พิมพ์หน้านี้ - แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Marymo ที่ 15-10-2017 14:56:23

หัวข้อ: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 15-10-2017 14:56:23
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

************************************************************************************************










เสียงเจ้าหวานปานนกการเวก              ความปัจเจกเอกลักษณ์คือหรรษา
หวังนอนฟังหากเจ้ากรุณา                     เพียงพบหน้าพาใจได้ภิรมย์








***************************************************************




สวัสดีค่ะ เรื่องนี้เป็นนิยายชายรักชายย้อนยุคแฟนตาซี
 
 
 ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจหลาย ๆ อย่างมาจากเรื่องเพชรกลางไฟ
 

ดังนั้นเรื่องราวในเรื่องช่วงย้อนอดีตจะเป็นยุคสมัยเดียวกับในเรื่องเพชรกลางไฟ คือในช่วงรัชกาลที่ 6 - รัชกาลที่ 7

 
ผู้เขียนจะพยายามเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ให้สมจริงที่สุด
 
 
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ


:z2: :z2: :z2:








#แว่วเสียงการเวก








ติดตามกันได้ที่
Facebook: ปิงปองโต้คลื่น (https://www.facebook.com/PingPongTor.wave/)
Twitter: ปิงปองโต้คลื่น/Marymo (https://twitter.com/MarymoYaoi?lang=en&lang=en)











เจ้าของเดียวกับ
ผัดซีอิ๊ว #คุณกาจหาเมีย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63482.0)
**||I need a man||** หลง.ลุง [mpreg] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64026.0)
Symphony of Ives - เพลงรักสีขาว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68008.msg3883497#new)










สารบัญ

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3720454#msg3720454)
บทที่ 1 กรุ่นกลิ่น [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3720455#msg3720455)                     บทที่ 1 กรุ่นกลิ่น [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3720508#msg3720508)
บทที่ 2 บุปผชาติ [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3721150#msg3721150)                    บทที่ 2 บุปผชาติ [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3721153#msg3721153)
บทที่ 3 บรรเลง [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3721644#msg3721644)                      บทที่ 3 บรรเลง [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3722206#msg3722206)
บทที่ 4 บทเพลงสวรรค์ [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3722667#msg3722667)            บทที่ 4 บทเพลงสวรรค์ [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3723245#msg3723245)
บทที่ 5 ลิ้มรส [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3723693#msg3723693)                         บทที่ 5 ลิ้มรส [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3724160#msg3724160)
บทที่ 6 คาวคลุ้ง [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3724676#msg3724676)                     บทที่ 6 คาวคลุ้ง [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3725237#msg3725237)
บทที่ 7 ประสบ [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3725701#msg3725701)                       บทที่ 7 ประสบ [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3726425#msg3726425)
บทที่ 8 มือระนาด [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3726763#msg3726763)                   บทที่ 8 มือระนาด [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3727352#msg3727352)
บทที่ 9 พบพาน [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3728078#msg3728078)                     บทที่ 9 พบพาน [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3728635#msg3728635)
บทที่ 10 บ่าวในบ้าน [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3729293#msg3729293)               บทที่ 10 บ่าวในบ้าน [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3729812#msg3729812)
บทที่ 11 ตอบรับ [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3730435#msg3730435)                    บทที่ 11 ตอบรับ [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3730940#msg3730940)
บทที่ 12 คนต่างเมือง [ครึ่งแรก] (http://61.19.246.96/~thaiboys/webboard/index.php?topic=62857.msg3731591#msg3731591)              บทที่ 12 คนต่างเมือง [ครึ่งหลัง] (http://61.19.246.96/~thaiboys/webboard/index.php?topic=62857.msg3732037#msg3732037)
บทที่ 13 ทำงาน [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3732751#msg3732751)                    บทที่ 13 ทำงาน [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3733244#msg3733244)
บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3733791#msg3733791)                   บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3734811#msg3734811)
บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3735523#msg3735523)                  บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3736113#msg3736113)
บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3736818#msg3736818)                     บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3737456#msg3737456)
บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3737898#msg3737898)                  บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3738523#msg3738523)
บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3739066#msg3739066)           บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3739658#msg3739658)
บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3740208#msg3740208)                     บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3740827#msg3740827)
บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3741334#msg3741334)           บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3741919#msg3741919)
บทที่ 21 พลาด [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3742531#msg3742531)                     บทที่ 21 พลาด [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3742925#msg3742925)
บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3743545#msg3743545)                     บทที่ 22 คำลา [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3744158#msg3744158)
บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งแรก] (http://61.19.246.96/~thaiboys/webboard/index.php?topic=62857.msg3744734#msg3744734)                  บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งหลัง] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3745148#msg3745148)
บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งแรก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3745698#msg3745698)                บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งหลัง] (http://61.19.246.96/~thaiboys/webboard/index.php?topic=62857.msg3746303#msg3746303)
ความรัก [บทส่งท้าย] (http://61.19.246.96/~thaiboys/webboard/index.php?topic=62857.msg3746653#msg3746653)





สารบัญตอนพิเศษ

ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62857.msg3762267#msg3762267)








หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 15-10-2017 14:59:20
บทนำ




“พี่ไม่กลัวว่าใครจะรู้เรื่องของเราหรือ”


ใบหน้าของคนพูดดูเคร่งขรึมและเป็นกังวล หากสองมือยังคงตระกองกอดอีกฝ่ายไว้ไม่ห่างขัดกับคำถามที่เอ่ยออกมา กริยาเช่นนั้นทำให้ผู้ฟังเผลอยกยิ้มด้วยความเอ็นดูเหลือใจ


“ไยต้องกลัวคนรู้เล่า ความรัก ใช่สิ่งผิดรึ”


ฝ่ามือใหญ่ลูบใบหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา


นุ่มนวลและอ่อนหวาน


“ความรักไม่ใช่เรื่องผิด แต่พี่อาจจะกำลังรักคนผิด ผม...ผมอาจไม่ใช่คนที่พี่ควรรัก”


คนผู้นั้นเลือกที่จะเงียบแล้วปล่อยให้ผู้พูดพูดต่อไป


“พี่สูงค่าเกินกว่าจะมารักคนอย่างผม”


“เราเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรักเขาวัดกันที่ยศถาบรรดาศักดิ์ เผลอเข้าใจผิดว่าวัดกันที่ใจมาเสียเนิ่นนาน”


ร่างสูงใหญ่กว่าเลือกจะเอ่ยติดตลกหวังให้อีกคนผ่อนคลายความกังวลลง ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายค้อนเขาอย่างแสนงอนก็ยิ่งทำให้เขาสุขใจ มือหนาลูบศีรษะของคนในอ้อมกอดแผ่วเบา


“อย่ากังวลไปเลยดวงใจพี่ รักก็คือรัก จะต่ำจะสูงอย่างไร พี่ก็จะรักปักษาสวรรค์ตัวนี้อยู่ร่ำไป”













แสงแดดอ่อนๆ ที่แยงเข้ามาในตาอย่างจังทำให้ความฝันแปลกๆ จบลง ความรู้สึกตื้อๆ ในหัวกับความเหนอะหนะที่แผ่นหลังทำให้ผมต้องครางออกมาอย่างหงุดหงิด


อากาศช่วงเดือนเมษามันร้อนจนชวนให้ละลายกลายเป็นของเหลวไปกองอยู่บนพื้นจริงๆ


ว่าแต่เมื่อกี้นี้...ผมฝันถึงอะไรกันนะ คุ้นๆ ว่าเป็นอะไรสักอย่าง แต่คงไม่ใช่ฝันร้าย 


เมื่อนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ผมก็เลือกที่จะขยี้ตาแล้วมองหาใครอีกคนไปรอบห้องที่แสนว่างเปล่าแทน ประตูห้องน้ำที่เปิดอ้าเป็นสัญลักษณ์ว่าไม่ได้กำลังถูกใช้งานทำให้ผมรู้ว่าคนที่ผมมองหาไม่ได้อยู่ในห้องนี้ เมื่อเหลือบมองดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว อาหารชิ้นสุดท้ายตกถึงท้องของผมตั้งแต่เก้าโมงเช้า จึงไม่แปลกที่ท้องของผมจะส่งเสียงโครกครากดังลั่น


หลังจากใช้มือปาดเหงื่อไป ขยี้ตาไปสักพักอย่างไร้ประโยชน์ ผมจึงตัดสินใจทิ้งหนังสือเล่มหนาที่เปื้อนคราบน้ำลายนิดหน่อยให้กางแผ่หลาบนโต๊ะไว้อย่างนั้น ถึงการสอบจะไล่บี้เข้ามาทุกขณะจนไม่ควรเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะใส่ใจมันอีกแล้ว ผมยันตัวเองลุกขึ้นจากโต๊ะอ่านหนังสือคิดไว้ว่าจะต้มมาม่าสักซองเพื่อดับความหิวแล้วค่อยอ่านหนังสือต่อ แต่ทันทีที่ลุกขึ้นมาผมก็ต้องร้องโอดโอยกับอาการปวดหลังจากการนอนผิดท่า


สงสัยจะแก่เกินไปอย่างที่พวกรุ่นน้องชอบแซ็วแล้วจริงๆ


ยังไม่ทันจะได้สบถคำหยาบออกมาด้วยความเคยชิน เสียงเปิดประตูก็พลันดังขึ้นอย่างได้จังหวะพร้อมกับการก้าวเข้ามาของรูมเมทจอมตะกละของผม  ร่างสูงโปร่งอย่างนักกีฬานั้นอยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงบอล ในมือก็ถือของกินจากร้านสะดวกซื้อใต้หอพะรุงพะรัง ใบหน้าหล่อเหลานั้นฉีกยิ้มให้ผมอย่างมีความสุข


ความสุขของไอ้นี่ขึ้นอยู่กับปริมาณของกินจริงๆ


“อ้าวมอสตื่นแล้วเหรอ กำลังจะขึ้นมาปลุกพอดี”


“ปลุกตอนนี้ไม่ปลุกชาติหน้าเลยล่ะ”


ที่ผมตอบไปแบบนั้นก็เพราะหงุดหงิด เจ้าตัวก็รู้ทั้งรู้ว่าคณะที่ผมเรียนมีแต่เนื้อหาด้านสังคมศาสตร์ที่ต้องอาศัยการอ่านซ้ำๆ หลายๆ รอบ จึงจะทำได้ ใช่จะอาศัยความเข้าใจและความชำนาญเหมือนอย่างเขาเสียเมื่อไหร่ รู้ขนาดนี้แล้วก็ยังปล่อยให้ผมหลับมาตั้งสองชั่วโมงแล้ว


พับผ่าสิ


“ได้เหรอ”


“โว้ย!”


ท่าทางอารมณ์เสียของผมทำให้ทีนหัวเราะชอบใจ ก่อนจะหยิบถุงขนมออกมายื่นให้ผมถุงหนึ่ง


“ของมอส”


ผมเลิกคิ้ว


“ไม่ได้ฝากซื้อสักหน่อย”


เขาฉีกยิ้มจนตาหยี


“เอาน้า อยากซื้อให้ ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าไม่ใช่เหรอ”


ก่อนจะย้ายมาอยู่ห้องนี้ก็เคยมีคนบอกอยู่ว่าเขาเป็นคนแปลกๆ ชอบดูแลคนอื่นไปทั่วอย่างไม่มีเหตุผล ทำเอาสาวน้อย สาวใหญ่ เพศชาย เพศหญิง อกหักกันเป็นทิวแถว พอมาอยู่ด้วยกันจริงๆ ผมก็พอจะรับรู้ถึงความแปลกนั้นได้


แต่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีสักหน่อย


“ขอบใจ”


ผมรับถุงเล็กๆ นั่นมา ข้างในเป็นขนมปังสอดไส้ส่งกลิ่นหอม แค่กัดเข้าไปคำแรกก็รับรู้ถึงความสดใหม่เกินกว่าจะเป็นแค่ขนมปังจากร้านสะดวกซื้อ


“นี่ไม่ใช่ขนมปังใต้หอนิ ไปซื้อมาจากไหน”


“อ๋อ เราเดินไปซื้อมาจากห้างน่ะ”


ให้ตายสิไอ้เวรนี่


“โว้ย มึงนี่นะ มาๆ มาเอาเงินเลย เดี๋ยวจ่ายให้”


ผมเห็นเขาโบกมือส่งๆ จากโต๊ะอ่านหนังสือของตัวเอง ในขณะที่ส่งไส้กรอกเข้าปาก


“ไม่เอา เราซื้อให้”


“มันแพงนะเว้ย...”


ใจจริงก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบของฟรีหรอกนะ แต่สำนึกดีๆ ยังมีเหลืออยู่นิดหน่อย คงเพราะเป็นคนที่เห็นไอ้เวรนี่ทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อส่งตัวเองเรียนนั่นล่ะ มันก็เลยรู้สึกแปลกๆ ถ้าต้องเอาเงินของเขามา


“บอกว่าเราซื้อให้ ก็ซื้อให้ไง กินๆ ไปเถอะ ไม่งั้นก็อ้วกเอาที่กินไปมาคืน”


“ได้เหรอ”


ผมย้อนถามกลัวด้วยคำพูดและน้ำเสียงเดียวกับที่เจ้าตัวใช้เมื่อสักครู่ ทำให้อีกคนต้องหันขวับมาทำหน้าเหยเกใส่


“มอส นั่นมุกเรานะ!”


ท่าทางของคนหวงมุกทำให้ผมหัวเราะ ทีนเป็นแบบนี้เสมอ เป็นหนุ่มฮอตที่นิสัยดีและใจดี มีเพื่อนเยอะและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย เขาชอบทำให้คนอื่นหัวเราะและยิ้มเก่ง


บางครั้งรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อๆ นั่นก็ทำให้ผมอิจฉา


บางครั้งผมก็อยากมีนิสัยแบบเขาบ้าง ถ้าเพียงแค่ผมเข้ากับคนอื่นได้ง่ายกว่านี้


...ผมก็คงมีเพื่อนมากกว่านี้...


ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนที่เข้ากับใครได้ง่ายๆ ดูภายนอกก็เหมือนคนพูดน้อยที่ดูหยิ่งยโส แต่ความจริงมันเป็นเพราะผมเองก็ไม่ค่อยรู้วิธีในการเข้าหาคนอื่นสักเท่าไหร่ เวลาเห็นเพื่อนผู้ชายในสาขาเข้ากับกลุ่มสาวๆ ได้อย่างสนิทสนม พูดคุยหยอกล้อกันอย่างเป็นธรรมชาติแบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้ผมอิจฉา


ผมเป็นคนที่แย่จริงๆ


“มอส!”


เสียงตะโกนเรียกนั้นทำให้ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ก่อนจะหันไปแหวใส่อีกคน 


“อยู่ใกล้กันแค่นี้ตะโกนทำไมเล่า”


ผมเห็นเขายักไหล่ เขามักจะทำแบบนี้เสมอเวลาจะพูดคำพูดทำนอง ‘ไม่รู้สิ’ หรือ ‘ก็ช่วยไม่ได้นี่นา’


“ก็ช่วยไม่ได้นี่นา มอสอยากเหม่อเอง”


ทำไมเวลาซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างนะ


“ขอเหม่อบ้างไม่ได้รึไง”


นัยน์ตาสีดำนั้นหันมาสบตาผม แววตาของเขามันดูมีประกายจนน่าแปลกใจ


“แล้วมอสเหม่อถึงใครเหรอ”


“ยุ่ง!”


“ใจร้าย!”


ท่าทางเหมือนหมาตัวใหญ่ที่โดนดุแล้วลู่หูตัวเองหงอยๆ แบบนั้นมันชวนให้ขำสุดๆ ผมหัวเราะใส่อีกฝ่ายก่อนจะเบือนหน้ากลับมาสนใจหนังสือที่อยู่ตรงหน้า ผมหยิบเอาหูฟังขึ้นมาใส่แล้วกดเปิดเพลงไทยเดิมอย่างที่ชอบทำเวลาอ่านหนังสือ


ปกติแล้วผมชอบเพลงไทยเดิมอยู่แล้วเพราะพ่อของผมเป็นครูสอนดนตรีไทย เสียงของเครื่องดนตรีไทยพวกนั้นทำให้ผมรู้สึกสงบและมีสมาธิ พอเห็นเพื่อนๆ เปิดเพลงโมสาร์ทเวลาอ่านหนังสือ ผมเลยเอาเพลงไทยเดิมมาประยุกต์บ้างและมันก็ได้ผลดีทีเดียว


“พี่รักน้องเสมอ ปักษาสวรรค์ของพี่”


จู่ๆ คำกระซิบอ่อนหวานของใครสักคนก็แว่วตัดเสียงเพลงเข้ามา


ผมหันหน้าไปมองทีนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ แทบจะทันที ภาพที่เห็นคืออีกฝ่ายกำลังนั่งชันขาเคี้ยวพายข้าวโพดอยู่เต็มปาก ในขณะที่อีกมือก็ถือชาเย็นแก้วใหญ่ นัยน์ตาคู่นั้นจดจ่ออยู่กับชีทเรียนปึกใหญ่ตรงหน้าโดยไม่มีความวอกแวกแม้แต่น้อย ในตอนแรกผมก็สงสัยเรื่องเสียงที่ได้ยิน แต่ตอนนี้ผมกำลังสงสัยว่าเพื่อนของผมจะเป็นโรคอ้วนตายตอนไหน


ดูแต่ละอย่างที่มันกินสิ มอสล่ะกลุ้ม






หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 1 [50%]
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 15-10-2017 15:04:29
บทที่ 1 กรุ่นกลิ่น 50%




ผมกำลังจะตาย



โอเค อาจจะไม่ได้ตายทางกายภาพ แต่เรื่องที่สมองกำลังล้าจนจะตายนั้นเป็นเรื่องจริง




ผมทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง ร่างทั้งร่างปวดร้าวราวกับจะแหลก คงเพราะพฤติกรรมการกินการนอนที่ผิดรูปผิดแบบไปหมดในตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ถ้าจะโทษใครสักคนก็คงต้องโทษการสอบรอบที่ผ่านมาที่ทำให้ผมต้องอดหลับอดนอนอ่านหนังสือไม่พอ ยังต้องไปนั่งหลังขดหลังแข็งเขียนทำข้อสอบตลอดทั้งสัปดาห์อีก



ขนาดสอบกลางภาคยังดูดพลังชีวิตไปเยอะชนิดที่เรียกว่าใช้มานาไปหมดหลอดขนาดนี้ ตอนปลายภาคผมคงกลายเป็นซากปลานอนตายคาห้องสอบที่เปิดแอร์เย็นเฉียบนั่นแน่ ๆ 



หลังจากนอนหลับตารับรู้ถึงอาการปวดตุบ ๆ ในสมองอยู่หลายนาที  ท้องที่ส่งเสียงโครกครากก็ทำให้ผมต้องลุกขึ้นมาจัดการตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลุกไปหยิบกระเป๋าสตางค์ เสียงเปิดประตูก็ดึงความสนใจของผมไปเสียก่อน



“อ้าวมอส สอบเสร็จแล้วเหรอ”

ร่างสูงในชุดนักศึกษาเต็มยศเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถุงของกินพะรุงพะรังเหมือนอย่างเคย



ผมว่าสาเหตุจริง ๆ ที่เขาต้องทำงานจนตัวเป็นเกลียวก็เพื่อเอามาจ่ายค่าอาหารจำนวนมากพวกนี้นี่ล่ะ



แต่ก็เอาเถอะ ยังไงซะ มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาล่ะนะ




“อือ สอบตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อบ่ายนี้เอง ทีนอะ”



จริง ๆ แล้วผมไม่ใช่คนที่พูดคำหยาบจนชินปาก ยิ่งกับเขายิ่งไม่พูด เพราะทีนเป็นคนสุภาพจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ผมยังไม่เคยได้ยินเขาสบถหรือพูดคำหยาบเลยแม้แต่คำเดียว มีแต่ผมนี่ล่ะที่เผลอพูดออกไปเวลาโมโหหรือหงุดหงิดเจ้าตัวเป็นประจำ



คิดแล้วก็เหมือนตัวเองจะเป็นคนบาปอยู่นิด ๆ อยู่เหมือนกัน




ผมเห็นเขาส่ายหัวด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

“ยังเหลืออีกตั้งสองตัว จะตายแล้วเนี่ย”




น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นบ่นกระปอดกระแปดออกมาอีกหลายคำ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ เพราะทีนเป็นคนขี้บ่นโดยธรรมชาติ บ่นได้ทั้งวัน บ่นได้ทั้งคืน บ่นได้แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่คงเป็นหนึ่งในข้อเสียของเขาที่ผมพอจะหาเจออยู่บ้าง ในเสี้ยววินาทีที่เจ้าตัวหันไปจัดการวางของกินให้เข้าที่เข้าทาง ผมจึงฉวยโอกาสบอกเขาว่าจะออกไปหาอะไรกินแล้วรีบพุ่งตัวออกมาก่อนจะโดนทักท้วงด้วยประโยคจำพวก ‘เอาพายข้าวโพดไหม’ หรือ ‘ลองกินทาร์ตไข่นี่สิ’





หลังจากเดินออกมาจากห้อง ผมก็เดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ ทำตัวเอื่อยเฉื่อยให้คุ้มกับการอดตาหลับขับตานอนมาร่วมอาทิตย์  เมื่อมาถึงลิฟต์ก็กดมันแล้วรอด้วยท่าทีใจเย็นที่สุดในรอบเดือน ผมก้าวเข้าลิฟต์ที่ว่างเปล่าด้วยความเชื่องช้า หลังจากออกจากลิฟต์ผมก็ยังคงเดินด้วยความเร็วเท่าเดิม ชนิดที่ว่าหอยทากคงแซงผมไปแล้ว กว่าจะเดินมาถึงโรงอาหารใต้หอก็ปาเข้าไปร่วมสิบห้านาที




โรงอาหารตรงหน้าผมยังคงคึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนเหมือนเช่นทุกวัน แต่อาหารที่ตั้งขายก็ยังเป็นของเดิม ๆ บรรยากาศก็ยังดูเหมือนเดิม





น่าเบื่อ




คิดได้ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจจะไปหาอะไรกินที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลออกไป




ในตอนแรกก็คิดว่ารีบไปกินจะได้รีบกลับมานอน กว่าผมจะรู้ตัวอีกทีฟ้าด้านนอกก็เปลี่ยนสีจากสีฟ้าเป็นสีดำสนิทซะแล้ว เส้นทางเดินกลับหอที่ใกล้ที่สุดเป็นทางเปลี่ยวตรงทอดยาวจากริมถนนไปจนถึงหอพัก สองข้างทางมีเพียงไฟสลัว ๆ จากเสาไฟเก่า ๆ เท่านั้น ผมถอนหายใจเบา ๆ พร้อม ๆ ไปกับการทำใจว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป ทันทีที่ย่างก้าวเข้ามาในเส้นทางนั้น ผมก็รู้สึกแปลก ๆ จนต้องหยุดเดิน




ความรู้สึกเสียวหลังวาบ ๆ เหมือนมีใครเดินตามมาทำให้ผมต้องหยุดเดินแล้วหันไปมอง




ว่างเปล่า




ว่างเปล่าจนชวนขนลุก มีเพียงสายลมเอื่อย ๆ พัดผ่านทำให้ต้นไม้น้อยใหญ่โยกพลิ้วไปตามสายลม ก่อให้เกิดเงาวูบไหวไปมา




น่ากลัว




ผมลูบแขนตัวเองเบา ๆ ปกติแล้วในช่วงเวลาหัวค่ำแบบนี้เส้นทางจะไม่เปลี่ยวมากขนาดนี้ ไม่รู้เพราะว่าเป็นช่วงสอบหรือยังไง มันถึงได้ร้างผู้คนเสียจนน่าขนลุก





ราวกับจะมีผีกระโดดโผล่มาหลอกยังไงยังงั้น





ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระก่อนจะหมุนตัวหวังรีบเดินกลับหอ แต่ทันทีที่หันกลับไปผมก็พบกับกลุ่มชายฉกรรจ์ท่าทางเมามายยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าผมราวสามถึงสี่คน กลิ่นเหล้าที่โชยออกมาจากตัวพวกเขาทำให้ผมต้องเบ้ปากใส่ โชคดีที่ความมืดช่วยอำพรางสีหน้าของผมไว้ ไม่เช่นนั้นคงโดนต่อยเละตั้งแต่ยังไม่เริ่มพูด






แต่ท่าทางแบบนี้เดาได้เลยว่าจะมาทำอะไร

“เฮ ไอ้น้อง พวกพี่ขอเงินหน่อยสิ”




นั่นไง




น้ำเสียงอ้อแอ้กับท่าทางเซไปเซมาทำให้ผมอุ่นใจไปเปาะหนึ่งด้วยคิดว่าโอกาสหนีรอดนั้นมีสูงพอสมควร เพราะถ้าต้องวิ่งหนีขึ้นมาจริง ๆ พวกที่แค่ยืนตรงยังทำไม่ได้แบบนี้คงวิ่งไล่ตามผมไม่ทัน




“พี่ครับ ผมไม่มีเงินหรอกครับ”

“โกหก!”




ฟัง ๆ ดูก็เหมือนประโยคพื้นฐานที่พูดกันทั่วไปในละครไทยที่เห็นกันอยู่บ่อย ๆ หลังจากประโยคนี้ก็ต้องจบด้วยการตะลุมบอนและตัวเอกก็ต้องเจ็บตัว ตามด้วยฉากเข้าพระเข้านางแสนซึ้ง




น่าเสียดายที่ชีวิตไม่ใช่ละคร




ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นชักมีดพับขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเอามาชี้หน้าผม

“เอามา”

ผมนิ่งเงียบ พยายามคิดทางหนีทีไล่

“กูบอกให้เอามา!”





โอเค ไม่มี





ในที่สุดผมก็ยอมควักกระเป๋าสตางค์ส่งให้พวกมัน ชายทางขวามือผมคว้ากระเป๋าสตางค์ไป ส่วนคนทางซ้ายที่ถือมีดก็เอามีดชี้หน้าผมอีกครั้ง

“เอาโทรศัพท์มึงมาด้วย”

ผมส่ายหน้าเบา ๆ

“ผมไม่มีโทรศัพท์ครับพี่ มันตกน้ำพังไปนานแล้ว แล้วผมก็ไม่มีเงินซื้อ”




ยอมรับว่าตัวเองดราม่า แต่โทรศัพท์ตกน้ำจนพังนั้นเป็นเรื่องจริง เพียงแต่นั่นเกิดขึ้นหลายปีมาแล้ว โทรศัพท์เครื่องปัจจุบันของผมกำลังนอนหลับสบายอยู่บนห้องพักแสนผาสุกอย่างไม่รู้ชะตากรรมเจ้านายมันเลยสักนิด





“โกหก!”

น้ำเสียงตะคอกนั้นทำให้ผมตกใจกลัวจนต้องพนมมือ

“ผมไม่มีจริง ๆ พี่ ไม่เชื่อค้นตัวผมก็ได้พี่ ผมไม่มีเงินจริง ๆ”

“ลูกพี่ ไอ้เด็กนี่จนจริงว่ะ ในกระเป๋ามันมีอยู่ร้อยเดียวเอง”

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเป็นใจผมเลยรีบเสริม

“ผมไม่มีจริง ๆ พี่ หนึ่งร้อยนั่นก็ต้องใช้ทั้งอาทิตย์ ที่ผมไปห้างก็เพราะไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเลยพี่”




ผมยกมือไหว้ปลก ๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ยอมรับว่าตัวเองเล่นใหญ่รัชดาลัยไปนิด แต่ความกลัวตายมีมากกว่าความอายเสมอ
หลังจากฟังที่ผมพูดพวกมันก็หันไปมองหน้ากันแล้วเงียบไปอึดใจ ก่อนที่คนถือมีดจะยกมันชี้หน้าผมอีกครั้ง

“มึงอย่าสะเออะไปบอกใครนะ ไม่งั้นกูเอามึงตายแน่”


ผมพยักหน้ารัว ๆ

“ได้พี่ ผมไม่บอกใคร ปล่อยผมเถอะ”

ผมเห็นพวกมันมองหน้ากันก่อนจะพยักพเยิดกันไปมา

“เออ ไป ๆ แล้วอย่างปากสว่างนะมึง”

“ครับ ๆ”

ผมพยักหน้าแล้วรีบเดินออกมา เมื่อเห็นว่าพวกนั้นไม่มีท่าทีไล่ตามก็รีบใส่เกียร์หมาสุดแรงเกิด ไม่เกินสามสิบวินาทีผมก็กลับมาถึงหน้าหอพัก




ผู้คนหน้าหอพักเริ่มบางตา แต่ก็ยังนับว่าดีกว่าทางเปลี่ยวที่ผมเพิ่งเดินผ่านมา เงิน บัตรเอทีเอ็ม รวมไปถึงบัตรส่วนลดต่าง ๆ นา ๆ ล้วนถูกเอาไปหมดแล้ว




เห็นทีคงต้องพึ่งมาม่าอีกแล้ว




ผมพักหายใจชั่วครู่ก่อนจะเดินไปแจ้งเรื่องกับยามใต้หอ แต่ทันทีที่ฟังเรื่องของผมพี่ยามก็ทำได้แค่เพียงส่ายหัวไปมา

“เขาโดนกันมาหลายคนแล้วน้อง ทำใจเถอะ”

“แล้วทำไมทางมหาลัยไม่ทำอะไรสักอย่างเล่าพี่”


พี่ยามหัวเราะ ‘หึ’ ใส่ผม

“จัดการอะไร๊ พวกนี้มันก็โจรทั่วไป มหาลัยก็ทำได้แค่แจ้งเตือนเท่านั้นแหละ โทษตัวเองเถอะน้องที่ไปเดินทางเปลี่ยว ๆ แบบนั้น แทนที่จะยอมเดินอ้อมเข้ามาทางถนนใหญ่”



ท้ายประโยคที่มีแววตำหนิทำให้ผมยิ่งหดหู่ใจจนต้องยอมถอยแล้วเดินกลับขึ้นห้องไป



เอาเถอะถือว่าฟาดเคราะห์แล้วกัน




ระหว่างที่ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไปช้า ๆ ผมก็ทำได้เพียงแค่พิงผนังลิฟต์อยู่นิ่ง ๆ อย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันหดหู่จนแทบบ้า ในหัวมีแต่ความคิดที่ว่า ‘มันคงเป็นความผิดของเราเอง’ วนเวียนอยู่เต็มไปหมด




บ้าจริง





บ้าชะมัด




ประตูลิฟต์ที่เปิดออกทำให้ผมต้องสูดหายใจฮึดสู้แล้วเดินกลับห้องด้วยท่าทางปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันทีที่ถึงหน้าห้อง ผมก็ต้องมายืนลังเลอีกครั้งว่าผมจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทีนฟังยังไงดี รายนั้นคงบ่นผมจนหูชาแล้วก็เป็นห่วงจนไม่ยอมปล่อยให้ผมไปไหนมาไหนคนเดียวแน่




แต่เอาเถอะ รอดมาได้ก็บุญโขแล้ว




“ว่าไงมอส ได้ไรมาบ้างปะ”

น้ำเสียงร่าเริงตามปกติของเขาทำให้ผมกังวล ด้วยไม่รู้จะตอบอะไรผมจึงยิ้มแหย ๆ ให้เขาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเตียง




ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาจากอีกคน ครั้นเงยหน้าขึ้นไปก็ไม่ผิดจากที่คิดนัก เจ้าตัวส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นมาให้ผมชัดเจนเสียเหลือเกิน




เอาเถอะ ยังไงก็ต้องบอกอยู่ดี




“เราโดนโจรดักจี้น่ะ”

“เฮ้ย! แล้วเป็นไรปะเนี่ย”

ร่างสูงกระโดดผลุงจากเก้าอี้มาหาผมที่เตียงก่อนจะเอียงหัวไปมาเพื่อสำรวจความเสียหายของผมเสียยกใหญ่

“ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่โดนโด้กระเป๋าตังค์ไปน่ะ”

“โดนจี้ที่ตรงไหนอะ”



มาแล้ว คำถามที่ผมไม่อยากตอบที่สุด รับรองได้ว่าหลังตอบไปคงโดนบ่นเสียจนหูชาแน่ ๆ




แต่เอาเถอะ




“ตรงทางข้างหอที่ทะลุไปห้างอะ”

“เดินทางนั้นคนเดียวเนี่ยนะ! เป็นบ้าเหรอ!”




มาแล้ว มาแล้ว




หลังจากนั้นผมก็แทบจับคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้อีกเลย เพราะมันทั้งรัวและเร็ว จนเหนื่อยจะฟัง หลังจากอีกฝ่ายบ่นจนพอใจจึงได้กลับมาพูดด้วยน้ำเสียงและความเร็วปกติ

“มอสทำธุรกรรมผ่านแอพได้ใช้ไหม”

คำถามที่ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมงุนงง แต่ก็ยอมพยักหน้าตอบไป

“ดี งั้นโอนเงินทั้งบัญชีมาไว้กับเราก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปอายัติบัตรแล้วก็แจ้งความกัน”

“ไปตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ”

“นี่ไม่เข็ดใช่ไหม!”


เสียงตะคอกของอีกฝ่ายทำให้ผมถดตัวหนีนิดหน่อย ยอมรับว่าถึงจะไม่ใช่คำหยาบ แต่เวลาคน ๆ นี้โมโหก็ยังน่ากลัวอยู่ดี


“กรุงเทพตอนกลางคืนอันตรายจะตาย ถ้าออกไปเรียกแท็กซี่แล้วพวกมันดักอยู่ให้ทำยังไง”


เออ จริง


“ให้ตายเถอะมอส เราไม่รู้จะพูดกับมอสยังไงแล้วนะ”

“ถ้าเราเป็นทีนเราก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วเหมือนกัน เท่าที่พูดไปเมื่อกี้นี้ก็มากกว่าทั้งชีวิตเราแล้ว นึกตามไม่ทันแล้วเนี้ย”

“มอส!”




โอเค ผมผิดเอง









หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 1 [100%] (15/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 15-10-2017 16:33:45
บทที่ 1 กรุ่นกลิ่น [100%]




แล้วเรื่องเมื่อคืนก็จบลงด้วยเสียงบ่นของทีนที่กว่าจะหยุดลงก็เป็นเวลาสองชั่วโมงให้หลัง เจ้าตัวทั้งเอ็ดผมเรื่องความปลอดภัย ทั้งบ่นกระปอดกระแปดว่าตัวเองอ่านหนังสือไม่ทันแล้ว แล้วก็จบลงด้วยการที่เขาต้องอ่านหนังสือทั้งคืนอย่างบ้าคลั่งเพราะมัวแต่เอาเวลามาบ่นผมนั่นล่ะ


เหมือนขนแม่มาไว้ในหอด้วยอย่างไรอย่างนั้น


ซ้ำร้ายพอรุ่งสางยังไม่ทันที่ท้องฟ้าจะสว่างดี เจ้าตัวก็รีบมาปลุกให้ไปสถานีตำรวจก่อนจะได้กลับมาเข้าเรียนทัน ผมเลยต้องหอบสังขารอันอ่อนล้าลงมาใต้ตึกตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า


เด็กมหาลัยที่ไหนเขาแต่งชุดนักศึกษาออกจากหอตั้งแต่เจ็ดโมงตรงกัน
แต่ถ้าขืนผมไม่ทำตาม มีหวังคงโดนบ่นแล้วบ่นอีก จนน่ารำคาญไปอีกหลายสัปดาห์


ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมทีนถึงถูกเรียกว่า ‘คนแปลก ๆ’ คงเพราะท่าทีขี้เป็นห่วงและขี้บ่น รวมไปถึงลักษณะนิสัยการกินที่ผิดปกตินี่ล่ะมั้ง


แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรสักหน่อย


ผมเดินใจลอยเพราะความง่วงสุดจะทน ในใจคิดแค่ว่าค่าแท็กซี่ไปกลับมันจะกี่บาทกัน
แค่ต้องยืมเงินทีนมาใช้สอยก่อนก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว


“น้อง ๆ”


ผมเดินต่อไปด้วยไม่คิดว่าเขาจะเรียกผม จนกระทั่งมีคนเดินมาสะกิดจึงได้หันกลับไปมอง ครั้นเห็นคนตรงหน้าผมก็จำได้ทันที เขาก็คือพี่ยามที่เมื่อคืนบอกปัดให้ผมทำใจและไม่แม้แต่จะพยายามช่วยเหลือผมเลยสักนิด


จะเรียกไว้ทำไมกัน


“น้องใช่คนที่โดนจี้กระเป๋าสตางค์เมื่อวานรึเปล่า”
ผมพยักหน้ารับด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก


อยากด่ากราดจริง ๆ ให้ตายสิ


“เมื่อเช้า ไอ้พวกโจรมันเอากระเป๋าเงินมาคืนที่ป้อมยาม”
เขาว่าพลางยื่นกระเป๋าเงินใบหนึ่งมาให้ผม


กระเป๋าหนังเทียมสีดำ แสนเรียบง่ายและราคาถูก


กระเป๋าเงินของผม


แต่เดี๋ยวก่อน มีบางอย่างแปลก ๆ


ผมเลือกที่จะไม่รับกระเป๋าสตางค์คืนมาในทันที


“ทำไมพวกเขาถึงเอามาคืนครับ”
ผมเห็นเขามองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก


นี่คงไม่ได้เป็นแก๊งค์เดียวกันแล้วกะจับผมไปฆ่าปิดปากหรอกนะ


“ก็พวกนั้นน่ะ มันบอกว่ามันโดนผีหลอก บอกให้เอากระเป๋าเงินมาคืนน้อง”
“หะ?”
“เออ ได้ยินไม่ผิดหรอก พวกนั้นมันโดนผีหลอก เห็นว่าเป็นผีผู้ชาย ร่างใหญ่โต บอกว่าให้เอาของที่ขโมยไปมาคืน โอ๊ย พูดแล้วขนลุก”


เดี๋ยวนะ นี่คือผมถูกผีช่วยเอาไว้สินะ



งง งงไปหมด




“น้องรีบ ๆ เอาไปเถอะ พี่จะได้รีบ ๆ ออกเวร พวกมันเอามาฝากแล้วบอกว่าให้เอาให้ถึงมือน้อง ไม่งั้นจะมีอันเป็นไป นี่พี่ยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืนเนี้ย”


หูย ผีอะไรรอบคอบขนาดนั้น เอาตำแหน่งผีดีเด่นแห่งปีไปเลย


‘ช่างทะเล้นนัก’


เสียงกระซิบปริศนาแววเข้ามาในหูอย่างไม่มีที่มาที่ไปอีกครั้ง


เหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด


ผมหันมองรอบตัวด้วยใจถี่รัวหวังหาต้นตอของเสียง



ว่างเปล่า



รอบตัวผมไม่มีใครเลย ก็คงไม่แปลกเพราะเวลานี้ก็เช้าเกินไปที่จะเดินออกจากหอ แต่ถ้าหาก...



ถ้าหากมีใครรอบตัวสักคนคงทำให้หัวใจของผมเต้นถี่ลงน้อยกว่านี้แยะ



“อ๋อน้อง ยังมีนี่ด้วย”
ผมหันกลับไปมองพี่ยามที่ตอนนี้เหงื่อแตกพลั่กทั้ง ๆ ที่แดดยังไม่แรง


จริง ๆ ก็พอเข้าใจได้


“ตอนพวกนั้นเอากระเป๋าสตางค์มาคืน มันเอาอันนี้มาให้ด้วย”
สิ่งที่คนตรงหน้าหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายข้างตัวคือดอกกระดังงาช้ำ ๆ ดอกหนึ่ง


“พวกมันบะ...บอกว่า ผีมันสั่งให้ไปหาดอกไม้นี่มาให้ได้ แล้วก็ให้เอามาให้พร้อมกระเป๋าเงิน”
ผมมองดอกไม้สีเหลืองอ่อนที่วางบนกระเป๋าเงินด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัว


“รับไปสิน้อง พี่กลัวจนจะบ้าอยู่แล้วเนี้ย”
เสียงท้วงของพี่ยามทำให้ผมต้องเอื้อมมือออกไปรับของมาไว้กับตัว


“น้อง”


ผมละสายตาจากดอกไม้ในมือไปมองหน้าคนพูด
“ยะ..อย่าหาว่าพี่สอดเลยนะ แต่พี่ว่าน้องไปทำบุญก็ดีนะ หรือถ้าเลี้ยงผีเลี้ยงกุมารไว้ กะ..ก็อย่าเอามาเลี้ยงที่หอเลย”

“จะบ้าเหรอพี่ ผมไม่ได้เลี้ยงผีอะไรทั้งนั้นแหละ”


สีหน้าของชายตรงหน้าดูดีขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังเจือความกังวล
“ถ้างั้นน้องไปทำบุญเถอะ พี่ว่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรแล้วล่ะมั้ง”



เจ้ากรรมนายเวรเหรอ



“ขอบคุณครับพี่ ขอบคุณมาก”
ผมยกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่าย ชายตรงหน้าทำเพียงแค่รับไหว้อย่างรีบร้อนก่อนจะขอตัวกลับไป ทิ้งผมไว้กับความเงียบรอบตัวกับดอกไม้สีเหลืองในมือ



ดอกกระดังงา




ทำไมต้องดอกกระดังงา




“อ้าวมอส ทำไมยังไม่ไปอีก”
น้ำเสียงเอ่ยทักที่คุ้นเคยทำให้ผมต้องเงยหน้ามอง ทีนอยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศ เขาผูกไทด์ในรอบหลายเดือน เดาว่าคงมีสอบช่วงเช้าแน่


“พะ...พอดีพี่ยามเขาบอกว่า...ว่าเขาไปเจอกระเป๋าเงินหล่นอยู่แล้วเก็บมาให้น่ะ ก็เลยไม่มีปัญหาแล้ว”


“จริงดิ! โห โคตรโชคดีอะ ได้เช็คยังว่าบัตรอยู่ครบหรือเปล่า”


ผมยิ้มแห้ง ๆ พลางขอโทษขอโพยอีกคนที่ต้องโกหกอยู่ในใจแล้วจึงทำท่าทีเปิดกระเป๋าดูความเรียบร้อย แต่ในหัวของผมไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้าเลยสักนิด


ทำไมต้องดอกกระดังงา


ทำไมกัน


“ครบไหม”

หลังจากกวาดตาดูด้วยสติที่ไม่ค่อยครบถ้วนนัก แต่ผมก็พอจะแน่ใจว่าไม่มีอะไรหาย เพราะขนาดแบงก์ร้อยในกระเป๋าก็ยังนอนสงบอยู่ดี จึงพยักหน้าตอบอีกฝ่ายไป


ผมได้ยินเขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ดีแล้วล่ะ โชคดีแล้ว”


ด้วยไม่อยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ปกติผมจึงทำเพียงยิ้มแหยะ ๆ ให้เขาเท่านั้น ผมว่าเขาคงรับรู้ถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของผมได้ แต่คงเข้าใจไปว่าผมกำลังตื่นเต้นจึงไม่ได้ถามอะไรออกมา
“แล้วนั่นดอกการเวกนี่ ไปเอามาจากไหนเหรอ”

“การเวก? นี่ไม่ใช่ดอกกระดังงาเหรอ”



คนตัวสูงส่ายหน้าช้า ๆ
“บ้านเราทำฟาร์มไม้ดอก ไม้ประดับนะมอส เห็นดอกไม้พวกนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว กระดังงาจีนกับการเวกแม้ต้นใบจะคล้ายกันมาก แต่ก็ไม่ใช่ไม้เดียวกัน ดอกยิ่งไม่เหมือน ว่าแต่แถวนี้มีการเวกด้วยเหรอ มันหายากมาก ๆ แล้วนะ”


ผมไม่ได้แสดงอาการตอบรับอะไร หากในใจกลับครุ่นคิดตาม



นั่นสิ พวกนั้นเอาดอกไม้นี่มาจากไหน



ทีนฉีกยิ้มเสียจนหน้าบานแล้วเอื้อมมือมาหยิบดอกไม้ขึ้นไปจากมือผม
“นี่เป็นดอกการเวกไม่ผิดแน่ ๆ ดอกการเวกจะหอมจัดในช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ จนถึงเช้ามืด ถ้าเป็นช่วงอื่นก็ไม่หอม ลองดมดูสิ กลิ่นจางแทบไม่เหลือแล้ว”



เขายื่นดอกการเวกเข้ามาใกล้จมูกผม



กลิ่นหอมที่สัมผัสได้นั้นอ่อนจาง แต่มันกลับให้ความรู้สึกอ่อนหวานและสงบอย่างล้ำลึก
“การเวกนอกจากจะเป็นชื่อพืชแล้ว ยังเป็นชื่อสัตว์ด้วยนะ”


ผมเงยหน้าสบตากับคนพูดด้วยความหวั่นไหว


ผมนึกถึงอะไรได้บางอย่าง


ได้โปรด อย่าเป็นอย่างที่ผมคิดเลย


“เขาเรียกกันว่านกการเวก เป็นนกที่อยู่ในวรรณคดี แต่นกการเวกที่เป็นนกจริง ๆ ก็มีนะ มันเป็นนกตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ ใหญ่สุดน่าจะราวหนึ่งร้อยเซนติเมตรได้”

แววตาของทีนดูสดใสเป็นประกายเมื่อพูดถึงเรื่องสัตว์และพืชที่เขาคลั่งไคล้

“มันเป็นนกที่สวยมาก แถมยังมีหลากหลายสายพันธุ์ และเพราะมันสวยมากนั่นล่ะ คนเลยเรียกมันว่าปักษาสวรรค์”



เหมือนบางอย่างในหัวของผมระเบิดออก



คำพูดที่เคยได้ยินแว่บกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง



“พี่รักน้องเสมอ ปักษาสวรรค์ของพี่”



พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผมโดนผีตามเข้าให้แล้วครับ



หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 1 [100%] (15/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-10-2017 08:31:26
ตาม เจ้าของปักษาสวรรค์   :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 1 [100%] (15/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: valenpinkpink ที่ 16-10-2017 13:15:23
คงไม่ใช่ทีหรอกใช่มั้ย อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น รอติดตามนะคะ :impress2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 2 [100%] (15/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 16-10-2017 18:09:10
บทที่ 2 บุปผชาติ ครึ่งแรก




หลังจากเกิดเรื่องเมื่อเช้า ระดับความมีสติของผมต่อจากนั้นก็อยู่ในสถานะต่ำไปจนถึงต่ำมาก


ดังเช่นในตอนนี้


“ก็อย่างที่เรารู้กันดีว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยรัชกาลที่เจ็ดเกิดขึ้นเนื่องจากการปฏิวัติของคณะราษฎร แล้วพวกคุณเคยสงสัยไหมว่าเพราะอะไรที่ทำให้พวกเขาคิดปฏิวัติ ทั้ง ๆ ที่ถ้าพลาดขึ้นจะไปจบอีหรอบเดิมเหมือนกับคราวกบฏน้ำลายในสมัยรัชกาลที่หก แรงจูงใจแบบไหนกันที่ผลักดันให้เกิดการปฏิวัติขึ้น มีใครอยากเสนออะไรไหม อะ คุณพชร เชิญ ๆ”


เสียงบรรยายของอาจารย์ชายวัยกลางคนผ่านเข้าหูซ้ายแล้วทะลุหูขวาของผมไปอย่างง่ายดาย แม้จะพอจับใจความได้บ้าง แต่สมองก็ไม่พร้อมจะคิดเรื่องอื่นนอกจากเหตุที่ว่า ‘ทำไมต้องเป็นดอกการเวก’ หลังจากแยกกับทีน ผมก็เฝ้าครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอดจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ไอ้ครั้นจะว่าผมไปอธิษฐานอะไรไว้ เท่าที่จำได้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับดอกการเวกแม้แต่น้อย


หรือจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรอย่างที่ลุงว่าไว้จริง ๆ นะ


“คุณพิทยุตม์”


เสียงเรียกชื่ออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมหลุดจากภวังค์แทบทันที
“คะ...ครับ”

“คุณคิดว่ายังไงบ้าง เห็นด้วยกับที่คุณพชรพูดหรือไม่”


โอ้โห นี่สิความพินาศของจริง บรรลัยเสียยิ่งกว่าผี ฟังหรือก็ไม่ได้ฟัง ที่เพื่อนพูดไปผมก็ไม่ได้ฟังสักคำ


ผมส่งยิ้มแหยะ ๆ ให้อาจารย์ พอ ๆ กับที่อีกฝ่ายส่งสายตาตำหนิมาให้ผม


เอาว่ะ ยังไงก็ต้องรอด


“ในความคิดของผม ผมคิดว่าคนที่ไปศึกษาต่างบ้านต่างเมือง อยู่กินที่นั่นเป็นเวลาหลายปี แน่นอนว่าต้องได้รับอิทธิพลทางความคิดและวัฒนธรรมจากประเทศนั้น ๆ มาเป็นธรรมดา อย่างไรเสียแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยก็ถูกพัฒนาขึ้นในยุโรป โดยเฉพาะในคราวปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งนับว่าเป็นยุคประชาธิปไตยเสรีนิยมเกิดการพัฒนาขึ้นอย่างมาก กลุ่มคนที่ก่อตั้งคณะราษฎรในตอนนั้นก็ล้วนเป็นคนที่ศึกษาอยู่ในยุโรปทั้งสิ้น ถ้าจะได้รับอิทธิพลทางความคิดนี้มาจนก่อให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิวัติก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก อีกทั้งการเมืองของไทยในสมัยนั้นก็ไม่ดีนัก ทั้งความล่าช้าในการบริการงาน การแยกชนชั้นระหว่างผู้คน คงไม่แปลกถ้ามีใครสักคนอยากจะเปลี่ยนแปลงระบอบขึ้นมาน่ะครับ”


อาจารย์พยักหน้าช้า ๆ แล้วระบายยิ้มบาง
“ตอบคำถามไม่ครบนะ แต่ก็เอาเถอะ ถือว่าไม่แย่สำหรับคนที่เหม่อตั้งแต่ต้นคาบ”

พอพูดจบเขาก็หมุนตัวไปกดสไดล์แล้วเริ่มบรรยายต่อ นั่นเป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่า ‘ผมรอดแล้ว’


ท่าทางถอนหายใจอย่างโล่งอกทำให้ ‘ไม้’ เพื่อนสนิทของผมต้องขยับเข้ามากระซิบถาม
“มึงเป็นไรอะ”


ถึงผมจะสนิทกับมันมากแค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าคน ๆ นี้ต่างกับรูมเมทของผมราวฟ้ากับนรก ถ้าจะให้บรรยายก็คงเป็นคนที่หยาบจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง ชอบพูดจาโผงผางด้วยภาษาพ่อขุน แต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร เพียงแต่ติดหยาบคายไปหน่อยเท่านั้น


“เปล่า”


เจ้าตัวเบ้ปากใส่ผม
“เปล่าพ่อเปล่าแม่มึงสิ กุเห็นมึงเหม่อตั้งแต่ต้นคาบ บุญหัวที่อาจารย์เพิ่งเริ่มสอนเนื้อหาเลยไม่ลึก หาเรื่องตายจริง ๆ”


สิ่งที่เหมือนกันกับทีนก็คงเห็นเป็นเรื่องขี้บ่นนี่ล่ะมั้ง


“เออ ๆ มึงก็หันไปตั้งใจเรียนสิ ยุ่งจังกับเรื่องกูเนี้ย”


“แหม ยุ่งไม่ได้เลย ความลับเยอะเหลือเกินกับเพื่อนกับฝูงน่ะ”
มันว่าด้วยท่าทางประชดประชันแล้วกลอกตาใส่ผม


“เออ กลอกตาไปเลย กลอกจนกว่าตามึงจะค้างอยู่ข้างบนนั่นล่ะ”
“ไอ้เหี้ย”


“พอ ๆ เลิกเสือกเรื่องกุได้แล้ว เรียน ๆ”
ผมพูดตัดบทให้มันเลิกสนใจเรื่องของผมสักที เจ้าตัวดูไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ต้องยอมเงียบปากเมื่อเพื่อนที่นั่งแถวหน้าหันมาถลึงตาใส่ด้วยความรำคาญ


ผมอมยิ้มน้อย ๆ


ใช่ว่าจะไม่รู้ว่ามันเองก็เป็นห่วงผม ถึงจะขี้บ่นไปนิด ปากเสียไปหน่อย แต่ที่พูดที่บ่นก็เพราะหวังดีทั้งนั้น


ผมกับมันก็อยู่ด้วยกันมาสองปีเต็ม ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยจนถึงตอนนี้ แถมตัวติดกันราวกับปาท่องโก๋ มีเหรอที่อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไง เมื่อก่อนพวกเราก็เป็นรูมเมทกัน จนกระทั่งแม่มันย้ายมาอยู่กรุงเทพ เจ้าตัวถึงได้ย้ายออกจากหอกลับไปอยู่บ้านกับแม่ ผมเลยต้องไปแจ้งเรื่องกับสำนักงานหอแล้วได้ทีนมาเป็นรูมเมทแทนเมื่อต้นเทอมที่ผ่านมา


ถ้าจะให้พูด ความหยาบคายในตัวผมก็มาจากมันนี่ล่ะ พอมาอยู่กับทีนเลยพอจะเรียกความสุภาพเรียบร้อยในตัวคืนมาได้บ้าง
หลังจากเลิกเรียนเจ้าตัวก็รีบกระโดดเข้ามาคว้าคอผม
“กุรู้นะ มึงมีเรื่องปิดบังกูอยู่ใช่ไหม”


ผมทำสีหน้าระอา
“ให้กุมีเรื่องส่วนตัวบ้างได้ไหม”


“ไม่ได้ กูเป็นเพื่อนมึง เรื่องของมึงก็เหมือนเรื่องของกู”


ผมยิ้มแล้วตบบ่ามันเบา ๆ
“ขอบใจ”


ไม้หยุดมองหน้าผมอยู่อึดใจก่อนจะตอบกลับ
“มีอะไรบอกกูได้นะเว้ย ถึงกูจะช่วยไม่ได้ แต่กูก็ไม่ทิ้งมึงหรอก”


“เออ รู้แล้ว ถ้ากูมีปัญหาหนักอกจนทนไม่ไหว กูจะบอกมึงคนแรกเลยดีไหม”


พอผมพูดจบ อีกฝ่ายก็ยิ้มกว้างก่อนจะคว้าคอผมเดินไปโรงอาหารอย่างอารมณ์ดี


ผีเข้าผีออกชะมัด


แต่เอาเถอะ เพื่อนแท้แบบนี้มันจะหาได้สักกี่คน สู้รักษาไว้ หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องยอม ๆ กันไป ยังไงเสียมันก็ไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่ไม่ต้องอาศัยความอดทนหรอก


ผมอมยิ้มบาง ๆ แล้วยอมเฮฮาไปกับอีกคนในที่สุด


ไม้เป็นคนเพื่อนเยอะ แม้อารมณ์จะผีเข้าผีออกไปหน่อย แต่ก็เป็นคนใจกว้าง รักใครชอบใครก็เทใจให้หมดจนโดนผู้หญิงปอกลอกมานักต่อนัก คิด ๆ ไปแล้วก็สงสารมันไม่หน่อย แต่ก็อย่างที่มีคนว่าไว้ ใจไม่ได้แลกใจเสมอไป เราจริงใจต่อเขาก็ใช่ว่าเขาจะจริงใจต่อเราเสียทุกคน


‘แต่พี่มีความรักให้น้องโดยบริสุทธิ์ใจเสมอมา’


ผมหันขวับไปมองรอบตัวอย่างตระหนก


เสียงนั้นอีกแล้ว


มันเป็นเสียงกระซิบที่อ่อนหวานเจือความอ่อนโยนนุ่มลึก แต่ใครจะทำใจไม่กลัวเสียงที่ได้ยินโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้ได้กัน ต่อให้ไพเราะแค่ไหนก็ทำใจชอบไม่ลง


“มึง...โอเคไหม”


สีหน้าของผมคงแสดงความตระหนกออกไปชัดเสียจนคนที่นั่งตรงข้ามต้องเอ่ยปากถาม
“กูว่ากูได้ยินคนพูดอะไรแปลก ๆ”


มันขมวดคิ้ว
“พูดอะไรวะ”
“ก็พูดอะไรแบบเลี่ยน ๆ หวาน ๆ น่ะ”
“มึงเพ้อปะ คนตั้งเยอะตั้งแยะ ถ้าจะมีใครจีบกันในโรงอาหารมันก็ไม่แปลกปะ”


ผมตั้งท่าจะเถียงแต่ก็เลือกที่จะเงียบลงแล้วคิดตาม


โรงอาหารตอนนี้มีคนตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่มีทางที่เสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบนั้นจะส่งมาถึงหูผมโดยไม่เห็นตัวคนพูดได้แน่ ๆ
ผมกังวล แต่ไม่อยากให้ใครมากังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของผม


“เออ สงสัยกูคงหูฝาดมั้ง”
ไม้พยักหน้าอย่างไม่ติดใจแล้วก้มลงจัดการอาหารเที่ยงของตนต่อ


ผมพยายามสงบใจและทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในหัวใจจะมีแต่ความตระหนกและหวาดกลัว


ใครจะไม่กลัวเสียงที่ตัวเองได้ยินคนเดียวเล่า


ขอร้องล่ะคุณผี อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย สัญญาว่าจะทำบุญให้


‘เขาว่ากันว่าหากได้ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน เกิดชาติภพหน้าจะได้มาพบพานกันอีกครา น้องมาตักบาตรกับพี่แบบนี้ เห็นทีว่าต้องเป็นคู่กันไปทุกภพชาติเสียแล้วกระมัง’


อีกแล้ว ได้ยินอีกแล้ว


“มอส มึงโอเคไหมวะ หน้าซีดเชียว”


‘นกการเวก ว่ากันว่าเป็นปักษาสวรรค์ ใครที่ได้ยินเสียงนกการเวกเป็นอันต้องตกบ่วงมนตราหยุดฟังไปเสียทุกครา สงสัยว่าพี่เองก็จะตกบ่วงมนตรานกการเวกตนนี้เสียแล้วกระมัง’


ไม่เอาแล้ว ไม่อยากได้ยินอีกแล้ว


“มอส ๆ มึงได้ยินกุไหม”


ไม่เอา ไม่เอาแล้ว


“มอส!”


