พิมพ์หน้านี้ - ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Vammas ที่ 29-03-2017 10:32:04

หัวข้อ: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 29-03-2017 10:32:04
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: ♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢(ตอนที่ 1 ความฝันหรือความจริง) {28-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 29-03-2017 10:34:26
**********************
บทนำด้านล่างเลยค่ะ

*********************
หัวข้อ: Re: ♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢(ตอนที่ 1 ความฝันหรือความจริง) {29-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 29-03-2017 10:36:04
**********************
บทนำด้านล่างเลยค่ะ

*********************
หัวข้อ: Re: ♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢(ตอนที่ 1 ความฝันหรือความจริง) {29-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 29-03-2017 11:13:16
ทำไมย้อนกลับมาปัจจุบันหว่า น่าสนใจ
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 1 ความฝันหรือความจริง) {29-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 29-03-2017 11:29:14
น่าสนใจดีค่ะ ปกติแอบชอบแนวข้ามภพจีนโบราณอยู่แล้ว สู้ๆจ้า
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 1 ความฝันหรือความจริง) {29-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-03-2017 11:44:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 1 ความฝันหรือความจริง) {29-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: tonnum18 ที่ 29-03-2017 13:52:44
รอติดตามนะค่ะ เนื่อเรื่องน่าสนใจค่ะ
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 1 ความฝันหรือความจริง) {29-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 29-03-2017 14:39:46
น่าติดตามมมมมาต่อบ่อยๆน้า
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 1 ความฝันหรือความจริง) {29-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 29-03-2017 17:40:01
สนุกๆ พล็อตเรื่องน่าติดตามมากค่ะ รีบมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 1 ความฝันหรือความจริง) {29-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-03-2017 18:02:32
หืม ยังไงกันแน่หนอ
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 1 ความฝันหรือความจริง) {29-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-03-2017 21:10:47
ไป-กลับ ย้อนยุคได้ด้วย สุดยอดดดดด :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 2 ชะตาฟ้าลิขิต) {30-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 30-03-2017 22:49:16
**********************
บทนำด้านล่างเลยค่ะ

*********************
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 2 ชะตาฟ้าลิขิต) {30-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-03-2017 23:12:16
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 2 ชะตาฟ้าลิขิต) {30-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 31-03-2017 00:46:46
เนื้เรื่องน่าสนใจมากเลย จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 2 ชะตาฟ้าลิขิต) {30-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 31-03-2017 02:04:22
น่าสนใจมากเลยแหะ บอกแล้วว่าชอบนิยายจีนมากๆ เหมยฟางที่มีกลิ่นดอกท้อ แสดงว่าต้องมีดวงชะตาดอกท้อแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 2 ชะตาฟ้าลิขิต) {30-03-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 31-03-2017 14:37:34
แค่หลับก็ย้อนอดีตได้แล้ว แปลกดี แล้วแบบนี้ถ้าเกิดรักองค์ชายรองขึ้นมาจะทำไงล่ะจะอยู่ยุคนี้ได้ยังไง
ถ้าเกิดแค่หลับก็ย้อนอดีตได้แบบนี้
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 3 ยอมรับ) {01-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 01-04-2017 20:33:50
**********************
บทนำด้านล่างเลยค่ะ

*********************
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 3 ยอมรับ) {01-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 01-04-2017 22:34:09
มาต่อเลยได้ไหมมมอย่าปล่อยให้ตัวชั้นค้างไป :hao5:
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 3 ยอมรับ) {01-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-04-2017 03:18:15
ตลกเทพเจ้า มีความไฮเทค 55555
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 3 ยอมรับ) {01-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 02-04-2017 07:12:23
นี่สงสัยมาก ใครพระเอก
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 3 ยอมรับ) {01-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 02-04-2017 15:31:41
เริ่มได้กลิ่นรักสามเศร้ามาแต่ไกลล่ะ
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 3 ยอมรับ) {01-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-04-2017 15:50:58
รุจ มาได้ยังไง
แต่ชื่อ เปลี่ยน แถมเป็นแม่ทัพที่นี่อีกด้วย
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 3 ยอมรับ) {01-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 02-04-2017 15:52:15
ใครพระเอกน่อ :mew1:
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 4 เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ) {04-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 04-04-2017 15:20:46
**********************
บทนำด้านล่างเลยค่ะ

*********************
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 4 เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ) {04-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-04-2017 15:53:50
 :L1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 4 เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ) {04-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-04-2017 20:10:58
ปัจจุบันกับอดีต ไม่ต่างกัน
ปัจจุบัน หย่งเจิ้ง วิรุจ ต่างก็ชอบเหมยฟาง
อดีต องค์ชายรองเจ้าหย่งเจิ้ง อวี่เหวินเต๋ย ก็ชอบเหมยฟาง
ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็หนีสองคนไม่พ้น
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 4 เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ) {04-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 04-04-2017 23:09:34
ชาติที่แล้วหรือชาตินี้ยังไงก็หนีไม่พ้นสินะ
หัวข้อ: Re: ❤♢♢หลงยุค♡มาพบรัก♢♢❤(ตอนที่ 4 เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ) {04-04-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-04-2017 01:50:49
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (บทนำ){10-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 10-05-2017 15:26:32
สวัสดีค่า ขออนุญาติ ชี้แจ้งเรื่องนี้สักหน่อยน้าาา

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ แต่งใหม่หมดของ

เรื่อง หลงยุค มาพบรัก นะคะ (บางคนอาจได้อ่านไปแล้วอะนะ)

เพราะบางคนคนอ่านแล้วไม่เข้าใจดังนั้น ไรท์จึงแก้เนื้อเรื่องใหม่หมดนะคะ

เนื้อเรื่องจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนะคะ เนื้อเรื่องเก่าไรท์ได้ลบทิ้งไปหมดแล้ว ยังไงก็อดทนอ่านก่อนเนอะ 555+

 บางครั้งไรท์อาจมาต่อเรื่องช้าสักหน่อยเนอะ

เพราะไรท์แต่งสดแล้วลงให้อ่านเลยบางครั้งคำผิดจึงเยอะเป็นธรรมดา ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ

******************************************************************


❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

บทนำ

ท่ามกลางผู้คนมากมาย นักข่าวจำนวนมากในงานแต่งงานของชายหญิงคู่หนึ่ง ชายหนุ่มใบหน้าสวยหวานยืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นเจ้าบ่าวทั้งสองโอบเอวโอบไหล่ซึ่งกัน เพื่อถ่ายรูปแสดงถึงมิตรภาพอันดี แต่ใครจะไปรู้ได้ล่ะว่าภายใต้รอยยิ้ม ของคนหน้าสวยกับเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปวดร้าว แม้อยากร้องไห้ก็ทำไม่ได้แม้อยากจะหัวเราะก็ยิ่งทำไม่ได้ เขาต้องกล่ำกลืนเก็บหยาดน้ำตาให้ตกแต่ภายใน ไม่ให้มันไหลออกมาภายนอก ใครจะไปคิดล่ะว่า เขาต้องฝืนตัวตนอีกมากมายเท่าไหร่กับเรื่องนี้ เขามักถูกมอบความหวังให้เสมอ แต่ความหวังนั้นกับพังทลายลงด้วยน้ำมือของคนข้างๆ ที่ประกาศแต่งงานสายฟ้าแล่บ จนเขาต้องบินมาประเทศจีนเพื่อร่วมงาน

'เฮ้!...ทำไมเราต้องมายืนอยู่ตรงนี้ ทำไมเราต้องมายืนเคียงคู่คนที่เราแอบชอบเขา ทำไมเราถึงต้องมางานแต่งงานของคนที่เราแอบชอบ เขารักกันแล้วอย่างไร เขารักกัน ทำไมต้องลากเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เขาอยากจะรักกัน ทำไมต้องให้เรารับรู้ พอแล้วพอกันที เราไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว ขอร้องล่ะ ขอร้อง หากเลือกเกิดใหม่ได้ขอให้เขาหันมาสนใจเราอย่างเช่นคนรัก ไม่ใช่อย่างเพื่อนแบบนี้ เราขอแค่เขามองเรา รักเรา อย่างเช่นที่เรารัก พอกันทีกับใบโลกนี้ พอกันทีกับความรู้สึกน่าชิงชังแบบนี้ หากเรารักกันได้คงจะดีไม่น้อย'

ความรู้สึกมากมายของคนคนหนึ่งที่เพ้อพร่ำพรรณนาอยู่นี้ เป็นเพียงความคิดของเขาอยู่ฝ่ายเดียวที่ไม่อาจถ่ายทอดออกไปให้ผู้เป็นเพื่อนรักได้รับรู้ เขาดื่มหนักมาก เดินซวนเซไปมา เดินหน้าหนึ่งก้าวกับถอยหลังสามก้าวจนต้องหาที่ยึดเกาะเพื่อเดินกลับไปที่รถ พอจะก้าวจึ้นรถกลับถูกรั้งแขนไว้

"เฮ้ ฟาง นายจะไปไหน" ชายหนุ่มใบหน้าคมเข้มเอ่ยทักคนเป็นเพื่อนด้วยความเป็นห่วง เขาเดินตาม เหม่ยฟาง มาได้สักพักแล้ว เห็นอาการ เหม่ยฟางไม่ค่อยดีจึงรีบตามมา

เหม่ยฟางที่ก้มมองแต่พื้นเงยหน้าขึ้นมอง กับแค่นหัวเราะคนตรงหน้า ด้วยความสมเพชตนเอง ทำให้อีกฝ่ายมองด้วยด้วยความแปลกใจ เหม่ยฟางตบบ่าเพื่อนเบาๆก่อนเดินต่อไป

"นายจะขับรถกลับโรงแรมงั้นเหรอ เดี๋ยวฉันไปส่งแกเอง" เหม่ยฟางหันไปมองหน้าเพื่อนรักอีกครั้ง เขายกนิ้วชี้ขึ้นเกือบแตะที่ปากอีกฝ่าย แล้วส่ายไปมา เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าไม่ต้อง
"ไม่ได้! นายจะขับรถกลับทั้งที่เมาแบบนี้ได้ยังไง" เพราะความเป็นห่วงเขาจะยอมให้ เหม่ยฟาง ขับรถกลับแบบนี้ได้อย่างไรกัน เขายังคงรั้งแขนคนเมาเอาไว้แน่น

"เจิ้ง! นายห่วงเจ้าสาวดีกว่าไหม" คนถูกทักท้วงอารมณ์เสียใบหน้าสวยบูดบึ้ง แต่คนเป็นเพื่อนกับไม่ยอมปล่อยมือ ไม่ยอมแพ้ความพยายามตื้อเพื่อนรักอย่างสุดความสามารถ
"ฉันยอมให้นายกลับแบบนี้ไม่ได้ ถ้ายังไงนอนค้างที่บ้านฉันก่อนเถอะ"

"หึ" เสียงในลำคอดังรอดออกมา เรื่องอะไรเขาจะต้องนอนบ้าน ที่ได้ชื่อว่าเป็นเรือนหอของคนที่เขาชอบด้วย อยากให้เขาอกแตกตาย ใช่ไหมถึงได้กล้าชวนแบบนี้ เขาสะบัดมืออีกฝ่ายทิ้งอย่างแรง เมื่อหลุดจากการเกาะกุม เขาจึงรีบสอดตัวเข้าไปในรถ ปิดประตูล็อครถอย่างรวดเร็ว หากการขับรถออกไปในครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องเจอหน้ากัน เขายินดีเผชิญกับมัน

"ฟาง! ฟาง! เปิดประตูสิ ฟาง!" หย่งเจิ้ง ทั้งตะโกน ทั้งเคาะกระจก ทั้งดึงประตูรถ เขาเห็นเพียงรอยยิ้มเศร้าๆของเพื่อน ก็ยิ่งใจคอไม่ดี จู่ๆรถก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนเขาต้องถอยหลังออกมา แต่ใครจะไปรู้ว่านั่นคือรอยยิ้มสุดท้ายที่เขาจะได้เห็น

เหม่ยฟางขับรถค่อนข้างเร็วมาก ใช่ เขาเมา สติของเขาเลือนลาง แต่เขาไม่อยากผ่อนความเร็วลง เขาอยากตาย นั่นคือความจริง หากเขาขับรถเร็วขนาดนี้ เขาอาจสมหวังในสิ่งที่ตนเคย พร่ำพรรณนา เอาไว้ก็เป็นได้

ใครจะเข้าใจ ความรักของเขายิ่งกว่าตัวเขาเอง เขาไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีญาติที่ไหน ภายในโลกของเขามีเพียง หย่งเจิ้งกับวิรุจ ที่คอยหมุนรอบตัวเขา แต่หย่งเจิ้ง คือคนที่มีอิทธิพลกับเขาเพียงคนเดียว หากเขาได้ไปเกิดใหม่ได้รักกันหากเขาเป็นหญิงคนจะดีไม่น้อย พวกเขาคงจะรักกันได้ ไม่ใช่เป็นเขาเองที่เก็บทนกล่ำกลืนทุกอย่างไว้คนเดียว จน เหม่ยฟางเผลอเหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็ว จนในที่สุดรถทั้งคันหมุนเคว้งกลางถนน ก่อนพลิกตะแคงพุ่งชนกับต้นไม้ใหญ่ จนเกิดประกายไฟลุกโชน เปลวไฟโหมอย่างรุนแรง ร่างไร้สติวิญญาณ ยังคงนอนหลับอยู่ในรถ พร้อมเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ไม่น่าเลย เหม่ยฟางผู้น่าสงสารเจ็บช้ำจนตัวตาย เขา ยึดมั่นถือมั่น แม้กระทั่งตัวตาย ช่างน่าสงสารจริงๆ
.
.
.
.

03.30 น.

Rrrrrrr Rrrrrr Rrrrrr

หย่งเจิ้ง ที่กำลังหลับต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงโทรศัพท์ เขานอนเกือกกลิ้งอยู่บนเตียงเพียงคนเดียว บนเตียงนอนอันกว้างขวาง ไร้วี่แววคนซึ่งเป็นเจ้าสาวเมื่อคืน ก็แน่ล่ะสิ เจ้าสาวกำมะลอของเขาย้ายไปอยู่อยู่กับสามีตัวจริงแล้วนี่ ความจรืงของเรื่องนี้ก็คือว่า เขากับเสี่ยวหลิง ถูกพ่อแม่ บีบให้แต่งงาน ทั้งๆที่เขาไม่ชอบผู้หญิง เช่นเดียวกับ เสี่ยวหลิงที่ไม่ได้ชอบผู้ชาย เพื่อความเป็นอิสระของพวกเขาทั้งสองคน เขาตั้งใจจะบอกเรื่องนี่กับเหม่ยฟางเมื่อวาน ว่าทำไมเขาถึงแต่งงานสายฟ้าแล่บ แต่ เหม่ยฟางกับเมาเหล้าไม่ฟังอะไรเลย เขาอดห่วงอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆ

 Rrrrrrr Rrrrrr Rrrrrr

เสียงโทรศัพท์ยังดังต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดส่งเสียง ใครกันนะที่มาเวลานี้ เขาจำต้องลุกไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะเครื่องแป้งมากดรับอย่างหัวเสีย
"ครับ"
(เพราะมึง เพราะมึงคนเดียว ไอ้เพื่อนเลว มึงให้ ฟางขับรถกลับมาคนเดียวได้ยังไง ฮึกๆ ฮือๆ) เสียงคนในโทรศัพท์สั่นเครือคล้ายคนร้องไห้ ไม่สิกำบังร้องอยู่ต่างหาก เสียงของ วิรุจ เพื่อนของผมกับเหม่ยฟาง วิรุจมักตามติดเหม่ยฟางอยู่ตลอดเวลาเขาเป็นเพื่อนคนไทยเพียงคนเดียวของผม ผมเข้าใจนะว่าทำไมวิรุจจึงตามติดเหม่ยฟาง เพราะผมกับวิรุจคิดกับเหม่ยฟางในแบบเดียวกัน

"มีอะไร เกิดอะไรขึ้น!" ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลย เกิดอะไรขึ้นกับ เหม่ยฟางกัน
(ฟาง ฟาง ฮึกๆ ฟาง ตายแล้ว)
"มึงล้อเล่นมากไปแล้วนะ อย่ามาแช่งฟางแบบนี้นะเว้ย"
(ถ้ากูล้อเล่นกูจะมานั่งร้องไห้อยู่แบบนี้หรือไง)
"ไม่จริงใช่ไหม" โทรศัพท์ในมือหลุดร่วงลงพื้น นี่ไม่ใข่เรื่องจริงใช่ไหม วิรุจ จะต้องล้อเขาเล่นแน่ๆ ไม่จริง เขายังไม่ได้บอกความจริงกับ เหม่ยฟาง เลยนะ เขายังไม่ได้บอกความรู้สึกนี้
"ฟาง ทำไมทำแบบนี้ล่ะ" ผมทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดอาลัยตายยาก ไม่อยากจะเชื่อเลย ฮือๆ ฟาง ทำไมถึงทิ้งเราไป ฟาง ฮึกๆ ฮือๆ สองมือขยุ้มผมตัวเอง ก้มหน้าก้มตาซุกกับหัวเข่า ปลดปล่อยความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจออกมา ฟางงงง.....

หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (บทนำ){10-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-05-2017 18:05:01
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (บทนำ){10-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-05-2017 01:38:22
เปิดอินโทรมาใหม่ก็เศร้าเลย :sad4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (บทนำ){10-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 11-05-2017 06:22:35
ฟางไม่น่าคิดสั้นเลย เห้อออ :hao5:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 1 งูเขียวบนกิ่งเหมย){14-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 14-05-2017 22:07:56
​❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 1 งูเขียวบนกิ่งเหมย

ภายใต้กิ่งก้านสาขา ต้นดอกเหมยออกดอกเบ่งบานชูช่อสวยงามส่งกิ่งหอมฟุ่งกระจายไปทั่ว ใกล้กับสะพานข้ามทะเลสาบซีหู งูสีเขียวมรกตเกล็ดของมันแวววาวราวอัญมณีส่องแสง มันใช้ลำตัวพันรอบกิ่งเหมยสอดส่องสายตามองผู้คนในยุคนั้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ"(ไอ้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ไหนบอกจะให้เกิดเป็นลูกหลานมังกรเขียวไง แต่ไยข้าถึงเกิดเป็นงูเขียวได้เล่า) เจ้างูเขียวบ่นพึมพำกับตัวเองย้อนนึกถึงคำพูดของตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่บอกกับตนในตอนนั้น

เขาตื่นขึ้นมาพบกับ ความมืดมิด ความหนาวเหน็บที่ปกคลุมแผ่ซ่านไปทั่ว สรรพางค์กาย ของคนร่างบาง เขาหนาวสั่น หวาดกลัว นี่เขาตายไปแล้วงั้นเหรอ เขาจำภาพเหตุการณ์สุดท้ายในสายตาของเขาคือ มีชายแก่ เดินตัดหน้ารถ จนเขาเผลอเหยียบคันเร่งแทนที่จะเหยียบเบรค จากนั้น สติสัมปชัญญะ ของเขาก็ดับวูบลงไป นั่นคือสิ่งที่เขาจดจำได้

"ที่นี่ไหน? ทำไมมันถึงมืด และหนาวเหน็บเช่นนี้" เขาตื่นกลัวกับสิ่งที่พบเห็นนอกจากความืดมิดแล้วไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขามองเห็นได้เลย

"ที่นี่คือเขตกั้นแดนระหว่างความเป็นกับความตาย" เสียงชายแก่ดังขึ้นพร้อมประกายแสงรอบตัว เขาจดจำได้ในทันทีว่า ชายแก่ คนนี้คือคนที่เดินตัดหน้ารถเขา

"ลุง คนที่ตัดหน้ารถผม" เขาชี้นิ้วไปทางชายแก่ที่มีผมกับหนวดเคราขาวโพลน

"ใช่ข้าเอง แต่ที่ข้าโผล่ไปนั้นเพื่อช่วยเจ้านะ" ชายแก่แย้มยิ้มสุภาพแลดูใจดีให้เขา

"ช่วยให้ผมตายเร็วขึ้นน่ะสิ" เขาเถียงสุดใจขาดดิ้นเลย ถ้าช่วยจริงคงไม่เดินตัดหน้ารถเขาหรอก

"ข้าช่วยให้เจ้ามีสิทธ์ที่จะเลือกต่างหากล่ะ"

"เลือกอะไร" เหม่ยฟางทำหน้าสงสัยใคร่รู้

"เลือกจะมีชีวิตใหม่กับคนที่เจ้ารัก ในอีกยุคสมัยไงล่ะ"

"ผมสามารถรักกับเขาได้เหรอครับ"

"แน่นอน ข้าเห็นแก่รักมั่นของเจ้า จึงได้ดึงเจ้าออกมาจากความตายเพื่อเริ่มชีวิตใหม่กับดินแดนใหม่ยุคใหม่"

"ท่านช่วยผมได้จริงๆใช่ไหม" แววตารื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความเปี่ยมปิติปรีดา ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะมีโอกาส

"จริงสิ ข้าจะส่งให้เจ้าไปเกิดเป็นลูกหลานมังกร ซึ่งเจ้าสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ต่อไปนี้ความรักเจ้าจะสมหวัง" ตาเฒ่าวาดมือไปมาจนเกิดแสงสว่างจ้า จนเขาต้องหลับตา นั่นคือสิ่งที่ ตาเฒ่านั้นบอกเขา แต่ดูสิพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมา ทำไม๊ ทำไม เขาถึงได้กลายเป็นงูเขียว แทนที่จะเป็นมังกรเขียวได้ล่ะ

ขณะที่เขาบ่นพึมพำอยู่นั้น เหล่าเด็กๆในหมู่บ้านต่างพากันวิ่งเล่นแถวทะเลสาบ เด็กชายคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาที่พันตัวอยู่บนกิ่งเหมย จึงส่งเสียงร้องตะโกนเรียกผู้เป็นพ่อให้มาดูเขา

"ท่านพ่อ ท่านพ่อ มาดูงูเขียวตัวนี้สิ ท่านพ่อ" เด็กชายส่งเสียงร้องเรียกด้วยความตื่นตะลึง

"เหวินเต๋อ เจ้าไม่เคยเห็นงูเขียวหรือไง" ผู้เป็นพ่อส่งเสียงเบื่อหน่ายมาทางลูกชาย

"ท่านพ่อ งูเขียวตัวนี้มันไม่เหมือนงูเขียวทั่วไป" เหวินเต๋อน้อย พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จนผู้เป็นพ่อจำใจออกมาดู

"ไหนล่ะงูเขียวไม่ธรรดาของเจ้า"

"นั่นไงท่านพ่อ" เหวินเต๋อ ชี้ให้ผู้เป็นพ่อดูงูเขียวมรกต เมื่อผู้เป็นดป็นพ่อเห็นก็อดอ้าปากค้างไม่ได้ 

"งูตัวนี้ประหลาดนัก" ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ "

ท่านพ่อ ข้าเลี้ยงมันได้ไหม" เหวินเต๋อเอ่ยขึ้น ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เฮ้ๆ ข้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะของใครนะ) เจ้างูเขียวส่งเสียงประท้วง สะบัดหน้าไปมา จนทำเอาเหวินเต๋อน้อยอดขำกับท่าทางของมันไม่ได้ "ท่านพ่อให้ข้าเลี้ยงมันเถอะนะ ข้าสัญญาจะไม่นำมันเข้าบ้าน ข้าจะสร้างศาลาเล็กให้มันกันฝนที่ใต้ต้นเหมยนี้เอง" เมื่อผู้เป็นพ่อได้ฟังจึงยินยอมให้ลูกชายเลี้ยงเจ้างูน้อย

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้าใจดียิ่งนัก สร้างบ้านให้ข้าอยู่ด้วย) เมื่อศาลาถูกสร้างเสร็จเพียงเวลาไม่นาน เจ้างูเขียวจึงเลื้อยเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ ที่ถูกปูด้วยผ้านุ่มๆ

หลังจากสร้างศาลาหลังน้อยให้เจ้างูเขียวนั้นแล้ว เหวินเต๋อน้อยจะคอยมาเล่นกับเจ้างูเขียวทุกวันจนเป็นความเคยชิน เจ้างูเขียวรู้สึกสนิทใจกับเหวินเต๋อน้อยเป็นอย่างมากทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนกัน แม้ไม่ใช่ความคิดสำหรับผู้อื่นแต่ก็เป็นความคิดระหว่าง หนึ่งคนหนึ่งงู ที่มีความพันธ์ผูกคล้ายมีบางอย่างเชื่อมโยงทั้งสองเข้าหากัน เป็นสายใยบางๆที่ยากจะเข้าใจ

อากาศยามเช้าอันแสนสดชื่นเจ้างูเขียวนอนหลับอยู่บนที่นอนนุ่มจำต้องตื่นเพราะเสียงเรียกของเด็กชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น

"เจ้างูน้อย เจ้างูน้อย มาเล่นกันเถอะ" เจ้างูเขียวสะดุ้งโหยง เมื่อถูกปลุกขึ้น 

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้าเด็กบ้าเอ้ย มาปลุกข้ากำลังหลับได้ที่เชียว) เสียงขู่ ฟ่อๆ ทำให้เด็กชายยิ่มร่าเมื่อรู้ว่าเจ้างูรู้แล้วว่าเขามาเล่นด้วย เขาเอาแมลงกับหนูมาให้เจ้างูน้อยกินด้วย

"ข้าเอาหนูกับแมลงมาให้เจ้าทานด้วย" เด็กชายยิ่มร่านั่งลงข้างๆศาลาหลังเล็กที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ก่อนหยิบหนูตัวเล็กในถุงผ้าส่งให้เจ้างู

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

 หางของเจ้างูน้อยฟาดเข้าที่ถุงผ้าและมือของเหวินเต๋อน้อยอย่างแรงจนหนูหลุดจากมือและถุงผ้าพากันวิ่งหนีไป แม้เจ้างูน้อยจะตัวนิดเดียวแต่แรงที่ฟาดใส่มือนั้นกับรุนแรงยิ่งนัก มือของเหวินเต๋อน้อยแดงเป็นปื้น

 "ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เด็กบ้า ข้าไม่ทานหนูทานแมลง มันใช่อาหารที่ไหนเล่า) เจ้างูเขียวส่ายหัวไปมาส่งเสียงประท้วง

"เจ้าไม่ชอบทานของพวกนี้เหรอ" เหวินเต๋อน้อยทำท่าครุ่นคิด เขายิ้มออกมาก่อนลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งจากไป

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เด็กบ้าคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป ชิ ข้าไม่สนเจ้าแล้ว) เจ้างูเขียวบ่นเสร็จจึงเลื้อยกลับเข้าไปนอนต่อ

แต่ใครจะรู้ได้ล่ะการวิ่งจากไปในครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่จะได้เจอกัน เหวินเต๋อน้อย จำต้องย้ายบ้านตามผู้เป็นพ่อออกจากเมืองในวันนั้นทันทีโดยที่ไม่ได้บอกลากันแม้สักคำ เจ้างูเขียวเลื้อยขึ้นไปบนกิ่งเหมยชะแง้คอมองหาเหวินเต๋อน้อยวันแล้ววันเล่า สุดท้ายก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้าเด็กบ้าบังอาจทิ้งข้างั้นเหรอ) ถึงปากจะบ่นเช่นนั้นแต่น้ำตากับหลั่งรินออกมา ปรากฏเป็นไข่มุกเม็ดเล็กๆร่วงหล่นลงพื้นจนชาวบ้านพาตื่นตะลึง จากนั้นมาศาลาเล็กกลับกลายเป็นศาลเจ้าขนาดย่อม ผู้คนต่างแห่กันมาสักการะบูชา เพียงเพราะเจ้างูเขียวน้อยหลั่งน้ำตาเป็นไข่มุก

"เจ้าจะรอเจ้าเด็กนั่นอีกเหรอเจ้าไม่คิดจะตามหาคนรักของเจ้าแล้วงั้นสิ" เสียงชายแก่ดั่งแว่วปะทะโสตประสาทเจ้างูเขียวน้อย เจ้างูเขียวส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายให้เจ้าของเสียง

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ใครว่าข้ารอเจ้าเด็กบ้านั่น ข้ารอเจ้าอยู่ต่างหากล่ะ กว่าจะโผล่มาได้นะตาแก่ มาให้ข้าคิดบัญชีเสียดีๆ)

"ช้าก่อนๆ เจ้าจะทำร้ายข้าด้วยเรื่องอะไร"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ไหนว่าเจ้าบอก จะให้ข้าเกิดไปเกิดเป็นลูกหลานมังกรเขียวไง แต่ดูตัวข้าสิ มันงูเขียวชัดๆ)

"ใจเย็นๆ ร่างของเจ้าในตอนนี้เทียบเท่ากับเด็กอายุ7ขวบ เจ้ายังเติบโตไม่เต็มที่ ต่อไปตัวของเจ้าจะใหญ่โตขึ้นกว่านี้อีก ถึงตอนนั้นข้ากลัวเจ้าจะลำบาก ดังนั้นข้าจึงมาสอนเจ้าฝึกตบะ เจ้าจะได้แปลงร่างเป็นมนุษย์ไงเล่า เจ้าเป็นถึงมังกรเขียวเชียวนะ" ชายแก่รีบอธิบายให้เจ้างูเขียวฟัง เพื่อไม่ให้เจ้างูพุ่งมาทำร้ายตน

"ทำไมเพิ่งโผล่มา"

"คือข้า...มีธุระต้องไปทำ" ชายแก่เบนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อหลบสายตา เจ้างูเขียวที่หรี่ตาจ้องมองอย่างจับผิด

"เอาเถอะ ข้าจะยอมเชื่ออีกสักครั้ง จะสอนข้ากลายร่าง ก็รีบสอนสิ"

"ที่นี่ไม่เหมาะ ไปหาบ้านร้างสักแห่งเถอะ" ว่าแล้วชายแก่จึงเดินนำเจ้างูเขียวไป

ชายแก่นำเจ้างูเขียวมาถคงบ้านร้างหลังหนึ่ง บริเวณบ้านร้างที่ถูกทิ้งไว้ไว้จนมีสภาพทรุดโทรม ฝุ่นเกาะติดเต็มพื้น เพียงแค่เดินก็ปรากฏรอยเท้าได้

"ที่นี่เหมาะที่สุด" 

"ข้าต้องอยู่ที่นี่จริงๆเหรอ" เจ้างูเขียวมองไปรอบๆอย่างไม่ชอบใจ

"ถูกต้อง ข้าจะฝึกฝนตบะให้เจ้า"

"ถ้างั้นจงรีบสอนเถอะ"

"เจ้า กินยานี่ก่อนสิ  มันเป็นเพิ่มพลังปราณในตัวเจ้าได้" เมื่อชายแก่ป้อนยาให้เรียบร้อย เจ้างูเขียวกับรู้สึกตวามร้อนในกายแผ่ไปทั่วร่าง เจ้างูเขียวหันมาจ้องตาเฒ่าอย่างอาฆาต

"เจ้าเอายาอะไรให้ข้ากิน" น้ำเสียงอ่อนแรง ร่างกายล้มกลิ้งดิ้นไปมาอย่างทรมานด้วยความร้อนปานแผดเผาให้ไหม้เป็นจุน 

"มันเป็นเพิ่มพลังปราณและตบะของเจ้า ยังไงก็อดทนหน่อยแล้วกัน"

อดทนบ้าอะไรข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว หากมีเพลิงไฟมะนคงเผาร่างของเขาจนเป็นผุยผงแน่ๆ สุดท้ายความรู้สึกของเจ้างูเขียวดับวูบลงอย่างช้าๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีกแล้ว หนอย ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ อย่าให้ข้าฟื้นขึ้นมาได้นะจะฉกให้พรุนเชียว

.

.

.

.

ตะวันเคลื่อนผ่านจากเช้าไปบ่าย จากบ่ายจรดเย็น ในที่สุด เจ้างูเขียวจึงฟื้นคืนสติกลับมา ดวงตาสีนิลวาวจ้องมองเพดานอย่างเบลอๆ เขารู้สึกว่าร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่า อย่างประหลาด เขายกมือขึ้นตบศีรษะไล่ความมึนงงออกไป เอ๊ะ! มือ งั้นเหรอ ยกมือทั้งสองข้างชูขึ้น ลองลุกขึ้นยืนกระโดด ด้วยความตื่นเต้น

"ข้ากลายเป็นคนแล้ว" แม้จะดูเล็กไปหน่อยแต่นี่มันร่างกายมนุษย์อย่างแน่นอน เขาคลำส่วนต่างของร่างกายรวมทั้งใบหน้าของเขาด้วย

"เจ้าฟื้นขึ้นมา ดูแข็งแรงดีนะ" ชายแก่เอ่ยทักด้วยรอยยิ้มแจ่มใส แต่ใบหน้าของเจ้างูเขียวในร่างเด็กน้อยกับบึ้งตึงขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียง

"ไยเจ้าทำหน้าเช่นนั้น ทำหน้าให้เหมาะกับใบหน้าแสนงดงามนั่นหน่อยสิ" ชายแก่เลิกคิ้วถาม ใบหน้างดงามงั้นเหรอ เจ้างูเขียวลูบคลำใบหน้าตัวเอง เขาไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นเช่นไร

"หน้าของข้าเป็นเช่นไร"

"อยากรู้เจ้าก็ไปที่แม่น้ำสิ" พอสิ้นเสียง เจ้างูเขียวในร่างเด็กน้อยรูปงามจึงรีบวิ่งตรงไปที่ศาลเจ้าข้างทะเลสาบทันที

"นี่ๆ หน้าของข้างั้นเหรอ" เงาในน้ำสะท้อนให้เห็นเด็กชายรูปร่างหน้าตางดงามราวตุ๊กตา เขาลูบคลำใบหน้าตัวเองอย่างดีใจ แม้ร่างกายจะเป็นเพียงเด็กอายุเพียง7ขวบ แต่ก็ไม่สามารถลดทอนความงามนั้นลงไปได้

"แม่หนู แม่หนู ขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวน้ำตกท่าไปหรอก" ชาวบ้านในละแวกนั้นเห็นเด็กชายสวมอาภรสีเขียวอ่อนนั่งอยู่ริมน้ำจึงเอ่ย ทักด้วยความเป็นห่วง เด็กชายลุกขึ้นยืน เขาก้มหัวให้กับชาวบ้านคนนั้นหนึ่งครั้งก่อนเอ่ยคำพูดขึ้น

"ขออภัยท่านอา ข้าแค่อยากมาดูหน้าตัวเองเท่านั้น ยังไงข้าขอตัวก่อน" รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้างดงามของเด็กน้อย ยิ่งทำให้ผู้พบเห็นตะลึงพรึงเพริดไปตามๆกัน . . เจ้างูเขียววิ่งกลับบ้านร้างด้วยอารมณ์แห่งความสุข แต่ต่องชะงักเมื่อบ้านร้างนั้นแปรเปลี่ยนเป็นบ้านหลังใหมเอี่ยมไม่มีแม้แต่ผงฝุ่น อย่างตอนแรกที่เขามาเยือน ภายในบ้านต่างมีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน

"นี่คงเป็นฝีมือเจ้าเฒ่านั่น" เจ้างูเขียวพึมพำกับตัวเอง

"เจ้ากลับมาแล้ว มามาข้าเตรียมอาหารเอาไว้ มาทานด้วยกันสิ" ชายแก่วางอาหารมากมายลงบนโต๊ะ ร้องเรียกเจ้างูเขียวให้มาทานด้วยกัน เจ้างูเขียวจึงนั่งลงตรงข้ามกับชายแก่ ขณะที่จะคีบอาหารเข้าปาก ชายแก่ก็พูดขึ้นว่า

"เจ้าชื่ออะไร"

"หา! คุยกันมาตั้งนานเพิ่งคิดถามชื่อ" ดจ้างูเขียวปรายตามองเป็นสัญญาณว่า

'คิดถามชื่อผู้อื่นไยไม่แนะนำตัวก่อน'

"ขออภัยๆ ข้าคือเทพแห่งโชคชะตา มีชื่อว่า ไท้ส่วยเอี๊ย แล้วเจ้าล่ะ"

"ข้ามีชื่อว่า เหม่ยฟาง" เหม่ยฟางคีบอาหารใส่ปากเคี้ยวอย่างมีความสุข นานแค่ไหนนะที่ไม่ได้ลิ้มรสอาหารแบบนี้

"ต่อไปนี้ทุกวันยามเซิน เจ้ากลายร่างเป็นงูเขียวไปรอคนรักของเจ้าที่ต้นเหมย"

"ทำไมล่ะ"

"บัญชาสวรรค์ข้าไม่อาจแพร่งพรายได้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้"

"ชิ"

"เมื่อถึงเวลาข้าจะบอกเจ้าเอง ต่อไปเรียกข้าว่าท่านลุงเอี๊ย เราจะอยู่ด้วยกันจนกว่าเจ้าจะเจอคนรัก" พูดจบคนที่บอกให้เรียกท่านลุงเอี๊ยก็กลับมาตั้งหน้าตั้งตาทานข้าว โดยไม่พูดอะไรอีกต่อไป

.

.

.

.

หลังจากนั้นมา เหม่ยฟาง ในร่างงูเขียวสีมรกต ก็จะพาดลำตัวอยู่บนกิ่งเหมย เมื่อถึง ยามเซิน เป็นแบบนี้ตลอดจนชาวบ้านเห็นจนชินตา แต่เหม่ยฟางกลับกลายเป็น สัตว์โชว์ตัวให้แก่เหล่านักท่องเที่ยวที่ผ่านทางมาไปโดยปริยาย ไม่มีข้อโต้แย้ง

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เห็นข้าเป็นของแปลกประหลาดไปได้คนพวกนี้ ถ้ามีกล้อง มีโทรศัพท์คงหยิบเอามาถ่ายแล้วมั้งเนี่ย) เหม่ยฟางอดบ่นผู้คนไม่ได้ เขาไม่ใช่ตัวประหลาดสักหน่อย มาชี้ไม้ชี้มือกันอยู่ได้ เดี๋ยวก็ฉกซะเลยนี่ ข้าหงุดหงิดแล้วนะ

'ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ'

เหม่ยฟางทำได้แต่ส่งเสียงขู่อย่างจำใจ ไม่อาจใช้พลังทำร้ายใครได้ ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนแอ แต่เป็นเพราะถูกสั่งห้ามไว้ต่างหากล่ะ แล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้พบ หย่งเจิ้ง ล่ะ ข้าต้องรออีกนานแค่ไหนกัน.......

************************************************************
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 1 งูเขียวบนกิ่งเหมย) {14-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 14-05-2017 23:09:48
รอวววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 1 งูเขียวบนกิ่งเหมย) {14-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 15-05-2017 00:52:35
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 1 งูเขียวบนกิ่งเหมย) {14-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-05-2017 11:22:11
ใจร้ายอ่ะ แค่เข้าใจผิดเองไม่ใช่เหรอถึงกับให้ตายหรือหลงยุคแบบนี้ แล้วเฟิ้งในยุคปัจจุบันล่ะจะทำยังไง
จะไม่ให้ได้อธิบายเรื่องต่างๆ หรือได้สารภาพความในใจเลยเหรอ สงสารเฟิ้งนะใจร้ายไปแล้วววววว
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 1 งูเขียวบนกิ่งเหมย) {14-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-05-2017 11:49:02
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 1 งูเขียวบนกิ่งเหมย) {14-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 16-05-2017 00:13:14
แปลกดี แปลงร่างได้ด้วย
รอตอนต่อไปค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 2 อยู่อย่างคนไร้ใจ) {16-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 16-05-2017 15:50:39
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 2 อยู่อย่างคนไร้ใจ

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายบัดนี้ หน้ากับทรุดโทรมไปตามสภาพของคนไม่ได้ดูแลตัวเอง ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาสูญเสีย คนซึ่งเป็นดวงใจของเขา เขาเฝ้าโทษตัวเอง ต่างๆนานา อยากบอกเล่าความจริงทุกอย่างให้คนที่เขารักได้ฟัง แต่คนคนนั้นไม่สามารถรับฟังความในใจของเขาอีกแล้ว ฟาง กลับมาได้ไหม ฟาง ใจเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ มันเหมือนโดนบดละเอียดจนไม่อาจฟื้นกลับมาเป็นเช่นเดิมได้ เขาเจ็บปวดเกินคำบรรยาย สิ่งที่ทำให้เขาลืมได้เพียงชั่วขณะคือการดื่มเหล้า

"เจิ้ง แกเลิกแดกสักทีเถอะ ไอ้เหล้าเนี่ย แดกไปมันไม่ได้อะไรดีเลยนะเว้ย"  วิรุจยื้อแก้วเหล้าออกจากมือของหย่งเจิ้ง เขาทนไม่ได้ที่เพื่อนต้องโทษตัวเองแบบนี้ แต่ส่วนหนึ่งเขาเองก็ผิดเช่นกัน เพราะเขาปากไวเกินไป ที่ไปต่อว่า หย่งเจิ้ง เขารู้ว่าหย่งเจิ้งไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาเองก็เสียใจกับการจากไปไม่มีวันกลับของ เหม่ยฟาง เช่นกัน

"มึงอย่ายุ่ง กูจะกินเหล้า เอาแก้วเหล้ากูคืนมา" หย่งเจิ้งพยายามแย่งแก้วในมือของอีกฝ่ายกลับคืน
"ไม่ให้ กูรู้ว่ามึงเสียใจ แต่มึงเบาๆหน่อยเหอะ มึงแดกมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ" วิรุจเอ่ยทัดทานเพื่อนพยายามยื้อแก้วเหล้าหนีห่างจากหย่งเจิ้ง แต่ไม่เป็นผล หย่งเจิ้งผลักวิรุจให้ล้มลง พร้อมกับแย่งแก้วเหล้ากลับคืนมา
"มึงอย่ายุ่ง มึงจะไปรู้อะไร หัวใจกูทั้งดวงนะเว้ย หัวใจกูทั้งดวง ฮึกๆ มึงรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน หัวใจกู....ฮึกๆ" เสียงสั่นเครือแฝงความเจ็บปวดแสนสาหัส เอ่ยกับเพื่อน แต่คำพูดนี้ของ หย่งเจิ้ง ทำเอา วิรุจ ชะงักไปด้วย ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าการขาดหัวใจไปเป็นอย่างไร

"ทำไมกูจะไม่รู้ กูรู้กูถึงห้ามมึง กูรู้กูถึงไม่อยากให้มึงโทษตัวเอง กูรู้เท่าๆกับที่มึงเป็น เพราะว่ากูก็รักของกูเหมือนกัน" วิรุจพูดพลางสกัดกั้นความรู้สึกอันแสนหนักหน่วงนี้ เพื่อไม่ให้เพื่อนรักต้องรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม ขอเพียงเขาเข้มแข็ง เพื่อนของเขาก็ต้องเข้มแข็งตาม แต่มันช่างเย็นนัก เมื่อต้องมาเจอหย่งเจิ้ง ความทรงจำความรู้สึก ยังคงบ่งชี้ถึงคนที่เขาห่วงหาอาทร ได้จากโลกนี้ไปแล้ว

"หัวใจกูมันเต้นอยู่ก็จริง แต่ทำไมกูรู้สึกว่ามันได้หายไปจากอกกูแล้ว มันหายไปแล้ว มึงได้ยินไหมหัวใจกูมันได้ตายไปแล้ว"

เคร้ง! เพล้ง!

เสียงแก้ว และขวดเหล้าถูกกวาดลงจากโต๊ะรับแขกด้วยความโกรธเกี้ยว ข้าวของบนโต๊ะหล่นแตกกระจัดกระจาย เกลื่อนพื้น
"เฮ้ย! ไอ้บ้าเจิ้ง มึงทำบ้าอะไรเนี่ย" สิ่งที่วิรุจตกใจมากที่สุด ไม่ใช่การที่เห็น หย่งเจิ้งกวาดข้าวของหล่นพื้นแตกกระจาย แต่เป็นมือที่กำแก้วเหล้าจนแตกมันบาดลึกเข้าในผิวเนื้อจนเลือดไหลออกมาอย่างไม่รู้สึกเจ็บปวด

"ไอ้บ้าเอ้ย! มึงปล่อยมือเดียวนี้เลย" วิรุจรีบเข้าไปแกะมือที่กำเศษแก้วออกจากมือวิรุจ มือที่ชุ่มเลือดคลายออก แผลที่ถูกบาดค่อนข้างลึก เศษแก้วชิ้นเล็กๆยังคงฝังอยู่ในแผล
"โอ๊ย!!! ตายๆ กูจะบ้าตาย มึงจะทำร้ายตัวเองไปถึงไหน หัดสงบจิตสงบใจลงบ้างเหอะ" สายตาหย่งเจิ้งมองอย่างเลื่อนลอย ไม่ปรากฏภาพใครในแววตาแม้แต่น้อย เขาเข้าใจความรู้สึกของหย่งเจิ้ง แต่เขาไม่เคยคิดที่จะทรมานตัวเองแบบนี้

"ปล่อยไว้แบบนี้แหละไม่ต้องทำแผล"
"จะบ้าหรือไง กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำร้ายตัวเอง มึงทรมานตัวเองแบบนี้มันดีแล้วหรือไง"
"มีงไม่เข้าใจ"
"เออ! กูไม่เข้าใจ กูไม่เข้าใจว่า มึงจะทรมานตัวเองไปเพื่ออะไร" วิรุจเริ่มหมดความอดทน เขาไม่อยากคุยอะไรกับคนบ้า วิรุจเดินหนีออกมาหยิบไม้กวาดกับที่โกยขยะมาเก็บกวาดสิ่งที่หย่งเจิ้งทำเอาไว้ เขาไม่คิดเลยว่า หย่งเจิ้ง จะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ แม้เขาจะเศร้าโศกและรู้สึกเจ็บปวดมากไม่น้อย แต่พออยู่ต่อหน้าหย่งเจิ้งแล้ว ความทรมานทุกข์โศกนั้นมันช่างเทียบอะไรไม่ได้เลยกับความรู้สึกของหย่งเจิ้งได้รับแม้แต่น้อย

ทั้งหย่งเจิ้ง ทั้งวิรุจ นั่งตรงข้ามกัน โดยมีโต๊ะรับแขกขวางกั้นไว้ ต่างฝ่ายต่างเงียบเสียง ไร้การปฏิสัมพันธ์ คล้ายจมลงสู่ห่วงแห่งความเศร้าโศกของตนเอง
"มึงไปนอนพักเถอะ กูจะเก็บกวาดให้" วิรุจเหมือนคิดอะไรได้จึงทำลายความเงียบอันแสนอึดอัดนั้นลง หย่งเจิ้งพยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืน แต่ไม่วายหยิบเอาขวดเหล้าติดมือไปด้วย จนวิรุจต้องแย่งมาจากมือในทันที
"พอเลยมึง เลิกแดกได้แล้ว"
หย่งเจิ้งมองอย่างหัวเสียเดินเข้าห้องไป แม้มือยังมีอาการปวดแปลบเพราะเศษแก้วแต่เขากับคิดว่านี่ยังน้อยไปไม่เทียบเท่าจิตใจของเขาได้รับ
"เฮ้อ~" วิรุจผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ ที่เพื่อนรักยอมเชื่อฟังบ้าง แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนต้องสูญเสียคนที่รัก ก็พาลให้ตัวเองต้องแอบดื่มอยู่บ้างเล็กน้อยไม่ได้มากมายอย่างที่เพื่อนรักของตนทำ เขาเก็บกวาดทุกอย่างจนเรียบร้อยจึงกลับที่พักของตน
.
.
.
.
หย่งเจิ้งเข้ามาภายในห้องนอนด้วยสภาพอ่อนล้า เขาหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับการมีชีวิตอยู่อย่างนี้ เขาอยากตามไปอยู่เคียงข้าง เหม่ยฟาง อยากอยู่ด้วยกัน อยากเห็นหน้ากัน อยากได้ยินเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม อยากฟังเสียงคนชอบเถียง อยากเห็นใบหน้าแง่งอนนั่น


หากเขามีโอกาส เขาอยากบอกว่ารัก อีกฝ่ายมากแค่ไหน อยากจะพร่ำบอกจนอีกฝ่ายออกปากว่าเบื่อคำๆนี้ แต่โอกาสนั้นกลับมลายหายไปในชั่วข้ามคืน หากเขาบอกอีกฝ่ายให้รู้ก่อนหน้านี้ เรื่องทุกอย่างมันคงไม่เป็นอย่างนี้ใช่ไหม
"ฟาง เราขอโทษ ฮึกๆ ฮือๆ ฟาง" การอยู่คนเดียวไม่ส่งผลดีต่อสภาพจิตใจของของหย่งเจิ้งแม้แต่น้อย เพราะมันทำให้เขาคิดฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา

หย่งเจิ้งลงนอนในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ เขาเปิดน้ำให้ไหลลงสู่อ่างทีละน้อยส่วนตัวเขาก็นอนรับน้ำเย็นที่ค่อยๆท้วมสูงขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งท่วมมิดทั้งตัว เขาทิ้งตัวจมลงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน นอนอยู่อย่างนั้น หากเขาหลับไปตอนนี้เขามีโอกาสที่จะได้พบกับ เหม่ยฟางไหมนะ เขาหลับตาลงอย่างคนเหนื่อยอ่อน แต่วินาทีนั้นกลับรู้สึกถึงมือคู่หนึ่งมาดึงเขาขึ้นจากน้ำ เขาสำลักน้ำที่กินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนได้รับหมัดหนักๆจากคนที่ช่วยดึงเขาขึ้นมา

"มึงมันบ้า ไอ้เชี่ย ดีนะกูย้อนกลับมาเพราะลืมของ ไม่อย่างนั้นกูคงได้ไปงานศพของมึงอีกคนใช่ไหม"
"ไอ้รุจ" หย่งเจิ้งเอ่ยออกมาเสียงอ่อนแรงเมื่อได้สติ
"เออ กูเอง มึงคิดอะไรอยู่วะ มึงทำแบบนี้ทำไม"
"กูแค่จะอาบน้ำ"
"อาบน้ำ อาบน้ำบ้าบออะไรของมึง มึงแม่ง...บ้าฉิบหาย"
"เออ! กูมันบ้า คนบ้าอย่างกู ตอนนี้อยากตาย"
"มึงตายไปมึงคิดว่า ฟางมันจะดีใจเหรอ มึงบอกกูสิมึงบอกกู มึงบอกกู ไอ้เหี้ย..." วิรุจเขย่าตัวเพื่อนรักอย่างเอาเป็นเอาตาย
"แล้วมึงคิดไหมว่า กูอยู่อย่างนี้กูจะมีความสุขไหม ในเมื่อไม่มีฟางอยู่ข้างๆ กูคนนะเว้ย มีความรู้สึก ร้องไห้เป็น กูเจ็บเป็นนะเว้ย กูทนไม่ได้ กูทนไม่ได้ ฮือๆ ฮือๆ"

เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วห้องน้ำ หย่งเจิ้งนั่งกอดเข่าร้องไห้ จนทำให้ วิรุจที่มีท่าทางนิ่งๆ ถึงกับหลั่งน้ำตาตามไปด้วย พวกเขาสองคนมีความรู้สึกกับ เหม่ยฟาง แบบเดียวกัน พวกเขามีเลือดเนื้อจิตใจ พวกเราสองคนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีหากไร้หัวใจอยู่แบบนี้ นั่นคือความคิดของหย่งเจิ้ง และในส่วนลึกของจิตใจของวิรุจด้วยเช่นกัน

แหมะ แหมะ

ขณะทึ่ทั้งคู่กำลังอยู่ในภวังค์ของตน หย่งเจิ้งเกิดอาการแปลกๆ มีเลือดกำเดาสีแดงเข้มไหลออกจากจมูก จนวิรุจที่อยู่ข้างถึงกับตกใจ
"เฮ้ย!  เจิ้ง มึงเป็นอะไร" หย่งเจิ้งใช้มือแตะจมูก เลือดสีแดงทะลักออกมาไม่หยุด หย่งเจิ้ง รู้สึกมึนๆเบลอ ยืนโซเซคล้ายคนจะล้ม จนวิรุจต้องรีบประคองดูอาการเพื่อน
"เฮ้ย!" วิรุจร้องอุทานขึ้นมาเมื่อหย่งเจิ้งหมดสติไป เขาพยายามตบหน้าเรียกอีกฝ่ายเบาๆเพื่อเรียกสติ แต่ไม่เป็นผล หย่งเจิ้งจึงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน

โรงพยาบาล ห้องพิเศษ 435

"พี่รุจ เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ ทำไมพี่เขาทำไมถึงเป็นแบบนี้" หญิงสาวใบหน้าสดสวยอ่อนเยาว์ เดินเคียงคู่กับ หญิงสาวหน้าตาดีรูปร่างผอมสูงอีกคน พวกเธอมีสีหน้ากังวลใจมากเมื่อทราบข่าวของหย่งเจิ้ง หากไม่มีหย่งเจิ้งพวกเธอคงไม่ได้ยืนเคียงคู่กันแบบนี้

"เสี่ยวหลิง หลั่วหยี่ พวกเธอมาเยี่ยมในงั้นเหรอ" ทั้งสองพยักหน้ารับ
"พี่เจิ้ง เป็นผู้มีพระคุณของเราสองคนนี่คะ" เสี่ยวหลิงพูด
"ใช่ค่ะ หากไม่มีพี่เขาพวกเราคงไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้" หลั่วหยี่เอ่ยด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
"แล้วนี่พี่เขาเป็นไงบ้างคะ" อสี่ยวหลิงเอ่ยถามอาการ

"โรคใจน่ะ หมอนี่มันตรอมใจ  อาการเลยทรุด"
"น่าสงสารจัง เพราะช่วยพวกเราแท้ๆ" เสี่ยวหลิงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยซบไหล่ของหลั่วหยี่
"แล้วจะพื้นเมื่อไหร่คะพี่รุจ" หลั่วหยี่ถามขึ้น วิรุจได้แต่ส่ายหน้าเขาเองก็ตอบไม่ได้ เขากำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เขากลัวเพื่อนรักจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก แต่การหลับครั้งนี้ หย่งเจิ้งอาจได้พบกับเหม่ยฟางก็ได้นะ ฉันขอให้แก ได้พบกับเหม่ยฟางนะ แม้จะแค่ความฝันก็ตามที
.
.
.
.
 
"แย่แล้ว แย่แล้ว นี่ข้าทำผิดใช่หรือไม่ สงสัยต้องแก้ไขอะไรบางอย่างแล้วสิ" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยกับตนเองอย่างนึกละอายใจที่ตนเองกระทำการผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ เขาคิดแค่ว่า หากช่วย เหม่ยฟางให้หลุดจากยุคนั้นได้ เหม่ยฟางจะมีชะตาที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า คนที่อยู่ในอีกยุค กับทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
"ท่านลุงเอี๊ย ข้ากลับมาแล้ว ท่านกำลังดูอะไรอยู่" ตาเฒ่าเอี๊ยกำลังวางคันฉ่องวิเศษลงบนโต๊ะ ถึงกับตกใจทำคันฉ่องหลุดมือจนเกิดเสียงดัง

เคร้ง!

"โอ๊ย!!! หัวใจข้าเกือบวายไยเจ้ามาไม่ให้สุ่มให้เสียง" เฮ้อ โชคดีนะคันฉ่องของข้าไม่แตก
"ห๊ะ! ข้าเนี่ยนะไม่ให้สุ่มให้เสียง ท่านนี่คงแก่มากแล้วจริงๆ"
"หนอยๆ เจ้าเด็กคนนี้ ปากคอเลาะร้ายยิ่งนัก"
"ชิ! แค่ถามก็ไม่ได้ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ เอ้ย" เสียงงึมงำในลำคอดังขึ้นเพียงให้ตนเองได้ยิน
"เจ้าว่าไงนะ"
"เปล๊า!" ชิ! ทีงี้หูดีเชียว

"ว่าแต่ เจ้าเจอคนรักของเจ้าหรือยัง" ตาเฒ่าเอี๊ยเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้ เหม่ยฟาง ถามเรื่องก่อนหน้า
"ยัง ข้าเบื่อจะรอแล้วนะ ตาเฒ่า เอ้ย ท่านลุงเอี๊ย ข้าอยากอแกไปตามหาเอง"
"แต่เจ้าต้องรออยู่ทึ่ต้นเหมยนั่น" แม้จะต้องรอนานสักหน่อยก็ตามที ตาเฒ่าเอี๊ยคิดในใจ

"ไม่ ไม่ ไม่เอา ข้าไม่รอแล้ว ข้าเบื่อที่จะต้องรอ จะให้ข้ารออีกนานแค่ไหน" เหม่ยฟางเริ่มงอแงไม่ชอบใจ
"เจ้าอย่าทำตัวเป็นเด็กหน่อยเลยน่า"
"ก็ข้ายังเด็กอยู่นี่ เห็นไหมข้าอายุเพียง 7ขวบเอง" เหม่ยฟางใช้ข้ออ้างเรื่องขนาดตัวมาอธิบายว่าเขายังเด็ก
"เจ้านี่มัน....เฮ้อ~" ตาเฒ่าเอี๊ยถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้งี้อย่างนี้น่าจะให้ เหม่ยฟางดื่มน้ำแกงยายเมิ่งก่อนก็ได้จะได้ไม่ต้องมาชวนหัวกับเหม่ยฟางในตอนนี้
 "ท่านลุงเอี๊ย ถอนหายใจทำไมเล่า" เพราะใครล่ะเด็กบ้า ยังจะมาทำหน้าทำตาทะเล้นใส่ข้าอีก ข้าล่ะหน่ายใจกับเจ้าเสียแล้วสิ
"เจ้าอย่ายุ่งเรื่องของข้าสักเรื่องมิได้หรือ"
"ท่านกำลังว่าข้าเหรอ"
"ข้าเปล่า เจ้าอย่าคิดเองเออเองสิ"
"ห๊ะ! ข้าผิดอีกแล้วเหรอ" เหม่ยฟางเกาหัวตัวเองอย่างงงๆ

"ช่างเถอะ ข้าเตรียมกับข้าวอร่อยไว้ให้แล้วมาทานเถอะ"
"ท่านนี่เปลี่ยนเรื่องไวจริงๆ" เหม่ยฟางหรี่ตามองอย่างจับผิดคนโกหก
"เจ้า เจ้า มองข้าเยี่ยงนี่หมายความว่าไง" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก 
"ท่านจะตอบข้าได้หรือยัง ว่าข้าต้องรออีกนานแค่ไหน"
"ก็ ก็..."
"ก็อะไร"
"10ปี"

เคร้ง!

"แค่กๆ แค่กๆ"

ตะเกือบในมือของเหม่ยฟางหล่นสู่ชามข้าวพร้อมกับอาการสำลักอาหารที่ทานเข้าไปอย่างหน้าดำหน้าแดง จนตาเฒ่าเอี๊ยต้องตบหลังให้เบาๆ จนคลายสำลัก

"10ปี ท่านจะบ้าเหรอ แดดร้อนก็ร้อน ท่านคิดให้ข้าคนที่อีก 10 ปีจะโผล่มาให้ข้าเห็นหน้าเนี่ยนะ ท่านบ้าไปแล้วเหรอ" เหม่ยฟางร้องโวยวาย
"เหอะน่า นี่เพื่อการสร้างชื่อเสียงของเจ้านะ"
"เอาเถอะ สักวันเขาจะตามหาเจ้าเมื่อได้ยินชื่อเสียงของเจ้า"
"ท่านมีความลับเยอะเกินไปแล้วนะ" เหม่ยฟางหรี่ตามองอีกครั้ง จนตาเฒ่าเอี๊ยถึงกับเบนหน้าหนีไม่กล้าสบตา

"ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะเชื่อท่าน หากหลังจากนี้ 10ปีเขาไม่มาตามหาข้าอย่างที่ท่านบอกข้าจะกินท่านคอยดูเถอะ"
"นี่เจ้า กล้าขู่ข้า"
"ไม่ได้ขู่ แต่บ้าทำจริงๆ"
"เหอะ ตัวเท่างูเขียวคิดจะกินข้า"
"ไหนท่านบอกพออายุข้ามากพอตัวข้าจะใหญ่โตขึ้นไง"

พอได้ฟังเช่นนั้น ตาเฒ่าเอี๊ย ถึงกับเหงื่อตก ข้าลืมไปเลย ว่าเจ้านี่มันเป็นมังกรเขียว หากเป็นเช่นนั้น อีก 10ปี ข้าต่องโดนมันกินแน่ๆ ข้าคิดถูกคิดผิดเนี่ยที่คิดช่วยเรื่องความรักของเจ้าเด็กนี่ ดูสิ คิดจะกินแม้แต่ผู้มีพระคุณ ข้าให้เจ้าเด็กนี่กินน้ำแกงยายเมิ่งตอนนี้ทันไหมมมมม.......ตาเฒ่าเอี๊ยได้แต่ร้องกู่ก้องแต่ภายในใจ

หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 2 อยู่อย่างคนไร้ใจ) {16-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 16-05-2017 17:23:08
จะฮาาา ก็เทพเจ้านี่ล่ะ 555
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 2 อยู่อย่างคนไร้ใจ) {16-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-05-2017 17:23:18
เอาเฟิ้งไปอยู่ด้วยกันในยุคนั้นเลยนะ ตาเฒ่าเอี๊ย
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 2 อยู่อย่างคนไร้ใจ) {16-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-05-2017 22:54:48
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 2 อยู่อย่างคนไร้ใจ) {16-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 16-05-2017 23:15:15
สงสารทั้ง 2 คนเลย
คนนึงเศร้าตรอมใจเพราะคิดว่าคนรักตาย
ส่วนอีกคนก็เศร้านึกว่าคนรักของเราไปรักคนอื่น :mew6:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 2 อยู่อย่างคนไร้ใจ) {16-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 16-05-2017 23:57:59
 o13 ดราม่าจับจิตใจเหลือเกินนนน ชอบ :m3: ตาเฒ่าจะทำไงต่อล่ะยังงี้~ รอจ้า :mew1: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 3 เมื่อแรกพบประสบพักตร์) {21-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 21-05-2017 12:01:17
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

 ตอนที่ 3 เมื่อแรกพบประสบพักตร์

การรอคอยมันช่างทรมานอะไรแบบนี้ 10ปี แล้วนะ 10ปี ที่ข้าเฝ้ารอ แต่ทำไมไม่เห็นมีวี่แววของคนคนนั้นแม้แต่น้อย ดูตัวข้าสินับวันยิ่งใหญ่โตจนกลายเป็นงูยักษ์ไปเสียแล้ว ตัวของข้าใหญ่โตขึ้นเป็น2เท่าของทุกปี ตาเฒ่านะตาเฒ่าคิดจะทำอะไรกันแน่ บอกให้ข้ามารออยู่แบบนี้ จะให้รอในร่างคนหน่อยก็ไม่ได้ แล้วไหนจะไอ้หอคณิกาฝูหลงฮาว ที่มาเปิดบดบังหน้าบ้านข้าอีก ข้าอยากจะพังทิ้งเสียจริง โมโห อารมณ์เสีย แม้เหม่ยฟางจะเป็นงูเขียวตัวใหญ่ยักษ์ผิดธรรมชาติ แต่ผู้คนในหมู่บ้านซีหู กับไม่มีใครหวาดกลัว มีเพียงความเคารพเลื่อมใส แม้แต่พวกเด็กก็ชอบมาเล่นกับเขา

"เจ้างูยักษ์มาเล่นกันเถอะ เจ้างู"
"เจ้างู"
"เจ้างู" เด็กๆต่างร้องเรียก จนทำให้งูอารมณ์เสียเริ่มรำคาญ
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ไปให้พ้นข้ารำคาญ เรียกเจ้างู เจ้างู อยู่ได้) เหม่ยฟางในร่างงูยักษ์ปัดหางไปมาไล่พวกเด็กอย่างรำคาญ แต่สุดท้ายกต้องจำใจลงมาเล่นด้วย เพราะทนการลบเล้าไม่ไหว หากไม่ลงมาเล่นด้วยพวกเด็กๆคงตามตอแยไม่เลิก หนอยๆ ข้าแค่ยอมให้ก่อนหรอกนะ คราวหน้าไม่ทางที่ข้าจะเล่นด้วยอีกคอยดู แม้จะพูดอย่างนั้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยทำสำเร็จสักครั้ง

เมื่อตกเย็นเหม่ยฟางในร่างงูมุดน้ำเข้าไปใต้สะพาน เพื่อกลายร่าง เป็นอย่างนี้ตลอด 10ปี แม้ยุ่งยากสักหน่อย ขอเพียงไม่มีใครจับได้เขาก็รู้สึกดีมากแล้ว แต่ใครจะไปนึกล่ะว่า จู่ๆ จะมีเรือท่องเที่ยวผ่านมา เหม่ยฟางในร่างบุรุษรูปงามโผล่ขึ้นจากน้ำโดยไม่ทันระวังตัว จึงถูกเรือชนเข้าอย่างแรง ร่างทั้งร่างลอยกระเด็นจมลงในน้ำอีกครั้ง

"ตาย ตาย ข้าตายแน่ๆ"เสียงนายท้ายเรือโวยวายเมื่อรู้ว่าตนชนเข้ากับอะไร
"เกิดอะไรขึ้น เรือชนเข้ากับสิ่งใด" ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลารูปร่างกำยำ มีกลิ่นอายของผู้ฝึกยุทธ ถามขึ้นเมื่อขึ้นจากท้องเรือ เขารู้สึกเหมือนกับว่าเรือชนเข้าอะไรบางอย่างจึงได้ขึ้นมาดู
"เรียนนายท่าน คือ ว่า คือ"
"มีอะไรก็รีบพูดมา"
"คือ...ข้าคิดว่าเรือชนคนขอรับ"
"ชนคน? จะเป็นไปได้อย่างไร" น้ำออกลึก คนที่ไหนจะมาว่ายน้ำเล่นแถวนี้

"จริงๆนะขอรับ ตอนเรือแล่นมาจู่ๆ คนคนนั้นก็โผล่ขึ้นมา แล้ว..." นายท้ายสีหน้าซีดเผือดด้วยความกังวล เอ่ยด้วยน่ำเสียงไม่สู้ดี ทั้งยังยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าตนชนคน

"อวี๋เหวินเต๋อ เกิดอะไรขึ้น" น้ำเสียงกังวานก้องน่าเกรงขามเอ่ยถามขึ้นจากภายใต้ท้องเรือ
"เรียนคุณชาย นายท้ายเรืออ้างว่าตนเองแล่นเรือชนเข้ากับคนขอรับ"
"ชนคน?" ผู้เป็นนายถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
"ขอรับ"

"ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจนะขอรับ จู่ๆเขาก็โผล่ขึ้นมา ข้าน้อยจะหยุดเรือทันได้อย่างไร" นายท้ายคุกเข่าอ้อนวอนคุณชายที่อยู่ใต้ท้องเรือ
"เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ หากชนคนจริงจงรีบลงไปช่วยคนที่เจ้าบอกก่อนเถอะ" ชายหนุ่มรูปงามสง่าดูเหมือนคุณชายสูงศักดิ์เดินขึ้นมาจากท้องเรือ แล้วออกคำสั่งให้ผู้เป็นบ่าวให้ลงไปช่วยคนที่ถูกเรือชน

"ขอรับคุณชาย" สิ้นคำสั่งผู้เป็นนาย อวี๋เหวินเต๋อจึงกระโดดน้ำลงไปเพื่อตามหาคนที่ถูกเรือชน เขาดำผุดดำว่ายในน้ำหลายชั่วยาม จนกระทั่งพบร่างของคนคนนั้น นอนหลับไหลอยู่บนขอนไม้ ศีรษะมีเลือดสีแดงเข้มไหลออกมาเล็กน้อย

เพียงเข้าประคองกลับรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดเข้าที่ร่างกายจนตัวชาเพียงเห็นหน้าคนเจ็บ เขารู้สึกอะไรบ้างอย่างก่อกวนปั่นป่วน ร่างกายนุ่มนิ่มผิวเย็นเฉียบดั่งหิมะเช่นกับสีผิว ใบหน้างดงามราวเทพสวรรค์แม้จะซีดเผือดแต่ความงามกับไม่สร่างหายไป แต่อวี๋เหวินเต๋อจำต้องไล่ความคิดฟุ้งซ่านนั้น เขารีบดึงร่างบอบบางไร้สติขึ้นเรืออย่างเร่งด่วน
"หาพบแล้วขอรับคุณชาย ยังมีชีวิตอยู่ขอรับ"
"ดีมาก งั้นรีบพาขึ้นฝั่งไปรักษาเถอะ" ผู้เป็นนายหันมาสั่งนายท้ายให้นำเรือขึ้นฝั่ง

"ขอรับ" นายท้ายรับคำรีบนำเรือขึ้นฝั่งอย่างด่วน มีเพียงอวี๋เหวินเต๋ออุ้มคนเจ็บก้าวขาเหยียบพื้นดินชาวบ้านต่างพากันจ้องมองอย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อเห็นว่าคนเจ็บที่อุ้มมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างพากัน หันมาสนใจโดยไม่ได้นัดหมาย ชี้ไม้ชี้มือมาทางพวกเขา
"นั่น เหม่ยฟาง นี่"
"จริงด้วยนั่นเหม่ยฟาง" ชาวบ้านส่งเสียงเอ่ยชื่อคนถูกอุ้มเข้าโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อยิ้มหน้าบานวิ่งเข้าต้อนรับ
"เตรียมห้องให้ข้า 1ห้อง จากนั้นเตรียมอาหารเลิศรสสัก2-3อย่างไปส่งให้คนบนเรือ"
"ขอรับ ถ้าอย่างไรเชิญด้านบนก่อน เดี๋ยวข้าน้อยนำไปที่ห้อง แล้วจึงจะนำอาหารไปส่งให้" ว่าจบจึงเดินนำขึ้นไปบนห้อง สายตายังคงเหลือบมองคนที่ถูกอุ้มอยู่ในวงแขน จนอวี๋เหวินเต๋อต้องเอ่ยถาม

"เจ้ารู้จักนางงั้นเหรอ"
"เอ่อ...ขอรับ ข้าน้อยรู้จักคุณชายเหม่ยฟางอยู่บ้าง แค่ไม่สนิทอะไรนัก ว่าแต่ เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายเหม่ยฟางหรือขอรับ" เสี่ยวเอ้อเอ่ยถามเสียงเบา

 "เกิดเหตุขึ้นเล็กน้อยว่าแต่ คนผู้นี่เป็นบุรุษ?" อวี๋เหวินเต๋อถามย้ำให้แน่ใจว่า เขาไม่คิดว่า บุรุษเหตุใดจึงมีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นนัก ไหนจะผิวกายจะเรียบเนียน เนื้อตัวนั้นก็นุ่มนิ่ม ทั้งยังหน้าตาที่งดงาม

เกินหญิงนี่อีก ไหนเลยจะมีใครเชื่อว่าเขากำลังอุ้มบุรุษอยู่ เสี่ยวเอ้อมองท่าทางคุณชายผู้องอาจ ก่อนคลี่ยิ้มเล็กน้อยตอบข้อสงสัยให้กับเหวินเต๋อ
"ท่านไม่ใช่คนเดียวที่เข้าใจผิดหรอกขอรับ ขนาดข้าหรือใครในหมู่บ้านยังเคยเข้าใจผิดว่าเป็นอิสตรีเลยขอรับ"
"งั้นเหรอ ถ้าอย่างไรเจ้าช่วยไปตามหมอกับครอบครัวของคนผู้นี้ได้หรือไม่"
"ได้สิขอรับ คุณชายเหม่ยฟางอาศัยอยู่หลังหอคณิกาฝูหลงฮาวนี่เอง เดี๋ยวข้าจะออกไปตามท่านลุงของคุณชายเหม่ยฟางมาให้เองขอรับ ถ้ายังไงเชิญคุณชายตามสบาย"

อวี๋เหวินเต๋อ พยักหน้าเขาวาง เหม่ยฟางลงบนตั่งเตียง เห็นเสื้อผ้าอีกฝ่ายเปียกชื้น จึงคิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แต่ใจกับนึกกังวลแม้จะเป็นบุรุษแต่เขากับไม่กล้าที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หากไม่เพราะรูปร่างที่งดงามเกินหญิงนี่ล่ะก็...เขาคงทำไปนานแล้ว ระหว่างกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก
"เจ้าทำอะไรอวี๋เหวินเต๋อ" ผู้เป็นนายก้าวเท้าเข้ามาในห้อง อวี๋เหวินเต๋อตกใจถึงกับสะดุ้งนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย

"ข้าน้อยกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนผู้นี้ขอรับ" ผู้เป็นายชะโงกหน้าไปมองแต่ไม่เห็นหน้าคนเจ็บ เห็นอพียงรูปร่างอ้อนแอ้นคล้ายสตรีเพศจึงกล่าวทักท้วงขึ้น
"แต่คนนั้นเป็นอิสตรีเจ้าคิดจะล่วงเกินนางหรือไง" ผู้เป็นนายขึ้นเสียงเข้มอย่างไม่พอใจนักที่คนของตนคิดทำรุ่มร่ามกับอิสตรีที่เพิ่งพบหน้า

"หามิได้องค์ชายหย่งเจิ้ง" อวี๋เหวินเต๋อหลุดปากเอ่ยนามผู้เป็นอย่างลืมตัว
"นี่เจ้า..." จ้าวหย่งเจิ้ง หน้าตาถมึงทึงมองอวี๋เหวินเต๋ออย่างคาดโทษ
"ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย"
"พอๆ เจ้าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ไปสาวใช้มาเปลี่ยนชุดให้นาง"
"ไม่ได้ขอรับ อย่างคนผู้นั้นก็เป็นบุรุษ"

"บุรุษ? แล้วไยเจ้าไม่รีบเปลี่ยนชุดให้เขา" จ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองอย่างจับผิด เขาไม่รู้ว่าหน้าตาของคนเจ็บเป็นเช่นไร เพียงเพราะเขาไม่ได้ใส่ใจคนเจ็บนั้นเท่าไหร่นัก ตอนที่อวี๋เหวินเต๋อช่วยขึ้นมาเขาจึงรีบไล่ให้ไปพาไปรักษา ไม่ได้สนใจใคร่รู้ว่าหน้าตาคนเจ็บเป็นเช่นไร แต่ถึงกับทำให้อวี๋เหวินเต๋อไปไม่เป็นเช่นนี่ ช่างหน้าสนใจนัก

"คือว่า ข้าน้อยไม่กล้า" พอได้ยินคำตอบของอวี๋เหวินเต๋อ จ้าวหย่งเจิ้งถึงกับลมออกหู กับอีแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้บุรุษมันจะยากเย็นเพียงใดเชียว

"ออกไป!"
"คุณชาย"
"ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาเอง เจ้าออกไป ในเมื่อเจ้าทำไม่ได้ ข้าคงต้องทำเอง" พอสิ้นคำผู้เป็นนายอวี๋เหวินเต๋อถึงกับเดอนคอตกออกจากห้องไป
จ้าวหย่งเจิ้งเดินตรงไปที่เตียงนอนอย่างช้าแหวกม่านผ้าที่ตกหล่นลงมา ให้เปิดออก จึงพบหน้าคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง จ้าวหย่งเจิ้งแทบลืมหายใจเมื่อเห็นใบหน้าของคนบนเตียง เขาไม่แปลกใจเลย ทำไมอวี๋เหวินเต๋อ ถึงไม่กล้าแม้จะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนผู้นี้ เพียงเพราะรูปร่างหน้าตาที่งดงามเกินบรรยายนี่กระมัง ระหว่างที่กำลังจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่ายอยู่ดวงตาสุกใสของเหม่ยฟางก็เปิดออก สองตาสบกัน ใจหนึ่งเต้นด้วยความตกใจ อีกใจหนึ่งเต้นด้วยความรู้สึกผิดแผกต่างจากเดิม

"เจ้าจะทำอะไรข้า" ร่างกายบอบบางดันตัวกระถดถอยหลังน้ำเข้าไปยังมุมเตียง น้ำเสียงไพเราะชวนลุ่มหลงเปล่งออกมาจากปากสีแดงชาด
"ข้ากำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งเสียงราบเรียบไม่แสดงอาการใดๆออกมา
"เปลี่ยนเสื้อผ้า" พอก้มมองเห็นเพียงเสื้อตัวในเปียกชื้นจึงเงยหน้าเพ็งมองใบหน้าของคนที่คิดจะเปลื้องผ้าตนให้ชัดเจน เขาขยี้ตาตัวเองอยู่หลายรอบ จนจ้าวหย่งเจิ้งต้องคว้ามือของอีกฝ่ายไว้
"เจ้าเป็นอะไร เคืองตางั้นเหรอ"

"เจิ้ง" เหม่ยฟางเอ่ยขึ้นเบาๆ เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้เจอกับหย่งเจิ้งในเวลาเช่นนี้
"หือ?...ข้าบอกชื่อกับเจ้าแล้วงั้นเหรอ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัยทั้งน้ำเสียงยังแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว แม้เหมือนอคยเห็นหน้าแต่เขามั่นใจว่าเขาเพิ่งพบคนผู้นี้เป็นครั้งแรก
"คือข้า..." เหม่ยฟางก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเอ่ยความใดออกมาปากพล่อยจริง เรียกชื่ออกไปได้อย่างไรกัน แบบนี้ข้าคงเป็นได้แค่คนน่าสงสัยสินะ

"เมื่อเจ้าฟื้นแล้วถ้าอย่างไรเจ้าก็จงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งยื่นเสื้อผ้าส่งให้
"ขอบคุณ คุณชาย เอ่อ..." เหม่ยฟางมองหน้าอีกฝ่ายแม้อยากยิ้มแต่ก็หาทำได้ จ้าวหย่งเจิ้งไม่มีความทรงจำในชาติก่อนอยู่เลยแม้แต่น้อย หรือเพราะหนาตาของเขาที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้
"เรียกข้า เจิ้ง อย่างที่เจ้าเรียกตอนแรกนั่นก็ได้" จ้าวหย่งเจิ้งตัดปัญหา มองดูคนเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้า

"คือ...ท่านออกไปท่านออกไปก่อนได้หรือไม่" ข้าไม่กล้าเปลี่ยนต่อหน้าเจ้าหรอกนะ รีบๆออกไปสิ เหม่ยฟางได้แต่ถอดถอนใจ
"เจ้าก็ผัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไปสิข้าแค่ไม่อยากลุกเดินออกไปไหน" ออกไปข้าได้ขายหน้า เจ้าอวี๋เหวินเต๋อสิที่ไม่กล้าแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้า
"แต่..."
"เป็นบุรุษเพศเช่นกัน เจ้าจะกลัวอะไร หรือเจ้ากลัวข้า" จ้าวหย่งเจิ้งยิ้มอย่างมีเลศนัย
"ใคร ใครกลัวท่านคนอย่างข้าไม่เคยกลัวอยู่แล้ว"
คำพูดหลุดปากออกไปนั้นกับเป็นไปตามความต้องการของจ้าวหย่งเจิ้งอย่างเหมาะเจาะ ปากเจ้าช้างเจรจาน่ารักนัก หึหึ

ก็อก ก็อก ก็อก

เสียงประตูถูกเคาะขึ้นอย่างขัดจังหวะ จ้าวหย่งเจิ้งมองไปที่ประตูอย่างอารมณ์เสีย
"ใคร"
"ข้าน้อยอวี๋เหวินเต๋อขอรับคุณชาย"
"มีอะไร"
"พอดีมีคนอ้างว่าเป็นท่านลุงของคุณชายเหม่ยฟางมาขอเข้าพบขอรับ"
"ทราบแล้ว เจ้าให้เขารออยูาด้านล่าง ข้าจะลงไปพบเขาเอง"
"ขอรับ"
"เจ้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้า...อ๊ะ เจ้า" เหม่ยฟาง ยืนยิ้มร่าเมื่อเห็นท่าทางแปลกใจของจ้าวหย่งเจิ้ง
"ข้าเปลี่ยนเสร็จแล้ว ถ้ายังไงข้าลงไปหาท่านลุงข้าได้แล้วใช้ไหม"
"เจ้า ทำไมถึง..."จ้าวหย่งเจิ้งชี้มือไปที่เหม่ยฟาง เขาหันไปคุยกับอวี๋เหวินเต๋อเพียงไม่นาน ทำไมเขาถึงเปลี่ยนเสท้อผเาได้เร็วขนาดนี้ เจ้าทำข้าให้แปลกใจจริงๆ
"ข้าทำไมเหรอ..." เหม่ยฟางยิ้มจนตาหยี ใครจะบอกเจ้าล่ะว่าข้าใช้เวทมนต์
"ถ้าเช่นนั้น เราลงไปข้างล่างเถอะ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับ เดินตามจ้าวหย่งเจิ้งไปโดยไม่อิดออด

"เหม่ยฟางหลานลุง ลุงได้ข่าวว่าเจ้าบาดเจ็บเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง" ตาเฒ่าเอี๊ยรีบวิ่งเข้าไปกอดหลานชายอย่างเป็นห่วงรักใคร่
"ท่านลุงเอี๊ยข้าไม่เป็นไร ปล่อยข้าเถอะ" เหม่ยฟางกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงรอดไรฟันกับตาเฒ่าเอี๊ย 'เจ้าอยากตายหรือไง ปล่อยข้า'
"โธ่ หลานรัก เจ้าไม่เป็นไรจริงๆใช่ไหม" ตาเฒ่าเอี๊ย หาได้ฟังไม่ ทั้งยังกอดแน่นขึ้น 'เจ้าต้องขอบคุณข้าสิ'

'ปล่อย! ไม่เช่นนั้น หากกลับบ้านไปข้าจะกินเจ้าแน่ๆ' คำขู่นี้ได้ผลดีนัก ตาเฒ่าเอี๊ยยอมปล่อยแต่โดยดี มองหน้าเหม่ยฟางอย่างไม่ชอบใจนัก
"ขอบคุณคุณชายทั้งสองที่ช่วยหลานข้า ข้าไม่รู้จะตอบแทนเช่นไรดี" ตาเฒ่าเอี๊ยคุกเข่าให้กับจ้าวหย่งเจิ้งและอวี๋เหวินเต๋อ
"ท่านลุกขึ้นเถอะหากใครเดือดร้อนเราย่อมช่วยเหลือ"

"ถ้าเช่นนั้นข้าขอนำหลานข้ากลับบ้านก่อนหากช้ากว่านี้พวกบ้าคงเข้าบ้านไม่ได้" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยวาจาแฝงความนัยเอาไว้ ลุกขึ้นจูงมือเหม่ยฟางออกไป
"ช้าก่อน ที่ท่านบอกหมายความเช่นไร" จ้าวหย่งเจิ้งทักท้วงเมื่อได้ยิน
"เอ่อ คือบ้านของข้ากับหลานอยู่หลังหอคณิกาฝูหลงฮาว หากกลับหลังตะวันตกดิน เกรงว่าหลานข้าจะไม่ปลอดภัย เพราะด้วยหน้าตาหลานของข้านั้น..." ตาเฒ่าเอี๊ยเหลือบมองใบหน้าหลานชายซึ่งใบหน้ายามนี้ของเหม่ยฟางดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก

"ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้อวี๋เหวินเต๋อไปส่งพวกเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งมองดูทั้งสองอย่างเฉยชา แต่ในใจกับเต้นเร่าๆด้วยความเป็นห่วงเหม่ยฟาง
"ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ" ตาเฒ่าเอี๊ยแสร้งหลั่งน้ำตาหันมายิ้มให้เหม่ยฟาง ตาเฒ่าเอี๊ยเล่นเยอะไปแล้วนะ ลงทนหลั่งน่ำตาเชียวนะ เทพประสาอะไรโกหกหน้าด้านๆ ชิ!

"เชิญท่านลุง เชิญคุณชายเหม่ยฟาง" อวี๋เหวินเต๋อเดินนำทั้งออกจากโรงเตี๊ยม เหม่ยฟางจ้องมองหน้าด้านข้างของอวี๋เหวินเต๋อตาไม่กระพริบ
'ทำไมข้ารู้สึกคุ้นหน้าคนคนนี้ คลับคล้ายคลับคลา วิรุจเกินไปแล้ว'
"คือคุณชายเหม่ยฟางมีอะไรติดหน้าข้างั้นหรือขอรับ ถึงได้จ้องหน้าข้าเช่นนั้น" อวี๋เหวินเต๋อคล้ายเกิดอาการประหม่า เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
"เจ้าเคยอาศัยอยู่ที่นี่หรือไม่"

"เคยสิ ประมาณ 10ปีเห็นจะได้ ตอนเด็กข้าเคยเล่นแถวนี่ ทั้งยังเลี้ยงงูเขียวไว้อีก เจ้างูนั่นแสนรู้บอกเลยนะ แต่ว่า..." อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยด้วยออกมาทั้งรอยยิ้มแต่น้ำเสียงกับแฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้อย
"แต่เจ้าก็ทิ้งมันไปสินะ" เจ้านี่เอง เจ้าเหวินเต๋อน้อยในตอนนั้น หนอยๆ บังอาจทิ้งข้าได้เจ้าช่างใจร้ายนัก เหมือนอวี๋เหวินเต๋อจะไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเคยกระทำไว้

"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้างูเขียวนั่น แต่เป็นเพราะ...มันมีเหตุ" อวี๋เหวินเต๋อ เอ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมอง แต่กับเหม่ยฟางแล้ว เขาเหมอนคนถูกทิ้ง เดินเข้าไปทุบหน้าอกอวี๋เหวินเต๋อครั้งแล้ว ครั้งเล่า ด้วยความคับแค้นใจ
"เหตุอะไร ถึงได้ทิ้งไปโดยไม่บอกลา รู้ไหมว่าเหงาแค่ไหน ที่ต้องอยู่คนเดียว เจ้ารู้ไหม ว่ามันเหงาแค่ไหนที่ต่องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทัเงๆที่เป็นเพื่อนกันแล้วแท้ๆ ทั้งๆที่เป็นเพื่อนกัน"

"หยุดๆ เหม่ยฟาง ห้ามร้องไห้นะ" ตาเฒ่าเอี๊ยฉุดรั้งเหม่ยฟาง ออกมาจาก อวี๋เหวินเต๋อ เมื่อเห็นเหม่ยฟางกำลังจะหลั่งน้ำตา เหม่ยฟางชะงักถอยห่าง จากอวี๋เหวินเต๋อ
"คุณชายไม่ต้องไปส่งพวกข้าแล้ว ดูสิเหม่ยฟางหลานข้าสติหลุดแล้ว ขออภัยด้วยที่หลานชายข้าล่วงเกินท่าน"
"ช่างเถอะ ว่าแต่พวกเจ้าไม่ให้ข้าไปส่งแน่หรือ"
"แน่สิขอรับ เดี๋ยวข้าพาหลานอ้อมไปทางอื่นคงไม่เจอคนของ หอฝูหลงฮาว หรอกขอรับ" ตาเฒ่าเอี๊ยบอกด้วยรอยยิ้มก่อนดึงตัวเหม่ยฟางออกห่าง อวี๋เหวินเต๋อมองทั้งสองอย่างงง แต่เขาไม่อาจทิ้งคำสั่งของผู้เป็นนายไปได้จึงแอบตามไปจนถึงบริเวณ หอคณิกาฝูหลงฮาว

"ตาเฒ่าบ้า เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้ห้ามข้า"
"เจ้าสิบ้า หากเจ้าหลั่งน้ำตาจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าน่าจะรู้นะว่าน้ำตาของเจ้าจะทำให้ผู้อื่นสงสัย"
"แต่ข้าแค้นใจ"
"แค้นใจ เจ้าเป็นคนรักกับเจ้านั่นหรือไง ถึงได้เจ็บแค้นนัก"
"ไม่ใช่ เจ้านั่นเป็นแค่เพื่อนในยามเด็ก"
"แล้วไยเจ้าถึง จะเป็นจะตายเช่นนั้น สรุปแล้วเจ้าคิดยังไงกันแน่ ใจเจ้าอยู่ที่ใครกันแน่"
"ข้า..." ใจของข้าคิดอย่างไร ข้ารักหย่งเจิ้ง ข้ามั่นใจเรื่องนั้นข้าสามารถตายได้เพราะเขา แล้วกับอีกคนล่ะ เขาเป็นแค่เพื่อนของข้า แล้ว ทำไมข้าถึงอยากหลั่งน้ำตาเวลาที่เขาห่างไกลจากข้าล่ะ.....
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 3 เมื่อแรกพบประสบพักตร์) {21-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 21-05-2017 17:27:18
โอ้!!! ตกลงรักใครล่ะเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 3 เมื่อแรกพบประสบพักตร์) {21-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-05-2017 19:25:29
รู้สึกสับสนแทนจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 3 เมื่อแรกพบประสบพักตร์) {21-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 21-05-2017 20:32:11
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 3 เมื่อแรกพบประสบพักตร์) {21-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-05-2017 20:48:30
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค) (ตอนที่ 4 จิตใจที่กระวนกระวาย) {23-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 23-05-2017 12:09:46
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

 ตอนที่ 4 จิตใจที่กระวนกระวาย

หน้า หอคณิกาฝูหลงฮาว มีคนคุมร่างใหญ่สองคนยืนคุมทวารประตูไม่ให้ใครเข้าไป เมื่อเห็นสองตาหลานเดินเข้ามาจัดขวางเอาไว้ไม่ให้เข้าไปด้านใน

"ช้าก่อน พวกเจ้าสองตาหลานจะไปไหน"

'ข้าเป็นแค่ลุงไยพวกเจ้าถึงหาว่าข้าเป็นตากัน ชิชะ! เจ้าพวกนี้' ตาเฒ่าเอี๊ยก่นด่าอยู่ในใจ

"พวกข้ากำลังจะกลับบ้าน โปรดหลีกทางให้พวกข้าสองคนด้วย" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยถามเสียงเรียบ พยายามเดินฝ่าวงล้อมของผู้ขวางประตู

"ไม่ได้ หากเจ้าจะเข้าก็ต้องเข้าไปคนเดียว หลานสาวของเจ้าห้ามเข้า ที่นี่มีไว้สำหรับบุรุษหาใช่สตรีไม่"

"หลานสาว?"

"ใช่ ก็หลานเจ้าคนนี้ไง" ชายร่างใหญ่ชี้มาที่เหม่ยฟาง งดงามเช่นนี้ คงใช่บุรุษหรอก

"หลานข้าเป็นบุรุษหาใช่สตรีไม่" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง ร่างใหญ่สองคนสบตากันพร้อมรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตรนักก่อนพูดว่า

"ถ้าเช่นให้พวกข้าพิสูจน์สิ" ว่าจบสองร่างใหญ่สองคนก็คว้าข้อมือเหม่ยฟาง ยื้อยุดฉุดกระชากอย่างไม่เกรงใจ ตาเฒ่าเอี๊ยทำท่าเข้าห้ามปราม แต่กลับถูกถีบจนล้มลงบนพื้นอนื้อตัวเปรอะเปื้อนจนดูน่าเวทนา

'เจ้าเฒ่าเจ้าเล่ห์ ทำไมไม่ใช้พลังของเจ้า คิดจะทำการใดทำไมไม่บอกกล่าวข้าก่อน'

เหม่ยฟางสบถในใจเมื่อเห็นตาเฒ่าเอี๊ยแกล้งล้มลุกคลุกคลาน ทั้งยังไม่ใช้พลังของตนหยุดเจ้าคนพวกนี้อีก เหม่ยฟางพยายามดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุมด้วยแรงมหาศาลเมท่อหลุดพ้นจากอุ้งมือใหญ่ได้ จึงรีบเข้าพยุงตาเฒ่าเอี๊ยพร้อมกับกระซิบเสียงรอดไรฟันว่า

'คิดจะทำการใด ไยไม่ปรึกษาข้าก่อน ไยข้าต้องยอมให้เจ้าพวกนั้นแตะเนื้อต้องตัวด้วย'

'เจ้าไม่สังเกตุหรือไงว่า อวี๋เหวินเต๋อ ตามเจ้ามา'

เพียงสิ้นคำพูดตาเฒ่าเอี๊ย อวี๊เหวินเต๋อก็โผล่ออกมาจากเงามืดเข้าช่วยเหลือทั้งสอง จนหมอบราบคราบ

"พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล

ตาเฒ่าเอี๊ยแสร้งกระอักเลือดออกมาจนทำให้เหม่ยฟางถึงกับอ้าปากค้าง

'เล่นใหญ่ไปแล้วนะ'

ตาเฒ่าเอี๋ยคว้าแขนอวี๋เหวินเต๋อไว้ก่อนเอ่ยคำคล้ายการสั่งเสียหลานสุดที่รักไว้กับเขา

"คะ คุณชายอวี๋ แต่คงไม่รอดแน่ๆ ถ้าเช่นไร อึก ข้าขอฝากฝังหลานข้าไว้กับท่านได้หรือไม่ อึก" ตาเฒ่าเอี๊ยกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง จนทำให้อวี๋เหวินเต๋อต้องยอมรับปาก เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าสองคนนั่นจะทำให้ท่านลุงเอี๊ยบาดเจ็บรุนแรงถึงขนาดนี้

เหม่ยฟางกัดฟันกรอด แสร้งร้องไห้ออกมาอย่างคนที่น่าสงสาร แต่ในใจกับเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ เหม่ยฟางก้มกอดร้องไห้เหมือนคนจะขาดใจ แต่ความจริงกับกระซิบข้างหูตาเฒ่าเอี๊ยว่า

'เจ้าคิดหนีข้างั้นเหรอ ตาเฒ่าเอี๊ยเจ้าเล่ห์'

'โฮะๆ ข้าแค่ทำให้เจ้าได้ใกล้ชิดคนรักของเจ้ามากขึ้นต่างหาก'

'ข้าชังเจ้านักตาเฒ่า'

'ข้าถือว่าเป็นคำชมของเจ้า ข้าจะคอยช่วยเจ้าจนกว่าเจ้าจะสมหวังไม่ต้องห่วง'

เหม่ยฟางเงยหน้าขึ้นจ้องมองตาเฒ่า นี่เจ้าเล่นใหญ่ขนาดยอมตายเชียวนะตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ อยากได้รางสัลตัวประกอบยอดเยี่ยมหรือไง อวี๋เหวินเต๋อเห็นว่าตาเฒ่าสิ้นลมไปต่อหน้าต่อตา จึงดึงร่างเหม่ยฟางออกมาแล้วพากลับโรงเตี๊ยม จากนั้นจึงสั่งให้คนไปจัดการเรื่องศพของตาเฒ่าเอี๊ย แต่ในเลยจะรู้ว่าจริงๆแล้วแม้กายหยาบตายแต่กายทิพย์ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ มีเพียงเหม่ยฟางเท่านั้นที่มองเห็น

"เจ้าคงเหนื่อยสินะไปพักเถอะ นอนที่ห้องข้าคงไม่เป็นไรนะ"

"ขอบคุณท่านมาก ว่าแต่พวกท่านมาท่องเที่ยวอย่างนั้นหรือ"

"เปล่าหรอก พวกข้ามาตามหางูเขียวมรกตที่ข้าเคยเลี้ยงไว้"

"ตามหามันทำไมหรือ?"

"อีกไม่นานเจ้าจะรู้เอง ไปนอนเถอะ"

เหม่ยฟางพยักหน้ารับเดินตามอวี๋เหวินเต๋อไปที่ห้อง ยังไม่ทันที่จะก้าวขาเข้าไป ประตูห้องข้างๆ กลับถูกเปิดออก คนที่ก้าวขาออกมามองมายังเหม่ยฟางด้วยสีหน้าฉงน เหม่ยฟางตกใจถึงหนีไปอยู่ดิานหลังอวี๋เหวินเต๋อ

"ไยเจ้ายังอยู่ที่นี่" เสียงเย็นเยียบมองมายังร่างบอบบาง ที่ตอนนี้ยืนหลบอยู่ด้านหลังอวี๋เหวินเต๋อ

"คุณชาย ข้าน้อยขออภัยที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบ พอดีระหว่างทาง ทาานลุงเอี๊ยถูกรุมทำร้ายจนถึงแก่กรรม ข้ารับปากท่านลุงเอี๊ยว่าจะรับดูแลเหม่ยฟาง ก่อนสิ้นใจขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อคุกเข่าลง ก้มหน้าสำนึกผิด จนเหม่ยฟางต้องคุกเข่าตาม

"แล้วเหม่ยฟางเจ้านอนที่ใด" จ้าวหย่งเจิ้งถามด้วยความใคร่รู้

"เรียนคุณชายข้าจะนอนที่เดียวกับคุณชายอวี๋เหวินเต๋อขอรับ" เหม่ยฟางตอบตามความจริง

"ไม่ได้!" ปากไวกว่าความคิด จ้าวหย่งเจิ้ง แม้จะเป็นคนเยือกเย็น แต่ในคร่านี้ในใจเขากับร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก จึงหลุดปากออกไป

"ถ้าเช่นนั้นคุณชายให้ข้านอนที่ใดกัน" เหม่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย

"เจ้ามานอนห้องข้า"

"คุณชายเป็นผู้สูงศักดิ์ข้าคงไม่อาจร่วมเตียงกับคุณชายได้" เหม่ยฟางตอบสองแง่สองง่ามชวนให้ผู้อื่นเข้าใจผิด

"นั่นสิขอรับคุณชาย ให้เหม่ยฟางนอนกับข้าน้อยก็ได้นะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยท้วงอย่างจริงใจเขาไม่อยากให้ผู้เป็นนายเสื่อมเกียรติ

คำพูดแต่คนฟังแลเวไม่รื่นหู จ้าวหย่งเจิ้งแม้แต่น้อย ไยไม่มีใครฟังคำสั่งข้า ข้าบอกได้ก็ย่อมได้สิ สายตาจ้องมองไปยังมือของเหม่ยฟางที่ตอนนี้เกาะกุมท่อนแขนแกร่งของอวี๋เหวินเต๋อ มันยิ่งทำให้จิตใจของเขาสั่นไหวมากขึ้น

"เจ้าไปนอนกับข้า" ว่าจบก็คว้าข้อมือร่างบาง ดึงเข้ามาในอ้อมแขนของตนโดยไม่ต้องคิด  ยิ่งทำให้อวี๋เหวินเต๋อ ฉงนกับการกระทำของผู้เป็นนาย

"คุณชาย ให้เหม่ยฟางนอนกับข้าน้อย..." อวี๋เหวินเต๋อกำลังจะกล่าวทักท้วง กับต้องสงบคำเพราะสายตาที่ผู้เป็นนายจ้องมองมา

"คำสั่งข้าเจ้ากล้าขัด"

"ข้าน้อยไม่กล้า"

"ไปนอนได้แล้ว ส่วนเจ้าตามข้ามา" หลังไล่อวี๋เหวินเต๋อไปนอนเรียบร้อยจึงหันมาบอกคนที่อยู่ในอ้อมแขนรั้งดึงเข้าห้องไป

ใต้แสงไฟสลัวภายในห้อง เหม่ยฟางถูกจ้าวหย่งเจิ้งรั้งตัวจนมาถึงเตียงนอน ร่างทั้งร่างถูกผลักขึ้นไปบนเตียงโดยมีจ้าวหย่งขึ้นตามติดๆ

"จะ จะทำอะไร" เหม่ยฟางถามเสียงสั่น จ่องมองร่างสูงอย่างหวาดหวั่น จ้าวหย่งเจิ้งยิ้มละไม ผลักร่างเหม่ยฟางให้ล้มลงนอน แขนข้างหนึ่งเอื้อมไปด้านของของร่างบาง ใบหน้าร่างสูงใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวของอีกฝ่าย เหม่ยฟางเห็นท่าไม่ดีหลับตาแน่นหัวใจเขาเต้นเป็นกลองรัว จนทำให้จ้าวหย่งเจิ้งแอบยิ้มอยู่ในใจ

พรึ่บ!

เหม่ยฟางลืมตาขึ้นรู้สึกถึงผ้าห่มผืนหนาห่มคลุมร่างตนเองเอาไว้ ก่อนหันไปมองจ้าวหย่งเจิ้งที่ล้มตะแคงตัวนอนหันหลังให้เขา

'ตายๆ นี่ข้ากำลังคาดหวังอะไรอยู่นะ บ้าจริงเชียว'

เหม่ยฟางดึงผ้าห่มผืนหนาคลุมหน้าตัวเองด้วยความเขินอายอย่างสุดขีด เอาแต่ถอดถอนใจจนจ้าวหย่งเจิ้งต้องถามขึ้น   

"เป็นอะไรนอนไม่หลับหรือ"

"ท่านยังไม่หลับหรือ" เหม่ยฟางตะแคงตัวมองด้านหลังของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ข้าจะหลับลงได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเอาแต่ถอดถอนใจอยู่แบบนี้" จ้าวหย่งเจิ้งพลิกตะแคงหันมาเผชิญหากับเหม่ยฟาง แต่ใครจะรู้เมื่อพลิกตะแคงกลับมากลับทำให้ใบหน้าของสองใกล้กันจนจมูกแทบติดกัน

ทั้งสองสบตากันครู่ใหญ่สุดท้ายเป็นเหม่ยฟางเองที่ไม่อาจจ้องมองดวงตาคู่นั้นจำต้องหลุบตาลงใจเขาเต้นแรงอย่างประหลาด เช่นเดียวกับจ้าวหย่งเจิ้งแม้ไม่หลบสายตาเช่นเดียวกับเหม่ยฟาง แต่ใจเขากับสั่นไหวจนน่าตกใจเช่นกัน

"ถ้าเช่นนั้นข้าไปนอนกับคุณชายอวี๋เหวินเต๋อก็ได้" ใช่เขาอยากออกจากความตื่นเต้นนี้ หากไปนอนห้องอื่นได้คงดีไม่น้อย เพียงคำพูดนี้เพียงคำเดียวของเหม่ยฟางกับเปลี่ยนใบหน้าเรียบเฉยให้ขมวดคิ้วมุ่นได้ เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายไปนอนกับชายอื่นเป็นแน่

"เจ้านอนเถอะ เดี๋ยวข้าไปนอนกับอวี๋เหวินเต๋อเอง"

"แต่ว่า..."

"เจ้านอนไปเถอะ" ว่าจบจึงดันร่างของเหม่ยฟางลงนอนส่วนตัวจ้าวหย่งเจิ้งเตรียมลุกจะออกจากห้อง แต่มือบางกลับดึงชายเสื้ออีกฝ่ายไว้จนต้องเหลียวมอง 

"คือ..." ไอ้บ้าเอ้ยมือดันไวกว่าสมอง รั้งเขาไว้ทำไมเนี่ย เหม่ยฟางอยากจะดึงทึ้งหัวตัวเองเสียตรงนั้น 

"คุณชายท่านด้วยกันเถอะ ข้าจะไม่รบกวนท่านแล้ว ข้า..." จ้าวหย่งเจิ้งยกมือขึ้นห้ามปรามคำพูดของอีกฝ่าย

"ข้าจะนอนที่นี่ เจ้าช่วยปล่อยมือจากข้าก่อนเถอะข้านอนไม่ได้"

"ข้าขออภัย" เหม่ยฟางยิ้มเขินๆจึงยอมปล่อยมือแต่โดย จ้าวหย่งเจิ้งจึงล้มตัวนอนอีกครั้ง แล้วทั้งคู่ก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปด้วยกัน

.

.

.

.

"เจิ้ง เจิ้ง เจ้าใจร้าย คนโกหก หากไม่รักข้าเจ้าจะให้ความหวังแก่ข้าทำไมคนใจร้าย ฮือๆ" เสียงหวานใสต่อว่าต่อขาน จ้าวหย่งเจิ้งอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ 

"ไม่ใช่ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ข้ารักเจ้า เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย ฟาง" ชายหนุ่มเอ่ยกล่าวปลอบประโลมคนตรงหน้า เขาเสียใจที่ไม่ได้บอกความรู้สึกกับคนรัก

"มันสายไปแล้วเจิ้ง มันสายไปแล้ว" สิ้นคำพูดคนรักเปลวไฟก็โหมกระหน่ำเข้าที่ร่างคนรักจนเขาไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ เปลวไฟร้อนแรงแผดเผาคนรักต่อหน้าต่อตา

"ไม่! ฟาง ฟาง ฟางงงง!!!" ชายหนุ่มตะโกนดังลั่นเรียกหาคนรักที่อยู่กลางทะเลเพลิง ใบหน้าจ้าวหย่งเจิ้งส่ายไปมาอย่างร้อนรน เหงื่อพระกาฬผุดพรายไปทั่วทั้งใบหน้า ดวงตาที่เคยหลับบัดนี้เปิดออกด้วยความหวาดหวั่นดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เขาลุกขึ้นนั่งเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า เมื่อหันซ้ายแลขวา จึงพบว่าตนเองกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนอยภายในห้อง

"ฝัน ข้าฝันไปหรือเนี่ย" จ้าวหย่งเจิ้งยันตัวลุกขึ้นนั่ง เสยผมเปียกชื้นอย่างลวกๆ หันมองคนนอนข้างๆอย่างพินิจพิจารณา คลับคล้ายคลับคลา ดั่งคนในฝัน แต่บุรุษผู้กับดูงดงามกว่ามาก คงไม่ใช่คนเดียวกัน

"น่าแปลกทั้งที่ไม่ได้ฝันแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ทำไมถึงกลับมาฝันได้อีกนะ" จ้าวหย่งเจิ้งคิ้วขมวดมองมาทางเหม่ยฟางอย่างช่างใจ เหม่ยฟางสะลึมสะลือเบลอๆค่อยๆเปิดเปลือกตาออก เมื่อเห็นใบหน้านิ่งเงียบของจ้าวหย่งเจิ้งจ้องมาทางตนจึงถามว่า

"คุณชาย ข้านอนรบกวนท่านหรือ"

"ไม่ใช่หรอก เจ้านอนต่อเถอะ ฟ้ายังไม่สร่าง ข้าจะออกไปเดินเล่นสักเดี๋ยว" จ้าวหย่งเจิ้งหยัดตัวลงเตียงมือบางกับคว้าแขนของเขาไว้

"ข้าไปด้วยได้ไหม คือข้า..." ใครจะกล้าบอกล่ะว่าข้าห่วงท่าน เราเพิ่งพบกันเพียงไม่นานจะเกิดความห่วงใยได้อย่างไร ท่านอาจไม่เชื่อข้าก็เป็นได้

 จ้าวหย่งเจิ้งเห็นสายตาเศร้าสร้อยของเหม่ยฟาง จึงคิดว่าเหม่ยฟางเองคงไม่สบายใจที่จู่ๆก็เสียคนอันเป็นที่รักไป จึงได้พยักพยักหน้ารับ เมื่อเห็นว่าจ้าวหย่งเจิ้งพยักหน้าอนุญาตให้ด้วยได้ เหม่ยฟางจึงอดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ รอยยิ้มนั้นช่างงดงามจับใจ แต่จู่เขากับเห็นภาพคนในฝันซ่อนทับกับเหม่ยฟาง

"ไปกันเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งตัดความรู้สึกนั้นออกเชิญเหม่ยฟางออกไปเกินเล่น

"อืม" รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้านั้น ช่างเป็นใบหน้าที่ชวนลุ่มหลงอะไรเช่นนี้ แต่ข้า...จ้าวหย่งเจิ้งส่ายศีรษะไล่ความคิดยุ่งยากออกไป เหม้ยฟางจะเป็นคนในฝันของเขาไปได้เช่นไร เขาเดินนำเหม่ยฟางออกไปด้านนอก แต่ด้านนอกกับมี อวี๋เหวินเต๋อรออยู่แล้ว ดั่งกับรู้ใจผู้เป็นนาย จะออกไปที่ใด

"คุณชายท่านจะออกไปที่ใดขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อโค้งคำนับก่อนถามเสียงเรียบ 

"ข้าจะออกไปเดินเล่นกับเหม่ยฟาง" อวี๋เหวอนเต๋อ เหลือบสายตามองเหม่ยฟางอย่างไม่ชอบใจที่พาผู้เป็นนายของเขาออกไปด้านนอกยามวิกาลเช่นนี้

"รอให้ฟ้าสางก่อนดีไหมขอรับ หากเหม่ยฟางอยากเดินเล่นข้าจะเดินเป็นเพื่อนเขาเอง" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวทักท้วง ไม่ยอมให้ผู้เป็นนายออกไป ความปลอดภัยของผู้เป็นนายสำคัญที่สุด จ้าวหย่งเจิ้งรู้ดีว่าอวี๋เหวินเต๋อห่วงความปลอดภัยของตนจนจำยอมแต่โดยดี จึงยอมให่เหม่ยฟางออกไปกับอวี๋เหวินเต๋อเพียงลำพัง

"ตามใจเจ้าเถอะ" กล่าวจบก็สะบัดชายเสื้อเข้าไปในห้อง

'แค่ครั้งนี้นะที่ข้ายอมเจ้า'

"เชิญคุณชาย" อวี๋เหวินเต๋อผายมือไปด้านข้างเพื่อให้เหม่ยฟางเดินนำไปข้างหน้า

"เรียกคุณชายอะไรกัน เรียกข้าว่าเหม่ยฟางอย่างเมื่อกี้ก็ได้ ข้าไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่างเสียหน่อย" เหม่ยฟางกล่าวประชดประชัน ที่คนตรงหน้ามาขัดขวางการเชื่อมสัมพันธ์อันกับจ้าวหย่งเจิ้ง

"ถ้าเช่นนั้นน้องเหม่ย"

"ไม่ๆ เรียกข้างว่าน้องฟางก็พอ ท่านพี่อวววววี๋" เหม่ยฟางลากเสียงพลางยิ้มอย่างขบขัน ไม่ให้เขาขบขันได้เช่นไร ในเมื่อคนตรงหน้าชอบตีหน้าเข้มตลอดเวลา บัดนี้กับเลิกคิ้วสูงคล้ายมีคำถามอะไรสักอย่าง

ข้ารู้แล้วล่ะสิ่งที่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ถามว่าข้าคิดเช่นไรกับทั้งสองคนนั้น

คนที่ข้าอยู่ด้วยแล้วรู้สึกใจเต้นแรงคือ จ้าวหย่งเจิ้ง คนที่ข้ารัก ก็คือเขา

ส่วนคนที่ข้าอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นกันเอง คือ อวี๋เหวินเต๋อ ที่ข้าร้องไห้ฟูมฟาย นั้นเพราะเขาเปรียบเสมือนเพื่อน พี่ชาย คนในครอบครัวของข้าอย่างไรล่ะ และอีกอย่างข้าไม่เคยตื่นเต้นแม้สักครั้งดวลาอยู่ใกล้เขา   นี่แหละข้อสรุปของข้า ข้าคิดเช่นนั้น ตอนแรกข้าเองยังสับสนนิดหน่อยแต่พอได้อยู่กับจ้าวหย่งเจิ้ง เพียงลำพัง ทำให้ข้ารู้ว่า ในใจของข้ามีเพียงเขา ผู้ที่ทำให้ใจของข้าเต้นแรง และสั่นไหวได้......

