พิมพ์หน้านี้ - Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา [08-11-2017] แจ้งข่าวรวมเล่ม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: khaosap ที่ 18-02-2017 18:00:48

หัวข้อ: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา [08-11-2017] แจ้งข่าวรวมเล่ม
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 18-02-2017 18:00:48
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

**************************************************

(https://scontent.fbkk1-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/18527776_221373191698543_2158073461838435093_n.jpg?oh=ee2bd3fede3beaf8b3b9f6e60555504c&oe=59AE99B6)

(https://scontent.fbkk1-2.fna.fbcdn.net/v/t31.0-8/18558877_223762721459590_2630138950018282295_o.jpg?oh=380cfe2f938db9140eb107434e31936d&oe=59ADBF50)

เงือกวาฬคือกลุ่มครึ่งมัจฉาที่มีความใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด... เพราะพวกเขาแปลงกายเป็นมนุษย์เมื่อใดก็ได้
แต่ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้พวกเขากลายเป็น 'เหยื่อ' ของแวมไพร์

ไคราห์น ราชาแห่งอาณาจักรเซลทิคจะต้องปกป้องประชาชนของเขาให้รอดพ้นจากการคุกคามของผีดูดเลือด
โดยขอความช่วยเหลือจาก เรจินา ราชินีแห่งอาณาจักรมารินาการ์ด และด้วยความปรารถนาที่จะครอบครอง 'สายเลือดจอมราชัน' ทำให้เขาเกือบจะทอดทิ้ง เวสเทียร์ ผู้นำองครักษ์คนสนิทผู้ภักดีมาโดยตลอด

"กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต ...ต่อฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น"

สารบัญ
[ บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3581728#msg3581728) ]
ตอนที่ 1 [ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3583308#msg3583308) ]
ตอนที่ 2 [ 2.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3584604#msg3584604) + 2.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3586564#msg3586564) ]
ตอนที่ 3 [ 3.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3605446#msg3605446) + 3.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3605447#msg3605447) ]
ตอนที่ 4 [ 4.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3622181#msg3622181) + 4.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3622184#msg3622184) ]
ตอนที่ 5 [ 5.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3626123#msg3626123) + 5.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3626125#msg3626125) ]
ตอนที่ 6 [ 6.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3626152#msg3626152) + 6.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3626155#msg3626155) ]
ตอนที่ 7 [ 7.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3629703#msg3629703) + 7.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3629705#msg3629705) ]
ตอนที่ 8 [ 8.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3633517#msg3633517) + 8.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3633520#msg3633520) ]
ตอนที่ 9 [ 9.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3635380#msg3635380) + 9.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3635381#msg3635381) ]
ตอนที่ 10 [ 10.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3637477#msg3637477) + 10.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3637478#msg3637478) ]
ตอนที่ 11 [ 11.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3639392#msg3639392) + 11.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3639394#msg3639394) ]
ตอนที่ 12 [ 12.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3641767#msg3641767) + 12.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3641769#msg3641769) ]
ตอนที่ 13 [ 13.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3643579#msg3643579) + 13.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3643580#msg3643580) ]
ตอนที่ 14 [ 14.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3644811#msg3644811) + 14.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3644902#msg3644902) ]
ตอนที่ 15 [ 15.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3647560#msg3647560) + 15.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3647561#msg3647561) ]
ตอนที่ 16 [ 16.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3650142#msg3650142) + 16.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3650144#msg3650144) ]
ตอนที่ 17 [ 17.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3652152#msg3652152) + 17.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3652154#msg3652154) ]
ตอนที่ 18 [ 18.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3654626#msg3654626) + 18.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3654629#msg3654629) ]
ตอนที่ 19 [ 19.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3656271#msg3656271) + 19.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3656274#msg3656274) ]
ตอนที่ 20 [ 20.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3658086#msg3658086) + 20.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3658103#msg3658103) ]
ตอนที่ 21 [ 21.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3659582#msg3659582) + 21.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3659907#msg3659907) ]
ตอนที่ 22 [ 22.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3660588#msg3660588) + 22.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3660589#msg3660589) ]
ตอนที่ 23 [ 23.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3661930#msg3661930) + 23.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3662987#msg3662987) ]
ตอนที่ 24 [ 24.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3664962#msg3664962) + 24.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3666432#msg3666432) ]
ตอนที่ 25 [ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3666433#msg3666433) ]
บทส่งท้าย [ บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3666435#msg3666435) ]

ตอนพิเศษ [1] [ ความปรารถนา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3666435#msg3666435) ]
ตอนพิเศษ [2] [ องครักษ์เพชฌฆาต (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3667652#msg3667652) ]
ตอนพิเศษ [3] [ ความฝัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3672673#msg3672673) ]
ตอนพิเศษ [4] [ กำไลมุก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3676926#msg3676926) ]
ตอนพิเศษ [5] [ รางวัล (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58343.msg3676928#msg3676928) ]
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 18-02-2017 18:10:59
บทนำ

หากกล่าวว่าแวมไพร์เป็นสิ่งไร้ชีวิตก็คงจะไม่ผิดไปจากความจริงนัก

พวกเขาไม่มีลมหายใจ ไม่มีหัวใจที่เต้น อีกทั้งระบบการทำงานภายในก็แตกต่างไปจากมนุษย์ปกติทั่วไปโดยสิ้นเชิง เป็นต้นว่า แวมไพร์ต้องดื่มเลือดของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพื่อกระตุ้นให้ตนเองสามารถ 'มีชีวิต' ต่อไปได้ และยิ่งเลือดที่ดื่มกินเข้าไปเป็นของอมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่น ก็จะยิ่งทำให้พลังของแวมไพร์แข็งแกร่งขึ้น

แต่ว่าเลือดของเผ่าหมาป่าก็เหม็นสาบและรสชาติแย่เสียจนอดทนกล้ำกลืนไม่ได้

อีกทั้งหมาป่ายังเป็นกลุ่มอมนุษย์ที่แข็งแกร่งซึ่งยากจะต่อกรด้วย

ในยุคสมัยที่การเข่นฆ่ามนุษย์ยากขึ้น น่าสงสัยมากขึ้น เสี่ยงต่อการเปิดโปงการมีตัวตนของผีดูดเลือด ทำให้แวมไพร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเขาต้องหันไปหาทางเลือกอื่นที่ไม่ได้ดีเด่ไปกว่ากัน นั่นคือการตามหาอมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก และเผ่าที่น่าเพ่งเล็งที่สุดคือเผ่านางพรายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสตรีที่ไร้ทางสู้ แต่การเคลื่อนไหวเพื่อหลบหนีของพวกนางก็ว่องไวสมกับที่เป็นเผ่าแห่งสายลม แม้แต่แวมไพร์ก็ยังยากที่จะไล่ตามได้ทัน

เช่นนั้นแล้วยังจะเหลือเลือดของสัตว์ชนิดใดให้พวกเขาดื่มอีก...

คำตอบของพวกเขาอาจไม่ได้อยู่บนผืนแผ่นดิน แต่คืออมนุษย์คนครึ่งปลาผู้อาศัยอยู่ใต้บาดาล


--------------------------------------------------


เมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมักเงียบสงบมากเสียจนในบางครั้งเรียกได้ว่าเงียบเหงา ถึงแม้บาร์ธีมอร์จะมีท่าเรือเป็นของตนเอง แต่ในวันที่ไร้ซึ่งเรือสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ล้วนแล้วแต่น่าเบื่อ ร้านรวงเล็กๆ ดำเนินกิจการของตนไปเรื่อยๆไม่รีบร้อน การค้าขายอาหาร วัตถุดิบ เครื่องปรุงนั้นไม่เคยติดขัด หากแต่ร้านที่มักตกที่นั่งลำบากในฤดูที่ไร้ผู้มาเยี่ยมเยือนจากต่างแดนเช่นนี้ ดูเหมือนจะเป็นร้านเครื่องประดับ และน้ำหอมราคาแพง

ผู้หญิงกับเครื่องประดับคงเรียกได้ว่าเป็นสิ่งคู่กัน...

ทว่าสำหรับสามัญชนคนธรรมดาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับอะไรก็ล้วนแล้วแต่มีมูลค่าสูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง อาโกรนาห์มองผ่านหน้าต่างกระจกร้านค้าเพื่อพิจารณาสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งอยู่เนิ่นนานด้วยความหลงใหล ถึงแม้นางจะมีผิวพรรณเนียนสวยและดวงตาเป็นประกาย ดูสูงศักดิ์ราวกับเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางเจ้าถิ่น แต่อาโกรนาห์กลับทอดยิ้มให้กับสร้อยตรงหน้าอย่างอาวรณ์และอ่อนโยน ก่อนจะตัดใจเดินจากมันมาด้วยรู้ว่านางไม่มีสินทรัพย์ที่มากพอจะซื้อมันมาครอบครองได้

แม้อยากจะยืนมองให้นานกว่านี้สักหน่อย แต่เธอสัมผัสได้ถึงสายตาประหลาดที่จ้องมองอย่างไม่ประสงค์ดี สตรีเจ้าของเรือนผมสีดำขลับจึงบ่ายหน้าหนีจากร้านค้าเพื่อกลับไปยังที่ที่เธอจากมา ชุดยาวๆ รุ่มร่ามเป็นอุปสรรคในการเดินเท้า และเศษหินเศษดินตามพื้นที่ทิ่มแทงเท้าเปล่าเปลือยก็ยิ่งทำให้อาโกรนาห์เจ็บจนวิ่งไม่ออก

แต่ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลติดตามนางมาอย่างรวดเร็ว

ต้นเหตุของภัยคุกคามมาจากกลิ่นอายของนางที่แตกต่างจากคนอื่นๆ บนถนน หญิงสาวเริ่มออกวิ่ง แม้เท้าของนางจะถูกหินบนพื้นบาดจนได้เลือด นางก็วิ่งผ่านผู้คนบนถนนที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้ร้อนและมองตามความตื่นตระหนกของสตรีแปลกหน้าอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดเธอจึงรีบ ลัดเลาะออกไปทางด้านหลังเมืองที่เริ่มห่างไกลผู้คน และมุ่งหน้าสู่หน้าผาที่เบื้องล่างคือทะเลเคลติกอันเกรี้ยวกราด

'มันกำลังจะหนีไปแล้ว!!'

'ต้องใช่พวกมันแน่ๆ!!'

อาโกรนาห์สัมผัสได้ถึงเสียงและจิตด้านมืดที่คุกคาม ความเร็วที่ติดตามทำให้หญิงสาวเร่งฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิต และเมื่อไปจนสุดทาง เธอก็กระโดดออกจากแผ่นดินเพื่อจะเผ่นพลิ้วลงสู่ท้องทะเลซึ่งเป็นสถานที่แห่งเดียวที่ปลอดภัยสำหรับเธอ

พวกแวมไพร์ไม่ลงทะเล... โดยเฉพาะน่านน้ำที่ดุดันคลุ้มคลั่ง

แต่ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะกระแทกกับท้องสมุทร มือข้างหนึ่งที่มีกรงเล็บแหลมคมก็คว้าเข้าที่แขนบอบบาง และกระชากทั้งร่างขึ้นมาให้ห่างจากคลื่นทะเล นางกรีดร้อง และหันไปมองเงาร่างที่ไม่เคยมองเห็นก่อนจะเหวี่ยงร่างกายช่วงล่างขึ้น ให้หางปลาขนาดใหญ่ฟาดใส่ศัตรูอย่างรุนแรง

...ตูม!!

มันทิ้งเธอให้ตกลงไปในทะเล แผ่นหลังกระแทกกับผืนน้ำเสียจนจุก แต่เมื่อได้สติ นางเงือกก็ขยับหางของตนเพื่อดำดิ่งลงไปสู้ก้นสมุทรเบื้องล่าง "มันไปได้ไม่ไกลหรอก" ผีร้ายทั้งสองกลับมาตั้งหลักบนโขดหินและมองหาเงาของนางเงือกในแสงสลัว "เงือกพวกนี้ต้องขึ้นมาหายใจด้านบน อีกไม่นานพวกมันก็จะขึ้นมา"

แวมไพร์ตนหนึ่งพิจารณาทะเลตรงหน้าอย่างครุ่นคิด "แปลว่าเบื้องใต้นี่เอง... เป็นที่ตั้งของอาณาจักรเซลทิค"

อาณาจักรเงือกแห่งทะเลเหนือ อมนุษย์ผู้มีโลหิตร้อนรุ่มและเปี่ยมไปด้วยพลัง ภายใต้ความเยียบเย็นของท้องทะเลอันโหดร้ายประหนึ่งเข็มนับพันเล่มที่ทิ่มแทงผิวเนื้อ เลือดของชาวเงือกแห่งเซลทิคกลับมีอุณหภูมิและพลังมากพอที่จะทำให้พวกเขาอยู่รอดได้ภายใต้ความทารุณเหล่านั้น และนี่เองคือแหล่งอาหารใหม่ของแวมไพร์

"สิ่งนี้จะต่ออายุให้พวกเราอยู่รอดได้อีกหลายสิบปี..."

ดวงตาของแวมไพร์มองเห็นการเคลื่อนไหวใต้ผืนน้ำ แม้จะไม่ลึกมากนัก แต่พวกเขาก็รู้ว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่เบื้องล่าง นั่นเป็นสัญญาณที่ผีดูดเลือดจะต้องเตรียมตัว ชาวเงือกจะขึ้นมาหายใจเป็นประจำ แต่ก็ไม่โผล่ขึ้นมาให้เห็นบ่อยนัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องว่องไวพอที่จะจับอมนุษย์ครึ่งปลาพวกนี้ให้ได้ เพื่อความอยู่รอดของตนเอง

"มันมาแล้ว..."

ร่างเงาของชาวเงือกปรากฎให้เห็นในสายตา คงมีสักตนที่ต้องโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อสูดอากาศ แต่การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและทรงพลัง อีกทั้งยังมุ่งเข้ามาหาแวมไพร์ ทำให้ผู้รุกรานเบิกตาขึ้น "พวกเพชฌฆาต!!" แวมไพร์ทั้งสองดีดร่างลอยขึ้นจากโขดหิน และหันหน้ากลับไปยังแผ่นดินหินผาด้านหลัง ทว่าเพียงแค่สิ้นเสียง ร่างกายที่ใหญ่โตของเงือกสองตนก็กระโจนขึ้นจากท้องน้ำ พร้อมกับหอกเล่มยาวที่พุ่งเข้าเสียบผ่านขั้วหัวใจอย่างแม่นยำ

ฉึก...!

"อ้ากกก...!!!"

แม้ไม่มีแสงแดด แต่แวมไพร์ก็ถูกฆ่าได้ด้วยการตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ ดังนั้นสิ่งที่หลงเหลืออยู่บนปลายหอกเล่มยาวจึงเป็นความว่างเปล่า ร่างของผีร้ายมลายหายสลายไปในอากาศ และร่างของครึ่งมัจฉาก็ตกลงสู่ผืนน้ำอีกครั้งหลังภารกิจเสร็จสิ้น

หางยาวสีดำสะบัดยืดเส้นสายด้วยความพอใจ แล้วจึงขยับเพื่อพาร่างดำลงสู่ก้นทะเล

"เจ้าอย่าคิดว่ามันเป็นผลงานอันน่าภูมิใจ การมาถึงของพวกมันเป็นภัยคุกคามของเรา" เงือกหนุ่มผู้นำเอ็ดคนข้างกายที่เพิ่งจะบิดแขนไปเมื่อครู่ "คุ้มกันองค์หญิงอาโกรนาห์กลับไปยังพระราชวัง ข้าจะไปทูลฝ่าบาท" เงือกสาวที่ยังอยู่ในอาการตระหนกตกอยู่ในวงล้อมของทหารองครักษ์ และยิ่งหน้าถอดสีเมื่อได้ยินว่าพี่ชายของนางกำลังจะทราบเรื่อง

"อย่านำเรื่องของข้าไปบอกท่านพี่นะ..."

องค์หญิงอ้อนวอน แต่ผู้นำองครักษ์กลับหลับตาและค้อมหัวลงอย่างห่างเหิน "กระหม่อมจำเป็น"

"เช่นนั้นข้าขอสั่งให้เจ้าปิดเรื่องนี้เป็นความลับ"

"เกรงว่าคำสั่งของฝ่าบาทจะเด็ดขาดมากกว่าคำสั่งขององค์หญิงขอรับ" อาโกรนาห์เป็นน้องสาวของราชาผู้ปกครองอาณาจักรเซลทิค เป็นบุคคลที่สองที่มีสิทธิ์จะได้ครองบัลลังก์แห่งทะเลเหนือ หากราชาผู้นี้ไม่มีรัชทายาท "และการฝ่าฝืนคำสั่งของฝ่าบาท ซึ่ง 'ห้ามชาวเซลทิคก้าวขึ้นจากน้ำในร่างมนุษย์นับแต่นี้' ก็เป็นความผิด แม้จะเป็นองค์หญิงอาโกรนาห์ กระหม่อมก็มิอาจละเว้นได้"

ผู้พูดกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ทว่ามิอาจเงยหน้าขึ้นมองหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ได้

"กระหม่อมขอตัวก่อน"

คนสนิทของผู้นำองครักษ์ขยับร่างเข้ามาหาอีกฝ่ายและแตะมือกับศอกแข็งช้าๆ "เจ้าแน่ใจรึว่าไม่ต้องการให้ข้าไปเป็นเพื่อน" ผู้นำอังครักษ์ปรายตามองมือข้างนั้นช้าๆ แทนคำตอบ และเงยขึ้นมองผิวน้ำเบื้องบนอย่างครุ่นคิด

"คงต้องกลั้นใจยาวๆ" ชายหนุ่มพึมพำ "ข้าไม่เป็นไรหรอก..."


--------------------------------------------------


สวัสดีค่า... เปิดเรื่องใหม่---

จริงๆก็กลับมาในซีรี่ย์เดิม ถ้าใครเคยตามเซต Blueๆ ทั้งหลาย...
ทั้ง Prussian Blue รึ Azurel Blue อันนี้ก็เป็นซีรี่ย์เดียวกันแหละน้า แต่ว่า.... เรื่องของบัลลังก์จ้าวนาราคือ... เป็นภาคอดีต... ย้อนกลับไปตั้งแต่ฝ่าบาทเลอาฟร์ยังไม่เกิด ฮาาา ถ้าใครมีไทม์ไลน์เรื่องนี้อยู่ในมือก็สามารถเปิดดูได้... ก็... เรื่องของฝ่าบาทเลอาฟร์จะเกิดขึ้นประมาณ ค.ศ. 1884-1889 แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ ค.ศ. 1854-1862

ดังนั้น... ไม่ต้องอ่าน 2 เรื่องนั้นมาก่อนก็พอจะเข้าใจเรื่องนี้นะคะ 555 เพราะคนละไทม์ไลน์กันเบย...

หวังว่าแค่บทนำคงจะไม่งงแบบตอนเปิดแอสทารอธ พันธนาการดวงดาว... เน้าะ OTL
เพราะรายละเอียดของจักรวาลนี้น้อยกว่าจักรวาลโน้นม๊ากมาก...
.
.
สวัสดีนักอ่านใหม่ทุกท่านค่า... นิยายซีรี่ย์นี้เป็นการทะเลาะกันของเงือกกับแวมไพร์ เฮ!?
(แต่เรื่องนี้เป็นคู่เงือกxเงือกนะ)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 20-02-2017 21:30:37
ตอนที่ 1

ชาวเงือกที่น่าสงสารที่สุดอาจเป็นชาวเงือกแห่งเซลทิคนี่เอง...

อมนุษย์ผู้มีร่างกายครึ่งหนึ่งเป็นสัตว์น้ำภาคภูมิใจว่าพวกเขานั้นสูงส่งกว่ามนุษย์ธรรมดาเบื้องบนที่น่าสมเพช ลุ่มหลง และวนเวียนอยู่กับวัตถุสิ่งของนอกกายที่พาลทำให้จิตใจสกปรกต่ำช้า ไร้ซึ่งคุณธรรมและความยับยั้งชั่งใจ ดิ้นรนเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการโดยไม่สนใจความถูกต้อง ต่างจากชาวบาดาลผู้สามารถปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ อีกทั้งยังมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติที่สร้างสรรค์สิ่งสวยงามรอบกาย

ดังนั้นเหตุผลที่ชาวเงือกแห่งเซลทิคน่าสงสาร... นั่นคือพวกเขามีความใกล้ชิดกับพวกมนุษย์มากที่สุด

ด้วยความเป็น 'วาฬ' ของพวกเขา ชาวเงือกที่นี่ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ใต้ทะเลได้ตลอดกาลดั่งชาวเงือกอาณาจักรอื่น พวกเขาจำเป็นต้องขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ และกลั้นเก็บมันเอาไว้ในปอด อีกทั้งยังสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ที่มีขาเมื่อใดก็ได้ในยามที่ต้องการ ซึ่งแม้จะเป็นความสามารถพิเศษ แต่มันก็เป็นความสามารถที่ชาวบาดาลไม่ได้ปลาบปลื้ม

มันคือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาละทิ้งความเป็นมนุษย์ไม่ได้

แต่ถึงกระนั้น... ราชวงศ์แห่งเซลทิคก็ได้ชื่อว่าเป็นชนชั้นที่ถือตัวที่สุด นั่นเป็นเพราะ 'พลัง' บางอย่างที่พวกเขามีเหนือกว่าชาวบาดาลอื่น นั่นคือพลังในการปกป้อง คุ้มครอง และรักษา ว่ากันว่าราชวงศ์แห่งเซลทิคไม่เคยเจ็บป่วย อีกทั้งยังมีอำนาจวิเศษที่สามารถเยียวยาบาดแผลให้หายได้ในพริบตาเพียงแค่แตะสัมผัส แต่การจะใช้ความสามารถนั้นก็ย่อมต้องแลกด้วยพลังและเรี่ยวแรงของตัวเอง

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นข้ารับใช้ที่สนิทชิดเชื้อแค่ไหน แต่หากไม่ใช่คู่ชีวิตแล้ว

...ก็ไม่สามารถแตะต้องกายหรือมองสบตาเชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคได้

สิ่งสูงที่สุดที่บริวารรับใช้จะสามารถเห็นได้ก็เป็นเพียงปลายหางเท่านั้น และในตอนนี้ เวสเทียร์ องครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคก็กำลังก้มมองปลายหางสีขาวโพลนของเจ้าชีวิต หลังจากรายงานเรื่องขององค์หญิงอาโกรนาห์ แม้จะรู้ดีว่าเรื่อง 'หนีเที่ยว' ของนางเป็นความผิดของเขา และเขาอาจถูกลงโทษได้ แต่เวสเทียร์คิดว่าความปลอดภัยของนางเป็นสิ่งที่คนเป็นพี่อยากได้ยิน

ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานจนผู้นำองครักษ์ไม่แน่ใจว่าฝ่าบาทของเขารับฟังอยู่หรือไม่

...แต่เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เงยหน้าขึ้นมอง

ราชาผู้ปกครองทอดร่างอยู่บนแท่นนั่งขนาดใหญ่ ปล่อยวางท่อนหางมหึมาบนหมอนนุ่มที่ทำมาจากพืชฟองน้ำ นัยน์ตาสีฟ้าเยียบเย็นทองมององครักษ์คนสนิทของตนด้วยสายตาที่ไม่สามารถอ่านความรู้สึกได้ เขาโกรธขึ้งที่รู้ว่าอาโกรนาห์ขัดคำสั่งของตนขึ้นไปบนแผ่นดิน แต่กลับโกรธเคืองยิ่งกว่าที่น้องสาวของตนเลือกทำเช่นนั้น ทั้งที่รู้ว่าความรับผิดชอบในการดูแลนางเป็นขององครักษ์ส่วนตัวของเขา

เขาจะลงทัณฑ์องครักษ์อื่นให้หนักก็ย่อมได้ หากปล่อยให้อาโกรนาห์หนีไป

จะจับพวกเขากดน้ำให้ขาดใจจนกระอักออกมาเป็นเลือดก็ย่อมได้ หากบกพร่องในหน้าที่

...แต่ไม่ใช่กับเวสเทียร์ คนโปรดของเขา

"เจ้าสมควรได้รับโทษ" น้ำเสียงของราชาเรียบเฉยทว่าเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขาม ทำให้องครักษ์คนสนิทค้อมหัวลงต่ำด้วยยอมรับโดยดี "จะปกป้องราชวงศ์ได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องง่ายเพียงนี้ก็ไม่สามารถรับผิดชอบได้" ฝ่าบาทแห่งเซลทิคเอ่ยตำหนิต่อหน้าข้ารับใช้ทั้งหมดทั้งปวงที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น แม้มันจะเป็นคำถามที่กรีดแทงใจของเขาเองก็ตาม

...จะปกป้องอาณาจักรได้อย่างไร ในเมื่อแค่น้องสาวตัวเองก็ไม่เชื่อฟัง

เวสเทียร์ค้อมหัวลงน้อมรับคำตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นบทลงทัณฑ์แบบใดก็ไม่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ การปล่อยให้องค์หญิงอาโกรนาห์เผชิญกับอันตราย อีกทั้งยังปล่อยให้แวมไพร์ตามมาถึงถิ่นที่เป็นความผิดอันไม่น่าให้อภัยที่สุด มันคือความบกพร่องของเขาในฐานะองครักษ์ระดับสูง คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์น และผู้นำตระกูลเพชฌฆาตอันเก่าแก่ ผู้คอยปกป้องราชวงศ์แห่งเซลทิคมาช้านาน

ท่ามกลางสายตาของเหล่าข้าทาสผู้รับใช้ ...ฝ่าบาทแห่งเซลติคหรี่ตาลงมององครักษ์ของตนอย่างเย็นยา

โทษสถานหนักที่ใช้ลงทัณฑ์เงือกวาฬคือการถ่วงพวกเขาเอาไว้ที่ก้นทะเลเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ซึ่งหากไม่แข็งแกร่งเพียงพอ เงือกตนนั้นก็มีโอกาสขาดใจตายได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคไม่ยอมเสี่ยงให้เกิดขึ้นกับเวสเทียร์ ดังนั้นการลงทัณฑ์ที่หนักหนาไม่แพ้กันคือการเฆี่ยนตีเพื่อให้สัมผัสความเจ็บปวดอย่างมนุษย์

"แส้หางกระเบน..." ราชาเอ่ยต่อด้วยใบหน้าเรียบเฉย "ยี่สิบครั้ง"

เมื่อออกคำสั่ง ฝ่าบาทเงือกก็เอนกายลงพิงบัลลังก์ของตนเป็นสัญญาณให้องครักษ์หนุ่มออกไป โดยมีฟาล คนสนิทผู้ดูแลความเรียบร้อยฝ่ายองครักษ์ตามไปด้วย ดวงตาสีครามมองตามพวกเขาทั้งคู่ออกไปหลังม่านสาหร่ายที่กั้นไว้ต่างประตู ก่อนจะหันมาหานางกำนัลที่อยู่ใกล้ "ไปตามอาโกรนาห์มา" นางกำนัลค้อมหัว แต่เมื่อนางตั้งท่าจะออกไป องค์หญิงอาโกรนาห์แห่งเซลทิคก็เข้ามาในที่พักของราชาผู้นำ

นางเป็นหญิงสาววัยสิบหกปี ใบหน้ามนล้อมกรอบด้วยผมยาวสีดำขลับ รับกับท่อนหางขนาดใหญ่ที่มีสีเดียวกัน นางมองสบตาผู้เป็นพี่ครั้งหนึ่ง และเผยอริมฝีปากขึ้นราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง

"เจ้าไม่ควรแก้ตัวในเรื่องนี้..."

พี่ชายมองสบกับผู้มาเยือนและเอ่ยขึ้นแทบจะในทันที อาโกรนาห์สัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองขุ่นมัวของอีกฝ่าย และนางก็รู้ดีว่านั่นเป็นเพราะนางที่ทำให้ราชาแห่งเซลทิคต้องลงโทษบุคคลที่เขาไม่ต้องการจะลงทัณฑ์ที่สุด "อย่าใช้สายตาโต้เถียงเรา ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายขัดคำสั่ง เจ้าเองด้วยซ้ำที่สมควรได้รับโทษแทน" ไคราห์นกราดเกรี้ยว แต่เขารู้ดีว่าไม่สามารถลงทัณฑ์องค์หญิงได้ หากทำเช่นนั้น เผ่าเพชฌฆาตผู้ทำหน้าที่องครักษ์ ดูแล ปกป้อง และรักษาราชวงศ์แห่งเซลทิคมาตลอดจะต้องอ้อนวอนขอให้เขาสำเร็จโทษเหล่าองครักษ์ผู้บกพร่องในหน้าที่เพื่อให้สาสมกับความไม่พอใจ

องค์หญิงยอมรับว่านางเป็นฝ่ายผิด แต่นางเองก็ยอมรับว่าความดึงดูดใจของอัญมณีที่สวยงามเหล่านั้นมีพลังมากพอที่จะทำให้ชาวเงือกหลงใหล และกล้าที่จะขัดคำสั่งของราชาผู้ปกครอง "ต่อให้ท่านพี่อยากจะลงทัณฑ์ทุกคนที่ขัดคำสั่ง... แต่ท่านสามารถลงโทษชาวเงือกทั้งเซลทิคได้ไหมเล่า"

"อาโกรนาห์...!"

น้ำเสียงของไคราห์นกังวานและทรงพลัง ราชาแห่งเซลทิคขยับกาย ท่อนหางขนาดใหญ่ตวัดลงจากแท่นวาง และพาร่างกายสูงใหญ่ไปหยุดอยู่ตรงหน้าน้องสาว "ต่อให้เจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่หากประพฤติตัวเป็นแบบอย่างที่เลวให้ประชาชน เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะยกบัลลังก์ให้เจ้าในภายภาคหน้า" ดวงตาคมตวัดมองท่อนแขนบางที่ปรากฎรอยแผลจากกรงเล็บของสัตว์ร้าย "เราควรเพิ่มบทลงโทษเป็นสามสิบครั้ง..."

ร่างสูงกำหมัดแน่น "โทษฐานที่ปล่อยให้น้องสาวเราได้รับบาดเจ็บ"

อาโกรนาห์มุ่นคิ้ว "อย่าเอาบทลงโทษของเวสเทียร์มาขู่ข้านะ!"

"ถ้าเจ้ายังฝืนคำสั่งข้าด้วยการแอบขึ้นไปอีก เจ้าก็คงไร้คุณสมบัติผู้นำ เพราะไม่เห็นแค่ความเดือดร้อนของคนใต้ปกครองของตัวเอง!" ฝ่าบาทกร้าว "ชาวเซลทิคผูกพันกับแผ่นดินมาก แต่ในตอนนี้แผ่นดินเบื้องบนไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เจ้าคิดว่าเราอยากเห็น... คนของตัวเองถูกฆ่าเป็นอาหารให้กับพวกผีดูดเลือดชั้นต่ำอย่างนั้นรึ" อาโกรนาห์กำหมัดแน่นด้วยอารมณ์โกรธ เมื่อถูกห้ามและตำหนิอย่างรุนแรงด้วยคำว่า 'แบบอย่างที่เลว' และ 'ไร้คุณสมบัติผู้นำ' ซึ่งบาดใจนางเหลือเกิน

แต่นางก็ไม่สามารถเถียงได้...

นางไม่สามารถยอกย้อนได้ ด้วยรู้ว่าเหตุใดชาวเซลทิคที่ได้ชื่อว่าเป็นครึ่งมัจฉาที่มีพละกำลังมากที่สุด จึงต้องยอมจำนนและหลบหน้าศัตรูอย่างพ่ายแพ้เช่นนี้ "เราสู้แวมไพร์ไม่ได้" ฝ่าบาททอดเสียงอ่อนลง "และข้าจะไม่เสี่ยง... สูญเสียนักรบแห่งเซลทิคไปอีก" พวกเขาเคยต่อสู้แล้ว... เมื่อห้าปีก่อนหน้านี้ การต่อสู้ด้วยพละกำลังและทักษะที่ชาวเซลทิคแสนจะภาคภูมิใจ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะพวกแวมไพร์ได้ อีกทั้งยังทำให้พวกเขาสูญเสียองค์ชายเดียร์ราฮาน... องค์ชายสองผู้เป็นที่รักไปตลอดกาล

อาโกรนาห์ไร้คำแก้ตัว และยอมรับว่าสิ่งที่นางทำลงไปเป็นเพียงความพ่ายแพ้ต่อกิเลส

"และนี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าเราเองก็เป็นราชาที่ไม่ได้รับความเคารพจากประชาชน กระทั่งจากน้องสาวตัวเอง" เขาสั่งห้ามประชาชน แต่ชาวเงือกแห่งเซลทิคก็หลงใหลในความงามและความเจริญอันน่าสนใจของพวกมนุษย์มากกว่าจะสนใจคำสั่งของราชา จึงได้ลักลอบขึ้นไปยังแผ่นดินเบื้องบนอยู่ร่ำไป และต่อให้ถูกจับได้ ไคราห์นก็ไม่สามารถกักขังคนของตนได้ทั้งอาณาจักรอยู่ดี

อาโกรนาห์สัมผัสได้ว่าพี่ชายกำลังหวั่นไหวกับความจริง เขาไม่เป็นที่เคารพของประชาชนชาวเซลทิค ไม่ใช่เพราะชาวบาดาลหมดศรัทธาในพลังอำนาจของเชื้อประวงศ์ แต่เป็นเพราะราชาไคราห์นผู้นี้นับเป็นครึ่งมัจฉาที่มี 'ตำหนิ' อย่างเห็นได้ชัด จนเกิดเป็นข้อครหาว่าเขาคือทายาทที่ถูกต้องของบัลลังก์จริงหรือ

ราชวงศ์แห่งเซลทิคคือเงือกวาฬผู้มีน้ำเสียงกังวานทรงพลัง และร่างกายที่กำยำใหญ่โต ฝ่าบาทไคราห์นไม่ได้บกพร่องในด้านนั้น จะมีก็แต่เรื่องของผิวพรรณที่แตกต่างออกไป เส้นผมของชายหนุ่มมีสีขาวโพลนจนเกือบมองเห็นได้ในความมืด ต่างจากพี่น้องและเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดที่ล้วนแล้วมีผมสีดำขลับ ทั้งท่อนหางของฝ่าบาทก็ยังเป็นสีขาวเผือด รับกับผิวพรรณที่สว่างเหมือนไร้เลือด

ความแตกต่างนี้เองที่ทำให้เขาไม่เหมือนวาฬผู้นำที่แท้จริง

ไม่ว่าใครจะกล่าวสิ่งใด... ฝ่าบาทไคราห์นก็คือราชาของกระหม่อม

คงจะมีแต่เวสเทียร์ที่พูดแบบนี้กับเขา ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตอันมีหน้าที่ปกป้อง ดูแล และรักษาเกียรติแห่งราชวงศ์เซลทิคเอาไว้ เวสเทียร์มีลักษณะของชาวเงือกเผ่าเพชฌฆาตที่สมบูรณ์แบบทุกประการ และมีความสามารถเจนจัดจนเป็นที่ยอมรับของทุกคนตั้งแต่อายุสิบแปดปี ต่างจากเขาผู้เป็นถึงราชาแห่งเซลทิค แต่กลับไม่ได้รับความเคารพกระทั่งจากน้องสาวของตัวเอง

"หากเป็นกำลังเราไม่ได้ โปรดอย่าเป็นตัวถ่วงเราเลย..."

ฝ่าบาทแห่งเซลทิคมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงจากเบื้องบนเหนือทะเล มันคือเสียงแส้หางกระเบนที่แหวกอากาศและฟาดลงบนแผ่นหลังขององครักษ์คนสนิท มือใหญ่กำหมัดหลวมด้วยความอดกลั้น ขณะที่อาโกรนาห์หลุบตาลงต่ำด้วยความรู้สึกผิดเมื่อพี่ชายตัดพ้อ ด้วยรู้ว่าความเจ็บปวดของไคราห์นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครในเซลทิคที่มีผิวพรรณขาวเผือดราวกับแสงจากดวงจันทร์แบบนี้ ไม่มีราชาองค์ใดของเซลทิคที่ไม่ได้รับความเคารพเช่นนี้ และยิ่งผู้นำองครักษ์เวสเทียร์จะภักดีต่อราชามากเท่าไหร่ ไคราห์นก็ยิ่งเหนี่ยวรั้งคนผู้นั้นเอาไว้กับตนมากเท่านั้น

ด้วยตลอดสิบปีที่เขาเป็นราชา... นี่คือความจริงใจเพียงหนึ่งเดียวที่ไคราห์นได้รับจากคนใต้ปกครอง

ดังนั้นไคราห์นจะเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องลงทัณฑ์

...แต่นั่นก็เพื่อแสดงความแข็งแกร่งและเด็ดขาด

--------------------------------------------------

อาณาจักรเซลทิคไม่มีสิ่งก่อสร้างที่ก้นทะเลเหมือนกับอาณาจักรอื่น แต่พวกเขาอาศัยอยู่ในถ้ำลอดขนาดมหึมาที่เกิดจากน้ำทะเลกัดกร่อนเข้าไปในแผ่นดินจนเป็นโพรงซับซ้อนที่แสงแดดสามารถส่องผ่านไปถึง สร้างประติมากรรมธรรมชาติที่สวยงามซุกซ่อนเอาไว้ให้ลับตาคน และเป็นที่พักพิงให้กับชาวเงือกผู้ละทิ้งแผ่นดินไม่ได้ ให้ชาวเซลทิคขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ นั่งเล่นบนโขดหินใต้แสงแดดได้อย่างปลอดภัยราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่สวยงามของชาวบาดาล

...โลกอีกใบหนึ่งที่พวกแวมไพร์ยังหาไม่เจอ

แต่ในวันนี้ เวสเทียร์คงไม่มีกะจิตกะใจจะมาชื่นชมธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะนอนพักอยู่ในส่วนที่เรียกได้ว่าสวยงามที่สุดในถ้ำลอดแห่งนี้ก็ตาม แผ่นหลังของชายหนุ่มเคยเรียบเนียนและปรากฎลวดลายอันสวยงามซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าเพชฌฆาต แต่บัดนี้มันกลับชุ่มไปด้วยเลือดที่เกิดจากการเฆี่ยนตีด้วยแส้หางกระเบน เพียงแค่ไม่กี่ครั้งก็เจ็บปวดเกินทน แต่ผู้นำองครักษ์กลับถูกเฆี่ยนถึงสามสิบครั้งโดยไม่โอดครวญหรืออ้อนวอนขอความเมตตาแต่อย่างใด

แต่ถึงอย่างนั้น...มันก็ยากเกินกว่าจะขยับกายได้หลังจากการลงทัณฑ์เสร็จสิ้น

"เจ้าควรจะพักอยู่บนนี้ก่อน รีบกลับลงไปก็ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มกำลังอยู่ดี" ฟาล คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นกล่าว "ข้าจะทูลฝ่าบาทว่าเจ้าทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนสลบไป เจ้าก็ใช้เวลาช่วงนี้พักสักวันสองวันเถอะ" ผู้ที่มีอายุกว่าแนะนำด้วยหวังดี ทว่าเวสเทียร์กลับส่ายหัวช้า แม้จะยังเอนกายกอดพิงโขดหินชื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

"ข้าไม่เป็นไร ท่านฟาล..."

แค่สามสิบครั้งเท่านั้น ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตไม่เคยคิดว่านั่นเป็นเรื่องหนักหนาเลยสักนิด แต่อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าแผลเหล่านี้จะหาย และเขาคงต้องพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะขยับตัวได้อีกครั้ง เพราะหากไม่มีแรงว่ายขึ้นมาสูดอากาศ ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตอาจจมน้ำตายเข้าจริงๆ "ข้ารบกวนท่านบอกเวทอร์สให้รับช่วงงานต่อสักพัก จนกว่าข้าจะกลับไป แต่คงไม่เกินวัน"

"นั่นเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว น้องชายเจ้าคงรู้ดีหลังจากแยกกับเจ้า" ฟาลพ่นลมหายใจช้าๆด้วยอาดูร "พักให้หายเถอะ ฝ่าบาทไม่ได้ใจจืดใจดำจะลงโทษเจ้าซ้ำสองถ้าเจ้าป่วยเพราะเรื่องนี้" เงือกอาวุโสก้าวกลับไปลงในทะเลพร้อมกับแส้หางกระเบนที่ยังมีหยดเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ เขาเปลี่ยนขาให้กลายเป็นหาง ก่อนจะขยับว่ายดำลงไปยังเบื้องล่างอันเป็นที่อาศัยที่แท้จริงของชาวบาดาล ทิ้งให้เวสเทียร์นอนพักอยู่เบื้องบน

...ในบริเวณที่พักของราชาแห่งเซลทิค

มันเป็นบริเวณแอ่งน้ำตื้นที่ลึกเพียงพอให้ชาวเงือกทอดร่างพักผ่อนได้เอกเขนกบนพื้นทรายขาว ใต้ร่มเงาและความเขียวชอุ่มของต้นไม้ใบหญ้า บริเวณนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของราชาแห่งเซลทิคเท่านั้น แต่ก็ยังมีองครักษ์คนสนิทอีกคนหนึ่งที่ฝ่าบาทอนุญาตให้เขาเข้ามาพักได้เมื่อรู้สึกเจ็บป่วย เพราะในที่แห่งนี้มีบรรยากาศที่ผ่อนคลายสบายใจซึ่งส่งผลให้ชาวเงือกหายป่วยเร็วขึ้น

แต่ต่อให้บรรยากาศจะดีสักแค่ไหน แต่เวสเทียร์ก็คิดว่ามันคงไม่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่

ชายหนุ่มทอดถอนใจออกมายาวๆ ขณะเอนตัวคว่ำพิงโขดหินเพื่อไม่ให้แผ่นหลังที่ปวดแสบปวดร้อนสัมผัสกับเม็ดทรายละเอียดที่อาจทำให้อักเสบ ในวันนี้เขาคงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะว่ายน้ำ เพราะแผลเหล่านั้นพาดยาวลงไปถึงบั้นเอวและโคนหาง สร้างความเจ็บปวดมากเสียจนแค่จะหลับตานอนยังทำได้ยาก แต่หากผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ เวสเทียร์ก็คิดว่าเขาไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนอนป่วยเพียงเพราะถูกลงโทษเมื่อกระทำผิด

ในฐานะผู้นำตระกูลเพชฌฆาต การถูกลงทัณฑ์แล้วลุกไม่ขึ้นเช่นนี้ก็น่าอับอายมากพอแล้ว

เผ่าเพชฌฆาตคัดเลือกผู้นำจากการประลองต่อสู้ โดยคัดเลือกจากผู้ที่มีฝีมือดี และลักษณะดี ซึ่งเวสเทียร์นั้นมีพร้อม เขามีทั้งไหวพริบ ความเร็ว และพละกำลัง  ลักษณะโครงสร้างร่างกายที่โปร่งเพรียวทว่าแข็งแกร่ง อันเป็นความสมบูรณ์แบบขององครักษ์แห่งเผ่าเพชฌฆาต ดังนั้นเขาจึงได้รับตำแหน่งผู้นำเผ่าตั้งแต่มีอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น

แต่เวสเทียร์ในวัยยี่สิบแปดกลับไม่สามารถขยับกายได้เพียงเพราะถูกเฆี่ยนด้วยหางกระเบน

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยถูกลงโทษ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว เป็นไปได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาถูกลงโทษคือห้าปีที่แล้ว ก่อนสงครามระหว่างเงือกวาฬแห่งเซลทิคและพวกแวมไพร์ด้วยซ้ำ แต่หลังจากสงครามสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของชาวบาดาล ฝ่าบาทไคราห์นก็ไม่เคยลงโทษเขาอีกเลย ไม่ว่าจะในความผิดใดๆ

แต่ความผิดครั้งนี้คงยากที่จะให้อภัย

หากละเว้น ความน่าเชื่อถือของฝ่าบาทจะยิ่งลดลง... ดังนั้นเขาจึงเต็มใจรับโทษ

ผิวน้ำกระเพื่อมไหวอย่างนุ่มนวล บ่งบอกการมาถึงของเงือกอีกตนที่อาจจะเป็นนางกำนัลที่ฝ่าบาทไคราห์นส่งมา ราชาแห่งเซลทิคอาจดูเย็นชา เพียงเพราะเขาเป็นเงือกที่มีสีขาวเผือด แต่เวสเทียร์รู้ดีว่าจิตใจผู้นำของตนมีแต่ความเมตตา นางกำนัลอาจจะนำหญ้าทะเลซึ่งเป็นสมุนไพรช่วยสมานแผลมาให้เขา

...ซึ่งนั่นก็เพียงแล้ว

ทว่ากลับเป็นมือที่เยียบเย็นชื้นน้ำที่แตะวางบนบาดแผลด้านหลัง ทำให้องครักษ์หนุ่มมุ่นคิ้วด้วยความเจ็บแสบ แต่เมื่อรู้สึกได้ว่าผู้มาเยือนลากปลายนิ้วไปบนรอยเลือดเหล่านั้น และผิวเนื้อก็ขยับสมานกันเองอย่างเนิบช้า เวสเทียร์ก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายหาใช่นางกำนัลตามที่เขาเข้าใจ

ร่างโปร่งไม่แม้แต่จะมองกลับไปหาเจ้าของสัมผัสนั้น ด้วยรู้ฐานะของตัวเองดี "ฝ่าบาท..."

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 1 [20-02-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-02-2017 14:38:57
สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างระหว่างราชากับองครักษ์คู่นี้
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 1 [20-02-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 21-02-2017 18:52:44
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 2.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 22-02-2017 21:16:14
ตอนที่ 2.1

แวมไพร์ไม่ว่ายน้ำ แต่สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้พวกมันหันมาล่าเงือกเป็นอาหารนั่นคือ ชาวเงือกแห่งเซลทิคโปรดปรานการขึ้นบกเสียเหลือเกิน และกระทำกันเป็นเรื่องปกติจนในบางครั้งก็ไม่สามารถบอกได้ว่าในตลาดกลางเมืองที่พลุกพล่านนั้นมีชาวเงือกกี่ตนที่เดินปะปนอยู่กับมนุษย์ แต่สำหรับแวมไพร์ผู้มีดวงตาที่สามารถมองเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนัง จมูกที่สามารถแยกแยะกลิ่นของสัตว์ มนุษย์ และอมนุษย์ออกจากกันได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวบาดาลจะเป็นที่สนใจของแวมไพร์ผู้เดินเล่นอยู่ในเมืองเดียวกัน

แวมไพร์เพิ่งค้นพบว่าเลือดของชาวเงือกมีรสชาติดี... และการตามล่า เช่นฆ่าชาวเงือกก็ง่ายดายไม่ยุ่งยาก

ดังนั้นนี่จึงเป็นภัยของชาวเซลทิค

หลังจากฝ่าบาทแห่งเซลทิคพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับผีดูดเลือด และสูญเสียองค์ชายเดียร์ราฮาน น้องชายที่เขาหวังพึ่งพา นักรบแห่งบาดาลก็ล่าถอยกลับมาพร้อมกับความสิ้นหวัง แม้ว่าจะสามารถปกปิดที่ตั้งที่แท้จริงของอาณาจักรเอาไว้ได้ แต่ความล้มเหลวของพวกเขาก็เป็นสัญญาณเตือนว่าชีวิตของชาวเงือกแห่งเซลติคจะไม่ปลอดภัยสงบสุขเหมือนเดิมอีกต่อไป นี่จึงเป็นที่มาของคำสั่งเด็ดขาดของราชาไคราห์น...

'ห้ามชาวเซลทิคก้าวขึ้นจากน้ำในร่างมนุษย์นับแต่นี้'

เวสเทียร์ในเวลานั้นเป็นผู้นำเผ่าเพชฌฆาตมาได้ห้าปีแล้ว เขาต่อสู้สุดกำลังในสงคราม ปกป้องเชื้อพระวงศ์ด้วยชีวิตจนถูกทำร้ายจนเจ็บสาหัสเกือบเอาตัวไม่รอด แต่มันก็เทียบกันไม่ได้เลยกับการสูญเสียองค์ชายเดียร์ราฮาน เมื่อได้สติ องครักษ์คนสนิทก็ถามเวทอร์สผู้เป็นน้องชายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนรับรู้ถึงความสูญเสีย และอาการบาดเจ็บของราชา ร่างโปร่งก็รีบรุดไปเฝ้าผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง แม้จะรู้ว่าตัวเองมีสภาพร่างกายที่แย่กว่าก็ตาม

'ครั้งแรก' ที่พวกเขาสัมผัสต้องตัวกันคือเมื่อห้าปีที่แล้ว...

เวสเทียร์ถูกกัด อ่อนล้าจนแทบจะไม่มีแรงว่ายน้ำ พิษร้ายจากเขี้ยวแวมไพร์ลุกลามไปทั่วจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่ แต่อย่างไรเขาก็ต้องการพบเจ้าชีวิตอีกสักครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าอย่างน้อย ฝ่าบาทไคราห์นก็ยังปลอดภัย

"เจ้ามารบกวนการพักผ่อนของเขาเราหรือ เวสเทียร์" ฝ่าบาทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ที่แสดงออกถึงอารมณ์หรืออาการบาดเจ็บใดๆ ราชาผู้นำทอดกายอยู่ในแอ่นน้ำตื้นภายในสถานที่พักผ่อนส่วนตัวที่ได้ชื่อว่าสถานที่ที่สวยที่สุดบนเกาะถ้ำลอดแห่งนี้ "ควรจะห่วงชีวิตตัวเองเสียมากกว่าไม่ใช่รึ"

เวสเทียร์ค้อมหัวลงต่ำด้วยรู้สึกผิด "กระหม่อมสมควรได้รับโทษ... ในฐานที่ปล่อยให้..."

"เงียบเถอะ"

ราชาผู้นำตัดบท "ไม่ต้องตอกย้ำเราเรื่องเดีย์ราฮาน นี่ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น" ฝ่าบาทหลับตาลง พยายามอดกลั้นความโศกเศร้าเอาไว้ และบังคับไม่ให้น้ำเสียงสั่นคลอนยามพูดถึงน้องชาย "เจ้าจะยังก้มหัวให้เราอีกไหม ราชาที่ปล่อยให้น้องชายต้องมาตายแทนแบบนี้ ซ้ำยังไม่สามารถนำร่างกลับมาได้อีกด้วย" ความเจ็บปวดของไคราห์นไม่ใช่แค่การสูญเสีย แต่เขากลับไม่สามารถนำร่างของเดียร์ราฮานกลับมาได้

"ไม่ว่าใครจะกล่าวสิ่งใด... ฝ่าบาทไคราห์นก็คือราชาของกระหม่อม"

เวสเทียร์หนักแน่น แม้ว่าน้ำเสียงของเขาเองจะแหบพร่า และเกือบสิ้นกำลังวังชาจากพิษของแวมไพร์ ร่างโปร่งเอนร่างลงกับผืนทรายตื้น ทำให้น้ำทะเลท่วมขึ้นมาถึงแผ่นอก ลมหายใจติดขัดทำให้เขาต้องจิกมือกับพื้น แต่ก็ยังก้มหัวอยู่เช่นนั้นเพื่อแสดงความเคารพต่อราชาแห่งทะเลเหนือ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา นั่นคือสัมผัสจากปลายนิ้วเย็นที่เวสเทียร์ไม่เคยคาดคิดว่าตนจะได้รับ

ฝ่าบาทไคราห์นสับสน สิ้นหวัง และโศกเศร้าเกินกว่าจะแยกแยะว่าสิ่งใดถูกต้องเหมาะสม เป็นครั้งแรกที่ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าชีวิต และเป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทไคราห์นได้พิจารณาใบหน้าของผู้นำองครักษ์ในปกครอง ได้มองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายซึ่งสะท้อนเงาของเขาเอง มุมปากของคนตรงหน้าแตกช้ำ แต่เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส อาการบาดเจ็บก็ทุเลาลง และค่อยๆหายอย่างรวดเร็วจนเจ้าของร่างรู้สึกได้

นี่เองหรือ... อำนาจที่ทำให้ราชวงศ์แห่งเซลทิคไม่สามารถสัมผัสใครได้

"เจ้าถูกกัดหรือ..."

เวสเทียร์หลบลงมองต่ำเมื่อพบว่าตนกระทำการไม่สมควร แต่มือใหญ่ที่ลากไล้จากพวงแก้มลงไปที่ลำคอและลาดไหล่ก็ให้ความรู้สึกดีเกินกว่าจะปฏิเสธ ไม่เคยมีข้าทาสบริวารคนไหนเคยได้รับสัมผัสเช่นนี้จากเชื้อพระวงศ์มาก่อน และเมื่อองค์รักษ์หนุ่มหลับตาลง ร่างสูงก็ยื่นมืออีกข้างมารั้งเขาเข้าหาโดยไม่บอกจุดประสงค์

ฝ่าบาทประทับจูบลงบนรอยแผลที่ลำคอ สัมผัสปลายลิ้นอุ่นร้อนบนผิวเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บ รอยเขี้ยวของแวมไพร์ทำให้ราชาหนุ่มไม่สบอารมณ์ เขาขบเม้มบนแผลนั้นซ้ำช้าๆ จนร่างโปร่งสะดุ้งด้วยความเจ็บ แต่ก็ไร้เสียงโอดครวญ ด้วยรู้ว่าฝ่าบาทของตนกำลังช่วยเยียวยาบาดแผล กำลังวังชาที่สูญสิ้นค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา และความรู้สึกที่คล้ายจะสิ้นใจอยู่รอมร่อก็มลายหายไปราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน

รอยเขี้ยวของแวมไพร์จะไม่หายไป

แต่อย่างน้อย... ฝ่าบาทไคราห์นก็ปลอบโยนอย่างที่ไม่เคยทำกับผู้ใดมาก่อน

อำนาจของราชาแห่งเซลทิคสามารถรักษาบาดแผลได้เพียงแค่สัมผัสผ่านผิว แต่ในวันนั้น ฝ่าบาทไคราห์นกลับแตะต้องร่องรอยทั้งหมดด้วยริมฝีปาก ลากไล้ไปทั่วผิวกายสีเข้มที่เขาไม่เคยสัมผัส เวสเทียร์ไม่โอดครวญ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดหรือสุขสม เงือกหนุ่มเพียงมุ่นคิ้ว หรือผ่อนลมหายใจเท่านั้น

องครักษ์หนุ่มรู้ว่าวิ่งใดควรรึไม่ควร รู้จักการวางตัวว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้ฝ่าบาทพอใจ แม้มันจะเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องทำ ทว่าเวสเทียร์ก็ไม่เคยตระหนก เขายินดีรองรับทุกอารมณ์และความรู้สึกที่แม้แต่ตนเองก็ไม่เข้าใจ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถามถึงเหตุผล เพียงแค่ฝ่ามือใหญ่สัมผัสไล้ไปยังบั้นเอว เขาก็รู้ว่าควรจะคืนร่างเป็นมนุษย์ และเมื่อฝ่าบาทประคองเขาขึ้นเหนือร่าง องครักษ์ก็ขยับกายขึ้นเพื่อจะครอบครอง

แต่เขาไม่เคยคิดว่าตนได้ครอบครองฝ่าบาทแห่งเซลทิค

มันเป็นเพียงการตอบสนอง และรองรับความต้องการ

ครั้งแรกที่ไคราห์นได้แนบชิดกับอีกฝ่าย มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะลืม องครักษ์ไม่ปริปากถามหรือทักท้วง เขาขยับเคลื่อนสะโพกมนอย่างช้าๆ ไม่รู้ประสา เสียงครางที่ควรจะเล็ดรอดให้ได้ยินกลับถูกกดกลั้นเอาไว้ในลำคอ เหลือเพียงลมหายใจหอบถี่ด้วยแรงอารมณ์ที่พลุ่นพล่าน ผสานเป็นหนึ่งเดียวจนแยกไม่ออกว่าเป็นของผู้ใด ความสุขสมรู้สึกดีที่ไม่เคยได้รับบังคับให้ร่างสูงขยับกายแทรก กระแทกสวนขึ้นจากเบื้องล่าง มือใหญ่โอบกอดเอวคอดได้รูป กดลึกให้แนบเข้ามารับสัมผัสที่ทวีความดุดันด้วยตัณหา

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดกว่าทั้งคู่จะผละแยกออกจากกัน แต่หากพูดให้แน่ชัดก็คงเป็นองครักษ์หนุ่มเสียมากกว่าที่ลุกลี้ลุกรนละจากผู้เป็นนาย เวสเทียร์ไม่แม้แต่จะพักหอบ ชายหนุ่มขยับหนีห่าง และกลับไปอยู่ในร่างของเงือกอีกครั้งเพื่อจะเอนกายค้อมหัวลงต่ำอย่างที่เคยทำเมื่อต้องเข้าเฝ้าราชา ฝ่าบาทไม่เอ่ยขัดเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาเพียงเอนกายลงพิงหินด้านหลัง และขยับยกเหยียดขาเพื่อคืนร่างกลับเป็นเงือกและนอนในท่าทางที่ถนัด

"หากเจ้าไม่สบาย... เราอนุญาตให้เจ้ามาพักที่นี่ได้"

เนิ่นนาน... กว่าฝ่าบาทจะเลือกคำที่เหมาะสมเพื่อทำลายความเงียบได้ "ตอนนี้ก็เช่นกัน"

เวสเทียร์พยักหน้ารับ และถึงแม้จะขอบคุณในความเมตตา แต่เขาก็รู้สถานะของตนดีพอว่าไม่คู่ควรต่อสิ่งใดที่เป็นของฝ่าบาทไคราห์น ดังนั้นขอเพียงแค่ได้อยู่ที่นี่ก็คงจะดีเกินพอ "กระหม่อมไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ" เมื่อครู่เขาอาจคิดจะมาเข้าเฝ้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจ แต่ในตอนนี้เวสเทียร์คิดว่าเขาอาจจะมีชีวิตต่อไปอีกยาวนานเพื่อรับใช้คนตรงหน้า

ฝ่าบาทแห่งเซลทิคไม่กล่าวอะไรตอบ ได้แต่มององครักษ์คนสนิทของตนด้วยสายตาครุ่นคิด

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนสนิท... แต่ไคราห์นเพิ่งได้พิจารณาอีกฝ่ายใกล้ๆ ก็ในวันนี้เอง

--------------------------------------------------


ม... ไม่ได้เขียนเรทนาน... เขิล...
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 2.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 25-02-2017 18:04:41
ตอนที่ 2.2


ฝ่าบาทไคราห์นได้ขึ้นครองบัลลังก์เมื่อมีอายุสิบแปดปี หลังจากราชาองค์ก่อนผู้เป็นบิดาตัดสินใจสละราชบัลลังก์เพื่อสยบเรื่องร่ำลือต่างๆ นานาอันไม่ประสงค์ดี สืบเนื่องมาจากความ 'เจ็บป่วย' ที่พลังอำนาจของราชาเงือกไม่สามารถแก้ไขได้ นั่นคือการมีสีผิวที่ขาวโพลนเผือดซีด และเส้นผมสีทองขาวสว่างแตกต่างจากเชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคทั้งหมดทั้งปวง

นี่เป็น 'อาการป่วย' ชนิดหนึ่งที่ทำให้ชาวเมืองคลางแคลงใจ

...เชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคจะไม่เจ็บป่วย อีกทั้งมีพลังในการเยียวยารักษาได้เพียงแค่สัมผัส

แต่ไคราห์นกลับเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ 'ป่วย' ตั้งแต่กำเนิดอีกทั้งยังไม่มีทางรักษา เขาไม่สามารถทนต่อแสงอาทิตย์แรงกล้าเบื้องบนผิวน้ำได้ เมื่อสัมผัสกับแสงสว่างโดยตรง ผิวพรรณของฝ่าบาทจะเกิดอาการแพ้ และปรากฎรอยแดงในเวลาต่อมา ทว่าเป็นเวลาชั่วครู่เท่านั้น อีกทั้งดวงตาก็ไม่สามารถสู้แสงได้เป็นเวลานานเช่นกัน แต่กลับสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในความมืดและเวลากลางคืน ข่าวลือหนึ่งที่หนาหูในหมู่ประชาชนนั่นคือความเป็นไปได้ว่าฝ่าบาทไคราห์นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าเงือกน้ำลึกในทะเลใต้

ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาอาจไม่ใช่โอรสที่แท้จริงของราชาแห่งเซลทิค

ข่าวลือนี้ทำให้พระชายาเอกผู้เป็นมารดาของไคราห์นคิดสั้นหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่ามันจะไม่เคยทำให้ราชาแห่งเซลทิคคลางแคลงใจในตัวพระนางเลยก็ตาม ดังนั้นเพื่อเป็นการเหนี่ยวรั้งพระชายาไม่ให้ไปจากเซลทิค ไคราห์นจึงต้องขึ้นครองบัลลังก์แม้จะยังไม่มีความพร้อมใดๆ

แต่เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาได้สิบเจ็ดปีแล้ว...

ทว่านี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราชาแห่งเซลทิคตัดสินใจไม่เสกสมรสกับหญิงใดด้วยเกรงว่าตนจะไม่สามารถมีบุตรได้ เนื่องจากอาการป่วยที่แปลกประหลาดนี้ และแต่งตั้งองค์ชายเดียร์ราฮานผู้เป็นน้องขึ้นเป็นรัชทายาทในสองปีต่อมา แต่เพียงแค่ห้าปีหลังจากนั้น... อาณาจักรเซลทิคก็สูญเสียรัชทายาทของพวกเขาไป

เวสเทียร์ได้รับตำแหน่งผู้นำเผ่าเพชฌฆาตในวันเดียวกันกับพิธีแต่งตั้งองค์ชายเดียร์ราฮานขึ้นเป็นรัชทายาท ดังนั้นไคราห์นจึงไม่อาจจดจำใบหน้าของเขาได้ในวันนั้น อีกทั้งยังลืมคำสาบานขององครักษ์คนสนิทอีกด้วย แม้ว่ามันจะเป็นคำสาบานที่ทรงพลังที่สุดนับตั้งแต่เผ่าเพชฌฆาตสัญญาจะภักดีต่อกษัตริย์แห่งทะเลเหนือ

'กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต ...แก่ฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น'

คำสาบานของเวสเทียร์ไม่ได้มีต่อราชวงศ์เซลทิค แต่เขาสาบานต่อฝ่าบาทไคราห์น ซึ่งนั่นหมายความว่าหากมีอันตรายใดเกิดขึ้น เวสเทียร์จะสละตัวเองเพื่อราชาของเขาโดยไม่ลังเล และหากสิ้นแล้วซึ่งราชาองค์นี้ เขาเองก็จะตายตกไปตามกัน ซึ่งคำสาบานนั้นไม่ได้มากมายเกินความจริงเลย

ผมของเวสเทียร์มีสีดำขลับและหยักเป็นลอนด์คลื่นเล็กน้อย รับกับผิวกายสีเข้มที่ปรากฎลวดลายคล้ายรอยสักที่มีแต่กำเนิดอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าเพชฌฆาต รูปร่างลักษณะสง่างามแข็งแกร่งสมเป็นบุรุษผู้นำ ด้วยปัจจัยพื้นฐานเพียงเท่านี้ เวสเทียร์ก็เป็นที่หมายปองของสตรีครึ่งค่อนอาณาจักรได้อย่างไม่ยากเย็น

ในบางครั้ง ฝ่าบาทไคราห์นก็คิดว่าตนเห็นแก่ตัวมากเกินไปที่ผูกมัดอีกฝ่ายเอาไว้

แต่นับตั้งแต่ 'ครั้งแรก' นั้น ก็เป็นเวลาห้าปีมาแล้วที่พวกเขามีความสัมพันธ์เช่นนี้ โดยที่ไม่เคยเอ่ยถามหรือจำกัดความสิ่งที่เกิดขึ้น เชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคไม่ควรแตะต้องตัวใคร และไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้มองสบตาราชาแห่งทะเลเหนือ มันจึงอาจเป็นอารมณ์ความต้องการเพียงชั่ววูบในครั้งแรก แต่ไม่ว่าจะเป็นคราใดในครั้งต่อมา การสัมผัสแตะต้องก็กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้นำองครักษ์ เขาไม่อาจเอื้อมโอบกอดฝ่าบาท ไม่หาญกล้าที่จะเป็นฝ่ายจับจ้อง แต่เป็นฝ่าบาทเองที่ชี้นำ ปลุกเร้า และเฝ้ามองเขาด้วยดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกราวกับก้นมหาสมุทร

ครั้งนี้ก็เช่นกัน... ที่ราชาเซลทิคไม่กล่าวอะไรให้มากเกินความจำเป็น

อีกฝ่ายลากนิ้วไปตามรอยแผลเนิบช้าและเยือกเย็น "ฝ่าบาท..." เวสเทียร์เอ่ยเสียงเบา โดยไม่หันไปหาคู่สนทนา "กระหม่อมสมควรได้รับโทษ โปรดละทิ้งแผลเป็นเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ..." ไคราห์นเดาะลิ้นเบาเป็นสัญญาณให้คนตรงหน้าเงียบปากลงเสีย เขายังคงลากมือไปบนแผ่นหลังนั้น จนร่องรอยบาดเจ็บทั้งหมดเลือนหายไปกับตา

"แผลเดียวที่เราอนุญาตให้ปรากฎบนผิวของเจ้า... คือรอยเขี้ยวเมื่อห้าปีที่แล้ว"

รอยเขี้ยวของแวมไพร์บนลำคอที่แม้แต่อำนาจของเชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคก็ไม่สามารถลบล้างได้ แม้จะหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้เห็น แต่นั่นก็เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับไคราห์น "เตือนใจว่าเราเกือบจะเสียเจ้าไป..." คำพูดของราชาทำให้คนฟังตื้นตัน แม้จะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันเลยก็ตาม

เขาไม่เข้าใจ... หรือเขาปฏิเสธที่จะเข้าใจกันหนอ

แม้จะอยากถาม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่หัวหน้าองครักษ์ควรเอ่ย เวสเทียร์รู้สถานะของตัวเองดีเสมอมา และตั้งใจว่าจะยึดมั่นในอุดมการณ์เดิมของตนเองตลอดไป ไม่ว่าฝ่าบาทแห่งเซลทิคจะคิดหรือทำอะไรก็ตาม "กระหม่อมไม่มีวันละทิ้งฝ่าบาท..." ราชาเซลทิคทอดมองคนตรงหน้าสักพัก ก่อนจะยกมือขึ้นปัดผมยาวเปียกชื้นออกให้พ้นทาง เวสเทียร์รู้จังหวะและความต้องการของเขาเสมอ ผู้นำองครักษ์หลับตาลง เอนเอียงใบหน้าเพื่อเผยลำคอยาวระหงให้ปรากฎแก่สายตา ปล่อยให้ร่างสูงโน้มตัวแนบริมฝีปากกับรอยแผลจางๆ ที่เขาไม่สามารถลบมันออกไปได้

มันอาจจะเป็นความจริงที่ต้องยอมรับ...

ว่าท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่อำนาจของราชาเงือกก็ไม่อาจสู้แวมไพร์

"อื้อ...!" ราชาแห่งเซลทิคกัดซ้ำลงไปบนรอยแผลราวกับต้องการลบเลือนกลบเกลื่อนสิ่งที่เป็นอยู่ จนร่างรองรับขยับสะดุ้งเกร็งด้วยความรู้สึกเจ็บ "ฝ... ฝ่าบาท..." น้ำเสียงของเวสเทียร์สั่นเครือ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังหวาดกลัว

ช่างเข้าใจยั่วเสียจริง...

เรือนร่างตรงหน้าไม่ได้สวยงามสะโอดสะองเช่นสตรี ไม่ได้ปากหวานช่างเอาอกเอาใจอย่างเหล่านางกำนัล แต่กลับมีบางอย่างที่แสนดึงดูด ทั้งการหลบหน้า หลับตาหนีเพื่อเก็บซ่อนอารมณ์ปรารถนาของตนเอาไว้  ทว่ากลับแอ่นกายบิดเร่าเมื่อเขาลากไล้ฝ่ามือไปบนเรียวขา กอบกุมรูดรั้งเพื่อปลุกปั่นกามตัณหาให้ปั่นป่วน ร่างรองรับอิงหน้าผากกับมือที่เหนี่ยวรั้งพิงร่างบนก้อนหินเบื้องหน้า พยุงกายเอาไว้ในท่าคลานเข่า พลางแอ่นยกสะโพกมนขึ้นตอบสนองอย่างเผลอไผล ให้แก่นกายขึงขังขยับแทรกกดกอดและถอดถอนรุกรานอย่างดุดัน

เวสเทียร์ไม่เคยครวญคราง มีเพียงลมหายใจถี่กระชั้นเจียนคลั่งเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความสุขสม

ซึ่งนั่นคงนับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ฝ่าบาทพอใจ

ริมฝีปากอุ่นแนบจูบบนแผ่นหลังเปลือย ราวกับต้องการย้ำให้แน่ใจว่าไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือให้ระคายสายตา พลางเคลื่อนฝ่ามือลากไล้ไปตามกล้ามเนื้อส่วนท้องของร่างรองรับ ปลุกปั่น ผลักดันให้แรงอารมณ์ถ่าโถม ลุกโชนขึ้นราวกับเพลิงที่แผดเผา จนไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป

องครักษ์หนุ่มเพียงกำหมัด ขยับเกร็งทั่วร่าง ก่อนจะทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

ฝ่าบาทแห่งเซลทิคยังไม่ละจาก เขาวางมือบนก้อนหินเบื้องหน้า ขณะผ่อนลมหายใจหนักหน่วง ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมององครักษ์คนสนิท และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทรดลงพื้นผืนทรายด้านล่าง ราชาหนุ่มก็เอื้อมมือไปรองบั้นเอวตรงหน้าเอาไว้ "ทิ้งตัวลงไปแบบนั้น ระวังจะสำลักน้ำ"

คนพูดขยับถอดถอน... และในทันทีที่ทำเช่นนั้น เวสเทียร์ก็พยายามขยับร่างให้พ้นทางผู้เป็นนาย

"ขออภัยฝ่าบาท..." เวสเทียร์เอนร่างลงพักในส่วนที่ตื้นกว่าเพื่อไม่ให้ตัวเองจม ทว่ายังไม่คืนร่างกลับเป็นเงือกดังเดิม "กระหม่อมไม่เป็นอะไร" ไคราห์นไม่เคยเชื่อคำพูดนั้นนับตั้งแต่คนตรงหน้าพูดวันละเจ็ดรอบ แต่เขารู้นิสัยของเวสเทียร์ดี จึงเปล่าประโยชน์ที่จะกล่าวตักเตือนเช่นกัน ไคราห์นเอนกายลงบ้างและคืนร่างกลับเป็นเงือก ก่อนจะยกปลายหางขนาดใหญ่ขึ้นวางบนแท่นที่พัก

"หากเจ้ากล่าวว่า 'เป็นอะไร' ขึ้นมา เราเกรงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ"

ในหลายๆ ครั้ง ราชาแห่งเซลทิคก็มีอารมณ์ขันกึ่งประชดแดกดันด้วยใบหน้าเรียบเฉย "เราจะมอบหมายหน้าที่ดูแลอาโกรนาห์ให้เวทอร์สรับผิดชอบแทนนับแต่นี้ น้องชายของเจ้าคงไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาด ส่วนเจ้า..." เวสเทียร์กลั้นใจทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น และดูเหมือนว่าเสียงกลั้นใจของเขาจะดังเกินความจำเป็นจนราชาแห่งเซลทิคเหลือบมอง

"เจ้าคัดค้านรึ..."

"กระหม่อมมิกล้าขอรับ" และนี่ก็เป็นคำตอบหนึ่งที่ไคราห์นคิดว่า หากวันใดเวสเทียร์กล่าวเป็นอื่น คงจะเป็นวันที่เขาต้องพิจารณาตัวเอง "กระหม่อมมีหน้าที่รับใช้ฝ่าบาท" ดูเหมือนว่านี่เป็นคำพูดที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติราวกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาติญาณของเวสเทียร์ไปเสียแล้ว ดังนั้นไคราห์นจึงไม่คิดว่าการนั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายเลย

"รวมทั้งเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า"

ราชามองต่ำลงอย่างพิจารณา เขาไม่เคยหันหน้ามองผู้ใดตรงๆ เช่นเดียวกับเวสเทียร์ที่ไม่เงยขึ้นสบตาผู้เป็นนาย "นับเป็นเรื่องรับใช้ด้วยใช่ไหม" องครักษ์หนุ่มไม่ถามซ้ำว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องใด และตัดความรู้สึกนึกคิดที่อยากจะเอ่ยปากถามสักครั้งในชีวิตว่าฝ่าบาทคิดเห็นเป็นอย่างไร ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตค้อมหัวลงต่ำพร้อมพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม

"ขอรับ..."

...ไคราห์นไม่คิดว่าเขาจะได้รับคำตอบที่จริงใจจากเวสเทียร์อยู่แล้ว

แต่สิ่งหนึ่งที่แว่วมาเข้าหูของราชาทะเลเหนือก็ทำให้เขาต้องหันไปมองยังทิศทะเลเปิด กระแสจิตบางอย่างส่งผ่านมาถึงตัวเขาและทำให้ราชาต้องขยับตัวยืดร่างขึ้น "วาฬ..." ร่างสูงพึมพำ แต่ครั้นจะสั่งให้เวสเทียร์ไปจัดการเรื่องนี้ก็เห็นทีว่าอีกฝ่ายคงจะยังขยับตัวไม่ได้ แต่เพียงแค่เขายกปลายหางขึ้น องครักษ์ข้างกายก็ขยับตัวเสมือนต้องการจะติดตาม

"ฝ่าบาท..." อีกฝ่ายกลับคืนเป็นเงือก แม้บั้นเอวจะยังปวดระบม

ไคราห์นพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะยื่นมือลงไปในน้ำ "ฟาล..." น้ำเสียงของฝ่าบาทมีหลากหลายโทน และคำที่เอ่ยเรียกข้ารับใช้ก็เป็นเสียงที่กังวานและทรงอำนาจที่สุดของผู้นำอาณาจักร แน่นอนว่าคนสนิทของเขาวนเวียนอยู่ไม่ห่าง ฟาลจึงว่ายมายังที่พักได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกเรียก

"ส่งคนออกไปดูซิ"

ทว่าฟาลกลับค้อมหัวลงก่อนจะกล่าวรายงาน "มีกลุ่มนักล่าต้อนพวกวาฬเข้ามาในเขตอาณาจักรขอรับ" ดวงตาคมฉายแววดุดันขึ้นเมื่อคนสนิทพูดจบ และดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เสียด้วย "กระหม่อมส่งพวกเพชฌฆาตออกไปจัดการแล้ว"

การล่าวาฬเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับช่วงเวลานี้ เนื่องจากฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามาทำให้อาหารในทะเลไม่เพียงพอที่จะให้ความอบอุ่นกับชาวบาดาลได้ พวกเขาจึงต้องพึ่งพาเนื้อสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งคือเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล และหากชาวเงือกเผ่าอื่นไม่ฆ่าปลาฉันใด ชาวเงือกแห่งเซลทิคก็ไม่ล่าวาฬฉันนั้น พวกเขาเคารพการมีชีวิตอยู่ของกันและกัน ดังนั้น ชาวเซลทิคจึงไม่เดือดร้อนกับการล่าวาฬของชาวเงือกเผ่าอื่น

แต่จะล่วงล้ำเข้ามาในเขตอาณาจักรเซลทิคไม่ได้

"เวสเทียร์อยู่ที่นี่ เราจะลงไปเอง" ราชาทะเลเหนือขยับร่างลงจากแท่นนอน

ฟาลมุ่นคิ้วใส่เวสเทียร์เล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขยับตัว เป็นการเอ็ดให้เขาพักอยู่ที่นี่ตามคำสั่งราชา ไคราห์นเผ่นร่างลงไปในทะเล และรีบร้อนออกไปจากบริเวณนั้น "พวกไหนกัน" คนสนิทของเขาติดตามกระชั้นชิด แต่ก็ไม่อาจว่ายนำได้

"...มารินาการ์ดขอรับ"

--------------------------------------------------


เชื่อว่า ถ้าใครอ่านเรื่องเงือกๆก่อนหน้าเรื่องนี้มาก่อน... จะต้องอุทานในใจว่า "มุงอีกแล้วเหรอ มารินาการ์ด"

ฝ่าบาทไคราห์นเป็นเงือก... วาฬหลังค่อมเผือก (Albino Humpback Whale) คือคนอื่นๆในราชวงศ์ก็เป็นเงือกวาฬหลังค่อมปกติ ผมดำ หางดำ (เทาๆดำๆ) แต่ฝ่าบาทไคราห์นป่วยเป็นอัลบิโนซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีนส์ (แต่สำหรับชาวเงือกก็เม้าท์กันไปว่าแม่มีชู้---) ปัจจุบันราชาแห่งเซลทิคองค์ก่อนสิ้นพระชนม์แล้ว แต่พระชายาเอกซึ่งเป็นแม่ของฝ่าบาทไคราห์นยังมีชีวิตอยู่ (แต่ไม่ได้พูดถึง)

(https://scontent.fbkk1-4.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/16681947_1252513778137702_2752633486582192550_n.jpg?oh=391de3f1746b057e3337d46589be963b&oe=59271F00)

นอกเหนือจากเรื่องวาฬหลังค่อมเผือกแล้ว...!!

เราได้รับหลังไมค์ว่าทุกคนจินตนาการถ้ำลอดของฝ่าบาทไม่ออก!!! นี่ข่ะ!!! นี่ถือถ้ำลอดของฝ่าบาทที่เอาไว้นอนเล่น... พักผ่อน... คือฝ่าบาทเป็นพวกที่ป่วยแล้วหายเองได้เพราะพลังในสายเลือดแก (ที่เอานิ้วแตะๆแล้วหายก็เป็นพลังด้วยเหมือนกัน << ปกติไม่ควรแตะพร่ำเพรื่อ << แต่นี่ทั้งแตะทั้งกอดทั้งจูบ << แต่ไม่เคยจูบปากนะ << ฟาลรู้เรื่องนี้ << เรารู้ว่าพวกนายต้องถาม 555)

ถ้ำอันนี้เรายืมภาพมาจาก Melissani Cave ในประเทศกรีซ (กรี้ดดด)  แม้เรื่องจะเกิดในไอร์แลนด์ก็ตาม...

(https://scontent.fbkk1-4.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/16997990_1254578267931253_7599436889419988401_n.jpg?oh=c52358d3589f39be132033856407cde1&oe=593565C5)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 2.2 [25-02-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 26-02-2017 12:50:04
ผมชอบการวางโครงเรื่องแฟนตาซีของคุณ khaosap นะครับ เพราะว่าคุณวางโครงสร้างของสังคมสัตว์ในตำนานได้ดี ประเทศหรืออาณาจักรของสิ่งมีชีวิตต่างๆมีรูปแบบวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีการแบ่งชนชั้นการปกครอง มีโครงสร้างที่ละเอียด ทำให้ดูเหมือนเป็นสังคมที่จับต้องได้จริงๆ และยังมีการเชื่อมโยงของแต่ละเผ่าพันธุ์ในด้านต่างๆที่หลากหลาย ถึงแม้ว่าคู่หลักคือ เงือกกับเงือก แต่ว่าก็มีการปูพื้นเรื่องมาได้ดี มีการเท้าความไปถึงเรื่องของแวมไพร์ มีการบอกเล่าประวัติศาสตร์ และบุคคลใกล้ชิดที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ และที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องนี้คือเรื่องของลำดับพลัง คุณข้าวเขียนไว้ชัดเจนว่าพลังของเงือกต่ำกว่าแวมไพร์ และพลังของแวมไพร์ก็อาจต่ำกว่าหรือสูสีกับมนุษย์หมาป่า อันนี้มันบ่งบอกถึงระดับพลังที่สื่อถึงสเกลเรื่องได้เป็นอย่างดีครับ ผมชอบตรงนี้ เพราะมันทำให้บางเผ่าพันธุ์ไม่ overpower เกินไป และมันเป็นต้นเหตุชนวนที่จะสร้างพล็อตต่อไปได้อีก มันเพิ่มน้ำหนักและมิติให้กับตัวเนื้อเรื่อง ดีครับอันนี้

แต่ก็มีที่ผมรู้สึกแปลกๆนะ (อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว) คือผมรู้สึกว่าการจับคู่ของคุณข้าวกับผมอาจจะเคมีไม่ตรงกันสักเท่าไหร่ครับ (ฮา) อย่างเรื่องแอชทารอธ คือเซนทอร์ในมุมมองผมที่อ่านปกรณัมมา มันค่อนข้างขัดๆกับความเป็นเซนทอร์ในเรื่องนั้นน่ะครับ แต่เรื่องสังคมและรายละเอียดของประเทศแห่งเซนทอร์นี่สร้างมาได้ดีมากครับ ยอมรับในฝีมือเลย

ส่วนตัว ผมอิงปกรณัมกรีกกับเคลติกเป็นหลักน่ะครับ เซนทอร์ในความรู้สึกผมเลยจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีความรักได้ง่ายขนาดนั้น เขาจะโฟกัสกับความรู้และวิชาการมากกว่า ถ้าห้าวหาญก็คือแบ่งเป็นสองประเภทคือพวกเซนทอร์บ้าเลือดกับเซนทอร์แบบอัศวินนาร์เนีย ดังนั้นคู่ มนุษย์ x เซนทอร์ ผมเลยอ่านแล้วรู้สึกมันตงิดๆแบบเคมีไม่ตรงเท่าไหร่ แต่อ่านแล้วโครงสร้างเนื้อเรื่องมีมิติใช้ได้เลยครับ

พอมาถึงเรื่องนี้ ผมชอบตอนทอล์คของคุณข้าวนะครับ คือมันอธิบายหลายอย่างได้ดี อย่างเรื่องการผ่าเหล่าของไคราห์นที่มันเป็นไปได้ แม้ว่าพระบิดาจะไม่ได้มีชู้ แล้วก็มีการยกตัวอย่างสิ่งที่อาจจะจินตนาการไม่ออกอย่างถ้ำลอด ผมชอบตรงนี้นะครับ มันแสดงว่าคุณให้น้ำหนักและความสำคัญกับโครงสร้างเนื้อเรื่องได้ดี ก็ติดตามครับผม แม้ว่าคู่ เงือกกับเงือก สำหรับผมมันก็ยังทะแม่งๆอยู่ดีนั่นแหละนะ (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 2.2 [25-02-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 26-02-2017 16:43:08
ผมชอบการวางโครงเรื่องแฟนตาซีของคุณ khaosap นะครับ เพราะว่าคุณวางโครงสร้างของสังคมสัตว์ในตำนานได้ดี ประเทศหรืออาณาจักรของสิ่งมีชีวิตต่างๆมีรูปแบบวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีการแบ่งชนชั้นการปกครอง มีโครงสร้างที่ละเอียด ทำให้ดูเหมือนเป็นสังคมที่จับต้องได้จริงๆ และยังมีการเชื่อมโยงของแต่ละเผ่าพันธุ์ในด้านต่างๆที่หลากหลาย ถึงแม้ว่าคู่หลักคือ เงือกกับเงือก แต่ว่าก็มีการปูพื้นเรื่องมาได้ดี มีการเท้าความไปถึงเรื่องของแวมไพร์ มีการบอกเล่าประวัติศาสตร์ และบุคคลใกล้ชิดที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ และที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องนี้คือเรื่องของลำดับพลัง คุณข้าวเขียนไว้ชัดเจนว่าพลังของเงือกต่ำกว่าแวมไพร์ และพลังของแวมไพร์ก็อาจต่ำกว่าหรือสูสีกับมนุษย์หมาป่า อันนี้มันบ่งบอกถึงระดับพลังที่สื่อถึงสเกลเรื่องได้เป็นอย่างดีครับ ผมชอบตรงนี้ เพราะมันทำให้บางเผ่าพันธุ์ไม่ overpower เกินไป และมันเป็นต้นเหตุชนวนที่จะสร้างพล็อตต่อไปได้อีก มันเพิ่มน้ำหนักและมิติให้กับตัวเนื้อเรื่อง ดีครับอันนี้

แต่ก็มีที่ผมรู้สึกแปลกๆนะ (อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว) คือผมรู้สึกว่าการจับคู่ของคุณข้าวกับผมอาจจะเคมีไม่ตรงกันสักเท่าไหร่ครับ (ฮา) อย่างเรื่องแอชทารอธ คือเซนทอร์ในมุมมองผมที่อ่านปกรณัมมา มันค่อนข้างขัดๆกับความเป็นเซนทอร์ในเรื่องนั้นน่ะครับ แต่เรื่องสังคมและรายละเอียดของประเทศแห่งเซนทอร์นี่สร้างมาได้ดีมากครับ ยอมรับในฝีมือเลย

ส่วนตัว ผมอิงปกรณัมกรีกกับเคลติกเป็นหลักน่ะครับ เซนทอร์ในความรู้สึกผมเลยจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีความรักได้ง่ายขนาดนั้น เขาจะโฟกัสกับความรู้และวิชาการมากกว่า ถ้าห้าวหาญก็คือแบ่งเป็นสองประเภทคือพวกเซนทอร์บ้าเลือดกับเซนทอร์แบบอัศวินนาร์เนีย ดังนั้นคู่ มนุษย์ x เซนทอร์ ผมเลยอ่านแล้วรู้สึกมันตงิดๆแบบเคมีไม่ตรงเท่าไหร่ แต่อ่านแล้วโครงสร้างเนื้อเรื่องมีมิติใช้ได้เลยครับ

พอมาถึงเรื่องนี้ ผมชอบตอนทอล์คของคุณข้าวนะครับ คือมันอธิบายหลายอย่างได้ดี อย่างเรื่องการผ่าเหล่าของไคราห์นที่มันเป็นไปได้ แม้ว่าพระบิดาจะไม่ได้มีชู้ แล้วก็มีการยกตัวอย่างสิ่งที่อาจจะจินตนาการไม่ออกอย่างถ้ำลอด ผมชอบตรงนี้นะครับ มันแสดงว่าคุณให้น้ำหนักและความสำคัญกับโครงสร้างเนื้อเรื่องได้ดี ก็ติดตามครับผม แม้ว่าคู่ เงือกกับเงือก สำหรับผมมันก็ยังทะแม่งๆอยู่ดีนั่นแหละนะ (หัวเราะ)

กรี้ดดด... ดีใจที่ได้รับคอมเม้นท์ค่า  :hao6: :hao6: :hao6: (คืออีโมมันดูหื่นจัง)

บางทีก็เฟลๆอยู่บ้างเหมือนกันค่ะที่วางโครง+รีเสิร์ทข้อมูลเยอะมาก แต่เหมือนเคมีการจับคู่เรื่องจะไม่ตรงกะใครเขาเลย OTL แต่ต่อให้เป็นแบบนั้นก็ชอบวางแผนเรื่องเยอะๆอยู่ดี ฮ่าา จะพยายามต่อไปค่ะ (แต่ความเรียลบางอย่างก็หยวนๆปล่อยๆไปบ้าง << อันไหนเก็บได้ก็เก็บ แฮะๆ)

ตอนเขียนเซนทอร์นี่ก็คิดอยู่ว่าพฤติกรรมมันอ่อนไปรึเปล่า เทียบกะพวก... เอ่อ... ในตำนานอ่ะเน้อะ
แต่ก็อยากลองเปลี่ยนมุมมองดู ฮ่าาา... คืออยากรู้ว่าถ้าเขียนเซนทอร์ให้เป็นเคะ... มันจะโอเคไหม... แต่แน่นอนว่าไม่มีแนวปีนหลัง animal sex แน่ๆ (เรื่องนี้ก็เช่นกัน)

ตอนแรกพยายามจะเขียนเรื่องที่เขาดูดาวเก่ง (ถึงได้ชื่ออาณาจักรแอสทารอธ) แต่ตัวเราเองลงไปศึกษาเรื่องดาราศาสตร์หรือโหราศาสตร์แล้วคิดว่าไม่เข้าใจแน่ๆ ไม่อยากมั่ว OTL สุดท้ายเลยต้องยอมปล่อยให้เป็นยุคที่แบบ... เขาอาจจะทิ้งการดูดาวไปแล้วก็ได้--- หรือระบบโครงสร้างฝูง(อาณาจักร)ที่หาตัวที่แกร่งที่สุดมาเป็นหัวหน้า ไม่ใช่แบบราชวงศ์แนวๆสมมติเทพ (ของเงือกนี่พวกราชวงศ์เขามีพลังเหนือกว่าคนอื่นจริงๆ)

//ไม่รู้จะพูดอะไรอ่ะ ...ขอบคุณมากค่า ขอบคุณที่ติดตามและแสดงความคิดเห็นค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 3.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 28-03-2017 07:03:06
ตอนที่ 3.1

ฟาลเป็นคนหนึ่งที่รู้เรื่องราวทั้งหมด

หนึ่งในองครักษ์จากเผ่าเพชฌฆาตวัยสี่สิบสองปีรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดห้าปีที่ผ่านมา เขาแปลกใจนับตั้งแต่เวสเทียร์มีชีวิตรอดจากการต่อสู้ได้อย่างปาฏิหาริย์ทั้งที่ถูกแวมไพร์กัด อีกทั้งบาดแผลมากมายบนร่างกายนักรบหนุ่มก็เลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ต่อให้ผู้นำองครักษ์จะเป็นญาติสนิทของเขา แต่ฟาลก็ไม่แน่ใจว่าเขาสามารถถามเรื่องนี้ได้ตรงๆ หรือไม่

เพราะหากเป็นคำตอบที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ ผู้ที่รู้สึกอึดอัดใจจะเป็นตัวเวสเทียร์เอง

ฝ่าบาทไคราห์นเลือกจะเป็นกษัตริย์ที่ไร้ซึ่งชายา ด้วยเหตุผลว่าเขาแตกต่างจากเชื้อพระวงศ์คนอื่น จึงไม่ต้องการถ่ายทอดความอ่อนแอไปสู่ลูกหลาน และด้วยเหตุผลของการไร้ซึ่งชายานี้เองที่อาจทำให้ราชาหนุ่มหันมาหาคนใกล้ตัวแทน ฟาลไม่ได้รู้เรื่องนี้ตั้งแต่ 'ครั้งแรก' แต่การที่เวสเทียร์ซึ่งไม่เคยอยู่ในสายตาของฝ่าบาทถูกเรียกเข้าพบในถ้ำส่วนตัวเป็นเวลานาน จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาจะเกิดความสนใจ แต่ถึงกระนั้น เงือกหนุ่มก็ไม่จาบจ้วงเบื้องสูงจนถึงขั้นตามคนองครักษ์คนสนิทไป แต่เขาสังเกตได้จากอาการและปฏิกิริยาของทั้งคู่

เวสเทียร์ถูกเรียกพบเป็นการส่วนตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฝ่าบาทไคราห์นขึ้นครองบัลลังก์

ถ้ำที่ประทับส่วนตัวของฝ่าบาทเป็นเขตต้องห้ามสำหรับผู้ไม่ได้รับอนุญาต กระทั่งเชื้อพระวงศ์ก็ไม่สามารถรุกล้ำเข้าไปได้ แต่มันช่างน่าแปลกที่หลังจากเรียกองครักษ์คนสนิทเข้าพบแล้ว กลับเป็นราชาแห่งเซลทิคที่ลงมายังท้องสมุทรเบื้องล่างก่อนตามลำพัง

ฝ่าบาทไคราห์นไม่เคยกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ฟาลคาดเดาด้วยตนเอง

...เพราะเขาไม่มีสิทธิ์ซักไซ้ไถ่ถามอะไรจากราชาทะเลเหนือ

"แม้เผ่าเพชฌฆาตได้สาบานว่าจะภักดีต่อราชวงศ์เซลทิค แต่หน้าที่นอกเหนือจากองค์รักษ์ที่คอยปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง" เวสเทียร์เคลื่อนไหวช้าลง ผิดวิสัยของผู้นำเผ่าที่มีความเร็วเป็นเลิศ อีกทั้งยังดูเหนื่อยล้าจนต้องนอนพักเป็นเวลานาน "องครักษ์ไม่มีหน้าที่รับใช้ในเรื่องส่วนตัว..."

เวสเทียร์บอกได้ว่าฟาลไม่สบอารมณ์ จากน้ำเสียงและวิธีการพูดของเขา

"ฝ่าบาทไร้ซึ่งชายา อีกทั้งยังไม่สามารถสัมผัสแตะต้องใครได้ตามธรรมเนียมของราชวงศ์ และไม่สามารถหันไปหา 'หญิงใดก็ได้' หากไม่คิดจะหยิบยื่นตำแหน่งชายาให้นาง" หัวหน้าองครักษ์กล่าว "หากฝ่าบาทต้องการข้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลแบบไหน ข้าก็ยินดี ข้ามีหน้าที่ต้องรับใช้... และข้าไม่เรียกร้องตำแหน่งชายา" เวสเทียร์ยืดตัวขึ้นช้าๆ แม้ว่ากายเบื้องล่างจะเจ็บแปลบ "เผ่าเพชฌฆาตสาบานจะภักดีต่อราชวงศ์แห่งเซลทิค และข้า... สาบานต่อฝ่าบาทไคราห์น"  ญาติสนิทส่ายหัวเบา ทว่าเคารพการตัดสินใจของผู้นำองครักษ์ เขาไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้าน สิ่งที่เวสเทียร์กล่าวมีเหตุผล และเหตุผลของเวสเทียร์ก็มีน้ำหนักพอ

เพียงแต่ฟาลไม่อาจเข้าใจถึงความต้องการของฝ่าบาท

เหตุผลใดที่ทำให้เขาเลือกเวสเทียร์ ผู้เปรียบเสมือนความภูมิใจของเผ่าเพชฌฆาต ทั้งที่อีกฝ่ายไม่เคยอยู่ในสายตา ฟาลกลัดกลุ้มถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะองครักษ์ระดับสูงสมควรมีคู่ครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องครักษ์ที่เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมืออย่างเวสเทียร์ แต่อีกฝ่ายจะตกลงกับหญิงใดได้อย่างไรหากยังต้องรับใช้ฝ่าบาทแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟาลรู้สึกว่าฝ่าบาทของตนช่างใจร้ายใจดำ และดูถูกดูแคลนความภักดีที่เผ่าเพชฌฆาตมีให้เหลือเกิน

แต่เมื่อชาวบาดาลสัญญาสาบานต่อสิ่งใดแล้ว พวกเขาก็ไม่เคยกลับคำ

"เช่นนั้น ก็ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุดก็แล้วกัน" ฟาลว่า "แต่ขอให้แน่ใจว่าเจ้าเต็มใจจริงๆ"

"ข้าเต็มใจ..."

--------------------------------------------------

ชาวเงือกจะจะล่าวาฬในฤดูหนาวเท่านั้น

เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลง การอาศัยอาหารจำพวกแพลงตอนที่ลอยมากับกระแสน้ำจึงไม่เพียงพออีกต่อไป ชาวบาดาลต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อให้ตนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในน้ำเย็นจัดได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหันไปหาอาหารที่หนักท้องและให้พลังงานมากกว่าเช่นเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล ทั้งแมวน้ำ สิงโตทะเล โลมา และวาฬ

ยกเว้นชาวเงือกแห่งเซลทิคผู้สามารถอดทนต่อความหนาวเย็นในท้องทะเลได้โดยไม่ต้องอาศัยพลังงานหรืออาหารอื่นใด

วาฬที่กำลังถูกไล่ตามเสียงร้องต่ำๆ อย่างตื่นตระหนก สัตว์ยักษ์หายใจถี่ครั้งยิ่งขึ้น ขณะเผ่นขึ้นไปทางเหนือหมายสลัดการติดตามจากกลุ่มนักล่าแห่งมารินาการ์ด หางขนาดใหญ่สะบัดฟาดผิวน้ำหมายจะให้ดังไปถึงหูของชาวเผ่าวาฬแห่งเซลทิค ด้วยรู้ว่ามันจะได้รับการคุ้มครองทันทีที่ผ่านเข้าไปในอาณาเขตทะเลเหนือ วิธีการล่าของชาวบาดาลไม่ซับซ้อนยุ่งยาก พวกเขาเพียงแค่ค้นหาเป้าหมาย และติดตามต้อนให้เหยื่อเผ่นหนีจนเหนื่อยอ่อน ก่อนจะใช้อาวุธคู่กายทำร้ายให้สิ้นลม

แต่การหนีของเหยื่อในครั้งนี้ดูจะเป็นการล่าถอยที่ฉลาดอยู่มาก

ด้วยครึ่งมัจฉาทุกคนล้วนรู้ดีกว่าอาณาเขตของเซลทิคเป็นเขตต้องห้ามในการล่าวาฬ แต่ก็ใช่ว่าวาฬจำนวนมากจะหันมาหลบซ่อนในบริเวณนี้ เนื่องจากชาวเซลทิคจะปกป้องการล่าจากครึ่งมัจฉาด้วยกันเท่านั้น แต่หากเป็นการล่าจากศัตรูตามธรรมชาติแล้ว พวกเขาก็จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ดังนั้นวาฬที่คิดจะหันหน้าไปพึ่งพาขอความช่วยเหลือจากเซลทิตจะต้องเลือกว่าจะยอมเสี่ยงหรือไม่ เนื่องจากอาณาจักรแห่งนี้อยู่ในเขตล่าอาหารของกลุ่มวาฬเพชฌฆาต

วาฬฟินตัวนี้เลือกจะหันหน้าไปหาเงือกทะเลเหนือ และหลังจากส่งเสียงซึ่งเป็นคลื่นความถี่ต่ำออกไปสักพัก ความหวังที่จะมีชีวิตรอดของมันก็ดูชัดเจนขึ้นมาเมื่อได้ยินสัญญาณตอบกลับ เสียงแหลมเล็กอันเป็นเอกลักษณ์ของวาฬเพชฌฆาตมักทำให้สิ่งมีชีวิตในทะเลตื่นตระหนกเสมอ ทว่าไม่ใช่ครั้งนี้ สัตว์ใหญ่กลั้นใจลึก และรีบเร่งความเร็วขึ้นแม้ว่าการกระทำนั้นจะทำให้มันแทบหมดแรงก็ตาม แต่กลุ่มเงาดำที่เริ่มปรากฎให้เห็นในสายตาก็ทำให้สัตว์ใหญ่รวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายเพื่อพุ่งตัวเข้าไปหาผู้มาถึง

"กันพวกพรานออกไป!"

เหตุผลที่เงือกวาฬเผ่าเพชฌฆาตเป็นเผ่าเดียวที่สามารถทำหน้าที่องครักษ์แห่งอาณาจักรเซลทิคได้ นั่นเพราะพวกเขาสามารถว่ายน้ำได้รวดเร็วยิ่งกว่าเงือกเผ่าใด จะแพ้ก็เสียแต่เงือกเผ่าฉลามซึ่งอาศัยอยู่ทางใต้เท่านั้น อีกทั้งยังสามารถสื่อสารกับวาฬเพชฌฆาตได้อีกด้วย วาฬที่ติดตามมาขยับกระจายตัวล้อมวาฬฟินเอาไว้เป็นการปกป้องตามคำสั่ง ขณะที่ครึ่งมัจฉาพุ่งตรงไปยังกลุ่มพรานผู้รุกรานที่เพิ่งตระหนักได้ว่าพวกเขาออกมาไกลจากอาณาจักรของตนมากเกินไป

"พวกเซลทิค!"

กลุ่มพรานร้องบอกเพื่อนพ้องและรีบว่ายมารวมกันเพื่อความปลอดภัย ด้วยรู้ว่าหากขัดขืนการจับกุมนี้ องครักษ์แห่งเซลทิคก็มีสิทธิ์ที่จะทำร้ายพวกเขาจนถึงแก่ชีวิตได้ทันที "รวมกลุ่มกันเอาไว้!" นักล่าจากมารินาการ์ดมีจำนวนสิบสี่คน แต่ละคนมีอาวุธครบมือ และค่อนข้างชำนาญการล่าวาฬเป็นพิเศษ แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับเผ่าเพชฌฆาตแห่งทะเลเหนือที่มีโครงสร้างร่างกายที่สูงใหญ่กว่า มีกล้ามเนื้อที่กำยำยิ่งกว่า ตลอดจนตัวใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด

ผู้นำกลุ่มนักล่าแห่งมารินาการ์ดคือ เกลเลส และเขาก็รู้ซึ้งถึงความผิดอันใหญ่หลวงของตน แต่สิ่งที่ผู้นำควรกระทำในตอนนี้คือดูแลกลุ่มพรานซึ่งอยู่ใต้การปกครองของเขาให้ปลอดภัย เกลเลสนับจำนวนคนด้วยตาหาง และขยับหางพาตัวเองว่ายออกมาด้านหน้าเพื่อแสดงออกถึงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำ ต่อหน้าผู้นำองครักษ์เผ่าเพชฌฆาตและวาฬนักล่าตัวเขื่องที่ติดตามมาด้วย "ข้าเกลเลส ขออภัย... เผ่าวาฬแห่งทะเลเหนือ"

วาฬเพชฌฆาตเบื้องหน้าอ้าปากอวดฟันคมที่เรียงรายของมันพร้อมกับเปล่งเสียงร้องแหลมสูงราวกับล้อเลียน

"เงียบเถอะ" เวทอร์สหันไปเอ็ดสัตว์ยักษ์ข้างกาย และหันกลับมายังผู้รุกราน "เจ้ารุกรานอาณาเขตของเซลทิค อีกทั้งยังไล่ล่าวาฬอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการตัดสินใจของข้า พวกเจ้าจะต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทแห่งเซลทิคเพื่อรับโทษ" แม้เกลเลสจะเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งของกลุ่มพรานแห่งมารินาการ์ด ทว่าเวทอร์สกลับมีร่างกายที่สูงใหญ่กว่ามาก และด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง ทำให้กลุ่มผู้บุกรุกรู้สึกว่าพวกตนตัวเล็กเท่าปลาการ์ตูนก็ไม่ปาน

องครักษ์หนุ่มเหลือบมองคนของตนเบื้องหลังด้วยหางตา วาฬฟินที่เคยเป็นเหยื่อยังคงผ่อนลมหายใจถี่ครั้ง และลอยตัวนิ่งๆอยู่ใกล้ผิวน้ำเพื่อให้จิตใจที่ตื่นกลัวสงบลง "ชาวเซลติคเข้าใจเงือกเผ่าอื่นเรื่องความจำเป็นในการล่าวาฬในฤดูหนาว แต่หากวาฬขอความช่วยเหลือเราในอาณาเขตของเรา ข้าก็จำเป็นต้องขัดขวางการล่าของเจ้า"

เกลเลสค้อมหัวลงเป็นการยอมรับในความผิด "ข้ายินดีรับโทษจากราชาทะเลเหนือ"

"เช่นนั้นก็เตรียมตัวได้เลย" เวทอร์สหันไปหาสัตว์ใหญ่ซึ่งเปลี่ยนวิธีการสื่อสารเป็นการทำเสียง 'คลิก' ถี่ๆ แทนเสมือนกับการบ่นพึมพำกับตัวเอง "ส่งข่าวกลับไปที่เซลทิค บอกท่านฟาลว่าข้าจะนำผู้กระทำผิดเข้าเฝ้า" สัตว์ใหญ่ขยับตัวเล็กน้อยและส่งเสียงแหลมสูงแทนการสื่อสารกับฝูงของตน ก่อนจะว่ายนำเหล่าองครักษ์กลับไปยังอาณาจักรของตน เวทอร์สหันกลับไปหาองครักษ์หญิงที่ยังคอยปลอบขวัญสัตว์ใหญ่

"พวกเจ้าดูแลวาฬตัวนี้ให้ดี หากเขาพร้อมจะออกเดินทางก็ค่อยนำส่ง"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 3.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 28-03-2017 07:05:52
ตอนที่ 3.2

เวสเทียร์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงหลังดวงอาทิตย์ตกดินก่อนจะถอนหายใจสั้นๆ ด้วยความกังวลในเรื่องที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าเวทอร์สจะทำหน้าที่แทนเขาชั่วคราวได้ดีไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง แต่ถึงอย่างนั้นเวสเทียร์ก็อดคิดไม่ได้ว่าจะมีใครตั้งคำถามถึงการหายตัวไปของเขาหรือไม่ แม้ว่าฝ่าบาทไคราห์นจะสั่งลงโทษเขาต่อหน้าเหล่าข้ารับใช้ แต่การถูกเฆี่ยนไม่กี่ครั้ง ในฐานะผู้นำองครักษ์ก็ไม่ควรโอดครวญเจ็บปวดจนต้องส่งผู้แทนออกไปปฏิบัติหน้าที่แบบนี้

ยิ่งเป็นหน้าที่ในการปกป้องอาณาเขตด้วยแล้ว... เวสเทียร์คิดว่านั่นเป็นหน้าที่ของเขาโดยตรง

แต่ฝ่าบาทไคราห์นก็ออกปากเสียเองต่อหน้าฟาล อนุญาตให้เขาพักอยู่เบื้องบนได้จนกว่าจะหายดี ซึ่งอาการ 'หาย' ที่ว่านี้หมายถึงความปวดระบมบริเวณบั้นเอวหลังจากสะโพกถูกใช้รองรับความต้องการอย่างหนักหน่วง ซึ่งคิดแล้วก็อดรู้สึกอับอายไม่ได้ที่ญาติผู้ใหญ่อย่างฟาลรับรู้ความสัมพันธ์ของเขากับผู้นำอาณาจักร แต่เวสเทียร์ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่พูดเรื่องนี้ต่อใคร

แม้มันจะเป็นความสัมพันธ์ที่เขายอมรับ ก็ใช่ว่าทั้งอาณาจักรจะเห็นด้วย

เสียงร้องแหลมสูงของวาฬเพชฌฆาตผู้ใกล้ชิดดังมาเข้าหูของเวสเทียร์ เขาจึงรับรู้ว่าเวทอร์สสามารถจับตัวผู้รุกรานได้ทั้งหมดโดยไม่มีการต่อสู้ อีกทั้งยังช่วยชีวิตวาฬฟินเอาไว้ได้อีกด้วย และกำลังนำตัวกลุ่มพรานมาเข้าเฝ้าเพื่อให้ฝ่าบาทไคราห์นตัดสินโทษ เวสเทียร์จึงตัดสินใจขยับกายช้าๆ เพื่อกลับลงไปยังอาณาจักรด้านล่าง

ถ้ำลอดนั้นอาจเป็นที่พักผ่อนของเงือกวาฬผู้ต้องการอากาศทุกชั่วยาม แต่หากพูดถึงอาณาจักรเซลทิคจริงๆก็ยังคงจะหมายถึงบัลลังก์ใต้ทะเล ดูเหมือนว่าเสียงร้องของวาฬยักษ์จะทำให้คนทั้งอาณาจักรตื่นตระหนก และแน่นอนว่าการส่งข่าวด้วยสัญญาณเสียงก็ทำให้ประชาชนรับทราบเรื่องราวทุกอย่างพร้อมผู้นำ และพากันออกมาจากถ้ำเพื่อติดตามความเคลื่อนไหว ฝ่าบาทแห่งทะเลเหนือกลับไปยังบัลลังก์ของตนซึ่งอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ก่อสร้างด้วยการล้อมเสาต้นสูงเป็นห้องวงรี และประดับม่านสาหร่ายเป็นแถวแทนกำแพงทึบ

เสียงของพวกวาฬมักมาถึงก่อนปรากฎตัวหลายอึดใจ โดยเฉพาะเสียงของคาดันน์ วาฬหนุ่มที่สนิทสนมกับผู้นำเผ่าเพชฌฆาตเสียเหลือเกิน และต่อให้พวกวาฬไม่มีความจำเป็นจะต้องใส่ใจเรื่องภายในของชาวบาดาล แต่คาดันน์ก็ชื่นชอบการมีส่วนร่วมที่ประชุมจนอดไม่ได้ที่จะพาร่างกายใหญ่โตของมันเข้ามาในโถงบัลลังก์ แม้จะถูกมองด้วยสายตาเยียบเย็นของราชาทะเลเหนือก็ตาม แต่คาดันน์อาจเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในอาณาจักรเซลทิคที่ยืดอกเล่าต่อได้ว่าเคยสบตาราชา อีกทั้งยังเคยได้รับการสัมผัสที่ปลายจมูกอย่างเอ็นดูอีกด้วย

...โดยที่ไม่เคยรู้ว่าฝ่าบาทเองก็ไม่แน่ใจว่าดวงตาของมันอยู่ตรงไหน

"นี่ไม่ใช่ธุระของวาฬ..."

น้ำเสียงของผู้นำอาณาจักรดังก้อง เอ็ดสัตว์ยักษ์ต่อหน้าประชาชนจนมันพ่นฟองออกอากาศออกมาอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก ก่อนจะขยับหางใหญ่พาตัวเองขึ้นไปยังผิวน้ำด้านบนเพื่อออกไปให้พ้นสายตา ฝ่าบาทเหลือบมองตามไปเล็กน้อย ก่อนจะละสายตากลับมาที่กลุ่มพรานจากมารินาการ์ด ชาวเงือกทะเลเหนือไม่ใคร่จะได้พบปะกับเงือกเผ่าอื่นมากนัก เนื่องจากอุณหภูมิในน่านน้ำของพวกเขาค่อนข้างเย็น อีกทั้งยังเป็นเขตห้ามล่าวาฬ

ดังนั้นการปรากฎตัวของพรานจากมารินาการ์ดทั้งสิบห้าตนจึงสร้างความสนใจให้กับเผ่าวาฬ

ฝ่าบาทเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อพบว่าขนาดตัวของผู้นำกลุ่มพรานดูเล็กกว่าเวทอร์สอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เกลเลสผู้เคยภาคภูมิใจกับรูปร่างแข็งแรงบึกบึนของตนก็กำลังรู้สึกประหนึ่งตัวเล็กเท่าปลาการ์ตูนเมื่อเหล่าเงือกวาฬมองพวกเขาเป็นตาเดียว อีกทั้งยังรู้สึกทึ่งในความสง่างามน่าเกรงขามของราชาตรงหน้า เกลเลสเคยได้ยินเรื่องราวของฝ่าบาทไคราห์นมาบ้าง และก็รู้เพียงว่าเขาเป็นราชาผู้มีผิวสีขาวเผือด เงือกหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าฝ่าบาทไคราห์นจะขาวได้ขนาดนี้

"เจ้าไม่ควรเงยขึ้นมองฝ่าบาท" เวทอร์สเอ็ด "นี่เป็นกฎที่เคร่งครัดที่สุดของเซลทิค"

เกลเลสก้มหน้าลงในทันที เช่นเดียวกับผู้ติดตามของเขา

"โชคดีที่องครักษ์ไปถึงทันเวลา" ฝ่าบาทกล่าวทำลายความเงียบ "ไม่เช่นนั้น โทษทัณฑ์ของพวกเจ้าอาจจะหนักหนาสาหัสกว่านี้" ร่างสูงทอดกายเอนพิงบัลลังก์ "แต่การจะใช้บทลงโทษของเซลทิคกับเงือกที่มีขนาดเล็กกว่าเช่นพวกเจ้าคงจะไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่" ดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกปราดมองไปยังเครื่องประดับบนแขนของเกลเลสผู้เป็นหัวหน้า "เจ้าเองก็ดูจะเป็นพรานคนโปรดของราชินี..."

"กระหม่อมได้รับความไว้วางใจในการปฏิบัติภารกิจ แต่ก็ไม่อาจเรียกตัวเองว่าคนโปรด"

เกลเลสไม่แน่ใจว่าวิธีการพูดของเขาดูจะจาบจ้วงราชวงศ์มากไปหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าฝ่าบาทแห่งเซลทิคจะพอมีเหตุผลอยู่ และอาจเป็นเพียงธรรมเนียมของพวกเขาที่ห้ามเงยหน้าขึ้นมองผู้นำอาณาจักร แต่มารยาทโดยรวมก็ไม่แตกต่างจากราชวงศ์แห่งมารินาการ์ด "เราคงต้องหารือกับผู้นำของเจ้าในเรื่องบทลงโทษ" ราชาหนุ่มทอดเสียง ก่อนจะหันไปหาฟาล

"ส่งคนไปมารินาการ์ด... เราต้องการหารือกับผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ"

ฟาลค้อมหัวลงแล้วหันไปสบตาเวทอร์สแทนสัญญาณเรียกให้อีกฝ่ายเสนอตัว "กระหม่อม... อาสาเดินทางไปมารินาการ์ดเองขอรับ" รองผู้นำเผ่าตอบรับคำชี้แนะของผู้อาวุโส "กระหม่อมอยู่ในเหตุการณ์ สามารถชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ราชินีแห่งมารินาการ์ดได้อย่างแน่นอน"

ทว่าราชาหนุ่มกลับเลิกคิ้ว "เจ้ายังเด็กอยู่มาก เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทต่อราชินี"

"กระหม่อมเสนอเวทอร์สเองขอรับ ฝ่าบาท" ฟาลออกหน้าแทนทันที "เขาอยู่ในเหตุการณ์วันนี้ จึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากที่สุด แม้ว่าเขาจะยังเด็กอยู่ แต่กระหม่อมคิดว่าบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องนี้ไม่ใช่ราชินีเรจินาเพียงองค์เดียว" คนสนิทราชากล่าวนุ่มนวล "และหากพูดถึงความประนีประนอม กระหม่อมเห็นว่าองค์ชายเร็กซ์มีอำนาจในการตัดสินใจให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างยุติธรรม"

ไคราห์นไม่กล่าวอะไรตอบ และครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้อยู่สักพัก

ราชินีเรจินาแห่งมารินาการ์ดขึ้นชื่อว่าเป็นนักรบหญิงแกร่งที่มีความสามารถ อีกทั้งยังมีจิตใจเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าชายชาตรี อีกทั้งยังรักประชาชนมารินาการ์ดมากยิ่งกว่าอะไร การต่อรองกับนางในเรื่องบทลงโทษของกลุ่มพรานนี้อาจทำให้เซลทิคไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะราชินีที่ประชาชนรักผู้นี้ไม่ได้มีชื่อเสียงในเรื่องของความยุติธรรมระหว่างอาณาจักร

"เช่นนั้นเราจะเชิญองค์ชายเร็กซ์มาที่เซลทิคเพื่อหารือเรื่องนี้" ฝ่าบาทว่า "เจ้าไปได้ เวทอร์ส..."

เวสเทียร์ที่กลับเข้ามาในโถงบัลลังก์อย่างเงียบเชียบลอบไปปรากฎตัวอยู่เบื้องหลังผู้เป็นราชาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น และทันเวลาเวทอร์สก้มหัวลงรับคำสั่งพอดี "ส่วนเรื่องการควบคุมกักบริเวณพวกเจ้า เรามอบหมายให้องครักษ์คนสนิทเป็นผู้ดูแล" แต่มีหรือ ฝ่าบาทไคราห์นจะไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้

ราชาเหลือบมองอีกฝายด้วยหางตาก่อนจะพึมพำ "เจ้าขัดคำสั่งเรารึ เวสเทียร์"

"กระหม่อมมีหน้าที่รับใช้ฝ่าบาท จะละทิ้งไปคงไม่ได้"

ไคราห์นขยับหางของตนเล็กน้อย "เจ้าได้รับใช้แล้ว..." นัยน์ตาสีน้ำเงินพิจารณากลุ่มผู้รุกรานแม้จะเอ่ยปากตอบคนสนิท "ให้เจ้าคาดันน์คอยเฝ้าเอาไว้ก็ได้ หากมีใครหลบหนีก็คงรู้เรื่องกัน แค่เสียงมันร้องตัวเดียวก็ลั่นเมืองไปหมด" เวสเทียร์ขบขัน แต่ก็ไม่อาจยิ้มหรือหัวเราะออกมาให้ใครเห็นในเวลานี้ได้ จึงได้แต่ก้มหน้าลงเก็บความรู้สึกเอาไว้

"กระหม่อมเกรงว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ของคาดันน์ขอรับ"

ไคราห์นทอดสายตามองนิ่งจนกลุ่มผู้บุกรุกหวาดกลัวใจแทบหยุดเต้น โดยหารู้ไม่ว่าราชาหนุ่มกำลังค่อนขอดองครักษ์อยู่ในใจ ด้วยเขาพยายามพูดเลี่ยงให้เวสเทียร์ได้พักผ่อน ทั้งที่รู้ตัวว่าสภาพร่างกายไม่สู้ดี แต่หัวหน้าองครักษ์ก็ยังยืนยันในหน้าที่อย่างนั้นโดยไม่รับรู้ถึงความหวังดีของราชาเลยแม้แต่น้อย ฝ่าบาทรู้ดีว่าเขาส่งฟาลไปทำหน้าที่นั้นไม่ได้ ด้วยอีกฝ่ายไม่มีอำนาจในการออกคำสั่งกับองครักษ์อื่นมากเท่าคำสั่งของเวสเทียร์ แต่ก็ดันเป็นตัวเวสเทียร์เสียเองที่คิดจะทำงานทุกอย่างด้วยตนเองโดยไม่มอบหมายหน้าที่ต่อ

...ช่างเป็นคนหัวทึบเสียเหลือเกิน แต่มีความรับผิดชอบแบบนี้ก็คงดีแล้ว

--------------------------------------------------

เวทอร์สเสยผมเปียกชื้นขึ้นและสูดอากาศลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองดวงจันทร์เสี้ยวเบื้องบนที่แทบจะดับแสง องครักษ์หนุ่มโบกหางเบาๆ เพื่อพาตัวเองว่ายตรงไปยังโขดหินใกล้แผ่นดิน และขยับขึ้นไปนั่งด้านบน ชายหนุ่มอยากสางผม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้นำหวีกระดูกสัตว์ติดตัวมาด้วย ในวันรุ่งขึ้นเขาต้องออกเดินทางไปยังมารินาการ์ดเพื่อเชิญทูตจากฝ่ายนั้นมาพูดคุยเรื่องบทลงโทษและมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้มีใครละเมิดข้อห้ามของเซลทิคอีก

ช่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่น่าชวนหัวเหลือเกิน

องครักษ์หนุ่มไม่อยากจะคิดว่าหากเขาช่วยวาฬยักษ์ตัวนั้นไม่ทันการ ชาวเซลทิคจะโกรธเคืองขนาดไหน "ฝ่าบาทส่งเจ้าไปมารินาการ์ด..." น้ำเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น เวทอร์สไหวไหล่เบาก่อนจะหันไปหาพี่ชายของตนที่ว่ายขึ้นมาหายใจ เวสเทียร์สูดอากาศลึกๆให้เต็มปอด แต่แทนที่จะว่ายกลับลงไปทันที ชายหนุ่มกลับขยับขึ้นมานั่งบนโขดหินใกล้ๆ กัน "เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของเจ้าสินะ"

"พี่เคยไปมารินาการ์ดหรือยัง"

เวทอร์สถาม และมุ่นคิ้วเมื่อเห็นว่าพี่ชายนำหวีติดตัวมาด้วยและเริ่มสางผมตัวเองที่ยาวถึงกลางหลัง หากเป็นธรรมเนียมชาวเงือกแห่งมารินาการ์ด การสางผมถือเป็นเรื่องน่าอาย และพวกเขาจะทำก็ต่อเมื่ออยู่ตามลำพังหรืออยู่กับคู่ครองของตนเท่านั้น แต่สำหรับเงือกแห่งเซลทิคแล้ว การขึ้นมานั่งหวีผมบนโขดหินถือเป็นกิจกรรมผ่อนคลายอย่างหนึ่ง

"ฝ่าบาทไม่เคยเสด็จ..." เวสเทียร์ตอบ "ที่ใดที่ฝ่าบาทไป ข้าย่อมติดตาม"

"ข้อนั้นข้ารู้อยู่แล้ว" น้องชายพ่นหายใจยาว "ยืมหวีต่อด้วย..."

เวสเทียร์หัวเราะลงคอเบาๆและส่งหวีให้อีกฝ่ายเมื่อเขาสางผมเรียบร้อย "อย่าทำให้อาณาจักรขายหน้าก็เพียงพอ ถือว่าฝ่าบาทมอบหมายงานสำคัญให้เจ้า แม้จะเป็นการไปแจ้งข่าวที่ไม่สร้างความยินดีให้กับราชินีเรจินาก็ตาม" หัวหน้าองครักษ์หรี่ลงเมื่อสังเกตเห็นเงาบางอย่างที่เคลื่อนไหวใต้น้ำ "ราชินีเรจินาอาจต้องเดินทางมาด้วยตนเอง แต่ก็เพราะด้วยความที่นางเป็นผู้นำอาณาจักร จะให้ทิ้งบ้านเมืองมาถึงที่นี่ก็ดูจะเป็นเรื่องยากสักหน่อย" ความรู้สึกบางอย่างที่ปลายหางทำให้เวสเทียร์ขยับกายช่วงล่างเบาๆ

"ไม่เอาน่ะ คาดันน์"

...ฟู่!

วาฬตัวเขื่องโผล่ขึ้นมาจากน้ำทันทีที่ถูกเอ็ด มันพ่นหายใจแรงๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะใช้ปากดันหางของครึ่งมัจฉาราวกับเรียกร้องความสนใจ "เอาเจ้านี่ไปด้วย..." เมื่อวาฬหนุ่มโผล่ขึ้นมาพอดี เวสเทียร์ก็เปลี่ยนเป้าหมายการสนทนา แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของเขาทำให้สัตว์ยักษ์เงยมอง ก่อนส่งเสียงแหลมเล็กกรีดร้องเป็นเชิงประท้วง

"หนวกหูน่า"

"แล้วทำไมต้องให้ข้าเอาไปด้วยเล่า ฝูงมันไม่มีหรืออย่างไร"

"การมีตัวตนของวาฬเพชฌฆาตคือการประกาศอำนาจของเผ่าเรา เจ้าควรเอามันไปด้วย" เวสเทียร์ตอบเสียงเรียบ "อาณาจักรเราไม่ได้คบค้าสมาคมกับใครมากนัก แต่ความสัมพันธ์ระดับอาณาจักรก็ไม่ได้ย่ำแย่ แต่ข้าก็คิดว่าเผ่าวาฬดูตกต่ำในสายตาของเผ่าอื่น จากความใกล้ชิดของเรากับพวกมนุษย์ ดังนั้นการพกวาฬไปสักตัวเพื่อสร้างความยำเกรงบ้างจึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย"

"ตัวไหนก็ได้ที่ไม่ใช่คาดันน์ไม่ได้รึไง..." เวทอร์สมุ่นคิ้ว

เวสเทียร์ไหวไหล่ "เจ้าจะไปคุยกับฝูงเองหรือไม่เล่า"

ฝูงวาฬมีสังคมที่ซับซ้อน และพวกเขาไม่ได้เชื่อฟังชาวเงือกอย่างที่คิด เพียงแค่มีชีวิตอยู่ร่วมกันภายใต้กฎเกณฑ์บางอย่างเท่านั้น ดังนั้นหากจะพูดถึง 'วาฬประดับบารมี' ไม่ว่าใครก็คิดเห็นว่าเจ้าตัวปัญหาคาดันน์นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุด "หยุดกรีดร้องใส่คนอื่นสักพักก็พอ"

"เจ้าก็รู้ว่าเสียงมันเป็นแบบนั้น"

เวทอร์สมีผมยาวกว่าพี่ชาย ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาสางนานกว่า "แล้วเรื่องแวมไพร์เล่า มีข่าวคราวอะไรคืบหน้าบ้างไหม" แม้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะมีเรื่องไม่ลงรอยกับมารินาการ์ด แต่นั่นก็ดูจะเป็นปัญหาที่หาทางออกได้ง่ายกว่าปัญหาการคุกคามของผีดูดเลือด "หลังจากเจ้าสองตัวนั่นถูกฆ่า ไม่มีใครรู้ที่ตั้งอาณาจักรของเราใช่ไหม"

"หน่วยลาดตระเวนไม่ได้รายงานว่ามีวี่แววของแวมไพร์ตนอื่น" เวสเทียร์กล่าว "แต่ก็ยังมีประชาชนที่แอบขึ้นไปยังเบื้องบน ซึ่งพฤติกรรมนี้จะนำไปสู่การเปิดโปงการมีตัวตนของเรา และทำให้แวมไพร์คุกคามเราได้ง่ายยิ่งขึ้น" หัวหน้าองครักษ์มุ่นคิ้วเคร่งเครียด "แม้แต่องค์หญิงอาโกรนาห์ยังไม่อาจหักห้ามใจได้ นับประสาอะไรกับประชาชนที่ผูกพันกับแผ่นดินเสียเหลือเกิน"

เวทอร์สถอนใจ "นี่เป็นปัญหาที่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มแก้ไขจากที่ใด"

"ฆ่าพวกมัน" เวสเทียร์ตอบเสียงเรียบ "ฆ่าพวกมันก่อนที่มันจะฆ่าพวกเรา..."

"แต่เจ้าฆ่าแวมไพร์ทั้งเผ่าไม่ได้" เวทอร์สมุ่นคิ้ว "พวกมันไม่มีราชา หรือผู้นำที่เราเจรจาด้วยได้รึ"

"พวกมันเป็นอมนุษย์ที่เกิดจากมนุษย์ เจ้าก็รู้นิสัยมนุษย์ดีนี่ ต่อให้มีผู้นำสูงสุด พวกเขาก็ยากที่จะเชื่อฟัง" เวสเทียร์ว่า "แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีราชาแวมไพร์" นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย "ราชาแวมไพร์ที่ไม่เคยลงมือทำอะไรเพื่อเผ่าพันธุ์ของตัวเองเลย"

--------------------------------------------------

วันนี้เราจะมาเปิดคลาสวาฬกัน... มีวาฬตัวหนึ่งที่น่าจะมีบทบาท และมีนิสัยอ้วนไปอ้วนมาแต่ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งมีชื่อว่า 'คาดันน์' (Cardan = ป้อมปราการสีดำ) ...นิสัยของคาดันน์ง่ายมาก ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านและเรียกร้องความสนใจขั้น max

คาดันน์เป็นวาฬประเภท NORTH ATLANTIC TYPE 2

เอ้า... งง... วาฬเพชฌฆาตด้วยกันเองยังแบ่งได้อีกหลายประเภทดังนี้



----- ทางเหนือ -----

ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก (ทะเลระหว่างเอเชียและอเมริกา)

1) RESIDENT ORCAs
.....พวกเรสสิเดนพูดง่ายๆคือเป็นพวกติดบ้าน หากินเป็นหลักแหล่ง มีขนาดฝูงค่อนข้างใหญ่ และส่วนใหญ่จะเน้นกินปลาเป็นหลัก

2) TRANSIENT ORCAs
.....ทรานสิเอนเป็นพวกตรงข้ามกับเรนสิเดน นั่นคือมีขนาดฝูงที่เล็กกว่า หากินไปทั่ว ตัวใหญ่กว่า และเน้นกินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

3) OFFSHORE
.....ออฟชอว์เป็นเหมือนผสมระหว่างเรนสิเดนกับทรานสิเอน มีข้อมูลน้อยมาก แต่ระบุว่ากินฉลามด้วยเหมือนกัน



ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก (ทะเลระหว่างอเมริกาและยุโรป)

1) NORTH ATLANTIC TYPE 1
.....นี่มีความลำเอียงทางการตั้งชื่อมาก เพราะออร์ก้าฝั่งยุโรปชื่อธรรมดาไปจนถึงขั้นเชยยย พวกนอร์ธแอตแลนติกไทป์ 1 กินทั้งแมวน้ำและปลา มีขนาดเล็กกว่าไทป์ 2 และมีฟันที่ค่อนข้างบิ่นเพราะกินพวกปลา

2) NORTH ATLANTIC TYPE 2
.....ตัวใหญ่กว่าไทป์ 1 (ประมาณ 8.5 เมตร) และมีฟันที่คมกว่า ล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม



----- ทางใต้ -----

1) TYPE A
.....ลำเอียงทางการตั้งชื่อมากถึงมากที่สุด!? แต่เขาเรียงตามขนาด และลายบนตา ไทป์เอตัวใหญ่สุด ประมาณ 9.5 เมตร

2) TYPE B
.....ไทป์บีตัวเล็กกว่าไทป์เอ และมีจุดสังเกตอีกจุดคือลายบนหลังจะติดสีเหลืองเบาๆ และน่าจะเป็นพวกที่ล่าเพนกวิน

3) TYPE C
.....ไทป์ซีเหมือนวาฬแกร็น ตัวเล็กสุด ประมาณ 6 เมตรเอง (เอง...) และมีความติดเหลืองมากกว่าไทป์บีอีก

4) TYPE D
.....ไทป์ดีเป็นวาฬหน้าตาประหลาดที่สุด(?) เพราะแถบขาวๆเหนือดวงตาเล็กนิดเดียวจนเหมือนพวกกลายพันธุ์ (แต่เปล่า) อีกทั้งยังพบได้ยากมากๆอีกด้วย
.
.
.
คาดันน์เป็นพวก NORTH ATLANTIC TYPE 2

(https://scontent.fbkk5-8.fna.fbcdn.net/v/t31.0-8/17240597_1267200266669053_6768665606242772343_o.jpg?oh=1df19d3769e10a27dff98e5afd158c6e&oe=59637F8D)

สรุปง่ายคือตัวใหญ่ กินแมวน้ำ(?) กินวาฬตัวอื่น อาจจะกินฉลามด้วย เอาเป็นว่ากินทุกอย่าง ...เป็นตัวละครประเภทอ้วนและกวนประสาทระดับสอง (ไม่เท่าไชร์ ไชร์นี่ลาสบอส---) แต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตไม่กี่ตัว(?)ในเซลทิคที่ฝ่าบาทไคราห์นลูบหัว

(https://swfsc.noaa.gov/uploadedImages/Divisions/PRD/Programs/Ecology/Killer%20Whale%20Poster%20-%20final.jpg?n=1491)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 3 [28-03-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 28-03-2017 12:38:25
อ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนถึงตอนล่าสุดเลยค่ะ ชอบการบรรยายและลักษณะการเล่าเรื่องนะคะ อ่านเพลินเลย รอติดตามตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ปล. เราว่า ท่านราชาและท่านหัวหน้าองครักษ์นี้มีเคมีต่อกันนะคะ แบบสาบานจะรัก--- เอ๊ย จงรักภักดีต่อท่านผู้เดียว ไรงี้ กร๊าวใจจัง

ปล.2 รู้สึกว่าท่านราชาจะแอบหมั่นไส้วาฬเพื่อนซี้เวสเทียร์หน่อยๆ สงสัยจะแอบหึง--- แค่กกก
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 3 [28-03-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 28-03-2017 12:56:09
น่าติดตามมาก :hao7:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 4.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 24-04-2017 13:21:48
ตอนที่ 4.1

อัศวินแห่งท้องสมุทร... มารินาการ์ด

อาณาจักรเงือกที่เก่าแก่นี้ถูกปกครองโดยราชวงศ์ผู้สืบสายเลือดปฐมกษัตริย์ หรือจอมราชัน ราชาผู้อุทิศตนเพื่อเผ่าพันธุ์ครึ่งมัจฉา ด้วยการเสียสละตนทำข้อตกลงกับเทพแห่งมหาสมุทรเพื่อปกป้องอาณาจักรให้รอดพ้นจากการคุกคามของมนุษย์เบื้องบน ดังนั้นสำหรับชาวบาดาลแล้ว จอมราชันแห่งมารินาการ์ดคือครึ่งมัจฉาผู้มีเกียรติสูงสุด และผู้สืบสายเลือดราชวงศ์แห่งมารินาการ์ดก็เช่นกัน

ในยุคปัจจุบันนี้ ผู้ปกครองแห่งมารินาการ์ดคือราชินีเรจินา ธิดาคนโตของราชินีองค์ก่อน

แม้ว่าราชวงศ์แห่งมารินาการ์ดจะสามารถครองบัลลังก์ได้ทั้งชายและหญิงโดยไม่แบ่งแยก แต่ราชินีเรจินากลับไม่โปรดที่จะมีคู่ครองเพื่อสืบทอดสายเลือด ด้วยรู้ดีว่าตนไม่อาจให้กำเนิดบุตรที่มีลักษณะของจอมราชันได้ พระนางจึงตัดสินใจครองตนเป็นโสด และยกหน้าที่การสืบทอดสายเลือดของจอมราชันให้กับองค์ชายเร็กซ์ ผู้เป็นน้องชาย ซึ่งด้วยภาระนี้ทำให้เขาต้องเสกสมรสกับสตรีชั้นสูงถึงสี่ตนจากอาณาจักรอื่นเพื่อความสัมพันธ์ และเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง พระชายาผู้มาจากเผ่าโลมาแห่งเซลทิคก็ให้กำเนิดธิดาคนที่สาม และได้รับนามว่า องค์หญิงอาร์นิเอส

โดยทั่วไปแล้ว ทายาทของชาวเงือกที่เสกสมรสข้ามเผ่าพันธุ์จะได้ลักษณะเด่นจากบิดา ทว่าเงือกน้อยอาร์นิเอสกลับได้ลักษณะเด่นของมารดามาทั้งหมด

...กระทั่งวิธีการหายใจ

"องค์หญิงสำลักน้ำ!!"

เงือกวาฬแรกเกิดสามารถกลั้นใจได้ไม่นาน แม้ว่าจะมีพัฒนาการที่เร็วกว่าเงือกเผ่าอื่น แต่องค์หญิงน้อยก็ยังไม่สามารถว่ายน้ำขึ้นไปหายใจได้ทันการ และนี่เป็นครั้งที่สามของวัน ที่อาร์นิเอสสำลักน้ำระหว่างเดินทางจากพระราชวังซีเบิร์ธไปยังผิวทะเลเบื้องบน

"แค่ก!!"

พระชายาผู้เป็นมารดายังไม่ฟื้นตัวจากการให้กำเนิด แต่นางก็ไม่อาจทนเห็นบุตรสาวทรมานได้ ต่อให้มีองครักษ์คอยดูแล แต่นางก็พุ่งตัวออกมาอุ้มองค์หญิงว่ายน้ำขึ้นไปยังเบื้องบนด้วยตนเอง "อาร์นิเอส... เจ้าอย่ามัวแต่เล่นจนลืมหายใจสิ!" แม้จะมีอายุได้แค่สองสัปดาห์ แต่องค์หญิงก็รู้ประสา และพอจะตอบโต้กับมารดาได้ไม่ต่างจากทารกมนุษย์อายุแปดเดือน

"แอ..."

แต่ถึงอย่างนั้น องค์หญิงก็ยังไม่ค่อยพูดอยู่ดี พระชายาลูบผมเปียกชื้นของบุตรสาวเบาๆ ก่อนจะสูดใจลึกๆ เพื่อให้เด็กน้อยทำตาม ก่อนจะดำกลับลงไปใต้ท้องทะเลอีกครั้ง "อาร์นิเอสสำลักน้ำอีกแล้วรึ" องค์ชายเร็กซ์เงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน และทอดยิ้มอ่อนใจเมื่อเห็นชายา "เราควรจะสร้างที่พักในถ้ำแบบอาณาจักรเซลทิคบ้าง ไม่เช่นนั้นธิดาเราคงจมน้ำตายเข้าสักวัน" เงือกหนุ่มเอื้อมมือไปลูบผมสีแดงที่พลิ้วไหวใต้ผืนน้ำ เมื่ออาร์นิเอสรู้สึกได้ถึงสัมผัสนั้น องค์หญิงน้อยก็โผตัวไปหาพระบิดา

"ป้อ...!!"

องค์หญิงน้อยอีกองค์โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังของผู้เป็นบิดา ด้วยสีหน้ารู้สึกตัวถึงความผิด เพราะเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้องค์หญิงอาร์นิเอสผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาต้องสำลักน้ำ ...เพราะมัวแต่เล่นเก็บเปลือกหอยที่ก้นทะเล "ขอโทษพระชายาเสียสิ วิเวียน" องค์ชายเร็กซ์เอ็ดเสียงนุ่ม และให้เวลาองค์หญิงวิเวียนขยับออกมาจากด้านหลังตนช้าๆ ก่อนจะโค้งตัวลงต่อหน้าพระชายา

"ข้าขอโทษ"

เสียงน้อยๆออดอ้อน และช้อนดวงตากลมใสขึ้นมองอย่างวิงวอน ไม่ว่าพ่อแม่คนไหนก็ย่อมเข้าใจว่าความเป็นเด็กคืออะไร การเล่นสนุกจนลืมเวลาเป็นอย่างไร มีหรือพระชายาจะโกรธเด็กตัวเล็กเท่านี้ได้ลงคอ นางยิ้มออกมาจางๆ อย่างใจอ่อนและเอื้อมมือไปลูบหัวองค์หญิงวิเวียนเบาๆ "เอาเถิด... เจ้าคงยังไม่รู้จังหวะหายใจของน้องดี"

องค์ชายเร็กซ์ถอนใจ ก่อนจะหันไปหาองครักษ์ข้างกาย "เจ้าดูแลอาร์นิเอสประสาอะไร พระชายาจึงต้องพรวดพราดออกมาด้วยตนเองแบบนี้"

"ขออภัยองค์ชาย... ได้โปรดลงโทษ"

องค์ชายแห่งมารินาการ์ดหันไปโบกมือให้บุตรสาวทั้งสองพากันไปเล่นตามประสาเด็กดังเดิม พระชายามองตามเด็กทั้งสองไปด้วยความเป็นห่วง และตั้งใจว่าตนควรไปเฝ้าบุตรสาวเสียเอง "เชื้อพระวงศ์นี่วันหนึ่งๆ ก็เสียเวลากับการลงโทษคนใต้บัญชาสินะ"

"องค์ชาย..." องครักษ์หนุ่มก้มหัวลงเมื่อผู้เป็นนายแดกดัน "กระหม่อมไม่มีคำแก้ตัว"

แต่ก่อนที่เร็กซ์จะพูดอะไรต่อ คลื่นเสียงแหลมสูงของสัตว์ขนาดใหญ่ก็ดังเข้าหู และประกาศให้ทั้งอาณาจักรรับรู้ถึงการมาเยือนของอะไรบางอย่าง "ไม่ใช่คณะล่าวาฬแน่ๆ" องค์ชายเร็กซ์หันไปหาองครักษ์ของตน "ส่งคนออกไปดู เราจะไปเฝ้าท่านพี่เรจินา" องครักษ์ข้างกายค้อมหัวรับคำสั่ง แต่องครักษ์อีกตนก็พุ่งเข้ามารายงาน

"องค์ชาย... วาฬของเซลทิคขอรับ"

เร็กซ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง และตั้งใจฟังคลื่นเสียงนั้นอีกครั้งเพื่อตีความ องค์ชายพอจะรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เขาจึงยกมือขึ้นระงับคำสั่งของตนและตัดสินใจพาตัวเองไปยังลานพระราชวังที่ซึ่งราชินีแห่งมารินาการ์ดประทับอยู่บนบัลลังก์ทอง "ท่านพี่..." องค์ราชินียกมือขึ้นปราบน้องชาย ด้วยรู้ถึงความหมายของคลื่นเสียงดังกล่าว พระนางยืดตัวขึ้นจากบัลลังก์และวางแขนทั้งสองข้างเอาไว้บนที่พักด้วยท่วงท่านุ่มนวลทว่าสง่างาม และรอคอยการมาถึงของเจ้าของเสียงปริศนา

คลื่นเสียงของสัตว์ใหญ่ประกาศการมาถึงเท่านั้น และหลายอึดใจกว่าร่างเงาของสัตว์ยักษ์จะปรากฎให้เห็นในสายตา พร้อมกับกลุ่มเงือกที่มีรูปร่างแตกต่างแปลกตา ทว่ามันก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับองค์ราชินี พระนางรู้ดีว่าผู้มาเยือนคือใคร แม้จะไม่แน่ใจในจุดประสงค์ แต่รูปแบบการเดินทางของชาวเงือกแห่งเซลทิคมักจะมีวาฬร่วมเดินทางด้วยเสมอ และนั่นคือความภาคภูมิใจของพวกเขา

แม้ว่าเงือกวาฬจะได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ผูกพันกับแผ่นดิน และไม่อาจละทิ้งความเป็นมนุษย์ได้

แต่วาฬกลับเป็นราชาที่แท้จริงของท้องทะเล... โดยเฉพาะวาฬเพชฌฆาต

ผู้นำขบวนว่ายขึ้นไปยังผิวน้ำเพื่อสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง ท่อนหางที่ดูกำยำแข็งแกร่งขยับว่ายพาร่างกายที่ดูจะใหญ่โตกว่าลงมาเบื้องล่างมหาสมุทร และหยุดตรงหน้าบัลลังก์ทองของราชินีผู้ปกครอง พร้อมกับค้อมหัวลงอย่างนุ่มนวลนอบน้อมเป็นธรรมชาติ "กระหม่อมขอเฝ้าราชินีแห่งมารินาการ์ด" น้ำเสียงทุ้มต่ำทว่าก้องดังน่าเกรงขามทำให้ชาวเมืองประหลาดใจและยำเกรงการมาถึง อีกทั้งยังวาฬตัวเขื่องที่ว่ายตามลงมาเคียงข้างกันก็ยิ่งทำให้การมาเยือนครั้งนี้เป็นที่น่าจดจำ

ผู้นำอาณาจักรนิ่งพิจารณาเงือกหนุ่มเบื้องช้าอยู่ครู่หนึ่งและครุ่นคิดหาคำตอบสักพักก่อนจะเอ่ยตอบเสียงนุ่ม "ผู้แทนแห่งเซลทิค... มารินาการ์ดยินดีต้อนรับเจ้า" บรรยากาศรอบตัวขององค์ราชินีดูผ่อนคลายมากกว่าฝ่าบาทไคราห์นมาก แต่ถึงกระนั้น เวทอร์สก็ได้รับการอบรมมารยาทมามากพอที่จะไม่จาบจ้วง วิพากษ์วิจารณ์เชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรอื่น

"กระหม่อมได้รับมอบหมายจากฝ่าบาทแห่งเซลทิคให้เดินทางมาแจ้งข่าว"

ประชาชนของเซลทิคไม่มีสิทธิ์สอดรู้สอดเห็นอย่างเช่นชาวมารินาการ์ดกำลังกระทำ พวกเขาแอบมองผู้มาเยือนจากที่อยู่อาศัยของตน แม้จะพยายามไม่แสดงตน แต่สายตาและประสาทสัมผัสอันว่องไวของชาวเผ่าเพชฌฆาตย่อมรู้สึกได้ "หน่วยพรานล่าวาฬของมารินาการ์ดได้บุกรุกเข้าไปในน่านน้ำของอาณาจักรเซลทิคขอรับ" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ราชินีก็เบิกตาขึ้นและกลั้นใจโดยไม่รู้ตัว ด้วยรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นความผิดร้ายแรงซึ่งอาจทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างพวกเขาได้

"ฝ่าบาทไคราห์นจึงมอบหมายให้กระหม่อมเดินทางมาเพื่อเจรจาเรื่องบทลงโทษในความผิดนั้น"

"เราจะเดินทงไปเซลทิคเอง"

โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ องค์ชายเร็กซ์ก็เอ่ยขึ้นด้วยรู้หน้าที่ของตนดี ด้วยเหตุผลที่พระชายาองค์หนึ่งของเขามาจากอาณาจักรเซลทิค ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเจรจากับเผ่าวาฬในฐานะ 'ลูกเขย' แต่ผู้นำอาณาจักรกลับยกมือขึ้นปรามน้องชายช้าๆ เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นให้ถี่ถ้วนเสียก่อน "มีการปะทะกันหรือไม่"

"กระหม่อมเป็นผู้นำหน่วยลาดตระเวน จึงได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากวาฬ และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต อีกทั้งพรานของมารินาการ์ดก็ตระหนักรู้ในความผิดจึงไม่มีการขัดขืนการจับกุม" เวทอร์สได้ยินองค์ราชินีลอบถอนใจ พลางคิดไปว่าเงือกเผ่าอื่นช่างน่าอิจฉาที่สามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่ต้องกลั้นใจเอาไว้อย่างชาวเผ่าวาฬที่ทำไม่ได้กระทั่งหัวเราะ ดวงตาสีเข้มมองต่ำด้วยความเคยชินเมื่ออยู่ต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ ไม่กล้าแม้แต่จะมองปลายหางของผู้นำอาณาจักร ต่อให้มันจะเป็นเกล็ดทองคำที่หาดูได้ยากที่สุด อันเป็นลักษณะเด่นของจอมราชันแห่งมารินาการ์ด

"เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เราควรจะเดินทางไปด้วยตนเอง" เรจินาเอ่ย

"ท่านพี่" เร็กซ์ขัดบทพูดของพี่สาว "ราชินีมิควรออกเดินทางไปจากเมือง" เวทอร์สได้รับคำสั่งให้เดินทางมาแจ้งข่าว และเชิญองค์ชายเร็กซ์เดินทางกลับไปยังเซลทิค แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่เคยพบหน้าค่าตาขององค์ชายมาก่อน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเอ่ยขัดบทสนทนาระหว่างราชินี และผู้ที่น่าจะเป็น 'น้องชาย'

แล้วองค์ชายเร็กซ์เป็นญาติฝ่ายไหนของราชินีกันหนอ...

แม้จะไม่กล้าเงยขึ้นมองผู้นำมารินาการ์ด แต่เวทอร์สกลับหันไปมองผู้ที่กล้าออกความเห็นในทันทีด้วยความประหลาดใจ และสิ่งแรกที่ทำให้เวทอร์สชะงักงันกลับไม่ใช่ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนของอีกฝ่าย หรือเส้นผมสีน้ำตาลยาวสลวยที่ไหวตามแรงน้ำ ไม่ใช่ลักษณะร่างกายที่เรียกได้ว่า 'ผอมบาง' หากเปรียบเทียบกับเงือกวาฬ ไม่ใช่กระทั่งท่อนหางที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีทองที่อาจสะท้อนแสงแดดได้

แต่กลับเป็นเหงือกปลาบนสะโพกที่ขยับหายใจได้!

องครักษ์แห่งเผ่าเพชฌฆาตเกือบสำลักน้ำ...

"ตามนั้นก็ย่อมได้" องค์ราชินีเอนหายพิงบัลลังก์และหันกลับมายังผู้มาถึง "นั่นคือคำตอบของมารินาการ์ด ในตอนนี้ขอเชิญท่านทูตไปพักผ่อนเสียก่อนเพราะทางเดินทางคงทำให้ท่านอ่อนล้า ขอให้ทางมารินาการ์ดเป็นผู้ตระเตรียมทุกอย่างที่เหลือเอง" องครักษ์หนุ่มลอบกัดริมฝีปากตนเองเมื่อตระหนักได้ว่าอาการเหม่อลอยเพียงชั่วครู่เพราะความตกตะลึงที่เพิ่งเคยเห็น 'เหงือกปลา' เป็นครั้งแรกทำให้เขาไม่ได้ยินคำพูดที่สำคัญที่สุดในการเดินทางมายังมารินาการ์ดในครั้งนี้

...เอาแล้วไง เวทอร์ส

และด้วยความตะลีตะลานลุกลนนั่นเองที่ทำให้เขาเผลอเงยหน้าขึ้นมองสบตาราชินีแห่งมารินาการ์ด และพบว่าพระนางมีใบหน้าที่งดงามอ่อนโยน ดวงตาสีน้ำตาลลุ่มลึกบ่งบอกถึงประสบการณ์อันมากมาย ผมยาวสีเดียวกันกับผู้เป็นน้องชายมัดรวบเรียบร้อยและประดับด้วยปิ่นยาวสามเล่มอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำ "ท่านทูตมีนามว่ากระไร เราจักได้เรียกให้ถูก..." น้ำเสียงของนางน่าเกรงขาม ทว่าแตกต่างจากฝ่าบาทไคราห์นในความนุ่มนวลน่าฟัง และเมื่อรู้สึกตัว เวทอร์สก็ก้มหน้าลงด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่ตนทำเป็นความผิด

"ขออภัย ฝ่าบาท... กระหม่อมล่วงเกิน ได้โปรดลงโทษ"

เวทอร์สได้ยิน 'น้องชาย' ของราชินีถอนใจดัง ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอก "พวกเจ้าเป็นอะไรกันนัก เหตุใดจึงชอบให้ลงโทษกัน" เรจินาหัวเราะด้วยความเอ็นดูก่อนจะยกมือขึ้นปัดเบาๆ เป็นเชิงไล่น้องชายให้ออกไป ก่อนจะขยับตัวและเคลื่อนกายมาหยุดเบื้องหน้าผู้มาเยือนจากเซคทิคด้วยตนเอง

"เราถามชื่อเจ้า..." เรจินาเอ่ยซ้ำ

"เวทอร์ส ขอรับ และกระหม่อมไม่ใช่ทูต เป็นเพียงองครักษ์หน่วยลาดตระเวน"

"เจ้าสามารถมองเราได้ เวทอร์ส... สายเลือดจอมราชันมิได้มีพลังในการเยียวยาเช่นราชวงศ์แห่งเซลทิค" พระนางยื่นมือไปหาอีกฝ่ายราวกับต้องการจะเชยคางให้เขาเงยขึ้นมอง แต่ก็หยุดเอาไว้กลางครันราวกับเปลี่ยนใจ "ทางเราจะเตรียมที่พักเอาไว้ให้" พระนางขยับตัวถอยเล็กน้อยแล้วจึงหันไปหาองครักษ์ข้างกาย "ฟาเบียงจะเป็นผู้ดูแลเจ้าระหว่างพักอยู่ที่นี่ หากเป็นการสนทนากันระหว่างองครักษ์คงจะทำให้เจ้ารู้สึกผ่อนคลายมากกว่า" ราชินีวาดมือไปยังองครักษ์ที่ว่า เวทอร์สมองตามเล็กน้อยเพื่อจะพบว่าพระนางมีองครักษ์เป็นเงือกเผ่าฉลาม อีกทั้งยังเป็นชายร่างสูงใหญ่กำยำที่ดูแข็งแรงพอๆ กับเงือกวาฬ

...เหงือกข้างละสามซี่!!!

