พิมพ์หน้านี้ - *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 10 เพื่อนช่วยเพื่อน [UP 2.10.61]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Eigen ที่ 19-05-2018 22:53:39

หัวข้อ: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 10 เพื่อนช่วยเพื่อน [UP 2.10.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 19-05-2018 22:53:39
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล
ผู้เขียน : Eigen

'อีธาน เฉิน' คือมาเฟียหนุ่มรูปงาม ได้ชื่อว่าเป็น 'ราชายาเสพติด'
อาชญากรชื่อดังที่ตำรวจต่างตามล่าตัวทว่าไม่เคยมีใครจับเขาได้

รวมถึง 'ม่านเมฆ'...เจ้าหน้าที่ในองค์กรลับแห่งหนึ่งก็ต้องการตัวอีธานเช่นกัน

เพราะทำงานผิดพลาด ม่านเมฆจึงเดินทางไปยังฮ่องกงเพื่อตามล่าตัวอีธาน
ทว่าใครจะคาดคิด เขากลับตกลงไปใน 'แผนการ' ของคนที่เขาล่า

จากผู้ล่ากลายเป็นนักโทษของอาชญากรตัวร้าย...
ไม่อาจดิ้นรนหนี ไม่อาจขัดขืน...
และตกลงไปในกับดักของมาเฟียอย่างอีธาน
ทั้งตัว...และหัวใจ

*****

สวัสดีค่า  :-[

เค้าเคยเขียนวายเรื่องสั้นมาเรื่องเดียว
เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกค่ะ
ไม่รู้เหมือนกันว่าแนวไหน 5555+ เพราะมันผสมๆ กันไปหมด
ทั้งแอคชั่น โรแมนติก ดราม่า Crime Organization
ก็เขียนในสิ่งที่ชอบ ก็ชอบมาเฟียอะไรแบบนี้ >///<

เซตมาเฟียนี้เรื่องถัดไปก็น่าจะทวีความโหดร้ายมากขึ้นอะเนอะ 555+

ขอฝากทุกๆ คนไว้ด้วยนะคะ



และเพื่อแยกแนวให้เป็นเอกเทศ
เลยสร้างเพจใหม่สำหรับแนววายไว้ด้วยค่ะ
ขอฝากทุกๆ คนด้วยนะคะ


แฟนเพจ
https://web.facebook.com/Eigen.Author/


ปล. เรื่องนี้จบแบบ Happy Ending นะคะ
ใจอยากพูดมากกว่านี้ แต่มากกว่านี้ก็เป็นสปอยสำคัญแล้ว 5555555555+ :sad4:
[/b][/size]


ผลงานที่ผ่านมา
[เรื่องสั้น] สวัสดีครับ ผมรักคุณ https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57640.0






หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บทนำ [19.5.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 19-05-2018 22:56:58
บทนำ

หัวใจที่แหลกสลาย
[/b][/size]

 





            ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย...ตายอย่างช้าๆ และทรมาน...



               ทุกๆ วันของผมนับจากนี้เปรียบเสมือนโรคร้ายที่ผมจำเป็นต้องยืนหยัดต่อสู้ ทั้งๆ ที่ผมไม่อยากทำอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ผมอยากปล่อยมือ โยนทุกอย่างทิ้งไป โยนคำสัญญาที่ให้ไว้กับคนคนนั้นทิ้งไปแล้วเลือกจะหนีความเจ็บปวดที่กำลังกัดกร่อนให้ผมทรมานอยู่ทุกๆ วันที่ยังคงหายใจ



               ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง นึกอยากให้ตัวเองนอนหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย แต่ผมทำไม่ได้...



               เพราะผมยังคงต้องลืมตาตื่นขึ้นมา...และค้นพบความจริงที่ว่าผมจะไม่มีเขาเคียงข้างอีกต่อไป



               เพราะเขาได้จากผมไปแล้ว...ตลอดกาล



               ผมใช้สองมือลูบใบหน้าตนเองแรงๆ สัมผัสได้ถึงเหงื่อผสมกับน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวทุกๆ ครั้งที่นอนหลับ ในฝันของผมที่มีเขานั้นมันดีเกินไป ใครจะคิดว่าคนอย่างผมจะตกหลุมรักคนอย่างเขาได้มากมายถึงขนาดนี้ ผมเหมือนเป็นคนโง่ๆ ที่รักแล้วก็ฝังใจอยู่เพียงแค่เขา



               เพื่อนสนิทและคนใกล้ตัวมักจะมองผมด้วยความสงสารผสมกับสมเพชที่ผมรักคนที่ไม่ควรรัก บางคนบอกผมว่าดีแล้วที่คนอย่างเขาตายไป อย่างน้อยอาชญากรชั่วๆ อย่างเขาก็ต้องชดใช้กรรม คนพวกนั้นมักจะโดนผมมองตาขวางและเหยียดหยามไปในที่สุดที่บังอาจกล่าวหาเขาในสิ่งที่ตนเองไม่เคยได้รู้



               ภายนอกเขาอาจจะดูเป็นคนชั่วร้ายกาจ...ทว่าแท้จริงแล้วข้างในของเขาเป็นเพียงคนที่ขาดวิ่นและเจ็บปวดยิ่งกว่าใครๆ



               ทว่าตอนนี้คนแบบนั้นก็ต้องนับรวมผมไปด้วย...ผมที่สูญเสียเขาไปแล้ว...อย่างไม่มีวันหวนกลับ



               ถึงผมจะรู้อยู่แก่ใจ ทว่าผมกลับไม่อาจทำใจได้เลย ผมคิดเสมอว่าเขายังคงอยู่...อยู่ข้างกายผม สอนให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตของคนในหลายๆ ด้าน คอยจับมือผมเอาไว้อย่างอ่อนโยนและปกป้องผมจากอันตรายทุกๆ อย่างที่จะเข้ามา เป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก...และเป็นคนที่ทำให้ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ถึงทุกวันนี้



               ถ้าไม่ใช่เพราะคำสัญญาที่เขาบีบบังคับไปจากผม...บางทีผมอาจจะยอมตายไปพร้อมกับเขา ทว่าเขากลับเลือกที่จะให้ผมอยู่ต่อไป ให้ผมได้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีความสุข...



               เขาบอกผมเสมอว่าเขาอยากให้ผมมีความสุขและคอยดูแลความรักของเขาที่อยู่กับผม...



               เพราะเขาบอกแบบนั้น...ผมถึงได้ทนฝืนให้ตัวเองอยู่ต่อไป อยู่เพื่อรักษาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทิ้งเอาไว้ให้และคอยดูแลมันให้ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะสามารถทำได้



               ผมหลับตา หัวใจยังคงเต้นไปด้วยความเจ็บปวดทุกๆ ครั้งที่คิดถึงเขา ทว่าผมกลับไม่อาจหยุดคิดถึงเขาได้เช่นเดียวกัน



            อีธาน เฉิน...



               ผมเรียกชื่อเขาในใจ



            อีธาน...อีธาน...อีธาน...



               ดวงตาของผมร้อนผ่าว น้ำตาของผมไหลรินอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ได้เช็ดมันแต่เลือกจะปล่อยให้มันไหลออกมา อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ผมได้ระบายความเจ็บปวดออกไปบ้าง



               ผมหลับตา ล้มตัวลงบนเตียงกว้างอีกครั้ง ข้างกายผมในตอนนี้ว่างเปล่าเพราะไม่มีเขาอีกต่อไป ผมขดตัวเองจนแทบจะเป็นก้อนกลม กอดตัวเองแน่นขณะที่ร้องไห้จนตัวโยน



               ชั่วเวลาที่ปล่อยให้ตัวเองได้คิดถึงเขาเช่นนั้น...ผมก็อดคิดถึงในตอนที่ผมก้าวขาออกมาจากกะลาใบเล็กๆ ของตัวเองแล้วเข้าสู่โลกของเขาไม่ได้



               เรื่องราวของผมกับเขา...เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น...







TBC

หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บทที่ 1/1 [20.5.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 20-05-2018 20:33:43



ตอนที่ 1

ความสูญเสียคือจุดเริ่มต้น

 

            “แล้วฉันจะรีบกลับมานะคะ”

               เสียงหวานใสดังขึ้นพร้อมๆ กับที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้่นมองผู้เป็นสามีแล้วส่งยิ้มหวานให้เขา เรือนร่างบอบบางน่าทะนุถนอมอยู่ในชุดแซกสีขาวส่งให้เธอดูบอบบางราวกับดอกไม้อันแสนล้ำค่า

            และใช่...เธอคือของล้ำค่าสำหรับเขา

               ชายหนุ่มประคองหญิงสาวแล้วค่อยๆ พาเดินช้าๆ จนไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูรถที่ถูกเปิดออกกว้างด้วยฝีมือของเหล่าบอดี้การ์ดซึ่งยืนเรียงรายรออยู่

               ชายหนุ่มเจ้าของดวงหน้าหล่อเหลาคมคายทอดมองร่างในอ้อมแขนด้วยสายตาอ่อนโยนและรักใคร่อย่างสุดหัวใจ...เพราะมีเพียงเธอ ที่ทำให้คนอย่างเขายังรับรู้ได้ว่าโลกใบนี้ยังสดใสและงดงาม ความรักของเธอทำให้เขารู้สึกถึงการมีตัวตน หากขาดเธอ...เขาก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร

               แล้วตอนนี้...เธอก็กำลังจะมีทายาทของเขา

            ทายาทตัวน้อยๆ ของตระกูลเฉิน...

               คนที่แต่ไหนแต่ไรมักจะแสดงแต่ความเย็นชาและโหดเหี้ยมก้มหน้าลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากมนอย่างแผ่วเบา หญิงสาวหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจที่นานๆ ทีสามีผู้เย็นชาจะแสดงความหวานโดยไม่สนใจสายตาใคร เธอเงยหน้าขึ้นสบสายตากับเขาด้วยความรัก...ที่มีทั้งหมดของหัวใจ

               “ฉันไม่อยากให้เธอไปเลยจริงๆ”

               ชายหนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว รู้สึกใจหายวาบอย่างไรชอบกลกับการปล่อยให้เธอเดินทางไปโรงพยาบาลเพียงคนเดียวในวันนี้ ทั้งๆ ที่มันก็แค่เป็นวันธรรมดาที่เธอมีนัดตรวจครรภ์กับแพทย์ที่โรงพยาบาลก็เท่านั้น

               “โธ่...อย่ากังวลเลยค่ะ ฉันก็แค่ไปตรวจครรภ์ตามปกติ คุณก็อยู่บ้านดีๆ นะคะ ฝากดูแลเสี่ยวมาวของฉันด้วย อย่ารังแกมันมากนะ” หญิงสาวยกมือขึ้นลูบแก้มสากระคายของสามีเพราะเจ้าตัวขี้เกียจโกนหนวด พลางหัวเราะคิกคักแล้วฝาก ‘เสี่ยวมาว’ ...แมวเปอร์เซียสีขาวจอมเจ้าเล่ห์ของเธอ ซึ่งเป็นคู่กัดกับสามี ทั้งสองมักทำท่าไม่ถูกกันเวลาอยู่ใกล้ชิดเธอจนทำเอาอดขำไม่ได้

               เธอแต่งงานกับเขามาได้ปีเศษ...ชีวิตการแต่งงานกับหัวหน้าตระกูลเฉินไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หลายๆ คนคิด แล้วยิ่งได้อยู่กับเขาแล้ว ไม่มีอะไรที่ทำให้ผิดหวังหรือต้องย้อนกลับไปคิดว่าตัดสินใจผิดสักนิด แม้ว่าก่อนหน้านั้นเธอจะได้รับการคัดค้านจากทุกๆ คนที่รู้ว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับเขาก็ตาม

               เขาอาจเป็นผู้ชายโหดร้ายสำหรับใครต่อใคร...อาจเป็นปรปักษ์กับคนทั้งโลก หากไม่ใช่กับเธอ สิ่งที่เขาเป็นคือผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่กำลังมีความรัก เหมือนกับที่เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่หลงรักเขาอย่างสุดหัวใจ

               เขา...หัวหน้าแก๊งมาเฟียหนึ่งในสามแก๊งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฮ่องกง

               ...อีธาน เฉิน

 

               อีธานมองตามท้ายรถของผู้เป็นภรรยาด้วยความรู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก แม้จะมีเหล่าบอดี้การ์ดมือดีที่สุดของเขาตามติดไปนับสิบคน

               แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่เธอห่างเขาไปก็เท่านั้น...

               ชายหนุ่มสลัดศีรษะแรงๆ ไล่ความรู้สึกบ้าๆ ที่ก่อกวนขึ้นมาวนเวียนทำให้เขาไม่สบายใจนับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้น

            ไม่สิ...นับตั้งแต่เมื่อคืนที่เขาฝันเห็นเธอเลือดท่วมตัวและกำลังจะจากไป

               “ได้เวลาแล้วครับนาย” เสียงห้าวของเชส...ลูกน้องคนสนิทที่สุดดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง

               ตามกำหนดการแล้ววันนี้เขามีธุระด่วนสำคัญที่จะต้องประชุมออนไลน์กับหัวหน้าใหญ่ผู้ดำรงตำแหน่ง ‘เศียรมังกร’ ของ ‘พันธมิตรไตรแอด’ ซึ่งทำให้เขาต้องต้องปล่อยให้ภรรยาเดินทางไปโรงพยาบาลเพียงลำพัง

               ไตรแอด (Triad) นั้นคือการรวมตัวกันของสามตระกูลมาเฟียใหญ่ในฮ่องกง หนึ่งในนั้นมีตระกูลเฉินของเขารวมอยู่ด้วย ชายหนุ่มไม่เคยรู้ว่าผู้ดำรงตำแหน่งเศียรมังกรนั้นมีหน้าตาเช่นไร รู้เพียงแค่ชื่อของเขาเท่านั้น

               วิลด์เฟรด ชาง

               วิลด์เฟรดดำรงตำแหน่งเศียรมังกรตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนนับตั้งแต่ก่อตั้งไตรแอด ขณะที่บิดาของอีธานเกษียณตัวเองแล้วให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของ ‘ตระกูลเฉิน’ ทว่าทางตระกูลชางกลับไม่มีการเปลี่ยนหัวหน้าสักนิด ยังคงเป็นวิลด์เฟรดอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

               และการที่พวกเขารวมตัวกันเป็นกลุ่มและบริหารงานองค์กรไตรแอดตามตำแหน่งหน้าที่ของตน ทำให้ระบบการจัดการและการถูกแทรกแซงจากองค์กรปราบปรามอาชญากรรมอย่างพวก OCTB[1]  นั้นเป็นไปได้ยาก เมื่อสามตระกูลมาเฟียใหญ่รวมตัวกัน ก็ก่อให้เกิดผลประโยชน์มหาศาลแก่พวกเขาไม่ว่าจะเป็นแง่ของกำลังคน เงิน แม้กระทั่งเส้นสายที่ครอบคลุมแทรกซึมไปในทุกๆ องค์กรของรัฐบาลและเอกชน ทำให้พวกเขา ‘รอด’ เงื้อมมือกฎหมายมาถึงทุกวันนี้


[1] OCTB (Organised Crime and Triad Bureau) หน่วยปราบปรามอาชญากรรมของฮ่องกง


----
เริ่มลงฉบับรีไรท์ตามที่แจ้งค่า ^^







แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บท1/1 [20.5.61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 21-05-2018 11:46:51
ต้อนรับเรื่องใหม่คร้าบบ :pig2:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บท1/2 [25.5.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 25-05-2018 20:40:31




'พอลลีน’ ถือฟิล์มอัลตร้าซาวด์ที่ขอมาจากคุณหมอแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้ภาพที่เห็นจะเป็นเพียงกลุ่มก้อนเล็กๆ ที่ยังไร้รูปทว่าเธอก็รู้ว่านั่นคือลูกของเธอและอีธาน

               หญิงสาวก้าวขึ้นไปบนรถก่อนจะควานหาโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมา จัดการถ่ายฟิล์มอัลตร้าซาวด์นั้นส่งไปยังผู้เป็นสามี พร้อมกับข้อความว่า

               'อีธานคะ...ลูกของเราน่ารักใช่ไหม คุณหมอบอกว่าแกแข็งแรงดีนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงเราสองแม่ลูกนะคะคุณพ่อ แล้วจะรีบกลับค่ะ พอลลีน'

               ส่งข้อความเสร็จ หญิงสาวก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ๆ รถที่กำลังแล่นอย่างนิ่มนวลถูกชนท้ายอย่างแรงจนเธอเองยังรู้สึกสะเทือน!

               “นายหญิงหมอบลงเร็ว!”

               เสียงตะโกนของหนึ่งในบอดี้การ์ดดังลั่น หญิงสาวสะดุ้งเฮือกอีกรอบแล้วรีบหมอบลงในทันที พร้อมกับเสียงกระสุนปืนถูกยิงกราดเข้ามาภายในรถ

               ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

               ถึงกระจกจะกันกระสุน ทว่าเมื่อโดนยิงรัวไม่มีหยุดมันก็แตกออกในที่สุด พอลลีนได้แต่เอามือปิดปากตนเองแน่น พยายามตั้งสติให้มากที่สุดถึงแม้จะไม่เคยเจอกับเหตุการณ์ถูกลอบโจมตีเช่นนี้มาก่อน

               เธอตัวสั่นเทา ได้แต่กดโทรศัพท์ในมือต่อสายหาผู้เป็นสามี

            อีธาน...ช่วยฉันด้วย!

               ทว่าหญิงสาวยังไม่ทันได้กดปุ่มโทร.ออก อะไรบางอย่างก็ถูกโยนเข้ามากระทบใบหน้าของเธอ หญิงสาวมองตามมัน และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอมีลมหายใจ เพราะระเบิดลูกเกลี้ยงที่ถูกโยนเข้ามานั้นทำงานของมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

               บึ้ม!

               แรงระเบิดนั้นฉีกร่างของเธอเป็นชิ้นๆ และพอลลีนพร้อมกับลูกในท้องก็ไม่มีโอกาสมีชีวิตอีกต่อไป...

 

               หน้าจอคอมพิวเตอร์เพิ่งจะดับลง บ่งบอกว่าการประชุมออนไลน์ที่กินระยะเวลาไม่นานทว่ามีความสำคัญยิ่งยวดของกลุ่มไตรแอดนั้นจบลงแล้ว อีธานก้าวออกมาจากห้องประชุมลับที่อยู่ชั้นใต้ดิน ทว่าเพียงแค่ประตูสีเงินเปิดออกกว้าง เชสก็ก้าวเข้ามาประกบด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

               “เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”

               “อะไร”

               “รถของนายหญิงถูกโจมตี”

               ชายหนุ่มกระโจนออกไปจากชั้นใต้ดินทันที เมื่อไปถึงหน้าบ้านรถยนต์ก็ถูกเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว อีธานกระชากลูกน้องซึ่งอยู่ในตำแหน่งคนขับลงอย่างรวดเร็วแล้วขึ้นไปแทนที่ เขาขับรถไปตามเส้นทางที่จะไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจสักนิดว่าจะฝ่าไฟแดงกี่แยกหรือเกือบจะชนใครตาย แล้วเขาก็ต้องเบรกรถอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าภาพกองไฟดวงใหญ่ที่กำลังไหม้โหมตรงกลางถนน

               สิ่งที่กำลังเผาไหม้คือรถยนต์คันหนึ่ง!

               ชายหนุ่มกระโจนลงจากรถ พร้อมๆ กับที่เชสและเหล่าทีมบอดี้การ์ดตามมาถึงแล้วรีบวิ่งตามหลังผู้เป็นเจ้านายตรงไปยังที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว

               ป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ติดอยู่กับรถซึ่งกำลังโหมไหม้นั้นทำให้พวกเขารู้ว่าเป็นรถของตระกูลเฉินแน่ๆ เชสได้แต่หยุดยืนอยู่เบื้องหลังของผู้เป็นเจ้านาย แผ่นหลังกว้างของชายผู้ยิ่งยงบัดนี้สั่นเทาน้อยๆ ด้วยแรงอารมณ์ที่ยากจะระงับ ซากศพของลูกน้องที่ตายเกลื่อนบวกกับเสียงซุบซิบของชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์ทำให้แน่ใจว่า...ไม่มีใครมีชีวิตรอด

               อีธานกำมือจนนิ้วขึ้นข้อขาว ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความอาฆาตแค้นจนสุดหัวใจ

            พอลลีน...พอลลีนของเขา...แล้วก็ลูกในท้องของเธอ!

               มันไม่ใช่ความจริง พอลลีนของเขาจะต้องไม่ตาย

               ไม่จริง!

            ไม่!!!

               เชสรีบเข้าไปประคองผู้เป็นเจ้านายที่ทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยความรู้สึกสงสารเต็มหัวใจ แวบหนึ่งเขาเห็นดวงตาสีดำคมกริบของผู้เป็นนายที่จ้องมองภาพซากรถยนต์ที่กำลังลุกไหม้จนแทบไม่เหลือซากมีหยาดน้ำตาหลั่งไหลออกมา

               น้ำตาของพญามังกร...

               และเป็นมังกรที่สูญเสียไปแล้วซึ่ง...หัวใจ

               การตายของพอลลีนกำลังจะทำให้สัตว์ร้ายที่หายไปนานกลับมาอีกครั้ง อีธานสาบานกับตนเองเลยว่า...คนที่ก่อเรื่องเช่นนี้กับเขามันจะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม

               เขาจะเอาเลือด เนื้อ และกระดูกของมันมาเซ่นวิญญาณของพอลลีนและลูกให้จงได้!

               เขาสาบาน!

 

ห้าปีต่อมา...

               อีธาน เฉินในวัยสามสิบห้าปียืนอยู่หน้าหลุมฝังศพของผู้เป็นภรรยานิ่งนานนับชั่วโมงแล้ว ไม่สนใจแม้แดดในวันนี้จะร้อนจัดแค่ไหน ดวงตาสีดำคมกริบภายใต้แว่นกันแดดนั้นจับจ้องแต่ภาพดวงหน้าอ่อนหวานของเจ้าของป้ายหลุมศพเท่านั้น

               เชสได้แต่มองแผ่นหลังภายใต้เชิ้ตสีดำซึ่งกลายสีประจำตัวของผู้เป็นเจ้านายนับตั้งแต่การตายของนายหญิงความเสียใจอย่างสุดซึ้งผลักดันให้คนๆ หนึ่งทำเรื่องเลวร้ายได้ทุกอย่าง

               และอีธาน เฉินก็เป็นอย่างนั้นเช่นเดียวกัน

               เจ้านายของเขาควานหาตัวคนร้ายที่กล้าลงมือกับนายหญิงให้ควัก ทว่าตลอดหลายปีมานี้กลับล้มเหลว ทุกเส้นสายที่ตระกูลเฉินรวมถึงกลุ่มอิทธิพลที่เขาเข้าร่วมอย่างไตรแอดมีดูเหมือนจะมืดมนสำหรับการตายของนายหญิงพอลลีน และไม่อาจไขปริศนาออกได้ว่าเป็นฝีมือของใคร

               แต่ไม่ใช่เวลานี้...

               เชสมั่นใจ…ว่าอีกไม่นานเวลาของการแก้แค้นจะมาถึง เมื่อเบาะแสสำคัญนั้นได้ปรากฏขึ้นหลังจากความพยายามอันยาวนานกว่าห้าปีของอีธาน...

               “ไปกันเถอะ"

               เสียงห้าวทุ้มของผู้เป็นนายดังขึ้นในระหว่างที่เดินผ่านหน้าเขาไป เชสหันไปทางป้ายหลุมศพภายในสุสานตระกูลเฉินแล้วก็ค้อมศีรษะลงเป็นการเคารพผู้ตาย เขามองช่อลิลลี่สีขาวช่อใหญ่นั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินตามเจ้านายของเขาไป

               เจ้านาย...ที่บัดนี้กลายเป็นอาชญากรอันดับสองของฮ่องกงรองจากวิลด์เฟรด ชาง หัวหน้ากลุ่มไตรแอดคนนั้น ขึ้นแท่นเป็นเป้าฉากหน้าล่อให้ทุกคนจับจ้องมายังเขาแทนเศียรมังกรของกลุ่มอย่างวิลด์เฟรด ชางผู้ลึกลับ

            อีธาน เฉิน...ราชายาเสพติดคนปัจจุบัน!

 

----
ฉบับรีไรท์ค่า ^^



แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บทที่ 2 [30.5.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 30-05-2018 22:40:36


ตอนที่ 2
ม่านเมฆ



   แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างจ้าท่ามกลางความมืดสะท้อนกับกรอบแว่นตาอันโตสีดำที่ประดับอยู่บนดวงหน้าจนเป็นประกาย ชายหนุ่มเจ้าของดวงหน้าเรียวที่พอจะมีความหล่ออยู่บ้างหากยอมสลัดแว่นอันโตออกจากใบหน้าที่ทำให้เขากลายเป็นหนุ่มเนิร์ดในสายตาของผู้พบเห็นออกไป เขาใช้ปลายนิ้วดันแว่นที่ลื่นตกลงมาอยู่ปลายจมูกโด่งให้กระชับใบหน้า ก่อนจะรีบพรมนิ้วมือลงบนแป้นคีย์บอร์ดรัวเร็วจนเสียงดังลั่นท่ามกลางความเงียบ
   เหงื่อผุดซึมไปทั่วใบหน้าของชายหนุ่มทั้งๆ ที่อากาศภายในห้องแทบจะเรียกได้ว่าเย็นจัด เพราะเจ้าของห้องอย่างเขานั้นเกลียดอากาศร้อนเป็นที่สุด คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันมุ่นเมื่อพบว่าภารกิจในวันนี้ดูเหมือนจะยากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย เนื่องจากทีมรักษาความปลอดภัยของฝ่ายตรงข้ามรู้ตัวว่ามีผู้บุกรุกเล็ดลอดเข้ามาในระบบของตนเองแล้ว
   “เอาซี่ คิดว่าจะชนะคนอย่างไอ้เมฆได้เหรอ"
ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา แล้วกัดริมฝีปากของตนเองแน่นด้วยท่าทีฮึดสู้ พร้อมกับพรมนิ้วมือลงบนคีบอร์ดรัวเร็ว ไม่นานเขาก็สามารถเข้าครอบครองระบบของอีกฝ่ายจนได้ เขาจัดการสั่งปิดระบบของฝ่ายนั้น พลิกเปลี่ยนให้ผู้ดูแลกลายเป็นเพียงคนนอกของระบบรักษาความปลอดภัยนั้นในชั่วพริบตา ก่อนจะถล่มอีกฝ่ายด้วยการส่งไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวใหม่ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะให้แก่ฝ่ายตรงข้าม แล้วรีบถอนตัวออกจากระบบเมื่อเขาส่งของขวัญสุดที่รักให้พวกมันเป็นที่เรียบร้อย
   ทั้งไวรัสลูกรัก...และการถล่มระบบรักษาความปลอดภัย จัดการแฮกเปลี่ยนพาสเวิร์ดสำคัญทั้งหมด แล้วใส่ระบบป้องกันอีกชั้นเพื่อกันไม่ให้คนของทางนั้นแก้ปัญหาเครือข่ายถูกบุกรุกได้เร็วนัก
   เหอะ! แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ สำหรับคนที่กล้าท้าทายเขา!
   กระจอก!
   ฝีมืออย่างนี้ ถึงจะดีขึ้นมาหน่อยแต่อย่าคิดเทียบเคียงเขาได้...ไปฝึกมาใหม่อีกสักสิบปีเถอะไอ้หนู เผื่อจะเปลี่ยนจากวิ่งไล่ตามมาเป็นขี่จักรยานตามถึงจะตามจับตัวเขาได้!

   “เมฆ เมฆ! ไอ้เมฆ!”
   เสียงตะโกนเรียกชื่อดังลั่นอยู่ข้างๆ หู พร้อมกับที่อีกฝ่ายเขย่าตัวเขาแรงๆ ม่านเมฆจึงปัดมือฝ่ายนั้นออกอย่างรำคาญ แล้วพลิกตัวหมายจะนอนหลับต่อ เมื่อคืนนี้กว่าเขาจะได้นอนก็กินเวลาตั้งตีสี่ อย่าว่าอย่างโน่นอย่างนี้เลย คนที่นอนเกือบเช้าตื่นหัวค่ำอย่างเขาไม่มีทางคิดจะลุกขึ้นมาสู้แดดยามเช้าเด็ดขาดถ้าไม่มีความจำเป็น
   “ไอ้เมฆ ถ้าไม่ตื่นฉันจะเอาน้ำสาดปลุกแกจริงๆ ด้วย"
   เสียงห้าวทุ้มนั้นดังดังลั่นข้างๆ หู แถมเจ้าของเสียงยังเอื้อมมือมาเขย่าพร้อมกับกระชากแขนเสียจนม่านเมฆสะดุ้งและไม่สามารถนอนได้อีกต่อไป
   “ไอ้พี่เหม!” ชายหนุ่มเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ดวงตาปราศจากแว่นสายตาอันโตหรี่มองเหมันต์ด้วยความรู้สึกง่วงงุนปนหงุดหงิด ม่านเมฆร้องอุทธรณ์เสียงแหบพร่า "มาปลุกทำไมแต่เช้าเนี่ย ก็รู้อยู่แล้วว่าผมเพิ่งได้นอน"
   “วันนี้มีงานแต่เช้านะ แกจะมานอนกินบ้านกินเมืองได้ยังไง!"
   เหมันต์เอ่ยพลางใช้เท้าสะกิดให้เขาลุกขึ้นด้วยสีหน้าระอาใจ
   “งั้นขอลาหยุด วันนี้ไปทำงานไม่ไหว"
   ม่านเมฆน้ำเสียงหงุดหงิด รู้สึกปวดหัวเพราะนอนไม่พอ คว้าผ้าห่มที่ร่นตกไปกองตรงปลายเท้าขึ้นมาห่มอีกครั้ง คราวนี้คลี่คลุมศีรษะตนเองโดยไม่สนใจเหมันต์ที่ยืนอยู่ข้างเตียงแม้แต่น้อย
   “อย่าบ้านะเมฆ!” เหมันต์ตะโกนลั่น แล้วเริ่มใช้เท้าถีบเขาแรงมากขึ้น "ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ แกก็รู้ว่าวันนี้มีงานด่วน!”
   “เกิดอะไรขึ้นน่ะเหม”
   เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้น ‘ลีน’ ที่กำลังจะเดินผ่านห้องนอนของม่านเมฆที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้ด้วยฝีมือเหมันต์ได้ยินเสียงสองทั้งคู่ทุ่มเถียงกัน โดยเฉพาะเสียงของเหมันต์ที่ดังลอดผ่านออกมาดึงดูดให้หญิงสาวเดินเข้ามา
   “ก็ไอ้ขี้เซานี่น่ะสิ” เหมันต์ชี้มือไปยังร่างของม่านเมฆที่นอนคลุมโปงอยู่ "เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ทั้งๆ ที่เป็นผู้จัดการแท้ๆ”
   “อ้าว" เซลีนร้องครางกลายเป็นว่าเธอมายืนดูม่านเมฆหลับด้วยอีกคน “วันนี้สำคัญซะด้วย งานบ้านคุณพอฤทัยใช่ไหม” หญิงสาวหันไปถามเหมันต์
   “ใช่ แล้วถ้ามันไม่ไปด้วย คุณพฤทัยต้องถามเซ้าซี้ยาวเหยียดแน่ๆ ฉันขี้เกียจแก้ตัวว่าทำไมคนโปรดถึงไม่ไป" เหมันต์อธิบายยืดยาวแล้วมองคนขี้เซาด้วยสายตาถอนหายใจ
“งั้นนายถอยอกมาห่างๆ ฉันจัดการเอง"
   “เธอจะทำยังไงน่ะลีน?”
   “ง่ายๆ " เซลีนแย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอเดินไปวนเวียนตรงโต๊ะคอมพิวเตอร์ของม่านเมฆแล้วหมุนข้อมือเป็นวงราวกับว่าตัดสินใจไม่ได้ว่าจะหยิบอะไรดี สุดท้ายเธอก็หยิบเอาแทปเล็ต...ลูกสาวหมายเลขสอง ของใช้สุดรักสุดหวงของม่านเมฆขึ้นมา
   “ถ้าเมฆมันไม่ยอมตื่น" เซลีนหัวเราะหึๆ ในลำคอ "บางทีมอลลี่ที่รักอาจจะกลายเป็นแค่เศษซากเทคโนโลยีก็ได้นะ"
   “ไม่นะ!” คนที่ดูเหมือนจะนอนคลุมโปงอยู่เด้งตัวขึ้นมาจากที่นอนทันที ดวงตาเรียวสวยที่มักจะซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นหันไปถลึงตาดุๆ ใส่เซลีน "อย่าคิดทำร้ายลูกฉันเชียวนะลีน ไม่งั้นฉันจะเล่นงานเธอแน่ๆ !"
   “อ้อ...ยอมตื่นแล้วเหรอ" เซลีนวางแทปเล็ตลงกับโต๊ะที่เดิม แล้วหันมายิ้มกริ่มยักคิ้วให้กับเหมันต์ที่ได้แต่โคลงศีรษะด้วยความระอา
   “ถ้าวันนี้ไม่สำคัญจนต้องมารบกวนการนอนของฉัน ทั้งสองคนเละแน่ ไอ้พี่เหม! ลีน!” ชายหนุ่มหันไปอาฆาตเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมกันจนแทบจะเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน พลางควานมือเปะปะไปยังโต๊ะข้างเตียงที่จำได้ว่าเขาถอดแว่นวางเอาไว้ตรงนั้นก่อนเข้านอน
   เมื่อสวมแว่นสายตาแล้วโลกของเขาก็แจ่มชัดขึ้น และหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักอ่อนกว่าวัยก็หายไปด้วย กลับกลายเป็นหนุ่มเนิร์ด เจ้าของผมฟองฟูมาแทนที่
   “สำคัญน่ะสิ เพราะเราจะต้องไปบ้านคุณพอฤทัยกัน ที่นั่นมีงานเลี้ยงวันเกิด แล้วฉันก็ไม่อยากไปสาย" เหมันต์พูดพลางกอดอก
   “และที่สำคัญยิ่งกว่า...นายต้องเป็นคนไปประกบคุณพอฤทัยในขณะที่ฉันต้องเข้าไปสำรวจบ้านนั้นน่ะสินายคนโปรด ไม่รู้เธอถูกใจอะไรในตัวนายกันนะเมฆ ถึงได้ชอบนายนักหนา" เซลีนเสริม และแน่นอน อดที่จะจิกกัดไม่ได้ เพราะคนที่แสนจะเก็บตัวที่สุดอย่างม่านเมฆ ดันเป็นคนที่คุณพอฤทัยถูกอกถูกใจไปเสียได้! ไม่รู้ว่าเล็งนายเมฆไว้เพื่อตัวเองหรือเพื่อหลานสาวกันแน่!
   “คุณเขาจะรู้ไหมเนี่ยว่าที่ถูกใจน่ะมันไอ้ตัวร้ายชัดๆ ถ้ารู้ว่านายเป็นคนวางแผนหาหลักฐานจับผิดหลานชายที่ดันเป็นขาใหญ่กระจายยาเสพติดไปทั่วภาคกลางจะทำหน้ายังไงนะ"
   คุณพอฤทัยม่ายสาวร้อยล้านคนดัง นอกจากหลานสาวแล้วก็ยังมีหลานชายซึ่งถือได้ว่าเป็นมือขวาของเธออีกหนึ่งคน และแน่นอนว่าย่อมถูกวางตัวเป็นทายาทของธุรกิจใต้ดินของเธอด้วย
   เครือข่ายของคุณพอฤทัยถูกพวกเขาแทรกแซงและจับตามองมานานแล้ว...หลังจากประกบตามอยู่นานหลายเดือน ในที่สุดงานของพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
   ซึ่งก็คือวันนี้...
   “ก็ทำหน้าเป็นคุณพอฤทัยนั่นแหละ" ม่านเมฆตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้าวลงจากเตียง เพราะตอนนี้เขาตาสว่างเรียบร้อยแล้ว "ออกไปกันได้แล้ว ฉันจะได้อาบน้ำแต่งตัวเสียที อีกสิบนาทีเจอกันข้างล่าง"
   พูดเสร็จชายหนุ่มก็เดินตรงไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ แต่ก่อนจะปิดประตูห้องน้ำก็ชะโงกหน้าออกไปตะโกนบอกทั้งสองคน
   “อ้อ ออกไปล็อกห้องให้ด้วย แล้วสำหรับเธอนะลีน” เขาชี้นิ้วใส่สาวสวยเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าดุๆ “คราวหน้าอย่าคิดใช้น้องมอลลี่มาขู่ฉันอีก ไม่งั้นฉันเล่นงานเธอแน่ๆ "

   ม่านเมฆอายุยี่สิบสี่ปี เขาเรียนจบด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในระดับปริญญาตรีและเรียนปริญญาโทด้านการบริหาร นอกจากนั้นยังเรียนผ่านระบบออนไลน์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ชายหนุ่มเข้าเรียนก่อนเกณฑ์อยู่กลายปีจึงทำให้จบไวกว่าคนรุ่นเดียวกัน เขาเป็นคนเก็บตัวและเข้ากับคนอื่นได้ไม่ค่อยดีนัก
หลังเรียนจบเขาก็ทำงานอยู่ฝ่ายเทคนิคขององค์กรอิสระแห่งหนึ่งที่ก่อตั้งขึ้นสำหรับปราบปรามอาชญากรด้วยการชักชวนของเพื่อนของบิดาที่เสียชีวิตไปแล้ว
เขาเคารพนับถืออีกฝ่ายเนื่องจากเป็นคนที่คอยดูแลและส่งเด็กกำพร้าอย่างเขาให้เรียนหนังสือจนจบแม้ว่าระหว่างนั้นเขาก็มีงานที่ทำรายได้ให้ตัวเองเป็นกอบเป็นกำก็ตาม แต่ก็เลิกไปเมื่ออีกฝ่ายชักชวนให้เขาเดินในทางที่ถูกที่ควรและทำงานร่วมกัน
ขอบเขตหน้าที่ส่วนใหญ่ของชายหนุ่มจะอยู่ในส่วนวางแผนและข้อมูล เขาไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกนัก เว้นแต่ว่างานนั้นจำเป็นต้องใช้เขาหรือขาดคนจริงๆ ชายหนุ่มจึงจะยอมก้าวเท้าออกจากองค์กร ซึ่งฉากหน้าเปิดเป็นบริษัทรับจัดงานอีเวนต์ต่างๆ โดยมีพันธิต เพื่อนของพ่อเป็นหัวหน้าสูงสุดขององค์กร และเขาก็เป็นคนชักชวนให้ม่านเมฆเข้ามาทำงานนี้อีกด้วย
   ทีมของพันธิตนั้น นอกจากเขา ก็มีเหมันต์...รองหัวหน้า ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการ เซลีน...เพื่อนสาวที่ร่วมงานกันบ่อยจนสนิทกันแต่ก็เป็นคู่กัดกันบ้างในบางครั้ง นอกจากนั้นยังมีคนอื่นๆ อีกสี่ห้าชีวิตที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องมากเท่าไหร่นักเพราะพวกนั้นมักจะเป็นฝ่ายภาคสนามมากกว่า เนื่องจากปกติแล้วหน่วยปฏิบัติการนั้นจะไม่มีเขา เพราะ...ม่านเมฆคิดถึงตัวเองแล้วอมยิ้ม
...ก็ไม่เก่งอะไรเลยสักอย่างน่ะสิ!
   การต่อสู้อะไรใดๆ ล้วนไม่เอาอ่าว ร่างกายของเขาอ่อนแอ เหนื่อยง่ายเกินกว่าจะไปออกกำลังกายอย่างชาวบ้านได้ ให้เขาใช้สมองคำนวณตัวเลขระดับหลักพันล้านยังจะเร็วเสียกว่าการที่จะให้เขาออกแรงชกต่อยกับใคร
   แต่ถ้าให้เขาท่องจำจากหนังสือทั้งเล่ม แล้วเขียนเป็นคำตอบในยามทำข้อสอบส่งอาจารย์ยังง่ายกว่าเลย
   ไอ้พี่เหมันตร์เคยบอกว่าการต่อสู้ก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งไม่ใช่แค่การออกกำลังชกต่อยกับชาวบ้าน เขาควรจะเรียนรู้ไว้ ทว่าศิลปะเดียวที่ม่านเมฆข้าใจคงจะมีเพียงศิลปะของตัวเลขและการคำนวนที่พี่กับเพื่อนสนิทได้แต่ส่ายหน้าเท่านั้น
   แน่นอนว่าแค่ให้ม่านเมฆเดินบนพื้นราบก็แทบจะสะดุดอยู่แล้ว วัน ๆ เอาแต่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ดังนั้นอวัยวะที่ใช้งานมากที่สุดก็เห็นจะเป็นนิ้วมือนั่นแหละ จะให้เขาไปเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้พวกนั้นยังไงไหว!

   “ป้าดีใจที่คุณมาด้วยนะคะคุณเมฆ"
   คุณพอฤทัยเดินปรี่เข้ามาหาทันทีที่ม่านเมฆก้าวลงจากรถตู้ของบริษัทรับออแกไนเซอร์ซึ่งเปิดเอาไว้บังหน้า ม่านเมฆยกมือขึ้นไหว้หญิงวัยเกือบหกสิบที่ดูสาวกว่าอายุจริง พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย
   “คุณพอฤทัยมีงานทั้งที แถมใช้บริการจากแอลออร์แกไนเซอร์ของทางเราตลอด ผมก็ต้องมาดูแลด้วยตัวเองสิครับ" ม่านเมฆตอบเอาใจหญิงวัยกลางคน ชายหนุ่มรู้จักคุณพอฤทัยมาหนึ่งปีแล้ว นับตั้งแต่อีกฝ่ายจัดงานวันเกิดของตัวเองเมื่อปีก่อนแล้วจ้างบริษัทแอลออร์ไนเซอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นฉากหน้าขององค์กร ม่านเมฆดูแลงานในส่วนนี้ทว่าโดยมากเขาไม่ค่อยได้มาดูงานนอกสถานที่ด้วยตนเอง นอกจากครั้งนั้นเพราะเหมันตร์ติดงานด่วนและไม่มีใครว่าง
   นับตั้งแต่เจอพอฤทัยและมีการติดต่อกันบ่อยๆ อีกฝ่ายก็มักจะแนะนำคนรู้จักในแวดวงตนเองให้ติดต่องานกับเขา ทุกวันนี้ม่านเมฆก็ยังคิดไม่ตกว่าเหตุใจคุณพอฤทัยนั้นจึงถูกใจเขาอย่างออกนอกหน้า ทั้งๆ ที่ควรจะไปชื่นชมเหมันต์ไม่ก็เซลีนมากกว่าจะมาสนใจหนุ่มแว่นเฉิ่มและไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างเขา และแน่นอน...ม่านเมฆไม่คิดจะถาม ถึงแม้จะได้ยินแว่วๆ มาว่าคุณพอฤทัยเคยถึงขั้นจะจับคู่เขากับหลานสาวคนโปรดของท่าน ซึ่งชายหนุ่มก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อน
   “เข้าบ้านกันก่อนนะคุณเมฆ งานเลี้ยงวันเกิดยายป่านอีกกว่าชั่วโมงถึงจะเริ่ม คนของคุณเมฆมาจัดงานตั้งแต่เช้าแล้ว ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี คิดซะว่ามาเป็นแขกของป้าแล้วกัน ทำตัวตามสบายนะ" ตอนท้ายเธอหันไปทางเหมันต์และเซลีนซึ่งตามมาทำงานด้วยกัน ทั้งคู่ได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆ ให้แก่คุณพอฤทัยเท่านั้น
   แล้วคุณพอฤทัยก็ชวนม่านเมฆให้เข้าไปด้านในบ้าน ทิ้งให้ทั้งสองคนโดยเฉพาะเซลีนได้แต่มองตามหลังไปอย่างขำๆ ก่อนเธอจะปรายตามองคนที่แต่ไหนแต่ไรมักจะเป็นจุดเด่นราวกับดาวล้อมเดือน เพราะเหมันต์นั้นทั้งหน้าตาดี ฐานะร่ำรวย ชื่อเสียงในฐานะเจ้าของธุรกิจออร์แกไนซ์ชื่อดังรวมถึงธุรกิจด้านอื่นก็โด่งดังเป็นที่รู้จัก โปรไฟล์ของเหมันต์ที่ถูกสร้างขึ้นถือว่าดีกว่าม่านเมฆด้วยซ้ำ ทว่าทุกครั้งที่เหมันต์มาบ้านคุณพอฤทัยก็จะกลายเป็นเพียงคนธรรมดาๆ ไม่โดดเด่นดึงดูดใจเท่าผู้จัดการบริษัทอย่างม่านเมฆในสายตาคุณพอฤทัย
   “เมฆมีดีอะไรนะ คุณฤทัยอะไรเนี่ยถึงติดใจจัง" เซลีนมองไล่หลังคนทั้งคู่จนสุดสายตา
   เหมันต์ยักไหล่ ยิ้มทรงเสน่ห์ “ไม่รู้สิ อาจเป็นเพราะเมฆดูซื่อๆ แล้วทำงานเก่งมั้ง คุณพอฤทัยคงชอบคนที่ดูเหมือนจะโอนอ่อนผ่อนตามแล้วดูหัวอ่อนอย่างเมฆก็ได้”
   ชายหนุ่มคาดเดา และนั่นทำให้คนฟังแทบสำลักน้ำลายตัวเอง
   “ซื่อๆ? หัวอ่อน?” เซลีนทวนเสียงสูง ก่อนจะหัวเราะขำอย่างอดกลั้นไม่อยู่ “เมฆเนี่ยนะ!”
   “ก็เมฆนั่นแหละ” เหมันต์หัวเราะออกมาบ้าง เมื่อคิดว่าถ้าคุณพอฤทัยคิดว่าม่านเมฆเป็นอย่างนั้นจริงๆ
   “ซื่อกับผีน่ะสิ ถ้าเมฆเป็นคนซื่อและหัวอ่อน ทั้งโลกนี้ก็สมควรกำจัดคนซื่อและหัวอ่อนให้หมดโลก ตัวอันตรายและหายนะชัดๆ!"
   “ใช่ อันนี้ฉันเห็นด้วยกับเธอนะลีน" น้อยครั้งที่เหมันต์จะมีความคิดเห็นตรงกันกับเซลีนโดยไม่ขัดแย้ง
   ถ้าคุณพอฤทัยคิดว่าคนอย่างม่านเมฆเป็นคนซื่อๆ หัวอ่อน...ก็สมควรจะต้องตัดแว่นใหม่
   แต่อาจต้องไปตัดในคุกนะ...หลังจากเสร็จงานนี้!