*********************************************************

ไม่เข้าใจหรือสงสัยตรงไหนในเนื้อเรื่องสอบถามไรท์ได้นะคะ ตอนหน้าไรท์จะมาตอบให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค) (ตอนที่ 4 จิตใจที่กระวนกระวาย) {23-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 23-05-2017 13:37:59
แอบงงเล็กน้อย  :3123: เนื้อเรื่องดีจ้าาาา น่าสนใจ :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค) (ตอนที่ 4 จิตใจที่กระวนกระวาย) {23-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-05-2017 16:42:59
สรุปคือเจิ้งเดียวกันซินะ แล้วทำไมถึงฝันแบบนั้นได้ มันเป็นเรื่องอนาคตไม่ใช่หรือ หรือว่ามันเป็นโลกคู่ขนานกันแน่
แต่ก็เอาเถอะอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะเนอะ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 4 จิตใจที่กระวนกระวาย) {23-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 23-05-2017 19:06:49
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 4 จิตใจที่กระวนกระวาย) {23-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-05-2017 19:40:20
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 5 มังกรเขียว) {28-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 28-05-2017 15:09:46
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 5 มังกรเขียว

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสันดูเป็นผู้สูงศักดิ์มีสง่าราศี นั่งจิบน้ำชา ปรายตามอง ชายหนุ่มร่างบอบบางราวอิสตรี ก่อนเอ่ยกับข้ารับใช้คนสนิทว่า

"เจ้าจะพาเขาไปด้วยหรือ" 

"ขอรับ ข้ารับปากท่านลุงเอี๊ยไว้ก่อนสิ้นใจ อย่างไรข้าจะต้องดูแลเขา"

"ข้าจะไม่เป็นตัวท้วงพวกท่าน แถวนี้ข้ากว้างขวางนะ ท่านอยากรู้เรื่องอะไรถามข้าได้...ปึกๆ" เหม่ยฟางหล่าวอย่างขึงขัง ทุบหน้าอกตัวเองเพื่อรับประกัน

"เจ้าพอเถอะอย่าทำอะไรที่มันขัดต่อหน้าตาเจ้านัก" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวพลางส่ายหัวเบาๆ

"นี่ท่านพี่อวี๋ไม่เชื่อใจข้าอย่างงั้นสิ" เหม่ยฟางจับแขนอวี๋เหวินเต๋ออเขย่าไปมา ทั้งสองดูสนิทสนมกันมากขึ้นหลังจากเดินเล่นกลับมา จนทำให้ จ้าวหย่งเจิ้งรู้สึกคันยุบยิบภายในจิตใจ

'ข้าคิดผิดใช่ไหมที่ให้เขาทั้งสองคนไปเดินเล่นด้วยกัน'

"คุณชายขอรับ ท่านยินยอมให้อาฟางไปด้วยหรือไม่" เพียงแค่การเรียกชื่อกลับยิ่งมำให้จ้าวหย่งเจิ้งรู้สึกขัดหูยิ่งนัก

"ตามใจเจ้าเถอะ"

"ขอรับ"

"ขอบคุณคุณชาย" เหม่ยฟางส่งเสียงสดใสกล่าวขอบคุณด้วยยิ้ม

จ้าวหย่งเจิ้งพยักหน้ารับเพียงเล็กน้อย แม้ได้เห็นรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยของคนตรงหน้าจิตใจของเขาก็รู้สึกเบิกบานมากพอแล้ว

"ถ้าเช่นนั้นวันนี้เราไปที่ต้นเหมยริมทะเลสาบซีหูกันเถอะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเสัยงเรียบ

"พวกท่านจะไปทำไมที่นั่น"

"เขาว่าที่นั่นมีงูเขียวตัวใหญ่ผิดธรรมชาติอยู่ที่นั่น บ้าใคร่อยากชมมันยิ่งนัก" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวพร้อมรอยยิ้มคล้ายกับพวกเขามาท่องเที่ยวกัน

"คือว่า คือ...ท่านออกไปช่วงนี้คงมิได้ชมมันหรอก" เหม่ยฟางกล่าวพลางปาดเหงื่อเล็กน้อย

"ทำไมล่ะ" ทั้งอวี๋เหวินเต๋อ ทั้งจ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามพร้อมกัน

'โอ๊ย! ข้าจะบอกได้อย่างไรว่า เจ้างูนั่นมันอยู่ตรงหน้าท่าน ท่านเห็นเห็นมันแล้ว' เหม่ยฟางสบถกับตัวเองในใจ

"คือว่า เจ้างูตัวเองมันจะออกมาเฉพาะยามเซินเท่านั้น ไม่เชื่อท่านไปถามคนในหมูบ้านดูสิ"

"ไม่ต้องหรอกพวกข้าเชื่อเจ้า เจ้าเป็นคนของหมู่บ้านนี้ย่อมไม่โกหกใช่ไหม" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยดเวยรอยยิ้ม

"ใช่ๆ" เหม่ยพยักหน้าพลางไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง

"ถ้าเช่นนั้น ระหว่างนี้ คุณชายจะออกไปที่ใดหรือไม่"

"ข้าจะไปล่องเรือชมความงามของทะเลสาบเสียหน่อย เจ้าจะไปด้วยกันไหมเหม่ยฟาง พอใกล้เวลาเราค่อยขึ้นฝั่งไปชมเจ้างูเขียวนั่นกัน"

"ข้าไปได้เหรอ" เหม่ยฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"ได้สิ" รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ข้าอยากไปล่องเรือ...แต่..." แม้อยากจะไปแค่ไหนเหม่ยฟางจำต้องข่มใจเอาไว้ หากไปเขาจะไม่สามารถกลายร่างเป็นงูออกมาตามเวลาที่ได้บอกกล่าวกับทั้งสองคนนั้นได้

"แต่อะไรงั้นหรือ"

"ข้าอยากไปดูที่ฝังหลุมศพท่านลุงก่อน เช่นนั้นเชิญคุณชายตามสบายเลยนะขอรับ" เหม่ยฟางกล่าวพลางก้มหน้าอย่างเสียดาย

"ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้ อวี๋...เอ่อ...ไม่สิ...ข้าให้เจ้าอยู่ตามลำพังก็แล้วกัน" จ้าวหย่งเจิ้ง คิดจะให้อวี๋เหวินเต๋อไปดูแล แต่พอนึกๆไปอาจเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้สานสัมพันธ์กัน ดังนั้นเขาจึงยินยอมให้เหม่ยฟางอยู่ตามลำพัง

"~เฮ้อ~" เหม่ยฟางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อจ้าวหย่งเจิ้งยอมให้ตนได้อยู่เพียงลำพัง

เหม่ยฟางมองดูจ้าวหย่งเจิ้งกับอวี๋เหวินเต๋อขึ้นเรือ รอจนแน่ใจว่าทั้งคู่ ล่องเรือออกไปไกล จึงตรงไปที่สุสานฝังศพของตาเฒ่าเอี๊ย

"ตาเฒ่าเอี๊ย ตาเฒ่าเอี๊ย ออกมาเดี๋ยวนี้" เหม่ยฟางยืนตะโกนอยู่หน้าสุสานคล้ายคนบ้า

"ถ้าไม่ออกมาข้าจะพังป้ายหลุมศพเจ้า" สิ้นคำ ร่างทิพย์ของตาเอี๊ยก็ปรากฏให้เหม่ยฟางเห็น

"ชิชะ เจ้าเด็กบ้า เอะอะ เอะอะ ก็คิดใช้แต่กำลัง " ตาเฒ่าเอี๊ยโผล่ออกมาก็ต่อว่าต่อขานเหม่ยฟางเป็นการใหญ่

"ข้าเรียกเจ้าแล้วไม่ออกมาเอง"

"ข้าก็มีธุระบ้างไหม" ว่าจบก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์ดูอะไรบางอย่าง

"เดี๋ยวๆนะ เจ้าไปเอาของสิ่งนี้มาจากไหน" เหม่ยฟางชี้ไปยังโทรศัพท์ในมือของตาเฒ่าเอี๊ย

"ของอะไรของเจ้า เจ้าสิ่งนี้คือคันฉ่องทิพย์ สามารถดูข้อมูลข่าวสารได้สารพัด ข้าไปขอให้ท่านเทพอีกองค์เอาไปเปลี่ยนกับคันฉ่องอันเก่า" ตาเฒ่าเอี๊ยอธิบายการได้มาของสิ่งที่อยู่ในมือ

"ขอข้าดูหน่อยสิ" 

"ไม่ได้ไม่ได้ ความลับสวรรค์ทั้งนั้นเจ้าอย่าคิดบังอาจมายุ่ง" ตาเฒ่าเอี๊ยรีบเก็บคันฉ่องทิพย์ในรูปแบบโทรศัพท์เพื่อหลบซ่อนความอยากรู้อยากเห็นของเหม่ยฟาง

"ขี้งก" เหม่ยฟางกอดอกทำหน้าตาบูดบึ้งใส่อย่างไม่พอใจ

"เรียกข้ามามีเรื่องอะไร"

"ไหนว่าจะอยู่ข้างๆ" 

"เอ๊ะ! เจ้านี่ข้าบอกกี่ครั้งแล้วไงว่า ข้าเองก็มีธุระเช่นเดียวกัน ไม่ได้ว่างอะไรขนาดนั้น" ตาเฒ่าตอบอย่างเสียไม่ได้พลางรอบมองสีหน้าของเหม่ยฟาง ทั้งยังไม่กล้าสบตากันตรงๆ อย่างคนทำความผิด

"นี่ๆทำอะไรผิดมาหรือเปล่า" เหม่ยฟางหรี่ตาจ้องจับผิด มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ ไม่เช่นนั้นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์จะหลบสายตาเขาได้อย่างไร

"เปล๊า!" ตาเฒ่าเอี๊ยตอบเสียงสูง

"เหอะ" เสียงแค่นหัวเราะดังออกมาจากคนตัวบาง พลันเกิดแสงสีเขียวประวาบ ปรากฏร่างงูเขียวขนาดใหญ่ จะเรียกงูเขียวก็ไม่ถูก แต่ต้องเรียกว่า มังกรมรกต ถึงจะถูก ร่างกายของเหม่ยฟางใหญ่โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้กลายร่างมา 2วันแล้ว โชคดีที่บริเวณสุสานจำเป็นของตาเฒ่าเอี๊ยค่อนข้างลับตาคนเขาจึงสามารถกลายร่างเพื่อยืดเส้นยืดสายได้ แต่ที่กลายร่างจริงที่ไม่ใช่งูเขียวตัวอ้วนใหญ่เพียงเพราะต้องการจะขู่เข็ญตาเฒ่าเอี๊ยให้บอกความจริง

"เจ้าเริ่มเหมือนมังกรขึ้นเรื่อยแล้วสินะ" ตาเฒ่าเอึ๊ยกล่าวอย่างชื่นชม โดยหารู้ไม่ว่าร่างกายถูกพันธการไว้ด้วยหางอันทรงพลังของเหม่ยฟาง

"อย่าได้เฉไฉจงตอบข้ามา" ร่างมังกรยักษ์พันขดรัดร่างตาเฒ่าเอี๊ยแน่นขึ้น 

"เจ้ามันชอบใช้กำลังเสียจริง" ตาเฒ่าเอี๊ยบ่นอุบ

"ยังไม่ตอบอีก"

"โอ๊ยๆ ข้ายอมบอกแล้วปล่อย ปล่อยข้า ปล่อยข้าเถอะ ข้ารู้ว่าพลังมังกรสามารถฆ่าได้ทั้งเทพทั้งมารร้าย" ตาเฒ่าเอี๊ยทนแรงรัดไม่ไหวจึงยอมบอกความจริง ขืนไม่บอกข้าได้สลายกลายเป็นอากาศธาตุแน่ๆ

เหม่ยฟางกลับคืนร่างเป็นคนเช่นเดิม กอดอกมองตาเฒ่าเอี๊ยเพื่อรอคอยคำตอบ ตาเฒ่าเอี๊ยล้วงคันฉ่องทิพย์ที่ทีรูปร่างคล้ายโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดบสงอย่างให้เหม่ยฟางดู

"นี่มัน..." เหม่ยจ้องมองภาพเคลื่อนไหวบางอย่างในคันฉ่องทิพย์

"ก็อย่างที่เจ้าเห็น อีกไม่นานข้ากำลังจะดึงเขามาที่นี่"

"ทำไมเป็นเช่นนี้" น้ำตาเอ่อล้นเต็มสองข้างหยดหยาดหลั่งไหลออกมาเป็นไข่มุกสีขาวพิสุทธิ์ จิตใจของเขาบังเกิดความทุกข์ทรมานขึ้น

"หยุดๆ บอกกี่ครั้งหากร้องไห้ให้หาอะไรมารองน้ำตาของเจ้า น้ำตาเจ้ามีค่ายิ่งกว่าอะไรนัก" ว่าพลางก็เสกชามทองมารองหยดน้ำตาไข่มุกที่ร่วงหล่น

'เจ้าไม่รู้สินะว่าไข่มุกที่มาจากน้ำตามังกรนั้นสามารถนำไปปรุงยาที่รักษาได้ทุกโรคภัย รวมทั้งยาอายุวัฒนะ ที่ใครได้ทานเข้าไปจะกลับมาหนุ่มสาวไม่แก่ไม่ตาย แม้เจ็บบางตายยังรักษาได้ มันมีค่าราคาที่ไม่อาจประเมินได้ เชียวล่ะ' ตาเฒ่ากระหยิ่มย่องเมื่อได้ไข่มุกมามากมาย

ตะวันเริ่มคล้อยใกล้เวลานัดหมาย เหม่ยฟางยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ สองตาบวมช้ำเหม่อลอย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ฟ้าดินช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย ใยคนรักกันถึงต้องพลัดพราก

"นี่เจ้าเด็กน้อย ได้เวลาที่เจ้าต้องไปแล้วนะ อย่ามั่วโทษฟ้าดินอยู่เลย หากเจ้าไปพบพวกเขาในร่างงูพวกเขาจะเจ้าไปยังสถานที่เปลี่ยนชีวิตของเจ้านับแต่นี้รีบไปเถอะ อุ๊ย...ปากพล่อยอีกแล้ว" ตาเฒ่าเอี๊ยตบปากตัวเอง เพราะเผยความลับสวรรค์ เหม่ยฟางได้ยินดังนั้นจึงรีบปาดคราบน้ำตาที่แทบจะไม่มีเปรอะเปื้อนบนใบหน้าแม้แต่น้อย

"เจ้าหมายความว่าอย่างไร"

"ก็ตามนั้นแหละ ไปเถอะ"

บริเวณท่าเรือทะเลสาบซีหู

ชายหนุ่มสองคนเดินตรงเข้าไปยังบริเวณต้นเหมยที่บานสะพรั่งไม่มีทีท่าจะโรยราแม้แต่น้อย 

"ต้นเหมยนี่ช่างแปลกนัก" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวขึ้นเมื่อเห็นดอกเหมยบานสะพรั่งเต็มต้นทั้งๆที่ไม่วช่ฤดูกาลของมัน

"ต้นเหมยต้นนี้ออกดอกบานสะพรั่งตั้งแต่ 10ปีก่อนแล้วขอรับมันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่มีเจ้างูเขียวนั่นปรากฏตัว" อวี๋เหวินเต๋อบอกเล่าเรื่องราวที่ไปสอบถามชาวบ้านมาให้แก่ผู้เป็นนายได้รับรู้

"น่าแปลกนัก"

"เจ้างูนี่อาจจะเป็นมังกรเขียวจำแลงมาก็ได้ขอรับ"

"นั่นสินะ" ผู้เป็นนายเอ่ยคล้อยตาม

"นี่ก็ยามเซินแล้วใยไม่เห็นวี่แววเจ้างูนั่นเลยขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อ เดินเข้าไปใกล้ต้นเหม่ยที่มีศาลเจ้าขนาดกลางตั้งอยู่ข้างๆ เมื่อมองรอดเข้าไปในศาลเจ้าเขาถึงกับผงะถอยหลังออกมา

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (มองหาอะไรของเจ้า) เหม่ยฟางในร่างงูส่งสียงเป็นการทักทาย ก่อนเลื้อยออกมาจากศาลเจ้า

"คุณชาย คุณชายขอรับ เจ้างูเขียวออกมาแล้วขอรับ" เสียงเรียกทำให้จ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองไปยังร่างงูเจียวขนาดใหญ่ที่บัดนี้เลื้อยขึ้นไปอยู่บนกิ่งเหมยตามเวลาแล้ว เกล็ดสีเขียวเป็นประกายระยิบคล้ายมรกตแสนสวยนับหมื่นนับพันติดตัวมัน น่าแปลกที่สีสันเหล่านั้นกับดึงดูดจิตใจของจ้าวหย่งเจิ้งให้เข้าใกล้อย่างประหลาด เขาเอื้อมมือเข้าไปหมายจะลูบไล้บนลำตัวเจ้างู แต่เป็นอวี๋เหวินเต๋อที่เข้ามาห้าม เกรงว่าจะเกิดอันตราย แต่ไม่คาดคิดว่าหางเรียวยาวนั้นได้ตวัดฟาดเข้ากลางหลังอวี๋เหวินเต๋อ จนทรุดกายลงอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ความเจ็บปวดแล่นไปตามสันหลังจนแทบลุกไม่ขึ้น

"คุณชายระวังตัวด้วย" แม้เป็นคำเตือนด้วยความหวังดี จ้าวหย่งเจิ้งนั้นหาใส่ใจไม่ยังคงยื่นมือออกไปเพื่อจะสัมผัสร่างกายเจ้างูนั่นอยู่ดี

"เจ้าช่างงดงามนัก" เพียงเขายื่นมือออกไป เหม่ยฟางจ้องมองมือที่ยื่นเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวตนเพียงแค่ปลายนิ้วแตะบนลำตัว กับปรากฏแสงประหลาดวูบวาบไปตามลำตัวเจ้างูเขียว ความร้อนแผ่ขยายคล้ายมีพลังบางอย่างถ่ายทอดภายในกายร่างกายจากที่ใหญ่โตอยู่แล้วกับยิ่งขยายใหญ่จนบังเกิดร่างมังกรที่แท้จริงของเหม่ยฟาง ร่างใหญ่โตพาดอยู่บนต้นเหมยที่ดูเล็กลงอย่างมากเมื่อเทียบกับร่างมังกรนั้น ต้นเหมยกับไม่บอบช้ำทั้งยังรองรับน้ำหนักได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทุกด้านต่างเงียบสงบไร้ผู้คนคล้ายถูกพลังบางอย่างแฝงเร้นไว้เฉพาะพวกเขา

 "เป็นมังกรเขียวจริงๆด้วย เจ้าดูสิอวี๋เหวินเต๋อ เจ้างูนั่นเป็นมังกรเขียวจริงๆ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยความดีใจ หันไปบอกข้ารับใช้อย่าวกระตือรือร้น

 "ขอรับคุณชาย ไม่คิดว่าจะพบง่ายดายเพียงนี้"

"นั่นสิ อยู่ใกล้จนน่าตกใจ ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้พบ" "เพราะบุญบารมีของคุณชายขอรับ"

"พวกเจ้ามาตามหาข้าด้วยเรื่องอันใด" มังกรเขียวเอ่ยขึ้นแต่เสียงที่ได้ดังออกมากับก้องกังวานใสไม่ได้ดูน่าเกรงขามอย่างกับร่างกายของมัน

"เสียงของท่านช่างไพเราะนัก หากท่านเป็นคนคงงดงามมากเป็นแน่"จ้าวหย่งเจิ้งกับไม่ตอบคำถามหากแต่กล่าวชื่นชมในน้ำเสียงของมังกรเขียว

"เจ้าจงตอบคำถามข้ามา เจ้าต้องการสิ่งใด" แววตาเจือความหวั่นไหวที่ไม่ผู้ใดสังเกตุเห็นได้
 
"ข้าอยากให้ท่านไปอยู่กับข้ากลับไปจิ้นหยางกับข้าเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งน้ำเสียงอ่อนลงเมื่อต้องขอร้องมังกรเขียว

"เพื่ออะไร"

"ท่านก็รู้ว่า หากผู้ใดครอบครองมังกรเขียวนั่นหมายถึงผู้นั้นจะได้ครองทุกสิ่งที่สมหวัง" เหม่ยฟางในร่างมังกรถึงกลับตะลึงงัน เมื่อได้ยินคำบอกเล่านั้น

'ที่แท้เขามาตามหามังกรเขียว ไม่ใช่เพื่อต้องการความรัก แต่กับเป็นยศถาบรรดาศักดิ์ งั้นสิ เขาไม่ได้มาตามหาข้าเพราะอยากมาแต่เพราะต้องการใช้พลังของข้า ที่แท้แล้ว ทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ข้าเป็นแค่เครื่องมือสำหรับเขา' เหม่ยฟางนิ่งเฉยก่อนเค้นเสียงเอ่ยคำบางอย่างออกมา

"ถ้าเช่นนั้นท่านหวังที่จะครอบครองสิ่งใด"

คำถามตรงไปตรงมานี้ถึงกับทำให้จ้าวหย่งเจิ้งก้มหน้านิ่งเงียบ คล้ายกับครุ่นคิดบางอย่าง เมื่อเงยหน้าพร้อมแววตาจริงจังตรงไปตรงมาตอบกลับมาอย่างไม่ลังเลในความคิดว่า

"สิ่งที่ข้าต้องการครอบครองคือ​ บัลลังก์ "

*****************************************************
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 5 มังกรเขียว) {28-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 28-05-2017 18:45:19
สงสารอาฟางจังเลยยย
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 5 มังกรเขียว) {28-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 28-05-2017 20:05:46
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 5 มังกรเขียว) {28-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 01-06-2017 09:27:57
อย่าเพิ่งไปง่ายๆนะ ฟางงงง :katai1: ต่อให้รักมากแค่ไหนก็เถอะะ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 5 มังกรเขียว) {28-05-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-06-2017 12:25:56
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 6 ไม่เกี่ยวข้องกัน) {02-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 02-06-2017 19:52:09
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 6 ไม่เกี่ยวข้องกัน

"หากสิ่งทึ่เจ้าต้องการคือ บัลลังก์ ข้าจะช่วย" น้ำเสียงแฝงความเศร้าระคนเจ็บปวดเอ่ยออกมา พร้อมไข่มุกเม็ดใหญ่ร่วงหล่นลงมา 1เม็ด จากดวงตาของมังกรเขียว กลิ้งไปตกที่ปลายเท้าของจ้าวหย่งเจิ้ง เขาจึงก้มเก็บ หมายในใจว่า

'นี่คงมันสิ่งที่มังกรเขียวตั้งใจมอบให้ข้า'

แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาเก็บขึ้นมาได้คือ น้ำตามังกร ไข่มุกซึ่งมีคุณนานัปการ

เขาเงยหน้าขึ้นมองเมื่อมีงกรเขียวกล่าวจบ

"จริงๆหรือขอรับ" แววตาใสกระจ่างทอประกายด้วยความดีใจถามขึ้นเพื่อให้แน่ใจ

"จริงสิ แต่มีข้อแม้ 1ข้อ หากทำได้ข้าจะไปกับเจ้าทันที"

"ข้าพร้อมบุกน้ำลุยไฟ ขอเพียงท่านกลับไปจิ้นหยางกับข้า" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง แววตาตั้งมั่น

"เจ้าไม่ต้องบุกน้ำลุยไฟหรอก เพียงแค่ตามหาข้าในร่างมนุษย์ให้เจอก็เพียงพอ"

"ตามหา"

"ใช่ ข้มรอเจ้าอยู่ในเจียงหนานแห่งนี้หากเจ้าหาข้าพบข้าจะไปกับเจ้า" สิ้นคำ มังกรเขียวสลายหายไปอย่างไร้ล่องลอย ปล่อยให้จ้าวหย่งเจิ้งกับอวี๋เหวินเต๋อนิ่งงัน เพราะพวกเขาไม่รู้ตะไปตามหามังกรเขียวที่ไหน เจียงหนานช่างกว้างใหญ่แล้วพวกเขาจะไปตามหาที่ไหน

"กลับกันเถอะ" อวี๋เหวินเต๋อพยุงกายอย่างยากลำบาก เดินตามผู้เป็นนายกลับโรงเตี๊ยม

บัดนี้ เหม่ยฟางคืนร่างกลับเป็นมนุษย์สองตาแดงบวมเป่ง คล้ายคนร้องไห้ นั่งทอดกายนั่งบนชิงช้าที่ผูกมัดไว้ใต้ต้นฉำฉาที่ติดริมทะเลสาบหลังโรงเตี๊ยม บรรยากาศเย็นสบายสายลมพัดเอื่อยผ่านร่างบาง ที่เหม่อลอยไร้จุดหมาย แม้อยากร้องไห้กับร้องไม่ออก ความขมขื่นภายในจิตใจมันอัดแน่นไปทั้งกาย

"เจ้าจะนั่งอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะ เหม่ยฟาง" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยบอก พลางส่ายหัวกับท่าทางของคนร่างบาง

"ท่านคิดว่าข้าจะสมหวังกับเขางั้นเหรอ ข้าหมดกำลังใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาขอข้า ข้าสามารถมอบบัลลังก์ให้เขาได้จริงๆงั้นเหรอ"

"เจ้าเป็นถึงมังกรเขียวใยถึงไม่เชื่อมั่นว่าตนจะนำพาคนผู้นั้นขึ้นครองราชย์ได้"

"หากข้านำเขาขึ้นครองราชย์ได้ แล้วตัวข้าล่ะจะมีความหมายอีกหรือไม่"

ตาเฒ่าเอี๊ยนิ่งเงียบกับคำถามของเหม่ยฟาง ความจริงเขาไปสืบที่ตำหนักเทพแห่งความรักของตาเฒ่าจันทรามา ตาเฒ่าจันทราบอกกับเขาเองว่าได้ผูกดวงของทั้งสองคนไว้ด้วยกันนับแต่ถูกดึงตัวมาที่นี่ อย่างไรเสียต้องไม่มีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน

"เจ้าต้องเชื่อมั่นสิ"

"แต่ข้า..."

"ฟางเอ๋อร์ เจ้ากำลังคุยกับใคร" เสียงทุ้มหนาเอ่ยถามเมื่อเห็นคนงามนั่งชิงช้าคล้ายเอ่ยวาจาคุยกับใคร เกม่ยฟางหันไปมองผู้เอ่ยมัก ดวงตากับบังเกิดความเศร้าหมอง คล้ายไม่อยากเห็นหน้าคนที่เอ่ยถาม

"ข้าคุยกับตนเอง หรือ ท่านเห็นคนอื่นนอกจากข้า คุณชายหย่ง" เหม่ยฟางตอบกลับเสียงเรียบ พลางสะบัดหน้าหนีคล้ายไม่อยากคุยด้วย จนทำให้ จ้าวหย่งเจิ้งมองคนตอบกำลังพลางขมวดคิ้วมุ่น เมื่อคำเรียกขานชื่อตนดูห่างเหินกว่าทุกครั้ง

"เจ้าโกรธอะไรข้าหรือเปล่า"

"ท่านทำอะไร ข้าจึงต้องโกรธท่าน" คำตอบยอกย้อนนั้นยิ่งทำให้เขาขมวดคิ้วมากขึ้น

"ถ้าเช่นนั้นใยเจ้าเรียกข้าห่างเหิน"

"ห่างเหินเช่นไร เราไม่ได้สนิทชิดใกล้กันเสียหน่อย" เหม่ยฟางว่าจบจึงลุกจากชิงช้าเดินหนีจากคนช่างถาม

"ถ้าเช่นนั้น เรามาทำตัวให้สนิทกันดีไหม ฟางเอ๋อร์" จ้าวหยางเจิ้งคว้าข้อมือเรียวมาจับ ดึงคนตัวบางให้เจ้ามาในอ้อมกอด

"ปล่อยข้า ข้าเป็นบุรุษ ท่านมากอดข้าเช่นนี้ไม่ได้" แววตาแข็งกร้าวบ่งบอกถึงความพยศของอีกฝ่ายกับทำให้จ้าวหย่งเจิ้งชอบใจเสียมากกว่าขัดใจ

"แล้วใครว่าเจ้าเป็นสตรีกันเล่า...หึหึ" จ้าวหย่งเจิ้งหัวเราะในลำคออย่างผู้มีชัย พร้อมกระชับแขนให้แน่เพื่อกันคนหนี

"ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า หย่งเจิ้ง ไอ้บ้าเอ้ย ปล่อยข้า" ขณะที่กำลังแกล้งคนตัวบางกว่า กับมีภาพบางอย่างปรากฏขึ้นในสมอง



ภายในห้องแห่งหนึ่งมีชายหนุ่มสามคนยืนอยู่ ณ ที่นั้น คนหนึ่งตัวเล็กบอบบาง อีกสองคนรูปร่างสูงใหญ่ เขาเห็นคนตัวเล็กโดนชายคนหนึ่งซึ่ง มีใบหน้าคล้ายเขากอดรัดทางด้านหลังของคนตัวเล็กไว้ด้วยสีหน้าแลดูสนุกที่เห็นอีกฝ่ายดิ้นรน

"ไอ้เจิ้ง ไอ้บ้าปล่อยนะเว้ย คิดบ้าอะไรถึงมากอดไว้แบบนี้ คิดเล่นพิเรนทร์อะไรอีก" เสียงใส ตะโกนโวยวายร้องด่าผู้ชายที่กอดตนอย่างนึกสนุก

"ฮ่าๆๆ ใครว่าล่ะ นี่ทำตามคำสั่งไอ้รุจ มันให้แกแต่งหญิงตามสัญญาไง แกอยากแพ้พนันเองทำไมล่ะ" ชายร่างสูงกว่าตอบ พร้อมรอยยิ้ม

"ไอ้เชี่ย ปล่อยนะ ไอ้หย่งเจิ้งปล่อยกู หย่งเจิ้ง ปล่อยกูไม่แต่งหญิง" คนตัวบางกับร้องตะโกนให้ปล่อยอย่างสุดกำลัง


จ้าวหย่งเจิ้งชะงักงันมือข้างหนึ่งยกกุมขมับคล้ายปวดคนปวดหัว อ้อมกอดคลายลงจนเหม่ยฟางจึงสามารถดิ้นหลุดได้ จึงหันหน้าไปหมายจะด่าคนตรงหน้า แต่เมื่อเห็นอาการอีกฝ่ายจำต้องกลืนคำด่าลงคอ มองคนตัวโตกว่าด้วยความความเป็นห่วง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีใบหน้าซีดเผือด คล้ายคนไม่สบาย

"เจ้า เจ้าเป็นอะไร" น้ำเสียงบ่งบอกถึงความตื่นตระหนกของผู้ถามเป็นอย่างดี

"ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่ปวดหัวนิดหน่อย ข้าขอตัวไปพักก่อน" จ้าวหย่งเจิ้งหันกลับหลังหมายเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมเพื่อกลับห้องพักเพียงลำพัง แต่มือเรียวบางกับยื่นเข้ามาประคองอีกฝ่ายสายตาบ่งบอกถึงความเป็นห่วงเป็นใย จ้าวหย่งเจิ้งเหลือบมองอย่างพึงพอใจให้คนตัวเล็กกว่าประคองตนกลับห้อง

"ข้าไปส่งท่านเอง" เหม่ยฟางกระชับแขน โอบไหล่อีกฝ่ายเดินไปอย่างช้าๆ "เรียกข้าว่าเจิ้งดั่งเช่นคร่าแรกที่เจอกันสิ" เหม่ยฟางเหลือบมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนพูดก่อนตอบกลับไปว่า

"ข้าคงไม่อาจเอื้อมขนาดนั้น"

"ทำไมล่ะฟางเอ๋อร์"

"เรารู้จักกันเพียงไม่กี่วัน ใยท่านถึงตีสนิทข้าเช่นนี้ ท่านไม่นึกสงสัยในตัวข้าบ้างหรือไร"

"ข้าเชื่อใจเจ้า ข้ารู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้เจ้า แม้เวลาใกล้เจ้าข้าจะ..." หย่งเจิ้งเก็บคำพูดตนลงคอ ไม่อยากกล่าวอะไรเกี่ยวกับความฝันแปลกประหลาดหรือภาพประหลาดที่มักมองเห็นซ่อนทับกับเหม่ยฟาง ซึ่งทั้งสองคนดูคล้ายกันเพียงนิสัยไม่ใช่หน้าตา หากเทียบกันแล้วเหม่ยฟางนั้นงดงามกว่ามากแต่คนในฝันหรือความคิดกับมีลักษณะคล้ายเหม่ยฟางแต่ความงดงามนั้นเทียบกันไม่ได้เลย

"จะอะไร" เหม่ยฟางขมวดคิ้วมุ่นมองคนที่ไม่ยอมกล่าวให้จบ ปล่อยทิ้งค้างให้เขารอฟังเก้อ

"ช่างเถอะ เจ้าอย่าสนใจเลย" 

"อ้าว..." เหม่ยฟางอ้าปากค้างเมื่อโดนตัดบทไปง่ายๆ

ขณะที่พวกเขาประคองกันกลับห้อง หย่งเจิ้งคล้ายคิดอะไรได้จึงเอ่ยถามด้วยความสนใจใคร่รู้

"จริงสิ ขึ้น5ค่ำเดือน5ที่ใกล้จะถึงจะมีการจัดงานเทศกาลใช่หรือไม่"

"ใช่...เทศกาลตวงโหงว"

"ข้าได้ข่าวว่า เหล้ายาหรดาล ของที่นี่รสชาติเป็นเลิศ จริงหรือไม่"

"ก็คงงั้น" เหม่ยฟางตอบแบบไม่ใส่ใจเพราะตนไม่ดื่มสิ่งของมึนเมาพวกนี้ ยิ่งเป็น เหล้ายาหรดาล แล้ว เขายิ่งไม่กล้าแตะเข้าไปใหญ่เพราะเหม่ยฟางได้ชื่อว่าเป็นงูชนิดหนึ่งซึ่งหรดาลมีฤทธิ์ต่อต้านกันกับร่างกายตน หากโดนสาดรดมาบนตัวเขาเพียงเล็กน้อยยังแทบจะเผยร่างจริง นับประสาอะไรกับการดื่มเข้าไป

"ถ้าเช่นนั้น เจ้ามาดื่มเหล้ายาหรดาลกับข้านะในวันวานเทศกาลกัน" 

"ขออภัยคุณชายหย่ง เอ้ย หย่งเจิ้ง ข้าดื่มไม่ได้" 

"เจ้าดื่มไม่เป็น"

"ใช่ขอรับ"

"ไม่เป็นไร ข้าสอนเจ้าดื่มเอง" จ้าวหย่งเจิ้ง ยิ้มกริ่มคิดสอนคนดื่มเหล้าไม่เป็น

"ข้า..." เมื่อเห็นท่าทางอึกอักของอีกฝ่ายจึงรีบเอ่ยปากออกไปในทันที

"ห้ามปฏิเสธ"

"ขอรับ" ซวยแล้ว ทำไงดีนี่ ถ้าขืนดื่มเข้าไปมีหวังกลายร่างแน่ๆ ข้าควรทำอย่างไรดี จ้าวหย่งเจิ้งสังเกตุอาการผิดปกติบนใบหน้าของเหม่ยฟางจึงเอ่ยทักขึ้น

"เจ้าเป็นอะไร ใยเหงื่อถึงออกมากมายเพียงนี้" เพัยงยื่นมือเข้าไปซับเหงื่อให้อีกฝ่ายปแต่กลับถูกปัดมือออกอย่างไร้เยื่อใย

"ข้าไม่เป็นอะไร ข้าส่งท่านเพียงเท่านี้ ข้าขอลา" ว่าจบจึงกำหมัดผสานฝ่ามือโค้งคำนับลาออกมาด้วยใจอันร้อนรน แต่ด้วยท่าทางเช่นนั้นจ้าวหย่งเจิ้งจึงรีบคว้ามืออีกฝ่ายไว้

"เจ้าโกรธที่ข้าบังคับเจ้างั้นเหรอ" เหม่ยฟางเม้มริมฝีปากแน่นจนเห่อแดง ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง โดยไม่ยอมพูดจา

"หากข้าทำให้เจ้าโกรธข้าขอโทษ เจ้ามีอะไรบอกข้าได้นะ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปาก กลัวอีกฝ่สยจะน้อยใจที่ตนบังคับให้ดื่มเหล้าเป็นเพื่อน เหม่ยฟางก้มหน้านิ่ง พลางครุ่นคิดเพื่อเอาตัวรอดจากเหล้ายาหรดาล

"คือข้า อยากบอกท่านว่าข้าแพ้เหล้าหรดาลหากดื่มเข้าไปจะเกิดผื่นแดงคันไปทั้งตัว" เหม่ยฟางใช้ข้ออ้างนี้เพื่อหลบเลี่ยงการดื่มเหล้าหรดาล

"แล้วเหล้าชนิดอื่นเล่า" 

"พอได้นิดหน่อย แต่ดื่มมากไม่ได้ เพราะอาจมีอาการอย่างเดียวกับเหล้าหรดาล"  จ้าวหยางเจิ้งพยักหน้าอย่าเข้าใจ เขาไม่คิดให้เหม่ยฟางดื่มหากเจ้าตัวแพ้เหล้าเช่นนี้

"ช่างเถอะ ถ้าอย่างไรเจ้ามานั่งเป็นเพื่อนข้าเวลาข้าดื่มเหล้าก็เพียงพอ"

"ขอรับ" เหม่ยฟางแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ไม่ต้องดื่มเหล้ายาหรดาลนั่น

"ข้าคิดว่า อวี๋เหวินเต๋อคงมาดื่มเป็นเพื่อข้าไม่ได้เป็นแน่" จ้าวหย่งเจิ้งขมวดคิ้วแน่น 

"เพราะเหตุใดขอรับ"

"อวี๋เหวินเต๋อบาดเจ็บ"

"หา!!! บาดเจ็บ ใครเป็นผู้ลงมือขอรับ" เอ๊ะ ฟรือตอนที่เอาหางฟาดไปตอนนั้น เหม่ยฟางครุ่นคิด เขาฟาดหางใส่แรงขนาดนั้นเชียวเหรอ

"ฟางเอ๋อร์ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่" รอยยิ้มยังคงประดับหน้าในเวลาที่ถาม

"ข้ากำลังคิดเรื่องพี่อวี๋อยู่" แม้เป็นคำพูดที่ไม่ได้สื่อถึงอะไรมากมากนัก แต่มันกลับทำให้จ้าวหย่งเจิ้งไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก

'ใยต้องคิดถึงคนอื่น ในเวลาที่อยู่กับข้า' ใบหน้าบึ้งตึงหว่างคิ่วขมวดเป็นปมบ่งบอกถึงความไม่พอใจ เมื่อเหม่ยฟางเงยหน้าขึ้นมาสายตาสบเข้ากับใบหน้าที่ไม่รับแขกเอาเสียเลยจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า

"ใยคิ้วท่านถึงขมวดเป็นปมเช่นนี้" ไม่ว่าเปล่ายังใช้ปลายนิ้วแตะไปที่หว่างคิ้วของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ มือหนาคว้ารวบมือเรียวไว้ จนเหม่ยฟางต้องชะงัก เนื่องจากตนทำตัวไม่เหมาะสม

"ข้าขออภัย ข้าไม่มีเจตนาล่วงเกินท่าน" เหม่ยฟางก้มหัวอย่าวสำนึกผิดที่ทำตัวไร้มารยาท

"ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย" มือหนายังคงกุมไว้ไม่ปล่อย แม้เหม่ยฟางอยากดึงมือออกก็ไม่กล้ากลัวเสียมารยาทกับอีกฝ่าย

"ปล่อยมือข้าเถอะ หากใครมาเห็นจะเอาท่านไปนินทาให้เสียหาย"
ใบหน้าแดงเรื่อด้วยความเขินอายที่ถูกจับมือไม่ยอมปล่อยแดงซ่านจนจ้าวหย่งเจิ้งรอบยิ้มด้วยความพึงพอใจ

'เจ้าช่างน่ารักน่าชังยิ่งนักเหม่ยฟาง หากเจ้าเป็นสตรีข้าคงเอ่ยปากขอเจ้าเป็นคนรักเป็นแน่'

"หย่งเจิ้ง ปล่อยมือข้าเถอะ ข้าจะไปดูพี่อวี๋ เสียหน่อย" พอได้ฟังคำพูดที่อีกฝ่ายบอกจะไปดูแลชายอื่นใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับกับบึ้งตึงจนน่ากลัว

"อ๊ะ ท่านเป็นอะไร ทำไมทำหน้าเสียน่ากลัวเชียว" เหม่ยฟางขมวดคิ้วมุ่นมองคนทำหน้าดุ

"เจ้าไม่คิดดูแลข้าบางหรือไง"

"ท่านยังไม่ได้ปวดหัวงั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปส่งท่านที่ห้องก่อน มัวแต่อยู่คุยกับท่าน เลยไม่ได้ไปถึงไหนเสียที"

"นั่นสิ ไปเถอะ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับประคองคนอ้างปวดหัวไปยังห้องพัก เมื่อส่งถึงห้อวพักจึงขอลาออกมา โดยคนอ้างปวดหัวมีสีหน้าที่บึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"พี่อวี๋ ข้าเหม่ยฟาง ขอเข้าไปหน่อยสิ" เหม่ยฟางเคาะประตูเรียกคนภายในห้องเพื่อขอเข้าไปด้านใน

"เข้ามาสิ" เสียงตอบรับจากภายในห้องดังออกมา อนุญาติให้คนด้านนอกเจ้ามาในห้อง

"พี่อวี๋ ข้าได้ข่าวว่าท่านบาดเจ็บ ข้าจึงมาเยี่ยม แล้วเอายาดีมาให้ท่าน" เหม่ยฟางชูกล่องยาในมือให้ดู ก่อนมาทเขาได้เรียก ตาเฒ่าเอี๊ย เพื่อขอน้ำตาของเขาที่ตาเฒ่าเอี๊ยเก็บมา ตอนแรกทำท่าอิดออดไม่อยากให้ แต่ถูกเขาขู่จึงยอมให้อย่างจำใจ เขาจึงเอามาบดเป็นยาทาให้กับอวี๋เหวินเต๋อ

"ขอบใจเจ้ามากวางไว้เถอะเดี๋ยวข้าค่อยใข้มัน"

"ไม่ได้ ต้องทาเดี๋ยวนี้ หากท่านทาเองคงไม่ถนัด ข้าจะทาให้ท่านเอง ถอดเสื้อออกสิ" ว่าจบก็สั่งให้อีกฝ่ายถอดเสื้อออก

"คือข้า..." ใบหน้าของอวี๋เหวินเต๋อแดงซ่าน เมื่อถูกบอกให้ถอดเสื้อ

"ท่านอายข้าหรือ"

"ใครอายเจ้า เราเป็นชายเหมือนกันใยต้องอาย" แม้จะพูดเช่นนั้น ใบหน้าของอวี๋เหวินเต๋อกับยังคงแดงเรื่ออยู่เล็กน้อย

"ฮ่าๆ ท่านนี่น่ารักเสียจริง"

"ขะ ข้า เนี่ยนะ น่ารัก เจ้านี่เหลวไหลสิ้นดี" แม้จะรู้ว่าถูกยั่วเย้าเล่นแต่ก็อดขัดเขินไม่ได้

"ฮ่าๆ เอาเถอะท่านถอดเสื้อเถอะข้าจะทายาให้"

"เจ้าหัวเราะอะไรนัก...ข้าไม่ใช่สตรีจะมาน่ารักเหมือนเจ้าได้อย่างไร" แม้จะบ่นงึมงำกับตัวเองแต่มีหรือที่เหม่ยฟางจะไม่ได้ยิน

"ฮ่าๆ ท่านนี่ตลกเสียจริง"

"เจ้า....ฮึ่ย!" แม้อยากโวยวายแต่ก็ทำไม่ได้จึงเก็บคำถอดเสื้อนั่งหันหลังให้เหม่ยฟางทายาแต่โดยดี

แผ่นหลังเปลือเปล่ามีมัดกล้ามสวยงามดั่งคนฝึกยุทธมีร่องรอยเขียวช้ำพาดผ่านตั้งแต่ต้นคอถึงช่วงเอวจนดูน่ากลัว

"ข้าขอโทษ ไม่คิดว่ามันจะเขียวช้ำรุนแรงขนาดนี้" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน

"เจ้าว่าอะไรนะ" อสี๋เหวินเต๋อได้ยินเสียงเหมือนเหม่ยฟางพูดอะไรบ้างอย่างจึงหันไปถาม

"เปล่าๆ ข้าไม่ได้พูดอะไร"

"เหรอ สงสัยข้าจะหูแว่ว" เมื่ออีกฝ่ายบอกไม่ได้พูดใยเขาจะต่องสักถามให้มากความจึงหันหลังกลับไปอีกครั้ง เมื่อปลายนิ้วเย็นๆแตะตัวยาไล้ไปตามรอยแผลช้ำเขียวอย่างแผ่วเบา กับไปกระตุ้นบางอย่างในร่างกายจนเกิดอาการขนลุก แม้ไม่ได้คิดอะไรแต่ปลายนิ้วที่ไปไล้ไปตามแนวสันหลังกับทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

"ท่านรู้สึกดีขึ้นไหม" เพียงทายาไม่นานร่องรอยเขียวช้ำค่อยๆจางลง อาการเจ็บแปลบจนแทบกระดิกตัวไม่ได้เริ่มเบาบาง อวี๋เหวินเต๋อคิดขยับกายไปมาซึ่งเป็นเวลาที่เหม่ยฟางเดียวกับที่เหม่ยฟางเตรียมจะลุกลงจากเตียง ทั้งสองร่างชนกันเข้าอย่างจังจนเหม่ยฟางหงายหลังจะตกเตียง อวี๋เหวินเต๋อที่มีความว่องไวอยู่แล้วจึงคว้าร่างบางของเหม่ยฟางดึงเข้าหาตัวจนมาอยู่ใต้ร่างตน

"เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม"

"ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่ตกใจเพียงเล็กน้อย"

"ข้าขออภัยเจ้าด้วยที่ชนเจ้าจนเกือบหงายท้องตกเตียง"

"ไม่เป็นไรหรอก แต่ท่านช่วยลุกออกจากกายข้าก่อนเถอะ หากใครเข้ามา..."

แอ๊ด

เสียงประตูเปิดขัดกับการพูดของเหม่ยฟางจนทั้งสองหันกลับไปมองผู้มาเยือนใหม่ แต่ผู้มาเยือนใหม่กับแสดงสีหน้าบึ้งตึงน่ากลัว แววตาเรียวที่จ้องร่างสองร่างที่อยู่ในท่วงท่าชวนเข้าใจผิด

"พวกเจ้าทำอะไรกัน" น้ำเสียงเกรี้ยวกราดจนทำให้พวกเขาทั้งสองคนแทบหนาวสั่นรีบผละจากกันในทันที

"คุณชาย พวกข้าน้อยไม่ได้ทำอะไรกันขอรับ"

"ใช่ๆ หย่งเจิ้ง พี่อวี๋แค่ช่วยข้าไม่ให้หงายตกเตียงเท่านั้น"

"พวกเจ้าเห็นข้าโง่หรือไง ช่วยอะไรกัน หากข้าไม่เข้ามาพวกทำคงทำเรื่องบัดสีไปแล้วกระมัง"

"คุณชาย นั่นไม่ใช่ในสิ่งที่ท่านเห็น"

"หุบปาก!!!" เสียงเกรี้ยวกราดไม่ฟังใคร ทำเอาเหม่ยฟางคิ้วกระตุก

"ท่านจะเชื่อหรือไม่ มันเรื่องของท่าน พวกข้าไม่ได้ทำอะไรผิด และอีกอย่างหากข้าจะทำอะไรกับพี่อวี๋ นั่นย่อมไม่เกี่ยวกับท่าน"

"นี่เจ้า..." เป็นจริงอย่างเหม่ยฟางว่า แม้อยากจะต่อว่า ก็ทำไม่ได้จึงเก็บอารมณ์ฉุนเฉียวสะบัดชายเสื้อเดินออกจากห้องไป

"เจ้าทำเช่นนี้ทำไม"

"ก็ คนอะไรไม่มีเหตุผล ไหนเมื่อไม่ฟังใยต้องใส่ใจในเมื่อเราไม่ได้ทำอะไรผิด" อวี๋เหวินเต๋อ ได้แต่ส่ายหน้ากับความเอาแต่ใจของเหม่ยฟาง


เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!

"บัดซบ นี่ข้าทำอะไรไม่ได้เลยหรือไง ฮึ่ย!" จ้าวหย่งเจิ้งกวาดข้าวของ
ตกแตกกระจัดกระจายเต็มพื้นห้องสบถถ้อยคำไม่น่าฟังหลายคำออกมาเพื่อระบายความหงุดหงิดงุ่นง่านภายในใจ สองมือกำหมัดแน่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

"แลท่านจะโกรธมากเลยนะ" เสียงใสไพเราะของสตรีนางหนึ่งซึ่วมีรูปโฉมงดงามดั่งบุปผาเดินเข้ามาในห้องอย่างไม่กลัวเกรงความเกรี้ยวกราดของอีกฝ่าย เมื่อจ้าวหย่งเจิ้งที่นั่งอยู่จึงหันไปมองจึงเอ่ยเสียงเรียบอันแสนเย็นชาออกมาว่า

"นั่นไม่ใช่เรื่องของเจ้าหลิงเอ๋อร์ กลับไปซะ ข้าไม่เรียกเจ้ามา เจ้ามาทำไม" แม้จะถูกตอบกลับอย่างไร้เยื่อไยมั้งยังถูกจับขับไล่ไสส่งแต่นางหาได้ใส่ใจไม่ ในเมื่อนางมาถึงนี่แล้วอย่างไรเสียนางจะต้องได้ปรนนิบัติชายผู้นี้ให้จงได้

"ใยท่านขับไล่ไสส่งข้า ข้ามาทำให้ท่านอารมณ์ดีต่างหาก" ว่าพลางเดินเข้าไปแนบชิดอีกฝ่ายจนเนื้อแนบเนื้อ ลูบไล้อกแกร่งอย่างหลงไหลก่อนสอดมือเข้าไปในอกเสื้ออย่างถือวิสาสะ 

"นั่นสินะหากมีเจ้าคอยปรนนิบัติข้าในคืนนี้ ข้าอาจรู้สึกดีขึ้นก็เป็นได้" ว่าจบจึงอุ้มคนโฉมงามไปที่เตียง และบรรเลงบทรักอันเร่าร้อนในค่ำคืนอันหนาวเย็น เช่นเดียวกับใจของเหม่ยฟาง ที่ยืนหลั่งน้ำตาอยู่หน้าห้องพักของจ้าวหย่งเจิ้ง แต่ไม่คิดว่า จ้าวหย่งเจิ้งจะกำลังเริงสวาทกับหญิงคณิกาฝูหลงฮาวที่มีนามว่า ว่านเสี่ยวหลิง

"นั่นสินะ เป็นข้าบอกเขาเองว่า เราไม่เกี่ยวข้องกัน" พูดจบจึงเดินหันหลังกลับโดยไม่แม้จะหันกลับไปมองห้องนั้นอีกเลย

หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 6 ไม่เกี่ยวข้องกัน) {02-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-06-2017 23:59:04
 :3125:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 6 ไม่เกี่ยวข้องกัน) {02-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 03-06-2017 05:11:57
เจ้าชู้นักนะ หย่งเจิ้ง
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 6 ไม่เกี่ยวข้องกัน) {02-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 03-06-2017 16:44:41
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 6 ไม่เกี่ยวข้องกัน) {02-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 03-06-2017 17:30:36
ปวดใจแทนฟางๆน้อยจริง เจิ้งงงง  :angry2: ถ้ายังไม่ปรับปรุงตัวจะส่งฟางไปให้คนอื่นแล้วนะ  :angry2: :fire:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 6 ไม่เกี่ยวข้องกัน) {02-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 03-06-2017 19:26:55
หย่งเจิ้นอย่าประชดกันแบบนี้ มีแต่เสียกับเสียเน้อ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 7 เทศกาลตวงโหงว) {03-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 03-06-2017 20:56:03
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 7 เทศกาลตวงโหงว

เช้าอันแสนสดชื่นแต่จิตใจคนกลับหดหู่ ร่างบางเปียกชื้นไปด้วยน้ำค้างนั่งเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย อวี๋เหวินเต๋อเปิดประตูห้องพักออกมา พบร่างบางของเหม่ยฟางนั่งอยู่ที่ม้านั่งในสวนของโรงเตี๊ยม ร่างกายดูเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำค้างคล้ายกับนั่งอยู่ที่ตรงนี้มานาน จึงเดินเข้าไปหา

"น้องฟาง เจ้ามานั่งทำอะไรตรงนี้" เหม่ยฟางโดนทักจึงหันไปมองดวงตาแดงเรื่อคล้ายคนร้องไห้แต่ไร้คราบน้ำตา

"พี่อวี๋..."

"เจ้านั่งอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหน แล้วใยตาเจ้าถึงได้แดงเช่นนี้" ว่าจบจึงใช้มือแตะใบหน้าของอีกฝ่าย เพียงแค่สัมผัสที่อบอุ่นก็ยิ่งอยากจะร้องไห้ จึงโผเข้าอ้อมกอดอีกฝ่ายในทันที คนถูกกอดถึงกับชะงักทำอะไรไม่ถูก

"ฮือๆ พี่อวี๋ ฮือๆ"

"เจ้าร้องไห้ทำไม" ว่าแล้วจึงผลักร่างบางออกเพื่อซักถาม แต่ภาพตรงหน้ากับทำให้อวี๋เหวินเต๋อต้องแปลกใจ เพื่อคนตรงหน้ากับหลั่งน้ำตาเป็นไข่มุก

"ข้าแปลกประหลาดมากใช่ไหม คนที่หลั่งน้ำตาที่ไม่ใช่น้ำตาแบบนี้"

"ไม่หรอก เจ้างดงามมาก ใครว่าเจ้าประหลาดกัน" อวี๋เหวินเต๋อใช้มือรองเม็ดไข่มุกที่ไหลออกมายากดวงตาเรียวคู่สวย  ใบหน้าซบเข้ากับฝ่ามือที่รองน้ำตาไข่มุกรอยยิ้มบางๆจึงเริ่มปรากฏบนใบหน้า

ขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนเคียงคู่กัน จ้าวหย่งเจิ้งได้เปิดประตูออกมาเห็นท่าทางที่ชิดใกล้ของทั้งสองคน ความรู้สึกปั่นป่วนในจิตใจจึงบังเกิดขึ้นอีกครั้ง แม้มีหญิงงามที่ร่วมเสพสมยืนเคียงข้างแต่จิตใจภายในกลับร้อนรุ่มยิ่งกว่าไฟรน

'แม้เมื่อคืนจะเสพสมกับหญิงงาม ใยในหัวข้ากับถึงภาพของเหม่ยฟาง ปรากฏอยู่ตลอด นี่ข้าคงบ้าไปแล้วกระมัง'

"คุณชายหย่งเจ้าคะ ดูท่าบ่าวของท่านคงชื่นชอบบุรุษเพศเช่นเดียวกันเป็นแน่ ดูสิเจ้าคะ ท่าจะมีข่าวดีอีกไม่นาน" ว่านเสี่ยวหลิงเอ่ยขึ้นคล้ายเติมเชื้อไฟในอกของจ้าวหย่งเจิ้ง จึงเหลือบมองนางที่อยู่เคียงข้างอย่างเย็นชาจนนางต้องสงบปากสงบคำ ก้มหน้าสำนึกผิด

"เจ้ากลับไปได้แล้วหากข้าไม่ได้เรียกไม่ต้องมาที่นี่อีก"

"เจ้าค่ะ" แม้ท่าทางอ่อนน้อมดูสง่า แต่ภายในใจของหญิงสาวกลับเต็มไปด้วยแรงริษยาที่มีต่อเหม่ยฟาง

'ข้าจะกำจัดเสี้ยนหนามอย่างเจ้าให้จงได้เหม่ยฟาง'


หอคณิกาฝูหลงฮาว

บุรุษชุดดำสองคนยืนเคียงข้างหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นบุปผาประจำหอคณิกา หญิงสาวผู้งดงามสดสวยจนใครต่างชื่นชม

"ข้าเจ็บใจนัก รูปโฉมข้าไม่ได้งดงามแพ้หญิงใดในเจียงหนาน แล้วใยข้าจึงแพ้บุรุษผิดเพศเช่นนั้นได้ ข้าเจ็บใจนัก" ว่านเสี่ยวหลิงระบายความอัดอั้นในจิตใจให้กับลูกน้องคนสนิทซึ่งคล้ายกับนักฆ่ามากกว่าบ่าวรับใช้ธรรมดา

"คุณหนูจะให้ข้าสองคนทำอย่างไรจงสั่งการ" บุรุษหนึ่งในสองกล่าวออกมา

"นั่นสินะ ข้าควรทำอะไรดีกับเจ้าบุรุษผิดเพศนั่น" หญิงสาวยกยิ้มขึ้นอย่างมีแผนการบางอย่าง

"คุณหนูจะทำเช่นไรขอรับ"

"ข้าแอบได้ยินว่า เจ้าบุรุษผิดเพศนั่นแพ้เหล้ายาหรดาลหากเราแอบใส่ลงไปอาหารที่จัดเลี้ยงในงานเทศกาลก็คงจะดี"

"ข้าน้อยรับคำสั่ง ข้าจะไปสั่งให้ร้านรวงที่ปรุงอาหารออกงานไม่เว้นแต่เหลาอาหารและโรงเตี๊ยมผสมเหล้ายาหรดาลลงไปในอาหารทุกชนิดขอรับ หากใครไม่ทำตามคำสั่งข้าจะสั่งสอนพวกมันเอง"

"ดี ดูสิเหล้าหรดาลมากมายที่ผสมลงไปในอาหารจะทำให้เจ้ารู้สึกอย่างไร"



เทศกาลตวงโหงว (เทศกาลไหว้บะจ่าง) ผู้คนมากมายต่างเตรียมงานกันอย่างคึกคัก เหม่ยฟางออกมาเที่ยวเล่นในตลาดอย่างชื่นบาน หลังจากวันที่มีปากเสียงกับจ้าวหย่งเจิ้ง เหม่ยฟางเอาแต่หลบหน้าอีกฝ่าย จนจ้าวหย่งเจิ้งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ฟาดงวงฟาดงาใส่คนไม่เกี่ยวข้องให้โดนกันถ้วนหน้า แม้แต่อวี๋เหวินเต๋อคนสนิทในตอนนี้ก็ยังเข้าหน้าไม่ติด

"ใยเจ้าไม่ไปปรับความเข้าใจกับคนรักของเจ้า" ตาเฒ่าเอี๊ยที่ตามอยู่ข้างๆเอ่ยขึ้น

"ใครกันคนรักข้า เขาไม่เคยเป็นอะไรกับข้ามาแต่แรก ใยท่านถึงเรียกเขาว่าคนรักของข้า" ตาเฒ่าได้แต่ส่ายหัวให้กับคนทิฐิแรงอย่างเหม่ยฟาง

"เจ้าก็รู้ว่าเขายังจำเรื่องของเจ้าไม่ได้ แล้วใยยังถือทิฐิอีก" เหม่ยฟางนิ่งชะงักไปสักพักก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า

"เรื่องนั้นข้าไม่รับรู้ เจ้าอย่ามาก่อกวนข้าให้ข้าหมดสนุกไปหน่อยเลย"

"ตามใยเจ้าละกัน" ว่าจบตาเฒ่าเอี๊ยก็หายตัวไป ทิ้งให้เหม้ยฟางเดินเล่นในตลาดงานเทศกาลต่อไป


ตกดึก ภายในโรงเตี๊ยมกับสว่างไสว เสียงเพลงเสียงดนตรีเสียงขับขานดังไปทั่วสารทิศ ชายหนุ่มผู้สูงสง่าอย่างจ้าวหย่งเจิ้งนั่งอยู่บนที่ที่สูงที่สุดเฝ้ามองผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมวานเลี้ยงฉลอง แม้แต่สาวคณิกายังถูกเชื้อเชิญให้มาปรนนิบัติแขกเรื่อ แม้แต่จ้าวหย่งเจิ้งยังมีว่านเสี่ยวหลิงสาวงามแห่งหังโจวคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย แต่สายตากับสาดส่องหาคนที่สัญญาว่าจะมาดื่มด้วยกัน

"คุณชายหย่งท่านมองหาใครหรือเจ้าคะ" นางถามพลางรินเหล้ายาหรดาลใส่จอกให้กับจ้าวหย่งเจิ้ง

"เหม่ยฟาง เขาสัญญาว่าจะมาดื่มกับข้า" แม้ปากพูดออกไปแต่สายตากับยังคงสาดส่องหาร่างบางโดยไม่สนใจหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ซึ่งบัดนนี้นางได้แต่กำหมัดแน่นจนเล็บยาวๆจิกเข้าไปในเนื้อตนเอง

"คุณชายเหม่ยอาจติดธุระก็ได้ เลยมาช้า"

"คงเป็นเช่นนั้น" จ้าวหย่งเจิ้งตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

เวลาผ่านไปเกือบค่อนคืน ในที่สุด ร่างบางในชุดเขียวอ่อนเดินย่างเข้ามาในโรงเตี๊ยมอย่างสง่างาม ใบหน้าสดสวยงดงามยิ่งกว่าหญิงใดทุกคนภายในโรงเตี๊ยมต่างพากันหันมองด้วยความสนอกสนใจ แม้เดินผ่านที่ไหนบุรุษน้อยใหญ่ต่างเรียกขานชื่อ จนเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ เรียกความสนใจของจ้าวหย่งเจิ้งเป็นอย่างดี เมื่อสายตาพบร่างบางในชุดเขียวจึงรีบยืนขึ้นด้วยความสนใจ แต่พอเห็นเจ้าตัวเดินผ่านใครแล้วโปรยยิ้มหวานให้คนที่คอยเรียกชื่อตน จึงเกิดความไม่พอใจ รีบเดินลงไปตาม เหม่ยฟางในทันที สร้างความไม่พอใจให้ว่านเสี่ยวหลิงยิ่งนัก

"เจ้ามัวหว่านเสน่ห์อะไรตรงนี้ ไหนว่าจะดื่มร่ำสุราเป็นเพื่อนข้า" เหม่ยฟางเหลือบมองว่านเสี่ยวหลิงที่อยู่ด้านหลังก่อนยกยิ้มมุมปากตอบกลับจ้าวหย่งเจิ้งไปว่า

"ใยท่านต้องรอข้า ในเมื่อท่านมีหญิงงามอย่างแม่นางเสี่ยวหลิงนั่งเป็นเพื่อนร่ำสุราด้วยอยู่แล้ว สำหรับท่านแล้วข้าคงไม่จำเป็นแล้วกระมัง" แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแต่กลับสร้างความเจ็บแปลบให้กับจ้าวหย่งเจิ้งเป็นอย่างมาก

"ใยเจ้าพูดเช่นนั้น ข้าอุตส่าห์รอเจ้ามาค่อนคืนแต่เจ้ากับตอบข้าเช่นนี้งั้นเหรอ" เสียงสั่นเครือบ่งบอกถึงความอัดอั้นภายในใจใกล้ปริแตก

"ถ้าท่านพูดเช่นนั้นข้าไปร่วมดื่มกับท่านก็ได้" ว่าจบจึงยื่นมือไปลูบแผ่นอกของอีกฝ่ายพลางช้อนตาส่งยิ้มหวานให้จ้าวหย่งเจิ้ง

"ดีจริง" จ้าวหย่งเจิ้งยิ้มละไมจนทำไมเหม่ยฟางชะงัก ความจริงที่เขาทำเมื่อครู่แค่ยั่วเย้าให้ว่านเสี่ยวหลิงเกิดโทสะเท่านั้น ว่านเสี่ยวขบฟันแน่นมองตามร่างเหม่ยฟางที่เดินขึ้นมาด้านบน

'เจ้ามันเป็นมารสำหรับข้าเสียจริง' ว่านเสี่ยวหลิงสบถภายในใจเล็บยาวสวยจิกเข้ากับหน้าขาตนเองด้วยความรู้สึกริษยา

"อุ๊ย คุณชายเหม่ยเชิญนั่งเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าน้อยรินสุราให้นะเจ้าคะ"

"ไม่ต้องเดี๋ยวข้าทำเอง" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่เอ่ยปากเพื่อจะเอาใจเหม่ยฟางพลางยกกาสุราจะรินใส่จอกให้ แต่เป็นเหม่ยฟางที่เอามือปิดปากจอกไว้

"ข้าน้อยมิบังอาจให้คุณชายผู้สูงส่งรินสุราให้หรอกขอรับ ข้าขอรับการรินจากแม่นางเสี่ยวหลิงดีกว่า" ว่าจบจึงยกจอกสุรายื่นให้ว่านเสี่ยวหลิงเป็นนนรินสุราให้

"เชิญเจ้าค่ะ" ว่านเสี่ยวหลิงยิ้มหวานหยดย้อยแต่แววตากับไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย ยกกาสุราหมายจะรินให้เหม่ยฟาง

"ช้าก่อนแม่นางเสี่ยวหลิง พอดีข้าไม่ถูกกับเหล้ายาหรดาลอย่างไรเจ้าช่วยเปลี่ยนกาสุราให้ข้าได้หรือไม่

"อุ๊ย ตายจริงข้าน้อยไม่ทราบเดี๋ยวข้าน้อยจะนำไปเปลี่ยนให้นะเจ้าคะ" ว่านเสี่ยวหลิงลุกขึ้นจากโต๊ะถือกาสุราจะไปเปลี่ยนแต่คล้ายเหมือนถูกขัดขาสุราในกาจึงหกรดร่างบางเหมือนตั้งใจ

"ตายแล้ว ข้าน้อยสมควรตายเจ้าค่ะ ข้าน้อยสมควรตาย" ว่านเสี่ยวหลิง หลั่งน้ำตาก้มหน้าคุกเข่าขออภัย แต่ภายใต้ม่านน้ำตากับมีรอยยิ้มน่าเกลียดปรากฏอยู่

"บังอาจ" จ้าวหย่งเจิ้งตบโต๊ะเสียงดัง หมายไล่ว่านเสี่ยวหลิงออกจากงานแต่เป็นเหม่ยฟางที่ยกมือห้ามไว้ใบหน้างามยังคงก้มไว้ไม่ยอมเงยก่อนลุกขึ้นยืน

"ไม่ต้องไล่นาง ข้าน้อยขอตัวกลับห้องก่อน"

"เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม เหล้ายาหรดาลไม่ได้ทำอันตรายเจ้าใช่หรือไม่" จ้าวหย่งเจิ้งรั้งข้อมือคนงามไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

"ปล่อยข้าเถอะ จ้าต้องรีบไปล้างพิษเหล้ายาหรดาลออก" เมื่อจ้าวหย่งเจิ้งปล่อยมือ หากอยากวิ่งลงไปด้านล่างคงไม่ทัน เหม่ยฟางจึงวิ่งไปทางหน้าต่างแทน เพียงสะกิดปลายเท้าเพียงเล็กน้อยร่างเหม่ยฟางก็ลอยตรงไปที่ทะเลสาบซีหูอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนต่างตื่นตะลึงไม่เว้นแม้แต่จ้าวหย่งเจิ้ง

'เจ้าเป็นใครกันแน่เหม่ยฟาง'

ฝ่ายว่านเสี่ยวหลิงได้แอบกำชับให้บ่าวรับใช้ตามไปลอบสังหารเหม่ยฟางในทันทีเมื่อเหม่ยฟางกระโดดหน้าต่างหายไปทางทะเลสาบซีหู

บัดนี้ เหม่ยฟางที่ใช้กำลังภายในพาตัวเองกระโดดจากหน้าต่างมาทางทะเลสาบซีหูได้ลงไปดำผุดดำว่ายเพื่อล้างพิษเหล้ายาหรดาลออกจากกาย แต่เพราะมาช้าจนเกินไปร่างของเหม่ยฟางกลายเป็นงูไปครึ่งหนึ่งเจ้าตัวดิ้นพล่านอยู่ในน้ำ จนเกิดคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่

แต่เหม่ยฟางกับไม่รู้เลยว่า บริเวณที่ตนกระโดดลงมานั้นมีร่างบุรุษคนหนึ่งยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าตะลึงตะลาน เขาไม่ได้แอบตามมา แต่เขามายืนอยู่ก่อนที่เหม่ยฟางจะกระโดดลงไปในน้ำเสียอีก ดังนั้นจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด พร้อมกับสังหารนักฆ่าที่ตามมาด้วยนั้นจนสิ้น อวี๋เหวินเต๋อลอบมองดูเหตุการณ์อยู่ครู่ใหญ่จนเห็นว่าร่างบางสงบลงมากแล้วจึงเดินเข้าไปใกล้ร่างที่หายใจรวยรินอยู่ริมฝั่งอย่างกล้าๆกลัว

"มะ เหม่ยฟาง นั่นเจ้าหรือ" อวี๋เหวินเต๋อเดินตรงมายังร่างครึ่งคนครึ่งงูที่ลอยเกยบนฝั่ง สองตาเรียวสวยเปิดออกเพื่อมองว่าคนที่มานั่นคือใคร

"พี่อวี๋ เป็นท่านเองเหรอ ร่างกายข้าคงน่าเกลียดน่ากลัวมากสินะ" รอยยิ้มขื่นที่มอบให้ทำให้อวี๋เหวินเต๋อปวดใจไปด้วยไม่น้อยไปกว่าร่างบาง

"ที่แท้เจ้า เป็นมังกรเขียวสินะ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับแต่โดยดี ก่อนหลับตาลงอีกครั้งแต่ยังคงเอ่ยถามสิ่งที่ตนจ้องใจ

"ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ท่านไม่ได้อยู่ที่งานหรอกหรือ"

"ข้าถูกคุณชายสั่งห้ามไม่ให้ไปที่งาน ข้าเบื่ออยู่ในห้องจึงมาเดินเล่น"

"ท่านนี่เดินมาไกลจังนะ" แม้จะอ่อนเพลีย แต่ยังคงเย้าแหย่อวี๋เหวินเต๋อเล่น

"ว่าแต่เจ้าเถอะจะกลับร่างเดิมตอนไหน"

"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน" "ถ้าอย่างไรข้าเฝ้าคนให้เจ้าละกัน"

"ขอบคุณพี่อวี๋ ท่านยังใจดีกับข้าเหมือนเมื่อก่อนเสมอ"

"เจ้าขึ้นมาจากน้ำเถอะเดี๋ยวจะไม่สบาย" อวี๋เหวินเต๋อเข้าช่วยประคองร่างเหม่ยฟางขึ้นมาพิงกัยต้นไม้ใหญ่

"พี่อวี๋ พี่าญญากับข้าได้ไหมว่าจะไม่บอกใครเรื่องมี่ข้าเป็นมังกรเขียว"

"เจ้านอนเถอะเรื่องอื่นค่อยว่ากัน" เหม่ยฟางพยักหน้ารับอย่างจำใจ แม้อยากคุยให้รู้เรื่องแต่ร่างกายกับอ่อนล้าจนเกินไป

"พี่อวี๋ ขอบคุณท่านมาก"

"หลับเถอะ ค่ำคืนนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง" เพียงคำพูดคำปลอบโยนที่แสนอบอุ่นจึงทำให้เหม่ยฟางวางใจ จึงยอมหลับไปในที่สุด

'ว่านเสี่ยวหลิงเจ้าคิดฆ่าข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้เช่นกัน ตาต่อตาฟันต่อฟัน'

หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 7 เทศกาลตวงโหงว) {03-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 03-06-2017 21:23:07
เรื่องกำลังเข้มข้นนนน  :pig4: :3123:  รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่ออออ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 7 เทศกาลตวงโหงว) {03-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 04-06-2017 13:23:38
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 8 แผนการร้ายของนางจิ้งจอก) {06-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 06-06-2017 16:27:12
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤
ตอนที่ 8 แผนการร้ายของนางจิ้งจอก

ตุบ ตุบ

เสียงคล้ายของหนักหล่นกระทบพื้นห้องนอน บนเตียงมีร่างหญิงสาวงดงามหยดย้อยนอนหลับนั้นรู้สึกถึงความผิดปกติภายในห้องจึงขยับเปลือกตาไปมาคล้ายกำลังรู้สึกตัว ร่างสีดำ 2ร่าง ซ่อนอยู่ในมุมมืดเพื่อรอดูปฏิกิริยาของผู้ที่กำลังจะตื่นนอน เมื่อดวงตาสองข้างเปิดออก ความรู้สึกแรกที่นางสัมผ้สได้คือกลิ่นคาวเลือด หญิงสาวเผยรอยยิ้มออกมาชั่วครู่ เหมือนคิดว่ากลิ่นคาวเลือดนั้นเป็นของคนที่นางอยากกำจัด แค่เมื่อนางก้าวเท้าจากเตียง ของบางอย่างแตะโดนเท้าของนาง นางก้มลงมอง แล้วร้องออกมาเสียงดัง

"กรี๊ด กรี๊ดดด!!!" นางตกใจตาค้าง ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าคนที่นางส่งไปจะกลับมาเพียงแค่หัว นางชักเท้าขึ้นเตียง ถอยร่นนั้งกอดเข่าอยู่มุมเตียงด้วยความหวาดกลัว

"นี่คือการเตือน หากยังรักตัวกลัวตาย อย่ามายุ่งกับข้าอีก ข้าไม่ฟังแล้วนั้น หัวต่อไปคงเป็นเจ้า"

เสียงในเงาดังขึ้น ก่อนเผยร่างให้เห็น เมื่อนางเห็นว่าผู้ใดเดินออกมาจากเงาถึงกับอ้าปากค้างมองคนชุดเขียวด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น แม้นางจะกลัวแต่ยังไม่วายปากดีใส่คนตรงหน้า

"เจ้า...เจ้ากล้าดียังไงมาสังหารคนของข้า หรือเจ้าอยากไม่รู้ว่าข้ากับคุณชายของเจ้ามีความสัมพันธ์กันเช่นไรถึวกล้าบุกรุกและยังสังหารคน"

"นั่นคงเป็นเรื่องของเจ้าที่ต้องตอบคำถามของข้า" อวี๋เหวินเต๋อ ที่ยืนฟังอยู่เดินออกมาจากมุมมืดที่ตนยืนอยู่

"นี่เจ้า..." นางยกนิ้วชี้หน้าอวี๋เหวินเต๋อด้วยมือสั่นเทา นางไม่คิดว่าอวี๋เหวินเต๋อจะมาปรากฏตัวตรงหน้าอีกคน

"เจ้าคิดว่าส่งคนไร้ฝีมือไปสังหารน้องของข้า แล้วจะไม่มีใครรู้หรือไง" ว่าแล้วก็โยนศีรษะอีกหัวไปที่ปลายเท้านาง

ตุบ ตุบ

"กรี๊ดดด กรี๊ดดด" นางกรีดร้องอีกครั้ง นางกระทืบเท้าเร่าๆดเวยความเจ็บใจ จนคนด้านนอกได้ยินเสียง

"คุณหนูเกิดสิ่งใดขึ้นขอรับ" บ่าวรับใช้ได้ยินเสียงนางจึงรีบพากันขึ้นมา นางจึงรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อเปิดให้เข้ามาช่วยนาง

ทั้งเหม่ยฟางกับอวี๋เหวินเต๋อหันไปทางประตูเห็นว่ามีคนมาเพิ่มจึงพากันหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย

"เกิดอะไรขึ้นขอรับ" เมื่อเปิดให้บ่าวรับใช้เข้ามานางถึงกับหัวเสีย เมื่อสองร่างหายไป นางกัดกรอด มองไปทางบ่าวรับใช้อย่างหัวเสีย ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

"เตรียมเกี้ยวให้ข้า ข้าจะไปหาคุณชายหย่ง แล้วเก็บหัวคนเหล่านี้ห่อผ้าให้ข้าด้วย"

"ขอรับ"


"คุณชายหย่ง ฮือๆ คุณชายหย่ง ให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ฮือๆ" ว่านเสี่ยวหลิงร้องไห้น้ำตานองหน้า ส่งเสียงสะอึกสะอื้นจนน่าเวทนา มาร้องขอความเห็นใจกับจ้าวหย่งเจิ้งที่หน้าประตูห้องพัก

"เกิดอะไรขึ้นหลิงเอ๋อร์ ใยเจ้าถึงร้องห่มร้องไห้มาหาข้า" จ้าวหย่งเจิ้งเปิดประตูออกเห็นสภาพอันน่าเวทนาของว่านเสี่ยวหลิงตึงเจ้าประคองนางไถ่ถามความทุกข์ของนาง

"คุณชายให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ฮือๆ"

"เจ้าร้องขอความเป็นธรรมเรื่องอะไร"

"คนของคุณชายบุกรุกห้องนอนของข้า ทั้งยังสังหารคนของข้า หมายจะข่มเหงรังแก...ฮือๆ แต่ยังโชคดีที่ข้าหนีรอดมาได้ เพียงแต่คนข้ากับถูกสังหารอย่สงโหดเหี้ยม ฮือๆ ท่านโปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ฮือๆ" นางร้องไห้คร่ำครวญพลางเปิดห่อผ้า ที่ใส่ศีรษะบ่าวรับใช้ทัเงสองคนให้กับจ้าวหย่งเจิ้งดู

"มันผู้ใด ช่างบังอาจนัก ทำการโหดเหี้ยมเช่นนี้" สายตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธซักถามถุงคนที่ลงมือ นางคิดใคร่ควรแล้วว่า หากให้เหม่ยฟางเป็นคนผิดอาจถูกสงสัยได้ นางจึงเอ่ยชื่อบุรุษอีกคนขึ้นมา

"คุณชายอวี๋เจ้าค่ะ ฮือๆ"

"เจ้าว่าอะไรนะ" จ้าวหย่งเจิ้งตกใจอ้าปากค้าง เป็นไปไม่ได้ที่อวี๋เหวินเต๋อ จะเป็นผู้กระทำ อวี๋เหวินเต๋อเป็นคนเถรตรง ยึดถือคุณธรรมที่สุด ไหนเลยจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้

"เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ ข้าเป็นผู้เสียหาย ใยต้องใส่ร้ายคนผิด ได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วยคุณชาย" นางร้อวไห้เกาะแข้งเกาะขา จ้าวหย่งเจิ้งไม่ยอมปล่อย

"เจ้าปล่อยข้าเถอะ ข้าจะให้ความเป็นธรรมกับเจ้าเอง หากอวี๋เหวินเต๋อผิดจริงข้าจะลงโทษเขาให้เหมือนเช่นบ่าวรับใช้ของเจ้า

"ขอบคุณคุณชายที่ให้ความเป็นธรรมกับข้า" แม้จะร้องไห้ แต่ใบหน้าของนางยังคงแอบซ่อนรอยยิ้มชั่วร้าย

เมื่อให้สัจจะไป จ้าวหย่งเจิ้งจึงให้คนไปตามอวี๋เหวินเต๋อ มาไต่สวนที่สำนักผู้ตรวจการ ในทันที โดยมีจ้าวหย่งเจิ้งเป็นผู้ไต่สวน ซึ่ง ว่านเสี่ยวหลิงเองยังคาดไม่ถึงว่าคุณชายจ้าวหย่งเจิ้งจะเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งขนาดผู้ตรวจการยังต้องก้มหัว หากนางได้แต่งเป็นอนุ นางจะต้องสบายเป็นสิบชาติอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงคิดกำจัดเสี้ยนหนามในครั้งนี้ให้สิ้นซาก หากไม่เช่นนั้นเป็นนางเองที่จะเดือดร้อน

"เบิกตัวอวี๋เหวินเต๋อ" เสียงอันส่งพลังบ่งบอกถึงอำนาจ ให้ทหารนำตัวอวี๋เหวินเต๋อมา

อวี๋เหวินเต๋อ เดินเข้ามาอย่างสง่างาม โดยมีเหม่ยฟางเดินตามมาข้างๆ พลันหัวใจของจ้าวหย่งเจิ้งกับสั่นไหวกับภาพที่เห็น แต่หน้าที่ต้องมาก่อน ดังนั้นเขาจำต้องละเรื่องส่วนตัว มาสนใจคดีที่เกิดขึ้น

"ข้าน้อย อวี๋เหวินเต๋อ คารวะคุณชาย" อวี๋เหวินเต๋อยืนนิ่งไม่ยอมคุกเข่าลง จ้าวหย่งเจิ้งจึงซักถามไปว่า

"ใยเจ้าไม่คุกเข่า"

"เรียนคุณชาย ข้าน้อยไม่ได้ทำผิดสิ่งใด ใยข้าน้อยต้องคุกเข่า"

"ถ้าเช่นนั้น เจ้าจำนางได้หรือไม่" อวี๋เหวินเต๋อมองไปยัง ว่านเสี่ยวหลิง ก่อนหันมาตอบผู้เป็นนายว่า

"จำได้ขอรับ นางเป็นหญิงคณิกาของฝูหลงฮาวขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อ ตอบพร้อมเน้นคำว่า หญิงคณิกา ลงไปในน้ำเสียง

"นางกล่าวอ้างว่า เจ้าคิดข่มเหงนางเป็นเรื่องจริงหรือไม่"

"ไม่ใช่เรื่องจริงอย่างแน่นอนขอรับ นางเป็นหญิงคณิกา ใยข้าจะต้องคิดข่มเหงนาง หากจ่ายเงินข้าย่อมได้เชยชมนางจริงหรือไม่ขอรับ"

"นั่นสินะ เป็นอย่างเจ้าว่า เจ้ามีอะไรมาอธิบายหรือไม่ว่านเสี่ยวหลิง" จ้าวหย่งเจิ้งพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของอวี๋เหวินเต๋อ จึงหันไปถามว่านเสี่ยวหลิงอีกครั้ง

"คุณชายหย่ง โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย แม้ข้าจะเป็นนางคณิกาแต่ข้าก็ยังสามารถเลือกแขกได้ ไม่เชื่อคุณชายลองไปถามเหล่าบุรุษที่เคยมาเที่ยวที่หอคณิกาก็ได้นะเจ้าคะ ว่าปีหนึ่งข้ารับแขกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นไม่ใช่ว่าใครจะสามารถนอนกับข้าได้นะเจ้าคะ ฮือๆ คุณชายให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ฮือๆ"

เมื่อฟังที่นางพูดจ้าวหย่งเจิ้งจึงให้คนไปสืบเรื่องเหล่านี้ และเป็นจริงอย่างที่นางเอ่ยเช่นกัน ปีหนึ่งนางรับแขกบางเป็นบางครั้ง และหนึ่งในนั้นรวมเขาด้วย

"เจ้ามีอะไรจะแก้ด้วยอีกหรือไม่"

"เรียนคุณชายข้าน้อยไม่ได้กระทำขอรับ"

"หากเจ้าไม่ยอมรับ ข้าจะให้คนนำเจ้าไปโบย50ไม้" 

"ข้าน้อยไม่ผิด แม้จะโบยข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่อาจสารภาพสิ่งที่ข้าน้อยไม่ได้ทำได้"

"คุณชาย ให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ไม่เช่นนั้นบ่าวรับใช้ของข้าอาจตายตาไม่หลับ"

"จริงสิ เจ้าได้กระทำการเหี้ยมโหดโดยสังหารคนสองคนนี้หรือไม่" ว่าแล้วจึงให้ทหารนำศีรษะของคนสองคนมาวางไว้ตรงหน้าอวี๋เหวินเต๋อ เมื่ออวี๋เหวินเต๋อจึงกำหมัดประสานฝ่ามือก้มหะวกล่าวกับจ้าวหย่งเจิ้งไปว่า

"เรียนคุณชาย ข้าเป็นคนสังหารคนสองคนนี้เองขอรับ แต่ข้าไม่ได้คิดแม้แต่จะข่มเหงนาง นางผู้มีจิตใจชั่วช้าเช่นนี้ ไม่มีทางทำให้ข้าเกิดอารมณ์พิศวาสได้หรอกขอรับ"

"นี่เจ้า...เจ้ากล้าดูถูกข้า" ว่านเสี่ยวหลิง ตวาดเสียงเขียวชี้หน้า อวี๋เหวินเต๋อ

"ถ้าเช่นนั้น เจ้าเป็นคนฆ่าบุรุษสองคนนี้ใช่หรือไม่"

"ขอรับ"

"เจ้าทำไปทำไม" 

"บุรุษสองคนนั่นคิดจะสังหารข้า" เสียงหวานเสนาะหูของเหม่ยฟาวที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวออกมาพร้อมเดินมายืนเคียงข้างอวี๋เหวินเต๋อ ยิ่งสะท้อนให้จิตใจจ้าวหย่งเจิ้งเจ็บปวดยิ่งนัก

"คิดสังหารเจ้า พวกเขาจะสังหารเจ้าด้วยเรื่องอะไร" เจ้าหย่งเจิ้งเอ่ยถามก่อนเหลือบตาไปมองว่านเสี่ยวหลิงที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มซีดเผือด นางมีตัวคนเดียว หากทั้งสองคนช่วยกันไขความกระจ่างนั้น คนที่ซวยคือนางเป็นแน่

"เรื่องนั้นข้าไม่รู้ ถ้าอยากรู้คงต้องถามแม่นางว่านเสี่ยวหลิงแล้วกระมัง" เมื่อเหม่ยฟางเอ่ยออกไป จ้าวหย่งเจิ้งจึงหันมาสอบนางในทันที

"เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่ว่านเสี่ยวหลิง"

"ข้า...คือ ข้า ไม่ได้สั่งนะเจ้าคะ คนพวกนี้บุกเข้ามาในห้องของข้าทั้งยังโยนศีรษะบ่าวรับใช้มาที่ข้าอีก ข้ากลัวมากเลยเจ้าค่ะคุณชาย" ว่านเสี่ยวหลิงทำเสียงออดอ้อนพลางหวาดกลัวหวังให้จ้าวหย่งเจิ้งเห็น

"งั้นเจ้าช่วยบอกข้าได้ไหม หากข้าพวกข้าสังหารคนของเจ้าในที่พักแล้วไหนล่ะ ร่างของบ่าวรับใช้ของเจ้า" เหม่ยฟางกล่าวซักถาม จนว่านเสี่ยวหลิงไม่อาจตอบออกไปได้ นางอึกอักอยู่นานแต่ไม่สามารถหาคำตอบให้กับจ้าวหย่งเจิ้งได้ ความจริงแล้วนางได้ส่งคนไปหาศพของบ่าวรับใช้ของตนแต่ไม่มีใครหาพบ นางจึงไม่มีร่างไร้หัวของบ่าวทั้งสองมาให้จ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้ามีข้อแก้ตัวหรือไม่ว่านเสี่ยวหลิง"

"คือข้า..."

"เรียนคุณชายเมื่อวันงานเทศกาลตวงโหงว มีชาวบ้านแอบมาร้องเรียนว่าคนของหอคณิกาฝูหลงฮาว ได้ข่มขู่ให้ชาวบ้านผสมเหล้ายาหรดาลในอาหารด้วยขอรับ"

"เจ้าทำเช่นนั้นเพื่ออะไร" ว่านเสี่ยวหลิงไม่ตอบได้แต่ก้มหน้าก้มตา อย่างอย่างอับจน

"นางคงแอบได้ยินตอนที่ข้าน้อยคุยกับท่าน เรื่องที่ข้าแพ้เหล้ายาหรดาล จึงคิดใส่ในอาหารหากข้าทานคงเกิดอาการแพ้และจนถึงแก่ชีวิตได้" เหม่ยฟางเสริมขึ้นแล้วมองไปยังว่านเสี่ยวหลิงอย่างเวทนากับการกระทำของนาง

"เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร" จ้าวหย่งเจิ้งใช้สายตาเยียบเย็นมองไปยังร่างบางที่สั่นเทา ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทั้งที่นางคิดจะใส่ร้ายคน แต่กลับเป็นนางที่ตกเป็นจำเลย

"ข้าไม่มีอะไรอธิบาย เชิญคุณชายมอบคสามตายให้ข้าด้วย หากข้าไม่ตายข้าจะกลับมาฆ่ามันอีกครั้ง" นางยืนขึ้นชี้หน้าเหม่ยฟางด้วยอารมณ์โกรธสุดยากจะบรรยาย "ดี ในเมื่อเจ้ารับผิดข้าจะมอบความตายให้แก่เจ้า ทหารเอานางไปตัดหัว"

"ช้าก่อนคุณชาย ไหนๆนางก็เคยปรนนิบัติรับใช้ท่านใยท่านไม่ลงโทษสถานเบาใยต้อวฆ่าแกงกัน" เหม่ยฟางกล่าวทัดทาน

"เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร"

"แค่เนรเทศนางออกไปให้พ้นเจียงหนานก็คงพอ" แม้จะพูดเช่นนั้นแต่เหม่ยฟางกับคิดว่าบทลงโทษนี้เหมาะสมกับนางที่สุด แม้ไม่ตายก็เหมือนตายทั้งเป็น

"เจ้า...หากข้าพบเจ้า ข้าจะตามไปฆ่าเจ้าให้จงได้เจ้าบุรุษผิดเพศ" แม้เพียงคำเดียวที่เหม่ยฟางไม่อยากได้ยิน นั่นคือ คำที่ ว่านเสี่ยวหลิง เอ่ยออกมา ในตาของเหม่ยฟางทอประกายวูบไหวกับคำว่า บุรุษผิดเพศ ยิ่งนัก ไม่ว่าโลกนั้น หรือโลกนี้ มันเป็นคำที่เหม่ยฟางรู้สึกเจ็บปวดที่สุด จ้าวหย่งเจิ้งคล้ายมองออกว่าเหม่ยฟางรู้สึกเช่นไร จึงสั่งทหารตบปากว่านเสี่ยวหลิง ทั้งยังสั่งโบยนางอีก 20ไม้ ก่อนขับนางออกจากเมือง

เรื่องคดีจบไปด้วยดี นางจิ้งจอกถูกขับออกจากเมืองไปแล้ว วิถีชีวิตของเหม่ยฟางกลับมาเหมือน แต่ก็ไม่เหมือนเดิมไปเสียทีเดียวเมื่อ จ้าวหย่งเจิ้งมาคอยตามติดยิ่งกว่าแต่ก่อน

"ฟางเอ๋อร์ เจ้าโดนพิษเหล้าหรดาลเป็นอย่างไรบ้าง ข้าห่วงเจ้าเหลือเกิน" จ้าวหย่งเจิ้งนั่งประกบด้านข้างเหม่ยฟางทั้งยังถือวิสาสะคว้ามือเหม่ยฟางมาลูบเล่น

"ท่านปล่อยมือข้าเถอะ หากใครมาเห็นเข้าคงไม่ดี" เหม่ยฟางพยายามดึงมือกลับแต่ไม่เป็นผล 

"เจ้า โกรธข้าอยู่งั้นเหรอ ข้าขออภัยเจ้าจริงๆนะฟางเอ๋อร์ เจ้ายกโทษให้ข้านะ นะ นะ" ชายชาติบุรุษกับทำเสียงออดอ้อนเป็นเด็กๆจนเหม่ยฟางต้องหลุดยิ้มออกมา

"เจ้ายิ้มแล้ว ข้าดีใจจริง ข้าชอบรอยยิ้มของเจ้าที่สุด แต่ข้าไม่ชอบเวลาที่เจ้าโปรยยิ้มเสน่ห์ให้ผู้อื่น ข้ารู้สึกคันยิบยิบในใจอ่างไรไม่รู้" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปากพูดความในใจของตน แม้บางคำกลับดูเหมือนคำสารภาพรักอย่างไรอย่างนั้น จนเหม่ยฟางยังอดเขินกับคำพูดเหล่านั้นไม่ได้

"ท่านพูดยังกับบอกรักข้า" "บอกรักงั้นเหรอ มันเหมือนข้าบอกรักเจ้างั้นเหรอ"

"อืม ก็ไม่เชิง" เหม่ยฟางรู้สึกเขินอายขึ้นมาอีกครั้ง 

"หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าคงจะหลงรักเจ้าโดยไม่รู้ตัวเป็นแน่"

"ท่าน ท่าน ต้องล้อข้าเล่นเป็นแน่" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก

"ข้าไม่เคยล้อเล้นกับความรู้สึกของตัวเอง ข้าขอถามเจ้าสักหน่อยได้ไหม" แววตาจริง สองมือกอบกุมมือเหม่ยฟางไว้แน่พลางบีบเบาเพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าใจว่าเขาจริงจังมากมายแค่ไหน

"เจ้าคิดเล่นไรกับอวี๋เหวินเต๋อ"

"ข้ากับพี่อวี๋ เราเป็นเหมือนพี่น้องกัน ข้าอยู่กับเขาแล้วข้ารู้สึกอุ่นใจ"

"ข้าฟังเจ้าพูดเช่นนี้ข้าชักไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไหร่ แล้วกับข้าล่ะ เวลาเจ้าอยู่กับข้าเจ้ารู้สึกอย่างไร"

ตึก ตึก ตึก

"เวลาข้าอยู่กับท่าน หัวใจข้ามักเต้นแรงเสมอ คล้ายจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ" เหม่ยฟางก้มหน้าเอียงอาย กับคำพูดของตน ใบหน้าขาวนวลแดงซ่านไปหมดทั้งหน้า

"ถ้าเช่นนั้น ความรู้สึกของเจ้ากับข้าคงคล้ายกันสินะ" จ้าวหย่งเจิ้ง จับมือเหม่ยฟางทาบลงบนอกด้านซ้ายเพื่อให้ได้ยินเสียงหัวใจของเขา

ตึก ตีก ตึก

"ใจท่านเต้นแรงนัก" 

"เจ้าอย่างได้ยินมันใกล้กว่านี้ไหม" ว่าจบจคงรั้งคอเหม่ยฟางให้หัวเอนมาซบตรงอกซ้ายของตน แม้เหม่ยฟางจะแข็งขืนในตอนแรก แต่ก็อ่อนลงซบหน้าแนบหูเข้ากับอกซ้ายของจ้าวหย่งเจิ้ง

"เสียงมันดังชัดเจน พอหรือไม่ พอที่จะบอกอะไร ต่อมิอะไรได้หรือไม่" จเาวหย่งเจิ้งดันตัวเมื่อเหม่ยฟางออกเพียงเล็กน้อย มือหนึ่งเชยคางคนงามให้เงยหน้าขึ้น หมายจะมอบจุมพิตแสนหวานให้ อีกเพียงนิด ริมฝีปากของทั้งคู่จะแตะกัน อวี๋เหวินเต๋อผู้ไม่รู้เวล่ำเวลาก็เข้ามาขัดเสียก่อน

"คุณชาย" เพียงเสียงเรียกเดียว ทุกอย่างถึงกับชะงักลง

"มีอะไรอวี๋เหวินเต๋อ หากไม่สำคัญข้าจะสั่งโบยเจ้า"

"เรียนคุณชาย นกพิราบสื่อสารแจ้งข่าว ให้คุณชายกลับจิ้นหยางขอรับ"

เพียงแค่ได้ยินว่าต้องกลับจิ้นหยางใบหน้าของจ้าวหย่งเจิ้งก็แปรเปลี้ยนเป็นเคร่งขรึมทันที

"เจ้าตอบไปหรือเปล่าว่าเรายังตามหามังกรเขียวไม่พบ"

"แจ้งไปแล้วขอรับ แต่ทางนั้นกลับบอกให้คุณชายรีบกลับ เพราะ ท่านพ่อของคุณชายล้มป่วย"

"ท่านพ่อน่ะเหรอ" ใบหน้าเคร่งเครียดของจ้าวหย่งเจิ้งทำให้เหม่ยฟางรู้สึกเห็นใจ

"คุณชายจะกลับหรือไม่ขอรับ"

"กลับสิ ให้คนเตรียมม้าให้พร้อม อีกครึ่งชั่วยามเราจะออกเดินทางกัน เจ้าไปเตรียมเถอะเหม่ยฟาง" สั่งอวี๋เหวินเต๋อแล้วจึงหันมาสั่งเหม่ยฟางด้วยน้ำเสียงที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

"ข้าต้องไปด้วยเหรอ" เหม่ยฟางชี้มาที่ตัวเอง

"แน่นอนสิ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะอยู่อย่างไรคนเดียว ที่นี่มันอันตรายมากนะ ข้าเป็นห่วงเจ้า" เหม่ยฟางเถียงอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับ แม้อยากตอบว่า 

'หากเจ้าไม่อยู่ข้าก็กลายร่างเป็นงูเฝ้าบ้านของข้าน่ะสิ ใครกล้าทำร้ายข้า ข้ากินไม่ให้เหลือซากเชียว' แม้อยากจะต​อบแบบนี้ แต่ก็ได้แต่กลืนคำพูดลงคอไปเก็บข้าวของ

ระหว่างเดินทางกลับจิ้นหยางนั้น ไม่มีใครสังเกตุเลยว่ามีคนเพิ่มด้วยอีกคนในขบวนเดินทาง ซึ่งเป็นคนที่ไม่อยากให้เหม่ยฟางมีชีวิตอย่างสุขสบายไปกว่าตน ใช่นางนั่นเอง ว่านเสี่ยวหลิง นางลักลอบเข้าเมืองมาโดยใช้เส้นสายที่นางเคยมี แล้วถือโอกาสแอบขึ้นขบวนเดินทางมาด้วย เพื่อมาลอบสังหารเหม่ยฟาง คนที่ทำให้นางมีชีวิตเช่นนี้

"ข้าจะสังหารเจ้าให้ได้เจ้าบุรุษผิดเพศ หึหึ"

***************************************************************
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 8 แผนการร้ายของนางจิ้งจอก) {06-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-06-2017 17:21:47
นางจิ้งจอกบ้า อุตส่าห์ละเว้นโทษตายดันร้นหาที่ตายจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 8 แผนการร้ายของนางจิ้งจอก) {06-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 06-06-2017 22:18:32
ประหารตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง  ยัยจิ้งจอกร้ายยย
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 8 แผนการร้ายของนางจิ้งจอก) {06-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 06-06-2017 23:29:35
 :hao4: ทำไมกลับมาเร็วจัง ยังไม่ได้ออกจาเมืองหรือยังไง  :m21: :m28:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 8 แผนการร้ายของนางจิ้งจอก) {06-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 07-06-2017 20:56:05
ใจอ่อนเกินไปล่ะ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 9 ความสำคัญ) {14-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 14-06-2017 13:12:55
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 9 ความสำคัญ

จะกล่าวถึง ว่านเสี่ยวหลิง ที่ถูกขับออกนอกเมือง แม้นางจะถูกขับออกไป ร่างกายบาดเจ็บเล็กน้อย แต่สอ่งที่นางเจ็บที่สุดคือใจ นางไม่คิดเลยว่าแผนจะกลับตาลปัตรเช่นนี้ นางเดินเตร่อยู่หน้าประตูเมืองรอคนของนางมาพานางลักลอบเข้าไปในเมืองอีกครั้ง

"คุณหนูขอรับ ด้านนี้ขอรับ"

"เจ้าพาข้ากลับเข้าไปในเมืองได้หรือไม่"

"ย่อมได้ขอรับ อีกฝั่งของกำแพงเมืองมีประลับซ่อนอยู่ เชิญคุณหนูทางนี้ขอรับ"

"โชคดีที่พวกมันโง่งมปล่อยข้าไว้หน้าประตูเมือง คิดว่าข้าเป็นหญิงคงทำอะไรมันไม่ได้ ช่างโง่งมเสียจริง คอยดูข้าจะล้างแค้นมันให้สมกับที่มันทำกับข้า" นางยกยิ้มชั่วร้าย รอยยิ้มนั้นช่างน่าเกลียดเสียจนไม่หลงเหลือความงดงามบนใบหน้าของนาง บ่าวรับใช้พานางลัดเลาะกำแพงเมืองจนมาถึงพุ่มไม้หนาเมื่อแหวกพุ่มไม้หนาออกจึงพบทางเข้าซึ่งเล็กจนคล้ายช่องทางหมารอด

"นะ ไหน เจ้าบอกข้าว่ามีประตูลับ แต่นี่มัน..." นางชี้ไม้ชี้มือไปทางช่องหมารอด ด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

"นี่เป็นทางเดียวที่คุณหนูจะเข้าไปในเมืองได้นะขอรับ" บ่าวรับใช้กล่าวด้วยสีหน้าสลด เพราะตัวมันเองก็ไม่อยากให้นายมันมุดเข้าช่องทางแบบนี้เช่นกัน

"ช่างเถอะ ขอเพียงข้าเข้าไปได้เป็นพอ" นางกัดฟันมุดรอดเข้าไปในช่องทางนั้นอย่างจำใจ เพียงเพื่อแก้แค้นคนที่ทำกับนาง นางจึงยอมทำเช่นนี้ ความแค้นของนางมันมากเสียกว่าศักดิ์ศรีเสียอีก เมื่อเข้าไปในเมืองได้ นางจึงคนไปสืบความที่โรงเตี๊ยมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของพวกจ้าวหย่งเจิ้ง เมื่อทราบข่าวว่าพวกเขากำลังจะเดินทางไปจิ้นหยางนางกับบ่าวรับใช้อีกสองคน จึงปลอมตัวเข้าไปปะปนกับคนดูแลเสบียงอาหาร

จ้าวหย่งเจิ้ง นำขบวนออกเดินทางมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3วัน จนมาถึงยอดผาถ่าหยุนซาน ซึ่งเป็นจุดพักม้า กับเติมเสบียง บริเวณ ยอดผาถ่าหยุนซานเป็นสถานที่ชมวิวที่สวยงาม จ้าวหย่งเจิ้งไม่ได้รีบเร่งอะไรจึงคิดหยุดพักที่นี่สักสองคืน

"เจ้าเหนื่อยหรือไม่ เหม่ยฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งกระโดดลงจากหลังม้าตรงไปเปิดม่านรถม้าที่มีเหม่ยฟาง อยู่ด้านในอย่างเป็นห่วง

"ข้าไม่เป็นไร ตอนนี้เราถึงไหนกันแล้ว" 

"ตอนนี้เราอยู่บริเวณยอดผาถ่าหยุนซาน ข้าตั้งใจจะหยุดที่นี่สักสองวันเจ้าเห็นว่าอย่างไร"

"ท่านมาถามความเห็นข้าเพื่ออะไร" เหม่ยฟางตอบอย่างไม่ใคร่พอใจ ไหนว่า ท่านพ่อป่วยแล้วใยถึงไม่รีบร้อนเดินทาง

"พ่อข้าไม่ได้ป่วยหนักอะไร ข้าจึงไม่รีบร้อนมากนัก" คล้ายกับจ้าวหย่งเจิ้งรู้ความคิดของเหม่ยฟางจึงไขข้อข้องใจนี้ให้

"ถ้าเช่นนั้น ใยต้องส่งจดหมายมาบอก ทำยังกับป่วยหนักเข่นนั้น"

"มันเป็นธรรมเนียม" จ้าวหย่งเจิ้งตอบเพียงเท่านั้น ก่อนยื่นมือไปให้เหม่ยฟางจับเพื่อดึงลงจากรถม้า

"ธรรมเนียมบ้าบออะไร" เหม่ยฟางบ่นงึมงำกับตัวเอง แม้เพียงเสียงเบาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้จ้าวหย่งเจิ้งได้ยินเต็มสองรูหู

"ข้าได้ยินนะว่าอจ้าพูดอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเย้าแหย่ "ได้ยินก็เรื่องของเจ้า ใครสนกัน" เหม่ยฟางตอบกับอย่างไม่สนใจคนพูดเย้าแหย่

"เหตุใด นิสัยของเจ้าจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ เจ้าคนสุภาพหายไปไหน ใยถึงกลายเป็นคนปากร้ายเช่นนี้" จ้าวหย่งเจิ้งยิ้มขำๆกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของเหม่ยฟาง

"ข้าก็เป็นของข้าเช่นนี้ ใครจะทำไม" นับวันที่อเขาได้รู้จักกับเหม่ยฟาง เจ้าตัวกับปากร้ายมากขึ้นทุกวันจนจ้าวหย่งเจิ้งถึงกับส่ายหัว

"ข้ายอมแพ้กับเจ้าจริงๆ หึหึ" แม้เหม่ยฟางจะดูปากร้ายขึ้นแต่ความน่ารักน่าเอ็นดูกับยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปด้วย น่าแปลกนักที่ใจเขาคิดเช่นนี้

เมื่อขบวนเดินทางหยุดลง ว่านเสี่ยวหลิงที่แฝงตัวเข้ามากับคนเสบียงจึงเริ่มแผนการทุกอย่างโดยเริ่มจากการวางยานอนหลับลงในอาหารและน้ำดื่มของทุกคน

"พวกเจ้าจัดการ อาหารกับน้ำดื่มพวกนี้เรียบร้อยหรือไม่"

"ขอรับคุณหนู ข้าน้อยจัดการใส่มันลงในอาหารน้ำดื่มเรียบร้อยแล้วขอรับ"

"ดี ไปจับตาดูเจ้าบุรุษผิดเพศนั่น ถ้ามันหลับจัดการฆ่ามันทันที" ว่านเสี่ยวหลิงกล่าวเสียงเหี้ยม กรีดปลายนิ้วผ่านคอตนให้บ่าวรับใช้ดู

"ขอรับ" บ่าวรับใช้มุ่งหน้าไปที่กระโจมที่เหม่ยฟางอาศัย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทานอาหารที่ใส่ยาลงไป จึงรออีกครึ่งชั่วยามเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ พวกมันเห็นเหล่าคนในขบวนต่างล้มพับไปเพราะยาสลบ มีเพียงเหม่ยฟางที่ยังนั่งเฉยไม่มีอาการใดๆ จึงรีบไปรายงานคุณหนูของพวกมัน

"คุณหนูขอรับ" เสียงเรียกด้วยความเคารพเอ่ยขึ้น

"ว่าไงสังหารมันได้หรือไม่"  ว่านเสี่ยวหลิงเห็นบ่าวรับใช้มาจึงรีบถามด้วยความอยากรู้ บ่าวรับใช้ส่ายศีรษะก่อนเอ่ยขึ้นว่า

"คุณหนู พวกข้ารออยู่ครึ่งชั่วยามแต่บุรุษนั่นกับไม่มีวี่แววง่วงงุ่นแม้แต่น้อย พวกข้าน้อยเห็นคนอื่นๆหลับกันหมดแต่มีเพียงบุรุษผู้นั้นที่ไม่หลับขอรับ"

"หากเหลือมันอยู่คนเดียวพวกเจ้าก็สังหารมันให้สิ้น จะรออะไรกับบุรุษรูปร่างเช่นนั้น"

"ขอรับ" ว่าจบนางจึงออกเดินนำไปยังกระโจมที่เหม่ยฟางอยู่ และเป็นอย่างที่บ่าวรับใช้มาบอกกล่าว ยาสลบไร้ผลกับร่างบางนั่น
ในเวลานั้น เหม่ยฟางสังเกตุถึงสิ่งผิดปกติจึงออกเดินดูรอบๆที่พัก จึงพบว่าผู้คนที่เดินทางมาด้วยนั้น ต่างพากันหลับเป็นตาย ไม่เว้นแม้แต่ จ้าวหย่งเจิ้ง หรืออวี๋เหวินเต๋อ 

"แปลก ทำไมทุกคนถึงได้หลับเป็นตายแบบนี้" เหม่ยฟางเดินดูผู้คนที่หลับไหล แม้จะเข้าไปเขย่าตัวคนพวกนั้นแล้วแต่กลับไม่มีใครตื่นขึ้นมาแม้แต่คนเดียว

"นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ทำไมทุกคนหลับอย่างกับโดนวางยา" ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ บุรุษสองคนปกปิดใบหน้า ถือดาบวิ่งมาทางเหม่ยฟาง  แต่เหม่ยฟางกับนิ่งสนิทไม่ได้เกิดความเกรงกลัวแม้แต่น้อย

"พวกเจ้าคงเป็นคนวางยาสินะ คิดจะขโมยของงั้นสิ อยากได้อะไรก็หยิบไปสิ ข้าจะนั่งดูตรงนี้" พูดจบก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตนเอง มองพวกโจนที่ทำหน้าเหรอหรามองเหม่ยฟางด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วถ้าเห็นโจรจะต้องมีอาการตกใจกลัวกันบ้าง แต่นี่กระไร กลับนั่งมองพวกมัน ทั้งยังบอกให้หยิบข้าวของมีค่าอีก หรือคนผู้นี้จะเสียสติไปแล้ว

"เจ้าไม่เกรงกลัวพวกข้าหรืออย่างไร" หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นพลางชี้ดาบไปทางเหม่ยฟางปลายดาบใกล้กับลำคอขาวเพียงเล็กน้อย แต่เหม่ยฟางกับนิ่งเฉยไม่ตอบโต้เพียงแต่ใช้ปลายนิ้วเบี่ยงดาบออกห่างจากตัว

"พี่ชาย ท่านชี้ดาบมาเช่นมันอันตรายนะ หากพลาดพลั้งไปจะแย่เอาได้"

"นั่นคือสิ่งที่พวกข้าต้องการ" หนึ่งในบุรุษปกปิดใบหน้าเอ่ยพลางเหวี่ยงคมดาบใส่เหม่ยฟาง

"พี่ชายเล่นของมีคมแบบนี้มันอันตรายนะ" เหม่ยฟางหลบหลีกได้อย่างลื่นไหลคล้ายคนไม่มีกระดูก ร่างกายอ่อนพลิ้วไหวหลบหลีกการโจมตีได้อย่างราบรื่น จนผู้บุกรุกทั้งสองคนเริ่มหมดความอดทน และขวัญเสีย

"เจ้ามันตัวอะไรกันแน่"

"พี่ชายท่านนี้ช่างหยาบคายยิ่งนัก" เหม่ยฟางยิ้มรับ เพียงพริบตาประกายตากับทอแสงแดงประหลาด จนผู้บุกรุกขนลุกซู่ ถึงถึวก้าวถอยหลังหนี

"ว๊ากกกก ปะ ปีศาจ มัน ปะ เป็นปีศาจ!!!" บุรุษปิดหน้าทั้งสองถอยหลังจนล้มลุกคุกคลานหนีไป โดยมีเหม่ยฟางมองตามพร้อมเสียงทอดถอนหายใจ

"เฮ้อ~ ข้าหาใช่ปีศาจที่ไหนกัน ไม่ไหว ไม่ไหว แค่นี้ก็พากันวิ่งหนีเสียล่ะ" เหม่ยฟางส่ายศีรษะเล็ก ก่อนก้าวเข้าไปในกระโจม เพื่อกลับไปพักผ่อน แต่หลังไม่ทันได้พิงหลัง ตาเฒ่าเอี๊ย กลับพูดแทรกขึ้นมา 

"เจ้าไปหลอกคนพวกนั้น ไม่กลัวจะเดือดร้อนหรือไง" 

"ถ้ารู้ว่าข้าจะแย่ทำไมเจ้าไม่ออกมาช่วยข้าล่ะ" เหม่ยฟางตอบแบบไม่ใส่ใจ

"ข้าเฝ้าดูเหตุการณ์หากมันเกินกำลังเจ้าข้าจะเข้าช่วย แต่นี่ยัง..." ตาเฒ่าเอี๊ยเหตุผลที่ตนไม่ออกมาช่วย

"ช่างเถอะ ข้าไม่ใส่ใจ หากพวกมันกล้ามาอีก ครั้งหน้าข้าจะสังหารมันเสียจะได้หมดเรื่อง"

"เจ้าระวังตัวเอามากๆเถอะ"

"รู้แล้ว" ตาเฒ่าเอี๊ยส่ายมองดูเหม่ยฟางที่ไม่ใส่ตาอสิ่งที่กล่าวเตือน จากนั้นจึงจางหายไปกับสายลม

ทางด้านว่านเสี่ยวหลิง ผู้ที่ส่งคนไปลอบสังหาร ยืนมองบ่าวสองคนที่วิ่งหนีมาโดยที่ทำอะไรเหม่ยฟางไม่ได้แม้ตาปลายก้อย

เพี๊ยะ!!! เพี๊ยะ!!!

"ไร้ประโยชน์ กับแค่บุรุษบอบบางแค่คนเดียวเจ้าสองคนกับทำอะไรมันไม่ได้ เลี้ยงเสียข้าวสุก" ว่านเสี่ยวหลิงตบใบหน้าของบ่าวทั้งสองด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ นางตั้งใจรอฟังข่าวดี แต่ข่าวที่ได้กับทำให้ตนโมโหมากว่าจะดีใจ

"คุณหนูคนผู้นั้นมันเป็นปีศาจขอรับ" บ่าวรับใช้กล่าวเสียงตื่น

"เหลวไหล" ปีศาจอะไรกันไร้สาระ นางไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้เด็ดขาด

"จริงๆ นะขอรับ ตาของมันแดงฉาน น่ากลัวมากขอรับ" บ่าวอีกคนช่วยเสริมอีกแรง อยากให้นายของมันรับรู้ว่าพวกมันไม่ได้โกหก เมื่อบ่าวทั้งสองยืนยันเป็นมั่นเหมาะ นางจึง้กิดความลังเลขึ้น แม้จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้นัก แต่ใช่ว่านางจะลบหลู่ แต่หากเหม่ยฟางเป็นปีศาจจริง นั่นย่อมเป็นเรื่องดี

"ปีศาจ งั้นเหรอ" นางยกยิ้มขึ้นอย่างนึกแผนการบางอย่างออก

"ขอรับคุณคนผู้นั้นเป็นปีศาจอย่างแน่นนอนขอรับ" บ่าวรับใช้กล่าวน้ำเสียงจริงจัง

"หากคนผู้นั้นไม่ใข่ปีศาจดวงตาคงไม่เป็นสีแดงอย่างแน่นอน" บ่าวรับใช้อีกคนกล่าวเสริมเพื่อให้คำพูดของพวกมันหนักแน่นยิ่งขึ้น

"ดี ถ้ามันเป็นปีศาจจริงล่ะก็ พวกเจ้าจงไปตามนักพรตที่เก่งกล้ามาปราบมันซะ"

"ขอรับคุณหนู" พวกมันหันหลังให้นายของมันเอง จากนั้นจึงออกเดินทาวไปตามนักพรตผู้ที่พลังปราบปีศาจ

รุ่งเช้ามาเยือนทุกคนต่างตื่นจากการหลับไหลมาทั้งคืน เมื่อคืนทุกคนต่างรู้ดีว่า พวกเขาหลับลึกกันมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนโดยเฉพาะอวี๋เหวินเต๋อ ที่เดินเป็นหนูติดจั่น เนื่องจากเขาหลับไปขณะทำหน้าที่ เมื่อคิดได้จึงคุกเข่าต่อหน้าจ้าวหย่งเจิ้ง

"คุณชายได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วยขอรับ"

"เจ้าทำผิดอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งถามด้วยใบหน้าราบเรียบไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมา

"เรื่องที่ข้าน้อยสะเพร่า เผลอหลับไปไม่อาจรักษาความปลอดภัยให้กับคุณชายได้" อวี๋เหวินเต๋อก้มหน้ากล่าวความผิดตน

"เจ้าจะผิดได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าและคนอื่นๆต่างโดนวางยา" เหม่ยฟางกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง หากจ้าวหย่งเจิ้งจะลงโทษคงต้องลงโทษทุกคนแล้วกระมัง

"พวกนั้นคงเป็นโจรที่คิดจะขโมยของมีค่า" จ้าวหย่งเจิ้งสรุปสิ่งที่ตนคิด
"คุณชายขอรับ แต่พวกโจรไม่ได้หยิบของมีค่าไปเลยนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวทักท้วง

"ถ้าเช่นนั้นพวกมันต้องการอะไร"

"คือ ว่านะ ยังไงพวกมันก็ไม่ได้อะไรไปอย่าคิดมากเลยพวกเรารีบออกเดินทางดีไหมไม่ต้องค้างคืนหรอก" เหม่ยฟางชักชวน เพราะไม่อยากให้ทั้งสองคนคิดเรื่องนี้ ถ้าทั้งสองคนรู้ว่าสิ่งที่โจรต้องการคือชีวิตเขาคงไม่ดีแน่

"นั่นสื ที่นี่คงไม่ปลอดภัยหาก พวกโจรย้อนกลับมาอีกครั้งเราอาจแย่ก็เป็นได้" จ้าวหย่งเจิ้งเห็นด้วยกับความคิดของเหม่ยฟาง เช่นเดียวกับอวี๋เหวินเต๋อ หากรั้งอยู่ต่อมีแต่อันตรายแก่นายตน

"ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยจะไปบอกให้ทุกคนเตรียมตัวเดินทาง"

"ไม่ต้อง เจ้าไล่คนพวกนี้กลับเมืองไป เราจะออกเดินทางกันแค่ 3 คน" จ้าวหย่งเจิ้งคิดว่าหากเรานำคนไปมาก จะยิ่งเป็นภาระสู้ไปกันเพียงแค่นี้จะดีเสียกว่า ความจริงเขาไม่ได้ต้องการขบวนเดินทางที่มีผู้คนติดตามเยอะแยะเช่นนี้ แต่เป็นความเจ้ากี้เจ้าการของผู้ตรวจการที่อยากให้เขาเดินทางสะดวกสบาย

"แต่ว่า..."