ในครั้งนี้องครักษ์หนุ่มสำลักน้ำจริงๆ และพ่นฟองอากาศออกมาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งนั่นอาจเป็นการเสียมารยาท แต่องครักษ์ของราชินีกลับคาดเดาได้ว่าเขากำลังจะขาดอากาศ "ฝ่าบาท... ทรงสนทนายาวนานเกินไปแล้ว พวกเงือกวาฬต้องหายใจ" ฟาเบียงยิ้มขัน แล้วจึงเอื้อมมือไปคว้าต้นแขนขององครักษ์วาฬและขยับหางแรงๆเพื่อพาอีกฝ่ายขึ้นไปเบื้องบน

เรจินาอ้าปากค้างน้อยๆ ด้วยเพิ่งนึกได้เช่นกันว่าเงือกวาฬใช้วิธีการกลั้นใจใต้น้ำซึ่งต่างจากพวกเขา

--------------------------------------------------

ฝ่าบาทแห่งเซลทิคเดินทางไปพบวาฬฟินด้วยตนเองเพื่อปลอบขวัญสัตว์ใหญ่

วาฬฟินมีขนาดใหญ่มากจนเกือบจะเรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในมหาสมุทร และในความมหึมานั่นเองทำให้อารมณ์ของมันอ่อนไหวกว่าใครอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์ความหวาดกลัวที่ยากจะเยียวยาหลังจากรอดพ้นการล่าของชาวเงือกมาได้ "เขากลัวมาก" ฝ่าบาทไคราห์นกล่าวช้า ลูบมือไปบนผิวกายมันลื่นเพื่อเยียวยาบาดแผล "เป็นความกลัวที่จะหลอกหลอนไปอีกเนิ่นนาน แม้ว่าจะเดินทางออกไปจากน่านน้ำนี้แล้วก็ตาม"

เวสเทียร์ที่คอยอยู่ใกล้ผู้เป็นนายได้แต่ก้มหน้ารับฟัง "ช่างน่าละอายที่เราไม่อาจรักษาได้"

"หากฝ่าบาทมีพลังเยียวยาได้กระทั่งจิตใจ..." เวสเทียร์เอ่ย "กระหม่อมเกรงว่าเส้นกั้นระหว่างราชวงศ์และประชาชนธรรมดาคงจะมากกว่าเดิม ฝ่าบาทคงจะเปรียบได้ดั่งเทพแห่งท้องทะเลที่ไม่มีใครเอื้อมถึง" ฝ่าบาทยกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น เขาหันไปหาองครักษ์หนุ่มที่ก้มหน้าลงอย่างรู้สถานะของตนเอง

"พูดอย่างกับว่าตอนนี้เจ้ากล้าเงยหน้าขึ้นมองเราอย่างนั้น"

"มิกล้าขอรับ"

ไคราห์นเอื้อมมือไปหาอีกฝ่าย คล้ายกับต้องการเชยใบหน้านั้นให้เงยขึ้นสบตา ทว่ากลับหยุดชะงักด้วยรู้นิสัยของเวสเทียร์ดี "ใครกันแน่ที่ไม่สบตา..." ในฐานะราชาเขาพูดไม่ได้มากกว่านั้น แม้จะอยากตัดพ้อต่อว่าที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้คุณค่าสถานะของตนเองเลยก็ตาม แค่นี่คือนิสัยของเวสเทียร์ ผู้นำสูงสุดของเผ่าเพชฌฆาต และเขาควรจะเคารพในตัวตนของอีกฝ่าย

อย่างไร... เวสเทียร์ก็เป็นของเขาอยู่ดี ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรหรือจะคิดอะไรก็ตาม

ไคราห์นขยับหางใหญ่โตเล็กน้อยเพื่อดันให้ตัวเองว่ายขึ้นไปเบื้องบนเพื่อสูดอากาศอีกครั้ง และเมื่อแสงอาทิตย์ส่องกระทบใบหน้าคม เวสเทียร์ผู้ติดตามก็รู้สึกเหมือนได้เห็นผิวพรรณตรงหน้าสะท้อนประกายแดด "ฝ่าบาท... แสงสว่างทำให้ระคายเคืองผิวนะขอรับ" ร่างสูงยกมือขึ้นเสยผมยาวของตนให้พ้นหน้า และบังแสงไม่ให้ส่องถึงดวงตาเมื่อเขาลืมขึ้นมอง เวสเทียร์พยายามจะใช้แผ่นหลังของตัวเองบดบังแสงไม่ให้ทำร้ายผู้เป็นนาย แต่ท่าทางนั้นกลับทำให้ฝ่าบาทขบขัน เนื่องจากอีกฝ่ายมีขนาดตัวที่เล็กกว่าเขา จึงแทบไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

"ไม่ต้องห่วงไป แสงแดดฤดูหนาวไม่ทำให้เราระคายหรอก"

"ถึงอย่างนั้น..."

"เวสเทียร์" ไคราห์นเอ่ยเรียก ด้วยความรู้สึกที่อยากถามบางอย่างกับอีกฝ่ายสักคำ แต่ในทันทีที่คิดจะออกปาก ไคราห์นก็คาดเดาคำตอบของอีกฝ่ายได้ในทันที และมันก็ไม่เคยคลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่เขาคิดเลยสักครั้งเดียว นั่นคือคำตอบของคำถามที่ว่า... เหตุผลที่เวสเทียร์ยอมอยู่เคียงข้าง ใกล้ชิดเขาแบบนี้เป็นเพียงเพราะหน้าที่จริงหรือ

...ใช่

นี่เป็นคำตอบที่หนักแน่นของเวสเทียร์ และจะเป็นคำตอบนี้ตลอดไป

"เราจะขึ้นไปเบื้องบน..." ราชาหนุ่มไล่ความคิดเดิมออกจากหัว "เรื่องของแวมไพร์สร้างความลำบากใจให้เราทุกวี่วัน เห็นทีจะต้องลงมือทำอะไรบ้าง" องครักษ์หนุ่มพยักหน้ารับคำสั่ง เขายังนึกไม่ออกว่าฝ่าบาทไคราห์นสามารถทำอะไรได้บ้าง ในเมื่อพวกเขาล้วนแล้วแต่เสียเปรียบในการต่อสู้กับแวมไพร์

"ฝ่าบาทจะขอความร่วมมือจากพวกหมาป่าหรือขอรับ"

"หารือ..." ราชาหนุ่มตอบ "หมาป่าเองก็คิดจะขอความช่วยเหลือจากเรา และตราบใดที่พวกมันยังไม่เปิดเผยว่าต้องการความช่วยเหลือด้านใด เราจะไม่ตอบตกลงรับความช่วยเหลือจากพวกมันเช่นกัน" ในเมืองท่าบาธีมอร์นี้เองเป็นที่พำนักของหมาป่าตนหนึ่งซึ่งแฝงตัวอยู่ในคราบของช่างแกะสลักตามคำสั่งของจ่าฝูง

ฝ่าบาทไคราห์นได้พบเขาโดยบังเอิญเมื่อนานมาแล้ว และต่อให้เขาจะเป็นหมาป่าตนเดียวที่ไม่อาจลงมือทำอะไรได้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ความเคลื่อนไหวของอมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นมากพอที่จะเป็นแหล่งข่าวให้ไคราห์นได้ พวกหมาป่าเองก็มีเป้าหมายในการกำหราบแวมไพร์พวกนี้เช่นกัน แต่เพราะธรรมชาติในการไม่รวมกลุ่มของพวกมันทำให้กลุ่มอมนุษย์เหล่านี้กระจัดกระจายและยากที่จะตามหาตัว

"กระหม่อมไม่อาจคาดเดาทางออกของปัญหานี้ได้เลย"

"เราเองก็เช่นกัน" ไคราห์นขยับตัวดำลงใต้น้ำและกลับไปยังบัลลังก์ของตน "คงจะต้องฆ่าพวกมันไปเรื่อยๆก่อนที่พวกมันจะฆ่าเรา" นั่นไม่ใช่ทางออกที่แท้จริงของปัญหา แต่ก็นับว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ "แต่ก่อนที่จะแก้ปัญหาภายนอก เราควรจะแก้ปัญหาภายในเสียก่อน ตราบใดที่ยังมีเงือกลักลอบขึ้นไปยังเบื้องบน แวมไพร์ก็คงไม่เลิกราวีเราง่ายๆ หรอก"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 4.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 24-04-2017 13:28:17
ตอนที่ 4.2

คาดันน์เป็นวาฬไร้ประโยชน์...

"เจ้าเองก็ไม่ได้ฟังรึ" เวทอร์สอ้าปากค้างหลังจากถามย้ำกับสัตว์ยักษ์ข้างกายว่าราชินีเรจินาตัดสินใจอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ "เพราะมัวแต่มองฝูงปลาแซลมอน!" องครักษ์หนุ่มถอนใจยาวและพ่นฟองอากาศออกมาหมดปอดจนเกือบจะเป็นการฆ่าตัวตายด้วยความกดน้ำตนเอง "เซลติคไม่มีแซลมอนรึยังไง!" ชายหนุ่มขยับหางว่ายขึ้นไปเบื้องบนเพื่อสูดอากาศลึกๆ อีกครั้ง ก่อนจะกลับมาพูดคุยกับ 'สัตว์ใหญ่ไร้ประโยชน์'

"เช่นนั้นข้าจะพาเจ้ามาด้วยทำไม!"

วาฬใหญ่ไม่พอใจที่ถูกต่อว่า มันจึงอ้าปากอวดฟันคมและตั้งท่าจะเปล่งเสียงประท้วง แต่เวทอร์สก็รีบดันขากรรไกรมหึมาปิดลง "อย่าโวยวายใส่ข้า!" แต่ต่อให้ปิดปากเช่นนั้น คาดันน์ก็สามารถร้องได้ "คาดันน์!!" เมื่อถูกเอ็ด มันจึงยอมเงียบ แต่ก็ใช่ว่าสัตว์ใหญ่จะพอใจตราบใดที่ยังไม่ได้รับคำขอโทษ ทว่าเวทอร์สก็ไม่มีความคิดนั้นอยู่ในหัวเลย

เห็นทีจะต้องเรียกผู้ติดตามมาถามเสียแล้ว... แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่เสียหน้ามากก็ตาม

"นี่เป็นจุดที่ใกล้ผิวน้ำที่สุดของอาณาจักรเรา" แต่เสียงใหญ่ที่ไม่คุ้นหูทำให้เวทอร์สสะดุ้งสะดุดตัวและขยับกายไปอยู่ข้างคาดันน์ตามสัญชาติญาณ ซึ่งนั่นทำให้วาฬใหญ่เหล่มองอย่างค่อนขอด ผู้มาเยือนคือองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทเรจินา ฝ่ายนั้นมีผมยาวสีควันและดวงตาที่ว่างเปล่าราวกับดวงตาของฉลาม ท่อนหางของฝ่ายนั้นมีขนาดใหญ่กว่าเงือกทั่วไป แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันหางของเผ่าวาฬ เวทอร์สพิจารณาคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะค้อมหัวลงน้อยๆเป็นการทักทาย

เงือกนี้เป็นเผ่าฉลามบริสุทธิ์อย่างแน่นอน

...แล้วเหตุใดเผ่าฉลามที่อยู่ห่างไกลจึงมาเป็นองครักษ์ของมารินาการ์ดได้

"ได้ยินมาว่าเวลาวาฬหลับใหลจะใช้วิธีการลอยตัวนิ่งๆ เหนือผิวน้ำ" หากจำไม่ผิด อีกฝ่ายจะมีนามว่า ฟาเบียง เขาน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับฟาล คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์น และบรรยากาศรอบตัวไม่แตกต่างกันมาก เวทอร์สจึงไม่รู้สึกลำบากใจเท่ากับการพูดคุยกับพวกเชื้อพระวงศ์ "บ้างก็ว่าเผ่าวาฬไม่หลับนอน"

"เราไม่ได้พักผ่อนในยามกลางคืน ท่านฟาเบียง" เวทอร์สตอบ "เราพักผ่อนเมื่ออ่อนล้า"

"นั่นเป็นความรู้ใหม่เชียวล่ะ" แม้ฟาเบียงจะดูคล้ายฟาล แต่วิธีการพูดกลับไม่เป็นทางการเท่า จนเวทอร์สเกิดความสงสัยว่าบ้านเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นมหานครสีทองแห่งนี้ให้ความสำคัญชนชั้นมากแค่ไหน ทั้งที่เชื้อพระวงศ์แห่งมารินาการ์ดเป็นถึงผู้สืบทอดสายเลือดของจอมราชันผู้ยิ่งใหญ่ แต่วิธีการปฏิบัติตัวและการวางตนกลับดูแตกต่างจากเซลทิคโดยสิ้นเชิง "ข้าเป็นองครักษ์ของฝ่าบาท และแน่นอนว่าจะร่วมการเดินทางไปยังเซลทิคด้วย หากสอบถามมากความไปก็อย่าได้ถือสา" เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนั้น เวทอร์สก็เริ่มเข้าใจทีละน้อยว่าในการเจรจาครั้งนี้ ฝ่าบาทเรจินาจะเดินทางไปยังทะเลเหนือด้วยตนเอง

"วิธีการปฏิบัติของพวกเราต่างกัน ดังนั้นเพื่อยอมรับในความแตกต่างนั้น ข้าคงต้องศึกษามารยาทที่ควรรู้เอาไว้"

"มารยาทของเซลทิคไม่ได้มีความซับซ้อนหรอก" เวทอร์สว่าไปอย่างนั้น แต่ในใจเขารู้ดีว่ามันซับซ้อนยิ่งกว่าอะไร "เพียงแต่ไม่มีประชาชนคนใดสามารถเงยหน้าขึ้นมองราชาผู้ปกครองอาณาจักรได้ก็เท่านั้น" ฟาเบียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยเขาพอจะรู้กฎข้อนี้อยู่แล้ว "เพราะพลังของเชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีไว้เป็นสาธารณะ"

เพียงแค่มองคงไม่สามารถรักษาแผลได้หรอกกกระมัง...

ฟาเบียงคิดอยู่ในใจ และเขาเลือกที่จะไม่พูดออกไปเพราะรู้ว่ามันคงสร้างแต่ความบาดหมาง ดวงตาสีเข้มมองเคลื่อนไปยังวาฬขนาดใหญ่ที่ลอยตัวนิ่งๆ อยู่เคียงข้างองครักษ์หนุ่ม "นี่เป็นความยำเกรงอย่างหนึ่งของอาณาจักรทะเลเหนือ คือการมีวาฬผู้ติดตาม" คาดันน์เอียงมองคนพูดด้วยดวงตาทีละข้างอย่างพิจารณา และเมื่อเห็นว่าองครักษ์ฟาเบียงไม่ได้ดูมีพิษภัยอะไร สัตว์ใหญ่ก็พ่นฟองอากาศออกมาช้าๆ

"นี่คือคาดันน์..." เวทอร์สไม่รู้จะกล่าวอะไรจึงเลี่ยงไปแนะนำชื่อสัตว์ข้างกายแทน "มันอายุเพียงแค่ห้าปีเท่านั้น หากล่วงเกินไปบ้างท่านก็อย่าถือสาเลย" คนฟังเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นขนาดตัวเทียบกับอายุของมัน แต่เมื่อเห็นกิริยาอ้าปากและส่ายหัวไปมาราวกับเด็กๆ ที่กำลังพูดจาล้อเลียนผู้ใหญ่ ฟาเบียงก็หัวเราะร่วนออกมา

"เชื่อแล้วว่ายังเด็ก"

ร่างสูงเอื้อมมือออกไปเบื้องหน้า และรอให้สัตว์ใหญ่ขยับตัวเข้ามาใกล้และวางคางขนาดใหญ่ลงบนมือข้างนั้น "โดยทั่วไป ฉลามไม่ญาติดีกับวาฬ แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่แล้ว เห็นว่าข้าจะต้องละทิ้งความคิดนั้นไป" ฟาเบียงค่อยๆ ลูบมือขึ้นบนปลายปาก และตบมือเบาๆ ด้วยความเอ็นดู "ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนโปรดของฝ่าบาทไคราห์น" วาฬอาจฟังภาษาเงือกรู้เรื่องจริงๆ ไม่ใช่แค่กับเงือกวาฬ เพราะเมื่อฟาเบียงกล่าวเช่นนั้น คาดันน์ก็บิดตัวยืดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง

"มันเป็นวาฬกำพร้า แม้จะได้รับการต้อนรับจากฝูง แต่ก็ดูเหมือนพอใจที่อยู่กับเงือกเสียมากกว่า" เวทอร์สตอบ

สัตว์ที่ถูกพูดถึงเริ่มเปล่งเสียง 'คลิก' ออกมาระรัวราวกับส่งเสริมคำพูดขององครักษ์แห่งเซลทิค แต่เวทอร์สก็ปัดมือเบาๆราวกับปรามให้มันเงียบเสียงลง "เจ้าฟังออกรึ..." ฟาเบียงถาม "เข้าใจภาษาวาฬอย่างที่ข้าเข้าใจภาษาฉลามอย่างนั้นรึ" เวทอร์สอาจสงสัยว่าเงือกวาฬจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่เข้าใจภาษาวาฬ แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั่นคือพวกฉลามมีการสื่อสารด้วยอย่างนั้นหรือ!

"ข้าไม่เคยรู้มาก่อน... ว่าฉลามพูดได้ด้วย"

ฟาเบียงกระพริบตาถี่เล็กน้อยก่อนหลุดหัวเราะ "แค่มองตาก็รู้แล้ว"

นั่นยิ่งยากกว่าพูดเสียอีก! ตาฉลามมันก็ดำๆ โตๆ เหมือนกันหมดไม่ใช่หรือ!!!

"แล้วเหตุใด... เผ่าฉลามที่น่าจะอยู่ทางตอนใต้จึงได้..." เวทอร์สคิดว่านี่เป็นคำถามที่เขาไม่ควรเอ่ย แต่ด้วยความสงสัยแบบเด็กๆที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้เขาหลุดปากออกไปเช่นนั้น "อีกทั้ง... ท่านยังมีลักษณะของเผ่าฉลามเลือดบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดอีกด้วย" ฟาเบียงมีร่างกายสูงใหญ่กำยำ บ่งบอกได้ถึงสายเลือดอันแข็งแกร่ง และหากเวทอร์สคาดเดาไม่ผิด คนตรงหน้าเขาจะต้องเป็นเผ่าฉลามขาวอย่างแน่นอน

"มันไม่ใช่เรื่องที่น่าพูดถึงสักเท่าไหร่น่ะ" องครักษ์หนุ่มทอดยิ้มจาง แทนการปฏิเสธที่จะตอบคำถาม

เวทอร์สค้อมหัวลงน้อยๆ ทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ข้าขออภัยที่ล่วงเกิน"

"เจ้าควรขึ้นไปหายใจ อาจจะทันดูดวงอาทิตย์ตกพอดี พวกผู้หญิงชอบขึ้นไปสางผมในเวลานี้นะ"

--------------------------------------------------


พอตัดมามารินาการ์ดนี่เขียนลื่น เขียนชิล เขียนสบายม๊ากกก... แต่ทำไม๊ พอตัดกลับไปเซลทิค บรรยากาศระหว่างคู่หลักนี่มั๊นนน... จริงๆเขาก็ไม่ได้ดราม่าอะไรกันหรอกน้า แค่เป็นคู่ที่มีคอนเซปของการ... ไม่ค่อยคุยกัน (โธ่) เหมือนฝ่าบาทก็ค่อนขอดเวสเทียร์อยู่ในใจ แต่ก็ไม่พูดออกมา ส่วนเวสเทียร์ก็เหมือนพยายามจะไม่พูดอะไร แม้ว่าจะคิดอยู่สามหมื่นแปดพันเรื่องก็ตาม

เวลาเขียนถึงคาดันน์นี่รู้สึกผ่อนคลายมากจริงๆ เหมือนเป็นหมาเด็กๆ ที่โตแต่ตัว... ยิ่งตอนเถียงกับเวทอร์สยิ่งรู้สึกว่า... ไอ้พวกบ้าาา... คือเวทอร์สก็มัวแต่ตะลึงเหงือกชาวบ้าน เพราะตัวเองไม่เคยเห็น ส่วนคาดันน์ก็มองแซลมอนตามสัญชาติญาณอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทะเลที่ไหน แต่อาหารหลักของนางคือแซลมอน นางจะมองตามก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 5.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 30-04-2017 18:40:26
ตอนที่ 5.1

เวสเทียร์รู้สึกเป็นห่วงน้องชาย แต่ด้วยความที่เขามีตำแหน่งเป็นถึงผู้นำระดับสูง และองครักษ์คนสนิท ดังนั้นจึงไม่สามารถแสดงออกถึงความกังวลใจได้ แต่ก็ใช่ว่าฝ่าบาทไคราห์นจะไม่รับรู้เสียทีเดียว เขาสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ จากเสียงน้ำที่กระเพื่อมไหวยามเจ้าตัวขยับร่างราวกับต้องการจะออกไปไถ่ถามข่าวคราวหรือทำอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่อาจละทิ้งหน้าที่ขององครักษ์ไปได้

แม้ในยามพักผ่อนในถ้ำที่ปลอดภัยห่างไกลมนุษย์และศัตรู องครักษ์คนสนิทก็ต้องคอยเฝ้าไม่ห่างกาย

ราชาหนุ่มเพียงหลับตาลงงีบในยามที่รู้สึกเหนื่อยล้า แต่เขาก็ลอบเผยอเปลือกตาขึ้นมองเวสเทียร์ที่ชะโงกชะเง้อไปทางปากถ้ำราวกับกำลังรอฟังคลื่นเสียงซึ่งอาจเป็นข่าวคราวที่ส่งต่อมาจากมารินาการ์ด

"เจ้าเป็นห่วงเวทอร์สรึ..." สุดท้าย ราชาผู้นำก็ถามออกมา

"ขออภัยฝ่าบาท" เวสเทียร์หันกลับมาและค้อมหัวลง "กระหม่อมรบกวนการพักผ่อน"

ฝ่าบาทหลับตาลงดังเดิม และขยับกายขึ้นเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนท่าทางการนอน องครักษ์หนุ่มเห็นดังนั้นจึงรีบหาหมอนอิงซึ่งทำจากฟองน้ำมาช่วยรองครีบหางขนาดใหญ่เพื่อแก้อาการเมื่อยล้า เวสเทียร์คิดว่าเขาสามารถช่วยบีบนวดคลายอาการเกร็งของกล้ามเนื้อได้ แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถแตะต้องผู้เป็นนายได้

"เวสเทียร์"

"ขอรับ" องครักษ์หนุ่มรู้สึกได้ว่าเขาเผลอมองผู้นำอาณาจักรมากจนเกินควร แม้จะเป็นการมองแค่ท่อนหาง ครีบ และกล้ามเนื้อหน้าท้องก็ตาม

"เจ้ายังไม่ตอบคำถามเรา..."

ร่างโปร่งกลั้นใจเมื่อถูกทวง "กระหม่อม... เป็นห่วงเวทอร์สขอรับ"

"ไม่ไว้ใจให้เขาทำการใหญ่รึ เขาเป็นว่าที่ผู้นำเผ่าต่อจากเจ้าไม่ใช่หรือ"

เวสเทียร์มุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงช้าและยอมรับในสิ่งที่ฝ่าบาทกล่าว "ขอรับ... กระหม่อมไม่ควรกังวล เวทอร์สโตแล้ว" หากพูดคุยกับอีกฝ่ายเรื่องน้องชายต่อไป เวสเทียร์ก็มีแต่จะเพิ่มความกังวลเท่านั้น ราชาแห่งเซลทิคจึงสูดอากาศหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง ขณะคิดหาเรื่องราวมาสนทนา

"เจ้าเคยมองเราในยามหลับหรือเปล่า เวสเทียร์"

คำถามที่ไม่คาดคิดว่าจะออกมาจากปากของคนพูดทำให้องครักษ์หนุ่มเผลอเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่แน่ใจ และชะงักงงันไปสักพักเมื่อเห็นว่าคู่สนทนาหลับตาระหว่างพูดคุย

เวสเทียร์ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิดต่อตัวเอง "กระหม่อมมิบังอาจ"

"ไม่ว่าใครก็อยากเงยหน้าขึ้นมองราชวงศ์แห่งเซลทิคสักครั้ง แล้วตัวเจ้าไม่คิดเช่นนั้นรึ"

"ฝ่าบาทเปรียบเสมือนเทพสำหรับกระหม่อมขอรับ"

ไคราห์นไม่ตอบคำ ด้วยรู้ดีว่าคำพูดของเวสเทียร์ล้วนมาจากอุดมคติของอีกฝ่าย เวสเทียร์ตอบในสิ่งที่เขาต้องการจะเป็น ในสิ่งที่เขาภูมิใจที่จะเป็น แต่ทว่าไม่เคยตอบสิ่งที่อยู่ในจิตใจของตัวเองจริงๆเลยสักครั้งเดียว

...หรือว่านั่นคือสิ่งที่อยู่ในจิตใจเวสเทียร์ องครักษ์ที่เฉยชาเยือกเย็นเช่นนี้มีจริงหรือ

จะมีสักกี่คนกันที่จะได้รับความเมตตาจากราชาแห่งเซลทิคเช่นนี้

ฝ่าบาทลืมตาขึ้นมาช้าๆ และมองไปยังคนข้างกายซึ่งก้มหน้ามองต่ำตามระเบียบปฏิบัติอันเคร่งครัด เขาเอื้อมมือไปหาอีกฝ่าย และจับปลายผมสีเข้มขึ้นทัดบนใบหูข้างหนึ่งเพื่อมองใบหน้าเรียวคมให้ถนัดตา องครักษ์ที่รู้งานขยับยกร่างขึ้นนั่งบนขอบแท่นที่พัก เพื่อไม่ให้ราชาต้องยืดแขนมากจนเกินควร

"ฝ่าบาท..." ร่างโปร่งใช้น้ำเสียงเชิงถาม ซึ่งพวกเขารู้ดีว่าคำถามนั้นคืออะไร

"ไม่ล่ะ" ไคราห์นลดมือลง "เพียงแค่อยากมองเจ้า"

ร่างสูงวางมือลงข้างกาย ขณะมองพิจารณาคนตรงหน้าทีละน้อยราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน เวสเทียร์มีผิวสีเข้ม และเส้นสายสีน้ำตาลวาดตวัดบนผิวกายเป็นลวดลายอัตลักษณ์ของเผ่าเพชฌฆาต ซึ่งช่วยขับเน้นให้เห็นถึงกล้ามเนื้อบนร่างให้เด่นชัดยิ่งขึ้น แผ่นอกที่แข็งแรงรับกับหน้าท้องที่แข็งแกร่ง ตลอดจนบั้นเอวที่ได้รูป และสะโพกแน่นตึงซึ่งเชื่อมกับท่อนหางสีเข้ม

เขาคุ้นเคยกับอีกฝ่ายดี ทั้งรูปลักษณ์ที่เห็นด้วยสายตา และสัมผัสที่รู้สึกได้จากฝ่ามือ แต่ทุกครั้งที่ได้ทอดมอง ไคราห์นก็ไม่เคยมีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความสง่างามที่เขาต้องการจะครอบครอง

ไม่ว่าเวสเทียร์จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจหรือไม่ อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นของเขาอยู่ดี

...เท่านี้ก็คงเพียงพอ

องครักษ์ไม่แม้แต่จะมองฝ่ามือที่อยู่ข้างกาย ร่างโปร่งหลบตาลงและปล่อยให้ความเงียบงันโอบล้อม ราชาเงือกอาจต้องการความสงบ องครักษ์หนุ่มจึงไม่ปริปาก แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงฝ่าบาทของเขาเพียงแค่ไม่มีเรื่องใดจะสนทนา

ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเช่นนี้มาตลอดห้าปีที่ผ่านมา... มีเพียงความเงียบงัน

--------------------------------------------------

เงือกวาฬพักผ่อนเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นในยามกลางคืนที่เงียบสงบ เวทอร์สกลับลอยตัวนิ่งๆ อยู่ใกล้ผิวน้ำอย่างไม่มีอะไรให้ทำ เนื่องจากชาวเงือกมารินาการ์ดล้วนนอนหลับพักผ่อน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ลอยตัวแหงนหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นเวลานานอย่างที่ไม่เคยทำ

...ฟู่!

คาดันน์ที่ลอยตัวอยู่ใกล้ๆ กัน หลับตาลงด้วยความต้องการจะนอนหลับ และหันหัวเข้ามาอิงพิงร่างองครักษ์หนุ่มข้างกายราวกับไม่เคยรู้ถึงขนาดตัวของตัวเอง ในขณะที่เวทอร์สสูดหายใจลึกๆ เข้าปอด และตัดสินใจว่าเขาควรจะพักผ่อนบ้าง แม้จะเป็นการงีบหลับสักครู่เดียวก็ตาม

แต่เมื่อหลับตาลง ประสาทหูอันว่องไวก็ได้ยินเสียงว่ายน้ำของเงือกอีกตนที่ขยับเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มหมุนตัวเล็กน้อยเพื่อดำลงไปใต้ทะเล และคาดเดาว่านั่นอาจเป็นฟาเบียง

"เจ้าจะลอยไปติดฝั่งเอา..."

แต่ร่างเงาที่ผุดขึ้นมาจากความมืดกลับไม่ใช่ฟาเบียง เวทอร์สจำน้ำเสียงของเขาได้ องครักษ์แห่งเซลทิคจึงค้อมหัวลงน้อยๆ ตามมารยาทที่ฝึกมา "ฝ่าบาท..." เขาไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย แต่จดจำได้ว่าบุคคลตรงหน้าคือน้องชายของราชินีเรจินา และการมาถึงของเขาก็สร้างความประหลาดใจให้กับเงือกหนุ่มพอสมควร เพราะต่อให้มีความสนิทชิดเชื้อหรือเป็นกันเองมากแค่ไหน ราชวงศ์เงือกชั้นสูงก็ไม่ควรคลุกคลีกับประชาชนธรรมดาให้มากเกินควร

"เร็กซ์..." อีกฝ่ายตอบ "เราชื่อเร็กซ์"

องค์ชายเร็กซ์หรือ...!

เวทอร์สเผลอเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ และสบมองกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเข้าโดยบังเอิญ "ก... กระหม่อมขออภัย" ร่างสูงรีบก้มหน้าลง และขยับหางว่ายถอยตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่า "ฝ่าบาทมีเรื่องจะพูดกับกระหม่อมหรือขอรับ" เร็กซ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนยกแขนขึ้นกอดอก

"เจ้าว่ายถอยหลังได้ด้วยรึ"

"...ข...ขอรับ" องครักษ์เลิกคิ้วบ้าง "ฝ่าบาท..."

"ชาวมารินาการ์ดว่ายน้ำถอยหลังไม่ได้หรอกนะ วาฬ" องค์ชายเร็กซ์ไหวไหล่ "แล้วก็... เรายังไม่ใช่ฝ่าบาท ฝ่าบาทคือท่านพี่ เจ้าเรียกเราว่าองค์ชายก็พอ" เร็กซ์ไม่ค่อยชินกับความมีมารยาทมากเกินไปจนทำให้บรรยากาศการสนทนาติดขัดแบบนี้ แต่เขาก็พอจะรู้ว่าชาวเซลทิคให้ความสำคัญกับชนชั้นและราชวงศ์มากแค่ไหน โดยเฉพาะราชวงศ์ที่มีพลังพิเศษในการเยียวยาบาดแผลได้ด้วยการสัมผัส

"เราพาอาร์นิเอสขึ้นมาหายใจ บังเอิญเห็นเจ้าพอดี"

ว่าแล้ว... พระบิดาก็อุ้มบุตรสาวตัวเล็กขึ้นมาในอ้อมแขน องค์หญิงอาร์นิเอสมีผมสีแดงเพลิงเหมือนกับพระชายาผู้เป็นมารดา และท่อนหางสีเทาอันเป็นลักษณะเด่นของโลมา เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก ขณะอิงแอบอยู่ในวงแขนแกร่ง นางดูอ่อนล้าจากการเล่นซนทั้งวันและหลับตาลงพร้อมจะพักผ่อนยาวๆ หากไม่ติดปัญหาว่าต้องการอากาศทุกชั่วยาม "ได้ยินว่าชาวเซลทิคอาศัยอยู่ในถ้ำลอด มีที่ท่าให้นอนหลับพักผ่อนข้ามคืนได้โดยไม่ต้องพะวงเรื่องการขึ้นมาหายใจ" เร็กซ์เอ่ยเป็นเชิงถาม "เราคิดว่าอาร์นิเอสคงต้องการที่ทางให้นอนหลับแบบนั้นบ้างเหมือนกัน

"เผ่าวาฬพักผ่อนเมื่อรู้สึกเหนื่อยขอรับ" เวทอร์สตอบ "และกระหม่อมงีบหลับเป็นพักๆ เสียมากกว่า"

"เช่นเมื่อครู่รึ" องค์ชายได้ยินเสียงวาฬยักษ์พ่นลมหายใจอีกครั้งและกลับไปลอยตัวนิ่งๆ ไปตามกระแสน้ำตามเดิม เขาพอจะมีประสบการณ์กับพฤติกรรมการหายใจของเงือกวาฬมาบ้าง และรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถเข้าใจจังหวะการหายใจพวกนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกจะว่ายขึ้นไปยังผิวน้ำ และสนทนาอยู่เบื้องบนจะดีกว่า

"ให้กระหม่อมช่วย..."

เวทอร์สเริ่มแต่ก็หยุดชะงัก เขาคิดว่าเขาควรจะช่วยอีกฝ่ายอุ้มธิดา แต่เมื่อคิดได้ว่าตนมาที่นี่ในฐานะผู้นำสาร ไม่ใช่องครักษ์ และอีกฝ่ายก็คงไม่ไว้ใจให้เขาช่วยเหลือ เงือกหนุ่มจึงสลัดความคิดนั้นทิ้งไป "ฝ่า... องค์ชายมีเรื่องใดจะพูดกับกระหม่อมหรือขอรับ"

"เราแค่เห็นว่าเจ้าลอยตัวเล่นอยู่เบื้องบน" เร็กซ์ตอบตามจริง "และเกรงว่าเจ้าวาฬนี่จะได้รับอันตราย ถ้าเข้าไปใกล้ฝั่งมากเกิน" องค์ชายหันหน้ากลับไปยังแผ่นดิน มองไปยังคฤหาสน์ใหญ่ที่เป็นสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ที่อยู่ริมผาเตี้ยๆ และมีบันไดทอดลงมายังทะเลเบื้องล่าง

"มีคฤหาสน์แวมไพร์อยู่ตรงนั้น"

คนพูดเจตนาเพียงแค่เตือนให้อีกฝ่ายระวังตัว แต่ทว่าคนฟังกลับอ้าปากค้างและมองคฤหาสน์ใหญ่กับคนตรงหน้ากลับไปกลับมาอยู่หลายครา

"ฝ่า... องค์ชาย... เหตุใดจึงมีคฤหาสน์แวมไพร์อยู่ใกล้เพียงนี้!"

"เขาอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว ไม่ต้องตกใจไป" เร็กซ์ทอดเสียงบอก "พวกเราไม่ได้มีปัญหากันมากมาย"

องครักษ์หนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาควรจะบอกเล่าปัญหาของบ้านเมืองตัวเองให้อีกฝ่ายฟังหรือไม่ แต่การที่มารินาการ์ดตั้งอยู่ใกล้กับคฤหาสน์แวมไพร์เช่นนี้เป็นเรื่องที่สร้างความตกตะลึงให้กับเงือกวาฬแห่งเซลทิคเป็นอย่างมาก "แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ เราเพียงแค่ไม่เปิดช่องว่างให้พวกเขา แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เล่นงานเราเมื่อมีโอกาส"

"ใกล้กันเพียงนี้ เหตุใด..." เวทอร์สพึมพำ "เหตุใดจึงไม่..."

"ทำสงครามรึ" เร็กซ์ตอบประโยคของอีกฝ่าย "เราสู้ไม่ได้ เจ้าก็รู้..." องค์ชายถอนใจ "เราไม่มีอะไรที่จะสู้ได้ ทำได้แค่ระวังระแวงตนเอง" คำว่า 'สู้ไม่ได้' ขององค์ชายเร็กซ์กลับบาดใจคนฟังอย่างประหลาด อาจจะด้วยเพราะชาวเซลทิคเคยผ่านสงครามที่ว่านั้นมาแล้ว และต้องยอมรับความพ่ายแพ้สูญเสียอย่างที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ พวกเขาอาจเป็นเงือกที่มีความใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุด และเงือกวาฬก็ได้ชื่อว่าเป็นเงือกที่มีพละกำลังมากที่สุด แต่เงือกวาฬกลับพ่ายแพ้แวมไพร์อย่างหมดท่า

จะนับประสาอะไรกับเงือกเผ่าพันธุ์อื่น...

"ตราบใดที่พวกมันไม่เหิมเกริม... เราก็คิดว่าจะยังอยู่ร่วมกันได้"

เงือกมารินาการ์ดไม่ต้องขึ้นไปหายใจเบื้องบน อีกทั้งยังไม่มีความต้องการหรือโหยหาสังคมมนุษย์บนแผ่นดินอีกด้วย ชาวมารินาการ์ดจะเข้าใจความทรมานของการมีชีวิตอยู่ร่วมโลกกับแวมไพร์ได้อย่างไร "..." เวทอร์สขบฟันด้วยความรู้สึกอัดอั้นอธิบายไม่ได้ เขามาที่นี่ในฐานะผู้นำสาร และปัญหาระหว่างเซลทิคกับมารินาการ์ดคือปัญหาของการล่าวาฬ ไม่ใช่เรื่องของแวมไพร์

"ฝ่าบาท... ถ้าแวมไพร์ตามเข่นฆ่าประชาชนของท่าน ท่านจะทำอย่างไร"

"มันว่ายน้ำไม่เก่งเท่าเราหรอก เวทอร์ส"

ใช่... วิธีการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดคือการตัดขาดจากแผ่นดิน และอยู่ในสถานที่ที่ตนควรจะอยู่ ปัญหาแวมไพร์ของอาณาจักรในตอนนี้มีเพียงทางออกเดียวที่ง่ายดายที่สุด แต่กลับไม่มีใครทำได้กระทั่งองค์หญิงอาโกรนาห์ ว่าที่รัชทายาทแห่งเซลทิค หากพวกเขายังตัดขาดจากแผ่นดินและละทิ้งความเป็นมนุษย์ไม่ได้ ก็ไม่มีทางออกอื่นสำหรับปัญหานี้

นี่คือภาระของที่ฝ่าบาทไคราห์นแบกรับเอาไว้... ในฐานะราชา

"เราได้ยินมาว่า ชาวเซลทิคสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ... สิ่งนั้นทำให้พวกเจ้ามีปัญหากับแวมไพร์หรือเปล่า" องค์ชายเร็กซ์ถามต่อ "เพราะสังคมมนุษย์มีสิ่งที่น่าสนใจสำหรับชาวเราหลายอย่างเหลือเกิน" เขารู้ว่าองครักษ์ต่างถิ่นมีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ แม้เวทอร์สจะเป็นองครักษ์ชั้นสูงที่ถูกอบรมและฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่ด้วยความเยาวว์วัยที่สังเกตได้ ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกได้ทั้งหมด และแสดงออกมาทางสีหน้าจนเร็กซ์สังเกตเห็น

"พวกเราเป็นครึ่งมนุษย์..." ร่างสูงว่า "การจะตัดขาดจากแผ่นดินเป็นเรื่องยาก"

"เราเชื่อว่าหากชาวมารินาการ์ดสามารถทำได้เช่นเจ้า ก็คงจะทำไม่ต่างกัน" แขนข้างหนึ่งขององค์ชายอุ้มบุตรสาวอยู่ แต่เขาก็เอื้อมมืออีกข้างมายังคู่สนทนา ก่อนจะวางลงบนผมหยักศกเปียกชื้นอย่างอ่อนโยนและเอ็นดู เวทอร์สเบิกตาขึ้นด้วยความตกตะลึง ด้วยเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนี้ แม้สัมผัสของราชพระวงศ์แห่งมารินาการ์ดจะไม่สามารถเยียวยาบาดแผลได้ แต่ความอบอุ่น อ่อนโยนที่เวทอร์สไม่เคยได้รับทำให้ร่างสูงนิ่งชะงักไปชั่วขณะ

"เจ้ากดดันมากจนเกินไปแล้ว การดัดนิสัยคนอื่น ไม่ได้ทำง่ายๆ ในไม่กี่วันหรอกนะ"

"ฝ... ฝ่าบาท"

ร่างสูงคิดจะว่ายถอยออกมา แต่ฝ่ามือที่วางอยู่บนผมสีเข้มกลับลูบเบาๆ แทนการปลอบประโลมซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้อย่างประหลาด เขาจำได้ว่าในวัยเด็กของตนก็เคยกอดกับครอบครัว พวกเขาแตะต้องตัวกันได้โดยไม่มีช่องว่าง แต่เมื่อเข้ามาทำหน้าที่องครักษ์เต็มตัวแล้ว ชายหนุ่มก็แทบจะตัดขาดจากมัน จนแทบจะลืมไปแล้วว่า สัมผัสที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูและห่วงใยของผู้อื่นนั้นเป็นอย่างไร

"สนใจแค่หน้าที่ของเจ้าตอนนี้ก็พอ..."

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 5.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 30-04-2017 18:41:51
ตอนที่ 5.2

ชาวเงือกแห่งเซลทิคไม่ใช่เงือกที่อาศัยในทะเลเพียงอย่างเดียว เนื่องจากพวกเขามีความผูกพันกับมนุษย์มากกว่าเผ่าอื่น ทำให้ท้ายที่สุดแล้ว ชาวเมืองเซลทิคอาศัยอยู่กระจัดกระจายตามที่ต่างๆ รวมทั้งการสร้างหมู่บ้านเล็กๆ ริมผาติดทะเลซึ่งในบัดนี้ถูกทิ้งร้างเนื่องจากภัยคุกคามของแวมไพร์

แต่เหตุผลที่หมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่ถูกรื้อทิ้ง นั่นก็เพราะพวกเขายังเอาไว้เก็บเสื้อผ้า และเครื่องนุ่งห่ม เผื่อใช้เมื่อต้องขึ้นมาจากทะเล ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ชาวเซลทิคดูจะมีรสนิยมในการแต่งกายแบบมนุษย์มากกว่าเงือกเผ่าอื่น

เพราะพวกเขาตาม 'สมัยนิยม' ทันตลอดเวลา

ราชาทะเลเหนือขยับเสื้อคลุมสีเข้มที่ตัดกับสีผิวขาวเผือดของเขา เพื่อจัดแจงให้มันเข้าที่เข้าทางระหว่างเดินจากหมู่บ้านร้างที่เคยเป็นของชาวเงือกแห่งเซลทิคมายังหมู่บ้านของมนุษย์ที่อยู่ห่างไกลออกไป โดยมีองครักษ์คนสนิทเดินเยื้องอยู่เบื้องหลังไม่ห่างกาย พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังร้านไม้เล็กๆ อันเป็นที่พำนักของหมาป่า เจ้าของผลงานแกะสลักหัวไม้เท้ารูปวาฬหลังค่อมที่วิจิตรงดงามในมือของราชาทะเลเหนือตอนนี้

แม้ชาวเซลทิคจะมีเสื้อผ้า และเครื่องประดับของมนุษย์เป็นของตนเอง แต่ฝ่าบาทไคราห์นไม่เคยเข้าใจเลยว่าเหตุใดมนุษย์เหล่านี้จึงต้องเดินถือไม้เท้า ทว่าเวสเทียร์กลับยินดีที่เป็นเช่นนั้น ด้วยเห็นว่ามันเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง และต่อให้ชาวเซลทิคจะภาคภูมิใจว่าพวกเขาใกล้ชิดมนุษย์ แต่ในยุคสมัยนี้ก็ไม่ใคร่จะมีมนุษย์ผู้ใดที่มีผมยาวสีเงินขาวเช่นฝ่าบาทไคราห์น ดังนั้นเขาจึงตกเป็นเป้าสายตาของชาวเมืองในทันทีที่ก้าวเข้าไปในถนนสายกลางซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย

ป้ายหน้าร้านรูปหมาป่าที่ทำจากไม้แกะบ่งบอกถึงฝีมือ ทว่าการตั้งชื่อร้านกลับเรียบง่ายไม่สะดุดตาทำให้ร้าน 'ท่อนไม้' ถูกมองข้ามอย่างง่ายดายหากไม่ใช่ผู้หลงใหลในงานฝีมือ อีกทั้งร้านก็มีขนาดเล็กมากและไม่มีกระจกหน้าร้านเพื่อแสดงสินค้าเหมือนเช่นร้านอื่นๆ อีกด้วย

กระดิ่งที่ประตูส่งเสียงเมื่อเวสเทียร์เป็นผู้เปิดประตูให้ฝ่าบาทไคราห์นก้าวเข้ามา

"สินค้ามีปัญหาหรือ ฝ่าบาท..."

แม้หมาป่าในยามคืนร่างจะมีขนาดร่างกายที่ใหญ่โตน่าเกรงขาม แต่หมาป่าผู้เป็นเจ้าของร้านนี้กลับเป็นชายร่างเล็กที่สูงไม่เกินไหล่ของไคราห์น อีกทั้งยังมีใบหน้าเยาวว์วัยกว่า แต่หากจะจำกัดความให้ถูกต้องก็คงจะต้องพูดว่าฝ่าบาททะเลแห่งเหนือและองครักษ์ของเขามีร่างกายที่สูงใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไปจึงจะถูก

ราชาหนุ่มเหลือบมองไม้เท้าในมือตนเล็กน้อย "เราอยากพบจ่าฝูงของเจ้า"

ดูเหมือนว่าหมาป่าหนุ่มจะคาดเดาคำพูดนี้ได้อยู่แล้ว จึงได้ทอดยิ้มออกมาช้าๆ "ไม่เสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระเลยนะ ฝ่าบาท" ชายหนุ่มผายมือไปยังที่นั่งสำหรับลูกค้า และวางอุปกรณ์ช่างในมือลงเสียก่อน เช็ดมือให้เรียบร้อยด้วยผ้าขนหนูแล้วจึงเดินไปหลังร้านเพื่อเตรียมเครื่องดื่มต้อนรับผู้มาเยือน

แม้จะรู้ว่าชาวบาดาลไม่ดื่มน้ำชาและน้ำเปล่าก็ตาม

มารยาทของมนุษย์เป็นสิ่งน่ารำคาญสำหรับไคราห์น แต่ก็ด้วยความคุ้นชินกับพิธีรีตรองของเซลทิคทำให้ราชาหนุ่มอดทนรออย่างใจเย็น เวสเทียร์ขยับไปยืนอยู่เบื้องหลังผู้เป็นนาย ขณะเหลือบตามองสำรวจไปทั่วร้านอย่างระวังระไว "เจ้าอยากได้ไม้เท้าบ้างหรือเปล่า เวสเทียร์" ราชาหนุ่มเหลือบมองชิ้นงานบนโต๊ะที่ยังไม่สิ้นสมบูรณ์ มันเป็นชิ้นไม้ที่กำลังจะถูกแกะเป็นรูปหมีตัวโต

"ไม้เท้าสำหรับมนุษย์เป็นเสมือนเครื่องมือแสดงยศฐา กระหม่อมจึงมิอาจปั้นแต่งบรรดาศักดิ์ให้เสมอฝ่าบาทได้"

"มันเป็นเพียงสิ่งสมมติในโลกมนุษย์ เจ้าจะมีบ้างก็ไม่เสียหาย ตราบใดที่ในบาดาล เจ้ายังเป็นองครักษ์ของเราอยู่" เวสเทียร์ค้อมหัวลงอีกครั้งโดยไม่กล่าวอะไรตอบ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงคำปฏิเสธ "ไม่ว่าจะเป็นโลกใด กระหม่อมก็ขอเป็นเพียงองครักษ์ของฝ่าบาท"

ช่างไม้กลับมาพร้อมกับชุดเครื่องดื่มซึ่งทำจากไม้ทั้งหมด "ข้าทราบมาว่าฝ่าบาทโปรดน้ำทะเล"

เงือกทั้งสองเลิกคิ้วขึ้นแทบจะพร้อมกันเมื่อเห็นว่าของเหลวในแก้วไม้ไม่ใช่ 'น้ำชา' หรือ 'ใบไม้ต้มน้ำจืด' ดังเช่นทุกทีที่เงือกทั้งคู่จะปฏิเสธ ทว่าครั้งนี้กลับเป็น 'น้ำทะเล' ที่ไร้การปรุงแต่ง และอาหารว่างเป็นหอยนางรมสดในฝา

"หมาป่าธรรมดาช่างไปหาสิ่งเหล่านี้มาได้รวดเร็วเสียจริงนะ วาร์เรน..."

ชายหนุ่มยิ้มรับคำชมกึ่งแดกดัน เผยให้เห็นเขี้ยวในปากของเขาที่ดูจะยาวกว่าหมาป่าอื่นๆ "ที่นี่คือตรอกกลางที่ใหญ่ที่สุดของบาธีมอร์ เหตุใดพ่อค้าแม่ขายในแถบนี้จะไม่รู้จักกันเหล่า ด้านหลังร้านข้าก็เป็นร้านขายอาหารทะเลนี่เอง" คู่สนทนานั่งลงที่หลังโต๊ะทำงานของเขา และรวบผมสีแดงยาวเอาไว้เป็นหางม้าที่ท้ายทอย ขณะมององครักษ์ข้างกายราชาหนุ่มหยิบแก้วไม้ไปดูและพิจารณาน้ำทะเลในนั้นอย่างไม่แน่ใจ

"ข้าได้ยินข่าวคราวจากพวกแวมไพร์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พรรคพวกของมันหายตัวไปสองคนอย่างไร้ร่องรอย"

"นั่นเป็นฝีมือของเวสเทียร์" ไคราห์นตอบ เขารับแก้วมาจากเวสเทียร์ที่พิสูจน์แล้วว่าน้ำทะเลในนั้นไม่มีพิษภัย "แวมไพร์รุกเข้ามาใกล้มากขึ้นจนน่ากลัวว่าอีกไม่นาน พวกเขาจะพบอาณาจักรเซลทิค และด้วยวิถีชีวิตของพวกเรา เราไม่สามารถหลบซ่อนอยู่ใต้ทะเลได้ตลอดไป" ช่างหมาป่าอาจจะคิดว่าร้านของตนอับแสงไปสักหน่อย จึงได้ลุกเดินไปเปิดม่านเพื่อให้แดดส่องเข้ามาภายใน

"เราต้องการติดต่อกับหมาป่า"

วาร์เรนทำท่าครุ่นคิดและลอบมองราชาเงือกทางหางตาเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นยกแก้วน้ำขึ้นจิบ "นายหญิงของข้าอาจจะวิ่งเล่นอยู่ในแถบนอร์เวย์ที่ห่างไกล แต่หากนี่เป็นโอกาสที่จะมำให้เราสามารถจัดการกับแวมไพร์กลุ่มใหญ่ที่ละเมิดกฎของอมนุษย์ได้ ข้าคิดว่านางพร้อมจะวิ่งข้ามมายังไอร์แลนด์" เวสเทียร์หยิบหอยนางรมสดขึ้นมาพิจารณาเพื่อตรวจสอบว่ามันมีอันตรายหรือไม่ ก่อนจะส่งให้ฝ่าบาท ผู้ยกมือขึ้นปฏิเสธรวดเร็วราวกับตัดสินใจได้ตั้งแต่แรกเห็นว่าเขาจะไม่กินหอยนางรม

ดังนั้นองครักษ์หนุ่มจึงต้องกลืนหอยตัวนั้นลงคอไป...

"ชาวเราทำได้เพียงป้องกันตัว แต่หากหมาป่ายืนยันจะร่วมมือ เราคิดว่า..."

ไคราห์นชะงักไปครู่หนึ่งราวกับพยายามหยุดความรู้สึกกลัวที่ก่อตัวขึ้นมาในจิตใจ

"เราคิดว่าชาวเซลทิคพร้อมที่จะต่อสู้" องครักษ์สัมผัสได้ถึงความหวั่นไหวของผู้เป็นนาย ฝ่าบาทไคราห์นยังคงฝังใจกับเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์ที่พรากน้องชายของเขาไปโดยที่ชาวเซลทิคไม่ได้สามารถพลิกสถานการณ์ให้เหนือกว่าได้เลย

"บาธีมอร์ไม่ใช่สมรภูมิที่เหมาะสม ที่แห่งนี้พลุกพล่านด้วยผู้คน และหากความลับการมีตัวตนของเหล่าอมนุษย์แพร่งพรายออกไป ข้าเกรงว่าผู้ที่เดือดร้อนอาจไม่ใช่ชาวเงือกแห่งเซลทิคฝ่ายเดียว แต่หมายรวมถึงหมาป่า นางพราย และแวมไพร์" วาร์เรนกล่าวตอบ "และข้าไม่คิดว่าการต่อสู้ครั้งเดียวจะทำให้ความวุ่นวายจบสิ้น แวมไพร์พวกนั้นไม่ได้ต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อื่นใด แต่ต้องการแหล่งอาหารใหม่ และแหล่งพลังงานที่จะทำให้พวกมันสามารถเอาชนะ..."

คนพูดชะงักไปและสูดหายใจเข้าลึก "เอาชนะราชาแวมไพร์"

"ไม่ว่าจะเป็นการเข่นฆ่าเพื่อการใด การฆ่าก็คือสิ่งที่เรายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้" เวสเทียร์เอ่ยขึ้นบ้าง ขณะที่ราชาของเขากำลังจิบน้ำในแก้ว "หากบาธีมอร์ไม่ใช่สมรภูมิที่เหมาะสม ที่ใดจะเหมาะสมอีก นี่เป็นการต่อสู้เพื่อถิ่นที่อยู่ วาร์เรน... ไม่ใช่เพื่ออำนาจ ดังนั้นบาธีมอร์ซึ่งเป็น 'บ้าน' จึงเป็นสมรภูมิที่เหมาะสมที่สุด"

"แวมไพร์พวกนั้นต้องการฆ่าราชาแวมไพร์" วาร์เรนกล่าวตอบ "ทำไมพวกเจ้าไม่หลอกล่อพวกมันไปยังอังกฤษ"

"ทะเลอัลบิออนเป็นของอาณาจักรมารินาการ์ด" ไคราห์นกล่าวเสียงเรียบ ทว่าทรงพลัง "เราไม่สามารถโยนภาระของเราไปยังอาณาจักรอื่นได้ หากเราหลอกล่อแวมไพร์ไปยังอังกฤษ ด้วยการบอกว่าพวกเราอาศัยอยู่ที่อังกฤษ ทว่ามาเดินเล่นที่บาธีมอร์... หากพวกมันโง่เชื่อในคำพูดเรา ชาวเงือกแห่งทะเลอัลบิออนจะได้รับความเดือดร้อน แม้ว่าพวกวิถีชีวิตของเขาจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าเงือกเผ่าวาฬก็ตาม"

"แต่เราไม่คิดว่าพวกมันจะโง่หรอกนะ"

"พวกแวมไพร์ทะเลาะกันเอง ฝ่าบาท" วาร์เรนคิดว่าเขาควรจะอธิบายสถานการณ์ให้ชาวบาดาลเข้าใจ "และการทะเลาะของพวกมันจะก่อให้เกิดสงครามนองเลือดที่รุนแรงเกินกว่าจะปิดบังพวกมนุษย์ได้ ในตอนนี้พวกมันขาดผู้นำ และกำลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อนำพานางกลับมาจากความตาย ซึ่งนั่นทำให้ชาวเงือกถูกเพ่งเล็ง เพราะเลือดของชาวบาดาลมีอำนาจพอที่จะปลุกชีพแวมไพร์"

วาร์เรนเหลือบตาขึ้นมองราชาทะเลเหนือ "โดยเฉพาะเลือดที่มีพลังในการเยียวยาอย่างเลือดของฝ่าบาท"

เวสเทียร์ไม่พอใจที่อีกฝ่ายบังอาจมองสบตาผู้นำอาณาจักร แต่ก่อนที่เขาจะออกปากปรามการกระทำที่อาจเอื้อมนั้น ไคราห์นก็ยกมือขึ้นปรามตัวเขาราวกับรู้ทันในความคิด "เช่นนั้นก็ควรจะให้พวกมันเพ่งเล็งเพียงตัวเรา หาใช่เข่นฆ่าประชาชนของเรา"

"แวมไพร์ต้องดื่มเลือดของสัตว์อื่นเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตต่อไป" วาร์เรนถอนใจ "ไม่มีหนทางใดที่จะห้ามพวกเขาเข่นฆ่า พวกเขาเป็นนักล่า และทางเดียวที่จะต่อสู้กับพวกเขาคือการเอาชนะ ซึ่งข้าจะติดต่อกับนายหญิงของข้าเพื่อการต่อสู้นี้ ขอเพียงแค่ฝ่าบาทคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรเพื่อนำพาพวกมันไปยังอังกฤษ แทนที่จะเป็นบาธีมอร์"

"เจ้าร้องขอในเรื่องยากเสียเหลือเกิน"

"ฝ่าบาท... เราอาจได้รับความช่วยเหลือจากราชาแวมไพร์ หากเป็นที่อังกฤษ ที่นั่นมีคฤหาสน์แวมไพร์อยู่หลายแห่ง และดินแดนที่เปลี่ยวร้างเหมาะสมกับการต่อสู้ของอมนุษย์" แม้คำแนะนำของวาร์เรนจะเป็นการช่วยเหลือ แต่เมื่อพูดถึงความช่วยเหลือ 'จาก' แวมไพร์ สีหน้าที่เรียบเฉยของไคราห์นก็แปรเปลี่ยนเป็นความดุดันในอึดใจเดียว

"ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์พวกใด เราก็ไม่ต้องการจะสมาคม" ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เป็นการตัดบทสนทนา "เราจะหารือกับจ่าฝูงของเจ้าเมื่อนางเดินทางมาถึง"

"เช่นนั้น เมื่อได้ยินเสียงของฝูงหมาป่าในอีกประมาณหนึ่งเดือนนับจากนี้ จะเป็นการมาถึงของนายหญิง"

ไคราห์นไม่ตอบคำ เขายกหมวกทรงสูงขึ้นใส่ตามสมัยนิยมของมนุษย์ และถอยออกมาจากร้านโดยมีช่างหมาป่าค้อมหัวส่ง ก่อนจะกลับไปตามทางเดินในตรอกกลางซึ่งพลุกพล่านไปด้วยผู้คน และในเวลานี้ก็เป็นเวลาเที่ยงวันซึ่งมีแสงแดดสาดส่องทั่วเมือง เป็นการยืนยันความปลอดภัยจากการโจมตีของแวมไพร์

"ฝ่าบาทกระหม่อมขอออกความเห็น" เวสเทียร์เอ่ยเสียงเบา

"อืม..."

"กระหม่อมเห็นด้วยว่าบาธีมอร์ไม่เหมาะสมจะเป็นสมรภูมิ หากกังวลถึงความปลอดภัยในความลับของการมีตัวตนของเผ่าพันธุ์ แต่ว่า... การผลักภาระให้แผ่นดินอังกฤษจะทำให้ชาวมารินาการ์ดในทะเลอัลบิออนเดือดร้อน"

"เราก็ไม่คิดว่าบาธีมอร์จะเหมาะสม" ไคราห์นตอบ "แต่ต้องไม่ใช่อังกฤษ ไม่ใช่อัลบิออน..."

"เช่นนั้นแล้วเราควรจะทำอย่างไรต่อไป"

ไคราห์นเหลือบมองคนข้างกายครู่หนึ่งขณะขบคิด "เราอาจต้องหารือกับมารินาการ์ด" ราชาเงือกมุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้านร้างเพื่อเปลี่ยนการแต่งตัว เพื่อจะกลับไปยังอาณาจักรเซลทิคอีกครั้งหลังจากเสร็จธุระ

"หอยนางรมรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง"

เวสเทียร์พยักหน้าน้อยๆ และตอบอุบอิบ "อร่อยขอรับ" คำตอบนั้นทำให้ราชาเงือกหัวเราะเบาๆ ในลำคอด้วยความเอ็นดู

"พวกเจ้ามันเผ่ากินเนื้อ"

.

.

.

เจ้าของร้านแกะสลักมองตามราชาทะเลเหนือและองครักษ์ของเขาหายตัวไปในกลุ่มคน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนที่ดูเหมือนจะเปิดโล่งและสดใสกว่าที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มถอนใจยาวออกมาและเอนตัวพิงประตูร้านด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน  "พวกเงือกวาฬนี่ช่างดื้อดึง ตัวก็ใหญ่ จะขึ้นมาแต่ละทีก็ทำให้แปลกใจได้ทุกครั้งเลยเชียว"

--------------------------------------------------

สมัยนิยม... เป็นคำแปลของ trend เพื่อให้เข้ากับแนวเรื่องที่ดูจะต้องใช้ภาษาเก่าตลอดเวลา และเนื่องจากความทันสมัยของชาวเซลทิคนี้เองง ง... เราจึงสามารถเห็นฝ่าบาทไคราห์นในชุดสูทยุค 1850s ได้ เอร๊ยยย

จะเห็นว่าคู่นี้เป็นอีกคู่ที่คุยกันเรื่องงานได้ดีกว่ากว่าคุยเรื่องส่วนตัว พอเป็นช่วงเวลาส่วนตัวก็จะนั่งมองกัน(?)เงียบๆ เนิบๆ ไม่มีอะไรจุกจิก แต่ถามง่าเวสเทียร์พูดไหม ก็พูดอยู่นะ... ชอบตอนที่นางบอกว่าหอยนางรมอร่อย... นี่อาจเป็นความจริงใจครั้งแรกที่นางพูดก็ได้---

อย่าลืมว่าวาฬเพชฌฆาตเป็นวาฬอ้วนที่กินทุกอย่างที่กินได้...

ใช่... คำพูดของฝ่าบาทไคราห์นที่บอกว่า "พวกเจ้ามันเผ่ากินเนื้อ" คือเป็นคำด่าอย่างเอ็นดู 555
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 6.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 30-04-2017 19:50:06
ตอนที่ 6.1

ฝ่าบาททะเลเหนือได้พบกับหมาป่าครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน

แม้ว่าจะเป็นคำสั่งของเขาที่ห้ามชาวบาดาลขึ้นมายังโลกเบื้องบน แต่ไคราห์นกลับลอบเข้ามาเดินในตัวเมืองเสียเอง เพียงเพื่อค้นหาบางสิ่งที่ชาวเงือกแห่งเซลทิคตัดใจจากมันไม่ได้ มันคือเครื่องประดับที่ทำจากไข่มุก ซึ่งแม้จะเสียชื่อเงือกอยู่บ้างที่ต้องมาตามหามุกเนื้อสวยจากมนุษย์ซึ่งอาศัยอยู่บนบก แต่ฝ่าบาทไคราห์นมั่นใจว่าเขาสามารถหนีขึ้นมาเบื้องบนเพียงลำพังได้ง่ายกว่าการหนีลงไปไล่หามุกในหอยนับร้อยนับพันตัวที่ก้นทะเลเคลติก ซึ่งไม่ใช่วิสัยของราชา

อีกทั้งไม่มีทางจะแอบๆซ่อนๆได้อีกด้วย เนื่องจากเขาต้องขึ้นไปหายใจอยู่เป็นระยะ

 แต่การขึ้นมาเพียงลำพังก็เป็นเรื่องเสี่ยง ดังนั้นฝ่าบาทจึงเลือกช่วงเวลากลางวันในฤดูร้อนซึ่งมีแดดจ้า ซึ่งอาจไม่ส่งผลดีต่อผิวขาวที่ทนต่อแสงไม่ได้นาน แต่ทำให้เขามั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกโจมตีโดยพวกแวมไพร์ ทว่าแวมไพร์ก็ไม่ใช่อมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวที่รู้ถึงการมีตัวตนของเขาในเมืองท่าบาร์ธีมอร์แห่งนี้

...ยังมีพวกหมาป่าอีกด้วย

ไคราห์นสัมผัสได้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่ไม่ใช่ความกดดันคุกคาม แต่เป็นสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองเขาตลอดเวลาที่เดินปะปนกับผู้คนในเมือง ชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองมีความสูงมากกว่ามนุษย์ทั่วไป อีกทั้งยังมีผิวพรรณที่เผือดซีด และเส้นผมที่ขาวโพลน แต่มนุษย์อื่นมองเขาด้วยความสนใจเพียงครู่เท่านั้น หาใช่การจับจ้องไม่วางตาเช่นนี้

ราชาหนุ่มทันเห็นว่าใครคนนั้นเป็นเจ้าของดวงตาสีเหลืองอำพัน เป็นสตรีร่างเล็กในชุดยาวสีม่วงเข้มยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมา แววตาของนางวาวโรจน์ และฉายความเป็นอมนุษย์อย่างไม่ปิดบัง เมื่อเขาก้าวเข้าไปหาอย่างไม่กลัวเกรง หญิงสาวก็แหงนขึ้นมองเขาอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน

และกลิ่นอายอมนุษย์ของนางเด่นชัด และบอกเขาได้ในทันทีว่านางเป็นใคร

"เราได้ยินชื่อเสียงของแม่หญิงซินเนย์วาแห่งป่านอร์เวย์มาเนิ่นนาน ไม่คาดฝันว่าจะได้พบ"

หญิงสาวมีผมสีดำขลับยาวหยักเป็นลอน รับกับใบหน้าคมสวย และดวงตาสีอำพันอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าหมาป่า นางค่อยๆยกมุมปากทั้งสองข้างขึ้นเป็นรอยยิ้มปั้นแต่งที่สวยงามสมบูรณ์แบบขณะแหงนมองคู่สนทนาที่สูงส่ง และเจิดจ้าเสียจนน่ากลัวว่าผมสีเงินยาวนั้นจะละลายหายไปกับแสงอาทิตย์

"นับเป็นเกียรติของข้าเช่นกัน ...ฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิค"

มีหรือที่นางจะไม่รู้จักราชาผิวเผือกผู้กล้าหาญของเผ่าเงือก ที่แม้จะไร้ซึ่งหนทางเอาชนะแต่ก็ยืนหยัดต่อสู้เพื่ออิสรภาพของตน ต่อให้แพ้พ่าย แต่อำนาจของราชาและพลังแห่งราชวงศ์ก็ทำให้เขากลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง แม้จะยังดิ้นไม่พ้นสถานะ 'เหยื่อของแวมไพร์' ก็ตามที

"น่าประหลาดที่ข้าเพียงมาเดินเล่นในตลาดบาร์ธีมอร์หลังลงจากเรือโดยสาร กลับพบฝ่าบาทเสียได้" ซินเนย์วาเปรย "เช่นนั้นข่าวลือที่ว่าชาวเงือกแห้งเซลทิคตัดขาดจากแผ่นดินแล้วโดยสิ้นเชิง ก็เกรงว่าจะเป็นความเท็จกระมัง" เมื่อถูกทักเช่นนั้น ราชาหนุ่มก็อดรู้สึกเสียหน้าไม่ได้ จริงอยู่ว่าคงไม่มีข้าราชบริพานคนไหนกล้าตำหนิติเตียนเขา แม้กระทั่งฟาล แต่เมื่อถูกจ่าฝูงหมาป่าตั้งข้อสังเกต ไคราห์นก็รู้สึกเหมือนตนถูกดุไม่ปาน

"เรามีธุระบางอย่างบนแผ่นดิน จึงได้แวะเวียนมาเป็นครั้งคราว"

แต่แล้วดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกก็เหบือบมองสร้อยไข่มุกซึ่งทอดตัวอยู่บนเนินอกเนียนสวยของหมาป่าสาว มันล้วนแล้วแต่เป็นไข่มุกเนื้อดีที่มีราคามากในหมู่มนุษย์ และเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่เงือกด้วยกัน "แล้วจ่าฝูงหมาป่ามีธุระอันใดที่บาร์ธีมอร์แห่งนี้กันเล่า"

ซินเนย์วาทอดยิ้มออกมาเมื่อสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่ดูจะสนใจไข่มุกของนาง

"ข้ามาเยี่ยมสมาชิกฝูง... ที่ได้รับการแต่งตั้งให้คอยดูแลความเรียบร้อยของบาร์ธีมอร์"

"ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นอาณาเขตของหมาป่าไปแล้วหรือ แต่เราก็ยังเห็นแวมไพร์มาป้วนเปี้ยนอยู่ในที่แถบนี้ตลอดเวลา" คำพูดนั้นเปรียบได้กับการหยั่งเชิง และตำหนิต่อว่านางจ่าฝูง หมาป่านั้นไม่ถูกชะตากับแวมไพร์จนเรียกได้ว่าเป็นคู่ปรับกัน ดังนั้นเหตุผลที่นางส่งคนมาดูแลเมืองแห่งนี้ก็เพื่อช่วยสอดส่องไม่ให้แวมไพร์กระทำความผิดมากจนเกินควร นั่นคือการรุกรานและคุกคามสิ่งมีชีวิตอื่นที่พวกเขาเรียกว่า 'เหยื่อ' ซึ่งรวมถึงประชาชนชาวบาดาลแห่งเซลทิคด้วย

แต่มาจนถึงตอนนี้ ชาวเงือกก็ยังถูกฆ่าเป็นอาหารเมื่อมีโอกาส...

กล่าวได้ว่านั่นคือความล้มเหลวของหมาป่า

"หมาป่าเพียงตัวเดียวจะไปทัดทานอะไรได้ ข้าเองก็มีอาณาเขตที่ต้องดูแล แม้ว่าจะอยากเรียกสมัครพรรคพวกให้มาร่วมกวาดล้างแวมไพร์นอกรีตที่ยังหลงเหลืออยู่ในบาร์ธีมอร์ก็ตาม" หญิงสาวก้าวออกเดิน เนิบช้าและเชื้อเชิญให้ราชาทะเลเหนือร่วมการเดินทางเพื่อสานต่อบทสนทนา

"เช่นนั้นแล้ว... เหตุใดจึงต้องทิ้งเอาไว้ตัวหนึ่ง หากไม่สามารถทำอะไรได้"

"คนส่งข่าวอย่างไรเล่า ฝ่าบาท" นางเดินมาถึงร้านเล็กๆที่หัวมุมถนน ร้านในห้องแถวที่ไร้ซึ่งหน้าต่างกระจกด้านหน้า ทว่าด้านบนประตูกลับมีป้ายเล็กๆซึ่งเป็นงานแกะสลักรูปหมาป่าที่ละเอียดปราณีต กับชื่อร้าน 'ท่อนไม้' อันแสนจะธรรมดา ซินเนย์วาเปิดประตูเข้าไปและฝ่าบาทก็ต้องเบิกตาขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่าด้านในนั้นเต็มไปด้วยงานแกะสลักที่สวยงาม ซึ่งมีทั้งเครื่องประดับ และของตกแต่ง

อีกทั้งยังมีเครื่องประดับที่ใช้ไข่มุกประกอบอีกด้วย

เจ้าของร้านเป็นชายหนุ่มที่สูงกว่าซินเนย์วา มีใบหน้าเยาว์วัยเสมอกันราวกับเป็นพรสวรรค์ของพวกหมาป่าและแวมไพร์ ฝ่ายนั้นมีผมสีแดงเพลิง และดวงตาสีเดียวกัน เขี้ยวที่ดูจะยาวกว่าปกติโผล่พ้นริมฝีปากออกมาเล็กน้อยทำให้เขาดูมีเสน่ห์และน่าค้นหาสำหรับสตรี

"นี่คือวาร์เรน... สายสืบที่ข้ามอบหมายให้ดูแลความเรียบร้อยของบาร์ธีมอร์"


--------------------------------------------------

แม้หน้าที่ขององครักษ์จะต้องอยู่เคียงกายราชาตลอดเวลา แต่ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นของทุกวัน เวสเทียร์ก็มีภารกิจของผู้นำเผ่าเพชฌฆาต นั่นคือการออกล่าหาอาหาร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ราชาทะเลเหนือใช้เวลาอยู่กับเรื่องส่วนตัว เช่นการหวีผม และพูดคุยกับน้องสาวของเขาซึ่งก็คือองค์หญิงอาโกรนาห์

"น้องได้ยินว่าท่านพี่กับเวสเทียร์ขึ้นไปยังเบื้องบนเมื่อวานนี้"

ไคราห์นยังคงหวีผมของตนต่อไปอย่างใจเย็น แม้ในใจจะนึกคาดโทษองครักษ์สักตนที่นำข่าวนี้ไปบอกองค์หญิง "มีธุระอันใดที่ชาวเงือกจะต้องติดต่อกับเบื้องบนหรือคะ" อาโกรนาห์ยังคงขุ่นเคืองเมื่อครั้งที่แล้วถูกผู้เป็นพี่ต่อว่าเสียจนหน้าชา แต่ในครั้งนี้ ราชาทะเลเหนือกลับเป็นฝ่ายละเมิดกฎที่เขาเป็นผู้ตั้งขึ้นมาเอง

นั่นคือการ 'ห้ามชาวเซลทิคก้าวขึ้นจากน้ำในร่างมนุษย์นับแต่นี้'

"เราจะติดต่อกับพวกหมาป่า" ฝ่าบาทตอบเสียงเรียบ และเหลือบตาขึ้นมองประสานกับน้องสาวช้าๆ "ได้ยินว่าพวกหมาป่าเองก็ไล่ล่าแวมไพร์นอกรีตนั่นอยู่ และมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะตกลงร่วมมือกับเรา" เมื่อได้ยินความคิดของราชาหนุ่มอีกครั้ง องค์หญิงว่าที่รัชทายาทก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ และกล่าวคัดค้านในทันที

"แม้ว่าครั้งนี้ท่านพี่จะเอาพวกหมาป่ามาอ้าง แต่อย่างไรพวกเราก็อยู่ในฐานะ 'เหยื่อ' พวกเราไม่มีทาง..."

"คิดว่าเราอยากให้สงครามมันเกิดอย่างนั้นหรือ อาโกรนาห์" ไคราห์นเสียงแข็งขึ้นจนองค์หญิงชะงัก "คิดว่าเราต้องการต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเราจะไม่ชนะอย่างนั้นหรือ" เมื่อเห็นความหวาดกลัวในดวงตาของน้องสาว ผู้เป็นพี่จึงยอมอ่อนถอย "แต่เพราะมันเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากการคุกคามของพวกมัน เราจะต้องสู้... และเราจะต้องชนะ"

อาโกรนาห์มุ่นคิ้ว และเอ่ยถามอย่างไร้ซึ่งความมั่นใจ "เราจะไม่แพ้แบบครั้งที่แล้วหรอกหรือ"

"มันเป็นทางออกสำหรับเรา" ไคราห์นว่า เขาวางหวีกระดูกสัตว์เอาไว้บนแท่นข้างกาย "สำหรับราชาที่ไม่ได้รับความนับถือจากประชาชน ยิ่งเก็บตัวหลบซ่อนก็ยิ่งดูขี้ขลาดหวาดกลัวความพ่ายแพ้" แววตาของราชาทะเลเหนืออ้างว้างและโดดเดี่ยวเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นองค์หญิงอาโกรนาห์ก็ไม่เคยเห็นพี่ชายยอมแพ้ "การตายของเดียร์ราฮานไม่ใช่เพียงความสูญเสียของราชวงศ์ แต่มันยิ่งทำให้ประชาชนหมดศรัทธาในตัวราชา"

"ท่านพี่..."

"หากเราต้องการความศรัทธานั้นคืนมา... เราจะต้องทำทุกอย่าง"

อาโกรนาห์ถอนใจเบา นางป่ายปัดมือไปบนผิวน้ำเบื้องหน้าขณะทอดมองเงาของตนเอง "เช่นนั้น น้องคงต้องร่วมมือด้วย" นางเหลือบดวงตาสีดำขลับขึ้นมองพี่ชาย "อย่างน้อยราชาและรัชทายาทก็ไม่ได้แตกคอกัน... แม้จะช่วยสิ่งใดไม่ได้มาก แต่น้องก็ไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของท่านพี่..." คนเป็นพี่ทอดยิ้มจางเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเอื้อมมือขึ้นมาลูบผมสีเข้มของคนตรงหน้าช้าๆ อาโกรนาห์ค้อมหัวลงเล็กน้อยเพื่อให้ราชาเอ็นดูนางได้ถนัดขึ้น

"ท่านพี่ ให้น้องเปียผมให้ไหมคะ..."

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 6.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 30-04-2017 19:51:45
ตอนที่ 6.2

เผ่ากินเนื้อทั้งสองออกไปล่าหลังจากตื่นตาตื่นใจกับฝูงปลาในทะเลอัลบิออน

แม้เงือกเผ่าเพชฌฆาตจะได้ชื่อว่าเป็นเผ่ากินเนื้อ แต่พวกเขาก็มีชั้นเชิงในการล่าและมีมารยาทในการกินที่ดี เวทอร์สรู้มาว่าชาวมารินาการ์ดไม่กินปลา ดังนั้นการล่าปลาในอาณาเขตของพวกเขาอาจเสียมารยาทพอๆกับการล่าวาฬในอาณาเขตของเซลทิค เงือกหนุ่มและวาฬใหญ่ผู้ติดตามจึงว่ายน้ำออกไปไกลจากอาณาจักรในเวลาเช้ามืด เพื่อติดตามฝูงปลาแฮร์ริงขนาดใหญ่ และจับมาเป็นอาหาร

เงือกเผ่าเพชฌฆาตจะมีมีดประจำตัวเล่มหนึ่งซึ่งทำจากกระดูกสัตว์พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากพวกเขากินปลาเป็นอาหาร ดังนั้นแต่ละคนจะต้องแล่เนื้อปลาได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากเครื่องในของปลาบางชนิดอาจทำให้ชาวเงือกเจ็บป่วยได้ พวกเขาจึงเลี่ยงด้วยการกินแต่ส่วนเนื้อ และทิ้งกระดูกให้กับสัตว์อื่นเช่นแทน

สัตว์อื่นที่ว่าก็เช่นนกทะเลที่บินโฉบอยู่เบื้องบน... แต่คงไม่ใช่วาฬเพชฌฆาต

"คาดันน์!"

เวทอร์สขยับหางพาตัวเองว่ายหนีสัตว์ใหญ่ที่ติดตามมาด้วยหลังจากแล่เนื้อปลาเสร็จแล้วแต่เจ้าวาฬยักษ์กลับเอาคางมาเกยร่างเขาราวกับขอให้ป้อนสิ่งที่อยู่ในมือ "จะเอาก้างหรือไร!" แน่นอนว่าคำตอบของสัตว์ใหญ่ย่อมเป็นการส่ายหัว มันขยับหางใหญ่โตเพื่อจะดันร่างมหึมาเบียดอ้อนเงือกหนุ่ม พร้อมกับอ้าปากรอชิ้นเนื้อที่ควรจะเป็นของเวทอร์ส

"ไม่มีวันเสียล่ะ!"

แม้คาดันน์จะเหมือนเด็กที่มีร่างกายมหึมา ไม่รู้ประสาหรือกาละเทศะ แต่หากเป็นเรื่องการล่าแล้ว เวทอร์สก็คิดว่าอย่างไรวาฬเพชฌฆาตก็คือวาฬเพชฌฆาตอยู่ดี สัตว์ใหญ่พ่นฟองอากาศออกจากรูจมูกเล็กน้อยแทนคำบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะขยับร่างว่ายขึ้นไปหายใจ และกลับมาเพื่อล่าปลาด้วยตนเอง ด้วยการพุ่งเข้าใส่ฝูงปลาและใช้หางมหึมาฟาดใส่พวกมันจนมึนงง และกลับมาจัดการ

สำหรับชาวเงือกแล้ว ปลาแฮร์ริงสักสามสี่ตัวก็มากเกินพอ แต่สำหรับสัตว์ใหญ่ กว่าคาดันน์จะรู้สึกอิ่มและพร้อมเดินทางกลับ ดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้าไปมากแล้ว

"พวกเขาคงออกไปล่า"

ราชินีเรจินาเอ่ยกับองครักษ์ข้างกาย "เราได้ยินเสียงวาฬอยู่ไกลๆ พวกเงือกเผ่าเพชฌฆาตเป็นเผ่ากินเนื้อ แตกต่างจากพวกเรา แต่ถึงกระนั้น การที่ท่านผู้แทนจากเผ่าอื่นมาล่าปลาในเขตใกล้ๆ มารินาการ์ดก็เป็นเรื่องที่เราไม่ชินสักเท่าไหร่"

ฟาเบียงหัวเราะเบาในลำคอ "องครักษ์ผู้นั้นก็รู้กาละเทศะดี การล่าปลาในเขตมารินาการ์ดก็ไม่ต่างจากการล่าวาฬในเขตของเซลทิค พวกเขาจึงเดินทางออกไปจากอาณาจักรตั้งแต่เมื่อเช้าตรู แต่การสื่อสารของพวกวาฬใช้คลื่นเสียงเป็นหลัก ซึ่งมันดังมากพอที่จะทำให้เราได้ยิน"

"บางครั้งเราก็สงสัยนักว่าปลานี่รสชาติเป็นอย่างไรหนอ" ราชินีว่า "แต่ก็คงกินไม่ลงหรอก"

ฟาเบียงยิ้มจางขณะเหลือบมองสตรีข้างกายซึ่งตัวเล็กกว่าเขาพอสมควร "เผ่าวาฬใช้พลังงานมากในแต่ละวัน พวกเขาจึงต้องการอาหารปริมาณมาก เพียงแค่ขนาดตัวก็ใหญ่กว่าชาวมารินาการ์ดตั้งเท่าไหร่ โดยเฉพาะเผ่าเพชฌฆาตที่ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่สามารถกระโจนขึ้นจากน้ำได้สูงกว่าความยาวของตัวเองหลายเท่าตัว" คำร่ำลือนั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับชาวเงือก เพราะไม่ว่าเงือกเผ่าใดก็สามารถกระโดดขึ้นจากน้ำได้เพียงแค่ช่วงตัวเท่านั้น แต่สำหรับเผ่าเพชฌฆาต พวกเขาได้ชื่อว่าเป็นนักล่า และมีพละกำลังมาก เงือกวาฬเพชฌฆาตจึงเป็นกลุ่มที่น่ายำเกรงสำหรับเผ่าอื่น

แต่เผ่าเพชฌฆาตนี้เองที่สาบานความซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์แห่งเซลทิค

ดังนั้นหากจะกล่าวว่าเผ่าเพชฌฆาตน่ากลัว ราชวงศ์เซลทิคก็คงจะมีความน่าเกรงขามยิ่งกว่า

"การกระทำของเกลเลสและคณะนักล่านับเป็นความผิด แต่ในบางครั้งเราก็เกร็งที่จะพูดคุยกับพวกเซลทิค ด้วยรู้ว่าบ้านเมืองแห่งนั้นโหดร้ายกว่ามารินาการ์ดมาก แต่ในความเป็นราชินีแล้ว เราก็ไม่สามารถละทิ้งคนของตนเองได้เช่นกัน" เรจินาถอนใจ "เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยว่าฝ่าบาทไคราห์นจะเรียกร้องสิ่งใด"

แม้จะเป็นเพียงองครักษ์คนสนิท แต่เมื่อเห็นฝ่าบาทแห่งมารินาการ์ดหวั่นไหว ฟาเบียงก็ค่อยๆเคลื่อนมือไปสัมผัสกับมือของพระนาง แต่ก็คงไม่สามารถพูดอะไรเพื่อปลอบใจได้ ด้วยเขาเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นผู้นำดี

"เราจึงต้องเดินทางไปด้วยตนเอง... เพื่อปกป้องประชาชนของเรา"

องครักษ์คนสนิทค่อยๆ ปล่อยมือและขยับกายเคลื่อนไปประจำตำแหน่งของตนเมื่อรู้สึกได้ว่ามีเงือกอีกตนว่ายเข้ามา

"ฝ่าบาท ราชรถพร้อมแล้วขอรับ" ราชินีแห่งมารินาการ์ดกลั้นใจลึกเพื่อเรียกความมั่นใจตนเองกลับมา พระนางจะต้องเดินทางไปยังอาณาจักรเซลทิคพร้อมกับองค์ชายเร็กซ์ ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่เรื่องดีที่ผู้นำอาณาจักรจะเดินทางไปไกลจากบ้านเมือง แต่เกลเลสเป็นองครักษ์คนสนิทขององค์ชายเร็กซ์ อีกทั้งชายาของเขาก็มาจากเผ่าโลมาแห่งเซลทิค จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะห้ามองค์ชายไม่ให้เดินทางร่วมไปด้วย

ดังนั้นพระนางจึงต้องฝากบัลลังก์เอาไว้กับคนสนิทของตนแทน

"ฟาเบียง... เราฝากฝังบัลลังก์ไว้กับเจ้าชั่วคราว"

"ด้วยความภักดี" องครักษ์หนุ่มค้อมหัวลง "กระหม่อมจะปกป้องมารินาการ์ดด้วยชีวิต"

--------------------------------------------------

เวสเทียร์กลับมายังถ้ำลอดที่ประทับของฝ่าบาทเมื่อกลับมาถึงอาณาจักร และกลับไปประจำที่ของเขาซึ่งนั่นก็คือข้างแท่นนอนซึ่งทำจากหินและบุปูด้วยฟองน้ำนุ่ม ดูเหมือนว่าฝ่าบาทเพิ่งจะหวีผม และนั่งสนทนากับองค์หญิงอาโกรนาห์ตามประสาพี่น้อง สังเกตได้จากเส้นผมยาวสลวยที่เป็นระเบียบมากขึ้น และเปียเล็กๆที่ข้างแก้มซึ่งนางน่าจะเป็นผู้ถักให้ ราชาหนุ่มชอบนั่งพักผ่อนในถ้ำลอดแห่งนี้จนถึงเวลาสาย จึงค่อยกลับลงไปยังอาณาจักรเซลทิคด้านล่าง ดังนั้นเวสเทียร์จึงไม่แปลกใจที่เชื้อพระวงศ์มักจะมาพบฝ่าบาทในเวลานี้

แม้เชื้อพระวงศ์ที่ว่าจะเป็นองค์หญิงอาโกรนาห์เพียงองค์เดียวก็ตาม

อดีตพระชายาเอกผู้เป็นมารดาของฝ่าบาทปลีกตัวออกไปจากราชวงศ์หลังจะทนรับแรงกดดันและข้อครหาไม่ไหว พระนางไม่สามารถทนฟังเสียงซุบซิบนินทาอันไม่ให้เกียรติบุตรชายของนางได้อีก ว่าเหตุใดเขาจึงมีผิวพรรณที่แตกต่างจากเชื้อพระวงศ์คนอื่นมากเสียเหลือ แม้ข่าวลือพวกนั้นจะเงียบลงไปแล้วหลังจากไคราห์นได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ของเซลทิคอย่างเต็มตัว

แต่พระนางก็ยืนยันที่จะจากไป... อดีตราชาแห่งเซลทิคจึงติดตามไปด้วยเหตุผลของสามีที่ดี

"ยิ้มด้วยเหตุผลอะไรกัน..." แม้สายตาของฝ่าบาทจะทอดมองผืนน้ำตรงหน้า และพิจารณาใบหน้าของตนเอง แต่เขาก็สังเกตเห็นสีหน้าและอารมณ์ของเวสเทียร์ได้ด้วยหางตา "ได้รับคำชมจากฟาลหรืออย่างไร" ฟาลเป็นญาติสนิทอาวุโสของเวสเทียร์ และฝ่ายนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นคนช่างติ นานๆ สักทีหนึ่งจะเอ่ยคำชม ดังนั้นคำชมของฟาลจึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากพอๆ กับรอยยิ้มของเวสเทียร์

ซึ่งมันมักจะมาควบคู่กัน

"เปล่าขอรับ" แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ "กระหม่อมเพียงคิดว่าเปียผมเล็กๆนั่นช่างดูอบอุ่นเหลือเกิน"

ไคราห์นละสายตาจะผืนน้ำมามององครักษ์ของตน "เจ้ามองหน้าเราอย่างนั้นหรือ" คำถามนั้นไม่ใช่การคาดโทษ แต่ผู้ได้ยินก็ชะงักนิ่งและกลับไปก้มหน้ายอมรับผิด จนฝ่าบาททะเลเหนือต้องถอนใจออกมา "จะมองก็มองไปเถิด เจ้าเป็นเพียงคนเดียวในอาณาจักรนี้ที่ได้รับสิทธิ์นั้น"

แต่เวสเทียร์ก็ไม่เงยหน้า และไม่กล่าวตอบอะไรเลย

ไคราห์นรู้ดีว่าอีกฝ่ายรู้สถานะของตนเองดีเกินกว่าจะเอื้อมมือมาหาเขา ต่อให้เขายื่นมือให้ฝ่ายนั้นจนแทบจะฉุดรั้งขึ้นมาแล้วก็ตาม และมันก็เปล่าประโยชน์ที่จะเซ้าซี้เวสเทียร์ ฝ่ายนั้นทั้งดื้อรั้น หัวแข็ง และมักคิดว่าการกระทำของตนเหมาะสมถูกต้องในฐานะองครักษ์

ฝ่าบาทเอนกายพิงหมอนอิงช้าๆ ปรายตามององครักษ์คนสนิท

"เจ้ายังสวมต่างหูชิ้นนั้นอยู่อีกรึ" เวสเทียร์เพิ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดังนั้นผมยาวสีดำของเขาจึงเปียกลู่แนบไปกับร่าง และด้วยผิวพรรณสีเข้มของเขา ทำให้ต่างหูชิ้นหนึ่งซึ่งทำจากทองคำประดับมุกโดดเด่นขึ้นมา ซึ่งมันเป็นของขวัญที่ฝ่าบาทมอบให้เมื่อสามปีที่แล้ว

"จะเก็บไว้ไม่ให้ห่างขอรับ"

ไคราห์นไหวไหล่เบาด้วยความรู้สึกชื้นใจขึ้นมาบ้าง แม้ว่ามันจะเป็นคำตอบรูปแบบเดิมๆที่สมกับเป็นเวสเทียร์ก็ตาม "เช่นนั้นก็เอาผมทัดหูหน่อยซิ จะได้เห็นชัดขึ้น" องครักษ์หนุ่มไม่ปริปากบ่นหรือแสดงสีหน้าไม่พอใจ เขาค่อยๆยกมือขึ้นจับผมตัวเองขึ้นทัดหูข้างที่สวมเครื่องประดับ ซึ่งแม้ว่าผมที่เปียกลู่จะทำให้ดูไม่น่ามองอยู่บ้าง แต่ราชาหนุ่มก็คิดว่ามันเป็นภาพที่สนใจสำหรับเขาเสมอ

ทุกอิริยาบถของเวสเทียร์ดูเรียบเฉย แต่ก็แฝงด้วยความเคอะเขินที่พยายามไม่แสดงออก

"เงยหน้าขึ้นซิ"

องครักษ์กลั้นใจเมื่อได้ยินคำสั่ง เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตาราชาแห่งเซลทิค และเช่นเดียวกันกับทุกครั้ง ดวงตาสีน้ำเงินที่ดึงดูดของฝ่าบาทก็ทำให้เขาอุ่นวาบขึ้นในใจ ราวกับไคราห์นสามารถมองเข้าไปในจิตใจของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

แต่ฝ่าบาทจะรู้หรือไม่... ว่าเขาหวั่นไหวแค่ไหนเมื่อต้องสบตา

องครักษ์หนุ่มเผลอขบริมฝีปากตนเองขณะกลั้นใจ และฟันของเขาเองก็คมพอที่จะทำให้เลือดซึม

"ไม่เอาน่ะ..." ฝ่ายนั้นจรดปลายนิ้วกับริมฝีปากของเขา สัมผัสผ่านแผ่วเบาเพื่อให้เขาหยุดทำแบบนั้น เวสเทียร์เผลอหลบตาเมื่อปลายนิ้วสากขยับดันให้เขาเผยอปากขึ้น และเคลื่อนเข้ามาแตะกับลิ้นอุ่นภายใน โดยไม่ต้องออกคำสั่ง ร่างโปร่งรู้ดีถึงหน้าที่ของตน เขาค่อยๆ ขยับลิ้นตอบสนอง ลากไล้เลียจนชื้นชุ่ม และระมัดระวังไม่ให้ฟันของตนขบโดน

ฝ่าบาทไม่ได้มีความต้องการมากกว่าไปนั้น เขาเพียงแค่ทนเห็นอีกฝ่ายกัดปากตัวเองอย่างเย้ายวนไม่ได้ และองครักษ์ผู้นี้ก็ช่างรู้งาน รู้ใจเขาไปเสียทุกอย่าง มือใหญ่อีกข้างเอื้อมไปประคองใบหน้าเรียวให้แหงนเงยขึ้น อวดลำคอยาวระหงรับกับแผ่นอกกว้างที่แน่นตึง

เวสเทียร์ไม่ได้สวยประหนึ่งนางเงือกในตำนาน แต่มันคือความสง่ามงามที่ไม่ว่าใครเห็นก็หลงใหล

องครักษ์หนุ่มมุ่นคิ้ว เสียงลมหายใจสะดุดกลั้นดึงให้ราชาหนุ่มตระหนักได้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ เขากัดซ้ำบนบาดแผลเดิมที่ซอกคอ ถอนปลายนิ้วที่เปียกชุ่มจากริมฝีปากบางที่แสนยวนยั่ว และประคองร่างที่สั่นเกร็งด้วยความวาบหวาม เพื่อขบบนผิวเนื้อราวกับสามารถดื่มด่ำรสเลือดจากบาดแผลได้ไม่ต่างจากแวมไพร์

เวสเทียร์รู้ดีว่าฝ่าบาทของเขาไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่เห็นแผลเป็นบนลำคอ

ร่างสูงทิ้งรอยแดงเอาไว้ก่อนผละออก แต่ก็ช่างน่าหงุดหงิดที่อำนาจของเขาเองช่วยเยียวยาให้รอยจูบเลือนหายไปในเวลาอันรวดเร็ว ราวกับเขาไม่สามารถแสดงความเป็นเจ้าของใดๆบนร่างตรงหน้าได้เลย เวสเทียร์เท้าแขนกับแท่นหิน ยังคงสับสนงุนงงในการกระทำของเจ้าชีวิต แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะออกคำสั่งใด เขาก็พร้อมที่จะตอบรับเสมอ

"เวสเทียร์..."

ร่างสูงเอ่ยเรียก ชะงักนิ่งไปสักครู่ด้วยไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดต่อไป เพราะมันเป็นคำสั่งที่เขาไม่เคยกล่าวถึง เขาดึงร่างโปร่งขึ้นมานั่งบนแท่นหินเคียงกัน ก่อนจะเอนกายลงพิงหมอนอิงข้างตัว พร้อมกับรั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามาหาตนช้าๆ "จูบเราบ้างสิ"

คำสั่งของฝ่าบาทก้ำกึ่งและกำกวม แต่คนฟังก็ไม่เอ่ยถาม เขาก้มลง บรรจงแนบริมฝีปากของตนลงจูบบนแผ่นอกกว้างที่เขาไม่เคยกล้าสัมผัส เวสเทียร์ไม่เคยรู้ว่าร่างกายของฝ่าบาทจะอุ่นถึงเพียงนี้ จริงอยู่ว่าพวกเขาเคยอยู่ใกล้กันนับครั้งไม่ถ้วน แต่การเป็นฝ่ายสัมผัสกับถูกสัมผัสช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันลิบลับ

เขาสามารถได้ยินเสียงหัวใจของราชาหนุ่มอย่างชัดเจน สามารถรับรู้ถึงจังหวะการหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ องครักษ์ค่อยๆลากริมฝีปากลงไปยังกล้ามเนื้อส่วนท้อง รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเคลื่อนมือขึ้นวางบนเส้นผมของเขาและลูบเบาๆเนิบช้า ราวกับชมเชยในความพยายาม

ทำไมฝ่าบาทจึงอยากให้เขาเป็นฝ่ายจูบบ้างหนอ ...นี่ไม่ใช่การละเมิดข้อห้ามอีกข้อของราชวงศ์หรือไร

แต่หากมองว่าการทำเช่นนี้เป็นการปรนเปรอ เวสเทียร์ก็พอจะเข้าใจว่าทำไม

องครักษ์หนุ่มไม่กล้าแตะต้องด้วยมือของตน แต่ก็พรมจูบลงบนผิวกายอุ่นชื้น และยิ่งรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่า เมื่อร่างสูงขยับเกร็ง พร้อมกับสูดหายใจลึก ในจังหวะที่เขาแตะริมฝีปากลงบนสะดือ

ฝ่าบาทยังคงอยู่ในร่างเงือก และนั่นคือเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่าเขาไม่ได้ปรารถนาสิ่งใดมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นเวสเทียร์ก็อยากทำให้อีกฝ่ายพอใจอยู่ดี

"ต่ำไปแล้ว" เสียงทุ่มต่ำปราม เป็นสัญญาณให้ผละจากท้องช่วงล่าง "เราเคยสอนให้เจ้าทำแบบนี้หรือ"

"หากฝ่าบาทกระทำ เกรงว่าจะเป็นการไม่สมควร" มันเป็นส่วนต่ำของร่างกาย ที่ราชาไม่ควรแตะต้อง ควรจะเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องปรนนิบัติ ไคราห์นเอื้อมมือไปสัมผัสพวงแก้มสีเนียน ก่อนจะหัวเราะเบาในลำคอโดยไม่กล่าวต่อว่าเขาขบขันในเรื่องใด

"ฝ่าบาทไม่โปรดหรือ..."

"แต่เช้าเลยหรือไร" คำถามของราชาทำให้คนฟังรู้สึกว่าจิตใจของเขาลามกกว่าที่ควรจะเป็น และนั่นอาจเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสายตาของฝ่าบาทอีกด้วย เวสเทียร์ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยรู้สึกผิด ก่อนจะถอยตัวออกจากแท่นหินที่ประทับ

"กระหม่อมขออภัย"

"ตอนเย็นก็ได้" ฝ่าบาททอดเสียง "เพราะตอนนี้ฟาลกำลังรอพบเราอยู่"

เวสเทียร์กลั้นใจด้วยลืมไปว่า นี่เป็นเวลาที่ญาติผู้ใหญ่ของตนจะต้องนำข่าวคราวมาแจ้งแก่ผู้นำอาณาจักร และฟาลเองก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเวลาใดสมควรหรือไม่สมควรในการเข้าพบฝ่าบาทไคราห์น ราชาทะเลเหนือหยัดกายขึ้นเล็กน้อย และปรายสายตาลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่าง "เข้ามาได้..."

ราชาวาฬออกปากอนุญาตด้วยน้ำเสียงทรงพลัง และไม่กี่อึดใจ เลขาคนสนิทของเขาก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ

"ฝ่าบาท... คาดันน์ส่งข่าวมาแจ้งว่าเหล่าราชรถของมารินาการ์ดออกเดินทางมายันเซลทิคแล้ว และคาดว่าจะมาถึงที่นี่ในเวลาพลบค่ำ" ฟาลเอ่ยรวบรัด และไม่แสดงอาการใดๆออกมาทั้งที่เขารู้ว่าเมื่อครู่นี้ทั้งเวสเทียร์และฝ่าบาทไคราห์นกำลังทำอะไรกันอยู่ "กระหม่อมมอบหมายให้พวกนางกำนัลไปจัดการเรื่องที่พัก และอาหารที่จะใช้เลี้ยงต้อนรับพวกเขา"

"เราได้ยินว่าพวกมารินาการ์ดกินสาหร่าย" ฝ่าบาทว่า "ระวังเรื่องปลาด้วย พวกเขาอาจไม่พอใจนัก"

"อุณหภูมิของทะเลเราหนาวเย็นกว่า กระหม่อมเกรงว่าสาหร่ายอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ" ฟาลตอบ ก่อนจะเหลือบตามองเวสเทียร์ "กระหม่อมปรึกษากับเกลเลส ผู้นำคณะพรานของมารินาการ์ด เขากล่าวว่าเนื้อที่เป็นที่นิยมอีกอย่างก็คือแมวน้ำ และสิงโตทะเล"

ราชาหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยประหลาดใจ "น่านน้ำเรามีแมวน้ำมาก"

"กระหม่อมมอบหมายให้เผ่าเพชฌฆาตจัดการเรื่องนี้แล้ว"

เวสเทียร์อ้าปากค้างน้อยๆ ด้วยเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนทั้งที่เป็นถึงผู้นำเผ่า แต่ฟาลก็ลอบนิ่วหน้าใส่เป็นการปรามไม่ให้ชายหนุ่มพูดอะไร และหลังจากนั้นก็เป็นการกล่าวรายงานโดนคร่าว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องทั่วๆไปที่ไม่ได้มีความสำคัญ และเมื่อจบการรายงาน ราชาทะเลเหนือก็ขยับตัวยกหางของตนขึ้นเพื่อผละออกจากแท่นนอนแสนสบายในถ้ำลอดแห่งนี้ เพื่อกลับลงไปยังอาณาจักรเบื้องล่างเพื่ออวยพรให้กับทารกเกิดใหม่ที่มาขอเข้าเฝ้าราชาหนุ่มในวันนี้

"ท่านฟาล... เหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่องล่าแมวน้ำเลย ทั้งที่เมื่อเช้าเราก็ออกล่าร่วมกัน"

"เวทอร์สเพิ่งส่งข่าวมาเมื่อครู่นี้ และหากรอคำสั่งจากเจ้าจะไม่ทันการ" ฟาลตอบเสียงเรียบ เหลือบมองผู้เยาว์วัยกว่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจัง "เวสเทียร์... พวกเราจะต้องดูแลอาคันตุกะจากมารินาการ์ด งดเว้นเรื่องของเจ้ากับฝ่าบาทไปสักพักเถอะนะ... รวมทั้งคืนนี้ด้วย"

ผู้นำเผ่าชะงักเล็กน้อยก่อนจะว่ายตามไปช้าๆด้วยความขัดเขิน "ท... ทำไมท่านจึงรู้..."

"ข้าไม่ได้หูหนวก" ฟาลตอบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

--------------------------------------------------


แอบตื่นเต้นกับความสัมพันธ์ที่ดูจะมีอะไรมากขึ้น(?)ของฝ่าบาทกับเวสเทียร์... เขียนๆไปก็เริ่มรู้ว่าเวสเทียร์นี่ก็ naughty อยู่เบาๆ ในความคิดเราแล้ว เวสเทียร์เป็นผู้ชายที่หุ่นเซ็กซี่... คือไม่ได้หล่อมาก แต่หุ่นแซ่บมาก อะไรงี้ เอวงาม กล้ามสวย (เคะอีกคนที่เอวสวย กล้ามสวย หน้าสวย... ก็คือเลสธีราห์ในพันธนาการดวงดาว ฮ่าาา) คือคิดว่า... เวสเทียร์เป็นคนที่ดูจะเหมาะกับคำว่ารูปปั้น เพราะแค่อยู่เฉยๆ ก็ทำให้ฝ่าบาทอยากจะลวนลาม(?)ขึ้นมาได้ แต่ยังมีหน้าไปโบ้ยกลายๆว่าเขาลามกอีกแหน่ะ (เอ็งน่ะเริ่ม...)

ฝ่าบาทไคราห์นเป็นคนตัวใหญ่ และสูงมาก (เงือกวาฬนะ!!) ในร่างมนุษย์ของพี่แกเราเชื่อว่าทะลุ 200 cm แน่ๆ (กระทั่งเวสเทียร์ที่ตัวเล็กกว่ายังน่าจะอยู่ที่ 190 cm เลย) แต่สำหรับอาณาจักรเงือกวาฬแล้ว ขนาดตัวเท่านี้คือปกติ

ถึงฝ่าบาทจะป่วย แต่ป่วยแค่สีผิวนะ นอกนั้นเป็นปกติทุกอย่างเลย...
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 7.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 06-05-2017 08:33:46
ตอนที่ 7.1

เสียงสัญญาณสื่อสารที่คุ้นเคยทำให้เผ่าเพชฌฆาตรับทราบการกลับมาของคาดันน์และเวทอร์สก่อนเวลาถึงหนึ่งชั่วยาม และมันก็เป็นเวลาพลบค่ำที่สิ้นแสงอาทิตย์แล้ว วาฬยักษ์ที่ดูจะอารมณ์ดีตลอดเวลาว่ายนำขบวนราชรถที่เทียมลากโลมาธรรมดาพุ่งผ่านเข้ามาในเขตอาณาจักร และตรงนำไปยังท้องพระโรงที่ประทับของราชาแห่งเซลทิค

อำพันสว่างซึ่งเคยเป็นของกำนัลจากมารินาการ์ดยังทำหน้าที่ได้ดีด้วยการเนรมิตพระราชวังใต้ทะเลให้เรืองแสงสีทองยามกลางคืน แต่ที่เรืองรองกว่าอำพันวิเศษก็เห็นจะเป็นผิวพรรณของราชาทะเลเหนือเมื่อต้องแสงเหล่านั้น

ฝ่าบาทไคราห์นไม่ใช่เป้าหมายของคาดันน์อีกต่อไป แต่กลับเป็นเวสเทียร์ องครักษ์ผู้อยู่เคียงข้าง มันขยับหางใหญ่โตเพื่อพาตัวเองไปหาเป้าหมายโดยไม่สนใจสีหน้าของผู้นำอาณาจักรหรือเสียงห้ามปรามขององครักษ์เผ่าเพชฌฆาตตนอื่น แต่เอาคางเกยไปยังร่างขององครักษ์คนสนิทช้าๆ ราวกับออดอ้อนหลังจาก 'หายหน้าหายตา' ไปสามวัน

"คาดันน์... ครีบเจ้าจะถูกตัวฝ่าบาท"

เวสเทียร์วางมือบนหัวใหญ่โตนั่น พยายามขยับร่างออกห่างบัลลังก์เป็นการชี้นำให้คาดันน์ว่ายตาม เพื่อไม่ให้ส่วนใดของร่างกายใหญ่โตถูกฝ่าบาทเข้า "เจ้าจะทำฝ่าบาทเสียหน้านะ" ครีบอกของวาฬยักษ์มีขนาดใหญ่พอที่จะบังราชาทะเลเหนือได้ ดังนั้นมันจึงขยับตัวเบี่ยงออกมาอีกเล็กน้อย ตามคำสั่งกลายๆ ของเวสเทียร์ ก่อนจะว่ายจากไปเมื่อได้รับการปลอบโยนจนพอใจ

ฝูงโลมาเทียมราชรถว่ายเป็นขบวนขึ้นไปหายใจอีกครั้งก่อนจะวกกลับลงมาเพื่อทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้น ฝ่าบาทไคราห์นหันไปเลขาคนสนิท และยกมือขึ้นปัดเบาๆ ข้างกายเพื่อให้กระแสน้ำเย็นเป็นตัวแทนสัญญาณให้ฟาลดูแลราชรถโลมา

"อาณาจักรเซลทิคยินดีต้อนรับ... ฝ่าบาทเรจินาแห่งมารินาการ์ด"

ฝ่าบาทไคราห์นอาจไม่ใช่เงือกที่เคลื่อนไหวเร็วที่สุด แต่เขาก็สามารถเผ่นพลิ้วลงจากบัลลังก์ของตนเพื่อส่งมือให้กับสตรีร่างเล็กผู้อยู่บนราชรถ ตามธนนมเนียมของชาวบาดาล ราชินีเรจินาทอดยิ้มจางและวางมือบอบบางของนางลงมือฝ่ามือที่ใหญ่กว่าช้าๆ  และเคลื่อนกายลงมาจากที่นั่งอย่างนุ่มนวล

...นี่หรือ ราชวงศ์ของจอมราชัน

ไม่มีครึ่งมัจฉาตนใดที่ไม่รู้จักจอมราชันแห่งมารินาการ์ด ราชาผู้เสียสละ ผู้ยอมขายวิญญาณให้กับเทพแห่งท้องทะเลเพื่อแลกกับการปกป้องอาณาจักร และสตรีผู้อยู่เบื้องหน้าราชาทะเลเหนือในตอนนี้ ก็คือเรจินา ผู้เป็นทายาทของจอมราชัน

ลักษณะเด่นของราชวงศ์มารินาการ์ดคือหางสีทองสว่าง และมันก็สว่างมากเสียจนแทบจะเรืองแสงในความมืด และต่อให้ฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคจะมีผิวพรรณที่ผุดผาดราวแสงจันทร์ที่เรืองรองใต้ท้องทะเล แต่ก็ดูเหมือนจะถูกราศีและบารมีของนางบดบังอย่างง่าย

เรจินารู้มารยาทที่ควรปฏิบัติต่อราชวงศ์เซลทิคเป็นอย่างดี แต่หากนางไม่ใช่ประชาชนใต้ปกครองของผู้ใด หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ และสบตาราชาทะเลเหนือพร้อมกับทอดยิ้มอ่อนโยน "ยินดีที่ได้พบฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเช่นกัน" ฝ่าบาทไคราห์นไม่ใคร่จะได้สนทนากับใครอื่นมากนัก ดังนั้นการตอบโต้ของนางจึงทำให้เขาเกิดความประหม่าอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนและรอยยิ้มที่งดงามสมกับเป็นการวางตัวของชนชั้นสูงทำให้ราชาหนุ่มกลั้นใจวูบด้วยความตราตรึง

ถึงเขาจะกลั้นใจอยู่แล้วก็ตาม

เงือกมารินาการ์ดเป็น 'เงือกปลา' ที่มีขนาดตัวเล็กกว่าเงือกวาฬของเซลทิคอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีเหงือกอยู่ที่ข้างสะโพกเพื่อใช้ในการหายใจใต้น้ำอีกด้วย ดังนั้นต่อให้มีขนาดเล็ก แต่ไคราห์นก็คิดว่าชาวมารินาการ์ดนั้นมีชีวิตที่น่าอิจฉา นั่นคือพวกเขาไม่ต้องขึ้นไปหายใจทุกชั่วยามแบบชาวเซลทิค

ไคราห์นสังเกตการมาถึงของใครอีกคนด้วยหางตา ...ใครบางคนที่เขาพอจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง

"ฝ่าบาทไคราห์น พบไม่พบกันเสียนาน" หางสีทองของฝ่ายนั้นขยับไหว และเข้ามาทำความเคารพตามธรรมเนียม นั่นคือองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด ผู้เคยเดินทางมายังเซลทิคเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเพื่อเจริญความสัมพันธ์ และในครั้งนั้น ฝ่าบาทไคราห์นยังเป็นเพียงแค่องค์ชายรัชทายาท

...และองค์ชายเดียร์ราฮานก็ยังมีชีวิตอยู่

ไคราห์นจำได้ว่าองค์ชายเร็กซ์และองค์ชายเดียร์ราฮานค่อนข้างถูกคอกัน

"ฝ่าบาทและองค์ชายคงจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เราได้ตระเตรียมที่พักเอาไว้ให้แล้ว เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนเถิด" ไคราห์นมอบหมายให้ฟาลจัดการเรื่องการดูแลราชรถโลมา แต่ผู้ที่ดูแลเรื่องที่พักและอาหารการกินของอาคันตุกะทั้งคู่คือองค์หญิงอาโกรนาห์ ว่าที่รัชทายาท เมื่อครั้งที่องค์ชายเร็กซ์เดินทางมายังเซลทิค องค์หญิงอาโกรนาห์มีอายุเพียงหกขวบ จึงไม่แปลกใจที่นางจดจำเขาไม่ได้ในตอนนี้

"เนิ่นนานขนาดนั้นเชียว..." องค์ชายเร็กซ์พึมพำเมื่อองค์หญิงน้อยที่เขาเคยพบกลับกลายเป็นเด็กสาวในวันนี้

การกล่าวต้อนรับและพูดคุยเล็กน้อยดำเนินต่อไปอีกสักพัก จนกระทั่งฝ่าบาทไคราห์นคิดว่าเขาอาจจะต้องการอากาศในไม่ช้า จึงได้ตัดบทสนทนาอย่างนุ่มนวลและส่งอาคันตุกะทั้งหมดกลับไปพักผ่อนให้เรียบร้อย ก่อนจะปลีกตัวออกมาเพื่อว่ายขึ้นสูดหายใจเบื้องบน

นี่เป็นเรื่องน่าเบื่อของชาวเซลทิคโดยแท้...

--------------------------------------------------

"เหงือกสามซี่รึ..."

เวทอร์สผู้เคยเดินทางออกนอกอาณาจักรกลับมาเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้พี่ชายของตนฟังด้วยความตื่น ถึงแม้จะพยายามรักษาท่าทางสุขุมขององครักษ์ระดับสูงเอาไว้แล้วก็ตาม "เขาคือฟาเบียง... องครักษ์คนสนิทของราชินีเรจินา เป็นเผ่าฉลามขาวโดยแท้ และมีขนาดตัวพอๆ กับฝ่าบาทไคราห์นเชียวล่ะ!"

"เผ่าฉลามขาวไม่น่าจะใหญ่เพียงนั้น... หากตัวเท่าข้าได้ก็นับเป็นเรื่องแปลกแล้ว" เวสเทียร์มุ่นคิ้ว

"แต่เขาตัวใหญ่จริงๆ ดูแข็งแกร่งมากอีกด้วย"

"แล้วเหตุใดเผ่าฉลามขาวที่ควรจะอาศัยอยู่ในไรห์วาจึงมาเป็นองครักษ์ของราชินีแห่งมารินาการ์ดเอาเสียได้" คนเป็นพี่กอดอกและนึกไปถึงความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับอาณาจักรอื่น "อาณาจักรไรห์วาเคยตั้งอยู่ในทะเลอัลบิออนเช่นเดียวกับมารินาการ์ด แต่ก็ล่มสลายไปครั้งหนึ่งเนื่องจากสงครามทางทะเลของพวกมนุษย์ทำให้ซากเรือรบสมุทรจำนวนมากจมลงก้นทะเลอันเป็นที่ตั้งของอาณาจักร จนพวกเขาต้องอพยพยกย้ายไปยังทะเลไดอาร์ทางตอนใต้เพื่อตั้งรกรากใหม่"

ต่อให้เวสเทียร์จะท่องประวัติศาสตร์อาณาจักรได้ แต่น้องชายของเขาก็ยังคงตื่นเต้นกับขนาดตัวขององครักษ์ราชินี

"ราชาองค์ปัจจุบันของไรห์วาไม่ได้มาจากเผ่าฉลามขาว เวทอร์ส..." เวสเทียร์นึกได้ "ราชารอยมาจากเผ่าฉลามมาโก"

"ข้าไม่สนว่าราชาของไรห์วาจะเป็นเผ่าอะไร แต่องครักษ์ของฝ่าบาทเรจินาเป็นฉลามขาวแน่ๆ"

...ฟู่!

เจ้าวาฬตัวกวนโผล่ขึ้นมาข้างเวทอร์สที่ลอยตัวนิ่งๆ โผล่ช่วงอกขึ้นเหนือน้ำ ในขณะที่เวสเทียร์ผู้เป็นพี่ขยับขึ้นไปนั่งบนโขดหินใกล้ๆ เพื่อสางผม อันเป็นกิจวัตรประจำวัน "ไง คาดันน์..." เวสเทียร์ทักทายสั้น เรียกเสียงร้อง 'คลิก' ระรัวจากสัตว์ร่างใหญ่ ราวกับมันทักทายตอบ

"ท่านพี่... คาดันน์ไร้ประโยชน์" เวทอร์สฟ้องทันทีเมื่อนึกได้ถึงวีรกรรมอันน่าจดจำของวาฬยักษ์ "มันมัวแต่มองแซลมอน จนไม่ได้ใส่ใจฟังว่าราชินีเรจินารับสั่งอะไร" เวสเทียร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองตาอันเล็กจิ๋วของผู้ถูกใส่ร้าย แต่สัตว์ยักษ์ก็โคลงหัวช้าๆ ราวกับไม่รู้สึกว่านั่นเป็นความผิด

"อันที่จริงก็ไม่ใช่หน้าที่มันอยู่แล้ว เช่นนั้นจะส่งเจ้าไปเพื่อการใด..."

เวทอร์สเงียบปากทันทีเมื่อพบว่าตนจะเป็นฝ่ายถูกดุ หากเวสเทียร์รับรู้ความจริงทั้งหมด

"ท่านพี่ไม่ไปเฝ้าฝ่าบาทหรือ ป่านนี้คงสนทนากับท่านฟาลจนหมดธุระแล้ว" จริงอยู่ว่าเวสเทียร์จะมีช่วงเวลาส่วนตัวยามเย็นบ้างในเวลาที่ฝ่าบาทไคราห์นกลับไปพักผ่อนที่ถ้ำลอดและพูดคุยกับฟาลเรื่องการงานบ้านเมืองประจำวัน ซึ่งโดยทั่วไปก็มีไม่กี่หัวข้อ เป็นต้นว่า การอพยพของฝูงปลาแฮร์ริง การมาถึงของฝูงปลาแซลมอน หรือข่าวการอพยพของวาฬหลังค่อม กลุ่มวาฬที่สนิทกับราชวงศ์มากที่สุด ซึ่งนี่ก็ใกล้ฤดูอพยพของวาฬหลังค่อมแล้ว พวกเขาจะพบกันปีละหนึ่งครั้งก่อนที่ฝูงวาฬจะพากันลงใต้เพื่อเลี่ยงอากาศหนาว และเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ชาวเซลทิคมีโอกาสได้ฟังบทเพลงของวาฬซึ่งขับขานร่วมกับราชาของพวกเขา

เวสเทียร์ยกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อนึกถึงเสียงเพลงของฝ่าบาท

ฝ่าบาทไคราห์นมีน้ำเสียงที่ไพเราะที่สุดสำหรับเขา และยิ่งขับขานร่วมกับเหล่าวาฬ มันก็เป็นบทเพลงที่ทรงพลังและตราตรึง

"หากท่านพี่ยิ้มเช่นนั้น เชื่อเลยว่ากำลังคิดเรื่องของฝ่าบาท" เวทอร์สพึมพำ ดึงเวสเทียร์กลับมาจากภวังค์ของตนและกระแอมกลบเกลื่อน ทว่าไม่แก้ต่างในข้อสังเกตของน้องชาย นอกจากฟาลแล้วก็คงจะมีเวทอร์ส ผู้รู้เรื่องของเขากับราชาทะเลเหนือ "นี่ก็เลยเวลาเฝ้ามาสักพักแล้ว หากไม่รีบไป จะไม่ถูกเอ็ดเอาหรือ"

ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ นางเงือกองครักษ์เผ่าเพชฌฆาตก็โผล่ขึ้นมาด้านหลังคาดันน์ และตบมือลงบนหลังหนาๆ ของมันแทนคำทักทาย "เวสเทียร์ เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง" หญิงสาวเสยผมดำสนิทของนางขึ้นให้พ้นหน้า เผยให้เห็นลวดลายเอกลักษณ์ของเผ่าบนข้างแก้ม "ฝ่าบาทเรียกหาเจ้า..."

องครักษ์หนุ่มกลั้นใจ และโดยไม่รีรอ เขารีบเผ่นกายกลับลงไปในน้ำทันที

"เวทอร์ส..." หญิงสาวหันกลับมา "ท่านฟาลบอกให้เจ้าไปช่วยงานองค์หญิงอาโกรนาห์ นางสนทนาอยู่กับราชินีมารินาการ์ด ทว่ายังไม่มีใครคอยดูแลองค์ชายผู้ติดตามมา" เวทอร์สเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งราวกับตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงไม่ไหว้วานผู้อื่นที่ดูจะได้งานการมากกว่าเขา หรือผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงที่ไม่ใช่ แต่คนตรงหน้าเขาคือ เลสซีย์ ผู้นำสูงสุดของหน่วยลาดตระเวน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ... หัวหน้าของเวทอร์ส

"เพราะเขาเอ่ยชื่อเจ้า..." เลสซีย์อ่านคำถามได้จากสายตาของลูกน้อง "เขารู้จักเจ้า"

เพิ่งจะพูดคุยกันครั้งเดียวจะไปเรียกรู้จักได้อย่างไร...!

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 6 [30-04-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 06-05-2017 08:35:38
ตอนที่ 7.2

เวสเทียร์กลับมายังถ้ำลอดที่ประทับ เขาพบว่าฝ่ายนั้นทอดกายอยู่บนแท่นเดิมและหลับตาพักผ่อนเงียบๆ แต่เสียงลมหายใจก็บอกองครักษ์ได้ว่าราชาหนุ่มยังไม่หลับ "กระหม่อมขออภัยฝ่าบาท" ร่างโปร่งเคลื่อนกายไปข้างแท่นหิน ฝั่งปลายหางของราชาผู้นำ และรอให้อีกฝ่ายลืมตาขึ้นช้าๆ

"คิดถึงน้องชายขนาดนั้นเชียว"

"กระหม่อมไม่ต้องการรบกวนการพักผ่อนของฝ่าบาทขอรับ"

"เช่นนั้นแล้วองครักษ์คนสนิทจะมีหน้าที่ใดกัน หากไม่ใช่การอยู่เคียงกายเรา" ฝ่าบาทตำหนิด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งนั่นทำให้เวสเทียร์ต้องก้มหน้านิ่ง ด้วยรู้ซึ้งถึงความผิด แต่ไคราห์นก็เหนื่อยหน่ายจะเอาความ และเขารู้ดีว่าเหตุใดเวสเทียร์จึงพยายามหลบหน้าทั้งที่หน้าที่ของเขาคือการอยู่กับราชาตลอดเวลา

...เลขาอาวุโสของเขา

"พวกวาฬหลังค่อมจะมาถึงในสัปดาห์หน้า เป็นไปได้ว่ามารินาการ์ดจะมีโอกาสร่วมงานเทศกาลประจำปีของเซลทิค" ไคราห์นเริ่ม "แม้เจตนารมณ์ของพวกเขาจะเป็นเพียงการเดินทางมาเจรจาขอตัวกลุ่มพรานกลับไป แต่มารินาการ์ดก็ไม่ได้ส่งทูตมายังเซลทิคนานมากแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะกระชับความสัมพันธ์" ฝ่าบาทกล่าวเรื่อย "เราจึงสั่งให้ฟาลนำพิณใหญ่ออกมา เพราะไม่ใช่เพียงกลุ่มวาฬเท่านั้นที่พวกเราต้องต้อนรับ แต่หมายรวมถึงอสูรทะเลที่จะมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันอีกด้วย"

การมาถึงของฝูงวาฬหลังค่อมหมายถึงการมาเยี่ยมเยียนประจำปี ก่อนที่พวกเขาจะมุ่งหน้าลงใต้เพื่อจับคู่และเลี้ยงดูลูกวาฬ ดังนั้นเพื่ออวยพรให้กับการเดินทางและการเกิดใหม่ ฝ่าบาททะเลเหนือจะร่วมขับขานเพลงไปกับฝูงสัตว์ และชาวเซลทิคจะร่วมการเต้นรำแหวกว่ายใต้แสงจันทร์อีกด้วย แต่ผู้ที่มาร่วมงานไม่ได้มีเพียงวาฬหลังค่อมเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงอสูรทะเลตัวหนึ่งอีกด้วย มันจะแวะเวียนมาปีละครั้งเช่นกัน ตามสัญญาที่ให้ไว้

พวกวาฬชื่นชอบเสียงเพลง และจะสนุกสนานที่สุดหากฝ่าบาทแห่งเซลทิคเป็นผู้บรรเลงเพลงพิณด้วยตนเอง

"ขอรับ" เวสเทียร์ตอบสั้น

วาฬเพชฌฆาตสมองใหญ่ไม่ใช่รึ กระทั่งคาดันน์ยังฉลาดมากแท้ๆ

แต่เหตุใดองครักษ์เผ่าเพชฌฆาตคนโปรดของเขาจึงโง่ทึ่มเสียเหลือเกิน

ฝ่าบาทถอนใจออกยาวๆ ก่อนจะหยัดกายขึ้นนั่ง และวาดมือช้าๆ ไปข้างตัว ราวกับเป็นสัญญาณให้เวสเทียร์ขยับขึ้นมานั่งข้างกันบนแท่นนอน แน่นอนว่าองครักษ์หนุ่มเข้าใจภาษามือนี้ เขาขยับตัวขึ้นมานั่งเคียงกาย ปล่อยให้มือใหญ่จับปอยผมสีดำชื้นขึ้นทัดหูและเผยให้เห็นต่างหูทองประดับมุกที่ฝ่าบาทเคยมอบให้

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์มุ่นคิ้ว เริ่มเข้าใจความหมายของคนตรงหน้าทีละน้อย "กระหม่อมเกรงว่า..."

"กลัวจะถูกเอ็ดเอาหรือไร" ร่างสูงถามเสียงต่ำอย่างรู้ทัน ทำให้คนฟังหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่สีผิวของเวสเทียร์เข้มเสียจนมองแทบไม่ออกว่ากำลังเคอะเขิน

"ฟาลออกไปเชิญพิณใหญ่ตามคำสั่งเรา เจ้าตีความไม่ออกรึ" เวสเทียร์เผลอขบริมฝีปากตนเองเมื่อเข้าใจนัยแฝงที่แท้จริงของราชา เป็นครั้งแรกที่เขาอยากก่นด่าคนตรงหน้าลอดไรฟันว่าทำเรื่องเล็กให้ใหญ่ไม่เข้าท่า แต่อย่างไรนั่นก็เป็นฝ่าบาทไคราห์น และมันก็เป็นความผิดของเขาเองที่ยั่วเย้าเอาไว้ตั้งแต่เช้า

ปลายนิ้วสากแตะริมฝีปากบางแทนการปรามไม่ให้เขากัดตัวเองจนเลือดซึม

เวสเทียร์หลับตาลงช้าๆ แม้จะอยากจูบปลายนิ้วอันอ่อนโยนนั้น แต่มันก็เคลื่อนหนีไล้ไปตามพวงแก้มของเขาเสียก่อน องครักษ์ทำได้เพียงเอียงหน้ากลับไปหาข้อมือหนา แนบริมฝีปากลงบนเส้นชีพจร และเคลื่อนขึ้นไปยังอุ้งมืออุ่นที่ประคองใบหน้าของตนอยู่

ดูเหมือนการกระทำนั้นทำให้ฝ่าบาทพอใจขึ้น "ตรงอื่นบ้างสิ"

"เราเอง... ก็ไม่ได้หูหนวกหรอกนะ"

ร่างโปร่งกลั้นใจ ค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้นมองสำรวจคนตรงหน้า ละจากฝ่ามืออย่างนุ่มนวลให้มือใหญ่ขยับไปลูบเส้นผมสีเข้ม ขณะที่เขาแนบริมฝีปากลงบนต้นคอแกร่ง ร่างสูงเป็นฝ่ายเม้มปากบ้างด้วยความไม่คุ้น แต่ราชาหนุ่มคงชอบความรู้สึกเช่นนี้ จึงได้ผ่อนลมหายใจ ปล่อยให้คนตรงหน้าทบทวนสัมผัสที่ค้างคาทีละส่วน

ใจของเวสเทียร์เต้นแรงขึ้นเมื่อเคลื่อนลงต่ำ ลมหายใจอุ่นร้อนลากไล้ผ่านหน้าท้องที่แข็งแน่นด้วยมัดกล้าม และแนบจูบลงแผ่วเบาราวกับไถ่ถามความสมัครใจ หางวาฬขนาดใหญ่ขยับยกทีละน้อย ฝ่าบาทชันขาขึ้นข้างหนึ่ง บังคับตัวเองไม่ให้ทึ้งมือลงไปบนเส้นผมสีเข้มเมื่อริมฝีปากนุ่มฟอนเฟ้นลงต่ำ

ไคราห์นขบกรามด้วยความไม่แน่ใจ... ก็ใครสั่งสอนให้ทำแบบนี้กันหนอ

องครักษ์รวบรวมความกล้า แต่เขาก็กล้าแตะเพียงส่วนปลาย จนกระทั่งได้ยินเสียงสั่นเครือในลำคอด้วยความสุขสม มือใหญ่เกี่ยวร้อยเส้นผมและลูบอย่างอ่อนโยนราวกับปลอบประโลมให้เขาทำแบบเดียวกัน ร่างโปร่งหลับตาลง ก่อนจะครอบครองทั้งหมดของฝ่าบาทด้วยริมฝีปากของตัวเอง

--------------------------------------------------

องค์หญิงอาโกรนาห์สนทนากับราชินีต่างเมืองตามประสาผู้หญิง และแน่นอนว่าคงเป็นการไม่สมควรที่องค์ชายผู้ติดตามจะอยู่ร่วมห้องด้วย เร็กซ์จึงตัดสินใจออกมาจากที่พัก และออกปากถามองครักษ์ในบริเวณนั้นถึงสถานที่ที่คนของของถูกกักบริเวณอยู่ นั่นคือเกลเลสและคณะพรานแห่งมารินาการ์ด

องครักษ์ยามไม่ต้องการบกพร่องในหน้าที่ด้วยการหายไปจากจุดประจำการเพียงเพื่อพาอาคันตุกะเยี่ยมชมอาณาจักร ดังนั้นเขาจึงขอให้องค์ชายรั้งรออยู่สักพักเพื่อให้หน่วยลาดตระเวนที่ไม่ได้มีหน้าที่ในค่ำคืนนี้มาอยู่เป็นเพื่อนพูดคุย และเมื่อเอ่ยถึงองครักษ์หน่วยลาดตระเวน องค์ชายเร็กซ์ก็ออกชื่อเวทอร์ส หลังจากนึกได้ว่าเขาเคยแนะนำตัวเองว่าเป็นนั่นหน้าที่ของตน

ทำให้ผู้นำองครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้ถูกเรียกมารับใช้องค์ชายเร็กซ์

"ฝ่าบาททรงเรียกหากระหม่อมหรือขอรับ" ด้วยความเคยชิน เวทอร์สค้อมหัวลงต่ำและมองเพียงปลาหางสีทองที่สะท้อนแสงจากอำพันวิเศษ และรอฟังเสียงตอบรับจากองค์ชาย ทำให้เขาไม่ทันเห็นเลยว่าอีกฝ่ายพยักหน้า

"ฝ่าบาท..." แต่อย่างไรเวทอร์สก็ไม่กล้าเงยขึ้นสบตาอยู่ดี

"ปลายหางเรามีอะไรอย่างนั้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงจ้องอยู่แบบนั้น" องค์ชายตั้งคำถาม และมันก็ทำให้องครักษ์หนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และสบมองกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่าย "แล้วเราเป็นองค์ชาย เจ้าลืมอีกแล้วรึ... ฝ่าบาทคือท่านพี่เรจินา"

"ฝ่า... องค์ชาย..." เวทอร์สตะกุกตะกัก "มีสิ่งใดจะรับสั่ง"

เร็กซ์ทอดยิ้มเอ็นดูก่อนจะออกปาก "เราอยากพบพวกพรานมารินาการ์ด เกลเลส ผู้นำของกลุ่มพรานเป็นองครักษ์คนสนิทของเรา" เวทอร์สคิดว่าตนเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก แต่เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงหาอาทรในน้ำเสียงขององค์ชาย เป็นไปได้ไหมว่าองค์ชายผู้นี้กับองครักษ์คนสนิทที่ชื่อเกลเลสจะมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน เช่นเดียวกับฝ่าบาทไคราห์นและท่านพี่เวสเทียร์ของเขา

...องค์ชายเร็กซ์ก็มีพระชายาถึงสี่องค์แล้วไม่ใช่หรือ!!

"ให้กระหม่อมนำทางนะขอรับ"

ว่าแล้วองครักษ์หนุ่มก็ขยับหางว่ายนำอีกฝ่ายไปยังถ้ำใหญ่ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเล โดยด้านในสุดก็คือถ้ำลอดของฝ่าบาทไคราห์น แต่หาเลี้ยวไปอีกทางหนึ่งจะนำพวกเขาเข้าสู่ส่วนที่ใช้กักบริเวณผู้ทำผิดโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นถ้ำลอดขนาดไม่กว้างขวางมากนัก และไม่มีต้นไม้สวยงามดังเช่นส่วนที่ประทับของฝ่าย แต่ก็มีโขดหินให้พอขึ้นไปนั่งได้ เพราะชาวเงือกเซลทิคไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยปราศจากอากาศเบื้องบนได้ คุกของพวกเขาจึงดูเปิดโล่ง และหากเปลี่ยนร่างเป็นคนก็คงจะวิ่งโทงๆ แหกคุกได้อย่างง่ายดายแน่นอน

แต่ชาวเงือกมีความสัตย์พอที่จะไม่ทำเช่นนั้น...

องครักษ์ยามไม่แสดงสีหน้า แม้ว่าทุกคนจะดูประหลาดใจในการมาถึงขององค์ชายแห่งมารินาการ์ด กลุ่มพรานซึ่งนั่งๆ นอนๆ อย่างไม่มีอะไรทำค่อยหันมา และทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง "องค์ชายเร็กซ์..." เกลเลส ผู้นำกลุ่มพรานยิ้มออกมาด้วยความยินดี ทั้งที่ความผิดที่พวกเขากระทำร้ายแรงมากขนาดนั้นแท้ๆ พวกเขาควรจะสลดหดหู่และอ้อนวอนให้ฝ่าบาทไคราห์นยกโทษให้ด้วยซ้ำ

"องค์ชาย... ได้โปรดลงโทษกระหม่อมด้วย" แต่ประโยคต่อจากนั้นคือคำขอโทษของผู้นำพราน

องค์ชายเร็กซ์ลอบกลอกตากับตนเอง ขณะเคลื่อนร่างไปยังคนสนิทของตน "พวกเจ้าเป็นอะไรกัน จะต้องให้เราลงโทษลงทัณฑ์อยู่ทุกครั้งที่พบหน้า" ผู้เป็นนายยิ้มอ่อนใจ "ผู้มีสิทธิ์ลงทัณฑ์เจ้าคือฝ่าบาทไคราห์น ฝ่าบาทเรจินาเพียงเดินทางมาไกล่เกลี่ยนเพื่อไม่ให้บทลงโทษหนักหนาสาหัสเกินไป" เกลเลสเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจเมื่อได้ยินว่าราชินีผู้นำเดินทางมาถึงเซลทิคด้วยตนเองเพียงเพราะเรื่องของพวกเขา

"เจ้าเป็นประชาชนคนหนึ่ง... มันก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องปกป้อง"

รอยยิ้มขององค์ชายเร็กซ์ช่างอบอุ่น... ในสายตาของเวทอร์ส อีกทั้งยังสามารถสัมผัสได้ใกล้ชิด โดยไม่มีกฎเกณฑ์ใดมากีดกันราชวงศ์ออกจากประชาชนของเขา และนั่นไม่ใช่ความห่วงหาอาทรที่มีให้เฉพาะบุคคล แต่องค์ชายเร็กซ์ปฏิบัติเช่นนี้กับทุกคนที่เป็นชาวมารินาการ์ด

เกลเลสส่ายหัวและก้มหน้าก้มตาลงด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เขาขยับหางเบาๆ ครั้งหนึ่งเพื่อลดตัวเองลงอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าองค์ชายเพื่อแสดงความเคารพเทิดทูนอย่างสุดหัวใจ "องค์ชาย... ฝ่าบาท..."

เวทอร์สเพิ่งสังเกตว่าหางของเกลเลสแตกต่างจากหางขององค์ชาย... และมีหนาม

พวกเงือกปลามีเผ่าที่มีหนามบนหางด้วยรึ...!

"ไม่เอาน่ะ... ลุกขึ้นมา เจ้าเป็นถึงองครักษ์คนสนิทของเรา จะใจจืดใจดำไม่มาช่วยแล้วจักเป็นนายที่ดีได้อย่างไร" กลายเป็นว่าราชวงศ์แห่งมารินาการ์ดรู้จักปลอบโยนผู้ใต้บัญชาอีกด้วย ทั้งที่มันเป็นความอ่อนแอที่องครักษ์ไม่สมควรมีด้วยซ้ำ เวทอร์สมองดูองครักษ์คนสนิทของอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่เขาก็รู้ดีว่านั่นคือวิธีการของมารินาการ์ดหาใช่เรื่องที่เขาจะต้องหัวเสีย

แต่นี่ก็อาจเป็นเหตุผลที่องครักษ์แห่งเซลทิคได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มเงือกที่แข็งแกร่งที่สุด

ชายหนุ่มยืดอกขึ้นน้อยๆ ด้วยความภูมิใจ แม้จะไม่มีร่วมรู้ไปกับเขา

คาดันน์จะต้องเข้าใจความเออออกับตนเองเช่นนี้แน่ ...แต่คาดันน์อยู่ไหนนะ

ว่าแล้วชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าวาฬยักษ์ที่อยู่กับตนตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมาหายตัวไป และเขาคงลืมมันเอาไว้ที่โขดหินเบื้องบน จนป่านนี้เลสซีย์อาจไล่ตะเพิดเจ้าสัตว์กวนประสาทตัวนั้นไปลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเลเพื่อรอฝูงของมันมาเก็บกลับไปแล้วก็เป็นได้ และเขาก็ควรดีใจที่มีเวลาสงบสุขเสียทีหลังจากถูกมันกรีดร้องอัดหูมาเกือบสามวันเต็ม

...แต่เปล่าเลย เงือกหนุ่มสะดุ้งสะตัวเมื่อช่วงเอวถูกดุนดันด้วยปลายปากขนาดใหญ่ที่นุ่มหยุ่นเหมือนยาง

"เหวอ!"

ทั้งเกลเลสและองค์ชายเร็กซ์ต่างสะดุ้งกับเสียงนั้น ก่อนที่ทุกคนจะหันไปมองวาฬเพชฌฆาตขนาดยักษ์ที่ตามมาถึงในถ้ำ และส่งเสียง 'คลิก' ระรัวราวกับกำลังตำหนิเวทอร์สที่ทอดทิ้งมันไว้กลางทาง "ที่นี่น้ำตื้น... จะเข้ามาทำกันกัน ประเดี๋ยวก็เกยตื้นพุงถลอกหรอก!" เวทอร์สหันไปเอ็ดสัตว์ยักษ์อย่างลืมตัวว่าอยู่ต่อหน้าอาคันตุกะจากต่างแดนน

...ฟู่!

สัตว์ใหญ่พ่นหายใจแรงๆ ก่อนจะว่ายถอยหลังลงไปอยู่ในบริเวณที่น้ำลึกกว่า ซึ่งนั่นก็คือส่วนใกล้ปากถ้ำ

เกลเลสมองอาการว่ายถอยหลังของมันด้วยความทึ่ง "วาฬว่ายถอยหลังได้รึ!" เวทอร์สหันกลับมา และสององครักษ์ก็มองกันไปมาอยู่ครู่หนึ่งด้วยต่างฝ่ายต่างตกตะลึง เกลเลสไม่เคยคิดว่าจะมีสัตว์ชนิดใดว่ายน้ำถอยหลังได้ ในขณะที่เวทอร์สก็แปลกใจว่าทำไมเผ่าอื่นดูจะตื่นเต้นกับการว่ายน้ำถอยหลังนัก

"นั่นก็เป็นคำถามของเราเช่นกัน" องค์ชายเร็กซ์หัวเราะเบาในลำคอ "หากเจ้าวาฬนี่มาตามถึงที่แล้ว เห็นทีว่าเราคงจะต้องกลับที่พักเสียที" องค์ชายว่า เขาหมุนตัวกลับและเตรียมว่ายออกไปจากถ้ำกักบริเวณ เวทอร์สรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยการปรากฎตัวของคาดันน์ทำลายบทสนทนาขององค์ชายและองครักษ์ของเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่เอ่ยปากทักท้วงอะไรด้วยนั่นเป็นประสงค์ขององค์ชายเอง

"เจ้าประจำอยู่หน่วยลาดตระเวนหรือ"

อย่างน้อย... องค์ชายเร็กซ์ก็ดูใจดีกว่าฝ่าบาทไคราห์น

"ขอรับ" เวทอร์สตอบสั้นเพียงเท่านั้น ด้วยไม่รู้ว่าตนควรจะอธิบายอะไรต่อหรือไม่ ราชวงศ์เซลทิคไม่ใกล้ชิดกับประชาชนแบบนี้ ต่อให้เป็นองค์หญิงอาโกรนาห์ หรืออดีตองค์ชายรัชทายาทเดียร์ราฮานก็ไม่เคยลงมาคลุกคลีกับประชาชนหรือองครักษ์ลาดตระเวนขนาดลอยตัวนิ่งๆ และลูบหัวคาดันน์อย่างสนิทสนมแบบนี้

"ผิวเหมือนยางเลยนะ"

องค์ชายเร็กซ์พูดกับวาฬยักษ์ และน่าประหลาดใจที่มันดูจะฟังไม่ออกว่าเป็นคำชมทั้งที่เป็นภาษาเงือกเหมือนกับเวทอร์ส อาจจะหลักการเดียวกันกับที่องครักษ์ฟาเบียงเข้าใจภาษาฉลามทั้งที่เขาไม่คิดว่าพวกมันจะสื่อสารได้ แต่อย่างน้อยคาดันน์ก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากฝ่ามือนั้นและเริ่มดุนดันปลายปากขนาดใหญ่เข้าหาเป็นการออดอ้อน

น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก

องค์ชายเร็กซ์อาจจะรู้ในเวลานั้นว่าเวทอร์สไม่ใช่คู่สนทนาที่ดี จากลักษณะ 'ถามคำหนึ่ง ตอบคำหนึ่ง' ทำให้สุดท้ายแล้ว อาคันตุกะจากต่างแดนก็พูดคุยกับวาฬแทนที่จะเป็นเงือกด้วยกัน แม้มันจะไม่เข้าใจ และไม่พูดตอบ ไม่ทำเสียง 'คลิก' หรือกรีดร้องอัดหูอย่างที่เคยทำ แต่สัตว์ใหญ่กลับน่าคบหากว่ามาก และใจง่ายยิ่งกว่าง่าย หลังจากผ่านไปเพียงครู่เดียว มันก็ถึงกับอ้าปากให้องค์ชายสอดมือเข้าไปลูบบนลิ้นสีชมพู

มันชอบการสัมผัสแบบนี้ที่สุด ซึ่งนานๆ ครั้งพวกเขาจะมีเวลาเล่นด้วย

เวทอร์สคิดว่าตนต้องการอากาศ แต่ดูเหมือนว่าองค์ชายจะลืมไปแล้วว่าเขาหายใจด้วยปอด จึงเป็นการยากที่องครักษ์หนุ่มจะปลีกตัวออกไปซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่น่าจะเสียมารยาท "องค์ชาย..." ชาวเซลทิคด้วยกันจะรู้จังหวะหายใจ และพวกเขาสามารถปลีกตัวขึ้นไปได้ แม้ว่าจะอยู่ระหว่างการพูดคุยกับราชาทะเลเหนือก็ตาม

แต่องค์ชายเร็กซ์ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าเงือกวาฬต้องกลั้นใจ

"ว่ามาสิ..."

"กระหม่อมขอตัวสักพัก" เร็กซ์เหลือบมองคนพูดด้วยหางตา ด้วยเขากำลังระแวงว่าคาดันน์จะกัดมือหรือไม่หากละสายตาไปมองเวทอร์ส แต่กิริยานั้นเองที่ทำให้องครักษ์หนุ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่พอใจเท่าไหร่ที่เขาพูดน้อย และการเล่นกับวาฬก็เป็นเพียงการประชดประชัน

เหตุใดองค์ชายมารินาการ์ดจะต้องประชดประชันองครักษ์ชั้นลาดตระเวนของเซลทิคเล่า!

"กระหม่อมเป็นองครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้..." เวทอร์สตะกุกตะกัก พยายามสานต่อบทสนนทาที่จบลงไปครึ่งชั่วยามที่แล้ว

แต่นั่นทำให้องค์ชายเร็กซ์เข้าใจว่าเขาดึงตัวอีกฝ่ายออกมาระหว่างเวลางาน

"อ้อ... ขอโทษด้วย หากเจ้าต้องทำหน้าที่ก็ไปเถอะ"

...ทำไมองค์ชายผู้นี้จึงขี้ประชดนัก!!

เวทอร์สมุ่นคิ้ว และก้มหน้าลงด้วยความเคยชินเมื่อสนทนากับเชื้อพระวงศ์ "กระหม่อมเพียงแค่พยายามจะแนะนำตัว..." องค์รักษ์หนุ่มว่าต่อไป แม้อากาศที่เหลือในปอดจะเริ่มน้อยลงจนเขารู้สึกมึนชาแล้วก็ตาม "กระหม่อมเป็นน้องชายของผู้นำเผ่าเพชฌฆาต องครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์น อายุสิบแปดปีขอรับ"

องค์ชายกะพริบตาปริบ... นี่มันการรายงานตัวของลูกสาววัยสิบขวบของเขา แม่หนูวิเวียน

'ข้าคือวิเวียน องค์หญิงสองแห่งมารินาการ์ด อายุสิบขวบ!'

สุดท้ายแล้วเวทอร์สก็สำลักออกมาเป็นฟองอากาศ และนั่นเป็นสัญญาณที่ทำให้คาดันน์เข้าใจว่าอีกฝ่ายกลั้นใจต่อไปไม่ได้แล้ว มันว่ายถอยจากองค์ชายใจดี และพุ่งเข้าใส่เงือกหนุ่มอย่างแรงเพื่อดันเขาขึ้นไปเบื้องบน "เวทอร์ส!" องค์ชายเร็กซ์เองก็ตกใจเช่นกัน อีกทั้งทึ่งกับการตัดสินใจของวาฬใหญ่ที่รวดเร็วทันท่วงที

"แค่ก!" เวทอร์สสำลักน้ำ และอ้าปากสูดหายใจให้เต็มปอด ก่อนจะฟุบลงบนหลังของคาดันน์ด้วยความมึนงง

องค์ชายเร็กซ์ตามขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาไม่ได้อยู่ห่างจากผิวน้ำมากนัก แต่แรงขยับหางของวาฬเพียงครั้งเดียวก็มีพละกำลังมากกว่าเงือกหลายขุม เวทอร์สยังหอบ เขาพยายามตั้งสติเพื่อให้ตนเองกลับไปทำหน้าที่ตามเดิม แต่เมื่อลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้า เขาก็เห็นองค์ชายเร็กซ์ทับซ้อนกันถึงสามร่าง "ฝ่าบาท... กระหม่อมขออภัย..."

"องค์ชาย..." เร็กซ์แก้ไขให้ถูกต้อง "ทำไมองครักษ์วาฬจึงดื้อนัก"

--------------------------------------------------


ในความเป็นจริงแล้ว... วาฬเพชฌฆาต (Orcinus orca) สามารถกลั้นใจได้ราวๆ 20 นาที แต่เพื่อความเว่อร์วังอลังการของชนเผ่าเงือกวาฬ(?) เราขอปรับการกลั้นหายใจเป็น 30-45 นาที (ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทจะแว้บขึ้นไปหายใจทุกๆ 10 นาทีระหว่างว่าราชการ) ในขณะที่วาฬหลังค่อม (Humpback Whale) สามารถกลั้นใจได้ประมาณ 45 นาที

ถามว่าวาฬชนิดไหนกลั้นใจได้นานที่สุด... วาฬหัวทุย (Sperm Whale) กลั้นใจได้ถึง 90 นาที

วาฬเพชฌฆาตชอบการสัมผัส... และแน่นอนว่าการอ้าปากให้ลูบลิ้นคือโคตรอ้อน 555



สงสารเวทอร์ส โดนลืม... เวทอร์สในตอนนี้อายุ 18 ปีเองล่ะ แต่ถ้าใครรู้จักเวทอร์สในสัญญาสาปสมุทรกับสุดขอบทะเลคราม... นั่นคือเวทอร์สในวัย 38 ปีและ 46 ปีตามลำดับ ความสุขุมจึงต่างกันเยอะมากกก (ละชีวิตนางก็หักเหมาก...เป็นหน่วยลาดตระเวนอยู่เซลทิคดีๆ ต้องไปเป็นองครักษ์ที่มารินาการ์ด)

เราเห็นคนสับสน... แม้ฝ่าบาทเลอาฟร์จะได้ชื่อว่าเป็น "พี่ชาย" แต่ในเรื่องนี้คือนางยังไม่เกิดนะขราาา แต่พวกสาวๆ นี่มีศักดิ์เป็นน้อง ก็เลยต้องเรียกพี่กันหมด มี 3 สาวที่อายุมากกว่าเลอาฟร์ นั่นคือ เอนเนส วิเวียน และอาร์นิเอสที่เพิ่งเกิด >.< (ส่วนแอนนิตา จูรา มาเรีย... เกิดหลังเลอาฟร์) (ถ้ามีคนสงสัยอายุท่านน้าในเรื่องนี้...คือ 40 ปี) (กลับไปมองตัวเลข 18 ของเวทอร์สอีกครั้ง) (นั่นแหละ 22 ปีที่ห่างกันนะจ๊ะ)

...ฝ่าบาทกับเวสเทียร์ทำอะไรกัน อืมมม ก็ไม่เชิง...นะ แต่มัน...อืมมม...นั่นแหละ... อิอิ

จริงๆ มันเขียนสนุกกว่าที่คิดแฮะ... คือไม่เคยเขียนเคะแนวนี้เลย (ปกติเราจะชอบเคะราชินี เมะทั้งหมดจะเป็นทีมบูชาเมี---) (อาจจะยกเว้นคูแรนน์ไว้สักคน แต่งเรียฟก็ไม่ได้แนวยอมทุกอย่างขนาดเวสเทียร์... เวสเทียร์นี่เป็นทีมบูชาสามี---) ก็เลยไม่เคยรู้ว่าเวลาลวมลามกล้ามอก กล้ามท้องของฝ่ายรุกมัน... เออ... ภาษากรีดกรายได้อีกกก แล้วเมะต้องสงวนท่าทีขี้เก็กมากกว่าเคะด้วย คือแบบ...โอ้วววว เป็นความท้าทาย

มาพูดเรื่องราชรถของมาริการ์ดที่เทียมลากด้วย "โลมาธรรมดา" มันเป็นสายพันธุ์หนึ่งของโลมาซึ่งอาศัยอยู่มากแถบไอร์แลนด์ (ทะเลเคลติกนั่นเองงง) ที่ใช้ common dolphin เพราะจริงๆ โลมาฝูงนี้ก็คือของกำนัลของเซลติคให้มารินาการ์ด สมัยที่ส่งพระชายามาแต่งงานกับองค์ชายเร็กซ์ (พระชายาที่ไม่เคยคิดชื่อ... อาดูรนัก...)

