1
“ห้ามเผลอกดไลค์คนที่ชอบเด็ดขาด”
[/size][/b]
“เชี่ย!”
ผมจ้องหน้าจอมือถือค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อเห็นว่าเผลอกดไลค์ภาพของเขาไป ภาพนั้นเป็นภาพเซลฟี่ของเขา พื้นที่กว่าสองในห้าของภาพเป็นหน้ายิ้มแป้นอย่างอารมณ์ดีของเขา ซึ่งเชิญชวนให้ผมกดไลค์เสียเหลือเกิน แต่เหนือสิ่งอื่นใด ด้วยฟังก์ชั่นใหม่ของเฟสบุ๊ค ที่สามารถเปลี่ยน reaction ของไลค์เป็นอย่างอื่นได้ สิ่งที่ผมกดไปจึงเป็น....
♥️Love
ฉิบหาย!
มันจะไม่เป็นอะไรเลย ถ้าเขาคนนั้นไม่ใช่เพื่อนผม..... ครับเขาเป็นเพื่อนผมครับ แม้จะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ด้วยว่าเราเรียนอยู่คณะเดียวกัน สาขาเดียวกัน เจอหน้ากันแทบทุกวัน คุยกันแทบทุกวัน แล้วอย่างนี้จะทำยังไงล่ะครับ จะให้ถอนออกก็ดูจะไม่ดี หรือถ้าปล่อยไว้แล้วเขารู้ จะเป็นยังไงนะ...
“เห้ย ไอ่อิน เป็นไรไปวะ”
ไอซ์เพื่อนสนิทของผม เราเรียนกันคนละคณะครับ แต่เราเป็นรูมเมทกันตอนปีหนึ่ง พอออกหอใน เราก็มาเช่าหอต่อด้วยกันจนสนิทกันถึงตอนนี้แหละครับ มันเป็นพวกชอบเสือกครับ เสือกจนรู้ว่าผมชอบเขา
มันชะโงกหน้ามาดูหน้าจอมือถือผมอย่างถือวิสาสะ
“เชรดดดดดดด”
“เชรดพ่องมึงสิ! ถ้าเขารู้ทำไงวะ? เขาจะเลิกคุยกับกูมั้ยเนี่ย”
“หุ้ย! คิดมากน่ะมึง มึงดูใครๆ แม่งก็กดไลค์ กดเลิฟมัน ถ้ามันคิดงั้นนะ งี้มันไม่คิดว่าทุกคนที่มากดชอบมันหมดเลยรึไงวะ”
“ก็จริงของมึงว่ะ.....” ผมมองโทรศัพท์อีกครั้งก่อนถอนหายใจ
“ไปเหอะ กูหิวแล้ว”
ผมพยักหน้าเป็นการตอบ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง เขาเป็นคนที่มีคนชอบเยอะครับ ก็เขามันน่ารักนิ ตัวก็สูง แถมยังเป็นคนอัธยาศัยดีอีก ทักคนนู้นคนนี้ไปทั่ว จนน่าจะรู้จักคนทั่วมอแล้วมั้งครับ ก็เพราะแบบนี้เลยมีคนติดตามเขาเยอะครับ แล้วเขาไม่รำคาญด้วยนะ เสือกรู้ด้วยว่าตัวเองป๊อป แล้วก็ยังภูมิใจในความป๊อปของตัวเองอีก
“ร้านลุงแซมนะมึง กูอยากกินแหนมผัดไข่ว่ะ” ไอซ์เอาแขนมาวางบนไหล่ผม
“เออ งั้นก็รีบเลยมึง คนยิ่งเยอะๆ อยู่”
ไอซ์ละแขนจากไหล่ผมไปที่รถมอเตอร์ไซของมัน ขยับรถออกมาพร้อมสตาร์ท ผมเดินไปจะขึ้นซ้อนท้ายมัน โทรศัพท์ผมก็สั่นขึ้นมา ผมหยิบมันขึ้นมาดู เป็นแจ้งเตือนจากเฟส เมื่อคลิกเข้าไปดู ก็ทำเอาผมแทบช็อคไป เป็นแจ้งเตือนในคอมเมนท์ที่ผมไปกดเลิฟรูปของเขา
Guy Guynii Inn Inn ♥️><
“เอา เป็นไรมึงไม่ขึ้นอะ
ผมไม่ตอบ มันชะโงกหน้ามามอง เลิกตาขึ้นอย่างตกใจเช่นกัน
“หืออออ”
ตื้อรึง (เสียงแชทเฟส)
แชทเฟสแจ้งเตือนขึ้น ยิ่งทำให้ผมช็อคขึ้นไปอีก ไอ่ไอซ์อ่านข้อความนั้น แล้วหันมาสบตากับผม อย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
Guy Guynii
กด Love เราด้วย
ดีใจจัง
>////<
2
“เมื่อเขารู้ เราต้องหลบ”
หลังจากข้อความนั้นผมไม่ได้ตอบเขาอีกเลย แม้ว่าเขาจะทักมาผมบ่อยๆ ก็ตาม ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร แต่ที่รู้ๆ ผมอายครับ เขินด้วย เลยได้แต่หลบเขา
ตลอดสัปดาห์ ผมจะคอยจนเขาเข้าไปเรียนก่อน แล้วผมค่อยเข้าตามไป เพื่อหาที่นั่งหลบมุมที่สุด ให้ห่างไกลจากเขาที่สุด พอเลิกเรียนผมก็ยิ่งรีบชิ่งครับ ไม่อยากให้เขาเห็น กลัวเขาเข้ามาแซว เพื่อนๆ ผมมันก็งงกันใหญ่ ว่าผมทำอะไรตลกๆ ไปได้