"ทำตามที่ข้าสั่ง มอบเงินให้พวกเขาสักเล็กน้อยด้วย"

"ขอรับ" หลังรับคำอวี๋เหวินเต๋อจึงไปแจ้งข่าวกับคนในขบวน ทุกคนต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป คล้ายกังวลหากกลับไปจะโดนลงโทษ อวี๋เหวินเต๋อจึงเกลี่ยกล่อมอยู่นานทุกคนจึงแยกย้ายกันไป

"เฮ้อ~ ไปกันหมดเสียที" อวี๋เหวินเต๋อถอนหายใจเมื่อเห็นผู้คนแยกย้ายกันไปหมด เขานั่งลงพิงต้นไม้ใหญ่อย่างหมดแรง

"เหนื่อยแย่เลยน้า พี่อวี๋" เหม่ยฟางเอ่ยทักส่งรอยยิ้มหวานให้ 

"นิดหน่อย"

"อ๊ะ น้ำ ดื่มซะคงคอแห้งแย่" เหม่ยฟางส่งกระบอกไม้ไผที่บรรจุน้ำให้กับอวี๋เหวินเต๋อ "ขอบใจเจ้ามาก" เขายื่นมือออกมารับกระบอกน้ำ

"พี่อวี๋ ข้ามีความจำเป็นกับพวกท่านขนาดนั้นเชียวเหรอ" จู่ๆเหม่ยฟางก็เอ่ยเรื่องที่ตนข้องใจกับอวี๋เหวินเต๋อ จากนั้นจึงนั่งลงข้างๆของอีกฝ่าย สองขาตั้งชันสองมือโอบเข่าส่วนปลายคางจึงวางลงบนเข่าจนดูเป็นก้อนกลมๆ

"นั่นสินะ เจ้ามีความสำคัญสำหรับข้ามากเพราะเจ้าคือคนที่ข้ารักเยี่ยงน้องชาย" แม้คำที่ออกมาจากปากอวี๋เหวินไม่ดังมากแต่ก๋ไม่เบาจนอีกฝ่ายไม่ได้ยิน เขาจะบอกได้เช่นไรว่ารักของเขานั้นมากกว่าน้องชาย เหม่ยฟางพยักหน้ารับกับคำตอบของอวี๋เหวินเต๋อ

"แล้วอย่างไรอีก"

"นอกจากนั้นเจ้ายังมีความสำคัญกับการเป็นฮองเฮาของเมืองจิ้นหยางอีกด้วย"  "ห๊ะ!!! พี่อวี๋ ท่านล้อข้าเล่นใช่ไหม"

"หากเจ้าเป็นมังกรเขียวจริง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เมืองจิ้นหยาง ยกย่องมังกรเขียวให้เป็นฮองเฮามาทุกยุคทุกสมัย"

"แต่ข้าเป็ยบุรุษ บุรุษจะขึ้นเป็นฮองเฮาได้อย่างไร"

"หากไม่เชื่อเจ้าลองไปถามคุณชายดูสิ" ว่าจบจึงลุกขึ้นยืนเดินไปยังม้าที่ถูกผูกเอาไว้

"นี่ต้องเป็นตลกร้ายสำหรับข้าแน่ๆ" เหม่ยฟางนึกถึงคำพูดที่ว่า มังกรเขียวคือ ฮองเฮา 

"ฮ่าๆ นั่นคือเรื่องจริง มิเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าเกิดเป็นมังกรเขียวไปทำไม" ตาเฒ่าเอี๊ยผู้ลอยไปลอยมาคล้ายอากาศธาตุกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจ จนเหม่ยฟางเด้งตัวขึ้นจากพื้น ชี้นิ้วไปยังร่างโปร่งแสงที่ชอบไปๆมาๆคล้ายภูติผีของตาเฒ่าเอี๊ย

"ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ นี่มันเรื่องอะไรกัน บ้านเมืองนี่มันอะไรกัน ใยมังกรเขียวต้องเป็นฮองเฮา"

"เจ้าอยากรู้งั้นเหรอ เรื่องมันยาวนะ เกรงว่าเวลาจะไม่พอ"

"ตาเฒ่าเอี๊ย เจ้าเฒ่าเจ้าเล่ห์ ข้ามีเวลาฟังเจ้าเล่ามาเดี๋ยวนี้" เหม่ยฟางคล้ายสติหลุด เอ่ยสบถใส่ตาเฒ่าเอี๊ยอย่างหัวเสีย ทั้งตาเฒ่าเอี๊ยยังหายพร้อมกับเสียงหัวเราะอีก แต่คล้ายกับเหม่ยฟางนึกบางอย่างออกจึงเอ่ยเบาๆกับตนเองว่า

"อ่อ มิน่า หย่งเจิ้งถึงเอ่ยบอกกับข้าว่า หากข้าเป็นมนุษย์คงจะงดงามมาก ที่แท้เขาคิดว่าข้าเป็นสตรีสินะ โธ่...หากเขาทราบว่าข้าเป็นบุรุษเขาคงรังเกียจข้าเป็นแน่" เหม่ยฟางทรุดตัวนั่งอย่สงหมดแรง เอาแต่คิดแง่ลบ จนไม่ทันสังเกตุว่ามีใครเดินมาทางด้านหลัง สองมือใหญ่เข้าปิดตาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

"นั่นใคร" เหม่ยฟางเอ่ยถามเสียง

"ทายสิ" เพียงได้ยินเสียงความกังวลต่างกับมลายหายไป เหลือเพียงรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า

"หย่งเจิ้ง" มือใหญ่คลายออก เหม่ยฟางหันไปสบตากับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม

"เล่นอะไรเป็นเด็กๆ" แม้จะพูดเช่นนั้นแต่รอยยิ้มยังไม่จางหาย

"เมื่อกี้เจ้าคุยกับใคร" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถาม ทั้งยังสอดส่ายสายตามองว่าเหม่ยฟางคุยกับใคร

"เจ้าเห็นว่าข้าคุยกับใครไหมล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งส่ายหัวไปมาก่อนจับมือเหม่ยฟางจูงเดินไปทางม้า

"ไปกันเถอะ เราต้องเร่งเดินทาง"

"ไหนเจ้าบอกไม่รีบไง"

"แต่ตอนนี้ข้ารีบไปแล้ว" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวคล้ายคนเอาแต่ใจ แต่ที่จริงแล้วเขาห่วงความปลอดภัยของเหม่ยฟางเสียมากกว่า

"ท่านห่วงข้าเหรอ ข้าหาใช่คนไร้ฝีมือเสียหน่อยใยต้องห่วง" เหม่ยฟางเบ้หน้าใส่

"ข้ารู้ แต่ข้าอดห่วงเจ้าไม่ได้" ใยข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ามีฝีมือนั้นดีแค่ไหน ตั้งแต่เจ้ากระโจนออกหน้าต่างของโรงเตี๊ยมแล้วหายไปอย่างไร้เงานั่นแล้ว แต่ข้ายังอดห่วงเจ้าไม่ได้ ไม่รู้ทำไมจิตใจข้าถึงได้กระวนกระวายเช่นนี้

"ท่านคิดเช่นไรกับข้า ใยถึงห่วงข้าเช่นนี้" เหม่ยฟางถามออกไปอย่างข้องใจ นั่นสินะ ข้าคิดเช่นไรกับเหม่ยฟางกันแน่ ข้า...ควรตอบเช่นไรดี

"ข้า...ข้า คิดว่าเจ้าคือสหายของข้า"

"สหาย ข้าเป็แค่สหายของท่านงั้นเหรอ แล้วที่ท่านแสดงออกมาทั้งหมดนั่นเล่า" เพียงได้ยิน ความรู้สึกร้อนๆในดวงตาของเหม่ยฟางก็ปะทุขึ้น ดวงตาช้ำแดงอย่างสะกดกลั้นน้ำเสียงสั่นเครือคือสิ่งที่สื่อออกมาได้ตอนนี้

"ฟางเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งรู้สึกเสียใจกับคำพูดนั้นเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆของเหม่ยฟาง

"ข้าขอตัวก่อน ท่านไม่ต้องตามมา" เหม่ยฟางหันหลังเดินจากไป

'ท่านให้ความหวังข้าอีกแล้ว แล้วท่านก็ทำลายมันลงเช่นนี้ ความสำคัญของข้า คือสิ่งที่เรียกว่าสหายงั้นเหรอ' เม็ดมุกร่วงหล่นจากขอบตา หลั่งไหลออกมาไม่หยุด หากข้าหลั่งน้ำตาเช่นคนปกติได้คงจะดีไม่น้อย ข้าคงหลั่งน้ำตาปานสายเลือดตรงหน้าท่านได้แล้ว

"เหม่ยฟาง เจ้าเป็นอะไร" เป็นอวี๋เหวินเต๋ออีกครั้งที่เข้ามาพบตอนที่เหม่ยฟางเสียน้ำตา เขาเห็นเหม่ยฟางกับนายของตนคุยกันสักพัก และมองเห็นสิ่งผิดปกติจากสีหน้าเหม่ยฟางจึงเดินตามมาด้วยความเป็นห่วง เป็นจริงอย่างเขาคิด เหม่ยฟางหลั่งน้ำตาอีกแล้ว

"พี่อวี๋ ข้าปวดใจเหลือเกิน ฮือๆ" เหม่ยฟางเข้าซบอกอวี๋เหวินเต๋อด้วยความอัดอั้น

"เจ้าชื่นชอบคุณชายของข้างั้นเหรอ" 

"ข้าเฝ้ารอเขามาเนิ่นนานแต่เขาหาได้รักข้าไม่ เขาเห็นข้าเป็นเพียงสหาย พี่อวี๋ ข้าทรมานใจเหบือเกิน ฮือๆ" 

"ให้ข้าเป็นตัวแทนเขาได้หรือไม่ เป็นข้าได้ไหม" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยความจริงใจ เขาไม่อยากเห็นเหม่ยฟางต้องเจ็บปวด หากเป็นเขา เขาจะให้ความสำคัญแก่คนตรงหน้าได้ โดยไม่ให้อีกฝ่ายต้องหลั่งน้ำตาอย่งแน่นอน

"พี่อวี๋"

"เป็นข้าได้ไหม"
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 9 ความสำคัญ) {14-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-06-2017 16:21:28
ขออีกตอนได้มั้ยอ่ะ อยากรู้น้องเหมยฟางจะตอบตกลงหรือปฎิเสธกันแน่
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 9 ความสำคัญ) {14-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-06-2017 19:52:53
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 9 ความสำคัญ) {14-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 14-06-2017 23:58:08
"พี่อวี้"

"อย่าจบค้างได้ไหม" :laugh:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 10 การกลับจิ้นหยาง) {17-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 17-06-2017 20:14:09
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 10 การกลับจิ้นหยาง

"พี่อวี๋" น้ำเสียงแผ่วเอ่ยเรียกคนที่กำลังโอบกอดตน คล้ายกับฟังอะไรผิดไป

"เป็นข้าได้ไหม ข้าจะแลเจ้าอย่างดี ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไรข้ายอมรับในตัวเจ้าเสมอ ข้าจะดูแลเจ้า ไม่ให้เจ้าต้องทรมานใจ" อวี๋เหวินเต๋อคำในใจ ที่ไม่อาจคนที่ตนรักนั้นต้องเจ็บปวด

"ข้า...คือข้า...." เหม่ยฟางอ่ำอึ้งทีาตะตอบคำ ทุกคำที่จะพูดออกไปมันช่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียจริง อวี๋เหวินเต๋อเห็นท่าทางลำบากใจจึงไม่อาจทนคาดคั้นคนตรงหน้าได้จึงปล่อยเหม่ยฟางออกจากวงแขนตน

"ข้าจะรอคำตอบ จนกว่าเจ้าจะเห็นใจข้า"

"ขอบคุณพี่อวี๋ที่ไม่เร่งรัดข้า" เหม่ยฟางลอบถอนหายใจ โชคดีแค่ไหนที่อวี๋เหวินเต๋อไม่เร่งรัดเอาคำตอบจากตน

"กลับไปเถอะ คุณชายรออยู่" อวี๋เหวินเต๋อเตรียมหันหลังออกเดิน แต่เหม่ยฟางกลับรั้งแขนเขาไว้

"พี่อวี๋ ข้ามีเรื่องจะขอร้อง" อวี๋เหวินเต๋อมองมาทางเหม่ยฟางอย่างสงสัยว่าจะขอร้องสิ่งใดเขา

"เจ้าจะขอร้องอะไรข้า" 

"ข้าจะขอเข้าไปอยู่ในเสื้อของท่าน ตอนนี้ข้าไม่อยากพบหน้าเขา" 

"จะ เจ้า เฮ้อ~ แล้วเจ้าจะให้ข้าตอบคุณชายว่าอย่างไร"

"นั่นมันเรื่องของท่าน" ว่าจบจึงกลายร่างเป็นงูเขียวตัวเล็กเลื้อยดข้าไปอยู่ในเสื้อของอวี๋เหวินเต๋อ โดยไม่ขออนุญาตอีกครั้ง

"เหม่ยฟางเจ้าอยู่เฉยๆไม่ได้หรือไง ข้าจั๊กจี้ จะตายอยู่แล้ว ทั้งตัวเจ้ามันรื่นๆจนข้าขนลุกไปหมดแล้ว" อวี๋เหวินเต๋อทำตัวขยุกขยิกอยู่ไม่สุขคล้ายไม่สบายตัว ขณะเดินกลับมาหาจ้าวหย่งเจิ้ง

"อวี๋เหวินเต๋อ เจ้าเห็นฟางเอ๋อร์บ้างหรือไม่" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ ตั้งแต่แยกกับเหม่ยฟาง เขาก็ไม่เห็นเจ้าตัวมาพักหนึ่งแล้วจึงอดห่วงไม่ได้ อวี๋เหวินเต๋อเมื่อได้ยินคำถามจึงเหลือบมองเข้าไปในสาบเสื้อของตนก่อนตอบไปว่า

"เห็นขอรับ เหม่ยฟางมาบอกข้าว่าติดธุระ ขอตัวกลับไปก่อน"

"กลับไป!!!" เสียงอันดังของจ้าวหย่งเจิ้งดังก้องไปทั่ว

"ขอรับ ข้าน้อยห้ามเขาแล้วแต่เขาไม่ฟัง ดังนั้นจึงจำใจปล่อยเขากลับไป" แม้อวี๋เหวินเต๋อไม่อยากโกหก แต่สุดท้ายก็จำต้องโกหก เขาจะบอกได้อย่างไรว่าเหม่ยฟางอยู่ในเสื้อของเขา

"บ้าที่สุด ใยเขาไม่บอกข้า"

"เหม่ยฟางคงกลัวคุณชายไม่ให้กลับ โอ๊ย!!!" อวี๋เหวินเต๋อร้องเสียงหลงเมื่อโดนเหม่ยฟางฉกเบาๆ

"เจ้าเป็นอะไร"

"ไม่เป็นอะไรขอรับ แค่แมลงกัด โอ๊ย!!!" คล้ายกับอวี๋เหวินเต๋อพูดไม่ถูกใจจึงถูกเหม่ยฟางฉกเข้าอีกครั้ง

"เราออกเดินทางกันเถอะ แมลงนั่นคงจะกัดเจ็บน่าดูเจ้าถึงร้องเสียงหลงขนาดนี้ เรารีบเดินทางกันเถอะ"

"ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวแล้วถอยไม่ขึ้นม้าของตนเอง

"เหม่ยฟางเจ้าฉกข้าทำไม" เมื่ออวี๋เหวินเต๋อ ก้าวขึ้นหลังม้าจึงเอ่ยตัดพ้อเหม่ยฟางอย่างเสียไม่ได้

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ใครใช้ให้ท่านพูดมากล่ะ)

"ข้าฟังเจ้าไม่รู้เรื่องหรอกนะ ข้าฟังภาษางูไม่ออก"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (นั่นมันเรื่องของเจ้า)

"เจ้าพูดภาษาคนไม่ได้หรือไง เป็นถึงมังกรเขียวแท้ๆ" เหม่ยฟางโผล่หัวขึ้นมาพันไว้รอบคออวี๋เหวินเต๋ออย่างหลวมๆ ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะฉกเข้าที่ลำคออวี๋เหวินเต๋ออีกครั้ง

"โอ๊ย!!! เจ้าฉกข้าอีกแล้วนะ หากเจ้ามีพิษข้าคงตายไปแล้วเป็นแน่"

"เฮอะ คิดว่าข้าสนท่านหรือไง" ที่เหม่ยฟางฉกไปที่คอนั้นคล้ายกับทำสัญลักษณ์บ้างอย่างลงไปจึงทำให้อวี๋เหวินเต๋อเข้าใจสิ่งที่เขาพูด

"เอ๊ะ! คล้ายกับข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด"

"แน่ล่ะ ข้าทำสัญลักษณ์เอาไว้ที่คอของเจ้า ต่อไปนี้เจ้าก็กลายเป็นข้ารับใช้ของข้าแล้ว ฮ่าๆ" เหม่ยฟางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

"แสดงว่าที่เจ้าฉกข้า คือการทำสัญลักษณ์ข้ารับใช้งั้นสิ"

"ใช่ ดังนั้นเจ้าจึงเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดไงล่ะ"

"เจ้ามันร้ายกาจนัก บังคับข้าทางอ้อมชัดๆ"

"มันช่วยไม่ได้" อวี๋เหวินเต๋อส่ายหัวกับความเอาแต่ใจของเหม่ยฟางก่อนเหลือบมองจ้าวหย่งเจิ้งที่ขี่ม้าตามมา

จ้าวหย่งเจิ้งขี่ม้าออกมาจากผาถ่าหยุนซาน ก็เอาแต่เหม่อลอยไม่พูดไม่จา คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ อวี๋เหวินเต๋อชะลอม้าเพื่อให้จ้าวหย่งเจิ้งตามมาทัน

"คุณชาย ท่านเป็นอะไรหรือขอรับ" จ้าสหย่งเจิ้งเงยหน้ามองอวี๋เหวินเต๋อแต่กับส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย

"คุณชายท่าทางแปลกๆ ดูซึมๆยังไงไม่รู้สิ" อวี๋เหวินเต๋อพึมพำกับตัวเอง มองจ้าวหย่งเจิ้งขี่ม้านำตนออกไป

"เจ้าก็ถามสิ" เหม่ยฟางร้องบอก

"ข้าถามแล้วเจ้าไม่ได้ยินหรือไง" 

"อ๋อ"

ฉึก!

"โอ๊ย!!! เจ้าฉกข้าอีกแล้วนะ พอเลยออกมาจากเสื้อข้าเดี๋ยวนี้" อสี๋เหวินเต๋อล้วงเข้าไปในเสื้อเพื่อตะดึงตัวเหม่ยฟางออกมา แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเหม่ยฟางก็หลบรอดมือเจาได้ทุกที 

"เสื้อตัวแค่นี้ใยเจ้าหลบเก่งนัก"

"หากข้าไม่หลบเจ้าคงจับข้าโยนทิ้งนะสิ" เหม่ยฟางส่งเสียงโวยวาย ขณะที่อวี๋เหวินเต๋อกำลังง่วนอยู่กับการจับเหม่ยฟางออกจากเสื้อ จนไม่สังเกตุว่า จ้าวหย่งเจิ้งวกม้ากับมา

"อวี๋เหวินเต๋อเจ้าเป็นอะไร ข้าเห็นเจ้ายุกยิกไปมาอยู่นาน มีอะไรเข้าไปในเสื้อเจ้างั้นเหรอ"

"คุณชาย!!!" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าผู้เป็นายจะย้อนกับมา

"ไหนให้ข้าดูหน่อย"

จ้าวหย่งเจิ้งดึงรั้งเสื้อของอวี๋เหวินเต๋อ เพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ในเสื้อจนทำให้เห็นรอยเขี้ยวคล้ายงูกัดอยู่หลายจุด

"คุณชายข้าไม่เป็นไร"

" เจ้า เจ้าโดนงูกัด!!!" จ้าวหย่งเจอ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจมองดูรอยที่ลำคอแบะที่ตัวอีกสองสามแห่ง

"งูไม่มีพิษขอรับวางใจได้" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเพื่อไม่ให้คนเป็นนายต้องกังวล

"ถึงจะเป็นเช่นนั้น ข้าว่ามันไม่ปลอดภัยอยู่ดี"

"คุณชาย ข้า..."

"ถอดเสื้อเจ้าออกสิ ข้าจะดูแผลงูกัดให้" พูดยังไม่ทันจบจ้าวหย่งเจิ้งก็ตรงเข้าดึงเสื้ออวี๋เหวินเต๋อทั้งๆที่ยังอยู่บนม้า จนเกิดการยื้อยุดกันเกิดขึ้น

"คุณชายไม่ต้องขอรับ" หากถอดเสื้อต้องเจอเหม่ยฟางแน่ๆ

"ไม่ได้" หากไม่ตรวจดูว่าเป็นรอยงูกัดมีพิษหรือไม่ข้าไม่อาจเบาใจได้

แคว๊ก!

ฟิ้ว!

หมับ!

ขณะที่ยื้อยุดอยู่นั้นเสื้อของอวี๋เหวินเต๋อดันเกิดขาดจนทำให้ เหม่ยฟางที่พยามหลบอยู่ในเสื้อร่วงหล่นออกมานอกเสื้อ และเป็นจ้าวหย่งเติ้งที่คว้าตัวเอาไว้ได้

"งูเขียว?" จ้าวหย่งเอ่ยด้วยเสียงแปลกใจ

'เหม่ยฟาง' แย่แล้วร่วงไปอยู่ในมือคุณชายเสียแล้ว

"จับได้แล้ว เจ้าคือตัวการที่ทำร้ายคนของข้าสินะ" จ้าวหย่งเจิ้งคว้างูเขียวตัวน้อยขึ้นมาดู เจ้างูเขียวพยายามดิ้นรนสุดกำลังแต่ไม่อาจหลุดรอดมือใหญ่ที่จับมันเอาไว้ได้

"คุณชายได้โปรดปล่อยมันเถอะ ความจริงแล้วข้าน้อยแอบเลี้ยงมันไว้เองคุณชายโปรดอย่าทำร้ายมัน" อวี๋เหวินเต๋อแก้ตัวแทนงูเขียวในมือจ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้าเลี้ยง" "ขอรับ พอดีข้าเห็นมันมีลักษณะคล้ายเจ้างูเขียวตัวเก่าที่ข้าเคยขอท่านพ่อเลี้ยงน่ะขอรับ"

"งั้น เจ้าจึงยอมให้มันกัดสินะ ถ้าเช่นนั้น ข้าขอมันไว้ก่อนได้หรือไม่" จ้าวหย่งเอ่ยขอเจ้างูเขียวจากอวี๋เหวินเต๋อเสัยดื้อๆ ซึ่งอวี๋เหวินเต๋อนั้นอยากปฏิเสธผู้เป็นนายแต่เขาก็ทำไม่ได้ จึงจำใจยกเจ้างูเขียวให้ผู้เป็นนาย

"ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อก้มหน้า เหลทอบมองเจ้างูเขียวที่ตอนนี้มีทีท่าคล้ายจะพุ่งมาฉกเขาอีกรอบ

"ขอบใจเจ้ามาก" จ้าวหย่งเจิ้งกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้งเมื่อได้เจ้างูเขียวมาอยู่กับตน ชั่วพริบตาที่เห็นกับรู้สึกดีกับมันอย่างประหลาด คล้ายกับคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดีจึงเอ่ยขอเจ้างูเขียวมาอยู่กับตน แม้จะเป็นการบังคับฝืนใจอวี๋เหวินเต๋อทางอ้อมก็ตาม

"จริงเจ้างูน้อยนี่ชื่ออะไร" จ้าวหย่งเจิ้งหันไปถามอวี๋เหวินเต๋อ

"คือว่า ข้าน้อยยังไม่ได้ตั้งชื่อขอรับ"

"ฟางน้อย ข้าจะให้เจ้าชื่อว่า ฟาง" เหม่ยฟางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจ้าวหย่งเจิ้งตั้งชื่อร่างงูของตนว่าฟาง

"จะดีหรือขอรับ นำชื่อของเหม่ยฟางมาตั้งเช่นนี้ หากเจ้าตัวรู้เข้าคงไม่ดีแน่" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวทักท้วง

"นั่นสินะหากฟางเอ๋อร์รู่เข้าคงไม่ชอบใจ แต่หากเจเาไม่บอกข้าไม่บอกเขาก็คงไม่รู้หรอกตามนี้เถอะ"

"ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากเล็กน้อยมองดูผู้เป็นนายหยอกล้อกับเจ้างูเขียว

"งั้นเหรอ ถ้าเช่นนั้น นับแต่นี้เจ้าชื่อ ฟางน้อย" ว่าพลางลูบหัวเจ้างูเขียวเหม่ยฟางไปด้วย แต่เจ้างูกับ ทำหน้าเชิดใส่คล้ายกับงอนจ้าวหย่งเจิ้ง อย่างไรอย่างนั้น

"คุณชายระวังมันกัดเอานะขอรับ" กลัวใจเจ้าจริงๆหากกัดคุณชายเจ้าได้กลายเป็นงูสับแน่ๆ เหม่ยฟาง

"เจ้าจะกัดข้าเหรอ" น้ำเสียงยินดีนั้นกับทำให้เหม่ยฟางจ้องเขม็ง แม้จะโดนลูบหัวลูบหาง แต่เขากับรู้สึกดีมาก พอเหม่ยฟางได้สติ ก็สะบัดหน้าหนีมุดเข้าไปในแขนเสื้อของจ้าวหย่งเจิ้ง

'พี่อวี๋ เจ้าคนไร้ประโยชน์ไหนว่าจะดูแลข้าเป็นอย่างดี แล้วทำไมข้าถึงมาอยู่กับคนผู้นี้ได้ ไม่ดีเลย แบบนี้ข้าจะไปโกรธเขาลงได้อย่างไร ในเมื่อข้าเอาแต่คิดถึงเขา เพราะกลิ่นกายของเขา ทำให้ใจข้าเต้นแรงเช่นนี้'

"ออกเดินทางเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งออกเดินทางควบม้าไปขึ้นเหนือไปเรื่อยๆไม่มีการหยุดพัก จนเข้าวันที่ 6 พวกเขาจึงมาถึงหน้าประตูเมืองจิ้นหยาง

เพียงเขาก้าวเท้าเข้าไปในประตูเมือง เหล่าทหารต่างคุกเข่าทำความเคารพเขาด้วยความจงรักภักดี อวี๋เหวินเต๋อ เคลื่อนม้าไปด้านหน้ากวาดมือไปรอบๆก่อนพูดขึ้นว่า

"องค์ชายรองเสด็จกลับมา พวกเจ้าให้คนไปส่งข่าวแล้วหรือไม่"

"พวกเกล้ากระหม่อม ได้ให้คนไปส่งข่าวฝู่กงกงแล้วขอรับท่านองครักษ์อวี๋" หัวหน้าทหารเอ่ยเสียงหนักแน่นพวกเขาเห็นองค์ชายรองเสด็จมาแต่ไกลจึงรีบให้คนไปส่งข่าวเรียบร้อยแล้ว

"พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี ข้ากลับมาเหนื่อยๆต้องการพักผ่อน" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงพลังอย่างประหลาด

"พะยะค่ะ" เสียงทหารตอบรับเสียงหนักแน่นลุกขึ้นทำหน้าที่ของตนตามเดิม

"องค์ชายรองเชิญเสด็จกลับตำหนักเถอะพะยะค่ะ" การขานนามของจ้าวหย่งเจิ้งเปลี่ยนไปเมื่อก้าวเข้ามาในวังของเมืองจิ้นหยาง

"ไม่ ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อที่ตำหนัก เฉียนชิงกง"

"น้อมรับบัญชา" อวี๋เหวินเต๋อก้มหัวถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อให้ผู้เป็นนายเดินนำไปก่อน

"อวี๋เหวินเต๋อ เจ้าไม่ต้องไป เจ้าเอาฟางน้อยกลับตำหนักข้าไปก่อน" ว่าจบจึงเปิดแขนเสื้อขึ้นปล่อยให้เจ้างูเขียวเลื้อยผ่านมือไปหาอวี๋เหวินเต๋อ

"พะยะค่ะ" อวี่เหวินเต๋อรับคำถอยหลังแล้วพาเจ้างูเขียวกลับตำหนัก จิงเหรินกง

ตำหนัก เฉียนชิงกง เป็นตำหนักใหญ่ โอ่อ่า งดงามที่สุดในบรรดาตำหนักทัง12 ตำหนัก ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ฮองเต้ จ้าวหย่งเจิ้ง เดินตัดผ่านอุทยานหลวงที่มีดอกไม้นานาพันธ์ต่างพากันเบ่งบานชูช่อสวยงาม เมื่อมาก้าวเท้าเข้ามาในตำหนัก ฝู่กงกงจึงนำเสด็จไปยังพระที่นั่งที่มีองค์ฮองเต้ประทับอยู่แล้ว

"เสด็จพ่อลูกลับมาแล้วพะยะค่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งคุกเข่าทำความเคารพผู้ที่อยู่สูงเหนือคนทั้งปวง

"หย่งเจิ้ง" หย่งคัง กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แม้ริ้วรอยบนหน้าจะมากขึ้น แต่ความน่าเกรงขามกลับไม่ลดน้อยลง

"เสด็จพ่อให้คนไปตามข้ากลับมาด้วยเรื่องอันใด"

"ลุกขึ้นเถอะ ท่านนักพรตได้จับยามสามตาพบว่า เจ้าพบมังกรเขียวผู้จะมาเป็นฮองเฮาเคียงคู่บัลลังก์กษัตริย์แล้ว ดังนั้นพ่อจึงให้คนส่งข่าวให้เจ้ากลับวังหลวง"

"กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกได้พบกัลมังกรเขียวจริงแต่มังกรเขียวไม่ยินยอมที่จะมากับลูกหากลูกยังหาร่างมนุษย์ของเขาไม่เจอ ลูกจึงรั้งรอเวลาเพื่อตามหา"

"หากเป็นเช่นนั้นจริง ใยนักพรตจึงกล่าวกับพ่อว่า ดวงดาวแห่งมังกรเขียวเคียงคู่มังกรทองแล้ว"

"เรื่องนั้นลูกหาทราบไม่พะย่ะค่ะ"

"เอาเถอะ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ กลับมาคงเหนื่อย ไปพักผ่อนเถอะ" หย่งคังโบกมือเบาให้ต้าวหย่งเจิ้งกลับไปพักผ่อน

"ลูกทูลลา" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวถอยหลังสามก้าวก่อนหันตัวเดินจากไป เมื่อเห็นว่สจ้าวหย่งเจิ้งลับตาไปแล้ว จึงเรียก ฝู่กงกงเข้ามา

"ฝู่กงกง" ขันทีผู้ใกล้ชิดองค์ฮองเต้สาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว

"ฝู่กงกงอยู่นี่แล้วฝ่าบาท"

"ไปตามท่านนักพรตมาหาข้า"

"ฝู่กงกง รับบัญชา" ฝู่กงกงถอยหลังไปจนสุดประตูก่อนพลิกตัวเดินจากไป

อารามหลวง

นักพรตเจินหยวน ผู้รอบรู้ทุกสิ่ง ได้เห็นจับยามสามตาพบว่า องค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้งได้พามังกรเขียวกลับมาด้วย แต่เขารู้สึกว่ามังกรเขียวตนนี้แตกต่างจากมังกรเขียวตนอื่น จึงออกจากอารามหลวง เพื่อไปพบมังกรเขียวด้วยตนเอง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับฝู่กงกงกำลังเดินทางมาพบท่านนักพรตเจินหยวนเข้าพอดี

"โชคดีนักที่จ้ามาพบท่านก่อน ท่านนักพรตกำลังเดินทางไปที่ใด" ฝู่กงกง ใช้มือแตะน่าอกด้วยความโล่งใจที่ตนมาทันเจอนักพรต

"ท่านฝู่กงกง มีเรื่องอันใด ข้ากำลังจะเข้าวังอยู่พอดี" นักพรตหนุ่ม ผู้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนวัยย่าง 30 เศษ แต่จริงๆแล้วเขามีอายุมานานนับร้อยปี เขาก้มศีรษะให้ฝู่กงกงเล็กน้อยเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย

"ฮองเต้มีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้า"

"ท่านฝู่กงกงช่วยเรียนฮองเต้ทีว่า ข้าจะเข้าฮองเต้วันพรุ่ง" ว่าจบนักพรตเจินหยวนจึงเดินจากไป ปล่อยให้ฝู่กงกงอ้าปากค้าง มองตามจนนักพรตเจินหยวนลับสายตาไป

ตำหนัก จิงเหรินกง อวี๋เหวินเต๋อ พาเจ้างูเขียวน้อยเหม่ยฟางเข้ามาในห้องพักห้องหนึ่ง เหม่ยฟางเลื้อยลงจากแขนของเขาก่อนกลายร่างกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง

"ข้าคิดแล้วเชียวว่า หย่งเจิ้งไม่ใช่คนธรรมดา คนธรรมดาที่ไหนจะเอ่ยปากขอบัลลังก์กับข้า" เหม่ยฟางเอ่ยปากพูดออกมา ตามความคิดของตนที่คิดไว้ก่อนที่จะเข้ามาในวังหลวงเสียอีก

"เจ้าอย่าเรียกองค์ชายรองด้วยชื่อเช่นนี้มันไม่เหมาะนัก" อวี๋เหวินเต๋อ กล่าวทักท้วงเตือนให้ระวังคำพูด

"เจ้าไม่พูดข้าไม่ไม่พูดใครจะไปรู้"

"ถึงอย่างไร ประตูก็มีหู หน้าต่างมีช่อง หากไม่สำรวมคำพูดจะเดือดร้อน"

"โอ๊ย รู้แล้ว รู้แล้ว เจ้าอย่าเคร่งนักเลย" เหม่ยฟางร้องโวยวายกับคนเคร่งในกฏระเบียบ

"หากเจ้าเป็นเด็กข้าจะจับเจ้าตีก้นเสียให้เข็ด" เหม่ยฟางเบ้ปากใส่อวี๋เหวินเต๋อพลางพูดว่า

"ไหนเจ้าบอกจะดูแลข้า ใยเจ้าคิดจะตีข้าเสียแล้ว" แม้ตนจะพูดไปโดนไม่ใส่ใจเช่นนั้น แต่มันกลับไปจุดประกายบางอย่างของอวี๋เหวินเต๋อ

"ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ยอมให้ข้าดูแลเจ้าสิ" ดวงตาเป็นประกายความหวังของอวี๋เหวินเต๋อช่างทำให้เหม่ยฟางอึดอัดใจยิ่งจึงเอ่ยไปว่า

"ไหนท่านบอกจะให้เวลาข้า แต่ทำไมตอนนี้ท่านยังเร่งรัดข้าอีก ความรู้สึกของข้า สำหรับท่านแล้วยังคงเป็นพี่ชายเสมอ ได้โปรดอย่าถามข้าเรื่องนี้อีกเลย"

"ข้าขออภัย ข้าผิดเอง เจ้าพักผ่อนเถอะข้าขอตัว" แม้ตนจะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่เขากับยังอดที่จะคาดหวังให้เหม่ยฟางหันมามองตนสักนิดก็ยังดี อวี๋เหวินเต๋อก้าวเท้ายังไม่ทันออกจากประตูดี ขันทีรับใช้นามว่า เสี่ยวจื่อหยี่ ก็วิ่งเข้ามารายงานว่า นักพรตเจินหยวนต้องการเข้าเฝ้าองค์ชายรอง

"ท่านองครักษ์อวี๋ ท่านนักพรตเจินหยวนต้องการเข้าเฝ้าองค์ชายรองขอรับ"

"ออกไปเรียนท่านนักพรตว่า องค์ชายรองทรงเสด็จเข้าเฝ้าฝ่าบาท"

"ข้าน้อยเรียนท่านนักพรตแล้วขอรับ แต่ว่า..." เสี่ยวจื่อหยี่ยังกล่าวไม่ทันจบ นักพรตเจินหยวน กลับถือวิสาสะเดินเข้าว่าเสียอย่างนั้น

"ข้าจะรอองค์ชายรองอยู่ที่นี่ ได้หรือไม่ท่านองครักษ์อวี๋" แม้ใบหน้าจะฉาบไปด้วยรอยยิ้มแต่นัยน์ตากับแอบแฝงบางอย่าง

"เช่นนั้นคงไม่เหมาะนักหากองค์ชายรองเสด็จมา...ข้าคิดว่า...องค์ชายรองคงไม่พอพระทัย"

"ถ้าเช่นนั้นข้าขอพบคนที่ท่านพากลับมาด้วยได้หรือไม่" ใบหน้ายังคงฉาบไปด้วยยิ้มแต่สายตากับจ้องมอง

ราวกับมองเห็นทะลุปรุโปร่งว่าตนได้พาใครเข้ามาในตำหนัก และเหม่ยฟางที่อยู่ในห้องก็รู้สึกถึงสายตานั้นเช่นกัน

"น่าแปลกที่ข้าไม่ได้พาใครกลับมา ทาานนักพรตคงเข้าใจอันใดผิด" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวแก้ตัว

"ถ้าเช่นนั้นรังสีแห่งมังกรเขียวใยอยู่ที่ห้องนั่นเหล่า" นักพรตเจินหยวน กล่าวพลางเดินไปหยุดประตูห้องห้องหนึ่ง เมื่อเหม่ยฟางรู้ตัวว่าไม่อาจปกปิกคนผู้นี้ได้จึงเปิดประตูออกมา

แอ๊ด!

"ข้าคงหลบหลีกสายตาท่านไม่ได้ ขนาดข้าลบจิตออกไป ท่านยังคงรู้ว่าข้าอยู่ที่แห่งนี้" เหม่ยฟางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ พอที่จะสะกดคนทุกผู้ทุกนามให้นิ่งตะลึงงัน แม้แต่นักพรตเจินหยวนเองก็เช่นกัน

"ไม่คิดเลยว่า มังกรเขียวจะกลายเป็นบุรุษเพศที่มีใจหน้างดงามหมดยิ่งกว่าหญิงใดเช่นนี้" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยความชื่นชม จนรู้สึกตัวว่าตนทำกริยาไม่เหมาะสมลงไป

"ขออภัยที่ข้าแสดงกริยาไม่เหมาะสม" นักพรตจิ้นหยวนกล่าวอย่างเก้อเขิน

"เรื่องนั้นข้าไม่ถือสา ว่าแต่ท่านต้องการคุยเรื่องอันใดกับข้า"

"ข้าจะคุยเรื่องท่านผู้ซึ่งเป็นมังกรเขียว"

"กับข้า..." เหม่ยฟางชี้นิ้วเข้าหาตน

"ใช่เพียงลำพัง"

"ใยต้องคุยกันเพียงลำพัง" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยแทรกขึ้น

"ย่อมได้" เหม่ยฟางตอบตกลงทันทีไม่ฟังเสียงคัดค้านของอวี๋เหวินเต๋อ

"เหม่ยฟาง" อวี๋เหวินเต๋อร้องเสียงอ่อนใจ

"พี่อวี๋ท่านออกไปก่อนเถอะข้าขอคุยกับท่านนักพรตเพียงลำพัง ได้โปรด"

"เข้าใจแล้ว ตามใจเจ้าเถอะ ไปเสี่ยวจื่อหยี่ ออกไปด้านนอกกัน" อวี๋เหวินเต๋อสะบัดชายเสื้ออย่สงไม่พอใจร้องเรียกขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ตามออกไปด้วย ขันทีน้อยได้ ได้แต่มองเหม่ยมองจนยากจะถอนสายตา ตามอวี๋เหวินเต๋อออกไปอย่างเสียดาย

"ท่านต้องการคุยอันใดกับข้า"

"ท่านรู้หรือไม่ว่า มังกรเขียว ทุกยุคทุกสมัยที่บังเกิดมาล้วนเป็นสตรี" นักพรตเจินหยวนเอ่ยเสียงเรียบแต่รอยยิ้มยังไม่จางหายไปจากใบหน้า

"แล้วท่านมาบอกข้าทำไม" เหม่ยฟางกล่าวออกไปอย่างไม่ใครใส่ใจเท่าใดนัก

"แต่ท่านเกิดเป็นบุรุษ" นักพรตเจินหยวนกล่าวต่อไปอีก จนเหม่ยฟางมองท่าทางการพูดแล้วไม่ใคร่ชอบใจนัก

"ท่านต้องการสื่ออะไรกันกันแน่" เหม่ยฟางถามต่อไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมา

"สิ่งที่ข้า ต้องการจะบอกคือ ท่านไม่สมควรที่จะได้เกิดมา..."

ปึง!!!

เสียงตบโต๊ะดังสนั่น เหม่ยฟางยืนตัวสั่นด้วยท่าทางโกรธจัด เขาเป็นบุรุษใยเขาถึงไม่สมควรเกิดมา ช่างกล้าพูดออกมาได้ มันน่าฆ่านัก

"เจ้า สมควรตายนัก กล้าลบหลู่ข้าหรือ"

"นั่งลงก่อนเถอะ สิ่งที่ข้าหมายถึงคือ การที่ท่านควรระวังตัวต่างหาก ข้าหาได้อยากลบหลู่ท่านไม่ ท่านอยากฟังเรื่องของพวกท่านเหล่ามังกรเขียวหรือไม่ หากท่านต้องการฟัง ข้าจะเล่าให้ฟัง ใจเย็นๆแล้วนั่งลงก่อนเถอะ" นักพรตเจินหยวนกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้มีท่าทางตื่นตะหนกกับท่าทางโกรธเกี้ยวของเหม่ยฟางแม้แต่น้อย เหม่ยฟางเมื่อได้ยินว่าจะได้ฟังเรื่องราวของเหล่ามังกรเขียว ใจจึงค่อยๆเย็นลง กลับมานั่งที่เพื่อฟัง นักพรตเจินหยวนพูดอีกครั้ง ข้าก็อยากรู้เช่นกัน ว่าทำไม มังกรเขียวถึงต้องเป็นฮองเฮาของกษัตริย์ แล้วใยมังกรเขียวถึงต้องเป็นสตรี แล้วใยเขาต้องระวังตัว หากตาเฒ่าเอี๊ยจอมเจ้าเล่ห์ยอมเล่าแต่แรกเขาคงไม่โง่งมเช่นนี้...

"ท่านเล่ามาเถอะข้าอยากฟังจะแย่แล้ว"

หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 10 การกลับจิ้นหยาง) {17-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 17-06-2017 22:44:32
มาดีหรือมาร้าย
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 10 การกลับจิ้นหยาง) {17-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 17-06-2017 23:45:57
รอ ร้อ รออออ~ :mew2: อยากอ่านต่อ :z3: :ling1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 10 การกลับจิ้นหยาง) {17-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 18-06-2017 06:46:05
ชอบนิยายแนวนี้จัง
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 10 การกลับจิ้นหยาง) {17-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 20-06-2017 14:04:36
ค้างคาจายยยยยยย
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 11 ความจริงเปิดเผย) {21-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 21-06-2017 13:04:33
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 11 ความจริงเปิดเผย

นักพรตเจินหยวนใบหน้ายิ้มแย้ม มองใบหน้างดงามของเหม่ยฟางอย่างพึงพอใจก่อนเอ่ยปากบอกเล่าเรื่องราว

"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว" เหม่ยฟางมุ่ยหน้ามองคนเอ่ยปากเล่าเรื่อง 

"ท่านจะเล่านิทานให้ข้าฟังหรือไง ใยขึ้นเช่นนี้"

"โธ่ นี่มันเรื่องที่นมนานมากแล้ว ย่อมต้องเอ่ยเช่นนี้แหละ ถ้าเช่นนั้นข้าเล่าต่อนะ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับ ข้าจะเชื่อถือ ท่านได้ไหมเนี่ย ทำตัวไม่ได้น่าเชื่อถือเลยสักนิด

'กาลครั้งหนึ่ง ตามตำนานในสมัยโบราณกล่าวไว้ว่า เจ้าแม่หนี่วา ผู้มีครึ่งบนเป็นมนุษย์ครึ่งล่างเป็นงู เกิดจิตปฏิพัทธ์กับฮองเต้จิ้นจง ที่เสด็จปลอมตัวเป็นคนสามัญชน ออกไปเที่ยวเล่นที่เมืองเจียงหนาน นางแปลงกายเป็นคนปกติเพื่อเข้าหาเพราะด้วยรูปโฉมอันงดงามที่มีมาแต่เดิมของนาง ทำให้ฮองเต้จิ้นจง เกิดใจปฏิพัทธ์กับนางเช่นกัน จึงพานางกลับวังหลวง ทั้งความงาม ความสามารถทุกด้าน นางจึงเป็นที่ทรงโปรด ขององค์จิ้นจง จนถึงขนาดตั้งนางเป็นฮองเฮาโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใดจากผู้อื่น

เพียงปีเดียวที่นางได้ขึ้นเป็นฮองเฮาก็ทรงตั้งครรภ์ จนบังเกิดลูกมังกรทอง เป็นที่ตกตะลึงแก่องค์จิ้นจงเป็นอย่างมาก แต่เพียง 7วัน ลูกมังกรทองกลับกลายเป็นเด็กทารกมีผิวพรรณเรืองรอง เสียงร้องก้องกังวาน บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่แม้แต่นักพรตทั้งหลายยัง เอ่ยปากว่า เด็กที่เกิดมา จะกลายเป็นองค์จักพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ องค์ต่อไป เมื่อให้กำเนิดโอรส แก่องค์จิ้นจง นางก็ล้มป่วย ผิวพรรณเริ่มขึ้นเกล็ดสีเขียวมรกต ร่างกายเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพ ก่อนนางสิ้นใจกล่าวว่า

'หากอยากให้ลูกหลานกำเนิดเชื้อสายมังกร ทุกๆ 10ปี ให้ตามหาบุตรหลานมังกรเขียวของนาง เพื่อรับเป็นฮองเฮา เพื่อสืบเชื้อสายต่อไป หากเป็นมังกรเขียวเป็นสตรี นางจะให้กำเนิดลูกมังกรทอง 1ตน จะมีชีวิตยืนยาวคู่องค์ฮองเต้จนวาระสุดท้าย แต่หาก เป็นบุรุษ แม้มีสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวจะตั้งท้องในทันที แต่หากคลอดบุตรแล้วชีวิตนั้นจะจบลงภายใน7วัน กลับกลายเป็นงูเขียวไปตลอดชีวิตหากคนที่ตนมอบใจนั้นไม่มีจิตปฏิพัทธ์ในตน แต่หากคนผู้นั้นมีใจด้วยนั้นจะอยู่ครองคู่มีลูกหลานมากมายยิ่งกว่าสตรี แต่ท่านพี่ต้องพึงระวังเสน่ห์ของบุรุษนั้นมีมากว่าสตรีนัก'

นับแต่นั้นองค์จิ้นจงจึงตั้งบัญญัติประเพณีขึ้นมาว่าหากโอรสมังกรเติบใหญ่จะต้องไปเจียงหนานเพื่อหาลูกหลานมังกรเขียว เพื่อสืบสายเลือดมังกรต่อไป และให้ผู้นั้นดำรงตำแหน่งฮองเฮาเคียงคู่บัลลังก์สืบไปนับแต่นั้นมา แต่หากโอรสมังกรมีมากกว่าหนึ่ง นั่นคือหน้าที่ของมังกรเขียวที่จะต้องเลือกว่สผู้ใดเหมาะสมจะได้นั่งอยู่บนบัลลังก์

กล่าวกันว่ามังกรเขียวนับแต่นั้นมาจะบังเกิดแต่สตรี แต่ทุกๆ 100ปี จะบังเกิดบุรุษขึ้นมาสักครั้ง และบุรุษเหล่านั้น แม้ได้ยกย่องเป็นฮองเฮา แต่ก็เป็นแค่เครื่องมือให้กำเนิดลูกมังกรเท่านั้น ไม่เคยมีมาก่อนว่า มังกรเขียวที่เป็นบุรุษ เมื่อคลอดลูกมังกรแล้วจะมีชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของฮองเต้สักคน'

"เรื่องก็เป็นอย่างที่ข้าเล่านี่แหละ ข้าเล่าโดยย่อๆเพราะเวลาไม่เอื้ออำนวยหากท่านอยากฟังต่อเชิญที่อารามของข้า" ใบหน้าของนักพรตเจินหยวนยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม 

"ถ้าเช่นนั้น ข้าสามารถมีลูกได้เหรอ" เหม่ยฟางถามออกไปโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง

"ย่อมได้ ท่านเป็นถึงมังกรเขียวเชียวนะ องค์หนี่วา เองก็เป็นมังกรเขียวผู้ให้กำเนิดมังกรทอง แล้วใยท่านจะให้กำเนิดลูกไม่ได้"

"แต่องค์หนี่วา เป็นสตรี แต่ข้าเป็นบุรุษ" เหม่ยฟางตอบเสียงอ่อย

"ท่านเป็นถึงมังกรเขียวย่อมให้กำเนิดลูกได้อย่างแน่นอน สิ่งที่ข้าจะเตือนท่านคือ ห้ามมีสัมพันธ์กับบุรุษอื่นนอกจากผู้ที่จะขึ้นเป็นองค์ฮองเต้เด็ดขาด หากท่านตั้งครรภ์ขึ้นมาจะเกิดเรื่องยุ่ง นี่คือสิ่งที่ข้ามาเตือนท่าน ท่านได้เลือกแล้วใช่หรือไม่ว่าใครจะมาเป็นองค์ฮองเต้คนต่อไป"

"คือข้า..." เหม่ยฟางลังเลที่จะตอบ

"เอาเถอะข้าไม่ได้มาซักถามว่าท่านต้องการให้ใครเป็นองค์ฮ่องเต้"

แอ๊ด!

"เหม่ยฟาง องค์ชายรองเสด็จกลับมาแล้ว อีกไม่กี่ก้าวจะมาถึงที่นี่แล้ว" เป็นอวี๋เหวินเต๋อที่วิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้อง หน้าตาตื่นเอ่ยยอกด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

"แย่ล่ะ เจ้ารั้งเขาไว้ก่อน ข้าขอเวลาสักครู่"

"ได้ เจ้ารีบกลายร่างเป็นงูเขียวเถอะ" ว่าจบจึงรีบออกไปรั้งจ้าวหย่งเจิ้งเอาไว้

"ท่านยังไม่ได้บอกองค์ชายรองว่าท่านเป็นมังกรเขียวหรอกหรือ" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าแปลกใจ

"ยังไม่ได้บอก แล้วอีกอย่างเขาไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ท่านนักพรตได้โปรดอย่าบอกเรื่องนี้กับเขา" เหม่ยฟางถือวิสาสะคว้ามือของนักพรตเจินหยวนมากุมไว้พร้อมส่งสายตาอ้อนวอน จนทำให้หัวใจที่ไม่เคยสั่นไหวต่อสิ่งใดของท่านนักพรตเจินหยวนต้องสั่นคลอน

"ขะ ข้าเข้าใจแล้ว ได้โปรดสำรวมกับข้าด้วย" นักพรตเจินหยวนชักมือกลับ ตีสีหน้าเรียบเฉยไม่ให้เหม่ยฟางสังเกตุอาการเก้อเขินของตน  มิคาดคิดเลยว่าเสน่ห์ของบุรุษมังกรเขียวจะรุนแรงเช่นนี้ 

"ข้าขออภัย" เหม่ยฟางก้มหน้าขอโทษ ก่อนกลายร่างเป็นงูเขียวขดตัว นอนอยู่บนโต๊ะ

"ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว วันหน้าข้าจะมาเยี่ยมใหม่" นักพรตเจินหยวนเอ่ยปาก เหม่ยฟางในร่างงูจึงผงกหัวรับก่อนนอนขดตามเดิม

"ท่านนักพรต ท่านจะกลับแล้วหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเมื่อเห็นนักพรตเจินหยวนก้าวเท้าออกมาจากตำหนีกของตน

"พอดีข้าน้อยติดธุระ จึงขอตัวกลับก่อน"

"ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่รั้งท่านไว้ เชิญ" จ้าวหย่งเจิ้งผายมือออกไปด้านข้าง นักพรตเจินหยวนโค้งศีรษะเพียงเล็กน้อยก่อนสาวเท้าออกไป

"องค์ชายรองเสด็จกลับมาเหนื่อยๆ ข้าน้อยเตรียมน้ำร้อนไว้ให้ท่านแล้วพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าว ก่อนเดินเข้าไปในตำหนักเพื่อจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย จึงเหลือเพียงจ้าวหย่งเจิ้ง กับขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่

"เสี่ยวจื่อหยี่ เจ้าเหม่ออะไร" จ้าวหย่งเจิ้งมองขันทีน้อยด้วยความแปลกใจปกติแล้วเสี่ยวจื่อหยี่ค่อนข้างกระตือรือร้นมาก ใยวันนี้ดูเหม่อลอยชอบกล

"เรียนองค์ชาย องค์ชายพาบุรุษรูปงามมาจากที่ใดพะยะค่ะ งดงามหาใดเปรียบจริงๆ" เสี่ยวจื่อหยี่หลุดปากออกไปไม่ทันคิด จนจ้าวหย่งเจิ้งขมวดคิ้วมุ่น

"บุรุษรูปงาม?" จ้าวหย่งเจิ้งทวนคำ

"ขอรับ งดงามยิ่งกว่าสตรีใดในวังหลังเสียอีก" คำตอบของเสี่ยวจื่อหยี่ ยิ่งทำให้จ้าวหย่งเจิ้งมั่นใจว่า คนผู้นั้น คือ เหม่ยฟาง เป็นแน่ ที่แท้เจ้าก็แอบตามข้ามาสินะ

"รู้หรือไม่ว่าพักอยู่ห้องใด"

"เอ่อ น่าจะเป็นห้องทางปีกซ้ายติดกับห้องขององครักษ์อวี๋พะย่ะค่ะ" เสี่ยวจื่อหยี่ ตอบออกไปโดยไม่รู้ว่าเรื่องที่เหม่ยฟางอยู่ที่นี่เป็นความลับสำหรับจ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้าทำดีมาก อย่าบอกเรื่องนี้กับอวี๋เหวินเต๋อ เข้าใจไหม"

"เข้าใจพะย่ะค่ะ" แม้จะตอบว่าเข้าใจ แต่ความสงสัยยังคงเก็บไว้ในใจ มิอาจเอ่ยถามออกไปได้

ตกดึกบรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ จ้าวหย่งเจิ้งลอบแอบออกจากห้อง เพื่อไปยังห้องทางปีกซ้ายเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนได้ยินมา แต่เพียงก้าวขาเข้าไปกลับได้ยินเสียง ดังแปลกๆ จึงเจาะรูที่หน้าต่างเพื่อแอบมอง คนในห้อง ปรากฏภาพ เจ้างูเขียวที่เขาพามาด้วยกับ อวี๋เหวินเต๋อ คล้ายกับคุยกันอยู่

"เหม่ยฟาง เจ้ากลับร่างคนได้แล้ว เจ้าอยู่ร่างนี้คล้ายข้าเป็นคนบ้าคุยคนเดียวยังไงยังงั้น"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (นั้นมันเรื่องของเจ้าพี่อวี๋ ท่านอยากเคร่งกฏระเบียบกับข้าทำไม) "หากเจ้าไม่คืนร่างข้าจะมอบจุมพิตให้เจ้า"

ฉึก! ฉึก! ฉึก!

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้ากล้าเหรอ ถ้าเจ้ากล้าข้าจะฉกเจ้าให้พรุนเลย) ไม่ว่าเปล่าเจ้างูน้อยเหม่ยฟาง ก็ระดมฉกอวี๋เหวินเต๋อ

"โอ๊ยๆๆ มันเจ็บนะเหม่ยฟาง ถ้าไม่ฟังข้าจะจูบเจ้าจริงๆ" อวี๋เหวินเต๋อคว้า คองูเขียวขึ้นมา พลางยื่นปากเจ้าไปใกล้หมายจะจูบให้อีกฝ่ายคืนร่าง

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (หยุดนะ หยุด นี่ข้าเป็นงู เจ้าก็คิดจะล่วงเกินข้าหรือไง)

"เจ้าจะคืนร่างหรือไม่เล่า" อวี๋เหวินเต๋อยื่นหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น จนเหม่ยฟางทนไม่ไหวจำต้องกลายร่างเป็นคนสองมือดันหน้าอวี๋เหวินเต๋อออกห่างจากตน

"ข้าคืนร่างแล้ว พอใจเจ้าหรือยัง"

ภาพที่จ้าวหยางเจิ้งเห็นทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดเลยสักนิดว่า มังกรเขียวที่เขาตามหา กับคนที่ทำให้จิตใจของเขาไขว่เขวจะเป็นคนคนเดียวกัน จ้าวหย่งเจิ้งถอยหลัง ไปชนเข้ากับกระถางต้นไม้จนหล่นแตก ทั้งเหม่ยฟาง ทั้งอวี๋เหวินเต๋อ หันไปมองทางหน้าต่าง เมื่อเปิดออกไปกับไม่พบใครแม้แต่คนเดียว แต่บริเวณที่กระถางแตกกับมีแมวอยู่แทน

"เกิดอะไรขึ้น" เหม่ยฟางเอ่ยถาม

"แมว สงสัยหลุดเข้ามา วิ่งชนกระถางต้นไม้หล่นแตก" เหม่ยฟางพยักหน้ารับคำตอบ

"เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าง่วงแล้ว"

"อืม เจ้าพักผ่อนเถอะ"

จ้าวหย่งเจิ้งได้รับรู้ความจริงที่ถูกปิดซ่อนไว้ ไม่คิดเลยว่าตนจะถูกคนที่ไว้ใจที่สุดปิดบังเรื่องราวไว้

"โชคดีนักที่มีเจ้าแมวหลงนั่นเข้ามา ไม่เช่นนั้นข้าคงโดนจับได้" ระหว่างหาทางหลบหนีหลังจากทำกระถางต้นไม้หล่นแตก เขาเหลือบไปเห็นเจ้าแมวหลงทางอยู่บนกำแพงจึงจับมันโยนเข้ามาตรงกระถาง ส่วนเขาก็หลบอยู่บนหลังคาหลังจากอวี๋เหวินเต๋อกลับห้องไปจึงลอบกลับห้องตนเอง

"ข้าคงต้องวางแผนจับงูเขียวให้อยู่หมัดเสียแล้ว"

"เช้าวันใหม่ จ้าวหย่งเจิ้งเดินตรงเข้าไปในห้องของอวี๋เหวินเต๋อ เมื่อเห็นอวี๋เวินเต๋อกำลังหลับอยู่บนเตียงจึงใช้มือสะกิดเพียงเล็กน้อย เมื่ออวี๋เหวินเต๋อลืมตาขึ้นถึงกับสะดุ้งตกใจ ไม่คิดว่าผู้เป็นนายจะเข้ามาในห้องตน

"องค์ชายรอง?"

"ก็ข้าน่ะสิ รีบตื่นข้าจะออกไปเดินเล่น"

"พะย่ะค่ะ" "เช่นนั้น ข้าไปเอาฟางน้อยก่อน"

"ฟางน้อย? ห๊ะ!!! มะ ไม่ได้นะองค์ชายเดี๋ยวข้าน้อยไปนำมันมาให้พะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยเสียงตะกุกตะกักลนลาน

"ไม่จำเป็น เจ้าจัดการธุระให้เสร็จเถอะ"

"แต่ว่า..."

"นี่คือคำสั่ง" เมื่อผู้เป็นนายเอ่ยปากออกมาเช่นนี้คนเป็นบ่าวมีหรือที่จะกล้าขัดใจจึงจำยอมแต่โดยดี

แอ๊ด!

เสียงประตูห้องด้านข้างของอวี๋เหวินเต๋อถูกผลักออก ร่างสูงสง่าของจ้าวหย่งเจิ้งก้าวเข้าไปในห้อง เขาสำรวจมองรอบห้อง แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงเดินตรงไปที่เตียง พบเพียงงูเขียวนอนขดอยู่

'รู้ตัวก่อนงั้นหรือ' จ้าวหย่งเจิ้งคิดในใจ มองร่างงูเขียวที่กำลังนอนหลับ 

"ฟางน้อย เจ้าตื่นไปเดินเล่นกับข้าหน่อยนะ" เมื่อเห็นเจ้างูเขียวนอนนิ่งเขาจึงถือวิสาสะจับมันขึ้นมาแล้วใส่เข้าไปในแขนเสื้อ เมื่อเจ้างูน้อยเหม่ยฟาง ถูกจับจึงสะดุ้ง ตัวโหยงมองคนที่จับตัวตน เมื่อเห็นเป็นจ้าวหย่งเจิ้ง จึงเลื้อยเข้าไปพันที่แขนของเขา

'โชคดีจริงที่ข้ากลายร่างเป็นงูช่วงฟ้าสาง มิเช่นนั้นคงถูกจับได้เป็นแน่ เฮ้อ~' เหม่ยฟางรอบถอนหายใจ ด้วยความโล่งอก

จ้าวหย่งเจิ้งลอบมองท่าทีของเจ้างูเขียวที่อยู่ในแขนเสื้อ เมื่อเห็นท่าทางโล่งอกจึงอดกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้

'ในเมื่อพวกเจ้าบังอาจปิดบังข้า ข้าจะกลั่นแกล้งให้พวกเจ้าหัวหมุนกันเชียว หึหึ'

อวี๋เหวินเต๋อเมื่อจัดแจงตนเองเรียบร้อยจึงรับออกจากห้องด้วยหน้าตาตื่นเพราะกลัวผู้เป็นนายจะจับได้ว่าตนปกปิดเรื่องสำคัญ

"องค์ชายรองจะเสด็จที่ใดพะย่ะค่ะ"

"ข้าจะไปเดินเล่นในตลาด" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงเรียบ อวี๋เหวินเต๋อได้แต่นิ่งรับคำบัญชา

"เชิญเสด็จองค์ชาย ข้าน้อยสั่งคนเตรียมเกี้ยวไว้แล้ว"

"ไม่จำเป็นข้าจะเดินไป" "น้อมรับบัญชา"

"ฟางน้อยเจ้าขึ้นมาอยู่บนอกข้าดีหรือไม่" ว่าแล้วก็จับเจ้างูน้อยในแขนเสื้อมาใส่ไว้ในอกแทน

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ"(ข้าอยากจะขึ้นไปอยู่บนหัวเจ้าเสียมากว่า) เจ้างูน่อยส่งเสียงประท้วง

"หึหึ ข้าคงให้เจ้าขึ้นมาอยู่บนหัวไม่ได้หรอกนะ ถ้าเป็นที่คอก็ได้อยู่" เจ้างูได้ยินถึงกับผงะ ไม่คิดว่าจ้าวหยางเจิ้งจะรู้ว่าตนคิดอะไร

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้าฟังข้ารู้เรื่องหรือไง)

"ข้าฟังเจ้าไม่รู้เรื่องหรอก สบายใจได้ ข้าสังเกตุจากท่าทางของเจ้าต่างหากล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งตอบพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นเจ้างูเลื้อยขึ้นนมาอยู่บริเวณคอของตน

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (นี่ขนาดฟังข้าไม่รู้เรื่องเจ้ายังตอบข้าได้ ชิ)

"อุ๊บ..." เป็นอวี๋เหวินเต๋อที่ฟังเหม่ยฟางกับจ้าวหย่งเจิ้งโต้ตอบกัน จนอดที่จะกลั้นขำไว้ไม่อยู่ ซึ่งไม่รอดพ้นสายตาของเหม่ยฟางกับจ้าวหย่งเจิ้ง

"มีอะไรน่าขำ" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่เอ่ยปากถามเมื่อเห็นคนสนิทกลั้นขำสุดชีวิต

"ปะ เปล่า พะย่ะค่ะ เชิญเสด็จเถอะองค์ชายรอง"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (หนอย พี่อวี๋หัวเราะข้างั้นเหรอ เดี๋ยวก็ฉกให้) พูดจบก็พุ่งตัวหมายจะฉกอวี๋เหวินเต๋อ แต่เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่ดึงหางเอาไว้จึงไม่สามารถทำอะไรได้

"อย่าดื้อสิ เป็นเด็กดีนะ" เมื่อดึงเจ้างูเขียวน้อยเหม่ยฟางกลับมาได้จึงลูบหัวลูบหางให้เจ้างูน่อยอยู่นิ่งๆ จนทำให้อวี๋เหวินเต๋อแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่

"ฮึ ฮึ" "ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ฝากไว้ก่อนเถอะ) เหม่ยฟางหันหน้าหนีคล้ายกำลังงอนจนจ้าวหย่งเจิ้งใองด้วยความเอ็นดู

เช้าจรดเย็นจ้าวหย่งเจิ้งพาเจ้างูน้อยเหม่ยฟางเดินเที่ยวจนทั่วตลาด ผู้คนคึกคีก ข้าวของล้วนแปลกตาจนเหม่ยฟางรู้สึกตื่นเต้นไปกับมัน 

"เจ้าชอบที่นี่ไหม หากชอบข้าจะพามาเที่ยวบ่อยๆ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนกับเจ้างูเขียวเหม่ยฟาง เหม่ยฟางได้แต่ผงกหัวรับเพื่อเป็นการตอบ

"องค์ชายนี่ก็เย็นมากแล้วเชิญเสด็จกลับเถอะพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวทักท้วงเมื่อเห็นว่าเริ่มเย็นมากแล้ว

"งั้นกลับกันเถอะ เจ้าอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมข้าจะให้คนเตนียมให้เจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงเรียบไต่ถามเจ้างูน้อยเหม่ยฟาง เหม่ยฟางส่ายหัวไปมา วันนี้เขาได้ทานอะไรไปตั้งมากมาย จนท้องเขาบวมขนาดนี้ เขาคงทานอะไรไม่ลงแล้วล่ะ

ระหว่างกลับตำหนักจ้าวหย่งเจิ้งเอาแต่พูดกับเจ้างูเขียว จนเป็นเรื่องเป็นราว และส่วนมากจะเป็นคำถามที่ต้องตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ หรือที่แสดงท่าทางออกมาได้ อวี๋เหวินเต๋อมองผู้เป็นนายด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เขารู้สึกว่า ผู้เป็นนายของเขาเอ็นดูเจ้างูเขียวนี้จนเกินวิสัย ที่เคยจะเป็น หรือเป็นเพราะเขารู้สึกไม่ค่อยชอบใจที่เจ้างูน้อยเหม่ยฟางยอมเออออสนิทสนมกับจ้าวหยางเจิ้งจนเกินไป บางครั้งก็ชอบเอาหัวคลอเคลียบริเวณปลายคางจนจิตใจเขากระตุกอยู่บ่อยครั้ง

'ใจข้าใยกระวนกระวายยิ่งนักนี่มัน คืออะไรกันแน่ ใยข้ารู้สึกไม่ชอบใจเช่นนี้'

อาทิยต์ใกล้จะลับขอบฟ้า พวกจ้าวหย่งเจิ้งเดินทางกลับมาถึงตำหนีกเรียบร้อยเมื่อกำลังจะก้าวเท้าเข้าตำหนัก ขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ก็รีบวิ่งเข้ามาหาก่อนจะรายงานว่า

"เรียนองค์ชายรอง เหล่าองค์ชายทั้ง5มารอเข้าพบพะย่ะค่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งหน้าตึงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินว่าเหล่าบรรดาพี่น้องของเขามาเยือนถึงตำหนัก เมื่อก้าวเท้าเข้าไป กับมีแรงกดดันมากมายที่ส่งมาที่เขา

"พี่ใหญ่ น้องสาม น้องสี่ น้องห้า ไม่ทราบว่าพวกท่านมาเยือนตำหนักข้าด้วยเรื่องอันใด" จ้าวหย่งเจิ้งก้าวเสียงเรียบพร้อมรอยยิ้มที่เสแสร้ง

"น้องรอง ข้าได้ข่าวว่าเจ้าได้พามังกรเขียวกลับมาด้วย ไหนล่ะ ขอให้ข้ายลโฉมสักครั้งได้หรือไม่" หย่งเฟิ้ง โอรสคนโตกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย

"นั่นสิ พี่รอง ท่านนักพรตเจินหยวนเป็นคนเอ่ยปากเองว่าท่านพามังกรเข้าวังมา ไหนล่ะมังกรเขียว" เป็น หย่งจิ้ง โอรสคนที่สี่เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
 "ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าพูดอะไรกัน ข้าไม่ได้นำพาใครกลับมาเสียหน่อย" จ้าวหย่งเจิ้ง กล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ

"โกหก ความจริงท่านคิดจะเก็บเอาเพียงคนเดียวถึงไม่ให้พวกข้าได้เห็นสินะ" หย่งเฝิง โอรสคนที่สามกล่าวด้วยท่าทางผยองไม่เคารพความเป็นพี่ของจ้าวหย่งเจิ้ง

"พอเถอะท่านพี่ พวกท่านก็ได้ยินแล้วว่าพี่รองไม่ได้พาใครมาใยยังคาดคั้นพี่รองอีก" หย่งฟง โอรสคนสุดท้ายกล่าวทัดทานพี่ชายทั้งหมด เขาไม่อยากให้พี่รองต้องลำบากใจ

"เจ้าถอยออกไปหย่งฟง เจ้าคนอ่อนแอ"

พลั่ก!!!

หย่งเฝิงเดินเข้ามาผลักกายหย่งฟงจนเซถอยหลัง โชคดีที่อวี๋เหวินเต๋ออยู่ใกล้ๆจึงประคองรับได้ทัน ไม่เช่นนั้นคงล้มก้นกระแทก

"ขอบใจท่านองครักษ์อวี๋" หย่งฟงกเมหน้าหลบความเขินอายที่ต้องถูกอสี๋เหวินเต๋อโอบเอวไว้

"มิเป็นไรพะย่ะค่ะ องค์ชายห้า" อวี๋เหวินเต๋อเมื่อเห็นว่า หย่งฟง พยุงตัวยืนได้แล้วจึงปล่อยมือจากเอวอีกฝ่าย โดยไม่ได้สนใจสีหน้าของหย่งฟงว่าเป็นเช่นไร แต่ไม่พ้นสายตาของเหม่ยฟางที่ลอบมองอยู่

'องค์ชายห้าทรงมีใบหน้างดงามยิ่งนักแม้ไม่หล่อเหลาเท่าหย่งเจิ้งก็ตาม แต่ดูแล้วคงจะมีใจให้พี่อวี๋เป็นแน่'

"น้องสามเจ้าทำเกินไปหรือไม่ใยต้องทำร้ายน้องห้าเช่นนี้" จ้าวหย่งเจิ้งเอายด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

"ข้าจะทำเช่นไรมันสิทธิของข้า แล้วไหนล่ะมังกรเขียวที่เขาร่ำลือกัน ขอให้ข้า จ้าวหย่งเฝิงได้ชมเป็นบุญตาหน่อยเถอะ" หย่งเฝิงกล่าวอย่างไม่สนใจผู้ใด

"หยุดเถอะน้องสาม เจ้าทำเกินกว่าเหตุแล้วนะ" หย่งเฟิ้งกล่าวทัดทานอีกคน

"ใยข้าต้องหยุด ข้าสามารถทำทุกอย่างที่ข้าต่องการได้ใยข้าต้องเกรงกลัวผู้ใด"

"หย่งเฝิง!!!" เสียงอันดังตวาดลั่น จ้าวหย่งเจิ้งหมดความอดทนกับคนผู้นี้เสียแล้ว

"ท่านกล้าขึ้นเสียงกับข้างั้นเหรอ" หย่งเฝิงยังไม่ยอมหยุดคิดหาเรื่องกับจ้าวหย่งเจิ้งต่อ

"น้องรองข้ากับน้องๆขอตัวก่อน ไป กลับได้แล้วน้องสาม เจ้าทำเกินไปแล้ว" หย่งเฟิ้ง ฉุดดึง น้องชายอย่สงสุดกำลัง แต่หย่งเฝิงกับไม่ขยับตามที่เขาดึง ทั้งยังสะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุมอีก

"พี่ใหญ่ท่านอยากกลับก็กลับไปแต่ข้าไม่ ข้าจะรอดูมังกรเขียวที่นี่"

"ตามใจเจ้า เจ้าสองคนกลับไปพร้อมข้า" หย่งเฟิ้งหมดความอดทนเช่นกัน เขาไม่ได้คิดจะมาหาเรื่องเพียงแค่อยากเห็นมังกรเขียวเท่านั้น เมื่อหย่งเฝิงไม่ฟังเขาก็ไม่รั้ง เช่นนั้นจึงเรียกน้องๆอีกสองคนให้กลับ ไปพร้อมตน

"ไหนล่ะมังกรเขียว" หย่งเฝิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

"กลับไป" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

"ให้ข้าเห็นมังกรเขียวก่อน"

"ข้าบอกให้กลับไป" จ้าวหย่งเจิ้งตวาดเสียงขึ้นอีกครั้ง

"ท่านมีสิทธิ์อันใดมาตวาดข้า ข้าไม่กลับ"

"ที่นี่มันตำหนักของข้า ข้าย่อมมีสิทธิ์"

"เรื่องนั้นข้าไม่สน"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (คนอะไรดื้อด้านนักข้าชักหมดความอดทนแล้วนะ) จ้าวหย่งเฝิงที่ไมทันตั้งตัวถูกเจ้างูเขียวเหม่ยฟางฉกใส่ จนต้องร้องเสียงหลง

"ว๊ากกกก พี่รองเจ้าให้งูมากัดข้างั้นเหรอ ข้าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ" หย่งเฝิงร้องโวยวายไม่คิดว่าจะมีงูโผล่มากัดตน

เพี๊ยะ!!!

รอยนิ้วทั้งห้าปรากฏบนแก้มของหย่งเฝิง แต่นั่นไม่ใข่ฝีมือของจ้าวหย่งเจิ้งแต่กลับเป็นของเหม่ยฟางที่เผลอลืมตัวกลายร่างต่อหน้า จ้าวหย่งเจิ้ง และจ้าวหย่งเฝิง

"เจ้าเป็นเด็กหรือไรถึงได้ร้องโวยวายจะฟ้องพ่อฟ้องแม่" เหม่ยฟางต่อว่าต่อขานหย่งเฝิง เพราะตนหมดความอดทนกับความเอาแต่ใจของจ้าวหย่งเฝิง

"เจ้า เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาตบหน้าข้า" หย่งเฝิงเอ่ยเสียงติดขัด ไม่ใช่เพราะเจ็บที่โดนตบแต่เป็นเพราะความงามที่ปรากฏในสายตาต่างหาก

"หากเจ้าไม่หยุดพูดอีก ข้าจะตบเจ้าอีกครั้ง"

"ฟางเอ๋อร์!" เสียงเรียกชื่อตน ทำให้เหม่ยฟางชะงักเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตนดันกลายร่างต่อหน้าจ้าวหย่งเจิ้ง

"ตายล่ะ!" เหม่ยฟางหันไปมองผู้ที่ขานชื่อตน ก่อนตบหน้าผากตนเองแรงๆหนึ่งครั้ง ว่าตนได้ทำเรื่องผิดพลาดไปเสียแล้ว

"หย่งเจิ้ง แฮ่ๆ" เหม่ยฟางเรียกชื่อคนตรงหน้าก่อนส่งยิ้มแห้งกลับไป 

"เฮ้อ~ ว่าแล้วเชียว"  อวี๋เหวินเต๋อ ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะไปมา

"เจ้าคือมังกรเขียวสินะ" เป้นเสียงของหย่งเฝิงที่เอ่ยขัดบรรกาศ ก่อนคว้ามือเหม่ยฟางมากุมไว้ "เอ่อ...ชะใช่" เหม่ยฟางตอบเสียงอ่อย

"ประทับใจข้ามาก"

"ห๊ะ!!!"

"ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครกล้าตบตีข้า เจ้าเป็นคนแรก ที่ทำ ข้าประทับใจจริงๆ" เพียงจบคำพูดของหย่งเฝิง เหม่ยฟางก็รับรู้ได้ในทันทีว่า จะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นกับเขาอย่างแน่นอน...

หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 11 ความจริงเปิดเผย) {21-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-06-2017 21:42:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 11 ความจริงเปิดเผย) {21-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 21-06-2017 22:02:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 11 ความจริงเปิดเผย) {21-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 21-06-2017 23:13:11
 :m3: ตอนฟางๆ ออกมากลายร่างดูเร็วๆไปนิดนึงแฮะ รู้สึกไปคนเดียวหรือเปล่าน้า ถ้ามีมุมของฟางๆตอนที่เจิ้งเถียงกับพี่น้องอยู่คงจะเข้าใจอารมณ์อยู่มั้ง? :m28: o2
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 11 ความจริงเปิดเผย) {21-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mam79 ที่ 25-06-2017 00:24:12
พึ่งมาอ่าน สนุกดีค่ะ แต่สงสัยตังว่าหย่งเจิ้งอีกโลกตอนนี้เป็นไงมั่ง
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 12 เรื่องวุ่นๆในวังหลวง) {25-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 25-06-2017 21:20:32
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 12 เรื่องวุ่นๆในวังหลวง

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ข้าชักรำคาญเจ้าคนนี้แล้วนะ) เหม่ยฟางมองสองพี่ถกเถียงกันจนเกิดความไม่ชอบใจในตัวหย่งเฝิง ประมาณหมั่นไส้ คนเอาแต่ใจตน ทั้งยังไม่เคารพคนอื่นของหย่งเฝิง จนเผลอฉกเข้าที่แขนขององค์ชายสาม จ้าวหย่งเจิ้งก็ไม่คลาดคิดว่า เจ้างูน้อยเหม่ยฟางจะกระทำการเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรออหไปได้ หย่งเฝิงโวยวายจนเหม่ยฟางเริ่มหมดความอดทนเลื้อยลงจากตัวจ้าวหย่งเจิ้ง มาที่พื้นก่อนบังเกิดแสงสว่างสีเขียว เปลี่ยนร่างจากงูกลายเป็นคน พุ่งเข้าตบหน้าหย่งเฝิงที่โวยวายจะฟ้องบิดาฟ้องมารดาทัเงยังต่อว่าต่อขานหย่งเฝิง แต่ไม่คิดเลยว่าการกระทำนั้นของเขาจะทำให้เขาต้องมาปวดหัวเช่นนี้

ยามสอง เป็นเวลาที่เหม่ยฟางกำลังหลับสบายอยู่บนเตียง หากไม่มี เสียงรบกวนจากใครบางคนมาปลุกเขาเอาเวลาเช่นนี้

"ฟางน้อย ฟางน้อย วันนี้ข้าก็มาหาเจ้าอีกแล้วนะ ฟางน้อยเจ้าตื่นหรือยัง" เสียงร้องตะโกนส่งเสียงโหวกเหวกของหย่งเฝิง มันช่างทำให้คนที่กำลังหลับสบายเกิดความรำคาญใจเป็นที่สุด ทั้งยังถือวิสาสะเข้ามาในห้องของเขาตามอำเภอใจอีก

"มารดาเจ้าเถอะ เข้าทำอะไรในห้องข้า" น้ำเสียงติดหงุดหงิดของเหม่ยฟางเอ่ยถามทั้งยังสบถด่าทออย่างไม่ชอบใจ ลุกขึ้นนั่งขัดตะหมาดมองคน

"ข้ามาเล่นกับเจ้า"หย่งเฝิงยิ้มระรื่นไม่ใส่ใจต่อสีหน้า คำด่าว่าที่ไม่สบอารมณ์ของเหม่ยฟาง

"เล่นบ้าเล่นบออะไรของเจ้านี่มันยามใด ออกไปจากห้องข้าเดี๋ยวนี้" เหม่ยฟางตวาดเสียงไล่หย่งเฝิงออกจากห้อง

"ยามสอง ข้าแค่อยากมาเล่นกับเจ้าก่อนจึงจะกลับไปว่าราชกิจกับพวกพี่ๆตอนยามสาม" หย่งเฝิงตอบทั้งรอยยิ้มไม่สนใจใบหน้าที่อยากจะกินเลือดกินเนื้อเขาแม้สักนิด

"ข้าไม่เล่น ข้าจะนอน เจ้ากลับไปซะ ไม่งั้นข้าจะตีเจ้า" ยิ่งเหม่ยฟางเอ่ยขู่เช่นนี้กับทำให้หย่งเฝิงยิ้มร่าขึ้นไปอีก จนมองแล้วรู้สึกขัดใจ ง้างมือทำท่าจะตี

"เจ้าจะตีข้าจริงเหรอ ข้าอยากโดนฝ่ามือนุ่มของเจ้าตี" เหม่ยฟางต้องชะงักเก็บมือลง ไม่กล้าแม้แต่จะตีหย่งเฝิงอีก ใครจะไปคิดว่าจะมีคนอยากโดนเขาตีกัน

"ไสหัวไป" เหม่ยฟางส่งเสียงอันดัง จนคนที่อยู่ห้องๆ อย่างอวี๋เหวินเต๋อ ถึงกับสะดุ้งตื่น ออกจากห้องมาช่วยไกล่เกลี่ย

"องค์ชายสามท่านมาทำอะไรที่ตำหนักจิงเหรินกงพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อ กล่าวทักเมื่อเห็น องค์ชายสามอยู่ในห้องของเหม่ยฟาง

"เจ้านั้นแหละเข้ามาทำอะไรในห้องของฟางน้อย" แต่เป็นหย่งเฝิงทึ่ถามยอกย้อนเขาแทน

"ข้าน้อยได้ยินเสียงเหม่ยฟางจึงมาดู หากเหม่ยฟางยังเสียงดังเช่นนี้ องค์ชายรองทรงมาพบคงไม่พอใจเป็นแน่"

"ใครสนกัน คนที่ข้าสนคือ ฟางน้อยต่างหาก"

"แต่ข้ารำคาญเจ้า กลับไป ข้าจะนอน" เหม่ยฟางตวาดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ ก็ทำให้ จ้าวหย่งเจิ้งที่อยู่ทางปีกขวาได้ยิน

"เสียงของฟางเอ๋อร์" จ้าวหย่งที่กำลังหลับได้ยินเสียงของเหม่ยฟางดังมาทางปีกซ้ายจึงลุกออกจากเตียง เพื่อเดินไปดูเจ้าของเสียง ยิ่งเข้าใกล้ปีกซ้ายมากเท่าไหร่กับได้ยินเสียงดังมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมาถึงจึงพบว่า หย่งเฝิง น้องชายคนที่สามของตนก็อยู่ที่นั่นด้วย ทั้งยังมีอวี๋เหวินเต๋อคอยกันหย่งเฝิงออกจากเหม่ยฟางอีก

"นี่มันเรื่องอะไร หย่งเฝิงเจ้ามาทำอะไรที่นี่"

"ข้ามาเล่นกับฟางน้อย" หย่งเฝิงตอบโดยไม่สนใจสีหน้าของคนอื่น"ในยามวิกาลเช่นนี้เนี่ยนะ" จ้าวหย่งเจิ้งถามเสียงสูง

"แล้วอย่างไร ข้าแค่อยากเล่น"

"เล่นอะไรของเจ้า ในยามวิกาลเช่นนี้"

"โธ่ ท่านพี่ ท่านอย่าแกล้งโง่หน่อยเลย ข้ามายามวิกาลเช่นนี้จะเล่นอะไรได้นอกจาก..." หย่งเฝิงหันไปจ้องมองเหม่ยฟางตาเป็นประกาย

"เจ้าคิดจะทำอะไรข้า ขะ ข้าเป็นบุรุษเช่นเจ้านะ" เหม่ยฟางกล่าว ทั้งยังขยับกายไปซ่อนอยู่หลังจ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้าเป็นบุรุษแลเวอย่างไร งดงามกว่าสตรีเช่นนี้ข้าไม่รังเกียจหรอกนะ" ทั้งคำพูดทั้งสายตาที่ส่งมาแทะโลมเหม่ยฟางจนรู้สึกขนลุกชัน เขาไม่เคยรู้สึกรังเกียจใครเช้นนี้มาก่อน

"องค์ชายรองข้าน้อยกล่าวทัดทานองค์ชายสามแล้วแต่ไม่เป็นผลพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อก้มคุกเข่าขออภัยที่ไม่อาจกันองค์ชายสามหย่งเฝิงออกห่างจากเหม่ยฟางได้

"เจ้าคืดว่าห้ามข้าได้หรือไง เป็นแค่ขี้ข้าอย่ามาสอดอรื่องเจ้านาย พลั่ก!!!" หย่งเฝิงเตะเจ้าไปที่ลำตัวของอวี๋เหวินเต๋อโดยไม่สนว่าผู้เป็นนายอย่างจ้าวหย่งเจิ้ง

"พี่อวี๋" เหม่ยฟางร้องเรียกเสียงหลง แม้อยากจะวิ่งเข้าไปดูอาการแต่ก็ไม่สามารถทำได้

"หยุดการกระทำของเจ้าซะ หย่งเฝิง ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจ" จ้าวหย่งเจิ้ง กระชากร่างของหย่งเฝิงออกมาจากอวี๋เหวินเต๋อ

"ทำไมข้าต้องเชื่อท่าน ถอยไปข้าจะสั่งสอนมัน พลั่ก!!! " หย่งเฝิงทั้งเตะทั้งถีบจนอวี๋เหวินเต๋อล้มลงไปนอนกับพื้น แม้ลุกขึ้นมาก็จะถูกถีบถูกเตะให้ล้มลงไปนอนกับพื้นเช่นเดิม

"ข้าบอกให้หยุดไง" จ้าวหย่งเจิ้งหมดความอดทนซัดฝ่ามือใส่หน้าอกหย่งเฝิงจนล้มลงไปกับพื้น

"ท่านกล้าทำร้ายข้า ข้าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ" หย่งเฝิงกระอักเลือดออกมาก่อนลุกขึ้นยืนชี้หน้า

"เชิญ ถ้าเจ้ากล้า ข้าก็กล้าที่จะกราบทูลเสด็จพ่อเช่นกันว่าเจ้าบุกรุกตำหนัก ทั้งยังเข้ามาทำร้ายคนของข้าอีก" จ้าวหย่งเจ้งกล่าวเสียงเรียบทั้งยังแฝงความเย็นชาอยู่หลายส่วน

"ฝากไว้ก่อนเถอะ" หย่งเฝิงกำหมัดแน่นสะยัดชายเสื้อเดินจากไปด้วยความโมโห

"พี่อวี๋ท่านเป็นอย่างไรบ้าง" เหม่ยฟางเข้าไปพยุงร่างอวี๋เหวินเต๋อให้ลุกขึ้น ร่างกายบอบช้ำอย่างเห็นได้ชัด

"ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าอย่าห่วงเลย" อวี๋เหวินเต๋อตอบทั้งยังอดทนเก็บอาการบาดเจ็บไว้ไม่เอ่ยปากออกมา

พลั่ก!!!

"โอ๊ย!!!" จ้าวหย่งซัดฝ่ามือเพียงหนึ่งส่วนใส่ร่างอวี๋เหวินเต๋อ จนต้องร้องออกมา แม้จะไม่รุนแรงมาก แต่ร่างกายที่บาดเจ็บอยู่จึงต้านไว้ไม่ไหว 

"เจ้าทำอะไร ทำไมถึงทำร้ายพี่อวี๋อีก" เหม่ยฟางร้องโวยวายเมื่อเห็นจ้าวหย่งเจิ้งซัดฝ่ามือใส่อวี๋เหวินเต๋อ

"เขาอยากปากแข็งว่าไม่เจ็บไม่ปวด ข้าแค่ทดสอบความจริงจากเขาเท่านั้น บังอาจปิดบังข้าไว้แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยนัก ไปพักผ่อนซะหากไม่หายดีอยาามาให้ข้าเห็นหน้า" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงเรียบ แล้วเดินจากไป นี่ก็ปาเขเาไปยามสาม แล้ว เขาต้องเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเหมือนกับพี่น้องคนอื่นๆ

"องค์ชายรอง ข้าน้อยจะตามเสด็จท่าน" อวี๋เหวินเต๋อดื้อแพ่ง จะตามไปด้วย แต่กลับถูกสายตาเย็นเยียบของจ้าวหย่งเจิ้งจึงต้องก้มหน้ารับคำตัดสิน

"หากยังคิดจะตามข้าไปอีก ข้าจะปลดเจ้าเดี๋ยวนี้"

"ข้าน้อยสมควรตายที่ไม่อาจทำหน้าที่ให้พระองค์ได้"

"หุบปากของเจ้าซะ ฟางเอ๋อร์ข้าฝากอวี๋เหวินเต๋อด้วย" เมื่อเห็นเหม่ยฟางพยักหน้ารับจึงเดินจากไป

ทางด้านจ้าวหย่งเฝิง ที่ถูกหักหน้ามานั้น บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แม้จะเจ็บกาย แต่ใจนั้นกลับเจ็บยิ่งกว่า ไม่คิดเลยว่าจะถูกหักหน้าเช่นนี้

"บัดซบที่สุด อย่าให้ถึงทีข้าบ้างแล้วกัน หย่งเจิ้ง ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่" จ้าวหย่งเฝิงรู้สึกไม่สบายกายจึงไม่เข้าเฝ้าเสด็จ่ออย่างเคย ซึ่งในที่ประชุมคงมีแค่จ้าวหย่งเจิ้งเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จ้าวหย่งเฝิงเดินเที่ยวเล่นเพื่อสงบจิตใจ จนมาถึงหน้าประตูเมืองก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกเสียงดัง จึงเดินออกมาดู พบสตรีผู้งดงามชดช้อยอ่อนหวาน ร้องโวยวายหมายจะเข้าพบจ้าวหย่งเจิ้ง แต่ทหารไม่ยอมให้นางเข้าไปด้านใน จ้ทวหย่งเฝิงจึงเดินเข้าไปดูอยู่ห่างๆ

"ได้โปรดให้ข้าเข้าพบคุณชายจ้าวหย่งเจิ้งด้วยเถอะเจ้าค่ะ" นางร้องขอความเมตตา

"เจ้าเป็นใครถึงได้รู้จักท่านผู้นี้" ทหารนายหนึ่งเอ่ยถามทั้งยังกักตัวนางไว้ไม่ให้ย่างกายเข้ามา

"ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ ข้ามีเหตุด่วนจะแจ้งกับเขา" เมื่อจ้าวหย่งเฝิงได้ยินว่าเป็นเหตุด่วนยิ่งให้ความสนใจ เดินเข้าไปหาสตรีนางนั้นในทันที

"พวกเจ้าหลบไปก่อนข้าจะซักถามนางเอง" จ้าวหย่งเฝิงคลี่ยิ้ม โบกพัดในมือไปมา ท่วงท่าดูสง่า น่าเลื่อมใส ทั้งรูปร่างหน้าตา ยังหล่อเหลาคมคาย ยิ่งส่งเสริมให้ดูน่าเชื่อถือ เหล่าทหารเมื่อรู้ว่าคนนั้นคือใครก็คุกเข่าเคารพถอยให้บุรุษคนใหม่เดินเข้าไปหาสตรีผู้นั้น

"คุณชายท่านนี้คือ..." เมื่อนางเห็นบุรุษหนุ่มรูปงามนางจึงชะงักการกระทำก่อนเอ่ยถาม

"ได้ยินว่าเจ้ามีเหตุด่วนมาแจ้ง ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นอะไรกับคนคนนั้นหรือ" จ้าวหย่งเฝิงโบกพัดไปมาด้วยท่าทางสง่างามจนคนมองต้องยืนมองตาค้าง

"คือข้า เป็น เป็น" นางอ่ำอึ้งไม่อาจกล้าวออกมาได้ว่านางเป็นอะไรกับจ้าวหย่งเจิ้ง

"ว่าอย่างไรเล่า" จ้าวหย่งเฝิงคลี่ยิ้มเสน่ห์ให้นาง

"ข้า ข้าเป็นคนรักของเขา" นางแอบอ้างสถานะขึ้นมา จนจ้าวหย่งเฝิงถึงกับชะงักค้าง เลิกคิ้วมองนาง

"คนรัก?" จ้าวหย่งเฝิงทวนคำ มองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าโดยไม่เกรงใจว่านางจะคิดเช่นไร ก่อนคิดในใจว่า

'รูปร่างหน้างดงามอยู่หรอกแต่...ดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่คนรักของคนคนนั้น'

"ชะ ใช่" นางตอบเสียงสั่น ไม่รู้ว่า บุรุษตรงหน้าจะเชื่อเรื่องที่นางแอบอ้างหรือไม่

"ถ้าเช่นนั้นบอกข้าได้หรือว่าเรื่องอะไรที่แม่นางอยากจะแจ้งให้คนผู้นั้นทราบ" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยถามรอยยิ้มเต้าเล่ห์

"ใยข้าต้องบอกท่าน ข้าต้องการพบคุณชายจ้าวหย่งเจิ้งเท่านั้น" เสียงตอบฉะฉาน ดูไม่เกรงกลัวต่อบุรุษตรงหน้า

"เจ้าไม่บอกข้าคงให้เข้าไปด้านในไม่ได้" จ้าวหย่งเฝิงตอบเพื่อหยั่งสตรีตรงหน้า

"ท่านเป็นใคร ใยมีอำนาจไม่ให้ข้าเข้าไปได้" 

"ข้าเป็นเพียงน้องต่างมารดาของคนที่เจ้าต้องการพบ" จ้าวหย่งเฝิงยังจุดรอยยิ้มบนใบหน้า

"ท่าน...เป็นน้องชายของคุณจ้าวหย่งเจิ้งจริงๆหรือ" ดวงตาเป็นประกายของนางมองจ้าวหย่งเฝิง

"ย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อข้าบอกเช่นนั้น"

"ท่านพาข้ากับคนของข้าอีกสามคนเข้าไปพบคุณชายได้ใช่หรือไม่" นางยิ้มอย่างดีใจเอ่ยถาม

"นั่นย่อมได้ แต่...เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้ามีเรื่องอะไรจะบอกกล่าวพี่ข้า" ข้าวหย่งเฝิงเอ่ยถามพลาดสะบัดพัดในมือ

"คือว่า..."นางลังเลที่กล่าวบอกแก่บุรุษตรงหน้า

"ว่าอย่างไรเล่า" จเาวหย่งเฝิงหร่ตาถามซ้ำอีกครั้ง

"คือ คนที่พี่ชายท่านพามาเป็นปีศาจ ข้าเห็นมากับตา นัยน์ตาของมันแดงฉานน่ากลัวมาก" นางอ่ยเสียงสั่นแสดงให้เห็นถึงความกลัวของนาง

"ปีศาจตนนั้นหน้าตาเป็นเช่นไรบอกข้าได้หรือไม่" จ้าวหย่งเฝิงจุดรอยยิ้มที่มุมปากเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

"ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นปีศาจชนิดใด แต่ร่างที่มันแปลงกลับงดงามเสียยิ่งกว่าสตรี" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว

"เช่นนั้นหรือ แบบนี้ก็แย่สิ ข้าเห็นบุรุษผู้นั้นมักยืนเคียงข้างท่านพี่ข้าเสมอในเวลาที่กลับมา" จ้าวหย่งเฝิงทำสีหน้าตกใจไปกับเรื่องที่นางเล่า แต่กับมีรอยยิ้มจุดขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนหายไปกับน้ำเสียงของสตรีนางนั้น

"ข้าตั้งใจมาเตือนคุณชายจ้าวหย่งเจิ้งด้วยความเป็นห่วง" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์

"ข้าขอถามอีกเรื่องหนึ่งจะได้หรือไม่"

"ได้สิ เชิญท่านถามมาเถอะ"

"เจ้าไม่ใช่คนรักของพี่ข้าใช่หรือไม่" เพียงคำถามเดียวทำให้นางนิ่งเงียบก่อนแสร้งตีหน้าเศร้าหลั่งน้ำตา

"เป็นเช่นคุณพูด ข้าเป็นเพียงอดีตคนรักของคุณชายจ้าวหย่งเจิ้ง เป็นเพราะปีศาจตนนั้นที่ล่อลวงพากเอาคนรักข้าไป ฮือๆ"

"อ่อ เจ้าช่างน่าสงสารนักไม่คิดเลยว่า พี่ข้าจะหลงมัวเมาในปีศาจนั่น" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวด้วยความเห็นใจ

"ข้าพานักบวชฝีมือดีมากำจัดปีศาจนั่นด้วย ท่านจะพาพวกข้าเข้าไปได้หรือไม่"

"ย่อมได้ เชิญพวกเจ้าเข้าไปพักที่บ้านของข้าก่อน แล้วข้าจะพาเจ้าไปพบท่านพี่เพื่อเล่าความจริงกับเขา" รอยยิ้มจุดประกายชั่วร้ายบนหน้าของจ้าวหย่งเฝิงเพียงชั่วครู่ก่อนหายไปเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนและเห็นใจ

"ขอบคุณ คุณชาย....เอ่อ..." นางโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม "ข้ามีนามว่า จ้าวหย่งเฝิง" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยแนะนำตัว

"ขอบคุณ คุณชายหย่งเฝิง"

"แล้วเจ้าล่ะมีนามว่าอะไร" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยถามนามของสตรีตรงหน้า

"ข้ามีนามว่า ว่านเสี่ยวหลิง เจ้าค่ะ"

"ถ้าเช่นนั้นเชิญตามข้าเข้าไปที่บ้านเถอะ" จ้าวหย่งเฝิงยังคงจุดรอยยิ้มชั่วร้าย หันหลังเดินนำกลับตำหนักตน

'หึหึ หากเก็บไว้นางไว้ ข้าย่อมมีชัยเหนือกว่าเจ้าอย่างแน่นอน แม้นางจะเสแสร้งแกล้งทำเช่นไร อย่างไรนางก็ยังมีประโยชน์'

**********************************
# เรื่องของหย่งเจิ้งในยุคปัจุบันนั้นต้องรอไปก่อนนะคะเพราะจะมีเล่าถึงอย่างแน่นอน ต้องอดใจรอไปก่อน ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านนะคะ ขอให้อ่านอ่านให้สนุกค่ะ^^#
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 12 เรื่องวุ่นๆในวังหลวง) {25-06-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 26-06-2017 00:13:38
จะเป็นแผนอะไรกันนะ :ruready เจิ้งรีบมาจับตัวแม่นี่ที หนีมาได้หลายรอบไปแล้ว5555 ฟางน้อยชักจะวุ่นๆขึ้นทุกวัน :hao7:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 13 นางจิ้งจอกหวนคืน) {01-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 01-07-2017 22:36:32
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 13 นางจิ้งจอกหวนคืน 1

"พวกเจ้าทั้งสี่พักกันอยู่ที่นี่ อาจจะหลังไปสักหน่อยไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร ข้าต้องขออภัยด้วย หากต้องการอะไรเพิ่มเติมจงแจ้งแก่บ่าวของข้า แล้วข้าจะจัดสิ่งของที่พวกเจ้าต้องการมาให้" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยปากบอก เมื่อพาคนทั้งมายังนอกเมือง ซึ่งมีจวนเล็กๆ ตั้งอยู่ ภายในตกแต่งอย่างวิจิตรสวยงาม

ว่านเสี่ยวหลิงมองไปรอบด้วยความสนใจ แม้จวนนี้จะหลังเล็กแต่ภายในกับมีของมีค่ามากมาย คนคนนี้น่าสนใจยิ่งนัก

"ขอบพระคุณคุณชายเฝิงที่เมตตา" นางเอ่ยขอบคุณแววตาทอประกายแฝงความในให้จ้าวหย่งเฝิงรับรู้ แต่จ้าวหย่งเฝิงกับหักหน้านางโดยไม่สนสายตาของนางแม้แต่น้อย

"ว่าแต่เจ้าจะกำจัดปีศาจเช่นไร"

"ข้ามีท่านนักบวชที่เคยร่ำเรียนวิชามากับปีศาจเต่าฝ่าไห่เจ้าค่ะ" "ปีศาจเต่าฝาไห่?" จ้าวหย่งเฝิงถามด้วยความสงสัย

"เจ้าค่ะ นักบวชท่านี้มีชื่อว่า จางซื่อ ท่านผู้นี้มีเจดีย์เหลยเฟิงของที่ปีศาจเต่าฝาไห่เคยใช้จองจำปีศาจงูขาวจึงสามารถช่วยเรากำจัดปีศาจได้" นางอธิบายความสามารถของนักบวชที่นางพามาทั้งยังรับเจดีย์ขนาดจำลองจากนักบวชมาถือไว้ให้จ้าวหย่งเฝิงได้ยลโฉม

"มันพิเศษขนาดนั้นเชียว" จ้าวหย่งเฝิงเลิกคิ้วสงสัยถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ รับเจดีย์มาพลิกด้านนั้นทีด้านนี้ทีอย่างใคร่รู้

"แน่นอนขอรับ อาตมาได้รับมาเป็นมรดกตกทอดสืบต่อกันมาจากวัดจินซาน แต่เดิมมันเป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ แต่เห็นว่ามีปีศาจจึงตามนางมาเพื่อปราบปีศาจขจัดภัยร้ายให้พ้นแผ่นดิน จึงย่อขนาดเจดีย์ให้เหลือเพียงหนึ่งส่วนเพื่อสามารถนำติดตัวมาด้วยได้"

"ถ้าเช่นนั้น ข้าอยากทราบว่าเจดีย์นี้สามารถขังมนุษย์ธรรดาได้หรือไม่" จ้าวหย่งเฝิงถามแฝงเจตนาของตน

"นั่นย่อมทำได้ ไม่ว่าจะเทพมาร หรือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ก็สามารถจับมาไว้ในเจดีย์ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจดีย์ไม่อาจดึงเข้ามาได้..." นักบวชจางซื่อเอ่ยตอบ

"นั่นคือสิ่งใดเล่า" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยถาม

"นั่นคือ มังกร หากเป็นมังกร เจดีย์จะไม่ยอมดึงเข้าไป เพราะว่าเจดีย์หละลังนี้หล่อหลอมจากเกล็ดมังกร" นักบวชอธิบายว่าเหตุใดเจดีย์จึงจับมังกรไม่ได้

"ข้าเข้าใจแล้ว" จ้าวหย่งเฝิงพยักหน้ารับ

"ว่าท่านถามเรื่องการจับมนุษย์ด้วยเหตุใด" นักบวชเอ่ยถามให้หายข้องใจๆ

"ฮ่าๆ ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้นไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ท่านแสดงให้ข้าชมเป็นบุญตาหน่อยได้หรือไม่" จ้าวหย่งเฝิงหัวเราะ แต่ในแววตากับประกายแฝงอะไรบ้างอย่าง เขาอยากเห็นว่ามันทำได้จริงอย่างที่กล่าวอ้างหรือไม่

"ย่อมได้ขอรับ แต่ข้าไม่มีคนที่จับเข้าไปขัง..." นักบวชคนนั้นเอ่ย เพราะไม่รู้ว่าจะไปหาคนมาแสดงให้ชมได้อย่างไร

จ้าวหย่งเฝิงสะบัดมือให้คนของเขาไปนำนักโทษประหารที่อยู่ในที่คุกหลวงออกมาหนึ่งคน เพียงไม่นาน นักโทษที่มีโซ่ตรวนพันธนาการมาส่งมอบให้ นักโทษมีแววตาหวาดกลัวในตัวจ้าวหย่งเฝิงอยู่แล้วเมื่อมาอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งสั่นจนเหมือนกับคนบ้า

"เชิญท่านนักบวช  แสดงให้ข้าชมสักหน่อย ข้านำคนมาให้ท่านแล้ว" จ้าวหย่งเฝิงคลี่ยิ้มผายมือออกเป็นเครื่องหมายให้นักบวชผู้นี้ทำการแสดง

นักบวชพยักหน้าเข้าใจก่อนท่องคาถาบางอย่างจากนั้นเจดีย์ในมือในมือจึงลอยขึ้นฟ้า ส่องแสงจนแสบตา จากนั้นก็คล้ายกับมีลมพายุหมุนดูดเอาตัวนักโทษเข้าไปในเจดีย์ ช่างเป็นความมหัศจรรย์อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน 

"นี่มันเยี่ยมยอดที่สุด ดีๆ ดีจริงๆ" จ้าวหย่งเฝิงหัวเราะชอบใจตบมือให้กับนักบวชอย่างชอบใจ

บ่าวรับใช้ของว่านเสี่ยวหลิงเห็นท่าทางๆไม่ชอบมาพากลทั้งยังคำถามแปลกๆของบุรุษตรงหน้าจึงเข้ากระซิบข้างผู้เป็นนาย

'คุณหนูท่าน เราว่าไว้ใจคนผู้นี้ได้หรือขอรับ' 

'หุบปากเจ้าซะ อย่าพูดอะไรที่ไม่ควร"

'ขออภัยขอรับ' บ่าวรับใช้ก้มหน้า

'ข้าไว้ใจเขาหรือไม่ นั้นไม่สำคัญ สำคัญที่เขาสามารถช่วยข้าได้หรือไม่ต่างหาก' นางเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ จนบ่าวรับใช้ต้องก้มหน้ายอมรับการตัดสินใจของผู้เป็นนาย

จ้าวหย่งเฝิงอยู่คุยกับพวกของว่านเสี่ยวหลิงสักเดี๋ยวจึงขอตัวกลับ อย่างมีมารยาท ส่งยิ้มให้คนเหล่านั้นอย่างเป็นมิตร เมื่อก้าวพ้นประตูจึงเอ่ยกับทหารเสียงเฉียบขาดว่า

"เฝ้าไว้ให้ดีอย่าให้เล็ดรอดออกมาได้ หากมีอะไรผิดปกติมารายงานข้าทันที" ทหารน้อมรับคำบัญชา ทั้งยังเพิ่มเวรยามจนแน่นหนาเฝ้าจวนหลังเล็กไว้ จนคล้ายกับเป็นที่คุมขังขนาดย่อม

จ้าวหย่งเฝิง อารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง เดินกลับตำหนักของตนด้วยท่าทางร่าเริงแต่กลับฉุกคิดอะไรบ้างขึ้นมาได้จึงเปลี่ยนทิศทางไปยังตำหนักของของจ้าวหย่งเจิ้งแทน

"วันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้าจะไปเล่นกับฟางน้อยสักหน่อย"

เมื่อใกล้เดินเข้าใกล้ตำหนัก มากขึ้นกับได้ยินเสียงคนพูดสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ในสวน จึงลอบเดินไปตามเสียงที่แว่วได้ยิน

"ฟางเอ๋อร์ เจ้าต้องการชี้แจง เรื่องที่เจ้าพูดปดกับข้าหรือไม่" เสียงของจ้าวหย่งเจิ้งดังขึ้นมา จนจ้าวหย่งเฝิงต้องแอบอยู่มุมกำแพงมี่พุ่มไม้หนาเพื่อบดบังสายตาได้เป็นอย่างดี
 "ข้าไปพูดปดอะไรกับท่าน ข้าไม่ได้ทำเสียหน่อย" คนเสียงหวานเถียงกลับจ้องมองคนถามด้วยสายตาไม่พอใจ เขาไม่ได้พูดปด เพียงแค่ไม่ได้พูดสิ่งที่ตนเป็นต่างหาก

หลังจากจ้าวหย่งเจิ้งเสร็จธุระในตอนเช้าจึงตรงมาหาเขาเพื่อสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ใช่ต้องเรียกว่าสอบสวน หากไตร่ถามธรรมดา คงไม่เค้นความจริงกับเขาเช่นนี้ ทั้งยังย้ายให้ไปอยู่ห้องทางปีกขวาใกล้ห้องของตนเองอีก

"นี่เจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งชี้หน้าคาดโทษ โดยไม่อาจทำอะไรได้ในเมื่อเหม้ยฟางไม่ยอมรับ ไม่ยอมเล่าเรื่องใดๆทั้งสิ้น

"ทำไม ข้าทำไม อย่ามาชี้หน้าข้านะ" ว่าแล้วก็ตีมือที่ชี้หน้าตนลง

"ทำไมเจ้าถึงปากแข็งเช่นนี้ ใยไม่เล่าอะไรให้ข้าฟังบ้าง เห็นข้าเป็นอะไร..." จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยตำหนิ ทั้งตอนท้ายประโยคยังแฝงถึงความน้อยเนื้อต่ำใจอีก

"เจ้าเป็นสตรีหรือไง ถึงทำท่าทางน้อยใจข้าเช่นนี้" แม้จะต่อว่าอีกฝ่ายแต่น้ำเสียงกับโอนอ่อนผ่อนตามอย่างไม่น่าเชื่อ

"ถึงข้าเป็นสตรี เจ้าคงไม่ใยดีข้า" น้ำเสียงกระเง้ากระงอดของคนขี้น้อยใจมองอย่างตัดพ้อ

"นี่ท่านเป็นสตรีจริงๆใช่ไหม ฮึฮึ" เหม่ยฟางกล่าวพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

"หากข้าเป็นหญิงจริง เจ้าจะทำเช่นไร จะรักชื่นชอบข้าหรือไม่" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามประโยคแปลกกับเหม่ยฟาง จนเหม่ยฟางชะงักกับความคิดตน

'แม้ท่านจะเป็นชายข้ายังมอบใจให้ขนาดนี้ แล้วถ้าท่านเป็นหญิงจริงข้าจะไม่ชื่นชอบท่านได้อย่างไร' เหม่ยฟางขบเม้มริมฝีปาก ไม่อาจเอ่ยคำที่คิดออกมาได้

"เหม่ยฟาง ข้าทำเจ้าลำบากใจสินะ ที่จู่ๆข้าก็พูดเช่นนั้น" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเสียงเศร้า

"มะ ไม่ใช่ ใครว่าท่านทำข้าลำบากใจ" เหม่ยฟางพลั้งปากตอบไปเร็วกว่าความคิด

"ถ้าเช่นนั้นใยเจ้าจึงปิดบังข้า" สุดท้ายแล้วคำถามกับไม่พ้นว่าทำไมเหม่ยฟางไม่บอกเขา ทำไมต้องหลอกเขา เขาไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเชียวเหรอ

"ท่านเลิกถามข้าเสียที ข้าตอบอะไรไปมากว่านี้ไม่ได้ หากข้าพูดไปท่านคงเกลียดข้าเปล่าๆ" เหม่ยฟางตอบอย่างหัวเสีย เมื่อคำถามที่จ้าวหย่งเจิ้งถามมาเป็นชุดเช่นนั้น

"ใยข้าต้องเกลียดเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งถามให้แน่ชัดเขาไม่มีทางที่จะเกลียดเหม่ยฟางไแอย่างแน่นอน

"ก็เพราะ..." เหม่ยฟางชะงัก มองไปที่มุมกำแพงที่มีพุ่มไม้หนาขึ้น เขารู้สึกเหมือนพุ่มไม้ตรงมุมกำแพงมันขยับสั่นไหว

"เพราะอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งถามต่อ

"..." เหม่ยฟางยังคงเงียบหันไปจ้องมองไปยังพุ่มไม้ จ้าวหย่งเจิ้งมองตามสายตาของเหม่ยฟาง ทั้งยังถือโอกาสยื่นหน้าเข้าไปใกล้ จนปลายจมูกอยู่เฉียดแก้มขาว เพียงนิดเดียว

"มีอะไรที่พุ่มไม้นั่นหรือ" เหม่ยฟางรับรู้ถึงลมหายใจที่อยู่ใกล้จึงหันกับมามอง เจ้าของลมหายใจอุ่นๆนั่น เมื่อหันมาผิวแก้มขาวก็สัมผัสกับปลายจมูกโด่งเข้าอย่างจัง

"อ๊ะ!" เหม่ยฟางเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนประหม่าในตาวูบไหว ใบหน้าขึ้นสีเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

"หอม" จ้าวหย่งเจิ้งคลี่ยิ้มเอ่ยปากพูดออกมา แต่คำพูดกับนี้กับยิ่งทำให้เหม่ยฟางหน้าเปลี่ยนสีเข้าไปอีก

ปึก!!!

เสียงกำปั้นหนักๆทุบเข้ากับกำแพง เป็นจ้าวหย่งเฝิงที่ลอบแอบมอง นั้นเกิดความไม่พอใจที่ จ้าวหย่งเจิ้งกระทำการเช่นนี้  ทั้งเหม่ยฟาง ทั้งจ้าวหย่งเจิ้งได้ยินเสียงแปลกๆตรงมุมกำแพงจึงค่อยๆสาวเท้าเข้าไปดู แต่เมื่อเข้าไปกับไม่พบใครแม้แต่น้อย

'ต้องรีบหาทางทำอะไรกับพี่รองให้เร็วที่สุด' จ้าวหย่งเฝิงคิดเช่นนั้นขณะหลบออกมาก่อนที่ตนจะถูกทั้งสองคนจับได้ เขาเดินทอดน่องมาเรื่อยๆ จนกลับถึงตำหนักของตน

หลายวันผันผ่านทางด้านว่านเสี่ยวหลิงคล้ายรู้สึกตนว่าพวกเขาโดนคุมตัวไม่ให้ออกไปไหน พอจะเดินออกจากจวนกับถูกเหล่าทหารกันไว้ หลายวันที่อยู่ในจวนแห่งนี้แม้สุขสบายแต่กับอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

"คุณหนู คนแซ่จ้าว นั่นเหมือนตั้งใจกักขังพวกเรานะขอรับ" บ่าวผู้ติดตามเอ่ยบอกความในใจตน แม้ไม่ต้องให้ใครบอกว่านเสี่ยวหลิงย่อมรู้แก่ใจ บ่าวอีกคนพยักหน้ารับเห็นด้วยแม้แต่นักบวชที่นางพามาก็เช่นกัน

"เราจะทำอย่างไรดีขอรับ" บ่าวคนดังกล่าวถามขึ้นอีกรอบ นางมุ่นหน้าขบคิดว่านางควรทำเช่นไร ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

"เช่นนั้นพวกเจ้าจงไปหาทางหนีทีไล่ไว้เพื่อฉุกเฉินจะได้หลบหนี" สองบ่าวพยักหน้ารับ รีบเดินหายไปจากบริเวณนั้นเพื่อหาช่องทางให้เร้นกายหลบหนีออกไปได้

"ไหนเขาว่าต้องการความช่วยเหลือจากเรา" นักบวชที่นางพามากล่าวขึ้นอย่างใคร่รู้

"คงไม่ถึงเวลาที่เขาจะใช้งานพวกเรา" นางตอบเสียงเรียบนัยน์ตาสั่นไหวด้วยความกังวล 

"คุณหนูขอรับคุณหนู ข้าเจอทางหมารอดที่ใหญ่พอจะพาคุณหนูออกไปขอรับ" บ่าวคนหนึ่งวิ่งออกมาจากหลังบ้านหลังหายไปได้สักพัก เอ่ยปากร้องอย่างดีใจเมื่อเห็นช่องทางที่พอจะหนีได้ แต่ช่องทางนั้นกับมีคุณหนูของพวกมันเท่านั้นที่สามารถออกไปได้ 

"ทำไมมีแค่ข้าที่สามารถไปได้" นางเอ่ยถาม

"เชิญทางนี้ขอรับ" เมื่อบ่าวรับใช้นำทางไปแถวกำแพงหลังบ่อน้ำ ก็พบว่ามีทางหมารอดอยู่จริง แต่ช่องที่ว่านั้นใหญ่กว่าตัวนางเพียงนิดเดียว 

"เป็นอย่างนี้นี่เอง" นางรำพึงออกมามองมายังคนทั้งสามที่ยืนมองหน้า หมายให้นางรีบออกไปจัดการธุระของตนให้เรียบร้อย

"คุณหนูรีบไปเถอะขอรับ พวกข้าจะรับหน้าไว้เอง" บ่าวรับใช้ดันหลังนางให้ออกไป

"แล้วพวกเจ้าล่ะ" นางเกิดความลังเลที่จะหลบหนี

"พวกข้าน้อยสามารถเอาตัวรอดได้ขอรับ" ว่าแล้วก็ดันหลังนางให้มุดเข้าไปที่ทางหมารอด

"ข้าจะหาทางช่วยพวกเจ้า รอข้าก่อนนะ" ทั้งสามพยักหน้ารัยมอง ส่านเสี่ยวหลิงที่มุดกำแพงหนี เมื่อนางหลุดพ้นไปได้พวกเขาทั้งสามจึงหาสิ่งขิงมาบดบังช่องทางดังกล่าว

หลังจากมุดออกมาสำเร็จสายตานางกับปะทะเข้ากับร่างของใครบางคนเข้า สายตาเย็นชาที่มองนางทำให้จิตใจของนางหวั้นเกรงเป็นอย่างมาก

"ไม่คิดว่า คุณหนูว่านเสี่ยวหลิงจะชื่นชอบการมุดช่องทางหมารอดเช่นนี้" เสียงเย็นทำให้นางสะดุ้งสั่นไหว ในคอแห้งผากดั่งคนขาดน้ำ ก่อนเอ่ยเรียกชื่อคนคนนั้นอย่างยากลำบาก

"คะ คุณชายหย่งเฝิง ทะ ทำไม..." นางนั่งมองหน้าคนตรงด้วยความตื่นตระหนก

"คงไม่คิดว่าจะออกจากจวนง่ายขนาดนั้นหรอกใช่ไหม" เสียงเย็นๆถามต่อ โดยไม่ใส่ใจคำถามของอีกฝ่าย ทั้งยังย่อตัวลงนั่งยองๆตรงหน้าอีกฝ่าย ว่านเสี่ยวหลิงหน้าซีดเผือดมองคนถาม

"คือว่า...อึก!" นางอยากเอ่ยอะไรสักอย่างแต่ลำคอกับถูกบีบจนตีบตัน พูดไม่อะไรไม่ออก

"คิดว่าผมไม่อยู่จะหนีไปได้หรือ คิดว่าหูตาผมไม่มีงั้นสิ" เขายังส่งเสียงเย้ยหยันกับความคิดโง่ๆของนาง ก่อนที่นางจะพบช่องทางและมุดรอดออกมา คนที่เขาสั่งให้เฝ้าจับตาก็ไปรายงานเขาจนเขาต้องมายืนอยู่ที่นี่เสียแล้ว มันน่าช่างน่าหงุดหงิดยิ่งกว่าอะไร น่าฆ่าทิ้งจริงๆ จ้าวหย่งเฝิงคิดในใจ แต่ต้องคลายมือลงเมื่อคิดว่านางยังมีประโยชน์ให้ใช้งานอยู่

"ข้าขออภัย แค่กๆ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย" นางร้องขอชีวิตด้วยความยากลำบาก จ้าวหย่งเฝิงชะงักมือ เปลี่ยนมือจากคอมาบีบแก้มขาวของนางแทนก่อนเอ่ยเสียงเย็นๆว่า

"เจ้ายังมีประโยชน์ใยข้าต้องฆ่าเจ้า เจ้ายังมีประโยชน์ ดังนั้นกลับไปอยู่ในที่ของตนเสีย" ว่าแล้วก็ดันตัวนางจนล้มล้มหงายหลัง เขาปักมือไปมาก่อนลุกขึ้นโบกมือเรียกทหารให้มาจัดการนำนางกลับไปที่จวน นางพยายามดิ้นรนอยากหนีไปให้พ้นจากตรงนี้ โชคดีที่ทหารไม่กล้าทำร้ายสตรีอย่างนาง นางจึงดิ้นหลุดรอดออกมาได้ นางวิ่งสุดกำลังขา เพื่อหนีให้พ้นจากคนตรงหน้า

"จับตัวมาให้ได้" เสียงสั่งเฉียบขาด มั้งเย็นชา จนขนหลังของนางลุกเกรียว นางวิ่งไปพลางลอบมองคนที่ตามไปด้วย จนไปชนเข้ากับใครบางคน

พลั่ก!!!

"โอ๊ย!!!" 

"โอ๊ย!"

เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อนางเงยหน้ามองคนที่นางชน นางกับยิ้มออกมา ด้วยความดีใจ

"เจ้า..." ชายหนุ่ใตรงหน้ามองหน้านางอย่างฉงน ว่าทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่

"คุณชายหย่งเจิ้ง" นางยิ้มร่ามองคนที่ชน ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกัน ไม่คิดเลยจริงๆ นี่มันสวรรค์โปรด ชัดๆ นางกระหยิ่มยิ้มย่อง

"เจ้าหนีใครมา" เสียงหวานใสเอ่ยถาม นางก็มุ่นคิ้วเงยหน้ามองคนที่เอ่ยถาม

"อ๊ะ!" นางสบตากับบุรุษหน้าสวย ก่อนก้มหน้าลอบยิ้มอย่างร้ายกาจ

'ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันในสถานการณ์เช่นนี้ ดีจริงๆ'
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 13 นางจิ้งจอกหวนคืน 1) {01-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vivivo ที่ 04-07-2017 17:09:51
รอจ้า :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 13 นางจิ้งจอกหวนคืน 1) {01-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mam79 ที่ 04-07-2017 19:56:09
นังจิ้งจอกสมควรโดนองค์ชายโรคจิตนั่นจับไว้ไม่น่าหลุด พระเอกอย่าโง่นะ ไม่เอาเด้ออออ รอค่ะ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 13 นางจิ้งจอกหวนคืน 2จบตอน) {05-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 05-07-2017 22:15:09
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 14 นางจิ้งจอกหวนคืน 2 จบ

'ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันในสถานการณ์เช่นนี้ ดีจริงๆ ข้าจะได้ไม่ต้องตามหาให้มากความ' นางเหลือบมองเหม่ยฟางทางหางตาทั้งยังไม่สนที่จะตอบคำถามของเหม่ยฟางอีก

"คุณชายหย่งเจิ้ง ได้โปรดช่วยข้าด้วย คนพวกนั้นต้องการทำร้ายข้า" นางรีบลุกจากพื้นวิ่งถลาเข้าไปโอบกอดจ้าวหย่งเจิ้งด้วยสีหน้าตื่นกลัว ชี้ไม้ชี้มือไปยังทหารที่หยุดชะงัก ทั้งยังยอมล่าถอยไปเมื่อพบเข้ากับจ้าวหย่งเจิ้ง

"แปลก!" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยขึ้น เพียงแต่คิดในใจ

'ทำไมพวกทหารต้องไล่ตามนาง น่าแปลกจริง'

"คุณชายได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วย เห็นแก่สัมพันธ์แต่เก่าก่อนของเราด้วย ฮือๆ" นางตัวสั่นด้วยความกลัว เหม่ยฟางมองนางด้วยความรู้สึกไม่วางใจ แม้ไม่ค่อยชอบนางนักก็ตาม ก่อนเอ่ยถามนางอีกครั้ง

"เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร" นางเหลือบมองเหม่ยฟางอีกครั้งแต่ครานี้นางกับมีสีหน้าตกใจ ยิ่งกว่าเก่า พร้อมเอ่ยเสียงสั้นพร่าชี้ไปทางเหม่ยฟาง

"ปะ ปีศาจ ปีศาจ คุณชายข้ากลัวเหลือเกิน"

"ข้าถามเจ้าดีๆ ใยเจ้าต้องว่าข้าเป็นปีศาจ"

"คุณชายข้ากลัวปีศาจ" นางหันไปพูดกับจ้าวหย่งเจิ้งด้วยอาการสั่นกลัว

"เจ้าว่าใครเป็นปีศาจกัน" เหม่ยฟางสติขาดผึงเค้นเสียงถามด้วยความโกรธ

"จะมีใครอีกนอกเจ้า" นางชี้มือสั่นๆมาที่เหม่ยฟางอย่างตั้งใจ โอบกอดเอวของจ้าวหย่งเจิ้งแน่นขึ้น

"ข้า? ทำไมเป็นข้า" เหม่ยฟางหันไปมองหน้าจ้าวหย่งเจิ้ง ที่มองเขาอย่างขำๆ จนเหม่ยฟางต้องถลึงตาใส่ ว่านเสี่ยวหลิงจ้องมองปฏิกิริยานั้น ก่อนเอ่ยย้ำว่าสิ่งที่ตนพูดคือเรื่องจริง

"เรื่องที่ข้าเล่าเป็นเรื่องจริงนะเจ้าคะ คืนนั้นข้าเห็นดวงตาแดงก่ำของเขา มันน่ากลัวมาก" นางตัวสั่นขณะเล่าเรื่อง จ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองเหม่ยฟางอย่างขำขันก่อนเอ่ยถามเสียงติดตลกจนว่านเสี่ยวหลิงต้องแปลกใจ

"นี่เจ้าเป็นปีศาจหรือ หึหึ"

"หากข้าเป็นปีศาจข้าคงจับเจ้ากินเป็นคนแรก ชิ" เหม่ยฟางตอบเสียงสะบัด เดินหนีไป

"อ้าวเดี๋ยวสิ รอข้าด้วย" แม้อยากตามแต่จ้าวหย่งเจิ้งกับตระหนักได้ว่า เขามีว่านเสี่ยวหลิง รั้งตัวเขาไว้

"คุณชายอย่าทิ้งข้า ข้ากลัวเหลือเกิน ฮือๆ" เสียงสะอึกสะอื้นทำให้จ้าวหย่งเจิ้งไม่อาจทิ้งนางไปได้ จึงพานางอาศัยโรงเตี๊ยมในเมืองแทน

"เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน มีเรื่องเดือดร้อนก็ให้คนไปส่งข่าวกับข้า"

"ขอบคุณ คุณชาย" แม้นางไม่ค่อยพอใจที่จ้าวหย่งเจิ้งพาตนมาพักที่โรงเตี๊ยม แต่ก็ยอมกัดฟันอดทนต่อสิ่งนั้น เพื่อให้จ้าวหย่งเจิ้งช่วยคนของนางออกมา

"เจ้าพักผ่อนเถอะ ช่วงนี้อย่าออกไปไหนล่ะ" เมื่อสั่งลาแล้วจ้าวหย่งเจิ้งคิดจะรีบรุดกลับตำหนัก แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวออกจากห้องกับถูกรั้งแขนไว้

จ้าวหย่งเจิ้งมุ่นคิ้วหันไปมองนางอย่างไม่พอใจนัก

"มีเหตุใดถึงยังรั้งข้าไว้"

"คุณชาย ได้โปรดช่วยคนของข้าด้วย" นางปล่อยมือจากแขนของจ้าวหย่งเจิ้งทั้งยังคุกเข่าขอร้องทั้งน้ำตา ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนานักหากไม่เคยรู้จักนางต้องบอกว่าได้ว่านางน่าสงสารนัก

"เจ้าเลิกเล่นละครตบตาข้าเสียที ข้าไม่ได้โง่ขนาดมองไม่ออกว่าเจ้าเสแสร้งหรือไม่ ข้าอาจจะช่วยเจ้า หากเจ้ามีความจริงใจอยู่บ้าง" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาในตาจ้องมองอย่างไม่สบอารมณ์ ว่านเสี่ยวหลิงชะงักค้าง ก่อนลุกขึ้นยืนมองจ้าวหย่งเจิ้งด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง

"แต่เรื่องที่ข้าบอกเป็นเรื่องจริง หากท่านไม่เชื่อข้าก็จนใจ" นางปรับเปลี่ยนท่าทีในการพูดใหม่แฝงให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของนางมากขึ้น

"ข้าเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูดงั้นเหรอ"

"นั่นมันเรื่องของท่าน เจ้าปีศาจนั่นจะถูกกำจัดในอีกไม่นานท่านคอยดู"

"เจ้าหมายถึงใคร"

"ก็คนที่อยู่เคียงข้างใกล้ชิดท่านมากที่สุดไงเล่า ระวังไว้ให้ดีเถอะ" นางเอ่ยเสียงเรียบแต่คล้ายข่มขู่เพื่อให้จ้าวหย่งเจิ้งช่วยตน

"นี่ เจ้ากล้าขู่ข้า" น้ำเสียงติดหงุดหงิดบ่งบอกถึงความไม่พอใจของจ้าวหย่งเจิ้ง ยกมือขึ้นชี้หน้านางอย่างสั่นๆ

"ใครจะกล้ากล้าขู่ท่านได้"

"นางจิ้งจอก เจ้า...ได้ ข้าจะช่วยเจ้า" มือที่ชี้อยู่ลดลงเปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่น

"ขอบคุณ คุณชายหย่งเจิ้ง" นางคลี่ยิ้มอย่างผู้ชนะมองจ้าวหย่งเจิ้งอย่างพึงพอใจ

"ใครเป็นคนจับพวกของเจ้าไป"

"จ้าว-หย่ง-เฝิง" นางเอ่ยชื่อออกมาทีละคำเพื่อเรียกความสนใจจากจ้าวหย่งเจิ้ง

"เป็นไปไม่ได้" เสียงพึมพำเบาๆอย่างไม่ได้ใจ ทำให้วาานเสี่ยวหลิงต้องย้ำว่าสิ่งที่นางพูดคือเรื่องจริง

"จวนหลังที่อยู่นอกเมือง ที่นั่นพวกของข้าถูกคุมขังไว้" นางเอ่ยเสียงเรียบไม่มีท่าทางร้อนใจ

จ้าวหย่งเจิ้งนิ่งเงียบ คล้ายอยู่ในภวังค์ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องชายต่างมารดาจะกระทำการเช่นนี้ แม้จ้าวหย่งเฝิงจะใจร้อนเอาแต่ใจไปบ้างแต่ไม่ถึงขนาดกักขังคนไว้ใช้ประโยชน์เป็นแน่

"ท่านไม่เชื่อข้าสินะ" นางถามจึ้นเมื่อเห็นสีหน้าสับสนของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ข้าขอตัว หากเป็นเรื่องจริงข้าจะช่วยเจ้า ข้าขอสืบเรื่องนี้ก่อน" พูดจบจึงเดินจากไปโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงใดๆ

ตำหนักจิงเหรินกง

ตูม!!! ซ่า!!!