และเผ่าของเกลเลสคือเผ่าเงือกสเตอร์เจียนล่ะ... ปลาคาร์เวียร์นั่นเอง... ซึ่งปลาสเตอร์เจียนคือลักษณะแข็งแรงน่ากลัวมากๆ เผ่าของเกลเลสจึงเป็นเผ่าองครักษ์ของมารินาการ์ดที่เทียบได้กับเผ่าเพชฌฆาตของเซลทิค
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 7 [06-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: kratair ที่ 08-05-2017 23:54:50
เเต่งได้สนุกมากค่ะ เราตามมาจากสัญญาสาปสมุทรเลยย เพิ่งมาเจอเรื่องใหม่ของคนเเต่ง :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 8.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 12-05-2017 08:25:58
ตอนที่ 8.1

พิณใหญ่แห่งเซลทิคถูกอันเชิญกลับมาจากก้นมหาสมุทร เหตุผลที่ต้องเก็บไว้ไกลขนาดนั้นเนื่องจากความกราดเกรี้ยวของกระแสน้ำด้านบนที่อาจทำให้พิณได้รับความเสียหาย หรือแรงลมเหนือทะเลเองก็รุนแรงไม่แตกต่าง ดังนั้นราชวงศ์เซลติคจึงเลือกที่จะเก็บสมบัติล้ำค่าเอาไว้ในถ้ำเบื้องล่าง และการอันเชิญพิณใหญ่ขึ้นมาก็ต้องใช้แรงเงือกถึงสี่ตน และผู้ควบคุมดูแลอีกหนึ่งตนซึ่งนั่นก็คือฟาล

ราชินีเรจินาเคลื่อนกายออกมาจากที่พักในพระราชวังใต้น้ำ และมองดูเหล่าเงือกวาฬช่วยกันจัดการสถานที่ให้พิณใหญ่ พิณของเซลทิคมีลวดลายสลักเป็นรูปวาฬ มีขนาดใหญ่กว่าพิณของมารินาการ์ดมาก และดูมีน้ำหนักมากกว่ามหาศาล สิ่งที่น่าทึ่งในอีกเรื่องก็คือพิณของเงือกวาฬเป็นพิณคานไขว้สายคู่ นั่นหมายความว่าจะต้องคนเล่นถึงสองคน

...แต่พระนางก็ทราบมาว่าผู้ที่บรรเลงพิณใหญ่คือราชาแห่งเซลทิคเพียงคนเดียว

"อรุณสวัสดิ์ ฝ่าบาท..." น้ำเสียงที่ค่อนข้างแปลกหูทว่านุ่มละมุนเสียจนแทบต้องกลั้นใจทำให้ราชินีต้องหันไปหาต้นทาง และพบว่าฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเคลื่อนกายเข้ามาใกล้พร้อมกับคำทักทาย

"อรุณสวัสดิ์เช่นกัน" เรจินาจรดยิ้มที่มุมปาก "เราได้ยินว่าฝ่าบาทพักผ่อนอยู่ในถ้ำลอดเบื้องบนเพราะต้องหายใจทุกชั่วยาม" องค์หญิงอาโกรนาห์เป็นผู้บอกเล่าเรื่องนี้ และภายในค่อนคืน ดูเหมือนว่าราชินีเรจินาจะรู้จักฝ่าบาทไคราห์นมากขึ้นเสียจนนึกว่าสนิทสนมกันมานับสิบปี "การเป็นเงือกวาฬนี่ไม่ง่ายเอาเสียเลย"

...การเป็นราชาผิวเผือกนั้นยากเยิ่งกว่าการเป็นเงือกวาฬเสียอีก

ไคราห์นไม่ได้ตอบโต้กลับไป เพียงแต่ทอดยิ้มละมุน "หากการต้อนรับมีเรื่องใดขาดตกบกพร่อง เราก็ขออภัยฝ่าบาทแทนคนของเราด้วย" เซลทิคไม่ได้ใคร่จะมีแขกมาเยี่ยมเยียนมากนัก เนื่องจากทะเลของพวกเขาหนาวเย็นเกินจะทานทน อีกทั้งเผ่าวาฬก็ไม่ใคร่จะสุงสิงกับเงือกด้วยกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แน่ใจเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเงือกเผ่าอื่น

แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ปฏิบัติกับราชวงศ์อื่นเสมอเมือนที่ปฏิบัติกับราชวงศ์แห่งเซลทิค

"ทุกอย่างเรียบร้อยดี ฝ่าบาท" เรจินายิ้ม "เรามาในฐานะผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความผิด จะไปกล้าเรื่องมากใส่เจ้าบ้านได้อย่างไร" แม้จะอยากพูดคุยสัพเพเหระมากกว่านี้ แต่สิ่งที่ติดค้างในใจของราชินีคงเป็นเรื่องสวัสดิภาพคนของนาง "ฝ่าบาทตั้งใจจะตัดสินโทษคนของเราอย่างไร และเมื่อไหร่หรือ"

สมเป็นราชินีแห่งมารินาการ์ด...

ไคราห์นรู้สึกทึ่งกับความตรงไปตรงมาของพระนาง "โชคดีที่วาฬฟินตัวนั้นปลอดภัย เราจึงไม่ได้ถือสาเอาความเอามากมาย แต่อย่างไรก็คงจะต้องลงโทษเป็นตัวอย่าง" ราชินีรู้ดีว่าเผ่าวาฬเป็นเผ่าที่มีความแข็งแกร่งทางร่างกายมากกว่า ดังนั้นหากจะใช้บทลงโทษของเผ่าวาฬกับคนของนาง เกรงว่าจะหนักหนาสาหัสเกินไป

ทว่าไคราห์นไม่ได้ต้องการลงโทษ "แต่นั่นคือประชาชนของฝ่าบาท..."

ราชินีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเริ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้นางเสนอตัวรับผิดชอบในเรื่องนี้ เพราะนั่นคือการทำผิดของชาวมารินาการ์ด ไม่ใช่หน้าที่ของราชาเซลทิคที่จะต้องมาสั่งสอน หน้าที่ของพระนางคือการปกป้องประชาชนของตน "ต่อไปนี้ เราจะห้ามชาวมารินาการ์ดไม่ให้ล่าวาฬในแถบตะวันตกอีก"

ทะเลเคลติกของอาณาจักรเซลทิคเป็นทะเลฝั่งตะวันตกค่อนไปทางเหนือ ในขณะที่ทะเลอัลบิออนของอาณาจักรมารินาการ์ดอยู่ฝั่งตะวันออกค่อนไปทางใต้ ดังนั้นอาณาเขตล่าวาฬของมารินาการ์ดจึงแบ่งออกเป็นสองฝั่ง นั่นคือตะวันออกซึ่งก็คือทะเลเหนือ และตะวันตกก็คือทะเลเคลติก ซึ่งฝั่งทะเลเหนือหนาวเย็นมากกว่า และในบางครั้งก็เย็นเกินกว่าชาวเงือกจะทานทนได้ ทำให้พวกเขาเลือกที่จะล่าวาฬฝั่งทะเลเคลติกซึ่งเสี่ยงต่อการปะทะกับเผ่าวาฬ

การสั่งห้ามล่าวาฬในแถบตะวันตกนั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของกลุ่มพราน แต่นั่นก็เป็นข้อเสนอที่เข้าหูราชาเซลทิคอยู่มาก "แล้วหากมีผู้ใดฝ่าฝืนเล่า..."

แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเสี่ยงชีวิตด้วยการออกล่าในน่านน้ำที่อาจจะมีวาฬเยอะกว่า แต่ทรมาณร่างกายมากกว่า และประชาชนเซลทิคเองก็ยังฝ่าฝืนคำสั่ง 'ห้ามเหยียบแผ่นดิน' ของราชาอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นราชินีเรจินาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนของพระนางจะปฏิบัติตามคำสั่งที่ทำให้พวกเขาเสียเปรียบ และเสียประโยชน์

"ไม่หรอก ฝ่าบาท" เรจินาทอดยิ้ม "ด้วยเกียรติของสายเลือดจอมราชัน..."

คำตอบของนางทำให้คนฟังทึ่งไปสักพัก เขาสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามและพลังอันหนักแน่นในน้ำเสียง และเป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทไคราห์นรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้พูดคุยกับผู้นำอาณาจักรอีกคนหนึ่ง แต่กำลังพูดคุยกับ 'สายเลือดจอมราชัน' ทายาทของเงือกผู้กล้าหาญที่สุดในมหาสมุทร

ประชาชนของเขา... จะมีวันเทิดทูนเขาในแบบที่ชาวมารินาการ์ดบูชาสายเลือดจอมราชันบ้างไหม

ฝ่าบาทไคราห์นหลบตาลงต่ำ และมองดูครีบข้างลำตัวสีทองพลิ้วไหวของราชินีกับปลายหางสีขาวสว่างของตนอย่างไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้

--------------------------------------------------

เวทอร์สออกไปปฏิบัติงานลาดตระเวนตั้งแต่เช้ามืดอย่างแข็งขัน จนคาดันน์ยังแปลกใจและไล่ตามถามด้วยเสียงแหลมสูงอันเป็นเอกลักษณ์ว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลใด เพราะมันยังกินปลาแฮร์ริงไม่อิ่ม "ไปล่ากับท่านพี่เวสเทียร์โน่น! ข้าจะไปลาดตระเวนฝ่ายใต้ เผื่อว่าจะได้ข่าวสารจากเผ่าวาฬหลังค่อม"

นั่นเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นที่สุดขององครักษ์หนุ่ม เนื่องจากวาฬหลังค่อมจะส่งข่าวลงมาจากทะเลฝ่ายเหนือ

...แต่เวทอร์สต้องการเหตุผลสักประการเพื่อไม่ต้องอยู่ประจำอาณาจักรให้องค์ชายเร็กซ์เรียกพบ

การสำลักน้ำต่อหน้าอาคันตุกะจากต่างแดนนับเป็นเรื่องอับอายขายหน้าของเผ่าพันธุ์ เวทอร์สคิดว่าหากเขากลายร่างเป็นปลิงทะเลเปลี่ยนสีและพรางตัวหายไปกับพื้นมหาสมุทรได้ก็คงจะทำ แม้จะรู้ดีว่าองค์ชายจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ก็ตามแต่อีกฝ่ายกล่าวว่า 'รู้จักเขา' ได้อย่างไร ทั้งที่เพิ่งพูดคุยกันสองครั้ง อีกทั้งเป็นสองครั้งที่ต่างฝ่ายต่างมองหางกันไปมา องค์ชายก็เอาแต่ทึ่งในการว่ายถอยหลังของเขา ส่วนเขาก็เอาแต่ทึ่งหางที่มีเกล็ดสีทอง และเหงือก!

"เวทอร์ส! เจ้าจะรีบว่ายไปไหน!"

เลสซีย์ นางเงือกผู้นำหน่วยลาดตระเวนถามเสียงแข็ง ในมือของนางถือหอกเล่มยาวเรียวเล็กที่ยังมีปลาแฮร์ริงเสียบอยู่เรียงราย มันคงจะกลายเป็นอาหารของใครสักคนที่ไม่ได้ออกไปล่าในเช้าวันนี้ ซึ่งนั่นอาจหมายถึง... ท่านพี่เวสเทียร์ของเขา "ข้าไม่เห็นเวสเทียร์แต่เช้า จึงได้จับมาเผื่อ" มือเรียวจับหางปลาเหล่านั้นรูดออกมาแล้วส่งให้องครักษ์หนุ่ม "ไม่ห่วงพี่ชายเลยหรือไร"

เวทอร์สรับปลามาถือไว้ และคิดจะไหว้วานต่อให้ผู้อื่น เช่นคาดันน์

แต่เมื่อหันไปข้างตัว เขาก็พบว่าวาฬตัวแสบอ้าปากกว้างรอการป้อนอย่างอบอุ่น แทนคำตอบว่าวันนี้พี่ชายของเขาคงจะอดอาหารหากเขาไม่เป็นผู้นำกองปลานี้ไปให้ด้วยตนเอง "เมื่อคืนฝ่าบาทเรียกพี่ชายเจ้าของเฝ้า อาจจะมีเรื่องหรือภารกิจที่เขามอบหมายเร่งด่วน ทำให้เวสเทียร์ออกไปล่าตอนเช้าไม่ได้" เลสซีย์ว่า "ดูแลหน่อยก็แล้วกัน"

เวทอร์สพยักหน้ารับ แต่ในใจค่อนขอดว่าจะเป็นภารกิจอื่นใดไปได้

พวกเขาก็ทำแบบนี้มาตั้งห้าปีแล้วไม่ใช่หรือ...

องครักษ์หนุ่มอยากจะถอนใจสักครั้ง หากไม่ติดว่าเขาหวงอากาศในปอด แล้วจึงว่ายกลับไปยังถ้ำเบื้องบนเพื่อตามหาพี่ชาย แต่หางตาของเวทอร์สก็ทันเห็นร่างสีขาวของราชาผู้นำซึ่งกำลังสนทนากับราชินีต่างเมือง ฝ่าบาทไคราห์นมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าราชินีเรจินามาก ขนาดที่ว่านางอาจต้องใช้มือทั้งสองข้างในการกอบกุมมือของฝ่าบาทไคราห์นข้างเดียว

ราชาทะเลเหนือมีท่าทีสุขุมและวางตัวได้สมบูรณ์แบบเสมอในสายตาของชาวเซลทิค แต่ราชินีแห่งมารินาการ์ดก็ใช่ว่าจะเป็นเพียงหญิงธรรมดา นางคือสายเลือดของจอมราชัน หางมีเกล็ดสีทองที่สามารถสะท้อนแสงได้ทุกเวลาแม้ในความมืด ดวงตาเรียวสวยที่รับกับรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ และเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง เพียงเท่านี้ก็ดูงดงามน่าเกรงขามมากพอแล้ว ดังนั้นฝ่าบาทแห่งเซลทิคจึงดูเป็นเงือกธรรมดาไปในทันทีเมื่ออยู่เคียงกายพระนาง

ฝ่าบาทเรจินายิ้มแย้มสนทนากับราชาทะเลเหนืออย่างไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ นางสามารถมองสบตา หรือกระทั่งส่งมือให้กับฝ่าบาทได้เพื่อให้เขาประคองมือเรียวเล็กนั้นเอาไว้เป็นการทดสอบพลังที่ราชวงศ์หวงแหน

ดูเหมือนว่าฝ่าบาทไคราห์นจะเสนอสิ่งนั้นด้วยตนเอง เพราะเห็นสตรีตรงหน้าได้รับบาดเจ็บที่ฝ่ามือ

เรจินาดูประหลาดใจกับพลังของไคราห์น นางเพียงเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่ปราศจากความหมายแฝงหรือความกำกวม และถอยมือของตนกลับมาอย่างนุ่มนวล แต่พวกเขาก็ยังสนทนากันต่อไปเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด และทำความรู้จักกันเพื่อมิตรภาพอันดีของอาณาจักร

เวทอร์สถอนสายตาจากผู้นำทั้งสองเพื่อไปตามหาพี่ชาย และเขาก็ได้พบอีกฝ่ายอยู่ห่างจากฝ่าบาทไม่ไกล และทำหน้าที่ขององครักษ์ที่ดีนั่นคือการตามอารักขาผู้นำอาณาจักร "เลสซีย์จับปลามาให้พี่" เวทอร์สเอ่ยกับอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าเวสเทียร์จะไม่รับรู้การมาถึงของเขา ร่างโปร่งยังคงมองไปที่ฝ่าบาทด้วยสีหน้าค่อนไปทางเป็นห่วง

"ท่านพี่..." เวทอร์สเรียกดังขึ้น ดึงพี่ชายของเขากลับมา

"อืม ขอบใจ" เวสเทียร์ถอนสายตากลับมา และมองดูปลาหลายตัวในมือเวทอร์สด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไหร่ "แล่ให้ด้วยสิ" ถ้าเป็นเวลาปกติ เวทอร์สคงจะตอกกลับสักทีหนึ่งตามประสาพี่น้อง แต่ครั้งนี้น้ำเสียงของเวสเทียร์แตกต่างออกไปจากเดิม และสายตาของเขาก็เคลื่อนกลับไปมองราชาทะเลเหนืออีกครั้งราวกับไม่ไว้ใจให้อีกฝ่ายพูดคุยกับราชินีแห่งมารินาการ์ดตามลำพัง

ผู้หญิงตัวเล็กเท่านั้นคงทำอะไรฝ่าบาทไม่ได้... หากหมายถึงการกระทำทางกาย

แต่เวทอร์สรู้ดีว่าเวสเทียร์เป็นห่วงด้าน 'จิตใจ'

"ท่านพี่..." คนเป็นน้องเรียกอีกครั้ง "ไม่มีอะไรหรอกน่า" สายตาของชายหนุ่มเคลื่อนกลับไปมองฝ่าบาทของตนอีกครั้ง และพบว่าราชาผู้ไม่เคยยิ้มแย้มของเซลทิคกลับหัวเราะออกมาเมื่อได้สนทนากับราชินีมารินาการ์ด แม้จะเป็นการหัวเราะเบาๆ อย่างสงวนท่าทีตามตำหรับผู้นำก็ตาม

ใจของเวสเทียร์วูบไหวเมื่อความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นมา และเขาก็รู้ว่ามันคืออะไร

องครักษ์คนสนิทหลับตาลง แต่ไม่สามารถทำกระทั่งหันหลังหนี หรือหายหน้าจากไปได้ด้วยหน้าที่ของ 'คนสนิท' ที่ค้ำคอเขาอยู่ เวสเทียร์ขบกรามแน่น พยายามหันไปสนใจปลาในมือของเวทอร์ส ทว่ามันก็ไม่เป็นผล "บ้าจริง..." ร่างโปร่งพึมพำ พยายามใจแข็งด้วยการกำหอกยาวในมือของตนแน่น จนเล็บคมจิกลงบนอุ้งมือของตนเองอย่างแรง

ฝ่าบาทไม่ใช่ของเขา... เขารู้ดีอยู่แล้ว

เวสเทียร์เลือกที่จะกลืนน้ำลายและความรู้สึกของเขาลงคอไป ด้วยรู้ดีว่าต่อให้พูดออกมาก็ไม่ช่วยอะไร

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 8.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 12-05-2017 08:27:45
ตอนที่ 8.2

องค์ชายเร็กซ์ผู้ถูกลืมว่ายขึ้นมายังโขดหินเบื้องบน และกระถดตัวขึ้นนั่งเหนือน้ำ พร้อมกับสูดอากาศเย็นๆ เข้าปอด 'เงือกปลา' มีระบบการหายใจที่ดีกว่าเงือกวาฬ พวกเขามีทั้งปอดที่ใช้สูดอากาศ และเหงือกที่ใช้หายใจใต้น้ำ เมื่อต้องดำดิ่งลงสู่ก้นทะเล พวกเขาสามารถดันน้ำทะเลเข้าไปในปอดให้เต็มได้โดยไม่รู้สึกแสบ และเมื่อโผล่พ้นผืนน้ำขึ้นมา ก็สามารถขับน้ำออกมาได้เช่นกัน

วิธีการหายใจแบบนี้ทำให้พวกเขาเป็นชาวบาดาลสมบูรณ์แบบ

แต่การสลบโดยเอาหน้าจุ่มน้ำและเหงือกอยู่เหนือน้ำก็ทำให้ตายได้เช่นกัน

เร็กซ์หันไปหาองครักษ์คนสนิทของตนด้วยความเคยชิน แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงถูกคุมขังอยู่ในถ้ำ และรอให้การเจรจาของราชินีเรจินากับราชาไคราห์นจบลงด้วยดี ซึ่งองค์ชายก็เห็นเค้าลางของความราบรื่นมาสักพักแล้วหลังจากฝ่าบาทไคราห์นตรงรี่เข้าไปคุยกับพี่สาวของเขาแต่เช้า

...ฟู่!

เสียงพ่นลมหายใจรุนแรงของวาฬเพชฌฆาตทำให้องค์ชายสะดุ้งจนเกือบตกจากโขดหิน เขามองสัตว์ยักษ์ค่อยๆ ลอยตัวเข้ามาใกล้และเอียงหัวมองเขาด้วยดวงตาทีละข้าง ก่อนจะเผยอปากขึ้นอวดฟันคมที่เรียงรายขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังยิ้มให้ในแบบฉบับของวาฬ "คาดันน์... ใช่ไหม" เร็กซ์เอ่ยถามก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสผิวนุ่มหยุ่นเหมือนยางของมัน

คาดันน์อ้าปากกว้างขึ้นให้อีกฝ่ายลูบลิ้น ดูมีความสุขราวกับเกิดมาเพียงเพื่อเล่นและกินเท่านั้น

วาฬใหญ่เอาคางขึ้นวางเกย และเปล่งเสียงออกมาเบาๆ เสมือนอยากชวนคนตรงหน้าคุย องค์ชายไม่เข้าใจภาษาวาฬ และคาดันน์ก็ไม่เข้าใจคำพูดของเงือกสีทอง แต่เพียงแค่รอยยิ้มของเขา สัมผัสที่อ่อนโยนของเขา และเสียงนุ่มๆ ที่แม้จะพูดแต่สิ่งที่ฟังไม่ออก แต่วาฬยักษ์ก็พบว่ามันอยากจะลอยตัวอยู่นิ่งๆ เช่นนี้ไปอีกแสนนาน

"มาอยู่นี่เอง คาดันน์..."

เสียงเรียกที่องค์ชายไม่ค่อยคุ้นดึงให้คาดันน์กดหัวลงใต้น้ำและพ่นฟองอากาศออกมาระรัวอย่างขัดใจ มันอ้าปากขึ้นอีกครั้งและส่งเสียงแหลมสั้นๆ ราวกับกำลังเถียงผู้มาเยือน องค์ชายเร็กซ์เงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน เขามีใบหน้าละม้ายคล้ายเวทอร์ส ทว่ารูปร่างไม่บึกบึนเท่า ดูปราดเปรียวกว่า  มีดวงตาสีน้ำตาลเหมือนกัน และทรงผมที่คล้ายกันจนอาจจะแยกไม่ออกหากมองจากด้านหลัง

"องครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นสินะ"

เวสเทียร์เหลือบตาขึ้นมองเงือกตรงหน้า และเมื่อเห็นหางที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีทองสะท้อนแสงอาทิตย์ ชายหนุ่มก็ก้มหน้าลงด้วยรู้สถานะของคู่สนทนา "องค์ชายเร็กซ์..." เขารู้ว่าคนตรงหน้าคือน้องชายของราชินีเรจินา ผู้ร่วมเดินทางมาในการเจรจาขอตัวกลุ่มพรานมารินาการ์ดคืน และหัวหน้าพรานกลุ่มนั้น ยังเป็นถึงองครักษ์คนสนิทขององค์ชาย

"เจ้าคงเป็นพี่ชายของเวทอร์ส" องค์ชายทอดเสียง ตั้งใจว่าจะถามถึงอาการสำลักน้ำทะเลที่น่าจะทำให้อีกฝ่ายแสบปอด แต่ก็ยั้งตัวเองเอาไว้ด้วยรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องน่าอายของเงือกวาฬ "เจ้าวาฬนี่เป็นเพื่อนเจ้าหรือ" องค์ชายวางมือลงบนปลายปากสีดำหยุ่น และคาดันน์ก็เหลือบตามองเวสเทียร์เล็กน้อยด้วยเจตนาจะ 'อวด' เพื่อนใหม่ของตน

"แม่ของคาดันน์ป่วยตายในเขตของอาณาจักร กระหม่อมเพียงดูแลมันชั่วคราว ทว่ามันก็ไม่ยอมกลับไปร่วมฝูงเสียที"

คำตอบกึ่งขับไล่ไสส่งทำให้วาฬยักษ์พ่นลมหายใจแรงๆ และค่อยๆ อ้าปากอีกครั้งให้องค์ชายเล่นด้วย "มันชอบให้ทำแบบนี้นะ" เร็กซ์ลูบมือบนลิ้นนุ่มๆ หยุ่นๆ และตบมือบนกรามใหญ่เป็นสัญญาณให้มันหุบปากลงจะดีกว่า "มารินาการ์ดไม่มีสัตว์ทะเลฉลาดๆ แบบนี้หรอก" เวสเทียร์รู้ตัวว่าเสียมารยาทที่ไม่กล่าวตอบโต้ เพียงแต่เขากลับฉุกคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าเหตุใดผู้คนจากมารินาการ์ดจึงเป็นที่รักนัก ทั้งวาฬที่คอยติดสอยห้อยตามเขาตลอดเวลาก็เปลี่ยนไปชื่นชอบองค์ชาย และฝ่าบาทไคราห์นผู้ไม่เคยหัวเราะให้เขาได้ยินเลยสักครั้งกลับมีอารมณ์ขันในยามสนทนากับราชินี

ใจที่เคยมั่นคงกลับหวั่นไหวอย่างไม่แน่ให้อภัยในความอ่อนแอ

"เป็นอะไรรึเปล่า..." องค์ชายโคลงหัว ดึงองครักษ์ตรงหน้าให้กลับมาจากภวังค์ของตน "เรายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลยนะ"

"ขออภัยฝ่าบาท..." เวสเทียร์ค้อมหัวลง "กระหม่อมมีนามว่า เวสเทียร์"

เร็กซ์ลอบกลอกตากับตัวเองสามครั้งทางขวา เมื่ออีกฝ่ายเรียกเขาว่า 'ฝ่าบาท' และอยากจะเอ็ดอีกสักครั้งว่าเหตุใดเงือกวาฬเผ่าเพชฌฆาตผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาครึ่งมัจฉาจึงได้ความจำสั้นประหนึ่งเป็นเผ่าปลาทอง แต่ก็ยั้งปากตัวเองทันด้วยนึกขึ้นได้ว่าเงือกเผ่าปลาทองที่ว่านี้ก็คือเผ่าออรันดาของเขาเอง

หากพลั้งปากด่า ...จอมราชันจะต้องเขกหัวเขาในชีวิตหลังความตายอย่างแน่นอน

"องค์ชาย..." เร็กซ์ยังคงยืนยันที่จะแก้ไข แม้ว่ามันอาจจะเป็นครั้งที่ร้อยแล้วก็ตาม "เจ้ามาตามหาวาฬหรือ" องค์ชายแห่งมารินาการ์ดขยับกายลงจากโขดหิน แช่ตัวลงในน้ำเย็นจัดอีกครั้งและสูดหายใจลึกๆ อีกสักครั้งก่อนจะกลับไปหายใจด้วยเหงือกที่ใต้ทะเล "เห็นทีว่าเราก็คงต้องกลับลงไปเช่นกัน"

เวสเทียร์รู้สึกผิดที่เข้ามาขัดจังหวะของคาดันน์กับผู้มาเยือน "องค์ชายอยากเที่ยวชมอาณาจักรไหมขอรับ"

ข้อเสนอของเวสเทียร์ทำให้เร็กซ์หยุดชะงักด้วยความสงสัยหลายประการ ประการที่หนึ่งคืออีกฝ่ายไม่ใช่องครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นหรอกหรือ จึงจะไปไหนมาไหนได้โดยอิสระแบบนี้ ประการที่สองคือเหตุใดเวสเทียร์จึงอยากพบวาฬเด็กที่ดูจะมีงานอดิเรกเป็นการกวนประสาท และประการที่สามคืออาณาจักรเซลทิคแห่งนี้ไม่มีดอกไม้ทะเลสักต้น แล้วองครักษ์ผู้นี้จะพาเขาไป 'เที่ยวชม' อะไรกันหนอ

เวสเทียร์เพียงแค่อยากปลีกตัวออกมาจากสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีอย่างที่องครักษ์ระดับสูงไม่ควรจะรู้สึก

และเขาก็อยากรู้เช่นกันว่าเหตุใด... ผู้นำมารินาการ์ดจึงเป็นที่รักของทุกคน

บรรยากาศรอบตัวเวสเทียร์ต่างจากเวทอร์สผู้เป็นน้องชายยิ่งกว่าปากหน้าผากกับร่องมหาสมุทร องครักษ์หน่วยลาดตระเวน 'ฝ่ายใต้' ผู้นั้นมักมีท่าทีประหม่า และวางตัวไม่ถูก ทว่ายังฝืนแบกรับภาระเอาไว้บนบ่าของตนแม้จะไม่แน่ใจว่าตนจะสามารถทำอะไรได้บ้าง นั่นคือความ 'น่าเอ็นดู' ของเวทอร์ส

สำหรับเวสเทียร์ผู้นี้ ด้วยความที่เขาน่าจะมีอายุมากกว่าเวทอร์สอยู่หลายปี คนเป็นพี่จึงดูสุขุม และวางตัวได้สมกับเป็นองครักษ์ชั้นสูงของอาณาจักร แต่หากแววตาสีน้ำตาลของอีกฝ่ายก็ยังฉายอารมณ์หวั่นไหวที่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้ออกมาอยู่ดี

ประเดี๋ยวก่อน... ผู้ชายระดับองครักษ์เขาทำหน้าแบบนี้กันด้วยหรือไร

แม้จะเทียบในเรื่องพละกำลังแล้ว เกลเลสของเขาจะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ต่อสู้ แต่องค์ชายเร็กซ์ก็มั่นใจว่าองครักษ์คนสนิทของตนมีจิตใจแข็งแกร่งกว่าเวสเทียร์อย่างแน่นอน และคงไม่ต้องพูดถึงฟาเบียง องครักษ์คนสนิทของท่านพี่เรจินา เงือกฉลามตนนั้นอาจเป็นเงือกที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรมารินาการ์ด

ก็เพราะมารินาการ์ดไม่มีเงือกฉลามสักตัว ยกเว้นเขา...

แล้วองค์ชายก็พบว่าตนเองว่ายตามองครักษ์ระดับสูงของเซลทิคลงมาเบื้องล่าง โดยมีคาดันน์ว่ายเคียงข้างตนอยู่ด้วย เร็กซ์เพิ่งรู้สึกในตอนนี้เองว่าเจ้าวาฬเด็กนี่มีขนาดตัวที่ใหญ่โตแค่ไหนเมื่อเทียบกับขนาดตาของมันเอง สัตว์ยักษ์ขยับครีบอกที่มีขนาดใหญ่พอจะบังร่างเงือกทั้งตัวได้ ยกขึ้นป้องร่างขององค์ชายราวกับช่วยคุ้มครองเขาจากภัย... ของเศษน้ำแข็งเหนือผิวน้ำที่อาจจะลอยมาบาดเนื้อ

เร็กซ์ลองจับครีบนั่นด้วยความอยากรู้ พบว่ามันแข็งมากราวกับเนื้อวาฬทำจากไม้หุ้มด้วยหนัง

"พวกวาฬหลังค่อมจะเดินทางลงมาที่นี่ในสัปดาห์หน้า ซึ่งหมายถึงเทศกาลเล่นแสงจันทร์ประจำปีของเซลทิค" เวสเทียร์พยายามพูดคุย และนี่อาจเป็นข้อดีขององครักษ์คนพี่ที่อย่างน้อยก็ไม่เป็นใบ้เหมือนคนน้อง "ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางลงไปยังทางใต้เพื่อจับคู่และเลี้ยงดูลูกวาฬเกิดใหม่" องค์ชายเร็กซ์คิดว่าเขาไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว บรรยากาศของการที่มีใครสักคนมาบรรยายความรู้ใหม่ให้เขาฟัง และนั่นทำให้องค์ชายมารินาการ์ดรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กทั้งที่มีอายุถึงสี่สิบปีและบุตรสาวอีกสามคน

...แต่เขามีแผนจะมีลูกถึงแปดคนเพื่อให้พระชายาทั้งสี่รู้สึกถึงความรักที่เท่าเทียมกัน

"องค์ชาย... จะอยู่ร่วมเทศกาลเล่นแสงจันทร์ไหมขอรับ"

หน้าที่การชักชวนควรเป็นของฝ่าบาทไคราห์น แต่เร็กซ์ก็พอจะเข้าใจว่าราชาทะเลเหนืออาจไม่มีเวลาว่างมาสนทนากับเขาซึ่งเป็นเพียงผู้ติดตาม แต่ต้องสนทนากับราชินีมารินาการ์ด และคงออกปากชวนนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ยังเป็นเรื่องประหลาดใจอยู่ดีที่องครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทกลับมาออกปากชวนเขาทั้งที่เพิ่งจะคุยกันเป็นครั้งแรก และนี่คงเป็นประโยคที่สี่หรือห้าที่เวสเทียร์พูดคุยกับเขา

หากเป็นเวทอร์ส... องค์ชายเร็กซ์คิดว่าเขาคงจะสบายใจในการตอบโต้มากกว่า

"เราคงจะให้คำตอบแทนราชินีไม่ได้กระมัง" เร็กซ์เลี่ยงตอบ พวกเขาว่ายผ่านแท่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่เคียงท้องพระโรงแห่งพระราชวังเซลทิค และมองเห็นพิณตัวหนึ่งวางอยู่บนนั้นโดยมีองครักษ์สองตนคอยอารักขาดูแล "นั่นคือพิณแห่งเซลทิคสินะ" อาณาจักรเงือกมักจะมีพิณใหญ่สักตัวหนึ่งเป็นสัญลักษณ์และสมบัติตกทอด และว่ากันว่าพิณของอาณาจักรเซลทิคนับเป็นเครื่องดนตรีที่มีความไพเราะมากที่สุด

"เพื่อให้ฝ่าบาทขับขานเพลงร่วมกับฝูงวาฬ จึงต้องอันเชิญพิณใหญ่ขึ้นมาจากก้นทะเลขอรับ"

ในน้ำเสียงของเวสเทียร์ เร็กซ์สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเทิดทูนราชาทะเลเหนือมากแค่ไหน และแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่องครักษ์ใต้บัญชาพึงกระทำ ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในน้ำเสียงของเวสเทียร์ซึ่งแตกต่างจากเวทอร์ส เมื่อพูดถึงฝ่าบาทไคราห์น สำหรับเวทอร์สแล้ว ความรู้สึกที่เจือใน้ำเสียงคือความยำเกรงและเคารพ

แต่น้ำเสียงของเวสเทียร์กลับเจือด้วยความรักและความหลงใหล

...ไม่ใช่เสียงแบบที่องครักษ์ทั่วไปเขาใช้พูดถึงราชา

องค์ชายส่ายหัวเบาเพื่อไล่ความสงสัยทิ้งไปด้วยตระหนักว่ามันอาจเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเอง และเอนกายไปหาคาดันน์ซึ่งยังคงว่ายอยู่ข้างๆ สัตว์ใหญ่เหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงถามเป็นภาษาที่เร็กซ์ไม่เข้าใจ แต่แล้วเวสเทียร์ก็หันมองข้ามไหล่ตนกลับมาหาวาฬยักษ์ ก่อนจะเดาะลิ้นสั้นๆ ครั้งหนึ่งซึ่งเป็นคำตอบในภาษาวาฬ

เร็กซ์กะพริบตาถี่... เขาควรไปหัดเดาะลิ้นบ้างดีไหม

--------------------------------------------------

การสนทนากับผู้นำอาณาจักรอื่นทั้งวันทำให้ฝ่าบาทไคราห์นรู้สึกเพลียเสียจนอยากทิ้งตัวลงนอนบนบัลลังก์ใต้ทะเลให้รู้แล้วรู้รอด เพราะระยะทางจากพระราชวังเซลทิคไปจนถึงถ้ำที่ประทับดูจะห่างไกลมากเหลือเกิน เขาพาเรจินาไปเที่ยวชมอาณาจักร ให้นางได้สัมผัสพิณใหญ่ของเซลทิคใกล้ๆ มองความอุดมสมบูรณ์ของแพลงก์ตอน และฝูงปลาหลากชนิดที่เวียนว่ายอยู่ในอาณาเขต

แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งฝ่าบาทชื่นชอบ แต่เขาก็ไม่คิดว่าพระนางจะประทับใจร่วมไปกับเขา นั่นคือการออกล่าของเผ่าเพชฌฆาตในยามเช้าของทุกวัน รูปแบบการว่ายน้ำของพวกเขา และการทำงานอย่างเป็นระบบซึ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อีกทั้งยังเป็นภาพที่สวยงามอีกด้วย

แต่ฝ่าบาทเรจินาเป็นเงือกปลา ดังนั้นพระนางจึงอาจไม่โปรด

เช่นเดียวกับที่เขาทนมองพวกวาฬถูกเข่นฆ่าไม่ได้...

ราชาทะเลเหนือโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำพร้อมกับสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง เขาเสยผมสีขาวของตนขึ้นให้พ้นใบหน้า และหันไปข้างกายด้วยความเคยชิน เพียงเพื่อจะพบว่าเวสเทียร์ไม่ได้อยู่ข้างกายเขา "...ฟาล" ราชากระแอมกับผิวน้ำ แต่ผู้ถูกเรียกกลับว่ายขึ้นมาเบื้องบนอย่างรวดเร็วราวกับรอคำสั่งอยู่แล้ว

"ขอรับ ฝ่าบาท..."

"ไปตามเวสเทียร์มา" ในบางครั้ง เลขาคนสนิทก็นึกสงสัยว่า เหตุใดฝ่าบาททะเลเหนือผู้มีความสามารถในการปรับโทนเสียงเพื่อเรียกใช้คนได้ กลับไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบที่ใช้กับเขาในการพูดกับเวสเทียร์เลย ...ฟาลหมายถึง น้ำเสียงที่วางอำนาจ น่าเกรงขาม และท่าทางของผู้เป็นใหญ่

หากจะเรียกหาเขาเพื่อให้เขาไปตามเวสเทียร์ เหตุใดจึงไม่เรียกเวสเทียร์เสียตั้งแต่แรกหนอ

"ดูเหมือนว่าองค์ชายผู้ติดตามจะเรียกใช้งานเวสเทียร์ขอรับ"

"เหตุใดเขาจึงกล้าเรียกใช้งานองครักษ์คนสนิทของเรากัน" ฝ่าบาทมุ่นคิ้ว "หากเป็นเพราะเรากักขังองครักษ์ของเขาเอาไว้ก็ปล่อยพวกเขาออกมาเสีย" ฟาลค้อมหัวลงเป็นการรับคำสั่งสองประการ ประการที่หนึ่งคือให้ปล่อยตัวกลุ่มพรานจากมารินาการ์ด และประการที่สองคือการเอาตัวเวสเทียร์กลับมาให้เร็วที่สุด

โชคเข้าข้างเลขาคนสนิท... เมื่อดำลงใต้น้ำแล้วพบเวสเทียร์ว่ายตรงมาพอดี

"ฝ่าบาท กระหม่อมขออภัย" องครักษ์คนสนิทค้อมหัวลงเบื้องหน้าราชา "กระหม่อมไม่มีข้อแก้ตัว" ไคราห์นผ่อนลมหายใจด้วยอารมณ์ที่ดูจะสงบลง ก่อนจะกลับไปยังถ้ำที่ประทับ โดยองครักษ์คนสนิทติดตามไปด้วย และเขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายขุ่นเคืองที่เขาหายตัวไป

"องค์ชายเร็กซ์เรียกใช้งานเจ้ารึ" น้ำเสียงของฝ่าบาทขึงขังและคุกคาม แตกต่างจากองค์ชายเร็กซ์ แม้ทั้งคู่อาจจะใจดีเหมือนกันในความคิดของเวสเทียร์ แต่องค์ชายแห่งมารินาการ์ดมักจะทอดเสียงละมุนอยู่เสมอ และชอบถามคำถามที่ทำให้คู่สนทนาใจอ่อนอยู่เรื่อย

...คำถามที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้รับความรัก ความเอ็นดูจากอีกฝ่าย

"กระหม่อมเห็นองค์ชายอยู่กับคาดันน์ตามลำพัง จึงอาสาพาเขาเที่ยวชมอาณาจักรขอรับ"

"เป็นหน้าที่ของเจ้าหรือไร"

เวสเทียร์ก้มหน้านิ่งเมื่อถูกแทงใจจนจุก "เราจะให้ฟาลไปตามพวกเผ่าโลมา ชายาของเขาเป็นบุตรสาวของตระกูลนั้น องค์ชายเร็กซ์อาจจะสนิทใจพูดคุยมากกว่า" องครักษ์หนุ่มก้มหน้านิ่ง และตำหนิตนเองอยู่เงียบๆ เขาฟังเสียงราชาหนุ่มเคลื่อนกายขึ้นไปบนแท่นหิน และยกหางขึ้นวางบนเบาะรอง

"ราชินีมารินาการ์ดมีอารมณ์ขันมากกว่าที่เราคิดเอาไว้เสียอีก" เมื่อนึกถึงมุกตลกหน้าตายของสตรีที่เป็นถึงผู้นำอาณาจักร ฝ่าบาทก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความขบขัน "กลั้นหัวเราะแทบแย่ ไม่เช่นนั้นต้องสำลักน้ำแน่นอน" เวสเทียร์ไม่รู้จะตอบอะไร ได้แต่พึมพำ 'ขอรับ' อยู่ในลำคอ

เขาไม่ใช่ฟาลที่จะแสดงความคิดเห็นชี้นำฝ่าบาทอะไรได้

และเขาก็ไม่สามารถ... ส่งเสริมเยินยอให้ฝ่าบาทสนิทสนมกับสตรีผู้นั้นได้

"พวกมารินาการ์ดเป็นมิตร พูดคุยได้ง่ายกว่าที่เราเคยคิด ไม่แปลกใจที่เผ่าโลมายกบุตรสาวของตนให้องค์ชายเร็กซ์อย่างง่ายดาย" ไคราห์นเอ่ยต่อไปโดยไม่ได้สนใจท่าทางสงบนิ่งขององครักษ์ข้างกาย เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยพูดอะไรตอบเขาอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ 'เรื่อง' ที่เป็นความลับระหว่างพวกเขาสองคน

...อาจจะนับฟาลเป็นสามก็ได้ แต่ไคราห์นก็ไม่ชอบสักเท่าไหร่

"เจ้าได้คุยกับองค์ชายเร็กซ์... คิดเห็นอย่างไรบ้าง" แม้ว่านั่นจะเป็นคำถามธรรมดา แต่เวสเทียร์กลับคิดว่า เขาจะต้องคิดทบทวนให้ถี่ถ้วนอย่างดีก่อนจะตอบออกไป

"องค์ชายอ่อนโยนมีเมตตากับคนรอบข้าง และมองโลกในแง่ดีเสมอขอรับ"

"สนิทกันเร็วขนาดนั้นเชียว"

เวสเทียร์ส่ายหัวเบา "กระหม่อมมิกล้า... นี่เป็นความเห็นของคาดันน์ขอรับ"

"เราถามความเห็นเจ้า" ฝ่าบาทเหลือบมององครักษ์คนสนิทด้วยสายตาที่อ่านอารมณ์ไม่ได้

"กระหม่อมไม่มีความเห็นขอรับ" เวสเทียร์ตอบตามตรง เพราะเขาแทบจะจำอะไรไม่ได้เลยว่าได้พูดคุยกับองค์ชายเร็กซ์เรื่องใดบ้าง เขารู้ว่าตัวเองใจลอย และลอยลับมาหาคนตรงหน้าเพียงอย่างเดียว "ฝ่าบาทไคราห์นคือราชาเพียงองค์เดียวของกระหม่อม" คนฟังผ่อนลมหายใจยาวและหลับตาลง เขาเลือกที่จะไม่ซักไซ้ต่อ เวสเทียร์เริ่มตอบไม่ตรงถามคำถาม อีกทั้งยังกลับไปใช้คำพูดแบบเดิมที่ฟังดูแล้วช่างน่าตื้นตันในความจงรักภักดี

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ไคราห์นคิดว่าตนเองอยากได้ยิน...

--------------------------------------------------


ตอนนี้พยายามจะใส่ปมช่องว่างระหว่างทั้งคู่ เขาอยู่กันมาแบบไม่ค่อยพูดอะไรกัน เหมือนรู้กันอยู่ แต่จะเรียกว่าสนิทก็ไม่สนิท จะห่างก็ไม่ห่าง... พอมีเรื่องกวนใจนิดนึงมันเลยลามเร็ว... เวสเทียร์นี่ดูจะหน่วงเงียบๆ แต่ฝ่าบาทคือเสียงแข็งมาเลย (นิสัยเริ่มชัดแล้วว่าเป็นคนขี้หวง 555)

วิธีการเรียก 'ฝ่าบาท' ของสองพี่น้องที่ดูจะขัดใจองค์ชายเร็กซ์เสียเหลือเกิน มาจากภาษาอังกฤษอันนี้ล่ะ
Your Majesty = ใช้กับกษัตริย์ = ฝ่าบาท
Your Highness = ใช้กับเชื้อพระวงศ์ >> องค์ชาย >> ญาติใกล้ชิดลำดับแรก
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 8 [12-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 14-05-2017 11:07:53
สนุกมากค่ะ ตัวละครแปลกดี เป็นเงือกแต่ไม่ใช่เงือกธรรมดาทั่วไปแบบในนิยายอื่นๆ ชอบมากเลย มาถึงตรงนี้แอลืมเรื่องแวมพ์ไพร์ไปเหมือนกัน หวังว่าจะหายจากผีพวกนั้นนานๆนั
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 8 [12-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 14-05-2017 16:17:39
หน่วงที่การไม่ค่อยพูดกันทำให้ดูเหมือนปัญหามันลุกลาม แต่ก็แอบดีใจที่เวสเทียร์มีความรู้สึกหึงหวงกับเค้าบ้างแล้ว ส่วนฝ่าบาทนั้น...ก็หวงได้เสมอต้นเสมอปลายดี แต่อาจจะขัดใจเพิ่มเข้ามาหน่อยเพราะไม่เข้าใจว่าองครักษ์ที่รักเป็นอะไรไป

ปล. ชอบคาดันน์มากเลยค่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนน้องหมาที่บ้าน ขี้อ้อน ขี้อวด ห่วงเล่น และเห็นแก่กินได้หน้าเอ็นดูจริงๆ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 8 [12-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-05-2017 21:29:27
สนุกมาก

โครงเรื่องแน่น โครงสร้างสังคมทั้งในฝูงและระหว่างอาณาจักรสมเหตุสมผลมาก

ให้กำลังใจผู้แต่งค่ะ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 9.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 15-05-2017 08:51:12
ตอนที่ 9.1

"ทุกครั้งที่เราเห็นฝ่าบาท จะพลอยนึกว่าดวงจันทร์อะไรมาขึ้นอยู่กลางทะเล"

ฝ่าบาทเรจินาหัวเราะก่อนจะค้อมหัวลงน้อยๆ เมื่อราชาหนุ่มเคลื่อนกายเข้าไปหา "นั่นเป็นคำชมหรือเปล่า ฝ่าบาท" ไคราห์นเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วจึงค้อมหัวลงบ้างเป็นการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน "ทั้งที่ผิวดวงจันทร์ตะปุ่มตะป่ำขรุขระไม่น่ามองเช่นนั้น"

"เราหมายถึงแสงของดวงจันทร์ต่างหาก" พระนางตอบ "เหตุใดจึงคิดว่าผิวดวงจันทร์เสียได้"

ราชินีมารินาการ์ดทอดกายอยู่บนโขดหินใหญ่ที่บริเวณปากถ้ำ พระนางยกหางขึ้นเหนือน้ำ และทอดมองทะเลเคลติกอยู่เงียบๆ โดยมีองครักษ์ผู้ติดตามจากมารินาการ์ดคอยเฝ้าอยู่ห่างๆ ฝ่าบาทไคราห์นยกตัวขึ้นนั่งบนหินใกล้ๆ กัน ทว่าอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่า เพื่อไม่ให้ส่วนสูงของตนทำให้อีกฝ่ายต้องแหงนหน้ามอง

"เราคิดว่าชาวมารินาการ์ดไม่โปรดทิวทัศน์เบื้องบนเสียอีก"

"เงือกใดจะไม่โปรดทะเลบ้าง" เรจินาทอดยิ้ม "สาวๆ มารินาการ์ดรักที่จะขึ้นมาสางผม ยามเช้าเราจะได้ยินเสียงพวกนางขับร้องเพลงร่วมกันอยู่ร่ำไป" พระนางเหลือบมองไปข้างกาย นอกเหนือจากฝ่าบาทไคราห์นแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นในบริเวณนั้น ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกของราชาที่มักจะมีองครักษ์คนสนิทอยู่ใกล้ๆ

"แล้วฝ่าบาท... โปรดการร้องเพลงหรือเปล่า" ไคราห์นถาม

ด้วยน้ำเสียงของเขาที่ทุ้มต่ำ ทว่านุ่มนวลอ่อนโยนและกังวาน เรจินาพอจะรู้ว่าคู่สนทนามีความสามารถในการร้องเพลง แม้จะไม่เข้ากับรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มและร่างกายที่แข็งแรงบึกบึนราวกับนักรบโบราณเลยก็ตาม

ราชินีทอดยิ้ม "เราอายุมากแล้ว จะไปสู้สาวๆ ได้อย่างไร"

ฝ่าบาททะเลเหนือหัวเราะในลำคอ "แต่ก็ใช่ว่าจะไม่โปรดไม่ใช่รึ"

เรจินาเม้มปากเล็กน้อยระหว่างใคร่ครวญคำตอบโต้ "คงโปรดที่จะฟังเสียมากกว่า" พระนางพยายามสนทนาให้เป็นกลาง แม้จะสัมผัสได้กลายๆ ถึงเป้าหมายของบทสนทนาครั้งนี้ แต่จะหักหาญน้ำใจตั้งแต่แรกก็ใช่เรื่องที่ผู้นำอาณาจักรควรทำ "มารินาการ์ดมีกลุ่มนางเงือกประสานเสียง พวกนางจะทำหน้าที่ขับขานบทเพลงในงานเทศกาลสำคัญของเมือง"

"นึกว่าประชาชนจะโปรดเสียงเพลงของฝ่าบาทเสียอีก"

เรจินายิ้มขัน "หากวันใดเราร้องเพลงไม่ได้ขึ้นมา พวกเขามิเลิกโปรดเราอย่างนั้นรึ"

"เช่นนั้นแล้ว..." ไคราห์นทอดเสียง "เหตุใดประชาชนจึงรักฝ่าบาทเหลือเกิน"

ราชินียิ้มตอบ "เราตอบแทนประชาชนไม่ได้ว่าเหตุใดจึงเคารพนับถือเรา แต่เราสามารถบอกฝ่าบาทได้ว่าเราทำอะไรเพื่อประชาชนบ้าง" ฝ่าบาทเรจินามีอายุมากกว่าฝ่าบาทไคราห์น ดังนั้นความเจนโลกของพระนางจึงมีมากกว่า และคุณงามความดีที่พระนางทำมาตลอดในฐานะผู้นำอาณาจักรก็มีมายาวนานกว่าเช่นกัน "การครองใจคน เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการครองอำนาจเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้นำระดับใดก็ตาม"

การครองใจคนหรือ...

ไคราห์นทบทวน เขาทอดสายตามองออกไปยังทะเลเคลติก และใคร่ครวญคำตอบอยู่เนิ่นนานว่าเขาเคยทำอะไรเพื่อครองใจคนมาบ้างแล้วหรือยัง เขาเคยช่วยเหลือเกื้อกูลประชาชนหรือเปล่า เขาเคยเมตตาผู้คนมากกว่าจะลงโทษลงทัณฑ์บ้างไหม และคำตอบที่ได้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความกำกวม

"ฝ่าบาทไม่มั่นใจหรือ"

ราชินีอ่านคำตอบได้จากสีหน้าของคู่สนทนา "หากผู้นำขาดความมั่นใจ ผู้ตามจะมั่นคงได้อย่างไร"

ไคราห์นพยายามปรับสีหน้าให้เรียบเฉยดังเดิมเพื่อปกปิดความรู้สึกของตน ความรู้สึกริษยาลึกๆ ที่ราชินีตัวเล็กๆ ผู้นี้ยังมีความภาคภูมิใจในตนเอง แต่เขาซึ่งเป็นถึงราชาทะเลเหนือกลับไม่มั่นใจเลยว่าจะตนเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไร แต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่าเหตุผลที่ฝ่าบาทไคราห์นไม่ใคร่จะได้รับการยอมรับ เป็นเพราะลักษณะภายนอกที่ขาวเผือดผ่าเหล่าผ่ากอแบบนี้ หาใช่กังขาในความสามารถ

"เปลี่ยนคำถามจะดีกว่า" เรจินาเอ่ยต่อ "ฝ่าบาททราบหรือไม่ ว่าจอมราชันเคยทำอะไร"

ไคราห์นผ่อนลมหายใจ "ขายวิญญาณให้กับเทพ กลายเป็นข้าทาสที่ไม่มีวันดับสิ้นลมหายใจ จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดไปในฐานะผู้รับใช้เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ...เพียงเพื่อขอพลังในการคุ้มครองบ้านเมืองให้รอดพ้นจากภัยคุกคาม" วีรกรรมอันเสียสละนั้นเป็นที่จดจำ และสร้างความเลื่อมใสประทับใจให้กับอาณาจักรมารินาการ์ด สร้างชื่อเสียงของ 'สายเลือดของจอมราชัน' ให้เป็นสัญลักษณ์ของความเสียสละอันยิ่งใหญ่

"แล้วฝ่าบาททราบหรือไม่ว่าจุดจบของจอมราชันคืออะไร"

ไคราห์นมุ่นคิ้ว ด้วยไม่แน่ใจว่าคำตอบต่อไปจะแทงใจทายาทจอมราชันหรือไม่ "ถูกแวมไพร์ฆ่า..." ร่างสูงสูดหายใจเข้าช้าๆ และกล่าวถึงอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เป็นที่โจษจัน "ถูกผู้หญิงที่รักที่สุดฆ่าอย่างเลือดเย็น แต่ก็ไม่อาจตายได้ จึงต้องเก็บความแค้นเอาไว้และกลับไปเข่นฆ่านางด้วยตนเอง" นั่นคือเหตุการณ์แรกที่ทำให้ชาวบาดาลเกลียดชังผีดูดเลือด เหตุการณ์เมื่อสามร้อยกว่าปีที่แล้วที่จอมราชันแห่งมารินาการ์ดถูกฆ่าโดยผู้หญิงที่เขารักที่สุดซึ่งเป็นแวมไพร์

และนางคือชาร์ดอนเน่... ราชินีแวมไพร์

"ช่างน่าสมเพชที่ราชาบาดาลไปหลงรักผีดูดเลือดชั้นต่ำ ปกป้องและดูแลนางอย่างดีท่ามกลางเสียงคัดค้านของผู้คน และสุดท้ายก็ถูกแว้งกัดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด" ราชินีกล่าวเสียงเรียบ "แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้จอมราชันถูกด่าทอต่อว่า ว่าเป็นเงือกที่โง่เง่าที่สุด... ทุกคนยังรักเขาเหมือนเดิม และยังคงยกย่องให้เขาเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในท้องทะเล"

นัยน์ตาสีน้ำตาลของนางค่อยๆ เคลื่อนมามองไคราห์น "ฝ่าบาทมีพลังแห่งราชวงศ์เซลทิคอยู่แล้ว"

"พลังของเราหรือจะเทียบได้กับพลังของจอมราชัน"

"บรรพบุรุษของฝ่าบาทสร้างมันขึ้นมา จะว่ามันไม่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร" เรจินาขยับมือของตนไปสัมผัสมือของราชาหนุ่มช้าๆ "หากมารินาการ์ดมี 'เลือดแห่งผู้เสียสละ' ราชวงศ์เซลทิคเองก็มี 'เลือดของผู้ปกป้อง' เช่นกัน เกียรติของมันไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เหตุใดฝ่าบาทจึงหมดศรัทธาในตัวเองได้"

ราชาหนุ่มถอนใจเบา "เราแตกต่างจากเชื้อพระวงศ์คนอื่น"

ฝ่าบาทเรจินาทอดยิ้ม "เราได้ยินเรื่องราวของฝ่าบาทมาตลอด ด้วยผิวพรรณเช่นนี้ แม้ว่าร่างกายจะสมบูรณ์แข็งแรงไม่มีข้อบกพร่อง แต่ก็ไม่อาจครองฐานะเทียบเท่ากับเชื้อพระวงศ์คนอื่นได้" น้ำเสียงของพระนางอ่อนโยนและเข้าใจทำให้คนฟังรู้สึกว่าอีกฝ่ายจริงใจกับเขาอย่างแท้จริง "ฝ่าบาทมิอาจแก้ไขในสิ่งนั้นได้ แต่สิ่งที่ฝ่าบาททำได้นั่นคือการทำให้ผู้คนยอมรับในความสามารถ"

"เราเคยแพ้สงคราม... และทำให้องค์ชายเดียร์ราฮานต้องตาย"

"เรื่องนั้นเป็นที่โจษจันในมหาสมุทร เราทราบดี"

"แล้วฝ่าบาทคิดว่าประชาชนจะยังนับถือความสามารถเราอยู่หรือ"

ราชินีมารินาดาร์ดทอดยิ้ม พระนางบีบมือคู่สนทนาเบาๆ แทนกำลังใจ "หากเราเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเกินกว่าจะเอาชนะได้ อย่างที่ฝ่าบาทเคยประสบ... เราเองก็อาจจะสูญเสียไม่ต่างกัน" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกก็ค่อยๆ เคลื่อนไปมองสบกับดวงตาหวานสีน้ำตาลอ่อนของราชินี

ด้วยเหตุนี้หรือเปล่า... ที่ทำให้ใครๆ ต่างหลงรักราชินีแห่งมารินาการ์ด

เพราะความอ่อนโยน นุ่มนวล มีเมตตาของพระนางอย่างนั้นหรือที่ทำให้ประชาชนแห่งมารินาการ์ดยอมรับในตัวราชินี พร้อมจะเชื่อฟัง และปฏิบัติตาม หรือกระทั่งเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องราชวงศ์ไว้

เมื่อเห็นคู่สนทนาผ่อนคลายลง ราชินีก็ยิ้มกว้างด้วยยินดีที่สามารถดึงราชาหนุ่มให้ออกจากภวังค์วกวน กังวลและไม่มีความเชื่อมั่นในตนเองได้

"พวกมารินาการ์ดช่างยิ้มง่าย" ร่างสูงว่า "โลกทั้งใบอาจจะสดใสขึ้นด้วยรอยยิ้มของฝ่าบาท"

"เกินไปกระมัง" เรจินาหัวเราะ "ชาวเซลทิคต่างหากที่หน้าดำคร่ำเคร่งไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย" เมื่อไม่มีความจำเป็นจะต้องกุมมืออีกฝ่ายต่อไป เรจินาก็ค่อยๆ ถอยกลับมา "เคยมีใครบอกฝ่าบาทหรือไม่ ว่าในยามที่ฝ่าบาทยิ้ม แม้จะเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันทำให้ฝ่าบาทดูอ่อนโยนมากขึ้น"

"ไม่เคยหรอก กฎหลักของราชวงศ์เซลทิคคือการห้ามสบตา"

...แต่ก็อาจจะมีคนหนึ่งที่เคยคิดแบบนั้น ทว่าไม่เคยเอ่ยอะไรออกมาให้เขารับรู้เลย

ไคราห์นหัวเราะกับตัวเองก่อนจะแซวอีกฝ่ายกลับ "แล้วเคยมีใครบอกฝ่าบาทหรือเปล่า ว่าในยามที่ฝ่าบาทยิ้มเช่นนี้ มันช่างงดงามเหลือเกิน" พวกเขาอาจจะเรียกได้ว่าเริ่มสนิทสนม แต่สีเรื่อบนพวงแก้มขาวนวลดูนุ่มนิ่มของราชินีก็ทำให้ไคราห์นฉุกคิดได้ว่าเขาไม่ควรพูดแบบนี้กับผู้หญิง

อันที่จริงก็คงจะมีอยู่หลายคนที่พูดเช่นนี้เมื่อได้สนทนากับราชินีผู้เป็นทายาทจอมราชัน ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ชื่นชมหรือเกี้ยวพาราสี แต่ราชินีเรจินาในตอนนี้ก็ดูไม่มีทีท่าจะเสกสมรสกับใคร และคงเป็นเช่นนี้ตลอดไป

ไม่ใช่เพราะไม่มีใครที่คู่ควร... แต่เป็นเพราะ 'สายเลือดจอมราชัน'

กฎพื้นฐานของการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ นั่นคือบุตรที่เกิดขึ้นมาจะได้ลักษณะของบิดามาทั้งหมด ดังนั้นการที่ราชินีเรจินายังครองตนเป็นโสดนั้นไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เพียงเพราะนางคงไม่สามารถให้กำเนิดบุตรที่เป็นเผ่า 'ออรันดา' ได้ ดังนั้นราชินีแห่งมารินาการ์ดจึงยกหน้าที่สืบทอดทายาทให้กับองค์ชายเร็กซ์ทั้งหมด

โดยการปฏิเสธสวามีที่อาณาจักรอื่นหยิบยื่นให้ และรับชายาเข้ามาให้น้องชายแทน

ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีเบื้องต้น แต่อย่างไรราชินีก็ยังอยากมีสวามีสักคน และคงจะดีไม่ใช่น้อยหากเป็นสวามีที่ไม่คิดจะมีบุตร เพื่อเปิดทางให้องค์ชายเร็กซ์ได้ก้าวขึ้นเป็นราชาแห่งมารินาการ์ดคนต่อไป ซึ่งหากพูดถึงชายที่คู่ควรจะเป็น 'สวามี' ของราชินีเรจินาในตอนนี้

...ก็เห็นทีว่าจะเป็นฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคกระมัง

--------------------------------------------------

คณะพรานล่าวาฬของมารินาการ์ดได้รับการปล่อยตัวตามประสงค์ของราชาทะเลเหนือ  เกลเลสและพรรคพวกของเขาถูกองค์ชายเร็กซ์อบรมเสียจนหูชา ในขณะที่เวทอร์สฟังการอบรมนั้นอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่ลงโทษให้หนักกว่านี้ แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจยิ่งกว่า นั่นคือเหตุใดองครักษ์จากหน่วยลาดตระเวนฝ่ายใต้อย่างเขาจึงต้องคอยติดตามดูแลองค์ชายเร็กซ์ ทั้งที่ปล่อยให้องค์ชายอยู่กับคาดันน์ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

'เวทอร์ส เราอยากให้เจ้าคอยดูแลองค์ชายเร็กซ์ตลอดเวลาที่พักที่นี่'

...ซ้ำยังเป็นรับสั่งของฝ่าบาทไคราห์นเองด้วย

เงือกหนุ่มพ่นฟองอากาศออกจากปากเล็กน้อยแทนคำบ่นในลำคอ และหันไปมองแผ่นหลังขององค์ชายจากมารินาการ์ด เร็กซ์ยังคงพูดคุยกับเกลเลส ซึ่งเนื้อหาการสนทนาคือการสั่งงาน แน่นอนว่าเจ้าวาฬยักษ์คาดันน์ลอยตัวอยู่เคียงข้างไม่ห่างราวกับเป็นองครักษ์คนสนิทเสียเอง

"นับแต่นี้ไป พวกเจ้าจะต้องไปล่าวาฬในเขตทะเลตะวันออก..." องค์ชายว่า ขณะลูบหัววาฬใหญ่ข้างกาย "ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว เราเกรงว่าพวกเจ้าจะต้องรีบออกเดินทาง ก่อนที่น้ำในเขตตะวันออกจะเย็นมากไปกว่านี้" เร็กซ์หมายถึงทะเลที่อยู่เหนือมารินาการ์ดขึ้นไป ซึ่งมีอุณหภูมิที่หนาวเย็น และผิวน้ำเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว

เกลเลสค้อมหัวลงรับคำสั่ง "ฝ่าบาทและองค์ชายประสงค์จะเดินทางกลับมารินาการ์ดเลยหรือไม่ขอรับ"

"ยังหรอก ท่านพี่ตัดสินใจจะอยู่ที่นี่สักพักเพื่อร่วมเทศกาลเล่นแสงจันทร์ของชาวเซลทิค" เร็กซ์เหลือบมององครักษ์วาฬด้านหลังที่แม้จะดูไม่ใส่ใจพวกเขา แต่เวทอร์สก็รับฟังและจับตามองทุกความเคลื่อนไหว "ไม่ต้องเป็นห่วงไป ที่นี่ไม่อันตรายหรอก"

เกลสเลสเหลือบสายตาไปมองเวทอร์ส ด้วยเขาพอจะคาดเดาได้ว่าองค์ชายเร็กซ์คงจะถูกใจเงือกหนุ่มตนนี้จึงได้สนิทใจจะเรียกหา ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นองครักษ์ของเซลทิค "เช่นนั้น กระหม่อมจะไปลาฝ่าบาท และราชาแห่งเซลทิคก่อนจะเดินทาง"

องครักษ์คนสนิทค้อมหัวลง และออกไปพร้อมกับคณะพรานของเขา

"กระหม่อมขอบังอาจถาม..."

เวทอร์สเคลื่อนกายมาหยุดข้างคาดันน์ และค้อมหัวลงมองปลายหางของอาคันตุกะต่างเมืองเพื่อให้เขาหันมา  "เหตุใดฝ่า... องค์ชาย... จึงเรียกหากระหม่อม" เร็กซ์เลิกคิ้วขึ้น เขายิ้มออกมาด้วยความขบขัน เพราะดูเหมือนว่าเขาจะตามใจเสียจนองครักษ์หนุ่มผู้นี้เริ่มจะนิสัยเสีย ปากกล้ากับเงือกชนชั้นปกครองขึ้นมาบ้างแล้ว

แต่เขาคงไม่ทำแบบนี้กับราชาแห่งเซลทิคอย่างแน่นอน

"เพราะหากพี่ชายเจ้าพบเราอยู่ลำพังกับคาดันน์ เขาจะพาเราไปชมอาณาจักร" คนฟังเงยหน้าขึ้นมองอย่างลืมตัว และเมื่อเขาเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่มุมปากขององค์ชาย เวทอร์สก็คิดว่าตนหยุดหายใจไปชั่วขณะ

แม้ว่าเขาจะกลั้นใจอยู่แล้วก็ตาม...

ชายหนุ่มรีบกลืนน้ำลายเพื่อบังคับไม่ให้ตนเองสำลักให้อีกฝ่ายเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง "อึ่ก...!"

"เอ้า... ไปได้แล้ว" เร็กซ์จำอาการกระตุกของคนใกล้สำลักได้ เขาจึงว่ายนำขึ้นไปเบื้องบน

รอยยิ้มขององค์ชายเร็กซ์นี่ทำให้เงือกวาฬสำลักน้ำทุกตนรึเปล่านะ

"พี่ชายกระหม่อมเคยทำแบบนั้นหรือขอรับ" เวทอร์สตาค้าง หลังจากตามขึ้นมาเหนือน้ำและสูดหายใจลึกๆ สักครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าเวสเทียร์เคยพาองค์ชายเร็กซ์ไป 'เที่ยวชม' อาณาจักรด้วย อีกฝ่ายเพิ่งมาถึงอาณาจักรเซลทิคได้สามวัน และสองวันในนั้นก็เป็นตัวเขาที่อยู่กับองค์ชายเร็กซ์ แต่สิ่งที่เวทอร์สแปลกใจยิ่งกว่า นั่นคือการที่เวสเทียร์ออกไปไหนมาไหนห่างไกลจากฝ่าบาท

หากจะพูดถึงองครักษ์กับราชาที่สนิทกันที่สุดในประวัติศาสตร์ก็เห็นจะเป็นเวสเทียร์กับฝ่าบาทไคราห์นี่เอง

"น่าแปลกใจที่องครักษ์คนสนิทของราชากลับมาต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่ไม่ค่อยสำคัญเช่นเราเสียได้" องค์ชายหัวเราะเบาก่อนจะนึกได้ "เอ้อ... นั่นไม่ได้ตำหนิหรอกนะ เราเพียงแค่ขบขัน หวังว่าเวสเทียร์คงจะไม่ถูกฝ่าบาทไคราห์นตำหนิเอา"

เวทอร์สมุ่นคิ้ว เพราะเขารู้ดีว่าถ้าฝ่าบาท 'จับได้' ขึ้นมา อีกฝ่ายคงถูกต่อว่าแล้วแน่นอน

"องค์ชายจึงเรียกหากระหม่อมแทน"

เร็กซ์พยักหน้าเบา และพอจะนึกถึงขึ้นได้ว่ามันอาจทำให้เวทอร์สเข้าใจผิด ว่าเขาไม่เกรงใจในหน้าที่ของอีกฝ่าย "แต่ว่า... หากเจ้ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เช่นการออกลาดตระเวน เจ้าก็ไปได้นะ"

"เช่นนั้นแล้ว ใครจะเป็นผู้ดูแลองค์ชาย" จริงอยู่ว่าเวทอร์สเห็นด้วยกับคำกล่าวขององค์ชายเร็กซ์ เขาควรออกไปลาดตระเวนน่านน้ำฝ่ายใต้ตามหน้าที่ แต่ทะเลเคลติกก็เป็นเหมือนเดิมเช่นทุกวัน อีกทั้งยังมีองครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้อีกตั้งมากมาย การที่เขาหายตัวไปสักคนหนึ่งคงไม่เป็นอะไร แม้ว่าเขาจะเป็นถึง 'ผู้นำองครักษ์หน่วยลาดตระเวนฝ่ายใต้' ก็ตาม

"องค์ชายไม่โปรดท่านพี่เวสเทียร์หรือขอรับ"

"จะให้เราโปรดองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นรึ" เร็กซ์เลิกคิ้ว "โปรดแล้วได้อะไรขึ้นมา"

เวทอร์สเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพยายามหาเรื่องมาพูดคุยเพื่อดำเนินบทสนทนาต่อ ก่อนที่องค์ชายจะหันไปเล่นกับคาดันน์ซึ่งกำลังอ้าปากให้ลูบลิ้น "เช่นนั้น..." ชายหนุ่มอึกอัก ด้วยไม่รู้ว่าควรจะถามอย่างไร "องค์ชายโปรดอะไรขอรับ"

"พาเราเที่ยวชมอาณาจักรอีกทีสิ" เร็กซ์ยิ้มขัน "เราโปรดสนทนากับเจ้ามากกว่า"

องครักษ์แห่งเซลทิคค้อมหัวรับคำสั่ง แต่ในขณะเดียวกัน ใจของเขาก็เต้นแรงอย่างหาสาเหตุไม่ได้

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 9.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 15-05-2017 08:52:38
ตอนที่ 9.2

ฟาลพบว่าองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นหลบอยู่ด้านล่าง และคอยดูแลความปลอดภัยอยู่ห่างๆ ด้วยการหลับตาและใช้ประสาทหูในการฟังเสียง ซึ่งทำให้เขาได้ยินความเคลื่อนไหวทั้งจากเหนือน้ำและใต้น้ำ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เวสเทียร์ได้ยินบทสนทนาของฝ่าบาทไคราห์นและราชินีเรจินาด้วย

กระแสน้ำที่พัดมาต้องตัวทำให้องครักษ์หนุ่มลืมตาขึ้น "ท่านฟาล..."

"เวสเทียร์" เลขาอาวุโสพยักหน้าทักทาย "ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีนะ"

"องครักษ์มารินาการ์ดก็อยู่ด้วย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงขอรับ" ชายหนุ่มตอบ "ท่านมีธุระอะไรหรือเปล่า" แม้จะได้ชื่อว่าเป็นญาติกัน แต่ฟาลก็ไม่ได้สนิทกับเวสเทียร์จนถึงขั้นพูดคุยกันได้ในบรรยากาศสบายๆ ดังนั้นเหตุผลส่วนใหญ่ที่ฟาลจะเข้ามาคุยกับเวสเทียร์ก็มักจะเป็นเรื่องของฝ่าบาทไคราห์น

"หน่วยลาดตระเวนฝ่ายเหนือเข้ามารายงานว่าฝั่งแผ่นดินดูจะมีพิรุธ" เลขาอาวุโสกล่าว "ดูเหมือนว่าจะมีคนบางกลุ่มพยายามจะเข้าไปสำรวจธราฟัสการ์" เวสเทียร์เบิกตาขึ้น ธราฟัสการ์เป็นชื่อของหมู่บ้านเล็กๆ ใกล้ผาชายฝั่งซึ่งสร้างโดยชาวเงือกในอดีต พวกเขาเคยเป็นหนึ่งเดียวกับโลกเบื้องบน ใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ไล่ล่าชาวเงือกของแวมไพร์ ฝ่าบาทไคราห์นจึงสั่งปิดหมู่บ้านเป็นการถาวร และแพร่ข่าวว่าชาวบ้านล้มตายจากโรคระบาด ทำให้ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าเข้าไปที่นั่น แต่ถึงจะเป็นหมู่บ้านร้าง แต่มันก็ยังเป็นสถานที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ และแน่นอนว่ารวมถึงเสื้อผ้าที่ฝ่าบาทไคราห์นใช้สวมใส่เมื่อขึ้นไปยังโลกเบื้องบนอีกด้วย

"ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาที่เข้าไปที่นั่น" ฟาลพึมพำ "อาจจะเป็นแวมไพร์"

หมู่บ้านธราฟัสการ์อยู่ห่างจากถ้ำของอาณาจักรเซลทิคพอสมควร แต่ถึงกระนั้นก็สามารถเชื่อมโยงถึงกัน เพราะยังมีเส้นทางที่ทอดยาวจากหมู่บ้านลงไปยังหาดทรายเล็กๆทำให้เงือกสามารถเดินขึ้นมาได้ และหากแวมไพร์ค้นพบเส้นทางนั้น โอกาสที่พวกมันจะค้นพบถ้ำแห่งเซลทิคก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน

"เราควรจะรายงานเรื่องนี้กับฝ่าบาท" ฟาลว่า "หากพวกมันค้นพบที่นี่..."

"เหตุใดหน่วยลาดตระเวนฝ่ายเหรือจึงทราบเรื่องบนแผ่นดินได้" ก่อนที่ฟาลจะพูดจบ เวสเทียร์ก็ตั้งข้อสังเกตขึ้นมา "ธราฟัสการ์อยู่ห่างจากเมืองท่าบาธีมอร์ตั้งมาก แล้วหมู่บ้านร้างที่ผู้คนล้มตายทั้งหมดด้วยโรคระบาดมันฟังดูน่ากลัวไม่พอหรือ เหตุใดจึงมีคนสงสัย และเข้ามายุ่งเกี่ยวกับที่นั่นอีก หากไม่ใช่เพราะ... มีชาวเราขึ้นไปยังเบื้องบนอีกแล้ว"

ฟาลพยักหน้า "ชาวเมืองขึ้นไปที่นั่น ละเมิดคำสั่งของฝ่าบาทอีกแล้ว"

องครักษ์หนุ่มขบกรามด้วยความขุ่นเคือง "เรื่องนี้ก็ควรรายงานต่อฝ่าบาทเช่นกัน" เขาต้องการการลงโทษให้สาสมกับความผิดของชาวเซลทิคเหล่านั้น ความผิดประการที่หนึ่งก็คือการไม่เคารพและปฏิบัติตามคำสั่งของราชาผู้ปกครอง และความผิดประการที่สองก็คือการไม่เห็นแก่ความปลอดภัยของอาณาจักร

"องค์หญิงอาโกรนาห์จัดการเรื่องนั้นแล้ว" ฟาลตอบเสียงเรียบ "พระนางสั่งกักบริเวณพวกเขา เจ้าหนุ่มที่ทำผิดแค่ต้องการจะหาไข่มุกให้เป็นของขวัญแก่หญิงที่หมายปอง"

"ริจะมีเมียแล้วยังคิดได้แค่นี้รึ!" เวสเทียร์ถอนใจ "มนุษย์มันทำไข่มุกได้สวยกว่าชาวเงือกหรือไร"

องครักษ์หนุ่มเป็นห่วงอาณาจักรของเขา แต่โดยที่ไม่รู้เลยว่าเครื่องประดับต่างหูที่ทำจากทองคำเข้ากับไข่มุกซึ่งอยู่บนหูข้างหนึ่งของเขาก็เป็นงานฝีมือของมนุษย์ และผู้ที่มีความเห็นว่าไข่มุกของมนุษย์ดูเข้าท่าเข้าทีกว่าของชาวเงือกก็คือฝ่าบาทไคราห์น ราชาแห่งอาณาจักรเซลทิคเอง

"ฝ่าบาทยังสนทนาอยู่กับราชินีเรจินา แต่เจ้าควรรายงานเรื่องนี้ทันทีที่มีโอกาส"

เวสเทียร์ค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการรับคำสั่ง "ขอรับ"

--------------------------------------------------

ราชาทะเลเหนือใช้เวลาทั้งวันในการสนทนากับราชานีมารินาการ์ด อีกทั้งยังพานางเข้ามาชมภายในถ้ำอีกด้วย และแน่นอนว่าน้ำทะเลใสสะอาด ผนวกกับบรรยากาศร่มรื่นท่ามกลางธรรมชาติทำให้พระนางติดอกติดใจอย่างมากจนอยากจะสำรวจไปเสียทุกที่ แต่อย่างน้อยราชินีก็พอจะรู้จักวางตัวด้วยการปฏิเสธไม่เข้ามาในถ้ำที่อยู่ด้านในสุด แม้ว่ามันจะมีความสวยงามที่สุดก็ตาม

เพราะถ้ำนี้นับได้ว่าเป็นสถานที่ส่วนตัวของฝ่าบาทไคราห์น

ถ้ำที่ประทับของราชาอยู่ด้านในสุดของอาณาจักรถ้ำเซลทิค มีเวรยามรักษาความปลอดภัยในบริเวณทางเข้าซึ่งห่างไกลออกไป ทำให้ราชาทะเลเหนือมั่นใจได้ว่าเขาจะไม่ถูกรบกวน และในตอนนี้ ราชาทะเลเหนือก็นั่งอยู่บนทอดกายอยู่บนแท่นหินที่ประทับ หลับตาพักผ่อนท่ามกลางความสงบและสวยงามของธรรมชาติ หลังจากเสร็จสิ้นการสนทนา

เงือกวาฬไม่นอนหลับยามกลางคืน พวกเขาพักผ่อนต่อเมื่อเหนื่อยล้าเท่านั้น

เวสเทียร์ควรจะรายงานเรื่องหมู่บ้านธราฟัสการ์ แต่เมื่อเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของราชาทะเลเหนือเขาก็คิดว่าควรจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนบ้าง อีกไม่นานก็คงจะตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างทุกที

ร่างโปร่งหลับตาลง แต่ยังคงฟังเสียงความเคลื่อนไหว และระวังระไวอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ขาดตกบกพร่องในหน้าที่องครักษ์ ความสามารถในการได้ยินแทบทุกอย่างกระทั่งในยามที่ร่างกายพักผ่อนนี้เป็นความสามารถเฉพาะของเผ่าเพชฌฆาต และดูเหมือนว่าในตอนนี้เวสเทียร์จะเป็นผู้ที่ทำได้ดีที่สุด

เสียงขยับตัวของฝ่าบาททำให้ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทั้งที่เพิ่งงีบไปครู่เดียว

"ไม่หลับไม่นอนรึ"

น้ำเสียงของฝ่าบาทเอ่ยถาม และเสียงน้ำกระเพื่อมไหวก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายขยับตัวขึ้นนั่งช้าๆ ราชาหนุ่มเองก็เพิ่งนึกได้ว่าก่อนหน้านี้เวสเทียร์จะพักผ่อนอยู่ข้างกายเขาเสมอ แต่ในช่วงนี้องครักษ์หนุ่มไม่มีเหตุผลที่จะขึ้นมาอยู่บนแท่นประทับ จึงไม่แปลกใจที่เวสเทียร์นั่งหลับบนพื้นทรายขาวใกล้ๆ แทน

มันเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายเคยทำในอดีต เมื่อครั้งที่พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน

"กระหม่อมหลับแล้วขอรับ"

ราชาหนุ่มมองอีกฝ่ายก่อนออกคำสั่ง "มานี่สิ" เวสเทียร์ไม่กล่าวตอบ องครักษ์หนุ่มสูดหายใจลึก ขยับกายเคลื่อนเข้าไปหาคนตรงหน้า และยกตัวขึ้นนั่งบนแท่นหินที่ประทับตามคำสั่ง

เขาควรจะหาช่องว่างในการรายงานเรื่องหมู่บ้าน...

ฝ่าบาททอดมองคู่สนทนาอยู่สักพักหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะเอาไปเปรียบเปรยกับราชินีมารินาการ์ด เวสเทียร์ไม่เคยยิ้ม หรืออาจจะเคยทว่าเขาไม่มีโอกาสได้เห็น ร่างโปร่งมักจะทำเฉยชาและก้มหน้ารับคำสั่งของเขา ไคราห์นไม่คิดมาก่อนเลยว่าบรรยากาศแบบนี้มันน่าอึดอัดขนาดไหน แต่หลังจากได้พูดคุยกับเรจินาในยามกลางวัน กลับมาสนทนากับเวสเทียร์ในยามกลางคืนจึงทำให้เขาเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน

เวสเทียร์เคยรู้สึกอึดอัดไหม แต่อีกฝ่ายปฏิบัติตามหน้าที่จึงไม่เคยพูดออกมา

"ฝ่าบาท... กระหม่อมมีเรื่อง..."

"นั่งเฉยๆ สักพักเถอะ..." ราชาตัดบท เขาคิดว่าเวสเทียร์คงจะพยายามหาข้ออ้างในการลงจากแท่นประทับ องครักษ์หนุ่มมักจะอ้างสถานะของตนในการเว้นระยะ และนอบน้อมเทิดทูนเขาเอาไว้สูงส่งประหนึ่งเทพเจ้าก็ไม่ปาน ซึ่งในตอนนี้ราชาหนุ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจ

หรือเพราะระยะห่างแบบนี้เองที่ทำให้เขาและประชาชนห่างเหินจนเกินไป

"เวสเทียร์..."

"ขอรับ ฝ่าบาท"

"หากเรายกเลิกกฎข้อหนึ่งของราชวงศ์เซลทิค ให้ประชาชนสามารถเงยหน้าขึ้นมองเราได้... พวกเขาจะรู้สึกใกล้ชิดเรามากขึ้นไหม" เวสเทียร์กลั้นใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น และมุ่นคิ้วอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่เป็นคำถามหยั่งเชิง และเหตุผลที่ฝ่าบาทนำเรื่องนี้มาพูดกับเขาก่อนแทนที่จะเป็นเลขาคนสนิทอย่างท่านฟาล นั่นก็เราะอีกฝ่ายต้องการให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง

"กฎข้อนี้มีมานานมากแล้ว หากฝ่าบาทจะยกเลิกก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย"

"เจ้าไม่เห็นด้วยรึ"

องครักษ์หนุ่มหลับตาพร้อมกับสูดหายใจลึก "สำหรับกระหม่อม ฝ่าบาทและราชวงศ์เซลทิคสูงส่งเกินเอื้อม จู่ๆ จะให้เงยมองนั้นคงเป็นไปไม่ได้ขอรับ"

"แล้วหากเป็นราชวงศ์มารินาการ์ด... เจ้าเงยหน้ามองพวกเขาได้หรือเปล่า"

เวสเทียร์ไม่เข้าใจคำถามของอีกฝ่าย แต่ก็ตอบตามตรง "พวกเขาไม่ได้มีพลังเช่นฝ่าบาท"

"แค่มอง เราก็รักษาแผลไม่ได้สักหน่อย" หากราชินีเรจินาจะต้องโดดเดี่ยวเพียงเพราะต้องการรักษาความเป็น 'ทายาทจอมราชัน' เอาไว้ ตัวเขาเองก็คงเดียวดายเพียงเพราะผู้คนเห็นว่าพลังของเขาสูงค่าเกินกว่าจะสัมผัส...

ฝ่าบาทค่อยๆ วาดมือไปบนที่ว่างข้างตัว แทนสัญญาณให้องครักษ์ขยับเข้ามาอีก "เงยหน้าขึ้นสิ"

แม้จะเป็นการออกคำสั่ง และอีกฝ่ายก็ปฏิบัติตามอย่างไร้ความรู้สึก แต่ไคราห์นก็อยากมององครักษ์ของเขาตรงๆ อีกสักครั้ง เผื่อว่ามันจะทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับคนของตนมากขึ้นบ้าง เขาไม่ควรนำเวสเทียร์ไปเปรียบเทียบกับเรจินา อีกฝ่ายเป็นเพียงองครักษ์ ทว่าเรจินาเป็นถึงราชินี ...แต่หากเวสเทียร์ทอดยิ้มเช่นนั้นบ้างมันน่ามองขึ้นอีกสักเท่าไหร่หนอ

องครักษ์คนสนิทเงยหน้าขึ้นมองราชา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนส่ายไหวเมื่อตระหนักได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่

เวสเทียร์หลบตาลง แต่ไม่ใช่เพราะความอ่อนน้อม รู้ที่ต่ำที่สูง ...แต่เขาเคอะเขิน

ดวงตาของฝ่าบาทเป็นสีน้ำเงินลุ่มลึกดุจมหาสมุทรที่สวยงาม แววตาเฉียบคมของคนที่เปี่ยมด้วยอำนาจ ดูดุดัน น่าเกรงขาม มีเสน่ห์ชวนให้มองต่อไปด้วยความหลงใหล

"ดื้อจริง..." ฝ่าบาทเอ็ด แต่เวสเทียร์กลับรู้สึกว่ามันแฝงด้วยความเอ็นดู เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยิ้มออกมาบ้างหรือไม่ และคงไม่มีความกล้าใดที่จะเงยขึ้นมอง องครักษ์หนุ่มหลับตาลงและนิ่งรอฟังคำสั่งต่อไป

แม้ไม่ได้มองสบตา แต่เวสเทียร์ก็รู้ว่าตนใกล้ชิดราชาหนุ่มเพียงใด

แต่เขาจะได้อยู่ในสถานะนี้ไปอีกนานแค่ไหนหนอ... ในเมื่อการสนทนาระหว่างราชาหนุ่มและราชินีแห่งมารินาการ์ดในวันนี้ พวกเขาจะดูถูกคอกันเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังทิ้งคำพูดหยอดใส่กันเอาไว้อีกด้วย แม้จะเป็นเรื่องดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรจะดีขึ้นจากอดีต แต่องครักษ์หนุ่มก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าหากฝ่าบาทไคราห์นถูกใจฝ่าบาทเรจินาขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น

...เขาจะยังมีโอกาสได้ใกล้ชิดฝ่าบาทเช่นนี้หรือไม่

มือใหญ่หยาบกร้านเคลื่อนมาสัมผัสเชยปลายคางขึ้น เวสเทียร์หลับตาลง รับรู้ถึงฝ่ามือที่ลากไล้ไปถึงลำคอ และกดโน้มให้เขาเอนเอียงร่างลงไปซบบนแผ่นอกกว้าง ฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะช้าๆ สงบ และเยือกเย็นสมกับเป็นหัวใจของราชาแห่งเซลทิค

ฝ่าบาทอาจจะเคยประทับจูบบนลำคอของเขา ไม่ว่าจะด้วยแรงตัณหา ความปรารถนา หรือไม่สบอารมณ์กับรอยเขี้ยวที่ไม่อาจจางหาย แต่ไคราห์นไม่เคยแตะต้องริมฝีปากเขา หรือเรือนผมของเขา ดังนั้นความรู้สึกเมื่อริมฝีปากอุ่นแนบจูบลงบนขมับจึงทำให้องครักษ์สะดุ้งน้อยๆ

ราชาหนุ่มมีเหตุผลอะไรกันหนอ

...แม้มันจะเป็นสิ่งที่เขาอยากรู้ แต่เวสเทียร์ไม่แน่ใจว่าเขามีสิทธิ์ไถ่ถาม

มันอาจจะไม่มีคำตอบ เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่ไม่เคยจำกัดความ มันเป็นเพียงหน้าที่ ราชาผู้นี้ไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับสตรีใด้ได้หากไม่คิดจะแต่งตั้งนางเป็นชายา ดังนั้นการที่เขาหันมาหาเวสเทียร์จึงอาจเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

องครักษ์หนุ่มแนบริมฝีปากจูบบนผิวเนื้อชื้นน้ำบ้าง แทนคำถามที่ทั้งคู่รู้แก่ใจ

ราชาหนุ่มสูดใจลึก ค่อยๆ สางผมกับเส้นผมสีเข้มที่เริ่มแห้งหลังจากอยู่เหนือน้ำเป็นเวลานาน และเมื่อเขาไม่เอ่ยปราม เวสเทียร์ก็เริ่มขยับจูบพรมไปทั่วแผ่นอก พวกเขาเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดี และดูจะเป็นเรื่องเดียวที่เข้าใจตรงกันโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไร แม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ฝ่าบาทต้องการก็ตาม

มือใหญ่ลูบลงไปถึงหลังคอ เกลี่ยเส้นผมหยักยาวเป็นลอนให้พ้นทาง ลากไล้ปลายนิ้วจากลำคอลงไปถึงแผ่นหลัง และผ่านจากแผ่นหลังไปถึงบั้นเอว หางสีขาวค่อยๆ ขยับ แปรเปลี่ยนกลับเป็นท่อนขาแข็งแรงของมนุษย์ ไคราห์นดึงให้อีกฝ่ายขยับขึ้นมาบนร่าง ตัดความคิดต่างๆ ออกไปจากหัว

เวสเทียร์คงจะอึดอัดใจที่ต้องคอยรับใช้เขา แต่อีกฝ่ายก็อ่อนน้อมยอมตาม ไม่ต่อต้านหรือพูดอะไรออกมา พวกเขาไม่พูดอะไรต่อกัน ปล่อยให้ความเงียบงันตอบคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ โดยไม่รู้เลยว่าคำตอบเหล่านั้นคือความเป็นจริงหรือจินตนาการ

หางยาวสีเข้มกลับกลายเป็นขาบ้าง และอึดใจต่อมาร่างโปร่งก็ตวัดคร่อมอยู่เบื้องบนโดยสมบูรณ์

ไคราห์นโอบรอบช่วงเอวได้รูป ประคองสะโพกสอบแน่นให้สัมผัสกับร่างของตน "วางมือไว้บนบ่า..." คำสั่งทุ้มต่ำออกคำสั่ง ถึงอย่างนั้นเวสเทียร์ก็ไม่อยากทำตาม เขาไม่กล้าสัมผัส ไม่กล้าแม้แต่จะมองว่าริมฝีปากของคนตรงหน้าลากต่ำลงไปมากแค่ไหน

ร่างโปร่งเกร็งแน่นไม่ยอมรับการุกราน แต่สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ดึงดันเข้ามาในร่างได้อย่างสมบูรณ์

เวสเทียร์หอบหนัก รับรู้ถึงฝ่ามือที่กดท้ายทอยของเขาให้แนบหน้าผากตัวเองกับหน้าผากของฝ่าบาท อีกฝ่ายไม่เคยปลอบโยน แต่ก็ไม่เคยดึงดันจนเขาบาดเจ็บ ร่างสูงค่อยๆ ขยับกายเข้าหา เนิบช้าในตอนแรก แล้วจึงค่อยเพิ่มความเร็วและรุนแรงขึ้นตามอุณหภูมิร่างกาย

"...!"

ร่างรองรับขบริมฝีปากตนเองจนได้เลือด ลมหายใจที่ติดขัดแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหอบหนักหน่วง ในขณะที่มือทั้งสองข้างยอมวางบนท่อนแขนแกร่งตรงหน้าเพื่อพยุงกาย ฝ่ามือหยาบกร้านกลับฟอนเฟ้นไปทั่วร่างอย่างหยาบโลน ขณะขยับโยกสวนขึ้นอย่างดุดัน

เวสเทียร์ไม่เคยหลุดเสียงคราง แต่ร่างโปร่งก็แอ่นกายด้วยความรู้สึกดี ลมหายใจหอบถี่ที่ทั้งคู่แยกไม่ออกว่าเป็นของใครดังขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเสียงเสียดสีขยับกายเข้าหากันที่ดังจนหยาบโลน ไคราห์นประคองร่างของเขาไว้ กดกระแทกบดเบียดเข้ามาจนสุด เพื่อปลดปล่อยความปรารถนาเมื่ออารมณ์ของพวกเขาโหมขึ้นไปจนถึงสุด

ประชาชนคงยินดีหากจะได้ใกล้ชิดกับเชื้อพระวงศ์ยิ่งขึ้น

...แต่สำหรับเวสเทียร์ เขากลับอยากเก็บฝ่าบาทเอาไว้เพียงคนเดียว

--------------------------------------------------


โอย 555 ว่าจะสู้อัพอาทิตย์ละ 2 ตอนดู (จันทร์ กับ ศุกร์) ...คือคู่นี้มันหน่วงมาก กลัวจะอกแตกตายกันซะก่อน

ฉากของฝ่าบาทไคราห์นกับฝ่าบาทเรจินานี่กลายเป็นง่ายไปเลยเมื่อเทียบกับฉากสุดท้ายเนี่ย!?

ปมของฉากแรกคือเหมือนทั้งคู่เริ่มจะมองกันในเรื่องของผลประโยชน์แล้วล่ะ... ฝ่าบาทไคราห์นก็หล่อ (นางหล่อนะ แต่ขาวเผือก) สง่างาม สมเกียรติ แล้วปณิธานของฝ่าบาทก็ชัดเจนว่าจะไม่มีลูก กลัวลูกพิการไปมากกว่านี้ (การเป็นอัลบิโนนี่คือไม่ใช่แค่ขาวอย่างเดียวนะ มันป่วยหลายอย่าง) ส่วนฝ่าบาทเรจินาก็เป็นผู้หญิง สวยนิดนึง แต่ฉลาด มีชั้นเชิง และฝ่าบาทก็ตั้งใจจะไม่มีลูก เพราะลูกที่เกิดมาจะไม่ใช่เผ่าออรันดาแน่นอน (จะต้องได้ลักษณะของพ่อมาแทน)

สำหรับใครที่งงเลขอายุ... ฝ่าบาทเรจินาอายุ 60 แล้ว แต่เงือกอายุ 60 นี่พอๆ กับผู้หญิงอายุ 40 อ่ะนะ

ส่วนฝ่าบาทไคราห์นอายุ 35 (ฝ่าบาทชอบผู้หญิงแก่กว่าสินะคะ...)

มันเลยกลายเป็นว่า... ต่างฝ่ายต่างเริ่มคิดว่าถ้าจีบกันเอง มันจะส่งเสริมบารมีซึ่งกันและกัน 'สายเลือดจอมราชัน' ของเรจินาเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในกลุ่มเงือก (แค่เกล็ดสีทองมะลังมะเลืองนี่ก็หรูแล้ว) และฝ่าบาทไคราห์นก็เริ่มรู้สึกว่าการปกครองแบบมารินาการ์ดดูจะอบอุ่นและเข้าท่ากว่าการปกครองแบบยกราชาไว้เป็นเทพ ในแบบของเซลทิค

แต่สำหรับเวสเทียร์แล้ว... ไคราห์นก็คือเทพสำหรับเขาอยู่ดี



ในส่วนขององค์ชายเร็กซ์... เราว่าตัวละครนี้มีความเป็นมารินาการ์ดสูงมากกก ใจดี มีเมตตา ยิ้มง่าย และหว่านเสน่ห์ไปทั่วแบบไม่รู้ตัวเลย (ทรงคิ้วท์ไหมล่ะะ ะ) และมีความเกรียนเบาๆ นั่นคือการพยายามทำให้เวทอร์สติดนิสัยของเงือกมารินาการ์ดด้วย จะเห็นว่าหลังๆ เวทอร์สเงยหน้าขึ้นมอง และเริ่มต่อปากต่อคำบ้างแล้ว

เหมือนเขียนคู่นี้ขึ้นมาฮีลคู่หลัก เพราะคู่หลักดูจะอึดอัดกันไปแบบนี้อีกสักพักใหญ่ๆ

สำหรับเรื่องของหมู่บ้านธราฟัสการ์... มันเป็น timeline ของเบื้องบน (อย่าเพิ่งลืมว่าอาณาจักรเซลทิคมีปัญหากับแวมไพรรร์) ในขณะที่องครักษ์และราชาและอาคันตุกะวนจีบกันไปมา ศัตรูของพวกเขาก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว หึหึ


นานๆทีจะเจอคอมเม้นท์... ยังไงก็... ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นค่าา  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 9 [15-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 15-05-2017 11:19:39
ดีนะครับ ก่อนคอมเมนท์เรื่องนี้...ผมแอบสะกิดใจ แวบไปอ่านผ่านๆเรื่องเงือกที่คุณข้าวบอกไว้ตอนต้นประมาณ 3-4 ตอน แต่ก็เล่นเอาใจหาย + งงๆไปนิดหน่อยเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ)

จุดแรกคือชื่อของราชินี แม่ของเลอาฟร์ ที่แตกต่างกับเรจิน่าในตอนบทต้นๆ เลยทำให้งง แต่อ่านจากรูปการณ์ก็คงจะ...อืม นะ คนเดียวกันมั้ง ดังนั้นคุณข้าวเลยทำเรือผมล่มครับ!! /โวยวาย พออ่านบทเก้าแล้วผมนี่ลุกขึ้นชู้ายไฟ ไคราห์น x เรจิน่า เลย (หัวเราะ) คือเคมีและดูท่าทางประสบการณ์จะใช้ช่วยกันบริหารบ้านเมืองได้ดีครับ น่าสนใจมากคู่นี้ แต่ดัน.....เฮ้อออ

จุดสอง ผมว่าโครงความทับซ้อนของเร็กซ์กับเวทอร์สอาจจะต้องไปปรับนะครับ และแนะนำว่าให้ปรับที่เรื่องเก่า เพราะดูเหมือนบทสนทนาในเรื่องนั้นหลายๆอย่าง ถ้าเราอิงพื้นอดีตจากเรื่องนี้ บทสนทนาตรงนั้นจะดูทับซ้อนและเหลื่อมกันอย่างเห็นได้ชัดว่ามี plot error ครับ

จุดสาม เรื่องนั้นคุณข้าวเขียนจับคู่ได้น่าสนใจมากครับ! (หัวเราะ) เรื่องนั้นนี่น่าอ่านพอสมควรเลยครับ แต่พอเจอองค์ประกอบแวดล้อมพล็อตหลายๆอย่าง มันเลยทำให้ผมทะแม่งๆ ทั้งภาษาพูดที่ดูจะวัยรุ่นไปหน่อย เส้นทางการเดินพล็อต มันเลยทำให้ความน่าสนใจส่วนตัวสำหรับผมลดลงไป ความจริงเส้นทางการเดินพล็อตคุณข้าวโอเคนะครับในเรื่องนั้น แค่ลอจิกบางตัวละครมันทะแม่งๆ และผมก็ยังไม่ชินซะทีกับการเดินพล็อตแบบ Game of Thrones นี่ล่ะ (ฮา) เพราะการเดินเรื่องแบบ straightforward เป็นเส้นตรงไปยังจุดจบโดยไม่ได้ให้รายละเอียด parallel line ของเส้นทางชีวิตคนอื่น มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้ซึมซับดีเทลของเรื่องน่ะครับ แต่ก็ถือว่าไม่ได้แย่นะ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 9 [15-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 15-05-2017 14:26:15
ดีนะครับ ก่อนคอมเมนท์เรื่องนี้...ผมแอบสะกิดใจ แวบไปอ่านผ่านๆเรื่องเงือกที่คุณข้าวบอกไว้ตอนต้นประมาณ 3-4 ตอน แต่ก็เล่นเอาใจหาย + งงๆไปนิดหน่อยเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ)

จุดแรกคือชื่อของราชินี แม่ของเลอาฟร์ ที่แตกต่างกับเรจิน่าในตอนบทต้นๆ เลยทำให้งง แต่อ่านจากรูปการณ์ก็คงจะ...อืม นะ คนเดียวกันมั้ง ดังนั้นคุณข้าวเลยทำเรือผมล่มครับ!! /โวยวาย พออ่านบทเก้าแล้วผมนี่ลุกขึ้นชู้ายไฟ ไคราห์น x เรจิน่า เลย (หัวเราะ) คือเคมีและดูท่าทางประสบการณ์จะใช้ช่วยกันบริหารบ้านเมืองได้ดีครับ น่าสนใจมากคู่นี้ แต่ดัน.....เฮ้อออ

จุดสอง ผมว่าโครงความทับซ้อนของเร็กซ์กับเวทอร์สอาจจะต้องไปปรับนะครับ และแนะนำว่าให้ปรับที่เรื่องเก่า เพราะดูเหมือนบทสนทนาในเรื่องนั้นหลายๆอย่าง ถ้าเราอิงพื้นอดีตจากเรื่องนี้ บทสนทนาตรงนั้นจะดูทับซ้อนและเหลื่อมกันอย่างเห็นได้ชัดว่ามี plot error ครับ

จุดสาม เรื่องนั้นคุณข้าวเขียนจับคู่ได้น่าสนใจมากครับ! (หัวเราะ) เรื่องนั้นนี่น่าอ่านพอสมควรเลยครับ แต่พอเจอองค์ประกอบแวดล้อมพล็อตหลายๆอย่าง มันเลยทำให้ผมทะแม่งๆ ทั้งภาษาพูดที่ดูจะวัยรุ่นไปหน่อย เส้นทางการเดินพล็อต มันเลยทำให้ความน่าสนใจส่วนตัวสำหรับผมลดลงไป ความจริงเส้นทางการเดินพล็อตคุณข้าวโอเคนะครับในเรื่องนั้น แค่ลอจิกบางตัวละครมันทะแม่งๆ และผมก็ยังไม่ชินซะทีกับการเดินพล็อตแบบ Game of Thrones นี่ล่ะ (ฮา) เพราะการเดินเรื่องแบบ straightforward เป็นเส้นตรงไปยังจุดจบโดยไม่ได้ให้รายละเอียด parallel line ของเส้นทางชีวิตคนอื่น มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้ซึมซับดีเทลของเรื่องน่ะครับ แต่ก็ถือว่าไม่ได้แย่นะ

อะเฮื้อ ไม่ตอบไม่ได้... อย่างแรก... ขอโทษที่ล่มเรือนะคะ 5555555

อา แอบตกใจนิดนึงที่มองทุกอย่างออกหมดเลย :a5: ชอบค่ะชอบ :กอด1:
บัลลังก์ฯ เรื่องนี้นี่เขียนมาแก้พลอตเออเรอร์ในสัญญาฯ แหละค่ะ ฮาาา (สัญญาฯนี่แต่งตอนอายุ 20-21 มั้งคะ ถ้าจำไม่ผิด ช่วงที่ชอบให้พระเอกอายุ 23-25 ใสๆคิ้วท์ๆ..... แต่ตอนนี้เริ่มชอบพระเอกวัย 30 กลางๆแบบฝ่าบาทไคราห์น ฮ่าาา) ตอนเขียนสัญญาฯคือหาช่องตอบไม่ได้เลยว่า... ทำไมแวมไพร์ถึงมาจับเงือกกินดื้อๆ ทั้งๆที่ดูไม่น่าได้เจอกัน

เรื่องนี้จะตอบให้ว่ามีเงือกที่ไม่ต้องใช้ยาช่วยในการกลายร่างเป็นมนุษย์ แล้วเงือกกลุ่มนี้แหละที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน (โถ่)
อา... จริงๆหลายๆจุดที่ไม่ค่อยบอกอะไรเพราะกลัวจะสปอยเส้นเรื่อง ยิ่งคนที่อ่านสัญญาฯมาก่อนคือถ้าเขาโยงกันได้ปุ้บนี่รู้เรื่องที่เหลือเลย ฮ่าๆ (นี่ก็เลี่ยงมาเขียนอีกเมืองนึงที่ไม่ใช่มารินาการ์ดเพราะกลัวจะเดาเรื่องได้กันแล้วหมดสนุก แฮะๆ)

จำได้ว่า บางอย่างแก้ในตัวเล่มของสัญญาฯไปแล้ว แต่ไม่ได้แก้ในเว็บ
ถ้าลงบัลลังก์ฯแบบนี้สงสัยต้องแก้สัญญาฯตามด้วย ไม่งั้นคนที่ตามไปอ่านจะเห็นจุด error อย่างที่ตั้งข้อสังเกต

โดยเฉพาะเรื่องของเร็กซ์กับเวทอร์ส << เรื่องนี้อยากทำให้เห็นด้วยว่า ทำไมเร็กซ์ถึงยอมรับความสัมพันธ์ของชาย-ชายได้ ทั้งที่นางดูเป็นชายปกติ และไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ << คือเขาเป็นผู้ชายปกติจริงๆนะ ไม่ได้ตั้งใจจะอ้อยใคร 555555


เห็นเม้นท์คราวที่แล้วคิดว่าไม่ชอบเคมีคู่เลยเลิกอ่านไป  :sad4: ดีใจที่เจอเม้นท์ยาวๆ เพราะช่วยนักเขียนพัฒนาได้มากจริงๆค่ะ แม้หลายๆคนจะบอกว่าวางพลอตเก่งขึ้น มีลูกเล่นมากขึ้น << แต่คือมันก็มีจุดพลาดอยู่ แล้วเป็นจุดที่เรารู้ด้วยตัวเองไม่ได้ว่าที่ทำอยู่นี่มันโอเคแล้วหรือยัง... อย่างแอสทารอธนี่เรื่องแน่นมากเลยนะ แต่มันไม่ตอบโจทย์นิยายวายอะ คือเหมือนเน้นทุกอย่างยกเว้นความสัมพันธ์ตัวละคร

:z3:

แต่ชอบการลงดีเทลเหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย ยิ่งเงือกแบ่งเผ่านี่สนุกมาก (คิดว่ายังไม่มีเงือกเรื่องไหนสำลักน้ำเพราะขึ้นไปหายใจไม่ทัน แบบนี้เรื่องนี้นะ 55555) ก็เลยคิดว่าอยากจะคงเอกลักษณ์ตรงนี้ไว้ แต่ไปปรับอย่างอื่นเอา เช่นการจับคู่ที่ดูเหมือนลองผิดลองถูกอยู่ รูปแบบการเดินเรื่องที่ยังไม่ค่อยกล้าเล่นอะไรแปลกๆ เช่น การสลับฉากอดีต/ปัจจุบันอะไรงี้

แต่ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากๆค่า  :mew1:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 9 [15-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 15-05-2017 16:20:08
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 9 [15-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-05-2017 21:46:52
อ่านคอมเมนท์คุณ Grey Twilight
เป็นนักอ่านชั้นเยี่ยมจริง ๆ นับถือค่ะ

ส่วนราชากับองค์รักษ์ก็ขมต่อไป
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 9 [15-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-05-2017 22:33:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 10.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 19-05-2017 07:47:51
ตอนที่ 10.1

ฝ่าบาทคงจะถูกใจราชินีเรจินาขึ้นมาจริงๆ

จริงอยู่ว่าหน้าที่การต้อนรับอาคันตุกะระดับผู้นำเป็นหน้าที่ของผู้นำซึ่งมีฐานะเท่าเทียมกัน แต่นอกเหนือจาก 'หน้าที่' แล้ว ฟาลกลับสัมผัสได้ว่าฝ่าบาทไคราห์นดูจะพอใจ และชื่นชอบการพูดคุยกับราชินีเรจินามากเป็นพิเศษจนถึงขั้นนั่งคุยกันได้เป็นวันๆ และหลายวันนานนับสัปดาห์

ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี... และคงจะยิ่งน่ายินดีขึ้นไปอีกหากพวกเขาเข้ากันได้ดีมากจนถึงขั้นอภิเษก

สุดท้ายแล้ว ฟาลก็ต้องเป็นผู้รายงานเรื่องหมู่บ้านธราฟัสการ์ เพราะการฝากฝังเวสเทียร์เอาไว้เมื่อวันก่อนไม่ได้เรื่องได้ราว องครักษ์หลับไม่ได้สติจนถึงเช้าวันต่อมา ซึ่งทำให้เลขาอาวุโสไม่ค่อยพอใจ ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายทำเรื่องเหลวไหลไม่เข้าท่าทั้งที่มีเรื่องสำคัญกว่าต้องรายงาน แต่ในเมื่อเขาเป็นถึงคนโปรดของฝ่าบาทไคราห์น ใครจะกล้าต่อว่าอะไรได้

"ภายในวันนี้แน่ๆ" เลสซีย์ นางเงือกผู้นำองครักษ์หน่วยลาดตระเวนยืดอกมั่นใจ "เสียงของพวกเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และถี่ขึ้นเรื่อยๆ ข้าคิดว่าภายในวันนี้ พวกวาฬหลังค่อมจะเดินทางมาถึงเซลทิค" ชาวเงือกเซลทิคตื่นเต้นกับเทศกาลเล่นแสงจันทร์เสมอ อีกทั้งปีนี้ยังเป็นปีที่มีอาคันตุกะจากอาณาจักรอื่นมาร่วมอีกด้วย ดังนั้นไม่น่าแปลกที่พวกเขานับวันรอคอย

"วันนี้ก็คงจะดี ข้าอยากให้ราชินีเรจินาได้ฟังบทเพลงของฝ่าบาทเร็วๆ"

"ข้าล่ะกลัวองค์ชายเร็กซ์เบื่อ..." เลสซีย์กระซิบกับเลขาใหญ่ "ต่อให้ดูเป็นคนง่ายๆ ไม่หือไม่อือก็เถอะ แต่ข้าเห็นว่าเวทอร์สจะต้องรีบกลับจากการลาดตระเวนทุกวันเพื่อไปพบเขา ทั้งๆ ที่คนที่เหมาะสมในการต้อนรับองค์ชายเร็กซ์น่าจะเป็นพวกเผ่าโลมาเสียมากกว่า"

ชายาคนหนึ่งขององค์ชายมาจากเผ่าโลมาของเซลทิค แต่หลังจากการสนทนาทักทายและพูดคุยกันได้ไม่กี่วัน องค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ดก็ปลีกตัวออกมา เขาดูจะชอบการพูดคุยกับเวทอร์สมากกว่า

"เขาเป็นน้องของฝ่าบาทเรจินา องค์หญิงอาโกรนาห์พยายามเข้าไปพูดคุยต้อนรับ แต่มันก็ไม่ใช่วิสัยที่นางซึ่งเป็นสตรีจะไปพูดคุยสองต่อสองกับบุรุษ อีกทั้งเผ่าโลมาก็เอาแต่ถามถึงธิดาองค์ที่สามซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขา ซึ่งองค์หญิงอาร์นิเอสยังเด็กเกินกว่าจะเดินทางไกลมาเยี่ยมถึงที่นี่ได้ ข้าจึงเข้าใจว่าเหตุใดองค์ชายลำบากใจจะพูดคุย" ฟาลกล่าวอย่างผู้ที่เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น "และหากองค์ชายถูกใจเวทอร์ส ข้าก็คิดว่าเราควรจะให้เวทอร์สไปดูแลงานต้อนรับองค์ชายอย่างเต็มตัวด้วยซ้ำ"

เลสซีย์เลิกคิ้วบ้าง "เวทอร์สอายุเพียงสิบแปด พูดจาก็ใช่จะถูกที่ถูกกาละเทศะ"

"องค์ชายอาจจะชอบแบบนั้นก็ได้ ใครจะไปรู้เล่า" ฟาลว่า "แล้วนี่เวทอร์สกลับมาหรือยัง"

เมื่อเอ่ยถึงคนใต้บัญชา เลสซีย์ก็กอดแขนตัวเองจนหน้าอกอวบถูกดันขึ้นมาให้เห็นชัดเป็นเป้าสายตา "เฮอะ! ก็พาองค์ชายเร็กซ์ออกไปลาดตระเวนด้วยแล้วน่ะสิ!" ฟาลเม้มปากครู่หนึ่ง และตัดสินใจมองไปยังเงือกตนอื่นที่อยู่ในสายตาเพื่อละจากหน้าอกของคู่สนทนา "เจ้าคาดันน์ก็ไปด้วยอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..."

"อย่างไรฝ่ายใต้ก็ไม่มีภัยคุกคามจากแวมไพร์ เพราะไม่มีแผ่นดิน" เลขาว่า "องค์ชายอาจจะชอบ"

"มันหมายถึงหน้าตาของอาณาจักรเราเลยนะ ท่านฟาล"

"กว่าสัปดาห์ที่องค์ชายดูจะโปรดการสนทนากับเวทอร์สมากกว่าผู้อื่น ข้าไม่คิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะทำให้เราเสียหน้าหรอก" ฟสลยิ้มขัน "แล้วองค์ชายก็ดูจะชื่นชอบเจ้าคาดันน์มากเป็นพิเศษด้วย ดังนั้นจึงวางใจไปได้ จะมีก็แต่ด้านของฝ่าบาทเรจินานี่ล่ะนี่ต้องลุ้นสักหน่อย"

เลสซีย์เลิกคิ้ว "ลุ้นอะไรกัน"

"จริงอยู่ว่าการสมรสระหว่างราชาอาณาจักรหนึ่งกับราชินีอาณาจักรหนึ่งจะเป็นเรื่องสูญเปล่าอย่างแท้จริง เพราะพวกเขามักจะไม่มีทายาทร่วมกัน ไม่เช่นนั้นสองอาณาจักรจะต้องยุบรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่ว่า..." ฟาลเริ่มวิเคราะห์ แต่นับตั้งแต่เลขาพูดเรื่องการสมรส ดวงตาของเลสซีย์ก็เบิกกว้างขึ้นเสียจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมาจากเบ้าด้วยความตื่นเต้น

"ท่านจะรวมอาณาจักรหรือไร!"

"เจ้าเสียงดังไปแล้ว" เงือกอาวุโสเอ็ด "ฝ่าบาทไคราห์นตั้งมั่นแต่แรกว่าจะไม่มีบุตร และฝ่าบาทเรจินาเองก็เช่นกัน... ดังนั้นต่อให้พวกเขาสมรสกัน มันก็จะมีแต่ประโยชน์ต่อทั้งสองอาณาจักร โดยไม่มีใครเสียอะไร"

นางเงือกพยักหน้าเห็นด้วย "ก็เท่ากับว่าราชวงศ์เซลทิคจะได้เกี่ยวดองกับสายเลือดจอมราชัน"

"หากฝ่าบาทมีฐานะที่ไม่เท่าเทียมกับเชื้อพระวงศ์คนอื่นเพียงเพราะสีผิว การสมรสกับทายาทจอมราชันจะผลักดันสถานะของพระองค์ขึ้นมา ปัญหายิบย่อยของอาณาจักรอาจหมดไป อีกทั้งราชินีเรจินาก็จะได้สวามีที่เชิดหน้าชูตาได้อีกด้วย"

และหากฝ่าบาทไคราห์นเสกสมรส ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของเผ่าเพชฌฆาตคือการได้เวสเทียร์คืนมา

ในฐานะผู้นำเผ่าผู้มีความสามารถ เวสเทียร์ควรจะแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ สักคนหนึ่ง และมีทายาทเพื่อสืบทอดความสามารถและความแข็งแกร่งต่อไป "เลสซีย์..." เลขาเบาเสียงลง "เจ้ากลับไปปรึกษากับพวกอาวุโส ลองหาหญิงเผ่าเพชฌฆาตที่มีลักษณะดีสักคนมา" เขาก้มไปกระซิบที่ข้างหูผู้นำองครักษ์หน่วยลาดตระเวน

"จะจับคู่ให้เวสเทียร์รึ!"

"ข้าจะกระซิบไปทำไมกัน ถ้าเจ้าจะตะโกนออกมาแบบนี้" ฟาลถอนใจ พ่นฟองอากาศออกมาเป็นสาย "ข้าจะขึ้นไปหายใจละ อย่าลืมทำตามคำสั่งด้วย" นางเงือกมุ่นคิ้ว ก่อนจะบุ้ยปากล้อเลียนอีกฝ่าย นางกระชับหอกยาวในมือให้มั่น และว่ายออกไป

--------------------------------------------------

ฝ่าบาทไคราห์นใช้เวลาช่วงเช้าในการสางผมและพูดคุยกับน้องสาว องค์หญิงอาโกรนาห์ และในวันนี้ดูจะมีเรื่องพิเศษบางอย่างเกิดขึ้น เพราะนอกเหนือจากอาโกรนาห์แล้ว นางยังพาองค์หญิงเอสลินน์ซึ่งเป็นธิดาองค์สุดท้องของราชาแห่งเซลทิคมาด้วย

องค์หญิงเอสลินน์มีอายุเพียงสิบสองปีเท่านั้น และนางก็เป็นน้องสาวต่างมารดาของฝ่าบาทไคราห์น

"นึกอย่างไรจึงได้พาน้องเอสลินน์มาด้วย" ราชาหนุ่มเลิกคิ้ว มองร่างของเด็กหญิงตัวน้อยถือวิสาสะขยับขึ้นมานั่งบนแท่นหินที่ประทับเคียงข้างพี่ชาย และหยิบหวีที่ทำจากกระดูกสัตว์ไปหวีผมของตนเล่นอย่างสนิทสนม ราชาหนุ่มลูบผมสีดำขลับของเด็กหญิงแล้วหันไปมองอาโกรนาห์เป็นเชิงถาม

"ก็จะเป็นเรื่องใดไปได้" องค์หญิงขยับเข้ามาใกล้ "เรื่องของท่านพี่กับราชินีเรจินาอย่างไรเล่า!"

ไคราห์นเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง และพอจะเดาได้ว่าข่าวลืออะไรแพร่ออกไป ในหลายวันที่ผ่านมานี้เขาเอาแต่ขลุกอยู่กับผู้นำมารินาการ์ด ด้วยเกรงว่านางจะเบื่อหน่ายอาณาจักรอันแสนเงียบเหงาก่อนที่จะถึงเทศกาลเล่นแสงจันทร์ โดยลืมไปว่ายังมีประชาชนคอยจับจ้องความเคลื่อนไหวของเขาอยู่

"แม้จะเป็นถึงสายเลือดจอมราชัน แต่พระนางดูไม่ถือตัวกับท่านพี่เลยนะ"

...ไม่หรอก เรจินามีเมตตากับทุกคนต่างหาก

"จริงอยู่ว่าพระนางอาจจะอายุมากสักหน่อย แต่ก็มีข่าวลือมานานแล้วว่าพระนางไม่ต้องการมีบุตร"

...ก็เพราะสายเลือดจอมราชันไม่ใช่หรือไร

ราชาหนุ่มกระแอมเบาๆ ในลำคอทำให้องค์หญิงอาโกรนาห์หยุดพูด "เรื่องนี้เราไม่ควรจะออกตัวไปก่อนราชินี เป็นการให้เกียรติพระนาง อีกทั้งการสนทนาของเรากับฝ่าบาทเรจินาไม่ได้มีเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเมืองการปกครองและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระดับผู้นำเท่านั้น"

ไคราห์นตั้งใจจะสนทนาเรื่องนั้น เพราะราชินีเรจินามีประสบการณ์มากกว่า แต่ชายหนุ่มก็เพิ่งรู้สึกว่าโกหกคำโตเรื่องการไม่สนทนาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว จริงอยู่ว่าเขาพูดคุยเรื่องการปกครอง แต่ก็มีเรื่องสัพเพเหระเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่บ่อยครั้งเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศ และหากจะพูดว่าไม่กล่าวถึงเรื่องส่วนตัวเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะจู่ๆ เขาก็รู้ว่าราชินีไม่โปรดปลาไหลอันเป็นสัตว์ท้องถิ่นของมารินาการ์ด และใจสั่นจนถึงขั้นต้องกุมมือองค์ชายเร็กซ์ผู้เป็นน้องทุกครั้งที่พบเจอ

พระนางสนิทกับองค์ชายมาก อีกทั้งยังพูดติดตลกด้วยว่า เหตุผลที่องค์ชายมีพระชายาถึงสี่องค์ ก็เนื่องด้วยมีสี่อาณาจักรที่เสนอพระสวามี 'ที่คู่ควร' ให้ พระนางจึงต่อรองและเปลี่ยนเป็นพระชายาให้องค์ชายเร็กซ์แทน

และหนึ่งในพระชายาขององค์ชายเร็กซ์คือธิดาคนโตของผู้นำเผ่าโลมา

ฝ่าบาทไคราห์นจำได้ว่าบิดาของเขา อดีตราชาบริททาเนียไม่เคยคิดจะส่งใครไปสมรสเป็นสวามีของพระนางมาก่อน เนื่องด้วยเขามีบุตรชายเพียงสองคน นั่นก็คือฝ่าบาทไคราห์น และองค์ชายเดียร์ราฮาน แต่เผ่าโลมาซึ่งในเวลานั้นพยายามจะสร้างความดีความชอบจึงเสนอตัวหัวหน้าเผ่าไปทำหน้าที่แทน ทว่าราชินีเรจินากลับบ่ายเบี่ยง และสุดท้ายก็ส่งองค์ชายเร็กซ์เดินทางมาพบบุตรสาวคนโตของพวกเขา

เผ่าโลมาและเผ่าเพชฌฆาตเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่จะเรียกได้ว่าแบ่งออกเป็นสองฝั่งฝ่ายก็ย่อมได้ เผ่าเพชฌฆาตมีร่างกายที่สูงใหญ่ และแข็งแรงกว่า ในขณะที่เผ่าโลมาตัวเล็กกว่า และปราดเปรียวกว่า เผ่าเพชฌฆาตสาบานความจงรักภักดีต่อหน้าที่องครักษ์ ว่าจะปกปักษ์รักษาราชวงศ์แห่งเซลทิค ต่างจากเผ่าโลมาที่ไม่ได้ยื่นคำสัตย์สาบานใด และขอเป็นเพียงประชาชนธรรมดา

ในครั้งที่เผ่าโลมาอาสาผูกมิตรกับราชวงศ์มารินาการ์ด ก็เนื่องด้วยผู้นำเผ่าคนใหม่ต้องการจะยกความสำคัญของเผ่าให้ทัดเทียมกับพวกเพชฌฆาตผู้ใกล้ชิดราชวงศ์ จึงเสนอตัวเดินทางไปเชื่อมความสัมพันธ์กับอาณาจักรอื่นหมายจะสาบานความจงรักภักดีต่อหน้าที่ทางการทูตของอาณาจักร

"ท่านพี่..." อาโกรนาห์เอ่ยเรียก ดึงพี่ชายของตนกลับมาจากภวังค์ "น้องไม่อยากอ้อมค้อม ในความเห็นของน้องแล้ว ฝ่าบาทเรจินาอาจช่วยท่านพี่ได้มากกว่าจะเป็นที่ปรึกษาทางการปกครอง" หญิงสาวมองสบตาพี่ชาย และราชาหนุ่มก็เข้าใจในทันทีว่านางหมายถึงอะไร

"อาโกรนาห์ เรื่องนี้..."

"พระนางปฏิเสธสวามีมาตลอด ไม่ใช่เพราะพระนางไม่ต้องการ" เด็กสาวว่า "แต่เพราะยังไม่มีผู้ใดที่คู่ควรต่างหาก" องค์หญิงเอสลินน์แหงนหน้าขึ้นมองพี่ชายคนโตของนาง ก่อนจะเอื้อมมือไปสางปลายผมสีขาวที่ยาวถึงกลางอก

"และบางทีผู้คนอื่นจะลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าท่านพี่แตกต่างจากคนอื่นในราชวงศ์เซลทิคอย่างไร"

"หากเราทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เท่าจอมราชันไม่ได้ หนทางเดียวที่ผู้คนจะยอมรับเรา... คือการแต่งงานกับผู้หญิงที่สูงศักดิ์กว่าอย่างนั้นหรือ" ฝ่าบาทถามย้อน และนั่นทำให้น้องสาวของเขาเงียบไป องค์หญิงเห็นด้วยกับคำพูดนั้น สิ่งที่นางกำลังยุให้พี่ชายทำคือการละทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองและอาศัยบารมีของผู้อื่น

แม้ว่ามันจะเป็นหนทางที่ง่ายที่สุดในตอนนี้แล้วก็ตาม

"แล้วเมื่อไหร่กันที่ท่านพี่จะมีอำนาจพอที่จะสั่งคนของตัวเองได้" อาโกรนาห์ถาม "เรื่องที่ธราฟัสการ์ทำให้น้องกลัวไม่พอหรือ เราจับกุมคนทั้งอาณาจักรไม่ได้ และหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป พวกแวมไพร์คงตามมาพบเราเข้าสักวัน"

ในบางครั้ง ศักดิ์ศรีก็ช่วยชีวิตผู้คนไม่ได้

ไคราห์นมุ่นคิ้วและเม้มปากครุ่นคิด ...เวสเทียร์จะรู้สึกอย่างไรกับข่าวลือนี้หนอ

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 10.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 19-05-2017 07:49:40
ตอนที่ 10.2

ท้องทะเลเคลติกไม่มีอะไรเลยในสายตาขององค์ชายเร็กซ์ ไม่มีปะการัง ไม่มีดอกไม้ทะเล ไม่มีกระทั่งปลาสักตัว มีเพียงความหนาวเย็น อึมครึม และอ้างว้างสุดลูกหูลูกตา จนองค์ชายเกิดความระแวงว่าเวทอร์สหลอกพาเขามาที่นี่เพื่อจะทำอะไรบางอย่างหรือไม่ เช่นการฆาตกรรมแล้วซ่อนศพเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง

เขาก้มลงมองพื้นทะเลที่มีกองหินเล็กๆ ระเกะระกะอยู่ประปราย ก่อนจะเคลื่อนสายตากลับมามององครักษ์หนุ่มเป็นเชิงถามว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงพาเขามาที่นี่ "ที่นี่คือทะเลเคลติกฝ่ายใต้อย่างนั้นรึ" และนี่เป็นคำถามที่ไม่ฉลาดที่สุดขององค์ชายแห่งมารินาการ์ด นับตั้งแต่เดินทางมาถึงอาณาจักรเซลทิค องค์ชายรู้ดีว่าเขาว่ายน้ำลงมาทางใต้ ดังนั้นเขาจึงรู้อยู่แล้วว่าที่นี่คือทะเลฝ่ายใต้ แต่เหตุผลที่ทำให้องค์ชายถามออกมาแบบนั้น นั่นก็เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะชวนเวทอร์สพูดคุยอย่างไร

แต่องครักษ์หนุ่มกำลังเงี่ยหูฟังเสียงบางอย่าง และไม่ตอบคำถามของเขา

นี่ชักจะสนิทสนมจนเหิมเกริมมากไปแล้วกระมัง!

"องค์ชาย..." ร่างสูงเอ่ยเรียก "กลัวหรือเปล่าขอรับ"

คนฟังเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งขึ้นสูงเสียจนอาจหายไปใต้เรือนผม หากทรงผมของเขาไม่ใช่แสกกลางอย่างที่เป็นอยู่ แต่แล้วเร็กซ์ก็นึกได้ว่าเขาควรจะวางตัวให้สมฐานะเมื่ออยู่ต่อหน้าองครักษ์เมืองอื่น เขากระแอมเบาๆ ก่อนจะถามกลับ "กลัวสิ่งใดกัน"

"เสียงน่ะขอรับ" เวทอร์สตอบเรียบ "เสียงของวาฬ..."

องค์ชายอยากจะสวนกลับเหลือเกินว่าเขาไม่ใช่เงือกวาฬ จะไปแยกเสียงพรรค์นั้นออกได้อย่างไร กระทั่งเสียงของคาดันน์ เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่านั่นเป็นภาษาวาฬจริงๆ หรือมันเพียงแค่การกรีดร้อง อีกทั้งคนระดับองค์ชายเช่นเขาคงไม่กลัวเสียงสัตว์หรอกกระมัง และต่อให้เขากลัว เขาก็คงไม่บอกอีกฝ่ายอย่างแน่นอน!

ยังไม่ทันกล่าวอะไรตอบโต้ เวทอร์สก็ชะเง้อมองออกไปอีกทิศ และเม้มปากด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่คาดันน์มุดหัวกับฝ่ามือเล็กๆ ขององค์ชายราวกับออดอ้อน ร่างโปร่งพยายามมองตาม และเริ่มคิดว่าสายตาของเงือกวาฬอาจจะดีกว่าเงือกปลา ดวงตาสีน้ำตาลเพ่งไปในท้องทะเลสีสลัว แต่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ

นี่คงเป็นเรื่องความสามารถในการมองของเผ่าพันธุ์ ...ไม่ใช่เพราะเขามีอายุมาก

"องค์ชาย วาฬสีน้ำเงินขอรับ"

ร่างเงาที่ปรากฎให้เห็น มาพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำกดดันที่ติดไปทางหลอกหลอนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ขนาดของมันทำให้ผู้เฝ้ามองต้องกลั้นใจยิ่งกว่า จนองค์ชายเร็กซ์คิดว่าหากเขาขยับเข้าไปใกล้ เพียงดวงตาของมันก็มีขนาดเกือบจะเท่าหัวของเขา สัตว์ใหญ่เคลื่อนไหวเนิบช้า ทว่าสง่างามนุ่มนวล

นี่เป็นโอกาสพบปะที่หาได้ยาก อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่องค์ชายได้เห็นวาฬสีน้ำเงิน

ดูเหมือนว่ามันแค่เดินทางผ่านมา กว่าสัตว์ยักษ์จะว่ายผ่านไปก็ใช้เวลานานพอสมควร จนเวทอร์สตัดสินใจว่ายขึ้นไปสูดอากาศในที่สุด แล้วจึงตามมาสมทบองค์ชายที่ยังคงตกตะลึงกับขนาดของสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในท้องทะเล

"...ใหญ่" แม้จะเป็นเงือก แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ทุกเรื่องในท้องทะเล ดังนั้นสีหน้าขององค์ชายเร็กซ์ในตอนนี้จึงไม่สามารถเก็บซ่อนความตื่นตะลึงเอาไว้ได้ "ใหญ่ขนาดนี้จะต้องกินอาหารเท่าไหร่กัน"

องครักษ์กะพริบตาถี่ แล้วจึงตอบตามที่เขารู้ "กุ้งฝอยตัวเล็กๆ ขอรับ ที่ลอยเต็มผิวน้ำในฤดูร้อน"

แต่องค์ชายดูไม่เชื่อ "ปากเท่านั้นจะกลืนคาดันน์ได้ทั้งตัวอยู่แล้ว!"

"ปากเท่านั้น แต่มันติดคอนี่ขอรับ" เวทอร์สหัวเราะเบา และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เร็กซ์คิดว่าเขาได้เห็นอีกฝ่ายหัวเราะ "ขออภัย องค์ชาย กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาเยาะเย้ย" ชายหนุ่มกลับไปตีหน้าขรึมดังเดิม พร้อมกับค้อมหัวลงแสดงความเคารพ "กลับกันเถอะขอรับ"

อ้าว...

องค์ชายโคลงหัว "เราคิดว่าเจ้าออกมาลาดตระเวน"

"กระหม่อมได้ยินเสียงวาฬสีน้ำเงิน จึงชวนฝ่า... องค์ชายมาชมขอรับ" เวทอร์สตอบเรียบ "มันเป็นสัตว์หายาก จึงคิดว่าองค์ชายอาจจะสนใจ" เมื่อพูดถึงเสียง เร็กซ์ก็คิดว่าเขายังได้ยินเสียงร้องที่ติดไปทางหลอนของสัตว์ใหญ่ เขามองตามร่างเงาที่เริ่มห่างไกลออกไปแล้วหันกลับมา

"แค่นี้น่ะหรือ..."

"กระหม่อมขออภัยที่ทำให้องค์ชายไม่พอใจขอรับ"

เร็กซ์ลอบกลอกตากับตัวเอง ก่อนจะยิ้มขบขัน "เราไม่เคยเห็นมันหรอก นี่เป็นครั้งแรกเช่นกัน" ร่างโปร่งเอียงตัวไปหาคาดันน์เล็กน้อยเพื่อปลอบใจมันว่าเขาไม่ได้สนใจวาฬยักษ์มากไปกว่ามัน "ขอบใจที่อุตส่าห์พามา" เวทอร์สก้มหน้านิ่ง อันที่จริงเขาลอบเม้มปากน้อยๆ แก้อาการเขินของตัวเอง

--------------------------------------------------

เวสเทียร์แปลกใจที่ฝ่าบาทไคราห์นไม่ออกไปสนทนากับราชินีเรจินาอย่างเช่นทุกวัน และดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะส่งองค์หญิงอาโกรนาห์กับองค์หญิงเอสลินน์ไปแทน หลังจากการออกล่ายามเช้า เวสเทียร์ก็กลับมาที่ถ้ำ และพบราชาหนุ่มนอนทอดกายอยู่บนแท่นหินที่ประทับ

เขาอยากถามฝ่าบาทว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องขององครักษ์

"เหมือนเราจะได้ยินเสียงวาฬ" ไคราห์นเอ่ยทั้งที่หลับตา "แต่ฟาลก็ไม่ได้มารายงานอะไร"

"วาฬสีน้ำเงินขอรับ" เวสเทียร์ตอบ "เขาผ่านมาพอดี พวกสาวๆ จึงแห่กันไปชื่นชมและขอพร" คนฟังพ่นลมหายใจสั้นๆ ด้วยความขบขัน วาฬสีน้ำเงินนับว่าเป็นสัตว์หายาก พวกผู้หญิงจึงถือโอกาสให้คุณค่าในทางแปลกๆ เช่นการขอพรกับวาฬ

"แล้วเจ้าขอพรอะไรหรือเปล่า" ฝ่าบาทถาม

"กระหม่อมไม่ใช่สาวๆ ขอรับ"

"ใครว่าเจ้าเป็นกันเล่า"

ราชาทะเลเหนือลืมตาขึ้น เขายันตัวลุกขึ้นนั่งและขยับยกหางลงจากแท่นวาง ดวงตาสีน้ำเงินทอดมององครักษ์คนสนิทอยู่สักพักขณะครุ่นคิด มันเป็นความเงียบงันที่พวกเขาทั้งคู่คุ้นเคย แต่ฝ่าบาทก็ยอมรับว่าหลังจากอยู่ใกล้ราชินีเรจินาบ่อยครั้งขึ้น เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดอันยากจะอธิบาย ความสัมพันธ์ของเขากับองครักษ์หนุ่มช่างอึมครึม และกำกวม ทางออกเพียงทางเดียวที่ทั้งคู่ยอมรับมันนั่นคือการใช้ความสัมพันธ์ทางกาย ยุติความรู้สึกเหินห่างและลดช่องว่างระหว่างกัน

ทว่ามันยิ่งทำให้พวกเขาห่างเหินกันหรือเปล่าหนอ...

เขาคงต้องพูดกับเวสเทียร์

แต่หากพูดไปแล้ว เวสเทียร์จะตอบกลับมาด้วยคำพูดแบบเดิมที่อีกฝ่ายชอบใช้หรือเปล่า

แม้จะเป็นถึงราชา แต่ไคราห์นก็กลัวการถูกปฏิเสธเช่นกัน องครักษ์ของเขาไม่เคยต่อต้าน แต่ก็ยอมรับทุกสิ่งด้วยคำว่า 'หน้าที่' ซึ่งทำให้เคนฟังเจ็บปวดยิ่งกว่า แต่สิ่งที่ไคราห์นอยากรู้มากกว่าความรู้สึกของเวสเทียร์ที่มีต่อเขา นั่นคือเรื่องของข่าวลือระหว่างเขาและราชินีเรจินา

องครักษ์ของเขาจะรู้สึกอะไรกับข่าวลือพวกนั้นบ้างไหมหนอ

แต่ฝ่าบาทไม่รู้จะเริ่มอย่างไร...

"เจ้าคิดว่า..." ร่างสูงเริ่ม "เจ้าคิดอย่างไรกับราชินีเรจินา" นั่นอาจไม่ใช่คำถามที่ตรงประเด็นที่สุด อีกทั้งไม่ใช่คำถามที่จะทำให้เวสเทียร์พูดอะไรออกมาตรงกับที่ใจคิดอีกด้วย

เวสเทียร์ย่อมได้ยินข่าวลือพวกนั้น และเขาเข้าใจคำถามของฝ่าบาทดีว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร องครักษ์หนุ่มค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาตในการออกความเห็น แม้ว่ามันจะเป็นความเห็นที่ไม่ใช่ของเขาก็ตาม "พระนางเป็นราชินีที่มากด้วยความสามารถ อีกทั้งเป็นถึงทายาทของจอมราชัน หากผูกมิตรใกล้ชิดก็เป็นเรื่องดีต่ออาณาจักรของเรา อีกทั้งผู้คนก็หันมาสนใจเรื่องนี้มากขึ้น และดูเหมือนว่าจะรอคอยข่าวดีของฝ่าบาท"

นั่นเป็นความคิดของฟาลอย่างแน่แท้... ไคราห์นรู้

เวสเทียร์เองก็รู้ว่าตนตอบคำถามของอีกฝ่ายไม่แนบเนียน เขาใช้ความเห็นของฟาล เนื่องจากความคิดเห็นและอารมณ์ของเขาไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่

ถามว่าเขารู้สึกเช่นใดน่ะหรือ หากพูดไปจะมีใครเข้าใจบ้างว่ามันเจ็บแค่ไหน

ชายหนุ่มเป็นถึงองครักษ์คนสนิทที่จะต้องคอยดูแล และใกล้ชิดราชาตลอดเวลา เป็นตัวแทนความภาคภูมิใจของเผ่าเพชฌฆาต ดังนั้นเวสเทียร์จึงต้องทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดและกดความรู้สึกของตนเองฝังลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจ เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ เขาทำไม่ได้กระทั่งจะกำหมัดเพื่อระบายความรู้สึกในตอนนี้

มันเจ็บแค่ไหน... ที่ต้องพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดที่อยากให้ฝ่าบาทไคราห์นสมรสกับราชินีเรจินา

แต่นั่นคือหน้าที่ขององครักษ์ที่ดี ฝ่าบาทอาจจะได้รับการยอมรับมากขึ้นในหมู่ประชาชนเซลทิคและมารินาการ์ด ทว่าในขณะเดียวกัน หากฝ่าบาทสมรสกับพระนางแล้ว เวสเทียร์เชื่อว่าพวกเขาทั้งคู่จะต้องฝังเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างกันลงไป และทำเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

คิดถึงแค่นี้ ใจของเวสเทียร์ก็เจ็บแปลบ

...แต่ฝ่าบาทไม่ใช่ของเขา เขารู้ฐานะของตัวเองมาตั้งแต่ต้น

"เราอยากรู้ความคิดเห็นของเจ้า ไม่ใช่ของฟาล..." ไคราห์นตอบกลับมาในที่สุด "เจ้าไม่มีความรู้สึกของตัวเองเหรอ เวสเทียร์" แม้จะเป็นถึงราชาทะเลเหนือ ผู้มีพลังในการเยียวยาและรักษา แต่ฝ่าบาทไคราห์นก็กลัวการผิดหวังเช่นกัน เวสเทียร์ไม่เคยแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริง มีแต่จะจะก้มหน้ารับคำสั่ง ไม่ว่าคำสั่งนั้นจะเป็นการย่ำยีศักด์ศรีความเป็นชายของอีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ตาม

...องครักษ์แบบไหนกันที่ยอมหลับนอนกับราชาตาม 'คำสั่ง'

"ความเห็นของกระหม่อม..." ร่างโปร่งลอบกำหมัด หักห้ามไม่ให้ตัวเองพูดอะไรออกไปมากเกินควร และบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือจนผิดสังเกต "เหมือนท่านฟาลขอรับ เพราะนั่นคือเรื่องที่น่ายินดีของฝ่าบาท"

อาจจะมีองครักษ์เช่นเวสเทียร์จริงๆ ก็ได้...

ไคราห์นเอื้อมมือออกไป แต่แล้วก็ดึงตัวเองกลับมา ราชาหนุ่มสูดหายใจลึก พยายามปรับอารมณ์และความรู้สึกหวั่นไหวที่อยู่ในใจของตนให้กลับมาเป็นปกติ เขาที่เป็นถึงราชาจะอ่อนแอกว่าองครักษ์ไม่ได้ และหากเวสเทียร์กล่าวทุกอย่างออกมาได้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นนั้น เขาเองก็ควรจะทำได้เช่นกัน

"เช่นนั้นแล้ว..." ไคราห์นทอดเสียง มันสั่นไหวจนสังเกตได้

"ฝ่าบาท..."

"ช่างมันเถอะ" ราชาทอดถอนใจ "หากราชินีเห็นตรงกัน เราก็คิดว่ามันคงน่ายินดี"

แต่คำนั้นบาดจิตใจของเวสเทียร์ไหร่ ไคราห์นไม่รู้เลย... องครักษ์หนุ่มต้องใจแข็งเพียงใดเพื่อจะเอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งและมั่นคง ทั้งที่ความรู้สึกของเขาแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียงในหัวของร่างโปร่งกำลังข่มใจที่เจ็บร้าวไม่ให้กล่าวอะไรออกไปเพื่อเหนี่ยวรั้งอีกฝ่าย เพียงเพื่อความรู้สึกของตนเอง

เขาเป็นองครักษ์และหน้าที่ขององครักษ์คือการคุ้มครองความปลอดภัยเท่านั้น

การที่เขา... หลงรักราชาของตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องถูกต้องมาตั้งแต่แรก

ฝ่าบาทไคราห์นมีพื้นฐานจิตใจอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ว่าใครได้อยู่ใกล้ชิดก็คงคิดเช่นเดียวกับเขา เพียงแต่ไม่มีชาวเซลทิคผู้ใดเคยสัมผัสเท่านั้น แต่ก็ด้วยเหตุผลนั้นที่ทำให้เวสเทียร์ลำพองใจ เขาอาจเป็นคนเดียวที่มีโอกาสได้อยู่ใกล้กับฝ่าบาท และคิดเข้าข้างตนเองแบบเด็กๆ ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป โดยไม่คิดเลยว่าสักวันหนึ่ง ฝ่าบาทจะได้พบคนที่เหมาะสมกับตนเอง คนที่คู่ควรกับราชาทะเลเหนือมากกว่าองครักษ์อย่างเขา

เขาทนได้ อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นองครักษ์คนสนิทต่อไป

ไม่ว่าฝ่าบาทจะเดินทางไปที่ใด เขาก็ยังต้องติดตามไปด้วย ...เท่านี้อาจจะเพียงพอแล้ว

"ฝ่าบาท..." เสียงที่ดังขึ้นทำลายความเงียบภายในถ้ำที่ประทับ ไคราห์นมุ่นคิ้วเล็กน้อย ขณะที่เวสเทียร์สะดุ้งสุดตัวและขยับอาวุธในมือตามสัญาชาติญาณ แต่ก็พบว่าผู้มาเยือนเป็นเพียงองครักษ์หน่วยลาดตระเวนฝ่ายเหนือ "ขออภัยขอรับ ท่านเวสเทียร์" เมื่อเห็นผู้นำเผ่าตอบโต้ ผู้มาเยือนจึงค้อมหัวลงต่ำ

"พวกวาฬมาถึงแล้ว"

เสียงของวาฬหลังค่อมแตกต่างจากวาฬสีน้ำเงิน ถึงแม้จะฟังดูหลอกหลอนในแบบฉบับของวาฬ แต่พวกมันก็ชื่นชอบการร้องเพลงที่เป็นที่สุด ฝ่าบาทไคราห์นขยับตัวด้วยความตื่นเต้น เขาทิ้งตัวลงในน้ำเพื่อจะกลับลงไปยังอาณาจักรด้านล่าง และพบว่าเสียงใต้ทะเลดังเสียจนผืนน้ำสั่นไหว พวกวาฬกำลังใกล้เข้ามาพร้อมกับบทเพลงอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกมัน

ไคราห์นหันไปหาคนสนิทข้างตัว "อยู่ข้างๆ เรา..."

เวสเทียร์ไม่เข้าใจคำสั่ง แต่เพียงเท่านั้น องครักษ์หนุ่มก็โล่งใจขึ้นมาชั่วขณะอย่างหาเหตุผลไม่ได้

--------------------------------------------------


เราควรเรียกคอลัมป์นี้ว่า... เกร็ดอะไรในนิยาย ในตอนนี้แอบใส่ความรู้ไปนิดหน่อย มาสรุปกันเป็นช่วงๆ เลยเน้อ...

1) เผ่าเพชฌฆาตกับเผ่าโลมา = คือเผ่าเดียวกัน แต่แยกขั้ว

...ใช่!? จริงๆวาฬเพชฌฆาตคือโลมา!! (เคยอ่านในสารคดีตัวนึงของ BBC มันพูดว่า why do they called 'killer whale' if it's not a whale? Well, you should know it's a whale killer.  ประโยคนี้ค่อดเท่ 555) ต่อไปนี้จะเรียก 'พี่ก้า' (orca) คือพี่ก้าเป็นโลมาที่ใหญ่ที่สุด และมีพฤติกรรมการล่าบางอย่างที่โลมาอื่นเขาไม่ทำกัน เช่น... การล่าลูกวาฬตัวอื่น  หรือกระทั่งล่าวาฬตัวอื่นเลยเลยแหละ วาฬฟิน วาฬมิงค์ พี่แกเอาหมด ...ในมหาสมุทร พี่ก้าเปรียบได้กับพวกอ้วนอันธพาล เวลาใครเจอจะต้องรีบหนีเอาเป็นเอาตาย แมวน้ำ สิงโตทะเล กระทั่งฉลามมันก็กิน (กินทุกอย่างจริงๆนะ)

2) วาฬสีน้ำเงิน

...โรแมนติกมาก เวทอร์ส พาองค์ชายไปดูปลา วาฬสีน้ำเงินเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ฝรั่งชอบบอกว่าพี่ค่อม (humpback whale) ที่ยาวประมาณ 15 เมตรนี่ตัวประมาณ school bus (เปรียบแบบไทยๆ อาจจะตัวเท่ารถเชิดชัยทัวร์) แต่พี่บลู (blue whale) นี่ขนาดประมาณพี่ค่อม 2 ตัว เพราะนางยาวประมาณ 30 เมตร (อาจจะเป็นเชิดชัยแอร์ไลน์แทน--- //ไม่มี!!) (ตัวไม่เท่าเครื่องบินหรอก เครื่องบินลำนึงยาวเกือบ 100 เมตร) ปากของพี่บลูใหญ่มาก ถ้าไม่เห็นภาพให้ดูคลิป แต่ความตลกร้ายของพี่บลูคือคอหอยพี่แกตีบมาก เห็นว่าของที่ใหญ่ที่สุดที่กลืนได้คือ เกรพฟรุต (grapefruit) เล็กกว่าส้มโออีก อาหารของพี่บลูคือ Krill หรือที่บ้านเราเรียกว่า กุ้งเคย (ที่เอามาทำกะปิ) แต่เราขอใช้คำว่ากุ้งฝอยในเรื่องนี้แทน - -" ไม่งั้นมันจะดูตำกะปิ---

คลิปพี่บลูงาบ >> https://www.youtube.com/watch?v=cbxSBDopVyw (https://www.youtube.com/watch?v=cbxSBDopVyw)

3) วิธีการกินของวาฬบาลีน

พี่บลูนี่เป็น Baleen Whale ค่ะ (โอย รายละเอียดมันเยอะ จะบอกไงดี 555) คือ whale มี 2 พวก คือ tooth whale กับ baleen whale พวกทูธก็คือพวกมีฟัน ชัดๆเลยก็คือพวกพี่ก้านี่ล่ะ (อ้าว ไหนบอกไม่ใช่ whale ไง) (เอางี้ เหมารวมเลยคือเขาเรียกทั้ง whale - dolphin - porpoises ว่า cetacean อ่านว่า ซี-ตา-เซียน) (เหมือนจะเขียนหนังสือความรู้เรื่องวาฬได้อีกเล่ม 555)

กลับมาาา...

1 - tooth whale = วาฬมีฟัน ก็คือฟัน เช่น พี่ก้า (killer whale)

2 - baleen whale = วาฬมีบาลีน ก็คือแผงซี่กรองคล้ายๆ หวีคอยดักจับอาหาร เช่น พี่บลู (blue whale) และพี่ค่อม (humpback whale)

การกินของพวกทูธเข้าใจง่าย เพราะก็ใช้ฟันกัด (...) แต่วิธีกินของบาลีนมี 2 แบบล่ะ คือแบบ วิธีการกินแบบสกิมเมอร์ (skimmer) ซึ่งเหมือนว่ายน้ำยิงฟันไปเรื่อยๆ รอให้อาหารมาติดซี่ฟัน แล้วก็กลืน ตัวอย่างพันธุ์ที่ใช้วิธีการกินแบบนี้ คือ พี่เกรย์ (gray whale) และวิธีการกินแบบกัลปเปอร์ (gulper) ซึ่งก็คือการงาบทุกอย่างทั้งน้ำทั้งอาหารไปตุนอยู่ในกรูฟ (grooves) หรือเรียกง่ายๆ ว่าเหนียง 555 ที่เห็นแบบซี่ๆ พองได้นั่น แล้วจึงค่อยๆ พ่นน้ำออกมาผ่านซี่บาลีน ให้บาลีนดักจับอาหารเอาไว้ (กินยากกินเย็นแท้...)