อันที่จริง เรื่องคอมเมนท์ ดูเหมือนจะมีคนหลายคนรู้เหมือนกันครับ มีคนเข้ามาส่อง มาฟอลโล่เฟสผม บางคนก็แอดเฟส จนผมต้องตั้งไพรเวท ไม่ให้แอด แต่ยังฟอลได้ครับ (ขอหน่อย) เพื่อนในห้องก็มีแซวๆ กันบ้าง เขาก็ชอบหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ผม จนผมต้องหลบเขาอยู่นี่เอง
แต่วันนี้แปลก ผมชะเง้อมองอยู่ตั้งนาน ก็ไม่ยักกะเห็นเขา ทั้งๆ ที่เพื่อนกลุ่มเขาก็เข้าไปได้สักพักแล้ว
“ไอ่อิน มึงชะเง้อหาไร”
“เออ เรื่องของกูหนา มึงเข้าไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวกูนั่งตรงนี้สักพัก”
“งั้นกูเข้าไปก่อนละกันนะ” แพรวลุกขึ้นยืน เตรียมจะเดินไปก่อนหันมาทางผมอีกครั้ง “นั่งหลังสุดใช่มะ”
“อืม”
ผมตอบส่งๆ ไปก่อนที่แพรวจะเดินตรงเข้าห้องเรียนไป ตอนนี้ผมนั่งอยู่โถงระหว่างห้องเรียนสองห้องครับ มีโต๊ะวางเรียงๆ กันไว้ให้นักศึกษาได้นั่งทำงาน นั่งพักผ่อนกัน ตอนนี้คนเริ่มไม่มีแล้ว เพราะก็เริ่มเข้าเรียนกัน บาง sec ที่ไม่มีเรียน ก็เหมือนจะแยกย้ายกันกลับ
ผมยังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งด้านหลังสุดของโถง และยังจ้องมองไปข้างหน้า เพื่อหาใครบางคน โดยไม่ทันระวังหลังเลย ที่จู่ๆ ก็มีคนมาฉุดผมอย่างแรงจนเจ็บแปร๊บ แล้วดันไปพึงกับผนังตึก
“เฮ้ย!” กำลังจะเงยหน้าขึ้นมาด่า ก็ต้องชะงักค้างไป เมื่อพบว่าใบหน้าที่อยู่ห่างจากผมเพียงไม่กี่เซ็น คือใบหน้าที่กำลังยิ้มแป้น แต่ดูหงุดหงิดยังไงชอบกล ของใครบางคน
“กะ กาย!”
“อืม เราเอง นึกว่าลืมเราไปซะละ”
“ทำอะไรของมึงวะ อยู่ๆ มาทำแบบนี้ทำไม แล้วทำไมไม่เข้าเรียน”
มันถอนหายใจยาว ทำหน้าเนื่อยๆ อย่างเสแสร้ง
“ก็เรารออินไง”
อยู่ๆ ผมก็เกิดภาวะติดอ่างชั่วขณะ
“รอ ทำไม เพื่อนมึงก็เข้าไปแล้วนิ”
มันแสร้งทำหน้าเศร้าอย่างเห็นได้ชัด แต่เชี่ย! ดาแมจแรงฉิบหาย!
“ก็อินน่ะ เอาแต่หลบหน้าเราตลอดเลย แถมยังหนีเราไปนั่งไกลๆ อีก”
“ก็ แค่อยากเปลี่ยนที่นั่งบ้าง นั่งอยู่ข้างหน้าตลอดมันเบื่อนี่นา”
“หลบหน้าเราจริงๆ ก็ยอมรับมาเถอะ”
ผมพูดอะไรไม่ออก
“เรารู้นะ ตั้งแต่วันที่เราเม็นท์ตอบอิน แล้วก็ทักอินไป อินก็ไม่ตอบเรา ไม่ไลค์เราอีกเลย แถมยังนั่งห่างๆ อีก พอจะชวนคุยก็ลุกหนี ทักเฟสก็ไม่ตอบอีก ทรมานนะรู้เปล่า”
ผมงงครับ และไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง แม้ใจจะเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ก็ตาม
“หมายความว่าไง”
กายเลิกคิ้วขึ้นอย่างงงๆ
“ไม่รู้จริงๆ น่ะหรอ” เขาจ้องหน้าผมที่ยังมีสีหน้างงอยู่ ก่อนยืดตัวตรง ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายอย่างไม่เสแสร้ง จนผมแอบหงุดหงิดกับท่าทีนั้น
“เราอุตส่าห์ไปกดไลค์แทบทุกรูปของอินเลยนะ ทั้งใน IG แล้วก็เฟส นี่ตามไปฟอลในทวิตด้วย แต่ข้อความแม่งทำให้เราเจ็บปวด” หน้าเขาหม่นลงไปแว่บหนึ่ง “อินเอาทวิตถึงใครก็ไม่รู้ บอกว่ เขาน่ารักจัง เขาจะรู้มั้ยว่าเราแอบชอบ ถ้าบอกเขาไปเขาจะโอเคมั้ยนะ ไอ่เขานี่มันใครกัน อยากเห็นหน้ามันจริงๆ เลย”
ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวตามที่กายเล่า และพยายามองอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เขาทำหมายถึงอะไร.... เขากดไลค์ผมบ่อยจริงๆ ทั้งในเฟส ใน IG และเพราะเขาฟอลโล่วทวิตเตอร์ของผม ผมเลยไม่กล้าใช้ชื่อเขาตรงๆ แต่ไม่คิดเหมือนกัน ว่าเขา ตรงหน้าผม จะตามส่องผมขนาดนี้
“นี่ ยิ้มอะไร สรุปบอกได้ยังว่า ‘เขา’ เป็นใคร ห๊ะ!?”