เสียงระเบิดดังสนั่น น้ำในสระบัวแตกกระจายด้วยเพลิงอารมณ์ของเหม่ยฟาง
ทั้งยังเกิดเสียงระเบิดอย่างต่อเนื่องจนน้ำแทบเหือดแห้งสระบัว เหล่าขันที นางกำนัล ต่างพากันแตกตื่น อวี๋เหวินเต๋อเห็นว่าหากขืนปล่อยให้เหม่ยฟางระบายอารมณ์อยู่เช่นนี้ ต้องเป็นเหตุให้ถึงหูองค์ฮ่องเต้เป็นแน่จึงรีบเข้าห้ามปรามแล้วเหล่าขันที นางกำนัล ที่ยืนมุงดูให้ออกไป

"เจ้าจะฆ่าปลาให้หมดสระเลยหรือไร"

"อย่ามายุ่ง ข้ากำลังหงุดหงิด" เหม่ยฟางหันไปมองอวี๋เหวินเต๋ออย่างหงุดหงิด

"เจ้าไปหงุดหงิดเรื่องอะไรมาถึงได้มาระบายอารมณ์กับสระบัว กับพวกปลาที่นอนดิ้นอยู่บนพื้นเช่นนี้"

"ก็ นางจิ้งจอกนั่น มันว่าข้า"

"นางจิ้งจอก?" อวี๋เหวินเต๋อทวนคำยังสงสัย

"ก็นางจิ้งจอกว่านเสี่ยวหลิงน่ะสิ ไม่รู้ว่าโผล่ที่นี่ได้อย่างไร" 

"อ๋อ...ไม่น่าเชื่อว่านางจะดั้นด้นมาถึงนี่" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยเสัยงเรัยบคล้ายกับไม่ติดใจอะไร

"ก็ใช่สิ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่านางยังกล้าโผลาหน้ามาอีก เจ็บใจนัก"

"ว่าแต่เจ้าบอก นางว่าอะไรเจ้านะ"

"ก็...นางว่าข้าเป็นปีศาจ ข้าเหมือนปีศาจตรงไหนกัน" เหม่ยฟางลังเลที่จะพูด ก่อนจะเอ่ยตอบไปพร้อมคำถามที่ทำให้อวี๋เหวินเต๋อต้องหัวเราะออกมา

"อุ๊บ ฮ่าๆ เจ้าบอกว่านางว่าเป็นปีศาจงั้นหรือ ฮ่าๆ"

"เจ้าหัวเราะอะไร" เหม่ยฟางมุ่ยหน้าอย่างไม่พอใจเมื่อถูกหัวเราะ

"ก็เจ้าน่ะ เหมือนปีศาจจริงๆนี่นา ฮ่าๆ"

"อวี๋เหวินเต๋อ!!!" เหม่ยฟางแผดเสียงอันดังใส่ด้วยเรียกชื่อคนที่บอกตนเหมือนปีศาจ

"ฮ่าๆ ก็ตอนที่เจ้าโมโห ทำลายสระบัวกับปลาในสระ เจ้ามันปีศาจชัดๆ ฮ่าๆ" อวี๋เหวินเต๋อยกมือกุมท้องเพราะตอนนี้เขาหัวเราะเสียจนเจ็บท้องไปหมด

"เจ้า ก็อีกคน ทั้งหย่งเจิ้ง ทั้งเจ้า ต่างหัวเราะข้า เห็นข้าเป็นปีศาจจริงๆใช่ไหม ข้าจะไม่คุยกับพวกเจ้าแล้ว" เหม่ยฟางคิดน้อยใจ จึงหันหลังให้อวี๋เหวินเต๋อการใช้วิชาตัวเบาสะกิดปลายเท้ากระโดดข้ามกำแพงหนีหายไป อวี๋เหวินเต๋อยืนมองด้วยความรู้สึกผิดที่ตนไปหัวเราะ ทั้งยังพูดจาไม่เข้าเรื่องกับเหม่ยฟาง จนเหม่ยฟางต้องหนีไป

เมื่อจ้าวหย่งเจิ้งกลับมา อวี๋เหวินเต๋อรีบเข้ากราบทูลไปตามจริงว่า ตนเป็นคนทำให้เหม่ยฟางหนีหายไป แต่จ้าวหย่งเจิ้งกับไม่ถือโทษโกรธอวี๋เหวินเต๋อคนเดียวแต่รวมถึงเขาด้วยที่ทำให้อีกฝ่ายน้อยใจ

"โธ่ เหม่ยฟาง ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าเสียใจ"

"องค์ชายรอง ข้าจะออกตามหาเหม่ยฟางเองพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อออกตัว

"ไม่ต้อง ข้ามีงานอื่นให้เจ้าไปทำ" จ้าวหย่งเจิ้งยกมือขึ้นห้าม

"งานอะไรพะย่ะค่ะ"

"ไปสืบเรื่องหนึ่งที่จวนหลังเล็กนอกเมือง แล้วกลับมารายงานข้า"

"จวนขององค์ชายสามนี่พะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อท้วงขึ้นเมื่อรู้ว่าที่นั่นเป็นที่ของใคร

"ทำตามที่ข้าสั่ง"

"น้อมรับบัญชา" เมื่อรับคำสั่งแล้วจึงลังเลว่าจะไปดีหรือไม่ไปดีดิวยเรื่องข้าเหม่ยฟางาทำให้เขากังวล

"เจ้าลังเลอะไร ใยยังไม่ไปอีก" จ้าวหย่งเจิ้งสังเกตุท่าทางยึกยักของอวี๋เหวินเต๋อจึงถามขึ้น

"คือว่า แล้วเหม่ยฟางล่ะองค์ชาย"

"เรื่องนั้นข้าจัดการเอง ข้าเองก็มีส่วนเช่นกันที่ทำให้เขาต้องเสียใจจนหนีไป" สายตาแสดงความรู้สึกผิดมองไปทางหน้าต่างของจ้าวหย้งเจิ้งทำให้อวี๋เหวินเต๋อยอมล่าถอยออกไป

"ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยขอตัว"

"ทำไมเกิดเรื่องเช่นนี้ได้นะ" จ้าวหย่งเจิ้งพึมพำกับตัวเอง เขาเดินออกจากห้อง 

"ข้าควรไปตามหาเจ้าที่ไหนกันนะฟางเอ๋อร์ โอ๊ย!" เขารำพึงรำพันออก ก่อนมีภาพภาพหนึ่งฉายย้อนเข้ามาในหัวเขา

ภาพของชายหนุ่มหน้าตาน่ารักคนเดิมแต่งกายชุดแปลกตาชายหนุ่มคนนั้นท่าทาง คล้ายคนเมาเหล้า เดินประคองเคียงคู่กับชายอีกคนซึ่งเขาคิดว่าคนคนนั้นคือเขา ทั้งคู่ ทั้งคู่มายืนอยู่ที่ พาหนะรูปร่างแปลกๆคล้ายรถม้าแต่ไม่มีม้าภาพที่ชายหนุ่มน่าตาน่ารักมองเขาด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ ทำให้เขาเจ็บหนึบไปทั้งหัวใจ เขาทั้งคล้ายกับมีปัญหากัน ชายหนุ่มหน้าตาน่ารักเข้าไปนั่งด้านในเจ้าสิ่งนั้น ก่อนเจ้าสิ่งนั้นเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็ว เขาได้แต่ยืนมองด้วยตาอาลัยอาวรณ์ ภาพนั้นฉายซ้ำจนเขาจำได้ขึ้นใจ

"นี่มันภาพอะไรกัน คนพวกนั้นเป็นใคร ใยข้าถึงเห็นภาพเหล่านี้" จ้าวหย่งเจิ้งกุมขมับตนเองก่อนล้มหมดสติไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหม่ยฟางที่แอบอยู่บนขื่อเพดานมองเห็นเข้า ความจริงเหม่ยฟางไม่ได้หายไปไหนไกลกว่าตำหนักจิงเหรินกงแม้แต่น้อย เขาแค่แอบอยู่บนขื่อเพดานคอยลอบมองสีหน้าจ้าวหย่งเจิ้งกับอวี๋เหวินเต๋อที่แสดงความสำนึกผิดแก่ตน แต่ดูเหมือนจ้าวหย่งเจิ้งได้ใช้อวี๋เหวินเต๋อออกไปทำงาน เขาจึงได้แต่นั่งมองใบหน้าอมทุกข์ของจ้าวหย่งเจิ้งเพียงคนเดียว แต่เมื่อเห็นท่าทางแปลกๆของคนด้านล่างทั้งยังกุมศีรษะคล้ายคนปวดหัวแล้วล้มตึงลงไปมีเหรอที่เจ้าตัวจะไม่ลงมาดู

"หย่งเจิ้ง หย่งเจิ้งเจ้าเป็นอะไร แย่จริง ทั้งที่ข้าต้องได้รับการปรนนิบัติจากเจ้า แล้วใยข้าต้องมาคอยดูแลเจ้าด้วย" แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่ใจกับร้อนรนเสียยิ่งกว่าไฟ เหม่ยฟางพยุงร่างไร้สติของจ้าวหย่งเจิ้งเข้าไปด้านใน เมื่อจัดท่าทางการนอนให้แล้วจึงรีบหาผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อตัวให้

"เสี่ยวจื่อหยี่ เสี่ยวจื่อหยี่" เหม่ยฟางร้องเรียกขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ให้เข้ามาด้านใน

"คุณชายมีเรื่องอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่เปิดประตูก้าวเข้ามาอย่างว่องไว โค้งศรีษะให้ความเคารพแก่เหม่ยฟาง

"ไปตามหมอหลวงมาดูอาการของหย่งเจิ้งที" เสียงร้อนใจของเหม่ยฟางทำให้เสี่ยวจื่อหยี่รีบออกไปทำตามคำสั่งอย่างว่องไว ขณะที่กำลังร้อนใจนั่งไม่อยู่ที่ เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้น

"เจ้าจะร้อนใจไปใย น้ำตาไข่มุกของเจ้าเพียงเม็ดเดียวก็สามารถช่วยเขาได้แล้ว" เหม่ยฟางหันไปตามเสียงคนที่ปรากฏตัวอย่างไร้ร่องรอยเหมือนภูติผีวิญญาณ เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงหันกลับไปให้ความสนใจกับร่างไร้สติของจ้าวหย่งเจิ้งแทน

"เจ้าอย่าเมินข้าสิ ข้าอุตส่าห์นำยามาให้ ทั้งยังเอาข่าวเกี่ยวกับอีกโลกมาบอกเจ้า เจ้าไม่อยากได้ ไม่อยากฟังงั้นสิ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว" ว่าจบตาเฒ่าเอี๊ยก็ตีหน้าเศร้าหันหลังให้เหม่ยฟาง

"ใครใช้ให้เจ้าหายหัวไปเงียบกันเล่า"

"ข้าแค่ไปนำข่าวที่เจ้าต้องดีใจมาบอกเจ้าไวเล่า" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่นยิ้มๆ เพื่อมองดูปฏิกิริยาจองเหม่ยฟาง

"เรื่องอะไร" และนั่นก็เป็นสิ่งที่ตาเฒ่าเอี๊ยคาดการไว้ไม่มีผิด

"เรื่องของหย่งเจิ้งในอีกโลกหนึ่ง"
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 13 นางจิ้งจอกหวนคืน 2จบตอน) {05-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 05-07-2017 23:44:14
รำคาญนังจิ้งจอกนั่นอ่าาา
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 13 นางจิ้งจอกหวนคืน 2จบตอน) {05-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vivivo ที่ 06-07-2017 16:06:34
 :3123: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 13 นางจิ้งจอกหวนคืน 2จบตอน) {05-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 06-07-2017 17:15:34
กำจัดนางจิ้งจอกซะ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 13 นางจิ้งจอกหวนคืน 2จบตอน) {05-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 07-07-2017 22:58:41
แรกๆก็สนุกดี  ชอบเลยแหละ  แต่ตัวละครมันให้ความรู้สึกแปลกๆโดยเฉพาะ  มังกรเขียว  หรืองูเขียว  ทำไหมถึงเด็กขนาดนี้  ถึงจะไม่ได้ลบความจำ  แต่ก็เด็กจนเกินไป  มันให้ความรู้สึกว่า  ไม่สำควรเป็นมังกรเขียวเลย  ไม่มีความฉลาด  เก็บอารมณ์ก็ไม่ได้  แถมเรื่องพลังก็ดูแปลกๆ  เป็นถึงมังกรมันน่าจะมีอะไรดีกว่าที่เป็นอยู่  แถมเสียน้ำตาบ่อยมาก  ก็รู้อยู่ว่ามันจะสร้างหายะนะให้ตนเองกับคนใกล้ตัว  แต่ก็ยังร้องไม่หยุด  เรื่องความรัก  ถ้าที่อ่านมาหลายเรื่อง  มังกรเป็นอะไรที่มีฤทธิ์เยอะ  ยิ่งเป็นมังกรเทพแล้วด้วย  ขนาดเทพสอนให้ถึงจะเป็นคนจากยุคปัจจุบัน  มันก็น่าจะมีดีกว่านี้  เรื่องความรักก็ด้วย  เข้าใจว่ามีสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้  แต่ก็น่าจะถามให้เขาแน่ชัดไปเลย  การจากไปแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการจะถูกปฎิเสธว่าเขาไม่รักเลย  แต่ก็เข้าใจรักมากแต่ตาก็บออมาก  เรื่องความรู้สึกของตัวละคร  อ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้  ยังงงอยู่เลยว่าตกลงเขาคิดยังไงกันแน่  จะแน่ใจอยู่ไม่กี่คน  ตัวร้ายนางจิ้งจอกที่แสดงอารมณ์ได้ชัดเจนกว่าใคร  อ่านแล้วเขาใจในตัวนางเลย  ส่วนพระเอก  กับรองพระเอกกันดูงงๆ  ถ้าเรื่องนี้เกาดีๆ  เป็นเรื่องหนึงที่จะประทับใจมากเรื่องนึง  ถ้าทำเป็นหนังสือ  คงอยากซื้อเก็บไว้อ่าน  แต่ตอนนี้การดำเนินเรื่องมันแปลกๆ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 15 องค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้ง) {08-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 08-07-2017 14:38:52
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 15 องค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้าไม่อยากฟังเรื่องของหย่งเจิ้งในอีกโลกหนึ่งหรือ" ตาเฒ่าเอี๊ยทิ้งท้ายคำถามก่อนคลี่ยิ้มออกมา

"อยากรู้สิ" เหม่ยฟางตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาย่อมอยากรู้เรื่องของหย่งเจิ้งอยู่แล้ว

"ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งจงพาจ้าวหย่งเจิ้งไปยังหุบเขาเร้นใจก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ข้ามาเพื่อบอกเจ้าเพียงเท่านึ้" พูดจบตาเฒ่าเอี๊ยจอมเจ้าเล่ห์ก็ทิ้งความใคร่รู้ของเหม่ยฟาง แล้วจากไปโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำนอกจากให้เขาไปที่หุบเขาเร้นใจ

"แล้วไอ้หุบเขาเร้นใจนั่นอยู่ที่ใดกัน" เหม่ยฟางพึมพำออกมา

"อืม...ปวด ปวดหัว" เสียงครางบางเบาของจ้าวหย่งเจิ้งเรียกสติของเหม่ยฟางให้ไปสนใจคนที่นอนป่วย

"อ๊ะ! หย่งเจิ้ง เจ้าเป็นอย่างไรบาง หย่งเจิ้ง" เหม่ยฟางส่งเสียงเรียกคนที่ส่งเสียงบอกปวดหัว

"ฟางเอ๋อร์ นั่นเจ้าเหรอ" จ้าวหย่งเจิ้งค่อยๆลืมตาขึ้นมองหน้าเจ้าของเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อตน

"เป็นข้าเอง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"

"ข้า ปวดหัวนิดหน่อย แต่พอเห็นหน้าเจ้าข้าก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งลุกขึ้นนั่ง ทั้งยังคว้ามือเหม่ยฟางขึ้นมาจับไว้แนบอก

"ท่านยังจะทำปากดีอีกเหรอ ปึก!" เหม่ยฟางใช้มือที่ถูกจับทุบหน้าอกของจ้าวหย่งเจิ้งไปเบาๆ

"ข้าพูดจริงๆนะ ข้าดีใจที่เจ้าไม่หนีข้าไปไหน" จ้าวหย่งเจิ้งคว้ามือที่ทุบอกตนเข้ามาแนบอกอีกครั้ง

"ท่านไม่คิดว่าข้าเป็นปีศาจหรอกเหรอ"

"แม้เจ้าเป็นปีศาจข้า...ก็ไม่คิดรังเกียจในตัวเจ้าดีด้วยซ้ำไปจะได้ไม่มีใครกล้ามายุ่งวุ่นวายกับเจ้าอีก"

"ท่านคิดเช่นนั้นจริงๆนะ"

"แน่นอน ทุกคำที่เอ่ยออกมาล้วนมาจากใจของข้า ในใจของข้า..." เพียงคำพูดหวานหูก็ทำให้ใบหน้าของเหม่ยฟางแดงปลั่งดั่งลูกตำลึง จนต้องก้มหน้าซ่อนความเขินอายเอาไว้ ในขณะที่จ้าวหย่งเจิ้งจะเอ่ยคำใดต่อไปประตูห้องกับถูกเปิดออกอย่างรีบร้อนโดยไม่มีการขออนุญาติ

"พี่รองข้าได้ยินว่าท่านล้มป่วยข้าจึงมาเยี่ยม ข้าพาหมอหลวงมาดูอาการท่านเองเลยนะ อ๊ะ!" จ้าวหย่งฟงองค์ชายห้า ผู้เป็นน้องเล็กสุดเป็นคนเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา ด้วยความที่ได้ยินว่าพี่ชายของตนล้มป่วยจากปากขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ แต่เมื่อเห็นพี่ชายมองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรก็ถึงกับผงะถอยหลัง

"ข้ามารบกวนพี่รองสินะ" จ้าวหย่งฟงยิ้มแหยให้พี่ชายตน ได้แต่ใช้มือเกาศรีษะแก้เก้อ

"องค์ชายห้าเชิญหมอหลวงเข้ามาเถอะ" เหม่ยฟางเอ่ยปากแทน มองใบหน้าของจ้าวหย่งฟงแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวานมาให้

'ห้ามยิ้มนะ' เสียงกระซิบของคนข้างกายทำให้เหม่ยฟางหันไปมองด้วยความสงสัย

'ทำไมล่ะ' 

'ข้าไม่อยากให้เจ้ายิ้มให้ผู้อื่นนอกจากข้า' จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำแม้จะเป็นเพัยงแค่คำกระซิบกับจริงจังจนทำให้เหม่ยฟางเก้อเขินได้

"พี่รองท่านไม่เป็นไรใช่ไหม ทำไมถึงล้มป่วยได้เล่า ปกติท่านแข็งแรงจะตาย" จ้าวหย่งฟงเดินเข้ามาหยุดยืนข้างเตียงแล้วเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

"ข้าไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากมายเสียหน่อย"

"ท่านยังทำเป็นปากดีอีกนะ ข้าห่วงท่านมากรู้ไหม" เหม่ยฟางเอ่ยออกไปไม่ทันคิดจนถูกสายตาหวานเชื่อมของจ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองอย่างเอ็นดู

"เจ้าห่วงข้าเหรอ"

"ห่วงสิ"

"คือว่านะ พี่รองหากจะพลอดรักกัน ให้ข้าไปก่อนได้ไหม" จ้าวหย่งฟงใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา

"พูดจาเหลวไหล ฟางเอ๋อร์เป็นสหายสนิทของข้าต่างหาก" จ้าวหย่งเจิ้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"สหาย แต่ทำไมพี่รองมองเขาอย่างกับ..." จ้าวหย่งฟงอยากจะพูดแต่ก็ละอายปากที่จะพูดออกไปจึงเอ่ยถามเรื่องอื่นแทน

"ว่าแต่ องครักษ์อวี๋ไปไหนหรือท่านพี่" จ้าวหย่งฟงชะเง้อขะแง้มมองหาองครักษ์คู่กายของพี่ชายตน

"ข้าใช้เขาออกไปทำงาน อาจกลับมาวันพรุ่ง" จ้าวหย่งเจิ้งตอบอย่างไม่ใส่ใจ

"งั้นเหรอ" น้ำเสียงแห่งความผิดหวังของจ้าวหย่งฟงกับไม่รอดพ้นหูตาของเหม่ยฟางไปได้

"ไม่ทราบว่าองค์ชายห้ามีเรื่องอะไรกับพี่อวี๋หรือพะย่ะค่ะ"

"เอ๊ะ! เอ่อ ปะ เปล่านี่ ข้าแค่ถามถึงเฉยๆ ว่าแต่เจ้าเถอะเป็นอะไรคนรักของท่านพี่งั้นสิ" จ้าวหย่งฟงตอบเสียงตะกุกตะกัก ทั้งยังเปลี่ยนเรื่องมาถามเหม่ยฟางแทน เขาไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อนจึงเอ่ยถามออกไป

"อ๊ะ จริงสิ เจ้ายังไม่เคยพบฟางเอ๋อร์สินะ" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่เอ่ยขึ้นแทน

"ข้ามีนามว่า เหม่ยฟาง พะย่ะค่ะ ข้าเป็นสหายกับองค์ชายรอง ขออภัยที่ข้าทำให้ท่านเข้าใจผิด อีกอย่างข้าเป็นบุรุษคงเป็นคนรักให้องค์ชายรองผู้สูงศักดิ์คงไม่ได้" เหม่ยฟางตอบเสียงดังฉะฉานไม่การลังเล

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ" "ทำไมจะไม่ได้!!!" เสียงประสานของสองพี่น้องดังขึ้นพร้อมกัน เสียงของจ้าวหย่งฟงนั้นอยู่ในระดับปกติแต่เสียงที่แทรกขึ้นมาของจ้าวหย่งเจิ้งกับดังยิ่งกว่า

"ท่านว่าอะไรนะ" เหม่ยฟางหันไปถามเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนได้ยิน

"ข้าแค่บอกว่าการมีคนรักเป็นบุรุษเพศไม่ใช่เรื่องแปลก" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยบอกด้วยใบหน้าจริงจัง

"ใช่แล้วล่ะเหม่ยฟาง ขนาดเสด็จพ่อยังมีฮองเฮาเป็นบุรุษทั้งยังให้กำเนิดพี่ใหญ่กับพี่รองอีก นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก" เป็นจ้าวหย่งฟงที่กล่าวอธิบายว่าจ้าวหย่งเจิ้งกับจ้าวหย่งเฟิ้ง เกิดจากฮองเฮามังกรเขียวที่เป็นบุรุษ

"ไหนว่า ฮองเฮาจะมีโอรสมังกรได้เพียงองค์เดียว แล้วใยองค์ใหญ่กับองค์ชายรองจึงเกิดจากฮองเฮาที่เป็นมังกรเขียว"

"นั่นเพราะข้ากับพี่ใหญ่เป็นฝาแฝดกัน" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าไม่มีความสุขสักเท่าไหร่นัก

"ฝาแฝด?"

"ใช่แล้วล่ะ เป็นฝาแฝดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ข้าได้ยินมาว่า แม้จะเป็นฝาแฝดแต่พี่ใหญ่กับเกิดเป็นทารกเด็กธรรมดา แต่พี่รองกับมีร่างเป็นมังกรทอง ด้วยเหตุนี้กระมังรูปร่างหน้าของพี่ใหญ่กับพี่รองจึงไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย" เป็นจ้าวหย่งฟงน้องเล็กสุดเป็นคนเอ่ยปากเล่าให้ฟัง

"ถ้าเช่นนั้นคนที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้คงต้องเป็นท่านใช่หรือไม่" เหม่ยฟางหันไปถามความเห็นกับจ้าวหย่งเจิ้ง จ้าวหย่งเจิ้งจึงได้แต่พยักหน้ารับ แต่สิ่งที่ตนไม่เข้าใจอย่างยิ่งคือการที่จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยบอกขอบัลลังก์กับตน ทั้งๆที่ บัลลังก์ย่อมเป็นของตนอยู่แล้ว

"เจ้าอยากถามข้าสินะ ว่าทำไมข้าจึงอยากได้บัลลังก์"

"เรื่องนั้นข้ารู้นะ" จ้าวหย่งฟงยกมือขึ้น ดิวยความที่ตนก็อยากมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วย

"เงียบ เรื่องข้าของข้าข้าจะเล่าเอง" จ้าวหย่งฟงก้มหน้าลงด้วยความกระดากอาย

"ขออภัยพี่รอง" จ้าวหย่งเจิ้งปัดมือไปมาเป็นการบอกว่า 'ช่างเถอะ'

"แต่ก่อนจะเล่าเรื่องให้ข้าฟังท่านให้หมอหลวงตรวจอาการก่อนดีไหม" เหม่ยฟางเอ่ยขัดขึ้น เขาอยากให้จ้าวหย่งเจิ้งได้รับการตรวจอาการก่อนที่จะพูดเรื่องอื่น

"เจ้าเป็นห่วงข้าสินะ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวกระเซ้าเย้าแหย่เหม่ยฟาง เหม่ยฟางจึงได้แต่พยักหน้ารับ จนจ้าวหย่งฟงต้องกระแอมออกมาว่าเขายังอยู่ที่นี่

"ฮะ แฮ่ม เกรงใจข้าบ้าง เดี๋ยวข้าไปตามหมอหลวงที่รออยู่ด้านนอกมาให้ละกัน" ว่าแล้วจึงเดินออกไปตามหมอมาให้ จ้าวหย่งฟงออกไปได้ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมหมอหลวง หมอหลวงตรวจอาการเป็นที่เรียบร้อยจึงกล่าวว่า

"องค์ชายรองพลานามัยแข็งแรงดีพะย่ะค่ะ"

"ถ้าแข็งแรงใยถึงล้มหมดสติ ทั้งยังบ่นปวดหัวอีก" เมื่อถูกจ้าวหย่งฟงเอ่ยถาม หมอหลวงจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถึงเป็นหมอหลวงแต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอาการปวดหัวนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

"ช่างเถอะ เจ้ากลับไปได้แล้ว" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่ออกปากไล่หมอหลวงให้กลับไป

"ใช่ เจ้ากลับไปได้แล้ว พี่รองข้าเป็นอะไรก็ไม่ยังรู้ ไม่น่าเป็นหมอหลวงเลย" จ้าวหย่งฟงกล่าวตำหนิหมอหลวงด้วยสีหน้าไม่พอใจ

"ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย" หมอหลวงคุกเข่าโขกศีรษะลงตรงหน้าพวกเขาทั้งร้องขอความตายจนจ้าวหย่งเจิ้งต้องเอ่ยปากไล่อีกครั้ง

"กลับไปซะ ทั้งเจ้า ทั้งหมอหลวง" 

"พี่รอง!!!" จ้าวหย่งฟงร้องโอดครวญไม่อยากกลับ

"กลับไป!!!" เสียงดังเฉียบขาด ทำให้จ้าวหย่งฟงต้องจำใจเดินทางกลับ มั้งนี้ยังไม่วายหันไปถลึงตาใส่หมอหลวงอีกครั้ง

ระหว่างทางกลับตำหนักของตน จ้าวหย่งฟงกำลังจะเดินเตร่ที่อุทยานต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นสระบัวที่สวยงาม พังยับเยิน ไม่มีแม้แต่น้ำสักหยดหรือต้นบัวสักต้น 

"อะไรกันเนี่ย ทำไมสระบัวถึงได้กลายเป็นเช่นนี้"   

"นั่นเพราะเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยพะย่ะค่ะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

"อุบัติเหตุ? มันไม่นิดแล้วนะ" จ้าวหย่งฟงหันกลับไปหาเจเาของคำพูดนั้นเพื่อโต้แย้ง แต่ต้องชะงักเมื่อคนคนนั้นคืออวี๋เหวินเต๋อ

"ข้าน้อยให้คนมาจัดการสวนให้กับสระบัวให้กลับสภาพเดิมแล้วพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อคุกเข่าทำความเคารพผู้มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าตน

"ลุกขึ้นเถอะ องครักษ์อวี๋ท่านทำงานให้พี่รองเสร็จแล้วหรือ"

"พะย่ะค่ะ เช่นนั้นข้าน้อยทูลลา ต้องเข้าเฝ้าองค์ชายรองก่อน"

"ไปเถอะ ข้าคงรั้งเจ้าไว้ไม่ได้หรอก" จ้าวหย่งฟงเอ่ยปากให้อวี๋เหวินเต๋อไปได้ แต่มีคำพูดบางเบาเอ่ยตามให้ตนได้ยินเพียงคนเดียว

"เมื่อครู่องค์ชายได้พูดอะไรหรือไม่" อวี๋เหวินเต๋อที่กำลังจะเดินผ่านไปคล้ายได้ยินเสียงพูดอะไรสักอย่างจึงหันไปถามจ้าวหย่งฟง

"เอ๊ะ! คือ เปล่านี่ ข้าไม่ได้เอ่ยอะไรเลยนะ" จ้าวหย่งฟงรีบปฏิเสธทันทีที่ถูกถามขึ้น

'หูดีไปแล้วนะ' จ้าวหย่งฟงคิดในใจพลางกลอกสายตาไปมา

"ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยทูลลา"

"เจ้าไปเถอะ ข้าจะกลับเช่นกัน ที่นี่ไม่มีอะไรน่ารื่นรมณ์แล้วนี่" ว่าจบจึงเดินจากไป อวี๋เหวินเต๋อเห็นว่าจ้าวหย่งฟงกลับไปแล้วจึงเดินเข้าไปในตำหนักเพื่อกราบทูลสิ่งที่ได้ไปสืบข่าวมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"องค์ชายข้าน้อยกลับมาแล้วพะย่ะค่ะ"

แอ๊ด! เสียงประตูถูกเปิดจากด้านใน โดยมีเหม่ยฟางเป็นคนมาเปิดประตูให้ ใบหน้าของเหม่ยฟางที่เห็นเขากลับบูดบึ้ง ไม่แม้จะยิ้มให้เขาแม้แต่น้อย

'เหม่ยฟาง เจ้ายังโกรธข้าอยู่เหรอ' แม้อยากจะเอ่ยออกไปเช่นนั้นก็ต้องทนกลืนคำทั้งหมดลงคอ เพื่อรายงานสิ่งที่ตนไปสืบข่าวมาให้ผู้เป็นนาย

"มีอะไรก็ว่ามา" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามเสียงเรียบ

"เรียนคุณชายเป็นดั่งที่คุณชายบอก มีคน3คน ถูกกักขังอยู่ในจวนท้ายเมืองพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อทูลสิ่งที่ตนไปสืบข่าวมา ตอนแรกเขาเกือบเข้าไปแทบไม่ได้ เพราะมีเวรยามแน่นหนาเสียจนคิดว่าภายในจวนมีของมีค่าจนประเมินไม่ได้ กว่าจะลอบเข้าไปด้านในได้เล่นเอา เลือดตาแทบกระเด็น แม้งานจะหินเพียงเขาย่อมน้อมกายถวายชีวิตให้ หากไม่ได้องค์ชายรองป่านนี้เขาคงตกตายไป หลังจากถูกท่านพ่อพาตัวมาจากเจียงหนานขึ้นเหนือจนมาถึงที่นี่ เขากับท่านพ่อเกือบถูกโจรป่าสังหาร โชคดีที่คุณชายรองผ่านมาช่วยไว้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเขาเฉกเช่นทุกวันนี้

"ถ้าเช่นนั้น คุณชายจะให้ทำเช่นไรต่อไป

"หาคนมีฝีมือไปช่วยคนพวกนั้นออกมา"

"พะย่ะค่ะ"

"เจ้าออกไปได้แล้ว ข้ามีเรื่องต้องคุยกับฟางเอ๋อร์" จ้าวหย่งเจิ้งสังเกตุเกตุเห็นแววตาที่ไม่ค่อยชอบใจจึงไล่อวี๋เหวินเต๋อออกไป อวี๋เหวินเต๋อจึงถอยหลังออกจากประตูเดินจากไปด้วยสายตายังคงจับจ้องเหม่ยฟางอย่างไม่สบายใจเมื่ออีกฝ่ายยังโกรธตนอยู่

"ทำไมต้องช่วย" เป็นเสียงเหม่ยฟางที่เอ่ยถาม จ้าวหย่งเจิ้งหันไปมองผู้ที่ถามขึ้นแต่กลับไม่ตอบสิ่งใดให้กระจ่าง

"ทั้งๆที่พวกนางคิดจะสังหารข้า แล้วทำไม ยังคิดช่วยพวกนางอีก" คำพูดมากมายในใจของเหม่ยฟางเอ่ยถามออกมาด้วยความไม่ชอบใจ

"ข้าแค่ไม่อยากก่อกรรมกับใครหากช่วยได้เราจะช่วย" 

"เจ้าใจดีเกินไปแล้ว" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเบา

"ข้าไม่ได้ใจดีอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรเจ้าได้ เจ้าเชื่อข้าสิ หากช่วยพวกนางได้ข้าจะส่งพวกนางออกจากเมือง เจ้าว่าดีไหม" น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยปลอบประโลมคนอารมณ์ร้อน

"เจ้าระวังนางจะแว้งมากัดเจ้า นางก็เหมือนอสรพิษดีๆนี่เอง" เหม่ยฟางออกปากเตือนอีกครั้ง "ข้าจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้น เจ้าวางใจเถอะ"

"ข้าวางใจท่านได้ แต่ข้าไม่วางใจนาง ไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าห่วงตัวเองมากกว่า ห่วงท่านเสียอีก เฮ้อ~"

"ฮ่าๆ เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ข้าคิดว่าเจ้าห่วงข้าเสียอีก" จ้าวหย่งเจิ้งระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความอารมณ์ดี

"แล้วจะเล่าเรื่องของท่านต่อเมื่อไหร่" เหม่ยฟางหันมาเปลี่ยนเรื่องคุย หากคุยเรื่องนางจิ้งจอกรังแต่จะเปลืองสมองเปล่าๆ

"เจ้าสนใจเรื่องของข้าขนาดนั้นเชียว" จ้าวหย่งเจิ้งคลี่ยิ้ม

"แน่นอน" ดวงตาเป็นประกายสุกใสมองมาอย่างใจจดจ่อ

"เฮ้อ~ ข้าไมามีอารมณ์จะเล่าแล้วสิ ไว้ข้าเล่าให้เจ้าฟังวันอื่นแล้วกัน วันนี้นอนเถอะ ข้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เจ้าอย่าทรมานคนป่วยสิ" ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เหม่ยฟางเห็นอีกฝ่ายเล่นแง่ไม่ยอมบอกเรื่องราวของตนต่อจึงเดินไปนั่งข้างเตียงเขย่าตัวคนที่นอนให้ลุกขึ้นมาเล่าเรื่องต่อ

"นี่ นี่ เจ้าอย่ามาเจ้าเล่ห์กับข้านะ ลุกมาเดี๋ยวนี้ นี่ นี่ อ๊ะ เอ้ย!" แต่สิ่งที่ไม่คิดคือเรียวแขนใหญ่ของจ้าวหย่งเจิ้งวาดมาโอบตัวของตนให้ลงไปนอนอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ทั้งยังไม่มีท่าทีจะปล่อยเขาง่ายๆอีก

"หย่งเจิ้ง ปล่อยข้านะ" เหม่ยฟางพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่การดิเนรนกับไร้ความหมายเมื่อ จ้าวหย่งเจิ้งโอบกระชับแขนให้กอดร่างของเหม่ยฟางให้แน่นขึ้นทั้งยังพูดขึ้นว่า

"นอน ได้แล้ว ข้าง่วง หากเจ้าไม่นอนข้าจะตีก้นเจ้า"

"หย่งเจิ้งปล่อย ข้าอึดอัด  ปล่อยข้า" เหม่ยฟางที่ไม่ยอมฟังคำพูดนั้น ยังคงดิ้นให้ตนหลุดจากวงแขนที่โอบกอดตน จนมือหนักๆของจ้าวหย่งเจิ้งฟาดเข้าที่ก้นอย่างแรง ถึงสองครั้ง

ผัวะ! ผัวะ!

"โอ๊ย ข้าเจ็บนะ" เหม่ยฟางร้องประท้วงด้วยความเจ็บ

"ไม่อยากโดนตีก็นอนนิ่งๆ" จ้าวหย่งเจิ้งร้องเตือนเสียงติดหงุดหงิด เพราะตนกำลังจะหลับ 

"เจ้าจะนอนก็นอนไป แต่ข้ายังไม่ง่วงปล่อยข้า ข้าจะกลับห้อง"

"ไม่ ข้าจะกอดตัวเจ้าไว้เช่นนี้ กลิ่นกายเจ้าช่างหอมนัก ทั้งผิวกายยังเย็น นอนกอดแล้วรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก นอนนิ่งๆล่ะข้าจะหลับแล้ว" เสียงงึมงำเอ่ยบอก เหม่ยฟาง นอนตัวแข็งทื่อหลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของคนที่บอกว่ากำลังหลับ

"แล้วจะให้ข้าทนนอนกับเจ้าท่านี้นี้เหรอ แบบนี้ข้าก็นอนไม่หลับกันพอดี" เหม่ยฟางเอ่ยเบาๆกับตนเอง ทั้งยังถอนหายใจเฮือกใหญ่ข่มใจตนให้หลับในอ้อมแขนของจ้าวหย่งเจิ้ง แต่หารู้ไม่ว่าคนที่บอกจะหลับกับหรี่ตาเหลือบมองตนอยู่เช่นกัน

**************************
ขอบบคุณสสำหรับคำติชมนะคะไรท์จะนำไปปรับปรุงแก้ไขนะคะ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 15 องค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้ง) {08-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 08-07-2017 15:36:25
เนื้อเรื่องมันแปลกจริงแหละค่ะ นายเอกเป็นเทพแท้ๆแต่ดูเหมือนอ่อนแอไม่มีพลังอะไรเลยดูคนไม่ค่อยเกรงกลัวทั้งๆที่ตอนนักปราชญ์เล่าก็เล่าแบบยิ่งใหญ่อะ ส่วนพระเอกนี่ก็เหมือนง๊องแง๊งๆเหมือนจะรักจะชอบนายเอกนะแต่ทำไมการกระทำนี่ไม่ชัดเจนเอาซะเลย บางครั้งก็ดูเด็ดขาดสมเป็นองค์ชายบางครั้งก็ไม่เด็ดขาด มีอย่างที่ไหนเจอนักโทษเนรเทศไปช่วยเค้าซะงั้น เหตุผลก็ง่ายๆไม่อยากทำเวรทำกรรม? (หรือเพราะเป็นผู้หญิงแถมเป็นเคยคั่วเลยสงสารว่างั้น?) แล้วไม่สงสารนายเอกเหรอ ก็รู้อยู่ว่าจะมาทำร้ายนายเอก แต่ไปช่วยเค้าซะงั้น งง -*- ขัดใจที่จับนางทำไรนางไม่ได้ซะทีเหมือนนางยิ่งใหญ่มากกกดูไม่กลัวอะไรเลยแม้กระทั่งองค์ชาย ทั้งๆที่จริงๆนางก็แค่นางโลมงะ  :katai1: :katai1:

ปล. จริงๆเลาชอบพล็อตเก่าก่อนเตงรีไรท์มากกว่านะ T_T
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 15 องค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้ง) {08-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-07-2017 21:19:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 16 หุบเขาเร้นใจ ตอนต้น) {12-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 12-07-2017 18:57:49
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 16 หุบเขาเร้นใจ ตอนต้น

ค่ำคืนนั้นในตำหนักจิงเหรินกง จ้าวหย่งเจิ้ง แม้อยากหลับอย่างปากว่า แต่เมื่อได้นอนเคียงกายกับเหม่ยฟางแล้ว จึงรับรู้ถึงจิตใจอันไม่สงบของตน กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวกายขาวเนียนมันกระตุ้นให้ตนอยากสัมผัส อยากลิ้มรสความหอมหวานนั้นมากขึ้น เขาเข้าใจความรู้สึกของตนแล้วว่าคิดอย่างไรกับคนที่ตนนอนกอด อยากปกป้อง อยากดูแล อยากใกล้ชิดกันมากกว่านี้

"ฟางเอ๋อร์ข้าอยากดูแลเจ้า" แม้เพียงเอ่ยพึมพำแต่ล้วนมาจากใจทั้งสิ้น ความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้มันคือความรู้สึก สิเน่หา เมื่อคิดได้จึงลุกออกจากเตียงเพื่อสงบอารมณ์ไฟปรารถนาในกายตน

'หากยังนอนอยู่เช่นนี้ข้าคงข่มตาหลับไม่ลงแน่ๆ'

เมื่อก้าวเท้าเปิดประตูออกจากห้อง ก็พบ อวี๋เหวินเต๋อกับมาเฝ้ารออยู่แล้ว คล้ายกับมารายงานบางเรื่องที่ตนสั่งการไป

"เจ้ามารอข้านานแล้วหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถาม

"ไม่นานพะย่ะค่ะ ข้าน้อยดำเนินการ ช่วยคนของว่านเสี่ยวหลิง เรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ ตอนนี้ข้าน้อยนำพวกนั้นไปคุมขังเอาไว้ที่โรงเตี๊ยมเดียวกับว่านเสี่ยวหลิงอยู่"

"เจ้าจับคนเหล่านั้นไปขังอีกงั้นหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งเลิกคิ้วมองคนที่ทำเกินคำสั่งตน

"พะย่ะค่ะ หากปล่อยออกมาอาจมาทำร้ายเหม่ยฟางได้"

"นั่นสินะ แต่นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการนะ"

"องค์ชายหมายความว่าอย่างไรพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจ

"อยากตกปลาตัวใหญ่ ย่อมต้องใช้เหยื่อที่พิเศษสิ แม้จะใช้เพียงชื่อก็เถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งคลี่ยิ้มที่แฝงความในเอาไว้

"องค์ชายนางยังไม่ทราบถึงฐานะของพระองค์ใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถาม เพราะถ้าว่านเสี่ยวหลิงรู้ถึงฐานะขององค์ชายอาจเรียกร้องอะไรมากขึ้น

"ใช่นางยังไม่ทราบ ข้าแค่อยากเห็นนางเผยหางจิ้งจอกออกมาจนครบจากนั้นก็สังหารนางให้สิ้น" จ้าวหยางเจิ้งเอ่ยเสียงเย็น

"ไหนองค์ชายตรัสว่าไม่อยากเป็นเวรเป็นกรรม" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามด้วยความลังเล

"นั่นสินะ เวรกรรมเหล่านั้นให้ข้าเป็นผู้รับดีกว่าไม่ใช่หรือไง ดีกว่าให้มือขาวสะอาดอย่างฟางเอ๋อร์ต้องเปื้อนเลือดคนชั่ว"

"พะย่ะค่ะ" แม้จะรับคำ แต่ยังคงเหลือบมองใบหน้าเย็นชาแข็งกระด้างของผู้เป็นนาย

"เจ้าจงพาคนพวกนั้นไปที่หุบเขาเร้นใจ เพื่อทำตามแผนต่อไป"

"น้อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามหลังคาหายไปหลังจากได้รับคำสั่ง

เช้าวันใหม่อากาศอบอวลด้วยไปด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพันธ์ในสวน เหม่ยฟางรับรู้ถึงแสงอาทิตย์สาดแสงเข้ามาจึงค่อยๆเปิดเปิดเปลือกตาออกด้วยท่าทางสะลึมสะลือ หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ จึงเดินไปหาที่นั่งบริเวณสระบัวที่ตอนนี้แห้งขอด ไม่มีน้ำ ไม่มีดอกบัว ไม่มีแม้กระทั่งปลาสวยๆ ด้วยพลังที่ตนซัดระบายอารมณ์ไปตอนโมโหสภาพสระบัวจึงมีสภาพเละเทะเช่นนี้

"ข้าทำให้สระบัวเป็นเช่นนี้หรือเนี่ย น่าสงสารสระบัวจริง ถ้าเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วกัน" ว่าจบเหม่ยฟางก็กำมือชึ้นชิดริมฝีปากกล่าวท่องคาถาบางอย่างจนเกิดแสงสีเขียว แล้วเป่าออกไปยังสระบัว แสงสีเขียวเปล่งประกายวิบวับระยับสวยงามบังเกิดน้ำ ดอกบัว ทั้งยังมีปลาแหวกว่ายเช่นเดิม

"แบบนี้สิถึงจะดี" เหม่ยฟางกล่าวอย่างภูมิใจ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่าพลังของตนทำไมถึงได้เพียงน้อยนิดเช่นนี้

"เรื่องทุกอย่างดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ข้าเป็นมังกรเขียวนะทำไมพลังข้าถึง..." เหม่ยฟางบ่นขึ้น พลางเท้าคางมองสระบัวที่ตนได้สร้างขึ้นมาใหม่

"ตาเฒ่าเอี๊ยออกมาคุยกับข้าทีสิ ข้าอยากรู้คำตอบ ท่านจะช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าได้หรือไม่ ตาเฒ่าเอี๊ย" เพียงเอ่ยเรียกชื่อ ตาเฒ่าเอี๊ยก็ปรากฏกายออกมา ทั้งยังมีขวดสุราติดมือมา

"เจ้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับข้างั้นหรือ" ตาเฒ่าเอี๊ยใบหน้ายิ้มแย้ม

"ข้ากำลังคิดว่าทำไมท่านถึงไม่ให้ข้าใช้พลัง ท่านสั่งห้ามข้ามานานนับสิบปี ให้ใช้พลังเพียงเล็กน้อย เวลาข้าเดือดร้อนทีไร ท่านก็ไม่ค่อยโผล่มาช่วยข้าสักครั้ง" เหม่ยฟางเอ่ยถามออกมา มันเป็นคำถามที่คั่งค้างในใจ นับตั้งแต่ถูกนางจิ้งจอกนั่นวางยา

"นั่นเพราะพลังของเจ้าคือการสร้างไม่ใช่การทำลาย" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม

"ถ้าเช่นนั้นข้าทำไมวันก่อนข้าถึงทำลายสระบัวนี้ได้" เหม่ยฟางพึมพำขึ้นมา

"นั่นเพราะเจ้าโกรธสินะ พลังจึงส่งผลกลายเป็นทำลาย" ตาเผฒ่าเอี๊ยเอ่ยถาม เหม่ยฟางจึงพยักหน้ารับ ตอนนั้นตนรู้สึกโมโหที่ถูกบอกว่าเป็นปีศาจ พลังที่ใช้สร้างจึงกลายเป็นพลังทำลายสินะ เหม่ยฟางพยักหน้าคล้ายรับรู้ถึงบางอย่าง ตาเฒ่าเอี๊ยจึงเอ่ยต่ออีกว่า

"เหม่ยฟางเจ้าฟังข้านะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าคืออะไร หน้าที่สำคัญของเจ้าคือการรักษาความบริสุทธิ์..." ตาเฒ่าเอี๊ยยังเอ่ยไม่จบเหม่ยฟางก็เอ่ยขัดขึ้น

"ข้าก็รักษามา10กว่าปีแล้วไง ตอนนี้ข้าก็ยัง..." เหม่ยฟางอ้อมแอ้มตอบเสียงไม่ดังมากนัก

"เจ้าอย่าพึงขัดได้ไหม" ตาเฒ่าเอี๊ยทำเสียงดุ

"ข้าขออภัย" เหม่ยฟางก้มหน้ารับฟังคำบอกเล่าต่อจากตาเฒ่าเอี๊ย
 "ไม่ใช่อย่างนั้น แม้จะรวมเรื่องนั้นด้วยก็เถอะ แต่ความบริสุทธิ์ที่จะรักษาคือกาย ทั้งภายนอก ภายใน ภายในข้าคงไม่ต้องบอกสินะ ส่วนภายนอกนั้นคือการเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งปวง เพราะเจ้าเกิดมาเพื่อสร้างไม่ใช่ทำลาย หากระเมิดข้อนี้จะไม่เป็นผลดีกับเจ้าแม้แต่น้อย" 

"ถ้าข้าใช้พลังฆ่านางจิ้งจอก ข้าจะเป็นเช่นไร"

"เจ้าอาจจะกลายเป็นปีศาจ ทั้งยังไม่สามารถมอบโอรสมังกรให้กับฮ่องเต้คนต่อไปได้อีก ชีวิตเจ้าจะจบสิ้นดั่งคนไร้ค่า ไม่อาจครองคู่กับคนที่รักได้อีก" ตาเฒ่าเอี๊ยกล่าวอธิบายสิ่งที่เหม่ยฟางสงสัย เพราะเขาเป็นถึงมังกรเขียว แต่กับอ่อนแอไร้น้ำยาสิ้นดี ที่แท้พลังของเขาการการสร้างนี่เอง

'มิน่าบุรุษอย่างข้า ถึงสามารถตั้งครรภ์ได้'

"เถอะน่าเจ้าทำใจซะเถอะ มาดื่มกับข้าดีกว่า" ว่าแล้วตาเฒ่าเอี๊ยจึงชูขวดสุราชั้นยอดขึ้นแกว่งตรงหน้าเหม่ยฟาง

"เฮ้อ ดื่มก็ดื่ม" ตาเฒ่าเอี๊ยเสกจอกเหล้าออกมา 2ใบรินเหล้าใส่จอกให้เหม่ยฟาง

"จริงสิอย่าลืมเรื่องที่ข้าบอกเจ้าล่ะ พาจ้าวหย่งเจิ้งไปที่หุบเขาเร้นใจให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ตรงดิน" 

"ข้าเข้าใจแล้ว"

"ดีแล้ว เมืาอไปถึงจะเกิดเรื่องยุ่งๆขึ้น ขเาอยากให้เจ้า...." ตาเฒ่าเอี๊ยกระซิบบางอย่างข้างหูเหม่ยฟาง เมื่อเหม่ยฟางได้ฟังสิ่งที่บอกก็ถึงกับตาโต เอ่ยเสียงสั่น

"ข้าต้องทำเช่นนั้นด้วยเหรอ"

"ถูกต้อง เจ้าต้องทำ หากไม่ทำความทรงจำของหย่งเจิ้งทั้งสองคนก็จะไม่บรรจบกันน่ะสิ นี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั่น" ตาเฒ่ายกจอกสุราดื่มจนหมดจอก ก่อนยิ้มร่าออกมา 

"เจ้ายิ้มอะไร" เหม่ยฟางขมวดคิ้วเอ่ยถาม

"ดีใจที่ทำให้เจ้ายุ่งยากใจ ฮ่าๆ ข้าไปล่ะ มีคนมาตามเจ้าแล้ว ส่วนเหล้านี่ข้ายกให้เจ้า" ว่าแล้วร่างตาเฒ่าก็สลายหายไปตรงหน้าพร้อมกับเสียงเรียกของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ฟางเอ๋อร์" เสียงเรียกทำให้เหม่ยฟางหันไปมอง 

"หย่งเจิ้ง" เหม้ยฟางเอ่ยชื่อคนที่เรียกชื่อตน

"เมื่อคืนหลับสบายไหม" จ้าวหย่งเจิ้งคลี่ยิ้มหวาน

"อืม" เหม่ยฟางพยักหน้ารับ "ผิดกับข้านะ ข้านอนไม่หลับ" จ้าวหย่งเจิ้งทำสีหน้าสลด

"ทำไมล่ะ ข้านอนดิ้นงั้นเหรอ" เมื่อได้ยินคำถามจ้าวหย่งเจิ้งจึงหลุดหัวเราะออกมา

"ข้านอนไม่หลับเพราะเจ้าจริงๆนั่นแหละ ฮ่าๆ"

"ข้านอนดิ้นจริงๆสินะ น่าขายหน้าจริง"

"ไม่ใช่เพราะเจ้านอนดิ้นหรอก แต่เป็นเพราะกลิ่นหอมๆ จากกาย เจ้าต่างหาก" จ้าวหย่งเจิ้งยื่นจมูกเข้าไปแตะผิวแก้มของเหม่ยฟางเบาๆ

"ทะ ท่าน!" แม้อยากเอ่ยต่อว่า แต่ความเขินอายมีมากจนพูดไม่ออก

"ว่าแต่เจ้าดื่มสุราอยู่กับใครงั้นหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งจอกสุรา2ใบที่ตั้งอยู่บนโต๊ะจึงเอ่ยถาม

"ข้าจะดื่มกับใครได้ล่ะท่านก็เห็นว่าข้าอยู่เพียงลำพัง"

"อืม นั่นสินะ แล้วทำไมมีจอกสุราอีกใบล่ะ"

"ข้าก็...เตรียมให้ท่านไง"

"ให้ข้า...เจ้ารู้หรือว่าข้าจะมา" จ้าวหย่งเจิ้งเลิกคิ้วถามอย่างไม่แน่ใจ

"ข้าเป็นใคร ข้าเป็นถึงมังกรเขียวจะไม่รู้เชียวหรือว่าท่านกำลังจะมา" เหม่ยฟางเอ่ยแก้ตัว

"อืม ก็จริงของเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งพยักหน้าเออออไปกับเหม่ยฟาง

"ว่าแต่...วันนี้ท่านต้องไปที่ใดหรือไม่" เหม่ยฟางออกปากถามขึ้นขณะจ้าวหย่งเจิ้งนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามตน

"ข้ามีธุระ นิดหน่อย" จ้าวหย่งเจิ้งทำท่าครุ่นคิดก่อนเอ่ยออกมา

"งั้นเหรอ ข้าอยากจะไปสถานที่หนึ่งซึ่งต้องไปก่อนพระอาทิตย์ตกดิน แต่ท่านติดธุระคงพาข้าไปไม่ได้" เหม่ยฟางทำท่าเศร้าเอ่ยเสียงเบาอย่างผิดหวัง เมื่อจ้าวหย่งเจิ้งเห็นท่าทางเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นโดยไม่ทันคิดว่า

"เจ้าอยากไปที่ใด"

"แต่ท่านติดธุระ" 

"เรื่องนิดหน่อยข้าอาจเจียดเวลาพาเจ้าไปได้"

"จริงนะ" ใบหน้าเศร้าเริ่มเผยรอยยิมออกมาอีกครั้ง

"เจ้าอยากไปที่ใด"

"ข้าอยากไป หุบเขาเร้นใจ" เพียงเอ่ยสถานที่ออกมาจ้าวหย่งเจิ้งถึงกับชะงัก จะให้เหม่ยฟางไปที่นั่นไม่ได้เด็ดขาด

"ไม่ได้ เจ้าไปที่นั่นวันนี้ไม่ได้"

"ทำไม" เมื่อถูกปฏิเสธจึงตอบโต้กลับไปโดยอัตโนมัติ

"เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องรู้หรอกรู้เพียงวันนึ้ห้ามไป" จ้าวหย่งเจิ้งอ่ยเป็นเชิงสั่ง เหม่ยฟางยืนนิ่งมองจ้าวหย่งเจิ้งที่ลุกพรวดจากไปไม่บอกเหตุผลอะไรแก่ตน

"คิดว่าห้ามคนอย่างข้าได้งั้นหรือไม่ทางทางเสียหรอก" เสียงตะโกนตามหลังทำให้จ้าวหย่งเจิ้งต้องชะงัก ได้แต่ข่มใจให้เดินต่อจนลับสายตาเหม่ยฟาง แต่ถึงกระนั้นยังคงสั่งให้ทหารและคนภายในตำหนักคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเหม่ยฟางไว้ขณะที่ตนออกไปข้างนอก

หลังจากช่วงเช้าที่คุยกับจ้าวหย่งเจิ้ง เหม่ยฟางรับรู้ได้ทันทีว่าตนกำลังถูกจับตามอง ไม่ว่าจะก้าวไปทางไหน

"นี่คิดจะขังข้าหรือไง" เหม่ยฟางสอดส่ายสายตามองคนที่คอยจับตามองตนก่อนหายเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ เมื่อคิดว่าถ้าเข้ามาในห้องแล้วต้องไม่มีใครสังเกตุเห็นตนได้อีกจึงแปลงกายเป็นงูเขียวตัวเล็กเล็ดรอดออกไปจากตำหนัก

ร่างงูเขียวลักลอบออกมาจนพ้นตำหนักเข้าไปในเมือง ด้วยความที่กลัวว่าจะถูกจับได้จึงไม่แปลงกายกลับเป็นคน แต่ระหว่างที่กำลังเลื้อยนั้น ได้พบกับจ้าวหย่งเจิ้งที่เข้าไปยังโรงเตี๊ยม ทั้งยังกลับออกมาพร้อมกับว่านเสี่ยวหลิง ทั้งคู่ดูเรียบร้อนจนเหม่ยฟางเกิดความสงสัยต้องติดตามไปดู เมื่อตามไปเรื่อยๆ ทั้งคู่กับออกห่างตัวเมืองไปเรื่อยๆ คล้ายกับกำลังจะขึ้นเขากัน เมื่อติดตามขึ้นเขามาเรื่อยๆ สายตาของเหม่ยฟางก็มองเห็นหินป้ายหินสลักชื่อ สถานที่นั้นว่า หุบเขาเร้นใจ
'มาทำอะไรที่นี่' เหม่ยฟางได้ได้คิดในใจลอบติดตามทั้งสองจนมาถึงลานกว้างของหุบที่รอบด้านล้วนเป็นหน้าผาหากตกลงไปมีแต่ตายกับตายเพียงอย่างเดียว เหม่ยฟางสอดส่ายสายตาหาทำเลเอาไว้ลอบแอบ มองแอบฟัง เมื่อได้ที่แล้วจึงแอบมองอยู่เงียบๆ

"ไหนละคนของข้า" ว่านเสี่ยวหลิงกล่าวขึ้นใบหน้ายังคงจองหองไม่เปลี่ยนแปลง

"รออีกเดี๋ยวสิ อีกไม่นานก็มาถึง" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงเรียบ เพียงสิ้นเสียงสักครู่ อวี๋เหวินเต๋อก็เดินขึ้นเขามาพร้อมคน เจ็ดคน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีลูกน้องของว่านเสี่ยวหลิง สามคน

"ข้านำคนของเจ้ามาให้แล้ว" อวี๋เหวินเต๋อกล่าว ทั้งยังผลักคนของนางเข้าไปหานาง

"ถ้าเช่นพวกข้าขอตัว และหวังว่าคงไม่พบพวกเจ้าอีก" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวลา เมื่อว่านเสี่ยวหลิงได้ตัวคนของนางคืนจึงแสยะยิ้ม ทั้งยังกระซืบข้างหูนักบวชอยู่ครู่หนึ่ง นักบวชหันมามองจ้าวหย่งเจิ้ง พร้อมขยับปากท่องอะไรบางอย่างก่อนยื่นมือออกมาข้างหน้า พลันเกิดแสงสว่างวูบหนึ่ง ก็บังเกิดเจดีย์เหลยเฟิงลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ"(นั่นมันเจดีย์เหลยเฟิงนี่!) เหม่ยฟางส่งเสียงออกมาดเวยความตกใจ จึงเลื้อยลงมาจากที่ซ่อนตรงเข้าไปขวางจ้าวหย่งเจิ้งเอาไว้

จ้าวหย่งเจิ้งเกิดก็ตกใจเช่นกัน แต่สิ่งที่ตกใจคือเหม่ยฟางที่โผล่ออกมาในร่างงูเขียว ไม่ใช่เจดีย์ที่ลอยอยู่บนฟ้า

"ฟางเอ๋อร์เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (หนีไปเร็ว พี่อวี๋พาหย่งเจิ้งหนีไป )

"แล้วเจ้าล่ะ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามด้วยเป็นห่วง 

"อวี๋เหวินเต๋อ ฟางเอ๋อร์พูดอะไรกับเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอวี๋เหวินเต๋อคล้ายคุยกับเหม่ยฟางในร่างงูรู้เรื่อง

"เหม่ยฟางบอกให้ข้าน้อยพาองค์ชายหนีพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อหันไปตอบ ทั้งเสียงนั้นยังดังพอที่ทำให้ว่านเสี่ยวหลิงได้ยินชัดเจนว่า จ้าวหย่งเจิ้ง คือ องค์ชายของแคว้นจ้าวแห่งนี้

"ที่แท้ท่านก็เป็นองค์ชายแห่งแคว้นจ้าว มิน่าล่ะท่านถึงดูมีอำนาจมากมายได้ถึงเพียงนั้น" ว่านเสี่ยวเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชม

"ข้าเป็นใครมิใช่ธุระกงการอะไของเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยดเวยน้ำเสียงเย็นชา สายแข็งกร้าวจับจ้องที่นาง

"ไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาร้อนแรงเช่นนั้นหรอกองค์ชาย ในเมื่อท่านเป็นองค์ชาย ท่านน่าจะให้ในสิ่งที่ข้าต้องการได้มากกว่านี้" ว่านเสี่ยวส่งยิ้มหวานแต่ในตาแฝงบางสิ่งบางอย่าง พร้อมสาวเท้าเพื่อเข้าใกล้จ้าวหย่งเจิ้ง

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (อย่าหวังว่าจะเข้าใกล้หย่งเจิ้ง) เหม่ยฟางเข้าขวางไม่ยอมให้นางเข้าใกล้ แม้นางจะชะงักเมื่อเห็นงูเขียว แต่นางก็ไม่สนใจ ยังคิดจะเดินเข้าไปหา เหม่ยฟางเห็นว่านางไม่เกรงกลัวตน จึงสะบัดหางฟาดเข้าขาของนางจนล้มพับลงไปกับพื้น

"กรี๊ดดดด โอ๊ย!!! ไอ้เจ้างูบ้า พวกเจ้าจัดการเจ้างูนี้ซะ" ว่านเสี่ยวหลิงส่งเสียงร้องปนก่นด่าทั้งยังสั่งให้คนของนางจัดการงูเขียวที่บังอาจทำนาง

"หากพวกเจ้าคิดจะทำอันตรายมันต้องข้ามศพข้าไปก่อน" อวี๋เหวินเต๋อขวางบ่าวของคนของว่านเสี่ยวหลิง แต่ยังไม่ทันจะได้ช่วยอะไรเหม่ยฟาง จู่ๆลมพายุสายหนึ่งก็จู่โจมดูดดึงเอาร่างของอวี๋เหวินเต๋อเข้าไปในเจดีย์

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ"(พี่อวี๋!)

"อวี๋เหวินเต๋อ!" ทั้งเหม่ยฟาง ทั้งจ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเรียกด้วยความตกใจที่อวี๋เหวินเต๋อถูกดูดเข้าไปในเจดีย์เหลยเฟิง ด้วยเหตุนี้ร่างงูเขียวจึงเปล่งแสงสีเขียวเปลี่ยนร่างจากงูเป็นคน

"เจ้าปล่อยพี่อวี๋เดี๋ยวนี้นะ" เหม่ยฟางที่กลายร่างเป็นคนชี้หน้านักบวชทึ่ดึงร่างของอวี๋เหวินเต๋อเข้าไปขังในเจดีย์

"ในที่สุดก็โผล่หัวของมาแบ้วสินะเจ้าปีศาจ" เสียงของว่านเสี่ยวหลิงเอ่ยขึ้นเผยร้ายยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า

"เจ้าสิปีศาจ หากข้าเป็นปีศาจเจ้าก็เป็นยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก" เหม่ยฟางกล่าวโต้ตอบด้วยความโมโห

"กรี๊ดดดด เจ้าปีศาจร้าย ท่านนักบวชจับเจ้าปีศาจนั้นขังไว้ในเจดีย์เลยเจ้าค่ะ" ว่านเสี่ยวหลิงร้องบอกนักบวช

"ถ้าทำได้ก็ลองดู ข้าจะทำลายเจดีย์นี่ให้พินาศ" แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในใจกับไม่รู้ว่าตนจะทำได้หรือไม่ ขณะที่กำลังคิดหาทางออกอยู่นั้น มือเล็กที่กำลังสั่นเทานั้นก็ถูกมือใหญ่ที่แสนอบอุ่นของจ้าวหย่งเจิ้งกอบกุมไว้ เมื่อตนหันไปมองเจ้าของมือนั้นจ้าวหย่งเจิ้งจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

"ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเองอย่ากังวลไปเลย"

หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 16 หุบเขาเร้นใจ ตอนต้น) {12-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vivivo ที่ 13-07-2017 08:05:55
มาต่อไวๆน้าาาา :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 16 หุบเขาเร้นใจ ตอนต้น) {12-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 13-07-2017 12:01:33
จับนางไปลงเอยกับนักบวชซะ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 17 หุบเขาเร้นใจ ตอนท้าย) {16-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 16-07-2017 20:15:06
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 17 หุบเขาเร้นใจ ตอนท้าย

สายลมพัดเอื่อยปะทะร่างของคนหลายคนในหุบเขา คนของจ้าวหย่งเจิ้งทั้งหมดที่พามาถูกหายเข้าไปในเจดีย์เหลยเฟิง แม้กระทั่งองครักษ์ผู้มีฝีมืออย่างอวี๋เหวินเต๋อก็ไม่เว้น จึงเหลือเพียงเหม่ยฟาง กับจ้าวหย่งเจิ้ง ที่ยืนจ้องมองคน 4คนที่มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยเป็นผู้ออกคำสั่ง

"กำจัดมันสิ มันเป็นปีศาจผิดเพศ" ว่านเสี่ยวหลิงกล่าวว่าร้ายเหม่ยฟางอย่างออกหน้าออกตา ด้วยเพราะเห็นเหม่ยฟางกลายร่างจากงูเป็นคนด้วยนั้นเป็นข้อยืนยัน

"มารดาเจ้าเถอะ ข้าเนี่ยนะปีศาจ เจ้ามากกว่าที่เป็นปีศาจ ทั้งยังเป็นปีศาจจิ้งจอกด้วย" เหม่ยฟางกล่าวต่อว่าว่านเสี่ยวหลิงด้วยวาจาร้ายกาจไม่ต่างกัน ทั้งยังมีมือของจ้าวหย่งเจิ้งคอยเกาะกุมเป็นกำลังใจ ใจเขาก็ดูจะกล้าหาญที่ต่อปากต่อขำด้วย

"หึหึ" เป็นเสียงหัวเราะในลำคอของจ้าวหย่งเจิ้งที่ทำให้เหม่ยฟางต้องหันไปถลึงตาใส่

'ใครจะไปคิดละว่าบุรุษคนนี้จะเป็นมังกรเขียว ช่างเป็นมังกรที่ไม่น่าเกรงขามเลยสักนิด ทั้งยังปากคอเลาะร้ายเช่นนี้อีก' จ้าวหย่งเจิ้งได้แต่คิดในใจไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำนี้ออกไปได้หากเอ่ยออกไปคงโดนโกรธไปหลายวันเป็นแน่

"ท่านนักบวช จับเจ้าปีศาจนี่ไปขังในเจดีย์เลยสิ" เมื่อได้รับคำสั่งนักบวชจางซื่อ จึงท่องคาถาอย่างที่เคยทำ เมื่อเกิดกระแสลมจึงสะบัดมือมาทางเหม่ยฟางลมพายุหมุนพัดเข้ามาที่ร่างเหม่ยฟางกับจ้าวหย่งเจิ้ง แต่ใกล้ถึงร่างลมพายุหมุนกับแตกกระจายหายไป แม้จะสั่งกี่สั่งก็จะเป็นนี้ซ้ำๆ จนนักบวชจางซื่อ แน่ใจได้เลยในทันทีว่า บุรุษทั้งสองตรงหน้าเป็นอะไรมี่ยื่งใหญ่เกินกว่าที่ตนกับเจดีย์เหลยฟางจะแตะต้องได้

"เป็นไปไม่ได้ ทำไมเจดีย์เหลยเฟิงของข้าถึงทำอันใดพวกเจ้าไม่ได้" นักบวชเอ่ยพึมพำกับตนเองด้วยความท้อแท้

"คิดจะทำร้ายข้า ฝันไปเถอะ" เหม่ยฟางกล่าวเย้ยว่านเสี่ยวหลิง ที่ยืนมองอย่างตื่นตระหนก

"ไม่จริง ท่านนักบวชไหนท่านว่าเจดีย์ของท่านกักขังได้ทุกสิ่งไงเล่า แล้วทำไมถึงกักขังเจ้าปีศาจผิดเพศตนนี้ไม่ได้" มือไม้ที่ชี้มาทางเหม่ยฟางสั่นระริก

"เพราะปีศาจที่เจ้าว่าคือมังกรไงล่ะ อาตมาจึงดึงเข้าไปกักขังในเจดีย์ไม่ได้" นักบวชจางซื่อกล่าว ก่อนร่างของนักบวชจะทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรง 

"ไม่จริง คนอย่างมันจะเป็นมังกรไปได้อย่างไรข้าไม่เชื่อ" เสียงสั่นเครือด้วยความกลัวที่บังเกิดขึ้นในใจของนาง

"อาตมาขออภัยกับสิ่งตนได้กระทำต่อท่านทั้งสอง อาตมาไม่คิดว่าตนจะถูกนางหลอกใช้เช่นนี้ วัดของอาตมานับถือมังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่ไม่คิดว่าจะถูกหลอกให้มากำจัดพวกท่าน อาตมาผิดไปแล้ว อาตมาผิดไปแล้ว" นักบวชจางซื่อ โขกศีรษะลงกับพื้นดินซ้ำแล้วซ้ำเหล่าหลายต่อหลายครั้งจนหน้าผากมีเลือดซึมออกมา เมื่อเหม่ยฟางเห็นตึงขยับเข้าไปใกล้หมายจะห้ามปราม แต่หารู้ไม่ว่านี่นเป็นแผนการให้ตนออกห่างจากจ้าวหย่งเจิ้ง

"พอเถอะท่านนักบวช ข้า...ไม่ได้ติดใจอะไรเกี่ยวกับท่านแล้ว อ๊ะ!" ในขณะที่ตนไม่ทันระวังตัวนักบวชจางซื่อกับสะบัดมือโยนบางอย่างใส่ตัวของเหม่ยฟางเข้าพอดี สิ่งนั้น เข้าคลุมร่างเหม่ยฟางกดทับร่างไว้กับพื้นไม่ให้ขยับเขยื้อน

"ฟางเอ๋อร์" จ้าวหย่งเจิ้งตะโกนเรียกชื่อ เข้าไปช่วยดึงสิ่งที่คล้ายแหที่คลุมร่างเหม่ยฟางออก แต่สิ่งนั้นกับติดแน่นเหมือนกาวจนดึงไม่ออก "ไอ้เจ้านักบวชเจ้าเล่ห์ปล่อยข้าออกไปนะ หากข้าหบุดออกไปได้ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก" เพียงตะโกนก้องด้วยความโกรธ ท้องฟ้าก็พากันมืดครึ่มส่งเสียงร้องคำรามตามคำตะโกนของเหม่ยฟาง

"ฮ่าๆ มังกรผู้ทรงฤทธิ์เช่นเจ้าทำได้เพียงแค่ให้ท้องฟ้าคำรามปั่นป่วนงั้นหรือ ฮ่าๆ น่าสมเพชจริงๆ" นักบวชจางซื่อกล่าวเยาะเย้ยเหม่ยฟางที่ตกอยู่ในแหวิเศษที่ถูกถักทอจากเส้นผมของปีศาจกระดูกขาวซึ่งสามารถกักขังมังกรได้โดยเฉพาะ

"เราไม่มีเรื่องบาดหมางต่อกันใยถึงคิดทำร้ายพวกข้า" เหม่ยฟางเอ่ยทักท้วงสิ่งที่ตนคิด

"ข้าเป็นลูกศิษของปีศาจเต่าฝาไห่ ย่อมต้องรังเกียจเชื้อสายงูอย่างพวกเจ้า หากไม่ใช่เชื้อสายงูของพวกเจ้า ท่านอาจารย์ของข้า คงไม่จบชีวิตเช่นนั้น ครานี้แหละที่ข้าจะได้กินหัวใจมังกรบริสุทธิ์ เพื่อล้างแค้นให้อาจารย์ ฮ่าๆ" นักบวชประกาศก้องเดินตรงเข้าไปยังร่างเหม่ยฟางที่ถูกแหวิเศษคุมกายจนขยับไม่ได้ 

"นั่นเพราะอาจารย์ของเจ้าทำตนเองต่างหาก" เหม่ยฟางร้องบอก "เรื่องจะเป็นเช่นไรข้าไม่สน วันนี้ข้าจะล้างเผ่าพันธ์มังกรให้สิ้น" นักบวชจางซื่อย่างเท้าเข้าไปใกล้หมายจะควักหัวใจของเหม่ยฟาง

"หากคิดจะฆ่าเขาเจ้าต้องข้ามศพข้าไปก่อน" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่เข้ามาขวาง แต่ไม่อาจทานแรงที่มีมากกว่าของอีกฝ่ายได้ ร่างของจ้าวหย่งเจิ้งกระเด็นออกไปทิศทางของว่านเสี่ยวหลิงยืนอยู่

"จับไว้" นางเอ่ยให้บ่าวอีกสองคนไปจับตัวจ้าวหย่งเจิ้งไว้

"ปล่อยข้านะ ปล่อย" จ้าวหย่งเจิ้งถูกล็อคแขนทั้งสองข้างไว้แน่นจนไม่อาจยับได้อย่างใจ เขาพยายามดิ้นรนเพื่อหลุดจากคนทั้งสอง แต่เมื่อหลุดออกมาได้กับโดนนักบวชจางซื่อ สะกดให้หมอบลงไปกับพื้น ไม่อาจลุกขึ้นไปช่วยเหลือเหม่ยฟางได้อย่างใจคิด

"ท่านนักบวชข้าขอจัดการมันเอง" ว่านเสี่ยวหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มน่าเกลียดบนใบหน้า นักบวชจางซื่อพยักหน้ายอมให้นางได้กระทำในสิ่งที่อยากทำ

"หย่งเจิ้ง!" เหม่ยฟางร้องเรียกเมื่อเห็นจ้าวหย่งเจิ้งสะกดให้หมอบราบลงไปกับพื้น

"โถๆ องค์ชาย กะอีแค่ปีศาจงูแค่ตนเดียวท่านก็ดิ้นรนอยากช่วยเสียขนาดนี้หากข้าทรมานมันตรงหน้าท่านจะเป็นเช่นไรหนอ" ว่าแล้วนางจึงตรงไปที่เหม่ยฟางพร้อมกับมีดสั้นในมือ ตรงเข้าไปกระชากผมเหม่ยฟาง ให้เงยขึ้นเพื่อจ่อปลายมีดไปที่ลำคอขาว

"คิดจะฆ่าข้ามันไม่ง่ายหรอกนะ" เหม่ยฟางเอ่ยทั้งยังยิ้มเยาะให้กับนาง

"ปากดีนักนะ งูเขียวที่ไร้พิษสงเช่นเจ้า ข้าจะทำให้ทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก" พูดจบนางก็ลากปลายมีดจากลำคอขึ้นมาที่ใบหน้าของเหม่ยฟาง

"อึก!" ความเจ็บแปลบแล่นผ่านไปตามแรงลากปลายมีดจนทำให้เหม่ยฟางส่งเสียงที่กลั้นไว้ออกมา

"หยุดนะ อย่าทำร้ายเขานะ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงวิงวอน มองดูปลายมีดที่ถูกกดแนบเข้าไปกับผิวแก้มขาวเนียนจนมีเลือดซึมตามแรงกด เหม่ยฟางกัดริมฝีปากแน่น หากเขาไม่ถูกแห บ้าๆนี้คลุมตัวไว้คงไม่ปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจเช่นนี้ได้ 

"ฟางเอ๋อร์ ฟางเอ๋อร์ หยุดเถอะ อย่าทำร้ายเขา" เมื่อเห็นเบือดที่ซึมออกมาจากแรงกด ใจของจ้าวหย่งเจิ้งก็ปวดแปลบขึ้นมาด้วยความสงสารคนที่ตนรัก

"ข้าไม่เป็นไร แผลแค่นี้ ข้าทนได้ ท่านไม่ต่องอ้อนวอนเพื่อข้าหรอก อึก!" เหม่ยฟางเห็นสายตาที่มองตนอย่างเจ็บปวดจึงเอ่ยปลอบใจอย่างขอไปที

"รักกันมากสินะ รักกันสินะ หากเจ้าขาดดวงตาไปสักข้างอวค์ชายผู้สูงส่งจะยังรักเจ้าอยู่ไหม" ว่านเสี่ยวหลิงง้างมีดในมือหมายจะแทงเข้าไปในดวงตาของเหม่ยฟาง

ฟิ้ว! ฉึก! เคร้ง!

ธนูปริศนาไร้ที่มาพุ่งเข้าไปที่มีดสั้นที่กำลังง้างเตรียมแทงเข้ามาที่ดวงตาของเหม่ยฟาง จนหลุดกระเด็นออกจากมือของว่านเสี่ยวหลิง 

"นั่นใคร ออกมานะ" แม้จะร้องเรียกแต่กลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เมื่อมองไปรอบๆก็ไม่เห็นใครแม้แต่น้อย เมื่อไม่ออกมาดีๆนางจึงดึงตัวเหม่ยฟางขึ้นจากพื้น แม้จะทุลักทุเลอยู่บ้าง เมื่อเหม่ยฟางไม่ยอมให้ความร่วมมือ

"เจ้าคิดจะทำอะไร" นักบวชจางซื่อเอ่ยถาม

"ข้าจะผลักมันให้ตกลงไปข้างล่างน่ะสิ" 

"ไม่ได้ ข้าต้องการหัวใจของมัน" นักบวชจางซื่อเข้าแย่งตัวเหม่ยฟางกับว่านเสี่ยวหลิง

"ไม่ได้ ท่านอยากได้หัวใจมังกรก็ไปเอาที่องค์ชายนั่นสิ"

"ไม่ได้ ต้องหัวใจมังกรเขียวเท่านั้น" ขณะที่กำลังยื้อแย่งกันอยู่นั้นมีดสั้นในมือของว่านเสี่ยวหลิงก็พลาดไปโดนข้อมือของนักบวชเอา เมื่อเลือดบนข้อมือหลั่งรินออกมาหยดลงบนแหวิเศษ ฤทธิ์ของแหจึงเสื่อมลง แม้แต่มนต์สะกดที่มีต่อจ้าวหย่งเจิ้งก็เช่นกัน

"บ้าจริง เจ้าทำอะไรลงไป" นักบวชจางซื่อสบถออกมาอย่างหัวเสียทั้งยัง ตะคอกใส่ว่านเสี่ยวหลิง จนทำให้นางไม่พอใจ

"ข้า ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย ท่านต่างหากที่ผิด" ว่านเสี่ยวหลิงละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกนั้น เหม่ยฟางจึงถือโอกาสปลดแหออกจากกาย เพื่อหลบหนี

"ฟางเอ๋อร์" จ้าวหย่งเจิ้งที่มนต์สะกดคลายรีบไปวิ่งเข้าหาเหม่ยฟาง โอบกอดร่างบางไว้แนบกายด้วยหัวใจอันสั่นเทา

"หย่งเจิ้ง เจ้าไม่เป็นไรนะ" คำถามนี้ทำเอาหย่งเจิ้งชะงัก เพราะมันน่าจะเป็นเขามากกว่าที่ต้องถาม

"ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้า"

"ตอนนี้ช่างเถอะ เราไปช่วยพี่อวี๋กับพวกทหารก่อนเถอะ"

"แล้วจะทำเช่นไรดี"

"ข้าจัดการเอง" ว่าจบเหม่ยฟางก็พนมมือสองข้างก่อนกลายร่างเป็นมังกรสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ ส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง ท้องฟ้าปั่นป่วนส่งเรียกคำรามตามเสียงร้องของมังกรเขียว ช่างเป็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจของจ้าวหย่งเจิ้งยิ่งนัก แม้แต่นักบวชจางซื่อ กับว่านเสี่ยวหลิงยังอ้าปากค้างกะบความยิ่งใหญ่ของมัน

"บ้าจริง ข้าบอกท่านแล้วใช่ไหมให้กำจัดมันเสียแต่แรก" ว่านเสี่ยวหลิงโวยวายใส่นักบวชจางซื่อ

"เป็นเพราะเจ้านั่นแหละที่ไม่ให้ข้าควักหัวใจมันออกมา คราวนี้จะทำอย่างไรกัน เจ้าเด็กนั่นมันกลายร่างแล้ว"

"ท่านก็ใช้แหวิเศษของท่านสิ" ว่านเสี่ยวหลิงเสนอสิ่งที่นางคิด

"แหนั่นสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว" 

"แล้วเราจะทำอย่างไรดีท่านนักบวช"

"หนีก่อน" เมื่อนักบวชกล่าวออกมา ว่านเสี่ยวหลิงและคนอื่นๆจึงพากันหนีออกมาเมื่อเห็นว่าทางจ้าวหย่งเจิ้งกับเหม่ยฟางไม่ได้สนใจพวกตน

เพล้ง!!!

เสียงคำรามของมังกรเขียวดังสะท้อนเข้าไปในเจดัย์จนเกิดการแตกร้าว เมื่อคำรามกู่ก้องไปเรื่อยๆเจดีย์เหลยเฟิงจึงพังทลายลง คนที่ติดอยู่ภายในเจดีย์กระเด็นหลุดออกมาจากเจดีย์ไปคนทิศคนละทาง เมื่อช่วยทุกคนได้แล้วเหม่ยฟางจึงกับกลายร่างเป็นมนุษย์เช่นเดิม ร่างมนุษย์ร่างค้างอยู่กลางอากาศก่อนค่อยๆลอยต่ำลงมาอย่างคนหมดแรง

"ฟางเอ๋อร์เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง" จ้าวหย่งเจิ้งประคองร่างลงมาในอ้อมกอดเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย

"ข้าไม่เป็นไร" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้มพยุงตัวขึ้นยืนก่อนเดินตรงไปทางหน้าผา นี่คือสิ่งที่เขาต้องทำตามคำของตาเฒ่าเอี๊ยร่างกายที่อ่อนแรงเดินโงนเงนไปทางหน้าผาสูงจนจ้าวหย่งเจิ้งต้องปากห้าม   

"เจ้ายังอ่อนแรงอยู่อย่าเพิ่งไปใกล้หน้าผานักสิ" เมื่อสิ้นคำเหม่ยฟางหันมายิ้มให้เขาพร้อมกับทิ้งตัวลงไปในหุบเขา จ้าวหย่งเจิ้งเห็นดังนั้นถึงกับตกใจ ร่างกายกับไวกว่าสมองพุ่งลงไปในหน้าผาตามเหม่ยฟาง

"ท่านนี่โง่จริงๆนะ" สิ้นคำของเหม่ยฟาง สติของจ้าวหย่งเจิ้งก็ดำมืดจมดิ่งเข้าสู่ความมืดไม่รับรู้สิ่งใดอีก

'นี่เขากำลังจะตายสินะ'

ทางด้านว่านเสี่ยวหลิงกับนักบวชจางซื่อที่วิ่งระหกระเหินออกมาจากหุบเขากับต้องพบชะตากรรมใหม่เมื่อก้าวขาพ้นหุบเขาไม่กี่ก้าว

"พวกเจ้าคิดจะหนีไปไหนกัน" เสียงคมเข้มฟังดูน่าเกรงขาม ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาส่งยิ้มให้อย่างน่าสะพรึง

"จ้าวหย่งเฝิง" ว่านเสี่ยวหลิงเอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยอาการสั่นเทา

"ข้าอุตส่าห์เลี้ยงดูพวกเจ้าอยู่ในจวนอย่างดี แต่ไม่คิดว่าจะหนีออกมาก่อเรื่องเช่นนี้ ช่างน่าเศร้านัก" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

"คุณหนูเราจะทำอย่างไรดี" บ่าวคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความพรั่นพรึง

"ท่านทำอะไรได้ไหมท่านนักบวช" นางหันไปถามนักบวชจางซื่อ

"ข้าจะสะกดพวกมันไว้ก่อน" แต่เมื่อยกมือขึ้นลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งเข้าที่มือด้านที่ยกขึ้นอย่างกับรู้ท่านว่านักบวชผู้นี้คิดจะทำอะไร

"โอ๊ย!!!" นักบวชจางซื่อร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

"แย่หน่อยนะถ้าคิดจะใช้วิชามารกับพวกข้า หึหึ"  จ้าวหย่งเฝิงหัวเราะในลำคอดวงตาเย็นชาจ้องมองมายังนักบวชก่อนยกมือตนเองขึ้นเป็นสัญญาณให้พลธนูโผล่ออกจากซุ่มขึ้นมาพร้อมเตรียมเล็งมาทางพวกว่านเสี่ยวหลิง พวกนางต่างตื่นตกใจไม่คิดว่าพวกตนจะถูกล้อมไว้เช่นนี้

"ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย" ว่านเสี่ยวหลิงร้องขอชีวิต

"ข้าเคยไว้ชีวิตพวกเจ้าแล้ว" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยเสียงเรียบ "ท่านหมายความว่าอย่างไร" เมื่อถูกถามกลับจ้าวหย่งเฝิงจึงแสยะยิ้มก่อนพูดออกมาว่า

"รู้หรือไม่ทำไมข้าพาพวกเจ้าให้ไปอยู่ที่จวนท้ายเมือง เพราะข้ารู้ว่าเจ้าจะทำร้ายฟางฟางกับพี่รองของข้ายังไงล่ะ แต่ไม่คิดว่าพวกเจ้ายังคิดก่อกรรมกับทั้งสองคนอีก" จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มเย็นๆที่ทำให้ว่านเสี่ยวหลิงและคนอื่นพลอยหนาวเย็นไปถึงไขสันหลังด้วย

"ท่านไม่ได้คิดจะกำจัดสองคนนั้นหรอกเหรอ" ว่านเสี่ยวหลิงเอ่ยถามเสียงสั่น

"ไม่ ข้าไม่เคยคิดที่ตะกำจัดใคร ไม่ว่าจะเป็นพี่รอง หรือฟางฟาง แม้ข้าไมงรอยกับพี่รองแต่ข้าก็ชื่นชมเขาที่สุดในบรรดาพี่น้อง ส่วนฟางฟางแม้ข้าจะชื่นชอบ แต่ไม่ได้คิดที่จะเอาไว้ข้างกาย ดังนั้น คนที่ไม่รู้จักถนอมชีวิตไว้คือพวกเจ้า" จ้าวหย่งเฝิงชี้มือมาทางพวกว่านเสี่ยวหลิง ก่อนวาดมือลงเป็นสัญญาณให้พลธนูยิงออกไป ธนูนับร้อยดอกพุ่งทะยานไปทางพวกว่านเสี่ยวหลิง ร่างทั้งสี่ต่างกลายเป็นเป้านิ่งให้ลูกธนูพุ่งเข้าไปที่ร่าง เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทั้งหุบเขา แล้วร่างทั้งสี่ก็ค่อยๆล้มลงไปที่ละคน

"นำร่างพวกมันไปโยนทิ้งในหุบเขา" สิ้นเสียงจ้าวหย่งเฝิงจึงหันหลังสะบัดชายเสื้อจากไป
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 17 หุบเขาเร้นใจ ตอนท้าย) {16-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vivivo ที่ 17-07-2017 17:17:37
รอจร้า มาต่อไวๆนะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 18 ทางเลือก) {22-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 22-07-2017 16:40:26
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 18  ทางเลือก

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ฟืด ฟาด ฟืด ฟาด

"นั่นเสียงอะไร นี่ข้าตายไปแล้วหรือ ทำไมถึงมืดแบบนี้ แล้วฟางเอ๋อร์ล่ะ ฟางเอ๋อร์!" แม้อยากตะโกนออกไปกับทำไม่ได้ ความืดที่เขารู้สึกถึงมันทำให้เขาเริ่มขยับกายลำบากยิ่งกว่าทุกที

"เจิ้ง หย่งเจิ้ง ฟื้นขึ้นมาสิ" เสียงอันแสนคุ้นเคยเอ่ยเรียกเขา เสียงนั้นเหมือนมอบพลังให้เขาได้พ้นออกจากความมืดมิด

"ฟางเอ๋อร์" เขาเริ่มมองเห็นแสงสว่างจึงยื่นมือออกไปไขว่คว้า แสงสว่างนั้นฉายให้เห็นว่า เหม่ยฟางที่กำลังเรียกตนนั้นไม่ได้มองมาที่ตน แต่กับนั่งอยู่ในห้องที่ดูแปลกตาทั้งยังนั่งข้างๆเตียงที่มีบุรุษคนหนึ่งนอนไม่ได้สติ ที่ช่วงแขนมีสายระโยงระยางจนดูหน้ารำคาญ ห้องนั้นเป็นสีขาวทั้งห้อง บนเพดานมีแสงสว่างกว่าการจุดคบไฟหรือเทียนไข แต่ ห้องที่ๆเขาอยู่เป็นเหมือนกระจกใสที่สามารถมองเห็นอีกฝ่ายแต่อีกฝ่ายกลับมองไม่เห็นเขาแม้แต่เสียงก็ยังไม่อาจรับรู้ได้

"ที่นี่มันที่ไหนกัน ฟางเอ๋อร์ ข้าอยู่นี่ เจ้าได้ยินข้าไหม เจ้ากำลังเรียกข้าใช่ไหม" เสียงของเขาสะท้อนอยู่รอบกายแต่ไม่อาจส่งไปถึงคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้น แม้จะเกิดคำถามมากมายแต่กับไม่มีใครมาช่วยไขคำตอบนั้นได้ เขาจึงจ้องมองภาพที่สะท้อนนั้นอย่างตั้งใจ

"เจิ้ง ฟื้นขึ้นมาสิ ฉันกลับมาแล้วนี่ไง" มือเล็กๆขาวนวลยื่นไปจับมือของคนที่นอนอยู่บนเตียง ด้านหลังสั่นเทาด้วยความเศร้าโศก แม้จ้าวหย่งเจิ้ง มองเห็นแต่เพียงด้านข้างแต่เขากลับรับรู้ความรู้สึกนั้นได้

"ฟางเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไร ใยทำหน้าเศร้าเช่นนั้น หรือเป็นเพราะคนที่เจ้าจับมืออยู่นั่น คนผู้นั้นเป็นใครกัน" อกด้านซ้ายเหมือนมีเข็มนับพันนับแสนเล่มทิ่มแทงเข้ามากลางใจเมื่อเห็นคนที่ตนพึงใจแสดงท่าทีอาลัยอาวรณ์บุรุษอื่น แม้อยากออกไปฉุดรั้ง กลับทำไม่ได้ด้วยเพราะตนคล้ายถูกขังอยู่ในกระจกสะท้อนแห่งนี้

"ท่านอยากทราบหรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร" ตาเฒ่าเอี๊ยโผล่ออกมาจากผนังกระจกอีกฝั่งส่งยิ้มละไมให้จ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้า! ข้าจำเจ้าได้ เจ้า..." จ้าวหย่งเจิ้งมองดูคนที่เดินเข้ามาใกล้ตน

"ท่านอยากทราบหรือไม่ว่าคนที่เหม่ยฟางจับมืออยู่นั่นคือใคร" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยถามซ้ำโดยไม่ฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ

"ข้าต้องการทราบว่าคนผู้นั้นคือใคร" เขามองไปทางด้านหลังของเหม่ยฟางที่กำลังกุมมือใครสักคน ตาเฒ่าเอี๊ยเผยรอยยิ้มขึ้นมา แล้วยกมือขึ้นสะบัดหนึ่งครั้ง ห้องที่คล้ายกระจกก็หมุนเคว้งทิศทางการมองเห็นจึงเปลี่ยนไป ตอนนี้เขามองเห็นใบหน้าของเหม่ยฟางได้อย่างชัดเจน รวมทั้งใบหน้าของบุรุษที่ทำให้ เหม่ยฟางต้องมีสีหน้าเศร้าสร้อย

"นั่นมัน...ไม่จริงน่า ไม่น่าจะเป็นไปได้" จ้าวหย่งเจิ้งตกตะลึงตาค้างเมื่อพบว่าคนที่เหม่ยฟางกุมมืออยู่นั้นมีใบหน้าคล้ายตน แม้รูปร่างหน้าตานั้นจะซูบผอมลงไปบ้างก็ตาม แต่ใบหน้านั้นเป็นของตนไม่ผิดแน่นอน

"หน้าเหมือนกันสินะ" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยถาม จ้าวหย่งเจิ้งจึงได้แต่พยักหน้ารับ

"ทำไมเขาช่างเหมือนข้ายิ่งนัก" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามกับตนเองแต่เป็นตาเฒ่าเอี๊ยที่ตอบคำถามนั้นเอง

"นั้นคือร่างในโลกหน้าของท่าน แต่ที่ร่างนั้นนอนไม่ได้สติมาได้สักระยะแล้ว คงเพราะตรอมใจที่เสียคนรักไป" ใบหน้าตาเฒ่าเอี๊ยยังเต็มไปด้วยยิ้มที่แฝงความบางอย่างไว้

"สูญเสียคนรัก?" จ้าวหย่งเจิ้งทวนคำนั้นอีกครั้ง

"อืม เอาอย่างนี้แล้วกันข้าจะพาท่านเข้าไปดูความทรงจำของชายที่อยู่บนเตียงนั่น" ไม่พูดพร่ำทำเพลงตาเฒ่าเอี๊ยคว้าข้อมือของเขามาจับเอาไว้ ก่อนสะบัดเล็กน้อย ภาพความทรงจำต่างๆพากันวิ่งเข้า มาในหัวของเขาเต็มไปหมด แม้จะทำให้ปวดหัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้ ภาพที่ฉายเข้ามาในหัวของเขาเป็นภาพของบุรุษที่หน้าเหมือนเขาตั้งแต่ตอนเด็กจนโต ภาพฉายมาเรื่อยๆจนบุรุษที่หน้าเหมือนเขาใส่ชุดคลุมแปลกๆยืนสาบานรักกับหญิงสาวสวยคนหนึ่ง

จากนั้นก็ตัดไปเป็นภาพที่เขาตามบุรุษหนุ่มหน้าหวานออกมาส่ง เขารับรู้ได้เลยว่านั่นคือเหม่ยฟาง แม้รูปร่างหน้าตาจะแตกต่างกันแต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรความรู้สึกของเขาก็บอกว่านั่นคือเหม่ยฟาง เหม่ยฟางทำสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ต่อหน้าบุรุษผู้นั้นอยู่หลายครั้ง จนเขาอดที่จะห่วงไม่ได้ วันถัดมาบุรุษผู้นั้นได้รับรู้เหตุสะเทือนใจที่สุด เหม่ยฟางจากไปแล้ว บุรุษผู้นั้นได้แต่ยืนนิ่ง น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากห้ามไม่อยู่

"นี่มันเรื่องอะไรกัน ภาพพวกนี้มันอะไรกัน" น้ำตาของจ้าวหย่งเจิ้งยังหลั่งรินไม่ขาดสาย เขารับรู้ถึงความรู้สึกทุกอย่างของบุรุษที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง แต่สิ่งที่ทำให้เขาปวดใจที่สุดคือ บุรุษผู้นี้ย่ำยีจิตใจของคนอันเป็นที่รักของเขา

"ท่านอยากได้ความทรงจำเหล่านี้หรือไม่" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยยิ้มๆ

"ข้าไม่ต้องการข้าก็คือข้า บุรุษผู้นั้นหาใช่ข้าไม่ บุรุษผู้นี้ทำให้ฟางเอ๋อร์ต้องร้องไห้" 

"แต่ท่านก็เคยทำให้เหม่ยฟางร้องไห้นะ" จ้าวหย่งเจิ้งชะงักเมื่อถูกยกเรื่องที่ตนเคยทำเอาไว้

"เรื่องนั้นเพราะข้าทำไปโดยไม่รู้ใจตนเอง และนับแต่นี้ข้าจะไม่ทำให้ฟางเอ๋อร์ร้องไห้อีก" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยให้คำมั่น 

"แต่เหม่ยฟางรักบุรุษผู้นั้น" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยท้วง ดวงตาของจ้าวหย่งเจิ้งกับส่องประกายหวั่นไหว

"เรื่องนั้น..." จ้าวหย่งเจิ้งเกิดความลังเล เขาสมควรทำเช่นนั้นหรือ

"ท่านไม่ต้องการจิตวิญญาณของบุรุษผู้นี้หรือ หากท่านรับเอาจิตวิญญาณของคนผู้นี้เข้าไปดวงใจของเหม่ยฟางย่อมตกเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียวนั่นย่อมเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ" ตาเฒ่าเอี๊ยเกลี๊ยกล่อมให้จ้าวหย่งเจิ้งเพื่อรับจิตวิญญาณอีกครึ่งของตนกลับเข้าร่าง

"เรื่องนั้น..." จ้าวหย่งเจิ้งลังเลที่จะตอบ

"ถ้าเช่นนั้น ท่านลองลงไปคุยกับพวกเขาทั้งสองเถอะ" ว่าจบจึงสะบัดมือหนึ่งครั้ง จ้าวหย่งเจิ้งจึงหลุดออกจากห้องกระจกนี้ไปยืนอยู่ตรงหน้าเหม่ยฟาง

"หย่งเจิ้ง ท่านมาแล้วหรือ ท่านได้รับรู้ถึงเรื่องราวของเราแล้วใช่หรือไม่" จ้าวหย่งเจิ้งได้แต่พยักหน้ารับจ้องมองไปที่มือของเหม่ยฟางที่กอบกุมมือของบุรุษอื่นที่ไม่ใช่ตนอย่างไม่พอใจนัก แม้จะบอกว่านี่คือเขาอีกคนก็ตาม

"เจ้ารักบุรุษผู้นี้มากสินะ"

"เอ๊ะ! ทำไมถามเช่นนั้นล่ะ บุรุษผู้นี้คือท่านนะ" 

"ข้า ยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ข้ายืนอยู่ตรงนี้นะ ข้าจะเป็นบุรุษที่นอนอยู่ตรงหน้าเจ้าได้อย่างไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าเห็นข้าเป็นตัวแทนเขาใช่หรือไม่"

"หย่งเจิ้ง ข้าไม่เคยมองท่านเป็นคนอื่น ท่านก็คือท่าน" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้า

"ขอโทษนะ ข้าคงทำความปราถนาของเจ้าเป็นจริงไม่ได้"จ้าวหย่งเจิ้งค่อยๆหมุนตัวกลับหันหลังให้เหม่ยฟาง เขาไม่อยากเห็นสายตาเศร้าๆของเหม่ยฟาง

"เรื่องนั้น...มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะ" เหม่ยฟางก้มหน้าสองมือกุมเข้ากัน ทั้งยังจิกเล็บเข้าเนื้อ เขาเสียใจที่ทำให้หย่งเจิ้งเสียใจ แต่เขาไม่เคยคิดที่จะให้หย่งเจิ้งเป็นตัวแทนใครแม้แต่น้อย เพราะหย่งเจิ้งก็คือหย่งเจิ้ง

"ก่อนเจ้าจะตัดสินใจ เจ้าจะไม่ลองคุยกับร่างนี้หน่อยหรือ" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ย พร้อมกับยกมือขึ้นเหนือร่างที่นอนอยู่บนเตียงแล้วร่ายมนต์บางอย่าง ร่างที่ไร้สติ เริ่มขยับ ดวงตาที่ปิดเปิดออกอย่างช้าๆ เพียงแค่เหม่ยฟางเห็นก็ยิ้มรับทั้งน้ำตา ไข่มุกมากมายร่วงหล่นอย่างห้ามไม่อยู่

"อื้อ หิวน้ำ" หย่งที่ลืมตาขึ้นกล่าวเสียงแหบพร่า 

"เจิ้ง นายหิวน้ำเหรอเดี๋ยวฉันรินน้ำให้นะ" เหม่ยฟางยิ้มให้กับคนที่เพิ่งลืมตาตื่น ก่อนหมุนตัวไปรินน้ำที่วางอยู่ข้างโต๊ะ

"ขอบใจ ว่าแต่คุณเป็นใคร" คำถามที่ถูกถามนั้นทำเอาเหม่ยฟางที่ยิ้มอย่างดีใจต้องชะงักค้างกลายเป็นริ้วรอยแห่งความเศร้าก่อนปรับสีหน้าใหม่ แล้วหมุนกลับมายิ้มให้หย่งเจิ้งอีกคน เขาหน้าตาเปลี่ยนไป เป็นเรื่องธรรมดาที่หย่งเจิ้งจะจำเขาไม่ได้

"ไหนว่าเขาเป็นคนรักของเจ้าใยเขาถึงจำเจ้าไม่ได้" จ้าวหย่งเจิ้งหันหน้ากลับมามองอย่างเอาเรื่องกับคนที่เพิ่งฟื้นคืนสติ เขารู้สึกไม่พอใจกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก

"นาย! ทำไมหน้าตาเหมือนกับผมล่ะ แล้วพวกคุณเป็นใคร" หย่งเจิ้งอีกคนที่กำลังให้ความสนใจกับคนที่หันไปรินน้ำให้ตน ต้องหันกลับไปมองคนที่กล่าวหาว่าเขาเป็นคนรักของคนสวยตรงหน้า

"หย่งเจิ้ง ข้ากับเจิ้ง ไม่ได้เป็นคนรักกัน" เป็นเหม่ยฟางเอ่ยตอบคำถามเสัยงเศร้า

"ฟางเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน"

"ท่านก็รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วนี่ ข้าแค่มีใจให้เขาเพียงข้างเดียว" เหม่ยฟางเริ่มกลับมาทำหน้าเศร้าอีกครั้ง

"เจ้าอย่าทำหน้าเช่นนั้นได้ไหม เวลาข้าเห็นเจ้าทำหน้าเช่นนั้นข้ารู้สึกไม่ดีไปด้วย" จ้าวหย่งเจิ้งเดินเข้าไปลูบหน้าเหม่ยฟาง ก่อนเชยคางของอีกฝ่ายขึ้น แต่จู่ๆมือของหย่งเจิ้งอีกคนกับยื่นเข้ามาปัดมือของจ้าวหย่งเจิ้งอย่างไม่ทันคิด

เพี๊ยะ!!!

"อ๊ะ! ขอโทษครับ มือผมมันไปเอง" หย่งเจิ้งอีกคนเอ่ยขอโทษ เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันทำไมถึงทำเช่นนั้น ทั้งเหม่ยฟาง ทั้งจ้าวหย่งเจิ้ง ต่างหันมามองเป็นตาเดียวกัน

"ฮ่าๆ นั่นเป็นการต่อต้านทางกายที่จดจำเจ้าได้ จึวเกิดต่อต้านเมื่อเห็นคนอื่นเจ้าใกล้เจ้าไงล่ะเหม่ยฟาง" ตาเฒ่าเอี๊ยพูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ

"เหม่ยฟาง?" หย่งเจิ้งอีกคนเอ่ยชื่อนั้นซ้ำอีกครั้ง

"สวัสดี เราชื่อเหม่ยฟาง" เหม่ยฟางส่งยิ้มพิมพ์ใจให้กับหย่งเจิ้งในยุคปัจจุบัน

"ข้าจ้าวหย่งเจิ้ง ฟางเอ๋อร์เจ้าหยุดยิ้มได้แล้ว เลิกหว่านเสน่ห์เสียที ข้าไม่ชอบใจนักที่เจ้ายิ้มให้ผู้อื่นนอกจากข้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดดึงมือเหม่ยฟางมากอบกุมเอาไว้แน่น

"สวัสดีครับ ผมชื่อหย่งเจิ้ง" หย่งเจิ้งอีกคนลุกขึ้นนั่งพร้อมแนะนำตัวเอง เขาเหลือบมองเหม่ยฟางเป็นระยะ ระยะ

'ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างนี้นะ' หย่งเจิ้งเอียงคอมองเหม่ยฟางอย่างพิจารณา ช่างให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนัก

"พวกข้ารู้จักชื่อเจ้า ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้ว" จ้าวหย่งเจิ้งเชิดหน้าขึ้นมองหย่งเจิ้งอีกคนอย่างไม่สบอารมณ์

"ทำไมถึงรู้ได้ ในเมื่อพวกเราเพิ่งเคยเจอกัน" 

"เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องรู้หรอก" จ้าวหย่งเจิ้งตอบแบบขอไปทีเพื่อตัดความรำคาญของตน

"อะไรของเขาวะ" หย่งเจิ้งอีกคนเอ่ยพึมพำเบาๆ

"เมื่อกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ" จ้าวหย่งเจิ้งหรี่ตามองคนตรงหน้า
 "อ่อ ว่าแต่ เหม่ยฟาง ชื่อคุณเหมือนกับชื่อเพื่อนผมเลยนะครับ" หย่งเจิ้งอีกคนเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วกล่าวถามเหม่ยฟางด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ

"นั่นเพราะเหม่ยฟางก็คือเหม่ยฟางไงเล่า" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่ตอบแบบขอไปทีอีกครั้ง

 "หย่งเจิ้ง!" เหม่ยฟางเรียกเสียงดัง

"อะไร ข้าทำอะไรผิดงั้นเหรอ" จ้าวหย่งเจิ้งตอบอย่างไม่ใส่ใจ

"ทำตัวไม่สมเป็นองค์ชายเลยนะ" เหม่ยฟางแอบบ่นให้จ้าวหย่งเจิ้งได้ยินเพียงคนเดียว

"หึ"

'ใครใช้ให้เจ้าสนใจบุรุษอื่นนอกจากข้าล่ะ' จ้าวหย่งเจิ้งเหล่มองบุรุษผู้มีใบหน้าเหมือนตนอย่างไม่พอใจนัก

"นายอย่าไปสนใจเขาเลยนะ ปกติเขานิสัยไม่ค่อยดีแบบนี้อยู่บ่อยๆ" หย่งเจิ้งคนยิ้มรับเขาถูกชะตากับคนตรงหน้าอย่างมาก แต่เขาไม่ค่อยชอบผู้ชายหน้าหน้าเหมือนตนสักนิด

"ฟางเอ๋อร์!" จ้าวหย่งเจิ้งเรียกเสียงอ่อย

"ฮ่าๆ ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะไม่ชอบหน้ากันขนาดนี้ ทั้งๆที่เป็นคนคนเดียวกันแท้ๆ ฮ่าๆ" ตาเฒ่าเอี๊ยหัวเราะร่วนเมื่อเห็นคนสองทำท่าไม่ชอบหน้ากัน

"มันไม่ตลก" "มันไม่ตลก" ทั้งสองเอ่ยพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จนทำให้เหม่ยฟางกับตาเฒ่าเอี๊ยพากันหัวเราะ

"ฮ่าๆ เหมือนกันจริงๆ" เหม่ยฟางเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะทั้งสองคน

"เจ้าก็เป็นไปกับเขางั้นเหรอ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยอย่างหัวเสีย

"นั่นสิ นั่นไม่ใช่เรื่องตลกสักหน่อย" หย่งเจิ้งอีกคนกล่าวเสียงอ่อย

"พวกท่านทั้งสองข้าจะเชื่อมจิตของพวกท่านให้เข้าหากันดังนั้นข้าขอมือของพวกท่านสักหน่อย" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยพร้อมกับยื่นมือไปหาทั้งสองคน

"ข้าไม่ได้อยากเชื่อมจิตอะไรนั่นกับบุรุษผู้นี้เสียหน่อย" จ้าวหย่งเจิ้งกับหันหลังหนีไม่ยอมจับมือ

"เชื่อมจิตอะไรกันผมไม่ทำ"  หย่งเจิ้งอีกคนก็เช่นกัน ตาเฒ่าเอี๊ยจึงพยักหน้าให้เหม่ยฟางช่วย อะไรจะไม่ลงรอยกันขนาดนั้น

"นี่ ช่วยฉันหน่อยนะเจิ้ง" เหม่ยฟางแตะไหล่หย่งเจิ้งอีกคนเพื่อขอร้อง เมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนเขาจึงยอมใจอ่อน 

"อืม" เมื่อเห็นว่าหย่งเจิ้งตกลงแล้วจึงหันไปขอร้องจ้าวหย่งเจิ้งต่อ

"หย่งเจิ้ง ขอร้องล่ะ" เหม่ยฟางสะกิดไหล่จ้าวหย่งเจิ้งมองด้วยสายตาออดอ้อน "หึ" 

"ขอร้องล่ะ ให้ทำอะไรก็ได้ขอร้องนะ หย่งเจิ้ง" จ้าวหย่งเจิ้งเหมือนได้ยินสิ่งที่ต้องการจึงหันแก้มไปหา พร้อมกับใช้ปลายนิ้วแตะที่กระพุ้งแก้ม

"เอาจริงเหรอ" เหม่ยฟางเกิดความลังเลที่จะทำ แต่จ้าวหย่งเติ้งกับยิ้มระรื่นยื่นแก้มเข้าไปใกล้กว่าเดิม เหม่ยฟางจึงจำใจก้มลงไปหอมแก้มจ้าวหย่งเจิ้ง

"ชื่นใจจัง" พูดจบจึงหันไปเหล่หย่งเจิ้งอีกคน ทั้งยังยิ้มกวนๆพร้อมกับยักคิ้วให้อีกฝ่าย หย่งเจิ้งอีกคนเห็นท่าทางเช่นนั้นยิ่งไม่พอใจจึงได้เบนสายตาไปทางอื่น ตาเฒ่าเอี๊ยจ้องมองทั้งสองคนก่อนส่ายหัวไปมา

'ต้องหลวมจิตรวมกันให้ไวที่สุด มิเช่นนั้นคงตีกันตาย' เมื่อเห็นว่าไม่มีใครยอมส่งมือให้ตาเฒ่าเอี๊ยจึงคว้ามือทั้งสองคนอย่างว่องไวแล้วจับให้แน่นกันถูกสะบัดออก

"ขออภัยพวกท่านด้วย" ตาเฒ่าเอี๊ยกล่าวขอโทษ แต่ใบหน้ายังคงยิ้มไม่เปลี่ยน

"ช่างเถอะ ท่านขอโทษข้าก็เท่านั้น" จ้าวหย่งเจิ้งโบกมืออีกข้างที่ไม่ได้โดนจับเป็นการปฏิเสธคำขอโทษ

"การเชื่อมจิตนี้จะทำให้พวกท่านเห็นเรื่องราวทุกอย่างที่เหมือนกัน เรื่องราวเหล่านี้คือเรื่องของพวกท่านทั้งสอง" พอตาเฒ่าเอี๊ยกล่าวจบทั้งสองคนจึงหลับตาลงตั้งสมาธิกับสิ่งจะถูกนำพามาให้พวกตนได้เห็น

"นี่จะเป็นทางเลือกให้พวกท่านว่าใครจะอยู่ใครจะไปหากท่านรับรู้เรื่องของอีกฝ่ายแล้ว" เพียงสิ้นเสียงของตาเฒ่าพวกเขาทั้งสองก็จมดิ่งสู่ความทรงจำของแต่ละฝ่าย แม้จ้าวหย่งเจิ้งจะได้เห็นความทรงจำของอีกฝ่ายมาบางส่วนแล้วแต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด หวังว่าเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาจะได้พบไหนสิ่งที่ตนคาดหวังไว้....