เสียงตะโกนเรียกทำให้ผมหลุดจากภวังค์แล้วพบว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าของสายตาทุกคู่ในโรงอาหาร
“มึงโอเคไหมเนี่ย หน้าซีดเหมือนจะเป็นลม”



ผมนิ่งอึ้งไปอึดใจแล้วกวาดตามองรอบ ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับพลางก้มหน้าต่ำลงด้วยอายสายตานับร้อยคู่ที่จ้องมองมา
เมื่อทุกคนเห็นว่าเหตุการณ์สงบดีจึงเริ่มแยกย้ายกันไปดำเนินกิจวัตรของตัวเองต่อ ทำให้ผมหายใจคล่องคอขึ้นมาหน่อย



“มอส มึงเป็นอะไรน่ะ กูว่ามึงไปหาหมอหน่อยเถอะ”
ท่าทางกังวลของคนตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกผิดจนต้องรีบเบี่ยงประเด็น
“กูแค่นอนน้อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“กูว่าแล้วว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ มึงนี่นะ อย่าให้กูต้องด่า”


ผมพยักหน้ารับตามน้ำ
“เออ ๆ เดี๋ยวกูกลับไปคืนนี้จะนอนตั้งแต่สามทุ่มเลย”
ผมบอกปัดพร้อมกับต้องฟังคำบ่นยาวเหยียดจากอีกคน



แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับผมไปหมาด ๆ



เสียงนั่นคืออะไรกันแน่ สำคัญที่สุดคือมันชักจะหนักข้อขึ้นทุกวัน เห็นทีว่าผมคงต้องไปทำบุญอย่างจริงจังสักที

หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 2 [100%] (16/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 16-10-2017 18:14:30
บทที่ 2 บุปผชาติ ครึ่งหลัง





“หืม มอสเนี่ยนะจะตื่นไปวัดตอนเช้า ตื่นไปเรียนให้ทันก่อนดีไหม”
น้ำเสียงประหลาดใจของคนที่กอดตุ๊กตาเน่านั่งเล่นเกมอยู่บนเตียงทำให้ผมหงุดหงิดไม่น้อย ใบหน้าหล่อเหลานั้นทำท่าทะเล้นใส่ผมอย่างดูถูกดูแคลนก่อนจะก้มลงไปเล่นเกมตามเดิม



ก็ยอมรับว่าไม่ใช่คนชอบตื่นเช้า แต่ก็ใช่ว่าจะตื่นไม่ได้เสียหน่อย



“นี่ คนจะไปทำบุญทำทานเขาไม่ให้ขัดรู้ไหม”
“ครับ ๆ แล้วจู่ ๆ นึกอะไรถึงไปทำล่ะ”



คราวนี้เป็นผมเองที่ต้องเงียบแล้วหลบตา



ขืนบอกไปว่าผมได้ยินเสียงประหลาดนี้คนเดียว เขาคงไม่เป็นอันอยู่หอแน่ ๆ



 “ก็...เราโดนโจรจี้ใช่ไหมล่ะ ก็เลยว่าซวยจัง ก็เลยจะไปทำบุญล้างซวยน่ะ”
“อ๋อ เออ ไปสิ  แล้วจะไปวัดไหนล่ะ”



โชคดีที่คนฟังไม่ได้จดจ่ออยู่กับคำตอบของผม เพราะมัวแต่เล่นเกมอย่างเอาจริงเอาจัง เขาเลยไม่มีท่าทีสงสัยกับการที่จู่ ๆ ผมก็เงียบไป



“ไม่รู้สิ ปกติทีนไปวัดไหนล่ะ”
“อืม ถ้าปกติก็ไปวัดใกล้ ๆ มหาลัยนี่แหละ แต่ถ้าวัดหยุดก็ไปวัดระฆังบ้าง วัดสุทัศน์บ้าง วัดแจ้งก็ไปนะ แล้วแต่ว่ามีงานสอนพิเศษแถวไหนอะ โอ๊ย ป้อม ตีป้อมมัน บวก ๆ”



โอเค เจ้าตัวไม่ได้โฟกัสที่ผมแล้วล่ะ



เอาเข้าจริง ผมก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้เองว่าเขาเป็นคนชอบเข้าวัดทำบุญมากถึงมากที่สุด ถ้าไม่บังเอิญเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วเห็นถังสังฆทานวางอยู่บนโต๊ะก็คงไม่มีวันรู้เลยว่าจริง ๆ แล้วเพื่อนร่วมห้องคนนี้เป็นคนละมุนมากแค่ไหน



ทั้ง ๆ ที่นิสัยแบบนี้มันช่างน่าหลงใหล แต่น่าแปลกที่ผมไม่ได้คิดกับเขาในแง่นั้นเขาสักนิด ถึงเจ้าตัวจะหล่อและหุ่นดีมาก ๆ ก็เถอะ



จะว่าไปผมก็ไม่ได้ชอบใครในแง่นั้นมานานโขแล้ว สงสัยจะตายด้านเสียแล้วล่ะมั้ง



บ้าจริง ดันเผลอคิดอะไรประหลาด ๆ ไปได้



“งั้นทีนพาเราไปแล้วกัน วัดไหนก็ได้ วันเสาร์นี้เลยได้ไหม”
“วันเสาร์เหรอ โอ๊ย แปปนะ ดันป้อมดิ ทำไรอยู่ได้ เก็บแครี่มันก่อนสิ”



โอเค สรุปว่าวันเสาร์ผมต้องไปเก็บแครี่สินะ



ใช่ที่ไหนล่ะโว้ย!



เมื่อเห็นว่าจิตใจของเจ้าตัวไม่ได้อยู่กับบทสนทนาเลยสักนิด ผมจึงหันกลับไปทำรายงานของตัวเองเพื่อรอให้อีกฝ่ายจบเกมเสียก่อน และไม่น่าเกินรอ ผมก็ได้ยินเสียงโอดครวญ...



“โอ๊ย เล่นอะไรกันน่ะ โคตรเซ็งเลย”



มันแพ้แน่นอน แต่เราจะไม่ตอกย้ำเพื่อนครับ
“อ่อนจังเลย”
“เงียบไปเลยนะมอส”
เขาตอบผมด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก พลางทำท่าจะกดเริ่มเกมใหม่



เอาแล้ว ไฟติดแล้วนั่น



“เดี๋ยว ๆ ตอบเราก่อนว่าวันเสาร์นี้ไปได้ไหม แล้วจะไปวัดไหน”
“ไปได้ ๆ ไปวัดระฆังละกัน ลุงเราบวชอยู่วัดนั้นอะ พอไปวัดเสร็จเราจะได้ไปสอนพิเศษที่แถวท่าพระจันทร์เลย”



หลังจากตอบผมอย่างขอไปทีเสร็จ เจ้าตัวก็ไปตั้งหน้าตั้งตากับเกมในมือต่อจนผมต้องอมยิ้มอย่างระอาใจ



เด็กติดเกมในมือถือนี่มันช่างอ่อนจริง ๆ เลยน้า



แล้วผมก็หันไปเปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะคลิ๊กไอคอนสีน้ำเงินที่คุ้นเคย ก่อนจะกดหาชื่อแชทที่มักจะอยู่บนสุดเสมอ
‘มึงตีดอทไหม’



ผมยังไม่ทันจะได้ละมือจากคีย์บอร์ด เสียงแชทตอบกลับก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว
‘มึงชวนเหมือนพรุ่งนี้ไม่มีควิซเลยเนอะ’



ผมนึกหน้าเจ้าตัวออกแทบจะทันที ไอ้ไม้คงกำลังทำหน้าเบ้ไปเบ้มาด่าผมรัว ๆ แน่ ๆ



แต่ใครสนล่ะ



‘บ่นมาก จะตีไม่ตี’
‘มึงอะบ่นมาก กูเข้าแล้วเนี่ย’



แหม ไอ้คนปากว่าตาขยิบ



ผมก่นด่าเพื่อนตัวดีอยู่ในใจแต่ใบหน้ากลับอมยิ้มบาง ๆ แล้วปรายตาไปมองคนที่นั่งอยู่บนเตียงด้านหลังที่ไม่ได้สนใจผมแม้แต่น้อย แต่เดี๋ยวก็ต้องหันมาสนใจ



เทพมอสจะโชว์ให้ดูว่านี่ต่างหากวิถีของเกมเมอร์ตัวจริง
หนทางยังอีกยาวไกลนะน้องทีน



“เออมอส”
เสียงเรียกจากอีกคนทำให้ผมต้องละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ไปมอง ตัวคนพูดไม่ได้กำลังสนใจผมสักนิดแต่ก็ยังพยายามจะพูด



“เราว่าจะบอกมอสตั้งแต่เย็นละ แต่ลืมอะ”



ผมขมวดคิ้ว
“เรื่องอะไรเหรอ”
“เมื่อเย็น เราไปส่งเพื่อนซ้อมดนตรีไทยที่เรือนไทยกลางน้ำด้านหลังติดกับประตูทางออกของมหาลัยน่ะ เราเจอต้นการเวกด้วยนะ กำลังออกดอกหอมสะพรั่งเชียว”



ผมเบิกตาด้วยความตกใจก่อนจะพยายามระงับสติ
“เราก็เพิ่งรู้ว่าตรงเรือนไทยมีต้นการเวกด้วย มอสก็ไม่บอกเราเลย”



เขาพูดพลางทำหน้างอนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ละสายตาจากเกมในมือ ถ้าเพียงแค่เขาเงยหน้ามามองผมสักนิด เขาก็จะความกังวลผมได้อย่างชัดเจน




“เราก็ไม่รู้ว่ามันมีอยู่นะ ดอกเมื่อเช้าเราก็ไม่ได้เป็นคนเอามา พี่ยามเขาคงไปเก็บมามั้ง เราเห็นมันตกอยู่หน้าป้อมยามน่ะ เลยเก็บขึ้นมา เขาคงชอบกลิ่นมันมั้ง”
“อ๋อ รู้รึเปล่าว่าการเวกหายากมากแล้ว เดี๋ยวนี้เป็นกระดังงาจีนไปเสียหมด ดอกไม้ไทยแท้ ๆ เสียดายเนอะ”



ประโยคหลัง ๆ เหมือนเขาบ่นกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับผม ประกอบกับเสียงแชทที่เด้งเตือนขึ้นมาทำให้ผมต้องละสายตาจากคนบนเตียงไปเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์แทน




ผมกำลังทำตัวตามปกติ ใช้ชีวิตตามปกติ...แต่หัวใจของผมไม่ปกติเลย
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 2 [100%] (16/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 17-10-2017 19:25:39
บทที่ 3 บรรเลง ครึ่งแรก




“เมื่อวันนั้นใครเป็นคนชวน ชวนเองงอแงเองแบบนี้เราจะบ่นแล้วนะมอส”


มันเริ่มแล้วครับ เริ่มบ่นตั้งแต่หัววัน


ยอมรับว่าคนที่ทำตัวมีปัญหามันผมเอง แต่เจ้าตัวก็ต้องรู้สิว่าผมมีปัญหากับการตื่นเช้ามากขนาดไหน แถมเมื่อคืนผมยังออกไปท่องราตรีกับไม้มาทั้งคืน จะให้ตื่นหกโมงเช้าแล้วหน้าตาสดชื่นเหมือนคนเข้านอนสี่ทุ่มอย่างไอ้คนตรงหน้าผมได้ยังไงกันเล่า พอผมบ่นมาก ๆ หน่อยก็หันมาว่าเสียอย่างนั้น


...
โอเค ผิดเอง ยอมรับ


“ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนแม่”
ผมพึมพำด้วยเสียงที่ดังพอจะให้อีกฝ่ายได้ยิน ถึงจะรู้ตัวว่าผิดแต่ผมก็เป็นคนประเภทปากอยู่ไม่สุขอยู่เหมือนกัน สงสัยติดไอ้ไม้มาเยอะ


“มอส!”


“โอเค ยอมรับผิด”


พอเห็นผมยอม คนตรงหน้าก็เลิกทำท่าฮึดฮัดแต่ก็ยังเดินนำไปลิ่ว ๆ อย่างไม่สนใจคนแฮงค์อย่างผมสักนิด



ท่าทางจะโกรธจริง ๆ แล้วนั่น



พอมาคิดดูท่าทางของพวกเราตอนนี้ก็ดูเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันอยู่เหมือนกัน



...
โอ้โห ขนลุก



“ไปวังหลังสองคนครับ”
พอผมเดินตามมาทัน เขาก็จัดการซื้อตั๋วเรือให้เสียเรียบร้อย แม้จะโกรธแต่ก็ยังอุตส่าห์ดันไหล่ให้ผมไปนั่งพักตรงม้านั่ง แน่นอนว่าผมก็ไม่ได้คิดจะขัดศรัทธาเลยยอมหย่อนตัวลงนั่งแล้วพิงหลังไปกับรั้วกั้นก่อนจะหลับตาลง



ปวดหับตุบ ๆ เลยให้ตายสิ



“เขาบอกอีกห้านาทีเรือถึงจะมา”
“อือ”



เขาเงียบไปแล้ว สงสัยจะยังโกรธไม่หาย แต่เอาเถอะ ผมก็ปวดหัวเกินกว่าจะเล่นบทง้องอนตอนนี้



จู่ ๆ สัมผัสของมืออุ่น ๆ ทาบลงบนหน้าผาก แต่ผมก็ปวดหัวและหงุดหงิดเกินกว่าจะลืมตายไปปัดป้อง



“ยังปวดหัวอยู่เหรอ”
“แฮงค์นะเว้ย คนที่ดื่มนมก่อนนอนไม่เข้าใจหรอก”



ผมได้ยินเขาหลุดขำ
“เราบอกแล้วใช่ไหมว่าเมื่อคืนอย่าไป”
“ทำไงได้เล่า ไอ้ไม้มันอกหักนี่นา”



มือใหญ่นั้นเปลี่ยนมาลูบหัวผมเบา ๆ
“อีกแล้วเหรอ”
“อือ โดนสาวบัญชีเท สมน้ำหน้า ดูก็รู้แล้วว่าตั้งใจมาปอกลอก คนอย่างมันน่ะเตือนเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟังเลย”



เขาเงียบไปอีกแล้ว แต่มือนุ่ม ๆ นั่นยังลูบหัวผมอยู่



“แล้วมอสล่ะ เมื่อไหร่จะมีแฟน”
“ถามตัวเองไหมล่ะ”



เขาหัวเราะ
“เรายังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย”




ให้ตายสิ ทำตัวเป็นเด็กน้อยนุ่มนิ่มเกินไปแล้ว



ผมยกยิ้มมุมปากทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา



“เอาแต่เรียน พออยากจะมีมันจะหาไม่ได้เอานะ”
“เราว่าของอย่างนี้ถ้ามันจะมา มันก็คงมาเองล่ะ”



ผมหัวเราะ
“เอาแต่คิดแบบนี้จะขึ้นคานเอานะ”
“ทีมอสยังไม่มีเลย”
“มันไม่เหมือนกันสักหน่อย”




ผมลืมตาแล้วขยับตัวเล็กน้อย ทำให้เขาต้องชักมือที่ลูบหัวผมกลับไป นัยนต์ตาสีดำนั้นจ้องผมเขม็งอย่างคาดคั้นคำอธิบายจนผมอดยิ้มออกมาไม่ได้



“ทีนก็รู้ว่าเราไม่ชอบผู้หญิง คนแบบเราก็ต้องหาคู่ยากกว่าคู่ชายหญิงทั่วไปอยู่แล้ว”



เขาขมวดคิ้ว
“ไม่จริงสักหน่อย”
“เถียงเราขนาดนี้นี่เคยเป็นเกย์รึไง”




เจ้าตัวอ้าปากทำท่าจะเถียงกลับ ถ้าไม่ติดว่าคนขายตั๋วตะโกนเรียกขึ้นเรือเสียก่อน




ร่างสูงนั้นลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก้าวนำลิ่ว ๆ ไปแล้ว เขาคงยังอารมณ์เสียอยู่แน่ เพราะปกติแล้วต้องรอเดินข้างกันเสมอ




เอาเถอะ นาน ๆ ทีทะเลาะกันบ้างก็ดี




ผมอมยิ้มแล้วเดินตามเขาไป แต่เพราะอาการปวดหัวที่ยังไม่หาย ทันทีที่เท้าเหยียบลงบนโปะ ร่างทั้งร่างของผมก็เซเกือบล้ม โชคดีที่อีกคนช่วยดึงแขนเอาไว้ก่อน




“สม ไม่เจียมสังขารนัก”
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะกึงจูงกึ่งลากแขนผมไปที่เรือ



เหมือนแม่จริง ๆ ด้วย



วัดระฆังก็ยังเป็นวัดระฆังอยู่ยังวันยังค่ำ แม้จะไม่มีเทศกาลอะไรเป็นพิเศษแต่ผู้คนก็ยังหลั่งไหลเข้ามาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันไม่ขาดสาย แม้คนจะไม่เยอะเท่าวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ แต่ก็จัดว่าเยอะอยู่ดี



ผมยืนหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดีอยู่ครู่ใหญ่ จนอีกฝ่ายมาลากผมเข้าไปหาพระรูปหนึ่งที่ยืนอยู่บริเวณท่าน้ำ ยังไม่ทันที่พวกผมจะเดินถึงตัวท่าน พระรูปนั้นก็หันมาเห็นเสียก่อน ใบหน้าที่มีริ้วรอยคลี่ยิ้มบาง ๆ แล้วยืนนิ่งรออย่างสงบ




ทีนดึงแขนผมเข้าไปใกล้ ๆ ท่านก่อนจะกระตุกเป็นเชิงให้ผมนั่งลง เลยกลายเป็นว่าพวกเรานั่งอยู่ในท่าเทพบุตรและกำลังพนมมืออยู่ข้างท่าน้ำท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง ๆ




ผมล่ะอยากจะด่าไอ้คนพามาจริง ๆ



 “นมัสการครับหลวงลุง”
“เจริญพรโยมทีน วันนี้พาเพื่อนมาด้วยรึ”



ผมพนมมือนมัสการพระตรงหน้าด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ
ไม่ได้เข้าวัดมานานแค่ไหนแล้วนะ




“นี่มอสครับหลวงลุง เป็นเพื่อนทีนที่มหาวิทยาลัยครับ”
“เจริญพรโยม แล้ววันนี้มาถึงนี่มีอะไรรึเปล่า”




คนตัวสูงคลี่ยิ้มสดใส เขาดูสุภาพเรียบร้อยและร่าเริงกว่าตอนอยู่กับเพื่อนฝูงนิดหน่อย



สงสัยจะเป็นพวกเข้ากับผู้ใหญ่ได้ดี




“ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีเพื่อนผมเขาดวงตกเลยอยากมาทำบุญน่ะครับ ผมก็เลยพามาที่นี่ ว่าจะแวะมาเยี่ยมหลวงลุงด้วยน่ะครับ”



มือเหี่ยวย่นผายไปทางศาลาริมน้ำที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“เอ้า อย่างนั้นก็ไปคุยกันในศาลาเถอะ ตรงนี้มันร้อนเหลือเกิน เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งกันไปก่อน”



ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะครับ



หลวงลุงเดินนำพวกผมเข้าไปในศาลาริมน้ำแล้วจึงบอกให้ทีนพาผมไปไหว้พระ ถวายสังฆทานให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยมานั่งคุย ทันทีที่ได้รับคำสั่งเจ้าตัวก็พาผมเดินทั่ววัดระฆังราวกับเป็นมัคนายกประจำวัด เข้าศาลานู้น ออกศาลานี้ ครั้นกว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็กลายเป็นว่าผมได้เดินชมรอบวัดไปเสียอย่างนั้น




มันก็น่าประทับใจอยู่หรอก ถ้าแดดเมืองไทยไม่ได้ร้อนราวกับไฟนรกขนาดนี้น่ะนะ




หลังจากทำบุญเสร็จ ทีนก็พาผมมานั่งพักใต้ต้นไม้ให้หายร้อน แต่ดูเหมือนจะสายเกินไป




“โอ๊ย ร้อนจนจะเป็นลมแล้วเนี่ย”
ผมเป็นพวกแพ้อากาศร้อนขั้นรุนแรง พูดให้ถูกก็คือจะหัวร้อนได้ง่ายถ้าอยู่ในที่ร้อน ๆ ถ้าให้เดาหน้าของผมตอนนี้คงบูดชนิดที่ว่าบอกบุญก็ไม่รับแล้วแน่ ๆ




พูดง่าย ๆ ก็คือตอนนี้ผมกำลังหงุดหงิดมาก ๆ




“ใจเย็น ๆ สิ ดื่มน้ำก่อน”
ผมตวัดสายตาไปมองคนที่ยืนยิ้มแป้นแล้นพร้อมกับยื่นน้ำให้ผม
“ไม่เอาน้ำเปล่า”



ยอมรับว่าตัวเองกำลังเรื่องมากอย่างไม่มีเหตุผล แต่อย่างที่บอกไปว่าผมกำลังหัวร้อนสุด ๆ ชนิดที่สามารถเดินไปต่อยกับนักเลงหัวไม้ได้สบาย ๆ เพราะฉะนั้นเขาซึ่งลากผมไปนู้นมานี่จนผมหัวเสียก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเหมือนกัน



ผมเห็นเขายืนฉีกยิ้มให้อยู่อย่างนั้น ไม่มีท่าทีรำคาญกับความเอาแต่ใจของผมเลยสักนิด



เป็นคนแปลก ๆ จริง ๆ ด้วย



“ครับ ๆ งั้นรออยู่ตรงนี้แป๊ปนึงนะ”
เขาพูดอย่างนั้นก่อนจะวางผ้าเย็นลงบนหัวผมแล้วเดินจากไป ผมคว้ามันมาเช็ดตามใบหน้าและลำคอที่เหนอะหนะไปด้วยเหงื่อ แม้จะยังหัวร้อนอยู่แต่ก็ต้องยอมรับว่าผ้าเย็นช่วยให้ผมใจเย็นลงเยอะ




คิด ๆ ดูแล้วผมว่าตัวเองก็เป็นคนอารมณ์แปรปรวนอยู่เหมือนกันนะ



พอไม่มีอีกคนอยู่ข้าง ๆ ผมถึงเพิ่งจะสังเกตว่ามุมที่ผมนั่งอยู่นี้ก็สงบอยู่ไม่น้อย ไม่มีผู้คนพลุกพล่านและสายตาอยากรู้อยากเห็นจ้องมองมา



แค่คิดก็สงบแล้ว



ผมสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ ก่อนจะปล่อยออกมาเฮือกใหญ่
ผมกำลังใจเย็นลง



 “มาแล้ว ๆ น้ำมะพร้าวเย็นชื่นใจ”
ยังไม่ทันที่ผมจะปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสงบรอบข้าง ความวุ่นวายก็กลับมาหาผมเสียได้ ภาพคนตัวสูงเดินถือมะพร้าวมามือละลูกมันตลกเป็นบ้า



แต่ผมก็ยังหัวร้อนอยู่ดี




“น้ำมะพร้าวอะไร”
เขาทำหน้างุนงง
“อ้าว ก็ไหนบอกไม่เอาน้ำเปล่าไง”



ผมเบ้หน้าใส่เขา
“แพงล่ะสิ”



จริง ๆ ผมมีประโยคในใจจำพวก ‘เราไม่จ่ายเงินให้หรอกนะ’ อยู่ด้วย แต่ก็ยั้งไว้ทันเพราะคิดว่าคำพูดแบบนั้นมันเห็นแก่ตัวเกินไป
ทั้งงอแงใส่ ทั้งให้เขาไปซื้อน้ำให้แล้วยังจะชักดาบอีก ถ้าทำขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่ไหวแล้วล่ะ



เขาเดินมานั่งข้าง ๆ ผม
“เอาน้า เราเลี้ยง”




คราวนี้กลายเป็นผมเองที่ต้องขมวดคิ้ว
“เลี้ยงทำไม”
อีกฝ่ายยักไหล่
“ไม่รู้สิ”



ให้ตายเถอะไอ้เวรนี่ เข้าใจยากชะมัด
แต่เอาเถอะ...
เพื่อนเสนอเราก็ต้องสนอง ผมตัดสินใจดื่มน้ำมะพร้าวแล้วคิดแค่ว่าจะบังคับจ่ายคืนมันทีหลัง ทันทีที่น้ำมะพร้าวหยดสุดท้ายไหลลงคอไป ผมก็รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง



ดีจริง ๆ เลยน้า




ผมได้ยินเสียงหลุดขำ
“ดูทำหน้าเข้าสิ”
“อะไร”
“เปล่า”



ผมว่าไอ้นี่ชักจะกวนโอ๊ยขึ้นทุกวันจริง ๆ
“แค่จะบอกว่าน่ารักดี”
ผมได้ยินคำสบถอะไรสักอย่างในหัวแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป สิ่งที่ผมทำคือการนั่งเบิกตาโพล่ง มองหน้าคนข้าง ๆ อยู่อย่างนั้น จนเขาหันมามองแล้วยิ้มบาง ๆ
“อะไร”
ผมทำหน้าอึกอักในใจคิดว่าจะถามเขาดีไหม
อย่าดีกว่า ขืนถามออกไปน่ากลัวว่าอะไร ๆ จะไม่เหมือนเดิม
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ความเงียบเข้าปกคลุมรอบตัวพวกเราพร้อม ๆ กับบรรยากาศกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก




ให้ตายสิ ผมไม่รู้เลยว่าต้องทำตัวยังไงต่อ



“ไปหาหลวงลุงกันเถอะ ท่านคอยแย่แล้ว”
จู่ ๆ อีกคนก็โพล่งเปลี่ยนหัวข้อขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
แต่ก็ดีแล้ว....
“อืม ไปสิ”




ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับประคองลูกมะพร้าวในมือไปด้วย แล้วทันใดนั้นผมก็ได้ยินบางอย่างแว่วมากับสายลม



มันแผ่วเบาราวกับลม แต่กลับอ่อนหวานจนชวนให้ใจเต้น



พอเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจจึงได้รู้ว่าเป็นเสียงดนตรีไทย...เสียงดนตรีไทยพร้อมกับเสียงขับร้อง



‘โอ้ละหนอดวงเดือนเอย’



มันเบาจนเกินไปทำให้ผมบอกไม่ได้ว่าคนร้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่เนื้อเพลงที่ได้ยินเป็นเพลงลาวดวงเดือนแน่นอน ใครมาร้องเล่นดนตรีไทยป่านกันนี้




“มอส หาอะไรเหรอ”
“ทีนไม่ได้ยินเสียงดนตรีไทยเหรอ มีคนร้องด้วย”



คนตัวสูงส่ายหน้ารัว
“ไม่นะ”
เขามองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“มอส ไม่แกล้งเราแบบนี้นะ”
ใบหน้าที่เริ่มซีดทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่ได้แกล้ง แต่ผมก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด จึงพยายามจะตั้งใจฟังอีกครั้ง




‘หอมกลิ่นเกสร เกสรดอกไม้’




“หอมกลิ่นคล้ายคล้ายเจ้าสูเรียมเอย”
“มอสพูดอะไรน่ะ!”
คำถามที่ดังจนเกือบเป็นเสียงตะโกนของอีกฝ่ายทำให้ผมหลุดจากภวังค์



นี่ผมเผลอร้องมันออกมาเหรอ



เมื่อเห็นว่าอีกคนหน้าซีดแล้วซีดอีกอย่างน่าสงสาร ผมก็เลยต้องะรีบกลบเกลื่อนเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ตกใจไปมากกว่านี้
“หะ? อ๋อ เราแค่นึกเนื้อเพลงน่ะ พอดีจู่ ๆ ก็นึกถึงเพลงที่พ่อเคยสอนเล่นตอนเด็ก ๆ”




เขามองผมด้วยสีหน้าไม่เชื่อนัก
“แต่มอสบอกว่าได้ยินเสียงดนตรีไทย”



ผมยักไหล่อย่างเป็นธรรมชาติ
“หูฝาดมั้ง นี่ในวัดนะ จะไปมีผีได้ไง หรือว่า...”
ผมแกล้งทอดเสียง
“ทีนกลัวผี”
“เงียบเลยนะมอส ใครเขาให้เอาเรื่องผีสางมาพูดเล่นกัน”
ท่าทางของคนกลัวจนเกินเหตุทำให้ผมหัวเราะร่วน เมื่อเห็นท่าทีของผมอีกฝ่ายเลยวางใจแล้วชวนผมไปพบกับหลวงลุงที่ศาลาท่าน้ำ




ดีแล้ว อย่ารู้เลย





หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 3 [40%] (17/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-10-2017 21:55:55
ชอบบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ใครกันนะ ผู้ชายในอดีตของมอส

อาล่ะสิ ทีน ชมมอสว่าน่ารัก

มอส ทำไมได้ยินเสียงดนตรีอยู่คนเดียว
รอตอนใหม่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 3 [40%] (17/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 18-10-2017 20:00:47
บทที่ 3 บรรเลง [ครึ่งหลัง]





ศาลาท่าน้ำในเวลานี้คึกคักกว่าเมื่อเช้าเล็กน้อย แม้บริเวณรอบ ๆ จะยังดูสงบเงียบ แต่ในศาลารอบตัวหลวงลุงก็มีญาติโยมหลายคนล้อมรอบ ท่าทางพวกเขาคงกำลังนั่งสนทนาธรรมกันอย่างออกรส ส่วนที่ท่าน้ำก็มีคนหลายคนกำลังสนุกสนานกับการให้อาหารปลาจนผมอยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย



ถ้าไม่ติดว่าแดดร้อนน่ะนะ



“อ้าว มากันแล้วเหรอ หายกันไปเสียนานเชียว”
เสียงเรียกทักจากหลวงลุงทำให้ผู้คนในศาลาหันมามองพวกผมก่อนจะหันกลับไปพูดอะไรบางอย่างกับท่านแล้วกราบลาไป เมื่อเห็นว่าศาลาริมน้ำว่างเปล่าแล้ว ทีนจึงค่อย ๆ พาผมเดินเข้าไปแล้วนั่งบนพื้นศาลาแทนที่กลุ่มคนที่เพิ่งจากไป



“ขอโทษครับหลวงลุง พอดีพวกผมเดินกันเสียทั่ววัดเลย ทำให้หลวงลุงต้องคอยเลย”



พระชราคลี่ยิ้ม
“ไม่ได้รอนานขนาดนั้นหรอก นี่ญาติโยมเขาก็เข้ามาสนทนาธรรมด้วย ก็เพลินไปอีกแบบนะ”



ท่านจัดแจงจีวรเล็กน้อยก่อนจะเก็บมือมาประสานไว้ที่หน้าขาเหมือนเดิม หลวงลุงนั่งอยู่บนม้านั่งปูนที่ก่อติดอยู่กับศาลา ในขณะที่พวกผมนั่งอยู่บนพื้น ทำให้การพูดคุยกันต้องเงยหน้าอยู่ตลอดเวลา



เมื่อยคอเหมือนกันแหะ



“แล้วพ่อแม่โยมทีนเป็นยังไงบ้างล่ะ อาตมาไม่ได้ข่าวคราวมาเสียนานเลย”
“พวกท่านสบายดีครับ พี่ธามยังถามหาหลวงลุงอยู่เลยครับ ตอนนี้พี่ธามก็....”



ผมไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่หลวงลุงกับทีนพูดคุยกันมากนัก เพราะยังไงเสียก็เป็นเรื่องในครอบครัวเขา ใส่ใจเกินไปก็ดูเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเกินไป




ถึงจริง ๆ แล้วจะเป็นคนชอบสอดรู้สอดเห็นก็เถอะ




เมื่อระลึกได้ว่าตัวเองไม่ควรไปยุ่งเรื่องครอบครัวเขา ผมเลยกลับมาคิดเรื่องเพลงที่ได้ยินแทน เสียงที่ได้ยินนั้นช่างคุ้นเคย แต่น่าแปลกที่ผมนึกไม่ออกเลยว่าได้ยินมาจากที่ไหน




‘หอมกลิ่นเกสร เกสรดอกไม้’



น่าแปลกที่ผมคิดถึงดอกการเวก



จะมีอะไรเกี่ยวข้องกันไหมนะ



“ถ้างั้นเดี๋ยวเรามานะมอส คุยกับหลวงลุงไปก่อนนะ”
“หะ? แล้วทีนจะไปไหนล่ะ”



เขาแกล้งทำหน้าระอาใส่ผม
“หลวงลุงก็บอกอยู่เมื่อกี้ว่าให้เราไปเอาของให้ที่กุฏิ มัวแต่เหม่อถึงใครล่ะนั่น”
“เงียบแล้วรีบ ๆ ไปเลยไป”
สิ้นเสียงแว้ดของผมเจ้าตัวหัวเราะร่าแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งจากไป ทิ้งให้ผมอยู่กับภิกษุชราในศาลาเพียงสองคน




ไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงเลย ให้ตายสิ




“โยมได้ยินเสียงดนตรีไทยเหรอ”
คำถามที่ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมเผลอเงยหน้าสบตาหลวงลุงอย่างตื่นตะลึง




เขาพูดถึงเรื่องนี้กันตอนไหนล่ะนั่น ไม่ได้ฟังเลยหลุดประเด็นเลยให้ตายสิ



ในขณะที่ผมยังเลิ่กลั่กพระชราก็คลี่ยิ้มบาง
“โยมทีนไม่ได้เล่าอาตมาหรอกโยม อาตมาแค่รับรู้ได้เลยลองถามโยมดู”




นี่มันยิ่งกว่าเล่าให้ฟังอีกครับ



ชิบหายละมอส หรือว่านั่นจะเป็นผีจริง ๆ




“ไม่ต้องตกใจหรอกโยม เราจะรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ได้เมื่อเคยมีเวรมีกรรมต่อกัน”



หลวงลุงจะอะเมซซิ่งไทยแลนด์เกินไปแล้วนะครับ




ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนออกไป คงจะเป็นกึ่ง ๆ งง กึ่ง ๆ ทึ่ง ละมั้ง แต่ช่างเรื่องสีหน้าไปก่อน สิ่งสำคัญคือการถามข้อมูลต่างหาก
“หลวงลุงจะบอกว่าผม...ไปสร้างกรรมกับผีตนนี้เหรอครับ”



พระชราคลี่ยิ้มบาง ๆ
“กรรมแปลว่าการกระทำ การมีจิตผูกพันกันย่อมต้องเคยสร้างกรรมต่อกัน แต่จะเป็นกรรมดีกรรมชั่ว อาตมาก็สุดจะหยั่งรู้”
หลวงลุงที่หยั่งรู้ได้ขนาดนี้ยังไม่รู้ แล้วผมจะเหลืออะไร
“ละ...แล้วเขาจะมาเอาชีวิตผมไหมครับ”




ท่านค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ
“โยมก็ลองนึกดูสิว่าเขามาดีหรือมาร้าย”



ผมนิ่งแล้วคิดตาม
ครั้งแรกก็มีเป็นเสียง ครั้งต่อมาก็ไปหลอกโจรให้ ครั้งที่สามก็มาแค่เสียง แล้วเมื่อกี้ก็มาเป็นเสียงดนตรีไทย




ก็ใช่ว่าจะมาไม่ดี



“คำอธิษฐานนั้นมีพลังมากกว่าที่เราคิดนะโยม”
คำพูดเป็นนัยของพระตรงหน้าทำให้ผมขมวดคิ้ว ครั้นพอจะเอ่ยปากถามก็ถูกดักคอไว้เสียก่อน



“อดีตชาติ อย่างไรเสียก็เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว สิ่งที่เราควรทำคือใช้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคตให้ถูกครรลองคลองธรรมและหมั่นรักษาความดีไว้ให้เป็นสิริมงคลแก่ตัว”
‘พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์’



เสียงนั้นอีกแล้ว



“สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา”
แต่ประโยคสุดท้ายกลับถูกเอ่ยมาจากพระที่นั่งสำรวมอยู่ตรงหน้าผม หลวงลุงยังคงหลับตาประสานมือไว้ที่หน้าขา



แล้วทำไม...



“อย่างที่อาตมาบอกไปนั่นแหละโยม อาตมาหยั่งรู้ถึงผล ซึ่งก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อาตมาก็จนใจจะหยั่งรู้ถึงเหตุของผลเช่นกัน”




ผมก้มหน้าเงียบย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อ




ผมมักจะก้มหน้าเมื่อรู้สึกอึดอัดใจ แต่สถานการณ์ตอนนี้มันห่างไกลกับคำว่าอึดอัดใจอยู่โข ผมเหมือนคนหลงทาง แม้แต่ความรู้สึกของตัวเองยังบอกไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน




แต่บทกลอนเมื่อกี้มันแสนจะคุ้นหู เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน




“กฤษณาสอนน้องคำฉันท์น่ะโยม คงเคยท่องมาบ้างตอนประถมนั่นล่ะ”
ผมสบตาพระภิกษุตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ใจหนึ่งก็กลัว ใจหนึ่งก็อยากให้ท่านช่วย




ผมควรทำยังไงดี




“ทวดของทีนชอบกลอนบทนี้มาก ถึงกับเขียนบรรยายมันลงไปในสมุดบันทึกทีเดียว”



จู่ ๆ ท่านก็เปลี่ยนหัวข้อไปเสียเฉย ๆ




แต่ก็ดี เพราะถ้ายังพูดหัวข้อเดิม ผมคงไม่รู้ว่าควรจะตอบหรือทำตัวยังไงต่อไป




เพราะความไม่เสถียรของอารมณ์ ผมจึงไม่ได้ตอบอะไรออกไป ทำเพียงแค่รับฟังเสียงนุ่มนวลนั้นกล่าวต่อไป



“อาตมาคิดว่าถ้าสมุดบันทึกเล่มนั้นอยู่กับโยม มันคงมีประโยชน์มากกว่าอยู่กับอาตมานะ”
ผมเงยหน้าขวับ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงพระภิกษุชราที่คลี่ยิ้มให้ด้วยอากัปกิริยาสงบนิ่ง ความเงียบสงบทอดตัวเข้าปกคลุมศาลาริมหน้าอยู่ครู่ใหญ่ จนคนที่หายไปกลับมา




“กว่าผมจะหาเจอก็ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่เลยล่ะครับหลวงลุง”




ดวงตาของผมหลุบลงโดยอัตโนมัติแต่ก็ยังแอบมองด้วยหางตาจนพบว่าของที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายเป็นสมุดปกหนังเล่มไม่เล็กไม่ใหญ่




หรือจะเป็นสมุดบันทึกที่หลวงลุงพูดถึงกันนะ




แล้วมันเรื่องอะไรของแกเล่ามอส



ในขณะที่ผมกำลังทะเลาะกับตัวเอง น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ
“ขอบใจนะโยมทีน อาตมาวานอีกอย่างได้ไหม”
“ได้สิครับหลวงลุง”



ท่าทางร่าเริงเหมือนสุนัขเจอเจ้านายนั้นทำให้ผมเผลออมยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป




“ช่วยเอาหนังสือสวดมนตร์นี่ไปให้พระวิษณุตรงศาลาการเปรียญตรงนู้นหน่อยได้ไหม”
ผมเห็นเขาพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นก่อนจะเดินไปทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างกระฉับกระเฉง
“เป็นหลานที่ดีนะ เด็กคนนั้นน่ะ”




ผมพยักหน้าเห็นด้วย
“ครับ เขาเป็นเพื่อนที่ดี”




ผมสบตาพระตรงหน้าแล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้อย่างไม่รู้จะพูดอะไร ทุกอย่างมันประดังประเดเข้ามาจนผมสับสนไปหมด ในศาลามีแต่ความเงียบจนกระทั่งมือเหี่ยวย่นนั่นยื่นสมุดปกหนังมาตรงหน้าผม
“รับไปสิโยม อาตมาให้”




ผมไม่ได้เอื้อมมือไปรับในทันที มือสองข้างของผมกำแน่นอยู่บนตัก
“ไม่ใช่ของน่ากลัวอะไรหรอก เป็นเพียงสมุดบันทึกเล่มหนึ่งเท่านั้นเอง”




ผมรับรู้ได้ถึงการปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน
“สิ่งที่เป็นของเราสักวันมันก็ต้องกลับมาเป็นของเราอยู่ดีนะโยม”




คราวนี้ผมจ้องเข้าไปในดวงตาฝ้าฟางคู่นั้นนิ่ง นั่งสบตากันอยู่ชั่วครู่




แล้วผมก็รับมันมา
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 3 [100%] (18/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-10-2017 22:28:57
อยากรู้ๆๆ .......บันทึกเรื่องอะไร  :z3: :z3: :z3:

พระท่านเก่งมาก รู้หมดเลยทั้งเรื่องดนตรีไทยด้วย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:     
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 3 [100%] (18/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 19-10-2017 18:39:43
บทที่ 4 บทเพลงสวรรค์ [ครึ่งแรก]



หลังจากที่ผมรับสมุดบันทึกเล่มนั้นมาก็ผ่านมาร่วมอาทิตย์แล้ว ทีนยังคงใช้ชีวิตอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตามปกติ ตัวผมเองก็ใช้ชีวิตตามปกติ




ถ้าไม่นับว่าต้องมานั่งอ่านสมุดบันทึกของใครก็ไม่รู้อยู่ทุกวันน่ะนะ




ไม่สิ ผมเพิ่งเริ่มอ่านมันเมื่อสองวันที่แล้วนี้เอง เพราะเอาเข้าจริง ใจผมก็ขยาด ๆ หลวงลุงอยู่ไม่น้อย ท่านดูหยั่งรู้จนน่ากลัวจะเป็นคนมีของหรืออะไรเทือก ๆ นั้น กว่าผมจะกล้าเอามันมาอ่านเวลาก็ล่วงเลยไปร่วมอาทิตย์แล้วนั่นล่ะ ใจจริงผมก็ตั้งใจจะอ่านทั้งเล่มให้จบภายในวันเดียว แต่ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่ผมอ่านบันทึกของหนึ่งวันจบก็จะต้องมีอะไรมาขัดจังหวะจนไม่ได้อ่านต่ออยู่ร่ำไป





น่ารำคาญเป็นบ้า





วันนี้ก็เหมือนเดิม หลังจากเรียนเสร็จผมก็รีบบึ่งกลับหอจนโดนไอ้ไม้โกรธเอายกใหญ่ หาว่าผมเปลี่ยนไปบ้าง ทิ้งเพื่อนบ้าง นา ๆ คำบ่นด่าเท่าที่มันจะคิดได้ แต่ผมรู้จักมันดี...




ไว้พรุ่งนี้เลี้ยงกาแฟมันสักแก้วก็คร้านจะมาคืนดีด้วยแล้ว




กระเป๋าเป้สีเข้มถูกโยนลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี ถ้าเพื่อนร่วมห้องของผมอยู่ด้วยรับรองเลยว่าจะต้องได้ยินคำบ่นรัวชนิดนักร้องแร๊พต้องอายแน่นอน




แต่เขาไม่อยู่ เพราะฉะนั้นทางสะดวก




ที่ว่าทางสะดวกก็เพราะผมต้องแอบเจ้าตัวอ่านนั่นล่ะ การที่หลวงลุงให้อีกฝ่ายออกไปที่อื่นระหว่างที่เอาสมุดบันทึกให้ผมก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าท่านเองก็ไม่ได้อยากให้ทีนมารับรู้เรื่องนี้ด้วย



ผมเองก็ไม่อยากเหมือนกัน




เพราะอย่างนั้นเลยทำได้แค่แอบเอามาอ่านตอนเจ้าตัวไม่อยู่ห้องหรือหลับไปแล้ว ไม่ก็ต้องเอาไปอ่านตามร้านกาแฟ




อนาถแท้ ๆ




ผมปรามาสตัวเองขำ ๆ พลางพลิกเปิดหน้าสมุดบันทึก




สองหน้าที่อ่านไปแล้วไม่มีอะไรมากนัก มันเป็นเพียงการบอกเล่าถึงดินฟ้าอากาศสั้น ๆ ที่ไม่ได้น่าสนใจมากนัก แต่สิ่งที่สำคัญคือวันที่ที่ถูกเขียนไว้ท้ายกระดาษเมื่อจบบันทึก




บันทึกหน้าแรกถูกบันทึกไว้เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2460




เกือบร้อยปีที่แล้วทีเดียว




แต่ถึงจะมีอายุมากขนาดนั้น แต่สภาพของมันกลับดีเกินคาด แม้กระดาษจะเหลืองไม่น่ามอง แต่โดยรวมก็นับว่าอยู่ในสภาพที่ดี ไม่มีส่วนที่เคยเปียกชื้นหรือฉีกขาด แสดงให้เห็นว่าคนเก็บรักษาต้องถนอมมันไว้อย่างดี



มันคงเป็นสิ่งล้ำค่าไม่น้อย ทำไมถึงยกให้ผมง่าย ๆ แบบนี้กันนะ




ช่างเถอะ




ผมกวาดสายตาอ่านบันทึกวันที่สาม มันมีจำนวนบรรทัดมากกว่าสองวันแรกอยู่มาก ผมจึงค่อย ๆ กรีดหน้ากระดาษเพื่อดูคร่าว ๆ ทั้งสมุดจึงได้รู้ว่าบันทึกสองหน้าที่ผ่านมาถูกเขียนเอาไว้เพียงครึ่งหน้า แต่ตั้งแต่หน้าที่สามเป็นต้นไปกลับถูกเขียนไว้เต็มทุกหน้า บางหน้าก็มีลักษณะเป็นกลอนสั้น ๆ




ทำไมจู่ ๆ ถึงเขียนเยอะขึ้นมากันนะ




ผมเริ่มอ่านบันทึกหน้าที่สามอย่างตั้งใจ



วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส เราตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ทันได้ยินเสียงไก่ขันจากเรือนของพวกบ่าว วันนี้เป็นวันหยุด เราเลยได้อยู่บ้านกับคุณแม่ ท่านป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายคราแล้ว แต่ครานี้หนักกว่าเก่า คุณพ่อจึงออกไปตามหมอฝาหรั่งมาตั้งแต่เช้า พอเข้าช่วงสายท่านเจ้าคุณเปรื่องและภริยาของท่านก็มาถึง คุณลุงอุตส่าห์เข้าพระนครมาเพื่อถามไถ่อาการของคุณแม่ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก เพราะเห็นว่าคนอยู่กันเต็มบ้านเราจึงขอคุณพ่อออกไปทำธุระข้างนอกเสียหน่อย ใจหมายว่าจะไปซื้ออาหารโปรดของคุณแม่มาให้ท่านรับประทาน เผื่อจะได้มีกำลังวังชาขึ้นบ้าง ครั้นพอไปถึงตลาด ร้านขนมครกเจ้าโปรดของคุณแม่ก็เก็บเสียแล้ว เจ้าของร้านแถวนั้นจึงแนะนำให้เดินต่อไปอีกหน่อย เขาบอกว่าด้านในมีบ้านคนจีนทำขนมครกไทยอร่อยนัก อีกทั้งยังมีขนมมากมายให้เลือกซื้อหา เราไม่ใครเชื่อนักว่าคนจีนจะทำอาหารไทยได้อร่อยสู้คนไทยได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์เดินเข้าไปดู เมื่อไปถึงเถ้าแก่ก็เชื้อเชิญให้ลองชิมขนม เมื่อได้กัดเข้าไปคำแรกจึงได้รู้ว่าอร่อยสมคำร่ำลือ เป็นเราเสียเองที่รู้สึกผิดเพราะไปปรามาสเขาไว้แต่แรก ดังนั้นจึงอุดหนุนเขามาเสียเยอะแยะ พวกบ่าวเดินถือกลับบ้านกันพะรุงพะรัง คุณแม่ คุณพ่อ รวมไปถึงคุณลุงและภรรยาก็ดูจะถูกใจกับรสชาติกันยกใหญ่ เห็นทีว่าเราต้องเปลี่ยนเจ้าประจำเสียแล้วกระมัง


วันที่ ๒๓ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖o



ผมไล้มือผ่านตัวอักษรเหล่านั้นอย่างลืมตัว



ความรู้สึกบางอย่างพวยพุ่งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด




ผมกำลังโหยหา...




โหยหาอะไรบางอย่างจากก้นบึ้งของหัวใจ ลายมือที่อยู่บนแผ่นกระดาษนี้จัดว่าสวยมาก แต่บางอย่างในใจของผมกำลังร่ำร้อง





คิดถึง...




คิดถึงเหลือเกิน...




กว่าจะรู้ตัว หยดน้ำใสก็ไหลลงกระทบหลังมือเสียแล้ว ผมรีบปาดน้ำตาแล้วเก็บสมุดบันทึกไว้ในลิ้นชักตามเดิมด้วยหัวใจที่ตื่นตระหนก





เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่




เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นทำให้ผมหันไปมองก่อนจะรีบหันกลับมาแล้วแสร้งทำเป็นอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น





“อ้าวมอส ทำไมช่วงนี้กลับเร็วจัง”
“อ๋อ พอดีมีควิซน่ะ ก็เลยรีบกลับมาอ่านหนังสือ คะแนนเราไม่ค่อยดีน่ะ”
ผมตอบส่ง ๆ โดยไม่คิดจะหันไปมองหน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ติดใจอะไร ทีนเดินไปวางของบนโต๊ะก่อนจะเข้าไปอาบน้ำตามปกติ




ทันทีที่ประตูห้องน้ำปิดลง ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก




ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังเผชิญคืออะไรกันแน่ แต่ผมจะไม่ยอมให้ใครต้องมาทุกข์ใจกับเรื่องของผมแน่





ทีนต้องไม่รู้เรื่องนี้....



หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 4 [50%] (19/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 19-10-2017 20:08:21
หลอนและเศร้าในคราวเดียวกัน :hao5:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 4 [50%] (19/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 19-10-2017 20:56:55
รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 4 [50%] (19/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 20-10-2017 12:39:13
 :jul1: ติดตามน่าสนุก
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 4 [50%] (19/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 20-10-2017 20:04:33
บทที่ 4 บทเพลงสวรรค์ [ครึ่งหลัง]




“มอส กุถามจริง ๆ นะ ช่วงนี้มึงเป็นอะไร”



คำถามที่ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจากคนที่นั่งข้าง ๆ ทำให้ผมหน้าเหวอ คงเพราะผมเงียบนานเกินไป มันเลยเริ่มตัดพ้ออีกยก
“มึงเปลี่ยนไปอะ ตั้งแต่มึงไปวัดกับไอ้ทีน มึงก็ทิ้งหัวกุเลยนะ ใช่ซี้ ของเก่าอย่างกุมันไม่สำคัญนี่ กุน่ะนะ โอ๊ย! ทำอะไรของมึงเนี่ย!”



ตบกะโหลกครับ




“มึงนั่นแหละเป็นอะไร ตัดพ้อยังกับเป็นเมียกุอย่างไงอย่างงั้น”
“อี๋ ขนลุก”




มันพูดพลางลูบแขนแน่น ๆ ของมันไปพลาง





บางทีผมก็สงสัยว่ามันจะเล่นกล้ามไปประกวดเพาะกายรึไง แขนใหญ่เท่ายักษ์แล้วนั่น





ผมแสร้งทำหน้าเหยียดใส่มัน
“มึงรังเกียจเกย์รึไง อี๋ พวกไดโนเสาร์”
“กุไม่ได้รังเกียจเกย์ กุรังเกียจมึงอะ อี๋ ไอ้มอส”




มันทำท่าทางเลียนแบบผมได้เหมือนไม่มีผิดเพี้ยน




โคตรจะเกลียดมันเลย ให้ตายสิ




ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ผมก็หัวเราะร่าออกมาอย่างอารมณ์ดี พอ ๆ กับที่มันเองก็ฉีกยิ้มกว้างแล้วคว้าคอผมไปกอด
“ในฐานะที่มึงทำให้กุงอน คืนนี้มึงต้องไปแดกเหล้ากับกุ”
“ไม่เอาอะ พรุ่งนี้กุมีเรียนเช้า”




มันมองผมหน้ามุ่ยแล้วเริ่มตัดพ้ออีกครั้ง
“มึงเปลี่ยนไปอะมอส มึงเปลี่ยนไป”





ถ้ามันไม่กลัวว่าจะเสียลุคหนุ่มนักกีฬามาดแมนไป ผมว่าป่านนี้มันคงลงไปนอนดิ้นเร่า ๆ กับพื้นแล้วแน่ ๆ




คิดแล้วก็ตลก




ดูเหมือนเสียงหัวเราะของผมจะยิ่งขัดใจมันมากกว่าเดิม
“มอสมึงอะ กูอุตส่าห์จะแนะนำน้องหยกแฟนใหม่กูให้รู้จักเลยนะเว้ย จะให้มึงช่วยดูไง”





ผมแค่นหัวเราะในคอ




“เวลากูเตือนมึงฟังกูด้วยเหรอ”
“มอสอ่า”
“เงียบ ๆ จารย์เข้าแล้วนู้น”
พอหันไปเห็นอาจารย์ที่กำลังเดินเข้ามาในห้องมันจึงยอมเงียบในที่สุด แต่ท่าทางฟึดฟัด หยิบจับของกระแทกโต๊ะแรง ๆ กับใบหน้าที่งอเหมือนกุ้งต้มนั้นทำให้ผมต้องยอมใจอ่อน
“เออ เดี๋ยวคืนนี้กูไปด้วยก็ได้”





สิ้นคำพูดผมมันก็หันมามองหน้าด้วยสีหน้าดีอกดีใจจนน่าหมั่นไส้ ผมเลยผลักหัวมันไปทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้แล้วหันไปตั้งใจเรียนตามเดิม




ออกไปทำอะไรอย่างอื่นบ้างก็ดีเหมือนกัน




เลิกคิดเรื่องนั้นเสียบ้างก็ดีเหมือนกัน...