   “ลีน...”
   เสียงเรียกชื่อเธอดังแผ่วเบาทำให้เซลีนชะงักจากการดูแลคนงานที่กำลังทำงานอยู่ เธอหันไปส่งสัญญาณกับเหมันต์แล้วจึงค่อยๆ เดินเลี่ยงหนีจากกลุ่มไป มองซ้ายมองขวาแล้วไปยืนอยู่คนเดียวตรงสนามกว้าง ทำทีเป็นหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหู ทั้งๆ ที่เสียงที่เรียกนั้นดังมาจากหูฟังไร้สายเล็กๆ อุปกรณ์สื่อสารเฉพาะที่ม่านเมฆเป็นคนคิดค้นขึ้นเพื่อใช้ในการทำงาน
   หญิงสาวเลือกที่จะมายืนอยู่คนเดียวกลางสนามกว้างเพื่อป้องกันการดักฟัง ทำอย่างนี้หากใครเข้าใกล้รัศมีของเธอจะสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าแอบเข้าไปพูดในห้องเป็นไหนๆ
   “ว่าไง" เซลีนที่แนบโทรศัพท์ขึ้นมาปิดบังตอบกลับเสียงเบา ทางปลายสายก็ตอบกลับมาเสียงเบาไม่แพ้กัน
   “คุณพอฤทัยกับคนอื่นๆ จะอยู่ในด้านหน้าเวทีทั้งหมดในช่วงการแสดงบนเวที เธอมีเวลาราวๆ เจ็ดนาทีในการค้นหารายชื่อคู่ค้าของคุณพอฤทัยกับนายรัฐศาสตร์ ฉันคิดว่าน่าจะอยู่ในห้องนอนของคุณพอฤทัย และตามนิสัยแล้วคุณพอฤทัยต้องเก็บไว้ในตู้เซฟลับข้างในตู้เสื้อผ้าแน่ๆ"
   คำสั่งยืดยาวและแสนรู้ดีสมกับเป็นคนโปรดที่ถูกเล็งให้เป็นว่าที่หลานเขยทำให้เซลีนได้แต่แค่นยิ้ม
   “ได้ ไม่มีปัญหา” หญิงสาวตอบกลับอย่างมั่นใจ “นายก็ตามดูและตามประกบคุณพอฤทัยให้ดีก็แล้วกัน”
   “จำไว้ว่าเธอมีเวลาเจ็ดนาที" ม่านเมฆย้ำ ไม่สนใจคำเตือนของเพื่อนร่วมงาน
   คราวนี้เซลีนหลุดหัวเราะไม่ได้ “ว่าแต่นายดันไปรู้ได้ยังไงว่าคุณเก็บของไว้ที่ไหน ตู้เซฟลับอยู่ตรงไหน”
   “นายคิดว่าฉันเป็นใคร แล้วฉันต้องเสียเวลากี่เดือนกันในการเอาใจคุณพอฤทัย”
   คำถามย้อนกลับนั้นทำให้เซลีนยิ้ม ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าคุณพอฤทัยคอยจับคู่ให้กับม่านเมฆกับตาเธอก็คงคิดว่าหญิงวัยกลางคนนั่นเล็งเพื่อนของเธอเป็นคนรักมากกว่าต้องการเป็นหลานเขย แล้วอดขำไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายตัดการติดต่อไปอย่างหงุดหงิด รู้ดีว่าคนชอบเก็บตัวอย่างม่านเมฆต้องมาทนเอาใจคุณพอฤทัยมานานเกือบปีนั้นฝืนจะทนมากแค่ไหน ดีที่ไม่ต้องทนเจอหน้าทุกวัน ไม่อย่างนั้นคนอย่างม่านเมฆคงสติแตกตายเสียก่อน

   เสียงดนตรีไทยแผ่วหวานดังขึ้น ม่านเมฆเหลือบตามองไปทางเหมันต์แวบหนึ่งก็เห็นอีกฝ่ายค่อยๆ ปลีกตัวออกไปอย่างเงียบเชียบ เขาหยิบเอามอลลี่...แทปเล็ตที่ตนเองดัดแปลงภายในเสียจนประสิทธิภาพของมันสูงกว่าคอมพิวเตอร์จัดการป่วนล่มระบบกล้องวงจรปิดของบ้านคุณพอฤทัย จากการวนเวียนเข้ามาภายในบ้านนี้หลายปีตั้งแต่ได้เบาะแสว่าคุณพอฤทัยและหลานชาย...นายรัฐศาสตร์ ที่เริ่มตั้งตนเป็นเจ้าพ่อลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือมากระจายสู่ภาคกลาง ทว่าเพราะความฉลาดและการจัดการวางแผนที่ดี ทำให้หลายต่อปลายปีไม่มีใครจับได้ไล่ทันคุณพอฤทัยและนายรัฐศาสตร์ได้เสียที จนกระทั่งงานนั้นมาสู่มือพวกเขา
   “ยายรดานี่ไม่ว่ายังไงก็สะกดสายตาคนได้เสมอเลยนะคุณเมฆ...เห็นด้วยกับป้าไหม"
   คุณพอฤทัยที่นั่งอยู่ข้างๆ เอนตัวมาคุยกับเธอ แต่สายตายังเหลือบมองหลานสาวที่ร่ายรำอยู่บนเวที และหวังชวนให้ม่านเมฆชื่นชมหลานสาวของเธอ
   ม่านเมฆคลี่ยิ้มอย่างรู้ทันแต่ไม่แสดงออกอะไร เขากดปุ่มปิดหน้าจอแทปเล็ตให้มืดสนิท ปล่อยให้โปรแกรมทำงานไปแล้วหันไปตอบคุณพอฤทัยว่า "คุณรดาเป็นคนมีเสน่ห์ครับ แล้วผมว่าเสน่ห์ของคุณรดาจะเห็นชัดที่สุดตอนที่อยู่บนเวทีสมกับที่จบนาฏศิลป์มาโดยตรง ใครบ้างจะไม่หลงรักเธอเวลาเธออยู่ข้างบนนั้น ซึ่งผมไม่มีอะไรที่คู่ควรกับคุณรดาเลย อย่างพี่เหมอาจจะเหมาะสมกันมากกว่า”
   ม่านเมฆรู้ว่าคุณพอฤทัยนั้นถูกใจเขาและอยากได้มาเป็นหลานเขยเพียงใด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาถูกใจอะไรในตัวเขานักหนา จนบางทีก็อดรำคาญไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้เขาถูกคนในองค์กรแซวมาตลอด
   เขาไม่สนใจผู้หญิงคนไหน ไม่สิ อันที่จริงเขาไม่สนใจ ‘ความรัก’ ต่างหาก!
   ไม่สน ไม่อยากมีใคร คนอย่างเขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ ในสายตาของเขาความรักคืออารมณ์เพ้อเจ้ออย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราตัดสินใจผิดพลาด มันไม่มีผลดีในท้ายที่สุด...มันมีแต่ผลเสียมากกว่า
   “คุณเมฆนี่ชอบดูถูกตัวเองจัง ถึงคุณจะไม่ได้ดูดีเท่าคุณเหมันตร์ ป้าชอบนิสัยอย่างคุณมากกว่า คุณเหมันต์ดูเจ้าชู้เกินไป เดี๋ยวยายรดาของป้าก็ช้ำใจพอดี"
   ม่านเมฆแอบเบ้ปาก เขารู้ทันหรอกว่าคุณพอฤทัยหวังจะเอานิสัยหัวอ่อน ละเอียดรอบคอบและช่างจัดการของเขาดึงไปช่วยงานตัวเอง เพราะนายรัฐศาตร์หลานชายนั้นเป็นพวกเก่งแต่หาเงิน แถมปากดีขี้โอ่ จัดการบริหารอะไรก็เหลวเป๋วสิ้นดี ถ้าไม่มีคุณพอฤทัย ป่านนี้พวกตำรวจคงรวบตัวหมอนี่ได้นานแล้วไม่ต้องรอถึงมือพวกเขา!
   “ว่าแต่เมื่อไหร่คุณเมฆจะยอมคบกับยายรดาเสียทีล่ะคะ"
   “เรื่องนี้ขึ้นกับผมคนเดียวไม่ได้หรอกครับ คุณรดาไม่ได้ชอบผมเสียหน่อย"
   ชายหนุ่มตอบความจริง เขาไม่ได้โง่พอจะมองไม่ออกว่าถึงคนเป็นป้าจะปลื้ม...แต่หลานสาวไม่ได้ปลื้มด้วย เพราะนิรดานั้นทุกครั้งจะมองข้ามหัวเขาไปที่เหมันตร์ต่างหาก
   “สักวันยายรดาก็จะรู้ว่าใครคือคนที่เหมาะสมกับแกนะคะ”
   คุณพูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น พอดีกับที่การแสดงของนิรดาบนเวทีจบลง ส่งผลให้ม่านเมฆกวาดตามองไปรอบๆ ครั้งหนึ่งด้วยความร้อนใจ
   ทำไมป่านนี้เซลีนยังไม่โผล่ออกมา...ไหนว่าเวลาแค่นี้ก็พอแล้วไง!


หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บทที่ 2 [30.5.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 30-05-2018 22:42:35



            เซลีนค่อยๆ แอบย่องเข้าไปจนถึงห้องนอนของคุณพอฤทัยตามแผนผังของบ้านหลังนี้ที่จำได้ขึ้นใจจากการมองดูเพียงครั้งเดียวตามแผนการของม่านเมฆที่ประชุมกันเมื่อช่วงเช้าของเมื่อวานนี้ ก่อนจะทำแผนบุกเพื่อปิดคดีเจ้าแม่ยาเสพติดรายใหญ่อย่างคุณพอฤทัยในวันนี้
   หญิงสาวเลี้ยวขวา ค่อยๆ เดินตรงไปตามทางเดินอันเงียบสงัด จนกระทั่งถึงห้องสุดท้ายทางขวามือซึ่งเป็นเป้าหมาย
   ไม่นานหญิงสาวก็สะเดาะกุญแจแล้วเข้าไปในห้องนั้นได้ หนทางปลอดโปร่งเพราะฝีมือการเคลียร์ทางของม่านเมฆ เธอลองตรงดิ่งไปยังประตูตู้เสื้อผ้าเป็นที่แรก เปิดออกมากลับไม่เห็นอะไร จึงลองเคาะมือไปตามผนังหลังตู้ช้าๆ ก็พบว่ามีตรงช่วงหนึ่งที่ฟังดูโปร่ง ไม่ทึบเหมือนส่วนอื่น ไม่นานก็พบว่ามันมีช่องลับและสามารถเปิดออกได้
   เซลีนพบตู้เซฟตามที่ม่านเมฆบอก
   ทว่าสิ่งที่ม่านเมฆไม่บอกเธอ...รหัสเปิดเซฟของไอ้ตู้บ้านี่!
   “เมฆ!”
   หญิงสาวส่งเสียงกระซิบแผ่วเบา รู้ดีว่าอย่างไรประสิทธิภาพของเครื่องมือสื่อสารของม่านเมฆนั้น เสียงเบาแค่ไหนอีกฝ่ายก็ได้ยิน
   “อืม...” เสียงครางตอบจากอีกฝ่ายดังเบาๆ
   “รหัสตู้เซฟ" เซลีนเอ่ยสั้นๆ
   “อยู่ในมือถือ" อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับที่เครื่องมือสื่อสารของเธอสั่นเบาๆ เซลีนล้วงออกมาดูก็พบว่ามีชุดตัวเลขอยู่ตามนั้น ให้ทดลองใส่เพื่อปลดรหัสอยู่สองชุด
   หญิงสาวลองกดตามชุดแรกก่อน ปรากฏว่าถูกต้องจนอดที่จะทึ่งในตัวม่านเมฆไม่ได้ ต่อไปนี้เธอต้องระวังรักษาความลับกับม่านเมฆให้มากๆ เสียแล้ว หญิงสาวคิดในใจ ก่อนจะค่อยๆ เปิดเซฟออกม ในนั้นเธอเห็นแต่เพียงแฟลชไดรส์อันเล็กๆ เพียงหนึ่งอันเท่านั้น
   “มีแต่แฟลชไดรส์ เอาไง"
   “โทรศัพท์ที่ให้ไป คลำข้างๆ ดีๆ เธอจะเห็นว่ามันมีพอร์ตสำหรับเชื่อมต่ออยู่"
   เซลีนทำตาม พบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ มิน่าล่ะก่อนออกมาม่านเมฆถึงได้สั่งให้เธอเปลี่ยนเครื่อง ตอนแรกก็กะว่าจะโวยเพราะไอ้มือถือที่ให้มาใหม่มันก็หน้าตาเหมือนของเดิมเปี๊ยบ แต่จริงๆ ...ไอ้เจ้านี่ก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ของอีกฝ่ายเหมือนกันน่ะสิ
   เซลีนเอาแฟลชไดรส์อันนั้นต่อเข้ากับโทรศัพท์มือถือ ไม่นานมันก็ถ่ายโอนข้อมูลมาอย่างรวดเร็วเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่กี่วินาที
   “โอเคลีน ฉันได้รับข้อมูลทั้งหมดแล้ว ถอนตัวออกมาได้ อ้อ คราวนี้ระวังตัวด้วยนะ เมื่อกี้เห็นนายรัฐตามหาเธอด้วย"
   ถ้านิรดาอยากสานสัมพันธ์กับเหมันต์ รัฐศาสตร์ก็ถูกตาต้องใจความสวยของเซลีน เมื่อครู่เพิ่งได้ยินฝ่ายนั้นเข้ามาถามถึงเซลีน พอไม่เห็นก็ทำสีหน้าไม่พอใจ
   “ได้" เซลีนตอบเสร็จก็วางของลงที่เดิม พร้อมกับค่อยๆ ก้าวออกจากห้องคุณพอฤทัย เธอรีบก้าวกระโจนลงจากบันไดจนมาถึงขั้นสุดท้ายก็พบรัฐศาสตร์...ผู้ชายเจ้าสำอางหน้าตาดี แต่ซ่อนความชั่วอยู่ภายใต้ใบหน้าคมขาวของเขาเดินตรงเข้ามาหาพอดี
   เซลีนลอบถอนหายใจช้าๆ ถ้าคุณพอฤทัยตาบอดที่หลงชอบม่านเมฆ อีตานี่ก็สมองทึบที่คิดชอบคนอย่างเธอ
   แต่เอาเถอะ...เพื่อเป็นรางวัลแก่คนที่อีกไม่นานจะเข้าคุก เธอจะยอมทำดีกับเขาสักครั้ง หญิงสาวคิดแล้วเริ่มคลี่ยิ้มอ่อนหวานส่งให้รัฐศาสตร์ที่ตรงเข้ามาหา
   “สวัสดีค่ะคุณรัฐ...”
   เธอเอ่ยทักทายเขาเสียงหวาน แค่นั้นรัฐศาสตร์ก็ตกลงไปในบ่วงเสน่ห์ของเธอเหมือนหมาเจอเจ้าของในทันที

   ม่านเมฆคลี่ยิ้มตรงมุมปากด้วยความพึงพอใจ กวาดตามองคร่าวๆ เพียงแวบเดียวเพื่อเช็คความถูกต้องว่าไฟล์ที่เซลีนถ่ายโอนมาให้นั้นไปถึงระบบคลาวด์และบันทึกกับคอมพิวเตอร์เครื่องหลักของเขาอย่างครบถ้วน ส่งผลให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นราวๆ สามสิบเปอร์เซ็นเมื่อเห็นว่าภารกิจทุกอย่างเสร็จสิ้นตามแผนโดยไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยยาก
   กลับจากงานนี้เขาก็แค่ประชุมกับพวกพี่ๆ น้องๆ อีกที แล้วจัดการส่งหลักฐานที่รวบรวมทั้งหมดให้แก่ตำรวจไปจัดการเอาเอง โดยไม่ต้องถึงมือเหมันต์กับเซลีนออกไปกวาดล้างให้เสียหยาดเหงื่อแรงงานอีกต่อไป
   รวมถึงเขาก็ไม่ต้องมาออกภาคสนามเอาใจใครแบบนี้อีกด้วย!
   “งานทุกอย่างเรียบร้อยดีนะครับ"
   ม่านเมฆถามคุณพอฤทัยหลังจากอีกฝ่ายกลับมาหาเขาที่นั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่ส่งยิ้มเลยไปให้เซลีนที่มีรัฐศาสตร์เดินตามต้อยๆ พร้อมกับยิ้มเหมือนหมาโง่ๆ ที่แสดงท่าทีดีใจที่เซลีนยอมพูดคุยด้วย
   ม่านเมมฆยกมือขึ้นกระชับแว่นสายตากรอบดำของตนให้กระชับใบหน้า แล้วหันไปทางคุณพอฤทัยตามเดิม
   “จ้า...ทุกอย่างเรียบร้อยเหมือนเดิม ป้าพอใจมาก อีกสามเดือนจะเป็นงานวันเกิดตารัฐ คงต้องจ้างแอลออร์แกไนซ์มาช่วยจัดงานให้อีกเหมือนเดิม" คุณพอฤทัยชมอย่างออกนอกหน้า
   “ถ้าคุณพอฤทัยพอใจ ผมก็ดีใจ ขาดตกบกพร่องยังไง ผมก็ขอโทษด้วยครับ" ชายหนุ่มกล่าวทั้งๆ ที่ในใจอดคิดไม่ได้ว่า ลาขาดเถอะ...แค่อีกสามวันก็คงจะไม่ได้เจอกันอีกต่อไปแล้ว!
   ม่านเมฆมองไปรอบๆ งานที่เรียบร้อยดีทุกอย่างและแขกเหรื่อที่ยังคงพูดคุยกันอย่างมีความสุข เห็นเหมันต์เดินออกมาแล้วส่งสัญญาณว่าเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหันไปทางคุณพอฤทัยอีกครั้ง พร้อมกับขอตัว
   ม่านเมฆเหลียวหลังมองสองป้าหลานผู้ไม่รู้ว่าเครือข่ายยาเสพติดของตนเองกำลังจะถูกทลายราบลงในไม่ช้า แล้วอดโบกมือให้อย่างอารมณ์ดีไม่ได้...ถือเสียว่าเป็นยิ้มปลอบใจครั้งสุดท้ายแล้วกัน!

   คืนนั้นชายหนุ่มก็เสนอหลักฐานทุกอย่างในที่ประชุม และหลังจากนั้นไม่นานพันธิตก็จัดการส่งหลักฐานทั้งหมดให้แก่ต้นสังกัดของพวกเขา เป็นอันว่าเสร็จงานนี้...ม่านเมฆมีเวลาพักถึงสามวัน ชายหนุ่มหมายมาดในใจ นอกจากลุกขึ้นมากิน เขาจะขอนอนชดเชยที่ไม่ได้นอนเต็มอิ่มติดกันมาร่วมสองอาทิตย์นี้ให้ได้!
   พอเช้าวันต่อมา เหมันต์ยื่นแท็ปเลตส่งให้เมื่อเห็นเขาลอยออกมาจากห้องนอนของตนเองในสภาพสะลึมสลือเพื่อออกมาหาของกิน ชายหนุ่มกวาดตาดูก็เห็นว่าหน้าจอเป็นเว็บไซส์ข่าว หัวข่าวที่จั่วใหญ่ที่สุดเห็นจะเป็นข่าวสองป้าหลานผู้ใจบุญ โดนตำรวจจับคาโกดังขนส่งสินค้าผิดกฎหมายที่สอดแทรกยาเสพติด คุณพอฤทัยดูแก่ลงไปเป็นสิบๆ ปี
   ม่านเมฆเลื่อนอ่านเนื้อหาข่าวในระหว่างที่ปากก็คาบแผ่นขนมปังทาเนย เห็นว่าคุณพอฤทัยกับนายรัฐศาสตร์ท่าจะดิ้นไม่หลุด แถมเผลอๆ ผู้มีอิทธิพลและสารพัดสีที่หนุนหลังก็สะดุ้งกันเป็นแถบๆ เพราะโดนลากยาวกันไปหมด ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างสะใจก่อนที่จะเลื่อนแท็ปเล็ตส่งๆ ไปไม่สนใจข่าวนั้นอีกเลย
   เป็นอันว่างานที่กวนใจเขามายาวนานเสร็จสิ้นลงเสียที
   “ตอนเย็นมีประชุมนะเมฆ ตื่นด้วยล่ะ"
   “ทำไมอีกล่ะ”
   “พอดีมีงานด่วนอีกงานน่ะ ใกล้ปิดจ็อบพอดี หัวหน้าเลยสั่งให้นายเข้าประชุมด้วย" เหมันต์ตอบ
   "งานอะไรเหรอ" คิ้วเข้มเรียวยาวของม่านเมฆขมวดมุ่น
   “ไม่รู้สิ เข้าประชุมก็จะรู้เอง” อีกฝ่ายตอบพลางยักไหล่ ม่านเมฆเลยไม่ได้สนใจเขาอีกนอกจากของกินของตนเองเท่านั้น

 


TBC





แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/



หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บทที่ 2 [30.5.61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-05-2018 08:12:25
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บทที่ 2 [30.5.61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-05-2018 09:09:17
ตาม   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บทที่ 2 [30.5.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-06-2018 02:17:05
อ้าวว พระเอกตายหรอ :hao4:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บทที่ 3/1 [5.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 05-06-2018 10:03:25


ตอนที่ 3

Mars VS Dragon
[/b]



 

                งานใหม่ที่พันธิตพูดถึงคือการล่าเสี่ยใหญ่เจ้าของธุรกิจค้ามนุษย์ งานนี้ม่านเมฆไม่ได้เป็นหัวหน้าหรือต้องลงพื้นที่ปฏิบัติการ แผนการของพันธิตคือใช้แอลออร์แกไนซ์แทรกแซงในพื้นที่ที่เสี่ยใหญ่คนนั้นจะเข้ามา ม่านเมฆแค่สนับสนุนกรุยทางให้พวกเขาเข้าถึงตัวเสี่ยใหญ่คนนั้นก็เท่านั้น ทำให้วันนี้ม่านเมฆไม่ต้องออกไปกับคนอื่นๆ ที่จะต้องจัดงานอะไรไม่รู้ที่โรงแรมแกรนด์เซ็นทรัล ทว่าเขานั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วคอยควบคุมสั่งการอยู่ทางนั้นมากกว่า อีกอย่างแน่นอนว่างานของเขานั้นจะเริ่มอีกทีหลังงานเลี้ยงนี่เสร็จสิ้น แล้วกว่าจะถึงเวลานัดหมายก็ราวๆ ห้าทุ่มโน่น

                ตอนนี้เพิ่งจะเวลาสองทุ่ม ยังเหลืออีกสามชั่วโมงให้เขาต้องนั่งรอเงกเลยทีเดียว

                ไอ้ครั้นจะให้เจาะระบบรักษาความปลอดภัยของโรงแรมเล่น ก่อนหน้านั้นเพื่องานในวันนี้เขาก็เดินเล่นเสียจนปรุไปหมดแล้ว คิดว่าให้ถึงเวลาปฏิบัติงานจริงค่อยเข้าไปอีกทีดีกว่า แต่จะให้นอนตอนนี้ก็นอนไม่หลับแล้ว ม่านเมฆจึงตัดสินใจเบี่ยงเก้าอี้ไปทางขวามือ แล้วเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของตนเองขึ้นมา

                ไอ้จ๊าบ...คอมพิวเตอร์สุดที่รักของเขา ซึ่งอันที่จริงเขาย่อจากชื่อของมันคือจาวิส แน่นอนชื่อนี้ย่อมได้มาจากหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่เรื่องโปรด ถึงภายนอกจะเหมือนแล็ปท็อปธรรมดาๆ แต่คนที่ประกอบมันขึ้นมาอย่างเขา ย่อมรู้ดีว่าคอมพิวเตอร์ของตัวเองนั้นเจ๋งมากแค่ไหน

                นี่เป็นข้อเสียอีกอย่างหนึ่งของม่านเมฆ เขามักจะอดใจไม่ไหวที่จะต้องตั้งชื่อให้กับบรรดาของใช้สุดที่รักทั้งหลาย เหมันต์กับเซลีนเคยบอกว่าเขาเพี้ยนที่เห็นพวกคอมพิวเตอร์เป็นน้องเป็นนุ่งหรือเพื่อนสนิทเสียจนต้องตั้งชื่อให้ แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ...เขาชอบของเขาอย่างนี้เขาก็จะทำ

                นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำโดยไม่อาศัยหลักการของเหตุและผลก็เป็นได้

                เมื่อไอ้จ๊าบรันระบบปฏิบัติการขึ้นมาเสร็จสิ้น ม่านเมฆก็กดเปลี่ยนระบบปฏิบัติการที่เขาสร้างเอาไว้ใช้เอง ถึงเขาจะทำงานเป็นช่างเทคนิคขององค์กรแต่ใช่ว่าเขาจะเลิกทำงานแฮกเกอร์ ตอนนี้ไม่รับงานนอกแต่ก็ถือว่าเป็นงานอดิเรก ก่อนจะเปิดหน้าเว็บเบราเซอร์ขึ้นมาแล้วเริ่มต้นพิมพ์ชื่อเว็บที่เขาจำได้ขึ้นใจ

                ว่างๆ อย่างนี้...ไปทักทายมิตรสหายในโลกไซเบอร์ของเขาเสียหน่อยจะเป็นอย่างไรไป

                ม่านเมฆบิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มอย่างหมายมาด เขามีเวลาตั้งสามชั่วโมงในการที่จะเข้าไปทักทาย ‘เพื่อนรัก’ ไม่สิ อันที่จริงต้องบอกว่าเป็น ‘ศัตรู’ ที่รู้จักกันมานานกว่าสามเดือน!

๐๐๐๐๐

                สัญญาณจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดังขึ้นบ่งบอกว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในระบบทำให้คนที่กำลังนั่งอ่านเอกสารเงยหน้าขึ้นมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตนเอง เขาละสายตาจากงานจับฉ่ายอย่างพวกตรวจเอกสารประจำวันเหล่านั้นทันที ชายหนุ่มกระชับแว่นสายตาเปลือยกรอบของตนจนชิดกับดั้งจมูกโด่งตรงแล้วพรมนิ้วลงบนคียบอร์ดตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

                ระบบความปลอดภัยแจ้งเข้ามาว่ามีผู้จงใจบุกรุกเข้ามาในเซิร์ฟเวอร์ที่เขาดูแลอยู่ซึ่งน้อยคนนักที่จะเจาะเข้ามาถึงในส่วนนี้ได้ เพราะระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่นั้นขึ้นชื่อได้ว่าแข็งแกร่งมาแต่ไหนแต่ไร มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามา 'ล้วง' ข้อมูลไปจากที่นี่ได้

                สงสัยเป็นพวกอยากลองของ...

                เขาคิดในใจขณะที่พิมพ์คำสั่งสะกัดผู้บุกรุกจากนอกระบบอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่นานก็ค้นพบว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของผู้บุกรุกเลยแม้แต่น้อย

                เหงื่อเย็นๆ เริ่มผุดซึมขึ้นตามไรผมและสองข้างขมับของเขา ขณะที่ดวงหน้าเรียวเริ่มเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพบว่าตนเองไม่อาจต้านผู้บุกรุกอยู่เลย!

                ถ้าไอ้คนที่เข้ามาในระบบได้ข้อมูลที่อยู่ในเขตแดน 'ความลับ' กลับไป

                งานนี้เขาตายแน่!

๐๐๐๐๐

                ติ๊ด...

                เสียงของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดังเตือนขึ้นมาว่ากำลังมีผู้บุกรุก ทำให้อีธานต้องละสายตาจากรูปถ่ายในมือแล้วหันไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองแทน พลันคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อได้รับสัญญาณเตือนมาว่าขณะนี้กำลังมีผู้บุกรุกเข้ามาในระบบของเขา...ซึ่งในส่วนนี้คือส่วนที่เก็บรักษาความปลอดภัยสูงสุดเอาไว้!

                ชายหนุ่มเหยียดยิ้มมุมปาก ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความตื่นเต้นที่ถูกท้าทาย รู้ได้ทันทีว่าใครคือคนที่บุกรุกเข้ามาในระบบของเขานั้นเป็นคนที่เขาเฝ้ารอมาร่วมเดือนหลังจากการปะทะกันเมื่อหนึ่งเดือนก่อนระหว่างผู้บุกรุกระบบและผู้ป้องกันเช่นกัน

                'Mars' คือชื่อของแฮกเกอร์ฝีมือดีที่บุกเข้ามาในระบบการรักษาความปลอดภัยที่เขาดูแลอยู่ จนกระทั่งหลุดเข้ามาเขตแดนลับที่สุดที่เขาดูแลด้วยตนเองได้เมื่อหลายเดือนก่อนและยังคงวนเวียนเข้ามาอีกสองสามครั้ง และทุกครั้งก็มักจะสร้างความปั่นป่วนทิ้งเอาไว้ให้เสมอ แต่การปะทะกันเช่นนี้ก็ก่อให้เกิดมิตรภาพแบบแปลกๆ ระหว่างเขากับไอ้คนที่บุกรุกเข้ามา

                แต่ทว่า...ชายหนุ่มคิดมาถึงตรงนี้แล้วคลี่ยิ้มเหี้ยมเกรียม ขณะที่มือเริ่มพรมคีบอร์ดเพื่อคีย์ชุดคำสั่งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเริ่มตั้งหลักตอบโต้ด้วยโปรแกรมที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อจัดการไอ้มาร์ตัวแสบนี่โดยเฉพาะ!

                หลังจากที่โดนแหย่ด้วยการเดินเข้ามาป่วนในระบบหลายหน ทั้งนี้เขาหมายมาดในใจเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องจับตัวไอ้แฮกเกอร์คนนี้ให้ได้!

๐๐๐๐๐

                ม่านเมฆขยับแว่นตาที่เลื่อนตกลงไปอยู่ตรงปลายจมูกให้กระชับใบหน้าอีกครั้ง เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมตามไรผมทั้งๆ ที่อากาศภายในห้องทำงานที่อยู่ในดินของเขานั้นเย็นจัด ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นเมื่อรู้สึกว่าวันนี้ฝ่ายตรงข้ามดูจะแปลกไปกว่าทุกวัน เพราะแรกเริ่มฝ่ายดูเหมือนจะปล่อยให้เขาเจาะระบบเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในระหว่างที่กำลังสนุกและย่ามใจถึงฝีมืออ่อนด้อยของอีกฝ่ายที่โดนแหย่ไปหลายครั้งแล้วก็ยังป้องกันได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้คราวนี้เขาเข้ามาได้ถึงส่วนที่เป็นความลับสูงสุด ม่านเมฆเลยยังไม่ทันได้เอะใจเสียด้วยซ้ำว่ามีอะไรผิดปกติ เนื่องจากกำลังตื่นตาตื่นใจกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับมาจนไม่ทันได้เฉลียวใจ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าถึงส่วนลับที่สุดเช่นนี้ จึงได้รีบทำการถ่ายโอนข้อมูล จนกระทั่งเมื่อครู่ เขาถึงเพิ่งได้รู้สึกตัวว่าใน 'ข้อมูล' ที่ตัวเองกำลังดึงมานั้นมีอะไรบางอย่างแฝงมาด้วย!

                “โครงการท่าเรือทวาย...”

ชายหนุ่มอ่านหัวข้อนั้นเบาๆ แล้วทำท่าจะคลิกไฟล์นั้นเข้าไปอ่านรายละเอียดภายใน ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ไอ้จ๊าบของเขาก็ค้างไปราวๆ ห้าวินาทีก่อนจะใช้งานได้ปกติ ซึ่งทำให้เขารู้ตัวทันทีว่าตนเองประมาทเสียแล้ว และดูเหมือนว่าเธอจะโดนดีเพราะอีข้อมูลนี้นี่แหละ!

                ไฟวอลล์ของเขาเริ่มเตือนว่ากำลังมีผู้บุกรุก และการโจมตีนั้นก็รุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ม่านเมฆกัดริมฝีปากล่างของตนเองแน่น แล้วเริ่มเรียกโปรแกรมป้องกันที่เขียนเองขึ้นมาเพื่อโจมตีอีกฝ่ายกลับ พร้อมกับเริ่มถอนตัวเองออกจากระบบของฝ่ายโน้นมาเรื่อยๆ เขาเริ่มที่จะใช้ความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่เช่นเดียวกันเพราะฝ่ายนั้นที่หลายต่อหลายครั้งทำเหมือนอ่อนด้อยกว่าเขา หากคราวนี้กลับดูแข็งแกร่งราวกับเป็นคนละคน

                ไม่สิ...อันที่จริงต้องบอกว่าที่ผ่านมาฝ่ายนั้นออมมือพอๆ กับที่เขาออมมือนั่นแหละ!

                ม่านเมฆตัดสินใจถอนตัวออกมาเพราะตอนนี้ถือว่าคุ้มค่าแล้วกับการเข้าไปเดินเล่นในครั้งนี้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะบุกทะลวงปราการป้องกันของเขาเข้ามาจนถึงข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของเขาซึ่งในเครื่องนี้มีแต่เรื่องลับๆ ทั้งนั้น

                ม่านเมฆสะดุ้งสุดตัวในยามที่เริ่มถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว กลับพบว่าอีกฝ่ายคล้ายกับจะสร้างปราการกักตัวเขาเอาไว้ แต่โชคดีที่เขาหาช่องโหว่ออกมาจนได้ อีกฝ่ายคงหัวเสียน่าดูที่สุดท้ายเขาก็หลุดมือไป

                “เฮ้อ...เกือบไป"

ชายหนุ่มบ่นพึมพำเบาๆ ถอดแว่นวางไว้กับโต๊ะ ขณะที่ใช้มือเช็ดเหงื่อตามไรผมลวกๆ มองไอ้จ๊าบที่ดับลงแล้วจึงจัดการเปิดเครื่องใหม่อีกครั้งเพื่อประเมินความเสียหาย เขาพบว่าไอ้จ๊าบของเขาถูกไวรัสและการโจมตีจากอีกฝ่ายเสียหายไปราวๆ สี่สิบเปอร์เซ็น ซึ่งเป็นความเสียหายที่มากที่สุดนับตั้งแต่เขาเป็นแฮกเกอร์มา แต่แล้วก่อนจะจัดการดึงข้อมูลที่ตัวเองไปฉกมาได้ จู่ๆ หน้าจอของไอ้จ๊าบก็ดับวูบลง พร้อมกับข้อความที่สีตัวอักษรเป็นสีขาวตัดกับพื้นสีดำสนิท ทักทายเขาเป็นภาษาอังกฤษว่า

 

‘Nice to meet you ‘Mars’

Form Dragon'






TBC.



แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/




***ตอบคำถาม****
เรื่องนี้จบแบบ HE นะคะ
อย่าเพิ่งหวั่นไหวว่าพระเอกตายยยยย 5555555+
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / [UP 6.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 06-06-2018 21:07:30




‘Nice to meet you ‘Mars’

Form Dragon'

             

               “ดราก้อน...”

               ม่านเมฆพึมพำชื่อนั้นออกมาเบาๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่น เพราะชื่อนี้ไม่ค่อยคุ้นหูของเขาเท่าไหร่ในโลกของแฮกเกอร์ทั้งๆ ที่เขารู้จักคนมีฝีมือทุกคนและรู้จักดีเสียด้วยแม้จะไม่เคยเจอกันมาก่อนก็ตาม ทว่ากับดราก้อน...เขากลับจำไม่ได้เลย แล้วยิ่งฝีมือแบบนี้เขาจำต้องยอมรับว่าเกือบจะเหนือกว่าตนเองด้วยซ้ำ

               ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้ม่านเมฆสะดุ้งสุดตัว แล้วจึงรีบกดรับสายอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าเป็นเหมันต์โทร.มา

               “ว่าไงพี่เหม?”

               “แกทำอะไรอยู่เมฆ ฉันโทรหาไปก่อนหน้านั้นก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์”

               คำพูดรัวเร็วบวกกับน้ำเสียงร้อนรนนิดๆ ของเหมันต์ส่งผลให้ม่านเมฆยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองแรงๆ เมื่อครู่นี้เขาคงจะเอาแต่จดจ่อกับคอมพิวเตอร์มากเกินไปจนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เมื่อเหลือบตาไปดูนาฬิกาจึงพบว่านี่เหลือเวลาไม่ถึงห้านาทีที่จะต้องปฏิบัติการ ทว่าเขากลับยังไม่ติดต่อเพื่อบอกแผนขั้นต่อไปกับเหมันต์เสียที

               “ขอโทษทีพี่ พอดีติดธุระนิดหน่อยน่ะ” ม่านเมฆบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนอ่อยที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด แล้วก็ได้ยินเหมันต์ถอนหายใจยาวออกมา ก่อนจะตอบรับคำขอโทษนั้นเบาๆ

               จากนั้นสองหนุ่มจึงเริ่มเข้าสู่โหมดของการทำงานทันที ม่านเมฆเริ่มเจาะระบบรักษาความปลอดภัยของโรงแรมที่เหมันต์ไปรับงานจัดเลี้ยงอะไรสักงานในโรงแรมนั้นบังหน้า ส่วนเบื้องหลังนั้นคือการกำจัดพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่อย่างนายเกริกให้สิ้นซาก เนื่องจากเสี่ยใหญ่คนนี้เป็นผู้ทรงอิทธิพล คดีฆ่าตัดตอนอีกหลายคดีที่เกิดจากการสั่งลงมือของนายเกริก ทว่าเพราะอิทธิพลของพวกมีสีบางคนที่หนุนหลังเขาทำให้นายเกริกจึงหลุดออกมาจากเงื้อมมือกฎหมายได้ กระทั่งเมื่อวันก่อน พันธิตได้ให้ข้อมูลแก่เขามาเพื่อวิเคราะห์หาทางกำจัดนายเกริกเสียที ม่านเมฆจึงสนับสนุนความต้องการนี้ และเริ่มวางแผนจับกุมเสี่ยใหญ่รายนี้ที่ได้ยินว่าจะส่งมอบข้อมูลยาเสพติดล็อตใหญ่และเหมันต์ก็ต้องเป็นคนขโมยข้อมูลนั้นมาพร้อมกับหาทางจับกุมนายเกริกให้ได้!

               “เอาล่ะ เรียบร้อย" ม่านเมฆบอกกับปลายสายที่คงนิ่งรออย่างใจจดใจจ่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่มักจะใช้เมื่ออยู่ในเวลาทำงาน "เริ่มงานของพี่ได้เลย จำเอาไว้ว่าพี่มีเวลาเพียงสิบห้านาทีในการจับนายเกรินนั่นก่อนคนของมันจะเข้ามาได้ แล้วรีบออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด ก่อนที่พนักงานที่นั่นจะแก้ระบบกล้องวงจรปิดได้"

               “อืม...”

               ปลายสายรับคำอย่างแผ่วเบาแล้วไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก

               ม่านเมฆเหลือบตามองดูนาฬิกาอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจยาวพลางเริ่มนับเวลาถอยหลังเพื่อรอเวลาเสร็จสิ้นภารกิจ แต่ในระหว่างนั้นเองที่เขาก็อดเหลือบไปมองไอ้จ๊าบที่วางข้างๆ กันไม่ได้

               ดราก้อน... ชายหนุ่มพึมพำชื่อนี้ในใจ

            คือใครกัน...

๐๐๐

               ในขณะเดียวกัน

               ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาเรียวคมกริบจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตนเองด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความพึงพอใจ ปลายนิ้วชี้ไล้ริมฝีปากหยักลึกของตนเองแผ่วเบาด้วยท่าทีครุ่นคิด เมื่อสายตาเห็นที่หมายที่วิเคราะห์ออกมาได้แล้วว่าผู้ที่เล็ดลอดหนีไปจากเงื้อมมือของเขาได้ทั้งๆ ที่เขาล้อมจับอย่างสุดความสามารถนั้นขณะนี้ที่อยู่ของอีกฝ่ายเป็นที่ใด

               “ประเทศไทย...”

               อีธานพึมพำชื่อประเทศปลายทางของอีกฝ่ายที่เขาสามารถดักจับจากหมายเลขไอพีแอดเดรสออกมาได้ ถึงจะไม่ได้ทั้งหมดจนถึงกระทั่งรู้ว่าฝ่ายนั้นอยู่พิกัดไหนแน่ๆ แต่นี่ก็มากพอแล้วสำหรับข้อมูลที่ได้

               ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเหี้ยมเกรียม ไม่นานหรอกเขาก็จะได้รู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นใคร...แถมยังหาญกล้าเจาะเอาข้อมูลบางส่วนในฐานแฟ้มลับของเขาออกไปได้ เอาเถอะ... บางทีข้อมูลบางส่วนที่เสียไปที่จงใจใช้เป็นเหยื่อยล่อก็อาจจะทำให้เขาได้อะไรตอบแทนกลับมาก็เป็นได้!

               แต่คงต้องรอดูว่า...เมื่อไหร่ฝ่ายนั้นจะรู้ตัวว่าข้อมูลที่ได้ไปนั้นอาจจะไม่ได้เป็นประโยชน์...ทว่ากำลังกลายเป็นยาพิษที่เขาจงใจส่งไปให้ก็เป็นได้!

๐๐๐๐๐

               วันต่อมา

               “เมื่อคืนนี้แกทำอะไรกันแน่น่ะเมฆ ทำไมถึง...” เหมันต์ไม่พูดอะไร นอกจากยักไหล่เบาๆ ขณะที่เซลีนหันมามองด้วยความสนใจกับความผิดปกติของม่านเมฆเช่นเดียวกัน

               “ก็...” คนที่เพิ่งเคยทำผิดครั้งแรกได้แต่ยกมือขึ้นเกาศีรษะ ส่งผลให้ผมที่เริ่มยาวระต้นคอดูยุ่งมากกว่าเดิม “พอดีว่ามัวแต่ยุ่งกับธุระนิดหน่อยน่ะ ยังไงฉันขอโทษก็แล้วกันนะ" เขาเอ่ยขอโทษออกมาอย่างง่ายๆ และไม่คิดจะอธิบายอะไรต่อเพราะรู้ว่ายังไงสองคนนี้ก็คงจะไม่เข้าใจเท่าไหร่

               และทันทีที่เซลีนได้ยินคำขอโทษที่หลุดออกมาจากปากม่านเมฆ หญิงสาวก็จิกตาดุใส่คนอายุมากกว่าแล้วโพล่งขึ้นมาด้วยความไม่พอใจทันที “คิดว่าแค่คำขอโทษของนายมันจะฟังขึ้นงั้นเหรอเมฆ รู้ไหมว่าเมื่อวานนี้งานเกือบล่มเพราะนายติดธุระ! ทั้งๆ ที่นายก็รู้อยู่แล้วว่าเมื่อวานนี้มีงานสำคัญ นายเป็นคนสั่งงานนี้เอง แต่นายกลับ...”

               “ลีน!”

               เหมันต์เรียกชื่อเซลีนเสียงหนัก ใบหน้าหล่อเหลานั้นหันไปมองคนพูดเขม็ง แล้วนิ่วหน้าเป็นเชิงปรามไม่ให้อีกฝ่ายพูดอะไรออกมา

               ทว่าเซลีนหรือจะฟัง “เมฆควรจะได้รู้ตัวสักทีว่าทำผิด พี่ไม่ควรเข้าข้างคนผิดนะเหมันต์" หญิงสาวค้านเสียงเขียวด้วยความไม่พอใจ "ทั้งๆ ที่เมื่อวานนี้พี่อาจจะตายได้"

               “เอาเถอะๆ แต่งานมันก็สำเร็จ แล้วฉันก็รอด" เหมันต์เอ่ยด้วยท่าทีอลุ่มอล่วย

               เห็นเหมันต์ช่วยตนเองอย่างนั้น ม่านเมฆก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิด “ฉันผิดเองจริงๆ ฉันขอโทษ"

               “นายหายไปทำอะไรกันแน่น่ะเมฆ”

               เซลีนเอ่ยถามเสียงเขียว กอดอกแน่น ท่าทีของเจ้าหล่อนคล้ายกับผู้คุมที่กำลังสอบสวนนักโทษอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่เหมันต์เห็นอย่างนั้นก็ยกมือหมายจะห้ามปราม ทว่าม่านเมฆกลับโบกมือไปมาพร้อมกับพูดว่า

“ไม่เป็นไรพี่เหม ให้ลีนถามเถอะ...” พูดจบเขาก็หันไปทางเซลีน ก่อนจะตอบคำถามของอีกฝ่ายว่า "ฉันแฮกเข้าไปในระบบของพวกเฉินซีน่ะ" ชายหนุ่มตอบคำถามตรงๆ และเฉินซีที่เขาพูดถึงก็คือกลุ่มมาเฟียที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแถบเอเชียในเวลานี้ เนื่องจากเฉินซีเป็นหนึ่งในพวกไตรแอด ซึ่งเป็นการรวมตัวของสามตระกูลมาเฟียของฮ่องกง เซี่ยงไฮ้และไต้หวัน “พอดีก่อนหน้าจะเริ่มงานของฉันประมาทเองที่เห็นว่าเวลามันเหลือเยอะ เลยเข้าไปดูอะไรๆ ฆ่าเวลาจนเพลินไปหน่อย" ม่านเมฆอธิบายความจริงสั้นๆ ไม่คิดจะบอกว่าจริงๆ เขาถูกกักอยู่ในระบบจนเกือบจะออกมาไม่ได้ และเขาก็ไม่คิดจะหาทางออกง่ายๆ ด้วยการทำแค่ปิดปลั๊กหรือตัดการเชื่อมต่ออินเตอร์เนต เพราะนั่นเป็นการเสียศักดิ์ศรีอย่างที่สุดที่จะทำเช่นนั้น!

               “หึ"

               พอได้ฟังคำตอบของม่านเมฆแล้ว เซลีนที่กอดอกเชิดหน้าอยู่ก็ไม่ว่าอะไรออกมา ทว่าบรรยากาศเคร่งเครียดก็ยังไม่จางหายไปจากรอบๆ ตัวของทั้งสามคน

               “เอาน่า...เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วน่ะลีน” เหมันต์เริ่มไกล่เกลี่ย "ยังไงก็ถือว่าเมฆทำงานอยู่เหมือนกัน ไม่ได้เอาเวลาไปทิ้งเล่นๆ อีกอย่างงานเมื่อคืนก็ใช่ว่าเมฆจะเข้ามาสั่งการไม่ทันเสียหน่อย"

               เซลีนไม่ตอบอะไร ทว่าดวงหน้าสวยจัดก็ยังคงแสดงสีหน้าบึ้งตึงและท่าทีปั้นปึ่งตามประสาคนใจร้อนและเอาแต่ใจตัวเอง ยิ่งตอนนี้ม่านเมฆเป็นคนผิด ทว่าเหมันต์กลับทำเหมือนเข้าข้างอีกฝ่ายเสียอย่างนั้นจึงทำให้เซลีนออกจะไม่พอใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

               “มีอะไรกัน...?”

               พันธิตที่เดินเข้ามาภายในห้องครัวแล้วเห็นทั้งสามชุมนุมกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่เช้าก็อดถามขึ้นมาไม่ได้

               “ไม่มีอะไรครับหัวหน้า" เหมันต์เป็นคนตอบ ขณะที่เซลีนก็ได้แค่แค่นเสียงหึในลำคอออกมาครั้งหนึ่งแล้วไม่พูดอะไร ส่วนม่านเมฆก็ได้แต่นั่งซึมกะทือเพราะความง่วงอยู่ตรงข้ามกับเซลีนนั่นแหละ

               พันธิตกวาดตาดูลูกน้องใต้อาณัติ ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็รู้จักดีมาตั้งแต่ยังเล็กด้วยกันทั้งนั้น ก็รู้อยู่หรอกว่ามีอะไรผิดปกติแต่ก็ขี้เกียจซักไซ้ไล่เรียง จึงเลือกที่จะปล่อยผ่านไปเพราะถ้าเรื่องมันหนักหนาจริงๆ ทั้งสามคนก็ย่อมต้องรายงานแก่เขาอยู่แล้ว

               “งั้นก็แล้วไป" พันธิตเอ่ยขึ้น แล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง "เย็นนี้ไม่มีธุระอะไรกันใช่ไหม ผมจะขอประชุมหน่อย"

               “ประชุมเรื่องอะไรเหรอคะ?”

               เซลีนถามขึ้นอย่างสงสัย

               “งานใหม่น่ะ ข้างบนท่านสั่งให้เราเริ่มจับตาดูอย่างใกล้ชิด ยังไงค่อยคุยรายละเอียดกันตอนเย็นอีกที" พันธิตตอบคำถามของเซลีน ก่อนจะหันไปทางม่านเมฆ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าง่วงซึม ทว่ากลับเป็นคนเดียวที่ไม่มีท่าทีแปลกใจอะไรเนื่องจากม่านเมฆรู้ล่วงหน้าจากที่เขาบอกไปก่อนอยู่แล้ว "ว่าแต่เมฆเถอะ ท่าทางแบบนั้นนอนไม่พอหรือยังไง วันนี้เราไม่มีงานหรือธุระอะไรใช่ไหม?” ม่านเมฆปรือตามองพันธิตก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ ผู้สูงวัยกว่าจึงเอ่ยต่อไปว่า "งั้นก็ไปนอนพักซะ อย่าเอาเวลาไปทำพวกของเล่นของเราล่ะ"

               “ครับ...” ม่านเมฆรับคำพลางหาวหวอดอีกครั้ง

               “ผมไปธุระแล้ว เจอกันตอนเย็น”

               พันธิตพูดจบก็เดินจากไป ส่งผลให้เซลีนที่นั่งหน้าตูมเพราะหัวหน้าที่เธอเคารพรักเขาไม่ต่างจากบิดาไม่ค่อยสนใจอะไรตัวเองนัก เธอหันไปทางม่านเมฆ คิ้วเรียวสวยของแม่สาวเจ้าอารมณ์ขมวดมุ่นจนหัวคิ้วแทบจะชนกันในตอนที่จ้องม่านเมฆด้วยสายตาคาดคั้นเอาคำตอบ พร้อมกับคำถามที่เอ่ยถามว่า "นายรู้เรื่องประชุมเย็นนี้ใช่ไหมเมฆ"

               “อือ...” ม่านเมฆตอบรับเสียงยานคาง เขารู้มาได้สองสามเดือนแล้วเพราะช่วงนี้เขากำลังรวบรวมข้อมูลของเป้าหมายอยู่

               “งั้นบอกมาตอนนี้ก่อนเลยว่ามันเรื่องอะไรกัน"

               “ลีน...” เหมันต์ปรามเมื่อเห็นว่าเซลีนทำไม่ถูกที่คาดคั้นจะเอาคำตอบจากสิ่งที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะได้รับรู้จากม่านเมฆ

               คนง่วงตวัดตาจ้องมองกับเซลีนเขม็ง  "เดี๋ยวตอนเย็นก็รู้เอง"

               “เมฆ!”

               “ฉันง่วงแล้ว ขอไปนอนก่อน เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนเลย" พูดจบม่านเมฆก็ขยับเดินหนีจากห้องโต๊ะกินข้าวในห้องครัว ซึ่งเป็นที่ชุมนุมในยามเช้าของคนในองค์กรออกไปเป็นคนแรก ทิ้งให้เซลีนได้แต่นั่งขัดใจโดยมีเหมันต์ที่พยายามจะปลอบให้หญิงสาวคนเดียวใจเย็นๆ อย่าโมโหเพื่อนสนิทของตนเองเลย







To be Continuous......