กลับมาที่นิยาย... คู่รองตอนนี้ไม่มีอะไร แค่พาไปดูปลา... และนอกนั้นก็เป็นเรื่องของตัวประกอบคุยกัน---

แต่คู่หลักเนี่ยสิยย์... เอานะ อย่างน้อยเวสเทียร์ก็ยอมรับนะว่าชอบฝ่าบาท (ทุกคน: รู้นานแล้ว 555) แต่เขาทำอะไรไม่ได้ แล้วตัวเองเป็นแค่องครักษ์ เทียบกับราชินีเรจินาคือคนละระดับ เทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว ในมุมมองของคนอื่น เรื่องของไคราห์นกับเรจินานี่ดูน่าเชียร์ แต่เราก็มองในมุมไคราห์นด้วยเหมือนกัน... แล้วก็ชอบคำนี้ของเขานะ... ถ้าเสียสละเท่าจอมราชันไม่ได้ จะต้องเกาะผู้หญิงเท่านั้นเลยเหรอ

คือในมุมของราชา... มันก็เจ็บนะ ทำดีเท่าไหร่ไม่มีใครเห็น (จริงๆ คือมีปมว่าแพ้สงคราม+เสียน้องชายไปด้วย) แต่พอตั้งท่าจีบหญิงปุ้บ ทุกคนพร้อมจะเลื่อมใสขึ้นมาทันที... เฮิร์ทน่าดูเหมือนกัน แต่อะไรจะเฮิร์ทกว่าเวสเทียร์ ที่ต้องทนพูดส่งเสริมให้เขาไปได้ดี ทั้งๆ ที่ตัวเองรักเขาจะตาย (ทีมอวยเคะ 555) แต่จุดบอดของความสัมพันธ์ทั้งคู่ก็คืออันนี้แหละ ไม่เคยพูดกันไง... ได้ก็ได้... (ก็ง่ายๆ งงๆ ทั้งคู่) แบบไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะทำให้สิ่งที่เป็นอยู่เปลี่ยนไป แล้วมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่กล้าถามกันแล้วเพราะมาลึกเกิน
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 10 [19-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 19-05-2017 16:42:53
สู้เค้านะเวสเทียร์  :m15:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 10 [19-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 19-05-2017 18:38:52
 :hao5: ฝ่าบาทอ่าาา
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 11.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 22-05-2017 09:53:25
ตอนที่ 11.1

เสียงที่กังวานที่สุดในน่านน้ำเป็นของวาฬตัวหน้าในฐานะผู้นำ

ต่อให้ชาวมารินาการ์ดไม่เข้าใจภาษาวาฬ แต่เสียงอันกึกก้องประกาศการมาถึงของเหล่าสัตว์ใหญ่ก็ทำให้ทั้งองค์ชายเร็กซ์ และราชินีเรจินาออกมาจากห้องพักรับรองที่ก้นทะเล ทั้งคู่แหงนมองเงาดำที่พาดผ่านพื้นมหาสมุทร และพบฝูงสัตว์ใหญ่นับร้อยตัวค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา

"เล็กว่าตัวที่เราเห็นเมื่อเช้านี้ แต่ก็ใหญ่อยู่ดี" องค์ชายกระซิบบอกพี่สาว "นี่เป็นเหตุผลที่ฝ่าบาทไคราห์นส่งน้องสาวมาคุยกับท่านพี่แทนกระมัง เพราะเขาต้องต้อนรับฝูงวาฬเหล่านี้ ดูเหมือนว่าพวกเงือกวาฬจะได้ยินเสียงที่เราไม่ได้ยิน จึงน่าไม่น่าแปลกใจ"

"เจ้าก็เป็นไปกับเขาด้วยหรือ เร็กซ์!" เรจินามุ่นคิ้ว "ไคราห์นปรึกษาเราเรื่องบ้านเมือง เหตุใดพวกเจ้า..."

"ชายหนุ่ม หญิงสาว จะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร" ผู้เป็นน้องไหวไหล่

"เราแก่แล้วนะ" ราชินีเอ็ด แม้พระนางจะมีอายุถึงหกสิบปี แต่ชาวเงือกผู้มีอายุขัยถึงร้อยยี่สิบปี ด้วยวัยเพียงเท่านี้จึงเป็นแค่ 'วัยกลางคน' เท่านั้น "อีกอย่าง..."

"เราจะไปว่าอะไรท่านพี่ได้" องค์ชายตัดบท ขยับหางว่ายขึ้นไปยังเบื้องบนเพื่อดูท่าทีของเหล่าเงือกวาฬ เขาได้ยินมาว่ากลุ่มเงือกเผ่านี้มีความสุขที่สุดในช่วงเทศกาลเล่นแสงจันทร์ ซึ่งนั่นก็คือช่วงที่ฝูงวาฬมาเยี่ยมเยียนอาณาจักร เขาว่ายเลาะขึ้นมาตามหินผาใต้ทะเล และหาที่ประจวบเหมาะในการดูเฝ้ามองสัตว์ใหญ่ที่แสนอ่อนโยนเหล่านั้น

'ดวงจันทร์' แห่งเซลทิคออกมาจากถ้ำที่ประทับของเขาในที่สุด มุ่งหน้าไปยังวาฬผู้นำ และแทนคำเคารพ ฝ่าบาทไคราห์นขยับร่างว่ายลอดใต้ร่างสัตวใหญ่ พลิ้วตัวบิดกายแตะสัมผัสคลอเคลียกับผิวหนังสีเข้ม ก่อนจะเคลื่อนไปหยุดข้างดวงตาข้างหนึ่งเพื่อให้ผู้นำฝูงได้มองราชาหนุ่มชัดๆ อีกครั้ง

สัตว์ยักษ์ขยับหาง เคลื่อนร่างพลิ้วบิดหมุนรอบตัวเองช้าๆ เลียนแบบกิริยาราชาเงือกแทนคำทักทาย ว่ายวนอยู่ในห้วงน้ำสีเข้มแห่งเซลทิค พวกมันหยุดส่งเสียงดัง องค์ชายเร็กซ์ไม่แน่ใจว่ามันหยุดเรียกหากัน หรือหยุดการร้องเพลง แต่กลับครางเสียงต่ำในลำคอประหนึ่งพูดคุยแทน ไคราห์นเคลื่อนกายไปสัมผัสครีบอกอันใหญ่โต ลูบมือไปบนผิวหนังนุ่มหยุ่นเนิบช้าและอ่อนโยน โดยไม่เคลื่อนหายไปจากสายตาของสัตว์ใหญ่ที่จ้องมองอยู่

เมื่อผู้นำทักทายซึ่งกันและกัน ประชาชนก็สามารถเข้าใกล้ฝูงสัตว์ได้ ดังนั้นเหล่าเงือกวาฬแห่งอาณาจักรเซลทิคจึงค่อยๆ เคลื่อนกายออกมา ตรงเข้าไปหาแขกบ้านแขกเมืองที่มีโอกาสได้พบกันเพียงปีละครั้ง

"ในบางครั้งพวกเซลทิคก็ดูเนิบช้าเหมือนหยุดเวลาทั้งโลกเอาไว้" เรจินาตามมาสมทบกับน้องชาย พระนางทอดกายลงนั่งบนหินข้างๆ กัน ขณะเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "เพลินดีเสียจนคิดว่าชีวิตนี้ยังต้องการอะไรอีก" วาฬฝูงนี้มีสีเทาเข้มค่อนไปทางดำ มีหน้าท้องสีขาวสว่าง ปลายครีบ และใต้หางก็เป็นสีขาวเช่นเดียวกัน

เหตุผลของการเคลื่อนไหวช้ามาจากขนาดตัวมหึมาซึ่งอาจจะใหญ่พอๆ กับเรือรบของพวกมนุษย์

"ท่านพี่อยากเป็นวาฬหรืออย่างไร" เร็กซ์คิดว่าเขาควรจะเลิกแซวพี่สาว เพราะอย่างไรนางก็มีสิทธิ์ตัดสินใจ และเขาค่อนข้างมั่นใจกับการตัดสินใจของราชินีแห่งมารินาการ์ด "ว่ายไปเรื่อยๆ ไม่มีที่อยู่หลักแหล่ง อพยพลงใต้ทุกครั้งที่ความหนาวคืบคลานเข้ามา และกลับขึ้นมาทางเหนือเพราะอาหารไม่พอ"

"เจ้าก็ปากคอเราะร้าย" พี่สาวว่า "ว่าแต่เจ้าเถอะ องครักษ์ของเราติดตามมาด้วยตั้งมาก เหตุใดจึงไปรบกวนองครักษ์ฝ่ายเซลทิคเขาแบบนั้น" เรจินารู้เรื่องเวทอร์สดี เพราะนางอยู่กับฝ่าบาทไคราห์นเมื่อครั้งที่เขาออกคำสั่งกับองครักษ์หน่วยลาดตระเวนคนนั้นว่าให้ช่วยดูแลน้องชายของนางระหว่างพำนักอยู่ที่นี่ "หากเบื่อหน่ายนัก ไม่รู้จักกลับไปดูแลบ้านเมือง"

คำพูดที่ติดไปในทางตำหนิทำให้เร็กซพึมพำเถียง "หลังจบเทศกาล เราก็จะเดินทางกลับกันอยู่แล้ว"

พวกเขามาถึงอาณาจักรเซลทิคก่อนหน้าเทศกาลประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่จากการพูดคุยกันทุกวันจนรู้สึกสนิทสนมถูกคอทำให้เรจินาคิดว่าตนรู้จักไคราห์นมานับปี และเมื่อตระหนักได้ว่าอีกไม่นานคงต้องเดินทางกลับ ราชินีก็อดชะงักไปไม่ได้เช่นกัน

การจากลามักมาถึงเร็วกว่าที่คิดเสมอ...

พระนางรู้จักการวางตัวให้เหมาะสม แต่ในบางครั้ง การทำเช่นนั้นก็ช่างยากเย็น

"ท่านพี่ติดใจเซลทิคเสียแล้วรึ" ครั้งนี้เร็กซ์ไม่ได้หยอกล้อ เพราะเมื่อเห็นสีหน้าของพี่สาว เขาก็เริ่มคิดว่านางติดใจที่นี่จริงๆ เรจินายิ้มหน่ายใจแทนคำตอบ ก่อนจะปัดมือเบาๆ ให้น้องชายเลิกเซ้าซี้

"ไคราห์นเป็นราชาที่ดี เราเห็นใจความพยายามของเขา"

ชาวเซลทิคไม่มีผู้ใดที่มีท่อนหางสีขาว และต่อให้มีผิวพรรณที่ขาวเพียงใดก็ไม่อาจเทียบเท่าฝ่าบาททะเลเหนือได้ การว่ายน้ำท่ามกลางฝูงสัตว์ของเขาในตอนนี้จึงโดดเด่นเป็นพิเศษ ราวกับดวงจันทร์ที่ผุดผาดขึ้นมากลางทะเลอันมืดสลัว

เร็กซ์เองก็กำลังมองการเคลื่อนไหวเนิบช้าอันสง่างามน่าจดจำของราชาหนุ่มเช่นกัน

"แล้วเราจะช่วยเขาได้อย่างไรบ้าง..."

--------------------------------------------------

ร้านท่อนไม้อาจเป็นร้านค้าที่ไม่ใคร่จะประสบความสำเร็จนักหากเทียบกับร้านอื่นๆ ในท่าเรือบาร์ธีมอร์แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูค้าขาย ทำให้ร้านที่ขายสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างน้ำหอม และเครื่องประดับประสบปัญหาขาดทุนเป็นอันดับแรกๆ และแน่นอนว่างานไม้แกะสลักก็นับเป็นเครื่องประดับด้วยเช่นกัน

แต่ชายหนุ่มผมแดงก็ยังนั่งอยู่โต๊ะทำงานของเขา มองผ่านแว่นตากรอบทองไปยังชิ้นงานตรงหน้า มันคือหัวไม้เท้ารูปสิงโต ชายหนุ่มไม่ได้รับการว่าจ้างจากใครมาเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว และงานชิ้นนี้ก็เช่นกัน มันเป็นเพียงการฆ่าเวลาของเขาระหว่างรออะไรบางอย่าง และอะไรบางอย่างที่ว่านั่นก็ส่งเสียงหอนขึ้นเป็นสัญญาณเรียกหา ทำให้เขาสะดุ้งจนปลายแหลมของอุปกรณ์แฉลบเข้าไปในเนื้อที่ปลายนิ้ว

"ให้มันได้แบบนี้สิ..."

ชายหนุ่มวางอุปกรณ์ ยกนิ้วแตะริมฝีปากด้วยความเคยชิน และเลียไล้หยดเลือดของตนเองด้วยปลายลิ้นช้าๆ และมันก็น่ามหัศจรรย์ที่บาดแผลนั้นหายไปเอง เขาคว้าเสื้อชายยาวสีแดงตัวหนาที่พาดอยู่บนเสาขึ้นคลุมไหล่ และเปิดประตูร้านออกไปพบกับลมต้นฤดูหนาวของบาร์ธีมอร์

วาร์เรนคิดว่าเขามือแข็ง จึงได้หันกลับไปหยิบถุงมือหนังมาสวมอีกขั้นหนึ่ง และหยิบนาฬิกาพกสีทองวาววับออกมาดูเวลา ขณะนี้เวลาห้าโมงเย็น แต่แสงแดดแห่งบาร์ธีมอร์กำลังจะหายไปอย่างรวดเร็ว และทุกบ้านก็จะปิดประตูเงียบ ทำอาหารอุ่นๆ เช่นซุปกินกับขนมปัง อาจตามด้วยกาแฟร้อนๆ สักแก้ว และผิงไฟแก้หนาวหลังจากนั้น

...แต่นั่นไม่ใช่กิจกรรมของอมนุษย์

อมนุษย์ดูจะเป็นพวกหนึ่งที่มีชีวิตยืนยาวแสนสบาย ไม่ต้องดิ้นรน แต่ในความเป็นจริงนั้นพวกเขากลับมีอะไรให้ทำตั้งมากมายก่ายกองจนนึกอยากจะนอนหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยให้รู้แล้วรู้รอด ร่างสูงล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท และเดินฝ่าลมทะเลที่ทำให้รู้สึกหนาววาบๆ ไปตามถนนที่เริ่มร้างผู้คน มุ่งหน้าไปยังป่าเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล เสียงหอนยังคงดังขึ้นต่อเนื่องแทนการเรียกซ้ำๆ จนชายหนุ่มอยากจะหอนตอบให้รู้แล้วรู้รอด แต่หากทำเช่นนั้น พวกมนุษย์ที่อยู่รอบตัวเขาก็คงจะหันมามองด้วยความประหลาดใจ

เมื่อออกมาห่างไกลผู้คน วาร์เรนเริ่มออกวิ่ง... ด้วยแรงที่มากกว่ามนุษย์ธรรมดาทำให้เขาเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วจนไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ก่อนจะพุ่งเข้าไปหยุดเบื้องหน้าหมาป่าสีดำร่างสูง ผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีเหลืองวาวโรจน์ "อา... ข้านึกว่านายหญิงจะใช้เวลาร่วมเดือนในการเดินทางเสียอีก" หมาป่ายักษ์คำรามในลำคอ สะบัดพวงหางด้วยความหงุดหงิดใจที่ไม่อาจตอบโต้ได้ด้วยภาษาของมนุษย์

วาร์เรนรู้ใจคู่สนทนาดีพอ เขาจึงถอดเสื้อคลุมของตนเองออกแขวนกับกิ่งไม้ใกล้ๆ แล้วหมุนตัวเดินเลี่ยงออกมาเพื่อให้หมาป่าสาวคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ นางคงจะเปลือยเปล่าไม่น่ามอง นั่นคือเหตุผลที่นางไม่เข้าไปพบเขาที่ร้าน "ข้าอยู่ในไอร์แลนด์" เสียงของซินเนย์วาดูเหนื่อยอ่อน นางกระชับชายชุดแดงให้ปกปิดเรือนร่างเบื้องใต้ ก่อนจะเดินนำวาร์เรนกลับเข้าไปในตัวเมือง "แต่ถ้าเจ้าไม่ส่งข่าวมา ข้าก็กำลังจะขึ้นเรือกลับไปยังอังกฤษ"

"และการว่ายน้ำกลับมาในฤดูนี้ก็คงไม่ใช่วิสัยของนายหญิงอีกด้วย"

"ข้าไม่ว่ายน้ำทะเล" ซินเนย์วามองคู่สนทนาด้วยหางตา พวกเขากลับมายังถนนในตัวเมือง เร่งฝีเท้าเพื่อจะกลับไปยังร้านบนถนนที่ตอนนี้เงียบเหงาไม่มีผู้คน วาร์เรนเปลี่ยนป้ายหน้าร้านเป็นคำว่า 'ปิด' ในขณะที่ซินเนย์วาเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของนางที่อยู่ชั้นบนอย่างคุ้นเคย ก่อนจะกลับลงมาสูดกลิ่นชาหอมๆ ที่อวลอยู่ในห้องด้านล่าง

"ยังคงความเป็นคนอังกฤษเสมอต้นเสมอปลายเชียวนะ" หญิงสาวหัวเราะร่วน รับถ้วยชามาจากอีกฝ่ายแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่เป็นผลงานแกะสลักฆ่าเวลาของวาร์เรนเช่นกัน

"แล้วยังไงกัน... มีเรื่องอะไรจึงได้เรียกข้ามา"

คนถูกถามสูดหายใจลึก แล้วค่อยๆ ผ่อนออกมา "ราชาเซลทิคต้องการทำสงครามกับแวมไพร์"

"คิดหาวิธีล่อพวกมันออกมาให้ได้ก่อนเถอะ" ซินเนย์วาตอบกลับแทบจะในทันที "กระทั่งพวกนางพรายที่อยู่กับสายลมยังบอกไม่ได้เลยว่าแหล่งกบดานของมันพวกอยู่ที่ใด แล้วเหยื่อล่อแบบไหนกันที่จะทำให้แวมไพร์กบฎพวกนั้นออกมาพร้อมๆ กันได้ทั้งฝูง" แวมไพร์มีหลายพรรคหลายพวก และพวกที่ก่อเรื่องอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ได้รวมกลุ่มที่ใดเป็นหลักแหล่ง ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะติดตามตัวพวกเขา ต่อให้ชาวเงือกตัดสินใจต่อสู้ และหมาป่ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่การประกาศศึกกับธาตุอากาศก็เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์

"พวกมันกำลังค้นหา... ที่ตั้งของอาณาจักรเซลทิคที่อยู่บนแผ่นดิน" วาร์เรนพึมพำตอบ "สงครามครั้งที่แล้วเกิดขึ้นที่หมู่บ้านธราฟัสการ์ พวกเงือกพ่ายแพ้และล่าถอยกลับไปในทะเล ไม่เหยียบขึ้นแผ่นดินสักพักใหญ่เพราะความกลัว ทำให้ธราฟัสการ์กลายเป็นหมู่บ้านร้างที่มีข่าวลือว่าชาวบ้านตายพร้อมๆ กันด้วยโรคระบาด แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีแวมไพร์เข้ามาในตัวเมืองบาร์ธีมอร์ และกลับไปที่หมู่บ้านแห่งนั้น"

ซินเนย์วามุ่นคิ้วเล็กน้อย นางมองหน้าคู่สนทนาด้วยความลางสังหรณ์ที่ไม่ใคร่จะดีนัก

"พวกเงือกที่ขึ้นมาเดินในบาร์ธีมอร์ล้วนเริ่มต้นที่ธราฟัสการ์ เสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ของพวกเขาถูกเก็บอยู่ที่นั่น แต่มันอาจเป็นช่องทางนำไปสู่การค้นพบที่ตั้งอาณาจักรที่แท้จริงซึ่งอาจจะอยู่บนแผ่นดินเช่นกัน" วาร์เรนพอจะรู้ว่าชาวเงือกเซลทิคไม่ได้อาศัยในทะเลเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่เขาสงสัยนั่นก็คืออาณาจักรบนแผ่นดินของเซลทิคนั้นอยู่ที่ใดกันแน่

แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ชาวเงือกจะบอกใครง่ายๆ เช่นกัน

"หากพวกมันพบที่ตั้งของเซลทิค... อาจจะนำมาซึ่งการเช่นฆ่าแบบครั้งที่แล้ว" ซินเนย์วาไม่ได้มีส่วนร่วมในสงครามที่ธราฟัสการ์ กระทั่งตัววาร์เรนเองก็เพิ่งมารับรู้เรื่องในภายหลัง แต่วีรกรรมอันโด่งดังจากปากคำของเหล่านางพรายนั่นคือการที่กลุ่มผีดูดเลือดเข้าโจมตีหมู่บ้านโดยไม่ให้สัญญาณใดๆ

"และครั้งนี้คงจะเป็นการตามล่า... เลือดของราชวงศ์เซลทิคอย่างแท้จริง"

"เราจะไม่ใช้เงือกเป็นเหยื่อล่อ" วาร์เรนเสียงแข็ง ก่อนที่คู่สนทนาจะพูดขึ้นมา "ต่อให้มันจะเป็นเหยื่อชั้นดีแค่ไหนก็ตาม แต่ข้าไม่ต้องการให้สงครามเกิดขึ้นที่บาร์ธีมอร์แห่งนี้ มันเสี่ยงต่อการเปิดโปงการมีตัวตนของพวกเรามากเกินไป" สงครามเมื่อห้าปีก่อนยังสามารถอ้างโรคระบาดได้ แต่หากสงครามเกิดขึ้นอีกครั้งในพื้นที่ใกล้เคียงกัน พวกเขาคงไม่อาจใช้ข้ออ้างเดิมได้อีกต่อไป "ข้าคิดว่าเราควรจะหลอกล่อให้พวกมันกลับไปที่อังกฤษ ไปที่มารินาการ์ด... พื้นที่ในแถบนั้นเหมาะกับการต่อสู้มากกว่า"

"พวกมันต้องการเลือดของราชวงศ์เซลทิค อย่างไรก็คงไม่เปลี่ยนใจไปมารินาการ์ดง่ายๆหรอก" ซินเนย์วามองคู่สนทนา "และเจ้าก็รู้ว่าพวกมันไม่ไปอังกฤษเพราะที่นั่นเป็น 'บ้าน' ของราชาแวมไพร์ที่พวกมันเป็นปรปักษ์" นางหมาป่าถอนใจเบา และวางถ้วยชาลงบนโต๊ะเล็กข้างกาย "เราควรจะหารือกับเขา ไม่ใช่มานั่งคิดเองเออเองเช่นนี้"

"แต่ข้าบอกฝ่าบาทว่ากว่าเจ้าจะมาถึงก็ใช้เวลาร่วมเดือน"

"เจ้าไม่มีวิธีการอื่นในการติดต่อกับชาวเงือกรึ"

วาร์เรนถอนใจ "ข้าเคยตามพวกเขาไปที่ธราฟัสการ์ เพื่อจะลองค้นหาอาณาจักรเซลทิค แต่ก็ไม่มีสิ่งก่อนสร้างใดที่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยแถวนั้นเลย และพวกเขาทุกคนก็เดินหายไปในหาดธราฟัสการ์" ซินเนย์วามุ่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยและตั้งข้อสังเกตกับสิ่งนั้น

"เจ้าเคยดำน้ำตามพวกเขาไปหรือเปล่า"

"ใครจะกล้าตามเงือกลงน้ำกัน ยิ่งพวกเงือกวาฬที่กระโจนขึ้นมาจากน้ำได้!"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 11.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 22-05-2017 09:56:26
ตอนที่ 11.2

เมื่อแสงอาทิตย์หายไปจากท้องทะเล แสงจากอำพันวิเศษก็ทำให้อาณาจักรก้นทะเลสว่างไสวขึ้นมา กระแสน้ำเบื้องบนกระเพื่อมไหวรุนแรงจากลมยามค่ำคืน ทว่าใต้ท้องทะเลกลับสงบนิ่งราวกับไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น

ในค่ำคืนนี้... น่านน้ำแห่งเซลทิคครึกครื้นไปด้วยเสียงเพลง

แม้จะเรียกว่าเทศกาลเล่นแสงจันทร์ แต่วาฬยักษ์จะวนเวียนอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน พวกเขาต้องเดินทางต่อไปยังมหาสมุทรตอนใต้ เพื่อจับคู่และให้กำเนิด ดังนั้นค่ำคืนแรกจึงสำคัญที่สุด

อาณาจักรเซลทิคมีเหล่านางเงือกประสานเสียง และสัญญาณเริ่มต้นค่ำคืนแรกของเทศกาลเล่นแสงจันทร์ก็คือบทเพลงสนุกสนานของพวกนาง ดังนั้นเมื่อเครื่องดนตรีพื้นเมืองเริ่มต้นบรรเลงเพลง เหล่าครึ่งมัจฉาก็เริ่มออกว่ายเป็นแนวแถว เพื่อเต้นรำในผืนน้ำที่สว่างไสวด้วยแสงจันทร์และอำพันวิเศษ

พวกวาฬจะยังรีรออยู่โดยรอบ และลอยตัวนิ่งๆ ชื่นชมการต้อนรับ เช่นเดียวกับฝ่าบาทไคราห์นที่ทอดกายอยู่บนบัลลังก์ของเขา เฝ้ามองการเต้นรำและประสานเสียงของเหล่านักดนตรี เสียงแหลมสูงของพวกนางหวานหูและผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งแน่นอนว่าสร้างความประทับใจให้กับอาคันตุกะทั้งสองจากมารินาการ์ด

องค์ชายเร็กซ์ไม่เคยคิดว่าก่อนว่านางเงือกแห่งเซลทิคที่มักจะมีร่างกายใหญ่โตกว่าเขาจะสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและสวยงาม อีกทั้งเสียงร้องหวานใส สบายหูทำให้เขานึกอาจจะขอให้ชายาของตนร้องเพลงให้ฟังบ้างสักครั้ง องค์ชายหนุ่มอ้าปากค้างน้อยๆ ด้วยความทึ่ง เมื่อเห็นร่างโปร่งบางเหล่านั้นกระโจนขึ้นไปเหนือน้ำ ก่อนจะดำลงมายังเบื้องล่างพร้อมกับขับขานบทเพลง

นอกจากจะว่ายน้ำถอยหลังได้แล้ว... พวกวาฬยังกระโจนขึ้นเหนือน้ำได้สูงมากอีกด้วย!

ชายหนุ่มหันไปมองคาดันน์ที่ลอยตัวนิ่งๆ อยู่ข้างๆ ราวกับต้องการขอให้มันกระโดดให้ดูบ้าง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่านี่คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม คาดันน์เหลือบตามองคนข้างกายเล็กน้อย และค่อยๆ เคลื่อนครีบอกใหญ่โตของมันไปแตะร่างขององค์ชายเสมือนปลอบไม่ให้เขาตกใจมากกว่าเดิมหลังจากบทเพลงแรกสิ้นสุด

"ถึงคราวของพวกวาฬบ้างแล้ว... ฝ่าบาทอย่าตกใจล่ะ" ฝ่าบาททะเลเหนืออธิบายกับราชินี

เหล่านางเงือกประสานเสียงเคลื่อนตัวออกจากบริเวณที่เปรียบเสมือนเวทีเต้นรำเมื่อครู่ เพื่อไปหยุดล้อมวงอยู่โดยรอบแทนฝูงวาฬที่ว่ายเข้ามาแทนที่ และสร้างรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เหมือนเกลียวขนาดใหญ่ มุ่งหน้าขึ้นไปรับแสงจันทร์เบื้องบน ครีบอกที่ยาวกว่าเงือกทั้งตัวขยับไหวเพื่อพยุงร่างให้ว่ายวน เวียนตามวาฬตัวอื่นในฝูงเพื่อขึ้นไปสัมผัสอากาศ พลิกร่างหมุนพลิ้วอยู่ในผืนน้ำ และเริ่มเปล่งเสียงร้องประสานกันขึ้นเป็นบทเพลง

หางขนาดมหึมาโบกไหวเนิบช้า แต่ครึ่งมัจฉาก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังที่ส่งผ่านมาถึงตัว

หากเทียบเสียงร้องกับขนาดตัวแล้ว วาฬหลังค่อมอาจเรียกได้ว่ามีเสียงที่แหลมสูงกว่าพวกอื่น และมีเพียงวาฬตัวผู้เท่านั้นที่ขับร้อง ฝูงวาฬประสานเสียงสรรค์สร้างท่วงทำนองขึ้นใหม่ทุกปี และเมื่อสิ้นสุดบทเพลงของพวกเขา ชาวเงือกก็จะใช้จังหวะเดียวกันในการขับร้องด้วยเนื้อเพลงที่ประพันธ์ขึ้นมาในชั่วอึดใจ และหากเป็นที่พอใจของเหล่าวาฬ พวกเขาก็จะขับร้องบทเพลงในทำนองเดิมอีกครั้ง ทว่าในครั้งนี้เป็นการขับร้องร่วมกันของราชาทะเลเหนือและฝูงสัตว์

ทำนองของวาฬเนิบช้า แต่โทนเสียงสูงต่ำสลับกันไปก็สามารถบ่งบอกได้ถึงความพยายามในการ 'ขับร้อง' เยี่ยงอย่างชาวเงือก ครึ่งมัจฉาหยุดเคลื่อนไหว หลับตาลงเพื่อรับฟังบทเพลงที่สรรค์สร้างขึ้นเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ

ความหมายอันลึกซึ้งถูกถ่ายทอดให้รับรู้ และกลั่นกรองออกมาเป็นเนื้อร้องที่มีความหมายตราตรึง

"จากกันไกลเพียงใด ใจเรารวมเป็นหนึ่งเดียวเสมอ..."

คำพูดแรกของครึ่งมัจฉาออกมาจากปากของราชาแห่งเซลทิค และนั่นเป็นสัญญาณของวงประสานเสียง เหล่านางเงือกเคลื่อนกลับไปเคียงข้างสัตว์ใหญ่ เปล่งเสียงร้องในทำนองเดียวกัน โดยสร้างสรรค์เนื้อร้องจากใจความแรกของราชา

"จากกันไกลเพียงใด... ก็จะหวนกลับมาพบพาแม้เพียงอึดใจ..."

"จากกันไกลเพียงใด... ก็จะมั่นคงไม่แปรเปลี่ยนไปไหน..."

...

"จากกันไกลเพียงใด... ใจเรารวมเป็นหนึ่งเดียวเสมอ..."

ไคราห์นเหลือบมองคนข้างกาย ราชินีจากมารินาการ์ดยกมือสองข้างขึ้นปิดปากด้วยความทึ่ง ตกตะลึงกับเสียงร้องที่ไม่เคยรับฟังจากที่ใด การเต้นรำที่เรียบง่ายทว่าหาชมไม่ได้จากที่อื่น และหัวใจที่พองโตขึ้นด้วยความตื้นตันเติมเต็มอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับบทเพลงใดมาก่อน

นี่คือหัวใจของเทศกาลเล่นแสงจันทร์ที่ชาวเซลทิครอคอย...

"ฝ่าบาท..." ไคราห์นเอ่ยเรียก "โปรดบรรเลงเพลงพิณไหม" นั่นเป็นคำถามกึ่งเชื้อเชิญ แต่คนฟังกลับไม่มีกะจิตกะใจจะรับรู้ กว่าพระนางจะรู้สึกตัว ฝ่าบาททะเลเหนือก็เอ่ยเรียกเป็นครั้งที่สอง "ฝ่าบาทเรจินา"

"ร... เราไม่รู้ทำนอง..."

"ดีดเส้นเดียวกับเราก็พอ" ราชาหนุ่มทอดยิ้ม ขยับเคลื่อนกายไปยังพิณใหญ่ของอาณาจักร และทอดตัวลงนั่งบนแท่นที่ถูกจัดวางเอาไว้ ให้แสงจันทร์ส่องผ่านผิวน้ำลงมากระทบผิวกายขาวสว่างราวกับดวงจันทร์แห่งท้องทะเล เขามองกลับมายังราชินีเรจินาที่ยังไม่เคลื่อนกายออกมา ในขณะที่สายตาหลายคู่เริ่มจับจ้อง

เร็กซ์ดันหลังพี่สาวของตนเบาๆ เพื่อไม่ให้นางเสียมารยาท จนร่างโปร่งต้องขยับว่ายไปยังแท่นนั่งข้างพิณที่สูงทัดเทียมกับราชาทะเลเหนือ

ทว่าขนาดตัว และส่วนสูงของฝ่าบาทไคราห์นก็ทำให้เรจินารู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว

"บทเพลงของวาฬเนิบช้า เราจะแตะบนสายก่อน ฝ่าบาทเพียงแค่ดีดเส้นเดียวกัน"

พิณของเซลทิคเป็นพิณชนิดคานไขว้สายคู่ โดยทั่วไปแล้วจะต้องใช้คนเล่นถึงสองคน แต่เนื่องจากฝ่าบาทไคราห์นไม่เลือกชายา ดังนั้นเขาจึงเล่นพิณตัวนี้คนเดียวมาตลอดสิบเจ็ดปีที่ครองบัลลังก์ "เสียงเราอาจจะดังไปบ้าง แต่พวกวาฬชอบแบบนั้น" ราชาหนุ่มจรดยิ้มที่มุมปาก แล้วจึงไล้ปลายนิ้วไปบนสายเส้นหนึ่ง แทนสัญญาณให้คนตรงหน้าทำตาม

วาฬเอ่ยนำ ให้ราชาหนุ่มกลั่นกรองและตัดสินใจเกี่ยวสายเส้นหนึ่งขึ้นดีด

เสียงของพิณใหญ่ดังกังวานอย่างไม่น่าเชื่อ และหลังจากนั้น ไคราห์นก็เคลื่อนมือไปตามพิณอย่างเนิบช้า เช่นเดียวกับราชินีเรจินาที่เคลื่อนมือไปดีดตามในสายพิณเสียงเดียวกัน และเกี่ยวขึ้นในจังหวะเดียวกัน

"จากกันไกลเพียงใด..."

แม้จะเป็นเนื้อร้องเดียวกัน แต่น้ำเสียงของไคราห์นกลับตราตรึงยิ่งกว่า มันแสนทรงพลัง กังวาน เปี่ยมไปด้วยอำนาจเยี่ยงราชา และอ่อนโยนตราตรึงยิ่งกว่านักดนตรีคนใดของมารินาการ์ด

"ก็จะหวนกลับมาพบพาแม้เพียงอึดใจ..."

สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าในบทเพลงของราชา นั่นคือประชาชนของเขาเอ่ยร้องขึ้นรับโดยพร้อมกัน เกิดเป็นพลังเสียงประสานที่อาจสื่อได้ถึงความรักและเคารพในตัวผู้นำ

เรจินาหยุดมือเมื่อได้ยินเช่นนั้น และเผลอเงยขึ้นมองราชาตรงหน้า พระนางทอดมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายอาบไล้ด้วยแสงจันทร์ อีกฝ่ายหลับตาลงดื่มด่ำกับบทเพลงราวกับรับฟังมันด้วยหัวใจ ผมยาวสีขาวสว่างพลิ้วไหวในกระแสน้ำ และริมฝีปากบางก็เปล่งเสียงร้องทรงพลังออกมา

"จากกันไกลเพียงใด..."

เปลือกตาของอีกฝ่ายเปิดขึ้น เผยดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกดั่งหาสมุทร พวกเขามองประสานกันผ่านสายพิณ และจ้องมองอยู่อย่างนั้น จนเรจินาคิดว่าใจของนางหยุดเต้นไปชั่วขณะ และด้วยน้ำเสียงมั่นคงของราชา ไคราห์นก็เปล่งเสียงร้องเพลงบทต่อโดยปราศจากความหวั่นไหวใดๆ

"ก็จะมั่นคงไม่แปรเปลี่ยนไปไหน..."

เรจินาตระหนักได้ว่านางควรบรรเลงเพลงไปด้วย นางจึงก้มลงสนใจสายพิณตรงหน้า และหลบตาด้วยความเคอะเขินอันอธิบายไม่ได้ แต่เสียงอันตราตรึงของฝ่ายก็ยังก้องอยู่ในหัวราวกับตอกย้ำความไพเราะและความหมายให้ประทับอยู่ในใจของพระนางตลอดไป

"จากกันไกลเพียงใด... ใจเรารวมเป็นหนึ่งเดียวเสมอ..."

เสียงของวาฬดังก้องประสาน ชาวเมืองขับร้องคลอไปกับราชา "จากกันไกลเพียงใด..."

"ใจเรารวมเป็นหนึ่งเดียวเสมอ..."

ราชาหนุ่มเคลื่อนไหวช้าลง เป็นสัญญาณสิ้นสุดบทเพลง "จากกันไกลเพียงใด..." เรจินาละมือออกจากพิณ เฝ้ามองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม และรับฟังคำสุดท้ายจากราชา "เราจะกลับมาพบกันตลอดไป..." ประชาชนเฝ้ามองราชาของพวกเขาจากเบื้องล่าง หัวใจที่พองโตด้วยความตื้นตันยินดีมอบความสุขที่พวกเขารับวันรอคอย สร้างรอยยิ้มให้กับชาวเงือกผู้เคร่งขรึม ไม่เว้นแม้แต่เผ่าเพชฌฆาตที่ว่ากันว่าไม่เคยยิ้มเลย

ต่อให้รู้สึกเจ็บปวด แต่เวสเทียร์ก็ยิ้มให้กับราชาของเขาเสมอ...

--------------------------------------------------


อืมมม... ทอล์คของตอนนี้จะมีแต่การชวนดูคลิป 555

เป็นฉากที่เขียนยากสุดๆ เลย ฉากเล่นแสงจันทร์เนี่ย... เราควรมาฟังเพลงที่ชาวเซลทิคร้องกันก่อน (จริงๆ เนื้อนี่แต่งเอง แต่เราคิดว่าคงเป็นเพลงประมาณนี้ๆ << จะไปแปลเพลงเขามาใส่นิยายเรานี่ติดลิขสิทธิ์นะ 555) แต่แนวคิดของเหล่าสาวน้อย (ร่างใหญ่) วงประสานเสียงของอาณาจักรนี่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากวง Celtic Woman เต็มๆ

ตอนแรกพวกนางจะร้องเพลงเปิด จะครึกครื้นสนุกสนานนิดนึง ก่อนที่จะให้วาฬร้องบ้าง เป็นการไกด์ทำนองให้ (แน่นอนว่าเสียงวาฬมันจะออกมาเป็นเพลงช้า) แล้วพี่เงือกก็จะคิดเนื้อร้องกันตอนนั้น ตอนที่ได้ยินเสียงเพลงครั้งแรกเลย (เป็นพรสวรรค์คล้ายๆ การร้องลิเกบ้านเรา //เดี๋ยวนะ---)

แล้วทำนองเพลงที่คิดไว้ก็ประมาณนี้... เพลง You raise me up

ต้องฟังถึงตอนท้ายๆ เพลงที่เป็นประสานเสียงหวานๆ แบบ... จะเขียนบรรยายยังไงดี มันหวานจนรู้สึกดี 555
https://www.youtube.com/watch?v=Yfwlj0gba_k (https://www.youtube.com/watch?v=Yfwlj0gba_k)

พอพวกสาวๆ ร้องจบ... ทีนี้ก็จะเป็นคราวของราชาบ้าง แต่เขาจะดีดพิณ และวาฬจะร้องด้วย ทำนองเดิม เนื้อเดิม (มันจำได้ไง เพิ่งร้องครั้งแรก) ถ้าใครนึกไม่ออกว่าเพลงเดิมแต่ผู้ชายร้องแล้วเป็นไง ...ให้ลองเวอร์ชั่นของ Josh Groban ดู
https://www.youtube.com/watch?v=aJxrX42WcjQ (https://www.youtube.com/watch?v=aJxrX42WcjQ)

คือ... เทศกาลเล่นแสงจันทร์นี่กะให้เป็นฉากประทับใจ (?) ฉากนึงของฝ่าบาทเรจินา แต่เขียนไปเขียนมา คือเหมือนเรจินาจะเห็นไคราห์นสวย... คือเหมือนนางจะมองพิจารณาผ่านแสงจันทร์ที่อาบไล้บนผิวหน้า ตอนแรกก็คิดว่าหล่อมาก แต่แล้วก็สรุปความได้ว่า ไคราห์นสวยกว่านาง!? (เดี๋ยววว...)

แต่ชอบที่มองตากับผ่านเส้นพิณ (อุบส์)

ส่วนเวสเทียร์นั้น... คือนางปลื้มฝ่าบาทมานานแล้ว จะให้ดราม่ากลางเทศกาลงี้ก็ทำไม่ลงหรอก (แต่ดราม่าแน่นอน---) เนื้อเพลงก็อบอุ่นดีนะ จริงๆมันคือความผูกพันธ์ระหว่างกันของพวกเขาที่ต้องกลับมาเจอกันปีละครั้ง... แต่ถ้าคิดดีๆ ก็จีบนิดนึง---

เวสเวส... เจ็บนะ แต่นี่ไม่ใช่เวลาเฮิร์ทอะ (สงสาร โถ่...)


เทศกาลเล่นแสงจันทร์ของเซลทิคจะเกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูหนาวที่ฝูงวาฬจะอพยพลงใต้ (เซลทิคอยู่ไอร์แลนด์อะนะ) ซึ่งเป็นการพบปะกันสั้นๆ ของเงือกวาฬกับวาฬจริงๆ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มวาฬที่ลงมาจากทะเลอาร์คติก ซึ่งฤดูกาลในหัวของวาฬหลังค่อมอาจจะมี 2 ฤดู

นั่นคือฤดูร้อน-ฤดูหนาว

ฤดูร้อน >> เป็นฤดูหากิน... จงกิน และกิน...พวกมันจะไปหากินในเขตน้ำเย็น (ซึ่งจะเป็นขั้วโลกเหนือ or ใต้ก็ได้) ซึ่งเขตน้ำเย็นมีอาหารมากกว่า (เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำ และแสงแดด ทำให้แพลงก์ตอนเกินเยอะกว่า) และจะสะสมไขมันอยู่เป็นเวลาประมาณ 7 เดือน (ฟังมาจาก Planet Earth) ก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูหนาว

ฤดูหนาว >> เป็นฤดูจับคู่... พฤติกรรมการรวมฝูงของวาฬจะแตกต่างจากโลมา โลมาจะอยู่ด้วยกันเป็นฝูงใหญ่ เดินทางด้วยกัน หาอาหารด้วยกัน แต่วาฬนี่ไม่ใช่... พวกมันไม่ค่อยรวมตัวกันบ่อยๆ แต่อาจจะไปไหนมาไหนด้วยกันถ้าต้องทำงานเป็นทีม (ไว้จะพูดถึงเทคนิคการล่าแบบ Bubble net feeding เป็นการต่อไป) การรวมกลุ่มของวาฬคือมักจะมาผสมพันธุ์ และตัวเมียจะเป็นฝ่ายเลี้ยงลูก

วาฬจะอพยพลงมาในเขตน้ำอุ่นซึ่งใกล้เส้นอิเควเตอร์ เพราะเป็นเขตที่ปลอดภัยกว่า น้ำตื้นกว่า และไม่ค่อยมีนักล่า (นักล่าที่พี่ค่อมกลัวก็น่าจะเป็นออร์ก้านี่ล่ะ) แต่ปัญหาของเขตน้ำอุ่นนี้ก็คือ... มักจะไม่มีอาหารให้กิน พวกมันจะเลี้ยงลูกอ่อนอยู่เป็นเวลาประมาณ 5 เดือน (ก็ฟังมาจาก Planet Earth เหมือนเดิม) ก่อนจะอพยพขึ้นเหนือ(หรือลงใต้)กลับไปในเขตน้ำเย็นเพื่อหาอาหาร

ปล. จริงๆที่ได้ชื่อว่า humpback ไม่ใช่เพราะมันหลังค่อม แต่มันเป็นวาฬที่มุดดำน้ำแล้วก้นโด่งกว่าประเภทอื่น 555
https://www.youtube.com/watch?v=o767PuYbEXg (https://www.youtube.com/watch?v=o767PuYbEXg)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 12.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 26-05-2017 09:34:17
ตอนที่ 12.1

ฝ่าบาทไคราห์นขึ้นครองบัลลังก์เมื่อมีอายุได้สิบแปดปี การปรากฎตัวต่อสาธารณชนครั้งแรกของเขาสร้างความตกตะลึงให้กับประชาชน พวกเขาเคยได้ยินเพียงเรื่องราวผ่านเรื่องเล่าข่าวลือด้วยลมปาก เกี่ยวกับองค์ชายรัชทายาทแห่งเซลทิคผู้แตกต่างไม่เหมือนใครในราชวงศ์ แต่ก็เพิ่งได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองในวันนี้

เงือกราชวงศ์เซลทิคมีท่อนหางสีดำเช่นเดียวกับเรือนผม แม้ผิวพรรณจะไม่ได้เข้มอย่างพวกเผ่าเพชฌฆาตแต่ก็ไม่ได้ขาวเผือดราวแสงจันทร์ อีกทั้งดวงตาก็มักเป็นสีควันหรือสีดำ หาใช่สีฟ้าลุ่มลึกที่เปี่ยมด้วยพลังดึงดูด แม้จะมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ แข็งแกร่งสมกับเป็นนักรบ อีกทั้งรูปหน้าคมเข้มที่ละม้ายคล้ายราชาองค์ปัจจุบันของพวกเขา รวมทั้งพลังแห่งราชวงศ์ที่ไม่ได้บกพร่องแต่อย่างใด แต่อึดใจแรกที่ได้เห็นราชาองค์ใหม่ ประชาชนกลับรู้สึกหวั่นเกรง

นี่ไม่ใช่ราชวงศ์เซลทิคที่พวกเขารู้จักนับถือ แม้จะแตกต่างกันเพียงแค่สีผิว แต่เท่านั้นก็มากพอที่จะให้เกิดความคลางแคลงสงสัย โดยส่วนมากแล้ว ทายาทของเงือกที่สมรสข้ามเผ่ามักจะได้ลักษณะตามบิดา แต่นั่นก็เป็นเพียง 'ส่วนมาก' เท่านั้น ยังมีส่วนน้อยอยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียทีเดียว

พระชายาเอกผู้เป็นพระมารดาขององค์ชายไคราห์นเองก็เป็นญาติห่างๆ ของราชาองค์ปัจจุบัน จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าสายเลือดราชวงศ์เซลทิคอันเข้มข้นพระชายาเอกจะทำให้องค์ชายเกิดมาเป็นเงือกวาฬ ทั้งที่บิดาอาจจะไม่ใช่เผ่าวาฬ

...ไม่ใช่ราชาแห่งเซลทิค

เพราะราชวงศ์เซลทิคไม่เคยมีผู้ใดมีผิวพรรณเช่นนี้!

แต่ครั้งแรกที่เวสเทียร์ได้เห็นราชาองค์ใหม่ เขาก็เกือบจะลืมหายใจ ราชาผู้อยู่บนบัลลังก์อาจจะแตกต่างจากเชื้อพระวงศ์คนอื่น แต่นั่นก็ไม่ใช่ความแตกต่างที่เสียหาย ผิวพรรณที่ผุดผาดจนมองเห็นเส้นเลือดเบื้องใต้กลับดูสวยสง่า ทั้งท่อนหางสีขาวเผือดที่แข็งแรงทรงพลัง ใบหน้าคมคายล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีเดียวกันพลิ้วไหวตามกระแสน้ำ แพขนตาสีอ่อนช่วยขับดวงตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังดึงดูด จมูกโด่งเป็นสันสวยงามรับกับริมฝีปากบางที่เปล่งน้ำเสียงอันทรงพลังและตราตรึง

เท่านี้ยังสง่างามไม่พออีกหรือ... เช่นนั้นแล้วจะยังมีผู้ใดเหมาะสมกับคำนี้อีกเล่า

"เจ้าไม่ควรมองฝ่าบาท เวสเทียร์" มารดาของเขากระซิบบอกที่ข้างหู พวกเขาอาจมีสิทธิ์เงยหน้าขึ้นมองราชาได้ในยามนี้ แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น อึดใจต่อมา เวสเทียร์ในวัยสิบเอ็ดขวบก็ต้องก้มหน้าลงทำความเคารพราชา แต่ก่อนที่จะถอนสายตาจากผู้นำคนใหม่ได้ เขาก็เหลือบไปเห็นองครักษ์คนสนิทผู้อยู่เคียงบัลลังก์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงผู้นำเผ่าเพชฌฆาตด้วย

"ท่านแม่ ท่านซินเธียร์อายุมากไปหรือเปล่า"

เวสเทียร์หมายถึงองครักษ์คนสนิทของราชาองค์ก่อน ผู้ทำหน้าที่นักรบข้างกายได้อย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง และเมื่อราชาสละบัลลังก์ นางเงือกเผ่าเพชฌฆาตผู้สาบานต่อราชวงศ์ก็ต้องดูแลราชาองค์ใหม่ต่อไปแม้ว่านางจะมีอายุถึงแปดสิบสามปีแล้วก็ตาม

ชาวเงือกสามารถมีชีวิตได้ยืนยาวถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี ดังนั้นในวัยแปดสิบปีจึงยังไม่แก่เสียทีเดียว

แต่ซินเธียร์ก็มีอายุมากที่สุดในบรรดาองครักษ์ด้วยกัน

"นางจะอยู่ในหน้าที่จนถึงอายุเก้าสิบปี หากไม่ตายเสียก่อน และหลังจากนั้นจึงจะมีการประลองหาผู้นำคนต่อไป ซึ่งนั่นหมายถึงองครักษ์คนใหม่ของฝ่าบาทไคราห์นด้วย" มารดาของเขาตอบ "พ่อของเจ้าก็เล็งตำแหน่งนี้อยู่ เหลือเวลาให้เตรียมตัวอีกเจ็ดปีเท่านั้น"

"ท่านแม่..." เด็กชายหันไปหามารดา "หากข้าอยากจะ... ร่วมประลองด้วย"

สายตาของคนพูดแน่วแน่ และดูจะเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ของเด็กตัวเท่านี้ แต่มารดาก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน "ไปถามพ่อของเจ้าสิ... ส่วนข้า... แน่นอนว่าอนุญาตอยู่แล้ว"

...อีกเจ็ดปีต่อมา เผ่าเพชฌฆาตก็ได้เวสเทียร์มาแทนผู้นำคนเก่าซึ่งเกษียณอายุ


--------------------------------------------------

"หนึ่งร้อยปีพอดี..."

อดีตผู้นำเผ่าเพชฌฆาตอยากจะสูดหายใจลึกๆ สักครั้งหนึ่ง แต่ด้วยความขี้เกียจขี้คร้านจะว่ายขึ้นไปสูดอากาศจึงทำได้เพียงกุมขมับ "อายุป่านนี้แล้วเจ้าคิดว่าลูกสาวข้าจะอายุสักเท่าไหร่กัน สิบห้าปีอย่างนั้นรึ เลสซีย์" นางเงือกอาวุโสมุ่นคิ้ว ก่อนจะหันไปทางนางเงือกอีกคนข้างกายที่มีอายุเท่าๆ กับเลสซีย์

...สี่สิบสามปี

"นี่หลานสะใภ้ข้า และหากเจ้าหมายถึงแม่หนูธีราล่ะก็..." ซินเธียร์ยกนิ้วขึ้นนับ เพื่อลำดับญาติให้ถูกต้อง "เหลนข้า" เลสซีย์ลองมาทาบทามเงือกสาวที่ชื่อธีรา ซึ่งมีอายุเพียงสิบหกปี ด้วยได้ยินว่านางเกี่ยวดองกับตระกูลของซินเธียร์ อดีตผู้นำเผ่าเพชฌฆาต อีกทั้งยังเป็นเด็กสาวที่มีความสามารถโดดเด่น

นางเงือกผู้นำหน่วยลาดตระเวนแลบลิ้นกับตัวเองเล็กน้อย "ขออภัยท่านซินเธียร์"

"พวกผู้หญิงที่ไม่เคยแต่งงานนี่นะ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยจริงๆ!" ซินเธียร์สบถ "จริงอยู่ว่าเวสเทียร์โตพอที่จะแต่งงานมีคู่ครองได้แล้ว แต่ธีราก็ดูจะเด็กไปหน่อยสำหรับเขาไม่ใช่รึ" นางเงือกเหลือบมองหลานสะใภ้ของตนเป็นเชิงถาม "เจ้าเป็นแม่ของนาง เจ้าน่าจะตัดสินใจได้ดีกว่าข้า"

"ท่านซินเธียร์ก็ว่าไป... พวกเขายังไม่เคยพบกันเลยสักครั้ง" คนเป็นแม่หัวเราะ "หากให้ลองพบกันบ้างอาจจะทำให้เราตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น เวสเทียร์เองก็เป็นคนเก่ง อีกทั้งยังเป็นบุรุษรูปงามที่สุภาพอ่อนโยน ข้ามิได้ขัดข้องหากเขาจะถูกตาต้องใจธีรา แต่ก็หวังว่าธีราจะชอบพอเขาด้วยเช่นกัน"

"เช่นนั้นคงต้องพาให้มาดูตัวสักครั้งกระมัง" เลสซีย์เสนอ

"จะมีเวลาใดเหมาะสมอย่างนั้นหรือ" ซินเธียร์มุ่นคิ้ว "เขาเป็นถึงองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาท และข้ารู้ดีว่าเขาไม่มีเวลาปลีกตัวออกมาจากหน้าที่นั่นหรอก ยกเว้นตอนล่าอาหารเช้า" เมื่อนึกย้อนไปถึงอดีตของตนเอง ซินเธียร์ก็ทอดยิ้มออกมา "หรือจะมีอีกทางเลือกก็คือให้แม่หนูธีราเอาปลาไปฝากเขาทุกวัน"

...นั่นเป็นวิธีที่สามีของนางเคยใช้มาก่อน และได้ผลดีเสียด้วย

ซินเธียร์ยิ้มกริ่มกับตัวเองเมื่อนึกถึงความมีเมตตาของราชาองค์ก่อนที่อนุญาตให้นางแต่งงานกับชายที่นางรักได้ อีกทั้งยังสามารถมีบุตรได้อีกด้วย และราชาองค์ก่อนก็โปรดบุตรสาวของนางมากเช่นกัน

"แต่ว่า... ฝ่าบาทไคราห์นดูจะไม่ใจดีสักเท่าไหร่ การทำแบบนั้นจะไม่ถูดเอ็ดเอาหรือ"

"ฝ่าบาทไม่ก้าวก่ายชีวิตของเวสเทียร์หรอก" ซินเธียร์ว่าไปตามที่รู้สึก ก่อนที่อีกฝ่ายจะขึ้นครองบัลลังก์ นางก็พอจะได้พบปะ พูดคุยและรู้นิสัยของราชาคนนี้อยู่บ้าง และต่อให้เขาจะดูเคร่งขรึม ไม่ยิ้มแย้ม หรือพูดจาให้มากความ แต่ไคราห์นก็มีเมตตา และเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเสมอ

"อีกอย่าง... ฝ่าบาทก็ดูจะมีความรักอยู่ด้วย ทุกอย่างในโลกนี้คงจะสวยงามไปเสียหมด"

เหล่านางเงือกหัวเราะคิกคักร่วมกัน "เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ลองดูแล้วกัน"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 12.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 26-05-2017 09:38:14
ตอนที่ 12.2

สำหรับชาวเงือกแล้ว สร้อยคอมุกคือของขวัญที่แทนคำหมั้นหมาย

และแน่นอนว่ามุกเจ็ดคาบสมุทรเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามากพอที่จะกำนัลราชินีต่างเมือง แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาทไคราห์นคิดจะทำในตอนนี้ ชายหนุ่มนอนอยู่บนแท่นประทับของตน และทอดมองกล่องใส่สร้อยมุกเส้นนั้นซึ่งเป็นสมบัติของราชวงศ์เซลทิค

อาโกรนาห์เอามาให้เขาเมื่อครู่นี้ พร้อมกับทิ้งท้ายวด้วยคำว่า 'เผื่อ'

ผิวน้ำกระเพื่อมไหวเล็กน้อยทำให้ราชาหนุ่มรีบปิดกล่องและซ่อนไว้ด้านหลังตนด้วยท่าทางลุกรนผิดธรรมดา เวสเทียร์เพิ่งกลับมาจากการล่า เขาขยับกายเข้ามาประจำที่ของตนโดยไม่พูดอะไร แม้จะสังเกตได้ว่าราชาหนุ่มดูมีพิรุธก็ตาม

แต่นั่นไม่ใช่ธุระขององครักษ์อย่างเขา

ฝ่าบาทรู้สึกคันคอจึงได้กระแอมเบาๆ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเขาจะใช้เสียงมากไป

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์เรียกเป็นเชิงถาม "รู้สึกไม่ดีหรือขอรับ" หากเป็นเงือกทั่วไป เมื่อเกิดความรู้สึกไม่สบายก็มักจะไปตามเงือกอาวุโสมาดูอาการป่วย แต่สำหรับราชวงศ์เซลทิคแล้ว พวกเขามีพลังในเยียวยาตนเอง ดังนั้นหมอจึงไม่จำเป็น

"คันคอนิดหน่อย" ร่างสูงกลืนน้ำลาย "คงจะไม่ได้ร้องเพลงมานาน"

แม้จะมีน้ำเสียงที่ทรงพลัง แฝงด้วยความอ่อนโยนนุ่มนวลน่าฟังสักเพียงใด แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวและปัจจัยหลายอย่างทำให้ฝ่าบาททะเลเหนือไม่ได้ร้องเพลงบ่อยนัก "แม้มันจะเป็นสิ่งเดียวที่ประชาชนชื่นชอบเกี่ยวกับตัวเราก็เถอะ" ราชาหนุ่มแค่นหัวเราะ และเหยียดกายนอนอยู่บนแท่นหินที่ประทับอย่างนั้นโดยไม่มีทีท่าจะออกไปหาใครอย่างที่เคยทำ

เวสเทียร์อยากถามเหตุผลเหลือเกินว่าทำไม...

ถึงแม้จะรู้สึกยินดีที่ฝ่าบาทไม่ออกไปก็ตาม

"เจ้าชอบบทเพลงของปีนี้ไหม" ราชาหนุ่มเองก็ตอบไม่ได้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่อยากออกไปพบเรจินา ทั้งที่การทำแบบนี้อาจเรียกได้ว่าเสียมารยาท อีกทั้งยังเป็นการตัดสินใจที่ดูจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล อันเป็นการกระทำที่ไม่ต่างจากเด็กตัวเล็กๆ ที่แยกแยะอะไรไม่ได้

แต่เหตุการณ์เมื่อคืนนี้... ทำให้เขารู้สึกผิดต่อเวสเทียร์เหลือเกิน

รู้สึกผิดจนตำหนิตัวเองมาจนถึงตอนนี้ ว่าเขาไม่ควรหยั่งเชิงราชินีเรจินามากกว่านั้น เพราะหากพระนางคิดจริงจังขึ้นมา ไคราห์นก็ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเวสเทียร์ได้อย่างไร

"กระหม่อมชอบทุกบทเพลงขอรับ" นี่เป็นคำตอบที่ฝ่าบาทคาดเดาได้ อีกทั้งยังแข็งทื่อไร้อารมณ์และความรู้สึกสมกับเป็นคำพูดขององครักษ์คนสนิท แต่เวสเทียร์ก็นึกภาวนาอยู่ในใจให้ฝ่าบาทเชื่อคำพูดของเขาบ้าง

เขาชอบทุกบทเพลงของฝ่าบาท

เขาชอบทุกอย่างที่เป็นของฝ่าบาท... และนั่นคือความจริง

แต่ในสายตาของไคราห์น เวสเทียร์เพียงแค่ทำตามหน้าที่ของเขาในฐานะทาสผู้ซื่อสัตย์และภักดีที่พร้อมจะสนับสนุนทุกอย่าง และอยู่เคียงข้างทุกเวลา

ราชาหนุ่มเก็บความรู้สึกผิดเอาไว้ และสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งก่อนขยับตัว

"ฝ่าบาท..." ร่างโปร่งหลุดปากเรียก "จะไปพบราชินีเรจินาหรือขอรับ" ใจด้านหนึ่งของเวสเทียร์ถาม แต่ใจอีกด้านก็อยากตบปากตัวเองที่กล้าเอ่ยออกไป มันไม่ใช่ธุระของเขา มันไม่ใช่เรื่องของเขาเลยสักนิด ในตอนนี้ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักร ไม่ว่าผู้ใดก็ยินดีกับความสัมพันธ์อันก้าวหน้าของราชาและราชินีต่างเมือง ประชาชนให้ความสนใจ และคาดหวังในตัวราชา

คงมีเพียงเขาคนเดียวในเซลทิคที่ไม่อาจยินดีไปกับมันได้ ...เขาควรจะทัดทานอะไรอย่างนั้นหรือ

เขาผิดตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไร

"ไม่อยากให้ไปรึ" เสียงทุ้มถามกลับ นัยน์ตาสีน้ำเงินมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา

ไม่อยาก... ไม่เลยสักนิด... ไม่ต้องการให้ฝ่าบาทไปไหนทั้งนั้น

"ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ" เวสเทียร์บังคับน้ำเสียงของตนไม่ให้สั่นขณะพูด "องค์ชายเร็กซ์ออกไปกับเวทอร์ส เพื่อไปดูการล่าของวาฬหลังค่อม กระหม่อมเห็นว่าราชินีเรจินาเองก็ไปกับพวกเขา" นั่นคือความจริง เมื่อเวทอร์สขอเข้าพบองค์ชายเร็กซ์ และถามว่าเขาอยากชมการล่าของวาฬหลังค่อมหรือไม่ ผู้ติดตามแห่งมารินาการ์ดไม่รีรอที่จะตกลง รวมทั้งตัวราชินีอีกเช่นกัน

"แล้วองครักษ์คนอื่นตามไปด้วยหรือเปล่า" ไคราห์นถาม ความคลางแคลงสงสัยในเจตนาของเวสเทียร์แปรเปลี่ยนเป็นความเป็นห่วงในตัวอาคันตุกะ "เหตุใดเจ้าจึงไม่รายงานเราแต่เนิ่น"

"กระหม่อมขออภัย" เวสเทียร์ก้มหัว "กระหม่อมส่งองครักษ์ติดตามไปแล้วขอรับ"

เขาไม่รายงานเพราะอะไร... เวสเทียร์ไม่กล้าตอบเพราะเกรงว่าเหตุผลของเขาจะเหลวไหลเกินทน

ทั้งที่เขาไม่ควรให้สิ่งเหล่านี้มาสั่นคลอน ทั้งที่เขารู้ดีว่าเป็นความผิดของตัวเองที่เผลอไผล ทั้งที่เขาเข้าใจทุกอย่าง แต่เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลกลับไม่อาจเอาชนะอารมณ์เหล่านี้ได้เลย

ในบางครั้ง... ความฝันที่แสนหวานก็เนิ่นนานจนยากที่จะตื่นจากมัน

แต่เขาจะทนอยู่กับความจริงอันโหดร้ายนี้ไปได้อีกนานเท่าใดหนอ

'กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต... ต่อฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น'

นี่คือคำมั่นที่เขาเคยให้ไว้ในวันแรกที่รับตำแหน่งผู้นำเผ่าเพชฌฆาต และองครักษ์คนสนิทของราชา เวสเทียร์ตั้งใจจะยึดมั่นในคำกล่าวนั้นตลอดไป และตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เวสเทียร์คิดว่าเขาจะผิดคำสาบานนั้น มาจนถึงวันนี้... ที่เขาอยากไปจากอีกฝ่ายให้ไกลเหลือเกิน

ช่วยส่งกระหม่อมไปให้ไกลจากฝ่าบาทได้ไหม...

แต่หากทำเช่นนั้นจริง กระหม่อมก็คงทนไม่ได้อยู่ดี เพราะใครจะปกป้องฝ่าบาทได้ดีไปกว่าอีก


"สีหน้าเจ้าไม่สู้ดี..." เวสเทียร์หลับตาลง เมื่อฝ่ามืออุ่นของราชาสัมผัสเสี้ยวหน้าของเขา "ไม่สบายรึ" หากเป็นเช่นนั้นจริง เพียงแค่สัมผัสเท่านี้ พลังแห่งราชวงศ์เซลทิคก็สามารถทำให้หายป่วยได้แล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีการรักษาของฝ่าบาทไคราห์นที่น้อยคนนักจะเคยได้สัมผัสมัน

เวสเทียร์ยินดีที่ตนเป็นหนึ่งในนั้น... แต่ราชินีเรจินาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน

เหลืออีกเพียงไม่กี่ประการเท่านั้นที่เขายังมีเหนือราชินีต่างเมือง แต่ก็มีหลายสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับจากฝ่าบาทเลย เขาเคยฝันอยากให้ฝ่าบาทร้องเพลงให้เขาฟังบ้าง อย่างเช่นที่อีกฝ่ายทำเมื่อคืนนี้ อยากพูดคุยสนุกสนานหัวร่อต่อกระซิกบ้าง อย่างเช่นที่อีกฝ่ายทำในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

และสิ่งที่สูงค่าเกินกว่าจะฝัน... เขาอยากได้รับความรักบ้าง

...แต่นี่ก็เป็นฝันที่มาไกลเกินกว่าที่ควรจะเป็นมากพอแล้ว

"กระหม่อมไม่เป็นอะไรขอรับ"

"หากเจ้ากล่าวว่า 'เป็นอะไร' ขึ้นมา เราเกรงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ" ไคราห์นจำได้ว่าเขาเคยพูดแบนี้กับอีกฝ่ายเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งตอกย้ำถึงความห่างเหินและช่องว่างระหว่างพวกเขา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นราชาและองครักษ์ที่ใกล้ชิดกันมากที่สุดก็ตาม

...อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงๆ จะได้ไหม

ราชาหนุ่มถอนใจ ดึงมือของตนกลับมา และขยับยกหางยาวลงจากแท่น "ฟาล..." ราชาหนุ่มเปลี่ยนระดับเสียง เรียกหาเลขาอาวุโส ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่าเขาต้องเรียกอีกฝ่ายซ้ำสองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "ฟาล อยู่แถวนี้หรือเปล่า" ครั้นเวสเทียร์จะอ้าปากอาสาไปตามเลขาคนสนิท ฟาลก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับอาการหอบ บ่งบอกได้รีบบึ่งมาสุดกำลัง

"มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ดูเจ้ารีบร้อน..."

"ขออภัยฝ่าบาท กระหม่อมมัวแต่คอยฟังข่าวของหน่วยลาดตระเวน" เลขาค้อมหัวลงแสดงความเคารพ ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ที่ประทับ "องครักษ์คนสนิทของราชินีมารินาการ์ดเดินทางมายังเซลทิคขอรับ" ราชาหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ด้วยเพิ่งนึกออกว่าราชินีเรจินาไม่มีองครักษ์คนสนิทติดตามมาด้วย ทั้งที่เป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับชนชั้นปกครอง อาจเป็นไปได้ว่าราชินีได้ฝากฝังให้ชายาขององค์ชายเร็กซ์และองครักษ์ของตนช่วยดูแลอาณาจักรให้ชั่วคราว ระหว่างที่พระนางพำนักอยู่ที่นี่

...ช่างชื่อมั่นในความภักดีของคนใต้ปกครองเสียเหลือเกิน

"อาณาจักรไรห์วาทางตอนใต้ต้องการส่งทูตเข้าพบราชินีเรจินาขอรับ"

"ไรห์วา..." ไคราห์นมุ่นคิ้ว "เงือกฉลามรึ"

หากเงือกวาฬเป็นเผ่าที่แข็งแรงที่สุด เงือกฉลามก็นับว่าเป็นเผ่าที่ดุดันที่สุดเช่นกัน "เหตุใดมารินาการ์ดจึงไม่ส่งข่าวมาก่อน" ฝ่าบาทเพิ่งตระหนักได้หลังจากถามออกไปแล้วว่าพวกมารินาการ์ดไม่มีการส่งสัญญาณด้วยคลื่นเสียงอย่างที่ชาวเซลทิคทำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถส่งข่าวในระยะไกลได้ "เรียกคาดันน์กลับมา..."

คาดันน์เป็นวาฬที่สนิทสนมกับเงือก และเงือกที่มันสนิทสนมด้วยในตอนนี้ก็คือองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด

"แต่เช่นนั้นก็แปลว่า... ฝ่าบาทเรจินาจะต้องเดินทางกลับไปยังมารินาการ์ด" การคาดเดาของราชาทำให้คนฟังอย่างเวสเทียร์โล่งใจขึ้นมา แต่ก็อดลำบากใจไม่ได้เช่นกัน ในขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังเป็นไปด้วยดีเช่นนี้ หากราชินีเดินทางกลับไป ประชาชนชาวเซลทิคจะคิดอย่างไร

"เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น..." ฟาลตอบ "กระหม่อมขอตัวลงไปพบองครักษ์จากมารินาการ์ด"

"เราจะลงไปเอง" ราชาหนุ่มขยับกายกลับลงไปในน้ำ ว่ายนำกลับไปยังพระราชวังที่ก้นทะเล และเมื่อราชาขึ้นประทับนั่งบนบัลลังก์ เหล่าองครักษ์ที่คอยดูแลก็หันมาค้อมตัวลงเคารพโดยพร้อมเพรียง เวสเทียร์ขยับกายไปอยู่เคียงข้าง และรอผู้มาเยือนจากต่างแดน

ม่านสาหร่ายพลิ้วไหวตามแรงน้ำน้อยๆ เปิดทางให้ผู้มาเยือนขยับกายผ่านเข้ามา ผมของอีกฝ่ายเป็นสีควัน รับกับดวงตาที่ดูว่างเปล่า ทว่าแฝงด้วยความลับมากมาย ร่างกายที่แข็งแรงกำยำบ่งบอกถึงชาติตระกูลและเผ่าพันธุ์ของเขา และสิ่งที่ทำให้ชาวเซลทิคประหลาดใจอย่างที่สุด นั่นก็คือหางฉลามสีอ่อนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าฉลามขาว

...เผ่าฉลามขาวอย่างนั้นรึ

เวสเทียร์กำด้ามหอกยาวในมือแน่นขึ้นตามสัญชาติญาณ และมองดูผู้มาเยือนอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก แม้อีกฝ่ายจะจะค่อยๆ ค้อมหัวลงอย่างรู้มารยาทก็ตาม "กระหม่อม ฟาเบียง... องครักษ์คนสนิทของราชินีเรจินาแห่งมารินาการ์ดขอรับ" การมาถึงของเงือกฉลามที่มีขนาดตัวใหญ่พอๆ กับเงือกวาฬแห่งราชวงศ์เซลทิคอาจทำให้เผ่าเพชฌฆาตไม่รู้สึกสบายใจนัก แต่รอยยิ้มละมุนและกิริยานอบน้อมของฟาเบียงก็ทำให้เหล่าองครักษ์พอจะวางใจได้บ้าง

ไคราห์นทอดมององครักษ์หนุ่มอยู่สักพักขณะรอให้เขาพูดต่อ

"อาณาจักรไรห์วาได้ส่งทูตมาขอเข้าพบองค์ราชินี กระหม่อมจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวให้พระนางรับทราบ" ราชาหนุ่มรู้ในทันทีว่าฝ่าบาทเรจินาจะต้องเดินทางกลับมารินาการ์ด และอาจเป็นการเดินทางที่เร่งด่วนอีกด้วย

"ฝ่าบาทเรจินาออกไปชมวาฬกับองค์ชายเร็กซ์ อาจจะใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าจะเดินทางกลับมา"

ฟาเบียงเม้มปากอย่างครุ่นคิด และหักห้ามไม่ให้ตัวเองถามออกไปว่าเหตุใดราชาหนุ่มจึงไม่เดินทางไปพร้อมกันเพื่อดูแลแขกบ้านแขกเมืองด้วยตัวเอง แต่เขาควรจะเลี่ยงการสนทนาด้วยคำพูดแบบั้นจะดีกว่า "เช่นนั้น... กระหม่อมขอตัว..."

"ท่านองครักษ์เดินทางมาไกล" ไคราห์นเอ่ยขึ้นตัดบทของอีกฝ่าย "เชิญพักผ่อนที่นี่สักคืนหนึ่ง แล้วรุ่งเช้า..." ร่างสูงเว้นจังหวะพูดเพื่อไตร่ตรองคำสั่งของตนอีกครั้ง "เราจะให้วาฬเพชฌฆาตนำราชรถกลับมารินาการ์ด" ราชรถของมารินาการ์ดมักเทียมด้วยฝูงโลมา แต่ราชรถแห่งเซลทิคจะเทียมด้วยวาฬเพชฌฆาตซึ่งมีพละกำลังและความเร็วในการว่ายน้ำมากกว่า ดังนั้นการเดินทางกลับอาณาจักรมารินาการ์ดจะใช้เวลาน้อยลง แต่ก็อาจจะเพิ่มความเร็วจนน่าหวาดเสียวให้ราชินีผู้นำได้

แต่ฟาเบียงเป็นเพียงองครักษ์ จะไปกล้าขัดคำสั่งของราชาเงือกวาฬได้อย่างไร

ชายหนุ่มค้อมหัวลงอย่างนอบน้อม "ขอรับ ฝ่าบาท..."

แต่ทันใดนั้น คลื่นเสียงความถี่ต่ำที่ส่งผ่านผืนน้ำมาก็ทำให้เหล่าเงือกวาฬหันไปมองทิศเดียวกัน มันคือสัญญาณที่พวกเขาคุ้นเคย และรอคอยไม่ต่างจากการมาถึงของพวกวาฬหลังค่อม "วาฬเผือก..." ราชาเซลทิคขยับตัว ยกปลายหางใหญ่ลงจากแท่นวางเพื่อพาตัวเองว่ายออกไปจากถ้ำ และต้อนรับการมาถึงของอสูรทะเล ข้ารับใช้แห่งเทพท้องสมุทร

แม้จะได้ชื่อว่า 'วาฬเผือก' แต่อสูรทะเลก็ไม่ได้ขาวเผือดดังเช่นฝ่าบาทไคราห์น

ร่างกายที่ใหญ่โตยิ่งกว่าเรือรบลำใดของพวกมนุษย์เคลื่อนออกมาจากเงามืดของมหาสมุทร พร้อมกับคลื่นเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ และต่างจากการทักทายของฝูงวาฬหลังค่อม อสูรทะเลขยับเข้ามาเผชิญหน้ากับราชาแห่งเซลทิคที่ลอยตัวอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า และนิ่งสงบอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังสื่อสารด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่ไม่มีใครเข้าใจ

ชนชั้นปกครองเท่านั้น... ที่จะพูดคุยกับอสูรทะเลได้

--------------------------------------------------

ธราฟัสการ์ หรือชุมชนของเหล่าเงือกในอดีต บัดนี้เป็นเพียงสถานที่ที่ถูกทิ้งร้างและไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้เนื่องจากความหวาดกลัวใน 'โรคระบาด' ที่เคยคร่าชีวิตผู้คนทั้งหมู่บ้าน แต่สำหรับซินเนย์วา จ่าฝูงหมาป่าแห่งนอร์เวย์ นางสัมผัสได้ว่าสถานที่แห่งนี้ยังมีคนคอยดูแลและใช้ประโยชน์จากมันอยู่

อีกทั้งยังไม่มีกลิ่นของ 'โรคระบาด' ใดๆ อีกด้วย

หมาป่าร่างยักษ์เดินมาตามถนนลูกรังที่มืดสลัวมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านร้างเพื่อจะเดินต่อไปตามทางซึ่งทอดยาวลงไปยังหาดเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับทะเล การเริ่มต้นจากหาดคงไม่ใช่ความคิดที่ฉลาด เนื่องจากนางไม่รู้ว่าควรจะว่ายน้ำไปทางใด เพราะไม่มีใครรู้เกี่ยวกับที่ตั้งที่แท้จริงของอาณาจักรเซลทิค

ไม่มีใครแน่ใจด้วยซ้ำว่ามันอยู่ใต้น้ำหรือบนบก

วาร์เรนสันนิฐานว่ามันอยู่บนบก เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเผ่าเงือกวาฬที่ตัดขาดจากแผ่นดินไม่ได้ แต่ในละแวกนี้ก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นใดอีก เช่นนั้นแล้วชาวเงือกจะไปอยู่ที่ใดได้นางเดินต่อไปยังผาใกล้ๆ กัน เพื่อจะหยุดมองท้องทะเลยามค่ำคืน

"กระผมไม่คิดว่าคนอย่างฝ่าบาทไคราห์นจะสะเพร่าปล่อยให้เราเข้าไปใกล้อาณาจักรของพวกเขาได้"

นั่นไม่ใช่เสียงพูด แต่เป็นพลังจิตที่สื่อถึงกันของหมาป่า ซินเนย์วาเหลือบมองไปยังข้างตัวเพื่อจะพบกับหมาป่าร่างยักษ์อีกตัวหนึ่งที่ติดตามนางมาด้วยในฐานะคนสนิท "หากเข้าไปใกล้มากเกินควร จะเป็นการเสี่ยงเปล่าๆ นะ นายหญิง"

จ่าฝูงคำรามในคอเบาๆ อย่างเห็นด้วย และมองออกไปนอกชายฝั่งอย่างไร้จุดหมาย

"โดยทั่วไปแล้ว... ชาวเงือกไม่ประมือกับแวมไพร์หากตนเองไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ แต่จะไม่เผชิญหน้ากับหมาป่า ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม" ซินเนย์วาตอบ "พวกเขาไม่มีทางชนะ อีกทั้งพวกเราก็ไม่ใช่ศัตรูอีกด้วย" นางอยากรู้ที่ตั้งของอาณาจักรเซลทิค เพราะอย่างน้อยนางก็อาจจะช่วยดูแลให้ปลอดภัยได้

"นายหญิง..."

"มาเถอะ อังเดร" ซินเนย์วาเรียก นางออกเดินลัดเลาะไปตามแนวผาริมทะเล "อย่างไรเราก็ได้กลิ่นของพวกเขา คงไม่เข้าไปใกล้มากหรอก" กลิ่นกายของชาวเงือกมีเอกลักษณ์เด่นชัด และหากเปรียบเทียบในความเห็นของหมาป่าแล้ว พวกเขาก็เป็นอมนุษย์ที่หาตัวได้ไม่ยากนัก หากเดินปะปนกับผู้คนในเมือง

"นายหญิง!"

คนสนิทส่งเสียงเรียกด้วยความตระหนก เรียกให้จ่าฝูงสะดุ้งก่อนหันไปมอง และทันเห็นการเคลื่อนไหวของสัตว์ขนาดมหึมาที่โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำพร้อมกับสะบัดร่างพลิ้วไหวและกระแทกลงบนผืนน้ำเบื้องล่าง ซึ่งนับเป็นการกระทำที่สร้างความสนุกสนานให้กับสัตว์จำพวกวาฬ

แต่แน่นอนว่าวาฬทั่วไปไม่มีขนาดใหญ่เท่านี้แน่นอน...

"อ... อสูรทะเลรึ!" หมาป่าตาโต ทั้งคู่มองหน้ากันไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่อยากวิ่งออกไปในจุดที่ทำให้พวกเขาเห็นชัดกว่านี้ ซึ่งอาจหมายถึงอันตรายจากความไม่ระวังตัว "นั่นมันอสูรทะเลแน่ๆ ไม่มีวาฬตัวไหนใหญ่ขนาดนั้นหรอก!" สัญชาติญาณทำให้พวกเขาอยากออกวิ่งเพื่อติดตามวาฬยักษ์ มันโผกระโจนขึ้นเหนือน้ำอีกหลายครั้งในบริเวณเดียวกัน ซึ่งนั่นอาจหมายถึงที่ตั้งของอาณาจักรเซลทิค

พวกเขาอยากออกไปดูการเล่นแสงจันทร์ของอสูรทะเลใกล้ๆ

แต่อีกใจหนึ่งก็คอยเตือนว่าไม่ควรขยับไปไหน

"อังเดร..." ซินเนย์วาเริ่ม "ตามคนของเจ้ามาสมทบที่นี่ หากนั่นคือที่ตั้งของเซลทิค เราก็ควรจัดเวรยามคอยดูแลหน้าผาฝั่งนี้" ดวงตาสีเหลืองอำพันมองไปยังฝูงวาฬที่ว่ายเรี่ยผิวน้ำชมจันทร์อยู่ในทะเลที่ห่างไกล และยิ่งเบิกตาขึ้นเมื่อทันเห็นร่างของเงือกที่มีผิวขาวสว่างผุดผาดราวกับแสงจันทร์โผร่างขึ้นมาเหนือน้ำด้วย

"ฝ่าบาทไคราห์น..." มีเงือกเพียงตัวเดียวในโลกนี้ที่มีสีแบนั้น และนั่นคือราชาแห่งเซลทิค!

--------------------------------------------------


อสูรทะเล หรือ 'วาฬเผือก' เคยมีบทใน สัญญาสาปสมุทร นะ...

นางค่อนข้างสนิทกับเผ่าเงือกวาฬ (คนที่มีบทในตอนนั้นคือองค์หญิงเอสลินน์ ซึ่งเป็นน้องสาวคนเล็กของฝ่าบาทไคราห์น) อันนี้เลยขอเอานางมามีส่วนร่วมนิดนึง (ไม่นิดอะ ตัวใหญ่มาก...ตัวก่อเรื่องกลายๆ ด้วย) ถ้าใครไม่เคยอ่านก็... จะอธิบายว่า จริงๆ มันคือ Sperm Whale (วาฬหัวทุย) ขนาดยักษ์ในนิยาย Mody-Dick แหละ (ซึ่งนิยายเรื่องนั้นถูกเผยแพร่ในค.ศ. 1851) (ยุคสมัยในนิยายเรื่องนี้น่าจะค.ศ. 1860s) จะขอเล่าเกร็ดคร่าวๆ ละกัน

คือเหมือนคำว่า 'Moby' จะเป็นแสลงรึเปล่านะ... แปลว่าใหญ่-มหึมา... หรืออะไรประมาณนี้ (อันนี้ไม่รู้จริงๆ) แต่ dick เนี่ย... มันก็คือแสลง dick นี่ล่ะ ชื่อมันเลยอาจจะแปลว่า... ไอ้นั่นใหญ่ ฮา... และสาเหตุที่ชื่อเรียกทั้ง Sperm Whale ทั้ง Moby-Dick นี่ดูสัปดนมาก ก็น่าจะเพราะ...

(อันนี้ fact อ่านมาจากบทความ)

ที่มาชื่อของ Sperm Whale : มันเป็นวาฬที่มีรูปร่างดุ้นๆ (แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น) และในหัวของมันมีไขมันเยอะมาก (ถ้าข้อมูลในหนัง In the Heart of the Sea เชื่อถือได้ ก็น่าจะมีไขมันถึงตัวละประมาณ 50 บาเรล << อันนี้เราไม่เคยศึกษา เลยไม่แน่ใจตัวเลขนะ) ซึ่งไขมันอันนั้นเรียกว่า spermaceti หรือไขมันวาฬ แต่นักล่าในอดีตนู้นนนที่เป็นคนตั้งชื่อวาฬ... ไม่รู้ว่านั่นคือไขมันวาฬ หลังจากที่เห็นมันเป็นน้ำขาวๆ ขุ่นๆ ก็เลยคิดว่านั่นคืออสุจิ (sperm) มันจึงมีชื่อเหมือนเป็นวาฬโรคจิต(?)ที่มีอสุจิเต็มหัว (สงสารละเกิน) แต่ต่อมาเมื่อรู้ว่ามันเป็นน้ำมันที่ใช้งานได้ ก็เลยล่ากันใหญ่เลย...

(อันนี้เราสันนิฐานเอง)

ในเมื่อมันชื่อ Sperm Whale : ดังนั้น จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก Moby-Dick เพราะมันตัวใหญ่ จึงกลายเป็น ไอ้xxใหญ่ (ก็ยังคงสงสารมันต่อไป) นี่จะตั้งชื่อให้มันดีๆไม่ได้เหรอ OTL

ต่อไปนี้เราจะเรียกเขาว่า พี่ทุย... (ฉันขี่ไอ้ทุยลุยทะเล~~)

พี่ทุยยาวประมาณ 18 เมตร... ตัวพอๆกับพี่ค่อมแหละ (โดยโครงสร้างแล้ว เราว่าพี่ทุยใหญ่ล่ำกว่า) แต่ว่า พี่ทุยเป็นวาฬประเภท tooth whale (ซึ่งพี่ทุยเป็นวาฬมีฟันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก) แต่พี่ค่อมเป็นประเภท baleen whale แต่อย่าเพิ่งคิดว่าพี่ทุยจะกินพี่ค่อมไหม... คือพี่ทุยไม่กินวาฬนะ 555 ถ้าอิพวกวาฬที่กินวาฬด้วยกันก็เห็นมีพี่ก้านี่แหละ = =

พี่ทุยกินปลาหมึกเป็นอาหาร ซึ่งเป็น Giant Squid ซะด้วย... (แต่มีข้อสันนิฐานอยู่ว่านางกิน Colossal Squid ด้วย) ความสามารถพิเศษของพี่ทุยคือการดำน้ำ พี่แกสามารถกลั้นหายใจได้นานถึง 90 นาที และดิ่งลงไปถึงก้นทะเลได้ โดยไม่รู้ว่าอยู่ได้ยังไงกับความกดดันใต้ทะเลขนาดนั้น (แต่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผิวหนังเขาต้องย่นๆ แบบนี้)

(https://scontent.fbkk1-2.fna.fbcdn.net/v/t31.0-8/18673308_225611241274738_8180079972730259726_o.jpg?oh=078d0b8cd691cb195a7726c30903f011&oe=59B973EB)

สำหรับในนิยายนี่... คิดว่าอสูรทะเลน่าจะเป็น Leviathan Melvillei ซึ่งเป็นวาฬดึกดำบรรพ์ (ใครดู Ice Age: Continental Drift มันก็คือตัวที่ชื่อ เพรเชียส นั่นแหละ << แต่มันไม่ใหญ่ขนาดอมแมมมอธได้หรอกนะ เพดานปากมันตื้น!!) ดูแล้วน่าเกรงขามกว่า ฟันใหญ่กว่า แต่ว่า... อิตัวนี้ดันเล็กกว่าพี่ทุยในยุคปัจจุบันอีก (โถ่) ก็เลย... ไหนๆ ก็นิยาย ช่างมันเถอะ ของใหญ่ๆ เว่อร์ๆ ด้วยนะ (อ้าว 555)

คือเราชอบความเรียลนะ... แต่หลายๆ ทีก็บอกตัวเองว่า... ช่างมันเถอะ ความเรียล 555

อสูรทะเลประประโยชน์ยังไง... จริงๆ เราก็ยกให้เขาเป็น Guardian ของโลกใต้ทะเลแหละนะ ซึ่งไม่ได้มีตัวเดียวแน่ๆ ฮา... จริงๆ ที่ให้พี่แกมาคือเพื่อชอตกระโดดนั่นชอตเดียวเลย (แล้วก็กลับไปนะลูกนะ ตัวใหญ่ เกะกะ---)



อ้ะ... เกือบลืม เรื่องแผนที่~~

แต่ยังไม่ได้วาด vector สวยๆให้อะ ขอเป็นแผนที่โลกบน Google Map ก่อนละกันนะ แฮะๆ

(https://scontent.fbkk1-2.fna.fbcdn.net/v/t31.0-8/18672863_225611197941409_4478633972187155807_o.jpg?oh=be10d0272d67e9e9e19201170716dece&oe=59ACF8F0)

เอ้อ... ควรจะมีแผนที่บนบกด้วยสินาาา... เดี๋ยวจะงงว่าท่าบาร์ธีมอร์ หมู่บ้านธราฟัสการ์ อาณาจักรเซลทิค อะไรอยู่ตรงไหน ทำไมเจอธราฟัสการ์แล้วถึงไม่เขอเซลทิค... คืองี้ค่ะ มันอยู่คนละผากัน---

(https://scontent.fbkk1-2.fna.fbcdn.net/v/t31.0-8/18671725_225611541274708_2509334122207877740_o.jpg?oh=bd9cb25256f972fd8083d3952cb985d3&oe=59B16BDB)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 12 [26-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: goldentime ที่ 27-05-2017 22:58:59
สนุกมาก ทรมานใจจัง
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 12 [26-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-05-2017 18:15:01
สนุกมาก

รักเกร็ดท้ายเรื่องด้วย
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 13.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 29-05-2017 07:49:01
ตอนที่ 13.1

อสูรทะเลรักการเต้นรำมากกว่าร้องเพลงร่วมกันเพื่อสร้างความประทับใจ ดังนั้นค่ำคืนที่สองของเทศกาลเล่นแสงจันทร์จึงเป็นเรื่องของพละกำลังและเสียงดนตรี ซึ่งแน่นอนว่าการกระโดดโลดโผนโจนทะยานขึ้นจากน้ำบ่อยมากจนเกินไป ย่อมทำให้เหล่าเงือกวาฬหมดเรี่ยวหมดแรงกันไปตามๆ กัน รวมทั้งราชาแห่งเซลทิคด้วย

แต่ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตไม่ได้ร่วมเต้นรำด้วย เวสเทียร์จึงไม่ต้องพักผ่อน

เวลานี่เป็นเวลาที่เขาควรออกไปล่า แต่หากฝ่าบาทไคราห์นยังไม่ตื่น เวสเทียร์ก็จะไม่ทิ้งหน้าที่ อีกทั้งมีเพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถมองใบหน้าของราชาผู้นำได้นานเท่าที่ต้องการ โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย

ร่างโปร่งจรดยิ้มที่มุมปาก เมื่อนึกถึงอากัปกิริยาต่างๆ ของฝ่าบาทระหว่างหลับใหล อีกฝ่ายเคยละเมออยู่บ้างเป็นเสียงครางเครือในลำคอ และกรนเป็นบางครั้ง ในกรณีที่เหนื่อยมาก แต่วันนี้ฝ่าบาทคงจะไม่เหนื่อยสักเท่าไหร่ สังเกตได้จากลมหายใจสม่ำเสมอไม่ติดขัดอึกอักอย่างที่เคยเป็น

แล้วราชินีเรจินาจะเดินทางกลับมารินาการ์ดตอนไหนหนอ

เมื่อคืนที่ผ่านมา อีกฝ่ายก็ร่วมเต้นรำไปกับพวกวาฬด้วย อีกทั้งดูจะสนิทสนิมกับองค์หญิงเอสลินน์ตัวน้อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น อีกทั้งองค์หญิงอาโกรนาห์ดูจะตั้งความหวังเอาไว้กับพี่ชายอย่างมากเลยทีเดียว เวสเทียร์มองไม่เห็นข้อเสียหากฝ่าบาทไคราห์นคิดจะจริงจังกับราชินีเรจินาขึ้นมา และอาจเรียกได้ว่ามีแต่ผลดีกับทั้งสองอาณาจักร

จะเหลือก็แต่ใจของเขาที่ไม่อาจยอมรับได้

หากฝ่าบาทเรจินาเดินทางกลับไปเสีย เวสเทียร์คิดว่ามันอาจจะยังพอยืดเวลาออกไปได้บ้าง องครักษ์หนุ่มไม่เคยคิดว่าตนเองอ่อนแอ แต่เขากลับต้องการเวลาในการทำใจยอมรับมัน ทั้งที่ตนไม่ใช่บุคคลสำคัญหรือมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนี้ก็ตาม

...ขอเวลาให้เขาได้บอกลาความทรงจำดีๆ เหล่านั้นได้ไหม

นัยน์ตาสีเข้มเหลือบไปเห็นกล่องไม้ใบหนึ่งที่วางอยู่ข้างแท่นประทับ มันถูกตกแต่งให้สวยงามด้วยเปลือกหอยและปะการัง เวสเทียร์จำได้ว่าเขาไม่เคยเห็นกล่องใบนี้มาก่อน จริงอยู่ว่าฝ่าบาทไคราห์นสวมเครื่องประดับอยู่บ้าง แต่ก็เป็นชิ้นเดิมที่เขาสวมใส่ประจำที่อยู่ในกล่องอีกใบ

หรือว่านั่นจะเป็นเครื่องประดับชิ้นใหม่ที่ได้รับบรรณาการมา

เวสเทียร์มุ่นคิ้วใส่ตัวเองเมื่อเขารู้สึกอยากเปิดกล่องดูเพื่อให้แน่ใจ และก่นด่าตัวเองที่คิดยุ่งเรื่องของผู้เป็นนาย ทว่าใจที่ไม่ค่อยรักดีสักเท่าไหร่ก็สั่งให้มือเรียวเอื้อมไปเปิดแง้มฝากล่องขึ้นอย่างเงียบเชียบ

สร้อยมุกเส้นหนึ่งปรากฎให้เห็นในสายตา และองครักษ์หนุ่มก็รู้ในอึดใจแรกว่ามันคือไข่มุกเจ็ดคาบสมุทรที่โด่งดัง เครื่องประดับที่สร้อยมุกเม็ดเล็กๆจำนวนมากเข้าด้วยกัน แต่จะมีเพียงเจ็ดเม็ดเท่านั้นที่ใหญ่กว่าเม็ดอื่น ซึ่งแต่ละเม็ดจะมีสีที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่น่าตื่นตกใจกว่าความงามของไข่มุก นั่นคือความหมายของสร้อยคอ

ชาวเงือกจะมอบสร้อยคอให้แก่กันก็ต่อเมื่อพวกเขาตกลงปลงใจจะหมั้นหมายเท่านั้น

เวสเทียร์ถอยมือจากกล่องไม้ใบนั้น และหลับตาลง เบือนหน้าหนีเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง เงือกหนุ่มกลับไปประจำที่ของตน เก็บงำความรู้สึกเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยที่เขาปั้นแต่งมันขึ้นมา เขาไม่อาจรู้สึกยินดีกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ แต่เวสเทียร์ก็คิดว่าอย่างน้อย... เขาก็ไม่คิดร้ายต่อฝ่าบาท

เขาเคารพ เทิดทูนอีกฝ่ายมาตลอด และจะรักต่อไปโดยไม่มีข้อแม้

...เวสเทียร์คิดว่ามันเป็นความสุขของเขา

ต่อให้คิดได้เช่นนั้น มือเรียวก็ค่อยๆ กำหมัด และขบฟันเข้าหากันแน่นอย่างสุดจะห้าม ทำไมมันจึงเจ็บปวดนัก ทั้งที่เตรียมใจยอมรับมาตลอด เขาไม่คิดว่าตนได้ครอบครองฝ่าบาท ไม่คิดว่าจะผูกมัดราชาแห่งเซลทิคเอาไว้ได้ และคิดว่าตนเป็นเพียงข้ารับใช้เท่านั้น

แต่วันนี้ เวสเทียร์พบว่าเขาหลอกตัวเองมาตลอด...

หลอกตัวเองต่อไปเถอะนะ... มันคงไม่ทรมานสักเท่าไหร่หรอก

ประสาทหูที่ว่องไวได้ยินเสียงบางอย่างที่ปากถ้ำที่ประทับ ดึงชายหนุ่มออกมาจากความเงียบที่กัดกินจิตใจ เวสเทียร์ลดตัวลงในน้ำ และเคลื่อนกายออกไปยังต้นเสียง จนพบว่ามันคือเสียงของการพูดคุยระหว่างนางเงือกตนหนึ่งกับองครักษ์ยามที่เฝ้าอยู่ด้านนอกสุดของถ้ำ

"ข้าเองก็ตอบไม่ได้ว่าท่านเวสเทียร์จะออกมาตอนไหน โดยทั่วไปแล้วก็จะคอยติดตามฝ่าบาทนั่นแหละ"องครักษ์ยามเอ่ยอย่างจนปัญหา และส่ายหัวให้กับเด็กสาวเผ่าเพชฌฆาตตนหนึ่งที่น่าจะมีอายุไม่ถึงยี่สิบปี "แล้วก็ห้ามตะโกนเข้าไปในถ้ำของฝ่าบาทด้วย คนที่เข้านอกออกในได้สะดวกก็คงจะมีแต่ท่านฟาลนั่นแหละ"

"มีเรื่องอะไรกัน"

เวสเทียร์เคลื่อนกายออกมา เหล่าองครักษ์ที่คุ้นเคยกับเสียงหัวหน้าเผ่าดีก็หันไปทำความเคารพด้วยการค้อมหัวลงช้าๆ "ท่านเวสเทียร์..." องครักษ์คนสนิทปรายตามองเด็กสาวที่เขาไม่ใคร่จะคุ้นหน้านัก และมองห่อของในมือของนางด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง

"เจ้ามาพบข้ารึ..."

นางเงือกเผ่าเพชฌฆาตช้อนตาขึ้นมองผู้นำของตน และนี่อาจเป็นครั้งแรกที่นางได้อยู่ใกล้อีกฝ่ายมากขนาดนี้ ทำให้เด็กสาวเบิกตาขึ้นด้วยความตื่นเต้น "ท่านเวสเทียร์..." นางเงือกคลี่ยิ้ม อันเป็นรอยยิ้มที่สดใสของเด็กสาว ก่อนที่แขนเรียวบางอันเต็มไปด้วยลวดลายประจำเผ่าจะยื่นออกมาพร้อมกับห่อของในมือ

...ซึ่งมันเป็นห่อที่ทำจากสาหร่าย

"ท่านทวดของข้าสั่งให้นำมาให้ค่ะ!"

เวสเทียร์มุ่นคิ้ว "ทวดเจ้าเป็นใครกัน" ผู้นำองครักษ์งุนงง ในขณะที่เด็กสาวก็ซื่อตรงเสียจนองครักษ์ยามทั้งสองถึงกับหลุดหัวเราะพรืดออกมาจนฟองอากาศหลุดลอยออกจากปาก "แล้วข้างในนั้นคือสิ่งใด" นัยน์ตาสีเข้มตวัดมองคนใต้บัญชาเป็นเชิงเอ็ด และไล่ให้พวกเขาขึ้นไปหายใจหรือไปให้พ้นตาเสีย

"ปลาค่ะ... เห็นว่าวันนี้ท่านเวสเทียร์ไม่ได้ออกไปล่ากับเผ่า"

เด็กสาวไม่ได้ตอบคำถามแรก นางยื่นห่อให้จนสุดแขน ขยับหางว่ายน้ำพยุงตัวเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองอยู่ในระดับสายตาของผู้นำเผ่า เวสเทียร์ยังคงเลิกคิ้วอยู่อย่างนั้นแต่ก็ตัดสินใจรับห่อสาหร่ายนั่นมา เขาพอจะเดาได้ลางๆ ว่าเหตุใดนางเงือกที่เขาไม่คุ้นหน้าคุ้นตามาก่อนจึงได้นำของมาให้เขาเช่นนี้

ท่านฟาลเองก็เคยพูดกลายๆ ว่าเขาควรจะแต่งงานมีภรรยาบ้างเหมือนกัน

แต่จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อความสัมพันธ์ของเขากับฝ่าบาทไคราห์นเป็นเช่นนี้... แต่นั่นก็เป็นเพียงคำตอบในอดีต องครักษ์หนุ่มว่าในตอนนี้เขาก็คงใกล้จะหมดพันธะกับฝ่าบาทแล้ว และมันคงจะไม่ผิดอะไร หากเขาคิดจะมีภรรยาและทำหน้าที่ผู้นำเผ่าที่ดีบ้าง

มันอาจจะช่วยเยียวยาความรู้สึกเจ็บยอกในตอนนี้ก็เป็นได้

ฝ่าบาทยังไม่ถือสา... ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาเองก็ควรจะฝังความลับนั้นเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ด้วยเช่นกัน และมันก็จะกลายเป็นเพียงความฝันที่ยาวนานถึงห้าปี

"เจ้าชื่ออะไรหรือ" น้ำเสียงของเวสเทียร์อาจไม่ทรงพลังหรือดึงดูดให้เคลิบเคลิ้มเท่ากับราชาแห่งเซลทิค แต่สำหรับนางเงือกวัยสิบหกปีผู้นี้ ผู้นำเผ่าของนางก็สง่างามน่าเกรงขามที่สุด เด็กหญิงยิ้มกริ่มกับตนเองเล็กน้อยด้วยความยินดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ใจจืดใจดำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มน่ารักสมวัยของนาง

"ธีรา... ค่ะ!"

เสเทียร์ส่งเสียง 'อ้อ' ในลำคอเบาๆ และเริ่มทบทวนความทรงจำ "หลานสาวของท่านซินเธียร์"

"เหลนค่ะ!" ธีรายิ้มขัน ก่อนจะพูดต่อด้วยความยินดีที่คนตรงหน้าไม่ปฏิเสธนาง "ข้าแล่ให้แล้วนะคะ" เวสเทียร์พิจารณาคนตรงหน้า ทั้งรอยยิ้มบนใบหน้าและน้ำเสียงอันสดใส ทำให้เขาคิดว่าแม่หนูน้อยผู้นี้ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน องครักษ์หนุ่มยกมุมปากขึ้นยิ้มตอบ  และนั่นก็ทำให้ใบหน้าหวานโศกที่เรียบเฉยไร้อารมณ์ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง

"ขอบใจนะ..."

ธีรามองคนตรงหน้าตาไม่กะพริบ ก่อนจะเก็บมือของตนที่ยกค้างไว้ และพยายามอยู่ในท่าสงบสำรวม กระแสน้ำทำให้ผมของนางปลิวไหวจนเกือบจะเผยหน้าอกหน้าใจให้อีกฝ่ายเห็น เด็กหญิงรีบโกยผมยาวสีเข้มของตนมาไว้ด้านหน้าดังเดิม ก่อนจะค้อมหัวลงด้วยความประหม่า "ข... ข้าขอตัวก่อนนะคะ"

แต่เวสเทียร์กลับรั้ง "พรุ่งนี้จะมาอีกหรือเปล่า"

ใบหน้ามนแดงวาบ เด็กสาวก้มหน้างุดหมายจะแอบซ่อนความเคอะเขิน แต่ก็พึมพำตอบ "ถ้าท่านเวสเทียร์อยากให้มา..."

"อยากสิ"

การตอบโต้ที่ปราศจากความลังเลของผู้นำเผ่าเพชฌฆาตทำให้เด็กสาวยิ่งห่อตัวจนดูเล็กลงไปอีก ธีราช้อนตากลมโตของนางขึ้นมองอย่างไม่แน่ใจ และเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ไม่ใคร่จะได้เห็นบ่อยนัก นางก็ยิ้มตอบด้วยความยินดี "เช่นนั้น... ข้าจะรีบมาหา..." นางเงือกชะงักก่อนจะเปลี่ยนรูปแบบการพูด "ข้าจะมารอ..." นางตะกุกตะกัก ด้วยเลือกไม่ได้ว่าควรจะพูดอย่างไรให้ดูเหมาะสมที่สุด นางไม่ควรมาพบผู้ชาย เป็นการไม่เหมาะสมนักหากนางจะเป็นฝ่ายเข้าหาอย่างโจ่งแจ้ง

"ข้าจะ..."

เวสเทียร์ยิ้มขันกับอาการเหล่านั้น ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียเอง "เช่นนั้น ข้าจะไปพบเจ้าเอง ดีไหม"

"ค่ะ!"

ผู้นำเผ่าทอดยิ้ม และมองนางเงือกว่ายจากไปจนลับสายตา เขาขึ้นไปหายใจบ้าง ก่อนจะกลับไปยังถ้ำที่ประทับด้านใน กลับไปสู่บรรยากาศที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เมื่อคิดถึงใบหน้ายิ้มแย้มของนางเงือกเมื่อครู่นี้ เวสเทียร์ก็จรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยด้วยหัวใจที่อิ่มเอมขึ้น

มันอาจถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่เขาจะต้องตื่นจากความฝัน...

"ไม่ไปคุยกันตรงทะเลเปิดเสียเลยล่ะ" น้ำเสียงทรงพลังที่คุ้นเคยทำให้องครักษ์หนุ่มสะดุ้งด้วยความตกใจ ทันทีที่โผล่หัวกลับขึ้นมา ราชาแห่งเซลทิคก็ทักทายด้วยน้ำเสียงที่ครุกรุ่นไม่พอใจ

"กระหม่อมละเลยหน้าที่ อีกทั้งรบกวนการพักผ่อน ขออภัยฝ่าบาท" เวสเทียร์ซ่อนห่อสาหร่ายไว้ด้านหลัง และค้อมหัวลงด้วยความรู้สึกผิด "เชิญฝ่าบาทลงทัณฑ์" ในฐานะองค์รักษ์คนสนิท เวสเทียร์ไม่ควรอยู่ห่างจากราชาของเขา ทั้งยังเป็นยามที่ฝ่าบาทพักผ่อนอีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด

ราชาเซลทิคค่อนขอดอยู่ในใจว่าเขาเคยลงมือกับเวสเทียร์สักกี่ครั้ง

ไคราห์นผ่อนลมหายใจช้าๆ ระบายความขุ่นเคืองออกไป เขารู้ดีว่าในฐานะผู้นำเผ่า ย่อมมีสตรีมากมายหมายปององครักษ์คนสนิท แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่สตรีผู้นั้นจะกล้าเรียกองครักษ์ของเขาออกไปพบแบบนี้ ...หรือว่าแท้จริงแล้ว เวสเทียร์ยินดีที่จะออกไปพบนางกันหนอ

ราชาหนุ่มหลับตาลงช้าๆ...

หรือมันถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องตื่นจากความฝันแล้วจริงๆ

--------------------------------------------------

คาดันน์กลายเป็นองครักษ์คนสนิทขององค์ชายเร็กซ์ระหว่างที่พักอยู่ในอาณาจักรเซลทิค และหน้าที่ขององครักษ์คนสนิทอย่างคาดันน์ก็คือการอยู่เคียงกายผู้เป็นนายโดยไม่แยกจาก คอยปกป้อง คุ้มครอง และดูแลไม่ให้เกล็ดน้ำแข็งลอยเข้ามาบาดผิวองค์ชายได้

แลกกับสัมผัสอันอ่อนโยนบนหน้าท้องและลิ้นสีชมพูนุ่มหยุ่น...

ฟาเบียงขยับร่างให้พ้นการสะบัดหางของวาฬยักษ์ ขณะสนทนากับราชินีที่ประทับอยู่บนโขดหิน และองค์ชายเร็กซ์ที่อยู่ใกล้ๆกันซึ่งกำลังลูบท้องสัตว์ใหญ่อยู่ "จริงอยู่ว่าเจ้าวาฬตัวนี้เชื่องมากนัก แต่กระหม่อมก็ไม่คิดว่าองค์ชายจะสนิทสนมกับมันถึงเพียงนี้" องครักษ์หนุ่มว่า "หากมันขอติดตามกลับมารินาการ์ดด้วยจะเป็นอย่างไรเล่า"

"เอากลับไปด้วยได้เสียที่ไหน ฟาเบียง" เร็กซ์พึมพำ "คาดันน์เป็นหน่วยสื่อสารของเซลทิค"

"อย่าว่าแต่เรื่องคนอื่นเลย" เรจินาเอ่ยขึ้นแทรก "ไรห์วาส่งทูตมาพบเรา..." องครักษ์ของนางหันมาค้อมหัวลงน้อยๆ แทนคำยอมรับ "มีเรื่องอะไรกัน" ไรห์วาเป็นอาณาจักนเงือกที่อยู่ในทะเลทางตอนใต้ เมืองนี้เป็นเมืองของเงือกเผ่าฉลาม ซึ่งแต่เดิมก็เคยอาศัยอยู่ทางฝั่งเหนือ ทว่าสงครามทางทะเลของพวกมนุษ์ก็ส่งผลกระทบต่อพวกเขาโดยตรงจนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังน่านน้ำที่ปลอดภัย

น่านน้ำที่เต็มไปด้วยฉลามแห่งเกาะไดอาร์

ฟาเบียงหลบมองต่ำด้วยความไม่แน่ใจ "ไม่ใช่เรื่องที่มีผลกระทบต่อมารินาการ์ดหรอกขอรับ" องครักษ์ของราชินีเป็นเงือกเผ่าฉลาม ดังนั้นต่อให้ปัญหานี้จะไม่มีผลกระทบต่ออาณาจักร แต่ราชินีเรจินามั่นใจว่ามันกระทบต่อ 'คน' ของพระนางอย่างแน่นอน

"ราชารอยส่งมาสินะ..."

ปัญหาคาราคาซังของไรห์วาทางใต้ จะแผ่ขยายมาถึงมารินาการ์ดทางเหนือ และกระทบคนที่อยู่ใกล้ตัวพระนางมากที่สุด นั่นก็คือองครักษ์จากเผ่าฉลามขาวผู้นี้ "เหตุใดจึงไม่จบไม่สิ้นเสียที" ราชินีถอนใจ "จริงอยู่ว่าเทศกาลเล่นแสงจันทร์จบไปแล้ว พวกวาใหลังค่อมออกเดินทางต่อ อีกทั้งอสูรทะเลก็ลากลับสู่ก้นบึ้งมหาสมุทร แต่อาณาจักรเซลทิคก็ยังมีปัญหาที่เราจะต้องหารือร่วมกันเพื่อแก้ไข..."

"หากกระหม่อมกลับไปยังไรห์วา" ฟาเบียงเหลือบตาขึ้นมองราชินีของตน "เกรงว่าจะไม่ได้กลับมายังมารินาการ์ดในฐานะเดิมอีก" องครักษ์หนุ่มเป็นคนของเผ่าฉลามขาว และหากเขากลับไปยังอาณาจักรแห่งนั้น... ในฐานะเผ่าฉลามขาวคนสุดท้าย ชายหนุ่มไม่คิดว่าตนจะยอมรับสถานะของตัวเองได้

สถานะของผู้แพ้... ในสงครามแก่งแย่งบัลลังก์แห่งไรห์วา

"หากกระหม่อมกลับไป... กระหม่อมจะไม่ใช่องครักษ์ของฝ่าบาทอีก" ฟาเบียงไม่มีวันยอมแพ้ ด้วยเลือดของเผ่าฉลามที่สอนให้พวกเขาเป็นนักสู้ และนักล่า นักรบแห่งไรห์วาจะสู้จนตัวตาย แต่เหตุผลที่เขาไม่ทำเช่นนั้น ไม่สละชีวิตตัวเองเพราะรักษาเกียรติยศของเผ่าที่กำลังจะดับสูญ

ก็เพียงเพราะ... ราชินีแห่งมารินาการ์ดผู้นี้

"หยุดขู่เราได้แล้ว" ราชินีว่า "คิดว่าเราจะปล่อยให้เจ้ากลับไปหรือไร" แต่พระนางก็เหลือบมองน้องชายของตนด้วยแววตาลังเล "แต่ปัญหาทางเซลทิคเอง..." พระนางรู้ว่าชาวเซลทิคต้องการอะไร และสัมผัสได้ว่าฝ่าบาทไคราห์นเองก็สองจิตสองใจเช่นกัน "หากเลือดแห่งจอมราชันแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่างก็คงจะดีไม่น้อย"

"อย่าได้กล่าวเช่นนั้น..." องครักษ์ว่า "มันไม่ใช่ภาระที่ฝ่าบาทจะต้องแบกเอาไว้คนเดียว"

"เจ้าเพิ่งจะขู่เราเมื่อครู่นี้!"

ฟาเบียงหัวเราะเบาในลำคอ "กระหม่อมเปล่า" องครักษ์ทอดยิ้มจาง "แต่ก็ยอมรับว่าไม่ใคร่จะพอใจนักเมื่อครั้งที่เห็นฝ่าบาทใกล้ชิดสนิทสนมกับราชาเซลทิคมากเหลือเกิน"

"เราพยายามจะไม่ใกล้แล้วนะ" เรจินาอุบอิบ "ฝ่าบาทไคราห์นเองก็โลเลเช่นกัน เจ้าไม่รู้สึกหรือ"

"กระหม่อมเพิ่งจะมาถึง จะไปเข้าใจอะไรราชาทะเลเหนือเล่า"

"เร็กซ์!" ผู้เป็นพี่หันไปหาคนที่เล่นกับวาฬอย่างถูกลืม "เจ้ารู้สึกใช่ไหม... ว่าฝ่าบาทไคราห์น..." พระนางพึมพำเสียงเบาลงราวกับกลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า "อาจมีใครสักคนอยู่ในใจอยู่แล้ว"

"ไม่รู้เลย..."

องค์ชายเร็กซ์เอนกายพิงวาฬตัวเขื่องข้างๆ พร้อมกับโบกหางยาวสีทองสะท้อนแสงแดด "ฝ่าบาทมีสีผิวแบบนั้นจึงปฏิเสธการเสกสมรสด้วยไม่ต้องการมีทายาทที่อาจมีอาการป่วยเช่นเดียวกับตน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีใครในใจ" องค์ชายวิเคราะห์ "แต่ก็ไม่อาจสมรสเพื่อให้ความหวังอีกฝ่ายได้อยู่ดี"

"หากมีใครในใจแล้วยังเกี้ยวสาวด้วยน้ำเสียงชวนหลงเช่นนั้นได้ กระหม่อมคิดว่าช่างใจร้ายกับคนรัก"

ฟาเบียงเอ่ยเรียบ และนั่นก็ทำให้ราชินีของเขาถลึงตาใส่ "เราไม่ใช่ 'สาว' ฟาเบียง! และเจ้าก็อายุมากกว่าฝ่าบาทไคราห์น อย่าทำตัวเป็นเด็ก!" องครักษ์ค้อมหัวลงยอมรับผิด และเก็บวาจาเชือดเฉือนของตนเอาไว้ด้วยตระหนักได้ว่ามันช่างเหมือนเด็กไม่รู้จักโต

เรจินาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะถอนออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม

"ทายาทจอมราชันจะต้องแก้ปัญหาทุกเรื่องเช่นนั้นหรือ"

"กระหม่อมต้องการเพียงลมปากของฝ่าบาท" ฟาเบียงว่า "มิเช่นนั้น... เลือดนักสู้ของกระหม่อมคงผลักดันให้เดินทางกลับไปเพื่อเอาชนะจนกว่าจะได้ครอบครองสิ่งที่ควรจะเป็นของกระหม่อมคืนมา" นัยน์ตาสีควันสบมองราชินีมารินาการ์ด "...กระหม่อมไม่อยากไปจากฝ่าบาท แต่ก็ไม่อาจทัดทานความต้องการเอาชนะของตัวเองได้"

เรจินาเอื้อมมือทั้งสองไปประคองเสี้ยวหน้าขององครักษ์คนสนิทเอาไว้ก่อนจะโน้มกายลงไปหาและแนบหน้าผากใกล้ชิด "หากเจ้ากลับไป ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เจ้าจะไม่มีวันกลับมาหาเราในสถานะเดิมได้..." องค์ชายเร็กซ์รู้สึกว่าตนเป็นส่วนเกินในบทสนทนาอยู่บ้าง แต่เขาก็อยากอยู่เคียงข้างพี่สาว เผื่อจะช่วยอะไรพระนางได้ และองค์ชายก็ไม่คิดว่าตนเป็นส่วนเกินเสียทีเดียว

...เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมีคาดันน์!!

เจ้าวาฬเด็กฟังการสนทนาอะไรไมรู้เรื่องทั้งนั้น แต่อย่างน้อยองค์ชายใจดีก็ยังเอ็นดูมัน ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุผลที่ดีพอที่จะทำให้มันลอยตัวอยู่เช่นนี้ต่อไป สัตว์ใหญ่พ่นลมหายใจออกมาและเอียงตัวยกครีบขึ้นเล็กน้อยเมื่อองค์ชายเร็กซ์เริ่มเอนพิง "แล้วท่านพี่จะจัดการเรื่องของเซลทิคอย่างไร"

บางครั้ง เรจินาเก็เบื่อหน่ายน้องชายที่ชอบทำตัวสบายใจทว่าถามคำถามตรงประเด็นเสมอ

"เราไม่ได้ตอบรับอะไรเขา... อีกทั้งฝ่าบาทเองก็ยังสองจิตสองใจ จึงคิดว่าปล่อยให้เป็นความสัมพันธ์อันดีแบบนี้จะดีกว่า" พระนางก็ไม่ได้รังเกียจราชาทะเลเหนือ แต่ก็ยอมรับว่าเอ็นดูเขาเหมือนน้องชายเสียมากกว่าจะคิดเป็นอื่น แม้อีกฝ่ายจะเป็นชายหนุ่มรูปงาม อาจจะงามที่สุดที่พระนางเคยพบ มีรอยยิ้มอ่อนโยน อีกทั้งน้ำเสียงที่นุ่มนวลทว่าทรงพลังก็ตาม

...แต่พระนางมีองครักษ์ผู้นี้อยู่ข้างกายแล้ว

"ถึงไม่มีเรา... เราก็เชื่อว่าชาวเซลทิครักราชาของพวกเขา"

"ฝ่าบาท" ฟาเบียงพูดบ้าง "เพียงแค่คำว่าสายเลือดจอมราชันก็มีอำนาจเหนือราชวงศ์อื่นใดทั้งปวงแล้ว... คงต้องยอมรับว่าหากฝ่าบาทยื่นมือเข้าช่วยจริงๆ ปัญหาที่ว่าใหญ่โตก็อาจจะเล็กลงไปทันตาก็เป็นได้" ไม่ว่าใครก็รู้เรื่องนี้ดี หากได้ชื่อว่าเป็นสายเลือดจอมราชันแล้ว ก็จะได้รับความเชื่อถืออย่างล้นหลามโดยที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรเลยด้วยซ้ำ และแน่นอนว่ามันอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่จะทำให้เงือกวาฬตัดขาดจากแผ่นดินเพื่อหลบหนีปัญหาบาดหมางได้อีกด้วย

"เจ้าอย่ามาเสแสร้งหวังดีกว่าเซลทิคหน่อยเลย เมื่อครู่เจ้ายังกล้าขู่เราแบบนั้น!"

"กระหม่อมหวังดีต่อฝ่าบาท" องครักษ์หนุ่มยิ้มขัน "อยากให้ฝ่าบาทสบายใจ อีกทั้ง..." เขาเอื้อมมือไปสัมผัสพวงแก้มนวลอย่างอ่อนโยนเป็นเชิงง้อ "ไม่อยากให้ฝ่าบาทของกระหม่อมถูกนินทาว่าร้ายในทางไม่ดีด้วย" โดยปกติแล้ว ฟาเบียงจะเรียกอีกฝ่ายว่า 'ฝ่าบาท' เท่านั้น แต่ในครั้งนี้เมื่อมีคำว่า 'ของกระหม่อม' พ่วงมาด้วย ต่อให้เป็นราชินีเรจินาผู้ได้ชื่อว่าใจแข็งที่สุดในบรรดาผู้นำหญิงทั้งหมด ก็คงมีอาการหน้าแดงบ้าง

"แล้วจะให้เราทำเช่นไร"

"กระหม่อมหรือจะกล้าชี้นำราชินีแห่งมารินาการ์ด" เงือกฉลามค้อมหัวลงต่ำ

ผู้อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าทำหน้างอ แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าให้เรียบเฉยดังเดิมเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่เส้นขอบฟ้า คลื่นเสียงใต้น้ำที่ดังเอ็ดตะโรขึ้นมาทำให้องครักษ์คนสนิทขยับมือจับอาวุธให้แน่นขึ้น และดำน้ำลงไปเพื่อสำรวจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับคาดันน์ที่ยังปล่อยตัวตามสบายเมื่อครู่กลับดูขึงขังจริงจังขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

ฟาเบียงไม่ได้มีสายตาดีนักเมื่อเทียบกับเงือกเผ่าปลาด้วยกัน แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้หูหนวกถึงขั้นไม่ได้ยินเสียงของฝูงวาฬเพชฌฆาต คาดันน์ที่ดำลงมาในน้ำส่งเสียงตอบโต้พูดคุยกับสัญญาณเหล่านั้น ก่อนจะหันไปหาองค์ชายเร็กซ์ที่อยู่ข้างกาย

ฟู่...!

สัตว์ยักษ์เหลือบข้างหนึ่งขึ้นมองประสานกับเงือกต่างเมือง และในครั้งนี้ องค์ชายเร็กซ์กลับเข้าใจสิ่งที่มันต้องการจะสื่อ "ท่านพี่..." เขาหันไปหาพี่สาว "ราชรถแห่งเซลทิคจะพาเราเดินทางกลับมารินาการ์ด" แม้จะเป็นการเดินทางกลับบ้านเกิด แต่เรจินากลับมีเรื่องกังวลใจจนกำหมัดทั้งสองข้างอย่างตัดสินใจไม่ได้

"เร็กซ์" พระนางเอ่ยออกมาในที่สุด "เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน เราจะกลับมาเมื่อธุระของเราเสร็จสิ้น"

"ท่านพี่..." องค์ชายไม่เคยเกี่ยงงอนฐานะทางการทูต แต่เขาก็ไม่เข้าใจพี่สาวของตนสักเท่าไหร่

"ให้ชาวเซลทิคเชื่อว่าเรายังมีเยื่อใยกับพวกเขา อย่าให้ฝ่าบาทไคราห์นตกที่นั่งลำบาก" ราชินีเม้มปากจนเป็นเส้นบางเฉียบ "เพราะการกระทำของเราต่อไปนี้อาจสั่นคลอนใจของชาวเซลทิคได้" ว่าแล้วพระนางก็เคลื่อนกายกลับลงไปในน้ำ

เร็กซ์มองตามแผ่นหลังของพี่สาวก่อนจะเอ่ย

"เช่นนั้น... ฝากบอกสาวน้อยของเราด้วย... ว่าพ่อคิดถึง..."

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 13.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 29-05-2017 07:50:07
ตอนที่ 13.2

ฝูงวาฬถูกเรียกมาจากทะเลทางเหนือ เพื่อเทียมราชรถแห่งเซลทิคเดินทางไปยังมารินาการ์ด พวกมันส่งเสียงแหลมสูงพูดคุยกันขณะที่องครักษ์เผ่าเพชฌฆาตกำลังตรวจตราความเรียบร้อยของเส้นเชือกที่ถักทอขึ้นมาจากพื้นน้ำที่นุ่มแหละเหนียว ทำให้ไม่บาดผิวอันบอบบางของสัตว์ใหญ่

เวสเทียร์คอยอารักขาฝ่าบาทให้อยู่ในสายตาของเขา และจะเว้นระยะห่างให้อีกฝ่ายได้สนทนากับราชินีเรจินาอีกครั้งก่อนจากลา ราชาแห่งเซลทิคส่งยิ้มให้กับอาคันตุกะของตน ส่งพระนางขึ้นนั่งบนราชรถ ช้อนฝ่ามือเล็กๆ ของนางขึ้นมา และโน้มจูบลงบนหลังมืออย่างอ่อนโยน

ไม่ว่าจะมองจากมุมใด สำหรับเวสเทียร์แล้ว ฝ่าบาทไคราห์นก็สง่างามที่สุด

"พวกองครักษ์ยามคุยกันว่ามีสาวมาหาเจ้าเมื่อเช้านี้" เสียงของฟาลดังขึ้นข้างตัว ทำให้เวสเทียร์หันไปค้อมหัวทักทายเบาๆ "แล้วเจ้าก็สัพยอกหยอกเย้ากับนางเสียด้วย"

"ข้าไม่ได้รังเกียจสตรี" เวสเทียร์เอ่ยตอบ "และข้ารู้ว่าเป็นฝีมือท่าน"

ฟาลรู้ดีว่าผู้นำเผ่าเพชฌฆาตไม่ได้โง่เขลา และเขาเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังอีกฝ่าย "ฝ่าบาทไคราห์นดูจะโปรดราชินีเรจินามาก" เลขาคนสนิทหันไปมองการพูดคุยของสองผู้นำอาณาจักร "และดูเหมือนว่าจะมีข่าวดีในอนาคต..."

เวสเทียร์หลับตาลงด้วยรู้ดีว่าญาติผู้ใหญ่ของตนต้อการจะพูดอะไร

...มันอาจถึงเวลาที่เขาควรจะทำอะไรเพื่อเผ่าเพชฌฆาตแล้วจริงๆ

"ถูกใจธีราหรือเปล่า" ถึงจะอยากเร่งเร้า แต่ฟาลก็ต้องถามความสมัครใจของเวสเทียร์บ้าง "หรือว่าเด็กไปสำหรับเจ้า... ผู้หญิงครึ่งค่อนเผ่าแทบจะยินดีเป็นตัวเลือกให้เจ้า เวสเทียร์" เวสเทียร์เป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังโสด จึงไม่แปลกใจที่เหล่านางเงือกเผ่าเพชฌฆาตจะเมียงมองและใฝ่ฝันถึง

แต่ก็ด้วยรู้ว่าหน้าที่ขององครักษ์คนสนิทนั้นหนักหนาจนแทบจะไม่มีเวลาหาครอบครัว

"หากท่านฟาลเลือกธีราให้ข้า ก็เกรงว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด" องครักษ์หนุ่มตอบ ทั้งที่คำตอบนั้นไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงของตนเอง จนเวสเทียร์เริ่มสงสัยว่าเขาเคยพูดอะไรที่ตรงกับใจบ้างแล้วหรือยัง "หากนางชอบข้าด้วยเช่นกันก็คงจะดี"

ใจของเขาน่ะหรือที่มีสิทธิ์พูด... หากพูดไปแล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างนั้นหรือ

"ฝ่าบาทเคยพูดเรื่องนี้กับเจ้าหรือเปล่า" ฟาลถาม

องครักษ์คนสนิทกำอาวุธในมือแน่นขึ้น ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ฝ่าบาทไม่ได้กล่าวอะไร" ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเพียงความไม่แน่นอน ราวกับหมอกควันที่จับต้องไม่ได้ทว่าสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ มันเป็นเพียงตัณหาชั่วครั้งคราวที่หาคำจำกัดความไม่ได้ อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดพูดถึงหรือคิดจะหาคำตอบจากมัน

เพราะหากเอ่ยออกไป... หมอกควันที่เบาบางอยู่แล้วอาจมลายหายไปในพริบตา

"คิดเสียว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นจะดีกว่า" องครักษ์หนุ่มเอ่ย แม้ว่ามันจะเป็นคำที่เปรียบเสมือนมีดกรีดลงบนหัวใจของตนเองก็ตาม "คิดเสียว่า..." ร่างโปร่งหลับตาลง รับรู้ถึงหยาดน้ำอุ่นที่ไหลปะปนไปกับน้ำทะเล "เป็นเพียงความฝันที่จะต้องตื่นจากมันเสียที"

--------------------------------------------------


โอย... OTL

ตอนแรกว่าจะยิง (?) ดราม่าตอนนี้เลย... แต่... แค่ 2 ฉากแรกก็กินพื้นที่ซ้าาา... เราแอบเห็นว่าหลายคนกรี้ดคาดันน์มากกกกกกกกกกกกกกกกกกก โอเค ประสบความสำเร็จในการขายสรรพสัตว์ 555

จริงๆ อยากได้ดราม่าบาดๆ (?) แต่พอเขียนแล้วดันออกมาหน่วงๆ แทน ซึ่งก็... โอเค 555

ใกล้พีคแล้วๆ (หมายถึงพีคดราม่านะ แต่โครงเรื่องยังต้องไปต่อนะ) (จริงๆวางโครงไว้ 22 ตอนจบ แต่เนี่ย... ตอนที่ 13 ควรจะพีคดราม่าแล้ว แต่ก็ยาวปายยย ตามอารมณ์ความหน่วงของตัวละคร เดี๋ยวก็เป็น 25 ตอน รึ 30 ตอนจบเอง---)

ตอนนี้แทบไม่มีเกร็ดความรู้อะไรเลยยย ไม่รู้จะทอล์คอะไร ฮาาา...

ธีรา... คือถ้าเรจินาเป็นความสวยมีอายุ ดูหรู ดูแพง แม่หนูธีราคือความสดใสจริงใจ ปิ๊งๆ เลยแหละ ซึ่งเหมือนจะเยียวยาเวสเทียร์ได้นิดนึง คือธีราดูไม่มีเรื่องอะไรในใจ และพูดทุกอย่างตามที่คิด (ตั้งกะบอกว่าทวดให้เอามา << คือหล่อนไม่ต้องบอกเขาก็ได้มั้ง ฮาาา) ในขณะที่เวสเทียร์เก็บทุกเรื่องไว้ในใจหมด การเห็นธีราคือเหมือนทำให้เขาสบายใจขึ้นนิดนึง... สักพัก... แต่พอกลับไปเจอฝ่าบาทก็... นั่นแหละ (แล้วฝ่าบาทก็เจือกได้ยินอีก)

ลักษณะถ้ำที่ประมับของฝ่าบาท เป็นเหมือนมีทางเข้าใหญ่ๆ แล้วแยกออกไปเป็นหลายห้อง ทั้งที่พักขององค์หญิงอาโกรนาห์ องค์หญิงเอสลินน์ เชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ คือเหมือนมันจะเป็นถ้ำโพรงๆ ทั้งแถบเลยอะนะ หน้าผาแถวนั้น (ไว้จะวาด Top View ให้ดู) (วาดแผนที่อีกละ นี่ทำเป็นทุกอย่างใช่มะ 555)

เวสเทียร์เหมือนจะ.. โอเคกับธีรานะ ในขณะที่ฝ่าบาทไคราห์นก็โอเคกับราชินีเรจินา

แต่การเปิดตัวละครฟาเบียงขึ้นมาในตอนนี้... คือ... ฮ่าาา (คนอ่าน สัญญาสาปสมุทร คงรู้อยู่แล้ว) นั่นคือแฟนตัวจริงของควีนฮ่ะ (อ้าว พวกเล่นองครักษ์ตัวเองทั้งคู่นี่หน่า) แต่จริงๆ ฟาเบียงไม่ใช่องครักษ์ธรรมดา เผื่อจะงงคำพูดปริศนาของเขาระหว่างพูดคุย... คือเขาเป็นลูกของราชาเอลเซียร์แห่งไรห์วา ซึ่งราชาเอลเซียร์มีพระชายา 3 คน พระชายาที่ 1 มีลูกชายคือราชาแอนโธ่เน่ (ซึ่งก็คือราชาองค์ก่อน) พระชายาที่ 2 มีลูกชายคือราชารอย (ราชาคนปัจจุบัน) และพระชายาที่ 3 มีลูกชายเช่นกัน คือ ฟาเบียง ซึ่งฟาเบียงมีอายุมากกว่ารอย แต่มีศักดิ์เป็นน้อง

วิธีการจัดลำดับรัชทายาทตามปกติแล้วคือเรียงตามอายุ แต่พระชายาที่ 2 ดันอยากเรียงตามศักดิ์ อีกทั้งรอยยังเกิดมาได้ลักษณะของฉลามมาโก ซึ่งเป็นลักษณะของแม่ แทนที่จะเป็นฉลามขาวตามพ่อ (ฟาเบียงกับแอนโธ่เน่ก็เป็นฉลามขาวตามพ่อของเขา ราชาเอลเซียร์) อีกทั้งรอยยังเกิดหลังจากที่ราชาเอลเซียร์สละบัลลังก์แล้วอีกด้วย (สละนะ ไม่ได้ตาย) ทำให้พระชายาที่ 2 ค่อนข้างจะถูกโจมตี แล้วราชาแอนโธ่เน่ก็ไม่มีลูก หลังจากราชาแอนโธ่เน่ตาย ก็เกิดเป็นเรื่องแย่งบัลลังก์ขึ้นมา...

ฟาเบียงเป็นเผ่าฉลามขาวคนสุดท้ายแล้ว ในขณะที่รอยเป็นเผ่าฉลามมาโกซึ่งมี back up ที่ดีกว่า พอต่อสู้กัน... ฝ่ายแพ้ก็เลยกลายเป็นฟาเบียง เขาจึงถอยกลับไปมารินาการ์ด และตั้งใจว่าจะไม่กลับไปไรห์วาอีก แต่ไรห์วาเองก็วอแวส่งคนมาตามเขาอีก ซึ่งถ้าหาเบียงกลับไปไรห์วาอีกครั้ง.. ถ้าเขาไม่สู้จนตาย ก็คงจะชนะแล้วขึ้นเป็นราชาแห่งไรห์วา ซึ่งยิ่งจะทำให้... คบกับเรจินาไม่ได้ไปกันใหญ่ (คือถ้าราชาเมืองนั้นกับราชินีเมืองนี้คบกัน... แต่งงานกันก็ได้ แต่ถ้ามีลูกเมื่อไหร่คือต้องยุบอาณาจักรรวม) (ไคราห์นถึงสนใจเรจินา)

เราจะไม่พูดถึงดราม่าของไรห์วามากนัก ก็เลยสปอยเลย 555

เพราะเรจินาไม่ปล่อยฟาเบียงกลับไปสู้หรอก (อา ผู้หญิงเรื่องนี้เหนื่อยเน้อะ ต้องปกป้องผู้ชาย) แต่นางจะทำอะไรในการกันไรห์วาออกไป... ก็ต้องคอยดู...



ปล. ชอบความกวนประสาทขององค์ชายเร็กซ์จัง 555

ปล.2 ถึงฟาเบียงจะเป็นตัวจริง... แต่ต้องยอมรับว่าไคราห์นหล่อกว่า... มาก...
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 13 [29-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 29-05-2017 09:56:58
"ต่างคนต่างพูด ไม่ออก ได้แต่มองตา เท่านั้น รักที่ให้กันเหมือนโดนกั้นขวาง ทางไป
อย่าเลยอย่ารู้ ว่าฉัน ขาดเธอจะเป็น อย่างไร แค่รู้ไว้ ว่าโลกทั้งใบ จะให้เธอคนเดียว

เหตุการณ์วันนั้น ต่างจากวันนี้ และเรารู้ดี ว่าต้องทำใจ"

ขอมอบบทเพลงนี้ให้กับฝ่าบาทและท่านเวสเทียร์นะคะ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 13 [29-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-05-2017 22:11:08
หน่วงไปอีก

ฟาเบียงมาขอให้แฟนไม่ปล่อยตัวเองกลับไป น่ารักอ้ะ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 14.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 31-05-2017 11:53:23
ตอนที่ 14.1

"ธราฟัสการ์อีกแล้วรึ"

ยามเช้าของวันนี้ต่างออกไปจากทุกวัน เลขาอาวุโสของฝ่าบาทไคราห์นไม่ได้ออกไปล่ากับเผ่าตามปกติ แต่กลับเข้ามารายงานเรื่องของหมู่บ้านร้างบนแผ่นดิน พวกเขาพบรอยเท้าของหมาป่าบริเวณนั้น และสันนิฐานได้ว่ามีหมาป่าขนาดยักษ์สองตัวเข้ามาสำรวจสถานที่ "แต่หน่วยจู่โจมที่คอยดูแลชายป่าทางฝั่งเรายืนยันว่าพวกหมาป่าไม่ได้เข้ามาป้วนเปี้ยนขอรับ" ฟาลรายงานต่อ "พวกมันหยุดอยู่แค่ชายป่าของธราฟัสการ์ และลงไปสำรวจอ่าวแห่งนั้นก่อนจะล่าถอยกลับไป"

ฝ่าบาทถอนใจกับสิ่งที่ได้ยิน

ในบริเวณทางตอนใต้ของบาร์ธีมอร์นี้มีผาสูงอยู่สองแห่ง ซึ่งแห่งหนึ่งอยู่ใกล้หมู่บ้านธราฟัสการ์ และเป็นจุดที่องค์หญิงอาโกรนาห์เคยกระโดดลงมาเพื่อหลบหนีการไล่ล่าของแวมไพร์ ทว่าตัวอาณาจักรเซลทิคตั้งอยู่ใต้ผาอีกแห่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกันมาก "เท่านี้ก็เสี่ยงมากพอแล้ว" ราชาหนุ่มมุ่นคิ้ว "ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใดก็ให้ล่วงรู้ที่ตั้งของเราไม่ได้ทั้งนั้น"

"ฝ่าบาทจะทำอย่างไรขอรับ" ฟาลถาม "หมู่บ้านแห่งนั้นอาจถูกทิ้งร้างไปแล้ว แต่มันก็ยังเป็นหลักฐานที่จะทำให้เข้าใกล้พวกเราได้อยู่ดี" หากจะตัดขาดกับแผ่นดิน ฝ่าบาทไคราห์นคิดว่าเขาอาจจะต้องทำลายที่แห่งนั้นทิ้งไปจริงๆ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนแห่งเซลทิค และตัวเขาเองก็จะต้องตัดขาดจากแผ่นดินเช่นกัน

"เราจะหารือกับหมาป่าก่อน" ราชาตอบ "เราอยากต่อสู้ ฟาล... ชาวเงือกไม่ได้ทำผิดอะไร เหตุใดจึงต้องมีชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้ เรามีสิทธิ์ที่จะขึ้นไปเบื้องบน มีชีวิตอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์ ตราบใดที่มันไม่ได้เปิดโปงความลับของเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าเลือดของชาวเราจะยั่วยวนสำหรับแวมไพร์สักเท่าใด พวกมันก็ไม่มีสิทธิ์จะเข่นฆ่าเราแบบนี้"

ฟาลค้อมหัวลงอย่างเห็นด้วย ...แต่เขาก็ยังมีความหวาดกลัว

"ครั้งที่แล้วพวกมันโจมตีหมู่บ้านแห่งนั้นทำให้เราเพลี่ยงพล้ำและสูญเสีย ทว่าครั้งนี้คงไม่ซ้ำรอยเดิมเป็นแน่" เลขาว่า "แต่จะประกาศศึกกับใคร ในเมื่อเราไม่เคยรู้เลยว่าพวกมันรวมตัวกันอยู่ที่ใด หรืออาศัยอยู่ที่ไหน"

"เราจะขึ้นไปพบพวกหมาป่า..." ไคราห์นตอบเรียบ "เวสเทียร์ยังไม่กลับมาอีกหรือ"

เมื่อพูดถึงองครักษ์คนสนิท ฟาลก็อึกอักขึ้นมาเล็กน้อยก่อนพึมพำตอบอย่างไม่แน่ใจนัก "เวสเทียร์ไปพบท่านซินเธียร์ที่ผาอีกฝั่งตะวันออกขอรับ" ไคราห์นคิดว่าอีกฝ่ายออกไปล่าตามปกติจึงไม่ได้ไถ่ถามอะไรมากนัก แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ ราชาหนุ่มก็มุ่นคิ้วและมองเลขาของตนด้วยสายตาเรียบเฉย เปลี่ยนบรรยายให้กดดัน คะยั้นคะยอให้เลขาพูดต่อ "เห็นว่า... ไปพบแม่หนูธีรา เหลนของท่านซินเธียร์"

"ไปตามกลับมา..." ไคราห์นออกคำสั่ง "เราจะพูดกับท่านซินเธียร์เอง"

"ฝ่าบาท" ฟาลไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองผู้นำอาณาจักร แต่เขาสัมผัสโทสะได้จากน้ำเสียงทรงพลังนั่น ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเอ่ยเรียก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก ด้วยเกรงว่านั่นจะทำให้ราชาหนุ่มโมโหขึ้นมาจริงๆ และฟาลจำได้ว่าเขาไม่เคยเห็นฝ่าบาทไคราห์นโกรธเลยสักครั้ง

"ไปตามกลับมา..." ราชาหนุ่มเอ่ยซ้ำ เอนกายพิงหมอนอิงบนแท่นประทับเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง

เขาไม่นึกเสียใจ หากเวสเทียร์จะมีความสัมพันธ์ด้วยเพียงเพราะหน้าที่ และคิดว่าไม่เป็นไร หากจะต้องปล่อยมือจากอีกฝ่ายไปจริงๆ เพื่อให้เขาทำหน้าที่หัวหน้าเผ่าโดยสมบูรณ์ แต่เพียงแค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายอาจถูกตาต้องใจกับหญิงคนอื่นจริงๆ โทสะในแบบที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนกลับก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ฝ่าบาทเข้าใจในตอนนั้นเอง... ว่าเวสเทียร์เป็นของเขา

และเขาจะไม่ยอมยกให้ใครเป็นอันขาด

--------------------------------------------------

"พวกหมาป่าเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวหมู่บ้านร้างนั่น แปลว่ามันมีหลักฐานของพวกเงือกหลงเหลืออยู่จริงๆ" คนพูดเป็นชายหนุ่มร่างสูง เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนสั้นรองทรง เขาเดินทางมาพบกลุ่มคนที่อยู่ใต้บัญชาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "พวกเงือกเซลทิคจะต้องอาศัยอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านร้าง พวกเขาต้องการอากาศในการดำรงชีวิต ไม่มีทางหลบซ่อนอยู่ใต้ทะเลได้เป็นนิรันดร์เช่นมารินาการ์ด"

"เกรงว่าจะเป็นจริง นายท่าน..." ลิ่วล้อเอ่ยตอบ "ในวันเดียวกันที่พวกเราพบเจอหมาป่า เราก็ได้เห็นอสูรทะเลกระโจนขึ้นมาจากน้ำ พวกเงือกนี้ได้ชื่อว่าสนิทสนมกับอสูรทะเล กระผมคิดว่านี่อาจเป็นหลักฐานสำคัญที่จะทำให้เรารู้ว่าอาณาจักรเซลทิคอยู่ที่ใด"

"เราต้องเจออาณาจักรนั้นก่อนพวกหมาป่า" ผู้นำออกคำสั่ง "เลือดของราชาแห่งเซลทิคเยียวยาบาดแผลได้ และมันคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราปลุกชีพนายหญิงขึ้นมาได้" พวกเขาเป็นแวมไพร์ที่ต้องหลบซ่อนในเงามืด กล้ำกลืนอาหารชั้นต่ำเช่นเลือดจากสัตว์สกปรกที่อาศัยในเมือง มีชีวิตอมตะที่ทรมานสาหัส

...เพราะความกลัวต่ออำนาจแห่งราชาแวมไพร์

เมื่อผู้มีอำนาจแข็งแกร่งและเด็ดขาดที่สุดในหมู่ผีดูดเลือดคือราชาแวมไพร์ แต่ราชาผู้ไม่เข้าใจผู้ติดตามกลับออกคำสั่งโหดร้ายราวกับสั่งให้พวกเขาไปตายทั้งเป็น นั่นคือการห้ามล่ามนุษย์โดยเด็ดขาดเพื่อปกป้องความลับของเผ่าพันธุ์ แต่ความคิดนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นของราชาเสียทีเดียว

ราชาแวมไพร์รับคำสั่งจากพวกมนุษย์... ช่างเป็นการกระทำที่น่าสมเพช

พวกเขาไม่ต้องการติดตามราชาผู้นี้อีกต่อไป แต่หากต้องการจะเอาชนะราชาแวมไพร์ ผีดูดเลือดที่สามารถมีชีวิตอยู่ใต้แสงตะวันได้ พวกเขาต้องการอำนาจของผู้ที่มีฐานะเสมอกัน และผู้ที่มีฐานะเสมอนั้นก็คือราชินีแวมไพร์ผู้ถูกฆ่าไปเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว พวกเขาจะต้องปลุกชีพนางขึ้นมาให้เร็วที่สุด

และวิธีการที่เร็วที่สุดที่ว่า... นั่นคือการใช้เลือดของชาวเงือกชนชั้นปกครอง

อย่างเลือดที่มีอำนาจในการเยียวยาของฝ่าบาทไคราห์น

"เมื่อห้าปีที่แล้ว... เราได้เลือดขององค์ชายเดียร์ราฮานมาก็จริง เนื่องจากเขาตายก่อนที่จะมาถึงที่นี่ ดังนั้นครั้งนี้และครั้งต่อๆ ไปเราต้องการเงือกที่มีชีวิต เพื่อให้พลังในสายเลือดยังคงอยู่" ชายหนุ่มผู้นำว่า "และระวังอย่าให้เรื่องนี้ไปถึงหูราชาแวมไพร์ ไม่เช่นนั้นเขาจะเข้ามายุ่งย่ามแน่ๆ และต่อให้ไอร์แลนด์ในปัจจุบันจะเป็นฤดูหนาว แต่อำนาจของราชา... สามารถสั่งฟ้าฝนได้ดังใจ"

แวมไพร์ผู้ต่อต้านเคยสูญเสียความหวังหลังจากราชินีของตนถูกฆ่าโดยราชา แต่ผู้ที่ทำให้พวกเขากลับมาฮึกเหิมที่จะต่อสู้อีกครั้ง ก็คือนายท่านผู้นี้ ผู้ที่รู้ทุกเรื่องทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างดี

ชื่อของเขา... คือเวเรเซียโน

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 14.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 31-05-2017 17:30:51
ตอนที่ 14.2

ฟาลกลับไปตามองครักษ์คนสนิทมาจากผาฝั่งตะวันออกซึ่งเป็น 'บ้าน' ของเหล่าเงือกวาฬเผ่าเพชฌฆาต แม่หนูธีราออกไปล่าตามลำพังตั้งแต่เช้ามืด เพื่อจะมานั่งรอผู้นำเผ่าที่สัญญาว่าจะมาพบนาง แต่พวกเขาก็ได้สนทนากันเพียงไม่นาน เลขาอาวุโสก็เข้ามายังที่พักเพื่อตามองครักษ์หนุ่มกลับไปทำหน้าที่

เวสเทียร์เห็นอีกฝ่ายสีหน้าไม่ค่อยดีนัก จึงพอจะเดาได้ว่าราชาทะเลเหนือรู้เรื่องนี้แล้ว

มันคงเป็นความผิดของเขาที่ไม่ได้ขออนุญาตอีกฝ่ายก่อน ชีวิตขององครักษ์คนสนิทเป็นของราชา และต่อให้อีกฝ่ายจะมีเมตตาอย่างไร การแต่งงานก็เป็นเรื่องที่เขาจะต้องบอกกล่าว แต่เวสเทียร์เพียงแค่คิด เขายังไม่ตกลงปลงใจกับแม่หนูธีรา การพบหน้ากันเพียงสองครั้งไม่ได้ยืนยันถึงความสัมพันธ์อันดีในอนาคต

แต่ฝ่าบาทก็คงจะโกรธที่เขาไม่พูดเรื่องนี้

เมื่อกลับไปยังถ้ำที่ประทับซึ่งอยู่ด้านในสุดของถ้ำใหญ่ เวสเทียร์ก็รู้สึกเกร็งจากสายตาที่ทิ่มแทงและคาดคั้น "ฝ่าบาทเรียกหากระหม่อม" เขาใจแข็งพูดออกไป และค้อมหัวลงต่ำอย่างนอบน้อม

"พอตามใจมากเข้าก็ทำตัวเหลวไหลได้หรือไร"

คำถามที่สาดกลับมาไม่ได้รุนแรงมาก แต่น้ำเสียงและบรรยายกาศที่ยิ่งเพิ่มความอึดอัดทำให้เวสเทียร์จนปัญญาจะเลี่ยง 'ประเด็น' ที่ทำให้ราชาทะเลเหนือโกรธเคือง "ขออภัยฝ่าบาท กระหม่อม..."

"การบอกให้เราลงโทษเจ้า... มันช่วยให้เจ้าพ้นโทษจนเคยตัวด้วยหรือเปล่า"

ฝ่าบาทไคราห์นกำลังโกรธจริงๆ เวสเทียร์รู้สึกได้ว่ามันเป็นโทสะที่อีกฝ่ายไม่เคยแสดงออกมาก่อน องครักษ์หนุ่มก้มหน้านิ่ง ด้วยคิดว่าการตอบโต้ไปจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายโมโหเสียเปล่า เขาคงจะเคืองที่ถูกข้ามหน้าข้ามตา และการอธิบายว่าตน 'เพิ่งจะคิด' มีเมียก็คงไม่ช่วยอะไร

"เหตุใดจึงไม่พูดเรื่องนี้สักคำ"

เวสเทียร์เม้มปากครุ่นคิด คำตอบของเขาอาจทำให้อีกฝ่ายยิ่งโมโหมากกว่าเดิม

ฝ่าบาทไม่คอยคำตอบเขาแบบทุกครั้ง และยิ่งคะยั้นคะยอถาม "ท่านซินเธียร์เป็นคนจัดแจงรึ" เมื่อลามไปถึงองครักษ์คนสนิทคนก่อน เวสเทียร์ก็เป็นห่วงนางเงือกอาวุโสขึ้นมา เพราะหากราชาแห่งเซลทิคออกปาก แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งอย่างแน่นอน แต่ว่าอีกฝ่ายจะออกปากเรื่องใดกันเล่า

"เปล่าขอรับ" ด้วยสัญชาติญาณ เวสเทียร์ตอบออกไปเช่นนั้น "กระหม่อมคิดเอง"

แม้จะได้ชื่อวาเป็นองครักษ์คนสนิท แต่เวสเทียร์ไม่เคยรู้เลยว่าคำตอบนั้นทำให้ราชาหนุ่มสั่นคลอนมากแค่ไหน ผู้นำอาณาจักรนิ่งไปครู่หนึ่งขณะมองพิจารณาคนตรงหน้าที่ยังคงใช้น้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์เสมอต้นเสมอปลาย "เจ้าอยากแต่งงานรึ" นานสักพักกว่าราชาจะหาเสียงของตัวเองเจอ และตระหนักได้ว่าในความเป็นราชา เขาไม่ควรหวั่นไหวกับคำพูดขององครักษ์

ราชาอาจจะกลัวได้ แต่แสดงความกลัวออกมาไม่ได้...

"กระหม่อมเป็นผู้นำเผ่าเพชฌฆาต..." เวสเทียร์ตอบเรียบ แต่ใจของเขากลับสั่นจนเกือบจะควบคุมน้ำเสียงไม่ได้ "ควรจะแต่งงานมีครอบครัว เพื่อนสืบทอดสายเลือดที่แข็งแกร่งต่อไป" นั่นคือความจริงในอุดมคติที่ไม่ใช่ความรู้สึกแท้จริงขององครักษ์ ฝ่าบาทไคราห์นรู้ดี และเขาก็รู้ว่าผู้ที่ปลูกฝังความคิดนี้คือฟาล เลขาคนสนิทซึ่งเป็นญาติอาวุโสของอีกฝ่าย เวสเทียร์สูญเสียบิดาและมารดาไปในสงครามที่ธราฟัสการ์เมื่อห้าปีที่แล้ว ฟาลจึงเป็นญาติเพียงคนเดียวของเขาที่เหลืออยู่

"ทำไมเพิ่งมาคิด" ราชาหนุ่มบังคับให้ตนเองถามต่อ มือใหญ่กำแน่นและคลายออกสลับกันเพื่อบรรเทาความโกรธ "ทำไมไม่มีเมียตั้งแต่แรกที่ขึ้นมาเป็นผู้นำเผ่า..." แต่เจตนาของราชาหนุ่มกลับไขว้เขวเพราะคำถามเชิงตัดพ้อของเขาเอง เขากำลังจะพ่ายแพ้ความรู้สึกของตนเองที่กำลังจะอยู่เหนือเหตุผล "มีเวลาตั้งห้าปีในตอนนั้น"

ห้าปีที่เวสเทียร์รับใช้ฝ่าบาท และพวกเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรต่อกันเลย

ทำไมจึงไม่คิดแต่งงานเสียตั้งแต่ตอนนั้น...