อยู่ๆ มันก็เริ่มขึ้นเสียง ดูท่ามันจะหงุดหงิดพอตัว แต่ผมไม่บอกมันหรอกครับ ให้มันเดาเอาเอง อีกอย่างมันก็แอบเขินนิดๆ ที่คนที่เราแอบชอบ เขามาติดตามเราเหมือนกัน
ผมพยายามกลั้นยิ้มสุดฤทธิ์ ก่อนตอบเขาออกไป ด้วยสีหน้าที่ปั้นให้ปกติที่สุด
“มึงก็ลองหาเอาเองดิ”
เขาหน้าเหวอไปเลยครับ แล้วก็เปลี่ยนเป็นหงุดหงิด เขาเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ผมชิงหนีออกมาก่อน ทิ้งมันไว้เบื้องหลัง ผมแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ ก่อนผลักประตูเข้าห้องเรียนไปนั่งตรงข้างๆ แพรว กายเดินตามมาสักพัก มองผมอย่างหงุดหงิด ก่อนไปนั่งกับกลุ่มตัวเอง ยังไม่วายหันมาหาผมก่อนหันกลับไปข้างหน้า
คาบนั้นผมนั่งยิ้มทั้งคาบจนเรียนไม่รู้เรื่องเลยครับ ไอ่แพรวมันก็ว่าผมบ้า แต่ผมไม่สน ก็ผมมีความสุขนี่ ใครจะคิดว่า เขาก็ส่องผมเหมือนกัน
3
“เมื่อแชทเด้ง ก็รีบตอบ”
ตื้อรึง
ตื้อรึง
ตื้อรึง
ตื้อรึง
ตื้อรึง
ตื้อรึง
“ไอ่เชี่ยอิน มึงรีบๆ ตอบมันสักทีได้มะ กูรำคาญ!”
ไอ่ไอซ์โวยขึ้นมา ขณะที่เสียงแชทเฟสยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่เรากำลังกินเข้ากันอยู่หลังมอให้ยามเย็น
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นชื่อของเขาแหละครับที่ทักมา
Guy Guynii send a sticker
ผมยิ้มให้กับข้อความพวกนั้น
“ไอ่บ้า”
ไอ่ไอซ์ว่าผม แต่ผมไม่สนใจ กดข้อความขึ้นมาเปิด
Guy Guynii
อินนนนนน
อยู่หนายยยยย
ตอบโหน่ยยยยย
โว้ยยยยยย
สรุปเขาเป็นใครรรร
<เป็นสติ๊กเกอร์รูปลิงถือกล้วยเอียงคอ แล้วมีเครื่องหมายคำถาม : ลิงสงสัย>
ผมหลุดหัวเราะออกมาลั่น เมื่อเห็นสติ๊กเกอร์ที่เขาส่งมา อดนึกไม่ได้ว่าช่างเหมาะกับเขาจริงๆ
“เป็นบ้าไรของมึง อยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา”
“ฮ่าๆ เปล่าๆ มึงดูดิ”
ผมยื่นโทรศัพท์ไปให้มันดู มันเลิกคิ้วมองข้อความพวกนั้น
“เห๊อะ ปัญหาอ่อนชิบหาย”
“เออ แต่ก็น่ารักปะละ” ผมรับโทรศัพท์คืนมาจากมัน
“เอออออ แล้วแต่มึงเถอะ” มันว่าก่อนก้มลงไปกินข้าวในจานของมัน ส่วนผมก็พิมพ์ข้อความตอบเขาไป
Inn Inn
กินข้าวอยู่
Guy Guynii
กับใคร?
เขาหรอ?
Inn Inn
กับเพื่อน รูมเมตน่ะ
Guy Guynii
ฮืออออ
เด็กวิศวะนั่นอะนะ
Inn Inn
อืม
รู้จักด้วยหรอ
Guy Guynii
เห็นรูปที่เคยอัพอะ
<send picture>
เขาส่งรูปที่ผมถ่ายรูปคู่กับไอซ์ ตอนที่เราย้ายมาอยู่หอนอกแรกๆ เป็นภาพเซลฟี่ ที่ผมยิ้มร่า ส่วนไอ่ไอซ์ก็ทำหน้ากวน ยีนชิดกัน ทิ้งเฟรมภาพด้านข้างเป็นห้องที่เราอยู่ พร้อมแคปชั่นว่า ‘กว่าจะจัดห้องเสร็จ เหนื่อยฉิบหาย’
Guy Guynii
อิจฉาชะมัด!!!