 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/


หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 9.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 09-06-2018 09:32:11




ตึกสำนักงานใหญ่เครือเฉินซี  เขตปกครองพิเศษฮ่องกง

 

                เสียงฝีเท้าที่ดังก้องไปทั่วทางเดินซึ่งปูพื้นด้วยหินอ่อนสีดำสนิทส่งผลให้คนที่นั่งประจำอยู่หน้าห้องเงยหน้าขึ้นมา แล้วก็ต้องผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเป็นการทำความเคารพผู้เป็นเจ้านายซึ่งเพิ่งมาถึงที่ทำงานในช่วงเช้าเช่นนี้

                “นั่งลงเถอะเลขาเกา” ชายหนุ่มผู้มาใหม่เอ่ยกับหญิงสาวที่จ้องมองเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

                “ค่ะ” เจสสิก้า เการับคำแผ่วเบา ก่อนจะทรุดลงนั่งในจังหวะเดียวกับที่ผู้เป็นเจ้านายผลักประตูห้องทำงานของตัวเองออกกว้างแล้วจึงเดินเข้าไปภายในห้องนั้น

                เจสสิก้าหันไปมองบานประตูไม้ที่ปิดสนิทลงด้วยสายตาโล่งใจ วันนี้พายุไม่ถล่มตึกเฉินซี ถือว่าเป็นโชคดีของเธอและเหล่าพนักงานกว่าหนึ่งพันชีวิตภายในตึกนี้!

                เจสสิก้าทำงานเป็นเลขานุการให้กับอีกฝ่ายตั้งแต่สมัยที่เขาเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งบริหารต่อจากผู้เป็นบิดาใหม่ๆ ถ้าเทียบกับเชสที่อีกฝ่ายเป็นมือขวา เธอก็คือมือซ้ายที่คอยประสานงานภายในบริษัทในเครือเฉินซีแห่งนี้ให้แก่ผู้เป็นเจ้านาย...อีธาน เฉิน

                พญามังกรแห่งตระกูลเฉิน...

                ทว่ากลับเป็นมังกรที่ไร้หัวใจเพราะการสูญเสียอันยิ่งใหญ่เมื่อห้าปีก่อน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นพลิกชีวิตของอีกฝ่ายให้ดำดิ่งลงไปยิ่งกว่าเดิม ทุกวันนี้เธอเห็นเพียงเครื่องจักรประสิทธิภาพสูงเท่านั้นที่เข้ามาทำงานที่นี่ การสูญเสียภรรยาและลูกที่อยู่ในครรภ์ด้วยอุบัติเหตุของเขานั้นดังไปทั่วเกาะฮ่องกง ส่งผลให้นับตั้งแต่วันนั้นอีธาน เฉินที่ว่าเย็นชาแล้วทุกวันนี้เทียบกันแล้วจะเห็นว่าเขาในอดีตกลายเป็นคนใจดีไปเลย!

                “เดี๋ยวขอเอกสารของโครงการใหม่ของเราด้วยนะเลขาเกา”

                เสียงจากอินเตอร์คอมที่ดังขึ้นส่งผลให้เจสสิก้ารีบตอบรับอย่างรวดเร็ว

                “ค่ะ” เลขาสาวใหญ่เอ่ยเสร็จก็รีบจัดการค้นแฟ้มงานชิ้นใหญ่นั้นขึ้นมาเพื่อจัดเตรียมนำเสนอให้แก่ผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว

                'โครงการท่าเรือทวาย' เป็นโครงการที่เฉินซีกำลังให้ความสนใจและเริ่มวิเคราะห์แนวโน้มการลงทุน ซึ่งท่าเรือนี้อยู่ระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า ที่จะมีแนวโน้มได้เปิดใช้เส้นทางการขนส่งนั้นหลังจากการรวมกลุ่มอาเซียนของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...โครงการที่ทางเฉินซีกำลังให้ความสนใจเพราะต้องการเข้าไปขายระบบการจัดการและเปิดบริษัทขนส่งสินค้าในเครือเฉินซีอีกแห่งที่ประเทศไทย หลังจากที่พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจขนส่งสินค้าจนกลายเป็นบริษัทติดอันดับในเอเชียและระดับโลกมาแล้ว

๐๐๐๐๐

                อีธาน เฉินเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงกระจกบานกว้างยาวจรดพื้น เบื้องหน้าคือภาพของฝั่งเกาลูนซึ่งถูกกั้นกลางด้วยอ่าววิกตอเรีย

                ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสูทแบรนด์ดังระดับโลกขนาดพอดีตัว ขับเน้นให้รูปร่างของเขาดูสง่างามน่าเกรงขามกำลังยืนเอามือไพล่หลัง ท่ายืนกางขานิดๆ นั้นบ่งบอกว่าเขาเป็นคนมั่นคงและหนักแน่น ดวงตาคมกริบสีนิลที่มักจะฉายประกายความเย็นชามองทอดตรงไปเบื้องหน้าราวกับไร้จุดมุ่งหมาย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางหยักลึกที่มักจะเม้มแน่นไม่ก็คลี่ยิ้มหยันให้กับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ใบหน้าของเขาดูงดงามเหมาะเจาะกันราวกับสวรรค์บรรจงสร้าง รูปลักษณ์ภายนอกบวกกับเงินตราทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาหาเขาเสมอไม่ขาดสายโดยเฉพาะผู้หญิง หากทว่าสำหรับอีธาน เฉินแล้ว...คงไม่มีวันที่เขาจะรักใครได้อีก

                เพราะหัวใจของเขา...ตายจากไปนานแล้ว

                มือที่ไพล่หลังกำเป็นหมัดแน่นเมื่อเผลอคิดถึงอดีต บาดแผลนั้นแม้จะแห้ง หากไม่เคยหายสนิท ทุกค่ำคืนของเขาคือฝันร้ายที่ยากจะทำให้หลับตาลง ไฟแค้นในหัวใจยังรอการชำระสะสางและนับวันก็จะยิ่งโหมกระหน่ำให้เขารู้สึกทุรนทุรายหากไม่ได้ชำระแค้นนั้น

                ทุกวันนี้เขาใช้ชีวิตเหมือนเครื่องจักร เป็นคนไร้หัวใจที่ใครๆ ต่างก็เกรงกลัว เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองว่าเขาเป็นเช่นไร ขอเพียงแค่เขาแก้แค้นได้...ขอแค่แก้แค้น ต่อให้เขาเป็นคนเลวที่ทั้งโลกชิงชังเขาก็ทำได้...หากมันทำให้เขาก้าวขึ้นไปสู่จุดมุ่งหมายของตนเองได้!

                เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้อีธานหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตนเอง เขาหันไปทางต้นเสียงก็เห็นว่าร่างของเลขาเกาเดินเข้ามาภายในห้อง เจ้าหล่อนเอาเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของเขาพร้อมกับรายงานเสียงแผ่วเบาว่า

“เอกสารได้แล้วนะคะท่าน”

                “ขอบคุณ”

                ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ขณะที่เลขาฯ เกาก้มศีรษะลงน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านายออกไป

                อีธานเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง ฉวยหยิบเอาแฟ้มเอกสารเกี่ยวกับโครงการท่าเรือทวายขึ้นมาดูพลางทรุดลงนั่งบนเก้าอี้หนังตัวใหญ่ ปลายนิ้วแข็งแรงกรีดเอกสารที่เขาจำมันได้ขึ้นใจ...และจงใจปล่อยไปให้ใครบางคนได้ไปเมื่อคืนนี้แล้วคลี่ยิ้มเหี้ยมออกมา

                อันที่จริงโครงการนี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาเท่ากับผู้เป็น 'นายเหนือ' ของไตรแอดเพราะอีกฝ่ายเล็งเส้นทางการขนส่งยาเสพติดมากกว่าจะสนใจในเส้นทางการขนส่งสินค้าจากเฉินซีที่เป็นฉากหน้าขององค์กร

                อีธาน เฉิน...หัวหน้าแก๊งเฉินซี ขณะนี้กำลังดำรงตำแหน่งประธานบริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่ติดอันดับโลก เขาคือตัวร้ายที่เหล่าตำรวจเริ่มหมายหัวในฐานะราชายาเสพติดซึ่งเป็นฉายาที่เหล่า OCTB ตั้งให้แก่เขา พวกนั้นเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาขนส่งยาเสพติดให้แก่ไตรแอดทว่าก็ทำอะไรเขาไม่ได้เนื่องจากขาดหลักฐาน

                ซึ่งจริงๆ แล้วฉายานี้ควรจะเป็นของ 'เศียรมังกร' อย่าง 'วิลด์เฟรด ชาง' หากแต่อีกฝ่ายกลับซ่อนตัวเองอย่างลึกลับ ถึงขนาดที่เขาเองก็ยังไม่เคยพบหน้า ทว่าด้วยความที่วิลด์เฟรดเป็นหัวหน้า เขาจึงได้แต่ทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายด้วยการเป็นตัวล่อพวก OCTB เพื่อล่อให้พวกนั้นเข้ามุ่งความสนใจมาที่เขา ขณะที่การทำงานส่วนอื่นๆ นั้นกลับเป็นความลับยิ่ง ทำให้พวกตำรวจจนทุกวันนี้ก็ยังไล่ตามจับเขาไม่ได้ก็เพราะอย่างนี้แหละ

                บางครั้งบางคราอีธานก็ยอมรับว่าเขาสนุกกับเกมไล่จับหนูแบบนี้ มันทำให้ชีวิตของเขาไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก แต่อย่างว่าแหละว่านั่นก็เป็นสิ่งที่ทำแก้เบื่อเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้คนพวกนั้นเข้ามาล้วงคอเขาได้

                กระทั่งเมื่อราวสามเดือนก่อน...

                ระบบของไตรแอดถูกรุกรานอยู่หลายต่อหลายครั้ง แฮกเกอร์นั่นเข้ามาสอดแนมในระบบที่เขาเป็นคนควบคุม โดยเจาะมาทางบริษัทเฉินซีก่อน ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะพบว่ามันมีจุดเล็กๆ ที่ เชื่อมต่อโครงข่ายข้อมูลของเฉินซีกับไตรแอดเข้าด้วยกัน 'มัน' เป็นคนแรกและคนเดียวที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ถึงสองครั้งสองครา แม้ในยามที่เขากำลังเอาจริง แม้จะไม่ทั้งหมดแต่เขาก็ต้องยอมรับฝีมือว่าอีกฝ่ายคือ 'ของจริง'

                ทว่าครั้งล่าสุดเมื่อคืนนี้...หึ!

                ชายหนุ่มส่งเสียงหยันในลำคอเบาๆ ปิดแฟ้มที่เปิดดูเพียงหน้าแรกลงฉับ โยนส่งๆ ไปบนโต๊ะจนมันไถลไปอยู่กลางโต๊ะแล้วจึงหยุดนิ่ง เมื่อคืนนี้เป็นครั้งที่สามที่ได้ปะทะกัน และเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังประมาทกับ 'ยาพิษ' ที่เขาเคลือบแฝงและจงใจส่งไปให้

                โปรเจกต์ท่าเรือน้ำลึกระหว่างไทย-พม่า...ท่าเรือน้ำลึกทวาย

                'โปรเจกต์ลับเส้นทางใหม่ของการขนส่งยาเสพติดของไตรแอด' นั่นคือแฟ้มข้อมูลลับที่เขาเป็นผู้เก็บดูแล และวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียให้แก่เศียรมังกร เนื่องจากโรงงานผลิตยาเสพติดขององค์กรนั้นฐานอยู่ที่ชายแดนพม่า-ไทย ซึ่งตั้งอยู่ในป่าลึก และหากขยายอำนาจฐานการขนส่งจากที่นั่นได้ โอกาสที่ไตรแอดจะเล็ดลอดส่งยา อาวุธ และของเถื่อนอย่างอื่นออกขายก็จะทำได้ง่ายเช่นเดียวกัน...

                และนั่น...เป็นข้อมูลลับที่เขาแกล้งปล่อย เพื่อเป็นเหยื่อล่อตามหาตัวแฮกเกอร์ปริศนาที่กล้าเข้ามาล้วงคองูเห่าคนนั้น และเขาจะต้องได้ตัวมันมาให้ได้!

                “ทำไมนั่งยิ้มน่ากลัวอย่างนั้นล่ะครับ"

                เชสที่ตามเข้ามาทีหลังเอ่ยทักผู้เป็นเจ้านายขึ้น หลังจากที่อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่งราวกับไม่รู้ตัวว่าเขาได้ก้าวเข้ามาในห้องนี้

                อีธานปรายตามองมือขวาคนสนิทของตนเอง ก่อนจะกระตุกยิ้มเหี้ยมออกมาอีกครั้ง ความลิงโลดที่จะได้ทำตามแผนการที่เคยวางเอาไว้อย่างยาวนานส่งผลให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นจนยากที่จะระงับ

                แฮกเกอร์คนนั้น...คือกุญแจสำคัญที่เขาจะต้องตามจับมาให้ได้...

                “เราคงต้องเดินทางแล้วล่ะเชส...” นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้ว อีธานกลับพูดไปคนละเรื่องเสียอย่างนั้น และเชสก็ไม่ได้ติดใจอะไร เนื่องจากเขาตามทันเจ้านายที่มักจะคิดอะไรอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่ค่อยพูดเท่าไหร่นักอยู่แล้ว

                “คราวนี้ไปที่ไหนครับ” มือขวาหนุ่มถามพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง แล้วทรุดลงนั่งตรงข้ามผู้เป็นเจ้านายเอาแต่ยิ้มกริ่ม ประกายตาคมกริบคู่นั้นมีแววเต้นระริกด้วยความตื่นเต้น มีชีวิตชีวา ที่น้อยครั้งที่เขาจะได้เห็นเช่นนี้

                “ประเทศไทยน่ะ...”

                คำตอบนั้นทำให้เชสได้แต่เอียงคอน้อยๆ มองอีกฝ่ายอย่างสงสัย แต่กลับไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกมาจากปากของอีธานเลยแม้แต่น้อย...

                มือขวาหนุ่มถอนหายใจยาว...เอาเถอะ เดี๋ยวสักพักเขาก็จะรู้เรื่องนี้เองนั่นแหละ!








To be Continuous......





 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/




หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 9.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-06-2018 00:06:35
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 9.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 10-06-2018 02:51:15
 :hao3: เนื้อเรื่องน่าสนุก เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 12.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 12-06-2018 09:08:16




ตอนที่ 4

ภารกิจใหม่
[/b]

 

ณ ห้องประชุมลับชั้นใต้ดิน

 

                เสียงประตูที่เปิดขึ้นแล้วเรียกความสนใจของคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้านั้นให้หันไปยังต้นเสียง ก็เห็นว่าเป็นพันธิตที่เดินเข้ามาด้วยอาการเร่งร้อนเนื่องจากว่าเขามาสายกว่าเวลานัดไว้ราวๆ ห้านาทีเห็นจะได้ ดวงตาแจ่มใสผิดกับใบหน้าคร้ามแดดและมีร่องรอยเหี่ยวย่นตามวัยและเวลากวาดมองผู้ร่วมประชุม ก่อนจะหยุดที่เหมันต์ขณะที่ไปหยุดยืนอยู่ตรงตำแหน่งหัวโต๊ะที่อยู่ตรงข้ามกับเขา ซึ่งเป็นตำแหน่งของหัวหน้าภาคสนามในเวลานี้ และเป็นรองแค่เพียงเขาเท่านั้นในเวลานี้

                “มากันครบนะ"

                พันธิตเอ่ยถาม เพราะว่าในการประชุมครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เหมันต์ ม่านเมฆ และเซลีนอีกต่อไป เนื่องจากตอนนี้ฐานลับใต้ดินได้มีคนขององค์กรอีกราวๆ สิบคนกำลังนั่งประจำโต๊ะประชุมจนครบทุกตัว ทุกคนในองค์กรล้วนแล้วแต่เป็นสายลับและนักฆ่าฝีมือดีที่แฝงตัวไปทำภารกิจต่างๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย หากแต่มีเพียงสามคนนี้เท่านั้นที่อยู่ประจำในบ้านหลังนี้ เนื่องจากใช้เป็นฉากหน้าเปิดบริษัทแอลออร์แกไนเซอร์และที่พักอาศัย ขณะที่คนอื่นๆ นั้นแฝงตัวเองกับอาชีพต่างๆ ส่งผลให้องค์กรของเขามีสายข่าวกว้างขวางเพราะเหตุนี้

                และต้องมีเพียงงานสำคัญเท่านั้น ที่พันธิตหัวหน้าองค์กรจะเรียกบุคคลสำคัญเหล่านี้ให้เข้ามาประชุมพร้อมกันได้!

                “ดีใจที่ได้เจอทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง" พันธิตเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ในตำแหน่งประธาน "นานแล้วที่พวกเราต่างแยกย้ายกันไปทำงานไม่ได้รวมตัวกันอย่างนี้"

                “ไอ้ดีใจมันก็ดีใจอยู่นะครับหัวหน้า...” ชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาจนอาจจะเรียกได้ว่างดงามที่นั่งอยู่สุดปลายโต๊ะทางด้านขวามือของพันธิตเอ่ยขึ้น เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกองค์กรที่เป็นสายลับอยู่ในแวดวงบันเทิง คอยส่งข่าวเกี่ยวกับเคสของการขายบริการทางเพศเป็นหลัก ชายหนุ่มส่งยิ้มงดงามที่แม้แต่เหมันตร์ที่เป็นคนหล่อชนิดหาตัวจับได้ยากยังดูไม่มีเสน่ห์เท่าให้แก่พันธิต “แต่เมื่อไหร่ที่หัวหน้าเรียกพวกเรารวมกันครบแบบนี้ ไม่ใช่งานใหญ่มากๆ ก็เป็นเรื่องไม่ดีสุดๆ "

                คำพูดของเขาเรียกรอยยิ้มจากหลายๆ คนบนโต๊ะได้ กระทั่งพันธิตเองก็ยังอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

                “ไคลน์พูดถูก ผมมีเรื่องใหญ่ให้พวกเราช่วยกันทำจริงๆ นั่นแหละ" หัวหน้าองค์กรยอมรับออกมาในที่สุด “ซึ่ง...งานนี้ใหญ่มากจริงๆ เพราะพวก OCTB ได้ทำเรื่องขอร้องมายังรัฐบาลในการช่วยจับกุมและไล่ล่าผู้ชายคนนี้...”

                พูดจบพันธิตก็พยักหน้าให้กับม่านเมฆ ชายหนุ่มจึงเดินออกมายืนต่อหน้าทุกคนแทนที่พันธิตที่ล่าถอยออกไป ม่านเมฆกดรีโมทเล็กๆ ในมือ ขณะที่จอโปรเจกเตอร์ก็เลื่อนลงมา เขาหันไปทางทุกๆ คนที่จ้องมองจอโปรเจกต์เตอร์ที่กำลังฉายภาพของผู้ชายร่างสูงใหญ่ในชุดแบล็คไทกำลังทำท่าคล้ายกับเดินด้วยมาดของสุภาพบุรุษชั้นสูง ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาครึ่งหนึ่งถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดยี่ห้อหรู ลักษณะและท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความองอาจและหยิ่งทะนง และสิ่งที่ทุกคนในห้องต่างสัมผัสได้ก็คือความอันตรายที่แผ่ออกมาจากผู้ชายในรูป เพราะหาไม่คงไม่ได้รับเชิญมาเป็นหัวข้อการประชุมอันสำคัญขององค์กรในวันนี้ได้

                “ผู้ชายคนนี้คืออีธาน เฉิน...ทุกคนอาจจะพอคุ้นชื่อเขาบ้างในฉายาราชายาเสพติดน่ะนะ” ม่านเมฆเอ่ยขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้ทุกคนนั่งเงียบแล้วเพ่งพินิจมองผู้ชายในจอโปรเจกเตอร์

                “แม่เจ้าโว้ย...นี่มันมาเฟียหน้าหยกชัดๆ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเซลีนเอ่ยขึ้น ใบหน้าของเขาเห็นไม่ชัดเพราะรกครึ้มไปด้วยหนวดเครารุงรัง ทว่าเส้มผมสีน้ำตาลอ่อนและดวงตาสีอำพันก็ทำให้รู้ว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนไทยแท้ๆ แต่นั่นแหละสำหรับองค์กรนี้ นอกจากพันธิตแล้ว คนอื่นๆ ม่านเมฆล้วนแล้วแต่ไม่รู้จักชื่อจริงหรือตัวจริงของพวกเขามาก่อน แม้ว่าในปัจจุบันเขาจะอยู่ในตำแหน่งของหนึ่งในทีมวางแผนก็ตาม หากการติดต่อก็ยังคงใช้โค้ดลับและรหัสมากกว่าอยู่ดี อ้อ...จะมีเว้นอยู่เพียงคนเดียวเห็นจะเป็น 'ไคลน์' สายลับหนุ่มหล่อคนนี้คือเพื่อนสนิทที่สุดของเขาเอง...

                ม่านเมฆปรายตามองคนที่อุทานออกมาด้วยรอยยิ้มบางเบาที่แต่งแต้มอยู่บนริมฝีปากสีระเรื่อ ขณะที่คนอื่นๆ ในห้องต่างหลุดหัวเราะขำออกมาอย่างอดไม่อยู่

                “นั่นสิ หล่อขนาดนี้ไม่น่าเป็นคนเลวเล้ย...” เซลีนถึงกับพึมพำออกมาพร้อมกับถอนหายใจยาวด้วยความเสียดาย

                “เอาล่ะ เมฆมีรูปอื่นของอีธาน เฉินอีกไหม ผมอยากให้ทุกคนดูแล้วจำหน้าหมอนี่ให้ได้ หน้าหล่อๆ อย่างนี้แหละคือตัวร้ายที่ทำให้ทั้งพวกตำรวจสากล พวก OCTB ติดต่อกับทางรัฐบาลของเรา” พันธิตเอ่ยพลางเหลือบมองเซลีนที่ชมคนบนหน้าจอแล้วอมยิ้ม ม่านเมฆพยักหน้ารับ พลางกดเปลี่ยนรูปของอีธาน เฉินที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ของฮ่องกงให้ทุกคนได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ

                “งั้นผมพูดต่อจากหัวหน้านะ” ม่านเมฆเอ่ยขึ้นเมื่อพันธิตพยักหน้าให้แก่เขา เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มอบหมายงานนี้ให้แก่ม่านเมฆเป็นผู้ดูแลนั่นเอง “อีธาน เฉินเป็นราชายาเสพติดได้เพราะอาศัยการขนส่งจากบริษัทในเครือเฉินซีเป็นฉากหน้า เบื้องหลังนอกจากจะเป็นราชายาเสพติดแล้ว ยังพบว่าเขาพัวพันใกล้ชิดกับพวกไตรแอด โดยเฉพาะเขาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถติดต่อกับเศียรมังกรหรือเทียบได้กับหัวหน้าของพวกไตรแอดได้เลย”

                ม่านเมฆเอ่ยจบก็กวาดตามองทุกๆ คนในห้อง พอเห็นว่าทุกคนตั้งใจฟัง เขาจึงเริ่มร่ายต่อไปว่า

                “ทีนี้ นอกจากเขาจะถูกจับตามองในฐานะราชายาเสพติดแล้ว อีธาน เฉินยังเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้สาวเข้าไปถึงตัวการใหญ่จริงๆ อย่างเศียรมังกรได้ด้วย พอพวกอินเตอร์โพล[1] กับ OCTB รู้ว่าอีธาน เฉินจะเข้ามาลงทุนในโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายและจะเดินทางมาประเทศไทย พวกเขาเลยจะเข้ามาขอดักควบคุมตัวอีธาน เฉินที่นี่แต่ทางรัฐบาลเห็นว่าควรเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องจัดการเรื่องนี้เองมากกว่าจะให้คนอื่นเข้ามาก่อความวุ่นวาย และไม่อยากให้อีธาน เฉินไหวตัวทัน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา หมอนี่ไวเป็นปรอทมาก เลยทำให้หลุดพ้นเงื้อมมือของพวกอินเตอร์โพลกับ OCTB มาได้ทุกครั้ง”

                “แล้วทำไมหมอนี่ต้องมาลงทุนไอ้โครงการท่าเรือนั่นด้วยล่ะเมฆ” ใครคนหนึ่งถามขึ้น

                “ที่อีธาน เฉินมาที่นี่เนื่องจากมีแผนการอื่นด้วย" ม่านเมฆตอบได้ทันทีอย่างมั่นใจ “ผมเพิ่งได้ข้อมูลมาใหม่ เป็นการยืนยันแน่ชัดแล้วว่า อีธาน เฉินจะอาศัยท่าเรือที่นี่เป็นแหล่งซุกซ่อนขนย้ายยาเสพติดเข้าสู่ยุโรปและอเมริกา เนื่องจากฐานผลิตขนาดใหญ่ของหมอนี่อยู่ที่ชายแดนพม่า ติดกับประเทศไทยพอดี ซึ่งจะช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายให้พวกเขาได้อีกเยอะมากๆ" ชายหนุ่มสรุปข้อมูลที่เธอแฮกมาได้ให้แก่ทุกๆ คนฟัง

                ความเงียบคลี่คลุมไปรอบๆ ตัวผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด ความตึงเครียดสัมผัสได้อย่างเลือนรางในบรรยากาศ สีหน้าของทุกคนล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยร่องรอยการหมกมุ่นในภวังค์ความคิดของตนเอง

                “หมอนี่ต้องเจ๋งมากแน่ๆ ถึงได้หลุดพ้นจากเงื้อมมือพวกบิ๊กๆ อย่างอินเตอร์โพลกับ OCTB มาได้" เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นมา ขณะที่อีกคนก็สอดรับขึ้นมาทันทีเช่นเดียวกัน

                “เอาน่า...มันมาก็ดี พวกเราจะได้พิสูจน์ฝีมือตัวเองด้วยไง แถมจับมันได้งานเราก็สบายขึ้นด้วย เพราะไอ้หัวหน้าปล่อยยาเสพติดให้มาระบาดแถวชายแดนมันจะได้ลดลงไปตั้งหนึ่งคน"

                “ใช่แล้วล่ะ...” พันธิตรับคำตามที่ได้ยิน ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า "นี่เป็นภารกิจสำคัญของพวกเรา ผู้ใหญ่เล็งเห็นแล้วว่าเรามีศักภาพที่ดีพอที่จะจัดการเรื่องนี้ถึงได้เลือกให้เราเป็นคนจับมัน แทนที่จะปล่อยให้คนอื่นเข้ามาแทรกแซงเอาได้ ฉะนั้นที่ผมเรียกทุกคนมาในวันนี้เพราะนอกจากจะให้รับทราบเรื่องนี้แล้ว คงต้องขอความร่วมมือจากทุกคนเมื่อมีการร้องขอออกไป" พันธิตเอ่ยสรุปออกมา "ยังไงวันนี้ผมก็ขอจบการประชุมของเราเอาไว้เท่านี้ก่อน แต่จำเอาไว้ว่าผมอยากให้ทุกคนตื่นตัวอยู่เสมอเพราะภารกิจใหญ่ของเรากำลังจะเกิดขึ้นแล้ว"

                พันธิตกวาดตามองทุกดวงหน้าที่จ้องมองตรงมายังตนเองด้วยสายตาแน่วนิ่ง เด็กๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่เป็นหัวกะทิที่เขาคัดและฝึกฝนมาด้วยตนเองทั้งสิ้น ความสามารถของทุกคนไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพียงแต่ว่าเด็กๆ พวกนี้ไม่ได้อยู่กับเขามาตั้งแต่เด็กอย่างเหมันต์ ม่านเมฆ และเซลีนก็เพียงแค่นั้น ความสนิทสนมจึงไม่ได้มีมากเท่าทั้งสามคนที่ต้องยอมรับว่าแม้จะอยู่ในแวดวงหัวกะทิ พวกเขาทั้งสามก็โดดเด่นมากกว่าใครอยู่ดี

                “แล้วผมจะติดต่อกลับไปเมื่อถึงเวลา...”

                พันธิตเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่ทุกคนก็ทำความเคารพผู้สูงวัยกว่าโดยไม่คัดค้านและซักอะไรเพิ่มเติมแม้จะยังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด ทว่าก็ถือว่าภารกิจนี้น่าจะใหญ่พอสมควรเนื่องจากดูได้จากการรวมตัวกันของสมาชิกในองค์กรกันครบ เพราะหากเป็นงานเล็กๆ พันธิตคงจะใช้บริการจากทั้งสามคนที่อยู่ประจำที่บริษัทเป็นหลัก มากกว่าจะดึงพวกเขาที่แฝงตัวไปกับองค์กรต่างๆ ให้มารับรู้ภารกิจนี้

                ม่านเมฆกวาดตามองคนส่วนใหญ่ที่เริ่มลุกยืนนับตั้งแต่เลิกประชุม คนอื่นๆ เริ่มทะยอยลุกขึ้นเมื่อได้รับทราบภารกิจที่สำคัญเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบางคนก็ยังไม่ออกไปจากฐานบัญชาการลับใต้ดินแห่งนี้แต่เลือกจะเข้าไปทักทายเพื่อนร่วมองค์กรของตนเองแทน มีเพียงไม่กี่คนที่ติดธุระสำคัญแล้วจึงขอตัวออกไปก่อนซึ่งรวมถึงทั้งสามคนที่อยู่ประจำที่นี่อย่างเหมันต์ ม่านเมฆ และเซลีนที่เดินออกไปจากห้องลับหลังเพราะแรงฉุดกระชากจากเซลีนที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงราวกับจะกินหัวใครสักคน

                ซึ่งม่านเมฆแน่ใจ...หัวคนๆ นั้นคงจะเป็นหัวเขาแน่ๆ ไม่ใช่ใครอื่นเลย!

๐๐๐๐๐


[1] อินเตอร์โพล (INTERPOL) มีชื่อเต็มว่า องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (International Criminal Police Organization) หรือเรียกตำรวจสากล เป็นองค์การที่เกิดจากความพยายามร่วมมือกันในทางระหว่างประเทศเกี่ยวกับกิจการตำรวจ เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือทุกองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ที่มีภารกิจในการป้องกันหรือว่าปราบปรามอาชญากรรมระหว่างประเทศ หน้าที่หลักของอินเตอร์โพลคือ การประสานงานเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและป้องกันการก่อการร้าย ขัดขวางและปราบปรามองค์กรอาชญากรรม การลักลอบผลิตและค้ายา การค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ การฟอกเงิน การล่วงละเมิดทางเพศเด็ก รวมถึงอาชญากรรมทางการเงิน และการทุจริต





To be Continuous......



*มีคนคอมเม้นต์ด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฮืออออ ดีใจที่มีคนอ่านด้วยยยย*





 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/



หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 12.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: maekkun ที่ 12-06-2018 09:42:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 12.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-06-2018 12:53:00
ใครนะเป็นเศียรมังกร 
คงไม่ใช่คนไทยนะ........ :z3: :z3: :z3:

คราวนี้อีธานได้เจอเมฆแน่   :mew1: :impress2:
อีธาน ม่านเมฆ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 12.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 12-06-2018 13:12:09
เดี๋ยวนะ  :katai1: บอกเราทีว่าไม่ใช่แบดเอนด์  :hao5:

ทำไมบทนำมันแบบ.... ฮือออออ

สารภาพว่าอ่านจบแค่บทนำ ใจเราไม่ค่อยแข็งแรงอ่านแนว

แบบนี้ไม่ค่อยไหว  :sad4:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 12.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 12-06-2018 13:23:53
เดี๋ยวนะ  :katai1: บอกเราทีว่าไม่ใช่แบดเอนด์  :hao5:

ทำไมบทนำมันแบบ.... ฮือออออ

สารภาพว่าอ่านจบแค่บทนำ ใจเราไม่ค่อยแข็งแรงอ่านแนว

แบบนี้ไม่ค่อยไหว  :sad4:



เรื่องนี้จบแบบ Happy Ending ค่ะ  :katai2-1:
แฮปปี้จริงๆ น้า 555555 ตัวเราเป็นสายสุขนิยมค่ะ ไม่เขียน BE แน่นวลลลล 55555555+
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 14.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 14-06-2018 09:46:28







                “นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะเมฆ"

                เซลีนที่ลากเอาตัวม่านเมฆออกมาจากชั้นใต้ดิน ตรงดิ่งไปยังห้องนอนของเจ้าหล่อนแล้วปิดประตูเสร็จสรรพ โดยมีเหมันต์ตามมาติดๆ ก็เอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดคั้นและอยากรู้

                “ตามที่บอกไปนั่นแหละลีน...” ม่านเมฆใช้ปลายนิ้วชี้ดันแว่นสายตากรอบดำอันโตของตนเองให้กระชับใบหน้าพลางตอบเซลีน "เรามีภารกิจใหม่ สำคัญมาก และมันก็เป็นความลับ"

                “แล้วนายไปรู้ก่อนได้ยังไง!”

                เซลีนเค้าถามเสียงฉุน ขณะที่เหมันต์ยังคงเงียบกริบและสงวนท่าที บางทีม่านเมฆก็อดคิดไม่ได้ว่าที่อีกฝ่ายกำลังโมโหอาจเป็นที่ตรงนี้...ตรงที่เขารู้ก่อนได้ยังไง

                แวบหนึ่งม่านเมฆอดคิดไม่ได้ว่า เซลีนอาจจะไม่ได้โมโหที่เขารู้เรื่องก่อน แต่แค่กำลังโมโหที่พันธิต 'เลือก' ที่จะให้เขารู้ก่อนและรู้คนเดียว!

                “ก็หัวหน้าบอก" หญิงสาวตอบง่ายๆ ไม่รู้สึกไหลไปตามอารมณ์โกรธของเซลีน

                คนเป็นน้องเล็กสุดกลับขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ ดวงตาคู่สวยวาววับไปด้วยแรงอารมณ์โกรธ "อย่ามาพูดเล่นกับฉันนะเมฆ ทำไมหัวหน้าถึงบอกนายคนเดียว ไม่บอกพวกเรา!”

                “เธอก็รู้ดีอยู่แล้วนะลีน...” ม่านเมฆตอบเสียงเรียบเฉย นิ่วหน้าน้อยๆ เพราะเริ่มรู้สึกเจ็บข้อมือเพราะแรงบีบจากอีกฝ่าย "ฉันทำงานส่วนวางแผนและข้อมูล ฉะนั้นฉันจะรู้เรื่องนี้ก่อนเธอหรือพี่เหม หรือใครๆ ทั้งองค์กรก็ไม่แปลก เธอจะมาอิจฉาฉันทำไม" ตอนท้ายแฮกเกอร์หนุ่มถามออกไปตรงๆ และคงจะจี้ใจดำเซลีนพอสมควร เพราะอีกฝ่ายถึงกับถลึงตาดุใส่เขา พลางอ้าปากเตรียมจะตอบโต้เธอกลับอย่างเจ็บแสบ ทว่าเหมันต์ที่ยืนฟังอยู่นานก็แตะบ่าของเซลีน พลางปรามอีกฝ่ายที่เริ่มจะทำอะไรเกินเลยกับม่านเมฆด้วยน้ำเสียงเข้มจัด

                “หยุดซะลีน! อย่าให้ฉันรู้สึกแย่ไปกว่านี้ที่เห็นเธอก้าวร้าวใส่คนที่อายุมากกว่าเธอแบบนี้"

                เซลีนปล่อยมือจากข้อมือของม่านเมฆด้วยกริยาสะบัดออก ก่อนจะส่งเสียงหึในลำคอแล้วสะบัดหน้านีไปอีกทาง เป็นการยอมอ่อนข้อให้ เพราะเพิ่งได้สติว่าตนเองแสดงกริยาก้าวร้าวออกไปจริงๆ

                “นี่หรือเปล่าเมฆ ที่ทำให้คราวที่แล้วนายเกือบเข้ามาร่วมภารกิจไม่ทัน" เหมันต์ถาม

                “ใช่" ม่านเมฆพยักหน้ารับ "ตอนแรกกะว่าจะเข้าไปดูอะไรเล่นๆ แต่พอดีเจอข้อมูลสำคัญเลยติดพันไปหน่อย แล้วตอนแรกก็ไม่สามารถบอกได้ด้วย...” เสียงตอนท้ายของม่านเมฆแผ่วลงเรื่อยๆ เพราะรู้ดีว่าวันนั้นตนเองผิดเต็มๆ

                เหมันต์ได้แต่ส่ายหน้า บางครั้งบางคราม่านเมฆที่เป็นคนมีความรับผิดชอบสูงก็เหมือนกับเด็กๆ พอได้อยู่กับของที่ชอบแล้วก็เป็นอันลืมวันลืมคืน ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นข้อเสียข้อเดียวของชายหนุ่มที่แทบจะกลายเป็นคอมพิวเตอร์ไปแล้วอย่างม่านเมฆ

                “เอาล่ะๆ เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ กลับมาเรื่องงานดีกว่า" เหมันต์ไกล่เกลี่ยในฐานะพี่ใหญ่ของบ้าน "แล้วอย่างนี้แสดงว่านายอีธาน เฉินอะไรนี่จะมาเมืองไทยใช่ไหม" พอม่านเมฆพยักหน้ารับหงึกๆ เขาก็พูดต่อไป โดยมีเซลีนที่เริ่มหันมาสนใจฟังด้วยกัน "แล้วทำไมงานนี้ถึงได้มาถึงมือพวกเราได้ ทั้งๆ ที่ทั้งอินเตอร์โพลกับ OCTB ก็คนพร้อมกว่าเรา ศักภาพสูงกว่าเรา ถ้าพวกนั้นยังตามไม่ได้ ทำไมหัวหน้าถึงคิดว่าเราจะตามได้" เหมันต์เอ่ยอย่างสงสัย องค์กรของเขาเป็นองค์กรลับเล็กๆ สมาชิกมีไม่กี่สิบคน ทว่าเน้นประสิทธิภาพไม่เน้นปริมาณ การทำงานไม่เคยพลาดก็จริง ทว่าคราวนี้เคสของอีธาน เฉินซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นอาชญากรของหลายประเทศและเป็นตัวร้ายระดับต้นๆ ที่ตำรวจทั่วเอเชียหมายหัวอย่างนี้ถือเป็นงานใหญ่ อาจจะเรียกได้ว่าใหญ่เกินตัวด้วยซ้ำไป

                “พี่เหมนี่เซ้นส์ดีเหมือนกันนะถึงรู้ว่าหัวหน้าโกหก" ม่านเมฆยอมรับตามตรง ขณะที่เซลีนถึงกับถลึงตาใส่สองคนนี้ เพราะถึงอย่างไรพันธิตก็เป็นบิดาของเธอ ทว่าม่านเมฆไม่สนใจ เขาประสานสายตากับเหมันต์นิ่ง ในยามพูดต่อไปว่า "เมฆก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าหัวหน้าไปทำยังไงถึงได้คดีอีธาน เฉินมาได้ แต่ดูเหมือนว่าที่หัวหน้าอยากได้ตัวอีธาน เฉินเพราะคนที่ได้ตำแหน่ง 'เศียรมังกร' มากกว่าน่ะ"



               “ยังไง?” เซลีนถามอย่างสงสัย

                “เอางี้ เมฆจะอธิบายให้ฟัง ไตรแอดหรือพวกมาเฟียเนี่ยมีตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ ที่น้อยคนนักจะรู้จักหน้าค่าตาคนในตำแหน่งนี้ ซึ่งมีชื่อเรียกว่าเศียรมังกร และไอ้หมอนี่แหละ คือตัวการที่แท้จริงของขบวนการค้ายาที่มีอีธาน เฉินเป็นฉากหน้า เป็นมือขวาให้เศียรมังกร เพราะว่าพวกไตรแอดก่อตั้งด้วยสามแก๊งใหญ่ในสมัยก่อน ก่อนจะรวมกันเป็นเครือข่ายเดียว โดยมีพวกตระกูลเฉิน ตระกูลชาง และตระกูลเสิ่นก่อตั้งด้วยกัน แต่ปัจจุบันทายาทตระกูลเสิ่นเสียชีวิตไปแล้วและคนของตระกูลเสิ่นแทบจะกลายเป็นตระกูลเฉิน มีเพียงตระกูลชางที่ตั้งแต่สมัยก่อตั้งไตรแอดใหม่ๆ มีอำนาจพอๆ กัน จึงคานอำนาจข้างในกันมาเองตลอด แต่ที่ตระกูลชางได้ขึ้นมาเป็นผู้นำเพราะตระกูลเฉินไม่อยากรับภาระทั้งหมดมากกว่า"

                เซลีนขมวดคิ้วมุ่น อดมองคนตัวเล็กตรงหน้าไม่ได้ "ทำไมนายรู้เรื่องพวกนี้น่ะเมฆ"

                “ก็หาข้อมูลเอาสิ" ชายหนุ่มตอบ เรื่องข้อมูลพวกนี้กว่าจะหามาได้ กว่าจะมองจุดเชื่อมโยงของคนพวกนี้ออกไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถของเขาไปได้

                “ต่อนะ...” ม่านเมฆเอ่ยสั้นๆ "ทีนี้ มาเข้าเรื่องอีธาน เฉิน เขาเป็นทายาทตระกูลเฉิน เป็นหัวหน้าแก๊งเฉินซีโดยมีฉากหน้าคือธุรกิจโลจิสติกส์ซึ่งเป็นส่วนของตระกูลเฉิน และเป็นแหล่งฟอกเงินของไตรแอดทั้งหมด แล้วตอนนี้อีธาน เฉินก็เป็นมือขวาของเศียรมังกรด้วย ว่ากันว่ามีเฉพาะมือขวาเท่านั้นที่จะรู้ว่าเศียรมังกรคือใครและจะติดต่อได้ยังไง"

                “แล้วไอ้เครือข่ายไตรแอดนี่มันยิ่งใหญ่มากหรือยังไง ไอ้หัวหน้าถึงได้ทำท่าลึกลับเสียขนาดนี้"

                “ใหญ่ไม่ใหญ่ เครือข่ายของพวกไตรแอดก็มีเส้นสายครอบคลุมทั่วเกาะฮ่องกง ไต้หวัน เซี่ยงไฮ้ ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะมีฐานอำนาจที่อเมริกาและล่าสุด พวกนี้ก็เริ่มลงทุนที่ยุโรปแล้วด้วย"

                “มิน่า พวกอินเตอร์โพลเลยตามตูดซะขนาดนี้"

                เซลีนพึมพำออกมาเมื่อเริ่มเข้าใจถึงความอันตรายของไตรแอดและความสำคัญของอีธาน เฉินว่าทำไมคนหลายกลุ่มถึงต้องตามจับตัวเขาให้ได้

                เพราะตอนนี้...เขาคือคนๆ เดียวที่จะเป็นกุญแจเพื่อไขความลับในการโค่นล้มเครือข่ายไตรแอดทั้งหมดลงให้ได้!

                “ยิ่งฟังอย่างนี้แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าอีธาน เฉินเป็นภารกิจที่เกินความสามารถขององค์กรเรานะ" เหมันต์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย ซึ่งนั่นทำให้ม่านเมฆอดที่จะพยักหน้ารับไม่ได้ เพราะเขาเองก็สงสัยเช่นเดียวกันว่า 'หัวหน้า' ยื่นมือเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ทำไม ทั้งๆ ที่มีหลายองค์กรที่มีศักยภาพในการไล่ล่าอีธาน เฉินได้ แต่หัวหน้ากลับเข้าไปเสนอตัวกับผู้ใหญ่เองว่าจะขอจัดการรวบตัวอีธาน เฉินส่งให้ทางผู้ใหญ่เป็นการสร้างผลงาน และเพราะพูดถึงความฝันเฟื่องที่ว่าคนไทยจะรวบจับตัวราชายาเสพติดระดับโลกได้ ทำให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลอนุมัติคำขอของหัวหน้าในที่สุด และเรื่องของหัวหน้าก็ถือว่าเป็นปริศนาที่เขายังไขไม่ออกว่าหัวหน้าคือใครกันแน่จึงมีความสามารถในการเข้าถึงผู้ใหญ่ได้เช่นนั้น และเพราะหัวหน้าเป็นหัวหน้า เขาถึงไม่ยอมใช้ความสามารถที่มีอยู่ในการค้นหาคำตอบนั้นเอง ทั้งๆ ที่เขาก็มั่นใจพอว่าตัวเองจะทำได้ เพราะขนาดที่ลับที่สุดอย่างเรื่องของอีธาน เฉิน เขายังสามารถหาได้เลย ทว่าเขาไม่ทำ...เพราะเขาเคารพในตัวของหัวหน้า และเชื่อว่าสักวันเวลาที่เขาจะได้รู้ก็จะมาถึงเอง

                “นั่นคือสิ่งที่ผมก็อยากรู้เหมือนกันพี่เหม...ว่าทำไมหัวหน้าถึงลงเล่นเกมชิงตัวราชายาเสพติดกับเขาด้วยคน”

                ม่านเมฆเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่อีกสองคนได้แต่มองหน้าเขาด้วยสายตาครุ่นคิด

                นั่นสิ...การกระทำของพันธิตในครั้งนี้ถือว่าผิดแผกไปจากที่เคยจริงๆ ...












To be Continuous......



*มีคนคอมเม้นต์ด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฮืออออ ดีใจที่มีคนอ่านด้วยยยย*





 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 14.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kirana9165 ที่ 14-06-2018 14:08:53
จั่วหัวไว้ ตอนต้น พระเอกตาย เราคงถอยล่ะ ใจอ่อนแอ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 16.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 16-08-2018 20:47:54
ตอนที่ 4 : ภารกิจใหม่ [3]





ชั้นใต้ดิน คฤหาสน์ตระกูลเฉิน - ฮ่องกง

 

               “จะไปประเทศไทยอย่างนั้นเหรอ”

               เสียงแหบพร่าที่ดังมาจากลำโพงซึ่งต่อจากคอมพิวเตอร์นั้นฟังดูก็รู้ว่าเป็นเสียงดัดแปลง ทว่าอีธาน เฉินไม่สนใจมากไปกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูด

               ตรงหน้าของเขาตอนนี้คือหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มืดสนิท เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ปรารถนาจะเปิดเผยตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การติดต่อกับเศียรมังกร วิธีการที่ดีที่สุดคือการเข้าออนไลน์ในระบบของเครือข่าย จากนั้นส่งคำร้องขอในช่องทางข้อความส่วนตัว ฝ่ายนั้นจะจัดการนัดแนะวันเวลาเข้ามาเอง

               ทุกวันนี้ถึงเขาจะได้ชื่อว่าเป็นมือขวา ทว่าเอาเข้าจริงมันเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น และต้องยอมรับว่าแม้กระทั่งตัวเขาเอง ในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร สิ่งเดียวที่รู้คือเขาเป็นคนของตระกูลชาง อายุคาดว่าน้อยกว่าบิดาที่ตายไปแล้วของเขาราวๆ สี่ห้าปี และมีชื่อว่าวิลด์เฟรด ชาง สิ่งเดียวที่ยืนยันว่าอีกฝ่ายคือ 'ตัวจริง' เห็นจะมีเพียงรหัสลับที่มีเฉพาะพวกชั้นสูงในองค์กรเท่านั้นที่รู้เป็นสิ่งยืนยันตัวตน

               “ครับ...”

               อีธาน เฉินรับคำด้วยน้ำเสียงและสีหน้านิ่งเฉย เขามองตรงแน่วไปยังกล้อง รู้ดีว่าอีกฝ่ายน่าจะมองเขาด้วยสีหน้าพินิจพิเคราะห์เช่นเดียวกัน

               “คิดจะทำอะไรกันแน่"

               “ผมก็แค่จะไปสำรวจดูเส้นทางขนส่งใหม่" เขาหมายถึงเส้นทางขนส่งยาเสพติดสายใหม่ "แล้วก็ดูเรื่องการลงทุนในโครงการท่าเรืออะไรนั่นด้วย" เขาอธิบาย ซึ่งเป็นโปรเจกต์ลับที่พวกเขาร่วมประชุมกันมาหลายรอบแล้ว และเมื่อโครงการท่าเรือเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา อีธาน เฉินจึงต้องลงไปดูงานด้วยตัวเอง เนื่องจากเขาดูแลส่วนนี้

               มันจึงเป็นเหตุผลสมควรแล้ว ทว่าการไปก่อนกำหนดก็ทำให้เศียรมังกรขอติดต่อเขามา ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไรทั้งๆ ที่อีกฝ่ายแต่ไหนแต่ไรมักไม่ค่อยก้าวก่ายการทำงานของเขานัก

               “อืม...” อีกฝ่ายร้องครางเป็นเชิงตอบรับ

               “ว่าแต่คุณมีอะไรสำคัญหรือเปล่า ถึงได้ตามตัวผมออนไลน์ด่วนแบบนี้" อีธาน เฉินถาม

               “ไม่มีหรอก" เศียรมังกรตอบอย่างรวดเร็ว "ฉันก็แค่ห่วงนายเท่านั้น ช่วงนี้พวก OCTB กับพวกอินเตอร์โพลตามกลิ่นนายเหลือเกิน สงสัยเพราะการส่งของลอตล่าสุดหยามน้ำหน้ามันพอดู" อีกฝ่ายหมายถึงการส่งมอบยาเสพติดให้ผู้ซื้อรายใหญ่แถบละตินอเมริกา จำนวนการสั่งคือราวๆ หนึ่งแสนเม็ด ผลงานชิ้นใหญ่ในรอบปีของอีธาน เฉินที่จัดการส่งให้ถึงมือคู่ค้าได้อย่างหวุดหวิด แม้จะโดนทั้งพวกอินเตอร์โพลและ OCTB ตามไล่ล่าเหมือนหมาล่าเนื้อก็ตาม

               “ผมจะระวัง แต่พวกนั้นคงทำอะไรผมไม่ได้หรอก"

               “อย่าประมาท อีธาน"

               “ครับ...ผมจะไม่ประมาท" เขาตอบรับความหวังดีนั้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

               “ดี...ยังไงขอให้ครั้งนี้โชคดีในการเดินทางแล้วกัน"

               “ครับ"

               พอชายหนุ่มตอบรับ ปลายสายก็ตัดการติดต่อไปทันที อีธานจัดการปิดเครื่อง ออกมาจากห้องกระจกที่กั้นไม่ให้คนที่ทำงานอยู่ในชั้นใต้ดินได้ยินว่าเขาพูดอะไรกับผู้เป็นเศียรมังกร

               “ท่านว่ายังไงครับ"

               เชสที่รู้ดีว่าผู้เป็นเจ้านายนั้นเข้าไปติดต่อกับใครเอ่ยถามด้วยความสงสัยปนเป็นห่วง

               “เตรียมตัวไว้ให้พร้อม ฉันจะไปเมืองไทยในอีกสามวันข้างหน้า"

               เขาสั่งเสียงเข้ม ก่อนจะเบี่ยงกายหลบเชสแล้วเดินตรงไปยังลิฟต์ที่จะพาเขาขึ้นไปสู่ชั้นบนของคฤหาสน์

               ในจังหวะที่ลิฟต์กำลังจะปิดตัวลง ดวงตาคมกริบของอีธานหรี่ลง ริมฝีปากของเขาเกลื่อนด้วยรอยยิ้มบางเบาที่ไม่สังเกตก็ไม่มีใครจับได้

               วันนี้...อีธานดูเหมือนจะอารมณ์ดีมากกว่าทุกๆ วันที่ผ่านมา

               ชายหนุ่มมองตรงไปข้างหน้า จ้องมองเลขลิฟต์ที่เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ในสมองมีแต่เรื่องของแฮกเกอร์คนนั้น...ใช่ เรารู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือใครและควรจะตามหาได้ยังไง!