‘สุราใช่ว่าจะเป็นของดี ไยจึงชอบดื่มเข้าไปนัก’




ผมอมยิ้มบาง ๆ แล้วตั้งใจเรียนต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น




เสียงที่เคยประหลาดกลับสิ่งที่ผมคุ้นชินไปเสียแล้ว กลายเป็นว่าวันไหนที่ไม่ได้ยินเสียงนี้ก็จะรู้สึกโหวง ๆ ในอกไปเสียอย่างนั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันกลับเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่น่าเกิด




คิดถึง...
ทำไมกันนะ
ทำไมผมถึงคิดถึงเสียง ๆ นี้เหลือเกิน







กลิ่นบุหรี่ที่ลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วไปในอากาศประกอบกับเสียงดนตรีนุ่ม ๆ ที่ดังมาจากลำโพงข้างเวทีช่วยส่งให้ผมอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก น้ำสีอำพันตรงหน้าก็รสชาติดีกว่าทุกคืนที่ผ่านมา แม้ว่าตรงหน้าผมจะเป็นคู่รักที่กำลังกระหนุงกระหนิงกันจนรกหูรกตาก็เถอะ





สงสัยผมคงจะได้ผ่อนคลายหลังผ่านเรื่องเครียด ๆ มามากล่ะมั้ง




แต่น่ากลัวว่าจะมามีเรื่องเครียดใหม่ตรงนี้นี่แหละ




“ม๊าเคยเรียนวิชาการตลาดไหมอะ ป๊าว่าจะลงเทอมหน้า ไม่รู้จะทำได้ดีรึเปล่า”
 “ม๊าว่าก็ไม่ค่อยยากนะป๊า แต่ต้องขยันทำโจทย์หน่อยอะ”
“ก็ม๊าของป๊าเก่งจะตาย จะไปยากได้ยังไงล่ะ”





พอพูดจบไอ้คนร่างหมีก็ขยับเข้าไปหยิกแก้มแฟนสาวของมันต่อหน้าต่อตาคนโสดอย่างผม ในขณะที่น้องผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ




รำคาญตาจริง ๆ เว้ย




‘ไยต้องไปจับมือกับเขา เห็นแล้วรำคาญตานัก’




นั่น ขนาดผียังรำคาญไปด้วยเลย



ผมหัวเราะเบา ๆ  ใช่จะไม่รู้ว่าเสียงที่ได้ยินไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตรงหน้าสักนิด แต่เพราะมันมาได้จังหวะเลยเข้ากันได้พอดิบพอดี





“มอส เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำแป๊ป ดูแลน้องหยกกูดี ๆ นะเว้ย”
ผมโบกมือไล่ส่ง ๆ อย่างรำคาญ





น้ำเสียงที่เริ่มอ้อแอ้ทำให้ผมรู้ว่ามันเริ่มเมาแล้ว อีกไม่นานก็คงล้มลงไปนอนเหมือนหมาข้างถนน ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ก็มันดันทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่มจะเลี้ยงน้องเขาให้ได้ เลยสั่งเหล้าแพง ๆ มาให้น้องดื่มตั้งแต่มาถึง พอเหล้ามาถึงโต๊ะมันก็กระดกเอา ๆ ราวกับจะโชว์ความป๋าให้น้องเห็น





สมน้ำหน้ามันล่ะ





“พี่มอสจะเติมมิกเซอร์ไหมคะ”
น้ำเสียงหวาน ๆ หันมาพูดกับผม





“ไม่ล่ะ ขอบใจนะ”
ผมบอกปัดไปอย่างสุภาพ





น้องส่งยิ้มให้ผมบาง ๆ แล้วก้มลงหยิบของจากกระเป๋าที่วางไว้ตรงขาโต๊ะ ด้วยชุดของน้องที่มันวาบหวิวทั้งบนทั้งล่าง พอก้มลงแบบนั้นเลยการโชว์หนองโพให้ผมดูเสียเต็มตา





แม้ท่าทางจะดูเป็นธรรมชาติแต่ดูจากสภาพของเธอแล้ว ผมว่าคงจงใจให้มองเสียมากกว่า




ผมหลบตาแล้วเอื้อมมือไปตักกับแกล้มแต่ก็ไม่วายที่น้องเขาก็เอามือมาป้วนเปี้ยนแถวมือผมอีก




นี่ไอ้ไม้มันเลือกผู้หญิงเป็นจริง ๆ ใช่ไหม




ผมชักมือกลับอย่างสุภาพและคิดว่าตัวเองก็แสดงออกชัดแล้วว่าไม่ได้สนใจในตัวน้องเขา แต่ดูเหมือนเธอจะยังไม่เข้าใจ
“พี่มอสเป็นเพื่อนกับพี่ไม้มานานรึยังคะ”




ผมยิ้มตามมารยาท
“นานแล้วครับ”
“แล้วพี่ไม้เขามีของที่ชอบหรือไม่ชอบบ้างไหมคะ”
“พี่ว่าน้องหยกลองสังเกตดูเองดีกว่าครับ เพราะพี่ก็ไม่ค่อยรู้อะไรเหมือนกัน”
“แล้วพี่มอสไม่สนใจเรียนวิชาการตลาดบ้างเหรอคะ”
“ไม่ครับ”
“แล้วพี่มอสไม่มีแฟนเหรอคะ”





ในใจผมอยากตะโกนออกไปว่ายุ่ง แต่ด้วยมารยาทที่ยังมีอยู่บ้าง เลยทำได้แค่ยิ้มอ่อน ๆ
“ไม่ครับ”





ผมรอจังหวะให้อีกฝ่ายอ้าปากเหมือนจะถามต่อแล้วค่อยโพล่งขึ้นมา
“พี่ไม่ชอบผู้หญิง”




ผมทันเห็นเธอหน้าเหวออย่างหนักก่อนจะปรับเป็นสีหน้าปกติเมื่อไอ้ไม้เดินกลับมา




ตลกเป็นบ้า




หลังจากประโยคนั้น ความสงบก็กลับมาสู่ผมอย่างแท้จริง ไม่มีสายตาแปลก ๆ ที่ทอดส่งมาให้ ไม่มีน้ำเสียงอ่อย ๆ กับท่าทางพยายามโชว์หนองโพนั่นด้วย




ดีจริง ๆ




ผมจิบเครื่องดื่มในแก้วช้า ๆ คืนนี้ผมไม่ได้ตั้งใจมาเมา เพราะคิดไว้ว่าหลังจากกลับไปจะต้องอ่านบันทึกของทวดทีนต่อ
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่สิ่ง ๆ นั้นกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต กว่าจะรู้ตัวก็ขาดมันไปไม่ได้เสียแล้ว













ผมผลักประตูเข้าไปด้วยท่าทางระมัดระวังอย่างถึงที่สุด เพราะกว่าผมจะออกมาจากร้านเหล้าก็ปาเข้าไปห้าทุ่มแล้ว ป่านนี้เจ้าคนอนามัยสูงนั่นคงเข้านอนไปแล้วแน่ ๆ





อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด





ห้องทั้งห้องมืดสนิทประกอบกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังครืด ๆ ชวนให้บรรยากาศเหมือนหนังผีขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น





ถ้ามันไม่ถูกขัดด้วยเสียงเสียงกรนเบา ๆ จากคนในห้องน่ะนะ





ผมเปิดไฟฉายจากมือถือแล้วค่อย ๆ ย่องไปเปิดโคมไฟที่โต๊ะ ครั้นเห็นว่าคนนอนหลับไม่ได้ถูกแสงจากโคมไฟรบกวน ผมจึงค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้






ลิ้นชักถูกดึงออกมาอย่างเงียบเชียบ ไม่นานนักสมุดบันทึกเล่มคุ้นตาก็มาตั้งอยู่บนโต๊ะ มือของผมลูบบนปกหนังอย่างเผลอไผล ความรู้สึกโหยหาอย่างไม่มีที่มาที่ไปในหัวใจทำให้ผมสับสน




ทำไมกันนะ




ผมสะบัดหัวไล่ความรู้สึกแปลก ๆ แล้วจึงเริ่มเปิดอ่านบันทึกหน้าที่สี่





ช่วงเช้าเมฆบนฟ้ามีเยอะกว่าเมื่อวานเล็กน้อย ทำให้อากาศค่อนข้างอบอ้าวและขมุกขมัว แต่พอเข้าช่วงเที่ยงวันฟ้าก็เปิดสดใสเช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ เราจึงออกจากบ้านตอนเที่ยงวันเพื่อไปต่อเพลงกับครูบุญตรงบ้านริมน้ำคลองบางยี่ขัน ครั้นพอไปถึงก็เห็นครูกำลังสอนร้องสอนรำให้เด็กหญิงชายหลายคน พวกเด็กผู้ชายก็บรรเลงดนตรีไทย พวกเด็กผู้หญิงก็ร้องรำตามจังหวะเพลง เราล้วนเคยเห็นหน้าค่าตาเด็กเหล่านี้มาก่อนทั้งสิ้นเว้นไว้เสียคนหนึ่งที่กำลังเล่นฆ้องวง เด็กหนุ่มคนนั้นมีผิวขาวกว่าเรา หากจะกล่าวตามจริงก็คงขาวผุดผาดกว่าคนไทยทั่วไป ใบหน้ารึก็นับว่าหล่อเหลา เดาว่าคงเป็นลูกเจ๊กจีนสักคนในย่านนี้ น่าแปลกใจที่ลูกคนจีนมาสนใจดนตรีไทยจนมาฝากตัวเป็นศิษย์ของครูบุญ ครั้นจะเข้าไปไต่ถาม ครูบุญก็หันมาเห็นเสียก่อน ครูจึงเรียกน้าผ่องมาช่วยดูเด็ก ๆ จากนั้นจึงพาเราไปต่อเพลงอีกฟาก เพลงที่ครูต่อให้วันนี้คือลาวดำเนินเกวียน หรือคนทั่วไปเรียกว่าลาวดวงเดือน เป็นเพลงที่ไพเราะนัก ยิ่งได้มาเล่นด้วยระนาดเอกยิ่งได้ทำนองน่าฟัง ในขณะที่เรากับครูกำลังต่อเพลงกันนั้นพลันก็มีเสียงขับร้องเพลงลาวดวงเดือนดังแว่วมาจากฝั่งของพวกเด็ก ๆ เมื่อตั้งใจฟังจึงรู้ว่าเป็นเสียงผู้ชาย หากเสียงนั้นกลับกังวาน ไพเราะตราตรึงใจ เดาว่าคงเป็นเด็กหนุ่มหน้าใหม่เป็นคนขับร้องเพราะเสียงดูทุ้มต่ำกว่าเด็กทั้งหมดที่เราเคยเห็นในบ้านครูบุญ ในคราแรกเราตั้งใจไว้ว่าจะเดินไปทำความรู้จักหลังต่อเพลงเสร็จ แต่กว่าจะจบเพลง เด็ก ๆ เหล่านั้นก็กลับไปเสียแล้ว ครูบุญก็ดูมีธุระปะปังมากมายเหลือเกิน น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ถามว่าคนนั้นคือใคร แต่เรามั่นใจว่าจักต้องได้พบพานกันอีกเป็นแน่




วันที่ ๒๔ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖o







น่าแปลกที่ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากถ้อยคำของทวดทีน




เขาพึงใจเด็กชายคนนั้น





แต่ในสมัยนั้น ไม่น่าจะมีการยอมรับเรื่องเกย์ ที่สำคัญคือทีนก็อยู่กับผมตรงนี้ นั่นหมายความว่าทวดเองก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงและมีลูกหลานสืบสกุลอย่างไม่ต้องสงสัย




หรือผมจะคิดมากไปเอง




‘เสียงน้องราวไพเราะราวกับนกการเวก ทุกคราที่ขับร้องก็ตราตรึงใจพี่ไว้ราวกับเป็นบทเพลงสวรรค์ จนพี่คิดสงสัยว่าแท้จริงแล้วน้องทำคุณไสยใส่พี่หรือไม่’




เสียงที่ดังเข้ามาในหูทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแล้วฉุกคิดเรื่องสำคัญขึ้นมาได้




...หรือที่ได้ยินมาตลอดจะเป็นเสียงทวดของทีน....




แต่ผมเองก็ยังไม่กล้าฟันธงว่าเสียงที่ได้ยินเป็นของใคร แต่ถ้ามันเป็นของทวดทีนจริง ๆ  ผมกล้าเอาเกียรติของชาวสีรุ้งเป็นเดิมพัน






เขาชอบเด็กคนนั้นแน่ ๆ แต่จะเป็นรักแท้หรือเป็นแบบหมาหยอกไก่ผมก็สุดจะรู้ได้






หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 4 [100%] (20/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-10-2017 21:12:10
เด็กคนนั้น คือมอสสินะ

งั้นเสียงร้องเพลงดาวดวงเดือน น่าจะเป็นเสียงมอสสิ

หยก แฟนใหม่ไม้
ทำไมอ่อย ทำนมหกใส่มอสล่ะ
ช่างแรดเสียจริง นี่ถ้าอยู่สองต่อสองมิปล้ำไม้ ปล้ำมอสแล้วรึ
ชอบที่มอส ตอกหน้า   "พี่ไม่ชอบผู้หญิง”
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 4 [100%] (20/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 21-10-2017 18:39:40
บทที่ 5 ลิ้มรส [ครึ่งแรก]




หลังจากวันล่าสุดที่ผมอ่านสมุดบันทึกก็ผ่านมาร่วมอาทิตย์แล้วที่ผมไม่ได้แตะต้องสมุดบันทึกอีกเลย



ก็มันยุ่งเสียจนไม่มีเวลาเลยนี่สิ




“มอส ไปช่วยฝ่ายศิลป์วาดคัทเอ้าท์หน่อยสิ”
เสียงหวานๆ ที่ตะโกนสั่งมาจากหลังคอมพิวเตอร์ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรไป




ใครจะไปอยากมีเรื่องกับหัวหน้านักศึกษาของคณะกันล่ะ





“ช่วยอะไรล่ะ งานทะเบียนยังไม่เสร็จเลยเนี้ย ให้พวกเอกศิลปะทำไปก่อนดิ เดี๋ยวเสร็จงานนี้แล้วจะไปช่วย”
ผมพยายามประนีประนอม แต่ด้วยรู้นิสัยเจ้าหล่อนดีว่าคงไม่ยอม





“พวกเอกศิลปะไปแต่งสถานที่กันหมดแล้ว คนเขาไม่พอ”
“ทางนี้ก็ไม่พอเหมือนกันนะ”
ผมพยายามเถียงต่อ





“คนทำทะเบียนมันหาไม่ยาก แต่คนมีปัญญาวาดภาพสวยมันหายากเว้ย”
ผมพยายามแล้วครับ ผมพยายามแล้ว
“เออๆ เดี๋ยวไปทำให้ก็ได้”
นี่ถ้าคนพูดเป็นไอ้ไม้รับรองว่าผมจะขนสัตว์ป่าทั้งป่ามาประเคนในบทสนทนาแน่นอน แต่เพราะว่าคู่สนทนาเป็นผู้หญิง ผมเลยต้องรักษามารยาทเอาไว้นิดนึง





“ดีๆ ทำเสร็จแล้วกูฝากซื้อน้ำปั่นมาให้ด้วยดิ เอาน้ำส้มปั่นนะ”





โอเค ขอถอนคำพูด





“เอาเงินมาดิ”
“เลี้ยงกูหน่อยสิ”
เธอพูดพลางส่งสายตาอ้อนหวานๆ ที่ผู้ชายต่างต้องยอมสยบมาให้ผม





น่าเสียดายที่เรารู้เช่นเห็นชาติกันจนหมดอารมณ์พิศวาสกันไปเสียแล้ว





“อี๋ ชะนี”
ผมแสร้งพูดพลางทำท่ารังเกียจ เล่นเอาเจ้าตัวหัวเราะร่าแล้วพ่นสารพัดสัตว์มาให้ผมเสียยกใหญ่ ก่อนจะเอาแบงค์สีแดงมายัดใส่มือผมอย่างอารมณ์ดี





“อย่าโด้เงินกูนะมึง”
“ไม่โด้หรอก แค่ไม่คืน”
“อินี่!”
ผมหัวเราะร่าแล้วรีบวิ่งออกจากห้องทำงานของกรรมการนักศึกษาแทบจะทันที






ถึงผมจะเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย แต่เพราะมีฝีมือดีและทำงานเรียบร้อยจึงถูกกรรมการนักศึกษาของคณะขอให้ช่วยงานบ่อยๆ จนสนิทกันระดับหนึ่ง แต่ถ้าว่ากันตามจริงแล้วคนที่ผมสนิทด้วยก็เห็นจะมีแค่หัวหน้านักศึกษาอย่าง ‘หวาน’ ซึ่งผมเพิ่งจะวิ่งหนีเธอมาเมื่อครู่ กับ ‘ปืน’ เหรัญญิกชาวสีรุ้งร่างยักษ์ที่มีใจรักในการแต่งหญิง เท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นเพียงแค่การรู้จักชื่อและพูดคุยกันผิวเผิน หลายๆ ครั้งก็จะได้ยินคำนินทาประเภทที่ว่าหยิ่งหรือเห็นแก่ตัวทำนองนั้น






สงสัยว่าผมคงเข้ากับคนอื่นได้ไม่ดีจริงๆ นั่นล่ะ






ผมเดินทอดน่องจนมาถึงลานด้านล่างตึกที่มีเศษไม้ เศษโฟมกองระเกะระกะเต็มไปหมด พวกเอกศิลปะดูเหมือนจะง่วนอยู่กับการจัดแต่งสถานที่ทำให้เหลือคนลงสีคัทเอาต์อยู่เพียงสามคนเท่านั้น แต่ที่เหมือนกันคือใบหน้าของทุกคนดูเหนื่อยล้าเข้าขั้นโทรม
งานเผาก็แบบนี้ล่ะ






 “ไงมอส มาได้จังหวะเลย ช่วยทีสิ ไม่งั้นไม่ทันใช้แน่เลย”
ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินเข้าไปจัดแจงล้างแปรงทาสีก่อนจะเริ่มลงมือ






ตลอดเวลาทำงานแทบไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเราสี่คนนอกจากคำพูดประเภท ‘หยิบแปรงในถังให้หน่อย’ ไม่ก็ ‘ช่วยส่งถังสีมาทางนี้ที’ เท่านั้น





กว่าผมจะรู้ตัวท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทเสียแล้ว





ตายล่ะสิ ป่านนี้แม่คุณบนห้องแอร์คงวีนแตกเพราะไม่ได้กินน้ำส้มแล้วล่ะ
ผมอมยิ้มพลางหมุนไหล่ตัวเองเบาๆ






งานตรงหน้าเสร็จไปกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือแค่เก็บรายละเอียดกับลงแสงเงาอีกหน่อยก็เป็นอันสมบูรณ์ การระบายสีคัทเอาต์ซึ่งทำจากแผ่นไม้ขนาดใหญ่ห้าแผ่นต่อกัน ไม่ใช่งานหมูเลยสักนิด ยิ่งต้องมาทำกับพวกเอกศิลปะที่ขึ้นชื่อว่าจุกจิกเรื่องงานศิลป์เป็นที่สุดก็ยิ่งทำให้งานช้าเข้าไปใหญ่





ทำได้เยอะขนาดนี้ก็นับว่าบุญแล้ว






“ขอบใจมากเลยนะมอส มอสกลับเถอะ เดี๋ยวที่เหลือพวกเราทำเอง”
หัวหน้าฝ่ายศิลป์ตบบ่าผมแล้วยิ้มให้ด้วยใบหน้าสะโหล่สะเหล่อย่างคนอดนอน เขาคงเพิ่งจัดสถานที่เสร็จจึงได้มาทำงานคัทเอาต์ต่อ






ชีวิตหัวหน้านี่มันช่างหนักหนาจริงๆ






แต่อย่างไรเสียงานนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่หลักของผม แค่ลงมาช่วยข้ามฝ่ายก็นับว่ามากพอแล้ว ผมเองก็ยังเหลืองานฝ่ายทะเบียนอีกเป็นภูเขาที่ต้องรีบเคลียร์ เมื่อคิดคำนวณในใจว่ากลับก่อนน่าจะดีกว่า ผมเลยบอกลาฝ่ายศิลป์ทุกคนก่อนจะเดินกลับออกมา ในตอนแรกคิดไว้ว่าจะกลับขึ้นไปบนห้องกรรมการนักศึกษาเสียหน่อย แต่พอเห็นทางเดินขึ้นตึกปิดแล้ว ผมจึงเลือกที่จะเดินกลับหอแทน






เพราะอยู่หอในการเดินทางไปเรียนจึงสบายมากถึงมากที่สุด อาศัยแต่การเดินเอาก็พอแล้ว เพราะแบบนั้นผมเลยมีเงินเหลือกินเหลือใช้โดยไม่ต้องทำงานพิเศษเพิ่ม แล้วผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าทีนเองก็ทำงานพิเศษ ทั้งๆ ที่บ้านก็มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ดูจากสภาพแล้วน่าจะเหลือกินเหลือใช้กว่าลูกข้าราชการอย่างผมเสียด้วยซ้ำ






หรือผมควรจะลองทำงานพิเศษดี





“อ้าวลูกสาว กลับแล้วเหรอจ๊ะ”
เสียงที่จู่ๆ ก็เอ่ยทักทำให้ผมสะดุ้งโหยงจนอีกฝ่ายหัวเราะ
“ขวัญอ่อนจังเลยนะคะลูกสาว”
“มาไม่ให้สุ่มให้เสียงตอนกลางคืนแบบนี้ ต่อให้จิตแข็งก็สะดุ้งครับเจ๊”





นึกว่าใคร เจ๊ปืนนี่เอง






ผมเห็นเขาหัวเราะ
“ก็เห็นลูกสาวเดินคนเดียว เจ๊ก็เลยมาทัก กลัวจะโดนหนุ่มที่ไหนฉุดไปกระทำชำเรา”
“น่ากลัวว่าผมจะไปฉุดเขาสิครับเจ๊”




แล้วพวกเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน





“แล้วทำไมวันนี้กลับหอค่ำนักล่ะ”
“พอดีไปช่วยพวกฝ่ายศิลป์ทำคัทเอาต์น่ะเจ๊ หวานมันสั่งมา แล้วเจ๊อะ ทำไมมาคณะเอาป่านนี้”





เขาทำหน้าระอาใจ
“ก็นี่เพิ่งไปสอนพิเศษมา แล้วดั๊นลืมของ ว่าจะกลับมาเอา ตึกก็ปิดเสียแล้ว”
“เจ๊สอนพิเศษกี่ที่เนี่ย”





เขานิ่งคิดไปอึดใจ
“ก็เกือบสิบนะ แต่นี่ว่าจะปล่อยไปสักงานสองงานแล้วล่ะ ไม่ไหว กิจกรรมคณะเยอะมาก เจ๊เครียด”




ผมว่าผมเห็นลู่ทางหาเงินของตัวเองแล้วล่ะ






“ส่งต่อให้ผมไหมเจ๊ ช่วงนี้ว่าจะหางานพิเศษทำพอดี”
“อุ๊ย เอาจริงไหม เจ๊จริงจังนะ”




ผมพยักหน้า
“ถ้าเป็นวิชาที่ผมสอนได้ก็โอเคนะเจ๊”





เจ๊ปืนฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
“สอนได้อยู่แล้ว ภาษาอังกฤษระดับประถม อีกคนก็สังคมม.3 สบายๆ น้องน่ารัก”
“แจ่ม สองงานนี้ผมจองนะ”
“เลิศค่ะลูกสาว เดี๋ยวเจ๊ถึงหอแล้วจะส่งรายละเอียดให้ ขอเจ๊โทรคุยกับแม่น้องเขานิดนึง”
“ไม่มีปัญหาครับ”
“เลิศอลังการบ้านแตกไปเลยค่ะ เจ๊กลับหอก่อนดีกว่า เดี๋ยวรถติด”






แล้วเขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ผมบอกลา พอมาคิดๆ ดู คนรอบตัวผมก็มีแต่คนแปลกๆ เต็มไปหมดเลยจริงๆ
สงสัยจะไม่มีดวงได้เพื่อนเป็นคนปกติเสียแล้วล่ะมั้ง





‘ก็น้องใจดีกับทุกคน คนพวกนี้เขาก็ติดหนึบเอาน่ะสิ คราวหน้าคราวหลังหัดใจร้ายเสียบ้าง’





ผมอมยิ้มให้กับเสียงที่ได้ยิน






ใจร้ายไม่ลงหรอก เพราะพวกเขาก็เป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่ยอมอยู่กับคนอย่างผม







เอ...จะว่าไป ผมยังไม่ได้คืนเงินหวานเลยนี่นา






หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 5 [50%] (21/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 21-10-2017 21:35:56
พระเอกค่าตัวเเพง มาเเต่เสียงอ่าา  :hao5:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 5 [100%] (22/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 22-10-2017 17:56:15
บทที่ 5 ลิ้มรส [ครึ่งหลัง]






ประตูสีขาวที่คุ้นเคยถูกผลักเข้าไปด้วยศอก เพราะสองมือผมหอบของพะรุงพะรังจนไม่สามารถใช้เปิดประตูได้ หลังจากเข้ามาได้ ผมก็เอาหลังดันประตูให้ปิดลงแล้วจึงเดินงกๆ เงิ่นๆ เอาของไปวางบนโต๊ะ คนที่นั่งอยู่บนเตียงเหลือบตามามองผมเล็กน้อยแล้วก็ก้มหน้าลงไปจริงจังกับมือถือในมือต่อโดยไม่คิดจะแยแสเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งกลับมาอย่างผมเลยสักนิด




ไอ้เด็กติดเกมเอ๊ย





ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลงมือกินข้าวเย็นที่ซื้อมาจากโรงอาหารล่างหอ ใจจริงก็ขี้เกียจเก็บล้างอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าให้ไปนั่งกินข้าวคนเดียวท่ามกลางโรงอาหารใหญ่โตแบบนั้นมันก็ชวนให้รู้สึกโหวงๆ พิกล เพราะแบบนั้นก็เลยซื้อข้าวมากินคนเดียวตลอด
ให้ตายสิ นอกจากจะเป็นเกย์แล้วยังจะเป็นพวกเก็บตัวอีก ชาตินี้จะมีคู่กับเขาไหมก็ไม่รู้





พอมาคิดดูดีๆ ผมถึงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้มีแฟนมานานมากแล้ว คนล่าสุดก็ตั้งแต่สมัยม.4 ใหม่ๆ นี่ก็ปาเข้าไปจะปีสามอยู่แล้ว
หยากไย่เกาะแล้วนั่น




ผมขำความคิดตัวเองเบาๆ





“มอสหัวเราะอะไรน่ะ”
แหน่ะ ยังจะมาได้ยินอีก






ตั้งแต่กลับมาจากวัดวันนั้น เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะระแวงทุกสิ่งอย่างที่ผมเห็นหรือได้ยิน คอยถาม คอยพูดดักตลอด จากปกติที่ไม่สวดมนต์ก่อนนอนก็กลายเป็นคนสวดมนต์ทุกคืนขึ้นมาเสียอย่างนั้น





คนอะไรเอ่ยกลัวผี






ผมเปลี่ยนวิธีนั่งมาเป็นนั่งคร่อมพนักเก้าอี้เพื่อจะได้มองหน้าคนบนเตียงชัดๆ
“เปล่าสักหน่อย แค่คิดอะไรเพลินๆ น่ะ”





ใจจริงก็อยากแกล้งอยู่ แต่ดูจากปฏิกิริยาที่ผ่านมา ขืนแกล้งไปเขาคงไม่กล้าเข้าใกล้ผมอีกเลย





อะไรเอ่ยตัวใหญ่แต่กลัวผี





“อย่าได้ยินอะไรแปลกๆ อีกนะ”





ผมหัวเราะร่า
“ของแบบนี้ห้ามได้เหรอ”
“ห้ามได้ไหมไม่รู้ แต่ถ้ารับรู้ก็ไม่ต้องมาบอกเรานะ”






กลัวขึ้นสมองจริงๆ ด้วยสิ น่าแกล้งชะมัด
“แล้วถ้าบอกว่าเราได้ยินเสียงล่ะ”
“มอส”
“ได้ยินเสียงดนตรีไทย”
“มอส”





เสียงที่เจ้าตัวใช้เรียกชื่อผมดังขึ้นไปทุกที นั่นยิ่งทำให้น่าแกล้งเข้าไปใหญ่





“เพลงลาวดวงเดือนด้วยล่ะ”
“มอส!”
เสียงตะโกนมาพร้อมกับหมอนใบโตที่เข้าหน้าผมเต็มๆ จนเกือบหงายหลัง โชคดีที่เกาะเก้าอี้ไว้แน่นพอ






เจ็บแต่ตลกมากกว่า กลัวจนขึ้นสมองไปแล้วล่ะมั้งนั่น






“มอสเจ็บไหม เราขอโทษ”
เจ้าตัวผลุงขึ้นมาจากเตียงแล้วมาลูบๆ คลำๆ ใบหน้าผมพร้อมกับขอโทษขอโพย





เป็นคนแปลกๆ จริงๆ ด้วย ทั้งที่ผมเป็นคนแกล้งเขาก่อนแท้ๆ






“ไม่เป็นไรๆ ขอโทษนะทีน เราไม่ได้ยินอะไรหรอก แกล้งเล่นน่ะ”
ใบหน้าหล่อเหลาหงอยลง
“รู้อยู่แล้วล่ะ แต่เรากลัวนี่นา”
“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรแล้วนะ”
ผมยืดตัวขึ้นลูบบ่าเขาเบาๆ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวยังอารมณ์ไม่เข้าที่สักเท่าไหร่
“ช่างเถอะ”
เขาตอบปัดๆ แล้วเดินไปเปิดตู้เย็น






“แม่เราส่งทองหยิบมาให้น่ะ กินไหม”
ผมมองขนมหวานสีเหลืองเข้มตรงหน้าสลับกับหน้าของคนถือ





เบาหวานนะเพื่อน เบาหวาน






“หยิบสิ ไม่งั้นเราจะเก็บแล้ว”




แหน่ะ มีงอน





ผมหยิบมาส่งเข้าปากหนึ่งชิ้นเพื่อรักษามารยาท แต่รสสัมผัสในปากทำให้ผมต้องหยุดชะงัก



...อร่อย...
...อร่อยแบบที่ไม่เคยกินมาก่อน...







“นี่แม่ทีนทำเองเหรอ”
เขาพยักหน้าด้วยใบหน้ามุ่ยๆ
“อือ มันเป็นสูตรขนมที่สืบทอดมาจากคุณทวดน่ะ”
“โห ทวดหญิงของทีนคงอยู่ในรั้วในวังเลยสิ มันอร่อยมากเลย”
“เปล่า สูตรของคุณทวดชายน่ะ”






ฮะ? ผู้ชายยุคนั้น ทำขนมเนี่ยนะ





พลันบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัว



‘เจ้าของร้านแถวนั้นจึงแนะนำให้เดินต่อไปอีกหน่อย เขาบอกว่าด้านในมีบ้านคนจีนทำขนมครกไทยอร่อยนัก อีกทั้งยังมีขนมมากมายให้เลือกซื้อหา เราไม่ใครเชื่อนักว่าคนจีนจะทำอาหารไทยได้อร่อยสู้คนไทยได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์เดินเข้าไปดู เมื่อไปถึงเถ้าแก่ก็เชื้อเชิญให้ลองชิมขนม เมื่อได้กัดเข้าไปคำแรกจึงได้รู้ว่าอร่อยสมคำร่ำลือ’





ข้อความในบันทึกค่อยๆ ลอยเข้ามาในหัวจนผมคลายสงสัย



คงไปซื้อบ่อยจนได้สูตรมานั่นล่ะ





พอคิดถึงภาพผู้ชายตัวโตๆ ไปซื้อขนมครก ขนมไทยทุกวันมันก็อดยิ้มไม่ได้




คุณทวดคงเป็นคนน่ารักทีเดียว





ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ ทีนก็เดินกลับไปนั่งเล่นเกมบนเตียงเสียแล้ว พอผมอ้าปากจะชวนคุยก็ดันมีเสียงดังมาจากโทรศัพท์ของผมเสียก่อน มือของผมสไลด์เปิดหน้าแอปพลิเคชันสีเขียวคุ้นตาอย่างชำนาญ




นึกว่าใครที่ไหน




‘ลูกสาวขา เจ๊ไปดีลมาให้แล้วค่ะ คุณแม่ของน้องทั้งสองเซย์เยสนะคะ’
ผมอมยิ้มแล้วพิมพ์ตอบกลับไป
‘ขอบคุณครับเจ๊ แล้วผมต้องเตรียมตัวยังไง เริ่มงานวันไหนเหรอครับ’
‘เริ่มเสาร์นี้เลยก็ได้หนู เอกสารการสอนมาเอาที่เจ๊ก่อนก็ได้ เดี๋ยวครั้งหน้าหนูค่อยทำเอง น้องป.6 ชื่อน้องไบรท์ น้องม.3 ชื่อน้องพรีม ผู้ชายทั้งคู่นะคะ’




หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ส่งรายละเอียดงานกลับมายาวเหยียด
ผมไล่อ่านทุกบรรทัดอย่างละเอียดก่อนจะเริ่มหยิบกระดาษมาร่างสิ่งที่ต้องทำคร่าวๆ พอทำเสร็จก็ได้ยินเสียงกรนจากด้านหลังเสียแล้ว ผมจึงเหลือบมองนาฬิกา





สี่ทุ่มตรงเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน





ผมยิ้มกว้างแล้วส่ายหัวเบาๆ





ไม่รู้จะเอ็นดูหรือตลกดี





หลังจากหันไปเช็คให้แน่ใจว่าอีกคนหลับสนิทไปแล้ว ผมจึงหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาอ่าน กลิ่นอับของหนังสือตีขึ้นหน้าทันทีที่เปิดอ่าน ใครหลายคนไม่ชอบกลิ่นนี้ แต่ผมว่ามันหอมดี






ก่อนจะลงมืออ่าน ผมมักจะเหลือบไปมองวันที่ที่อยู่ล่างกระดาษก่อนเสมอทำให้รู้ว่าบันทึกหน้าที่ห้าไม่ต่อเนื่องกับวันที่ที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าที่สี่ พอผมพลิกดูในทั้งเล่มจึงรู้ว่าเจ้าของบันทึกเป็นพวกบันทึกตามใจฉัน นึกอยากจะบันทึกก็ทำ ไม่อยากก็ไม่ทำ





เป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนกันแหะ





ผมคิดขำๆ ก่อนจะเริ่มอ่าน






งานราชการช่วงนี้มีให้ทำมากมาย คงเพราะประเทศฝาหรั่งทำสงครามกันวุ่นวาย แม้จะไม่มีผลกระทบมาถึงสยาม แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่สมควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด สัปดาห์นี้คุณแม่อาการดีขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังไม่หายเป็นปรกติ คงต้องใช้เวลาอีกสักพักและคงต้องใช้ยาอีกหลายขนาน พักหลังมานี้คุณพ่อก็รบเร้าให้เรารีบเรียนดนตรี ต่อเพลงให้ชำนาญ ท่านจะได้จัดตั้งวงมโหรีประจำบ้านเหมือนอย่างเจ้านายแลขุนนางบ้านอื่นเสียที คาดการณ์ว่าคงไปลับฝีปากกับเจ้าคุณเอื้อมาเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงไม่หงุดหงิดอารมณ์เสียทั้งวันเช่นนี้ เจ้าคุณเอื้อเองหรือก็ใช่ย่อย เราเห็นท่านมาแต่เล็กแต่น้อย เมื่อก่อนไม่ชอบคุณพ่ออย่างไร ตอนนี้ก็ยังไม่ชอบอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ามีเรื่องกระไรให้ขุ่นข้องหมองใจกันมาแต่หนไหน หลังจากถูกคุณพ่อตำหนิ เราเลยคิดว่าจะไปหาครูบุญเสียหน่อย แต่เพราะเป็นเวลาเย็นแล้วจะให้นั่งเรือไปบางยี่ขันตอนนี้ก็เกรงว่าจะกลับมาดึกดื่น ไม่เหมาะสม เราจึงเปลี่ยนใจออกไปหาซื้อขนมครกของโปรดของคุณแม่แทน ครานี้เราเปลี่ยนร้านประจำแล้ว โชคดีที่เมื่อไปถึงเถ้าแก่ยังไม่ได้เก็บร้าน แต่ขนมก็พร่องไปมาก เราจึงซื้อมาได้เพียงขนมครกและทองหยิบเพียงไม่กี่กระทงเท่านั้น ครั้นเราจะกลับไปขึ้นรถม้าก็พลันเห็นเด็กหนุ่มคนนั้น จึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เราเห็นที่บ้านครูบุญครานั้นเป็นลูกของเถ้าแก่นี่เอง ได้ยินแว่วๆ ว่าชื่อกรวิก กรวิกที่แปลว่านกการเวก เถ้าแก่หรือก็ช่างตั้ง เป็นชื่อไทยที่เพียงแค่ฟังคงไม่รู้ว่าเป็นลูกคนจีน ครั้นจะว่าไม่เหมาะก็คงไม่ได้เพราะเสียงของเด็กคนนั้นก็ไพรเราะกังวานราวกับเสียงนกการเวกในตำนานป่าหิมพานต์อย่างไรอย่างนั้น หากเป็นไปได้ก็อยากจะได้ยินเขาขับร้องเพลงลาวดวงเดือนอีกสักครั้ง เราคงนอนหลับฝันดี




วันที่ ๒ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๖o





พออ่านจบผมก็เผลอยกมือกุมขมับ
คุณทวดครับ นี่มันวัวแก่กินหญ้าอ่อนชัด ๆ






เอ...แต่จะว่าไป ชื่อกรวิกนี่ก็คุ้นหูอยู่เหมือนกันนะ






หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 5 [100%] (22/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 22-10-2017 18:32:10
 :o8: :o8: ชอบบบบ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 5 [100%] (22/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 22-10-2017 19:01:42
น่าติดตามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 5 [100%] (22/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-10-2017 21:45:38
มอส คือ กรวิกสมัยนั้นสินะ  :hao3:

แอบคิดว่าทีน คือคุณทวดมาเกิดใหม่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 5 [100%] (22/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 22-10-2017 22:49:30
 :o8: ชอบมากๆค่ะ ชอบความไทยๆในเรื่องมาก ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 5 [100%] (22/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 23-10-2017 18:07:47
บทที่ 6 คาวคลุ้ง [ครึ่งแรก]





“เจ้อาจจะไม่ใช่อาเจ้ที่ดีของลื้อ แต่ถ้ามีปัญหาอะไร อย่าลืมนึกถึงเจ้นะ”
“ให้เป็นเพื่อนที่ดีและนำมึงไปในทางที่เจริญข้าคงทำไม่ได้ สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือไม่ฉุดมึงให้ต่ำลงไปกว่านี้และไม่ปล่อยมึงให้อยู่คนเดียวไม่ว่าสถานการณ์จะแย่แค่ไหนก็ตาม”
“อาม้าอาจจะไม่ใช่ม้าที่ดีของลื้อ แต่อั๊วก็รักลื้อนะอาโซ้ยตี๋”








ผมลืมตาขึ้นในตอนสายแล้วนอนจ้องเพดานอยู่อย่างนั้น ใช่ว่าจะว่างจัดหรืออะไรทำนองนั้นหรอก แต่ผมฝันประหลาด จะว่าฝันร้ายก็ไม่ใช่ จะว่าฝันดีก็ไม่เชิง ตอนแรกก็นึกว่าจะจำความฝันนั้นได้ แต่พอลืมตาขึ้นมากลับลืมเรื่องราวไปเสียอย่างนั้น




...ยังดีที่ความรู้สึกไม่ได้หายไปด้วย...





หัวใจของผมกำลังรู้สึกเจ็บแปลกๆ จะเรียกว่าเจ็บก็ไม่ถูกเพราะมันไม่ใช่ความรู้สึกทางกายภาพ ถ้าจะให้อธิบายก็คงเป็นความรู้สึกเสียใจผสมกับคิดถึงล่ะมั้ง





แต่ดันจำไม่ได้ว่าฝันเรื่องอะไรนี่สิ




....คิดถึงงั้นเหรอ...






ผม...ไม่ได้คิดถึงใครมานานแค่ไหนแล้วนะ






ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับมีร่างสูงโปร่งของอีกคนเดินออกจากห้องน้ำด้วยสภาพหยดน้ำเกาะตามตัวและนุ่งผ้าเช็ดตัวลายนีโม่ผืนเดียว





ดูไม่จืดเลย






ผมหัวเราะจนอีกคนหันมาทำตาขวางใส่ ตลอดหนึ่งเทอมที่อยู่ด้วยกันมาผมก็ล้อเขาเรื่องลายผ้าเช็ดตัวตลอด เจ้าตัวก็ขยันหันมางอนได้ตลอด






มันก็เลยแกล้งสนุกจนหยุดแกล้งไม่ได้น่ะสิ
“เออทีน วันนี้เราไปสอนพิเศษนะ อาจจะกลับค่ำหน่อย”





เขาหันมาขมวดคิ้วใส่ด้วยสภาพน้ำหยดติ๋งๆ ลงจากผมที่ลู่แนบไปกับใบหน้า





น่าเกลียดจริง





เพราะทนกับสภาพแบบนั้นไม่ได้ ผมเลยผลุดลุกขึ้นจากเตียงแล้วไปหยิบผ้าเช็ดตัวของผมที่พาดอยู่ตรงเก้าอี้ไปเช็ดผมให้อีกคน
“อย่าปล่อยให้น้ำหยดลงบนพื้นห้องสิ”






เขาหัวเราะ
“ขอโทษที”
ผมครางรับอย่างไม่จริงจังก่อนจะชักมือกลับมา






ผมของเจ้าตัวแห้งแล้ว ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่ได้เปียกโชกเหมือนลูกหมาตกน้ำแบบเมื่อกี้แล้วต่างหาก
“เอาล่ะ ไม่เป็นลูกหมาตกน้ำแล้ว”
“ขอบใจนะ”






ผมฉีกยิ้มให้เขาแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัว เมื่อได้มาอยู่กับความเงียบเพียงลำพังในหัวมันก็เอาแต่วนเวียนพยายามคิดว่าความฝันนั้นคืออะไร กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็ใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไปเกือบชั่วโมงเสียแล้ว






พอออกมาจากห้องน้ำห้องทั้งห้องก็ว่างเปล่าและเงียบสงัด






สงสัยจะออกไปทำงานแล้วมั้ง






ผมเดินไปดูตารางชีวิตประจำวันของเจ้าตัวที่แปะอยู่บนโต๊ะของเขา มันเป็นตารางที่ถูกวาดขึ้นมาอย่างเรียบร้อย ลายมือก็สวยอ่านง่าย





นี่เขาเรียนอยู่คณะวิศวะจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย





ในตารางเขียนว่าเขามีงานสอนพิเศษสิบโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นทุกวันเสาร์กับอาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาก็จะสอนตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม ถ้าสัปดาห์ไหนไม่มีสอนพิเศษในวันธรรมดาก็จะไปทำงานพิเศษที่คณะแทน หลังจากสอนพิเศษของทุกวันก็จะไปเล่นบาสกับเพื่อนที่คณะจนถึงสองทุ่ม แล้วก็จะกลับมาที่ห้อง ทำธุระส่วนตัวแล้วทบทวนเนื้อหาที่เรียน





อ่านถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งให้ตัวเองไปหนึ่งที
สมควรแล้วมอสเอ๊ยที่เอ็งจะต้องตายก่อนสอบเสมอๆ







ผมฉีกยิ้มอ่อนให้กับตารางชีวิตของอีกคนแล้วเดินไปแต่งตัวเตรียมออกไปทำงาน ยังไม่ทันที่แขนของผมจะได้โผล่ออกมาจากเสื้อเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจนผมต้องวิ่งไปรับทั้งที่สภาพดูไม่ได้





ให้ตายสิ





“สวัสดีครับ”






ถึงในใจจะสบถออกไปแต่ยังไงก็ต้องสุภาพไว้ก่อน






“สวัสดีค่ะ นี่ใช่เบอร์ของน้องมอสรึเปล่าคะ"





ขายตรงรึเปล่านะ





“ใช่ครับ”
“พี่เป็นคุณแม่ของน้องไบรท์นะคะ”





อ๋อ นายจ้างผมนี่เอง





“ครับ คุณแม่มีอะไรรึเปล่าครับ”
“พอดีน้องไบรท์เขาจะไปแข่งเปียโนน่ะค่ะ คุณครูสอนดนตรีเลยขอต่อเวลานิดนึง น้องอาจจะไปเลทประมาณครึ่งชั่วโมงนะคะ”
“อ๋อ ได้ครับ ไม่มีปัญหา”





แล้วบทสนทนาก็จบลงด้วยการขอบคุณของอีกฝ่าย






โชคดีที่กว่าผมจะต้องไปสอนอีกคนก็ปาไปบ่ายสาม เพราะฉะนั้นถ้าคิวแรกเลทนิดหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร





...เริ่มงานวันแรกก็มีปัญหาเสียแล้ว น่ากลัวว่าจะมีเรื่องซวยๆ เกิดขึ้นยังไงไม่รู้...





ผมส่ายหัวให้กับความคิดด้านลบของตัวเองแล้วเริ่มดำเนินกิจวัตรต่อไป






‘อย่างไรเสีย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะนะ’






เสียงที่ดังเข้ามาในหัวช่างเหมาะเจาะกับความคิดของผมอะไรขนาดนี้นะ จะว่าไปก็เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งหลายครา พอผมคิดอะไร ก็มักจะได้ยินความคิดคล้ายๆ กันมาจากอีกฝ่ายเสมอ จนบางทีก็เผลอคิดไปว่าถ้าได้เจอกันก็คงเข้ากันได้ดีแน่ๆ





ถ้าได้เจอกันก็คงดี...






...อยากเจอ...






ผมสะดุ้งให้กับความคิดแปลกๆ ของตัวเอง
อยากเจอเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองไปได้ยังไงกัน แค่คิดก็สยองแล้ว









ความรู้สึกเสียวสันหลังทำให้ผมมองไปรอบห้องด้วยความระแวง ก่อนจะตัดสินใจออกไปข้างนอกเพื่อความสบายใจ แต่ไม่รู้เพราะอะไรดลใจผมจึงหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นติดมือมาด้วย รู้ตัวอีกทีลิฟต์ตัวใหญ่ก็พาผมมาถึงชั้นล่างสุดเสียแล้ว









หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 6 [50%] (23/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 23-10-2017 20:53:18
รอตอนต่อไปป
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 6 [50%] (23/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 24-10-2017 18:57:53
บทที่ 6 คาวคลุ้ง [ครึ่งหลัง]






“ขอบคุณน้องมอสมากๆ เลยนะคะ ของครั้งหน้าก็วันเวลาเดิมนะคะ”




ผมฉีกยิ้มสุภาพ
“ได้ครับคุณแม่ ถ้ามีปัญหาอะไรสามารถติดต่อผมได้ตลอดเลยนะครับ”




ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายเป็นการล่ำลา
แล้วการทำงานวันแรกของผมก็จบลง






เหนื่อยจังแฮะ ไม่รู้ว่าเจ๊ปืนทำไปได้ไงเป็นสิบๆ งาน ผมโดนไปแค่สองงานก็แทบกระอักแล้ว





น้องไบรท์นี่ดีหน่อย แม้จะซนตามประสาเด็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ยากเกินรับมือ แต่น้องพรีมนี่เล่นเอาผมยิ้มแห้งไปหลายรอบเหลือเกิน นอกจากจะไม่สนใจฟังแล้วยังไม่สนใจทำอะไรเลยสักอย่าง ทำเอาเมื่อครู่ผมอยากตะโกนบอกแม่น้อยว่า ‘ไม่ขอสอนอีกแล้วครับแม่’





แต่ถ้าขืนบอกไปแบบนั้น มีหวังได้นั่งยิ้มแห้งกอดกระเป๋าเงินแฟบๆ แน่นอน






ผมถอนหายใจปลงแล้วมองรอบตัวพร้อมกับก้มมองเงินที่เพิ่งได้รับมาในมือ ร้านอาหารชื่อดังจำนวนมากกำลังรายล้อมผมทั่วทุกสารทิศ ชาบูเอ่ย บุฟเฟ่ต์เอย ของหวานเอย พูดตามตรงว่าหลังจากทำมาสองงานผมก็ได้เงินมาก้อนหนึ่ง สรุปคือตอนนี้ผมรวยมาก คิดได้แบบนั้นเลยสรุปได้ตามประสาคนรวยๆ ว่า...






กลับไปกินข้าวที่ร้านใต้หอแล้วกัน
แหม นี่มันยุคข้าวยากหมากแพง ประหยัดได้ก็ต้องประหยัดสิครับ







คงเพราะเป็นหัวค่ำของวันเสาร์ รถไฟฟ้าจึงไม่ได้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมือนวันทำงาน พอขึ้นไปก็สามารถหาที่นั่งได้โดยไม่ต้องแก่งแย่งกับใครที่ไหน





ผมเงยหน้ามองแผงบอกสถานีด้านบน






เหลืออีกตั้งหกสถานี






ด้วยความเบื่อหน่ายประกอบกับแบตโทรศัพท์มือถือหมดไปแล้ว ผมจึงเปิดกระเป๋าหวังหยิบกระดาษมาร่างบทเรียนครั้งหน้าให้น้องคราวๆ แต่มือดันจับไปโดนสมุดปกหนังเสียก่อน






ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วน่ะนะ





ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดไปหน้าที่หกด้วยความเคยชิน แต่มีบางอย่างทำให้ผมเอะใจ







บันทึกคราวนี้สั้นกว่าทุกวันที่ผ่านมา แถมยังถูกเขียนด้วยลายมือที่หยุกหยิกต่างจากลายมือเรียบร้อยสะอาดสะอ้านอย่างทุกที
เกิดอะไรขึ้นกันนะ








วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสนัก คุณแม่ท่านก็มีอาการดีขึ้นมากถึงกับลุกขึ้นมาเดินชมสวนกับหญิงอ่อนได้ตั้งแต่ช่วงสาย พักหลังมานี้มีคนแวะมาเยี่ยมคุณแม่มากมาย ทั้งสหายเก่าของคุณแม่และคุณพ่อ ทั้งญาติทั้งหลายก็เดินทางเข้าพระนครมาถามไถ่อาการคุณแม่กันเสียให้วุ่น เห็นทีคำพูดของแม่แช่มที่เคยเล่าให้เราฟังว่าคุณแม่ท่านเป็นที่รักของคนทั้งพระนครเห็นจะเป็นเรื่องจริง ครั้นแดดร่มลมตกคุณแม่จึงกลับไปพักผ่อนบนเรือน เราจึงได้โอกาสออกไปต่อเพลงที่บ้านครูบุญ เมื่อไปถึงก็เห็นครูบุญกำลังวุ่นวาย แว่วว่าลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านจมน้ำ ตอนนี้ถึงมือหมอแล้วแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ในใจเราเองก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ใช่เด็กที่ชื่อกรวิกนั่น เพราะหากเขาเป็นกะไรไป เราก็คงเสียดายที่ยังไม่เคยได้พูดคุยกับเขาเลยแม้แต่คำเดียว

วันที่ ๓ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๖o







ผมปิดสมุดบันทึกในมือลงช้าๆ แล้วพยายามครุ่นคิดถึงอาการของคุณทวดทีน การที่อีกฝ่ายมีอิทธิพลกับเขาจนถึงขนาดที่ว่าทำให้เขาไม่สามารถทำสิ่งที่เคยทำตามปกติได้เพียงเพราะอีกฝ่ายประสบอุบัติเหตุแบบนี้ น่ากลัวว่ามันจะเป็นความรู้สึกที่มากกว่าแค่สนใจเสียแล้ว






...หรือคุณทวดจะเป็นเกย์จริงๆ...






‘สถานีถัดไป.....’






เสียงบอกสถานีที่ดังขัดขึ้นมาทำให้ผมต้องรีบเก็บสมุดลงไปในกระเป๋าแล้วเตรียมตัวลุกขึ้น ไม่นานเกินรอผมก็กลับมาเดินอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคยในสภาพที่มีคนพลุกพล่านเหมือนอย่างทุกวัน แม้รอบด้านจะเข้าสู่ความมืดจนต้องอาศัยความสว่างจากหลอดไฟ แต่ชาวเมืองหลวงก็ไม่มีท่าทีว่าจะกลับบ้านนอนกันแต่อย่างใด ห้างสรรพสินค้ายังคงครึกครื้น ตลอดเส้นทางเดินริมถนนก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน







เมืองแห่งผีเสื้อราตรีจริงๆ เลยนะ






ผมคิดขำๆ ก่อนจะกดปุ่มที่เสาไฟจราจรเพื่อข้ามถนน เลขสีแดงกำลังลดจำนวนลงอย่างสม่ำเสมอ ผมเงยหน้ามองฟ้าอย่างเหม่อลอย รู้ตัวอีกทีก็มีเสียงสัญญาณจากเสาไฟจราจรให้ข้ามถนน







คงเพราะผมเพิ่งหลุดจากภวังค์มาหมาดๆ เลยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งที่ไม่ได้หยุดตามสัญญาณไฟจราจร
กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็ลอยเคว้งอยู่บนฟ้าก่อนจะกระแทกพื้นภายในเสี้ยววินาที







ผมได้ยินเสียงกรีดร้อง

ผมเห็นแสงไฟพร่าๆ จากเสาไฟริมถนน

ผมได้ยินเสียงคนตะโกนโหวกเหวกไปมา

ผมอยากตะโกนบอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร แต่ทำไมถึงเปล่งเสียงออกไปไม่ได้ก็ไม่รู้ เสี้ยววินาทีต่อมาถึงได้รู้ว่าร่างทั้งร่างมันเจ็บจนแทบแหลก







...เจ็บ...
เจ็บจนรู้สึกอยากตายให้มันจบๆ







ภาพตรงหน้ามันพร่าเลือนไปหมด




น้ำเหนียวๆ ที่ไหลเข้าตาคืออะไรกันนะ



เพิ่งจะนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกทีนเลยว่าผมกำลังจะกลับ อีกฝ่ายต้องเป็นห่วงอยู่แน่ๆ

เพิ่งนึกได้ว่าไอ้ไม้เพิ่งคบกับน้องหยกได้ไม่นาน ไม่รู้จะไปกันรอดรึเปล่า เป็นห่วงมันเหมือนกัน

เพิ่งจะนึกได้ว่ายังไม่ได้คืนเงินให้หวาน แถมยังไม่ได้โทรขอบคุณเจ๊ปืนอีกรอบเลย

เพิ่งจะนึกได้ว่าไม่ได้ติดต่อพ่อกับแม่มานานมากแล้ว พวกท่านต้องคิดถึงผมแน่ๆ

ยังมีเรื่องที่เพิ่งจะนึกได้อยู่เต็มไปหมด






...แย่จริงๆ...