<สติ๊กเกอร์ลิงที่หลับตาหยีแกว่งแขนสองข้างไปมา>
<สติ๊กเกอร์ ลิงรูดแขนเสื้อโกรธจนหน้าแดง>
ผมหัวเราะกับสติ๊กเกอร์ที่เขาใช้ จนไอ่ไอซ์เงยหน้าขึ้นมอง ส่ายหน้าอย่างเอื่อมๆ แล้วก้มลงกินข้าวต่อ
Inn Inn
55555555
อิจฉาอะไร
Guy Guynii
น่าจะเป็นเรา
ที่เป็นรูมเมตอิน
ผมอึ้งไปกับคำตอบนั้น ยังคงอ่านทวนข้อความซ้ำไปมา ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนตรงๆ แบบนี้ เล่นเอาผมใจสั่นไปหมด
“เป็นอะไรอีกมึง มันชวนไปนอนด้วยรึไง”
“ใช่ที่ไหนเล่า” ผมแหวใส่มัน
“แดกข้าวได้แล้ว เย็นหมดแล้วมั้งน่ะ”
“เออๆ”
Inn Inn
กินข้าวก่อนนะ
ผมส่งข้อความไปแค่นั้น วางมือถือลงแล้วกินข้าว ด้วยความรู้สึกที่หวั่นไหวไปหมด ผมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“หมั่นไส้”
ผมมองหน้าคนพูด ครั้งนี้ดูมันจะทำตัวแปลกๆ มันดูหงุดหงิดอย่างไม่มีสาเหตุขึ้นมาซะงั้น ทั้งๆ ที่มันออกจะกวนตีนอยู่ตลอดแท้ๆ
ตอนนี้ผมยังไม่ได้กลับหอครับ แต่ได้มานั่งอยู่ในร้านขายโทสหลังมอ อยู่ไอ่ไอซ์ก็ชวนมา แถมบอกว่าจะเลี้ยงอีก แล้วทำไมผมจะไม่มา ผมอยากกินอยู่แล้วด้วย แต่พอเราได้โต๊ะ มันก็จัดแจงสั่งเองด้วยหน้านิ่งๆ แตดูตึงๆ ของมันโดยไม่ถามผมสักคำ แล้วมันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นซะงั้น
ผมหงุดหงิดนะครับ พูดด้วยก็ไม่พูด แถมยังมาทำเป็นไม่สนใจอีก ทั้งๆ ที่ชวนเรามาแท้ๆ ผมเกือบจะลุกออกไปแล้ว ก็พอดีกับที่มีเสียงเฟสดังเข้ามา
Guy Guynii
กินเสร็จยัง
Inn Inn
เสร็จแล้ว
มากินโทสต่อ
ไอ่ไอซ์มันชวน
ผมแชทกับกายไป โดยไม่ทันสังเกตเลยจริงๆ ว่าไอ่ไอซ์หยุดเล่นโทรศัพท์แล้วนั่งจ้องผมอยู่
“นิ”
ผมยังกดโทรศัพท์ต่อไป
“เฮ้ย ไอ่อิน เล่นโทรศัพท์อยู่ได้ กูนั่งอยู่นี่ไม่เห็นคุยด้วยวะ”
ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มามองมัน หน้านิ่งๆ
“ใครวะไม่คุยกับกูก่อน” มันเงียบไป ผมเลยใส่ต่อ “อยู่ก็ชวนกูมา แล้วก็สั่งของไปเอง เสร็จแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเฉย เรียกก็ไม่สนใจ สรุปใครกันแน่วะ ที่เล่นแต่โทรศัพท์อะ ห๊ะ!”
ยังไม่ทันที่มันจะได้โต้ตอบอะไรครับ ฮอกไกโดโทสราดน้ำผึ้งเพิ่มวิปครีมก็มาเสิร์ฟ ผมมองตาเยิ้ม ชอนถูกวางลงในถาดหวายเล็กๆ สองคัน ผมงงๆ หันไปมองทางพนักงาน
“แล้วอีกอย่างอะครับ”
พนักงานทำหน้างงๆ แต่ไอ่ไอซ์กลับเป็นฝ่ายตอบ
“กูสั่งมาอย่างเดียว ให้มึง”
ผมอึ้งๆ ไป พนักงานก็เช่นกัน เธอขอตัวออกไป ผมยังมองมันอย่างงๆ
“ก็เห็นมึงอยากกินไม่ใช่หรอ กูก็เลยพามึงมากินนี่ไง”
มันเสมองไปทางอื่นในขณะที่ตอบผม ผมยังคงมองมันอย่างนั้นอย่างไม่เข้าใจ
“กินดิ มองกูอยู่ได้”
“เออๆ” ตามธรรมเนียมครับ ผมหยิบมือขึ้นถ่ายรูป โดยจงใจให้ติดมันหน่อยๆ แล้วโพสท์ลง IG ขึ้นแคปชั่นว่า ‘เพื่อนเลี้ยง’ เท่านั้นแหละครับ แล้วผมก็ลงมือกินอย่างอร่อย
“มึงไม่กินหรอ”
“ไม่อะ มึงอยากกินนิ ไม่ใช่กู”
ผมยิ่งไม่เข้าใจมันเข้าไปใหญ่ ว่ามันคิดอะไรอยู่กันแน่ จังหวะนั้นเสียงเฟสก็เด้งขึ้นอีกครั้ง เป็นข้อความจากเขาคนเดิม
Guy Guynii
น่ากินจางงงง
ผมกำลังจะหยิบมาตอบ แต่ไอ่ไอซ์ก็มาคว้าไปซะก่อน
“เฮ้ย”
“กินไป ไม่ต้องเล่นโทรศัพท์”
“เอ้า ก็มันเรื่องของกูอะ เอามา”
ผมยื่นมือข้ามโต๊ะจะไปคว้าโทรศัพท์คืนมา แต่มันก็ยืดตัวหลบอย่างไว
“ไอ่เชี่ยไอซ์!”