*****************************************************

**ดีจ้า ขออภัยที่ลงล่าช้า ไรท์รู้สึกว่าตอนนี้ไรท์แต่งออกมางงอยู่นะ เหอๆ ถ้าอ่านแล้วงงๆอย่างไรก็ขออภัยนะที่นี้ด้วยนะค่าาา**

**ปล.หย่งเจิ้งในยุคปัจจุบันยังไม่รู้ว่า หม่ยฟางคือเหม่ยฟางคนเดียวกันนะคะ จะรู่อีกทีตอนหน้านะคะ**

หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 19 เรื่องยุ่งยาก) {29-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 29-07-2017 13:32:30
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 19  เรื่องยุ่งยาก

ความฝัน เสมือนเรื่องจริงที่ได้ประสบพบเจอมาด้วยตนเอง มันทำให้พวกเขาทั้งสองเข้าใจอะไรหลายๆอย่างได้ง่ายขึ้น หากลืมตาตื่นขึ้นมาพวกเขาควรที่จะเลือกเส้นทางที่ตนควรจะกระทำตั้งแต่ต้นหากตนละเลยความรู้สึกที่เคยมีมา เรื่องเศร้าก็คงเกิดขึ้นอีกครั้ง หากเสียงเรียกร้องของหัวใจคือการได้อยู่กับคนรัก ไม่ใช่การหนีปัญหาเรื่องทุกอย่างย่อมส่งผลดียิ่งกว่านี้ หากสูญเสียสิ่งที่คอยค้ำจุนจิตใจ ตนคงทนไม่ได้ดังเช่นที่เคยเผชิญ ความเจ็บปวด ทรมานที่มิอาจอยู่เคียงข้างกัน ครั้งนี้พวกเราขอสาบานจะไม่ทรยศจิตใจของตนอีกต่อไป ตะขออยู่เคียงข้างตราบมลายสิ้นลมหายใจ

ดวงตาทั้งสองเปิดกว้างหยาดน้ำตาไหลรินอยู่ทางหางตา เขากวาดสายตามองไปรอบๆ จนไปจบอยู่ที่ใบหน้าขาวนวลของคนที่คนึงหา สองมือไขว่คว้ากอดคนตรงหน้าอย่างลืมตัว

"ฟาง เราขอโทษ เรารักนาย เราไม่คิดเลยว่าเรื่องทุกอย่างจะเลวร้ายลงแบบนี้ เราขอโทษ ฟาง ฟาง ฟาง เราดีใจทึ่นายกลับมาหา เราจำนายได้แล้ว แม้ใบหน้านายจะเปลี่ยนไปแต่นายคือฟางของเรา นายกลับมาหาเราสินะ" ดวงตาของทั้งคู่สอดประสาน หย่งเจิ้งกอดกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น

"เจิ้งนายรู้แล้วเหรอว่าเราเป็นใคร แล้วหย่งเจิ้งล่ะ หย่งเจิ้งหายไปไหน ตาเฒ่าเอี๊ยหย่งเจิ้ง หายไปไหน" เหม่ยฟางรู้สึกร้อนใจเมื่อหย่งเจิ้ง คนปัจจุบันลืมตาตื่นแต่ร่างของจ้าวหย่งเจิ้งในอดีตกลับหายไป "หมอนั่นบอกว่าจะให้โอกาสฉันดูแลนาย เขายังอยู่ในใจของฉันตรงนี้" หย่งเจิ้งทาบมือเข้ากับหน้าอกด้านซ้ายของตนแล้วส่งยิ้มอ่อนโยนให้เหม่ยฟาง

ก่อนหน้าที่หย่งเจิ้งจะลืมตาตื่นเขาพบกับตัวเขาอีกคนหลังจากเราเชื่อมจิต พวกเรารับรู้ถึงเรื่องราวของกันและกัน แล้วหย่งเจิ้งในอดีตกับบอกเขาว่าจะกลับเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจตนเอง ก่อนจะบอกว่า

"ข้าจะให้โอกาสเหม่ยฟางได้อยู่กับคนที่เขารักในยุคนี้ เพราะฉะนั้นข้าจะหายไปเอง เพราะอย่างไรข้าก็มาทีหลัง" นั่นคือคำพูดที่เขารับรู้มา ก่อนถ่ายทอดคำพูดนั้นต่ออีกครั้ง

"หย่งเจิ้ง" เสียงรำพึงเบาๆ ใบหน้าสวยแสดงออกถึงความรู้สึกเจ็บปวด

"ฟาง เป็นอะไร เจ็บเหรอ" ใบหน้าสวยมองไปยังคนพูดอย่างงง 

"เอ๊ะ! เจิ้งรู้..."

"อยากให้เขากลับมาใช่ไหม รักเขาสินะ ก็เข้าใจหรอกนะว่าฟางรักคนที่อยู่ในนี้ของเรา ถ้าอย่างนั้นเราจะคืนเขาให้นะ"

"เจิ้งไม่โกรธเราเหรอ" เหม่ยฟางมองตาคนที่ตนพูดด้วย

"ไม่โกรธหรอก เพราะอย่างไร เราก็ยังอยู่เคียงข้างฟางเสมอ เราจะคอยมองฟางอยู่ในนี้" ว่าจบจึงใช้มือทาบหน้าอกด้านซ้ายของตนอีกครั้งส่งยิ้มแสนอ่อนโยนให้อีกครั้ง

"ขอบใจนะเจิ้ง" เหม่ยฟางสวมกอดหย่งเจิ้ง แล้วเงยหน้าส่งยิ้มให้ หย่งเจิ้งในปัจจุบันจึงก้มหน้าจุมพิตหวานให้หนึ่งครั้ง

"ถือเป็นรางวัลปลอบใจ" หย่งเจิ้งทำท่าคล้าย จุ๊ ปาก แล้วส่งยิ้มให้ แล้วร่างในวงแขนเหม่ยฟางก็เกิดแสงส่องประกายสักครู่ ร่างในวงแขนก็เปลี่ยนเป็นจ้าวหย่งเจิ้งมาแทนที่

จ้าวหย่งเจิ้งผู้ที่คิดจะหลับไหลอยู่ในใจของหย่งเจิ้งคนปัจจุบัน พลันต้องลืมตาขึ้น เมื่อรู้สึกเหมือนถูกดึงออกมาจากก้นบึงของหัวใจตน เขาเปิดเปลือกตาออกรับรู้ถึงแรงรัดเบาๆรอบตัว เพียงลืมตาออก ใบหน้าสวยหวานยังคงอยู่แนบอกตนทั้งสองแขนของคนหน้าสวยยังโอบกอดตนไม่ปล่อยเขาจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

"อยู่แบบนี้นานๆก็ดีเหมือนกันนะ" เมื่อสิ้นเสียงเหม่ยฟางจึงเงยหน้ามองคนที่ตนกอด

"หย่งเจิ้ง!" เหม่ยฟางตกใจจคงรีบปล่อยมือแล้วถอยห่าง แต่จ้าวหย่งเจิ้งกลับคว้าเอวอีกฝ่ายดึงเข้าหาตัวก่อนกดริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากบางสวย

"นี่ถือเป็นการลบรอยเก่าที่เจ้านั่นทำไว้" เหม่ยฟางตะครุบปากตัวเองปิดไว้ ใบหน้าแดงซ่านเมื่อโดนจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว

"ได้เวลากลับแล้วล่ะ เหม่ยฟางคืนร่างเดิมซะ แล้วโอบอุ้มร่างโอรสสวรรค์ไว้ให้ดีข้าจะพาพวกเจ้าทั้งสองคืนกลับกาลเวลาเดิม" สิ้นคำสั่งตาเฒ่าเอี๊ย เหม่ยฟางจึงคืนร่างเป็นมังกรเขียวแล้วสร้างลูกแก้วโอบอุ้มร่างของจ้าวหย่งเจิ้งไว้ จากนั้นก็กลืนลูกแก้วลงไปก่อนหันไปผงกหัวให้ว่าพร้อมแล้ว ตาเฒ่าเอี๊ยจึงสะบัดมือเล็กน้อยแล้วสถานที่ตนอยู่กับหมุนเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งหมุนเปลี่ยนเป็นหุบเขาเร้นใจ ที่แท้สถานที่ที่เรียกว่าโรงพยาบาล แท้จริงแล้วในอดีตคือหุบเขาเร้นใจนั่นเอง ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เหม่ยฟางเมื่อกลับมาถึงหุบเขาเร้นใจจึงคลายลูกแก้วออกมา ลูกแก้วเมื่อโดนอากาศด้านนอกจึงสลายหายไป

"ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวขอบคุณเมื่อตนยืนถึงพื้นหุบเขาเป็นที่เรียบร้อย

"นั่นเป็นหน้าที่ของข้า เอาล่ะครานี้ก็หมดหน้าที่ของข้าเสียที พวกเจ้าจงเร่งกลับเมืองไปเถอะตอนนี้เกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายขึ้นแล้ว"

"เกิดเรื่องอะไรบึ้นงั้นเหรอตาเฒ่า" เหม่ยฟางเอ่ยถาม

"เมื่อพวกเจ้ากลับเมืองไปเดี๋ยวก็รู้เองรีบๆกลับไปเสียอย่าได้รีรอ" ว่าจบร่างตาเฒ่าเอี๊ยก็สลายกลายเป็นละอองหายไป

"พวกเรารีบไปกันเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปากเร่งเหม่ยฟาง

ในขณะนั้นเรื่องวุ่นวายได้เกิดขึ้นเมื่อมีข่าวว่า โอรสมังกรตกหน้าผาหายสาบสูญ ราชสำนัก เกิดเรื่องวุ่นวายในท้องพระโรงขณะนี้ เหล่าเสนาอำมาตย์ต่างเรียกร้องให้เลือกโอรสมังกรองค์ใหม่จากหนึ่งในสี่ของโอรสทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น จ้าวหย่งเฟิ้ง ผู้เป็นองค์ชายใหญ่ จ้าวหย่งเฝิง ผู้เป็นองค์สาม จ้าวหย่งจิ้ง ผู้เป็นองค์ชายสี่ และจ้าวหย่งฟง ผู้เป็นองค์ชายเล็ก แม้ตอนเกิดไม่ได้เกิดเป็นมังกรทองแต่ก็มีสายเลือดกษัตริย์ เหล่าองค์ชายย่อมมีสิทธิ์ครองบัลลังก์

"เรียนฝ่าบาทองค์ชายทั้งสี่ล้วนเป็นผู้มีความสามารถ ข้าน้อยขอให้พระองค์ทรงไตร่ตรองด้วยเรื่องแบบนี้รอช้าไม่ได้นะพะย่ะค่ะ" ใต้เท้าซินอวี๋ เอ่ยนำเหล่าเสนาอำมาตย์น้อยใหญ่เพื่อให้ให้องค์ฮองเต้ทรงเห็นสมควรเรื่องโอรสมังกรคนใหม่

"ใต้เท้าซินอวี๋ ข้าไม่เห็นด้วยกับท่านนะ พระศพของเจ้าพี่ยังหาไม่เจอใยท่านถึงได้รีบเร่งให้หาโอรสมังกรนัก" เป็นจ้าวหย่งเฝิงที่เอ่ยทัดทาน เขาคิดว่าพี่รองยังมีชีวิตอยู่

"เรียนองค์ชายสาม แม้จะหาพระศพขององค์ชายรองไม่เจอแต่เราได้ค้นหากันมาเป็นเวลานานแล้ว หากไม่พบอาจกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายแล้วก็เป็นได้" ใต้เท้าซินอวี๋กล่าวใบหน้าราบเรียบ เหล่าเสนาอำมาตย์คนอื่นๆต่างก็พยักหน้าเห็นชอบด้วย

"นี่ท่านแช่งพี่รองของข้าเรอะ" จ้าวหย่งฟงชี้หน้าใต้เท้าซินอวี๋ด้วยความโกรธ เขาไม่เชื่อว่าพี่รองจะสิ้นแล้วเช่นเดียวกับพี่สาม

"หามืได้พะย่ะค่ะ ข้าน้อยแค่กล่าวเรื่องจริง"

"หยุดปากโสมมของเจ้านะ ไม่เช่นนั้นข้าจะสั่งตัดลิ้นเจ้าเสีย" จ้าวหย่งฟงกล่าววาจาออกไปด้วยความโมโหจนแทบขาดสติ อยากเข้าไปตัดลิ้นคนที่บอกว่าพี่รองของเขาสิ้นแล้วเสียให้หมด

"จ้าวหย่งฟงระงับอาการเจ้าด้วย นี่มันในท้องพระโรงนะเกรงใจเสด็จพ่อบ้าง" จ้าวหย่งเฟิ้งกล่าวตำหนืจ้าวหย่งฟงที่ทำตนไร้มารยาท

"พี่ใหญ่" จ้าวหย่งฟงเรียกชื่อพี่ชายอย่างไม่พอใจ

"เงียบ!!!" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยเสียงดังเพื่อช่วยจ้าวหย่งเฟิ้งกำราบน้องชาย

"พี่สี่" จ้าวหย่งฟงเสียงอ่อย ทำไมไม่มีใครเข้าข้างเขาเลย จะมีพี่สามกระมังที่เห็นด้วยกับเขา จ้าวหย่งฟงเหลือบมองพี่ชายคนที่สามของเขา แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจอเข้ากับสายตาดุๆของจ้าวหย่งเฝิง

'น่ากลัวชะมัด' จ้าวหย่งฟงรีบหันหน้ากับมาที่ตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็ว เขาไม่ชอบสายตาน่ากลัวแบบนี้จองจ้าวหย่งเฝิงเลยจริง สายตาอย่างกับว่า อยากจะฆ่าคนพวกนี้ให้สิ้น

"ข้าจับยามสามตาทั้งคำนวนดวงดาราแล้ว ผลออกมาว่า องค์ชายรองยังคงมีชีวิตอยู่ ข้าคิดว่าอีกไม่นาน องค์ชายรองจะกลับมา" เป็นนักพรตเจินหยวนเอ่ยขัดการสนทนาขึ้นในครั้งนี้

"ดีถ้าเป็นเช่นข้าจะรอจนกว่าหย่งเจิ้งจะกลับมา" ฮ่องเต้ผู้เป็นประมุขใหญ่เอ่ยขึ้น พร้อมจบการประชุมในช่วงเช้าในทันที เป็นอันสรุปว่าไม่มีการเลือกโอรสมังกรคนใหม่

หลังจากการประชุมในท้องพระโรงจบลง จ้าวหย่งฟงจึงตรงไปยังตำหนักจิงเหรินกง ซึ่งเป็นตำหนักของพี่รอง เขาอยากรู้จรืงๆว่าำรองนัเนยังไม่ตายจริงๆใช่หรืไม่ เมื่อก้าวเท้าพ้นประประตูโค้งในสวนเข้ามา เขาก็พบ กับอวี๋เหวินเต๋อ ที่ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้าประตู คล้ายกับรอการกลับมาของใครสักคน

"องครักษ์อวี๋ ท่านมายืนตากลมอะไรตรงนี้" 

"ข้าน้อยมานั่งรอองค์ชายรองพะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อว่าองค์ชายรองยังมีชีวิตอยู่" อวี๋เหวินที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น เมื่อได้ยินเสียงร้องทักจึงหันไปมองเมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงนั่งคุกเข่าก่อนตอบไปตามที่ตนคิด

"เจ้าก็คิดว่าพี่รองยังไม่ตายใช่ไหม" จ้าวหย่งฟงยิ้มร่าเข้ากุมมืออวี๋เหวินเต๋ออย่างลืมตัว

"พะย่ะค่ะ ข้าน้อยเชื่อว่าองค์ชายรองยังไม่สิ้น" อวี๋เหวินเต๋อตอบด้วยความสัจของตน

"ดีจังที่มีคนยังคิดเหมือนข้า ยิ่งคนที่เชื่อเช่นนั้นเป็นเจ้าข้ายิ่งดีใจ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยเสียงเบาในตอนท้ายเพื่อให้ตนได้ยินเพียงคนเดียว ก่อนปล่อยมือจากอวี๋เหวินเต๋อ 

"องค์ชายก็คิดเช่นเดียวกับข้า ข้าดีใจยิ่งนัก..." อวี๋เหวินเต๋อลืมตัวคว้ามือที่กำลังจะปล่อยมาจับไว้เอง จนจ้าวหย่งฟงรู้สึกขัดเขินทำสีหน้าไม่ถูก แม้ผู้ที่จับมือตนก็ยังไม่ทันสังเกตุ

"อืม...เข้าไปด้านในเถอะ"

"พะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อรับคำแต่กับไม่ยอมปล่อยมือจากจ้าวหย่งฟง จนจ้าวหย่งฟงไม่รู้จะทำสีหน้าเช่นไรก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความขัดเขินว่า

"ท่านองครักษ์อวี๋ เจ้าช่วยปล่อยมือข้าได้หรือไม่" อสี๋เหวินเต๋อมองที่มือตนเองถึงกับตกใจไม่คิดว่าตนจะกระทำการล่วงเกินผู้เป็นนาย

"ข้าน้อยสมควรตาย ได้โปรดโทษข้าน้อยด้วยที่กระทำการล่วงเกินพระองค์" อวี๋เหวินเต๋อคุกเข่าขออภัย พร้อมทั้งร้องขอการลงโทษ

"ช่างเถอะเจ้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าหาได้ใส่ใจไม่" จ้าวหย่งฟงบอกปัด เขาดีใจด้วยซ้ำที่ถูกจับมือเอาไว้

"ขอบพระทัยองค์ชายห้า" เมื่อได้รับการอภัยอวี๋เหวินเต๋อจึงลุกขึ้น จ้าวหย่งฟงโบกมือไปมาเป็นการบอกว่า 'ช่างมันเถอะ' ก่อนเดินนำเข้าไปในตำหนัก

ในช่วงเวลานั้นหลังประชุมเสร็จใต้เท้าซินอวี๋ผู้มีอำนาจมากกว่าผู้ใดกำลังเดินทางกลับจวนของตน แต่ระหว่างทางถูกสตรีรูปโฉมสะคราญท่วงท่าดูงดงามยิ่งกว่าสตรีชาวบ้านทั่วไป ได้เดินเข้ามาขวางขบวนเกี้ยวของใต้เท้าซินอวี๋ไว้ ขบวนเกี้ยวจึงไม่อาจไปต่อได้ ใต้เท้าซินอวี๋เลิกม่านขึ้นดูก่อนเอ่ยปากไต่ถามเรื่องที่นางกล้าเข้ามาขวางขบวนเกี้ยวของตน

"เจ้าเป็นใคร ใยมาขวางเกี๊ยวไว้ ไม่รู้หรือไงว่านี่มันขบวนเกี๊ยวของใด" ทหารนายหนึ่งเข้าขวาง ทั้งยังยื่นคมดาบเข้าขวางนางไว้ก่อนเอ่ยถามนางผู้นั้น

"เรียนใต้เท้า ข้าย่อมรู้ว่าขบวนเกี้ยวนี้เป็นของผู้ใด ข้าจึงกล้ามาขวางไว้" สตรีผู้โฉมสะคราญกล่าวทั้งยังยืนไม่สะทกสะท้านกับคมดาบที่ถูกยื่นออกมาหมายจะบั้นคอตน

"บังอาจนัก หากรู้แล้วยังกล้า คงไม่คิดมีชีวิตอยู่แล้วสินะ" ว่าจบทหารนายนั้นก็ง้างดาบหมายจะเข่นฆ่าสตรีตรงหน้า แต่ดวงตาของสตรีผู้นั้นกับจับจ้องมาที่ทหารไม่เกรงกลัวเกรงปลายดาบที่คิดจะฟาดฟัน จนทหารนายนั้นต้องชะงักดาบงั้นกลับไปรายงานใต้เท้าซินอวี๋แทน

"เรียนใต้เท้าสตรีผู้นั้นยืนขวางไม่ยอมขยับไปไหนเลยขอรับ กระหม่อมขู่นางนางก็ยังไม่เกรงกลัว" ใต้เท้าซินอวี๋สะบัดมือไปมาเป็นการบอกว่าไม่เป็นไรก็บุกออกจากเกี้ยวที่นั่งเดินตรงมาที่สตรีผู้นั้น

"เจ้าเป็นใครมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรถึงมาขวางทางข้า" สตรีผู้นั้นเมื่อเห็นใต้เท้าจึงก้มหัวโค้งคำนับไม่ยอมคุกเข่าทำความเคารพใต้เท้าผู้ใหญ่อย่างเขา ใต้เท้าซินอวี๋ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจกับการกระทำของนาง

"เรียนใต้เท้าซินอวี๋ ข้าน้อยมีนางว่า จางซื่อหลิน ข้าแค่อยากเข้าไปในวังเพื่อทำหน้าที่ของตนที่เคยมีมาแต่ช้านาน ข้าเพียงอยากให้ท่านช่วยเหลือข้าสักครั้ง เพราะตำแหน่งของจ้าถูกบุรุษผู้หนึ่งแอบอ้าง ข้าจึงทนอยู่เฉยไม่ได้ ขอให้ใต้เท้าโปรดเมตตาข้าด้วย"

"แล้วตำแหน่งที่เจ้าถูกแอบอ้างคือตำแหน่งใด ข้าจะได้ช่วยเจ้าถูก" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยไต่ถามเพื่ความกระจ่าง

"ตำแหน่งของข้าคือ ว่าที่ฮองเฮา เพราะข้าคือมังกรเขียวตัวจริง ไม่ใช่บุรุษเพศที่มาแอบอ้างอยู่ในขณะนี้" นางผู้แย้มยิ้ม แววตามุ่งมั่นจริงจัง

"เจ้า... เจ้าคิดแอบอ้างงั้นหรือ" ใต้เท้าซินอวี๋ชีนิ้วไปที่นางด้วยอารมณ์ครุกรุ่น

"ข้าหาได้แอบอ้างไม่ ไม่เชื่อข้าจะแปลงร่างเป็นมังกรเขียวให้ท่านดู" ว่าจบนางก็มือขึ้นพนม แล้วบังเกิดแสงสว่างสีเขียวที่มาพร้อมกับท้องฟ้าปั่นป่วน ฉับพลันร่างมังกรเขียวสง่างามก็บังเกิดขึ้นต่อหน้าทุกคน เสียงร้องคำรามดังสะท้านกึกก้องตนแสบแก้วหู ท้องฟ้าคำรามลั่นเหมือนเสัยงมัวกรที่ปรากฏตรงหน้า ช่างดูยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้

"โอ้วววว ท่านเป็นมังเขียวจริงๆด้วย" ใต้เท้าซินอวี๋คุกเข่าตรงหน้ามังกรเขียวผู้สง่างามซึ่งมีนามว่า จางซื่อหลิน.........
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 19 เรื่องยุ่งยาก) {29-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 29-07-2017 13:51:46
เฮ้ยยยย!!! ทำไมมีมังกรเขียวอีกตัวล่ะ!!!!
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 19 เรื่องยุ่งยาก) {29-07-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 29-07-2017 15:37:58
มนต์ดำชัวร์
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 20 มัวกรเขียวตัวปลอม) {05-0-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 05-08-2017 19:16:08
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 20 มังกรเขียวตัวปลอม

ภายในก้นหุบเขาเร้นใจนับแต่วันที่จ้าวหย่งเจิ้งได้หายตัวไป ร่างสี่ร่างที่ถูกนำมาโยนทิ้งไว้ ซึ่งนอนไร้วิญญาณกำลังรอวันเน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา แต่ร่างหนึ่งที่ใครๆต่างคิดว่าหมดลมหายใจไปแล้ว ได้กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ร่างนั้นคือร่างของนักบวชจางซื่อ แม้จะถูกโยนลงมาจากหุบเหวที่สูงแต่ร่างกับไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแม้แต่น้อยต่างกับร่างไร้วิญญาณอีกสามร่างที่สภาพศพนั้นอเนจอนาถใจยิ่งนัก ร่างของนักบวชเริ่มขยับเคลื่อนไหวอีกครั้งจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นไปตามแรงที่ขยับ เป็นเสียงที่กำลังบ่งบอกว่ากระดูกกำลังขยับเข้าที่เข้าทางของมัน เมื่อสิ้นเสียงกระดูกร่างจองนักบวชจางซื่อจึงเริ่มลุกขึ้นนั่งอ้าปากหาว คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตนเอง จากนั้นจึงหันมองรอบๆข้างก่อนพูดขึ้น

"เล่นแรงกันจริงๆ กะไม่ให้พวกข้าได้มีชีวิตอีกสินะถึงได้โยนลงมาจากที่สูงๆเช่นนั้น เล่นเสียกระดูกของข้าป่นละเอียดเชียว เฮ้อ...ฮึ๊บ...อืม" ว่าจบนักบวชจางซื่อจึงลุกขึ้นจากพื้นพลางบิดไล่ความเมื่อยล้าออกไป ดวงตาสีน้ำตาลกับถูกย้อมไปด้วยสีดำสนิททั้งตาดำ ตาขาว หากใครได้เห็นย่อมเกิดความหวาดกลัวอย่างแน่นอน นักบวชจางซื่อยื่นมือของไปพลางหลับตาท่องคาถาอะไรบางอย่าง เพียงไม่นานนักสิ่งที่ถูกเรียกมากับเป็นเศษของเจดีย์เหลยเฟิงที่แตกกระจายนั่นเอง

"ข้าจะใช้พลังของเจดีย์เหลยเฟิงที่เจ้าเป็นคนทำลาย กลับไปทำร้ายตัวเจ้าเอง" เมื่อพูดจบนักบวชจางซื่อก็กลืนเศษเจดีย์เหล่านั้นลงไปในท้อง ปรากฏแสงสว่างสีเขียวสว่างจ้าแลเวร่างของนักบวชจางซื่อก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วหายลับไป

.

.

.

มังกรสีเขียวแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้าพักใหญ่ก่อนกลับคืนร่างเป็นสตรีโฉมงามผู้เพียบพร้อม ที่กำลังก้มหน้าย่อตัวทำความเคารพใต้เท้าซินอวี๋

"แม่นางคือมังกรเขียวผู้งามสง่ายิ่งนัก แต่ข้าหารู้ไม่ว่ามีผู้แอบอ้างตนเป็นมังกรเขียวอีกตน แม่นางโปรดวางใจข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ได้โปรดเงยหน้าให้ข้าได้ยลโฉมอีกสักครั้งเถอะ" ว่าจบจึงเข้าประคองสตรีผู้นั้น เมื่อนางเงยหน้าขึ้นสบตากับใต้เท้าซินอวี๋คล้ายมีกระแสไฟแล่นผ่านไปตามนิ้วมือทั้งสิบ ดวงตาสีเขียวเปล่งประกายปรับเปลี่ยนเป็นสีดำสนิททั้งดวงตาจนใต้เท้าซินอวี๋ชะงักงันเหมือนโดนสะกด ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทเพียงครู่จึงเปลี่ยนกลับเป็นสีตาเดิม

"ใต้เท้า ได้โปรดเรียกข้าว่า ซื่อหลิน เถอะเจ้าค่ะ คิดเสียว่าข้าคือบุตรีของท่านอีกคน" นางเอ่ยปากมอบกายเป็นบุตรีด้วยรอยยิ้มพลางก้มหน้าต่ำให้เสมือนกับคนที่กำลังเจียมตัว

"ช่างเป็นบุญของข้านักที่จะมีลูกบุญธรรมเป็นถึงมังกรเขียว เช่นนั้นเชิญเจ้าเข้าไปนั่งในเกี้ยวเถอะ" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยยิ้มๆ

"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ" ว่าจบนางก็เข้าไปนั่งในเกี้ยวแทนใต้เท้าซินอวี๋ เหบ่าทหารจึงไปหาเกี้ยวใหม่ให้ผู้เป็นนายนั่งแทน เหล่าทหารเองต่างพากันไม่ลอบใจต้องพากันไปหาเกี้ยวใหม่ให้ผู้เป็นนายใหม่

หลังจากหาเกี้ยวมาแทนได้แล้วจึงเริ่มเดินทางกลับจวนอย่างเร่งด่วน เมื่อกลับมาถึงจวนใต้เท้าซินอวี๋จึงออกคำสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ จางซื่อหลิน โดยทันที ทั้งยังรับเป็นบุตรีบุญธรรมโดยไม่ถามไถ่ความเห็นของฮูหยินใหญ่แม้แต่น้อย จึงสร้างความไม่พอใจให้กับภรรยาน้อยใหญ่และบุตรชาย บุตรสาวเป็นอย่างมาก

ในค่ำคืนนั้นงานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่มีการจุดพลุ ดอกไม้ไฟหลากสีดั่งงานเทศกาล แขกน้อยใหญ่ต่างเข้ามาแสดงความยินดีที่ใต้เท้าซินอวี๋รับบุตรีบุญธรรมโดยไม่ได้บอกว่านางคือมังกรเขียวผู้เป็นว่าที่องค์ฮองเฮา

"ใยนายท่านไม่ให้ข้าบอกทุกคนว่าท่านคือมังกรเขียวเล่า ข้ารึอย่างประกาศก้องให้ผู้คนรับรู้เสียให้หมด" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่ออยู่สองคนโดยไม่มีผู้ใดรบกวน

"มันยังไม่ถึงเวลา เมื่อถึงเวลาเมื่อไหร่แล้วข้าจะให้เจ้าบอกให้สมใจ" คำพูดคำจาของนางเมื่ออยู่กับใต้เท้าซินอวี๋สองคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเขิงคล้ายกับนางคุยกับบ่าวรับใช้อย่างไรอย่างนั้น

"ดียิ่งนัก ข้าอยากจะเห็นน้ำหน้าขององค์ชายสามกับองค์ขายห้านักดูสิจะกล้าเอ่ยปากต่อว่าอีกไหมเมื่อข้านำท่านขึ้นเฝ้าองค์ฮ่องเต้ในวันพรุ่ง" ใต้เท้าซินอวี๋ผู้ถูกสะกดเอ่ยอย่างภูมิใจโดยไม่รู้ว่าการนำพานางผู้นี้ขึ้นเฝ้าองค์ฮ่องเต้คือการนำหายนะเข้าสู่ตนเอง

.

.

.

งานเลี้ยงในค่ำคืนนั้นจบลงด้วยดีก็เกือบย่ำเช้า จางซื่อหลินเดินออกมาจากห้องรับรองเพื่อดูความเป็นไปในจวนระหว่างที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้นนางได้พบกับฮูหยินใหญ่ของบ้านที่กำลังเดินผ่านมาพอดี

"ข้าน้อยจางซื่อหลินขอคารวะฮูหยินใหญ่" นางก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนเงยหน้ามองฮูหยินใหญ่ตรงอย่างถือดี

"เจ้านี่ช่างบังอาจนัก กล้าดียังไงมองหน้าข้าเช่นนี้" ฮูหยินใหญ่เดือดดาลกับการถูกมองหน้าเช่นนี้ คล้ายกับการหยามเกียรติของนาง นางไม่ชอบใจตั้งแต่ที่ จางซื่อหลินเข้ามาเป็นบุตรีบุญธรรมของสามีนาง แล้วนี่นางยังไม่ให้ความเคารพกันอีก ช่างเป็นคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนัก
"ขออภัยที่ข้าน้อยบังอาจ แต่ข้าน้อยมิทราบว่าการมองหน้าฮูหยินเช่นนี้เป็นการเสียมายาท" ว่าจบจางซื่อหลินจึงมองหน้าฮูหยินตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเดินจากไป

"ข้าจะจำการกระทำของเจ้าเอาไว้" ฮูหยินใหญ่กัดเขี้ยวเคี้ยสฟันอย่างเดือดดาลสองมือกำแน่นจนเกิดรอยเล็บบนฝ่ามือ

.

.

.

เมื่อถึงเวลาที่ได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ใต้เท้าซินอวี๋กุลีกุจออย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเขาให้จางซื่อหลิน รออยู่ด้านนอกเพื่อรอสัญญาณจากตน เมื่อองค์ฮ่องเต้มาประทับพระที่นั่งเรียบร้อยจึงก้าวเท้าออกมาเพื่อเป็นการเปิดตัวจางซื่อหลิน

"เรียนฝ่าบาท เมื่อวาน ข้าน้อยได้พบกับสิ่งอัศจรรย์ใจสิ่งหนึ่งจึงพามาถวายแด่พระองค์พะย่ะค่ะ"

"ท่านนำอะไรมามอบให้แก่เราหรือใต้เท้าซินอวี๋" องค์ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่นมองคนเอ่ย

"มังกรเขียวพะย่ะค่ะ" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิ

"หือ! ไหนพามาให้ข้ายลโฉมหน่อยสิ" ฮ่องเต้เอ่ยตามน้ำไปกับใต้เท้าซินอวี๋ แล้วหันไปพยักหน้ากับนักพรตเจินหยวน เมือได้สัญญาณจากองค์ฮ่องเต้ เขาจึงตบมือสามครั้งเพื่อเรียกให้จางซื่อหลินเข้ามา

จางซื่อหลินเมื่อได้สัญญาณจึงเดินเข้ามาในท้องพระโรงด้วยท่าทางนอบน้อม แต่เปี่ยมไปด้วยท่วงท่าสง่างาม นักพรตเจินหยวนมองไอพลังวิญาณที่แผ่ออกมา มันช่างเหมือนมังกรเขียวยิ่งนัก แต่ทำไมในไอพลังกับดูชั่วร้ายยิ่งนัก ในขณะที่กำลังเพ่งมองไอพลังนั่นอยู่ ไอพลังชั่วร้ายบางส่วนก็พุ่งเข้าหาตนกับฮ่องเต้โดยไม่ทันตั้งตัว นักพรตเจินหยวนจึงรีบกางเขตอาคมคลุมร่างตนกับองค์ฮ่องเต้ไว้ 

"เงยหน้าขึ้นสิ" ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ จางซื่อหลินจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น แต่นางต้องขมวดคิ้วเมื่อไอพลังที่นางปล่อยออกไปถูกสกัดกั้นด้วยอาคมของนักพรตที่ยืนอยู่ข้างกาย

'บ้าที่สุด! บังอาจต้านทานพลังของข้าได้แสดงนักพรตผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ' จางซื่อหลินยังคงแย้มยิ้มแต่ในใจกลับว้าวุ่นที่ไม่อาจเข้าสะกดจิตใจองค์ฮ่องเต้ได้

"ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยกลายร่างให้ข้าได้ชื่นชมหน่อยจะได้ไหม" เสียงนักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เป็นถึงมังกรเขียวแต่เสน่ห์เย้ายวนกับไม่มีแม้แต่น้อย มีแต่พลังอาฆาตมาดร้ายเช่นนี้ หากเทียบกับเหม่ยฟางนั้นยังห่างชั้นนัก

"เอ่อ...เรื่องนั้นข้าขอเตรียมตัวก่อน" นักเจินหยวนเลิกคิ้วมองคนที่บอกขอเตรียมตัว

"ถ้าเช่นวันพรุ่งเจ้าคงไม่มีปัญหาสินะ ฝ่าบาทคิดว่าอย่างไรพะย่ะค่ะ" นักพรตเจินหยวนหันไปขอความคิดเห็นกัยองค์ฮ่อวเต้ด้วยรอยยิ้ม

"ดี วันพรุ่งข้าจะรอดูเจ้ากลายร่างเป็นมังกรเขียว วันนี้เลิกประชุมได้" ฮ่องเต้ทรงเอ่ยตรัสบทแล้วลุกออกจากพระที่นั่งหายไปพร้อมกับนักพรตเจินหยวน

.

.

.

"นายท่าน นายท่าน ทำไมท่านไม่กลายร่างเป็นมังกรเขียวต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ล่ะ" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยถามอย่างสงสัย สายตาคมจองจางซื่อหลินตวัดมองใต้เท้าซินอวี๋ อย่างไม่พอใจที่เอ่ยถาม

"หุบปาก ข้ามีเหคุผลของข้าเจ้าอย่าได้เข้ามายุ่ง"

"ขอรับ" ใต้เท้าซินอวี๋ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างเสียไม่ได้เมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของอีกฝ่าย

"รอดูวันพรุ่งเถอะ ข้าจะทำให้พวกมันได้รู้ว่าใครเป็นใคร หึหึ" จางซื่อหลินเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน ปล่อยให้ใต้เท้าซินอวี๋มองตามหลังของนางจากไป

.

.

.

ทางด้านจ้าวหย่งเจิ้งกับเหม่ยฟางที่เดินทางกลับเข้าวังมากับรู้สึกถึงความผิดปกติของเหล่าทหารยามที่จ้องมองพวกเขาอย่างแปลกๆ ทั้งยังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างจนน่าสงสัย รวมทั้งในตลาดยังมีภาพประกาศจับของเหม่ยฟางติดเต็มไปหมด

"แปลกจริงทำไมมีภาพของฟางติดเต็มไปหมด ทั้งยังเป็นประกาศจับเสียมากกว่าการตามหาคนเสียอีก" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยพึมพำกับตนเอง

"นั่นสิ เจิ้งเรารีบกลับเข้าวังกันเถอะข้าสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย" เหม่ยฟางเอ่ยอย่างหวั่นๆ ที่นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ทั้งสองรีบเร่งเข้าวังอย่างเร่งด่วนเมื่อก้าวเท้าพ้นประตูวังกับพบทหารมากมายรายล้อมพวกเขาอยู่

"พวกเจ้ามาล้อมพวกข้าไว้ทำไม" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวดน้ำเสียงไม่ชอบใจ

"เรียนองค์ชายรองพวกข้าน้อยดีใจที่พระองค์ทรงปลอดภัยแต่พวกข้าน้อยไม่ได้ล้อมพระองค์ พวกข้าน้อยได้รับคำสั่งจากใต้เท้าซินอวี๋ให้จับกุมบุรุษผู้นี้พะย่ะค่ะ" หนึ่งในทหารเหล่ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"คนผู้นี้มากับข้าพวกเจ้าคิดจับเขางั้นหรือ"

"ต้องขอประทานอภัยด้วยพะย่ะค่ะนี่เป็นคำสั่งที่พวกข้าน้อยต้องทำตาม" หนึ่งในทหารกล่าวเสียงอ่อนแม้ไม่อยากทำร้ายองค์ชายรองแต่หากขัดขืนพวกเขาก็ต้องทำ

"พวกเจ้ากล้า" เสียงเย็นเยียบในตาเย็นชากวาดมองเหล่าทหาร จนคนถูกมองหนาวถึงไขสันหลัง

"หากขัดขืนพวกข้าน้อยคงต้องล่วงเกิน" จบคำเหล่าทหารก็กรูกันเข้ามา เพื่อจับกุมพวกเขา จ้าวหย่งเจิ้งไม่มีทางเลือกจึงกวัดแกว่งดาบเข้าห่ำหั่นเหล่าทหาร เสียงปะทะดาบดังไปทั่วบริเวณ เหม่ยฟางได้แต่ปัดป้องทหารที่เข้าโจมตนอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ไม่อยากทำร้ายใครแต่ใยถึงมีคนคอยคิดทำร้ายตนอยู่ตลอด

"ฟางเจ้าไหวไหม หนีไปก่อนไหมจะได้ไม่พลั้งมือฆ่าคน" จ้าวหย่งเจิ้งเจ้าขนาบด้านหลังของเหม่ยฟางไว้เพื่อกันทหารจากทางด้านหลังให้
"ไม่! เจ้าจะให้ข้าทิ้งเจ้าได้อย่างไร" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงแข็ง

"ข้าไม่เป็นไรเจ้าหนีไปพสกมันต้องการจับเจ้าไม่ใช่ข้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยพร้อมกับผลักดันให้เหม่ยฟางหลบหนีออกไป

"แต่ว่า..."

"ไม่มีแต่ รีบไปข้าจะสกัดไว้เอง พวกมันไม่กล้าทำอันตรายข้าหรอก"

"ถ้าเช่นนั้น ระวังตัวด้วย" ว่าจบเหม่ยฟางจึงใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีหายอแกไปจากวงล้อมทหารเมื่อพ้นสายตาเหล่าทหารก็กลายร่างเป็นงูเขียวหลบซ่อนในพุ่มไม้ ส่วนจ้าวหย่งเจิ้งเมื่อเห็นว่าเหม่ยฟางหนีไปได้ตึงผ่อนแรงลง เพราะคิดว่าทหารคงไม่ทำร้ายตน แต่เขากลับคิดผิด เมื่อเหล่าทหารยังคงฟาดฟันดาบมาที่เขาคมดาบตวัดโดนเข้าที่แขน ขา ของเขา จนล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น เมื่อทหารเห็นว่าเขาเพลี่ยงพล้ำปลายดาบก็จ่อเข้าที่ตัวเขานับสิบ

"ขออภัยด้วย ข้าน้อยขอจับกุมองค์ชายเข้าคุกหลวงเพื่อรอการลงโทษ" เหล่าทหารจึงคุมตัวจ้าวหย่งเจิ้งไปขังไว้ที่คุกหลวง

"ปล่อยข้านะ พวกเจ้าบังอาจนักที่จับตัวข้าไว้" จ้าวหย่งร้องตะโกนออกมาอย่างเสียไม่ได้

"วันพรุ่งพวกข้าน้อยจะปล่อยพระองค์ออกไปชมท่านมังกรเขียวแสดงการกลายร่าง" ว่าจบทหารก็จากไปทิ้งความสงสัยไว้ให้แก่จ้าวหย่งเจิ้ง

"มังกรเขียวอะไรกัน พวกเจ้ามาปล่อยข้าออกไปข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ" จ้าวหย่งเจิ้งร้องขอให้พวกทหารปล่อยตนทันทีโดยไม่ได้ใส่ใจเรื่องเรื่องมังกรเขียวมากนัก แม้จะร้องขอเพียงใดกลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากเหล่าทหารพวกนั้น

"พี่รองท่านน่าจะสนใจเรื่องมังกรเขียวหน่อยนะ ไม่ใช่สนใจเรื่องอื่น" เสียงของคนคนหนึ่งดังมาจากเงามืดเดินตรวเข้ามายังที่คุมขังของตน

"น้องสาม เจ้ามาอยู่นี่ได้อย่างไร หรือทั้งนี่เป็นคำสั่งเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามอย่างแคลงใจ

"หาใช่ข้าไม่ที่ออกคำสั่ง แต่เป็นคำสั่งใต้เท้าซินอวี๋ผู้นำมังกรเขียวมาถวายเสด็จพ่อต่างหาก" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยเสียงเรียบใบหน้าเรียบเฉยจนอ่านไม่ออก

"มังกรเขียวอะไรกัน เจ้าก็รู้ว่ามังกรเขียวคือใคร" 

"เรื่องนั้นข้าหาทราบไม่เพราะข้าเองเห็นแค่ร่างแปลงงูเขียวของฟางฟางเท่านั้น จึงไม่อาจตอบได้ว่าฟางฟางเป็นมังกรเขียวตัวจริงหรือตัวปลอม"

"เจ้าหมายความว่าอย่างไร"

"ข้าว่าพี่รองรอชมพรุ่งนี้จะดีกว่า ข้าขอตัว" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวจบจึงหมุนตัวกลับยืนรอให้จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามบางอย่างกับตน

"บ้าจริง เจ้าไม่คิดจะปล่อยข้าหรือไงกัน" จ้าวหย่งเจิ้งสบถออกมา

"ข้าคิดว่าพี่รองนอนที่นี่สักคืนก็คงดี พรุ่งนี้เช้าค่อยออกมาดูอะไรสนุกๆกัน หึหึ" จ้าวหย่งเฝิงยกยิ้มมุมปากให้จ้าวหย่งเจิ้งแล้วเดินออกจากคุกหลวงไปจริงๆ

"จ้าวหย่งเฝิง เจ้ากลับมานะ" เสียงร้องตะโกนอย่างหัวเสียของจ้าวหย่งเจิ้งยิ่งทำให้จ้าวหย่งเฝิงมีรอยยิ้มมากขึ้น

'หึหึ รอดูพรุ่งนี้เถอะ ข้าอยากจะรู้นักว่าพวกมันสองคนคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าจะเปิดโปงมังกรเขียวจอมปลอมให้ดู'



***ปล.ขออภัยกับคำผิดนะคะ***
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 20 มัวกรเขียวตัวปลอม) {05-0-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-08-2017 01:00:23
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 20 มังกรเขียวตัวปลอม) {05-0-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vivivo ที่ 09-08-2017 17:09:09
 :hao7:รอค่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 20 มังกรเขียวตัวปลอม) {05-0-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-08-2017 05:37:58
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 21 ปีศาจเต่า) {12-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 12-08-2017 14:50:29
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 21 ปีศาจเต่า

ภายในห้องหนังสือซึ่งสถานที่ทำงานของใต้เท้าซินอวี๋ คนภายในจวนย่อมรู้ว่าห้องหนังสือนี้ห้ามใครเข้าแม้แต่ฮูหยินใหญ่ก็ยังเข้าไปไม่ได้ แต่ในขณะนี้กับมีสตรีโฉมงามเข้ายึดครองตำแหน่งที่นั่งของใต้เท้าซินอวี๋ โดยมิโดนว่ากล่าวแต่อย่างใด ทั้งคู่ใช้เวลาในห้องหนังสือเป็นส่วนใหญ่ จนทุกคนในจวนต่างคิดว่าสตรีที่ใต้เท้าซินอวี๋พามานั้นเป็นอะไรที่เหนือคำว่าบุตรีบุญธรรมเป็นแน่ ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนาในห้องหนังสือ ทหารนายหนึ่งเข้ามารายงานเรื่องขององค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้งที่ได้วางแผนลอบส่งคนของตนเข้าไปแทนที่ทหารนายเดิมเพื่อจับกุมตัวองค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้งไว้

"เรียนใต้เท้า ข้าน้อยได้จับองค์ชายรองไว้ในคุกหลวงตามคำสั่งแล้วขอรับ ส่วนบุรุษอีกคนที่มากับองค์ชายหนีรอดไปได้" ทหารนายหนึ่งเข้ามารายงานผลให้กับผู้เป็นนายได้รับรู้

"ดี เป็นเช่นนั้นดีแล้ว เจ้าออกไปได้แล้วปิดปากให้สนิท"

"ขอรับ แต่ว่า...เอ่อ...คือ..." ทหารนายนั้นทำท่าอ้ำอึ้งจะพูดก็ไม่พูดจนใต้เท้าซินอวี๋ต้อวเอ่ยปากถาม

"มีอะไรก็พูดมา"

"คือ...เรียนใต้เท้า ไม่ทราบว่าองค์ชายสามจ้าวหย่งเฝิงทราบเรื่องที่องค์ชายรองถูกขังในคุกหลวงได้อย่างไร ก่อนที่ข้าน้อยจะมา องค์ชายสามได้ทรงเข้าไปพบกับองค์ชายรองด้วยขอรับ" ทหารนายนั้นใช้มือข้าหนึ่งปาดเหงื่อที่หน้าผากของตน

ปึง!!!

"สะเพร่านัก" ใต้เท้าซินอวี๋ตบโต๊ะเสียงดังจนทำให้ทหารที่มารายงานถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ

"ข้าน้อยผิดไปแล้ว ได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย"

ฉึก!

"อ๊ะ...อึก..." คมเล็บทั้งห้าพุ่งเข้าใส่ดั่งคมธนูพุ่งปักร่างของทหารผู้น่าสงสาร เจ้าของเล็บแหลมคมยังคงนั่งเคียงคู่ใต้เท้าซินอวี๋มีเพียงเล็บที่ยื่นยาวออกไป ทหารนายนั้นได้แต่ตกตะลึงตาค้างก่อนล้มลงสิ้นใจตายเมื่อเล็บแหลมคมหดคืนกลับดั่งเดิมทิ้งไว้แต่ปลายเล็บทั้งห้ายังคงชุ่มเลือด

"คนที่ทำงานง่ายๆไม่ได้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่" เสียงเย็นชาของจางซื่อหลินส่งเอ่ยทิ้งท้าย

"ใครอยู่ข้างนอก เข้ามาจัดการเอาศพมันผู้นี้ไปทิ้งให้เรียบร้อย" ใต้เท้าซินอวี๋ตะโกนเรียกให้คนมาเก็บกวาดทำความสะอาด แม้คนที่เข้าเก็บกวาดจะตกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงขนาดที่คุมสติไม่อยู่

ร่างไร้วิญญาณของทหารนายนั้นถูกนำออกไป ใต้เท้าซินอวี๋จึงหันกลับมาคุยกับจางซื่อหลินอีกครั้งเหมือน ณ ที่นั้นไม่เคยเกิดเหตุนองเลือดมาก่อน

"นายท่านใยท่านไม่ให้คนของเราตามจับตัวบุรุษผู้นั้นด้วยหรือขอรับ" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยถามด้วยความสงสัย

"ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวบุรุษนั่นตะเจ้ามาหาเราเอง ในเมื่อเรามีเหยื่อล่อชั้นเลิศอยู่ในมือ" รอยยิ้มประดับขึ้นมุมปากของจางซื่อหลินซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ชวนขนลุกเสียจนใต้เท้าซินอวี๋จนลอบกลืนน้ำลาย

"ที่แท้ที่ส่งคนเข้าไปจับตัวองค์ชายรองเพื่อล่อให้บุรุษผู้นี้มาติดกับสินะขอรับ นายท่านช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก" 

"ใช่ แต่คืนนี้ข้าจะเข้าไปในคุกหลวงเพื่อสะกดองค์ชายรองให้มาเป็นพวกเราหลังจากบุรุษผู้นั้นเข้าไปหาองค์ชายรอง"

"นายท่านคิดว่ามันผู้นั้นจะมาหรือขอรับ" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยถามอีกครั้ง

"ข้าเชื่อว่ามันต้องมา เจ้าคอยดูคืนนี้ละกัน"

.

.

.

.

กลางดึกในคืนนั้นเหม่ยฟางในงูเขียวก็ลอบออกจากที่ซ่อนมุ่งตรงไปที่คุกหลวง บรรยากาศยามค่ำคืนในคุกหลวงช่างหนาวเย็นเสียจนจ้าวหย่งเจิ้งต้องหาไออุ่นจากำแพงที่เย็นชืด เมื่อเขาได้ยินเสียงดัง แซกๆ คล้ายกับมีอะไรแหวกฟางหญ้าแห้งตรงมาที่เขา เขาจึงเพ่งมองเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรใบหน้าที่ราบเรียบก็บังเกิดรอยยิ้มขึ้นมา

"ฟาง" เายงเอ่ยเรียกด้วยความดีใจมองร่างงูเขียวที่โผล่พ้นออกมาจาฟางหญ้าแห้งในคุกหลวง ก่อนเกิดประกายแสงที่ร่างนั้นเปลี่ยนจากงูเป็นคน

"เจิ้ง ดีใจจังที่ไม่เป็นอะไร" เหม่ยฟางสวมกอดคนที่นั่งอยู่ติดกำแพงด้วยความอาวรณ์

"บอกแล้ว ว่าไม่เป็นไร ขอให้สบายใจได้" จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มละมุนให้แก่เหม่ยฟาง

"ก็ข้าเป็นห่วงเจ้า ดูสิ ไหนว่าไม่เป็นไร เจ้าบาดเจ็บแบบนี้ยังบอกไม่เป็นไรอีก" เหม่ยฟางมองสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายเมื่อเห็นบาดแผลจึงอดตัดพ้อไม่ได้

"แค่เจ้าเป็นห่วงข้า ข้าก็หายเจ็บแล้ว" มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าของคนรักอย่างเอ็นดู เหม่ยฟางจึงคว้ามือนั้นไว้เพื่อรองหยดน้ำไข่มุกของตน 

"น้ำตาของข้าจะช่วยรักษาบาดแผลของเจ้าได้" เหม่ยฟางหยิบไข่มุกในมือออกมาบดแล้วใส่แผลให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ เพียงไม่นานบาดแผลก็สมานจนหายสนิท เหมือนกับไม่เคยบาดเจ็บแต่อย่างใด

"ข้าคิดถึงเจ้า" มือหนาประคองแก้มขาวก่อนจรดริมฝีปากลงบนพวงแก้มอีกฝ่ายเบาๆ เหม่ยฟางรับรู้ถึงลมหายใจที่รินรดลงมาบนพวงแก้ม ใบหน้าขาวก็แปรดปลี่ยนเป็นแดงเรื่อด้วยความเขินอาย

"หยุดฉวยโอกาสกับข้าเสียทีเถอะ" เหม่ยฟางก้มหน้าลงเพื่อหลบซ่อนความเขินอายไว้

"เงยหน้าขึ้นเถอะ ข้าอยากมองหน้าเจ้าอีกสักครั้ง"

"ไม่เอา ข้าไปล่ะ วันพรุ่งเจ้าก็ได้ออกไปแล้วมิใช่หรือ ข้าไปรอที่ตำหนักเจ้านะ" เหม่ยฟางบ่ายเบี่ยงหลบสายตาของอีกฝ่าย จนจ้าวหย่งเจิ้งอดที่จะยิ้มกับความน่ารักน่สชังของอีกฝ่ายเสียไม่ได้
"วันพรุ่งหลังเสร็จงานที่ลานมังกรจ้าจะกอดเจ้าให้สมใจอยากเชียว" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม

"บ้า ข้าไปก่อนนะ" ว่าจบเหม่ยฟางก็กลับร่างงูเขียวเร้นกายออกไป ส่วนจ้าวหย่งเจิ้งได้แต่ยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเห็นเหม่ยฟางหายลับไปแล้วจึงล้มตัวนอนหันหน้าเข้ากำแพง ในขณะที่กำลังจะหลับไม่หลับอยู่นั้นเจาก็ได้ยินเสียงคล้ายกับการแหวกหญ้าฟางอีกครั้ง เมื่อหันกลับไปถึงกับสะดุ้งตัวโยนรีบลุกขึ้นยืน เมื่อสิ่งที่เขาเห็นกับเป็นกลุ่มควันสีดำทมิฬ ซึ่งมีนัยน์ตาดำไร้แววชวนขนลุก

"ควันดำ ไม่สิ เจ้าเป็นร่างแปลงของผู้ใดกัน" เพียงจ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปากทัก ร่างงูดำก็บังเกิดไอหมอกสีดำปกคลุมเมื่อจางหายร่างของหญิงสาวรูปโฉมงดงามก็บังเกิดตรงหน้า

"ไม่คิดว่า จะรู้ตัวไวเช่นนี้ ก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแปลงกายให้มันมากความ" เพียงสิ้นเสียงไอพลังสีดำก็พุ่งเข้ายึดแขนขาของจ้าวหย่งเจิ้งเอาไว้

"เจ้าเป็นใคร ปล่อยข้านะ" แม้พยามขัดขืนดิ้นรนไอพลังกับยิ่งยึดเขาแน่นขึ้นจนไม่อาจขยับไปทางไหนได้

"จำข้าไม่ได้หรือองค์ชาย" สิ้นคำถาม ร่างของจางซื่อหลินก็ค่อยๆเลือนหายเปลี่ยนเป็นร่างนักบวชจางซื่อแทน

"เจ้า...เจ้านักบวชชั่ว" 

"ฮ่าๆ อยากเรียกอย่างไรก็เชิญข้า จะทำให้เจ้าสยบอยู่แทบเท้าของข้าฮ่าๆ" เสียงหัวเราะยังคงดังสะท้อนในโสตประสาทของจ้าวหย่งเจิ้ง แต่ไอพลังสีดำกลับพยายามเข้ามาในร่างเขาทีละน้อยทีละน้อย แม้อยากขัดขืนเพียงใดเงาพลังนั่นกลับยิ่งเกาะกุมเขา

"อ๊ากกกกก" เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดคล้ายร่างกำลังจะถูกแยกนั้นมันทำให้เขาถึงกับสิ้นสติไปชั่วขณะ นี่เขากำลังจะถูกครอบงำจริงๆใช่ไหม

ตุบ

ร่างสูงล้มลงไปนอนแน่นิ่งไม่ขยับไหว นักบวชจางซื่อเมื่อเห็นว่าจ้าวหย่งเจิ้งสลบไปแล้ว จึงแปลงกลายกลับเป็นจางซื่อหลินดังเดิม แล้วเดินออกจากคุกหลวงโดยไม่มีใครขัดขวาง

"นายท่านจัดการองค์ชายรองเรียบร้อยแล้วหรือขอรับ" ใต้เท้าซินอวี๋ผู้มายืนรออยู่หน้าคุกหลวงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

"วันพรุ่งเจ้าคอยดูผลงานของข้าละกัน หึหึ"

เช้าวันใหม่ ตั้งแต่เหม่ยฟางจากกับจ้าวหย่งเจิ้งมานั้น จิตใจของเขากับกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูกแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายปลอดภัยแต่จิตใจกับเหมือนมีเปลวไฟมาแผดไฟอยู่ตลอดเวลาจนทำเขานอนไม่หลับ

"เหม่ยฟางข้าว่าเจ้านั่งลงก่อนได้ไหม เดี๋ยวสิ้นงานที่ลานมังกรองค์ชายก็คงเสด็จกลับมาเอง" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวทัดทาน เขาถูกเหม่ยฟางปลุกมานั่งดูอีกฝ่ายเดินไปเดินมา ตั้งแต่กลางดึก แม้จะดีใจไม่น้อยที่เห็นอีกฝ่ายปลอดภัย แต่ในใจก็นึกเป็นห่วงองค์ชายรองเมื่อทราบว่าองค์ชายรองถูกถูกคุมขังในคุกหลวง

"โธ่ พี่อวี๋ ข้าเป็นห่วงเจิ้งนี่นา ใจข้าร้อนเป็นไฟเช่นนี้คงเย็นไม่ได้หรอก" เหม่ยฟางร้องโอดครวญ

"เช่นนั้นพวกเราไปที่ลานมังกรกันเถอะ"อวี๋เหวินเต๋อออกความเห็น

"ข้าไปได้จริงหรือ" เหม่ยฟางยิ้มเข้าเกาะแขนอวี๋เหวินเต๋อแน่น

"อืม แต่ต้องแอบนะ" อวี๋เหวินเต๋อพยักหน้ารับ รอยยิ้มของเหม่ยฟาง

ลานมังกร

จางซื่อหลินยืนอยู่ตรงกลางลานมังกรเพื่อรอแสดงการแปลงร่างให้องค์ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร เหล่าองค์ชายทั้งสี่ต่างพากันยืนดูอย่างให้ความสนใจ มีเพียงจ้าวหย่งเจิ้งที่ยังไม่ปรากฏกายออกมา จ้าวหย่งเฝิงสอดส่องสายตามองหาพี่ชายตน เขาแค่แกล้งพี่ชายให้นอนในคุกหลวงเพียงเล็กน้อยคงไม่ป่วยไข้เสียก่อนนะ เห็นว่าในคุกหลวงยามค่ำคืนอากาศหนาวเย็นพอๆกับตำหนักเย็นเสียด้วยสิ

"พี่สามท่านมองหาอะไร" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยถามพี่ชายของตนเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง

"เปล่า ข้าจะไปมองหาอะไรได้" แม้จะถูกตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่จ้าวหย่งจิ้งกัยหาใส่ใจไม่ ในเมื่อนั่นเป็นนิสัยส่วนตัวของพี่ชายตนตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เขาจึงเดินไปหาพี่ชายอีกคนเพื่อสนทนา

'แปลกใยพี่รองยังไม่เข้าร่วมชมด้วยกันนะ หรือเกิดอะไรขึ้น' จ้าวหย่งเฝิงคิดในใจ ก่อนกวักมือเรียกองครักษ์ประจำตนให้ออกไปตรวจตราดูที่คุกหลวง

"พี่สามมีอะไรหรือ" จ้าวหย่งฟงน้องเล็กเอ่ยถามเมื่อเขาขยับเข้าใกล้จ้าวหย่งเฝิงมากขึ้น

"ไม่ใช่เรื่องของเจ้า"

"เรื่องพี่รองหรือเปล่าพี่สาม"

"ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่ามาเซ้าซี้ถามข้า!" จ้าวหย่งเฝิงขึ้นเสียงเสียงกับจ้าวหย่งฟงน้องคนเล็กสุด

"ข้าแค่เป็นห่วงพี่รอง" จ้าวหย่งฟงเอ่ยน้ำเสียงเศร้า เมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาของน้องชายจึงลอบถอนหายใจ

"เฮ้อ~ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องเข้ามาข้องเกี่ยวหรอกแม้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่รองแต่ไม่มีอะไรที่เจ้าต้องกังวลหรอก"

"ขอรับ" จ้าวหย่งฟงตอบเสียงอ่อย

ภายในลานมังกรจางซื่อหลินยื่มือกลางออกพร้อมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เพียงไม่นานท้องฟ้าก็แปรปรวนส่งเสียงร้องกึกก้อง จนทำให้ผู้ที่มารับชมเรื่องอัศจรรย์พากันตื่นตกใจ สายฟ้าห้าสายฟาดลงมาในลานมังกรไปตามทิศทางทั้งห้า อันได้แก่ เหนือ ใต้ ออก ตก กลาง ซึ่งมันทำให้ดูน่ากลัวกว่าสิ่งอื่นใดผู้คนต่างพากันหลบลี้เข้าไปหาที่กำบังไม่กล้าออกมายืนบนพื้นที่โล่ง
"น่าอัศจรรย์ว่าไหมท่านนักพรต" องค์ฮ่องเต้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงอาการตื่นเต้นใดๆ

"ขอรับ แต่การกระทำเช่นนี้หาใช่มังกรเขียว..." ยังไม่ทันที่นักพรตเจินหยวนจะกล่าวจบ อวค์ฮ่องเต้ก็ยกมือขึ้นห้ามปรามไม่ให้พูดอะไรต่อ

"ข้าจะดูสิ่งที่นางผู้นั้นจะกระทำ" "ขอรับ"

ขณะที่ทุกคนกำลังจับตามองการแสดงตนของจางซื่อหลินนั้น จ้าวหย่งเจิ้งกลับเดินตรงเข้าไปกลางลานมังกร ผู้ซึ่งมีจางซื่อหลินยืนอยู่

"นั่นมันหย่งเจิ้งนี่" องค์ฮ่องเต้ชี้ไปทางจ้าวหย่งเจิ้ง ที่ตอนนี้หยุดยืนตรงหน้าจางซื่อหลินเพียงแค่จ้าวหย่งเจิ้งยืนอยู่ข้างเงาร่างของนางก็คล้ายกับเป็นเป็นมังกรขึ้นมาจนน่าแปลกใจ

"วิชายืมเงา" นักพรตเจินหยวนกล่าวเสียงเบาให้ได้ยินเพียงตนกับองค์ฮ่องเต้

"หมายความว่าอย่างไร" องค์ฮ่องเต้เลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย

"เรียนฝ่าบาทวิชาคือการยืมร่างวิญญาณของอีกฝ่ายขอรับ ซึ่งพระองค์น่าจะทราบดีว่าองค์ชายรองคือร่างของโอรสมังกรแต่การทำแบบนั้นร่างที่ถูกยืมวิญญาณต้องรับภาระอันหนักและทำให้เจ้าของร่างถึงแก่ความตาย" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าตกตระหนก

"ถ้าเช่นเจ้าจงไปช่วยหย่งเจิ้งเถอะ อย่ามั่วรอช้า"

"แล้วพระองค์เล่า" นักพรตเจินหยวนยังคงลังเลไม่กล้าทิ้งองค์ฮ่องเต้ไว้เพียงลำพัง

"ให้คนไปตามหย่งเฝิงมาหาข้า" เสียงองค์ฮ่องเต้ หันไปสั่งขันทีข้างกาย เมื่อเห็นว่ามีองค์ชายสามจ้าวหย่งเฝิงมาอยู่ข้างกาย นักพรตเจินหยวนจึงใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้าไปกลางลานมังกร

"หยุดการกระทำของเจ้าซะเจ้าปีศาจ" นักพรตเจินหยวนตะโกนบอกจางซื่อหลินที่ตอนนี้อยู่ในร่างมังกรสีเขียว เมื่อได้ยินเสียงทักท้วงร่างมังกรนั้นก็ก้มมองผู้ที่กล่าวทัดทานตน

"เจ้านักพรตจอมแส่หาเรื่อง นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ข้าจะสูบไอพลังวิญญาณของโอรสสวรรค์เพื่อหลอมเจดีย์เหลยเฟิงในกายข้า เจ้าจงถอยออกไป หากไม่อยากเจ็บตัว" เสียงกังวานก้องของมังกร ทั้งร่างมังกรเขียวก็กำลังถูกย้อมกลายเป็นสีดำสนิท ไอดำปกคลุมทั่วร่างมังกรดำก่อนแปรสภาพเป็นเต่ายักษ์สีดำ

"ที่แท้เจ้าก็เป็นลูกหลานของปีศาจเต่าฝ่าไห่สินะ ปล่อยองค์ชายรองคืนมาให้ข้าเดียวนี้"

"ใยข้าต้องคนผู้นี้ให้กับเจ้า ในเมื่อมันเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของข้า" 

"เจ้าทำอะไรองค์ชาย" นักพรตเจินหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

"ฮ่าๆ หย่งเจิ้งกำจัดนักพรตนั่นซะ" สิ้นคำสั่งจ้าวหย่งเจิ้งก็ชักกระบี่ออกมาฟาดฟันนักพรตเจินหยวน นักพรตเจินหยวนเองก็ทำได้แต่ปัดป้องไม่อาจจะสู้รบปรบมือกับองค์ชายรองได้

"ออกมาสิข้ารอเจ้าอยู่จ้าวแห่งชีวิตมังกรเขียว" เสียงก้องของเต่าดำจางซื่อรองเรียกเหม่ยฟางอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นอาการผิดปกติของจ้าวหย่งเจิ้งทั้งเต่ายักษ์สีดำเหม่ยฟางก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้

"มันกำลังเรียกข้า"

"เจ้าออกไปไม่ได้นะมันคือกับดัก" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยห้ามปรามใช้มือยึดร่างเหม่ยฟางไม่ให้ออกไป

"แต่ถ้าข้าไม่ออกไปเจิ้งต้องแย่แน่ๆ" เหม่ยฟางสะบัดกายเพียงเล็กก่อนใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้าไปหาปีศาจเต่าจางซื่อ

"เจ้าออกมาไวกว่าที่ข้าคิดอีกนะ เจ้าดูสิหย่งเจิ้งกำลังสนุกที่ไล่ฟาดฟันเจ้านักพรตนั่นอยู่เลย หึหึ" ปีศาจเต่าเอ่ยด้วยน้ำเสียพึงพอใจกับการกระทำของจ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้าต้องการอะไร"

"ฮ่าๆ เจ้าน่าจะรู้นะว่าสิ่งที่ข้าต้องการคืออะไร" ปีศาจเต่าระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

"หัวใจของข้า" เหม่ยฟางเอ่ยทวนสิ่งที่ปีศาจเต่าต้องการ

"ใช่ การเสียหัวใจ สักดวงคงไม่เสียหายอะไรหรอกกระมัง ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ตายอยู่ดี" 

"เรื่องนั้น..."

"อย่าทำเช่นนั้นนะ หากท่านมอบหัวใจมังกรไป ท่านจะลืมสิ้นทุกอย่างเชียวนะ" นักพรตเจินหยวนกล่าวทัดทาน หากมังเขียวไร้ใจก็ไม่อาจที่จะเป็นผู้สร้างชีวิตได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นการดำรงตัวตนอยู่ก็ไร้ความหมาย

"งั้นเจ้าจงเลือกเอา ระหว่างหัวใจของเจ้า กับหัวใจของหย่งเจิ้ง หย่งเจิ้งเตรียมควักหัวใจเจ้ามาให้ข้า" ปีศาจเต่าเอ่ยสั่งจ้าวหย่งเจิ้งที่ตอนนี้ละทิ้งกระบี่ในมือแล้วเอื้อมไปหยิบมีดสั้นที่ตนซ่อนไว้ด้านหลังแทน ปลายมีดสั้นเตรียมจ่อเข้าที่อกด้านซ้าย รอคำสั่งลงมีด

"เจิ้ง!" เหม่ยฟางร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายกำลังค่อยๆกดปลายมีดลงบนอกซ้ายของตนเอง

"เลือกสิ หัวใจเจ้า หรือ หัวใจของมัน หึหึ" ปีศาจเต่าหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้กับสิ่งที่ตนได้เห็น ข้ากำลังจะได้ชีวิตอมตะจากหัวใจมังกรเขียว ฮ่าๆ...
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 22 แก้คำสาป) {16-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 16-08-2017 18:04:01
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤​
ตอนที่ 22 แก้คำสาป

"เลือกสิ เจ้าจะเลือกเสียสละสิ่งใด เจ้า หรือมันผู้นั้น" เพียงแค่ปีศาจเต่าเบนสายตาไปทางจ้าวหย่งเจิ้ง ปลายมีดก็กดลงไปบนผิวหนังของจ้าวหย่งเจิ้งมากขึ้นจนเลือดนั้นซึมออกมา 

"เจิ้ง! เจิ้งอย่าทำเช่นนั้นได้โปรด" เหม่ยฟางร้องถามเสียงสั่น

"ถึงจะห้ามเช่นไรมันผู้นั้นก็ฟังแต่แค่ข้าเท่านั้น จงเลือกเอาว่าเจ้าต้องการสละอะไร"

"ได้โปรด ปล่อยเจิ้งไปเถอะ เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย" เหม่ยฟางคุกเข่าอ้อนวอนปีศาจเต่าตรงหน้า แต่สายตาแข็งกร้าวนั้นกับไม่อ่อนลงแม้แต่น้อย

"เลือกสิ"

"ข้า ข้ายอม ยอมทุกอย่าง แต่ท่านต้องคลายมนต์สะกดเงานั่นก่อน" เพียงสิ้นคำขอ ปีศาจก็ยื่นไปทางจ้าวหย่งเจิ้งคล้ายกับดึงอะไรบางอย่างออกจากตัวอีกฝ่าย พอดึงมือกลับร่างของจ้าวหย่งเจิ้งก็ทรุดลงกับพื้น เป็นเหม่ยฟางที่ใช้วิชาตัวเบาเข้าไปประคองร่างของอีกฝ่ายก่อนลงไปกองกับพื้นจริงๆ

"เจิ้ง เจิ้ง เป็นอย่างไรบ้าง เจิ้ง" เหม่ยฟางตบใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆเพื่อเรียกสติ 

"ฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งลืมตาขึ้นมาส่งยิ้มให้เหม่ยฟางอย่างอ่อนโยนแล้วสลบไป

"ท่านนักพรต ช่วยพาเจิ้งกลับไปพักก่อนเถอะ" เหม่ยฟางเอ่ยเรียกนักพรตเตินหยวนเพื่อให้พาจ้าวหย่งเจิ้งกลับไปพัก

"แต่..." แม้อยากจะคัดค้านแต่เขาต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อเห็นสายตาอันเยือกเย็นของเหม่ยฟาง

"ข้า ไม่เป็นไรหรอก หัวใจถึงข้าไม่มีมันข้าก็ไม่เป็นไร"

"หากท่านตัดสินใจแล้วข้าก็ไม่อาจห้ามได้ แม้ท่านจะลืมพวกข้า แต่พวกข้าจะไม่ลืมท่านอย่างแน่นอน" นักพรตเจินหยวนเอ่ยออกมาด้วยความจริงใจ

"พวกเจ้าคุยกันเสร็จหรือยัง ข้าไม่มีความอดทนมากขนาดนั้นหรอกนะ" ปีศาจเต่าทำสีหน้ารำคาญใจเร่งให้เหม่ยฟางมอบหัวใจมังกรมาให้แก่ตน เหม่ยลุกขึ้นยืนเดินตรงมายังปีศาจเต่า

"อยากได้มากสินะหัวใจของข้า อยากได้เจ้ามาเอามันไปเองสิ" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเรียบ 

"ถ้าเช่นนั้นข้าขอหัวใจเจ้าละนะ" ปีศาจเต่ากางกรงเล็บของตนแล้วปักเข้าไปในอกด้านซ้ายของเหม่ยฟางอย่างไม่ปราณีเลือดสีเขียวหยดลงพื้นจนเกิดรอยไหม้เป็นวงกว้าง เมื่อดึงมือออกมาจากอก หัวใจสีแดงฉานกำลังเต้น ตุบตุบ อยู่ในมือของเหม่ยฟาง แต่หัวใจสีแดงฉานกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวอย่างรวดเร็วเมื่อมันถูกย้อมด้วยเลือดสีเขียวของเหม่ยฟาง

"อึก!" เหม่ยฟางกระอักเอาเลือดสีเขียวออกมา แต่เลือดที่กระอักออกมากับไม่เกิดเป็นรอยไหม้เช่นเดียวกับหัวใจย้อมเลือดของตน ปีศาจเต่าดวงตาเป็นประกายอาบย้อมด้วยความปราถนาที่จะเป็นนิรันดร์โดยไม่รู้สึกผิดสังเกตุเลยว่าสิ่งที่ตนได้ไปนั้นไม่ใช่หัวใจมังกรที่แท้จริง เมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาปีศาจเต่าจึงรีบกลืนกินสิ่งนั้นลงไป เพียงไม่นาน ภายในร่างปีศาจเต่าก็เกิดอาการปั่นป่วน คล้ายกับตนกินลูกไฟร้อนๆ เข้าไป ความร้อนในกลายทวีความรุนแรงแผดเผาภายในร่างจนแทบล้มทั้งยืน

"มันเกิดอะไรขึ้นกับข้า อ๊ากกกก เจ้า..." ปีศาจเต่าชี้นิ้วมาทางเหม่ยฟางดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์

"รู้สึกดี กับสิ่งที่เจ้ากลืนกินลงไปสินะ" เหม่ยฟางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

"เจ้า..." ปีศาจเต่าเริ่มกระอักเลือดออกมามากมายทั้งตัวเริ่มก่อนแผลพุพองเหมือนกับร่างกายกำลังละลาย

"เจ้ารู้ไหมว่าส่วนใหญ่หัวใจมังกรจะอยู่ที่อกขวา แต่สิ่งที่อยู่ที่อกซ้ายของข้าคือสิ่งใดเจ้าพอจะนึกออกหรือไม่...."

"..." ปีศาจเต่านิ่งเงียบไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ 

"สิ่งที่อยู่ในอกซ้ายของข้าคือถุงพิษขนาดเท่าหัวใจ ทั้งรูปร่างเองก็ยังเหมือนหัวใจ เจ้าคงอร่อยกับพิษของข้ามากสินะ เจ้ารู้ไหมพิษของข้าเพียงหยดเดียวหากมนุษย์กินเข้าไปร่างกายจะสลายเป็นจุลไปแล้ว แต่โชคดีที่เจ้าเป็นปีศาจ พิษของข้าจึงเข้าไปทรมานร่างกายของเจ้าและอีกไม่นานร่างกายที่ผุพองของเจ้าก็จะสลายหายไป" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจ้องมองร่างของปีศาจเต่าที่กำลังจะแตกสลายด้วยสายตาเลือดเย็น

"แม้ตัวข้าตาย แต่ข้าเองก็ฝังคำสาปไว้ในกายเจ้าเช่นกัน อีกไม่นานเจ้าจะเป็นปีศาจเหมือนข้า อ๊ากกกกกก!!!!" สิ้นคำพูดอันแสนคับแค้นใจของปีศาจเต่าร่างกายของมันก็แตกสลายเหลือเพียงกองเลือดนองเต็มพื้น

ตุบ!

'จบแล้วสินะ' เหม่ยฟางคิดในใจ ก่อนร่างกายที่เหนื่อยล้าล้มลงไปนอนกับพื้น ดวงตาทั้งสองเริ่มหนักอึ้งและปิดสนิท แล้วทุกอย่างก็จมอยู่ในความมืด หากตื่นขึ้นมาทุกอย่างคงจะดีขึ้นกว่านี้  . . .

"นี่เหม่ยฟาง เจ้าคิดจะนอนอีกนานแค่ไหนกัน" เป็นเสียงตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

"อืม..." เหม่ยฟางขยับกายไปมาส่งเสียงครางด้วยความขัดใจเมื่อถูกรบกวนการนอน

"เจ้า อยากเป็นปีศาจจริงๆสินะถึงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องนี้" สิ้นเสียงดวงตาของเหม่ยฟางก็เปิดออกก่อนเอียงหน้ามองไปตาเฒ่าเอี๊ย

"ที่นี่มันที่ไหน" เหม่ยฟางลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆห้อง

"เจ้าอยู่ในฝันที่ข้าสร้างขึ้น"

"พาข้ามาที่นี่ทำไม"

"ข้าแค่อยากช่วยเจ้า" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยเสียงอ่อน

"เฮอะ ช่วยเหรอ ขนาดข้าเกือบตายเจ้ายังไม่เคยโผล่หน้ามาสักครั้ง แล้วนี่คิดจะช่วย คิดจะช่วยอะไรข้างั้นเหรอ" เหม่ยฟางทำเสียงขึ้นจมูกก่อนเอ่ยประชดใส่ตาเฒ่าเอี๊ย

"เฮ้อ~ ข้าจะมาบอกเรื่องการล้างคำสาปของปีศาตเต่าที่ร่ายไว้ในกายเจ้า เรื่องนี้พอช่วยเจ้าได้หรือไม่" ตาเฒ่าเอี๊ยถอนหายใจแล้วเอ่ยสิ่งที่ตนต้องการบอกออกไป

"ล้างคำสาป ทำได้จริงหรือ" เหม่ยฟางตาลุกวาวเมื่อได้ยินว่ามีวิธีถอนคำสาป

"แน่นอน การล้างคำสาปนั้นง่ายเพียงนิดเดียว แต่เจ้าจะยอมทำหรือไม่นั้นมันอยู่ที่ตัวเจ้า"

"ทำไมต้องอยู่ทีาตัวข้าล่ะ" เหม่ยฟางเอ่ยถามเพื่อให้หายข้องใจ

"เจ้าต้องรับพลังหยางเข้ามาในกายเป็นเวลา 7วัน 7คืน หากทำสำเร็จ คำสาปนั้นก็จะหายไป" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยสีหน้าจริงจัง

"ถ้าเช่นนั้น ข้าไปดูดซับพลังนั่นจากดวงอาทิตย์ก็ได้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องยากเลย" เหม่ยฟางยิ้มร่าออกมา เรื่องการรับพลังหยางนั่นไม่ใช่เรื่องยากสักหน่อย

"พลังหยางที่เจ้าจะต้องรับต้องมาจากกายบุรุษเท่านั้น" สิ้นคำพูดตาเฒ่าเอี๊ย รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนใบหน้าของเหม่ยฟางก็จางหายไปในชั่วพริบตา

"เจ้าว่าอย่างไรนะ!!!"เหม่ยฟางตะโกนเสียงด้วยความตกใจ

"พลังหยางต้องได้รับจากบุรุษเท่านั้นคำสาปถึงจะคลาย" ตาเฒ่าเอี๊ยทวนคำด้วยรอยยิ้ม

"แล้วต้องทำอย่างไร"

"เจ้าไม่เห็นต้องถามเลย เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุดนะ ก็อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ หึหึ" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

'แค่เปลื้องนอนกอดกันเฉยๆ เจ้าก็ได้รับพลังหยางแล้ว แต่เรื่องอะไรข้าจะบอก ปล่อยให้เจ้าคิดไปเองแบบนั้นแหละดีที่สุด หน้าที่ข้าจะได้จบลงไวๆ หึหึ' เจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มองใบหน้าของเหม่ยฟางที่กลายเป็นสีแดงปลั่งดั่งลูกตำลึงสุก จนเขาอดกลั้นขำไม่ได้

"ตาเฒ่า ข้าต้องทำจริงๆใช่ไหม" เหม่ยฟางหันไปถามความเห็นอีกครั้ง

"จริง" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง เพียงสั้นๆ เขาไม่อยากพูกโกหก โดยไม่จำเป็น

"ข้าจะทำอย่างไรดี" 

"เอาเถอะเจ้าค่อยๆคิดไปนะ ข้าจะไปเข้าฝันบอกนักพรตนั่นเสียหน่อย ขอให้เจ้าโชคดี" ว่าจบตาเฒ่าเอี๊ยก็หายไปจากในฝัน เหม่ยฟางพยายามร้องเรียกแต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงไออุ่นบางอย่าง จึงลืมตาขึ้น เมื่อหลุดจากฝันมาพบโลกแห่งความจริง เหม่ยฟางก็พบว่า ใบหน้าของใครคนหนึ่งอยู่ใกล้เสียจนเขาต้องตกใจ

"เจิ้ง!"

"น่าตกใจจริง ไม่คิดว่าจะได้ผลด้วย" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยยิ้มๆขณะกำลังจะถอยห่างเหม่ยฟางก็ดันตัวขึ้นด้วยความตกใจ จนทำให้ริมฝีปากของทั้งคู่แตะกันโดยไม่ได้ตั้งใจ

"อ๊ะ!" เหม่ยฟางตาโตขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อรู้ตัวว่าตนกำลังจูบกับจ้าวหย่งเจิ้ง ทั้งคู่ผละออกจากกันมีเพียงจ้าวหย่งเจิ้งที่ยังรู้สึกเสียดาย เขาอยากจะอีกฝ่ายให้นานขึ้นอีกสักนิด

"น่าเสียดาย"

"สะ เสียดายบ้าอะไร เจ้าเข้ามาทำอะไร"

"ข้าเป็นห่วงเจ้า" เพียงคำพูดเดีววก็ทำให้หัวใจของเหม่ยฟางพองโตเสียจนแทบจะแตกออกมา เหม่ยต้องเบนหน้าหลบสายตาของอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้

"ดีใจจัง ที่เจ้าปลอดภัย" เสียงคนมาใหม่เอ่ยขึ้น จนทำให้ทั้งสองต้องหันไปมอง เมื่อพบว่าเป็นใคร จ้าวหย่งเจิ้งจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ว่า

"น้องสามเจ้ามาทำอะไร"

"โธ่ พี่รองข้าแค่อยากมาเห็นหน้าเหม่ยฟางสักครั้งก่อนออกไปว่าความของใต้เท้าซินอวี๋ที่นำปีศาจเต่าเข้ามาทำร้ายผู้คน"

"หย่งเฝิงข้าปลอดภัยดีเจ้าอย่ากังวลไปเลย" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

"ดีจัง เจ้ายิ้มออกข้าก็ดีใจ แต่ข้าเสียใจที่ไม่ใช่คนที่เปิดเผยร่างปีศาจเต่านั่น" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงคับแค้นใจ

"น้องสาม เจ้างานยุ่งไม่ใช่เหรอ ในเมื่อเห็นหน้าฟางแล้ว เจ้าก็สมควรกลับไปทำหน้าที่ได้แล้วสิ" จ้าวหย่งเจิ้งตัดบทผู้เป็นน้อง เพื่อไล่อีกฝ่ายออกไป

"พี่รอง ท่านอย่าใจแคบนักเลย อย่างไรเสียท่านก็ได้สมรสกับฟางฟางอย่างแน่นอน เสด็จพ่อเอ่ยให้ทาานนักพรตหาฤกษ์สมรสไว้ให้ท่านแล้ว ถึงท่านจะไม่พาฟางฟางไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเลยก็ตาม" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยบอกข่าวที่ตนทราบให้แก่พี่ชาย

"ข้านี่แย่จริงๆ มาอยู่ในวังได้สักพักแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เลยสักครั้ง" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด

"เจ้าอย่าคิดเช่นนั้นเลย คนที่ผิดคือข้าต่างหากที่ไม่ยอมพาเจ้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ" จ้าวหย่งเจิ้งกุมมือเหม่ยฟางมาไว้แนบอก พร้อมกับทำหน้าสำนึกผิด เหม่ยฟางจึงใช้มือลูบใบหน้านั้นอย่างรักใคร่

"เฮอะ! สนใจข้าบ้างนะ ข้ายังยืนอยู่ทั้งคน" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยขัดทั้งสองคนที่ตอนนี้ไม่สนใจในตัวเขาอีกแล้ว

"เจ้าก็รีบกลับไปเสียทีสิ"

"ไม่ต้องไบ่ข้าก็จะไปอยู่แล้วล่ะ" ว่าจบก็ลงเท้าหนักๆแล้วจากไป

"เจ้านอนพักเถอะ ข้าจะเฝ้าเจ้าเอง" จ้าวหย่งเจิ้งผลักร่างของเหม่ยฟางลงไปนอนเช่นเดิม แล้วมอบจุมพิตลงบนหน้าผากมน เหม่ยฟางจึงหลับตารับจุมพิตนั้นด้วยความเต็มใจ . . . ช่วงสายในวันนั้น นักพรตเจินหยวนก็เดินทางมายังตำหนักที่เหม่ยฟางรักษาตัว เมื่อทั้งสองพบหน้ากันก็ทำเพียงส่งยิ้มให้กันอย่างทุกที

"ท่านนักพรตมีอะไรกับข้าหรือ"

"ข้าจะมาบอกวิธีแก้คำสาป" นักพรตโค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนจะตอบอแกไป

"เจ้าโดนคำสาปหรือฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งที่นั่งฟังอยู่เอ่ยขึ้นขัดบทสนทนาของทั้งคู่
"อืม ตอนที่โดนปีศาจนั่นควักหัวใจของข้า โชคดีที่มันมันควักหัวใจข้าผิดด้าน ไม่เช่นนั้นข้าคงลืมเลือนทุกอย่างจนหมดสิ้น" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยความรู้สึกโล่งใจ

"ท่านนักพรตมีวิธีช่วยหรือไม่" จ้าวหย่งเจิ้งเองก็รู้สึกโล่งอกที่เหม่ยฟางยังมีหัวใจอยู่ แม้เหม่ยฟางจะมีหรือไม่มีหัวใจนั้นอย่างไรเสียความรักที่มีให้อีกฝ่ายก็ยังมั่นคงเสมอ

"มีขอรับ สิ่งที่ใช้ในการแก้คำสาปคือพลังหยางจากบุรุษเพศ ซึ่งต้องเป็ผู้ที่รักท่านเหม่ยฟางด้วยใจอันแท้จริงเท่านั้น"

"ข้าจะทำหน้าที่นี้เอง บอกข้ามาเถอะว่าข้าต้องทำเช่นไร" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"โอบกอดท่านเหม่ยฟางเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน" เพียงสิ้นคำพูดใยหน้าหน้าของเหม่ยฟางก็เห่อแดงไปทั้งตัว เมื่อจ้าวหย่งเจิ้งที่ฟังอยู่ยังต้องหันไปมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มขำ

"เหม่ยฟาง ข้าขอคุยกับท่านนักพรตสักครู่ เจ้าช่วยออกไปรอด้านนอกได้ไหม" 

"อืม" เหม่ยฟางพยักหน้ารับก่อนเกินออกจากห้องไป

"ท่านนักพรต ข้าอยากถามให้แน่ใจ คำว่า โอบกอดของท่านหมายถึงสิ่งใด" นักพรตเจินหยวนลอบยิ้มเพียงเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบตามความตริวไปว่า

"โอบกอด ก็คือโอบกอด"

"เฮอะ! เจ้าคงจะพูดให้ฟางเจ้าผิดเป็นอย่างอื่นสินะ อย่าง โอบกอดแบบลึกซึ้งนั่น" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยยิ้ม

"นั่นมันก็แล้วแต่องค์ชาย ว่าอยากจะโอบกอดเช่นไร ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัว" เมื่อนักพรตเจินหยวนเดินจากไป จ้าวหย่งเจิ้งก็ได้แต่จุดยิ้มขึ้นบนใบหน้า

"ข้าจะโอบกอดเช่นไร เจ้าก็น่าจะรู้ หึหึ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเดินออกไปหาเหม่ยฟางที่รออยู่ด้านนอก...
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 22 แก้คำสาป) {16-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-08-2017 19:29:21
ร้ายกาจจริงพวกนี้รุมแกล้งฟางฟางกันใหญ่เลยนะ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 22 แก้คำสาป) {16-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-08-2017 21:33:12
รวมด้วย ช่วยกันกอด  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 23 ส่งตัว) {19-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 19-08-2017 20:43:52
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 23 ส่งตัว

โคมไฟสีแดงถูกนำมาแขวนไว้ทั่วตำหนักจิงเหรินกงของจ้าวหย่งเจิ้ง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแก่การส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ เสียงดนตรีบรรเลงอย่างครึกครื้นสนุกสนาน ทั้งอาหาร สุราเลิศรสมากมายต่างทยอยแจกจ่ายแก่ผู้มาร่วมงาน แม้แต่เหล่าทหารน้อยใหญ่ต่างได้ร่วมดื่มเหล้ามงคล

ภายในห้องนอนที่ประดับประดาไปด้วยผ้าสีแดงสด เหม่ยฟางแต่งกายด้วยชุดสีแดง ศรีษะที่สวมใส่มงกุฏหงส์ที่ประดับไว้อย่างสวมสวย ใบหน้าที่งดงามถูกแต่งแต้มเพิ่มสีสัน ทั้งยังมีผ้าคลุมแดงคลุมปกปิดใบหน้าไว้ กำลังนั่งรอจ้าวหย่งเจิ้งอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ด้วยความตื่นเต้น

"ทำไมถึงเป็นเช่นนี้" เหม่ยฟางบ่นพึมพำกับตนเอง

"โฮ่ๆ ยินดีด้วย ยินดีด้วย ในที่สุดเจ้าก็ได้เป็นฝั่งเป็นฝา" ตาเฒ่าเอี๊ยดังขึ้นในห้องนั้น

"ยินดี อะไรกัน ที่เจิ้งแต่งกับข้าก็เพราะความจำเป็นต่างหากล่ะ" เหม่ยฟางกล่าวค้านสิ่งที่ตาเฒ่าเอี๊ย ก่อนยกมือหมายจะดึงผ้าคลุมหน้าออก

"โอ๊ะๆ อย่าคิดจะถอดผ้าคลุมออกเชียวนะ ข้าขอเตือน เจ้าน่าจะเชื่อเรื่องโชคลางสักหน่อยก็ดี" มือที่กำลังจะดึงผ้าคลุมต้องชะงักเมื่อถูกอีกฝ่ายห้ามปราม

"แต่ที่เขาแต่งกับข้า มันไม่ใช่ความรักเสียหน่อย" เหม่ยฟางอดบ่นไม่ได้ในเมื่อเขาไม่เคยได้รับความแน่นอนจากต้าวหย่งเจิ้งเลยสักครั้ง

"ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คุยกับเขาเองแล้วกัน ข้าขอตัว" พูดจบตาเฒ่าเอี๊ยก็หายลับไปตามคำพูด

"แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะกล้าถามเขาหรือไง" เหม่ยฟางอดบ่นไม่ได้ "เจ้าคิดจะถามอะไรใครหรือ" เสียงที่แตกต่างจากตาเฒ่าเอี๊ยดังขึ้นแทนที่

"จะ เจ้า เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร" เหม่ยฟางเอ่ยถามด้วยความรู้สึกแปลกใจที่ตนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่าย 

"ข้าแอบเข้ามาน่ะ คนพวกนั้นไม่ยอมให้ข้าเข้ามา ทั้งๆที่ข้าอยากเข้ามาหาเจ้าใจจะขาด" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งจึงนั่งลงข้างๆเหม่ยฟาง แล้วจับไหล่เหม่ยฟางหันมาทางตน ก่อนค่อยๆประคองผ้าคลุมหน้าแล้วเปิดออก

"เจ้าช่างงดงามนัก" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยชมอีกฝ่ายจากใจจริง แม้ทุกวันจะงดงามอยู่แล้ว แต่วันนี้กับรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างงดงามเสียยิ่งกว่าทุกวัน

"เจ้าชมข้าเช่นข้าหาได้ดีใจไม่" เหม่ยฟางที่ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนสายตาสั่นไหวของตน แต่อีกฝ่ายกับเชยคางของตนขึ้นก่อน แนบจมูกฝังลงที่แก้มขาวของอีกฝ่าย

"มาดื่มเหล้ามงคลของเรากันเถอะ" ว่าแล้วจึงประคองเหม่ยฟางไปนั่งที่เก้าอี้ ที่บนโต๊ะถูกจัดวางเหล้ามงคลไว้

"ไม่ต้องประคองข้าก็ได้" เหม่ยฟางเอ่ยปรามท่าทางเอาใจใส่ของอีกฝ่าย

"จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อคืนนี้เป็นคืนพิเศษของเรา"

"แม้จะบอกว่าเป็นคืนพิเศษ แต่ที่เจ้าทำก็แค่ความจำใจไม่ใช่หรือ" เหม่ยฟางพูดออกมาตามที่คิด

"ความจำใจงั้นเหรอ" จ้าวหย่งเจิ้งทวนคำพูดของอีกฝ่ายก่อนทำท่าคิด เมื่อทำท่าทางเช่นนั้น ใบหน้าของเหม่ยฟางก็พลันซีดจางลงคล้ายคนกำลังเสียใจ เมื่อเห็นใบหน้าเช่นนั้นของเหม่ยฟาง จ้าวหย่งเจิ้งก็ยิ้มออกมาก่อนเทเหล้ามงคลใส่จอก ทั้งยังแอบใส่อะไรบางอย่างลงไปในจอกเหล้าหนึ่ง แล้วส่งจอกนั้นให้เหม่ยฟาง เหม่ยฟางรับจอกเหล้าด้วยสีหน้าไม่ยินดีนัก เพราะตนรู้ว่าในจอกเหล้านั้นมีอะไรบางผสมอยู่ แต่ตนไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ไม่ใช่ว่าตนเห็น แต่ตนสัมผ้สได้ถึงกลิ่นที่เปลี่ยนไป

"เป็นอะไร ไม่สบาย หรือ คำสาปเริ่มออกฤทธิ์" เหม่ยฟางส่ายให้กับคำถามของอีกฝ่าย

"ข้าไม่เป็นไร"

"ดีแล้ว ดื่มเหล้ามงคลเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งยื่นแขนไปไขว่กับแขนของเหม่ยฟางแล้วดื่มเหล้ามงคลจนหมดจอก เหม่ยฟาง เองก็เช่นกัน เมื่อเห็นว่าเหม่ยฟางดื่มเหล้าในจอกเรียบร้อยแล้ว จ้าวหย่งเจิ้งจึงประคองแกฝ่ายไปนั่งที่เตียง 

"เจิ้ง เจ้าทำไมทำเช่นนี้" จ้าวหย่งเจิ้งชะงักกับคำถาม  ก่อนโปรยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาให้

"ข้าทำอะไรงั้นเหรอ" จ้าวหย่งเยิ้งตีหน้าซื่อถามเหม่ยฟางออกไป "ข้ารู้ว่าเจ้าผสมอะไรบางอย่างลงไปในเหล้า หากเจ้าไม่ต้องการข้า ทำไมเจ้าไม่บอกจ้าตามตรง ทำไมต้องวางยาข้าด้วย" น้ำตาไข่มุกหลั่งรินออกมาไม่หยุด

"หึหึ เพราะรักข้าถึงอยากให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นไงล่ะ" คำพูดกำกวมทำให้เหม่ยฟางไม่เข้าใจมากขึ้น

"เจ้าหมายความว่าไง" น้ำตาไข่มุกยังคงไหลรินเกลื่อนพื้น "คือ...ท่านผู้เฒ่าเอายาบางอย่างมาให้ข้า บอกว่าจะทำให้เจ้าผ่อนคลายลง แต่ดูแล้วมันไม่เห็นช่วยให้เจ้าผ่อนคลายเลยสักนิด ข้าขออภัยถ้าทำให้เจ้าไม่สบายใจ อย่าร้องเลยนะ ดูสิตาแดงหมดแล้ว" จ้าวหย่งเจิ้งลูบใบหน้าจองเหม่ยฟางอย่างรักใคร่ เหม่ยฟางจึงเอนกายซบอกจ้าวหย่งเจิ้งอยู่อย่างนั้น ทั้งคู่นั่งอยู่เช่นนั้นสักพักก่อนเหม่ยฟางรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตน

"เจิ้ง" เหม่ยฟางเอ่ยเรียกจ้าวหย่งเจิ้งด้วยน้ำเสียงยานคางเหมือนคนเมา ก่อนช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่าย

"หือ..." จ้าวหย่งเจิ้งเอนตัวออกห่าง จ้องมองใบหน้าของคนรักที่ตอนนี้ดูเย้ายวนขึ้นกว่าเดิม

"เจิ้ง ข้าร้อน ร้อนไปทั้งตัว ร้อนมาก" เหม่ยฟางพูดไปพลางปลดเสื้อของตนออกด้วยความงุ่นง่าน

"ร้อน? แต่ข้าว่าอากาศออกจะ..." จ้าวหย่งเจิ้งถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่าอาการร้อนของเหม่ยฟางนั้นน่าจะมาจากฤทธิ์ของยาที่ตนใส่ให้อีกฝ่ายเสียมากกว่า มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่ายาที่ใส่ลงไปในเหล้าให้เหม่ยฟางนั้น มันมีฤทธิ์เช่นไร 

"เจิ้ง ยาที่ใส่ลงไปในเหล้าของข้ามันเป็นยาอะไรกัน ทำไมข้ารู้สึกร้อนแปลกๆ หรือว่า...เจ้า...อ๊ะ" เหม่ยฟางยังไม่ทันจะกล่าวคำใดออกมา

ริมฝีปากหนาก็ประกบปิดปากของตน ไม่ให้กล่าวคำใดออกมา ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนปิดเปลือกตาลงเพื่อรับสัมผัสจากริมฝีปากอันแสนอบอุ่น เหม่ยฟางเผยอปากเล็กน้อยเพื่อให้ลิ้นของอีกฝ่ายได้รุกล้ำเข้ามาในโพรงปาก ลิ้นอุ่นๆ สอดประสานกันไปมา จนหยดน้ำใสไหลออกจากมุมปาก จ้าวหย่งเจิ้งถอนริมฝีปากออกเมื่อร่างบางเริ่มส่งเสียงร้องประท้วงในลำคอ ทุบหน้าอกของอีกฝ่ายเบาๆ ดวงตาปรือฉ่ำน้ำของเหม่ยฟางแม้จะพร่ามัว แต่ก็ยังเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

"ไม่ต้องห่วงนะ ข้าแค่อยากให้เจ้าให้รู้สึกดีเพียงเท่านั้น" จ้าวหย่งเจิ้งลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน 

"เจิ้ง เจ้าไม่เห็นต้องวางยาข้าเลยนะ ถ้าเป็นเจ้ายังไงข้าก็ยินดี" ใบหน้าแดงซ่านเอ่ยเสียงอ่อน จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

"เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ" รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าคมเข้ม เขาค่อยๆดันร่างเหม่ยฟางให้นอนราบลงไปกับพื้นเตียงอย่างเบามือ สองมือค่อยๆปลดเสื้อผ้าที่อยู่บนกายของเหม่ยฟางอย่างช้า แม้เหม่ยฟางจะปลดออกไปเป็นบางส่วนแล้วก็ตาม

"เจิ้ง เร็วเถอะ ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าอยากให้ท่านช่วยดับความร้อนในกายข้า" เหม่ยร้องขอความเห็นใจจากอีกฝ่าย

"ใจเย็นๆนะ กำลังจะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้แล้ว" รอยยิ้มแห่งความพึงใจที่เห็นเหม่ยฟางแสดงออกมายิ่งปลุกปั่นให้เขารู้สึกไวไปด้วย

"เจิ้ง" สิ้นเสียงของเหม่ยฟาง จ้าวหย่งเจิ้งก็พลิกกายลงไปนอนแล้วดันร่างเปลือยของเหม่ยฟางขึ้นไปอยู่ด้านบนของตน

"ถอดให้ข้าสิ ในเมื่อข้าถอดให้เจ้าแล้ว เจ้าน่าจะถอดให้ข้าบ้างนะ" มือบางค่อยๆเลื่อนไปปลดชุดที่อีกฝ่ายใส่อย่างตั้งใจ 

"เจิ้ง ข้ารู้สึก..." เหม่ยฟางปลดเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายของจ้าวหย่งเจิ้งเสร็จ กผ้รู้สึกว่าร่างกายต้องการอีกฝ่ายมากแค่ไหว ร่างกายส่วนร่างบิดเร่าด้วยความรู้สึกแปลก จึงอดไม่ได้ที่ส่งเสียงเรียก

"หืม..." จ้าวหย่งเจิ้งก้มมองแก่นกายของอีกฝ่าย แล้วเผยรอยยิ้มยั่วเย้า  "เจิ้ง" "อยากให้ช่วยงั้นหรือ"

"อืม"

"แต่ข้าอยากเห็นเจ้าช่วนตนเองนี่" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้ง จึงลุกขึ้นนั่งแล้วอ้อมไปโอบกอดเหม่ยฟางทางด้านหลัง แล้วเอื้อมมือไปจับมือของเหม่ยฟางมาไว้กุมไว้ที่แก่นกายของตนเอง

"เจิ้ง อ๊ะ อ๊า เจิ้ง" มือบางกุมแก่นกายรูดขึ้นลงอย่างเบามือตามแรงส่งของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ใจเย็น อย่าเพิ่งรีบสิ" จ้าวหย่งเจิ้งที่จับมือเหม่ยฟางให้ช่วยตัวเอง เมื่ออีกฝ่ายผละมือออก เปลี่ยนมาลูบไล้ช่วงสะโพกของของเหม่ยฟางแทน เหม่ยฟางจนรู้สึกหวิวๆในท้องน้อย จากนั้นจ้าวหย่งเจิ้งก็กดศีรษะของตนลงไปกับพื้น พร้อมกับยกสะโพกตนให้สูงเพื่อโชว์ส่วนที่หน้าอายของตนให้อีกฝ่ายได้เห็น มือหนานวดคลึงสะโพกตนไปมา ก่อนสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางลับอันแสนน่าอายของตน

"ดูสิเจ้าแฉะไปหมดแล้ว ข้ายังไม่ทันทำอะไรเลยนะ"

"เจิ้ง...อ๊า เจิ้ง ข้าไม่ไหวแล้ว"

"อะไรกันข้าเพิ่งจะสอดนิ้วเข้าไปเองนะ อดทนหน่อยสิ" จ้าวหย่งเจิ้งดึงนิ้วเข้าออกเร็วบ้างช้าบ้างตามการตอบสนองของคนรักอย่างเหม่ยฟาง

"เจิ้ง ไม่ไหวแล้วจริงๆ ข้าไม่ไหว อ๊ะ อ๊า อ๊าาา" น้ำขาวขุ่นถูกปลดปล่อยจนเลอะไปทั่วหน้าท้องของเหม่ยฟาง

"ออกมาเยอะขนาดนี้เชียว แต่เสร็จก่อนข้าแบบนี้ไม่ยุติธรรมเลยนะฟาง เจ้าต้องรับผิดชอบข้าสิ" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งจึงถอนมือออกแล้วเปลี่ยนเป็นแก่นกายของตนเข้าแทนที ขณะกำลังกดแกนกายเข้าไปเหม่ยฟางก็ร้องขึ้นมาเสียงดังว่า

"เจิ้ง ไม่เอา ไม่เอาสิ่งนั้น มันเข้ามาไม่ได้หรอก ไม่เอานะ" เหม่ยฟางส่ายหน้าไปมา แม้ร้องขอไม่ให้ใส่เข้ามาก็หาได้เป็นผลไม่ เขาพยายามสอดใส่เข้าว่าจนสุด แล้วค้างเอาไว้เพื่อรอดูท่าทีของเหม่ยฟาง

"อุ๊บ เจ็บ เจิ้ง ข้าเจ็บ เอามันออกไปเถอะ" เหม่ยฟางส่ายหัวไปมามันคับแน่นจนเขารู้สึกอึดอัด

"อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง" จ้าวหย่งเจิ้งจูบปลอบโยนเหม่ยฟางเมื่อน้ำตาไข่มุกเริ่มหลั่งรินอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเหม่ยฟางเริ่มผ่อนคลาย เขาจึงเริ่มขยับแก่นกายเข้าออกเบาๆเพื่อให้เหม่ยฟางได้ปรับตัว

"เจิ้ง อ๊า อ๊า อ๊า เจิ้ง" ร่างกายของเหม่ยฟางรับรู้ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ถาโถมเข้ามา แม้จะเจ็บอยู่บ้างแต่ความเจ็บกับแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านสุขสมจนเขาไม่พูดไม่ออก ค่ำคืนแรกของทั้งสองจึงผ่านไปด้วยความราบรื่น ดีตลอดทั้งคืน ยกเว้นตอนเช้า

"จ้าวหย่งเจิ้ง!!! เจ้าคนบ้า เจ้าคนนิสัยไม่ดี ทำไมต้องวางยาข้า" เหม่ยฟางที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า หลังจากถูกจ้าวหย่งเจิ้งกระทำจนตนเองสลบไป ลุกขึ้นมาโวยวายทุบตีจ้าวหย่งเจิ้งที่วางยาตนเมื่อคืน

"อืม...อย่าสิ" จ้าวหย่งเจิ้งส่งเสียงครางออกมา ร้องห้ามการกระทำของอีกฝ่าย

"จ้าวหย่งเจิ้ง!!!"

"ไม่พอหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งลืมตาขึ้น ก่อนเอ่ยถามเหม่ยฟางออกไปหน้าตาเฉยอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร

"จ้าวหย่งเจิ้ง!!! คนบ้า ไปตายซะ" เหม่ยฟางรัวกำปั้นทุบเข้าที่อกของอีกฝ่ายไม่หยุด ใครใช้เขาพูดจาแบบนี้กับเขาเล่า ถึงเมื่อคืนเป็นเขาเองที่เรียกร้องให้อีกฝ่ายกระทำเขาก็ตามเถอะ แต่เรื่องวางยาเขา อภัยให้ไม่ได้จริงๆ

พรึ่บ! ปึก!

จ้าวหย่งเจิ้งทนที่จะถูกทุบตีไม่ไหว แม้จะไม่แรงมากแต่มันก็เจ็บเช่นกัน เขาจึงรวบแขนของอีกฝ่ายไว้ก่อนดันให้ร่างบางๆของเหม่นฟางล้มลงไปนอนราบกับพื้นเตียง

"ไม่พอเหรอ ถึงได้เรียกร้องหาข้าเช่นนี้" รอยยิ้มกรุ่มกริ่มปรากฏบนใบหน้าคมเข้มของจ้าวหย่งเจิ้งก่อนที่จะกดจมูกลงไปที่ซอกคอขาวของอีกฝ่าย

"เจิ้ง อืม อ๊า" น้ำเสียงสั่นพร่าดังขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ จนเหม่ยฟางต้องเอามือปิดปากตัวเองด้วยความเขินอาย

"อย่าปิดปากตัวเองสื เสียงของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกดีนะ ฟาง"

"ไม่เอานะเจิ้ง ข้าไม่ไหวแล้ว เจ้าอย่ารังแกข้าสิ" เหม่ยฟางส่งเสียงท้วง

"ใครว่าข้ารังแกเจ้า ข้าเอ็นดูเจ้าต่างหาก 7วัน 7คืนนี้ ข้าจะเอ็นดูเจ้าให้สมใจเลยเชียว"

บทรักของทั้งจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ในเช้าวันนี้ บรรดาขันที นางกำนัลที่รับใช้นอกห้องจากพากัน หน้าแดงกันไปตามๆกัน เพราะเสียงภายในห้องนั้นดังจนพวกเขาแทบทำอะไรกันไม่ถูกเลยเชียว....

************************************

**ปล.ขออภัยไรท์แต่ง ncไม่เก่งค่ะ**
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 23 ส่งตัว) {19-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-08-2017 22:16:11
 :m25: :m25: :m25: เบาหวานกำเริบ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 23 ส่งตัว) {19-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 20-08-2017 09:02:04
พี่เจิ้งมุ่งมั่นมาก 7วัน 7 คืน หึหึ สงสัยจะได้เด็กๆ วิ่งเต็มวังแน่ ถ้าขยันขนาดนี้  :katai3:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 23 ส่งตัว) {19-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vivivo ที่ 22-08-2017 07:51:12
รอค่าา :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 24 จ้าวหย่งฟง) {25-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 25-08-2017 16:34:16
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 24 จ้าวหย่งฟง

ร่างสูงบางเดินเข้ามาในตำหนักจิงเหรินกง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเหล่าขันที นางกำนัล ออกมายืนออกันอยู่ด้านนอกไม่เข้าไปด้านใน แม้แต่อวี๋เหวินเต๋อเองก็เช่น

"นี่พวกเจ้าใยออกมาอยู่ด้านนอก ไม่เข้าไปคอยรับใช้พี่รองของข้า"

"เรียนองค์ชายห้า พวกข้าน้อยเข้าไปไม่ได้จริงๆขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่ขันทีที่คอยรับใช้ข้างกายจ้าวหย่งเจิ้งเป็นคนกล่าวแทนทุกคนในที่นี้

"ทำไมถึงเข้าไปไม่ได้ มันมีอะไรกันแน่" จ้าวหย่งฟงรู้สึกขัดใจอยู่เล็กน้อยก่อนก้าวเดินเข้าไปในตัวตำหนัก เพียงกล่าวเท้าเข้าไปไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงแปลกออกมาจากห้องของพี่ชายตน เสียงครวญครางปนกระเส่าที่คนฟังรับรู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของอะไร

"เสียงนี่มัน...บ้าจริงเชียว ทำไมไม่มีใครบอกข้าเลยสักคน..." ใบหน้าของจ้าวหย่งฟงแดงเรื่อขึ้น แม้อยากจะก้าวขาออกไป ยังก้าวออกไปไม่ได้

พรึ่บ

มือหนาทั้งสองข้างดึงจ้าวหย่งฟงเจ้าหาตัว แล้วกดศีรษะให้แนบกับอกแกร่ง พร้อมกับปิดหูทั้งสองข้างเอาไว้ โอบกระชับให้จ้าวหย่งฟงออกจากตัวตำหนักไปรวมกับคนอื่นๆ เมื่อออกมาแล้ว มือนั้นก็ปล่อยออก จ้าวหย่งฟงเมื่อเงยหน้าก็พบว่าคนที่ไปดึงตัวเขาออกมานั่นก็คือ อวี๋เหวินเต๋อ นั่นเอง

"องครักษ์อวี๋" ใบหน้าของจ้าวหย่งฟงกลับมาแดงอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว

"พวกข้าน้อยเตือนแล้วทำไมไม่เชื่อกันบ้าง" อวี๋เหวินเต๋อขมวดคิ้วเอ่ยว่ากล่าวผู้เป็นนายไปอย่างลืมตน

"ข้าไม่คิดว่าพี่รองจะยังไม่เลิกพลอดรักกับเหม่ยฟางน่ะสิ นี่ก็วันที่ 5แล้วนะ ข้าคิดว่า...

" จ้าวหย่งฟงก้มหน้ามองเท้าตัวเองตัวความขัดเขิน

"ช่างเถอะองค์ชาย ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรทอเปล่าถึงได้มาถึงนี่" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถาม

"ข้าอยากมายืมตัวเจ้า เจ้าจะไปกับข้าได้หรือไม่ แต่ข้าไม่กล้าเข้าไปถามพี่รองแล้วล่ะ" จ้าวหย่งฟงตอบสีหน้าอายๆ

"หึหึ" อวี๋เหวินเต๋อเห็นท่าทางของจ้าวหย่งฟงจึงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

"หัวเราะอะไร" จ้าวหย่งฟงถลึงตาใส่ แต่การกระทำของเขามันดูน่ารักเสียมากว่าน่ากลัว

"เปล่าขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อยังคงอมยิ้มขำๆ ในท่าทีของจ้าวหย่งฟง

"เจ้าว่างใช่ไหม" จ้าวหย่งฟงปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยก่อนเอ่ยถามอวี๋เหวินเต๋ออีกครั้ง

"ขอรับ ข้าน้อยว่าง"

"ดี ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้ามา" ว่าจบก็เดินนำหน้าอวี๋เหวินเต๋อออกจากตำหนัก

"องค์ชายจะเสด็จไหนขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามขณะเดินตามออกไปจนถึงคอกม้าหลวง

"เจ้าสอนข้าขี่ม้าที" จ้าวหย่งฟงหยุดยืนหน้าคอกม้า ก่อนหันมาจิ้มนิ้วลงที่อกของอีกฝ่าย

"อะไรนะขอรับ!" อวี๋เหวินเต๋อพูดเสียงดัง จนจ้าวหย่งฟงต้องขมวดคิ้ว

"เจ้าจะเสียงดังทำไมกัน หูข้าไม่ได้หนวกเสียหน่อย" คนเอ่ยวาจาเดินเข้าไปในคอกม้าเพื่อเลือกม้าทีาตนชอบ

"องค์ชายคิดดีแล้วใช่ไหม" อวี๋เหวินเต๋อถามซ้ำให้แน่ใจ

"ใช่สิ ข้าอยากขี่ม้าเป็น อ๊ะ ม้าตัวนี้สวยจัง" ขณะเลือกม้าอยู่สายตาก็พลันไปเจอม้าที่ถูกใจเข้า มันมีสีดำแต้มขาวบนปลายหูขนเงางาม จนน่าสัมผัสแต่ท่าทางของมันดูอารมณ์ร้าย และพยศเอามากๆ

"จับไม่ได้ขอรับ" อวี๋เหวินร้องห้ามก่อนที่มือของจ้าวหย่งฟงจะแตะต้องม้าตัวนั้น

"ทำไมล่ะ" สิ้นคำถามม้าตัวนั้นก็คล้ายกับหงุดหงิดบ้างมันส่งเสียงร้อง ยกขาหน้าทั้งขึ้นเต็มความสูงหมายจะย่ำคนที่อยู่ตรงหน้า

ฮี้ๆๆ~

"อ๊ะ!"

"องค์ชายระวัง" อวี๋เหวินเต๋อดึงตัวของจ้าวหย่งฟงหลบม้าจนทั้งคู่เสียหลักล้มลงไป ร่างของทั้งสองกลิ้งลงไปกับกองหญ้าจนศีรษะของจ้าวหย่งฟงไปชนกับผนังคอกม้า

"โอ๊ย! หัวข้า" จ้าวหย่งฟงคลำศีรษะตนเอง แต่บนศีรษะกับมีมีอหนาของอวี๋เหวินเต๋อประคองอยู่ การชนกับผนังจึงไม่ทำให้เขาเจ็บมาก

"ปลอดภัยนะขอรับ"

"เจ้าต่างหากเล่าที่ข้าต้องถามว่าปลอดภัยไหม" จ้าวหย่งฟงที่ก้มหน้าอยู่ต้องเงยขึ้นมองอวี๋เหวินเต๋อ ผู้ที่โอบกอดตนเองไว้ เพียงเงยหน้าริมฝีปากบางก็สัมผัสเข้ากับปากของอวี๋เหวินเต๋อที่ก้มลงมาพอดี จ้าวหย่งฟงตกใจตาเบิกกว้าง ใบหน้าขึ้นสี  จนต้องรีบผละออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างรีบร้อน

"องค์ชายไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อเห็นจ้าวหย่งฟงลุกขึ้นยืนหันหลังให้ตน

"ข้าว่าวันนี้ข้าคงดวงไม่ดี วันนี้เรากลับกันก่อนเถอะ วันพรุ่งค่อยมาใหม่" จ้าวหย่งฟงยืนหันหลังให้ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นใบหน้าแดงก่ำของตน สองมือปัดเศษฝุ่นออกจากเสื้อผ้า ปล่อยให้อวี๋เหวินเต๋อนั่งมองตามหลัง จ้าวหย่งฟงที่เดินออกจากคอกม้าอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้า

"หึหึ ไม่คิดว่าท่านจะทำตัวน่ารักเช่นนี้ก็เป็น ข้าชักจะสนใจท่านขึ้นมาแล้วสิ" อวี๋เหวินเต๋อพูดขึ้นเบาๆเพื่อให้ตนได้ยินเพียงผู้เดียวพลางเลียริมฝีปากตนเองแล้วอมยิ้มกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

"องครักษ์อวี๋ เจ้ามัวทำอะไรอยู่ออกมาจากคอกม้าได้แล้ว" จ้าวหย่งฟงเมื่อปรับอารมณ์ได้จึงเอ่ยเรียกอวี๋เหวินเต๋อที่ยังคงอยู่ในคอกม้าให้ออกมา

"ขอรับ ข้าน้อยกำลังไป" อวี๋เหวินเต๋อเดินออกจากคอกม้าด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังจูงม้าตัวหนึ่งออกมาด้วย จ้าวหย่งฟงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย

"เจ้าจูงม้าออกมาทำไม ข้าบอกแล้วไงเล่าว่าวันนี้ข้าไม่ขี่ม้าแล้ว"

"องค์ชายไม่ขี่แต่ข้าน้อยจะขี่" รอยยิ้มยังคงประดับใบหน้าผู้ที่ตอบ

"เจ้า กล้าขัดคำสั่งข้าหรือ" จ้าวหย่งฟงชี้หน้าต่อว่าอวี๋เหวินเต๋อ

"ไม่บังอาจขอรับ แต่องค์ชายไม่มีงานให้ข้าน้อยทำแล้วไม่ใช่หรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อโค้งศีรษะเล็กน้อย เพื่อตอบคำถามนั้น ทั้งยังกระโดดขึ้นนั่งบนม้าโดยไม่รอฟังคำสั่ง

"มันก็จริงของเจ้า"

"ถ้าเช่นนั้น องค์ชายไปกับข้าน้อยเถอะขอรับ" ว่าจบอวี๋เหวินเต๋อก็ดึงมือของจ้าวหย่งฟงให้ขึ้นมานั่งด้านหน้าตน โดยที่ตนเองนั่งประกบหลังกันจ้าวหย่งฟงตกม้า 

"เอ๊ะ! เจ้า ข้ายังไม่..." จ้าวหย่งฟงที่ถูกดึงให้ขึ้นบนหลังม้า ตั้งใจจะหันมาต่อว่า แต่พอหันไปหน้าผากของตนก็แตะกับริมฝีปากของอวี๋เหวินเต๋อเข้าพอดี จ้าวหย่งฟงจึงรีบหันหน้ากลับไปตามเดิมอย่างไว หัวใจเองก็ดันเต้นโครมครามไม่หยุด

"ข้าอภัยที่ข้าน้อยเสียมารยาท" อวี๋เหวินเต๋อสังเกตุเห็นใบหูที่ขึ้นสีจึงแอบอมยิ้มอยู่ด้านหลัง

"ท่านดูน่ารักขึ้นนะ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเบาๆจึงไม่อาจทำให้คนักพูดถึงได้ยิน

"เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ" จ้าวหย่งฟงหันกลับมาถามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับเบี่ยงตัวออกเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้หน้าผากของตนไปสัมผัสริมฝีปากของอวี๋เหวินเต๋อ

"เปล่าขอรับ เราไปกันเถอะขอรับ" ว่าจบ อวี๋เหวินก็เอื้อมมือไปกุมบังเหียนเพื่อจะควบม้าไปด้านหน้า การที่จ้าวหย่งฟงนั่งอยู่ด้านหน้าจึงเป็นเหมือนว่าอวี๋เหวินเต๋อกำลังโอบกอดจ้าวหย่งฟงอย่างไรอย่างนั้น

"นี่ เจ้า...อย่ามากอดข้าสิ" "ข้าน้อยเปล่ากอดองค์ชายนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยแย้งหน้าตาย

"จะไม่ได้กอดได้อย่างไร ก็ตอนนี้เจ้ากำลังทำอยู่" จ้าวหย่งฟงขยับกายไปมาให้อวี๋เหวินเต๋อนั้นปล่อยตน

"องค์ชาย ข้าน้อยกุมบังเหียนอยู่ อย่างไรเสียก็ต้องทำอย่างนี้อยู่แล้วหากไม่ทำเช่นนี้ไว้องค์ชายคงตกม้าลงไป ข้าน้อยหวังดีนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อบอกกล่าวถึงความห่วงใยที่มีให้

"แต่ข้าไม่ชอบแบบนี้ มันเหมือนกับเจ้ากำลังกอดข้า"

"องค์ชายคงจะเข้าใจผิดเรื่องการกอดแล้วกระมัง เพราะการกอดจริงๆมันเป็นเช่นนี้" ว่าจบอวี๋เหวินเต๋อก็ชลอม้าปล่อยบังเหียน แล้วสวมกอดเข้าที่เอวของจ้าวหย่งฟงอย่างตั้งใจ

"อ๊ะ! เจ้า" จ้าวหย่งฟงสะดุ้งเล็กน้อย

"ข้าน้อยแค่อธิบาย องค์ชายอย่าทรงกริ้วไป" อวี๋เหวินเต๋ออธิบายสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป

"แต่ข้าว่า..."

