลูกนกปีกหัก เหมือนเหลือเกิน...เหมือนเสียจริง ท่าทีที่หวาดกลัวแบบนั้น

      ท้ายที่สุด...คุณโดมจึงสั่งให้วายุและขจรนำทีมพาผู้ต้องหากลับไปยังกรมตำรวจแทน บัดนี้เขากับหญิงสาวแปลกกำลังเผชิญกับความกดดันภายในรถยนต์ เพราะเธอเอาแต่นิ่งเงียบ สะอึกสะอื้นอย่างกล้าๆกลัวๆ

       “ผมชื่อโดม...”  เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน เพื่อให้หญิงสาวไม่รู้สึกเกร็ง “คุณชื่ออะไร? ผมจะได้เรียกถูก”

       “ฉัน...ชื่ออุ่นค่ะ” ตอบเสียงสั่น เธอทำใจให้ไม่กลัวคนๆนี้ไม่ได้เลย

      “ทำไมคุณมาทำงานที่ตรอกผีเสื้อได้ล่ะ?”

       บรรยากาศที่เงียบงันมาเยือนอีกครั้ง แม้มันจะเป็นปมฝังใจ แต่สุดท้ายคำพูดที่เจ็บปวดก็ค่อยๆออกมาจากปากของแม่อุ่น

       “ฉันไม่ได้เต็มใจมาทำงานอย่างนี้หรอกค่ะ”     

   หญิงสาวก้มหน้าก้มตา เธอกลัวสายตาคมเข้มที่มองมาเหลือเกิน กลัวว่านายตำรวจตรงหน้าจะจับตัวเข้าคุกติดตะราง แต่ก็กลั้นใจเล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาทำงานที่น่าอดสูเช่นนี้     

    อุ่นเคยอยู่กับย่าเพียงสองคน พ่อแม่ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นแตกเนื้อสาวย่าก็มาป่วย เพราะไม่มีเงินที่แม้แต่จะซื้อข้าวสาร เธอจึงต้องมาทำอาชีพสิ้นคิดเพื่อนำเงินมารักษาย่า แต่คนเราล้วนต้องมีดับ หญิงสาวเพิ่งจะเสียย่าไปเมื่อสองวันก่อน พอจะเลิกทำอาชีพนี้ด้วยละอายแก่ใจพวกมันกลับไม่ยอมปล่อย หนำซ้ำยังจะส่งเธอไปขายถึงต่างแดน!

       “ทุกวันนี้ฉันได้แต่ขยะแขยงตัวเอง แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อฉันยากจน ไม่รู้หนังสือ ฉันยังไม่รู้เลยค่ะว่าจะทำกินอะไรต่อ เงินที่หามาก็ถูกอาซ้อโกงไปจนเกือบหมด ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเพียงสิบบาทเท่านั้น”     

   คุณโดมมองหญิงสาวที่กำลังร้องไห้ตรงหน้าด้วยความสงสาร ชะตาชีวิตแม่อุ่นคนนี้อาภัพเหมือนยมไม่มีผิด แต่ต่างกันตรงที่...เธอคนนี้คงไม่เหลือใครแล้วอย่างที่พูดมาจริงๆ     

 “ผมไม่เอาความอะไรคุณหรอกนะ...” ร้อยโทหนุ่มยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้ แม่อุ่นลังเลน้อยๆก่อนจะเอื้อมมารับด้วยท่าทียังกล้าๆกลัวๆ

       “ขอบคุณนะคะ” เธอซับน้ำตาเบาๆ แต่พอจะส่งคืนให้ผู้เป็นเจ้าของกลับถูกปฏิเสธ

       “คุณเก็บไว้เถอะ ไม่เป็นไร”

      คุณโดมไม่ได้ถามอะไรเพื่อให้หญิงสาวรู้สึกอัดอึดอีก เพราะหลังจากนั้นร้อยโทหนุ่มก็กลับไปที่กรมตำรวจเพื่อเตรียมเรื่องฝากขังผู้ต้องหาอันได้แก่อาซ้อแม่เล้า รวมถึงคนในตรอกผีเสื้อด้วย ทีแรกแม่อุ่นพะว้าพะวงด้วยคิดว่าจะถูกจับขัง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่...เขากลับขับรถพาเธอออกไปเรื่อยๆ จนหญิงสาวรู้สึกฉงนยิ่งนัก

      “คุณจะพาฉันไปไหนกันคะ?”

     ร้อยโทหนุ่มนิ่งไปพักหนึ่ง นับแต่เขาได้เห็นแม่อุ่นคนนี้เป็นครั้งแรก เขาก็รู้สึกเหมือนมียมมาอยู่ตรงหน้า เหมือนคืนวันเก่าๆก่อนที่เขาจะถูกยมเกลียดหวนคืนมา

     “ฉันอยากให้เธอได้เจอคนๆหนึ่ง...”

    “คุณจะไม่ส่งฉันให้ทางการใช่ไหมคะ?” แม่อุ่นยังคงไม่เลิกระแวง แต่คุณโดมกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดีออกมา

     “นี่เธอ ฉันเป็นตำรวจนะ ถ้าฉันจะส่งเธอให้ทางการฉันทำตั้งแต่กลับไปที่กรมตำรวจเมื่อครู่แล้ว”

     “เขาเป็นใครหรือคะ?”

     คุณโดมถอนหายใจซักครู่ ตามองดอกไลเซนทัสที่ใกล้จะแห้งเหี่ยวอยู่หน้ากระจกรถ เหตุการณ์คล้ายราวกับซ้ำรอยเดิม ยังจำได้อยู่เลยว่าครั้งนั้น...เขาได้ช่วยยมจากเถ้าแก่ชั่วช้าตัณหากลับ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาตกหลุมรักเจ้าเด็กหนุ่มที่ชื่อยม ทั้งดวงตาที่หมองเศร้าคิดถึงใครซักคน บางครั้งก็ฝืนยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ต่อให้กลัวสิ่งใดก็จะไม่ร้องไห้ต่อเมื่อถึงจุดที่กลัวที่สุดแล้วจริงๆ

      วางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน หลังจากทลายตรอกผีเสื้อซึ่งเป็นงานใหญ่เพื่อกวาดล้างอบายออกจากแผ่นดิน เขาตั้งใจฉวยโอกาสนี้กลับไปรับยมมาอยู่ด้วยกัน เขาฝืนความทรมานนี้ไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ต่อให้ยมจะเกลียดเขา เขาก็ขอเพียงแค่ได้อยู่กับยมก็เป็นพอ

       ภาวนาอย่าให้เขม...รับตัวยมตัดหน้าเขาไปก่อนเลย

      “เขาชื่อยม คนที่ฉันรักมากที่สุด”






เพิ่มเกร็ดความรู้ซักนิสสส(หลังจากไม่มีมานานมว๊ากกกก) เกี่ยวกับเพลงที่ราชาเพลงแปลงเขมได้ร้องจีบน้อง เป็นเพลงที่อยู่ในบทละครเวนิสวานิช บทประพันธ์ของวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ ตอนที่นางปอร์เชียต้อนรับบัสสานิโย และรัชกาลที่หกท่านนำมาแปลเป็นภาษาสยามด้วยมีเนื้อเรื่องที่น่าติดตามและความรักของหนุ่มสาวที่งดงาม

 เนื้อเพลง แปลความว่า...



ความเอยความรัก เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน

 เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ หรือเริ่มในสมองตรองจงดี

แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่

ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย

ตอบเอยตอบถ้อย เกิดเมื่อเห็นน้องน้อยอย่าสงสัย

ตาประสบตารักสมัครไซร้ เหมือนหนึ่งให้อาหารสำราญครัน

แต่ถ้าแม้สายใจไม่สมัคร เหมือนฆ่ารักเสียแต่เกิดย่อมอาสัญ

 ได้แต่ชวนเพื่อนยามาพร้อมกัน ร้องรำพันสงสารรักหนักหนาเอย
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่29(อัพครบ)--(04/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 04-03-2018 20:53:44
เรือนร้าว29
ตอน ความจริงที่โหดร้าย

    เรือนปั้นหยาที่ไม่ได้กลับมานานถึงสามเดือนเงียบเหงาจนผู้เป็นเจ้าของนึกใจหาย เห็นประตูลงกลอนไว้ก็ยิ่งแน่ใจว่าคนที่เคยอยู่เฝ้าให้คงไม่อยู่ วันเก่าไหลเวียนมาสะท้อนความจำแม้จะผ่านไปไม่นานนัก คุณโดมยังจำวันแรกที่พายมมาใช้ชีวิตด้วยกันได้ไม่ลืม

      ครั้นนึกถึงสิ่งไม่ดีที่เคยทำกับเด็กหนุ่มแล้ว...     

    ยมคงรังเกียจที่แห่งนี้...จนแทบจะไม่อยากอยู่ ป่านนี้ก็คงออกไปนั่งเล่นอยู่บ้านฝั่งโน้นกระมัง     

    มือใหญ่ไขบานประตูให้แม่อุ่นเดินเข้าไป ก่อนจะกำชับเธอว่า

     “แม่อุ่นรอฉันที่นี่ประเดี๋ยวนะ ฉันจะไปตามคนของฉันก่อน”

     ไม่รอให้หญิงสาวฉงนไปมากกว่านี้ ร้อยโทหนุ่มรีบเดินไปยังอีกจุดหมายทันที ทั้งที่ยังเหนื่อย เขาไม่ได้หยุดแวะพักเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะใจของเขารู้แค่ว่า...ต้องเจอยมให้ได้

   บ้านไม้หลังเล็กของป้าแจ่ว เขาพบหญิงชราผู้เป็นเจ้าของเรือนหลังเล็กตามคาด แต่คนที่เขาเฝ้าคิดถึงน่ะสิ...เหตุใดกันถึงไม่ได้อยู่ด้วย     

  “ป้าแจ่ว ยมล่ะครับ ยมมาที่นี่รึเปล่า?”   

  เขาชะเง้อหารอบๆเผื่อจะได้พบคนที่เขาเฝ้าคิดถึงมาตลอด       

“พ่อยมไม่อยู่แล้วล่ะพ่อโดม...” หญิงชราส่ายศีรษะ      “มีคนมารับพ่อยมไปแล้ว เห็นว่าชื่อคุณเขม เป็นคนรักของพ่อยมเขา”       

คนเข้มแข็งในยามนี้แทบจะทรุดเข่าลงกับพื้น กลั้นน้ำตาไว้สุดกำลังเมื่อได้สดับฟังเช่นนั้น จนตอนนี้ดวงตาคมเข้มเริ่มพร่ามัวแทบสิ้นสติ     

 ยมไปจากเขา...แล้ว   

 “พ่อยมเขายังฝากจดหมายทิ้งไว้ให้พ่อโดมด้วยนะ”     

มือหยาบกร้านรับจดหมายนั้นมาทั้งที่ยังสั่นระริก ในที่สุดสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดก็มาถึง สิ่งชั่วช้าที่เขาเคยทำไว้กับยม ได้บันดาลผลกรรมอันทำให้ใจของเขาปวดร้าวราวกับมีมีดมาปักตรงกลาง   

    “ป้าแจ่ว แล้วหนูขมล่ะครับ? ผมอยากพูดด้วยเสียหน่อย”   

   เด็กคนนี้รักยมมาก ตัวติดกับยมแทบจะตลอดเวลา ขอแค่ได้พูดคุย หวังว่าเสียงเจื้อยแจ้วที่คอยพูดถึงพี่ชายที่แสนดีจะทำให้ใจของเขาดีขึ้นในยามนี้บ้าง     

 แต่ความหวังก็มลายไปกับตา!!!     

 “หนูขมติดพ่อยมน่ะพ่อโดม คุณเขมจึงขอไปเป็นลูกบุญธรรมเสียเลย เห็นว่าถูกชะตาไม่น้อยเหมือนกัน”

     คุณโดม...

ยมขอโทษที่ไม่ได้รอบอกลาด้วยตัวเอง แต่คุณโดมไม่ต้องเป็นห่วงยมนะจ๊ะ ยมได้เจอพี่เขมแล้ว พี่เขมอธิบายเรื่องทั้งหมดที่ยมเข้าใจผิดไปให้ฟัง เราสองคนเข้าใจกันแล้ว ที่ยมไม่ได้อยู่รอเพราะพี่เขมมีงานด่วนที่พระนคร สิ่งใดที่ยมเคยทำให้คุณโดมขุ่นข้องหมองใจ ขอให้คุณอภัยให้ยมด้วย หากมีโอกาส ยมคงได้ตอบแทนบุญคุณที่คุณโดมช่วยเหลือยมเสมอมา

     “ยม...”   

   คุณโดมกำจดหมายในมือแน่น น้ำตาไหลอาบแก้มสากด้วยหัวใจที่แหลกสลาย ช่วยบอกเขาทีว่าเขาฝันไปใช่หรือไม่ ยมลาจากเขาไปพร้อมกับคนที่รอคอย       

 ส่วนเขา...คงไม่ต่างจากคนไร้ค่า ที่หมดประโยชน์แล้วไม่ได้รับแม้แต่เสียงบอกลา มีเพียงจดหมายที่ทิ้งไว้ให้รับสารก็เท่านั้น     

   เขาเสียยมไปแล้ว...

    “ฉันเสียเขาไปแล้วแม่อุ่น เสียไปแล้ว!”   

    คุณโดมร้องไห้โฮไม่อาย หญิงสาวมองเขาด้วยความสงสารจับจิต แม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน...แต่เธอกลับรู้สึกสงสารคนตรงหน้าเหลือเกิน เวลานี้เขาคงต้องการใครซักคนอยู่เคียงข้าง   

   “...” แม่อุ่นจับมือหนา ส่งสายตาให้กำลังใจ “เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ? ว่าเกิดอะไรขึ้น”   

    คุณโดมยื่นจดหมายส่งให้ หญิงสาวส่ายหน้าบ่งบอกว่าไม่รู้หนังสือ ร้อยโทหนุ่มจึงกล้ำกลืนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง     

  “มีคนมารับเขาไปแล้ว ฉันเป็นเพียงแค่คนดูแลเขา เขามีคนที่เขารักหมดหัวใจ”   

   เท่านี้อุ่นก็พอจะจับใจความทั้งหมดได้ เพียงเพราะคนๆเดียว ที่ทำให้ร้อยโทหนุ่มผู้งามสง่า ดุดัน ต้องมานั่งกอดเข่าร้องไห้   

   คนๆนั้นช่างโชคดีเหลือเกิน ที่ได้ความรักจากใครซักคน เธอนี่สิ...ทั้งชีวิตนอกจากย่าแล้ว ไม่เห็นจะมีใครบอกรักเสียสักคน ชีวิตที่เคยสกปรกโสมม ได้รับความเมตตาจากนายตำรวจฉุดขึ้นมาจากนรกก็นับว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวงแล้ว

    “แล้วคุณโดมจะทำอย่างไรต่อไปหรือคะ?”

   เขายังไม่ตอบแม่อุ่นทันที มือหยาบกร้านนั้นกอดจดหมายไว้ไม่คลาย เขมมารับยมไปเช่นนี้ แล้วเขาจะพายมกลับมาอยู่ด้วยกันเช่นเดิมได้อย่างไร

     ไม่สิ...เขาไม่เคยมีสิทธิ์ในตัวยมด้วยซ้ำ เขามีหน้าที่ดูแลยมจนกว่าเขมจะมารับไป ก็เท่านั้น การที่เขารักคนที่มีเจ้าของอยู่แล้วช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

     ฝ่ามือจากหญิงสาวที่ร้อยโทหนุ่มช่วยชีวิตไว้ประกบ คุณโดมรู้สึกได้ถึงกำลังใจจึงได้แต่ฝืนคลี่ยิ้มบางๆส่งให้ แย่จริง! นี่เขาเผลอแสดงท่าทีอ่อนแอต่อหน้าคนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นานอย่างนั้นรึ?

   “แม่อุ่นรู้ไหม? ว่าคนๆนั้นเหมือนแม่อุ่นมากขนาดไหน?” เฉไฉไม่ตอบคำถาม แต่กลับยิงคำถามออกมาเสียแทน

    “คะ?” แม่อุ่นขมวดคิ้วฉงน

   “เขาชอบให้กำลังใจ เขาจะคอยถามฉันยามที่ฉันไม่สบายใจเสมอ...”

   แต่ไม่เคยจับมือ...

   เอาแต่ไว้ตัวออกห่าง...ยิ่งนับจากวันที่เขาทำร้าย ยมยิ่งไว้ตัวออกห่าง อะไรก็เรียกแต่ชื่อคุณเขม ปากก็บอกไม่เคยโกรธเกลียด แต่การกระทำนั้นรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด

   ร้อยโทหนุ่มจับมือหญิงสาวที่หวังดีกับเขาเบาๆ...อย่างน้อยยามนี้ เขาก็ต้องการใครซักคนมาอยู่เคียงข้าง

   “เขาเคยลำบากจนฉันต้องช่วยเหลือ ฉันผูกพันกับเขา และเกิดเป็นความรัก รู้ทั้งรู้...ว่าเขาไม่มีวันรักฉันตอบ”

    นับจากนี้ที่ไม่มียม...

    ที่ๆว่างเปล่า มีเพียงความทรงจำที่ดีก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายเกลียด

   คุณโดมพักที่เชียงใหม่ได้เพียงคืนเดียวทั้งที่ยังคงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ตัดสินใจขับรถกลับพระนครทันที ตลอดทางไม่รู้สิ่งใดดลใจให้หญิงสาวมองจับจ้องอาการของเขาตลอดเวลา เขานิ่งซึม น้ำตาคลอเบ้าคล้ายจะร้องออกมาเสียให้ได้

     “คุณอยากจะร้อง ก็ร้องออกมาอีกเถอะค่ะ ถ้ามันจะทำให้คุณดีขึ้น”

    ร้อยโทหนุ่มส่ายหน้า แสร้งทำเป็นฝืนยิ้ม “ครั้งเดียวฉันก็อายแม่อุ่นจะแย่”

     ทั้งที่เพิ่งได้รู้จัก แม้จะทำเป็นเก่ง ดูไม่ทุกข์ร้อนและยิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มของเขามันถูกแสร้งเพื่อกลบความเศร้า เศร้าที่คิดถึงคนๆนั้นมากเหลือเกิน

     “แล้วถ้าฉันเป็นเพื่อนของคุณล่ะคะ?” หญิงสาวจับมือแกร่ง ร่างสูงหยุดชะงักไม่ขับเคลื่อนยานพาหนะต่อ

     “ฉันรู้ว่าฉันต่ำต้อยเกินกว่าจะเป็นเพื่อนของคุณ แต่คุณเป็นผู้มีพระคุณสำหรับฉันเหมือนกัน ชาตินี้อาจทดแทนเสียไม่หมดด้วยซ้ำ สิ่งใดที่ฉันพอจะช่วยคุณได้ ฉันก็...”

      “ฮึก!”

     เขาเผลอรั้งร่างของหญิงสาวเข้ามากอด กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ใครจะไปคิดเล่าว่านายตำรวจหนุ่มผู้แข็งแกร่งคนนี้จะมาร้องไห้ต่อหน้าหญิงสาวได้ถึงสองครั้ง ทั้งที่เพิ่งรู้จักเพียงวันเดียว ดวงตากลมเบิกโพลงตกใจสิ่งที่เหนือความคาดหมาย

   แต่สองมือกลับกอดตอบเขาด้วยใจที่สงสาร...

   ชีวิตเธอก็เจ็บ ชีวิตเขาก็คงจะปวดร้าวน่าดู คนเจ็บทั้งสองได้มาพบกัน ต่างระบายความรู้สึกผ่านอ้อมกอดของความเป็นมิตรที่เพิ่งก่อตัว

     ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง ไม่เป็นไรนะคะ ฉันจะอยู่กับคุณเอง ผู้มีพระคุณของฉัน

    “บ้านแม่อุ่นอยู่ที่ไหน? ฉันจะไปส่ง”

     คุณโดมเข้ากรมตำรวจเพียงไม่นานหลังมาถึงพระนครเพื่อดูสำนวนคดี ก่อนจะขับรถมาตามทางโดยยังมีหญิงสาวนั่งเป็นเพื่อนไม่ห่าง

    “เอ่อ...คือ...”

   ไม่กล้าบอก...ว่าเธอไม่มีแม้กระทั่งที่จะซุกหัวนอน ตั้งแต่ย่าของเธอจากไป แม่อุ่นถูกโกงค่าตัวจนไม่มีเบี้ยอัฐจ่ายจนบ้านถูกยึด ตรอกผีเสื้อที่เคยไปอาศัยแม้จะเป็นฝันร้ายก็ถูกทลายลง เอาอย่างไรดี?

    ไม่อยากให้คนที่แสนดีอย่างเขามาลำบาก...เพราะเธอเป็นภาระ

     “ถ้าฉันจะขอกลับไปที่บ้านของฉันเสียสักครู่ แม่อุ่นคงไม่ว่ากระไรใช่ไหม?”

    หญิงสาวพยักหน้า จวบจนคุณโดมขับรถกลับมายังที่ๆเรียกว่าบ้าน รอบด้านบริเวณกว้างโอ่โถง ตัวบ้านแม้จะรูปทรงดูแปลก แต่ก็ดูอบอุ่นน่าอยู่ไม่น้อย อย่างเธอคงทำได้เพียงชะเง้อมองก็เท่านั้นเอง

     “สวยจังเลยค่ะ”

     ใช่...บ้านสวย แต่มันไม่ต่างจากกรงทองสำหรับฉันนักหรอก แต่ผู้หญิงกับของสวยงามมักเป็นของคู่กัน ไม่แปลกใจที่แววตาของเธอดูตื่นเต้นกับสถานที่ตรงหน้า

    “อยากจะลงไปเดินเล่นเสียหน่อยไหมเล่า?”

    “ได้หรือคะ?”

     เขาไม่ตอบ เพียงแต่ลงจากรถเพื่ออ้อมมาเปิดประตูรถให้เธอ “เชิญครับ”     

    แม่อุ่นทัศนารอบๆหลังจากคุณโดมอนุญาตให้เข้ามาดูด้านในได้ หญิงสาวดูตื่นตากับดอกไม้นานาพันธุ์ ตลอดชีวิตเธอยังไม่เคยได้พบสิ่งสวยงามเหล่านี้มาก่อน ทว่ายังไม่ทันจะได้ชื่นชมหรือเอ่ยสิ่งใด สิ่งที่ทำลายความสุขของทั้งสองคนก็มาเยือน...

    “กลับมาแล้วรึ?”   

  เสียงทรงอำนาจของพระยามนตรีดังก้อง ร่างของหญิงสาวสะดุ้ง แต่คุณโดมจับมือเธอไว้แน่นบอกเป็นเชิงว่าอย่าได้กลัว   

   “นึกว่าจะกลับไปกกกอดไอ้เด็กนั่น แล้วทำไมถึงไปคว้าผู้หญิงที่ไหนมาแทนเล่า?” 

    จากเสียงทรงอำนาจ...แปรเป็นเสียงเหี้ยมเกรียม คุณโดมเบิกตากว้าง หาได้กลัวน้ำเสียงจากบิดาไม่ เขาหวาดกลัวสิ่งที่อยู่ในมือของบิดาต่างหาก   

  โกศของคุณแม่อันนา!!   

  “ฉันเคยเตือนแล้วนะ ว่าถ้าก้าวออกจากพระนครแม้แต่ก้าวเดียว...”   

  เพล้ง!   

โกศแก้วที่บรรจุอัฐของมารดาถูกปล่อยกระแทกลงพื้นต่อหน้าต่อตา เศษธุลีบางส่วนปลิวหายไปกับลม               

 “มัม!!”   

  ร้อยโทหนุ่มวิ่งถลาเข้าไปโกยเถ้าธุลีของมารดาอันเป็นที่รักเท่าที่พอไหว สองมือประคองไม่ให้แม้เพียงเศษเสี้ยวหายไปด้วยความเจ็บปวด เขาหันขวับมองพระยามนตรีที่กระทำสิ่งโหดร้ายต่อเขาอย่างไม่รู้สึกรู้สา ช่างจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเหลือเกิน!   

  “คุณทำอย่างนี้กับมัมได้อย่างไร!?” คนๆนี้โหดร้าย จนเขาไม่อาจจะเรียกว่า’พ่อ’ได้อีกต่อไป

“มัมเกี่ยวอะไรด้วย? ผมแค่คิดถึงยม คุณต้องมาลงที่ผม ไม่ใช่มัม!”     