“สำคัญมากนักรึไง”
“มึงก็รู้ ยังจะถาม” แว้บนึง เหมือนผมเห็นดวงตามันเศร้าแปลกๆ แต่แล้วก็กลับมาเป็นปกติ
“มึงกินให้เสร็จก่อน แล้วค่อยตอบมันก็ได้ มันไม่หนีไปไหนหรอกหน่า”
“เออ”
ผมนั่งลงกินโทสท์ไปอย่างเซ็งๆ อยู่ๆ ทำไมไอซ์มันถึงทำตัวแปลกๆ ขึ้นมาผมก็ไม่เข้าใจ นี่เป็นครั้งแรกที่มันขัดใจผมขนาดนี้ ปกติมันมักจะตามใจผมเสมอ ยกเว้นบางเรื่องที่มันมีเหตุผลมากกว่า ที่มันจะไม่ตามใจผม แต่ครั้งนี้แค่เรื่องเล็กน้อยเอง ทำไมถึงได้หัวเสียขนาดนั้นก็ไม่รู้
ผมยังคงตักโทสท์กินอย่างอร่อยต่อไป เสียงเฟสก็เด้งเตือนอยู่ตลอดเช่นกัน ผมเงยขึ้นมองเป็นระยะ เห็นไอ่ไอซ์มันจ้องผมกินอยู่นั้นจนผมต้องหลุบตาลง
“โว๊ะ! นี่ก็จะส่งมาทำห่าอะไรนักหนาวะ!!” มันโวย
“งั้นเอามานี้ เฮ้ย! มึงจะทำอะไร”
มันกดปิดเครื่องโทรศัพท์ผมหน้าตาเฉย มันรู้รหัสโทรศัพท์ผมครับ ผมจะเปลี่ยนกี่ครั้งมันก็รู้อยู่ดี สุดท้ายผมเลยไม่เปลี่ยนแม่ง แล้วกะไปแกล้งเข้าของมันบ้าง แต่ปรากฏว่าของมันไม่เคยใส่รหัสอะไรไว้เลยครับ ผมเลยมักหยิบโทรศัพท์มันมาเล่นบ่อยๆ
“เรียบร้อย” มันว่า แต่ก็ยังไม่คืนโทรศัพท์ผม
“มึงทำเชี่ยไรเนี่ย”
“ก็กูรำคาญ แม่งส่งมาอยู่ได้”
“ปิดเสียงก็ได้นี่หว่า เกิดมีใครติดต่อมาทำไง”
“ช่างแม่งดิ” มันยิ้มกวนผมครับ ผมเลยได้แต่ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ แล้วก้มหน้ากินโทสท์ต่อไป
++++++++++++++++++++
:: TALK ::
ขอลงแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวดึกๆ (หรืออาจเร็วกว่นั้น) มาลงให้ใหม่ พิมพ์ไว้จนจบแล้วล่ะ เหลือแต่เอามาลง มันต้องจัดหน้านิดหน่อย
ยังไงก็แนะนะ ติ ชมได้เต็มที่เลยครับ
พูดคุยกันในทวิตได้ที่แท็ก #itsalwaysyouTH นะครับ
4
“ถ้าเขาเสนอมา เราก็ต้องสนอง!”
[/size]
วันนี้วันเสาร์ครับ วันที่ผมควรจะได้พักอย่างสบายๆ หรือได้ออกไปเที่ยวคลายเครียด ควรจะได้มีเวลาสำราญกับตัวเอง หรือเพื่อนฝูง แต่.......
“พามันมาทำไม”
ผมหันยิ้มแหยๆ ให้กาย ก่อนหันหน้าเมื่อยๆ ไปหาไอ่ไอซ์ ที่ยืนยิ้มหน้าระรื่นอยู่อีกข้าง
“อะไร ก็กูบอกแล้ว กูมาเที่ยวไง”
ผมได้แต่ถอนหายใจ ก่อนยิ้มเจือนๆ ไปให้กาย ที่ไม่สบอารมณ์อยู่อีกข้าง
แม้จะเป็นเพียงการมาเที่ยวห้าง แต่โอกาสที่จะได้มากับกายคนป๊อปไม่ใช่ง่ายๆ ครับ เขาอุตส่าห์ออกปากชวนทั้งที ใครจะยอมเสียโอกาส เขาชวนเรากินบุฟเฟ่ปิ้งย่างร้านหนึ่ง โดยเสนอว่าเขาจะเป็นคนเลี้ยงเอง ทีแรกผมก็ปฏิเสธไปครับ แต่เขาก็คะยั้นคะยอจนได้ โดยพวงไอ่ไอซ์เขาไปด้วย เขาดูจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
ผมหย่อยตัวลงนั่งบนเบาะยาวของโต๊ะด้านใน แล้วตามด้วยไอ่ไอซ์ที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมอย่างรวดเร็ว โดยมีสายตาอึ้งๆ ของกายจ้องอยู่ แต่ไอซ์ก็ทำเพียงยิ้มส่งไปให้ ร้านนี้เป็นแบบที่ต้องสั่งอาหารมาครับ ไม่ใช่บุฟเฟ่แบบที่เราลุกไปตัก หลังจากเราสั่งอาหารไปแล้ว ช่วงจังหวะที่รอ เหมือนเกิดส่งครามย่อมๆ ขึ้นกลางโต๊ะ
ไอซ์กับกายนั่งจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย กายจ้องอย่างเอาเรื่อง ในขณะที่ไอซ์จ้องกลับด้วยรอยยิ้ม ....แต่เป็นยิ้มแบบที่ดูขนลุกยังไงพึลึก ผมไม่เคยเห็นแบบนั้นมาก่อนเลย