               Mars...แฮกเกอร์ผู้ที่ทำให้เขาทึ่งและ...เป็นคนที่เขามองหามานานแสนนาน...

               ผู้ที่จะช่วยไขปริศนาทุกอย่างที่คาใจของเขาให้หมดลง!





๐๐๐๐๐





               “นายจะไปเมืองไทยอย่างนั้นเหรออีธาน...”

               'ไซมอน หวัง' เอ่ยถามเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงและสีหน้าประหลาดใจ

               เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ไซมอนเป็นศัลยแพทย์มือดีของโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของฮ่องกง ซึ่งเป็นกิจการที่บ้านของเขาเอง ชายหนุ่มเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของอีธาน เฉิน ทั้งคู่เจอกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกา แม้จะต่างคณะทว่าก็เป็นรูมเมทกันมาก่อนจึงทำให้สนิทสนมกันในที่สุด คุณหมอหนุ่มเป็นเพียงคนเดียวนอกจากเชสที่รู้เรื่องและเข้าใจอารมณ์ทุกอย่างของอีธาน เฉินดีที่สุด

               เพราะเขาคือหนึ่งในคนที่คอยฉุดรั้งสติที่ขาดสะบั้นของเจ้าพ่อหนุ่มให้กลับคืนมา หลังจากเกิดเหตุสะเทือนใจเมื่อห้าปีก่อน แม้เพื่อนสนิทของเขาจะกลับมาเพราะ 'ความแค้น' ตัวเดียวก็ตามที...

               “อืม...” ชายหนุ่มรับคำเบาๆ ยกขาขึ้นพาดกับโต๊ะกระจกตัวเตี้ยข้างหน้า พลางนั่งยิ้มด้วยท่าทีสบายๆ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในห้องวีไอพีของคลับหรูแห่งหนึ่ง พวกเขามักจะนัดเจอกันที่นี่เสมอ เพราะมันปลอดภัยที่จะพูดเรื่องสำคัญๆ ในคราบของการออกมาเที่ยวเสเพลเช่นนี้

               “นายดู...แปลกไปนะอีธาน" คุณหมอไซมอนเอ่ยทักเพื่อนสนิทด้วยความสงสัย เขาพูดไม่ถูกว่าแปลกตรงไหน มันคงเป็นความรู้สึกกระมังที่บอกเขาว่าอีกฝ่ายแปลกไป ไม่มีความแข็งกร้าวดุดันอยู่รอบตัวอีธาน เฉินอีกต่อไป ความเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในช่วงรื่นรมย์ มันเป็น...สิ่งที่อธิบายได้ยาก แต่เขาก็รู้สึกดีกว่าที่เห็นอีธานเป็นเช่นนี้ มากกว่าจมจ่อมอยู่กับความสูญและอันน่าหดหู่อย่างที่เป็นมาตลอดห้าปีที่ผ่านมา       

               “แปลกไป...” มาเฟียหนุ่มทวนคำของเพื่อนสนิทเสียงต่ำ คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง ดวงตาคมกริบภายใต้แผงขนตาดกหนา ขับให้ดวงตาของเขาเข้มจัดจ้องมองไซม่อนเป็นคำถาม "ยังไง?” ชายหนุ่มถามแล้วก็นิ่งรอคำตอบ

               ไซมอนยักไหล่ “ไม่รู้สิ แค่รู้สึกน่ะ" คุณหมอหนุ่มตอบไปตามตรง ก็บอกแล้วว่าเขาแค่รู้สึก...จะให้อธิบายถูกได้อย่างไรว่าตรงไหนล่ะที่แปลกไป

               อีธานหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ เพื่อนของเขาความรู้สึกไวเสมอ ชายหนุ่มคิดถึงสิ่งที่ตนเองจะกระทำในวันข้างหน้าแล้วเริ่มอารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่น้อยครั้งจะเป็นเช่นนี้ ก่อนดวงตาคมกริบจะตวัดมองไปทางมุมมืดของคลับ เมื่อเห็นสัญญาณจากใครบางคน มาเฟียหนุ่มวางแก้วเหล้าลงกับโต๊ะเสียงดังกึกแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ ด้วยท่วงท่าของราชสีห์ ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมองคนที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนเป็นคำถาม

               “ไปเข้าห้องน้ำน่ะ" อีธานตอบคำถามที่เห็นได้ชัดเจนจากแววตาของเพื่อนสนิท ก่อนจะเดินตรงไปทางด้านหลังร้าน ซึ่งเป็นทางเดียวกับทางไปเข้าห้องน้ำ

               แน่นอนว่าไม่นานหลังจากนั้น เงาร่างตะคุ่มๆ ของใครบางคนที่นั่งอยู่ภายในมุมมืดของคลับ ก็เดินตรงไปยังทางด้านหลังร้านเช่นเดียวกัน...





To be Continuous......



*เรายังไม่ตายนะคะ 5555 ยังมีชีวิตอยู่เด้อออออ ตอนนี้เริ่มกลับมาอัพแล้วค่ะ แล้วก็จะมาบ่อยๆ ด้วย >//<

เรื่องนี้มีข่าวดีด้วยนะคะ ก็คือจะได้ตีพิมพ์รูปเล่มนั่นเอง ถ้าแน่นอนแล้วยังไงจะรีบมาแจ้งทันทีเลย 555

แล้วก็...อะแฮ่มมมม ตอบคำถามเช่นเดิม
คือเรื่องนี้จบแบบแฮปปี้นะคะ สุขนิยมมมม สุขนิยมมมมมแน่นอนนนนนน TwT  :katai3:





*ปล. มีคนคอมเม้นต์ด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฮืออออ ดีใจที่มีคนอ่านด้วยยยย*





 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บทที่ 2 [30.5.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 17-08-2018 03:15:09
พูดเสร็จชายหนุ่มก็เดินตรงไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ แต่ก่อนจะปิดประตูห้องน้ำเธอก็ชะโงกหน้าออกไปพร้อมกับตะโกนบอกทั้งสองคน

คำนี้น่าจะพิมพ์ผิดไหมคะ ถ้าแทนตัวเมฆต้องเป็นเขานะเราว่า
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* / บทที่ 3/1 [5.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 17-08-2018 03:38:21
สารภาพผิด ฮือ ตอนแรกอ่านบทนำแล้วคือคิดว่าพระเอกตายแน่ๆ

เลยเข้ามาจิ้มไว้ก่อนรอใกล้จบค่อยมาอ่าน วันนี้เข้ามาส่องเลย

ลองอ่านดูสองสามตอน แง้ รู้สึกใจมีเกราะป้องกันนิดนึง เพราะ

เห็นผู้แต่งบอกว่าจบแฮปปี้ แต่คาดว่าคงม่าหนักอยู่ใช่ไหมคะ

ฮือ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ ค่ะ  :monkeysad:
---------------------------------

แง้ เพิ่งเลื่อนมาเห็นว่าผู้แต่งตอบด้วย  :กอด1:

เดี๋ยวนะ  :katai1: บอกเราทีว่าไม่ใช่แบดเอนด์  :hao5:

ทำไมบทนำมันแบบ.... ฮือออออ

สารภาพว่าอ่านจบแค่บทนำ ใจเราไม่ค่อยแข็งแรงอ่านแนว

แบบนี้ไม่ค่อยไหว  :sad4:



เรื่องนี้จบแบบ Happy Ending ค่ะ  :katai2-1:
แฮปปี้จริงๆ น้า 555555 ตัวเราเป็นสายสุขนิยมค่ะ ไม่เขียน BE แน่นวลลลล 55555555+
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 14.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 17-08-2018 03:53:30
แวบหนึ่งม่านเมฆอดคิดไม่ได้ว่า เซลีนอาจจะไม่ได้โมโหที่เขารู้เรื่องก่อน แต่แค่กำลังโมโหที่พันธิต 'เลือก' ที่จะให้เขารู้ก่อนและรู้คนเดียว!

                “ก็หัวหน้าบอก" หญิงสาวตอบง่ายๆ ไม่รู้สึกไหลไปตามอารมณ์โกรธของเซลีน


อันนี้ด้วยค่ะ น่าจะพิมพ์ผิดเพราะเป็นบทที่เมฆพูดกับลีนแต่ดัน

แทนตัวเมฆว่าหญิงสาวอ่ะ
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 16.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 17-08-2018 04:01:01
รอๆ นะคะ ยังเข้ามาส่องตลอดนะ แม้จะกลัวม่าที่แอบแฝงก็เถอะ (ฮา)

ป.ล. ผู้แต่งลืมแก้หัวกระทู้หรือเปล่าคะ หรือยังไง

คือแบบแอบงงๆ ในการหาตอนอ่ะค่ะ แบบต้องมาไถๆอ่านเนื้อหา

ก่อนว่าใช่ตอนนี้หรือเปล่าที่อ่านถึง
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* [UP 14.6.61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-08-2018 09:26:58
แวบหนึ่งม่านเมฆอดคิดไม่ได้ว่า เซลีนอาจจะไม่ได้โมโหที่เขารู้เรื่องก่อน แต่แค่กำลังโมโหที่พันธิต 'เลือก' ที่จะให้เขารู้ก่อนและรู้คนเดียว!
                “ก็หัวหน้าบอก" หญิงสาวตอบง่ายๆ ไม่รู้สึกไหลไปตามอารมณ์โกรธของเซลีน

อันนี้ด้วยค่ะ น่าจะพิมพ์ผิดเพราะเป็นบทที่เมฆพูดกับลีนแต่ดัน
แทนตัวเมฆว่าหญิงสาวอ่ะ

ตอนนี้ด้วย
ในสมองมีแต่เรื่องของแฮกเกอร์คนนั้น...ใช่ เรารู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือใครและควรจะตามหาได้ยังไง!
ต้องเป็น เขา หรือเปล่า

มาต่อไวๆนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 5 หลุดมือ [1] [UP 17.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 17-08-2018 20:40:14



“นายจะไปเมืองไทย"



            เสียงห้าวๆ ของคนที่เดินตามมาทันเอ่ยขึ้นแผ่วเบา พวกเขาต่างยืนหันหลังให้กัน ทำทีเหมือนแค่บังเอิญออกมายืนรับอากาศ ไม่ก็สูบบุหรี่ที่ด้านหลังร้านเท่านั้นมากกว่าจะเป็นคนรู้จักกัน



            “รู้สึกการข่าวจะไวขึ้นนะ" อีธานตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ดวงตาสีดำสนิทของเขาเป็นประกายพร่างพราว



            คนการข่าวไวหน้าตึง "ตอบคำถามของฉันมา"



            “นายก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่" อีธานตอบยอกย้อน พลางตวัดตามอง 'อดีตเพื่อน' ที่เลิกคบกันไปหลังจากที่เขาเลือกจะหันหน้าเข้าสู่โลกมืด ขณะที่อีกฝ่ายก็เดินเข้าสู่โลกสว่าง



            สีขาวและสีดำย่อมอยู่ตรงกันข้ามกัน...ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของเขาและอีกฝ่ายจึงจบลงตามไปด้วย ทว่าเขาก็เพิ่งเริ่มกลับมาติดต่อกับอีกฝ่ายใหม่หลังจากการตายของพอลลีนนั่นแหละ...



            ต่อให้ต้องร่วมมือกับศัตรูเพียงเพื่อลากคอไอ้สัตว์นรกที่ฆ่าเมียกับลูกของเขาได้ เขาสาบานแล้วว่าต่อให้ต้องทำเรื่องชั่วช้าเลวทรามมากแค่ไหนเขาก็จะทำมัน!



            “เส้นทางขนส่งใหม่ที่นายเคยบอกคร่าวๆ เมื่อคราวที่แล้ว ฉันต้องการรู้รายละเอียดทั้งหมด"



            “ถ้าทำอย่างนั้น...” อีธานเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เจือแววหัวเราะหยันให้คนฟังรู้สึกหน้าร้อนผ่าวเพราะสัมผัสได้ถึงการดูถูกจากอีกฝ่ายได้ "...พวกนายคงไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะมั้ง ไม่ล่ะ" เขาปฏิเสธ "เดี๋ยวพวกนายจะไม่มีงานทำ ฉันจะเป็นบาปเปล่าๆ "



            “อีธาน เฉิน!”



            อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาเสียงหนัก ติดจะฉุนเฉียวเพราะเขาไม่ยอมบอกอะไร



            “อย่าใจร้อนสิ ของอย่างนี้มันต้องค่อยเป็นค่อยไป"



            “แล้วรอให้นายขยายฐานการขนส่งยาเสพติดได้อีกน่ะเหรอ รู้หรือเปล่า วีรกรรมครั้งที่แล้วของนายทำให้นายกำลังถูกพวกอินเตอร์โพลหมายหัวด้วย"



            “ฉันนึกว่าอินเตอร์โพลหมายหัวฉันมานานแล้วเสียอีก" มาเฟียหนุ่มตอบ



            คนฟังถอนหายใจยาวเหยียดอย่างเบื่อหน่าย ใครกันน่ะ...ที่มันเคยพูดว่าอีธาน เฉินเย็นชาไร้หัวใจ และแทบจะเป็นใบ้เพราะไม่ชอบพูดมาก เขาล่ะอยากจับมันมาเจอไอ้หมอนี่ตอนนี้เลย



            โยกโย้จนน่ารำคาญฉิบหาย!



            “นายก็รู้ว่ามันไม่เหมือนกัน ทำไมนายไม่ให้ข้อมูลทางเรามากกว่านี้ แล้วเราสัญญาว่าจะกันตัวนายไว้เป็นพยาน"



            “ไม่ล่ะ" อีกครั้งที่อีธานปฏิเสธ "ไม่อยากให้พวกนายลำบากน่ะ อีกอย่าง ฉันกลัวพวกนายจะเลี้ยงฉันไม่ดี"



            “อีธาน...”



            “เอาน่า” เขาเอ่ยเสียงหยัน แล้วยกมือขึ้นตบบ่าอีกฝ่ายหนักๆ “นายก็อย่าคิดมาก พวกเราต่างทำหน้าที่ของเราไป"



            “นายคิดจะทำอะไรกันแน่"



            อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างทนไม่ไหว เมื่อเจอกับความไม่กระตือรือล้นของอีธาน เฉินที่ดูเหมือนจะไม่ยอมรับข้อเสนออะไรสักทาง



            “สร้างและทำลายอะไรสักอย่างละมั้ง" อีธานตอบกว้างๆ และนั่นทำให้คนฟังไม่พอใจ ทว่าก็รู้ดีว่าคงจะทำอะไรไม่ได้แล้วจึงได้แต่เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี



            “นายต้องระวังตัว ตอนนี้มีคำสั่งมาแล้วว่าให้จับตัวนาย แล้วยิ่งนายออกนอกพื้นที่ การรักษาความปลอดภัยจะด้อยลง ตอนนั้นทั้งพวกอินเตอร์โพล OCTB และอีกหลายๆ กลุ่มเหมือนจะตกลงกันลับๆ แล้วว่าจะหมายหัวนาย"



            “ดีสิ...” มาเฟียหนุ่มตอบอย่างไม่ยี่หระ “พวกอินเตอร์โพลกับ OCTB จะได้มีงานทำบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ขี้เกียจหรือไม่ก็ไปทำแต่คดีขี้หมูราขี้หมาแห้ง”



            “อีธาน เฉิน!”



            “เอาน่า...” มาเฟียหนุ่มทำเสียงอลุ่มอล่วย “ไม่ดีใจหรือไงที่พวกนายจะไม่ต้องว่างงาน” พูดจบชายหนุ่มก็เลิกคิ้วขึ้นสูง



            อีกฝ่ายถอนหายใจแรงๆ อย่างหงุดหงิด พลางตอบโต้ด้วยน้ำเสียงดุดันว่า



            “ฉันจะมีเวลาว่างแน่ ถ้านายเลิกสร้างปัญหาเสียทีน่ะ!”





 

ตอนที่ 5

หลุดมือ

 

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย

 

            อีธาน เฉินเดินออกมาจากสนามบินด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มน้อยๆ เป็นรอยยิ้มหยัน ปรายตามองรอบตัวช้าๆ ราวกับกำลังจับสังเกตรอบตัวก็พบว่ามีหลายต่อหลายคนที่เขาพอจะจับได้ว่าส่อพิรุธ รู้ทันทีว่านั่นเป็นสายของพวกตำรวจนั่นแหละ คงจะได้ข่าวการมาของเขาที่จงใจปล่อยแล้วถึงได้แห่กันมาอย่างนี้น่ะสิ!



            เอาล่ะ...ได้เวลาล่อเหยื่อของเขาแล้ว



            มาเฟียหนุ่มคิดในใจ ขณะที่เดินตรงไปยังกลุ่มคนที่ถือป้ายชื่อของเขาเอาไว้ บ่งบอกชัดว่าพวกนั้นคือตัวแทนของบริษัทในเครือกิจการด้านโลจิสติกส์ของตนเอง



            “มิสเตอร์เฉินเชิญทางนี้เลยค่ะ”



            ล่ามสาวเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม อีธานพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินตามเจ้าหล่อนไป โดยมีคนของเขาเดินตามหลังอยู่สองสามคน



            การมาครั้งนี้เขาไม่ได้พาเชสมาด้วย ทว่าแผนการทุกอย่างของเขาได้วางไว้แล้วเรียบร้อย เหลือเพียงเขาลงมาเล่นและขับเคลื่อนมันไป...ก็แค่นั้น



            เอาล่ะ...ทีนี้ต้องมารอดูกันว่า ‘ใคร’ จะเข้าถึงตัวเขาได้ก่อนกัน!



            OCTB ตำรวจไทย อินเตอร์โพล หรือ…ผู้ชายคนนั้น!





๐๐๐๐๐





            “อีธาน เฉินมาเมืองไทยแล้ว”



            ไคลน์พูดกับม่านเมฆหลังจากที่ได้รับรายงานจากลูกน้องของเขาอีกทอดหนึ่งและที่ทำให้หงุดหงิดไม่หายก็คือมาเฟียหนุ่มคนนี้ดูจะเนื้อหอมเหลือเกิน เพราะตั้งแต่ได้ข่าวว่าหมอนี่จะมาเมืองไทย พวกตำรวจสากล ตำรวจฮ่องกงและไหนจะตำรวจไทยเองขยับตัวกันคึกคักหมายจะทำผลงานของตัวเองกันให้ได้ แต่มันดันเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำงานของพวกเขาน่ะสิ!



โว้ย! หงุดหงิดชะมัด!



            “เฝ้าดูต่อไปนะลีน การจับตาดูความเคลื่อนไหวของเขาทำให้เราวางแผนต่อไปได้”



            “อืม”



            ไคลน์รับคำช้าๆ ก่อนจะวางสายแล้วหันไปสนใจทำงานของเขาต่อไป



            ตอนนี้สายลับสาวเข้ามาแทรกซึมอยู่บริษัทลูกในเครือเฉินซีคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของอีธาน เฉินเพื่อดูกำหนดการคร่าวๆ ของเขาว่ามาเฟียหนุ่มคนนั้นไปที่ใดบ้าง และข่าวจะตรงกับสายคนอื่นที่ได้วางเอาไว้หรือไม่ ส่วนตอนนี้สิ่งที่รู้คือนายอาชญากรคนนี้จะอยู่ที่นี่เพียงสามวัน แล้วหลังจากนั้นเขาจะไปที่จังหวัดกาญจนบุรีเพื่อไปตรวจดูพื้นที่แถวทวายด้วยตาของตัวเอง เป็นการประเมินความเป็นไปในโครงการท่าเรือทวายนั่นเอง และจากสายรายงาน อาจจะมีการไปตรวจโรงงานยาเสพติดของมันที่อยู่แถวชายแดนพม่าอีกด้วย



            เอาล่ะ...ต้องมารอดูกันว่าแผนมันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า!





๐๐๐๐๐







            “อีธาน เฉินมาถึงแล้วนะ” ม่านเมฆรายงานให้กับเหมันต์และเซลีนหลังได้รับทราบหลังจากที่วางสายจากไคลน์เมื่อสักครู่นี้



            “แล้วเราต้องทำอะไรต่อ” เซลีนเอ่ยถามตามประสาคนใจร้อน



            “รอ” ม่านเมฆตอบสั้นๆ และเมื่อเซลีนตวัดตาดุๆ มองเป็นคำถามชายหนุ่มจึงยอมขยายต่อไปว่า “เราต้องรอนะลีน ให้ไคลน์คอนเฟิร์มมาก่อนว่าแผนการเดินทางของอีธาน เฉินที่เราได้มาไม่ผิดพลาด ถึงเตรียมลงมือได้”



            “เออๆ ก็ได้ๆ” เซลีนย้ำอย่างหงุดหงิด “รอก็รอ”



            ไม่รู้จะให้รอถึงเมื่อไหร่ ถ้ามัวแต่ยึกยัก เดี๋ยวไอ้พวกกลุ่มอื่นก็ได้ตัวหมอนั่นไป แล้วอย่ามาร้องไห้คร่ำครวญก็แล้วกันว่าทำงานผิดพลาด! สายลับสาวบ่นงึมงำในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากทำหน้านิ่งๆ เท่านั้น




To be Continuous......



ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์คำผิดของทุกคนค่า

เดี๋ยวพรุ่งนี้เค้าจะมาลงฉบับแก้ไขคำผิดทวนให้นะคะ

ตอนนี้แก้ตามที่ทุกคนทักมาก่อนจ้า >___<

ปล. 1 เดี๋ยวจะเพิ่มชื่อตอนที่อัพไว้ที่ชื่อเรื่องให้ด้วยค่า แต่ว่าเราทำสารบัญไม่เป็น ต้องขอโทษด้วยค่าที่เปลี่ยนแต่วันที่ที่อัพล่าสุด ^^

ปล. 2 เรื่องนี้มีข่าวดีด้วยนะคะ ก็คือจะได้ตีพิมพ์รูปเล่มนั่นเอง ถ้าแน่นอนแล้วยังไงจะรีบมาแจ้งทันทีเลย 555


 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 5 : หลุดมือ [1] [UP 17.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 18-08-2018 01:53:58
 :katai2-1: แง้ มาไวมากเลยค่ะ แล้วก็ขอบคุณนะคะที่รับฟัง

เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :bye2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 5 : หลุดมือ [2] [UP 18.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 18-08-2018 21:58:16



            ช่วงเวลาลงมือปฏิบัติการนั้นช่างเต็มไปด้วยอุปสรรค์อันน่าปวดหัวโดยแท้ หลายต่อหลายครั้งทีมปฏิบัติการพลาดการจับกุมตัวอีธาน เฉินเพราะมีพวกตำรวจคอยแทรกแซงเพื่อชิงตัวอีกฝ่ายอยู่ตลอดเช่นเดียวกัน ก็ทำให้ทั้งพวกเขาและตำรวจต่างระแวดระวังกันและกันอยู่เนืองๆ ยิ่งเหมันต์ที่รับบทหนักเพราะต้องคอยเป็นคนลงมือชิงตัวอีธาน เฉินมาด้วยแล้ว ม่านเมฆก็อดรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายไม่ได้ และหลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาเกือบจะจับตัวอีธาน เฉินได้ ทว่ามาเฟียหนุ่มก็หลุดรอดจากเงื้อมมือของพวกเขาไปได้แทบทุกครั้ง สร้างความกดดันให้แก่ม่านเมฆเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหลังจากครั้งล่าสุดที่ได้ตัวอีธาน เฉินมาและอีกฝ่ายหนีไปได้อีกครั้ง แถมพวกตำรวจที่เหมันต์เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเป็นสายก็เริ่มจะระแคะระคายถึงตัวตนของพวกเขา ว่ากำลังมีอีกกลุ่มที่ต้องการตัวของมาเฟียใหญ่คนนี้ ซึ่งยิ่งสร้างความปวดหัวให้แก่ม่านเมฆเพิ่มมากขึ้นไปอีก ทว่าอะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับว่าเขาไม่ได้ข่าวคราวของอีธาน เฉินอีกเลย กระทั่งล่าสุดจึงได้รู้เบาะแสว่าอีธาน เฉินอยู่ที่กาญจนบุรี ซึ่งวันต่อมาม่านเมฆก็ได้รับการคอนเฟิร์มแล้วว่าที่อยู่ของอีธาน เฉินนั้นเป็นไปตามที่ได้รับรายงานทั้งหมด กระทั่งให้เหมันต์เช็กข่าวจากสายของตนก็ถือว่าตรงกัน ชายหนุ่มจึงสั่งให้ดำเนินแผนการทั้งหมดได้ในทันที



            เหมันต์ เซลีน และไคลน์ ตลอดจนมือดีขององค์กรออกปฏิบัติการ รวมถึงตัวเขาเองก็ด้วย แม้ว่าม่านเมฆจะได้อยู่แต่ในรถปฏิบัติการเพื่อคอยสั่งพวกที่ไปออกภาคสนามก็ตาม แต่เมื่อไหร่ที่ได้ตัวอีธาน เฉินมาหลังจากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขา ม่านเมฆรอคอยด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขากระวนกระวายกับการรอคอย เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งหน้าตั้งตาคอยการมาของใครอย่างใจจดใจจ่อถึงเพียงนี้ เพราะนอกจากการรอคอยในการล้วงลึกข้อมูลแล้ว...ม่านเมฆไม่เคยทนอะไรมาก่อนเลยในชีวิตนี้



            “ตื่นเต้นเหรอเมฆ”



            พันธิตที่มาคอยนั่งฟังวิทยุในขณะที่ออกปฏิบัติการของพวกเหมันต์ก็เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่ผุดลุกผุดนั่งอยู่ไม่สุข ต้องยอมรับแหละว่าเขาตื่นเต้นจริงๆ



            “ครับ” ชายหนุ่มยอมรับอย่างง่ายดาย “แต่ผมกลัวนะว่าเราจะไม่ได้ตัวเขามา ผมกลัวว่าแผนการของเราจะไม่สำเร็จ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด



            “เมฆ…” พันธิตเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงปรานี “มันจะต้องสำเร็จสิ”



            ม่านเมฆนิ่งไป เขาค่อนข้างกังวลเพราะนี่คืองานใหญ่ครั้งแรกของตนเอง และรู้ว่าพันธิตคิดอะไรอยู่ถึงเริ่มให้งานเขามากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายนั้นเคยบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาครั้งหนึ่งว่าตำแหน่งหัวหน้านี้...ต้องการให้เขาสืบทอดต่อไป นั่นทำให้ม่านเมฆเริ่มกดดันตัวเองมากขึ้น



            “แต่ผมเพิ่งฉายเดี่ยวงานนี้งานแรก ผมไม่มั่นใจ” ชายหนุ่มแย้ง แม้ต่อหน้าของเหมันต์และเซลีนจะเห็นว่าม่านเมฆนั้นเยือกเย็น ไม่เคยมีท่าทีสะทกสะท้านรู้ร้อนรู้หนาวใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าเมื่ออยู่ตามลำพังหรือบางครั้งอยู่ต่อหน้าพันธิต ม่านเมฆจึงคล้ายกับจะมีท่าทีหวั่นไหวและไม่มั่นใจในตัวเองอยู่บ้าง ถึงเขาจะเป็นผู้ชายไร้อารมณ์อย่างที่พยายามแสดงออก แต่อย่างไรม่านเมฆก็ยังเป็นมนุษย์...เมื่อถึงจุดกดดันที่สุดอย่างเช่นในงานวันนี้ เขาจึงอดแสดงความวิตกออกมาไม่ได้



            “ไม่หรอก นี่ไม่ใช่งานแรกของเมฆเสียหน่อย คิดซะว่ามันก็คืองานปกติของเรานี่แหละ” พันธิตปลอบคนตื่นเต้น



            “แต่อีธาน เฉินยิ่งใหญ่กว่าพวกนั้นมากนะครับ” ไม่ใช่พวกผู้ร้ายกระจอกๆ ที่เขาเคยจับมา



            ชายหนุ่มแย้งออกมาอย่างไม่มั่นใจ



            “ไม่หรอก อีธาน เฉินก็คนธรรมดาเหมือนกัน” พันธิตเอ่ยกับลูกบุญธรรมของเขา มองม่านเมฆแล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่านี่ครั้งแรก...เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอารมณ์อันหลากหลายจากม่านเมฆ เพราะตลอดมาสิ่งที่เขาเคยเห็นนั้นมีเพียงสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์เท่านั้น



            “ทำไมหัวหน้าถึงไว้ใจให้เมฆทำงานนี้ล่ะ ทั้งๆ ที่มันสำคัญ...” มากด้วย ม่านเมฆได้แต่ต่อคำนี้อยู่ในใจ



            “ผมเชื่อในตัวเมฆ นั่นแหละคือเหตุผล” พันธิตตอบ มองดวงหน้าหล่อเหลาที่มีแว่นตากรอบดำอันโตอยู่บนนั้น ม่านเมฆอาจจะไม่ได้หล่อสะดุดตาผู้คนอย่างเหมันต์ ทว่าม่านเมฆกลับมีดวงหน้าที่ทำให้มองแล้วไม่อาจละสายตาจากเขาได้ เป็นความสงบทุกครั้งที่อยู่กับเขา



            “เอาล่ะ กลับมาทำงานได้แล้ว” พันธิตเอ่ยพลางเอามือตบลงบนเก้าอี้ข้างกายตัวเขา ซึ่งเป็นที่นั่งของม่านเมฆก่อนหน้านี้ “ตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มปะทะกันแล้ว”







๐๐๐๐๐







            เป็นความสำเร็จของเหมันต์ เซลีนและอีกหลายคนที่ร่วมทีมปฏิบัติภารกิจที่หินที่สุดงานหนึ่งโดยแท้...



            หลังจากที่ตัดหน้าตำรวจกับพวกอินเตอร์โพลมาได้อย่างฉิวเฉียด เหมันต์ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมปฏิบัติการครั้งนี้ก็นำตัวมาเฟียใหญ่กลับมายังองค์กรได้ ซึ่งพันธิตต้องการตัวเขามาก และเหมันต์ก็แค่คุมตัวเขาเอาไว้ รอเวลาแล้วส่งตัวให้แก่พันธิตเท่านั้น ซึ่งตอนนี้พันธิตไม่อยู่เนื่องจากหัวหน้าซึ่งพ่วงตำแหน่งพ่อบุญธรรมนั้นเดินทางไปธุระสำคัญพอดีในช่วงก่อนงานจะจบ ได้แต่สั่งความเอาไว้เพียงแค่ว่าให้ดูแลอีธาน เฉินให้ดีเท่านั้น



            ในตอนที่เหมันต์พาอีธาน เฉินมาถึงที่นี่เป็นช่วงตอนกลางคืนแล้ว ก่อนจะพาเข้าทางลับอีกด้านซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับทางเข้าสู่ชั้นใต้ดินขององค์กรโดยตรง ม่านเมฆได้แต่จับตามองความเคลื่อนไหวเหล่านั้นผ่านกล้องวงจรปิดด้วยหัวใจที่เต้นระทึก



            ผู้ชายที่เกือบจะทำให้แผนการของเขาล่มกำลังก้าวเข้าสู่มือของเขาแล้วและม่านเมฆก็มั่นใจมากพอว่าห้องนิรภัยที่เขาคิดค้นอุปกรณ์การตรวจจับเองกับมือนั้นจะทำให้ผู้ชายคนนี้หนีไปไหนไม่รอด ต่อให้อีธานมีปีกก็หนีไม่รอดจากเงื้อมมือของเขาแน่ๆ เขามั่นใจ



            เหมันต์และเซลีนส่งตัวอีธาน เฉินมาให้เขา ม่านเมฆมองอาชญากรหนุ่มด้วยสายตาเป็นประกายพร่างพราว มันบ่งบอกชัดถึงความรู้สึกที่ว่าเขาทำได้สำเร็จ ผู้ชายคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องการเอาตัวรอดในทุกๆ สถานการณ์ แต่ทว่าตอนนี้อีธานอยู่ในกำมือของเขาแล้ว มันออกจะเป็นอีโก้เล็กๆ นั่นแหละที่เขาวางแผนจับตัวมาเฟียคนนี้มาได้ ม่านเมฆมั่นใจว่าอย่างนั้น แต่จะไม่ให้เขาภาคภูมิใจได้อย่างไรกับความสำเร็จในวันนี้



            “เอาตัวเขาไปไว้ในห้องนั้นเลยพี่เหม ใช่ อย่าถอดกุญแจมือเขาออกใส่ไว้อย่างนั้นแหละ”



            ม่านเมฆเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนเด็กเล่นขายของ



            “มานั่งดีๆ ซะเมฆ อีธาน เฉินไม่ใช่สัตว์นะ จะได้ไปเกาะกระจกดูแบบนั้น” เหมันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นม่านเมฆเอาแต่ยืนชิดกับกระจกนิรภัยบานใหญ่ เผยให้เห็นว่าภายในห้องนั้นมีร่างสูงใหญ่ของมาเฟียหนุ่มราชายาเสพติดอยู่ในนั้น และทั้งๆ ที่เขาก็ยืนอยู่เฉยๆ และมองอีธานด้วยความสนอกสนใจที่พยายามสงวนท่าทีแล้ว แต่เหมันต์ก็ยังมองออกจนได้ว่าเขาตื่นเต้นและสนใจผู้ชายคนนั้นมากแค่ไหน



            “ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นซะหน่อย” ม่านเมฆท้วง แต่ก็ยอมทำตามที่เหมันต์บอกแต่โดยดี



            “เอาล่ะๆ แล้วนี่ต้องให้อยู่เป็นเพื่อนไหม” เหมันต์เอ่ยถาม หลังจากขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดกับม่านเมฆ



            “ไม่เป็นไรหรอก พี่ไปพักเถอะผมอยู่ได้” ชายหนุ่มบอก ก่อนจะพูดต่อไปเมื่อเห็นว่าเหมันต์ยังมีสีหน้ากังวล “นี่ อยู่ได้จริงๆ นะไม่ต้องเป็นห่วงเลย ตัวเองเพิ่งกลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ ไปพักเถอะ อีกอย่างอีธาน เฉินอยู่ในห้องนั้นไม่มีทางออกมาได้อยู่แล้ว เขาเจาะระบบรักษาความปลอดภัยของผมไม่ได้หรอก”



            ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความมั่นใจ และเหมันต์เห็นอย่างนั้นก็ยืนนิ่งทบทวนอยู่ชั่วอึดใจจึงตอบตกลงในที่สุด และปล่อยให้ม่านเมฆอยู่เวรเฝ้านักโทษวีไอพีคนนี้เพียงลำพัง...








To be Continuous......



ยังแก้ตอนต้นๆ ไม่เสร็จเลยค่ะ

ยังไงขอแปะโฮลคำผิดไว้ก่อนน้า

แล้วเดี๋ยวเค้ากลับมาแก้ให้ค่ะ ^^

ช่วงนี้ก็จะอัพเร็วๆ หน่อยเพราะยังขยันอยู่ฮับ

ไม่ต้องกลัวไม่ได้อ่านจนจบหรือค้างน้า

เรื่องนี้แต่งจบแล้วค่ะ และผ่านพิจารณากับ สนพ. นึงแล้วด้วย

แต่เราจะลงให้อ่านเป็นตัวอย่างเรื่อยๆ เลยค่ะ แต่จะเว้นตอนพิเศษไว้สำหรับในหนังสือเท่านั้นค่ะ ^^

(แต่น่าจะมีบางตอนแหละที่ลงในเวบได้เนอะ)



*ปล. มีคนคอมเม้นต์ด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฮืออออ ดีใจที่มีคนอ่านด้วยยยย*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/






หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 5 : หลุดมือ [2] [UP 18.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 19-08-2018 02:10:10
มาแว้วว จัดไปวันละ 1 โหวตเพื่อกำลังใจน้า~  :กอด1:

ว่าแต่จับอีธานได้แล้วหรอ ทำไมง่ายจัง อันนี้ก็แผนของอีธานใช่มะ
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 5 : หลุดมือ [2] [UP 18.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-08-2018 12:15:35
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 5 : หลุดมือ [3] [UP 20.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 20-08-2018 21:13:29




นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ม่านเมฆลอบมองผู้ชายที่อยู่ภายในห้องขังนั้นด้วยท่าทีสนอกสนใจ



               อีธาน เฉินเป็นชายหนุ่มร่างสูง...เขาน่าจะสูงราวๆ ร้อยแปดสิบห้าเซ็นติเมตรเห็นจะได้ ชายหนุ่มกะคร่าวๆ คิ้วเข้มพาดเหนือดวงตาสีดำคมกริบ จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากบางเฉียบที่ตอนนี้เม้มแน่นสนิท ผิวขาวจัด ท่าทางเหมือนไอ้พวกหนุ่มสังคมที่ไม่ใช้สมองนอกจากเงิน แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่เห็นภายนอกเท่านั้น เพราะจากรายงานที่เขาหาได้เกี่ยวกับมาเฟียหนุ่มรายนี้ อย่างน้อยเชื่อได้แน่ๆ ว่าอีธาน เฉินฉลาดเป็นกรด เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงหนีเงื้อมมือตำรวจไม่ได้มานานหลายปี



               ม่านเมฆคิดและประเมินคนที่อยู่ในนั้นไปพร้อมๆ กัน



               ก๊อกๆ ๆ ๆ



               แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้ง เมื่อคนที่กำลังลอบมองอยู่กลับเดินเข้ามาเคาะกระจกนิรภัยตรงหน้าเขา ม่านเมฆกะพริบตาปริบๆ มองอีกฝ่ายเป็นเชิงถาม



               “ผมต้องการพูดกับคุณ”



               อีธาน เฉินเอ่ยสั้นๆ มองชายหนุ่มร่างเล็กที่สูงราวๆ ร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรโดยประมาณ ผมตัดสั้นที่เริ่มยาวถูกเจ้าของมัดรวบตรงท้ายทอยง่ายๆ เผยให้เห็นต้นคอเรียวดูบอบบางและบ่าเล็กที่อยู่ภายใต้เสื้อยืดคอวีสีเข้ม ตัดกับผิวขาวเหลืองออกซีดของคนที่ไม่ค่อยถูกแดด เน้นให้ม่านเมฆดูขาวจัดมากกว่าที่เป็นอยู่แถมดูซีดเผือดเป็นคนขี้โรค



               “มีธุระอะไร”



               เขาถามกลับ คิ้วเรียวของชายหนุ่มขมวดมุ่นเข้าหากัน ดวงตากลมโตภายใต้แว่นกรอบดำอันโตมองอีธานด้วยสายตาเป็นคำถามเช่นเดียวกัน



               อีธาน เฉินกระตุกยิ้มหยันตรงมุมปาก ต้องยอมรับว่าวินาทีแรกที่เห็นชายหนุ่มตรงหน้าเขาออกจะตกใจพอดู เพราะว่า ‘Mars’ ที่เล็งเอาไว้นั้นดูเด็กมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก!



               ผู้ชายตรงหน้ายามนี้ดูเหมือนเด็กมอปลายมากกว่าจะเรียนจบและเก่งกาจถึงขนาดเจาะระบบของเฉินซีซึ่งเป็นระบบจำลองของไตรแอดเข้ามาได้ แถมยังรอดพ้นจากเงื้อมมือของเขาไปได้อีกด้วย



               “ม่านเมฆสินะ” อีธาน เฉินเรียกชื่ออีกฝ่ายที่เขาได้ยินมา ก่อนหน้านี้เขาเองก็หาข้อมูลของที่นี่มาอย่างละเอียดเหมือนกัน และเขาก็ได้รู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับ ‘Mars’ ของเขาด้วย!



               อะไรหลายๆ อย่างที่แม้แต่ม่านเมฆเองก็ยังไม่รู้ และเขาก็มา...เพื่อทำให้อีกฝ่ายได้รู้



               “คุณรู้จักผมงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม



               “แน่นอนสิ” อีธานอบสั้นๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดไปว่า “คุณอยากรู้เรื่องพ่อของคุณหรือเปล่าม่านเมฆ” ดวงตาคมจ้องมองเขาพราวระยับ ไม่มีท่าทีตื่นกลัว ไม่มีความตกใจที่ตนเองถูกจับมาอยู่ที่นี่ ทำราวกับว่าเขาก็แค่มาเดินเล่นที่นี่แล้วกำลังจะออกไปเท่านั้น



               “คุณพูดเรื่องอะไร”



               อีธานยิ้ม ไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย ขณะเอ่ยต่อไปว่า



               “ม่านเมฆ เด็กกำพร้าที่นายพันธิตเลี้ยงดู ตอนนี้ทำงานอยู่ฝ่ายวางแผนวิจัยและพัฒนาขององค์กรที่นายพันธิตเป็นหัวหน้า...”



               “…”



               “นี่คือชีวิตของคุณสินะ...แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วพ่อแท้ๆ ของคุณคือใคร และใครที่ทำให้คุณเป็นเด็กกำพร้า”



               “อย่ามาพร่ำพูดอะไรไร้สาระ” ม่านเมฆบอกเขาอย่างหงุดหงิด และทำท่าจะเลิกสนใจอีธาน หากไม่เพราะคนตรงหน้าก็โพล่งขึ้นมาว่า



               “ผมรู้จักพ่อของคุณ”



               เขาชะงัก หันไปจ้องมองอีกฝ่ายตาดุ “ผมไม่มีพ่อ ผมเป็นเด็กกำพร้า พ่อของผมตายแล้วตั้งแต่ผมยังไม่เกิด ไม่มีทางที่เขาจะรู้จักคุณเด็ดขาด”



               “คุณมีพ่อนะ คุณรู้อยู่แก่ใจม่านเมฆ” อีธาน เฉินเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ถามจริงๆ ไม่อยากรู้เหรอว่าใครทำให้คุณเป็นกำพร้า ผมบอกคุณได้นะถ้าคุณปล่อยผมออกไปจากห้องนี้”



               “ทำไมผใต้องทำอย่างนั้น” ชายหนุ่มมองเขาด้วยสายตาดุดันมากกว่าเดิม



               “แหม…มันน่าอึดอัดออก” มาเฟียหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้างหยามหยัน “ผมรู้น่าว่าผมไม่มีวันหนีไปจากที่นี่ได้หรอก ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่เข้มจะตาย อันที่จริงผมว่าผมคงไม่สามารถหนีออกไปจากห้องใต้ดินนี้ได้ด้วยซ้ำ”



               “…”



               “ผมแค่อยากคุยกับคุณสบายๆ ...ในฐานะคนหัวอกเดียวกัน”



               “ผมไม่เหมือนคุณ” ม่านเมฆแย้งเสียงแข็ง ไม่คิดจะคล้อยตามเขาง่ายๆ



               “ไม่หรอก...เราเหมือนกัน” อีธาน เฉินเอ่ยเสียงนุ่ม “ผมรู้ คุณเองเจาะเข้าระบบของไตรแอดอยู่หลายครั้ง ต้องได้เรื่องอะไรดีๆ กลับไปอยู่แล้ว และคุณน่าจะต้องเคยเห็นโครงการ Kill แล้วล่ะสิ ไหนจะโครงการทดลองของสมัยก่อนที่มีชื่อของด็อกเตอร์ธันว์เป็นผู้ควบคุมอีกล่ะ”



               “…”



               “อย่าปฏิเสธไปเลยเมฆว่าคุณไม่อยากรู้”



               อีธาน เฉินเอ่ยกับเขาเสียงเยาะหยัน ม่านเมฆมองคนตรงหน้าด้วยสายตาชั่งใจและผสมไปด้วยความอยากรู้ที่ต้องยอมรับว่าเขาไม่รู้ว่าอีธาน เฉินรู้ได้อย่างไรว่าเขาเข้าถึงข้อมูลส่วนไหนของไตรแอดได้ไม่ได้ แต่อีธานก็ยั่วเขาได้ถูกจุดเพราะเขาต้องการรู้เรื่องไอ้สองโครงการนั่นพอดี



               สุดท้ายม่านเมฆก็ทำตามที่อีกฝ่ายเรียกร้อง เพราะเขามั่นใจได้ว่า ณ ที่แห่งนี้คืออาณาจักรของตนเอง เขาควบคุมมัน เขาเป็นเจ้าของมัน ซึ่งนั่นหมายถึงว่าไม่มีใครหนีออกไปได้หากเขาไม่ยินยอม! และถ้าอีธานฆ่าเขาตายในนี้ เขาก็จะต้องตายในนี้ด้วยกันเพราะคนข้างนอกก็จะไม่สามารถเจาะระบบเข้ามาได้เช่นเดียวกัน!



               อ้อ! เว้นแต่ผู้ชายที่เรียกตัวเองว่าดราก้อนมาช่วยเจาะระบบให้นะ ไม่อย่างนั้นม่านเมฆก็มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะว่าตั้งแต่เป็นแฮกเกอร์มา มีเพียงดราก้อนเท่านั้นที่ไล่ต้อนเขาให้เกือบจนมุมได้



               “อ่า…อิสรภาพ”



               อีธาน เฉินพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูก็รู้ว่าเสแสร้ง ในตอนที่เขาปลดกุญแจมือให้แก่อีกฝ่าย พร้อมกับยอมปล่อยให้อีธานออกมาข้างนอกห้องคุมขังนั้นได้



               เพราะชั้นใต้ดินทั้งหมดนี่ต่างหาก คือที่คุมขังที่แท้จริงของคนอย่างอีธาน



               “นายต้องการอะไรกันแน่อีธาน เฉิน”



               ม่านเมฆถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ พลางกอดอกมองอาชญากรตรงหน้าด้วยสายตาดุดันไม่เลิก



               “สิ่งที่ผมต้องการน่ะเหรอ”



               อีธาน เฉินก้าวเข้ามาหาเขาช้าๆ ขณะที่ม่านเมฆยืนนิ่ง อยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะตอบคำถามเขาว่าอย่างไร



               “…”



               “คือคุณ...ยังไงล่ะ Mars…” ชายหนุ่มพูดพลางประชิดเข้ามาใกล้ตัวเขา



               “ไม่มีทะ...!”



               และโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ม่านเมฆกลับพบว่าตนเองถูกอีกฝ่ายใช้มือสับต้นคอเขาอย่างแรงจนเธอทรุดฮวบและไม่ได้สติอีกเลย สิ่งสุดท้ายที่เห็นก่อนสลบก็มีเพียงรอยยิ้มร้ายกาจบนดวงหน้าหล่อเหลานั่นเท่านั้น



               อีธาน เฉินรับร่างของคนที่สลบไปแล้วเพราะถูกเขาตีที่จุดตรงบริเวณท้ายทอย ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปตรงประตูทางออกชั้นใต้ดินก็พบว่ามันถูกเข้ารหัสเอาไว้ ซึ่งเป็นรหัสใหม่และยากจะแก้ไข



               แวบหนึ่งเขาหันไปคนที่สลบเหมือนและถูกเขาจัดให้นอนราบกับพื้นด้วยสายตาหงุดหงิด นายตัวแสบ แอบเปลี่ยนรหัสอีกแล้ว! เขาเดินตรงไปยังคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมระบบทั้งหมดภายในของที่นี่และเริ่มลงมือปลดปล่อยตัวเองตั้งแต่วินาทีนั้น



               คนอย่างอีธาน เฉินไม่เคยจนมุมอยู่ในกำมือของใคร...ฉะนั้นถ้าไม่เต็มใจเดินเข้ามาก็อย่าคิดว่าจะกักขังคนอย่างเขาได้!