“มันผิดตั้งแต่ฉันรับลูกของนังฝรั่งหยำฉ่ามาเลี้ยงแล้วต่างหาก!” พระยามนตรีชี้หน้า แม่อุ่นเข้ามาประคองคุณโดมที่ได้แต่มองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ     

 “ก็ก่อนที่นังอันนามันจะมาเป็นเมียฉัน มันติดท้องแกมาด้วย ฉันก็เลยจำใจต้องเลี้ยงแกอย่างช่วยไม่ได้”         

ความจริงมิได้สวยงามเสมอ...เรื่องนี้ก็เช่นกัน พระยามนตรีเกิดถูกตาต้องใจอันนา...ลูกสาวเจ้าของร้านตัดเสื้อฝรั่ง โดยไม่สนใจว่าเธอกำลังตั้งท้องอยู่กับคนรักที่กำลังจะแต่งงาน ใช้กำลังทุกทางเพื่อให้ได้เธอมาครอง ไม่มีใครกล้ายื่นเข้าช่วยเหลือเพราะพระยามนตรีขึ้นชื่อเรื่องอิทธิพลนัก       

“มะ...ไม่จริง!” คุณโดมพึมพำ เมื่อได้รับรู้ความจริงที่ถูกปิดไว้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิด   

 “ยังไม่พอ ขนาดมันมีฉันเป็นผัวมันยังหาเรื่องกลับไปหาผัวเก่ามัน ก็พ่อแท้ๆของแกน่ะแหละ ฉันก็เลยสั่งสอนอะไรแม่แกนิดๆหน่อยๆ”

    “คุณ คุณทำอะไรแม่ผม!!”   

“หึ!” พระยามนตรีกระตุกยิ้ม “ในเมื่อมันหลายใจ ฉันก็เลยจ้างคนให้ไปสนองมันให้ โชคร้ายที่มันได้โรคติดมาด้วย ฉันรังเกียจ แต่ฉันก็รู้ว่าอย่างไรมันก็ต้องตาย ฉันหยามมันทุกทาง รวมถึงแต่งงานกับคนที่มีฐานะทัดเทียมกับฉัน เพื่อหยามหน้ามันจนมันตาย!”   

  คุณโดมพูดอะไรไม่ออก ดวงตาคมเข้มสั่นไหว คลอเบ้าไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด มิน่าเล่า ยามที่เขาไม่ทำตามที่พระยามนตรีผู้นี้ต้องการ เขาจะถูกด่าทอด้วยวาจาที่เจ็บแสบ เพราะเขา...หาใช่สายเลือดของคนๆนี้   

คนที่มากด้วยยศศักดิ์...แต่ใจคอหยาบช้าต่ำทรามกว่าโจร!!   

 ต่อหน้าผู้อื่นพูดยอดีอย่างนั้นอย่างนี้   

ลับหลังเขาก็ไม่ต่างกับที่ระบาย ถูกหยามจากคนที่เคยเรียกว่า’พ่อ’

   “ไม่เคยคิดเลย ว่าฉันจะมีลูกวิปริต นึกอุตริเป็นพวกลักเพศเช่นแก!”   

  “ผมก็ไม่คิดเลยว่าตำรวจอย่างผม จะเคยมี’พ่อ’ที่ใจคอโหดร้ายได้ถึงขนาดนี้!”   

 “แกจะจับฉันก็ได้นะ” พระยามนตรีเหยียดยิ้ม มองร่างในเครื่องแบบกำลังค่อยๆใช้มือโกยเศษธุลีมารดาเข้ามาใกล้กลัวลมพัดมารดาไปจากเขา   

 “ผมไม่จับคุณหรอกครับ ถือว่าเป็นบุญคุณที่คุณเลี้ยงผมมา ขอให้เราจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้”   

 “หึ!” ร่างท้วมเดินกลับเข้าไปในบ้าน หลบซ่อนแววตาบางอย่างไว้ไม่ให้คุณโดมเห็น แม่อุ่นมองผู้มีพระคุณด้วยหัวใจที่สงสารยิ่งนัก   

 แควก!!   

หญิงสาวฉีกชายเสื้อจนพอที่จะห่อหุ้มเถ้าธุลี ลำพังผ้าเช็ดหน้าที่คุณโดมให้เธอคงไม่พอที่จะเก็บได้เพียงพอ ร่างสูงก้มกราบอย่างสุดจะเสียใจ แม่อุ่นสะกิดแล้วยื่นเศษผ้าส่งให้   

 “รีบเก็บอัฐแม่ของคุณก่อนเถอะค่ะ ก่อนที่ลมจะพัดปลิวเอา”  เขาพยักหน้าขอบคุณ ก่อนจะค่อยโกยเศษ ธุลีเข้าเนื้อผ้าแล้วโอบกอดไว้ด้วยเสียใจอย่างสุดซึ้ง ความจริงที่ไม่ทันได้ตั้งรับช่างเจ็บปวดเหลือเกิน     

“มัมครับ ทำไมผมไม่เคยรู้เลยว่ามัมจะถูกทำร้ายขนาดนี้”     

ร้อยโทดนัย มนตรีพาณิชย์...ผู้ไม่เคยปล่อยคนชั่วลอยนวล ยามนี้อ่อนแอเหลือเกิน คนที่ทำร้ายแม่ของเขาหาใช่บิดาผู้ให้กำเนิดก็จริง แต่บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนก็ท่วมท้น จนไม่อาจจะหักใจจับตัวอดีตผู้เป็นบิดาได้   

 มิน่าเล่า ตั้งแต่เด็กจนโต เขาถึงได้ต่อต้านสิ่งที่บิดาพยายามยัดเยียดให้ทุกอย่าง เลือกเรียนตำรวจ แทนที่จะเรียนด้านรัฐศาสตร์เพื่อรับราชการในกระทรวงตามที่ต้องการ ที่แท้พระยามนตรีก็หวั่นเกรงภัยที่อาจมาถึงตัวนั่นเอง   

 ต่อไปเขาไม่ใช่ดนัย มนตรีพาณิชย์   

 จะเป็นเพียง’ไอ้โดม’ ไอ้โง่ที่เสียความรู้สึกให้กับคนที่รักและเทิดทูน   

  ตอนนี้ไอ้โง่อย่างเขาทำได้เพียงค่อยๆประคองมารดาขึ้น โดยมีหญิงสาวที่อยู่เคียงข้างช่วยพยุงขึ้นมา   

“แม่อุ่น...” คุณโดมเหลือไปเห็นชายเสื้อฉีกขาด เป็นสีเดียวกับที่ห่อหุ้มธุลีของคุณอันนา โชคดีที่เสื้อตัวใหญ่โคร่งจึงไม่ได้เห็นเนื้อหนังมังสาได้ชัดเจน   

 “โกศแตกแล้ว แล้วผ้าเช็ดหน้าที่คุณให้ฉันก็เล็กเกินกว่าจะห่อหุ้มได้ เอ่อ...”   

“ขอบคุณนะแม่อุ่น” เขายิ้มบางๆส่งให้เธอ อย่างน้อยหญิงสาวที่เขาเคยช่วยไว้ก็ยังพอเป็นที่พึ่งยามที่เจ็บที่สุดในชีวิต   

 “แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อหรือคะ?”     แม่อุ่นถามหลังจากที่ร้อยโทหนุ่มให้เธอมานั่งบนยานพาหนะทรงกระดองเต่าเป็นที่เรียบร้อย     

“ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วแม่อุ่น...” แม้จะพยายามกลั้นน้ำตาไว้ แต่ความจุกอกก็ทำให้หยาดนั้นคลอเบ้า เกินกว่าจะรับจนต้องปบ่อยให้ไหลอาบแก้มช้าๆ

     “คุณโดมจะกลับไปเชียงใหม่หรือคะ?”     

เขาส่ายหน้า ที่ๆไม่มียม...ต่อให้กลับไปก็มีแต่จะเจ็บมากขึ้น

    “ฉันคิดว่าก็คงจะไปเช่าเขาอยู่ อ้อ! บ้านแม่อุ่นอยู่ไหนล่ะ? ฉันจะไปส่ง”    แววตาของเธอสั่นริก วูบไหว เศร้าหมองกะทันหัน

    “คุณกรุณาพาฉันไปส่งข้างหน้าได้ไหมคะ?”

    “บ้านของคุณอยู่แถวนั้นรึ?”

     “เอ่อ...” หญิงสาวอึกอึกอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้คุณโดมพอจะรู้แล้วว่าเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้

    “เราเป็นเพื่อนกันนะคุณ คุณบอกผมเองไม่ใช่หรือ?”   

“ความจริงแล้ว ฉันไม่มีบ้านหรอกค่ะ...” แม่อุ่นตอบเสียงสั่น “พอย่าฉันเสีย บ้านก็ถูกยึดจนต้องไปซุกหัวนอนที่ตรอกผีเสื้อ ฉันไม่อยากเป็นภาระของใคร กรุณาให้ฉันไปตามทางของฉันเถอะค่ะ”     

 คุณโดมเก็บซ่อนความอ่อนแอไว้อีกครั้ง เขารู้ดีว่าณ ตอนนี้ ไม่มีผู้ใดจะยากลำบากไปกว่าหญิงสาวที่เป็นเพื่อนยามยากกับเขา แม้จะรู้จักกันได้ไม่นานนัก แต่เขาก็รู้ทันที หญิงคนนี้ไม่มีวิสัยมารยาหญิง เธอซื่อ บริสุทธิ์ น่าสงสาร...เหมือนคนๆนั้น

     “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ”

     “แต่ว่า...”     

   “ต่อไปแม่อุ่นจะไม่ลำบากแล้วนะ...” ร้อยโทหนุ่มบีบมือเล็กเบาๆ “เราจะอยู่ด้วยกัน คุณจะได้ทำงานสุจริต ลืมอดีตของคุณไปเสีย เริ่มต้นใหม่กับผม”   

 “แล้วคุณจะให้ฉันอยู่ในฐานะอะไรคะ?”     

 แม่อุ่นกังวล เธอเป็นหญิง ต่อให้อดีตจะเป็นโสเภณีน่ารังเกียจ แต่นั่นแหละที่ยิ่งทำให้เธอกังวลว่าอาจทำให้คุณโดมมัวหมอง คนต่ำต้อยอย่างเธอ...เป็นได้เพียงคนรับใช้ก็ดีถมแล้ว   

   “ภรรยา...” เขาตอบโดยไม่คิด “คุณจะอยู่...ในฐานะภรรยาของผม”   

    “ได้อย่างไรกันคะ?” หญิงสาวเบิกตาอย่างตกใจ “เราไม่ได้รักกัน คุณเองก็มีคนที่คุณรัก”

     ทำไมตัวเองถึงนึกปวดใจเล่า?

     “ผมไม่อยากให้ใครมองคุณไม่ดี” คุณโดมอธิบาย “แม้คุณจะอยู่ในฐานะภรรยาของผม แต่ผมสัญญาว่าเราจะอยู่กันเช่นเพื่อน ผมจะไม่แตะเนื้อต้องตัวคุณแม้ปลายเล็บ”

      เพราะคุณรักคนนั้นของคุณมากใช่ไหมคะ?

      ทั้งที่ควรจะดีใจที่จะเจอชายที่ให้เกียรติเธอมากขนาดนี้ แต่เหตุใดจึงนึกปวดใจนักเล่า อีอุ่น...อย่าได้นึกว่าเป็นความรักเจียว หล่อนเพิ่งจะรู้จักเขาเองมิใช่หรือ?

  บ้านเช่าหลังใหม่ที่คุณโดมมาเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ใหญ่โต ออกจะเล็กกว่าเรือนปั้นหยาเสียด้วยซ้ำ ต่อแต่นี้เขาจะสามารถอยู่ได้ด้วยเงินเดือนตำรวจ มิใช่ทรัพย์สินติดตัว อีกทั้งยังขอให้หญิงสาวช่วยประหยัด เก็บหอมรอมริบ ซึ่งแม่อุ่นก็ยินดี

     ใครจะไปคิดเล่า...ว่าชีวิตของเขาจะพลิกผัน อยู่ที่ๆของตัวเองไม่ได้ จนต้องออกมาระเห็จเช่าบ้านพร้อมกับหญิงสาวที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงวันเดียว

      “พอดีดอกไม้บนรถของคุณมันเฉาแล้ว ให้ฉันนำไปทิ้งให้ไหมคะ?”

      แม่อุ่นเพิ่งทำความสะอาดภายในรถยนต์จนเสร็จหลังจากปัดกวาดเช็ดถูรอบบ้านเช่า คุณโดมปฎิเสธพร้อมบอกให้เธอส่งซากดอกไลเซนทัสให้ พลันภาพคืนวานเก่าๆก็กลับมาหาเขา

     ชาตินี้ต่อให้ฉันจะไม่ได้พบเธอ แต่ฉันก็จะไม่มีวันตัดใจจากเธอเด็ดขาด ฉันช่างเป็นคนมีกรรม...ที่ไปรักคนที่มีเจ้าของเช่นเธอ...ยม

     แววตาเศร้า โหยหา อาลัยอาวรณ์ แม่อุ่นตระหนักได้ทันที เขาคงกำลังคิดถึงคนที่ปรารถนาจะได้พบเป็นแน่

     ไม่อยากเห็นคุณโดมเศร้าเพราะคนๆนั้นเลย

หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่30(อัพครบ)--(05/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 05-03-2018 19:51:38
เรือนร้าว30
ตอน กอดฉัน

     ตลาดยามเย็นย่านปากเกร็ดคึกคักไม่แพ้พระนคร ผู้จับจับจ่ายซื้อสินค้าตามประสายาก เสียงแม่ค้าเร่เรียกให้ซื้อสินค้าของตน แม่ค้าบางคนก็ถ้อยอัธยาศัยดีหมายให้ซื้อสินค้าจากตนให้เยอะที่สุด แต่บ้าง...ก็ทำเสียงคล้ายไม่เต็มใจอยากจะขายเท่าใดนัก

        “ป้าจ๊ะ พริกแดงกำนี้ขายอย่างไร?”         

 เจ้ายมเดินจ่ายตลาด จูงมือเด็กน้อยที่ในมือถือขนมเคี้ยวตุ้ยๆ แต่ตาแป๋วของเด็กวัยหกขวบก็พอจะสังเกตได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรยามที่มองพ่อยมของตน       

  “กำละสามสลึง” นางตอบห้วนๆ ร่างอวบโบกพัดจนไขมันที่แขนกระเพื่อมไม่แยแส     

    “ที่อื่นเขาขายกำละสลึงเอง ลดให้นิดหนึ่งได้ไหมจ๊ะ?”

ยมเอ่ยถาม เผื่อว่าจะได้ลองต่อราคาดูบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับคือสายตาที่ตวัดมองมาด้วยหยามเหยียด 

“ไม่มีปัญญาซื้อก็ไปไกลๆ ไอ้พวกลักเพศ!!”   

   “ป้ายักษ์อย่าว่าพ่อยมนะ!!”   

     หนูขมเองก็ไม่ยอม แม้เด็กตัวแค่นี้ไม่มีทางรู้ว่าคำว่าลักเพศหมายถึงอะไร แต่ก็คงไม่ใช่คำที่ดีเป็นแน่     

   “ต๊ายย!! ไอ้เด็กนี่ปากเสียนัก แม่จะตบให้ฟันร่วง”     

   “อย่าจ้ะ! ไปแล้วจ้ะไปแล้ว”     

   ไม่รอให้เขาด่าว่าไปมากกว่านี้...ยมก็รีบจูงมือลูกน้อยไปจากตรงนี้ทันที ไม่ได้กลัวจะถูกต่อว่าหรอก แต่กลัวป้าขายพริกท่าทางน่ากลัวนั่นจะทำร้ายลูกเอาจริงๆ ให้ตายเถิด...ขู่ได้แม้กระทั่งเด็กตัวเล็ก     

 “ไปไกลๆไป๊!! ไอ้หน้าผี!” 

    ความจริงก็น่าจะชินตั้งนานแล้ว เพราะนี่หาใช่ครั้งแรก   

  นับแต่เขาแต่งงานกับพี่เขม ใช้ชีวิตคู่เฉกเช่นคู่รักอื่นสามัญ เรื่องความรักของชายสองคนมาใช้ชีวิตด้วยกันก็เป็นที่ซุบซิบนินทา ยิ่งฝ่ายหนึ่งเป็นถึงบุตรชายของคุณพระผู้พร้อมสรรพทั้งรูปและหน้า ในขณะที่อีกคนตรงข้าม ทั้งอัปลักษณ์ ทั้งไม่มีชาติตระกูล ไม่มียศศักดิ์ แผลเป็นบนใบหน้าทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นรังเกียจจนไม่อยากคบหาด้วย       

 “กลับมาแล้วหรือยม?”       

เพลิงมั่นเข้ามาช่วยถือข้าวของในมือ ตั้งแต่วันที่แต่งงานคุณพระอนุญาตให้ทั้งสองมาอยู่ดูแลที่นี่ ช่วยยมดูแลบ้านช่องยามที่คุณเขมไปทำงาน ส่วนเดือนขอลากลับเรือนคุณพระ ด้วยเหตุผลที่ว่า ยังคงเป็นห่วงคนทางนั้น     

 ปีนี้เด็กน้อยมีอายุครบหกขวบเต็ม ผู้เป็นปู่จึงจัดการให้หลานชายได้เข้าเรียนชั้นประถมตามที่หลวงออกกฎทันที แต่ช่วงนี้โรงเรียนปิดเทอม เจ้าหนูจึงได้อยู่เป็นเพื่อนพ่อยมอีกคน     

 “หน้าซึมมาเชียวยม ถูกพวกนั้นมันว่าเอาล่ะสิ พี่น่าจะไปด้วยตั้งแต่แรก”     

  มั่นลูบแขนน้องชาย ยมได้แต่ฝืนยิ้มน้อยๆ แม้จะไม่เป็นไร...หากใจลึกๆกลับรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี ทุกวันนี้เขาไม่อะไรจากตัวประหลาดให้ใครต่อใครตราหน้า   

  “พี่มั่นไม่ค่อยสบาย ให้พี่เพลิงอยู่ดูแหละดีแล้วจ้ะ ยมไม่ได้ลำบากอะไร” เด็กหนุ่มยิ้มส่งให้มั่นที่ทำหน้าเจื่อน หมายให้สบายใจ “จะเย็นแล้ว ยมขอไปทำกับข้าวกับปลาก่อนนะจ๊ะ”

     เด็กหนุ่มจูงเจ้าหนูเดินเข้าไปในห้องทำครัว ให้หนูขมช่วยเด็ดล้างดอกโสนเพื่อนำพาผัดไข่ตามที่ตกลงไว้โดยมีพี่เพลิงคอยสอนอีกที ส่วนพี่มั่นก็ถูกบังคับให้กลับไปนอนในห้อง

      น่าเสียดายที่ไม่ได้ซื้อพริกสดมา เพราะวันก่อนพี่เขมบ่นว่าอยากกินผัดเผ็ดมะเขือเปราะ สุดท้ายแล้วกับข้าวเย็นวันนี้จึงมีแต่เพียงดอกโสนผัดไข่ ปลาทูทอดเกรียมๆ และหมูโสร่ง ซึ่งแต่ละอย่างไม่มีส่วนผสมของพริกแม้แต่น้อย

       “พี่เพลิงจ๊ะ ยมปวดหัวนิดหน่อย ถ้าพี่เขมมาก็เอาออกไปตั้งได้เลยนะจ๊ะ”

       ไม่พูดพร่ำ...เด็กหนุ่มก็เดินขึ้นเรือนทันที เอนกายลงบนเตียงหนุ่ม แม้ข้างๆจะว่างเปล่าเพราะคนรักยังไม่กลับจากทำงาน แต่กลิ่นหอมนั้นก็ยังติดไม่เจือจาง เพียงแค่นั้นก็ทำให้ยมหลับสบายเหลือเกิน

        ‘เราผิดขนาดนั้นเลยหรือไร?’

        ยมคิดในใจ ปกติแล้วความรักของผู้ชาย ผู้หญิงสองคนมักถูกมองต่างกันออกไป บ้างก็ถูกมองเป็นเรื่องน่าขับ บ้างก็ยอมรับแม้จะเป็นเพียงส่วนน้อย ความรักรูปแบบนี้ส่วนมากจึงต้องหลบๆซ่อนๆ แต่หาใช่กับที่แห่งนี้ ที่ๆยมควรจะมีความสุข หากถูกพวกชาวบ้านหรี่มองยามที่เห็นพี่เขมเดินจับมือมากับเขา โดยมีหนูขมยิ้มแป้นคอยพูดซ้ำๆ

        ‘พ่อเขม พ่อยมจ๋า จะหวานมากเกินไปแล้วน้า’

       ความรักของเขากับพี่เขม...ถูกมองว่าแปลก ไม่คู่ควร สายตาที่มองมาจึงย่อมเหยียดหยาม ซึ่งยมเองก็น่าจะชินได้แล้ว

       ทั้งที่ควรจะมีความสุขที่มีพี่เขมอยู่เคียงข้าง...

       แต่ไฉน...กลับทุกข์เพราะคำคนอื่น

     ยมรักพี่เขมสุดหัวใจ ยมจะอดทนต่อไป ความรักของยมไม่เคยมีสิ่งใดมาทำให้สั่นคลอนพังทลายได้ ขนาดความตายยมยังรอดได้หลายครั้งหลายคราจนได้พบพี่ ดังนั้นแค่คำคน ยมก็จะทน

      ร่างน้อยหลับตาลงเงียบๆ กลิ่นหอมนั้นทำให้เจ้ายมหลับสบาย จนไม่ทันสังเกตว่าฟูกส่วนที่ว่างเปล่าอ่อนยวบ คุณเขมลูบใบหน้าที่หลับสนิทของคนรักที่ยามนี้ไร้ความกังวลใดๆ มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากเสยแผ่วเบา จมูกสันโด่งจูบหน้าผากเจ้าตัวน้อยอย่างทะนุถนอม

     เขาเพิ่งกลับมาได้สักพัก หนูขมก็ฟ้องเรื่องที่ยมถูกแม่ค้าขายพริกในตลาดรังแกพร้อมตั้งคำถามว่า ‘ลักเพศ’ คืออะไร จึงไม่รอช้าที่จะขึ้นมาหาคนรัก แต่ก็พบว่ายมได้หลับไปแล้ว

      ดวงหน้าไร้น้ำตา ไร้รอยริ้วคิ้วขมวด แลดูเพลินตา คุณเขมมองเจ้าตัวน้อยด้วยใจที่สงสารนักหนา

       “คนดีของพี่เข้มแข็งนัก อย่าได้ร้อง พี่อยู่กับยมทุกลมหายใจ”



สายน้ำไหลเอื่อย ฟองคลื่นระริ้วคล้ายทะเลแผ่วๆตามกระแสลมพัดหวน เจ้ายมตื่นขึ้นมาก็พบคุณเขมกำลังนอนหลับอยู่ข้างๆ เห็นว่ากำลังนอนสบายไม่อยากปลุก ร่างเล็กจึงค่อยๆปลีกตัวออกมารับลมเย็นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มองเห็นฝูงปลาแหวกว่ายผ่านน้ำใสประดุจกระจกใสแจ๋ว แล้วนึกถึงกาพย์กลอนที่พี่เขมชอบอ่านให้ฟังบ่อยๆยามเหงา

  พิศพรรณปลาว่ายเคล้า            คลึงกัน

ถวิลสุดาดวงจันทร์                          แจ่มหน้า

มัตสยาย่อมพัวพัน                          พิศวาส

ควรฤพรากน้องข้า                  ชวดเคล้าคลึงชม

         บทโศก...ไม่ต่างจากเงาะป่าแม้แต่น้อย

         พี่เขมนำหนังสือเงาะป่ามาคืนยมนานแล้ว แต่เพราะเห็นว่าเจ้าตัวน้อยพออ่านออกเขียนได้ จึงขยันหาหนังสืออื่นมาให้อ่าน ซึ่งยมเองก็ชื่นชอบไม่น้อย อีกทั้งยังคอยสอนหนูขมให้อ่านเพื่อจะได้มีวิชาติดตัวตามที่โรงเรียนเปิดภาคการศึกษาใหม่ จะได้ไม่น้อยหน้าผู้ใด

       “ยมครับ พี่นึกว่ายมหายไปไหนเสียอีก”

     เจ้ายมสะดุ้ง แม้คุณเขมจะไม่ได้ว่ากระไร แต่นั่นก็ทำให้เจ้าตัวน้อยก้มหน้า คุณเขมนั่งลงข้างๆ กุมมือดวงใจของเขา เขาช่างเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องเสียจริง

    จะทำอย่างไร ยมถึงจะมีความสุขที่สุดได้หนอ?