‘อยากเจอ อยากเจอพี่อีกสักครั้ง’




เสียงผมนิ แต่จำไม่เห็นจะได้เลยว่าเคยพูดอะไรแบบนั้นไว้เมื่อไหร่




‘ผมขออธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ให้ผมได้เจอพี่อีกครั้ง ได้โปรด ฮือ ได้โปรด’





เสียงนั้นดูเจ็บปวดและอ่อนล้าเหมือนผมในตอนนี้ไม่มีผิด




ว่าแต่ผมเคยพูดอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ






แย่จริง ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด






จู่ๆ ภาพตรงหน้ามืดไปหมด เสียงโหวกเหวกก็เบาลงไปแล้ว ความเจ็บปวดก็ค่อย ๆ ลดลง ร่างทั้งร่างเบาโหวงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน






แย่จริงๆ เพิ่งจะรู้ว่าความตายเป็นอย่างนี้นี่เอง...






หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 6 [100%] (24/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 24-10-2017 19:08:37
กำลังอิน รู้สึกเศร้าจัง
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 6 [100%] (24/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 24-10-2017 20:14:39
สงสารรรร มอส
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 6 [100%] (24/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 25-10-2017 10:30:43
สนุกมากค่ะ
มาต่อไวๆน้า :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 6 [100%] (24/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 25-10-2017 20:00:52
บทที่ 7 ประสบ [ครึ่งแรก]








ผมปวดไปทั้งตัว ปวดจนรู้สึกอยากนอนหลับไปเสียจะได้ไม่ต้องมารับรู้ความเจ็บปวดนี้







ตรงอกของผมเหมือนมีอะไรก้อนอะไรบางอย่างตั้งทับอยู่จนหายใจไม่สะดวก ผมพยายามโกยอากาศเข้ามาในปอดมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ





หูของผมได้ยินเสียงโหวกเหวกของผู้คน ต่อมาก็รู้สึกว่ามีใครสักคนเอามือตบหน้าเบาๆ






น่ารำคาญ คนจะหลับจะนอน








ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ เสียงพวกนั้นน่ารำคาญเสียจนผมต้องยอมลืมตาขึ้นในที่สุด สิ่งแรกที่รับรู้ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาคือตัวของผมนั้นเปียกโชก ต่อมาคือมีคนอยู่รอบตัวผมเต็มไปหมด






แต่คนพวกนี้เป็นใคร







ผมมองการแต่งตัวของพวกเขาแล้วรู้สึกแปลกพิกล เสื้อผ้าก็ดูวินเทจผิดที่ผิดทาง พอลองมองไปรอบๆ จึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงกลางวันต่างจากก่อนที่ผมจะหมดสติไป







จริงสิ ผมโดนรถชนนี่นา แล้วทำไม...







ผมควรจะลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเพดานของโรงพยาบาลสิ แล้วนี่คืออะไร ทำไมผมถึงมานอนอยู่ริมคลองด้วยสภาพเปียกโชกแถมยังมีคนแปลกๆ ล้อมรอบเต็มไปหมด








เกิดอะไรขึ้น









“เอ็งเป็นอะไรไหมไอ้หนุ่ม”
เสียงของคนทางขวาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลใจ






ต้องเป็นผมสิที่กังวลใจ







“ข้าว่าอาการไม่ดีเลย มีใครไปบอกครูบุญรึยัง”

“ให้เด็กมันไปบอกแล้ว แต่ครูยุ่งมาก ไม่รู้จะปลีกตัวมาได้ไหม เห็นว่าเด็กนี่บ้านอยู่แถวคลองบางลำพูตรงนี้เอง”

“นี่ลูกเจ๊กเลิศใช่ไหม โชคช่วยจริงๆ”

“เออ เคราะห์ดีแท้ๆ ที่ไม่ตาย”




เสียงโต้ตอบของผู้คนตอบโต้กันไปมาที่ดังเซ็งแซ่อยู่รอบด้านทำให้ผมรู้สึกอึดอัดและงุนงง





เกิดอะไรขึ้น





พวกเขาพูดอะไรกัน ไม่เห็นเขาใจเลยสักนิด






ทันใดนั้นกลุ่มไทยมุงตรงหน้าก็ถูกแหวกออกด้วยร่างของชายร่างสูงกำยำคนหนึ่ง เจ้าของผิวสีแทนที่เพิ่งมาใหม่วิ่งปรี่เข้ามาหาผมที่นั่งกองอยู่กับพื้นจนผมสะดุ้งหนี





ใครวะเนี่ย






“ไอ้กร เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง ตอนได้ยินว่าเองตกไปในคลองบางยี่ขันหัวใจข้าเกือบวาย”

ผมเลิกคิ้ว

“กร?”

“เอ้า ก็เรียกชื่อเอ็งไง นี่ตกลงไปหัวกระแทกหินหรืออย่างไรจึงจำชื่อตัวไม่ได้”


กรอะไร นี่มอส มอสเว้ยมอส


“ผมว่าผมไม่ได้ชื่อกรนะครับ”

คราวนี้กลับเป็นอีกฝ่ายที่ขมวดคิ้วยุ่ง

“เอ็งนี่พูดจาแปลกๆ นะ”

ผมสูดหายใจเข้าอีกครั้ง

“ผมไม่ได้ชื่อกรครับ”






สิ้นคำของผมเสียงเซ็งแซ่จากรอบด้านก็พลันเงียบลง ผมกวาดตามองทุกคนที่รายล้อม พวกเขาจ้องมองมาที่ผมด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก






นี่มันบ้าอะไรกัน หรือผมจะฝัน?






คิดได้ดังนั้นจึงหยิกแก้มตัวเองแรงๆ ไปหนึ่งทีจนต้องร้องออกมา






โอเค ไม่ได้ฝัน





เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!







ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ พวกเขามองผมหยิกแก้มตัวเองเงียบๆ จนกระทั่งมีเสียงของชายชราคนหนึ่งพูดขึ้น
“ข้าว่ามันจะโดนผีเข้าเอานะพ่อมั่น”

ชายหนุ่มตรงหน้าผมหันไปมองคนพูดสลับกับมองหน้าผม

“ข้าว่ามันน่าจะยังตกใจจากการตกน้ำน่ะจ๊ะ ขวัญคงหนีไป”






มึงพูดอะไรกันครับ มอสฟังไม่เข้าใจ ผมไปตกน้ำตอนไหนกัน ผมโดนรถชนครับเว้ย








ถึงแม้ใจจริงอยากจะตะโกนออกไปแบบนั้น อยากจะทำตัวตีโพยตีพายต่างๆ นานา แต่เพราะคิดว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์เลยนั่งเงียบทำหน้าโง่แบบนี้ดีกว่า ถึงจะตกใจแต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างแปลกๆ







คำพูดคำจา สภาพแวดล้อม รวมไปถึงการแต่งกายของผู้คนตรงหน้าผมมันประหลาดไปหมด เหมือนตัวอย่างย้อนเวลากลับไปร้อยปีที่แล้วเห็นจะได้







เดี๋ยวนะ ร้อยปีที่แล้วเหรอ...








“วันนี้วันที่เท่าไหร่เหรอครับ”




ดวงตานับสิบคู่กลับมาจ้องผมด้วยความฉงนจนผมต้องย้ำคำถาม
“ไม่ทราบว่า วันนี้คือวันที่เท่าไหร่เหรอครับ”




ผู้ชายตรงหน้าผมขมวดคิ้ว
“วันที่ 3 มีนาคม เอ็งจะถามทำไม”

“ปีล่ะ”




ท่าทางกระตือรือร้นของผมทำให้เขาขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า
“ข้าถามว่าเอ็งถามทำไม”

“ตอบๆ มาเถอะน่ะ”



ท่าทางหงุดหงิดของผมทำให้เขาถอนหายใจ
“พ.ศ. 2460 เอ็งจะถามทำไมเนี่ย”





ผมตัวชาวาบ





วันที่ 3 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2460






บันทึกหน้าล่าสุดที่ผมเพิ่งอ่านถูกบันทึกไว้ในวันที่ วันที่ 3 เดือนมีนาคม พ.ศ.2460 มันจะไม่แปลกอะไรเลยถ้าในบันทึกไม่ได้กล่าวถึงเด็กหนุ่มชื่อกรวิกที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุตกน้ำไป







ผมก้มหน้ามองตัวเอง






ผิวของผมขาวขึ้นกว่าที่เคยเห็น แขนขาก็เล็กกว่าที่เคย ชุดที่ใส่อยู่ก็ดูแปลกหูแปลกตา แม้เสียงพูดจะเหมือนเดิมแต่หลายๆ สิ่งกำลังยืนยันว่าผมไม่เหมือนเดิม







นี่คงไม่เกิดเรื่องตลกประเภทโดนรถชนแล้ววาร์ปวิญญาณย้อนอดีตมาหรอกนะ







ผมหัวเราะแห้งๆ กับความคิดของตัวเองและพยายามรวบรวมสติ แต่ก็ถูกอีกคนเอามือมาจับเขย่าตัวเสียก่อน
“นี่เอ็งสบายดีไหม ถ้าไม่ไหวข้าจะพาไปโรงหมอ”



ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาแล้วก็นึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“ผมชื่ออะไรเหรอครับ”

อีกฝ่ายขมวดคิ้วหนักจนแทบชนกัน
“ข้าว่าเอ็งไปหาหมอเถอะ”





ทันทีที่พูดจบเขาก็ผลุดลุกขึ้นยืนพลางใช้มือใหญ่นั่นกระชากข้อมือผมให้ลุกขึ้นยืนด้วย





ถึงตัวผมจะเล็กกว่าแต่ผมก็สู้คนนะ





คงเพราะเป็นผู้ชายทั้งคู่ เมื่อเขาฉุดแล้วผมไม่ไป อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะดึงผมให้ลุกขึ้นยืนได้โดยง่าย






ผมเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ของอีกคนที่กำข้อมือผมไว้แน่น
“ตอบมาก่อนว่าผมชื่ออะไร”

เขามีท่าทีหงุดหงิด
“ก็ข้ากำลังจะพาเอ็งไปโรงหมอนี่ไง”

“มั่น”
ผมลองเรียกชื่ออีกคนตามคุณลุงเมื่อครู่





ได้ผลครับ อีกฝ่ายหยุดชะงักก่อนจะสบตาผมนิ่ง
“ผมชื่ออะไรเหรอครับ”






พวกเราสบตากันอยู่อึดใจก่อนที่อีกฝ่ายจะยอมพูดปากขึ้นมาด้วยท่าทีหงุดหงิดไม่น้อย





“ไอ้กร ชื่อจริงชื่อกรวิกลูกเจ๊กขายขนมที่ตลาดเล็กๆ ริมคลองบางลำพู พอใจรึยัง”






เพียงเท่านั้นผมก็เข้าใจทุกอย่าง เสียงที่ได้ยินมาตลอดคงเป็นเสียงของคุณทวดทีนที่พูดกับกรวิก






...และผมคือกรวิก...






ไม่สิ ต้องเรียกว่าวาร์ปเข้ามาใช้ร่างเขามากกว่า







โอ๊ย สับสนครับ มอสงง มอสไม่ไหวแล้ว มอสอยากจะบ้า







หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 7 [ครึ่งแรก] (25/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 25-10-2017 20:34:46
ว้าว~ มอสวาร์ปมายังอดีตแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นละเนี่ย แล้วมอสจะกลับไปปัจจุบันได้รึเปล่านะ?  :serius2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 7 [ครึ่งแรก] (25/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 26-10-2017 07:43:59
ติดตามจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 7 [ครึ่งแรก] (25/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 27-10-2017 19:04:02
บทที่ 7 ประสบ [ครึ่งหลัง]






ผมกำลังทำหน้าซังกะตายใส่คนนั่งข้างๆ ที่คอยถามผมทุกห้าวินาทีว่า ‘เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง’ ท่ามกลางผู้คนมากมายที่มารอพบหมอในโรงหมอเล็กๆ แห่งนี้



หลังจากอีกฝ่ายฉุดกระชากลากถูผมมาจนถึงสถานที่ที่เจ้าตัวเรียกว่าโรงหมอได้สำเร็จ ผมจึงมีโอกาสได้เห็นใบหน้าตัวเองผ่านกระจกบานเล็กบนฝาผนังเป็นครั้งแรก




ภาพสะท้อนในกระจกคือเด็กหนุ่มที่ดูเด็กกว่าร่างเก่าของผม รูปร่างก็ผอมบางกว่า ตัวก็เตี้ยกว่าแต่เพราะเขาดูเด็กกว่าผม ประเมินจากสายตาคงแค่สิบหกสิบเจ็ดปี ท่าทางจะยังสูงได้อีก หรือจะพูดอย่างง่ายก็คือรูปร่างภายนอกของผมกับเขาต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้แต่ใบหน้าก็ไม่มีส่วนเหมือน แต่สิ่งเดียวที่ยังเหมือนเดิมกลับเป็นเสียง




เสียงของผมไม่ได้เปลี่ยนไป




แปลก แปลกมากๆ





อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปชัดเจนที่สุดก็คือสภาพแวดล้อมรอบข้าง มันเก่า กรุงเทพไม่เหมือนที่เคยเห็น ทุกที่ไร้เทคโนโลยีที่ผมเคยชิน ผู้คนพูดจาด้วยคำโบราณแปลกหู รถม้าที่แทบไม่เห็นแล้วก็วิ่งกันทั่วบนท้องถนน แม้แต่ในสถานที่ที่เรียกว่าโรงหมอแห่งนี้ก็ไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยเหมือนอย่างที่คุ้นตา






ตัวผมอยู่ในร่างที่ไม่คุ้นตาและต้องมาอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นชิน จะว่าตกใจก็ตกใจ จะว่าปลงก็ปลง






ต่อให้รู้ว่าวาร์ปมาเพราะอะไรแล้วจะทำยังไงต่อ ผมไม่ใช่โดราเอม่อนที่สามารถดึงของวิเศษมาแล้วพาตัวเองกลับไปได้เสียหน่อย






“นี่เอ็งไหวรึเปล่า ให้ข้าเรียกหมอไหม ท่าทางเอ็งดูไม่ดีเลย ใบหน้ารึก็เคร่งเครียด”

มันเล่นพาผมมาโรงหมอทั้งๆ ที่ตัวยังเปียกโชก เป็นใครก็เครียดครับ

“ผมแค่ตกน้ำนะครับ จะไปลัดแถวคนอื่นเขาทำไม ใจเย็นเถอะครับ”
“จะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร เอ็งเปลี่ยนไปราวกับคนละคน คำพูดคำจาก็พิกล”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แล้วอะไรล่ะครับที่ว่าเปลี่ยนไป”

อย่างน้อยก็ขอรู้หน่อยเถอะว่ากรวิกเป็นคนแบบไหน ในฐานะผู้อาศัยก็ไม่ควรทำให้เจ้าของร่างเดือดร้อนน่ะนะ

เขาทำหน้าครุ่นคิดพลางมองผมอย่างไม่ไว้ใจไปพลาง
“ก็คำพูดคำจาเอ็งแปลกๆ”

แหงล่ะ ก็ผมไม่ใช่กรวิกอะไรนั่นสักหน่อย นี่มอส มอสเว้ย

“แล้วเมื่อก่อนผมพูดจายังไงเหรอครับ”
“อย่างไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ไม่ใช่วิธีพูดเหมือนพวกผู้ดีแบบนี้แน่”

แหม เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีวิธีการพูดเหมือนพวกผู้ดี
“แล้วต้องให้ผมพูดยังไงเหรอครับถึงจะเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา เอ็งกับข้า หรือกูกับมึงดีครับ”

เขาทำหน้าแขยงใส่ผมแล้วเงียบไป






ดูๆ ไปไอ้มั่นคนนี้ก็มีส่วนเหมือนไอ้ไม้อยู่เหมือนกัน




หรือผมจะย้อนกลับมาในอดีตชาติของตัวเองหรืออะไรเทือกๆ นั้นกันน้า






“อดีตชาติ อย่างไรเสียก็เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว สิ่งที่เราควรทำคือใช้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคตให้ถูกครรลองคลองธรรมและหมั่นรักษาความดีไว้ให้เป็นสิริมงคลแก่ตัว”




คำพูดของหลวงลุงที่แว่บกลับเข้ามาทำให้ตัวผมชาวาบ



“คำอธิษฐานนั้นมีพลังมากกว่าที่เราคิดนะโยม”




พอนึกถึงประโยคนี้ได้ก็ทำได้แค่อุทานว่า ‘ฉิบหาย’ อยู่เงียบๆ ในใจ




เท่าที่เดาได้ตอนนี้คือผมในอดีตชาติก็คือกรวิก และกรวิกไปอธิษฐานอะไรสักอย่างเอาไว้ ทำให้ผมซึ่งวิญญาณออกจากร่างเพราะโดนรถชนเลยโดนวาร์ปเข้ามาอยู่ในร่างของตัวผมเองในชาติที่แล้ว


ปุจฉา: แล้ววิญญาณกรวิกไปไหน
วิสัชนา:  ไม่รู้
ปุจฉา: แล้วมอสจะได้กลับร่างเดิมไหม
วิสัชนา: ไม่รู้เหมือนกัน





ผมถอนหายใจแล้วหัวเราะแห้งๆ กับการถามเองตอบเองในหัวของตัวผมเอง




คงใกล้บ้าแล้วล่ะมั้ง




ในขณะที่ผมกำลังกลุ้มแทบบ้า ไอ้คนนั่งข้างๆ ก็สะกิดผมยิกๆ
“ไอ้กร หมอเรียกแล้ว”

มอสจะบ้า มอสอยากตายครับมอสอยากตาย

“เออๆ”

ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยวแล้วเดินเข้าไปในห้องตรวจ







สภาพในห้องตรวจดูไร้ความทันสมัยไม่ต่างจากด้านนอก ทั้งห้องมีเพียงโต๊ะทำงานของหมอ เก้าอี้นั่งตรงข้ามกับโต๊ะหมอของคนไข้และเตียงน้อยๆ หนึ่งเตียง




เพิ่งเข้าใจคำว่าการพัฒนาทางเทคโนโลยีก็วันนี้ล่ะ





“ไปโดนอะไรมารึ”
“ตกน้ำครับ”

เขาพยักหน้า
“ก็พอรู้อยู่”


เออ ตัวเปียกโชกขนาดนี้เป็นใครก็รู้


“แล้วตอนนี้ดีขึ้นรึยัง”
“ก็...ไม่แย่ครับ”

เขามองหน้าผมนิดหน่อยก่อนจะก้มลงเขียนอะไรขยุกขยิก
“เรียบร้อยแล้ว ไปได้”



โอ้โห ถ้าจะมาแค่นี้ไม่ต้องมาก็ได้โว้ย





ถึงจะก่นด่าในใจไปแบบนั้นผมก็เดินออกมาตามคำสั่งด้วยท่าทีงุนงง ทันทีที่เห็นว่าผมเดินออกมาอีกคนก็ถลาเข้ามาหา




ใช่ครับ ถลา




“มึงจะวิ่งเข้ามาทำไมเนี่ย”
ผมว่าพลางถอยหนี เพราะอีกฝ่ายพุ่งถลาเข้ามาทำให้ผมเผลอหยาบคายใส่อย่างลืมตัว



เอ...แต่ไม่รู้ทำไม พอมองหน้าไอ้มั่นแล้วรู้สึกอยากหยาบคายใส่พิกล




“เออ หมอเขาดีนะ เข้าไปเดี๋ยวเดียวออกมาเป็นปกติเลย”

ฮะ อย่าบอกนะว่า...

“คือที่มึงบอกว่ากูแปลกไปนี่คือ...กูหยาบคายน้อยลงเนี่ยนะ”



เขาพยักหน้ารัว
“จริงๆ คำพูดคำจามึงก็แปลกๆ ไปนะ แต่พอมึงกลับมาหยาบคายแบบนี้แล้วข้าก็โล่งใจ”




โอ้โห นี่มันไอ้ไม้ชัดๆ




“เดี๋ยวข้าไปจัดการค่าหมอก่อนนะ เดี๋ยวมา”
“เดี๋ยวๆ”


ผมคว้ามือมันไว้ทันก่อนที่มันจะวิ่งไปช่องจ่ายเงิน


“ค่าหมอเท่าไหร่น่ะ”

มันตบบ่าผมเบาๆ

“มึงไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“ไม่ได้สิ กูรักษาตัวกู กูก็ต้องจ่ายเอง”
“แล้วมึงมีเงินอยู่กับตัวรึ”

ผมชะงัก

“ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะไปกินขนมบ้านมึงทุกวันเลยดีไหม จะได้หายกัน”



ผมค่อยๆ ปล่อยมือตัวเองจากข้อมือของอีกฝ่าย



เขาฉีกยิ้มกว้างให้ผมแล้วเดินไปจัดการค่าใช้จ่าย ทิ้งผมไว้ตรงม้านั่งเพียงลำพัง




บ้านเหรอ





นั่นสิ ทุกคนทางนู้นจะเป็นยังไงบ้างนะ




แม่จะร้องไห้ไหมนะ





คิดได้แค่นั้นนัยน์ตาของผมก็ร้อนผ่าวจนต้องยกมือขึ้นมาทำเป็นขยี้ตาแล้วปาดน้ำตาออกไปก่อนที่มันจะไหลลงมา
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าจะมัวมานั่งปลงอยู่ไม่ได้ ยังมีคนที่รอผมกลับไป




ผมต้องกลับไป












หลังจากมั่นจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายให้ผมเรียบร้อย เจ้าตัวก็รีบพาผมกลับมา ‘บ้าน’



...บ้านที่ไม่ใช่บ้านของผม....



สิ่งก่อสร้างที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เป็นอาคารไม้ซอมซ่อชั้นเดียวหันหน้าเข้าหาคลองเล็กๆ อีกฝากของคลองก็มีบ้านเรือนของผู้คนเรียงตัวกันแน่นขนัดไม่ต่างกับฝั่งนี้เท่าไหร่




ท่าทางคงเป็นชุมชนที่คึกคักไม่น้อย




ตรงบริเวณหน้าบ้านที่ผมยืนอยู่มีแคร่ไม้ไผ่ตั้งกินพื้นที่หน้าบ้านไปแทบทั้งหมด บนแคร่มีถาดใส่ขนมไทยหลายชนิดแยกเอาไว้อย่างสวยงาม ส่วนข้างๆ แคร่ก็เป็นเตาถ่านที่ดูเหมือนเพิ่งจะมอดไปเมื่อไม่นานมานี้



เป็นร้านขายขนมไทยอย่างที่เขียนไว้ในบันทึกไม่มีผิด



“ลุงเลิศ ป้านวล มีใครอยู่บ้านไหมจ๊ะ”


โอเค ผมต้องจำไว้ว่าพ่อแม่ของกรวิก...พ่อแม่ของผมในตอนนี้ชื่อเลิศกับนวล




แค่เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็มีตัวละครโผล่มาเต็มไปหมด มอสจะบ้า




ไม่กี่อึดใจต่อมาก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งในชุดผ้าซิ่นกับเสื้อผ้าฝ้ายเหมือนคนไทยธรรมดาเดินออกมาจากในบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม




ไหนในบันทึกบอกว่าบ้านกรวิกเป็นบ้านคนจีนไง




“อ้าวพ่อมั่น ไปมาอย่างไรถึงมากับไอ้กรได้ละ แล้วทำไมเอ็งตัวเปียกอย่างนั้นล่ะไอ้กร”

“มันตกคลองบางยี่ขันลงไปน่ะจ๊ะ ไม่รู้เดินอีท่าไหน โชคดีที่คนแถวนั้นเขาช่วยไว้ทัน”

“พุทโธ่! ไปทำอีท่าไหนของเอ็งล่ะไอ้กร ”


เธอโบกมือไล่ผมเข้าไปในบ้าน
“ไปๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียให้เรียบร้อย เดี๋ยวก็ป่วยอีก”

“ครับแม่”
ผมตอบไปด้วยคำที่คิดว่าปกติที่สุดแต่อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้วยุ่งใส่ผม





นี่กูทำอะไรผิดอีกเนี่ย





“ป้าเอ๊ย ไอ้กรมันตกน้ำคงขวัญหนีน่ะจ๊ะ ตั้งแต่ตื่นมามันก็ทำท่าทางแปลกๆ พูดแปลกๆ มาหลายคราแล้ว”



กูไม่ได้แปลกเว้ย กูแค่ไม่ใช่ไอ้กร



มอสจะบ้า มอสจะบ้า




ผมลอบถอนหายใจปลงๆ แล้วเดินเข้าไปในบ้านก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าผมไม่รู้จักบ้านหลังนี้เลยสักนิด
แล้วห้อง ‘ไอ้กร’ มันอยู่ตรงไหนล่ะเนี่ย




“อ้าว ไยยังไม่ไปผลัดเสื้อผ้าอีก เดี๋ยวก็เป็นไข้หรอก”
เสียงของ ‘แม่’ ที่ตะโกนตามมาทำให้ผมต้องรีบเดินเข้าไปข้างใน





เอาเถอะ มั่วๆ ไปเดี๋ยวก็คงเจอเอง คงไม่มีอะไรแจ็กพอตไปกว่า...




“นั่นลื้อจะเดินเข้าห้องอั๊วทำไมน่ะ”
เสียงหวานๆ ติดสำเนียงจีนที่ร้องทักขึ้นจากทางด้านหลังทำให้ผมต้องหันขวับไปมอง คนที่ผมเห็นคือผู้หญิงสาววัยสักประมาณสิบเก้ายี่สิบปีในชุดเสื้อคอจีนกำลังกอดอกจ้องผมเขม็ง





อา..ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ของไอ้กรถึงขมวดคิ้วยุ่งตอนที่ผมบอกว่าครับแม่




รีบสวมรอยสิครับรออะไร





“เอ่อ...ม้าบอกให้อั๊วมาเปลี่ยนเสื้อน่ะครับ”

ผมเห็นเธอขมวดคิ้ว
“แล้วไปทำอะไรมาถึงตัวเปียกขนาดนี้”

ผมฉีกยิ้มแห้งหวังกู้สถานการณ์
“อั๊วตกคลองบางยี่ขันน่ะครับ”

ผมเห็นเธอทำสีหน้าตกใจ
 “แล้วลื้อไปหาหมอรึยัง”

“ไปมากับมั่นแล้วครับ”

เธอถอนหายใจ
“โล่งอกไป นี่คงยังสับสนอยู่ล่ะสิ เอ้าๆ ไปเปลี่ยนเสื้อไป ห้องลื้ออยู่ด้านในนู้น”






ถ้าเป็นครอบครัวคนจีนก็ต้องเรียกตามลำดับการเกิด ประเด็นสำคัญในตอนนี้คือ...เธอเป็นพี่หรือเป็นน้องของผมกันนะ





เอาวะ ลองเสี่ยงดู




“เจ้”
อีกฝ่ายมองหน้าผมนิ่ง




ฉิบหาย ไอ้มอสเรียกผิดแน่นอน





พอคิดได้ดังนั้นจึงใช้ยิ้มแห้งแก้สถานการณ์อีกครั้ง
“เอ้า เรียกแล้วก็ไม่พูดต่อ มีอะไรก็ว่ามาสิ”





อ้าว ถูกด้วย




“เจ้ช่วยพาผม...เอ๊ย พาอั๊วไปที่ห้องหน่อยได้ไหมครับ อั๊วเจ็บขา”
หลังจากนั้นผมก็งัดสกิลแอคติ้งขั้นเทพที่สู้อุตส่าห์ไปเรียกที่อักษรอยู่ร่วมเทอมมาใช้แทบจะทันที อีกคนที่เห็นผมทรุดลงเล็กน้อยก็รีบมาประคอง


“ไอ๊หยา ลื้อโชคดีนะที่แค่เจ็บขาน่ะ มาๆ อั๊วช่วย”



สำเร็จ





หลังจากเดินผ่านห้องของเธอเข้ามาอีกหน่อยก็จะเป็นห้องของผมและมีอีกสองห้องถัดออกไป ที่เห็นเป็นโถงไกลๆ นั่นคงจะเป็นห้องครัว ห้องทุกห้องที่นี่ถูกแบ่งขั้นไว้ด้วยไม้กระดานบางๆ ซอยห้องออกเป็นสี่ห้องเล็กๆ ส่วนที่เหลือก็เหมือนจะปล่อยโล่งไว้
ก็ตามสถานะภาพทางการเงินล่ะนะ ได้ห้องส่วนตัวแค่นี้ก็ดีถมถืดแล้ว





เอ๊ะ แต่มันมีสี่ห้องแสดงว่าต้องมีสมาชิกอีกคนในบ้านสินะ





ช่างมันก่อนเถอะ






หลังจากเธอพาผมเข้ามานั่งที่เตียงในห้องได้ก็เอ่ยปากถามไถ่อีกครั้งก่อนจะออกไป ผมนั่งจ้องประตูที่เพิ่งปิดไปได้ไม่นานด้วยความคิดที่แสนจะสับสน




จะทำยังไงต่อไปดี

จะกลับไปได้ไหม

จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ยังไงต่อไป

พ.ศ. 2460 ชีวิตที่ไม่มีทั้งน้ำประปาและไฟฟ้า





ไม่สิ ถ้าเทียบตามประวัติศาสตร์ตอนนี้ก็เป็นยุคกลางรัชกาลที่หก ไฟฟ้าหรือประปาก็คงเริ่มมีใช้กันแล้ว






ผมกวาดสายตามองรอบห้อง






ในห้องนี้มีแค่เตียง โต๊ะเขียนหนังสือและตู้เสื้อผ้าเท่านั้น บนโต๊ะเองก็ไม่มีอะไรนอกจากตะเกียงน้ำมันก๊าดหนึ่งอัน







ยิ้มแห้งอีกหนึ่งครั้ง




ที่ไหนจะมีใช้ก็ไม่รู้ แต่คงไม่ใช่ที่นี่แน่ๆ






3 มีนาคม พ.ศ. 2460 งั้นเหรอ ปีนี้ก็เป็นช่วงที่ใกล้จบสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมากแล้ว เดี๋ยวช่วงกรกฎาคมไทยก็คงประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี พอปีหน้าออสเตรีย-ฮังการีก็จะแพ้สงคราม แล้วไทยก็จะขอเพื่อแก้สนธิสัญญา






อา ความรู้สึกของคนมาจากอนาคตเป็นแบบนี้นี่เอง





ผมหัวเราะฝืนๆ ให้กับความคิดของตัวเอง





ตลกไม่ออกเลยสักนิด จะเอายังไงดีล่ะมอส ในบันทึกของคุณทวดทีนก็ไม่ได้พูดถึงชีวิตฝั่งกรวิกมากมายนักก็เลยไม่รู้ว่าชีวิตที่ผมต้องใช้ต่อไปควรเป็นในทิศทางไหน






ไม่สิ ไม่ใช่ไม่พูดถึงแต่ยังอ่านไม่ถึงมากกว่า




นึกแล้วก็คิดถึงชีวิตที่จากมาไม่น้อย เรื่องทั้งหมดมันคงเริ่มจากเสียงแปลกๆ ที่บังเอิญได้ยิน ไม่รู้ว่าไปทำอะไรเข้าถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้






ผมคือกรวิกอย่างนั้นเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความผมต้องได้กับคุณทวดทีนอย่างนั้นเหรอ






ไม่สิ เรายังไม่อ่านไม่จบสักหน่อย เขาได้กันรึเปล่าก็ไม่รู้ คิดในแง่ดีไว้มอส นึกสภาพได้กับทวดของเพื่อนสิ...






หัวเราะแห้ง





แต่ถ้าเรื่องราวเป็นไปตามบันทึกจริง อีกไม่นานผมก็คงได้เจอกับคุณทวดของทีน และดูเหมือนเขาจะชอบผม...หมายถึงกรวิกอยู่ไม่น้อย แล้วผมควรจะทำยังไงดี ถ้าได้อ่านบันทึกจบไปแล้วก็คงดี







ผมถอนหายใจปลงๆ แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า สุ่มหยิบเสื้อผ้าฝ้ายกับกางเกงผ้าแพรในตู้มาใส่อย่างลวกๆ แล้วกลับมาทิ้งตัวนอนสงบจิตสงบใจอยู่บนเตียง






ผมไม่รู้ว่าคุณทวดของทีนจะมีส่วนทำให้ผมมาอยู่ที่นี่ด้วยรึเปล่า ไม่รู้ด้วยว่าถ้าเจอคุณทวดผมจะต้องทำตัวยังไง






เอ...แล้วคุณทวดของทีนนี่เขาชื่ออะไรกันนะ








หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 7 [ครึ่งหลัง] (27/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-10-2017 21:59:53
เอาล่ะสิ
มอส กลับสู่อดีต ไปเป็นกรวิก
จะได้เจอคุณทวดของทีนแล้ว  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 7 [ครึ่งหลัง] (27/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 28-10-2017 14:17:46
บทที่ 8 มือระนาด [ครึ่งแรก]





หลังจากเข้ามาในห้องผมก็ใช้ชีวิตนิ่งๆ อยู่บนเตียงอยู่อย่างนั้นเพราะผมยังไม่พร้อมจะออกไปเจอกับใครก็ไม่รู้ที่จู่ๆ ก็กลายมาเป็นคนในครอบครัวของผมเสียอย่างนั้น




พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวของผมเสียหน่อย




เอ แต่เขาว่ากันว่าคนที่มาเจอกันในชาตินี้คือคนที่เคยมีกรรมต่อกันในชาติที่แล้วสินะ

ผมขอยกให้ไอ้ไม้คือไอ้มั่นไว้ก่อนเลย ต้องเป็นมันแน่ๆ ตามมาเป็นเพื่อนกับผมได้ทุกภพทุกชาติจริงๆ





คิดแล้วก็อดหัวเราะกับความคิดพิเรนทร์ของตัวเองไม่ได้






ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนจนกระทั่งมีเสียงของหญิงวัยกลางคนตะโกนดังมาจากหน้าประตู
“อาโซ้ยตี๋ ลื้อดีขึ้นรึยัง ออกมาได้แล้ว มาเจี๊ยะปึ่งมา”



โซ้ยตี๋งั้นเหรอ นั่นแปลกว่าผมเป็นลูกชายคนสุดท้องสินะ



โอเค ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเจอใครหน้าไหนในบ้านก็แก่กว่าผมทุกคนสินะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะทักใครผิดๆ ถูกๆ แต่นั่นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่สุด...




...โซ้ยตี๋ก็มา เจี๊ยะปึ่งก็มา...





พวกเขาเป็นจีนแต้จิ๋วสินะ ขอบคุณพระรัตนตรัยที่ผมเองก็เกิดมาในครอบครัวคนจีน คำพวกนี้เลยไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมมากนัก
“กำลังไปแล้วม้า”





ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งก่อนจะเปิดประตูออกไปด้วยความหวั่นใจ






มอสต้องรอด มอสจะไม่ตาย





ผมเปิดประตูออกไปด้วยใจที่ระทึกพลางคิดว่าจะทำสีหน้ายังไงให้อาม้าดูดี แต่ปรากฏว่าพอเปิดออกไปปุ๊บหน้าห้องก็ว่างเปล่าปั๊บ พอหันซ้ายหันขวาจึงเห็นหลังอาม้าแว่บๆ เข้าไปในโถงที่ผมสันนิษฐานว่าเป็นครัวเสียแล้ว





เออ เอาเถอะ






“อาโซ้ยตี๋”
เสียงเรียกที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นทางด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งโหยง






ไอ้บ้า ไอ้บ้าเอ๊ย มอสหัวใจจะวาย





พอหันไปมองก็เห็นชายหนุ่มที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอาเจ้ที่ผมเจอเมื่อกลางวันกำลังยืนกอดอกมองผมอยู่



แล้วระหว่างสองคนนี้ใครแก่กว่ากันล่ะเนี่ย แต่นั่นจะสำคัญตรงไหนในเมื่อยังไงซะผมก็เป็นน้องเล็กสุดของบ้านอยู่ดี






“อาเฮีย มาไม่ให้สุ้มให้เสียง อั๊วตกใจนะ”
 “ก็เห็นอาหมวยบอกว่าลื้อตกน้ำตกท่าไป เป็นไงบ้างล่ะ”





ผมฉีกยิ้มแห้งอีกครั้ง


เขาไปเจอกันตอนไหนล่ะนั่น




“ก็ดีขึ้นแล้วเฮีย”

“แล้วนี่เดินได้แล้วเหรอ เห็นอาหมวยบอกว่าเจ็บเท้านิ”




อ้าว ฉิบหาย ลืมไปสนิท




“อะ...อ๋อ ดีขึ้นแล้วเฮีย ได้นอนพักขาน่ะ”

“ดีแล้ว”






ยังไม่ทันที่พวกเราจะได้พูดคุยกันต่อก็พลันมีเสียงตะโกนของอาม้าดังมาจากในครัว
“เฮีย มาเจี๊ยะปึ่งได้แล้ว”





อาม้าเรียกใครว่าเฮียกันน่ะ





ยังไม่ทันที่ผมจะสงสัยเสร็จก็มีเสียงตะโกนดังมาจากห้องที่อยู่ติดกับห้องครัวที่สุด
“โบ่ยโต้วขุ่งอา พวกลื้อเจี๊ยะกันไปเลย”


โอ้โห นี่มันจะเป็นจีนแอดวานซ์เกินความสามารถมอสไปแล้ว




ว่าแต่เสียงนั้นเป็นเสียงของ...





“อาป๊าเป็นอะไรอีกล่ะนั่น”

ขอบคุณครับเฮีย ตอบคำถามผมให้เสียเสร็จศัพท์เลย

“เฮีย ไม่เจี๊ยะไม่ได้นะ”

อาม้าไม่ว่าเปล่ายังเดินเปิดประตูเข้าไปเสียดื้อๆ







เออ ม้าเอาเรื่องเหมือนกันนะ





พออาม้าเข้าไปทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบชั่วอึดใจก่อนจะมีเสียงบ่นหงุงหงิงของอาป๊าดังออกมาจากในห้อง
“ลื้อนี่เซ้าซี้จริง เอ้า เจี๊ยะก็เจี๊ยะ”





ม้ามาว่ะ




“อ้าว ทำไมยังไม่เจี๊ยะปึ่งกันล่ะ”

เสียงของบุคคลใหม่ทำให้ผมต้องหันไปมอง แน่นอนว่าไม่ผิดจากที่ผมคาดไว้นัก อาเจ้ยืนอยู่ตรงนั้นในสภาพใส่เสื้อคอจีนสวยต่างจากเมื่อเช้าแถมถักเปียสองข้างน่ารักน่าชัง ท่าทางเหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอกหมาดๆ แถมใบหน้าก็ดูแช่มชื่นกว่าที่ผมเจอเมื่อเช้า







ไปหาหนุ่มมาแน่ๆ





“อาหมวยทำอะไรถึงกลับมาเอาเย็นย่ำป่านนี้”

“อั๊วจะทำอะไรอั๊วก็โตแล้วนะ ตั่วเฮียเถอะค่ะ ออกไปทำงานข้างนอกทุกวัน เงินก็ไม่เห็นจะได้มา กลับก็เย็นย่ำค่ำมืด ปล่อยอั๊วกับอาป๊าอาม้าทำงานกันอยู่สามคน อั๊วสิควรจะโวยวาย”






ยังไม่ทันที่ผมจะเข้าไปห้ามสถานการณ์พี่น้องทะเลาะกันตรงหน้าก็พลันมีเสียงตะโกนแหบทุ้มดังมาจากด้านหลังจนผมต้องหันขวับไปมอง






คนที่เดินโขยกเขยกออกมาจากห้องด้านในสุดเป็นชายชรา ใบหน้านั้นเหี่ยวย่นและดูเหนื่อยล้าแต่ก็ยังแฝงเอาไว้ด้วยความเข้มงวดดุดัน






สวัสดีครับอาป๊า ยินดีที่ได้เจอกัน






แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีใครมีอารมณ์มาเอ่ยทักทายกับผม






“อาหมวย ลื้อพูดอย่างนั้นกับอาตั่วตี๋ได้ยังไง ลื้อเป็นผู้หญิงก็ต้องอยู่บ้าน ช่วยงานพ่อแม่ที่บ้านก็ถูกแล้ว อาตั่วตี๋เป็นผู้ชายก็ต้องออกไปทำงานข้างนอก หาความเจริญให้วงศ์ตระกูลแล้วมันจะผิดตรงไหน”




จีนแท้ จีนแท้แน่นอน





บรรยากาศรายล้อมผมเริ่มระอุอุ่นจนผมเริ่มอยู่ไม่สุข ต่างฝ่ายต่างขึ้นเสียงใส่กันอย่างเผ็ดร้อน





จะตีกันก็ตีไปเถอะ แต่อย่าลามมาตีผมนะ ผมไม่สู้คน




“ป๊า! แต่อาเฮียไม่เคยได้เงินกลับมาเลยนะ”

“แล้วมันกงการอะไรของลื้อ เป็นผู้หญิงก็อยู่ส่วนผู้หญิงไป อย่าไปก้าวก่ายหน้าที่ของผู้ชายในบ้าน อาตั่วตี๋ก็เคยบอกแล้วว่าช่วงแรกๆ มันจะไม่ได้เงิน ลื้อจะไปยุ่งอะไรนักหนา”



โอย โอย ใครก็ได้พามอสออกไปจากตรงนี้ที




“ป๊าเข้าข้างแต่อาเฮีย ไม่เคยสนใจความถูกต้อง”



เหมือนน้ำมันเจอกับไฟ ทันทีที่สิ้นสุดประโยคของอาเจ้เสียงแหบทุ้มของคนด้านหลังผมยิ่งดังมากขึ้นไปอีก




“ซี้ซั้วต่า! พูดจาเหมือนพ่อแม่ไม่สั่งสอน ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ลื้อเอาอะไรมาพูดว่าอั๊วไม่สนใจความถูกต้อง!”




โอย โอย ใครก็ได้พากูออกไปที




หลังจากจบประโยคนั้นของอาป๊าอีกฝ่ายก็เงียบไปเสียเฉยๆ พอผมกลั้นใจหันไปมองหน้าอาเจ้ก็พบว่าใบหน้าสวยหวานนั้นดูเคร่งขรึม นัยน์ตาเรียวอย่างคนจีนของเธอแดงก่ำอย่างคนอดกลั้นแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมา ทุกคนเงียบอยู่อย่างนั้นเพียงอึดใจก่อนที่อาเจ้จะเดินปึงปังเข้าไปในห้องตัวเองทิ้งสามหนุ่มกับอาม้าไว้ด้านนอกกับความอึดอัด





เจ้เอ๊ยเจ้






“เฮีย ช่างอาหมวยอีเถอะ มาเจี๊ยะปึ่งกัน”

“เพราะลื้อเอาแต่ให้ท้ายอีแบบนี้ไง อีเลยเสียคน เอาแต่พูดจาไร้กาลเทศะแบบนี้!”

ในขณะที่ทุกคนคิดว่าสงครามจบแล้วอาป๊าก็หันมาเปิดศึกกับอาม้าต่อ แต่คราวนี้กลับต่างออกไป คงเพราะอาม้าเป็นผู้หญิงตามขนบจีนขนานแท้ ท่านจึงไม่เถียง ไม่พูดอะไรสักคำ ปล่อยให้อาป๊าพูดด่าเธอปาวๆ จนพอใจแล้วเดินปึงปังเข้าห้องไปเอง





นี่แค่วันแรกยังเจออะไรขนาดนี้ ต่อไปจะขนาดไหนล่ะเนี่ย






ผมลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วมองหน้าหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้นดูเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด หยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาเธอได้ไม่นานก็ถูกปาดออกไป ผมยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นในขณะที่อาเฮียที่ยืนอยู่ข้างผมส่ายหัวแล้วเดินตรงเข้าไปในครัวพร้อมกับบ่นพึมพำเบาๆ





...แต่ก็ดังพอที่จะทำให้ผมซึ่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยิน...






“บ้านนี้มีแต่เรื่องน่ารำคาญ”





ให้ตายสิ ครอบครัวนี้มันยังไงกัน





เมื่อตรงทางเดินเหลือแค่ผมกับอาม้าที่ยังยืนปาดน้ำตาเงียบๆ ผมจึงถอนหายใจอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปหาท่าน

“ไม่เป็นไรนะอาม้า เราไปเจี๊ยะปึ่งกันเถอะ”

ใบหน้าเศร้าหมองพยักหน้าช้าๆ แล้วเดินไปตามการจับจูงของผม






เมื่อเดินเข้าไปในส่วนโถงก็พบว่ามันไม่ผิดจากที่ผมเดาไว้นัก ตรงโถงเป็นห้องครัว มีอุปกรณ์เครื่องครัวเต็มไปหมด ตรงมุมห้องมีประตูหลังบ้าน เดาว่าออกไปคงเจอห้องส้วมแยกอยู่เล็กๆ ลานอาบน้ำก็คงอยู่ไม่ไกลกัน






พอมาคิดดูดีๆ บ้านหลังนี้ก็ใช้ว่าจะยากจนข้นแค้น ต้องเรียกว่าฐานะปานกลางค่อนไปทางดีมากกว่า เพราะถึงขนาดที่คนในบ้านมีห้องนอนส่วนตัวกันทุกคน แม้จะเล็กและซอมซ่อแต่ก็มีดีกว่าบ้านอื่นๆ ห้องส้วมเองก็คงไม่แย่นัก ถ้าให้เดาจากฐานะและสภาพชุมชนรอบด้านที่ค่อนข้างมีพื้นที่น้อยแล้วส้วมข้างนอกนั่นคงไม่ใช่ส้วมหลุมแน่ แต่จะแอดวานซ์ไปจนถึงส้วมชักโครกก็คงเป็นไปไม่ได้ มันคงเป็นส้วมถังเทธรรมดา ซึ่งก็นับว่าดีกว่าคนที่ต้องพึ่งส้วมสาธารณะอยู่มาก






หวังว่านะ






ผมประคองอาม้าไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวซึ่งมีอาเฮียนั่งกินข้าวอยู่ก่อนแล้วก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กช้าๆ ด้วยกลัวว่ามันจะหักลงไป เมื่อพิสูจน์แล้วว่ามันรับน้ำหนักได้ดีผมจึงเริ่มหันมาสนใจบนโต๊ะ กับข้าวที่อยู่บนโต๊ะเป็นอาหารง่ายๆ อย่างผัดผักบุ้งกับปลาทอด โชคดีที่ผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย อาหารพวกนี้จึงไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาจริงๆ มันอยู่ที่ว่า...





ผมจะใช้ตะเกียบกินข้าวยังไงล่ะเนี่ย




************************************************************************



[เกร็ดความรู้]



*ลำดับญาติคนจีนที่ปรากฎในเนื้อเรื่อง*

ภาษาจีนที่ปรากฎในเรื่องเป็นการพูดแบบจีนแต้จิ๋ว

ตั่ว ใช้นำหน้าผู้เป็นคนแรกของบ้าน เช่น ตั่วเฮีย = พี่ชายคนแรก ตั่วเจ้ = พี่สาวคนแรก

ตั่วตี๋ = เด็กผู้ชายคนแรก (เป็นคำที่พ่อแม่ใช้เรียกลูกชายคนแรกด้วยความเอ็นดู)

โซ้ย = คนสุดท้อง เช่น โซ้ยตี๋ = เด็กชายคนสุดท้อง

อาม้า = แม่

อาป๊า = พ่อ

อาเจ้ = พี่สาว

อ้างอิง:  ถามเรื่องสรรพนามของคนไทยเชื้อสายจีน อาก่ง อาม่า...แล้วมีอะไรอีก?  (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/11/K7236356/K7236356.html)

มันมีด้วยเหรอ คำว่า " ตั่วตี๋ (http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2011/05/A10605894/A10605894.html)







*แปรงสีฟันและยาสีฟันในไทย*

ประเทศไทยจะมีการผลิตแปรงสีฟันในประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2481 และมียาสีฟันชนิดผงยี่ห้อวิเศษนิยมออกจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2464

อ้างอิง: พัฒนาการของยาสีฟัน (ยุคโบราณถึงปัจจุบัน) (http://www.thaidentalmag.com/dent-stream-detail.php?type=10&id=364)

การทำความสะอาดช่องปากของคนไทย กินหมาก... แปรงฟัน...  (http://www.thaidentalmag.com/dent-idea-detail.php?type=2&id=375)





*ส้วมถังเท*


(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/d/d8/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97.jpg)

"ส้วมถังเทมีลักษณะคล้ายส้วมหลุมแต่ใช้ถังวางไว้ในหลุมใต้ฐานไม้สำหรับรองรับอุจจาระของผู้ขับถ่าย เป็นการกำจัดอุจจาระที่ยึดหลักการถ่ายอุจจาระลงถังที่เตรียมไว้แล้วจึงนำไปทิ้ง การเก็บและบรรทุกถังไปชำระตามปกติ โดยมากจะทำการเก็บและบรรทุกถังอุจจาระไปเททิ้งทำกันวันละครั้ง


อัตราค่าถังเท ถังละประมาณหนึ่งบาทหรือหกสลึงต่อเดือน ไม่บังคับใช้หากใครไม่อยากจะใช้ระบบถังเทก็ไปใช้บริการสาธารณะได้เช่นกัน เมื่อซื้อถังไปแล้ว ลูกค้าก็จะนำไปใช้แล้ว ทุกคืนราวเที่ยงคืน บริษัทก็จะออกเก็บโดยใช้วัวสองตัวลากรถบรรทุกที่ปิดกั้นด้วยแผ่นสังกะสีทั้งสี่ด้าน แต่ด้านหลังเป็นบานประตูเปิดปิดได้ คันหนึ่งก็รับถังได้ประมาณ 30-40 ถัง จะมีพนักงานเอาถังใหม่มาเปลี่ยนกับถังเก่า"

ที่มา: ส้วมในประเทศไทย (https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2)

หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 8 [ครึ่งแรก] (28/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 28-10-2017 19:57:47
มาต่อไสๆน้าา :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 8 [ครึ่งแรก] (28/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 29-10-2017 13:01:39
บทที่ 8 มือระนาด [ครึ่งหลัง]






ผมถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงดังเคร้งๆ จากในครัว ต้องยอมรับว่ากว่าผมจะนอนหลับลงก็ใช้เวลาอยู่มากโข กรุงเทพไม่ครึกครื้นเหมือนอย่างที่ผมคุ้นเคย ทุกหนทุกแห่งมืดมิดและเงียบสนิท ไม่มีเสียงรถราที่วิ่งกันวุ่นวายบนท้องถนน ไม่มีแสงไฟที่ฉายขึ้นไปบนฟ้าจากตึกสูงใหญ่ มีเพียงแสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ให้ความสว่างได้บ้าง พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าทุกคนก็แยกย้ายเข้านอน





ทั้งเงียบ ทั้งมืด เสียจนผมเองยังหวั่นใจ





ผมจำได้ว่าตัวผมนั่งนิ่งอยู่บนเตียง จ้องตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ จ้องเสียจนรู้สึกว่ามีบางอย่างไหลออกมาจากนัยน์ตาจึงได้เดินไปดับไฟแล้วเปลี่ยนเป็นนอนจ้องเพดานเงียบๆ แทน





พ่อกับแม่จะเป็นยังไงบ้างนะ ไอ้ไม้กับทีนจะสบายดีรึเปล่า แล้วร่างของผมตอนนี้ยังอยู่ดีไหมนะ





ถ้าต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปล่ะ





คิดได้ดังนั้นตัวผมก็ชาวาบจนต้องสะบัดหัวไล่มันออกไป


ไม่เอา เราต้องมีความหวังสิ ต้องหาใครสักคนให้ช่วย







“อย่างที่อาตมาบอกไปนั่นแหละโยม อาตมาหยั่งรู้ถึงผล ซึ่งก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อาตมาก็จนใจจะหยั่งรู้ถึงเหตุของผลเช่นกัน”




จริงสิ ในยุคสมัยนี้คงมีพระที่หยั่งรู้เหมือนหลวงลุงอยู่แน่ๆ ถ้าหาเจอก็อาจจะได้กลับไป แต่จะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือบางทีนี่อาจจะเป็นแค่ความฝัน พอตื่นขึ้นมาอีกวันผมก็จะอยู่ในห้องของตัวเอง มีทีนเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าเช็ดตัวลายนีโม่แน่ๆ 






พอคิดได้แบบนั้นก็เลยได้แต่นอนเงียบๆ ปล่อยให้หัวสมองว่างเปล่า รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงดังน่ารำคาญออกมาจากห้องครัวจนต้องลืมตาตื่น สิ่งแรกที่เห็นกลับไม่ใช่ฝ้าเพดานสีขาวคุ้นตา แต่กลับเป็นคานไม้กับตับจากมุงหลังคา






ผมยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้กลับไปในที่ๆ อยากกลับไป






เพิ่งรู้ตัวว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันดีแค่ไหนก็ตอนที่ไม่ได้อยู่ในสถานะนั้นแล้วนี่ล่ะ







จำได้ว่าเมื่อวานอาเจ้บ่นเรื่องต้องทำงานช่วยที่บ้าน ถ้าผมจำไม่ผิดคือพวกเขามีอาชีพขายขนมไทย คงเป็นธรรมชาติของคนขายอาหารที่ต้องตื่นมาทำนู้นทำนี่ตั้งแต่เช้า






ว่าแต่ตอนนี้มันกี่โมงกันนะ ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาในบ้านก็ยังไม่ยักจะเห็นนาฬิกาเลยสักเรือน





ผมถอนหายใจปลงอีกครั้งก่อนจะยันตัวลุกจากเตียง






จะกี่โมงก็ช่างมันเถอะ ยังไงซะผมก็ต้องลุกขึ้นไปทำอะไรสักอย่างอยู่ดี






ผมผลักประตูเปิดออกแล้วเดินขยี้ตาเข้าไปในครัว หวังจะไปช่วยพวกเขาทำขนม

ผมคิดเอาเองว่ากรวิกก็น่าจะต้องทำอะไรประมาณนี้ล่ะมั้ง





“อ้าว อาโซ้ยตี๋ทำไมลื้อยังไม่อาบน้ำแต่งตัว เดี๋ยวต้องไปเรียนเพลงที่บ้านครูบุญไม่ใช่รึ นี่อามั่นก็ใกล้จะมาแล้ว ทำไมยังไม่เตรียมตัวอีก”






ทันทีที่ป๊าเห็นหน้าผมก็ใส่มาเป็นชุดจนผมตั้งรับไม่ทันก่อนจะหันไปง่วนอยู่กับการกวนอะไรสักอย่างในกะละมัง





ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากถามออกไป ผมก็ดันนึกขึ้นได้เสียก่อนว่าในบันทึกก็บอกอยู่ว่ากรวิกไปเรียนดนตรีไทยกับครูบุญ  แต่ทำไมถึงไปเรียนดนตรีอย่างสบายใจได้ล่ะ ในเมื่อถ้าคิดตามหลักการแล้วเขาก็ควรจะออกหางานทำ หาเงินเข้าบ้านมากกว่าไม่ใช่เหรอ
เอ๊ะ แต่นี่มันสมัยรัชกาลที่หกสินะ ถ้างั้นก็คงไม่แปลกอะไรที่ชาวบ้านธรรมดาจะเห็นความสำคัญของดนตรี แต่มันก็ไม่น่าจะสำคัญจนไม่ต้องทำการทำงานได้นี่นา






ช่างมันเถอะ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว





ผมจึงเดินเข้าไปหยิบผ้าขาวม้าที่ผมเห็นแว่บๆ ในตู้เสื้อผ้าเมื่อวานมานุ่งพร้อมกับคว้าผ้าที่เดาว่าน่าจะเป็นผ้าเช็ดตัวติดมือมาด้วยผืนนึงแล้วเดินออกไปทางประตูหลังบ้านที่เปิดอ้าไว้





ไม่ผิดอย่างที่คิดไว้นัก ห้องส้วมถูกสร้างแยกออกมาจากตัวบ้าน แต่ก็ยังอยู่ในบริเวณรั้วด้านหลังของบ้าน ส่วนโอ่งอาบน้ำก็อยู่ไกลออกมาหน่อย





แต่จะให้มาอาบน้ำกลางแจ้งแบบนี้มันก็ไม่ชินเอาเรื่องเลยแหะ





แสงจากพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้ามาทีละน้อยช่างสวยงาม ถ้าไม่ติดที่ว่าผมไม่ได้ตื่นเช้าขนาดนี้มานานมากแล้วน่ะนะ
ผมเป็นคนแพ้การตื่นเช้าและตอนนี้กำลังเข้าสู่ความหงุดหงิดระดับหนึ่ง






หงุดหงิดอะไรล่ะไอ้บ้า ก่อนจะหงุดหงิดผมควรจัดการชีวิตให้มันเข้าที่เข้าทางเสียก่อน





ถึงจะบ่นไปร้อยแปดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ดี ผมจึงรีบจัดการทุกอย่างอย่างรวดเร็ว





แต่เดี๋ยวนะ แล้วจะแปรงฟันยังไงล่ะ





ผมหันซ้ายหันขวาแล้วถอนหายใจ



คาดหวังอะไรอยู่นะเรา กว่าไทยจะผลิตแปรงสีฟันได้ก็ปาไปปี พ.ศ. 2481 แล้ว ถ้ายุคนี้ สภาพบ้านแบบนี้คงต้องเอานิ้วชี้ตัวเองกับเกลือแล้วล่ะมั้ง




ยังไม่ทันที่ผมจะคิดเสร็จ ตาก็พลันเหลือบไปเห็นกระปุกเกลือวางอยู่ข้างๆ โอ่ง




ผมนิ่งมองมันอยู่อึดใจก่อนจะหัวเราะฝืดๆ




ตลกร้ายเป็นบ้า






หลังจากผ่านการอาบน้ำกลางแจ้งมาได้ สเต็ปต่อมาก็คือเดินกลับเข้าไปแต่งตัวในห้อง ผมเพิ่งเห็นว่าในตู้ของกรวิกมีเสื้อผ้าอยู่ไม่กี่แบบ





กางเกงแพรสีทึมๆ เสื้อคอกลมสีขาวสองสามตัวตบท้ายด้วยเสื้อกุยเฮงหลากสีสัน




ช่างจืดชืดจริงๆ เลยกรวิกเอ๊ย





แต่เอาเถอะ ยังไงซะตอนนี้ผมก็คือกรวิกเพราะแบบนั้นผมจึงแต่งตัวเลียนแบบกับการแต่งตัวของกรวิกเมื่อวาน เพราะอย่างไรเสียก่อนตกน้ำคนเลือกเสื้อผ้าก็เป็นกรวิก ผมจึงควรทำตัวเลียนแบบรสนิยมเขาเข้าไว้ เท่าที่จำได้คือเขาใส่กางเกงแพรสีทึมกับเสื้อกุยเฮงสีขาว วันนี้ผมจึงเลือกเป็นกางเกงแพรสีน้ำตาลเข้มกับเสื้อกุยเฮงสีขาว






ว่าแต่เขาอิเหนาก็เป็นเอง คิดดูแล้วผมก็ไม่ได้แต่งตัวดีกว่าเขาเลยสักนิด





ยิ้มแห้งให้ตัวเองไปหนึ่งที






“อาโซ้ยตี๋ อามั่นอีมาแล้วนะ”

ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรเพลินๆ จบเสียงของอาม้าก็ดังขัดขึ้นมาจากในครัว

“จ๊ะม้า กำลังออกไปแล้ว”





ผมสูดหายใจเข้าเรียกกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะเดินออกไปหน้าบ้าน





คนคุ้นหน้าคุ้นตากำลังยืนคุยกับอาป๊าอย่างออกรส ใบหน้าคมเข้มตามสไตล์หนุ่มไทยแท้นั้นหัวเราะร่วนและแช่มชื่นจนน่ามั่นไส้
เหมือนไอ้ไม้จนน่าหมั่นไส้จริงๆ





“อ้าวไอ้กรมานู้นแล้ว ไปๆ รีบไปจะได้รีบเรียน รีบเข้าไปรับงานที่บ้านข้าราชการสักคน จะได้สบายกันเสียที”





อา ผมเพิ่งกระจ่างเดี๋ยวนี้เองว่าทำไมป๊าถึงผลักดันให้ผมออกไปร่ำเรียนดนตรีนัก

ว่าแต่...