 






To be Continuous......



**ขออนุญาตรีไซเคิลทอร์กเดิมนะคะ 555**

ยังแก้ตอนต้นๆ ไม่เสร็จเลยค่ะ

ยังไงขอแปะโฮลคำผิดไว้ก่อนน้า

แล้วเดี๋ยวเค้ากลับมาแก้ให้ค่ะ ^^

ช่วงนี้ก็จะอัพเร็วๆ หน่อยเพราะยังขยันอยู่ฮับ

ไม่ต้องกลัวไม่ได้อ่านจนจบหรือค้างน้า

เรื่องนี้แต่งจบแล้วค่ะ และผ่านพิจารณากับ สนพ. นึงแล้วด้วย

แต่เราจะลงให้อ่านเป็นตัวอย่างเรื่อยๆ เลยค่ะ แต่จะเว้นตอนพิเศษไว้สำหรับในหนังสือเท่านั้นค่ะ ^^

(แต่น่าจะมีบางตอนแหละที่ลงในเวบได้เนอะ)



*ปล. มีคนคอมเม้นต์ด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฮืออออ ดีใจที่มีคนอ่านด้วยยยย*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 5 : หลุดมือ [3] [UP 20.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 21-08-2018 13:51:12
ติดตามจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 6 : กับดักเริ่มทำงาน [1] [UP 21.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 21-08-2018 23:25:13




“นายจะตามไปอย่างนั้นเหรอเมฆ!”

               ไคลน์ถามด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ ชายหนุ่มมองเพื่อนซี้ที่อยู่ในคราบของหนุ่มแว่นตาโตด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

               หลังจากที่ม่านเมฆทำผิดพลาดด้วยการปล่อยให้อีธานหนีไปได้ เขาก็เก็บของออกมาจากที่นั่น ละทิ้งทุกอย่างแม้กระทั่งกับการติดต่อกับพวกเหมันต์และเซลีนก็ไม่เว้น เขาไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากการหมกมุ่นกับการคิดหาวิธีไล่จับอีธาน เฉินกลับมาให้ได้

               เขารู้สึกผิดที่ประมาทจนทำให้อีธานหลุดมือไปจนได้!

               ทว่ามีเพียงบุคคลเดียวที่เขายอมติดต่อกับอีกฝ่าย ซึ่งก็คือไคลน์เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ของเขานั่นเอง

               “อือ" ม่านเมฆพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะหันไปพรมนิ้วมือกับแป้นคีย์บอร์ดอย่างรัวเร็ว เขาจะกำลังเริ่มเคลียร์งานที่ค้างคา จ็อบนอกที่รับจ้างแฮกระบบหาข้อมูลของลูกค้าที่เขารับงานเอาไว้ เป็นงานที่รับไว้ฆ่าเวลาไปวันๆ แล้วหาเงินเก็บไว้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งตอนนี้นับว่าฉุกเฉินแล้วเพราะเขาจะต้องใช้มันในการไล่ล่าหาตัวอีธาน เฉิน!

               คิดถึงผู้ชายท่าทางเย็นชา แต่ทว่ากลับกวนประสาทเป็นที่สุดคนนั้นแล้วเขาก็เจ็บใจแทบกระอัก เขาประมาทเองที่คิดว่าอีธานจะไม่มีวันหนีไปจากอาณาจักรชั้นใต้ดินซึ่งเป็นพื้นที่ของเขาออกไปได้ ทว่าม่านเมฆคิดผิดถึงทำให้การกักขังอีธานเป็นไปอย่างหละหลวม มิหนำซ้ำ...อีธาน เฉินยังจากไปพร้อมกับข้อมูลสำคัญขององค์กรของเขาอีกหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะคิดถึงคำพูดสุดท้ายเกี่ยวกับปริศนาของพันธิตและที่อีธานบอกอีกว่ารู้จักกับบิดาที่แท้จริงของเขาอีกล่ะที่อีธานทิ้งเอาไว้ก่อนจะไป เขาก็ยิ่งคลั่ง ทุรนทุรายหมายจะตามล่าตัวมาเฟียหนุ่มให้ได้!

               และเขาจะต้องทำมันให้สำเร็จด้วยตัวเองให้ได้...เพราะเขาไม่อยากให้เซลีนเอามาเป็นข้ออ้างในการถากถางเขาให้เจ็บใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว!

               “แกอย่าบ้านะเมฆ มันอันตรายมากรู้ไหม!” ไคลน์มองเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนจะโมโหอีธาน เฉินจนบ้าไปแล้ว นี่มันไม่ใช่ม่านเมฆที่เขารู้จักเลยสักนิด คนที่มีเหตุผลเหนืออารมณ์คนนั้น กำลังทำอะไรขาดสติ ขาดความยั้งคิดด้วยการพาตัวเองไปพบกับอันตราย! “อีธาน เฉินเป็นบุคคลอันตราย ถ้าแกจะรู้สึกผิดว่าแกทำให้เขาหนีรอดไปได้ ฉัน ไม่ก็เหมันต์จะไปตามจับกลับมาให้แกเอง" ไคลน์เสนอตัวขึ้น

               “ไม่" ม่านเมฆปฏิเสธทันควัน "ฉันจะต้องไปด้วยตัวเอง จะทำเรื่องนี้ให้จบด้วยตัวเอง"

               เหมันต์กับเซลีนจะไม่ได้มายุ่งในเรื่องนี้ เขาไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นๆ ที่ปล่อยให้อีธานหนีไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหมันต์ที่เหนื่อยยากกว่าจะจับตัวแชญากรรายนี้ได้ แค่เขากลับทำทุกอย่างพังไปหมด

               “แกอย่าบ้านะเมฆ!” อีกครั้งที่ไคล์ตะคอกใส่เพื่อนซี้อย่างอดทนไม่ไหวอีกต่อไป "แกไม่เคยฝึกปฏิบัติการ แกจะออกภาคสนามไม่ได้ มันอันตรายมาก” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าดื้อดึง ไคล์ก็เขย่าไหล่อีกฝ่ายอย่างเรียกร้องความสนใจผสมกับกรุ่นโกรธ “แกต้องฟังฉันนะเมฆ อย่าทำอะไรบ้าๆ แบบนั้น!”

               “ฉันคิดดีแล้วนะ”

               “งั้นแกก็ต้องให้ฉันไปด้วย” ไคลน์เสนอขึ้นทันควัน หลังจากที่ค้นพบแล้วว่าตนเองไม่อาจห้ามม่านเมฆได้เลย

               หมอนี่จะมีชีวิตรอดจากเงื้อมมือของอีธาน เฉินได้ยังไง ม่านเมฆไม่เคยฝึกภาคสนาม วันๆ เขาเอาแต่ขลุกอยู่กับคอมพิวเตอร์ ไม่ก็ห้องแล็ปเพื่อคิดค้นสิ่งประดิษฐ์เพื่อใช้สอยในองค์กร ท่าทางเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่วันๆ ใช้แต่สมอง แค่ให้ออกแรงวิ่งเหยาะๆ ก็ถือว่ากินแรงหมอนี่มากแล้ว และอย่างนี้จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง

               ม่านเมฆทำแบบนี้เหมือนเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งชัดๆ !

               “...”

               ม่านเมฆไม่ตอบอะไร เขาหันไปสนใจเคลียร์งานของตนเองตามเดิม แล้วท่าทีดื้อดึงผสมกับหมกมุ่นไม่สนใจสิ่งรอบข้างนอกจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้าก็ทำให้ไคลน์ได้แต่ถอนหายใจยาว เอาเถอะ...ช่วงนี้จะปล่อยม่านเมฆให้โกรธพลุ่งพล่านไปก่อน แล้วค่อยมาตามจับตาดูหมอนี่ให้ดีๆ ก็แล้วกันว่าอย่าให้หนีไปไหนได้...







๐๐๐๐๐

               “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะครับ”

               เชสเอ่ยทักทายผู้เป็นเจ้านาย เนื่องจากว่าครั้งนี้ตามแผนการแล้วเขาและผู้เป็นเจ้านายได้แยกกันไปตามแผนการของอีธาน อีกฝ่ายให้เขาคอยดูแลและช่วยเหลืออยู่ที่นี่ ขณะที่อีธานซึ่งเดินทางไปยังเมืองไทยก็ไปตามหา 'คนๆ นั้น' ตามที่อีกฝ่ายบอกเอาไว้และให้เขาคอยซัพพอร์ตแผนการและดูแลแก๊งกับบริษัทที่ฮ่องกง…ซึ่งทุกอย่างก็จบลงและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี...

               “อือ" อีธานตอบสั้นๆ ในขณะที่ก้าวเดินเข้าไปภายในบ้านแล้วตรงดิ่งไปยังห้องทำงาน "ที่นี่เป็นไงบ้าง"

               “ปกติดีทุกอย่างครับ"

               เชสตอบในขณะที่ก้าวเดินตามผู้เป็นเจ้านายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงห้องทำงานบนชั้นสอง อีธานผลักประตูเข้าไปโดยมีเชสตามเข้ามาแล้วปิดประตูตามหลังให้

               “อืม..." อีธานตอบรับในลำคอด้วยท่าทีเรียบเฉย พลางหมุนตัวแล้วทรุดนั่งลงบนเก้าอี้หนังซึ่งตั้งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ของเขา โดยมีเชสที่ยืนอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของเขาคั่นกลางคนทั้งคู่ไว้ มือขวาคนสนิทเผยสีหน้ากลัดกลุ้มออกมาเมื่อลอบสังเกตแล้วว่าเจ้านายของตนนั้นดูท่าทางสบายดีและไม่มีท่าทีบาดเจ็บอะไร ก่อนจะพูดเป็นเชิงบ่นออกมาให้อีธานฟังว่า

               “ว่าแต่เจ้านายไปทำอีท่าไหนล่ะครับถึงเกือบถูกจับได้ เล่นเอาผมงี้หัวใจเกือบวายตาย คิดว่าเจ้านายจะต้องเสร็จพวกตำรวจแน่ๆ” เขาถามอย่างสงสัย อีธานไปเมืองไทยคราวนี้น่าตื่นเต้นเหลือเกิน แผนการของอีกฝ่ายแต่ละอย่างนั้นชวนให้คนเป็นลูกน้องอย่างเขาแทบจะหัวใจวายตาย ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายถูกจับตัวไปโดยพวกองค์กรอื่น เขางี้แทบจะลมจับ เพราะตอนแรกที่ตกลงกันคือจะล่อแต่พวกตำรวจฮ่องกง อินเตอร์โพล แล้วอาจรวมถึงตำรวจไทยเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะมีองค์กรอื่นมาแทรกแซงเช่นนี้เพราะก่อนจะไปนั้นมาเฟียหนุ่มผู้เป็นเจ้านายไม่ได้เอ่ยอธิบายแผนการหรือกระทั่งเรื่องราวส่วนอื่นๆ ให้เขาฟังมากนัก มีเพียงคำสั่งที่ทิ้งเอาไว้ให้เขาปฏิบัติตามเท่านั้น

               “ไม่หรอกน่า...” อีธานปลอบลูกน้องคนสนิทด้วยน้ำเสียงเย็นชา เชสเป็นคนฉลาด เขาว่าเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากอีกฝ่ายก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ที่บ่นๆ ออกมาเมื่อครู่ก็แค่อยากจะระบายมากกว่าจะรู้สึกอย่างที่ปากพูดนั่นแหละ

               “แล้วไปเมืองไทยครั้งนี้เป็นยังไงบ้างครับ" เชสเปลี่ยนเรื่องถาม อันที่จริงก็ไม่น่าจะเรียกว่าเปลี่ยนเท่าไหร่นัก เพียงแต่เขาถามถึง 'จุดประสงค์' ที่แท้จริง...ที่ทำให้เจ้านายของเขาถ่อสังขารไปเมืองไทย แล้วเอาตัวเองเป็นเป้าล่อพวกหมาตำรวจเสียล่ะมากกว่า

               คราวนี้รอยยิ้มหยันผุดขึ้นบริเวณมุมปากได้รูปสวยของมาเฟียหนุ่ม ดวงตาคมกริบตวัดมองคนถามพลางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทว่าให้ความรู้สึกกวนอารมณ์ได้ชะงักนัก “ก็ดี เจอผู้คนเยอะดี ได้รู้อะไรใหม่ๆ ด้วย"

               “...”

               คำตอบล้อเล่นด้วยน้ำเสียงเย็นชาทำเอาเชสได้แต่ยืนนิ่ง ไม่คาดคิดว่าเจ้านายจะอารมณ์ดีถึงขนาดล้อเลียนเขาแบบนี้ และเพราะรับมุกไม่ทัน เขาจึงได้แต่นิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอีธานได้แต่โคลงศีรษะอย่างอ่อนใจกับท่าทีไม่รับมุกของคนสนิท จึงยอมเอ่ยปากตอบข้อสงสัยของอีกฝ่ายในที่สุด

               “แล้วก็...ถ้านายสงสัยนะ ฉันเจอคนๆ นั้นแล้วด้วย" เขาตอบเพียงเท่านั้น เชสก็พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นตะลึง ทว่าอีธานไม่สนใจ "เอาล่ะ ทีนี้ฉันมีงานให้นายทำ"

               เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน เป็นสัญญาณบ่งบอกชัดว่าเรื่องล้อเล่นนั้นจบลงแล้ว

               “ครับ?”

               เชสเอ่ยเสียงสูงจนมันกลายเป็นประโยคคำถาม ด้วยเมื่อครู่ไม่ทันฟังสิ่งที่เจ้านายพูดเสียเท่าไหร่ เนื่องจากมัวแต่ตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เขาเอง...รู้ดีแก่ใจว่าเจ้านายกำลังตามหาคนที่จะมาช่วยไขปริศนาทุกอย่างมาตลอด ทว่าไม่เคยคิด...ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าผู้เป็นเจ้านายจะตามหาคนๆ นั้นเจอเสียแล้ว

               ไม่รู้ว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี เพราะนั่นหมายถึงว่า...เวลาแห่งการแก้แค้นก็เริ่มต้นจับเวลาแล้วเหมือนกัน

               ชีวิตแลกชีวิต...นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจของเจ้านายหนุ่มซึ่งเขารู้ดีที่สุด เพราะเป็นหนึ่งในคนที่ได้เห็นและรับรู้ทุกเหลี่ยมมุมของความรู้สึกในยามที่เจ้านายของเขาเสียสูญ...ก่อนจะลุกขึ้นมาใหม่พร้อมกับความโหดเหี้ยมในหัวใจมากกว่าเดิม




To be Continuous......



**ขออนุญาตรีไซเคิลทอร์กเดิมนะคะ 555**

ยังแก้ตอนต้นๆ ไม่เสร็จเลยค่ะ

ยังไงขอแปะโฮลคำผิดไว้ก่อนน้า

แล้วเดี๋ยวเค้ากลับมาแก้ให้ค่ะ ^^

ช่วงนี้ก็จะอัพเร็วๆ หน่อยเพราะยังขยันอยู่ฮับ

ไม่ต้องกลัวไม่ได้อ่านจนจบหรือค้างน้า

เรื่องนี้แต่งจบแล้วค่ะ และผ่านพิจารณากับ สนพ. นึงแล้วด้วย

แต่เราจะลงให้อ่านเป็นตัวอย่างเรื่อยๆ เลยค่ะ แต่จะเว้นตอนพิเศษไว้สำหรับในหนังสือเท่านั้นค่ะ ^^

(แต่น่าจะมีบางตอนแหละที่ลงในเวบได้เนอะ)



*ปล. มีคนคอมเม้นต์ด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฮืออออ ดีใจที่มีคนอ่านด้วยยยย*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 6 : กับดักเริ่มทำงาน [1] [UP 21.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 22-08-2018 05:26:00
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 6 : กับดักเริ่มทำงาน [2] [UP 22.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 22-08-2018 22:04:06





“ตามจับตาดูผู้ชายคนนี้เอาไว้ให้ดี"

               คำตอบของอีธานปลุกให้เชสหลุดออกจากภวังค์ความคิด เขากะพริบตาปริบๆ เร็วๆ สองสามทีเรียกสติให้กลับคืนมา ก่อนจะรับคำสั่งนั้นอย่างรวดเร็ว

“ได้ครับ...ว่าแต่เขาคือใคร” มือขวาหนุ่มถามกลับ พลางมองหน้าเจ้านายเขม็งอย่างรอคอย

               อีธานนิ่งไปนิด คิดถึงบุคคลที่เขาต้องการตัวมากที่สุดแล้วอดถอนใจยาวไม่ได้

               คนที่เขากำลังคิดถึงในเวลานี้คือผู้ชายผิวขาวซีด ใบหน้าเรียวเล็กและดวงตาคมกริบถูกซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตากรอบดำอันโตแสนเชย ท่าทางภายนอกเหมือนพวกที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง แล้วเหมือนจะล่องลอยนิดๆ เสียด้วยซ้ำ แต่ทุกคำพูดและสิ่งที่ฝ่ายนั้นยอกย้อนเขาในยามที่เผชิญหน้ากันก็อดยอมรับไม่ได้ว่าหมอนั่น...ก็เหมาะสมดีที่จะเป็นบุคคลที่เขาตามหา

               สิ่งเดียวที่ม่านเมฆพลาดในครั้งนี้เป็นเพราะด้อยประสบการณ์กว่าเขา และไม่กล้าได้กล้าเสียอย่างเขา ถึงจับเขาไม่ได้ แต่นั่นแหละ เพราะเขาจงใจให้มันเป็นแบบนี้

               และมันก็จะต้องได้ผล เขาคิดว่ามันต้องได้ผล เพราะบางครั้งคนที่ทะนงตัวเองว่าฉลาดๆ ก็ทนความเย้ายวนของการถูกท้าทายไม่ไหวหรอก และอีธานก็รู้ว่าม่านเมฆเองก็อยู่ในข่ายนั้นเช่นเดียวกัน

               สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือเฝ้ารอ...และต้องคิดล้ำหน้าให้มากกว่าอีกฝ่ายให้ได้ มิฉะนั้นเขาจะก้าวพลาดและจะสูญเสียหมดทุกอย่าง หมากกระดานนี้ที่ควรจะปิดได้ในเร็ววัน อาจจะกลายเป็นชะงักงันและไร้ซึ่งทางแก้ไข...ตลอดกาล

               “ม่านเมฆ…”

               มาเฟียหนุ่มเอ่ยชื่อคนคนนั้นออกมาในที่สุด คนที่เขาตามหามาตลอด...คนที่ท้าทายเขาแล้วรอดตัวกลับไปได้ คนที่เขาให้ความสนใจ...และอยากจะผลักไสให้ห่างออกไปเช่นเดียวกัน

               เพราะถ้าอีธานจับอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ได้...ม่านเมฆก็คือตัวอันตรายคนหนึ่งเลยทีเดียว!

               ทีท่านิ่งเฉยของเชสบ่งบอกว่าเขากำลังรอคำสั่งต่อไปอยู่ และไม่นานอีธานก็เอ่ยต่อ “ฉันต้องการตัวผู้ชายคนนี้ และเมื่อไหร่ที่เขามาฮ่องกง จับตัวเขาเอาไว้ให้ได้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไปเป็นอันขาด" เขาเน้นย้ำตอนท้ายเสียงหนัก

               ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงทุนทำลงไปมันจะสูญเปล่าถ้าเพียงแต่เขาจะจับตัวม่านเมฆไม่ได้

               ม่านเมฆ...คือคีย์แมนที่เขาจะใช้ไขปริศนาที่ค้างคาใจมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับการตายของพอลลีน อีกฝ่ายคือความหวังเดียว และคือคนๆ เดียวที่จะทำได้

               ม่านเมฆจะตายไม่ได้...ถ้าเขายังไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร!

               “ได้ครับเจ้านาย"

               เชสรับคำสั้นๆ ทว่าดวงตาของเขาฉายประกายแข็งกร้าว เพราะสีหน้าของอีธานบ่งบอกชัดเจนว่า...ไม่คิดจะยอมรับความผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น!

 







               ภายในห้องนอนของม่านเมฆในขณะนี้กำลังคุกรุ่นไปด้วยบรรยากาศอึมครึม ไคลน์ยังถลึงตาดุใส่หนุ่มแว่นเพื่อนสนิทที่ทำท่าเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจฟังเขาที่พร่ำพูดกรอกหูอีกฝ่ายมาตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมา

               “ฉันบอกแกแล้วนะเมฆ ว่าไม่ให้แกไป" ไคลน์ย้ำเสียงหนักและดุดันใส่คนหน้าตายที่ไม่สนใจมองเขาเลยแม้แต่น้อย ม่านเมฆยังคงเอาแต่สาละวนรัวนิ้วกับแป้นคีย์บอร์ดจนเขาทนไม่ไหวต้องเข้าไปยืนอยู่เบื้องหลังของอีกฝ่าย แล้ววางมือลงบนบ่าของม่านเมฆหนักๆ “นี่แกฟังฉันอยู่หรือเปล่า?!”

               “ฟัง...”

               ม่านเมฆเอ่ยออกมาเป็นครั้งที่สามในรอบสองชั่วโมงด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ขณะที่สายตากลับเอาแต่จับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ตามเดิม

               ไคลน์ถลึงตาดุใส่เพื่อนสนิทที่ชักจะกวนโทสะเพิ่มมากขึ้นทุกที

“นี่! อย่าทำเสียงใส่ฉันแบบนี้นะเมฆ เมฆ! นายฟังฉันอยู่หรือเปล่า" เขาถามย้ำเป็นรอบที่สี่ เพราะยังคงเห็นว่าปฏิกริยาของม่านเมฆนั้นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังคงเฉยชาและสนใจแต่คอมพิวเตอร์ตรงหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

               สุดท้ายคนโดนก่อกวนก็ทนไม่ไหว อีกฝ่ายละมือจากแป้นคีย์บอร์ดของแล็ปท็อปเครื่องโปรด แล้วหันมาเผชิญหน้ากับสายลับหนุ่มเพื่อนซี้

               “ฟังอยู่ไคลน์ ย้ำอีกครั้งก็ได้ว่าฟังอยู่" เขาบอกด้วยน้ำเสียงเจือความหงุดหงิดนิดๆ เพราะถูกขัดจังหวะการทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูงมาก แต่กลับโดนไคลน์ก่อกวนตลอดเวลา

เขาคิดผิดแล้วที่เลือกเล่าเรื่องที่คิดจะไปตามล่าอีธานให้ไคลน์ฟัง เพราะคิดเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินอย่างเขาหายไปดื้อๆ จะได้มีคนรับรู้ว่า..เขาอาจจะตายไปแล้วเพราะภารกิจนี้

               รู้อย่างนี้เล่าให้เหมันต์หรือเซลีนฟัง สองคนนั้นอาจจะสนับสนุนแทนที่จะห้ามปรามก็เป็นได้ แต่เขามึนตึงกับเซลีนอยู่เพราะทำอีธานหายไป ส่วนเหมันต์ก็รู้อยู่ว่าช่วงนี้เจ้าตัวยุ่งมาก คงไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น

               ไคลน์เห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจยาว ว่าเซลีนดื้อแล้ว แต่เจ้าหล่อนกลายเป็นเด็กดีไปเลยเมื่อเจอกับม่านเมฆในเวอร์ชั่นนี้ คนเงียบๆ นี่พอบทจะไม่ฟังใคร ก็ไม่มีใครห้ามปรามได้เลยจริงๆ และเขาก็เล็งเห็นแล้วว่าคงไม่สามารถห้ามได้จริงๆ สิ่งที่ทำได้คงต้องร่วมกระโจนเข้าไปช่วยอีกฝ่ายเท่านั้น ถึงจะพอมองเห็นทางรอดของม่านเมฆได้บ้าง

               “ถ้านายอยากจะไปตามล่าตัวอีธาน เฉินนัก ฉันจะพานายไปเอง" ชายหนุ่มกัดฟันตัดใจพูดออกไปในที่สุด

               ทว่าม่านเมฆกลับนิ่วหน้า จ้องมองเพื่อนซี้ด้วยสายตาไม่เห็นด้วย “นายยังมีงานอยู่ ไม่น่าจะต้องลำบากกับฉัน...”

               “ไม่!”

               “…ไคลน์”

               “ฉันห่วงแกเมฆ" ไคลน์บอกออกไปตามตรง "แกไม่เคยออกภาคสนาม แกจะเอาตัวไม่รอด เชื่อฉัน เก็บไอ้ทิฐิบ้าๆ ของแกลงไปแล้วฉันจะช่วยแกเอง"

               “แต่แกยังมีงานต้องทำนะไคลน์" ม่านเมฆทักท้วงอย่างไม่ชอบใจนัก

               ไคลน์ส่ายหน้า ไม่ฟังคำคัดค้านของม่านเมฆอีกต่อไป “งานทางนี้ใกล้เสร็จแล้ว อีกอย่างฉันโคงานกับพี่หมี ยังไงก็ฝากพี่หมีดูแลได้"

               พี่หมีคือหัวหน้าทีมปฏิบัติการของไคลน์ ฝ่ายนั้นชื่อจริงอะไรเขาก็ไม่รู้ แต่โค้ดลับแทนตัวคือหมี พวกเขาและทุกๆ คนในทีมเลยชินเรียกพี่หมีไปโดยปริยาย

               ม่านเมฆเเห็นความตั้งใจของเพื่อนสนิทแล้วก็พูดไม่ออก เขาไม่คิดว่าเรื่องมันจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ไคลน์เองก็รู้ดีว่างานคราวนี้ไม่ใช่งานขององค์กร พวกเขาเรียกกำลังเสริมไม่ได้ บอกใครไม่ได้ มันเป็นภารกิจลับที่เสี่ยงต่ออันตราย และเสี่ยงชีวิตด้วย

               “โอเคๆ ไม่ต้องห่วงฉัน แกทำงานของแกให้เสร็จ ฉันรับปากว่าจะไม่ไปไหน" ม่านเมฆบอกแก่เพื่อนสนิทเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล ทว่าไคลน์ไม่คิดจะเชื่อ เพราะกลัวใจอีกฝ่ายว่าจะทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด

               “ถ้าแกหนีไปก่อน ต่อให้ต้องเสี่ยงฉันก็จะลากคอแกกลับมาเมฆ เชื่อฉันสิว่าฉันจะทำแน่ๆ " ไคลน์ขู่เอ่ยดักคอ จ้องมองม่านเมฆอย่างรู้เท่าทัน

               คนโดนขู่ได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ พลางพูดว่า “ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องขู่เลย"

               “อือ" ไคลน์รับคำอย่างไม่เต็มใจนัก แต่เห็นแก่ม่านเมฆที่ดูท่าอยากจะทำงานต่อแล้ว "นี่ก็ดึกแล้ว แยกกันไปนอนได้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่"

               ชายหนุ่มเอ่ยตัดบทแล้วทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง ซึ่งม่านเมฆก็ได้แต่โบกมือไปมาเป็นเชิงบอกลาด้วยสีหน้าชื่นมื่น เพราะตนเองจะได้ทำงานต่อเสียที

 







               ทว่าพอคล้อยหลังไคลน์ไปเท่านั้น มือขาวซีดของม่านเมฆก็ลดลงช้าๆ ดวงหน้ายิ้มละไมก็พลันเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย คนที่ก่อนหน้านี้ทำท่าหมกมุ่นกับงานกลับจัดการปิดคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นแล้วลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกมา

               “ขอโทษแกด้วยนะไคลลน์ แต่นี่เป็นความผิดของฉัน ฉันต้องแก้ไขมันด้วยตัวเอง" ชายหนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว ทว่ากลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองผู้ที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานะนี้ “ฉันไม่อยากดึงแกมาลำบากด้วยกัน ฉันจะตามจับอีธาน เฉินด้วยตัวของฉันเอง!”

               ม่านเมฆโกยข้าวของที่จำเป็นใส่ลงไปในกระเป๋าสะพาย มองดูนาฬิกาก็เห็นว่าอีกสองชั่วโมงจะถึงเวลาขึ้นเครื่องไปฮ่องกง ซึ่งเป็นไฟลท์สุดท้ายของวัน ขณะที่ปากก็ขมุบขมิบพูดด้วยความรู้สึกเจ็บแค้นถึงตัวต้นเหตุไม่หยุดปาก

               “ผู้ชายอย่างหมอนั่น ไม่ต้องออกแรงหรอกถึงจะจับได้อยู่หมัด ฉันเรียนรู้แล้วว่าการจะจับอีธาน เฉินให้ได้ต้องใช้สมอง ไม่ใช่ใช้แรง!”

               เพราะว่าหากอีธาน เฉินใช้แค่แรง...เขาคงไม่สามารถหนีออกไปจากห้องขังชั้นใต้ดินได้ แต่เพราะอีกฝ่ายใช้สมองและหาช่องโหว่ของมันเจอ อีธานถึงได้หนีไปได้พร้อมกับคำท้าทายและปริศนาที่ทำให้เขาดิ้นทุรนทุรายต้องตามไปถึงฮ่องกงเพื่อเค้นถามถึงความจริงพวกนั้นให้จงได้!

 







ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

               ชายหนุ่มร่างสูงเบี่ยงกายหลบ เมื่อร่างสูงโปร่งของผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินผ่านเขาไปด้วยท่าทีเร่งรีบ ซึ่งทันทีที่เห็นอีกฝ่าย เขาก็รีบต่อสายตรงไปยังผู้เป็นเจ้านาย ซึ่งรอคอยคำรายงานจากเขา

               'ครับ ท่านครับ ตอนนี้เขากำลังเดินตรงไปยังเกทแล้วครับ และเขากำลังเดินทางไปฮ่องกง' เขารายงานอย่างรวบรัด ขณะที่สาวเท้าเดินตามชายหนุ่มคนนั้นไปเรื่อยๆ

               'ตามไป ดูแลเขาให้ดีๆ อย่าให้คลาดสายตา'

               'ครับท่าน'

               เขารับคำ กับคำสั่งเข้มงวดของผู้เป็นเจ้านาย ทว่าก่อนที่จะกดวางสาย ฝ่ายนั้นก็สั่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จริงจังว่า 'มาถึงที่นี่เมื่อไหร่ ส่งตัวเขาไปที่เซฟเฮ้าส์ของฉันทันที เรื่องนี้ให้เงียบและเป็นความลับที่สุดเข้าใจไหม'

               'ครับท่าน...'

               เขารับคำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินตรงไปยังทางออกระหว่างประเทศ ตามผู้ชายคนนั้นไปอย่างห่างๆ ทว่าไม่ยอมให้คลาดสายตา!

 

 



To be Continuous......



*ปล. มีคนคอมเม้นต์ด้วย ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฮืออออ ดีใจที่มีคนอ่านด้วยยยย*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/


หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 7 : สิ่งที่ผมต้องการคือคุณ [1] [UP 22.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 23-08-2018 22:42:32

ตอนที่ 7

สิ่งที่ผมต้องการคือคุณ

             

               หลังจากรับกระเป๋าจากสายพานเรียบร้อย ม่านเมฆก็เดินตามป้ายทางออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงทางออก ภายในสนามบินเช็ก แล็บ ก็อกมีผู้คนขวักไขว่ ทั้งที่จะเดินทางออกนอกประเทศและเพิ่งเดินทางมาถึงฮ่องกงเช่นเดียวกันกับตนเอง

               ม่านเมฆกำลังเช็กข้อมูลที่เซฟเก็บไว้ในไอแพดของตนเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลการเดินทาง และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวกับฮ่องกงทั้งสิ้น และต้องยอมรับว่าเขาค่อนข้างมีปัญหากับมันพอสมควร เพราะถึงแม้จะเก่งกาจในตำรามากแค่ไหน แต่กลับเจอโลกภายนอกจริงๆ น้อยยิ่งกว่าน้อย เพราะความขี้เกียจที่จะออกไปไหน

               “รู้อย่างนี้ตอนเรียนออกมาข้างนอกบ้างก็ดี ทำไมมันไม่เหมือนในหนังสือหรือรีวิวเขียนบอกเลยนะ"

               ชายหนุ่มบ่นพลางเกาหัวแกร็กๆ พลางหันซ้ายหันขวา จากข้อมูลที่หามาจากอินเตอร์เน็ตบอกว่าเขาควรจะต่อรถไฟใต้ดินเพื่อเข้าไปยังโรงแรมที่จองเอาไว้ซึ่งอยู่ฝั่งเกาลูน เมื่อดูเวลาตอนนี้แล้วอาจจะต้องรอจนถึงช่วงเวลาที่รถไฟฟ้าใต้ดินเปิดใช้บริการจึงจะไปต่อได้ กับอีกทางเลือกคือเขาต้องขึ้นแท็กซี่เข้าเมือง

               ม่านเมฆถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ลากขาเดินไปตามทางที่ป้ายบอกทางไปยังจุดจอดรถแท็กซี่เพื่อเข้าเมือง

               “คิดผิดแล้วที่หนีไอ้ไคลน์มาคนเดียว รู้อย่างนี้พ่วงเอาหมอนั่นนั่นมาด้วยคนก็ดี อย่างน้อยก็มีเพื่อนละ”

               เขาบ่นพึมพำอย่างเสียดาย

 





               ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาคมกริบ หางตาชี้เฉียงขึ้นส่งผลให้เขาดูน่ากลัวดุดันไม่น้อย เขาไม่แม้แต่จะเหลียวมองสูงโปร่งของชายหนุ่มที่เดินสวนเขาไป ทว่าเขากลับสั่งคนข้างๆ รีบตามไปทันที

               “เตรียมประกบไว้ พอได้จังหวะเมื่อไหร่ให้จับตัวมาทันที"

               “ครับคุณเชส” ลูกน้องของเขารับคำอย่างเคร่งขรึม ขณะที่เริ่มขยับตัวตามชายหนุ่มที่ถูกชี้เป้าไปอย่างรวดเร็ว

               “ฉันจะไปรอที่รถ จะเริ่มลงมือเมื่อไหร่ส่งสัญญาณมาทันที เข้าใจไหม” เขาสั่ง ขณะออกเดินไปยังประตูทางออก ซึ่งมีคนของเขาจอดรถรออยู่

               เชสได้รับคำสั่งจากผู้เป็นเจ้านายให้ออกมาดักรอผู้ชายคนหนึ่ง เขาทำตามคำสั่งด้วยการมาที่นี่ และไม่นานก็เจอกับเป้าหมายที่ดูเป็นคนเรียบๆ ไม่มีอะไรสะดุดตา ไม่รู้ทำไมเจ้านายของเขาถึงต้องการตัวนัก

            แต่เอาเถอะ...ไม่นานเขาจะได้รู้

               ผู้ช่วยหนุ่มล้วงหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องเล็กออกมาระหว่างที่เดินไปยังจุดนัดหมายกับคนของตนเอง ชายหนุ่มต้องรายงานความคืบหน้าให้ผู้เป็นเจ้านายรับรู้

               “ตอนนี้เราเจอตัวเป้าหมายแล้ว สักพักจะรีบนำตัวไปส่งที่เซฟเฮ้าส์นะครับ"

               ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับ กระทั่งเชสเคิดว่าอีธานวางสายไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะตอนที่จะกดตัดสาย อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า

               “เชส...จำเอาไว้ล่ะว่าเอาตัวเขามาเงียบๆ ที่สุด เข้าใจไหม”

               น้ำเสียงของอีธานแม้จะฟังดูแผ่วเบาราบเรียบไร้อารมณ์ ทว่ากลับเป็นคำสั่งที่ผู้เป็นลูกน้องเช่นเขายากที่จะขัดขืน

               “รับทราบครับ"





               “พอเดินพ้นออกมาก็จะเจอทางไปต่อแถวแท็กซี่…” ม่านเมฆพึมพำข้อความที่ตนเองจำได้แม่นยำจากการอ่านรีวิวการเดินทางทางอินเตอร์เนต พลางเหลียวมองหาจุดสังเกตที่จะพาเขาเดินฃไปยังที่รอรถสาธารณะ ตามที่มีคนเขียนบอกทางเอาไว้ “จากนั้นก็...โอ๊ย คนจะเยอะไปไหนวะ ไม่รู้หรือไงว่ากูเวียนหัว”

               ชายหนุ่มบ่นอย่างหัวเสีย ส่วนใหญ่ต้องยอมรับว่าเขาเองนั่นแหละไม่ชินกับการอยู่ในที่ชุมชนและคนหมู่มาก นอกจากจะรู้สึกมึนๆ เพราะคนเยอะแล้ว การที่ไม่ชำนาญเส้นทางเอาเสียเลยก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและหัวเสียได้ง่ายมากๆ เนื่องจากรู้สึกว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองไร้ความสามารถเสียจนน่าโมโห

               ในระหว่างที่กำลังบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างหัวเสีย ความคิดของเขาก็มีอันต้องกระเด็นกระดอนหาย เนื่องจากจู่ๆ ก็มีบางอย่างแวบผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนสิ่งนั้นจะจงใจขวางทางเขาเสียด้วย ม่านเมฆที่สาวเท้าเดินอย่างรวดเร็วไม่สามารถหยุดฝีเท้าของตัวเองได้ทัน เขาจึงชนเข้ากับมันเต็มๆ

               พลั่ก!

               “โอ๊ย!” ชายหนุ่มร้องเสียงดังลั่นอย่างฉุนเฉียว นานๆ คนอย่างเขาจะรู้สึกโกรธได้ถึงขนาดนี้ เขายกมือขาวซีดขึ้นคลำบริเวณสันจมูก เพราะจากการชนเมื่อครู่ที่ผ่านมา ทำเอาแว่นตาที่เขาสวมกดทับลงบนสันจมูกเขาเต็มๆ จนเจ็บจี๊ดน้ำตาแทบเล็ด “นี่! ไม่คิดจะเดินให้มันดีๆ หรือไง...เฮ้ย!”

               ชายหนุ่มหยุดชะงักหลังจากที่เผลอบ่นยืดยาวในระหว่างที่หลับหูหลับตาคลำปลายจมูกและสันจมูกด้วยความเจ็บ เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าตอนนี้รอบกายเขาถูกรายล้อมไปด้วยชายฉกรรจ์ราวๆ สี่ห้าคน ทุกคนล้วนสวมสูทสีดำสนิทและมีสีหน้าเรียบเฉยขึงขังแบบเดียวกัน

               “สวัสดี...”

               คนที่เขาเดินชนเอ่ยทัก ฟังแล้วดูคล้ายกับเป็นมารยาทเสียมากกว่าที่อยากจะทักเขาจริงๆ

               ม่านเมฆขมวดคิ้วมุ่น “พวกคุณเป็นใคร”

               “อย่าสนใจว่าเราคือใคร แต่เราอยากให้คุณไปกับเรา” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ ม่านเมฆมองคนพวกนั้นเขม็ง เขากำลังประเมินว่าคนพวกนี้คือใครและกำลังเกิดอะไรขึ้นกับเขาในตอนนี้

               “ผมควรจะไปหรือไง” ชายหนุ่มถามกลับ ดวงตากลมโตหลังแว่นสายตาอันโตหรี่แคบลงด้วยท่าทีครุ่นคิด

               ตอนนี้เขาเริ่มรักษาท่าทางเรียบเฉยของตนเองได้แล้ว ไม่แสดงออกถึงความตื่นตระหนกหรือกระวนกระวายหวาดกลัวออกมา

               “สมควรครับ” คำตอบสั้นๆ หลุดออกมาจากชายชุดดำหน้าตาย “ถ้าคุณไม่อยากให้เราใช้กำลัง"

               “งั้นก็ใช้กำลังสิ” เขาท้าทาย พลางกวาดตามองผู้ชายสี่คนที่ประกบอยู่รอบตัวเขาเวลานี้

               แวบหนึ่งเขาเห็นแววขำขันในดวงตาของชายตรงหน้า ในยามที่อีกฝ่ายโต้ตอบกลับ “คุณไม่ควรท้าเรา คุณม่านเมฆ"

               “พวกคุณรู้จักผม!” ชื่อที่หลุดออกมาจากปากของเขา แม้จะไม่ได้ออกเสียงชัดเจนแต่ก็ฟังแล้วก็รู้ว่านั่นคือชื่อภาษาไทยของเขา ม่านเมฆขมวดคิ้วมุ่น สัญชาตญาณระวังภัยร้องเตือนให้เขาหนีจากสภาวะเสี่ยงภัยอย่างรวดเร็ว

               “ครับ” อีกฝ่ายตอบรับอย่างง่ายดาย

               “พวกคุณคือใครกันแน่” ม่านเมฆถามด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง ดวงตาหรี่แคบลงมองกลุ่มคนที่รายล้อมเขาอย่างประเมิน แล้วไม่กี่อึดใจต่อมาเขาก็ได้คำตอบ

               “เจ้านายของเราอยากให้คุณไปพบ ถึงตอนนั้นคุณก็จะได้รู้”

               คำตอบกำกวมนั้นกลับยิ่งทำให้ม่านเมฆหวาดระแวงเพิ่มมากขึ้น “งั้นเจ้านายของพวกคุณคือใคร?”

               “ท่านไม่ได้มีคำสั่งให้ผมบอกอะไรคุณด้วยสิ"

               ชายหนุ่มเงียบ แต่ท่าทีแข็งขืนของเขาก็ทำให้คนที่รับหน้าที่เจรจาและพาตัวเขาไปหาผู้เป็นเจ้านายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเดิม

               “ถ้าคุณอยากรู้ คุณคงต้องไปด้วยตัวเอง” เขาเอ่ยกระตุ้นและท้าทายเขาไปในคราวเดียวกัน

               “ผมคงไม่มีทางเลือกสินะ...”

               ม่านเมฆเปรย พลางปรายตามองไปรอบๆ ตัว คนพวกนี้จะยังคงพูดจาและปฏิบัติต่อเขาดี ตราบใดที่เขายังไม่คิดขัดขืนหรือมีแนวโน้มว่าจะหนี แต่ถ้าเขาแสดงออกเมื่อไหร่นั่นแหละ พวกนี้คงพร้อมที่จะใช้กำลังกับเขาแน่ๆ และเขาเองก็ชักอยากจะรู้แล้วว่าเจ้านายของคนพวกนี้เป็นใคร

               จะใช่คนที่เขาคาดเดาเอาไว้หรือเปล่า...

               “ครับ” อีกฝ่ายรับคำเสียงหนักแน่น เป็นการเปลี่ยนโทนเสียงครั้งแรกที่ทำให้เขาอดคิดอย่างประชดประชันไม่ได้ว่าตอนนี้แหละที่พวกเขาฟังดูเป็นคนไม่ใช่หุ่นยนต์รับคำสั่งมา “รับรองได้ว่าคุณจะไม่เป็นอันตรายแน่ๆ”

               “ทำไมถึงรับรองได้ล่ะ หืม?”

               ชายหนุ่มเลิกคิ้ว จ้องมองด้วยความรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงกล้ารับประกันความปลอดภัยของเขา

               และคำตอบจากคนหน้าตายก็ทำให้ม่านเมฆได้แต่กรอกตาไปมาอย่างระอา...

               “เพราะเจ้านายของเรา...ไม่ได้มีคำสั่งให้ 'ฆ่า' น่ะสิครับ"

 






To be Continuous......



*กำลังเริ่มลงฉบับรีไรท์ตอนต้นๆ อยู่นะคะ แปะโป้งไว้ค่อยๆ ลงน้า จุ๊บๆ*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 7 : สิ่งที่ผมต้องการคือคุณ [1] [UP 23.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 24-08-2018 06:27:32
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 5 : หลุดมือ [3] [UP 20.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 24-08-2018 11:49:40
นั่นไง! เมฆเอ้ย ชะล่าใจไปเป็นไงล่ะ อีธานหนีไปได้แล้ว
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 7 : สิ่งที่ผมต้องการคือคุณ [2] [UP 24.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 24-08-2018 22:57:56




“ผมกำลังพาเขาไปที่นั่นแล้วนะครับ...”

               คำรายงานนั้นส่งผลให้อีธานคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ จากนั้นเขาก็ระบายลมหายใจยาวอย่างรู้สึกพึงพอใจ นัยน์ตาสีดำสนิทฉายประกายรื่นรมย์

               “ดี…” เขาเอ่ยชมเชยปลายสาย ก่อนจะถามกลับ “แล้วเขาเป็นไง ขัดขืนหรือเปล่า”

               ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ ครั้งแรกที่เผชิญหน้ากัน เขาเห็นแววต่อต้าน กบฏ หรืออะไรที่แล้วแต่ที่เรียกได้ว่าเป็นความดื้อดึงอยู่ภายในตัวอีกฝ่าย

               ต้องยอมรับว่าถึงแม้ม่านเมฆจะฉลาด...ทว่ายังอายุน้อยและประสบการณ์ในการเผชิญโลกก็มีน้อย จึงถูกดึงเข้ามาในเกมของเขาอย่างง่ายดาย แต่ไม่นานหรอก ม่านเมฆจะรู้ตัวว่าตกอยู่ในแผนการของเขา

               แต่กว่าจะถึงเวลานั้น เขาน่าจะมีเวลามากพอที่จะกล่อมหรือไม่ก็บังคับม่านเมฆให้อยู่ข้างเขา!

               “ไม่ครับ...” เสียงปฏิเสธดังมาจากปลายสาย “แต่เขาสงสัยมากว่าเจ้านายคือใคร เราเลยเอาจุดนี้มาล่อ เขาเลยยอมมาแต่โดยดี”

               อีธานอดยิ้มไม่ได้ จริงๆ ม่านเมฆอาจรู้ตัวแล้วก็ได้ ถึงได้ยอมมาแต่โดยดี

               “ไม่มีใครตามเขามานะ” มาเฟียหนุ่มถามย้ำ ยังไม่ไว้วางใจเท่าไหร่นัก เพราะม่านเมฆคือคนสำคัญที่เขาตามหามานาน จะเสียไปไม่ได้!

               “ไม่มีแน่นอนครับ"

               “ดี งั้นฉันจะไปดักรอที่นั่นเลยแล้วกัน”

               ชายหนุ่มพูดจบก็ตัดสาย จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน จากที่ตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่เพื่อสะสางงานทั้งวัน เขากลับเปลี่ยนใจเพื่อไปดักรอพบคนที่เขาเพิ่งได้ตัวมาในกำมือ







               พอม่านเมฆขึ้นมาบนรถ ผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนทั้งหมดซึ่งนั่งรออยู่ในรถก็ทักทายเขาสองสามคำ ม่านเมฆคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้มาก แต่คิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายคือใคร

               ผู้ชายที่เป็นหัวหน้ายื่นผ้าสีดำสนิทผืนยาวมาให้ ม่านเมฆรู้ทันทีว่าฝ่ายนั้นต้องการให้เขาทำอะไร เขาได้แต่ไหวไหล่น้อยๆ แล้วจึงยินยอมแต่โดยดี เพราะไม่รู้ว่าจะขัดขืนไปเพื่ออะไร

               เล่มเกมพวกนี้ตามพวกเขาหน่อยจะเป็นไรไป...

               “พวกคุณจะพาผมไปที่ไหนน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นในที่สุด หลังจากที่นั่งปิดตาเงียบอยู่ราวๆ สิบนาทีเต็ม ความมืดมิดและความเงียบในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดี ตามหลักการ ประสาทสัมผัสด้วยการมองนั้นเป็นสัมผัสที่หยาบที่สุด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาอยากจะใช้มันมองสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวในตอนนี้มากกว่า เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกว่าพอจะควบคุมอะไรได้บ้าง

               “เดี๋ยวสักพักคุณก็จะรู้เองครับ”

               คำตอบจากคนที่นั่งอยู่ข้างกายเขาดังขึ้น น้ำเสียงเรียบเฉยของฝายนั้นบ่งบอกให้เขารู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกรำคาญหรือไม่พอใจในคำถามของเขาแต่กลับทำให้ม่านเมฆรู้สึกไม่พอใจ ซึ่งต้องยอมรับว่า เมื่อก่อนเขามักจะพูดอะไรต่อมิอะไรด้วยน้ำเสียงโทนนี้เช่นเดียวกัน

               เฉยชา ไม่ใส่ใจ...

               ทว่าตอนนี้ เพราะหลุดออกมาจากกรงที่ปกป้องคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยมาตลอดอย่างปัจจุบันทันด่วน ก็ทำให้เขาเริ่มตระหนักว่าบางครั้งมันก็น่าหงุดหงิดสิ้นดี

               ดูเหมือนการมาฮ่องกงครั้งนี้จะเริ่มเปลี่ยนแปลงเขาในหลายๆ อย่างเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

               วินาทีนี้ม่านเมฆบอกได้ทันทีว่าเกลียดความเฉยชาเป็นบ้า!