ราชาหนุ่มกำลังบีบคั้น ไม่ใช่แค่ต้องการคำตอบที่แท้จริงขององครักษ์ แต่เพื่อหักหาญใจตัวเอง หากเวสเทียร์ไม่ต้องการ เขาควรจะปล่อยอีกฝ่ายไป แม้จะหวงและอยากครอบครองเป็นของตนเองสักเท่าไหร่ แต่หากใจของเวสเทียร์ไม่ใช่ของเขา... ไคราห์นก็ไม่แน่ใจว่าจะเหนี่ยวรั้งเอาไว้ทำไมให้น่าสมเพช

ร่างโปร่งขบริมฝีปากตัวเองก่อนเอ่ยตอบ "เพราะกระหม่อมเพิ่งพบธีรา..."

แทงใจของตัวเองเถอะ... ก่อนที่มันจะเลยเถิดมากไปกว่านี้

"แล้วทำไมถึงยอม" คำถามที่เวสเทียร์ไม่คาดคิดและไม่นึกว่าจะได้ยินจากปากราชาทำให้เขาเผลอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างลืมตัว และก็ต้องกลั้นใจเมื่อได้มองสบดวงตาสีน้ำเงินอีกครั้ง แววตาของอีกฝ่ายเปี่ยมด้วยโทสะที่คุกรุ่น ทว่าการแสดงออกกลับนิ่งสงบสมมาดราชาทะเลเหนือ "ทำไม... ที่ผ่านมาถึงยอม และไม่ทักท้วงอะไรเลย"

เวสเทียร์คงไม่อาจเฉไฉไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้ มันมีแต่จะทำให้เขาโกรธมากขึ้นเท่านั้น

แต่คำตอบที่แท้จริงของเขา... มันเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างนั้นหรือ

หากเขาพูดออกไปว่ารักฝ่าบาทมาตั้งแต่ต้น... มันจะทำให้อีกฝ่ายละทิ้งทุกอย่างมาให้เขาได้หรือไร

"เพราะเป็นคำสั่งของฝ่าบาท" องครักษ์สูดหายใจลึก มองผู้เป็นนายขณะให้คำตอบอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "กระหม่อมมีหน้าที่รับใช้ฝ่าบาท และในตอนนี้ ฝ่าบาทก็มีราชินีเรจินาแล้ว กระหม่อมจึงเห็นว่าสมควรที่ตัวเองจะต้องทำหน้าที่ผู้นำที่ดีบ้าง" เวสเทียร์แทงใจคนตรงหน้า และแทบจะคว้านอกดึงหัวใจออกมาด้วยคำพูดเหล่านั้น แต่แทนที่ราชาจะใช้มันหักหาญความต้องการของตนเองอย่างที่ตั้งใจ เขากลับยิ่งไม่อยากให้อีกฝ่ายไปจากตน

...เขาปล่อยเวสเทียร์ไปไม่ได้จริงๆ

"เช่นนั้น ถ้าเราสั่งให้เจ้าอยู่แบบนี้ ห้ามมีความสัมพันธ์ใดๆ กับใครทั้งนั้น... เจ้าจะทำตามไหม"

องครักษ์ขบกรามจนเป็นสัน เขากำลังจะทนไม่ไหวอีกต่อไป "ฝ่าบาทจะเอาชนะไปเพื่ออะไร" เป็นครั้งแรกที่เขาพูดแบบนี้ เวสเทียร์หลับตาลงด้วยไม่อาจทนมองสบตาผู้เป็นนายได้อีก "ปล่อยให้กระหม่อมทำหน้าที่ของตนเองบ้าง... จะเอาชนะ จะเห็นแก่ตัวไปเพื่ออะไร!"

เจ้าโง่เวสเทียร์...

"องครักษ์เช่นเจ้ามีสิทธิ์ตั้งคำถามกับเราอย่างนั้นรึ!" น้ำเสียงทรงพลังตวาดกลับ และราชาก็ไม่คิดว่ามันจะดังไปถึงไหนบ้าง "ไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือไร ถ้าเด็กคนนั้นรู้เรื่องนี้ขึ้นมา นางจะรู้สึกอย่างไร!" ตามธรรมเนียมแล้ว เงือกมีคู่ครองได้เพียงคนเดียว และหลับนอนได้กับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน

"เช่นนั้นฝ่าบาทก็ไม่ละอายบ้างหรือ! ที่ทำแบบนั้น..." เวสเทียร์ตอกกลับอย่างที่ไม่เคยทำ แม้จะรู้ว่าเถียงอย่างไรก็ไม่ชนะราชา แต่เขาไม่อาจทนให้อีกฝ่ายต่อว่าได้อีกต่อไป "ปล่อยกระหม่อมไป... ในเมื่อเราต่างพบคนที่เหมาะสมแล้ว... ช่วยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหมขอรับ" ร่างโปร่งกัดฟัน "ปล่อยกระหม่อมไปได้ไหม"

จะให้เขา... ทนมองฝ่าบาทมีความสุขกับหญิงอื่นอยู่ฝ่ายเดียว... มันไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ

"เวสเทียร์!"

ราชาหนุ่มไม่เคยแสดงออกถึงโทสะ ดังนั้นการที่เขาขยับร่างและคว้ามือเข้าที่ลำคอของคู่สนทนาจึงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย องครักษ์หนุ่มไม่ได้ระวังตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงหวีดหวิวข้างหู และอึดใจต่อมาเขาก็ถูกเหวี่ยงลงกระแทกกับแท่นประทับที่ทำจากหินจนน้ำทะเลที่รองรับใต้ร่างสาดกระจาย และตามสัญชาติญาณ เวสเทียร์คว้าแขนแกร่งของคนตรงหน้าเพื่อป้องกันตนเองจากแรงที่กดบีบบนลำคอด้วยความโกรธ

"อั่ก!"

ฝ่าบาทตัวใหญ่กว่าเขา แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะเรี่ยวแรงมหาศาลถึงเพียงนี้ เล็บของอีกฝ่ายจิกเนื้อของเขาจนได้แผล แต่ด้วยพลังแห่งราชวงศ์ รอยเหล่านั้นก็ค่อยๆ สมานหายไป เวสเทียร์อ้าปากหายใจ แต่ฝ่าบาทก็ยิ่งเพิ่มแรงกดจนเขาสำลัก "ใครกันแน่ที่ไม่ละอาย..." ไคราห์นกดเสียงต่ำ "เจ้าเป็นคนเริ่มตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือไร!"

คนเริ่มความสัมพันธ์แบบนี้... คือตัวเวสเทียร์เองไม่ใช่หรือ...

พละกำลังของราชาอาจทำให้เขาขาดอากาศตายได้ และหากจะดิ้นรนก็คงต้องใช้ร่างมนุษย์ที่พอจะมีขาให้ถีบบ้าง แต่เพียงแค่คิดว่าจะต้องทำร้ายอีกฝ่าย... เวสเทียร์ก็คิดว่าเขายอมตายเสียจะดีกว่า เขาหาญกล้าต่อปากกับราชา นี่ก็อาจเป็นการลงโทษที่เหมาะสมแล้ว...

แต่หากเขาตายไปในตอนนี้ ใครอื่นจะปกป้องฝ่าบาทของเขา...

ร่างโปร่งสำลักอากาศ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แต่ก็ยอมคลายมือจากคนตรงหน้า ภาวนาอยู่ในใจให้อีกฝ่ายลดโทสะลงก่อนที่เขาจะขาดอากาศตาย แต่มืออีกข้างที่ขยับมาวางบนสะโพกมนกลับทำให้เวสเทียร์มุ่นคิ้ว

"ยกขาขึ้นมา..."

น้ำเสียงของฝ่าบาทเยียบเย็น และจุดประสงค์ของคำสั่งก็ไม่ชัดเจน แต่เวสเทียร์ก็พอจะรู้ว่า... อีกฝ่ายจะทำอะไร

แรงมือที่กดบนคอคลายออก ขณะที่ปลายหางของร่างเบื้องใต้ขยับเบาๆ ก่อนจะกลายเป็นขา เวสเทียร์หายใจรัวเร็วขณะมองร่างเบื้องบนคร่อมทับลงมา ท่อนขาขาวที่ตัดกับสีผิวกดลงแทรกให้ขยับแยกเปิดทาง ดวงตาคมกริบจ้องมองแน่นิ่ง ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ปรากฎให้เห็น แต่สัมผัสของราชาก็บ่งบอกถึงโทสะที่มากพอ

"คาดหวังว่าจะเป็นสามีที่ดีได้อย่างนั้นหรือ..."

น้ำเสียงของไคราห์นทุ้มต่ำ มือใหญ่หยาบหนากดลูบบนหน้าท้องและเคลื่อนไปยังบั้นเอวที่ได้รูปอย่างหยาบโลน "สามัญชนอย่างเจ้ามีสิทธิ์นอนกับใครไปทั่วหรือยังไง!" ปลายนิ้วสากบดขยี้ตุ่มแน่นตึงบนแผ่นอกสีเข้ม ทำให้ร่างรองรับผวาเฮือก และสะบัดหน้าหนีแทนคำปฏิเสธ

...ตัวเองเป็นคนเริ่มเองแท้ๆ แล้วจะมาทิ้งกันไปเฉยๆ แบบนี้น่ะหรือ

คนอย่างฝ่าบาทไคราห์น... ถูกทิ้งได้เหมือนกันหรือไร

เวสเทียร์กัดริมฝีปากอย่างอดกลั้น แม้ว่าสัมผัสต่อมาจะปลุกปั่นคลื่นอารมณ์เบื้องลึกให้โหมขึ้นจนแทบควบคุมไม่ได้ เรียกเสียงครางเครือในลำคอที่เขาไม่เคยหลุดออกมา องครักษ์หนุ่มพยายามบิดกายถอยหนี ทว่ามันกลับยิ่งทำให้ผู้รุกรานลงโทษด้วยความรุนแรงยิ่งขึ้น

ฝ่าบาทไม่จูบไปตามผิวกายอย่างที่เขาเคยทำ แต่เคลื่อนมือไปสัมผัสกลางกายที่แข็งขืนขึ้นมา

ร่างเบื้องล่างสั่นระริก แต่ก็ไม่ปัดป้องหรือต่อต้าน เวสเทียร์พยายามอดทน หวังว่ามันจะเป็นเพียงอีกครั้งหนึ่งที่จะผ่านไป และมันอาจ... เป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้ "อะ...!" สองมือของร่างโปร่งกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในอุ้งมือเพื่อระบายความอัดอั้นที่มี ขาเรียวขยับแยกออกกว้างอย่างหักห้ามไม่ได้ ในยามที่กลางกายถูกรูดรั้งหนักหน่วง ความเสี่ยวซ่านไต่ระดับขึ้นสูง และแทนสัมผัสปลอบโยนที่เคยได้รับ ร่างเบื้องบนเพียงมองเขาด้วยสายตาเย็นชา

"สภาพแบบนี้น่ะหรือ เวสเทียร์" คำถามนั้นทิ่มแทงใจร่างรองรับ พร้อมกับกดนิ้วลงบนส่วนปลาย

"อื้อ!" ใบหน้าเรียวสะบัดหนี เสียงครางกระเส่าในลำคออย่างคนที่ใกล้จะถึงฝั่งกลับกลายเป็นอาการสะดุ้งจุกจนแทบพูดไม่ออก "ฝ่าบาท..." เปลือกตาบางเผยอมองคนตรงหน้าผ่านฝ้าหยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด เวสเทียร์อ้อนวอนอยู่ในใจ ทว่าริมฝีปากไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมา

เขาขออภัยจนเคยตัวหรือเปล่านะ...

"ฝ่าบาท..." อุ้งมือของอีกฝ่ายยังคงกอบกุมเขา แม้ไม่ได้เพิ่มแรงแต่ก็ไม่ได้ผ่อนคลาย คล้ายกับหยุดเวลาเอาไว้เนิ่นนาน ไคราห์นระงับความโกรธของเขาเอาไว้ พยายามจะไม่ออกแรงกับส่วนอ่อนไหวในกำมือ ปล่อยให้ความเจ็บปวดปนเสียวซ่านกระตุ้นคนตรงหน้าจนต้องบิดกายเร่า ปลายนิ้วค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงไปโดยไม่เปิดจังหวะให้ปลดปล่อย และกดแทรกเข้าไปในกายอุ่นร้อนจนร่างรองรับสะดุ้งเฮือก

"อา...!"

เวสเทียร์ขบริมฝีปากกลั้นเสียง ทว่าการรุกรานในครั้งนี้หนักหน่วงกว่าที่ผ่านมาจนยากจะหักห้าม การระบายลมหายใจหอบถี่ไม่อาจช่วยได้อีก ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายแทรกนิ้วเพิ่ม แตะสัมผัสกับจุดอ่อนไหวภายใน ร่างรองรับก็แอ่นกายไปด้านหลังอย่างสั่นสะท้าน และได้ยินเสียงตัวเองหวีดครางน่าอดสู

ฝ่าบาททำแบบนี้เพื่ออะไร... เพื่อให้เขาอับอายอย่างนั้นหรือ

เวสเทียร์ไม่คิดว่าตนอยากรู้คำตอบ

"อ๊า...!" ร่างสูงกดกายที่แข็งแกร่งแทรกเข้ามาในร่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยทำ แม้จะลากผ่านตำแหน่งที่ทำให้เสียวกระสัน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บแสบอันอาจหมายถึงบาดแผล เวสเทียร์กระถดตัวหนี แต่ก็ติดที่ฝ่าบาทจับยึดขาของเขาเอาไว้

แม้ใจของเวสเทียร์จะไม่ใช่ของเขา... แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จักร่างกายนี้

อีกฝ่ายขยับกายบดเบียดในช่องทางคับแน่น สอดแทรกเสียดสีรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจนร่างรองรับเจ็บแสบราวกับร่างกายจะฉีกแยกจากกัน องครักษ์พยายามสูดหายใจลึก นัยน์ตาสีเข้มพยายามช้อนมองเพื่ออ้อนวอนเจ้าชีวิตอีกสักครั้ง แต่ราชาทะเลเหนือไม่ได้มองมายังเขา อีกฝ่ายทอดสายตาไปยังเรือนร่างที่บิดเร่าด้วยความสุขสมที่แสนทรมาน และสั่นคลอนตามจังหวะการรุกรานรุนแรง

ทำได้แค่นี้หรือ... ช่างน่าสมเพชนัก ราชาแห่งเซลทิค

ฝ่าบาทกัดฟันกรอด ขยับยกรั้งขาเรียวขึ้นสูง และโถมตัวใส่อีกฝ่ายโดยไม่ออมแรง กดกระแทกตนเองเข้าไป ล่าถอยออกมาจนแทบจะแยกจากกัน และกระทั้นฝังร่างเข้าไปจนสุดกายครั้งแล้วครั้งเล่า ให้เสียงร้องที่ไม่เคยดังกว่าลมหายใจเปล่งออกมาอย่างสุดจะทน

...ฝ่าบาท อภัยให้กระหม่อมด้วย

องครักษ์ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เวสเทียร์วางมือลงบนแขนแกร่งราวอ้อนวอน แต่ก็เผลอจิกข่วนบนผิวขาวเป็นแนวยาวด้วยแรงปรารถนาที่ใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุด ความเสียวซ่านพุ่งขึ้นเป็นระลอก ผลักดันให้เขาต้องบิดกายยั่วเย้าอย่างลืมอาย กระทั่งคลื่นอารมณ์ลูกสุดท้ายบดขยี้ความต้องการจนปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรง

แต่ก็ใช่ว่าเพียงเท่านั้นจะสาแก่ใจราชา อีกฝ่ายโถมกายเข้ามา และดันเข่าคนตรงหน้าจนติดอก ยกสะโพกลอยขึ้นสูงเพื่อรองรับความต้องการอันรุ่มร้อนที่ยังไม่ได้ถอดถอน เวสเทียร์ไม่อาจยับยั้งการกระทำนั้นได้ หลากหลายอารมณ์ผสมปนเปกันจนยากจะรับไหว

มีแต่จะต้องอดทนต่อไปจนกว่าทุกอย่างจะจบสิ้นเท่านั้น

เปลือกตาบางปิดลงอย่างอ่อนแรง เช่นเดียวกับฝ่ามือคลายจากท่อนแขนแกร่ง เมื่อสุดจะทานทนต่อไปได้ แม้แต่องครักษ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักรบ ก็หมดแรงจนสิ้นสติได้เหมือนกัน "เราเลือก... คู่ครองของเรานับตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว... แค่นี้คิดไม่ได้หรือไง"

ทว่าคำนั้นไม่เคยไปถึงเวสเทียร์

.

.

บุคคลที่ได้ยินทุกสิ่ง... กลับเป็นองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด

--------------------------------------------------


โอย OTL

แทบจะเขียนไปร้องไห้ไป ;___; (คือเราเป็นสายบูชาเคะ) จริงๆ เขียนบทนี้คือเจ็บทั้งคู่ ทั้งฝ่าบาท ทั้งเวสเวส (จุก ทอล์คไม่ออก แงง) แต่ถามว่าน่าตีใครมากกว่ากัน... อยากตีเวสเวสนะ... คือฝ่าบาทถามเมิงขนาดนี้แล้ววว บอกไปเห้อออ เอาความกล้าในการเถียงนั่นมาตอบอะไรที่ตรงกะใจเถอะะ ะ << ก็แกเป็นคนเขียนป่าววะ << แต่ฝ่าบาทเองก็ปากหนักพอกันอะ =___= แต่ก็ถือว่าพูดเป็นนัยๆ แล้วนะ...

คืออย่างเรื่องที่เงือกสามัญชนต้องมีคู่ครองคนเดียวนี่คือกฎสากลของชาวเงือก (คือถ้าจะหย่าร้างจริงๆ ก็มีใหม่ไม่ได้อะ) แต่กลุ่มเงือกที่ได้อภิสิทธิ์ในการมีภรรยาหลายคน (หรือสามีหลายคนก็ได้ 555) คือพวกชนชั้นปกครอง (อย่างชายเร็กซ์ก็ซัดไป 4 คนแล้ว) ฉะนั้น... การที่ไคราห์นจะจิ๊จ๊ะกับเรจินาคือไม่ผิด แต่ถ้าเวสเทียร์จะแต่งงานนี่คือต้องพร้อมใจกันเหยียบเรื่องนี้ให้มิดอะ (ซึ่งฝ่าบาทคงไม่เหยียบแน่ เล่นซะดังเลยทีนี้---)

กฎอีกอย่างที่หลายๆคนอาจจะงง คือกฎเรื่องหวีผม ถ้าฝั่งมารินาการ์ดกับไรห์วาจะไม่ปล่อยผมต่อหน้าคนอื่น (แต่ในวงสาวๆ ก็อาจจะปล่อยแล้วผลัดกันหวี) แต่เซลทิคนี่เหมือนเป็นความผสมผสานของคนกับเงือก บางอย่างพี่แกก็เงือกซ้าาา (เรื่องคู่ครองเนี่ย) บางอย่างก็คนสุดๆ คือจะหวีผมตอนไหนก็ได้ ทำต่อหน้าใครก็ได้ ชิลๆ

แต่ถ้าเรื่องอย่างว่าเนี่ย... เงือกโคตรถือเลยข่า... มีอะไรกับใครแล้วล็อคเลยนะ (ยกเว้นพวกชนชั้นปกครอง)

เหตุผลที่ยื้อ... เพราะ... เดี๋ยวชายเร็กซ์จะองค์ลงเองแล้วข่ะ << จริงๆแล้วนี่อาจเป็นพระเอก

จริงๆ ชายเร็กซ์รับไม่ค่อยได้นะ (แต่นางไม่ได้รู้สึกว่าเวทอร์สเหมือนจะชอบๆ ตัวเอง) และเพราะเหตุการณ์นี้ อาจจะทำให้เข้าใจว่า ทำไมในอนาคต ชายเร็กซ์ถึงดูรับได้ (แม้จะไม่ค่อยโอ) กับหลานชาย ...จริงๆ นางค่อนข้างหัวโบราณ เป็นผู้ชายใจดี ยาซาชี่ แฟมิลี่แมนมากๆ (ดูฉากคิดถึงลูกนั่นสิ อร้าาา)

เกี่ยวกับเวทอร์สด้วย คือฟาลอาจจะรู้ว่าไคราห์นกับเวสเทียร์มีอะไรกัน แต่เวทอร์สเป็นคนที่รู้ว่าเวสเทียร์ชอบฝ่าบาทนะ แต่ในความเป็นผู้น้อย (น้อยมากๆ ด้วย) เลยไม่กล้าพูด ไม่กล้ายุ่งเรื่องพี่ชายมาก แต่ถ้าชายเร็กซ์ออกมาซัดฝ่าบาท... เวทอร์สก็ไม่อยู่เฉยหรอก... ราชาของเขาหน่า~~

ถ้าอยากตบฝ่าบาทไคราห์น... ตอนหน้าชายเร็กซ์จะตบให้เองข่ะ---
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 14 [31-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 31-05-2017 21:31:40
ตบฝ่าบาทที่ข่มขืนเวสเวส

อันนี้ไม่น่ารัก ไม่ชอบ การฝืนใจก็คือข่มขืนจ้ะ

โกรธเอย ปากหนักเอย อ่อยหญิงอื่นเอย ทำเขาหน้าชื่นอกตรมเอย พอทำเนา
แต่บทนี้กระโดดตบอย่างเดียวเลย
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 14 [31-05-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 31-05-2017 22:14:35
โชคดีที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้
เคยอ่านเรื่องของเลอาฟร์ แล้วก็รูนไปแล้ว ติดใจมากจ้าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 14 [01-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 01-06-2017 14:19:16
อยากกระโดดตบฝ่าบาท ทำกับเวสเวสแบบนี้ได้ยังไง ทีตัวเองยังไปจิ๊จ๊ะคุยกันกระหนุงกระหนิงกับเรจิน่าต่อหน้าต่อตาเวสเวสได้ แต่เวสเทียร์ก็ปากหนักจริงๆ เถียงได้ฉอดๆๆแต่ไม่ยอมรับว่ารักเค้า อันนี้ก็สงสารฝ่าบาทอยู่เหมือนกัน

จะเชียร์ใครดี? เชียร์องค์ชายเร็กซ์แล้วกันค่ะ ฝากตบฝ่าบาทซักที
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 15.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 05-06-2017 07:50:56
ตอนที่ 15.1

ฟาลรู้สึกชาไปทั้งร่าง และลอยตัวอยู่นิ่งๆ อยู่ระหว่างทางที่จะพาเขาไปยังถ้ำที่ประทับของราชาแห่งเซลทิค เลขาอาวุโสกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ในหัวของเขาขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกนับตั้งแต่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น

กว่าเสียงของเวสเทียร์จะเงียบไปก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว และฟาลก็เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนกายลงมาในน้ำของฝ่าบาทไคราห์น ในเวลากลางดึก เลขาขยับตัวไปหลบด้านหลังซอกหิน เพื่อให้อีกฝ่ายผ่านออกไปเสียก่อนด้วยไม่แน่ใจว่าตนจะพบหน้าราชาทะเลได้เหนืออย่างไร หรือควรจะพูดอะไรกับสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำ เขารู้ เขาได้ยิน แม้จะไม่เห็นมันด้วยตาตัวเองแต่ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่รุนแรงที่สุดที่อีกฝ่ายเคยทำ...

...กับ 'ศักดิ์ศรี' ของผู้นำเผ่าเพชฌฆาต

หางของฝ่าบาทมีขนาดใหญ่ ทำให้เกิดเสียงยามที่แหวกว่ายในน้ำ และเมื่ออีกฝ่ายผ่านไปแล้ว ฟาลก็รีบออกจากที่ซ่อน เพื่อไปพบองครักษ์ที่คงจะพักอยู่บนแท่นประทับของฝ่าบาท แต่ทันทีที่เขาโผร่างออกมา ฝ่ามือใหญ่ก็คว้าเข้าที่ลำคอ เรี่ยวแรงมหาศาลกระชากยกร่างของเขาขึ้นเหนือน้ำ และกระแทกกับผนังถ้ำซึ่งเป็นหิน

โครม...!

"อึ่ก!" ฟาลมุ่นคิ้วด้วยความเจ็บ หลังของเขาถูกหินแหลมบาดจนเกิดแผล แต่สัมผัสจากฝ่ามือบนลำคอกลับสมานรักษาอย่างเนิบช้า เลขาคนสนิทมองคนตรงหน้าพร้อมกับกลืนน้ำลาย ด้วยรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคือฝ่าบาทไคราห์น ราชาหนุ่มมองนิ่งด้วยอารมณ์ของเขาสงบลงมากแล้ว... แต่ก็ไม่อาจอภัยให้ได้

"เจ้าใช่ไหม... ที่ยุ่งย่ามเรื่องนี้" ราชาเค้นเสียงถาม "ตอบเรามา ฟาล..."

ไคราห์นไม่ได้บีบคออีกฝ่ายจนขาดอากาศ แต่ยกร่างขึ้นเหนือน้ำอยู่อย่างนั้น "หากฝ่าบาทจะสั่งประหารเพื่อให้สาสมกับโทสะก็ย่อมได้" ฟาลกลืนน้ำลาย "แต่ได้โปรด... อย่าลงมือกับเวสเทียร์" คนสนิทกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก และเขาก็ไม่แน่ใจว่าพูดไปตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรหรือไม่

ราชาของเขาแทบจะขยี้เวสเทียร์จนแตกสลายอยู่แล้ว...

"เขาเป็นผู้นำเผ่าเพชฌฆาต... กระหม่อมต้องการให้เขาทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์"

ไคราห์นกดแรงลงบนลำคอของอีกฝ่าย ก่อนจะหลับตาลง และปล่อยให้ร่างคนตรงหน้าร่วงหล่นลงในน้ำตามเดิม เขาถอยร่างออกห่าง และมองเลขาคนสนิทของตนที่ไอจนตัวโยน "เราจะขึ้นไปที่ธราฟัสการ์ตอนกลางวัน..." ไคราห์นออกคำสั่งในเรื่องอื่น "ส่งเวทอร์สขึ้นไปพบเราที่นั่น"

ฟาลก้มหน้ารับ แม้จะอยากถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้ราชาของตนให้คำตอบ

แต่ฝ่าบาทขยับกายว่ายออกไปจากถ้ำโดยไม่พูดอะไรอีก

เลขาคนสนิทชั่งใจ แต่แล้วก็เลือกที่จะกลับเข้าไปด้านใน และเมื่อเขาโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ฟาลก็ชะงักงัน จริงอยู่ว่าเขาเคยเห็นเวสเทียร์ในร่างมนุษย์ และเคยเห็นเวสเทียร์นอนหลับอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่อีกฝ่ายจะดูเหนื่อยอ่อนไม่ได้สติเช่นนี้ กระทั่งจะคืนร่างกลับเป็นครึ่งมัจฉาก็ทำไม่ได้

ฝ่าบาทไคราห์นอนุญาตให้อีกฝ่ายพักในที่ของเขาได้เป็นกรณีพิเศษ ทว่าครั้งนี้... ฟาลกลับไม่นึกดีใจเลยสักนิดที่ญาติของตนได้รับสิทธิ์นั้น "เวสเทียร์..." ฟาลเอื้อมมือไปลูบบนผมเปียกชื้น ร่างกายของอีกฝ่ายไม่มีรอยแผล ซึ่งคงมาจากพลังเยียวยาของฝ่าบาท แต่การไม่ตอบสนองใดๆ ก็บอกได้ว่าองครักษ์เหนื่อยล้าแค่ไหน

นี่มันคุ้มแล้วหรือไร... กับความภักดีที่มีให้ตลอดมา

ราชาทะเลเหนือออกจากถ้ำที่ประทับ ทว่าไม่ได้กลับไปยังบัลลังก์ใต้สมุทร ไม่ได้ไปพบน้องสาว หรือตามหาองค์ชายจากต่างเมือง แต่กลับเลี่ยงออกไปให้พ้นผู้คน เขาเป็นราชาแห่งเซลทิค ดังนั้นจึงรู้ดีว่าที่แห่งใดที่ไม่ใคร่จะมีประชาชนผ่านไปมากนัก และที่นั่นคือผาฝั่งตะวันตกอันเต็มไปด้วยกองหินโสโครก

ราชาหนุ่มยกตัวขึ้นนั่งบนหินก้อนหนึ่ง เอนตัวพิงหินอีกก้อนข้างๆ กันพร้อมกับถอนใจออกมา

มันมาถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน...

ฟู่...!

แต่สิ่งที่ทำให้ราชาทะเลเหนือประหลาดใจและดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ คือการปรากฎตัวของคาดันน์ เจ้าวาฬเพชฌฆาตที่มักจะอยู่กับองครักษ์สองพี่น้อง ก่อนที่มันจะพบคู่หูคนใหม่ซึ่งนั่นก็คือองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด

ทว่าองค์ชายกลับไม่อยู่กับมันในตอนนี้ เพราะนี่เป็นเวลาดึกมากแล้ว

คาดันน์ว่ายเข้ามาใกล้ และเอียงมองฝ่าบาทด้วยดวงตาข้างหนึ่ง มันก้มลงดันปลายปากนุ่มๆ กับหางของเขา ก่อนจะเปล่งเสียงถามเบาๆ ว่าเหตุใดเขาจึงปลีกตัวออกมาเช่นนี้ ราชาแห่งเซลทิคมีเมตตา เขาเอื้อมมือไปวางบนผิวหนังสีดำขลับ และวักน้ำลูบเบาๆ

"เผ่าเพชฌฆาตสาบานความภักดีต่อราชวงศ์แห่งเซลทิค..." ราชาหนุ่มพึมพำ "ด้วยการส่งผู้นำเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดมารับใช้ราชา แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังต้องการ... ให้ผู้นำสืบทอดความแข็งแกร่งต่อไปยังลูกหลาน" คาดันน์อาจไม่ได้ใกล้ชิดราชาเซลทิคมากนัก ด้วยมันไม่เคยมีเวลาอยู่กับเขาตามลำพังเช่นนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทไคราห์นเอนกายไปหาสัตว์ใหญ่ และยกแขนขึ้นกอดมันเอาไว้ราวกับเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้

"...มันถึงเวลาที่เราจะต้องคืนเวสเทียร์ให้พวกเขาแล้วหรือ"

แม้ว่านั่น... จะเป็นหัวใจของเขาน่ะหรือ...

วาฬใหญ่ขยับหาง ดันร่างให้อิงแอบราชาตรงหน้ายิ่งขึ้น มันเข้าใจคำพูดของเงือกวาฬ มันเข้าใจกลไลของอาณาจักรเซลทิค และมันเข้าใจว่าเหตุใด... ราชาทะเลเหนือจึงโศกเศร้าเหลือเกิน มือที่วางอยู่บนผิวสีดำกำหมัดแน่น ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวเปี่ยมไปด้วยพลังปิดลง ริมฝีปากบางที่เคยออกคำสั่งได้อย่างเด็ดขาดขบเม้มเข้าหากันแน่น

เพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกเพียงอย่างเดียวเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมา...

คาดันน์เหลือบมองราชา และค่อยๆ ขยับร่างเพื่อให้ลำตัวตั้งตรงขึ้น มันเงยหัวขึ้นสูง ก่อนจะยกครีบอกมหึมาขึ้นสัมผัสสีข้างคนตรงหน้าแทนคำปลอบโยน ซึ่งสิ่งนั้นพอจะทำให้ไคราห์นยิ้มออกบ้าง "เป็นวาฬเช่นเจ้าก็สบายดี..." ชายหนุ่มอิงหน้าผากกับปลายปากสีดำ "ที่รักใครก็คงจะแสดงออกไปได้ง่ายๆ"

วาฬยักษ์ถอยตัวลงน้ำเล็กน้อย เพื่ออ้าปากของตน และดันลิ้นขึ้นมาแตะข้างแก้มราชาแห่งเซลทิค

นั่นก็เป็นการแสดงความรักด้วยเช่นกัน

"ขอบใจ..."

--------------------------------------------------

เวสเทียร์คิดว่านี่คงเป็นเวลาเช้ามืดของวันต่อมา สังเกตได้จากเสียงนกที่อาศัยอยู่ในป่าเบื้องบน ในทันทีที่รู้สึกตัว องครักษ์หนุ่มก็นึกได้ว่าเขายังอยู่ในร่างมนุษย์ ขาเรียวจึงค่อยๆ ขยับแนบชิดเข้าหากัน และมันก็กลับคืนเป็นท่อนหางสีเข้มดังเดิม

เขายังคงอยู่ในถ้ำที่ประทับของฝ่าบาท ทว่ากลับไม่มีวี่แววของราชาเซลทิค

องครักษ์ถอนใจอย่างโล่งอก แม้จะรู้สึกหน่วงอยู่ลึกๆ ก็ตาม แต่มันคงเป็นการดีกว่าที่เขาจะมีเวลาอยู่กับตัวเองตามลำพังบ้าง ก่อนที่จะพบหน้ากันอีกครั้ง เวสเทียร์เดาไม่ออกว่าหากฝ่าบาทยังอยู่ที่นี่ พวกเขาทั้งคู่จะพูดอะไรเป็นคำแรกหลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา

ฝ่าบาทไม่เคยโกรธจนถึงขั้นลงไม้ลงมือขนาดนี้มาก่อน

ร่างโปร่งยกมือขึ้นจับคอตัวเอง ก่อนจะกลืนน้ำลายเหนียวลงไป ฝ่าบาทโกรธที่เขา 'คิดจะแต่งงาน' อย่างนั้นหรือ แล้วเขาสามารถโกรธที่อีกฝ่าย 'คิดจะแต่งงาน' บ้างหรือไม่ เพียงแค่ถามตัวเองแค่นี้ เวสเทียร์ก็ตอบได้ทันทีว่า 'ไม่มีสิทธิ์'

ราชาสามารถมีชายาหลายองค์ได้... นั่นคืออภิสิทธิ์ของเขา

แต่เวสเทียร์เป็นองครักษ์ ที่เป็นได้แค่องครักษ์เท่านั้น

เขาควรละอายแก่ใจที่ไม่ซื่อตรงต่อ 'คู่ครอง' ของตนเอง ทั้งชีวิตของชาวเงือกจะมีคู่ครองเพียงคนเดียวเท่านั้น เพื่อเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่เวสเทียร์ก็จำได้ว่าไม่เคยเห็นคู่รักที่เป็นเพศเดียวกันมาก่อน แต่เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าความสัมพันธ์ของเขากับฝ่าบาทคืออะไร

เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์แรกที่ทำให้พวกเขาต้องมาผูกพันกันเช่นนี้ เวสเทียร์ก็ยังไม่เข้าใจ

ในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็น ชายหรือหญิง... หากฝ่าบาทปรารถนา... มีหรือจะปฏิเสธได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยรู้สึกเสียใจที่ทำเรื่องแบบนั้นลงไป และในครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้จะมีคำถามหนึ่งจุกอยู่ในอกของเขาตลอดเวลา

...เขาอยู่ในสถานะใดสำหรับฝ่าบาท

เวสเทียร์ลองถามย้อนตัวเองบ้าง ว่าฝ่าบาทอยู่ในฐานะใดสำหรับเขา ซึ่งแน่นอนว่าได้คำตอบอย่างไม่ยากเย็น อีกฝ่ายเป็นราชาของ เป็นเจ้าชีวิต และแน่นอนว่า... เป็นคนที่เขาหลงรักอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ เวสเทียร์พยายามหาคำตอบว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงใช้วิธีนั้นในการลงทัณฑ์ หากอีกฝ่ายเห็นเขาเป็นเพียงองครักษ์คนสนิทก็คงใช้วิธีอื่น เช่น การเฆี่ยนด้วยแส้หางกระเบนแบบครั้งที่แล้ว

ผู้น้อยพยายามไม่คิดเข้าข้างตนเองว่าฝ่าบาท 'หึงหวง'

คนอย่างฝ่าบาทไคราห์นเพียงแค่เคยชินกับการออกคำสั่ง การที่เขาทำอะไรนอกเหนือคำสั่งจึงสร้างความไม่พอใจอย่างมากก็เท่านั้น ในฐานะที่เขาเป็น 'คู่นอน' ของฝ่าบาท นี่อาจเป็นการหยามกันกลายๆ ด้วยซ้ำไป

เขามีสถานะเป็นคู่นอนของราชาจริงๆ หรือ

เหตุใดจึงไม่เคยนึกอยากถามมาตลอดห้าปีกันหนอ

"เวสเทียร์" เสียงที่เอ่ยเรียกทำให้องครักษ์หนุ่มสะดุ้งสุดตัว มันเป็นเสียงของฟาล และเมื่อเขายันกายขึ้นจากแท่นประทับ มือของเลขาอาวุโสก็เอื้อมมากดบ่าของเขาเอาไว้ ฟาลนั่งอยู่ข้างแท่นประทับ ดูเหมือนว่าจะนั่งเฝ้ามาสักพักใหญ่แล้ว และเผลองีบหลับไปบ้าง

"อย่าเพิ่งลุก... เจ้าอาจจะบาดเจ็บ"

คนพูดเป็นห่วง แต่หลังจากจบประโยค ฟาลก็คิดได้ว่าคู่กรณีของเวสเทียร์เป็นใคร... และมีพลังอะไรอยู่ในสายเลือด

"ข้าไม่เป็นไร" องครักษ์หนุ่มตอบ เขาฝืนลุกขึ้นนั่ง "ฝ่าบาท..."

"ฝ่าบาทออกไปตั้งแต่ค่ำ" เลขาตอบอย่างเสียมิได้ "เหตุใดเจ้าจึงคิดถึงเขาอีก"

"ข้าเป็นองครักษ์คนสนิท มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของราชา"

"ทั้งที่เขาทำแบบนั้นกับเจ้าน่ะรึ!" ผู้ถูกกระทำชะงักนิ่งไป ในขณะที่คู่สนทนาดูจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาแทน "เจ้าไม่มีความรู้สึกหรือยังไง เวสเทียร์ เขาทำกับเจ้าถึงขนาดนั้น เหตุใดจึงยังเรียกหาอีก!" ฟาลรู้ว่าตัวเองไม่ควรคิดโกรธราชา แต่ในเมื่อราชาเองก็ไม่เห็นค่าความภักดีของเผ่าเพชฌฆาต เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องก้มหัวให้อีกฝ่าย "หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป..."

"ท่านไม่จำเป็นต้องโกรธแทนข้า" เวสเทียร์เอ่ยเรียบ "ข้ายอมฝ่าบาทมาตั้งแต่แรก"

"เวสเทียร์!"

องครักษ์แข็งตาใส่ญาติอาวุโส "ฝ่าบาทพูดถูก... ใครกันแน่ที่ควรละอายแก่ใจ ราชาอย่างเขา หรือสามัญชนอย่างข้า" ร่างโปร่งกำหมัด "และข้าเป็นคนเริ่มความสัมพันธ์นี้ ท่านฟาล... ข้าควรละอายแก่ใจมากที่สุด" เลขาคนสนิทถอนใจพร้อมกับหลับตาลงด้วยไม่รู้ว่าเขาควรจะทำเช่นไรต่อไป

เขาไม่เข้าใจเวสเทียร์ และไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะด้านชา ไร้ความรู้สึกถึงขนาดนี้

"เจ้าคือความภาคภูมิใจของเผ่าเพชฌฆาต..."

"ท่านจะภูมิใจในตัวข้าน้อยลงหรือเปล่า หากข้าไม่แต่งงาน" เวสเทียร์เสียงอ่อนลง "สิ่งนั้นทำให้ฝ่าบาทกริ้วเพียงนี้" พวกเขาไม่เคยเห็นราชาแห่งเซลทิคโกรธขนาดนั้นมาก่อน หากไม่นับความรุนแรงทางกายที่เขากระทำต่อเวสเทียร์ แต่ฟาลก็ยอมรับว่าเขาไม่เคยคิด... ว่าจะถูกราชากระชากคอจนตัวลอยแบบนั้น

"นี่คือสิ่งที่ข้าคิด" เวสเทียร์ย้ำคำเดิม "ถ้าข้าไม่แต่งงาน เผ่าเพชฌฆาตจะทอดทิ้งข้าไหม"

"ไม่หรอก" เลขาอ่อนโอนลงบ้าง "แต่ฝ่าบาทก็ไม่มีสิทธิ์... เขาไม่มีสิทธิ์ทำกับเจ้าแบบนี้"

เวสเทียร์ถอนใจยาว "ข้ายินยอม... หากนั่นจะทำให้เขาหายโกรธ" ภาพความทรงจำที่ไม่ได้ดีนักผุดขึ้นมาในหัว และองครักษ์หนุ่มก็หลับตาเพื่อจะเลิกคิดถึงมัน "ข้าเป็นฝ่ายยอมคืนร่างเป็นมนุษย์เพื่อให้เขาทำแบบนั้น" นัยน์ตาสีเข้มลืมขึ้นจ้องประสานกับคู่สนทนา "หากท่านฟาลจะกล่าวว่าเขาผิด ข้าเองก็ผิดด้วยเช่นกัน"

เขาผิด... ที่ทำให้อีกฝ่ายโกรธ

...ฟาลไม่เข้าใจเลย

"เวสเทียร์..."

"ข้าไม่เป็นไร" แต่เมื่อพูดจบ องครักษ์ก็ขบริมฝีปากของตนราวกับนึกได้ 'หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา เราเกรงว่ามันคงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ' นั่นคือคำพูดของราชาทะเลเหนือ องครักษ์สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม "ข้าไม่ได้อยากแต่งงานกับหญิงใด ท่านฟาล..." เขากล่าวความจริงที่ฟาลไม่เคยได้ยินมาก่อน

"แม้ว่าต่อไป... ข้าจะเป็นอิสระจากฝ่าบาทก็ตาม"

ทำไมผู้นำเผ่าเพชฌฆาตรุ่นนี้จึงได้ใจเด็ดนัก...

"เช่นนั้นเจ้าทะเยอทะยานขึ้นมาถึงตำแหน่งองครักษ์คนสนิท หากไม่ได้ต้องการเกียรติยศของผู้นำเผ่า" ฟาลถอนใจ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เวสเทียร์ไม่เคยดื้อรั้นหรือแข็งข้อกับเขาสักเพียงครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายขัดคำสั่ง และต่อให้มันเป็นคำพูดที่นุ่มนวลโอนอ่อน แต่ฟาลรู้ดีว่านั่นคือความรู้สึกที่แท้จริงของคนตรงหน้า

"ข้าต้องการปกป้องฝ่าบาท" ชายหนุ่มตอบ "ชีวิตของข้า... เป็นของเขา"

'ความรัก' เป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในหัวฟาลมาก่อน แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในใจของเงือกอาวุโสก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมา "เจ้ารักฝ่าบาท..." ไม่น่าเป็นไปได้เลย ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่แค่ความเคารพเทิดทูนในฐานะราชาหรือยังไง แต่ถึงชื่นชมบูชาสักแค่ไหนก็ไม่มีทาง... ยอมเสียศักดิ์ศรีของตนถึงเพียงนี้แน่นอน

"มันไม่มีจริง... เวสเทียร์"

คนฟังหลับตาลง และจรดยิ้มที่มุมปากด้วยนึกสมเพชตัวเองที่ไม่อาจทำให้คนตรงหน้าเชื่อคำพูดได้ "เช่นนั้นจะเป็นความหลงก็ได้... หากท่านจะจำกัดความแบบนั้น... ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา" สิบเจ็ดปีที่ฝ่าบาทไคราห์นครองบัลลังก์ นับตั้วแต่วันแรกที่ได้เห็น เขาก็หลงใหลมาตลอด ยิ่งได้ใกล้ชิด... ก็ยิ่งหลงมากขึ้น และองครักษ์หนุ่มรู้ดีว่าก้นบึ้งในจิตใจของฝ่าบาทไคราห์นไม่เคยดูแคลนความหลงใหลของเขาเลย ...เวสเทียร์กำหมัดแน่นและพูดต่ออย่างแน่วแน่

"...และข้าก็ยินดีที่จะหลงต่อไป"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 15.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 05-06-2017 07:51:58
ตอนที่ 15.2

ราชาทะเลเหนือกลับมายังอาณาจักรของเขาอีกครั้งในตอนเช้า ตั้งใจจะไปยังถ้ำที่ประทับของตน โดยหวังว่าเวสเทียร์จะยังคงรอคอยอยู่ที่เดิม แม้ฝ่าบาทจะไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้อย่างไร เขาควรจะเริ่มต้นที่อะไร หรือจบลงที่สิ่งใด ไคราห์นเพียงแค่... อยากพบหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง

แต่ระหว่างทางที่จะกลับไปยังถ้ำที่ประทับนั้นเอง องค์ชายเร็กซ์ก็พุ่งขึ้นมาขวางจากท้องทะเลเบื้องล่าง

"องค์ชายเร็กซ์..." ราชาหนุ่มเลิกคิ้ว "มีเรื่องใดหรือ"

"มีแน่นอน..." แต่เดิม องค์ชายแห่งมารินาการ์ดไม่ใช่คนยียวนนัก แต่นอกจากรูปประโยคจะแตกต่างจากเดิมแล้ว น้ำเสียงของคนตรงหน้าก็แข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด "ไม่เช่นนั้นคงไม่รอฝ่าบาทอยู่ทั้งคืน" จู่ๆ คำพูดขององค์ชายก็ทำให้ราชาหนุ่มเสียววูบอยู่ในใจ เร็กซ์มีอายุมากกว่าเขาห้าปี แม้จะตัวเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ใหญ่กว่า

"จะสนทนาตรงนี้เลยหรือ"

สายเลือดจอมราชันมองเขานิ่งโดยไม่ให้คำตอบ และนี่คงเป็นครั้งแรกที่ราชาทะเลเหนือรู้สึกหวั่นกับสิ่งที่จะออกจากปากคู่สนทนา "เขาเป็นองครักษ์... ฝ่าบาททำเช่นนั้นได้ยังไง" หากเป็นชาวเซลทิค คำถามนี้ย่อมไม่มีวันถึงหูราชา เพราะมันคือความกระด้างกระเดื่อง ก้าวร้าว และเหิมเกริมอย่างที่สุด แต่คนตรงหน้าของฝ่าบาทไคราห์นในตอนนี้คือองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด ผู้เป็นถึงทายาทของจอมราชัน เงือกผู้ได้รับเกียรติให้เป็นตำนานของชาวบาดาล

ไคราห์นมองกลับไปในดวงตาของคนถาม และแน่นอนว่าเร็กซ์ไม่หลบลงต่ำ

"องค์ชายรู้อะไรมาบ้าง"

"ทั้งหมด..." เร็กซ์กำหมัดแน่น "ให้เหตุผลมา ก่อนที่เราจะด่าทอว่ามันต่ำช้าเพียงใด" ฝ่าบาททะเลเหนือไม่มีเหตุผล เขารู้ว่าตนทำไปด้วยอารมณ์ ทั้งความโกรธ ความแค้น ความหึงหวง และความรู้สึกด้านมืดทั้งหมดที่ประดังประเดเข้ามาพร้อมกัน "อย่าได้เอ่ย... ว่าฝ่าบาทไม่รู้ว่านั่นเป็นการหยามกันแค่ไหน"

ไคราห์นหาเสียงตัวเองไม่เจอ ทั้งที่มันเคยดังกังวานและทรงพลัง

"เหตุใดราชาแห่งเซลทิคจึงกระทำการน่าสมเพชได้ถึงเพียงนี้!"  องค์ชายตวาดอย่างทนไม่ได้ "เพราะไม่มีชายา ไม่สามารถหลับนอนกับหญิงใดได้ จึงต้องใช้คนใกล้ชิดเป็นตัวแทนอย่างนั้นรึ!" ไคราห์นปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไป เขาหน้าชา ทว่ากลับยินดีที่ถูกด่าทอเสียบ้าง "ฝ่าบาทมีสิทธิ์ที่จะคับแค้นหากตัวเองไม่สามารถมีทายาทได้ แต่อย่าใช้ความวิปริตส่วนตัวดึงอนาคตของผู้อื่นลงมาด้วย... โดยเฉพาะกับองครักษ์ที่ภักดีอย่างเขา!"

ราชาหนุ่มกำหมัด... หากเวสเทียร์คว้านอกเพื่อแทงใจเขา

องค์ชายเร็กซ์ผู้นี้ก็กำลังฉีกทำลายความรู้สึกทุกอย่างที่เขามี... ที่เขาคิดว่ามี...

"สามัญชนมีคู่ครองได้เพียงคนเดียว... ฝ่าบาททำเช่นนี้แล้วจะหาศักดิ์ศรีใดไปคืนให้เวสเทียร์ได้!"

"ก็เพราะสามัญชนที่คนนั้นไม่ใช่หรือไร ที่ทำให้มันเป็นแบบนี้!" เสียงของราชากลับมาดังอีกครั้ง และเมื่อไคราห์นตวาดกลับ มันก็แทบจะดังไปทั่วพื้นน้ำ ถึงแม้องค์ชายเร็กซ์จะโกรธ แต่เขาก็มีสติพอที่จะรู้ว่าเรื่องแบบนี้ควรเป็นความลับต่อไป "สามัญชนก็มีวันทอดทิ้งราชาได้อย่างนั้นหรือ"

เร็กซ์ไม่กล่าวตอบ เขารอให้อีกฝ่ายสงบ...

"กระทั่งความรักก็ยังกลายเป็นเรื่องวิปริตอย่างนั้นหรือ" ไคราห์นลดเสียงลง และมันเริ่มสั่นจนสัมผัสได้ "ราชาทะเลเหนือไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองอะไรเลยกระทั่งคนที่ตัวเองรักอย่างนั้นหรือ"

องค์ชายต่างเมืองส่ายหัวช้า และขยับร่างออกห่างจากคู่สนทนาอย่างไม่อาจยอมรับ

"มันไม่มีประโยชน์ในความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย ฝ่าบาท... มันสูญเปล่า"

สำหรับราชาที่ไม่อาจมีทายาทได้ด้วยเหตุผลของความแข็งแกร่งทางสายเลือด ฝ่าบาทไคราห์นอาจเป็นบุคคลที่น่าสงสาร แต่หากอีกฝ่ายโกรธเคืองคับแค้นใจในเรื่องนี้จนต้องดึงบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเพชฌฆาตลงมาตกต่ำด้วย องค์ชายเร็กซ์คิดว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องสงสารคนตรงหน้าอีกต่อไป

"ต่อให้มันสูญเปล่า มันก็มีค่า..."

"แต่มันไม่ใช่สำหรับเวสเทียร์!"

"องค์ชายจะไปรู้ดีกว่าเราได้อย่างไร!" เขาทนถูกถากถางความรู้สึกไม่ได้ ราชาหนุ่มเอื้อมมือไปคว้าคอของคู่สนทนา แต่องค์ชายเร็กซ์ผู้เหิมเกริมก็ว่องไวพอที่จะเอี้ยวตัวหลบ เขาตวัดมือดึงปิ่นเล่มยาวออกมาช่อผมด้านหลัง และจ่อเข้ากับลำคอของคนตรงหน้าพร้อมกับยันอกกว้างด้วยแขนของตนในชั่วอึดใจ

เร็กซ์แตะปลายแหลมของสิ่งที่อยู่ในมือกับลำคอแกร่ง

"หากมันเป็นความรักที่ฝ่าบาทอ้างจริง เหตุใดจึงทำเช่นนั้นได้ลงคอ!"

"องค์ชาย..." เสียงของเวทอร์สดังขึ้น และสิ่งที่เร็กซ์สัมผัสได้ต่อมาคือพละกำลังที่มากกว่าดึงมือของตนออก พร้อมกับดึงร่างของเขาออกห่างราชา ก่อนจะใช้ตัวเองขวางเอาไว้ "ได้โปรด ฝ่าบาท..." คาดันน์มาพร้อมกับเวทอร์ส และมันเองก็เคลื่อนกายไปเคียงข้างองค์ชายด้วยเช่นกัน

ฝ่าบาทไคราห์นลดมือลง และหลับตายอมรับคำถามที่แทงใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"ไปเสีย..."

--------------------------------------------------

เวทอร์สกันเงือกต่างถิ่นออกมาจากราชาทะเลเหนือโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น คาดันน์ที่รู้งานรู้หน้าที่กางครีบอกใหญ่ๆ ของมันออกและผลักร่างองค์ชายเร็กซ์ว่ายห่างออกไปก่อนจะขึ้นไปหายใจสักครั้งหนึ่ง

"เหตุใดเจ้าจึงเฉยอยู่ได้!"

เวทอร์สเพิ่งรู้จักองค์ชายเร็กซ์ไม่นานมานี้ แต่เขาก็เห็นอีกฝ่ายยิ้มแย้มตลอดเวลา ดังนั้นคำถามที่เต็มไปด้วยอารมณืหงุดหงิดจึงทำให้องครักษ์หนุ่มรับมือไม่ถูก "กระหม่อมยังไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น" เขาตอบตามจริง คาดันน์เป็นตัวการเผ่นไปหาและพาเขามายังที่นี่อย่างเร่งด่วน เวทอร์สจึงไม่มีเวลาถาม

"ก็ฝ่าบาท..." เร็กซ์ตั้งท่าจะอธิบาย แต่เขาก็ฉุกคิดได้ว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรประกาศออกไปให้มาก อย่างไรฝ่าบาทไคราห์นก็เป็นราชา และเป็นสายเลือดแห่งราชวงศ์เซลทิค ต่อให้กระทำการใดที่เป็นเรื่องน่าละอาย ก็ไม่ควรแพร่งพรายให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา

แม้ว่าเรื่องน่าละอายนั่นจะเกี่ยวข้องกับพี่ชายของเวทอร์สก็ตาม

"เหตุใดองค์ชายจึงโกรธฝ่าบาทนักขอรับ" เวทอร์สไม่เคยถามเช่นนี้กับราชาของตน แต่เขากลับเอ่ยมันออกมาอย่างง่ายดายกับองค์ชายต่างเมือง สิ่งนี้เรียกว่าเป็นความใกล้ชิดสนิทสนมหรือลามปามจนเคยตัวกันหนอ องครักษ์ลาดตระเวนมองดูปิ่นเล่มยาวในมือของคนตรงหน้า "ชาวมารินาการ์ดไม่ถอดเครื่องประดับผมต่อหน้าคนอื่นไม่ใช่หรือ"

เจ้าองครักษ์วาฬนี่ชักจะเหิมเกริมขึ้นทุกวัน....

เร็กซ์หลับตาลง และพยายามควบคุมตนเองให้กลับมาสุขุมดังเดิม "เจ้าควรไปถามราชาของเจ้า"

"กระหม่อมไม่มีสิทธิ์ถามอะไรฝ่าบาทขอรับ" เวทอร์สตอบทันที พร้อมกับค้อมหัวลงด้วยความเคารพ "องค์ชาย... เก็บปิ่นนั่นเถอะขอรับ" ชาวมารินาการ์ดมีเครื่องประดับผมคู่ใจเป็นของตนเอง และพวกเขาจะไม่สยายผมต่อหน้าใครอื่นที่ไม่ใช่คู่ครองเด็ดขาด ในตอนนี้ถึงแม้ว่าผมเผ้าขององค์ชายเร็กซ์จะไม่ยุ่งเหยิง แต่มันก็ใกล้จะหลุดอยู่รอมร่อ

"เรามีปิ่นสองเล่ม!" เร็กซ์ตอบอย่างหงุดหงิด "แล้วทำไมถึงไม่กล้าถามราชาตัวเองแต่มาเค้นจากเรา"

"เพราะองค์ชายใจดีกว่านี่ขอรับ" คนที่หลับตาอยู่ลืมตามองคนพูดในทันที และยิ่งได้เห็นสีหน้าเฉยชาของเวทอร์ส เร็กซ์ก็ตัดใจตั้งสมญาให้อีกฝ่ายอยู่ในใจว่า 'เจ้าคนทื่อ' และในความอยากรู้ใต้ใบหน้าทื่อๆ นั้น ก็มีคาดันน์แอบอยู่ด้านหลัง และชะโงกหน้ามาฟังความด้วย

"เจ้าไม่ควรได้ยินเรื่องนี้จากปากเรา"

ถึงจะเป็น 'เจ้าคนทื่อ' แต่เวทอร์สก็ไม่ได้หัวทึบ "เกี่ยวกับท่านพี่เวสเทียร์หรือเปล่าขอรับ"

เร็กซ์เหลือบตามองคนตรงหน้า และเมื่อเจ้าคนทื่อเงยขึ้นมองเขาเช่นกัน องค์ชายก็พยักหน้าเบา "เป็นเช่นนี้มานานแล้วหรือไง" คำถามขององค์ชายทำให้เวทอร์สต้องหยุดคิดใคร่ครวญอยู่นาน เร็กซ์ไม่สมควรรับรู้เรื่องนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายรู้เข้าแล้ว เขาก็ไม่มีอำนาจใดจะไปลบความทรงจำได้ แต่คำถามต่อมาของเวทอร์สนั่นก็คือ... องค์ชายรู้เรื่องมากแค่ไหน

"สักพักแล้วขอรับ" คนเป็นน้องชายเล่ยงตอบ เพื่อปกป้องราชาของตนด้วย

"เจ้ายอมให้มันเกิดขึ้นได้ยังไง" เร็กซ์มุ่นคิ้ว "นั่นพี่ชายของเจ้าไม่ใช่หรือ นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าเพชฌฆาต พวกเจ้ายอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง!" เมื่ออีกฝ่ายเริ่มมีโทสะ เวทอร์สก็คิดว่าเขาคงต้องใจเย็นยิ่งกว่าในการตอบคำถามนั่น ซึ่งออกจะเป็นเรื่องยากสักหน่อยที่เด็กอายุสิบแปดจะใจเย็นไปกว่าผู้ชายอายุสี่สิบ

"หากพูดไปแล้ว องค์ชายจะรับฟังหรือไม่ขอรับ"

แทนที่จะตอบถาม เจ้าคนทื่อตัวโตรงหน้ากลับถามกลับ และก้มหัวลงจนผมตกลงมาปรกใบหน้า เร็กซ์คิดว่าเขาคงต้องสงบสติอารมณ์ของตัวเองด้วยตนเอง และคงจะหาเหตุใดอะไรไม่ได้จากเผ่าเพชฌฆาตที่ดูจะเป็น 'เจ้าคนทื่อ' ไปเสียทุกคน

"เราต้องการเหตุผล"

"เหตุผลที่เป็นความจริงหรือเหตุผลที่ถูกใจองค์ชายล่ะขอรับ"

"เวทอร์ส!" องครักษ์เซลทิคขยับหางว่ายถอยหลังเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองไปอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าองค์ชายแห่งมารินาการ์ด แม้ว่านั่นจะเป็นการยอกย้อนที่เจ็บแสบเกินวัยเด็กอายุสิบแปดไปสักหน่อย และก็พอจะทำให้ผู้ใหญ่อย่างเร็กซ์หยุดคิดได้บ้างเหมือนกัน "ทั้งคู่ก็แล้วกัน"

เวทอร์สเม้มปากเล็กน้อยก่อนตอบ "ถ้าเหตุผลที่ถูกใจก็คงไม่มีขอรับ"

...แล้วจะให้เขาเลือกทำไม!

"เอาความจริงมาก็ได้" องค์ชายถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน และท่าทางนั้นเองที่ทำให้คาดันน์ปรี่ว่ายตรงไปหาเพื่อให้คนตรงหน้าเอนกายพิงตัวมัน "เราได้ยินเรื่องช่องว่างระหว่างชนชั้นของชาวเซลทิคมามาก แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมากจนถึงขั้นทำให้ราชาสามารถทำอะไรที่วิปริตเพียงนั้นได้..." เร็กซ์เอ่ยตรง แม้ว่านั่นจะเป็นการด่าทอราชาของอีกฝ่ายก็ตาม "พวกเจ้าไม่โกรธเคืองอะไรเลยหรือไง"

"ท่านพี่ชอบฝ่าบาทขอรับ"

เร็กซ์อ้าปากค้างอย่างลืมตัวด้วยความตะลึงในคำตอบ "แต่ว่ามัน..."

"ความชอบของคนเรา... นับเป็นความวิปริตหรือขอรับ" เวทอร์สมุ่นคิ้ว ก่อนจะเอ่ยออกไปในอึดใจ "หากกระหม่อมชอบองค์ชาย เพราะองค์ชายใจดี... มันก็กลายเป็นความวิปริตแล้วหรือขอรับ" เร็กซ์อยากคาดคั้นคำตอบจากเวทอร์ส แต่ในอึดใจ เวทอร์สก็เป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับ และมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อแทน

"ทั้งที่... ต่อให้เป็นองค์หญิง กระหม่อมก็ยังชอบคนแบบนี้อยู่ดี"

--------------------------------------------------


คนที่น่ารักที่สุดในบทนี้น่าจะเป็นคาดันน์ (นี่แย่งซีนเก่งกว่าไชร์ใน REVERSED อีกนะเนี่ย)

อา... อาจจะดับฝันเบาๆ แต่อย่าคาดหวังอะไรมากจากคู่รองนะ เขาเป็น KING ZONE น่ะ 555 ให้ความรู้สึก BROMANCE อบอุ่นมากกว่าจะคู่กันไปเลยยย แบบคู่หลัก แต่ว่า... มันเป็นช่วงเหตุการณ์ที่ทำให้เร็กซ์ซึ่งค่อนข้างจะเป็นผู้ชายโบราณ... เปลี่ยนทัศนคติเดิมๆ คือเร็กซ์เป็นผู้ชายที่มีเมีย 4 คน และตั้งปณิธานว่าจะต้องมีลูก 8 คน เพื่อให้เมียทุกคนรู้สึกเท่าเทียม (แต่สุดท้ายแล้วก็มีปัญญามีได้แค่ 6 อ่ะนะ 555) และมีความคิดฝังว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเพื่อจะได้มีลูกสืบไป

ความรู้สึกเดิมของเร็กซ์ต่อไคราห์นคือความสงสารที่ฝ่าบาทแต่งงานมีลูกไม่ได้ (คือฝ่าบาทเลือกตั้งแต่ครองบัลลังก์เองว่าจะไม่แต่งงาน เพราะตัวเองผิวเผือกแบบนี้ << ไม่ใช่เพราะเป็นหมันหรืออะไรแบบนั้นนะ!?) แต่พอมารู้เรื่องนี้ เร็กซ์ก็เลยโยงว่า... เพราะมีเมียไม่ได้ใช่ไหม เลยต้องมาทำกับองครักษ์แบบนี้ แล้วก็เลยกลายเป็นความแอนตี้

...แต่เวทอร์สจะเป็นคนดึงความแอนตี้นั่นกลับมา~

เวทอร์สไม่ได้คิดแบบเวสเทียร์ในเรื่องของ... เออ เพราะรักเลยยอมทุกอย่าง จะทำอะไรก็ได้ เวทอร์สค่อนข้างจะทื่อกว่าพี่ชาย แล้วด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นเร็กซ์ ซึ่งเคยอุ้มลูก (องค์หญิงอาร์นิเอส) มาคุยด้วยแล้ว... ความสัมพันธ์ของคู่นี้จึง... KING ZONE บริสุทธิ์มากๆ คือเวทอร์สเด็กกว่าเยอะ แล้วนางก็ออกแนวชื่นชม โดฆิ โดฆิ มากกว่าจะ... เออ... แบบเวสเทียร์น่ะ

ฝ่าบาท... สู้ๆ นะ งานการอย่าเพิ่งไปทำเลย กลับไปง้อเขาก่อน 555

เวสเทียร์... ดูไม่โกรธ แต่ว่า... นางอาจจะ strike ฝ่าบาทกลับแบบนิ่มๆ นิ่งๆ ไม่รู้ตัว... คือพื้นเพจิตใจเวสเทียร์ก็ค่อนข้างจะนิ่งอยู่แล้ว มีหลุดบ้างก็ตอนที่แล้วที่เถียงฝ่าบาทฉอดๆ แต่พอโดนแบบนี้... นางน่าจะนิ่งขึ้นอีกเยอะแล้วปล่อยให้ฝ่าบาทรู้สึกผิดต่อไป (อ้าว 555)



จริงๆแอบชอบฉากที่ฝ่าบาทกอดคาดันน์ OTL

รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้แม่ง... คือก็อยากกอดใครสักคนแล้วซบเหมือนกัน แต่ทำไม่ได้เลยต้องมาคบกับปลาเนี่ยยย



ปล. คาดันน์พระเอกมากลูก... แสนรู้ 555
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 15 [05-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 05-06-2017 11:27:19
โดยส่วนตัว หลังๆผมว่ามันค่อนข้างเริ่มจะน่าเบื่อหน่อยๆแล้วน่ะนะครับ อาจจะเพราะว่าเรื่องมันเริ่มวน แล้วประเด็นเดิมๆก็ถูกย้ำจนเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาคาราคาซังที่ไม่น่าสนใจเท่าไหร่น่ะครับ

ถ้าให้ขยายความ จะเห็นว่าพล็อตหลักของเรื่องที่เปิดมาตอนต้นคือปัญหาของแวมไพร์กับเงือก แวมไพร์ต้องการเลือดที่มีคุณสมบัติฟื้นฟูไปคืนราชินีแวมไพร์มาสู้กับราชา พล็อตสนับสนุนก็คือเรื่องรักๆของราชาทะเลเหนือที่ต้องผจญขี้ปากคนและความซึนของคนทั้งคู่ กับความสัมพันธ์ของมารินาการ์ดที่จะโยงเป็น Easter eggs ไปสู่เรื่องของเลอาฟร์

พอมาเจาะ จะเห็นว่าสิบห้าบทผ่านไปแล้ว พล็อตหลักขยับไปแค่นิดเดียวครับ แค่มีการประชุมร่วมกัน หมาป่าหาทำเลของเซลทิค แค่นี้ ส่วนที่ขยับไปไกลหน่อยก็จะเป็นพล็อตสนับสนุนเบอร์สอง คือความสัมพันธ์ระหว่างมารินาการ์ดกับเซลทิค ส่วนพล็อตสนับสนุนอันแรกถ้าสังเกต จะเห็นว่ามันยังวนอยู่ และจะวนต่อไป ตอนแรกดีขึ้นมาหน่อยแล้วตรงที่เหมือนจะให้เวสเทียร์มีการพัฒนาเชิงความคิดใหม่ๆที่ไม่ย้ำอยู่เหมือนตอนต้นเรื่อง แต่พอมาตอนที่สิบห้าจบ อ้าว? ความคิดมันก็กลับเป็นเหมือนเดิมนี่นา.... แล้วอย่างนี้มันจะแก้ปัญหากันยังไงเนี่ย 5555

เอาจริงๆถ้าให้ผมวิเคราะห์พล็อตสนับสนุนเบอร์หนึ่ง ผมว่ามันเป็นไปได้ยากมากเลยนะครับในฐานะราชาแห่งเซลทิคที่จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นและแก้ปัญหาที่จะเชื่อมไปพล็อตหลักได้ ด้วยองค์ประกอบสามอย่างครับ ไคราห์นมีลักษณะทางกายภาพที่เป็นขี้ปากชาวบ้าน มีตำแหน่งปกครองสูงสุด และประเพณีของเซลทิคค่อนข้างเคร่งครัดและยึดตามจารีตอย่างสูงครับ นอกจากองค์ประกอบสามอย่างนี้ ยังมีประเด็นที่ผมมองว่าไคราห์ค่อนข้าง weak ในฐานะราชาและสอบไม่ผ่านเท่าไหร่

1. ไคราห์นรบไม่เก่งครับ โอเค อาจจะเก่งในระดับนึง แต่ไม่เก่งพอที่จะปกป้องคนอื่นได้ เพราะคุณทำเดียร์ราฮาน (ซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาท) ตาย และถึงแม้ว่าเงือกวาฬจะเสียเปรียบแวมไพร์ด้วยลักษณะของเผ่าพันธุ์ที่ต้องขึ้นไปหายใจตลอด แต่นี่ก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับราชา ถูกไหมครับ? ข้อนี้ทำให้ไคราห์นเสียคะแนนนิยมไปสูงมากแล้วในฐานะผู้มีตำแหน่งปกครองสูงสุด

2. ไคราห์นบริหารบ้านเมืองไม่เก่ง ข้อนี้อาจจะเพราะว่าสืบเนื่องมาจากองค์ประกอบตัวที่สาม ประเพณีของเซลทิคค่อนข้างแยกตัวราชาออกจากประชาชน ทำให้เขาไม่คลุกคลีเท่าที่ควร อีกทั้งองค์ประกอบข้อแรก ลักษณะทางกายภาพของไคราห์นก็เป็นขี้ปากคนอยู่แล้ว ทำให้ประชาชนไม่ศรัทธา ไคราห์นจึงซื้อใจประชาชนไม่ได้เท่าที่ควร และการออกคำสั่งบริหารแบบ order เด็ดขาด ก็ทำให้ประชาชนเหมือนถูกบีบรัดจากคนที่เขาไม่เชื่อใจครับ

จะเห็นว่าข้อสอง และรวมกับข้อหนึ่ง มันทำให้ถ้าผมเป็นประชาชนเซลทิค ผมก็ไม่ศรัทธาตัวราชานะครับ เพราะรบก็ไม่เก่ง ทางออกบ้านเมืองก็ไม่ได้ชาญฉลาด เป็นมิตรกับประชาชนหรือก็ไม่เห็น(อันนี้อาจจะเพราะด้วยจารีต และลักษณะกายภาพของไคราห์นเองด้วยที่ทำให้ประชาชนหวาดระแวง) รัชทายาทก็ไม่มีแถมยังทำน้องตาย แล้วยังจะไปรักกับองครักษ์เผ่าวาฬเพชฌฆาตที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ให้เขามีทายาทสร้างนักรบแห่งเซลทิคอีกเรอะ!? โอมายก็อด

เอาจริงๆสำหรับผม ถ้าให้ผมพูดเรื่องรักๆใคร่ๆของไคราห์น ถ้าจะให้แฮปปี้ ไคราห์นต้องสละบัลลังก์ครับ แล้วถ้าคุณจะรักกับเวสเทียร์ก็อาจจะต้องหลบหนีไปที่อื่น (แต่จุดนี้ก็มีปัญหาอีก จะสละให้ใคร รัชทายาทก็ตายหองไปแล้ว โอยชีวิต 5555) เพราะการยังอยู่ที่เดิม ก็รังจะสร้างความคลอนแคลนให้กับบัลลังก์ของราชาองค์ใหม่และสร้างความไม่เชื่อใจให้ประชาชนอีก เนื่องจากเวสเทียร์ก็เป็นผู้นำเผ่านักรบที่แข็งแกร่งที่สุด ความจริงถ้าให้เวทอร์สสืบทอดตำแหน่งต่อ เรื่องความคลอนแคลนของบัลลังก์อาจจะไม่มีปัญหา แต่ประเด็นคือเวทอร์สก็จะต้องไปอยู่มารินาการ์ดตามไลน์เรื่องของเลอาฟร์ ดังนั้นมันจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าคู่รักราชานี้จะตกเป็นหัวข้อประเด็นที่ผู้คนนินทาแน่นอนครับ (ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆด้วย เพราะเวสเทียร์ทำให้ประชาชนผิดหวังจริงๆในฐานะผู้นำเผ่าวาฬเพชฌฆาต) และต่อให้เรามองว่าเวสเทียร์ยังจะทำหน้าที่ปกป้องประชาชนต่อแม้จะมีราชาองค์ใหม่(ถ้ามี) มันก็จะสร้างความแตกแยกในหมู่ความคิดของประชาชน เกี่ยวกับความแข็งแกร่งขององครักษ์ประจำตัวราชาคนใหม่และคนเก่า แล้วจะพาลไปถึงการเปรียบเทียบระหว่างสกิลบริหารของไคราห์นกับราชาองค์ใหม่(ถ้ามี) ครับ

ดังนั้น สำหรับผม ตัวชูความตื่นเต้นของเรื่องจริงๆคงเป็นตัวละครฝั่งมารินาการ์ดนะครับ ความมีเหตุผลและความมีมิติของตัวละครในมารินาการ์ดมันค่อนข้างจับต้องได้มากกว่าเซลทิค อาจจะเพราะว่าเรารู้สึกว่าตัวละครของมารินาการ์ดมีความคิดที่ Logical มากกว่า และราชินีเรจินาถ้าสมรสกับไคราห์น ก็จะช่วยขจัดปัญหาในประเด็นข้อสองไปได้ (แต่ยังไงก็จะเจอตอเรื่องไคราห์นมีสัมพันธ์กับเวสเทียร์อยู่ดีครับ เพราะราชินีและราชาทำดีแค่ไหน แค่เจอส่วนไม่ดีที่ผิดจารีตร้ายแรงๆก็พังครืนได้เหมือนกันครับ ประชาชนจะไม่เชื่อใจและไม่ไว้ใจ เคารพแต่ไม่เคยนับถือ เพราะถือว่าไม่ละเอียดรอบคอบ สอบตกในฐานะผู้นำที่ต้องใคร่ครวญทุกประเด็นเพื่อประชาชน)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 15 [05-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-06-2017 13:39:34
คาดันน์คือพระเอกใช่ไหม ตอบ!
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 15 [05-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 07-06-2017 15:24:43
คาดันน์น่ารักน่ากอด  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 16.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 09-06-2017 09:06:14
ตอนที่ 16.1

แมงกระพรุนกล่อง...!

แม้จะรู้สึกผิดในการนำชื่อสัตว์ชนิดอื่นมาเป็นคำอุทานที่อธิบายถึงความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับคำว่า 'หายนะ' แต่องค์ชายเร็กซ์กลับคิดคำใดไม่ออกหลังจากได้ยินคำถามขององครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้แห่งเซลทิค "นี่เจ้ารู้จักประชดเราแล้วรึ..." องค์ชายมีอายุถึงสี่สิบปี แน่นอนว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าคนตรงหน้า แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มี 'ผู้ชาย' พูดกับเขาแบบนี้

จะว่ารังเกียจก็ไม่เชิง... แต่จะเรียกเอ็นดูก็คงไม่ใช่อยู่ดี

"กระหม่อมเปล่า" เวทอร์สมุ่นคิ้ว "องค์ชายกล่าวว่า ความชอบผู้ชายที่มีต่อผู้ชายเป็นความวิปริต เช่นนั้นความชอบของกระหม่อมที่มีต่อองค์ชายก็นับเป็นความวิปริตด้วยหรืออย่างไร"

จะพูดซ้ำทำไมกันหนอ...

เร็กซ์ลอบกลอกตากับตัวเอง "ชอบก็ส่วนชอบ แต่เจ้าคงไม่ได้คิดกับเรา 'แบบนั้น' กระมัง"

ถึงคราวคนหนุ่มกว่าต้องเบิกตาขึ้นบ้าง และพยายามบังคับไม่ให้ใบหน้าขึ้นตัวเองขึ้นสีด้วยความเคอะเขิน เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีนัก เจ้าวาฬยักษ์ก็เริ่มใช้ปลายปากดุนดันบั้นเอวแกร่งของเวทอร์สแทนการลูบหลังปลอบโยนให้ใจเย็น

"คาดันน์เองก็เป็นตัวผู้ มันชอบองค์ชายมาก นั่นก็นับเป็นความวิปริตด้วยหรือขอรับ"

สัตว์ที่ถูกดึงไปเป็นประเด็นด้วยถึงกับพ่นฟองอากาศออกมาเป็นสาย แล้วว่ายหายขึ้นไปหายใจอีกสักรอบ "เวทอร์ส... ฟังนะ" เร็กซ์ถอนใจอีกครั้ง และมันอาจเป็นครั้งที่สิบแล้วในเช้าวันนี้ "ความชอบไม่ใช่สิ่งวิปริต เจ้าจะชอบเราก็ได้... แต่ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายไม่ใช่เรื่องปกติ มันจึง..."

"หากเราจะชอบใครก็ได้... แล้วเหตุใดจะชอบผู้ชายไม่ได้เล่าขอรับ"

เร็กซ์เพิ่งเห็นมุมเด็กๆ ของเวทอร์สในวันนี้ แต่นั่นก็คงเรียกมุมเด็กๆ ไม่เชิงกระมัง แต่เป็นเพียงมุมของคนที่แยกแยะอะไรไม่ออก

"เพราะต่อให้องค์ชายกลายเป็นหญิง กระหม่อมก็ยังชอบอยู่ดี ไม่ได้เกี่ยวกับเพศสักหน่อย"

องค์ชายแห่งมารินาการ์ดหยุดคิดบ้าง ว่าแท้จริงแล้วเป็นตัวเขาหรือเปล่าที่แยกแยะอะไรไม่ออก

เวทอร์สอาจจะตัวโตกว่าเขามาก และในบางครั้งก็มีความเป็นผู้ใหญ่จนเกินวัย แต่สิ่งที่เร็กซ์เห็นในตอนนี้ คือเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีที่เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะล่มสลายลงมาต่อหน้า เพียงเพราะว่าความเชื่อที่เขายึดถือมาตลอดถูกทำลายโดยบุคคลที่เขานับถือ

"มันคือ... การเคารพความรู้สึกของผู้อื่นไม่ใช่หรือขอรับ"

เร็กซ์เอื้อมมือไปวางบนผมหยักศกสีดำขลับ เกี่ยวร้อยมันด้วยปลายนิ้วอย่างอ่อนโยนให้คนตรงหน้าหลับตาลง ก่อนจะลูบหัวอีกฝ่ายช้าๆ โดยไม่กล่าวอะไรออกมาอีก

เขา... เพิ่งจะดูถูกความรู้สึกของใครไปเมื่อครู่นี้เอง

--------------------------------------------------

ราชาทะเลเหนือกลับไปยังที่ประทับของตนด้วยใจหนักอึ้ง เขารู้ว่าฟาลรู้เรื่องนี้ แต่เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะพูดกับเวสเทียร์ว่าอะไรบ้าง หรือเสี้ยมสอนให้องครักษ์คนสนิททำอะไรอีก ราชาหนุ่มได้แต่หวังว่า 'คนของเขา' จะมีความเป็นตัวของตัวเองมากพอ... ซึ่งนั่นดูจะเป็นเรื่องยากเหลือเกิน

เวสเทียร์นั่งอยู่ข้างแท่นประทับที่ว่างเปล่า อีกฝ่ายหลับตาอยู่ และด้วยประสาทการได้ยินที่เหนือชั้นกว่าคนอื่น ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตจึงรับรู้การมาถึงของฝ่าบาท หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นผิดจังหวะ แต่ถึงอย่างนั้น องครักษ์ก็ยังคงรักษามาดของตนเอาไว้

ฝ่าบาทไคราห์นเสยผมสีอ่อนของตนขึ้น และขยับไปนั่งบนแท่นประทับช้าๆ

ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานหลังจากนั้น...

เวสเทียร์ไม่เงยหน้าขึ้นมองเหนือหัว เขารู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่รู้เลยว่าราชาแหงเซลทิคอ้าปากขึ้นและหุบลงเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ด้วยไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรออกมาเป็นคำแรก "จะทำเหมือน... ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยอย่างนั้นหรือ" น้ำเสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยทำให้เวสเทียร์กลั้นใจเฮือก แต่แล้วขบริมฝีปากตัวเองเอาไว้เพื่อไม่แสดงอาการอะไรออกมามากจนเกินควร

"หากมันจะทำให้ทุกอย่างเหมือนเดิม กระหม่อมก็ยินดี"

จะมีอะไรเหมือนเดิมได้อีก ใจเจ้าด้านชาถึงขนาดนั้นเลยหรือไร...

"เวสเทียร์..." ไคราห์นเอ่ยเรียก และเอื้อมมือไปสัมผัสเสี้ยวหน้าเรียวของอีกฝ่าย องครักษ์ของเขาไม่เงยขึ้นมองหน้า ร่างโปร่งหลับตาลง ยอมให้ราชาก้มลงมาแตะหน้าผากแนบด้วยช้าๆ สัมผัสคุ้นเคยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ฝ่าบาทคงรู้สึกผิด และกำลังคิดหาวิธีขอโทษ

...ไม่จำเป็นเลยแท้ๆ

องครักษ์หนุ่มเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบเสมอต้นเสมอปลาย "กระหม่อมไม่เป็นไรขอรับ"

"ไม่มีทาง" ไคราห์นเสียงแข็ง "ไม่มีทางที่เจ้าจะไม่เป็นอะไร" ร่างสูงขยับตัวลงจากแท่นประทับ นั่งลงบนผืนทรายในระดับเดียวกันกับองครักษ์ก่อนจะดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดเอาไว้แนบอก เวสเทียร์ขืนร่างด้วยความตกใจ แต่ก็ทำได้เพียงตัวเกร็งอยู่อย่างนั้น

"เราขอโทษ... เวสเทียร์"

คำที่เขาไม่คิดว่าจะออกจากปากราชาทำให้องครักษ์รู้สึกแปลก บุคคลที่สูงส่งอย่างฝ่าบาทน่ะหรือจะออกปากขอโทษเขา ลงมานั่งในระดับเดียวกับเขา และดึงเขาไปกอดเอาไว้ เวสเทียร์เม้มปากเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะทำ ฝ่าบาทไคราห์นกลับทำทั้งหมด ใจที่เคยนิ่งสงบเริ่มหวั่นไหว และเต้นแรงขึ้นอย่างหาสาเหตุไม่ได้

"กระหม่อมเป็นฝ่ายยอมเอง..."

"เช่นนั้นราชาก็ไม่ต้องขอโทษเมื่อทำผิดหรือยังไง"

"กระหม่อมไม่ได้บอบบาง" เวสเทียร์หลบมองต่ำ "และกระหม่อมไม่เคยถือโทษโกรธฝ่าบาทเลย" ร่างโปร่งรู้สึกเสียใจที่น้ำเสียงของเขาช่างเรียบนิ่ง ดูไม่จริงใจเอาเสียเลย ดังนั้นคำพูดของเขาจึงไร้ซึ่งความรู้สึกและเป็นเพียงคำประชดประชันที่ด้านชา ทั้งที่มันคือความจริงในใจของเขา "กระหม่อมเสียอีกที่ต้องขออภัยครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทำให้ฝ่าบาทโกรธ"

'การบอกให้เราลงโทษเจ้า... มันช่วยให้เจ้าพ้นโทษจนเคยตัวด้วยหรือเปล่า'

"กระหม่อมเป็นเพียงสามัญชน ควรจะให้เกียรติคู่ครองของตนเอง"

'สามัญชนอย่างเจ้ามีสิทธิ์นอนกับใครไปทั่วหรือยังไง'

เขาเคยพูดกับเวสเทียร์แบบนั้น และในตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังแทงเขาด้วยคำพูดของตัวเอง ร่างโปร่งไม่ได้ขืนตัวออกจากวงแขนแกร่ง ทว่าไม่ได้ตอบรับหรือยินดีกับมัน ไคราห์นรู้ว่าสิ่งที่ตนทำลงไปไม่อาจเยียวยาได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว แต่หากเวสเทียร์ไม่พูดอะไรออกมาบ้าง เขาก็ไม่แน่ใจว่าตนควรจะทำอย่างไร

แต่เขาจะไม่เสแสร้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่อีกฝ่ายกำลังทำเด็ดขาด

"หากเจ้าขออะไรจากเราได้ข้อหนึ่ง... เจ้าจะขออะไร เวสเทียร์"

คนฟังขบริมฝีปากตนเองระหว่างครุ่นคิด เขาอยากถามคำถามนั้นกับฝ่าบาท เขาอยากรู้สถานะตนเองสำหรับอีกฝ่าย แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความกลัวว่าหากมันแตกต่างไปจากสิ่งที่เขาคาดหวัง เขาจะทำอย่างไร จะยอมอยู่ในสถานะนั้นต่อไปหรือเปล่า

เขาต้องการจะเป็นมากกว่าคู่นอนของฝ่าบาทไคราห์นหรือเปล่า...

เขาอยากขออะไรสักสิ่งจากราชา ในโอกาสที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ จากที่ไม่เคยขออะไรเลย

องครักษ์ใต้บัญชาเงยหน้าขึ้นมองราชาของเขา นัยน์ตาของเวสเทียร์เป็นสีน้ำตาเข้มที่ให้ความรู้สึกดุดัน ขึงขัง และหนักแน่น ในขณะที่ดวงตาของฝ่าบาททะเลเหนือเป็นสีน้ำเงินท้องทะเลที่ยากจะอ่านความรู้สึก พวกเขามองสบตาอยู่เนิ่นนานกว่าร่างโปร่งจะเอ่ยออกมา

"กระหม่อม..." เวสเทียร์สูดหายใจลึก "ขอรักฝ่าบาท"

องครักษ์คนสนิทไม่ได้ 'ร้องขอ' อย่างที่ราชาตั้งใจจะให้ทำ แต่นั่นกลายเป็นคำปฏิญาณของเขา คำปฏิญาณที่ทำให้เขานึกกลัวทุกครั้งในความแน่วแน่ของคนตรงหน้า

'กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต ต่อฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น'

ร่างโปร่งก้มหน้าหลบลงตามเดิมขณะพยายามคิดหาคำอธิบาย "ขอแค่ให้ฝ่าบาทเชื่อ..." เขาไม่ใช่คนพูดเก่ง ดังนั้นการจะหาคำมาอธิบายความรู้สึกในตอนนี้จึงเป็นเรื่องยาก เวสเทียร์กำหมัดเข้าและคลายออกด้วยความประหม่าอยู่หลายครั้ง "กระหม่อมรักฝ่าบาท และไม่เคยคิดจะเอาใจออกห่างเลยสักครั้ง"

เวสเทียร์... เวสเทียร์หนอ...

"ตกลง" โดยไม่ถามสิ่งใดต่อ ฝ่าบาทก็ให้คำตอบ "เราเชื่อเจ้า..." น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำทว่านุ่มละมุนอ่อนโยนในลำคอทำให้คนฟังหลับตาพร้อมกับผ่อนลมหายใจ "เราเองก็... จะไม่หันไปหาใครนอกจากเจ้าเช่นกัน" แต่คำพูดต่อมาของฝ่าบาทก็ทำให้องครักษ์เบิกตาขึ้นและถอยออกจากวงแขนนั้นอย่างลืมตัว

"ฝ่าบาทไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกผิด หรือรับผิดชอบเลยขอรับ"

ราชาหนุ่มกดให้อีกฝ่ายซบหน้ากับอกของตน พร้อมกับหลับตาลงช้าๆ

จะให้ไม่ให้เขารู้สึกผิดได้ยังไงกัน... เขา... ที่ทำกับเวสเทียร์ถึงขนาดนั้น ทั้งอีกฝ่ายรักเขาน่ะหรือ "ในเมื่อเจ้า..." ราชารู้ว่าเสียงของเขาสั่นคลอน จึงสูดหายใจลึกก่อนพูดต่อ "มีคู่ครองได้เพียงคนเดียว... เราก็ควรให้เกียรติเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ" องครักษ์อ้าปากจะพูด แต่ครั้งนี้กลับถูกห้ามด้วยริมฝีปากของคู่สนทนาที่ก้มลงแนบจูบเป็นครั้งแรก

...หยุดพูดเสียที หยุดปฏิเสธเขาได้แล้ว

เวสเทียร์ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ถอยหนี พวกเขาไม่เคยจูบกันมาก่อน ราชาไม่ได้บังคับให้เขาตอบรับ อีกฝ่ายเพียงแค่แนบริมฝีปาก กดจูบด้วยสัมผัสแผ่วเบาเนิบช้า อ้อยอิ่ง จนร่างโปร่งขยับตอบอย่างไม่แน่ใจ พวกเขาอาจไม่ประสากับมัน เนื่องด้วยไม่มีใครเคยจูบทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อเวสเทียร์ตอบสนอง ไคราห์นก็รุกกดสัมผัสอุ่นร้อนให้แนบชิด

ความรู้สึกที่ส่งผ่านมาคือความหนักแน่นที่เวสเทียร์ไม่เข้าใจ

ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดขนาดนี้เลย... ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเขาเลย

หากสิ่งที่เขาพูดไปเป็นการผูกมัดราชาทะเลเหนือเอาไว้ เวสเทียร์ก็คิดว่าเขาไม่น่าพูดออกไปเสียจะดีกว่า ถึงแม้จะต้องทรมานกับความจริง แต่อย่างน้อยความจริงเหล่านั้นก็มีประโยชน์ต่ออาณาจักรเซลทิค อย่างน้อยการแต่งงานของฝ่าบาทไคราห์นและราชินีเรจินาก็จะทำให้ประชาชนศรัทธาในตัวฝ่าบาทมากขึ้น

แต่ในเมื่อเขาผูกมัดฝ่าบาทเอาไว้แบบนี้ เซลทิคจะเป็นอย่างไรต่อไปหนอ

ไคราห์นยอมละจากคนตรงหน้า... เขาสัมผัสได้ว่าเวสเทียร์ไม่ได้ยินดี

"กระหม่อม..." องครักษ์เม้มริมฝีปาก "ไม่ต้องการอะไรจากฝ่าบาท" แม้จะยังอยู่ในอ้อมแขน แต่มือเรียวก็กำหมัดแน่น "การแต่งงานเป็นประโยชน์ของอาณาจักร เป็นประโยชน์ของฝ่าบาท ในฐานะองครักษ์... คงไม่สามารถเห็นแก่ตัว และผูกมัดเอาไว้ฝ่าบาทเอาไว้ได้"

"เจ้าคิดว่าเราไม่ละอายหรือ... ที่มีเจ้าอยู่แล้ว แต่กลับคิดหันไปหาหญิงอื่น"

เวสเทียร์ย้ำคำเดิม "ฝ่าบาทไม่ควรรู้สึกผิดต่อกระหม่อม... จนทำลายตัวเอง"

ฝ่าบาทไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก แต่ดึงอีกฝ่ายกลับมากอดด้วยไม่คิดจะปล่อยให้ไปไหน นี่คือบทลงโทษของเขาหรือเปล่า... ที่อีกฝ่ายไม่เชื่อว่าเขาเองก็มีใจ ชาวเงือกไม่หลับนอนกับใครพร่ำเพรื่อ และไม่จูบกับใครหากไม่คิดจริงจัง แต่องครักษ์คนสนิทที่กล้าพูดออกมาว่า 'รัก' กลับปฏิเสธมัน และย้ำว่านั่นเป็นเพียงความรู้สึกผิด

เพราะหากมันเป็นความรักจริง เหตุใดจึงทำเช่นนั้นได้ลงคอ

คำถามขององค์ชายเร็กซ์ยังคงก้องอยู่หัวใของฝ่าบาทตลอดเวลา

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 16.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 09-06-2017 09:08:40
ตอนที่ 16.2

ทูตจากไรห์วามารอพบราชินีแห่งมารินาการ์ดเพื่อเจรจาขอตัว 'นักโทษกบฎ' กลับไป ซึ่งนักโทษที่ว่านี้ก็หาใช่ใครอื่น แต่คือ ฟาเบียง... องครักษ์คนสนิทของราชินีเอง "นี่เป็นเรื่องภายในของอาณาจักรไรห์วา เพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างเรา ทางเราจึงอยากขอความร่วมมือจากฝ่าบาท" ผู้นำสารเหลือบมองเงือกฉลามที่อยู่ข้างกายราชินี ฟาเบียงยังคงมีท่าทีสุขุม และควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้แม้ว่าจะโกรธจนอยากโต้คำกล่าวหาบ้างก็ตาม

"องค์ชายฟาเบียงคิดร้ายต่อพระชายาที่สอง อีกทั้งขัดขวางการขึ้นครองบัลลังก์ของราชารอย..."

"เรายังไม่อนุญาตให้เจ้าพูด" เสียงของราชินีดังก้องไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกคนเงียบลงด้วยสัมผัสได้ถึงโทสะของพระนาง "คิดว่าเราไม่รู้อย่างนั้นหรือ... มารินาการ์ดเก่าแก่กว่าไรห์ว่าตั้งเท่าไหร่ อีกทั้งกฎแห่งบรรพกษัตริย์ของทุกอาณาจักรก็เหมือนกัน นั่นคือการสืบทอดบัลลังก์ต่อไปยังผู้ที่มีสิทธิ์ 'ตามอายุ' แม้ว่าจะไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทก็ตาม"

ปัญหาที่ซับซ้อนของไรห์วาไม่ใช่ธุระของมารินาการ์ด แต่ราชินีก็ไม่อาจยอมให้อาณาจักรฉลามแห่งนั้นเข้ามาวุ่นวายกับการปกครองของนางได้ โดยเฉพาะกับฟาเบียงซึ่งพระนางนับว่าเป็น 'องครักษ์ของราชินี'

"ราชาแอนโธเน่ไม่มีบุตรหรือธิดา แต่ผู้ที่เป็นน้องชายของราชาที่แท้จริงคือฟาเบียงผู้นี้! ราชารอยมีอายุน้อยกว่าเขาตั้งเท่าไหร่ แต่อดีตราชาเอลเซียร์กลับโปรดพระชายาที่สองมากจนแต่งตั้งรอยขึ้นเป็นราชาและข้ามหน้าฟาเบียงไป อีกทั้งยังยัดเยียดข้อหากบฎให้เขาอีก!" พระนางเอนกายอยู่บนบัลลังก์ทอง แต่สองมือก็กำแน่นด้วยพยายามระงับอารมณ์ "ไม่ต้องเอาความสัมพันธ์ระหว่างเมืองมาอ้าง ในเมื่อราชาเอลเซียร์ละเมิดกฎแห่งบรรพกษัตริย์ เราในฐานะผู้ปฏิบัติตามกฎอย่างถูกต้องจนไม่มีความจำเป็นจะต้องให้ความร่วมมือ!"

ฟาเบียงรู้ดีว่าเขากำลังใช้ผู้หญิงเป็นเกราะกำบัง...

แต่เขาต้องเดินทางกลับไปยังไรห์วาอันเป็นบ้านเกิดของตัวเองจริงๆ ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถระงับความโกรธแค้นเอาไว้ได้ ฟาเบียงไม่คิดว่าเขาต้องการอำนาจถึงเพียงนั้น แต่ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้มื่อเห็นสิ่งที่ควรจะเป็นของตนถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา

อดีตราชาแอนโธเน่เป็นพี่ชายต่างมารดาของเขา ซึ่งเกิดจากอดีตพระชายาที่หนึ่งผู้มาจากเผ่าฉลามขาว และเป็นรัชทายาทตั้งแต่กำเนิด แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายอายุสั้นเสียเหลือเกิน จึงได้จากไปก่อนวัยอันควร แต่แทนที่บัลลังก์แห่งไรห์วาจะตกเป็นขององค์ชายฟาเบียง ผู้เกิดจากอดีตพระชายาที่สาม สิทธิ์การปกครองบัลลังก์กลับตกเป็นของรอย น้องชายผู้เกิดจากอดีตพระชายาที่สอง ...ผู้ได้รับความโปรดปรานมากกว่าอดีตพระชายาที่สาม

ฟาเบียงโกรธ... แต่ไม่เคียดแค้น เขาจะไม่อาฆาตเลยหากไม่ถูกกล่าวหาว่าคิดร้ายต่อพระชายาที่สอง และขัดขวางการขึ้นครองบัลลังก์ของรอย อีกทั้ง... กำลังจะถูกกล่าวหาว่าลอบทำร้ายท่านพี่แอนโธเน่อีกด้วย ดังนั้นหากเขาเดินทางกลับไปไรห์วา ฟาเบียงไม่แน่ใจว่าเขาจะระงับความพยาบาทเอาไว้ได้

หากไม่สู้จนตาย... เขาก็จะสู้จนกว่าจะได้สิ่งที่เป็นของตัวเองคืนมา

ดังนั้น เขาจึงขอร้องให้เรจินาช่วยปกป้อง เพราะเขาตั้งใจจะอยู่ที่มารินาการ์ดแห่งนี้ไปจนตาย ในฐานะองครักษ์คนสนิทของพระนาง "ฟาเบียงเป็นคนของเรา และเราจะปกป้องเขา" คนนำสารก้มหน้าลงหลังจากถูกตวาด เขามีหน้าที่นำความมาแจ้ง และเจรจาเพื่อนำตัวองค์ชายฟาเบียงกลับไป ดังนั้นคำตอบที่แน่วแน่ของเรจินาจึงทำให้เขาต้องใคร่ครวญประโยคต่อไปให้ดี

"ฝ่าบาท นี่เป็นเรื่องการปกครองของไรห์วา"

"หากไม่เคารพกฎแห่งบรรพกษัตริย์ เช่นนั้นไรห์วาก็ไม่ควรมีชนชั้นปกครอง!" เรจินาเสียงสั่น "ในเมื่อไม่ใยดีในพลังแห่งสายเลือดของชนชั้นปกครอง ก็เชิญต่อสู้กันเพื่อเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นมาเป็นผู้นำ ในวิถีของเผ่านักรบ หาใช่วิถีของราชา!" ชนชั้นปกครองล้วนมีเลือดที่มีพลังพิเศษ และเลือดแห่งกษัตริย์ไรห์วาก็มีพิษร้ายในตนเอง เพื่อปกป้องพวกเขาจากการถูกล่าทั้งปวง ทำให้ราชวงศ์แห่งไรห์วากลายเป็นผู้ล่าที่แท้จริง

"เช่นนั้นมารินาการ์ดจะให้การสนับสนุน 'กบฎ' ของไรห์วาหรือขอรับ"

"เราไม่เคารพ 'อดีต' กษัตริย์ที่คิดจะฆ่าลูกของตัวเอง เพียงเพราะรักลูกอีกคนมากกว่า นับตั้งแต่สละบัลลังก์ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ในการปกครองอีกแล้ว!" เรจินาลุกจากบัลลังก์ และตรงไปเผชิญหน้ากับเงือกฉลามผู้นำสาร "พวกเจ้าปิดบังเรื่องการผลัดบัลลังก์มาตลอด แต่กลับเปิดโปงในภายหลังว่าองค์ชายฟาเบียงผู้นี้เป็นกบฎ แล้วจะให้เราเชื่อได้อย่างไร"

"ได้โปรด ฝ่าบาท..." คนนำสารค้อมหัว "ไม่เช่นนั้นราชารอยจะส่งฉลามมายังน่านน้ำมารินาการ์ด"

"บังอาจ!" เรจินาตวาด มารินาการ์ดไม่ถนัดการต่อสู้ อีกทั้งไม่มีสัตว์ทะเลชนิดใดสวามิภักดิ์ด้วยอย่างไรห์วาผู้ได้รับคำสัญญาจากพวกฉลาม หรือเซลทิคผู้ได้รับปฏิญาณจากวาฬเพชฌฆาต ดังนั้นนี่จึงเป็นการข่มขู่อย่างไม่ต้องสงสัย "เช่นนั้นก็จะได้เห็นดีกัน เราจะประกาศไปให้ทั่วมหาสมุทร ให้ชาวบาดาลได้ตัดสินเอง ฟาเบียงเป็นสวามีของเรา... เขาสละแล้วซึ่งฐานันดรแห่งไรห์วา แล้วไรห์วายังคิดจะเอาตัวเขาไปจากมารินาการ์ดอีกหรือไม่!"

"ฝ่าบาท..." ฟาเบียงเอ่ยขึ้นเพื่อสงบอารมณ์ของพระนาง "ฝ่าบาทจะเดือดร้อนจากการทำเช่นนั้น"

"เงียบเสีย" พระนางคำรามลอดไรฟัน "เพราะเราจะไม่ยอมให้ราชาที่ไร้เกียรติมาข่มขู่เรา... เด็ดขาด!"

--------------------------------------------------

ชาวเงือกจะขึ้นมาเบื้องบนก็ต่อเมื่อมีแสงอาทิตย์เท่านั้น ดังนั้นความคาดหวังของซินเนย์วาจึงมีมากขึ้นเมื่อเห็นแสงแดดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในร้าน 'ท่อนไม้' ของวาร์เรน "เราทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งรอจริงๆ รึ!" นางหมาป่าใจร้อนคำรามใส่ชายหนุ่มในชุดสีแดงที่นั่งทำงานแกะสลักของตนอย่างใจเย็น

"เจ้าใจเย็นขนาดนั้นได้ยังไง!"

"เรามีเวลาเป็นร้อยปี นายหญิง..." วาร์เรนขยับแว่นลงมาเล็กน้อยเพื่อมองผ่านเลนส์ขยายไปยังส่วนที่ละเอียดอ่อนของไม้เท้าหัวสิงโต "ฝั่งที่รีบร้อนน่าจะเป็นราชาเซลทิคเสียมากกว่า และจากเทศกาลเล่นแสงจันทร์เมื่อวันก่อน พ่ออสูรทะเลก็สนุกสนานอย่างเอิกเกริกประเจิดประเจ้อเสียเหลือเกิน" ปลายมีดแหลมสะกิดเนื้อไม้เพื่อให้เกิดเป็นลวดลาย

"คิดหรือว่ามีเพียงพวกเราที่เห็น..."

ซินเนย์วาขบริมฝีปากตนเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ข้าขอกำลังเสริมจากฝูงมาแล้ว คงจะรีบเดินทางมา"

"ช่วงนี้เองที่เซลทิคเปราะบางเพราะไม่มีใครยืนหยัดปกป้อง" วาร์เรนพึมพำ "ความเคลื่อนไหวของฝูงหมาป่าจะทำให้พวกแวมไพร์ตื่นตัว และตระหนักได้ว่าช่วงนี้เองที่เป็นเวลาเหมาะสมที่สุดที่จะโจมตี" เมื่อครั้งที่แล้วพวกแวมไพร์ได้ตัวองค์ชายเดียร์ราฮานไป แต่พลังแสนวิเศษที่อยู่ในโลหิตกลับจากไปพร้อมกับชีวิต ดังนั้นสิ่งที่ได้ไปจึงไร้ค่า ครั้งนี้แวมไพร์จึงอาจต้องการเพียงราชาเซลทิคที่ยังมีลมหายใจอยู่

"ถ้าปล่อยข่าว... ว่าราชาจะขึ้นฝั่งเล่า" ชายชุดแดงพึมพำ แต่แล้วก็ล้มเลิกความคิด "ไร้เหตุผลเกินไป"

"เราต้องเสี่ยงบางอย่าง เพื่อให้ได้บางสิ่ง วาร์เรน" ซินเนย์วาตอบ "เราปกป้องทุกคนเอาไว้ไม่ได้" นางหมาป่าเดินไปยังหน้าต่าง เพื่อจะมองออกไปด้านนอกด้วยความหวังว่าราชาทะเลเหนือจะเดินทางมาสักที "ชาวเงือกน่าสงสาร แต่พวกเขาจำเป็นต้องเสี่ยงเพื่อให้เรื่องมันจบ"

"เจ้าคิดว่าข้าไม่เข้าใจสถานะของฝ่าบาทไคราห์นหรือ" วาร์เรนขัด "สถานะของราชาที่ไม่ได้รับความเคารพจากคนของตัวเองเพราะทำอะไรที่ดูไม่เข้าท่าน่ะ" นัยน์ตาสีแดงช้อนขึ้นมองจ่าฝูงหมาป่า "การต่อสู้ที่ธราฟัสการ์เมื่อห้าปีก่อน พวกเงือกมั่นใจในตัวเองมากเกินไป จริงอยู่ว่าพวกเขาตัวใหญ่ และมีพลังกำลังมหาศาล แต่หากเทียบเรื่องความเร็วแล้วก็แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าจะรู้จุดอ่อนของแวมไพร์นั่นก็คือไฟและแสงอาทิตย์ก็ตาม"

ซินเนย์วาเองก็เห็นใจ แต่นางมองไม่เห็นทางอื่นที่จะหลอกล่อกลุ่ม 'เงา' เหล่านั้นออกมา

'ก๊อก ก๊อก'

ใครบางคนจับตุ้มทองเหลืองหน้าประตูเคาะสองครั้งแทนคำเรียก ซินเนย์วาสะดุ้งสะดุดและรีบเปิดต้อนรับผู้มาเยือน "ฝ่าบาทไคราห์น!" ราชาเงือกในชุดสูทถอดหมวกทรงสูงออกขณะเดินทางเข้ามา และแขวนเอาไว้บนเสา ทว่าในครั้งนี้ผู้ติดตามราชากลับไม่ใช่องครักษ์คนสนิท แต่กลับเป็นเงือกหนุ่มอีกตนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกัน

เวทอร์สเพิ่งเคยติดตามฝ่าบาทขึ้นมายังเบื้องบน ดังนั้นเขาจึงก้าวตามมาทั้งที่ตัวแข็งทื่อด้วยความเกร็ง และไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศรอบตัว แต่ก็คอยสังเกตสิ่งต่างๆ ระวังระไว

"คุณหญิงซินเนย์วา..."

เมื่อฝ่าบาทพยักหน้าให้พร้อมกับกล่าวทักทาย นางหมาป่าก็กลั้นใจและหน้าแดงขึ้นมากะทันหัน ซินเนย์วาเคยพูดคุยกับชาวเงือกเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือราชาทะเลเหนือผู้นี้ ดังนั้นนางจึงไม่แน่ใจว่าเงือกชายส่วนใหญ่มีน้ำเสียงที่นุ่มนวลชวนหลงแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า

เพราะเงือกหญิงเองก็มักจะมีน้ำเสียงไพเราะทำให้กะลาสีหลงใหลจนเรือล่มตั้งมากมาย

วาร์เรนยกมือของตนขึ้นในระดับสายตา "ทักคุณชายวาร์เรนด้วยไม่ได้หรือ"

ซินเนย์วาหันไปมองคนพูดพร้อมกับถลึงตาใส่ ในขณะที่ราชาเงือกปรายตามองอย่างไม่ให้ความสนใจนัก "ขออภัยที่เป็นฝ่ายผิดนัดเสียเอง" เขาได้ยินเสียงเรียกของหมาป่าหลายคืนมาแล้ว แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาของเทศกาลเล่นแสงจันทร์ที่สำคัญของชาวเซลทิค ราชาอย่างเขาจึงไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด

"หน่วยลาดตระเวนพบหมาป่าสองตัวแถวหมู่บ้านร้าง เราหวังว่านั่นจะเป็นคุณหญิง"

นางหมาป่าไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิธีการพูดของราชานัก แต่ก็พบจะเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายชอบเรียก 'ยศ' มากกว่าชื่อ และนางก็ไม่ใช่ท่านหญิง หรือนายหญิงเสียด้วย แต่เป็น 'คุณหญิง' ซึ่งก็เป็นวิธีการเรียกที่นางลืมเลือนไปแล้ว แม้ว่าในอดีตจะคุ้นเคยกับมันก็ตามที "แล้วหากไม่ใช่ข้าเล่า..."

"จะมีหมาป่าตัวใดในแถบนี้สง่างามเท่าคุณหญิงอีก"

ซินเนย์วาพยายามเก็บสีหน้า แต่นางก็รู้สึกได้ว่าพวงแก้มของตนเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ หญิงสาวเปลี่ยนเป้าหมายไปนั่งที่เก้าอี้หน้าเตาผิงก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน "วาร์เรนแจ้งข่าวว่าฝ่าบาทต้องการพบข้าเพื่อหารือเรื่องของแวมไพร์ ...ในฐานะผู้ดูแลความเรียบร้อย หมาป่ายินดีจะให้ความช่วยเหลือ แต่การประกาศศึกกับธาตุอากาศเป็นเรื่องสูญเปล่า พวกมันจะไม่เคลื่อนไหวหากไม่มีความมั่นใจว่าตนเองจะได้รับชัยชนะ"

"พวกมันต้องการเลือดของเรา" ไคราห์นเริ่ม "เราจึงเป็น 'เหยื่อล่อ' ที่ดีที่สุด"

"ฝ่าบาท!" เวทอร์สเงยหน้าขึ้นอย่างลืมตัว แต่ราชาของเขาก็ยกมือปราม

"พวกมันเคยพยายามมาแล้ว เมื่อครั้งที่โจมตีหมู่บ้านธราฟัสการ์ พวกมันได้รับคำสั่งให้จับ 'ราชาแห่งเซลทิค' กลับไป เพราะเลือดแห่งราชวงศ์สามารถเยียวยาบาดแผลได้..." ราชาหนุ่มสูดหายใจเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง "เดียร์ราฮานเป็นห่วงความปลอดภัยของเรา... เขาจึงประกาศขึ้นมาว่าตัวเองเป็นราชาแทนเรา"

คนเป็นพี่กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในอุ้งมือ "เป้าหมายของพวกมันคือเลือดของราชาเซลทิค"

เช่นนั้นก็น่าแปลกที่พวกมันไม่ออกตามล่าฝ่าบาทต่อ...

ซินเนย์วาเหลือบมองวาร์เรนเล็กน้อย ด้วยนางพอจะคิดอะไรออก แต่เมื่อไตร่ตรองอีกครั้งหนึ่ง นางก็คิดว่าเงียบเอาไว้เสียจะดีกว่า วาร์เรนสูดหายใจลึกๆ แล้วจึงออกความเห็น "และฝ่าบาทก็อยู่ที่อาณาจักรเซลทิค จริงอยู่ว่าชาวเงือกละทิ้งหมู่บ้านนั้นไปแล้ว แต่มันมีร่องรอยที่จะสืบสาวไปถึงที่ตั้งที่แท้จริงของอาณาจักร ซึ่งจะกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของพวกแวมไพร์"

"เราได้ยินว่าแวมไพร์กลุ่มนี้เป็นปรปักษ์กับราชาแวมไพร์" ไคราห์นกล่าวต่อ "เช่นนั้นหากบอกพวกนางพรายสายลมไปว่า เราจะขึ้นฝั่งเพื่อไปหารือกับราชาแวมไพร์เสียเอง คงทำให้พวกมันดิ้นพล่านได้กระมัง"

วาร์เรนเบิกตาขึ้น ...นี่คงเป็นเงือกที่ใจกล้ามากพอตัวที่นัดพบแวมไพร์

แต่ต่อให้กล้าแค่ไหนก็ไม่ควรพบแวมไพร์สักตัวอยู่ดี... โดยเฉพาะราชาแวมไพร์

"ข้าแนะนำให้ฝ่าบาทเดินทางไปที่อังกฤษ" วาร์เรนพูดแทรกขึ้นมาเสนอความเห็น "ที่นั่นมีเผ่านักล่าแวมไพร์ สิ่งนี้คงทำให้พวกมันเต้นเร่าจนต้องรีบชิงลงมือก่อนที่ฝ่าบาทจะได้พบพวกเขา" ซินเนย์วาไม่เข้าใจวาร์เรนมากนัก แต่นางก็ไม่มีเวลาทักท้วง ด้วยกำลังใช้ความคิดอยู่กับมุมมองของตัวเอง

เหตุใดแวมไพร์จึงไม่รุกคืบ หลังจากทำลายหมู่บ้านธราฟัสการ์ได้เมื่อห้าปีที่แล้ว

ทั้งๆ ที่เซลทิคอยู่ใกล้เอื้อมเพียงนั้น...


"อังกฤษไม่ใช่ที่ทางของเรา การหลงทิศทางไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มีแต่จะทำให้เราเสียเปรียบ แม้เราพร้อมจะเสียสละ แต่ก็ใช่ว่าจะอยากสูญชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์" ฝ่าบาทต้องการให้เกิดการต่อสู้ที่นี่ และต้องการชัยชนะ เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรู อีกทั้งประกาศว่าชาวเงือกแห่งเซลทิคมีสิทธิ์ที่จะขึ้นมายังแผ่นดินแห่งนี้อย่างถูกต้อง

ไม่ใช่ชัยชนะที่อังกฤษ หรือที่อื่นใด... แต่เป็นที่บาร์ธีมอร์แห่งนี้

ในฐานะจ่าฝูง ซินเนย์วาคิดว่าตนเองควรพูดอะไรบ้าง "จริงอยู่ว่าฝ่าบาทไม่รู้ที่ทางในอังกฤษเลย เขาจะขึ้นไปถูกได้อย่างไรแล้วพวกเผ่านักล่าก็อยู่ตั้งลอนดอน หาใช่ริมทะเล แผนนี้ทำให้ฝ่าบาทดูโง่เง่าไม่เข้าท่า พวกมันจะตระหนักได้ว่านั่นเป็นกับดัก" นางหันไปสบตาวาร์เรน "แต่หากเป็นการนัดพบปะที่บาร์ธีมอร์ก็ดูจะได้เรื่องมากกว่า"

 "แต่อังกฤษมีผู้ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือฝ่าบาทมากกว่า"

เวทอร์สรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง และเขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากพอที่จะบอกได้ว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกนั้นคืออะไร ชายหนุ่มเพิ่งเคยพบพวกหมาป่า บรรยากาศการสนทนาจึงอาจแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่กดดันอยู่ในใจของชายหนุ่มก็ทำให้เขาขยับไปใกล้ม่านหน้าต่างที่ปิดสนิท และแง้มมองออกไปด้านนอกเล็กน้อย

แสงอาทิตย์สว่างจ้าเมื่อครู่ถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆหนาทึบ

เมื่อไม่มีแสง... ความหวั่นกลัวเกี่ยวกับแวมไพร์ก็ก่อตัวขึ้นมา

"เราจะไม่ส่งศัตรูไปยังน่านน้ำของมารินาการ์ด!" ราชาทะเลเหนือกดเสียงต่ำ "ปัญหาเกิดขึ้นที่เซลทิค ดังนั้นชาวเซลทิคจะต้องรับมือกับปัญหานี้เอง" เขาจะไม่หยิบยื่นอันตรายไปให้เมืองอื่น แม้ว่าเมืองอื่นที่ว่านี้ดูจะเอาตัวรอดได้ดีกว่าเมืองของเขาก็ตามเขาจะไม่แต่งงานเพื่อใช้ชื่อเสียงของเรจินาในการครองใจประชาชน และไม่จะแก้ปัญหาของตัวเองด้วยการผลักปัญหาให้เมืองอื่น นั่นเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด และไม่ใช่วิถีของราชาทะเลเหนือ

"เลือดแห่งราชวงศ์มารินาการ์ดมีอำนาจมากกว่าเรา... พวกเขาจะเสี่ยงไม่ได้"

"ฝ่าบาท!"

เสียงตะโกนของเวทอร์สทำลายการสนทนา และด้วยประสาทการรับรู้ที่ว่องไวของหมาป่า ซินเนย์วาสัมผัสได้ว่ามีใครอีกคนรับฟังการสนทนานี้อยู่ องครักษ์เงือกกระชากประตูร้านเปิดออก เอื้อมมือไปเบื้องหน้าเพื่อจะคว้านเอาหัวใจของผู้ไม่ได้รับเชิญ มันเป็นร่างเงาของคนสองคน และว่องไวเสียจนมองตามไม่ทัน

แวมไพร์!

โครม!

ซินเนย์วาผุดลุกจากเก้าอี้และก้าวถึงประตูในชั่วอึดใจ แต่ก็ไม่สามารถคืนร่างเป็นสัตว์ป่าได้เนื่องจากพวกเขาอยู่ที่ใจกลางเมืองบาร์ธีมอร์ "วาร์เรน!" หญิงสาวหันไปหาเจ้าของชื่อแต่ไม่พบตัว แต่แล้วแสงแดดเจิดจ้าก็สาดกลับเข้ามาในร้านเมื่อเมฆหนาทึบมลายหายไปในชั่วพริบตาจนพวกเขาต้องยกมือขึ้นบัง

"มันหนีไปได้คนหนึ่ง!"

วาร์เรนยืนอยู่หน้าร้านของเขา ในมือของชายหนุ่มถือมีดเล่มยาวที่พยายามจะแอบเอาไว้ใต้เสื้อคลุม เปลวฝุ่นที่ค่อยๆ สลายไปตรงหน้าบ่งบอกได้ว่าชีวิตหนึ่งของแวมไพร์เพิ่งดับสูญไปเพราะแสงอาทิตย์ "ฝ่าบาท" ร่างของวาร์เรนสั่นเทาด้วยความโกรธเคือง ชายหนุ่มหันกลับมาหาราชาเงือก "เลือดของราชวงศ์มารินาการ์ดมีอำนาจใด มันมากพอที่จะทำให้แวมไพร์เปลี่ยนเป้าหมายจากเซลทิคไปยังมารินาการ์ดหรือเปล่า!"

ไคราห์นมุ่นคิ้วกับคำถาม แต่ก็พอจะคาดการณ์ได้ "...มารินาการ์ดจะมีอันตราย"

"ข้าจะไปอังกฤษ!" วาร์เรนสาวเท้ากลับเข้ามา และเสียบมีดของตนเข้าไปในฝักข้างเอว "นายหญิงอยู่ดูแลที่นี่" เขาอาจเรียกซินเนย์วาด้วยความเคารพ แต่ประโยคของชายหนุ่มก็ไม่ต่างอะไรกับคำสั่ง นัยน์ตาสีแดงหันไปสบมองจ่าฝูงอีกครั้ง "ไม่มีใครปกป้องมารินาการ์ด พวกเขาจะมีอันตราย"

"ไปเถอะ ข้าจะดูแลทางนี้เอง" ซินเนย์วากลั้นใจ "ไปบอกราชาแวมไพร์..."

--------------------------------------------------


ตอนนี้ไม่(ค่อย)มีคาดันน์!!! (ขอโทษ หาช่องให้โผล่ไม่ได้จริงๆ ลูกเอ๊ย...)

จริงๆ คาดันน์เป็นตัวบอสตัวนึงเลยก็ว่าได้ คือพี่แกด้านหน้ามาก (นี่ชม) สามารถเข้าได้กับทุกคน ทุกคู่ ทุกสถานการณ์ มีความยุ่งเรื่องชาวบ้านขั้นสุด และจะเป็นกำลังใจให้ทุกคน ตราบใดที่ทุกคนยังลูบหัวและเล่นลิ้นมัน (...)


จุดที่ยากกกกกกกกกกกกกกกกกกที่สุดในบทนี้คือฉากคำขอของเวสเทียร์นี่ล่ะะ ะ

คือไม่รู้ว่าจะให้ขออะไร ที่ดูไม่มากไปและไม่น้อยไปจนโกหกตัวเอง ปกติเวสเทียร์ไม่ใช่คนที่พูดอะไรตรงกับใจสักเท่าไหร่ เหตุผลคือ 1) รู้สถานะของตัวเอง และ 2) บางอย่างดูจะหวังสูงเกินไป ซึ่งคราวนี้ฝ่าบาทให้โอกาส นางเลยคิดว่าต้องคว้าเอาไว้สักครั้ง หลังจากไม่เคยคว้าเลยจนตัวเองเป็นแบบนี้

ตอนแรกจะให้ขอแรงๆ เช่นคำว่า 'ขอศักดิ์ศรีคืนมาได้ไหม' อะไรแบบนั้น เพราะสิ่งที่ฝ่าบาททำคือเหมือนเหยียบศักดิ์ศรีของเวสเทียร์ (อ้ะ ไม่มีเท้า เหยียบไม่ได้---) แต่ถ้าพูดประโยคนั้นจริงๆ แล้วตามบริบทคือฝ่าบาทจะตกลง-อนุญาตโดยไม่ลังเลอะไรเลย มันจะกลายเป็นคำอนุญาตให้ริบะรึเปล่า 555 (reverse น่ะ พลิกน่ะ... คือ... คือ...) ทั้งที่ใจจริงของเวสเทียร์ก็แค่... ถ้าฝ่าบาทจะห้ามไม่ให้เขาแต่งงาน เขาก็อยากห้ามฝ่าบาทบ้าง

...แต่ในความรู้สถานะตัวเองดี๊ดีของเวสเทียร์ ทำให้คำตอบออกมาเป็นคำปฏิญาณน่าจะเข้าท่ากว่า

ไม่ขออะไรที่เป็นรูปธรรมจากฝ่าบาท แต่ขอให้ฝ่าบาทเชื่อในนามธรรมก็พอ และด้อนแคร์ด้วยว่าฝ่าบาทจะคิดอะไร รู้สึกยังไง (เพราะเขาฝังใจว่าเขาไม่มีสิทธิ์ถาม) ซึ่งเราว่ามันเป็นการลงโทษทางใจที่เจ็บกว่า (และอาจจะแมนกว่า) การมาสะบัดหน้างอนๆ ใส่กัน (เวสเทียร์ก็ 189 cm นะ ฝ่าบาทก็ 200 cm+ นะ เฮ้ยอย่ามาทำเหมือนผู้หญิงตัวเล็กๆ 555)



คำเรียกของซินซิน... ไม่ใช่ นายหญิง (mistress) หรือ ท่านหญิง (milady) แต่เป็นคุณหญิง (countess)

ซึ่งยศของซินเนย์วาอดีตก็เป็นคุณหญิงของท่านเคาน์แห่งโฟล์คสโตนจริงๆ (countess of folkstone) แต่ในปัจจุบันนางเป็น mistress นะ (แต่ชีไม่ใช่นายของฝ่าบาท ฝ่าบาทเลยเรียก countess) (ถ้าใครจะเป็น milady ก็น่าจะเป็น... ชาร์ดอนเน่... แหละมั้ง)

จริงๆ ตอนคิดแผนนี่ก็แอบเกร็งอยู่ว่าคนอ่านจะคาดหวังการตลบหลังอย่างดุเดือดแบบในแอสทารอธรึเปล่าน้า (อันนั้นเราเหนื่อยมาก และมันตลบกันดุจริงๆ 555) แต่พอคิดว่า... เออ... เหยยย นี่เขียนนิยายรักนะ เอาแค่กลางๆ ก็พอน่าาา ก็เลยได้เป็นอันนี้ออกมา (ดูไม่ใช่แผนอะไรด้วยซ้ำ ระดับตัวละครมันไม่ทันกันแบบแอสทารอธ... คือฝั่งเงือกดูจะรู้อะไรน้อยกว่าพวกหมาป่า-แวมไพร์)

จะขยับเส้นเรื่องแล้วนะ... ฮึ้บ!
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 17.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 12-06-2017 13:16:22
ตอนที่ 17.1

จริงอยู่ว่าวิถีชีวิตของชาวเงือกแห่งมารินาการ์ดดูจะเสี่ยงอันตรายน้อยกว่า แต่ฝ่าบาทไคราห์นก็ไม่อาจนิ่งนอนใจปล่อยให้พวกผีดูดเลือดไปเล่นงานที่แห่งนั้นได้โดยที่เขาไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย อย่างน้อยเขาควรจะเรื่องนี้กับราชินีเรจินาเพื่อให้พระนางเตรียมรับมือ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งห้ามชาวบาดาลขึ้นมาเหนือน้ำในเวลากลางคืน การเฝ้าระวังเป็นพิเศษในฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืืดหม่นแทบจะไร้ซึ่งแสงอาทิตย์

"เจ้าไปบอกฟาลให้เตรียมราชรถ เราจะไปมารินาการ์ด!"

ราชาทะเลเหนือออกคำสั่งกับองครักษ์ลาดตระเวนข้างกาย ราชรถแห่งเซลทิคคือฝูงวาฬเพชฌฆาตแห่งทะเลเหนือ แม้พวกมันจะเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางกลับมายังมารินาการ์ด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้สร้างความกระวนกระวายใจให้ราชาจนเขาไม่สามารถอดทนรอได้ "เราจะไปพบองค์ชายเร็กซ์ เขาควรจะกลับมารินาการ์ดพร้อมกับเรา" หางวาฬสีขาวขยับโบกพาราชาเซลทิคดำลงไปเบื้องล่าง แต่แล้วเวทอร์สก็เอ่ยท้วงขึ้นมาอย่างที่ไม่มีองครักษ์คนใดของอาณาจักรกล้าทำ

"กระหม่อมอาสาไปพบองค์ชายเร็กซ์เองขอรับ"

ไคราห์นชะงักหยุด เขาหันไปมองคนพูดด้วยความประหลาดใจ น้องชายของเวสเทียร์ผู้นี้ดูจะมีความกล้าขัดคำสั่งของราชาในแบบที่ชาวเซลทิคทั่วไปไม่มี อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายอยู่ใกล้ชิดองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ดมากในระยะหลังๆ มานี้ก็เป็นได้

แต่ก็ใช่ว่าฝ่าบาทไคราห์นจะไม่รับฟัง "เขาเป็นแขกของเรา จะให้เจ้าไปพบได้อย่างไร"

"องค์ชายเร็กซ์อาจต้องการเวลาในการทำความเข้าใจฝ่าบาทขอรับ" เวทอร์สก้มหน้าตอบอย่างนอบน้อม "กระหม่อมเกรงว่าจะมีการปะทะคารมกันอีก จึงไม่อยากให้ฝ่าบาทไปพบองค์ชาย กระหม่อมอาสาจัดการเรื่องนี้เอง ขอเพียงฝ่าบาทออกคำสั่ง"

...เจ้าก็เพิ่งขัดคำสั่งเรานี่ เวทอร์ส

"เช่นนั้นก็ไปบอกองค์ชายเร็กซ์ เราจะไปมารินาการ์ด มีเรื่องที่เราจะต้องหารือกับราชินีเรจินาเป็นการด่วน ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยราชวงศ์มารินาการ์ด" เมื่อเอ่ยจุดประสงค์หลักออกไปแล้ว ไคราห์นก็คิดว่าเขาควรจะออกปากในจุดประสงค์รองที่เขาลังเลด้วย "ต่อให้เราไม่มีโอกาสได้เกี่ยวดองกัน... แต่เรากับเรจินาก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน"

"กระหม่อม... ถามได้ไหมขอรับว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านพี่และฝ่าบาท"

นับตั้งแต่ไปรับใช้ใกล้ชิดองค์ชายเร็กซ์ ไคราห์นคิดว่าเวทอร์สเปลี่ยนไปจริงๆ ซึ่งมันอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกก็เป็นได้ เพราะมันทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดกับคนของตนมากขึ้นกว่าเดิม "องค์ชายรู้เรื่องของเรากับเวสเทียร์" ฝ่าบาทตอบ และนิ่งเงียบไปสักพักด้วยไม่แน่ใจว่าควรจะยืดอกรับผิดอย่างลูกผู้ชายหรือว่าเก็บมันไว้เป็นความลับของราชา

"เราเป็นฝ่ายผิดที่วู่วาม..." ไคราห์นยังไม่มีความกล้าพอที่จะบอกว่าเขาทำอะไรลงไป "เจ้าโทษเราเถอะ"

"กระหม่อมไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฝ่าบาท" คนเป็นน้องอดพูดไม่ได้ "แต่อย่างน้อยกระหม่อมก็รู้ว่าท่านพี่เวสเทียร์คิดอย่างไร และรู้ว่าองค์ชายเร็กซ์รู้สึกอย่างไร" เวทอร์สยังคงไม่มองหน้าราชาของเขาตามกฎของอาณาจักร "ดังนั้น กระหม่อมจึงอาสาช่วยเท่าที่กระหม่อมจะทำได้ เพราะอย่างไรฝ่าบาทก็เป็นราชาของกระหม่อม"

"ต่อไปนี้... ให้เจ้าเงยหน้าขึ้นมองเราเวลาพูด เจ้าทำได้หรือไม่ เวทอร์ส"

องครักษ์ลาดตระเวนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองราชาของตน และเป็นครั้งที่เขาได้เห็นอีกฝ่ายยิ้มด้วยความเอ็นดู

--------------------------------------------------

ฟาลกลับมายังหน้าผาฝั่งตะวันออกอันเป็นที่พักอาศัยของเผ่าเพชฌฆาต เพื่อจะพูดกับท่านซินเธียร์ อดีตผู้นำเผ่าเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เลขาคนสนิทไม่เคยพูดเรื่องนี้กลับใครมาก่อนด้วยคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาคิดมาตลอดว่าฝ่าบาทเห็นเวสเทียร์เป็นเพียงเครื่องระบายอารมณ์ และตอนนี้คงถึงเวลาที่พวกเขาควรจะได้หัวหน้าเผ่าคืนมา

แต่ไม่ใช่เลย... ฝ่าบาทไคราห์นไม่มีวันปล่อยเวสเทียร์กลับมาอย่างแน่นอน

"ข้าควรไปพูดกับฝ่าบาทด้วยตนเอง" ซินเธียร์ถอนใจ นางเอนร่างอยู่บนโขดหินเหนือน้ำและกำลังสางผมอยู่ก่อนที่ฟาลจะเข้ามาพบ "ฝ่าบาทไคราห์นไม่ใช่คนใจคอโหดร้าย และเขาพอจะเคารพข้าอยู่บ้างในฐานะอดีตองครักษ์คนสนิททั้งของเขาและของบิดาเขา เราอาจหารือร่วมกันได้" นางเงือกหันไปมองท้องฟ้าเบื้องบน แสงที่ส่องผ่านเข้ามาตามรอยแยกของหินค่อยๆ น้อยลง บ่งบอกได้ถึงยามพลบค่ำ "เจ้าก็อย่าเพิ่งวู่วามไป ฟาล เรื่องนี้ละเอียดอ่อนนัก"

"เขาเป็นหลานของข้า... ท่านซินเธียร์ จะให้ข้าอยู่เฉยได้อย่างไร"

"เวสเทียร์เป็นองครักษ์มาสิบปี ฟาล... แต่เรื่องทั้งหมดนี่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อห้าปีที่แล้วเท่านั้น ข้าจึงคิดว่ามันมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้มันเกิดขึ้น และจากปากของเวสเทียร์เอง เขาก็ย้ำกับเจ้าว่าสิบเจ็ดปี" ซินเธียร์มุ่นคิ้ว "ฝ่าบาทครองบัลลังก์เซลทิคมาได้สิบเจ็ดปีพอดี" ซินเธียร์เกษียณอายุมาได้สิบปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นางไม่รู้ความเคลื่อนไหวหรือความเปลี่ยนแปลงของราชาทะเลเหนือเลย แต่ก็ใช่ว่ายี่สิบห้าปีก่อนหน้านั้นจะไม่รู้จักฝ่าบาทไคราห์น

นางอยู่มาก่อนที่จะมี 'องค์ชายไคราห์น' ด้วยซ้ำ

"เด็กคนนั้น... มีความแข็งแกร่งของราชาเป็นเปลือกนอก แต่ในใจของเขาบอบช้ำจากปัจจัยหลายอย่าง" ซินเธียร์ขบริมฝีปากตนเอง "เจ้าจะไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของราชาไม่ได้ ฟาล... นั่นไม่ใช่สิ่งที่เลขาที่ดีเขาทำกัน" นางเงือกอาวุโสว่า "หน้าที่ของเรา เผ่าองครักษ์ คือการปกป้องราชา และคอยอยู่เคียงข้างเขา ตามคำสัตย์ที่ให้ไว้ หากเจ้ามองว่าสิ่งที่ฝ่าบาททำคือการเหยียบย่ำคำสัตย์ของเผ่าเรา ข้าก็อยากทบทวนอีกสักรอบว่าเราได้ปฏิบัติตามคำสัตย์นั้นแล้วจริงหรือ"

"ถึงเราจะส่งผู้นำเผ่าไปรับใช้ฝ่าบาท ก็ใช่ว่าเราจะต้องเสียสละเขาไป" ฟาลตอบ

"เวสเทียร์ยังไม่ตายเสียหน่อย" ซินเธียร์ว่า "และห้าปีก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้ เหตุใดเวสเทียร์จึงไม่คิดมีคู่ แต่งงานมีครอบครัวกับเขาทั้งที่มันเป็น 'ส่วนหนึ่ง' ของหน้าที่ผู้นำเผ่า ไม่ใช่เพราะเวสเทียร์ปฏิเสธเองหรอกหรือ เขาปฏิเสธมาตลอดเพราะอ้างว่าไม่มีผู้ใดถูกใจต้องตา ชาวเงือกเราสามารถมีคู่ครองได้เพียงคนเดียว ข้าจึงคิดว่าควรให้เวลาเขาได้เลือก แต่ในเมื่อ... มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น อีกทั้งเกิดมาตั้งนานแล้วโดยที่เวสเทียร์ไม่เคยพูดอะไรสักคำ นั่นไม่ได้แปลว่าเขาตกลงปลงใจแล้วหรอกหรือ เจ้ากลับคิดจะให้เขาหันหลังให้กับคู่ของตนเอง เพียงเพราะคู่ของเวสเทียร์ไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้อย่างนั้นหรือ"

ฟาลมุ่นคิ้วพร้อมกับส่ายหัวในสิ่งที่อดีตผู้นำเผ่ากล่าว "ฝ่าบาทไม่ใช่คู่ของเวสเทียร์"

"เราคัดเลือกผู้นำจากความแข็งแกร่ง..." ซินเธียร์กล่าวต่ออย่างใจเย็น "ต่อให้เวสเทียร์มีลูก ลูกของเขาก็ต้องมาลงประลองในการคัดเลือกผู้นำเผ่าอยู่ดี และต้องชนะเท่านั้นจึงจะได้เป็นผู้นำเผ่าต่อไป ซึ่งเมื่อสิบปีก่อนแม้แต่ลูกของข้า หรือหลานของข้าเองก็ยังพ่ายเวสเทียร์ ทั้งที่พวกเขามีสายเลือดของข้า... ข้าซึ่งเป็นถึงอดีตผู้นำเผ่าเพชฌฆาต"

"แล้วเจ้าที่รู้เรื่องนี้แก่ใจกลับจะให้ข้าส่งแม่หนูธีราไปแต่งงานกับเขา... ไม่คิดถึงจิตใจของฝ่ายหญิงบ้าง!"

'หากข้าไม่แต่งงาน เผ่าเพชฌฆาตจะทอดทิ้งข้าหรือเปล่า'

ไม่เลย... เพราะวิถีของเผ่าเพชฌฆาตคือการเคารพผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งตอนนี้ก็คือเวสเทียร์

"อีกไม่นาน ฝ่าบาทจะเสกสมรมกับราชินีเรจินา... มันจะมีสิ่งใดเหลือให้เวสเทียร์เล่า!"

ฟาลไม่ยอมรับ เขาเพียงแค่ 'ไม่อยาก' ยอมรับในความสัมพันธ์ที่สัญญากันด้วยลมปาก พวกเขาอาจถูกตาต้องใจกัน แต่มันก็ทำได้เพียงแค่นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ และไม่เหลือสิ่งใดทิ้งไว้เบื้องหลัง แม้จะเป็นความรู้สึกที่ดี แต่เวสเทียร์จะเสียโอกาสในการสืบทอดสายเลือดไปตลอดกาล

ซินเธียร์กำลังจะอ้าปากตอบ แต่เมื่อนางเห็นร่างเงาสีขาวเคลื่อนกายขึ้นมาใกล้ นางเงือกก็ถอยตัวลงน้ำอย่างรวดเร็ว "ฝ่าบาทไคราห์น" ราชาทะเลเหนือผุดขึ้นเหนือผิวน้ำพร้อมกับเสยผมสีขาวไปด้านหลัง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปมองเลขาคนสนิท เงือกใต้บัญชาทั้งสองค้อมหัวลงเพื่อแสดงความเคารพต่อราชา

ฟาลไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะโกรธเพียงใด เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายได้ยินสิ่งที่เขาพูด

"นับแต่นี้... เวลาจะพูด ให้เงยขึ้นมองเรา ตกลงไหม" ราชาหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบปราศจากอารมณ์ "ถ้าเจ้ามองหน้าเรา เจ้าอาจจะเข้าใจมากขึ้นว่าเรารู้สึกอย่างไรกับคำพูดของเจ้า ฟาล" เงือกทั้งสองยังไม่อาจทำได้ เนื่องด้วยพวกเขาอยู่กับกฎเกณฑ์เดิมมาตลอดชีวิต ฝ่าบาทจึงถอนใจเบาและเคลื่อนกายไปยังโขดหินใกล้ๆ เพื่อจะยกตัวเองขึ้นนั่ง

"เพราะพวกเราไม่เคยพูดกัน มันจึงเป็นแบบนี้..."

ซินเธียร์ไม่แปลกใจที่ฝ่าบาทของนางดูจะเยือกเย็นเสียเหลือเกิน ฝ่าบาทไคราห์นมีนิสัยเช่นนี้ เพราะตัวเขาเองบอบช้ำจากคำครหานินทาของคนอื่นมามาก ทั้งที่ยังไม่มีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ฝ่าบาทจึงพยายามประนีประนอมทุกสิ่ง แต่หลายสิ่งนั้นก็ต้องปิดบังเอาไว้ด้วยหน้ากากความแข็งแกร่งของราชา

...แต่ชายหนุ่มรู้มาเนิ่นนานแล้วว่า 'คำสั่ง' ไม่อาจเอาชนะใจคนได้

"เจ้าเคยถามเราสักครั้งไหม ฟาล... ว่าเราต้องการอะไร" คำพูดของราชาดูตัดพ้อ และอ่อนแอไม่สมเป็นเขา ซึ่งฝ่าบาทก็ดูจะรู้ดี "กฎของราชวงศ์กีดกันเราออกจากคนของเราเอง แม้แต่คนที่ใกล้ชิดที่สุดอย่างเจ้าก็ไม่กล้าแม้แต่จะออกปาก"

นี่ไม่ใช่เวลามาปรับความเข้าใจกันแบบเด็กๆ ราชาทะเลเหนือคิดเช่นนั้น

"เราจะยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติต่อราชวงศ์เซลทิค สิ่งเดียวที่พวกเจ้าไม่อาจทำกับเราได้จะมีเพียงข้อเดียว... นั่นคือการห้ามแตะต้อง" เงือกอาวุโสทั้งสองมุ่นคิ้ว และลอบสบตากันอย่างไม่เข้าใจ อีกฝ่ายไม่ได้มาเพื่อจะพูดเรื่องของเวสเทียร์อย่างนั้นหรือ "จงเงยหน้าขึ้นมองเรา พูดคุย และสนทนากับเราอย่างที่คนทั่วไปเขาทำกัน"

ซินเธียร์เงยหน้าขึ้นมองราชาของนาง แม้จะไม่คุ้นชิน แต่การได้สบมองดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกตรงหน้า นางเงือกก็รู้สึกประหนึ่งว่าได้อยู่ใกล้ชนชั้นปกครองมากขึ้น

"เราไม่คิดจะสมรสกับราชินีเรจินา..."

หากเป็นการพูดธรรมดา ซินเธียร์ก็คิดว่านี่อาจเป็นประโยคที่ไม่ได้มีความหมายอะไร แต่เมื่อฝ่าบาทเอ่ยออกมาพร้อมกับมองสบตานางไปด้วย นางเงือกกลับรู้สึกได้ถึงความแน่วแน่อย่างหนึ่งในคำพูดนั้น "เหตุผลที่หนึ่ง เพราะเรามีเวสเทียร์อยู่แล้ว และเหตุผลที่สอง... เราจะไม่ยืมมือของผู้หญิงในการทำให้ประชาชนเลื่อมใสในตัวเรามากขึ้น แม้ว่านั่นจะเป็นหนทางที่ง่ายดายที่สุดก็ตาม"

ฟาลค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองราชา เมื่อเห็นว่านางเงือกอาวุโสเงยขึ้นก่อนหน้าแล้ว

"เราเองก็ละอายแก่ใจเป็นเหมือนกัน" ซินเธียร์พยายามหาคำพูดมาตอบโต้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะกล่าวอะไร "ราชามีหน้าที่ปกป้องผู้คนของเขา และหากเราในตอนนี้ไม่แข็งแกร่งพอที่จะคู่ควรกับผู้นำเผ่าเพชฌฆาต... เราก็จะทำให้ได้สักวันหนึ่ง" น้ำเสียงของฝ่าบาทขึงขัง และมั่นคง ราวกับว่ามันเป็นคำสัตย์ของเขา "เพื่อให้พวกเจ้ายอมรับในหนทางที่เราเลือก"

"เราไม่ได้ดูแคลนคำสัตย์ของพวกเจ้า... เราแค่รักเวสเทียร์"

เลขาคนสนิทหลับตาลงและถอนใจออกมา "กระหม่อมจะกล้าขัดใจราชาได้อย่างไร ในเมื่อคำสัตย์ของเราคือการช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างฝ่าบาท" เขากำหมัดเอาไว้หลวมๆ ขณะพูดต่อ "ต่อให้กระหม่อมจะไม่เข้าใจคำสัตย์ของฝ่าบาทเลยก็ตาม"

"สิ่งที่ผิดแปลกไปจากเดิมต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ ฟาล" ไคราห์นตอบเรียบ

เลขาคนสนิทพยายามปล่อยวาง และบอกตัวเองว่าเขาควรจะเปิดกว้างต่อราชา "เช่นนั้นฝ่าบาทมีหนทางใดที่จะพิสูจน์... ไม่ใช่เพียงแค่พิสูจน์ต่อกระหม่อมหรือท่านซินเธียร์ แต่พิสูจน์ต่อเผ่าเพชฌฆาตและประชาชนทั้งหมด ว่าฝ่าบาทแข็งแกร่งพอ"

"ตอนนี้มีเรื่องสำคัญที่เราจะต้องขอความช่วยเหลือจากเผ่าเพชฌฆาต" ไคราห์นว่า "เราหารือกับพวกหมาป่า ดูเหมือนว่าพวกแวมไพร์จะหันไปสนใจมารินาการ์ด พวกเขามีอันตราย เราต้องเดินทางไปยังมารินาการ์ดให้เร็วที่สุดเพื่อเตือนราชินี"

"หากฝ่าบาทช่วยมารินาการ์ดได้..." ฟาลพูดเสียงต่ำ "ประชาชนอาจเลื่อมใสฝ่าบาทมากขึ้นก็เป็นได้"

"ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก" ฝ่าบาทพูดเสียเอง "เรามีหน้าที่ปกป้องคนของตัวเอง หาใช่เมืองอื่น แต่ในตอนนี้... เราต้องปกป้องสายเลือดจอมราชัน นั่นคือหน้าที่... ในฐานะหนึ่งในบรรพกษัตริย์"

ซินเธียร์พยักหน้ารับคำสั่ง "ข้าจะระดมหน่วยสนับสนุน เราจะพร้อมไปยังมารินาการ์ดในคืนนี้"

"ฝ่าบาท..." ฟาลขัดขึ้นมา "เวสเทียร์อาการดีขึ้นแล้วหรือขอรับ"

"เราจะจัดการเอง"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 17.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 12-06-2017 13:17:34
ตอนที่ 17.2

ภาษาของหมาป่ามีเพียงหมาป่าเท่านั้นที่จะเข้าใจ และในคืนนี้ซินเนย์วาก็ยืนฟังข่าวจากพวกพ้องของนางอย่างตั้งใจ นางยังคงอยู่ที่ร้านของวาร์เรน และออกมาด้านนอกระเบียงชั้นสองเพื่อจะเงี่ยหูฟัง แม้ว่าอากาศในค่ำคืนนี้จะหนาวเย็นลงมากก็ตาม พวกแวมไพร์มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว ดังนั้นนางจึงกังวลเหลือเกินว่าความลับที่ออกจากปากฝ่าบาทไคราห์นจะรู้ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แม้มันจะเป็นความลับที่ไม่ได้ลึกล้ำอะไรเลยก็ตาม

"ซินเนย์วา!"

เสียงแหลมสูงของใครบางคนดังขึ้น และสิ่งต่อมาก็คือเสียงหวีดหวิวข้างหู เมื่อสายลมพัดเข้ามาปะทะร่างบางในชุดกระโปรงยาวสีเข้ม "เธโธเรียร์!" จ่าฝูงหมาป่าสะดุ้งโหยง เมื่อข้างกายนางปรากฎหญิงสาวในชุดโปร่งที่บางเสียจนเกือบเห็นสัดส่วนทั้งหมดของร่างกาย เธโธเรียร์ผู้นี้คงเป็นหญิงงาม หากไม่ใช่นางพรายผู้ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนมนุษย์

ใบหน้าของนางพรายบูดบึ้ง นางดูไม่พอใจกับบางสิ่ง แต่ซินเนย์วาก็ตอบไม่ได้ว่าทำไม

"ฝูงเจ้าส่งเสียงหนวกหูไปหมด!" นางพรายแหว "ข่าวกระจายไปทั่วแล้วว่าฝูงหมาป่ากำลังจะมาที่ไอร์แลนด์" หากเทียบในหมู่อมนุษย์แล้ว เหล่านางพรายสายลมพวกนี้ถือเป็นผู้นำข่าวที่รวดเร็วที่สุด อีกทั้งยังเป็นตัวกระจายข่าวลือที่ดีที่สุดอีกด้วย แม้จะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าข่าวของพวกนางจริงเท็จแค่ไหนก็ตาม

แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่เหล่าพรายสายลมไม่รู้ นั่นก็คือเรื่องของชาวเงือกผู้ได้ชื่อว่าเป็น 'พรายสมุทร'

"ถ้าพวกแวมไพร์นั่นหัวหดขึ้นมา สิ่งที่เราทุ่มจะสูญเปล่า"

"เชื่อข้าเถอะ" ซินเนย์วากอดอก นัยน์ตาสีเหลืองอำพันเหลือบมองนางพรายที่ยืนอยู่ข้างกัน "พวกมันโจมตีธราฟัสการ์เมื่อห้าปีก่อน และรู้แล้วว่าฝ่าบาทไคราห์นคือราชาเงือกผู้มีผิวสีขาวเผือด แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปเลย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องผิดปกติมากสำหรับกลุ่มคนที่... เห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม"

เธโธเรียร์เงียบไปครู่หนึ่งขณะคิดตาม "หรือเพราะเจ้าเดินทางมาที่นี่"

"ไม่ใช่ข้าหรอก" ซินเนย์วาตอบ "วาร์เรนต่างหาก"

เธโธเรียร์เม้มริมฝีปากบางครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมอง "พวกมันรู้แล้วว่าวาร์เรนเดินทางกลับไปอังกฤษ พวกมันจะใช้โอกาสนี้ในการลงมือที่นี่ ระหว่างที่ฝูงของเจ้ายังมาไม่ถึง" เสียงเห่าหอนที่ดูใกล้กว่าที่คิดไว้ทำให้นางพรายมุ่นคิ้ว นางหันไปมองที่มาของเสียงทางทิศใต้อีกครั้งก่อนจะหันกลับมา

"ฝูงของเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว..."

"ข้าหลอกนางพรายได้จริงหรือนี่" ซินเนย์วายกมุมปากขึ้นยิ้ม "ฝูงของข้าอยู่ที่นี่นานแล้ว... แม่สายลม"

เธโธเรียร์ยิ้มตอบเมื่อเข้าใจความคิดคนตรงหน้า "เจ้ายุยงส่งวาร์เรนกลับไปอังกฤษเพื่อให้พวกแวมไพร์ตายใจ..."

"คนของเจ้าเองก็เล่นเป็นแวมไพร์ได้สมบทบาทดี" ซินเนย์วาออกปากชม "วาร์เรนเองก็กำลังโกรธจึงไม่ทันสังเกตว่าแดดออกจ้าเท่านั้น แวมไพร์จริงๆ จะหนีไปไหนได้พ้น" นางหมาป่าเงี่ยหูฟังเสียงหอนรายงานจากคนของนางอีกครั้ง "จังหวะดีที่ฝ่าบาทเอ่ยถึงมารินาการ์ด ข้าคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้เขาเดินทางไปยังมารินาการ์ด ออกห่างจากสนามรบ"

"ชาวเงือกเป็นหนึ่งในดินแดนใต้ทะเลเสมอ... ให้พวกเขาอยู่กลางมหาสมุทรจึงปลอดภัยที่สุด"

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่ซินเนย์วาก็ถอนใจออกมา "แต่ความจริงจากปากฝ่าบาทไคราห์นก็ทำให้ข้าอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ หากเลือดของราชวงศ์มารินาการ์ดแข็งแกร่งกว่า พวกเขาจะไม่ถูกไล่ล่าจริงหรือ ต่อให้พวกเขาจะสามารถกลบซ่อนอยู่ใต้ทะเลได้ตลอดกาลก็ตามทีเถอะ"

"อำนาจใดที่อยู่ในเลือดของราชวงศ์มารินาการ์ด" เธโธเรียร์ถาม

ซินเนย์วาไหว่ไหล่ตอบ "ถึงข้ารู้ ข้าก็ไม่บอกเจ้าหรอก เจ้ามันเผ่าพันธุ์ที่ยุ่งเรื่องชาวบ้านได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้"

นางพรายรู้ว่านั่นไม่ใช่คำชม แต่นางก็เหนื่อยจะต่อปากต่อคำ "ถึงอย่างนั้นเราก็มีศัตรูคนเดียวกัน ข้าเบื่อหน่ายกับการหลบหนีพวกแวมไพร์ที่ไม่เคารพกฎเต็มทนแล้ว" นางพรายกำหมัดครั้งหนึ่ง และคลายออกช้าๆ พร้อมกับการคืนร่างมลายหายไปในสายลม "ถอนคนของเจ้าออกมาเถอะ ก่อนที่จะถูกพวกทหารเงือกสอยเอาที่ริมผานั่น..."

เธโธเรียร์ยิ้มขำ "เรื่องยุ่งเรื่องชาวบ้านนี่ยกให้สายลมอย่างพวกข้าเถอะ"

--------------------------------------------------

เวสเทียร์ยังนอนพักผ่อนอยู่บนแท่นประทับตามคำสั่งของฝ่าบาท ระหว่างที่อีกฝ่ายออกไปจากถ้ำ องครักษ์ไม่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาต้องอยู่ที่นี่ต่อคงเป็นความอ่อนเพลียสะสม แต่ร่างโปร่งกลับไม่ได้พักผ่อนอย่างเป็นสุขนักเมื่อนึกขึ้นได้ว่า วันนี้เลขาอาวุโสแห่งเซลทิคไม่มารายงานความเป็นไปของอาณาจักร

ท่านฟาลจะทำอะไรหรือเปล่านะ...