"ถ้าเช่นนั้นองค์ชายจะไปนั่งด้านหลังข้าน้อยหรือไม่" อวี๋เหวินเต๋อเสนอความคิด

"เอ๊ะ ได้เหรอ"

"ได้สิขอรับ แต่เวลาอยู่ด้านหลังองค์ชายต้องกอดเอวข้าน้อยให้แน่นเข้าไว้หากตกลงไปข้าน้อยคงลำบาก" อวี๋เหวินเต๋อจุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของจ้าวหย่งฟง

"ถ้าเช่นนั้น แบบนี้ก็ได้ ข้ากลัวจับเจ้าไม่ดีแล้วตกม้าไปเจ้าคงโดนโทษหนักเป็นแน่" จ้าวหยางฟงเอ่ยบอกด้วยท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

'ใครจะไปกล้ากอดเจ้ากัน' จ้าวหย่งฟงได้ได้คิดในใจกับเรื่องที่ต้องทนนั่งให้อวี๋เหวินเต๋อโอบกอดเช่นนี้ ใจทั้งใจก็เต้นโครมครามเสียจนกลัวคนที่อยู่ด้านหลังจะได้ยิน

"จะว่าไปแล้วองค์ชายผอมเกินไปหรือเปล่าขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อทักคนที่อยู่ด้านหน้า

"ข้าเนี่ยนะผอม ข้าว่าข้าออกจะมีเนื้อมีหนังนะ" จ้าวหย่งฟง เริ่มมองสำรวจตนเอง "หึหึ" อวี๋เหวินเต๋อขำออกมาอย่างไม่อยู่เมื่อเห็นจ้าวหย่งฟงหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อสำรวจร่างกาย จ้าวหย่งฟงได้ยินเสียงหัวเราะก็ตวัดสายตาไปมองอวี๋เหวินเต๋ออย่างไม่พอใจ

"หัวเราะอะไร"

"ขออภัยขอรับ" แม้จะเอ่ยขอโทษไปแล้วแต่มือของอวี๋เหวินเต๋อกับยังบังปากตนเองไว้เพื่อกันไม่ให้จ้าวหย่งฟงรู้ว่าตนนั้นกำลังกลั้นขำไว้

"แล้วเจ้าจะพาข้าไปไหน" 

"รอให้ถึงก่อน" อวี๋เหวินเต๋อไม่ยอมตอบทั้งยังเร่งให้ม้าวิ่งให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

สถานที่ๆอวี๋เหวินเต๋อพามานั้นอยู่ไม่ไกลจากวังหลวงมากนัก มันเป็นพื้นหญ้ากว้างใหญ่ มีลำธารเล็กๆไหลผ่าน ทั้งบริเวณใกล้ลำธารยังมีต้นไม่ใหญ่ให้ร่มเงา หากยิ่งมีลมอ่อนๆพัดมายิ่งทำให้บรรยากาศของที่นี่ดีเพิ่มมากขึ้น จ้าวหย่งฟงรู้สึกตื่นตากับภาพที่ได้เห็นเป็นอย่างมาก

"ว้าว ที่นี่บรรยากาศดีมาก ไม่คิดเลยว่า ในเมืองหลวงจะมีที่เช่นนี้อยู่" จ้าวหย่งฟงยังนั่งอยู่บนม้าในขณะที่ อวี๋เหวินเต๋อเดินจูงม้ามาผูกไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่

"องค์ชายส่งมือมาสิขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อยื่นมือออกไปเพื่อรับจ้าวหย่งฟงท่ยังนั่งอยู่บนหลังม้า

"ไม่ต้องหรอก เราลงเองได้" จ้าวหย่งฟงเอ่ยปฏิเสธความช่วยเหลือ แม้ตนจะลังเลว่าจะลงจากม้าเช่นไร

"ไม่ให้ข้าน้อยช่วยแน่นะขอรับ" ไม่ทันขาดคำจ้าวหย่งฟงก็ร่วงลงจากหลังม้าเสียงดัง

ตุบ!

"โอ๊ย!!!"

"หึหึ"

"อวี๋เหวินเต๋อ อย่าหัวเราะข้านะ" จ้าวหย่งฟงตวัดสายตามองผู้ที่ยทนหัวเราะตน ทั้งยังไม่ยอมเข้ามาช่วยเขาอีก

"มาสิขอรับข้าน้อยช่วย" อวี๋เหวินเต๋อยื่นมือเข้าไปเพื่อช่วยเหลือ แต่กลับโดน จ้าวหย่งฟงปัดมือออกด้วยสายตาไม่พอใจ

"ไม่ต้อง ข้าลุกเองได้" จ้าวหย่งฟงลุกขึ้นยืนปัดเศษดินเศษใบไม้ใบหญ้าออกจากเสื้อผ้า ในใจยังอดเคืองอวี๋เหวินเต๋อไม่หาย

"องค์ชายโกรธ ข้าน้อยหรือขอรับ ข้อน้อยขออภัยที่ทำให้ท่านไม่พอใจ" อวี๋เหวินเต๋อโค้งศีรษะเป็นการขอโทษผู้เป็นนาย จ้าวหย่งฟงเมื่อเห็นท่าทีสำนึกผิดของอวี๋เหวินเต๋อก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้

"ช่างเถอะ ข้าทำตัวข้าเอง หากยอมจับมือเจ้าข้าคงไม่ตกจากหลังม้าเช่นนี้ น่าขายหน้าเสียจริง" จ้าวหย่งฟงยกมือเกาท้ายทอย ก่อนเบนสายตาไปทางลำธาร

"แต่..." อวี๋เหวินเต๋อยังเอ่ยคำไม่ทันจบ จ้าวหย่งฟงจึงเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ

"โอ้โห ลำธารที่นี่น้ำใสดีจัง ไปเล่นน้ำกันเถอะองครักษ์อวี๋" ใบหน้าเง้างอนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของอวี๋เหวินเต๋อเริ่มสั่นคลอน

"มาเร็วสิ องครักษ์อวี๋"

"ขอรับ"

ทั้งจ้าวหย่งฟง ทั้งอวี๋เหวินเต๋อต่างพากันเล่นสนุกอยู่ค่อนวัน สุดท้ายแล้วทั้งสองต่างพากันมานอนพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

"ที่นี่บรรยากาศดีจัง" จ้าวหย่งฟงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

"ขอรับ"

"นี่ องครักษ์อวี๋ ข้าขอถามอะไรเจ้าสักสองข้อสิ เจ้าต้องตอบตามความจริงนะ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยสิ่งที่ย้องการออกไป อวี๋เหวินเต๋อเองก๋เพียงแคาเอ่ยตอบรับมาเท่านั้น

"ขอรับ"

"ข้อแรก ทำไมวันนี้เจ้าจึงชอบแกล้งข้านัก ปกติแล้วเจ้าไม่ใข่คนเช่นนี้" จ้าวหย่งฟงถามในสิ่งที่ตนคิด

"นั่นเพราะว่า องค์ชายในวันนี้ชอบทำตัวให้น่าแกล้ง" อวี๋เหวินเต๋อตอบคำถามแบบขอไปที เขาเองก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกันว่าทำไมวันนี้องค์ชายห้าถึงได้ดูน่าแกล้ง

"หา!" จ้าวหย่งฟงถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินคำตอบ ที่ไม่น่าจะเป็นคำตอบได้เลย

"ตามนั้นเลยขอรับ คำถามข้อสองขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อตอบเสียงเรียบทั้งยังเอ่ยถามหาคำถามข้อที่สุด

"ข้อสอง เจ้าชอบคนรักของพี่รองสินะ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยถามด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย เขารู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มแทงลงบนอกด้านซ้ายของตน ในขณะที่รอฟังคำตอบ

"ใช่ขอรับ ข้าน้อยชอบเขา และยอมเป็นตัวแทนให้เขาหากองค์ชายรองไม่ต้องการ" อวี๋เหวินเต๋อตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเกินจะคาดเดา

"งะ งั้นเหรอ ดีจังนะ" จ้าวหย่งฟงแทบจะร่ำไห้ออกมา ณ ตอนนั้น เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกจากปากอวี๋เหวินเต๋อ

"ขอรับ แต่ว่า ตอนนี้..."

"เรากลับกันเถอะ ข้าเริ่มหิวแล้ว" ยังไม่ทันที่จะได้ฟังคำพูดต่อไปของอวี๋เหวินเต๋อจ้าวหย่งฟงก็พูดแทรกขึ้น โดยไม่คิดจะฟังคำอื่น

"เอ๋... ขอรับ ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อมองคนตรงหน้าอย่างงุนงง ที่อารมณ์แลเปลี่ยนง่ายอย่างกับคลื่นลม

"ข้ารู้ แล้วว่าในใจของเจ้ามีแต่ เหม่ยฟางชายาของพี่รองเท่านั้น แม้อีกฝ่ายจะสมรสกันแล้วเจ้าก็คงจะรอใช่ไหม"

ขณะขี่ม้ากลับทั้งสองคนยังทำเหมือนตอนแรกที่มานั่นคือจ้าสหย่งฟงนั่งด้านได้โดยมีอวี๋เหวินเต๋อซ่อนหลังคอยควบม้า แล้วจ้าวหย่งฟงก็เอ่ยถามอวี๋เหวินเต๋อเรื่องเดิม แต่แผ่นหลังกับแฝงไปด้วยความเศร้า

"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกขอรับ เพราะตอนนี้ข้าน้อยเริ่มสนใจผู้อื่นอยู่บ้างแล้ว เป็นคนน่ารักดีนะขอรับ ทั้งยังทำให้ข้าน้อยหัวเราะได้อีก ข้าน้อยว่าคนผู้น่าสนใจมากขอรับ องค์ชายคิดว่าอย่างไร" อวี๋เหวินเต๋อโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของจ้าวหย่งฟง จนจ้าวหย่งฟงถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ

"ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไร" จ้าวหย่วฟงกบ่าวด้วยความน้อยใจ

"องค์ชายไม่อยากทราบหรือขอรับ ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร" อวี๋เหวินเต๋อกระเซ้าเย้าแหย่จ้าวหย่งฟงอีกครั้ง ใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเฉียดแก้ม

"ข้าไม่อยากรู้" จ้าวหย่งฟงตอบกลับด้วยอารมณ์ไม่พอใจ "แต่ข้าน้อยอยากบอก"

"นี่ เจ้า! อ๊ะ!" จ้าวหย่งฟงหันไปหมายจะต่อว่า แต่กลับกลายเป็นว่าเขาหันไปให้อวี๋เหวินเต๋อนั้นหอมแก้มตัวเองแทน

"หอมดีนะขอรับ"

"เจ้า....อวี๋เหวืนเต๋อ!!!" จ้าวหย่งฟงเอ่ยเสียงดังด้วยใบหน้าซับสีแดง ไม่รู้ว่าจะโกรธ หรือจะเขินดี

"ขอรับ" คนถูกเอ่ยชื่อตอบรับหน้าตาเฉย

"ทำไมเจ้าชอบเอาเปรียบข้าเช่นนี้" เสียงเอ่ยแผ่วเบายิ่งทำให้อวี๋เหวินเต๋อชอบใจ

"กับคนที่ชอบหรือสนใจ มันเป็นเรื่องธรรมดานะขอรับ" คำตอบนั้นทำให้จ้าวหย่งฟงไม่อาจเอ่ยคำใดได้อีก เขานั่งเงียบมาตลอดทางไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวเสียด้วยซ้ำ



'ไม่จริงน่า อวี๋เหวินเต๋อชอบข้างั้นหรือ' นี่เป็นเสียงที่เอ่ยถามตนเองในใจของจ้าวหย่งฟง แล้วรอยยิ้มบางๆฝุดขึ้นบนใบหน้า....

****************************************************
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 24 จ้าวหย่งฟง) {25-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-08-2017 00:05:35
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 24 จ้าวหย่งฟง) {25-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vivivo ที่ 29-08-2017 13:23:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 25 สักการะบรรพบุรุษ) {29-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 29-08-2017 21:05:44
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 25 สักการะบรรพบุรุษ

ร่างผอมบางนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ มีผ้าแพรสีแดงสดคลุมร่างที่เปลือยเปล่าไว้ เช้าวันใหม่ที่แสนสดชื่นของจ้าวหย่งเจิ้งที่ได้นั่งมองเรือนกายขาวราวหิมะ ที่ถูกแต่งแต้มรอยกลีบกุหลาบบนผิวกายสวยๆที่ตนเป็นผู้กระทำด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ มือหนาเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าของผู้ที่นอนหลับด้วยสายตารักใคร่

"ข้ามีความสุขที่มีเจ้าเคียงกาย ข้ารักเจ้าฟาง ไม่ว่าจะเป็นข้าคนใด ข้าบอกได้เพียงคำเดียวว่าข้ารักเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งกดปลายจมูกลงบนแก้มขาวนวล แล้วลุกเดินออกจากห้องนั้น ในยามเช้าตรู่

คืนสุดท้ายได้ผ่านพ้นไปด้วยดีไอคำสาปได้จางหายไปจากร่างของเหม่ยฟางเป็นที่เรียบร้อย ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง แต่ภารกิจสำคัญอีกสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญต่อไปคือการรับมอบอำนาจจากผู้เป็นบิดา

"เสี่ยวจื่อหยี่ เสี่ยวจื่อหยี่" จ้าวหย่งเจิ้งส่งเสียงเรียกหาขันทีคนสนิทที่หน้าชานระเบียง

"ขอรับองค์ชาย องค์ชายมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้" เสี่ยวจื่อหยี่รีบวิ่งเข้ามาเมื่อถูกเรียกใช้

"เจ้าจงคอยดูแลชายาของข้าให้ดี ข้าจะไปเจ้าเฝ้าเสด็จพ่อ" จ้าวหย่งเจิ้งสั่งงานขันทีคนสนิท

"ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง" เสี่ยวจื่อหยี่น้อมศีรษะรับคำสั่งผู้เป็นนาย

"จริงสิ อวี๋เหวินเต๋อไปไหน"

"เรียนองค์ชาย องครักษ์อวี๋ถูกองค์ชายห้าขอให้ไปช่วยสอนขี่ม้าขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่ตอบไปตามที่ได้ยินมา

"สอนน้องห้าขี่ม้างั้นหรือ"

"ขอรับ องค์ชายจะให้ข้าน้อยไปตามหรือไม่ขอรับ" จ้าวหย่งเจิ้งยกมือห้ามเมื่อเห็นขันทีคนสนิทเตรียมจะลุกออกไปตามอวี๋เหวินเต๋ออย่างที่ตนเอ่ย

"ไม่จำเป็น อีกเรื่อง หากชายาของข้าตื่นแล้วเจ้าให้คนไปรายงานข้าด้วย"

"ขอรับ" เมื่อได้ยินคำตอบของขันทีคนสนิท จ้าวหย่งเจิ้งก็เดินจากไปเพื่อเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง

ท้องพระโรง ฮ่องเต้และเหล่าคุณนางน้อยใหญ่กำลังปรึกษาเรื่องการรับตำแหน่งขององค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้ง

"เรียนฝ่าบาท ข้าน้อยได้หาฤกษ์มงคลไว้แล้วขอรับ อีกสองเพลาข้างหน้า องค์ชายรองต้องเข้าไปสักการะเหล่าบรรพบุรุษเป็นเวลา7วันหลังจากนั้น จึงจะเข้าสู่พิธีรับตำแหน่งจากพระองค์ได้พะย่ะค่ะ" นักพรตเจินหยวนกล่าวถึงฤกษ์งามที่ตนคิดว่าดีที่สุด

"ท่านนัดพรตทำไมมันไวเช่นนั้นเหล่า ข้าเพิ่งจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสเองนะจะไม่ให้ข้ามีเวลาให้กับชายาของข้าเลยหรืออย่างไร" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวทักท้วงเรื่องพิธีรับตำแหน่ง

"โธ่ พี่รองท่านเองก็ได้เวลาไปตั้ง7วันแล้ว หากเสียไปอีก7วัน นั่นก็ถือว่าทางเราชดเชยให้ไปแล้ว" จ้าวหย่วเฝิงกล่าวยิ้มๆ

"น้องสาม เจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งอยากจะเอ่ยคำต่อว่า แต่จำต้องสะกดกั้นไว้ มือทั้งสองกำหมัดแน่นอย่างสะกดอารมณ์

"ไม่ต้องห่วงนะ พี่รองข้าจะเป็นคนดูแลชายาของพี่ให้เอง ระหว่างที่ท่านเข้าไปสักการะบรรพบุรุษ" จ้าวหย่งเฝิงยิ้มอย่างเหนือกว่า จนจ้าวหย่งเจิ้งอยากเข้าไปบีบคอคนพูด

"จ้าวหย่งเฝิง เจ้าจะไปเย้าแหย่พี่ของเจ้าทำไมนัก หากเจ้าอยากได้ชายาสักคน ข้าจะสู่ขอสตรีชั้นสูงมาให้เป็นชายาของเจ้าเอง เจ้าพึงพอใจใครจงบอกมา" เป็นองค์ฮ่องเต้ที่ทนให้สองพี่น้องถกเถียงกันไม่ได้จึงเอ่ยปากจะหาชายาให้จ้าวหย่งเฝิง

"เสด็จพ่อ ลูกไม่ต้องการ" จ้าวหย่งเฝิงตอบปฏิเสธ อย่างไม่ต้องคิด

"ถ้าเช่นนั้นจงเงียบซะ หากไม่แล้ว ข้าจะหาชายาให้กับเจ้า"

"องค์ฮ่องเต้ตรัสสั่งอีกครั้ง

"ลูกน้อมรับบัญชา ลูกจะปิดปากให้สนิท" จ้าวหย่งเฝิงก้มหน้ารับคำ

"เสด็จพ่อลูกว่ามันเร็วไป" จ้าวหย่งเจิ้งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจัดอะไรแล้วจึงเอ่ยกล่าวคัดค้านอีกครั้ง

"ข้าว่ามันไม่เร็วไปหรอกนะ ตกลงตามนี้ ช่วงเวลาก่อนจะเจ้าจะเข้าไปสักการะบรรพบุรุษ จงใข้เวลากับชายาเจ้าเถอะ" ตรัสจบองค์ฮ่องเต้ก็ลุกจากไปโดยมีนักพรตเจินหยวนคอยประคอง

"หากเจ้าไม่อยากรับตำแหน่งจะมอบให้ข้าก็ได้นะ" จ้าวหย่งเฟิ้งผู้เป็นพี่ชายคนโตเข้ามาแตะบ่าน้องชายฝาแฝดของตน

"ใช่ๆ พี่รองถ้าท่านไม่ต้องการก็จงยกให้พี่ใหญ่ไปเสียแล้วท่านจะได้ไปอนู่กับเมียงูของท่านให้สมใจ ฮ่าๆ" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยสมทับอีกคน

"หากข้าต้องยกบัลลังก์ให้ใคร คงไม่ใช่ท่านหรอกพี่ใหญ่ และไม่ใช่เจ้าด้วยน้องสี่ ข้าว่าหากข้าจะยกให้ใครก็ดูความเหมาะสมมากกว่า และคนผู้นั้นก็ไม่ใช่พวกเจ้าทั้งสองคน ข้าขอด้วย" จ้าวหย่งเจิ้งปัดมือของจ้าวหย่งเฟิ้งที่แตะบ่าตนออก แล้วเดินออกจากตรงนั้นมา

"เจ้าคอยดูแล้วกันว่าใครจะได้เป็นฮ่องเต้คนต่อไป จ้าวหย่งเจิ้ง!" น้ำเสียงโมโหเกรี้ยวกราดของจ้าวหย่งเฟิ้งและจ้าวหย่งจิ้งดังไล่หลังมา แต่เขาหาได้สนใจกับเสียงนั้นไม่

"พี่รอง ท่านไม่ควรไปพูดเช่นนั้น" เป็นจ้าวหย่งเฝิงที่ออกมาจากมุมลับตาคน กล่าวเตือนจ้าวหย่งเจิ้ง

"หากไม่ทำเช่นนี้พวกนั้นคงไม่เผยธาตุแท้ออก เจ้าเถอะจัดการคนคิดจะโค่นบัลลังก์ข้าเรียบร้อยหรือยัง" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามน้องชายด้วยสีหน้าจริงจัง

"พี่รอง เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงข้าจัดการพวกมันเรียบร้อยแล้ว รอแค่พี่ใหญ่กับน้องสี่ลงมือเมื่อไหร่ก็เท่านั้น" จ้าวหย่งเฝิงตอบพร้อมรอยยิ้ม

"เจ้ายิ้มอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยถาม

"พี่รอง เรื่องดูแลพี่สะใภ้ข้ายินดีนะ ข้าจะทำหน้าที่ของท่านแทนเอง" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

พลั่ก!

หมัดหนักๆของจ้าวหย่งเจิ้งลอยเข้าปะทะใบหน้าของจ้าวหย่งเฝิงเต็มแรง จนคนโดนหมัดล้มลงไปนั่งกับพื้น

"ห้ามเจ้าเจ้าใกล้ชายาของข้าอีกเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน" จ้าวหย่งเจิ้งชี้หน้าคาดโทษน้องชายไว้อย่างไม่สบอารมณ์

"หึหึ" จ้าวหย่งเฝิงหัวเราะในลำคอด้วยท่าทางพอใจเมื่อเห็นพี่ชายของตนเดินจากไปด้วยท่าทางโมโห

ทางด้านเหม่ยฟาง เมื่อตื่นนอนขึ้นมาก็พบเสี่ยวจื่อหยี่นั่งชันเข่ากับพื้นพิงอยู่ข้างเตียงเพื่อรอตนตื่นนอน

"เสี่ยวจื่อหยี่ ทำไมเจ้ามานั่งอยู่แบบนี้" เหม่ยฟางขยับกายลุกอย่างยากลำบาก เพราะร่างกายรู้สึกปวดร้าวไปหมดทั้งช่วงล่าง

"อ๊ะ! พระชายาตื่นแล้วหรือขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่รีบลุกขึ้นยืนเพื่อรอรับใช้เหม่ยฟาง แต่เมื่อสายตามองไปเห็นเรือนกายขาวที่มีรอยกลีบกุหลาบแต่งแต้มอยู่เต็มผิวกายที่โผล่พ้นผ้าแพรออกมา เสี่ยวจื่อหยี่ก็พลันหน้าหน้าแดงหลุบสายตาลงต่ำ

"เจ้าเป็นอะไร" เหม่ยฟางเห็นท่าทีของขันทีรับใช้อย่างเสี่ยวจื่อหยี่จึงอดเอ่ยถามไม่ได้

"ปะ เปล่าขอรับ ว่าแต่พระชายาร่างกายรู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ"

"ร่างกายข้าหรือ" เหม่ยฟางทวนคำ พอก้มมองร่างกายตน ใบหน้าก็พลันแดงซ่าน รู้สึกอับอายต่อร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้

"ข้าน้อยเตรียมน้ำให้พระชายาไว้แล้ว พระชายาจะให้ข้าน้อยช่วยหรือไม่ขอรับ" เสี่ยวจื่อหยีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

"รบกวนเจ้าแล้ว" เหม่ยฟางจำใจต้องให้เสี่ยวจื่อหยี่ช่วยตนทำความสะอาดร่างกาย ขณะที่เสี่ยวจื่อหยี่กำลังพยุงเหม่ยฟางที่สวมเสื้อคลุมตัวบางไปที่อ่างอาบน้ำ จ้าวหย่งเจิ้งก็เดินเข้ามาพอดี

"เสี่ยวจื่อหยี่เจ้าจะพาฟางไปไหน"

"เรียนองค์ชายข้าน้อยกำลังจะพาพระชายาไปอาบน้ำขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่ตอบขณะยังพยุงร่างเหม่ยฟางเอาไว้

"ไม่ต้อง เจ้าออกไปได้แล้ว ข้าจะพาฟางไปเอง" เสี่ยวจื่อหยี่น้อมรับคำสั่งปล่อยมือออกจากร่างของเหม่ยฟางเมื่อได้ยินคำสั่ง ใบหน้าของเขายังคงแดงไม่หาย

"เจิ้งไม่ต้องหรอก ข้าอาบเองได้" เหม่ยฟางบอกกล่าวคนที่เดินตรงเข้ามาช้อนกายตนเข้าแนบอก

"ปล่อยให้อาบเองได้อย่างไร อาการไม่ค่ยดีไม่ใช่หรือ ข้าอยากอยู่กับเจ้านานๆรู้ไหม" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งก็จรดปลายจมูกเข้ากับจมูกของเหม่ยฟาง

"เจิ้ง มีอะไรหรือเปล่า" เหม่ยฟางเอ่ยถามเมื่อจ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยคำแปลกๆกับตน

"คือ อีกสองวันข้างหน้าข้าจะต้องเข้าไปสักการะบรรพบุรุษเป็นเวลา7วัน เพื่อเข้ารับตำแหน่งฮ่องเต้ต่อจากเสด็จพ่อ" จ้าวหย่งเจิ้งพาเหม่ยฟางมายังอ่างอาบน้ำหินอ่อนขนาดใหญ่ แล้วปล่อยร่างบางลงกับพื้น เพื่อปลดเสื้อคลุมออก เพื่อให้เหม่ยฟางลงแช่ในน้ำอุ่น แต่สีหน้าเป็นกังวลของจ้าวหย่งเจิ้งทำให้เหม่ยฟางพลอยไม่สบายใจไปด้วย

"เป็นอะไร แบบนี้ก็ดีแล้วนี่"

"ข้าเป็นห่วงเจ้าเหม่ยฟาง ข้าไม่อยากจากเจ้าไปไหน ข้าเพิ่วแต่งกับเจ้าได้เพียง7วัน จะให้ข้าแยกกับเจ้าอีก7วันงั้นหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งเข้าสวมกอดเหม่ยฟางจากทางด้านหลังโดยใช้คางเกยอยู่บนบ่าของอีกฝ่าย

"ใข่ว่าเราจะแยกกันตลอดไปนี่" เหม่ยฟางใช้มือลูบแก้มของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

"มันก็ใช่"

"อย่างอแงสิ หน้าที่ก็คือหน้าที่ จำไว้หน้าที่สำคัญกว่าสิ่งใด" อ้อมแขนของจ้าวหย่งเจิ้งกระชับขึ้นอีกเท่าตัวเขาอยากโอบกอดเหม่ยฟางเอาไว้แบบนี้ไม่อยากแยกหากแม้เพียงเสี้ยวนาที

"ข้าจะยอมเชื่อฟังเจ้า หากเจ้ายอมให้ข้ากอดเพิ่มสักสองวันก่อนเข้าพิธีครองราชย์" รอยยิ้มกรุ่มกริ่มมองร่างเปลือยที่โผล่พ้นน้ำด้วยสายตาสิเน่หา

"หยุดเลยนะ หยุดความคิดเดี๋ยวนี้เลย ข้าไม่ไหวแล้วนะ แค่ 7วันที่ผ่านมาข้าก็แย่พอแรงอยู่แล้วหากยังคิดทำต่อมีหวังข้าได้ตายกันพอดี" เหม่ยฟางหาเหตุผลมากล่าวอ้าง

"หึหึ" จ้าวหย่งเจิ้งเองก็เพียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ก่อนลุกขึ้นจากน้ำอุ้มร่างบางของเหม่ยฟางกลับไปที่ห้องนอนตามเดิม

"จ้าวหย่งเจิ้งปล่อยข้าาาาา" เหม่ยฟางพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากวงแขนแกร่งดั่งกรงเล็บเหยี่ยวที่ตะครุบเหยื่อ

'เจ้าคนบ้าจะไม่ใครพักผ่อนบ้างหรือไงกัน' เป็นเพียงร่ำร้องภายในจิตใจของเหม่ยฟางที่ถูกกระตุ้นจนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ จำต้องปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจอย่างห้ามไม่อยู่

หลังจากผ่านพ้น 2วัน ที่จ้าวหย่งเจิ้งได้กักเก็บความสุขกับตัวของเหม่ยฟางจนเป็นที่พอใจ เขาจึงเข้าไปสักการะบรรพบุรุษตามรับสั่งของผู้เป็นจ้าวเหนือของคนทั้งปวงอย่างจำใจ แต่เขาหารู้ไม่ว่าการไปครั้งนี้จะทำให้เหม่ยฟางเดือดร้อน

"ข้าฝากฟางไว้กับเจ้าด้วยน้องห้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปากฝากฝังผู้เป็นที่รักให้กับน้องชายเป็นคนดูแล

"ได้สิพี่รอง ข้ารับฝากอยู่แล้ว พี่สามเองก็เช่นกัน ใช่ไหมพี่สาม" จ้าวหย่งฟงรับปากพี่ชายอย่างแข็งขัน

"ใช่ พี่รองไม่ต้องห่วงไปทำหน้าที่ให้ดีเถอะ ข้าจะดูแลเหม่ยฟางให้ดีอย่างที่พี่เคยทำ" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม
"คนที่ข้ากังวลที่สุดคือเจ้านี่แหละ" จ้าวหย่งเจิ้งชี้หน้าจ้าวหย่งเฝิง

"ฮ่าๆ พี่รองท่านก็พูดไป ใครจะไปกล้าทำกัน หากข้าทำ ฟางฟางคงได้กินข้าก่อนแล้ว" จ้าวหย่งเฝิงหะวเราะกลบเกลื่อน

"ก็ขอให้มันจริงอย่างเจ้าพูดเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งยังคงคาดโทษจ้าวหย่งเฝิงไม่เลิก

"ฮ่าๆ ท่สนไม่เคยได้ยินหรือ สามวันจากนารีเป็นอื่น แต่นี่ท่านหายไปถึง เจ็ดวันเชียวนะ ท่านคิดไหมว่า ฟางฟางจะเป็นเช่นไร ฮ่าๆ" จ้าวหย่งเฝิงเริ่มพูดจาเย้าแหย่ให้จ้าวหย่งเจิ้งระแวง

ปึก!

"โอ๊ย!!! ใครกันบังอาจดีดก้อนหินใส่หลังข้า" จ้าวหย่งเฝิงร้องเสียงหลงเมื่อถูกใครบางคนดีดเม็ดหินใส่เข้ากลางหลังอย่างแรง

"เป็นข้าเอง เจ้าสมควรโดนแล้ว ข้าไม่ใช่นารี เจ้าไม่ต้องมายุแยงพวกข้าหรอก" เป็นเหม่ยฟางนั่นเองที่เป็นคนดีดก้อนก้อนหินใส่หลังของจ้าวหย่งเฝิง เหม่ยฟางแต่งกายด้วยชุดสีเขียวอ่อน เดินย่างกายเข้ามาเคียงคู่จ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้ามาทำไม ยังรู้สึกไม่ดีไม่ใช่เหรอ ข้าขอโทษนะ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง "หากห่วงข้าจริงเจ้าก็ไม่น่าฝืนข้า" เหม่ยฟางตีเข้าที่อกของจ้าวหย่งเจิ้งไปหนึ่งทีอย่างตั้งใจ

"โอ๊ย! เจ้าทำร้ายร่างกายข้าเช่นนี้ร่าวกายคงดีขึ้นแล้วสินะ ระหว่างข้าไม่อยู่เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีรู้ไหม" จ้าวหย่งเจิ้งมองเหม่ยฟางอย่างรักใคร่พลางลูบเส้นผมดำเงา อย่างไม่สนใจสายตาอีกหลายคู่ที่จ้องมองมา

"พอเถอะ ท่านพูดจาอะไรหรือกระทำการใดไม่คิดอายผู้อื่นเลยหรือไง" เป็นเหม่ยฟางที่รู้สึกขัดเขินกับท่าทีของอีกฝ่ายแทน

"ข้ารักเจ้านะ เหม่ยฟางดูแลตัวเองดีๆล่ะ" สิ้นคำจ้าวหย่งเจิ้งก็จรดปลายจมูกเข้าที่แก้มใสแล้วเดินเข้าไปในอารามหลวงเพื่อสักการะบรรพบุรุษเป็นเวลา 7วัน ปล่อยให้เหม่ยฟางยืนอึ้งตะลึงกับคำบอกรักอย่างไม่ทันตั้งตัว

"นี่ พี่สะใภ้ พี่ชายข้ารักเจ้ามากนะ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้ม เหม่ยฟางเพียงได้แต่ยิ้มรับอย่างเขินๆ

"ดีจังน้าาา ที่รักกันดี ข้าหรืออยากให้มีคนรักแทบตายกับไม่มี" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยคล้ายตัดพ้อใครแล้วเดินอมยิ้มจากไป

"กลับเถอะพี่สะใภ้ ข้าไปส่ง ท่านจะตามพวกข้าไปไหนองครักษ์อวี๋" จ้าวหย่งฟงเอ่ยตามองครักษ์คู่กายของพี่ชาย

"พวกท่านไปกันเถอะขอรับ ข้าน้อยต้องคอยอยู่รับใช้องค์ชายรอง" อวี๋เหวินเต๋อตอบตามตรงว่าเขาต้องคอยรับใช้ผูเป็นนายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

"อืม ตามใจเจ้าเถอะ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับคำกับจ้าวหย่งฟงแล้วทั้งคู่ก็เดินกลับตำหนักด้วยกัน แต่ระหว่างทางกลับมีกลุ่มคนชุดดำ เข้าล้อมกรอบพวกเขาไว้ ทั้งคนชุดดำเหล่านี้ยังมีอาวุธครบมืออีก

"พวกเจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรมาขวางพวกข้า" จ้าวหย่งฟงเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัว เพราะตนเองไม่มีวิชาอะไรติดตัว

"ขอเชิญองค์ชายห้ากับพระชายา มากับพวกข้าน้อยเถอะขอรับ หากทำตามที่บอกพวกท่านจะปลอดภัย พวกข้าไม่อยากทำร้ายพวกท่าน" หนึ่งในชายชุดเอ่ยบอกกับทั้งสองคน

'เอาอย่างไรดีพี่สะใภ้' จ้าวหย่งฟงเอ่ยกระซิบถามเหม่ยฟาง

'ยอมไปก่อน อย่าผลีผลามถ้าไม่จำเป็น' เหม่ยฟางตอบไปตามที่คิด

'ทำไมเจ้าไม่จัดการพวกมันเล่า' จ้าวหย่งฟง เอ่ยถามให้หายข้องใจ

'ข้าอยากรู้ว่าใครบ่งการพวกมัน และพวกมันต้องการอะไร' เหม่ยฟางตอบในสิ่งที่ตนคิด

'ตามใจเจ้าแล้วกัน' จ้าวหย่งฟงถอนหายใจออกมา ยอมให้คนชุดดำเอาถุงผ้าคลุมสีดำคลุมตัว เมื่อถูกคลุมจนมองไม่เห็นแล้วยังถูกตีที่ต้นคอจนสลบไปอีก ทำให้จ้าวหย่งฟงรู้สึกแย่ขึ้นกว่าเดิม แม้แต่เหม่ยฟางก็เช่นกัน ร่างสองร่างถูกแบกขึ้นบ่าของชายชุดดำไปไว้ยังวัดร้างที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก

ปึง!!!   

"พวกเจ้าดูแลกันอย่างไรถึงปล่อยให้พวกเขาถูกจับตัวไปได้" ทางด้านจ้าวหย่งเฝิงที่ทราบข่าวการถูกลักพาตัวไปของน้องชายและคนที่ตนแอบรักไปก็เกิดบันดาลโทสะทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างคุมสติไม่อยู่

"องค์ชายเรื่องนี้ท่านจะบอกองค์ชายรองหรือไม่ขอรับ" ไป๋เสวี่ยหนึ่งในองครักษ์มากฝีมือของจ้าวหย่งเฝิงเอ่ยถาม

"ไม่ต้องหากบอกไปพี่รองคงไม่มีสมาธิเป็นแน่ เรื่องนี้เราจะจัดการเอง ว่าแต่เจ้าให้คนติดตามพวกคนชุดดำไปหรือเปล่า" จ้วหย่งเฝิงเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา

"เรียนองค์ชายข้าน้อยให้คนติดตามจนทราบแน่ชัดแล้วขอรับว่าทั้งของคนอยู่ที่ไหน" ไป๋เสวี่ยเอ่ยตอบสิ่งที่ตนทราบให้ผู้เป็นนายได้รับรู้

"ดี เจ้าจงไปสืบด้านพี่ใหญ่กับน้องสี่ หากมีการเคลื่อนอะไรจงให้คนมารายงานข้า" จ้าวหย่งเฝิงสั่งองครักษ์ไป๋เสวี่ย เพื่อให้ไปดำเนินการ

"ขอรับ" ไป๋เสวี่ยรับคำสั่งแล้วหายเข้าไปในเงามืดอย่างรวดเร็ว

"หึหึ พวกเจ้าสองคนเลือกจับคนผิดเสียแล้ว" จ้าวหย่งเฝิงหัวเราะในลำคออย่างรู้สึกสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้น "มีเรื่องสนุกให้ข้าชมอีกแล้วสิ หึหึ" เสียงหัวเราะชอบใจยังคงดังอยู่เช่นนั้น จนทำให้คนที่ได้ยินได้ฟังถึงกับขนลุกไปตามๆกัน.....
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 25 สักการะบรรพบุรุษ) {29-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-08-2017 21:31:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤(ตอนที่ 25 สักการะบรรพบุรุษ) {29-08-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-08-2017 01:04:09
สงสารคนที่ลักพาตัว 2 คนนั้นไปจังเลย  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 26 คนบ่งการ) {06-09-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 06-09-2017 13:55:27
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 26 คนบ่งการ

แสงไฟไหวไปตามแรงลมสั่นพริ้วโอนเอนจนจับทางไม่ได้ วัดร้างที่เต็มไปด้วยฝุ่น ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นอับชื้น ทำให้เหม่ยฟาง กับจ้าวหย่งฟงไม่สบายตัว พวกเขาทั้งสองค่อยๆเปิดเปลือกตาออก เพื่อรับภาพที่ปรากฏตรงหน้า แต่สิ่งที่พวกเขารับรู้ได้จากการมองเห็นคือความมืดสีดำสนิท

"หย่งฟง หย่งฟง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เหม่ยฟางร้องเรียกจ้าวหย่งฟง อย่างนึกเป็นห่วง 

"เหม่ยฟาง ข้าไม่เป็นไร แต่ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย แขนขาก็ขยับไม่ได้" จ้าวหย่งฟงโอดโอยกับสถานการณ์ที่ตนได้ประสบ

"พวกมันคงปิดตากับมัดพวกเราไว้ เจ้าไม่ต้องห่วงนะเดี๋ยวข้าจัดการเอง" ว่าจบเหม่ยฟางก็กลายร่างเป็นงูเขียว เมื่อเชือกกับผ้าปิดตาหลุดออกจากตัวเขาก็กลายร่างเป็นคนอีกครั้ง เพื่อแก้เชือกกับผ้าปิดตาให้กับจ้าวหย่งฟง

"เจ้ายิ้มอะไร ข้าไม่ชอบเลยจริงๆ ทำไมจ้าต้องโดนจับมาด้วยกัน" จ้าวหย่งฟงหน้าหงิกงออย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งยังเห็นเหม่ยฟางยิ้มอย่างนึกขำตนก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปอีก

"เปล่าหรอก เอานี้ไปคาดปิดตาไว้ ส่วนเชือกนี่ก็ทำให้เหมือนถูกมัดด้วยล่ะ" เหม่ยฟางออกคำสั่งกับคนหน้าบึ้ง

"อะไรกันจะให้ข้าถูกมัดถูกปิดตาอีกแล้วหรือ" จ้าวหย่งฟงร้องโอดโอย

"ผ้าปิดตานี่ข้าเป็นคนเสกขึ้นมาแม้ปิดตาก็ยังสามารถมองเห็นได้เหมือนกับไม่ได้ปิดตา ส่วนเชือกนี่ ข้าไม่ได้ให้มัดจริงๆเสียหน่อย แค่แกล้งให้เหมือนถูกมัดต่างหากล่ะ รีบเข้าเถอะ ก่อนพวกมันจะกลับมา" เหม่ยฟางรีบเร่งจ้าวหย่งฟงให้ทำตาม

"รู้แล้วน่า" จ้าวหย่งฟงบ่นปากขมุบขมิบจนเหม่ยฟางถึงกับส่ายศีรษะไปมา เพียงไม่นานนัก ชายชุดดำกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับ ชายอีกสองคนที่ดูแต่งกายหรูหรา เหมือนลูกผู้ดี

"พวกเจ้าจับจ้าวหย่งฟงมาทำไม พวกข้าต้องการเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น" เสียงทุ้มหนาตวาดใส่ชายชุดดำ

"เรียนองค์ชายตอนที่ไปจับตัวพอดีองค์ชายห้าอยู่ด้วยพวกข้าน้อยไม่มีทางเลือกจึงพากลับมาด้วย" ชายชุดดำก้มศีรษะต่ำอย่างยอมรับผิด

"บ้าสิ้นดี พี่ใหญ่เราควรทำเช่นไรดี" เสียงทุ้มแสนคุณเคยทำให้จ้าวหย่งฟงอดที่จะหลุดปากเอ่ยเรียกคนนั้นไปไม่ได้

"พี่สี่ พี่สี่ เป็นท่านใช่ไหม พี่สี่" จ้าวหย่งฟงร้องเรียกเสียงหลงเมื่อเขาเงยหน้าสบตากับกับผู้เป็นพี่ชาย แม้จะถูกปิดตาก็ตาม "ปิดปากมันซะ อย่าให้มันส่งเสียงออกมา" เสียงแสนคุ้นเคยอีกเสียงสั่งชายชุดดำ จ้าวหย่งฟงมองไปทางพี่ชายคนโตอย่างรู้สึกเสียใจ

"พี่ใหญ่ อ๊ะ อุ๊บ อื้อ อื้อ" จ้าวหย่งฟงไม่ทันได้กล่าวสิ่งใดต่อ ปากของเขาก็ต้องถูกปิดด้วยผ้าแพร ทำได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ซับ

"เปิดตาพวกมันออก" จ้าวหย่งเฟิ้งสั่งขึ้น ในเมื่อน้องชายที่คนของตนจับมาด้วยรู้ว่าพวกตนเป็นใครก็ไม่จำเป็นต้องปิดปิดอะไรอีก เมื่อผ้าปิดตาถูกเปิดออกจ้าวหย่งฟงถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

"พี่ใหญ่จัดการน้องห้าด้วยเลยไหม"  จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยน้ำเสียงเชียบขาดไม่สนใจความ้ป็นพี่น้อง

"ดี หากฆ่าน้องห้า เสี้ยนหนามก็หมดไปอีกหนึ่ง หากเราตัดแขนตัดขาน้องรองได้ ต่อไปน้องรองก็เหลือเพียงตัวคนเดียว ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น" จ้าวหย่งเฟิ้งเอ่ยเสียงเย็น ความเป็นพี่น้องมันจบสิ้นไปตั้งแต่ตอนที่เขาเกิดมาแล้ว หากเขาเกิดมาเป็นมังกรทอง เรื่งทุกอย่างคงง่ายกว่านี้

"หึหึ ถึงแม้เจิ้งจะสูญเสียแขนขา เขาก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดต้องพึ่งพาผู้อื่นหรอก" เหม่ยฟางเอ่ยขึ้นอย่างใจกล้า

'คนพวกนี้ไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย นี่คงเป็นสาเหตุให้จ้าวหย่งเจิ้งต้องการ บัลลังก์มากสินะ' เหม่ยฟางคิดในใจกับเรื่องที่จ้าวหย่งเจิ้งเคยเอ่ยขอให้ตนช่วยมอบบัลลังก์ให้

"ใช่ เพราะน้องรองข้ามันไม่อ่อนแอ พวกข้าถึงได้จับตัวเจ้ามาอย่างไรล่ะ" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

"ฮ่าๆ จับข้ามาเนี่ยนะ ช่างโง่เขลานัก ฮ่าๆ" แต่เหม่ยฟางกับหัวเราะกับความคิดของผู้ที่จับตนมา

เพี๊ยะ!!!

"สามห้าว เจ้ากล้าดีอย่างไรมาว่าพวกจ้าโง่เขลา" จ้าวหย่งจิ้งตบเข้าใบหน้าขาวของเหม่ยฟางจนเกิดริ้วรอยแดง

"เหม่ยฟาง!!!" จ้าวหย่งร้องขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเขาเห็นเหม่ยฟางโดนตบหน้า

"ข้าไม่เป็นไร โดนตบแค่นี้ เรื่องเล็กน้อย" เหม่ยฟางเอ่ยยิ้มๆให้จ้าวหย่งฟงสบายใจ แต่จ้าวหย่งจิ้งกลับกระชากสาบเสื้อเหม่ยฟางให้เข้าหา จนสาบเสื้อแหวกออกให้เห็นผิวขาวแต้มกลีบกุหลาบนับสิบ ทำให้ผู้ที่พบเห็นดวงตาวาววับ เหมือนเจอสิ่งที่ทำให้ตนพอใจ

"หึ เจ้ามันก็แค่ปีศาจงูยั่วราคะสินะ" จ้าวหย่งจื้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม มองดูเรือนกายที่โผล่พ้นจากสาบเสื้ออย่างจาบจ้วง

"น้องสี่ เจ้าคิดจะทำอะไร" จ้าวหย่งเฟิ้งเอ่ยอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นน้องชายเริ่มแสดงอาการที่ไม่สมควรออกมา ไม่ใช่เขาไม่รู้สึกเสน่ห์ของเหม่ยฟาง แต่เพราะไม่อยากให้ใครแตะต้องสิ่งที่จะนำพาตนขึ้นครองบัลลังก์ต่างหาก

พลั่ก!!!

ปึก!!!

"พี่สี่ท่านคิดจะทำไรเหม่ยฟาง อย่าแตะต้องเหม่ยฟางนะ" จ้าวหย่งฟงพุ่งตัวกระแทกจ้าวหย่งจื้งจนเซถอยหลังไป เขาไม่ยอมให้ใครแตะค้องพี่สะใภ้ของเขา พี่รองอุตส่าห์ฝากฝังเขาไว้

"ฮึ่ย!!! จ้าวหย่งฟง!!!"
ด้วยความโมโห จ้าวหย่งจิ้งพุ่งเข้ากระแทกจนจ้าวหย่งฟงล้มลงไปกระแทกกับพื้น ทั้งยังเข้าปล่อยหมัดซัดใบหน้าสวยๆของจ้าวหย่งฟงจนบวมช้ำ

"โอ๊ยๆ พี่สี่อย่าทำข้า โอ๊ยๆ" จ้าวหย่งฟงร้องขอด้วยความเจ็บปวด

"หยุดๆ หย่งจิ้งเจ้าช่วยสงบสติอารมณ์หน่อย" จ้าวหย่งเฟิ้งร้องห้ามอย่างหัวเสีย

"พี่ใหญ่ก็ดูมันทำข้าสิ" จ้าวหย่งจิ้งตอบอย่างหัวเสียเมื่อถูกห้ามปราม จ้องมองจ้าวหย่งฟงอย่สงกับจะกินเลือดกินเนื้อ

"หย่งฟงเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เหม่ยฟางเข้าไปซักถามด้วยความเป็นห่วง

"ก็เจ็บสิถามได้" จ้าวหย่งฟงตอบไปอย่างหัวเสีย

"เจ้าไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย"

"ก็เจ้าโดนพี่สี่ทำลาย" จ้าวหย่งฟงตอบเสียงอ่อน

"เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าไม่ป็นไร อย่าทำเช่นนั้นอีก หากเห็นอะไรจงอยู่เฉยๆไว้นะ" เหม่ยฟางเอ่ยกระซิบด้วยสีหน้าป็นห่วงจ้าวหย่งฟง

"อื้ม ข้าจะทำตามเจ้าบอก"

"พวกเจ้าคุยอะไรกัน" จ้าวหย่งจิ้งสังเกตุเห็นว่าจ้าวหย่งฟงกับเหม่ยฟางกำลังคุยอะไรบ้างอย่างกันจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

เหม่ยฟางเบนสายตามาทางมาทางจ้าวหย่งจิ้งเพียงชั่วครู่ ก่อนหันกลับอย่างไม่สนใจหันไปหาจ้าวหย่งฟงอีกครั้ง

"แบมืออกมา" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเบาให้จ้าวหย่งฟงได้ยินเพียงผู้เดียว จ้าวหย่งฟงมองอย่างงงๆ แต่ก็ยอมแบมือมาด้านหน้า เหม่ยฟางจึงคายฟองลูกแก้วสีเขียวใสออกมาจากปากให้จ้าวหย่งฟงเก็บไว้

"นี่มัน?" จ้าวหย่งฟงมองฟองลูกแก้วที่ทั้งใสและบางจนเขากลัวว่าตนจะมันจะแตก แต่ก็ยอมเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว

"นี่คือสิ่งยืนยันตัวผู้บ่งการเก็บไว้ให้ดี....อึก" กลุ่มผมดำสวยของเหม่ยฟางถูกดึงอย่างแรงด้วยมือของจ้าวหย่งจื้ง

"กล้าดียังไงถึงเมินข้า" จ้าวหย่งจิ้งดึงกลุ่มผมสีดำสวยอย่างแรงจนเหม่ยฟางถึงกับเซตามแรงดึง

"เหม่ยฟาง!!!" จ้าวหย่งฟงร้องเสียงหลงด้วยความเป็นห่วง นี่มันรุนแรงกันเกินไปแล้วนะ

"พวกเจ้าต้องการอะไร เอ่ยคำออกมาเสียเลย" เหม่ยฟางกัดฟันเอ่ยคำพทั้งยังยื้อจับกลุ่มผมที่ถูกจ้าวหย่งจิ้งดึงให้คืนกลับมา

"ยกบัลลังก์ให้ข้าสิ ยอมเป็นของข้า มอบโอรสมังกรให้แก่ข้า นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ" จ้าวหย่งเฟิ้งเดินเข้ามายืนตรงหน้าเหม่ยฟางพร้อมกับเชยคางของอีกฝ่ายขึ้น

"เฮอะ ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม เจิ้งถึงต้องการบัลลังก์มากนัก ที่แท้ก็มีคนอย่างพวกเจ้าอยู่นี่เอง โลภ ไม่มีที่สิ้นสุด อยากได้อยากมีในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน" สายตาจ้องมองใบหน้าของจ้าวหย่งเฟิ้งอย่างไม่ยอมลงให้ง่ายๆ ของเหม่ยฟางทำให้จ้าวหย่งเฟิ้งถึงกับอดรนทนไม่ไม่ไหว ฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้าเหม่ยฟางอย่างแรง

เพี๊ยะ!!!

"ใช่สิ ข้าอยากได้ในสิ่งที่มันสมควรเป็นของข้า ข้าผิดตรงไหน หากเจ้าไม่ยอมให้ในสิ่งที่ข้าขอ ข้าจะให้พวกมัน มัน มัน เสพสมกับเจ้า ให้สมกับที่เจ้าเป็นปีศาจยั่วราคะ ดีไหม" จ้าวหย่งเฟิ้งเอ่ยเสียงเย็น แสยะยิ้มร้าย โบกมือให้จ้าวหย่งจิ้งปบ่อยมือจากผมของเหม่ยฟาง

"ฮ่าๆ" เหม่ยฟางหัวเราะออกมาเสียงดัง อย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวกับคำพูดของอีกฝ่าย

"เจ้าหัวเราะอะไร เจ้าคิดว่าข้าแค่ขู่ไม่กล้าทำอะไรเจ้าสินะ" จ้าวหย่งเฟิ้งโบกมือให้ชายชุดดำสองคนเข้ามายืนขนาบข้างตนเพื่อให้เหม่ยฟางรู้ว่าตนนั้นพูดจริง

"พี่ใหญ่ ข้าจัดการเอง ข้าขอเป็นผู้ลิ้มรสปีศาจราคะตนเอง" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยคำเดินแทรกเข้ามาระหว่างชายชุดดำทั้งสองคน

"หึหึ ดี ข้าจะให้เจ้าจัดการอย่างที่เจ้าต้องการ พวกเจ้าไปพาน้องห้าออกไปด้านนอกพร้อมกับข้า" จ้าวหย่งเฟิ้งถอยหลังออกมาพร้อมกับชายชุดดำทั้งสองคนที่ดึงตัวจ้าวหย่งฟงออกไปด้านนอก

"เฮ้อ~ พวกเจ้าเอาแต่เรียกข้าปีศาจ ปีศาจ แต่ไม่คิดเกรงกลัวปีศาจอย่างข้าเนี่ยมันผิดนะ" เหม่ยฟางถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ มองดูคนที่คิดจะเข้ามาหยามเกียรติตนอย่างเบื่อหน่าย

"ปีศาจอย่างเจ้า มันก็แค่มีไว้ยั่วกามารมณ์ผู้อื่น มีตรงไหนให้น่ากลัวกัน" จ้าวหย่งจิ้งแสยะยิ้มร้ายผลักร่างของเหม่ยฟางลงไปกับพื้น สองมือแหวกสาบเสื้อของอีกฝ่ายอย่างช้า เพื่อให้เหม่ยฟางรู้สึกกลัว

"ฮ้าววว~น่าเบื่อ" เหม่ยฟางบ่นพึมพำ ออกมาจนจ้าวหย่งจิ้งรู้สึกโมโหจนควันออกหู ไม่เคยมีใครกบ้าหยามเกียรติในเวลาเช่นนี้

"นี่เจ้า..." 

"ทำไม ก็เจ้ามันทำอะไรน่าเบื่อ"

"เจ้า" จ้าวหย่งจิ้งโกรธจนพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าแดงก่ำจึ้นด้วยความกรุ่นโกรธ

"เอาแบบนี้ดีกว่า เจ้าลงไปนอนด้านล่างตัวข้า ข้าจะจัดการให้เอง" ว่าจบร่างของจ้าวหย่งจิ้งกลับถูกพลิกลงไปนอนด้านล่างอย่างรวดเร็ว

"นี่ๆมันอะไรกัน ทำไมเจ้าถึงแรงเยอะนัก" จ้าวหย่งจิ้งตกใจตาค้างไม่คิดว่าตนจะถูกอีกฝ่ายกดลงไปด้านล่างได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังขยับร่างกายที่ถูกอีกกดทับไม่ได้

"จุ๊ๆ อย่าเสียงดังสิ ข้าอุตส่าห์ถนอมแรงไว้ยอมให้พวกเจ้ากดขี่ข่มเหงอยู่ตั้งนาน ไหนๆก็ไหนๆแล้วเจ้าก็ยอมให้ข้ากดขี่หน่อยแล้วกัน" เหม่ยฟางยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากจ้าวหย่งจิ้ง ก่อนเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มหวาน

"ไม่ๆ นะ เจ้าคิดจะทำอะไรข้า" จ้าวหย่งจิ้งรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเมื่อร่างกายรู้สึกหนักอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆที่ผู้ที่ทับร่างตนอยู่นั้นรูปร่างผอมบางกว่าตนหลายเท่า
"จริงสิ ข้าเปลี่ยนช่วงล่างให้มันเร้าใจเจ้าอีกหน่อยดีกว่า เพื่อให้เจ้าจะสุขสมจนช็อคตายไปเลย ฮ่าๆ" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเย้าแหย่จ้าวหย่งจิ้ง พร้อมกับเปลี่ยนช่วงล่างของตนเป็นงูอย่างที่ใจตนนึก

"มะ ไม่ ไม่" จ้าวหย่งจิ้งพูดเสียงสั่น ในใจเกิดความกลัวอย่างที่สุด เนื้อตัวสั่นเทาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

"ฮ่าๆ นี่เจ้ากลัวข้าหรือ ไหนว่าข้าไม่น่ากลัวไงล่ะ" เหม่ยฟางหัวเราะชอบใจกับสิ่งทีาตนได้เห็น

"ได้โปรด อย่าทำอะไรข้าเลยข้ากลัวแล้ว" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือความรู้สึกกลัวเข้าถาโถมจนเขาแทบบ้า

"ไม่ได้ในเมื่อเจ้าอยากสุขสมก็ก็จะช่วยเจ้าไม่ดีหรือไวเราว่ามาเริ่มกันดีกว่า" ว่าจบดวงตาเหม่ยฟางกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานจ้องมองเข้าไปในดวงตาของจ้าวหย่งจิ้งอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

"อ๊ากกกกกก" จ้าวหย่งจิ้งร้อฝออกมาเสียงหลงแล้วสลบไปในทันที

"ฮ่าๆ แค่นี้ก็เป็นลมไปเสียแล้ว น่าเบื่อจริงๆ" ว่าจบเหม่ยฟางก็กลายร่างช่วงล่างให้กลับมาเป็นคนตามเดิม แล้วนั่งลงด้านข้างจ้าวหย่งจิ้ง

ทางด้านจ้าวหย่งเฟิ้งเมื่อได้ยินเสียงร้องของจ้าวหย่งจิ้ง จึงรีบเข้าไปด้านในพร้อมชายชุดดำเพื่อดูน้องชาย

"น้องสี่เกิดอะไรขึ้น นี่เจ้าทำอะไรน้องของข้า" จ้าวหย่งเฟิ้งถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง 

"ข้าทำเหรอ อะไรกัน คนที่ทำมันน้องเจ้าต่างหากล่ะ ข้าแค่ทำตามที่น้องเจ้าต้องการแต่น้องเจ้ามันดันใจเสาะเป็นลมไปเสียก่อน น่าเสียดายชะมัด ข้าเลยอดสนุกเลย" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงอ่อน บิดตัวไปมาอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย

"เจ้าอยากสนุกมากมากสินะ ดี ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าเอง" จ้าวหย่งเฟิ้งดึงแขนเหม่ยฟางขึ้นมาอย่างโมโหกับท่าทีไม่เป็นเดือดเป็นร้อนของอีกฝ่าย

"ดีสิ ข้าขอดูหน่อยเถอะว่าเจ้ามีดีเพียงใด" มือบางไบ้ไปตามกรอบหน้าของจ้าวหย่งเฟิ้งอย่างตั้งใจ

"พวกเจ้าออกไปก่อน แล้วเอาหย่งจิ้งออกไปด้วย" จ้าวหย่งเฟิ้งสั่งข้ารับใช้ทั้งสองให้นำร่างไร้สติของจ้าวหย่งจิ้งออกไปจากห้องนั้น

"ท่านอยากได้ภรรยาเป็นงูจริงๆสินะถึงได้คิดจะทำกับข้า"

"ฮึ อย่าสำคัญตัวผิดข้าเพียงต้องการพลังของเจ้าต่างหาก" จ้าวหย่งเฟิ้งปลดเสื้อคลุมตัวออกแล้วกดร่างเหม่ยฟางลงไปนอนกับพื้นอย่างเช่นจ้าวหย่งจิ้งทำ

"แต่ข้าว่าท่านคงไม่ได้เป็นสามีหรอก น่าจะได้เป็นภรรยางูเสียมากกว่า" น้ำเสียงหวานปานน้ำผึ้งเอื้อนเอ่ยคำให้ผู้อื่นคล้อยตาม

"เจ้าหมายความว่าอย่างไร"

ปรี๊ดดดด!!!

เสียงเป่าปากของเหม่ยฟางดังสะท้อนไปทั่วห้อง ไม่นานนัก เสียงซอกแซก ซอกแซก คล้ายมีบางสิ่งบางอย่างจำนวนมากกำลังมาทางพวกเขา แม้แต่บนหลังคาก็มีเสียง

"ข้าขี้เกียจเป็นคนทำแล้ว ข้าจะให้เด็กๆของข้าเป็นคนทำให้แล้วกัน" ว่าจบเหม่ยฟางจึงลุกขึ้นยืน ปัดเศษฝุ่นดินที่ติดตามเสื้อผ้าออกแล้วเดินออกจากห้องนั้นมา ปล่อยให้จ้าวหย่งเฟิ้งเผลิญหน้ากับงูเขียวนับร้อยๆตัวที่เลื้อยเข้าไปหาจ้าวหย่งเฟิ้ง

"ไม่ ปล่อยข้านะ ไม่ ไม่ ไม่ ออกไป เอามันออกไปจากตัวข้าาา ไม่ ใครก็ได้ช่วยข้าด้วยยยย" น้ำเสียงร้องโหยหวนดังตามหลังเหม่ยฟาง จนเหม่ยฟางอดที่จะหัวเราะกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับจ้าวหย่งเฟิ้งไม่ได้

"ฮ่าๆ ดีสม นี่คือโทษของผู้ที่คิดทำร้ายข้า ขอให้สนุกกับเด็กๆของข้านะ" เหม่ยฟางเดินออกตามหาจ้าวหย่งฟงที่ถูกพาตัวไปไว้อีกห้องซึ่งอยู่ถัดจากที่เขาอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อพบจ้าวหย่งฟง ใบหน้าของเหม่ยฟางก็ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มไม่หาย

"เจ้ายิ้มอะไรนัก ทำอย่างกับมีเรื่องน่ายินดีอะไรนัก" จ้าวหย่งฟงมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเหม่ยฟางอย่างงง

"ไปกันเถอะ ข้าจะนำตัวพวกพี่ชายของเจ้าไปส่งให้ฮ่องเต้" เหม่ยฟางพยุงตัวจ้าวหย่งฟงขึ้นแล้วนำไปยังห้องที่จ้าวหย่งเฟิ้งอยู่

"เกิดอะไรขึ้นกับพี่ใหญ่ ทำไมพี่ใหญ่ถึงอยู่ในสภาพเช่นนั้น" สภาพที่จ้าวหย่งฟงเห็นคือสภาพที่จ้าวหย่งเฟิ้งนอนไม่ได้สติร่างกายเปลือยเปล่ามีน้ำเมือกเหนียวติดเต็มตัวไปหมด แม้แต่ช่องทางด้านหลังยังบวมเป้ง

"เจ้ารีบใส่เสื้อผ้าให้พี่ชายเจ้าเถอะ ข้าจะนำตัวพี่ชายของเจ้าอีกคนมา" สิ้นคำพูดเหม่ยฟางก็เดินออกไปนำตัวจ้าวหย่งจิ้งมา ส่วนชายชุดดำที่อยู่รอบๆ ถูกเด็กๆของเขาจัดการจนสลบไปหมดทุกคนแล้ว

"เหม่ยฟางเกิดอะไรขึ้นกับพี่ใหญ่" ระหว่างทางกลับเข้าเมืองจ้าวหย่งฟงยังคงเซ้าซี้ถามเรื่องของพี่ขายตนไม่เลิก

"เจ้าไม่อยากรู้หรอก อย่าถามข้าเลย" เหม่ยฟางปฏิเสธที่จะตอบคำถามนั้น

"เจ้าพูดเช่นนี้ข้ายิ่งอยากรู้นะ บอกข้ามานะ"

"เฮ้อ~ เจ้าอยากรู้ขนาดนั้นกลับไป เจ้าก็ให้พี่อวี๋ช่วยบอกเจ้าแล้วกัน" เหม่ยฟางยังคงไม่ยอมบอกทั้งยังโบ๊ยหน้าที่นี้ให้กับอวี๋เหวินเต๋อเป็นคนตอบแทน

"เอ๋...ทำไมต้ององครักษ์อวี๋ล่ะ"

"ก็เพราะเขาจะบอกเรื่องนี้ได้ดีกว่าข้าน่ะสิ หรือเจ้าจะให้เขาทำให้ดูก็ได้ เลิกถามข้าสักทีเถอะ ข้าอยากกลับไปนอนไวๆแล้ว เจ้ารีบๆเดินเถอะ"

เหม่ยฟางรู้สึกว่าร่างกายของตนหลังจากเสร็จงานนี้ร่างกายของเขาหนักๆอย่างไรไม่รู้ เขารู้สึกเหนื่อย แล้วก็ง่วงนอนมากๆ สงสัยเขาคงใข้แรงมากเกินไป กลับไปถึงเขาขอนอนหน่อยก็แล้วกัน....
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 26 คนบ่งการ) {06-09-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 06-09-2017 17:20:11
 :a5: สภาพแต่ละคน เฮ้อ...ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี เล่นกะใครไม่เล่นดันไปกระตุกเส้นอาฟาง อาเมนนนน.....  :call:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 26 คนบ่งการ) {06-09-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-09-2017 21:51:13
 :m24: คนแก่ช่วยเก็บหลักฐาน เอาไปฟ้องฮ่องเต้เลย เล่นกับใครไม่ดูหนังหน้าตัวเองเลย โสมน้ามหน้า
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 27 การเปลี่ยนแปลง (ตอนต้น)) {13-09-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 13-09-2017 08:06:43
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 27 การเปลี่ยนแปลง (ตอนต้น)

ท้องพระโรงที่รวมเหล่าขุนนางน้อยใหญ่มาเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้แต่บัดนี้ท้องพระโรงอันศักดิ์สิทธิ์กลับเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ของสองพี่น้องจ้าวหย่งเฟิ้ง กับจ้าวหย่งจิ้งทั้งสองเนื้อตัวสั่นเทาร่ำไห้ขอความเป็นธรรมหลังหมดสติไปนานกว่า 3วันแต่กว่าองค์ฮ่องเต้เรียกประชุมก็ปาเข้าไปวันที่ 5แล้ว ซึ่งอีก 2 วัน จ้าวหย่งเจิ้งถึงจะออกจากอาราม

"ฮือๆ เสด็จพ่อ ต้องช่วยให้ความเป็นธรรมกับลูกทั้งสองด้วยขอรับ ฮือๆ พวกลูกถูกปีศาจงูนั่นรังแก" จ้าวหย่งเฟิ้งร่ำไห้ชี้มือมาทางเหม่ยฟางที่ยืนอ้าปากหาวอย่างไม่ใส่ใจผู้ใด

"ใช่ขอรับเสด็จพ่อต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกลูกฮือๆ" เสียงร่ำไห้ ดังระงมชี้ผู้กระทำว่าคือเหม่ยฟางแต่ไม่ว่าใครจะมองเยี่ยงไรการที่บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ทั้งสองกล่าวหาบุรุษผู้มีรูปร่างผอมบางกว่าว่าเป็นผู้รังแกพวกตน ไม่ว่าจะดูเช่นไรก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทุกคนในท้องพระโรงจึงไม่มีผู้ใดสามารถปักใจเชื่อได้

"เจ้ามีอะไรแก้ตัวหรือไม่เหม่ยฟาง" เสียงอันทรงพลังขององค์ฮ่องเต้รับสั่งถาม

"เรียนฝ่าบาท ทุกสิ่งที่องค์ชายทั้งสองกล่าวมาเป็นความจริงทุกประการขอรับข้าน้อยเป็นผู้กระทำให้องค์ชายทั้งสองได้รับความอับอายและเสื่อมเสียข้าน้อยยอมรับผิดทุกประการ"การยอมรับผิดของเหม่ยฟางทำให้ผู้คนในท้องพระโรงพากันแตกตื่นเสียงพูดคุยอื้ออึ้งไปทั่วบริเวณ

"เงียบเสียงกันหน่อยข้าขอถามเจ้าสักหนึ่งได้ไหม"องค์ฮ่องเต้รับสั่งห้ามปรามเหล่าขุนนางที่ทำเสียงดัง

"ได้ขอรับ" เหม่ยฟางน้อมรับคำขององค์ฮ่องเต้โดยมีจ้าวหย่งเฟิ้งกับจ้าวหย่งจิ้งยืนยิ้มเยาะ แม้ใจจะรู้สึกหวาดกลัวกับ้หม่ยฟางอยู่บ้างแต่หากอยู่ต่หน้าผู้เป็นบิดาพวกเขาหาได้กลัวสิ่งใดไม่ เช่นไรผู้เป็นบิดาย่อมเชื่อพวกตนมากกว่าผู้อื่น

"สิ่งที่ข้าอยากถามคือเจ้ามีเหตุผลอะไร ที่ต้องทำลายพวกเขา"องค์ฮ่องเต้รับสั่งถามโดยไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองสิ่งใด เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับโอรสทั้งสองคนพระองค์ทรงทราบเรื่องราวทุกอย่างดีแต่ไม่อยากเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกไป

"เสด็จพ่อ เรื่องที่พี่ใหญ่กับพี่สี่กล่าวหาเหม่ยฟางล้วนไม่เป็นความจริง พี่ใหญ่กับพี่สี่ทำร้ายเหม่ยฟางก่อนขอรับแม้แต่ข้ายังโดนพวกพี่ใหญ่กับพี่สี่ทำร้าย"จ้าวหย่งฟงออกตัวโต้แย้งแทนเหม่ยฟางอย่างร้อนรนเมื่อเห็นเหม่ยฟางโดนใส่ร้าย

"จะ เจ้าพูดสิ่งใด ข้าจะใส่ร้ายเขาไปเพื่ออะไรเจ้าพูดให้มันดีๆนะน้องห้า" จ้าวหย่งจิ้งพูดตะกุกตะกักต่อว่าน้องชายอย่างหัวเสีย

"นั่นสิ พวกข้าเป็นผู้เสียหาย เจ้าต้องเข้าข้างพวกข้าที่เป็นพี่สิ"จ้าวหย่งเฟิ้งกล่าวต่อว่าต้าวหย่งฟงอย่างไม่ชอบใจ

"แต่พวกท่านพี่ก็ทำร้ายร่างกายข้ากับเหม่ยฟางก่อน พวกข้ายังไม่เห็นเรียกร้องความรับผิดชอบเลย หรือขอความเป็นธรรมอะไรเลย" จ้าวหย่งฟงกล่าวเสียงอ่อนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใดต่อเมื่อถูกพี่ชายทั้งสองต่อว่า

"แต่พวกข้าเสียหายมากกว่าเจ้าโดยเฉพาะข้าที่ถูก..." จ้าวหย่งเฟิ้งเอ่ยพร้อมทำท่าขนลุกจนพองเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเผชิญในวันนั้น "ก่อนอะไรหรือขอรับพี่ใหญ่" เสียงจ้าวหย่งเฝิงเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยความสนใจที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขารู้เห็นเรื่องทุกอย่างดีแม้ไม่ได้ย่างกายเข้าไปในสถานที่นั้นด้วยก็ตาม

"ไม่ใช่รื่องของเจ้า" จ้าวหย่งเฟิ้งตอกกลับด้วยน้ำเสียงสะบัดอย่างไม่พอใจเขาไม่อยากให้ใครก็ตามทราบเรื่องที่เกิดขึ้น

"จริงสิ พี่ใหญ่ท่านโดนอะไรมาหรือ"จ้าวหย่งจิ้งที่สลบไปก็อยากจะรู้เรื่องนี้เช่นกันแต่กลับถูกสายตาดุๆของจ้าวหย่งเฟิ้งตอบกลับมาแทนเขาจึงได้แต่ก้มหน้าเงียบ

"พอๆพวกเจ้าเลิกเถียงกันได้แล้วข้าต้องการคำตอบจากเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น"ฮ่องเต้เอ่ยห้ามปรามเสียงเชียบขาดเมื่อเห็นเหล่าโอรสทั้งสี่ต่างโต้แย้งเรื่องเกิดขึ้น

"เรียนฝ่าบาท ข้าน้อยกระทำการทุกอย่าง เพียงเพราะเหตุการณ์พาไปขอรับ ข้าน้อยถูกคนขององค์ชายทั้งสองจับตัวไปพร้อมกับองค์ชายห้า ทั้งยังขู่บังคับให้สวามิภักดิ์กับองค์ชายใหญ่เพื่อที่องค์ชายใหญ่จะได้ขึ้นครองราชย์แทนองค์ชายรอง ข้าน้อยไม่ยอม องค์ชายทั้งสองจึงคิดจะข่มเหงข้าน้อย..." เหม่ยฟางยังไม่ทันได้กล่าวจบ

"โกหก เจ้าโกหก ข้าหรือจะคิดข่มเหงบุรุษเช่นเจ้า"จ้าวหย่งจิ้งกล่าวคัดค้านคำพูดของเหม่ยฟางอย่างสุดกำลัง

"เงียบ!!! ข้าต้องการฟังคำตอบของเขา"องค์ฮ่องเต้กล่าวเสียงดังจนจ้าวหย่งจิ้งต้องสงบปากสงบคำ

"องค์ชายทั้งสองคิดข่มเหงข้าน้อยทั้งยังทุบตีองค์ชายห้าจนได้รับบาดเจ็บ ข้าน้อยทนไม่ได้จึงกระทำการสั่งสอนองค์ชายทั้งสอง ด้วยวิธีของข้าน้อยเอง ข้าน้อยยอมรับผิดทุกประการขอรับ" เหม่ยฟางคุกเข่ายอมรับผิดกับสิ่งที่ตนได้กระทำ

"เอาเถอะเจ้าไปพักผ่อนเถอะเรื่องนี้ข้าจะจัดการหลังจากที่หย่งเจิ้งเสร็จสิ้นพิธีขึ้นครองราชย์ หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน" องค์ฮ่องเต้ตัดสินโดยไม่ถามความเห็นจากผู้ใดต่อ 

"เสด็จพ่อ" "เสด็จพ่อ" เสียงประสานของจ้าวหย่งเฟิ้ง จ้าวหย่งจิ้ง ดังขึ้นพร้อมกัน เสียงอ่อน ไม่คิดเลยว่าแม้แต่เสด็จพ่อของพวกตนยังเข้าข้างแม้กระทั่งปีศาจงูยั่วราคะ
"เหม่ยฟาง เจ้าไปพบข้าที่ห้องอักษร" องค์ฮ่องเต้เอ่ยจบจึงลุกขึ้นยืนโดยมีนักพรตเจินหยวนประคองเข้าไปด้านใน

"ขอรับ" เหม่ยฟางรับคำแล้วเดินตามเข้าไปด้านใน

ห้องทรงอักษร

องค์ฮ่องเต้นั่งประทับลงบนเก้าอี้สลักลายมังกร ช่วยเสริมให้พระองค์ดูยิ่งใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อได้นั่งบนเก้าสลักลายมังกรที่สวยงามตัวนี้ ทั้งภายในห้องทรงอักษรยังตกแต่งอย่างวิจิตรสวยงามเหมาะสมกับตำแหน่งของผู้ปกครองประชาชน ซึ่งบนโต๊ะด้านหน้ายังคงมีกองฎีกาวางอยู่เต็มโต๊ะ

"ฝ่าบาทเรียกข้าน้อยมามีสิ่งใดให้ข้าน้อยได้รับใช้หรือขอรับ" เหม่ยฟาง เมื่อเห็นว่าองค์ฮ่องเต้นั่งลงบนเก้าอี้เป็นที่เรียบร้อย จึงเอ่ยถามโดยไม่รอให้องค์ฮ่องเต้รับสั่งถามตนก่อน

"ตรงประเด็นดี" องค์ฮ่องเต้กล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

"ทรงถามมาเถอะขอรับ หากข้าน้อยตอบได้ข้าน้อยยินดีตอบทุกคำถาม" เหม่ยฟางเอ่ยไปตามสิ่งที่ตนคิด

"ดี ข้าต้องการถามว่า หลังจากที่เจ้าเข้าหอกับลูกชายข้าตั้งแต่7วัน ไม่สินี่ก็ผ่านมาราวๆ15วันได้แล้วสินะ เจ้ามีอาการอะไรแปลกๆบ้างหรือไม่" องค์ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"อาการแปลกๆหรือขอรับ?" เหม่ยฟางทวนคำก่อนเริ่มนึกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน

"ใช่ มีอาการอะไรแปลกๆบ้างไหม" องค์ฮ่องเต้ถามด้วยท่าทีตื่นเต้น ร้อนรน จนทำให้เหม่ยฟางยังนึกแปลกใจ

"ก็ไม่นะขอรับ นอกจากอาการง่วงอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น" เหม่ยฟางตอบตามจริงเขาไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปนอกจากอาการง่วงนอนของตน

"ง่วง?"

"ขอรับ หลังจากเกิดเรื่องข้าน้อยก็มีแต่ความรู้สึกง่วงอยากนอนเพียงอย่างเดียว" เหม่ยฟางตอบตามจริงเช่นเดิม เขาไม่รู้จริงๆเลยว่าอาการที่องค์ฮ่องเต้ต้องการสื่อคืออะไร

"เจินหยวน เจ้าคิดว่าอย่างไร" องค์ฮ่องเต้หันไปถามความเห็นจากนักพรตเจินหยวน

"เรียนฝ่าบาท น่าจะเข้าระยะที่หนึ่งแล้วขอรับ ข้าน้อยจะให้หมอหลวงมาตรวจอาการของชายาเหม่ยฟาง" นักพรตเจินหยวนกล่าวเสียงเรียบแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มประดับอย่างปลื่มปริ่มไม่หายเช่นเดียวกับองค์ฮ่องเต้

"พวกท่านกล่าวอะไรกัน  ข้าไม่เข้าใจ" เหม่ยฟางเอ่ยถามด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

"เหม่ยฟางเจ้ากลับตำหนักก่อนเถอะ แล้วอีกสองวันข้าจะส่งหมอหลวงไปตรวจอาการให้เจ้า" องค์ฮ่องเต้รับสั่งให้เหม่ยฟางกลับตำหนักโดยไม่บอกในสิ่งที่ตนอยากทราบ

"ขอรับ" เหม่ยฟางเดินกลับตำหนักอย่างงงๆ นี่เกิดอะไรขึ้นกับเขาทำไมทุกคนถึงดูวุ่นวายกับเขานัก

เวลาสองวันผ่านอย่างรวดเร็ว จ้าวหย่งเจิ้งออกจากอารามหลวงด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย เขาตรงกลับตำหนักโดยทันทีเพื่อไปหาคนรักที่ไม่ได้พบหน้ากันมากว่า 7วัน เมื่อเข้าไปในห้องนอน ร่างบางนอนตะแคงข้างซุกตัวกับผ้าห่มผืนหนา เขาจึงถือวิสาสะสอดตัวเข้าไปภายใต้ผ้าห่มเพื่อรับไออุ่นจากร่างของผู้ที่นอนหลับ วงแขนกอดกระชับร่างบางจากทางด้านหลังด้วยความคิดถึงอย่างหาใดเปรียบกดปลายจมูกลงบนซอกคอขาวเพื่อสูดกลิ่นหอมจากกายของอีกฝ่ายด้วยความคนึงหา

"อือ" เหม่ยฟางครางออกมาอย่างรู้สึกรำคาญเมื่อถูกรบกวน เมื่อเปิดเปลือกตาออก จึงพบว่าตนถูกโอบกอดจากใครคนหนึ่ง

"ข้าทำเจ้าตื่นหรือ" เสียงกระซิบแผ่วเบาทำให้ใจของเหม่ยฟางเต้นระรัวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักกลับมา

"เจิ้ง คิดถึงจัง" เหม่ยฟางพลิกตัวให้ตนได้เชิญหน้ากับอีกฝ่ายพร้อมกับวาดแขนเพื่อกอดตอบอีกฝ่าย

"ข้าก็คิดถึงเจ้า คิดถึงมากจนข้ารู้สึกป่วยเชียวล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งพูดพลางกลั้วหัวเราะกับคำพูดตนเอง

"ออกจากอารามหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่" 

"เมื่อเช้ารุ่งนี่เอง พอออกมาก็ตรงมากอดเจ้านี่แหละ" จ้าวหย่งเจิ้งยิ้มละไมให้อย่างรักใคร่

"ฮ้าวววว" เหม่ยฟางหาวออกมาเสียงดัง

"ง่วงหรือ นอนต่อเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งกดจมูกลงบนแก้มขาวเพื่อสูดกลิ่นหอมให้หายคิดถึง แล้วนอนโอบกอดเหม่ยฟางพากันหลับไป ในระหว่างนั้น องค์ฮ่องเต้เสด็จมาพร้อมหมอหลวง ทั้งยังมีนักพรตเจินหยวนติดตามมาด้วย 

"ฝ่าบาท!!!"

"เสด็จพ่อ" เหม่ยฟางสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมกับจ้าวหย่งเจิ้งเมื่อรู้สึกว่ามีผู้บุกรุกคนอื่นเข้ามาในห้องนอนของตน

"เหม่ยฟางเจ้านอนบนเตียงต่อเถอะเราแค่ให้หมอหลวงมาตรวจอาการของเจ้าเท่านั้น ส่วนเจ้าหย่งเจิ้งลงมาจากเตียงเดี๋ยวนี้" องค์ฮ่องเต้รับสั่งขึ้นหลังจากก้าวเข้ามาในห้องนอนของเขาอย่างถือวิสาสะพร้อมหมอหลวงในขณะที่เขากำลังนอนหลับ หมอหลวงตรวจชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันไปพยักหน้าพร้อมยิ้มให้กับองค์ฮ่องฮ่องเต้

"ยินดีด้วยขอรับฝ่าบาทพระชายาทรงตั้งครรภ์อ่อนๆได้ราวๆหนึ่งสัปดาห์แล้วขอรับ" หมอหลวงหันไปบอกองค์องค์ฮ่องเต้ ก่อนหันกลับมายิ้มให้กับเหม่ยฟางอีกครั้ง

"เมื่อกี้ท่านว่าอย่างไรนะ ท่านหมอหลวง" จ้าวหย่งเจิ้งรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ตนได้ยิน

"พระชายาเหม่ยฟางทรงครรภ์ขอรับ" หมอหลวงตอบข้อข้องใจให้อีกครั้ง

"ท้อง? ฟางเจ้าท้อง? เจ้ากำลังจะมีลูกกับข้า" จ้าวหย่งเจิ้งทวนคำก่อนหันไปพูดกับเหม่ยฟางด้วยความยินดีความรู้สึกดีใจส่งผ่านทางสีหน้าอย่างชัดเจน ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้เป็นพ่อคนไวเช่นนี้ ดีจริงๆ
 "ห๊ะ อะ อืม ข้าท้องงั้นหรือ" เหม่ยฟางรู้สึกมึนๆงงกับสิ่งที่ตนได้ยิน

"เจ้าเป็นอะไร ไม่ยินดีหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งหันมาส่งยิ้มยินดีให้กับอีกฝ่าย 

"ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจ แต่ข้าทำไมถึงท้องไวเช่นนั้น" เหม่ยฟางทำหน้าไม่อย่างจะเชื่อว่าตนจะท้องได้ไวเช่นนี้

"ชายาเหม่ยฟาง ข้าน้อยเคยบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ ว่าหากท่านมีความสัมพันธุ์กับบุรุษเพียงแค่ครั้งเดียวท่านก็สามารถตั้งครรภ์ได้ แต่นี้ท่านมีสัมพันธ์ติดต่อกันมากกว่า7วัน ได้รับเชื้อพันธุ์มังกรอย่างต่อเนื่องเช่นนี้เหตุใดท่านจะไม่ตั้งครรภ์ได้ไวล่ะขอรับ" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มยินดีกับการตั้งครรภ์ของเหม่ยฟาง

"เรียนพระชายา ระหว่าง3เดือนแรกเป็นช่วงที่ ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ระวังองค์ด้วยนะขอรับ" หมอหลวงกล่าวอย่างห่วงใย

"อย่างงั้นหรือ" เหม่ยฟางตอบรับไปอย่างงงๆเช่นเดิม

"ใช่ขอรับ พอครบกำหนดคลอด9เดือนอาจเจ็บท้องมากหน่อยอย่างไรเสียขอให้พระองค์รักษาวรกายให้แข็งแรงเพื่อพร้อมแก่การคลอดโอรสมังกรด้วย ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัว" จบคำหมอหลวงจึงขอตัวกลับไป

"ข้าเดินไปส่งท่านเอง" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยขึ้นแล้วเดินออกไปส่งหมอหลวง แต่ก่อนหมอหลวงกลับไป เขาได้แอบกระซิบกระซาบบางอย่างกับหมอหลวงโดยไม่ให้ใครรู้

"ดีจริงๆในที่สุดข้าก็ได้อุ้มหลาน ฮ่าๆ" องค์ฮ่องเต้หัวเราะชอบใจเมื่อได้ทราบข่าวดี

"ในเมื่อรู้ความแล้ว ฝ่าบาทเชิญเสด็จกลับตำหนักเถอะขอรับ อีกสามองค์ชายรองต้องรับตำแหน่งต่อจากพระองค์ ปล่อยให้เขาทั้งสองอยู่กันตามลำพังเถอะขอรับ" นักพรตเจินหยวนเอ่ยปากกับองค์ฮ่องเต้

"นั่นสินะ หย่งเจิ้งดูแลเหม่ยฟางดีๆล่ะ" องค์ฮ่องเต้กล่าวย้ำให้จ้าวหย่งเจิ้งดูแลเหม่ยฟางให้เป็นอย่างดี

"ลูกทราบแล้ว" เมื่อรับผู้เป็นบิดา จ้าวหย่งเจิ้งก็กลับมาให้ความสนใจเหม่ยฟางอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายจ้องมองอย่างลึกซึ้งจนเหม่ยฟางต้องแอบขนลุก

"ทำไมต้องข้าเช่นนี้" เหม่ยฟางมองอย่างหวาดๆ เมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ฟาง ข้าต้องการเจ้า ข้าดีใจที่เจ้ากำลังจะมอบลูกให้กับข้าแต่ว่านะ ข้าไม่ได้เจอเจ้ามา7วัน ลูกชายข้าเองก็กำลังบ่นคิดถึงเจ้าอยู่เช่นกัน เจ้าช่วยดูแลลูกชายข้าอีกสักคราสิ นะ นะ ฟางงงงง" น้ำเสียงออดอ้อนจ้องมองเหม่ยฟางอย่างกับจะกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไปทั้งตัว 

"ลูกชาย ดะ เดี๋ยวนะ ข้ากำลังท้องอยู่ เจ้ายังคิดจะทำอีกหรือ" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงสั่นจ้องมองดวงตาที่ฉายแววเจ้าเล่ห์

"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ข้าถามหมอหลวงตอนออกไปส่งด้านนอกแล้วว่าจะเป็นอันใดไหมหากข้าจะเอ็นดูเจ้า อย่างเช่นที่เคยทำ หมอหลวงบอกว่าอย่างไรรู้ไหม" รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้มของจ้าวหย่งเจิ้ง

"หมอหลวงว่าอย่างไรหรือ" เหม่ยฟางเอ่ยถามเสียงหวาดๆ

"หมอหลวงว่าข้าสามารถเอ็นดูเจ้าได้ตามปกตื แต่อย่ารุนแรงนัก ถ้ารู้เช่นนี้แล้วข้าขอเอ็นดูเจ้าสักครั้งก่อนอาบน้ำแล้วกัน" สิ้นคำผ้าห่มพื้นหนาก็ถูกตลบคลุมร่างทั้งสองด้วยฝีมือของจ้าวหย่งเจิ้งในทันที....
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 27 การเปลี่ยนแปลง) {13-09-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 13-09-2017 09:05:09
 :mc4: ยินดีด้วยจ้า แหมะดีใจที่ได้ลูก แต่ก็หื่นได้อีก รอเขาเอ็นดูกัน :hao3:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 27 การเปลี่ยนแปลง) {13-09-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-09-2017 04:47:26
 :mc4: อย่างนี้ต้องฉลองกันหน่อย  :mc3: :mc2: :m18:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 28 จ้าวหย่งฟง) {16-09-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 16-09-2017 14:39:23
​❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 28 จ้าวหย่งฟง

ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าวิ่งอย่างหนักแน่นมุ่งมั่นของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักที่ไม่คุ้นเคย ตำหนักที่เป็นถิ่นอาศัยของบุรุษรูปร่างผอมบางใบหน้าน่ารักละม้ายคล้ายอิสตรีผู้มีตำแหน่งเป็นถึงน้องร่วมสายเลือดของจ้าวชีวิตเขา เมื่อย่างกายเข้ามาด้านในเขาก็ได้พบคนที่เขาต้องการเจอที่ม้านั่งในสวน

"องค์ชายหย่งฟง" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยเรียกชื่อผู้มีฐานะที่สูงกว่าตนหลายเท่า

"องครักษ์อวี๋" จ้าวหย่งฟงได้ยินของอวี๋เหวินเต๋อจึงลุกขึ้นยืนหันไปหาคนที่ขานนามตน

"องค์ชายได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าขอรับ ข้าน้อยทราบข่าวจึงมาเยี่ยม" อวี๋เหวินประคองไหล่ทั้งสองของจ้าวหย่งฟงเพื่อสำรวจร่างกายภายนอก

"ข้าไม่ป็นไร แค่มีรอยเขียวช้ำเพียงเล็กน้อย" จ้าวหย่งฟงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

"มีรอยเขียวช้ำ แถวไหนขอรับ ให้ข้าน้อยดูได้ไหม" อวี๋เหวินเต๋อยังคงง่วนกับการสำรวจร่างกายของจ้าวหย่งฟง จนทำให้อีกฝ่ายอดที่จะอมยิ้มตามกับท่าทีกระตือรือล้นนั้นไม่ได้

"รอยช้ำให้เจ้าดูได้อยู่หรอก แต่ดูที่นี่คงไม่เหมาะ" จ้าวหย่งฟงกล่าวยิ้มๆ

"ถ้าเช่นนั้นเข้าไปด้านในตำหนักเถอะขอรับ ขอข้าน้อยดูหน่อย" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวโดยไม่ได้คิดอะไรมาก เขาแค่อย่างสำรวจรอยฟกช้ำว่าองจ้าวหย่งฟงว่ามีมากน้อยแค่ไหนเพียงแค่นั้น

"แต่ว่า..." มือของจ้าวหย่งฟงถูกดึงเข้าไปในห้องนอนของตนเอง โดยที่อวี๋เหวินเต๋อไม่ยอมฟังเสียงที่จะคัดค้านของจ้าวหย่งฟงแม้แต่น้อย

"ถ้าเป็นที่นี่คงให้ข้าน้อยดูได้แล้วนะขอรับ" สายตาเป็นห่วงเป็นใยจ้องมองมายังจ้าวหย่งฟง 

"แต่มันอยู่ภายใต้เสื้อผ้าของเรา เจ้าจะให้ข้าถอดให้เจ้าดูงั้นหรือองครักษ์อวี๋" ใบหน้าของจ้าวหย่งฟงแดงก่ำด้วยความรู้สึกเขินอาย

"แน่นอนสิขอรับ ข้าน้อยอยากดูให้แน่ใจว่าร่างกายขององค์ชายไม่เป็นอะไรมาก รีบถอดเถอะขอรับ ข้าน้อยพกยาดีมาด้วยจะได้ทาให้" สิ้นคำพูดของอวี๋เหวินเต๋อ จ้าวหย่งฟงรู้สึกกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก ยิ่งเมื่อเจอสายตาที่จ้องมองรอการถอดเสื้อผ้าของตนออกมือของเขาก็เกิดสั่นขึ้นมา

"องครักษ์อวี๋ข้า..."

"เรียกพี่อวี๋สิขอรับ อยู่กันลำพังข้าน้อยอยากให้องค์ชายเรียกข้าน้อยเช่นนี้" อวี๋เหวืนเต๋อกล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

"พี่อวี๋ ข้าไม่ถอดไม่ได้หรือ เอายาให้ข้าเถอะ เดี๋ยวข้าทาเอง" 

"อายหรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

"ข้าเปล่า เราสองคนต่างเป็นบุรุษใยต้องอาย" จ้าวหย่งฟงกล่าวเสียงแข็งอย่างไม่ยอมรับความจริง

"หึหึ เช่นนั้น ก็ถอดสิขอรับ"  อวี๋เหวินเต๋อหัวเราะในลำคอมองคนปากแข็ง

"ได้ ขะ ข้าจะถอด" จบคำจ้าวหย่งฟงจึงหันหลังให้อวี๋เหวินเต๋อก่อนจะค่อยๆปลดสาบเสื้อลงช้าๆ เมื่อสาบเสื้อพ้นไหล่ลงมา ผิวขาวๆก็ปรากฏต่อสายตาของอวี๋เหวินเต๋อ

'บ้าจริง ข้าลืมนึกถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร' อวี๋เหวินเต๋อเบนสายตาไปทางอื่น เขาพลาดเองที่บอกให้จ้าวหย่งฟง เปลื้องผ้าต่อหน้าตน

"องค์ชาย" อวี๋เหวินเต๋อจับชายเสื้อที่ตกลงเกือบถึงอกดึงขึ้นคลุมไว้ตามเดิม ซึ่งการกระทำนี้ทำให้จ้าวหย่งฟงแทบใจสลาย

"ทำไม ทั้งๆที่เจ้าขยั้นขยอให้ข้าถอด แต่พอข้าถอด ทำไมเพราะข้าเป็นบุรุษสินะเจ้าถึง...ฮึกๆ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยพร้อมเสียงสะอื้นในลำคอ หันหน้ามาหาอวี๋เหวินเต๋อในขณะที่สาบเสื้อที่ถูกดึงขึ้นแหวกให้เห็นอกขาวๆ

"ไม่ใช่ ไม่ว่าองค์ชายจะเป็นบุรุษหรือสตรีข้าน้อย ก็ยังรู้สึกดีด้วยเสมอ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงติดขัดแม้จะเป็นในสิ่งที่ตนคิดก็ตาม แม้จะมีสีหน้าจะดูกระอักอ่วนในภาพตรงหน้าอยู่บ้าง แต่ความกระอ่วนที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการรังเกียจ แต่มันเกิดขึ้นเพราะความต้องการส่วนลึกของจิตใจ มันกระตุ้นร่างกายของเขาให้มีปฏิกิริยา

"เจ้ารังเกียจข้าใช่ไหม ฮึกๆ" จ้าวหย่งฟงกล่าวเสียงสั่น หันหลังหนีเพื่อซ่อนหยดน้ำตาที่กำลังไหลออกมา

"ไม่ใช่นะองค์ชาย ข้าน้อยไม่ได้รังเกียจองค์ชายแม้แต่น้อย" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเสียงด้วยน้ำเสียงกระอึกกระอักไม่เต็มเสียง

"ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าถึงทำท่าทางกระอักกระอ่วนใจเวลามองข้า" 

"ข้าทำท่าทางเช่นไรหรือขอรับ"

"ท่าทางที่บ่งบอกว่าเจ้ารังเกียจข้าอย่าไงไรเล่า" จ้าวหย่งฟงหันมาพบตากับอวี๋เหวินเต๋อ ดวงตาแดงก่ำจากการสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาทำให้ใจของอวี๋เหวินเต๋อหล่นวูบ

"อย่าร้องไห้ไปเลยข้าน้อยไม่เคยรังเกียจ สิ่งใดในตัวองค์ชายแม้แต่น้อย โปรดจงเชื่อใจ ข้าน้อย" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเสียงอ่อน ปาดหยาดน้ำที่หางตาของจ้าวหย่งฟงด้วยเสน่หาที่มีแม้อยากมอบจุมพิตแสนหวานให้อีกฝ่าย เขายังต้องสะกดกั้นความต้องการเอาไว้

"แสดงให้ข้าเห็นสิว่าเจ้าไม่ได้รังเกียจข้า" จ้าวหย่งฟงกล่าวเสียงจริงจัง ดวงตาแน่วแน่จ้องมองอวี๋เหวินเต๋ออย่างไม่ลดละ

"จะให้ข้าน้อยทำเช่นไรองค์ชายถึงจะเชื่อว่าข้าน้อยไม่ได้รังเกียจพระองค์แม้แต่น้อย" อวี๋เหวินเต๋อมองใบหน้านวลอย่างไม่รู้สึกลังเลที่จะทำตามความต้องการ

"อืม....ขอข้าคิดดูก่อน" จ้าวหย่งฟงทำท่าครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ทำให้อวี๋เหวินเต๋อแทบกุมขมับ
"ถ้าเช่นนั้น...เจ้าสามารถมองร่างกายข้าโดยไม่หลบสายตาได้หรือไม่" จ้าวหย่งฟง ใบหน้าซับสีเลือด กล่าวเสียงเบา แต่ดังพอที่จะทำให้อวี๋เหวินเต๋อได้ยิน 

"ห๊ะ!!! องค์ชายพูดจริงหรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวถามผู้ที่เอ่ยข้อเสนอนี้ออกมาให้แน่ใจ

"อืม" จ้าวหย่งฟงพยักหน้ารับกับคำพูดของตน

"เอ่อ...มันจะดีหรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อยังคงถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง หากให้มองร่างกายเปลือยเปล่า ความอดทนอดกลั้นคงได้ขาดสะบั้นเป็นแน่

"ทำไมถึงถามย้ำไปย้ำมาเช่นนี้ หรือเจ้ารังเกียจข้าจริงๆกันแน่" น้ำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจของจ้าวหย่งฟงทำให้ อวี๋เหวินเต๋อต้องถอนหายใจออกมา แล้วยอมทำตามสิ่งที่จ้าวหย่งฟงต้องการ

"เฮ้อ~ เข้าใจแล้วขอรับ เอาที่พระองค์สบายใจแล้วกัน แต่หากเกิดอะไรขึ้นจะโทษข้าน้อยไม่ได้นะ" อวี๋เหวินเต๋อพยักหน้ารับ กล่าวเสียงเบาเพื่อให้ตนได้ยินเพียงคนเดียว

"เจ้าว่าอะไรนะ" จ้าวหย่งฟงได้ยินเสียงคล้ายอวี๋เหวินเต๋อกล่าวอะไรบางอย่างจึงเอ่ยถามออกไป

"ไม่มีอะไรขอรับ เชิญองค์ชายทำตามที่ใจปรารถนาเถอะขอรับ" จ้าวหย่งฟงกล่าวพร้อมรอยยิ้มพร้อมกับเดินไปนั่งที่เก้าอี้

จ้าวหย่งฟง จึงปลดเปลื้องอาภรณ์บนกายออกทีละชิ้น โดยมีสายตาของอวี๋เหวินเต๋อจับจ้องอย่างไม่วางตาตามที่จ้าวหย่งฟงต้องการ

"เจ้าอย่าจ้องเช่นนั้น" จ้าวหย่งฟงรู้สึกถึงสายตาของอวี๋เหวินเต๋อที่ดูร้อนแรงกว่าปกติจนเขาอยากจะสวมเสื้อผ้ากลับเข้าที่เดิมเสียตอนนี้

"ข้าน้อยแค่ทำตามที่องค์ชายสั่งเท่านั้น ว่าแต่รอยช้ำค่อนข้างเยอะนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อสังเกตุเห็นรอยฟกช้ำที่บริเวณหัวไหล่ หลัง ช่วงเอว จึงลุกเดินมาหยุดตรงหน้าจ้าวหย่งฟง อย่างอดไม่ได้

"โดนพี่สี่ทุบตี ตอนโดนจับตัว อ๊ะ!" จ้าวหย่งฟงกล่าวออกไปเสียงสั่นเมื่อปลายนิ้วของ อวี๋เหวินเต๋อสัมผัสกับร่างกายตนทางด้านหลัง ปลายนิ้วสาก ค่อยๆลากจากหัวไหล่ ไล่ลงมาที่หลัง แล้วจบลงที่เอว ลมหายใจอุ่นๆรินรดต้นคอ จนทำให้เขารู้สึกหายใจติดขัด

"ข้าน้อยได้ยาดีมาจากเหม่ยฟาง ข้าน้อยจะทาให้นะขอรับ" ว่าจบอวี๋เหวินเต๋อจึงดันหลังให้จ้าวหย่งฟงเดินไปนั่งเก้าอี้ที่เจาเคยนั่ง จากนั้นเขาก็หยิบตลับยาจากสาบเสื้อ ขึ้นมาทาบนรอยฟกช้ำให้จ้าวหย่งฟง ปลายนิ้วค่อยๆแต้มยาลูบไล้ไปตัวรอยฟกช้ำ ตัวยาเย็นๆทำให้จ้าวหย่งฟงรู้สึกหวิวแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

"พี่อวี๋ พอเถอะ ที่เหลือข้าทำต่อเอง" จ้าวหย่งฟงแตะบนหลังมือที่กำลังทายาให้ตน เพื่อให้หยุดการกระทำนั้น

"ทายาด้านหลังคงลำบาก ให้ข้าน้อยทำเถอะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อยังคงทายาต่อไม่ยอมหยุดมือตามที่จ้าวหย่งฟงบอก

"พี่อวี๋" จ้าวหย่งฟงร้องเรียกเสียงอ่อนสีหน้าลำบากใจ

"ว่าอย่างไรหรือขอรับ" เสียงกระซิบข้างหูทั้งลมหายใจร้อนๆที่เป่ารดลงมาที่ต้นคอทำให้จิตใจของจ้าวหย่งฟงกระสับกระส่าย

"พอเถอะ ข้าจัดการเองได้" จ้าวหย่งฟงเบี่ยงตัวหลบมือที่กำลังทายาให้ตน แต่กับถูกสองมือหนากดช่วงเอวไว้ไม่ให้ขยับไปไหนทางด้านหลัง

"คิดยั่วข้าน้อย แล้วเปลี่ยนใจตอนนี้ มันไม่สายไปหน่อยหรือขอรับ" จ้าวหย่งฟงยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหู

"ยั่ว! ใครยั่วเจ้ากัน ข้าแค่อยากพิสูจน์ว่าเจ้าไม่รังเกียจข้าที่เป็นบุรุษต่างหาก" จ้าวหย่งฟงเอ่ยเสียงติดขัด

"แต่ ไม่ควรเล่นกับไฟนะขอรับ องค์ชายน่าจะรู้ว่าข้าน้อยเริ่มสนใจในตัวพระองค์ ดังนั้นก็ยิ่งไม่ควรถอดเสื้อผ้าต่อหน้าบุรุษที่บอกว่าสนใจตนนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อมีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าขณะที่มองใบหน้าที่กำลังสลับสีของจ้าวหย่งฟง

"ก็...เจ้าทำท่ารังเกียจข้า" จ้าวหย่งฟงมุ่ยหน้าอย่างไม่ชอบใจ

"ฟังให้ดีนะขอรับ ข้าน้อยไม่เคยนึกรังเกียจองค์ชายแม้แต่น้อย แต่ที่ข้าน้อยทำเช่นนั้นเป็นเพราะ ข้าน้อยกำลังหักห้ามใจไม่ให้จับกดองค์ชาย" สองมือหนาสอเข้ารัดรอบเอวอย่างถือวิสาสะ พร้อมกับกดจมูกลงไปที่ซอกคอขาว

"อะ อวี๋ เหวิน เต๋อ! เจ้า..." จ้าวหย่งฟงร้องเรียกชื่อคนด้านหลังเสียงดังด้ใยความตกใจ

"หึหึ ใส่เสื้อผ้าเถอะขอรับ ข้าน้อยไม่ทำอะไรองค์ชายหรอก" ว่าจบอวี๋เหวินเต๋อจึงดึงเสื้อขึ้นมาคลุมไหล่ให้ตามเดิม

"พี่อวี๋..."

"ขอรับ"

"เจ้าชอบข้าจริงๆใช่ไหม" จ้าวหย่งฟงเอ่ยถามให้แน่ใจ

"แน่สิขอรับ ข้าน้อยออกไปรอด้านนอกนะขอรับ ก่อนที่ข้าน้อยจะอดใจไว้ไม่ไหว" อวี๋เหวินเต๋อขอตัวออกไปด้านนอกเพื่อระงับอารมณ์ของตนเอง

"พะ พี่อวี๋"

"ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อที่กำลังจะก้วออกประตูต้องชะงักเมื่อถูกเรียกเอาไว้ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ

"คือว่านะ..." จ้าวหย่วฟงเอ่ยเสียงติดขัด กล้าๆกลัวๆ

"ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อยังคงยิ้มรับรอฟังคำพูดจากจ้วหย่งฟง

"ไม่ต้องอดทนก็ได้นะ" สิ้นคำ ใบหน้าจ้าวหย่งฟงก็กลายเป็นสีแดงดั่งลูกตำลึงสุก

"ห๊ะ!!! เมื่อกี้องค์ชายว่าอย่างไรนะ" อวี๋เหวินเต๋อถามซ้ำเพื่อให้ตนแน่ใจ นี่เขาฟังอะไรผิดไปหรือเปล่านะ

"ก็บอกไปแล้วไง" จ้าวหย่งฟงเริ่มทำเสียงดังเมื่อถูกอวี๋เหวินเต๋อถามซ้ำ

"ฮ่าๆ องค์ชายพูดผิดพูดใหม่ได้นะ" เสียงหัวเราะกับคำพูดเชิงหยอกล้อทำให้จ้าวหย่งฟงหน้างอขึ้นมาทันที

"นี่ เจ้า หัวเราะอะไร" จ้าวหย่งฟงขึ้นเสียงเมื่อถูกหัวเราะใส่ เขาอุตส่าห์ทำใจกล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมา

"เปล่าขอรับ แค่ไม่คิดว่าองค์ชายกจะมีมุมเช่นนี้เหมือนกัน"

"หมายความว่าไง" จ้าวหย่งฟงรู้สึกอับอายกับสิ่งที่เกิดคิด เขาคิคผิดจริงๆที่เอ่ยปากออกไป

"องค์ชาย อย่าเข้าใจผิดนะขอรับ ข้าน้อยแค่คิดว่าหากองค์ชายแน่ใจกับสิ่งที่พูดออกมาจริงๆแล้วล่ะก็..."

"ก็อะไร" จ้าวหย่งฟงหรี่ตามคนตรงหน้ามี บัดนี้มีจุดรอยยิ้มอยู่ที่มุมปาก

"ก็...อย่าคิดเปลี่ยนใจทีหลัง เพราะถึงบอกให้หยุดข้าน้อยคงหยุดไม่ได้แล้ว" สายตาร้อนแรงดั่งไฟปรารถนากำลังลุกโชนนำพาให้อวี๋เหวินเต๋อเดินตรงเข้าไปช้อนร่างของจ้าวหย่งฟง แล้วพาไปยังเตียง

"เจ้า...จะทำจริงๆหรือ" จ้าวหย่งฟงเกิดความลังเลขึ้นมา

"เปลี่ยนใจตอนนี้คงไม่ทันแล้วขอรับ เพราะข้าน้อยเตือนองค์ชายแล้วแต่องค์ชายแล้วแต่พระองค์ไม่ฟังข้าน้อยเอง" อวี๋เหวินเต๋อยิ้มกริ่ม โน้มใบหน้าเข้าหาจ้าวหย่งฟงอย่างตั้งใจ ริมฝีปากหนาประทับเข้ากับปากบางสีเชอรี่ของจ้าวหย่งฟงเบาๆ แล้วเพิ่มแรงบดเบียดลงไปอย่างหนักหน่วง ร่างสองร่างแนบชิดจนไม่มีช่องว่าง ทั้งสองกอดก่ายไปมา ก่อนที่อวี๋เหวินเต๋อจะชะงักค้างถอนริมฝีปากถอยห่างออกมา

"พี่อวี๋" เสียงแหบพร่าของจ้าวหย่งฟงเรียกร้องหาอวี๋เหวินเต๋อ อย่างนึกเสียดายที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไป

"วันนี้อย่าเพิ่งเลยดีกว่าขอรับ องค์ชายยังมีรอยช้ำตามร่างกายอยู่หากกระทำการมากกว่านี้คงไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย รอให้องค์ชายหายดีเสียก่อนนะขอรับแล้วเราค่อยมาต่อจากนี้กัน" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวออกไปอย่างที่เขาคิด

"แต่ ถ้าเจ้าหยุดตอนนี้ แล้วข้าจะทำอย่างไร ข้า...." จ้าวหย่งฟงเอ่ยเสียงเบา ก้มมองส่วนล่างของตนที่มีปฏิกิริยากับรสจูบของอวี๋เหวินเต๋อ

"ต้องการหรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อมองส่วนที่กำลังพองขยายของจ้าวหย่วฟง

"ก็ข้ารู้สึกดีกับรสจูบของเจ้านี่นา" จ้าวหย่งฟงก้มหน้าเอ่ยคำพูดให้อวี๋เหวินเต๋อได้ยิน

"เฮ้อ~ มาขอรับข้าน้อยช่วยใช้มือกับสิ่งนั้นให้" อวี๋เหวินเต๋อขยับลุกขึ้นซ่อนหลังจ้าวหย่งฟงก่อนใช้มือกอบกุมจุดอ่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

"อ๊ะ...อื้อ...อ๊า" เสียงครวญครางของจ้าวหย่งฟงดังไปพร้อมกับแรงขยับมือของอวี๋เหวินเต๋อ เพียงไม่นานนักจ้าวหย่งฟงก็ไปถึงฝั่งฝันของตนเอง

"รู้สึกดีสินะ" อวี๋เหวินเต๋อถามด้วยรอยยิ้ม

"อืม" จ้าวหย่งฟงยังคงเคลิ้มกับสิ่งที่ตนได้รับจากอีกฝ่ายจึงเผลอตอบไปตามความรู้สึกของตนเองโดยไม่ปิดบัง ก่อนจะผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของอวี๋เหวินเต๋อ

"เฮ้อ~ ท่านอย่ายั่วข้านักเลย ท่านรู้ไหมคำพูดของท่านมันมีผลต่อจิตใจข้ามากแค่ไหน แต่ข้าจะรอวันที่ท่านตั้งการมากกว่านี้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะทำให้ท่านมีความสุขจนบืมช่วงเวลานั้นไม่ลงเชียว" พูดจบอวี๋เหวินเต๋อก็จุมพิตที่ผากของจ้าวหย่งฟง ก่อนจัดท่าทางการนอนให้อีกฝ่ายให้สบายขึ้นกว่าเดิม...
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 28 จ้าวหย่งฟง) {16-09-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 16-09-2017 15:43:41
องค์ชายช่างอ้อน ช่างยั่วพี่เขาเหลือเกิน รอให้หายฟกช้ำก่อนน่อ เราจะรอปูสาดชิดชอบเตียงเลย  :z1:
 :L1:  :pig4:  :L1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 28 จ้าวหย่งฟง) {16-09-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 16-09-2017 23:32:34
คู่องค์รักษ์องค์ชายนี่ช่างไวไฟยิ่ง แบบนี้ฮ่องเต้ต้องรีบประทานสมรสให้หรือไม่ 55 :hao6:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 28 จ้าวหย่งฟง) {16-09-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-09-2017 23:50:32
 :pighaun: :pighaun: :m11:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 29 การเปลี่ยนแปลง (ตอนท้าย)) {07-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 07-10-2017 14:44:50
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 29  การเปลี่ยนแปลง(ตอนท้าย)

เพล้ง!!!

ร่างบางของเหม่ยฟางถอยชนเข้ากับแจกันที่วางอยู่บนโต๊ะ หลังจากที่ตนขึ้นจากการแช่น้ำในอ่างอาบน้ำ เงาสะท้อนภายในน้ำเผยให้เห็นผิวกายที่เริ่มมีเกล็ดอ่อนๆขึ้นตามร่างกายภายใต้เสื้อผ้า แม้ตอนนี้ใบหน้าของตนจะยังไม่มีแต่อีกไม่นานมันจะต้องปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน

"ไม่จริง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของข้า ไหนว่าล้างคำสาปไปแล้วอย่างไร แล้วเกล็ดพวกนี้มันคืออะไร" เหม่ยฟางสัมผัสเกล็ดที่ขึ้นตามผิวกายด้วยความรู้สึกหดหู่

ปัง ปัง ปัง

"ฟาง ฟาง เกิดอะไรขึ้น ข้าได้ยินเสียงเหมือนอะไรหล่นแตก" จ้าวหย่งเจิ้งเคาะประตูเรียกด้วยความร้อนใจ เขาได้ยินเสียงเหมือนบางอย่างแตกหลังจากเหม่ยฟางเข้าไปอาบน้ำได้สักพัก

"มะ ไม่มีอะไร ข้าเผลอไปชนแจกันจนหล่นแตกเท่านั้น" เหม่ยฟางร้องตอบรีบสวมเสื้อผ้าให้เข้าที่

"เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ เปิดประตูให้ข้าเข้าไปดูเจ้าสักนิดสิ"

"มะ ไม่ ไม่ เจ้าไม่ต้องเข้ามา ข้ากำลังจะออกไปแล้ว" สิ้นเสียงเหม่ยฟางเปิดประตูออกจากห้อง ทั้งยังกระชับเสื้อผ้าให้เข้าที่กว่าปกติ เพื่อปกปิดรอยเกล็ดภายใต้เสื้อผ้า "เป็นอะไร หน้าเจ้าดูซีดๆไปนะ ไม่สบายหรือ" มือเย็นๆแตะเข้าที่ใบหน้าขาวด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกมือของเหม่ยฟางปัดออกอย่างไร้เยื่อใย แม้จ้าวหย่งเจิ้งจะรู้สึกแปลกใจที่ถูกทำเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไร

"ชะ ใช่ ข้ารู้สึกเพลียๆ อยากจะนอน" เหม่ยฟางรู้สึกตกใจที่ตนปัดมือของจ้าวหย่งเจิ้ง ตนจึงเอ่ยกลบเกลื่อนว่าตนอยากนอนเพื่อไม่ให้จ้าวหย่งเจิ้งเข้าใจผิด

"งั้นพักผ่อนเถอะ เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ต้องดูแลตนเองมากๆ" จ้าวหย่งเจิ้ง กดปลายจมูกลงบนหน้าผากของเหม่ยฟางอย่างอ่อนโยน ก่อนประคองอีกฝ่ายไปนอนพักผ่อนบนเตียง "เจิ้ง เจ้าออกไปนอนห้องอื่นได้ไหม" เหม่ยฟางกล่าวเสียงเบา เขาไม่อยากอีกฝ่ายเข้าใจว่าตนไม่อยากนอนร่วมกับอีกฝ่าย แต่คำพูดนั้นก็ทำให้จ้าวหย่งเจิ้งถึงกับตั้งคำถามขึ้นมา

"ทำไมล่ะ ข้าทำให้เจ้าไม่พอใจจนทำเจ้าไม่อยากให้ข้านอนด้วยหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาทำอะไรให้เหม่ยฟางไม่พอใจหรืออย่างไร

"มะ ไม่ใช่นะ แต่ข้าอาจทำให้เจ้าลำบาก"

"ลำบาก?"

"ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเหนื่อยมาดูแลข้า ข้า..."

"ลำบากอะไรกัน ข้ายินดีทำเพื่อเจ้าไม่ว่าจะลำบากเพียงใด ไปนอนเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มอบอุ่นใจให้กับเหม่ยฟาง สองมือค่อยๆประคองให้อีกฝ่ายนอนบนเตียง

"เจิ้ง กลับไปห้องของเจ้าเถอะ ถือว่าข้าขอร้อง" มือเรียวโอบกอดคนรักอย่างรักใคร่ก่อนผลักไสให้คนรักไปนอนที่อื่น จ้าวหย่งเจิ้งชั่งใจอยู่สักพักก่อนเอ่ยตกลงที่จะกลับไปห้องนอนของตน

"ตกลงข้าจะไป หากทำให้เจ้าสบายใจขึ้น" จ้าวหย่งเจิ้งลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องไป

เหม่ยฟางที่นอนอยู่ไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่น้อย หยดน้ำตามากมายหยดลงที่นอนอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงสะอื้นที่พยายามสะกดกลั้นทำให้ร่างทั้งร่างสั่นไปทั้งตัว

'เกิดอะไรขึ้นกับข้า ฮึกๆ ทำไมร่างกายข้าถึงเป็นเช่นนี้' เหม่ยฟางนอนครุ่นคิดสิ่งที่เกิด น้ำตาที่รินไหลออกมามากมายทำให้ร่างกายเริ่มอ่อนเพลียกว่าจะผล็อยหลับได้ก็เข้ารุ่งสาง

เช้าวันใหม่จ้าวหย่งเจิ้งตรงมาหาเหม่ยฟางที่ห้องอย่างเคยหากไม่ได้นอนที่ห้องเดียวกันโดยให้ขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่เป็นคนเฝ้าหน้าห้องเอาไว้

"เสี่ยวจื่อหยี่ ฟางเป็นเช่นไรบ้าง"

เสี่ยวจื่อหยี่ที่กำลังชะเง้อชะแง้ มองทางหน้าต่างห้องด้วยความเป็นห่วงเหม่ยฟาง ตนได้ยินเสียงร่ำไห้ของผู้เป็นนายอยู่เป็นระยะๆ จนเสียงนั้นเงียบไปช่วงใกล้รุ่งสาง ตนรู้สึกเป็นห่วงอย่างจับใจแต่ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้

"เรียนองค์ชาย ชายาเหม่ยฟางร่ำไห้ทั้งคืนเลยขอรับ พิ่งหลับไปเมื่อช่วงใกล้รุ่งสางนี่เอง"

"ร้องไห้?"

"ขอรับ"

"เจ้ามีอะไรไปทำก็ไปเถอะข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย" จ้าวหย่งเจิ้งโบกมือไล่ขันทีน้อยให้ออกไปก่อนตนจะสาวเท้าเข้าไปในห้องนอน "เอ่อ...คือ...ขอรับ" แม้ใจเสี่ยวจื่อหยี่จะกังวลแต่จำต้องทำตามคำสั่งถอยออกไป จากตรงนี้

แอ๊ด!!!

เสียงเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างเบามือ เพราะเกรงว่าคนในห้องจะตื่นขึ้นมาไล่ตนออกจากห้องดั่งเช่นเมื่อวาน เขาก้าวเท้าเข้ามาหยุดที่เตียงนอนซึ่งมีร่างบางนอนหลับ สีหน้าดูซูบซีดอิดโรย สาบเสื้อแหวกกว้างเผยให้เห็นผิวเนื้อขาวภายใต้ร่มผ้า แต่สิ่งที่ต้องชะงักเมื่อเห็นเกล็ดสีเขียวปรากฏตามผิวขาวๆนั้นด้วย

"นี่มัน..." มือหนายื่นเข้าไปแหวกสาบเสื้อให้กว้างขึ้นจนทำให้คนหลับต้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ

"อ๊ะ!!!" ดวงตาเรียวเบิกกว้าง สายตาที่จ้องมองเกิดความหวั่นไหวขึ้น รีบลุกขึ้นนั่งกระชับเสื้อผ้าเข้าหากายอย่างไม่เคยทำมาก่อน

"ฟาง เจ้าตกใจอะไร กลัวข้างั้นหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปลอบขวัญคนตกใจกลัว สายตาที่มองอย่างขลาดกลัวนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดีไปด้วย

"จะ เจิ้ง เจ้า...เห็นมันหรืเปล่า" เสียงสั่นๆเอ่ยถามด้วยความลังเล เขาไม่อยากให้คนรักเห็นความน่ารังเกียจของตน

"เห็นสิ" จ้าวหย่งเติ้งตอบตามจริงเขาไม่อยากโกหกว่าตนนั้นไม่เห็นสิ่งใดที่เหม่ยฟางพยายามจะปกปิด

"เห็น...." เสียงสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ของเหม่ยฟางยิ่งทำให้หัวใจของจ้าวหย่งเจิ้งยิ่งเจ็บปวด

"ฟาง ร่างกายของเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งคว้าหัวไหล่ทั้งสองของเหม่ยฟาง

"รังเกียจสินะ ร่างกายที่เป็นแบบนี้" เหม่ยฟางผลักไสร่างกายของอีกฝ่ายออกห่างจากตน

"ฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งเรียกเสียงอ่อน พยายามรั้งร่างเหม่ยฟางเข้าหาตนเอง

"ออกไป ออกไป!!!" เหม่ยฟางขึ้นเสียงดังออกปากไล่จ้าวหย่งเจิ้งทันทีเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายรังเกียจร่างกายของตน

"ฟาง"

"ออกไป!!!!" เหม่ยฟางเพิ่มระดับจนเสียงนั้นเหมือนการคำรามมากกว่าการเสียงาตะโกนไล่

"ฟาง เจ้าอย่าไล่ข้าแบบนี้สิ ข้าไม่เคยบอกว่าข้า" จ้าวหย่งเจิ้งสวมกอดเหม่ยฟางเมื่อเห็นว่าแรงผลักอ่อนลง

"ออกไปเถอะ อย่ามองร่างกายที่น่ารังเกียจเลย ขอร้องล่ะ ฮึกๆ" เหม่ยฟางหลั่งน้ำตาอีกครั้ง หลังจากที่สูญเสียความบริสุทธิ์ไป น้ำตาที่เคยเป็นไข่มุกกลับกลายเป็นหยดน้ำเหมือนคนปกติ ซึ่งมันทำให้เหม่ยฟางรู้สึกว่าตนเหมือนมนุษย์กว่าเมื่อก่อน แต่ความจริงหาใช่ไม่ เมื่อเกล็ดงูเกิดขึ้นตามผิวกายตน ความหวังที่อยากจะกลับมาเป็นมนุษย์ก็ดับลง

"ฟาง เจ้าฟังข้านะ ข้ารักเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไรข้าก็ยังรัก แม้เจ้าจะกลายเป็นปีศาจหรือไม่เจ้าก็คือเจ้า เชื่อใจข้าสิ ไว้ใจในความรักของข้าสิ" จ้าวหย่งเจิ้งกระชับอ้อมแขนขึ้นเพื่อส่งความรู้สึกที่จริงใจของตนไปให้ถึงจิตใจอันเศร้าหมองของเหม่ยฟาง

"เจิ้ง เจิ้ง ข้า...ฮือๆ...ข้าทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่ได้" เหม่ยฟางร้องไห้หนักขึ้นกว่าเก่าเขาไม่อยากเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจแบบนี้

"ฟางใจเย็นๆ มันต้องมีทางแก้ไข ข้าจะให้คนไปตามท่านนักพรตเจินหยวนมาที่นี่" ว่าจบ จ้าวหย่งเจิ้งตะโกนเรียกคนด้านนอกให้ออกไปตามนักพรตเจินหยวนมาหาตน . . . ใช้เวลาไม่นานนัก นักพรตเจินหยวนก็มาปรากฏตัวตรงหน้าจ้าวหย่งเจิ้งกับเหม่ยฟาง

"องค์ชาย ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรกับข้าน้อยหรือขอรับ" นักพรตเตินหยวนโค้งคำนับพร้อมเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ตนถูกเรียกมา สายตาเหลือบมองจ้าวหย่งเจิ้งที่ประคองกอดเหม่ยฟางไม่ห่าง

"ท่านนักพรตข้ามีเรื่องอยากจะถามท่าน" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าร้อนรน

"เรื่องถามข้าน้อย" นักพรตเจินหยวนเลิกคิ้วมองอย่างสงสัยจับจ้องใบหน้าของจ้าวหย่งเจิ้งกับเหม่ยฟางสลับกันไปมา

"เจ้าดูนี่สิ" จ้าวหย่งเจิ้งเปิดสาบเสื้อของเหม่ยฟางออกเพื่อให้นักพรตเจินหยวนเห็นเกล็ดงูที่เริ่มขึ้นตามร่างกายของเหม่ยฟาง

"เกล็ดงู" นักพรตเจินหยวนทำสีหน้าแปลกใจเพียงเล็กน้อยก่อนส่ายศีรษะไปมา

"เกิดอะไรขึ้นกับข้า หรือว่าคำสาปยังไม่คลาย" เหม่ยฟางเอ่ยถามใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว

"คำสาปนั้นได้คลายลงแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือชะตาของชายาเหม่ยฟาง"

"ชะตาของข้า" เหม่ยฟางทวนคำใบหน้าเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

"ยังจำเรื่องที่ข้าน้อยเคยเล่าให้ฟังได้หรือไม่ขอรับเกี่ยวกับตำนานมังกรเขียว" นักพรตเจินหยวนกล่าวถามด้วยใบหน้าราบเรียบ

เหม่ยฟางหวนคิดถึงเรื่องที่นักพรตเจินหยวนเล่าให้ฟัง เพียงไม่นานดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ

"เรื่องนั้น..." เหม่ยฟางคล้ายจะพูดบางอย่างแต่กับหยุดชะงักลงไม่ยอมพูดต่อ

"เรื่องอะไรกันตำนานมังกรเขียวอะไรกันทำไมบ้าไม่รู้เรื่อง ท่านนักพรตได้โปรดเล่าให้ข้าฟังทีเถอะ ท่านนักพรต" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเสียงอ่อนอ้อนวอนนักพรตเจินหยวน

"องค์ชายข้าน้อยบอกได้เพียงแค่ว่า หลังชายาเหม่ยฟางตั้งครรภ์ จะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่ทำให้ต้องเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับพวกท่านทั้งสอง" นักพรตเจินหยวนเอ่ย แม้จะมีคำบางคำที่ฟังไม่เข้าใจแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเหม่ยฟางตั้งครรภ์

"ที่แท้ร่างกายฟางเป็นเช่นนี้เป็นเพราะตั้งครรภ์สินะ ดีจังนะฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งหันไปส่งยิ้มอ่อนให้เหม่ยฟาง แต่ใบหน้าของเหม่ยฟางกับไร้สีเลือดจนน่าตกใจ

"อืม" เหม่ยฟางพยักหน้าตอบรับแม้ตะส่งยิ้มกลับมาแต่รอยยิ้มกับดูฝืดฝืนใจที่จะยิ้ม

"เจ้าเป็นอะไร เจ้ากังวลสิ่งใด"

"ไม่มีอะไร ข้าแค่..."

"ไม่ต้องกังวลนะ ท่านนักพรตก็บอกแล้วนี่ว่าที่เจ้าเป็นเช่นนี้เพราะตังครรภ์หากเจ้าให้กำเนิดแล้วจะกลับเป็นเช่นเดิม ใช่ไหมท่านนักพรต" จ้าวหย่งเจิ้งยังคงยิ้มให้กับทั้งสองคน

"ใช่ขอรับ หากไม่มีอะไรแล้วข้าน้อยขอตัว ขอให้ชายาเหม่ยฟางโชคดี" นักพรตเจินหยวนกล่าวขอตัวกลับอารามหลวง

"ฟาง อาการเจ้าดูไม่ค่อยดี ข้าชักกังวลแล้วสิ เจ้าดูซูบซีดไปนะ ให้ข้าตามหมอหลวงดีไหม" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าว หลังจากนักพรตเจินหยวนกลับไปใบหน้าของเหม่ยฟางก็ดูซีดขึ้นมากกว่าเก่าจนเขากังวล

"เจิ้ง ข้า...ไม่เป็นไร ไม่ค้องตามหมอหลวงหรอก" เหม่ยฟางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน

"เช่นนั้นเจ้าพักผ่อน ข้ามีธุระต้องไปทำ" จ้าวหย่วเจิ้งก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของเหม่ยฟางแล้วดันร่างบางให้นอนลง ดึงผ้าห่มคลุมกายอีกฝ่าย แล้วเดินออกจากห้อง

เมื่อพ้นประตูห้องนอนออกมาจ้าวหย่งเจิ้งก้าวเท้าไปยังโถงกลางที่พ้นรัศมีการได้ยินของเหม่ยฟาง

"เสี่ยวจื่อหยี่!!! เสี่ยวจื่อหยี่!!!" จ้าวหย่งเจิ้งออกปากตะโกนเรียกขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ด้วยเสียงอันดัง เสี่ยวจื่อหยี่เองเมื่อได้ยินเสียงเรียกจึงรีบกุลีกุจอมายังโถงกลาง

"องค์ชายข้าน้อยอยู่นี่ มีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้" เสี่ยวจื่อหยี่เอ่ยถามเสียงเรียบแม้จะตกใจที่ถูกตะโกนเรียกชื่อเสียเสียงดังแต่เขาก็รู้จักเก็บอาการเป็นอย่างดี

"ไปนามอวี๋เหวินเต๋อที่ตำหนักน้องห้า แล้วพาไปที่หอคำภีร์หลวง ข้าจะรออยู่ที่นั่น" จ้าวหย่งเจิ้งออกคำสั่ง แล้วเดินออกไป โดยไม่ฟังคำซักถามใดๆจากเสี่ยวจื่อหยี่

หอคำภีร์หลวง

เสี่ยวจื่อหยี่ที่ได้รับคำสั่งให้ไปตามองครักษ์คู่กายอย่างอวี๋เหวินเต๋อที่ตำหนักองค์ชายห้า รีบนำทางอวี๋เหวินเต๋อมายังหอคำภีร์อย่างเร่งด่วนตามคำสั่งผู้เป็นนาย

"เรียนชายข้าน้อยพาองครักษ์อวี๋มาแล้วขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่กล่าวรายงานเมื่อมาถึง

"องค์ชายมีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามผู้เป็นนาย

"ข้าอยากให้เจ้าสองคนช่วยข้าค้นหาบันทึกมังกรเขียว" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาคิดว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเหม่ยฟางอย่างแน่นนอน

"บันทึกมังกรเขียว" อวี๋เหวินเต๋อทวนคำ ส่วนเสี่ยวจื่อหยี่ได้แต่มองตาปริบๆเพราะหอคำภีร์มีทั้งหนังสิออยู่มากมายเกินจะนับไหว

"ใช่บันทึกมังกรเขียว พวกเจ้าทั้งสองจะต้องช่วยข้าหา" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งก็เดินตรงไปตามชั้นหนังสือเพ่อเปิดหาหนังสือที่ต้องการ

"เอ่อ...องครักษ์อวี๋" เสี่ยวจื่อหยี่ยื่นมือไปสะกิดอวี๋เหวินเต๋ออย่างเสียมารยาทด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

"มีอะไรหรือ"

"ให้ข้าเริ่มหาจากตรงไหนหรือ คือมันเยอะมากและที่นี้ก็กว้างมากข้าเลยไม่รู่จะเริ่มจากตรงไหนดี" เสี่ยวจื่อหยี่เอ่ยยิ้มๆ

"นั่นสินะ งั้นเจ้าไปด้านขวา ส่วนข้าจะไปด้านซ้าย" อวี๋เหวินเต๋อบอกทิศทางที่จะเริ่มค้นหาหนังสือก่อนเดินไปตามด้านที่ตนต้องหา

"ถึงจะบอกด้านขวาแต่มันใช่ว่าข้าจะเริ่มถูกนะขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่บ่นอุบ แต่ก็ยอมเดินไปค้นดูหนังสือตามชั้นแต่โดยดี "ฮือๆ แล้วเมื่อไหร่มันจะเจอกันล่ะเนี่ย" เสี่ยวจื่อหยี่เบ้ปากบ่นกับตนเอง

"หาอะไรกันหรือให้ข้าช่วยหาไหม" เสียงแสนคุ้นๆหูดังขึ้นข้างหลังเสี่ยวจื่อหยี่ จนทำให้เสี่ยวจื่อหยี่สะดุ้งตกใจหันมาตีคนทักด้วยหนังสือที่ตนลูบคลำๆทันที

"ว๊ากกกกกก....ผัวะ ผัวะ ผัวะ"

"โอ๊ยๆ หยุดๆ ข้าเจ็บนะ" มือหนาคว้าข้อมือขันทีน้อยไว้มั่น เพื่อให้คนที่เอาหนังสือตีตนให้รู้ว่าเป็นใคร เมื่อขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ตั้งสติได้ และรู้ว่าตนตีใครก็ถึงเข่าอ่อนกัรเลยทีเดียว

"อง องค์ชายสาม ข้าน้อยขออภัย ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจ ข้าน้อย..." เสี่ยวจื่หยี่คุกเข่าขออภัยโทษด้วยความหวาดกลัวใครจะไปคิดว่าคนที่ตนตีไปจะเป็นองค์ชายสามจ้าวหย่งเฝิงกันล่ะ

"ช่างเถอะ ข้าผิดเองที่ไปพูดใกล้ๆเจ้าทางด้านหลัง" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจเพ่งพินิจขันทีน้อยที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าเนื้อตัวสั่นเทา

"มิได้ขอรับ ข้าน้อยต่างหากที่ผิด"

"เงยหน้าขึ้นสิ เจ้าชื่ออะไรทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้า เพิ่งมาใหม่หรือไง"จ้าวหย่งเฝิงสั่งให้เสี่ยวจื่อหยี่เงยหน้าขึ้นมองตนเพื่อตอบคำถาม

"ข้ามีนามว่าเสี่ยวจื่อหยี่ขอรับ ข้าน้อยเป็นขันทีข้างกายองค์ชายรองตั้งแต่ช่วงต้นหนาวขอรับราวๆปีเศษ" เสี่ยวจื่อหยี่ตอบด้วยน้ำเสียงสั่น เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ขององค์ชายมาไม่น้อย ที่หากไม่พอใจใครจะสั่งประหารทันที หรือหากเบาหน่อยก็เพียงแค่สั่งโบย

"ว่าแต่เจ้ากำลังหาสิ่งใด ข้าเห็นพี่รอง กับพวกเจ้าเข้าที่นี่ จึงตามเข้ามาดู" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวดวงตายังคงเพ็งพินิจใบหน้าขาวของขันทีน้อยตรงหน้าอย่างพิจารณา

'หน้าตาใช้ได้เลยแฮะ' จ้าวหย่งเฝิงคิดในใจแอบลอบยิ้มมุมปากเพียงเล็กอย่างพึงพอใจ

"เรียนองค์ชายข้าน้อยกำลังช่วยองค์ชายรองตามหาบันทึกมังการเขียวขอรับ"

"บันทึกมังกรเขียว อ่อ เล่มนั้นสินะ" จ้าวหย่งเฝิงทำท่านึกก่อนเอ่ยขึ้นมาเหมืนรู้จักหนังสือเล่มนั้น

"องค์ชายทรงรู้หรือขอรับว่าบันทึกนั่นอยู่ที่ไหน" รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสี่ยวจื่อหยี่ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาจ้าวหย่งเฝิงชักติดใจ

"อืม เมื่อ2-3วันก่อนข้าเอากลับไปอ่านที่ตำหนัก เจ้าต้องการมันไหมล่ะ"

"ขอรับ บันทึกนั่นน่าจะสำคัญกับ องค์ชายรอง" เสี่ยวจื่อหยี่ยิ้มตอบรับ โชคดีจริงที่ตนไม่ค้นหาอีกต่อไป

"ไปเอาที่ตำหนักข้าสิ" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวชักชวนพร้อมรอยยิ้มแฝงความใน

"ขอรับ แต่ข้าน้อยคงต้องขอตัวไปบอกกล่าวองค์ชายรองก่อนที่จะไป" ยังไม่ทันที่จะได้ไปบอกผู้ใดมือหนาก็คว้าข้อมือของเสี่ยวจื่อหยี่เอาไว้

"ไม่ต้องไปบอกหรอก เจ้าไม่อยากให้พี่รองของข้าดีใจหรือที่เจ้าสามารถหาบันทึกนั่นมาคืนได้ ไปเถอะมากับข้า" ว่าจบจ้าวหย่งเฝิงก็ดึงมือเสี่ยวจื่อหยี่ออกไปกับตนเอง โดยไม่มีใครสังเกตุเห็น

.

.

.

จ้าวหย่งเจิ้งค้นหาบันทึกอยู่หลายชั่วยามก็หาไม่เจอ เขาได้แต่ยืนมองชั้นหนังสือที่ตนได้ค้นหาไปแล้วกว่าครึ่งก่อนทอดถอนหายใจออกมา

"องค์ชาย องค์ชายข้าน้อยเจอแล้วขอรับ ข้าน้อยเจอแล้ว" อวี๋เหวินเต๋อวิ่งถือสมุดบันทึกตรงมาหาจ้าวหย่งเจิ้งด้วยรอยยิ้ม

"จริงหรือไหนเอามาให้ข้าดูหน่อยสิ" จ้าวหย่งเจิ้งคว้าสมุดบันทึกมาเปิดออกอย่าวรวดเร็ว จนมาถึงหน้าหน้าหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึง การตั้งครรภ์ของมังกรเขียวที่มีใจความว่า

'มังกรเขียวทุกรุ่นที่ตั้งครรภ์โอรสมังกร เมื่อครบ 1เดือน ผิวกายจะแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดงู เพื่อสร้างเสริมพลังชีวิตให้แก่โอรสในครรภ์ ครบ 4 เดือนท้องน้อยจะขยายอย่างชัดเจน เกล็ดงูเริ่มเด่นชัด ครบ 6 เดือน จะมีอาการง่วงเหงาหาวนอนมากกว่าปกติ ครบ 9 เดือน หลังคลอดโอรสมังกรได้ 7วัน ร่างกายส่วนล่างกลายเป็นหางงู มีอาการป่วยแทรกซ้อน การนอนหลับยาวนานจนเกินความจำเป็น....' มือทั้งสองของเขาเริ่มสั่นเทาเมื่ออ่านไล่ตัวอักษรลงมาเรื่อยๆ แต่สิางทำให้ใจของเขาหล่นวูบลงไปคงเป็น

'ไม่เคยมีมังกรเขียนตนไหนมีชีวิตยืนยาวหลังคบอดโอรสมังกร เกิน 1เดือน' หนังสือในมือร่วงหล่นพร้อมกับร่างของจ้าวหย่งเจิ้งที่ทรุดกายนั่งกับพื้น จนทำให้อวี๋เหวินเต๋อต้องตกใจ

"องค์ชาย องค์ชายเป็นอะไรขอรับ บันทึกนั่นบอกอะไรไว้หรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเข้าพยุงร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของผู้เป็นนายด้วยความตกใจ

"ไปอารามหลวง พาข้าไปอารามหลวง" สิ้นคำ อวี๋เหวินเต๋อจึงพยุงจ้าวหย่งเจิ้งออกจากหอคัมภีร์เพื่อไปยังอารามหลวงต่อไป

"องค์ชายแล้วเสี่ยวจื่อหยี่ล่ะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อนึกสงสัยที่เสี่ยวจื่อหยี่หายตัวไป

"คงกลับไปแล้ว พาข้าไปอารามหลวงเถอะ ข้ามีเรื่องจะถามท่านนักพรตเจินหยวน"

"ขอรับ"

"มันต้องมีทางช่วยฟางสิ" จ้าวหย่งเจิ้งบ่นกับตนเอง ก่อนเดินทางไปอารามหลวงเพื่อถามหาวิธีแก้ไขเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น  "ฟาง ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรไปแน่ ข้าสัญญา"

**********************************************************
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 29 การเปลี่ยนแปลง (ตอนท้าย)) {07-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-10-2017 19:30:26
หลานฟางอย่าเป็นไรนะ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 29 การเปลี่ยนแปลง (ตอนท้าย)) {07-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 14-10-2017 07:43:53
เนื้อเรื่องอาจจะอ่านแล้วรู้สึกติดขัดบ้าง ไม่ค่อยลื่นไหล  แต่โดยรวมก็สนุกมากครับ เป็นกำลังใจให้คนแต่งน้าา
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 29 การเปลี่ยนแปลง (ตอนท้าย)) {07-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-10-2017 20:13:39
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 29 การเปลี่ยนแปลง (ตอนท้าย)) {07-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 15-10-2017 07:53:49
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 29 การเปลี่ยนแปลง (ตอนท้าย)) {07-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-10-2017 11:46:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 30 เมื่อรักต้องพลัดพราก ) {15-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 15-10-2017 18:10:09
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 30 เมื่อรักต้องพลัดพราก

ร่างสูงโปร่งของจ้าวหย่งเจิ้งจำต้องหยุดยืนอยู่หน้าอารามหลวงด้วยความลังเล ความลังเล ที่เกิดจากความกลัวที่จะได้รับรู้ความจริงบางอย่างที่เหมือนกับในสมุดบันทึก

"องค์ชายไม่เข้าไปด้านในหรือขอรับ"อวี๋เหวินเต๋อถามผู้เป็นนายอย่างสงสัยใคร่รู้

"ข้ารู้สึกไม่แน่ใจแล้วสิ ข้ากลัวคำตอบ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยเสียหน้าหดหู่

"องค์ชายหากต้องการทราบความจริงก็ต้องเข้าไปนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเตือนสิ่งที่ผู้เป็นนายอยากรู้

"นั่นสินะ เฮ้อ~" จ้าวหย่งเจิ้งถอนหายใจออกมาแรงๆ หนึ่งครั้ง ก่อนเบยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วสาวเท้าเข้าไปด้านในพร้อมองครักษ์หนุ่มคู่ใจ

"องค์ชายรอง ข้าคาดไว้อยู่แล้วเชียวว่าท่านต้องมาหาข้า" นักพรตเจินหยวนกล่าวพร้อมรอยยิ้มขื่น

"ถ้าเช่นข้าคงไม่ต้องพูดให้มากความ ข้าขอถามท่านตรงนี้เลยแล้วกัน" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเปิดประเด็นที่เขามาในครั้งนี้

"ช้าก่อนขอรับหากอยากจะคุยเรื่องนี้เชิญที่ห้องรับรองด้านในน่าจะเหมาะสมกว่า" นักพรตเจินหยวนกล่าวชักชวน ซึ่งจ้าวหย่งเจิ้งก็เห็นด้วยหากคุยกันในที่เช่นนี้คงไม่เหมาะจึงยินยอมตามเข้าไปด้านใน

จ้าวหย่งเจิ้งนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ตัวเมื่อเข้ามาในห้วรับรอง ซึ่งนักพรตเจินหยวนเองก็นั่งลงตรงข้ามกัน ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วจ้าวหย่งเจิ้งทนแรงกดดันจากอีกฝ่ายไม่ไหวจึงต้องเป็นฝ่ายกล่าวออกมาก่อน

"ข้าขอเข้าประเด็นเลยแล้ว"

"อวค์ชายต้องการทราบเรื่องใดโปรดถามมา" ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มของนักพรตเจินหยวน บัดนี้กับจางหายกลายเป็นใบหน้าราบเรียบจริงจังเข้ามาแทนที่

บรรกาศภายในห้องชวนอึดอัดเสียจนคนนอกจากอวี๋เหวินเต๋อเองแทยหายใจหายคอไม่ออก เขาจึงขออนุญาตผู้เป็นนายออกไปเฝ้าด้านนอกแทนที่จะอยู่ด้านใน

"ข้าอยากทราบเรื่องของเหม่ยฟาง"

"เรื่องชายาเหม่ยฟาง องค์ชายอยากทราบเรื่องใด" นักพรตเจินหยวนเอ่ยถาม

"มีวิธีแก้ไขหรือไม่"

"หากมีรักแท้ย่อมมีวิธีช่วยเหลือ" นักพรตเจินหยวนกบ่สวด้วยรอยยิ้มขื่นอีกครั้ง

"ข้ามีรักแท้ให้แก่เหม่ยฟางเสมอ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ข้าน้อยเคยเล่าให้ชายาเหม่ยฟางฟังว่า หากมีรักแท้ย่อมมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่มลายสิ้นหรือกลายร่างเป็นงูเขียว แต่ข้าน้อยไม่ได้บอกข้อแม้ของเรื่องนี้แก่พระชายาเหม่ยฟาง"

"ข้อแม้ ข้อแม้อะไร" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยสีหน้ามีความหวัง

"ชีวิตแลกชีวิต องค์ชายมีความเห็นเช่นไร" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าหมองเศร้า

"หมายความว่าอย่างไร"

"ชีวิตของพระองค์สามารถแลกกับพระชายาได้หรือไม่"

"ข้าสามารถแลกชีวิตกับเพื่อเหม่ยฟางผู้เป็นที่รักของข้าได้" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"อย่าใจร้อนไป เพราะมันไม่ได้ง่ายอย่างที่องค์ชายคิด หากพระชายาไม่ยอมรับสิ่งที่องค์ชายมอบให้นั่นหมายถึง การสูญเสีย อันยิ่งใหญ่เชียวนะขอรับ ลองคิดดูให้ดี องค์ชายจะเลือกความรัก หรือหน้าที่ ซึ่งผู้คนนับล้านต่างเฝ้ารอฮ่องเต้อย่างพระองค์ องค์ชายสามารถทอดทิ้งภาระหน้าที่ได้หรือไม่ " นักพรตเจินหยวนกล่าวน้ำเสียงจริงจัง

"ข้า...." ความคิดอยากช่วยเหม่ยฟางมีมากเท่าๆกับหน้าที่แห่งการเป็นกษัตริย์ที่ผู้คนนับล้านต่สงเฝ้ารอตนให้ขึ้นครองราช

"กลับไปคิดดูให้ดีแล้วค่อยมาให้คำตอบข้าน้อย ข้ายังไม่ได้เร่งรีบอะไรขนาดนั้น เวลายังอีกหลายเดือนนัก" ว่าจบนักพรตเจินหยวนก็ผายมือออกเป็นเชิญเสด็จกลับขององค์ชายจ้าวหย่งเจิ้ง จ้าวหย่งเจิ้งลุกขึ้นยืนอย่างคนไร้วิญญาณเฝ้าครุ่นคิดคำตอบตลอดการเดินทางกลับตำหนัก

"องค์ชาย กำลังคิดอะไรหรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามด้วยความเผ็นห่วงตั้งแต่องค์ชายกลับมาใบหน้าก็ดูเศร้าหมองลงจนน่าเป็นห่วง

"ข้า..." จ้าวหย่งเจิ้งคล้ายอยากจะพูดบางอย่างออกแต่ต้องชะงักคำพูด ก่อนส่ายหน้าไล่ให้อวี๋เหวินเต๋อออกไปด้านนอก จ้าวหย่งเจิ้งเดินเรื่อยเปื่อยจนถึงประตูห้องที่มีเหม่ยฟางนอนหลับพักผ่อนอยู่ด้านใน สองมือค่อยๆเปิดบานประตูอย่างแผ่วเบาเพื่อเข้าไปด้านใน

"เจิ้ง นั่นเจ้าหรือ" เสียงแหบพร่าอย่างคนเพิ่งตื่นเอ่ยถาม

"ข้าทำเจ้าตื่นหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งยังคงยืนอยู่หน้าประตูเพื่อรอดูท่าที เมื่อเห็นเหม่ยฟางส่ายหน้าตึงได้เดินเข้าไปนั่งข้างๆ บนเตียง

"ออกไปไหนมาหรือ" เหม่ยฟางเอนศีรษะซบอกของอีกฝ่าย

"ออกไป...เอ่อ... ข้าออกไปพบท่านนักพรตเจินหยวนมา" จ้าวหย่งเจิ้งตอบพร้อมส่งยื้มบางๆให้

"ถามเรื่องข้าหรือ" เหม่ยฟางแหงนหน้ามองอีกฝ่ายเพื่อรอคำตอบ

"ใช่ ข้าถามวิธี ทำให้เจ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม"

"แล้ว...ท่านนักพรตว่าเช่นไรมีวิธีช่วยไหม"

"มีสิ เจ้าสบายใจได้ ท่านนักพรตบอกข้าว่ามันเป็นผลพวงจากการตั้งครรภ์เท่านั้น หากเจ้าคลอด จะกลับเป็นเหมือนเดิม" จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มให้เพื่อให้เหม่ยฟางสบายใจ

"ถ้าเป็นอย่างเจ้าว่า ทำไมต้องทำคิ้วขมวดตลอดเวลาด้วย ตั้งแต่เข้ามาในห้อง เจ้าเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์ ไม่สบายใจอะไรบอกข้ามาเถอะ" เหม่ยฟางชี้ปลายนิ้วไปที่หว่างคิ้วของจ้าวหย่งเจิ้งเพื่อคลายปมที่ผูกติดกัน

"ฟาง หากเจ้าต้องเลือกระหว่างความรัก กับหน้าที่ เจ้าจะเลือกสิ่งใด" จ้าวหย่งเจิ้งรวบมือทั้งสองข้างของเหม่ยฟางมากุมไว้แล้วถามด้วยสีหน้าจริง จัง

"ข้าคงต้องดูที่เหตุผล ว่าเหตุใดข้าต้องเลือกความรัก เหตุใดข้าต้องเลือกหน้าที่" เหม่ยฟางถามด้วยรอยยิ้มบาง

"หากเลือกหน้าที่ ผู้คนนับล้านจะอยู่เย็นเป็นสุข แต่สูญเสียผู้ซึ่งเป็นที่รักตลอดกาล" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงขื่น

"ถ้าเช่นนั้นหากเลือกอีกอย่างทุกอย่างจะสลับกันใช่ไหม" เมื่อสิ้นคำถามจ้าวหย่งเจิ้งจึงพยักหน้ารับ "เช่นนั้นข้าคงเลือกหน้าที่ ผู้คนนับล้าน กับ คนคนเดียว ข้าจะเสียสละ ข้าจะเห็นแก่ตัวยึดติดกับคนคนเดียวไม่ได้"

"แม้คนที่เรารักจะตายงั้นหรือ"

"ใช่ หากข้าต้องตายข้ายินดีที่สามารถทำให้พสกนิกรของเจ้าอยู่เย็นเป็นสุข" เหม่ยฟางตอบพร้อมรอยยิ้ม

"แต่ข้าทนสูญเสียเจ้าไปอีกครั้งไม่ได้ เจ้ารู้ไหม วันที่ไม่มีเจ้าทำให้ข้าทุกข์แค่ไหน ถ้าเจ้าตาย ข้ายินดีตายพร้อมเจ้า ใครจะเป็นเช่นไรข้าไม่สน" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวทั้งน้ำตา เมื่อเห็นน้ำตาที่หลั่งเพื่อตน้หม่ยฟางเองก๋อดที่ร้องไห้ตามไม่ได้

"เจิ้ง เจ้าต้องทำหน้าที่ของเจ้าสิ อย่าเห็นแก่ตัวเพื่อข้า หน้าที่สำคัญที่สุด" เหม่ยฟางดึงมือทั้งออกมามือหนาของอีกฝ่าย แล้วยื่นไปจับใบหน้าคมเข้มที่หลั่งน้ำตาเพื่อตน

"ข้า ข้า จะอยู่เช่นไร ถ้าไม่มีเจ้า"

"แม้ข้าจะสิ้น ข้าจะคอยเป็นสายลมอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ" สิ้นคำทั้งคู่ต่างโอบกอดซึ่งกันและกันไว้อย่างโหยหาอาลัยอาวรณ์ แม้ไม่อยากพรากจาก แต่ต้องทำจำเพื่อจะแยกจากกันเมื่อถึงเวลา

เมื่อใจจำต้องเลือกจ้าวหย่งเจิ้งจึงต้องยอมรับชะตากรรมที่จะตาม แต่เวลานี้เขาขอเก็บโกยความสุขของกันและกันเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ไม่อยากให้วันเวลาเคลื่อนผ่านแต่เขาไม่อาจจะหยุดยั้งสายธารแห่งเวลานั้นได้ เขานับวันเวลาที่กำลังลดน้อยถอยลงทุกวัน ทุกวัน

ก่อนคลอด 2 เดือน จ้าวหย่งเจิ้งได้ขึ้นราชาภิเษก เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ภาระหน้ามากขึ้นจนแทบไม่มีเวลาให้กับเหม่ยฟางตลอดทั้งสัปดาห์ เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตใจของทั้งสองต่างพากันหดหู่ไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะจิตใจของเหม่ยฟาง ที่ต้องรับรู้ว่า การที่จ้าวหย่งเจิ้งขึ้นเป็นฮ่องเต้ต้องรับพระสนมเข้ามาในวังหลังมากมาย นั่นยิ่งทำให้ตนรู้สึกแย่เป็นสองเท่า ขณะที่เหม่ยฟางนั่งเหม่อลอยอยู่ในสวนเหล่านางสนมนับสิบก็เข้ามาทำความเคารพตน บ้างให้ความเคารพ บ้างมองด้วยสายตาหยามเหยียด เสียจนอยากจะควักลูกตาของพวกนางออก

"พวกเจ้ามาทำไมที่นี่" น้ำเสียงคมเข้มที่แล้วฟังเสียวสันหลังของจ้าวหย่งเจิ้งดังขึ้นด้านหลังพวกนาง

"เรียนฝ่าบาทพวกข้าน้อยมาเข้าเฝ้าว่าที่องค์ฮองเฮาเจ้าค่ะ" นางสนมคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

"ออกไป!!! พวกเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร ว่าที่นี่ห้ามคนนอกเข้ามา" เสียงตวาดของจ้าวหย่งเจิ้งทำให้พวกนางตัวสั่นเหมือนลูกนกพากันถอยหนีในทันที

"ดีนะ นางสนมพวกนั้นหน้าตาสะสวยคงทำให้เจ้ามีความสุขมาก" เหม่ยฟางกล่าวลอยๆอย่างไม่ใส่ใจ

"ฟางเจ้าอย่าคิดมากนะ นางพวกนั้นข้าถูกยัดเยียดให้รับพวกนางเข้ามา ข้าไม่เคยยุ่งกับพวกนางแม้แต่น้อย" จ้าวหย่งเจิ้งเข้าโอบกอดทางด้านหลังเหม่ยฟาง"ถ้าเจ้าไม่ชอบใจข้าจะส่งพวกนางคืนกลับไปก็ได้ ความจริงข้าไม่ต้องการพวกนางแม้แต่น้อย ขอเพียงมีเจ้าอยู่ข้าไม่ต้องการใครทั้งนั้น" จ้าวหย่งเจิ้งกระชับมือให่แน่นขึ้น

"อย่าส่งพวกนางไปเลยหากไม่มีข้า เจ้าก็ยังมีพวกนางคอยปรนนิบัติรับใช้" เหม่ยฟางแตะมือลงบนมือของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการห้ามปราม เขาอยากให้มีใครสักคนอยู่ข้างจ้าวหย่งเจิ้งในวันที่ตนจากไป

"ข้าไม่ต้องการใครนอกจากเจ้า เจ้ารู้ไหมข้ารีบสะสางงานที่คั่งค้างจนเสร็จเพื่อให้2เดือนหลังจากนี้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ขอโทษที่ไม่มีเวลาให้เจ้า รู้ไหมข้าคิดถึงเจ้ามากแค่ไหน" วงแขนโอบกระชับร่างบางให้แน่นจึ้นเพื่อส่งมอบความรู้สึกให้แก่คนรัก

"ข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน"

"เข้าด้านในเถอะ ร่างกายเจ้าไม่ค่อยแข็งแรงอยู่" ว่าจบก็ประคองร่างเหม่ยฟางเข้าไปด้านในตำหนัก

"วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งหนัก ดูท้องข้าสิมันโตเสียจนน่าตกใจ หึหึ" เหม่ยฟางนั่งลงบนเตียงพร้อมจ้าวหย่งเจิ้งก่อนเอ่ยพร้อมหัวเราะในลำคอใช้มือลูบหน้าท้องเบาๆ จ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองหน้าท้องของคนรักก่อนเอนตัวแนบใบหน้าลงกับหน้าท้องของเหม่ยฟาง

"หากได้อยู่พร้อมหน้าคงจะดีไม่น้อย"

"นั่นสินะ" รอยยิ้มบางๆแต้มขึ้นบนใบหน้าแต่จิตใจกลับรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจอยู่เคียงข้างกันและกัน ภายในห้องต่างมีความรู้สึกอันดีให้กัน แม้ไม่ต้องพูดจาใดๆก็สามารถรับรู้ได้ บรรยากาศอบอ่วนไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นนั้นถ่ายทอดให้ทั้งสองได้ซึมซับจนกว่าจะแยกจาก ในคืนนั้นเองเหม่ยฟางเกิดอาการเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนด

"โอ๊ย เจิ้ง เจิ้ง โอ๊ย" มือบางสะกิดคนรักที่นอนอยู่ข้างๆให้ตื่น ขณะที่ร่างการช่วงล่างแปรเปลี่ยนหางงูขนาดใหญ่สะบัดไปมาด้วยความเจ็บปวด จ้าวหย่งเจิ้งรู้สึกตัวตื่นหลังถูกสะกิด ทั้งยังมีเสียงข้าวของหล่นแตกจนทำให้เขาแปลกใจ "ฟาง เกิดอะไรขึ้น"

"เจิ้งข้าเจ็บท้อง เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ ข้ากลัวเจ้าเป็นอันตราย" เหม่ยฟางบอกด้วยความเป็นห่วง

"แต่ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ตามลำพังได้อย่างไร"

โครม!!!!

หางงูตวัดไปมาจนหน้ากลัว เหม่ยฟางรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย เจาไม่สามารถบังคับหางทึ่ตวัดกวัดแกว่งด้วยความเจ็บปวดไปได้

"เจิ้ง ออกไป ออกไป!!!" เหม่ยฟางตวาดเสียงดัง ไล่อีกฝ่ายออกไปให้ห่างตน จ้าวหย่งเจิ้งมีท่าทีลังเลแต่ก็ยอมออกไปแต่โดยดี

"เสี่ยวจื่อหยี่ เสี่ยวจื่อหยี่" จ้าวหย่งเจิ้งออกปากตะโกนเรียกขันทีน้อย แต่ไร้วี่แววการตอบรับ มีเพียงขันทีคนอื่นเข้ามาแทน

"ฝ่าบาทมีสิ่งใดให้รับใช้หรือขอรับ"

"เสี่ยวจื่อหยี่ ไปไหน" น้ำเสียงติดหงุดหงิดเอ่ยถาม

"เรียนฝ่าบาทเสี่ยวจื่อหยี่ ป่วยไม่ได้ทำงานมาหลายเดือนแล้วขอรับ"

"ป่วย เอาเถอะส่งหมอหลวงไปดูอาการหน่อยแล้วกัน แต่ตอนนี้เจ้าไปแจ้งแก่ท่านนักพรตเจินหยวนทีนะว่าเหม่ยฟางกำลังจะให้กำเนิดโอรสแก่ข้า" แม้น้ำเสียงจะติดยินดีอยู่บ้างแต่จิตใจบางส่วนกับรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก ใช้เวลาไม่นานนักนักพรตเจินหยวนและคนอื่นๆก็เดินทางยังตำหนักพร้อมหน้า

"ฝ่าบาท"

"ท่านนักพรต ทำไมเหม่ยฟางถึงเจ็บท้องก่อนกำหนดล่ะแล้วแบบนี้ฟางจะไม่แย่หรือ"

"ใจเย็นๆก่อนฝ่าบาท"

"ข้าเย็นไม่ลงจริงๆ หากฟางเป็นอะไรระหว่างนี้ล่ะท่าน หมอหลวงก็เข้าไปดูแลไม่ได้ คนนอกก็เข้าไปไม่ได้ ฟางต้องทนเจ็บปวดต่อสู้เพียงลำพังเช่นนี้ จะให้ข้าเย็นลงได้อย่างไรกัน" เสียงดังโครมครามในห้องดังไม่หยุด ยิ่งทำให้จ้าวหย่งเจิ้งไม่สบายใจเป็นร้อยเท่าพันเท่า เขาเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอกเป็นหนูติดจั่นร่วมสองชั่วยาม แต่เหม่ยฟางก็ไม่มีทีท่าจะคลอดออกมาง่ายๆ จนเข้าชั่วยามที่สามเสียงดังในห้องเงียบลง เหล่าหมอหลวงที่ถูกตามมาจึงรีบพากันเข้าไปดูแล แม้แต่จ้าวหย่งเจิ้งก็ไม่อยู่เฉยต้องตามเข้าไปดูด้วยเช่นกัน

สภาพภายในห้องเละเทะข้าวจองกระจัดกระจายตกแตกเกลื่อนพื้น ร่างบางของเหม่ยฟางยังคงนอนหอบหายใจเหงื่อเม็ดใหญ่ยังคงแตะแต้มตามหน้าผาก ช่วงล่างที่เป็นงูยังคงเหมือนหางงูสะบัดไปมาเบาๆไม่รุนแรงเหมือนช่วงแรกๆ ข้างๆกันมีแสงสีทองอร่ามล้อมรอบกายลูกมังกรน้อย

"เจิ้ง ลูกของเรา" เหม่ยฟางยิ้มด้วยสีหน้าเต็มตื้น จ้าวหย่งเจิ้งจึงค่อยๆโอบอุ้มลูกมังกรมาวางจ้าวเหม่ยฟาง

"น่ารักดีนะ" น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยด้วยความดีใจ

"อื้อ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับรอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า

"นอนพักเถอะ ข้าจะให้คนมาเก็บกวาดทำความสะอาดห้องเสียหน่อย" พูดจบจ้าวหย่งเจิ้งก็อุ้มร่างของเหม่ยฟางจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง โดยไม่ใส่ใจว่าอีกครึ่งร่างของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร ส่วนลูกมังกรทองนักพรตเจินหยวนเป็นผู้อุ้มตามมา

"เจิ้งขอบใจนะ ว่าแต่เสี่ยวจื่อหยี่ล่ะ" เหม่ยฟางกล่าวขอบคุณกทอนเอ่ยถามหาขันทีน้อย

"เห็นว่าไม่สบายมาหลายเดือน ข้าเองก็พึ่งทราบเรื่องจึงส่งหมอหลวงไปดูอาการให้แล้วล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งลูบศีรษะเหม่ยฟางด้วยความรักใคร่หลังจากอุ้มอีกฝ่ายมานอนที่เตียงใหม่เรียบร้อย

"เจิ้ง ข้าง่วงนอน" น้ำเสียงอู้อี้บ่งบอกถึงอาการง่วงของคนตัวบางทำให้จ้าวหย่งเจิ้งต้องยิ้มออกมา

"นอนเถอะ" ข้าจะอยู่ข้างๆเจ้าไม่ไปไหน มือหนากอบกุมมือคนรัก เฝ้ารอจนคนรักหลับ

"ฝ่าบาท นี่โอรสมังกร ท่านจะตั้งพระนามเลยหรือไม่" ท่านพรตเจินหยวนเอ่ยถามพร้อมกับส่งโอรสมังกรให้จ้าวหย่งเจิ้ง

"ข้าจะรอฟาง" ว่าจบก็อุ้มโอรสมังกรมาขึ้นแนบอก แช้วกดปลายจมูกลงบนหน้าผากน้อยๆ

ช่วงเวลาที่เหม่ยฟางหลับนั้น เหม่ยฟางก็ฝันถึงตาเฒ่าเอี๊ยอีกครั้ง ตาเฒ่าเอี๊ยส่งยิ้มละมุนให้พร้อมกับเดินมาจากอีกฟากฝั่งของประตู

"เหม่ยฟางหมดเวลาในการใช้ชีวิตในโลกนี้ของเจ้าแล้ว" รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้าของตาเฒ่าเอี๊ยอย่างทุกครั้งที่พบหน้า

"ข้าต้องตายจริงๆหรือ" เหม่ยฟางร้องถาม ดวงหน้าเริ่มเศร้าหมองลง

"ใช่ เวลาของเจ้าหมดในโลกนี่แล้ว คืนนี้ข้าจะกลับมารับตัวเจ้า จงเตรียมตัวเตรียมใจให้ดี" จบคำร่างของตาเฒ่าเอี๊ยก็จางหายไปในหมอกควัน เหม่ยฟางพยายามไขว่คว้าเพื่อขอเวลาเพิ่ม แต่ก็ไม่อาจจะไขว่คว้าตัวตาเฒ่าเอี๊ยได้

"ฟาง ฟาง" เสียงเรียกของจ้าวหย่งเจิ้งต้องทำให้เหม่ยฟางลืมตาขึ้นมองผู้ที่เรียกตน

"เจิ้ง เจิ้ง" เหม่ยฟางรีบลุกขึ้นสวมกอดจ้าวหย่งเจิ้งไว้แน่น

"เป็นอะไรฝันร้ายหรือ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับก่อนกระชับมือกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นอีก

"ไม่ต้องกลัวนะ มันก็แค่ฝันร้าย" จ้าวหย่งเจิ้งลูบศีรษะเหม่ยฟางแผ่วเบา

"แล้วลูกล่ะ" เหม่ยฟางคลายอ้อมแขนเงยหน้าถามหาลูกชายตน จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มก่อนตบมือสองสามครั้ง แม่นมก็อุ้มลูกมังกรเข้ามาด้านใน

"ข้ารอเจ้าตั้งชื่อลูกอยู่นะ" จ้าวหย่งเจิ้งรับลูกชายจากแม่นมแล้วส่งให้เหม่ยฟาง

"ฟาหลง"

"ฟาหลง อืมดี ตามใจเจ้า ฟาหลง ชื่อดี ข้าชอบ" จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มชอบใจกับชื่อที่คนรักเป็นคนตั้ง

"เจ้ารักเขาให้มากๆนะ เจิ้ง" น้ำเสียงสั่นเครือบอกกล่าวกับจ้าวหย่งเจิ้ง

"แน่นอน ลูกของข้ากับเจ้า ข้าจะรักเขาให้มากๆ มากเท่าชีวิตข้า" จ้าวหย่งเจิ้งตบปากรับคำอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพื่อให้เหม่ยฟางสบายใจ

"ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ อย่าโหมงานหนัก ดูแลตนเองดีๆ" เสียงสั่นๆยังคงเอ่ยต่อไป ดวงตาแดงเรื่อเหมือนคนจะร้องไห้ยิ่งทำให้จ้าวหย่งเจิ้งใจคอไม่ดี "แน่นอน ข้าจะดูแลตนเองให้ดีอย่างที่เจ้าต้องการ เจ้านอนพักเถอะ ดูสิหน้าซีดหมดแล้ว" มือหนาลูบศีรษะของอีกฝ่ายเบา

"อยู่ข้างๆกันนะ อยู่ข้างๆกัน"

"อืม ข้าจะคอยอยู่ข้างๆเจ้าไม่ไปไหน นอนเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งรับปาก เลื่อนมือมาจับมือของเหม่ยฟางที่ค่อนข้างเย็นผิดปกติ

"ข้ายังไม่อยากหลับตอนนี้เลย หากหลับไปตอนนี้ข้ากลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีก"หยดน้ำตาค่อยๆไหลรินออกมาตามคำพูด

"ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะปลุกเจ้าเอง"

"สัญญานะ จะปลุกกันจริงๆนะ" เหม่ยฟางยื่นนิ้วก้อยขึ้นเพื่อยืนยันคำสัญญา

"อืม สะ สัญญา เกี่ยวก้อยสัญญากัน" จ้าวหย่งเจิ้งยื่นมือไปเกี่ยวก้อยเพื่อสัญญา เหม่ยฟางจึงค่อยๆปิดเปลือกตาลง หยดน้ำตายังคงไหลย้อยอาบแก้ม

"ดีจัง" เสียงพึมพำเบาๆดังรอดออกมาจากริมฝีปาก ก่อนมือข้างที่เกี่ยวก้อยจะตกลงอย่างคนหมดแรง

"ฮึก ฮึก ฟาง ฮือๆ ฟาง" มือของเหม่ยฟางเริ่มเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง น้ำตาของจ้าวหย่งเจิ้งยังควหลั่งไหลออกมา แม้แต่ลูกมังกรน้อยยังคงส่งเสียงร้องตามผู้เป็นบิดา....

หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 30 เมื่อรักต้องพลัดพราก ) {15-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-10-2017 18:29:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 30 เมื่อรักต้องพลัดพราก ) {15-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-10-2017 21:21:12
กลับไปอนาคตก่อนรักษาตัว แล้วมาอดีตใหม่ดีไหม  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 30 เมื่อรักต้องพลัดพราก ) {15-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-10-2017 00:17:17
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 30 เมื่อรักต้องพลัดพราก ) {15-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-10-2017 08:20:25
ฮืออออออ ก็เจิ้งมีสองวิญญาณไม่ใช่เหรอ ก็ให้ใครก็ได้เสียสละหน่อยซิ ฟางจะได้ไม่ตายอ่ะ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 31 การเริ่มใหม่ ) {28-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 28-10-2017 00:38:39
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 31 การเริ่มใหม่

ทางเดินสีขาวทอดยาวาองสว่างในความมืดมิด ร่างบางของเหม่ยฟางกำลังเดินตามเส้นทางสีขาวที่มีประตูบานหนึ่งรอให้เขาไปเปิด

"ฟาง ฟาง ฟาง" เสียงเรียกขานชื่อดังขึ้นหลังประตูบานนั้น

"ใคร...ใครเรียกเรา" เหม่ยฟางเดินตรงเข้าไปเปิดประตูบานนั้น แสงสว่างหลังประตูทำให้เขาต้องหลับตาเพื่อปรับภาพที่จะเห็นตรงหน้า

"ฟาง ตื่นสิ ตื่นได้แล้ว" ร่างของเหม่ยฟางถูกเจ้าของเสียงเขย่าตัวเบาๆเพื่อปลุกให้ตื่น เหม่ยฟางจำต้องลืมตาเพื่อมองใบหน้าคนที่เรียกขานชื่อ

"อืม...." เหม่ยฟางขานรับเสียงเรียก ลืมตาขึ้นมอง เมื่อสายตาปรับภาพตรงหน้าได้ เขาได้พบใบหน้าแสนคุ้นเคยพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนมองมายังเขา

"ตื่นได้สักทีนะ รู้ไหมฉันปลุกนายตั้งกี่รอบ" เจ้าของใบหน้าและเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยยิ้มๆ อีกทั้งการแต่งตัวยังดูทันสมัย เหม่ยฟางจึงมองดูรอบๆ ตัว สิ่งที่เขาเห็น คือ ห้องกว้างสีขาว ข้าวของเครื่องใช้ล้วนอยู่ในยุคปัจจุบัน ยิ่งใบหน้าของคนตรงหน้าเขายิ่งรู้จักเป็นอย่างดี

"เจิ้ง" เหม่ยฟางขานชื่อคนตรงหน้าเสียงเบาหวิว ก่อนลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียง

"ว่าไง ยังไม่หายเมาค้างเหรอไง เอ้ากาแฟ ดื่มซะ" หย่งเจิ้งเดินเข้ามาขยี้ผมของคนที่นั่งมึนๆอยู่บนเตียง พร้อมส่งแก้วกาแฟที่ชงร้อนๆ มาให้

"อย่าขยี้หัวฉันนะ" เหม่ยฟางปัดมือของอีกฝ่ายออก ก่อนรับแก้วกาแฟมาดื่ม ก่อนส่งค้อนให้คนที่ขยี้ผมตน

"หึหึ" หย่งเจิ้งอดขำกับท่าทาง คนตรงหน้าไม่ไหวจึงเบือนหน้าไปทางอื่นแทนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

"นี่มันเกิดอะไรขึ้น" เหม่ยฟางเอ่ยถามไปอย่างงงๆ

"จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็นายเล่นเมาในงานเลี้ยงแต่งงาน จนต้องลำบากฉันแบกนายกลับมานอนที่บ้านเนี่ย" หย่งเจิ้งบ่นอุบ แต่ใบหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้ม ไม่มีท่าทางรำคาญแต่อย่างใด

"นายแต่งงานแล้ว แล้วเมียนายไปไหน" เหม่ยเอ่ยถาม ก่อนมองไปรอบๆมองหาคนหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของหย่งเจิ้ง

'นี่เขาย้อนเวลากลับมาหรือ' เหม่ยฟางได้แต่คิดในใจ 'หากวันนั้นรถของเขาไม่คว่ำทุกอย่างจะเป็นเช่นที่เขาพบแบบนี้หรือ' คำถามเกิดขึ้นภายในใจแต่ไม่มีใครสามารถตอบอะไรเขาได้

"เอ่อ..." หย่งเจิ้งชะงักกับคำถามนั้นก่อนยิ้มแหยๆออกมา

"อะไร เมียนานไปไหน" เหม่ยฟางเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ก่อนจ้องใบหน้าของคนที่กำลังอึกอักไม่รู้จะตอบเช่นไรดี

"เราแยกกันอยู่น่ะ" หย่งเจิ้งเกาท้ายทอยแก้เก้อก่อนตอบตามจริง

"ห๊ะ!!! แยกกันอยู่ บ้าหรือไง เพิ่งแต่งเมื่อวานไม่ใช่เหรอ" เหม่ยฟางตกใจกับคำตอบที่ได้รับเป็นอย่างมาก

"ฟาง คือว่า..." หย่งเจิ้งยังคงอ้ำอึ้งไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี "คือ...ฉัน...คือ..."

"อะไร นายตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ มัวอ้ำอึ้งอยู่ได้ รีบๆพูดออกมาเลย" คิ้วของเหม่ยฟางเริ่มขมวดเป็นปมด้วยความหงุดหงิด

"คือ ฉันกับเสี่ยวหลิงเราแต่งงานกันหลอกๆ เพื่อให้พ่อกับแม่เลิกยุ่งกับชีวิตของเราสองคน" หย่งเจิ้งรีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนยิ้มแหยๆ มองใบหน้าของเหม่ยฟางที่ดูนิ่งเกินไป จนเขารู้สึกใจคอไม่ดี

"แต่งหลอกๆ" เหม่ยฟางทวนคำ

"ฟาง ฟาง เป็นอะไรไป โกรธที่ไม่ยอมบอกเหรอ ฟาง อย่านิ่งแบบนี้สิ" หย่งเจิ้งร้องเรียกอย่างร้อนรน ทำอะไรไม่ถูก

"เจิ้ง ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะ" สิ้นคำเหม่ยฟางก็ลุกจากเตียงหมายเดินออกจากห้องนี้ แต่มือแกร่งของหย่งเจิ้งกลับเข้าสวมกอดเขาทางด้านหลังจนเขาต้องชะงักขยับตัวไม่ได้

"ฟาง อย่าไปนะ ฉันชอบนาย ฉันอยากอยู่กับนาย ทุกอย่างที่ทำไปคือฉันต้องการอยู่กับนาย นายอย่าโกรธฉันนะ ฟาง" อ้อมแขนยังถูกกระชับจนแน่น เหม่ยฟางยังคงยืนนิ่ง ไม่ตอบสิ่งใด

"เจิ้ง" เสียงเรียกเบาๆ ทำให้หย่งเจิ้งได้แต่กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

"ฟาง ฉันชอบนาย"

"เจิ้ง ปล่อยเถอะ ขอเวลาให้ฉันคิดอะไรสักอย่างเถอะ ฉันรู้สึกสับสนไปหมด ขอเวลาให้ฉัน " เหม่ยฟางกล่าวเสียงเบา ณ เวลานี้ เขารู้สึกสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้เลยว่า สิ่งใดจริงสิ่งใดไม่จริง สิ่งที่เขาได้พบพานมานั้น มัน คือ ความฝันงั้นหรือความจริงกันแน่ เวลานี้เขาขอเวลาสักนิดเพื่อยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น หย่งเจิ้งยอมคลายมือออกตามความต้องการของอีกฝ่าย เมื่อเหม่ยฟางหลุดจากพันธการเขารีบเปิดประตูออกจากห้องนี้ หลังประตูยังคงมีแสงสว่างจนแสบตาเช่นเดิม เขาจึงหลับตาลงอีกครั้ง หากลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเขาจะพบเจออะไรอีกนะ

"ลืมตาสิ ฟาง ได้โปรด ตื่นขึ้นมาสิ" เสียงเรียกแสนคุ้นเคยเช่นเดิมกำลังปลุกเรียกให้เหม่ยฟางลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อเขาลืมตาขึ้น ครั้งนี้ เขาเห็นบุคคลแสนคุ้นเคย แต่งกายยุคจีนโบราณ นั่งร่ำไห้อยู่ข้างร่างไร้วิญญาณของเขา สองมือกุมมือขาวซีดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

"นี่มันอะไรกัน ข้าตายแล้วงั้นหรือ" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเบา

"ใช่...ในยุคนี้เจ้าได้ตายไปแล้ว" เสียงชายแก่เอ่ยขึ้นด้านหลังเมื่อหันไปเขาได้พบกับตาเฒ่าเอี๊ยอีกครั้ง

"ตาเฒ่า..."

"เจ้าอยากกลับไปยุคไหน ปัจจุบัน ที่เจ้าเพิ่งไปประสบพบเจอเมื่อครู่ หรือ อดีตที่เจ้าเห็น ณ ขณะนี้" ตาเฒ่าเอ่ยถามใบหน้าหน้าราบเรียบ ไม่มีวี่แววล้อเล่น ทางเดินสีขาวเปลี่ยนเป็นสะพานไม้ฝั่งตรงข้ามสะพานของสะพานทั้งสองมีประตูไม้สีขาวตั้งตระหง่านรอผู้ไปเปิด

"ข้า...."

"คิดดูให้ดี ไม่ว่ายุคไหน พวกเขาทั้งสองต่างก็รักเจ้า ครั้งนี้จะเป็นการเลือกครั้งสุดท้ายของเจ้า" ตาเฒ่าเอี๊ยกล่าวเตือน ก่อนสะบัดมือให้ฉายภาพทั้งยุคทั้งสองที่เหม่ยฟางได้ประสบพบเจอมา

"ข้า..." เหม่ยฟางก้มมองภาพที่อยู่เบื้องล่างสะพานไม้ เหม่ยฟางภาพทั้งสองอย่างชั่งใจ ภาพหนึ่งเป็นภาพเขาในยุคปัจจุบันที่กำลังถูกกอดจากทางด้านหลัง ส่วนอีกภาพ ฉายให้เห็นจ้าวหย่งเจิ้ง นั่งกอดร่างไร้วิญญาณของตน

"ว่าอย่างไรเจ้าเลือกไปที่ใด"

"ข้าถามอะไรสักอย่างได้ไหม"

"เชิญถามมา"

"หากข้าเลือกที่จะอยู่อดีตอนาคตจะเป็นเช่นไร" เหม่ยฟางเอ่ยถามสิ่งที่ตนอยากจะรู้

"หากเจ้าเลือกอดีตอนาคตจะไม่มีตัวตนของเจ้า อดีตที่ตัวตนของเจ้าได้ตายไปแล้ว นั้นย่อมมีข้อแม้ข้อแลกเปลี่ยนที่เจ้าต้องปฏิบัติ ซึ่งอาจจะดีหรือร้าย ข้าเองก็ไม่สามารถบอกได้" ตาเฒ่าเอี๊ยตอบคำถามที่เหม่ยฟางอยากรู้

"อนาคต?" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเบา

"หากเลือกอนาคต อดีตแห่งการสูญเสียจะยังคงเดิม บุรุษหนุ่มยังคงทนทุกข์กับความรัก  หากเลือกอนาคต อนาคตจะไม่มีข้อแม้ให้แลกเปลี่ยน ทุกอย่างจะเริ่มต้นหลังงานแต่งงานของเขาผู้นั้น เจ้าจะไม่ตายจากอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อสิ้นงานแต่ง" สิ้นคำตาเฒ่าเอี๊ยก็ยืนมองรอฟังคำตอบจากเหม่ยฟาง

"ทำไมข้าต้องเลือก" เหม่ยฟางกล่าวออกมา เขาเลือกไม่ถูกจริงๆ หากเลือกอนาคต เขาย่อมมีความสุข แต่อดีตที่ไม่ได้เลือก จ้าวหย่งเจิ้งจะทนทุกข์ หากเป็นเช่นนี้ เขาควรจะเลือกความสุขของตน หรือ ความสุขของคนที่เขารักดี

"เพราะมันเป็นสิทธิ์ที่เจ้าควรจะได้รับ จงเลือกให้ดีโอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น" เหม่ยฟางนิ่งไปชั่วครู่ เพื่อใช้ความคิด เลือกในสิ่งที่ตนคิดว่ามันดีที่สุด

"ข้าเลือกกลับไปอดีต ข้าทนให้จ้าวหย่งเจื้งจมความเศร้าตรมไม่ได้" เหม่ยฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"เจ้าเตรียมใจรับผลที่จะตามมาแล้วใช่หรือไม่ถึงได้เลือกอดีต" ตาเฒ่าเอี๊ยจ้องมองเข้าไปในดวงตาอันแน่วแน่ของเหม่ยฟาง เพื่อมองหาความลังเลในจิตใจ

"ข้ามั่นใจในสิ่งที่ข้าเลือกไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไรข้าก็ยอม" คำตอบที่มั่นคงตอบทุกคำถามที่ตาเฒ่าเอี๊ยแล้วทุกอย่าง

"เฮ้อ~ เจ้าเลือกอนาคตเสียยังจะดีกว่ากลับไปอดีตเสียอีกนะ แต่เอาเถอะในเมื่อเลือกแล้วจงเดินตรงไปยังประตูแห่งอดีตเถิด" ตาเฒ่าเอี๊ยโบกมือไปทางประตูเพื่อให้ประตูแห่งอนาคตหายไปเหลือเพียงประตูแห่งอดีต เหม่ยฟางก้าวเท้าเดินไปอย่างช้าๆ เมื่อเปิดประตูบานนั้นเข้าไป ก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง เหม่ยฟางหลับตาลงช้าๆ เพื่อรอให้แสงสว่างนั้นจางหายไป แต่แล้ว ร่างบางของเขาก็คล้ายร่วงหล่นสู่ใต้พื้นน้ำอันเย็น อากาศกำลังหมด เขาพยายามดิ้นรนแหวกว่ายขึ้นไปหายใจบนผิวน้ำ

"แค่ก แค่ก แค่ก" เหม่ยฟางโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ ก่อนพยายามว่ายเข้าฝั่งแต่ขณะว่ายน้ำเขากินน้ำเข้าไปหลายอึกจนไอสำลักน้ำออกมา และนั่งพักเหนื่อยริมฝั่ง

"ดีจริงที่เจ้าไม่เป็นอะไร" ตาเฒ่าเอี๊ยปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่เมื่อเหม่ยฟางเอ่ยปากหมายจะพูดบางอย่างก็ไม่สามารถทำได้ ได้เอามือจับลำคอตนเองแล้วพยายามเค็นเสียงออกมาใหม่

'นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้า" เหม่ยฟางได้แต่กู่ก้องในใจทำไมเขาถึงพูดไม่ได้

"นี่คือสิ่งที่เจ้าได้รับเป็นของแลกเปลี่ยนรวมทั้งรูปโฉมที่ต่างออกไป" สิ้นคำ เหม่ยฟางรีบขยับกายเข้าไปใกล้ริมน้ำเพื่อก้มมองเงาของตนในแม่น้ำ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปจริงๆ เหม่ยฟางลูบคลำใบหน้าของตนแม้จะดูงดงามแต่ยังไงก็ไม่ใช่ใบหน้าเดิมของตน

'ข้าต้องกลายเป็นคนพูดไม่ได้ ทั้งใบหน้ายังเปลี่ยนไปเช่นนี้ เจิ้งจะจำข้าได้อย่างไร' เหม่ยฟางร้องท้วงสิ่งที่ตนต้องประสบ

"นั่นเป็นปัญหาของเจ้า ซึ่งเจ้าต้องแก้ปัญหาในข้อนี้เอง หากจ้าวหย่งเจิ้งจดจำ และมอบความรักให้อีกครั้ง เจ้าจะคืนกลับมามีรูปร่างหน้าตาเช่นเดิม" สิ้นคำตาเฒ่าเอี๊ยก็หายไปจากตรงหน้า เหม่ยฟางอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้

'แล้ว...ข้าควรไปทางไหนดี' เหม่ยฟางมองไปรอบๆ เพื่อหาทางไปต่อ เขาจะต้องเข้าไปในตัวเมืองจิ้นหยางเพื่อพบกับจ้าวหย่งเจิ้งอีกครั้ง

"เดินตามดวงตะวันแล้วเจ้าจะได้พบผู้ที่จะพาเจ้าไปหาจ้าวหย่งเจิ้ง" เสียงของตาเฒ่าดังขึ้นเพื่อบอกทิศทางที่จะไป

'ขอบคุณตาเฒ่าเอี๊ยที่ยังอุตส่าห์บอกทิศให้กับข้า' เหม่ยฟางกล่าวประชดก่อนลุกขึ้นยืนแต่เมื่อปลายเท้าสัมผัสพื้นดิน ก็เหมือนมีเข็มนับพันทิ่มแทงจนเขารู้สึกเจ็บปวด

"นั่นก็เป็นอีกข้อแลกเปลี่ยน" เสียงตาเฒ่าดังขึ้นอีกครั้ง จนเหม่ยฟางต้องมองค้อนให้กับเสียงนั้น

'ทำไมไม่บอกให้หมดทีเดียว แล้วไงให้ข้าเป็นใบ้ หน้าตาเปลี่ยน ทั้งยังมีเข็มนับพันทิ่มแทงเวลาเดิน เห็นข้าเป็น นางเงือกน้อยหรือไง เอาเรื่องพวกนี้มาจากนิทานแบบนี้ คนที่แย่คือข้านะ แล้วหากเจิ้งไม่รับรักข้า ข้าต้องสลายกลายเป็นฟองด้วยไหม' เหม่ยฟางอดก่นด่าในใจไม่ได้

"ฮ่าๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ข้าจะคอยให้คำแนะนำเจ้าแล้วกัน จนกว่าเจ้าจะพบผู้ที่ พาเจ้าไปหาจ้าวหย่งเจิ้งได้แล้วกัน" เสียงของตาเฒ่าดังขึ้นอีกครั้งเพื่อยืนยันการช่วยเหลือ

'ชิ' เหม่ยฟางเลิกสนใจตาเฒ่าเอี๊ย เขาพยายามก้าวเท้าเดินซึ่งต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก มันรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน แต่อย่างไรเขาก็ต้องกัดฟันอดทนก้าวเดินไปทางทิศที่ดวงตะวันทอแสงแต่ทิศตะวันทอแสงมันหันไปทางแม่น้ำ'นี่จะให้ข้าว่ายน้ำไปหรือไง'

"ข้าไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก มองไปทางนั้นสิ มีเรือข้ามฟากจอดอยู่ไปขึ้นสิ" ตาเฒ่าเอี๊ยยังคงส่งเสียงบอกตามหลังดังที่พูดไว้ว่าจะคอยช่วยเหลือเขา

'ไหนว่าคอยช่วยเหลือข้า โกหกชัดๆ' เหม่ยฟางยังคงบ่นตาเฒ่าเอี๊ยอยู่ในใจ แม้จะพูดออกมาเป็นเสียงโต้ตอบไม่ได้แต่การพูดในใจตาเฒ่าเอี๊ยย่อมได้ยิน

 เหม่ยฟางเดินไปยังเรือข้ามฟากที่จอดอยู่ไม่ไกล เมื่อขึ้นเรือลำนั้น ผู้คนต่างมองจ้องมองมายังเขา ซึ่งหน้าแปลกที่ว่าแม้รูปร่างจะดูงดงามก็จริงแต่ไม่น่าจะเรียกความสนใจได้ขนาดนี้ เหม่ยฟางจึงหันไปมองรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ทุกคนมองไม่ใช่ตน เมื่อยืนยันแน่ชัดแล้วเหม่ยฟางจึงได้แต่ยิ้มแหยๆส่งไปผู้คนเหล่านั้น

'เกิดอะไรขึ้นกับข้า ทำไมผู้คนต่างจ้องมองข้าเป็นตาเดียว' เหม่ยฟางเอ่ยถามตาเฒ่าเอี๊ย

"เรื่องนั้นอาจเป็นเพราะใบประกาศที่ติดอยู่บนเรือ" เมื่อสิ้นคำตาเฒ่าเอี๊ยเหม่ยฟางจึงเดินไปอ่านใบประกาศตามที่ตาเฒ่าเอี๊ยบอก

'นี่มันภาพวาดของใบหน้าใหม่ของข้านี่ เขียนอะไรไว้นะ ประกาศจับ นักฆ่าหมื่นบุปผา นักฆ่าคิดปองร้ายองค์ฮ่องเต้ ใครพบเห็นรีบแจ้งทางการ องค์ฮ่องเต้จะเป็นผู้ตัดสินคดีนี้ ห๊ะ!!!' เหม่ยฟางตกใจกับประกาศจับนี่เป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าใบหน้าใหม่ของเขาจะเป็นผู้ร้ายหลบหนี 'ตาเฒ่าเอี๊ยข้าควรทำเช่นไรดี ตาเฒ่า' เหม่ยฟางหันซ้ายหันขวาไม่รู้ตนจะทำเช่นไรดี

"ใจเย็นๆ เจ้าไม่ต้องร้อนรนไป ลงไปเล่นน้ำให้ใจเย็นก่อนเถอะ" เสียงๆหนึ่งดังขึ้น ด้านหลังเหม่ยฟาง

พลั่ก! ตูม!

ร่างของเหม่ยฟางถูกผลักตกเรือโดนไม่ทันตั้งตัว แม้เสียงอยากจะร้องเรียกให้คนช่วยก็ยังไม่มี

'ใครก็ได้ ช่วยๆ ช่วยด้วย' ร่างของเหม่ยฟางจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำอีกครั้งมือ เมื่อพยายามแหวกว่ายขึ้นจากน้ำก็คลั้ายมีอะไรบางอย่างดึงรั้งขาของตนไม่ให้ขึ้นไปบนผิวน้ำ 'อึกๆ อึดอัด อึก หายใจไม่ออก' ในระหว่างที่สติกำลังจะดับวูบลง มีมือคู่หนึ่งมาช่วยฉุดรั้งมือของเหม่ยฟางให้ขึ้นจากความตาย แต่สติของเหม่ยฟางกับดับลงอย่างไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่ผลักตนให้ตกน้ำและใครที่ช่วยเขาขึ้นจากน้ำ.......
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 31 การเริ่มใหม่ ) {28-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-10-2017 01:39:41
 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 31 การเริ่มใหม่ ) {28-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 28-10-2017 01:55:28
ตาเฒ่าเอี้ยเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะแกนะ ทำไมต้องมาตั้งเงื่อนไขอะไรแบบนี้กับฟางด้วย จะช่วยก็ช่วยไม่สุดแบบนี้เหมือนแกล้งกันชัดๆ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 31 การเริ่มใหม่ ) {28-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-10-2017 04:33:19
ทำไมชีวิตหลานมันบัดซบอย่างนี้นะ  :m31:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 31 การเริ่มใหม่ ) {28-10-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-10-2017 09:32:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 32 พบกันอีกครั้ง) {08-11-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 08-11-2017 20:12:11
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 32 พบกันอีกครั้ง

ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากเดินสวนกันเข้าออกในห้องมืดเหม็นอับ เหม่ยฟางลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องขังมืด ๆ เขาจำได้เพียงว่ามีคนผลักเขาตกน้ำแล้วหลังจากนั้น ก็จำอะไรไม่ได้อีก เขาพยายามนึกย้อนถึงเสียงของคนที่เอ่ยกับเขาก่อนจะผลักเขาตกน้ำ เสียงคุ้นๆนั่น มันช่างเหมือน....

"เจ้าฟื้นแล้วสินะ" ตาเฒ่าเอี๊ยส่งเสียงทักเมื่อเห็นว่าเหม่ยฟางฟื้นคืนสตืแต่ไม่ยอมปรากฎกายต่อหน้าเหม่ยฟาง

'เสียง...เจ้า...เจ้าเป็นผลักข้าตกน้ำ' เหม่ยฟางนึกขึ้นมาได้ว่าเสียงที่บอกให้ตนใจเย็นๆคือเสียงของตาเฒ่าเอี๊ย ทั้งยังผลักตนตกน้ำอีก

"ฮ่าๆ นี่เจ้ารู้ด้วยหรือว่าข้าผลักเจ้าตกน้ำ" ตาเฒ่าเอี๊ยหัวเราะออกเสียงดัง

'เจ้ามัน...แย่ที่สุด ไหนว่าช่วยข้า แต่นี่มันทำร้ายกันชัดๆ' เหม่ยฟางไม่รู้จะหาคำพูดใดมากล่าวต่อว่ากับการกระทำนี้จริงๆ

"ข้าช่วยเจ้าจริงๆนะ เจ้าดูสิเจ้าอยู่ที่ไหน" ตาเฒ่าเอี๊ยกช่ายด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

'คุก...' เหม่ยฟางมองรอบๆก่อนตอบด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด

"ไม่ใช่คุกธรรมดา แต่มันคือคุกหลวงเชียวนะ สุดยอดเลยใช่ไหม" ตาเฒ่าเอี๊ยยังคงรู้สึกภูมืใจกับการที่ส่งเหม่ยฟางเข้าคุกหลวงได้

'มันดีใจตรงไหน ข้าติดคุกนะ' เหม่ยฟางเริ่มบ่นไม่หยุด

"ดีตรงที่เจ้าจะได้พบจ้าวหย่งเจิ้งในเร็ววันน่ะสิ" ตาเฒ่าเอี๊ยตอบเสียงกลั้วหัวเราะ

'ข้าถามจริงๆเถอะ นี่เจ้ากำลังกลั่นแกล้งข้าอยู่สินะ' เหม่ยฟางถามอย่างนึกสงสัย ถึงปากเอ่ยว่าช่วยเขาแต่ไม่เคยช่วยเขาเต็มที่เลยสักครั้ง ช่วยแบบครึ่งๆกลาง จนตนเกือบตาย นี่เขาเรียกกลั่นแกล้งกันเสียมากกว่าช่วยเสียอีก

"เจ้าพูดอะไรอย่างนั้น ข้ามีหน้าที่ช่วยเจ้า จะไปกลั่นแกล้งเจ้าทำไมกัน แม้ข้าจะแอบคิดอยู่บ้าง แต่ข้าไม่เคยทำจริงๆหรอกนะ" ตาเฒ่าเอี๊ยตอบเสียงเรียบไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดแม้แต่น้อย แม้เขาคิดอยากกลั่นแกล้งมากแค่ไหน แต่เขาไม่สามารถทำได้ หาก องค์เง็กเซียนฮ่องเต้จับได้เขาคงถูกลงโทษ และอีกอย่างที่เรื่องมันยุ่งยากเช่นนี้ก็เพราะตนเป็นผู้กระทำผิดเองจึงจำใจต้องลงมาช่วยเช่นนี้

'นั่นไง เจ้าสารภาพแล้วว่ากลั่นแกล้งข้า' เหม่ยฟางกล่าวเสียงดังในใจ

"ไม่ใช่ๆ ข้าบอกแล้วไงว่า ถึงอยากทำแต่ทำไม่ได้ ใครใช้ให้เจ้าเลือกอดีตกันล่ะ ข้าอุตส่าห์ชี้ทางให้เลือกอนาคตอันสดใสให้ก็ไม่เอา หากเจ้าเลือกอนาคตข้าคงไม่ต้องมาลำบากช่วยเจ้าเช่นนี้หรอก" ตาเฒ่าเอี๊ยบ่นพึมพำ

'ก็...ข้าทนเห็นเจิ้งทนทุกข์ไม่ได้' เหม่ยฟางทำหน้าเศร้า หลุบสายตาลงพื้นอย่างเศร้าสร้อย

"เอาเถอะๆ ในเมื่อเลือกไปแล้ว ข้าจะช่วยให้เจ้าสมหวังอีกครั้ง" ตาเฒ่าเอี๊ยทำเสียงอ่อนเมื่อเห็นเหม่ยฟางทำหน้าเศร้า

ในระหว่างนั้นทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาเปิดประคุก เพื่อให้บุรุษผู้มีใบหน้าที่เปื้อนยิ้มตลอดเวลาได้เข้ามา ซึ่งเหม่ยฟางจำได้เป็นอย่างดีว่าคนผู้นั้นคือใคร

"คนผู้นี้หรือ ที่คิดปองร้ายองค์ฮ่องเต้" ใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนผู้นั้นเอ่ยถามอย่างใจเย็น จ้องมองใบหน้างดงามของคนตรงหน้า

"ใช่ขอรับ" ทหารนายนั้นตอบรับ

"ไม่น่าเชื่อว่า ข้าจะเป็นคนช่วยนักฆ่าผู้นี้ขึ้นจากน้ำ"บุรุษคนเดิมพูดกับตนเอง ยังคงจ้องมองใบหน้าของคนตรงหน้าโดยไม่ละสายตา

'ท่านนักพรตเจินหยวน' เหม่ยฟางร้องเรียกในใจ แม้อยากเปล่งเสียงออกไป ก็ไม่สามารถทำได้

"เจ้ามีนามว่าอะไร" นักพรตเจินหยวนเอ่ยถาม เขารู้สึกถูกชะตากับคนผู้นี้ยิ่งนัก

'ข้า...' เหม่ยฟางเหมือนบางอย่างแต่จำต้องโบกมือทั้งจับคอเพื่อให้ทราบว่าเขาพูดไม่ได้

"เจ้าพูดไม่ได้?" นักพรตเจินหยวนเอ่ยถาม มองด้วยสายตาประหลาดใจ

'อืม' เหม่ยฟางพยักหน้ารับ จ้องมองนักพรตเจินหยวนกลับสายตาคล้ายอยากสื่ออะไรบางอย่าง

"น่าแปลกนัก ฮ่องเต้ของเรากล่าวว่า นักฆ่าหมื่นบุปผา พูดอะไรบางอย่างกับพระองค์ แสดงว่าต้องพูดได้ แต่เจ้าพูดไม่ได้ หรือว่าผิดคนกัน เจ้ามีพี่น้องหรือไม่" นักพรตเจินพูดพำพึมกับตนเองก่อนเอ่ยถามกับเหม่ยฟาง เหม่ยฟางได้แต่ส่ายหน้า เขาเองไม่รู้หรอกว่าร่างใหม่ตนมีพี่น้องหรือไม่ "เขียนหนังสือได้ไหม" เมื่อสิ้นคำถาม เหม่ยฟางพยักหน้ารัวๆเพื่อเป็นคำตอบ "ดี ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าจะกลับมาพร้อมกระดาษกับพู่กัน" เหม่ยฟางมองตามหลังนักพรตเจินหยวนจนพ้นสายตา

'หากข้าพูดได้คงดีไม่น้อย เฮ้อ~' เหม่ยฟางถอนหายจิอกมาเสียงดัง

"จะกังวลไปใย คืนครบรอบวันตายในวันพรุ่งนี้เจ้าจะได้คืนร่างเดิม เจ้าถือโอกาสนี้ไปหาจ้าวหย่งเจิ้งสิ" ตาเฒ่าเอี๊ยปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเหม่ยฟางเพื่อบอกความ

'ครบรอบวันตาย คืนร่างเดิม' เหม่ยฟางทวนคำ

"ใช่วันพรุ่งนี้ ครบ 1ปี ที่เจ้าจากไป องค์เง็กเซียน จึงโปรดให้เจ้าได้คืนร่างเดิม นี่ข้ายังไม่ได้เจ้าอีกหรือ" ตาเฒ่าเอี๊ยมองอย่างนึกสงสัย

'ไม่ได้บอก' เหม่ยฟางส่ายหน้า กำหมัดแน่น เรื่องสำคัญเช่นนี้ทำไมไม่บอกเขาให้เร็วกว่านี้ อยากจะชกหน้าตาเฒ่าสักหมัดเสียเหลือเกิน เหม่ยฟางได้แต่กัดฟันกรอดข่มความโกรธจ้องมองตาเฒ่าเอี๊ยตาเขม็ง

"ข้าไปนะ ข้าจะไปจัดการเส้นทางให้เจ้า" ว่าจบตาเฒ่าเอี๊ยจึงรีบหายตัวไป เมื่อเห็นสายตาอาฆาตของเหม่ยฟาง

'1ปี แล้วหรือ ทำไมวันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเช่นนี้ ข้าเพิ่งใช้ชีวิตใหม่ในร่างนี้เพียงสองวันเองนะ' เหม่ยฟางได้แต่รำพึงรำพันกับตนเอง

"อ่อใช่ ข้าคงลืมบอกเจ้าไปว่าในระหว่างที่ข้านำเจ้ากลับคืนกายหยาบอีกครั้ง ค่อนข้างใช้เวลานาน ก็เป็นอย่างที่เจ้ารู้นั่นแหละว่ามันนานมาก" ตาเฒ่าเอี๊ยโผล่ออกมาโดยไม่ให้สุ่มให้เสียง จึงทำให้เหม่ยฟางสะดุ้งตกใจ

'!!!!' เหม่ยฟางได้แต่ถลึงตาใส่ด้วยความไม่ชอบใจ

"ข้าขอโทษ เจ้านอนเถอะ" ตาเฒ่าเอ่ยเสียงเบาก่อนร่างนั้นจะจางหายไป เหม่ยฟางเองเห็นว่าไม่มีใครกวนใจจึงล้มตัวลงนอน

เช้าวันใหม่นักพรตเจินหยวนเดินมางมายังคุกหลวงแต่เช้าตรู่ ทั้งยังเอากระดาษ พู่กัน ติดมือมาอย่างที่กล่าวไว้

"ข้านำกระดาษ พู่กัน มาให้เจ้า จากนี้ข้าถามสิ่งใดเจ้าจงเขียนตอบข้าลงในกระดาษ" นักพรตเจินหยวนกล่าวยิ้มๆ

'อืม' เหม่ยฟางพยักหน้ารับ ทั้งรอยยิ้ม

"เจ้าชื่ออะไร" นักพรตเจินหยวนเอ่ยถาม เหม่ยฟางจึงเขียนบนกระดาษกระดาษ เพียงคำเดียว คือ 'ฟาง' นักพรตเจินหยวนเงยหน้ามองใบหน้าของคนตรงหน้า "ฟาง เจ้าชื่อฟาง"

'อืม' เหม่ยฟางพนักหน้าตอบ ดวงตาเนียวสวยจ้องมองนักพรตเจินหยวนไม่กระพริบ

"ทำไมเจ้าถึงคิดสังหารองค์ฮ่องเต้" คำถามนร้ทำให้เหม่ยฟางต้องนิ่งเงียบ เขาไม่เคยคิดฆ่าหรือทำร้ายจ้าวหย่งเจิ้งแม้แต่น้อย เหม่ยฟางได้แต่ส่ายศีรษะไปมา ก่อนเขียนลงบนกระดาษอีกครั้ง

'ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่ หากข้าบอกว่าข้า ไม่ได้ทำ'

"ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร" นักพรตเจินหยวนเอ่ยด้วยท่าทางลังเล ท่าทางของคนตรงหน้าดูไม่เหมือนคนที่จะทำร้ายใครได้

'ได้โปรด ช่วยข้าออกจากคุกหลวงด้วยเถอะ ได้โปรด' เหม่ยฟางตัดสินใจเขียนข้อความนี่ออกไปหลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

"ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น เจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่" นักพรตเจินหลวงไม่แน่ใจแล้วว่าเขาควรช่วยหรือไม่

'ข้ามีเรื่องสำคัญต้องกราบทูลฮ่องเต้ เป็นเรื่องที่ข้าไม่สามารถบอกใครได้นอกจาก ฮ่องเต้เพียงองค์เดียว ได้โปรด มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องบอกภายในคืนนี้เท่านั้น' เหม่ยฟางจรดพู่กันบอกเล่าสิ่งที่ตนต้องการบอกลงบนกระดาษ

"ข้าสามารถเชื่อเจ้าได้หรือ" สิ้นคำถาม เหม่ยฟางนั่งคึกเข่าลงต่อหน้านักพรตเจินหยวน พร้อมชูสามนิ้วเพื่อเป็นการสาบาน "ได้ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง หากเจ้าคิดเล่นงานฮ่องเต้ อีกข้าจะฆ่าเจ้าเสีย"

'อืม' เหม่ยฟางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ในที่สุดเขาก็ได้ออกจากคุกหลวง

"ทหาร ข้าจะนำคนผู้นี้ไปกับข้า เพื่อพิสูจน์ความจริง ในคืนนี้ปล่อยคนผู้นี้เสีย" สิ้นคำพูดทหารจึงยอมปล่อยตัวเหม่ยฟางออกจากคุกหลวงตามคำบัญญาของนักพรตเจินหยวน ก่อนเหม่ยฟางจะออกจากคุกหลวงนักพรตเจินหยวนได้ลงวิชาอะไรบางอย่างไว้ที่หัวใจของเหม่ยฟาง

'ท่านทำอะไร' เหม่ยฟางเขียนข้อความบางอย่างลงไป

"ข้าใช้คาถาคำสัจกับเจ้า นับแต่นี้หากเจ้าคิดคดทรยศพวกข้า หัวใจของเจ้าจะถูกทำลายทันที" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

'อืม' เหม่ยฟางพยักหน้ารับอีกครั้ง เขายินดีพิสูจน์ความจริงในข้อนี้

"ดี คืนนี้ข้าจะนำเจ้าเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เป็นการลับๆ" สิ้นคำนักพรตเจินหยวนจึงนำตัวเหม่ยฟางออกจากคุกหลวง และให้อาศัยอยู่ที่อารามหลวงเป็นการชั่วคราว

ค่ำคืนที่แสนรอคอยก็มาถึง ก่อนเข้าตำหนักชั้นใน เหม่ยฟางขอร้องให้นักพรตเจินหยวนหาผ้าคลุมมาให้เขา นักพรตเจินหยวนก็ทำตามอย่างว่าง่าย ขณะนี้เหม่ยฟางเดินตามหลังนักพรตเจินหยวน ด้วยหัวใจอันตุ่มๆต่อมๆ เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ตำหนัก จิงเหรินกง

เหม่ยฟางมองชื่อตำหนักอย่างนึกชั่งใจ ทำไมจ้าวหย่งเจิ้งถึงมาอยู่ตำหนักเล็กเช่นนี้ ปกติแล้วผู้เป็นฮ่องเต้จะต้องอยู่ตำหนัก เฉียนชิงกง

"เจ้าคงแปลกใจสินะว่าทำไมฮ่องเต้ถึงไม่อยู่ตำหนักใหญ่" นักพรตเจินหยวนเอ่ยถามอย่างรู้สึกถึงความนึกคิดจองเหม่ยฟางได้

'อืม' เหม่ยฟางยังคงพยักหน้ารับ

"ฮ่องเต้มีความหลังกับตำหนักนี้มากจึงไม่ยอมย้ายไปไหน แม้แต่โอรสเพียงองค์เดียวก็อยู่ที่นี่" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

'ฟาหลง' ภายใต้ผ้าคลุมเหม่ยฟางยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อรู้ว่าลูกชายของตนก็อยู่ที่นี่ด้วย

"ไปเถอะเราเสียเวลามากแล้ว" นักพรตเจินหยวนกล่าวก่อนเดินนำเข้าไปด้านใน แต่เมื่อก้าวเข้าไปภายในเหม่ยฟางได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กเล็กดังกังวานก้องเสียจนคนรอบข้างปวดแก้วหู เหม่ยฟางคว้าแขนของนักพรตเจินหยวน เหมือนกำลังจะถามอะไรบางอย่าง "เสียงโอรสของฝ่าบาท สงสัยว่าฝ่าบาทยังไม่กลับจากว่าราชการ ปกติแล้วหากฝ่าบาทไม่อยู่โอรสจะงอแงร้องไห้ไม่เอาผู้ใดเช่นนี้แหละ" นักพรตเจินหยวนเกาศีรษะเขา ไม่รู้จะทำเช่นใด เหม่ยฟางกระตุกแขนของนักพรตเจินหยวนเพื่อขอไปที่ที่โอรสมังกรอยู่ "เจ้าเลี้ยงเด็กได้หรือ" เหม่ยฟางนิ่งชั่วครู่ก่อนพยักหน้า "ตามมา" นักพรตเจินหยวนเดินนำทางไปยังเสียงเด็กร้อง เมื่อว่าถึงจึงเห็นเหล่าพี่เลี้ยงต่างพากันวุ่นวายพยายามหาทางให้โอรสมังกรเงียบเสียง เหม่ยฟางเดินเข้าไปท่ามกลางเสียงร้องของโอรสมังกรที่นั่งร้องไห้จ้าไม่เอาใคร แต่เมื่อเห็นเหม่ยฟางที่คลุมผ้าจนไม่เห็นหน้า เสียงร้องกลับเงียบลงพร้อมกับลุกเดินตรงเข้ามาหาอย่างน่าประหลาดใจ เหม่ยฟางแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อโอรสมังกรเดินเจ้ามาเกาะขาตนเอง

'ฟาหลง...ลูกของเรา' เหม่ยฟางคุกเข่าลงตรงหน้าโอรสมังกร ช้อนร่างเล็กๆขึ้นมานั่งบนตัก

"น่าแปลกจริง ปกติแล้วองค์ชายฟาหลงไม่ยอมให้ใครแตะต้องยกเว้นองค์ฮ่องเต้เพียงองค์เดียว น่าแปลกจริงๆขนาดพวกเราที่เลี้ยงองค์ชายฟาหลงตั้งแต่เล็กยังเอาไม่อยู่" หนึ่งในพี่เลี้ยงเอ่ยด้วยความแปลกใจ

"มะ มะ กอด กอด" เสียงเล็กๆพูดจาไม่ค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม พร้อมยกมือขึ้นกอดคอเหม่ยฟางไว้แน่น ความรู้สึกตื้นตันภายในจิตใจทำให้เหม่ยฟางถึงกับน้ำตาคลอ

"เจ้าองค์ชายฟาหลงนอนได้ไหม" หนึ่งในพี่เลี้ยงเอ่ยถาม เหม่ยฟางจึงพยักหน้ารับ อุ้มองค์ชายน้อยไปนอนที่เตียงเพื่อกล่อมให้หลับ ใช้เวลาเพียงไม่นานองค์ชายน้อยก็เข้าสู่นิทรา

"ดีจริงที่มีเจ้าอยู่ พวกข้าพลอยสบายไปด้วย ขอบใจเจ้ามาก" หนึ่งในพี่เลี้ยงกล่าวขอบคุณ เหม่ยฟางทำได้แต่ก้มหัวรับพร้อมส่งยิ้ม

"เอาล่ะในเมื่อทุกอย่างดีขึ้น เราก็ไปกันเถอะ" นักพรตเจินหยวนเดินนำไปยังห้องทำงานของจ้าวหย่งเจิ้ง เมื่อมาถึง จ้าวหย่งเจิ้งก็นั่งทำงานรออยู่ก่อนแล้ว

"ถวายบังคมฝ่าบาท ข้าน้อย ขออนุญาติฝ่าบาทพาบุคคลหนึ่งมาเข้าเฝ้าขอรับ" นักพรตเจินหยวนเปิดประเด็นที่ตนมาในครั้งนี้

"ใคร" จ้าวหย่งเจิ้งขมวดคิ้วจ้องมองคนที่ซ่อนตนภายใต้ผ้าคลุม

"นักฆ่าหมื่นบุปผา" เมื่อนักพรตเจินหยวนแนะนำเรียบร้อย หม่ยฟางจึงยื่นกระดาษที่เขียนบางอย่างให้กับนักพรตเจินหยวน

'ขอคุยตามลำพัง' นักพรตเจินหยวนมองอย่างลังเล เหม่ยฟางจึงชี้ไปยังหน้าอกของตนเพื่อให้รับรู้ว่าเขายังมีคาถา คำสัจติดกาย เมื่อนักพรตเจินหยวนเบาใจเขาจึงพยักหน้ารับเดินออกจากห้องนั้น

"เจ้ามีธุระอะไรกับข้า" จ้าวหย่งเจิ้งเปิดประเด็น นัยน์ตายังคงมองฎีกาที่กองบนโต๊ะ ไม่สนใจบุรุษคลุมผ้าตรงหน้า

"เจิ้ง" เสียงเรียกแผ่วเบาแสนคุ้นหูทำให้จ้าวหย่งเจิ้งต้องเงยหน้าขึ้นจากฎีกา

"เจ้าเป็นใคร" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามอยากแคลงใจ น้ำเสียงช่างคุ้นเคยอะไรเช่นนี้

"ข้าเอง" เหม่ยฟางดึงผ้าคลุมที่กปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าขาวนวลแสนคุ้นเคย ซึ่งบัดนี้ใบหน้าของ ตนได้กลับคืนดังเดิมอย่างที่ตาเฒ่าเอี๊ยได้กล่าวไว้

"ฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้าตน

"เจิ้ง ข้าดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง" เหม่ยฟางวิ่งเดินเข้าไปกอดซบอกจ้าวหย่งเจิ้งด้วยความคนึงหา แต่จ้าวหย่งเจิ้งกับลังเลที่จะกอดตอบ

"ฟาง นั่นเจ้าจริงๆหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งยังคงถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง

"ใช่ข้าเอง" เหม่ยฟางกระชับมือกอดให้แน่นยิ่งขึ้น

"ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม" จ้าวหย่งดันร่างบางออกเพื่อมองใบหน้าของผู้เป็นที่รักให้ชัดยิ่งขึ้น

"เจ้าไม่ได้ฝัน เจิ้ง เจ้าไม่ได้ฝัน" น้ำตาแห่งความปลื้มปริ่มของเหม่ยฟางค่อยๆไหลออกมา

"ฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งประทับริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากแดงอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกต่างๆเอ่อล้นถ่ายทอดออกมาทางรสจูบ การขับเคลื่อนต่างเป็นไปตามกลไกการสัมผัสทางธรรมชาติ ความคนึง ความโหยหา ต่างพาทั้งสองเข้าสู่อารมณ์ที่ไม่มีใครขัดได้

"เจิ้ง หยุด หยุดก่อน ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า อ๊ะ เจ้าจับที่ใดกัน" มือหนาแสนซุกซนแหวกสาบเสื้อของผู้เป็นที่รักโดยไม่ฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร

"ข้าคิดถึงเจ้า ฟาง" เหม่ยฟางพยายามปัดป้องมือหนาที่กำลังลูบไล้ไปทั่วร่างกายตน

"เจิ้ง หยุด อ๊ะ ปล่อยข้า หากเจ้าไม่ฟังข้าจะไปจากเจ้า" สิ้นคำ จ้าวหย่งเจิ้งจึงหยุดการกระทำตามคำขอ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีจากตนไป แล้วเงพวกเขาทั้งสองจะไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีก เมื่เหม่ยฟางเห็นว่าอีกฝ่ายยอมหยุดตามคำขอ เขาจึงคิดจะพูดเรื่องที่ตนรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไป แต่พอจะเอ่ยกับเปลี่ยนเรื่องคุยเสียอย่างนั้น

"เจิ้ง ข้าอยากให้เจ้ากอดข้า อ๊ะ!!!" เหม่ยฟางปิดปากตนเองโดยเร็ว 'นี่ข้าพูดอะไรออกไป ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดเช่นนี้นะ' เหม่ยฟางมองหน้าจ้าวหย่งเจิ้งด้วยความรู้หวั่นๆ เมื่อเห็นจ้าวหย่งเจิ้งยิ้มรับกับคำพูดของตน

"ข้าก็ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน" สิ้นคำจ้าวหย่งเจิ้งจึงช้อนร่างบางของเหม่ยฟางไปที่เตียง และเริ่มบรรเลงเพลงรักของเขาทั้งสองคน....

หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 32 พบกันอีกครั้ง) {08-11-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-11-2017 21:11:29
 :hao7: :katai2-1: :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 32 พบกันอีกครั้ง) {08-11-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-11-2017 21:20:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 32 พบกันอีกครั้ง) {08-11-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-11-2017 23:38:54
ความคิดถึงมีมากเสียเหลือเกิน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 32 พบกันอีกครั้ง) {08-11-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: o4u0n7 ที่ 08-11-2017 23:47:04
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 32 พบกันอีกครั้ง) {08-11-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-11-2017 01:09:44
อะไรคืออยากให้กอดห่ะฟางงงงง
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 32 พบกันอีกครั้ง) {08-11-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Sky ที่ 09-11-2017 22:23:38
 :a5: เดี๋ยวสิเดี๋ยวกลับมาต่อเดี๋ยวเน้!!!
 :katai1:มันค้างนะเจ้าคะ :katai1:
 :call: :call: :call: จงกลับมาชาบูชาบูลาลั้นลาลั่นล่ะ
 :pig4: :pig4:อ่านรวดเดียวเลยสนุกมากเจ้าค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 33 สายสัมพันธ์) {25-11-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 25-11-2017 23:48:40
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 33 สายสัมพันธ์

เมื่อแสงตะวันสาดส่องกระทบร่าง ร่างกายของเหม่ยฟางกลับแปรเปลี่ยนเป็นนักฆ่าหมื่นบุปผาเช่นเดิม จ้าวหย่งเจิ้งผู้ลืมตาตื่นขึ้นก่อนต้องตกใจ เมื่อผู้ที่นอนข้างกายไม่ใช่คนรักที่เขาพบเมื่อคืน แต่กลับเป็นนักฆ่าที่หมายจะสังหารตนเมื่อหลายเดือนก่อน ด้วยความตกใจเขาซัดฝ่ามือใส่ร่างที่หลับไหลไม่ได้สติ ร่างบางรับรู้ถึงแรงฝ่ามือจึงคว้าผ้าแพรคลุมกายพลิกหลบลงจากเตียง จ้าวหย่งเจิ้งได้โอกาสคว้าดาบประดับผนังเข้าพาดลำคอของเหม่ยฟางที่ยังไม่ทันตั้งตัว เหม่ยฟางมองตามคมขึ้นไปจนเห็นใบหน้าคนผู้นั้น

"เจ้าต้องการอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามเสียงดัง กดปลายดาบเข้ากับผิวขาว คมดาบบาดผิวทีละน้อยจนเลือดไหลซึมออกมา เหม่ยฟางกัดฟันแน่น มองใบหน้าของคนที่คิดจะสังหารตนด้วยแววตาทุกข์ตรม

'ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้กับข้า' ขอบตาแดงเรื่ออย่างคนอดกลั้น แม้อยากจะเอื้อนเอ่ยคำยังไม่สามารถทำได้ เขาคงต้งถูกคนรักฆ่าเสียแล้วกระมัง

"เจ้าเป็นใคร เข้ามาในห้องของข้าได้อย่างไร" จ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองอย่างดุดัน แม้แต่คำพูดก็เช่นกัน

'...' เหม่ยฟางยังคงนิ่ง ดวงตาแดงช้ำอย่างเห็นได้ชัด

"ข้าถามทำไมไม่พูด" ความเกรี้ยวกราดสาวผ่านทั้งน้ำเสียงแววตา แต่เมื่อจ้องมองแววตาของอีกฝ่ายเขาถึงกับชะงัก คมดาบลดต่ำลง "เป็นไปไม่ได้ ทำไมแววตาถึงเหมือนเขาคนนั้นนัก" น้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายคนอยู่ในภวังก์ ทำให้เหม่ยฟางได้โอกาสสลัดตัวเองหลุดจากคมดาบของจ้าวหย่งเจิ้ง ยังไม่ทันได้หนีไปไหน กลับถูกจ้าวหย่งเจิ้งดึงผ้าแพรเข้าหาตัว ด้วยแรงที่เยอะกว่า เหม่ยฟางจึงถูกดึงเข้าอ้อมกอดของจ้าวหย่งเจิ้งพอดิบพอดี

'อ๊ะ!'

"คิดจะหนีไปไหน" แขนแกร่งกอดรัดไม่ให้ร่างบางขยับกายได้

'ปล่อยข้า' เหม่ยฟางพยายามดิ้นรน ใช้สายตาเป็นสื่อกลาง

"อยากให้ปล่อย จงบอกมาว่าเจ้ามาทึ่นี่ได้อย่างไร จะยอมบอกหรือไม่" เมื่อรู้ตัวว่าตนไม่อาจหลุดจากพันธการได้เหม่ยฟางจึงพยักหน้าตอบรับ

'อืม'

"ดี...บอกข้ามาเจ้าเข้ามานอนในห้องข้าได้อย่างไร" จ้าวหย่งเจิ้งยอมปล่อยให้เหม่ยฟางเป็นอิสระ เหม่ยฟางยั"งคงยืนนิ่งไม่ตอบสิ่งใด "เจ้าพูดไม่ได้?" จ้าวหย่งเจิ้งยืนมองอยู่สักพักก่อนเอ่ยถามออกไป

'อืม' เหม่ยฟางพยักหน้าตอบรับพร้อมเงยหน้าเพื่อสบตากับอีกฝ่าย

"แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก" จ้าวหย่งเจิ้งบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนหยิบกระดาษกับพู่กันสางให้เหม่ยฟาง "คงเขียนเป็นนะ"

'อืม' เหม่ยฟางพยักหน้าอีกครั้ง

"ดี....เจ้าชื่ออะไร" คำถามง่ายๆถามออกไปโดยม่ต้องคิดอะไรมาก

'ฟาง' ตัวหนังสือบนกระดาษทำให้จ้าวหย่งเจิ้งต้องชะงัก แววตาอ่อนแสงเพียงชั่วครู่ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นดุดันตามเดิม

"ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร"

'นักพรตเจินหยวนพามา' ข้อความที่เขียนออกมาทำให้จ้าวหย่งเจิ้งนึกบางอย่างออก

"นักพรตเจินหยวน...เจ้าใช่คนที่จะคุยเรื่องสำคัญกับข้าใช่หรือไม่"

'อืม' เหม่ยฟางพยักหน้ารับ

"คิดสังหารข้างั้นสิ" คำถามนี้ของจ้าวหย่งเจิ้งทำให้เหม่ยฟางถึงอึ้งไปชั่วขณะ จิ้งถึวกับ 'ข้าเปล่า' เหม่ยฟางรีบส่ายหัวทันที เมื่อเรียกสติกลับมาได้

"ในเมื่อไม่คิดจะฆ่าข้าแล้วมาทำอะไรในห้องนอนข้า" จ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองอย่างเอาเรื่อง

พรึ่บ!!!

ผ้าแพรที่คลุมกายเปลือยเปล่าของเหม่ยฟางร่วงลงต่อหน้าจ้าวหย่งเจิ้ง ภาพเบื้องหน้าจ้าวหย่งเจิ้งคือ เรือนกายขาวละเอียดถูกแต่งแต้มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงนับสิบบนร่างเปลือยเปล่านั้น

'เจ้าข่มเหงข้า เจ้าต้องรับผิดชอบข้า' ข้อความที่ตามมาทำเอาจ้าวหย่งเจิงถึงกับอ้าปากค้างชี้นิ้วเข้าหาตนเอง

"ข้าเนี่ยนะข่มเหงเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามอย่างงง ว่าเขาไปข่มเหงบุรุษตรงหน้าเมื่อไหร่กัน

'โอ๊ย...นี่ข้าเขียนอะไรออกไป' เหม่ยฟางถึงกับกุมขมับ เขาไม่รู้จะตอบเช่นไรเพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดจ้าวหย่งเจิ้งเขาจึงตอบไปเช่นนั้น

"หลักฐานล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งถามหาเอาหลักฐานจากคนตรงหน้า

'หลักฐานก็คือตัวข้า' เหม่ยฟางเขียนข้อความใส่กระดาษ ทั้งยังจ้องมองจ้าวหย่งเจิ้งอย่างเอาเรื่อง

"ตัวเจ้าเนี่ยนะ" จ้าวหย่งเจิ้งเดินวนรอบกายของคนตัวบาง   แม้รูปร่างหน้าจะงดงามเช่นไร เขาไม่น่าจะล่วงเกินบุรุษผู้นี้ได้ แต่หลักฐานบนกายกลับบ่งบอกอย่างชัดเจน ว่าเขากระทำไปจริงๆ

'ฟางข้าผิดต่อเจ้า เมื่อคืนข้าคงหน้ามืดตามัวเห็นเขาเป็นเจ้า ข้าขอโทษเจ้าจริงๆ' จ้าวหย่งเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองไปทางหน้าต่าง ได้แต่ตำหนิตนอยู่ในใจ

'เขาจะเชื่อข้าหรือไม่นะ' เหม่ยฟางยังคงจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความกังวลใจ

"เจ้า ใส่เสื้อผ้าเถอะ ข้าจะออกไปข้างนอก เพื่อดูฟาหลงบุตรชายของข้า" ว่าจบ จ้าวหย่งเตรียมย่างเท้าออกจากห้องแต่มือบางกลับคว้าเขาไว้

'ข้าไปด้วย' เหม่ยฟางรีบเขียนตัวหนังสือลงในกระดาษให้จ้าวหย่งเจิ้งอ่าน

"จะตามข้าไปทำไม" จ้าวหย่งเจิ้งเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย เหม่ยฟางทำได้แต่ยึดแขนอีกฝ่าย แล้วก้มหน้าหลบสายตา อย่างทำอะไรไม่ถูก

'...' เหม่ยฟางยังคงเงียบไม่อาจหาคำตอบที่ดีให้กับตนเองได้

"หรือเจ้ามีแผนร้าย" จ้าวหย่งเจิ้งยกในมือขึ้นดาบขึ้นพาดคอเหม่ยฟางอีกครั้ง เหม่ยฟางรีบยกไม้ยกมือโบกไปมาเป็นการปฏิเสธ "เช่นนั้นจงรอข้าอยู่ที่นี่"

'...' เหม่ยฟางนิ่งไปสักพัก เมื่อเห็นจ้าวหย่งเจิ้งทำท่าจะจากไปจึงคว้าแขนอีกฝ่ายไว้เช่นเดิม

"เจ้าไปให้ได้ใช่ไหม" จ้าวหย่งเจิ้งชะงักอีกครั้ง ก่อนหันมาถามผู้ที่ยึดแขนตนไม่ยอมปล่อย

'อืม' เหม่ยฟางพยักหน้า เขาอยากไปหาลูกชายอีกสักครั้ง

"ได้ข้าจะพาเจ้าไป หากเจ้าคิดทำการร้ายใดๆก็ตาย ข้าฆ่าเจ้าแน่" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยแกมขู่ผู้ที่ขอติดตามเขาไป

'อืม' เหม่ยฟางพยักหน้ารับ

จ้าวหย่งเจิ้งพาเหม่ยฟางเดินมาเรื่อยๆจนถึงห้องนอนของโอรสน้อยวัยขวบเศษ ซึ่งกำลังส่งเสียงร้องไห้ งอแงไม่หยุด ร้องเรียกหาใครบางคน

'แงๆๆ แม่จ๋า ฮึกๆ แงๆ"

"น่าแปลก ปกติแล้ว ฟาหลงไม่เคยร้องหาแม่ ไฉนจึงร้องหาได้" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยกับตนเองอย่างสงสัย ก่อนเปิดประตูเข้าไปด้านใน

'แงๆๆ แม่จ๋า ฮึกๆ แงๆ" โอรสน้อยยังคงส่งเสียงร้องไห้ไม่หยุด ร้องหาแต่แม่ พี่เลี้ยงทั้งสิงต่างพากันปวดหัวกับอาการงอแงของโอรสน้อย

"ฟาหลง" จ้าวหย่งเจิ้ง เอ่ยเรียกบุตรชายตัวน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เมื่อฟาหลงน้อยได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็พ่อจึงหันไปมอง ก่นยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

"ท่านพ่อ" ฟาหลงน้อยเงียบเสียงลง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา ฟาหลงน้อยค่อยๆเดินไปทางผู้เป็นบิดา จ้าวหย่งเจิ้งจึงทรุดตัวชันเข่ารออุ้มบุตรชายที่กำลังเดินมาหา "ฟาหลง อ๊ะ" จ้าวหย่งเจิ้งถึงกับอึ้งเมื่อลูกชายเดินผ่านตนเองไปหา ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังตน

"แม่จ๋า" เสียงดังชัดถ้อยชัดคำของฟาหลงน้อยที่เอ่ยเรียกเหม่ยฟางในร่างของผู้อื่น ยิ่งทำให้ใครๆหลายๆคนต่างมากันแปลกใจ โดยเฉพาะ จ้าวหย่งเจิ้ง

'ฟาหลง' เหม่ยฟางมองมือกับแขนๆเล็กกอดเข้าที่ขาตนด้วยความตื้นตัน

"แม่จ๋า"

'มีเพียงเจ้าสินะที่จำแม่ได้' เหม่ยฟางสะกดกลั้นน้ำตาที่กำลังไหลไว้ เขานั่งลงเพื่อให้ตนได้อุ้มฟาหลงน้อยขึ้นมาแนบอก หยาดน้ำตาที่กลั้นไม่อยู่ค่อยๆไหลออกมา

"แม่จ้า อย่าร้องไห้" ฟาหลงน้อยค่อยๆ ปาดน้ำตาของเหม่ยฟาง

"ฟาหลงมาหาพ่อ" จ้าวหย่งเจิ้งได้สติจึงเอ่ยเรียกลูกชายเสียงเข้ม จะปล่อยให้ลูกชายเข้าใกล้นักฆ่าหมื่นบุปผาไม่ได้หากอีกฝ่ายคิดร้าย กลัวว่าจะป้องกันลำบาก

"ไม่ จะอยู่กับแม่" ฟาหลงน้อยตอบปฏิเสธอย่างดื้อดึง

"นั่นไม่ใช่แม่ของเจ้า ถอยออกมาเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งค่ยๆพูดเกลี้ยกล่อมลูกชาย

"ไม่ นี่คือแม่ แม่ของฟาหลง" ฟาหลงน้อยยังคงดื้อดึงเช่นเดิม ยังคงยืนยันมาเหม่ยฟางในร่างนักฆ่าหมื่นบุปผาคือแม่ของตน

"ฟาหลง!!!" จ้าวหย่วเจิ้งใช้เสียงที่ดังขึ้นเรียกฟาหลงน้อย

"ไม่...ฟาหลงจะอยู่กัยแม่" ฟาหลงน้อยกอดอกสะยัดหน้าไปางอื่นอย่างงอนๆ

"แปลกจริง ปกติฟาหลงไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ง่ายๆ แต่ทำไมถึงยอมให้คนผู้นี้เข้าใกล้..."จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยกับตนเองอย่างนึกสงสัย

"ฝ่าบาทจะทำเช่นไรดี องค์ชายไม่ยอมออกห่างคนผู้นั้นเลย" พี่เลี้ยงคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความลำบากใจ

"ปล่อยไปก่อน ให้ไปตามอวี๋เหวินเต๋อมาพบข้าด่วน"

"เจ้าค่ะ" พี่เลี้ยงฟาหลงน้อยรับคำก่อนถอยออกไปเพื่อไปตามอวี๋เหวินเต๋อตามคำสั่ง . . . "ฝ่าบาทเรียกข้าน้อยหรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อผู้ซึ่ถูกตามตัวคุกเข่าทำความเคารพจ้าวหย่งเจิ้ง

"มาแล้วหรือ ข้ามีงานให้เจ้าทำ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเสียงเรียบสายตาจับจ้องมองภาพของนักฆ่าหมื่นบุปผาที่กำลังเล่นอยู่กับฟาหลงน้อยบุตรชายของตนอย่างไม่วางตา

"ฝ่าบาทโปรดรับสั่งมีสิ่งใดให้ข้าน้อยต้องกระทำ ข้าน้อยยินดี" อวี๋เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ดี เจ้ามองไปทางนั้นสิ" จ้าวหย่งเจิ้งชี้ไปทางนักฆ่าหมื่นบุปผากับองค์ชายน้อย

"นั่นมัน นักฆ่าที่ลอบทำร้ายฝ่าบาท ใยถึงอยู่องค์ชายน้อยได้ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก

ทางด้านเหม่นฟางที่กำลังเล่นกับฟาหลงน้อยก็เหลือบไปเห็นอวี๋หวินเต๋อเข้า

'พี่อวี๋' เหม่ยฟางเอ่ยเรียกในใจ จ้องมองอวี๋เหวินเต๋ออย่างไม่ละสายตา เขาอยากจะคุยกัยอวี๋เหวินเต๋อสักครั้ง

"ถ้าเจ้าอยากคุยก็ไปคุยสิ" เสียงคุ้นเคยลอยตามลม ไม่ใช่เสียงใครที่ไหนนอกจากตาเฒ่าเอี๊ย เหม่ยฟางหันมองตามเสียงเห็นร่างตาเฒ่าเอี๊ยเป็นเงาจางๆยืนอยู่ข้างๆตน

'กว่าจะโผล่มาได้นะ' เหม่ยฟางอดบ่นไม่ได้

"บอกแล้วไงว่าไปปูทางให้เจ้าได้เข้าใกล้เขาผู้นั้น" ตาเฒ่าเอี๊ยตอบเสียงเรียบ

'ชิ ปูทางอะไรกันคอข้าเกือบขาดเชียวนะ' เหม่ยฟางย้อนนึกถึงคมดาบที่บาดผิวตนจนเจ็บแสบของจ้าวหย่งเจิ้ง

"เรื่องเล็กน้อย เจ้าอย่าใส่ใจ" ตาเฒ่าเอี๊ยกล่าวเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรต้องกังวล

'เรื่องเล็กน้อย ใช่สิ แค่เกือบถูกถูกฟันคอขาดแค่นั้น' เหม่ยฟางเอ่ยประชดตาเฒ่าเอี๊ย

"เอาเถอะ ข้ามาบอกเจ้าเรื่องนี้ บุรุษที่ชื่ออวี๋เหวินเต๋อนั้น เจ้า เคยกัด เขาใช่หรือไม่"

'ก็ใช่ ข้ากัดเขาเพื่อให้เขาฟังข้ารู้เรื่องในร่างงู' เหม่ยฟางตอบด้วยความรู้สึกแคลงใจ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกัน

"แล้วเจ้าว่า เขาจะฟังเจ้ารู้เรื่องไหมตอนนี้" ตาเฒ่าเอี๊ยถามด้วยรอยยิ้ม

'พี่อวี๋ฟังข้ารู้เรื่องหรือ' เหม่ยฟางถึงกับตาโตด้วยความตื่นเต้น หากอวี๋เหวินเต๋อฟังเขารู้เรื่องจริงนั่นย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับเขา

"ลองพิสูจน์สิ ตะโกนดังๆเรียกเขาสิ" ตาเฒ่าเอี๊ยแนะนำให้พิสูจน์

'ข้าตะโกนออกเสียงไม่ได้' เหม่ยฟางแย้งขึ้น

"ข้ารู้ ข้าหมายถึงว่า เจ้าตะโกนออกไปดังๆในใจ ทำเป็นไหม" ตาเฒ่าเอี๊ยถึงกับกุมขมับเมื่อเหม่ยฟางถามออกมาเช่นนั้น

'อ่อ แล้วก็ไม่บอกแต่แรก' เหม่ยฟางส่งยิ้มตอบไปอย่างเสียไม่ได้

"ลองดูเถอะ"

'พี่อวี๋!!!!' เหม่ยฟางตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดัง

"หือ" อวี๋เหวินเต๋อมองซ้ายมองขวาเมื่อได้ยินเสียงเรียก

"เจ้าเป็นอะไรอวี๋เหวินเต๋อ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามเมื่อเห็นท่ทางแปลกไปของอวี๋เหวินเต๋อ

"ข้าน้อยรู้สึกเหมือนมีใครเรียกขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อตอบตามความจริง

"เหลวไหล ข้านั่งอยู่ข้างเจ้ายังไม่ได้ยิน แล้วเจ้าจะได้ยินเช่นไร" จ้าวหย่งเจิ้งขมวดคิ้วมองอย่างนึกขำกับคำตอบของอีกฝ่าย

"ขอรับ ข้าน้อยคงหูแว่วไปเอง" อวี๋เหวินเต๋อยอมรับกับคำพูดของจ้าวหย่งเจิ้งผู้เป็นนาย

'พี่อวี๋ ข้าคือเหม่ยฟาง ท่านได้ยินข้าไหม!!!!' เม่ยฟางตะโกนขึ้นอีกครั้ง และน่าแปลกที่เขาสามารถบอกผู้อื่นนอกจากจ้าวหย่งเจิ้งได้ว่าเขาคือผู้ใด

"เหม่ยฟางงั้นหรือ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเสียงดังพอที่จ้าวหย่งเจิ้งได้ยินไปด้วย

"เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่" จ้าวหย่งเจิ้งถึงกับขมวดคิ้สเมื่อได้ยินชื่อของคนรักหลุดออกจากปากองครักษ์คนสนิท

"ขออภัยฝ่าบาท แต่ข้าน้อยได้ยินเสียงอีกแล้วขอรับ ได้ยินประมาณว่า ข้าคือเหม่ยฟาง" อวี๋เหวินเต๋อได้แต่ตอบตามในสิ่งที่ตนได้ยิน

ปัง!!!