               “ถามจริงๆ เถอะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กๆ ที่ยากจะระงับได้ “เจ้านายของคุณเลี้ยงคุณด้วยอะไร ถึงได้ซื่อสัตย์กับเขาขนาดนี้"

               “คุณอยากรู้จริงๆ เหรอครับ?” ผู้ชายข้างกายยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชาเช่นเดิม แม้จะโดนผู้ชายตัวเล็กๆ กว่าข้างกายดูถูกก็ตามที

               “จริงสิ” ม่านเมฆตอบด้วยน้ำเสียงติดจะประชดประชัน “แล้วที่อยากรู้มากกว่าก็คือเขาเป็นใครนั่นแหละ"

               “อีกไม่นานหรอกครับก็จะถึงเวลา"

               “เวลา...เวลา...เวลา!” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหลมสูงขึ้นเรื่อย จากนั้นจึงพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างระบายความหงุดหงิดที่ยากจะระงับได้ “ทำไมชอบพูดคำๆ นี้กันจัง ไม่อยากตอบอะไร หรืออยากเตะถ่วงคำถามของผมก็อ้างแต่เวลา”

               เขาได้ยินเสียงคนข้างๆ หัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกอย่างแผ่วเบา “ก็พอๆ กับที่คุณพยายามจะใช้เวลาให้น้อยที่สุดในการเค้นเอาคำตอบจากผมมั้งครับ"

               “หึ...”

               “ไม่ต้องอารมณ์เสียหรอก” น้ำเสียงของเขาเหมือนกับกำลังปลอบโยนเด็กเล็กๆ มากกว่าชายหนุ่มเต็มตัวอย่างม่านเมฆ “ผมคิดว่าไม่เกินห้านาที คุณคงจะได้รู้คำตอบ"

               “ทำไมต้องรอ ตอบคำถามเดี๋ยวนี้เลยก็ได้"

               “เพราะว่าตอนนี้เราถึงที่หมายแล้วยังไงล่ะครับ เอาล่ะ ผมคงต้องขอปิดตาคุณต่อไปนะ"

               “ทำไม…”

               เขาถามอย่างสงสัย พลางลดมือที่กำลังจะดึงผ้าปิดตาลง และยังคงปล่อยให้มันอยู่ที่เดิม

               “ผมได้ยินมาว่าคุณเป็นคนฉลาดนะคุณม่านเมฆ...คุณไม่น่าถามคำถามนี้ผมเลย”

               ม่านเมฆยิ้มหยันกับคำพูดของเขา “ผมก็ไม่อยากถามคำถามโง่ๆ อย่างนี้นักหรอก แต่ว่าบางครั้งมันก็เป็นคำถามจำเป็นที่ต้องถามนะ"

               “เอาล่ะ คุณจะได้ไปถามคำถามนั้นกับเจ้านายของผมแล้วนะครับ”

               ม่านเมฆถูกมัดมือเอาไว้แน่นก่อนพาลงจากรถ มีคนคอยหิ้วปีกเขาให้ออกเดินเข้าไปในอาคารราวกับเป็นคนตาบอด ชายหนุ่มไม่ได้ขัดขืน เพียงแต่พยายามทำใจให้สงบ และอีกไม่นานเขาก็จะได้รู้ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นจริงหรือไม่

               ม่านเมฆถูกพาเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะพาออกเดินอีกครั้ง ไม่นานเขาก็ถูกพาเข้าไปภายในห้องห้องหนึ่ง และผ้าผูกตาเขาก็ถูกดึงออกไป

               “สวัสดีม่านเมฆ”

               เขาตัวแข็งทื่อ จ้องมองคนตรงหน้าเขม็ง

               เขารู้! ต้องเป็นอีธานนั่นแหละ เขารู้! เขาถึงเลือกที่จะเสี่ยงมาที่นี่ ที่ฮ่องกงนี่มีเพียงอีธาน เฉินนั่นแหละที่รู้จักเขา! แต่เขาแค่ลังเลว่าอาจจะไม่ใช่ เพราะว่าอีธานสมควรที่จะหลีกหนีเขาไปให้ไกล หลังจากที่หลุดรอดไปได้แล้วครั้งหนึ่ง

               อีธานรู้ทันเขา อย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าอีธานจะต้องรู้ความคิดและรู้ว่าเขาจะต้องตามอีกฝ่ายมาถึงที่นี่

               พวกเขาต่างล่อลวงกันและกันให้เข้ามาติดกับดักของแต่ละคน หลังจากที่ได้แต่ประลองกันเมื่อคราวที่แล้วในกระดานความคิด ทว่าที่เมืองไทยเขาก็ยังมีผู้ช่วย แต่ตอนนี้...มีเพียงตัวเขาคนเดียวเท่านั้น

               ในสนามนั้นม่านเมฆอาจจะชนะอีธานได้ เพราะเป็นพื้นที่ที่เขาชำนาญ แต่ในสนามนี้...ม่านเมฆยอมรับว่าเขาไม่รู้ว่าเขาจะเอาอะไรไปชนะมาเฟียหนุ่มตรงหน้า แต่เขาจะสู้สุดใจ เขาเป็นนักสู้ เขารู้ตัวดี สักวันเขาจะหาวิธีการได้ เพราะเปอร์เซ็นต์ชนะยังมี แม้จะน้อยแต่มันก็ไม่ใช่ศูนย์…

               และเขาจะพาอีธานกลับไปให้ได้!

               ม่านเมฆคิดอย่างทะนงตน

               “อีธาน เฉิน!”

               เขาครางเรียกชื่อเขาในลำคอ จ้องมองเขานิ่งด้วยความรู้สึกอันหลากหลายยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

               อีธานยิ้มให้เขาเหมือนครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้เขาถึงกับต้องกลั้นหายใจ!

               “สวัสดีมาร์ ยินดีที่ได้เจอคุณอีกครั้ง...”

               ม่านเมฆตัวแข็งทื่อ ไม่มีใคร...ไม่มีใครเคยเรียกชื่อนี้ของเขามาก่อน!

               เขาใช้นามแฝงนี้มานาน ทว่าแม้แต่กับคนสนิทที่สุดก็ยังไม่มีใครรู้ว่าในโลกของแฮกเกอร์เขาคือใคร แต่วันนี้คนตรงหน้ากลับรู้ว่าเขาคือมาร์

               ...นี่มันอะไรกัน?!

               ทว่าเมื่อคิดย้อนกลับไป ม่านเมฆพอหายตกใจแล้วก็รับรู้ได้ลางๆ ว่าคนตรงหน้าอาจจะเป็นคนที่เกือบทำให้เขาจนมุมได้ มีเพียงคนเดียว...

               “ดราก้อน!” เขาครางเรียกชื่อของแฮกเกอร์คนที่เกือบจะจับตัวเขาได้ คนที่ทำให้รู้สึกถึงคำว่า ‘เกือบพ่ายแพ้’

               “ครับ…” อีธานรับคำง่ายๆ เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มหยัน “แต่ยังไงเรียกผมว่าอีธานเหมือนเดิมดีกว่า”

               “คุณให้คนไปตามจับตัวผมงั้นเหรอ”

               ม่านเมฆถามออกไปอย่างรวดเร็ว อันที่จริงจะใช้คำว่าจับตัวมาก็เห็นจะไม่ถูกต้องนัก

               อีธานมองเขาด้วยสายตาคมกริบ แล้วกวาดตามองเขาที่มีท่าทีสบายดีไม่บุบสลายอะไร “เชสคงไม่ได้ทำอย่างนั้นหรอกใช่ไหม มันคงเป็นการเสียมารยาทมากที่จะทำอย่างนั้นกับคนสำคัญ...”

               ม่านเมฆกัดริมฝีปาก เขาไม่ได้มีความอดทนมากพอจะเล่นเกมตอบคำถามกับอีธานอีกต่อไปแล้ว

               “อย่าพูดจาโยกโย้อีกเลย คุณต้องการอะไรกันแน่"

               “คุณก็น่าจะรู้ตัวเองดีนะมาร์” อีธาน เฉินยังคงเรียกนามแฝงของเขา

               ม่านเมฆจ้องมองมาเฟียตรงหน้าเขม็ง ก่อนจะแก้ไขคำพูดของเขาด้วยท่าทีไม่ชอบใจนักที่อีกฝ่ายเรียกเขาด้วยชื่อนั้น “ขอโทษนะแต่ผมชื่อม่านเมฆ"

               “แต่คุณก็คือมาร์นี่...หรือจะปฏิเสธล่ะ” อีธานเลิกคิ้วขึ้นสูง มองคนตรงหน้าอย่างสงสัย แต่ไม่ว่าผู้ชายตรงหน้าจะเป็นม่านเมฆหรืออะไรก็ตามแต่ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาสนใจได้ก็คือตัวตนของ ‘มาร์’ ในเมื่อมาร์คือม่านเมฆ…เขาถึงต้องการตัวมาให้ได้!

               ม่านเมฆถอนหายใจยาว “จะเรียกอะไรก็ตามใจ แต่ช่วยตอบคำถามผมทีเถอะมิสเตอร์เฉิน"

               “คุณน่าจะรู้ดีที่สุดนะม่านเมฆ...” เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะเดาไม่ออกว่าเขาต้องการอะไร?

               “รู้ดีที่สุดอะไร...เดี๋ยวนะ” ชายหนุ่มหยุดชะงัก เมื่อคิดทบทวนถึงการกระทำทุกๆ อย่างที่ผ่านมาของอีธาน ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วจ้องมองเขาตาโต “คุณล่อผมมาที่นี่งั้นเหรอ!”

               “...หึ”

               “ใช่แน่ๆ” ชายหนุ่มย้ำด้วยสีหน้าที่เผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น “คุณให้คนตามผมตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว คุณถึงรู้ว่าผมอยู่ที่ฮ่องกง แล้วคุณ...คุณก็รู้ว่าผมจะต้องตามคุณมา”

               ใช่! มันต้องเป็นอย่างนั้น มันสมเหตุสมผลที่สุดแล้วที่จะเป็นอย่างนั้นกับการกระทำที่ผ่านมาของอีธาน เฉิน! เขาควรจะเอะใจมาตั้งนานแล้วว่าทำไมที่เมืองไทย เหมันต์ถึงจับตัวอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย และเพราะอะไรอีธานถึงเลือกเหมันต์ให้เป็นคนจับตัวเขา เพราะอีธานต้องการพบเขา!

แต่ว่า...นั่นทำไมล่ะ?

               หรือเพราะต้องการฆ่าเขาที่เจาะเข้าระบบของเฉินซี ไม่น่าจะใช่เหตุผลเพียงแค่นี้ เพราะตอนนั้นอีธานสามารถจัดการเขาได้แต่ไม่ทำ แถมยังยั่วโมโหเขา หนีจากกรงขังของเขา ทำลายความภาคภูมิใจของเขา และนั่นก็ทำให้เขาต้องมาตามล่ามาเฟียหนุ่มถึงที่นี่

               แต่ในความเป็นจริง ทั้งหมดอยู่ในการคาดการณ์ของอีธาน...ใช่ไหม?

               “ครับ...สมกับที่คุณฉลาดนะม่านเมฆ คุณเดาถูกหมดเลย” อีธานเอ่ยชมพร้อมกับปรบมือให้ด้วยสีหน้าเยาะหยัน

               “แต่ผมไม่เข้าใจ” ม่านเมฆสวนกลับทันควัน “คุณให้ผมมาที่นี่ทำไม”

               ชายหนุ่มถาม พลางจ้องมองด้วยสีหน้าคาดคั้น ถึงเวลาที่อีธานจะต้องพูดความจริงกับเขาแล้ว เขาถูกปั่นหัวมามากพอในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และเมื่อได้คำตอบ เขาก็จะลากคออีธานกลับไปด้วยกัน โยนให้คนอื่นสะสางต่อไป และจบเรื่องบ้าๆ พวกนี้ไปเสียที!

               “คุณก็รู้นี่ว่าผมคือดราก้อน...เราออกจะถูกคอกันนะม่านเมฆ ทำไมเดาความคิดผมไม่ได้ล่ะ"

               “...”

               “เห็นแก่ที่คุณมาถึงที่นี่ ผมจะยอมบอกก็ได้ว่าที่ผมไปเมืองไทย...ผมก็แค่อยากเจอคุณ”

               “...”

               “แผนการของคุณยอดเยี่ยมนะ มันเกือบสมบูรณ์แบบเลยล่ะที่คุณวางแผนจับผมจนได้ องค์กรของคุณก็ถือว่าเจ๋งกว่าพวกตำรวจเป็นไหนๆ เลย”

               พูดมาถึงตรงนี้อีธานก็ยักไหล่ คลี่ยิ้มหยัน ก่อนจะตอบด้วยท่าทีที่เขามองแล้วออกจะขัดตา เพราะมันแสดงให้เห็นถึงอีโก้ในตัวของผู้ชายคนนี้อย่างชัดเจน

               “แต่ผมคงต้องอวยตัวเองสักหน่อยว่าผมน่ะเจ๋งกว่า เพราะว่าผมหนีรอดออกมาได้”

               “มิสเตอร์เฉิน...” เขากัดฟันเรียกเขาอย่างพยายามระงับอารมณ์ เพราะคนตรงหน้าก็ยังไม่ยอมตอบคำถามของเขาอยู่ดี

               “อย่าโมโหสิ ที่ผมอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ไม่ได้อาศัยโชคนะหนุ่มน้อย ผมต้องอาศัยนี่...ตรงนี้" นิ้วชี้เรียวสวยเคาะข้างขมับของชายหนุ่มเบาๆ "ผมใช้สมองนะ ไม่อย่างนั้นผมจะวางแผนตลบหลังพวกคุณทุกๆ คนได้ยังไง"

               “...”

               “แล้วผมจะวางแผนล่อคุณมาที่นี่ได้ยังไง"

               “...”

               “จริงไหม?”

               “คุณต้องการอะไรกันแน่...มิสเตอร์เฉิน”

               ชายหนุ่มจ้องมองอีธานเขม็ง แม้จะรู้ว่าตัวเองติดกับคนตรงหน้า แต่พอถูกตอกย้ำเขาก็ไม่ชอบมันอยู่ดี

               อีธาน เฉินวางมือบนไหล่ของเขา จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา ก่อนจะตอบคำถามที่เขาอยากรู้ที่สุดออกมา

               “ผมต้องการอะไรอย่างนั้นเหรอ...นี่คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอ"

               “...”

               “ที่ผมต้องการน่ะก็คือ...คุณยังไงล่ะ!”

 





To be Continuous......

*แจ้งข่าวค่ะ ^^*

เรื่องนี้อย่างที่เคยแจ้งน่ะค่ะว่าผ่านการพิจารณาแล้ว

รูปเล่มตีพิมพ์กับ สนพ. โรส ในเครืออมรินทร์นะคะ

ยังไงก็ขอฝากด้วยน้าาาา



*กำลังเริ่มลงฉบับรีไรท์ตอนต้นๆ อยู่นะคะ แปะโป้งไว้ค่อยๆ ลงน้า จุ๊บๆ*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 7 : สิ่งที่ผมต้องการคือคุณ [2] [UP 24.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-08-2018 20:22:04
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 7 : สิ่งที่ผมต้องการคือคุณ [3] [UP 26.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 26-08-2018 20:52:01





ม่านเมฆปิดประตูห้องพักด้วยความโมโหหลังจากที่เพิ่งจะเข้าเช็กอินในโรงแรมที่จองเอาไว้ เขาถูกพาตัวกลับไปยังสนามบินตามคำสั่งของอีธาน ไอ้คนบ้านั่นตั้งใจจะแกล้งชัดๆ! หลังจากที่การเจรจาเมื่อสามชั่วโมงก่อนนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า

               เขารู้ว่าอีธานไม่พอใจ แต่เขาไม่อาจรับข้อเสนอของมาเฟียหนุ่มได้!

               ชายหนุ่มเหวี่ยงเป้ที่มีเสื้อผ้าไม่กี่ชุดไปที่เตียงก่อนบรรจงเอาลูกชายสุดที่รักออกมาจากกระเป๋าถืออีกใบวางไว้ข้างเตียง แล้วฉวยหยิบเอาผ้าเช็ดตัวของทางโรงแรมเดินเข้าไปในห้องน้ำ

               อย่างน้อยตอนนี้การอาบน้ำอาจจะทำให้สมองของเขาปลอดโปร่งคิดอะไรออกมาได้บ้าง

               เสียงน้ำกระทบกับพื้นดังไปทั่วห้องน้ำเล็กๆ ก่อนที่เขาจะก้าวไปยืนอยู่ข้างใต้นั้นช้าๆ ให้สายน้ำพัดพาเอาความเมื่อยล้าให้หลุดหายไปจากตัวเขา

               แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็อดคิดถึงตอนที่เจรจากับอีธาน เฉินไม่ได้อยู่ดี...

               'ที่ผมต้องการก็คือ...คุณยังไงล่ะ!'

            คำตอบของอีธานทำให้เขาเบิกตากว้าง มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา!

'ผม? จะบ้าเหรอ ผมไม่ใช่เกย์...ผม...'

เขาโบกไม้โบกมือ ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

ถึงเขาจะไม่เคยมีแฟนมาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบผู้ชายนะ โอเค ม่านเมฆไม่ได้จำกัดหรอกว่าตัวเองจะต้องรักแต่ผู้หญิง ทว่าเขาก็ไม่เคยรักใครมาก่อนอยู่ดี จู่ๆ ที่หมอนี่วางแผนล่อเขามาถึงที่นี่เพราะต้องการตัวเขา ให้ตายเถอะ เขาไม่ใช่สักหน่อย!

            อีธานหัวเราะ

'นี่คิดอะไรเนี่ย'

            'ก็…'

            ม่านเมฆหน้าแดงก่ำ รู้สึกอับอายกับความคิดบ้าๆ ของตัวเองนิดหน่อย

            'เอาเถอะ...' อีธานไม่สนใจความคิดของเขา 'ผมอาจจะพูดไม่ชัด ที่ผมอยากได้คือสมองและความสามารถของคุณ' มาเฟียใช้ปลายนิ้วเคาะขมับของเขาแผ่วเบา

            ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประเมินและพยายามจะหยั่งความคิดของเขา 'คุณต้องการอะไรจาก...สมองและความสามารถของผม'

            'เมื่อถึงเวลาผมก็จะบอกคุณเองนั่นแหละ' มาเฟียหนุ่มตอบง่ายๆ ทว่ากลับไม่ได้ให้ความกระจ่างชัดอะไรเลยแม้แต่น้อย 'แต่ว่าตอนนี้ผมจะถามคุณก่อนว่าคุณ...สนใจมาอยู่กับผมไหม?'

            '...'

            'ขอแค่มาอยู่กับผม ทำงานให้ผม...ผมให้คุณได้ทุกอย่าง'

            เขาจ้องมองอีธานอย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามาเฟียตรงหน้าจะชวนเขาเข้าร่วมกับกลุ่มไตรแอด ทั้งๆ ที่อีธานก็รู้ดีว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้ และอีกฝ่ายคงจะเห็นความดื้อดึงและการปฏิเสธอยู่ในแววตาของเขา จึงเอ่ยโน้มน้าวเขาอีกครั้ง...ด้วยสิ่งที่หมอนี่เคยพูดใส่หน้าเขามาก่อนหน้านี้แล้ว และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตามมาถึงที่นี่ นอกเหนือจากที่ว่าเขาทำผิดพลาดที่ปล่อยให้อีธานหนีออกมาได้

            'โดยเฉพาะเรื่องของพ่อคุณ...อย่างที่เราเคยพูดกันเอาไว้ ผมรู้เรื่องการตายของด็อกเตอร์ธันว์...พ่อของคุณ'

            'ผมไม่คิดจะหักหลังองค์กรของตัวเองแล้วร่วมมือกับอาชญากรอย่างพวกคุณ'

            ชายหนุ่มเอ่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เขาไม่มีทางเข้าร่วมกับมาเฟียอยู่แล้ว อีธานคือคนของไตรแอด คืออาชญากร เขาไม่คิดจะทำงานให้มาเฟียโดยเด็ดขาด!

            อีธานคลี่ยิ้มอ่อน มองเขาด้วยสายตาที่เขาอ่านไม่ออก แต่ที่แน่ๆ เขาเห็นแววหยามหยันโลกทั้งใบในดวงตาสีดำคมกริบของอีกฝ่าย

            'คุณคิดอย่างนั้นเหรอม่านเมฆ...'

            'ใช่…' ชายหนุ่มตอบอย่างหนักแน่น

            'น่าเสียดายนะ...' มาเฟียตรงหน้าเอ่ยเสียงแผ่วเบา และนั่นทำให้ชายหนุ่มต้องถามออกไปอย่างรวดเร็ว

            'เสียดายอะไร'

            'คุณเป็นคนฉลาดแต่ว่า...' เขาชะงัก และไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก

            ม่านเมฆมองเขาด้วยความสงสัยที่จู่ๆ อีธานก็หยุดพูดไปเฉยๆ 'แต่ว่าอะไร?'

            'สายตาในการมองอะไรของคุณแย่มากนะมาร์ เอาเถอะ... ถ้าโลกใบนี้ของคุณจะมีแค่ดีกับเลว สีขาวกับสีดำ นั่นก็เป็นสิทธิ์ของคุณ' ชายหนุ่มบอกเขาด้วยน้ำเสียงเฉยชา

            ม่านเมฆขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายสั่งสอนเขา 'และมันก็เป็นสิทธิ์ของผมที่คุณไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ มิสเตอร์เฉิน'

            'นั่นสิ...' อีธานคลี่ยิ้มหยันออกมา

            นับรวมวันนี้ เขายิ้มมากกว่าทั้งชีวิตรวมกันเสียอีก แม้ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความขบขันก็ตามที

            'เอาล่ะ เจอตัวคุณซะที ดี! ผมจะได้กลับเมืองไทยซะที' ม่านเมฆเปลี่ยนเรื่องพูด แล้วมองมาเฟียตรงหน้าด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เขาจะพาอีธานกลับไปให้ได้ และเมื่อมีโอกาส เขาก็จะไม่ปล่อยมันไป

            'หืม?'

            'และคุณก็ต้องกลับไปกับผม' ชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน และนั่นกลับทำให้อีธาน เฉินมองเขาราวกับว่าเขายังเป็นเด็กเล็กๆ ไม่ประสีประสากับอะไรทั้งสิ้น

            'คุณคิดว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้มันง่ายอย่างนั้นเลยเหรอม่านเมฆ'

            'มันก็ไม่มีอะไรยากไม่ใช่เหรอ?' ชายหนุ่มย้อนกลับ

            คราวนี้อีธานมองเขาด้วยสีหน้าท้าทาย

            'ถ้าคุณคิดว่าทำได้...ก็ลองดูสิ'

            'ผมต้องทำได้แน่ๆ '

            'งั้นคุณจะไม่มีวันนั้นแล้วล่ะ...'

            '…'

            ม่านเมฆเงียบ ปล่อยให้อีธานจ้องมองด้วยสีหน้าอิดหนาระอาใจราวกับว่าฝ่ายนั้นกำลังเบื่อหน่ายกับความดื้อดึงของเขา

            'เอาล่ะ ถ้าตกลงว่าจะอยู่กับผมได้เมื่อไหร่ก็ติดต่อมาแล้วกัน...แต่ถ้าไม่...ก็หาทางจับผมให้ได้แล้วกัน...ม่านเมฆ'

            มาเฟียหนุ่มเอ่ยท้าทาย และมองเขาราวกับว่าเขาจะไม่มีวันทำได้ ซึ่งม่านเมฆไม่คิดว่าจะไม่มีวันนั้น เขาต้องจับอีธานกลับไปให้ได้ และต้องทำให้สำเร็จ!

            เขาอยากจะลบสีหน้าดูถูกของอีกฝ่ายในวันนี้ออกไปจริงๆ !

            'ผมต้องทำให้ได้แน่ๆ!'

            'แล้วผมจะคอยดู' เขาเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตู เปิดออกกว้าง แล้วร้องเรียกลูกน้องของเขาที่ยืนรออยู่ด้านนอก 'เชส นายเข้ามานี่สิ'

            ผู้ชายที่ชื่อเชสเดินเข้ามาในห้อง และก็ทำให้เขารู้ว่าผู้ชายที่ยั่วประสาทเขาตั้งแต่อยู่บนรถเพื่อมาที่นี่ชื่อเชส และที่รู้สึกคุ้นหน้าก็เพราะอีกฝ่ายคือมือขวาของอีธานที่เขาเห็นจากรูปในยามที่หาข้อมูลเกี่ยวกับมาเฟียหนุ่ม

            'พาคุณม่านเมฆกลับไปส่งที่เดิมนะ'

            คำสั่งของอีธานทำให้ม่านเมฆเบิกตาโตอย่างไม่ชอบใจ 'นี่คุณ! ทำไมต้องเอาผมไปโยนไว้ที่สนามบินเหมือนเดิม'

            'คุณเริ่มต้นที่จุดของคุณ ผมก็เริ่มในที่ของผม...เสมอภาคกันออกม่านเมฆ หรือคุณว่าไม่จริง' เขาถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้ายียวน

            'นายมันกวนประสาท!'

            'ถ้าอยากให้ผมหยุด...คุณรู้ดีว่าคุณจะแลกได้ด้วย...อะไร?'

            “...”

            'โชคดีนะหนุ่มน้อย ผมรอคำตอบจากคุณอยู่ แล้วก็หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง'

            “...”

            'ทำงานให้กับคนที่ 'ฆ่า' พ่อตัวเองน่ะ...มันไม่สนุกหรอกนะ'

            'ไม่จริง!'

            ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงดังลั่น เขาไม่เชื่อในสิ่งที่เขาบอกหรอก ไม่ว่าในตอนนั้นหรือตอนนี้!

            เขาไม่ได้ทำงานให้กับคนที่...ฆ่าพ่อเขาหรอก

            เอาล่ะ เขารู้ พันธิตหัวหน้าของเขาก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีขาวสะอาด เขาอาจรู้ประวัติพันธิตไม่มาก แต่รู้มากกว่าคนอื่นๆ ทว่าสิ่งที่อีธานพูดออกมามันสั่นคลอนเขาไม่น้อย แต่เขายังคงเชื่อมั่น และเขามาที่นี่ เพื่อที่จะล้มล้างคำพูดของมาเฟียตรงหน้า

            เขาไม่เชื่อหรอกว่าหัวหน้าจะทำอย่างนั้น องค์กรของเขาขาวสะอาดพอ!

            'แล้วคุณรู้ได้ยังไงล่ะว่าที่ผมพูดไม่ใช่ความจริง...ถ้าอยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้หรือว่าอยากจะแก้แค้น...ผมช่วยคุณได้นะเมฆ...'

            เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเล่นเขาอย่างถูกต้องก่อนจะเดินจากไป...

               ความคิดของม่านเมฆสิ้นสุดลง... เสียงกระซิบสุดท้ายของอีธาน เฉินยังดังชัดเจนเหมือนเขาเพิ่งพูดอยู่ข้างๆ หู มันง่ายที่อีธานจะบ่มเพาะความหวาดระแวงให้ใครสักคน แต่มาเฟียหนุ่มจะค้นพบว่ามันยาก...ถ้าจะทำเช่นนั้นกับเขา! ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างดื้อดึง ยากที่จะยอมรับว่าอีธานบ่มเพาะความระแวงในใจเขาได้สำเร็จ

               เสียงน้ำยังคงตกกระทบกับพื้นและส่วนหนึ่งก็ราดรดลงบนร่างกาย ชายหนุ่มกำมือเป็นหมัดแน่น ก่อนจะทุบลงบนผนังภายในห้องน้ำแคบๆ เป็นการระบายอารมณ์

               “แล้วอย่าคิดว่าฉันจะเชื่อคำพูดพล่อยๆ ของแก อีธาน เฉิน! แกต้องโกหกแน่ๆ หัวหน้าไม่มีทาง...ไม่มีทางทำแบบนั้นกับพ่อของฉันหรอก!”



To be Continuous......



*กำลังเริ่มลงฉบับรีไรท์ตอนต้นๆ อยู่นะคะ แปะโป้งไว้ค่อยๆ ลงน้า จุ๊บๆ*



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 7 : สิ่งที่ผมต้องการคือคุณ [3] [UP 26.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 27-08-2018 12:03:02
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 8 : ตัวช่วยหรือขัดขวาง [1] [UP 29.8.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 29-08-2018 21:33:28




ตอนที่ 8

ตัวช่วยหรือขัดขวาง


               อีธานมองไปตรงไปข้างหน้า ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมากไปกว่าห้วงความคิดของตนเอง แม้ว่าจะรับรู้ได้ว่าตอนนี้คนสนิทมาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังของเขาแล้วก็ตาม

               “เขายังตามมาอยู่เลยนะครับ”

               เชสเอ่ยสั้นๆ เป็นที่รู้กันว่า ‘เขา’ ที่ว่าหมายถึงใคร และนี่ก็เป็นวันที่สามแล้วที่เขาตามติดอีธาน เฉินไปทุกที่ ทำราวกับว่าจะทำให้เขาได้โอกาสเจรจากับอีธานอีกครั้งอย่างนั้นแหละ

               “งั้นเหรอ” อีธานถามสั้นๆ สายตาของเขาจับจ้องแต่ทิวทัศน์นอกกระจกกว้างบานใหญ่ ซึ่งเป็นภาพของฝั่งเกาลูนในยามเย็น

               “เราจะเอายังไงกับเขาดีครับ จะปล่อยไปเลยหรือเปล่า” เชสขอความเห็น เพราะม่านเมฆคอยติดตามอีธานมาสามวันแล้ว และเพราะรู้ถึงสถานะพิเศษของชายหนุ่ม ทำให้เขาไม่คิดจะทำอะไรแฮกเกอร์คนนั้นหากไม่มีคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย

               อีธานเหยียดยิ้มหยัน เขาหันไปมองเชสที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่เบื้องหลังแวบหนึ่ง แล้วจึงสั่งการเกี่ยวกับม่านเมฆเพียงแค่ว่า “ไม่ล่ะ...ถ้าเขาอยากตามก็ให้เขาตามไป แต่ว่า..."

               “...”

               “อย่าให้เขาเข้าใกล้ฉันได้ เข้าใจไหม"

               “ครับ”

               เชสรับคำสั่ง ทว่าผู้เป็นเจ้านายไม่ได้สนใจ เนื่องจากเสียงติ๊ดเบาๆ ของโทรศัพท์และการสั่นนั้นบ่งบอกชัดว่ามีคนติดต่อเข้ามา เมื่อหยิบมันออกจากกระเป๋าเสื้อสูทจึงเห็นว่าเป็นข้อความ

               ‘เจอกันเย็นนี้ตอนหนึ่งทุ่ม’

               เขาอ่านข้อความนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตอนนี้ชายหนุ่มหันหลังกลับ เดินตรงไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของเขาที่ตั้งอยู่กลางห้องและโดดเดี่ยว

               “นี่กี่โมงแล้วเชส” เขาถามเปลี่ยนเรื่อง และนั่นทำให้คนถูกถามยกนาฬิกาข้อมือของตนเองขึ้นมาดู ก่อนจะตอบคำถามนั้นอย่างรวดเร็ว

               “ตอนนี้จะหกโมงเย็นแล้วครับ"

               “ฉันมีนัดอะไรอีกหรือเปล่า"

               “ไม่มีแล้วครับ”

               เชสตอบอย่างรวดเร็ว อดมองเจ้านายอย่างสงสัยไม่ได้ว่าเขาถามเช่นนี้ทำไม อีธานจึงเอ่ยแค่ว่า

               “งั้นกลับบ้าน ฉันอยากพักผ่อน"

               “ครับ”

               เชสรับคำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มศีรษะลงแล้วเดินออกไปเพื่อไปสั่งคนขับรถให้เตรียมพร้อมไปส่งอีธานกลับคฤหาสน์ตระกูลเฉินในอีกห้านาทีนี้

 

               คาดิแลคสีดำและหมายเลขทะเบียนคุ้นตาขับผ่านหน้าไป ชายหนุ่มจึงรีบกระโจนวิ่งจากตึกสำนักงานใหญ่ของเฉินซีอย่างรวดเร็วเพื่อไปโบกแท็กซี่ที่ขับผ่านหน้าพอดี เมื่อเข้าไปข้างในรถ เขาจึงสั่งคนขับเป็นภาษาอังกฤษรัวเร็ว

“ตามรถคันนั้นไปเลย”

               เขาชี้ไปยังรถของอีธาน เฉิน ซึ่งแท็กซี่ก็ยอมตามใจเขาและขับไปเรื่อยๆ ทว่าเมื่อผ่านไปราวๆ สามสิบนาที กระทั่งผ่านวิกตอเรีย พีค ก็ยังไม่มีท่าทีจะหยุด ม่านเมฆค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อยว่าเขามาที่นี่ทำไม เพราะสองวันที่ผ่านมา อีธานกลับที่พักของเขาซึ่งเป็นเพนต์เฮ้าส์หรูใจกลางเมืองมากกว่าจะไปที่อื่น

               “คุณครับ คงไปไม่ได้แล้วล่ะ” จู่ๆ คนขับรถแท็กซี่ก็จอดรถลงข้างทาง คนขับหันมาบอกขณะที่เขาได้แต่มองรถคาดิแลคที่ห่างออกไปมากขึ้นทุกที

               “อ้าว ทำไมล่ะ” ม่านเมฆถามอย่างกระวนกระวาย

               “ทางนั้นมันเป็นที่ส่วนบุคคล"

               “พอดีนั่นเป็นบ้านคนรู้จักของผมน่ะ ลุงขึ้นไปได้เลย” ชายหนุ่มบอกรวดเร็ว ทว่าคนขับส่ายหน้า

               “ไม่ได้น่ะคุณ”

               คนขับรู้ดีว่านั่นคือที่ไหน ใครบ้างไม่รู้จักบ้านของมาเฟียใหญ่ผู้กุมชะตากรรมของเกาะฮ่องกงอย่างอีธาน เฉิน และเขาไม่อยากยุ่มย่ามกับรังใหญ่ของมาเฟีย

               “แต่ว่า” ชายหนุ่มคัดค้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ทว่าคนขับรถแท็กซี่ไม่ใจอ่อน

               “ผมจอดส่งที่ข้างหน้านี้แล้วกัน"

               “ก็ได้” เขาบอกอย่างตัดใจในที่สุด “...งั้นกลับไปส่งผมที่โรงแรมได้ไหม”

               ม่านเมฆได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ แล้วเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ ซึ่งคนขับรถแท็กซี่ก็ยินยอมแต่โดยดี

 

               ม่านเมฆกลับมาถึงโรงแรมด้วยอาการหัวเสียนิดหน่อย เนื่องจากวันนี้เป็นอีกวันที่เขาถือว่าตัวเองล้มเหลวเพราะไม่สามารถเข้าถึงตัวอีธาน เฉินได้ อันที่จริงเขาล้มเหลว ‘อย่างมาก’ ด้วยซ้ำ เพราะว่าแม้แต่หน้าของอีธาน เขาก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแม้แต่แวบเดียว

               เมื่อกลับถึงห้องพัก ชายหนุ่มเปิดคอมพิวเตอร์ที่ไม่ค่อยได้เปิดใช้ออก และเพียงแค่เข้าไปเช็กกล่องข้อความในอีเมลของตัวเอง ก็เห็นว่ามีอีเมลจากไคลน์อยู่สามฉบับ ซึ่งเป็นข้อความสั้นๆ ส่งมาหาเขาอยู่วันละฉบับนับตั้งแต่เขามาถึงฮ่องกงว่า

               ‘แกอยู่ไหนไอ้เมฆ!’

            ‘ถ้าแกไม่ตอบคำถามของฉัน ฉันจะตามไปลากคอแกจริงๆ ด้วย!’

            ‘เจอกันที่ฮ่องกงพรุ่งนี้ ถ้าแกหนี แกตาย!’

               “ไอ้บ้าไคลน์ จะมาทำไมวะ”

               ชายหนุ่มบ่นด้วยอาการหงุดหงิดมากกว่าเดิม ก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์ไปเลย เขาค่อนข้างกังวลและเครียดเพราะข้อความสุดท้ายของอีกฝ่าย

               ไคลน์ไม่มีงานใหม่หรือไงนะ หัวหน้าหรือพี่หมีก็ได้ ช่วยๆ ส่งงานให้ไอ้หมอนี่ทำเถอะจะได้ไม่ว่างวิ่งตามเขามา

               ทว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิดของเขา ในความเป็นจริง ตอนนี้ไคลน์คงจะมาถึงฮ่องกงแล้ว ได้แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหมอนั่นจะตามหาตัวเขาไม่เจอ!

 

               “สวัสดีอีธาน...”

               หน้าจอคอมพิวเตอร์มืดสนิท ทว่าเสียงสั่นพร่าที่ดังมาจากลำโพงก็ทำให้เขาจำได้อยู่ดีว่านั่นคือใคร เพราะอีกฝ่ายเป็นคนส่งข้อความนัดเขาให้มาเจอกันวันนี้ในเวลาหนึ่งทุ่มตรง

               “ครับ คุณวิลด์เฟรด” ชายหนุ่มตอบรับด้วยน้ำเสียงเฉยชาและดวงหน้าเคร่งขรึม “ไม่ทราบว่าคุณ...”

               “นี่” อีกฝ่ายขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ และเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย “ไม่ต้องทำหน้าซีเรียสสิ ผมก็แค่อยากจะถามเขาเฉยๆ ว่าไปเมืองไทยเป็นยังไงบ้าง”

               อีธานยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่ก็ตอบคำถามของวิลด์เฟรดแต่โดยดี

               “ก็ดีครับ ตอนนี้เราก็เริ่มศึกษาเส้นทางอย่างละเอียดแล้ว” ชายหนุ่มหมายถึงเส้นทางการขนส่งสินค้าของไตรแอดที่อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนหากโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายเสร็จสิ้น แน่นอน…ประเทศนั้นนอกจากจะเป็นฐานการผลิตที่ดีแล้ว ต่อไปมันยังจะเป็นฐานกระจายสินค้าที่ดีด้วย

               “ได้ยินมาว่านายเกือบจะถูกจับที่เมืองไทยใช่ไหม"

               “ครับ แต่ก็แค่เกือบนั่นแหละครับ ผมหลบออกมาได้ก่อน แล้วคุณวิลด์เฟรดล่ะครับ ตอนผมอยู่ที่โน่นได้ยินว่าพวกอินเตอร์โพลไล่ตามล่าคุณอยู่เหมือนกัน”

               ชายหนุ่มเอ่ยถามกลับด้วยความอยากรู้ แม้จะรู้ดีว่าไม่มีทางที่พวกไหนจะตามจับวิลด์เฟรด ชางได้ ฟังข่าวดูก็รู้แล้วว่าพวกนั้นมันได้ไปก็ตัวปลอม คนที่ตายแทนวิลด์เฟรดก็เป็นตัวปลอมที่อุปโลกภ์ขึ้นมา อินเตอร์โพลหรือพวกตำรวจสากลกับ OCTB หน้าโง่ก็หลงเชื่ออย่างเริงร่าไปหลายวันว่ากำจัดเศียรมังกรได้แล้วจริงๆ

               แต่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนพวกมันคงรู้ตัวกันหมดแล้วว่าพลาด เพราะเขากลับมาปรากฏตัวที่ฮ่องกง และพวกมันคงจะตรวจสอบศพของวิลด์เฟรด ซึ่งป่านนี้คงจะรู้แล้วว่าเป็นตัวปลอม พวกนั้นคิดหรือว่าเศียรมังกรเป็นตำแหน่งของเด็กเล่น ถึงคิดว่าจะกำจัดคนอย่างวิลด์เฟรดได้ง่ายๆ!

               ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบคำถามแม้แต่น้อย กลับเอาแต่มุ่งความสนใจในการซักถามเขามากกว่า

               “ฝีมือพวกไหนล่ะ”

               คำถามนั้นทำให้อีธานนิ่งไปนิด ทว่าดวงตาของเขาฉายแววเยาะหยันที่อีกฝ่ายคงจะเห็นชัดเจน “OCTB อินเตอร์โพล ร่วมมือกับพวกตำรวจไทยด้วยนั่นแหละ”

               วิลด์เฟรดหัวเราะเสียงหยันเมื่อได้ยินคำตอบ “ช่วงนี้พวกนั้นพุ่งเป้าไปที่นาย สงสัยจะได้ยินเรื่องซื้อขายล็อตใหม่ที่จะถึงนี่ใช่ไหม”

               เพราะการติดต่อซื้อขายล็อตใหญ่กับพวกละตินอเมริกากำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้ และพวกอินเตอร์โพลที่จมูกดีเหมือนหมากับ OCTB ที่ตามกัดพวกมาเฟียฮ่องกงอย่างเขาไม่ปล่อยได้ยินข่าวพวกนั้นกระมัง ถึงไล่ล่าอีธาน เฉินที่ได้ชื่อว่าเป็นราชายาเสพติดแห่งเอเชียชิดจนแทบจะหายใจรดต้นคออย่างนี้

               “น่าจะเป็นไปได้ครับ”

               อีธานตอบรับข้อสันนิษฐานนั้น

               “ยังไงนายก็ระวังตัวแล้วกัน เพราะล็อตนี้สำคัญมาก เสร็จจากนี้ฉันก็อยากจะพักเรื่องนี้สักพัก เราอาจจะต้องไปลงเล่นในธุรกิจตัวอื่นแทน”

               “ครับ…”

               พอสิ้นคำตอบของเขา อีกฝ่ายก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะได้ยินแต่เสียงถอนหายใจยาว และต่อมาวิลด์เฟรดก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและมีเค้าของการขอบคุณอยู่ในน้ำเสียงนั้น

“ยังไงก็ต้องขอบใจนายสำหรับการทำงานอย่างหนักมาตลอด ไตรแอดของเราคงยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีนาย”

               อีธานหลุบเปลือกตาลงเมื่อได้ยินประโยคนั้น เขาปิดซ่อนอารมณ์ตัวเองจนแทบจะเป็นไร้ความรู้สึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกล้องจากนั้นจึงพูดอย่างหนักแน่นว่า

“พ่อบอกเสมอว่าถ้าไม่มีคุณ คงไม่มีเรามากกว่าครับ"

               “ยังไงตระกูลเฉินก็เป็นกำลังสำคัญของเราอยู่ดี เสียแต่พวกกรรมการคนอื่นคร่ำครึ! ไม่อย่างนั้นห้าปีก่อนนายน่าจะได้เป็นเศียรมังกรแทนฉันไปแล้ว”

               น้ำเสียงของวิลด์เฟรดเต็มไปด้วยความเข่นเขี้ยวเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อน

               ไตรแอดอยู่ได้ด้วยโครงสร้างสามแก๊งใหญ่เป็นหัวหน้าและมีห้ากรรมการคานอำนาจเพื่อถ่วงสมดุลของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม แม้ในปัจจุบันโครงสร้างจริงๆ ของหัวหน้าใหญ่จะเหลือเพียง ‘ตระกูลชาง’ และ ‘ตระกูลเฉิน’ เพราะ ‘ตระกูลเสิ่น’ ได้ถูกควบรวมและสิ้นสุดลงที่สายเลือดตระกูลเฉินไปแล้วก็ตามที แต่กฏของไตรแอดยังคงอยู่ ซึ่งเมื่อห้าปีก่อนได้ครบวาระของการดำรงตำแหน่งเศียรมังกรของวิลด์เฟรด ชาง และค้นหาผู้นำคนใหม่ แน่นอนว่าคนที่โดดเด่นนอกเหนือจากวิลด์เฟรดที่อยู่ในตำแหน่งนั้นมากว่าสี่สิบปีจะเป็นใครไม่ได้นอกจากอีธาน เฉินซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ ทว่ากรรมการที่ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นตาแก่ก็ยังไม่อยากเปลี่ยนขั้วอำนาจ จึงคัดค้านการขึ้นตำแหน่งของอีธาน เฉิน ทว่ายังไม่ถึงกำหนดเลือกก็เกิดโศกนาฏกรรมกับครอบครัวของอีธานเสียก่อน เนื่องจากการตายของพอลลีน นายหญิงแห่งตระกูลเฉินและทายาทที่เพิ่งจะก่อกำเนิด จึงทำให้อีธาน เฉินถอนตัวจากการลงชิงตำแหน่งนั้น

เศียรมังกร...ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของไตรแอดจึงยังคงเป็นของวิลด์เฟรดจนถึงปัจจุบัน

               “ไม่หรอกครับ ให้คุณเป็นนั่นแหละดีแล้ว ผมไม่ค่อยชอบงานบริหารคนมากเท่าไหร่ รับผิดชอบส่วนย่อยอย่างนี้สนุกกว่า” ชายหนุ่มออกตัว

               วิลด์เฟรดได้ยินอย่างนั้นกลับหัวเราะด้วยน้ำเสียงสดใส “ไม่ต้องเห็นแก่คนแก่หรอกน่าหลานชาย...ไม่กี่ปีฉันก็จะไม่ไหวแล้ว ยังไงไม่ช้าก็เร็วตำแหน่งนี้ก็เป็นของนายอยู่ดี”

               คราวนี้คนอายุน้อยกว่าได้แต่หัวเราะเสียงแผ่วเบาในลำคอ พลางปฏิเสธออกมาด้วยสีหน้านอบน้อม “งั้นให้เป็นเรื่องของอนาคตแล้วกันครับ"

               “นั่นสินะ...”

               วิลด์เฟรดเอ่ย ก่อนจะหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ แล้วไม่นานเขาก็ตัดการติดต่อไปในที่สุด

 

               เมื่อออกมาจากห้องทำงานลับใต้ดินของตนเอง ซึ่งส่วนควบคุมโครงข่ายลับซึ่งอยู่ภายในบ้านของเขา อีธานก็พบว่ามือขวาคนสนิทยืนรออยู่หน้าห้องแล้ว

               “เชส” เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย ซึ่งคนถูกเรียกก็ขยับมายืนข้างกายเขาในทันที “ตอนนี้ม่านเมฆอยู่ที่ไหน?”

               “น่าจะเป็นโรงแรมแถวๆ จิมซาจุ๋ยนั่นแหละครับ” เชสตอบอย่างรวดเร็วเพราะเขาให้คนตามติดและคอยจับตาดูม่านเมฆอยู่ตลอดเวลาไม่ให้คลาดสายตา ฉะนั้นทุกความเคลื่อนไหวของม่านเมฆในฮ่องกง จึงไม่มีทางเล็ดลอดสายตาของเชสได้เลย

               “ไปเอาตัวเขามา” อีธานสั่งการด้วยน้ำเสียงเครียดจัด “แล้วเอาไปไว้ที่เซฟเฮ้าส์"

               “ได้ครับ”

               เชสรับคำอย่างง่ายดาย โดยไม่ถามเหตุผลอะไรสักคำเดียว และเมื่อเขาและเจ้านายเดินมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายที่จะนำเขาไปสู่ทางออกจากชั้นใต้ดิน คนที่นิ่งเงียบมาตลอดการเดินก็เอ่ยคำสั่งสำทับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่นว่า

               “เหมือนเดิมนะ เงียบๆ ล่ะ อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด"

 

To be Continuous......



*หนังสือวางจำหน่ายแล้วนะคะ

มีวางขายในงาน อมรินทร์อะไรนี่แหละ เค้าจำไม่ได้แล้ว 555555

ราคาปก 315 แต่ในงานลดเหลือ 268 บาทค่ะ ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยน้าาา 555+



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/



หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 8 : ตัวช่วยหรือขัดขวาง [2] [UP 5.9.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 05-09-2018 21:10:23



อากาศของฮ่องกงในช่วงกลางดึกเช่นนี้เย็นพอที่จะทำให้ชายหนุ่มที่เผลอหลับไปในช่วงหัวค่ำและตื่นมากลางดึกด้วยความหิวโหยต้องห่อตัวเพราะสายลมที่พัดผ่านผิวกายเมื่อลงมายังร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักมากนัก

               ชายหนุ่มเดินออกมาจากร้านนั้นหลังจากที่ได้ของกินสองสามอย่างที่พอจะช่วยให้กระเพาะของเขาหายทรมานในค่ำคืนนี้ พลางอดบ่นถึงการพยากรณ์อากาศที่เขาเช็กก่อนหน้าจะมาฮ่องกงไม่ได้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงฤดูหนาวเลยด้วยซ้ำแต่อากาศกลับหนาวจนเกินจะทนจริงๆ!

               “พยากรณ์อากาศโกหกทั้งเพ! ไหนบอกช่วงนี้ฮ่องกงไม่หนาวไงวะ แล้วนี่อะไร อูย…” ชายหนุ่มร้องครางพลางห่อไหล่เมื่อลมหนาวพัดกรูผ่านร่างเขาอีกครั้ง ม่านเมฆก้มหน้าก้มตาเดิน เขาเอาแต่มองปลายเท้าของตัวเองมากกว่าจะมองไปข้างหน้า นั่นทำให้เขาหยุดฝีเท้าไม่ทัน เมื่อจู่ๆ มีคนมายืนขวางหน้าเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว

               พลั่ก!