“ขออนุญาตเสิร์ฟออาหารค่ะ” พนักงานมาเสิร์ฟนั่นแหละ มันสองคนถึงได้เลิกจ้องหน้ากัน
“อะๆ กินๆ” ผมพูด
“ห่า จะไห้กินดิบๆ งี้ไง พยาธิแดกพอดี”
“พ่องมึงสิ ก็เอาไปย่างสิโว้ย”
“ปัญญาอ่อน” กายพึมพำออกมาแบบที่จงใจให้ได้ยิน
“ขอบคุณ” ไอซ์ตอบแบบยิ้มๆ กลับไป
สงครามย่อมๆ ในบนโต๊ะอาหารยังดำเนินต่อเงียบๆ พูดตรงๆ ว่าอาหารมันก็อร่อยนะ แต่อึดอัดฉะมัด กับการที่มีผู้ชายสองคน ฟาดฟันกันด้วยสายตา กับตะเกียบที่พลิกเนื้อย่างไปมา พร้อมกำส่งคำพูดออกมาเชือดเฉือนเป็นระยะๆ
พวกเขาเหมือนผลัดกันเสนอเนื้อย่างชั้นเลิศให้ผมอย่างไม่หยุดหย่อน จนผมชักรำคาญ กระแทกตะเกือบดังลั่นร้าน ก่อนเดินออกไปอย่างหงุดหงิด
“อินจะไปไหนอะ”
ผมไม่ตอบ แต่เดินดิ่งออกไปหน้าร้านเลย กินก็ยังไม่อิ่ม แต่รำคาญก็รำคาญ เลยกะออกสงบสติอารมณ์ข้างนอกร้านสักหน่อย จู่ๆ ผมก็รู้สึกใครบางคนที่ยื่นอยู่ข้างๆ
“นี่” ผมยังนิ่ง “โกรธหรอ”
ผมหันไปหาเจ้าของเสียงซึ่งผมจำได้แม่นอยู่แล้วว่าเป็นใคร
“พวกมึงเป็นบ้าอะไรกัน จ้องกันอย่างฆ่ากันตาย แล้วไอ่เมื่อกี้อีกคืออะไร กูมีมือ กูทำของกูเองได้ มึงก็รู้นี่ เล่นอะไรเป็นเด็กๆ วะ”
ผมพูดเท่านั้นก็ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนหันไปทางอื่น
“เป็นเพราะกูมาด้วยใช่มะ” น้ำเสียงนั้นรู้สึกผิดเจือเศร้าอย่างชัดเจน “งั้นกูกลับก่อนก็ได้ มึงสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน”
พูดจบไอซ์มันก็เดินไปจริงๆ ผมรีบเดินตามไปรั้งมันไว้
“แดกก่อน”
มันทำหน้านิ่งๆ ที่อ่านไม่ออก ก่อนเดินตามผมมาโดยดี เรากลับมานั่งกันที่โต๊ะในตำแหน่งเดิม กายดูมีสีหน้ากระวนกระวาย เห็นได้ชัดว่าเขาแทบไม่ได้แตะอะไรเลย นับจากผมกับไอซ์ลุกออกไป
“อิน เราขอโทษนะ” เขาหน้าเจือนๆ ไปทันที
“ช่างเถอะ กินเหอะ เดี๋ยวหมดเวลาก่อน”
“อืม”
เราลงมือกินกันเงียบๆ ครับ สงครามยุติแล้ว แต่เหมือนความอึดอัดบางอย่างเกิดขึ้น กายยังคงพยายามเอาใจผมด้วยการตักนู่นตักนี่ให้ ในขณะที่ไอซ์เพียงแต่กินของตัวเองต่อไปโดยไม่มองผม เพียงแต่ชำเรืองมองบ้างเท่านั้น
กายคีบเนื้อย่างมาให้ผมอีกชิ้น แต่จริงๆ ผมอิ่มแล้ว ผมกล้าบอกไปตรงๆ จ้องมองมันอย่างพะอืดพะอม ยังไม่ทันที่ผมจะได้คีบ ก็มีตะเกียบยื่นมาคีบมันไป ไอซ์คีบเนื้อย่างชิ้นนั้นเข้าปากเคี้ยวหยับ กายจ้องมองอย่างอึ้ง พลางจะต่อว่า แต่กายพูดขึ้นก่อน
“หน้าไอ่อินจะขย่อยของเดิมออกมาได้อยู่แล้ว มันกินไม่ไหวหรอก”
ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้กาย
“อิ่มแล้ว”
ไอซ์พูด มันวางตะเกียบลง แล้วเอนหลังพิงเบาะ ผมได้แต่มองเลิกลักไปมา สุดท้ายกายก็เรียกเก็บเงิน ไอ่ไอซ์ขยับตัวล้วงเอากระเป๋าตังค์ออกมา วางเงินสี่ร้อยบาทลงบนโต๊ะหน้ากาย ก่อนเก็บกระเป๋าตังค์แล้วลุกขึ้นยืน
“กูไปแล้วนะ”
“แล้วมึงจะกลับยังไง”
“ไม่รู้ ช่างกูเหอะ เดี๋ยวกูก็หาทางกลับได้ ไปละ”
มันหันตัวเดินออกไป ผมมองตามมันออกไปอย่างไม่เข้าใจ แต่ใจนึงผมก็รู้สึกผิดต่อมันยังไงบอกไม่ถูก
“อิน”
“หือ?”
“อินสนิทกับไอซ์มากเลยหรอ”
“ก็อยู่ด้วยกันมาตลอดนิ นี่ก็สี่ปีแล้ว”
“หรอ”
“มีอะไรหรอ”
จังหวะนั้นมีก็มีพนักงานเดินเข้ามาวางบิลเก็บเงิน ไอซ์ควักเงินออกมาจ่ายให้พนักงานคนนั้นไป เขายื่นเงินสี่บาทมาให้ผม
“อะไร?”