    “คนดีของพี่ พี่ขอโทษนะครับที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างยามที่ยมถูกรังแก”   

   ร่างสูงกอดเจ้าตัวน้อยแนบแน่น ริมฝีปากอบอุ่นกดจูบบาดแผลบนใบหน้าอย่างทะนุถนอม เขาเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ คุณเขมอยากให้ยมมีความสุข แต่ยามนี้หาใช่...เจ้ายมตัวน้อยกำลังเศร้าที่ต้องเผชิญกับคำคน 

   “พี่เขมไม่ผิด...” ศีรษะอีกคนเอนซบ อิงแอบหาความอบอุ่นใจจากพี่ “ความจริงแล้ว ยมไม่คู่ควรกับพี่ตั้งแต่แรก”   

   “อย่าพูดอย่างนั้นนะครับยม” มือใหญ่พลั้งเผลอจับเรียวมือน้อยอย่างแรง “ทำไมยมพูดเช่นนี้เล่า เราต้องฝ่าอะไรมาตั้งมากมายกว่าจะมาพบ ยมอย่าพูดว่ายมไม่คู่ควรกับพี่”   

 “ยะ...ยมเจ็บ...” ยมดิ้นจะเอามือออก คุณเขมรู้ตัวว่าเผลอไปจึงค่อยๆคลายแล้วลูบมือน้อยนั้นอ่อนโยนขอโทษ     

 “พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ” พึมพำซ้ำๆ จูบมือนั้นหวังให้คลายเจ็บ มองดวงตาหวานที่มีน้ำตาคลอน้อยๆ “อย่าร้องไห้นะครับ พี่ผิดไปแล้ว” 

   “ไม่ได้ร้อง...” เจ้ายมปาดน้ำตา จริงๆเลย...หากเป็นเรื่องพี่เขมทีไร แม้เรื่องน้อยนิดก็พาลน้ำตาไหลได้เสียแล้ว     

   “ยมอดทนอีกนิดนะครับ อีกไม่นานคนเหล่านั้นก็จะไม่สนใจเราอีกแล้ว ทุกวันนี้พี่เองก็ต้องอดทนกับสายตาที่เขามองพี่เหมือนกัน ชีวิตคู่เราไม่เหมือนที่อื่น ชายสองคนรักกันเปิดเผย ย่อมเป็นที่ถูกนินทา” 

   ไม่ต่างกัน...ทั้งสองต้องทนถูกมองสายตาแปลกๆ โชคดีที่ไม่ได้กระทบกับงานของคุณเขมเท่าใดนักด้วยไม่มีผู้ใดรับรู้ แต่กับพวกชาวบ้านตลาดที่เขารับรู้ปากต่อปากนี่แล ที่มีแต่ทำให้พวกเขาเป็นกังวล     

“พี่เขม...” ร่างเล็กขยับชิดคุณเขม “กอดยมหน่อย กอดยม”

     คนตัวใหญ่คว้าคนรักกอดแนบชิด มือใหญ่ปลอบลูบแผ่นหลังไม่ให้เป็นทุกข์ เหตุใด...ชีวิตของเขาและยมควรจะมีความสุข ลำพังตัวคุณเขมจะไม่เก็บคำนินทาของคนอื่นมาใส่ใจ      เขาสงสารเจ้ายมตัวน้อย ไม่อยากให้ร้องไห้ ไม่อยากให้ต้องเก็บคำคนมาคิดมาก หัวใจเด็กคนหนึ่งผ่านสิ่งสาหัสมากนักต่อนัก ภายนอกดูจะรับไหว แต่ทำไมจะไม่รู้ว่าภายในเจ้ายมนั้นทุกข์ใจเพียงใด     

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นยมเก็บมาคิด คุณเขมต้องปลอบขวัญอยู่เนืองๆไม่ให้คิดมาก จะทำอย่างไรดี ที่จะทำให้ยมไม่ร้องไห้อีก     

ยามเมื่อลมพัดหวน...ร่างหนึ่งกอดให้ความอบอุ่นคนตัวเล็ก จูบหน้าผากมนบอกว่าเขาจะอยู่เคียงข้างไม่ยอมห่าง       

อย่ากังวล พี่จะอยู่ข้างๆน้อง     

อย่าร้องไห้ พี่กอดน้องอยู่

             ...ยมเอยยมตัวน้อย         

อย่าละห้อยเศร้าโศกศัลย์

          ใจพี่จักขาดพลัน                 

ยามเห็นเจ้าทุกอกตรม...

ฟ้าสาง...เปลือกตาน้อยๆลืมขึ้นช้าๆ หัวใจของเจ้ายมยินดีที่คุณเขมยังคงนอนกอดเคียงข้างเหมือนเช่นทุกวัน เด็กหนุ่มยิ้มสดใสเป็นคนละคน ดีใจมากกว่าที่ได้ตื่นมามองใบหน้าคมเข้มไม่รู้เบื่อ 

   “Good morning ครับ ที่รักของพี่” อดีตนักเรียนนอกยิ้มส่งให้ เจ้ายมยิ้มเอียงอาย แก้มขึ้นสีเรื่อ   

 “ตื่นนานแล้วหรือจ๊ะพี่เขม? อ๊ะ!” ร่างน้อยดีดตัวขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่ากำลังนอนทับแขนแกร่งต่างหมอน “พี่เขมเมื่อยไหมจ๊ะ? ยมนวดให้จ้ะ”   

  เด็กน้อยคว้าแขนแกร่งข้างนั้นรีบบีดนวดกลัวพี่เมื่อย คุณเขมนึกอมยิ้มเอ็นดูคนตรงหน้าน้อยๆ ความจริงแล้วตัวเขาไม่ได้เมื่อยอะไรนักหนาดอก แต่เห็นเจ้าตัวตั้งใจจึงไม่ขัด   

  “ดีขึ้นบ้างไหมจ๊ะ?” หันมาถาม มือนิ่มคู่นี้ก็ยังคงบีบนวด   

“แค่มือของยมสัมผัส พี่ก็คลายเมื่อยเป็นทิ้งเลยล่ะครับ”     

เจ้ายมตัวน้อยยิ้มบางๆ เขินอายก็เขินเสียเหลือเกิน แต่ยังไม่ทันได้เขินไปมากกว่านี้คุณเขมก็โน้มริมฝีปากประทับลงบนกลีบปากนุ่มหยุ่น   

 “อือม์”     

คนตัวเล็กหลับตาพริ้มรับสัมผัส จนคุณเขมผละออก ใบหน้าเจ้ายมตัวน้อยแดงก่ำ ไม่กล้าสบตาคนรักที่มองมาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม     

“ยมว่ายมไปเตรียมสำรับเช้าให้พี่เขมดีกว่าจ้ะ”     

พูดเสียงสั่น...ก่อนจะจ้ำอ้าวลงจากเตียงนุ่มแล้วเดินหนี เอามือปิดปากด้วยความอาย คุณเขมกลั้วหัวเราะให้กับท่าทางน่ารักของเด็กน้อย     

 มื้อเช้าเป็นข้าวหุงปรุงอย่างเทศ เคียงกับอีกอย่างสองอย่าง เพื่อเป็นกำลังใจให้พี่เขมทำงาน ตอบแทนที่เบี้ยอัฐทุกบาททุกสตางค์คุณเขมมอบให้ยมดูแลไม่อิดออด ยามทำงานเสร็จคุณเขมไม่เคยเที่ยวเตร่ สังสรรค์กับเพื่อน ยกเว้นถึงคราวที่คุณเขมบอกว่าทนลูกตื้อของเพื่อนร่วมงานไม่ไหว ซึ่งยมเข้าใจว่าเป็นสังคมของการทำงานจึงมิได้ว่ากระไร

    หลังจากคุณเขมรับมื้อเช้าเป็นที่เรียบร้อยเตรียมออกไปทำงาน พร้อมปิ่นโตมื้อกลางวันในมือเหมือนทุกวัน เจ้ายมตัวน้อยก็เรียกคนพี่ขณะกำลังจะเดินไปเปิดประตูรถ   

 “พี่เขมจ๊ะ กระดุมบนยังติดไม่เรียบร้อยเลยจ้ะ”   

 ร่างน้อยปรี่เข้ามาบรรจงติดดุมเงินช้าๆตั้งอกตั้งใจ คุณเขมคลี่ยิ้มกับอากัปกิริยาคนตัวน้อย ไม่ว่ายมจะทำอะไร...ในสายตาก็น่ารักไปเสียหมด

     น่ารัก...

    “อื้อ!”

     ยมร้องเมื่อแก้มข้างหนึ่งถูกอีกฝ่ายก้มหอมดังฟอด คุณเขมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถแล้วเอ่ยถ้อยที่ทำให้เจ้ายมหน้าแดงเป็นตำลึงสุกออกมา

      “พี่รักยมที่สุดเลยนะครับ”

       หนึ่งสิ่งที่เจ้ายมรักคุณเขมมากขึ้นทุกวัน และรักเหลือเกิน คือคำบอกรักที่ได้ฟังไม่รู้เบื่อ และเป็นคำบอกรัก ที่ออกมาจากใจของคุณเขม

      “ยมก็...”

      “พ่อยมจ๋า!!!”

      เด็กน้อยจอมซนเดินเตาะแตะมาหา คุณเขมหัวเราะก่อนจะโบกมือน้อยๆลาเจ้าตัวเล็ก

       “หนูขม พ่อไปทำงานก่อนนะลูก แล้วตอนเย็นจะซื้อขนมมาฝาก”

กระทรวงมหาดไทย...ที่ๆคุณเขมต้องเข้าออกทำงานชวนเหน็ดเหนื่อย เขาถอนใจยามที่เห็นแต่เพื่อนร่วมงานเอาแต่แก่งแย่งริษยากัน เหมือนสมัยที่คุณดอมยังอยู่ เขามักจะถูกเหน็บทุกครั้งที่มีโอกาส คุณเขมจึงต้องอดทนเพื่อมิให้งานที่ได้รับมอบหมายพลาด จวบจนได้รับตำแหน่งเป็นหลวงเขมราฐ ตำแหน่งนี้...มิได้สร้างความชื่นชมให้คุณเขมแม้แต่น้อย

แม้จะมิได้ทำงานแพทย์โดยตรงตามฝัน แต่ในฐานะข้าราชการ เขาสนับสนุนทุกอย่างที่เกี่ยวกับการแพทย์ แม้จะไม่มาก แต่ก็ภูมิใจยิ่งนัก ด้วยคนเรียนแพทย์ยังน้อยในสยาม อาชีพที่คนนิยมเห็นจะเป็นเสมียนเสียมากกว่า วันนี้ก็ไม่ต่ำกว่าสิบชีวิตที่พากันแก่งแย่งเพื่อให้ได้งานนี้

      นิยมจนขนาดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังต้องทรงพระราชนิพนธ์ ‘โคลนติดล้อ’ ตอน ความนิยมความเป็นเสมียน ในพระนามแฝงอัศวพาหุ เพราะตอนนี้หลายอาชีพที่สำคัญนักหนาต่อการพัฒนาสยาม...ยังขาดแคลนนัก

       “พ่อนาก วันนี้ไปรับประทานกุ๊กช้อปฝั่งกระนู้นกันเถิดขอรับ ได้ยินมาว่าพ่อครัวฝรั่งทำอาหารอร่อยนัก”

      “จะดีหรือขอรับ เงินเดือนเสมียนอย่างเรา แค่อาหารของเขาจานเดียว อย่างถูกก็ตั้งสิบห้าบาทแล้ว”

       ขนาดคุณเขมได้รับพระราชทานเงินเดือนถึงหกร้อยบาท ยังไม่เคยจะไปเหยียนสถานที่ๆเรียกกุ๊กช้อปอะไรนั่นสักครั้ง คงจะเป็นดังที่พระราชนิพนธ์ของท่านกล่าวไว้จริง เงินเดือนเสมียนอยู่ที่ประมาณยี่สิบสามสิบบาท แต่พวกเขาไม่สน...ขอเพียงได้ทำงานได้สตางค์ หาความสำราญเท่านั้นก็เพียงพอ

        หากย้อนเวลากลับก่อนกลับไปเรียนอังกฤษได้ คุณเขมอยากเรียนแพทย์ อยากนำวิทยาการความรู้แพทย์มาช่วยชีวิตรักษาคน มิใช่ว่าอาชีพราชการไม่ดี...แต่สำหรับคุณเขม กลับรู้สึกเบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน

        “เฮ้! เขมรึเปล่า?”

       ขณะที่กำลังจะหาบรรยากาศดีๆ รับประทานกับข้าวที่เมียรักลงมือทำให้ พลันคุณเขมก็รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงของใครที่เรียกตนแว่วๆ สำเนียงนั้นแปร่งๆ พูดภาษาสยามไม่ชัดถ้อย ครั้นเงยหน้า...ก็พบกับชายหนุ่มตาน้ำข้าวร่างสูงโปร่งพอกับคุณเขม ผมหยักศกสีบลอนด์ เจ้าของใบหน้าฝรั่งยักคิ้วให้เป็นนัย

        “จอห์น...จอห์นใช่ไหม?”

       เขามีเพื่อนที่อังกฤษไม่กี่คน จอห์นคือคนที่สนิทด้วยมากที่สุด

        “เยส ไอดีใจที่ยูจำไอได้” จอห์นฉีกยิ้มกว้าง “How are you?”

        “ผมสบายดี ดีใจที่ได้พบ ว่าแต่มาทำอะไรที่นี่รึ?”

       สุดท้าย...คุณเขมก็พาเพื่อนตาน้ำข้าวเข้ามาพูดคุยด้านในกระทรวง ช่วงนั้นหลายๆคนออกไปรับประทานมื้อกลางวันเสียเกือบหมด สนทนาอังกฤษไปคุณเขมจึงได้รู้ว่าตอนนี้จอห์นได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของท่านเอกอัครทูตพักหนึ่ง และได้แต่งงานกับมายา...ลูกสาวเจ้าของร้านขายยาฝรั่งใกล้ๆกงสุล จอห์นเริ่มเบื่อหน่ายที่ต้องเดินทางห่างภรรยาบ่อยครั้ง จึงลาออกมาช่วยเธอดูแลร้านแทน

     “วันก่อนไอพบกับมิสเตอร์ครูว์ บอกว่าเขมไม่ค่อยได้ส่งข่าวมา พอไอรู้ข่าวว่ายูทำงานที่นี่จึงได้มาหา”

     “ตั้งแต่ผมกลับมา มีเรื่องมากมายที่ผมต้องสะสาง” คุณเขมวางปิ่นโตลงบนโต๊ะไม้ “ขอโทษที่ไม่ได้ไปงานแต่งคุณนะจอห์น”

      “โอ้ อย่าคิดมากเลยเขม”  จอห์นยักไหล่ “เพราะไอกับมายาจัดงานแต่งเล็กๆ ในโบสถ์สองคน ไม่แปลกใจที่ยูจะไม่ทราบข่าว ว่าแต่ยูเถอะ ได้แต่งงานกับคนรักหรือยัง?”

        คุณเขมไม่ตอบ แสร้งทำเป็นตรวจดูเอกสารราชการ หากจอห์นดูออกทันที กับข้าวในชามทรงแปลกๆสองชั้นตรงนั้น ก็คงจะเป็นของคนรักทำให้ด้วยสินะ

      “เอาเป็นว่ายูแต่งงานกับคนที่ยูรักแล้ว” คนทะเล้นสรุปเสร็จสรรพ ก่อนจะรื้อบางอย่างออกจากกระเป๋าหนังส่งให้ รูปทรงเป็นกระปุกใส่บางสิ่งไว้ภายใน “ของฝากของยู ทองคำสกัดที่มายาคิดขึ้นเอง ลองใช้แล้วผิวจะสะอาดเกลี้ยงเกลา”

         คุณเขมรับกระปุกนั้นมา เปิดดูก็พบของเหลวสีทองภายใน กลิ่นไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ก็คงจะปลอดภัยน่ะแหละ

          “ขอบใจนะ ผมจะเอาไปให้คนรักของผมใช้”



ตอนหน้ามาดูพี่เขมใช้ทองคำขัดหลังน้องกันนะค้าาา จะมาเป็นแบบไหนกันน้ออออออ

กาพย์ที่น้องยมนึกถึงตอนดูปลา ไรท์เอามาจากกาพย์เห่เรือนะค้าเพื่อสงสัยกันน

ใครจำจอห์นไม่ได้ ให้กลับไปอ่านสมัยที่พี่เขมยังเรียนอยู่อังกฤษ โผล่มาฉากเดียวเหมือนคุณบูรเป๊ะ ไรท์ขี้เกียจหาอิมเมจ เชิญรีดจิ้นตามสบายเลยเน้อออ55555

หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่31(อัพครบ)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 08-03-2018 07:04:34
เรือนร้าว31
ตอน เพราะเธอ...คือชีวิตของฉัน

       รถยนต์สีขาวหยุดเทียบทันทีที่ถึงหน้าเรือน คุณเขมเอนหลังหลับตา วันนี้มีเรื่องมากมายทั้งดีและร้าย เขาได้พูดคุยกับจอห์นหลายเรื่อง หนุ่มตาน้ำข้าวยังได้ชวนเขาให้ไปทำงานด้วยกันที่อังกฤษ กงสุลแห่งสหราชอาณาจักรกำลังต้องการครูสอนภาษาและวัฒนธรรมของสยาม และตัวมายาภรรยาของจอห์นกำลังต้องการผู้ช่วยดูแลร้ายขายยารักษาโรค หากคุณเขมสนใจจะทำ จอห์นสามารถช่วยเหลือได้ทันทีโดยแทบไม่ต้องรีรอ

           ซึ่งคุณเขมเองก็สนใจไม่น้อย...

          เพราะเคยอยู่อังกฤษนานถึงห้าปี สังคมที่นั่นไม่ค่อยมีการแก่งแย่งเท่าใดนัก ด้านการแพทย์และวิชาการอื่นที่ใช้พัฒนาประเทศก็เจริญมากกว่า ที่สำคัญ...ครอบครัวของมิสเตอร์ครูว์เองก็อบอุ่น มีเพื่อนบ้าน มีอะไรก็ปรึกษาและไปมาหาสู่ได้ ไม่สนใจว่าครอบครัวไหนจะแปลกประหลาดแต่อย่างใด ขอเพียงมีไมตรีจิตและอัธาศัยตามคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า

         เขาเห็นภาพของยมและหนูขมได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เป็นครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ว่าหนูขมอยากจะเรียนอะไร คุณเขมจะส่งเสียทุกอย่างเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้

         ยมของพี่จะได้ไม่ต้องทนกับคำคนจนร้องไห้อีก

        ส่วนอีกเรื่องที่เขาพานพบอีกเรื่อง...มิใคร่สู้ดีนัก

“น้องไหว้ค่ะ แหม! ไม่คิดเลยนะคะว่าจะได้พบพี่เขมที่นี่”

ใช่...ขณะกำลังจะกลับหลังตรวจดูเอกสาร คุณเขมบังเอิญพบแม่จำปาเดินควงมากับหนุ่มสำอางคนหนึ่งดูโก้เก๋ หญิงสาวเปลี่ยนไปนับจากวันที่เขาเอ่ยวาจาถอนหมั้นอย่างไม่ใยดี สาวน้อยเรียบร้อยที่เคยเห็นมานานนม เปลี่ยนเป็นสาวสวยที่มีความมั่นใจในตัวเอง

“น้องจำปา สบายดีหรือครับ?”

“นับตั้งแต่วันที่น้องเป็นหม้ายขันหมาก ก็ฟูมฟายเอาเรื่องอยู่เหมือนกันค่ะ...จนน้องได้มาพบกับพี่ศักดิ์ เขาดีกับน้องมาก ไม่นานเราจึงแต่งงานกัน นี่ก็เพิ่งกลับมาจากน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ฮังการีนะคะ”

สบสายตากับคู่ควงด้วยสายตาหวานเชื่อม ก่อนจะหันกลับมามองด้วยสายตาที่หยามเหยียดใส่คุณเขม

“แล้วพี่เขมล่ะคะ? ชีวิตคู่ของพี่เขมกับคนรักเป็นเช่นไรบ้าง ถ้าฟังมาไม่ผิด พี่เขมรักกับเด็กผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ใช่หรือไม่คะ?”

ประโยคหลังหญิงสาวเน้นเสียงหนัก พาลให้คนสัญจรไปมาแถบนั้นหันมามองด้วยความสนใจ คุณเขมอับอายเป็นอย่างมาก โชคดีของเขาเหลือเกินที่ไม่เคยนึกรักผู้หญิงคนนี้

ทว่าตอนนี้...เสียงรอบข้างวิพากษ์เขาเซ็งแซ่เสียเหลือเกิน

“นั่นน่ะหรือ หลวงเขมราฐ ที่เขาว่าชอบพอกับเด็กผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้”

“เห็นว่าเด็กนั่นหน้ายังกะผี ไม่รู้คว้าเอามาเป็นเมียได้อย่างไร? โสเภณีตามซ่องยังงามเสียกว่า”

“วิปริต ลักเพศเนาะหล่อน”

ชายหนุ่มกำมือแน่น เจ็บใจ อยากจะหันไปต่อว่าเสียงนกเสียงการอบด้านเหลือเกิน เขาไม่เคยทำให้ผู้ใดเดือดเนื้อร้อนใจ เหตุใยเล่าจึงถูกต่อว่าต่อขานราวกับเขาได้สังหารชีวิตคนๆหนึ่ง



      คุณเขมคิดจะลาหยุดสักสองสามวัน เพื่อจัดการยื่นเรื่องขอทำงานไปยังกงสุลตามที่จอห์นแนะนำ ส่วนเรื่องที่สนใจจะเป็นผู้ช่วยมายานั้นจอห์นเองก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะรู้ดีว่าคุณเขมเองก็สนใจด้านการแพทย์และยารักษาโรคมากกว่าวิชารัฐศาสตร์การปกครองที่จำฝืนเรียนมากกว่าเสียอีก

     ที่สำคัญ...เขาอยากอยู่กับยม อยากมีเวลาได้อยู่กับยม เด็กน้อยเหมือนเป็นแรงผลักดันให้เขาไม่ย่อท้อ และเป็นความสุขของเขา มานานแล้ว

      “ยม ยมครับ หนูขมลูก พ่อซื้อขนมขี้หนูมาฝากหนูขมด้วย”

      ร่างสูงตะโกนเรียกคนรัก เพลิงและมั่นที่กำลังทำความสะอาดรอบๆได้ยินเสียงนายของมันก็รีบเข้ามานั่งคุกเข่าใกล้ๆ

      “หนูขมเพิ่งเล่นกับบ่าวเหนื่อยๆ ตอนนี้ก็เลยหลับปุ๋ยอยู่บนเรือน ส่วนยม...กำลังว่ายน้ำเก็บสายบัวอยู่ขอรับ”

      คุณเขมรีบเดินไปท่าน้ำไม่รีรอ ก็พบเจ้าตัวน้อยกำลังเล่นน้ำแหวกว่ายอย่างสบายใจ กองสายบัวงามๆถูกเก็บขึ้นมาบนเรือพายไม้ ท่าทางของยมมีความสุขมาก วงหน้างามคลี่ยิ้มสดใสด้วยสดชื่นจากกระแสธาราเย็น

      “ยมครับ ตอนนี้เย็นแล้ว ขึ้นจากน้ำได้แล้วนะครับ”

     คุณเขมเรียกเมียรักที่ยังคงดำผุดดำว่ายอย่างสำราญใจ ครั้งแรกที่มาอยู่ยมว่ายน้ำไม่เป็น...แต่เพราะสายน้ำที่นี่สวยงามใสเย็นน่าแหวกว่าย ยมจึงอ้อนให้คุณเขมสอนว่ายน้ำจนพอดำผุดดำว่ายเป็น เท่านั้นเอง...เจ้าตัวน้อยก็ชอบว่ายน้ำไปเก็บสายบัวเป็นประจำ ทำเอาคุณเขมพาลเป็นห่วงอยู่เสมอ

      “พี่เขมจ๊ะ น้ำเย็นมากเลย ลงมาเล่นด้วยกันเถิดจ้ะ”

      เจ้ายมยังคงเล่นตีฟองคลื่นเหมือนกับเด็กๆ ภาพสดใสนั้นทำให้คุณเขมนึกเอ็นดูเป็นอย่างมาก แต่ก็เกรงว่ายมจะไม่สบาย เขาห่วงสุขภาพของคนรักมากกว่า

      “ขึ้นมาได้แล้วนะครับ พี่มีเรื่องอยากจะพูดด้วย เชื่อพี่นะครับ”

      เด็กน้อยทำหน้ายู้ ทำทีจะยอมว่ายกลับมาขึ้นฝั่ง ทว่า...

      “พี่เขม! พี่เขมช่วยด้วย!!”

      ร่างน้อยตีแขนสองข้างบนผิวน้ำไปมาจนเกิดระลอกคลื่น ดิ้นตะเกียกตะกายคล้ายจะจมน้ำ ประคองร่างของตัวเองไม่ให้จมลง เด็กน้อยร้องให้คุณเขมรีบมาช่วยด้วยความหวาดกลัว ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายรีบกระโดดลงน้ำว่ายเข้าไปหายมแทบจะทันที

      “ยม ทนไว้ พี่มาแล้วยม!”

     ทันทีที่แหวกว่ายเข้าไปใกล้และคว้าร่างเล็กไว้ได้ทัน เจ้าตัวน้อยที่ทำท่าจะจมน้ำเมื่อสักครู่กลับหัวเราะสดใสเมื่อแหล้งคนรักได้สำเร็จ ในขณะที่คุณเขมที่รู้ว่าถูกหลอกเข้าเต็มเปาทำหน้าเครียด

      “คิก! พี่เขมอย่าทำหน้าอย่างนี้สิจ๊ะ”

      “...”

      คุณเขมหันหลังให้ เจ้ายมกลัวคนพี่จะโกรธฐานที่แกล้งเรียกร้องความสนใจเสียขนาดนั้น จึงทำใจกล้าซบใบหน้าลงบนแผ่นหลังจนคนพี่ต้องแอบปรายตามองพร้อมรอยยิ้มที่แอบคลี่น้อยๆ

     “อย่าโกรธยมนะจ๊ะ ดีกันๆ”

      เด็กน้อยเกาะลาดไหล่กว้าง ซบหน้าออดอ้อน ก็แค่อยากให้พี่เขมลงมาเล่นน้ำด้วยกันเท่านั้นเอง

     “เฮ้อ!”

 คุณเขมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนใจออกมา ยมเป็นเด็กดี...พอทำผิดครั้งแรกจึงทำใจไม่ได้ที่จะโกรธใส่คนรัก ตั้งแต่อยู่ด้วยกันคุณเขมไม่เคยขึ้นเสียงใส่ยม อาจมีเถียงบ้างตามประสา แต่ก็ยิ่งทำให้ความรักของคนสองคนเข้าหวานชื่นและเข้าใจกันมากขึ้น

      “ยมครับ ยมอย่าทำแบบนี้สิครับ พี่เป็นห่วงนะ” คุณเขมเป็นห่วงยมมากเกินกว่าที่จะโกรธหรือดุซักคำ “คราวหลังอย่าทำอีกนะครับ...นะ”

     “จ้ะ ไม่ทำแล้ว” เจ้ายมกอดอ้อนคนตัวใหญ่ที่ตอนนี้เนื้อตัวเปียกปอนไม่ต่างกัน “ยมแค่อยากเล่นน้ำกับพี่เขมบ้างเท่านั้นเอง พี่เขมทำงานเหนื่อยๆ เล่นน้ำแล้วจะได้ชื่นใจ”

     ใบหน้าคมเข้มยื่นริมฝีปากงับจมูกของเด็กน้อยเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว ยมทำหน้ายู่เล็กน้อยแม้จะไม่ได้เจ็บอะไร

     “บทลงโทษที่แกล้งพี่” แล้วขยับไปหอมแก้มดังฟอด แล้วคลี่ยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อได้แกล้งเจ้าตัวน้อยจนอายตัวม้วน “ชื่นใจที่สุด”

      “อื้อ!” ซุกใบหน้าลงบนแผงอกแกร่ง ซ่อนใบหน้าที่ตอนนี้ร้อนผ่าวเขินอาย แต่ก็ถูกมือใหญ่เชยขึ้นมาให้สบตาอย่างทะนุถนอม

    “พี่รักยมที่สุด” ประกบริมฝีปากลงมาจูบย้ำ “รักที่สุดรู้ไหม”

    “จ้ะ” คราวนี้ใจกล้า เป็นฝ่ายหอมแก้มคนตัวใหญ่บ้าง “ไถ่โทษที่แกล้งพี่”

     เมื่อคนตัวใหญ่ไม่โกรธงอนแต่อย่างใด คุณเขมเห็นว่ามาถึงขนาดนี้แล้วจึงเล่นน้ำกับเด็กน้อยซักพัก ทำเอาหอบในน้ำไปไม่น้อยเพราะร่างเล็กเอาแต่ว่ายน้ำหนีให้คุณเขมว่ายตามไป เสียงหัวร่อซิกลั่นไปทั้งท่าน้ำจนเพลิงกับมั่นอดยิ้มตามไม่ได้

    “ข้าดีใจที่เห็นคุณเขมกับยมมีความสุขว่ะไอ้เพลิง”

    “ข้าก็ไม่ต่างกันเว้ย” เพลิงยีหัวคนรัก กอดร่างของมั่นแล้วยิ้มตามภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เป็นสุข ยามที่ทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน แต่ยามที่ใจเปี่ยมสุข...มันช่างอิ่มเอมไปเสียทุกอย่างนัก

      “ลุงเพลิงลุงมั่นทำอาไย?”

      เสียงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณเขมทำให้สองบ่าวสะดุ้ง รีบหันหลังบังไม่ให้เด็กน้อยเห็นภาพที่พ่อทั้งสองกำลังจู๋จี๋กันท่ามกลางสายน้ำ กลัวร้องงอแงขัดจังหวะแหงๆ

     “ไม่มีอะไรขอรับคุณหนู หิวไหมขอรับ บ่าวเตรียมขนมนมเนยไว้เต็มเลยขอรับ”

     “ไม่เอา หนูรู้นะว่าพ่อเขมพ่อยมว่ายน้ำกันอยู่นู่น” นิ้วป้อมๆชี้น่าเอ็นดู “แต่หนูไม่ขัดจังหวะหรอก ลุงเพลิงลุงมั่นมาเล่นขี่ม้าส่งเมืองกับหนูหน่อย”

       สุดท้ายสองลุงก็ต้องไปยอมเป็นม้าให้เจ้าเด็กน้อยขี่เล่นสนุกสนาน ปล่อยให้พ่อทั้งสองของหนูขมได้ว่ายน้ำทวนกระแสกันไปมาจวบจนใกล้เวลาอาทิตย์อัสดง



   แสงเงินแสงทองยามเย็นสาดส่องจากทุกสารทิศ คุณเขมให้เมียรักรีบขึ้นจากน้ำเพราะเกรงจะได้ป่วยไข้ เจ้ายมไม่งอแงจึงยอมแต่โดยดี แต่ก็ไม่ได้ขึ้นเรือนไปแต่งตัวอย่างใด เพียงแต่พลัดผ้านุ่งผืนใหม่ที่เตรียมไว้เท่านั้น

 ทองคำสกัดกลิ่นหอมอ่อนๆถูกมือใหญ่บรรจงทานวดไปตามแผ่นหลังเปลือยเปล่า ยมหลับตาพริ้มสบายตัว ร่างนอนนอนคว่ำอยู่บนท่าน้ำไม่ทำบนเรือนเพราะกลัวจะหกเลอะเทอะ คราแรกยมจะเป็นฝ่ายทำให้แต่คุณเขมไม่ยอม อ้างอยากให้ยมได้ผ่อนคลาย

       นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่เจ้ายมตัวน้อยไม่รู้ตัวหรอกว่ายามที่เขาละเลียดขัดทองคำไปตามแผ่นหลังนวลเนียน แสงจากอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยจะกระทบทำให้ผิวของยมเปล่งปลั่งน่ามองกว่าเดิมเสียอีก

       “สบายตัวเหลือเกินจ้ะ” ยมพูดขึ้นทั้งที่ยังหลับตา สองมือของคุณเขมก็นวดไหล่บางให้คนรักคลายเมื่อย

        “จอห์นบอกว่าใช้แล้วจะสบายตัวและผิวพรรณเปล่งปลั่ง เอ่อ พี่หมายถึงเพื่อนพี่ที่ให้มาน่ะ”

       “เพื่อนพี่เขมเป็นฝรั่งหรือจ๊ะ?”

       “จอห์นเป็นเพื่อนกับพี่สมัยเรียนอังกฤษน่ะ” คุณเขมยังคงนวดตามลำตัวร่างเล็ก ต้องทิ้งทองคำไว้ชั่วครู่เพื่อให้มันบำรุงผิวพรรณของยมให้เต็มที่ ระหว่างนี้จึงสบโอกาสเล่าเรื่องที่ได้พูดคุยกับเพื่อนตาน้ำข้าวให้ยมฟัง

       “เขามาหาพี่ที่กระทรวง เล่าชีวิตที่อังกฤษหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยให้ฟัง แล้วเขาก็ชวนพี่ไปทำงานที่อังกฤษด้วยกัน...”

       ยังไม่ทันที่คุณเขมจะพูดจบ ร่างของเจ้าตัวน้อยก็ผุดมาเกาะแขน ส่ายศีรษะไม่ยินยอม ส่วนคุณเขมเองก็รู้จึงดันให้เมียรักนอนลง เพื่อพูดสิ่งที่เหลืออยู่ให้จบ

      “พี่จะไป และพี่จะพายมกับหนูขมไปด้วย ทางคุณพ่อพี่จะฝากเพลิงมั่นดูแลท่าน ให้ทั้งสองเขียนจดหมายมาเป็นระยะ สองคนนั้นอ่านออกเขียนได้อยู่แล้ว”

    “แล้วเขาชวนให้พี่ไปทำงานอะไรหรือจ๊ะ?”

   “เขาชวนพี่ไปทำงานเป็นครูสอนภาษาที่กงสุลอังกฤษ ว่าพรุ่งนี้จะเขียนจดหมายยื่นเรื่อง หากที่นั่นเขารับพี่ เราจะได้ไปอังกฤษด้วยกัน คนที่นั่นอัธยาศัยเป็นมิตร ยมต้องมีความสุขแน่ๆ”

     สักพัก...คุณเขมจึงค่อยวักน้ำเอาทองคำออก เออหนอ ทองคำสกัดกับสมุนไพรฝรั่งได้ผลจริงแท้ ผิวของยมเปล่งปลั่งน่าลูบไล้ตั้งแต่ใช้ครั้งแรก เห็นทีจากนี้ไปเขาคงต้องจับยมขัดหลังบ่อยๆแล้วกระมัง

     “พี่เขมไม่เห็นต้องทำเพื่อยมขนาดนี้เลย อยู่ที่นี่แม้คนรอบข้างเขาไม่รักยม ยมมีพี่เขมรักคนเดียวก็เกินพอ”

     ร่างน้อยออดอ้อน ซบใบหน้าลงบนแผ่นอกแกร่งเปลือยเปล่า ไม่รู้ตัวซักนิดเลยว่ามือใหญ่ได้สัมผัสกับผิวขาวเนียนอยู่นานแล้ว จมูกโด่งก้มลงสูดกลิ่นหอมจากคนรัก ชื่นใจถ้อยหวานจากเจ้ายมเหลือเกิน

       “อ๊ะ!”

      ยมร้อง เมื่อทั้งร่างถูกสองมือโอบอุ้มขึ้นเรือน ไม่มีเสียงพูดโต้ตอบกัน มีเพียงใบหน้าที่แดงก่ำที่พยายามซ่อนจากสายคมแม้ไม่มิด ส่วนหนูขมที่พลันหันมาเห็นภาพของพ่อทั้งสองพอดิบพอดี

        “ลุงเพลิงลุงมั่น อย่าเพิ่งเสียงดัง”

        เจ้าหนูจำไมร้องห้าม เพราะเมื่อตะกี้นี้หนูขมอยากเล่นซ่อนหา ลุงเพลิงจะเป็นฝ่ายหาแต่ลุงมั่นไม่ยอมจะเถียงกันจนพ่อทั้งสองเกือบได้ยิน

        “ทำไมล่ะขอรับคุณหนูขม?” มั่นเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย

        “ก็ตะกี้หนูเห็นพ่อเขมอุ้มพ่อยมขึ้นเรือน สงสัยพ่อยมจะง่วงนอน ฉะนั้นห้ามเสียงดัง”

        ไม่พอ นิ้วป้อมๆนั้นยังจุ๊ปากเป็นเชิงบอกให้เงียบจริงๆ เพลิงหันมาหัวเราะกับมั่น ภาพที่คุณเขมเอาอะไรขัดถูให้ยมยังชัดเจน ยมมันไม่ได้ง่วงอะไรหรอก ก็แค่...

        แค่คิดอีกครั้งก็อดหัวเราะซิกไม่ได้แล้ว

       “ลุงๆหัวเราะอะไรกันหรือจ๊ะ?”  เด็กน้อยเอียงคอถามงงๆ

      “ไม่มีอะไรขอรับคุณหนู” สองคนหัวเราะแห้งๆแล้วเงียบ ก่อนที่เสียงโครกครากจะดังมาจากท้องป่องๆของเจ้าหนูน้อย

       “หนูหิวแล้ว พาหนูไปกินข้าวหน่อยได้ไหมจ๊ะ”

       “ขอรับ”

      เพลิงเข้ามาอุ้มเด็กน้อยพาไปหาอะไรกินในห้องทำครัวพร้อมมั่น ปล่อยให้พ่อทั้งสองของหนูขมได้มีความสุขหลังกิจวัตรอาบน้ำอาบท่าท่ามกลางสายน้ำเจ้าพระยา





   ร่างน้อยนวลเนียนถูกบรรจงเช็ดตัวให้แห้งหมาด แสงอัสดงกระทบสาดส่องผิวขาวให้ยิ่งผ่องชวนมอง และจะไม่มีผู้ใดได้เห็น...นอกจากคุณเขมเท่านั้น

   “พี่จะขัดหลังให้ยมบ่อยๆ” นิ้วเรียวทั้งห้าสัมผัสไล้ไปตามแผ่นหลังสวย สูดกลิ่นหอมอย่างหลงใหล เอาแต่พร่ำเพ้อในความงามของคนตรงหน้าไม่หยุด ส่วนคนถูกชมน่ะหรือ...แก้มแดงยิ่งกว่าลูกตำลึงสุกเสียอีก

       “พี่เขมจะสัมผัสแค่แผ่นหลังยมหรือจ๊ะ”

       เขินอายยิ่ง...แต่ก็พูดออกไปแล้ว เด็กน้อยทำใจข่มอายด้วยการเอนกายนอนลงให้คุณเขมตามมาคร่อมทับไว้

        ก่อนที่ริมฝีปากของคนตัวใหญ่จะโน้มลงมาทาบทับ เป็นแสงสว่างของยมอีกครั้ง

        “อืม” ยมหลับพริ้มรับสัมผัสจากคนพี่ รสจูบนั้นยังร้อนแรงไม่มีเปลี่ยน ใบหน้าคมก้มต่ำเรื่อยๆ ไม่วายขมเม้มตามซอกคอระหงและตีตราทั่วแผ่นอกบาง

        เฮือก!

        “อ๊า!”

         ลิ้นแกร่งตวัดเลียยอดอกสีหวานสองข้าง ร่างน้อยร้องครวญคราง แอ่นกายรับสัมผัสหวาบหวาม ไม่รู้ตัวเลยว่าโจงกระเบนถูกกระตุกออกไปตั้งแต่เมื่อใด

         “ยมครับ พลิกตัวหน่อย”

        เด็กน้อยพยักหน้า ยอมให้คุณเขมพลิกกายนอนคว่ำอย่างว่าง่าย สองมือร้อนสัมผัสทั่วแผ่นหลังเนียน สูดกลิ่นกายอย่างหลงใหลอีกครั้ง ชวนให้นึกถึงวันแรกที่เคยได้พานพบ ตอนนั้นยมยังเป็นเด็กตัวน้อยที่ผิวคร้ามแดดตรากตรำ จนบางครั้งคุณเขมต้องแอบให้ยมมาพักผ่อนที่เรือนเพื่อจะได้คลายเหนื่อย เป็นอย่างนี้ก่อนที่คุณเขมจะรู้ใจตัวเองเสียอีกว่ารักยม ทำให้เมื่อผิวของยมห่างแดดจึงดูไม่ดำ ไม่เหมือนทาสอื่นที่ทำงานตรากตรำทั่วไป

        ผิวของเจ้ายมตัวน้อย...ชวนให้นึกถึงบทชมโฉมนางในวรรณคดีนางหนึ่ง

        ดูผิวสินวลละอองอ่อน            มะลิซ้อนดูดำไปหมดสิ้น

สองเนตรงามกว่ามฤคิน                 นางนี้เป็นปิ่นโลกา

           “อ๊ะ!”

          ร่างเล็กเกร็ง เมื่อทุกส่วนความเป็นชายถูกคนรักสัมผัส ตีตราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขาอ่อนถูกขบเม้มเป็นรอยจ้ำ มือข้างหนึ่งก็รูดรั้งกลางกายเล็กชวนให้เจ้ายมตัวน้อยร้องครางเสียงหวาน นั่นทำให้คุณเขมยิ่งได้ใจ เร่งมือเร็วฉับจนร่างน้อยกระตุกและปลดปล่อยออกมาเต็มฝ่ามือ

           “เด็กน้อย”

        “อ๊ะ อ๊า!” กลีบปากสวยเม้มเข้าหากันเมื่อช่องทางเย็นๆถูกลิ้นร้อนตวัดแผ่ซ่านให้ความอบอุ่น ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยนิ้ว ทีละนิ้ว

         “พร้อมจะเป็นของพี่อีกครั้งหรือยังครับ”

         เจ้ายมไม่ตอบ เสใบหน้าไปทางอื่นซ่อนความขวยเขินไว้ ยามที่มีความสัมพันธ์อย่างนี้ทีไรพี่เขมจะชอบถามย้ำอย่างนี้ร่ำไป ราวกับว่ายังคงเป็น ‘ครั้งแรก’ ของเขาทั้งสองคน

         “อ๊ะ อ่า”

        “อือม์ ไปพร้อมกันนะครับ”

        สองมือประสาน คนพี่ให้ความอบอุ่น ปกป้องคุ้มครองเจ้าตัวน้อย ร่างทั้งสองก็เหมือนกัน เป็นของกันและกัน อีกครั้ง และอีกครั้ง เช่นต่อจากนี้ที่ชีวิตคู่จะมีความสุขโดยแท้จริง



         แชะ แชะ!

        “หนูขม ยิ้มหน่อยครับลูก”

   หลังจากคุณเขมได้ยื่นจดหมายขอทำงานที่กงสุลอังกฤษ ก็รอการตอบรับ ในที่สุดสองสามเดือนถัดมาจึงได้รับการตอบกลับ ทางนั้นยินดีให้คุณเขมมาทำงานเป็นครูภาษา เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยที่คุณเขมเป็นถึงนักเรียนทุนดีเด่นจากสยาม จอห์นจึงอาสาช่วยเหลือในฐานะเพื่อนชาวอังกฤษในการพาครอบครัวไปอยู่ด้วยกัน ทั้งเรื่องที่พัก เรื่องโรงเรียนฝรั่งให้หนูขม คุณเขมจึงได้ยื่นเรื่องลาออกจากงานที่กระทรวงมหาดไทย เรื่องนี้คุณพระก็รับรู้หากไม่ได้ว่ากระไรนัก

    “สุดแล้วแต่ใจพ่อเขมเถิด เป็นหัวหน้าครอบครัว ก็ต้องทำให้พวกเขามีความสุขจริงไหม”

      จอห์นกลับไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยที่อังกฤษแล้ว กำหนดการคืออีกสามสัปดาห์ข้างหน้า ระหว่างนี้คุณเขมจึงพายมกับลูกชายตัวน้อยไปเที่ยวในตัวพระนคร พาไปเที่ยววัดพระแก้ว ไปทานขนมอร่อยๆ และมาจบที่ร้านถ่ายรูปแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงแถวๆฝั่งธนบุรี

         “หนูขมเก็บภาพนี้ให้ดีนะลูก”

        หลังจากได้รูปถ่ายใบเล็กๆมา คุณเขมก็มอบให้เจ้าลูกชายตัวน้อยเก็บไว้ อีกใบก็ให้ยมเป็นที่ระลึก ก่อนที่พ่อทั้งสองจะพาเจ้าเด็กน้อยเดินรอบๆรัตนโกสินทร์ให้สำราญ

         “น้ำตาลปั้นจ้า รับซักชิ้นไหมจ๊ะ อร่อยมากเลยนะ”

         “พ่อเขมจ๋า หนูขมอยากกินเจ้านั่น”

         นิ้วป้อมๆชี้ขนมสีสวยที่เขาขายกันที่ลานแสดงอุปรากรจีนหรือที่เรียกว่างิ้ว คุณเขมลูบศีรษะแล้วหัวเราะเจ้าเด็กน้อยอย่างเอ็นดู

          “หนูขม พ่อกับพ่อยมยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลยนะครับลูก ทานข้าวก่อน แล้วเดี๋ยวพ่อค่อยซื้อขนมให้อีกนะครับ”

         “จริงนะจ๊ะพ่อเขม” เจ้าหนูยิ้มแก้มปริ ตาลุกวาว ยมได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ทุกวันนี้ฝ่ายที่ตามใจหนูน้อยไม่ใช่ยมอีกแล้ว หากเป็นคุณเขมต่างหาก

         แต่หลังจากทานมื้อกลางวันเสร็จ คุณเขมก็ไม่ได้ย้อนกลับมาซื้อน้ำตาลปั้นตามที่สัญญาไว้กับลูกน้อย

         ถ้าพ่อของเด็กน้อยทั้งสองรู้ชะตาชีวิตในอีกสามสัปดาห์ถัดมา เขาจะตามใจหนูขม ขนมสักกี่ชิ้น พวกเขาก็จะตามใจลูกชายตัวน้อย

         และหากฉุกใจซักนิด พวกเขาจะได้เห็นรถยนต์สีดำเมื่อมคุ้นตาจอดอยู่ไม่ห่าง คนในรถมองสามชีวิตในร้านก๋วยเตี๋ยว ภาพนั้นยมกำลังหัวเราะอย่างมีความสุขกับคนที่รักมากเหลือเกิน ชวนให้คนที่จ้องมองมองด้วยความเคียดแค้น เจ็บปวดเกินจะรับไหว

         เขาไม่มีวันเสียยมให้คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน

**ใกล้จบแล้วค่าา ไม่มีคนเม้นเลยง่าา เค้าตั้งใจแต่งมากเลยน้าTT
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่31(อัพครบ)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 08-03-2018 09:26:52
คุณปรินเซสเขียนงานใช้ได้นะครับ อย่าเพิ่งน้อยใจไป (หัวเราะ) ผมเห็นความตั้งใจของคุณปรินเซสผ่านหลายๆจุดในงานนะครับ ไม่ต้องห่วง อย่างพวกอารมณ์ของตัวละครในช่วงที่พลัดพรากกัน กับความอัดอั้นตันใจของตัวละครอย่างคุณโดมหรือคุณดอม ฉากบรรยายพวกนี้ ถ้าผู้แต่งไม่คิดให้หนักแล้วเขียนออกมาดีๆ มันจะถ่ายทอดออกมาไม่ชัดเจนครับ ซึ่งเรื่องนี้สื่ออารมณ์ได้ดีนะครับ

ถ้าจะมีข้อสังเกต ผมก็ยังเห็นอยู่หลายจุดนะครับ อย่างช่องโหว่แรกคือ พล็อตดูจะพื้นฐานไปหน่อย การที่รักกันเสร็จแล้วถูกกีดกัน ห่างกัน สุดท้ายกลับมา อีกฝ่ายดันมีคนมารัก มันดูละครน้ำเน่าแบบแปลกๆไปนิดนึง แต่อาจจะหยวนๆให้ได้เนื่องจากท้องเรื่องมันสมัยโบราณ พวกพล็อตแหวกแนวอะไรมากนี่คงจะยัง adapt ไม่ได้ แต่การที่เป็นพล็อตพื้นฐาน แน่นอนว่ามันจะทำให้คนอ่านเดาทางเรื่องได้ ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้คนอ่านประทับใจ ก็จะเป็นเรื่องของรายละเอียดประกอบเรื่องมากกว่าการดำเนินพล็อตแล้วล่ะครับ ถ้าเขียนออกมาแล้วพื้นหลังของเรื่องมีมิติ ก็จะทำให้คนอ่านรู้สึกว่าน่าติดตามมากขึ้น แต่เรื่องนี้ฉากอธิบายพื้นหลังค่อนข้างน้อยถึงปานกลางนะครับ มันยังไม่ดึงดูดเท่าที่ควร อย่างฉากเที่ยวงานวัดอะไรพวกนี้ ก็มีเพื่อเสริมบทให้พล็อตดำเนินไปมากกว่าจะอธิบายความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้นหรือรายละเอียดเพิ่มเติมต่างๆ ถ้าจะให้ผมแนะนำ คิดว่าคุณปรินเซสอาจจะต้องฝึกฝนเรื่องของการอธิบายฉากรอบข้างเพิ่มเติม แล้วก็เขียนพล็อตที่ซับซ้อนมากขึ้น (พล็อตหลักอาจจะไม่ซับซ้อนมากก็ได้ แต่มันมีหลายๆปมค่อยๆทยอยขมวดเข้ามาระหว่างดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ เหมือนนิยายเรื่องยาวที่มักจะมีปมประเด็นต่างๆใส่เข้ามาหลังจากที่ดำเนินพล็อตไปเรื่อยๆน่ะครับ)

จุดต่อมาที่ผมคิดว่าต้องคอมเมนท์ คือเรื่องของการจัดย่อหน้า การเว้นย่อหน้ามันดูแปลกๆครับ อาจจะต้องจัดให้บรรทัดมันอยู่ตรงกัน เพื่อความเป็นระบบในการอ่าน ตรงไหนจะย่อหน้าเข้าไป ก็ต้องมีระยะที่แน่นอน ผู้อ่านจะได้รู้ว่า อันนี้คือย่อหน้าใหม่ อันนี้คือร่ายกาพย์กลอน จำนวนของบรรทัดที่เว้นก็มีความสำคัญนะครับ ถ้าจะเปิดฉากใหม่ ก็ควรใช้เส้นคั่นไปเลย ถ้าอ่านแล้วสบายตา มันก็จะทำให้อ่านได้ดีขึ้น

แต่นอกนั้นผมโอเคนะครับ เรื่องตัวละครนี่ดีเลย ตัวละครทุกตัวมีมิติมาก มีนิสัยที่แตกต่างกัน และมีเหตุผลมารองรับการกระทำทุกๆอย่าง ตั้งแต่ภรรยาคุณพระ พ่อของคุณโดม หลายๆคน ฉากบรรยายอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของแต่ละตัวละครถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก การกระทำของแต่ละตัวละครก็มีเหตุผลสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นตัวดีหรือตัวร้าย อันนี้ถือว่าดีเลยครับ พยายามเพิ่มขึ้นอีกนิด น่าจะเขียนนิยายแนวสมัยปัจจุบันออกมาได้น่าสนใจทีเดียวครับผม
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่32(อัพครบ)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 08-03-2018 17:53:47
เรือนร้าว32
ตอน โศกนาฏกรรม

      ค่อนรุ่ง สองร่างที่นอนกอดกันดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ทุกทียมจะนอนหลับสบายเพราะมีคณเขมนอนกอดอยู่เคียงข้างไม่ห่างกาย ทว่ายามนี้กลับหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนที่สักพักจะดีดกายลุกขึ้นมาทั้งใบหน้าที่อาบเหงื่อ

      เฮือก!!!