จริงอยู่ว่าอีกฝ่ายหวังดีเสมอ แต่เวสเทียร์ก็รู้ว่าญาติของเขามักจะคิดทำอะไรที่ดูไม่เข้าท่า ซึ่งจะทำให้ฝ่าบาทโกรธอยู่ร่ำไป และเมื่อคิดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายจัดแจงให้ธีรามาพบเขา เวสเทียร์ก็อดเป็นห่วงเด็กสาวคนนั้นไม่ได้ เขาได้แต่ภาวนาว่าการที่ฝ่าบาทหายไป อีกฝ่ายไม่ได้ไปพบท่านซินเธียร์หรือแม่หนูธีรา

ฝ่าบาทคงไม่วู่วามขนาดนั้นหรอกกระมัง

เมื่อคิดถึงฝ่าบาท เงาสีสว่างที่ค่อยๆปรากฎให้เห็นก็ทำให้เวสเทียร์หยัดกายขึ้นนั่ง ด้วยรู้ว่าราชาแห่งเซลทิคกลับเข้ามาในถ้ำแล้ว อีกฝ่ายโผล่ขึ้นจากน้ำพร้อมกับเสยผมขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง และสูดหายใจเข้าลึกจนแผงอกกว้างขยายขึ้นสง่างามผึ่งผาย นัยน์ตาสีน้ำเงินลุ่มลึกเหลือบขึ้นมององครักษ์ของตน และดูเหมือนว่าเขาจะพอใจที่ยังเห็นเวสเทียร์อยู่ที่เดิม

ถึงจะมีเรื่องใหญ่รออยู่ตรงหน้า แต่เมื่อได้เห็นเวสเทียร์ หัวใจของฝ่าบาทก็หนักขึ้นมา

ราชาทะเลเหนือขยับร่างขึ้นนั่งบนผืนทรายเบื้องหน้าแท่นประทับ เอื้อมมือขึ้นมาแตะที่ลำคอขององครักษ์คนสนิทเพื่อรับฟังชีพจรของอีกฝ่าย พวกเขานิ่งเงียบกันไปสักพัก ด้วยไม่รู้ว่าจะสนทนาสิ่งใด ราชาหนุ่มเคลื่อนมือขึ้นไปสัมผัสปอยผมสีเข้มหยักศกที่ล้อมกรอบใบหน้าเรียว เขาลูบมันช้าๆ อย่างทะนุถนอม ในใจนึกอยากจะขอโทษอีกสักพันครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะไม่พอ แต่เวสเทียร์ไม่พูดซ้ำ อีกฝ่ายไม่ย้ำคิดย้ำทำหรือคิดวกวนอยู่กับเรื่องเดิมๆ เขาจึงไม่ควรกล่าวถึงมันอีก

"ให้กระหม่อม... ลงจากแท่นประทับเถอะขอรับ มันเป็นที่ของฝ่าบาท"

เวสเทียร์เกร็ง เขาไม่เคยชอบใจที่ฝ่าบาทสั่งให้ตนนอนบนแท่นประทับ ด้วยรู้ดีว่าเขาไม่ได้คู่ควรกับมัน แต่คำพูดที่ออกจากปากองครักษ์กลับทำให้ราชาคิดว่าอีกฝ่ายไม่เคยให้อภัยเลย ซึ่งน่าแปลกสำหรับคนที่กล้าพูดคำว่ารักออกมา "เราสบายดี ยังไม่ได้อยากนอน" ไคราห์นปฏิเสธ "เจ้าต่างหากที่ต้องพักผ่อน"

เวสเทียร์มุ่นคิ้วต่อต้าน "กระหม่อมไม่เป็นอะไร"

"จะต้องให้เราทำยังไง เวสเทียร์" ราชาหนุ่มถามออกมา "ภายใต้คำว่า 'ไม่เป็นอะไร' ของเจ้า มันเป็นอะไรเสียยิ่งกว่า... ทุกครั้งที่เราถาม เจ้าจะตอบเหมือนเดิม มันใช่คำตอบในใจของเจ้าแน่หรือ" องครักษ์ไม่กล้าเงยขึ้นสบตาราชา เขาขบริมฝีปากตัวเองด้วยรู้ว่ากำลังทำให้ฝ่าบาทโกรธ แต่ก็สองจิตสองใจที่จะพูดอะไรออกไป

"เจ้าขอแค่รัก... แต่ไม่ต้องการเป็นคนรักของเราหรือยังไง"

จะให้เขาหวังจะเป็นคนรักของราชาได้อย่างไร... มันอาจเอื้อมเกินไป

เขาแค่ไม่อยากให้ฝ่าบาทคิดว่าเขาเอาใจออกห่าง... เขาแค่ไม่ต้องการให้ราชาหนุ่มคิดว่าเขาต้องการจะละทิ้งราชา... เวสเทียร์หลับตาลงพร้อมกับเม้มปากจนเป็นเส้นตรงด้วยความรู้สึกอึดอัด "ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด..." องครักษ์ตอบเสียงเบา "ไม่จำเป็นจะต้องรับผิดชอบกระหม่อมเลย"

เจ้าบ้า เวสเทียร์...

ฝ่าบาทขยับตัวขึ้นไปนั่งบนแท่นประทับเคียงข้างอีกฝ่าย ยกมือขึ้นประคองเสี้ยวหน้าที่เบือนหนีเขาด้วยท่าทางต่อต้านและเจ็บปวด "เจ้าคิดว่าเราแค่รู้สึกผิดจริงๆ น่ะหรือ" เวสเทียร์ขบริมฝีปากตัวเองจนได้รสเลือด แต่แผลนั้นก็ค่อยๆ หายไปเองด้วยพลังจากสัมผัสของอีกฝ่าย "พูดออกมาว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ...หยุดโกหกเราเสียที"

"กระหม่อมไม่ได้โกหก" องครักษ์ตอบเสียงแผ่ว "ฝ่าบาทจะทำเป็นไม่ได้ยินก็ได้ ว่ากระหม่อมเคยพูดอะไรออกไป... หรือเคยขออะไรออกไป" เวสเทียร์ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรับผิดชอบ ไม่ได้ต้องการความใส่ใจหรือสนใจเป็นพิเศษจากราชา เขารู้ดีว่ายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าความรู้สึกของเขารอฝ่าบาทอยู่ เหตุผลเดียวที่เวสเทียร์กล้าพูดคำว่ารักออกไป... ก็เพื่อไม่ให้ฝ่าบาทกล่าวหาว่าเขาคิดจะตีจากไปเป็นอื่น "กระหม่อมไม่เป็นอะไรจริงๆ"

"เช่นนั้นจะพูดว่ารักทำไม หากไม่คิดจะจริงจังกับมัน!"

เวสเทียร์เอียงหน้าไปจูบฝ่ามือใหญ่ ยกมือของตนขึ้นสัมผัสมัน และบรรจงจูบลงไปบนอุ้งมือของราชาราวกับอ้อนวอนอย่าได้วู่วาม "กระหม่อมแค่อยากให้ทุกอย่างเหมือนเดิม... เป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา" ไคราห์นถอนใจยาวและหลับตาลง แล้วจึงประคองใบหน้าของคู่สนทนาเอาไว้ด้วยสองมือ เขาก้มลงแนบจูบบนริมฝีปากอุ่นที่ไม่คุ้นเคย ถ่ายทอดความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ไปให้อีกฝ่ายรับรู้

...เวสเทียร์คิดว่าเขาแค่รู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ คิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยหรือ

จะให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม... อึดอัดเหมือนเดิมน่ะหรือ

องครักษ์ยกมือขึ้นวางบนอกกว้างอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะตอบโต้อย่างไร ฝ่าบาทของเขาไม่เคยจูบ และจูบที่ริมฝีปากก็ดูจะมากเกินไปสำหรับคำว่า 'รู้สึกผิด'

ชาวเงือกไม่จูบใครหากไม่คิดจริงจัง

"หากเราขออะไรจากเจ้าสักสิ่ง เจ้าจะให้เราได้ไหม" ร่างสูงกระซิบถามกับริมฝีปากบาง เขาเคลื่อนมือไปโอบกอดเอวได้รูปกระชับเข้ามาใกล้ และลากลมหายใจคลอเคลียอยู่บนพวงแก้มอุ่น "เชื่อคำพูดของเราได้ไหม... ว่าเราไม่ได้ทำไปเพราะรู้สึกผิด"

เวสเทียร์ชอบน้ำเสียงของฝ่าบาทยามที่เรียกชื่อเขา ร่างโปร่งหลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายบรรจงจูบลงบนแก้ม ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดติ่งหูนิ่ม และก้มจูบบนสันกรามอีกครั้งหนึ่ง หากนี่เป็นการออดอ้อนของราชา เวสเทียร์ก็คิดว่าคงไม่มีใครโกรธเคืองได้ลงคอ "กระหม่อมเพียงแค่ต้องการให้ทุกอย่างเหมือนเดิม"

"มันไม่มีวันเหมือนเดิม เวสเทียร์" ฝ่าบาทกระซิบ "เพราะต่อไปนี้เจ้าคือคนรักของราชา..."

เมื่อริมฝีปากถูกแตะต้องอีกครั้ง องครักษ์หนุ่มก็ตอบรับอย่างไม่รู้ประสา ปลายลิ้นของพวกเขาสัมผัสกัน ค่อยๆ ทำความคุ้นเคยทีละน้อย ก่อนที่ผู้รุกรานจะกดแทรกบดเบียดลึกล้ำ เรียกเสียงครางต่ำในลำคอร่างโปร่ง อีกฝ่ายดึงเขาเข้ามาโอบกอดในวงแขน จูบซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

เวสเทียร์อยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเพียงความฝัน

อย่างน้อยมันคงน่าจดจำกว่าความจริงที่พวกเขากำลังจะเผชิญต่อไป...

--------------------------------------------------


หลากหลายอารมณ์ละเกิน... นี่เป็นการเขียนมาราธอนสุดๆ ตั้งแต่เขียนมา เพราะตอนนี้เสร็จใน 6 ชั่วโมง แฮะๆๆ

จริงๆ เรื่องนี้พยายามให้พลอตง่ายกว่าแอสทารอธนะ ให้มานั่งตลบหลังกันแบบนั้นคือ... ชาวเงือกไม่ค่อยทันคนอื่นค่ะ โดยคาแรคเตอร์ของเขา เขาจะมีสังคมของเขา ความสัมพันธุ์ระหว่างอาณาจักร ระหว่างเผ่า แต่ว่า... จะไม่ค่อยยุ่งกับพวกข้างบนสักเท่าไหร่ ดังนั้นเวลาเขียนการเจรจาของชาวเงือกกับพวกอื่นๆ จึงค่อนข้างขัดอกขัดใจคนเขียนอยู่ ถ้าเทียบการเจรจาของท่านหญิงลีอาห์กับ.... เอเดรียน(?) มั้ง.... ในพันธนาการดวงดาวน่ะ คู่นั้นฟัดกันสูสีพอสมควร มันเลยให้ความรู้สึกว่าไม่มีใครโง่กว่าใคร

แต่การเจรจาของไคราห์นกับวาร์เรน (หรือซินซิน) เราต้องวางระดับแต่ละคนให้ดี อย่างวาร์เรนกับซินซินนี่เป็นพวกข้างบนอยู่แล้ว เขาอาจจะเลเวลเท่ากัน สมมติว่าระดับ 10 ในขณะที่ไคราห์นต่อให้เป็นราชา แต่ก็ไม่ได้ประสาโลกข้างบนมาก จึงยอมให้สูงสุดแค่ ระดับ 7 เท่านั้น ดังนั้นสกิลเจรจาระดับสุดของไคราห์นอาจจะได้แค่ 7 ในขณะที่ซินซินเป็น 10 แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าไคราห์นโง่นะ... แต่คือต้องฉลาดในแบบที่ชาว 7 ยอมรับว่าฉลาดน่ะ

แต่ถ้าชาว 7 ไปฟังชาว 10 ก็อาจคิดว่าไคราห์นโง่ได้เหมือนกัน

ในมุมเดียวกัน... ถ้าลงทะเลปุ้บ ไคราห์นจะพลิกขึ้นมาเป็น 10 เลย ในขณะที่ซินซินอาจดิ่งลงไปเหลือแค่ 3-4 แต่พอดีเรื่องนี้มันทะเลาะกันบนบก เราอาจต้องยอมให้ตัวละครจากในน้ำ... ลดเลเวลความฉลาดลงมาบ้างเพื่อความสมจริง (คือเราก็รักไคราห์นนะ แต่เราไม่อยากให้ใครเป็นแมรี่ซู-แกรี่สตู) (ยอมให้คาดันน์ตัวเดียว---)

เออใช่... คาดันน์ไปไหนแล้ว!?

ตอนนี้ฝ่าบาทค่อนข้างลุยพอสมควร ในมุมเรา... เหมือนเขาจะ... วีนๆ นิดนึง(?)

ประมาณว่าจะไม่ทนอีกแล้ว จะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว (ตั้งแต่เวสเทียร์บอกรัก (?) นี่ฝ่าบาทค่อนข้างสะเทือนใจมากที่ตัวเองปล่อยให้เป็นแบบนี้มาตลอด โดยที่ไม่คิดจะแก้ไขอะไรเลย) แต่ในความเป็นราชา และเข้าใจว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้มารินาการ์ดเดือดร้อน เขาจึงต้องลุยปัญหาทั้งหมดทีเดียวพร้อมๆ กัน ซึ่งเริ่มด้วยการเอาฟาลกลับมา (...)

จริงๆ เป็นฉากที่เหมือนไปขอผู้ใหญ่ แต่คือเขาไม่มีเวลามานั่งปรับความเข้าใจ และอธิบายว่าความรักคืออะไร บลาๆๆ เขาทำได้แค่เคลียร์ว่าเขาจะทำยังไงและรู้สึกยังไงกับเวสเทียร์ ส่วนฟาลจะยอมรับได้ไหม เมื่อไหร่อะไรยังไงยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ พอพูดเรื่องเสร็จต้องลามไปเรื่องมารินาการ์ดต่อ

สู้เขานะ ฝ่าบาท---
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 17 [12-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 12-06-2017 15:45:25
ฝ่าบาทสู้ๆ *โบกพู่เชียร์*
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 17 [12-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-06-2017 16:08:54
นับถือไคราห์นตรงที่จะไม่พึ่งพาบารมีใคร ข้าทำ ข้ารับผิดชอบ

ขอให้เวสเทียร์รู้จริง ๆ สักทีว่าไคราห์นรัก


ชูป้ายไฟเชียร์คุณข้าว สู้!
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 16-06-2017 12:20:56
ตอนที่ 18.1

ข่าวของพวกนางพรายอาจเชื่อถือไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีมูลความจริงอยู่บ้าง เวเรเซียโนจึงรอข่าวสารจากสายลับคนอื่นๆ "มันอาจเป็นการปล่อยข่าวลวงเพื่อล่อให้เราไปติดกับ นังหมาป่าซินเนย์วาเองก็สนิทกับพวกพรายสายลมด้วย" ชายหนุ่มบอกลูกน้องของตน "มีเหตุผลอะไรที่วาร์เรนจะต้องเดินทางกลับอังกฤษ ทั้งที่ปักหลักอยู่ตรงนั้นมาตั้งนานนับจากสงครามที่ธราฟัสการ์"

เวเรเซียโนยกแขนขึ้นกอดอกขณะที่รอการมาถึงของสายลับจากคฤหาสน์ราชาแวมไพร์

และร่างเงาที่รอคอยก็ขยับมาปรากฎตัวตรงหน้าด้วยความเร็วเฉพาะตัว "ท่านเวเรเซียโน"

"รีบรายงานมาเถอะ อย่ามากพิธีเลย" เวเรเซียโนตัดบท

"มันมาที่คฤหาสน์แล้วจริงๆ แต่ไม่บอกเหตุผลว่าทำไม แต่ทิ้งให้นังหมาป่าอยู่ดูแลที่บาร์ธีมอร์นั่นสักพัก ฝูงของหล่อนกำลังตามไปสมทบ" สายลับรายงาน "แต่ถ้าให้กระผมเดา น่าจะเกี่ยวข้องกับมารินาการ์ด อาณาจักรเงือกที่อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์"

"เราไม่สนใจมารินาการ์ด" เวเรเซียโนตัดบท "มันเสี่ยงอันตรายเกินไป และพวกเงือกมารินาการ์ดก็หาตัวจับยากกว่าเซลทิค เราสู้พวกมันในน้ำไม่ได้ อีกทั้ง... เลือดของพวกมันก็ไม่ได้มีประโยชน์เท่ากับเลือดของราชาเซลทิค"

"เช่นนั้นแล้ว ท่านเวเรเซียโนจะทำอย่างไร"

"เราจะต้องไปเซลทิคก่อนที่ฝูงหมาป่าจะไปถึง เราเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่ามัน" ผู้เป็นนายออกคำสั่ง "ราชาเซลทิคมีชื่อว่า ไคราห์น เป็นเงือกที่มีผิวหนังขาวสนิท เชื่อว่าเป็นอาการป่วยประเภท 'ผิวเผือก' ทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าเงือกวาฬตัวอื่นที่มันจะมีหางสีเทาหรือดำ" เวเรเซียโนเริ่มออกเดิน และเพิ่มความเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง ติดตามด้วยเหล่าแวมไพร์ที่อยู่รอบกายเข้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังแผ่นดินตะวันตก "แต่อย่าลืมว่าไคราห์นไม่ใช่เงือกตนเดียวที่มีเลือดแห่งการเยียวยา เชื้อพระวงศ์ทุกคนก็มีเช่นกัน ดังนั้น... เงือกตนใดที่ไม่ใช่ทหารก็จงจับเป็น"

"พวกทหารของเซลทิคมีผิวสีเข้มและลวดลายเหมือนรอยสักอยู่บนตัว... แยกไม่ยากหรอก"

--------------------------------------------------

เวทอร์สสูดหายใจลึกๆ สักครั้งหนึ่งก่อนจะดำลงไปยังที่พักรับรองขององค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด ผู้อยู่กับวาฬเพชฌฆาตวัยห้าปีนั่นก็คือ คาดันน์ หลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้านี้ องค์ชายเร็กซ์ก็นั่งทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เงียบๆกับตัวเอง แต่ก็ไม่ลืมที่จะลูบหัวคาดันน์ไปด้วย วาฬยักษ์ยังคงคลอเคลียอยู่กับเขา ปล่อยตัวสบายใจไม่รู้เรื่องรู้ราวตามแบบฉบับของวาฬผู้ไม่มีอะไรทำในท้องทะเลนอกจากกิน และเล่น

"เจ้าควรจะขึ้นไปหายใจบ้างแล้ว นี่มันนานแล้วนะ"

เร็กซ์กระซิบกับวาฬ ถึงมันจะฟังไม่ออกก็ตาม เจ้าสัตว์ใหญ่เกยคางบนตักคนตรงหน้าและหลับตาระหว่างที่อีกฝ่ายลูบหัวมันช้าๆ อย่างทะนุถนอม องค์ชายเร็กซ์คิดว่าเขาคงรู้สึกหนาวกับกระแสน้ำเย็นในเขตนี้อยู่บ้าง แต่เมื่อมีคาดันน์อยู่ใกล้ๆ ขนาดร่างกายที่ใหญ่โตของมันก็ช่วยป้องกันความหนาวเย็นเอาไว้ รวมทั้งอุณหภูมิร่างกายที่ดูจะสูงกว่าชาวเงือกอยู่มากอีกด้วย

"องค์ชายเร็กซ์ขอรับ..."

เขาอยู่ที่เซลทิคมาร่วมสามสัปดาห์ มีหรือองค์ชายจะจำเสียงเวทอร์สไม่ได้ เร็กซ์สะดุ้งเกร็งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเคลื่อนกายเข้ามาในเขตรับรอง ถึงแม้ห้องแห่งนี้จะกว้างขวาง ไม่ใช้ห้องส่วนตัวเสียทีเดียว แต่มันช่วยไม่ได้ที่องค์ชายจะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา ...ที่อีกฝ่ายบอกว่าชอบเขา

ห่างหน้ากันไปสักวันหนึ่งไม่ได้หรือยังไง!

"มีเรื่องด่วนขอรับ" เวทอร์สค้อมหัวลง "พวกแวมไพร์อาจเปลี่ยนเป้าหมายไปสนใจมารินาการ์ด ฝ่าบาทจึงให้กระหม่อมมาเรียนองค์ชายว่าเราจะเดินทางไปยังมารินาการ์ดในคืนนี้ เพื่อหารือกับราชินีเรจินาให้เร็วที่สุด" ข่าวที่อีกฝ่ายนำมาทำให้เร็กซ์เบิกตาขึ้น เขาขยับตัวออกห่างคาดันน์เพื่อจะว่ายอ้อมร่างของมันไปหยุดตรงหน้าเวทอร์ส

"เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น..."

"พวกหมาป่าบอกว่า กลุ่มแวมไพร์ที่มีปัญหาในตอนนี้คือกลุ่มของพวกราชินีที่ต้องการจะโค่นล้มราชา แต่ราชินีแวมไพร์ถูกฆ่าเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว พวกมันที่หลงเหลือจึงต้องการปลุกชีพนางขึ้นมาโดยใช้เลือดของชาวเงือกที่มีพลังพิเศษ" เวทอร์สเล่าเหตุการณ์ซ้ำโดยสรุป เพื่อให้คนตรงหน้าเข้าใจสถานการณ์ "พวกมันคิดจะใช้เลือดของราชวงศ์เซลทิคที่มีพลังในการเยียวยา แต่ว่า..."

องค์ชายเร็กซ์กลั้นใจ "เลือดของราชวงศ์มารินาการ์ดสามารถสร้างพันธะสัญญาได้"

นั่นเป็นความลับของสายเลือดจอมราชัน... ความลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ...ผู้ใดที่มีเลือดแห่งจอมราชันไหลเวียนอยู่ในร่าง จะตกเป็นทาสแห่งจอมราชันตลอดไป โดยจะแลกกับสิ่งก็ได้แม้กระทั่งการคืนชีพจากความตาย

"ต่อให้พวกมันใช้เลือดของราชวงศ์เราในการคืนชีพ ก็จะเป็นคนจากราชวงศ์เราเสียอีกที่ฆ่ามันได้"

เวทอร์สส่ายหัว "จะต้องไม่มีการคืนชีพใดๆ ให้กับพวกมัน"

"แล้วทำไมฝ่าบาทถึงไม่มาบอกเองเล่า" องค์ชายเร็กซ์มุ่นคิ้ว "เรื่องสำคัญขนาดนี้..."

"กระหม่อมอาสามาเองขอรับ" เวทอร์สตัดบทคนพูดอย่างที่ไม่มีองครักษ์เมืองไหนทำกัน "กระหม่อมไม่ต้องการให้ฝ่าบาทกับองค์ชายมีปากเสียงกันอีก จึงได้อาสา" องครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้พูดตรงไปตรงมา "ฝ่าบาทเป็นราชาของกระหม่อม อีกทั้งองค์ชายก็เป็นคนที่กระหม่อมนับถือ นี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันขอรับ"

เจ้าเด็กนี่...

เร็กซ์ถอนใจกับตัวเองเมื่อคนตรงหน้าดูจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว ทั้งที่เมื่อเช้าที่ผ่านมายังดูเป็นเด็กสิบแปดอยู่เลยแท้ๆ อีกทั้งไม่พูดเรื่อง 'ชอบ' หรือ 'ไม่ชอบ' ด้วย "แล้วไม่กลัวเราเอ็ดบ้างหรือไร เรื่องใหญ่เพียงนี้..."

"ต่อให้องค์ชายเอ็ด ...อย่างน้อยกระหม่อมก็ไม่เถียงแบบฝ่าบาทขอรับ"

เจ้ามันตัวเถียงเลย เวทอร์ส!

แต่นี่คงไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันอย่างที่อีกฝ่ายว่า องค์ชายถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม จังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงของฝูงวาฬเพชฌฆาตที่ถูกเรียกให้เข้ามารับใช้ราชาแห่งเซลทิค คาดันน์เงยหน้าขึ้นตามเสียง และเอียงมององค์ชายเล็กน้อยก่อนจะเอาปากดันร่างโปร่งเพื่อผลักให้เขาขึ้นไปยังเบื้องบน

"คาดันน์..." เวทอร์สว่ายตามวาฬใหญ่ขณะพูดกับมัน "เจ้าต้องอยู่ที่นี่กับข้า คอยส่งข่าว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เราไม่มีวาฬที่จะใช้ส่งสัญญาณเลย" คาดันน์เหลือบมองคนพูดด้วยดวงตาเล็กๆ ของมัน แต่คำสั่งของเวทอร์สแทบจะทำให้โลกของมันแตกสลาย นี่เขาสั่งมันแยกจากองค์ชายเร็กซ์อย่างนั้นหรือ!

สัตวใหญ่เปล่งเสียงประท้วง แต่องครักษ์ลาดตระเวนก็มุ่นคิ้ว

"ข้าจะให้เจ้าเลือกอยู่กับองค์ชายก็ได้ แต่ตอนนี้ต้องอยู่ที่เซลทิคก่อน เข้าใจไหม!"

เร็กซ์เลิกคิ้วขึ้น "อะไรนะ... เจ้าจะให้คาดันน์ตามเราไปอย่างนั้นรึ"

เวทอร์สยิ้มให้คนพูด "องค์ชายดูมีความสุขเวลาอยู่กับมัน มันเองก็ชอบเล่นกับองค์ชาย แล้วเหตุใดกระหม่อมจะปล่อยมันไปไม่ได้ล่ะขอรับ" องครักษ์หนุ่มตบหลังวาฬเบาๆ "คาดันน์ไม่ใช่สมบัติของใคร หากมันพอใจจะอยู่กับองค์ชาย... ก็ให้มันเลือกเถอะ" ถึงเขาจะเป็นเพื่อนกับคาดันน์ และมันก็เป็นสัตว์ที่มักจะทำให้ทุกคนสบายใจ แต่หากเพื่อความสบายใจของตัวมันเองแล้ว เวทอร์สคิดว่าเขาไม่ควรเหนี่ยวรั้งมันเอาไว้

"แต่ขอแค่... ช่วยข้าในตอนนี้ก่อนเถอะ"

วาฬใหญ่พ่นฟองอากาศออกมา เพราะมันเองก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเลือกอะไร

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 18.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 16-06-2017 12:22:59
ตอนที่ 18.2

วิถีชีวิตของชาวมารินาการ์ดดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เหล่านางเงือกมักขึ้นมาเล่นแสงอาทิตย์ในยามกลางวัน ขึ้นนั่งบนโขดหิน และผลัดกันสางผม บ้างก็ร้องเพลงต่อกันอย่างสนุกสนาน ไร้ซึ่งความหวาดระแวงต่อคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนผาไม่ไกลจากตัวอาณาจักร มันคือคฤหาสน์ฮาสติง บ้านพักเก่าแก่ของขุนนางเก่าที่มีอายุร่วมร้อยปี

ชาวเงือกแห่งมารินาการ์ดเป็นเจ้าของท้องทะเลมาก่อนสิ่งปลูกสร้างนี้ พวกเขาไม่เคยมีปัญหากับมัน แม้จะรู้ว่าขุนนางเก่าผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้จะเป็นถึง 'ราชาแวมไพร์' ก็ตาม แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่สร้างปัญหาให้ชาวเงือก พวกเขาก็ไม่คิดต่อสู้ หรือลุกฮือขึ้นต่อต้าน

แต่ดูเหมือนว่าปัญหากำลังจะลามมาถึงพวกเขาในไม่ช้านี้...

เสียงของสัตว์ที่ไม่ใคร่จะปรากฎตัวในเขตทะเลนี้ดังขึ้น ทำให้เหล่านางเงือกบนโขดหินเริ่มตื่นตระหนก  และตัดสินใจกระโจนกลับลงไปในทะเลเพื่อความปลอดภัย เซลทิคไม่ได้ส่งข่าวมาล่วงหน้าว่าพวกเขาจะเดินทางมายังมารินาการ์ด แต่เสียงสัญญาณของพวกวาฬราชรถทำให้ราชินีมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ใครอื่น การเดินทางจากเซลทิคมายังมารินาการ์ดใช้เวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น และถึงแม้ว่าเรจินาจะไม่แน่ใจในจุดประสงค์ของไคราห์น แต่การมาถึงของเขาก็ข่มขวัญพวกไรห์วาได้พอสมควร

ต่อให้เผ่าฉลามเป็น 'นักล่า' แต่หากเทียบกับพวกวาฬแล้ว ไรห์วาก็เป็นรองอย่างไ่ม่ต้องสงสัย

"ฝ่าบาทไคราห์น..."

ราชินีเรจินาออกไปต้อนรับการมาเยือนของอีกฝ่าย ซึ่งมาพร้อมกับองครักษ์เผ่าเพชฌฆาตจำนวนหนึ่ง "เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงเดินทางมาที่นี่โดยไม่แจ้งเราล่วงหน้า" ใจของพระนางสั่นด้วยความระแวง ด้วยตั้งใจจะประกาศไปให้ทั่วมหาสมุทรเรื่องความสัมพันธ์ของพระนางกับองครักษ์ฟาเบียงเพื่อตัดรังควานจากอาณาจักรไรห์วา ทั้งที่ความสัมพันธ์ของพระนางกับฝ่าบาทไคราห์นยังเป็นเพียงความกำกวม

ฝ่าบาทไคราห์นทราบเรื่องแล้วกริ้วอย่างนั้นหรือ...

แต่พระนางยังไม่ได้ประกาศอะไรเป็นทางการเลยไม่ใช่หรือ!

ราชาเซลทิคค้อมหัวลงน้อยๆ "เรามีเรื่องสำคัญจะต้องหารือกับฝ่าบาท เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของฝ่าบาทและราชวงศ์มารินาการ์ด" การมาถึงของชาวเซลทิคผู้มีร่างกายใหญ่โตกว่า แข็งแรงและบึกบึนกว่า ทำให้ชาวมารินาการ์ดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกระจายตัวแอบซ่อนตามที่พักของตนซึ่งเป็นถ้ำเล็กๆ ใต้กองหินก้นทะเล

ฝ่าบาทเรจินาถอนใจ "ขอให้องครักษ์ติดตามของฝ่าบาทลดอาวุธลงก่อนเถอะ"

เวสเทียร์ในฐานะองครักษ์คนสนิทและผู้นำเผ่าหันไปมองคนใต้บัญชาของเขา และพยักหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่งแทนสัญญาณให้ลดอาวุธ องค์ชายเร็กซ์ผู้เดินทางกลับมาพร้อมกันค่อยๆ เคลื่อนกายมาหาพี่สาว "นี่เป็นประเด็นละเอียดอ่อน เราต้องการความเป็นส่วนตัว" เมื่อสบตาพี่สาว เร็กซ์ก็พอจะเข้าใจว่าเรจินากังวลเรื่องใด คนเป็นน้องจึงส่ายหัวช้าๆ เพื่อให้ความมั่นใจ

...ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกท่านพี่

"ฟาเบียง..." พระนางหันไปหาคนข้างกาย "นำฝ่าบาทไคราห์นไปยังที่พักรับรอง เราจะหารือกับองค์ชายเร็กซ์สักครู่หนึ่ง" องครักษ์ค้อมหัวรับคำสั่ง แล้วจึงหันไปสบตาราชาทะเลเหนือเพื่อเป็นสัญญาณในการนำเขาออกไปจากบริเวณลานพระโรงเบื้องหน้าพระราชวังซีเบิร์ธแห่งมารินาการ์ด

เวสเทียร์มองกลับองครักษ์คนสนิทแห่งมารินาการ์ด ด้วยไม่พอใจให้ใครมองฝ่าบาทของตน

"เวสเทียร์..." ราชาหนุ่มเรียกเสียงต่ำ "ไม่เอาน่ะ" ราชารู้สึกได้ว่าคนข้างกายไม่พอใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความเหมาะสมหรือไม่ก็ตาม แต่ฟาเบียงเป็นองครักษ์แห่งมารินาการ์ด และราชวงศ์มารินาการ์ดมีกฎที่แตกต่างไปจากราชวงศ์เซลทิค เขาจึงมีสิทธิ์เงยหน้าขึ้นมอง "กฎนั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ"

ไคราห์นตั้งใจจะยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัตินั้น ชาวเซลทิคมีสิทธิ์ที่จะมองราชาของตนได้เช่นเดียวกับเงือกจากอาณาจักรอื่น เพราะมันไม่ใช่การดูหมิ่นหรือไม่เคารพ การถูกสั่งให้ก้มหน้าตลอดเวลาต่างหาก คือการบังคับให้แสดงความเคารพ ทั้งที่ในใจของคนผู้นั้นอาจไม่ได้เคารพเขาเลย

"สำหรับกระหม่อม... ฝ่าบาทไคราห์นคือราชาผู้อยู่สูงที่สุด"

"เหตุใดคนที่ดื้อที่สุดจึงเป็นเจ้าที่เป็นถึงคนรักของราชา"

"ฝ่าบาท" น้ำเสียงของเวสเทียร์ต่ำลง เขานึกอยากจะเอ็ดคนตรงหน้าเหลือกิน หากเขาไม่ใช่ฝ่าบาทไคราห์น เวสเทียร์คิดว่าเขาคงจะมุ่นคิ้วถลึงตาใส่สักครั้ง แต่หากคนผู้นั้นไม่ใช่ฝ่าบาทไคราห์น เวสเทียร์ก็คิดว่าเขาคงไม่ได้มีใจให้แบบนี้ "กระหม่อมเกรงว่าองครักษ์ฟาเบียงจะได้ยิน"

ราชาทะเลเหนือหันกลับไปมององครักษ์ฉลาม และพบว่าอีกฝ่ายอยู่ไกลสักสองถึงสามช่วงตัวเห็นจะได้

...พวกฉลามหูทึบจะตายไป มีดีแค่จมูกไวเท่านั้นเอง

ที่พักรับรองของมารินาการ์ดตั้งอยู่ส่วนหลังพระราชวังซีเบิร์ธ ซึ่งมีความสงบเงียบมากกว่าเนื่องจากห่างไกลตัวเมือง แต่สำหรับอาคันตุกะต่างเผ่าอย่างชาวเซลทิค ความสงบไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ความห่างไกลจากผิวน้ำนั้นเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง "กระหม่อมกังวลว่าฝ่าบาทจะไม่ได้พักผ่อน" เวสเทียร์พึมพำ "พวกวาฬส่งสัญญาณมาบอกว่ามีกองหินเล็กๆ สูงพ้นน้ำอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ กระหม่อมจึงส่งคนออกไปสำรวจแล้ว หากมันปลอดภัย ฝ่าบาท..."

"เรื่องนอนไม่ต้องห่วงหรอก เวสเทียร์" ราชาหนุ่มตัดบท "เรื่องที่เราจะหารือต่างหากที่สำคัญ"

"มารินาการ์ดตั้งอยู่ในทะเล อีกทั้งผู้คนที่นี่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ตามใจชอบอีกด้วย ในมุมมองของกระหม่อม พวกเขาดูจะปลอดภัยจากแวมไพร์มากกว่าเรา" เวสเทียร์วิเคราะห์ตามความเห็นของตน ซึ่งเรื่องงานนี้อาจเป็นไม่กี่เรื่องอีกฝ่ายพูดตรงตามความรู้สึกของตัวเอง "และฝ่าบาทเองก็ไม่ได้พูดด้วยว่าชาวมารินาการ์ดมีอำนาจอะไร"

"เราไม่อาจสบายใจได้หรอกนะ หากแวมไพร์จะเปลี่ยนเป้าหมาย เพราะเราหลุดปากออกไปแบบนั้น"

เวสเทียร์คิดว่าเขาเข้าใจความรู้สึกผิดของราชา ดังนั้นการหารือ และเตือนภัยจึงเป็นสิ่งที่สมควรทำโดยเร็วที่สุด "ความลับนั่น.... เรจินาเป็นคนบอกเราด้วยความไว้ใจแท้ๆ" ไคราห์นหลับตาลง "นางเป็นเพื่อนที่ดี เวสเทียร์... ไม่มีใครอยากให้เพื่อนเดือดร้อนหรอก"

...ถึงอย่างนั้น แต่กระหม่อมจะหึงบ้างได้ไหม

ผู้นำองครักษ์หันไปสนใจสถานที่รับรองของมารินาการ์ดแทนความรู้สึกของตัวเอง

การเป็นคนรักของราชานี่ไม่ง่ายเอาเสียเลย...

--------------------------------------------------

คาดันน์ทำหน้าที่ผู้สื่อสารเต็มที่ด้วยการลอยตัวอยู่นิ่งๆ ใกล้ผิวน้ำ งีบหลับบ้างเมื่อรู้สึกเพลีย และรอฟังข่าวที่อาจส่งมาในรูปแบบของสัญญาณเสียง แม้ว่าจะไม่มีข่าวสารใดส่งมาเลยก็ตาม นี่คงเป็นเวลากลางดึกแล้ว ท้องทะเลจึงได้เงียบสงบถึงเพียงนี้ สัตว์ใหญ่พ่นลมหายใจอีกครั้ง ขณะคิดว่ามันควรจะขยับร่างยืดเส้นยืดสายเสียบ้างก่อนจะลืมวิธีว่ายน้ำไปเสียก่อน

เวทอร์สรู้ดีว่าอาการ 'ซึม' ของมันมาสาเหตุมาจากอะไร...

ไม่ใช่เพียงเรื่องที่มันต้องแยกจากองค์ชายเร็กซ์ แต่วาฬเด็กตัวนี้เลือกไม่ได้ว่ามันต้องการจะอยู่ที่ใดกันแน่ "คาดันน์..." องครักษ์เงือกขยับร่างว่ายไปหาวาฬ "พวกราชรถไปถึงที่หมายตั้งแต่เช้าแล้ว พวกเขาคงกำลังหารือกันอยู่ เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอก" เวทอร์สเคลื่อนมือลูบไปบนหลังที่แน่นด้วยกล้ามเนื้อ ลากย้อนขึ้นมาถึงปลายปากที่ปิดสนิท

"หวังว่ามารินาการ์ดจะปลอดภัย"

คาดันน์เหลือบตามองคนพูด พลางขยับร่างให้สัมผัสฝ่ามือใหญ่มากขึ้น มันเป็นห่วงองค์ชายเร็กซ์ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจทิ้งกลุ่มเงือกแห่งเซลทิคไปได้ ต่อให้ผู้ชุบเลี้ยงมาจะออกปากอนุญาตแล้วก็ตาม "ข้าก็เพิ่งรู้ว่าเลือดของพวกทายาทจอมราชันจะมีพลังมากมายเพียงนั้น... พลังที่สามารถเอาชนะกระทั่งความตายได้"

เวทอร์สไม่เคยรู้เรื่องนี้จนกระทั่งองค์ชายเร็กซ์ออกปากด้วยตนเอง

เลือดแห่งมารินาการ์ดสามารถชุบชีวิตคนตายได้ แม้ว่าผู้ที่ฟื้นขึ้นมาจะต้องตกเป็นทาสแห่งสายเลือดจอมราชันก็ตาม "ถ้าเจ้าตาย... แล้วองค์ชายชุบเจ้าขึ้นมา เจ้าก็ต้องทำตามความปรารถนาของเขากระมัง เพราะหากขัดคำสั่ง เขาก็สามารถทำให้เจ้าตายอีกครั้งได้เช่นกัน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอมตะมาจากไหนก็ตาม" คาดันน์ไม่ได้สนใจเรื่องพลังเหล่านั้น มันไม่เข้าใจความซับซ้อนของอมนุษย์ เพียงแต่ใจของมันตอนนี้ห่วงเพียงความปลอดภัยขององค์ชายเท่านั้น

ในเมื่อเลือดมีพลังมาก... ก็เป็นที่ต้องการของพวกมนุษย์บ้าอำนาจไม่รู้จักพอไม่ใช่หรือไร

"ขอแค่เรื่องนี้ผ่านพ้นไป ข้ายินดีจะให้เจ้าไปอยู่มารินาการ์ด" เวทอร์สกระซิบกับมัน "เพียงแต่ตอนนี้คือช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของเซลทิค ฝ่าบาทไม่เคยเดินทางไปจากอาณาจักร อีกทั้งพวกหมาป่าก็ยังมาไม่ถึง หากพวกเราถูกเล่นงาน... เราจะไม่มีวาฬที่ใช้ส่งข่าวเลย"

คาดันน์ส่งเสียงเบาเป็นเชิงถาม

"บางที... เหตุผลที่แวมไพร์ไม่เล่นงานเราตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว ก็เพราะมีคนที่ชื่อวาร์เรนนั่งเฝ้าบาร์ธีมอร์อยู่"

เวทอร์สไม่เคยขึ้นไปเบื้องบนกับฝ่าบาทของเขามาก่อน แต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้าหมาป่าที่อยู่ในร้านไม้แกะสลักนั่น เขาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่หมาป่าธรรมดา ทั้งดวงตาสีแดงวาวที่อาจมองลึกเข้าไปในจิตใจของคนได้ รอยยิ้มไว้เชิงที่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ ช่างเข้ากันดีกับเขี้ยวสัตว์ที่ดูจะยาวเกะกะไปมากจนโผล่พ้นริมฝีปากออกมาเล็กน้อย

"ตอนนี้วาร์เรนเดินทางไปพบราชาแวมไพร์... ข้าสงสัย..." องครักษ์หนุ่มพึมพำสิ่งที่เขาไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟังมาก่อน "ว่าตัวเขาเองหรือเปล่าที่เป็นแวมไพร์" แต่เงือกหนุ่มก็รู้ดีว่าผีดูดเลือดเหล่านั้นไม่สามารถใช้ชีวิตท่ามกลางแสงแดดได้ ดังนั้นวาร์เรนจึงไม่ใช่แวมไพร์ แต่ความเร็วในการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายก็อยู่เหนือซินเนย์วามากอย่างน่าสงสัย ทั้งที่นางเป็นถึงจ่าฝูงหมาป่าผู้แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินทางเหนือ

"เผ่าสายลมไม่มีผู้ชาย... ดังนั้นใครกันที่จะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าหมาป่า และกล้าสู้กับแสงแดด"

...หากไม่ใช่ตัวราชาแวมไพร์เสียเอง

"ท่านเลสซีย์!" เสียงของเงือกหลายตนทิ้งตัวลงในผืนน้ำด้วยการกระโดดจากผา ทำให้เวทอร์สสะดุ้งและหันไปมองต้นเสียงซึ่งเรียกหาผู้นำสูงสุดของหน่วยลาดตระเวน "พวกหมาป่ากระจายกำลังทั่วแนวป่าเขตตะวันออกเลย!" เวทอร์สหันไปมองคาดันน์ เขาขยับร่างขึ้นไปเหนือน้ำเพื่อสูดอากาศหายใจลึกๆ เขม้นมองกลับไปยังชายฝั่งที่จู่ๆ ก็สว่างไสวขึ้นไปด้วยคบเพลิงจำนวนมาก และร่างกายใหญ่โตของสัตว์สี่ขาเดินวนเวียน ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้แนวหน้าผา

องครักษ์หนุ่มดำลงใต้น้ำอีกครั้ง เพื่อฟังข่าวที่จากหน่วยลาดตระเวน นางเงือกเลสซีย์ออกมาปฏิบัติหน้าที่ของตน และพยายามไล่ต้อนผู้คนให้เข้าไปหลบในที่ปลอดภัย ซึ่งที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาในตอนนี้ก็คงจะเป็นถ้ำใหญ่ที่ไม่มีทางเชื่อมต่อกับเบื้องบน "ก่อนหน้าที่บรรยากาศไม่ดีเท่าไหร่ ราวกับว่า... พวกแวมไพร์มาถึงที่นี่แล้วอย่างนั้น ข้าจึงถอนคนออกจากฝั่ง แล้วพวกหมาป่าก็ปรากฎตัวขึ้นมา"

เลสซีย์พยักหน้าให้กับการรายงานของหน่วยลาดตระเวน

ซินเนย์วาในร่างหมาป่าเดินตรวจตราหน้าผาฝั่งตะวันออก ตลอดจนแผ่นดินที่ค่อยๆ ลาดลงไปใกล้กับผิวทะเล สิ่งที่เผ่าสายลมค้นพบนั้นยิ่งกว่ากลุ่มองครักษ์ของเงือกเซลทิค แต่มันคือถ้ำจำนวนมากที่ถูกซ่อนเอาไว้หลังแมกไม้ห่างไกลตัวเมือง ถ้ำเหล่านี้เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเล และดูเหมือนว่ามันจะเป็นมากกว่าถ้ำทะเลทั่วไป

หากการคาดเดาของซินเนย์วาไม่ผิดพลาด

...นางกำลังยืนมองถ้ำที่ประทับของราชาแห่งเซลทิค

"แวมไพร์..." จ่าฝูงคำรามในลำคอ นัยน์ตาสีทองเขม้นมองไปยังร่างเงามนุษย์ที่ยืนอยู่ในถ้ำแห่งนั้น บนแท่นหินที่เคยเป็นที่ประทับแห่งราชาทะเลเหนือ แสงสว่างจากอัญมณีชาวเงือกที่ตกแต่งที่ประทับทำให้เห็นเสี้ยวหน้าของผู้บุกรุก และซินเนย์วาก็บอกได้ทันทีว่านั่นคือผู้ใด

"หมาป่าไม่ใช่พวกเดียวที่เห็นอสูรทะเลตัวนั้นหรอกใช่ไหม แม่นางซินเนย์วา"

"เวเรเซียโน" นางหมาป่าคำราม

"แต่แม่นางก็ฉลาดเหลือเกินที่ส่งราชาเซลทิคออกไปจากอาณาจักร ทำให้การมาถึงของกระผมสูญเสียเปล่า ทั้งที่โอกาสอยู่แค่เอื้อม" เวเรเซียโนมีท่าทางอ่อนน้อม เขาหันไปพูดกับศัตรูตัวฉกาจพร้อมกับรอยยิ้มเยียบเย็น "แต่แน่นอนว่า 'ราชวงศ์' เซลทิคไม่ได้มีเพียงฝ่าบาทไคราห์นหรอก จริงไหม..."

--------------------------------------------------


เดินเรื่องเร็วไปรึเปล่านะ ...ปกติจะต่อนยอนๆ ฮาาา แต่มันก็ต้องตื่นเต้นบ้างแล้ว เอาไว้จีบกันต่อในตอนพิเศษนะฝ่าบาท (ตอนพิเศษเยอะ ไม่ต้องห่วง... แล้วจะไปเขียนเล่มแยกอีกเล่มด้วย เป็นภารกิจของรูห์ย... เมื่อต้องพาฝ่าบาทเวลคีนขึ้นมาพบฝ่าบาทไคราห์น... โดยที่รู้ว่าฝ่าบาทไคราห์น 'ไม่ชอบ' ฉลาม) ...ไทม์ไลน์จริงๆ ช่วงนี้ก็คือ... เริ่มจากวันที่ฝ่าบาททะเลาะกับเวสเทียร์เลยนะ...

วันที่ 1 )

- กลางวัน = ฝ่าบาททะเลาะกับเวสเทียร์

- หัวค่ำ = ฝ่าบาทออกมาจากถ้ำที่ประทับแล้วเจอฟาล

- กลางดึก = ฝ่าบาทไปปรับทุกข์กับคาดันน์(?)

วันที่ 2 )

- เช้ามืด = ฝ่าบาทกลับมาที่เซลทิคแล้วเจอองค์ชาย

- กลางวัน = ฝ่าบาทขึ้นไปที่บาร์ธีมอร์กับเวทอร์ส

- หัวค่ำ = ฝ่าบาทไปพูดกับซินเธียร์+ฟาล

- กลางดึก = ฝ่าบาทกลับไปหาเวสเทียร์ ก่อนจะออกเดินทางไปมารินาการ์ด

วันที่ 3 )

- กลางวัน = ฝ่าบาทมาถึงมารินาการ์ด

- กลางดึก = เวทอร์สคุยกับคาดันน์

เวสเทียร์แอบรู้สึกอะไรนิดหน่อย แต่ไม่มาก อันนี้เขารู้ดีว่ามันงี่เง่าจริง ควรจะเลิกคิดเล็กคิดน้อย ...แต่ฝ่าบาทมีแดกดันฟาเบียงนิดหน่อยเหมือนกัน ถึงจะยังไม่รู้เรื่องก็เถอะ 555 พอดีมันเป็นช่วงเดินเรื่องเลยไม่มีอะไรให้กิ๊วก๊าว มีแต่ความหงอยเหงาของคาดันน์ในตอนท้าย

หารูปอ้างอิงมาให้สำหรับคนที่งงว่าจู่ๆจะเดินไปเจอถ้ำที่ประทับของฝ่าบาทได้ยังไง... คือรูปแบบถ้ำของฝ่าบาทเวลามองจากข้างบนมันคล้ายๆ อันนี้ (แต่นี่คือ Hidden Beach ที่ Mexico นะ) แต่คงไม่กว้างขนาดนี้ (ซึ่งเราใช้คำว่าถ้ำลอดนี่คงไม่เห็นภาพกันสินะ โฮวววว ใช้คำไหนดี) ...ประมาณนี้แหละ มันเลยเดินหาได้จากแผ่นดิน แค่มันอยู่ในส่วนที่คนไม่ได้เดินไปถึง

(https://scontent.fbkk5-5.fna.fbcdn.net/v/t1.0-0/q88/p240x240/19274846_237048730130989_1001210130009735511_n.jpg?oh=ecc6c1f70444fde3fe89c8d54271e5df&oe=59A268E2)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 19.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 19-06-2017 09:54:54
ตอนที่ 19.1

ทะเลอัลบิออนมีความลึกที่ 'ตื้น' กว่าทะเลเคลติกมาก อีกทั้งอุณหภูมิของน้ำทะเลก็ดูจะร้อนกว่าบ้างไม่มากก็น้อย ผู้ที่อยู่ในเขตน้ำเย็นแทบจะตลอดเวลาอย่างฝ่าบาทไคราห์นจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะ 'ป่วย' แต่อย่างใด สุดท้ายแล้วราชาเซลทิคก็ต้องพักผ่อนอยู่บริเวณกลุ่มกองหินที่ห่างไกลออกมาจากตัวอาณาจักรมารินาการ์ด เพื่อความสะดวกในการหายใจ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของเผ่าวาฬ

"ในอดีต... มารินาการ์ดและแวมไพร์ก็เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน แต่ผลการต่อสู้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของแวมไพร์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยมายุ่งกับเราอีกเลย" เรจินายังคงพูดคุยอยู่กับราชาทะเลเหนือ แม้ว่านี่จะเป็นเวลาดึกมากแล้วก็ตาม พระนางรู้สึกง่วงงุน แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่หลับไม่หลับยามกลางคืน อีกทั้งยังมีท่าทีร้อนอกร้อนใจไม่เปลี่ยน แม้จะพูดสิ่งที่ต้องการพูดออกมาแล้วก็ตาม

"แม้ว่าจะเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าจะนำมาซึ่งความเคียดแค้น แต่ราชาแวมไพร์คนปัจจุบันกลับ... ปล่อยวาง"

ไคราห์นเลิกคิ้ว "เกิดอะไรขึ้นในอดีต ฝ่าบาทพอจะบอกเราได้หรือไม่"

ราชาหนุ่มต้องการรู้เรื่องราวทั้งหมดเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด แต่เมื่อเอ่ยปากออกไป ไคราห์นก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองด้วยรู้สึกผิด เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่ราชินีเรจินาบอกเขา เขากลับไม่สามารถเก็บมันเป็นความลับเอาไว้ได้ "เราขออภัย... ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องเล่าหรอก"

เรจินาโคลงหัวมองคนตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือใหญ่แทนคำปลอบ "วิถีชีวิตของชาวเราไม่ทำให้เราเสี่ยงหรอก อีกทั้งฝ่าบาทก็ไม่ได้พูดออกไปด้วยว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง เราจะไปโกรธฝ่าบาทได้อย่างไร" พระนางทอดยิ้มจาง "แวมไพร์พวกนั้น... หากไม่มั่นใจก็ไม่ลงมือทำอะไรไม่ใช่หรือ แล้วยิ่งเป็นมารินาการ์ดที่มีชีวิตอยู่ใต้ทะเลเช่นนี้ ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก"

องครักษ์ฟาเบียงที่อยู่ข้างกายราชินีเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยกับจิตใจที่แสนดีของพระนาง

...แต่อย่างน้อยราชาทะเลเหนือก็มีความรู้สึกผิด

"แต่เพื่อแสดงความรับผิดชอบ เราจะส่งองครักษ์มาประจำอยู่ที่มารินาการ์ดสักระยะ จนกว่าเราจะจัดการปัญหาคาราคาซังนี้ได้" ถึงแม้จะไม่มีความมั่นใจเลยว่าเขาจะจัดการปัญหาของ 'เบื้องบน' ได้อย่างไร แต่ราชาเงือกรู้ดีว่าเขาควรทำอะไรเพื่ออาณาจักรที่เป็นพันธมิตรกัน

เรจินาถอนใจเบา... ดูเหมือนว่าไคราห์นจะหวังดี และบริสุทธิ์ใจกับนางเสียจนนางรู้สึกผิดกับสิ่งที่กำลังจะทำ พระนางกำลังจะเสกสมรสกับฟาเบียง องครักษ์ที่อยู่ข้างกาย และหากฝ่าบาทไคราห์นรู้เรื่องนี้เขา เขาจะยังหวังดีกับนางอยู่ดีไหมหนอ เพราะในจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ เขากำลังหวังจะเสกสมรสกับพระนางหรือเปล่า

แต่การสมรสจะต้องเกิดขึ้น... เพื่อไม่ให้อาณาจักรไรห์วามายุ่งย่ามอีก

"ฝ่าบาท..." เรจินาเริ่ม พระนางเหลือบหางตามององครักษ์ของตนเล็กน้อยเพื่อเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง โดยที่ฟาเบียงทอดยิ้มตอบแทนกำลังใจ "ในฐานะมิตรสหาย เราซาบซึ้งในน้ำใจของฝ่าบาท..." ราชินีหยุดคิด แม้จะเอ่ยคำที่ยืนยันความสัมพันธ์ของพวกเขาออกไปแล้ว แต่นางก็หวั่นเกรงว่านี่จะเป็นการหักหาญเกินไปหรือไม่ "เราคงจะพบกันช้าไป..."

ราชินีดูประหม่า แม้จะอยู่ในวัยกลางคนแล้ว แต่นั่นก็เป็นมุมที่น่ารักของพระนาง

ไคราห์นขยับมือของตนเพื่อกอบกุมมือบอบบางนั้นไว้ "ฝ่าบาทเป็นสหายของเรา..." น้ำเสียงของราชาทะเลเหนือนุ่มนวลทว่าทรงพลังเสมอ และคำว่า 'สหาย' ที่อีกฝ่ายกล่าวออกมาก็หนักแน่นพอที่จะทำให้คนฟังเชื่อว่าเขาคิดตามที่พูดจริงๆ "เราพบกันในช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ฝ่าบาทเรจินา"

...นี่ตกลงใครบอกเลิกใครกันแน่หนอ

องครักษ์ฟาเบียงเหลือบสายตาไปสังเกตปฏิกิริยาขององครักษ์คนสนิทของราชาวาฬบ้าง และก็ต้องแปลกใจที่เห็นเวสเทียร์มีท่าทีนิ่งเฉยมากเสียจนเรียกได้ว่า 'ไร้อารมณ์' อีกฝ่ายอาจเป็นองครักษ์ที่สมบูรณ์แบบนั้นคือการไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของราชา แต่ก็น่าแปลกอยู่ดีที่ชายหนุ่มสวมเครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่หู และเป็นเครื่องประดับมุก

ผู้ชายที่ไหนเขาใส่มุกกัน... ถ้าไม่ใช่ราชา

องครักษ์ฉลามรู้สึกแปลกขึ้นมา แต่ก็ไม่มีเวลาให้สนใจมากนัก เนื่องจากบรรยากาศรอบตัวที่แปลกไป จู่ๆ เสียงที่เคยเซ็งแซ่ใต้ทะเลก็เกลายเป็นเงียบสงัดจนวังเวงขึ้นมา "ฝ่าบาท..." เสียงขององครักษ์เวสเทียร์เอ่ยเรียกราชาของเขา หลังจากราชาเซลทิคและราชินีเมรินาการ์ดปล่อยมือจากกัน ไคราห์นเองก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกไปจากที่เคย

"อสูรทะเลขอรับ..."

เงือกฉลามหูทึบ... ฟาเบียงก่นด่าตนเองอยู่ในใจที่เกิดมาในเผ่าพันธุ์ที่ถูกตราหน้าว่า 'หูทึบ' ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเท่าที่ควร แน่นอนว่าชาวเงือกทุกตนล้วนคุ้นเคยกับคำว่า 'อสูรทะเล' แต่ทั่วทั้งเจ็ดคาบสมุทรนี้ก็มีอสูรทะเลอยู่มากมาย ทั้งหมึกยักษ์ วาฬยักษ์ หลายสิ่งอย่างที่มีขนาดยักษ์และเป็นอมตะไม่มีวันตาย แต่หากจะพูดถึงอสูรทะเลที่สนิทสนมกับราชาเซลทิคแล้วก็คงหนีไม่พ้น 'วาฬเผือก' อสูรทะเลเอาแต่ใจที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับมนุษย์เมื่อสักร้อยปีที่แล้วอย่างแน่นอน

"ฝ่าบาทอยู่ที่นี่" ไคราห์นขยับร่าง หางวาฬสีขาวโพลนขยับโบกพาเจ้าของร่างขึ้นไปสูดอากาศเบื้องบนพร้อมกับองครักษ์ของเขา "เหตุใดอสูรทะเลจึงตามเรามา..." เจ้าวาฬเผือกไม่ใคร่จะปรากฎตัวนัก และชาวเซลทิคก็มีโอกาสได้พบปะกับมันเฉพาะช่วงเทศกาลเล่นแสงจันทร์ประจำปีเท่านั้น นี่จึงเป็นการปรากฎตัวที่ไม่ชอบมาพากล

เสียง 'คลิก' ระรัวเป็นภาษาวาฬทำให้เหล่าเงือกวาฬตื่นตัว มันร้องเรียกหาราชา และเมื่อฝ่าบาทไคราห์นออกไปยังทะเลเปิด ร่างเงาอันใหญ่โตก็ขยับออกมาจากความมืดของท้องทะเล ฝ่าบาทเอื้อมมือไปสัมผัสกายของอสูรยักษ์ และเคลื่อนไปตามร่างที่ลอยตัวนิ่ง เพื่อมองสบตาขนาดใหญ่

"เซลทิค..." ราชาหนุ่มเบิกตา "เซลทิคมีอันตราย"

สัตว์ใหญ่ขยับร่างถอยจากราชา และหันกลับไปในความมืดเมื่อแจ้งข่าวแก่อีกฝ่ายตามที่ตั้งใจ "ฝ่าบาท... เกิดอะไรขึ้น" เวสเทียร์ว่ายไปหาราชาของเขา ฝ่าบาทอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้นด้วยไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป "เกิดอะไรขึ้นกับเซลทิคหรือขอรับ"

"เราจะต้องกลับไปเซลทิคให้เร็วที่สุด"

"ฝ่าบาทไคราห์น!" เรจินาว่ายตามออกมาพร้อมกับองครักษ์ของนาง "เราจะส่งเผ่าองครักษ์ไปช่วย" พระนางคาดเดาได้จากสีหน้าของอีกฝ่าย คงเกิดอะไรขึ้นกับเซลทิคอย่างแน่นอน แต่พระนางรู้ว่าอีกฝ่ายห่วงใยเขา และไม่ต้องการจะละทิ้งที่นี่ไปด้วยเกรงว่าว่ามารินาการ์ดจะถูกเล่นงาน "และเราจะเดินทางไปกับฝ่าบาทด้วย"

--------------------------------------------------

"ท่านฟาล! พวกแวมไพร์ขอรับ"

องครักษ์ลาดตระเวนกลับมารายงานขณะที่เผ่าองครักษ์พยายามทำหน้าที่ 'มือขวาของราชา' ด้วยการดูแลชาวเมือง และนำพวกเขากลับมาในที่ปลอดภัยให้มากที่สุด "พวกมันมากันเยอะมาก ถ้ำทุกแห่งที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินถูกบุกรุก พวกมันเฝ้าอยู่ที่ปากถ้ำ รอเวลาให้พวกเราขึ้นไปหายใจ"

ฟาลหันไปมองเลสซีย์ในฐานะผู้นำสูงสุดหน่วยลาดตระเวน "เจ้าต้องนำ... รองจากเวสเทียร์ก็คือเจ้า"

"ข้ารู้แล้วว่าต้องนำ!" เลสซีย์หงุดหงิด "มันรุกรานบ้านเรา ใครจะไปทนได้!"

เวทอร์สกลับมาพร้อมคาดันน์พอดี "ท่านฟาล เราต้องแจ้งฝ่าบาท..."

"ไม่" ฟาลส่ายหัว "ฝ่าบาทออกไปก็ดีแล้ว อย่างน้อยเขาก็ปลอดภัย แวมไพร์พวกนั้นต้องการตัวเขา พวกเราเผ่าองครักษ์มีหน้าที่ปกป้องราชา" ถึงแม้ว่าเมื่อฝ่าบาทกลับมา อีกฝ่ายอาจจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ฟาลก็คิดว่ามันเป็นการดีกว่า... ที่อีกฝ่ายจะปลอดภัย

การปกป้องราชาคือคำสัตย์ของเผ่าเพชฌฆาต

"แต่องค์หญิงอาโกรนาห์กับองค์หญิงเอสลินน์ยังอยู่!" เวทอร์สมุ่นคิ้ว "ท่านคิดว่าฝ่าบาทจะดีใจหรือ ในฐานะพี่ชายแท้ๆ แต่น้องสาวของตัวเองกลับเสี่ยงอันตรายอยู่ที่นี่ การต่อสู้ครั้งนี้อาจไม่ได้จบแบบที่ธราฟัสการ์ เราล่าถอยออกมาอย่างผู้แพ้ได้ แต่ตอนนี้มันบุกมาถึง 'บ้าน' เราแล้ว... มันจะฆ่าพวกเราทั้งหมด!"

คาดันน์ส่งเสียงดังอย่างเห็นด้วย

เลสซีย์หันไปปรึกษาเลขาอาวุโส "ฝ่าบาทนำหน่วยจู่โจมไปมารินาการ์ดด้วย เราต้องการคนพวกนั้น ...เราจะปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ได้" ฟาลชั่งใจอยู่พักใหญ่ เขาเหลือบตาไปมองคาดันน์ที่พร้อมจะเบนหัวว่ายออกไปถึงมารินาการ์ด "ตอนนี้เรามีแค่หน่วยลาดตระเวนสี่ทิศ กับหน่วยจู่โจมที่เหลือแค่หยิบมือ เราสู้ไม่ไหว"

"คาดันน์..." ฟาลเรียก "เจ้าไปให้ใกล้มารินาการ์ดที่สุด ส่งสัญญาณบอกฝ่าบาทว่าที่นี่เกิดเรื่อง"

วาฬไม่รอฟังคำสั่งซ้ำ มันขยับหางใหญ่โตดันร่างว่ายออกไปในทะเลเปิด พร้อมกับคลื่นเสียงที่ใช้ค้นหาทิศทางในทะเล ในขณะที่เวทอร์สมองตามไปด้วยความเป็นห่วง "ให้ข้าตามมันไป... คาดันน์เพิ่งเคยออกทะเลเปิดครั้งเดียว เกรงว่ามันอาจจะหลงทาง"

"วาฬไม่หลงทางในทะเลหรอก เวทอร์ส" ฟาลว่า "เจ้าอยู่ช่วยเลสซีย์"

"ท่านฟาล!"

เสียงของผู้หญิงเอ่ยเรียกเลขาอาวุโส และเมื่อหันไปตามเสียง กลุ่มองครักษ์ก็พบว่าองค์หญิงอาโกรนาห์เคลื่อนกายเข้ามาใกล้ "พวกหมาป่ากำลังต่อสู้อยู่ด้านบน เราควรไปสมทบ" ดวงตาสีดำขลับของนางมองดูคนใต้บัญชาที่พร้อมใจกันก้มหน้าลงตามธรรมเนียมปฏิบัติ "เงยหน้าขึ้นมองเราด้วย!"

ฟาลขบริมฝีปากอย่างไม่แน่ใจนัก แล้วจึงค่อยๆ เงยขึ้นมององค์หญิงแห่งเซลทิค

"ท่านเลสซีย์ ให้หน่วยจู่โจมที่เหลืออยู่มาสมทบกับเรา" องค์หญิงออกคำสั่งรวบรัด "ส่วนหน่วยลาดตระเวน ให้ช่วยดูแลประชาชนอยู่ในที่ปลอดภัย มีถ้ำใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่ไม่มีทางเชื่อมกับแผ่นดิน" นางหันกลับไปหาฟาลอีกครั้ง "ท่านฟาล ช่วยดูแลเอสลินน์ด้วย พานางออกไปยังทะเลเปิดให้ห่างไกลแผ่นดิน"

"มันเสี่ยงเกินไป" เลสซีย์ค้าน "องค์หญิงจะได้ได้รับอันตราย"

อาโกรนาห์เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยกหอกเล่มยาวในมือขึ้นมาถือไว้อย่างมาดมั่น "ท่านพี่ไคราห์นสอนเสมอว่า... เราจะเป็นกษัตริย์ที่ประชาชนรักได้อย่างไรหากไม่ร่วมเป็นร่วมตายไปกับพวกเขา" นัยน์ตาสีดำของนางแฝงความดุดันขณะพูด "และเราไม่เป็นอะไรหรอก... มันต้องการตัวเราตอนที่มีชีวิตอยู่"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 19.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 19-06-2017 09:57:23
ตอนที่ 19.2

เสียงเห่าหอนของพวกหมาป่าจากเบื้องบนแทนสัญญาณเตือนให้เหล่าเงือกเผ่นหนีกลับลงไปในน้ำ ประชากรของอาณาจักรเซลทิคส่วนมากไม่สามารถว่ายน้ำได้เร็วมนักเนื่องจากขนาดและน้ำหนักตัว ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้เมื่อมีภัยมาเยือนคือการหลบหนี

อังเดรกับพวกพ้องเร่งฝีเท้าวิ่งไปตามรอยโหว่ของแผ่นดินซึ่งเชื่อมต่อกับถ้ำมากมายที่พวกเงือกอาศัยอยู่ หมายจะบอกเตือนให้พวกเขาหลบหนี ขณะที่ซินเนย์วาก้าวลงไปในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรเซลทิคพร้อมกับแยกเขี้ยว

เสียงร้องโหยหวนของเหยื่อที่ไม่รอดเงื้อมมือนักล่าดังระงมต่อเนื่อง

หมาป่าเมื่อคืนร่างเป็นสัตว์แล้วไม่อาจสื่อสารด้วยภาษาของมนุษย์ได้ แต่เพียงแค่มองสบตาสีอำพันวาวของจ่าฝูง เวเรเซียโนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะฉีกร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ "นายหญิง" แวมไพร์หนุ่มยกมุมปากขึ้นยิ้ม "กระผมจำเป็นจะต้องทำ เพื่ออนาคตที่ดียิ่งกว่า..."

'หุบปาก!'

สัตว์ใหญ่คำราม และกระโจนเข้าหาเป้าหมายโดยไม่ลังเล แวมไพร์ไหวตัวหลบ โดยปราศจากอาวุธ เวเรเซียโนกระชากหลังคอของหมาป่า และทึ้งขนสีดำขลับเพื่อดึงให้เสียการทรงตัว แต่ซินเนย์วารู้จังหวะนี้ นางโถมร่างหงายใส่คู่ต่อสู้ กระแทกกับผืนน้ำที่เบื้องล่างเป็นกลุ่มกองหิน

"อั่ก!"

นางหมาป่าคำรามเจ็บ แต่แรงกระแทกทำให้แวมไพร์ยอมปล่อยมือ ผละขึ้นจากน้ำเพื่อหลบหนีการต่อสู้ ไปรวมกลุ่มกับร่างเงาที่เคลื่อนไหวรวดเร็วในความมืด โรมรันกับฝูงสัตว์ที่เข้ามาปกป้องอาณาจักรเงือกริมผา ซินเนย์วาวิ่งตามขึ้นมายังเบื้องบน "พวกเงือกกลับลงไปหมดแล้วหรือยัง!" นางตะโกนถามอังเดร

"พวกเขาต้องขึ้นมาหายใจ เราต้องคอยต้านเอาไว้ไม่ให้มันฉวยจังหวะนั้น!"

"ฆ่าพวกมันให้หมด!"

พลั่ก!

"นายหญิง ระวัง!" เงาหนึ่งพุ่งเข้าหานาง กระแทกเข้าที่บริเวณชายโครงจนร่างลอย และตามมาเพื่อจะใช้มือคว้านลงไปถึงหัวใจ แต่จังหวะเดียวกันนั้น อีกร่างเงาหนึ่งก็กระโจนขึ้นมาจากน้ำพร้อมกับหอกเล่มยาวในมือ และเสียบปลายแหลมแทงเข้ากลางอกของแวมไพร์

ฉั๊วะ!

น้ำทะเลกระเซ็นจากร่างของผู้ต่อสู้ เช่นเดียวกับเลือดสีแดงสาดกระจายบนผืนหญ้า

พลั่ก!

อาโกรนาห์หลับตาและยกแขนขึ้นกำบังด้วยรู้ว่าร่างของนางกำลังจะกระแทกพื้น แต่แล้วจ่าฝูงหมาป่าก็ใช้ตัวเองรับเอาไว้ "โอ๊ย!" สัตว์ใหญ่ครางเจ็บ แต่ลำตัวที่อ่อนนุ่มกว่าพื้นหญ้าก็ทำให้นางเงือกผู้เปลี่ยนร่างจากหางเป็นท่อนขาสามารถหยัดกายขึ้นยืนได้โดยไม่ได้รับอันตราย องค์หญิงแห่งเซลทิคเซด้วยความมึนงง และหันไปมองคนของนางกระโจนขึ้นมาจากทะเล

พวกเงือกคงมีเสื้อผ้าชุดหนังเก็บเอาไว้ในถ้ำบ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ 'เปลือย' เสียทีเดียวด้วยรู้มารยาทของมนุษย์

"เป็นอะไรรึเปล่า!" องค์หญิงหันไปถามซินเนย์วา รอให้หมาป่ายักษ์ยืนขึ้น ดวงตาสีอำพันถลึงมองไปยังหน้าผาด้านหลังด้วยความตะลึง

...สิบห้าฟุต! พวกเงือกกลุ่มนี้กระโจนได้ถึงสิบห้าฟุต!!

"เจ้า..."

"เราอาโกรนาห์ เราได้ยินเรื่องของเจ้ามาจากท่านพี่บ้างแล้ว ซินเนย์วา!" นางเงือกคลี่ยิ้ม ด้วยใบหน้าเยาวว์วัยของนางทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปราวกับไม่ได้อยู่ท่ามกลางการต่อสู้ องค์หญิงจัดชุดผ้าหนังที่เปียกแนบลู่ไปกับร่างให้เข้าที่ "เซลทิคเป็นบ้านของเรา..." นางเงือกก้มลงเก็บหอกที่ตกอยู่บนพื้น ก้าวออกไปเบื้องหน้ากลุ่มองครักษ์ที่ทยอยขึ้นมา "เราทนหลบอยู่ข้างล่างอย่างเดียวไม่ได้หรอก"

"องค์หญิง! " ซินเนย์วาตะโกนเรียก แต่มันก็ออกมาเป็นเสียงเห่า

...ทำไมเงือกพวกนี้สื่อสารทางจิตไม่ได้หนอ!

นางหมาป่ากลอกตา ยอมคืนร่างเป็นมนุษย์สักครู่หนึ่งเพื่อจะวิ่งไปเตือนนางเงือกผู้นำ "เจ้าสู้แวมไพร์ตอนกลางคืนไม่ได้! ห้าปีที่แล้วไม่ได้ให้บทเรียนอะไรแก่เจ้าเลยรึไง!" ซินเนย์วาตะโกนใส่ และเพิ่งสังเกตว่าตัวนางเองสูงได้เพียงระดับสายตาของนางเงือกที่มีอายุเพียงสิบหกปี

พวกเงือกวาฬนี่ตัวใหญ่มากจริงๆ

อาโกรนาห์เหลือบตามองหมาป่าก่อนยิ้ม "เจ้าพูดแบบนี้ไม่ถูกนะ" นางหันมองศัตรู แม้ความมืดจะทำให้พวกเขาเสียเปรียบ แต่สิ่งหนึ่งที่เงือกวาฬมีเหนือกว่า นั่นคือความสามารถในการค้นหาทิศทางจาก 'เสียง'

"เพราะครั้งนี้... เรามีหมาป่ามาร่วมด้วย"

อาโกรนาห์ก้าวเท้าไปข้างหน้า ย่อตัวลงในระดับที่เหมาะสม ก่อนจะขว้างหอกเล่มยาวในมือออกไป แทนเป็นสัญญาณการจู่โจมของฝั่งเงือก และในอึดใจเดียว หอกจำนวนมากก็ถูกขว้างออกไปยังสนามต่อสู้ ตามด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของผีดูดเลือด โดยไม่มีอาวุธใดพลาดไปถูกหมาป่าเลยสักอันเดียว

องครักษ์เงือกอีกตนส่งอาวุธให้กับองค์หญิง มันไม่ใช่หอกปลายแหลม แต่มันคือกระบองด้ามยาวที่ปลายทั้งสองข้างติดไฟลุกโชน แสงสว่างทำให้มองเห็นเสี้ยวหน้าหนึ่งของอาโกรนาห์ แววตาขององค์หญิงแห่งเซลทิคบัดนี้ฉายแววเหี้ยมเกรียม

"ใครว่าชาวเงือกไม่รู้จักไฟก็ให้มันรู้ไป..."

จุดอ่อนของแวมไพร์คือแสงสว่าง แต่ในเมื่อไม่มีแสงสว่าง พวกเขาก็คงต้องใช้ไฟเป็นตัวแทน องค์หญิงยกกระบองขึ้นหมุนกลางอากาศแทนเกราะป้องกันจากเบื้องบนขณะมองหาเป้าหมาย นางวิ่งเข้าไปโรมรันในการต่อสู้ ใช้พละกำลังมหาศาลเหวี่ยงอาวุธเข้าใส่ศัตรู

อ้าก...!!!

เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังระงม เมื่อร่างกายถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง ผู้รุกรานล่าถอยจากความร้อนออกไปตั้งหลัก "พวกมันใช้ไฟ!"

เวเรเซียโนกวาดสายตาไปทั่วบริเวณเพื่อมองหาสิ่งที่ต้องการ "องค์หญิง..." เขาต้องการเลือดของนาง และจะต้อง 'จับเป็น' เท่านั้น หาไม่แล้วพลังการรักษาก็จะสูญสิ้นไปพร้อมกับชีวิต ชายหนุ่มเขม้นมองผู้นำเงือกผู้มีผิวพรรณขาวผ่องและเรือนผมสีดำสนิท ตรงตามลักษณะอันสมบูรณ์แบบของราชวงศ์เซลทิค

"จับองค์หญิงมาให้ได้!"

ซินเนย์วาวิ่งกลับมาในร่างของสัตว์สี่เท้า ขย้ำร่างที่เข้ามาขวางทาง และเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ใยดี ดูเหมือนว่าเวเรเซียโนจะระดมพวกพ้องมามาก แต่นี่อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่ง นางรู้ดีว่ากลุ่มแวมไพร์ 'กบฎ' มีจำนวนมากกว่านั้น "ราชาแวมไพร์นี่ช่างก่อเรื่องแล้วไม่แก้ปัญหา จนมีผู้ต่อต้านมากขนาดนี้เลยรึไง"

อังเดรวิ่งกลับมาหาจ่าฝูงของตน "แสงอาทิตย์ตอนเช้าคงไม่ช่วยเรา ฤดูนี้แทบจะไม่มีแดดด้วยซ้ำ"

"เราไม่หวังพึ่งแดด" นางหมาป่ายิ้มกับตัวเอง "เจ้าคิดว่าข้ายังคบพวกนางพรายลมขี้นินทาเอาไว้ทำไม"

--------------------------------------------------

คาดันน์ส่งสัญญาณไปในความว่างเปล่าของท้องทะเล คลื่นเสียงที่จะทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และบอกทิศทางได้ว่าควรจะมุ่งไปที่ใด แต่ตัวมันเองก็เพิ่งจะเคยเดินทางออกจากอาณาจักรเป็นครั้งที่สองเท่านั้น อีกทั้งรอบตัวก็มีแต่ความว่างเปล่า จนแทบไม่มีเสียงใดสะท้อนกลับมา

มารินาการ์ดอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเซลทิค

ดังนั้นเมื่อหันหน้าให้ถูกทิศแล้วมันก็มีหน้าที่แค่ว่ายต่อไป และจะต้องไปให้ถึงระยะการส่งสัญญาณให้เร็วที่สุดอีกด้วย อาณาจักรเงือกกำลังเดือดร้อน และองครักษ์หน่วยจู่โจมก็อยู่ที่มารินาการ์ด ขอเพียงแค่ว่ายไปถึงระยะสื่อสารเท่านั้น พวกวาฬราชรถก็จะได้ยินเสียงและตอบโต้กลับมา

แต่ระยะเวลาในการเดินทางจากเซลทิคไปถึงมารินาการ์ดใช้เวลาวันหนึ่ง

หากมันกลับไปไม่ทันการต่อสู้จะเกิดอะไรขึ้นหนอ...

วาฬยักษ์หยุดว่ายและหันหัวกลับด้วยความลังเล มันรู้ว่าชาวเงือกจะต้องล้มตายระหว่างที่มันเสียเวลาในการเดินทาง และมันก็เป็นสัตว์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการสื่อสาร ดังนั้นมันจึงควรทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เมื่อคิดได้ดังนั้น คาดันน์จึงออกว่ายต่อไป

แต่แล้วมันก็หยุดครางในลำคอ... มันเป็นห่วงเวทอร์ส

เวทอร์สเป็นองครักษ์ลาดตระเวน และเป็นถึงน้องชายของผู้นำเผ่าเพชฌฆาต อีกฝ่ายจะต้องร่วมการต่อสู้อย่างแน่นอน มันรู้ดีว่าเวทอร์สมีความสามารถ แต่คู่ต่อสู้นั้นเหนือกว่าเกินจะคาดเดาได้ และหากมันกลับไปเพื่อจะพบว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บหรือเป็นอะไรไปเล่า

สัตว์ยักษ์ส่งเสียงออกไปในความมืด ด้วยหวังว่าจุดที่มันอยู่จะใกล้กับมารินาการ์ดมากพอที่ฝูงวาฬราชรถจะได้ยิน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา คาดันน์ลังเล มันควรจะไปต่อ หรือกลับไปหาเวทอร์ส อย่างน้อยมันก็อาจจะมีประโยชน์กับอีกฝ่ายบ้าง ดีกว่าไปต่อ... แล้วกลับไปพบว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้

เสียงสะท้อนในห้วงน้ำโอดครวญ... เท่านี้ยังไม่ใกล้พออีกหรือ

อีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงมารินาการ์ดหนอ

หางใหญ่ขยับว่าย วาฬเพชฌฆาตว่ายน้ำได้เร็วมาก แต่ก็ยังเร็วไม่พอสำหรับคาดันน์ มันส่งเสียงร้องตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่มีสิ่งใดสะท้อนกลับมาเลย ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ความหวังที่พอจะหลงเหลืออยู่นั้นช่างริบหรี่เหลือเกิน

อีกไกลแค่ไหน... มันจะทำได้หรือเปล่า...

คาดันน์เสียงสั่น มันไม่แน่ใจกระทั่งว่าตัวเองมาถูกทางหรือไม่ และไม่แน่ใจด้วยว่าหากหันหลังกลับไปแล้วจะช่วยใครได้ทันการหรือเปล่า หากมันทำไม่ได้สักอย่างที่ผู้คนคาดหวังให้มันทำ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เสียงครางทุ้มต่ำดังขึ้น บางสิ่งที่มีขนาดมหึมาว่ายขึ้นมาจากก้นสมุทร คาดันน์ขยับขึ้นไปหายใจพร้อมกับส่งสัญญาณตอบ วาฬเผือกปรากฎให้เห็นในเสียงสะท้อน และเพียงอึดใจ สัตว์ใหญ่ก็เคลื่อนร่างผ่านวาฬเพชฌฆาต อสูรทะเลพลิกร่างบนผิวน้ำเพื่อชมแสงจันทร์ ก่อนจะดำกลับลงไปสู่ความมืดเบื้องล่าง

ทันใดนั้น วาฬราชรถก็ส่งเสียงตอบกลับมา...

ได้ยินแล้ว!

คาดันน์หันไปทางตะวันออก เปล่งร้องออกไปสุดเสียงด้วยความยินดี

ได้ยินแล้ว! กำลังกลับไปแล้ว!

ฝูงวาฬขึ้นไปหายใจ เร่งความเร็วผ่านร่างของคาดันน์ไปพร้อมกับเสียงขอบคุณ "คาดันน์!" เวสเทียร์ตะโกนเรียก เขาปลีกออกมาจากขบวน และตรงเข้าไปหาเจ้าวาฬเด็กที่เดินทางมาไกลเกินครึ่ง "ไป... กลับไปเซลทิค..." ร่างโปร่งเคลื่อนไปบนร่างของมันและยึดมือกับกระโดงหลังสูงใหญ่ "ทำดีมาก กลับบ้านได้แล้ว..."

--------------------------------------------------


รู้สึกว่าคนที่ชิลยิ่งกว่าองค์ชายเร็กซ์น่าจะเป็นอสูรทะเล... อะไรคือการขึ้นมาน้วยแสงจันทร์แล้วก็กลับลงไปแบบชิคๆ

แต่บทดราม่า (?) กับตัวเองของคาดันน์คือเขียนยาก ถ่ายทอดยาก ปกติมันจะแสดงออกถึงความสุขมากกว่า พอเป็นทุกข์แล้วมันจะลอยตัวเฉยๆ นิ่งๆ และเถียงกับตัวเองด้วยการหันหัวไปๆ มาๆ ซึ่ง... เป็นอะไรที่ถ่ายทอดยากมาก รู้สึกว่าอินยาก 555



องค์หญิงอาโกรนาห์... น่าจะสูงสัก 185 cm นะ ในวัยปัจจุบัน (ส่วนซินซินร่างมนุษย์ 170 cm ร่างหมาป่า 2 เมตร) คือในบรรดาเงือก ราชวงศ์เซลทิคนี่ยักษ์ทุกคน เพราะเป็นพันธุ์ใหญ่ที่สุด

เราว่าการเป็นผู้หญิงในเรื่องนี้นี่แลจะเหนื่อย ตอนแรกก็เรจินา สักพักก็ซินซิน แล้วตอนนี้ก็อาโกรนาห์...

เราคิดว่าการกระโจนขึ้นมาบนผาสูง 15 ฟุต (4.5 เมตร) เป็นอะไรที่เท่มาก และเงือกเผ่าอื่นทำไม่ได้ (เผ่าฉลามกระโดดได้ แต่ว่าไม่สูงมาก) แต่ยอมหยวนให้อาโกรนาห์นิดนึง เพราะจริงๆ เผ่าที่กระโดดสูงขนาดนั้นน่าจะเป็นเฉพาะเผ่าวาฬเพชฌฆาต อาโกรนาห์... เป็นเผ่าวาฬหลังค่อม ซึ่งเป็นวาฬขนาดใหญ่มาก และไม่กระโดด เขาจะใช้วิธี breach ซึ่งหมายถึงการโผขึ้นจากน้ำแล้วสะบัดตัวสวยๆ ทีนึงก่อนจะฟาดตัวลงไปด้วยความสนุก (?) (กระแทกน้ำนี่เจ็บจะตาย มันสนุกตรงไหน)

แนวคิดการกระโดดสูงมาจากข่าวนึงของวาฬเพชฌฆาตที่ไล่จับโลมา (กิน) และในสเตจที่เรียกว่า final attack คือนางจะกระโดดฟัดนี่ล่ะ (ซึ่งนี่ก็สูงเกินไปหน่อย ตกลงจับได้ไหมลูก...) วาฬตัวนี้น่าจะหนักถึง 8 ตัน (และน่าจะตัวเมีย)

(https://scontent.fbkk1-6.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/19399488_238722929963569_4723119364020673858_n.jpg?oh=33c56cdc608988b310ca36f203951c99&oe=59D802F4)

ส่วนแนวคิดกระบองไฟคือแบบ... อยู่ๆ ก็แว้บเข้ามา (นอกจากท่าพุ่งหลาวขององค์หญิงแล้วชีก็ยังท้อปฟอร์มได้อีก) (ทั้งหมดนี่คือไคราห์นเป็นคนสอนนะ) เพราะคิดว่า... เงือกเซลทิคเขาใกล้ชิดมนุษย์มากกว่าเงือกพวกอื่น เขาต้องคิดอะไรได้มากกว่าการใช้หอกสามง่ามจิ้มพุง (?) สิ... แล้วโดนบุกกลางคืนด้วย บทเรียนเมื่อ 5 ปีที่แล้วมันต้องช่วยอะไรบ้างแหละ ก็เลยได้แนวคิดของการใช้ไฟมา...

ไม่รู้จะเม้าท์อะไรละ... รอตอนหน้า (อ้าว 555)

ช่วงนี้จะหยอดอะไรให้คู่หลักบ้างคือไม่มีเวลาเบย รู้สึกสถานการณ์เรื่องมันเครียด แฮ่ะๆ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 19 [19-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 19-06-2017 12:01:05
ชวนให้เอาใจช่วยฝั่งพี่เงือกและหมาป่ามากๆ รู้สึกว่าช่วงนี้เรื่องจะกระชับฉับไว ตื่นเต้น เร้าใจมากๆค่ะ

ปล. เอ็นดูคาดันน์ทุกตอนเลย ช่วงสับสนกับตัวเองนี่โง้ยมาก ไม่งอแงนะลูก ไม่คิดว่าคาดันน์ที่อารมณ์ดีตลอดเวลาจะมีมุมนี้ด้วย
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 19 [19-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 20-06-2017 15:31:31
วาฬน้อยสับสน

น่าร้ากกกกกกก
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 20.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 22-06-2017 11:13:57
ตอนที่ 20.1

หากเปรียบเทียบความเร็วแล้ว ชาวเงือกก็ดูจะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้แข่งขัน พวกเขาอาจหูดี และจับทิศทางในความมืดได้จากเสียง แต่การตอบสนองที่ค่อนข้างช้าทำให้กระบองไฟช่วยอะไรไม่ได้มาก เมื่อแวมไพร์เปลี่ยนวิธีการต่อสู้เป็นการจู่โจมด้วยความเร็วยิ่งกว่าเดิม องค์หญิงอาโกรนาห์ก็พบว่าคนของนางกำลังเพลี่ยงพล้ำ

อ้าก...!!!

ผีดูดเลือดไม่เคยปล่อยให้เหยื่อสูญเปล่า พวกเขาตักตวงอาหารตรงหน้าด้วยความกระหาย ดังนั้นนอกจากความสูญเสียที่ตอกย้ำครึ่งมัจฉาแล้ว ความแข็งแกร่งของศัตรูที่เพิ่มมากขึ้นยิ่งทำให้พวกเขามองไม่เห็นทางเอาชนะ

"องค์หญิง! พวกมันมีมากเกินไป!"

เลสซีย์เหวี่ยงหอกในมือใส่คู่ต่อสู้ และจบลงด้วยการแทงปลายแหลมทะลุหัวใจให้ร่างตรงหน้ากลายเป็นผงฝุ่น "ต่อให้ฆ่าหัวหน้าของพวกมัน พวกมันก็ยังไม่เลิกรา และเราฆ่าพวกมันทั้งหมดไม่ได้! เราต้องทำอะไรสักอย่าง!"

"คนของเรามีเท่าไหร่"

องค์หญิงเซลทิคถามเวทอร์ส หลังจากอีกฝ่ายสะบัดร่างไร้ชีวิตออกให้พ้นทาง และเฝ้ามองร่างเนื้อนั้นกลายเป็นผงฝุ่น "หน่วยลาดตระเวนสี่ทิศมีเพียงสี่สิบคน แต่หน่วยจู่โจมที่ติดตามฝ่าบาทไปเกือบห้าสิบขอรับ"

พวกเขาขาดแม่ทัพ แม้องค์หญิงอาโกรนาห์จะลงมาร่วมรบด้วยตนเอง แต่นางก็ไม่มีแผนการต่อสู้ การต้านเอาไว้เช่นนี้มีแต่ทำให้พวกเขาอ่อนแรงลงเท่านั้น พวกเขาต้องการผู้นำนำ... แม้ชีวิตของผู้นำอาณาจักรจะสำคัญ แต่หากต่อสู้โดยไร้ซึ่งทิศทาง ขวัญกำลังใจก็จะค่อยๆ ฝ่อลงไปจนกลายเป็นสิ้นหวัง

"องค์หญิง ระวัง!"

เลสซีย์เห็นคู่ต่อสู้ นางเงือกย่อขาลง ก่อนจะดีดตัวกระโจนขึ้นจากพื้นเพื่อจะใช้คมหอกฟาดฟันศัตรูก่อนที่มันเข้าถึงตัวองค์หญิง "ย้าก...!" ทว่าพลาดเป้าหมาย นางกลับมาที่พื้นอีกครั้ง ทว่าความเร็วของมันก็คว้าเข้าที่อาวุธ และหักเป็นสองท่อนในอึดใจ พร้อมกับมือข้างหนึ่งบีบเข้าที่คอของผู้นำหน่วยลาดตระเวน

"โอ๊ย!"

แวมไพร์แสยะเขี้ยว แต่เพียงเท่านั้น เวทอร์สก็พุ่งปลายหอกเข้าแทงที่กลางลำคอคู่ต่อสู้ "อั่ก!"

เลสซีย์เข่าอ่อน เวทอร์สรับร่างของนางเอาไว้ทัน "ท่านเลสซีย์!" คอของนางถูกจิกเป็นแผลเหวอะ นางเงือกอ้าปากหายใจ ความเจ็บปวดจากบาดแผลผสมปนเปไปกับความร้อนจากพิษของแวมไพร์ทำให้ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน "ท่านเลสซีย์!" เวทอร์สเรียกซ้ำ และหันไปหาพรรคพวกที่เหลือ "พานางกลับไปที่อาณาจักร!"

เผ่าโลมาไม่อาจต่อสู้ได้ดุเดือดเท่า ดังนั้นพวกเขาจึงคอยช่วยเหลือคนเจ็บ

อาโกรนาห์อ้าปากค้างในยามที่เห็นบาดแผล แต่นางไม่มีเวลามากพอจะไตร่ตรอง...

หางตาของเวทอร์สเห็นร่างเงาของคู่ต่อสู้ ชายหนุ่มเปลี่ยนอาวุธจากมือซ้ายเป็นมือขวา ก่อนหันไปเผชิญหน้าต่อสู้ แต่หมาป่าร่างยักษ์กระโดดเข้ามายืนเคียงข้างพร้อมกับคำรามและใช้ตัวเองขวางเอาไว้ "ท่านซินเนย์วา..." องครักษ์เหลือบมองดวงตาของสัตว์ใหญ่ที่เขาจดจำได้ นางกำลังแยกเขี้ยวใส่แวมไพร์ที่ก้าวตรงมา

"ข้าขอเพียงชีวิตเดียว ชาวเงือก..." เวเรเซียโนสูดหายใจ มือของเขาเปื้อนเลือด ขณะที่ดวงตาคมจับจ้องร่างโปร่งด้านหลังหมาป่า "พลังแห่งการเยียวยานั่น แล้วเราจะไปจากที่นี่" ไม่ต้องมีใครบอก ชาวเงือกก็รู้ดีว่าแวมไพร์ไม่เคยมีสัจจะ ดังนั้นการเกลี้ยกล่อมพวกเขาจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์

"องค์หญิง..." เวเรเซียโน้คลื่อนไปมองสบตาอาโกรนาห์ "เพื่อประชาชนของพระองค์"

"เผ่าเพชฌฆาตสาบานต่อราชวงศ์แล้ว" องครักษ์จับหอกในมือให้มั่น "ต่อให้ต้องตาย เราก็จะปกป้องราชวงศ์เซลทิค!" หมาป่ากระโจนออกไปก่อนที่เงือกหนุ่มจะไหวตัว ซินเนย์วาแสยะเขี้ยว ไล่ขย้ำเวเรเซียโนที่กระโดดหลบอย่างรู้เท่าทัน นางเหลือบมององค์หญิงเงือกครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียงเตือน

'องค์หญิงอาโกรนาห์ กลับทะเลไป!!'

ไม่มีใครฟังภาษาหมาป่าออก แต่เวทอร์สอ่านความคิดนางได้จากสายตานั้น ชายหนุ่มหันกลับไปหาผู้เป็นนายในทันที "องค์หญิง! กลับไปที่อาณาจักรก่อน เราควรถอยไปตั้งหลัก!"เงือกหนุ่มกวาดตามองไปรอบกาย ชาวเงือกอาจเรียนรู้ที่จะใช้ไฟ แต่สะเก็ดไฟจากอาวุธของพวกเขาก็เริ่มลุกไหม้ไปตามพื้นหญ้า จนลามไปติดต้นไม้ที่แนวป่าใกล้ผาแล้ว

ในตอนนี้ ไฟไม่ใช่ศัตรูของแวมไพร์ แต่เป็นศัตรูของชาวเงือกและหมาป่าอีกด้วย

อาโกรนาห์ถอยเท้า นางหมุนตัวกลับเพื่อจะวิ่งตรงไปยังหน้าผา แต่เมื่อนางก้าวกระโดด เชือกเส้นหนึ่งก็คล้องเข้าที่ข้อเท้า และดึงร่างที่โผขึ้นในอากาศให้ตกลงมาสู่พื้นดิน

"อั่ก..!!"

องค์หญิงเจ็บจนจุก นางเผยอมองสิ่งที่พันธนาการ พยายามรวบรวมสติในการตัดมันให้ขาด "จับนางได้แล้ว!" พวกแวมไพร์ร้องบอกกัน ขณะที่เชือกที่รั้งข้อเท้ากระชากร่างไปตามพื้นดิน "เอานางกลับไป!" หญิงสาวจิกเล็บกับพื้น แต่พละกำลังมหาศาลก็ทำให้นางพ่ายแพ้ จนมือข้างหนึ่งกอบกุมลำคอระหง และยกตัวอาโกรนาห์ขึ้นจากพื้น

"อย่าตายเหมือนพี่ชายเจ้าล่ะ เสียของแย่!"

องค์หญิงขบริมฝีปาก นางรู้ว่าเหตุใดเดียร์ราฮานจึงเลือกความตาย ดีกว่าจะมอบพลังในสายเลือดให้กับผีดิบชั้นต่ำพวกนี้ "องค์หญิง!" นางได้ยินเสียงองครักษ์  แต่ไม่อาจรวบรวมสติเพื่อจะหันไปหาใครได้ หูของนางอื้ออึง เช่นเดียวกับสายตาที่เริ่มพร่ามัว

ฉั๊วะ...!!

แขนของผีดิบถูกตัดขาดสะบัดด้วยคมอาวุธ เลือดสีแดงคล้ำสาดไปทั่ว และเปรอะเปื้อนใบหน้าของนาง แต่อึดใจต่อมา อาโกรนาห์ก็รู้สึกได้ว่าใครบางคนช้อนอุ้มร่างเอาไว้แนบกาย "เธรมาร์! พาองค์หญิงกลับไปที่เซลทิค!!"

"รู้แล้ว!"

เจ้าของวงแขนตะโกนตอบ สองขาออกวิ่งเต็มกำลัง แต่เมื่อใกล้จะถึงหน้าผา เขาก็ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยเชือก

"องค์หญิง ระวัง!"

ร่างโปร่งหลุดลอยจากวงแขนแกร่ง นางรู้สึกเสมือนถูกโยน หลุดลอยไกลจากแผ่นดิน แสงสลัวในยามเช้าทำให้ภาพมัวหม่นไม่ชัด แต่ก็พอจับความได้ว่าเงือกหนุ่มองครักษ์ถูกลากกลับไป ร่างเงาสูงใหญ่ของแวมไพร์อีกตนกระโจนตามออกมา อย่างหมายมั่นว่าพวกเขาจะต้องได้ตัวองค์หญิงแห่งเซลทิค

ฟู่!

อาโกรนาห์จำเสียงหายใจของวาฬได้ นางกลอกตามองผืนน้ำ ด้วยความหวังว่าพี่ชายจะกลับมา และสิ่งที่เห็นได้จากหางตา คือกายมหึมาของวาฬยักษ์ซึ่งกระโจนขึ้นมาสุดแรง ไคราห์นจับครีบหลังของคาดันน์เอาไว้ก่อนจะออกแรงดันตัวเองให้พุ่งออกไปในอากาศพร้อมกับอาวุธในมือ

ฉั๊วะ...!!

หอกเล่มยาวเสียบทะลุร่างแวมไพร์ ตัดความหวังของผีร้ายและทำลายศัตรูให้สิ้นซาก ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปโอบร่างน้องสาวกลับมาก่อนที่นางจะตกลงกระแทกท้องทะเลเบื้องล่าง

ตูม...!

เสียงวาฬร้องระงมในท้องน้ำ และเช่นเดียวกับความวุ่นวายขององครักษ์หน่วยจู่โจมที่เดินทางกลับมาถึง "ไล่พวกที่อยู่ในถ้ำออกไป แล้วตามไปสมทบเบื้องบน!" เวสเทียร์เสียงดัง "เผาแนวต้นสน ใช้ไฟไล่ต้อนพวกมันมาที่หน้าผา เราจะฆ่ามันให้หมด!" แผนของไคราห์นต่างจากอาโกรนาห์ แทนที่จะต่อต้านไม่ให้แวมไพร์มาถึงผา แต่เขาต้องการให้มันมารวมตัวกันที่นั่น

เพราะพวกเขารู้ดีว่าเผ่าองครักษ์จะได้เปรียบในผืนน้ำ

ไคราห์นประคองน้องสาวเอาไว้ และมองดูบาดแผลบนร่างของนางที่ค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเอง "อาโกรนาห์!" ราชาหนุ่มพาอีกฝ่ายกลับไปยังถ้ำที่ประทับ ด้วยคลื่นลมในถ้ำแห่งนั้นสงบกว่าด้านนอก อย่างน้อยนางก็หายใจสะดวกขึ้น "ไหวหรือเปล่า" เขายังกอดนางไว้อย่างนั้น หวังว่าพลังของตนจะช่วยให้น้องสาวหายเร็วขึ้น

องค์หญิงระบายลมหายใจรวยริน ก่อนจะยิ้มออกมา "น้องไม่เป็นไร"

"ไปช่วยเอสลินน์" ไคราห์นออกคำสั่ง "นางกำลังช่วยคนเจ็บ เจ้าไปช่วยนางอีกแรง" องค์หญิงเอสลินน์ยังเยาว์วัยเกินกว่าจะต่อสู้ อาโกรนาห์จึงสั่งให้ฟาลพานางออกไปเพื่อความปลอดภัย แต่ฝ่าบาทไคราห์นเรียกอีกฝ่ายกลับมาเพื่อให้น้องสาวใช้พลังในการรักษาผู้บาดเจ็บ "แค่แตะพวกเขาเท่านั้น..."

"ท่านพี่" อาโกรนาห์อ้าปากน้อยๆ "แต่ว่า..."

"พวกเขากำลังจะตาย ถ้าเราช่วยพวกเขาได้ นั่นคือสิ่งที่ราชาที่ดีควรทำ" ร่างสูงค่อยๆ คลายอ้อมแขน "เราไม่มีเวลา เจ้าต้องรีบไป" ราชาหนุ่ม สะบัดหาง พาร่างตนออกไปจากถ้ำใหญ่ เพื่อสมทบกับเหล่าองครักษ์ที่รออยู่เบื้องล่าง

--------------------------------------------------

พวกเงือกเปลี่ยนแผนการต่อสู้...

เวเรเซียโนเหลือบมองรอบกาย พวกองครักษ์เปลี่ยนหายนะจากเพลิงไหม้เป็นแนวกำแพงไฟที่ทำให้แวมไพร์ไม่มีทางหนีพ้น ขณะที่หมาป่าก็ตีวงเข้ามาเพื่อต้อนให้พวกเขาถอยไปยังผาทะเล ไม่มีใครบอกก็รู้ว่าใต้เกลียวคลื่นนี้มีเงือกอีกมากมายรออยู่

"ท่านเวเรเซียโน..."

ผู้นำแวมไพร์ยกมือปรามคนของตนขณะขบคิด แต่เสียงโหยหวนจากถ้ำที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินก็บอกเล่าสถานการณ์ว่าองครักษ์แนวหน้าของเซลทิครุกกลับบ้างแล้ว

"ฝ่าบาทไคราห์นกลับมาแล้ว" เวเรเซียโนหรี่ตาลง "ถ้าเราหนีหมาป่าลงทะเล พวกเงือกก็จะรอเราอยู่"

เขาต้องการเพียงเลือดแห่งราชวงศ์เซลทิค... แต่จะทำอย่างไรให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น

"ท่านเวเรเซียโน ...เจ้านี่แปลกดี!" ผู้นำแวมไพร์เหลือบมองตามเสียง ลูกน้องคนหนึ่งลากคอเงือกหนุ่มตนหนึ่งมาโยนเบื้องหน้าเขา อีกฝ่ายมีผมยาวสีดำแซมขาว ผิวพรรณขาวเกินกว่าจะเป็นสมาชิกของเผ่าเพชฌฆาต และที่น่าประหลาดใจนั่นคือเขาเดี่ยวสีดำเหนือหน้าผาก

...มนุษย์ยูนิคอร์นหรือไร!!

แต่ลักษณะเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายบอกได้ว่านี่เป็นชาวเงือกที่ไม่ได้ประสาเรื่องราวบนแผ่นดิน "มันเป็นคนช่วยยัยองค์หญิงนั่นกลับไป" อีกฝ่ายถูกบีบคอและจับยกขึ้นในอากาศเบื้องหน้าเซเรเซียโน ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างพิจารณา ด้วยรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ประชาชนธรรมดาของเซลทิค

เนื้อตัวอีกฝ่ายเปรอะเปื้อน ทว่าไม่มีบาดแผลใดๆ

"เจ้าเป็นใคร" แรงบีบมหาศาลทำให้เงือกหนุ่มตาพร่าเนื่องจากขาดอากาศ "เป็นพันธุ์อะไร!"

"บอกก็โง่สิ"

เวเรเซียโนอ้าปากค้างเมื่อถูกครึ่งมัจฉาตอกหน้า เขาเงื้อมือขึ้นหมายจะสั่งสอน แต่แล้วร่างเล็กอีกร่างก็พุ่งเข้าใส่ลูกน้องแวมไพร์ "เธรมาร์ กระโดด!!" การเคลื่อนไหวของชาวเงือกไม่ได้รวดเร็ว แต่วิธีการเอาชนะของเงือกกลุ่มนี้แปลกประหลาด เจ้าของเสียงก้มหัวลง ใช้พละกำลังทั้งหมดพุ่งเข้ากระแทกศัตรูด้วยปลายเขาบนหน้าผาก

พลั่ก...!!

ผู้นำแวมไพร์ไหวตัวทัน เขากระชากร่างเธรมาร์กลับมา และปล่อยให้ลูกน้องของตนถูกผลักออกจากแผ่นดินไปพร้อมกับเงือกตนนั้น เขาผละออกจากร่างแวมไพร์ ขณะเปลี่ยนท่อนขาให้กลายเป็นหางสีด่างดำ

ฉึก...!!

องครักษ์เพชฌฆาตกระโจนขึ้นมาจากน้ำด้วยรู้งาน อาวุธแหลมเสียบทะลุร่างคู่ต่อสู้อย่างแม่นยำ แต่ก็ไม่วายประสาชนกับเงือกต่างถิ่นกลางอากาศ "โอ๊ย!!"

ตูม...!!

เวเรเซียโนหันกลับมาที่เธรมาร์ หลังจากกระชากอีกฝ่ายกลับมาและกระแทกกดเอาไว้บนพื้นหญ้า เขาจับแขนเงือกหนุ่ม และเฉือนเล็บไปบนผิวเนื้อขาวแทนการทดสอบ และในไม่กี่อึดใจ บาดแผลนั่นก็ค่อยๆ สมานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว "เจ้า...!!" แวมไพร์หนุ่มอ้าปากค้าง แต่แล้วคนตรงหน้าก็ผงกขึ้นโขกหัวเขาอย่างแรง

"โอ๊ย!!"

องศาการโขกไม่มากพอที่จะทำให้เขาเดี่ยวนั่นเสียบแทงคู่ต่อสู้ แต่ความแรงนั่นก็มากพอที่จะทำให้เธรมาร์ขยับตัวได้ ฝ่ายนั้นดิ้นถีบเวเรเซียโนออกไป ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว "กลับลงทะเล!!" ชายหนุ่มตะโกนบอกพรรคพวก และถีบตัวเองออกไปจากแผ่นผาสุดแรง

เวเรเซียโนลุกขึ้น เขาคว้าเชือกที่บั้นเอวของตน แล้วโยนห่วงขนาดใหญ่ตามอีกฝ่ายไป ข้อเท้าของชาวเงือกถูกรัด และกระชากกลับมายังแผ่นดิน แต่ระยะกระโดดของเธรมาร์ก็มากเกินกว่าจะดึงเขากลับมาได้ ชายหนุ่มร่วงลงจากท้องฟ้า ก่อนที่ร่างจะกระแทกกับหินผาแห่งเซลทิค

ตาย... เขาต้องตาย... เหตุใดการเดินทางมาอาณาจักรเซลทิคครั้งแรกจึงได้เลวร้ายปานนี้...

โครม...!!

"เธรมาร์!!" เงือกที่เดินทางมาด้วยกันตะโกนเรียกจากเบื้องล่าง แต่เขาก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะกระโดดขึ้นไป มีเพียงพวกเผ่าเพชฌฆาตที่กระโจนได้สูงขนาดนั้น เขาได้แต่มองร่างปวกเปียกหมดสติของสหายถูกดึงกลับขึ้นไปยังแผ่นดิน

"เผ่านาร์วาล!"

เสียงของฝ่าบาทไคราห์นทรงพลังเสมอ และเมื่อเงือกแปลกหน้าถึงเรียก เขาก็เม้มปากด้วยความหวาดกลัว ราชาทะเลเหนือปราดมายังเงือกตนนั้น และจ้องมองคาดคั้นให้อีกฝ่ายพูดธุระของตนออกมา "พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ในยามนี้!"

"แล้วเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่! ในยามนี้ล่ะ ฝ่าบาท!" อีกฝ่ายถามกลับร้อนรน "เธรมาร์ถูกพวกมันจับไป!" เขาชี้ขึ้นไปยังแผ่นดิน ซึ่งนั่นทำให้ฝ่าบาทคำรามออกมาอย่างเดือดดาล "ก...กระหม่อมมากันเพียงสองคน..."

ไคราห์นหันไปหาองครักษ์ที่ใกล้ที่สุด

"เอามันไปรวมกับเอสลินน์! ทักษะการต่อสู้พอๆ กับเด็กสิบสองขวบ!"

องครักษ์หนุ่มเบิกตาขึ้น ขณะที่ผู้มาเยือนเคลื่อนกายไปหลบหลังองครักษ์เพชฌฆาตทันที "เอาข้าไปขัง ไปเก็บที่ใดก็ได้ให้พ้นเจ้าพวกผีดูดเลือดนั่น" ราชาหนุ่มแยกเขี้ยว เขากระชับอาวุธในมือและเริ่มมองหาวิธีช่วยเหลือเงือกอีกตัวที่อยู่เบื้องบน

"ฝ่าบาท... มันอันตรายไป..." เวสเทียร์พุ่งเข้ามาปราม

"คาดันน์!" ไคราห์นร้องเรียก หางตาเหลือบเห็นร่างเงาขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาจากก้นสมุทรเบื้องล่าง เจ้าวาฬว่ายผ่านร่างของเขาไป ราชาหนุ่มคว้าครีบหลังของมันเอาไว้และมุ่งหน้าไปยังผิวน้ำ หางใหญ่สะบัดโบกรุนแรง พาร่างทั้งคนทั้งเงือกกระโจนขึ้นในอากาศจนตัวลอย ฝ่าบาทใช้กำลังแขนดันร่างตัวเองออก แล้วหันกลับไปยังแผ่นดิน

พลั่ก...!

ร่างสูงกลิ้งลงกับพื้นหญ้า ดูเหมือนว่าเขาจะยังจับจังหวะกการกระโจนของคาดันน์ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็นับว่าลงมาค่อนข้างสวยงามกว่าทุกครั้ง พวกแวมไพร์หยุดการต่อสู้แล้ว พวกเขากำลังประจันหน้ากับหมาป่าที่ตีวงล้อมต้อนพวกผีดูดเลือด แต่ก็ไม่มีตัวใดขยับเขยื้อน เนื่องด้วยร่างปวกเปียกไร้สติในมือของเวเรเซียโน

"ฝ่าบาทไคราห์น..."

ไม่ว่าใครก็รู้จักราชาผิวเผือกแห่งทะเลเหนือทั้งนั้น และยังเป็นที่ต้องการของแวมไพร์มากที่สุด

เจ้าหนุ่มเผ่านาร์วาลยังไม่ได้สติ รอยเลือดบนหน้าบอกได้ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ ทว่าพลังเยียวยาในตัวก็ช่วยรักษาให้ เผ่านาร์วาลเป็นโลมาพวกหนึ่ง แต่พวกเขาค่อนข้างรักสันโดด และอาศัยอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ ในทะเลขั้วโลกที่หนาวเย็น นานสักครั้งที่พวกนาร์วาลจะเดินทางมา และไคราห์นเชื่อว่าการมาถึงของพวกเขาจะหมายถึงข่าวคราวเกี่ยวกับมารดาของตน

พระชายาเอกแห่งเซลทิคปลีกตัวไปอยู่กับพวกนาร์วาล ผู้ได้ชื่อว่านักประดิษฐ์แห่งเผ่าวาฬ

พวกเขาเป็นต้นตำรับสูตรยาที่จะแปลงเงือกมัจฉาให้สามารถเป็นมนุษย์ได้ เป็นผู้สร้างสรรค์อาวุธที่จะใช้ต่อกรกับอมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่น และแน่นอนว่าเขาเดี่ยวที่อยู่เหนือหน้าผากของพวกเขาก็เป็นสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งที่ชาวเงือกหวงแหน ไม่ต่างจากพลังสายเลือดบรรพกษัตริย์

"ฝ่าบาท...!"

ซินเนย์วาร้องเตือน พวกแวมไพร์ไม่รอคำสั่ง พวกเขาพุ่งเข้าใส่ราชาที่ไม่มีใครคุ้มครอง จังหวะเดียวกันกับที่ไคราห์นพุ่งกระโจนเข้าใส่ศัตรู เขาดึงหอกของตนออกจากกัน เผยให้เห็นใบมีดที่แอบซ่อนอยู่ภายใน กลายเป็นดาบคู่สองคมในมือราชา อาวุธของชาวเงือกส่วนใหญ่ทำจากกระดูกสัตว์ ทว่าหอกเล่มนี้ของฝ่าบาทเป็นใบมีดเหล็กกล้าที่สามารถฟาดฟันศัตรูให้ขาดสะบั้นในครั้งเดียว

"ฝ่าบาท... ชีวิตเจ้านี่..."

เวเรเซียโนยังคงจับร่างของเธรมาร์เป็นตัวประกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ราชาเงือกฟังเสียง เวสเทียร์ตามอีกฝ่ายขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน พร้อมกับองครักษ์ระดับสูงของอาณาจักร และเมื่อเขาจู่โจม ฝูงหมาป่าที่หยุดชะงักก็กลับมาคึกคะนองอีกครั้ง พวกมันกระโจนใส่คู่ต่อสู้ บีบให้ผีดูดเลือดถอยร่นไปยังแผ่นผา ขณะที่ราชาเงือกไม่ได้สู้เพียงลำพังอีกต่อไป

"ก็ให้มันตาย... แต่เรายอมให้พวกเจ้าเอาร่างมันไปเหมือนกับเดียร์ราฮานไม่ได้!"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 20.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 22-06-2017 12:01:49
ตอนที่ 20.2

เรจินารู้ดีว่านางไม่อาจช่วยอะไรเผ่าวาฬ ในเมื่อองครักษ์ของนางไม่อาจแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อย่างพวกเขา แต่อย่างน้อยนางก็สามารถช่วยเหลือคนเจ็บและพาพวกเขากลับไปยังที่ปลอดภัยได้ พวกเงือกปลาไ่ม่ต้องหายใจ ดังนั้นพวกเขาจึงช่วยอะไรเงือกวาฬได้มาก แม้ว่ามันจะไม่ใช่งานถนัดของเหล่าองครักษ์แห่งมารินาการ์ดเลย ต่อให้พวกเงือกวาฬจะตัวใหญ่กว่ามาก แต่ด้วยความที่พวกเขาอยู่ใต้น้ำ น้ำหนักของพวกเขาจึงไม่มากเท่าที่คิด

"น่าจะพาหน่วยพาพยาบาลมายังจะมีประโยชน์กว่า"

องค์ชายเร็กซ์บ่นกับพี่สาว เขามององครักษ์วาฬสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระบายความเจ็บปวดจากบาดแผล เพราะเพียงแค่คมเล็บของแวมไพร์ก็มีพิษทำให้พวกเขาเจ็บปวดได้มาก "พวกพยาบาลเซลทิคงานล้นมือเกินไป" บาดแผลของเงือกหนุ่มไม่หนักหนาพอที่จะรบกวนพลังแห่งราชวงศ์ ฝ่าบาทเรจินาเหลือบมององค์หญิงเอสลินน์ที่กำลังพยายามช่วยองครักษ์หญิงอย่างสุดกำลัง

แต่บาดแผลบนลำคอของนางใช้เวลาในการรักษามากเหลือเกิน

"องค์หญิง... ไปดูแลผู้อื่นเถอะเจ้าค่ะ" เลสซีย์เสียงแผ่ว "บาดแผลนี้ไม่อาจเยียวยาได้แล้ว" องค์หญิงเอสลินน์มีอายุสิบสองปี แม้จะมีพลังแห่งราชวงศ์ แต่มันก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะยื้อชีวิตผู้คนโดนที่ต้องต่อสู้กับพิษของแวมไพร์ องค์หญิงน้อยใช้สองมือแตะแผลเหวอะตรงหน้าโดยไม่รังเกียจเลือดขององครักษ์ และพยายามรวบรวมสมาธิเพื่อให้พลังของนางทำหน้าที่

"นานสักที ท่านพี่จะประทานงานที่เราทำได้ แล้วเราจะทำไม่ได้หรือ"

"เอสลินน์... เจ้าไปดูทางนู้น" องค์หญิงอาโกรนาห์มาถึงถ้ำพยาบาล นางวางมือของตนลงแทนที่มือของน้องสาว "เราจะดูแลเลสซีย์เอง" องค์หญิงสามแห่งเซลทิคหลับตาพร้อมกับสูดใจลึก พลังของนางทำให้ร่องรอยบนคอขององครักษ์หายไปอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่อาจเยียวยาได้อย่างสมบูรณ์

"ท่านพี่ไคราห์นยังรักษาเวสเทียร์ที่ถูกกัดได้... แล้วทำไมเราจึงจะทำไม่ได้เล่า"

"องค์หญิง!" นางพยาบาลหวีดร้อง ชี้ไปที่ปากถ้ำซึ่งเชื่อมต่อกับแผ่นดิน แวมไพร์กลุ่มหนึ่งตามมาถึงถ้ำแห่งนี้ พวกมันจ้องไปยังเหยื่อมากมายที่ไร้ทางสู้พร้อมกับรอยยิ้มพึงใจ อาโกรนาห์หันไปมองน้องสาวของนาง เลื่อนต่อไปยังราชินีเรจินาและองค์ชายเร็กซ์ และโดยไม่ออกคำสั่ง นางหันไปคว้าร่างน้องสาว และราชินีต่างเมืองเพื่อพาพวกเขากลับไปยังที่ปลอดภัย

"เกลเลส!!"

เร็กซ์ตะโกน ในจังหวะเดียวกับที่แวมไพร์พุ่งเข้าใส่เหยื่อ องครักษ์มารินาการ์ดก็โผร่างขึ้น

ฉั๊วะ!!"

เงือกปลาไม่มีแรงกระโจนขึ้นจากน้ำ แต่กำลังแขนของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่า อึดใจต่อมา หางสีเทาที่มีหนามก็ตวัดฟาดศัตรูหลังจากแทงเขาด้วยหอกปลายแหลม "มานี่!" แวมไพร์อีกตนคว้าเข้าที่ข้อหางใหญ่ กระชากร่างเงือกขึ้นจากน้ำและเหวี่ยงเขาขึ้นฟาดกับผนังถ้ำ

โครม!

--------------------------------------------------

ไคราห์นฝ่าเข้าไปถึงตัวเวเรเซียโน เขาเหวี่ยงอาวุธเข้าใส่ศัตรูที่เอี้ยวหลบอย่างรวดเร็ว แต่ความชำนาญทำให้เงือกหนุ่มหมุนตัวและโจมตีด้านหลังของตนแม้จะไม่มองไม่ทันคู่ต่อสู้ ดาบเล่มยาวกดแทงเข้าไปในร่างแวมไพร์จนมิดด้าม

"อั่ก!!" อีกฝ่ายปล่อยร่างของเธรมาร์ แล้วก็คว้าดาบที่กลางท้องตัวเองไว้แทน

"การจะฆ่าแวมไพร์... จะต้องตอกที่หัวใจเท่านั้น"

"อึก!"

มือของอีกฝ่ายคว้าเข้าที่ลำคอราชา และกดเล็บยาวให้จมหายพร้อมกับเลือดสดๆ พรั่งพรูจากบาดแผล "ดูเหมือนว่าครั้งนี้... กระผมก็คงจะไม่ได้ฝ่าบาทกลับไปทั้งที่มีชีวิตอยู่ดี..." มืออีกข้างละจากดาบที่เสียบท้องตัวเอง วางทาบลงบนอกขาวที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงสด เล็บของแวมไพร์จิกลงบนเนื้อ กดพิษร้ายให้แทรกผ่านไปถึงหัวใจ

"แต่กระผมคงไม่ต้องการแล้ว..."

"ฝ่าบาท!!"

เวสเทียร์ร้องเรียก พร้อมสะบัดอาวุธในมือ เวเรเซียโนถอยจากราชาเงือก เขากระชากดาบยาวออกจากตัวและคว้าร่างของเธรมาร์ขึ้นมา เขาหลบการโจมตีของเวสเทียร์ และเหวี่ยงร่างของเงือกที่หมดสติฟาดใส่องครักษ์หนุ่มให้ตกจากผาสูงโดยที่ไม่ปล่อยมือจากเธรมาร์

ไคราห์นเซถลา ทรุดลงกับพื้น พยายามสูดหายใจลึกเพื่อให้พลังของตนต่อสู้กับพิษของแวมไพร์ แต่เวเรเซียโนก็กลับมาอีกครั้ง เขาช้อนข้อมือที่ไร้เรียวแรงของฝ่าบาทขึ้นมาก่อนจะตัดเลือดใหญ่ด้วยเล็บของตน ให้เลือดสดไหลรินใส่ขวดแก้วที่เตรียมไว้ "ฝ่าบาทจะไม่ตายทันทีหรอก แต่ก็แค่มีชีวิตอยู่อีกไม่นาน... ทันเวลาที่กระผมจะกลับไปหานายหญิงพร้อมกับเลือดของฝ่าบาทในวันนี้" แวมไพร์กระซิบบอกราชาเงือกที่ขบฟันกับความเจ็บปวดในร่างกาย"

"ยังมีเวลาให้สั่งเสีย... ราชาทะเลเหนือ ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์"

"เวเรเซียโน...!"

ยามเช้าในฤดูหนาวไม่มีความหมายสำหรับแวมไพร์ เพราะแสงแดดไม่เคยส่งลงมาถึงตัวพวกเขา แต่แล้วมวลเมฆหนาทึบที่ปกคลุมฟ้าก็มลายหายไปกับตา เผยแสงสีนวลยามเช้าทว่ารุนแรงพอจะเอาชีวิตผีดูดเลือด เวเรเซียโนชะงักนิ่ง ท่ามกลางเสียงโหยหวนของผีร้ายเมื่อต้องแสงแดด ผู้รุกรานแหลกสลายกลางเป็นฝุ่นผงในชั่วพริบตา และหยุดเวลาแห่งการต่อสู้ไว้ชั่วนิรันดร์

มีหรือเวเรเซียโนจะจำเสียงนั้นไม่ได้...

ชายหนุ่มเหลือบมองพื้นหญ้า ร่างเงาหนึ่งบดบังแสงแดดเอาไว้ไม่ให้แตะต้องตัวเขา ร่างเงาของมนุษย์ผู้มีปีกของค้างคาวขนาดใหญ่ ในอึดใจนั้นแวมไพร์หนุ่มค่อยๆ เหลียวหลัง และมองดูปลายเท้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งแวมไพร์ทั้งปวง

"ท่านวาร์เรน..."

--------------------------------------------------


(แอบอัพเร็ว พรุ่งนี้มะว่าง...) อุ่ววว ว... มีใครยังไม่รู้จักวาร์เรนไหมน้า~~

เปิดตัวอย่างเทพ... คือคนที่รู้จักแล้วก็... อย่าลืมสิว่านางเป็นบอสลับ นางเก่ง นางเมพ แต่นางทำตัวปัญญาอ่อนอ่ะ 555



ฉากหลังๆ คือแอบสั้น... แต่ช่วงต้นๆ คือยาวมาก แต่ละฉาก ฮา ไม่ว่าจะกี่เรื่อง ฉากสงครามก็เป็นอะไรที่เหนื่อยเสมอ คือเราก็ยังคิดว่าฉากสงครามที่ไม่ต้องสู้ประชิดตัว (แบบฉากเรือรบในแอสทารอธ) นี่บรรยายง่ายกว่าฉากสู้แบบเรื่องนี้อ่ะนะ แต่ก็พบว่าการตะโกนกันไปมาของตัวละครนี่ทำให้เรื่องตื่นเต้นกว่า

ก่อนที่จะเป็นห่วงฝ่าบาท... เรามาเม้าท์พ่อหนุ่มใหม่กันก่อน

นางคือ... เธรมาร์ (แท้จริงแล้วควรจะเป็น เธรเมน เพราะมาจาก Tremaine ที่เป็นภาษาเคลติก แปลว่า หิน) พ่อหนุ่มปริศนาที่วิ่งมาอุ้มอาโกรนาห์ไปโยนหน้าผา (โธ่) แล้วยังปากดี พูดตรง โดนเล่นจบสลบกลายเป็นวุ้นเละๆ ตลอดการต่อสู้อีกต่างหาก (แม่มมีประโยชน์ไหม...) พ่อหนุ่มนี้มาจากเผ่านาร์วาลค่ะ เป็นโลมาขั้วโลก

จากที่เคยบอกไปว่า... แม่ของไคราห์นยังมีชีวิตอยู่ แต่ขอออกจากอาณาจักรไปด้วยละอายที่ให้กำเนิดลูกชายที่ป่วยเป็นอัลบิโน... แม่นางหนีไปอยู่กับพวกนาร์วาลนี่ล่ะ พวกนาร์วาลนี่เป็นกลุ่มเงือกวาฬที่ค่อนข้างสันโดษ และว่ากันตรงๆ ก็ไม่ได้เคารพราชาเซลทิคสักเท่าไหร่ เพราะ...

ใช่.. เงือกนาร์วาลก็มีพลังรักษาเหมือนราชวงศ์เซลทิค แต่... ไม่สามารถเผื่อแผ่ไปยังคนรอบข้างได้

ดังนั้นเนื่องจากความหมั่น(ไส้)... อีกทั้งพวกตัวเองก็พลังด้อยกว่าเงือกวาฬหลังค่อม ทำให้เงือกนาร์วาลถอยไปอยู่เป็นชนเผ่า เฉพาะพวกตัวเอง ปลีกตัวออกมาจากเซลทิค แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ถูกกันเสียทีเดียว

เอกลักษณ์ของเงือกนาร์วาลคือการมีเขาอยู่บนหัวเหมือนมนุษย์ยูนิคอร์น (?)

(เพื่อนของเธรมาร์ก็ก้มขวิดแวมไพร์---) ...อันนี้คือวาฬนาร์วาล

(https://scontent.fbkk1-6.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/19274966_240340516468477_9207603438242267354_n.jpg?oh=e2f0d8b72a3bc25cb3c5d1c9e284cdf6&oe=59D795BD)

เออ... ลืมตัวนี้ไม่ได้... คาดันน์ค่อดเท่เบย (อวยเอง)

เราอ่านคอมเม้นท์... เรื่องอายุของคาดันน์ อืมมม เราสารภาพก่อนว่าเราคำนวนผิดพลาดด้วย อายุ 5 ปีดูจะเด็กไปสำหรับในเรื่องนี้ เราคิดว่าจริงๆแล้ว คาดันน์ควรจะอายุ 10 ปี ไว้ไปแก้ในรีไรท์นะ แงง (ฉากกระโจน 2-3 ทีนั่นคือคาดันน์โดดสูงมากนะ 4-5 เมตร) (เหตุผลที่ไคราห์นต้องใช้คาดันน์ในการกระโดด เพราะเขากระโดดเองไม่ค่อยขึ้น ตัวเขาใหญ่+น้ำหนักเยอะ และโดยกล้ามเนื้อทางสายพันธุ์แล้วไม่ได้เอื้อเท่าพวกเพชฌฆาต) (ส่วนอาโกรนาห์คือยอมให้นางหน่อย นางยังเด็กๆ อยู่ และพลังเยอะ)

ช่วงชีวิตของวาฬเพชฌฆาตก็ยังระบุไม่ได้เป็นที่แน่นอน... แต่... ตัวเมียจะพร้อมผสมพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 10 ปี ในขณะที่ตัวผู้จะพร้อมผสมพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 15 ปี (แปลว่าคาดันน์ก็ยังเด็กๆนะ ยังไม่โตพร้อมผสม อิ อิ)

ในส่วนของคาดันน์นั้น... คือเราอยากจะให้มันมีขนาดตัวพอๆ กับ Trua ซึ่งอายุ 9 ปี (ตัวแค่นี้ก่อนล่ะกันนะ อย่าเพิ่งใหญ่ ดูฉากเอาคางเกยตักไคราห์นสิ ฝ่าบาทจะหักเอา)

(https://scontent.fbkk1-6.fna.fbcdn.net/v/t31.0-8/19402277_240340519801810_7335856618370309106_o.jpg?oh=86cb99ce0c145d80f74f97b87d2284e7&oe=59CA03DC)

แล้ววาฬอายุ 5 ปี จะตัวขนาดไหน...? นี่คือไซส์เทียบของ (บน) Trua กับ (ล่าง) Makaio

(https://scontent.fbkk1-6.fna.fbcdn.net/v/t31.0-8/19388645_240340486468480_5452125082612733766_o.jpg?oh=c4de77596b4b675c71158872a2e1abdd&oe=59E3669F)

แล้วถ้า Trua (9 ปี) ไปเทียบขนาดกับ Tilikum (36 ปี) ล่ะ... Tilikum ก็ใหญ่กว่ามาก

(https://scontent.fbkk1-6.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/19366107_240340483135147_7485361937498706785_n.jpg?oh=9ea7ce006cf1174acc9471da4c03cca8&oe=59C74650)

แล้วถ้า Tilikum เทียบขนาดกับมนุษย์ล่ะ...

(https://scontent.fbkk1-6.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/19396988_240340479801814_5705013688732120003_n.jpg?oh=7a3c8ce9237ca4c07320a4d70dab3ce6&oe=59D3617E)


คนในภาพนี้คือ Dawn Brancheau ครูฝึกของ SeaWorld ซึ่งเสียชีวิตเพราะถูก Tilikum (อิตัวข้างๆนี่ล่ะ) ลากลงน้ำไปด้วยความหงุดหงิด (?) ความเครียด ความคลั่ง... อะไรประมาณนั้น

แต่ก็คิดว่าคาดันน์ตอนโตไปน่าจะตัวประมาณนั้นแหละ... ใหญ่ดี 555



เอาล่ะ ฝ่าบาท... สู้ๆ นะ ใกล้แล้ว...
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 20 [22-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-06-2017 12:25:53
ลุ้นเอาใจช่วยเงือกกับหมาป่าจนตัวโก่ง

ไอ้พวกแวมไพร์ไปตายซะ!
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 20 [22-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 22-06-2017 15:24:39
บอสลับโผล่มาแย่งซีนทุกคนที่ผ่านมา เปิดตัวพร้อมแสงจ้า อลังการมาก แต่ก็ดีแล้วค่ะ ฝ่าบาทใกล้เดี้ยงแล้ว
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 21.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 24-06-2017 21:08:14
ตอนที่ 21.1

แวมไพร์เป็นอมนุษย์ที่มีรูปแบบสังคมพิลึกพิลั่นที่สุด

พวกเขาเป็นสิ่งไร้ชีวิตที่ถูกสาป สามารถอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ตราบจนวันสิ้นโลก ทว่าไม่อาจใช้ชีวิตได้เป็นปกติอีกต่อไป พวกเขาอาจตกหลุมรัก ครองคู่และอยู่ร่วมกันตลอดไป แต่ก็ไม่อาจให้กำเนิดทายาทได้ มีชีวิตด้วยการเข่นฆ่าเอาชีวิตจากผู้อื่นมาเพื่อต่ออายุให้ตนเอง

อาหารของมนุษย์ทั่วไปไม่ได้ให้ความรู้สึก 'อร่อย' สำหรับพวกเขา แต่สิ่งอร่อยที่แท้จริงคือรสเลือดของสิ่งมีชีวิต แต่เดิมแวมไพร์เข่นฆ่ามนุษย์ เนื่องด้วยพวกเขาไร้ทางสู้ ทว่าในช่วงสองร้อยปีให้หลังมานี้ พวกมนุษย์แข็งแกร่งขึ้น และเริ่มต่อสู้กับผีดูดเลือด พวกเขาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับความตายอันเป็นปริศนา และกล้าที่จะหาคำตอบว่าสิ่งใดเป็นต้นเหตุ

นั่นทำให้เหล่าแวมไพร์เสี่ยงต่อการถูกเปิดโปง

ซึ่งขัดกับกฎที่สำคัญที่สุดของอมนุษย์ ...พวกเขาห้ามเปิดเผยตัวเอง

แต่จำนวนแวมไพร์ที่เพิ่มมากขึ้น อันเกิดจากการ 'สร้าง' พรรคพวกอย่างไร้สติทำให้ผีดิบเหล่านี้ต้องการอาหารในปริมาณมากขึ้น สร้างปัญหาไม่จบไม่สิ้นให้กับพวกเขาเปรียบได้ดั่งบ่วงเชือกที่เริ่มรัดคอตัวเอง หากพวกเขาไม่มีผู้นำ ไม่มีราชาหรือราชินีที่จะชี้ว่าสิ่งใดถูกหรือผิด ปัญหาเหล่านี้ก็จะยิ่งบานปลาย อันนำไปสู่หายนะในที่สุด

ดังนั้นผู้ที่สามารถปกครองกลุ่มอมนุษย์เหล่านี้ได้ จะต้องมีพลังที่เหนือกว่าใคร

นั่นคือคุณสมบัติของ 'ผู้นำ' หรือ 'ราชา' แวมไพร์

หากแวมไพร์รวดเร็ว ราชาจะเร็วยิ่งกว่า หากแวมไพร์มีเขี้ยวยาว ราชาจะมีเขี้ยวยาวยิ่งกว่า หากแวมไพร์มองเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ราชาจะเห็นทุกสิ่งยิ่งกว่า และหากแวมไพร์หวาดกลัวต่อแสงอาทิตย์ ...ราชาจะมิกลัวสิ่งใด

เวเรเซียโนได้ยินเสียงพรรคพวกกรีดร้อง แสงสว่างแผดเผาผิวหนังให้มอดไหม้ และลุกลามกัดกินไปจนกว่าจะสิ้นร่างเนื้อ คู่ต่อสู้ใช้โอกาสนี้ในการฟาดฟันร่างเปราะบางแข็งทื่อให้แตกหักเป็นเศษฝุ่น ฟุ้งกระจายในอากาศ

เมื่อเผชิญหน้ากับราชา... ไม่ว่าแวมไพร์ตนใดก็แพ้พ่าย

ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการปลุกชีพราชินีขึ้นมาต่อกร...

หากแต่หัวใจที่หยุดเต้นของชายหนุ่มกลับหดเกร็งด้วยความกลัว เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่เขาคุ้นเคย กรอบเงาของฝ่ายนั้นเปรียบเสมือนกรงขัง ที่กั้นระหว่างเขาและความตาย แสงแดดอ่อนฉาบลงบนพื้นหญ้า ทว่าไอแสบร้อนทำให้ผิวหนังของเขาเริ่มผุพัง

ปีกใหญ่หุบลง พร้อมกับเมฆหมอกหม่นมัวที่กลับคืนมา ทว่าโดยที่ยังไม่มีใครขยับตัว เวเรเซียโนก็ถูกแรงกระแทกเข้ากลางร่าง ลอยขึ้นในอากาศ และไถลครูดกับพื้นดินไปจนกระแทกกับโค่นต้นไม้ที่ห่างออกไป

โครม...!!

หมาป่าขยับหลบ เมื่อการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้น เวเรเซียโนดีดร่างขึ้นยืน เอี้ยวหลบกรงเล็บที่พุ่งเข้าใส่หมายจะควักหัวใจออกมาให้รู้แล้วรู้รอด มันพลาดไปโดนต้นไม้ เสียงแตกหักบ่งบอกได้ถึงความเสียหาย และสนสูงก็โค่นหักลงมาอย่างรวดเร็ว เขาเผยอปล่อยมือจากขวดแก้วบรรจุเลือด มันตกลงบนพื้นหญ้า และรองเท้าสีดำมันปลาบก็เหยียบมันจนแตกกระจาย

"หลบไป!!"

ซินเนย์วาคำราม นางกระโจนใส่หมาป่าตัวอื่นที่เอาแต่ยืนตะลึง "ถอยกลับไปที่หน้าผา ไฟมันลามมาแล้ว!" พวกเงือกเผาแนวต้นสนโอบล้อมพวกเขาไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครฝ่าวงล้อมออกไปได้ หมาป่าผู้เป็นพันธมิตรสามารถหนีลงทะเลได้ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาถนัด

"ฝ่าบาท!"

ซินเนย์วาหันมาที่ราชาเงือก พิษของแวมไพร์ทำให้พลังการฟื้นฟูเยียวยาถดถอยลง ทำให้ไคราห์นไม่สามารถรักษากระทั่งรอยบาดบนข้อมือ นางหมาป่าหันรีหันขวาง ขณะที่ลูกน้องของนางตามมาสมทบ ทางที่เร็วที่สุดที่จะกลับไปคือการกระโดดจากผาสูง แต่พวกเขาไม่ใช่เงือกที่จะลงไปได้สวยงามนัก

นางหมาป่าคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ เข้ามาช่วยประคองอีกฝ่ายเอาไว้

"ฝ่าบาท... ข้าต้องทำยังไง"

ราชาเงือกสูดหายใจลึก เขาพยายามจะยันร่างเอาไว้ไม่ให้ล้มพับ แต่ความรู้สึกอ่อนล้า สิ้นเรี่ยวแรงในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนทำมห้เขาคิดอะไรไม่ออก ไคราห์นเคยบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่เขาก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ในเวลารวดเร็ว ทว่าไม่ใช่ครั้งนี้ พิษร้ายกำลังแล่นเข้าสู่หัวใจ และพลังของเขาเองก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะได้

ชาวเซลทิคไม่ทอดทิ้งราชาของเขา ครู่เดียว เหล่าองครักษ์ก็กระโจนขึ้นมา

"ฝ่าบาท!!"

เวสเทียร์ตรงมาหาราชาของเขา ภาพที่ได้เห็นทำให้ใจองครักษ์แทบหยุดเต้น ฝ่าบาทอาจมีผิวขาว ทว่าเขาเคยไม่เคยซีดเซียวถึงเพียงนี้มาก่อน ไคราห์นเอนกายไปพิงขาข้างหนึ่งของหมาป่าอย่างอับจน สองมือกำหมัดเข้าเพื่อระงับความเจ็บปวดที่แล่นอยู่ในร่าง

...กระหม่อมจะต้องทำยังไง

เวสเทียร์กระวนกระวาย ราชาของเขาไม่เคยบาดเจ็บถึงเพียงนี้ และต่อให้มีบาดแผล อีกฝ่ายก็รักษาตัวเองได้เสมอ "พาฝ่าบาทไปหาองค์หญิงอาโกรนาห์!" ผู้นำองครักษ์ออกคำสั่ง เขายกแขนข้างหนึ่งของราชาขึ้นพาดตัวเอง แต่อีกฝ่ายตัวใหญ่กว่า ทั้งน้ำหนักบนแผ่นดินก็มากเกินที่เขาจะพยุงไหว หมาป่าอังเดรเห็นดังนั้นจึงขยับมาช่วยด้วยการช้อนอีกฝ่ายขึ้นหลัง

"มีทางเชื่อมกับผากถ้ำอีกแห่งทางโน้น!"

ซินเนย์วาหันไปทางที่นางเห็นวาร์เรนเป็นครั้งสุดท้าย แต่นางก็พบว่าเขาหายไปแล้ว "นายหญิง พวกกระผมจะตามพวกมันไป" ฝูงของนางว่า "เราจะแบ่งคนเอาไว้ที่นี่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งเราจะติดตามจนกว่าจะได้หัวมันมา!"

ซินเนย์วาพยักหน้าอนุญาตคนของตน และเฝ้ามองพวกเขาวิ่งฝ่าออกไป

นางหันทิศกลับไปยังถ้ำใหญ่แห่งเซลทิค... ถ้ำที่ประทับของราชาทะเลเหนือ

ทั้งองค์หญิงอาโกรนาห์และองค์หญิงรีบมาหาพี่ชายทันทีที่ และรีบกดมือลงบนบาดแผลที่หน้าอกหมายจะช่วยเหลือ ทว่าพลังของพวกนางก็ไม่มากพอที่จะเยียวยาพิษของแวมไพร์ได้ "ท่านฟาล!" องค์หญิงเอสลินน์ตะโกนหาเลขาคนสนิท

"เราเด็กเกินไป! ยังมีวิธีไหนอีกที่จะช่วยท่านพี่ได้!"

พลังของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นตามอายุ ยิ่งอายุมากขึ้น พลังการรักษาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ดังที่ฝ่าบาทสามารถเยียวยาบาดแผลได้ด้วยเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ทว่าองค์หยิงอาโกรนาห์มีอายุเพียงสิบหก ในขณะที่องค์หญิงเอสลินน์ก็อยู่ในวัยสิบสอง พวกเขาจึงไม่มีพลังที่เหนือว่าหรือช่วยเหลือฝ่าบาทได้

ฟาลขบริมฝีปากแน่นอย่างอับจน ทว่าหางตาก็เหลือบไปเงือกเจ้าเงือกนาร์วาลต่างถิ่นเข้า

"กระหม่อม... คิดว่าเราคงต้องพึ่งอดีตพระชายาเอก"

มารดาของฝ่าบาทไคราห์น นางเองก็มีสายเลือดแห่งราชวงศ์เซลติค ผู้อาศัยพักพิงอยู่กับพวกเงือกนาร์วาล "นาร์วาล! เราต้องพาฝ่าบาทไปพบพระนาง" เจ้าเงือกต่างถิ่นเบิกตาขึ้น ขณะที่ดวงตาของทุกคนหันมามองเขาพร้อมเพรียง "เจ้าต้องนำทาง!"

"ข้าชื่อ เอลลาร์..." เงือกนาร์วาลขมุบขมิบตอบ "แต่พวกเจ้าไปถึงอาร์กติกไม่ทันหรอก"

เวสเทียร์เป็นคนแรกที่ไปถึงตัวคนพูดก่อนที่เขาจะจบประโยค องครักษ์หนุ่มจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่ครุกรุ่น ข่มขู่ และเต็มไปด้วยอำนาจในแบบที่เวสเทียร์ไม่เคยใช้มองใครมาก่อน "เจ้านำทางไป..."

ผู้นำองครักษ์กำหมัด "หรือจะให้ข้าเชือดเพื่อนของเจ้าแล้วเอาเลือดมันมารักษาฝ่าบาทแทน"

เอลลาร์กลืนน้ำลาย จริงอยู่ว่าทั้งเผ่านาร์วาลและเผ่าเพชฌฆาตเป็นพวก 'โลมา' เหมือนกัน แต่แน่นอนว่าความดุดัน และดุร้ายป่าเถื่อนของพวกเพชฌฆาตมีมากกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งขนาดตัวที่โตกว่า พละกำลังที่มากกว่า ชายหนุ่มคิดว่าเขาไม่ควรขัดคอ

"เวสเทียร์..." เสียงของฝ่าบาททะเลเหนือยังทรงพลังเหมือนเดิม แม้มันจะแหบพร่าสิ้นเรี่ยวแรง

องครักษ์หันตามเสียง เขารีบกลับไปยังแท่นประทับ "ฝ่าบาท... อดทนไว้ เราจะต้องขึ้นไปอาร์กติก"

"ไม่เป็นไร" ไคราห์นหลับตาพูด เขาปรับการเต้นของหัวใจให้ช้าลง เพื่อระงับพิษร้ายที่แทรกอยู่ในร่าง แม้จะไม่มีทางหยุดยั้งมันได้แล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็ยังพอมีเวลา "เราไปไม่ทันหรอก" องค์หญิงเอสลินน์สะอื้นฮักออกมาเมื่อพี่ชายพูดเช่นนั้น นางยังคงวางมือบนร่างของเขา ต่อให้มันจะไม่ช่วยอะไรเลยก็ตาม

เวสเทียร์ส่ายหัวอย่างไม่ยอมรับ "กระหม่อม..."

"อย่างไรเซลทิคก็ยังมีอาโกรนาห์..." ไคราห์นยิ้มจาง "ไม่เป็นไรหรอก"

ผู้ถูกกล่าวถึงใจหาย นางยึดมือพี่ชายเอาไว้แน่น และเฝ้ามองบาดแผลบนกายของเขาที่ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น น้ำทะเลโดยรอบถูกย้อมเป็นสีแดงจากแผลที่ข้อมือ ราชาหนุ่มเสียเลือดมาก มากเสียจนริมฝีปากซีดขาว แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เฮือกสุดท้ายของชายหนุ่ม

"ขอเวลาเราสักครู่ได้ไหม"

อาโกรนาห์รู้ว่าพี่ชายของนางโปรดเวสเทียร์ พวกเขาสนิทสนมกัน และใกล้ชิดกันเสียยิ่งกว่าราชาและองครักษ์คนใดในประวัติศาสตร์ ดังนั้นนางจึงยอมถอยห่างไปพร้อมกับน้องเล็ก และหลบไปหลังฉากที่กางขึ้นมากั้นไม่ให้ใครเห็นสภาพของราชาทะเลเหนือในยามนี้

"ฝ่าบาท... ราชรถวาฬของเราเร็วที่สุดในเจ็บคาบสมุทร"

ราชาหนุ่มกระแอมในคอขัดจังหวะ "เราอยากพูดกับเจ้า" มือใหญ่เคลื่อนขึ้นมาช้าๆ รอให้องครักษ์กอบกุมมันเอาไว้ "...มากกว่าไปสิ้นใจเอากลางทะเลที่เหน็บหนาว"

อย่างไรก็ต้องตาย... เช่นนั้นก็ขอนอนสบายๆ น่าจะดีกว่า

"ฝ่าบาท..."

องครักษ์ของเขาเสียงสั่น ไคราห์นสัมผัสได้ว่ามือของเวสเทียร์มีแผล เขาลูบปลายนิ้วไปบนรอยบาดนั่น แต่ก็พบว่าพลังของตนไม่มีผลอะไร "เรามีเรื่องต้องคุยกับเจ้าวาร์เรนนั่น" ราชากดเสียงต่ำ "แต่หากมีเวลาเท่านี้ก็คงไม่ทันการ" ฝ่าบาทลืมตาขึ้นอีกครั้ง เพื่อจะมองภาพพร่าเลือนตรงหน้า เขายิ้มให้เวสเทียร์

"เราขอโทษ..."

องครักษ์กัดฟันกับคำนั้น อดกลั้นความรู้สึกไม่ให้น้ำตาไหล เขาเคลื่อนมืออีกฝ่ายขึ้นมาที่ข้างแก้ม และอิงแอบแนบริมฝีปากจูบอย่างทะนุถนอม "หากเสียสละตัวเองแทนฝ่าบาทได้ กระหม่อมก็จะทำ..."

ไคราห์นวางมือบนเสี้ยวหน้านั้นอย่างอ่อนโยน "ไม่เอาน่ะ"

แม้จะมีเรื่องมากมายที่อยากพูด แต่เมื่อได้ใกล้ชิด ราชาหนุ่มก็ไม่คิดว่าเขาต้องการอะไรมากไปกว่านี้

"ฝากดูแลอาโกรนาห์ด้วย"

"ไม่พูดเช่นนั้นได้ไหมขอรับ" เวสเทียร์ตอบ เขาบีบฝ่ามือใหญ่แน่น "กระหม่อมสาบานต่อฝ่าบาท กระหม่อมจะรับใช้เพียงฝ่าบาทเท่านั้น... หากฝ่าบาทไป กระหม่อมก็จะไปด้วย" น้ำเสียงองครักษ์สั่นเครือใกล้สะอื้น แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็บังคับไม่ให้แสดงมันออกมา

ไคราห์นถอนใจ "เราน่าจะบอกเจ้าให้เร็วกว่านี้..." ร่างสูงจับปอยผมยาวทัดหูที่ยังคงสวมเครื่องประดับที่เขาเคยมอบให้ "ห้าปีที่ผ่านมาเราทำอะไรกันอยู่" อายุของเครื่องประดับชิ้นนี้คือห้าปี หลังจากที่พวกเขามีความสัมพันธ์ต่อกันไม่นาน

 "...น่าจะมีความสุขตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแท้ๆ"

ฝ่าบาทกลัวผิดหวัง เช่นเดียวกับที่องครักษ์ไม่เคยต้องการสถานะอื่นใด พวกเขาไม่เคยเปิดปากพูดกันเลย ไม่เคยถามด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ผ่านมาคืออะไร หรือสิ่งที่จะเป็นไปในอนาคตคืออะไร

ไคราห์นแตะปลายนิ้วกับไข่มุกเม็ดสวยบนเครื่องประดับนั้น "หากพูดตอนนี้จะสายไปหรือเปล่า"

เวสเทียร์ขบริมฝีปากตัวเองแน่น เขายึดมือข้างนั้นไหว้ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะสิ้นใจทั้งที่สัมผัสเขาอยู่แบบนี้ ทำไมการกลั้นน้ำตาช่างยากเหลือเกิน "ฝ่าบาทเป็นราชาของกระหม่อม ไม่ว่าอย่างไร..."

"เรารักเจ้า... เวสเทียร์" เสียงของราชาแผ่วเบา แต่องครักษ์ได้ยินมันชัดเจน "รักมานานเสียจนกลัวความผิดหวัง หากพูดออกมา"

"..."

"เราขอโทษที่ทำกับเจ้าแบบนั้น..."

เวสเทียร์... ที่รัก...

องครักษ์หนุ่มรู้สึกได้ว่าใจของอีกฝ่ายเต้นช้าลง และลมหายใจก็แผ่วเบาจนแทบไม่มีเสียง ไคราห์นเผยอปาก แต่เขาไม่มีแรงพูด หัวใจของเขาบีบรัดจนเจ็บยอก และประสาทสัมผัสทั้งหมดค่อยๆ จางหาย เขาไม่รู้สึกถึงความร้อนจากพวงแก้มคนตรงหน้า ไม่แม้แต่จะรู้สึกถึงความเย็นของผืนน้ำสีแดงฉานรอบตัว เวสเทียร์พูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับไม่ได้ยิน

...มันเป็นเพียงความว่างเปล่า

"ฝ่าบาท!"

เวสเทียร์ร้องเรียก องค์หญิงร้อนใจเสียจนทนอยู่ด้านนอกไม่ไหว เอสลินน์ว่ายกลับมาหาพี่ชายของนาง และโผตัวขึ้นนั่งบนแท่นประทับหิน "ท่านพี่!" นางร้องเรียก แต่ใบหน้าสงบนิ่งไม่ตอบสนอง เปลือกตาบางปิดสนิท ราวกับนิ่งสงบอยู่ในนิทราอันเป็นนิรันดร์

เวสเทียร์ฟังเสียงชีพจร... มันจางหายไปตลอดกาล

--------------------------------------------------


ไม่... ไม่ตายหรอก...
 :z13:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 21.1 [24-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-06-2017 21:22:22
ฮือออออออ

อย่านะ อยู่รักกันก่อน
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 21.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 25-06-2017 10:55:40
ตอนที่ 21.2

ความอบอุ่นค่อยๆ หายไปจากฝ่ามือใหญ่ และเวสเทียร์ก็คิดว่าใจของเขาก็หายไปเช่นกัน ราชาเบื้องหน้าเหมือนหลับใหล เพียงแต่ไร้ซึ่งลมหายใจผ่อนออกมา เขายังดูสง่างาม และสูงศักดิ์ แม้ร่างจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่มันก็เป็นการจากไปอย่างงดงาม

เซลทิคเคยสูญเสียราชามาแล้ว... นี่ไม่ใช่ครั้งแรก

แต่มันเป็นครั้งแรกที่เวสเทียร์ถามตัวเองว่าเขามีชีวิตเพื่ออะไร

องครักษ์ยังคงกอบกุมมือข้างนั้น ปลายนิ้วอีกฝ่ายยังสัมผัสเครื่องประดับที่หู เพียงแค่อึดใจเดียว คนตรงหน้าก็จากไป ผู้นำเผ่าควรแข็งแกร่งและมั่นคง ทว่าตอนนี้เวสเทียร์กลับไม่สามารถอดกลั้น กระบอกตาของเขาร้อนผ่าว และภาพเบื้องหน้าก็พร่ามัว มันอาจไม่มีเสียงสะอื้น แต่น้ำตากลับพรูลงอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างควบคุมไม่ได้

เสียงสะอื้นขององค์หญิงทั้งสองไปไม่ถึงเวสเทียร์ เขาชะงักงันอยู่ตรงนั้น เคว้างคว้างว่างเปล่าราวกับโลกทั้งใบของตนเพิ่งจะดับแสง และเหลือเพียงความมืดมิดไร้ทางออก

เวสเทียร์คนโง่... เขาปฏิเสธราชามาตลอด เพราะคิดว่าตัวเองไม่คู่ควร

'รักมานานเสียจนกลัวความผิดหวัง'

ราชาก็มีวันกลัวว่าจะไม่ได้รับความรักเหมือนกัน และเขาเคยยืนยันหนักแน่นเองว่ามันเป็นเพียงหน้าที่ เขาปฏิเสธที่จะรับรู้ความจริง ไม่เคยแม้แต่จะถามว่าเหตุใดราชาจึงมอบไข่มุกให้ตนทั้งที่มันเป็นสิ่งแทนคำสัตย์สาบานต่อคู่ชีวิต

หากย้อนเวลากลับไปได้... มันจะไม่มีวันลงเอยแบบนี้

เขาจะไม่ยอม... เสียฝ่าบาทไปแบบนี้

แต่ตอนนี้... เขาเสียอีกฝ่ายไปแล้ว และคงไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้

"ฝ่าบาท...!" เสียงหนักแน่นเอ่ยเรียก มันไม่ใช่ขององค์หญิงอาโกรนาห์ หรือองค์หญิงเอสลินน์ หรือข้ารับใช้คนใดของอาณาจักรเซลทิค แต่มันเป็นเสียงของราชินีเรจินา "ฝ่าบาทไคราห์น!"