               ชายหนุ่มชนเข้ากับร่างนั้นเต็มๆ แรง ส่งผลให้อาหารในมือที่เขาสู้อุตส่าห์ฝ่าลมหนาวซื้อมากระจายเต็มพื้น

“อ๊ะ! ของกินของฉัน!” เขาร้องออกมาด้วยความตกใจผสมกับความเสียดาย ก่อนจะเงยหน้าขวับมองตัวต้นเหตุที่ไม่ได้เดินหนีไปไหนด้วยความโกรธเคือง ทว่าเพียงแต่เห็นอีกฝ่ายเต็มๆ ตาเขาก็ต้องหุบปากที่เตรียมจะต่อว่าลงโดยเร็ว

               “เจอกันอีกแล้วนะครับ คุณม่านเมฆ”

               เชสทักทายชายหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย
               “อ้อ คุณ…” ม่านเมฆมองหน้าเขานิ่ง ต้องยอมรับว่าเขาออกจะไม่ค่อยใส่ใจคนเท่าไหร่นัก แม้จะคุ้นหน้าเขาและรู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร ทว่าตอนนี้เขากลับจำชื่อเขาไม่ได้เสียแล้ว และเชสเองก็คงเข้าใจจึงบอกชื่อตนเองให้ชายหนุ่มได้รับรู้ เหมือนเป็นการแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการกลายๆ หลังจากที่ครั้งแรกที่เจอกันไม่ได้ทำอย่างนั้น

               “เชสครับ"

               “ว่ายังไงเชส คุณมีธุระอะไรกับผมอีกล่ะ ไม่สิ...” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรวดเร็วเมื่อคิดได้ ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดใหม่เป็น “…เจ้านายคุณมีธุระอะไรกับผม หลังจากที่ปล่อยให้ผมวิ่งวุ่นตามเขาไปทั่วเมืองตลอดสามวันที่ผ่านมา” ตอนท้ายเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มๆ เคืองนิดหน่อยเมื่อคิดว่าอีธานกำลังแกล้งให้เขาหัวหมุน วิ่งตามเขาเหมือนหมาตามเจ้าของไปรอบฮ่องกง

               เชสมองชายหนุ่มที่ดูเงียบๆ หงิมๆ ไร้ความน่าสนใจตามแบบฉบับของคนที่เรียกได้ว่าเป็นคนธรรมดาเพราะเขาไม่มีอะไรเด่นสะดุดตาเลยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในดวงตามีประกายของความขบขันอยู่ไม่น้อย

               “เจ้านายให้มาเชิญคุณไปพักกับเรา” เขาบอกจุดประสงค์การมาที่นี่กับม่านเมฆ

               ม่านเมฆมองเชสด้วยสีหน้าแปลกใจและไม่อยากจะเชื่อ “หือ? ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะ”

               “เพราะเจ้านายเชิญมาครับ” เชสบอกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ตอนนี้ผมให้คนของเราไปเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมให้แล้ว โชคดีจริงๆ ที่โรงแรมที่คุณพักเป็นโรงแรมในเครือตระกูลเฉิน"

               “เอ๊ะ!” ม่านเมฆขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ผมไม่ไป”

               “แต่คุณต้องไปครับ” เชสบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไม่สนใจคำปฏิเสธของม่านเมฆแม้แต่น้อย

               “นี่” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะฉุนเฉียว “มิสเตอร์เชส คุณคิดจะ...นี่!” คราวนี้เขาขึ้นเสียงใส่เพราะอีกฝ่ายถือวิสาสะลากเขาตรงดิ่งไปยังรถยนต์ที่จอดรออยู่ไม่ไกลทันที “หยุดลากผมได้แล้วนะ!”

               ทว่านอกจากจะไม่หยุดแล้ว เชสยังหันไปบอกแก่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ขอให้คุณหยุดโวยวายด้วยครับคุณม่านเมฆ ไม่อย่างนั้นเราอาจจะต้องทำให้คุณเคลื่อนไหวไม่ได้ ก่อนที่จะพาตัวคุณไป"

               “มิสเตอร์เชส!” ม่านเมฆเรียกคนตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจที่โดนข่มขู่ และเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล เขาจึงได้แต่ถอนหายใจยาวอย่างระอา แล้วตั้งคำถามใหม่ที่ต้องการจะรู้เป็นที่สุดออกมาทันที “เจ้านายคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่"

               “ผมคิดว่าท่านคงแจ้งคุณม่านเมฆแล้วล่ะครับ ผมคงไม่ต้องพูดซ้ำ” เชสตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย และกวนอารมณ์อย่างไม่น่าเชื่อ

               “รักกันดีเหลือเกินนะ” ชายหนุ่มเอ่ยประชด ทว่าคนตรงหน้าไม่สนใจ เขายังคงบังคับให้เขาไปยังรถยนต์ที่จอดรออยู่ดี

“เชิญคุณม่านเมฆเถอะครับ ไปอยู่ที่นั่น สบายกว่าโรงแรมตั้งเยอะ” เขาพูดโน้มน้าว ทว่าม่านเมฆก็ยังคงขัดขืนไม่คิดจะออกเดิน

               เชสมองชายหนุ่มที่ดูหัวดื้อกว่าที่คิดด้วยสีหน้าที่แอบแฝงไปด้วยความระอาใจ ก่อนจะล่อหลอกด้วยสิ่งที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าจะทำให้ปฏิบัติตัวตามคำสั่งของเข้านายของเขาได้

               “...”       

               “ขอแนะนำว่าการจะตามเจ้านายผม ไปอยู่กับเขาคงจะง่ายกว่าอยู่ที่โรงแรมนี้”

               คราวนี้ม่านเมฆละพยศ เขาหันไปมองเชสด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ทว่าก็ยอมก้าวเดินไปตามทางที่เชสต้องการให้เขาไปแต่โดยดี...

 


******


               เมื่อไปถึงที่หมาย ซึ่งก็คือเซฟเฮ้าส์หรูที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างยิ่งเพราะมันคือสถานที่ที่เขามาเหยียบเป็นที่แรกนับตั้งแต่มาถึงฮ่องกง

               ม่านเมฆหมุนไปรอบๆ เพื่อมองหาใครสักคน ทว่านอกจากเขาและเชสภายในห้องนี้แล้วก็ไม่เห็นใครอีก ชายหนุ่มหันไปมองคนสนิทของอีธานก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยเพราะไม่เห็นคนที่เขาต้องการจะพบ

               “ไหนล่ะเจ้านายของคุณ”

               เชสค่อยๆ คลี่ยิ้มเย็นชาออกมา พลางตอบชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขัดกับสีหน้า “ผมไม่ได้บอกนี่ครับว่าท่านจะมาที่นี่...วันนี้”

               “เชส!”

               ม่านเมฆถลึงตาดุใส่คนสนิทของอีธานอย่างดุดัน ไม่คิดว่าตนเองจะมาเสียรู้อีกฝ่ายอย่างไม่น่าเชื่อเพราะคำพูดกำกวมที่ล่อให้เขามาที่นี่! และเมื่อเชสยังคงเอาแต่ตีหน้าเรียบเฉย ม่านเมฆจึงได้แต่กัดฟันบริภาษออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บใจ

               “กลับกลอกทั้งเจ้านายและลูกน้อง!”

               “นั่นก็แล้วแต่คุณจะคิดนะครับคุณม่านเมฆ...”

               “มันเป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แล้วนั่นแหละ คงไม่ต้องคิดอะไรมากมายหรอก”

               “คุณพักที่นี่ดีแล้วครับ” เชสเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากจะโต้เถียงกับชายหนุ่มมากนัก

               เขามองเชสด้วยความเดือดดาล “มันจะดีกว่าตรงไหน”

               เชสมองชายหนุ่มตรงหน้า ท่าทางของม่านเมฆดูอ่อนแอและยังอ่อนต่อโลกใบนี้นัก เขาอาจจะฉลาด แต่ประสบการณ์ชีวิตของเขายังน้อย...น้อยมากที่จะก้าวออกมารู้จักโลกใบนี้อย่างลึกซึ้งและทุกแง่เหลี่ยมมุมของมัน

               “เชื่อผมเถอะ คนอย่างคุณน่ะ อย่าไปอยู่ตัวคนเดียวข้างนอกเลยครับ ยิ่งที่นี่...ถ้าพวกนั้นรู้ว่าคุณคือใคร...คุณจะตายเอาง่ายๆ นะครับ"

               “ไม่ต้องมาขู่ผม!” เขาบอกอย่างไม่พอใจ และไม่สนใจคำพูดของเชสแม้แต่น้อย

               เชสส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับคนขี้หงุดหงิด “ครับๆ คุณไม่กลัวความตาย ผมจะจำเอาไว้"

               “...”

               “แต่ว่า...เจ้านายผมกลัวคุณตายนี่สิ เขาเลยต้องให้คนมาคอยดูแลคุณ"

               “ฮึ!”

               ม่านเมฆส่งเสียงดูถูกในลำคอพลางเบือนหน้าหนี คนอย่างอีธาน เฉินน่ะหรือจะมาสนใจความเป็นความตายของเขา จริงๆ อีธานควรจะภาวนาให้เขาพลาดพลั้ง บาดเจ็บ หรือไม่ก็ตาย เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นเขาก็จะหาทางพาอีธานกลับไปให้ได้!

               “ผมว่าคุณร่วมมือกับเราดีกว่า เพราะสิ่งที่คุณเห็นมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด” เชสกล่อมม่านเมฆ เผื่อว่าเขาจะยอมใจอ่อน ถึงแม้ว่าเชสจะยังไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าผู้เป็นเจ้านายต้องการตัวม่านเมฆไปเพื่ออะไรก็ตาม

               ในเมื่อผู้ชายคนนี้มีความสำคัญกับอีธานนั่นก็หมายถึงว่ามีความสำคัญต่อเขาเช่นกัน และตอนนี้หน้าที่ปกป้องอีกฝ่ายก็เป็นของเขาเสียด้วย

               “แล้วคุณคิดว่ามันควรจะเป็นแบบไหนกันล่ะ” ม่านเมฆย้อนถามกลับอย่างนึกสงสัย เชสพูดอะไรแปลกๆ หลายรอบแล้ว

               “นั่นสิ...” เชสย้อนกลับด้วยคำถาม “แล้วคุณล่ะครับคุณม่านเมฆ...คิดว่ามันควรจะเป็นแบบไหนครับ?”

               “ทำไมผมต้องคิดด้วยในเมื่อของมันเห็นอยู่ชัดเจน พวกคุณมันอาชญากร ขายของเถื่อน ค้ายาเสพติด ทำตัวเป็นพวกผู้มีอิทธิพลเหนือกฎหมาย นั่นแหละคือสิ่งที่ผมเห็นและผมคิด”

               คำตอบที่หลุดออกมาจากปากชายหนุ่มส่งผลให้เชสนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ แล้วไม่พูดอะไรออกมาอีกนอกจากตอบรับสั้นๆ

               “ครับ”

               “สักวันนะ...ไม่สิ เร็วๆ วันนี้เลย...ผมจะต้องจับเจ้านายของคุณเข้าคุก แล้วกวาดล้างพวกไตรแอดให้หมดไปจากโลกใบนี้!” ม่านเมฆเอ่ยด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ทำให้เชสเห็นพลังและความหวังแบบเด็กๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เชสยอมรับว่าเขาชื่นชมมัน ทว่า…นั่นแหละ ม่านเมฆยังไม่รู้จักอะไรดีถึงได้มีท่าทีเช่นนี้

               ท่าทีอันสดใสและมีชีวิตชีวา พร้อมกับมุมมองอันใสสะอาดของเขา เพราะโลกของเขานั้นคงจะมีเพียงเส้นแบ่งระหว่างสีขาวกับสีดำเท่านั้น

               “ผมดีใจที่คุณมีปณิธานที่แข็งแกร่งและมุ่งมั่นขนาดนี้” เชสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือความขำขันน้อยๆ ทว่าม่านเมฆกลับไม่พอใจเท่าไหร่นัก

               “ไม่ต้องมาประชดผม!”

               “ไม่ได้ประชดครับ...แต่ผมจะรอดูวันที่คุณทำสำเร็จ รออย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว"

 

****



               หลังจากที่ส่งม่านเมฆไปยังเซฟเฮ้าส์เรียบร้อยแล้ว เชสก็สั่งให้คนจัดเวรยามแล้วคอยดูแลชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลเฉินและพบว่าผู้เป็นเจ้านายได้สั่งให้คนรับใช้ถ่ายทอดคำสั่งให้เขาไปพบที่ห้องทำงานบนชั้นสองทันทีเมื่อกลับมาถึง

               “ผมไปส่งเขาเรียบร้อยแล้วนะครับ...เขาอาละวาดน่าดูเลย ผิดกับท่าทางนิ่งๆ ภายนอกลิบลับ” ตอนท้ายน้ำเสียงของเชสเจือความขบขันอยู่ไม่น้อย เมื่อคิดถึงการอาละวาดและปากคมกริบของม่านเมฆ

               อีธานไม่ได้สนใจคำบ่นตอนท้ายเท่าไหร่ เขาสนใจแต่ข้อความที่บ่งบอกว่าม่านเมฆปลอดภัย

               “แล้วมีใครตามเขามาไหม” ชายหนุ่มถามอย่างหวาดระแวงอยู่บ้าง ลางสังหรณ์แปลกๆ ที่ผุดพรายขึ้นมาในช่วงนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สงบเหมือนอย่างที่เคย

               “ไม่มีครับ” เชสปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

               “ดี แต่ว่าอย่าลืมให้คนตามดูรอบๆ ตัวเขาห่างๆ ด้วย อย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับเขา เพราะม่านเมฆคือคนสำคัญสำหรับฉัน” อีธานสั่งเสียงเข้ม

               “ครับ” เชสรับคำอย่างหนักแน่น และนั่นทำให้บรรยากาศกดดันรอบๆ ตัวอีธานต่ำลงจนเกือบเข้าสู่สภาวะปกติ เชสที่เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยถามเจ้านายของตนเองในที่สุด “ถามจริงๆ เถอะครับ ทำไมเขาถึงเป็นคนสำคัญ ทำไมคุณถึงเอาใจใส่เขามากขนาดนั้น หรือว่าเขา...” เขาเว้นคำตอบนั้นเอาไว้ไม่กล้าเอ่ยออกมา แต่นัยน์ตาของเชสก็สื่อออกมาอย่างชัดเจนว่าเขากำลังคิดว่าอีธาน เฉินกำลังให้ชายหนุ่มคนนั้นมาแทนที่นายหญิงที่ตายไปแล้ว

               “ไม่มีใครมาแทนที่พอลลีนในใจของฉันได้” อีธานตอบคำถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่ที่ต้องดูแลม่านเมฆเป็นอย่างดีเพราะเขาสำคัญต่อฉัน...ต่อแผนการของฉันจริงๆ "

               “...”

               “ฝีมือของเขาและสมองของเขา จะทำให้ฉันเข้าไปหาความจริงพวกนั้นได้"

               “...”

               “นายรู้แก่ใจพอๆ กับที่ฉันรู้เชส...”

               อีธานมองสบตากับผู้เป็นลูกน้องที่มองเขาด้วยสายตาแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจและเจือด้วยความสงสารที่ทำให้เขาไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก

               “ทุกวันนี้ฉันอยู่เพื่อแก้แค้นให้พอลลีน...กับลูก"

               “...”

               “ม่านเมฆจะทำให้ฉันขยับเข้าใกล้ความจริงนั้นว่าใครคือคนที่ฆ่าเมียกับลูกของฉันกันแน่!”





-----

ขอโทษที่หายไปนานเลยค่ะ

พอดีหายไปปั่นต้นฉบับมา รอดตายแล้วก็กลับมาอัพเหมือนเดิมฮับบบบ  >O<

เดี๋ยวสักวันศุกร์จะมาเล่นเกมแจกหนังสือนะคะ

เนื่องจากลงหลายเวบ คงจะมูฟไปรวมกันที่แฟนเพจเลยฮับ

แล้วก็......

*หนังสือวางจำหน่ายแล้วนะคะ*

ราคาปก 315

ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยน้าาา 555+





 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 8 : ตัวช่วยหรือขัดขวาง [2] [UP 5.9.61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 06-09-2018 06:31:37
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 9.1 [UP 7.9.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 07-09-2018 09:45:50





ตอนที่ 9

เงินมีอำนาจในตัวเองเสมอ

 

 

               ชายหนุ่มร่างสูงกระชับแว่นกันแดดอันโตเข้ากับใบหน้าของตนเอง มันปิดซ่อนใบหน้ากว่าครึ่งของเขาทำให้ใบหน้าหล่อเหลาไม่เป็นที่สะดุดตาผู้พบเห็น เขาเดินออกมาจนถึงนอกอาคารเพื่อเข้าคิวต่อรถแท็กซี่เข้าเมืองไปยังโรงแรมที่จองเอาไว้ การแกะรอยม่านเมฆนั้นเป็นไปได้ยากมาก สงสัยว่าไอ้เพื่อนบ้าของเขาน่าจะใช้ชื่อปลอมในการเข้าเมืองตลอดจนการแสดงตัวตนที่ฮ่องกง

               “ถ้าฉันเจอตัวเมื่อไหร่นะ ฉันจะสับแกเป็นหมื่นๆ ชิ้นแน่ๆ ไอ้เวร!”

               ชายหนุ่มกัดฟัน ขณะที่ก้าวขึ้นไปบนรถแท็กซี่เมื่อถึงคิวของเขาเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดว่าไม่รู้ว่าเขาควรจะตามหาตัวเพื่อนเขาจากใคร

               ในเมื่อตามหาตัวม่านเมฆยากกว่าการตามหาตัวอีธาน เฉิน เขาก็จะเริ่มต้นจากจุดๆ นั้นนั่นแหละ!

 

               “มิสเตอร์เฉินคะ”

               เสียงหวานๆ ที่คุ้นหูดังขึ้นมาจากเครื่องอินเตอร์คอม อีธานละสายตาจากอีเมลของคู่ค้าหันไปมองแล้วจึงกดตอบโต้กลับไปยังเลขาฯ หน้าห้องของตนเองทันที

               “ว่าไงเลขาเกา?”

               เจสสิก้าเมื่อได้ยินเจ้านายตอบรับ จึงเอ่ยต่อไปอย่างรวดเร็วว่า “ประชาสัมพันธ์ข้างล่างติดต่อมาค่ะว่ามีคนมาขอพบคุณ"

               “ใคร?” อีธานคิ้วขมวด เขาไม่มีเพื่อนคนไหนในชีวิตนอกจากไซม่อน และคนแปลกหน้าที่เขายุ่งเกี่ยวด้วยในเวลานี้ก็คือม่านเมฆ หรือม่านเมฆจะคิดตกแล้วว่าควรจะเข้ามาทำงานให้เขา เพื่อสืบหาเรื่องของด็อกเตอร์ธันว์ตามที่เขาส่งข้อมูลให้อีกฝ่ายไป

               …ข้อมูลที่ม่านเมฆได้ย่อมไม่ครบถ้วน และหากต้องการมัน ฝ่ายนั้นจะต้องเข้ามาเป็นคนของเขาเท่านั้น

               “เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนของม่านเมฆค่ะ เขา…” คำพูดของเลขาฯ เกาเรียกสติเขาคืนมา และนั่นทำให้อีธานรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ม่านเมฆจะโผล่มาที่นี่โดยที่เขาไม่รู้ตัวมาก่อน เพราะเขากักตัวม่านเมฆเอาไว้แล้วที่เซฟเฮ้าส์แล้วต่างหาก ทว่าคำว่า ‘เพื่อนของม่านเมฆ’ กลับทำให้อีธานชักสงสัยว่าหมอนั่นคือใคร

               หรือจะเป็นคนขององค์กรนั่นที่มาตามม่านเมฆให้กลับไป

               “ให้เขาขึ้นมาเลยเลขาฯ เกา” ชายหนุ่มตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาอยากเจอผู้ชายคนนั้น อย่างน้อยจะได้ประเมินถูกว่าหมอนั่นจะมาไม้ไหน หรือจะทำอย่างไรต่อไปเรื่องของม่านเมฆ

               “ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะลงไปรับเขาเดี๋ยวนี้เลย” เลขาฯ เการับคำสั่งนั้น ขณะที่อีธานได้แต่รอ...ผู้ชายที่ตอนนี้ก้าวขาข้างหนึ่งเป็นศัตรูกับเขาแล้วเพื่อแย่งชิงตัว ‘คีย์แมน’ ของเขาไป!

               ห้านาทีต่อมาประตูห้องทำงานของเขาก็เปิดออกกว้างอีกครั้ง เลขาฯ เกาเชิญแขกเข้ามาภายในห้องกระทั่งส่งชายหนุ่มผู้นั้นไปจนถึงมุมรับแขกที่อยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง และเมื่อประตูห้องทำงานของเขาปิดลง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก็หันขวับมาจ้องมองเขานิ่งด้วยท่าทีคุกคาม อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาอย่างหาคนเทียบได้ยาก อันที่จริง...ต้องยอมรับว่าคนขององค์กรนั่นที่เขาเห็นแต่ละคนหน้าตาดีกันหมด เว้นแต่ม่านเมฆที่เป็นเจ้าของดวงหน้าธรรมดาๆ ที่ใครๆ ก็มักจะมองข้ามความจืดชืด เพราะคนรอบข้างเขาดึงดูดสายตามากเกินไป

               “สวัสดีมิสเตอร์เฉิน...” เสียงทุ้มนุ่มนั่นเรียกชื่อเขาพลางเชิดหน้าด้วยท่าทีหยิ่งยะโส

               “ผมคุ้นหน้าคุณนะ” อีธานเอ่ยพลางหรี่ตามองชายหนุ่มด้วยสีหน้าครุ่นคิด

               นี่ไม่ใช่มุกจีบหนุ่ม แต่มันคือความจริงว่าเขาต้องเคยเจอคนคนนี้มาก่อน! ซึ่ง…เอาล่ะ แน่ใจได้ว่าผู้ชายตรงหน้าคือพวกที่มาจากองค์กรนั่นแน่ๆ แต่ก็ยังไม่ใช่พวกระดับหัวหน้า

               “ผมชื่อไคลน์” อีกฝ่ายแนะนำตัวเอง “และคุณต้องคุ้นอยู่แล้วเพราะผมเป็นหนึ่งในกลุ่มที่จับคุณได้”

อีธานพยักหน้ารับ ไม่ผิดจากที่เขาคาดเดาเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

               ไคลน์ก้าวตรงไปยังคนที่ยังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เขาจ้องมองอีธานเขม็งด้วยดวงตาคมกริบบาดใจผู้คนที่เผลอจ้องมองตอบ ทว่านั่นกลับใช้ไม่ได้กับอีธาน เฉิน

               “ผมถามตรงๆ เลย เพื่อนของผมอยู่ไหน” ไคลน์ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม น้ำเสียงมีความมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าม่านเมฆจะต้องอยู่ที่นี่

               มาเฟียหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูง  ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสูงคล้ายกับเป็นคำถาม “เพื่อนคุณ?”

               “ไม่ต้องทำหน้างงเหมือนไม่รู้เรื่อง” ไคลน์ตะคอก พลางจ้องมองเขาด้วยสีหน้าดุดัน “ผมไม่เชื่อคุณหรอก เมฆอยู่ที่ไหน” เขาถามย้ำอีกครั้ง สัญชาตญานของเขาบ่งบอกชัดว่าเพื่อนเขาต้องอยู่ในกำมือของผู้ชายคนนี้แล้วแน่ๆ

               มาเฟียหนุ่มเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มหยัน มองสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจของผู้ชายตรงหน้าแล้วก็ตอบเขาไปตามตรง “ไม่ได้อยู่ที่นี่”

               “แล้วอยู่ที่ไหน?” คำถามสวนกลับอย่างรู้ทันนั้นทำให้อีธานที่หวังจะใช้คำพูดกำกวมล่อลวงเขาเพื่อซื้อเวลาให้ไคลน์ไปตามหาม่านเมฆที่อื่นก็พบว่าคงจะใช้วิธีนี้กับสายลับหนุ่มไม่ได้

               แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเขาจะต้องยอมแพ้ง่ายๆ

“ผมคิดว่า...คุณน่าจะรู้ดีนะ” คำพูดของมาเฟียตรงหน้าส่งผลให้ไคลน์พูดไม่ออก แต่สิ่งหนึ่งรู้แน่ชัดแก่ใจแล้วว่าผู้ชายตรงหน้ารู้แน่ๆ ว่าม่านเมฆอยู่ที่ไหน “เขาไม่ใช่เพื่อนผมเสียหน่อย"

               “คุณ!”

               ไคลน์ถลึงตาดุใส่ โทสะที่ถูกอีกฝ่ายก่อกวนขึ้นมาทำให้เขาแทบจะเข้าไปซัดใบหน้ายิ้มๆ นั่นให้ล้มคว่ำ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เพื่อนเขาอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย

               ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก พยายามระงับอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาแล้วหวังเจรจากับเขาอย่างสันติ “มิสเตอร์เฉิน อย่าให้ผมต้องใช้เส้นสายด้านอื่นมาบีบให้คุณคืนคนของผมเลยนะ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเมฆอยู่ที่ไหน"

               “ผมไม่ทราบ"

               “ผมรู้ทันคุณนะว่าที่คุณไปเมืองไทย ทำให้ตัวเองโดนพวกเราจับ คุณล่อให้พวกตำรวจ OCTB อินเตอร์โพล และพวกเราเข้าไปขัดขากันเอง คุณหวังยืมมือพวกเราจัดการกันเอง โอเค คุณทำสำเร็จแล้ว และคุณหนีออกมาได้แล้ว"

               คำพูดรู้ทันทุกอย่างของเขาทำให้อีธานได้แต่ยิ้ม โอเค…ยอมรับเลยว่าคนของที่นี่พอจะมีสมองอยู่บ้าง นี่ถ้าเกิดพวกเขามีเวลานิดเดียว...อีกนิดเดียว อีธานคิดว่าเขาคงวางแผนไม่สำเร็จแน่ๆ

               “ผมไม่ได้มาที่นี่ในฐานะคนขององค์กร ไม่ได้มาเรื่องงาน ฉะนั้นคืนเพื่อนผมมาซะ” ไคลน์เอ่ยขึ้นหลังจากที่มาเฟียหนุ่มเอาแต่เงียบอยู่พักใหญ่

               “ผมคงคืนให้ไม่ได้” อีธานตอบ

               “…”

               ไคลน์นิ่ง พูดอะไรไม่ออก ขณะที่ปล่อยให้คนพูดน้อยได้เปลี่ยนเป็นคนพูดมากในตอนนี้

               “ผมไม่ได้เป็นคนบังคับให้เขามาที่นี่ และผมไม่รู้ว่าเพื่อนของคุณอยู่ที่ไหนจริงๆ "

               “...”

               “อ้อ แล้วก็อีกอย่าง ต่อให้คุณใช้เส้นสายอะไรยังไงก็ตาม คุณก็ไม่มีทางแตะต้องผมได้หรอกนะถ้าผมไม่ยินยอม...”

               ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ ทว่าดวงตาสีดำคมกริบกลับแลดูเข้มจัดเสียจนไคลน์ที่คิดว่าตัวเขาไม่เคยกลัวอะไรยังต้องผงะถอยกับสายตาของอีกฝ่าย คำขู่เป็นนัยกลายๆ นั้นส่งผลให้เขาพูดไม่ออก รู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่บริเวณลำคอ ขณะที่มาเฟียหนุ่มพูดต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย     

               “คุณอยู่ในโลกสีเทาใบนี้มานาน...คุณรู้ดีนี่ไคลน์"

               “...”

               “ผมมีเงิน...และเงินก็มีอำนาจในตัวของมันเองเสมอ...”

 

               ไซมอนเพิ่งเดินเข้ามาภายในห้องพักของตนเอง เสียงโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นเบอร์ส่วนตัวก็ดังขึ้นได้จังหวะ ราวกับปลายสายรู้ว่าเขาจะว่างรับสายในข่วงนี้ ชายหนุ่มมองชื่อคนที่ติดต่อเขามาแล้วกดรับสายอย่างรวดเร็ว

               “ว่าไง?”

               “นายว่างหรือเปล่าแซม”

               คำถามนั้นทำให้ไซมอนถามกลับไปอย่างรวดเร็ว “มีอะไร?”

               “ฉันมีเรื่องต้องวานให้นายช่วยแล้วล่ะ” อีธานตอบไปตามตรง ไม่มีอะไรต้องอ้อมค้อมให้ยุ่งยากสำหรับเพื่อนสนิทผู้รู้ใจคนนี้

               “เอาสิ จะให้ช่วยอะไรล่ะ” ไซมอนตอบรับอย่างง่ายๆ เพราะว่าคนอย่างอีธาน เฉินแทบจะไม่เคยขอร้องให้ใครช่วยมาก่อน ฉะนั้น…นี่อาจจะเป็นเรื่องใหญ่มากที่เขาสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องรับปากให้ความช่วยเหลือ

               “งั้นเจอกันเย็นนี้ดีกว่า” เพื่อนสนิทของเขานัดหมายอย่างง่ายๆ “ที่คลับเดิม ฉันจะได้บอกรายละเอียดกับนายด้วย"

               “อือ ได้สิ” ไซมอนตอบรับ “ฉันออกเวรพอดี งั้นเจอกันที่โน่นเลยแล้วกัน"

               “ขอบใจ” มาเฟียหนุ่มตอบกลับมาสั้นๆ หลังจากเงียบไปชั่วอึดใจ

               ไซมอนคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความอ่อนโยน

               “ไม่เป็นไร"







-----

ขอโทษที่หายไปนานเลยค่ะ

พอดีหายไปปั่นต้นฉบับมา รอดตายแล้วก็กลับมาอัพเหมือนเดิมฮับบบบ  >O<

เดี๋ยวสักวันศุกร์จะมาเล่นเกมแจกหนังสือนะคะ

เนื่องจากลงหลายเวบ คงจะมูฟไปรวมกันที่แฟนเพจเลยฮับ

แล้วก็......

*หนังสือวางจำหน่ายแล้วนะคะ*

ราคาปก 315

ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยน้าาา 555+





 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 9.2 เงินมีอำนาจในตัวเสมอ [UP 8.9.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 08-09-2018 21:24:41



หลังจากวางสายจากเพื่อนสนิท อีธานก็เอาแต่หมุนโทรศัพท์ในมือและมองออกไปข้างนอกด้วยกริยาครุ่นคิด ซึ่งต้องยอมรับว่าเขากำลังพยายามหาทางแยกม่านเมฆกับเพื่อนของเขาออกจากกัน

               การมาของไคลน์จะส่งผลกระทบต่อแผนการของเขาอย่างยิ่งยวด ผู้ชายคนนี้จะทำให้ม่านเมฆถอดใจและถอนตัวจากเกมจิตวิทยาที่เขาเริ่มต้นขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ เขาไม่ได้ทนวางแผนและเสี่ยงทุกอย่างมาเป็นเวลานานเพื่อมาค้นพบกับความพ่ายแพ้!

               เขามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ...และจะไม่มีวันทำอย่างนั้น!

               ม่านเมฆจะเป็นกุญแจไขไปสู่การแก้แค้นของเขาอย่างเต็มรูปแบบ อีกฝ่ายคือหมากสำคัญที่เขาจะสูญเสียไปไม่ได้ มิฉะนั้นทุกอย่างที่เขาทนสร้างมาตลอดห้าปีที่ผ่านมาจะสูญสลายไปในพริบตา

               แค่คิดว่าจะต้องเสียมันไปเขาก็ทรมานเสียยิ่งกว่าคิดถึงความตายเสียอีก!

               เสียงประตูที่ดังขัดภวังค์ความคิดของเขา ดึงให้อีธานหันไปมองทางต้นเสียง ก็เห็นว่าเชสเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าร้อนรน

               “เจ้านายครับ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเจือไปด้วยแววร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด

               มาเฟียหนุ่มมองลูกน้องคนสนิทด้วยสีหน้าราวกับจะถาม “ว่าไงเชส"

               “คนของเราโทรมารายงานด่วนครับว่าตอนนี้เซิร์ฟเวอร์ของบริษัทกำลังมีปัญหาอีกแล้ว"

               “หือ?”

               เชสถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดจะหงุดหงิด

               “ก่อนหน้านี้มีคนยิงโค้ดใส่เว็บไซต์ของเราเยอะมาก และก่อนที่จะทำให้เซิร์ฟเวอร์ของเราล่ม ฝ่ายนั้นได้แฮกยึดเว็บไซต์ของเราไปเรียบร้อยแล้วด้วยครับ และไอ้คนแฮกก็ฝากข้อความไว้หราหน้าเว็บไซต์เลยครับ ซึ่งผมเกรงว่านั่นอาจจะทำให้สามารถ...”

               อีธานขัดขึ้น ไม่รอฟังเชสรายงานจนจบ “แล้วข้อความที่ฝากไว้เขียนมาว่าไง”

               เชสถอนหายใจยาว ก่อนจะส่งแท็ปเล็ตที่เขาเปิดหน้าเว็บไซต์ของบริษัทให้แก่ผู้เป็นเจ้านาย

               “นี่ครับ...”

 

            ‘ถึง Dragon

                        ผมกำลังรอคุณอยู่นะ...คุณรู้ว่าจะหาผมได้จากที่ไหน

                        ถ้าไม่อยากให้ผมเจาะระบบเข้าไปลึกมากกว่านี้...คุณควรจะมาหาผมภายในครึ่งชั่วโมงนับจากนี้

                                                                                   

                                                                                                                        จาก Mars’

 

               อ่านข้อความนั้นจบแล้วอีธานก็ได้แต่กลอกตาอย่างพยายามระงับอารมณ์ จริงๆ เขาควรรู้ด้วยซ้ำโดยไม่ต้องดูเลยว่านี่มันเป็นฝีมือใคร!

               “ม่านเมฆ!”

               เขากัดฟันเอ่ยชื่อตัวปัญหาออกมาแผ่วเบา ทว่ามันก็ไม่ได้เบามากพอ เพราะว่าเชสได้ยิน และนั่นก็ทำให้ผู้เป็นลูกน้องถามเขาออกมาว่า

               “ฝีมือคุณม่านเมฆเหรอครับ?”

               “ใช่…” อีธานตอบรับอย่างง่ายได้

               “อ้าว” คราวนี่้เชสอุทานออกมาด้วยความงุนงง

               “เตรียมรถซะเชส ฉันจะไปเคลียร์เรื่องนี้เอง” มาเฟียหนุ่มสั่งและลุกขึ้นยืน เป็นการบ่งบอกว่าเขาจะออกไป...เดี๋ยวนี้!

 ****

               เสียงกระแทกปิดประตูดังลอดเข้ามาถึงห้องที่เขากำลังสนุกกับการเล่นกับลูกชายสุดที่รัก เสียงปิดประตูนั่นก็บ่งบอกได้แล้วว่าผู้มาเยือนคงจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นม่านเมฆกลับยิ้มอย่างชอบใจ

               เพราะเขากำลังรอการมาของพายุลูกนี้อยู่น่ะสิ!

               และสิ้นความคิดนั้น ประตูห้องนอนของเขาก็เปิดออกอย่างรุนแรง และผู้ชายคนนั้นก็โผล่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับตะโกนใส่หน้าเขาอย่างฉุนเฉียว

               “คุณทำบ้าอะไรของคุณ...ม่านเมฆ!”

               “อย่าตะโกนสิ” ม่านเมฆหัวเราะในใจอย่างลิงโลด ได้ผลจริงๆ ด้วยที่จะล่ออีธาน เฉินให้มาพบหน้าเขาได้ด้วยวิธีนี้ รู้อย่างนี้เขาน่าจะใช้มันตั้งแต่แรก ไม่น่ายอมสละเวลานอนกลางวันไปวิ่งไล่ตามหมอนี่เลย!

               “นี่!” มาเฟียหนุ่มถลึงตาดุใส่เขาเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านสักนิดกับสิ่งที่เขาทำลงไปก่อนหน้านี้ “อย่ามานั่งใจเย็นนะ เลิกเล่นบ้าๆ เสียที"

               “แล้วยังไงล่ะ” ม่านเมฆย้อนกลับพลางยักไหล่อย่างไม่สนใจ

               อีธานถอนหายใจยาว ม่านเมฆในมาดนี้มันเดาได้ไม่ยากหรอกว่าเขาต้องการอะไร แต่มันกลับก่อกวนอารมณ์โมโหของเขาสิ้นดี!

               มาเฟียหนุ่มปิดเปลือกตาแน่นอย่างพยายามระงับอารมณ์ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มองชายหนุ่มที่ตอนนี้จ้องมองเขานิ่ง ไม่มีอารมณ์จะรับมือกับความก่อกวนอีกต่อไปแล้ว

“คุณต้องการอะไรกันแน่...ม่านเมฆ"

               “คุณต้องกลับไปเมืองไทยกับผม” นั่นเป็นจุดประสงค์เดียวที่ทำให้ม่านเมฆมาที่นี่ มายืนอยู่ตรงนี้ โอเค จริงๆ ก็มีเรื่องของบิดาเขาด้วยนิดหน่อย แต่ก็ไม่มากไปกว่าการจับตัวเขาส่งให้แก่พันธิตหรอก

               “หึ” อีธานส่งเสียงหยันในลำคอ เป็นกริยาที่บ่งบอกชัดว่าไม่มีทางเป็นไปตามที่เขาต้องการ

               “ถ้าไม่ยอม” ม่านเมฆเอ่ยเสียงเรียบ “ผมก็จะยิงโค้ดใส่เว็บคุณเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ แล้วคุณก็น่าจะรู้นะว่าถ้าผมโมโหมากๆ ผมจะเข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหญ่ของไตรแอด แล้วผมก็จะ...” ชายหนุ่มเริ่มขู่เขาเรื่อยๆ ซึ่งอีธานได้แต่นึกเจ็บใจ เพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มทำได้จริง ซึ่งเขาก็ได้แต่โทษพวกกรรมการนั่นแหละ ที่คิดอะไรโง่ๆ ด้วยการเอาเซิร์ฟเวอร์ทุกอย่างรวมกัน โอเค รู้อยู่ว่าพวกนั้นระแวงเขาถึงได้ยอมเสี่ยงเอาเครือข่ายมาตรวจสอบเขาอีกทางหนึ่ง และคิดแต่ว่าเครือข่ายตัวเองแข็งแกร่งไม่มีใครเจาะระบบเข้าไปได้ ซึ่งพวกเขาคิดผิด เพราะคนทำได้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วในเวลานี้!

               “พอได้แล้ว” อีธานบอกด้วยน้ำเสียงดุดัน คราวนี้ม่านเมฆคลี่ยิ้มหยัน

“โอเค เรามาเจรจากันที่นี่ก็ได้"

               “...”

               “ผมจะรอคุณพร้อมเจรจานะมิสเตอร์เฉิน แล้วในระหว่างนั้นผมก็จะ...”

               “ไม่ต้องคิดจะทำอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ!” อีธานขัดเสียงเข้มเพราะเดาได้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกับเว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ของเขา “ถ้าคุณกล้าทำ ผมจะบอกเพื่อนคุณว่าคุณอยู่ที่ไหน!”

               จบคำพูดของเขา ม่านเมฆก็รีบกระโจนตามคนที่หมุนกายเดินหนีออกไปจากห้องนอนของเขาทันที ทว่าอีธานกลับไม่หยุดเดินเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ากำลังจะเอาคืนที่เขาแกล้งเขาก่อน

               “ว่าไงนะ! เฮ้ นี่! เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งเดินหนีนะ นี่!”

 *****

               “คุณบอกว่าคุณเจอเพื่อนผมงั้นเหรอ!”

               ม่านเมฆตะโกนเสียงดังลั่น หลังจากที่อีธาน เฉินยอมบอกเขาเรื่อง ‘เพื่อน’ ที่เพิ่งพูดถึงก่อนหน้านี้

               ตอนนี้เขากำลังใจสั่น โอเค ยอมรับเลยว่าใจสั่นมากที่ได้ยินว่ามีเพื่อนของเขาอยู่ที่นี่ ไอ้บ้าคนไหนตามมาถึงที่นี่ แถมยังเสี่ยงโง่ๆ ด้วยการไปตามหาตัวเขากับอีธาน เฉิน!

               “ใช่สิ” อีธานนยอมรับตามตรง

               “ใคร?” ม่านเมฆถาม จ้องเขาอย่างคาดคั้น

               “ก็เดาดูสิ...”

               “พี่เหมเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจเท่าใดนัก

               “หึ…” อีธานไม่ตอบ ทำเพียงส่งเสียงหยันในลำคอเท่านั้น

               แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ม่านเมฆกระวนกระวายอยากรู้มากยิ่งขึ้น

               “นี่” ชายหนุ่มเซ้าซี้ถาม “หรือเป็นไอ้บ้าไคลน์ นี่คุณ! ตอบคำถามผมมาเดี๋ยวนี้นะ”

               “ทำไมผมต้องตอบคุณด้วย” เขาถามตรงๆ จ้องมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย

               “คุณต้องตอบคำถามผม!”

ม่านเมฆเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธที่พยายามจะระงับ

               “งั้นคุณมีอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน”

               อีธานเสนอทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยเสียเปรียบใครมาก่อน นั่นทำให้จากที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบกลับกลายต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแทนเสียอย่างนั้น

               ชายหนุ่มจ้องมองอีธานด้วยสายตาเป็นคำถามว่าเขาต้องการอะไร

               “เอาคอมพิวเตอร์ของคุณมาให้ผม”

               ม่านเมฆปฏิเสธทันควัน “ไม่!”

               “ถ้างั้นผมก็จะ...” เขาพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ท่าทีเรียบเฉยของเขานี่แหละที่ทำให้ม่านเมฆต้องรีบเปลี่ยนใจ เพราะเขากลัวอีกฝ่ายจะทำอะไรเพื่อนเขา

               “เดี๋ยวสิ เดี๋ยวๆๆ” ชายหนุ่มเอ่ยร้องห้ามเสียงดังลั่น เมื่อมาเฟียหนุ่มกำลังจะลุกขึ้นยืน

               อีธานหันไปทางชายหนุ่ม แล้วสั่งเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมไม่รับเจรจาเรื่องอื่น เอาคอมของคุณมาให้ผมเดี๋ยวนี้”

               “คุณจะเอาไอ้จ๊าบไปจากผมจริงๆ เหรอ” เขามองเขาตาปรอย โอย…จะบ้าตายจริงๆ เขากับลูกชายของเขาไม่เคยห่างกันมาก่อน เขาไปไหนก็เอามันไปด้วย แต่อีธานกลับจะยึดลูกชายเขาไป

               เขาต้องขาดใจตายแน่ๆ เลย!

               สีหน้าแหยเกของเขาคงจะทำให้อีธานรู้สึกแปลกใจ มาเฟียหนุ่มมองเขาราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นักออกมา “คุณติดคอมมากเลยหรือไง"

               “นั่นชีวิตผมเลยนะ” ชายหนุ่มสารภาพออกมาตามตรง ตอนนี้แค่รู้ว่าเขากับลูกชายสุดที่รักจะแยกจากกันก็ทำใจไม่ได้เสียแล้ว

               ของอย่างอื่นเขาไม่เคยยึดติดเลย ทว่ามีเพียงคอมพิวเตอร์...มีเพียงของสิ่งนี้เท่านั้นที่เขารู้สึกว่าห่างกันไม่ได้เอาเสียเลย

               อีธานกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่คิดว่าจะได้รู้ความลับเล็กๆ ของชายหนุ่ม “แต่ไม่ใช่ชีวิตของผม ฉะนั้นไปเอามา” ชายหนุ่มบอกเขาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเยือกเย็น แต่กลับกระทบใจของม่านเมฆอย่างแรงจนเขาแทบจะซวนเซ

               “มิสเตอร์เฉิน!”

               คนติดคอมพิวเตอร์ได้แต่ถลึงตาใส่อีธานอย่างโกรธเคือง

               “เลือกเอา” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ระหว่างคอมพิวเตอร์กับเพื่อนของคุณ”

               ม่านเมฆปิดเปลือกตาแน่น ถอนหายใจยาว และเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าของคนจำนนต่อทุกสิ่ง ซึ่งน้อยครั้งนักที่เขาจะรู้สึกเหมือนสิ้นท่าเช่นนี้

               “ตกลงๆ ผมจะไปหยิบมาให้...” ชายหนุ่มเอ่ย รู้สึกเหมือนน้ำตาตกในอย่างไรชอบกล เป็นอารมณ์แปลกใหม่ที่เขาไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน เขาชักอยากจะร้องไห้อย่างไรก็ไม่รู้

               “ไม่” อีธานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เพราะกลัวว่าม่านเมฆจะเล่นแง่ตุกติกอะไรอีก “เดินนำไป ผมจะไปหยิบเอามาพร้อมกับคุณ"

               “นี่” ชายหนุ่มถลึงตาดุใส่เขา “จะขี้ระแวงไปไหน ยังไงห้องมันก็มีแค่นี้ ผมไม่หนีหายไปไหนหรอก"

               “ผมไม่ได้กลัวคุณหนี แต่ผมแค่ไม่ไว้ใจคุณ”

               ชายหนุ่มบอกถามตรง ขณะที่ม่านเมฆได้แต่ถลึงตาดุใส่เขาอีกครั้งด้วยความโกรธเคือง
******
 

               เมื่อม่านเมฆส่งคอมพิวเตอร์สุดที่รักของเขาใส่มืออีกฝ่ายด้วยอาการอาลัยอาวรณ์อย่างสุดหัวใจเรียบร้อยแล้ว อีธานก็จับแม็คบุ๊คของเขาพลิกไปพลิกมาแล้วไม่พูดอะไร จนเขาต้องเอ่ยกระตุ้น

               “ทีนี้ตอบคำถามเรื่องเพื่อนของผมได้หรือยัง”

               อีธานมองเขานิ่ง ก่อนจะเริ่มตอบคำถามอย่างไม่โยกโย้อีกต่อไป

               “เพื่อนของคุณมาหาผมเมื่อเช้า เห็นแนะนำตัวเองว่าชื่อไคลน์"

               “ไคลน์งั้นเหรอ แล้วหมอนั่นมากับใคร?” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย

               “มาคนเดียวสิ"

               “หมอนั่นมาหาคุณทำไม”

               “มาตามหาคุณไง” เขาตอบเสียงนิ่งๆ แต่ฟังแล้วกวนอารมณ์คนฟังเป็นที่สุด

               ม่านเมฆพยายามจะไม่สนใจว่ามาเฟียหนุ่มกำลังก่อกวนอารมณ์ของเขา หรือไม่ก็พยายามเบี่ยงเบนไม่ให้เขาสนใจไคลน์ ชายหนุ่มรีบถามกลับ

               “แล้วคุณตอบไปว่ายังไง”

               “ผมไม่รู้” เขาตอบ ก่อนจะคลี่ยิ้มหยัน ม่านเมฆได้แต่ถลึงตาใส่คนโกหกหน้าตาเฉยตรงหน้า ถ้าอีธาน เฉินไม่รู้ ทั้งโลกใบนี้ก็คงไม่รู้แล้วล่ะว่าเขาไปอยู่ที่ไหน!

               “หรือจะให้ผมบอกว่าเขาอยู่กับผมล่ะ” คราวนี้มาเฟียหนุ่มย้อนถามกลับบ้าง และเป็นคำตอบที่ทำให้เขาสะอึกพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว ทำได้แต่ถอนหายใจยาว ก่อนจะบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่พยายามอย่างยิ่งจะให้ฟังเรียบเฉย

               “ไม่ต้อง งั้นรบกวนคุณเลยว่าห้ามบอกหมอนั่นเด็ดขาดว่าเจอผม”

คราวนี้เขามองเขาด้วยสุ้มเสียงติดจะขอร้อง อีธานเลิกคิ้วสูง มองชายหนุ่มอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ทำไมคุณถึงไม่อยากให้เพื่อนช่วย เพราะถ้าไคลน์ช่วยคุณ...เขาน่าจะหาวิธีเอาตัวผมไปไทยได้ง่ายกว่าคุณลงมือทำคนเดียว” เขาถามอย่างสงสัยทว่าม่านเมฆส่ายหน้า

“นี่เป็นเรื่องของผม เป็นความผิดของผม ผมไม่ต้องการให้ใครมาเดือดร้อนแทน!”

               “ก็ดี...ความเห็นเราตรงกันอย่างนี้ ผมก็จะช่วยกันเพื่อนของคุณให้เอง เพราะผมก็ยังไม่อยากให้คุณกลับไปตอนนี้เหมือนกัน”

               อีธานตอบตกลงอย่างง่ายดาย ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขา ถ้าม่านเมฆไม่อยากจะกลับไปคนที่ได้ประโยชน์คือเขาเต็มๆ แล้วทำไมเขาจะไม่ช่วยอีกฝ่ายล่ะ

               “คุณคิดจะทำอะไร” ม่านเมฆถามอย่างหวาดระแวง ก่อนจะเอ่ยสั่งห้ามเขาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “ห้ามทำอันตรายเพื่อนผมนะ”

               อีธานไม่รับปาก ทว่าก็ยอมอ่อนข้อลงให้ม่านเมฆบ้าง “ถ้าเพื่อนของคุณไม่ใช้ความรุนแรงก่อน ผมก็จะไม่ใช้เหมือนกัน อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ผมสัญญาเลย”

               “แน่ใจนะ” ชายหนุ่มถามย้ำเพื่อให้มั่นใจว่าอีธานจะไม่ทำอันตรายไคลน์

               “อือ…”

               อีธานยอมพยักหน้ารับปากในที่สุด

               แน่นอน…สิ่งที่เขาจะทำกับไคลน์มันไม่อันตรายหรอก ไม่อย่างนั้นเขาจะติดต่อไซมอนเพื่อนสนิทของตัวเองทำไมล่ะ!