       ยมไม่ได้ฝันร้ายมานานแล้ว ในฝัน...เด็กหนุ่มกำลังเดินจับมือกับพี่เขมอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่แล้วพี่เขมก็ปล่อยมือ ก่อนจะห่างออกไปช้าๆ ราวกับมีใครเอาเชือกมามัดให้ร่างสูงเหมือนถูกกระชากลากถูไปที่ไหนสักแห่ง ร่างเล็กพยายามรั้งพี่ไว้ แต่สุดความสามารถที่จะสู้ ทำได้เพียงร้องเรียกพี่เขมซ้ำไปซ้ำมาจนตื่น

      “ยมครับ เป็นอะไรหรือเปล่า”

     ขณะจะพลิกกายกอดเมียรักก็พบว่าว่างเปล่า เห็นร่างของเด็กน้อยนั่งชันเข่าข้างๆด้วยอาการหวาดกลัว เมื่อยมรู้สึกได้ว่าพี่เขมยังไม่ได้ไปไหน สองมือที่เอื้อมสัมผัสใบหน้าคมคายสั่นเทา แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยฝันก็ไม่เป็นจริง

        “ไหนคนดี เป็นอะไรไปบอกพี่สิ ฝันร้ายหรือครับ มาให้พี่กอดมา”

        ร่างน้อยอิงแนบหาไออุ่นจากคนพี่ ก่อนจะเล่าความฝันที่เพิ่งเกิดให้ฟัง ภาพที่พี่เขมคล้ายถูกบางอย่างฉุดกระชากยังติดตา จนยมกลัวว่าพี่เขมจะไปจากตนจริงๆ

        “เป็นแค่ฝันนะครับคนดี พี่อยู่กับยมตลอดนะครับ” ริมฝีปากอุ่นชื้นจูบหน้าผากมน จนเด็กน้อยรู้สึกดีขึ้นและค่อยๆลืมฝันร้ายนั้นไปเอง สองมือลูบเส้นผมสะอาดปลอบขวัญให้กลับคืนสู่คนรัก

       “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะครับ เดี๋ยวเตรียมของใส่บาตรไม่ทันนะ ยมจะได้สบายใจขึ้นด้วย”

       ยมพยักหน้า ก่อนจะเดินไปอีกห้องที่ลูกชายตัวน้อยกำลังนอนหลับปุ๋ยเพื่อปลุกให้มาใส่บาตรด้วยกันเหมือนอย่างเคย รอยยิ้ม ความสัมพันธ์ของสามพ่อลูกที่ทำกิจวัตรด้วยกันอบอุ่นเหมือนทุกวัน ก่อนที่คุณเขมจะพาครอบครัวเดินทางไปอังกฤษทางเรือยามค่ำ เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง



    “ยมครับ เก็บของเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”

     “จ้ะ”

     คุณเขมรับข้าวของที่จะเดินทางไปอังกฤษไว้เบาะหลังพอด้านหนึ่งโดยมีเพลิงมั่นคอยช่วย ตอนแรกหนูขมงอแงจะนั่งตักพ่อยม แต่เพราะพ่อเขมบอกว่าจะไปกราบลาคุณปู่ที่พระนครอีกครั้งก่อน ใช้เวลานาน เนื่องจากคุณพระวินิตราชศักดิ์เกิดเป็นไข้หวัดใหญ่ ป่วยหนักจนไปทำงานที่กระทรวงแทบไม่ไหว ชายหนุ่มเองก็หวาดหวั่นว่าจะนำยมไปด้วยดีหรือไม่ เพราะยมมีอดีตที่ไม่ดีกับที่แห่งนั้นเท่าใดนัก

     “ยมรอในรถได้จ้ะ” ยมจับมือใหญ่ เพราะตอนแรกคนรักบอกจะให้รอที่นี่แล้วจะกลับมารับ “ยมไม่อยากให้พี่เขมเสียเวลาเทียวไปเทียวมาเท่าใดนัก”

      ไม่เป็นไร...แค่มีพี่เขมอยู่ข้างๆ ยมก็ไม่กลัว

      จากนี้ไปพวกเราสามคนพ่อลูก จะได้ไปเริ่มใช้ชีวิตใหม่...ด้วยกัน

      “เดินทางปลอดภัยนะขอรับคุณเขม ยม แล้วก็คุณหนูขม”

       สองคนสนิทเอ่ยลา คุณเขมให้ทั้งสองคนเฝ้ารักษาที่นี่ แหละให้เงินบางส่วนไว้เดินทางไปเทียวดูคุณพระแทนตนในพระนคร รวมถึงค่าจับจ่ายใช้สอยอื่นจนกว่าจะกลับมาอีกครั้ง

       รถเคลื่อนลับไปไกล แต่เพลิงกลับทำสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก

       “ไอ้เพลิง เป็นอะไรไปวะ ใช้ให้ไปช่วยเก็บผักขายต่อแค่นี้ทำบูดบึ้งเรอะ”

       “ไม่ใช่อย่างนั้นไอ้มั่น” เพลิงปฏิเสธ “ข้ารู้สึกแปลกๆ ข้ารู้สึกว่าข้าจะไม่ได้พบคุณเขมกับยมอีกว่ะ”

      “ไอ้นี่! ปากเสียจริง” มั่นฟาดแขนคนรักดังเพี๊ยะ “เวลาผ่านไปเร็วจะตาย ประเดี๋ยวอีกทีคุณหนูขมก็เติบโต คุณเขมก็พายมกลับมาแล้ว เอ็งไม่ต้องกังวลนา ไปๆ ไปเก็บผัก ตลาดจะวายอยู่แล้ว”

        ข้าภาวนาขอให้เป็นอย่างที่เอ็งกล่าวเถอะ ไอ้มั่น

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

      คุณเขมขับรถพาลูกเมียกลับมาที่เรือนวินิตราชศักดิ์ในเวลาไม่นานนัก ยมมองอาณาบริเวณที่เคยจากมา แม้จะจากมาเพียงปีกว่า แต่ทุกสิ่งอย่างเริ่มเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไม่ค่อยมีบรรดาไพร่ในเรือนมากเหมือนเมื่อก่อน เรือนใหญ่ของคุณพระยังคงดูยิ่งใหญ่เหมือนเดิม ยามที่ได้เห็น...รู้สึกได้ถึงบารมี อำนาจที่สืบมารุ่นสู่รุ่น และเป็นที่แรก ที่ทำให้เจ้ายมตัวน้อยได้เจอคุณเขมเป็นครั้งแรก

        แรกเจอ...ที่ไม่เคยลืม

        แรกพบ...ที่ทำให้เจ้าทาสตัวน้อยหลงรักคุณเขม เทิดทูนบูชาเสียเหลือเกิน

       “รอพี่นะครับ พี่ไปพบคุณพ่อแล้วจะมา หนูขม อยู่เป็นเพื่อนพ่อยมนะลูก”

       คุณเขมไม่กล้าเสี่ยงพาเด็กน้อยขึ้นเรือนไปด้วย เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมา ลำพังตัวเขาอาจพอหลบหลีกเอาตัวรอดได้ทัน เมื่อเด็กน้อยรับคำ ร่างสูงจึงเปิดประตูลงจากรถ นานแล้วที่ไม่ได้กลับบ้าน แล้วจะต้องจากไปอีกหน น่าใจหาย...

        โดยหารู้ไม่ ว่ามีสายตาของใครบางคนจ้องมองมา และจะเกิดเหตุร้ายต่อครอบครัวของคุณเขมในไม่ช้า

         “จะเดินทางค่ำวันนี้แล้วใช่หรือไม่ แค่ก!”

         ร่างของคุณพระเอนอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียวไม่มีแรง คิ้วขมวดเข้าหากันตลอดเวลา พักนี้ท่านฝันร้ายตลอดเวลา เกรงจะเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง

        อย่างก่อนที่จะได้ตื่นขึ้นมาเจอคุณเขม...ก็ฝันว่าตนเองนั้นถูกเพชรฆาตร่างยักษ์ ควักเอาดวงตาดวงใจออกไป!!

        “ขอรับคุณพ่อ ลูกอยากจะมากราบลาคุณพ่อก่อนเดินทาง”

        “แล้วยมกับหนูขมเล่า? พ่ออยากเจอหลาน”

        “เอ่อ...คือ...” คุณเขมอึกอัก คุณพระจึงได้เข้าใจว่าให้สองคนนั้นมาเสี่ยงในเรือนแห่งนี้ไม่ได้ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

        แต่จะไม่พูดเรื่องความฝันเด็ดขาด ท่านไม่ต้องการให้บุตรชายเป็นกังวล

       “อย่างไรพ่อขอให้พ่อเขมเดินทางปลอดภัยเถิด”

       ชายหนุ่มรับพรจากบิดา แล้วตัดสินใจถามถึงผู้เป็นมารดา ต่อให้คุณเขลางค์จะใจร้ายแค่ไหน อย่างไรก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุพการี และรักคุณเขมไม่ต่างจากคุณพระเหมือนกัน

        “คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างขอรับคุณพ่อ”

       “เฮ้อ!” บุรุษใกล้สูงวัยถอนใจรวยริน ยามนึกถึงคู่ยากที่อยู่กินด้วยกันมา “แม่ของเจ้า ปิดตายทุกอย่าง พยายามให้หมอรักษาอาการก็ไม่ยอม พ่อทำได้เพียงให้อีเฟื้องคอยส่งอาหารให้แม่เขลางค์ก็เท่านั้น พ่อทำใจส่งแม่เจ้าให้ทางการไม่ได้จริงๆ”

        คนเก็บตัว ซึมเซาอยู่ในเรือนปิดตายเงียบๆคนนั้น อย่างไรก็เป็นคนที่คุณพระวินิตราชศักดิ์รัก ทำใจยากนักที่จะส่งให้ทางการสอบจนเป็นเรื่องใหญ่โต

        “ลูกขอกราบลาคุณแม่ ผ่านคุณพ่อนะขอรับ”

      ร่างสูงก้มลงกราบที่ปลายเท้าของบิดา จากไกลไปถึงแดนไกล อีกนานเท่าใดก็ไม่ทราบที่จะได้กลับมาถิ่นสยามอีก

        “แล้วลูกจะเขียนจดหมายมาบ่อยๆขอรับ”

       ขณะรอคนรักขึ้นไปร่ำลาคุณพระ ยมมองหนูขมที่กำลังเพลิดเพลินกับตุ๊กตาหลากสีที่พ่อเขมซื้อให้อย่างเพลิดเพลิน จนไม่ทันได้สังเกตรถสีดำเมื่อมที่เข้ามาจอดเทียบใกล้ๆ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะปรี่เข้ามาเคาะกระจก โดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัว

      “ยม ยม!”

      ยมหันมาเจอร่างคุ้นตาก็ได้แต่เบิกตากว้าง เกิดคำถามมากมาย คุณโดมรู้ได้อย่างไรว่าเขามากับพี่เขม...ที่นี่?

     “คุณโดม!”

      “ยม ขอร้องล่ะ ขอฉันได้คุยกับเธอเถอะนะ ฉันคิดถึงยม!”

     “พ่อยม เกิดอะไรขึ้นหรือจ๊ะ”

       อีกฝ่ายยังไม่ยอมทุบกระจกรถง่ายๆ ยมหันรีซ้ายขวาด้วยความห่วงลูก ลงไปพูดคุยประเดี๋ยวคงไม่เป็นกระไรมัง จะได้ขอบคุณทุกสิ่งโดยไม่ติดค้างใดๆอีกกับอีกคน...ด้วยวาจาของเด็กหนุ่มเอง

       “หนูขม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าลงมาจากรถนะลูก” หันมากำชับลูกน้อย อย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน จนกว่าพี่เขมจะกลับมา

      “จ้ะ!”     

      แม้เด็กน้อยรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าคนที่เรียกพ่อยมคือลุงโดม แต่เจ้าหนูเลือกที่จะฟังสิ่งที่พ่อยมสั่ง แต่กระนั้นตาก็จับจ้อง รอจนกว่าพ่อยมจะกลับขึ้นรถมาอย่างปลอดภัย

      หมับ!

       ทันทีที่ยมก้าวลงจากรถของคุณเขม ร้อยโทหนุ่มก็ถลาเข้ามากอดร่างเล็กไว้แน่น เขาตามหายมานานเหลือเกิน ตามหาทั่วทั้งพระนคร และกลับมาเรือนนี้บ่อยๆเผื่อว่าคุณเขมจะพากลับมา แต่ก็หาได้พบไม่ จนกระทั่งเขาได้เห็นยมแถวๆร้านถ่ายรูปที่ย่านฝั่งธน ยมดูมีความสุขกับคุณเขม มีชีวิตใหม่กับหนูขม สามชีวิตนั้นมีความสุข ในขณะที่เขาต้องทรมานทุกวัน

        อาศัยสืบจากเพื่อนที่ทำงานที่เดียวจากคุณเขม จึงรู้ว่าคุณเขมได้ลาออกจากกระทรวงมหาดไทย พาครอบครัวเดินทางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งที่อังกฤษ เขารู้ว่าอย่างไรคุณเขมต้องกลับมา จึงได้มาดักรอจนสบโอกาส

        “คุณโดม ปล่อย ปล่อยเถอะจ้ะ”

        ยมดิ้นไม่ยอม จนร่างสูงทนไม่ไหวต้องปล่อย เขามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่ตัดพ้อ อย่างไรเสีย ยมคงจะเกลียด เกลียดเขามากสินะ

        “ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่คนดีในสายตายมอีก”  คุณโดมจับมือยมไม่ปล่อย “แต่ขอร้อง ฉันคิดถึงยมมากเหลือเกิน”

        ภาพที่ยมพยายามสะบัดมืออกห่างร้อยโทหนุ่ม ทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของคนที่แง้มเปิดบานไม้มองลงมา จากเรือนที่อยู่ถัดเรือนของคุณพระวินิตราชศักดิ์ สายตาคู่นั้นมองอย่างเคียดแค้น สติสัมปชัญญะปั่นป่วน รุนแรง บ้าคลั่ง มันสั่งให้ระลึกเรื่องที่ผ่านมา!

          ไอ้ยม ไอ้ราชฟ้า!! นี่มึงยังกลับมาจองเวรกูอีกรึ!?

          สองมือค้นบางอย่างในลิ้นชักไม้เก่าผุพัง จนพบวัตถุบางอย่างที่ทำให้ถึงกับกระตุกยิ้มชั่วร้ายออกมา

        ในเมื่อมันกลับมาได้ ก็ฆ่าทิ้งอีกหนปะไร!

         “ทุกสิ่งทุกอย่างทีคุณโดมดีกับยมเสมอมา” ยมกระพุ่มสองมือไหว้ ด้วยหัวใจสัตย์จริง อย่างไรเขาก็มีบุญคุณต่อยมมาก ทำให้ยมได้มีชีวิต เขาช่วยยมไม่ให้ตกนรกทั้งเป็น เขาให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่พักพิงจนยมได้เจอคุณเขมในที่สุด

       “ยมขอบพระคุณทุกอย่าง สิ่งใดที่ยมทำให้คุณโกรธหรือไม่พอใจ ยมขอให้คุณอภัยให้ยมเถอะจ้ะ”

       “ไม่ยม...” สองมือใหญ่บีบไหล่เด็กหนุ่มแน่น “ฉันรักยม ขอร้อง ไปกับฉันเถอะนะ ฉันรักยมไม่แพ้เขม เรากลับไปเริ่มต้นด้วยกันเหมือนตอนนั้น”

         ทุกถ้อย ทุกวาจาที่ไปไม่ถึงผู้แอบดูอยู่บนเรือน แต่มันไปถึงอีกชีวิตที่แอบฟังอยู่ไม่ไกล เธอฟังทุกถ้อยอย่างเจ็บปวดก่อนจะค่อยๆจากไปเงียบๆอย่างอ่อนแรง

        “แต่ยมไม่เคยรักคุณ” ยมพูดถ้อยออกมาตรงๆ แม้จะต้องทำให้คนตรงหน้าต้องเจ็บ “ยมรักพี่เขมคนเดียว ยมเคารพคุณโดมเหมือนพี่ชายที่แสนดี ขอร้อง อย่าพรากยมไปจากพี่เขมอีกเลย”

         สองมือกราบกรานขอร้อง น้ำตาไหลออกมาแทบจะเป็นสายเลือด นั่นทำให้อีกฝ่ายกระตุกวูบไหว ใจหนึ่งอยากครอบครอง อีกใจก็สงสารเห็นใจ รู้สึกผิดบาปที่จะต้องพรากคนรักกัน

        “คุณโดม คุณเป็นคนดีสำหรับยมเสมอมา คุณโดมรู้มาตลอดว่าที่ยมยังมีชีวิต ก็เพื่อที่จะรอพี่เขมคนเดียว แต่คุณโดมจะเป็นพี่ชายที่แสนดีของยม ยมจะไม่ลืมทุกอย่างที่คุณมอบให้”

        “ฉัน...”

         “ยม!!”

       “พี่เขม!”

       ร่างสูงแยกยมออกมาสวมกอดอย่างหวงแหน ใบหน้าของคุณเขมดุดันพร้อมจะเอาเรื่อง เขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทราบได้อย่างไรว่าเขาจะกลับมา แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่ร้อยโทหนุ่มไม่ได้ทำสิ่งใดอุกอาจหรือทำให้ยมบาดเจ็บ มิเช่นนั้นคุณเขมคงเจ็บปวดเกินจะนับ

        “คุณมาทำไม”

         “พี่เขม ใจเย็นก่อนจ้ะ” เมื่อเห็นว่าคนรักทำท่าจะเอาเรื่องอีกฝ่ายก็ร้องห้าม คุณโดมยิ้มน้อยๆ มองสองมือสองแขนที่กอดตระกองเจ้ายมอย่างหวงแหน ก็รู้สึกอิจฉาที่เขาไม่มีโอกาสจะได้ทำเช่นนี้กับยม ไม่มี

        “ขอสารภาพตามตรงนะ ว่าฉันเองก็รู้สึกกับยม อย่างที่นายก็รู้สึกน่ะแหละ...”

        “คุณ!!”

        “ฉันรู้ ฉันแพ้นายตั้งแต่ยังไม่เริ่ม” ร่างสูงยักไหล่ ภายนอกดูไม่คิดอะไร แต่หากลึกลงไปสุดจะช้ำหนัก อยากจะเข้าไปแย่งยมจากคนตรงหน้า แต่ก็ไม่ใจมารพอที่จะเข้าไปฉุดกระชากตามใจหมาย

         “แต่ฉันขออะไรจากนายหน่อยได้ไหม ฉันอยากรู้ ว่านายจะปกป้องยมเหมือนที่ฉันทำได้รึเปล่า”

         “หมายความว่าอย่างไร”

         ไม่พูดพร่ำทำเพลง หมัดแรกก็ถูกเสยเข้ามายังใบหน้าคมคาย คุณเขมชกกลับตามสัญชาตญาณ ยมเองก็พยายามห้าม เลิ่กลั่กไปหมด ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะลุกลามใหญ่โตเช่นนี้ได้

        “พี่เขม คุณโดม หยุด หยุดเถอะนะจ๊ะ”

        สองชีวิตที่ต่างทะเลาะรุนแรงไม่หยุด ในขณะที่ยมจะก้าวไปตามคนในเรือนมาช่วยห้าม พลันกลับเหมือนถูกสาปให้ก้าวไม่ออกคล้ายรูปปั้น

        “คุณเขลางค์...”

        “ใช่ กูเอง” ในมือถือปืน เตรียมจ่อยิงคนที่ตนแสนเกลียดชังมาตลอดชีวิต “มึงตายซะเถอะไอ้ยม!”

         “อย่า!”

         เสียงของมารดาทำให้คุณเขมรีบผลักร่างของคุณโดมออก เขาไม่สนใจศักดิ์ศรีที่ถูกท้าทาย เขากลัวยมจะเป็นอันตราย ร่างสูงเข้ามากอดคนรักไว้เสมือนที่กำลัง ทำให้ไม่ทันเห็นว่าวิถีกระสุนจากวัตถุมะเมื่อมในมือ จะเป็นบ่วงเพชฌฆาตมาพรากคุณเขมให้รับเคราะห์แทนยม

           ปัง!!!       

     “นั่นมันเสียงปืนนี่ไอ้กลอง!” คุณพระเอ่ยกับคนสนิท เป็นกังวลตั้งแต่เหมือนได้ยินเสียงคนทะเลาะวิวาทหน้าเรือน  กลองพยักหน้า     

 “ขอรับ เสียงมาจากหน้าเรือนขอรับ หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณเขม”       

“รีบไปเร็วไอ้กลอง”       

  คุณพระฝืนอาการป่วยไว้ลุกจากเตียง เพราะรู้สึกมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง       

 ดวงตาดวงใจ...ที่ถูกฉกชิงไปต่อหน้าต่อตาในความฝันเมื่อคืน!

       ปัง!!!!     

  เจ้ายมหลับตาปี๋ ความรู้สึกเจ็บที่ถาโถมสู่กายนั้นร้าวราน น้ำตาไหลด้วยตกใจเสียงปืนที่เพิ่งถูกสั่งให้ลั่นไก โลหิตสีแดงเปื้อนทั่วทั้งฝ่ามือเล็ก ดวงตาคู่น้อยสั่นระริกเบิกกว้าง     

  ไม่ได้รู้สึกเจ็บเพราะถูกปืนยิง!   

  “ยม ไม่เป็นอะไร ใช่ไหม...”   

   ร่างสูงที่โอบกอดคนตัวน้อยทรุดตัวลง อ้อมแขนที่ปกป้องคุ้มครองไร้เรี่ยวแรง ริมฝีปากหยักศกคลี่ยิ้มบางๆ ที่หัวใจของเขานั้นปลอดภัย น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อปีติ สายตาคมเข้มจับจ้องคนที่เป็นยิ่งกว่าชีวิตของตน

      เจ็บเหลือเกิน ทำไมมันถูกตรงที่ใกล้ๆหัวใจเล่า       

   “พี่เขม!!!!!”   

  ยมแผดเสียงพร่ำขานชื่อคนรัก ร่างน้อยถลาเข้ามากอดร่างที่หายใจรวยริน คุณโดมต้องเข้ามาประคองคนตัวเล็กไว้ แต่ก็ถูกผลักไสออก     

“อย่า!!อย่ามายุ่งกับยม! ปล่อย ฮือ ฮึก!!!”     

“ยม...”   

  คุณโดมมองคนที่เขารักกำลังโอบกอดศัตรูหัวใจอย่างเจ็บปวด ความผิดทั้งหมดมาจากเขา

   เพราะเขา...เขาคนเดียว!!   

   “พ่อเขม!!”     

 คุณพระที่ได้ยินเสียงปืนดังลั่นรีบวิ่งลงมาดูพร้อมกับบ่าวสองสามคน  ดวงตาเหี่ยวย่นสั่นไหวเมื่อเห็นร่างของบุตรชายนอนหอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดของยม เสื้อราชปะแตนสีไข่ไก่เปื้อนไปด้วยหยาดโลหิตอาบชุ่ม     

  “กรี๊ดดดดดดดดด!!!! พ่อเขม แม่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ ไม่...”       

   เสียงกรีดร้องของต้นเหตุทำให้คุณพระเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่าง ร่างสกปรกมอมแมมของคุณเขลางค์ยังคงจับปืนแน่น ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามด้วยกลัวได้รับอันตราย     

  “รีบพาพ่อเขมไปโรงหมอเร็ว!!” คุณพระหันไปเอ่ยกับคุณโดม ร้อยโทหนุ่มพยักหน้าก่อนจะรีบเข้าไปพยุงร่างของคุณเขมพร้อมกับยมขึ้นรถ       

 “พี่เขม พี่เขมแข็งใจไว้นะจ๊ะ”       

รถออกตัวไปแล้ว คุณพระได้แต่มองตามด้วยความเป็นกังวล ขอให้คุณพระคุณเจ้าที่เคารพนับถทอตลอดมาคุ้มครองให้บุตรชายถึงมือหมอให้เร็วที่สุดเถิด   

 “ไอ้ยม กูไม่ยอม กูจะฆ่ามึง!!”   

  เสียงเกรี้ยวกราดประกาศก้องอาฆาต ใครว่าคนเสียสติจะลดทอนความพยาบาทได้ลง คุณเขลางค์ชักปืนขึ้น แม้คนที่ตนเกลียดจะไม่อยู่ตรงนี้แล้วก็ตาม     

 “แม่เขลางค์ ฉันขอร้อง หยุดความอาฆาตไว้เพียงเท่านี้เถิด!!” 