“ของไอ่ไอซ์ เราเลี้ยงเอง”
“เห้ย มันจะจ่ายเอง ก็เอาไปเหอะ”
“เอาคืนไปเหอะ บอกว่าจะเลี้ยง ก็คือเลี้ยงจริงๆ”
ผมรับเงินนั้นมา มองกายอย่างงงๆ เช่นกัน ตอนนี้ผมบอกไม่ได้แล้วว่ากายรู้สึกยังไงกันแน่ มันยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม แต่เหมือนรอยยิ้มจะดูหมองๆ ลง
หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ผมก็แวะเข้าร้านหนังสือ ซื้อนิยายตอนต่อที่อ่านค้างไว้ หลังจากเจอหนังสือที่ต้องการ ผมก็เดินเรื่อยเปื่อยจนมาหยุดที่แผงนิตยสาร สายตาผมไปหยุดที่นิตยสาร Bioscope หน้าปกรูปแพะ กับผู้ชายฝรั่งผมรุงรัง เหนือยขึ้นไปมีข้อความ “World Cinema” จำได้ว่าไอ่ไอซ์มันชอบอ่าน แล้วเหมือนฉบับนี้มันยังไม่มี ผมเลยหยิบมันมาหนึ่งเล่ม
“อินชอบอ่านไบโอสโคปด้วยหรอ เหมือนกันเลย” เขาเองก็หยิบมาหนึ่งเล่มเช่นกัน
“ก็อ่านบ้างน่ะ” ผมตอบ
พอได้หนังสือเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไม่รู้สึกอยากทำอะไรอีก กายก็ดูแปลกๆ ไป ดูเขาไม่ค่อยร่าเริงเหมือนทุกที
“อยากไปไหนต่อมั้ย”
“ไม่ล่ะ”
“เข้าใจแล้ว งั้นกลับกันเลยเน๊าะ”
ผมพยักหน้าตอบไป ตลอดทางตั้งแต่เดินมาถึงรถ และรถเคลื่อนตัวออก แทบไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างผมกับกาย และตลอดเวลา ผมก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าวันนี้มันเป็นวันบ้าอะไร ทำไมอะไรๆ ก็ดูเข้าใจยากไปหมด ไอ่ไอซ์ที่แม้จะเป็นคนกวนๆ แต่ก็ไม่ได้งี่เง้า ก็เกิดงี่เง่าขึ้นมาซะงั้น ส่วนกายที่ปกติร่าเริงอยู่ตลอด วันนี้กลับเงียบผิดปกติ พอเข้าใจได้ตอนที่ไอซ์อยู่ แต่พอไอซ์กลับไป เขากลับนิ่งยิ่งกว่าเดิม และที่ยิ่งไม่เข้าใจ คือตัวผมเอง กับความรู้สึกหลากหลายที่อธิบายไม่ถูกระหว่างผมกับไอซ์ และกาย เหมือนผมกำลังเดินผิดทางยังไงไม่รู้
“อิน ถึงแล้ว”
เสียงเรียกของเขาดึงผมออกจากภวังค์ ผมมองออกไปนอกรถ พบว่าตอนนี้ผมอยู่หน้าหอตัวเองแล้ว ผมเตรียมจะลงจากรถ แต่ก็กูกกายเรียกไว้
“อิน”
“หือ”
“เขา คือใครหรอ?”
“เออ....” ไม่เข้าใจทำไมผมพูดไม่ออก
“อินชอบเรามั้ย”
แว้บแรกที่ได้ยินคำถามผมเกือบตอบไปว่าชอบ แต่แล้วความรู้สึกบางอย่างก็แย้งขึ้นมา ผมมองกายอย่างสับสน ผมไม่แน่ใจว่าผมชอบเขาจริงๆ มั้ย ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเรียกว่าอะไร....
“ไม่เป็นไร เราเข้าใจแล้วล่ะ”
เข้าพูด พร้อมส่งยิ้มเศร้าๆ มาให้ แม้เขาจะบอกว่าเข้าใจ แต่ผมสิ กลับไม่เข้าใจอะไรเลย? เขาเข้าใจอะไรของเขา
“หมายความว่ายังไง?”
“ช่างเถอะ ... อินลงก่อนดีกว่านะ ตรงนี้มันขวางทางเขาน่ะ”
“อ่า อืม”
ผมก้าวออกจากลงงงๆ จ้องมองรถที่เคลื่อนตัวออกไป
5
“แอบทวีตเงียบๆ แล้วอย่าเผลอรีทวีต”
ผมเปิดประตูเข้ามาในห้อง พร้อมกับความรู้สึกที่ไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง และยิ่งงงเข้าไปอีก เมื่อเจอกับไอซ์ ที่กำลังเก็บกระเป๋า
“จะไปไหน”
มันแค่เงยหน้ามามองผมแป๊บนึง ก่อนก้มลงไปเก็บของต่อจนเสร็จ แล้วยกเป้ขึ้นสะพายหลัง ผมยังยืนอยู่หน้าประตู มองการกระทำของมันอย่างงงๆ
“กูจะไปอยู่บ้านสักพักน่ะ”
“ห๊ะ? ได้ไง บ้านมึงไกลจะตาย เดี๋ยวก็มาเรียนไม่ทันหรอก”
“แม่กูเรียกน่ะ พอดีมีธุระที่บ้านนิดหน่อย”
“มึงโกรธกูหรอ”
“กูจะโกรธมึงเรื่องอะไร ในเมื่อคนที่ผิดควรจะเป็นกู ที่ตามไปเป็นก้างของพวกมึง”
ผมเอาถุงหนังสือในมือฟาดมันไปเต็มแรงตรงหน้าอกมัน มันแค่เซเล็กน้อยเท่านั้น “รู้แล้วจะไปทำไมวะ!” ผมว่าไปอย่างเหลืออด
“กูก็จะไปแล้วนี่ไง กูคงไม่อยู่เป็นก้างขวางมึงแล้วล่ะ มึงจะได้สวีทกับไอ่กายได้อย่างสบายใจ”
“งั้นก็รีบไปเลย!”