 *******************

               “ฉันว่าช่วงนี้...อีธานแปลกไป” น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นภายในห้องทึมทึบแห่งหนึ่ง เจ้าของเสียงนี้เป็นชายร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนหันหลังให้กับกระจกกว้าง

               “ยังไงครับ” ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังชายคนนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

               ชายคนแรกถอนหายใจยาว ก่อนจะบอกเพียงแค่ว่า “ไม่รู้สิ...ฉันก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน"

               “งั้นให้คนของเราที่ติดตามคุณชายเฉินเข้ามารายงานดีไหมครับ” ชายอีกคนที่ฟังจากน้ำเสียงแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าเสนอขึ้น ซึ่งชายคนแรกก็พยักหน้ารับ

               “ก็ดี...ฉันอยากรู้ 'ทุกๆ รายละเอียด' ในชีวิตของอีธาน เฉิน”

               “ได้ครับ ผมจะจัดการให้คุณทันทีเลย"


 



-----

*หนังสือวางจำหน่ายแล้วนะคะ*

ราคาปก 315

ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยน้าาา 555+



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 9.2 เงินมีอำนาจในตัวเองเสมอ [UP 8.9.61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-09-2018 13:46:38
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 10 เพื่อนช่วยเพื่อน [UP 2.10.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 02-10-2018 11:34:45
ตอนที่ 10
เพื่อนช่วยเพื่อน

   ไซมอนมาถึงคลับหรูซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมง เพื่อนสนิทของเขาก็มาถึงที่นี่ ทั้งสองกินอะไรเล็กน้อยด้วยกัน ก่อนจะสั่งวิสกี้คนละแก้ว จิบช้าๆ พลางมองบรรยากาศรอบตัวไปพลางจนหมดไปแก้วและเริ่มแก้วที่สอง แล้วจากนั้นไซมอนจึงเอ่ยเข้าเรื่องของพวกเขาในที่สุด
   “เอาล่ะ พูดมาได้แล้ว แกอยากให้ฉันทำอะไรให้” เขาเอ่ย หลังจากที่ผ่อนคลายกันมาพอสมควรแล้ว และไซมอนก็เห็นว่าเขาควรจะพูดเรื่องจริงจังกันได้เสียที
   “มีผู้ชายคนหนึ่ง...ชื่อไคลน์”
   อีธานเอ่ยขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบไปชั่วอึดใจเมื่อได้ยินคำถามของเพื่อนสนิท
   ไซมอนพยักหน้ารับช้าๆ “อือ แล้วไง” มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่จะให้ช่วย
   มาเฟียหนุ่มคลายริมฝีปากที่เม้มแน่นออก ก่อนจะบอกความต้องการของตัวเองให้เพื่อนสนิทได้รู้ถึงเรื่องที่เขาต้องการจะขอความช่วยเหลือ “ฉันอยากให้แกถ่วงเวลาเขาเอาไว้ ทำยังไงก็ได้อย่าให้เขาเจอฉันหรือเพื่อนของเขา"
   “เพื่อนเขา? ใคร” ไซมอนเอ่ยเสียงสูงด้วยความรู้สึกงุนงง ดูเหมือนว่าเขาจะพลาดอะไรไปหลายๆ อย่างซึ่งมันเห็นได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยก็เรื่องที่จู่ๆ ก็มีผู้ชายถึงสองคนเข้ามาพัวพันกับชีวิตอันแสนจะอันตรายทว่าจืดชืดเป็นบ้าของเพื่อนสนิทของเขานั่นแหละ
   “โทษที” มาเฟียหนุ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนลงนิดๆ เมื่อลืมไปว่าไซมอนยังไม่่รู้เรื่องอะไรเลย และเขาเองก็เล็งเห็นแล้วว่า นี่เป็นเวลาที่เขาควรจะบอกเล่าเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เพื่อนสนิทคนนี้ฟังได้แล้ว “ฉันลืมไปว่าแกยังไม่รู้เรื่อง งั้นฉันจะเล่าคร่าวๆ ให้แกฟัง”
   จบคำพูดนั้น อีธานก็พร่างพรูเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะนี้ให้แก่เพื่อนสนิทของเขาฟังจนหมดสิ้น ทั้งเรื่องแผนการแก้แค้น เรื่องที่เขาเอาตัวเองล่อพวกตำรวจ กระทั่งเรื่องที่เขาต้องการดึงตัวม่านเมฆเพื่อให้เข้าร่วมกับเขาซึ่งจะส่งผลต่อแผนการขั้นต่อไปของเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งอีธานก็เล่าให้คุณหมอหนุ่มฟังโดยไม่มีปิดบังอำพรางเลยแม้แต่นิดเดียว
   ซึ่งเมื่อได้ฟังอย่างนั้นแล้ว ไซมอนก็ชะงักไปครู่ใหญ่ สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความหนักใจในยามที่จ้องมองใบหน้าเรียบเฉยของเพื่อนสนิทตนเองนิ่ง ด้วยไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าอีธานจะมีใจคิดแค้นลึกล้ำถึงเพียงนี้!
   “นี่แกคิดจะ...” เขาพูดได้แค่นั้นก็หยุดพูดไปเสียเฉยๆ อย่างนั้น เพราะไม่รู้จะใช้ถ้อยคำใดมาพูดให้ฟังดูดี ทว่าดวงตาของเขาก็สื่อชัดว่าเขากำลังคิดอะไร ซึ่งอีธานมองแล้วก็เข้าใจ
   “อือ” เขาครางรับสั้นๆ ในลำคอ
   ไซมอนมองมาเฟียหนุ่มด้วยสีหน้าหนักใจ “อีธาน มันเสี่ยงมากเลยนะ มากๆ เลยด้วย” เขาเอ่ยเน้นย้ำ หวังว่าเพื่อนสนิทของเขาจะเปลี่ยนใจและเลิกเสี่ยงอันตรายเสียที
   อีธานกลับส่ายหน้า ไม่ฟังคำเตือนของเพื่อนสนิทแม้แต่น้อย “ฉันเลยอยากให้แกช่วยฉัน"
   “แต่ว่ามันอันตรายมากนะ แกก็รู้ แกอาจจะ...”
   “ตาย” อีธานต่อคำพูดที่เพื่อนหยุดพูดไปเสียเฉยๆ ออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ใช่ ฉันอาจจะตายถ้าหากเขารู้”
   ชายหนุ่มเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มหยัน...คนคนนั้นอยู่บนจุดสูงสุดที่เหนือกว่าเขามาก เขาเองแม้จะรู้อยู่แก่ใจทว่ากลับทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น คนคนนั้นไร้ช่องโหว่ใดๆ ที่จะใช้โจมตีหรือโค่นล้มได้เลย กว่าเขาจะตามหาเบาะแส ร่องรอยต่างๆ ได้นั้นก็เลือดตาแทบกระเด็น ฉะนั้นเมื่อเจอกับคีย์แมนที่จะไขประตูชัยชนะของเขาได้แล้ว มาเฟียหนุ่มย่อมไม่ยอมปล่อยมืออย่างเด็ดขาด!
   “แต่แกก็ยังจะทำ” ไซมอนถามอย่างไม่เข้าใจและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตำหนิ
   เพื่อนของเขาทุกวันนี้ชีวิตก็เสี่ยงพอแล้ว ทำไมจึงไม่พอใจ ทำไมจึงไม่คิดที่จะรักตัวเองบ้าง
   “ชีวิตฉันก็เหมือนคนตายอยู่แล้วนะแซม...” อีธานพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
   “...”   
   “การที่ฉันหลุดพ้นไปจากตรงนี้ได้ บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดก็ได้"
   “อีธาน” ไซมอนมองคนพูดด้วยสายตาสงสาร ใครๆ อาจจะคิดว่ามาเฟียหนุ่มไร้หัวใจ แต่กลับไม่ใช่เขาหรือใครหลายๆ คนที่รู้จักอีธาน เฉินดีจะรู้ว่านั่นก็เป็นเพียงภาพที่คนภายนอกตัดสิน อีธานแท้จริงแล้วก็เป็นเพียงคนที่กำลังเจ็บปวดอย่างที่สุดเพราะเขาสูญเสีย ‘หัวใจ’ ไปแล้วต่างหาก
“นายควรปล่อยวางบ้างนะ พอลลีนก็ตายไปตั้งห้าปีแล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ คล้ายกับพยายามจะปลอบประโลมความรู้สึกเจ็บปวดของเพื่อนสนิทที่เขาสัมผัสได้
   มาเฟียหนุ่มสูดลมหายใจลึก เผยสีหน้าเจ็บปวดร้าวลึกที่ไม่เคยจางหายไปจากใจให้คนเป็นเพื่อนเห็นโดยไม่คิดปิดบัง
   “ไม่...ฉันทำใจไม่ได้"
   เขาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่ยังคงมีความเจ็บปวดอยู่ในนั้น จนคนฟังยังรู้สึกปวดใจเมื่อได้ฟัง
   “ลูกกับเมียฉันนะแซม...ลูกกับเมียฉันถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ทั้งๆ ที่ฉัน...”
   “ฉันรู้...” ไซมอนเอ่ยเสียงอ่อน
   “นั่นแหละ ถ้าไม่ลากคอมันให้ตายตกตามกันเป็นการชดใช้ ฉันก็จะรู้สึกติดค้างอยู่ในใจตลอดเวลา ฉันไม่สบายใจ ไม่เคยมีความสบายใจเลย"
   “..."
   “ทุกวันนี้ชีวิตฉันอยู่ได้เพราะความแค้น เสร็จจากนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน".
   มาเฟียหนุ่มตอบรับอย่างตรงไปตรงมา
   “อีธาน...”
   ไซมอนเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ สิ่งที่ทำได้มีเพียงมองเพื่อนสนิทด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจและสงสาร
   “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ เอาเป็นว่านายจะช่วยฉันใช่ไหม” อีธานเปลี่ยนเรื่องพูดในที่สุด ด้วยไม่ค่อยอยากจะนึกถึงสิ่งที่ยังคงเป็นตราบาปในหัวใจของเขา เพราะเขาดูแลและปกป้องพอลลีนไม่ได้
   “ผู้ชายคนนั้นสำคัญกับนายมากเลยรึไง” ไซมอนถาม ยอมเปลี่ยนเรื่องตามที่อีกฝ่ายต้องการ
   “ม่านเมฆน่ะเหรอ?” มาเฟียหนุ่มย้อนถามกลับ และเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ อีธาน เฉินจึงบอกไปว่า “ก็อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละ"
   “...”
   “เขาเก่งกว่าฉัน...ฉันยอมรับ และฉันเชื่อมั่นว่าเขาจะตามหาตัวตนของ 'มัน' ให้ฉันได้”
   สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องนั้นอยู่ดี ไซมอนได้แต่อ่อนใจ แต่ก็คร้านเกินกว่าจะทักท้วงอีกฝ่ายแล้ว เนื่องจากเห็นความตั้งใจอย่างยิ่งยวดของเพื่อนซี้ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแต่สนับสนุนและช่วยเหลืออีกฝ่ายสินะ
   “งั้นฉันจะช่วยนาย” ไซมอนบอกอีธานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ว่าแต่นายต้องการให้รั้งเอาไว้นานเท่าไหร่?”
   “นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"
   “…ตกลง”
   อีธานยิ้มอย่างจริงใจออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่เขามีให้แต่เฉพาะคนสนิทเท่านั้น ชายหนุ่มล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเสื้อสูทที่สวมอยู่แล้วหยิบเอากระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เป็นที่อยู่ของไคลน์ออกมาส่งให้กับไซมอนที่แบมือรอรับ
   “นี่ที่อยู่ของเขา ฉันให้คนเฝ้าตามโดยตลอด ยังไงก็ฝากนายด้วยแล้วกัน"
   “หวังว่าแกจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายนะอีธาน” ไซมอนเอ่ยพลางเก็บกระดาษแผ่นนั้นลงในกระเป๋า
   อีกครั้งที่อีธานคลี่ยิ้ม
“ฉันรับปากแกไม่ได้หรอก เพราะฉันรู้สึกได้ว่า นี่อาจจะใกล้ถึงปลายทางของฉันแล้ว...”
๐๐๐๐๐๐
   ม่านเมฆยอมรับว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เขาเบื่อหน่ายที่สุดในชีวิต ยิ่งโดยเฉพาะคนติดคอมพิวเตอร์อย่างเขาด้วยแล้ว การขาดมันไปก็เหมือนกับรู้สึกจะขาดใจอย่างไรชอบกล และมันก็ทำให้เขาหงุดหงิดมากเพราะเขาไม่มีอะไรจะทำ จริงๆ ก็ต้องยอมรับล่ะว่า การขาดมันก็เหมือนกับเขากลายเป็นคนทำอะไรไม่เป็นเลย เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เขารู้สึกว่าเขาควบคุมได้ เขาอยู่เหนือมัน
   ชายหนุ่มปิดรีโมตทีวีลง รายการโทรทัศน์ยามบ่ายช่างน่าเบื่อเหลือแสน ม่านเมฆเหลียวซ้ายแลขวา แล้วก็สังเกตเห็นเหยื่อของเขาที่เอาแต่ยืนนิ่งๆ อยู่มุมห้องนั่งเล่น ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะพยายามทำตัวให้กลืนไปกับผนังห้อง เพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็นเขากระมัง ชายหนุ่มคิดอย่างประชดประชัน เขาโยนรีโมตในมือไปยังโซฟาตัวข้างๆ อย่างส่งๆ แล้วหันไปทางผู้คุมของเขาทันที
   “นี่...ถามจริงๆ เถอะ พวกคุณจะไม่ปล่อยให้ผมลงไปข้างล่างจริงๆ เหรอ?” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กๆ เพราะนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขารู้ไม่ดี โอเค เมื่อก่อนเขาก็ใช่ว่าจะชอบออกไปไหนมาไหน แต่เขาก็ไม่เคยถูกกักตัวมาก่อน ตอนนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกริดรอนอิสรภาพ ทั้งในโลกของความเป็นจริงและโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กของเขา
   และต้องยอมรับมาการมาฮ่องกงครั้งนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งอย่างแรกเลยก็คือ...เขาก็มีอารมณ์อื่นๆ เหมือนกับชาวบ้านเป็นเหมือนกัน หลังจากถูกซุบซิบนินทามานานแล้วว่าเขาเป็นพวกไร้อารมณ์
   “ผมปล่อยคุณไปไม่ได้จริงๆ ครับ”
   คำตอบของผู้คุมทำให้เขาได้แต่กลอกตา “ผมต้องการของสำคัญนะ”
   เอาล่ะ อยากน้อยเขาก็ต้องการคอมพิวเตอร์ของเขาคืน ซึ่งจะได้คืนก็ต่อเมื่อเขาต้องเจอกับอีธานที่หลบหน้าหลบตาเขาไปเลย
   “ผมจะลงไปจัดการให้คุณเองครับ ขอแค่คุณสั่งมา” ผู้คุมของเขาตอบกลับ และไม่มีท่าทีจะปล่อยให้เขาก้าวออกไปข้างนอกนั่นง่ายๆ
   “มันเป็นของใช้ส่วนตัว” ชายหนุ่มตอบพลางกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย แน่ล่ะว่า นั่นเป็นของส่วนตัวที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะใช้มันได้
   “นั่นแหละครับ เราจัดการให้คุณได้ทุกอย่าง"
   “แต่ว่า...” ชายหนุ่มพยายามทักท้วง แต่ผู้คุมของเขากลับส่ายหน้า แม้ว่าเขาจะมีท่าทีใจดีกว่าเชสเยอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนใจดีจริงๆ
   “ไม่มีคำสั่งจากหัวหน้า ผมก็ปล่อยคุณไปไม่ได้อยู่ดี"
   “โอเค ไม่ได้ก็ไม่ได้” ชายหนุ่มยกมืออย่างยอมแพ้ เอาล่ะ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงหรอกว่าจะออกไปได้ ที่เขาพูดกับเขาเพราะต้องการพูดกับใครสักคนแก้เบื่อเท่านั้นแหละ ชายหนุ่มยักไหล่ ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “แต่ผมอยู่คนเดียว และผมเบื่อมากเลย งั้นคุณมานั่งคุยเป็นเพื่อนเล่นกับผมหน่อยเป็นไร"
   “เอ่อ…”
   ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง “หรือไม่ได้ล่ะ?”
   “ก็ได้ครับ” ผู้คุมของเขาตอบตกลงในที่สุด แม้เขาจะมีสีหน้าประหลาดใจที่จู่ๆ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาอยากชวนเขาคุยมากก็ตาม “คุณต้องการจะพูดเรื่องอะไร"
   “เรื่องทั่วๆ ไปสิ” ชายหนุ่มตอบพลางฉีกยิ้ม
   “คุณชื่ออะไร"
   “มาร์คครับ"
   “คุณมาร์ค คุณทำงานกับเจ้านายคุณนานเท่าไหร่แล้ว” ชายหนุ่มเริ่มนต้นถามเขาด้วยคำถามง่ายๆ
   ตามหลักแล้ว การที่เขาอยากจะให้อีกฝ่ายไว้ใจเขา และต้องการรู้ข้อมูลอื่นๆ เขาก็ควรจะเริ่มต้นชวนอีกฝ่ายพูดอะไรก็ได้ด้วยคำถามง่ายๆ นี่แหละ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขานึกอยากชวนผู้คุมของเขาพูดคุย ในเมื่อเขาไม่มีคอมพิวเตอร์ที่จะช่วยเขาหาคำตอบที่เขาสงสัยได้ เขาก็คงต้องถามเอากับคนรอบๆ ตัวอีธานแบบนี้นี่แหละ
   “ก็นานมากแล้วนะครับ” มาร์คตอบตามตรงไม่มีปิดบัง “ตั้งแต่ผมสิบหกด้วยซ้ำ ตอนเด็กๆ เกเรไปหน่อย โชคดีที่ได้อยู่แก๊งเฉินซี ชีวิตเลยดีขึ้นมาหน่อย”
   พูดจบชายหนุ่มก็อมยิ้ม เหมือนกับได้ระลึกถึงความหลังเก่าๆ อันสนุกสนานของตนเอง
   “เจ้านายคุณคงจะใจดีมากเลยนะ” ชายหนุ่มถามอย่างไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก เพราะจากคำพูดของมาร์คแล้ว มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าอีธานไม่ใช่อีธานที่เขารู้จักเลย
   คนใจดีกับอาชญากร ดูเหมือนมันจะขัดแย้งกันเกินกว่าจะไปด้วยกันได้เลย
   “ครับ” มาร์คยังคงยิ้มรับ ก่อนจะเอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “แรกๆ ก็ร้ายเหมือนกัน จนกระทั่งคุณอีธานแต่งงาน"
   “หืม?” ม่านเมฆเลิกคิ้วขึ้นสูง “เจ้านายคุณแต่งงานแล้วเหรอมาร์ค”
   เขายอมรับว่าเขาไม่ได้สนใจค้นประวัติในอดีตของอีธาน เฉินเลย นอกจากข้อมูลปัจจุบันและไม่ใช่ข้อมูลส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้ม่านเมฆอดแปลกใจไม่ได้เพราะเขาไม่เคยรู้มาก่อน
   “ครับ แต่งแล้ว แต่ว่าแต่งได้ไม่นาน นายหญิงก็เกิดอุบัติเหตุ ตอนนั้นเจ้านายน่าสงสารมากเลยนะครับเพราะว่านายหญิงเพิ่งตั้งท้องด้วย"
   “!!!”
   ชายหนุ่มเบิกตากว้าง ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
   “ว่ากันว่านายหญิงโดนฆ่า เอ่อ…ผมไม่น่าเล่าให้คุณฟัง" มาร์คได้แต่คลี่ยิ้มเจื่อนๆ ออกมา เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าเขาชักจะพูดมากเกินไปแล้ว
   “ไม่เป็นไรหรอก ผมฟังได้” ม่านเมฆโบกมือว่อน ขณะที่ทำสีหน้าแสดงความสนใจอออกมา “อย่างที่คุณรู้ เอ่อ...ผมเป็นผู้ชายน่ะนะ ได้มาอยู่ในตำแหน่ง... เอ่อ…ผมก็อยากรู้เรื่องคนเก่าเป็นธรรมดา"
   ชายหนุ่มพูดพลางแกล้งทำเป็นหลบหน้าหลบตามาร์คด้วยความเขินอาย เพราะรู้ดีแก่ใจว่าอีธาน เฉินคงจะไม่บอกใครสักคนหรอกว่าเขาคือใคร และเขารั้งเขาเอาไว้ด้วยเหตุผลใด ซึ่งเขาจะฉวยความเข้าใจผิดนี้ของคนรอบข้างเพื่อล้วงเอาข้อมูลหลายๆ อย่างที่เขาไม่อาจเข้าถึงได้ในวันนี้แหละ เขาจะได้รู้มันแล้ว...
   “ครับ พวกเราแปลกใจมากที่เจ้านายสนใจคุณ แต่ทุกๆ คนก็อยากให้เจ้านายหลุดจากความทุกข์นั้นทั้งนั้น อยากให้กลับมาเป็นเจ้านายที่มีความสุขของพวกเราตามเดิม ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้ชายก็ตาม”
   “ผมจะพยายามให้เป็นอย่างนั้นค่ะ ว่าแต่...ทำงานแบบนี้ นายคุณไม่เสี่ยงมากเลยเหรอ"
   “ไม่หรอกครับ นี่เป็นวิถีชีวิตของเรา"
   “อีธานเคยเล่าให้ผมฟังน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ย ขณะที่มาร์คมองเขาด้วยสายตาตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด ม่านเมฆจึงเอ่ยต่อไปเป็นการหยั่งเชิงข้อมูลที่เขาได้รู้มาว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ “แก๊งเฉินซี เกิดจากสามตระกูลใหญ่รวมกัน แล้วทั้งๆ ที่ตระกูลเฉินมีอำนาจขนาดนี้ ทำไมไม่ขึ้นเป็น...เศียรมังกร”
   นี่คือความข้องใจของเขามาโดยตลอดในตอนที่หาข้อมูลเกี่ยวกับอีธาน เฉิน
   ผู้ชายคนนั้นเกือบจะได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกมืด แต่ทำไมเขาถึงเลื่อนตัวเองมาเป็นเพียงมือขวา แถมยังทำให้ชื่อเสียงตัวเองฉาวโฉ่ราวกับตั้งใจด้วยฉายา ‘ราชายาเสพติด’ นั่นด้วย นี่คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ หลังจากที่เขาหมกมุ่นวิเคราะห์มาตลอดนับตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมาเฟียหนุ่มนามอีธาน เฉิน
   “ท่านเกือบได้ตำแหน่งนั้นเมื่อห้าปีที่แล้วครับ” มาร์คตอบอย่างไม่นึกระแวงว่าตนเองกำลังถูกล้วงข้อมูล “แต่ติดที่อายุยังน้อยเกินไปแล้วประจวบกับที่นายหญิงตาย นายท่านเลยไม่สนใจตำแหน่งนั้นอีกเลย ว่ากันว่าการตายของนายหญิงเกี่ยวข้องกับตำแหน่งนั้นด้วย”
   “อย่างนั้นเหรอ”
   ชายหนุ่มถามพลางพยักหน้ารับด้วยความสนใจเต็มที่ ไม่น่าเชื่อว่าคนในโลกมืดอย่างพวกเขา จะมีวันที่หยุดตัวเองไม่ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ทั้งๆ ที่มีศักยภาพพร้อม
   “เอ่อ...นี่เกินเวลามามากแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ"
   มาร์คเหลือบตามองนาฬิกา ก็เห็นว่าตัวเองคุยกับม่านเมฆมานานแล้ว และนี่ก็ใกล้จะได้เวลาเปลี่ยนเวรกันแล้ว ชายหนุ่มจึงเอ่ยขอตัวกลับไปในที่สุด ซึ่งม่านเมฆก็ได้แต่พยักหน้ารับ ไม่คิดจะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ เนื่องจากว่าวันนี้เขาได้คำตอบหลายคำตอบสำหรับคำถามที่ค้างคาใจมาเนิ่นนานเรียบร้อยแล้ว


๐๐๐๐๐๐
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 10 เพื่อนช่วยเพื่อน [UP 2.10.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Eigen ที่ 02-10-2018 11:36:30
   “นี่กวนตีนเหรอวะ?!”
   ไคลน์เอ่ยออกมาเป็นภาษาไทยด้วยความรู้สึกขัดใจ เพราะผู้ชายตรงหน้าเขานั้นคอยแต่จะก้าวดักทางเขาทุกทาง ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นแค่ความบังเอิญ เนื่องจากตอนเช้าเช่นนี้ภายในโรงแรมที่เขาพักก็กำลังพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ทว่าเมื่อเขาขยับไปทางซ้ายอีกฝ่ายก็ขยับตามมาดักหน้าเขา พอเขาขยับขวา ฝ่ายนั้นก็ตามมาอีกเช่นกัน ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วมุ่น ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างไม่ชอบใจ ตวัดดวงตาคมดุของตนเองมองเขาตรงๆ พลางเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ว่า
“ขอโทษด้วยนะ ขอทางผมด้วย”
   ทว่านอกจากจะไม่ขยับแล้ว อีกฝ่ายยังถามเขากลับด้วยว่า “คุณไคลน์ใช่ไหมครับ"
   “ห๊ะ?” ชายหนุ่มร้องเสียงสูงด้วยความสงสัย “นี่คุณรู้จักผมได้ยังไง”
   เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเห็นผู้ชายตรงหน้าแน่ๆ ไคลน์หรี่ตาพินิจมองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจก็เห็นว่าเขาเป็นผู้ชายหน้าตาดีถึงขั้นดีมาก รูปร่างสูงใหญ่นั้นแทบจะข่มเขาที่เป็นผู้ชายสูงโปร่งอยู่แล้วให้ดูตัวเล็กลงไปเลยอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นแหละ เขาไม่รู้จักอีกฝ่าย อันที่จริงไคลน์แทบไม่รู้จักใคร มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชายคนนี้จะรู้จักเขาเช่นเดียวกัน
   แต่ก็ไม่แน่ เมื่อดูจากพฤติกรรมเมื่อครู่ที่ผ่านมาของเขา น่ากลัวว่าหมอนี่จะรู้จักเขาจริงๆ นั่นแหละ
   “ผมรู้จักคุณดีเชียวล่ะ...คุณสายลับ”
   ไซมอนคลี่ยิ้มอ่อนโยนส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า ขณะลดเสียงที่เอ่ยคำพูดสุดท้ายออกมาจนแทบจะเป็นกระซิบ แต่มันก็ดังพอที่ไคลน์จะได้ยิน
   “หืม?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ
   ไซมอนยังคงส่งยิ้มให้เขา พลางผายมือไปด้านข้างแล้วเอ่ยกับเขาว่า “คงต้องขอเชิญคุณมาทางนี้กับผมหน่อย”
   สิ้นคำพูดของเขา ไคลน์ที่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าผู้ชายตรงหน้าอาจจะไม่ได้มาด้วยเจตนาดีก็ถอยหนีจากอีกฝ่ายทันที แต่กลับหนีไม่พ้น และไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาถูกล้อมหน้าล้อมหลังด้วยเหล่าชายฉกรรจ์อีกสี่ห้าคน ที่รุมล้อมผู้ชายตัวคนเดียวเช่นเขา
   “ผมไม่ไป! นี่! ปล่อยผมไปเดี๋ยวนี้นะ!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงดุดัน เมื่อไซมอนคว้าแขนเขาแล้วออกแรงลากเขาไปยังประตูทางออกอย่างรวดเร็ว
   “อย่าเลยครับ” ไซมอนปฏิเสธเขาทั้งรอยยิ้ม ยังคงมุ่งมั่นกับการลากเขาไปยังรถลีมูซีนคันหรูที่จอดรออยู่หน้าโรงแรมแล้ว “ผมคงปล่อยคุณไปไม่ได้” ชายหนุ่มพูดแล้วหันมาขยิบตาให้ผู้ชายหน้าสวยตรงหน้าอย่างขี้เล่น แต่มือแข็งแรงที่ยึดจับข้อมือของเขาไว้แน่น และไม่อาจสลัดหลุดได้เลยก็ทำให้เขาได้แต่หวาดระแวง
   “คุณเป็นใคร?” ชายหนุ่มถามคนตรงหน้าเสียงห้วน
   “ผมชื่อไซมอน หวัง คิดว่าคุณคงต้องมาอยู่กับผมสักพักจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเรียบร้อย” ไซมอนตอบคำถามอย่างรวบรัด และใจดีพอจะขยายความถึงที่มาที่ไปของเขาในครั้งนี้ให้ชายหนุ่มข้างๆ ฟังอีกด้วย
   ใครใช้ให้เขาไปทับเส้นของอีธาน เฉินกันเล่า ถูกกำจัดให้หลุดพ้นจากเส้นทางของอีธานด้วยวิธีการแสนจะนุ่มนวลเช่นนี้ก็ถือว่าเขาโชคดีมากแล้ว
   “คุณเป็นคนของอีธาน เฉิน!” ชายหนุ่มโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ซึ่งอาจรวมถึงไซมอนและอีธาน
   “...ผมกับเขาเกี่ยวข้องกันนิดหน่อย” ไซมอนยิ้ม ทว่าไม่ตอบรับตรงๆ แต่ก็ไม่ปฏิเสธจนเด็ดขาด
   “นี่คุณ!” ชายหนุ่มถลึงตาดุๆ ใส่คนที่เอาแต่กวนเขา ก่อนที่ไซมอนจะออกแรงยัดเขาเข้าไปในรถ ซึ่งทำให้ไคลน์ได้สติแล้วพยายามจะต่อต้าน
   “ผมไม่ไปนะ นี่! ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ”
   แต่เห็นได้ชัดว่ามันไร้ผล เพราะเขาถูกดันให้เข้ามาอยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ไซมอนก็หันไปเอ่ยกับชายหนุ่มว่า
   “ผมคงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับคุณด้วยนะคุณไคลน์ อย่างน้อยเราคงต้องตัวติดกันไปตลอดจนกว่าจะจบเรื่องนี้นั่นแหละ"
   “พวกคุณคิดจะทำอะไรกันแน่!”
   ไคลน์แทบจะคำรามออกมาอย่างหมดความอดทน แต่ผู้ชายกวนตีนข้างกายเขากลับไม่พูดอีกเลย และนั่นก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่สายลับหนุ่มหน้าสวยอย่างเขาถึงกับจนมุมเช่นนี้!
   ดูเหมือนว่าไซมอน หวังคนนี้จะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกอย่างแน่นอน!
๐๐๐๐๐๐
   เมื่อคืนนี้้เขาแยกกับไซมอนที่คลับนั่นตอนราวๆ เที่ยงคืนครึ่ง อีธานก็ตรงดิ่งกลับบ้านของเขาโดยไม่แวะไปเคลียร์งานที่บริษัทอีก แล้วในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนรถ ชายหนุ่มจึงเอ่ยกับเชสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ซึ่งมันเป็นคำถามประจำวันที่เขามักจะเอ่ยถามในทุกๆ ครั้งก่อนจะหมดวัน
“ม่านเมฆเป็นไงบ้างวันนี้"
   “ก็ดีครับ” เชสตอบ “เขาอึดอัดนิดหน่อยที่ออกไปไหนไม่ได้ เพราะไม่มีคำสั่งของคุณ เลยเห็นเขาเอาแต่คุณกับมาร์คทั้งวัน”
   พฤติกรรมของม่านเมฆอยู่ในสายตาของเชสตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะขยับไปทำอะไรที่ไหน หรือพูดคุยกับใคร ล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของเชสทั้งสิ้น เพื่อรายงานต่อให้กับมาเฟียหนุ่มผู้เป็นจ้านายได้รับทราบ
   “อืม…แล้วเขาพูดเรื่องอะไรบ้าง"
   อีธานถามด้วยความสนใจ อยากจะรู้ว่าม่านเมฆที่ขาดคอมพิวเตอร์จะเป็นอย่างไร
   “เห็นมาร์คบอกว่าส่วนมากก็มีแต่ถามทั่วๆ ไปน่ะครับ” เชสตอบพลางนิ่วหน้านิดๆ อย่างแปลกใจ ซึ่งเขาก็แปลกใจจริงๆ นั่นแหละที่ได้ยินว่าชายหนุ่มคนนั้นใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ หลังจากที่เขาได้รู้แล้วว่าเขามีความสำคัญอย่างไรกับเจ้านาย มีความสำคัญอย่างไรต่อตระกูลเฉิน
   ทว่าอีธานได้รับฟังคำรายงานนั้นแล้วกลับอมยิ้ม พอจะรู้ทันม่านเมฆอยู่บ้างว่าทำไมชายหนุ่มถึงคิดอยากจะคุยเรื่อง ‘ทั่วๆ ไป’
   “อืม…ฉันไม่อยากให้ม่านเมฆรู้อะไรมาก” ชายหนุ่มสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง หลังจากที่สลายรอยยิ้มบนใบหน้าออกไปแล้ว “ทุกวันนี้เขาก็รู้มากเกินไปแล้ว บอกมาร์คว่าต่อไปนี้ไม่ต้องตอบคำถามอะไรเขา ฉันอยากกดดันเขา เพื่อที่เขาจะได้ตอบตกลงทำงานให้ฉันเร็วๆ "
   “ครับเจ้านาย ผมจะสั่งลงไปเดี๋ยวนี้"
๐๐๐๐๐๐
   อีธานเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า ก่อนที่เขาจะเบนสายตามองตรงไปยังกรอบรูปอันเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ของเขา
   “พอลลีน...”
   ชายหนุ่มพึมพำชื่อคนที่อยู่ในภาพแผ่วเบา จ้องมองหญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มสดใส แล้วคิดถึงดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ พร่างพราวราวกับดวงดาวของเธอ คิดถึงตอนที่เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก คิดถึงยามที่เธอสัมผัสแตะต้องเขาด้วยนิ้วมือเล็กๆ แผ่วเบา คิดถึงตอนที่เธอโอบกอดเขาไว้ในอ้อมกอดเล็กๆ ของเธอ คิดถึงความรู้สึกในยามที่เธอกระซิบบอกเขาเบาๆ ว่ารัก คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นเธอ คิดถึงห้วงเวลานาทีที่เคยได้อยู่ด้วยกัน
   เขาคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นเหลือเกิน...ช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิต
   อีธานถอนหายใจยาว ความเจ็บปวดดั่งพิษร้ายแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวใจ ส่งผลให้เขาทรมานอย่างยากที่จะมียาใดรักษาให้หายขาดได้ เขาทรมานทุกครั้งที่คิดถึงเธอ...แต่ทรมานมากยิ่งกว่าเมื่อไม่คิดถึง
   เธอคือคนคนเดียวบนโลกใบนี้ที่รักเขา ดูแลเขา และทำให้คนอย่างเขาได้สัมผัสกับความรักที่แท้จริง
   เมื่อไหร่...เมื่อไหร่ที่เขาจะได้ตามเธอไปเสียที
   อีธานคิดอย่างร้าวรานใจ ขณะที่เปลือกตาก็หลุบปิดลง ตอนนี้ในสมองของเขาครุ่นคิดถึงแผนการต่างๆ ที่เขาจะต้องเร่งมือทำ และควรจะกระทำมันได้แล้ว เขาไม่ควรปล่อยเวลาเนิ่นนานไปยิ่งกว่านี้ มิฉะนั้นสิ่งที่เขามุ่งมาดปรารถนาก็จะอันตรธานหายไปเหมือนหมอกควัน ความยากลำบากตลอดหลายปีของเขาก็จะสูญหายไม่เหลืออะไร
   “อีกไม่นานแล้วนะ ผมจะตามหาตัวคนที่ทำร้ายคุณและทำร้ายลูกของเราให้ได้” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกระโดดขึ้นมานั่งอยู่บนตักของเขา เจ้าตัวที่อาจหาญพอจะรบกวนเวลาอันเงียบสงบของมาเฟียหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดของเกาะฮ่องกงโดยไม่กลัวว่าจะถูกสั่งฆ่า
   “ม๊าว…”
   แมวเปอร์เซียสีขาวหน้าตาแบนบี้ เจ้าของดวงตากลมโตดั่งลูกแก้วกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาแจ่มใส มันค่อยๆ ใช้อุ้งมือหน้าตะปบเนคไทเส้นเล็กสีดำของมาเฟียหนุ่ม ก่อนจะร้องม๊าวๆ ออกมาอีกสองสามครั้ง
   อีธานลุกขึ้นยืนพลางอุ้มมันในอ้อมแขน รับรู้ถึงท่าทางอันธพาลเล็กๆ ของมันดี
   “เสี่ยวมาวเด็กดี...หิวแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ขณะเดินตรงไปยังห้องนอนของเขา ซึ่งมีประตูเชื่อมถึงห้องทำงาน และบัดนี้ประตูนั้นก็เปิดออกกว้างด้วยฝีมือเจ้าของห้อง
   “ม๊าว...” เจ้าเหมียวร้องขานรับราวกับรู้เรื่อง ขณะค่อยๆ ไซ้ศีรษะกับแผ่นอกแกร่งของมาเฟียหนุ่ม ส่งผลให้คนหน้าเครียดมาตลอดทั้งวันมีสีหน้าอ่อนโยนลง
   เขาวางมันลงกับพื้นที่มีจานอาหารสีเหลืองสดใสของเจ้าเสี่ยวมาววางอยู่ข้างๆ ถาดน้ำ จากนั้นจึงเดินไปหยิบกล่องอาหารแมวออกมาเทให้เจ้าเหมียวศัตรูคู่อาฆาตในสมัยก่อนกิน
   เสี่ยวมาวเป็นแมวของพอลลีน เธอรักมันมากจนแทบจะละเลยเขาอยู่หลายต่อหลายครั้งในตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ไอ้เจ้าแมวบ้านี่ถึงขนาดเคยแกล้งร้องครวญครางออดอ้อนเธอ เพราะเขาไม่อนุญาตให้มันขึ้นมาบนเตียงนอนด้วยกัน แถมมันคงรับรู้ได้ว่ามีคนจะมาแย่งความรักของพอลลีนไปจากมันกระมัง มันถึงได้ชอบตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขานัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามอยู่ต่อหน้าพอลลีน เสี่ยวมาวมักจะกระโจนเข้ามาข่วนเขาให้ได้แผลเล็กๆ อยู่เสมอ
   ทว่า…หลังจากไม่มีพอลลีน ศัตรูคู่อาฆาตก็กลายเป็นมิตรขึ้นมาทันที แต่ถึงอย่างนั้นเสี่ยวมาวก็ไม่วายไว้ลาย บางทีมันก็ออกอาการพยศบ้างตามแต่ที่มันจะอยากจะทำ แต่เขากลับไม่ถือสามันอีกต่อไป เพราะเสี่ยวมาว...คือสิ่งเดียวที่เคยยืนยันให้เขาได้รู้ว่าช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ความสุขนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาฝันไป...แต่มันคือความจริง
   “ถ้าพอลลีนอยู่ดูแลแกก็ดีสิ แกก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยว่างอยู่บ้าน ยังไงก็เป็นเด็กดีนะเสี่ยวมาว...”
   ชายหนุ่มเอ่ยพลางลูบหัวเจ้าตัวเล็กเบาๆ ขณะที่มันก็นิ่งเฉยยอมให้เขาลูบไล้แต่โดยดี
   มาเฟียหนุ่มคลี่ยิ้มอ่อนๆ มองเสี่ยวมาวด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะพึมพำออกมาว่า “ผมดูแลจะเสี่ยวมาวอย่างดีนะพอลลีน คุณไม่ต้องห่วง อยู่ดูแลลูกและดูแลตัวเองดีๆ นะครับ...”
   “...”
   “ไม่นาน...ผมอาจจะตามคุณไป...”
๐๐๐๐๐
   เช้าวันต่อมาเป็นวันหยุดพักผ่อนของอีธาน เมื่อคืนหลังจากให้อาหารเสี่ยวมาวแล้ว ชายหนุ่มก็กลับไปทำงานต่อจนถึงรุ่งสาง แสงอาทิตย์แรกของวันมาเยือนพร้อมกับความเหนื่อยล้าถึงขีดสุดนั่นแหละ อีธานจึงได้หยุดการทำงานเพียงเท่านั้นแล้วกลับมาพักผ่อน แต่นอนได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นเบอร์ส่วนตัวก็ดังขึ้น ทำให้คนรู้สึกตัวไวอย่างเขานอนหลับไม่ลงอีกต่อไป
   อีธานรับสาย และยังไม่ทันได้พูดอะไรปลายสายก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
   “นายใช่ไหม”
   เสียงคุ้นหูนั่นทำให้มาเฟียหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าใครติดต่อมา เขาถอนหายใจยาว คาดเดาได้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วว่าไม่เกินสองสามวัน คนๆ นั้นต้องติดต่อเขามาแน่ๆ
   “…”
   ชายหนุ่มเงียบ ไม่ตอบอะไร ส่งผลให้ปลายสายถอนหายใจยาว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า
   “ฉันอยากเจอนาย”
   “ทำไมฉันต้องไป” มาเฟียหนุ่มตอบโต้ทันควัน
   “อย่าโยกโย้นะ” น้ำเสียงฉุนเฉียวมากกว่าเดิม “นายรู้เรื่องข่าวฆาตกรรมเมื่อวานหรือยัง”
   “แล้วยังไง” อีธานถามกลับด้วยท่าทีไม่ยี่หระ ใครจะเป็นจะตายไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย ไม่รู้หมอนี่จะโทร.มารบกวนเขาทำไมแต่เช้าแบบนี้
   “ฉันอยากเจอนาย...” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
   “ไม่” อีธาน เฉินปฏิเสธ “ช่วงนี้ฉันยังไม่มีอะไรจะพูดกับนาย”
   ปลายสายนิ่งไปนิด ก่อนจะบอกอีธานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่มีนัยข่มขู่อยู่ในที “แล้วฉันก็รู้ด้วยนะว่า ตอนนี้นายกักตัวใครเอาไว้"
   “...”
   “นายต้องมาเจอฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งไปทางเมืองไทย แล้ว...”
   “ตกลง” มาเฟียหนุ่มเอ่ยสวนขึ้นมาทันควัน ไม่ปล่อยให้ปลายสายได้ใจข่มขู่เขาได้อีกต่อไป “เจอกันที่ไหน"
   “เอาที่เดิมแล้วกัน"
   “ได้”
   เขาตอบตกลงอย่างง่ายๆ ก่อนจะตัดสายทิ้ง และดูเหมือนจะได้ยินฝ่ายนั้นพูดอะไรแว่วๆ ออกมาแต่เขากลับไม่ใส่ใจจะฟังแม้แต่น้อย ชายหนุ่มพลิกตัวหมายจะนอนต่อเพราะยังรู้สึกเหนื่อยล้า ก่อนจะพบว่าข้างๆ ตัวเขาอีกด้าน มีแมวขี้เซาตัวหนึ่งแอบกระโดดขึ้นมานอนบนเตียงด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อีธานยิ้มอ่อนๆ ออกมา จากนั้นจึงหลับตาลงแล้วไม่นานชายหนุ่มก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
๐๐๐๐๐
   ทางด้านไคลน์นั้น หลังจากที่โดนไซมอนจับตัวมา เอ่อ... อันที่จริงไม่เชิงพูดว่าจับตัว เพราะเขายินยอมให้บังคับพาตัวออกมา ครั้งแรกเขากะว่าอีกไม่นานคงจะหนีออกมาได้ แถมบางทีอาจจะได้เบาะแสอะไรของเพื่อนสนิทบ้าง ทว่าสุดท้ายกลับล้มเหลวทั้งสองทาง แถมเขายังประมาทเขาไปหน่อยเพราะคอนโดของไซมอนกลับได้รับการดูแลอย่างแน่นหนาจนเขาไม่อาจหนีออกไปได้ ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้แก่เขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาต้องตัวติดกับไซมอน หวังมานานกว่าสามวันแล้วน่ะสิ!
   และพอเข้าวันที่สี่ จู่ๆ ผู้ชายที่พาตัวเองมาอยู่ร่วมห้องกับเขา ก็จัดการเก็บข้าวของของเขาซึ่งมีอยู่น้อยนิดอย่างถือวิสาสะ ท่าทีของหมอนั่นเหมือนกับจะพาเขาย้ายที่อยู่ ส่งผลให้ไคลน์รู้สึกทนรอให้ไซมอนบอกเขาไม่ไหว จำต้องเอ่ยถามออกไปในที่สุด
   “นี่คุณจะพาผมไปไหนกันแน่มิสเตอร์หวัง!”
   “ไปเที่ยวครับ” ไซมอนตอบแล้วหันมายิ้มให้เขา หลังจากที่เก็บของใช้ส่วนตัวของตนเองเรียบร้อย
   “เที่ยวนี่นะ!” ไคลน์ขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองเขาด้วยสายตาดุดัน “ผมไม่อยากเที่ยว! ปล่อยผมไปเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มสั่งเสียงเข้ม เขาอยากจะไปไหนก็ไป! แต่เขาไม่คิดจะไปกับหมอนี่หรอก! เขาต้องไปตามหาตัวไอ้เมฆอยู่
   ไซมอนส่ายหน้า ไม่สนใจท่าทีพยศของไคลน์เลยแม้แต่น้อย “เอาน่า...เที่ยวฟรีกับหนุ่มหล่ออย่างผม ใครๆ ก็อิจฉาคุณทั้งนั้นแหละ”
   ชายหนุ่มทำตาพองใส่คนตรงหน้า ถึงแม้เขาจะหล่อจริงๆ แต่มันไม่สมควรพูดมันออกมานี่วะ!
“ไอ้คนหลงตัวเอง! นี่! ปล่อยผมไปเดี๋ยวนี้นะ!”
   ไซมอนส่ายหน้าช้าๆ เขาจุปากก่อนจะพูดว่า “คนสวย...อยู่กับผมสักเดือนสองเดือนเถอะ คิดซะว่ามาพักผ่อนไง” เขาเอ่ยโน้มน้าวเขาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มชวนฟัง แต่ไคลน์กลับไม่คล้อยตามเลยแม้แต่น้อย
   คนสวยบ้านมึงสิ! ไคลน์ถลึงตาดุดันใส่อีกฝ่าย
   “ผมไม่ต้องการพักผ่อนบ้าบอ! แต่ผมอยากเจอเพื่อนของผม!” ชายหนุ่มตะคอกออกมา รู้เท่าทันอีกฝ่ายว่าต้องการขัดขวางไม่ให้เขาได้เจอกับม่านเมฆ
   หมอนี่กำลังจะแยกเขาให้ไกลจากเพื่อนของเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้!
   ไซมอนมองหนุ่มหน้าสวยขี้โมโหด้วยสีหน้าขบขันน้อยๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางเรียวของชายหนุ่มขึ้น ซึ่งท่าทีของเขาทำให้ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อเพราะไม่เคยมีใครอาจหาญแตะต้องตัวเขาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้มาก่อน
   “คุณจะได้เจอแน่ๆ ไคลน์...”
   “...”
   “แต่ว่า...ไม่ใช่วันนี้หรอก"
   “มิสเตอร์หวัง!”
   ชายหนุ่มปัดมือเขาออกจากคาง ด้วยท่าทีโมโห รู้สึกได้ว่าเส้นเลือดข้างขมับเขาคงจะต้องปูดโปนออกมาแน่ๆ
   “ครับ?” ไซมอนยิ้มกวนประสาทอีกฝ่าย
   “ไอ้เวรนี่...”
   “อย่าตีหน้ายักษ์เลยน่า” ไซมอนเอ่ยขัดคนที่จะพูดจาหยาบคายออกมา ปลายนิ้วเรียวสวยที่ส่วนใหญ่จัดแต่มีดผ่าตัดแตะลงบนหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาแล้วจิ้มแรงๆ เพื่อไม่ให้เขาขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไคลน์จึงถลึงตาดุใส่เขาแทน ซึ่งไซมอนก็ได้แต่หัวเราะ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแสดงความหวังดีที่คนฟังอยากจะยกมือขึ้นบีบคอเขาเป็นที่สุด
“ไม่รู้หรือไงว่าถ้าคุณถลึงตาบ่อยๆ แถมขมวดคิ้วมุ่นขนาดนี้ รอยเหี่ยวย่นจะถามหานะครับ คุณคงไม่อยากดูแก่กว่าวัยใช่ไหมครับไคลน์...”


--------
-----

*หนังสือวางจำหน่ายแล้วนะคะ*

ราคาปก 315

ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยน้าาา 555+



 แฟนเพจ

https://web.facebook.com/Eigen.Author/

หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 10 เพื่อนช่วยเพื่อน [UP 2.10.61]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 02-10-2018 17:02:30
ติดตามค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 10 เพื่อนช่วยเพื่อน [UP 2.10.61]
เริ่มหัวข้อโดย: 30267 ที่ 03-10-2018 09:36:42
ฮืออ ชอบอ่านแนวนี้ รอจ้า
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 10 เพื่อนช่วยเพื่อน [UP 2.10.61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 03-10-2018 17:19:14
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: *ม า เ ฟี ย ร้ อ ย ก ล* ตอนที่ 10 เพื่อนช่วยเพื่อน [UP 2.10.61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 29-10-2019 06:11:18
ชอบ.. รอเลยค่ะ