   “ไม่!! คนที่ทำให้ชีวิตกูวอดวาย มันต้องตาย ต้องตาย ฮ่าๆๆๆๆ”     

“คุณเขลางค์อย่ายิงคุณพระนะขอรับ!” ไอ้กลองร้องห้าม เอาตัวมาบังไว้ แต่ยังไม่ทันที่ปืนจะถูกลั่นไกอีกครั้ง     

ส๊วบ!!

    โลหิตไหลอาบไล่ลงจากลำคอสู่ลาดไหล่ทีละน้อย แทรกซึมลงลึกผ่านเสื้อผ้าลูกไม้งาม ริมฝีปากแดงเผยอค้าง เบิกตาโพลงมองคนที่บังอาจทำร้ายตน   

 “อะ...อีเดือน”   

“เจ้าค่ะ บ่าวเอง” น้ำเสียงนางทาสพูดเสียงเรียบ กดมีดคมให้ลงลึก เธอทนเห็นคุณเขลางค์ก่อบาปกรรมต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว   

 “หยุดก่อกรรมได้แล้วเจ้าค่ะ คุณเขลางค์”   

  ปั๊ก!! 

 “อย่า!!”     

    ลมหายใจสุดท้ายของหญิงชั่วดับลงทันทีที่มีดเล่มคมถูกปักลงท้ายทอย ต้องเส้นชีพจรเข้าอย่างจัง เดือนผลักร่างที่ไร้วิญญาณนั้นลงบนพื้นอย่างขยะแขยง นางทาสร้องไห้ก่อนจะหันมาก้มกราบคุณพระที่ได้แต่นิ่งงัน สับสน เสียใจกับเหตุเลวร้ายที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งรับ     

    “บ่าวขอให้คุณพระอโหสิกรรมบ่าวด้วยนะเจ้าคะ สิ่งใดที่บ่าวทำให้คุณพระขัดเคืองโกรธ บ่าวขอขมาคุณพระไว้ตรงนี้ ก่อนที่บ่าวจะหมดลมหายใจ”     

   หลังกล่าวขออโหสิกรรม เดือนก็ใช้มีดเล่มเดียวกับที่ปลิดชีวิตคนชั่ว ปาดคอเลือดพุ่งกระฉูด ล้มแน่นิ่งตามคุณเขลางค์ไปไม่กี่เสี้ยววินาที คุณพระปรายมองร่างทั้งสอง แม้สุดจะเสียใจเหลือแสนที่ต้องสูญเสีย

 แต่อย่างน้อย...คุณเขลางค์ก็ได้สิ้นกรรมเสียที สิ้นสุดความทุกข์ สิ้นสุดความแค้นที่เกาะกินหัวใจ   

 ร่างของภริยาที่หมดลมหายใจ   

 ร่างของคนที่ตนเคยรักมากที่สุด     

ร่างของมารดา...ที่บาปกรรมบันดาลให้ฆ่าบุตรตนเองกับมือ!     

“ไอ้กลอง เอ็งนำร่างของอีเดือนเตรียมนำไปประกอบพิธีที่วัด”     

 “ขอรับ”   

 เมื่อบ่าวคนสนิทแบกร่างไร้วิญญาณของเดือนไปแล้ว พลันเห็นร่างของหลานชายกำลังทุบกระจกรถด้วยความหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิด ก็รีบไปรับตัวหนูขมลงจากรถทันที

      “ฮึก ฮือ! คุณปู่ คุณปู่...”

      “หนูขม ลงมาหาปู่”

       คุณพระเรียกน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่ให้ขวัญของหนูน้อยกระเจิงไปมากกว่านี้  เด็กน้อยพยักหน้า ลงจากรถแล้วสวมกอดผู้เป็นปู่ดังหมับ เจ้าหนูร้องไห้หวาดกลัว เสียขวัญเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่พ่อถูกยิงต่อหน้าต่อตา

      “ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก ไม่มีอะไรแล้ว”

       “ฮึก! พ่อเขม พ่อเขมเจ็บ...” เจ้าหนูสะอื้น คุณพระต้องปลอบขวัญอยู่นานว่าคุณเขมจะไปถึงหมอทัน และจะปลอดภัยกลับมาหา หนูขมร้องไห้จนเผลอผลอยหลับไปในอ้อมกอดของคุณปู่ตรงนั้นเอง

     “พวกเอ็ง พาหลานข้าขึ้นไปนอนบนเรือนข้าแล้วดูแลให้ดี ขอข้าจัดการธุระตรงนี้ก่อน” หันไปสั่งทาสสองสามคนที่มุงดูเหตุการณ์อย่างกล้าๆกลัวๆ แม้จะตกใจกับเรื่องที่เกิดไม่น้อยเช่นกันแต่ก็รับคำสั่งคุณพระโดยดี

      “เจ้าค่ะ”

      หลังจากพวกนางอุ้มร่างของเด็กน้อยพาขึ้นไปบนเรือนใหญ่แล้ว  คุณพระก็ทรุดกายลงจับมือคุณเขลางค์ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย ใบหน้างดงามที่หลงรักตั้งแต่แรกเห็นซีดเซียวลง ริมฝีปากเริ่มแห้งคล้ำ บ่งบอกได้ว่า...พระยมได้มารับวิญญาณของคุณเขลางค์ไปชดใช้กรรมแล้ว   

  “แม้แม่เขลางค์จะทำร้ายฉัน แต่ขอให้รู้ไว้เถิดว่า หญิงเดียวที่ฉันจะรักตลอดไป ก็คือแม่เขลางค์ จำไว้นะ ฉันจะจดจำแม่เขลางค์ตลอดไป”     

น่าเสียดาย...ที่คนที่ถูกพร่ำบอกนั้น ไม่สามารถตื่นขึ้นมาฟังได้ ชั่วนิรันดร์!



 “ใกล้จะถึงโรงหมอแล้ว นายแข็งใจไว้นะเขม!”     

 คุณโดมเร่งเหยียบเพื่อให้ถึงที่หมายให้เร็ว ดวงตาคมเข้มมองสะท้อนกระจก เห็นภาพของยมที่ร้องไห้จะขาดใจจับมือคุณเขมแนบแน่น เอาแต่พร่ำให้คนรักแข็งใจกับความเจ็บปวดทางกายไว้     

  “พี่เขม พี่เขมอดทนไว้นะ จะถึงโรงหมอแล้วจ้ะ”     

  “ยม...”       

  เหตุใด...เปลือกตาที่ฝืนลืมมองคนรัก ถึงได้หนักอึ้งราวมีหินมหึมากดทับ       ยังไม่ค่ำเลย เหตุใดรอบๆเริ่มมืดสลัว     

    อา อุตส่าห์เฝ้าอดทนมาถึงขนาดนี้ แต่เหตุใด...ครานี้มันทรมานไปหมด คล้ายหัวใจถูกฉีกกระชาก เหมือนมีบ่วงบาศก์บางอย่าง กำลังจะมาฉวยเอาวิญญาณของเขาไป       

  น้ำตาของเจ้าคนตัวน้อยไหลลงมาเปื้อนใบหน้าคมสันที่ไร้เรี่ยวแรง คุณเขมทนไม่ได้ ฝืนเอื้อมมือไปสัมผัส     

    เช็ดน้ำตาให้ยมตัวน้อย ทั้งที่แทบจะไม่มีแรง     พี่ทำเจ้าร้องไห้อีกแล้ว พี่ขอโทษนะคนดี พี่ขอโทษ      หากแม้ต้องกระสุนปืนนัดเดียวคงพอฝืนไปถึงโรงหมอไหว     

 แต่ถูกยิงถึงสองนัดรวด ยิ่งใกล้จุดสำคัญแล้ว คุณเขมก็รู้สึกได้เลยว่า...เวลาของเขานั้นใกล้หมดแล้ว     

“ยม พี่ พี่ไม่ไหว”   

  “ไม่เอา ยมรู้ว่ายมเห็นแก่ตัว แต่พี่เขมต้องมีชีวิต ยมอุตส่าห์ดิ้นรนจากความตายเพื่อรอพี่ ขอร้อง อย่าให้ความตายมาพรากพี่ไปจากยมเลย”     

 ยมวิงวอนขอร้องเจียนใจจะขาด น้ำตาลูกผู้ชายของคุณเขมเอ่อไหลจากหางตาสงสารเจ้าตัวน้อยนัก เขาเองก็ไม่อยากให้ความตายมาพราก คนเราทุกคนย่อมมีวันดับ แต่ก็ไม่มีใครต้องการให้มันเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ คุณเขมกุมมือยมกลับ สบสายตามองด้วยความรักที่มีให้กัน ความรักที่หอมหวานเจือเจ็บปวด ความรักที่มั่นคงแต่ถูกทิ่มแทงจนรวดร้าว แม้ตัวจะใกล้ตายอย่างไร...แต่หัวใจที่มั่นคงจะเชื่อมเพื่อนำพาคนสองคนมาพบกันจนได้     

 “พี่รักยม...รักที่สุดในชีวิต”     

“ฮึก!!” ยมจูบซับมือใหญ่ กลั้นเสียงสะอื้น “ใครบอก ยมรักพี่ รักพี่มากกว่า”   

 “คนดีของพี่...”      พูดได้เพียงนั้น เสียงที่จะเปล่งกลับแหบแห้งจนไม่มีเสียงใดออกมา คุณเขมทำได้เพียงจดจำใบหน้าของคนที่เขารักตลอดไป     

 จะรักยมทุกชาติ...ทุกภพ     

  ชาตินี้เขาแสนเลวที่ทอดทิ้งหัวใจ ปล่อยให้ยมต้องชอกช้ำ

    มองไปนอกรถซึ่งใกล้ย่ำเย็น เขาเห็นพระจันทร์ค้างฟ้าที่เริ่มส่องแสงท่ามกลางหมู่เมฆ ตั้งจิตอธิษฐานเป็นครั้งสุดท้าย   

 ‘พระจันทร์ได้โปรดเป็นพยาน ชาตินี้แม้ความตายจะพรากเราจากกัน แต่ชาติหน้าจะตามหาให้พบ จะไม่ยอมให้ความตายมาพรากเราสองไปอีก’     

 เฮือกสุดท้ายหลังอธิษฐาน คุณเขมจึงหลับตาลงผ่อนคลาย มือที่กุมมือน้อยร่วงลงบนตักเจ้ายม ไร้เรี่ยวแรง คำอธิษฐานครั้งสุดท้ายก็เช่นกัน

     ‘ชาติหน้า พี่จะทำให้ยมเป็นคนที่มีความสุขที่สุด’   

 “พี่เขม...”   

 เพราะเห็นคนรักแน่นิ่งไป เด็กหนุ่มใจไม่สู้ดีและหวั่นไหว หัวใจเต้นช้าคล้ายจะขาดรอนๆ นิ้วชี้ค่อยๆเอื้อมไปอังจมูกโด่ง...     

ที่ไม่มีลมหายใจแล้ว   

 “ไม่!!!!!!ไม่จริง!!”   

 พี่เขมแค่สลบเพราะเจ็บใช่ไหม!!     

ยมบดเบียดริมฝีปากคุณเขมดูดดื่ม หวังให้คนที่รักที่สุดตื่นขึ้นมาพูดคุยเหมือนวันเก่าก่อน เหมือนวันวานที่พี่จะแกล้งหยอกล้อยม   



  ‘พี่เขม...’

หอมแก้มก็แล้ว เขย่าตัวก็แล้ว คนตัวสูงก็ไม่ยอมตื่นเสียที ใจจริงเจ้าตัวน้อยก็ไม่ได้อยากปลุกรบกวนการนอนหลับ หากไม่ติดว่าสายโด่งจนเลยเวลามื้อเช้าแล้ว ยมก็คงปล่อยให้คุณเขมนอนต่ออีกซักพัก

เด็กน้อยทำใจกล้า ตัวสั่นเล็กน้อย แต่ก็ลงสัมผัสริมฝีปากหยักศกของคนรักหยั่งเชิง

ยมทำขนาดนี้...ถ้าพี่ไม่ตื่น ยมจะไม่ปลุกแล้วนะ

“ชื่นใจจัง พี่รอให้ยมจูบอยู่นี่แหละถึงจะตื่น หึๆ”

“คนบ้า!!” 



 ไหนว่าจูบแล้ว...พี่จะตื่นขึ้นมามองยม พูดคุยกับยมอย่างไรเล่า!   

  คุณโดมเบรกยานพาหนะทรงกระดองเต่าดังเอี๊ยด เขาเอื้อมมือมาอังจมูกและจับชีพจร ทั้งสองที่ที่สัมผัสแน่นิ่ง ไม่ขยับไหวติง      เขมได้จากยมไปแล้ว     

“ยม ฉันขอโทษ ฉันพาเขมไปถึงมือหมอไม่ทัน เขมไม่หายใจแล้ว”   

 “พี่เขม!!!!”     

ร่างน้อยประคองกอดคนรัก ซุกใบหน้าลงบนอกแกร่งที่แน่นิ่งไปแล้วร้องไห้น้ำตาเจียนจะเป็นสายเลือด มือยังกุมมือพี่เขมไม่ห่าง มืออบอุ่นที่ปกป้องคุ้มครอง ยามนี้เย็นเชียบเฉกเช่นศพทั่วไป     

บอกเขาทีเถิด...ว่านี่เป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น     

ตื่นขึ้นมา...ก็จะได้เห็นพี่เขมนอนกอดปลอบใจ     

 ได้โปรด ตื่นขึ้นมา ได้โปรด!!!     

แต่อนิจจา...เจ้าแห่งความตายไม่เมตตา ท่านทำตามที่ชะตาฟ้าลิขิต ด้วยการนำลมปราณของคุณเขมเดินจากยมไปช้าๆ     

ห่างออกไป...จนเลือนลาง และลาลับ!!

 
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่33(อัพครบ)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 08-03-2018 17:55:41
เรือนร้าว33
ตอน ลมหวน

   งานฌาปนกิจของคุณเขม คุณเขลางค์ และเดือน ถูกจัดขึ้นพร้อมๆกัน และดำเนินมาจนใกล้ครบหนึ่งเดือน แขกเหรื่อที่มางานทั้งหลายจะคุ้นกับเด็กหนุ่มหน้าตาเศร้าหมอง ไม่พูดไม่จา คอยยื่นธูปให้เพื่อเคารพดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับทั้งสาม และเมื่อคุณพระขอให้ยมปลีกออกไปพักเหนื่อย ก็จะออกไปนั่งร้องไห้อยู่ไม่ไกลจากศาลาฌาปนกิจ

     “ยม”

     เสียงนุ่มทุ้มเรียก จนแวบแรกยมนึกว่าเป็นเสียงของคุณเขม แต่ไม่ใช่...

      “พี่บูรพา ฮึก!”

     คุณบูรพากอดร่างเด็กหนุ่มที่ตนเอ็นดูเหมือนน้องชายคนหนึ่งแน่น เขาเพิ่งทราบข่าวว่าคุณเขมเสียชีวิต จึงรีบเดินทางมาร่วมงานเพื่อเคารพศพเพื่อนชาย และอยากมาดูอาการของยม ซึ่งไม่ผิดไปจากที่คิด

      สภาพยมผอมแห้งอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาบวมช้ำ น้ำเสียงที่เคยหวานแหบแห้ง อีกนิดอาจจะถึงขั้นเอื้อนเอ่ยต่อไม่ไหว ตามลำตัวหนาวเหน็บคล้ายมีไข้ ทราบจากคุณพระด้วยว่ายมไม่ยอมพักผ่อน นับแต่วันที่คุณเขมจากไป ยมเอาแต่เฝ้าร่างไร้วิญญาณของคุณเขมไม่ห่าง ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน

      “ถ้าพี่เขมรู้ว่ายมทรมานตัวเอง เขาจะเป็นทุกข์มากนะ กินอะไรเสียหน่อยเถอะ” คุณบูรพายื่นขนมนมเนยที่หิ้วมาฝากยม หากอีกฝ่ายส่ายหน้า

      “ยมกินไม่ลงจ้ะ แค่จะกลืนน้ำลาย ยังเจ็บไปหมด”

      “โธ่ยม”

      เขาปลอบขวัญยมอยู่นาน แม้จะไม่ค่อยได้พบกัน แต่คุณบูรพาก็รู้ได้ทันทีว่าหัวใจของยมนั้นยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเพียงใด คุณเขมถึงได้รักยมมากจนถึงกับยอมสละชีวิตเพื่อให้คนรักยังคงมีชีวิตอยู่ แต่กระนั้นยมกลับทรมานตัวเอง เรียกได้ว่าแทบจะตายตามคุณเขมเสียให้ได้

     “ยมอย่าลืมนะ ยมยังมีหนูขม ลูกยังต้องการพ่อ ยมทรมานตัวเองอย่างนี้ ไม่สงสารลูกบ้างรึ”

     คุณบูรพากล่าวทิ้งท้าย ลูบหัวเจ้ายมตัวน้อยแล้วลุกจากไปเพื่อเคารพศพคุณเขมบ้าง ยมเหลือบมองขนมสีสวยที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้ก่อนจะหยิบมันขึ้นมา

      เขาจะมีชีวิต....จะต่อชีวิตไปได้อีกนานแค่ไหน

      ขนมรังไรที่ค่อยๆเอาเข้าปาก ยมไม่ได้รับรู้ถึงความหวานของมันแม้แต่น้อย ทั้งรู้สึกขมปร่า ฝาดคอ ยามกลืนก็เหมือนมีมีดนับพัดคอยบาด แค่จะต่อชีวิตตัวเอง...ยังรู้สึกทรมานจับใจ

       “ฮึก! ยมคิดถึงพี่”

     ขนมรังไรมากสี ขนมโปรดของพี่เขมหลักจากรับของคาว วันนั้นเรายังพลัดกันป้อน พลัดกันชิม ใช้เวลาด้วยกันก่อนที่พี่จะจากยมไปอังกฤษ

      “ยมรู้ไหม เขามีกลอนกล่าวถึงขนมรังไรด้วยนะ”

*     *รังไรโรยด้วยแป้ง     เหมือนนกแกล้งทำรังรวง

โอ้อกนกทั้งปวง            ยังยินดีด้วยมีรัง

         หากเปรียบเป็นนก เมื่อก่อนยมก็มีความสุขที่ได้อยู่ในรัง เคียงเป็นคู่สองกับพี่

        แต่ยามเมื่อพ่อนกถูกนายพรานยิงตายจากไป ทิ้งให้เขาอยู่กับลูก หัวใจของนกน้อยไร้ที่พึ่งพิง ไร้คู่รักปีกป้องพำนักกาย คล้ายถูกทิ้งอยู่ในป่ามืดลำพัง

          ทรมานเหลือเกิน

           อีกนานเพียงใด...จะผ่านมันไปได้

         เวลาที่แสนทรมาน จวบจนย่ำค่ำ ทุกคนกลับออกจากงานไปหมดแล้ว คุณพระเองก็พาหนูขมกลับไปพักผ่อนที่เรือนใหญ่ แม้ท่านจะอนุญาตให้ยมกับหนูขมได้พักอยู่ที่เรือนเก่าของคุณเขม โดยมีเพลิงกับมั่นกลับมาช่วยดูแลหลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของคุณเขม แต่กระนั้นที่พักพิงให้เจ้ายมได้หลับนอนสนิทจริง คือเสื่อที่ปูอยู่ข้างโลงศพคุณเขม

       “พี่เขมจ๊ะ ยมมาอ่านหนังสือให้พี่ฟัง พี่เขมจะได้ไม่เหงา”

       กำปั้นน้อยๆที่สั่นเครือหนาวเหน็บ เคาะโลงศพสองสามครั้ง ยมไม่สนใจความเชื่อเรื่องโลงศพอย่างที่เขาว่าต่อๆกันมา สนเพียงแค่ว่าพี่เขมจะไม่เหงา เพราะยมจะคอยอยู่ข้างๆ จะไม่ห่างพี่เขมไปไหน ทีแรกก็ถูกคุณพระห้ามปรามเพราะเกรงว่ายมจะจับไข้ แต่อย่างไรยมก็จะหนีกลับนอนใกล้กับโลงศพของบุตรชายตนทุกครั้ง ยากที่จะห้ามปรามได้อีก ทำได้เพียงดูแลหนูขมที่ยามนี้เริ่มเข้มแข็ง แม้จะโศกเศร้าแต่ก็ยังกิน นอน เล่น ตามประสาเด็ก จึงเป็นเรื่องที่ยมพอจะโล่งใจได้บ้าง

        เพราะถ้าลูกเป็นอะไรไปอีกคน ยมก็จะรู้สึกมีตราบาปในใจเพิ่มขึ้น

        ทุกถ้อย ทุกตัวอักษรจากหนังสือ ยมฝืนพูดทั้งที่น้ำเสียงแหบแห้งไม่มีแรง นับแต่ลำหับตอบถ้อยรับรักซมพลา จนถึงตอนที่ซมพลาถูกพี่ชายของฮเนาใช้ลูกดอกอาบยาพิษสังหารจนถึงแก่ความตาย ซมพลาร่ำลาและบอกรักลำหับเป็นครั้งสุดท้าย

        “หากยมเป็นลำหับ ก็คงจะตายตามพี่ไปเหมือนกัน”

        แต่ทุกวันนี้ ก็ไม่ต่างจากตายทั้งเป็นไปแล้ว

        “วันนี้คุณบูรพามาหายม บอกให้ยมเข้มแข็ง ให้นึกถึงลูกเข้าไว้ วันนี้ยมจะกลับไปนอนกับลูกนะจ๊ะ วันพรุ่งยมจะมาหาพี่ใหม่”

       เด็กหนุ่มเอื้อมมือสัมผัสโลงศพสีขาวแผ่ว น้ำตาไม่มีจะให้ไหล มันจุก แน่น อึดอัดคล้ายหายใจไม่ออก ยิ่งกว่าตอนที่พี่เขมจากยมไปคราวนั้นเสียอีก

       “ฮือ คิดถึงพี่เหลือเกิน ฮึก!”

    ร่างน้อยค่อยยันกายลุกอย่างยากลำบาก เดินกลับบ้าน ไม่ทันเห็นว่าคนในรถที่จอดมองอยู่ไม่ไกลเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด คุณโดมมองยมด้วยความรู้สึกผิดบาป จะอาสาไปส่งยมที่เรือนวินิตราชศักดิ์ เขายังละอายแก่ใจตัวเอง ไม่กล้าเลย

       หากวันนั้นเขาไม่จ้องที่จะแย่งยมไปจากเขม ไม่หาเรื่องเขมให้เวลายืดเยื้อ เขมก็คงจะพายมกับหนูขมไปใช้ชีวิตด้วยกัน

       บาปกรรมที่เขาเป็นต้นเหตุ จะไม่มีวันลืมเลือน

       ขอโทษ...ขอโทษจริงๆ

      คุณโดมขับรถกลับไปยังบ้านเช่าเพื่อดูแลอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังรอเขาเช่นกัน เขาต้องแวะร้านยาที่ใกล้จะปิดเต็มที มือใหญ่เคาะเรียกคนที่กำลังนอนซมด้วยพิษไข้ด้านใน

         “แม่อุ่น ฉันมาแล้ว”

      เมื่อเห็นว่าประตูไม่ได้ลงกลอนคุณโดมจึงผลักเข้าไป เขาตกใจเพราะวันนี้ใบหน้าของหญิงสาวย่ำแย่กว่าวันก่อนๆ อาการของแม่อุ่นกำเริบนับแต่วันที่เขาออกไปดักรอยมที่เรือนวินิตราชศักดิ์ พอกลับมาจึงพอว่าสภาพของหญิงสาวคล้ายถูกตบตี มีรอยขีดข่วน พออีกวันจึงมีไข้หวัดตามมา ซักถามอะไรก็ไม่ยอมพูด เอาแต่อมพะนำไม่อยากให้เขารับรู้

    “แม่อุ่น ให้ฉันพาแม่ไปโรงหมอเถอะนะ อาการแม่อุ่นหนักเหลือเกิน”

    “อย่าค่ะ ไม่เป็นไร” หญิงสาวปฏิเสธ สองมือห่มผ้ามิดชิดคล้ายปิดบังอะไรไว้ ไม่ว่าคุณโดมจะขอร้องอย่างไรเธอก็ไม่ยอมพบหมอเด็ดขาด

    “ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปต้มยาแก้ไข้มาให้”

     เมื่อร่างสูงออกไปต้มยาด้านนอก แม่อุ่นก็สะอื้นออกมาน้อยๆ นับตั้งแต่เธอได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณโดมคนนี้ หลังๆมาเขาออกไปข้างนอกบ่อยขึ้น และไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเธอตามที่ได้ลั่นวาจาจริง จนกระทั่งวันหนึ่งเธอบังเอิญออกไปจ่ายตลาด เห็นรถยนต์สีดำคุ้นตาขับเคลื่อนไปที่ไหนสักแห่ง เธอตามไป ก็พบว่าชายที่เธอแอบรักตั้งแต่แรกเห็นกำลังพร่ำบอกรักต่อเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง

      ฉันคิดถึงยมมากเหลือเกิน

      คนที่เขารักจนถึงกับยอมตัดขาดจากทุกอย่าง คือเด็กคนนี้เองน่ะหรือ

       “คุณโดม” หญิงสาวพึมพำ น้ำตาจะไหลเสียให้ได้ ทำไมเธอถึงมีกรรม ต้องแอบรักคนที่ไม่ได้รักเธอด้วย

      “ยมขอบพระคุณทุกอย่าง สิ่งใดที่ยมทำให้คุณโกรธหรือไม่พอใจ ยมขอให้คุณอภัยให้ยมเถอะจ้ะ”

       “ไม่ยม...” สองมือใหญ่บีบไหล่เด็กหนุ่มแน่น “ฉันรักยม ขอร้อง ไปกับฉันเถอะนะ ฉันรักยมไม่แพ้เขม เรากลับไปเริ่มต้นด้วยกันเหมือนตอนนั้น”

         ทุกถ้อย ทุกวาจา...ไปถึงอีกชีวิตที่แอบฟังอยู่ไม่ไกล แขนขาแทบไม่มีแรงพักพิง เธอฟังทุกถ้อยอย่างเจ็บปวดก่อนจะค่อยๆจากไปเงียบๆอย่างอ่อนแรง

         แม่อุ่นเดินเตลิดไปตามทาง ไม่อยากรีบกลับบ้าน เธอไม่อยากรู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อ หญิงสาวรู้เพียงแต่ว่า...เธอเจ็บปวดเหลือเกิน

        “ถ้าฉันเลือกได้ ฉันก็ไม่อยากหวั่นไหว รักคุณหรอกค่ะคุณโดม”

         คุณโดมชอบเด็กผู้ชาย แต่เธอเกิดเป็นหญิง ซ้ำร้ายยังเป็นหญิงอาภัพ พ่อแม่ทิ้ง ถูกชะตาชีวิตบังคับให้เป็นหญิงโคมเขียว พอหัวใจของเธอปรารถนาจะเลือกคนที่รัก เขาก็ไม่รักเธอ เขาเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยเหลือไม่ให้เธอต้องเจอนรกก็เท่านั้น

        สองเท้าเดินหลงมา รู้ตัวอีกครั้งเธอก็อยู่ในที่เปลี่ยว และไม่ใช่ทางกลับบ้านเช่า รู้เช่นนั้นหญิงสาวจึงรีบหันกลับ ทว่า...