"เหลวไหล เหม่ยฟางสิ้นไปแล้วจะมีเหม่ยฟางอีกเช่นไร อย่าได้พูดเช่นนี้อีก ไม่มีผู้ใดแทนทีาเหม่ยฟางได้ จำไว้" จ้าวหย่งเจิ้งตบโต๊ะด้วยความไม่ชอบใจก่อนสะบัดชายเสื้อเดินจากไป เมื่อเห็นจ้าวหย่งเจิ้งจากไป อวี๋เหวินเต๋อถึงกัยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"เฮ้อ~ รอดตัวไป แปลกจริง ใครกันนะที่ตะโกนออกมาเช่นนั้น

'พี่อวี๋ ได้ยินข้าไหม' เหม่ยฟางตรงเข่าประชิดตัวอวี๋เหวินเต๋ออย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าจ้าวหย่งเจิ้งเดินจากไปแล้ว มือบาง สะกิดเข้าที่ด้านหลังจนอวี๋เหวินเต๋อต้องหันไปมอง

"เจ้านักฆ่าหมื่นบุปผา" อวี๋เหวินเต๋อกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นนักฆ่าหมื่นบุปผาเข้าประชิดตน โดยไม่ทันตั้งตัว

'พี่อวี๋ นี่ข้าเอง' เหม่ยฟางส่งยิ้มด้วยความดีใจตื่นเต้นที่ตนสามารถคุยกับใครคนหนึ่งได้

"เจ้า เรียกข้างั้นหรือ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามให้แน่ใจ

'อืม ข้าเรียกท่าน' เหม่ยฟางยังคงส่งยิ้มให้กับอวี๋เหวินเต๋อ

"เจ้าใช้กลอันใดถึงคุยโดยไม่เปิดปากได้" อวี๋เหวินเต๋อยัวคงสักถามต่อ เพื่อไขข้อข้องใจ

'ข้าไม่ได้ใช้กลอันใด แต่ท่านคือ ทาสรับใช้ของข้าถึงได้ยินในสิ่งที่ข้าพูด' เหม่ยฟางยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

"ทาสรับใช้ คนอย่างข้าเนี่ยนะจะเป็นทาสรับใช้นักฆ่าอย่างเจ้า ไม่มีทางเสียหรอก" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวด้วยความทนงตน แต่เขากับรู้สึกตงิดๆ กับคำว่าทาสรีบใช้เสียเหลือเกิน คล้ายกับมีผู้เคยบอกเขาเช่นนี้เหมือนกัน

'ใช่สิ ตอนนี้ท่านกลายเป็นทาสรักองค์ชายห้าไปแล้ว จะมาเป็นรับใช้ข้าได้อย่างไร' เหม่ยฟางกล่าวด้ยน้ำเสียงน้อยเหลือต่ำใจ

"เจ้าเป็นใครกันแน่" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย ท่าทางคำพูดจามันดูคุ้นตายิ่งนัก

'เหม่ยฟาง' คำตอบสั้นๆทำให้อวี๋เหวินเต๋อถึงกับพูดไม่ออก

"เจ้า...อย่าเอาคนตายมาล้อเล่นเช่นนี้"

'ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดด้วยความจริงจัง' เหม่ยฟางจ้องมองอวี๋เหวินเต๋อด้วยสายตาจริงจัง

"จะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรกัน เจ้าผู้มีใบหน้าเป็นนักฆ่าหมื่นบุปผาเช่นนี้" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ

'เรื่องนั้นมันมีเหตุผล ซึ่งข้าไม่อาจอธิบายได้เช่นกัน' เหม่ยฟางตอบเสียงเบาเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มอํยาจากตรงไหนดี

"เจ้าบอกว่าเจ้าคือเหม่ยฟาง พิสูจน์สิ"

'พิสูจน์อย่างไร'

"บอกเรื่องที่เจ้ากับข้ารู้กันเพียงสองคน"

'ยอดผาถ่าหยุนซาน ท่านขอความรักจากข้า ในตอนที่ข้ากำลังเสียใจ ท่านบอกกับข้าว่าเป็นท่านได้ไหมที่จะแทนที่จ้าวหยางเจิ้ง' เหม่ยฟางเอ่ยขึ้นตามที่ตนคิดได้

"เดี๋ยวนะ...เจ้าไปฟังเรื่องนี้มาจากที่ใดกัน" อวี๋เหวินเต๋อยังไม่ปักใจเชื่อนักจึงเอ่ยถามเพื่อความกระจ่างแก่ตน

'ข้าคือเหม่ยฟาง ตอนเทศกาลตวงโหงว ข้าโดนพิษเหล้าจนกลายร่าง ก็เป็นท่านอีกนั่นแหละที่เห็นตัวตนของข้า แล้วก็...ระหว่างทางกลับจิ้นหยาง ข้ากลายร่างเป็นงูเขียวทั้งยัวกัดท่านเพื่อให้ท่านเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดในร่างงู แต่การกระทำนั้นเป็นการทำให้ท่านเป็นทาสของข้าอีกด้วย' เหม่ยฟางยังคงเล่ารื่องที่ตนประสบมากับอวี๋เหวินเต๋อ จนอีกฝ่ายต้องยกมือเป็นเชิงห้ามปราม

"พอเถอะ ข้าเข้าใจแล้ว นี่คงเป็นกรรมของข้าแน่ๆที่ต้องมาฟังเจ้าเล่าเรื่องน่าอายเช่นนี้" อวี๋เเหวินเต๋อถึงกับกุมขมับ นี่เขาทำเรื่องน่าอายเช่นนั้นไปด้วยหรือเนี่ย

'พี่อวี๋ต้องช่วยข้านะ' เหม่ยฟางเข้าเกาะแขนอวี๋เหวินเต๋อทั้งยังเอียงศีรษะซบเข้าที่ไหล่ด้วยรอยยื้ม

สายสัมพันธ์ของเหม่ยฟางยังคงเชื่อมโยงหาใครหลายๆคนโดยเฉพาะโอรสมังกรน้อย ที่จดจำผู้เป็นมารดาได้แม้ไม่เคยเห็นหน้า สายสัมพันธ์ระหว่างอวี๋เหวินเต๋อนั้นคือการที่เขาเคยกัดอีกฝ่ายเพื่อให้อีกฝ่ายมาเป็นข้ารับใช้ และสายสัมพันธ์สุดท้ายของเหม่ยฟางจะเชื่อมไปถึงผู้เป็นที่รักมากที่สุดได้ไหมนะ 'จ้าวหย่งเจิ้ง ข้าจะทำให้เจ้าจำข้าให้ได้ ข้าสัญญา'....
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 33 สายสัมพันธ์) {25-11-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-11-2017 00:11:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 33 สายสัมพันธ์) {25-11-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-11-2017 00:43:07
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 33 สายสัมพันธ์) {25-11-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-11-2017 01:41:51
หลานฟางได้เจอลูกับสามีแล้ว จะมีอุปสรรคอะไรมาอีกเปล่าเนี่ย  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 34 เงาที่ซ้อนทับ) {03-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 03-12-2017 16:31:16
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 34 เงาที่ซ้อนทับ

จ้าวหย่งเจิ้งนั่งมอง บุรุษผู้งดงามดั่งสตรีเพศ เล่นกับโอรสน้อยอย่างสนุกสนาน น่าแปลกที่จิตใจของเขากับลืมเลือนเรื่องของเหม่ยฟางไปชั่วขณะเมื่อได้อยู่กับบุรุษผู้นี้ ความรักที่เขามีต่อเหม่ยฟางไม่เคยลดลง แต่เมื่อบุรุษผู้นี้เข้ามาไม่นานเขากับลืมผู้เป็นที่รักได้อย่างสนิทใจ ไม่สิจะเรียกว่าลืมคงไม่ได้ มันคล้ายกับได้อยู่ด้วยอีกครั้งเสียมากกว่า เขารู้สึกมีความสุขอีกครั้ง เมื่อบุรุษผู้นี้อยู่ใกล้

จ้าวหย่งเจิ้งนั่งคิดอะไรต่อมิอะไรเพลินๆ สายตาของเขาก็พานไปเห็นอวี๋เหวินเต๋อ ที่เดินเข้ามาพร้อม ถาดขนมนมเนย อวี๋หวินเต๋อวางถาดขนมลงตรงหน้าโอรสน้อย ก่อนส่งบางอย่างให้กับบุรุษรูปงาม ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันจนผิดหูเป็นตาทั้งๆที่พบกันได้ไม่นานทั้งที่บุรุษรูปงามพูดเอ่ยวาจาไม่ได้ แต่ทำไมอวี๋เหวินเต๋อถึงทำเหมือนเข้าใจอีกฝ่าย ว่าต้องการอะไร

"พี่รอง" เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้นด้านหลังของจ้าวหย่งเจิ้งที่กำลังสนใจภาพบุรุษสองคนตรงหน้าด้วยความหงุดหงิด จ้าวหย่งเจิ้งหันกลับไปตามเสียงเรียก ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัด

"อ้าว น้องห้า มีอะไรถึงมาที่นี่ได้" จ้าวหย่งเจิ้งปรับอารมณ์เพื่อทักน้องชายของตน

"พี่รองใช้งานพี่อวี๋หนักหรือขอรับ ช่วงหลายวันมานี้เขาไม่มาหาน้องที่ตำหนักเลยสักครั้ง" จ้าวหย่งฟงพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดผู้เป็นพี่ชาย

"ข้าหรือจะกล้าใข้งานเขาหนัก กลัวแต่เขาจะอยากทำงานที่นี่จนไม่มีเวลาไปหาเจ้าเสียมากกว่า" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยความไม่พอใจ สายตาหันไปจับจ้องไปยังอวี๋เหวินเต๋อที่กำลังหยอกล้อกับนักฆ่าหมื่นบุปผา

"พี่รอง หมายความว่าอย่างไร" จ้าวหย่งฟงเอ่ยถาม ด้วยความสงสัย จึงมองตามสายตาของผู้เป็นพี่ชายไปจึงพบบุรุษที่ถามถึงอยู่กับบุรุษรูปงามซึ่งดูสนิทสนมเสียจนเขารู้สึกแย่

"อย่างที่เจ้าเห็น" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวโดยไม่พูดอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม

"บุรุษผู้นั้นเป็นใคร" จ้าวหย่งฟงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ เมื่อเห็นท่าทีที่อวี๋เหวินเต๋อมีให้บุรุษผู้นั้น ทำให้เขาไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะเปลี่ยนใจหรือไม่

"แค่นักฆ่าที่คิดบอบสังหารข้า" จ้าวหย่งเจิ้งตอบอย่างไม่ใส่ใจ ว่าอีกฝ่ายคือบุคคลอันตรายแค่ไหน

"อะไรนะ พะ พี่รอง ท่านปล่อยให้บุตรของท่านอยู่กับนักฆ่าได้อย่างไร" จ้าวหย่งฟงเบิกตากว้าง เมื่อทราบว่าผู้ที่เลี้ยงองค์ชายน้อยเป็นนักฆ่า

"ข้าถึงให้อวี๋เหวินเต๋อมาช่วยดูแลอย่างไรล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งตอบแต่สีหน้ากับตึงเครียดเมื่อมองอวี๋เหวินเต๋อกับบุรุษอีกคน

"เป็นอย่างนี้นี่เอง ว่าแต่พี่รองมีเรื่องอะไรให้ท่านไม่สบายใจหรือไม่" จ้าวหย่งฟงสังเกตุสีหน้าที่ดูตึงเครียดกว่าปกติจึงเอ่ยถามขึ้น

"ไม่มีอะไร เจ้ามาหาอวี๋เหวินเต๋อก็ไปเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งโบกมือไล่น้องชายให้ไปหาอวี๋เหวินเต๋อ

"ขอรับ" จ้าวหย่งฟงถอยห่างก่อนเดินเข้าไปหาอวี๋เหวินเต๋อ "พี่อวี๋" จ้าวหย่งฟงเอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความกังวล

"อ้าว องค์ชายห้าท่านมาที่นี่ได้อย่างไร" อวี๋เหวินเต๋อยังยิ้มให้จ้าวหย่งฟงเช่นเคย เขาดีใจที่ได้เห็นองค์ชายจ้าวหย่งฟง

ปึก!

เสียงกระทุ้งศอกเข้าที่สีข้างทำให้อวี๋เหวินเต๋อถึงกับขมวดคิ้วหันมองเหม่ยฟาง

'หยุดยิ้มเลยนะ เห็นแล้วหมั่นไส้' เหม่ยฟางที่สามารถคุยกับอวี๋เหวินเต๋อที่ได้ยินเพียงคนเดียวแซวขึ้นด้วยสีหน้าแววตา

"ไม่ใช่เรื่องของเจ้า" อวี๋เหวินเต๋อผลักศีรษะเหม่ยฟางเบาๆหนึ่ง เป็นภาพที่ทำให้รู้ว่าทั้งคู่สนิทสนมกันมากแค่ไหน

"พวกท่านดูสนิทสนมกันจัง" จ้าวหย่งฟงกล่าวยิ้มๆ แต่ในใจกับรู้สึกขมขื่นแปลกๆ

"พวกเราเป็นเพื่อนพี่น้องกัน" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวยิ้มไม่ทันได้สังเกตุอาการผิดปกติของจ้าวหย่งฟง

"พี่น้อง พวกเจ้าเพิ่งเจอกันไม่นาน ใยเชื่อใจคบกันเป็นพี่น้องไวเช่นนี้" เป็นเสียงของจ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยขึ้น

"ที่ข้าน้อยกล่าวมาล้วนเป็นเรื่องจริง" อวี๋เหวินเต๋อเริ่มยิ้มไม่ออกเมื่อได้ยินคำเสมือนไม่ใจกันจากผู้เป็นนาย

'พี่อวี๋ ข้าว่าพวกเขากำลังเข้าใจเราผิด'  เหม่ยฟางดึงชายเสื้ออีกฝ่ายเพื่อพูดในสิ่งทึ่ตนคิดกับอวี๋เหวินเต๋อ

"ข้าก็คิดเช่นนั้น" อวี๋เหวินเต๋อหันไปพูดกับเหม่ยฟาง

"เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามเมื่อได้ยินสิ่งที่อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยออกมา

"ข้าน้อยเพียงคิดว่า ฝ่าบาทกับองค์ชายห้ากำลังทรงเข้าใจข้าน้อยกับเหม่ยฟางผิด" เพียงอวี๋เหวินเต๋อเอ่ยชื่ออีกฝ่ายขึ้นมาทำให้จ้าวหย่งเจิ้งกับจ้าวหย่งฟงถึงกับชะงัก

"เมื่อครู่เจ้าเรียกคนผู้นี้ว่าอะไรนะ" จ้าวหย่งเจิ้งเค้นเสียงถามอย่างไม่พอใจ

"เหม่ยฟางขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อตอบตามความจริง หันหน้าไปยังผู้ที่อยู่ข้างๆ

ปึก!

เหม่ยฟางถึงกับกระแทกศอกแรงๆใส่สีข้างอวี๋เหวินเต๋อแรงๆ ทั้งยังถลึงตาใส่ด้วยความไม่ชอบใจ จนอวี๋เหวินเต๋อเกิดอาการงง

'ใครใช้ให้ท่านเรียกข้าว่าเหม่ยฟาง ตอนนี้ข้าชื่อ ฟาง ฟาง เฉยๆ' เหม่ยฟางโวยวาย ใส่อวี๋เหวินเต๋อ

"อ๊ะ! เจ้าไม่ได้บอกไปหรือ" อวี๋เหวินเต๋อหันไปถามเหม่ยฟางให้หายสงสัย

"เจ้าคุยกับใคร ข้าคุยกับเจ้าอยู่นะองครักษ์อวี๋" สรรพนามการถูกเรียกชื่อเปลี่ยนไปทำให้อวี๋เหวินเต๋อรู้สึกถึงบรรยากาศที่ชวนอึดอัด

"เปล่าขอรับฝ่าบาท" อวี๋เหวืนเต๋อก้มหน้าลงยอมรับชะตากรรม

"ทำไมถึงเรียกบุรุษผู้นี้ว่า เหม่ยฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งขึ้นเสียงอีกครั้ง

"เพราะ บุรุษผู้นี้มีท่าทางคล้ายฮองเฮาขอรับ ข้าน้อยจึงเผลอเรียก" อวี๋เหวินเต๋อยังคงก้มหน้าตอบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นนาย

"บังอาจ เจ้าดูดีๆสิบุรุษผู้นี้เทียบความงามของเหม่ยฟางไม่ได้เลยสักนิดแล้วจะเหมือนกันได้อย่างไร" จ้าวหย่งเจิ้งคว้าข้อมือเหม่ยฟางให้มาอยู่ใกล้ๆตน ก่อนใช้มือที่ข้อมือเปบี่ยนมาบีบปลายคางอีกฝ่าย

'อ๊ะ!...โอ๊ย!' ความเจ็บแล่นผ่านปลาคางจนเหม่ยฟางถึงกับร้องออกมา แม้ไม่มีเสียงก็ตาม

"ฝ่าบาทอย่าทำรุนแรงกับเหม่ย เอ้ย กับฟางเลยขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อร้องห้ามด้วยความเป็นห่วงเหม่ยฟาง การกระทำของอวี๋เหวินเต๋ออยู่ในสายของของจ้าวหย่งฟงตลอดเวลา โดยไม่มีใครนึกเลยว่าจ้าวหย่งฟงรู่สึกเช่นไรในขณะนี้

"พี่รอง ข้าขอตัวกลับก่อนนะ"  จ้าวหย่งฟงเอ่ยเสียงเบาเดินออกจากตำหนักด้วยอารมณ์หลากหลาย โดยไม่รู้ตัวเลยว่าวี๋เหวินเต๋อนั้นเดินตามหลังมาด้วย

"มีใครอยู่แถวนี้บ้าง เข้ามาพาองค์ชายฟาหลงไปพักผ่อน" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเสียงดังเรียกคนที่อยู่นอก

"พวกข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ/เจ้าค่ะ" เหล่าพี่เลี้ยงด้านนอกต่างพากันเข้ามาอย่างลนลาน

"พาองค์ชายฟาหลงไปพักผ่อน" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวย้ำอีกครั้ง พวกพี่เลี้ยงรับคำรีบพาฟาหลงน้อยออกไปจากสวนทันที แม้ฟาหลงน้อยจะขัดขืนอยู่อยู่บ้างแต่ก็ม่อาจขัดแรงของผู้ที่โตกว่าได้ เหม่ยฟางทำท่าจะตามไปแต่กับถูกคว้าข้อมือไว้แน่น

"เดี๋ยว....ใครให้เจ้าไป ข้ามีเรื่องคุยกัยเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงเย็น

'มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้' เหม่ยฟางหยิบพู่กันกับกระดาษออกมาจากเสื้อเพื่อเขียนคำถามส่งให้จ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้าเป็นอะไรกับอวี๋เหวินเต๋อ รู้หรือไม่ว่าอวี๋เหวินเต๋อเป็นคนรักของน้องห้า"

'อืม...รู้' เหม่ยหางพยักหน้ารัวๆ เพื่อบอกว่าตนนั้นรู้ดี

"ดี อย่าเข้าใกล้สนิทสนมกับอีกฝ่ายให้มากนัก หากข้ารู้ว่าเจ้าคิดยั่วยวนอวี๋เหวินเต๋ออีก อย่าหาว่าข้าไม่เตือน" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งก็สะบัดชายเสื้อแล้วจากไปปล่อยให้เหม่ยฟางงงว่าตนไปยั่วยวนอวี๋เหวินเต๋อเมื่อไหร่กัน

ตกดึก ยามวิกาล อวี๋เหวินเต๋อแอบย่องเข้าหาเหม่ยฟางโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"เหม่ยฟาง เหม่ยฟาง" อวี๋หวินเต๋อเคาะประตูเรียกอีกฝ่ายอยู่หลายรอบ

'นั่นใคร' เสียงด้านในตอบกลับมาด้วยความงัวเงีย

"ข้าเอง อวี๋เหวืนเต๋อ เจ้าออกไปกับข้าที่หนึ่งสิ" อวี๋เหวินเต๋อรอเหม่ยฟางเปิดประตูออกมา

แอ๊ด...

'จะพาข้าไปไหน'

"ไม่ต้องถามตามมาก็พอ" ไม่พูดเปล่าอวี๋เหวินเต๋อก็อุ้มร่างบางของเหม่ยฟางขึ้นแล้วใช้วิชาตัวเบาสะกิดเท้าขึ้นหลังคา ตรงไปยังตำหนักขององค์ชายห้าจ้าวหย่งฟง

'พาข้ามาทำไมที่นี่' เหม่ยฟางเอ่ยถามเมื่อถูกพามายังตำหนักขององค์ชายห้า

"มาเถอะ ข้าแค่อยากให้เจ้ามีคนช่วยอีกแรง"

'คนช่วย?'

"ใช่ ข้าเลยบอกความจริงเรื่องของเจ้ากับองค์ชายห้า" อวี๋เหวินเต๋อยิ้มแหยๆ ก่อนเบนสายตาไปทางอื่น

'มีอะไรบอกข้ามานะ' เหม่ยฟางมองด้วยสายตาจับผิด

"คือ...ตอนที่องค์ชายห้าไปเจอเจ้ากับข้า แล้วเกิดเข้าใจผิด ข้าก็เลย...."

'บอกความจริง'

"อืม ไปเถอะเข้ามาด้านใน องค์ชายห้ารออยู่" อสี๋เหสินเต๋อเร่งให้เหม่ยฟางเข้าไปด้านใน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"องค์ชายข้าน้อยพามาแล้วขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อจับข้อมือของเหม่ยฟางแน่น ก่อนเคาะประตูเพื่อให้คนด้านในมาเปิด

แอ๊ดดด

ประตูเปิดกว้าง ต้อนรับเหม่ยฟางกับอวี๋เหวินเต๋อให้เข้าไปด้านใน

"เข้ามาสิ" ใบหน้าเรียบเฉยของจ้าวหย่งฟงทำให้เหม่ยฟางมองแล้วรู้สึกประหลาด มีบางอย่างที่เขาคิดว่ามันไม่ใช่

'พี่อวี๋เจ้าแน่ใจนะว่าองค์ชายห้าเชื่อที่เจ้าพูด ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้องนะ' เหม่ยฟางเอ่ยถามออกไปตรงๆ เพราะมีอวี๋เหวินเต๋อเท่านั้นที่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด

"คิดมากไปแล้วไม่มีอะไรหรอก องค์ชายห้าต้องเชื่อใจข้าสิ" อวี๋เหวินเต๋อกระซิบบอกแก่เหม่ยฟาง

"พวกเจ้าดูสนิทสนมกันดีนะ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยทักสีหน้าแววตาบ่งบอกความรู้สึกที่ไม่ยินดียินร้ายเสียเท่าไหร่ เหม่ยฟางจึงหยิบกระดาษกับพู่กันบนโต๊ะมาเขียนอย่างถือวิสาสะแล้วส่งให้จ้าวหย่งฟงอ่าน

'เชื่อในสิ่งที่เล่าหรือไม่ หากไม่เชื่อ ข้าขอตัว' เมื่อจ้าวหย่งฟงเงยหน้ามองอย่างนึกสงสัยในข้อความ เหม่ยฟางก็หมุนตัวเตรียมจะกลับ

"คือว่า..." จ้าวหย่งฟง เอ่ยขึ้นแล้วชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเหม่ยฟางหันกลับมา "ข้า...ไม่รู้ว่าจะเชื่อในสิ่งที่บอกเล่าได้ไหม มันอยู่เป็นเรื่องที่ข้าไม่สามารถบอกได้ แต่ หากเจ้ามาเพราะพี่รอง เอ่อ...ไม่เกี่ยวกับพี่อวี๋...ข้า...จะช่วย...แต่พอเห็นพวกท่านสนิทสนมกันแบบนี้ข้าอดรู้สึก...ไม่ได้" จ้าวหย่งฟงก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกว่าตนชั่งทำตนงี่เง่ายิ่งหนัก

"ข้าชอบท่านนะ องค์ชายห้า ไม่สิ น้องฟง จริงอยู่ที่ข้าเคยมีใจให้เหม่ยฟาง แต่ตอนนี้ใจข้ามีแต่ท่านเท่านั้น ข้าอยากให้ท่านเชื่อใจข้า" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยวาจาเพื่อให้จ้าวหย่งฟง เบาใจ

"พี่อวี๋" จ้าวหย่งฟงเดินเข้าไปตรงหน้าอวี๋เหวินเต๋อแล้วสวมกอดอีกฝ่าย

"อย่าคิดมากนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเสียงทุ้มนุ่มฟังสบายกอดกระชับอีกฝ่ายไว้เช่นกัน

'บอกรักกันพอแล้วใช่ไหม หรือคิดจะสานต่อ เช่นนั้นข้าขอตัว' เหม่ยฟางเอ่ยทักอวี๋เหวินเต๋อที่กำลังจะก้มหน้าไปจูบจ้าวหย่งฟง

"อ่า...ข้าขออภัยข้าลืมไปว่าเจ้ายังอยู่" อวี๋เหวินเต๋อเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะแห้งกับเหม่ยฟาง

'ตามสบาย ข้าขอตัว' ว่าจบเหม่ยฟางเตรียมหันตัวกลับเดินออกจากประตู

"เดี๋ยวสิ อย่าน้อยใจไป กลับมานั่งคุยเรื่องสำคัญกันเถอะ"   ไม่พูดเปล่าอวี๋เหวินเต๋อยังดึงเหม่ยฟางให้มานั่งที่เก้าอี้ เพื่อคุยเรื่องที่จะทำให้จ้าวหย่งเจิ้งจำเหม่ยฟางให้ได้

"ฟาง ข้าขอโทษนะที่ทำให้เจ้าเสียเวลา" จ้าวหย่งฟงเอ่ยขอโทษ ทั้งใบหน้ายังคงแดงเรื่อด้วยความเขินอายที่ทำเรื่องเช่นนั้นต่อหน้าคนอื่น

'ช่างเถอะ' เหม่ยฟางโบกมือไปมาเป็นบอกว่าไม่เป็นไร

"แล้วจะทำเช่นให้ให้ฝ่าบาทจำเจ้าได้" อวี๋เหวินเต๋อเปิดประเด็นขึ้นมา ทั้งเหม่ยฟาง ทั้งจ้าวหย่งฟงต่างนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด

"พวกเจ้าคิดไม่ออกข้าคิดให้ก็ได้นะ" เสียงชายแก่เอ่ยขึ้นกลางความเงียบ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตาเฒ่าเอี๊ย

"เจ้า...เป็นใครเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่" อวี๋เหวินเต๋อจับดาบที่ข้างเอวขึ้นมาจ่อหน้าตาเฒ่าเอี๊ย ตาเฒ่าเอี๊ยจึงได่แต่ดันปลายดาบไปทางอื่น

"อย่าใจร้อนไปสิ นั่งๆ ข้าจะมาบอกความคิดของข้าให้พวกเจ้าฟัง" ชายแก่นั่งลงแทรกกลางระหว่างเหม่ยฟางกับอวี๋เหวินเต๋อ แม้ปลายดาบของอวี๋เหวินเต๋อยังคงจ่ออยู่ที่หน้าก็ตาม

'เจ้ามีอะไรก็พูดมาตาเฒ่า' เหม่ยฟางเอ่นเสียงติดหงุดหงิด คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป ไร้ประโยชน์สิ้นดี

"เจ้าคิดว่าข้าไร้ประโยชน์สินะ แต่ข้ามีข่าวดีมาบอกเจ้านะเหม่ยฟาง" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยยิ้มๆอย่างอารมณ์ดี

"เหม่ยฟางเจ้ารู้จักตาแก่นี่ด้วยหรือ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามเหม่ยฟางให้แน่ใจ เมื่อเห็นเหม่ยฟางพยักหน้าเขาจึงเก็บดาบเข้าที่ตามเดิม

"ที่ท่านบอกว่า มีวิธี จริงหรือไม่" จ้าวหยางฟงเอ่ยถามแทนคนอื่น

"จริงสิ เพียงอาบแสง
จันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น ร่างเก่าเจ้าจะค่อยๆคืนกลับมา เมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์ บรรยากาศดีใช่ไหม ช่วงที่เจ้ากำลังอาบแสงจันทร์ พวกเจ้าต้องหาทางให้คนผู้นั้นมาเห็นให้ได้" ตาเฒ่าเอี๊ยอธิยาย

'ทำไมเพิ่งบอก' เหม่ยฟางเอ่ยถามด้วยความข้องใจ

"ข้าลืม" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยยิ้มๆอย่างไม่สำนึกผิด

ปัง!!!

'ลืม...เรื่องสำคัญเช่นนี้ เจ้ากลับลืมเนี่ยนะ' เหม่ยฟางตบโต๊ะด้วยความโมโห

"เถอะน่ายังไงข้าก็บอกเจ้าแล้ว วันมะรืนเป็นคืนที่พระจันทร์ ขอให้เจ้าทำสำเร็จแล้วกัน ข้าไปล่ะ" ว่าจบตาเฒ่าเอี๊ยก็หายตัวไปดั่งสายลม ทำให้อวี๋เหวินเต๋อกับจ้าวหย่งฟงต่างพากันตกใจ

"ฟางอย่าโมโหไปเลยอย่างไรเสียเราก็รู้แล้วว่าต้องทำเช่นไร ให้เจ้าคืนร่างเดิม แม้ข้าจะรู้สึกสับสนอยู่บ้างแต่ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่" จ้าวหย่งฟงเอ่ยปลอบเหม่ยฟางที่กำลังโมโหให้ใจเย็นลง

'พี่อวี๋พาข้ากลับ ข้าอยากพักผ่อน' เหม่ยฟางเอ่ยบอกอสี๋เหวินเต๋อก่อน โบกมือลาให้กับจ้าวหย่งฟงด้วยรอยยิ้มอ่อน

"ข้าไปส่งเหม่ยฟางก่อนนะ แล้วข้าจะกลับมาหาท่าน" อวี๋เหวินเต๋อกบ่าวก่อนอุ้มเหม่ยฟางขึ้นแล้วกระโดดออกจาคกตำหนักเพียงสะกิดปลายเท้าเพียงเล็กน้อย

'พี่อวี๋ ข้ามีบางอย่างจะบอกท่าน' เหม่ยฟางเอ่ยขึ้นขณะอยู่ในอ้อมแขนของอวี๋เหวินเต๋อ

'ไม่จำเป็นต้องอุ้มข้าในท่าเจ้าหญิงแบบนี้ก็ได้นะ ข้ารู้สึกแปลกๆ อีกอย่างข้าเองก็มีวิชาตัวเบา' เหม่ยฟางเอ่ยก่อนมองใบหน้าอีกฝ่าย

"ห๊ะ! แล้วทำไมไม่บอกข้าแต่แรก" อวี๋เหวินเต๋อชะงักค้างรู้สึกตนเองเหมือนถูกหลอกใช้

'แล้วท่านให้โอกาสข้าได้พูดหรือไม่ เอะอะ ก็อุ้มข้า ไม่ให้ข้าได้พูดอะไรเลย' เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวี๋เหวินเต๋อถึงกับยิ้มออกมา

"นั่นสินะ"

'ยังจะยิ้มอีก ปล่อยข้าตรงนี้เถอะ ท่านเองก็กลับไปหาองค์ชายห้าได้แล้ว' เหม่ยฟางบอกอวี๋เหวินเต๋อให้บ่อยตนลงที่สวนเพื่อให้อวี๋เหวินเต๋อไปสานสัมพนธ์กับจ้าวหย่งฟงต่อ

"เดินกลับห้องดีๆ อย่าแวะที่ไหนล่ะ" อวี๋เหวินเต๋อปล่อยเหม่ยฟางลงที่สวน ทั้งยังพูดจาหยอกล้ออีกฝ่ายก่อนกระโดดข้ามกำแพงหายไป

ช่วงกลางดึกจ้าวหย่งเจิ้งได้ยินเสียงเหมือนมีผู้บุกรุกจึงเดินสำรวจรอบๆตำหนัก ก็พบเข้ากับอวี๋เหวินเต๋อกำบังเดินไปยังห้องของบุรุษนักฆ่า เขาจึงแอบตามไป เห็นอวี๋เหวินเต๋ออุ้มร่างบางของบุรุษนักฆ่าหายไปในความมืด ไม่สามารถติดตามไปได้จึงดักรอที่สวนอยู่หลายชั่วยาม อวี๋เหวินเต๋อก็พาบุรุษนักฆ่ากลับมา เขารู้สึกเหมือนเห็นบุรุษนักฆ่ามีเงาของเหม่ยฟางซ่อนทับอีกฝ่ายอย่างน่าแปลก

'ความรู้สึกอึดอัดในอกนี่มันอะไรกัน บุรุษนักฆ่าผู้นั้นไม่มีวันเป็นเหม่ยฟางไปได้หรอก ข้าควรทำเช่นไรดี' ในใจของจ้าวหย่งเจิ้งเกิดอาการต่อต้านกับสิ่งที่ตนคิด เขาควรเชื่อสิ่งไหนกันแน่นะ....
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 34 เงาที่ซ้อนทับ) {03-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-12-2017 21:09:14
 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 34 เงาที่ซ้อนทับ) {03-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 03-12-2017 21:10:02
เจิ้งซื่อบื้อ!!
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 34 เงาที่ซ้อนทับ) {03-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-12-2017 01:34:17
เชื่อเถอะ เชื่อไหวก็ไม่เสียหลาย  :m5:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 34 เงาที่ซ้อนทับ) {03-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 05-12-2017 20:14:23
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 34 เงาที่ซ้อนทับ) {03-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-12-2017 21:27:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 35 เสียใจ) {23-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 23-12-2017 13:08:47
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 35 เสียใจ

จ้าวหย่งเจิ้งที่แอบมองนักฆ่าหมื่นบุปผาที่ถูกอวี๋เหวินเต๋อ อุ้มกระโดดลงจากหลังคาด้วยสายตาขุ่นเคือง เขาไม่แน่ใจเลยว่าบุรุษสองคนนี้เป็นอะไรกันแน่ เมื่อเห็นอวี๋เหวินเต๋อจากไป จ้าวหย่งเจิ้งจึงเดินออกจากที่ซ่อน

"ไปไหนมา" เสียงเอ่ยถามด้วยสีหน้าแววตาถมึงทึงของจ้าวหย่งเจิ้งทำให้เหม่ยฟางสะดุ้งตกใจหันไปมองจนเผลอก้าวถอยหลังตามสัญชาตญานเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ก่อนส่ายหน้าไปมาไม่ยอมเข้าใกล้ "จะหนีไปไหน" มือหนาคว้าแขนของเหม่ยฟาง กำรอบแขนแน่นจนเกิดรอยแดง

'อ๊ะ!...โอ๊ยยยย' ใบหน้าของเหม่ยฟางบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ เพราะมือหนานั้นทั้งดึงรั้งบีบแน่นจนไม่สามารถสลัดให้หลุด

"เจ็บงั้นหรือ นี่คือโทษทัณฑ์ของผู้ที่คิดแย่งของผู้อื่น ตามข้ามาเดี๋ยวนี้" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งยังฉุดกระชากลากถูเหม่ยฟางให้ตามไปอย่างไม่อาจขัดขืนได้

พลั่ก!!!

จ้าวหย่งผลักร่างผอมบางของอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง ห้องหนึ่งที่ค่อยข้างโปร่งโล่งสว่าง ไม่ใช่ห้องที่ดูน่ากลัวอะไร

"อยู่ในนี้อย่าคิดหนี" จ้าวหย่งเจิ้งชี้หน้าคาดโทษ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามจะลุกหนีออกจากห้อง เหม่ยฟางได้แต่มองใบหน้าของอีกฝ่ายเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ต้อง ก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย อย่างรู้สึกผิดหวัง

'ทำไม ถึงเป็นเช่นนี้' เหม่ยฟางได้แต่บ่นกับตนเองในใจ แม้อยากพูดอะไรมากมายแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้อย่างใจคิด

"หากคิดหนี ข้าจะล่ามเจ้าด้วยสิ่งนี้" จ้าวหย่งเจิ้งชูโซ่ตรวนขึ้น ก่อนโยนมาตรงหน้าอีกฝ่าย

เคร้ง แกรก แกรก เคร้ง เสียงโซ่ตรวนกระทบพื้นจนเกิดเสียงดัง เหม่ยฟางถึงกับหน้าซีด ไม่คิดว่าจ้าวหย่งเจิ้งจะเปลี่ยนไปเช่นนี้ ทำไมถึงมีของพวกนี้อยู่ในห้องได้

'นี่มัน อะไรกัน' สีหน้าแววตาชวนฉงนของเหม่ยฟางทำให้จ้าวหย่งเจิ้งรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร

"เจ้าทำให้ข้าหงุดหงิด ยิ่งมองเจ้า ยิ่งทำให้ข้านึกถึงใครบางคน" จ้าวหย่งเจิ้งระบายความรู้สึกหงุดหงิดออกมาทั้งสีหน้า น้ำเสียง แววตา

'ข้า....' เหม่ยฟางชี้นิ้วเข้าหาตนเอง แม้จะรู้สึกโกรธอีกฝ่ายอยู่บ้างแต่พอได้ยินคำพูดที่ระบายออกมากับทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกบางอย่างกับตน รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหม่ยฟางโดยไม่ได้ตั้งใจ

"เจ้า ยิ้มอะไร หากเจ้าอยู่ที่นี่ข้าคงไม่ต้องปวดหัวเรื่องของเจ้าอีก ข้าคงไม่หงุดหงิด ข้าคงไม่กังวลว่าจะมีใครมายุ่งวุ่นวายกับเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งยังคงระบายความรู้สึกของตนให้เหม่ยฟางฟังเรื่อยๆ เหม่ยฟางได้แต่อมยิ้มกับความรู้สึกของอีกฝ่าย จนได้ยินคำพูดหนึ่งอกมาจากปากจ้าวหย่งเจิ้ง

"หากเจ้าพูดกับข้าได้คงจะดีไม่น้อย" คำพูดเหมือนดั่งคำประกาศิต เกิดความรู้สึกร้อนเย็นวูบวาบในลำคอของเหม่ยฟาง เหม่ยฟางรู้สึกได้ว่าตนสามารถเอ่ยวาจาใดๆออกมาได้ตามต้องการ

'จะ จะ จะ เจิง จะ เจิ่ง เจิ้ง" คำแรกที่อยากพูดคือชื่อของคนที่ตนรัก ซึ่งกว่าจะออกมาได้แต่ละคำ ช่างเหมือนกับเด็กกำลังหัดพูดอย่างไรอย่างนั้น

"เมื่อกี้เจ้าพูดชื่อข้าหรือ เจ้าพูดได้งั้นหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ ก่อนหน้านี้เขาเคยให้หมอหลวงมาดูอาการเพื่อรักษาแต่ไม่สำเร็จ แต่นี่...จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาได้เสียอย่างนั้น น่าแปลกยิ่งนัก

"ขะ ขะ ข้า พะ พะ พูด ดะ ดะ ได้" เหม่ยฟางถึงกับหลั่งน้ำตา ตนไม่คิดเลยว่าจะพูดได้ นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่

"ทำไมเจ้าถึงพูดได้" จ้าวหย่งเจิ้งทั้งตื่นเต้นทั้งตกใจจับไหล่เหม่ยฟางแน่นเพื่อถามความจริง

"ขะ ขะ ข้า มะ มะ ไม่รู้" เหม่ยฟางส่ายศีรษะไปมา ตอบกลับไปในทันทีเพราะตนเองก็ไม่รู้เช่นกัน

"จะไม่รู้ได้อย่างไร หรือที่เจ้าคือการเสแสร้ง" ไหล่ทั้งสองข้างถูกมือหนาทั้งบีบทั้งเขย่าอย่างไม่ปราณี

"จะ เจ็บ ฮึก ฮึก" ร่างบางๆสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ เจาไม่เคยเห็นจ้าวหย่งเจิ้งเป็นเช่นนี้มาก่อน

"เจ็บก็บอกมาสิ ไอ้อาการเป็นใบ้ของเจ้า เป็นเรื่องโกหกหลอกลวง" สีหน้าแววตาของจ้าวหย่งเจิ้งดูข่มขู่คุกคามเหม่ยฟางไม่น้อย

"มะ ไม่ ได้ กะ โก หก" เหม่ยฟางค่ยๆเปล่งเสียงอย่างเด็กหัดพูดออกมาอย่างยากลำบากพยายามชี้แจงให้รู้ว่าเขาไม่ได้หลอกลวงอีกฝ่าย

"เจ้ารู้ไหมข้าเกลียดสิ่งใดที่สุด" จ้าวหย่งเจิ้งที่ยังคงจับไหล่ของอีกฝ่ายเอ่ยถาม

"กะ โกหก" เหม่ยฟางรู้ว่า แต่ไหนแต่ไรจ้าวหย่งเจิ้งเกลียดการโกหกมากที่สุด โดยเฉพาะการโกหกจากคนที่ไว้ใจที่สุด

"ใช่ และเจ้ากำลังทำสิ่งนั้น" ว่าจบก็ผลักร่างของเหม่ยฟางล้มลงไปกับพื้น ศรีษะกระแทกเข้ากับมุมโต๊ะ จนแตก เลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผล ในช่วงขณะนั้นเอง ร่างบางที่นั่งนิ่ง มีหยดน้ำตาไหลอาบหน้า เลือดสีแดงสดไหลหยดลงพื้นผสมปนเปรวมกับน้ำตา จนจ้าวหย่งเจิ้งต้องถอยหลัง เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้กฝ่ายเจ็บจนเลือดตกยางออก

"จะ เจิ้ง เจ้าไม่รู้อะไรเลย เจ้าจำข้าไม่ได้แม้แต่น้อย เจ้ายังรักข้าอยู่จริงหรือ เจ้า...จะต้องให้ข้าเสียน้ำตาสักกี่ครั้งกัน" ร่างบางค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง ผู้ที่ทำร้ายตน พร้อมกับพูดต่อว่าอีกฝ่าย เพียงครู่หนึ่งใบหน้าของคนร่างบางกลับฉายเงาของคนรักขึ้นมาอย่างชัดเจน

"ฟาง" เสียงเอ่ยแผ่วเบา ดวงตาที่ประกายอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เพียงครู่เดียว แววตานั้นกับแปรเปลี่ยนเป็นดุดันยิ่งกว่าเคย "ไม่ใช่ เจ้าไม่ใช่ฟาง" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งก็สบัดชายเสื้อออกจากห้องด้วยความโมโห เหม่ยฟางยังนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนเสียงหนึ่งดังขึ้น

"โฮ่ๆ ดีใจกับเจ้าด้วยที่สามารถพูดได้ ในที่สุดบุรุษผู้นั้นก็ยอมเอ่ยปากให้เจ้าพูดได้ออกมา" สีหน้ายิ้มแย้มของตาเฒ่าเอี๊ยยังคงเต็มไปด้วยความดีใจ

"ทะ ทำไมไม่บอกเรื่องนี้กับข้าแต่แรก" เสียงพูดเศร้าของเหม่ยฟางทำให้ตาเฒ่าเอี๊ยยังนึกแปลกใจ

"ก็ข้าอยากทำให้เจ้าแปลกใจอย่างไรล่ะ อย่างที่โลกเก่าเรียกอะไร เซอ เซอร์ไพรส์ สินะ" ตาเฒ่าเอี๊ยตอบด้วยยิ้ม โดยไม่สังเกตุท่าทีของเหม่ยฟาง

"ออกไป" เหม่ยฟางเอ่ยปากไล่ตาเฒ่าเอี๊ย โดยไม่มองหน้าแม้แต่น้อย

"เจ้า ไล่ข้าหรือ แต่ข้ามาที่นี่เพื่อรักษาบาดแผลให้เจ้านะ"  ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยทักท้วง

"ได้โปรด ข้าอยากอยู่คนเดียว" เหม่ยฟางยังคงเอ่ยเสียงเบา เขารู้สึกเหมือนพลังชีวิตกำลังถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น

ตะวันคล้อยตัวลงจนลับขอบฟ้า เหม่ยฟางยังคงนั่งนิ่ง ไม่ขยับไปไหน เลือดสีแดงสดแห้งกรังติดกับพื้น อาหารที่ถูกยกมายังคงเท่าเดิม ไม่ลดไม่เพิ่ม แสงจันทร์นวลลอยเด่นขึ้นฉายเข้าที่ร่างบาง ปรากฏภาพทับซ้อนของคนสองคน หากแสงจันทร์ถูกเงาเมฆบดบังเงาทึ่ซ่อนทับนั้นจักหายไป เป็นเช่นนี้อยู่หลายคืน จนไม่มีใครกล้าย่างกายเข้ามาเพื่อสอดรู้สอดเห็น

ฝ่ายจ้าวหย่งเจิ้ง ผู้ที่สั่งกักตัวเหม่ยฟางไว้เริ่มกระวนกระวายใจ จิตใจสับสน อลม่าน จนน่าปวดหัว ใจหนึ่งอยากไปเพื่อแสดงความห่วงใย แต่อีกใจกลับค้านหัวชนฝา ว่าไม่มีใครมาแทนที่เหม่ยฟาง คนที่ตนรักได้อีก แต่จืตใจตอนนี้ของเขาสิ มันช่างขัดแย้งจนเขาทำอะไรไม่ถูก

"ฝ่าบาทเป็นอะไรไปขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถาม เมื่อเห็นผู้เป็นนายเดินวนไปวนมาอยู่หลายสิบรอบ

"ข้า...." จ้าวหย่งเจิ้งอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบเช่นไรดี

"ห่วง ก็ไปหาสิขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อบอกตามสิ่งที่ตนคิด

"ใคร ข้าหรือที่ห่วง ไม่มีทางเสียหรอก" นายผู้ปากแข็งเอ่ยเสียงตืดหงุดหงิดจนอวี๋เหวินเต๋อต้องส่ายศีรษะให้กับเจ้านายหัวดื้อ

"ขอรับ ขอรับ ไม่ห่วงก็ไม่ห่วง แต่...ฟางไม่ได้ทานอาหารว่าหลายวันแล้วนะขอรับ ทั้งบาดแผลที่ศีรษะ ก็ไม่รับการรักษา แบบนี้ ต้องอักเสบเป็นแน่" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยกระตุ้นความรู้สึกของจ้าวหย่งเจิ้งก่อนเดินหนีไป

"ช่างสิใครสนกัน คนอย่างข้า ทำไมต้องใส่ใจผู้อื่น" แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่ภายในใจกับร้อนเหมือนไฟลน "บ้าจริง" สิ้นคำจ้าวหย่งเจิ้งรีบเดินไปยึงห้องที่ตนกักบริเวณคนตัวบางเอาไว้

จ้าวหย่งเจิ้งยืนอยู่หน้าประตูห้องที่เงียบกริบ มีเสียงสะอื้นไห้แผ่วเบา เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป ใจเขารู้สึกหล่นวูบเหมือนกำลังถูกดึงลงที่ที่ต่ำที่สุด คนตัวบางยังนั่งนิ่งมีเสียงสะอื้นอยู่ระยะระยะ แม้แผ่วเบาแต่เขาสามารถได้ยินชัดเจน เสียงยังคงก้องสะท้อนในโสตประสาทไม่หายไปไหน

"นี่เจ้า เจ้า..." จ้าวหย่งเจิ้งใช้มือสะกิดคนตัวบางเล็กน้อย แต่ไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ ทั้งยังเอนตัวล้มลงจนเขาต้องช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นไปนอนที่เตียง เพียงจับไปที่ตัวเขารู้สึกได้ทันทีว่า ร่างบางกำลังป่วยหนัก ร่างทั้งร่างร้อนดั่งไฟเผา จนน่ากลัว "ใครอยู่ด้านนอกรีบไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้" จ้าวหย่งเจิ้งรีบตะโกนสั่งผู้ที่อยู่ด้านนอก

"ฮึก ฮึก ฮึก" เสียงสะอื้นยังคงดังอยู่แม้จะเบามากก็ตาม

"หยุดเลยนะ นี่เจ้าสลบไปแล้วยัวจะเสียใจอะไรนักหนา หยุดร้องไห้เสียทีเถอะ ข้าขอโทษ ที่ทำร้ายเจ้าข้าไม่ได้ตั้งใจ ได้โปรดอย่าเป็นอะไรนะ" เพียงเห็นคนตัวบางนอนนิ่งไม่ได้สติ ใจของจ้าวหย่งเจิ้งยิ่งร้อนรน เขาไม่อยากสูญเสียอีกแล้ว

"ฮึก ฮึก ฮึก เจิ้ง เจ้ามันใจร้าย" เสียงละเมอเพราะพิษไข้ทำให้จ้าวหย่งเจิ้งหันไปมองคนที่กำลังละเมอต่อว่าเขา

"ใช่ ข้าใจร้าย แต่ข้าไม่อาจยอมรับได้ว่าข้าระ..." จ้าวหย่งเจิ้งชะงักคำพูดไม่ยอมพูดต่อเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินมาที่นี่

"ฝ่าบาท หมอหลวงมาแล้วขอรับ" เป็นอวี๋เหวินเต๋อที่เดินนำหมอหลวงเข้ามาด้านใน ทั้งยังยืนดูหมอหลวงดูหมอหลวงตรวจอาการคนตัวบางไม่ไปไหน

"อวี๋เหวินเต๋อ เจ้ากลับไปได้แล้วมายืนเกะกะหมอหลวงอยู่ทำไม" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่พูดเสียงติดหงุดหงิดออกปากไล่

"ไม่ได้ขอรับ ข้าน้อยเป็นห่วงฟาง" แม้เป็นคำพูดห่วงใยธรรมดาๆไม่ได้พิเศษอะไร แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจของจ้าวหย่งเจิ้งกับรู้สึกเหมือนมีใครมาบีบเสียจนเจ็บไปหมด หน้าเขารู้สึกชาๆอย่างบอกไม่ถูก

"กลับไป ที่นี่หมอหลวงดูแลให้แล้ว" จ้าวหย่งเจิ้งพูดเสียงแข็งออกปากไล่อวี๋เหวินเต๋ออีกครั้ง

"หวงขนาดนั้นเลยหรือขอรับ" น้ำเสียงที่ตอบมาด้วยท่าทางล้อเลียนทำให้จ้าวหย่งเจิ้งนิ่งไปครู่ก่อนปรับสีหน้าให้เรียบตึงขึ้นไปอีก

"อยากพูดเช่นไรน่าจะพูดให้ชัดเจนนะขอรับ หากยังวางท่าเช่นนี้ ระวังคนสำคัญจะหลุดลอยไปไม่รู้ตัว" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยเสียงเรียบใบหน้ายังมีรอยยิ้มอ่อนส่งให้ผู้เป็นนาย

"ออกไป" น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยปากไล่อีกครั้ง

"เช่นนั้นข้าน้อยขอตัว" อวี๋เหวินเต๋อยังคงยิ้มให้ผู้เป็นนายแล้วเดินออกจากห้อง

"คนสำคัญ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยพึมพำกับตนเอง มองอวี๋เหวินเต๋อที่เดินออกจากห้องครุ่นคิด ก่อนหันมองใบหน้าซูบซีดของคนตัวบางอย่างเป็นห่วง

"เจิ้ง คนใจร้าย ใจร้าย ทำไมจำ...ไม่...ได้" เสียงละเมอพึมพำออก ทำให้อวี๋เหวินเต๋อต้องเงี่ยหูฟัง เพื่อให้ได้ยินสิ่งที่คนตัวบางพยายามบอกตาม

"จำ อะไร จำใครไม่ได้ เจ้ากำลังหมายถึงใครกัน ข้าไม่เข้าใจ เจ้ากำลังสื่ออะไรกันแน่" จ้าวหย่งเจิ้งอดบ่นออกมาไม่ได้เมื่อเขาไม่เข้าสิ่งที่คนตัวบางบอกเขาเลยสักอย่าง สุดท้ายจำต้องเลิกสนใจสิ่งที่คนนอนไม่ได้สติต้องการสื่อ เขายังคงยังมือของอีกฝ่ายแน่น ไม่ยอมปล่อยมือไปไหน "ข้าจะอยู่ข้างๆเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งเฝ้าดูอาการคนไม่ได้สติอยู่หลายวัน ไม่ยอมหลับยอมนอน จนวันนี้ร่างกายทนต่อความอ่อนเพลียไม่ไหว เผลอหลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

เป็นจังหวะที่แสงจันทร์ค่อยๆลอดผ่านช่างหน้าต่างเข้าปะทะร่างที่ไม่ได้สติของเหม่ยฟาง มันปลุกเหม่ยฟางให้ลุกขึ้นในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นเพื่อเดินตามแสงแห่งดวงจันทร์ไปยังกลางสวนที่แสงสามารถอาบย้อมร่างบางได้ทั้งร่าง ร่างกายที่ผอมบอบบางตอบรับแสงจันทร์จนส่องประกายสว่าง แปรเปลี่ยนจากหนึ่งหนึ่งไปยังอีกร่างหนึ่ง ร่างกึ่งหลับกึ่งตื่นของเหม่ยฟางยังคนยืนอยู่กลางสวนไม่ขยับไปไหน คล้ายรอใครบางคน ไม่นานเกินรอเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น

"นี่ ....เจ้า อยู่ไหน นี่ ....เจ้าอยู่ไหน" เป็นเสียงของจ้าวหย่งเจิ้งทึ่เดินออกตามหาคนที่นอนหลับไหลไม่ได้สติมาหลายวัน "หายไปไหนนะ" สายตาส่ายส่องหาคนทึ่จู่ๆก็ฟื้นขึ้นมาแล้วยังจะหายตัวไปอีก "นั่นมันแสงอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งสังเกตุเห็นแสงสว่างมาจากในสวนจึงรีบวิ่งไปดู เขาได้พบร่างของคนที่เขาตามหา แต่ร่างนั้นมีบางอย่าผิดแปลกไปจากเดิม ร่างที่ยืนอยู่เหมือนเป็นเงาลางๆ ถึงสามเงา เงาทั้งสามเป็นบุรุษที่เขารู้จักเป็นอย่างดีที่สุด

"ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกับจ้าวหย่งฟง วิ่งเคียงคู่กันมาหน้าตาตื่น พวกเขาถูกตาเฒ่าเอี๊ยปลุกให้ตื่นขึ้นมาเพื่อช่วยเหม่ยฟางออกจากเงาของแสงจันทร์นั้น

"เลือกสิ เลือก เลือก" เสียงทุ้มต่ำดังกังวานจนหน้าตกใจ บอกให้ผู้ที่พบเห็นเลือกอะไรบางอย่าง

"เลือก? เลือกอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยใจอันขุ่นมัว

"เลือก ร่างที่เป็นจริง ของคนผู้นี้ หากเลือกผิด เจ้าจะไม่ได้เห็นพวกเขาอีก" เสียงทุ้มต่ำนั้นพูดเสริม "จงเลือก เลือกสิ! เลือก!! เลือก!!!" เสียงนั้นยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ จนผู้คนทึ่ยืนฟังอยู่ต้องเอามือปิดหู

"พี่รองทำอย่างไรดี" จ้าวหย่งฟงเดินเข้ามาถามพี่ชายด้วยความเป็นห่วง

"ฝ่าบาทจะทำเช่นไรดี" อวี๋เหวินเต๋อถามขึ้นด้วยเช่นกัน

"ทั้งสามร่างที่ฉายทับกันล้วนเป็นคนสำคัญของข้า หากข้าเลือกไม่ได้ข้าคงต้องสูญเสียอีกสินะ" จ้าวหย่งเจิ้งบ่น พึมพำกับตนเองอย่างหาทางออกไม่ได้

"ฝ่าบาท ท่านจะเลือกใคร" อวี๋เหวินเต๋อหันไปถามผู้เป็นนายอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไปนาน

"ได้ ไม่ว่าเงาทั้งสามล้วนเป็นฟาง ถ้าเช่นนั้น ข้าจะทำให้ร่าง

ทั่งสามเห็นว่าข้าควรเลือกใคร ใช่เงาร่างทั้งสามล้วนเป็นฟางในแต่ละร่าง ร่างแรก ข้าทำเขาเสียใจจนเกิดอุบัติเหตุ ร่างที่สอง เขาตั้งครรภ์ลูกของข้า พอคลอดได้ไม่กี่วันก็สิ้น ร่างที่สามร่างที่ทนทุกข์ที่สุด ร่างนี้เจ้าช่างน่าสงสารที่สุด ข้าทำร้ายจิตใจเจ้า ข้าขอโทษ ฟาง ข้าทำเจ้าเจ็บช้ำจิตใจนัก ข้า...ไม่สมควรมีชีวิตเพื่อให้เจ้าเจ็บช้ำอีก" สิ้นคำ จ้าวหย่งเจิ้งได้ดึงมีดออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะจ่อเข้าลำคอขอตนเอง เพียงเห็นภาพนั้นเงาทั้งสามร่างก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนองในทันที

"พี่รองท่านอย่าทำอะไรบ้าๆนะ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยร้องทักท้วง เช่นเดียวกับอวี๋เหวินเต๋อ ที่คิดจะเข้าไปแย่งมีดสั้น

"อวี๋เหวินเต๋อเจ้าคิดจะแย่งมีดข้า เจ้าคิดผิดเสียแล้ว" สิ้นคำขาของอวี๋เหวินเต๋อก็ไม่ขยับอีก รอดูท่าทีของผู้เป็นนายอย่างใจเย็น

"พี่อวี๋ท่านช่วยพี่รองสิ" จ้าวหย่งฟงร้องขอให้อวี๋เหวินเต๋อช่วยเหลือพี่ชายของตนอย่างน่าสงสาร

"ข้าน้อย ไม่สามารถทำได้ ข้าน้อยขออภัย ฝ่าบาทพกมือไว้หลายเล่มภายใต้เสื้อผ้า หากข้าน้อยแย่งมีดในมือ เกรงว่า ฝ่าบาทจะคว้ามีดอีกเล่มมาทำร้ายตนเองทันที ข้าน้อยขออภัย" อวี๋เหวินเต๋อชี้แจ้งสิ่งที่ตนไม่เข้าไปช่วยไปห้าม

"โธ่...พี่รอง"

"ฟาง ข้าขอมอบเลือดในกายย้าให้กับเจ้า....." สิ้นคำคมมีดถูกเลื่อนมายังข้อมือหนาก่อนกดใยมีดกรีดเข้าผิวเนื้อของจ้าวหย่งเจิ้ง เลือดสีแดงสดค่อยหยดลงพื้น ใบมีดและแขนถูกอาบย้อมไปด้วยเลือด เหม่ยฟางที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น รับรู้ได้ถึงกลิ่นเลือดที่คลุ้งกระจาย ไปทั่วตำหนัก

"เจิ้ง พอทีเถอะพอที หยุดทำเช่นนั้น" ปากที่ขยับขึ้นลงของเหม่ยฟางบอกให้จ้าวหยุดการกระทำที่ทรมานตัวเองลง แต่สิ่งที่ได้ยินตอบกลับมาคือ

"ข้ายอมเลือดหมดตัวเพื่อให้เจ้าไม่ต้องทนทรมาน...ข้า...รัก...เจ้า...ฟาง" รอยยิ้มปรากฏขึ้นก่อนร่างของจ้าวหย่งเจิ้งจะล้มหมดสติจากการเสียเลือดมาก....

"ข้ารักเจ้าเช่นกัน เจ้าเองก็ทนเพื่อข้ามาเยอะเช่นกัน"
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 35 เสียใจ) {23-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-12-2017 02:49:56
จะแยกร่างได้ถูกต้องก่อนจะเสียเลือดมากไปกว่านี้ไหมหนอ เอาใจช่วยนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 35 เสียใจ) {23-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Mean ที่ 29-12-2017 19:21:11
 :m15:   
รอ. .ฉันรอเธออยู่ แต่ไม่รู้เธออยู่หนใด
เธอจะมาเธอจะมาเมื่อไร นัดฉันไว้ทำไมไม่มา  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 35 เสียใจ) {23-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-12-2017 12:09:28
 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 30-12-2017 15:41:41
​❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด

"ฮึก ฮึก ฮือ ฮือ"  เสียงสะท้อนสะอื้นไห้ของเงาร่างใต้แสงจันทร์ดังไปทั่วทิศจนผู้ได้ยินต้องปิดหู เงาสะท้อนรอบกายเกิดการสั่นไหว ก่อนจางหายไป เงาร่างทึ้งสามรวมเป็นหนึ่งปรากฏร่างบุรุษรูปงามเกินใครเปรียบที่ผู้คนต่าวคุ้นหน้าคุ้นตาและเป็นรู้จักกันดีในนาม ฮองเฮาเหม่ยฟาง ผู้สิ้นชีวาไปเมื่อ1ปีก่อน เมื่อแสงจันทร์ล้อมกายหายร่างบางก็ทรุดกายนั่งลงกับพื้นอย่างผู้ไร้เรี่ยวแรง สองมือยกขึ้นปิดหน้าด้วยความเสียใจที่ตนไม่ได้ขยับกายเข้าไปหาผู้เป็นที่รักได้ ไม่คิดเลยว่า จ้าวหย่งเจิ้งจะกระทำการเช่นนี้ จ้าวหย่งฟงที่เห็นเหตุการณ์รีบเข้าไปประคองตัวเหม่ยฟาง ให้เข้าหาพี่ชายของตนที่สลบไสลไม่ได้สติ เลือดสดๆยังคงไหลออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย

"เจิ้ง เจิ้ง ทำไมเจ้าทำเช่นนี้ ทำไมต้องทำร้ายตนเองเพื่อข้า ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำเพื่อข้าเช่นนี้" เหม่ยฟางเข้ากอดร่างไร้สติ ร่ำไห้ออกมาไม่หยุด

"โฮ่ๆ พวกเจ้าทำให้ข้าเสียเวลาจริงๆ" เจ้าของเสียงทุ้มต่ำปรากฏกายขึ้นท่ามกลางแสงที่หายไป ชายผู้ปรากฏกายขึ้นมาแปรเปลี่ยนเป็นชายแก่ผู้มีใบหน้าที่แสนจะคุ้นเคย คนผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นตาเฒ่าเอี๊ยนั่นเอง

"ตาเฒ่าเอี๊ย" เสียงสามเสียงดังขึ้นพร้อมกัน จ้องใบหน้าของตาเฒ่าเอี๊ยตาเขม็ง

"ใช่ ข้าเอง" ตาเฒ่าเอี๊ยส่งยิ้มไม่ทุกข์ไม่ร้อนให้ทั้งสามคนที่ยืนมองหน้าตน

"ท่านทำอะไรลงไป เห็นไหมว่าฝ่าบาทเป็นเช่นไร" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ

"ข้าทำหรือ นั่นคงไม่ใช่ สิ่งที่ข้าคิดจะทำคือการที่ทำให้โอรสมังกรผู้นี้ยอมรับความรู้สึกของตนเองเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะทำอะไรโง่เขลาเช่นนี้" ตาเฒ่าเอี๊ยยังคงรักษารอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อนเอาไว้ดังเช่นคนไม่ได้ทำผิด ทั้งยังเดินวนรอบร่างไร้สติของจ้าวหย่งเจิ้งอีก

"ตาเฒ่าเอี๊ย ทำไมไม่รีบช่วยเขา" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงสั่นเรื่องที่ขึ้นเป็นเพราะตาเฒ่าเอี๊ยทุกอย่าง ใยปัดความรับผิดชอบเช่นนี้

"ทำไมข้าต้องช่วยในเมื่อผู้ที่ช่วยได้ดีที่สุดคือเจ้า" ตาเฒ่าเอี๊ยมองสีหน้ายุ่งยากใจของเหม่ยฟาง

"แต่ข้า...ไม่สามารถสร้างไข่มุกได้" เหม่ยฟางทำสีหน้าสลด ในใจรู้สึกเจ็บแปลบ

"ไข่มุกนั่น หาใช่พลังที่แท้จริงของเจ้า" ตาเฒ่าเอี๊ยบอกกล่าวแก่เหม่ยฟางที่รู้สึกสับสนลังเล

"เรื่องนั้น ข้า....ไม่รู้ว่าข้าควรทำเช่นไร"

"พลังแห่งความรู้สึก พลังแห่งการฟื้นคืน คือสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ ในเมื่อพลังของเจ้าไม่ใช่พลังแห่งการทำลาย เจ้าลองตรองดูเถิดว่าตนเองควรทำเช่นไร เจ้าคือมังกรแห่งการถือกำเนิด มังกรแห่งชีวิต มังกรที่สามารถสร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามใจนึก" สิ้นคำ ใบหน้าของตาเฒ่าเอี๊ยยังควเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งการให้กำลังใจ

"นั่นสินะ เจิ้ง ข้าจะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้" เมื่อได้ฟังคำพูดของตาเฒ่าเอี๊ย เหม่ยฟางรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น สองมือประคองใบหน้าของจ้าวหย่งเจิ้ง แล้วก้มลงมอบจุมพิตแห่งความรู้สึกของตนลงไปบนริมฝีปากของอีกฝ่าย เพียงแตะริมฝีปากลงไปเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ไปทั่วร่างคนไร้สติ จนปรากฏแสงสีเขียวครอบคลุมร่างทั้งสอง บาดแผลที่แขนถูกแสงสีเขียวอาบย้อม ชะล้างจนหายสนิท จากสีหน้าซีดไร้สีเลือดกลับมาดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ไม่นานนักร่างไร้สติของจ้าวหย่งเจิ้งจึงเริ่มรู้สึกตัว เมื่อเหม่ยฟางรับรู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว เขาจึงผละออก เพื่อมองหน้าของคนตรงหน้า แต่ยังไม่ทันที่จะถอนริมฝีปากออกห่าง มือหนาของคนไม่ได้สติเมื่อครู่กับรั้งใบหน้าของเหม่ยฟางไว้ กดรอมฝีปากทั้งยังเพิ่มแรงบดเบียดในการจูบให้กว่าตอนแรกที่เพียงแตะเบาๆ

"ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้า" จ้าวหย่งเจิ้งถอนริมฝีปาก เอ่ยกระซิบข้างหูด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับลืมตามองใบหน้าที่แสนคุ้นเคย "ยินดีต้อนรับกลับบ้าน"

"อืม ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง" รอยยิ้มแสนหวานส่งให้ผูเป็นที่รัก ช่างเป็นรอยยิ้มที่ชวนติดตรึงใจอะไรเช่นนี้

ปึก!

"เลิกจ้องสักทีเถอะ" จ้าวหย่งฟงกระทุ้งศอกเข้าที่หน้าท้องของอวี๋เหวินเต๋อ ที่เอาแต่จ้องมองเหม่ยฟางตาไม่กระพริบอย่างนึกหมั่นไส้

"โอ๊ะ! อย่าเข้าใจผิดสิ ข้าไม่ได้คิดอะไรไม่ดีนะ" อวี๋เหวินเต๋อโบกไม้โบกมือแสดงท่าทางประกอบการพูด จนจ้าวหย่งฟงอดที่จะกลั้นขำไม่ได้

"อุ๊บ!" เสียงกลั้นขำดังออกมาอย่างช่วยไม่ได้

"นี่....เจ้า..."

"ไปเถอะ ปล่อยเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันเถอะ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยยิ้มๆดึงมืออวี๋เหวินเต๋อให้เดินออกจากที่นี่

"ฟาง ข้าขอโทษที่ข้าไม่นึกเอะใจว่าบุรุษใบ้ผู้นั้นเป็นเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งกุมมือบางกระชับแน่นกับอก

"ข้า ไม่ยกโทษให้เจ้า" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงดัง จ้องใบหน้าจ้าวหย่งเจิ้งอย่างไม่พอใจ

"ฟาง" จ้าวหยางฟงเอ่ยเสียงอ่อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจสำนึกผิด เขาช่างโง่เขลาเสียจริงที่ไม่สามารถจำคนรักได้แบบนี้

"โธ่...อย่าทำหน้าเช่นนั้นสิ" เหม่ยฟางเอ่ยยิ้ม ลุกขึ้นยืน ก่อนก้าวเดินไปข้างหน้า

"ฟาง...จะไปไหน..." จ้าวหย่งเจิ้งรีบเอ่ยทักเมื่อเห็นตนรักกำลังจะเดินจากตนไป

"กลับห้อง...ข้าง่วง" เหม่ยฟางตอยเพียงสั้นๆแล้วเดินต่อไปข้างหน้า รอยยิ้มกว้างบนใบหน้ามันทำให้เขารู้สึกเหมือนคนบ้าจึงไม่กล้าจะหันไปมองจ้าวหย่งเจิ้งตรงๆ

"รอข้าด้วยสิ" จ้าวหย่งเจิ้งรีบลุกจากที่ เพื่อตามเหม่ยฟางให้ทัน

. . .

"เจ้ากลับไปนอนที่ห้องของเจ้าสิ" เหม่ยฟางออกปากไล่จ้าวหย่งเจิ้งทันทีที่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาในห้อง

"ฟางงงง เจ้าไม่เห็นใจข้าหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งใช้สายตาออดอ้อนคนตีวบางเพื่อให้ได้นอนห้องเดียวกัน

"ใยข้าต้องสงสารเจ้า"

"ฟางงง" จ้าวหย่งเอ่ยเรียกเสียงอ่อน ใช้สายจ้องมองเหม่ยฟางอย่างหน้าสงสาร

"นี่ หยุดมองข้าแบบนั้นนะ ไม่อยากเชื่อจริงๆว่าเจ้าจะเป็นฮ่องเต้" เหม่ยฟางอดบ่นไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตัวไม่เหมือนฮ่องเต้แม้แต่น้อย

"ด้านนี้ของข้ามีเพียงเจ้าเท่านั้นนะที่เห็น ขอร้องนะ ฟาง ให้ข้านอนที่นี่เถอะนะ" จ้าวหย่งเจิ้งยังคงไม่ละความพยายาม ใช้น้ำเสียงออดอ้อนต่อไป

"เฮ้อ~ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ทำไมถึงเป็นคนดื้อเช่นนี้นะ" เหม่ยฟางส่ายหน้าเล็กน้อย สุดท้ายก็ใจอ่อนตามใจให้จ้าวหย่งเจิ้งนอนที่ห้อง

"ไปอาบน้ำกัน" จู่ๆ จ้าวหย่งเจิ้งก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งยังอุ้มเหม่ยฟางตัวลอยเดินตรงไปที่สระอาบน้ำร้อนส่วนตัว

"พาข้ามาทำไม ข้าไม่อาบ ข้าง่วงนอน" เหม่ยฟางเริ่มโวยวาย เขาไม่กล้าอาบน้ำกับจ้าวหย่งเจิ้งจริงๆ เขาใจไม่กล้าพอ ที่จะมองร่างกายของอีกฝ่าย แม้อยากจะอาบมากแค่ไหนก็ตาม เพราะตอนนี้ตัวของเหนียวไปหมด ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดคลุ้งทั่วตัว

"อย่าโวยวายสิ เจ้าก็รู้ว่า หากนอนไปเช่นนั้นเจ้าคงไม่สบายตัว ดูสิกลิ่นเลือดยังคลุ้งทั่วตัวเช่นนี้เจ้าจะหลับลงหรือ" ปากก็เอ่ยบอกเหตุผลส่วนมือนั้นกับค่อยๆปลดเปลื้องอาภรณ์ของอีกฝ่ายอย่ารวดเร็ว

"รู้ดี" สุดท้ายเหม่ยฟางจำต้องยอมลงแช่น้ำอย่างช่วยไม่ได้

"หึหึ" จ้าวหย่งเจิ้งหัวเราะออกมาอย่างพอใจที่อีกฝ่ายยอมทำตามแต่โดยดี มองดูร่างบางย่างกายลงไปแช่น้ำ ก่อนปลดเสื้อของตนเพื่อลงไปแช่น้ำบ้าง

"ห้ามเข้ามาใกล้" เพียวจ้าวหย่งเจิ้งก้าวลงสระ คนตัวร่างบางรีบร้องห้ามแทบไม่ทันเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ตน

"ทำไม?" จ้าวหย่งเจิ้งหยุดยืน มิงอีกฝ่ายอย่างงงๆ

"คือ...ข้า....ข้ายังไม่ชิน"

"ห๊ะ!"

"ไม่ต้องมาทำเสียงทำหน้าแบบนั้นนะ ข้ายังไม่ชินจริงๆ ถึงแม้จะเคยๆเรื่องแบบนั้นแล้วก็เถอะ" เหม่ยฟางก้มหน้าซ่อนความเขินอาย พ่นคำที่ชวนทำให้จ้าวหย่งเจิ้งยิ่งอยากแกล้งคนตรงหน้า

"หึหึ เจ้านี่มันช่าง...น่ารัก น่า..." สองแขนแกร่งโอบกอดเข้าที่ร่างบาง อย่างรวดเร็ว โดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว

"อ๊ะ! เจิ้ง บอกแล้วไง...ว่า...อะ ยะ ย่า.." พูดยังไม่ทันจบริมฝีปากสวยๆกลับถูกริมฝีปากของอีกฝ่ายครอบครอง จ้าวหย่งเจิ้งไล่งับริมฝีปากของคนตัวบางด้วยกระหาย ไม่ว่าจะจูบอีกฝ่ายอย่างไร ความรู้สึกนั้นยังคงบอกเขาว่าไม่พอ เขาต้องการมากกว่านี้ ทุกครั้ง ทุกครั้งที่ได้สัมผัสกัน ริมฝีปากหนายังคงบดเบียดด้วยความกระหาย ขบเม้นดูดดึงริมฝีปากของอีกฝ่ายจนบวมแดง ปลายลิ้นสอดเข้าโพรงปากเมื่ออีกฝ่ายพยายามหาช่องทางหายใจ คนตัวโตกับไม่ปบ่อยโอกาสให้หลุดลอย ลิ้นร้อนๆเกี่ยวกระหวัดกันไปมาจนเส้นยวงเงินไหลย้อยออกจากปาก

"อื้อ เจิ้ง พะ พอแล้ว" เหม่ยฟางจำต้องผลักอีกฝ่ายให้ออกห่าง เขารับความร้อนแรงที่อีกฝ่ายมอบให้ไม่ไหวจริงๆ

"หึหึ"

"รีบๆ อาบน้ำไปเลยนะ" เหม่ยฟางรีบชำระร่างกายอย่างรวดเร็ว ไม่ยอมให้จ้าวหย่งเจิ้งได้เข้าใกล้อีกครั้ง

"ใจร้ายจังนะ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยรอยยิ้มติดมุมปาก

"เงียบไปเลย" เหม่ยฟางถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ แต่การกระทำนี้กลับไม่ได้ดูน่ากลัวแม้แต่น้อย เพราะการที่เหม่ยฟางทำเช่นนี้ยิ่งทำให้จ้าวหย่งเจิ้งยิ่งอยากแกล้งอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก

"น่าๆ อย่าโกรธข้าเลยนะ" ไม่พูดเปล่ายังถือวิสาสะเข้ากอดทางด้านหลังของคนตัวบางกว่าอย่างฉวยโอกาส ทั้งมือไม้ยังลูบไล้ร่างกายอีกฝ่ายตามใจชอบ

"เจ้านี่มัน...ฮึ่ย...อ๊ะ จับตรงไหนกันหาาาา"

"ฟาง ข้าเพียงอยากรู้ว่าในอ้อมกอดข้า คือเจ้าจริงๆแค่นั้น ขอให้ข้าได้สำรวจร่างกายเจ้าอีกสักหน่อยเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งซบหน้าลงบนลาดไหล่ขาว ปลายกรีดไล้ไปตามผิวหนังไปทุกส่วน ทำให้คนตัวบางถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

"เจิ้ง..." เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเบา หันมาสบตากับจ้าวหย่งเจิ้ง

"ฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งก้มหน้าหมายจะมอบจุมพิตให้กับคนตัวบาง

"ขอขึ้นก่อนนะ ข้ารู้สึกหนาวแล้วสิ" เหม่ยฟางถอยห่าง แล้วลุกขึ้นจากน้ำ ปล่อยให้คนที่หมายจะมอบจุมพิตต้องชะงักค้าง มองอีกฝ่ายขึ้นจากน้ำด้วยสายตาเสียดาย

"ฟางงง" เสียงร้องท้วงดังขึ้น มองร่างบางเดินจากไป "นี่ข้าทำให้เจ้าโกรธมากเชียวหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งมองออกไปด้วยสายเศร้าหมอง

ในขณะนั้นเองเหม่ยฟางที่เดินหนีมาถึงกับหยุดชะงักเท้าเมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวหย่งเจิ้งที่พูดออกมาด้วยความเสียใจ

"ใครว่าข้าโกรธเจ้ากัน ข้าแค่ยังไม่ชินกับเรื่องที่พวกนี้ต่างหากเล่า ขอโทษนะ ช่วยเข้าใจข้าด้วย" เหม่ยฟางตะโกนบอกผู้ที่อยู่ในสระอาบน้ำ ก่อนที่ตนเองจะรีบสาวเท้าเดินกลับห้องอย่างรวดเร็ว

"ฟาง!!!" จากสีหน้าเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างรีบลุกออกจากสระตามคนตัวบางไปทันที "หากเจ้ายังไม่ชินข้าช่วยเจ้าเอง" จ้าวหย่งเจิ้งรีบตามคนตัวบางมาจนถึงห้องนอนของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

. . .

"ไม่ ข้าไม่ให้เจ้าเข้ามาเป็นแน่" เหม่ยฟางร้องบอกคนด้านนอก ดีที่เขาเข้าห้องได้ก่อนไม่เช่นนั้น เขาคงปวดหัวมากกว่านี้เป็นแน่

"ฟาง ให้ข้าเข้าไปเถอะนะ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก ข้าคิดถึงเจ้ามากรู้ไหม ฟาง ให้ข้าเข้าไปเถอะนะ ได้โปรดเถอะ อย่าทำเช่นนี้กับข้าเลยนะ" เสียงอ้อนวอนขอให้คนรักเปิดประตูห้องยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

"เจ้ากลับห้องไปเถอะ มาทำเช่นนี้ไม่สมเป็นฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่เลยสักนิด" เหม่ยฟางร้องบอกคนด้านนอกให้นึกถึงตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ของตน เพื่ออีกฝ่ายจะยอมถอยไปง่ายๆ

"ไม่ ผู้ที่ข้าห่วงที่สุดคือเจ้า ไม่ว่าตำแหน่งลาภยศใดก็ไม่สำคัญ เจ้าเปิดประตูให้ข้าเถอะนะ ไม่สงสารข้าหรือ ข้างนอกยุงชุมนัก หากข้าโดนยุงกัดจนล้มป่วยเจ้าไม่ห่วงข้าหรืออย่างไร" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงอ่อน อ้างสารพัดเหตุผลเพื่อให้ได้เข้าไปด้านใน

"เจ้าก็กลับห้องไปสิ" เหม่ยฟางเองก็ไม่ยอมเช่นกันยังคงออกปากไล่ให้อีกฝ่ายกลับห้องเช่นเดิม

"ข้ายังเป็นคนเจ็บอยู่นะ ตั้งแต่ตอนที่ข้าเสียเลือดไปเยอะ ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย อ๊ะ! ปึง...ฟาง ข้าระ รู้ สึ....ปึง!!!" จ้าวหย่งเจิ้ง ล้มลงไปนั่งกับพื้น เหมือนคนอ่อนแรง นั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อรอฟังเสียง

"เจิ้ง นั่นเสียงอะไร เจ้าเป็นอะไร เจิ้ง เจิ้ง" เหม่ยฟางยืนนิ่งเขาไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น เขาได้ยินเสียงดังคล้ายคนล้ม หรือว่า...."เจิ้ง!" เหม่ยฟางเสียรู้คนด้านนอกเปิดประตูออกมา เมื่อเห็นจ้าวหย่งเจิ้งนั่งพิงผนังเหมืนคนไม่ได้สติ ตนจึงรีบเข้าไปหาอีกฝ่ายโดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน "เจิ้ง เจิ้ง เจ้าเป็นอะไร เจิ้ง ลืมตาสิ ลืมตา" ขณะที่มือกำลังง่วนกับการสำรวจอีกฝ่ายว่าเป็นอะไรหรือไม่

"ข้า...คิดว่า...ข้าอยากกอดเจ้า" ว่าจบมือหนาจึงรวบเอวบางเข้ากอดไว้แน่น

"อ๊ะ!...เจ้า เจ้าหลอกข้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้" เหม่ยฟางร้องโวยวายพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแจขนแกร่งให้จงได้

"ข้าจับเจ้าได้แล้วมีหรือจะยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งจึงค่อยๆช้อนตัวเหม่ยฟางแล้วพาเดินเข้าห้องโดยไม่ฟังเสียงร้องประท้วง

"ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้" เหม่ยฟางยังคงดิ้นเพื่อให้ตนได้หลุดจากวงแขนนี้

ผัวะ!!!

จ้าวหย่งเจิ้งฟาดมือลงมาที่ก้นของอีกฝ่ายหนึ่งทีเพื่อเป็นการเตือนให้อีกฝ่ายอยู่นิ่งๆ

"ข้าจะลงโทษเจ้าให้สมใจ คอยดูเถอะ" สิ้นเสียงเหม่ยฟางถึงกับรูสึกขนลุกจนเสียวสันหลังว่าจนไม่อยากจะนึกเลยว่าตนจะโดนอะไรย้างคืนนี้

"ไม่เอานะ ไม่เอาาาา" นั่นคือเสียงเดียวในค่ำคืนนั้นของเหม่ยฟาง เพราะหลังจากเช้าวันใหม่ เหม่ยฟางก็มีอาการเจ็บคอจนไม่สามารถพูดอะไรได้อีก มีเพียงเสียหน้าที่บอกบุญไม่รับ จ้องมองจ้าวหย่งเจิ้งตาเขม็ง

"ฟางเจ้ายังโกรธข้าอยู่อีกหรือ ข้าขอโทษนะที่ไม่ให้เวลาเจ้าพักผ่อน ข้าขอโทษ" แม้ปากจะพูดเอ่ยคำขอโทษแต่มือไม้กับไบ้ไปตามร่างกายของคนตัวบางอย่างกับไม้เบลื้อย

"เจ้าตั้งใจขอโทษข้าจริงๆใช่ไหม" เหม่ยฟางเอ่ยถามสีหน้าเบื่อหน่ายกับการกระทำของคนรัก ทั้งยังคอยไล่จับมือไม้เลื้อยของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา

"จริงสิ ข้าตั้งใจขอโทษเจ้า จริงๆนะ ดูหน้าข้าสิ ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ" พอเงยหน้ามองตามที่อีกฝ่ายบอกก็ไม่วายโดนขโมยจูบไปเสียอย่างนั้น ทั้งอีกฝ่ายยังถือวิสาสะคร่อมล่างตนไว้ แม้จะผลักจะดันอย่างไรกับไม่เป็นผล

"นี่ อย่าบอกนะ ว่าจะทำอีก" เหม่ยฟางเอ่ยถามเสียงหวาดๆ เมื่อได้รับรอยยิ้มเป็นคำตอบเหม่ยฟาง แทบกลืนน้ำลายลงคอเลยทีเดียว ใครก็ได้ช่วยเขาทีเถอะ....

ปึง!

"พี่รองข้ามีเรื่องให้ฟางฟางของท่านช่วย" เสียงสวรรค์หรือเสียงนำปัญหามาให้หรืออย่างไรกันแน่เมื่อ จ้าวหย่งเฝิงเปิดประตูห้องเดินเข้ามาขัดจังหวะจ้าวหย่งเจิ้ง

"น้องสาม" จ้าวหย่งเจิ้งกัดฟันกรอดเมื่อถูกขัดจังหวะ

"อ๊ะ! ขออภัยที่ขัดจังหวะ ข้ามีเรื่องให้ฟางฟางช่วย ขอยืมฮองเฮาของพี่รองหน่อยแล้วกัน" ว่าจบจ้าวหย่งเฝิงก็คว้ามือเหม่ยฟางเกินออกจากห้องไป ทิ้งให้จ้าวหย่งเจิ้งควันออกหูตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดัง

"จ้าวหย่งเฝิงงงงง!!!!"

                                             THE END

###################

**เรียนท่านผู้อ่าน ยังมีpartพิเศษของจ้าวหย่งเฝิงนะคะ**
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-12-2017 16:40:15
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-12-2017 21:54:42
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 30-12-2017 23:13:37
น่าสงสารเจิ้งนะ เจอมารขัดขวางทางก็แบบนี้ล่ะ 555555
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 31-12-2017 01:38:10
พ่อพระเอกเรา ได้เจอเมียก็หื่นจนลืมลูกเลยนะเนี่ย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-12-2017 01:41:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 01-01-2018 15:04:44
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 06-01-2018 20:00:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-01-2018 22:06:51
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 08-01-2018 16:16:37
สนุกดีค่ะ ชอบอ่านแนวนี้มากเลย
ชอบมากกกก
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 10-01-2018 20:30:32
สนุกกก ว่าแต่องค์ชายจะให้ช่วยอะไรกัน
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 11-01-2018 00:47:39
เนื้อเรื่องสนุกดี แต่ช่วงกลาง ๆ เรื่องอ่านไม่ค่อยลื่นไหลเท่าไหร่  :katai5:

ขัดใจที่สุดคือเจิ้งนี่แหละ..ปากบอกว่ารักฟางนักหนา แต่กลับไม่เชื่อในคำพูดฟางเลย :m31:

ก็นะนางดันอยู่ในร่างของนักฆ่านี่!! :ruready

แต่ความรักมันอยู่ในจิตวิญญาณนะ..ไม่ผูกพันเลยหรอ  :z3:

ส่วงฟาง..นางใจอ่อนง่ายไป  :hao7: เล่นตัวหน่อย..โดนทำร้ายจิตใจมานะ เราหน่ะ!!!  :angry2:

หนูฟาหลง...พาความน่ารักมานี๊ดเดียวเอง  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ (ตอนที่ 36 บทส่งท้าย ในที่สุด (THE END)) {30-12-2017}
เริ่มหัวข้อโดย: Nickname ที่ 13-01-2018 17:04:11
 ห๊ะ :a5: จบแล้ว?
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (บทนำ) {17-01-2018}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 17-01-2018 12:04:24
​❤ปาฏิหาริย์ข้ามยุค❤ Part : จ้าวหย่งเฝิง❤

บทนำ

ไม่ว่าจะย้อนเวลากลับไปสักกี่ครั้ง ผลที่ได้กลับมายังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะทำเช่นไรเราไม่สามารถที่จะแก้ไขอดีตที่ผ่านไปแล้วได้ มันเป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ แต่การที่ได้ย้อนอดีตกลับไปหาเด็กคนนั้นหลายๆครั้งเพื่อแก้ไขในสิ่งที่ถูกต้องกับเป็นการเชื่อมสัมพันธ์บางอย่างโดยไม่รู้ตัว เวลาที่เห็นเด็กคนนั้นจมดิ่งลงไปในน้ำเย็นเชียบ โดยไม่สามามารถช่วยอะไรได้ต่อหน้าต่อตา ในใจกลับปวดหนึบเจ็บทุกครั้ง ทั้งๆที่เคยเห็นจนนับครั้งไม่ถ้วน แน่ครั้งนี้กลับยากจะทานทน

"ไม่ ไม่ ไม่!!! เฮ้อ....แฮ่ก แฮ่ก เฮ้อ...." ร่างสูงส่งเสียงร้องจนน่าตกใจ คล้ายคนฝันร้าย เสียงหายใจหอบเหนื่อยดังเป็นระยะ

"น้องสาม น้องสาม เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเรียกน้องชายที่นอนหอบหายใจ

"ฟื้นแล้วหรือ" เสียงทุ้มใสเอ่ยทัก ใบหน้าเรียบเฉยไร้รอยยิ้ม

"ฟางฟาง ข้าต้องกลับไปอีกครั้ง ข้าต้องกลับไป ข้าต้องช่วยเขาให้ได้" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยด้วยท่าทางร้อนรน

"ขอโทษนะ ข้าพาเจ้าย้อนอดีตไม่ได้อีกแล้ว เจ้าย้อนกลับไปถึง 5 ครั้งแล้วนะ หากย้อนกลับไปอีกครั้งเจ้ามีหวังได้ตายตามเด็กคนนั้นไปแน่ ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า คนที่ถึงคราวตายอย่างไรก็ต้องตาย แม้พยายามช่วยให้รอดอย่างไร เด็กนั้นก็ต้องตายอยู่ดี" สิ้นคำของเหม่ยฟาง สีหน้าของจ้าวหย่งเฝิง ก็ดูแย่ลง ความเศร้า ความสื้นหวังเข้าครอบคลุมจิตใจอย่างเห็นได้ชัดเจน

"ไม่ยุติธรรมเลย" คำพูดตัดพ้อของจ้าวหย่งเฝิงทำให้เหม่ยฟางชะงักไปครู่ใหญ่

"นั่นสินะ โลกนี้ไม่มีอะไรที่ยุติธรรมหรอกนะ" เหม่ยฟางเอ่ยยิ้มๆ

"ข้าไม่รู้ ทำไมตั้งแต่ย้อนอดีต กลับไปแก้ไขความผิดพลาดของตน พอได้เจอเด็กนั่น ใจกับข้ารู้สึกสั่นไหว เวลาที่เด็กคนนั้นยิ้ม หัวเราะ ใจข้ากับเต้นตูมตามจนแทบระเบิดออกมา ยิ่งได้มีเวลาใกล้ชิดกัน ข้ากลับอยากรู้จักเด็กคนนั้นขึ้นไปเรื่อยๆ มันเพราะอะไรนะ และสุดท้ายตอนที่เห็นคนนั้นจมน้ำลงไปต่อหน้าหน้าตา แม้จะเอื้อมมือลงไปดึงแต่กับหลุดลอยไป รู้ไหมวินาทีนั้นข้ารู้สึกหัวใจของข้ากำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ มันเจ็บ เจ็บมาก เจ็บิย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ข้ามีอะไรผิดเพี้ยนไปสินะ...." สิ้นคำพูดน้ำตามากมายกับค่อยไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

"น้องสาม" "จ้าวหย่งเฝิง" จ้าวหย่งเจิ้ง กับเหม่ยฟางเอ่ยขึ้นพร้อมกัน พวกเขารู้ว่าความรู้สึกที่จ้าวหย่งเฝิงเป็นคืออะไร เพราะพวกเขารู้จักมันดี

"ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน"

"นี่ ในเมื่อย้อนอดีตเพื่อแก้ไขอะไรไม่ได้ งั้นลองไปอนาคตดูไหน ไปเริ่ม ความรู้สึกใหม่ที่นั่น" เหม่ยฟางเอ่ยขึ้นเพื่อเรียกกำลังใจจากจ้าวหย่งเฝิง

"ข้าจะได้พบเด็กคนนั้นใช่หรือไม่" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยถามเพื่อให้แน่ใจ

"แน่นอน ต้องได้พบแน่ แต่...เด็กคนนั้นคงจำเจ้าไม่ได้ เพราะการเกิดใหม่คือการเริ่มต้น เจ้าคิดว่าความรู้สึกของเจ้าที่มีให้เด็กคนนั้นจะเปลี่ยนไปไหม?" เหม่ยฟางเอ่ยยิ้มๆรอฟังคำตอบของจ้าวหย่งเฝิง

"เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอก แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้คือ ข้าอยากพบเขาไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน" นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่จ้าวหย่งเฝิงพูดก่อนที่ตนเองได้ทานยาบางอย่างจากเหม่ยฟาง แล้วหลับไหลไปนานแสนนาน....แต่ก่อนจะหลับไปสิ่งเดียวที่ได้ยินคือ....

"แล้วข้าจะเป็นผู้ที่ปลุกเจ้าให้ตื่นเอง"

"ใครกันนะ ที่จะเป็นคนปลุกเรา"
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (บทนำ) {17-01-2018}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-01-2018 22:24:40
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}
เริ่มหัวข้อโดย: Vammas ที่ 31-01-2018 19:49:50
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤ จ้าวหย่งเฝิง

ตอนที่ 1 ความหลังที่1 กับ เจ้าชายนิทราที่ลืมตาตื่น

เสี่ยวจื่อหยี่ ขันทีน้อยวัยละอ่อนผู้ไม่ประสีประสาเรื่องความรัก วันที่เขาเริ่มรู้จักความรักเกิดขึ้น เมื่อตนได้รับคำสั่งให้หาบันทึกมังกรเขียวเพื่อหาวิธีช่วยเหลือเจ้านายแสนสวยของตน ในขณะที่เดินเปิดหนังสือหลายพันเล่มเขาต้องสะดุ้งตกใจเมื่อถูกบุรุษสูงศักดิ์ผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับนายของตน แต่ใบหน้านี้อาจดูสวยคมเข้ม รูปร่างได้สัดส่วนที่อาจตัวเล็กกว่านายของตนเพียงเล็กน้อย ความน่าหลงไหล รอยยิ้มทรงเสน่ห์ นั้น ไม่อาจทำให้เขาลืมเลือนมันไปได้

"หาอะไรกันหรือให้ข้าช่วยหาไหม" เสียงแสนคุ้นๆหูดังขึ้นข้างหลังเสี่ยวจื่อหยี่ จนทำให้เสี่ยวจื่อหยี่สะดุ้งตกใจหันมาตีคนทักด้วยหนังสือที่ตนลูบคลำๆทันที

"ว๊ากกกกกก....ผัวะ ผัวะ ผัวะ"

"โอ๊ยๆ หยุดๆ ข้าเจ็บนะ" มือหนาคว้าข้อมือขันทีน้อยไว้มั่น เพื่อให้คนที่เอาหนังสือตีตนให้รู้ว่าเป็นใคร เมื่อขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ตั้งสติได้ และรู้ว่าตนตีใครก็ถึงเข่าอ่อนกันเลยทีเดียว

"อง องค์ชายสาม ข้าน้อยขออภัย ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจ ข้าน้อย..." เสี่ยวจื่อหยี่คุกเข่าขออภัยโทษด้วยความหวาดกลัวใครจะไปคิดว่าคนที่ตนตีไปจะเป็นองค์ชายสามจ้าวหย่งเฝิงกันล่ะ

"ช่างเถอะ ข้าผิดเองที่ไปพูดใกล้ๆเจ้าทางด้านหลัง" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจเพ่งพินิจขันทีน้อยที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าเนื้อตัวสั่นเทา

"มิได้ขอรับ ข้าน้อยต่างหากที่ผิด"

"เงยหน้าขึ้นสิ เจ้าชื่ออะไรทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้า เพิ่งมาใหม่หรือไง"จ้าวหย่งเฝิงสั่งให้เสี่ยวจื่อหยี่เงยหน้าขึ้นมองตนเพื่อตอบคำถาม

"ข้ามีนามว่าเสี่ยวจื่อหยี่ขอรับ ข้าน้อยเป็นขันทีข้างกายองค์ชายรองตั้งแต่ช่วงต้นหนาวขอรับราวๆปีเศษ" เสี่ยวจื่อหยี่ตอบด้วยน้ำเสียงสั่น เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ขององค์ชายสามมาไม่น้อย ที่หากไม่พอใจใครจะสั่งประหารทันที หรือหากเบาหน่อยก็เพียงแค่สั่งโบย

"ว่าแต่เจ้ากำลังหาสิ่งใด ข้าเห็นพี่รอง กับพวกเจ้าเข้าที่นี่ จึงตามเข้ามาดู" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวดวงตายังคงเพ็งพินิจใบหน้าขาวของขันทีน้อยตรงหน้าอย่างพิจารณา

'หน้าตาใช้ได้เลยแฮะ' จ้าวหย่งเฝิงคิดในใจแอบลอบยิ้มมุมปากเพียงเล็กอย่างพึงพอใจ

"เรียนองค์ชายข้าน้อยกำลังช่วยองค์ชายรองตามหาบันทึกมังการเขียวขอรับ"

"บันทึกมังกรเขียว อ่อ เล่มนั้นสินะ" จ้าวหย่งเฝิงทำท่านึกก่อนเอ่ยขึ้นมาเหมือนรู้จักหนังสือเล่มนั้น

"องค์ชายทรงทราบหรือขอรับว่าบันทึกนั่นอยู่ที่ไหน" รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสี่ยวจื่อหยี่ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาจ้าวหย่งเฝิงชักติดใจ

"อืม เมื่อ2-3วันก่อนข้าเอากลับไปอ่านที่ตำหนัก เจ้าต้องการมันไหมล่ะ"

"ขอรับ บันทึกนั่นน่าจะสำคัญกับ องค์ชายรอง" เสี่ยวจื่อหยี่ยิ้มตอบรับ โชคดีจริงที่ตนไม่ค้นหาอีกต่อไป

"ไปเอาที่ตำหนักข้าสิ" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวชักชวนพร้อมรอยยิ้มแฝงความใน

"ขอรับ แต่ข้าน้อยคงต้องขอตัวไปบอกกล่าวองค์ชายรองก่อนที่จะไป" ยังไม่ทันที่จะได้ไปบอกผู้ใดมือหนาก็คว้าข้อมือของเสี่ยวจื่อหยี่เอาไว้

"ไม่ต้องไปบอกหรอก เจ้าไม่อยากให้พี่รองของข้าดีใจหรือที่เจ้าสามารถหาบันทึกนั่นมาได้ ไปเถอะมากับข้า" ว่าจบจ้าวหย่งเฝิงก็ดึงมือเสี่ยวจื่อหยี่ออกไปกับตนเอง โดยไม่มีใครสังเกตุเห็น และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่เสี่ยวจื่อหยี่ต้องเผชิญ

ตำหนักองค์ชายสาม

"องค์ชายสาม บันทึกอยู่ที่ใดขอรับ" เสี่ยวจื่อเอ่ยถามเมื่อมาถึงสวนกว้างภายในตำหนัก

"เจ้านั่งรอที่ม้านั่งใต้ต้นเหม่ยก่อนนะ" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

"ขอรับ" ว่าจบเสี่ยวจื่อหยี่จึงเดินไปนั่งบริเวณม้านั่งริมสระซึ่งมีต้นเหม่ยพากันออกดอกสะพรั่ง โดยไม่รู้เลยว่าเขาต้องรอนานเพียงใด ท่ามกลางอากาศหนาวเช่นนี้

จ้าวหย่งเฝิงที่หลอกล่อขันทีน้อย ได้แต่ยิ้มหัวเราะกับความขลาดเขลา เขามองร่างเล็กที่สั่นเทาอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นนานนับชั่วโมง จากอาทิตย์ตรงศีรษะ จนถึงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า

"โง่เขลายิ่งนัก ยังคิดจะรออีก ไป๋เสวี่ย จงไปบอกเด็กนั่นว่าข้ายังหาบันทึกไม่เจอให้กลับไปก่อน หากเจอ ข้าจะให้คนไปตามอีกที"

"ขอรับ" ไป๋เสวี่ย องครักษ์ส่วนพระองค์เอ่ยตอบรับ

"เดี๋ยว ข้ามีเรื่องให้ทำอีกอย่าง..."

"ขอรับ ข้าน้อยจะตามหาบันทึกมามอบให้องค์ชายเองขอรับ" ไป๋เสวี่ยเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่จ้าวหย่งเฝิงจะกล่าวจบ

"เจ้ารู้ใจข้าจริงๆ ไป๋เสวี่ย" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อน

"ไม่ว่าเรื่องใดข้าน้อยยินดีทำเพื่อองค์ชาย...ขอเพียงองค์ชายพึงใจข้าน้อยยินดีทำให้..." ไป๋เสวี่ยก้มหน้าลอบยิ้มตามผู้เป็นนาย

"ไปเถอะ" . . . เสี่ยวจื่อหยี่ผู้แสนซื่อผุดลุกผุดนั่งเดินไปมาเพื่อให้คลายความหนาวเย็น เขาคิดว่าหากกลับไปอาจสวนทางกับองค์ชายสามเขาจึงไม่คิดกลับไปก่อน

"เสี่ยวจื่อหยี่ รับคำสั่ง" น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นด้านหลังของเสี่ยวจื่อหยี่ เมื่อหันกลับมามองก็ผมบุรุษหนุ่มรูปงาม ในชุดองครักษ์ส่วนพระองค์ดังเช่นองครักษ์วี๋เหวินเต๋อ เขาจึงคุกเข่าเมื่อได้ยิน

"เสี่ยวจื่อหยี่รับคำสั่ง"

"องค์ชายสามมีรับสั่งให้เจ้ากลับไปก่อนขณะนี้องค์ชายยังหาบันทึกไม่เจอ ต้องขออภัยเจ้าด้วยที่ปล่อยให้รอ" สิ้นคำสั่ง เสี่ยวจื่อหยี่แทบถอนออกมาทันที เขายืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่แล้วหันหลังกลับเดินจากไปด้วยใจอันห่อเหี่ยว

ไป๋เสวี่ยมองตามหลังอันแสนหดหู่ของขันทีน้อย ด้วยสายตาคาดเดาอะไรไม่ได้ ก่อนล้วงมือหยิบม้วนกระดาษออกจากอกเสื้อ ม้วนกระดาษนี้คือ บันทึกมังกรเขียวที่เขาแอบหยิบออกมาหลังจากองค์ชายรองวางมันทิ้งไว้ในหอคัมภีร์ เขาแค่อยากให้องค์ชายสามดีใจ ที่เขาสามารถนำมันมาให้ได้

"องค์ชายข้าน้อยนำบันทึกมาให้แล้วขอรับ"

"จริงเหรอ ดีจัง เจ้าว่าเด็กนั่นจะทำหน้ายังไงกัน เมื่อข้าเอาบันทึกนี่ให้" รอยยิ้มดีใจอย่างเด็กได้ของเล่นใหม่ทำให้ใจของไป๋เสวี่ยกระตุก เขาไม่เคยเห็นองค์ชายสามมีใบหน้าเช่นนี้มาก่อน

"องค์ชายสนใจขันทีน้อยคนนั้นหรือขอรับ" ไป๋เสวี่ยเอ่ยถามอย่างลืมตัวจ้องมองผู้เป็นนายตาเขม็ง

"เอ๊ะ! ฮ่าๆ นั่นสินะ เด็กนั่นน่าแกล้งจะตายไป" จ้าวหย่งเฝิงยังคงยิ้มเมื่อพูดถึงขันที

'ไม่ จะยอมให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ข้าจะไม่ยอมให้ใครแย่งพระองค์ไปจากข้าเป็นอันขาด' ไป๋เสวี่ยขบฟันแน่น มือทั้งสองกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ

"ไป๋เสวี่ย ไป๋เสวี่ย เจ้าว่าข้าควรแกล้งเด็กนั่นยังไงดี" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยถามอย่างนึกสนุก

"ขะ ขอรับ....ขะ ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ" ไป๋เสวี่ยหลุดจากภวังค์ความคิดเอ่ยตอบเสียงอึกอัก

"เป็นอะไร เจ้าไม่สบายหรือ" จ้าวหย่งเฝิงเอื้อมมือไปแตะหน้าผากอีกฝ่าย ทั้งยังยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนไป๋เสวี่ยถึงกับผงะหน้าหันหนีหลบสายตาจ้าวหย่งเฝิงอย่างไม่ตั้งใจไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นใบหน้าของผู้เป็นนายชัดขนาดนี้ก่อนเอ่ยตอบด้วยเสียงตะกุกตะกัก

"ขะ ข้าน้อยไม่เป็นอะไรขอรับ"

"ถ้าเช่นนั้น เจ้าไปตามเด็กนั่นมาพบข้าที" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยสัางใบหน้าติดรอยยิ้ม

"ขอรับ" ไป๋เสวี่ยตอบรับคำสั่ง ก้มหน้าลอบยิ้มชวนแอบแฝง เขาคือผู้ที่อยู่เคียงข้างคนผู้นี้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หากใครเป็นคิดล้ำเส้นข้าจะกำจัดให้สิ้น โดยเฉพาะเจ้าขันทีน้อยผู้นี้.....

###################################

คฤหาสน์หรูท่ามกลางพื้นที่หลายร้อยเอเคอร์ตั้งตะหง่านเพียงหลังเดียว ภายในคฤหาสน์มีเพียงสาวใช้ไม่กี่คนกับเจ้านายเพียงหนึ่งเดียวที่นอนเป็นเจ้าชายนิทรา เจ้านายผู้มีผมยาวสีดำ ขับให้ผิวขาวซีดดูเด่น ทั้งใบหน้ายังหล่อเหลางดงาม จมูกโด่งคมสันรับใบหน้า ช่างเหมือนเจ้าชายในภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้จะเป็นเพียงเจ้าชายนิทรา แต่อำนาจทุกอย่างกับตกอยู่ที่ชายผู้นี้ ผู้ที่ไม่รู้ว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่

"นายครับ เราพบที่อยู่เจ้าชายนิทราแล้วครับ" เสียงเหี้ยมเกรียมของชายวัยกลางคน คนหนึ่งยกโทรศัพท์ขึ้นคุยหลังพุ่มไม้ ใกล้ๆ บริเวณคฤหาสน์ เขาใช้กล้องส่องทางไกลสอดแนมผู้คนภายในเพื่อรายงานตามคำสั่ง

(ดีมาก ให้ลูกน้องจัดการพาเจ้าชายนิทรากลับมาให้ได้) เสียงเยือกเย็นไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆตอบกลับมา

"ครับนาย" หลังวางสายจากผู้เป็นนาย ชายวัยกลางยกมือขึ้นให้สัญญาณเพื่อบุกเข้าไปลักพาตัวเจ้าชายนิทรา ชายชุดสูทสีดำนับสิบคนโผล่จากที่ซ่อน พากันวิ่งหายเข้าไปในคฤหาสน์ทีละคนสองคน  เมื่อย่างเท้าเข้ามาด้าน ทุกอย่างดูเงียบจนน่าแปลกใจ ชายวัยกลางคน ส่งสัญญาณให้ลูกน้องแยกย้ายไปสำรวจพื้นที่ภายใน ส่วนตัวเขากับลูกน้องอีกสามคนตรงเข้าไปในห้องนอนของเจ้าชายนิทรา

"นี่หรือ เจ้าชายนิทราที่เขากล่าวถึงกัน สมชื่อจริงๆ" ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงเรียบ พยักหน้าให้ลูกน้องมาจัดการอุ้มร่างเจ้าชายนิทราออกไป ทุกอย่างดูง่ายจนน่าตกใจไม่คิดเลยว่าการลักพาตัวเจ้าชายนิทราจะง่ายดายเช่นนี้

###################################

ประตูรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ค่อยๆเปิดออกเพื่อให้รถเก๋งสีดำเคลื่อนเข้าไปด้านใน พอจอดเทียบกับประตูทางเข้าคฤหาสน์ ชายชุดดำรีบเปิดประตูแล้วอุ้มร่างของเจ้าชายนิทราเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ซึ่งเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของเด็กอายุ 10 ขวบด้วยเช่นกัน

"พวกคุณลุงอุ้มใครมานะ" ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กน้อย เขาจึงตามพวกลุงชุดดำไปติดๆเด็กชายตัวน้อยแอบมองลุงชุดดำเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ซึ่งภายในห้องนั้นมีพ่อของเด็กชายอยู่ที่นั่นด้วย เด็กชายแอบมองจากรอยแง้มประตูอย่างอยากรู้

"นี่หรือ เจ้าชายนิทรา ตระกูลจ้าวผู้มีอำนาจอยู่เหนือพวกเรา ก็แค่คนไร้ประโยชน์ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ หากไม่มีมันแล้ว พวกเราตระกูลเฉิน ย่อมเป็นใหญ่กว่าเห็นๆ พวกแกเตรียมสถานที่ต่อรองกับตระกูลจ้าวให้พร้อม" ผู้นำตระกูลเฉิน เฉินจื่อหยาง ออกคำสั่งแก่ลูกน้องตน

"นายครับ จะทำอย่างไรกับเจ้าชายนิทราครับ" ชายวัยกลางคนเอ่ยถามเพื่อให้แน่ใจว่าควรทำอย่างไร

"จัดการเอาเองสิ กับแค่คนที่นอนหลับไม่รู้จะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ยังต้องถามอีก" เสียงตวาดดังขึ้น พลอยทำให้เด็กน้อยที่แอบฟังอยู่ตกใจวิ่งไปแอบอีกมุมหนึ่งเพื่อรอให้พ่อของตนไปให้พ้นก่อน

"ขอโทษครับนาย เดี๋ยวผมจัดการเองครับ" ชายวัยกลางคนก้มหัวขอโทษ

"ลูกพี่ขังไว้ในห้องนี้คงไม่เป็นไร แต่ถึงอย่างไรคงลุกหนีไปไหนไม่ได้" ลูกน้องชุดดำเอ่ยเสนอความคิด

"ตามนั้น พาไปนอนบนเตียงเถอะ ปล่อยนอนตรงนี้คงไม่ดี" ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงเรียบจนลูกน้องพากันยิ้มหน้าบาน

"ยิ้มอะไรกัน" ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงขรึมตีหน้ายักษ์ใส่บรรดาลูกน้อง

"แหม่ๆ ใครจะไปคิดว่าหัวหน้า หน้าของพวกเราจะใจดีขนาดนี้" หนึ่งในลูกน้องเอ่ยแซวขึ้นด้วยท่าทางล้อเลียน

"หุบปากไปเลยพวกแก" ชายแก่หน้าแดงตะโกนไล่ลูกน้องโดยไม่รู้ว่าด้วยความเขินหรือความโกรธ เพราะลูกน้องต่างพากันหัวเราะแล้วเดินออกจากห้องโดยไม่มีทีท่าเกรงกลัวแม้แต่น้อย เมื่อพวกชายวัยกลางคนจากไป เด็กชายตัวน้อยออกจากที่ซ่อนรีบวิ่งเข้าไปในห้องตามความอยากรู้อยากเห็น สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือชายหนุ่มอายุราว 20ต้นๆ กำลังนอนหลับ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆ หัวใจเด็กชายกับเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

เด็กชายเอามือกุมหน้าอกแน่น หัวใจเต้นจนเจ็บไปหมด ยิ่งเห็นใบหน้าของคนที่นอนหลับอย่างชัดเจน หัวใจเขากับบีบรัดมากกว่าเดิม

"พี่ชาย พี่ชาย รีบตื่นเถอะ  ตื่นขึ้นมา อย่ามัวแต่นอนขี้เซาสิ ที่นี่ไม่ปลอดภัยนะพี่ชาย พี่ชาย" เด็กชายพยายามปลุกคนนอนหลับให้ตื่นเพราะเกรงว่าคนคนนี้อาจเป็นอันตราย แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรชายคนนี้ก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา

"โธ่...เหนื่อยจะปลุกแล้วนะ หรือพี่ชายจะเป็นเจ้าชายนิทราจริงๆ แล้วจะไปหาผู้หญิงที่ไหนมาจูบให้ตื่นได้ล่ะ ถ้าอย่างนั้น ผมทำเองก็ได้.....จุ๊บ......" เด็กชายบ่นพึมพำ คิดเองเออเอง แล้วลงมือทำตามที่ตนคิดโดยไม่ลังเล เพียงแค่ริมฝีปากของเด็กน้อยแตะกับปากพี่ชายที่นอนหลับตรงหน้า หัวใจของเด็กชาย กลับมาเต้นรัวอีกครั้ง เด็กชายถอนริมฝีปากออก ยืนหน้าแดงจับหน้าอกตัวเองเพื่อระงับการเต้นของหัวใจตนเอง

"นายน้อย มาเล่นซนในห้องนี้ไม่ได้นะครับ" เสียงราบเรียบของชายวัยกลางคนเอ่ยทักท้วงขึ้นเมื่อเปิดประตูเข้ามาเจอนายน้อยเดินไปเดินมาอยู่หน้าเตียงนอน เด็กชายสะดุ้งตกใจเมื่อถูกพบตัว

"คือ...คือ...ผมเห็นพี่ชายคนนี้นอนหลับอยู่เลยมาชวนพี่เขาไปเล่นด้วย" เด็กชายเอ่ยขึ้นเพื่อหาทสงเอาตัวรอดไม่ให้ถูกทำโทษจากท่านพ่อ

"เล่นซนในนี้ไม่ได้นะครับ" ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอ็นดูรักใคร่เมิ่อเห็นสีหน้าแววตาหงอยๆของนายน้อย

"ทำไมล่ะเราเล่นกับพี่ชายคนนี้ไม่ได้เหรอ" เด็กชายไม่ยอมแพ้เอ่ยถามเอาความจริงจากชายวัยกลางคน

"คือ....พี่ชายคนนี้กำลังป่วยคงไปเล่นกับนายน้อยไม่ได้หรอกครับ" ชายวัยกลางคนเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลว่านี่จะเป็นการโกหก

"ไม่สบาย?" เด็กชายทำหน้าสงสัย แล้วร้องออกมาด้วยความเข้าใจ "อ๋อออ ที่แท้ที่อุ้มพี่ชายมาเพราะกำลังช่วยพี่ชายอยู่ใช่ไหม" เด็กชายยิ้มน่าอย่างเข้าใจ ชายวัยกลางคนได้แต่ยิ้มรับอย่างไม่เต็มใจนัก

"นายน้อยเชิญไปเล่นที่อื่นเถอะขอรับ" ชายวัยกลางคนเอ่ยปากเป็นเชิงไล่เด็กชายอีกครั้ง เขาไม่อยากให้เด็กชายมารับรู้สิ่งไม่ดีที่พวกตนกระทำ

"อื้ม ไว้จะมาใหม่นะ" เด็กชายยินยอมจากไปแต่โดยดี เขาเดินเข้าไปยืนใกล้ร่างที่นอนหลับอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินออกจากห้อง ยังไม่ทันจะก้าวขาเดินไปไหนกับรู้สึกว่าตนเองถูกใครบางคนรั้งเอาไว้ เมื่อหันไปมองตามแรงดึง เห็นมือเรียวขาวดึงชายเสื้อเขาไว้ "อ๊ะ! พี่ชาย...อุ๊บ" เด็กเอ่ยขึ้นเสียงเบา ถูกมือขาวปิดเข้าที่ปาก แล้วยกนิ้วแตะที่ปากให้เขาเบาเสียง

"นายน้อยมีอะไรหรือครับ" ชายวัยกลางคนชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น "อ๊ะ!" มีดสั้นแหลมคมจ่อเข้ามาตรงหน้าชายวัยกลางคน

"หันหลังไป" เสียงเย็นชาสั่งเชียบขาด ชายวัยกลางคนจำยอมหันหลังให้เพราะนายน้อยอาจเป็นอันตราย

"ยะ อย่าทำอะไร นะ นายน้อย นะ...."

พลั่ก! ตุ๊บ! ร่างชายวัยกลางคนล้มฟุบลงกับพื้น หลังถูกตีเข้าด้านหลัง

"คุณลุง!!!" เด็กชายร้องเสียงหลง

"ชู่ เบาเสียงหน่อยสิ" พี่ชายตรงหน้าเอ่ยขึ้น ดึงตัวเด็กชายเข้ามากอดอย่างคิดถึง

"พะ พี่ชาย ทำอะไร" เด็กชายละล่ำละลักทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี ควรหลีกหนีเช่นไร

"ดีใจจริง ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าอีก" เสียงชายหนุ่มกระซิบข้างหูเด็กชาย ไอร้อนจากลมหายใจทำให้เด็กชายรู้สึกใจเต้นแรง

"พี่ชาย"

"เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วดูเด็กกว่าตอนแรกที่ข้าพบเจ้าเสียอีก" พี่ชายตรงหน้าเอ่ยถาม

"10 ขวบ"

"หืม ยังเด็กอยู่เลยนะ ไว้อีกสัก 10ปี ข้าจะมารับเจ้าแล้วกัน" ว่าจบพี่ชายตรงหน้าปล่อยตัวเด็กชาย ลุกขึ้นยืนส่งยิ้มตรึงใจให้เด็กชาย

"พี่ชายชื่ออะไร"

"จ้าวหย่งเฝิง เจ้าเล่าชื่ออะไร" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยยิ้มๆ

"เฉินจื่อหยี่"

"จื่อหยี่ ขอบใจที่ช่วยปลุกข้าขึ้นมานะ" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยยิ้มๆเดินออกจากห้อง

"พี่ชายจะไปไหน" เฉินจื่อหยี่ร้องถาม

"หึ อยู่ในห้องนี้ไปก่อนนะ อย่าเพิ่งออกไปไหน ข้าขอจัดการเรื่องส่วนตัวเสียหน่อย" รอยยิ้มยังประดับบนใบหน้า

"อย่าทำอะไรท่านพ่อนะ"

"หึหึ ไปนะ"

หลังจากจ้าวหย่งเฝิงเดินออกจากห้องเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นมาติด กลิ่นเลือดฟุ้งกระจาย ทำให้เฉินจื่อหยี่ตัวสั่น เมื่อทุกคนในคฤหาสน์ล้วนตายหมด ยกเว้นเพียง เฉินหยางจื่อผู้เป็นพ่อ ที่บาดเจ็บสาหัส ส่วนลุงฟ่านปลอดภัยดีเพราะพียงแค่ถูกตีให้สลบเท่านั้น อำนาจของตระกูลเฉินถูกชายเพียงคนเดียวโค่นล้ม ทำให้จิตใจเด็กชายเฉินจื่อหยี่เจ็บแค้นเป็นอย่างมาก จากความประทับใจแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง....
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 11-02-2018 11:13:36
กรรม จื่อยี่อย่าเกลียดพี่เขาเลย
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}
เริ่มหัวข้อโดย: InarmSt ที่ 11-02-2018 20:14:57
 รอออออออ
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 17-04-2020 00:27:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 15-03-2024 18:58:18
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)