“ทำไมป๊าเรียกอั๊วว่าไอ้กรล่ะ”

ฉิบหาย ปากมันไวครับ ยั้งไม่ทันจริงๆ



ป๊าเลิกคิ้วมองผมก่อนจะเอื้อมมือมาผลักหัวผมไปหนึ่งที
“ป๊าบอกว่ายังไง อยู่นอกบ้าน อยู่ในสยาม เราก็ต้องทำตัวอย่างชาวสยาม ต้องพูดไทยให้ชัดเจน จะมาอั๊วลื้ออะไรเหมือนอยู่ในบ้านไม่ได้”






วิสัยทัศน์ก้าวไกล เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามโดยแท้




แต่ป๊ายังแทนตัวเองว่าป๊าอยู่เลยนะครับ






“จ๊ะป๊า”

ผมแกล้งลากเสียงยาวจนได้ยินเสียงไอ้มั่นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับมือของป๊าที่ผลักหัวผมไปอีกหนึ่งที

“ไปๆ รีบไป แล้วนี่เอาถุงเงินไปรึยัง”




เออ จริงด้วย




“ยังเลยป๊า ไม่รู้เอาไปวางไว้ไหน”

“จะเอาไปวางไว้ไหนล่ะ ลื้อไม่ได้เอาออกจากเสื้อตั้งแต่เมื่อวานต่างหาก”

เสียงหวานๆ ทีดังแทรกขึ้นมาพร้อมกับถุงเงินที่ยื่นมาแทบจะกระแทกหน้าผม





อาเจ้






ทันทีที่เห็นอาเจ้ ป๊าก็สะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปในบ้านเงียบๆ ทิ้งให้อาเจ๊ยืนค้างอยู่อย่างนั้น ผมได้ยินเธอถอนหายใจ

“ลื้อรับไปสิ แล้วรีบๆ ไปได้แล้ว อยู่ที่นี่ไปก็ไม่ได้มีอะไรจรรโลงใจ”

“อาเจ้...”



เธอโบกมือเป็นทำนองไล่

“ไปๆ เดี๋ยวเรื่องอั๊วกับอาป๊าอั๊วจัดการเอง”

ทันทีที่พูดจบเธอก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในครัว ทิ้งผมไว้กับบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออก





ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยให้ตายสิ





“มึงจะไปรึยัง ข้าหิวจะแย่แล้ว”

นี่มันไอ้ไม้ผสมทีนชัดๆ

“แล้วจะไปกินอะไร ที่ไหนล่ะ”


ผมเห็นมันขมวดคิ้ว

“มึงนี่ถามอะไรแปลกๆ ก็ไปร้านเดิมไง”






ไม่รู้ทำไม พอมั่นพูดว่าร้านเดิม ผมก็ดันนึกถึงร้านเหล้าขึ้นมาซะอย่างนั้น





ใจบาปแท้ๆ





เอ...แต่จะว่าไป ตั้งแต่โผล่มาที่นี่ ผมยังไม่ได้ยินเสียงประหลาดๆ นั่นเลยสักครั้ง





แปลกจริงๆ





“เอ้า เหม่ออะไรอยู่เล่า รีบไปสิ”

มือของอีกคนที่คว้าคอผมเข้าไปกอดทำให้ผมต้องถอนหายใจ



นี่มันไอ้ไม้สองชัดๆ 





มอสเอ๊ยมอส หนีไม้ปะมั่นแท้ๆ















กว่าผมจะมาถึงบ้านครูบุญได้ก็ใช้เวลาไปนานโข เพราะไอ้มั่นดันลากผมไปกินกาแฟที่มันบอกว่า ‘เป็นร้านประจำของพวกเรา’ จากนั้นก็เอาแต่เถลไถล เดินไปตรงนู้นทีตรงนี้ที แวะตลาดนั่นตลาดนี่ เลยเสียเวลาไปนานโข แถมไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาสักอย่าง



นี่ถ้าเป็นทีนคงมีอาหารติดมาเต็มไม้เต็มมือ




ให้ตายสิ คิดถึงพวกนั้นจัง




“อ้าว พ่อมั่นวันนี้มาแต่เช้าเชียวนะจ๊ะ”

เสียงร้องทักจากคนที่อยู่ใต้ถุนเรือนทำให้ผมต้องชะโงกหน้าไปดู






เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ในชุดผ้าซิ่นกับเสื้อผ้าแพรสีเรียบ ท่าทางเหมือนกำลังง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างที่ผมเองก็ดูไม่ถนัด





“จ้ะน้า วันนี้พอดีฉันมีธุระตอนเย็นต่อก็เลยรีบมาซ้อมก็เลยพาไอ้กรมาเลย”

“อ้าว พ่อกรมาด้วยรึ ได้ข่าวว่าตกน้ำ เป็นไงบ้างล่ะพ่อ”




ผมยิ้มแห้ง



กูมอสเว้ย





“ไม่เป็นไรแล้วครับ โชคดีที่มีคนช่วยไว้ทัน”

“เอ้อ พระคุ้มครองแท้ๆ”




ไม่ครับน้า พระไม่ได้คุ้มครองผมเลยสักนิด





“แต่มากันเช้าๆ ก็ดีนะ เด็กน้อยมันยังไม่มากัน จะได้ซ้อมกันสบายๆ น้าก็ได้พักหน่อย ไม่ต้องสอนร้องสอนรำตั้งแต่หัววัน”


สอนร้องสอนรำ....หรือผู้หญิงคนนี้คือน้าผ่องที่ทวดของทีนเขียนไว้ในบันทึกกันนะ


ทวดของทีนอย่างงั้นเหรอ...




“แล้ววันนี้คุณ...”



เอ่อ...คุณอะไรล่ะนั่น ชื่อเขาก็ไม่รู้ แต่เพราะยั้งปากไม่ทันแล้วจึงต้องต่อให้จบ



“คุณเขาไม่มาหรือจ๊ะน้า”

ไอ้มั่นหันมาขมวดคิ้วใส่ผม
“คุณอะไรของมึง”


ไอ้นี่ ไม่รู้สถานการณ์บ้างเลย


“คุณที่เป็นลูกข้าราชการคนนั้นไงจ๊ะ”

“นี่มึงจะบ้าเหรอ ครูบุญมีลูกศิษย์ลูกหาทั่วพระนคร ลูกข้าราชการหลายคนก็มาร่ำเรียนวิชากับท่าน น้าผ่องจะไปรู้กับมึงรึว่าคุณคนไหน”



ไอ้เวรนี่ ชาติหน้ากะจะเกิดมาเป็นฝอยขัดหม้อรึไงนะ ขัดกันจัง


เออ แต่มันพูดออกมาก็ดีจะได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือน้าผ่อง



ผมตั้งใจเมินไอ้มั่นแล้วหันไปพูดกับน้าผ่อง
“ก็คุณที่มาเรียนระนาดเอกไงน้า ที่เพิ่งต่อเพลงลาวดวงเดือนไปเมื่อวานน่ะจ้ะ”

“อ๋อ ลูกชายของท่านเจ้าคุณอธิปสินะ วันนี้เขา...”

“ถามหาเราทำไมรึ”

ยังไม่ทันที่น้าผ่องจะได้เอ่ยตอบ ก็พลันมีเสียงพูดแทรกดังมาจากด้านหลังจนผมต้องหันขวับไปมอง



เหมือนมีบางอย่างมันดังขึ้นมาในหัวว่า




‘ได้เจอกันสักที’




ทำไม ทำไมกันนะ ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน ยิ่งไปกว่านั้นทำไมเสียงของเขา...





...ถึงเหมือนกับเสียงประหลาดที่ผมได้ยินมาตลอดเลยล่ะ...






คุณทวดของทีน คุณเป็นอะไรกับผม...กับกรวิกกันแน่นะ





หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 8 [ครึ่งหลัง] (29/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 29-10-2017 20:07:18
ถถถ ทวดกินเด็ก
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 8 [ครึ่งหลัง] (29/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-10-2017 21:49:17
มอส เจอคุณทวดของทีนแล้ว  o18
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 8 [ครึ่งหลัง] (29/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 30-10-2017 07:54:49
รออออออออ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 8 [ครึ่งหลัง] (29/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-10-2017 10:34:51
 :L2: :L1: :pig4:


ลุ้นนนนนนนน เจอกันแล้ว
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 8 [ครึ่งหลัง] (29/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 30-10-2017 13:36:15
ตามครับ  สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 8 [ครึ่งหลัง] (29/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 30-10-2017 19:22:03
บทที่ 9 พบพาน [ครึ่งแรก]








“ไม่ได้ยินหรืออย่างไร เราถามว่าถามหาเราทำไมหรือ”



“เอ่อ...คือ...”


ผมไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรพูดหรือตอบอะไร หัวใจมันเอาแต่เต้นรัวจนมือไม้สั่นไปหมด



“พอดีว่าเพื่อนของผมมันไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ขอโทษคุณเปมทัตด้วยนะครับ”

เป็นไอ้มั่นที่เข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ให้กับผม มันคงเข้าใจว่าผมตกใจลนลานเพราะคิดจะนินทาอีกคนจึงรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่



ผมยังคงก้มหน้านิ่งและไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองอีกคน





ไม่ไหว หัวใจเต้นแรงเกินไปแล้ว






“มึงจะยืนบื้ออยู่ทำไมเล่า ขอโทษคุณเปมทัตไปสิ”

ผมพยายามคุมลมหายใจของตัวเองให้มั่นคงก่อนจะเงยหน้าขึ้นหวังรีบขอโทษให้จบแล้วแยกย้ายกันไป แต่ทันทีที่ดวงตาสบกับนัยน์ตาสีดำสนิทนั้น ผมก็รู้ทันทีว่า...




...แพ้เสียแล้ว...




แพ้...แพ้อะไรล่ะนั่น หนักแล้วมอสเอ๊ย




“ขะ..ขอโทษครับ”

ผมพยายามเค้นเสียงให้ดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบจนไอ้มั่นต้องกระทุ้งเข้าที่เอวของผม




อะไรของมึงอีกเนี่ย




“พูดดังๆ สิวะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร แค่เข้ามาถามเพราะเห็นถามถึงเราก็เท่านั้น”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบก่อนจะเอียงตัวไปกล่าวสวัสดีน้าผ่องที่อยู่ใต้ถุนเรือนแล้วกลับมาจ้องหน้าพวกผมอีกครั้ง




ซวยจริงๆ มอสนะมอส ไม่น่าปากพล่อยเลย




ผมเบนสายตาไปมองที่ไหล่ของเขาด้วยหวังจะหลบตา แต่อีกคนกลับไม่ยอมปล่อยให้สถานการณ์มันง่ายขึ้นเลยสักนิด

“มองไหล่เราทำไม”

ก็ผมไม่อยากมองหน้าคุณไงเล่า

“พอดีผมเห็นดอกหญ้ามันติดอยู่ที่เสื้อน่ะครับ แต่ท่าทางจะปลิวไปแล้ว”

ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบาๆ

“ปลิวไปเร็วเสียจริงนะ”

ผมก้มหน้าต่ำลงแล้วไม่ได้ตอบอะไร




ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน ไอ้อาการคันยุบยิบที่หัวใจ หายใจหายคอไม่ทั่วท้องแบบนี้




...หรือนี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่ารักแรกพบกันนะ...




ไม่มีทางหรอก ชีวิตการ์ตูนตาหวานแบบนั้นคงไม่เกิดกับคนธรรมดาง่ายๆ หรอก




“พวกเธอสองคนมาเรียนดนตรีกับครูบุญรึ”

ผมเห็นไอ้มั่นคู้ไหล่ลงเล็กน้อย



มึงจะคู้ไหล่ทำไมล่ะนั่น



“ใช่ขอรับ”

น้ำเสียงรึก็ดูนอบน้อมผิดธรรมชาติจนอยากจะหันไปด่า แต่ก็นึกได้ว่าทำไม่ได้จึงยืนเงียบๆ อยู่อย่างนั้น



ผมรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองผมอย่างโจ่งแจ้งแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเงยหน้าขึ้นสบตา


ใช่ เงยหน้า ก็เขาสูงกว่าผมตั้งเยอะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทีนถึงสูงจนได้เป็นนักกีฬาบาส



ได้ทวดมันมานี่เอง




คงเพราะคิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อยเลยเผลอเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง ผมจึงได้พบว่าเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคุณทวดเป็นผู้ชายที่หล่อมาก หล่อแบบไทยแท้ ผิวเข้ม หน้าคม ผมดำ ร่างสูงโปร่ง อกผาย ไหล่ผึ่ง สรุปคือทีนได้ทวดมันมาทุกอย่างยกเว้นสีผิวที่ขาวกว่าหน่อย




บุญแท้ๆ ทำไมอาเหล่ากงผมไม่ได้ให้อะไรนอกจากผิวขาวและความหน้าจีนมาเลยนะ




“แล้วนี่ชื่ออะไรกันรึ ดูแล้วคงอายุน้อยกว่าเราทั้งคู่”

“ครับคุณ ผมชื่อมั่นครับปีนี้เพิ่งจะอายุสิบเจ็ด ส่วนไอ้ข้างๆ ที่เสียมารยาทกับคุณไปชื่อกรวิกครับ อายุเท่ากันกับผม ครอบครัวมันเป็นคนจีนแต่อาศัยอยู่ไทยมาหลายชั่วอายุคนแล้วครับ ถึงหน้าตาผิวพรรณจะต่างแต่มันก็เป็นคนไทยนี่แหละครับ”

ท่าทางและน้ำเสียงนุ่มนวลผิดกับบุคลิกของเจ้าตัวทำให้ผมเผลอเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ถือว่ามันทำได้ดีอยู่ เพราะผมไม่ต้องพูดหรือตอบอะไรเลยสักอย่าง




ดีแล้ว ผมไม่ได้อยากคุยกับเขาสักหน่อย





“แล้วนี่มาเรียนเครื่องดนตรีอะไรกันล่ะ”

เวรกรรม ผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปสนิท



ผมรู้แค่ว่ากรวิกเล่นฆ้องวงและร้องเพลงเพราะ แต่ผมไม่รู้ว่าเขาเล่นเก่งหรือร้องเพราะแค่ไหน ไม่รู้ว่าในบันทึกเขียนอวยเกินจริงไปบ้างรึเปล่า ตัวผมเองหยุดเล่นดนตรีไทยมานานมากแล้ว จะได้ฝึกฝีมือก็ตอนกลับบ้านช่วงปิดเทอมเท่านั้น ฝีไม้ลายมือเรียกได้ว่ากระจอกงอกง่อย เรื่องร้องไม่ต้องพูดถึง ไปคาราโอเกะทีไรถูกไอ้ไม้เอาขนมยัดปากทุกทีไป



ขืนเป็นแบบนี้ทุกคนต้องรู้สึกแปลกๆ แน่




“กระผมกำลังฝึกซอด้วงขอรับ ส่วนไอ้กรฝึกฆ้องวงขอรับ”



เออ ดีๆ ตอบทุกอย่างไปเลยเพื่อน



ผมยังคงก้มหน้านิ่งและไม่คิดจะเงยหน้ามองใครทั้งนั้นจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงความเงียบแปลกๆ จึงลองเงยหน้ามองดู




นั่นเป็นการตัดสินใจที่โคตรผิดพลาด




เขามองผมอยู่แล้ว





...ดวงตาคมเข้มคู่นั้นจ้องมองผมอยู่แล้ว...





ริมฝีปากได้รูปนั้นยกยิ้มเล็กน้อย

“แล้วพวกเธอมีใครมาทาบทามเข้าไปเล่นในวงดนตรีประจำบ้านกันหรือยัง”

“ยัง ยังเลยขอรับ”

ผมสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นและดีใจในน้ำเสียงของมั่น




วงดนตรีประจำบ้านของพวกเจ้านายชั้นสูงและข้าราชการน่ะนะ แบบนี้ก็เหมือนเข้าไปเป็นบ่าวบ้านนั้นน่ะสิ




“ถ้าพวกเธอเล่นได้ดี เราก็อยากจะทาบทามเข้ามาเล่นในวงดนตรีของบ้านเรา พวกเธอจะว่าอย่างไร”

ไอ้มั่นแอบสะกิดผมยิกๆ



มึงจะสะกิดทำไมล่ะเว้ย



“มะ...ไม่เลยขอรับ พวกกระผมยินดียิ่งเลยขอรับ”

น้ำเสียงมันตื่นเต้นปนดีใจขั้นสุดไปแล้ว พอผมแอบมองหน้ามันจึงได้เห็นว่าดวงตามันเป็นประกายอย่างมีความสุข



ได้ทำงานกับพวกข้าราชการมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ



“เช่นนั้นพอขึ้นไปบนเรือนก็ลองเล่นให้เราดูสักเพลงแล้วกัน ถนัดเพลงอะไรกันล่ะ”

คราวนี้ไอ้มั่นไม่ตอบ มันหันมามองผมราวกับจะบอกให้ผมเป็นคนเลือก



มีบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของผม



“เพลงลาวดวงเดือนครับ”



ชิบ โรคพูดก่อนคิดนี่ท่าทางจะรักษาไม่หายจริงๆ



ผมกับเขาสบตากันอยู่อึดใจ

ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าที่ผมเห็นว่าเขามีแววประหลาดใจอยู่ในดวงตา



“เอ่อ...ถ้าคุณไม่ชอบ ผมเล่นเพลงอะ....”

“ได้ เล่นเพลงลาวดวงเดือน แต่เธอไม่ต้องเล่นฆ้อง เราจะให้เธอขับเพลง”



ฮะ!



“เอ่อ...จะดีหรือครับคุณ อย่างไรเสียเสียงไอ้กรก็เป็นเสียงผู้ชาย คงไม่ไพเราะเท่าผู้หญิง”

เออ ไอ้มั่นทำดี พูดต่อไปเลยเพื่อน

“อย่างไรเสียจะให้ผู้หญิงมาอยู่ในวงดนตรีประจำบ้านที่มีแต่ผู้ชายก็คงไม่เหมาะอยู่แล้ว ประกอบกับคราวก่อนเราได้ยินกรวิกขับเพลง ก็เห็นว่าเพราะดี ไยจะให้เขาเป็นคนขับเพลงประจำวงไม่ได้”

คราวนี้กลับเป็นไอ้มั่นที่อ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะหุบลงเมื่อรู้ตัวว่าเถียงไม่ได้




Your ally has been defeated ไหมล่ะมึง




เมื่อเห็นว่ายังไงเสียอีกฝ่ายก็คงดึงดันให้ผมขับเพลงอยู่ดี ผมเลยยอมตอบตกลงในที่สุด





เดี๋ยวมอสจะร้องให้หูเสียกันไปข้างนึงเลยคอยดู




“เช่นนั้นก็ขึ้นเรือนเถอะ ครูบุญรอแย่แล้ว”

เขาว่าเรียบๆ ก่อนจะเดินนำขึ้นไป ทิ้งให้ผมกับไอ้มั่นมองหน้ากันอยู่ด้านหลัง

“ลาภลอยจริงๆ เว้ยไอ้กรเอ๊ย ถ้าพ่อแม่ข้ารู้คงดีใจกันยกใหญ่”

ผมหัวเราะในลำคอ

“ก็แค่เป็นนักดนตรีประจำบ้าน ก็ไม่ต่างกับเข้าไปเป็นบ่าวในบ้านเขานั่นล่ะ”

“บ๊ะ! มึงนี่ไม่รู้อะไร สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง เป็นบ่าวในบ้านข้าราชการชั้นสูงก็ดีกว่าต้องไปเป็นลูกจ้างพวกพ่อค้าเป็นไหนๆ เผลอๆ ถ้าเรามีฝีมืออาจจะได้รับการฝากงานเข้าไปในรั้วในวังเลยก็ได้นะมึง”




แหม ผมนี่ยิ้มแห้งเลยครับ




“ฝันเถอะมึง กูก็ไม่ได้เล่นเก่งอะไรขนาดนั้น ไอ้เรื่องจะเข้าไปฝากตัวในรั้วในวังนี่ลืมไปได้เลย ว่าแต่...”

มันหันมามองหน้าผม

“ครูบุญเป็นจางวางหรือเปล่า”

มันทำหน้าดูแคลน

“เอ็งนี่นา พอตกน้ำปุ๊บก็โง่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น”



อ้าว ไอ้เวร



“ถ้าครูบุญเขาเป็นจางวาง เราก็ต้องเรียกเขาว่าจางวางบุญสิ จะมาเรียกครูบุญห้วนๆ แบบนี้ได้อย่างไร อีกอย่างถ้าครูเป็นจางวางเราคงไม่มีบุญได้มาเรียนหรอก”




เออ ก็จริงของมัน




เดี๋ยว ยังมีอีกเรื่องที่ผมสงสัย

“มึงรู้ได้ไงว่าเขาชื่อเปมทัต”

ผมเห็นมันแสร้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“ก็เขาทั้งดูดี ฐานะดี ชาติกำเนิดรึก็ดีปานนั้น แถมฝีมือระนาดก็ไม่เป็นสองรองใคร ใครเขาจะไม่รู้จัก มีแต่มึงนั่นล่ะที่ทำตัวเป็นพวกไม่สนโลก วันๆ เอาแต่ตีฆ้อง ตีกลอง”

ถึงคำพูดคำจาของไอ้มั่นจะน่าหมั่นไส้ไปหน่อย แต่อย่างน้อยผมก็ได้ข้อมูลเพิ่มมาอีกอย่างว่ากรวิกเป็นพวกไม่ค่อยสนโลก




เป็นพวกเก็บตัวเหมือนกันสินะ





***************************************************************************


[เกร็ดความรู้]

คำว่า "จางวาง" จะหมายถึง

(๑) หัวหน้า มักใช้กับมหาดเล็ก (ข้าราชการที่ถวายงานเฉพาะพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) มีบรรดาศักดิ์เป็น "พระยา"
(๒) หัวหน้าข้าในพระองค์สมเด็จเจ้าฟ้าชาย/เสด็จในกรม ไม่มีบรรดาศักดิ์ เช่น จางวางทั่ว พาทยโกศล หัวหน้าวงดนตรีไทยวังบางขุนพรหม
(๓) หัวหน้าคนงานที่ทำงานในจวนสมเด็จเจ้าพระยา เรียกว่า "จางวางทนาย" มีบรรดาศักดิ์เป็น "หลวง" (ชั้นประทวน)


อ้างอิง : คำว่า ออกญา และจางวาง คือ ตำแหน่งอะไร ในระบบศักดินา (https://pantip.com/topic/30574740)






หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 9 [ครึ่งแรก] (30/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: valenpinkpink ที่ 30-10-2017 20:17:00
สัมผัสได้ถึงความเป็นคนอบอุ่นของคุณทวด :-[ :-[
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 9 [ครึ่งแรก] (30/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 30-10-2017 22:16:39
คุณทวดมีบทแล้ว รอมานาน  มอสค่อยๆปรับตัวไป เดี๋ยวก็ชินไปเอง
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 9 [ครึ่งแรก] (30/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-10-2017 22:43:43
เจอกันแล้ว  :ling1: :ling1: :ling1:

แอ๊ะๆ........มอส แพ้ทางคุณทวดเปมทัตราบคาบเลย  ก็คุณทวดหล่อซะ :o8:  :-[  :impress2:
คุณทวด สนใจมอสที่เป็นกรวิกแยู่แล้ว
พอได้ยินมอสถามถึงตัวเอง ก็เข้าทางเลย  :z3: :z3: :z3:
คุณทวดรุกมอส ซะมอสไปไม่เป็น
ตาจ้องแต่มอส คนเดียว มองไปทีไรก็จ้องมาที่มอสตลอด  o18
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 9 [ครึ่งแรก] (30/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 31-10-2017 19:12:39
บทที่ 9 พบพาน [ครึ่งหลัง]








“เอ้าๆ รีบขึ้นกันไปได้แล้ว เดี๋ยวเกิดคุณเขาเปลี่ยนใจขึ้นมา ลาภจะหายหมด”

ไอ้มั่นว่าพลางกระหืดกระหอบวิ่งขึ้นไปบนเรือน ทิ้งผมให้ส่ายหัวระอาใจอยู่ข้างล่างเพียงลำพัง


เอ็งไม่รู้อะไรเสียแล้วไอ้เพื่อนยาก คุณของเอ็งถูกใจกรวิกขนาดนี้ เขาคงไม่ปล่อยไปไหนง่ายๆ หรอก แต่ปัญหามันไม่ใช่ว่าเขาจะเอาหรือไม่เอาเราเข้าวงดนตรีหรอก แต่มันเป็นเรื่องที่ว่า...



เขาชอบกรวิก และผมไม่ใช่กรวิก




อา....ผิดหวังงั้นเหรอ



ก็คงใช่






ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วเดินตามไอ้มั่นขึ้นไปบนเรือน

สถานที่ที่กรวิกคุ้นเคย คนที่กรวิกคุ้นเคย

อะไรๆ ก็กรวิก แล้วมอสล่ะ




ที่ของผมอยู่ตรงไหนกัน




แล้วจะคิดอะไรแบบนั้นขึ้นมาทำไมล่ะนั่น



ผมถอนหายใจให้กับความคิดของตัวเองเบาๆ พลางคิดว่าจะต้องทำตัวยังไงเมื่อเจอครูบุญ ทันทีที่เท้าของผมแตะลงบนพื้นของชานบ้านก็พลันเห็นชายชราคนหนึ่งยืนหันหลังให้ผมส่วนส่วนตรงหน้าของเขาก็คือคุณเปมทัต เพราะแบบนั้นอีกฝ่ายเลยมองเห็นผมเต็มๆ แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะเอ่ยเรียกหรือส่งสัญญาณว่าเขาเห็นผมแต่อย่างใด




หรือจะไม่เห็นจริงๆ



ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินเข้าไปเสียงแหบแห้งก็พูดขึ้นเสียก่อน

“คิดดีแล้วรึคุณเปมทัต ไอ้กรมันขับเพลงเพราะก็จริง แต่อย่างไรเสียเสียงผู้ชายก็คงไม่แว่วหวานเหมือนเสียงผู้หญิงดอก”

“ฉันคิดดีแล้วจ้ะครู อย่างไรเสียบ้านฉันก็มีบ่าวผู้ชายเสียเยอะ หากได้คนขับเพลงเป็นผู้ชายก็คงจะสะดวกสบายในการดูแลมากกว่าน่ะจ้ะ อีกอย่าง...”

เขาจงใจทอดเสียงก่อนจะละสายตาจากใบหน้าของคู่สนทนามาเป็นผม



ใช่ เขากำลังสบตากับผมด้วยแววตาวิบวับแปลกๆ




สวย เป็นดวงตาที่สวยจริงๆ




“ฉันชอบเสียงของเขามากเลยจ้ะ ราวกับนกการเวกอย่างไรอย่างนั้น”

ราวกับถูกสะกด ผมรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า หัวใจก็เต้นรัวจนน่าแปลกใจ




เย็นไว้มอส เย็นไว้ นั่นทวดเพื่อนนะเว้ย ทวดเพื่อน




“เฮ้อ เอาเถอะ ถ้าคุณตัดสินใจแล้ว ครูก็จะไม่แย้งอะไรหรอก”

ดูจากการแทนตัว ชายชราคนนี้คงเป็นครูบุญที่ถูกเขียนเอาไว้ในบันทึกแน่ๆ




ชายชรามีท่าทียอมแพ้แล้วค่อยๆ เดินโขยกเขยกไปหาเครื่องดนตรีไทยและไอ้ไม้ที่อยู่ตรงระเบียงหน้าเรือนนอน ทิ้งผมไว้กับคนเจ้าเล่ห์



ใช่ เจ้าเล่ห์ เจ้าเสน่ห์ หล่อแล้วยังฉลาดอีก อิจฉาเว้ย



ผมกับเขายืนห่างกันเงียบๆ อยู่อย่างนั้นจนผมตัดสินใจจะเดินเข้าไปหาไอ้มั่นก็ดันถูกเขาขวางทางเอาไว้เสียก่อน

“แอบฟังรึ เด็กไม่ดีจริงๆ เลยนะ”

เขาตำหนิด้วยน้ำเสียงสดใสเกินกว่าจะเรียกว่าตำหนิ ต้องเรียกว่าดุด้วยความเอ็นดูไปอย่างนั้น



ไม่ดีต่อหัวใจเลยให้ตายสิ



“ใช่ครับ ผมเป็นเด็กไม่ดี คุณเปมทัตน่าจะหาคนอื่นที่ดีกว่าผมได้นะครับ”

ผมพยายามบอกตัวเองให้จ้องหน้าเขา เพราะตอนอยู่ข้างล่างก็หลบตาจนน่าสงสัยพออยู่แล้ว




ถึงมันจะยากมากๆ เลยก็เถอะ ก็ดูตาเขาสิ ดูตาสวยๆ ของเขาสิ โอ๊ย มอสจะละลาย



เขายกยิ้มบางๆ

“ไม่อยากทำงานกับเรารึ”



เอางี้เลยเหรอพี่



“เปล่าครับ แต่ผมแค่คิดว่าคุณเปมทัตน่าจะหาคนที่ดีกว่าผมได้เพราะฉะนั้น...”

“เราเลือกแล้ว ไม่เคารพการตัดสินใจของเรารึ”



เปมทัตนำไป 1-0



ครับ เถียงไม่ได้ ยอม ยอมแพ้

“เอ้า ไอ้กรมาๆ มาเตรียมตัวได้แล้ว”

เสียงเรียกของครูบุญเหมือนเสียงสวรรค์ที่ช่วยดึงผมออกจากสถานการณ์แปลกๆ ตรงหน้า ทันทีที่ได้ยินผมก็รีบปรี่เข้าไปหาครูแทบจะทันที




ครับ ปรี่ อีกนิดก็วิ่งแล้ว




คงเพราะตอนนี้ค่อนข้างเช้ามาก ทั้งเรือนเลยมีแค่ผม ไอ้มั่น ครูบุญและเขา



เออ มีน้าผ่องอยู่ใต้ถุนอีกคน แต่ขอไม่นับแล้วกัน



ครูบุญกับไอ้มั่นกำลังช่วยกันเตรียมเครื่องดนตรี อีกคนก็ยืนนิ่งๆ อยู่ด้านหลังผม



แล้วผมต้องทำอะไรล่ะนี่



“เอ็งจำเนื้อเพลงได้ใช่ไหม”

จู่ๆ ครูบุญก็ถามขึ้นมาโดยไม่คิดจะหันมามองหน้าผมเลยสักนิด



แน่นอนว่าระดับผมแล้วก็ต้องตอบว่า...

“ไม่ครับ”




เป็นลูกผู้ชายต้องยอมรับความจริงครับ




“บ๊ะ ไอ้นี่! เพิ่งสอนไปเมื่อวาน วันนี้ลืมแล้ว น่าเฆี่ยนเสียทีดีไหม”

“โธ่ครู เพลงตั้งยาวใครจะไปจำได้”

“เช่นนั้นเอาแค่ท่อนแรกก็ได้จ้ะครู ฉันไม่ถือ”

เสียงที่แทรกขึ้นมากลางปล้องทำให้ผมต้องหันขวับไปมอง




ทวดต้องใจเย็นนะครับ ทวดต้องปล่อยวาง




“แต่ผมว่า....”

“อย่าบอกนะว่าร้องไม่ได้เลยแม้แต่ท่อนเดียว เพราะเราไม่เชื่อ”




ถ้าจะดักกันทุกทางขนาดนี้คงไม่ต้องโชว์ให้ดูแล้วมั้ง เอาผมไปเลยครับทวด




ผมมองเขาตาขุ่นพลางนับหนึ่งถึงสิบในใจ




คนอะไรหน้าก็ดีแต่ทำตัวน่าหงุดหงิดเป็นบ้า



“ครับ ผมร้องท่อนแรกได้”

เขายกยิ้ม

“เช่นนั้นก็เริ่มสะ...”

“แต่ผมอยากให้คุณเล่นระนาดเอกกับพวกผมด้วย”

“ไอ้กร!”



ทันทีที่ผมพูดจบก็มีเสียงตะโกนของไอ้มั่นดังสวนกลับมาแทบจะทันที และถ้ามันเหมือนไอ้ไม้จริงสิ่งต่อไปที่มันจะพูดก็คือ....



“เอ็งเป็นบ้าเหรอ”




แหม ทำไมเวลาซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างนะ




เพราะพอจะเทียบเคียงนิสัยกันได้ ผมเลยเลือกที่จะปล่อยไอ้มั่นไว้อย่างนั้นและไม่คิดจะหันไปตอบอะไร คนที่ผมสนใจอยู่ตรงหน้านี่ต่างหาก



เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้มีนิสัยชอบท่าทายหรือกวนโอ๊ยคนอื่นอะไรขนาดนั้น แต่เพราะอีกฝ่ายทำตัวหน้าหมั่นไส้ก่อนก็เลยอดไม่ได้
ถ้าทวดเล่นได้กระจอกก็จะได้อับอายกันไปข้างนึงไงล่ะ


“ไอ้กร นี่เอ็งประสาทกลับรึ คุณเปมทัตเขายังต่อเพลงเพิ่งจบไปเมื่อวาน จะมาเล่นแบ่งวรรคตอนสำหรับขับร้องเลยได้อย่างไร”

เป็นครูบุญที่ช่วยไอ้มั่นเอ่ยท้วงผม




ครูไม่รู้อะไรเสียแล้ว นั่นล่ะครับครูที่ผมต้องการ




“ก็ถ้าพวกผมได้เข้าไปทำงานในบ้านของคุณเปมทัตจริงๆ อย่างไรเสียคุณเปมทัตก็คงต้องอยู่ในวงด้วยเวลามีแขกมาที่เรือน มิเช่นนั้นคงไม่มาเรียนระนาดเอกกับครูเสียแต่แรก ดังนั้นหากให้คุณเปมทัตลองเล่นกับพวกผมเสียวันนี้ก็จะได้รู้ไปเลยว่าเล่นเข้ากันได้หรือไม่ หากไม่ได้ คุณเขาจะได้ไปหาคนอื่นที่เหมาะสมกว่าอย่างไรล่ะจ๊ะครู”




ผมไม่ยอมเป็นหมูในอวยให้ทวดเอาไปกินง่ายๆ หรอก




สงสัยว่าผมคงเผลอแสดงสีหน้ายียวนกวนส้นมากไปหน่อย อีกฝ่ายถึงได้ฉีกยิ้มตอบเจ้าเล่ห์เสียขนาดนั้น




เดี๋ยวนะ...ชักรู้สึกไม่ดีแล้วสิ




“เหตุผลเข้าท่า แต่การท้าทายผู้ที่กำลังจะจ้างงานคงไม่ใช่มารยาทที่เหมาะสมนัก”

โดนไปหนึ่งดอก

“หากจะเข้ามาทำงานด้วยกันจริง คงต้องอบรมมารยาทกันเสียหน่อย”


ถ้าจะพูดขนาดนี้ก็ด่าว่ามารยาททรามมาเลยเถอะครับ ผมไม่ถือ


“แต่เอาเถิด เราจะเล่นด้วยก็แล้วกัน”


ผมเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ



ด่ากันเสียหมาขนาดนี้เป็นแถวบ้านผมนี่ไม่เผาผีกันไปแล้ว



เขายิ้มตอบผมบางๆ

“คนที่ยังไม่รู้และยังไม่ได้รับการอบรม ไม่ถือว่าผิดหรอกนะ”

ดอกที่สาม ขอตำแหน่งนักด่าแห่งปีให้พี่แกหน่อยครับ ด่าได้ผู้ดีมีสกุลสุดๆ





แต่ว่าถ้าจะด่าผมขนาดนี้...ไม่ต้องมายิ้มให้กันก็ได้โว้ย






หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 9 [ครึ่งหลัง] (31/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-10-2017 20:38:25
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 9 [ครึ่งหลัง] (31/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 01-11-2017 19:11:24
บทที่ 10 บ่าวในบ้าน [ครึ่งแรก]






ถ้าจะให้อธิบายว่าคุณทวดเป็นคนยังไง ผมให้ไปเลยสามคำ


ผม...เกลียด....มัน



นอกจากหล่อและบ้านรวยแล้ว เขายังมีฝีมือระนาดเอกในระดับที่เรียกว่าเก่ง อาจจะไม่ได้เก่งเหมือนอย่างในภาพยนตร์เรื่องโหมโรงที่เคยดู แต่ก็นับว่าเก่งมากแล้วสำหรับคนที่ไม่ได้ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับดนตรี




ความหล่อ รวยและเก่งนั่นล่ะที่น่าหมั่นไส้




“มั่นเล่นซอด้วงได้ดีแล้ว มีแววจะเล่นเก่งกว่านี้ได้อีก แต่คงต้องขอให้ครูบุญช่วยสั่งสอนต่อไปก่อน ส่วนกร...”

เขาหยุดพูดแล้วมองหน้าผมอยู่อึดใจก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา
“เสียงดีอย่างที่คิดไว้ ปัญหาคือจำเนื้อเพลงไม่ได้เท่านั้น”


หล่อโคตรๆ


แล้วผมจะรู้สึกใจเต้นตึกตักไปกับคำชมของอีกฝ่ายทำไมกัน ถึงผมจะเป็นเกย์แต่ก็ควรเลือกคนนะ



นั่นทวดเพื่อน เย็นไว้ๆ




“เอาเป็นว่าเราขอจ้างพวกเธอมาอยู่ในวงดนตรีประจำบ้านของเราอย่างที่บอกไว้แต่ต้นแล้วกัน แต่พวกเธอไม่ต้องมาเป็นบ่าวในบ้านหรอก เราจะเรียกมาทำงานก็ต่อเมื่อมีแขกเท่านั้น ระหว่างนั้นก็อย่าไปเล่นให้บ้านไหนและขอให้หมั่นฝึกซ้อมสม่ำเสมอ”


สิ้นคำพูดของเขาก็เป็นไอ้มั่นที่ยกมือไหว้ก่อน
“ขอบพระคุณมากครับคุณเปมทัต”



น้ำเสียงของมันทั้งตื่นเต้นและดีใจจนปิดไม่มิด ปากของมันฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงหู


เหมือนไอ้ไม้สุดๆ



ส่วนผมน่ะเหรอ...
“ขอบคุณครับ”


ก็ทำเพียงแค่ยกมือไหว้แบบขอไปทีเท่านั้น ขืนไม่ไหว้ก็ไม่รู้ว่าไอ้คนปากจัดนั้นจะพูดอะไรให้เจ็บใจเล่นอีกก็ไม่รู้




เขาพยักหน้ารับไหว้พวกผมสองคนอย่างคนเป็นผู้ใหญ่กว่า



แก่กว่า รวยกว่า เหนือกว่า




น่ารำคาญกว่าด้วย




“จริงสิกรวิก บ้านเธอขายขนมไทยใช่ไหม”


ถ้าเป็นไอ้ไม้จะตะโกนด่าไปว่า ‘เสือก’ ถ้าเป็นทีนจะบอกว่า ‘ยุ่ง’ แต่ถ้าเป็นทวดจะบอกว่า...


“ครับ”


ไม่สู้คนโว้ย ก็ไอ้ไม้กับทีนมันสู้ผมที่ไหน แต่นี่เขาสู้ไง ผมเป็นพวกจิตใจอ่อนไหวนะ



“เราอยากให้คนในบ้านเธอเข้ามาเป็นคนครัวในบ้านเรา”


คงเพราะผมทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกใส่ เขาจึงต้องอธิบายเพิ่มเติม
“คุณแม่เราชอบรสมือขนมของบ้านเธอมาก อยากจะติดต่อเข้ามาทำขนมให้ที่บ้านเราหน่อย หากทำงานเสร็จก็ช่วยงานเบ็ดเตล็ดในครัวไปเท่านั้น จะจ่ายค่าจ้างให้อย่างการจ้างแม่ครัวทั่วไป”


“เอ่อ...เรื่องนี้...”


ในขณะทีผมยังอ้ำอึ้งไอ้มั่นก็ถือโอกาสเดินมาผ่านด้านหลังผมทำทีเดินไปหยิบของแล้วกระซิบเบาๆ
“โอกาสดีเลยนะมึง อย่าเพิ่งปฏิเสธ ไปถามที่บ้านมึงก่อน”


แหม สมแล้วที่นิสัยมันเหมือนไอ้ไม้ รู้เสียด้วยว่าผมกำลังจะปฏิเสธไป

ก็ผมไม่อยากเอาตัวไปพัวพันกับเขามากกว่านี้นี่นา แต่เอาเถอะยังไงซะมันก็เป็นโอกาสทำเงิน...




จู่ๆ ผมก็คิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง




นี่อาจจะเป็นโอกาสให้อาเจ้ออกจากบ้านแล้วมีชีวิตอย่างมีความสุขก็ได้






“ไว้ผมจะกลับไปถามที่บ้านแล้วมาบอกคราวหลังนะครับ”

“เดี๋ยววันนี้เราจะไปถามด้วยตัวเองเลยแล้วกัน อย่างไรเสียเราก็อยากไปซื้อขนมไทยให้คุณแม่อยู่แล้ว”



เอาเลยครับพี่ อยากทำอะไรก็ทำเลย



อารมณ์ที่ผมมีต่อเขามันขุ่นมัวขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนเจ้าตัวเองก็รู้ เขาจึงเลิกตอแยผมแล้วเดินไปคุยกับครูบุญแทน ทิ้งผมกับไอ้ไม้ไว้แค่สองคน


“ไอ้กรเอ๊ย คราวนี้เราก็จะมีเงินใช้ สบายไปอีกนานเลยว่ะ”


ยอมรับครับว่าคงจะมีเงินใช้สบาย แต่สุขภาพจิตท่าจะแย่


ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เออ”


ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ จะกลับบ้านได้ไหมก็ไม่รู้



เดี๋ยวนะ กลับบ้านเหรอ...


“ไอ้มั่น มึงพอจะรู้จักเกจิอาจารย์ดังๆ บ้างไหม”


มันขมวดคิ้วหยุก
“ก็...พอรู้จักอยู่ มึงถามทำไม”

“กูอยากไปนมัสการท่านหน่อย”

“เพื่อ?”



สงสัยไอ้มั่นจะเป็นอดีตชาติของไอ้ไม้จริงๆ ซะแล้วล่ะครับ ไอ้นิสัยเซ้าซี้นี่เหมือนกันไม่มีผิด ใจจริงก็อยากจะตอบมันว่า ‘เรื่องของกูไหมล่ะ’ แต่พูดไม่ได้หรอก เดี๋ยวมันต่อความยาวสาวความยืด



“ก็แค่อยากไปทำบุญแล้วก็...ดูดวงน่ะ”

“บ๊ะ เดี๋ยวนี้มึงสนใจเรื่องโหราศาสตร์ด้วยรึ”


เออ มันบ้าเหมือนกันจริงๆ ด้วยครับ


“เออ ก็นิดหน่อยน่ะ”


ผมตบบ่าผมเบาๆ
“ไปหาหลวงลุงกูแล้วกัน หลวงลุงกูนี่แหละดูดวงโคตรแม่น”



หลวงลุงอีกแล้วเหรอเนี่ย



หัวเราะแห้ง



ในขณะที่ผมกำลังหัวเราะแห้งกับตัวเองอยู่เงียบๆ ไอ้มั่นก็เดินเข้าไปโอบไหล่ผม
“ว่าแต่โอกาสดีๆ ได้งานมาแบบนี้ต้องไปฉลองกันใช่ไหมเพื่อน”


นั่น ผมว่าแล้ว


“ยาดองท้ายตลาดนี่มันดีจริงๆ นะ”



นั่นไง



“แถมลูกสาวตาแกสวยสุดๆ ข้าไปแอบสืบมาเห็นว่าชื่อแม่จัน โอ๊ย งามราวกับดวงจันทร์เลยล่ะเอ็ง”



เหมือนกันเกินไปแล้วครับ เหมือนไปแล้ว



“ถ้ากูบอกว่าไม่ไปล่ะ”



เท่านั้นล่ะครับมันหันมาเบะปากใส่ผมเหมือนเด็กๆ



“ไอ้กร มึงเป็นเพื่อนกูนะ มึงได้งานกับกูแล้วจะทิ้งกูเหรอ มึงมันใจร้ายไส้ระกำ มึงเห็นคนอื่นดีกว่ากูเหรอ มึงจะแอบไปหาสาวใช่ไหม จำไว้เลยมึง”



ดีจริงๆ ครับที่ยุคนี้จะไม่มีคำน่ารักๆ ให้เอามาตัดพ้อ แถมยังไม่มีการพูดว่า ‘มึงอ่า’ แล้วลากเสียงยาวๆ ด้วย เพราะถ้ามีไอ้นี่คงทำไปแล้ว



ให้ตายเถอะ



ผมเผลอยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะรีบตีหน้าขรึม



ไม่ได้ครับ เดี๋ยวมันรู้ว่ามุกนี้ใช้ได้ผลแล้วจะได้ใจ



“เออๆ ไปก็ไป นี่เห็นว่ามึงชวนหรอกนะ”

“จริงนะ!”

มันตะโกนถามอย่างดีใจ ก่อนจะรีบลดเสียงลงเมื่อครูบุญตะโกนด่ามาจากอีกฝั่ง

“มึงนี่เป็นเพื่อนแท้จริงๆ ไว้หลังเลิกเรียนค่อยไปกัน”

“เออ”

มันตบไหล่ผมด้วยสีหน้าแช่มชื่นจนน่าหมั่นไส้แล้วเดินจากไปหาครูบุญ



นี่มันคงไม่ได้กะจะชวนครูไปก๊งเหล้าใช่ไหม แต่ดูจากท่าทางทีโดนครูบุญฟาดกะโหลกไปทีนึงก็น่าจะใช่แล้วล่ะ




ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“อารมณ์ดีจริงนะ”

เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งโหยง โชคดีที่ไม่ได้สบถคำหยาบออกไป



ไอ้เวรนี่ ถ้าไม่ติดว่าเป็นทวดเพื่อนจะด่าให้ยับเลย



“ขอโทษ ตกใจรึ”


สีหน้ามันไม่ได้สำนึกผิดเลยสักนิดเดียวครับ


ทำไมคนแบบนี้ถึงมีเหลนดี ๆ อย่างทีนได้น้า


“เราแค่ลงไปหาน้าผ่องที่ใต้ถุนมา เห็นดอกการเวกมันหล่นอยู่ใต้ต้นเลยเก็บมาฝาก”


ว่าพลางก็คลี่มือโชว์ดอกการเวกให้ผมดู



ดอกไม้ที่ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่ามันเป็นกระดังงา...น่าขายหน้าเป็นบ้าเลย



“เอามาให้ผมทำไมเหรอครับ”

เขายกยิ้ม
“ก็เธอชื่อกรวิกอย่างไรเล่า”


มุกจีบเก่า ไปเรียนมาใหม่


“ถ้าเช่นนั้นคุณคงต้องเอาดวงจันทร์ให้คนที่ชื่อจัน ไม่ก็เอาเสาให้คนที่ชื่อมั่นแล้วล่ะครับ”

เขาหัวเราะรับคำแขวะด้วยสีหน้าชื่นบานจนน่าหมั่นไส้
“ก็คงใช่”


พวกเรายืนสบตากันนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีเสียงเรียกดังมาจากตรงระเบียง


“ไอ้กรเว้ย มาซ้อมได้แล้ว เลิกกวนคุณเขาได้แล้วเว้ย”



กูไม่ได้กวนมัน มันมากวนกู



“ผมคงต้องไปแล้วล่ะครับ”

“จะไม่รับไว้จริงรึ”

เขาถามด้วยสีหน้าออดอ้อน



ครับ ผมไม่ได้คิดไปเอง เขากำลังออดอ้อน



แต่จะมาจีบกันเป็นเกย์ในยุคสมัยนี้น่ากลัวจะโดนเฆี่ยนตายเสียก่อน



“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ”



ผมไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดตอบ สองเท้ารีบเดินจ้ำจากมา



เอาจริงๆ ทวดก็ตรงสเป็คผมอยู่หรอก แต่นิสัยทวดมันไม่ได้ ยุคสมัยมันก็ไม่ได้



เจอกันผิดที่ผิดทางก็ต้องทำใจล่ะนะ



พอคิดได้แบบนั้น ผมก็พยายามเลิกสนใจเขา



“กรวิก”

ผมหันไปตามเสียงเรียก

“เดี๋ยวรอกลับพร้อมเรานะ”

เขาว่ายิ้มๆ แล้วเก็บดอกการเวกลงในกระเป๋าที่อกเสื้อ



ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาแต่งตัวต่างจากผมกับไอ้มั่นมาก กางเกงที่เขาใส่เป็นทรงตรงเอวสูงเหมือนกางเกงวินเทจในยุคปัจจุบัน เสื้อเป็นเชิ้ตขาวที่มีกระเป๋าอยู่บริเวณอก ที่สำคัญคือเขาใส่หมวก



ไม่สิ ต้องเรียกว่าถอดแล้วต่างหาก



แล้วผมจะสนใจทำไมล่ะนั่น



“ครับ”



ผมตอบรับไปสั้นๆ แล้วรีบเดินจากมา





เขามันโคตรน่ารำคาญ แต่ทำไมผมถึงใจเต้นกับเขานักก็ไม่รู้....




หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 10 [ครึ่งแรก] (1/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-11-2017 19:46:00
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: ไหนว่าคุณทวดโคตรน่ารำคาญ
แต่ทำไมมอสถึงใจเต้นกับเขาล่ะ....   :z3: :z3: :z3:
มอสๆ........หวั่นไหวแล้ว
คุณทวดหล่ออออออ ตรงสเป็คมอส
นิสัยไม่ได้ จริงรึ  o18
ทวดรุกมอสน่าดูเลย  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 10 [ครึ่งแรก] (1/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-11-2017 01:04:28
คุณทวดดูเป็นคนอบอุ่นมากเลยค่ะ ดีต่อใจจริงๆ
เพิ่งมาตามอ่านรวดเดียว ชอบมากเลย มีคนแนะนำมา ซึ่งก็ดีจริงๆค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ เขียนดีมาก ชอบมากๆเลยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 10 [ครึ่งแรก] (1/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 02-11-2017 18:54:08
บทที่ 10 บ่าวในบ้าน [ครึ่งหลัง]






กว่าจะเรียนดนตรีเสร็จก็ปาไปบ่ายคล้อย บนเรือนเริ่มมีคนเข้ามาวุ่นวาย ผมเลยเลือกที่จะพาตัวเองลงมานั่งเล่นที่ท่าน้ำรอพาคุณทวดตัวดีไปพบป๊ากับม้าของผม...ของกรวิกน่ะ




ผมนั่งแอบอยู่ในเงาร่มไม้ สายลมเอื่อยๆ ที่เข้าปะทะใบหน้าชวนให้รู้สิดี แดดในตอนนี้ค่อนข้างแรง เดาจากสภาพแดดแล้วคงเป็นช่วงบ่ายสองถึงบ่ายสามโมง แต่เพราะไม่มีนาฬิกาเลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันกี่โมงกันแน่




ไปเข้าฝันแม่ให้เผามาให้ดีไหมน้า




ผมหัวเราะให้กับความคิดพิเรนทร์ของตัวเองก่อนจะค่อยๆ เบาลง

นั่นสิ ตัวตนของผมทางฝั่งนั้นจะเป็นยังไงกันนะ จะยังมีชีวิตอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าเกิดว่าผมตายไปแล้วล่ะ




...จะยังมีใครนึกถึงผมอยู่อีกไหมนะ...




การถูกลืมไปจากความทรงจำมันเจ็บปวดและน่ากลัว อย่างน้อยถ้าตายแล้วก็ขอแค่สักคน...ใครสักคนที่จะไม่ลืมผม




“ไอ้กร”

ผมรีบดึงตัวเองกลับมาแล้วหันไปมองตามเสียงเรียก


ไอ้มั่นกำลังเดินลงมาจากเรือนด้วยใบหน้าแช่มชื่น ไม่นานนักมันก็เดินมาถึงตัวผมแล้วคว้าคอผมเข้าไปกอดอย่างแรง



ดึงแรงขนาดนี้มันคงคิดว่าคอผมเป็นเชือกผูกควายล่ะมั้ง



“เอาไงดีมึง จะไปเลยไหม ยาดองดีๆ กำลังเรียกร้องหาพวกเราเว้ย”

นั่น เรียนเสร็จต้องไปก๊งเหล้า สันดานไอ้ไม้ชัดๆ

“ยังไปไม่ได้”

มันขมวดคิ้วยุ่งแล้วเริ่มเบะปาก


มันเอาแล้วครับ


“มึงหยุดโวยวายแล้วฟังกู คุณเปมทัตของมึงเขาจะไปคุยกับที่บ้านกูเรื่องจ้างคนครัวหลังจากซ้อมดนตรีเสร็จ กูก็ต้องพาเขาไปอย่างไรเล่า”


ถึงจะอธิบายไปแต่มันก็ยังไม่เลิกเบะปาก


“เออๆ มึงจะทิ้งกูใช่ไหม เอาเลยเกลอ”

มันพูดแล้วสะบัดหน้าหนี


นี่เพื่อนหรือแฟนครับ งอนจริงงอนจัง


“กูพูดตอนไหนว่ากูไม่ไป กูแค่บอกว่ากูยังไปตอนนี้ไม่ได้ ถ้ามึงยังไม่เลิกทำท่าฮะ....เฮ้ย”

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบมันก็กระโดดเข้ามาคว้าคอผมไว้จนผมร้องลั่น


ไอ้นี่ผีเข้าผีออกเป็นบ้า


“มึงนี่ใจถึงจริงๆ ว่ะ”

“เออๆ ไว้เย็นๆ มึงค่อยมารับกูที่บ้านแล้วกัน”

“ได้เลยไอ้เกลอ”

มันว่าด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดีแล้วบอกลาผมกลับบ้านไป ทิ้งผมให้นั่งอยู่ที่ท่าน้ำอย่างเปล่าเปลี่ยว



ผีเข้าผีออกขนานแท้



ผมหัวเราะแกนๆ ให้กับท่าทีของอีกฝ่ายแล้วทอดสายตามองน้ำในคลองไหลเอื่อยๆ


ถ้าหากประสบอุบัติเหตุอีกครั้ง บางทีผมอาจจะกลับร่างเดิมก็ได้...

“จะนั่งเหม่ออีกนานไหม”

เสียงทุ้มไม่คุ้นเคยที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งโหยง



ไอ้บ้านี่ เป็นผีรึไงถึงชอบโผล่มาแบบนี้ตลอด



เอ๊ะ ผีเหรอ




เสียงนั่น...



“เราแค่ถาม ไยต้องตกอกตกใจปานนั้น”

ผมเบะปากก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นปกติเมื่อหันไปหาเขา

“ก็คุณมาไม่ให้สุ้มให้เสียง จะไม่ได้ตกใจได้อย่างไรล่ะครับ”

เขาฉีกยิ้มบางๆ


ยิ้มอีกแล้ว คนๆ นี้ยิ้มบ่อยชะมัด เหมือนทีนไม่มีผิด สมแล้วที่เป็นทวดเหลนกัน


“เช่นนั้นเองรึ”


ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขาเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรออกมา พวกเราแค่ยืนมองหน้ากันนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายหมดความอดทนไปเอง


“พร้อมหรือยัง จะไปกันเลยไหม”

ผมพยักหน้าช้าๆ

“ก็ดีครับ ผมมีนัดกับมั่นต่อตอนเย็น”

“มีนัดไปที่ใดกัน”


ใบหน้าของเขามีความใคร่รู้ เหนือสิ่งอื่นใดคือแววตาวิบวับเหมือนกำลังจะพูดคำประเภท ‘ขอไปด้วยคนสิ’ อะไรทำนองนั้นออกมา



คิดไปเองไหมนะ


“ไปดื่มยาดองน่ะครับ ไอ้...เอ๊ย...มั่นเขาชวนน่ะครับ”

ผมได้ยินเขาหัวเราะ

“ชอบร่ำสุรารึ”

อะไรของเขา


สงสัยผมคงขมวดคิ้วหนักไปหน่อย อีกฝ่ายเลยพูดเสริมขึ้นมาเนิบๆ


“ก็แค่ถามดู”

แหม สอดรู้เหมือนกันนะเราเนี่ย


ไม่เอาครับ ไม่พูดออกไป เดี๋ยวโดนด่ากลับมา


“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ ดื่มได้ถ้ามีเพื่อน ถ้าไม่มีก็คงไม่ชอบนัก”

เขาเอียงคอแล้วเลิกคิ้ว


ไอ้เหี้ย น่ารัก


นึกสภาพผู้ชายตัวโตๆ ทำท่าแบ๊วๆ สิ ถึงนี่จะแค่เอียงคอก็เถอะ


โคตรดี ดีจริงๆ



เฮ้ย ไม่ได้สิ ต้องดึงสติกลับมาก่อน



“สรุปก็คือชอบ?”

ผมยักไหล่


ฉิบหาย กูเผลอ


ผมรีบทำทีเป็นหมุนไหล่แก้เก้อ

“เอ่อ...ก็คงชอบล่ะมั้งครับ”

เขาเงียบก่อนจะหมุนตัวเดินนำไป

“สุราใช่ว่าจะเป็นของดี ไยจึงชอบดื่มเข้าไปนัก”

แหมะ แขวะกันเข้าไป ทำยังกับตัวเอง....



เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ประโยคเมื่อกี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน




‘สุราใช่ว่าจะเป็นของดี ไยจึงชอบดื่มเข้าไปนัก’




เดี๋ยวสิ นั่นมันเป็นประโยคจากเสียงปริศนาที่ผมเคยได้ยินในร้านเหล้าตอนไปกับไอ้ไม้และน้องหยกนี่นา



สรุปแล้ว เสียงที่ว่านั่น เป็นเสียงของคุณทวดจริงๆ ด้วย ผมลืมสังเกตไปเสียสนิทเลยว่าเนื้อเสียงของเขาเหมือนกับเสียงปริศนาที่ผมได้ยินเป๊ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าเสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงที่เขาพูดกับกรวิก



แล้วทำไม...ผมถึงได้ยินล่ะ



ทำไมกัน



“แล้วจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม รีบตามมาสิ”

“คะ ครับ”



ทำไมกันล่ะ หรือว่าผมจะเป็นกรวิกจริงๆ



ชักจะไม่ตลกแล้วสิ...










ในตอนบ่ายของวันที่ท้องฟ้าโปร่งสวย ไร้เมฆบัง มีแดดร้อนเปรี้ยงๆ พากันสาดส่องไปทั่วบริเวณ ดูสดใสราวกับช่วงซัมเมอร์ในสวิตเซอร์แลนด์ ผู้คนสวมหมวกบ้างไม่สวมบ้างเดินกันขวักไขว่ แต่ละคนก็แต่งตัวแตกต่างกันไป



นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้สังเกตอย่างจริงจัง



สำหรับผู้ชายแล้วคนที่ดูมีฐานะก็จะแต่งตัวอย่างเราๆ ในปัจจุบัน แต่อาจเป็นแฟชั่นที่ดูวินเทจอยู่หน่อย กางเกงขายาวทรงคุณลุง กับเสื้อเชิ้ตติดกระดุมยันเม็ดสุดท้าย ถ้าเป็นชาวบ้านก็จะเป็นเสื้อคอกลมสีขาวกับกางเกงแพร บ้างก็ยังนุ่งโจงกระเบนให้เห็นประปราย ส่วนผู้หญิงก็เป็นชุดร.6 เหมือนอย่างที่ชอบขายกันตามพาหุรัดบ้าง เสื้อเรียบๆ กับผ้าซิ่นบ้างปะปนกันไป คนรวยหน่อยก็นั่งรถม้า คนจนก็เดินเท้ากันไป ในคลองมีเรือพายสัญจรกันไปมาราวกับเป็นเรื่องปกติ



ยอมรับว่าเป็นอะไรที่โคตรตื่นตาตื่นใจ


“ตื่นตาตื่นใจอะไรปานนั้น”


คนตรงหน้าผมพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ ใบหน้าใต้หมวกสีอ่อนนั้นดูสดใสไม่ยี่หระไปกับแดดยามบ่าย สงสัยเพราะผมตื่นเต้นออกนอกหน้าไปหน่อยทำให้อีกคนจับสังเกตได้


คงต้องพยายามเก็บอาการกว่านี้หน่อย


“เปล่าครับ ผมแค่ไม่ชินกับการมีเจ้านายมาเดินใกล้ๆ”


จริงๆ ต้องบอกว่าเขาเดินนำแล้วผมเดินตามหลังถึงจะถูก แต่มันก็ใกล้ล่ะนะ


เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย

“เธอไม่เคยได้ยินคำว่าข้าราชการต้องเข้าได้กับทุกคนรึ”

คราวนี้เป็นผมเองที่ขมวดคิ้ว


ก็แหม ถ้าให้นึกถึงข้าราชการในสมัยที่ผมจากมาล่ะก็คนดีก็มีมาก คนไม่ดีก็ใช่ว่าจะน้อยเสียเมื่อไหร่


พอเห็นผมเงียบเขาจึงเริ่มพูดต่อ

“ข้าราชการจักจำเริญในหน้าที่การงานได้นั้น จำเป็นต้องเข้าได้กับทุกคน ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นไพร่หรือผู้ดี”


อุดมการณ์ล้ำเลิศประเสริฐสุด


“ทำหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร”


แย่ละ สงสัยเผลอเบ้ปากใส่แน่ๆ


“ทำหน้าเช่นไรหรือครับ”

ผมแกล้งถามพาซื่อ ตีเนียนไปครับ ความเนียนเท่านั้นที่จะครองโลก

เขาหรี่ตามองผมพร้อมกับยกยิ้มแล้วเอามือมาบีบจมูกผมเบาๆ

“ทะเล้นจริงนะ”


ไอ้เหี้ย กูช็อค ไอ้ทวดเป็นบ้าเหรอ เดี๋ยวก็โดนจับไปปาหินใส่หรอก


ผมเขยิบตัวหนีเขาหลังเรียกสติคืนมาได้


ยอมรับว่าเผลอเคลิ้ม แต่เราต้องไม่ไหลไปตามน้ำ

“ทำอะไรน่ะครับ”

“รังเกียจรึ”

นัยน์ตาสีดำสนิทฉายประกายบางอย่าง


อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขากำลังโยนหินถามทาง ถ้าเป็นยุคเราคงเป็นคำถามประเภทที่ว่า ‘เป็นเกย์รึเปล่าครับ’ แน่ๆ
อย่าบอกนะว่าทวด....


“คุณ...ชอบผู้ชายหรือครับ”


ไอ้เหี้ยมอส ทำอะไรลงไป ตายแน่ กูตายแน่ โรคยั้งปากไม่ทันมันมาจากไหนกันวะ


เขาเงียบไปก่อนจะค่อยๆ ถอยตัวห่างออกไป

“รีบเดินเข้าเถิด เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”

ทันทีที่พูดจบเขาก็ออกเดินนำไปโดยไม่รอผมสักนิด



เป็นอะไรอีกล่ะนั่น


งง มอสงงไปหมด



แต่ต่อให้ยืนงงอยู่ตรงนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้าก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ผมจึงรีบเร่งฝีเท้าตามเข้าไปแต่ไอ้ขายาวๆ นั่นมันก็ขยันก้าวเสียเหลือเกิน ภาพที่ออกมาเลยกลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี นิสัยน่ารัก กำลังวิ่งตามชายหนุ่มขายาวไปเสียอย่างนั้น


เออ เอาความจริงก็เหมือนบ่าวที่โดนเจ้านายทิ้งนั่นแหละ


หลังจากวิ่งตามมาได้สักพัก


ย้ำว่า วิ่ง


พวกเราก็มาถึงหน้าบ้านที่ผมคลับคล้ายคลับคลาที่สุดในละแวกนี้


แหม จะบอกว่าคุ้นเคยในหนึ่งคืนนี่ก็น่ากลัวจะแปลกไป


บริเวณหน้าบ้านกึ่งหนึ่งถูกยึดไปด้วยแคร่ไม้ไผ่ที่มีถาดขนมตั้งอยู่ ในฐานเหลือขนมอยู่เล็กน้อย นับๆ ดูก็ราวสามสี่กระทง ยังไม่ทันที่ผมจะทำหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดีด้วยการตะโกนเรียกอาม้า อาเจ้ก็เดินออกมาเสียก่อน

“อ้าว ทำไมลื้อวันนี้กลับมาเร็วนักล่ะ ปกติเห็นชอบไปหางานทำต่อนิ”

ผมส่งยิ้มแห้งให้เธอ

“พอดีอั๊วพาคนมาหาอาม้าน่ะ”

เธอเบนสายตาไปมองบุคคลที่สามพลางทำสีหน้าครุ่นคิด

“ใครล่ะ”


เปิดมาแบบนี้ ผมก็คงเลี่ยงหน้าที่ส่วนนี้ไม่ได้แล้วล่ะ


“คุณเปมทัตครับนี่พี่สาวของผม ชื่อ...”

ความฉิบหายที่แท้จริงมาเยือนแล้วครับ



...เจ้กูชื่ออะไรวะ...



“นี่ลื้อลืมชื่ออั๊วเหรอ”


ต้องแถครับ ต้องเอาตัวรอด


“กะ..ก็อั๊วไม่รู้ว่าอาเจ้อยากให้คนนอกเรียกว่าอย่างไรนี่นา”

เธอถอนหายใจใส่ผมอย่างรำคาญ


เค้าผิดไปแล้ว เค้าขอโทษ


“ดิฉันชื่อพลอยค่ะ”


โอ้โห ชื่ออย่างไทย พูดอั๊วลื้ออย่างคล่อง


“อาเจ้ครับ นี่คุณเปมทัตเป็นลูกของท่านเจ้าคุณอธิปครับ ผมเจอคุณเขาตอนไปเรียนดนตรี”

อาเจ้ของผมยกมือไหว้ ส่วนเขาก็ทำเพียงพยักหน้ารับเบาๆ


มือใหญ่เอื้อมมือไปถอดหมวกจากบนหัวมาถือไว้

“ที่เรามาในวันนี้ก็ตั้งใจจะมาชวนให้แม่ของพลอยไปเป็นแม่ครัวในบ้านเรา เพราะคุณแม่ท่านโปรดรสมือขนมของบ้านเธอมาก จึงอยากได้คนทำให้รับประทานทุกวัน จะเทียวไปเทียวมาแบบนี้ก็เห็นจะลำบาก”

ท่าทางสุภาพนุ่มนวลกับคำพูดสุภาพระดับสิบนั้นทำให้ผมกับอาเจ้ได้แต่ลอบมองตากันเงียบๆ


ใครมันจะกล้าไปปฏิเสธล่ะ


“ดิฉันเองก็ไม่สามารถจะตอบอะไรได้มาก คงต้องขอปรึกษาแม่ก่อนค่ะ ตอนนี้แม่ก็ไม่อยู่บ้านเพราะเอาข้าวไปส่งให้พ่อที่งานก่อสร้าง กว่าจะกลับก็คงเย็นย่ำ หากได้คำตอบอย่างไรดิฉันจะให้เจ้ากรไปบอกนะคะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ”

พอพูดจบก็ยกมือไหว้เสริมไปอีกหนึ่งที


อาเจ้เอาไปเลยเต็มสิบ ความสุภาพงดงามอ่อนช้อยจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นแค่ลูกชาวบ้านธรรมดา


จะว่าไปบ้านนี้ก็เลี้ยงลูกแปลกไม่น้อย ปกติแล้วครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนมักจะพูดภาษาจีนในบ้านและตั้งชื่อลูกๆ เป็นภาษาจีน แต่ครอบครัวนี้นอกจากจะไม่ค่อยพูดภาษาจีนในบ้านแล้ว ยังไม่ตั้งชื่อลูกเป็นภาษาจีน ไม่ให้ลูกพูดคำจีนนอกบ้าน พยายามปรับตัวเป็นไทยอย่างยิ่งยวด


เข้าเมืองตาหลิ่วแล้วหลิ่วตาตามสุดๆ


ผมลอบมองคนตัวสูงนิดหน่อย

เขามีท่าทีสงบนิ่ง แต่นัยน์ตานั้นแปลกไป



ประกายวาบวับนั้นหายไปไหนแล้วนะ



“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะ อย่างไรเสียเราจะรอคำตอบนะ”

เขาว่าแค่นั้น ไม่มีกล่าวถึงผมแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ปกติต้องทำแท้ๆ



...ทำไมกันล่ะ...




อ้าว แล้วกูจะเดือดร้อนทำไม



“เช่นนั้นเราขอเหมาขนมเลยแล้วกัน ห่อให้เราด้วยนะ”

ผมได้ยินอาเจ้เอ่ยรับคำ




ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ชายตามามองผมสักนิด




ไอ้บ้าเอ๊ย มอส มึงเป็นอะไร น้อยใจเป็นสาวน้อยที่เพิ่งโดนแฟนหมางเมินอย่างนั้นล่ะ




ด้วยความชำนาญ ไม่นานนักห่อขนมก็เรียบร้อย เขาเพียงจ่ายเงินให้อาเจ้แล้วหยิบขนมก่อนจะทำท่าเหมือนจะเดินจากไปอย่างไรอย่างนั้น

“เดี๋ยวผมไปส่งครับ”

ปากมันไวกว่าสมองอีกแล้วครับ ทันทีที่เห็นว่าเขากำลังจะสาวเท้าจากไป ปากมันก็ลั่นไปเอง


พวกเรายืนสบตากันอึดใจก่อนที่เขาจะยกยิ้มบางเหมือนอย่างทุกที...



...ไม่เหมือน แวววิบวับในดวงตานั้นมันหายไปไหนแล้วล่ะ...



“ไม่เป็นไรหรอก เรากลับเองได้”

เขาพูดแค่นั้นก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย



ทำไมล่ะ ทำไมกัน



“โชคดีจริงๆ เลยนะ มีเพื่อนเป็นถึงลูกข้าราชการใหญ่โต อั๊วว่าอาม้าต้องดีใจแน่ๆ เลย”

ผมพยักหน้ารับคำพูดของอาเจ้ไปส่งๆ อย่างนั้น ในหัวมันวนเวียนคิดแค่เพียงว่า...


ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป


หรือเพราะประโยคที่ผมถามออกไป แล้วผมต้องทำยังไงล่ะ




ต้องทำยังไงให้เขากลับมาเป็นเหมือนเดิม




เดี๋ยวๆ แล้วทำไมเราต้องอยากให้เขาทำตาวิบวับใส่เราด้วยล่ะ...




....




ไอ้เหี้ยเอ๊ย คนมีเป็นล้านทำไมกูไม่ชอบวะ ทำไมต้องเป็นคุณทวดด้วยนะ




ชอบใครไม่ชอบ ชอบทวดเพื่อน มอสจะบ้า










หลังจากเขากลับไป อาเจ้ก็ง่วนอยู่กับการเก็บร้านโดยมีผมเป็นลูกมือ อุปกรณ์ทั้งหลายถูกเก็บล้างอย่างรวดเร็ว ครั้นพอเก็บล้างเสร็จก็ต้องเข้าครัวทำอาหารเย็นต่อ


ล้างแล้วก็เอามาใช้ ใช้เสร็จก็ล้างอีก


“อาโซ้ยตี๋ ลื้อว่าอาม้าจะไปทำตามคำชวนของคุณเขารึเปล่า”

ประเด็นที่ถูกเปิดมาแบบงงๆ ทำให้ผมหันไปมองหน้าคนพูดเล็กน้อย

“อั๊วจะไปรู้ได้ไงเล่า”

เธอเงียบไปชั่วครู่ ปล่อยให้เสียงก๊องแก๊งของภาชนะที่กระทบกันดังก้องไปทั่ว


เงียบจนผมรู้สึกว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่าง


“แต่อั๊วอยากให้อาเจ้ไปมากกว่านะ”

สิ้นคำพูดของผมเสียงก๊องแก๊งของภาชนะก็หยุดลงแทบจะทันที

ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนจ้องผมคิ้วขมวดอยู่แล้ว

“ก็...อั๊วเห็นอาเจ้ทะเลาะกับอ้าป๊าเรื่องในบ้าน ถ้าอาเจ้ได้ออกไปทำงานนอกบ้าน อาจจะมีความสุขมากกว่าก็ได้นะ”


พวกเราสบตากันชั่วอึดใจ สุดท้ายก็มีคนหลบตาแล้วเสียงก๊องแก๊งนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง


ไม่มีคำเห็นด้วย ไม่มีคำเห็นต่าง


...ไม่มีอะไรเลย...


เธอทำเพียงแค่หลบตาผมแล้วบรรเลงเสียงก๊องแก๊งนั้นต่อไป


เมื่อเห็นดังนั้น ผมจึงก้มหน้าแล้วเริ่มทำงานขัดถูจานชามของตัวเองต่อ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ จนกระทั่ง...

“ไปเถอะอาหมวย”

เสียงที่ดังโพล่งขึ้นมาทำให้ผมหันขวับไปมองแทบจะทันที


สิ่งที่เห็นคืออาม้าที่ยืนยิ้มอยู่ตรงประตูครัว ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นเจือความอ่อนโยน

ผมหันไปมองอาเจ้ที่ตอนนี้เหมือนจะจิตหลุดไปแล้ว ผมจึงพ่นลมหายใจออกทางปากเรียกสติของตัวเองแล้วฉีกยิ้ม

“อาม้า มาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับ”

หญิงสูงวัยส่งยิ้มใจดีให้ผมแล้วหันไปมองอีกคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำอาหารจนแทบจะมุดลงไปในหม้ออยู่ร่มร่อ

“ไปเถอะ ฝีมือการครัวของลื้อก็ไม่ได้ห่างจากอาม้าเลย จริงอย่างที่อาโซ้ยตี๋พูด”

เสียงของเธอสั่น

“อั๊วอยากให้ลื้อมีความสุขบ้าง ลื้อเป็นคนที่ยิ้มสวยนะอาหมวย”

ผมได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ จากคนที่กำลังทำอาหาร

“อั๊วอยากให้ลูกๆ ของอั๊วทุกคนมีความสุข ไปอยู่ในที่ๆ ลื้อจะมีความสุขเถอะอาหมวย”


ไม่มีคำตอบรับ ไม่มีคำแย้ง


มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ที่ดังสะท้อนอยู่ในห้องครัว



อาม้าคงได้ยินทั้งหมดแต่ต้น ปกติการแอบฟังแบบนี้เป็นใครก็คงบอกว่ามันไม่ดี แต่สำหรับคราวนี้...มันดีแล้ว



“อาเจ้”

เสียงของผมเรียกให้สายตาของอาม้าต้องผินมามอง แต่คนที่ผมพยายามจะพูดด้วยกลับไม่ได้หันมา

“อั๊วกับไอ้มั่นก็ถูกคุณเขาชวนไปเป็นนักดนตรีประจำบ้านเหมือนกัน”

“จริงรึอาโซ้ยตี๋!”

น้ำเสียงตื่นเต้นที่เอ่ยถามขึ้นมาคือเสียงของอาม้า ใบหน้านั้นเต็มตื้นไปด้วยความปลื้มปิติ


แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ


ผมพยักหน้าตอบรับอาม้าไปเบาๆ ก่อนจะหันไปสนใจกับอีกคน

“ถ้าเจ้ไป เจ้ก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ อั๊วกับมั่นจะหมั่นไปหาอาเจ้บ่อยๆ อั๊วสัญญา”

เสียงสะอื้นนั้นเงียบไป เหลือเพียงแผ่นหลังเล็กที่ยังคู้อยู่กับการทำอาหาร


พวกเราสามคนจมจ่ออยู่กับความเงียบอยู่หลายนาที จนเป็นผมเองที่ยอมแพ้


ถ้าเขาไม่อยากไป เราก็คงทำอะไรมากไม่ได้


“ลื้อสัญญาแล้วนะอาโซ้ยตี๋”


ฮะ?


“อย่าทิ้งให้อั๊วต้องอยู่คนเดียวนะ”

ผมใช้เวลาประมวลผลในสมองอยู่สองวิก่อนจะฉีกยิ้มกว้างแล้วหันไปมองหน้าอาม้า พวกเรายิ้มกว้างให้กันและกัน

“ใครจะทิ้งอาเจ้ของอั๊วได้ลงกัน”

ผมว่าพลางหัวเราะ


เอาเข้าจริง อาเจ้ของผมก็น่าแกล้งอยู่ไม่น้อย


“ไอ้กร! ข้ามารับเอ็งแล้วไอ้เกลอ”

ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรเพลินๆ เสียงตะโกนโหวกเหวกที่คุ้นหูก็พลันดังขึ้นที่หน้าบ้าน



เสียงแบบนี้ ท่าทางโหวกเหวกแบบนี้ ไม่ต้องสืบเลยครับ



“อาม้า อาเจ้ คืนนี้อั๊วขอไปก๊งเหล้ากับไอ้มั่นฉลองที่ได้งานหน่อยนะ”

อาม้าโบกมือไล่ผมด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ในขณะที่อีกคนก็ยังไม่ยอมหันมา


ผมอมยิ้มคิดอยากจะแกล้งเธอขึ้นมาตงิดๆ

“เจ้ ไปก่อนนะ เดี๋ยวถ้าเจอผู้ชายหล่อๆ จะเอามาฝ...เหี้ย!”

ยังไม่ทันที่ผมจะแซ็วจบประโยค จวักที่ใช้คนแกงในหม้อเมื่อครู่ก็ลอยเฉียดหัวผมไปหน่อยเดียวจนเผลอสบถออกมา



อาเจ้กูเป็นสายแทงค์



“ไปเลยนะ ไม่เมาไม่ต้องกลับมา”

แม้ว่าถ้อยคำที่พูดออกมาจะดูออกแนวขับไล่ไสสู่ แต่สีหน้าเปื้อนยิ้มทั้งๆ ทีตาแดงก่ำนั้นทำให้ผมรู้ว่าเธอไม่ได้โกรธผมจริงจังอย่างปากว่า


ผมมองใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นนิดหน่อยก่อนจะรีบบอกลาอาม้าอีกครั้งแล้ววิ่งไปหาคนที่ตะโกนเหวกเหวกอยู่หน้าบ้าน
จะว่าไปอาม้าก็พูดถูกอยู่นะ





เวลาอาเจ้ยิ้มแล้วสวยจริงๆ ด้วย




**************************************************************************************************
ครึ่งหลังนี่แน่นๆ ไปหน่อยเพราะปิงปองแบ่งวรรคตอนไม่ดีเองค่ะ ตอนหน้าจะพยายามทำให้ดีขึ้นน้า  :hao5: :hao5:



หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 10 [ครึ่งหลัง] (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-11-2017 19:45:20
แอบคิดว่า ยิ้มสวยของเจ้กรวิก จะเปลี่ยนชีวิตเจ้ ไหมนะ

คุณทวด เป็นไรแค่มอสถามเรื่องชอบผู้ชาย
ก็เงียบ ตาวิบวับก็หายไป งอนมอสหรือเปล่า

อยากอ่านพาร์ทคุณทวดบ้าง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 10 [ครึ่งหลัง] (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-11-2017 23:05:11
 :L2: :L1: :pig4:

ตอนนี้สอนให้รู้ว่า ภาวะปากไวนำไปสู่ความเครียด
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 10 [ครึ่งหลัง] (2/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 03-11-2017 20:37:36
บทที่ 11 ตอบรับ [ครึ่งแรก]





ผมฝันประหลาด หรือถ้าจะพูดให้ถูกมันเป็นคืนแรกที่ผมฝัน

ผมได้ยินเสียงร้องไห้ของแม่ เสียงทุ้มต่ำของพ่อ เสียงโหวกเหวกของไอ้ไม้ และความอบอุ่นที่มือขวา

ความอบอุ่นจากฝ่ามือที่คุ้นเคย สมองพลันทบทวนถึงความทรงจำที่ถูกฝังลึกไว้

มือของผมเคยถูกใครบางคนกุมเอาไว้แบบนี้ อบอุ่นแบบนี้ไม่มีผิด



...ใครกันนะ...



...ความอบอุ่นแบบนี้เป็นของใครกันนะ...



เป็นเพียงแว่บเดียวที่วิ่งผ่านเข้ามาในหัว ผ่านมาก็ผ่านไป

แล้วผมก็ตื่น หลังจากนั้นไม่นานก็ลืมทุกสิ่งที่สัมผัสได้ไปจนหมดสิ้น สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือความอบอุ่นที่มือขวา

มันแจ่มชัด อบอุ่นอยู่ตลอดราวกับจะบอกว่าคนๆ นั้นจะไม่หายไปไหน แม้จะไม่รู้ว่ามันเป็นความอบอุ่นของใครแต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมมีความสุข


...ดีจัง...


ผมนั่งมองฝ่ามือตัวเองอยู่อย่างนั้นจนเสียงก๊องแก๊งในครัวเริ่มดังขึ้น ทุกอย่างเลยเริ่มดำเนินไปตามปกติที่ควรจะเป็น

ผมตื่นมาด้วยอาการสดชื่นเหมือนคนไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ ต้องยอมรับครับว่ายาดองมันไม่เหมือนแอลกอฮอล์ปกติ จิบนิดจิบหน่อยผมก็ยอมแพ้ เลยกลายเป็นว่าผมไปนั่งกินกับแกล้มแล้วมองไอ้มั่นดื่มแทน หลังจากบิดขี้เกียจบนเตียงจนพอใจก็ลุกไปอาบน้ำ จากนั้นไอ้มั่นก็มารับที่หน้าบ้าน ท่าทางมันดูแฮงค์น่าดู แต่ก็ยังอุตส่าห์มารับผมอยู่ดี พวกเรากินอะไรเบาๆ ที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ นั่งเรือเจ้าเดิมกับเมื่อวานไปบ้านครูบุญ ซ้อมดนตรีแล้วก็กลับบ้าน ดูแล้วก็ปกติ


ปกติที่ไหนกัน


“น้าผ่องวันนี้คุณเขาไม่มาหรือจ๊ะ”

คงเพราะห้ามความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ได้ ตอนเดินกลับลงมาจากบนเรือนแล้วเห็นน้าผ่องก้มๆ เงยๆ อยู่ใต้ถุนเลยเผลอหลุดปากถามออกไป

ผมก็ไม่ใช่ไอ้ไก่อ่อนที่จะโง่ถึงขั้นไม่รู้จักความรู้สึกของตัวเองหรืออะไรทำนองนั้นหรอก แต่ชอบไปแล้วยังไงต่อล่ะ เขาชอบกรวิก มอสชอบเขา แต่เขาไม่ได้ชอบมอส


ผม...ไม่ใช่กรวิกเสียหน่อย


“ปรกติคุณเขาจะมาซ้อมวันหยุดงานน่ะ วันนี้วันทำงานเขาก็ต้องไปทำงานสิ เขาเป็นข้าราชการนะเอ็ง”

เออ ลืมไปเลย

แล้วทำไมถึงได้บอกผมว่าจะมาเอาคำตอบพรุ่งนี้กันล่ะ...


...คนขี้โกหก....


“แล้วมั่นไปไหนเสียล่ะ”

ผมหันไปมองคนถามถึงได้รู้ว่าน้าผ่องก็คงถามไปอย่างนั้น เพราะท่าทางยังคงง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างและไม่คิดจะเงยหน้ามองผมสักนิด

“กลับไปตั้งแต่บ่ายแล้วน้า เห็นว่าวันนี้บ้านมันมีคนมาจ้างงานก่อสร้างโบสถ์คริสต์ มันก็เลยกลับไปช่วยที่บ้านน่ะจ้ะ”

“อ๋อ แล้วเอ็งไม่ไปช่วยเจ๊กเลิศบ้างเหรอ”

ผมก้มหน้าหลบตา

แล้วผมจะหลบตาทำไมล่ะนั่น น้าผ่องแกก็ไม่ได้มายืนมองอยู่สักหน่อย

“ปกติก็ช่วยพี่สาวที่บ้านน่ะน้า”

ดูเหมือนคนฟังก็ไม่ได้ตั้งใจจะฟังผมพูดเลยสักนิด พอผมตอบไปก็ไม่ได้มีท่าทีว่าอยากจะสนทนาต่อสักเท่าไหร่

ผมถอนหายใจเบาๆ


อยู่ไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร


“กลับก่อนนะครับน้า”

ผมบอกแล้วยกมือไหว้แม้ว่าเธอจะไม่เห็นก็ตาม


ผมเกือบจะเดินพ้นบริเวณบ้านไปอยู่แล้ว ถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นต้นไม้ที่กำลังออกดอกสะพรั่งส่งกลิ่นหอมไปทั้งสวน


ดอกการเวก


คงเพราะวันนี้ผมกลับเย็นไปหน่อย กลิ่นของมันเลยหอมแรงกว่าปกติ ผมก็แค่เอะใจเพราะกลิ่นของมันเท่านั้นล่ะ


...เท่านั้นจริงๆ....


“น้าผ่อง”

เสียงตะโกนเรียกของผมทำให้เธอต้องหันมามอง แม้จะอยู่ไกลจนมองไม่เห็นหน้าแต่ผมเดาได้เลยว่าเธอกำลังขมวดคิ้วยุ่งแน่นอน


ก็ไปขัดเขานี่นะ แต่อย่างไรเสียผมก็มีบางอย่างที่อยากขออยู่ดี

“ขอเก็บดอกการเวกสักดอกสองดอกได้ไหมจ๊ะ”

แล้วผมลดเสียงมาพึมพำกับตัวเอง
“มันหอมเหลือเกิน”

คงเพราะผมเหม่อมองต้นการเวกมากไปหน่อยจึงไม่ค่อยได้ยินเสียงที่ตะโกนตอบกลับมา
“อะไรนะน้า”
“เอาไปเลย อย่าเก็บให้หมดต้นแล้วกัน”
ผมหัวเราะร่วนกับคำแซ็วของน้าผ่องแล้วค่อยๆ เดินเข้าไป


“เราแค่ลงไปหาน้าผ่องที่ใต้ถุนมา เห็นดอกการเวกมันหล่นอยู่ใต้ต้นเลยเก็บมาฝาก”
“เอามาให้ผมทำไมเหรอครับ”



ผมรู้จักเขา


ผมรู้จักเขาก่อนที่เราจะเจอกันเสียอีก


“ก็เธอชื่อกรวิกอย่างไรเล่า”

“จะไม่รับไว้จริงรึ”



เขาเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ที่รักแม่มาก ชัดเจนต่อความรู้สึกของตัวเองเสมอ ซ้ำยังเป็นคนปากหวาน


“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ”


ครั้งนั้นผมเป็นคนปฏิเสธไป แต่ผมไม่รู้ว่าถ้าคราวนี้ผมเป็นคนเอาไปให้


เขาจะรับไว้ไหมนะ


ดอกไม้สีเหลืองนวลในมือของผมส่งกลิ่นหอมฟุ้ง


หอมหวานเหมือนคำหวานของอีกคนไม่มีผิด


เฮ้อ หนักแล้วเรา












หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 11 [ครึ่งแรก] (3/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-11-2017 21:52:12
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 11 [ครึ่งแรก] (3/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 04-11-2017 19:13:34
บทที่ 11 ตอบรับ [ครึ่งหลัง]






แสงแดดยามเย็นอ่อนแรงกว่าช่วงบ่ายอยู่มาก เพราะแบบนั้นผมเลยเอาแต่เดินทอดน่องเรื่อยเปื่อยไร้ความเร่งรีบ ผู้คนบนท้องถนนลูกรังบางตาลงกว่าช่วงบ่ายของเมื่อวาน


แดดแรงน้อยกว่า ผู้คนน้อยกว่า


...เหงากว่า...


บ้าจริง อาการหนักเข้าไปทุกที


ผมหยุดเดินบนกลางสะพานแล้วทอดสายตามองลงไปด้านล่าง เรือหลายลำสัญจรไปมาขวักไขว่ ท่าน้ำก็เริ่มมีคนมาอาบน้ำยามเย็น


เมื่อวานตรงหัวสะพานเขาบีบจมูกผม


เมื่อวานตรงหัวสะพานเขาห่างผมไป


จะคว้ากลับมาได้ไหมนะ


ไอ้เหี้ยเอ๊ย ความรู้สึกเหมือนเด็กสาววัยแรกรุ่นที่แอบชอบรุ่นพี่ห้องข้างๆ แบบนี้นี่มันอะไรกัน โตเป็นควายแล้วนะมอสเอ๊ย อยู่มาได้ชั่วนาตาปียังไม่เห็นจะมีใครเข้ามาในชีวิต พอจะแอบชอบใครสักคนเงื่อนไขก็ดันเยอะแยะไปหมด


...ถ้าวันนี้ผมชอบเขา แล้วมันจะยังไงต่อล่ะ จะได้อยู่ด้วยกันไหม...


คิดอะไรมากมายเล่ามอส เราก็แค่ทำในสิ่งที่อยากทำเท่านั้นเอง ถ้าหากต้องจากกันไปโดยที่ไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง ผมคงเสียใจกว่าเดิมแน่


ผมกำดอกการเวกในมือแน่นขึ้นอีกหน่อยแล้วตัดสินใจเดินกลับบ้าน ผมกำลังเลี้ยวเข้าไปในซอยบ้านแล้วแท้ๆ ถ้าตาไม่ดันไปสะดุดกับรถม้าที่ดันมาจอดผิดที่ผิดทางอยู่ตรงนั้น ชายที่ดูโหงวเฮ้งเหมือนสารถีกำลังนั่งคุยกับชาวบ้านสองสามคนข้างรถม้าอย่างออกรถออกชาติ


...รถของใครกันนะ...


ช่างมันเถอะ


ผมเกือบจะละความสนใจอยู่แล้ว ผมเกือบจะทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังอยู่แล้วถ้าไม่บังเอิญยืนประจันหน้าอยู่กับคนที่เผลอคิดถึงทั้งวัน

“คุณเปมทัต”


บ้าจริง จะเรียกชื่อเขาออกไปทำไมกันนะ


“เพิ่งกลับจากซ้อมดนตรีรึ”

น้ำเสียงของเขายังคงนุ่มทุ้มเหมือนเดิม รอยยิ้มบางๆ นั้นก็ยังเหมือนเดิม

แต่นัยน์ตาของเขาไม่เหมือนเดิม


...อยากได้...


...อยากได้ดวงตานั่นคืนมา...


“ครับ”

เขาพยักหน้าช้าๆ

“เราไปคุยกับแม่ของเธอมาแล้ว ตกลงว่าพี่สาวของเธอจะไปเป็นแม่ครัวในบ้านของเรา ไว้พรุ่งนี้เราจะส่งคนมารับที่บ้านเธอก็แล้วกัน”


ผมกลืนก้อนบางอย่างลงคอ


“ครับ”

เขายิ้ม


ยิ้มเหมือนเดิม ยิ้มว่างเปล่า


อีกนิดเดียวเขาก็จะเดินผ่านผมไปแล้ว บางอย่างในใจบอกว่าผมต้องทำอะไรสักอย่าง

“คุณเปมทัตครับ”

เขาหันมามอง


ผมมีเรื่องอยากพูดแต่ข้างหลังที่ยืนคอยอยู่ตรงรถม้าไม่ไกลนั่นคือบ่าวในบ้านของเขา ถ้าผมพูดหรือทำอะไรที่ผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียวเขาต้องเสียหายแน่


จะทำยังไงดีนะ


“มีอะไรรึ”

เขาถามพลางเลิกคิ้ว

ถ้าเขาคิดว่าผมรังเกียจเขาเพราะคำถามนั้น ผมก็ต้องแสดงออกให้เขาเห็นว่าผมไม่ได้รังเกียจ


เอาวะ งัดสกิลปั้นน้ำเป็นตัวมาใช้สักหน่อย หวังว่าเขาจะฉลาดพอจะรู้ว่าผมจะสื่ออะไรแล้วกัน


ผมสูดหายใจเข้าลึกแล้วค่อยๆ คลี่มือออกให้เขาเห็นดอกการเวกช้ำๆ ในมือ

“ครูบุญเล่าให้ผมฟังเรื่องนิทานการเวก ดอกการเวกที่บานสะพรั่งเต็มต้น หากมีคนแปลกหน้าถามว่าอยากได้ดอกการเวกไหม เรามักปฏิเสธไปด้วยเหตุผลหลายประการ...”


ผมเว้นจังหวะสูดหายใจ


“แต่ดนตรีก็เหมือนใจคน บางครั้งก็ไม่ต้องการเหตุผล หากนักดนตรีใช้เหตุผลมากเกินไปเสียงเพลงก็คงไม่ไพเราะ บางครั้งเราก็ต้องลองใช้ใจ...ลองใช้ใจมองสิ่งตรงหน้า หากใจต้องการก็จงอย่าได้ลังเล ผมได้ฟังแล้วก็ชอบนิทานเรื่องนี้ก็เลยเก็บดอกการเวกกลับมาด้วย ไม่คิดว่าจะเจอคุณเปมทัตที่นี่ หากคุณเปมทัตต้องการดอกการเว...”

“ถ้าเราบอกว่าไม่ต้องการล่ะ”


ใจของผมหายวาบ ผมก้มหน้าลงแทบจะทันที


บ้าชิบ ทำอะไรลงไปวะมอส


“ไม่เป็นไรครับ เช่นนั้นผะ...”

“แต่เราก็เป็นนักดนตรีคนหนึ่ง เรื่องนี้เป็นถึงนิทานที่ ‘ครูบุญ’ เล่า มีรึเราจะไม่เก็บมาขบคิดแล้วปฏิบัติตาม”

ผมเงยหน้าขึ้นแทบจะทันที


นัยน์ตาวิบวับนั่นกลับมาแล้ว


...สวยจัง....


เขาเอื้อมมือมาหยิบดอกการเวกไปจากมือผมดอกนึง

“เราเอาไปดอกหนึ่งแล้วกัน อีกดอกเธอก็เก็บไว้จะได้ระลึกถึง”


เขาฉีกยิ้มแล้วกระซิบแผ่วเบาจนไม่น่าจะได้ยิน


แต่ผมก็ดันได้ยินเสียนี่


“ทะเล้นนักนะ”

พอพูดจบเขาก็เดินหันหลังกลับไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

แต่ไม่เป็นไรหรอก แค่ได้ประกายนัยน์ตานั้นกลับมาผมก็พอใจแล้ว


...ดีใจจัง...


มอสกลายร่างเป็นสาวน้อยมัธยมที่แอบชอบรุ่นพี่ข้างห้องไปแล้วจริงๆ ด้วยครับ










ผมเดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่ฟูฟ่องกว่าปกติอยู่หน่อย หน้าก็ร้อนกว่าปกติเล็กน้อย


...ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ...


เย็นไว้มอส กลับบ้านต้องปั้นหน้าให้ปกติหน่อย


ใจจริงผมก็คิดจะทำอะไรทำนองนั้นอยู่หรอก ถ้าไม่บังเอิญว่าทันทีที่ผมเหยียบเท้าเข้าบ้านก็สามารถรับรู้ได้ถึงบรรยากาศในบ้านที่แตกต่างไปจากทุกวัน


ตลอดหลายวันที่ผมอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ บรรยากาศในบ้านจะออกแนวอึมครึมและเงียบขรึมเสียไปส่วนใหญ่ คงเพราะเรื่องบาดหมางของอาป๊ากับอาเจ้ อาเจ้ที่ไม่ค่อยถูกกับอาเฮีย และอาม้าที่ไม่เคยมีปากมีเสียงในบ้าน แต่พอวันนี้ผมกลับเห็นอาม้านั่งหัวเราะพูดคุยกับอาป๊าอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน อาเจ้ซึ่งกำลังเก็บร้านอย่างขยันขันแข็งก็มีสีหน้าและรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ ทุกอย่างดูสดใส ชื่นมื่นอย่างน่าแปลกใจ


หรือจะเป็นเพราะเขา?


ในระหว่างที่ผมยังคิดหาคำตอบให้ตัวเอง อาม้าก็เป็นฝ่ายหันมาเห็นแล้วเอ่ยทักผมก่อน

“อ้าว อาโซ้ยตี๋ วันนี้กลับช้ากว่าทุกวันนะ”

ผมคลี่ยิ้ม

“วันนี้ครูบุญต่อเพลงใหม่ให้จ้ะ ก็เลยกลับมาช้า”

อาม้าหันไปยิ้มให้อาป๊า ก่อนที่อาป๊าจะลุกขึ้นมาตบบ่าผมเบาๆ

“ลื้อไม่เคยทำให้อั๊วผิดหวังจริงๆ อาโซ้ยตี๋”


ผม...ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงในสถานการณ์อย่างนี้ดี นี่สินะที่เขาว่ากันว่าสิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง การได้เป็นบ่าวในบ้านข้าราชการคงเป็นอะไรที่น่าภูมิใจสำหรับพวกเขาล่ะมั้ง ถึงผมจะพยายามทำความเข้าใจแต่ก็ยอมรับว่ายังงงกับตรรกะพวกนี้อยู่ดี
ช่างเถอะ


ผมแจกจ่ายยิ้มให้อาม้าและอาป๊าราวกับตัวเองเป็นนายกเทศมนตรีก่อนจะหันไปหาอาเจ้ซึ่งเดินไปเดินมา ทำนู้นทำนี่ไม่ได้หยุด
พอเอ่ยปากทักก็พลันนึกบางอย่างได้เสียก่อน


“แล้ว...”


ใจจริงผมอยากจะถามออกไปว่าแล้วอาเฮียไปไหน แต่เปลี่ยนใจ ไม่เอาไม่ถามดีกว่า บรรยากาศกำลังชื่นมื่น เดี๋ยวจะกลายเป็นสงครามเย็นเหมือนคืนนั้นอีก


แต่เพราะเริ่มพูดไปแล้วทุกคนเลยจับจองที่ผมเป็นตาเดียว อาเจ้ขมวดคิ้ว ส่วนอาป๊ากับอาม้าก็จ้องผมเหมือนจะให้ทะลุเข้าไปในสมองอย่างไรอย่างนั้น


ผมต้องแถอีกแล้วใช่ไหม


“แล้ววันนี้มีอะไรกินบ้างหรือจ๊ะ อั๊วหิวมากเลย”


ขอทำตัวเป็นคนตะกละตะกรามไปเลยแล้วกัน


พอผมพูดจบก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะจากอาป๊าและอาม้า รวมถึงรอบยิ้มเอ็นดูจากอาเจ้ที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน

“น้ำแกงยังไม่เดือดเลย คงอีกสักพักใหญ่ๆ อดทนหน่อยนะอาโซ้ยตี๋”


เป็นอาเจ้ที่ตอบกลับมาและผมก็เสแสร้งแกล้งทำหน้าเขินอายหัวเราะสร้างบรรยากาศชื่นมื่นต่อไป มันเกือบจะดีอยู่แล้วถ้าจู่ๆ คนที่ผมเลี่ยงจะไม่พูดถึงก็เดินหน้าถมึงทึงเข้ามาในบ้าน


อาเฮีย


“อ้าว อาตั่วตี๋ทำไมวันนี้กลับเร็วนักล่ะ”

และก็เป็นอาม้าอีกเช่นเคยที่เอ่ยปากถามเป็นคนแรก แถมใช้แพทเทิร์นเดิมเป๊ะ


ม้านะม้า


ผมหันไปมองหน้าอาม้าสลับกับคนถูกถาม ใบหน้าของคนสองคนเหมือนหนังคนละม้วน ของอาเฮียคงเป็นหนังสงคราม เอเลี่ยนปะทะพรีเดเตอร์หรืออะไรทำนองนั้น ส่วนใบหน้าของอาม้านั้นสดใสราวกับกำลังดูนิทานเจ้าหญิง


สัมผัสได้ว่าจะเกิดเรื่อง


“นานๆ ทีอั๊วจะกลับบ้านเร็วบ้างไม่ได้หรือไง”

อ้าว ไอ้ตั่วเฮีย คำพูดคำจาโคตรไม่น่ารักเลย

หญิงสูงวัยมีสีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย หากก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่จางๆ

“อั๊วก็ถามดู พักหลังเห็นลื้อยุ่งกับงานมาก วันนี้กลับเร็วก็เลย...”

“นี่ม้าเข้าข้างพลอยไปอีกคนแล้วใช่ไหม! จะสงสัยอะไรอั๊วกันนักหนา ทำไมทำตัวน่ารำคาญกันแบบนี้!”


อ้าวๆ ไอ้ตั่วเฮีย ไอ้ลูกเลว ไอ้ลูกหยาบคาย พูดกับแม่เอ็งอย่างงี้ได้ไง ถ้าไอ้ไม้อยู่ด้วยคงได้ยินคำพูดประเภท ‘จัดเลยไหมเพื่อน’ แน่


น้ำเสียงและสีหน้าของพี่ใหญ่ทั้งแข็งกระด้างและฉุนเฉียว นัยน์ตาเรียวนั้นขุ่นมัวไปด้วยโทสะ

ท่าทางของเขาทำให้ผมเริ่มสงสัย


...ทำไมต้องโกรธขนาดนั้น...


อาม้าก้มหน้านิ่ง ในขณะที่อาเจ้ก็ยืนนิ่งเช่นกัน


ยืนนิ่งแต่นัยน์ตานั้นไม่ธรรมดา ตาขวางขนาดนั้น ถ้าไม่มีอาม้ากับอาป๊าผมว่าไอ้ตั่วเฮียเจอตบกลิ้งลงไปนอนกับพื้นแล้วแน่ๆ


...และแน่นอนว่าคนช่วยกระทืบก็ผมนี่แหละ...


แต่ดูเหมือนประมุขใหญ่ของบ้านจะไม่ได้คิดแบบที่พวกผมคิดเลยสักนิด

“เอาล่ะๆ อาตั่วตี๋ก็ทำงานมาเหนื่อยๆ ลื้อก็ไปเซ้าซี้อีมากเข้าอีก็รำคาญเป็น”

อาป๊าเลือกที่จะหันไปต่อว่าอาม้าก่อนจะเดินมาตบหลังไอ้ตั่วเฮียเบาๆ

“เอ้า ไปพักผ่อนเสียไป เดี๋ยวจะได้มากินข้าวกินปลา”

แล้วมันก็เลือกที่จะยกมือไหว้อาป๊าแต่ไม่ไหว้ขอโทษอาม้าแล้วก็เดินเข้าบ้านไป


เอ้า ไอ้ตัวเหี้ย


ผมหันไปมองหน้าอาป๊าอย่างไม่เข้าใจ


ใช่ ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างที่อาป๊าทำลงไป


แต่เหมือนเขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะรับรู้กับความงุนงงของผมและเลือกที่จะเดินกลับเข้าบ้านไป ทิ้งให้ผม อาม้าและอาเจ้อยู่หน้าบ้านกันเพียงสามคน


นี่มันอะไรกันวะเนี่ย


ผมถอนหายใจแรงแล้วเดินเข้าไปนั่งยองๆ จับมืออาม้าที่ยังนั่งก้มหน้า

“ไม่เป็นไรนะอาม้า อาเฮียคงเหนื่อยน่ะ”

อาม้าพยักหน้าช้าๆ ใบหน้านั้นเศร้าหมองแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้ผม ทุกอย่างที่เธอทำพาลให้ผมคิดไปถึงแม่ของผมเอง อาม้าคล้ายกับแม่ของผมมาก ทั้งใจดีและอ่อนโยน ต่างกันแค่แม่โชคดีที่ไม่ได้มาอยู่ในครอบครัวแบบนี้ก็เท่านั้น


แค่คิดว่าแม่จะต้องมีสีหน้าเศร้าสร้อยขนาดนี้ก็แทบทนไม่ได้แล้ว


อยากต่อยหน้าไอ้ตั่วเฮียสักทีจริงๆ


“บ้านนี้น่ะ แค่เกิดมาเป็นผู้ชายก็ไม่มีวันผิดแล้ว”

เสียงแข็งๆ ที่ดังขึ้นทำให้ผมกับอาม้าต้องหันไปมอง

อาเจ้ยังยืนอยู่ตรงนั้น ยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางเหมือนเดิม


...นัยน์ตาก็เหมือนเดิม...


ผมเพิ่งสังเกตว่ามันไม่ใช่แค่ความโกรธเกรี้ยว มันยังมีความน้อยใจ ความอดทนอดกลั้นอยู่ในนั้นด้วย


...เป็นดวงตาแดงก่ำที่แข็งกระด้าง...