        “จะไปไหนจ๊ะคนสวย”

       ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ กักขฬะประมาณสี่ห้าคนเข้ามาดักหน้าเธอ หญิงสาวหันรีซ้ายขวาไม่พบผู้ใดก็เริ่มหวั่นกลัว สองมือจึงไหว้ท่วมหัวหวังให้พวกมันเมตตา

        “พี่จ๋า อย่าทำอะไรฉันเลยนะจ๊ะ กลัวแล้ว”

        “กลัวทำไมล่ะจ๊ะคนสวย พี่ว่า เรามาทำอะไรสนุกๆกันดีกว่า”

        เมื่อเห็นว่าอย่างไรมันคงไม่เมตตา แม่อุ่นจึงหนีตายท่าเดียว หากแต่เพราะทางเริ่มมืดจึงทำให้หญิงสาวหกล้มด้วยมองไม่เห็นทาง

        “อย่านะ! ปล่อย!”

         ร่างบางถูกฉุดรั้งไม่ให้ดิ้นหนี ส่วนคนที่เป็นหัวโจกก็ชกเข้าที่ท้องน้อยจนเธอจุก พูดอะไรไม่ออก ส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากผู้ใดไม่ได้

         “อุ้มไปพงหญ้าข้างทางนู่น! พยศงี้กูชอบ”

         สิ่งที่แม่อุ่นรังเกียจ มันได้วกกลับมาหาหญิงสาวอีกครั้ง เธอกรีดร้องเมื่อผ้าซิ่นถูกถลกขึ้นสูงก่อนจะสลบวูบในที่สุด

         หญิงสาวฟื้นขึ้นมาอีกครั้งค่อนรุ่ง ยังไม่มีคนเดินผ่านมา เธอไม่พบคนพวกนั้นแล้ว หญิงสาวรีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยทั้งๆที่เจ็บแสบสันความเป็นหญิงถึงที่สุด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยตบตี ตามเนื้อตัวของระบมหนัก อย่างไรก็ดี เธอขออย่างเดียว อย่าให้พวกนั้นมันมีโรคร้ายมาเข้าร่างกายของเธอ เหมือนอย่างที่โสเภณีที่ตรอกผีเสื้อบางคนเคยประสบ

         แต่โชคชะตากลับโยนเคราะห์กรรมมาให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่า

         ในช่วงแรกเธอมีแผลอะไรบางอย่างขึ้นตามตัว แต่มันก็หายไปเอง

         หากเมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ ตามฝ่ามือและฝ่าเท้ามีผื่นแปลกๆขึ้น มันมาพร้อมไข้หวัดที่เธอเป็น แม้คุณโดมจะไปซื้อยาหลายขนานมาต้มให้กินก็ไม่ดีขึ้น แม่อุ่นร้องไห้คนเดียวยามที่คุณโดมบอกว่าต้องไปธุระข้างนอก

         เธอเคยเห็นอาการอย่างนี้...ที่คนในตรอกผีเสื้อ

         และไม่เคยมีใครรอดจากโรคนี้สักคน

        พวกนรกนั่น! เอาเชื้อโรคบ้านี่เข้ามาในร่างกายของเธอ!!!

         “เวรกรรมอะไรของฉัน”

       ดังนั้นหากคุณโดมพาเธอไปพบหมอ ก็คงจะไม่เกิดประโยชน์อะไร เธอบอกให้เขาเลิกซื้อยาให้เสียที แต่คุณโดมไม่ฟัง หญิงสาวรู้ชะตากรรมเพียงแค่ว่า

       โรคร้ายนี้ กำลังจะคร่าชีวิตเธอ



    ผ่านไปนานแล้วที่ยมเอาแต่เก็บตัวในเรือนของคุณเขมยามกลางวัน คุณพระพยายามคลายความโศกเศร้าที่ต้องเสียบุตรชายและภรรยาไปในคราวเดียวกันด้วยการสอนหนูขมอ่านหนังสือ โรงเรียนของเด็กน้อยใกล้เปิดเทอมแล้ว คุณพระยังตั้งชื่อใหม่ให้หลานรักและสอนให้เขียนชื่อจริงอยู่บ่อยๆ

      เด็กชายยุทธศาสตร์ วินิตราชศักดิ์

      เพราะขมเป็นชื่อที่ฟังดูแล้วออกจะขื่นขม แต่กระนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเสียทีเดียว ด้วยเด็กชายดูจะคุ้นชินกับชื่อขมเสียมากกกว่า จึงให้เรียกเป็นชื่อเล่นได้ แต่ชื่อจริงขอให้เป็นชื่อที่ดูสมเป็นศิริมงคล แม้หนูขมจะมิใช่สายเลือดวินิตราชศักดิ์ แต่คุณพระก็เอ็นดูหลานรักคนนี้มาก และได้ให้สัญญากับคุณเขมว่าตนจะสานให้หนูขมได้เรียนสูงที่สุด ตามที่คุณเขมตั้งใจไว้ก่อนจะสิ้นลม

      หนูขม ไปหาพ่อยมลูก

      “เอ๊ะ!”

      เด็กน้อยวางดินสอลง เหมือนได้ยินเสียงของพ่อเขม เรียกให้ไปหาพ่อยมเลย

     “ยุทธศาสตร์ เป็นอะไรไปรึ” คนเป็นปู่เอ่ยถาม เมื่อเห็นอาการของหลานรักเปลี่ยนไป

     “หนูได้ยินเสียงพ่อเขม” ร่างป้อมวางดินสอ ลุกขึ้นยืน “หนูจะไปหาพ่อยมจ้ะ”

        ร่างอิดโรย ไม่มีแรง มองมีดเล็กในจานผลไม้ที่เพลิงเพิ่งจะยกมาให้อย่างใคร่ครวญ ทุกวันนี้เหมือนหายใจทิ้งไปวันๆ กลืนกินอะไรไม่ลง ยามนิทราก็มักจะฝันเห็นภาพที่คุณเขมตายไปต่อหน้าซ้ำๆ จนต้องตื่นขึ้นมาพบกับความว่างเปล่า รู้แค่ว่ามีเพียงลูกน้อยที่เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจไม่ให้ตนตายก็เท่านั้น

        แต่อยู่ไป ก็ทรมานเสียเปล่า

        มือผอมหุ้มกระดูกเอื้อมคว้ามืดเล็กกำแน่น ดวงตามองคนบนฟ้าที่ลาล่วงไปนานนับเดือนแล้ว กลิ่นอายรอบเรือนแม้จะถูกทำความสะอาดใหม่อีกครั้ง แต่กลิ่นความทรงจำเก่าๆ ยังคงตรึงให้เจ้ายมตัวน้อยถวิลหาคุณเขมตลอดเวลา

       ยมจะไป จะไปหาพี่

      ความคิดที่ดังก้อง ชัดเจน เหมือนวิญญาณจากแห่งหนไกลจากรับรู้  จึงได้บันดาลให้มือไม้เด็กหนุ่มอ่อนแรง

      ยามเมื่อลมพัดหวน...แรงหนึ่งปัดมีดกระเด็นลงบนพื้นไม้เก่าดังแกร๊ก

      “พี่เขม พี่เขมห้ามยมทำไม...”     

เด็กหนุ่มกอดตัวเองถามสุญญากาศ มองมีดเล่มเล็กที่ถูกลมพัดปลิวจนร่วงตกจากมือเสียงดัง เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ ทำไมไม่ยอมให้เขาตาย!!     

  ยมเจ็บ ยมปวด โลกที่ไม่มีพี่เขมช่างว่างเปล่า เสียแรงที่อดทนรอมานาน ผ่านความทรมานก็สาหัส หลายครั้งที่ความตายจะมาพลัดพรากยมไปจากคุณเขม แต่ยมก็ดิ้นรนต่อสู้ไม่ยอม     

 แต่ความตาย...กลับมาพรากพี่ไปจากยมเสียเอง!!       

“ฮือ!”     

 ยมนั่งลงร้องไห้ มือเรียวสั่นเทากำลังจะเอื้อมไปหยิบมีดเล่มคมหมายจะกรีดข้อมืออีกครั้ง พี่เขมอย่าห้ามยมอีกเลย ยมอยู่ไม่ไหว ไม่อยากอยู่อีกแล้ว     

“พ่อยม!!”   

  เสียงเจื้อยแจ้วทำให้ความตั้งใจของยมหยุดชะงัก เขาเช็ดน้ำตา รีบหันไปหาลูกน้อยแล้วกลบเกลื่อนความเจ็บที่มี อย่างน้อยก็ให้หนูขมรู้ไม่ได้เป็นอันขาด!   

 “หนูขม มีอะไรรึเปล่าลูก?”     

 ยมคว้าร่างป้อมมาจับแขนสอบถามเบาๆ     

“หนูได้ยินเสียงพ่อเขมให้หนูมาหาพ่อยม เสียงพ่อเขมดูกังวลมาก หนูก็เลยรีบมาหากลัวพ่อยมเจ็บ แต่เห็นพ่อยมไม่เป็นอะไรหนูก็ดีใจ”       

พี่เขมจริงๆสินะ ที่ห้ามยมไว้       

สายลมที่พัดมีดให้ตกร่วงเมื่อครู่ ก็ฝีมือพี่ใช่หรือไม่?     

ยมมองแววตาเด็กน้อยที่มองเขาด้วยความห่วงใย พ่อขอโทษ...ขอโทษนะลูกที่ทำให้ลูกเป็นกังวลขนาดนี้!       

“แล้วมีดเล่มนั้น?” เด็กชายชี้นิ้วไปยังมีดที่ตกอยู่ด้านหลัง ยมต้องรีบแก้ตัวทันที     

 “อ้อ พอดีพ่อแค่จะปอกแก้วมังกรแล้วทำมีดหล่น หนูขมจะกินกับพ่อไหมลูก? เดี๋ยวพ่อปอกให้”     

 “พ่อยมไม่โดนมีดบาดใช่ไหมจ๊ะ?” เด็กน้อยยังคงถามด้วยความเป็นห่วง ดวงตาดวงจ้อยก็ควานหาบาดแผลบนมือพ่อ น้ำใสๆเริ่มเอ่อคลออีกครั้ง จุกอกกับภาพเด็กน้อยตรงหน้า   

     เขาไม่คู่ควรจะเป็นพ่อของหนูขมแม้แต่น้อย

       ในคืนนั้น หนูขมขอคุณปู่กลับมานอนกอดพ่อยมหลังถูกเอาตัวไว้หลายคืนแล้ว พ่อลูกได้นอนกอดกันอีกครั้ง ยมมองลูกชายตัวน้อยที่ยังจ้องตนตาแป๋ว ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน โถลูก! นี่คงจะกลัวพ่อทำร้ายตัวเองกระมังหนา

       “หนูขม นอนได้แล้วลูก นอนจ้องพ่อนานแล้วนะ” ยมลูบศีรษะป้อย เด็กน้อยนอนกอดพ่อราวกับกลัวพ่อจะหายไปไหน

       “พ่อยมหลับตาก่อนสิ เดี๋ยวหนูหลับตาม”

       “จ้ะ”

     ยมฝืนหลับตาลงทั้งที่ไม่อยากฝัน แต่เพื่อลูกน้อยแล้ว เขาจะทำ อย่างน้อยแม้จะไม่ใช่พ่อที่คู่ควร แต่เขาจะไม่ให้หนูขมต้องเป็นกังวลไปมากกว่านี้

      เด็กชายตัวน้อยแสนสดใส ไร้เดียงสา ที่ตอนนั้นช่างเรียกช่างคุยกับพี่ยม ติดพี่ชายคนนี้แจหลังจากรู้ว่าพี่ยมทำของโปรดให้หนูขมกินได้ตั้งหลายอย่าง ผูกพันจนเกิดกว่าจะแยกจาก ดังนั้นพอคุณเขมจะมารับตัวยมไป หนูขมจึงได้เรียกเขาว่าพ่อยม แทนพี่ยมที่เคยเรียก บางทีก็เรียกทั้งพ่อเขมพ่อยม...เป็นที่น่าเอ็นดูของพ่อทั้งสองยิ่งนัก

      แม้วันนี้จะไร้ซึ่งพ่อเขมที่ปกป้องคุ้มครองครอบครัว เป็นเสาหลัก

     เหลือทิ้งพ่อยมไว้ เพียงลำพัง

     สองพ่อลูกนอนจับมือ นอนกอดอย่างนี้ จนวันเวลาผันผ่าน มากพอที่ลมหวนจะพาวิญญาณหนึ่งได้กลับมากระซิบบอกลาเจ้าตัวน้อยในคืนเดือนมืดพอดิบพอดี
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Amazing princess ที่ 08-03-2018 18:02:10
เรือนร้าว34(THE END)
ตอน อ้อมกอดสุดท้าย
       
                              เวรามาทันแล้ว

                        จึงจำแคล้วแก้วโกมล

                        ให้แค้นแสนสุดทน

                        ทุกข์ถึงเจ้าเศร้าเสียดาย

(กาพย์เห่เรือ-เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ไชยเชษฐ์สุริยวงศ์)

    ฝันนี้ ไม่เหมือนทุกฝันที่ผ่านมา นับจากที่พี่เขมจากยมไป

    หนาว...     

 รอบด้านนี้ทั้งมืดทั้งหนาวเหลือเกิน แต่เชื่อว่าไม่มีสิ่งใดจะหนาวเหน็บไปกว่าหัวใจที่ตายไปแล้วของยมหรอก       

     ร่างซูบผอม อิดโรย ห่อเหี่ยว เดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย ในภาพมีเพียงคนที่เฝ้ารอมาตลอดทั้งชีวิต ริมฝีปากแห้งผากพึมพำชื่อนั้นไปมาไม่มีท่าทีจะหยุด หวังให้เขาได้กลับมา       

พี่เขม...พี่เขม...     

 แต่อย่างน้อยความฝันอาจจะเห็นใจชะตาชีวิตของยมก็เป็นได้     

 ความอบอุ่นที่เข้ามาโอบกอดทำให้เด็กหนุ่มหยุดชะงัก ดวงตาหวานล้ำเบิกกว้าง ยมยังจำสัมผัสนี้ได้ไม่เคยลืมเลือน สัมผัสของคนที่รักที่สุดในชีวิต   

  “ยม ยมของพี่”     

เสียงนุ่มทุ้มนั้นกระซิบข้างหู น้ำตาที่ไม่ไหลอาบแก้มมาเนิ่นนานไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ร่างที่ไร้ชีวิตชีวาหันขวับ เมื่อพบกับคนตรงหน้า คนที่คิดถึงเหลือเกิน   

 “พี่เขม!”   

   โผกอดแน่น สองร่างรับสัมผัสอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น ใบหน้าของทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้น หลังจากไม่ได้พบกันมานานเหลือเกิน จากกันทั้งที่มีชีวิตว่าเจ็บปวดเหลือเกินแล้ว หากนี่คือความตาย...ความตายที่มาพรากพี่ไปจากยม 

   พี่คิดถึงยม 

   ยมคิดถึงพี่   

 “ยม พี่มาลาน้อง”   

 คำพูดนุ่มทุ้มกรีดแทงให้ปวดใจ น้ำตาพรั่งพรูใจจะขาด สะอื้นตัวโยนจนพี่ต้องยิ่งกอดน้องไว้ แสนปวดใจไม่ได้ต่าง เขม...ทำไมเจ้าทำน้องเสียใจอีกแล้ว ไหนว่าจะทำให้น้องมีความสุขที่สุดอย่างไร? ไม่ไหว คนตรงหน้าที่ร้องไห้เจียนขาดใจทำให้ใจของเขาจะขาดรอน 

   “ไม่เอา ยมไม่ให้พี่ไปนะ”     

เสียงแหบแห้งอ้อนวอน คุณเขมแทบไม่กล้าสู้หน้าสบสายตาเด็กน้อย มือที่เคยตระกองกอดคนดีเอื้อมมาบรรจงเช็ดน้ำตา เวรามาทันแล้ว...จะไม่มีเวลาได้กอดน้อง อีกไม่นานวิญญาณจะดับเพื่อไปตามวัฏสงสาร เวียนว่ายตายเกิดเพื่อเกิดใหม่อีกครั้ง     

 “คนดี อย่าร้อง...อย่าร้องไห้เลย” 

 “ฮึก!” เจ้ายมสะอื้น จับมือคนที่รักสุดหัวใจแนบแน่น เขาไม่อยากจากพี่เขมไปอีกแล้ว เป็นกรรมแต่ปางใดหนอ...ฟ้าดินจึงบันดาลให้ทั้งสองจากกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า     

“คนดี พี่ต้องไปแล้ว พี่สัญญาว่าจะตามหายมให้พบ”     

ภาพที่คุณเขมคลี่ยิ้มอ่อนโยนบางๆเริ่มคลาย ร่างน้อยพยายามไขว่คว้าหมายจะรั้งหัวใจของตัวเองไว้

 แต่ก็ไร้ประโยชน์...   

 บ่วงรักของคุณเขมยังตรึง แม้จะไร้ลมหายใจ เสียใจที่ทำให้คนตัวน้อยเจ็บปวด เขาอธิษฐานอีกครั้งก่อนที่วิญญาณจะสลายเป็นผุยผง     

ชาติหน้า...พี่จะทำให้ยมเป็นคนที่มีความสุขที่สุด   

“พี่เขมอย่าไป! อยู่กับยมเถอะนะ ยมไม่อยากมีชีวิตถ้าไม่มีพี่”     

  พี่รักน้อง   

 น้องรักพี่   

 “ลาก่อน คนดี” 

  “ไม่!!!!!!”

    ไปแล้ว...มือสัมผัสอุ่นให้คลายหนาว จางไป

   สายลมของความตาย...อนุญาตให้วิญญาณให้คุณเขมกลับมาลายมในเวลาสั้นๆ สายตาสุดท้ายที่คุณเขมใช้จ้องมองยม บอกให้เจ้าตัวน้อยรอ จนกว่าจะถึงเวลาที่จะได้พบกันอีกครั้ง

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

  ดวงตาน้อยลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในความมืด เห็นลูกชายตัวน้อยนอนหลับสบายอย่างเช่นทุกวัน ร่างป้อมน่ารักกอดหมอนข้างเพื่อให้ความอบอุ่นบ่งบอกว่าหลับสนิท คืนเดือนมืดที่แม้จะมืดเหลือเกิน แต่ยมก็ยื่นมือลูบเจ้าเด็กน้อยแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงชอกช้ำ

      “หนูขม พ่อไปก่อนนะลูก”

     มือน้อยสัมผัสทั่วขวัญหนูน้อย ยมประทับริมฝีปากลงบนขวัญลูกน้อย ให้ศีลให้พรเป็นครั้งสุดท้าย

     พ่อขอให้หนูเติบโตเป็นเด็กดีของคุณพระ ขอให้หนูอายุมั่นขวัญยืน  ขอให้หนูเป็นที่รัก อย่าได้เป็นที่เกลียดชัง...เช่นที่พ่อประสบมาแล้วเลยลูกเอ๋ย

      พี่หมึก พี่จันทร์ ยมขอโทษที่เลี้ยงดูลูกของพี่ให้ดี...ตามที่สัญญากับพวกพี่ไม่ได้

      หลังให้ศีลให้พร จูบขวัญลาลูกชายเป็นที่เรียบร้อย ยมเดินเบาๆไม่ให้เกิดเสียง กลัวลูกจะตื่น ยามที่เปิดประตูก็พบเพลิงกับมั่นนอนด้วยกันในหมอนมุ้งที่เรือนด้านนอก คงจะคุ้มกันไม่ให้ภัยร้ายเข้ามาในเรือนของคุณเขมสินะ

       “ยมฝากลูกด้วยนะจ๊ะ พี่เพลิง พี่มั่น”

      ยมเอ่ยเสียงแผ่ว พี่ชายทั้งสองที่คอยเป็นห่วงยม รักยมเหมือนน้องชายท่ามกลางคนดูแคลน พี่ทั้งสอง...ยมลาก่อนนะจ๊ะ  ไม่มีวิญญาณพี่เขมมาห้ามยมให้ตายแล้ว ขอให้ยมได้ตาย ได้ไปหาพี่เขม ได้ไปตามหาพี่เขมในภพหน้าทีเถิด ขอสิ่งใดอย่าขวางกั้นยมอีกเลย

       เมื่อก้าวลงมาจากเรือนคุณเขมได้ ก็พบเรือนใหญ่ที่เพิ่งดับแสงสว่างลงพอดิบพอดี ร่างเล็กนั่งลงก้มกราบไปยังทิศนั้น

      “บ่าวฝากหนูขมด้วยเถิดขอรับคุณพระ บ่าวเป็นพ่อที่เลว ทอดทิ้งลูก บ่าวไม่คู่ควรจะเป็นพ่อของหนูขมตั้งแต่แรก”

      ครั้งแรกที่เกิดทุกสิ่งอย่าง ที่ๆได้พานพบพี่เขมเป็นครั้งแรก

       ยมเคยเป็นเด็กมีพ่อแม่ แต่ก็นานมาแล้ว นับแต่พ่อแม่ถูกโจรฆ่าตายในยุ้งฉางเก็บข้าว ที่นาโดนยึด เด็กน้อยถูกไล่ต้องระหกระเหิน หลับที่ไหนก็ถูกไล่ที่ ถูกด่าทอสารพัดราวไม่ใช่คน ยมระเหินมาขอหลวงวินิตเป็นทาสทั้งที่หลวงท่านเพิ่งประกาศเลิกทาสได้ไม่นาน

       คุณเขมขอให้ยมมีที่พัก ไม่ต้องเร่ร่อน

       ต่อให้หลังจากนั้นยมจะถูกทำร้ายสาหัสโดยที่คุณเขมไม่รับรู้ ยมยินดีรับความเจ็บนั้นไว้ เพื่อได้เห็นหน้า ได้รักพี่ อย่างที่คนต้อยต่ำไร้ค่าได้แอบมองท้องฟ้าใหญ่ที่ไม่อาจเอื้อม

        จนฟ้าใหญ่อย่างพี่เขม ก็รักยม...เป็นเหมือนน้ำเย็นชโลมรดใจ ให้มีชีวิตแม้พี่จะจากไกล คำสัญญาทำให้ยมไปจากพี่ไม่ได้

       ความรักของเราเกิดขึ้นที่เรือนวินิตราชศักดิ์

       และความรักของเรา จะไหลไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด ดังเช่นแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าเรือนสายนี้

        เท้าเปลือยเปล่าคู่นั้นย่ำโคลนหินดินทราย เจ็บยามที่ย่ำผืนกรวดที่ต้องผ่านก่อนถึงท่าน้ำหน้าเรือนหลังใหญ่ ดวงตาหวานล้ำหันกลับไปมองเรือนของชายอันเป็นที่รักเป็นครั้งสุดท้าย เรือนที่มากไปด้วยความทรงจำ แม้ตลอดแทบค่อนชีวิต...จะต้องเจ็บร้าวจนเกินจะรับที่ บาดแผลที่ได้รับที่เรือนแห่งนี้

      เรือนที่มีหยูกยาให้ยมได้รักษา...ยามถูกเฆี่ยนตีอย่างโหดร้ายทารุณ

      เรือนที่มีดอกมะลิให้ยมได้ร้อยมาลัยถวายพระ...แทนคนที่ต้องกลับโรงเรียนประจำ

     เรือนที่มีต้นไม้ใหญ่...ใต้ร่มนั้นในวันวานพี่เขมยังคงสอนหนังสือให้ยม จนยมอ่านออกเขียนได้ ไม่ใช่เพียงทาสโง่เง่าที่วันๆเอาแต่จมปรักหน้าเขม่าอยู่แต่ในโรงครัว

      และเรือนหลังนี้...จะเป็นเรือนที่ยมจะขอตาย ตายตามพี่ไป

     ทันทีที่หย่อนฝ่าเท้าลงน้ำเย็นเยือก ความหนาวเหน็บในใจทำให้ยมไม่กลัวแม้แต่นิด ความเสียใจที่มีมากเหลือเกิน น้ำตานั้นรึก็ไหลร้องออกมาแทบจะเป็นสายเลือด ทั้งที่ตลอดมาจะต้องเจียนตาย...พบกับความตายก็มาก แต่ก็รอดตาย เพราะเจ้าตัวน้อยรู้ดีว่าจะต้องมีลมหายใจต่อไป เพื่อรอวันที่พี่กลับมาหาอีกครั้ง

     ภาพที่พี่จากยมไปต่อหน้ายังตราตรึง ทุกวันนี้เด็กหนุ่มมีชีวิตราวกับศพเดินได้ แม้คุณพระจะเมตตาให้ยมได้ทานอาหารดีๆทัดเทียมกับคุณเขมเพียงใด แต่สิ่งที่ยมทานเพื่อประทังหิวมีเพียงน้ำกับข้าวเย็นชืดในโรงครัวเท่านั้น

     ข้าวหุง...หรุ่ม...แกงมัสมั่น...น้ำพริก อาหารที่พี่เขมชอบ อาหารที่ยมทำตระเตรียมรอพี่เขมหลังจากทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ก็ไม่ได้ทำอีกแล้ว

       “ฮึก!!”