เวสเทียร์ผละออกจากราชา หันมาเผชิญหน้ากับราชินีต่างเมือง เรจินาปราดมองราชาทะเลเหนือครู่หนึ่งแล้วจึงขยับว่ายตรงเข้ามาหา "หลีกทาง" พระนางสั่ง และยกตัวขึ้นนั่งข้างบนแท่นหินเคียงข้าง "ฝ่าบาท..." นางกระซิบเรียก วางมือลงบนแผ่นอกเหนือหัวใจที่หยุดนิ่ง

"ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์แล้ว..." เวสเทียร์เอ่ยแผ่วเบา ทั้งที่เขายังยากจะยอมรับ

"หากเรายอมให้เป็นเช่นนั้นก็คงเสียชื่อจอมราชัน..." ราชินีตอบ นางเหลือบมองหอกเล่มยาวในมือขององครักษ์คนสนิท "ส่งมันมา" เวสเทียร์ไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่มีสติพอจะไตร่ตรองสิ่งใดทั้งนั้น เรจินารับหอกมาจากอีกฝ่าย และกรีดลงมือข้อมือของตัวเอง

เลือดสีเดียวกันไหลหลั่งออกจากบาดแผล และหยดลงบนผืนน้ำสีแดงที่โอบล้อมแท่นประทับ พระนางเคลื่อนมือไปวางบนแผ่นอกกว้าง ให้หยดเลือดของตนแทรกผ่านกายเนื้อไปยังหัวใจที่หยุดนิ่ง

อำนาจแห่งสายเลือดจอมราชัน... ทำได้กระทั่งให้ชีวิตผู้สิ้นลม

แต่ใช่ว่าทุกคนจะคู่ควรกับการฟื้นคืน

พิษของแวมไพร์ทำให้พลังเยียวยาดับสูญ แต่เลือดของจอมราชันเป็นพรจากเทพเจ้า มันไม่อาจรักษาบาดแผล หรือทำให้ผู้ใดเป็นอมตะ แต่หากแข็งแกร่งเหนือราชวงศ์ใดในเจ็ดคาบสมุทร "เราขอคืนชีวิตให้..." นางเงือกเอ่ยเบา "แม้มันจะทำให้ฝ่าบาทเป็นทาสแห่งสายเลือดจอมราชันก็ตาม"

ทาสแห่งสายเลือดจอมราชัน... หมายถึงการมีชีวิตอยู่ในกำมือของพวกเขา

ชีวิตที่ไม่มีอิสระอีกต่อไป

...แต่มันคงจะดีกว่าให้อีกฝ่ายจากไปทั้งอย่างนี้

ราชินีเป็นนางเงือกร่างเล็กในสายตาเวสเทียร์ และการถ่ายเลือดจำนวนมากก็บั่นทอนพละกำลังของนาง เรจินายันกายอยู่เหนือร่างอีกฝ่าย ภาพที่พร่าเลือนทำให้ร่างโปร่งโงนเงน บางทีนี่อาจเป็นการต่อชีวิต ที่ต้องแลกด้วยชีวิตของนาง

...แต่คนอย่างเรจินา ไม่สิ้นลมง่ายดายปานนั้น

"ฝ่าบาท..."

เสียงแผ่วเอ่ยเรียก พร้อมกับสัมผัสเบาจากปลายนิ้ว แตะลูบบนบาดแผลที่ข้อมือบาง และมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เรจินาเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่าย นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยส่งยิ้มกลับมา ทั่วร่างที่เคยปรากฎรอยแผลบัดนี้จางหายไปจนหมดสิ้น

ราชินียิ้มตอบแล้วจึงหลับตาลงพร้อมกับถอนใจ

"ท่านพี่!" เอสลินน์โผเข้าใส่พี่ชายของนางแม้ว่าจะมีร่างของเรจินาขวางทางอยู่

เด็กหญิงรวบกอด แม้จะเด็กกว่าแต่นางก็ตัวโตพอที่จะโอบผ่านเรจินา และกอดบั้นเอวของราชาหนุ่มเอาไว้ได้ "โอย..." ราชาทะเลเหนือยันกายขึ้นจากน้ำ ลูบหัวน้องสาวที่รัดเขาแน่น "เอสลินน์ ฝ่าบาทเรจินาจะหายใจไม่ออก"

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่ราชินีมารินาการ์ดก็สลบไปเสียแล้ว

ทว่า ไคราห์นได้ยินเสียงหัวใจของนางผ่านหน้าอกที่แนบชิดสนิทกัน "พระนางเหนื่อย..."

เวสเทียร์แทบจะลืมหายใจ เมื่อราชายันกายขึ้นนั่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองฝ่าบาท เบื้องหน้าของเขาสว่างไสวราวกับไม่เคยรู้สึกว่าแสงอาทิตย์ส่องผ่านมาถึงที่แห่งนี้ ไคราห์นหันกลับมาหาองครักษ์ของเขา ก่อนจะทอดยิ้มจาง "เวสเทียร์..."

เขาส่งมือให้องครักษ์ อีกฝ่ายมีแผลมากมายไม่น่าดูเอาเสียเลย "มานี่สิ"

ไม่... เขาจะไม่ปฏิเสธอะไรอีกแล้ว...

เวสเทียร์ไม่จับมือราชา เขาวางมือลงบนแท่นประทับ หางสีดำขยับโบกยกตัวเองขึ้นจากน้ำแล้วโผเข้ากอดคนตรงหน้าอย่างที่ไม่มีใครคาดว่าองครักษ์ระดับสูงจะทำ "เวสเทียร์...!" ราชาหนุ่มทึ่ง เขาเหลือบมองน้องสาวของตนที่ดูจะทึ่งยิ่งกว่า ทว่าอย่างน้อยก็ยังดีที่ราชินีมารินาการ์ดสลบไป

ไม่ควร... ไม่ควรเอาเสียเลย

แต่เวสเทียร์กลัวว่าหากเขาไม่ฉกฉวยโอกาสนี้ เขาจะมีสิทธิ์ได้กอดฝ่าบาทอีกไหม "กระหม่อมขออภัย"

องครักษ์กระซิบกับไหล่กว้าง ทว่าความรู้สึกแรกที่เขาได้ซบหน้ากับร่างเนื้อที่มีชิวิตนั้นมีค่าพอที่จะถูกลงโทษในภายหลัง "ฝ่าบาท..." องครักษ์ไม่ควรร้องไห้ เวสเทียร์จำได้ว่าเขาไม่ได้ร้องไห้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ตอนนี้... ร่างโปร่งกลับสะอื้น และยิ่งกอดคนตรงหน้าแน่นกว่าเดิมเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่หายไปไหนอีก

ไคราห์นอ้าปากค้างน้อยๆ เขาวางมือบนเอวสอบได้รูป และกอดเอาไว้อย่างนั้น

"อืม เราอยู่นี่..." ราชาหนุ่มยิ้ม "ไม่เป็นไรแล้ว"

ยังดี... ที่มีฉากกั้นบังเอาไว้

--------------------------------------------------


ทนไม่ได้ อัพเลยละกัน...
 :katai4:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 21 [25-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-06-2017 21:07:46
แอร๊ยยยยยย

ร้องไห้ไปยิ้มไป

หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 21 [25-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 25-06-2017 23:06:39
 :กอด1: :กอด1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 22.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 26-06-2017 09:14:33
ตอนที่ 22.1

พวกหมาป่ายังคงวนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นเพื่อความปลอดภัย  ไฟป่าในแนวต้นสนค่อยๆ มอดลงเมื่อสิ้นเชื้อเพลิง องค์หญิงอาโกรนาห์ออกมาประกาศยุติการต่อสู้ พวกเขาได้รับชัยชนะ ทว่าฝ่าบาทไคราห์นได้รับบาดเจ็บหนักจึงต้องพักผ่อนอีกสักระยะหนึ่ง เผ่าเพชฌฆาตออกตรวจตราตามถ้ำต่างๆ อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีศัตรูหน้าไหนหลบอยู่ในความมืดของถ้ำเซลติค

ประชาชนเป็นห่วงราชาของพวกเขา และต่างพากันมาเฝ้าฟังข่าวอาการบาดเจ็บในบริเวณด้านหน้าถ้ำที่ประทับ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาของเผ่าเพชฌฆาตผู้ไม่เคยละเลยหน้าที่

ซินเนย์วาลงมาพบราชาทะเลเหนือในถ้ำ ด้วยรู้ถึงความผิดที่นางหลอกลวงชายหนุ่มมาตั้งแต่ต้น

"วาร์เรน... คือราชาแวมไพร์"

องค์หญิงเอสลินน์ตัวน้อยไม่ยอมผละจากพี่ชายไปไหน นางกอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว และยอมอยู่ฟังการสนทนาอันแสนน่าเบื่อ ในขณะที่เวสเทียร์กลับไปประจำที่ของตนตามเดิม หลังจากใช้เวลาสักพักในการปล่อยมือจากคนตรงหน้า

ซินเนย์วาพยักหน้ารับ "ทริซาเรียร์ คือศัตรูที่แท้จริง... นางคือราชินี"

"เรายังเชื่ออะไรจากปากเจ้าได้อีกไหม หมาป่า" ราชาทะเลเหนือถามกลับ "ชาวเราโง่เง่าในสายตาเจ้ามากหรือไร" นางหมาป่ากลั้นใจเมื่อถูกตำหนิ นางไม่คิดอธิบาย เพราะพูดอย่างไรมันก็คงเป็นการแก้ตัว "เหตุใดจึงไม่บอกความจริงแต่แรก"

"เพราะฝ่าบาทเกลียดชังแวมไพร์ หากพูดไป จะร่วมมือกันได้อย่างไร"

"เจ้าใช้ประโยชน์จากเรา" ไคราห์นมองคู่สนทนา "ใช้ความไม่ประสาต่อเรื่องราวบนแผ่นดิน และเห็นความเดือดร้อนของชาวเราเป็นเรื่องเล็กน้อย สิ่งนี้หรือที่เรียกว่าร่วมมือ" เมื่อถูกตำหนิหนักข้อ ซินเนย์วาก็ได้แต่ยอมรับ จริงอยู่ว่านางเจตนาดี แต่การทำเช่นนี้ก็ช่างโหดร้ายต่อเพื่อนร่วมโลก

"เพราะวาร์เรนอยู่ที่นี่ เซลทิคจึงปลอดภัย แต่มันก็ไม่ถาวร" นางหมาป่าว่า "เขาไม่สามารถเฝ้าอยู่ที่นี่ได้ตลอดกาล ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ อย่างน้อยความพ่ายแพ้ก็จะทำให้พวกมันหยุดเคลื่อนไหวไปสักพัก ระหว่างที่เราหาวิธีกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก"

"หากบอกเราสักคำ... ประชาชนก็จะไม่ล้มตายมากมายเพียงนี้"

ราชาหนุ่มไม่ได้หมายถึงประชาชนทั่วไป แต่รวมถึงเผ่าเพชฌฆาตซึ่งเป็นกลุ่มนักรบแนวหน้าของอาณาจักร "หากบอกเราบ้าง เราจะไม่โกรธถึงเพียงนี้"

"เพราะพวกมันต้องการฝ่าบาท ข้าจึงปล่อยให้ฝ่าบาทออกไปกลางทะเลเสียจะดีกว่า"

"แต่น้องสาวของเราอยู่ในอันตรายเพราะความคิดของเจ้า!" ราชาตวาดอย่างอดกลั้น "ยังจะเรียกร้องให้เราอภัยหรือ ซินเนย์วา หากไม่ใช่เพราะอสูรทะเล หรือคาดันน์ หากเรายังไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรามิต้องกลับมาพบกับความสูญเสียอย่างนั้นหรือ!"

"ข้าผิดเอง ฝ่าบาท..."

เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ปากถ้ำเบื้องบน และปรากฎร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดง แสงแดดส่องกระทบใบหน้าของเขา เขี้ยวที่โผล่พ้นริมฝีปากทำให้เวสเทียร์ยกหอกขึ้นเตรียมพร้อม วาร์เรนกระโดดลงมาในถ้ำ และยืนเบื้องหน้าราชาทะเลเหนือ "ข้าออกอุบายให้ซินเนย์วาโกหกเอง"

ราชาหนุ่มเหลือบมองคนพูด แม้ว่าการยืนค้ำหัวแบบนี้ตะทำให้เขาไม่พอใจ แต่คนตรงหน้าคือราชาแวมไพร์ หากปรารถนาจะเข่นฆ่าขึ้นมาจริงๆ ไคราห์นก็ไม่คิดว่าเขาจะรอดพ้นเงื้อมมืออีกฝ่าย "เอสลินน์ ปล่อยพี่สักพักสิ" เขากระซิบบอกน้องสาว องค์หญิงเล็กขยับร่างหนี ไปแอบอยู่ด้านหลังองครักษ์คนสนิท

วาร์เรนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ทางรอดชีวิตจากพิษของแวมไพร์ ดังนั้นการมีชีวิตอยู่ของราชาทะเลเหนือหมายถึงปาฏิหาริย์จากพลังที่แข็งแกร่ง... นั่นอาจหมายถึงพลังจาก 'สายเลือดจอมราชัน' ที่ไคราห์นเคยเอ่ยถึง

"พวกมันจะไม่กลับมาที่เซลทิคอีก..."

ราชาหนุ่มหยัดกายขึ้น หันไปหยิบไม้เท้ายาวที่มีหัวเป็นรูปสลักปลาวาฬที่อีกฝ่ายเคยให้

ก่อนจะดึงรูปสลักออกมา เผยให้เห็นใบดาบเหล็กกล้าที่แอบซ่อนอยู่ด้านใน แต่ต่อให้แทงถึงหัวใจของราชาแวมไพร์ วาร์เรนก็ไม่อาจตายด้วยสิ่งนี้ เพราะเขาแข็งแกร่งเกินแวมไพร์ตนใดในโลก

...ฉั๊วะ!

ราชาเงือกสะบัดปลายดาบ และปาดเข้าที่ลำคอของคนตรงหน้าพอดิบพอดี "สัญญาด้วยเลือดของเจ้าสิ วาร์เรน" ราชาแวมไพร์หลับตา ปล่อยให้เลือดไหล่ออกมาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเนื้อดี แต่ก่อนที่พลังของเขาจะรักษาตัวเอง ชายหนุ่มก็พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"ต่อหน้าเลือดของข้า ข้าสัญญาว่าจะไม่มีภัยจากแวมไพร์มาถึงเซลทิค..."

"ด้วยเกิยรติ ศักดิ์ศรี และชีวิตของราชาแวมไพร์"

โลหิตสีแดงจารึกคำมั่น และไหลกลับไปยังบาดแผลที่ลำคอ ก่อนที่จะเยียวยาอย่างรวดเร็ว สัญญาเลือดเป็นคำสัตย์ที่ทรงพลังที่สุดของแวมไพร์ หากผิดคำพูด เลือดแห่งสัญญาจะทำร้ายเจ้าตัวจนตายอย่างทรมาน

ราชาทะเลเหนือเก็บดาบ "แต่ต่อให้เจ้าตาย มันก็คงจะไม่พอต่อชีวิตของชาวเรา"

--------------------------------------------------

องค์ชายเร็กซ์ปลีกตัวเลี่ยงจากผู้คน เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งท่านพี่เรจินาของเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนอกจากอ่อนเพลียจากการเสียเลือดเพื่อช่วยเหลือฝ่าบาทไคราห์น แต่หนึ่งชีวิตที่มีความหมายซึ่งจากไปในชั่วอึดใจต่อหน้าต่อตาทำให้องค์ชายมารินาการ์ดพูดไม่ออก

เกลเลส... องครักษ์คนสนิทของเขา

อีกฝ่ายมาจากเผ่าองครักษ์แห่งมารินาการ์ดหรือเป็นที่รู้จักดีในนามของเผ่า 'สเตอร์เจียน' นักรบที่แข็งแกร่งแห่งทะเลอัลบิออน แต่เพียงแค่พละกำลังของผีดูดเลือด ร่างของเกลเลสก็ฟาดกระแทกกับผนังถ้ำ และสิ้นใจแทบจะในทันที

มันยังคงติดตาเขา

ใช่ว่าเร็กซ์จะไม่เคยเห็นการเข่นฆ่า เพียงแต่เขาไม่อยากจินตนาการว่าหากมารินาการ์ดต้องรับมือกับแวมไพร์ดั่งเช่นชาวเซลทิค พวกเขาจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร เงือกปลากระโจนขึ้นจากน้ำไม่ได้ อีกทั้งไม่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ตามที่ใจต้องการ ทั้งพละกำลังก็อ่อนด้อยกว่ากันมาก และทักษะการต่อสู้ที่แทบจะเทียบไม่ได้

เร็กซ์เกิดความกลัว... เขากลัวภัยเหล่านั้นมาถึงตัวเอง

"องค์ชาย..." เสียงของเวทอร์สเอ่ยเรียก ร่างโปร่งทอดกายอยู่เคียงข้างคนของเขา และมองดูใบหน้าสงบนิ่งประหนึ่งหลับใหลของเกลเลสด้วยไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก "ปลีกตัวออกมาลำพังมันอันตรายนะขอรับ"

เสียงของคาดันน์ที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยประท้วง มันอยู่กับองค์ชายเสมอ แม้จะไม่ปรากฎตัวให้เห็นก็ตาม

"มารินาการ์ดไม่มีวันสู้ได้อย่างพวกเจ้า" เร็กซ์เอ่ยขึ้น "หากต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน..."

"พวกมันตายหมดแล้วขอรับ" เวทอร์สตัดบท เขาขยับเข้าไปใกล้องค์ชายมารินาการ์ด "และฝ่าบาทไคราห์นจะไม่มีวันทอดทิ้งมารินาการ์ด องค์ชายอย่าได้กลัวไปเลย" เวทอร์สไม่รู้ว่าราชาของตนจะทำอะไรต่อไป แต่การที่อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมาได้จากพลังของราชินีเรจินา นั่นหมายถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของสองอาณาจักร

"พวกเราทำไม่ได้อย่างเจ้าหรอก"

องครักษ์หนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสปลายหางสีทอง เรียกความสนใจจากเจ้าของที่ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกหวาดหวั่นในใจออกไปได้ "องค์ชาย..." คนพูดค้อมหัว เขาดำลงใต้น้ำ และบรรจงจูบลงบนข้อปลายหางที่ปกคลุมด้วยเกล็ดแข็ง

"กระหม่อมคนหนึ่ง... ที่จะไม่ยอมให้ใครทำอันตรายมารินาการ์ด"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 22.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 26-06-2017 09:15:51
ตอนที่ 22.2

อาโกรนาห์เคยได้ยินเรื่องของเผ่านาร์วาล พวกเงือกที่อาศัยอยู่ในทะเลน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ แต่นางก็ไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าชาวเผ่านาร์วาลจะมี 'เขา' แบบนี้ องค์หญิงนั่งมองเขาเดี่ยวสีดำที่โผล่พ้นเรือนผมขึ้นมาด้วยความทึ่ง มันไม่ได้รับกับใบหน้าของชาวเงือก ติดจะดูประหลาดด้วยซ้ำ

เขานี่มีไว้เพื่ออะไรกันหนอ

...แล้วชาวนาร์วาล 'ขวิด' ได้หรือเปล่าเล่า

นางชะโงกไปมองส่วนโคนของมัน เพื่อจะคำตอบว่ามันงอกออกมาจากหน้าผากหรือเหนือหน้าผาก แต่ยังไม่ทันจะแหวกเรือนผมสีดำขลับออกดู บุคคลที่ชื่อ 'เธรมาร์' ก็ครางในลำคอ "อืม..." ดูเหมือนว่าร่างของอีกฝ่ายจะกระแทกกับหินผาอย่างรุนแรงจนกระดูกหัก แต่โชคดีที่พวกเขามีพลังการรักษาเช่นเดียวกับราชวงศ์เซลทิค ดังนั้นเธรมาร์จึงเยียวยาตนเองได้

และไม่ลำบากนาง...

ดวงตาของเขามีสีดำขลับ และดูจะโตกว่าปกติจนเหมือนดวงตาของฉลาม รอยตกกระบนใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่านาร์วาลทำหน้าชายหนุ่มดูเยาว์วัยอย่างน่าประหลาด สายตาเลื่อนลอยนั้นกำลังประมวลความเป็นไปได้ของสถานที่ และสถานการณ์ปัจจุบัน

...นางฟ้า อย่างน้อยตายแล้วก็ยังได้เจอนางฟ้าก็เป็นที่น่าพอใจกระมัง

เธรมาร์ส่งยิ้ม เขามองสบกับดวงตาคู่หวานสีเข้ม และใบหน้าละมุนของเด็กสาวตรงหน้า แต่เมื่อเคลื่อนสายตาไปพิจารณาเรือนผมสีดำ ก็ทันเห็นรัดเกล้าที่แสดงฐานะของเจ้าตัว

ไม่ใช่นางฟ้า... นี่องค์หญิงอาโกรนาห์ต่างหาก!

"องค์หญิง!"

เงือกหนุ่มผุดลุกนั่ง รวดเร็วเสียจนปลายเขาอันตรายปัดผ่านแก้มนวลไปเพียงนิดเดียวโดยไม่ตั้งใจ ซ้ำแล้วยังทิ้งรอยบาดให้เลือดไหลออกมาอีกต่างหาก

"โอ้ย!"

อาโกรนาห์กุมแก้ม นางถอยจากอีกฝ่ายก่อนมองด้วยแววตาตัดพ้อ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจระดับหงุดหงิด "น่าจะจับโยนทะเลให้จมน้ำตายไปแบบนั้น!" บาดแผลของนางหายอย่างรวดเร็ว ทว่าหยดน้ำตาอันเกิดจากความเจ็บยังเอ่อคลออยู่ องค์หญิงอาโกรนาห์แห่งเซลทิคตัวใหญ่มากในสายตาของเธรมาร์ ดังนั้นคำพูดของนางจึงเป็นมากกว่าการตัดพ้อ

หากทำให้ไม่พอใจจริงๆ นางคนเดียวสามารถทำเช่นนั้นได้

"ข้า... กระหม่อม... ขออภัยองค์หญิง" เผ่านาร์วาลไม่มีราชา ดังนั้นพวกเขาจึงวางไม่ถูกเมื่อพบกับราชวงศ์เซลทิคที่ตนไม่ได้นับถือสักเท่าไหร่ "และขอบคุณที่ช่วยกระหม่อมเอาไว้" เธรมาร์จำได้ว่าความทรงจำสุดท้ายของเขาก็คือการร่วงจากท้องฟ้าและกระแทกอัดกับหินผาจนสลบไป

"เจ้าก็ช่วยเรา..." อาโกรนาห์พึมพำตอบ นางลดมือลงจากแก้มของตนหลังแผลหาย "ขอบคุณ"

"แล้วเอลลาร์..." เธรมาร์มองหาสหายของตนเมื่อนึกได้ว่าไม่เห็นเขาในสายตา

"เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ ท่านพี่จึงเรียกไปพบเพื่อถามธุระ" อาโกรนาห์ตอบ "เผ่านาร์วาลไม่เดินทางออกจากขั้วโลกบ่อยนัก จึงเป็นเรื่องแปลกที่ได้พบเห็น" องค์หญิงหันไปหากองปลาแฮร์ริงที่แล่เอาก้างออกเรียบร้อย นางยกห่อสาหร่ายขึ้นแล้วส่งให้คนตรงหน้า "พวกโลมาชอบกินปลานี่ เราจึงสั่งให้คนหามาให้เจ้า"

เธรมาร์นึกซาบซึ้งในน้ำใจจึงรับมาถือไว้โดยไม่บอกว่าเผานาร์วาลชอบปลาหมึก

"แล้วองค์หญิง..."

"เราไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ" อาโกรนาห์ขยับกายขึ้นนั่งบนโขดหินใกล้ๆ กันทำให้เธรมาร์เริ่มมองสำรวจรอบตัวเพื่อจะพบว่าพวกเขาอยู่ในถ้ำที่แสงจันทร์ส่องถึงจากเบื้องบน "ที่นี่เป็นถ้ำของเรา วางใจเถอะ" นางยิ้มไร้เดียงสา แต่นั่นก็ทำให้เธรมาร์เบิกตาขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่าองค์หญิงแบบไหนจึงยอมให้ใครก็ไม่รู้มานอนอยู่ในที่พักของตนเองตามลำพังสองต่อสอง และหากเอลลาร์กลับมาก็จะกลับเป็นสามเข้าไปอีก

ฟู่...!

"เหวอ!"

เงือกหนุ่มเบิกตา พร้อมกับยกหางขึ้นให้พ้นน้ำตามสัญชาติญาณ เมื่อเห็นว่าวาฬเพชฌฆาตตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาหายใจเบื้องบน เพราะสำหรับชาวนาร์วาลแล้ว พวกเขากลัววาฬเพชฌฆาตยิ่งกว่าพวกแวมไพร์เสียอีก ห่อปลาแฮร์ริงในมือลื่นหลุด ปล่อยปลาสองสามตัวตกลงไปในน้ำ แต่อึดใจต่อมา เจ้าสัตว์จอมตะกละก็ตามมากินสิ่งนั้นอย่างรวดเร็ว

"ไม่เอาน่า คาดันน์" อาโกรนาห์เอ็ดเบา

'สัตว์เลี้ยง' เบนหัวกลับแล้วจึงดำลงไปเบื้องใต้อันเป็นที่ประทับของผู้มาเยือนจากมารินาการ์ด สังเกตได้จากหางสีทองของราชินีเรจินาและองค์ชายเร็กซ์สะท้อนแสงขึ้นมายังเบื้องบน

อ้าว... พวกเขาไม่ได้อยู่ตามลำพังหรอกหรือ

"เจ้ากลัววาฬเพชฌฆาตเหรอ..." องค์หญิงถาม "ไม่เป็นไรนะ พวกมันกินวาฬ มันไม่ได้กินเงือก"

นั่นเป็นคำปลอบที่ให้กำลังใจกันมากเหลือเกิน

--------------------------------------------------

ฝ่าบาทปลอบขวัญประชาชนของเขา และลงไปเฝ้าอาการอ่อนเพลียของเรจินาถึงสามครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าพระนางเพียงแค่เหนื่อยล้า องค์หญิงอาโกรนาห์อาสาดูแลเจ้าเงือกนาร์วาลสองตัวที่บัดนี้ยังสลบไสล กว่าราชาทะเลเหนือจะได้พักผ่อนก็เป็นเวลาค่ำแล้ว แม้พลังการเยียวยาของเขาจะฟื้นคืนกลับมา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าราชาเซลทิคจะไม่ต้องนอน

"เลสซีย์ตาย แม้แต่พลังของอาโกรนาห์ก็เยียวยาแผลจากพิษแวมไพร์ไม่ได้"

เวสเทียร์กลับไปประจำที่ของตนอย่างที่เคยเป็น และนิ่งฟังคำราชาอย่างที่เคยทำ ด้วยรู้ว่าสิ่งสำคัญในตอนนี้คือเรื่องของอาณาจักร "องครักษ์ขององค์ชายเร็กซ์เองก็ไม่รอดเช่นกัน" เมื่อถึงเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ราชาเซลทิคก็ถอนใจยาว และรู้สึกยินดีที่ตัวเองมีชีวิตกลับมา

ไม่อย่างนั้นภาระทั้งหมดนี้คงถูกผลักให้อาโกรนาห์ น้องสาววัยเพียงสิบหกปีของเขา

แต่หากไม่ได้เรจินา เขาก็คงจะไม่รอดเช่นกัน... อำนาจแห่งจอมราชันช่างน่ากลัว

"เราเป็นหนี้มารินาการ์ดจริงๆ"

"ฝ่าบาท" องครักษ์คนสนิทเอ่ยเรียก เขาขยับกายมาใกล้ที่ประทับของราชาอย่างที่ไม่เคยทำ "ยังเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ" ราชาทะเลเหนือมองอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าเวสเทียร์จะใช้ความกล้า และความพยายามอย่างมากในการเปิดบทสนทนา แม้มันจะเป็นคำถามที่ฟังดูโง่เง่ามากสำหรับาชวงศ์เซลทิคผู้มีพลังในการเยียวยา

ราชาหนุ่มยิ้มตอบใบหน้าที่ก้มหลบสายตาด้วยความเคยชิน "ยังจะทำตัวเหมือนเดิมอีกหรือ"

เขาตำหนิ แต่ก็นึกตำหนิตนเองด้วยที่ยังปฏิบัติกับอีกฝ่ายไม่ต่างจากเดิม ทั้งที่ตั้งใจว่าจะแก้ไขทุกสิ่ง "ฝ่าบาท..." เวสเทียร์หลับตา เขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากพูดกับอีกฝ่าย แต่พูดไม่ออก ราวกับทุกอย่างจุกอยู่ที่คอของเขาและแย่งยื้ออย่างดุเดือดว่าควรจะพูดอะไรออกมาก่อน

ราชาวางมือลงบนเรือนผมสีเข้ม เคลื่อนลงไปเชยคางขึ้นสบตา "จะทำแค่กอดจริงๆ น่ะหรือ"

อยากทำอย่างอื่นแล้วเหตุใดจึงไม่ทำเองเล่า...!

องครักษ์ขบริมฝีปาก ก่อนจะยกตัวขึ้นจากน้ำเพื่อแนบริมฝีปากตนเองกับอีกฝ่าย ราชากดริมฝีปากจูบตอบ และโอบกอดร่างตรงหน้าเอาไว้แนบชิด เวสเทียร์จูบอีกฝ่ายซ้ำๆ ความรู้สึกตื้นตันยินดีแผ่ซ่านขึ้นมาในอก เขากอดราชาแน่นก่อนจะสะอึกฮักออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

"ไม่เอา ไม่ร้องไห้แล้ว" ร่างสูงกระซิบปลอบ "เราฟื้นแล้ว"

"ช่วยไม่ได้นี่ขอรับ" เวสเทียร์หลับตา "...มาบอกรักแล้วหยุดหายใจไปดื้อๆ แบบนั้น"

นี่เขาจะต้องตายยังไงเล่าหนอ...

"ใจร้าย" แทนที่จะหยุดสะอื้น องครักษ์ระดับสูงกลับซบหน้ากับไหล่กว้างแล้วร้องออกมาอีกรอบเสียอย่างนั้น "กระหม่อมจะคว้านอกตัวเองตายตามฝ่าบาทอยู่แล้ว" ไคราห์นลูบผมปลอบ เอียงหน้าไปจูบบนเส้นไหมสีเข้มเบาๆ และโอบกอดเวสเทียร์ไว้เช่นนั้น

"เราขอโทษ... เวสเทียร์"

ทว่ายิ่งขอโทษ เจ้าคนที่ไม่เคยน้ำตาตกหรือฟูมฟายให้เห็นสักครั้งก็ยิ่งอาการแย่ แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าองครักษ์ระดับผู้นำเผ่าเพชฌฆาตก็สามารถร้องไห้ได้เหมือนกัน เวสเทียร์กอดคนตรงหน้าแน่นเสียจนราชาคิดว่าเขาอาจซี่โครงหัก แต่ก็ทำได้เพียงลูบหลังเปลือยเป็นเชิงปลอบ เขาไม่มีคำแก้ตัวความใจร้ายใจดำทั้งหมดทั้งปวงที่เขาเคยทำกับเวสเทียร์

บอกรักแล้วก็ตาย... ฟังดูใจร้ายจริงๆ เสียด้วย

เช่นนั้นเขาควรจะตายไปโดยที่ไม่พูดอะไรน่ะหรือ

"อภัยให้เราได้ไหม" หากเขาไม่เริ่ม เวสเทียร์ก็คงไม่พูดเช่นเดิม แม้ว่าความรู้สึกของทั้งคู่จะชัดเจนขึ้นมากกว่าที่ผ่านมาแล้วก็ตาม "เราผิดไป..." เขาลูบพวงแก้มอุ่นที่บัดนี้เปียกชื้นด้วยน้ำตา หากน้ำตานางเงือกกลายเป็นอัญมณีอย่างที่พวกมนุษย์ร่ำลือ ฝ่าบาทไคราห์นคิดว่าเขาอาจจะ 'รวย' จากมันในวันเดียว

"กระหม่อมรักฝ่าบาท..." ร่างโปร่งเอ่ยออกมาในที่สุด "จะมีสิ่งใดบ้างที่ไม่สามารถให้ฝ่าบาทได้"

"อา..."

ราชาทะเลเหนือชะงัก ประโยคที่ไม่คาดว่าจะได้ยินทำให้เขามองคนตรงหน้าด้วยความทึ่ง และด้วยสีผิวของเวสเทียร์ทำให้เขามองไม่ออกว่าอีกฝ่ายหน้าแดงด้วยความขัดเขินมากแค่ไหน "เราช่างโง่เขลาเสมอกัน..." ราชาหนุ่มหัวเราะ ประคองคนตรงหน้าขึ้นมาจูบอีกครั้งอย่างนุ่มนวล

"ที่ผ่านมาเราทำอะไรกันอยู่หนอ..."

--------------------------------------------------


ตอนนี้ค่อนข้างหลากอารมณ์มาก สลับฉากเร็วพอสมควร ส่วนของซินซินกับวาร์เรนนี่คือฝ่าบาทก็โกรธนะ แต่ทำอะไรไม่ได้ ลุกขึ้นไปฆ่าเขาก็รู้ว่าฆ่าไม่ตายหรอก

ไม้เท้าของฝ่าบาทตอนขึ้นบกนั่น... วาร์เรนเป็นคนมอบให้เป็นของขวัญ ฝ่าบาทก็เลยเชื่อว่าหวังดี เพราะในไม้เท้านั่นมันเป็นดาบ (เขาไม่ได้เก็บไว้ใต้ทะเลนะ ถ้ำประทับของฝ่าบาทนี่เหมือนห้องเก็บของอ่ะ อุปกรณ์เยอะแยะ 555) ความรู้สึกของไคราห์นต่อวาร์เรนในตอนนี้คือ... เสียความรู้สึกอ่ะ โดนหลอก แต่ก็รู้ว่าเขาหวังดีนะ แต่... ไม่มองหน้าก็แล้วกัน



ตอนคิดฉากฝ่าบาทฟื้นนี่ก็ไม่คิดว่าเวสเทียร์จะร้องไห้หรอก... แต่พอเขียนจริงๆ คือนางก็มีมุมนี้เหมือนกันแหละนะ (นี่ยังไม่ได้เคลียร์กับอาโกรนาห์เลยว่าตกลงยังไงกัน เพราะอาโกรนาห์เห็นแล้วว่ามันต้องมีซัมติง ไม่งั้นองครักษ์ที่ไหนเขาจะโผกอดแบบนั้น << ตอนแรกจะจูบด้วยซ้ำ แต่ยั้งไว้)

...ฉากจูบปลายหางของเวทอร์สค่า!!!

วันก่อนเพิ่งเม้าท์ลงทวิตไปว่า เคะควีนคืออะไร... เราว่าฉากจูบปลายเท้านี่เป็นอะไรที่ควีนมาก แต่เงือกนี่ไม่มีเท้าเน้าะ ควรจะจูบอะไรดี พอพูดว่าครีมมันก็ตลกๆ นิดนึง แต่พอเป็นเวทอร์สทำ... เออ เราว่ามันก็ทรงพลังไปอีกแบบ (คู่นี้โบรแมนซ์บริสุทธิ์จริมๆ)

ส่วนอาโกรนาห์กับเธรมาร์... อืมๆ ก็นั่นแหละ มีเคมีต่อกันนะ (ถ้าให้สปอยเลยก็คือ นี่ก็ว่าที่สวามีนางแหละค่าาา) ตอนแรกที่คิดคาร์แรคเตอร์เธรมาร์นี่ลังเลอยู่ 2 เผ่า... นั่นคือจะเป็นเผ่านาร์วาล หรือเผ่าเบลูก้า... คิดไปคิดมาคือ เบลูก้านี่เป็นสัตว์กวนตีx เราเกรงว่าเธรมาร์จะกลายเป็นเงือกกวนประสาท อันนำมาสู่ดราม่าพี่เมียและน้องเขย (หืม)



ส่วนฉากสุดท้าย... อืมมม... ก็คิดว่าหวานขึ้นมาบ้างแล้วนเน้อะ

แต่ฝ่าบาทก็ขี้เก็กเหมือนเดิม คืออยากจูบเขานะ แต่ไม่ทำเอง มีการไปแซะเขาว่าจะทำแค่กอด (แบบตอนแรกที่ฟื้น) จริงๆเหรอ (ทำไมไม่จูบเอง ถ้าอยากจูบล่ะวะ) แล้วเวสเทียร์ก็ดันยุขึ้นด้วยอ่ะนะ 555

ก็เดียวจะเริ่มเคลียร์ๆ ปมเยอะแยะที่ค้างไว้ รอให้เรจินาฟื้นก่อนนะ (ผู้หญิงเรื่องนี้ลำบากจริงๆ ข่าาา)



แล้วก็ฉากหวานเยอะๆ เลยย ย
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 22 [26-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 27-06-2017 00:21:05
สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 22 [26-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: xaomammx ที่ 27-06-2017 15:05:11
เรื่องนี้มันดีมากเลย ดีมากกกกกกก
เพิ่งจะตามมาคอมเมนต์ทันในตอนนี้
รักฝ่าบาทรักเวสเทียร์ รักเวทอร์ส รักเจ้าวาฬอ้วน
ดำเนินเนื้อเรื่องดีมากไม่น่าเบื่อ นักเขียนใส่ใจรายละเอียดมาก
เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆอยู่ตลอด ตอนแรกแปลกใจในความคอนทราสต์กันของตัวละคร
เช่นเงือกและแวมไพร์ดูแปลกประหลาดดีแต่พอเอาเนื้อเรื่องมาใส่ น่าอัศจรรย์มาก
เป็นเหมือนอะไรที่แปลกใหม่ ทำให้เชื่อสุดใจในเนื้อเรื่องที่ปูมา
ตอนแรกอึดอัดใจกับความรักของฝ่าบาตและองครักษ์อึดอัดจนเครียด
พอหลังๆเริ่มคลี่คลายแบบบ หวายจ๋อยยยย ชอบบบบ
ชอบเวทอร์สพ่อหนุ่มน้อย(และจชเร็กซ์ที่หวังให้ได้กัน/บาป)และเจ้าวาฬอ้วนกลมมากน่าร้ากกก

อ่านช่วงทอล์คเห็นว่ามีอีกสองเรื่องในซีรีย์นี้ แต่งงไม่รู้ว่าจะต้องอ่านเรื่องไหนก่อน
ขอคำชี้แนะด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
จะติดตามผลงานต่อไป
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 22 [26-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 27-06-2017 16:27:43
เรื่องนี้มันดีมากเลย ดีมากกกกกกก
เพิ่งจะตามมาคอมเมนต์ทันในตอนนี้
รักฝ่าบาทรักเวสเทียร์ รักเวทอร์ส รักเจ้าวาฬอ้วน
ดำเนินเนื้อเรื่องดีมากไม่น่าเบื่อ นักเขียนใส่ใจรายละเอียดมาก
เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆอยู่ตลอด ตอนแรกแปลกใจในความคอนทราสต์กันของตัวละคร
เช่นเงือกและแวมไพร์ดูแปลกประหลาดดีแต่พอเอาเนื้อเรื่องมาใส่ น่าอัศจรรย์มาก
เป็นเหมือนอะไรที่แปลกใหม่ ทำให้เชื่อสุดใจในเนื้อเรื่องที่ปูมา
ตอนแรกอึดอัดใจกับความรักของฝ่าบาตและองครักษ์อึดอัดจนเครียด
พอหลังๆเริ่มคลี่คลายแบบบ หวายจ๋อยยยย ชอบบบบ
ชอบเวทอร์สพ่อหนุ่มน้อย(และจชเร็กซ์ที่หวังให้ได้กัน/บาป)และเจ้าวาฬอ้วนกลมมากน่าร้ากกก

อ่านช่วงทอล์คเห็นว่ามีอีกสองเรื่องในซีรีย์นี้ แต่งงไม่รู้ว่าจะต้องอ่านเรื่องไหนก่อน
ขอคำชี้แนะด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
จะติดตามผลงานต่อไป

กรี้ด ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่า
(จริงๆขอบคุณทุกคนเลย แต่เรามะได้โคว้ทตอบ เราเขิน(...) แฮะๆ กดเป็ดให้นะ :hao5: )

จริงๆเรื่องนี้เขียนมาเพื่อเติมปริศนา... เพราะคำถามที่หนักที่สุดของซีรี่ย์เงือกแวมไพร์คือมันมาเจอกันได้ไง
(//ปิดตาชี้เผ่าวาฬที่ขึ้นมาเดินสวนสนามกันเป็นว่าเล่น)

เรื่องอื่นๆอ่านเรียงตามนี้ค่ะ (ตามไทม์ไลน์)

บัลลังก์จ้าวนารา >> สัญญาสาปสมุทร >> สุดขอบทะเลคราม
ชื่อมันคล้องกันนะ อิอิ  :hao6: :hao6: :hao6:

ลงไว้ใน Dek-D อ่ะค่ะ ไม่ได้ตามมาลงที่นี่  :katai5:

แต่ว่า... อ่า... เตือนนิดนึงว่าอีก 2 เรื่องนั่นเขียนนานแล้วค่ะ สำนวนเก่าของเราสมัยเรียน ฮาา
(ซึ่งบางทีก็ไม่ได้โอเค แต่เราเกลาแค่นิดหน่อยพอ คิดว่าเหมาะกับเรื่องแล้ว ฮาาา)

สัญญาสาปสมุทรเป็นเรื่องของเลอาฟร์... ลูกชายของเรจินา กับวาร์เรนค่ะ (อิตัวแสบชุดแดงนั่น 555)
ส่วนสุดขอบทะเลครามเป็นเรื่องของรูห์ย (เป็นคู่กัดเลอาฟร์) กับเวลคีน เงือกทะเลลึกฝั่งแคริเบียนโน่น
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 22 [26-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-06-2017 23:29:35
ว้าย ๆ

บอกรักแบบไม่ตายจาก (?) สักที รอมานานแล้ววว

อะไรคือเรจินากับวาห์เรน????? นางท้องได้ง้ายยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 22 [26-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 28-06-2017 07:19:33
ว้าย ๆ

บอกรักแบบไม่ตายจาก (?) สักที รอมานานแล้ววว

อะไรคือเรจินากับวาห์เรน????? นางท้องได้ง้ายยยยยยยยย

เรจินากับฟาเบียง(องครักษ์ของนาง) ค่า ^^' ลูกชื่อเลอาฟร์ ไปเป็นนายเอกอีกภาคนึงคู่กับวาร์เรน ฮาา
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 23.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 28-06-2017 09:22:32
ตอนที่ 23.1

ฝ่าบาทไคราห์นจำไม่ได้ว่ามันนานแค่ไหนแล้วที่เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงอาทิตย์สีนวลแบบนี้ เมื่อวานที่ผ่านมา พวกเขาก็ต่อสู้จนถึงเช้า อีกทั้งแสงสว่างก็ปรากฎขึ้นพร้อมกับราชาแวมไพร์ ผู้ขับไล่และทำลายศัตรูของเซลทิคจนหมดสิ้น

ประเดี๋ยวก่อน...

แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวนั้นหายาก แต่เหตุใดมันจึงสาดส่องเข้ามาในถ้ำที่ประทับได้

ราชาทะเลเหนือขยับกาย หมายจะลุกขึ้นจากแท่นประทับออกไปตรวจตราให้มั่นใจว่าไม่มีภัยใดมาถึงเซลทิค ทว่าความรู้สึกที่แปลกออกไปก็ทำให้ร่างสูงหยุดเคลื่อนไหวครู่หนึ่ง เวสเทียร์นอนอยู่ข้างเขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และหลับสนิทอย่างที่ราชาหนุ่มไม่เคยพบเห็น ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคืออีกฝ่ายหนุนแขนเขาอย่างสบายใจเสียด้วย!

สบายใจหรือ... ไคราห์นจำได้ว่าเขาไม่เคยเห็นเวสเทียร์อยู่ในภาวะ 'สบายใจ'

อีกฝ่ายมีเพียงสองอารมณ์ นั่นคือ 'คิดอะไรอยู่' และ 'ไม่ได้คิดอะไรอยู่'

ในประวัติการทำงานตลอดสิบปีของเวสเทียร์ ไคราห์นจำได้ว่าอีกฝ่ายแทบจะไม่เคย 'ทอดตัวลงนอน' เวสเทียร์ชอบนั่งงีบ ทั้งยังหูไว และระวังตัวเพื่อรักษาความปลอดภัยให้ฝ่าบาทเสมอ ดังนั้นการหลับตานอนในครั้งนี้จึงเข้าข่าย 'ละเลยหน้าที่' อย่างไม่ต้องสงสัย

ราชาหนุ่มยิ้มขัน ลืมเรื่องแสงอาทิตย์ประหลาดไปหมดสิ้น และยอมนอนทอดนิ่งเป็นหมอนให้คนตรงหน้าต่อไป

หลับสนิทขนาดนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน...

ทว่าองครักษ์ก็เป็นปุถุชนคนหนึ่ง จะคาดหวังให้เขาแข็งแกร่งสักเพียงใดเชียว

ราชาปัดปอยผมสีเข้มให้พ้นหน้า ขณะพิจารณาคนหลับใหลใกล้ๆ อีกสักครั้ง ทอดมองตั้งแต่แพขนตายาว ไปยังปลายจมูกโด่งสวย รับกับริมฝีปากที่บางกว่าคนทั่วไป เวสเทียร์หลับไม่รู้เรื่องจริงๆ เสียด้วย มิเช่นนั้นในยามปกติ สัมผัสแผ่วเบาเพียงนี้ก็ทำให้เขาสะดุ้งตื่นได้แล้ว

ไคราห์นไม่นึกอยากปลุก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขยับไปจูบหน้าผากมนช้าๆ และสัมผัสนั้นเองที่ทำให้องครักษ์ลืมตาขึ้นอย่างงุนงง

...นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่เขาเห็นใบหน้างุนงงหลังตื่นนอนของอีกฝ่าย!

รู้สึกไม่ค่อยชินเอาเสียเลย

"ฝ... ฝ่าบาท!" องครักษ์ตอบสนองเร็ว เวสเทียร์ขยับกายขึ้น แต่แล้วราชาหนุ่มก็ตวัดแขนกอดรอบเอวสอบเอาไว้ และพลิกให้ร่างโปร่งขึ้นมาอยู่ด้านบน เวสเทียร์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขบริมฝีปากอย่างยากจะตัดสินใจ ซึ่งทำให้ฝ่าบาทนึกขำ

"นี่เจ้าคิดอะไรอยู่น่ะ... แต่เช้าเลยรึ"

นี่เขาดูมักมากขนาดมีรสนิยมลักหลับใครหรืออย่างไร เจ้าคนตรงหน้าจึงได้ดูลังเลประหนึ่งว่าเขากำลังชวน 'ทำอะไร' เสียอย่างนั้น ราชาเซลทิคเอนกายลงบนหมอนซึ่งอยู่สูงพ้นน้ำ พวกเขาทอดร่างช่วงเอวลงไปในทะเลตื้น เวสเทียร์กำลังจะเปลี่ยนร่าง ราชาหนุ่มอ่านได้จากสีหน้าของเขา ดังนั้นเพื่อความบริสุทธิ์ใจ ไคราห์นคิดว่าเขาควรจะหยุดอีกฝ่ายไว้คงเป็นการดีกว่า

"ยังคิดว่าเราสนใจแค่ร่างกายของเจ้าอย่างนั้นรึ"

"เรื่องนั้น..." ร่างโปร่งเม้มปาก ยอมเอนกายลงตามแรงกอด แม้ว่าในตอนนี้ เวสเทียร์ดูคล้ายจะนอนทับฝ่าบาทอยู่ก็ตาม "ก็ฝ่าบาท..." เขาอุบอิบ องครักษ์คนสนิทเป็นคนดื้อ ราชาหนุ่มรู้ซึ้งถึงข้อนั้น แต่นานสักครั้งที่คนตรงหน้าจะออกปาก 'เถียง' ดังนั้นเขาจึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงรับฟัง "ฝ่าบาททำแบบนั้นมาตั้งแต่ต้น ใครจะไม่คิด..."

ไคราห์นเลิกคิ้วสูง "เจ้าเริ่มต่างหาก"

เขาเองเสียอีกที่สงสัยว่าเหตุใดเวสเทียร์จึงคิดว่าเขามักมาก ปรารถนากระทั่งองครักษ์ข้างกาย

"กระหม่อมเปล่า..." อาการเถียงของเวสเทียร์ทำให้เขาทึ่งไม่บ้างก็น้อย แต่นี่ก็ดูจะเป็นการตอบโต้ที่ดูหัวชนฝาไปสักหน่อยกระมัง "ฝ่าบาท..." องครักษ์เม้มปาก ราวกับต่อสู้ในจิตใจว่าควรจะพูดสิ่งที่ค้างคาออกมาหรือไม่

"พูดออกมาเร็ว อย่าทำให้อยากรู้แล้วอมพะนำแบบนั้น..."

องครักษ์มองราชาของเขาอีกครั้ง ก่อนจะหลบตาลง "ฝ่าบาทจูบคอ... กระหม่อม"

ไคราห์นนึกย้อนกลับไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ซึ่งแม้จะเป็นอดีตที่ยาวนาน ทว่าเขากลับไม่เคยลืมครั้งแรกที่มีสัมพันธ์กับองครักษ์คนสนิท อีกฝ่ายกำลังจะตาย เสียงหัวใจขาดหายบอกราชาได้ว่าคนตรงหน้ากำลังจะจากไปในไม่กี่อึดใจ เขาดึงเวสเทียร์เข้ามาหา และมันเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสร่างเนื้อของผู้อื่น ความอบอุ่นของมันทำให้เขารั้งร่างนั้นมากอดเอาไว้ และกดแนบริมฝีปากลงไปบนแผลเพื่อช่วยยื้อชีวิตที่กำลังจะดับสูญ

บนลำคอระหงที่ยังคงปรากฎรอยเขี้ยวจางมาจนถึงตอนนี้

"ใช่ เราจูบ..."

"แล้วก็กัดซ้ำด้วยขอรับ" เวสเทียร์มุ่นคิ้ว เขายังจำสัมผัสของราชาได้ อีกฝ่ายกอดเขา จูบลงบนบาดแผล ก่อนจะขย้ำซ้ำราวกับโกรธเคืองที่ไม่อาจลบรอยตำหนิออกไปได้ ฝ่าบาทรั้งร่างเขาเข้าไปหา และเคลื่อนมือลงไปยังสะโพกสอบ ก่อนจะลากริมฝีปากลงไปจูบรอยแผลบนอก

"เราแค่จูบ แล้วก็กัด..."

"คนทั่วไปเขาไม่จูบคอกันนี่ขอรับ!"

เมื่อนึกต่อไปว่า เวสเทียร์แปลงเป็นมนุษย์ และขยับขึ้นไปคร่อมร่างอีกฝ่าย ราชาก็เคลื่อนมือลงมาถึงบั้นท้ายมน ตลอดจนท่อนขาแข็งแรง เขาแปลงเป็นมนุษย์บ้างหลังจากนั้น พวกเขาโอบกอด และทำความรู้จักกันเป็นครั้งแรก โดยที่ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมา

"ได้... ตกลง... เราเป็นฝ่ายเริ่ม"

ไคราห์นชิงพูดขึ้นมาด้วยเกรงว่าเวสเทียร์จะรู้สึกผิดหากตระหนักได้ว่าตัวเขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายเริ่ม แต่ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดของผู้ใด ไคราห์นคิดว่าพวกเขาผิดร่วมกันที่ไม่เคยเอ่ยถึงมันจนถึงตอนนี้ "แต่ตอนนี้ยังหรอกนะ" ร่างสูงยิ้มอ่อนโยน "ถึงจะคิดอะไรออกแล้วก็เถอะ"

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์มุ่นคิ้ว "พูดให้กระหม่อมอยากรู้"

ราชายกมุมปากขึ้นยิ้ม แล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามาเพื่อกระซิบบอก "ทำเหมือนครั้งแรกอีกได้ไหม"

...จากนี้ไป องครักษ์คิดว่าเขาคงต้องระวังคำถามของตัวเองให้มากขึ้น เพื่อไม่เป็นการขุดหลุมฝังตัวเองในภายหลังแบบนี้

"หน้าบางขึ้นนะ"

เวสเทียร์หลบตาอีกฝ่าย พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขารู้ว่าต่อให้เขาผิวเข้มก็คงไม่อาจปิดบังอีกฝ่ายได้ว่าตอนนี้เขาเขินอายมากแค่ไหน ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นเลยสักครั้ง อาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมา ฝ่าบาทไคราห์นไม่เคยพูดอะไรแบบนี้ก็เป็นได้ "ฝ่าบาทจะกล่าวว่าเมื่อก่อนกระหม่อมหน้าหนาหรือขอรับ"

"ไม่ผิดหรอก"

"ฝ่าบาท...!"

ราชายิ้มขัน เขายังกอดร่างโปร่งเอาไว้โดยให้อีกฝ่ายนั่งบนตัก ต่อให้เวสเทียร์จะเกร็งเสียจนแทบลืมหายใจก็ตาม ก็ใครจะปรับตัวได้เร็วบ้าง เมื่อวันก่อนเขายังเป็นองครักษ์ที่ทำไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองฝ่าบาทด้วยซ้ำ จู่ๆ จะให้คุ้นเคยกับการสัมผัสแนบชิดแบบคนรักได้อย่างไร

แม้พวกเขาจะ 'แนบชิด' ยิ่งกว่านี้มาแล้วก็เถอะ

ไคราห์นดึงให้คนตรงหน้าซบเอนกับอกของตน เวสเทียร์เหลือบเห็นแผลเป็นบนอกซ้าย เขาค่อยๆ หันไปแนบริมฝีปากจูบบนรอยจางตรงหน้า นึกภาวนาว่าหากมันหายไปก็คงดี ร่างสูงยกมุมปากขึ้นยิ้ม และเชยคางเรียวขึ้นมาเป็นเชิงปราม "เจ้านี่มัน..." เขาแตะริมฝีปากนุ่ม ลากไล้สัมผัสด้วยปลายนิ้ว และทอดมองคนตรงหน้าจูบมือของเขาช้าๆ ทะนุถนอม

คนอะไรช่างยั่วนัก... แล้วก็มาโทษว่าเราเป็นฝ่ายเริ่มอย่างนั้นรึ

ผิวน้ำกระเพื่อมไหวน้อยๆ ประสาทการได้ยินของเวสเทียร์ไวพอที่จะทำให้องครักษ์ไหวตัวทัน เขาผละจากราชาเพื่อกลับไปประจำที่ของตน ก่อนที่องค์หญิงอาโกรนาห์จะโผล่ขึ้นมาพร้อมกับเสยผมสีดำเปียกชื้นให้พ้น "อรุณสวัสดิ์ ท่านพี่..." นางเงือกเคลื่อนกลายเข้ามาหา และยกร่างขึ้นนั่งบนแท่นประทับใกล้กัน ในทุกวันองค์หญิงอาโกรนาห์จะมาพูดคุยกับพี่ชายของนางเรื่องการงานและบ้านเมือง

"กระหม่อมขอตัว..."

เวสเทียร์ค้อมหัวลงอย่างรู้หน้าที่ เขาควรจะออกไปล่ากับเผ่าเพชฌฆาต เพื่อให้เวลาพี่น้องสนทนา

"เจ้าอยู่ก็ดีแล้ว เวสเทียร์" องค์หญิงทอดเสียง นางเหลือบมองพี่ชายด้วยหางตาอย่างมีเลศนัย และสูดหายใจลึกๆ ก่อนเปิดประเด็น "เราควรจะถามท่านพี่หรือถามเจ้าดีล่ะ" ราชาหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องใด ในขณะที่เวสเทียร์กระพริบตาอย่างคนจับต้นชนปลายไม่ถูก

"องค์หญิง..."

ราชาหนุ่มยกมือปรามเวสเทียร์ "ถามเราสิ เราเป็นฝ่ายเริ่ม"

อาโกรนาห์อาปากค้างด้วยความทึ่ง อันที่จริงนางเพียงแค่มาเพื่อถามถึงความจริง ทว่าความจริงจากปากพี่ชายก็ดูจะทำให้สาวน้อยพูดอะไรต่อไม่ถูกอยู่สักหน่อย "ตกลงว่าท่านพี่..." นางไม่สามารถหาคำจำกัดความได้ว่าท่านพี่ของนาง 'เป็นอะไร' พวกเขาไม่ค่อยพบเจอคนที่มีรสนิยมแตกต่าง แต่ก็ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ไคราห์นกลายเป็นแบบนี้อย่างช่วยไม่ได้

"เรารักเวสเทียร์..." องครักษ์หนุ่มเคยยินดีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เมื่อได้ยินอีกครั้งต่อหน้าองค์หญิงอาโกรนาห์ เวสเทียร์ก็ก้มลงต่ำด้วยความรู้สึกจุกในอก "รักมานานแล้วด้วย" คำพูดหนักแน่นของฝ่าบาทช่างมีค่ามากเสียจนเวสเทียร์ไม่อยากยอมรับ

องค์หญิงสูดหายใจเข้าเพื่อหยุดเสียงระเบิดระรัวในหัวเป็นพลุไฟของพวกมนุษย์

"น้องเคารพความรักของท่านพี่" ในที่สุดอาโกรนาห์ก็เอ่ยออกมา "แต่ท่านพี่จะอธิบายเรื่องนี้กับราชินีเรจินาอย่างไร" นางเหลือบมององครักษ์คนสนิทที่บัดนี้ดูตัวหดลีบลงด้วยความอึดอัดไม่สบายใจ "น้องไม่คิดว่าพระนางจะ 'ไม่คิดอะไร' หรอกนะ"

"ฝ่าบาทไม่ได้คิดอะไรนี่" ไคราห์นเลิกคิ้ว "ฝ่าบาทบอกเราเอง"

"แต่คำว่า 'ไม่มีอะไร' ของผู้หญิง มันมีอะไรแน่นอน!" เด็กสาวหน้างอ

"ฝ่าบาทไม่ใช่หญิงธรรมดา" ราชาหนุ่มยิ้ม ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้น้องสาวขยับมานั่งใกล้ๆ เพื่อจะพิจารณารอยแผลเป็นใต้ดวงตาของนางอย่างถี่ถ้วน เขาลูบมือไปบนรอยนูนนั้นเบาๆ ทว่ากลับไม่สามารถรักษามันให้หายไปได้ "ฝ่าบาทเรจินาเป็นสตรีที่ปากตรงกับใจยิ่งกว่าใครบางคนแถวนี้เสียอีก"

นี่ฝ่าบาทว่าตัวเองหรือว่ากระหม่อมกันหนอ...

เวสเทียร์ได้แต่หลบตาลงต่ำอยู่อย่างนั้น เขายังกลัวว่าองค์หญิงจะหันมาตำหนิที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองไม่ราบรื่น แต่หากเวสเทียร์จะต้องเลือก เขามั่นใจว่าเขาจะไม่ 'เสียสละเพื่อบ้านเมือง' ในกรณีนี้แน่ เขาจะไม่มีวันปล่อยฝ่าบาทไป เพื่อให้สมกับเวลาห้าปีที่ปฏิเสธตัวเองอย่างโง่เง่ามาตลอด

"ท่านพี่ยังไม่ได้หวีผมหรือ..." องค์หญิงมองเส้นไหมสีเงินที่ติดไปในทางยุ่งน้อยๆ

"เราเพิ่งตื่น" ไคราห์นตอบตามจริง ขณะที่น้องหญิงหยิบหวีขึ้นมาหมายจะสางเส้นผมให้อย่างที่เคยทำ "ปล่อยไว้เช่นนั้นเถอะ หรือเจ้าอยากจะเปียผม" เวสเทียร์แทบจะไม่เคยมีส่วนร่วมในช่วงเวลานี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงลอบมองทั้งคู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชายหนุ่มเพิ่งรู้ว่าฝ่าบาทสนิทสนมกับองค์หญิงมากเพียงนี้

อาโกรนาห์ลอบเบ้ปาก "จะเก็บเอาไว้ให้เวสเทียร์ทำให้ก็บอกน้องมาเถอะ"

คนตกเป็นประเด็นเงยหน้าขึ้นด้วยอารามตกใจ "ก... กระหม่อมไม่เคยหวีผมให้ฝ่าบาทขอรับ"

"เดี๋ยวก็คงได้ทำ" ไคราห์นตอบสบาย "เรามีเวลาทั้งชีวิต ดังนั้นวันนี้จะให้เจ้าเปียผมก็ได้ อาโกรนาห์"

--------------------------------------------------


ไม่ได้เขียนอะไรหวานๆนานมาก (ตั้งแต่แอสทารอธนั่นก็ไม่เรียกหวาน!!!) รู้สึกตื่นเต้น  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 22 [26-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 28-06-2017 11:31:07
ทำไฝ่าบาทขี้อ่อยยยยยย นิดหน่อยก็อ้อย ทีก่อนหน้านี้ล่ะ ฮือออ

ชอบนิยายเซตนี้จังเลยค่าา ตามไปอ่านprassian blueแล้วด้วยยยย

ชอบการใช้ตัวละครเป็นอมนุษย์ 555555
 วางผังตัวละครได้สุดยอดมากกกก
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 22 [26-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 28-06-2017 19:36:35
อยากดูเปียผมค่ะ  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 22 [26-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 29-06-2017 00:19:30
สนุกมากเลยค่ะ ชอบที่คนเขียนใส่ใจรายละเอียดมากๆ ตามอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 22 [26-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-06-2017 00:40:49
อะไรคือสามคนหวานมัน?

ไคราห์นนี่คนรักก็ยั่ว น้องก็อ้อน แล้วตัวเองยังอ่อยเวสเทียร์คืนอีก

นี่ทะเลนะ ไม่ใช่บ่อน้ำอ้อย
อิจฉา!
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 23.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 30-06-2017 07:02:19
ตอนที่ 23.2

ราชาทะเลเหนือได้รับบทเรียนว่าอย่าทำให้น้องสาว 'งอน' เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นนางจะจับเขาถักเปียยาวตลอดจนปลายผม และขอร้องแกมบังคับไม่ให้เขาแกะมันออกจนกว่าจะหมดวัน ดังนั้น ฝ่าบาทไคราห์นจึงต้องลงไปพบราชินีเรจินาทั้งที่ยังเปียผมอยู่

แต่การเปียผมเป็นรสนิยมส่วนตัว ดังนั้นฟาเบียงจึงไม่แสดงความคิดเห็น

องครัก์คนสนิทของราชินีเรจินาเป็นเงือกฉลามขาว อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางดุดันแข็งกร้าวแบบเงือกฉลามอื่น แต่ด้วยสัญชาติญาณของเงือกวาฬที่มักไม่ถูกกัน ทำให้ฝ่าบาทไคราห์นลอบตั้งสมญาให้อีกฝ่ายว่า 'เจ้าหูทึบ' เป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งฟาเบียงยังดูจะหูทึบจริงๆ เพราะหากเงือกวาฬได้ยินเสียงสักร้อยเสียง ไคราห์นเชื่อว่าฟาเบียงได้ยินเพียงสิบเสียงเท่านั้น

แต่อีกฝ่ายดูแลราชินีแห่งมารินาการ์ดได้ดี ไม่มีข้อบกพร่องเลยทีเดียว

"แม้พลังของฝ่าบาทจะช่วยเยียวยาบาดแผลได้ แต่การเสียเลือดปริมาณมากทำให้พระนางอ่อนเพลียอย่างช่วยไม่ได้" ราชินีมารินาการ์ดฟื้นแล้ว แต่พระนางก็ยังไม่อยากลุกไปไหนด้วยรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัว ราชาทะเลเหนือทอดกายลงนั่งเคียงข้างแท่นประทับและจับมือเรียวบางกอบกุมเอาไว้

"ทำไมราชาเซลทิคจึงได้ฟื้นตัวเร็วนักหนอ" เรจินาหัวเราะ

"หากได้เนื้อวาฬมาช่วย เราคิดว่าพระนางจะหายในเร็ววัน..." ไคราห์นเปรย

ชาวมารินาการ์ดนิยมบริโภคเนื้อวาฬในฤดูหนาว เนื่องจากสารอาหารและปริมาณแพลงก์ตอนลดน้อยลง อีกทั้งอุณหภูมิของน้ำที่ลดลงทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะจำศีล เผาผลาญน้อย และรักษาตัวเองช้าอีกด้วย แต่คำพูดของราชาเซลทิคก็สะเทือนใจเงือกวาฬมากเช่นกัน พวกเขามีกฎห้ามใครก็ตามล่าวาฬในเขตอาณาจักร แต่ในตอนนี้อาจต้องเป็นผู้ล่าเสียเอง

การนอนพักเฉยๆ ไม่อาจช่วยเรจินาได้... ไคราห์นคิดเช่นนั้น

"ป่านนี้พวกวาฬอพยพลงใต้หมดแล้ว พ้นเขตทะเลเคลติกอย่างแน่นอน" ราชาว่า เขาหันไปหาองครักษ์ฟาเบียง "เราสามารถติดต่ออาณาจักรอาร์มาดาได้ พวกวาฬจะไปชุมนุมที่นั่นในฤดูนี้ ขอเพียงแค่ไม่ใช่วาฬแม่ลูกอ่อน ชาวเราก็พอจะรับได้บ้าง" อาณาจักรอาร์มาดาอยู่ในทะเลทางตอนใต้ของมารินาการ์ด และเป็นที่อาศัยของเหล่าเงือกมาร์ลิน นักล่าผู้แข็งแกร่งอีกเผ่าหนึ่ง

ฟาเบียงค้อมหัวลงน้อยๆ "ฝ่าบาทมีเมตตา... แต่มารินาการ์ดสูญเสียผู้นำกลุ่มนักล่าวาฬไป"

เขาหมายถึงเกลเลส... องครักษ์คนสนิทขององค์ชายเร็กซ์

"เผ่าเพชฌฆาตมีความสามารถในการล่าวาฬอยู่แล้วขอรับ ขอเพียงแค่ไม่ใช่ในอาณาเขตของเซลทิค" เวสเทียร์เอ่ยขึ้นราวขันอาสา "กระหม่อมจะรับหน้าที่นี้เอง" ราชินีเรจินามีบุญคุณไม่เพียงแต่กับฝ่าบาทไคราห์น แต่รวมทั้งตัวเวสเทียร์ด้วย ดังนั้นเขาจึงเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้นางหายเร็วขึ้น

"เจ้าอยู่ที่นี่" ไคราห์นปราม "มอบหมายงานให้หน่วยอื่นไป"

เวสเทียร์รู้ว่าทำไมราชาจึงรั้งเขา แต่ถึงอย่างนั้น... "ฝ่าบาทไปร่วมไปด้วยก็ได้นี่ขอรับ"

ไคราห์นเลิกคิ้วสูง เขาหันมองเวสเทียร์ เช่นเดียวกับฟาเบียงที่หันมองเวสเทียร์ด้วยเช่นกัน เพราะนี่เป็นวิธีดื้อรั้นที่แปลกใหม่เสียจนคนฟังยังทึ่ง แทนที่จะดึงดันเดินทางไป เจ้าผู้นำเผ่าเพชฌฆาตนี่กลับชวนราชาแห่งเงือกวาฬให้ออกไปล่าวาฬด้วยกัน!

"เราไม่ล่าวาฬ" ไคราห์นปฏิเสธนิ่ม "และเจ้ามีหน้าที่อารักขาเราไม่ใช่รึ"

"ขอรับ" เวสเทียร์ยอมแพ้ และค้อมหัวลง "กระหม่อมจะมอบหมายงานต่อ"

เรจินาสูดใจเข้าลึกๆ และเหลือบมองท้องฟ้าเบื้องบน "ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ ฝ่าบาท" นางรู้สึกได้ว่าร่างกายของตนกำลังฟื้นตัว เนื่องจากฝ่าบาทไคราห์นกุมมือเอาไว้ แต่ใจคอจะให้เขามานั่งเคียงข้างนางไปตลอดก็คงไม่ใช่เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าฟาเบียงแบบนี้

อีกฝ่ายยังไม่รู้เรื่องฟาเบียง... และพระนางก็คิดว่าควรจะรีบพูด

"สงบดีแล้ว ฝ่าบาท" ราชาทอดยิ้ม "แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังวางใจไม่ได้" ไคราห์นคิดว่าเขาจะต้องไปพบเจ้าราชาแวมไพร์นั่นอีกสักครั้ง เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางต่อไป แม้ทุกอย่างจะดูคลี่คลาย แต่เขาก็ไม่เชื่อว่ามันจะไม่มีอะไร "เราขอบคุณในน้ำใจฝ่าบาท บุญคุณครั้งนี้จะต้องมีการตอบแทนอย่างแน่นอน"

ขอแค่ไม่โกรธที่เราจะแต่งงานก็พอ... เรจินาถอนใจ

พระนางออกแรงบีบมืออีกฝ่ายเบาๆ "ฝ่าบาทต้องขึ้นไปหายใจแล้วกระมัง" ราชินียิ้มขำ "เรามีฟาเบียงคอยดูแลแล้ว ฝ่าบาทไม่ต้องห่วงไปหรอก" ราชาหนุ่มเหลือบมองไปยังองครักษ์ ผู้ซึ่งมองเขาไม่วางตานับตั้งแต่เข้ามายังที่ประทับรับรองแห่งนี้ ไคราห์นค่อยๆ ปล่อยมือนาง เขาถอยตัวออกห่างราชินีก่อนจะค้อมหัวลงน้อยๆ

"คนรักของพระนางน่ะหรือ..."

"เอ๋..!" เรจินาผุดลุกขึ้นนั่งด้วยตกใจผิดวิสัยคนป่วย ก่อนจะงอตัวด้วยความจุกที่กลางอก

"ฝ่าบาท!"

ไคราห์นเอื้อมไปประคองพระนาง แต่คนที่เกือบจะไวกว่าเสียงคือองครักษ์ฟาเบียง  ราชาทะเลเหนือถอยจากอีกฝ่ายเมื่อถูกนัยน์ตาสีเข้มดุดันมองกลับเป็นเชิงเอ็ด "ฝ่าบาทหยอกแบบนี้ หญิงใดจะไม่ตกใจบ้าง" ฟาเบียงหลบตาลงตามเดิมเมื่อสังเกตได้ว่าเวสเทียร์เองก็จดจ้องเขาอยู่

เรจินาไม่เข้าใจผู้ชายพวกนี้... นี่พวกเขาพูดจริงหรือเล่นอยู่กันแน่!

"ฝ่าบาทอำเราเล่นหรือเปล่า" เรจินาถอนใจ "เรากับฟาเบียง..."

"บางทีกษัตริย์ก็มีเหตุผลในการปกปิดความสัมพันธ์กับองครักษ์" ไคราห์นยิ้มจาง คำพูดนั้นทำให้เรจินาต้องเงยขึ้นมองคู่สนทนา พระนางพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น ดูเหมือนว่าฝ่าบาทไคราห์นจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพระนางกับองครักษ์คนสนิทแล้วจริงๆ "เราปฏิเสธกันไปแล้วไม่ใช่หรือ ฝ่าบาทเรจินา"

ใช่... พวกเขาเคยหยั่งเชิงปฏิเสธกันไปแล้ว แต่เรจินาก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี

ราชินีมารินาการ์ดถอนใจเบา เห็นทีว่าพระนางคงต้องเป็นฝ่ายเริ่ม เพราะฝ่าบาทไคราห์นเองก็ไม่อยากหักหาญน้ำใจสตรี พระนางควรจะเป็นฝ่ายชัดเจนแต่แรก "ฟาเบียงมาจากไรห์วา" คู่สนทนาของนางพยักหน้าช้าแสดงอาการรับรู้ "เขาเป็นน้องชายอดีตราชาแอนโธเน่แห่งไรห์วา"

"เราทราบเรื่องบัลลังก์แห่งไรห์วาแล้ว" ไคราห์นตัดบทนุ่มนวล "อดีตราชาเอลเซียร์ยกบัลลังก์ให้องค์ชายรอยซึ่งมีอายุน้อยกว่าองค์ชายฟาเบียง ซึ่งขัดต่อกฎแห่งบรรพกษัตริย์" ราชาหนุ่มหันมอง 'เจ้าหูทึบ' พลางนึกในใจว่าอีกฝ่ายก็ดูสุขุมสมกับเป็นองค์ชายอยู่หรอก "ที่น่าแปลกใจนั่นคือองค์ชายกลายมาเป็นองครักษ์ของฝ่าบาทเรจินาได้อย่างไร"

ราชินียิ้มแห้ง "เขาถอยมาตั้งหลัก และตั้งใจจะมาขอแรงสนับสนุนจากเรา แต่ไรห์วาอยู่ห่างไกลเกินอำนาจของเรา" นางเงือกตรงหน้าดูจะขัดเขินขึ้นมาเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ "เราเป็นคนรั้งให้ฟาเบียงอยู่ที่มารินาการ์ด"

ราชาทะเลเหนือเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแทนคำว่า 'อ้อ อย่างนั้นเอง'

"หากองค์ชายต้องการบัลลังก์กลับคืนมา เรายินดีสนับสนุน" ฟาเบียงเลิกคิ้วบ้าง ด้วยรู้ดีว่าเผ่าวาฬ 'ไม่ชอบ' พวกฉลามมากแค่ไหน ทว่าราชาเซลทิคกลับอาสาช่วยเหลือเขาเสียอย่างนั้น คงไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายอยากเขี่ยเขากลับไปไรห์วาหรอกกระมัง ฟาเบียงเหลือบมองเวสเทียร์ที่ปั้นหน้าเรียบเฉยอยู่ข้างราชาหนุ่ม "ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสายเลือดบรรพกษัตริย์... การกระทำของอดีตราชาเอลเซีียร์ไม่ถูกต้อง"

"กระหม่อมละทิ้งแล้วซึ่งฐานันดร... เพียงเพื่อจะอยู่เคียงกายฝ่าบาทเรจินาเท่านั้น"

ราชาทะเลเหนือจรดยิ้มที่มุมปาก "เช่นนั้นการเสกสมรสอย่างเป็นทางการก็คือให้เกียรติพระนางอย่างถูกต้อง"

"ฝ่าบาทไคราห์น!" เรจินามุ่นคิ้ว ด้วยเพิ่งเข้าใจว่าที่อีกฝ่ายยั่วยุให้ฟาเบียงกลับไปไรห์วาก็เพื่อต้องการให้องครักษ์หนุ่มพูดออกมาว่าแท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์อย่างไรกับราชินี "เราเกรงว่ามันจะกระทบความสัมพันธ์ของเซลทิคกับมารินาการ์ด" พระนางรู้ว่าชาวเซลทิคปลาบปลื้มพระนาง และมีความคาดหวังให้พระนางมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฝ่าบาทไคราห์น

แต่พระนางก็ตัดสินใจที่จะเสกสมรสแล้ว...

ราชาทะเลเหนือยิ้มตอบ "เราตั้งใจจะไม่สมรสกับผู้ใดมาตั้งแต่แรกแล้ว ฝ่าบาทเรจินา..."

ราชินีมองผิวพรรณขาวโพลนของอีกฝ่าย และเอื้อมมือไปวางบนท่อนแขนกำยำนั้นเพื่อจะพบว่าแม้แต่มือของพระนางก็ยังสีเข้มกว่า และปล่อยให้ราชาหนุ่มเคลื่อนมือมากอบกุมมือของพระนางตอบ "ฝ่าบาทไม่โกรธเราหรือ..." นางช้อนตาขึ้นมองคู่สนทนา แม้จะไม่ใช่การออดอ้อน แต่ก็เป็นสีหน้าที่ยากจะปฏิเสธ

"กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาททั้งสองก็เหมาะสมกันดีในเรื่องนี้" ฟาเบียงเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศ ราชาเซลทิคค่อยๆ ถอยมือกลับด้วยรู้สถานะตัวเอง องครักษ์มารินาการ์ดเหลือบมองเวสเทียร์ครู่หนึ่งแล้วจึงเคลื่อนสายตากลับไปหาฝ่าบาทไคราห์น "ความเสมอกันในเรื่องการปกปิดความสัมพันธ์กับองครักษ์"

"ฟาเบียง..." เรจินาเอ็ด

"ขออภัยฝ่าบาท" เงือกฉลามค้อมหัวรับผิด

"เจ้าอาจจะหูทึบ แต่สายตาว่องไวสมกับเป็นฉลาม" ไคราห์นตอบเรียบ "เรื่องการสมรส เรายินดีช่วยเหลือ หากไรห์วาจะเข้ามามีส่วนร่วมใดๆ ก็ตาม เซลทิคจะไม่ยินยอม" ราชาวาฬขยับว่ายถอยหลัง ซึ่งทำให้เงือกฉลามนึกทึ่งอยู่ในใจ "เราคงต้องขอตัวก่อน ฝ่าบาทเรจินา ทางเราจะจัดการเรื่องเนื้อวาฬเอง พักผ่อนให้เต็มที่เถิด"

"เราซึ้งในน้ำใจ ฝ่าบาทไคราห์น"

เรจินายิ้ม และเฝ้ามองอีกฝ่ายว่ายจากไปพร้อมองครักษ์ของตน ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่คนข้างกาย "เจ้าไปย้อนฝ่าบาทเช่นนั้นได้อย่างไร คิดว่าเขาอยากปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างตนกันองครักษ์อย่างนั้นหรือ" หากมีเรี่ยวแรง นางก็อยากจะตีคนตรงหน้าสักหลายครั้ง ทว่าตอนนี้เพียงอ้าปากพูดก็เหนื่อยมากพอแล้ว

"เราเหนื่อยแล้ว" พระนางเอนกายลงนอนตามเดิม "เร็กซ์ไปไหนเสีย เจ้าเห็นเขาบ้างหรือเปล่า"

"ออกไปกับเจ้าวาฬยักษ์ขอรับ" ฟาเบียงตอบ "คงจะได้มันกลับมารินาการ์ดด้วยกันเป็นแน่"

--------------------------------------------------

ไม่เพียงแต่คาดันน์ที่อยู่กับองค์ชายเร็กซ์ แน่นอนว่าองครักษ์หน่วยลาดตระเวนฝ่ายซ้ายอย่างเวทอร์สก็อยู่ด้วย ทว่าวันนี้กลับไม่ใช่การเที่ยวเล่นอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่เร็กซ์เดินทางมาถึงถ้ำแห่งเผ่าเพชฌฆาตเพื่อฟังการหารือกันของเหล่าผู้อาวุโส "เราต้องสรรหาผู้นำหน่วยลาดตระเวนใหม่ ซึ่งต้องคัดเลือกจากผู้นำหน่วยย่อยสี่ทิศ" ซินเธียร์ อดีตองครักษ์คนสนิทของราชาบริททาเนียร์เป็นเงือกอาวุโสที่สุดในเผ่า หลังได้รับอำนาจในการตัดสินใจจากฝ่าบาทไคราห์น และหารือกับเวสเทียร์ ผู้นำเผ่าเรียบร้อยแล้ว นางจึงมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องนี้

"หากพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เวทอร์สเหมาะสมที่สุด..." เงือกตนหนึ่งเอ่ย

แต่เวทอร์สมีอายุเพียงสิบแปดปี เจ้าตัวยอมรับว่าเขาไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะเป็นผู้นำหน่วยลาดตระเวนที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญได้อย่างรวดเร็วในภาวะวิกฤต หากเขาต้องตัดสินใจอย่างเลสซีย์ เงือกหนุ่มยอมรับว่าตนเลือกไม่ได้ "ข้าขอปฏิเสธตำแหน่ง" เขายืดอกหนักแน่น "ความแข็งแกร่งไม่ได้หมายถึงความฉลาดเฉลียว..."

"แต่เวสเทียร์ก็ได้ตำแหน่งผู้นำเผ่าตั้งแต่อายุสิบแปด" เงือกอีกตนว่า "ข้าจึงไม่ขัดข้อง"

ซินเธียร์ยกมือปรามคนในที่ประชุม "ตำแหน่งผู้นำเผ่าของเรามีหน้าที่ปกป้องราชา อายุน้อยและฝีมือดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ผู้นำหน่วยลาดตระเวนหมายถึงความปลอดภัยของอาณาจักร จะใช้เพียงคนที่มีความสามารถไม่ได้ หากไม่ตัดสินใจให้เร็ว การศึกอาจพ่ายแพ้" นางมองสบตาเวทอร์สครั้งหนึ่ง "ในอนาคต เจ้าจะแกร่งขึ้น เวทอร์ส แต่ในตอนนี้... เจ้ายังไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุด"

"ขอรับ ท่านซินเธียร์" เงือกหนุ่มค้อมหัว

"เช่นนั้นก็เหลืออีกสามทิศให้เลือก" นางเงือกอาวุโสว่า "แต่ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ฝ่าบาทมอบหมายให้ข้าจัดการ" จู่ๆ นางก็หันไปสบตาเจ้าวาฬคาดันน์ที่อยู่ในที่ประชุมด้วย "ฝ่าบาทจะมอบราชรถวาฬให้มารินาการ์ดเป็นของกำนัล" ในเขตน่านน้ำของอาณาจักร มีวาฬเพชฌฆาตหลายกลุ่ม แต่ถึงอย่างนั้น การมอบราชรถวาฬให้กับอาณาจักรอื่นก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

...เช่นนั้นข่าวลือที่ว่า ฝ่าบาทเรจินาช่วยชีวิตฝ่าบาทไคราห์นเอาไว้ก็ท่าจะเป็นเรื่องจริง

"และองครักษ์หน่วยจู่โจมจะหมุนเวียนเดินทางไปประจำอยู่ที่มารินาการ์ดสักพัก" เหล่านักรบหันมองกันด้วยความฉงน "มารินาการ์ดอาจมีภัย นี่จึงเป็นสิ่งที่เพื่อนบ้านที่ดีควรทำ หมายถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างอาณาจักร" ซินเธียร์รู้ดีว่าฝ่าบาทของนางไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนมาตั้งแต่แรก ด้วยลักษณะผิดแปลกไปจากเชื้อพระวงศ์คนอื่น ดังนั้นคำสั่งของอีกฝ่ายจึงไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ควรมาแต่ไหนแต่ไร

ความเงียบที่เกิดขึ้นแทนเสียต่อต้านที่ไม่อาจพูดออกมาได้...

"หากไม่มีใครอาสา ข้าจะไปมารินาการ์ดเอง" เวทอร์สกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ เขาเคลื่อนตัวออกมาเบื้องหน้านางเงือกอาวุโส "มารินาการ์ดสูญเสียกำลังคนไปเพื่อช่วยเหลือเรา รวมทั้งองครักษ์คนสนิทขององค์ชายเร็กซ์ด้วย" เขาเงยหน้าขึ้นมองท่านซินเธียร์ "ข้าอาสาเดินทางไปมารินาการ์ด... แทนที่ตำแหน่งองครักษ์ผู้นั้น"

เผ่าเพชฌฆาตหันมองกันเล็กน้อยและค่อยๆ เคลื่อนกายออกมาทีละคนสองคน

"ข้าจะไปประจำการที่มารินาการ์ดด้วย"

"หน่วยของข้าด้วย"

"ข้าด้วย..." เสียงที่ไม่คุ้นเรียกความสนใจของทุกคน พวกเขาหันไปมองผู้มาเยือนอีกคนที่ตัวเล็กกว่าใคร อีกทั้งยังมีเขาเดี่ยวเหนือหน้าผาก เอลลาร์ยกมือขึ้น "ข้าสามารถ... ทำยาให้พวกมารินาการ์ดกลายเป็นมนุษย์ได้ พวกเจ้าก็แค่ไปสอนวิชาต่อสู้ให้พวกเขา" เงือกนาร์วาลเคลื่อนกายไปเบื้องหน้า เคียงข้างเวทอร์ส แม้เขาจะดูตัวเล็กกว่ามากก็ตาม "เพราะฝ่าบาทไคราห์น... ช่วยเหลือเผ่านาร์วาลมาตลอด ข้าจึงอยากตอบแทน"

เผ่านาร์วาลไม่เคยเคารพราชาแห่งเซลทิค พวกเขาหลบไปอาศัยในดินแดนขั้วโลกที่ไม่ได้รับการเหลียวแล แต่มีเพียงราชาผิวเผือกผู้นี้เท่านั้นที่สนใจไถ่ถามความเป็นไปและไม่เคยขาดการติดต่อ ด้วยมีเพียงเหตุผลเดียว

'อย่างไรเจ้าก็เป็นเงือกวาฬ เราเป็นพวกเดียวกัน'

'เราได้ผลึกแห่งแสงจากเบลีซเป็นของกำนัล เรามอบให้พวกเจ้าใช้นำทางในความมืดที่ขั้วโลก'

'ได้ยินว่าอำพันของมารินาการ์ดสามารถทำให้อุ่น หากเราได้มันมา เราจะให้พวกเจ้า'

"เหตุผลที่ข้าเดินทางมาที่นี่... ก็เพื่อจะบอกฝ่าบาทว่า เราค้นพบส่วนผสมของพิษที่สามารถฆ่าแวมไพร์ได้ โดยที่ไม่ต้องแทงหัวใจพวกมัน" เอลลาร์กล่าว "ฝ่าบาทอยากให้ชาวเซลทิคขึ้นไปที่บาร์ธีมอร์ได้อย่างเสรี อย่างที่เคยทำ โดยไม่ต้องกลัวแวมไพร์"

เผ่านาร์วาลนับเป็นพวกโลมา ดังนั้นเมื่อเอลลาร์กล่าวยืดยาวเช่นนั้น พวกเพชฌฆาตจึงไม่ลังเลที่จะเดินทางไปมารินาการ์ดอีกต่อไป "เราจะหมุนเวียนกันทุกหน่วย! ทุกเดือน! ไปสอนพวกเงือกปลาให้สู้เป็น... แล้วช่วยกันเอาชนะพวกแวมไพร์!"

ซินเธียร์ยิ้มเล็กน้อยก่อนหันมองเวทอร์ส "ฝ่าบาทเลือกเจ้าให้ไปกับองค์ชายเร็กซ์อยู่แล้ว เวทอร์ส"

"เจ้าด้วย... คาดันน์"

--------------------------------------------------

ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกเผ่าเพชฌฆาตหารือไปถึงไหนแล้ว...

ราชาแซลทิคยอมรับว่าเขาไม่มีอำนาจพอที่จะสั่งคนของตัวเองได้ แต่ได้คาดหวังว่าการยกเลิกกฎราชวงศ์สักข้อหนึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างเขาและประชาชนน้อยลงบ้าง และกฎข้อนั้นก็คือการ 'ห้ามเงยหน้ามอง'

ฝ่าบาทไคราห์นยกเลิกกฎข้อนี้ไปแล้ว...

"เหตุใดฝ่าบาทจึงเลือกเวทอร์สไปมารินาการ์ดล่ะขอรับ" ในฐานะพี่ชาย เวสเทียร์ยอมรับว่าเขาเป็นห่วงอีกฝ่าย แต่ก็รู้ว่าเวทอร์สโตพอ และแข็งแกร่งมากพอที่จะอยู่ตัวคนเดียวได้แล้ว "ทั้งยังเรื่องจะส่งคนไปประจำอยู่ที่นู่นสักระยะด้วย"

"พรุ่งนี้เราจะขึ้นไปหาเจ้าแวมไพร์ปลิ้นปล้อนนั่น" ไคราห์นตอบ "ถึงมันจะลื่นเป็นปลาไหล แต่ก็เป็นปลาไหลไฟฟ้าที่ได้เรื่องอยู่บ้าง เราคงต้องพึ่งพามันในเรื่องนี้ และมารินาการ์ดช่วยเราเอาไว้ พวกเขาไม่มีทักษะการต่อสู้อย่างชาวเรา ดังนั้น เราจึงต้องปกป้องพวกเขาเป็นการตอบแทน"

เวสเทียร์พยักหน้ารับรู้ "แล้วเรื่องเผ่านาร์วาล..."

"ท่านแม่ดึงดันจะเดินทางปลีกตัวออกไปก็จริง แต่ในเมื่อจะไปแล้ว ไปอยู่กับเผ่านาร์วาลก็ดูจะปลอดภัยกว่า และทำให้พวกเขาใกล้ชิดกับเรามากยิ่งขึ้นอีกด้วย ครั้งนี้พวกเขานำข่าวดีมาบอก พิษที่ค้นพบจะเป็นอาวุธสำคัญของชาวบาดาลในการต่อสู้กับอมนุษย์จากเบื้องบน อีกทั้งเรื่องของยาที่จะแปลงเหล่าเงือกปลาเป็นมนุษย์ได้อีกด้วย"

"ฝ่าบาท..."

ฟาลที่หายหน้าหายตาไปร่วมวัน เดินทางกลับมายังถ้ำที่ประทับพร้อมข่าวความเคลื่อนไหว "เผ่าเพชฌฆาตตอบรับคำสั่งของฝ่าบาท เราจะหมุนเวียนกันไปประจำการที่มารินาการ์ด โดยมีเอลลาร์ เจ้าเงือกนาร์วาลเดินทางไปด้วย เขาอาสาจะช่วยสอนให้เงือกปลาพวกนั้นเดินเหินแบบมนุษย์"

"แล้วเธรมาร์... ไอ้ตัวแสบที่เอาเขาถากหน้าน้องสาวเราจนเป็นแผลนั่นไปหดหัวอยู่ไหน"

ฟาลลอบหัวเราะกับคำเรียกนั้นก่อนจะค้อมหัวตอบ "เธรมาร์ก็จะร่วมเดินทางไปด้วยขอรับ แต่ในตอนนี้... องค์หญิงอาโกรนาห์เรียกเขาไปพูดคุยด้วยเป็นการส่วนตัว" เมื่อได้ยินคำว่า 'ส่วนตัว' พี่ชายก็เบิกตาขึ้นอย่างยอมไม่ได้

"ถ้ำใด! ใครอยู่ด้วยบ้าง! องครักษ์ของนางไปไหน เจ้านั่นชื่ออะไรนะ! ฟาโอ!"

"ฝ่าบาท... ใจเย็นขอรับ" เวสเทียร์ปราม

"ฝ่าบาทเรจินาอยู่ด้วยขอรับ พระนางรู้สึกดีขึ้นบ้างจึงได้ขึ้นมาสนทนากลางแสงจันทร์กับองค์หญิง" ฟาลว่า เขาขบริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยเพื่อรวบรวมความกล้าในการตั้งคำถามกับราชา "ฝ่าบาทเรจินาจะเสกสมรสกับองครักษ์ฟาเบียงหรือขอรับ"

"อืม... เราให้อาโกรนาห์ไปคุยเรื่องสาวๆ แล้ว" ไคราห์นตอบสบาย "ให้ฝ่ายเราจัดการก็เป็นเรื่องดีแล้ว ฟาล มิเช่นนั้นชาวเมืองจะพากันนินทากล่าวหาว่าเรา 'ถูกทิ้ง' อีกทั้งยังเป็นการออกตัวปกป้องฝ่าบาทเรจินาไม่ให้พวกฉลามไรห์วาเสนอหน้ามาหาเรื่องอีกด้วย" เวสเทียร์อาจรู้สึกไม่พอใจมาทั้งวันที่ฝ่าบาทของตนดูจะสนใจงานแต่งงานของราชินีเมืองอื่น แต่เมื่อได้ยินเหตุผลแล้ว องครักษ์หนุ่มก็คิดว่าเขาประมาทความคิดราชาเซลทิคมากเกินไป

"ขอรับ..." ฟาลค้อมหัว "เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อน"

ราชาทะเลเหนือมองเลขาของตนออกไปจากถ้ำ ก่อนจะถอนใจยาวด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย "ทั้งวันเลยเชียว" ร่างสูงเหลือบมององครักษ์ของตน "จะไม่แกะเปียผมให้เราหน่อยหรือ" เวสเทียร์ยังไม่คุ้นกับรูปแบบความสัมพันธ์แบบนี้ ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติตัวเป็นองครักษ์ที่ดีด้วยความเคยชิน และแน่นอนว่าลืมไปหมดสิ้นว่าเขาคือ 'คนรักของราชา'

แล้วจะต้องทำตัวอย่างไรเล่า... แบบเหล่าชายาน่ะหรือ!

แค่คิดก็ขนลุกแล้ว...

"กระหม่อมคิดว่ามันเข้ากับฝ่าบาทดีขอรับ" เวสเทียร์ตอบ "แล้วนี่ก็ยังไม่ครบวันหนึ่งตามสัญญาขององค์หญิง ใครจะกล้าอาสารื้อออก" ที่ผ่านมาเวสเทียร์เป็นคนใต้บัญชาที่ไม่ใคร่จะมีปากเสียง ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายโต้บ้าง ฝ่าบาทไคราห์นก็เริ่มคิดว่าคนตรงหน้าดูจะดื้อ และไม่ยอมใครง่ายๆ อย่างที่เขาคิด

นี่พวกเขาอยู่ด้วยกันมาถึงสิบปีโดยไม่รู้จักนิสัยที่แท้จริงกันได้อย่างไร!

ราชาหนุ่มเอื้อมมือไปจับเปียผมที่ยังชื้นน้ำด้านหลังของตน "กระหม่อมจะทำให้ขอรับ" เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทไม่ตอบโต้ เวสเทียร์จึงยืดตัวขึ้นอาสาด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะขุ่นเคือง

นี่เขาถูกราชาเซลทิค 'งอน' เข้าแล้วหรือไร!!

คนอย่างฝ่าบาทน่ะหรือ... จะงอนเป็นกับเขาด้วย

เวสเทียร์ลอบสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย ราชาหนุ่มนั่งนิ่งให้เขารื้อเปียผมออก และใช้หวีสางให้เรียบร้อยตามเดิม แม้จะรู้สึกพิเศษอยู่บ้างที่เขามีโอกาสได้สางผมให้ราชา แต่ฝ่าบาทก็วางตัวเป็นปกติทุกประการ ราวคุ้นเคยกับมันดี "ฝ่าบาทเคืองกระหม่อมหรือเปล่า"

"เคืองเรื่องใดกัน" อีกฝ่ายตอบตามที่คิด ก่อนจะส่งเสียง 'อ้อ' ในลำคอเบาๆ "ถูกของเจ้า อาโกรนาห์ขอเอาไว้วันหนึ่ง แต่เราก็ไม่เห็นนางจะตามมาดูนี่ ควรจะเอาออกดีกว่า" เวสเทียร์ลูบมือไปบนผมเปียกชื้น สีของมันขาวโพลนอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือเส้นผมจริงๆ

"อยากให้เราหวีให้เจ้าบ้างไหม"

"ม... มิได้ขอรับ" องครักษ์สะดุ้ง เขาปฏิเสธพัลวันก่อนที่จะได้คิดอะไรให้ถี่ถ้วน "ฝ่าบาท..." ร่างโปร่งเสียงอ่อนลง "กระหม่อมวางตัวไม่ถูก... ไม่รู้ว่าควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไรบ้าง"

ไคราห์นยิ้มบาง "อึดอัดหรือเปล่า"

"แค่ไม่ชินขอรับ" องครักษ์ไม่อยากปฏิเสธ เพราะเขาเอาแต่หนีมาตลอด ทำให้เขาเกือบจะเสียคนตรงหน้าไปแล้วไม่ใช่หรือ "เพราะเป็นแค่องครักษ์มาตลอด"

"ที่ผ่านมาไม่เคยคิด... อยากจะทำอะไรแบบคนรักบ้างเลยหรือ"

เวสเทียร์รู้สึกร้อนที่ใบหน้า คิดว่าโชคดีแล้วที่เขาหวีผมอีกฝ่ายอยู่ด้านหลังแบบนี้ "กระหม่อม..." หากกล่าวว่าเขารู้สถานะและหน้าที่ดีจนไม่คิดอะไร... ก็คงจะเป็นการโกหก เขาไม่ควรโกหกอีกฝ่าย หลังจากโกหกมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา "อยากหวีผมให้ฝ่าบาท" คนฟังยิ้มขันด้วยความเอ็นดู เขาเงยคางขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เวสเทียร์หวีถนัดขึ้น

"แล้วอะไรอีก..."

"อาจจะ..." เสียงขององครักษ์เบาลงจนเกือบเป็นกระซิบ "นวดแขนให้... ถ้าฝ่าบาทเมื่อย"

"แค่แขนหรือ แล้วตรงอื่นเล่า"

"ฝ่าบาท!"

"เรายังไม่ได้บอกเลยว่าตรงไหน" ร่างสูงหัวเราะร่วน "แต่จะไม่แซวก็ได้ หากพูดไปแล้วเจ้าจะไม่ทำ" เขาจรดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก "รอลุ้นว่าเจ้าจะทำอะไรบ้างก็คงตื่นเต้นดี" ฝ่าบาทไคราห์นอาจพูดจาแปลกจนเวสเทียร์ไม่รู้จะเอ่ยอะไรตอบ เขาก้มลงหวีผมอีกฝ่ายเงียบๆ ระหว่างคิดว่าควรจะรับมืออย่างไร

"อย่างไรกระหม่อมก็จะทำ" องครักษ์อุบอิบตอบ ก่อนเรียกอีกครั้ง "ฝ่าบาท..."

"ว่าอย่างไร..."

"กระหม่อมอยาก... จูบฝ่าบาทด้วย"

"ข้อนี้ไม่ต้องบอก..." ราชาถอนใจ หันกลับไปดึงอีกฝ่ายเข้ามาหา ก่อนบรรจงแนบริมฝีปากจูบ "...ให้ทำเลย" เสียงทุ้มกระซิบบอก และจูบซ้ำอย่างอ่อนโยน เวสเทียร์สะดุ้งเกร็งด้วยขัดเขิน เขาจูบตอบ และวางมือไว้บนแขนแกร่งขณะถูกรวบเข้าไปแนบอก การมีหางปลาทำให้เคลื่อนไหวไม่ถนัด แต่องครักษ์ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไร หากเปลี่ยนร่าง อีกฝ่ายจะว่าเขามักมากหรือไม่หนอ

"จะต้องเริ่มที่จูบคอด้วยหรือเปล่า" ราชาแอบเย้า เขาลากลมหายใจผ่านไปยังพวงแก้ม กระชับวงแขนให้เวสเทียร์เอนอยู่ในอ้อมกอด "จะทำแบบครั้งแรกอีกทีไม่ใช่หรือ" ร่างโปร่งสะดุ้งไหวเมื่ออีกฝ่ายก้มลงกระซิบข้างหู แม้เขาจะไม่เคยลืม 'ครั้งแรก' แต่สถานะตอนนี้ช่างแตกต่างจากเวลานั้นมากเหลือเกิน

"ก... กระหม่อมยังไม่ได้ตกลง..."

"รู้จักปฏิเสธเราแล้วหรือ"

เวสเทียร์รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายก้มจูบบนรอยแผล รอยเขี้ยวของแวมไพร์ที่ไม่มีวันจางหาย ไม่ว่าจะรักษาด้วยอำนาจใดก็ตาม องครักษ์หลับตา ระบายลมหายใจหนักๆ ออกมา ในยามที่ฝ่าบาทขบกัดซ้ำอย่างที่เขาทำทุกครั้งเมื่อเห็นร่องรอยน่าหงุดหงิด

ร่างโปร่งสูดใจลึก และเปลี่ยนกายช่วงล่างเป็นขา ก่อนตวัดขึ้นนั่งบนตักของราชาอย่างที่เคยทำเมื่อห้าปีที่แล้ว ไคราห์นชันเข่าขึ้น โอบคนตรงหน้าเข้ามาหาตัว กดเนินเนื้อหนั่นแน่นแนบกับท่อนขาแกร่งด้านล่าง ให้กลางกายของพวกเขาสัมผัสกันทีละน้อย อ้อยอิ่ง เนิบช้า

ฝ่าบาทรั้งคนตรงหน้าลงมาจูบ พวกเขาจูบกันครั้งแล้วครั้งเล่า จมดิ่งไปในห้วงอารมณ์ยั่วเย้าแห่งความปรารถนาอันร้อนรุ่มราวเปลวไฟ แม้จังหวะการเคลื่อนไหวจะไม่แตกต่างจากในความทรงจำ แต่มันก็ถูกบันทึกซ้ำด้วยสัมผัสแนบแน่นยิ่งกว่าครั้งอื่นใด

นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขา... ในฐานะคนรัก

--------------------------------------------------


แอบตัดฉากสุดท้ายซะงั้นอ่ะ 555

คือหมดแรงกะทันหัน เรทนี้มันยาก เอาไว้ไปท่ายากในตอนพิเศษละกันนะ อิอิ

แต่ตอนนี้ยาวตั้ง 15 หน้า A4 และทำให้รวมเล่มบัลลังก์จ้าวนาราทะลุ 300 หน้าอย่างชิลๆไม่ต้องลุ้น (อุตส่าห์ลุ้นให้ 280-290 หน้า โธ่ << คืออยากเขียนนิยายบางๆ บ้าง) ช่วงนี้จะเป็นช่วงหย่อนเส้นเรื่อง และคลายปัญหาลง ก่อนที่จบ... ฮื้อออ (น่าจะ 25 ตอนจบอ่ะน้า << มีตอนพิเศษต่อ คือเขียนพลอตตอนพิเศษเอาไว้พอสมควรเบย ระหว่างเขียนเรื่อง หน่วงมาก กดดันมาก 555)

จริงๆ ฝ่าบาทกับเวสเวสนี่น่าจะเป็นคู่น้ำเน่าเหมือนกัน ดูจากพฤติกรรมแล้ว... แต่ถามว่าใครดูหมกมุ่นกว่ากัน แรกๆ อาจจะเป็นเวสเวส แต่หลังๆ น่าจะเป็นฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทดันมีชั้นเชิงทำให้เวสเวสคิดว่าตัวเองโรคจิตอยู่คนเดียว 555

เวสเวสในความคิดเราคือเขาไม่ได้สวยนะ แต่เป็นคนที่เอวดี สะโพกสวย ...เซ็กซี่

บางทีจับนิดจับหน่อยก็อยากขย้ำแล้ว---
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 23 [30-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 30-06-2017 10:01:39
ขำ ที่เวสเวส คิดว่าตัวเองโรคจิตคนเดียว 55555
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 23 [30-06-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: April❤ ที่ 30-06-2017 18:31:08
ชอบเค้าสวีทกัน :-[
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 24.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 03-07-2017 07:01:27
ตอนที่ 24.1

เงือกวาฬไม่นอนหลับยามกลางคืน พวกเขาพักผ่อนเมื่อเหนื่อย ดังนั้นเวลากลางคืนของพวกเขาจึงเทียบเท่ายามกลางวัน เพียงแค่ไม่มีแสงสว่าง แต่นี่ก็เป็นวันที่สองแล้ว ที่ราชาเซลทิคพักผ่อนข้ามคืน และตื่นขึ้นมาในตอนเช้าโดยมีองครักษ์คนสนิทนอนอยู่ข้างกาย

ออกจะแปลกไปเสียหน่อยที่องครักษ์ตื่นสายกว่าราชา

ฝ่าบาทเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และตัดสินใจว่าวันนี้เขาจะไม่รบกวนเวลานอนของเวสเทียร์ เพราะกิจกรรมเมื่อคืนที่ผ่านมานั้นแตกต่างจากจินตนาการของเขาเอาไว้มากเหลือเกิน จริงอยู่ว่าไคราห์นเคยคิดบ้างเหมือนกันว่าหากเขา 'จีบ' เวสเทียร์ติดขึ้นมาจริงๆ เขาอยากจะทำอะไรบ้าง  แต่เมื่อมารู้เอาทีหลังว่าอีกฝ่ายต่างหากที่ชอบเขามาตลอด ราชาเซลทิคก็อดรู้สึกแปลกไม่ได้

แต่ที่แปลกใจยิ่งกว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของพวกเขาเป็นความเข้าใจผิดเสียอย่างนั้น

"เจ้าคนลามก" ราชาหนุ่มกระซิบหยอกคนข้างตัว และหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างมั่นใจว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาเถียง แต่แล้วดวงตาสีเข้มก็ปรือขึ้นมองตามเสียงทุ้ม ก่อนจะหลบลงต่ำ ขณะนึกค่อนขอดอยู่ในใจ

ช่างเป็นการอรุณสวัสดิ์ที่น่าซาบซึ้งเหลือเกิน...

ไคราห์นกลืนน้ำลายช้า ระหว่างชั่งใจว่าควรจะพูดอะไรต่อ "เราทำให้เจ้าตื่นหรือเปล่า"

เวสเทียร์เป็นแค่องครักษ์ จะยอกย้อนราชาก็คงไม่ใช่เรื่องสมควร ต่อให้ตอนนี้จะเป็นมากกว่านั้นแล้วก็ตาม "กระหม่อมตื่นได้สักพักแล้วขอรับ" เมื่อไม่รู้จะกล่าวอะไรตอบโต้ เวสเทียร์ก็เฉไฉไปเรื่องอื่นแทน "แต่เกรงว่าหากขยับตัวแล้วฝ่าบาทจะตื่นไปด้วย..."

"ไม่เหนื่อยรึ"

ร่างโปร่งยิ้มขำ "ฝ่าบาทก็ไม่ได้อ่อนโยนมาแต่ไหนแต่ไรนี่ขอรับ"

"ใครกันแน่ที่ชอบผละออกไปทันทีน่ะ" ราชาทักท้วง "ยังไม่ทันพักหายใจหายคอ เจ้าก็ถอยออกไปทุกครั้ง" แม้เวสเทียร์จะนอนหนุนแขนอยู่ แต่ไคราห์นก็ขยับไปโอบร่างนั้นเข้ามาใกล้ตัวเองยิ่งขึ้น จนเวสเทียร์ต้องขยับไปนอนหนุนบนบ่ากว้างแทน "เจ้าหรือเรากันแน่ ที่เย็นชา หืม... เวสเทียร์"

"กระหม่อมไม่ได้เย็นชา" ร่างโปร่งตอบเสียงเรียบ "กระหม่อมแค่กลัวฝ่าบาทหนัก"

"เราตัวเล็กขนาดนั้นหรือไร"

เวสเทียร์ชะโงกขึ้นไปจูบบนสันกราม ราวกับออดอ้อนให้คนตรงหน้าหยุดพูดเสียที

...เจ้าองครักษ์นี่ชักจะได้ใจมากไปเสียแล้ว

แต่ไคราห์นก็ยอมอ่อนลง และหันไปจูบหน้าผากมนตอบ "ไม่เหนื่อยจริงๆ หรือ" ที่เขาถามเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะเขาลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นองครักษ์ และเป็นถึงผู้นำเผ่าเพชฌฆาตที่ได้ชื่อว่ามีฝีมือการต่อสู้ดีที่สุด แต่เพราะเวสเทียร์ 'สมควร' จะเหนื่อย "สามครั้งน่ะนะ..."

ไคราห์นเองยังเพลียจนไม่อยากขยับตัวด้วยซ้ำ

"ได้นอนสักพักก็ดีขึ้นแล้วขอรับ"

เจ้าคนลามก... เผ่าเพชฌฆาตนี่แข็งแรงสมคำร่ำลือเหลือเกินนะ

ไคราห์นโอบอีกฝ่ายเอาไว้ และเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอึมครึมมืดครึ้มในฤดูหนาว ระหว่างนึกหาเรื่องพูดคุยต่อ "คนรักกันไม่ควรอึกอักในบรรยากาศแบบนี้หรือเปล่า..." จริงอยู่ว่ากฎเกณฑ์ของราชวงศ์กีดกันราชาออกจากประชาชน กลายเป็นบุคคลที่ต้องเทิดทูนเอาไว้เหนือหัวตลอดเวลา แต่เวสเทียร์ก็เป็นคนใกล้ชิด เป็นองครักษ์คนสนิทของเขา อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์กับเขา เหตุใดที่ผ่านมาพวกเขาทั้งคู่จึงไม่มีเรื่องให้พูดกันเลย

"กระหม่อมชินกับความเงียบขอรับ"

ร่างโปร่งฟังเสียงหัวใจของอีกฝ่าย ด้วยการแนบหน้ากับอกกว้าง มันเป็นจังหวะที่มั่นคงสม่ำเสมออย่างที่เขาจินตนาการไว้ "แต่ก็อยากพูดคุยกับฝ่าบาทบ้างเหมือนกัน" เวสเทียร์รู้ดีว่าเหตุใดไคราห์นจึงถามแบบนั้น เพราะอีกฝ่ายเริ่มสัมผัสได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขากำลังจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม นั่นคือการไม่ค่อยพูดกัน ไม่มีอะไรให้คุยกัน แม้จะใกล้ชิดกัน และเอ่ยปากว่ารักกัน แต่มันก็เป็นความรักที่ยังมีช่องว่าง

"เจ้าพูดไม่เก่ง... ครั้งแรกที่เข้ามาทำหน้าที่ เราก็เห็นเป็นเช่นนั้น"

"กระหม่อมแค่ไม่อาจเอื้อม"

"เจ้าคุยอะไรกับเวทอร์สบ้าง" ในเมื่อพูดเรื่องของกันและกันดูจะไปไม่รอด ไคราห์นก็เริ่มหันไปสนใจคนข้างกายอีกฝ่าย ซึ่งนั่นก็คือน้องชายอย่างเวทอร์ส "ทุกเช้าที่ออกไปล่า หรือว่าช่วงเวลาที่ฟาลเข้ามารายงานความเคลื่อนไหว เจ้าไปนั่งสางผมกับเวทอร์สหรือเปล่า พูดคุยเรื่องใดบ้าง"

"เรื่องฝ่าบาท..." เวสเทียร์ตอบอุบอิบ "ว่าฝ่าบาททำอะไรบ้างในแต่ละวัน"

นี่เวสเทียร์ไม่เคยสนใจอย่างอื่นนอกจาก 'ตัวเขา' เลยหรืออย่างไร

ไคราห์นเลิกคิ้วด้วยฉงน "เจ้ามีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษหรือเปล่า" องครักษ์อึกอักเล็กน้อยด้วยไม่อยากให้คำตอบเดิม นั่นก็คือ 'ฝ่าบาท' เขาเหลือบมองไปรอบตัวขณะคิดหาคำตอบ และไปสะดุดกับหีบใส่เครื่องประดับของไคราห์นที่อยู่อีกด้านหนึ่งของถ้ำ ลามไปยังแท่นวางอาวุธไม่ว่าจะเป็นดาบที่ทำจากกระดูกสัตว์ หรือหอกเล่มยาวที่ทำจากกระดูกสัตว์เช่นกัน

เขาควรจะชอบอาวุธ หรือเครื่องประดับดีหนอ

เวสเทียร์ส่ายหัวเบาเมื่อเขาไม่สามารถให้คำตอบเฉไฉไม่ซ้ำซากได้ "กระหม่อมชอบฝ่าบาท"

เจ้าคนทื่อ...

ไคราห์นถอนใจ เขาลูบผมสีเข้มเป็นเชิงปลอบโยน " นี่ใจคอจะไม่ให้เรา 'จีบ' เจ้าเลยหรือไร" ก่อนจะเป็นคนรักกันก็ต้องจีบกันเสียก่อน เป็นการทำความรู้จักสนิทสนมกัน เพื่อเข้าถึงความคิด ความรู้สึก สิ่งที่สนใจ งานอดิเรก แต่ตอนนี้เขากับเวสเทียร์กลายเป็นคนรักกันทั้งที่เขายังไม่รู้จักเวสเทียร์ดีเลยด้วยซ้ำ

แต่เชื่อว่าเวสเทียร์คงจะรู้จักเขาพอสมควรแล้ว

"กระหม่อมรักฝ่าบาทมานานแล้ว เหตุใดจะต้องจีบอีก"

ในหัวเวสเทียร์ คำว่า 'จีบ' นั่นคือการทำให้รัก ซึ่งสำหรับเขา... เจ้าตัวรู้ว่ารักฝ่าบาทแห่งเซลทิคมานานแล้ว แม้ว่าในครั้งแรกที่ได้พบจะเป็นความชื่นชม และเมื่อได้ทำหน้าที่ก็เรียกได้ว่าเคารพบูชา แต่ต่อมาเวสเทียรืก็มั่นใจว่าเขาหลงรักฝ่าบาททะเลเหนือไปแล้ว

...เจ้าคนทึ่ม

"ฝ่าบาทยังไม่ตอบเลยว่าเหตุใดจึงส่งเวทอร์สไปมารินาการ์ด" ระหว่างที่ราชากำลังพยายามหาจังหวะในการพูดคุยให้ 'หวานซึ้ง' กว่าที่เป็นอยู่ เจ้าองครักษ์คนบื้อที่นอนอยู่ข้างกายเขากลับหยิบยกประเด็นขึ้นมา จนไคราห์นอยากเอ็ดเหลือเกินว่าเหตุใดจึงเอาเรื่องงานขึ้นมาพูดบนเตียงแบบนี้

แต่เวทอร์สเป็นน้องชายแท้ๆ เวสเทียร์จึงต้องการคำตอบ

"กระทั่งเผ่าเพชฌฆาตยังต่อต้านเรา เวสเทียร์..." ราชาเริ่ม "ไม่แน่ว่าอาจไม่มีใครอาสาจะไปประจำการอยู่มารินาการ์ดด้วยซ้ำ สำหรับพวกเขาแล้ว เรจินาไม่ได้มีบุญคุณหรือน่าเลื่อมใส อีกทั้งคำสั่งจากปากเราก็ใช่ว่าจะน่ายอมรับ แต่คนหนึ่งที่พอจะฝากฝังเรื่องนี้ได้ก็คือเวทอร์ส เขาใกล้ชิดกับพวกมารินาการ์ดมากพอ และรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย ดังนั้นเราจึงบอกซินเธียร์ว่า... หากเวทอร์สขันอาสา เราจะให้เขาเดินทางไปประจำอยู่มารินาการ์ดเป็นการถาวร ในฐานะทูตแห่งเซลทิค"

เวสเทียร์อยากถามว่าเหตุใดราชาจึงไม่บอกเขา แต่นั่นก็คงจะเป็นการสำคัญตัวเองผิดไป

"หากเจ้าปรึกษาเจ้า มีหรือเจ้าจะเห็นด้วย" ไคราห์นอ่านคำถามจากสีหน้าของอีกฝ่ายได้ เขาจึงช่วยตอบ "เจ้าจะอาสาไปเองเสียอีก เวสเทียร์"

องครักษ์เม้มปากเล็กน้อยเมื่อพบว่าราชาของเขารู้เท่าทันแทบทุกเรื่อง "หากเป็นเมื่อก่อน กระหม่อมก็จะอาสา..." ว่าแล้วก็หลับตาลง และขยับซบไหล่ราชาสักครั้งแทนคำออดอ้อน "แต่ในเมื่อฝ่าบาทพูดออกมาว่าต้องการกระหม่อม กระหม่อมก็ไม่คิดจะจากไปไหนอีก"

"ดีแล้ว..." ไคราห์นหัวเราะเบาด้วยความเอ็นดู "ดีแล้วที่พูดไปว่าต้องการ"

"แต่ห้ามพูดตอนใกล้จะหมดลมแบบนั้นอีกนะขอรับ"

"อย่างไรเราก็ต้องตายเข้าสักวัน เวสเทียร์" ร่างสูงกระชับวงแขน "และถึงเวลานั้น เราก็คงจะบอกรักเจ้าอีกครั้งอยู่ดี ...ที่รัก" คนฟังหลับตาลง ก่อนจะหลบซ่อนใบหน้าแดงก่ำของตนกับบ่าอีกฝ่าย อย่างไรเขาก็ไม่ชินกับความสัมพันธ์แบบนี้ แต่อย่างน้อยมันก็อบอุ่น อ่อนโยน และรู้สึกดีกว่าที่ผ่านมาเหลือเกิน

--------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 24 [03-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 03-07-2017 10:40:06
โอ๊ยยยยย ตอนยังไม่บอกรักกันก็อึดอัดอยากให้เค้าได้สมหวังกันเร็วๆ แต่พอรู้ว่าใจตรงกันแล้วนี่มัน... หวานกันจนน่าหมั่นไส้ คนไม่มีคู่นี่อิจฉาตาร้อนเลยทีเดียวววว ชิชิ  :m31:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 24 [03-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: theG ที่ 04-07-2017 22:21:26
มาอ่านตามรวดเดียว แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ยอมรับว่าแรกๆ จินตยาการตามยากจีงๆค่ะ ไม่รุ้จักถ้ำลอด ถถถถถ แต่ความหน่วงของราชากะองครักษ์นี่ถูกใจเราสุดๆ /เป็นพวกมาโซค่ะ 5555555 นี่แอบรุ้สึกว่าองครักษ์แอบมีความควีนอะ จูบคือจูบ กอดคือกอด ไม่ต้องมาลีลา  :hao7: ชอบสุดๆ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 24.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 05-07-2017 10:42:54
ตอนที่ 24.2

วาร์เรนกลับมายังตึกแถวอันเป็นที่ตั้งร้านไม้แกะสลักของเขา ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่สักพัก ต่อให้เขามั่นใจว่าจะไม่มีแวมไพร์ตนใดโจมตีอาณาจักรเงือกอีกแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น เลือดแห่งราชวงศ์เซลทิคก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่

"คราวหลังก็บอกกันบ้าง..."

ราชาแวมไพร์เอ่ยทำลายความเงียบ หลังจากเอ็ดคนตรงหน้าไปโทษฐานที่ทำอะไรไม่ปรึกษากันให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ซินเนย์วาหลอกให้เขาเดินทางกลับอังกฤษ เพื่อเปิดทางให้พวกแวมไพร์กบฎเข้ามายังเซลทิค ก่อนจะส่งนางพรายลมไปตามเขากลับมา "หากข้ากลับมาไม่ทันมันจะเป็นอย่างไร"

"เจ้าไม่มีวันเห็นด้วยกับแผนนี้ วาร์เรน" ซินเนย์วาโต้ "มันคือการใช้เงือกเป็นเหยื่อ"

"แต่เจ้าก็ดื้อดึงที่จะทำ" แวมไพร์หนุ่มมุ่นคิ้ว "ชีวิตของพวกเขา..."

"เจ้าก็ยังพยายามจะลากสงครามกลับไปที่มารินาการ์ด ที่หน้าบ้านของเจ้า" ซินเนย์วาเลิกคิ้ว "มารินาการ์ดเปราะบาง ไม่สามารถทำอะไรได้กระทั่งใช้ขาเดิน แล้วเจ้าคิดว่า... เงือกพวกนั้นจะปลอดภัยเมื่อหลบอยู่ใต้ทะเลจริงหรือ"

วาร์เรนถอนใจ "อย่างน้อยหากมีข้าอยู่ พวกมันก็ไม่กล้าทำอะไร"

"พวกมันกล้าลุกขึ้นมากบฎต่อเจ้า" ซินเนย์วาตอบ "และพวกเงือกเซลทิคนี่ก็ดุพอที่จะสู้พวกมันได้ ข้าเห็นด้วยกับฝ่าบาทไคราห์น เงือกต้องสู้เท่านั้น เพื่อประกาศว่าพวกเขาไม่ใช่ 'เหยื่อ' ของผู้ใด" จริงอยู่ว่าเงือกแห่งเซลทิคค่อนข้างดุร้ายและใจถึง อีกทั้งยังสามารถแปลงเป็นมนุษย์เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งทักษะและชั้นเชิงในการเอาชนะก็ดูจะมีมากกว่าเงือกพวกอื่น ทำให้พวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวสำหรับผีดูดเลือดได้อย่างไม่ต้องสงสัย

"ข้าควรจะกลับคฤหาสน์" แวมไพร์หนุ่มว่า "ข้ารู้สึกไม่ดีกับมารินาการ์ด"

เขาไม่รู้เลยว่ามีใครรู้ ความลับเรื่องการฟื้นคืนชีพของฝ่าบาทไคราห์น ผู้สิ้นลมหายใจไปแล้วทว่ากลับตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยอำนาจแห่งสายเลือดจอมราชัน เพราะหากเลือดแห่งราชวงศ์เซลทิคที่สามารถเยียวยาบาดแผลได้จะนับว่าเป็นเลือดที่มีอำนาจมาก แต่หากเทียบกับพลังของทายาทจอมราชันผู้สามารถชุบชีวิตคนตายได้แล้ว วาร์เรนเชื่อว่าหากแวมไพร์กบฎรับรู้ความจริงข้อนี้ พวกมันจะต้องหันไปเล่นงานมารินาการ์ดแทนอย่างแน่นอน

และต่อให้เป็นครึ่งมัจฉาที่ไม่ต้องโผล่ขึ้นมาหายใจ ก็ยังยากที่จะหนีให้พ้น

"เจ้าอยู่ที่นี่ไปสักพัก หากรีบกลับไป หนอนบ่อนไส้ในคฤหาสน์เจ้าจะต้องสังเกตเห็น พวกมันจะกลับมาเล่นงานเซลทิคได้" ซินเนย์วาเองก็เห็นว่าฝ่าบาทไคราห์นถูกพิษของเวเรเซียโน และเขาไม่ควรจะมีชีวิตรอดแบบนี้ แต่นางก็เลี่ยงที่จะเอ่ยถึงว่าเหตุใดราชาเงือกจึงยังมีชีวิตอยู่

"ข้าแยกร่างไปทุกที่ไม่ได้ ซินเนย์วา" วาร์เรนส่ายหัว "มีแต่จะต้องฆ่าพวกมันให้สิ้นซากเท่านั้น"

"เธโธเรียร์กำลังสืบหาแหล่งกบดานของมัน แต่ต่อให้เป็นนางพรายลม หากเข้าใกล้พวกมันมากเกินไปก็อาจกลายเป็นอาหารได้เช่นกัน" นางหมาป่าวางมือลงบนบ่าสหาย "เจ้าต้องขอความช่วยเหลือจากพวกนักล่า" หากโลกนี้มีแวมไพร์ พระเจ้าย่อมสร้างนักล่าแวมไพร์ขึ้นมาเพื่อไม่ให้ผู้ใดอยู่สูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

"อย่างน้อยถ้าได้พวกเขาเฝ้าดูแลที่นี่... อาจจะดีกว่า"

นี่เขาเป็นแวมไพร์ประเภทใดกันที่ต้องคบค้าสมาคมกับนักล่าแวมไพร์

แต่วาร์เรนก็เห็นด้วย "เช่นนั้น ข้าจะไปลอนดอน" ชายหนุ่มหยิบผ้าคลุมบ่าของตนมาสวม "เจ้าอยู่เฝ้าที่นี่สักพัก เผื่อว่าฝ่าบาทจะขึ้นมา" ราชาแวมไพร์ตรงไปที่ประตู และเมื่อเปิดก็พบว่าราชาเงือกแห่งเซลทิคยืนอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว

"ฝ... ฝ่าบาท..."

เงือกร่างสูงปรายตามองผ้าคลุมสีแดงของอีกฝ่าย และก้าวเข้าไปในร้านโดยไม่รอคำเชิญ "เจ้าช่างเป็นแวมไพร์ที่อภิสิทธิ์เสียเหลือเกิน จะออกไปข้างนอกในยามกลางวันก็ทำได้ด้วย" ราชาเงือกอาจรู้สึกหงุดหงิดใจที่ต้องพูดคุยกับคนปลิ้นปล้อน แต่วาร์เรนกับซินเนย์วาอาจเป็นตัวเลือกเดียวสำหรับเขา หากต้องการจะรับรู้เรื่องราวเบื้องบน

"จะไปไหนอีกหรือไร..."

ซินเนย์วาเหลือบมองไม้เท้าในมือราชา เขายังคงเก็บมันไว้ แม้ว่าจะโกรธวาร์เรนมากแค่ไหนก็ตาม แต่นับตั้งแต่รู้ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในคือดาบชั้นดี ราชาเซลทิคก็พอจะเข้าใจว่าวาร์เรนหวังดีต่อเขา

แต่ก็คงอดโกรธไม่ได้ และคงจะโกรธมากเสียด้วย

ราชาแวมไพร์รู้ดีว่าไม่ควรล้อเล่นกับคนตรงหน้า เขาจึงยอมถอยกลับมาแต่โดยดี เวสเทียร์ตามราชาของเขาเข้ามาในร้าน ทั้งคู่อยู่ในชุดสูทชายยาวอันเป็นเสื้อผ้าที่นิยมสำหรับยุคสมัยนี้ "หากไม่ใช่เพราะมีธุระ เราก็คงจะตัดขาดจากเบื้องบนและคนอย่างพวกเจ้าไปแล้ว"

วาร์เรนขยับร่างไปขวางระหว่างฝ่าบาทและซินเนย์วาเอาไว้

"ตำหนิข้าเถอะ อย่าไปว่านางเลย" นางหมาป่าเลิกคิ้วฉงน เนื่องด้วยปกติแล้ววาร์เรนไม่เคยออกหน้าปกป้องใครแบบนี้ "ข้าเป็นคนออกอุบายทั้งหมด"

"ไม่ว่าจะขอโทษขอโพยอย่างไร เราก็คงอภัยให้ไม่ได้" ราชาเงือกกำไม้เท้าในมือแน่น "แต่เพราะมันไม่มีใครอื่นอีกแล้ว เราจึงต้องขึ้นมาพบเจ้าอีกครั้ง" ไคราห์นยอมรับว่าเขาอับจนหนทาง ชาวบาดาลไม่เคยรับรู้เรื่องราวความเป็นไปของเบื้องบน ไม่รู้กระทั่งว่าใครดีหรือใครเลว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าจะกลายเป็นคนเลวในภายหลังหรือไม่

แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าวาร์เรนเป็นราชาแวมไพร์...

"เหตุใดเจ้าจึงฆ่าคนของตัวเองได้ลงตอ" ไคราห์นออกปากถามราชาแวมไพร์ "เหตุใดเจ้าจึงปกครองพวกเขาไม่ได้ ทั้งที่เจ้าเป็นแวมไพร์ที่มีพลังมากถึงเพียงนั้น" วาร์เรนเข้าใจจุดประสงค์ของไคราห์น อีกฝ่ายต้องการรู้เรื่องราวทั้งหมดเพื่อคิดหาวิธีปกป้องคนของตัวเอง "มันคงไม่ใช่การเล่นละครให้เราตายใจเชื่ออีกหรอกกระมัง"

"พวกมันคือกบฎ" ซินเนย์วาตอบแทน "กฎของอมนุษย์คือการรักษาความลับของเผ่าพันธุ์เอาไว้ แต่พวกมันไม่ใช่ พวกมันพยายามจะเปิดเผยตัวตน และก้าวขึ้นเป็นผู้อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร นั่นเป็นภัยคุกคามต่อพวกมนุษย์" ไคราห์นปรายมองคนพูดด้วยหางตา ขณะพยายามจะข่มความรู้สึกและอคติเอาไว้ในใจ "พวกมันจะฆ่าวาร์เรน... แต่ผู้ที่สามารถฆ่าราชาแวมไพร์ได้ จะต้องมีพลังทัดเทียมกัน ซึ่งนั่นก็คือพลังของราชินีแวมไพร์ ที่ตายไปเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว"

"ชายาของเจ้า..."

นอกจากจะเป็นราชาที่สมารถเข่นฆ่าคนของตนได้แล้ว วาร์เรนยังฆ่าได้กระทั่งชายาของตัวเอง

"ข้าไม่ใช้ศัพท์สูงขนาดนั้น ฝ่าบาท" วาร์เรนถอนใจเบา "นางไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า... นางแค่ 'ฉกฉวย' พลังไปจากข้า แต่นางก็ไม่มีวันเอาชนะข้าได้" เมื่อเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้น ความแค้นก็ปรากฎขึ้นในในดวงตาสีแดงเพลิง "ข้าฆ่านางไปเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว รวมทั้งแวมไพร์นอกรีตตนอื่น แต่มันก็ยังมีหลงเหลืออยู่ พวกมันตั้งใจจะปลุกชีพนางขึ้นมาเพื่อสู้กับข้าอีกครั้ง ในตอนนี้พวกมันจึงต้องการเลือดของฝ่าบาท ที่มีอำนาจในการเยียวยา"

"เลือดของเราไม่สามารถคืนชีพใครได้" ไคราห์นเอ่ยเรียบ

"ต่อให้ฝ่าบาทกล่าวเช่นนั้น หากพวกมันยังไม่ได้เลือดฝ่าบาทไปทดลอง พวกมันก็จะไม่ยอมหยุด" ซินเนย์วาพยายามอธิบาย "แต่สงครามครั้งนี้จะทำให้แผนการของพวกมันชะลอออกไปอีกหลายสิบปี พวกมันต้องการกำลังพล ด้วยการสร้างแวมไพร์หน้าใหม่ขึ้นมา และในช่วงเวลานั้น เรามีเวลาเตรียมตัวก่อนที่พวกมันจะบุกอีก"

"แวมไพร์มีปัญหาขาดแคลนอาหาร เพราะข้าสั่งห้ามฆ่ามนุษย์" วาร์เรนเสริม "เมื่อก่อนนี้การฆ่ามนุษย์สักคนสองคนต่อวันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เมื่อโลกเริ่มเปลี่ยนไป วิธีการล่าของเราจะถูกเพ่งเล็ง อาจนำมาซึ่งการถูกเปิดโปงการมีตัวตนได้ ข้าจึงสั่งห้ามล่ามนุษย์เด็ดขาด ซึ่งการมีชีวิตอยู่ด้วยเลือดของสัตว์นำมาซึ่งความไม่พอใจ"

"พวกมันจึงหันมาล่าอมนุษย์ด้วยกันแทน" ไคราห์นจับประเด็นได้ในที่สุด

"นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าสั่งห้าม" วาร์เรนเสียงแข็ง "แต่ในตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอาหาร พวกมันต้องการเลือดของฝ่าบาทไปปลุกชีพนังนั่น เพื่อมาสู้กับข้า" ราชาแวมไพร์มุ่นคิ้ว "ข้าจะไปหาพวกนักล่าแวมไพร์ ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา ให้มาประจำการอยู่ที่บาร์ธีมอร์"

นักล่าแวมไพร์คือมนุษย์ปุถุชนเดินดินธรรมดา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นนักล่า นั่นคือการมีเลือดที่เป็นพิษต่อแวมไพร์ และความสามารถในการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วเหนือมนุษย์อื่น

"แล้วเจ้า..." ไคราห์นเลิกคิ้ว "จะกลับไปที่อังกฤษรึ"

"มารินาการ์ดอาจมีอันตราย" วาร์เรนตอบ "ข้าไม่แน่ใจว่าเรื่องการคืนชีพของฝ่าบาทจะส่งผลต่อใครมากกว่ากัน จะกลายเป็นคำร่ำลือเกี่ยวกับพลังการรักษาแห่งเซลทิค หรืออำนาจวิเศษในสายเลือดจอมราชัน และข้าไม่อาจแยกร่างเฝ้ามองทั้งสองสถานที่ได้ ดังนั้นจึงต้องเลือก"

ไคราห์นนิ่งไปครู่หนึ่งขณะครุ่นคิดตาม

เขาและวาร์เรนมีความเห็นตรงกันว่า มารินาการ์ดจะมีภัย ดังนั้นการตัดสินใจของราชาเซลทิคดูจะเหมาะสมแล้ว "เราค้นพบพิษที่จะฆ่าพวกแวมไพร์ได้โดยไม่ต้องแทงหัวใจอีกต่อไป" ราชาหนุ่มเอ่ยเรียบ "พิษที่สกัดจากตัวแทนแห่งแสงสว่าง"

ซินเนย์วาเลิกคิ้ว "ยาพิษหรือ... ฝ่าบาท"

"ถ้ามันทำให้ชาวเงือกปกป้องตนเองได้" วาร์เรนเอ่ยต่อ "ข้าก็อยากให้ฝ่าบาทเผยแพร่สิ่งนั้นออกไปให้ทั่วเจ็ดคาบสมุทร ให้พวกเขามีอาวุธที่จะสู้กับผีดูดเลือด" คนพูดหลับตาลงช้า พร้อมกับสูดหายใจลึก "ถ้ามีใครโกรธแค้นแวมไพร์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม... ให้บอกว่าราชาเป็นผู้ออกคำสั่ง ให้พวกเขาแค้นข้า ดีกว่าไปตามล่าพวกนอกรีตนั่น และถูกฆ่าตายไป เพราะอย่างไร... ชาวเงือกก็ทำอะไรข้าไม่ได้"

"พิษนั่นอาจจะฆ่าได้กระทั่งตัวเจ้าเอง วาร์เรน" ไคราห์นแกล้งขู่

แต่คู่สนทนาเหลือบตาขึ้นมองกลับ ก่อนจรดยิ้มมุมปาก "ไม่มีอะไรฆ่าราชาแวมไพร์ได้หรอก"

--------------------------------------------------

เวทอร์สต้องการเข้าพบราชาทะเลเหนือเพื่อยืนยันคำสั่งของอีกฝ่ายที่ถ่ายทอดมายังท่านซินเธียร์ ว่าต้องการให้เขาไปประจำอยู่ที่มารินาการ์ดเป็นการถาวร จริงอยู่ว่าองครักษ์หนุ่มไม่หวาดหวั่น และเต็มใจที่จะไป แต่เขายังอยากรู้เหตุผลว่าทำไมพี่ชายของเขาจึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน ราวกับว่าเวสเทียร์เองก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน

หากไม่ติดว่าคนที่ดูจะมีปัญหามากกว่าฝ่าบาทคือองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ดเสียเอง

"เจ้าไม่คัดค้านสักหน่อยหรือ"

องค์ชายติดใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่เขาไม่อยากขัดการประชุมของเผ่าเพชฌฆาต ซึ่งดูจะมีแต่เหล่านักรบที่ฮึกเหิมอยู่ตลอดเวลา "เหตุใดจึงกล้าออกปากว่าจะไปจากบ้านเกิดตัวเองได้แบบนั้น" สำหรับ 'เงือกปลา' อย่างองค์ชายเร็กซ์ เขาไม่มีความกล้าหาญมากมายเท่าพวกวาฬ แม้ว่าเขาจะสูญเสียองครักษ์คนสนิท แต่เผ่าสเตอร์เขียนสามารถสรรหาองครักษ์ที่แข็งแกร่งพอมารับใช้เขาต่อได้

ไม่จำเป็นที่เวทอร์สจะต้องละทิ้งบ้านเกิดไปเพื่อรับผิดชอบเรื่องนี้เลยสักนิด

"มันไม่ใช่เพียงความรับผิดชอบหรอกขอรับ" องครักษ์ตอบเสียงเรียบ "มันแฝงความภูมิใจของเผ่าเราด้วย" เผ่าเพชฌฆาตได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนักรบที่ห้าวหาญและแข็งแกร่งที่สุด ทำให้พวกเขามีความภูมิใจในชาติกำเนิดยิ่งกว่าอะไร และยิ่งได้ทำภารกิจเพื่อราชา เวทอร์สคิดว่านั่นเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิต

แต่สำหรับองค์ชายเร็กซ์แล้ว... ไม่ใช่เพียงความภูมิใจและความรับผิดชอบ

มันอาจเป็นเพียงความรู้สึกต้องการจะปกป้องอย่างแรงกล้า ว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายเด็ดขาด

"ฝ่าบาท..." เวทอร์สเอ่ย แต่แล้วก็นึกได้ว่าเรียกผิด "องค์ชาย... ไม่ต้องเป็นห่วงไป นี่เป็นความภาคภูมิใจของกระหม่อม" เขาอาจจะไม่ได้ภูมิใจที่ตนได้ทำภารกิจสำคัญ แต่เขาภูมิใจที่ได้ปกป้องคนที่ตนต้องการปกป้องรักษา และเคารพเทิดทูนเอาไว้เทียบเท่ากษัตริย์แห่งเซลทิค

เวทอร์สเชื่อว่าพี่ชายของเขาคงรู้สึกแบบเดียวกัน เมื่อครั้งที่ร่วมประลองคัดเลือกองครักษ์คนสนิท

คาดันน์ลอยตัวนิ่งๆ อยู่ข้างองค์ชายมารินาการ์ด มันเองก็ดูจะทึ่งในคำสั่งของราชาแห่งเซลทิคเช่นกัน "จำเป็นแค่ไหนที่คาดันน์จะต้องไปด้วย" เร็กซ์รู้สึกผิด เขาไม่ได้ยินดีที่ฝ่าบาทไคราห์นตัดสินใจมอบหลายสิ่งหลายอย่างให้ แต่เขากลับกำลังรู้สึกผิดที่จะต้องพรากเอาชีวิตของผู้อื่นมาจากบ้านเกิด องค์ชายเร็กซ์รักมารินาการ์ด และเขารู้สึกการจากบ้านเกิดของตนไปจะทำให้ปวดใจมากแค่ไหน

เขาไม่อยากเป็นต้นเหตุที่จะต้องทำให้ใครต้องเสียสละเพื่อเขา

"มันคงพอใจจะอยู่กับองค์ชาย กระหม่อมจึงเห็นด้วยกับฝ่าบาท" เวทอร์สตอบ เขาเหลือบมแงวาฬยักษ์ที่เงียบเสียงมาตั้งแต่เมื่อวาน และรับรู้ได้ว่ามันรู้สึกไม่ดี แต่เขาอ่านใจมันไม่ได้ หากคาดันน์ไม่เอ่ยออกมา อย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าเจ้าวาฬนี่คิดอะไรอยู่ "อย่างน้อยมารินาการ์ดก็จะได้มีวาฬสื่อสาร ส่งข่าวกลับไปยังเซลทิคได้ ในยามที่ต้องการขอความช่วยเหลือ"

เร็กซ์ยอมรับว่าเขากลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป...

ฝ่าบาทไคราห์นคงคาดการณ์อะไรได้ จึงได้มอบของกำนัลให้มารินาการ์ดมากมายขนาดนี้

"องค์ชายอย่าทำหน้าแบบนั้น"

เวทอร์สตัวใหญ่กว่าคู่สนทนา ดังนั้นต่อให้เขาลอยตัวอยู่ต่ำกว่า เขาก็ยังดูโตกว่าเร็กซ์อยู่ดี แม้ว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับการอยู่ในระดับเดียวกันกับเหล่าราชาและเชื้อพระวงศ์ แต่องค์ชายแห่งมารินาการ์ดนี่เองที่ไม่เคยถือสา และทำให้เขารู้สึกว่า คนตรงหน้าช่างเปราะบาง ต้องการให้ใครมาปกป้อง

"แวมไพร์พวกนั้นตายไปหมดแล้วขอรับ"

เร็กซ์ถอนใจ วางมือลงบนหลังของคาดันน์เพื่อประคองตัวเอง "เราไม่เคยต่อสู้ เวทอร์ส... ไม่เคยต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อื่น นั่นคือเหตุผลที่ฝ่าบาทไคราห์นเป็นห่วงมารินาการ์ดใช่ไหม แต่หากเรายอมรับทหารของเซลทิคและฝึกให้คนของเราชำนาญขึ้นมา เรายิ่งรู้สึกว่า... สงครามจะต้องเกิดขึ้นสักวันอย่างแน่นอน"

"ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ... กระหม่อมจะสู้แทนองค์ชายเอง"

--------------------------------------------------


คุยอะไรดี... อา... เออ... คือเวสเทียร์อ่ะ เขาเป็นเผ่าวาฬเพชฌฆาต คือโดยธรรมชาติแล้ววาฬเพชฌฆาตจะไม่นอน จะลอยตัวเนือยๆ เอื่อยๆ อืดๆ เวลาเหนื่อย อะไรงี้ (ลอยตัวเป็นหมู่คณะ) และไม่จำเป็นว่าจะต้องนอนตอนกลางคืนด้วย!!! ดังนั้นเวสเทียร์จึงดูใช้เวลาพักผ่อนน้อยมาก... แม้ว่าเมื่อคืน... จะเล่นไปสักสามยกก็ตาม (อิอิ)

ส่วนฝ่าบาทไคราห์น.... ธรรมชาติของวาฬหลังค่อมคือมันตัวใหญ่ ชิล สโลวไลฟ์ และเอ่อ... ดูมึนๆมาก

ฉะนั้นฉากตื่นนอนที่ฝ่าบาทดูมึนๆ แล้วเวสเทียร์ดูตื่นเต็มตาเนี่ย... น่าจะเรื่องปกติ 555



เวทอร์ส... ผู้ชายที่แมนที่สุดในเรื่องนี้ (หืม...) จริงๆ คู่นี้ไปแค่นี้แหละนะ เป็นโบรแมนซ์...

เหมือนเวทอร์สก็ให้เร็กซ์เลือกว่าจะเอายังไง แล้วเขาก็ไม่วอแว ไม่อยากได้อะไรมากกว่านี้ อย่างเวสเทียร์คืออยากได้นะ มีความตัดพ้อ ได้คืบเอาศอกนิดนึง แต่เวทอร์สคือรักบริสุทธิ์ใจ << ความจริงคือเอ็งรักคนมีเมียมีลูกแล้ว

เร็กซ์เลือกที่จะ... เอ็นดูมากกว่า เพราะ... เขาเป็นคนที่มีชีวิตเรียบๆ และเถรตรงสุดๆ มีเมียก็ต้องรักเมีย และมีเมียแล้วก็ต้องมีลูก อะไรประมาณนั้น เพราะเมียเขาทั้งหมด (4 คน) ถามว่าเขารักใครมากกว่ากัน ความจริงคือรักเท่ากัน... รักเพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องรัก (แต่ถ้าลูกเนี่ย ก็คงจะรักมากกว่าเมีย 555) ดังนั้นเร็กซ์จึงเว้นเวทอร์สเอาไว้ใน king zone (ห๊ะ) เหมือนพยายามจะไม่แตะความสัมพันธ์ ไม่ให้มากไปกว่านี้ แต่ก็ไม่อยากหักหาญ

...จริงๆ เหมือนจะกลัวว่าถ้าถลำมากกว่านี้ ชีวิตจะไม่เป็นสุข



ทุกสังคมมันต้องมีผู้ชายแบบเวทอร์สน่า... ดี๊ดี แต่นก เนี่ย 555555555555

ตอนหน้าเจอกันนน จบแล้วเราจะหวานนน
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 05-07-2017 10:43:57
ตอนที่ 25

"เจ้าควรจะเงยหน้าขึ้นมองเราได้แล้ว เวทอร์ส"

ฝ่าบาทไคราห์นเอ่ยขึ้นขณะสนทนากับองครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้ "เรายกเลิกกฎข้อนั้นไปแล้ว" ราชาเซลทิคทอดตัวอยู่บนบัลลังก์ของเขา โดยที่มีเวสเทียร์อยู่เคียงข้าง ราชรถวาฬแห่งเซลทิคพร้อมที่จะออกเดินทางไปมารินาการ์ดเป็นการถาวร "ต่อไปนี้เจ้าคือองครักษ์แห่งมารินาการ์ด..."

เวทอร์สค้อมหัวรับคำสั่ง "เป็นเกียรติของกระหม่อมในฐานะตัวแทนฝ่าบาทขอรับ"

ราชินีเรจินาพักผ่อนอยู่ที่เซลทิคเป็นเวลาสามอาทิตย์หลังจากนั้น โดยเผ่าเพชฌฆาตแห่งเซลทิคล่าวาฬกลับมาได้ตัวหนึ่ง และมอบเนื้อทั้งหมดให้กับชาวมารินาการ์ด ด้วยพวกเขาไม่อาจกินพวกเดียวกันได้ และตอนนี้เรจินาก็แข็งแรงพอ และพร้อมที่จะเดินทางกลับเมืองของตัวเองแล้ว

อาณาจักรเซลทิคมอบฝูงวาฬราชรถให้มารินาการ์ดฝูงหนึ่ง และองครักษ์หน่วยจู่โจมที่จะไปพำนักอารักขาที่นั่นเป็นการชั่วคราว โดยหมุนเปลี่ยนเวียนหน่วยกันทุกเดือน เพื่อสอนวิถีการต่อสู้ให้กับชาวมารินาการ์ด อีกทั้งยังมีคนจากเผ่านาร์วาลร่วมเดินทางไปด้วย เพื่อสอนวิธีการปรุงยาที่จะทำให้ชาวเงือกมีขาเหมือนมนุษย์เป็นการชั่วคราว

หากจะสู้กับเบื้องบน... พวกเขาคงไม่อาจเป็นเงือกได้ตลอดกาล

"เราฝากดูแลมารินาการ์ดแทนด้วย"

องครักษ์หนุ่มค้อมหัวลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย "กระหม่อมจะทำให้อาณาจักรเซลทิคภูมิใจ" ดวงตาสีเข้มกวาดมองเหล่าองครักษ์ที่มาร่วมส่งเขา มองฟาลที่พยักหน้าให้กำลังใจ มองท่านซินเธียร์ที่ทอดยิ้มให้ และมองสหายร่วมรบของเขา "และทำให้เผ่าเพชฌฆาตภูมิใจด้วยเช่นกัน"

ฝ่าบาททะเลเหนือมอบดาบเล่มหนึ่งให้เวทอร์ส มันมีลักษณะโค้งงอได้องศาตามรูปร่างกระดูกของวาฬ

นักรบระดับสูงเท่านั้นที่จะได้ใช้อาวุธแบบนี้

ราชินีเรจินารู้ดีว่าสงครามยังไม่จบสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ พระนางจึงไม่ปฏิเสธน้ำใจของไคราห์น และน้อมรับไว้ด้วยยินดี "เราไม่ได้จากกันไปไหนหรอก ฝ่าบาท..." ราชินียิ้ม "เราจะมาเชิญฝ่าบาทไปร่วมพิธีอภิเสกของเราด้วยตัวเอง" ไคราห์นยิ้มตอบ และช้อนมือเล็กเรียวบางขึ้นมาจูบเบาๆ

"เรายินดีที่ได้พบฝ่าบาทเจรินาเสมอ"

นัยน์ตาสีน้ำเงินเหลือบมองไปยังองครักษ์คนสนิทของพระนาง และว่าที่สวามีของราชินีแห่งมารินาการ์ด "แต่เกรงว่าฟาเบียงอาจจะไม่ชอบเราสักเท่าไหร่ ตามสัญชาติญาณของฉลาม" คนพูดจรดรอยยิ้มที่มุมปากด้วยความรู้สึกขบขัน "เพราะเราเองก็ไม่ถูกชะตากับฟาเบียงเพราะสัญชาติญาณของวาฬเช่นกัน"

ฟาเบียงเลิกคิ้ว แต่แล้วก็ยิ้มออกมา "กระหม่อมจะพยายามไม่ทำให้ฝ่าบาทกริ้วแล้วกัน"

แน่นอน... ถ้าเขาดูแลฝ่าบาทเรจินาไม่ดี ฝ่าบาทไคราห์นคงจะกริ้วเป็นแน่

"คาดันน์..." วาฬเพชฌฆาตไม่ค่อยได้รับการต้อนรับในท้องพระโรง แต่ครั้งนี้มันได้รับเกียรติอย่างสูง ทว่าสัตว์ใหญ่กลับเคลื่อนกายออกมาด้วยท่าทางหม่นหมอง มันเงยหน้า และเอียงตามองราชาทะเลเหนือช้าๆ "เจ้าไม่ใช่สมบัติของใคร ดังนั้นเราจึงไม่รั้งเจ้าไว้..."

สัตว์ใหญ่ขยับหาง เคลื่อนร่างกายเข้าไปหาราชาทั้งอย่างนั้น และเคยกางบนหน้าตักฝ่าบาทบนบัลลังก์พร้อมกับส่งเสียงแหลมสูง ชาวเซลทิคเข้าใจภาษวาฬ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าคาดันน์กำลังจะบอกอะไร และนั่นก็ทำให้ทุกคนทึ่ง

...มันไม่ต้องการจะไป

มันขออยู่กับราชาทะเลเหนือเท่านั้น

ฝ่าบาทเบิกตาขึ้น แล้วจึงวางมือบนปลายปากนุ่มหยุ่น "เจ้าโตแล้วนะ" มันเป็นวาฬพลัดฝูง สนิทสนมกับชาวเงือกจนไม่สามารถกลับไปรวมกลุ่มกับพรรคพวกของตัวเองได้ มันโปรดปรานองค์ชายเร็กซ์ และพอใจเมื่ออีกฝ่ายลูบหัวเล่นด้วย แต่หากว่ามันจะต้องเลือกระหว่างฝ่าบาทกับองค์ชาย

มันก็ยังอยากอยู่กับฝ่าบาทมากกว่าอยู่ดี

สัตว์ใหญ่ส่ายหัวช้า เปล่งเสียงออดอ้อนเบาๆ คล้ายร้องขอ ต่อให้ฝ่าบาทจะไม่อ่อนโยน ไม่ใจดี แต่ในยามที่ราชาหดหู่ ก็มีเพียงมันเพียงตัวเดียวไม่ใช่หรือไคราห์นหันหน้าไปหาได้

วาฬใหญ่มองต่ำ รอฟังการตัดสินใจของฝ่าบาท

"ก็ได้... เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป" ไคราห์นทอดยิ้มออกมา "ในฐานะผู้สื่อสารระหว่างเซลทิคและมารินาการ์ด"

ตาเล็กๆ เหลือบขึ้นมองคนตรงหน้า ขณะที่หางมหึมาขยับโบกและดันตัวเองเข้าไปคล้ายจะโอบกอดราชาแห่งเซลทิค "คาดันน์!" เหล่าองครักษ์ร้องเสียงหลง พุ่งเข้ามาดึงหางและครีบของสัตว์ยักษ์เอาไว้ ไม่ให้มันเบียดร่างผู้นำอาณาจักรซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์ "คาดันน์! ถอยออกมา!!"