มันมองผมเศร้าๆ เหมือนมีความผิดหวังปรากฏบนสีหน้า ก่อนแค่นยิ้มส่งกลับมา มันเดินออกไป ปิดประตูลง โดยที่ผมไม่ได้หันมองกลับไป ในใจลึกๆ ผมหวังว่ามันจะล้อเล่น แต่เปล่าเลย
ผมหยิบถุงหนังสือที่หล่นตอนฟาดมันขึ้นมาก หนังสือข้างในหลุดออกนอกถุง ผมหยิบมันขึ้นมาอย่างหงุดหงิด มอง Bioscope ในมือ แต่เจ็บแปลบในใจ
แม่งจะเจ็บมั้ยวะ
ไม่รู้ทำไมผมคิดแบบนั้นสุดท้ายผมก็เขวี้ยงนิตยสารเล่มนั้นไป ก่อนจะตามไปเก็บมันมาวางไว้บนโต๊ะอีกครั้ง
ความรู้สึกผมยิ่งสับสนปนเปกันไปหมด จนไม่รู้อะไรเป็นอะไร ผมทิ้งตัวลงที่นอน มองเพดานอย่างครุ่นคิด จนผมผล็อยหลับไป
ไฟห้องยังเปิดสว่างเมื่อผมลืมตามขึ้นมา ผมคิดในใจว่าทำไมไอ่ไอซ์มันไม่ปิดไฟวะ แต่ก็นึกได้ว่ามันไปแล้ว ผมยังคงทิ้งตัวลงบนที่นอนอยู่อย่างนั้น ปล่อยสมองให้ว่างเปล่าไป ผมไม่อยากคิดอะไรตอนนี้ เพราะคิดไปก็คงคิดไม่ออกอยู่ดี
ผมหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นไปเรื่อยๆ ไม่มีการอัพเดทใดๆ จากเขาคนนั้น หรือกระทั่งไอ่ไอซ์ในหน้าเฟสบุ๊ค ผมยังเลื่อนหน้าฟีดไปเรื่อย กดไลค์โพสท์ของเพื่อนคนนู่นคนนี้ไปเรื่อย แชร์เรื่องที่สนใจบ้าง จนรู้สึกเบื่อ ผมเป็นเล่นทวิตแทน โซเชี่ยลที่ผมเอาไว้บ่น เอาไว้หลีกหนีความน่าเบื่อจากเฟสบุ๊ก
อินน์เอง
@DoubleInn
เรื่องบางเรื่องแม่งยากจะเข้าใจว่ะ #ความรัก
ผมกดทวีตออกไปไม่นาน ก็มีคนมีรีทวีตผม ทีแรกผมไม่สนใจ แต่เพราะชื่อที่เหมือนกับของใครบางคน ทำให้ผมต้องกดเข้าไปดู
ไอซ์สึ Retweeted your tweet
เรื่องบางเรื่องแม่งยากจะเข้าใจว่ะ #ความรัก
แต่แล้วสักพักมันก็หายไป คนกดน่าจะกดอันรีทวีตไป แต่ผมจำชื่อได้ เลยเอาชื่อไปเสิร์จดู ก็เจอแอคเคาท์นี้
ไอซ์สึ
@Iceii
ไอซ์ สึ ครับ ไม่ใช่ไอซ์อิอิ / มีคนที่ชอบแล้ว แต่ไม่รู้เขาชอบเรารึเปล่า / ยิ่งนานวัน ยิ่ง‘รัก’ เขา
รูปโปรไฟล์ที่คิดเป็นรูปของไอ่ไอซ์ไม่ผิดแน่ แต่รูปปก...... เป็นรูปเบลอๆ ของผู้ชายคนหนึ่งที่นอนหลับอยู่ แม้จะเบลอ แต่ผมก็ดูออกว่าเป็นรูปใคร จู่ๆ ใจผมก็เริ่มเต้นแรง ผมกดฟอลโล่วทันที ก่อนเลื่อนมาดูข้อความที่เขาทวีต
ไอซ์สึ
@Iceii
เชื่ย! แม่งเผลอรีทวีตไป!
ไอซ์สึ
@Iceii
เห้ออออ เจ็บว่ะ แต่แม่งต้องเดินออกมา เพราะเขาคงไม่ได้ชอบกู #ความรัก #อกหัก
ไอซ์สึ
@Iceii
กูมันเป็นแค่เพื่อนนี่หว่า ก็คงได้แค่นั้น.....
ไอซ์สึ
@Iceii
คิดห่าไรของกู ถึงตามเขาออกมา แล้วเป็นไง เจ็บสิมึง!
ไอซ์สึ
@Iceii
ปิดโทรศัพท์แม่ง เสือกส่งมาดีนัก!
ไอซ์สึ
@Iceii
หมั่นไส้ชิบหาย! เล่นโทรศัพท์ไปยิ้มไป #รำคาญ
ไอซ์สึ
@Iceii
เห็นบ่นว่าอยากกินโทสท์ ก็เลยพามากิน ยังจะเล่นโทรศัพท์หน้าระรื่นอีก! ใช่สิ กูมัน แค่เพื่อนนิ!!!
<รูปเบอลๆ ที่มีคนกำลังกดโทรศัพท์หน้าตายิ้มแย้ม>
ไอซ์สึ
@Iceii
พามากินแล้วนะ
<รูปที่แคปมาจากทวีตที่ผมเคยทวีตไปว่าอยากกินโทสท์>
ผมยังคงเลื่อนดูข้อความทวิตต่อไปเรื่อย ด้วยใจที่เต้นแรง ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไอ่ไอซ์มันก็แอบส่องผมอยู่ มิน่ามันถึงไม่ค่อยกดไลค์เฟสผม แล้วก็ไม่เคยบอกผมเรื่องทวีต เพราะมันก็ทำแบบเดียวกับที่ผมทำ มันทวิตข้อความที่อ่านก็รู้ว่าเป็นผมแน่ๆ โดยที่ผมไม่เคยรู้ จนกระทั้งมันเผลอรีทวีตผมเมื่อกี้!!!!