      รู้สึกตัวอีกครั้ง...กายของยมก็จมลงไปครึ่งตัว ริมฝีปากซีดสั่นริกด้วยความหนาวจากใต้น้ำ ภาพในวันวานที่นึกถึงกลับมาหาอีกครั้ง และอีกครั้ง

    “ให้พระจันทร์ กับสายน้ำที่หน้าเรือนของเราเป็นพยาน...” ร่างสูงยกขันน้ำที่เพิ่งตักจากแม่น้ำที่ไหลเอื่อยหน้าเรือนขึ้นดื่ม

     “ต่อให้พี่ต้องตายอย่างไม่อาจเลี่ยง พี่ก็ขอตายเพราะได้ปกป้องคนที่พี่รักยิ่งกว่าชีวิตของพี่เองเถิด”

    ยมไม่ไหวแล้ว...หัวใจของยม ราวกับถูกหอกแหลมคมนับพันทิ่มแทง เหมือนถูกบางอย่างฉีกกระชากจนร้าวไปหมด

      ริมฝีปากสั่นซีด ก้มจูบมือข้างที่ยังคงสวมแหวนเพชรที่เป็นสัญลักษณ์ของคู่ชีวิต ดวงตาหนักอึ้งเรื่อยๆ ปิดช้าๆ สายน้ำนั้นพาร่างของยมให้ดำดิ่งลึกเรื่อยๆ จนจมลงมิด

       วอนขอสายน้ำ ช่วยพัดพาไปในที่ๆเป็นความทรงจำดีๆ ของยมกับพี่เขมทีเถิด

       ‘ไม่ว่าชาติไหน ยมจะรักพี่คนเดียวตลอดไป’

       คืนนี้ไม่มีพระจันทร์เป็นพยาน มีแต่สายน้ำที่พัดพาดวงวิญญาณของยมให้ฉุดกระชากจากร่าง เวียนว่ายตายเกิดเพื่อตามรักคืนใจ อีกครั้ง

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

      “พ่อยม พ่อยมอยู่ไหน ฮือ!!”

      เด็กน้อยขวัญกระเจิง ร้องไห้ หลังจากที่ตื่นมาไม่เจอพ่อนอนอยู่ข้างๆเหมือนที่ผ่านมา ทีแรกนึกว่าพ่อคงออกไปเดินเล่น แต่วิ่งหาอย่างไรก็ไร้เงาของพ่อ พร่ำเพรียกหาไม่รู้ว่าพ่อยมไปอยู่ไหน จนย่ำเย็นวันนั้น...ก็ยังไร้เงาของผู้เป็นพ่อ

       “พวกเอ็ง เจอยมบ้างหรือไม่?” คุณพระวินิตราชศักดิ์เอ่ยถามร้อนใจ หลังจากปลอบขวัญหลานอยู่นาน

       “บ่าวหารอบๆ ไปตามที่ตลาดก็แล้ว ไม่เจอขอรับ”

       “แล้วที่วัดล่ะ พวกเอ็งไปดูหรือยัง”

        “ไม่พบขอรับ บ่าวไปทุกที่ๆยมน่าจะไป แต่ไม่พบขอรับ”

       “มีอีกที่หนึ่ง” คุณพระนึกได้ “บ้านของพ่อเขม ที่ปากเกร็ด”

       ลางสังหรณ์ของคุณพระเหมือนจะเป็นดังที่นึก คุณพระพาหนูขมกลับมาที่บ้านของบุตรชาย ท่านจำทางได้เพราะเคยมาเยี่ยมบุตรชายบ่อยๆ หากแทนที่เรือนจะถูกปิดเงียบเพราะไม่มีคนดูแลอย่างที่คิดไว้ ผิด...กลับมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังมุงดูอะไรบางอย่าง

     ใบหน้าซีดเซียวคุ้นตามีบาดแผล ดวงตาปิดสนิทบ่งบอกว่าวิญญาณได้จากไปอย่างสงบ สู่สุคติสุข

      สายน้ำเจ้าพระยา ได้พัดพาร่างกายที่ไร้ลมหายใจยมกลับมา กลับมาในที่ๆมีความทรงจำที่แสนดีกับคนที่รักที่สุดในชีวิต

      “พ่อ! พ่อยมจ๋า พ่อยม!!”

      เด็กน้อยปรี่ร่ำไห้ กอดศพคนเป็นพ่อด้วยอารมณ์เสียใจอย่างสุดซึ้ง คุณพระเองก็เวทนาหลานไม่น้อย ที่ต้องสูญเสียคนที่ได้ชื่อว่า ‘พ่อ’ ไปในเวลาที่ไล่เลี่ยกันเช่นนี้ แม้ทั้งคุณเขมและยมจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ หากความผูกพันที่มีร่วมกันมา กลับเหนียวแน่นยากเกินที่จะตัดจากกัน

      ความปรารถนาของเอ็งเป็นจริงแล้วสินะ...เจ้ายม

       “ฮือ พ่อจ๋า พ่อยมของหนู ฮือ!!”

       “หนูขม” คุณพระลูบขวัญให้กลับมาสู่หลานชาย “พ่อยมได้ไปเจอพ่อเขมอย่างที่ต้องการแล้ว อย่าร้องนะลูก ต่อไปปู่จะดูแลหนูขมแทนพ่อทั้งสองเอง”

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

  เวลาผ่านไปจนครบหนึ่งปีเต็ม

          เรือนวินิตราชศักดิ์ ยามนี้เหลือบ่าวไพร่อยู่เพียงไม่กี่คนที่จงรักภักดีต่อคุณพระ เพลิงมั่นยังคงอยู่รับใช้คุณหนูยุทธศาสตร์ด้วยใจภักดี และระลึกถึงบุญคุณของคุณเขมที่มีต่อพวกตนให้อ่านออกเขียนได้เสมอมา

        อีกทั้งยังจะได้ไม่ลืมน้องชายอย่างยม ผู้มีชะตาอาภัพจนถึงแก่ความตาย ผ่านมาแล้วหนึ่งปี

        คุณพระเชิญคนสนิทมาร่วมพิธีลอยอังคาร ณ ที่แห่งนี้  เรือนแห่งนี้แม้เคยเป็นเรือนที่ร้าวราน เป็นเรือนที่เกิดความเจ็บปวดของใครต่อใครมากมาย

       แต่จากนี้เรือนร้าว จะมีแต่ความสงบสุข สิ่งร้ายๆใดๆที่เคยเกิด ขอให้ทุกอย่างถูกลบเลือนไปกับอดีต ประดุจสายน้ำที่ชะล้างสิ่งเลวร้ายนั้นไป และสายน้ำเจ้าพระยานี้จะยังนำพาวิญญาณทั้งสี่ให้สงบร่มเย็น ยามเมื่อถูกลอยล่องไป

        อังคารของทั้งสี่ชีวิต แต่ละคนต่างชีวิต ต่างที่มา ต่างชะตา มาพบพานด้วยเรื่องดีและไม่ดี แต่สุดท้าย...ก็ไม่รอดพ้นจากสิ่งที่มนุษย์ต้องการจะหลีกเลี่ยงมากที่สุด

        นั่นคือ...ความตาย

        เถ้าของเดือนถูกลอยล่องทวนกระแสสายน้ำไปเรื่อยๆ แม้คุณพระจะรู้จักเดือนในฐานะเด็กรับใช้ในเรือน แต่จิตใจของเธอ เข้มแข็งและอดทนต่อทุกอย่าง ยอมสละแม้ตัวตายเพื่อให้เรือนแห่งนี้ได้กลับมาพบพานความสงบสุขในบั้นปลาย

       “เดือนเอ้ย ข้าขอให้เอ็งได้พบแต่ความสุข เอ็งคงเจ็บปวดและอดทนในชาตินี้มามากพอเหลือเกินแล้ว”

       ถัดมา จึงเป็นเถ้าของคุณเขลางค์ แม้คุณพระวินิตราชศักดิ์จะเจ็บปวดเพราะถูกทำร้าย แต่เพราะความรัก และอโหสิกรรมที่มี จึงอธิษฐานขอให้เธอร่มเย็น ความเคียดแค้นที่ถูกกัดกินจะถูกชะล้างไปกับสายน้ำเย็นนี้

        “สิ่งใดที่ฉันมีส่วนให้แม่เขลางค์เจ็บช้ำน้ำใจ ฉันขออโหสิกรรมต่อกัน ฉันรักแม่เขลางค์ แม่เขลางค์จะเป็นหญิงเดียว ที่ฉันจะรักตลอดไป”

        แล้วจึงโปรยดอกไม้เจ็ดสีเพื่อให้ความร่มรื่นไปกับวิญญาณทั้งสอง ไปสู่สุคติอันเป็นที่ๆเคยจากมาและจะกลับไปในไม่ช้า

         ธุลีเล็กที่ถูกบรรจุในห่อขนาดเล็กทั้งสองห่อสุดท้าย ถูกมัดไว้รวมกัน ไม่เหมือนที่ถูกล่องลอยแยกไปก่อนหน้า คุณพระบรรจงให้ธุลีทั้งสองล่องลอยกับสายน้ำไปด้วยกัน

        “เขม ดูแลยมให้ดีนะ พ่อขออวยพรให้เจ้าทั้งสองตามหากันจนพบ ได้สมหวัง อย่าได้เป็นห่วงทางนี้เลย ยมเอ้ย เอ็งทุกข์ในชาตินี้มามากพอแล้ว ข้าขอให้ชาติหน้าเอ็งจงพบแต่ความสุข มีแต่คนรักเอ็ง และได้พบกับลูกข้าโดยไว”

          ร่างของหนูขมก้มกราบธุลีของพ่อทั้งสองที่ค่อยๆลอยหายไปพร้อมกัน เด็กน้อยสภาพจิตใจดีขึ้นเพราะได้รับการเอาใจใส่จากคุณปู่ และหนูขมก็ไม่ทำให้คุณปู่ผิดหวัง เด็กน้อยเข้าเรียนได้ปีเดียวก็สามารถสอบได้ที่หนึ่งของระดับ และอาจจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ หากพ่อทั้งสองยังมีชีวิต ก็คงจะภูมิใจในตัวลูกชายไม่น้อย

         ถัดออกไป ร่างสูงในเครื่องแบบร้อยโทเต็มยศ มองเถ้าธุลีของคนทั้งสองลอยไปด้วยกันด้วยความรู้สึกผิด ความผิดนั้นจะยังตราตรึงหัวใจของเขาไปอีกนานแสนนาน

          เขม ยม ต่อให้ชาตินี้ฉันจะพร่ำขอโทษพวกเธออีกสักกี่หน ก็ไม่มีวันลบบาปกรรมที่ฉันได้ก่อไว้กับพวกเธอได้

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     “แค่ก!”       

   ตามตัวของหญิงสาวเต็มไปด้วยเรื้อรังน่ารังเกียจ ไอเสมหะเป็นเลือดปะปน แต่คุณโดมก็ยังไม่รังเกียจ เขาคอยป้อนข้าวต้มให้แม่อุ่น คอยเช็ดคราบที่เลอะตามมุมปากให้ตลอด     

     “ฉันอิ่มแล้วล่ะค่ะ” เธอดันช้อนออกเบาๆ “ฉันไม่กินยานะคะ”

      “แม่อุ่น” เขาลองขอร้องดูอีกสักครั้ง “ขอร้องล่ะแม่อุ่น ฉันจะพาเธอไปหาหมอ หมอจะได้...”

     “ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ” หญิงสาวจับมือใหญ่ที่เป็นที่พักพิงสุดท้ายของเธอ “โรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หาย ฉันเคยเห็นคนที่มีอาการอย่างนี้ ไม่เคยมีใครรอดชีวิตสักคน”

      “แต่ถ้าแม่อุ่นไปหาหมอกับฉัน อาจจะมีทาง” ร้อยโทหนุ่มสบสายตาจริงจัง “ฉันจะปล่อยให้เพื่อนคู่ยากอย่างเธอทุกข์ได้อย่างไร”

        “คุณโดม...”

       คำว่า ‘เพื่อน’ เหตุใยกลับเจ็บปวดทุกคราที่ได้ฟัง

       เพราะรัก แม่อุ่นจึงยอมมากับคุณโดมที่โรงหมอจนได้ ใครที่ได้พบต่างพากันรังเกียจคนขี้โรคอย่างเธอ โรคที่เธอประสบ หมอบอกว่าคือโรคซิฟิลิส ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง มักเกิดขึ้นในกลุ่มหญิงโคมเขียว หรือหญิงที่มีคู่ชู้เชยมากกว่าหนึ่ง

       แต่คุณโดมไม่ทอดทิ้งเธอ ดูแลเธอตลอดเรื่อยมา แม้จะได้รับการเยียวยา หากใจของแม่อุ่นเปราะบาง เกินกว่าจะสู้กับมันต่อไหว

      สองปีต่อมา ร่างกายของหญิงสาวขยับไม่ได้ หลายครั้งที่หลับตาฝันเห็นบ่วงบาศก์เส้นบางๆ เธอรู้ทันทีว่า เขามารับเธอแล้ว

      เธอไม่เสียใจ

      เพราะอย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ตายอย่างโดดเดี่ยว ครั้งหนึ่งเธอได้รับการเยียวยาช่วยเหลือ จากชายที่เธอรัก

      และจะตายในมือของชายที่เธอรักสุดหัวใจเช่นกัน

      ฉันรักคุณนะคะคุณโดม

      ชาติหน้า ขอให้ฉันได้เป็นคนที่คุณรักบ้าง จะได้ไหม ได้ไหมคะ

      เรือนปั้นหยาเชียงใหม่ที่คุณโดมเคยพาแม่อุ่นมาครั้งหนึ่ง นี่เป็นหนสองที่พาเธอมา เขาตัดขาดทุกอย่างจากในพระนคร ลาออกจากราชการตำรวจเพราะรู้สึกว่าไม่คู่ควรอีกต่อไป ชายหนุ่มวางธุลีของคุณอันนาและแม่อุ่นไว้ที่ดงดอกไลเซนทัสที่ใกล้แห้งเฉารำไร

       ปืน...เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พกติดกาย เขาจ่อปืนไว้ที่ขมับ ขยับยิ้มมุมปากน้อยๆ นึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา

       ไม่มีอะไรให้ห่วงอีกแล้ว

       อีกไม่นานเจ้าดอมจะจะพ้นโทษออกมาดูแลคุณพ่อ ไม่ต้องมีเขา ตระกูลมนตรีพาณิชย์จะสูงหรือต่ำ จากนี้ไม่เกี่ยวกับลูกนอกสายเลือดเช่นเขา

       มัม...ผมกำลังจะไปกอดมัม

      แม่อุ่น...เธอไม่ต้องเจ็บคนเดียวอีกแล้ว อีกเพียงเสี้ยวนาที ฉันจะไปหาเพื่อนที่แสนดีเช่นเธอ

      กริ๊กเดียว จอด!

      น้ำตาลูกผู้ชายของเขา ไหลออกมาอีกครั้ง

      “ยม...” ร่างสูงคุกเข่าลง เรี่ยวแรงที่เคยแข็งแกร่ง ตอนนี้มีเพียงไอ้โดมที่อ่อนแอ ไม่เหลือใครเหลียวมองก็เท่านั้น “ถ้าฉันไม่ไปถ่วงเวลาหาเรื่อง ยมก็คงจะมีความสุขกับเขม ฉันขอโทษ!!”

       ชายหนุ่มสะอื้นหมดรูปชายชาตรี จิตใต้สำนึกบอกให้เขาอธิษฐานในสิ่งที่คิด ครั้งสุดท้าย

       “ชาติหน้า ขอให้ฉันได้ดูแลยม จนกว่าเขมจะมารับยมไป”

       แม้ไม่อาจได้เป็นคนในหัวใจ ขอแค่ดูแลก็ได้ ขอแค่ยมไม่เกลียดเขาก็พอแล้ว

       ปัง!!!

        หยาดโลหิตกระเซ็นต้องไลเซนทัสสีขาวบริสุทธิ์ ร่างสูงนอนแผ่หลา ดวงตาเบิกโพลงมองฟ้าแล้วยิ้มออกมาด้วยหัวใจที่เปี่ยมอิสระ

         ฉันชดใช้ให้พวกเธอแล้ว เขม ยม

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

        “คุณปู่ครับ ผมได้ที่หนึ่งของระดับอีกปีแล้วครับ”

         เด็กชายยุทธศาสตร์ในวัยสิบขวบถือผลสอบมาให้ผู้เป็นปู่ได้ภูมิใจ  เวลาผ่านไปนานเหลือเกิน แต่เจ้าหนูคนนี้ยังร่าเริงสดใสไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความเก่ง ยิ่งเห็นก็ยิ่งคิดถึงบุตรชายที่ล่วงลับไปนานหลายปีแล้ว

        “เก่งมากหลานปู่ อย่างนี้อนาคตจะเป็นหมอคงไม่ไกล”

        “ครับ ผมจะเป็นหมอให้ได้” เด็กชายตั้งมั่น “ผมอยากเป็นหมอ พ่อเขมเองก็เคยบอกว่าอยากเป็นหมอ ผมจะสานฝันพ่อเขมให้เป็นจริง”

        คุณปู่ยิ้มน้อยๆ “ดีแล้ว แต่ตอนนี้ไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อนไป จะได้ออกมาทานข้าวทานปลา”

       เด็กชายพยักหน้า เดินกลับไปที่เรือนของพ่อเขมที่ใช้เป็นที่พักตลอดมา เล่าถึงความภูมิใจที่ได้รับให้พ่อทั้งสองได้รับรู้เหมือนที่ๆผ่านมา แม้พ่อจะไม่ได้อยู่ฟัง อย่างน้อยขอให้สายลมรับรู้แล้วนำไปบอกก็ยังดี

        หากสายลมจากเรือนร้าวไม่ได้นำถ้อยไปบอกวิญญาณของพ่อทั้งสอง เพราะวิญญาณของทั้งสองคนกำลังเวียนว่ายตายเกิด เพื่อกลับมาพบกันอีกครั้ง

        อาจได้พบที่อื่นใด สักที่

        หรืออดีตเรือนร้าว ที่ตอนนี้มีแต่ความสงบสุข ปกติสุขเช่นเรือนอื่นเสียที

         เรือน...นั้นเราได้พบ

      เรือน...ที่สบจนเป็นรัก

     เรือน...รักถูกพรากผลัก

    เรือน...นี้มากความเจ็บใจ

      ร้าว...เอยรักจำร้าว

   ร้าว...เพราะก้าวต่อไม่ไหว

   ร้าว...ใจจำร้างไกล

   ร้าว...เมื่อใดจะจางลง

---------------------------จบภาค เรือนร้าว—-----------------------------------

ติดตามความรักชาติภพใหม่ของคุณเขมและยมได้ เร็วๆนี้











พูดคุยกับ amazing princess


**ก่อนอื่นเลยค่ะ ไรท์ต้องขออภัยรีดทุกท่านที่ไม่ได้บอกว่านิยายเรื่องนี้จบแฮปปี้หรือแบดเอนด์ เพราะตอนแรกไรท์เองก็ปูทางให้เรือนร้าวเป็นนิยายดราม่าธรรมดาค่ะ แต่อยู่ๆวรรณคดีเรื่องเงาะป่าก็เป็นแรงบันดาลใจให้ไรท์ลองเสี่ยง เปลี่ยนมาทางแบดเอนด์อันเกิดจากความรักที่ไม่สมหวังของคุณโดมและแม่อุ่น เปรียบเหมือนฮเนาที่เกือบจะลองรักแม่เงาะป่าสาว แต่เพราะศักดิ์ศรีค้ำคอจึงยังต้องไปแย่งชิงลำหับมาจากซมพลา ในขณะที่คุณเขมกับยมรักกัน และแทบจะตายแทนกันได้ ก็ต้องมาตายเพราะทุกข์จากรักเช่นเดียวกัน ทุกข์ที่เกิดจากความรักที่บางครั้งก็เป็นสุขเพราะได้ปกป้องคนรัก และทุกข์จากความรักที่แน่นอนว่าสุดท้าย ไม่มีใครได้สมหวังสักคนค่ะ

**ขอบคุณทุกคอมเม้นที่ให้กำลังใจ และให้คำแนะนำดีๆแก่ไรท์นะคะ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่ไรท์แต่งจบ อาจจะมิข้อกังขาบางจุดไปบ้าง ไรท์จะนำคำแนะนำไปปรับใช้กับเรื่องต่อๆไปเพื่อพัฒนางานเขียนแน่นอนค่า

**สำหรับใครที่รอภาคต่อ รอการติดตามจากเพจ amazing princess หรือที่นี่ ภาคต่อต้องมีแน่นอนค่ะ และจะอัพคู่กับบ่วงร้าวด้วย ภาคต่อไรท์คิดไว้แล้ว ไม่แบดแน่นอนแต่อาจจะมีดราม่าเรื่องอดีตเล็กน้อย

**สุดท้ายนี้  ด่าได้ค่ะ แต่อย่าด่าแรงมาก ไรท์ใจบางงงงงง นี่แหละสาเหตุที่ไรท์ลงสามตอนจบรวด จะได้โดนทีเดียว555555555 และขอบคุณรีดที่ไม่ทิ้งไรท์แม้ว่าไรท์จะอู้ไปบ้าง คอยมาเม้นให้กำลังใจตลอดจนเรือนร้าวมาถึงตอนจบ แล้วเจอกันเรื่องบ่วงร้าวและเรื่องใหม่ภาคต่อจากเรือนร้าวค่ะ

                                   รัก

Amazing princess
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Sweetchan ที่ 09-03-2018 02:59:48
สนุกมากๆเลยค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย ไม่ค่อยได้อ่านแบดเอนเหมือนกัน แต่ไรท์เขียนออกมาดีมากๆเลยค่ะ รออ่านภาคต่อนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Aomm ที่ 09-03-2018 03:23:57
อ่านรวดเดียวจบเลยคนเเต่งใช้ภาษาสวยมากเลยอ่ะเราชอบมาก รออ่านคุณเขมกับน้องยมชาติภพหน้าอยู่นะคะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 12-03-2018 21:09:01
น้ำตาท่วมเลยค่ะ
ตามไปอ่านภาคพิเศษกับภาคต่อไปที่ธัญวลัยมาเมื่อกี้เองค่ะ   
ชาติหน้าอิโดมยังได้ตามไปวอแวเป็นแฟนยมอีก   ขัดใจเจ้มาก ฮ่าฮ่า   :ling1:
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-03-2018 21:34:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 16-03-2018 21:40:03
ขอบคุณคร้าบบบ
ภาษาดีมาก สงสารทุกคนเลย
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 16-03-2018 22:58:04
ทั้งเศร้าทั้งโศก..ใจบางหมดแล้ว  :m15:

แบดเอนจนภูมิคุ้มกันไม่มี :sad4: ปาดน้ำตาทั้งเรื่อง :sad11: 

ภาษาสวยลื่นไหลมาก o13 รักเลย :mew1:

ตามภาคต่อจ้า..ขอให้เขมยมได้รักกัน  :call:

ให้โดมตาสว่างหันมารักคนที่รักตัวเองอย่างอุ่นที  :call:

ขอมาม่าน้อยหน่อยได้มั้ยจ้ะ..อิ่มจากเรื่องนี้แล้วจริง ๆ  :heaven
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 17-04-2020 00:09:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 15-03-2024 18:56:42
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)