"เอาเถิด..." ฝ่าบาทไคราห์นตบมือบนปากของมันเบาๆ "เรารู้ว่าเจ้ายินดี แต่ทำแบบนี้จะถูกลงโทษ"

วาฬยักษ์ยอมขยับถอยออกมาเมื่อถูกขู่ มันหันไปหาองค์ชายเร็กซ์อีกครั้ง และว่ายไปหาฝ่ายนั้นเพื่อจะออดอ้อนเป็นครั้งสุดท้าย "นี่ก็เริ่มสายแล้ว รีบออกเดินทางจะดีกว่า" ราชาหนุ่มทอดยิ้มให้อาคันตุกะของเขา "แล้วส่งสัญญาณกลับมาหาเราด้วย"

เวสเทียร์เคลื่อนกายไปหยุดข้างคาดันน์ก่อนกระซิบ "เจ้าออกไปส่งพวกเขา..."

ราชินีเรจินาขึ้นประทับบนราชรถ และหันมาส่งยิ้มให้วาฬยักษ์ครู่หนึ่งด้วยความเอ็นดู ฝูงวาฬค่อยๆออกว่าย มุ่งไปยังทิศตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของมารินาการ์ด โดยมีคาดันน์ว่ายตามไปด้วยห่างๆ มันส่งเสียงเรียกเวทอร์ส ให้ฝ่ายนั้นหันมามองด้วยความฉงน

คาดันน์ลอยตัวอยู่นิ่งๆ กลางมหาสมุทรเช่นนั้น ขณะเฝ้ามองขบวนราชรถจากไป

...มันรู้ว่าพวกเขาจะต้องได้พบกันอีกครั้งเป็นแน่

--------------------------------------------------

THE END

--------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 05-07-2017 10:45:29
บทส่งท้าย

ฝ่าบาทเรจินาสมรสกับองครักษ์ฟาเบียง



ในอีกสามปีต่อมา... พระนางให้กำเนิดบุตรชาย นามว่า เลอาฟร์

ทำให้เกิดสงครามระหว่างอาณาจักรไรห์วาและมารินาการ์ด

เนื่องด้วยฟาเบียงมีศักดิ์เทียบเท่าราชาแห่งไรห์วา

การถือกำเนิดของเลอาฟร์จึงหมายความถึงการวมอาณาจักร

มารินาการ์ดจะต้องตกเป็นของไรห์วา ตามกฎแห่งบรรพกษัตริย์



ฝ่าบาทไคราห์นสนับสนุนมารินาการ์ด

และช่วยเหลือจนมารินาการ์ดได้รับชัยชนะในสงคราม



แต่แลกด้วยการเสียชีวิตของฟาเบียง

--------------------------------------------------

เรจินาไม่อาจยอมรับการสูญเสียได้



ผมของนางกลายเป็นสีขาวโพลน และสุขภาพซูบผอม ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว



นางรู้ดีว่าตนไม่อาจมีชีวิตได้ยืนยาวไปกว่านี้

จึงตัดสินใจทำสัญญากับราชาแวมไพร์ด้วยการมอบเลือดของนางแก่เขา

เพื่อให้เขากลายเป็นทาสแห่งสายเลือดจอมราชัน เพื่อปกป้องอนาคตของมารินาการ์ด



นางบอกเรื่องนี้กับฝ่าบาทไคราห์น เพื่อไม่ให้เขาโกรธแค้น





องค์ชายเร็กซ์ก้าวขึ้นเป็นราชาแห่งมารินาการ์ด



เขาไม่ติดต่อกับเซลทิค แต่ตั้งใจจะกลับไปอีกครั้ง...

เมื่อพร้อมที่จะยิ้มให้กันและกันเท่านั้น

--------------------------------------------------


สามสิบห้าปีแล้ว... ที่เร็กซ์ไม่ได้เดินทางไปอาณาจักรเซลทิค

เขาเคยมาที่นี่ในฐานะองค์ชาย แต่ในตอนนี้กลับเป็นถึงพระบิดร... เป็นถึง 'น้า' ของราชาแห่งมารินาการ์ด

ราชาทะเลเหนือได้ชื่อว่าเป็นผู้นำความก้าวหน้ามาสู่เหล่าครึ่งมัจฉา ผู้สนใจแต่โลกใต้ทะเล แต่เงือกแห่งเซลทิคกลับไม่เคยทอดทิ้งแผ่นดิน พวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ อีกทั้งยังสามารถสรรสร้างอาวุธใหม่ๆ ที่ใช้ต่อกรกับศัตรู เพื่อป้องกันชาวบาดาลจากการรุกรานอีกด้วย

เร็กซ์คิดถึงวันวาน... คิดถึงการไปเยือนอาณาจักรทะเลเหนือในครั้งนั้น

ราวกับว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

"ฝ่าบาทยิ้มนะขอรับ" เสียงขององครักษ์ดังขึ้นข้างตัว เวทอร์สยิ้มมองขณะสังเกตท่าทางของผู้เป็นนาย "กระหม่อมกังวลว่าฝ่าบาทอาจหนาว เพราะนี่ก็น่าจะเป็นเทศกาลเล่นแสงจันทร์ของชาวเซลทิคพอดี" เทศกาลเล่นแสงจันทร์หมายถึงการมาชุมนุมกันของวาฬอพยพหนีอากาศหนาว ดังนั้นอุณหภูมิที่ลดลงอาจจะทำให้อดีตราชาแห่งมารินาการ์ดป่วยได้

เร็กซ์หัวเราะร่วนและยกมือขึ้นปัดเบาๆ ในกระแสน้ำ

"เรายังแข็งแรงดี ไม่ต้องกังวลไป..."

"อายุแปดสิบปีสำหรับเผ่าวาฬก็ยังไม่เกษียณเลยด้วยซ้ำขอรับ" เวทอร์สยิ้มตอบ น้อยครั้งนักที่องครักษ์คนสนิทจะแย้มยิ้ม อีกฝ่ายยังคงเอกลักษณ์ของเผ่าเพชฌฆาตเสมอมา นั่นคือการไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย เวทอร์สในตอนนั้นมีอายุเพียงสิบแปดปีก็ดูเคร่งขรึมและเป็นผู้ใหญ่มากพอแล้ว ยิ่งในตอนนี้มีอายุถึงห้าสิบสามปี ดังนั้นคงไม่ต้องเสียเวลาถามหาเสียงหัวเราะจากอีกฝ่าย

หากเวทอร์สมีอายุถึงห้าสิบสามปี เวสเทียร์ผู้พี่ก็คงจะหกสิบสามเข้าไปแล้ว

ช่างฟังดูแก่นัก แต่สำหรับชาวเงือกนี่ก็เพิ่งจะวัยกลางคน

เสียงราชรถวาฬด้านหน้าเรียกร้องความสนใจจากองครักษ์ เขาเบนสายตาไปจากพระบิดร "กระหม่อมขอตัวก่อน" องครักษ์ระดับสูงเคลื่อนกายออกไปจากราชรถที่ประทับ เพื่อจะตรงไปยังด้านหน้าสุดของขบวน วาฬด้านหน้าชะลอความเร็วด้วยไม่รู้ว่าจะต้องทำประการใดกับสิ่งที่ปรากฎเบื้องหน้า

ยังมีวาฬใหญ่ตัวหนึ่ง ลอยตัวประจันหน้าขวางทางพวกมันอยู่ ครีบอกของมันมีขนาดมหึมา และเมื่อพิจารณาประกอบกับกระโดงหลังสูงตระหง่าน เวทอร์สก็รู้ทันทีว่านี่เป็นวาฬที่มีอายุตัวหนึ่ง มันเอียงหัวมองด้วยดวงตาเล็กๆ ทีละข้าง ก่อนจะเผยอปากขึ้นเมื่อแน่ใจว่าใครคือผู้มาเยือน

"ท่านน้า" เลอาฟร์ ราชาองค์ปัจจุบันแห่งมารินาการ์ดเอ่ยเรียกญาติอาวุโสด้วยความไม่แน่ใจ ขณะที่อดีตราชาเคลื่อนกายออกมาจากราชรถที่ประทับ "ปล่อยให้เวทอร์สจัดการ..."

"ฝ่าบาท..."

แต่แล้วอดีตราชาเงือกก็ปราดเข้าไปหาวาฬตัวนั้น กอดจะยกแขนขึ้นกอดมันด้วยความคิดถึง "คาดันน์..."

มันตอบรับด้วยการส่งเสียงแหลม ก่อนจะพ่นอากาศออกจากจมูกเป็นสาย และเอี้ยวร่างเข้าหาเงือกตรงหน้าพร้อมกับขยับครีบใหญ่เข้ามาคล้ายอยากโอบกอด เวทอร์สค่อยๆ ขยับร่างเข้าไปประคองพระบิดร และมองดูสหายเก่าที่บัดนี้ตัวโตเสียจนเขาแทบจำไม่ได้ สัตว์ใหญ่อ้าปากกว้าง แทนการทักทายที่คุ้นเคย รอให้องครักษ์เอื้อมมือไปลูบลิ้นนุ่มหยุ่นของมันด้วยความยินดี

"ฝ่าบาทเลอาฟร์" เวทอร์สยิ้ม "นี่คือคาดันน์... วาฬสื่อสารแห่งเซลทิค"

ราชามารินาการ์ดเคลื่อนตัวลงจากราชรถที่ประทับ ทว่าสายตาของเขาไม่ได้หยุดที่วาฬตัวเขื่อง แต่กลับเป็นแสงสว่างที่เคลื่อนออกมาจากด้านหลังของสัตว์ผิวดำท้องขาว

ผิวของราชาทะเลเหนือเป็นสีขาวโพลนล้อแสงจันทร์ เช่นเดียวกับผมยาวสีเดียวกันที่พลิ้วไหวในกระแสน้ำ และหางขนาดมหึมาอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าวาฬ ดวงตาสีน้ำเงินจับจ้องราชามารินาการ์ดก่อนใครอื่น เขาวางมือบนหลังของสัตว์ใหญ่ และไม่สนใจสายตาตกตะลึงของเหล่าองครักษ์แห่งมารินาการ์ดที่เพิ่งมีโอกาสได้พบราชาทะเลเหนือเป็นครั้งแรก

"ฝ่าบาทไคราห์น..." เวทอร์สค้อมหัวลงเมื่อเห็นอีกฝ่าย และถอยกายลงไปต่ำกว่าด้วยรู้สถานะของตน

"เจ้าเป็นลูกของเรจินาสินะ" เจ้าเงือกหนุ่มอ้าปากน้อยๆ เมื่อน้ำเสียงทุ้ม ทว่านุ่ม และกังวานเอ่ยถามคำถามที่ไม่ใช่คำทักทายตามมารยาทปกติของราชา "เราสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแบบเดียวกัน ในครั้งแรกที่พบนาง" รอยยิ้มจางจรดที่มุมปากราชาทะเลเหนือ เขาผายมือออกไปข้างตัวอย่างนุ่มนวลงดงาม

"ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรเซลทิค"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [1]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 05-07-2017 10:47:13
ตอนพิเศษ [1] ความปรารถนา

เวสเทียร์อยู่ในฐานะองครักษ์คนสนิทมาตลอดสิบปี แม้ห้าปีในนั้นจะพ่วงหน้าที่แปลกๆ มาด้วย

แต่การจะเปลี่ยนจากองครักษ์เป็นคนรักในชั่วข้ามนั้นนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะชินได้ง่ายๆ จนตอนนี้ผ่านมาร่วมเดือนแล้ว ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตก็พบว่าตัวเองยังไม่ชินสักเท่าไหร่ ฝ่าบาทไคราห์นอาจจะปากหวานขึ้น พูดมากขึ้น และสนใจเขามากขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่เขาทำให้ราชาก็เป็นเพียงการดูแล อารักขา รักษาความปลอดภัยเหมือนเดิมดังเช่นที่ผ่านมา

ไคราห์นรู้ดีว่าคนรักของตนค่อนข้างจะ 'ทื่อ' และติดไปในทาง 'ทึ่ม' เสียด้วย หากพูดเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความรัก ราวกับยังพยายามบ่ายเบี่ยงจากมันอยู่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ เวสเทียร์ก็จะกลายเป็นคนขี้อ้อนขึ้นมาในชั่วอึดใจ และเพียงครู่เดียวหลังจากนั้น เจ้านั่นก็จะกลับไปเป็น 'คนทื่อ' ตามเดิม

ไม่รู้ว่าคนแบบนี้ไปเอาความกล้ามาจากไหน เมื่อครั้งที่พวกเขามีความสัมพันธ์กันครั้งแรก

"นับแต่นี้ไป... เจ้าจะต้องขออะไรก็ได้จากเราวันละหนึ่งข้อ"

เมื่อนึกอุบายบางอย่างได้ ฝ่าบาทไคราห์นก็เอ่ยมันออกมา"จะหลังตื่นนอน หรือก่อนนอน หรือระหว่างวันก็ย่อมได้ แต่วันละหนึ่งข้อ" ผู้ฟังได้แต่อ้าปากค้าง และเผลอมองคู่สนทนาด้วยความตกตะลึง  เขาวางตัวไม่ถูก เขารับมือไม่ได้ แม้ว่ามันจะเป็น 'ภารกิจ' ที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยก็ตาม

แต่แค่ตอบคำถามว่าเขามีสิ่งใดที่ชอบเป็นพิเศษหรือไม่ เวสเทียร์ก็คิดออกแต่คำว่า 'ฝ่าบาท'

"ฝ่าบาท... กระหม่อม..."

เขาเดาว่าอีกฝ่ายจะตัดบทไม่ให้เขาโต้แย้ง แต่น่าแปลกที่ไคราห์นรับฟัง "เจ้า... ทำไมรึ"

"กระหม่อมคิดไม่ออกขอรับ"

"เขาว่าเผ่าเพชฌฆาตฉลาดไม่ใช่หรือ"

นี่นอกจากจะทำเหมือนความสัมพันธ์อึมครึมที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นแล้ว ฝ่าบาทไคราห์นยัง 'หลอกด่า' เขา อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนอีกด้วย!

อีกฝ่ายกำลังว่าเขาโง่!!

ไม่ว่าจะต่อว่าด่าทอในด้านใด เวสเทียร์ก็ไม่เคยโต้เถียง ทว่าครั้งนี้... เขาจะไม่ยอมอีกต่อไป

"เช่นนั้น ฝ่าบาทรับปากได้หรือไม่ ว่าจะปฏิบัติตามคำขอของกระหม่อม" ราชาทะเลเหนือเลิกคิ้ว ยืดตัว และเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมกับยกดแขนขึ้นกอดอกซึ่งมันยิ่งทำให้เขาดูขึงขัง ดุดัน และจริงจังมากกว่าเดิม

"เจ้าคิดว่ามีสิ่งใดที่เราทำไม่ได้รึ"

เวสเทียร์ค้อมหัวลง "ขออภัยขอรับ"

เมื่อเห็นท่าทีดังนั้น ราชาหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าเขาเผลอเอ็ดองครักษ์คนสนิทอีกแล้ว แขนแกร่งค่อยๆ คลายออก และปล่อยวางไว้ข้างตัวดังเดิม แล้วจึงทอดเสียงอ่อนลง "ได้... เราจะทำตามคำขอของเจ้า เริ่มวันนี้เลย เจ้าอยากได้อะไร" นี่เป็นสิ่งที่ไคราห์นอยากถามเวสเทียร์มานานแล้ว นอกเหนือจากว่าชอบอะไร แต่อีกฝ่ายอยากได้อะไรจากเขาบ้างไหม

และแน่นอนว่าการรอคำตอบของอีกฝ่ายทำให้ราชาใจเต้นได้

เวสเทียร์สูดหายใจลึก "บอกรักกระหม่อมได้ไหมขอรับ"

ราชาไคราห์นแห่งเซลทิคถึงกับหน้าชา และพยายามอย่างสุดความสามารถไม่ให้ตัวเองหน้าแดง แต่แน่นอนว่าเสียงหัวใจที่เต้นดังเสียจนองครักษ์เองยังได้ยินย่อมสูบฉีดเลือดขึ้นไปทำให้ใบหน้าคมร้อนผ่าวด้วยความเก้อเขิน

ไคราห์นไม่เคยคิดเลยว่าองครักษ์ของตนจะฉลาดแกมโกงได้ถึงเพียงนี้

เห็นทีเขาคงต้องถอนคำพูดเมื่อครู่...

"ฝ่าบาท" องครักษ์เอ่ยเรียก น้ำเสียงแฝงด้วยความเร่งเร้า หลังจากฝ่าบาทยกเลิกกฎการห้ามมองของราชวงศ์ ผู้คนก็รู้สึกเหมือนได้ใกล้ชิดราชามากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น เวสเทียร์ก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาอยู่ดี และครั้งนี้ก็เช่นกัน ร่างโปร่งเพียงแค่แอบมองสีหน้าของผู้เป็นนาย ฝ่าบาทไคราห์นมีผิวขาวจัด จนแทบจะเรืองแสงเมื่ออยู่ใต้น้ำ ดังนั้นความรู้สึกตื่นเต้นเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ผิวพรรณของราชาผู้ขาวเผือดกลายเป็นชมพูจัดขึ้นมาได้

ราชาทะเลเหนือสูดหายใจลึก ประหนึ่งต่อสู้กับตัวเอง "เรา... รักเจ้า"

น้ำเสียงของฝ่ายนั้นทุ้ม ทว่านุ่มละมุนอยู่ในลำคอ แม้จะไม่ค่อยมีเยื่อใยหรือความรู้สึกส่งผ่านมาทางคำพูด แต่เวสเทียร์ก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดี "พูดอีกครั้งได้ไหมขอรับ"

"เกินวันละข้อแล้ว"

"เอาของพรุ่งนี้มารวมก็ได้ขอรับ"

...เอาของทั้งเดือนทั้งปีมารวมกันในวันเดียวก็ได้

ใครสั่งใครสอนให้พูดแบบนี้กันหนอ หรือเป็นเพราะที่ผ่านมาไคราห์นไม่เคยรู้เลยว่าเวสเทียร์มีนิสัยพูดคุยอย่างไร เพราะพวกเขาไม่เคยคุยกับแบบสามัญชนคนธรรมดาเลยสักครั้ง ฝ่าบาททอดมองคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดูอย่างลืมตัว และเมื่อไม่มีคำตอบจากราชาหนุ่ม เวสเทียร์ก็ก้มลงไปจูบบนปลายหางสีขาวโพลนเพื่อแสดงความเคารพ

"จูบให้มันสูงกว่านั้นหน่อยไม่ได้หรือไร"

จะจูบทั้งที จูบแค่ปลายหาง... ไคราห์นจำไม่ได้ว่าเขาเคยห้ามไม่ให้อีกฝ่ายจูบปากหรืออย่างไร

ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับหางยกหนี และเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้องครักษ์คนสนิทแทน เขาช้อนใบหน้านั้นขึ้นและเป็นฝ่ายแนบจูบกับริมฝีปากนั่นเสียเอง ร่างโปร่งจูบตอบแผ่วเบา เผยอริมฝีปากตอบรับอย่างไม่รู้ประสา และกลั้นใจเมื่อรู้สึกได้ถึงลิ้นอุ่นร้อนของคนตรงหน้าค่อยๆ รุกแทรกเข้ามาแนบชิด

ไม่รู้ฝ่าบาทไปเรียนวิธีจูบแบบนี้มาจากไหนกัน เขาก็ไม่เคยจูบกับใครมาก่อนเลยไม่ใช่หรือ

ฝ่ายรุกรานเป็นถอยออกก่อน และกระซิบถามชิดริมฝีปาก "จะไม่พูดกลับบ้างรึ"

"ฝ่าบาทไม่ได้ขอให้กระหม่อมพูดนี่ขอรับ"

"เวสเทียร์!"

ราชาหนุ่มคิดว่าเขาจับทางอีกฝ่ายได้บ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางขององครักษ์คนสนิท ไคราห์นก็รีบชิงพูดขึ้นมาก่อน "พรุ่งนี้คำขอห้ามซ้ำกับวันนี้ แล้วของวันมะรืนนี้ก็ห้ามซ้ำกับพรุ่งนี้" เวสเทียร์อาจไม่ใช่คนโง่ แต่เพียงแค่ไม่อยากคิดอะไรมาก จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดอะไรใหม่ๆ แต่ใช้วิธีลอกคำตอบเดิมๆของตัวเอง

"ซ้ำได้อีกทีเมื่อไหร่ขอรับ"

นั่นไง... เขาเคยเดาผิดเสียที่ไหน

องครักษ์หลบตาลงมองต่ำก่อนอุบอิบพูด "กระหม่อมแค่ชอบเวลาฝ่าบาทบอกรัก" ต่อให้อยากด่าว่าเจ้าคนขี้เกียจ แต่ลองเวสเทียร์พูดเช่นนี้ มีหรือฝ่าบาทจะใจแข็งต่อไปได้ และนอกเหนือจากการออดอ้อนแบบใช้คำพูดทื่อๆ นิ่มๆ ตามฉบับขององครักษ์ที่อ้อนใครไม่เป็นแล้ว เวสเทียร์ยังเม้มริมฝีปากของตัวเองราวกับกำลังขาดความมั่นใจอยู่อีกด้วย

องครักษ์ระดับผู้นำที่ไหนเขาจะทำแบบนี้!

ไคราห์นแตะปลายจมูกกับอีกฝ่าย ก่อนจะใช้มือประคองช้อนใบหน้าเรียวขึ้นมาจูบอย่างอดไม่ได้ นับตั้งแต่จูบกันครั้งแรก เขาก็เฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่าเหตุใดจึงไม่เคยจูบอีกฝ่าย ทั้งที่มันทำให้รู้สึกดีขนาดนี้ เวสเทียร์ลอบยิ้ม และจูบตอบเนิบช้า แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงข้ารับใช้ที่ต่ำต้อยกว่า แต่อย่างน้อยชายหนุ่มก็รู้ว่ากิริยาแบบใดที่จะทำให้ราชา 'ทนไม่ได้'

"แล้วเจ้าจะพูดบ้างหรือไม่ เมื่อไหร่ดี..."

เวสเทียร์ลอบเม้มปาก เมื่ออีกฝ่ายกระซิบถาม เขารู้ว่าราชากำลังมองสีหน้าและกิริยาของเขาอยู่ ดวงตาสีน้ำเงินครามของอีกฝ่ายอยู่ใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจบางอย่างที่ทำให้เขาเฉไฉไปเรื่องอื่นไม่ได้ ไม่ว่าจะรู้สึกเขินอายมากเท่าไหร่ก็ตาม "จะโกงให้เราพูดอยู่ฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ เวสเทียร์"

แต่ยังไม่ทันที่เวสเทียร์จะเอ่ยตอบ ประสาทการได้ยินของคนทั้งคู่ก็เตือนว่ามีผู้เข้ามาในเขตถ้ำที่ประทับ ราชาทะเลเหนือเป็นฝ่ายผละออกจากคนตรงหน้าก่อนด้วยความเสียดาย และอึดใจต่อมา เลขาอาวุโสของเขาก็ขึ้นมารายงานความเป็นไปประจำวัน

ท่านฟาล... ข้าไม่เคยรู้สึกรักท่านมากขนาดนี้มาก่อน!

"ฝ่าบาทเรจินาแจ้งกำหนดการณ์พิธีอภิเสกของพระนางในอีกสามเดือน และพระนางจะเดินทางมาด้วยตนเอง" ฟาลกล่าวรวบรัด ด้วยรู้ดีว่าเขาอาจมารบกวนช่วงเวลาพักผ่อนของราชาทะเลเหนือกับองครักษ์คนสนิท

ดูเหมือนว่าพักหลังๆ มานี้เขาจะแยกทั้งสองออกจากกันยากกว่าเดิม พวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็จริง แต่ฟาลจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ความสัมพันธ์ไม่ได้พัฒนาขนาดนี้ ฝ่าบาททะเลเหนือก็พอจะมีช่วงเวลาปลีกตัวออกไปเล่นกับคาดันน์บ้าง ทว่าในตอนนี้ เวสเทียร์กลับอยู่ด้วยตลอดเวลา แม้จะเป้นช่วงที่องค์หญิงอาโกรนาห์เข้าพบพี่ชายของตนก็ตาม

แต่ดูเหมือนว่าองค์หญิงเองก็เป็นฝ่ายรั้งให้เวสเทียร์อยู่ด้วย

แต่อย่างน้อยฝ่าบาทไคราห์นก็ยังมีความเกรงใจเลขาอาวุโสอยู่บ้างในฐานะญาติ นั่นคืออีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อจนเกินควรหรือไม่ทิ้งหลักฐานอะไรเอาไว้จนผิดสังเกต หรือเป็นเพราะพลังของอีกฝ่าย ร่องรอยต่างๆ ที่ถูกทิ้งเอาไว้บนร่างกายจึงเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

"บอกฝ่าบาทว่าไม่ต้องลำบากเดินทางมา ในอีกสามเดือนข้างหน้า ทะเลแห่งนี้จะหนาวเย็นที่สุด ประเดี๋ยวก็ป่วยกันพอดี" ไคราห์นถอนใจ "แต่ในเมื่อมีเวลาถึงสามเดือน เราจะขึ้นไปเยี่ยมเผ่านาร์วาลสักหน่อย ไม่ได้ไปพบท่านแม่ร่วมปีแล้ว" นั่นเป็นคำสั่งให้ฟาลเตรียมราชรถให้พร้อมโดยเร็วที่สุด ดังนั้นเมื่อไม่มีเรื่องใดจะรายงานต่อ เลขาก็ค่อยๆ ค้อมหัวลง

"ฝ่าบาทจะไม่... หนาวหรือขอรับ"

เวสเทียร์ถามขึ้นอย่างกลัวๆ กล้าๆ เพราะโดยปกติแล้วองครักษ์คนสนิทไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น "พวกนาร์วาลมีอำพันวิเศษให้ความอบอุ่น แต่ว่าตอนนี้อาณาจักรเราไม่มีสิ่งนั้นเลย เพราะยกให้พวกเขาไปแล้ว" ความหนาวเย็นน้ำทะเลที่เงือกวาฬทนได้คือระดับความเย็นในทะเลเคลติกแห่งนี้ หากเดินทางขึ้นเหนือมากไปกว่านี้พวกเขาอาจหนาวตายได้ ซึ่งนั่นเป้นสิ่งที่เวสเทียร์เป็นห่วง

"ชั่วครู่เดียว" ไคราห์นตอบเรียบ แม้จะอยากหยอดว่า 'มีเจ้าอยู่คงไม่หนาว' ก็ตาม

แต่การทำเช่นนั้นต่อหน้าฟาลก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่

ทว่าฟาลกลับเห็นด้วยกับเวสเทียร์ "กระหม่อมเองก็เป็นห่วงว่าฝ่าบาทอาจจะหนาวนะขอรับ ต่อให้ไม่ป่วยก็ตาม"

ไคราห์นผ่อนลมหายใจเบาเมื่อได้ยินดังนั้น "ใจจริงเราอยากพาเจ้าไปดูแสงเหนือ" จู่ๆ เขาก็หันมาองครักษ์คนสนิท "เจ้าไม่เคยเห็นแสงเหนือ เพราะเราขึ้นไปขั้วโลกในฤดูร้อนทุกที ไม่ใช่หรือ เวสเทียร์" คนถูกกล่าวถึงอ้าปากค้างน้อยๆด้วยประหลาดใจ

"ก... กระหม่อม.... หรือขอรับ"

"มันสวยมาก เจ้าน่าจะชอบ"

นี่ยิ่งกว่าการหยอด 'จีบ' ต่อหน้าฟาลอีก... แต่ราชาหนุ่มกำลังออกปากชวนองครักษ์ 'ไปเที่ยว'

ฟาลเริ่มจับความได้ว่าเขากลายเป็น 'ก้างขวางคอ' เลขาอาวุโสค้อมหัวลงช้าๆ ก่อนตอบ "กระหม่อมจำได้ว่ามารินาการ์ดมอบอำพันวิเศษให้เราเป็นของกำนัลตอบแทนกับฝูงราชรถที่ฝ่าบาทประทานห้ไป" ฟาลถอยตัวออกไป "กระหม่อมจะจัดการให้เรียบร้อยขอรับ"

เวสเทียร์หันมาหาราชาทะเลเหนือ "ฝ่าบาท... เรื่องแสงเหนือ..."

"เรื่องที่เราจะขอจากเจ้าวันนี้... เวสเทียร์" ไคราห์นกล่าวต่อราบเรียบไม่ฟังเสียง "คือให้เจ้าไปเที่ยวกับเรา... ในเมื่อเราสั่งให้เจ้าขอเราวันละหนึ่งข้อ... เราก็จะขออะไรเจ้าวันละหนึ่งข้อเช่นกัน" เวสเทียร์อ้าปากค้างน้อยๆ กับประโยคที่แสนจะวางอำนาจของราชา "และเจ้าจะต้องปฏิบัติตามคำขอของเราด้วย..."

...แต่กระหม่อมไม่ได้ออกปากเลยว่าอยากจะให้ฝ่าบาทขออะไรก็ได้วันละหนึ่งข้อ!!!

"สร้างสรรค์ และสวยงามกว่าการขอให้บอกรักอีก จริงไหม"

ยังข่มเขาอีกด้วย!

--------------------------------------------------


เรื่องของเรื่องคือ ช่วงนี้เรางานเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

และวันศุกร์อาจจะไม่ได้โผล่หัวมา ดังนั้นเขียนเสร็จวันนี้ก็อัพวันนี้เลยละกันนะ ฮ่าๆ

ยิ่งเขียนฉากหวาน... ก็ยิ่งพบว่า... สองคนนี้จริงๆแล้วไม่ได้ยอมกันเล้ย (คือเราอยากได้ฟิลแมนxแมนอ่ะนะ ต่อให้เวสเทียร์จะท๊าสทาส แต่คือ... นางก็มีความควีนอยู่ในตัวเองเยอะเหมือนกัน) ตอนแรกจะใส่ข้อมูล (อีกแล้ว นี่นิยายหรือสารคดี 555 ) เรื่องกระแสน้ำเย็น กระแสน้ำอุ่น แต่คือเราไม่แม่นเรื่องเดือน เราเลยไม่ใส่ดีกว่า (เมื่อเช้าเจอหนังสือ Fisheries in Celtic Sea พูดเรื่องกระแสน้ำ ประเภทปลา ประชากรปลาในแต่ละฤดู ข้อมูลแน่นมากกกก เหมาะกับชาวประมง แต่ราคาเล่มละ 3,7xx บาท โอย งั้นไม่เป็นไร ไปดูแสงเหนือกันเถอะ คลิเช่ๆ กว่ามานั่งจับปลาแฮร์ริง)

ที่อัพรัวหลายตอนเพราะกลัวจบแล้วจะดาวน์กัน (เพราะเรจินาจะตายในอนาคตอ่ะน้า)

จริงๆนางก็เป็นตัวประกอบแหละ... แต่พอเขียนถึงจริงๆแล้ว เราพบว่า เรจินาเป็น 'เพื่อน' ของไคราห์น และอยู่ในระดับเพื่อนสนิทเลยแหละ ดังนั้น เล่ม spin-off ต่อไปที่จะพาเลอาฟร์ (ลูกของเรจินา) มาหาไคราห์นในอีก 35 ปีข้างหน้าคือจะแบบ... ไคราห์นจะรู้สึกยังไงนะ เขาต้องเฮิร์ทมากแน่ๆ แต่อย่างน้อยก็มีลูกไว้ดูต่างหน้า (?)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [1] [05-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 05-07-2017 13:22:53
มีการเกทับกันด้วยอ่ะ น่าร้ากกกกก
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [1] [05-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 05-07-2017 17:28:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [1] [05-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-07-2017 00:22:38
ตามอ่านทีเดียว 3 ตอน

สนุกมากกกกกกก

งงเล็กน้อยว่าทำไมเร็กซ์ไม่มาเซลติกถึง 35 ปี ดูเหมือนจะโกรธอะไรสักอย่าง หรือฉันเข้าใจผิด

ตลกไคราห์นกับเวสเวสที่เอาชนะกันในเรื่องหยุมหยิม ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [1] [05-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 06-07-2017 06:08:30
ตามอ่านทีเดียว 3 ตอน

สนุกมากกกกกกก

งงเล็กน้อยว่าทำไมเร็กซ์ไม่มาเซลติกถึง 35 ปี ดูเหมือนจะโกรธอะไรสักอย่าง หรือฉันเข้าใจผิด

ตลกไคราห์นกับเวสเวสที่เอาชนะกันในเรื่องหยุมหยิม ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ

อ้ะ เรื่องเร็กซ์นี่... จริงๆคือ เขาเกรงใจ ไม่อยากเอาภาระไปเล่าให้ฟัง เพราะไคราห์นก็จะช่วยแบบเต็มที่ทุกที แล้วตอนเรจินาตายคือไคราห์นเสียใจมากกกกก
(หลังจากนั้นมารินาการ์ดค่อนข้างเจอหนัก โดนแวมไพร์รังควานบ่อย เร็กซ์ถึงขั้นมีความคิดจะย้ายอาณาจักรลงใต้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ย้าย เพราะเลอาฟร์(ลูกเรจินา) แก้ปัญหาแทน)

เดี๋ยวแก้ในบทความด้วยค่า เผื่อมีคนงงเช่นกัน ฮ่าาา
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [1] [05-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 06-07-2017 09:58:41
เข้ามาอ่านรวดเดียว 4 ตอน ในที่สุดก็เห็นฉากหวานแหววกระเซ้าเย้าแหย่ของฝ่าบาทกับเวสเวส แอร๊ยยยยย เขินนนน >///<
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [2]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 07-07-2017 12:57:15
ตอนพิเศษ [2] องครักษ์เพชฌฆาต

มารินาการ์ดนั้นแตกต่างจากเซลทิคโดยสิ้นเชิงก็ว่าได้

ทั้งอุณหภูมิน้ำที่อุ่นกว่า ปลาที่ชุกชุมกว่า ไม่ว่าจะเป็นคอด โอปาห์ โมลา โมลา แมคเคอเรล เซียเอนนา มูลเลท และอื่นๆ อีกมากมายเกินกว่าที่เงือกหนุ่มจะจำได้ไหว แต่ปลาชนิดเดียวที่เขาสนใจกลับอาศัยอยู่ทางตอนเหนือขึ้นไปของมารินาการ์ด นั่นคือปลาแฮร์ริง ทำให้เงือกหนุ่มต้องเสียเวลาทุกเช้าในการเดินทางออกไปจากอาณาจักรเพื่อ 'ล่าอาหาร' อันเป็นพฤติกรรมแปลกประหลาดที่สุดสำหรับเงือกในอาณาจักร

แม้พระชายาองค์หนึ่งขององค์ชายเร็กซ์จะมาจากเผ่าโลมาของเซลทิค รวมทั้งองค์หญิงน้อยอาร์นิเอสเองก็เป็นเงือกโลมา แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ไม่ได้ 'เรื่องมาก' เท่าเวทอร์สผู้มาจากเผ่าเพชฌฆาตซึ่งมีขนาดตัวใหญ่กว่า และต้องการอาหารมากกว่า อีกทั้งด้วยตำแหน่งสูงศักดิ์ ทั้งสองจึงสามารถล่าอาหารได้ในเขตอาณาจักร

และองค์หญิงน้อยก็ดูจะโปรดปรานแมคเคอเรลมากกว่าแฮร์ริง

...ช่างเป็นรสนิยมโลมาเหลือเกิน!!

องครักษ์แห่งมารินาการ์ดล้วนมาจากเผ่าเงือก 'สเตอร์เจียน' เผ่าเงือกโบราณผู้มีหนามบนหาง เว้นเสียแต่องครักษ์คนสนิทของราชินีเรจินาผู้เป็นเงือกฉลามขาว และในตอนนี้ก็พ่วงเวทอร์ส องครักษ์คนสนิทขององค์ชายเร็กซ์เข้าไปอีกคนหนึ่ง ซึ่งมาจากเผ่าวาฬเพชฌฆาต

แน่นอนว่าการที่ตำแหน่งระดับสูงนี้ตกเป็นของเงือกที่มาจากเผ่าอื่นย่อมสร้างความไม่พอใจต่อตัวองครักษ์ด้วยกัน แต่ใครเล่าจะกล้าหาเรื่องฉลามขาวกับวาฬเพชฌฆาต แม้ว่าเวทอร์สจะมีอายุน้อยจนเรียกได้ว่า 'เยาว์วัย' แต่ขนาดตัวใหญ่โต และท่าทางเรียบเฉยของเขาก็ทำให้เผ่าสเตอร์เจียนไม่กล้าหาเรื่องด้วย

เว้นแต่เรื่องเดียวที่องครักษ์เผ่าเพชฌฆาตรู้สึกว่าตนมักจะโดนปั่นหัวอยู่เสมอ

นั่นคือทิศทางการเคลื่อนที่ของฝูงปลาแฮร์ริง

"แฮร์ริงเหรอ คงจะไปทางตะวันออกแล้วล่ะ"

"ขึ้นเหนือไปแล้วมั้ง"

"ข้าไม่ได้สนใจกินปลานี่"

โดยปกติแล้วเผ่าเพชฌฆาตจะออกล่าพร้อมกับฝูงวาฬ ซึ่งพวกมันมักจะส่งเสียงและจับทิศทางการเคลื่อนไหวของเหยื่อจากเสียงสะท้อน ทำให้การหาอาหารไม่ยากเย็นมากนัก แต่สำหรับเวทอร์สผู้ไม่สามารถเปล่งเสียงร้อง 'ปี้ด ปี้ด' ได้แบบคาดันน์ หากจับทิศทางผิดก็หมายถึงการ 'หลงทาง' ได้เหมือนกัน

เหตุผลที่เวทอร์สไม่ออกล่ากับฝูงวาฬราชรถที่ฝ่าบาทไคราห์นมอบให้มารินาการ์ด นั่นก็เพราะตอนนี้ฝูงสัตว์นั่นกำลังเดินทางกลับไปเซลทิคเพื่อนำอำพันวิเศษไปมอบให้ราชาทะเลเหนือเป็นการตอบแทน ทำให้การล่าของเวทอร์สในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ 'หลงทาง' ไม่เป็นท่า อย่าว่าแต่จะพึ่งหน่วยจู่โจมที่ฝ่าบาทส่งมาสอนวิธีการต่อสู้ให้พวกสเตอร์เจียนเลย พวกเขาก็หลงทางไปพร้อมๆ กันเพราะไม่มีใครร้อง 'ปี้ด ปี้ด' ได้สักคน

มันทำให้เขากลับมาไม่ทันองค์ชายเร็กซ์ตื่นนอนอนด้วย

"กินมันตรงนี้เลยไม่ได้หรือไง!" เพื่อนองครักษ์เริ่มอารมณ์เสีย เขาพาตัวเองว่ายขึ้นไปใกล้ฝูงแมคเคอเรลก่อนจะสะบัดปลายหางฟาดใส่พวกมันแรงๆ ครั้งหนึ่ง จนมีสองสามตัวที่มึนงงกับแรงฟาดนั่น รอให้เงือกวาฬเอาปลายหอกแทงจับพวกมันกลับมา

"เดี๋ยว เดี๋ยว! ไม่เอาน่า!"

เพื่อนองครักษ์หยุดยื้อคนมีโทสะ ก่อนที่ปลายหอกแหลมจะแทงใส่ปลาตัวหนึ่งที่มึนงงอยู่ในน้ำ "พวกเงือกปลาไม่ชอบให้เราล่าในเขตของเขาหรอก เหมือนกับที่เราไม่ชอบให้พวกเขาล่าวาฬในเขตเราไง" เวทอร์สปัดมือใส่แมคเคอเรลที่มึนงง ก่อนจะคว้าหางของมันเอาไว้ด้วยนึกอะไรบางอย่างได้

"เวทอร์ส เจ้าห้ามกินนะ!! หนึ่งคือมันไม่อร่อย สองคือมันเป็นอาหารโลมา สามคือเราอยู่ในเขตมารินาการ์ด!"

เผ่าเพชฌฆาตไม่อยากยอมรับว่าพวกเขาเองก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าโลมา

"แต่พวกสเตอร์เจียนแกล้งบอกทิศเราผิดๆ แบบนี้ เราจะต้องเสียเวลาหาอาหารนานแค่ไหน นี่ไม่ใช่น่านน้ำที่เราชำนาญเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะไม่ถามพวกมันให้เสียเวลาแล้ว แล้วนี่ก็ใกล้จะอาทิตย์ขึ้นแล้ว เราต้องกลับไปสอนเจ้าปลากระดูกแข็งพวกนั้นต่อนะ" เวทอร์สถอนใจ "มีปลาอะไรอีกนกจากแฮร์ริง มูลเลทไหมเล่า" เงือกหนุ่มเหลือบมองหาฝูงมูลเลทที่เผื่อจะอยู่ในบริเวณนั้น

"มูลเลทแล่ยากจะตายไป ปาดไปปาดมาไม่ดีโดนไส้ ขมตาย"

เป็นครั้งแรกที่เวทอร์สคิดว่าเผ่าเพชฌฆาตนี่ช่างเรื่องมากเรื่องการกินเสียเหลือเกิน

"โมลา โมลาดีไหมเล่า ลอยโง่ๆ นิ่งๆ จับง่ายจะตายไป ล่าตัวเดียวก็เพียงพอสำหรับเราทั้งหน่วยแล้ว"

ผู้นำซึ่งคนที่ดูจะมีสติที่สุดในหน่วยจู่โจมหันมาหาเวทอร์ส "เจ้าควรจะไปรับใช้องค์ชายเร็กซ์ได้แล้ว ประเดี๋ยวพวกเราจะเอาปลาไปฝาก นี่ก็ใกล้เวลาที่องค์ชายจะตื่นนอนแล้ว" เวทอร์สยังคงจับหางแมคเคอเรลตัวนั้นเอาไว้ เขาพยักหน้าให้กับผู้นำหน่วยก่อนจะปลีกตัวออกมาเพื่อแล่ปลา

ทว่าไม่ใช่เพื่อเป็นอาหารเช้าของตัวเอง...

--------------------------------------------------

องค์ชายเร็กซ์พอจะรู้ว่าเหตุใดพักหลังๆ มานี้เวทอร์สจึงเดินทางกลับมาช้าหลังจากล่าอาหาร

แต่เหตุผลการมาสายในวันนี้ขององครักษ์เผ่าเพชฌฆาตดูจะแตกต่างจากทุกวัน เพราะจู่ๆ เจ้าคนทื่อนั่นก็ไปโผล่หน้าที่ประทับขององค์หญิงอาร์นิเอสพร้อมกับเนื้อปลาชิ้นเท่าแขนท่อนซึ่งเลาะเอาก้างและหัวออกแล้ว

...ถึงอย่างนั้นองค์ชายก็ยังไม่คุ้นเคยที่จะเห็นมันอยู่ดี

อย่างไรแมคเคอเรลก็นับเป็น 'ปลา' ดังนั้นชิ้นเนื้อของมันจึงสะเทือนใจ 'เงือกปลา' ไม่มากก็น้อย

"เวทอร์ส..." องค์ชายเอ่ยเรียก ทำให้คนที่รออยู่ด้านหน้าที่ประทับสะดุ้งเล็กน้อยและพยายามซ่อนชื้นเนื้อเหล่านั้นเอาไว้ด้านหลังของตน "มารอพบอาร์นิเอสหรือ" องครักษ์หนุ่มก้มหน้าลงด้วยรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปรายงานตัวต่อองค์ชายก่อน แต่เร็กซ์ก็ไม่ได้ถือสา เขาปราดเข้าไปในที่ประทับของบุตรสาวเพื่อปลุกนาง

ที่พักของชาวมารินาการ์ดส่วนใหญ่สร้างจากกองหิน ก่อขึ้นมาเป็นห้องที่มีหลังคาและทางเข้าปิดด้วยสาหร่ายต้นสูง ก้นทะเลของพวกเขามีก้อนหินมากมายที่สามารถขยับขยายและสร้างเป็นเพิงพักได้ ต่างจากกองหินของเซลทิคที่มีไว้เพียงเพื่อให้วาฬดำลงไปขัดถูเพรียงและปรสิตที่เกาะตามตัว เวทอร์สเหลือบมองพืชน้ำอันได้แก่สาหร่ายหลากหลายชนิดรอบตัวและนึกไปว่าพวกเงือกปลานี่กินสาหร่ายแบบปลาหรือไม่หนอ

องค์ชายเร็กซ์กลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับบุตรสาวผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงและท่อนหางสีเทาเหมือนหางโลมา เด็กน้อยแอบอยู่หลังบิดาของนางและมีอาการสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากความหวาดกลัว

องค์ชายเร็กซ์มีธิดาสามคน คนโตที่สุดคือองค์หญิงเอนเนสผู้เงียบขรึม รองลงมาคือองค์หญิงวิเวียนผู้งดงาม และคนเล็กสุดในตอนนี้คือองค์หญิงอาร์นิเอสผู้ได้ความเป็นโลมามาจากมารดาทั้งหมด

และธิดาทั้งสองขององค์ชายล้วน 'กลัว' เวทอร์ส

เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่โตของเขา ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของเขา อีกทั้งผิวพรรณสีเข้ม และลวดลายบนตัวก็ยิ่งทำให้เขาดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่องค์หญิงอาร์นิเอสจะไม่กล้าออกจากที่ประทับด้วยรู้ว่าเวทอร์สเฝ้าอยู่ด้านหน้า

"แอบอยู่แบบนั้น ประเดี๋ยวก็สำลักน้ำกันพอดี..." องค์ชายเอ็ดบุตรสาว

"กระหม่อมขออภัยองค์หญิงขอรับ" เวทอร์สค้อมหัวลง และต่อให้เขามีกิริยานอบน้อมมากสักแค่ไหนก็ไม่ช่วยทำให้อาร์นิเอสหายกลัวอยู่ดี "พอดีพวกกระหม่อมกำลังเถียงกันว่าควรจะล่าปลาชนิดใดแทนแฮร์ริงดี แล้วก็บังเอิญจับแมคเคอร์เรลได้ กระหม่อมจึงนำมาให้องค์หญิง และพระชายา"

เร็กซ์พอจะรู้ว่าชาวเซลทิคมีทักษะการแล่ปลาได้เรียบร้อยมากแค่ไหน แต่ก็เพิ่งมีโอกาสเห็นใกล้ๆ ในวันนี้

เพราะชายาของเขาเองไม่เคยทำให้ดูเช่นกัน

องค์หญิงอาร์นิเอสอาจยินดีกับอาหาร แต่ด้วยคู่สนทนาเป็นองครักษ์ตัวโตทำให้นางเงยหน้าขึ้นมองบิดาด้วยความไม่แน่ใจ "ขอบคุณเขาเสียสิ" เร็กซ์ยิ้มเอ็นดู "เร็วเข้า ประเดี๋ยวเวทอร์สจะว่าเราไม่สั่งไม่สอนลูกสาว" อาร์นิเอสกำหมัดเพื่อเรียกกำลังใจให้ตนเองก่อนจะขยับมาเบื้องหน้า

"ข... ขอบคุณ!"

เสียงใสๆ ของนางทำให้องครักษ์ยิ้มตอบด้วยความเอ็นดู "กระหม่อมจะกล้าว่าอะไรองค์ชายขอรับ" เวทอร์สอุบอิบ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งบนกองหินหน้าที่ประทับเพื่อให้อยู่ในระดับต่ำกว่าองค์หญิงอาร์นิเอส เร็กซ์จึงอุ้มบุตรสาวขึ้นและย่อตัวลงนั่งในตำแหน่งเหนือกว่าด้วยความเคยชิน เขาให้เด็กน้อยนั่งบนหน้าตัก และรู้สึกได้ว่าน้ำหนักของนางดูจะมากเป็นสองเท่าหากเทียบกับบุตรสาวอีกสองคนซึ่งเป็น 'ปลา'

"ปากเท่านี้คงจะต้องตัดเป็นชิ้นพอดีคำเสียก่อนนะขอรับ"

เวทอร์สหยิบมีดกระดูกสัตว์ที่เขาพกติดตัวเสมอขึ้นมาเพื่อตัดเนื้อปลาให้เป็นชิ้นเล็กพอดีคำ และตั้งใจจะคว้าแผ่นสาหร่ายใกล้ตัวออกมารองวางอาหารก่อนถวาย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา กลับพบว่าองค์หญิงน้อยอ้าปากรอให้ป้อนด้วยความเคยชิน

"เอ่อ... องค์ชายขอรับ"

เร็กซ์ส่ายหัวปฏิเสธด้วยเขาไม่อยากจับเนื้อปลา "เจ้าป้อนทีสิ"

"แต่กระหม่อม..."

"เราคิดว่าพระชายาก็คงออกไปล่าเหมือนกัน แต่ตอนนี้อาร์นีอ้าปากรอแล้ว เจ้าจะปล่อยให้นางรอหรือ" เวทอร์สกระพริบตาปริบ ก่อนจะหยิบชิ้นเนื้อเล็กๆ ขึ้นมาป้อนให้เด็กน้อย และเมื่อนางรู้สึกถึงรสอาหาร นางก็หุบปากลงเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข ก่อนจะอ้าปากอีกครั้งเพื่อรอคำต่อไป

"เอ่อ..." เวทอร์สจำได้ว่าเขาเป็นเพียงองครักษ์ และไม่ใช่ในระดับที่สามารถใกล้ชิดกับองค์หญิงได้ขนาดนี้

"เจ้าน่าจะสนิทกับอาร์นิเอสมากกว่าเรา ตั้งแต่เจ้าทั้งสองเป็นวาฬเหมือนกัน"

"องค์หญิงเป็นโลมาขอรับ"

เวทอร์สยังคงป้อนปลาให้องค์หญิง แต่คำตอบของอีกฝ่ายที่หนักแน่นเสียจนเร็กซ์ยังแปลกทำให้เขาหัวเราะออกมาด้วยขบขัน "เจ้าเองก็เคยเป็นหนึ่งเดียวกับพวกโลมาไม่ใช่หรือ" เร็กซ์จำได้ว่าเผ่าโลมานั้นมีหลายพวก ทั้งเผ่าเพชฌฆาต และเผ่านาร์วาลก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของโลมา แต่พวกเขากลับไม่ลงรอยกันจนแยกตัวออกมาอย่างในปัจจุบัน

"กระหม่อมเป็นวาฬขอรับ"

"แล้วโลมากับวาฬต่างกันอย่างไรเล่า" องค์ชายเร็กซ์ไม่เคยแยกออก กระทั่งสัตว์ในธรรมชาติจริงๆ เขายังแยกไม่ออกว่าเหตุใดพวกนั้นจึงเรียกวาฬ และเหตุใดพวกนี้จึงเรียกโลมา ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงพวกเงือก หากเป็นเงือกที่หายใจด้วยปอด อย่างไรก็เป็น 'เงือกวาฬ' ในสายตาของเขาอยู่ดี

"หากองค์ชายหมายถึงพวกสัตว์... วาฬมีสองรูจมูก ส่วนโลมามีรูจมูกเดียว" เวทอร์สตอบเรียบ "ส่วนเงือกนั้น... เราวัดที่พละกำลัง" จู่ๆ องครักษ์ก็ยืดอกขึ้นด้วยความภูมิใจ "พวกวาฬเท่านั้นที่กระโจนขึ้นเหนือน้ำได้ พวกโลมาทำไม่ได้ขอรับ"

หากจำไม่ผิด... เร็กซ์จำได้ว่าฝ่าบาทไคราห์นกระโดดขึ้นจากน้ำไม่ได้สูงมากนัก ต้องเรียกให้คาดันน์คอยช่วย แต่พวกนาร์วาลและเพชฌฆาตต่างหากที่กระโจนกันสูงเสียเหลือเกิน

"ต่อให้เป็นสัตว์... วาฬเพชฌฆาตก็มีรูจมูกเดียวนี่"

องค์ชายเร็กซ์คลุกคลีกับคาดันน์ มีหรือเขาจะไม่สังเกต แต่เมื่อทักออกไปแบบนั้น องครักษ์หนุ่มก็ดูจะ 'งอน' ขึ้นมาดื้อๆ ด้วยการไม่ตอบโต้ อีกทั้งยังเบนสายตาไปทางอื่นอีกด้วย แต่เขาก็ยังคงป้อนองค์หญิงต่อไปตามหน้าที่

"ท่านพ่อ..." อาร์นิเอสเอ่ยเรียก "เราอยากหายใจ"

เวทอร์สหันมองเด็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกไปหาด้วยความเคยชิน "ให้กระหม่อมนำทางนะขอรับ" เร็กซ์เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยคาดไม่ถึงว่าเวทอร์สจะอาสา แต่เขาก็ส่งนางให้ชายหนุ่มอุ้ม และเวทอร์สขยับหางเพียงครั้งเดียวก็สามารถพาตัวเองและองค์หญิงขึ้นไปยังผิวน้ำเบื้องบนได้

นี่อาจเป็นเรื่องพละกำลังที่อีกฝ่ายว่า...

อาร์นิเอสรู้สึกเกร็ง แต่นางไม่กลัวเขาเหมือนเมื่อก่อน เด็กหญิงสูดหายใจลึก และแหงนมองท้องฟ้าอึมครึมในฤดูหนาวด้วยความเสียดาย "ดวงอาทิตย์ไม่ออกมาเลย" เสียงใสๆ หงอยเหงา "ไม่ได้เห็นมาหลายวันแล้วด้วย" เวทอร์สยิ้มให้องค์หญิง และกระชับอุ้มอีกฝ่ายขึ้นนั่งบนท่อนแขนกำยำ

"ดวงอาทิตย์ขี้อายขอรับ... คล้ายองค์หญิงเลยทีเดียว"

"เราไม่ได้ขี้อายสักหน่อย!"

"เช่นนั้นองค์หญิงก็อย่าหลบหน้ากระหม่อมสิขอรับ" เวทอร์สยิ้ม อาร์นิเอสเหลือบมองลวดลายบนผิวของอีกฝ่าย นางกลัวรูปร่างหน้าตาที่แปลกออกไปของเขา แต่เมื่อขึ้นมานั่งบนท่อนแขนกำยำ องค์หญิงก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นเงือกธรรมดาที่ไม่ต่างจากบิดาของตนสักเท่าไหร่

อาจจะแข็งแรงกว่า ตัวใหญ่กว่า แต่ผิวเนื้อก็อบอุ่นเหมือนกัน ...อีกทั้งมีรอยยิ้มเหมือนกัน

ถ้าลองหลับตาดูก็อาจจะไม่กลัวก็ได้

เมื่อคิดแล้วก็ลองหลับตาดู และนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะจากเวทอร์สได้ "องค์หญิงกลัวลายบนหน้ากระหม่อมหรือขอรับ"

"เปล่า!" ถึงจะตอบว่าใช่ แต่เวทอร์สก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรเพื่อแก้อาการกลัวนั้นอยู่ดี เพราะนี่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าเพชฌฆาตที่ไม่มีใครลบล้างออกได้ "เราไม่ได้กลัวลายบนหน้าเจ้า... เรา..." เสียงเล็กๆ เถียง และหยุดนิ่งไปสักพักก่อนแถต่อ "เพราะเจ้าตัวใหญ่กว่าท่านพ่อ!"

"หากตัวเล็กกว่าองค์ชายเร็กซ์แล้วจะอุ้มองค์หญิงขึ้นได้อย่างไรขอรับ"

"ท่านป้าเรจินายังอุ้มเราได้เลย!"

ดูท่าแล้ว... เมื่อโตขึ้น องค์หญิงอาร์นิเอสจะเป็นแม่หนูตัวแสบน่าดูเลยเชียว เวทอร์สไม่ต่อปากต่อคำ เขาค่อยๆ พาองค์หญิงกลับไปหาบิดาของนาง ซึ่งยังคงรออยู่ที่เดิม "ขออภัยองค์ชาย" เวทอร์สค้อมหัว และปล่อยให้องค์หญิงกลับไปหาบิดาของนาง

"ไม่ร้องไห้ออกมาก็นับว่าเก่งแล้ว" องค์ชายเร็กซ์ขำ "เจ้าคุยอะไรกับนางน่ะ"

"เขาว่าเราขี้อาย!" อาร์นิเอสฟ้องบิดา "แล้วก็ว่าเราขี้กลัวด้วย!"

"แล้วเจ้าไม่ได้กลัวลายบนหน้าเขาหรือ อาร์นี" เร็กซ์ทอดเสียงถาม จรดยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย "หากไม่กลัวจริงๆ มองหน้าเขาสักครั้งหนึ่งสิ ให้รู้กันไปว่าใครเป็นองค์หญิง" เด็กหญิงอ้าปากค้าง ด้วยเพราะนางกลัวลายสีเข้มของอีกฝ่ายจริงๆ แต่ก็ใจแข็งหันไปจ้องหน้าเวทอร์สที่หลบตาลงมองต่ำอย่างรู้ฐานะตัวเอง

แต่แล้วดวงตาสีเข้มก็เคลื่อนช้อนขึ้นมองสบช้าๆ ทำให้อาร์นิเอสกลั้นใจ และหันไปซุกหน้ากับแผ่นอกของบิดาแทน

"ไม่!"

เร็กซ์หัวเราะและลูบปลอบบุตรสาวด้วยความเอ็นดู "เดี๋ยวนี้รู้จักแกล้งลูกเราแล้วนะ เวทอร์ส"

"ขออภัยองค์ชาย" ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าผู้เป็นนายทำให้องครักษ์รู้ว่าเร็กซ์ไม่ได้ถือโทษโกรธเขา "องค์หญิงมีความกล้าหาญ กระหม่อมชื่นชม" แม้จะรู้ว่ากลัว แต่อาร์นิเอสก็ยังใจแข็งต่อสู้ นี่เป็นความกล้าที่หาได้ยากในเด็กวัยนี้ "แต่กระหม่อมคงลบลายบนตัวไม่ได้"

"มันก็สวยดีออกนะ" เร็กซ์ไหวไหล่ "จะเรียกอย่างไรดี... เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเผ่าเพชฌฆาตกระมัง"

เวทอร์สเลิกคิ้ว แล้วจึงเบือนสายตาไปทางอื่นพร้อมกับค่อนขอดในใจ

...หากไม่คิดอะไรก็อย่ากล่าวว่าผู้ใดมีเสน่ห์เลยขอรับ องค์ชาย

--------------------------------------------------


เราพบปลากลายเป็นนก... //จิ้บๆๆๆ

นอกจากจะนกพ่อเขาแล้ว ยังต้องไปช่วยเลี้ยงลูกเขาอีกด้วย 555



จริงๆ การคิดกิจวัตรของเงือกนี่เป็นอะไรที่แอบยาก เพราะ 1) เขาไม่ใช้เงิน 2) ดังนั้นเขาจึงไม่มีอาชีพ 3) แล้ววันๆ มันทำอะไรกัน (วะ) ก็แอบคิดว่า เงือกมันก็คงมีโมเม้นท์อิจฉา ไม่ชอบหน้า ทะเลาะกันแหละ ตามความว่างของชีวิต

เดิมทีมารินาการ์ดนาการ์ดจะมีองครักษ์มาจากเผ่าสเตอร์เจียน (ปลาสเตอร์เจียน aka ปลาคาร์เวียอ่ะแหละ) แต่พอมีเวทอร์สมา... ทางเผ่าสเตอร์เจียนก็คงไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะ 1) องครักษ์ราชินีก็เป็นฟาเบียงไปแล้ว ฉลามขาวงี้... ใครเถียงฉลามขาวอ่ะ... 2) เวทอร์สก็เป็นวาฬเพชฌฆาตอีก ใครจะสู้อ่ะ แรงเยอะกว่าฉลามขาวอีก 555

วิธีเดียวที่จะแกล้งเวทอร์สได้โดยไม่โดนต่อยหน้าคือหลอกทิศทางนี่แหละ ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไป แล้วปลาก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนทิศอยู่ตลอดเวลา จะไปโกรธก็ไม่ได้ แต่พวกเพชฌฆาตก็ฉลาดพอจะรู้แหละว่าโดนปั่นหัวอยู่

ตอนนี้แอบแทรกเกร็ดไปนิดๆ หน่อยๆ เช่น... จริงๆ วาฬเพชฌฆาตเป็นโลมาแหละนะ (แต่เราว่ามันก็ไม่ได้สำนึกว่าตัวเองเป็นโลมา ออร์ก้าเป็นประเทศออร์ก้า อะไรงี้ ออร์ก้าจะกินทั้งปลา ทั้งวาฬ ทั้งโลมา ฉลาม แมวน้ำ สิงโตทะเล ออร์ก้ากินหมด 555) และเราเชื่อว่าหลายคนเคยถามแบบเร็กซ์... นั่นคือวาฬกับโลมามันต่างกันยังไง

อันนี้เราอนุมานจากที่่อ่านๆ มาแหละ... จริงๆ พวกสัตว์ดุ้น (?) ในทะเลนี่เรียกรวมๆ ว่า Cetacean (เป็น Infraorder)

แต่จะแบ่ง Family ออกเป็น Tooth กับ Baleen ซึ่งโลมาอยู่ในประเภท Tooth (แต่ก็จะมีวาฬประเภท Tooth อยู่บ้าง เช่น Sperm Whale) และประเภท Tooth มักจะมีจมูกแค่รูเดียว!? ในขณะที่พวก Baleen มีจมูก 2 รู... อะไรประมาณนั้น

(https://scontent.fbkk5-5.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/19665627_248690205633508_2462908448407411943_n.jpg?oh=a606ac3c2b5a940fc909b4b14ec8859f&oe=59CB3018)

แล้วเวทอร์สก็ดูไม่ชอบเวลาโดนทักว่าเป็นโลมา (อาจจะเพราะเขาคิดว่าเขาแข็งแรงกว่าโลมาล่ะมั้ง 555)



แอบตลกฉากแรกที่เถียงกันว่าจะกินปลาอะไรกันดี เพราะปลาเยอะเหลือเกิน แต่ไม่มีไอ้ตัวที่อยากกินซะงั้น (มันก็มีแฮร์ริงนะ แต่ไม่ได้ชุกชุมเท่าฝั่งทะเลเหนือ) คือเหมือนแฮร์ริงจะอร่อย (ใช่ อร่อยนะ เราชอบ 555) แต่แมคเคอเรลก็ไม่ได้แย่อะ คือแค่มันเป็นของโปรดของโลมา พวกเพชฌฆาตแอบเหยียด 555

ถ้าใครงงชื่อปลา...

คอด = ปลาคอด | โอปาห์ = ปลาพระจันทร์ | โมลา โมลา = ปลาพระอาทิตย์ | แมคเคลเรล = ซาบะ = ญาติปลาทู | เซียเอนนา = ปลาจวด | มูลเลท = ปลากระบอก

รำคาญ เลือกไม่ได้ว่าจะเอาปลาอะไร ไปกินโมลา โมลากันเถอะ (โถ่...)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [2] [07-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: kratair ที่ 07-07-2017 19:15:45
อ่านจนจบ สนุกมากกกกกกเลย :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [2] [07-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: April❤ ที่ 07-07-2017 21:01:48
สงสารเวทอร์ส แอนด์ เดอะแก๊งค์ 555 ทนๆกินไปก่อนนะ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [2] [07-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-07-2017 23:30:46
เงือกสายพันธุ์ใหม่

"เงือกนก"

ฮ่า ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [2] [07-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-07-2017 02:12:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [2] [07-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 08-07-2017 15:17:50


ช่างบรรเจิดยิ่งนัก

คือได้ความรู้เรื่องวาฬไปด้วย

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [2] [07-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 08-07-2017 18:32:33
จะมองมุมไหนทำไมนางก็นก วงวาร  :hao5:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [2] [07-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 11-07-2017 19:26:44
 :o8: :o8: :o8: :o8: สนุกมากค่ะขอบคุณที่เขียนมาให้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [3]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 15-07-2017 19:48:39
ตอนพิเศษ [3] ความฝัน

ชาวเงือกแห่งเซลทิคมี 'ขั้นตอน' ในการขึ้นบกที่ไม่น่ามองสักเท่าไหร่

แต่ฝ่าบาทไคราห์นเชื่อว่า ไม่ว่าเงือกจากอาณาจักรใดขึ้นบกก็คงจะไม่น่ามองทั้งนั้น

หมู่บ้านธราฟัสการ์มีบ้านเล็กๆ ประมาณยี่สิบหลัง แต่ละหลังใช้เป็นสถานที่เก็บข้าวของเสียมากกว่าจะพักผ่อนนอนหลับ มันตั้งอยู่ใกล้ชายหาดเล็กๆ ที่ขนาบด้วยหินผาสูงตระหง่าน ซึ่งชาวเงือกใช้เป็นทางเดินขึ้นมาก่อนตรงเข้าไปยังที่พักของตนซึ่งเป็นบ้านที่สร้างจากไม้ เพื่อล้างตัวด้วยน้ำจืดและสวมเสื้อผ้า

เดิมทีชาวเงือกที่อาศัยที่นี่เป็นพวกโลมา พวกเขามีความสามารถในการจับปลา และนำไปขายในตลาดที่บาร์ธีมอร์จนสร้างรายได้ที่เรียกว่า 'เงิน' เป็นกอบเป็นกำ และรายได้เกือบทั้งหมดนั้น พวกเขาก็ถวายให้กับราชาแห่งเซลทิค ผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังใหญ่ที่สุด

เผ่าโลมาเสียหน้าครั้งใหญ่หลังจากส่งบุตรชายคนโตของผู้นำเผ่าไปหมายจะสมรสเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับมารินาการ์ด ทว่าถูกปฏิเสธ จนต้องส่งบุตรสาวคนรองของเผ่าไปสมรสกับองค์ชายเร็กซ์แทนในภายหลัง ทำให้พวกเขารู้สึกพ่ายแพ้ต่อเผ่าเพชฌฆาตซึ่งเป็นญาติห่างๆ กัน อีกทั้งความแข็งแกร่ง และดุดันของผู้นำเผ่าเพชฌฆาตคนปัจจุบันก็มีมากเกินกว่าเผ่าโลมาจะเอาชนะทางพละกำลังได้

พวกเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายในการ 'เอาใจ' ราชาเป็นเรื่องเงินตรา และความก้าวหน้าในโลกเบื้องบนแทน

ทว่ามันก็ทำให้ชาวเซลทิคต้องพบกับฝันร้ายครั้งใหญ่เมื่อธราฟัสการ์ถูกโจมตีโดยพวกผีดูดเลือด และนำมาซึ่งการสูญเสียรัชทายาท หลังจากนั้น ชาวเงือกจึงไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้อีก แต่ฝ่าบาทไคราห์นก็ยังต้องการหาทางออกที่ดีกว่า ราชาเซลทิคจึงต้องขึ้นมาหารือกับพวกหมาป่าด้วยตนเอง

ทว่าตอนนี้ได้เวลาที่เขาควรจะกลับไปยังเซลทิคแล้ว

ร่างสูงปลดผ้าคลุมไหล่ออกจากบ่ากว้างและแขวนเก็บไว้ที่เดิม ก่อนจะถอดสูทออกมาและแขวนไว้บนไม้แขวนอีกอันหนึ่ง เขาอยู่ในห้องนอนซึ่งจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้นอนบนเตียงของพวกมนุษย์นั้นคือเมื่อใด

แม้บ้านที่พักของราชาเซลทิคจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน แต่มันก็เป็นบ้านที่สร้างด้วยวิธีการง่ายๆ อันเกิดจากการลักจำของช่างชาวเงือก และมีห้องเพียงสี่ห้องเท่านั้น ซึ่งก็คือห้องนอน ห้องอาบน้ำ ห้องนั่งเล่น และห้องเก็บของซึ่งก็คือเงินทองของพวกมนุษย์

ชาวเงือกอาจทอดทิ้งธราฟัสการ์ไปแล้ว

แต่บ้านพักของฝ่าบาทไคราห์นยังคงได้รับการดูแลอย่างดีเสมอมา

ไคราห์นพยายามแกะกระดุมเสื้อที่ข้อมือของตน ขณะบ่นอยู่ในใจว่าเหตุใดมนุษย์จึงได้คิดค้นเสื้อผ้าที่สวมใส่ยากเย็นถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นปกคอสูงที่แข็งตรงเสียจนทำให้รู้สึกปวดคาง เสื้อตัวในที่มีแผงระบายลูกไม้บนอกชั้นหนึ่ง ทับด้วยเสื้อกั๊กอีกชั้นหนึ่ง คลุมด้วยเสื้อสูทหางยาวตัวนอกอีกชั้นหนึ่ง แล้วยังต้องคลุมด้วยผ้าคลุมบ่าเป็นชั้นสุดท้าย ซึ่งแม้อากาศภายนอกจะหนาวเย็น แต่การแต่งตัวเช่นนี้ทำให้ไคราห์นร้อนจนเหงื่อออกอย่างที่ไม่เคยเป็น

นี่เป็นเหตุผลที่พวกมนุษย์ต้อง 'อาบน้ำ' กระมัง

"ให้กระหม่อมช่วยไหมขอรับ" เมื่อเห็นว่าราชาเซลทิคไม่สามารถปลดกระดุมได้ด้วยมือเดียว เวสเทียร์จึงอาสาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาหลบสายตาลงต่ำอย่างที่เคยทำขณะรอคอยคำตอบ

"อืม..."

ไคราห์นยื่นข้อมือให้คนตรงหน้า เวสเทียร์เพิ่งจะถอดสูทตัวนอกของตนออก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตท่าทางของราชาหนุ่มอยู่ ดังนั้นจึงหันมาช่วยเหลือเสียก่อน ร่างโปร่งปลดกระดุมแขนเสื้อทั้งสองข้างออกอย่างคล่องแคล่วและนุ่มนวล แล้วจึงขยับเข้ามาช่วยปลดกระดุมคอเสื้อที่น่าอึดอัดเป็นลำดับต่อไป

"เหตุใดเจ้าจึงถอดๆ ใส่ๆ ชุดนี่ได้ด้วยตัวเองทุกครั้งนะ"

"กระหม่อมมองกระจกขอรับ" องครักษ์ตอบเสียงเรียบ ราชาของเขาเหลือบหางตาไปมองกระจกบานใหญ่ที่หน้าเตียง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อคอเสื้อถูกปลดออกเสียที "ฝ่าบาท..." เวสเทียร์ลังเล "กระหม่อมขอตัวก่อน"

"จะช่วยถอดแล้วก็ถอดให้หมดสิ"

ชาวเงือกไม่สะทกสะท้านกับการเห็นร่างมนุษย์เปล่าเปลือยของกันและกัน และความสัมพันธ์ของเวสเทียร์กับฝ่าบาททะเลเหนือก็ยิ่งสร้างความ 'คุ้นเคย' เกี่ยวกับเรื่องนั้นเป็นอย่างดี เวสเทียร์จึงไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธ แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างก็ตาม

มือเรียวเอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดอย่างใจเย็นและเนิบช้า เขาปรับลมหายใจให้เป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ใจจะเต้นโครมครามอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เสื้อขาวค่อยๆ แหวกออก เผยให้เห็นแผ่นอกกว้างกำยำที่ขาวเสียจนแทบจะกลืนไปกับเสื้อ

ฝ่าบาทไคราห์นยื่นนิ่ง เขาพิจารณาคนตรงหน้าใกล้ๆ ในช่วงเวลานั้น

เวสเทียร์หลบตาของเขาอย่างที่ทำเป็นประจำ แม้กิริยาของอีกฝ่ายจะนุ่มนวลไม่มีสะดุด แต่ราชาหนุ่มสัมผัสได้ว่าหัวใจขององครักษ์กำลังเต้นเร่าด้วยความตื่นเต้น จังหวะของมันดังมากเสียจนเขาเองยังได้ยิน

ไคราห์นเอื้อมมือไปปลดกระดุมบนปกเสื้อทรงสูงของอีกฝ่ายบ้าง

"...!"

เวสเทียร์สะดุ้ง แต่เขาไม่ออกปากถามด้วยรู้ว่าราชากำลังทำอะไร เขาหยุดมือชะงักไปเมื่อสัมผัสกับขอบกางเกง จังหวะเดียวกับที่กระดุมเสื้อเลื่อนหลุด และเผยลำคอระหงที่คุ้นตา "เงยหน้าขึ้นสิ" องครักษ์ยังหลบตาลงต่ำ ขณะแหงนขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายปลดกระดุมเสื้อที่เหลือได้สะดวก

"จะให้เราถอดที่เหลือเองแล้วหรือไร"

ฝ่าบาทไคราห์นอาจเอาแต่ใจอย่างที่สุด แต่สิ่งที่อีกฝ่ายถามทำให้เวสเทียร์เคลื่อนมือไปปลดกระดุมกางเกงต่อ "ขออภัยขอรับ"

ผิวสีเข้มปรากฎให้เห็นใต้สาบเสื้อ เวสเทียร์หนาว เขารู้ตัวว่าอากาศหนาวเสียจนขนลุกไปหมด แต่ก็ไม่อาจบอกได้

กางเกงถูกถอดลงไปกองอยู่ที่พื้น และเวสเทียร์คิดว่าเขาควรจะไปหาเสื้อคลุมให้ราชาเพื่อให้อีกฝ่ายคลุมร่างเดินกลับไปยังชายหาด แต่ฝ่ามืออุ่นกลับวางทาบลงบนอกของเขาจนร่างโปร่งหยุดชะงัก "เจ้าหนาวรึ" ผิวของเวสเทียร์เย็นเยียบ ร่างสูงลากมือลงไปยังหน้าท้องแข็ง สัมผัสถึงความเย็นบนผิวกาย 

"ประมาทอากาศเบื้องบนมากไปรึไร"

คนถูกถามกลั้นใจ เขางอตัวหนีจากสัมผัสนั้นเล็กน้อย แต่ก็พบว่าด้านหลังของตนคือตู้ไม้บานใหญ่ที่ไม่มีทางให้หลบเลี่ยง เวสเทียร์ไม่เคยปฏิเสธฝ่าบาท แต่ตอนนี้เขาสับสนว่าอีกฝ่ายกำลังกลั่นแกล้งตนหรือต้องการอะไร

ปลายนิ้วอุ่นลากลงไปถึงขอบกางเกง และขยับเพียงนิดเดียวก็ปลดมันลงไปกองกับพื้นได้ไม่ยากเย็น และอึดใจต่อมา ขายาวขาวซีดก็ก้าวเข้าประชิดและกดเข้าหาร่างโปร่ง ราชาหนุ่มจับมือข้อมือทั้งสองข้างของเขา ก่อนจะรวบมันขึ้นไว้เหนือหัวในยามที่เบียดท่อนขาเข้ามาแนบชิด

เพียงเท่านี้ก็คงไม่ต้องสงสัยอะไรแล้วกระมัง

อีกฝ่ายก้มลงคลอเคลียซอกคอระหง ขบเม้มติ่งหูนิ่ม และลากลมหายใจไปตามผิวหนังเย็น และนวดเฟ้นผ่านบั้นเอวไปถึงสะโพก องครักษ์สูดหายใจเข้า เขาเคยรู้งานอยู่เสมอ รู้วิธีการปรนนิบัติอีกฝ่ายให้พอใจ ทว่าในครั้งนี้มันค่อนข้างต่างออกไปมากสักหน่อย

"ฝ่าบาท" เวสเทียร์พึมพำเรียก "ให้กระหม่อม..."

มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาอยู่เบื้องบน ...อีกทั้งยังยืนอยู่ด้วย!

"ไม่ต้อง" เสียงทุ้มปฏิเสธ ก่อนที่ฟันคมจะขย้ำกัดจุดเดิมที่เขาไม่เคยชอบใจ ให้ร่างโปร่งสะดุ้งหลุดเสียงครางออกมา "อยู่เฉยๆ ก็พอ" เขาลดมือลง ลากปลายนิ้วไปยังกลีบปากและกดเข้าไปสัมผัสกับลิ้นอุ่นร้อนที่ตวัดรอบเลียเนิบช้าอย่างรู้งาน ส่วนมืออีกข้างก็เคลื่อนไปช้อนยกท่อนขาข้างหนึ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

"...!"

เวสเทียร์ไม่กล้าแตะต้องราชา แต่การจะเหนี่ยวตู้เสื้อผ้าด้านหลังก็ดูจะอันตรายมากกว่านัก "อือ..." ร่างโปร่งขบริมฝีปาก แอ่นสะโพกรับนิ้วเย็นเปียกชุ่ม และพยายามสูดใจลึกเพื่อผ่อนคลายตัวเอง เสียงหอบหายใจสะท้อนไปทั่วห้อง และเพียงไม่กี่อึดใจ สิ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าปลายนิ้วก็แทรกลึกเข้ามา

"อื้อ...!" มันเจ็บเสียยิ่งกว่าตอนอยู่ในน้ำเสียอีก อาจเป็นเพราะน้ำหนักของเขาด้วยก็เป็นได้

"จะกอดเราไว้ก็ได้" ฝ่าบาทเองก็หอบหนัก เขาช้อนมือเข้าใต้ข้อเข่า ก่อนจะดันขาข้างนั้นให้ยกขึ้นสูงอีก "ถ้ารู้สึกดีก็ร้องออกมา..." ขาข้างที่ยังหยัดอยู่บนพื้นเขย่งจนสุดปลายเท้า ถ่ายเทน้ำหนักไปบนแผ่นหลังที่กดแนบกับประตูไม้

เวสเทียร์มุ่นคิ้ว

เขาอาจจะรู้สึกดี... ทว่าตอนนี้ยังห่างไกลจากคำนั้นนัก

"จ... เจ็บขอรับ" องครักษ์กระซิบบอก "ฝ่าบาท..." เสียงแหบพร่าเว้าวอน มือสั่นเทาเอื้อมไปกอดรอบลำคอแกร่ง และเหนี่ยวยกตัวเองขึ้นจากอีกฝ่าย แต่กายแกร่งกลับยิ่งแทรกลึกเข้ามาเพราะน้ำหนักตัวของเขาเอง "ข... ขอเวลา..." ภาพตรงหน้าพร่าเลือน ร่างรองรับสั่นเทา เขาซบลงกับบ่าผู้รุกราน และขบริมฝีปากกลั้นใจกับความเจ็บปวด

ไคราห์นหยุดการเคลื่อนไหว เขาเอียงจูบขมับชื้นเหงื่อราวปลอบใจ ก่อนจะช้อนขาเรียวอีกข้างขึ้นมา

"อา...!"

เวสเทียร์ครางเสียงแผ่ว เขาเสียศูนย์ทรงตัว และคว้ากอดบ่ากว้างเอาไว้ตามสัญชาติญาณ ขณะที่อีกฝ่ายขยับยกร่างของเขาขึ้น และประคองกอดสะโพกมนเอาไว้ "ดีขึ้นไหม" ราชาพึมพำถาม เขาถอยร่างออกจนเกือบจะแยกจาก "ช้าๆ ก็ได้"

ฝ่าบาทไคราห์นไม่ใช่คนอ่อนโยน แต่ก็ใจเย็นมากพอ

"ก... กระหม่อมไม่เป็นไร..." มันอาจเป็นคำติดปากที่ฆ่าตัวตายที่สุดของเวสเทียร์ในตอนนี้ เพราะเมื่อสิ้นเสียง กายแกร่งก็ดันลึกเข้ามาภายในจนสุดในคราเดียว

"อ๊า...!!"

ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก ลมหายใจกระตุกสั่นด้วยตกใจ ก่อนจะมองสบตาอีกฝ่ายราวกับประท้วง "ฝ่าบาท..." ช่วงล่างของเขาเกร็งรัดอีกฝ่าย เรียกเสียงครางทุ้มต่ำอย่างพอใจจากคนตรงหน้า ฝ่ามืออุ่นร้อนกอบกุมสะโพกของเขาหนักขึ้น และยิ่งขยับแยกเนินเนื้อเบื้องล่างเพื่อให้การสอดแทรกง่ายยิ่งขึ้น

"ไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ"

น้ำเสียงทุ้มหยอกแกล้ง ขณะที่ดวงตาจับจ้องใบหน้าแดงจัดด้วยแรงอารมณ์ ราวกับต้องการจดจำมันเอาไว้ให้ขึ้นใจ ก่อนจะเริ่มขยับช้าๆ ให้คนตรงหน้าหลุดเสียงครางออกมาอย่างที่ไม่เคยทำ และเน้นย้ำสัมผัสในจุดทำให้ร่างรองรับรู้สึกดี จนเสียงครางที่เคยอึดอัดกลับกลายเป็นการระบายความต้องการที่ฟังดูหวานหู

 

"ฝ่าบาท...!"

ราชาเซลทิคสะดุ้งตื่นหลังจากงีบหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน งานเลี้ยงสังสรรค์ของชาว 'เงือกปลา' ดูจะทรมาน 'เงือกวาฬ' เสียเหลือเกิน หลังจากขับร้องเพลงอวยพรให้ราชินีเรจินาและเสวนากับราชาจากเมืองอื่นจนต้องกลั้นหายใจจนหน้าเขียว ฝ่าบาทไคราห์นก็ปลีกตัวขึ้นมาพักบนกลุ่มกองหินแห่งหนึ่งซึ่งเหล่าองครักษ์ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้

"ขออภัยที่รบกวนขอรับ แต่ดูเหมือนว่าจะมีพายุฝน กระหม่อมเกรงว่าฝ่าบาทจะสำลักน้ำ"

เวสเทียร์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่เจ้าตัวขยับกายขึ้นมานั่งเคียงข้างบนแท่นประทับ "เราคงต้องลงไปพักที่มารินาการ์ดขอรับ" ไคราห์นปรือตามองคนพูดก่อนพยักหน้าช้าๆ หลังตระหนักได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เป็นความคิดสัปดนในฝันของเขาเอง

"เราพูดอะไรแปลกๆ ออกไปหรือเปล่า"

เวสเทียร์เลิกคิ้ว "เปล่าขอรับ"

"แล้วไม่ได้ทำท่าอะไรแปลกๆ ใช่ไหม"

"ฝ่าบาทฝันร้ายหรือขอรับ" องครักษ์เป็นห่วง เขาเอื้อมมือไปจับมือใหญ่และพบว่าชีพจรอีกฝ่ายเต้นแรงผิดปกติ ในบริเวณนั้นไม่มีองครักษ์คนอื่นแล้ว เนื่องจากเวสเทียร์ส่งพวกเขาไปจัดแจงเรื่องที่พัก ดังนั้นองครักษ์หนุ่มจึงสามารถอยู่ใกล้ชิดราชาได้ "มันเป็นแค่ฝัน... ไม่มีอะไรหรอกขอรับ"

ไคราห์นผ่อนลมหายใจเบา "อืม แค่ฝันก็ดีแล้ว"

...นี่ราชาทะเลเหนือฝันอะไรกันหนอ!

"มีอะไรที่กระหม่อมจะช่วยได้ไหมขอรับ" เวสเทียร์เป็นห่วง หากไคราห์นฝันร้ายขึ้นมาจริงๆ เขาก็อยากรู้ว่าความฝันนั้นคืออะไร และเขาสามารถช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่ ฝ่าบาทฝันถึงองค์ชายเดียร์ราฮานหรือเปล่าหนอ หรือว่าฝันเรื่องพระบิดา ราชาบริททาเนียร์กันเล่า

"ช่วย..." ไคราห์นหลับตาอีกครั้ง "อืม ไม่มีอะไรหรอก"

"ฝ่าบาท..."

ร่างสูงผละมือออกจากอีกฝ่ายก่อนจะเอื้อมไปจับปลายผมสีเข้มทัดหูช้าๆ "มันไม่ใช่ฝันร้ายหรอก ไม่ต้องห่วง" ถึงราชาจะพูดเช่นนั้น แต่คนฟังก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี "ไป... ควรจะลงไปเบื้องล่างได้แล้ว" ราชาตัดบทเพื่อความสบายใจ ต่อให้ตัวเขาเองจะยังสลัดภาพความฝันไปไม่ได้ก็ตาม

เขาไม่เคยทำแบบนั้นบนบก... อันที่จริงก็เคยคิดอยู่บ้าง แต่ไม่เคยลงมือสักครั้ง

หากเขาทำจริงๆ เวสเทียร์จะยอมหรือไม่หนอ

"นี่ เวสเทียร์..." องครักษ์คนสนิทโคลงหัว เขาหลบตาลงเล็กน้อยเมื่อหลังนิ้วของอีกฝ่ายคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ราชาทะเลเหนือดูมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่าง และอีกฝ่ายก็ดูจะลำบากใจในการพูดออกมา "ช่างมันเถอะ" อีกครั้งที่ราชาตัดบท

"นี่เป็นวันมงคลของฝ่าบาทเรจินา"

จะไปคิดเรื่องสัปดนวนเวียนในหัวทำไม...

"จะวันใดก็ช่าง หากฝ่าบาทเป็นทุกข์ กระหม่อมจะไม่ห่วงได้อย่างไร"

นับตั้งแต่เปิดปากเปิดใจพูดกันมานี้ ไคราห์นคิดว่าเวสเทียร์ปากหวานขึ้นเยอะ เขายิ้มจางก่อนจะหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู "เอาไว้กลับไปเซลทิค เราจะบอกเจ้าก็แล้วกัน" นิ้วสากลากผ่านกลีบปากนุ่ม ก่อนจะลดมือลง เพื่อยันกายขึ้นจากที่ประทับ "ไปกันเถอะ"

"ฝ่าบาทไคราห์น!"

เสียงตื่นตระหนกของใครอีกคนดังขึ้น ก่อนที่ร่างจะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเบื้องบน เวสเทียร์ขยับหอกยาวในมือให้มั่นและตั้งรับอย่างรวดเร็วจนปลายแปลมของมันจ่ออยู่บนคอของผู้มาเยือน เธรมาร์ถลึงตามองอาวุธขององครักษ์คนสนิทก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

"เอ่อ..."

"จะโหวกเหวกโวยวายทำไมกัน นาร์วาล" ราชาหยัดกายนั่ง ทอดปลายหางสีขาวสะท้อนแสงจันทร์ลงในน้ำ "เมื่อปัญหาอะไรจะฟ้องเราหรือ พวกมารินาการ์ดห้ามเจ้าล่าปลาหมึกในเขตอาณาจักรหรือไร" เผ่านาร์วาลชื่นชอบปลาหมึก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของเธรมาร์ เขาไม่ได้ทะเลาะกับกลุ่มองครักษ์สเตอร์เจียน ในความเป็นจริงแล้ว เธรมาร์และเอลลาร์แทบไม่ได้เสวนากับเงือกปลาสามัญชนเลยด้วยซ้ำ

"ฝ่าบาทส่งคนไปพบข้า..." เธรมาร์ละล่ำละลัก "บอกว่าองค์หญิงอาโกรนาห์..."

ไคราห์นไหวไหล่ และลอบกลอกตาครั้งหนึ่ง "อืม นางคิดถึงเจ้า... ทำไมรึ"

"องค์หญิงบอกว่าคิดถึงข้า!!!"

เวสเทียร์คำรามในคออย่างไม่สบอารมณ์ที่มีใครสักคนตะโกนใส่ฝ่าบาทของเขา "การพูดว่า 'กระหม่อม' มันยากเย็นนักหรือไร รู้สถานะของตัวเองบ้าง" องครักษ์เอ็ด เวสเทียร์ตัวใหญ่ว่าเธรมาร์ และนับว่าพวกนาร์วาลนั้นเป็น 'โลมา' พวกหนึ่ง ซึ่งอยู่ในระดับ 'ต่ำกว่า' เขา ดังนั้นจึงมีสถานะต่ำกว่าราชาแห่งเซลทิคแน่แท้

ต่อให้พวกเขาจะสามารถรักษาแผลให้ตัวเองได้ก็ตาม

"ช่างเถอะ เวสเทียร์ พวกนาร์วาลฉลาด แต่ไม่ค่อยมีมารยาทหรอก"

"ฝ่าบาทว่าข้า... ว่ากระหม่อมไม่มีมารยาทรึ!"

"ก็พูดไปตรงๆ แล้ว" ราชาหนุ่มกอดอก ทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนดูชัดขึ้นกว่าเดิม "แล้วอย่างไร ตื่นเต้นที่น้องสาวเราคิดถึงเจ้ารึ ...แค่ตื่นเต้นหรือไร" เธรมาร์ไม่เข้าใจเลยว่าราชาเซลทิคเป็นคนอย่างไรกันแน่ เขาเคยมีภาพลักษณ์ของคนที่ใจดีมีเมตตา ทว่าเมื่อได้เสวนาด้วยจริงๆแล้ว ฝ่าบาทไคราห์นดูจะเป็นคนที่เอาแต่ใจและขี้ประชดอย่างที่สุด

"กระหม่อม..." เธรมาร์พึมพำ "ขอกลับเซลทิคสักสัปดาห์หนึ่งได้ไหมขอรับ เผื่อองค์หญิง..."

"ไม่ได้ห้าม" ไคราห์นตอบเรียบ "เจ้ามาประจำที่มารินาการ์ดทั้งที่เราไม่ได้สั่ง นั่นก็เป็นน้ำใจมากแล้ว" ร่างสูงขยับกายลงน้ำ เพื่อจะกลับไปยังอาณาจักรสีทองเบื้องล่างที่ยังคงมีงานเลี้ยงสังสรรค์อยู่ "ต่อไปเราอาจจะส่งเจ้าไปอาณาจักรอื่นด้วย เพื่อเผยแพร่ความรู้และสูตรยาของเจ้า"

"ฝ... ฝ่าบาท..." เธรมาร์เรียกอีกครั้ง "กระหม่อมขออะไรอีกสักอย่างได้ไหมขอรับ"

เวสเทียร์เลิกคิ้ว เขาเป็นองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทมาร่วมสิบปียังไม่แม้แต่จะกล้าขออะไรหากอีกฝ่ายไม่เปิดโอกาส แต่เหตุใดเจ้าหนุ่มนาร์วาลนี่ถึงกล้าหาญ และโลภมาก ช่างขอเสียเหลือเกิน "กระหม่อมอยากได้เงินของพวกมนุษย์... เผื่อว่าจะนำไปซื้อของ... ให้องค์หญิงอาโกรนาห์"

อาโกรนาห์เป็นน้องสาวของไคราห์น...

ดังนั้นคนเป็นพี่จึงงุนงงไม่น้อยที่อีกฝ่ายมาขอความช่วยเหลือกระทั่งเรื่องนี้

"เพราะที่ขั้วโลกไม่มีสิ่งใดมีมูลค่า จะมีก็แต่เขาของกระหม่อม แต่มันไม่ใช่สิ่งที่จะนำไปขายได้เสียหน่อย" เธรมาร์พึมพำต่อ "แล้วฝ่าบาทจะส่งกระหม่อมไปอีกสักกี่อาณาจักรก็ได้ ต่อให้เป็นทะเลยิปรอลตาร์ กระหม่อมก็จะไป" ทะเลยิปรอลตาร์เป็นสุสานของชาวเงือก มันเป็นน่านน้ำที่น่ากลัวสำหรับพวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากเฉียดเข้าไปใกล้

"เจ้ารู้จักคำว่า 'ค่าจ้าง' ขึ้นมาบ้างแล้วสินะ" ไคราห์นเลิกคิ้ว "ได้ แต่ในฐานะพี่ชาย เรารู้ว่าอาโกรนาห์ชื่นชอบสิ่งใดมากที่สุด ประเดี๋ยวเราจะหามันมาให้เจ้าเอง ดีหรือไม่"

ฝ่าบาทไคราห์นอาจเป็นคนเงียบขรึม ดุดัน และเอาใจยาก แต่เมื่อจบประโยค เธรมาร์ก็คิดว่าอีกฝ่ายใจดีมีเมตตาไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เพราะต่อให้เธรมาร์จะได้เงินตราของพวกมนุษย์มา เขาก็คงไม่มีปัญญาจะไปเดินซื้อหาของในตลาดบาร์ธีมอร์ด้วยตนเองอยู่ดี

"ขอบคุณมากขอรับ ฝ่าบาท"

ไคราห์นไม่ยิ้มตอบ เขาดำลงไปในน้ำและกลับไปยังมารินาการ์ดพร้อมเวสเทียร์

"อืม... มีเรื่องให้ขึ้นบกแล้ว"

--------------------------------------------------


กามล้วนๆ---

ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ (ไม่ใช่ ...ไม่เท่าไหร่... แต่งานเยอะมากค่าาาาาาาาาาาาาาา) แต่พอดีมันเป็นตอนพิเศษเลยอัดหยอดๆ ได้ ลองหายหัวช่วงไคลแมกซ์สิ ฮาาา ตอนพิเศษนี้มันจะไปโยงกับตอนพิเศษหน้าๆ (อิ) ซึ่ง... เรทอีกแล้ว (หึฟ์) แต่เป็นเรื่องเป็นราวมีสาระขึ้นมานิ๊ดดดนึง

คนกาม... แล้วยังมีหน้าไปว่าคนอื่นลามก ฝ่าบาทนะ ฝ่าบาท 555

จริงๆ ท่ายืนนี่เป็นอะไรที่แอบแฟนตาซี คือฝ่าบาทจะต้องแข็งแรงขนาดไหน อุ้มได้แบบ... ไม่เซ ไม่หงาย อย่าคิดภาพตาม มันตลกกก 555) ไคราห์นแข็งแรงนะ เป็นเมะกล้ามสวย แต่ไม่ถึงกับกล้ามปูนมฟูฟินาเล่อะไรขนาดนั้น แต่แค่มองแว่บเดียวก็รู้ว่าแรงเยอะมากกก อะไรงี้



ปล. ยิปรอลตาร์ >> ช่องแคบเชื่อมแอตแลนติกกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชาวเงือกไม่เข้าเมดิเตอร์เนียนข่าา งานประมงเยอะมากไป นางชอบทะเลเปิด 555
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [3] [15-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 19-07-2017 14:57:46
ฝ่าบาทฝันลามก 555 สงสารก็แต่เวสเทียร์ กลุ้มแทบตายคิดว่าฝ่าบาทฝันร้าย ถถถถ แถมนี่ฝ่าบาทยังหาข้ออ้างขึ้นบกได้อีก ไม่รอดแน่เวสเวส  :laugh:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [3] [15-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 19-07-2017 22:07:46
ฝ่าบาท ค่ลบร้าาาาา
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [3] [15-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-07-2017 22:33:34
นี่มาส่งปลาเข้าปากเงือกชัด ๆ

ในน้ำก็แล้ว บนบกน่าจะดี ฮี่ ๆ
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [4]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 23-07-2017 08:18:51
ตอนพิเศษ [4] กำไลมุก

แม้เงือกวาฬจะรับรู้ความเป็นไปของ 'เบื้องบน' เสมอ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่พวกเขาจะหาสร้อยไข่มุกสักเส้นที่ถูกใจ เนื่องด้วยไข่มุกเม็ดใดก็ไม่เข้าตาราชาสักที "หรือจะเป็นมุกสีชมพูเส้นนี้ล่ะขอรับ นายท่าน นำเข้ามาจาก..."

ด้วยความรำคาญ ฝ่าบาทไคราห์นยกมือปรามไม่ให้เจ้าของร้านพูด เขาเป็นเงือก มีหรือจะดูมุกไม่ออก

ชายมนุษย์ร่างเล็กค้อมหัวลงน้อยๆ และวางกำไลข้อมือลงบนผ้ารองกำมะหยี่สีเข้มเพื่อขับเน้นให้เห็นถึงความมันวาวของเครื่องประดับ ลูกค้าของเขาในวันนี้ดูจะเป็นคุณชายเรื่องมากจากเมืองไหนสักแห่ง และถามหาเครื่องประดับประเภทกำไลข้อมือเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะพยายามแนะนำสร้อยมุกเส้นไหน คุณชายก็ไม่ปรายตามองเลยสักครั้งเดียว

คุณชายผู้นี้มีร่างกายสูงใหญ่เสียจนน่าสงสัยว่าเขาเป็นมนุษย์จริงๆ หรือเปล่า อีกทั้งมีผิวพรรณขาวเผือดอย่างผิดธรรมชาติ และเรือนผมยาวสีขาวโพลนยาวที่มัดเอาไว้หลวมๆ ตรงต้นคอ ซึ่งนี่ไม่ใช่ลักษณะทรงผมตาม 'สมัยนิยม' ของพวกเขาเลย

ไหนจะผู้ติดตามที่มีผิวเข้มอย่างกับอินเดียแดง อีกทั้งยังสักตามตัวกระทั่งบนใบหน้าอีกด้วย ร่างกายสูงใหญ่บ่งบอกได้ถึงความแข็งแรง สะท้อนภาพลักษณ์อันป่าเถื่อนของกลุ่มคนที่ไม่มีวัฒนธรรม แต่การวางของฝ่ายนั้นกลับนุ่มนวลอ่อนน้อมจนน่าแปลกใจ

ชายเจ้าของร้านไม่แน่ใจว่าเขาควรจะกลัวคุณชายหรือผู้ติดตามมากกว่า

แต่หากนี่ไม่ใช่คุณชายใหญ่กับทาสอินเดียนแดงแล้วจะเป็นพวกใดได้อีก!

"อายุน้อยไปหรือเปล่านะ" โดยที่ไม่แตะต้องเครื่องประดับ คุณชายผมยาวก็พึมพำกับตัวเอง และเคลื่อนสายตากลับไปยังกำไลอีกเส้นที่เป็นมุกสีนวลทว่ามีขนาดใหญ่กว่ามาก ดวงตาสีครามตวัดมองเจ้าของร้าน "เจ้าทำให้เส้นนั้นยาวขึ้นอีกได้หรือเปล่า น้องสาวเราข้อมือใหญ่"

แม้จะดูดุดัน แต่คุณชายคนสูงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบธรรมดาไม่ถือตัว

"แน่นอนขอรับ คุณชาย" เจ้าของร้านยิ้มรับ "กระผมขอเวลาสักครู่เดียวเท่านั้น"

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์กระซิบเรียก "กระหม่อมเสนอให้ร้อยเส้นใหม่" นัยน์ตาสีเข้มชำเลืองมองเม็ดมุกเปล่าที่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นเครื่องประดับ "ตรงนั้นทรงสวยกว่า กลมกว่ามาก" เจ้าของร้านมองตามสายตาของเวสเทียร์ไปด้วย และนึกภาวนาในใจว่าอย่าให้คุณชายเปลี่ยนใจ เพราะสิ่งที่เวสเทียร์พูดถึงนั้นไม่ใช่ของดีเท่ากำไลที่คุณชายผู้นี้ตัดสินใจเลือกแล้ว

"นั่นมุกน้ำจืด เวสเทียร์" ไคราห์นตอบเบา "ทั้งเส้นนั่นราคาไม่ได้ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่อยู่บนหูเจ้า"

องครักษ์เงือกมุ่นคิ้ว ประการแรกนั่นคือนึกตำหนิตัวเองที่ลืมไปว่ายังมีสิ่งที่เรียกว่ามุกน้ำจืดอยู่ด้วย และประการต่อมาคือความหมายในคำพูดของราชาทะเลเหนือ เวสเทียร์เหลือบตากลับไปมองฝ่าบาทของตนเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นจับหูซ้ายของตนที่ยังสวมเครื่องประดับมุกอยู่

มุกเม็ดเดียวบนนั้นไม่ได้ใหญ่มาก... แต่มันเป็นมุกที่สวยที่สุดที่เวสเทียร์เคยเห็น

"นั่นเป็นไข่มุกทะเลใต้ที่หายากเชียว..."

เจ้าของร้านเองก็ดูประหลาดใจกับคำพูดของคุณชาย แต่ด้วยความที่ไม่อยากยุ่งเรื่องของลูกค้าให้มากความ เขาจึงหันมาจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ ชายหนุ่มขอบคุณพระเจ้าอยู่ในใจที่ประทานลูกค้ากระเป๋าหนักผู้นี้มาให้เขากลางฤดูหนาว แต่ก็ลอบมองไข่มุกบนเครื่องประดับบนหูของผู้ติดตามบ้างด้วยความอยากรู้

เขาเห็นด้วยว่ามันเป็นมุกที่สวยงามมาก และน่าเชื่อถือจริงๆ ว่าเป็นมุกที่นำเข้ามาจากทะเลใต้ อันแปลว่าราคาแพงหูฉี่เลยทีเดียว

คุณชายประเภทใดจะซื้อเครื่องประดับหูให้ทาสแบบนี้...

อีกทั้งเครื่องประดับแบบนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปเขานิยมกันด้วย

ฝ่าบาทหนีบไม้เท้าเอาไว้ใต้แขน ขณะหยิบกำไลมุกสีชมพูขึ้นพิจารณา "หากมีอายุมากกว่านี้ก็คงจะสวยกว่านี้แน่" อาโกรนาห์เป็นผู้หญิง และนางคงจะโปรดปรานสีหวานๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้มากกว่าสีขาวจืดๆ ที่นางพบเจอทุกวี่ทุกวัน ซึ่งนั่นก็คือตัวเขาเอง

แต่มุกสีชมพูเส้นนี้มีอายุน้อยเกินไป อีกทั้งยังไม่ค่อยจะกลมเสียด้วย

"ไม้เท้าของคุณชาย..." เจ้าของร้านชวนคุยอย่างอารมณ์ดี "ผลงานของพ่อหนุ่มเจ้าของร้านท่อนไม้สินะขอรับ" อีกฝ่ายดึงเส้นเอ็นออกมาใหม่ ให้มีความยาวมากกว่าเดิม เพื่อจะเปลี่ยนถ่ายไข่มุกอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว "งานปราณีตและมีราคามากเสียจนน่าตกใจที่เขายังอยู่ที่บาร์ธีมอร์นี้"

ไคราห์นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงวาร์เรน

"แต่ก็ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครเขาหรอกนะขอรับ วิธีการพูดจาก็ดูเป็นผู้ดีมจากไหนที่ไหนเสียด้วย"

"เราไม่ค่อยได้พูดคุยกับเขาหรอก" ราชาตอบเรียบ "เพียงแค่มองหาช่างแกะสลักฝีมือดีสักคนหนึ่ง เมื่อซื้อชายกันเสร็จสิ้นก็ไม่มีธุระใดให้เสวนาต่อ" คำตอบของฝ่าบาทดูเย็นชาเสียจนเจ้าของร้านอดกลั้นใจไม่ได้ และเริ่มคิดว่าเขาควรจะระวังคำพูดกับอีกฝ่ายให้มากขึ้นหากต้องการค้าขายในระยะยาวกับลูกค้าเงินหนักแบบนี้ เพราะไม่แน่ว่าในอนาคต คุณชายผู้นี้อาจจะอยากซื้ออะไรให้น้องสาวอีกก็เป็นได้

แต่ไข่มุกทะเลใต้ที่เป็นของผู้ติดตามผู้นั้นเล่า...

คุณชายไปสรรหามาจากไหน แล้วเหตุใดจึงไม่กลับไปที่เดิม

"เจ้าหาไข่มุกทะเลใต้ได้หรือเปล่า" คำถามที่ทำให้ผู้ค้าเสียวไส้โพล่งออกมาในอึดใจ แม้เขาไม่ต้องการจะปฏิเสธ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนไม่มีปัญญาไปหาสินค้าราคาแพงนั้นมาได้ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ต้องเงินหนักเท่านั้น แต่หมายถึงเส้นสายติดต่อพ่อค้าต่างเมืองอีกด้วย

"กระผม... ไม่กล้านำเข้ามาขอรับ"

เวสเทียร์ชำเลืองมองราชาก่อนพึมพำเสนอความเห็น "ให้ท่านฟาลติดต่อพวกทะเลใต้ก็ได้นี่ขอรับ"

"ซื้อไข่มุกให้เจ้า จะบอกให้ฟาลจัดแจงได้อย่างไร" ไคราห์นตอบเรียบ "ประเดี๋ยวก็โดนเอ็ดเอาทั้งคู่"

เวสเทียร์เงยหน้าขึ้นมองคนพูดพร้อมกับอ้าปากโต้แย้ง "ม... ไม่จำเป็นเลยขอรับ ของหายากแบบนั้น ฝ่าบาทจะประทานเครื่องประดับที่อยู่ในกล่องเก็บมาก็ได้" ราชาทะเลเหนือหันมองคนพูด ก่อนจะจรดยิ้มที่มุมปากด้วยความขบขัน "ไม่ตลกนะขอรับ!"

"อยากได้ไข่มุกเจ็ดคาบสมุทรนั่นหรือ เวสเทียร์"

คนฟังกลั้นใจ และยิ่งปฏิเสธเป็นพัลวัน "ม... ไม่ใช่อย่างนั้น..."

"ประเดี๋ยวกลับไปแล้วเราจะให้เจ้าก็แล้วกัน" ไคราห์นกล่าวต่อสบายอารมณ์ "อย่างไรมันก็เป็นเครื่องหมายแทนคำสัตย์ของเราอยู่แล้ว"

"กระหม่อมปฏิเสธ..." องครักษ์กดเสียงหนักแน่นแน่วแน่ "กระหม่อมไม่คู่ควรกับมัน"

"เจ้าเคยปฏิเสธเราหรือ เวสเทียร์"

เจ้าของร้านยังคงร้อยไข่มุกต่อไปอย่างใจเย็น แม้เขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรอยู่ในที่แห่งนี้ก็ตาม เขาสัมผัส.. ได้ถึงความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดระหว่างคนคู่นี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญในร้านของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ก็ยังอยากรู้ว่าคุณชายตรงหน้ามีสถานะเป็นใครกันแน่ เพราะจากคำพูดคำจาแล้ว ดูจะไม่ใช่คุณชายธรรมดาทั่วไป แต่น่าจะเป็นชนชั้นปกครอง และเป็นชนชั้นปกครองระดับดยุกขึ้นไปเสียด้วย

นี่จะเป็นท่านดยุกจากเมืองใดหนอ...

หวังว่าคงไม่ใช่ดยุกแห่งบาร์ธีมอร์หรอกกระมัง!!!

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์เสียงอ่อน ด้วยรู้ดีว่าเปล่าประโยชน์ที่จะโต้เถียง "ประทานให้องค์หญิงเถอะขอรับ" เจ้าของร้านตื่นตกใจเล็กน้อยเมื่อตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายดูจะสูงศักดิ์กว่าระดับดยุกเสียอีก "มันเป็นสมบัติของราชวงศ์"

มีคำว่าราชวงศ์หลุดออกมาแล้วด้วย!!!

...หรือว่านี่จะเป็นองค์ชาย!!

"ให้อาโกรนาห์เอาไปคล้องคอเธรมาร์หรืออย่างไร เจ้าก็รู้ว่าฝ่ายชายต้องเป็นคนให้สร้อยเวลาจะแต่งงาน แต่จะให้เรายกให้เธรมาร์ก็ใช่เรื่องเสียที่ไหน น่าเกลียดจะตายไปที่จะเอามรดกตระกูลไปให้ว่าที่เขยยืมใช้ เพราะไม่มีอะไรติดตัวมาเลยสักอย่างเดียว" เวสเทียร์ได้ยินกระทั่งเสียงเต้นของหัวใจของคนรอบตัว ดังนั้นเขาจึงเหลือบมองเจ้าของร้านอย่างไม่ไว้ใจหลังจากสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายตื่นเต้นจนเกินควร

"เหตุใดจึงใช้เวลานานนัก" องครักษ์หนุ่มถามเสียงเข้ม "เจ้าคิดอะไรอยู่"

คนถูกถามสะดุ้งสุดตัวและเงยหน้าขึ้นมองผู้ติดตามร่างสูงที่หันไปคว้าหัวไม้เท้าแกะสลักรูปวาฬ หมายจะดึงดาบที่ซ่อนอยู่ในนั้นออกมา "เวสเทียร์ ราชาหนุ่มแตะมือเวสเทียร์เป็นเชิงปราม "อย่าวู่วามไป" เขาเคลื่อนปลายนิ้วไปกอบกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้

"งานศิลปะต้องใช้เวลา"

เจ้าของร้านพยักหน้ารัวเร็วก่อนจะหันไปหยิบกล่องกำมะหยี่สีดำอย่างดีเพื่อมาใส่เครื่องประดับราคาแพง "นี่ขอรับ นายท่าน กระผมขออภัยในความล่าช้า..." เวสเทียร์รับกล่องสวยมาจากอีกฝ่ายแทนราชาของเขา  ในที่สุดคุณชายและผู้ติดตามก็ออกจากร้านไป

"โอย ต่อให้เงินหนักก็เถอะนะ แต่ถ้าเจอแบบนี้บ่อยๆ คงไม่ดีมั้ง"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [5]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 23-07-2017 08:20:32
ตอนพิเศษ [5] รางวัล

เงือกวาฬอาศัยอยู่ในถ้ำซึ่งไม่ค่อยจะมีลมพัดผ่านสักเท่าไหร่ ดังนั้นการเดินเล่นในเมืองบาร์ธีมอร์กลางฤดูหนาวเช่นนี้ทำให้เวสเทียร์หนาวจนปลายนิ้วแข็งชาไปหมด ในขณะที่ฝ่าบาทของเขาไม่รู้สึกอะไรเลย

หากเป็นวาฬจริงๆ ก็คงพูดได้ว่าอีกฝ่ายมีชั้นไขมันที่หนากว่าทำให้รู้สึกอบอุ่นกว่า

แต่ในเมื่อเป็นเงือก เวสเทียร์หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมฝ่าบาทจึงดูคุ้นชินกับอากาศมากกว่าเขา ทั้งที่อีกฝ่ายเพียงแค่สูงกว่า และดูจะมีกล้ามเนื้อมากกว่าเขา 'เล็กน้อย' ซึ่งกล้ามเนื้อไม่ได้ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นไม่ใช่หรือไร

เวสเทียร์กระชับเสื้อตัวนอก หยุดก้าวเดินเมื่อลมหนาวพัดมาปะทะร่าง เขามองดูปลายนิ้วตัวเองที่ถือกล่องใส่กำไลมุก เล็บที่เคยขาวนวลบัดนี้ขึ้นสีม่วงจางๆ พวกเขากำลังเดินทางไปยังธราฟัสการ์เพื่อจะเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับลงทะเล แต่เส้นทางระหว่างนั้นเป็นทางเดินที่ขนาบด้วยทุ่งหญ้ากว้างใหญ่

ช่างลมดีเหลือเกิน...

ฝ่าบาททะเลเหนือเหลือบมองคนข้างกาย ก่อนจะจับมืออีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ "อุ่นขึ้นไหม"

เขาพอจะรู้ว่าเวสเทียร์ขี้หนาว และดูไม่ค่อยชอบลมสักเท่าไหร่ แต่ก็พยายามไม่แสดงออก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่องครักษ์ควรทำ ทว่านั่นเป็นความคิดในอดีต ตอนนี้พวกเขาเป็นมากกว่านั้นแล้ว คงไม่ต้องรู้สึกกระดากมากหากอยากจะจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ "เราถือเอง"

ราชาคว้ากล่องกำมะหยี่มาถือไว้อีกมือ และกระชับจับมือเวสเทียร์ให้แน่นขึ้น "เย็นเชียว"

"ขออภัยฝ่าบาท..."

แม้จะเป็นคำที่เขาอยากสั่งห้ามไม่ให้เวสเทียร์พูด แต่เมื่อร่างโปร่งกุมมือตอบ ไคราห์นก็ลืมความคิดนั้นไป "ปากสั่นแล้ว" ราชาทะเลเหนือขยับไปเดินใกล้ๆ ใช้มือที่ยังถือกล่องปลดผ้าคลุมบ่าของตนออกอย่างไม่ค่อยถนัดนัก ปล่อยมือจากร่างโปร่งครู่หนึ่งเพื่อสะบัดเสื้อตัวหนักวางคลุมบ่าอีกฝ่าย

"ฝ่าบาท... ไม่จำเป็น..."

"ปฏิเสธเก่งนะ เดี๋ยวนี้" ราชาตัดบท "อยู่ข้างบนสักพักก่อนก็แล้วกัน ในตัวบ้านน่าจะอุ่นกว่า" ครั้งนีเวสเทียร์พยักหน้ารับรัวเร็วไม่ปฏิเสธ หากร้องขอได้ เขาก็อยากจะจุดไฟในเตาผิงแล้วนั่งอิงอยู่ตรงนั้นสักชั่วยามเลยทีเดียว องครักษ์มองหาหมู่บ้านปลายทาง และก็พบว่ามันอยู่ห่างออกไปอีกสักอึดใจ

อึดใจในที่นี้หมายถึงอึดใจหนึ่งของเงือกวาฬ ซึ่งนานพอดู

"ฝ่าบาท... ไม่หนาวหรือขอรับ" ร่างโปร่งอุบอิบถาม เหลือบมองคนข้างกายที่ยังคงไม่รู้สึกอะไร ทั้งยังเอาตัวเองบังลมให้เขาอีกด้วย นี่มันช่างน่าอับอายในฐานะองครักษ์เหลือเกิน "กระหม่อมควรเป็นฝ่าย... ดูแลฝ่าบาท"

"ถ้าหนาวขึ้นมา เจ้าก็ทำให้อุ่นหน่อยแล้วกัน"

หืม...

เวสเทียร์เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างองครักษ์ที่ดี "ฝ่าบาทไม่โปรดใบไม้ต้มน้ำใช่ไหมขอรับ" เขากำลังพูดถึง 'น้ำชา' ที่วาร์เรนคอยจะเอามาเลี้ยงต้อนรับอยู่เรื่อย แต่ฝ่าบาทก็ไม่แตะต้องเลยแม้แต่น้อยหลังจากได้กลิ่น "เช่นนั้น จะอาบน้ำอุ่นดีไหมขอรับ ถ้าไม่ร้อนจนเกินไปคงไม่เป็นไร หรือฝ่าบาทไม่โปรดน้ำจืด..."

"ถ้าเอาน้ำทะเลมาต้ม กาก็พังกันพอดี" ไคราห์นตอบเรียบ "ตามใจเจ้า..."

เวสเทียร์เริ่มวางแผนในใจ เขาจำได้ว่าครั้งนี้แล้วเขาตักน้ำใต้ดินขึ้นมาจากบ่อกลางหมู่บ้าน และเก็บเอาไว้ด้านหลังบ้านพัก ก่อนอื่นคงต้องเอาฟืนมาสุมไฟที่ใต้เตา แล้วจึงเอากาใหญ่ใส่น้ำมาวางต้ม และอาจจะต้องรอไปอีกสักพักใหญ่ๆ กว่าน้ำจะเดือด แล้วจึงเอาไปผสมกับน้ำเย็นในอ่างให้ฝ่าบาทอาบได้

ทุกอย่างสามารถทำให้บ้านได้ ดังนั้นเวสเทียร์จึงมั่นใจว่าเขาจะไม่หนาวตายเสียก่อน

ผ้าคลุมบ่าของฝ่าบาทตัดเย็บจากเส้นใยขนสัตว์ ดังนั้นมันจึงมีน้ำหนักมาก ทว่าป้องกันความหนาวเย็นได้ดีมากเช่นกัน กว่าพวกเขาจะเดินขึ้นไปถึงหมู่บ้าน เวสเทียร์ก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว "กระหม่อมขอตัวไปเตรียมน้ำร้อนก่อนนะขอรับ" เมื่อเปิดประตูเข้าบ้าน องครักษ์ที่รู้งานก็้ถอดผ้าคลุมบ่าผืนใหญ่ออกพับวางบนแขนของตัวเอง แล้วหันไปมองเตาผิง

"ให้กระหม่อมจุดไฟ..."

"ไปเถอะ เราไม่ได้หนาวขนาดต้องนั่งผิงไฟ" ราชาตอบเรียบ เขาถอดเสื้อนอกออก และเริ่มปลดกระดุมที่ปลายแขนเพื่อคลายความอึดอัดจากเสื้อผ้าของพวกมนุษย์ เขามองตามแผ่นหลังของเวสเทียร์ผู้รีบออกไปเพื่อเตรียมน้ำอุ่นให้ราชา

"เจ้าคนบื้อ..." ร่างสูงหัวเราะเบา "ทีแบบนี้ล่ะบื้อ ทีตอนเราไม่ได้คิดอะไรล่ะฉลาดนัก"

ไคราห์นเดินกลับไปยังห้องนอน เขาจำความฝันตัวเองได้ และสิ่งหนึ่งที่จะทำตามแน่ๆ คือการถอดเสื้อผ้าอย่างชาญฉลาด นั่นคือการเดินไปถอดหน้ากระจก เขาปลดกระดุมแขนออกได้แล้ว เหลือเพียงแต่กระดุมบนปกคอเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องเม็ดเล็กเท่านี้ อีกทั้งยังเป็นสีเดียวกับเสื้ออีกด้วย

เวสเทียร์ทำงานเร็วและเป็นระบบ เพียงแค่ฟังเสียง ไคราห์นก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะไรอยู่ องครักษ์หนุ่มจุดไฟในเตาทำอาหาร และตักน้ำจากถังเก็บน้ำข้างบ้านมาเติมให้เต็มกาทองเหลืองขนาดใหญ่ แบ่งอีกส่วนหนึ่งเพื่อนำไปใส่อ่างไม้ในห้องอาบน้ำ และคงต้องอีกต้องรออีกสักพักใหญ่กว่าน้ำในกาจะเดือด

เหตุใดการมีชีวิตแบบมนุษย์จึงได้ลำบากยากเย็นนักหนอ

องครักษ์คนสนิทนั่งเฝ้ากาต้มน้ำ และใช้มืออังความร้อนจากเตาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเพื่อให้ตัวเองอุ่น

"เวสเทียร์"

ฝ่าบาทเปลี่ยนน้ำเสียงให้ดังขึ้นเล็กน้อย ทำให้องครักษ์รีบกลับเข้ามาในห้องทันทีที่ได้ยิน "ฝ่าบาท..." ราชาทะเลเหนือยังยืนอยู่หน้ากระจก และดูเหมือนว่าเขาจะมีปัญหากับกาปลดกระดุมที่คอ "ฝ่าบาทจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยหรือขอรับ" ร่างสูงพยักหน้า และเงยคางขึ้นเพื่อให้เวสเทียร์ถนัด

"เราจะอยู่ทันการเปลี่ยนสมัยนิยมไหมนะ เมื่อไหร่มนุษย์จะเลิกใส่เสื้อคอแข็งๆ นี่สักที"

องครักษ์ยิ้มขำ "กระหม่อมเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจะต้องใส่เสื้อคอแข็งแบบนี้ แต่ยอมรับว่าเสื้อผ้าของพวกเขาทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นจริงๆ" เมื่อเขาปลดกระดุมออก ราชาก็ถอนใจออกมายาวราวกับว่าเพิ่งได้หายใจเต็มปอด "บางที... พวกราอาจจะสูงใหญ่เกินมนุษย์ทั่วไปก็ได้ขอรับ จึงอึดอัดกับเสื้อผ้าของพวกเขา"

จริงอยู่ว่าฝ่าบาทไคราห์นอาจจะสูงที่สุดในเมืองบาร์ธีมอร์นี้แล้วก็เป็นได้ และกระทั่งตัวเวสเทียร์เองก็จำไม่ได้ว่าเคยพบมนุษย์ที่มีขนาดตัวเท่าๆ กันบ้างหรือเปล่า

"พูดอย่างกับว่าเราเอาเสื้อผ้าใครมาใส่ ชุดนี่เราก็ไปยืนขาแข็งให้พวกเขาวัดตัวไม่ใช่หรือไร"

"ขออภัยขอรับ" เวสเทียร์หลบมองต่ำ เขาสัมผัสได้ว่าราชาไม่พอใจ

"เราไม่ได้ดุเจ้านะ เวสเทียร์" ไคราห์นถอนใจเบา "เสียงเราดุหรือ"

องครักษ์เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้า ก่อนจะหลบลงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เป็นเพราะความเก้อเขินที่ถูกมอง "เปล่าขอรับ..." เขาพึมพำตอบ "ฝ่าบาท... เสียงดี"

ไม่รู้ว่านี่เป็นคำชมประเภทไหนกัน ตกลงว่าเวสเทียร์ชอบตอนเขาร้องเพลงหรือ

"เสียงดีแบบไหนกัน..."

"ก็..." เวสเทียร์ไม่ใช่คนพูดเก่งนัก เขาจึงนึกคำไม่ออก "สวยงาม ตรึงตราขอรับ" เขาเงยขึ้นมองฝ่าบาทอีกครั้งและพบว่าครั้งนี้ ราชาดูงงงวยกับคำพูดของเขาและกำลังพยายามตีความอย่างสุดความสามารถ "เอาเป็นว่า... กระหม่อมชอบขอรับ"

"หึ..." ราชาหลุดขำ "มีส่วนใดของเราบ้างที่เจ้าไม่ชอบน่ะ เวสเทียร์"

ร่างโปร่งเสมองทางอื่นและพยายามคิดคำตอบ "ม... ไม่มีขอรับ"

"เปลี่ยนคำถามจะดีกว่า" ไคราห์นเริ่มสนุก "เจ้าชอบส่วนใดของเรา ห้ามตอบว่าทุกอย่าง ให้เลือกจุดที่เจ้าชอบที่สุด" ฝ่าบาทดูจะรู้จักเวสเทียร์ดีเกินไปเสียแล้วจึงได้ดักทางคำตอบของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างรู้ทัน ซึ่งนั่นทำให้องครักษ์ต้องขบริมฝีปากขณะคิดอย่างหนัก

เราไม่เคยบอกเจ้าหรือไรว่าอย่ากัดปากแบบนั้น มันช่าง...

ไคราห์นกำหมัดหลวมๆ และสูดหายใจเข้าช้าๆ เขายังรอคำฟังคำตอบ "ฝ่าบาทจะโกรธไหมขอรับ" เวสเทียร์นึกย้อนไปเมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้ว ในวันที่เขาได้เห็นราชาทะเลเหนือเป็นครั้งแรกในชีวิต "หากกระหม่อมจะตอบตามที่คิดจริงๆ"

"ตอบตามที่คิดอีกสักหลายๆ ครั้งเถอะ"

"กระหม่อมชอบผิวของฝ่าบาท..."

ช่างเป็นคำตอบที่ยากจะเข้าใจเสียเหลือเกิน

เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบโต้ องครักษ์ก็พยายามจะอธิบาย "ม... หมายถึง... กระหม่อมพบฝ่าบาทครั้งแรกในวันสถาปนา สีผิวของฝ่าบาทเป็นสิ่งแรกที่กระหม่อมเห็นและจดจำได้ สำหรับกระหม่อมแล้วมันสวยงาม..." ร่างโปร่งกัดปากเมื่อว่ายิ่งพูดไปยิ่งดูไม่เข้าท่า "แต่กระหม่อมก็ไม่ได้ชอบแค่รูปลักษณ์ภายนอกนะขอรับ"

"เช่นนั้นแล้วชอบอะไรอีก"

ไคราห์นยิ้มจาง จริงอยู่ว่าสีผิวของเขาอาจจะแตกต่างจากคนอื่นสักหน่อย แต่โดยทั่วไปแล้วจะมองในแง่ของความหวาดกลัวเสียมากกว่าจะชื่นชม นี่จึงอาจเป็นคนแรกที่บอกว่า 'ชอบ' ผิวพรรณขาวเผือดที่สว่างราวกับแสงจันทร์ของเขา

"ฝ่าบาท... ใจดี" เวสเทียร์พยายามพูดต่อ "แล้วก็อบอุ่นมากๆ"

บรรยากาศแบบนี้ดีเกินกว่าจะขัด... แม้จะอยากดึงคนตรงหน้ามาจูบสักครั้ง แต่ก็ยังอยากฟังต่อไป

"แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่กระหม่อมชอบที่สุดก็คงจะเป็นผิวของฝ่าบาท"

เป็นคำตอบที่... จะว่าน่ารักก็คงใช่ จะว่ายั่วยวนก็คงใช่อีกเช่นกัน

"แล้วเหตุผลใดที่ทำให้เจ้าตัดสินใจร่วมประลองคัดเลือกองครักษ์ในตอนนั้น" ฝ่าบาทเสียงอ่อนลง กลายเป็นโทนที่เวสเทียร์คิดว่าชอบที่สุด "อายุแค่สิบแปดไม่ใช่รึ แต่คิดจะสู้กับพวกโตๆ แล้ว ตัวเต็งในตอนนั้นก็อายุมากกว่าเจ้าตั้งเท่าตัว"

"กระหม่อมอยากปกป้องฝ่าบาท" เวสเทียร์คิดว่าเขาตอบคำถามนี้ได้ จึงเงยหน้าขึ้นสบตาอย่างแน่วแน่ "หาก... เพียงเพราะลักษณะที่สวยงามแบบนี้มันแตกต่าง จนทำให้ไม่มีใครนับถือ หรืออยากอยู่เคียงข้าง โดยไม่มองถึงความสามารถเลย... กระหม่อมก็จะอยู่เคียงข้างฝ่าบาทเอง"

"อ้อ..." ราชาอึ้งไป เช่นเดียวกับองครักษ์ที่รู้สึกได้ในภายหลังว่ามันเป็นคำปฏิญาณที่คล้ายการสาบานรัก

...ตกลงว่าเป็นรักแรกพบหรือไร

"เพราะแบบนี้... เจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นออกมาหรือ 'กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต ต่อฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น' นั่นเป็นคำสัตย์ที่ทรงพลังมากสำหรับเผ่าองครักษ์ที่รับใช้เรามานาน" ไคราห์นยิ้มตอบ เขาเอื้อมมือไปหมายจะลูบยาวสีเข้มของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เวสเทียร์กลับก้มหน้าหลบสายตา

"ฝ่าบาทอย่าทวนสิขอรับ!" ...เขาเขิน

"เช่นนั้นก็ทวนเองดีหรือไม่ ไหนพูดอีกทีซิ"

เมื่อครั้งที่ยังเป็นแค่ราชากับองครักษ์... ฝ่าบาทไม่ได้ขี้แกล้งแบบนี้เลย

เวสเทียร์สูดใจเข้า "เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอรางวัล" เขายืดอก "วันนี้กระหม่อมยังไม่ได้ขออะไรจากฝ่าบาทเลย"

"ชักจะได้ใจนะ" ราชายิ้ม "เอาเถอะ รางวัลก็รางวัล อยากจะได้อะไรกัน... แต่คงไม่ใช่คำบอกรัก เพราะเจ้าเพิ่งจะขอไปเมื่อวานนี้" ไคราห์นลดมือลงข้างตัวดังเดิม และยิ้มมองด้วยความเอ็นดู องครักษ์ย่อเข่าลงจรดพื้น แสดงความเคารพในแบบองครักษ์ของพวกมนุษย์

"กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต ต่อฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น"

ช่างทื่อเหลือเกิน... แต่ก็สมกับที่เป็นเวสเทียร์

"อืม วันนี้อยากได้อะไร"

"อยากให้ฝ่าบาทตอบ... ว่าชอบกระหม่อมตรงไหนขอรับ"

...ชักจะเหิมเกริมมากขึ้นทุกวันจริงๆ

เวสเทียร์ยืดตัวขึ้นยืนอีกครั้ง และช้อนสายตามองราชากึ่งออดอ้อนขอคำตอบ "กระหม่อม.... ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะชอบกระหม่อม" เมื่อก่อนนั้น เวสเทียร์ไม่เคยคาดหวังว่าจะให้ฝ่าบาทไคราห์นตอบรับความรู้สึก เพราะนอกจากเขาจะไม่ใช่สตรีแล้ว ฝ่าบาทดูจะไม่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เสียด้วย นับตั้งแต่ประกาศว่าจะไม่มีชายา แม้จะงุนงงอยู่บ้างเมื่อครั้งที่พวกเขามีความสัมพันธ์กันในครั้งแรก แต่ก็พยายามคิดว่านั่นเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ชายทุกคนย่อมรู้ 'วิธีการ'

แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะหน้าด้านเผชิญกับมัน...

"จึงอยากรู้ว่า... ฝ่าบาท... ชอบตรงไหน แล้วก็เมื่อไหร่ขอรับ"

"เราให้ไปนานแค่ไหนแล้ว" นิ้วยาวขาวเผือดเคลื่อนขึ้นมาแตะเครื่องประดับบนใบหู "จำได้หรือเปล่า"

เครื่องประดับหูที่ทำจากทองคำขาวเข้ากับไข่มุกราคาแพงที่สรรหามาจากทะเลใต้ แม้มันจะไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอย่างที่สตรีนิยมชมชอบ แต่ความมันวาวและเกลี้ยงเกลาก็ทำให้มันสวยงามไม่แพ้ใคร

"ห้าปีขอรับ" เวสเทียร์พึมพำ "ฝ่าบาทกล่าวว่ามันเป็นรางวัลที่กระหม่อมติดต่อพวกนาร์วาลได้"

เมื่อห้าปีก่อน ฝ่าบาทไคราห์นตัดสินใจตามหาเผ่านาร์วาล เนื่องจากได้ยินมาว่าพวกเขามีความสามารถในเรื่องยาพิษต่างๆ เพื่อสรรหาอาวุธมาต่อกรกับแวมไพร์ และส่งเวสเทียร์กับหน่วยอารักขาระดับสูงออกไปถึงขั้วโลกเพื่อการนี้

"หากกล่าวว่ามันแทนคำสัตย์สัญญาที่จะครองคู่กับเจ้าเพียงคนเดียว... เจ้าจะรับหรือไร"

"ฝ่าบาท!" หน้าเวสเทียร์ขึ้นสีเรื่ออย่างรวดเร็ว เจ้าตัวอ้าปากพะงาบราวกับอยากโต้แย้ง

"เวลาจะตกรางวัลองครักษ์ เขาต้องให้อาวุธกันต่างหาก เหตุใดจึงคิดไม่ทันเสียได้" ราชาหัวเราะในลำคอ "ก็เพราะเจ้าไม่ตอบรับอะไรเลย เราจึงไม่อยากพูดเรื่องนี้ให้มากความ ประเดี๋ยวราชาจะหน้าแตก แล้วเวลาต่อมาเจ้าก็ยังนอนกับเรา เราจึงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดีเหมือนกัน"

เวสเทียร์หยุดคิดทบทวน และเขาก็ยอมรับว่าตนไม่เคยคิดเลยว่าเครื่องประดับชิ้นนี้จะมีความหมายแบบนั้น แต่ด้วยความยินดีที่ได้รับรางวัลจึงได้สวมใส่ติดกาย "แต่... แต่ว่า... นั่นก็ไม่ตรงคำถามกระหม่อมอยู่ดี" ร่างโปร่งบ่ายเบี่ยง "กระหม่อม..."

...จะให้ชมองครักษ์ระดับผู้นำเผ่าว่า 'น่ารัก' ก็คงฟังดูขนลุกไม่น้อย

แต่ไคราห์นไม่รู้ว่าควรจะใช้คำใดอธิบายความรู้สึกในตอนนี้

"นั่นคือ 'เมื่อไหร่' เวสเทียร์..." ร่างสูงพูดต่อด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย "ส่วน 'ตรงไหน' จะให้เราพูดดีหรือว่าทำอย่างอื่นดี" อันที่จริงเขาควรจะพูดเรื่อง 'นามธรรม' เสียก่อน แล้วจึงค่อยพูดเรื่อง 'รูปธรรม' จึงจะลงตัวที่สุด ทว่าในตอนนี้ราชาอยากจะมองข้ามความ 'นามธรรม' นั่นไปเสียเหลือเกิน

รู้สึก 'ผิดบาป' แบบมนุษย์อย่างไรก็ไม่รู้...

"เรายอมรับว่าไม่เคยมองเจ้าหรอกนะ... เพราะคิดว่าเจ้าก็เหมือนกับคนอื่นๆ" ความรู้สึกที่เวสเทียร์ไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้เขาต้องหันมองราชาอย่างไม่แน่ใจ "ไม่เคยคิดว่าจะมีใครรักหรือภักดีกับเราแบบที่เจ้า กระทั่งคำสัตย์ของเจ้า... เราเพียงแค่จำได้ แต่ไม่เคยเชื่อมั่นเลย เพราะมันเป็นเพียงหน้าที่..."

เวสเทียร์อาจจะน้อยใจกับความจริง ราชาหนุ่มจึงเอื้อมมือไปจับปอยผมทัดหูให้เพื่อจะมองเครื่องประดับชิ้นนั้นให้ชัดตาอีกสักครั้ง "หากครั้งแรกของเจ้า... คือการถอนสายตาจากเราไม่ได้ ครั้งแรกของเราก็คงเป็นสัมผัสที่ทำให้ลืมไม่ลง"

เขามองเวสเทียร์ครั้งแรกในวันนั้น... วันที่ทั้งคู่แตะต้องตัวกันเป็นครั้งแรก นำมาซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาในวันนี้

"มันอบอุ่น อ่อนหวาน และทำให้เราสบายใจอย่างประหลาด ต่อให้ห้าปีหลังจากนั้นจะเป็นความหวานที่ดูจะขมอยู่สักหน่อยก็ตาม" เขาเคลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายและแนบหน้าผากเข้าหา "...เจ้าแค่เป็นคนที่เราจะเสียไปไม่ได้ เวสเทียร์"

คนฟังรู้สึกได้ว่าหน้าร้อนไปถึงหู จึงยอมหลับตาและอิงแอบด้วยแต่โดยดี

ฝ่าบาทหนอ... ฝ่าบาท

เวสเทียร์เงยหน้าขึ้น และเป็นฝ่ายแนบริมฝีปากจูบคนตรงหน้า ราชาจูบตอบแผ่วเบา ก่อนกระซิบถาม "นี่รางวัลของเราหรือ"

คนฟังงับริมฝีปากหยอก ก่อนจะจูบซ้ำครั้งหนึ่ง "ใครจะกล้าตกรางวัลฝ่าบาทขอรับ"

"ถวายมาเถอะ..."

คนฟังสูดใจเข้า คลอเคลียริมฝีปากกับเขาอยู่อย่างนั้นสักพักราวกับกำลังชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ก่อนจะแนบริมฝีปากจูบ และเริ่มปลดกระดุมคอเสื้อของตัวเองออกด้วยมือเดียว

เหตุใดเวสเทียร์จึงถอดได้ แต่เขาทำไม่ได้เล่า!

เมื่อหายใจสะดวกขึ้น ร่างโปร่งก็กลับไปช่วยฝ่าบาท เขาแหวกสาบเสื้อออก เผยผิวกายขาวซีดทว่าแน่นไปด้วยมัดกล้าม ดึงเข็มขัดหนังออกอย่างรวดเร็ว โดยยังไม่ละริมฝีปากจากไป ปล่อยให้มือหยาบหนาเคลื่อนขึ้นมาประคองพวงแก้มเย็นและบดเบียดจูบซ้ำไปมาอย่างมัวเมา

กางเกงผ้าเนื้อดีร่วงหล่นลงไปกองที่พื้น แต่ยังไม่ทันที่เวสเทียร์จะถอดเสื้อตนเอง ฝ่าบาทก็รั้งปลายนิ้วผ่านสาบเสื้อจนกระดุมทั้งแถวร่วงกระจาย ก่อนแนบมือสัมผัสกับแผ่นอกเย็นเยียบ

...เป็นคนใจร้อนจริงๆ เสียด้วย

กางเกงถอดง่ายกว่าเสื้อหลายเท่า พริบตา ร่างโปร่งก็ถูกดันลงกับฟูกเตียงนอน ตามด้วยกายสูงใหญ่ของราชาแห่งเซลทิค "เหตุใดเจ้าถึงได้ 'รู้งาน' นับแต่ครั้งแรกกัน" ไคราห์นหัวเราะในลำคอ เขาเท้าแขนลงเหนือร่างอีกฝ่าย เหลือบมองท่อนขาเรียวแข็งที่ขยับเปิดทางให้ด้วยหางตา

ราชาไม่ได้ตั้งการคำตอบ เขาบดจูบอีกครั้ง ใช้ลิ้นร้อนพัวพันดึงความสนใจ ระหว่างเคลื่อนมือลงไปสัมผัสเบื้องล่าง เวสเทียร์สะดุ้ง และเหมือนทุกครั้งที่พวกเขาทำเช่นนี้ อีกฝ่ายเพียงหายใจถี่รัว ทว่าไม่หลุดเสียงใดๆ ออกมา

ไคราห์นไม่เคยสนใจ 'เสียง' นั้น ทว่าเมื่อได้ยินสักครั้ง เขาก็นึกติดใจ

เขาเคลื่อนริมฝีปากไปจูบที่ปลายคาง วนกลับไปที่สันกราม และซอกคออุ่นร้อน ขณะที่มืออีกข้างกอบกุมกลางกายเอาไว้ เวสเทียร์รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายจูบลงบนอก เขาสูดใจลึกขณะบิดกายรับสัมผัสหวามไหว รู้สึกได้ว่ามันเคลื่อนต่ำลงไปทุกที

"ฝ...ฝ่าบาท..."

องครักษ์หนุ่มสั่นสะท้าน เมื่อริมฝีปากร้อนครอบครองส่วนอ่อนไหว "อือ...!" เวสเทียร์แทบจะผุดขึ้นนั่ง แต่สัมผัสปลุกปั่นก็ผลักให้เขาแอ่นกายเหยียดอย่างสุขสม "ฝ่าบาท... อย่าทำแบบนั้น..." ยิ่งปราม คนถูกห้ามยิ่งดูดดึง ดื้อดัน กระหวัดปลายลิ้นร้อนให้ร่างรองหลุดเสียงคราง

ร่างโปร่งกดกลั้นอารมณ์จนปลายเล็บจิกอุ้งมือเป็นแผล เขาถอนใจเมื่อฝ่าบาทยอมล่าถอย และเผยอริมฝีปากรับจูบอันดุดันที่บดเบียดลงมารุนแรงราวกับลงโทษ "ดื้อจริง..."

เวสเทียร์ยอมให้ฝ่าบาทดุ ดีกว่าจะปลดปล่อยออกมาทั้งอย่างนี้

"หรือมันไม่สมใจเจ้าหรือไร"

"อา...!" ปลายนิ้วที่เปียกชุ่มด้วยน้ำลายกดแทรกเข้ามาในร่างโดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัว ช่องทางแน่นหดเกร็งด้วยตกใจ ทว่าพยายามผ่อนคลายอย่างรู้งาน มืออีกข้างของฝ่าบาทเอื้อมขึ้นมาคลายหมัดของคนตรงหน้า และประสานนิ้ววางเอาไว้เหนือหัว เวสเทียร์เสหน้าหนีขณะกัดฟันแน่น ขยับขาอ้าออกเพื่อผ่อนคลายตัวเองอีกสักนิดก็ยังดี

ปลายนิ้วลากผ่านและเน้นย้ำจุดกระสัน ทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งสั่นด้วยความหวามไหว "ฝ่าบาท..." เวสเทียร์เสียงพร่า เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังกลั่นแกล้ง แสดงถึงความไม่พอใจในตัวเขา

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์ทอดเสียง เผยอตาขึ้นมองร่างเบื้องบนที่จับจ้องเขาด้วยอารมณ์ปรารถนา

"เรียกชื่อเราบ้างสิ"

อา... ช่างยากเหลือเกิน

เวสเทียร์ส่ายหัว แล้วก็ต้องสะดุ้งเกร็งเมื่อนิ้วที่กดแทรกอยู่ภายในขยับงอขึ้นอย่างรู้จังหวะดี "อ...อา...!" องครักษ์หนุ่มเบิกตาโพลง เผลอบีบมือของฝ่าบาทที่กอบกุมประสานเอาไว้ "ฝ่าบาท.... กระหม่อม..."

"แค่เรียกชื่อเอง..."

น้ำเสียงนั่นสั่นพร่าไม่ต่างจากเขา แต่เวสเทียร์เชื่อว่าราชามีความอดทนมากพอ และหากเขายังดื้อดึงต่อไป อาจจะต้องพูดอะไรที่น่าอายกว่านี้ออกมาแน่นอน

"ค... ไคราห์น..."  ร่างโปร่งกัดริมฝีปากตนเอง "ได้โปรด..."

ปลายนิ้วอุ่นถูกถอดถอน และครู่เดียวหลังจากนั้น ร่างเบื้องบนก็กดกายของตนเข้าไปแทนที่ แม้เพียงแค่ส่วนปลาย ร่างรองรับก็เกือบจะถึงจุด "อะ...!" ดวงตาสีเข้มเบิกโพลง เขาคว้าท่อนแขนกำยำเอาไว้ ทว่ามือใหญ่กลับดึงรั้งขึ้นไปเหนือหัว ในจังหวะที่สะโพกแกร่งบดเบียดเข้ามาจนเกือบสุด

เวสเทียร์ได้รสเลือดจากริมฝีปาก เสียงหอบไม่เป็นจังหวะสะท้อนก้องไปทั่ว

ราชาหนุ่มกระซิบ "ถ้ารู้สึกดีก็ร้องออกมา เวสเทียร์"

"อื้อ!" เมื่อร่างสูงเริ่มขยับ เสียดสีร่างกายกับช่องทางทีละน้อย ในหัวของเวสเทียร์ก็แทบจะขาวโพลน ร่างสูงโปร่งสั่นคลอนไปตามจังหวะรุกราน ผสานกับเสียงหอบครางที่ดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างสุดระงับ ฝ่าบาทยังจับมือทั้งสองของเขาเอาไว้ ขณะเร่งจังหวะให้โหมขึ้นด้วยไฟราคะ

"อ...อา!" เวสเทียร์หลับตา พยายามแยกขาของตนออกเพื่อตอบสนอง แต่ความแสบร้อนจากการเสียดสีก็บดขยี้ความปรารถนาอย่างรุนแรง เขาบีบมืออีกฝ่ายแน่น ขณะเกร็งร่างรัดส่วนสัดแข็งขืน เพื่อจะปลดปล่อยความปรารถนาออกมาเมื่ออารมณ์ถูกผลักดันไปจนถึงจุดสูงสุด

ของเหลวอุ่นร้อนเปรอะเปื้อนไปถึงเรือนกายสูงตระหง่าน ทว่าผู้รุกรานยังไม่สาแก่ใจ เขาละมือไปจับยึดเรียวขาเอาไว้และรุกล้ำเข้ามาอย่างไม่ขาดตอน

"อื้อ...!"

เวสเทียร์เอื้อมมือไปยึดราวเหล็กบนหัวเตียง ปรือตามองท่อนขาที่ถูกดันขึ้นมาจนเข่าแทบจะชิดอก เขารู้ดีว่าฝ่าบาทรุนแรง แต่ยิ่งที่เขาหลุดเสียยง อีกฝ่ายก็ยิ่งทวีน้ำหนักมือ ราวกับว่ามันยิ่งกระตุ้นความต้องการอันดุดันเหล่านั้นขึ้นมา

เมื่อราชาถึงที่สุดของอารมณ์ เวสเทียร์ก็แทบจะหมดสติด้วยความเหนื่อยอ่อน

แต่เป็นถึงองครักษ์ระดับนี้ จะให้เขาสลบตั้งแต่รอบแรกอย่างนั้นหรือ

ด้วยความเคยชิน ร่างโปร่งพยายามจะขยับถอน แต่ฝ่าบาทก็ยึดร่างของเขาเอาไว้พร้อมกับกดกายย้ำเข้ามาให้แน่ใจว่าพวกเขาจะยังไม่แยกจากกัน "ทำไมถึงได้ดื้อทุกเรื่องแบบนี้น่ะ" เสียงทุ้มแหบพร่าเอ็ดปนเสียงหอบ ก่อนจะก้มลงจูบปลอบที่ขมับชื้นเหงื่อ "อยู่แบบนี้สักพักนั่นล่ะ"

ไปตายอดตายอยากมาจากไหนกัน...

องครักษ์บ่นอยู่ในใจ เขาคุ้นเคยกับอีกฝ่ายดี แต่ก็มีไม่อยครั้งที่ราชาจะดุดันขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ แต่จะว่าไปแล้ว ฝ่าบาทไคราห์นก็แทบจะไม่รุนแรงจนเกินควรเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายใช้พละกำลังทำให้มันเร่าร้อนยิ่งขึ้นมากกว่า

ทว่าครั้งนี้เขารู้ดีว่าตน 'ถูกแกล้ง' แล้วเหตุใดจึงกลายเป็นคนขี้แกล้งเช่นนี้ได้

เวสเทียร์ เขากลืนน้ำลายเหนียวลงคอช้าๆ "กระหม่อมควรจะไปดูกาต้มน้ำ"

"ยังไม่เดือดหรอก เดี๋ยวเราจัดการเอง" เพียงแค่ได้ยินว่าราชาจะ 'ทำงานบ้าน' เวสเทียร์ก็อยากลุกออกไปให้รู้แล้วรู้รอด "ถ้าเจ้าดื้อนัก... ทำให้เดินไม่ได้เสียเลยดีไหม"

"ฝ่าบาท...." เวสเทียร์ปรามเสียงอ่อน แต่สิ่งที่รู้สึกต่อมาก็คือความแข็งแกร่งที่ยังฝังอยู่ในร่างที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป "ฝ่าบาท กระหม่อมจะต้องช่วยฝ่าบาทอาบน้ำ" หากอีกฝ่ายลงมือแบบนี้อีกสักครั้ง เวสเทียร์คิดว่าเขาคงจะลุกไม่ขึ้นไปสักพักใหญ่ๆ

ต่อให้ราชาทะเลเหนือจะเยียวยาอาการบาดเจ็บได้ก็เถอะ!

"น้ำนั่น เจ้าจะเป็นคนอาบต่างหาก..." ราชาช้อนแขนแกร่งเข้าใต้เอวได้รูป และช้อนร่างโปร่งขึ้นมาโดยยังไม่แยกจากกัน "อีกสักรอบคงได้เวลาน้ำเดือดพอดี"

น้ำหนักตัวกดร่างโปร่งลงบนกายอีกฝ่าย เวสเทียร์ขบริมฝีปากตัวเองเมื่อการสอดแทรกเริ่มขึ้นอีกครั้ง

ราชาหนุ่มแนบริมฝีปากจูบปลอบ ประคองสะโพกสอบไว้เหนือร่าง ขณะขยับขยายช่องทางให้พร้อมอีกครา "โทษฐานที่กัดปากตัวเองแบบนั้น" คนพูดจูบอ่อนหวาน และยิ้มบางอย่างพอใจเมื่อคนตรงหน้าครางชิดริมฝีปากตน "ถ้ารู้สึกดีก็ร้องออกมา..."

"อา...!"

แขนเรียวเกี่ยวกอดผู้รุกราน เวสเทียร์ไม่มีแรงพอจะยกร่างขยับได้อย่างเคย แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรคเลยสักนิด "แค่แสดงออกอย่างที่เจ้ารู้สึกก็พอ เวสเทียร์" คนฟังกลืนน้ำลาย และหลับตาลงอย่างไม่อาจต่อต้าน

แต่ต่อให้เขาสามารถเลือก... เวสเทียร์ก็รู้ดีว่าเขาไม่มีวันปฏิเสธฝ่าบาทไคราห์น

--------------------------------------------------


คิดว่าหมดแล้วมั้ง ตอนพิเศษ (รวมเล่มชักจะหนา 370 หน้าแล้วเนี่ย ฮาาา)

โอย เหนื่อยยย ฉากเรทแบบเรทจังๆ นี่มัน... ดูดพลังงานยิ่งนัก... 55555555

จริงๆ พาร์ทหลังนี้มีชอตน่ารักหลายชอตมากกกก

จนแบบ... นี่มันจะฟิลรวนไปรึเปล่า ทั้งหวาน ทั้งหื่น---

ฝ่าบาทก็มีมุมตลก ตอนอยากจะขย้ำเขาให้เขารู้แล้วรู้รอดเพราะเขาน่ารัก แต่ก็ต้องอดเอาไว้เพราะเขาน่ารักเกินไปปป ไหนจะความหลอก(?)ใช้หน้าด้านๆ ให้เขาไปต้มน้ำให้ตัวเองอาบ แต่จริงๆ คือจะเอาไว้อาบเขานั่นแหละ (ทำไมการต้มน้ำมันยาวนานนัก หรืออิพวกนี้มันทำเร็ว---)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [5] [23-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 23-07-2017 10:08:20
หวานมากตอนนี้
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [5] [23-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-07-2017 15:17:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [5] [23-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 27-07-2017 11:25:24
แอร๊ยยยยยยยยย เขินนนนน

ฝ่าบาทเพคะ เร่าร้อนเกินไปแล้ววว  :o8:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [5] [23-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-07-2017 15:52:24
น้ำหม้อใหญ่ เลยใช้เวลาต้มนาน

พอมีเวลาต่อรอบสามแน่นอน!
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [5] [23-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-07-2017 22:19:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา ตอนพิเศษ [5] [23-07-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 08-11-2017 19:31:50
บัลลังก์จ้าวนาราเปิด pre-order รูปเล่มแล้วนะคะ ตั้งแต่วันนี้-15 มกราคมค่ะ
http://khaosapwriting.lnwshop.com/product/27/celestial-blue-บัลลังก์จ้าวนารา-เล่มเดียวจบ (http://khaosapwriting.lnwshop.com/product/27/celestial-blue-บัลลังก์จ้าวนารา-เล่มเดียวจบ)

รายละเอียดเพิ่มเติมในเพจ Khaosap Writing
https://www.facebook.com/KhaosapWriting/ (https://www.facebook.com/KhaosapWriting/)

(https://scontent.fbkk1-4.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/23130529_1544368555618888_5456519242758837717_n.jpg?oh=76fcca152eacd06cd35f82b9af50c5df&oe=5A7004C1)
หัวข้อ: Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา [08-11-2017] แจ้งข่าวรวมเล่ม
เริ่มหัวข้อโดย: ชานมเย็น ที่ 10-11-2017 13:39:38
โอ้ย ชอบความแฟนตาซีนี้
เล่มสวยมากเลยค่ะ ชอบทุกภาคเลย อยากได้ รอเก็บๆ  :กอด1:
ขอบคุณค่ะ