“อาหมวย อย่าพูดอย่างนั้น ถ้าอาป๊าได้ยินลื้อจะเดือดร้อนนะ”

เสียงอาม้าแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ สีหน้ารึก็ร้อนรน


ไม่ชอบเลย ทำไมอาม้าต้องถูกกดขี่ขนาดนี้นะ


ผมได้ยินเสียงถอนหายใจแรงๆ ก่อนที่เจ้าของเสียงนั้นจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งผมกับอาม้าให้นั่งอยู่หน้าบ้านตามลำพัง



บ้าจริง ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เอาเสียเลย





หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 11 [ครึ่งหลัง] (4/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-11-2017 22:11:55
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 11 [ครึ่งหลัง] (4/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Pui5264 ที่ 05-11-2017 00:15:29
สรุปว่าคุณทวดรู้ตัวว่าตนเองชอบผู้ชาย ถูกม่ะ
แล้วคุณทวดจะเทครัวมั้ย
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 11 [ครึ่งหลัง] (4/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MayuYume ที่ 05-11-2017 16:06:32
สงสารอาม้าและอาเจ้จรงๆเลย ทำไมอาเฮียถึงอารมณ์แปรปรวน(?)อย่างนี้ งงใจครอบครัวนี้---  :katai1: ชอบมากค่ะเนื้อเรื่องตามต่อค้าบบบ  :pig4: :pig4: :3123: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 12 [ครึ่งแรก] (5/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 05-11-2017 19:19:16
บทที่ 12 คนต่างเมือง [ครึ่งแรก]







ผมว่าผมกำลังฝัน ในหัวมันได้ยินเสียงแต่ภาพกลับดำมืดไปหมด


ผมได้ยินเสียงคนร้องเพลงแว่วๆ


...มันเป็นเพลงที่สดใส มันเป็นเพลงผมเคยได้ยิน...


‘แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา’


นั่นเสียงผมนี่นา


‘'Tis sundown. The golden sunlight tints the blue sea.’


ผมเป็นคนร้องแน่ๆ


‘เสียงเธอเพราะจัง’


จู่ๆ ก็มีเสียงใครไม่รู้โพล่งขึ้นมา


เสียงใครกันนะ ไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลย


‘ไม่ใช่เสียงผมหรอกครับ ผมพูดอังกฤษได้ที่ไหน’


ผมกำลังพูดอยู่กับใครกัน


‘ใช่ ผมก็สงสัยอยู่ว่าทำไมถึงได้ยินเพลงอังกฤษ แต่รับรองได้ว่าในโรงหมอนี้ไม่มีใครรองเพลงนั้นได้หรอก ผมเองยังไม่เคยได้ยินเพลงนั้นมาก่อนเลย’


‘ผมว่าหมอหูแว่วแล้วล่ะครับ ผีหลอกรึเปล่าหมอ’


หมอเหรอ


‘ก็คงคิดว่าหูแว่ว ถ้าไม่บังเอิญได้ยินภาษาไทยในเพลงด้วย’


‘ผมว่าหมอหูฝาด’


‘เพลงนี้ชื่อเพลงอะไรรึ’


นั่นสิ เพลงอะไรกันนะ


‘หมอรออีกสัก 29 ปีเดี๋ยวก็ได้ฟังเองล่ะครับ’


29 ปีถัดมาจะเกิดอะไรขึ้นกันนะ



ผมจำได้ว่าฝันถึงแค่นั้นแล้วก็ต้องตื่นขึ้นมาเพระเสียงก๊องแก๊งในครัวที่ดังกว่าทุกวัน


เสียงดังอะไรกันแต่เช้าเนี่ย


....


เออ ลืมไปเลยว่าวันนี้คนจากบ้านคุณเปมทัตจะมารับอาเจ้ไปทำงาน


ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วเอามือลูบหน้าไปมา


น่าแปลกที่คราวนี้ผมจำความฝันตัวเองได้แม่นยำ ผมกำลังพูดอยู่กับใครสักคน ที่สำคัญที่สุดคือ 29 ปี


29 ปีถัดไป...ปีนี้เป็นปี พ.ศ. 2460 ถ้านับต่อไปจากนี้อีก 29 ปี ก็จะเป็นปี พ.ศ. 2489 แล้วทำไมต้องปีนั้น...


เดี๋ยวนะ เพลงที่ฝันถึงมันร้องว่า...


“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา...”


ต่อจากนั้นก็...


“ทอแสงเรืองอร่ามช่างงามตา ในนภาสลับจับอัมพร...”


...เนื้อเพลงยามเย็น...


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


เพลงพระราชนิพนธ์อันดับสอง ถูกแต่งและเผยแพร่สู่สาธารณชนในปี พ.ศ. 2489


เดาว่าผมคงไปร้องเพลงนี้ที่ไหนสักแห่งแหง ยอมรับว่าตัวผมชอบเพลงนี้เป็นพิเศษเพราะถูกบังคับเรียนลีลาศตอนมัธยมแล้วพบว่าจังหวะฟอกซ์ทรอทเป็นอะไรที่เต้นง่ายที่สุด แล้วก็ช่างบังเอิญที่เพลงนี้เป็นจังหวะฟอกซ์ทรอทก็เลยกลายเป็นว่าผมชอบเพลงนี้ไปโดยปริยาย


พอคิดเรื่องเก่าๆ แล้วก็พาลคิดถึงชีวิตที่จากมา


ผมสะบัดหัวเล็กน้อย


ไม่ได้ครับ ถ้าเรารู้สึกแย่แต่หัววัน วันทั้งวันก็จะเจอแต่เรื่องแย่ๆ คนเราต้องเริ่มต้นวันด้วยความสดใสเท่านั้น


ผมยันตัวลุกขึ้นแล้วเริ่มดำเนินกิจวัตรตามปกติ แต่กลับต้องพบว่าตัวเองเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว


มันเอาเสียงเพลงออกจากหัวไม่ได้แล้วสิ












วันนี้เป็นวันที่แสนเรียบง่าย...ผมคิดอย่างนั้นนะ


ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติสุข พอช่วงสาย คนของบ้านคุณเปมทัตก็มารับอาเจ้ถึงหน้าบ้าน พวกเราทุกคนพากันไปยืนอยู่หน้าบ้านเพื่อกล่าวอำลา


เว้นไว้คนนึง


อาเฮีย


ผมสอดสายตาหาอาเฮียอย่างเงียบๆ และไม่คิดจะเอ่ยปากถามเพราะคงจะทำให้บรรยากาศอบอุ่นตรงหน้ามลายหายไปแน่


ใช่ อบอุ่น ผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ


อาป๊ามีสีหน้าเรียบเฉยแต่ผมรับรู้ได้ว่าในดวงตาฝ้าฟางนั้นมีความยินดี ส่วนอาม้านั้นไม่แม้แต่จะเก็บอาการ ท่านโผเข้ากอดลูกสาวเพียงคนเดียวแล้วกล่าวสั่งสอนตามประสาคนเป็นแม่ทั่วไป อาเจ้ฉีกยิ้มบางให้พวกเราทุกคน เพียงแว่บเดียวที่ทอดสายตามามองผมก่อนจะเดินหายไปกับคนจากบ้านของคุณเปมทัตที่ผมเห็นหน้าเมื่อวาน


เพียงแว่บเดียว แต่ผมกลับรู้สึกอิ่มตื้อขึ้นในหัวใจ


แววตานั้นเหมือนคำขอบคุณ


แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ อาป๊าบอกลาผมกับอาม้าไปทำงานก่อสร้าง อาม้าก็ทำท่าจะเดินไปเตรียมขนมมาขาย แสนจะปกติ...


ใช่ที่ไหนกันล่ะ


 “ป่านนี้แล้วอามั่นอียังไม่มีอีกรึ”


เสียงที่ดังขึ้นมันตรงกับสิ่งที่ผมคิดในใจแทบจะทุกคำจนอยากถามอาม้าว่ามีพลังจิตอ่านใจคนไหม


แต่เราต้องไม่พูดครับ เดี๋ยวโดนด่าว่าบ้า


ผมหันไปฉีกยิ้มฝืดๆ ให้อาม้าเป็นทำนองว่า ‘ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน’


“อ้าว แล้วเมื่อวานไม่ได้กลับมาด้วยกันรึ”

ผมพยักหน้าและกำลังจะเอ่ยปากอธิบาย ถ้าไม่ติดที่ว่า...

“ไอ้กร วันนี้ข้ามาสายเลยเทียว ขอโทษจริงๆ”


คนตายยาก พ.ศ. 2460


“แหม พ่อมั่นนี่อย่างกับนกรู้ พูดถึงก็มาทันทีเชียว”


แถวบ้านผมเรียกตายยากครับม้า


“พอดีเมื่อวานผมไปช่วยพ่อทำงานก่อสร้างน่ะครับ เลยเสียตื่นสายเทียว”


ผมเห็นอาม้าเหลือบมองผมเล็กน้อย


อย่าบอกนะว่า...


“พ่อมั่นนี่ขยันเสียจริงนะ ต่างจากคนแถวนี้เสียจริง นอกจากซ้อมดนตรีแล้วก็ยังไม่เห็นจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง”


โดนเผาต่อหน้าธารกำนัลคือความอัปยศครับ เราต้องสู้เพื่อตัวเอง


“ม้า อั๊วก็กลับมาช่วยล้างถ้วยล้างจานที่บ้านแล้วไง”


สายตาที่ส่งมามันแสนจะดูถูกดูแคลน


“อั๊วไม่ได้เอาแต่ซ้อมดนตรีไทยนะ”


คราวนี้ผมหันไปหาไอ้มั่นเพื่อขอแรงสนับสนุน แต่โลกแห่งความจริงมันโหดร้าย


สายตาของมันไม่ต่างกับอาม้าเลยสักนิด


แต่ผมน่ะ...


....


โอเค กูยอมแพ้ กูมันคนขี้เกียจสันหลังยาวเองแหละ


“โอเคๆ เดี๋ยวไว้อั๊วจะไปหางานหาการทำหลังเลิกเรียนดนตรีแล้วกัน”


พอผมพูดจบทุกคนก็พลันขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม


อะไรอีกล่ะนั่น


ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากถาม...


“ไอ้ที่มึงพูดตะกี้แปลว่าอะไรรึ”


พูด?...พูดอะไรนะ


เมื่อกี้ผมก็พูดไปว่า โอเค เดี๋ยวไว้....


...อ๋อ...


“กูก็พูดว่า เออๆ เดี๋ยวไว้จะไปหาการหางานทำไง มีอะไรล่ะ”


การแถเท่านั้นที่ครองโลก


ดวงตาสองคู่ที่จ้องมายังแฝงไปด้วยความตะขิดตะขวงใจ แต่เพราะอาการตีมึนเข้าสู้ของผมทำให้พวกเขาล่าถอยไปในที่สุด
ไม่มีใครแถและทำหน้ามึนได้เก่งเท่าผมอีกแล้ว เชื่อสิ


“เออๆ เอาเถอะ ข้าคงหูแว่วไปเองกระมัง”


ในที่สุดไอ้มั่นก็ยอมถอย แล้วทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติอย่างแท้จริง


หวังว่านะ...








หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 12 [ครึ่งหลัง] (6/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 06-11-2017 16:19:02
บทที่ 12 คนต่างเมือง [ครึ่งหลัง]





ผมว่าผมกำลังรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้เพราะฝันประหลาดเมื่อคืนหรือเพราะตัวเองเผลอหลุดพูดภาษาอังกฤษออกไปก็ไม่รู้ แต่บางอย่างในใจของผมกำลังร่ำร้องว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น...


...ผมกำลังเฝ้ารอให้มันเกิดขึ้น...


ทำไมกันนะ


ผมเดินทอดน่องไปตามถนนเพียงลำพัง หลังจากซ้อมดนตรีไทยเสร็จ ไอ้มั่นก็หนีไปทำงานเหมือนเดิม ทิ้งผมไว้เพียงลำพังท่ามกลางพระนครอันใหญ่โต จริงๆ แล้วผมไม่ชอบอยู่คนเดียวเพราะความเงียบมันทำให้ผมฟุ้งซ่าน ในหัวมันมีแต่กระแสความคิดไหลผ่านเข้ามาไม่หยุดหย่อน


ผมชอบคุณเปมทัต


ผมคิดถึงโลกที่จากมา


แล้วชีวิตของผมต่อจากนี้มันควรจะเป็นยังไงกันนะ


เสียงจ้อกแจ้กจอแจบริเวณท่าน้ำเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นทุกวัน ผมกำลังนั่งรอเรือโดยสารเพื่อจะกลับบ้าน ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่จนน่าเวียนหัว แสงแดดยามบ่ายก็ร้อนระอุชวนให้เป็นลมแดด สถานการณ์แบบนี้มันเอื้อให้เกิดอุบัติเหตุนักล่ะ ถ้ามีใครสักคนหน้ามืดแล้วโดนชนจนเซ จากนั้นก็ตกลงไปในน้ำ...


ตู้ม!


เสียงวัตถุกระทบผืนน้ำทำให้ผมที่ตกอยู่ห้วงภวังค์ถึงกับสะดุ้งสุดตัว เสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างตื่นตระหนกของผู้คนแข่งกับเสียงกรีดร้องและเสียงร้องไห้ของเด็ก


ใช่ เด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ


ผมรีบหันไปมองในน้ำ คนที่กำลังพยายามถีบตัวเองขึ้นมาจากน้ำเป็นผู้หญิงธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่ว่ายน้ำไม่เป็น


ทำไงดี ผมควรทำไงดี


ผู้คนเริ่มเข้ามามุงกันมากขึ้น แต่ไม่มีใครสักคนที่กล้าพอจะกระโดดลงไปช่วย


ผมเองก็ใช่ว่าจะว่ายน้ำแข็งเสียเมื่อไหร่


เอาไงดีวะ เอาไงดีวะกู


ร่างนั้นกำลังจะหมดแรงและจมลงไป


เสียงกรีดร้องของเด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของผม


เอาวะ เป็นไงเป็นกัน


ผมรีบเอาตัวเองแหวกฝูงชนเข้าไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อช่วยคนที่กำลังจะถูกสายน้ำคร่าชีวิต แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้กระโจนลงไปในน้ำก็พลันมีเสียงอะไรบางอย่างตกลงไปก่อน


อย่าบอกนะว่าเด็กนั่นตกลงไปด้วย


ด้วยความตระหนก ผมจึงเอาตัวกระแทกเบียดทุกคนที่ขวางหน้าเพื่อไปถึงริมน้ำให้เร็วที่สุด แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับทำให้ผมชะงักเหมือนโดนกดสวิตซ์


เด็กคนนั้นยังอยู่ที่ท่าน้ำอย่างปลอดภัย ส่วนในน้ำก็มีร่างหนึ่งชายที่กำลังกระเตงหนึ่งหญิงกลับเข้าฝั่ง ทุกอย่างมันก็ดูปกติอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่าผู้ชายคนนั้นไม่เหมือนคนไทยเลยสักนิด


ผมสีอ่อน ผิวสีขาวจัด ร่างกายกำยำแข็งแรงกว่าคนตะวันออก


...คนต่างชาตินี่นา...


ทันทีที่ร่างของทั้งสองคนกลับเข้ามาในฝั่งได้อย่างปลอดภัย ผู้คนก็พลันเงียบเสียงลง


อันที่จริงต้องบอกว่ามันเงียบกริบตั้งแต่พ่อหนุ่มตาน้ำข้าวนั่นกระโดดลงไปแล้ว ก็แหม คนไทยในยุคนี้ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทัดเทียมกับคนต่างชาติได้สักหน่อย


อย่างน้อยพวกฝรั่งก็คิดแบบนั้นล่ะนะ


พอมาเจอคนที่เห็นคุณค่าของมนุษย์ด้วยกันกระโดดลงไปแบบไม่คิดแบบนั้นมันก็อดอึ้งปนประทับใจไม่ได้


ร่างกำยำนั้นมีอาการหอบเหนื่อยเล็กน้อยแต่ผู้หญิงคนนั้นหมดสติไปแล้ว เขารีบพลิกตัวให้ผู้หญิงคนนั้นนอนคว่ำทับฝ่ามือแล้วตะแคงหน้า ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาคิดจะทำอะไร


เพราะรู้นั่นล่ะถึงอยู่เฉยไม่ได้


ไม่ต้องคิดอะไรให้มากร่างกายของผมก็พุ่งไปขวางเขาเสียแล้ว


“ทำแบบนี้ไม่ได้นะ”


อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับ เขาแค่ขมวดคิ้วยุ่งตอบ


คงพูดไทยไม่ได้ล่ะมั้ง


ช่างมันสิ


ผมรีบพลิกร่างคนหมดสติให้นอนหงายแล้วเริ่มทำซีพีอาร์ ในขณะที่กำลังชั่งใจว่าควรจะเป่าปากดีไหมผู้หญิงคนนั้นก็สำลักน้ำออกมามากมาย ทำให้ผมต้องรีบจับให้เขานอนตะแคงแล้วจับให้ศีรษะหงายไปด้านหลังเพื่อให้น้ำไหลออกจากปากแทน


พอผู้หญิงคนนั้นได้สติผมก็โล่งอกและเพราะโล่งอกจึงเพิ่งจะสังเกตว่าบรรยากาศรอบข้างมันแปลกๆ


ฉิบหาย เพิ่งนึกได้ว่ายุคนี้มันมีซีพีอาร์ทีไหนกันล่ะ


ฉิบหาย ฉิบหายระดับล้าน


ผมว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์ตรงหน้า แน่นอนว่าคนอย่างผมก็ต้อง...


ยิ้มแห้งสิครับ


บ้าชิบ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด


ทุกคนยังมองผมด้วยสายตางุนงงปนประหลาดใจ และเพราะผมเอาแต่มองหน้าชาวบ้านรอบตัวทำให้ผมลืมอีกคนไปเสียสนิท


“เก่งดีนี่”


ภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ ที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมต้องละสายตาไปมอง


นัยน์ตาสีฟ้าเข้มจ้องมองผมด้วยแววตาแปลกๆ


มันวิบวับปนประหลาดใจ


เออ เข้าใจได้ เป็นผมเองก็ประหลาดใจ


“พอดี...ผมเคยเห็นหมอต่างชาติเขาทำแบบนี้น่ะครับ ก็เลยลองทำตาม”


เขาฉีกยิ้มเล็กน้อย


“เช่นนั้นรึ”


ไม่มีคำพูดต่อจากนั้น มีเพียงแววตาวิบวับและรอยยิ้มแปลกๆ


พวกชาวบ้านเองที่ได้ฟังคำแก้ตัวจากผมก็พากันหายสงสัยและเริ่มสลายตัว แม่ลูกสองคนนั้นก็หันมาขอบคุณผมและคนข้างๆ เป็นการใหญ่แล้วก็จากไป


ท่าน้ำกลับสภาวะปกติอีกครั้ง


มันควรจะเป็นอย่างนั้นถ้าเขาจะยอมเดินจากไปพร้อมกับคนอื่นๆ


พ่อหนุ่มฝรั่งยังนั่งอยู่ข้างผม


“ผมไม่เห็นจะจำได้ว่าเคยเรียนวิธีปฐมพยาบาลแบบนั้น”


ไม่เคยเรียน...


...อ๋อ เป็นหมอสินะ...


ผมหันไปสบตาเขาและตีหน้ามึน


“หมอไม่เคยเรียนก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริงนี่ครับ”


เขาพ่นลมหายใจพร้อมกับหัวเราะ


“ช่างพูดจังนะ”


“หมอก็พูดไทยคล่องดีนะครับ”


เขายักไหล่


“ก็อยู่มานานแล้วน่ะ”


“อยู่มาพร้อมกับหมอบรัดเล่ย์เลยรึเปล่าครับ”


เอาอีกแล้ว ขยันพลั้งปากจริงๆ


แต่แทนที่เขาจะถือสา ใบหน้าคมสันนั้นกลับปรากฏความร่าเริงยิ่งกว่าเก่า


“ถ้าผมอยู่มานานขนาดนั้น วันนี้คงจมน้ำตายไปพร้อมกับผู้หญิงคนเมื่อกี้แล้วล่ะ”


เขาว่าพลางเอามือเสยผม ใบหน้านั้นแต่งแต้มด้วยความสดใส


อบอุ่นจัง อย่างกับดวงตะวัน...


คิดอะไรน่ะมอส หนักแล้วนะ


ผมก้มหน้าหลบตาเพื่อระงับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง และเหมือนอีกคนจะรู้ตัวว่าผมแปลกไป เขาจึงเลิกหัวเราะ บรรยากาศรอบข้างจึงค่อยๆ ลดความร่าเริงลงจนกลับสู่บรรยากาศปกติ


พวกเรานั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆ อย่างนั้น


คนหนึ่งตัวเปียกโชก


อีกคนใจเปียกโชก


ใจผมมันมีแต่เรื่องให้คิด เหมือนจมน้ำอยู่ตลอดเวลา


...ไม่ชอบเลย....


“ขมวดคิ้วขนาดนั้นเดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก”


เขาแซ็วนิ่มๆ เพียงแค่นั้นแต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมกลับมาสบตาเขาแล้วยิ้มให้


นัยน์ตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับ


...เป็นประกายเหมือนกันแต่ให้ความรู้สึกต่างกัน...


ถ้าเป็นคุณเปมทัตเขาคงเอามือมาจิ้มที่หว่างคิ้วของผมแล้วบอกว่า ‘เป็นอะไรรึ’ ใบหน้าหล่อเหลานั้นคงยิ้มอ่อนโยนแล้วพูดหวานปลอบประโลมใจ


หนักแล้วกู ทำตัวเหมือนสาวน้อยเข้าไปทุกที


ผมฉีกยิ้มให้กับความคิดตัวเอง


“ยิ้มอะไรรึ”

“ยุ่งน่ะหมอ”


เอาอีกแล้ว มอสจะเผลอกี่ครั้งต่อวันละมอส มอสต้องมีสตินะ คงเพราะอีกฝ่ายมีบรรยากาศบางอย่างที่ชวนให้สบายใจจนเผลอทำตัวตามสบายออกไป แต่แทนที่เขาจะโกรธกลับหัวเราะร่าจนผมต้องหัวเราะตามไปด้วย


“เธอเป็นคนแปลกดีนะ”

“หมอก็แปลกนะ”


เขาขมวดคิ้วเหมือนจะถามว่า ‘ทำไมเหรอ’


...น่ารักจัง...


 “ก็...ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธผมไปแล้ว”

“ถ้าเป็นคนอื่นผมก็คงโกรธไปแล้วเหมือนกัน”


ผมเลิกคิ้วทำให้เขาต้องอธิบายเพิ่ม


“ก็ถ้าเป็นคนอื่นก็คงโกรธไปแล้ว แต่พอเธอพูดกลับรู้สึกว่าไม่เห็นน่าโกรธตรงไหนเลย”


ผมพ่นลมหายใจพลางฉีกยิ้ม


“หมอเป็นคนแปลกๆ นะ”


เขายักไหล่ตอบก่อนจะนิ่งไปเสียเฉยๆ


...หรือจะเป็นไข้กันนะ...


พอคิดแบบนั้นก็เลยอดพูดออกไปเพราะเป็นห่วงไม่ได้


“กลับบ้านไหมหมอ ตัวเปียกเชียว”


เขาหันมามองหน้าผมอยู่อึดใจแล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มกว้าง


“ไปทำงานด้วยกันไหม”


ฮะ?


คงเพราะหน้างงหนักของผมทำให้เขาต้องขยายความ


“ผมถามว่าไปทำงานเป็นผู้ช่วยผมที่โรงหมอไหม”


โอเค ชัดแจ๋ว


ว่าแต่โรงหมอนี่ จะใช่ที่เดียวกับในฝันไหมนะ






******************************************************************************


[เกร็ดความรู้]


*วิธีการปฐมพยาบาลแบบนี้เรียกว่า Holger Neilson technique  ซึ่งมีการอธิบายไว้ในคู่มือลูกเสือ (Boy Scout Handbook) ของสหรัฐอเมริกา ฉบับที่ 1 ปี ค.ศ. 1911(พ.ศ. 2454) เสนอการช่วยหายใจโดยให้นอนคว่ำทับฝ่ามือ ตะแคงหน้า ให้ผู้ช่วยเหลือดึงข้อศอกขึ้นเพื่อกางแขนพร้อมกับกดหลังทำให้อากาศไหลเข้าปอด*

อ้างอิง: การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E)






หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 12 [ครึ่งหลัง] (6/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 06-11-2017 17:49:32
โอยยยยยย :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 12 [ครึ่งหลัง] (6/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Apinnoolek ที่ 06-11-2017 21:29:58
น้องมอส นักผจญภัย ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 12 [ครึ่งหลัง] (6/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 06-11-2017 23:31:04
หมอจะมาเป็นตัวอะไรของเรื่องเนี่ย
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 12 [ครึ่งหลัง] (6/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-11-2017 00:02:20
หมอ ทำตาวิบวับใส่มอส
หมายความว่าไง ชอบมอสใช่ไหม  o18
แถมชวนมอสไปทำงานด้วย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 12 [ครึ่งหลัง] (6/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-11-2017 00:25:29
 
 :hao7: o13 :hao7:

:L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 12 [ครึ่งหลัง] (6/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 07-11-2017 10:26:24
มารอ :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 12 [ครึ่งหลัง] (6/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-11-2017 11:54:38
มีคุณหมอเพิ่มขึ้นมาอีกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 13 [ครึ่งแรก] (7/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 07-11-2017 21:32:16
บทที่ 13 ทำงาน [ครึ่งแรก]






ถ้าต้องให้เล่าย้อนความหลัง มันก็คงต้องกลับไปเริ่มตั้งแต่เมื่อวานในเหตุการณ์ตอนผู้หญิงคนหนึ่งตกน้ำเพราะอุบัติเหตุทำให้ผมได้ไปเจอกับคุณหมอชาวต่างชาติคนหนึ่งและถูกชวนให้ไปเป็นผู้ช่วยของเขา


จริง ๆ เรื่องราวมันก็ควรจะจบอยู่แค่นั้นอยู่หรอก ถ้าไม่ติดที่ว่า...


“ครูบุญสอนดนตรีไทยด้วยหรือครับ ผมไม่ยักจะเคยรู้มาก่อน ไม่เช่นนั้นคงมาขอฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว”


“โธ่ หมอก็ช่างเจรจาเอาใจคนแก่เสียจริง ไว้ว่างๆ ก็แวะมาสิ มาลองจับลองตีดู เดี๋ยวก็เป็นเอง”


“ครูบุญนี่ใจดีจังเลยนะครับ มิน่าถึงได้มีลูกศิษย์ลูกหามากมายขนาดนี้”


“หมอก็ว่าไปนั่น”


เสียงหัวเราะร่าเริงของชายชราเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะโทนทุ้มต่ำของชายชาวต่างชาติผสานไปกับเสียงดนตรีไทยและเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกับรอบๆ บ้านชวนให้บรรยากาศดูแจ่มใสราวกับวันแดดออกกลางเดือนเมษา


ไม่สิ มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกันนะ


ตอนนั้นเขาชวนผมให้ไปเป็นผู้ช่วยเขา แต่ผมก็ปฏิเสธไปเพราะบอกว่าต้องซ้อมดนตรีและเป็นนักดนตรีประจำบ้านให้คุณเปมทัตอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังดึงดันจะพาผมไปที่โรงหมอให้ได้ พอผมไม่ไปก็เลยถามว่าผมเรียนดนตรีกับใคร


ใช่ เรื่องราวมันควรจะจบแค่นั้นสิ


“อ้าวไอ้กร ไอ้มั่น กว่าจะมาได้ มาๆ หมอรอแย่แล้ว”


ท่าทางกระปรี้กระเปร่ากว่าปกติของครูบุญทำให้ผมได้แต่ยิ้มแห้งตอบ ในขณะที่ไอ้มั่นซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็สะกิดผมไม่หยุด


เอานิ้วถูขนาดนี้มึงจะเอาให้เลขขึ้นเลยรึไง


หงุดหงิดครับ แต่ไม่พูด


“เขาเป็นใครวะ แล้วมึงไปรู้จักกับเขาได้อย่างไร”


ผมถอนหายใจ


กูรู้จักมันที่ไหนล่ะ


“อุบัติเหตุน่ะ กูไปช่วยคนตกน้ำเมื่อวานแล้วเขาเป็นหมอ”


“บ๊ะ! เป็นจีนแต่คบฝรั่ง เส้นสายข้ามชาติจริงนะมึง”


เออ กูนี่แหละมอส บางลำพู


คนตัวสูงฉีกยิ้มกว้างให้ผมตามครูบุญมาติดๆ


ฟันสวยจริงๆ


“สบายดีไหมกร”


แหน่ะ เรียกชื่อไปอีก


“สบายดีครับหมอ”


ยังไงซะก็ต้องรักษามารยาทไว้ก่อน


“ผมมาคุยกับครูบุญให้แล้วนะ เธอไปทำงานกับผมได้ ไม่มีปัญหา ใช่ไหมครับครูบุญ”


“ได้สิหมอ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เอ็งก็ทำๆ ไปเถ๊อะ เจ๊กเลิศเองก็แก่แล้ว แค่งานนักดนตรีไทยมันจะไม่พอยาไส้เอานะเอ็ง”


ไอ้หมอ ไอ้...ไอ้...ไอ้คนฉลาด คงเพราะรู้ว่าถ้าตื้อผมไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยมาเข้าหาทางครูบุญหวังให้ช่วยพูดอีกแรงแหง


ซึ่งก็ได้ผลซะด้วย


ก็จริงอย่างที่ครูบุญบอกถ้านับตามอายุของผมในยุคสมัยนี้แล้ว ยังไงซะก็ควรหาการหางานทำเลี้ยงดูตัวเองได้แล้ว จะมาเกาะพ่อแม่กินทำตัวเอ้อระเหยไปวันๆ ก็คงไม่ได้ แถมพักหลังๆ มานี้อาม้าก็เริ่มจะแขวะผมเรื่องไม่ยอมทำงานแล้วด้วย


เอาเถอะ


“จ้ะครู ทำก็ทำ นี่เห็นว่าครูพูดหรอกนะ”


ชมเขาหน่อยครับ เพราะดูจากทรงที่หมอใช้พูดเมื่อกี้ ผมพอจะเดาได้ลางๆ ว่าจริงๆ แล้วครูบุญเป็นคนบ้ายอประมาณหนึ่ง


“เอ้อ คนหนุ่มสมัยนี้มันก็ช่างเจรจากันเสียจริง”


นั่นไง


ใบหน้าเหี่ยวย่นฉีกยิ้มกว้างก่อนจะกล่าวขอตัวกลับไปดูความเรียบร้อยบนเรือน ทิ้งผม ไอ้มั่นและหมอให้มองหน้ากันอย่างงงๆ
ไอ้มั่นหันซ้ายหันขวาสองสามทีให้ผมรู้สึกถึงความผิดปกติ


อย่าบอกนะว่า...


“เช่นนั้นข้าไปซ้อมล่ะ มึงก็รีบตามไปล่ะ”


ผมว่าแล้ว


ไอ้มั่นก็เหมือนไอ้ไม้ เมื่อถึงสถานการณ์คับขันในแบบที่มันไม่รู้จะรับมือยังไง มันก็ทำท่าแปลกๆ หันซ้ายหันขวาแล้วก็พูดขอตัวหนีไปแบบงงๆ


พวกเอ็งเป็นร่างโคลนกันใช่ไหมจงบอกมา


“ดูทำหน้าเขาสิ ไม่อยากคุยกับผมขนาดนั้นเชียวหรือ”


ทันทีที่ร่างของมั่นหายไปจากสายตา คนบนแคร่ก็พลันเอ่ยเย้าจนทำให้ผมต้องหันมายิ้มแห้งตอบเขาอย่างเสียไม่ได้


ใจจริงก็ไม่ค่อยอยากคุยหรอก ไม่อยากทำงานด้วยกันด้วย แต่เพราะสถานการณ์มันบังคับโว้ย


 “เปล่าครับ ผมแค่ไม่คิดว่าหมอจะจริงจังขนาดนี้”


เขาเลิกคิ้วเหมือนเป็นการถามทำให้ผมต้องอธิบายต่อ


“ก็...ผมเป็นแค่ลูกชาวบ้านธรรมดา วิชาหมอก็ไม่ได้ร่ำเรียนมา ดูยังไงก็ไม่มีประโยชน์กับหมอแน่ๆ ผมก็เลย...”


“เธออาจจะไม่รู้ตัว แต่ผมว่าเธอเป็นคนเก่งนะ”


เขาเอ่ยขัดขึ้นอย่างเรียบง่าย


ในน้ำเสียงไม่มีการป้อยอเหมือนตอนพูดกับครูบุญ ไม่มีแววทะเล้นเหมือนตอนหยอกเย้าเมื่อครู่


มันนิ่ง เรียบง่ายและกินใจ


เขาพูดมันออกมาเพราะเขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ


อ๋อ เวลาที่ถูกใครสักคนเห็นคุณค่ามันเป็นแบบนี้นี่เอง


...ดีใจจัง...


“ดูทำหน้าเขาสิ อยากยิ้มก็ยิ้มเถอะ”


โว้ย ผีเข้าผีออกจริง ขรึมได้ไม่ถึงสองวิกลับมาทะเล้นอีกแล้ว


ตลกชะมัด


ผมกลั้นยิ้มไว้อย่างไม่ยอมแพ้พลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย


“ถ้าหมอมั่นใจในตัวผมก็แล้วแต่หมอแล้วกัน ถ้าผมทำคนไข้ตายขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ”


พอได้ยินผมตอบเขาก็หัวเราะร่า


“ไม่รู้ว่าระหว่างผมกับคนไข้ ใครจะตายก่อนกันนะ”


พอพูดจบก็ฉีกยิ้มที่กว้างอยู่แล้วให้กว้างมากขึ้นไปอีก


เป็นคนที่แผ่พลังบวกออกมาตลอดเวลาจนผมสงสัยว่าคนๆ นี้เคยมีเรื่องวิตกในใจบ้างไหมนะ


...สดใสจังเลยให้ตาย...


“จริงสิ ถ้าเช่นนั้นเย็นนี้หลังเลิกซ้อมดนตรีผมจะพาเธอไปโรงหมอเลยแล้วกัน จะได้จำทางเอาไว้ดีไหม”


“เย็นวันนี้หรือครับ...ก็ดะ...”


“กรวิก ไม่ไปซ้อมดนตรีรึ”


ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากตอบนายจ้างคนใหม่ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาอย่างไม่รู้กาลเทศะ


ใช่ ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย


“ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นชาวต่างชาติที่บ้านครูบุญแบบนี้ เราแปลกใจเสียจริง”


เสียงนั้นทุ้มนุ่มและคุ้นหูจนผมไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใครพูด ยิ่งได้เห็นหน้าของนายจ้างคนใหม่ที่หุบยิ้มกว้างเป็นกระตุกยิ้มแปลกๆ ยิ่งมั่นใจ


คุณทวดเป็นคนไม่มีมารยาทเอาเสียเลย


“ถ้าคนต่างเมืองจะสนใจ คนในก็ควรให้การต้อนรับไม่ใช่เหรอครับ คุณเปรม”


ผมได้ยินเสียง ‘หึ’ จากคนด้านหลัง


ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าทำหน้าตาแบบไหน


“แต่ของบางอย่าง คนในชาติก็น่าจะทำได้ดีกว่าจริงไหมครับ คุณหมอปีเตอร์”


อย่างหนึ่งที่ผมได้รู้เพิ่มคือหมอชื่อปีเตอร์


ควรดีใจไหมนะ


คนตรงหน้าผมพ่นลมหายใจแล้วฉีกยิ้มเหนื่อยหน่าย


“ไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับคุณเปรม ชาตินิยมสุดโต่ง เมื่อก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น”


สองคนนี้คงเคยเจอกันมาก่อน แถมดูจะเป็นการเจอที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ด้วยสิ


ไปตีกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนล่ะนั่น


“คงใช่กระมังครับ แต่คุณเองก็ไม่เปลี่ยนเลยนะครับ เมื่อก่อนชอบแย่งของๆ คนอื่นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ร่ำไป”


โอเค ซึ้ง


ตีกันแย่งหญิงมาก่อนแน่นอน


ผมสูดลมหายใจเข้าเรียกความกล้าให้ตัวเองแล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนที่อยู่ด้านหลัง แน่นอนว่าไม่ผิดคาดเท่าไหร่


ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลานั้นเหยียดยิ้มดูแคลน แววตาก็แข็งกร้าวผิดปกติวิสัยของเจ้าตัวจนผมไม่รู้จะเริ่มยังไง


กลัวโดนลูกหลงเป็นนะเว้ย


“เอ่อ..คุณเปมทัตครับ”


เขาละสายตาจากอีกฝ่ายมามองผม แววตานั้นนิ่มนวลลงนิดหน่อย


นิดหน่อยจริงๆ


“นี่คุณหมอปีเตอร์ เป็นนายจ้างอีกคนของผมครับ”


เขาขมวดคิ้วยุ่งอย่างคนหงุดหงิดใจ


โอย ไม่ตี มอสไม่ชอบตี อย่าตีมอส


“คือ...ผมก็ควรหางานทำระหว่างที่ยังไม่มีงานเล่นดนตรีไงครับ มั่นเองก็ทำก่อสร้าง ผมเองก็ควรจะหางานเอาไว้บ้าง”


เสียงของผมเบาลงเรื่อยๆ ราวกับเด็กที่กำลังสารภาพผิดกับผู้ใหญ่


ราวกับคนที่ต้องมานั่งอธิบายคนรักว่าที่เธอเห็นไม่ใช่ชู้ของฉันนะ


หนักแล้วมอส หนักแล้ว


ผมเผลอหลบตาอีกฝ่ายอัตโนมัติ อย่างที่บอกไปว่าผมไม่ใช่สายตี หลบได้ก็หลบไว้ก่อน


หลังจากผมพูดจบ ทุกอย่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความเงียบก่อนจะมีเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายดังมาจากคนตรงหน้า


มันฟังดูหนักใจจนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง


นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นสบกับผมราวกับจะบอกความนัยน์บางอย่าง


“เราเข้าใจ”


มือของเขายกขึ้นลูบหัวผมเพียงหนึ่งครั้ง


แผ่วเบาและอ่อนโยน


“ดูแลตัวเองด้วยนะ”


โอ้โห เอาหัวใจไปเลย ปาให้ไปเลย


ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนออกไป สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอก


เขิน โคตรพ่อโคตรแม่เขินเลยครับ แต่ก็อย่างว่าล่ะ ช่วงเวลาแบบนี้มักมีมารผจญ...


“ไม่ต้องห่วงครับคุณเปรม เดี๋ยวผมดูแลให้”


แล้วบรรยากาศที่เริ่มจะดีขึ้นก็กลับไปติดลบอีกครั้ง


ไอ้หมอเวร











หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 13 [ครึ่งแรก] (7/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 07-11-2017 22:18:47
คู่แข่งใช่มั้ยเนี่ย555
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 13 [ครึ่งแรก] (7/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 07-11-2017 22:24:57
สนุกมากๆเลยค่ะ   ชอบหมอปีเตอร์  คุณทวดนิ่งไป    มอสปันใจให้หมอเหอะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 13 [ครึ่งแรก] (7/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-11-2017 22:56:30
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 13 [ครึ่งหลัง] (8/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 08-11-2017 19:19:29
บทที่ 13 ทำงาน [ครึ่งหลัง]






“หมอไม่ชอบคุณเปมทัตเหรอ”


คนที่เดินนำหน้าหันมามองผมแล้วหัวเราะฮึในคอ


เอาจริงๆ ก็ไม่น่าถามเนอะ


หลังจากที่เกิดการปะทะฝีปากย่อมๆ ขึ้นที่บ้านครูบุญทำให้ผมจึงต้องขอปลีกตัวออกมากับนายจ้างคนใหม่ก่อนเวลาปกติเพราะกลัวว่าจะเกิดการวิวาทขึ้น คุณเปมทัต หรือ ‘คุณเปรม’ ดูไม่ค่อยพอใจกับการแก้ปัญหาของผมเท่าไหร่ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


เอาเข้าจริงผมก็แอบชอบสถานการณ์แบบนี้อยู่หน่อยๆ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกหล่อมาก


ความรู้สึกของพี่เคนสมัยแสดงสวรรค์เบี่ยงมันเป็นแบบนี้นี่เอง


ท่าทีกระฟัดกระเฟียดของคนที่เดินนำหน้ามันดูขัดหูขัดตาเหมือนจงใจให้ผมเห็นแล้วพูดอะไรสักอย่าง


แต่เสียใจด้วย มอสเป็นคนขี้เกียจ


ผมไม่ใส่ใจกับท่าทีไม่สบอารมณ์ของเขาแล้วเลือกจะเดินตามไปอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวเหมือนอย่างที่ทำมาตลอดสิบนาที อีกฝ่ายเองก็ดูเหมือนอยากจะให้ผมถามแต่ก็ไม่ยอมเปิดประเด็นสักที


ไอ้ท่าทีเหลือบมามองแล้วหันหน้ากลับไปเพราะรู้ว่าถูกมองอยู่นั่นโคตรขัดตาเลย พับผ่าสิ


เอาเถอะ สนองเขาหน่อยแล้วกัน


“จะไม่บอกอะไรลูกจ้างใหม่หน่อยเหรอหมอ”


เขาหันเสี้ยวหน้ามาแค่แว่บเดียวแล้วส่งเสียง ‘ฮึ’


แหน่ะ ยังจะเล่นตัวอีก


“อยากจะรู้อะไรล่ะ”


แหม ทำมาเป็นถาม ในใจนั่นอยากเล่าจะแย่แล้วมั้ง


“ก็หมออยากให้ผมรู้อะไรล่ะ”


เขาหยุดเดินแทบจะทันทีที่สิ้นเสียงของผมแล้วหันกลับมาทั้งตัว


เออ เลิกเล่นตัวสักที


“ผมไม่ชอบเปรม ไม่ชอบตั้งแต่สมัยเจอหน้ากันที่อังกฤษแล้ว”


น้ำเสียงของเขาดูอัดอั้นเหมือนคนอยากนินทาแต่ต้องรักษาภาพลักษณ์


น่าเห็นใจๆ


“เขาไปทำอะไรให้หมอล่ะ”


จมูกสันโด่งพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“หลายอย่าง ทะเลาะกันตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว”


เขาเหลือบมองผมแว่บหนึ่งแล้วรีบหลบตา


อะไรล่ะนั่น


“สิ่งที่เธอควรรู้คือเปรมไม่เหมือนผู้ชายทั่วไปในสยาม ระวังไว้ก็ดี”


อ๋อ แสดงว่าหมอรู้ว่าคุณเปมทัตเป็นเกย์สินะ


“ไม่เหมือนยังไงล่ะหมอ ผมก็เห็นเขาปกติดี”


แกล้งซื่อไปครับ ตีเนียนไป


นัยน์ตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นฉายแววบางอย่าง


“เขาไม่เหมือนใคร...”


เขาทอดเสียงเหมือนกำลังครุ่นคิด


“แต่เขาเหมือนผม”


นัยน์ตาคู่นั้นจ้องผมนิ่งก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา


“เพราะเหมือนกันก็เลยทะเลาะกันได้อย่างปลอดภัยกระมัง”


ชัดเลย ไอ้หมอเป็นเกย์


นี่สิน้าที่เขาว่ากันว่าคนเราจะดึงดูดคนคล้ายๆ กันเข้ามาในชีวิต


ผมแสร้งทำหน้าโง่ใส่เขาอย่างคนซื่อ


“หมอพูดอะไร ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”


แกล้งขมวดคิ้วใส่หนึ่งทีให้ดูงงเพื่อความสมจริงไปด้วย


คงเพราะท่าทางโง่ๆ ของผมจึงทำให้อีกคนดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ผมว่าจริงๆ แล้วเขาก็คงมีความกังวลอยู่ลึกๆ เพราะอย่างไรเสียเกย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับกันได้โดยทั่วไปสักหน่อย


แกล้งโง่กันวันละนิดละหน่อยเพื่อรักษาความสบายใจต่อกันแบบนี้ล่ะดีแล้ว


เขาฉีกยิ้มกว้างอย่างสบายใจ


 “เอ้าๆ เลิกพูดแล้วเดินตามมาได้แล้ว จะถึงอยู่แล้วเนี่ย”


แล้วเขาก็เริ่มออกเดินอีกครั้งราวกับเมื่อครู่ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้น


เป็นคนแปลกๆ จริงด้วยสิ


ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นเขาก็หยุดเดินอีกครั้ง


อะไรอีกล่ะคราวนี้


“หยุดทำไมล่ะหมอ”


เขาหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับผมแล้วผายมือไปทางด้านซ้ายของตัวเอง


นี่ถ้าทำเสียง ‘ท้าด่า!’ เข้าไปด้วยจะดูเข้าท่ามากๆ


คงเพราะพอจะเดาออกว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร ผมจึงหันไปมองตามทิศทางที่เขาผายมือไปแล้วพบว่าสิ่งก่อสร้างสองชั้นที่สร้างจากไม้และให้อารมณ์เหมือนห้องแถว


นี่คือที่ๆ เรียกว่าโรงหมอจริงสิ ช่างแตกต่างกับโรงหมอที่ผมไปวันแรกลิบลับ


 “ทำไมเล็กจังล่ะหมอ ไม่ค่อยมีคนไข้เหรอ”


ปากมันไวครับ ไม่รู้ทำไมพออยู่กับคนๆ นี้แล้วรู้สึกสบายใจ สบายปากทุกที


“โธ่ อย่าดูถูกกันสิ เห็นแบบนี้รายได้ก็ดีทีเดียวนะ”


เขาบ่นงึมงำพลางคว้านหอบางอย่างในกระเป๋า


อ๋อ กุญแจ


ท่าทางเดินไปเปิดประตูพลาง ปาดเหงื่อไปพลางนั้นช่างน่าเห็นใจ


ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าผิวขาวจัดของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจากการอยู่กลางแดดนาน ๆ ใบหน้าคมสันนั้นก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อจนหมดสภาพ


เอ็นดู


เขาเปิดประตูด้วยความว่องไวแล้วกวักมือเรียกผมเข้าไป


ภายในคลินิกนั้นดูดีกว่าข้างนอกอยู่มาก บ้านทั้งหลังทำจากไม้ มีการตกแต่งที่เรียบง่ายแต่สะอาดตา ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ครบครัน มีการแยกสัดส่วนระหว่างห้องตรวจกับบริเวณนั่งรออย่างชัดเจน


ก็ไม่แย่นี่นา


“ขอต้อนรับสู่โรงหมอปีเตอร์”


เขาว่าพลางผายมือไปรอบห้องอย่างภูมิใจ...เป็นใบหน้าเปื้อนเหงื่อที่โคตรภูมิใจ ผมเดาว่าเขาคงพยายามก่อร่างสร้างมันมาด้วยมือของตัวเอง กว่าจะเป็นอย่างทุกวันนี้ก็คงผ่านมาอะไรมามาก ไม่งั้นก็คงไม่ภูมิใจขนาดนี้


เป็นพวกคนมุมานะสินะ


แต่มันก็ยังมีบางอย่างที่ขัดตา


“หมอมีผ้าเช็ดหน้าไหม”


เขาขมวดคิ้วกับคำถามจนผมต้องย้ำ


“หมอมีผ้าเช็ดหน้าไหม”


เขาหันซ้ายหันขวาก่อนจะส่ายหัวเบาๆ


ใช้ชีวิตอยู่ยังไงให้ไม่มีผ้าเช็ดหน้าล่ะนั่น


เพราะทนรำคาญตาไม่ไหว ผมจึงต้องสอดมือล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง


ผมเองก็เพิ่งรู้ว่ากรวิกชอบพกผ้าเช็ดหน้าตอนที่รื้อตู้เสื้อผ้าเมื่อคืนก่อนนี้เอง


ผ้าผืนเล็กกะทัดรัดถูกส่งให้อีกฝ่าย เขาเหลือบมองผมสลับกับผ้าเช็ดหน้าในมือด้วยสีหน้างุนงง


“รับไปสิหมอ เหงื่อเต็มหน้าเลย หยดลงบนพื้นแล้วนั่น”


คราวนี้เขาเบิกตากว้างขึ้นแล้วทำปากเหมือนจะพูดว่า ‘อ๋อ’ แต่ก็ไม่มีเสียงออกมา ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมือมารับผ้าเช็ดหน้าไปซับเหงื่อแต่โดยดีพลางอมยิ้ม


“ยิ้มอะไรน่ะหมอ”


พอได้ยินผมทักเขาก็ยิ้มกว้างขึ้นไปอีก


เป็นพวกยิ่งพูดยิ่งยุหรือไงนะ


“ดีใจน่ะ”


เขาเหลือบมองผมผ่านช่องว่างของมือระหว่างซับหน้า


“นานๆ ทีจะมีคนใส่ใจผมแบบนี้”


“หมอไม่มีครอบครัวอยู่ที่นี่เหรอ”


มือคู่ใหญ่ยังคงซับหน้าต่อไป


“อืม มาคนเดียวน่ะ”


โอ้โห คนจริง 2460 อีกแล้ว


“แล้วทำไมถึงมาล่ะหมอ อยู่อังกฤษไม่ดีเหรอ”


เห็นบอกว่าเจอคุณเปรมที่อังกฤษ ก็เดาไปเลยว่าเป็นคนอังกฤษ มั่วๆ แบบนี้แหละ


เขาหัวเราะเบาๆ


เป็นเสียงหัวเราะที่แปลกพิกล


ทำไมกันนะ


“อยากเริ่มต้นใหม่กับชีวิตน่ะ ก็เลยต้องหาที่ๆ ไม่มีใครรู้จักเรา”


อย่าบอกนะว่า...


“นี่หมอคงไม่ได้ไปทะเลาะกับคุณเปรมแล้วถูกนินทาใช่ไหม”


เขาแค่นเสียง ‘ฮึ’ ออกมาแล้วไม่พูดตอบอีกเลย


ชัดเจน พวกเอ็งไปตีกันเรื่องผู้ชายแล้วโดนปาหินใส่มาแน่ๆ


เอาเถอะ ถ้าเขาไม่อยากจะพูดเราก็จะไม่เค้....


“ใช่ ผมทะเลาะกับเขาเรื่องมันเลยยิ่งวุ่นวาย แต่ต้นเหตุก็ไม่ใช่เขาไปเสียทั้งหมดหรอก”


เอ้า บทอยากจะเล่าก็เล่าเฉยเลย


“แต่ยังไงหมอก็ไม่ชอบคุณเปรมอยู่ดีใช่ไหมล่ะ”


เขายักไหล่แล้วเก็บผ้าเช็ดหน้าของผมลงกระเป๋าเสื้อตัวเอง


เดี๋ยวๆ นั่นผ้าเช็ดหน้ากู


“อะไร ไม่ขโมยหรอกน่า แค่จะเอาไปซักให้ ดูทำหน้าเข้าสิ”


นี่ผมทำหน้าแบบไหนออกไปกันนะ แต่เอาเถอะ ถ้ามันจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้สักนิดก็ดี


เขายิ้มให้ผม ไม่ใช่ยิ้มอบอุ่นหรือร่าเริงเหมือนอย่างเคย


มันเป็นแค่ยิ้มบางๆ ที่ดูจริงใจ


“ขอบคุณนะ”


ดีแล้ว


รอยยิ้มแบบนี้แหละดีแล้ว














“นี่ กลับบ้านเย็นขนาดนี้จะดีเหรอ”


เสียงร้องทักที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้าจากกองข้าวของระเกะระกะแล้วหันมองรอบๆ ตัว


มืดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ


ผมก้มมองกองเครื่องใช้ที่สุมกันอย่างไร้ระเบียบตรงหน้าแล้วถอนหายใจ ไม่รู้ว่าคนๆ นี้ใช้ชีวิตรอดด้วยคนเดียวมาได้ยังไงตั้งหลายปี ทั้งๆ ที่ความสามารถในการจัดการข้าวของติดลบอย่างหนัก จัดของใช้ให้เป็นระเบียบไม่ได้ไม่พอ พวกแฟ้มประวัติคนไข้รวมไปถึงอุปกรณ์การแพทย์ก็พลอยปนกันยุ่งเหยิงไปด้วย


ไม่รู้ว่าจับฉลากใบไหนมาเป็นหมอ มอสล่ะเหนื่อย


“ที่ทำค้างไว้ก็เอาไว้ทำพรุ่งนี้ก็ได้ วันนี้พอก่อนเถอะ”


ผมแค่นเสียงฮึในคอ


“อะไร ทำเสียงอย่างนั้นหมายความว่าอย่างไร”


น้ำเสียงยียวนที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนไม่รู้ตัวนั้นมันน่าหมั่นไส้จริงๆ


น่าหมั่นไส้จนอดตอกกลับไม่ได้


“ก็ส่งเสียงเห็นใจตัวเองน่ะครับ ไม่คิดเลยว่าจะเจอคนทำงานบ้านได้แย่กว่าผมอยู่ด้วย”


นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างเพียงเสี้ยววิก่อนจะหลับลงพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ระเบิดออกมา


อารมณ์ดีจริ๊ง


 แต่เพราะท่าทางร่าเริงไม่สนโลกของเขานั่นล่ะผมถึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมาตลอดหลายวัน


ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกแบบนี้อีกเลยตั้งแต่ย้อนเวลากลับมา


ความจริงที่ผุดกลับเข้ามาในสมองทำให้ผมค่อยๆ หุบยิ้มลงแล้วจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง


ผมควรทำยังไงกับตัวเองดีนะ


ตัวผมในตอนนี้ ยังอยากกลับไปอยู่รึเปล่า


...ไม่รู้...


....ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน....


“เป็นอะไร”


น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ส่งมาทำให้ผมต้องรีบยกยิ้มกลบเกลื่อนแล้วแสร้งสาละวนอยู่กับงานตรงหน้าต่อ


“ไม่มีอะไรครับ แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”


พอพูดจบผมก็ก้มหน้าทำงานต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมกำลังแสดงท่าทางให้เขารู้ว่าสิ่งที่ทำให้ผมเหม่อเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่น่าใส่ใจ คงจะเป็นโชคช่วยที่ผมรับรู้ได้ทั้งๆ ที่ไม่เงยหน้าว่าเขาเงียบไปและไม่เซ้าซี้อะไรต่อ จากนั้นไม่นานก็หมุนตัวเดินกลับไปข้างใน


พอไม่มีอีกคนอยู่ใกล้ๆ ผมก็เลิกทำท่าทางขยันขันแข็ง


จะขยันไปทำไมกันนะ


ถ้าได้กลับไป ทุกอย่างที่ทำอยู่ก็คงไม่มีความหมายอะไร


แต่ถ้าไม่ได้กลับไปล่ะ?


ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งเหม่ออยู่นานแค่ไหน แต่อย่างน้อยมันก็คงนานพอที่จะทำให้อีกคนเดินกลับออกมาพร้อมกับอาหารสองจานได้สบายๆ


ขอตำแหน่งนักเหม่อแห่งปีหน่อยครับ


ผมขมวดคิ้วมองคนที่เดินถืออาหารเข้ามาอย่างไม่เข้าใจ


“ดูทำหน้าเข้าสิ นี่เจ้านายอุตส่าห์เข้าครัวทำอาหารให้กินเลย”


อึ้งนิดหน่อย แต่ไม่เข้าใจมากๆ


เขาฉีกยิ้มกว้างตามปกติแล้วยื่นจานนึงมาให้ผม


สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมมีกลิ่นหอมฉุยของซอสมะเขือเทศ ไอร้อนๆ ที่พวยพุ่งขึ้นมาทำให้รับรู้ได้ถึงความสดใหม่ อาหารจานน้อยที่มีซอสสีแดงราดลงบนเส้นแป้งเหนียวนุ่มสีขาว


สปาเก็ตตี้ชัดๆ เลย


“รับไปสิ ร้อนนะ”


น้ำเสียงเร่งเร้าทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปรับอย่างเสียไม่ได้ ส่วนตัวผมไม่ชอบซอสมะเขือเทศพอๆ กับไม่ชอบเส้นสปาเก็ตตี้เพราะรู้สึกว่ามันหนักกระเพาะเกินไป ยังไงคนที่เติบโตมาในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนอย่างผมก็คุ้นเคยกับเส้นหมี่เหลืองมากกว่า


พูดแล้วก็คิดถึงผัดซีอิ๊วของอาม่าจัง


“เดี๋ยวหมอ! เอาจริงเหรอ?”


คนถูกเรียกเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่า ‘ทำไม’


การนั่งกินข้าวกับพื้นมันก็ปกติอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นเจ้านาย ส่วนผมเป็นลูกจ้างน่ะนะ


“หมอนั่งกินกับผมแบบนี้จะดีเหรอ”


เขาขมวดคิ้ว


“มีอะไรที่ไม่ดีล่ะ”


“ก็หมอเป็นเจ้านาย ส่วนผม...”


“โอ๊ย ผมไม่ถือหรอก ผมไม่ใช่ขุนนางอะไรสักหน่อย”


มือใหญ่คว้าส้อมแล้วม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ในจานก่อนจะยกทั้งก้อนขึ้นมาโบกไปมาเหมือนจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอกน้า’


ไอ้หมอนี่ แม่ไม่เคยสอนรึไงว่าอย่าเล่นของกิน


“หมอ อย่าเล่นของกินสิ”


มันอดไม่ได้จริงๆ มอสพยายามแล้ว


เขาหันมามองหน้าผมแล้วยกยิ้มมุมปาก


“เป็นแม่รึไง”


เอากับมันสิ


“ผมเป็นผู้ชายครับ เป็นแม่ใครไม่ได้ด้วย แต่ก็ไม่เคยเอาสปาเก็ตตี้มาเล่นแบบนี้ เดี๋ยวซอสมันเลอะเสื้อจะทำยังไงล่ะ มันซักยากนะรู้ไหม”


อีกฝ่ายชะงักแล้วมองหน้าผมนิ่ง นัยน์ตาคู่สวยฉายแววบางอย่างที่ผมไม่เคยเห็น


หรือจะโกรธ?


“อะไรล่ะหมอ โกรธเหรอ”


เขาไม่ตอบอะไรออกมาสักคำ


ไม่ตอบ...ไม่ละสายตา


ทำไมกันล่ะ


“นี่หมอโกรธจริงๆ ใช่ไหม”


เขาค่อยๆ ลดส้อมในมือลงไปไว้ในจานตามเดิม ลิ้นของเขาดันกระพุ้งแก้มอย่างคนใช้ความคิด


“กร”


การเรียกชื่อนั้นช่างแผ่วเบา


“เธอทำงานให้เปรมมานานแค่ไหนแล้ว”


ฮะ? อะไรของเขาอีกล่ะเนี่ย


“ก็...ยังไม่เคยได้ทำงานด้วยกันเลยครับ เขาแค่มาทาบทามไว้”


“อ๋อ...”


เขาเหลือบตามองผมเล็กน้อยแล้วหลบไป


หงุดหงิดโว้ย


“หมอมีอะไรอยากจะพูดก็พูดสิ จะอมพะนำไว้ทำไมกัน”


ไอ้ท่าทางเหมือนคนกำลังชั่งใจแบบนี้มันโคตรน่าหงุดหงิดเลย ให้ตายเถอะ


ฝ่ามือใหญ่วางจานลงบนพื้นก่อนจะเอามากุมกันไว้ นัยน์ตาสีฟ้าสบเข้ากับนัยน์ตาของผมเขม็ง


มีบางอย่างในใจร้องบอกผมว่า ‘ซวยแล้ว’


“ผมก็แค่อยากรู้...”


เขาค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นทีละนิด


“ว่าชาวบ้านธรรมดาอย่างเธอรู้จักสปาเก็ตตี้ได้ยังไง”


....


ฮะ ฮะ ฮะ หมอก็เข้าใจถามเนอะ


....


ยิ้มแห้งสิครับ




*******************************************************************************



[เกร็ดความรู้]

 หลายคนอาจจะสงสัยว่าคุณเปรมของเราเขาต้องร่ำรวยแค่ไหนถึงจะสามารถไปศึกษาที่ต่างประเทศแล้วไปเจอกับคุณหมอปีเตอร์ได้ วันนี้ปิงปองเลยเอาเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อย ๆ มาฝากค่ะ



"เรามักจะเข้าใจว่านักเรียนไทยเริ่มไปเรียนเมืองนอกกันในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ เห็นได้จากพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ที่เสด็จไปศึกษาต่อในยุโรปในยุคนั้น แต่ในความเป็นจริง ยุคนักเรียนไทยไปเรียนเมืองนอก ถอยหลังย้อนกลับไปเก่ากว่านั้นมาก คือตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔

คนไทยจำนวนน้อยนิดในรัชกาลที่ 3 และ 4 ที่รู้ภาษาตะวันตกเหล่านี้ เป็นผู้วางรากฐานความสำคัญของภาษาและวิทยาการตะวันตกให้เพิ่มพูนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกลายเป็นความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ขุนนางข้าราชการในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่จะส่งบุตรหลานของตนไปศึกษาต่อ ณ ทวีปยุโรป"

อ้างอิง: นักเรียนนอกยุคแรก (http://www.vcharkarn.com/varticle/211)






หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 13 [ครึ่งหลัง] (8/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 08-11-2017 20:00:03
เอาแล้วววววว
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 13 [ครึ่งหลัง] (8/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-11-2017 20:18:53
 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 13 [ครึ่งหลัง] (8/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-11-2017 20:22:51
ตลกมอส
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 13 [ครึ่งหลัง] (8/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-11-2017 20:32:21
พลั้งภาษาอังกฤษก็แล้ว
แล้วคราวนี้จะแถ....เอ้ย แก้ตัวยังไง มอส

เอาล่ะสิ หมอก็สนใจมอสอีกคนซะและ
อยู่ๆ มอส ก็ได้งานเพิ่มเฉยเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งแรก] (9/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 09-11-2017 18:58:30
บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งแรก]





“ตกลงว่าชาวบ้านธรรมดาอย่างเธอรู้จักสปาเก็ตตี้ได้ยังไง”


เขายิ้ม แต่นัยน์ตาน่ะโคตรจริงจัง


“ว่าไง ตกลงจะบอกได้รึยัง”


ผมฉีกยิ้มแห้งๆ ให้เขาไปหนึ่งทีก่อนจะเริ่มกระบวนการปั้นน้ำเป็นตัว


“ก็...หมอต่างชาติไง ผมเคยได้ยินเขาเรียกอย่างนี้”


ใบหน้าหล่อเหลานั้นฉีกยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม ทำเอาผมขนลุกซู่อย่างไม่มีสาเหตุ


สัมผัสได้ถึงความเลวร้ายบางอย่างที่กำลังจะมาเยือน


“อ๋อ...”


เขาเว้นจังหวะอย่างจงใจแล้วกระตุกยิ้มที่กว้างอยู่แล้วให้กว้างขึ้นไปอีก


“อยากจะรู้จังเลยว่าเธอไปเจอกับหมอคนไหนมา ทั้งวิธีปฐมพยาบาลที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งความรู้เรื่องอาหารต่างชาติ และที่สำคัญ...”


เขาเอื้อมตัวไปหยิบเอกสารปึกนึงที่ผมแยกไว้เมื่อครู่มาโบกตรงหน้าผม


“เธอรู้ได้ยังไงว่าเอกสารอันไหนต่างกัน เพราะถ้าพูดกันตามความจริงแล้ว คงไม่มีชาวบ้านคนไหนอ่านเอกสารทางการแพทย์ที่เป็นภาษาอังกฤษออกหรอก”


โอ้โห ใส่มาเป็นคอมโบยิ่งกว่าโปรโมชั่นลดราคาบุฟเฟ่มา 4 จ่าย 3


ยอมรับว่าตอนนี้ในหัวผมมันขาวโพลนและนิ่งค้างเหมือนลืมวิธีการทำงานไปแล้ว สิ่งที่ผ่านเข้ามาในหัวคือคำถามทั้งหมดของคนตรงหน้า แต่สิ่งที่ประมวลผลได้นั้นแทบไม่มี


แถวบ้านเรียกอึ้งแดกครับ


เพราะไม่มีคำแก้ตัว แถมไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง ผมเลยเลือกที่จะส่งยิ้มแหยะ ๆ ออกไปแล้วก้มหน้านิ่ง


หรือจะใช้วิธีทำตัวกะโหลกกะลาแล้วชิ่งหนีไปเลย?


ในขณะที่ผมกำลังนั่งคิดวิธีเอาตัวรอดอย่างคนมีสติ ก็มีเสียงถอนหายใจดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน


พอผมเงยหน้ามองถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิ้มร่าเริงอย่างปกติ


...เข้าโหมดจริงจังแล้วนั่น...


“ผมไม่ได้จะคาดคั้นอะไรหรอกนะ ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอกหรอก”


เขาวางเอกสารปึกนั้นลงที่เดิม


“เพียงแต่...ถ้าจะทำงานด้วยกัน ก็ควรจะพูดความจริงต่อกันจริงไหม?”


แววตาจริงจังที่ต้องสบมาทำให้ผมจำต้องพยักหน้ารับ


ก็ถูกของเขาอยู่หรอก แต่ความจริงของผมนี่พูดได้ที่ไหนกัน จะให้เริ่มต้นประโยคด้วยคำว่า ‘จริงๆ แล้วผมคือผู้เดินทางข้ามผ่านกาลเวลาครับ’ หรือจะเป็น ‘สวัสดี ผมมาจากอนาคต’ มันก็ไม่เข้าท่าด้วยกันทั้งนั้น


ถ้างั้นก็มีวิธีเดียวที่จะรอด...


“ผมจะเล่าก็ได้ แต่หมออย่าไปบอกใครนะ”


ในเมื่อความจริงไม่สามารถจะเล่าออกมาได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือการสร้างความจริงขึ้นมาใหม่ให้ดูสมจริงที่สุด


เออ โกหกนั่นล่ะ


“ผมน่ะเคยแอบที่บ้านไปทำงานให้หมอฝรั่งคนนึงที่โรงหมอแถวบางรักนู้น แต่ผมก็ตามประสาเด็กหนุ่มไงหมอ ไปเถลไถลเหล้ายาปลาปิ้งนี่ลองมาหมด ทำอยู่ได้สักเดือนก็ไปเห็นว่าหมอฝรั่งเขามีชู้ แล้วผมนี่เอาไปบอกเมียเขาเพราะอยากได้เงิน พอเรื่องแดงก็เลยต้องหนีมา แล้วก็อุบที่บ้านไว้เงียบเลย กลัวพ่อแม่จะรู้ว่าไปเถลไถลด้วย กลัวหมอฝรั่งจะตามมากระทืบด้วย”


เล่าเป็นตุเป็นตะไม่พอ ยังทำมือทำไม้ สีหน้าท่าทางประกอบเพื่อความสมจริงเข้าไปด้วย ทำให้การเล่าเรื่องและท่าทางของผมลื่นไหลราวกับเป็นของจริง


อานิสงส์ที่ไปลงเรียนวิชาแอคติ้งมา แม่ต้องภูมิใจในค่าเทอมของผม


คงเพราะความสมจริงมากๆ ทำให้คนที่เอาแต่ทำหน้าจริงจังตั้งแต่เมื่อครู่ผ่อนคลายลงก่อนจะกลับมาคลี่ยิ้มกว้างเหมือนเดิม


“เธอเองก็ทะโมนเหมือนกันนะ”


ผมพยักหน้ารับเบาๆ ด้วยท่าทางเสแสร้งแกล้งรู้สึกผิด


“สมัยนั้นผมซนมาก ทำพ่อแม่ลำบากใจอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน คิดแล้วก็ไม่น่าทำ”


ใครก็ได้ เอาชื่อมอสเข้าชิงสุพรรณหงส์ที


“มันผ่านไปแล้วก็ย้อนกลับแก้อะไรไม่ได้ ทำตัวเองทุกวันนี้ให้ดีขึ้นดีกว่า”


ไม่ว่าเปล่ายังเอาฝ่ามือใหญ่นั้นมาลูบหัวผมราวกับจะปลอบใจ


สัมผัสนุ่มนวล อ่อนหวานนั้นทำให้ผมต้องเงยหน้าสบตาเขาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในอก ที่น่าแปลกคือเขาก้มหน้ามองผมอยู่แล้ว


...นัยน์ตาสีฟ้าเข้มนั้นส่งความแว่วหวานมาให้ผมอยู่ก่อนแล้ว....


หัวใจของผมกำลังเต้นถี่รัว เดาได้ว่าหน้าของผมคงกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ


ฝ่ามือใหญ่นั้นค่อยๆ ไล้จากหัวของผมลงตามโครงหน้าลงมาจนถึงปลายคาง เขาลูบคางผมไปมาแล้วไม่ได้พูดอะไร


พวกเราสบตากันอยู่อย่างนั้น สบตาจนผมรู้สึกเหมือนถูกอัญมณีสีน้ำเงินนั้นดูดเข้าไป


อีกแค่นิดเดียวผมก็จะถูกดูดเข้าไปอยู่แล้ว ถ้าผมไม่เบี่ยงหน้าออกมาเสียก่อน


ใช่ อีกนิดเดียว


ลมหายใจอุ่นๆ ที่รดอยู่บริเวณริมฝีปากทำให้รับรู้ได้ว่าพวกเราอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน


เขานิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ผมก็หลบตาเขาอยู่อย่างนั้น แต่ในอกมันเต้นรัวจนเจ็บไปหมด


เป็นบ้าอะไรนะมอส


พวกเรานิ่งค้างกันอยู่หลายอึดใจก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงความอุ่นชื้นที่กดลึกลงบนแก้ม


ไม่ใช่การกดแล้วผละออกมา


เขาแช่มันค้างอยู่อย่างนั้นหลายวิ กดย้ำๆ จนผมรับรู้ได้ทุกสัมผัส


การจู่โจมอย่างกะทันหันทำให้ผมนิ่งค้างยิ่งกว่าเดิม คงเพราะเห็นผมจิตหลุดไปแล้วและคงไม่มีสติมากพอจะทำความเข้าใจกับอะไรต่อ อีกฝ่ายจึงเคลื่อนที่เข้าหาใบหูของผมแล้วกระซิบเบาๆ


“Good night kiss น่ะ”


...บ้า...ชะมัดเลย...






หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งแรก] (9/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-11-2017 21:25:27
 :z1:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งแรก] (9/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-11-2017 21:45:29
โอ้หมอ......หมอมี  Good night kiss ด้วย  :z3: :z3: :z3:

อั๋ยยะ   เจอคุณทวดก่อน ยังไม่ได้จับมือกันเลย
นี่ Good night kiss  เฉยเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งแรก] (9/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 09-11-2017 21:53:03
อิหมอ อิเร็ว
แต่ฉันว่า หมอได้กับคุณทวดชัวร์
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งแรก] (9/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 09-11-2017 22:18:36
มาเร็ว เคลมเร็ว 5555 :hao7: :hao7: :hao6:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งแรก] (9/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-11-2017 13:23:39
โอ้ยคุณหมออออออ ทำไมดีแบบนี้คะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งแรก] (9/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 10-11-2017 23:13:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง] (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 11-11-2017 12:41:16
บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง]







“ไอ้กร วันนี้เอ็งเป็นอะไร ร้องผิดท่อนเดิมมาสามรอบแล้วนะ”


“ขอโทษจ้ะครู เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ เลยไม่ค่อยสบายน่ะจ้ะ”


“เอ้าๆ เช่นนั้นก็ไปพักดื่มน้ำดื่มท่ากันก่อน”


สิ้นเสียงร้องบอกของครูบุญ เหล่าลูกศิษย์ลูกหาที่มารวมตัวกันเป็นวงมโหรีประจำบ้านของคุณเปมทัตก็พลันสลายตัวไปพักผ่อน เหลือเพียงผมกับไอ้มั่นที่เดินเข้ามาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ


ไม่สิ ยังมีอีกคน


“ไม่สบายรึ”


น้ำเสียงห่วงใยที่ทอดส่งมาทำให้ผมหน้าเห่อร้อนอย่างไม่มีสาเหตุ


ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วไม่ได้ตอบอะไรออกไป ผมได้ยินเขาสั่งให้มั่นไปเอาน้ำท่ามาให้ผมแล้วก็เงียบไป


ผมนึกว่าเขาจะเดินจากไปแล้ว ถ้าไม่เห็นว่าเขาค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ


โอย ใจผม ช่วยเต้นเบาลงหน่อยได้ไหม


“เมื่อวาน ไม่ได้โดนปีเตอร์ทำอะไรแปลกๆ เข้าใช่ไหม”


นี่คุณทวดมีตาทิพย์ใช่ไหมครับ บอกมอสที


คำถามของเขาทำให้ภาพเหตุการณ์เมื่อวานไหลกลับเข้ามาในสมองเป็นฉากๆ


นัยน์ตาสีฟ้าเข้มที่ห่างกันแค่ปลายจมูก


ลมหายใจอุ่นๆ ที่ปะทะกับริมฝีปาก


ความอุ่นชื้นที่ฝังลงบนแก้ม


ไอ้เหี้ย กูเขิน


ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งหน้าแดงอ้าปากพะงาบๆ ไอ้มั่นก็เดินกลับมาพร้อมกับขันน้ำพอดี ยังไม่ทันที่ผมจะเอื้อมมือไปรับ คนข้างๆ ก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน


“มั่น บอกครูบุญด้วยว่ากรไม่สบาย เดี๋ยวเราจะพาไปหาหมอ ให้ซ้อมคนอื่นต่อไปได้เลย”


คนถูกฝากฝังพยักหน้ารับคำอย่างงุนงง ในขณะที่คนถูกพูดถึงอย่างผมก็งง แต่ดูเหมือนคุณเปมทัตจะไม่ปล่อยให้พวกผมยืนไร้สติกันนานนัก เจ้าตัวลุกขึ้นยืนแล้วกระตุกข้อศอกให้ผมลุกขึ้นตาม จากนั้นก็กึ่งลากกึ่งจูงผมออกจากบ้านครูบุญไปแบบมึนๆ


ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก มอสงง มอสตามไม่ทัน


“ดะ เดี๋ยวครับคุณเปมทัต”


ท่าทางรีบเดินเหมือนแม่ใช้ให้มาซื้อน้ำปลาแล้วลืมซื้อของเขาทำให้ผมต้องรั้งเอาไว้


รีบอะไรขนาดนั้นล่ะพ่อคุณ


“เปรม”


“ฮะ?”


อะไร อะไรของเขาน่ะ


ใบหน้าคมเข้มนั้นฉายแววหงุดหงิด มันดูงุ่นง่านและร้อนรน


เป็นอะไรล่ะนั่น อากาศร้อนเหรอ


“เรียกเราว่าเปรม คุณเปรมก็พอ”


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


ผมพยักหน้ารับกับคำบอกนั้นแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาจะดูหงุดหงิดอะไรขนาดนั้น


หรือจะถึงวัยเลือดจะไปลมจะมาแล้วนะ?


ไม่สิ อย่าเพิ่งหลุดประเด็น


“ผมไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องไปหาหมอก็ได้”


เอ้อ นี่แหละที่อยากบอก


เขาปรายตามามองผมแว่บนึงแล้วหันกลับไป


“ไปหาที่คุยกันเถอะ”


หาที่คุย? หาทำไมกันล่ะ


“เราอยากรู้ว่าเมื่อคืนปีเตอร์ทำอะไรเธอ”


 เกลียดคำถามนี้จัง เพราะทุกครั้งที่ได้ยิน ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็จะฉายกลับเข้ามาในหัวทุกที


แต่ก็ต้องตีเนียนไว้ครับ


“เขาก็ไม่ดะ...”


“อย่าโกหก”


นัยน์ตาสีดำที่จ้องเขม็งมาทำให้ผมค่อยๆ หุบปากแล้วก้มลง


...ต้านทานคนๆ นี้ไม่ได้เลยให้ตาย...


ผมได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างคนหงุดหงิดก่อนจะถูกจับมือแล้วลากให้เดินอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่จะมุ่งมั่นเดินออกจากบริเวณบ้านครูบุญ กลับเปลี่ยนเป็นเดินไปด้านหลังแทน เสียงพูดคุยโหวกเหวกของผู้คนค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ จนเงียบหายไปเมื่อเดินมาจนถึงหมู่เรือนด้านหลัง


กระท่อมชั้นเดียวทอดตัวเรียงรายต่อกันต่างจากด้านหน้าที่เป็นบ้านทรงไทยสวยใหญ่โต ด้านหลังมีผู้คนอยู่บ้างประปราย หนึ่งในนั้นก็คือน้าผ่องที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตา


“อ้าว คุณเปมทัต มาถึงโรงครัวมีอะไรหรือคะ”


“พอดีกรไม่สบายน่ะครับ เลยอยากจะมาถามว่าพอจะมียาอะไรบ้างไหม หากไม่มีก็คงต้องพาไปหาหมอซึ่งก็คงจะเสียเวลาซ้อมไปใหญ่”


น้าผ่องมีท่าทีหนักใจ


“เอ น้าเองก็ดูยาไม่เป็นด้วยสิคะ ตาเกิดแกก็กลับไปปากน้ำโพ ไม่มีคนดูยาเป็นเลย”


คนข้างกายผมฉีกยิ้มสุภาพบาง ๆ


ผมรู้สึกได้ว่าเจ้าตัวกำลังหัวเราะฮึๆ อยู่ในใจ


“เช่นนั้นจะให้เราเข้าไปดูได้ไหม เราพอจะมีความรู้อยู่บ้าง หากไม่มีจริงๆ จะได้พาไปหาหมอ”


“ได้สิคะ”


น้าผ่องยิ้มแย้มให้อย่างคนซื่อแล้วเดินนำไป


น้า อย่าไปเชื่อมัน ไอ้นี่มันปีศาจ


น้าผ่องเดินนำมาจนถึงกระท่อมหลังไกลที่สุดก่อนจะหยิบกุญแจขึ้นมาไข ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออก กลิ่นอับปนกลิ่นสมุนไพรก็พวยพุ่งเข้าใส่หน้าจนผมไอไม่หยุด น้าผ่องจึงหันมาช่วยลูบหลังแล้วเอ็ดเบาๆ


“โธ่ ป่วยได้อย่างไรล่ะเอ็ง จะต้องทำงานอยู่แล้ว”


ผมไม่ได้ป่วยครับน้า แต่ไอ้กลิ่นสมุนไพรที่พุ่งเข้าหน้านี่ทนไม่ได้จริงๆ


ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไร คนตัวสูงก็พุ่งตัวเข้าไปในกระท่อมหลังนั้นแล้วเรียกให้ผมเข้าไปช่วยหา ‘ยาสมุนไพร’ พลางรับปากน้าผ่องว่าจะปิดประตูให้เมื่อหาเสร็จแล้ว


ไม่น่าไว้ใจอย่างแรง


ทันทีที่น้าผ่องจากไป ประตูกระท่อมหลังน้อยก็ถูกดึงปิดลง


กระท่อมมืดๆ อับๆ ร้อนๆ กับผู้ชายตัวโตๆ สองคน


โคตรน่าหงุดหงิดเลยครับ


“เธอโดนปีเตอร์ทำอะไรบ้าง”


ทันทีที่ปิดประตูเจ้าตัวก็เริ่มเข้าประเด็น จนถึงตอนนี้เองที่ผมเพิ่งจะถึงบางอ้อว่าเขาเป็นอะไร


หึงนี่เอง


คงเพราะท่าทีหึงซื่อๆ นั่นล่ะ ทำให้ผมอยากแกล้งเขาต่ออีกหน่อย


“ทำไมล่ะครับ...”


ผมเว้นจังหวะอย่างจงใจ


“หึงเหรอ”


ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมาบีบจมูกผมเบาๆ


“ทะเล้นนักนะ”


ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอามือตัวเองกุมมือของอีกฝ่าย


ไอ้เหี้ย เขิน


ผมพยายามหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อคุมการเต้นของหัวใจตัวเอง แต่กลิ่นสมุนไพรในห้องปิดตายนี้ดูจะไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่


ช่างเถอะ


ผมลูบมือที่กุมเอาไว้ช้าๆ


“ผม...โดนเขาหอมแก้มล่ะ”


เมื่อรับรู้ได้ว่ามือที่กุมไว้เครียดเกร็งขึ้นเล็กน้อย ผมจึงคอยลูบปลอบไม่ห่าง


“ยอมรับว่าผมก็ตกใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ”


อันนี้โกหกครับ ความจริงก็เขินอยู่


อีกฝ่ายไม่ได้พูดตอบอะไร ส่วนผมเองก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อ สภาพของพวกเราในตอนนี้เลยกลายเป็นการยืนกุมมือกันแล้วลูบหลังมือกันไปมาเท่านั้น


ผมยืนลูบหลังมือเขาอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายขืนมือออกไป ผมจึงต้องเงยหน้ามอง


ไม่อยากให้ผมลูบมือแล้วเหรอ


แสงในกระท่อมที่ปิดทั้งหน้าต่างและประตู อาศัยเพียงแสงอ่อนๆ จากช่องลมนั้นเลยคำว่าสลัวไปไกลโข มันมืดจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลยด้วยซ้ำ


ผมมองไม่เห็นสีหน้าของเขาเลย


หลังมือใหญ่นั้นไล้แก้มของผมแผ่วเบา


“เขาหอมแค่แก้มหรือ”


ผมพยักหน้ารับ


“แค่นั้นครับ”


ผมมองไม่เห็น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน


เขาจะรังเกียจผมไหมนะ


พอคิดได้แบบนั้นในอกก็รู้สึกปวดหนึบจนต้องหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้


ถ้าโดนเกลียดก็คงทำอะไรไม่ได้


ถ้าโดนถอยห่างออกไป ก็คงต้องทำใจ


ถ้า...


ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดบนริมฝีปากทำให้ผมชะงักความคิดของตัวเองแล้วลืมตาโพลง แม้ว่ามันจะไม่ช่วยอะไรก็ตาม ลมหายใจอุ่นร้อนที่ประทะลงบนผิวหน้าทำให้ผมรู้ว่าเราอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน แต่ก็เพราะอยากรู้ถึงได้ลองยื่นหน้าออกไปอีกหน่อย


ปลายจมูกชื้นเหงื่อที่สัมผัสกันชวนให้รู้สึกดี ภาพเหตุการณ์เมื่อวานไหลกลับเข้ามาในสมองอีกครั้ง


ตอนนั้น ผมเบี่ยงหน้าหลบ แต่ถ้าเป็นตอนนี้....


...ถ้าเป็นคุณเปรม...


ลมหายใจที่ใกล้เข้ามาเป็นสัญญาณเตือนว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าเบี่ยงหลบตอนนี้ก็ยังทัน...


...แต่จะหลบไปทำไม ในเมื่อไม่มีเหตุผลอะไรให้หลบ....


ผมค่อยๆ หลับตาลง ปล่อยให้ความอุ่นชื้นทาบทับลงบนริมฝีปาก


มันทั้งหวาน ทั้งหอมจนไม่อยากละออกมา


เหมือนกับทองหยิบที่ดูเผินๆ เหมือนจะหวานจนแสบลิ้น แต่เมื่อได้ลองกินจึงพบว่าเราหยุดตัวเองไม่ได้


แล้วผมก็ปล่อยให้ทุกอย่างมันไหลไปอย่างที่มันควรจะเป็น


ปล่อยให้ร่างกายทำในสิ่งที่หัวใจอยากจะทำ...


ในตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งจะตระหนักได้ว่า...


...ผมชอบเขาจริงๆ.....













กว่าพวกเราจะออกมาจากกระท่อมเก็บสมุนไพร ร่างของเราสองคนก็เปียกโชกราวกับลูกหมาตกน้ำ


หยุดความคิดหื่นกามไว้เพียงเท่านั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นที่จูบและจบลงที่การจูบ ส่วนเหงื่อที่ไหลออกมาเป็นลิตรก็เพราะอากาศร้อนอบอ้าวในกระท่อมที่ไม่มีทางระบายต่างหาก


พวกเราเดินกลับไปหาน้าผ่องแล้วบอกว่าหายาสมุนไพรไม่เจอ ท่านทำหน้าเห็นอกเห็นใจในสภาพของพวกเราก่อนจะเดินไปหาน้ำหาท่ามาให้ดื่มพร้อมกับผ้าขาวม้าให้ซับหน้า


คนข้างกายผมอมยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนคนพี้กัญชาแล้วยังไม่สร่าง


เห็นแล้วโคตรหมั่นไส้


หลังจากพักจนเนื้อตัวเริ่มแห้ง พวกเราก็เดินกลับไปที่เรือนด้านหน้า เสียงดนตรีไทยคุ้นหูที่แว่วมาตามลมทำให้ผมได้ฉุกคิดบางอย่าง


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเอาแต่ซ้อมร้อง ซ้อมเล่นโดยไม่ได้ใส่ใจเนื้อหาของบทเพลงเลยสักนิด


ใช่ ผมลืมไปเลยว่าเพลงแต่ละเพลงก็มีเนื้อหาความหมายในแบบของมัน


เพลงที่ทุกคนกำลังเล่นอยู่ตอนนี้ ถ้าจำไม่ผิดก็คงเป็นลาวดวงเดือน...บทเพลงของชายแด่หญิงสูงศักดิ์ผู้เป็นที่รักที่ไม่อาจเคียงคู่กัน บทสรุปของความรักครั้งนี้คือการจากไปของพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ทั้งๆ ที่ยังไม่สมหวังในรัก


เป็นบทเพลงที่อบอวลไปด้วยความรักอย่างล้ำลึกและอ่อนหวาน ถ่ายทอดความรักทั้งหมดของชายคนหนึ่งแด่ ‘เจ้าดวงเดือน’...
คนที่ได้รับความรักมากมายขนาดนี้มันจะรู้สึกยังไงกันนะ แล้วคนที่รักคนๆ นึงได้มากขนาดนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่อาจเคียงคู่กันจะรู้สึกยังไงกันนะ


“คิดอะไรอยู่น่ะ”


เสียงร้องทักที่ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งโหยง


โว้ย คนกำลังเพลิน


แน่นอนว่าผมก็ต้อง...


“เปล่าครับ”


ไม่สู้คนครับ ไม่สู้คน


เขาฉีกยิ้มให้กับคำตอบของผม


จะยิ้มทำไมล่ะ...มันน่ารักนะ


“ชอบเพลงลาวดวงเดือนรึ”


คราวนี้เป็นผมเองที่ต้องหันมองเขาขวับ


จู่ๆ มาถามแบบนี้มันก็แปลกอยู่นะ


“ถามทำไมเหรอครับ”


เขาหัวเราะน้อยๆ


“ก็แค่ถามดู”


นัยน์ตานั้นมันวิบวับจนชวนใจเต้นจริงๆ เลยให้ตายสิ


เย็นไว้มอส เย็นไว้


“ก็ชอบครับ...ผมว่ามัน...”


ฉิบหาย แล้วกูจะไปอยากอธิบายเขาทำไมล่ะ


...เอาเถอะ...


“มันเป็นเพลงที่แสดงให้เห็นความรักของคนๆ หนึ่งได้เป็นอย่างดีเลยครับ มันน่าแปลกใจนะครับที่ใครสักคนจะรักคนอีกคนได้มากมายขนาดนี้”


เขาพยักหน้ารับเหมือนเข้าใจ ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมยิ้มตอบแล้วหลบตา


การหลบตาคู่สนทนาเป็นหนึ่งในนิสัยเสียที่แก้ไม่หาย ผมไม่ชอบสบตาคนโดยธรรมชาติ แม้จะรู้ว่าเสียมารยาทก็จะเผลอหลบตาอยู่เสมอ ยิ่งเป็นการสนทนาที่มีกันเพียงสองคนผมยิ่งต้องบังคับตัวเองให้ไม่หลบตา แต่ไม่รู้ทำไม พอเป็นเขาผมก็รู้สึกว่าผมสามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ต้องพยายาม ถ้าอยากหลบตาก็แค่หลบตาได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนตำหนิ


แย่จริงๆ เขากำลังทำให้ผมเสียนิสัย


“เธอไม่เคยมีความรักมาก่อนหรือ”


คำถามที่ดังขึ้นบังคับให้ผมต้องเงยหน้าสบตากับคนถาม


ถามอะไรของเขากันนะ


“ผมเคยชอบ แต่ไม่เคยรักครับ”


สิ้นคำตอบของผมริมฝีปากได้รูปก็เหยียดยิ้มเอ็นดู


ทำไมกันล่ะ


“ไม่เคยรักแล้วรู้ได้อย่างไรว่าชอบกับรักไม่เหมือนกัน”


...นั่นสิ...


ผมจมอยู่กับความคิดของตัวเองครู่หนึ่ง อีกฝ่ายก็ดูไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบ


“ชอบก็คงเหมือนเวลาที่เราชอบกินทองหยิบ ถ้ากินทุกวันก็คงเบื่อ แต่ถ้ารักก็คงเหมือนข้าว ที่กินได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อล่ะมั้งครับ”


เขาหัวเราะน้อยๆ กับคำตอบของผมก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง


มันเป็นยิ้มที่กว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ดวงตาของเขาก็สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น


ทำไมถึงยิ้มกว้างขนาดนั้นนะ


“ช่างเปรียบเปรยจริงนะ”


เขาเอาฝ่ามือใหญ่นั้นขยี้ผมของผมไม่เบานัก


“ความรักคือสิ่งที่หอมหวานและตราตรึง ไม่มีวันแปรผัน ส่วนความชอบนั้นแปรผันได้ตามกาลเวลา จำเอาไว้”


ท่าทางของเขาตอนนี้เหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังสั่งสอนเด็ก


น่าหมั่นไส้


...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าน่าฟัง...


ผมเงยหน้าสบตาเขา


“แล้วคุณเคยรักใครไหมครับ”


นัยน์ตาสีดำนั้นปรากฏแวววูบไหวอยู่แว่บหนึ่งก่อนจะหายไป เหลือเพียงภาพของผมที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น


อะไรกันนะ


“เคยชอบจนเกือบจะรัก แต่ความรักมันไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เมื่อปัจจัยไม่ครบ ก็ไม่รัก”


“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย...”


“สักวันเธอจะเข้าใจ”


พวกเรายืนสบตากันนิ่งก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วอึดใจแล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง ทิ้งผมไว้ข้างหลังกับเสียงดนตรีไทยแผ่วระเรื่อยผสานกับกลิ่นการเวกที่เริ่มโชยกรุ่นไปทั่วสวน


เสียงเครื่องดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงลาวดวงเดือนทำให้เนื้อเพลงค่อยๆ ไหลกลับเข้ามาหัวตามจังหวะดนตรี


‘พี่นี้รักเจ้าหนอ ขวัญตาเรียม’


ความรักช่างเข้าใจยาก


‘จะหาไหนมาเทียม โอ้เจ้าดวงเดือนเอย’


ถ้าวันหนึ่งหัวใจมีรัก ก็คงจะเข้าใจเอง


‘จะหาไหนมาเทียม โอ้เจ้าดวงเดือนเอย’


หรือสุดท้ายแล้ว เราอาจจะไม่เข้าใจอะไรเลย


ความรักนี่มันยุ่งยากจริงๆ






***********************************************************************************



[ประวัติของเพลงลาวดวงเดือน]

"เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมได้เสด็จไปนครเชียงใหม่ และเกิดชอบพอกับเจ้าหญิงชมชื่น พระธิดาองค์โตของเจ้าราชสัมพันธวงศ์และเจ้าหญิงคำย่น ณ ลำพูน โปรดให้ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพเป็นเถ้าแก่เจรจาสู่ขอ แต่ได้รับการทัดทาน ไม่มีโอกาสที่จะได้สมรสกัน ทำให้พระองค์โศกเศร้ามาก และได้ทรงพระนิพนธ์เพลงนี้ขึ้น เมื่อใดที่ทรงระลึกถึงเจ้าหญิงชมชื่น ก็จะทรงดนตรีเพลงลาวดำเนินเกวียน (ลาวดวงเดือน) เพลงนี้ หรือให้มหาดเล็กเล่นให้ฟัง มาตลอดพระชนม์ชีพ และสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้เพียง 28 พรรษา ด้วยโรคปอดเรื้อรัง ซึ่งบ้างก็ว่าทรงตรอมพระทัยเพราะความอาลัยรัก"

อ้างอิง: ลาวดวงเดือน (https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99)




หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง] (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 11-11-2017 14:49:30
 :hao6: :hao6: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง] (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Somporn ที่ 11-11-2017 15:09:11
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง] (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-11-2017 21:05:35
แหมมมม คุณทวดดดเห็นเขาได้หอมแก้มคือไม่ยอมเลยนะคะ มีมาจูบในที่ลับตาคนอีกกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง] (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-11-2017 22:33:49
“ความรักคือสิ่งที่หอมหวานและตราตรึง ไม่มีวันแปรผัน
ส่วนความชอบนั้นแปรผันได้ตามกาลเวลา"
  ยอดดดดด  :mew1: :mew1: :mew1:

ว่าแต่ใครนะ ที่คุณทวดเคยชอบ
สงสัยอยู่ที่อังกฤษสินะ

แล้วความรักล่ะ คุณทวดรักกรวิกหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง] (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-11-2017 02:03:49
 :-[
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง] (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-11-2017 03:53:26
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง] (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 12-11-2017 10:56:31
 :hao6: สนุกมากๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง] (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 12-11-2017 13:22:36
รู้สึกดีใจมากที่ตัวเองเลือกกดเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ ถึงจะเป็นแนวย้อนอดีตแต่มันก็ยังมีปมให้ชวนสงสัยอีกเยอะ นี่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังไม่กล้าฟันธงเลยว่าคุณทวดใช่พระเอกจริงไหม เป็นนิยายที่ชวนติดตามมากค่ะ ภาษาดีทีเดียวไม่บรรยายจนเวิ่นเว้อเกินไป และคุณทวดคือดีงามมากป้อทีนี่ชวนละลายเลย เขินแทน
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 14 เจ้านาย [ครึ่งหลัง] (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 12-11-2017 13:57:15
ดีใจที่เปิดอ่าน อย่างนี้ก็ติดงอมแงมนะซิ สมัยทวดของทวดนี่จีบกันแต่ละครั้งทำไมช่างหวานละมุนละไมเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ. อ๊ายๆๆ นุ้งมอส ทำตามที่หัวใจต้องการ ดีงามจร้า
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งแรก] (12/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 12-11-2017 15:46:06
บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งแรก]







ผมมีความเชื่อว่าเราทุกคนควรเริ่มต้นวันด้วยความสดใสและเบิกบานใจ ไม่เช่นนั้น วันทั้งวันก็จะกลายเป็นวันที่แสนจะเฮงซวย ปกติแล้วผมจะถูกปลุกให้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยเสียงภาชนะที่กระทบกันดังก๊องแก๊งมาจากในครัว แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ผมไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงนั้น


มีเสียงบางอย่างดังมาจากหน้าบ้าน


“พวกลื้อเลี้ยงลูกยังไงให้เป็นขโมยฮะ!”


นั่นเสียงใครกัน ผมไม่ยักจะจำได้ว่าเคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อน สำเนียงการพูดจาก็ทั้งแข็งกระด้างและห้วนสั้น


“ผมขอโทษจริงๆ ครับเถ้าแก่”


นั่นมันเสียงอาป๊านี่นา


“ขอโทษแล้วมันจะหายเหรอ อั๊วขาดทุนไปตั้งเท่าไหร่ลื้อรู้บ้างไหม!”


 “พวกอั๊วจะชดใช้ให้เองค่ะเถ้าแก่ ฮือ แต่ได้โปรด...ยะ...อย่าส่งอาตั่วตี๋ให้ตำรวจเลยนะคะ”


น้ำเสียงอ้อนวอนปนสะอื้นไห้ปานจะขาดใจนั้นเป็นของอาม้าไม่ผิดแน่ แต่สิ่งที่น่าติดใจคือ...อาเฮียทำอะไร ถ้าให้เดาจากสิ่งที่ได้ยินก็คงอุปมาได้ว่าเขาคงทำตัวเป็นแมวขโมยไปขโมยของในที่ทำงานแน่ๆ แต่อะไรคือสาเหตุให้เขาขโมย นั่นต่างหากที่น่าสงสัย เพราะถ้าดูจากสภาพครอบครัวก็ไม่ได้ขัดสนจนต้องไปเป็นขโมย ออกจะอยู่ดีกินดีประมาณนึงเสียด้วยซ้ำไป


...หรือจะเป็นสันดาน...


เย็นไว้มอส เราต้องไม่ใช้อคติ


“อาตั่วตี๋ คืนของที่ขโมยเขาไปสิ ลื้อจะเงียบอยู่ทำไม”


เสียงตะคอกของอาป๊าดังสลับกับเสียงร้องไห้ที่น่าเวทนาของอาม้า


แม้ว่าท่านจะไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของผม แต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ผมสัมผัสได้ถึงความรักและอบอุ่นที่ถ่ายทอดมาให้ จะให้ไม่รู้สึกอะไรเลยกับเสียงสะอื้นไห้นี้คงไม่ได้


“เงียบทำไมเล่า คืนเขาไปสิ บอกเขาไปสิว่าความจริงมันเป็นยังไง!”


เสียงของอาป๊าที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมตัดสินใจกระโดดผลุงออกจากที่นอนแล้ววิ่งตรงดิ่งไปหน้าบ้าน


ภาพที่เห็นไม่ได้ต่างจากที่ผมคิดเอาไว้นัก ตรงนั้นมีอาเฮียที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ขนาบข้างซ้ายด้วยอาม้าที่นั่งร้องไห้จนตัวโยนอยู่ และขนาบขวาด้วยอาป๊าที่ยืนกำหมัดตัวสั่นเทิ้มแต่นัยน์ตาอ่อนล้าคู่นั้นแดงก่ำ


เขาดูอัดอั้นจนผมเองก็บอกไม่ได้ว่ากำลังโกรธหรือเสียใจ...หรืออาจจะทั้งสองอย่าง


ลูกชายคนโตของบ้านคนจีน...ความคาดหวังที่ไม่ได้อย่างหวังมันเจ็บปวดยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก


ตรงหน้าของพวกเขามีร่างของชายอีกสามคนยืนหน้าถมึงทึงอยู่  คนตรงกลางเป็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน ขนาบข้างด้วยชายร่างกำยำสองคนที่ดูเหมือนจะเป็นลูกน้อง ถ้าจำไม่ผิดผมได้ยินอาป๊าเรียกเขาว่าเถ้าแก่ ก็คงจะเป็นคนจีนที่มีเงินและรับมือยากคนหนึ่ง


ก็ช่างเลือกคนไปมีเรื่องด้วยเนอะ


เพราะไม่ค่อยรู้เรื่องราว ผมเลยเลือกที่จะยืนอยู่นอกวงอย่างไม่รู้จะเริ่มยังไง จนเห็นอาป๊าเริ่มจะเขย่าตัวอาเฮียด้วยแรงที่มากขึ้นผสมโรงกับเสียงร้องไห้ที่หนักขึ้นของอาม้าทำให้ผมต้องเอาตัวเองเข้าไปแทรกอย่างช่วยไม่ได้


“พอเถอะป๊า ใจเย็นสิ”


อาป๊าปัดมือผมออกอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ


ไม่เป็นไร ผมเข้าใจว่าคนกำลังโกรธมันหน้ามืดไปหมด


“ลื้ออย่ามายุ่งนะอาโซ้ยตี๋ กลับเข้าห้องไปแล้วไม่ต้องออกมา นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”


“อั๊วจะกลับเข้าห้องก็ต่อเมื่อป๊าใจเย็นก่อน ทำร้ายเฮียไป เขย่าไปให้ตายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกป๊า”


อาป๊าหันขวับมามองผมตาเขียวปั๊ดก่อนจะใช้มือดันไหล่ผมอย่างแรงจนผมเซถอยหลังไปหลายก้าว


ผมไม่ชอบเลย ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย ทำไมต้องใช้กำลังกันด้วย


“กลับเข้าห้องไป แล้วไม่ต้องออกมาจนกว่าฟ้าจะสาง”


“อั๊วไม่ไป”


“อาโซ้ยตี๋!”


เสียงตะคอกของอาป๊าทำให้อาม้าที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงรีบโผเข้ามาขวางแล้วโอบไหล่ให้ผมเดินกลับเข้าห้องไป


ทำไมล่ะ ผมไม่มีสิทธิพูดอะไรในบ้านเลยรึไง


ผมขืนตัวเอาไว้แต่ก็ต้องยอมถอยเมื่ออาม้ากระซิบขอร้องรัวเร็ว แต่ก็มากพอที่จะเข้าใจ ผมจึงยอมที่จะหันหลังเดินกลับไป


แต่นั่นต้องเป็นการกระทำหลังจากที่ผมได้พูดในสิ่งที่อยากพูด


“อาเฮีย”


ผมเอ่ยปากเรียกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น เขาไม่แม้แต่จะหันมามองแต่ผมมั่นใจว่าเขาได้ยิน


“อั๊วไม่รู้หรอกนะว่าเฮียไปทำอะไรไว้ แต่จำคำอั๊วไว้นะ ว่าลูกที่ทำให้พ่อแม่ต้องร้องไห้มันโคตรหมา”


ผมหยุดมองอีกคนอยู่เพียงอึดใจก่อนจะสะบัดตัวเดินกลับเข้าห้องไป


แค่อึดใจเดียวที่ผมหยุดมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่ผมเห็นว่าเขาแอบหันมานิดหน่อย ไม่รู้หรอกว่าเขาจะรู้สึกยังไง ไม่สนใจด้วยว่าทุกคนจะว่าผมว่าเป็นคนไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่รึเปล่า ผมต้องได้พูดในสิ่งที่ผมอยากจะพูด


ผมต้องสั่งสอนคนๆ นั้นว่าเขาควรจะคิดถึงใครเป็นอันดับแรก


หลังจากที่ผมกลับเข้ามาในห้อง สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแค่นั่งฟังบทสนทนาทั้งหมดอยู่บนเตียงเงียบๆ


“อั๊วเห็นแก่ลื้อนะไอ้เลิศ เห็นว่าเห็นหน้าค่าตากันมาแต่เล็กแต่น้อย ถ้าลูกลื้อคืนของที่ขโมยไปมาครบ อั๊วจะไม่เอาไปบอกโปลิศ แต่ถ้าไม่คืนก็รอไปดูหน้าอีที่คุกได้เลย!”


คนพูดคงเป็นคุณลุงที่ดูภูมิฐานคนนั้น จากคำพูดของเขาทำให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเขาเองก็มีเมตตาอยู่มาก


ถ้าเป็นผมจะจับเข้าซังเตแบบไม่ถามไถ่เลยสักคำ


“คืนเขาไปสิอาตั่วตี๋ ลื้อพูดอะไรบ้างได้ไหม”


คราวนี้เป็นอาม้าที่พูดกล่อมปนเสียงสะอื้น แต่ดูเหมือนคนที่ถูกถามก็ยังนิ่งเฉยจนอาป๊าทนไม่ไหว


“ลื้อจะนั่งเงียบอย่างนี้ไปจนตายเลยรึไง ถ้าไม่พูด ริจะเป็นขโมยก็ไม่ต้องมาเรียกอั๊วว่าอาป๊า!”


“พลอยไม่ได้อยู่ที่อั๊วแล้ว จะให้เอาที่ไหนมาคืนล่ะ!”


สิ้นคำตะคอกตอบทุกสิ่งทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบ


เงียบกริบเหมือนลืมหายใจ


“ลื้อหมายความว่ายังไง”


น้ำเสียงแหบชรานั้นฟังดูไม่มั่นคงราวกับคนไร้หลักยึด


...ราวกับคนผิดหวัง...


“อั๊วถามว่าลื้อหมายความว่ายังไง!”


สิ้นเสียงตะคอกก็มีเสียงหวีดร้องของอาม้ากับเสียงของล้มระเนระนาด


ผมไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ร่างทั้งร่างปรี่ไปเปิดประตู เพียงอึดใจเดียวผมก็มายืนอยู่ตำแหน่งเดียวกับเมื่อครู่ แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นต่างออกไป


ผมเห็นอาป๊ายืนกุมอกหอบหายใจด้วยสีหน้าเจ็บปวด ในขณะที่อาเฮียมีสภาพเหมือนคนโดนต่อยจนนอนหมอบอยู่กับพื้น อาม้าหันหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะเลือกวิ่งไปช่วยพยุงอาป๊าไม่ให้ทรุดลงกับพื้น


ไปกันใหญ่แล้ว


ชายหนุ่มที่ถูกต่อยค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นมาจากพื้นแล้วก้มหน้านิ่ง ในขณะที่อาป๊าเองก็ดูจะมีอาการแย่ลง


ผมเลือกที่จะวิ่งไปประคองอาป๊าไปนั่งตรงแคร่หน้าบ้านก่อนจะหันไปหาเถ้าแก่ที่ยืนทำสีหน้าสับสนอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อดี


เขาดูเป็นคนดี พอจะเข้าใจได้อยู่ว่าเขาคงสับสนว่าจะทวงเงินต่อดีหรือเห็นใจไม่เอาความดี


“เถ้าแก่ครับ”


เขาหันใบหน้าอึดอัดนั้นมาหาผม


“เฮียผมขโมยไปเท่าไหร่หรือครับ”


เขาหยุดคิดเล็กน้อย


“ห้าสิบบาท”


“ห้าสิบบาท!”


ผมได้ยินเสียงอุทานอย่างไร้เรี่ยวแรงของอาม้า แต่ก็เลือกที่จะไม่หันไปมองเพราะไม่รู้ว่าตัวผมเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป


...ห้าสิบบาทในสมัยที่ของซื้อของขายทั่วไปมีราคาในหลักสลึง...


ผมควรจะตอบอะไรออกไปดีนะ


“ผม...ผมขอผ่อนจ่ายได้ไหมครับ”


“อาโซ้ยตี๋...”


เสียงแหบพร่าของชายชราที่ครางชื่อผมนั้นแสนอ่อนแรง แต่ผมจะไม่หันไปมอง


ตัดสินใจแล้วว่าไม่อยากให้อาป๊าและอาม้าเห็นใบหน้าที่อ่อนแรงของตัวผมเอง ในสถานการณ์ที่ทุกคนหมดแรง ต้องมีใครสักคนที่มีพลังเหลือเพื่อจะยืนหยัดต่อ


ผมต้องทำให้เขาเห็นว่าผมเองยังสบายดี


“เราเอาของเขามา เฮียก็รับสารภาพมาแล้ว อย่างไรเสียเราก็ต้องชดใช้เขา ไม่มีหนทางอื่น...ไม่มีเลย”


ชายวัยกลางคนตรงหน้าสบตาผมนิ่ง


“อั๊วให้เวลาสามเดือน ผ่อนมาให้ครบภายในสามเดือนแล้วกัน”


สามเดือน แม้ว่าจะน้อยไปหน่อย แต่ถ้าทำหลายๆ งานก็คงพอจะหามาผ่อนได้


“ได้ครับเถ้าแก่ ขอบคุณมากครับ”


คุณลุงคนนั้นหยุดมองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“อาเลิศ”


เขาเรียกชื่ออาป๊า


“ลื้อโชคดีที่ไม่ได้มีลูกแค่คนเดียว”


แล้วเขาก็หมุนตัวจากไป ทิ้งพวกเราไว้กับความเงียบ


...เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง...


...เสียงหัวใจที่เต้นอย่างเหนื่อยล้า...


ไม่มีใครอยากรับผิดชอบความผิดพลาดที่ไม่ได้ก่อ แต่เมื่อคนในบ้านทำผิด มันก็คงถือเป็นความผิดของพวกเราทั้งหมด


...ผิดที่ใส่ใจเขาไม่พอ ผิดที่ไม่คอยห้ามปรามไม่ให้เขาทำสิ่งไม่ดี...


เมื่อเรื่องเกิดขึ้นแบบนี้ ความคิดที่ผมจะลาออกจากโรงหมอของหมอปีเตอร์เลยต้องพับเก็บไว้ก่อน ทั้งๆ ที่กะเอาไว้ว่าจะลาออกเพราะไม่อยากให้คุณเปรมไม่สบายใจแท้ๆ


เอาเถอะ ไปทำงานก็ดีเหมือนกัน ได้ทั้งเงิน แถมยังได้เห็นคนหึงหัวฟัดหัวเหวี่ยงอีก จะว่าไป...


เวลาคุณทวดหึงก็น่ารักดีเหมือนกันนะ







หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งแรก] (12/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-11-2017 16:23:39
 :เฮ้อ:

 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งแรก] (12/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 12-11-2017 16:50:38
 :mew2: :mew2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งแรก] (12/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-11-2017 19:58:25
ห้าสิบบาทสมัยก่อนให้ฟีลเป็นหมื่นมากค่ะ เป็นกำลังใจให้มอส ทำให้คุณทวดหึงเยอะๆไปเลยยยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งแรก] (12/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 12-11-2017 23:53:00
อ่านไปก็อึดอัดใจกับครอบครัวของกร คือบอกว่าเป็นครอบครัวจีนที่พยายามปรับให้เป็นไทยแต่อะไรคือแนวคิดว่าลูกชายเป็นใหญ่ที่ไม่ยอมเปลี่ยน ตอนนี้งานเข้าน้องมอสเลยแทบอยากจะส่งเงินให้เลยห้าสิบบาทเนี่ย
ปล.เขินทุกทีที่คุณเปรมออกมา สัมผัสได้ถึงสายตากรุ้มกริ่มที่ใช้มองน้อง
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งแรก] (12/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: johnsonti ที่ 13-11-2017 10:15:01
ชอบมากมาย  รีบมาต่อเร็วๆ นะ 
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งหลัง] (13/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 13-11-2017 15:36:04
บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งหลัง]








ช่วงนี้ไอ้มั่นแทบไม่มีเวลามาอยู่กับผม เช้าก็ไม่มารับ เย็นก็กลับไม่รอ เอาแต่บอกว่าพ่อให้ไปช่วยงาน ทั้งวี่ทั้งวันก็ทำตัวยุ่งอยู่ตลอดเวลา ไม่นั่งต่อเพลงกับคนในวงก็หนีไปช่วยครูบุญซ่อมตะกั่วถ่วงรางระนาดจนผมไม่มีโอกาสได้นั่งพูดคุยกันสบายๆ เหมือนอย่างเคย


เหงาไงจะอะไรล่ะ ความรู้สึกของคนที่โดนเพื่อนสนิททิ้งมันเป็นแบบนี้นี่เอง


พูดถึงเพื่อนสนิทแล้วก็นึกถึงไอ้ไม้ ปกติแล้วผมกับไอ้ไม้ตัวติดกันอย่างกับปลาท่องโก๋ เช้าก็เจอกันตอนเรียน เย็นก็พากันไปนั่งร้านเหล้าไม่ก็ไปหาอะไรกินกันไม่เคยขาด แทบไม่มีวันไหนที่ผมต้องอยู่คนเดียว ถ้าไอ้ไม้ไม่อยู่ก็จะเป็นทีน แต่รายหลังนี่นานๆ ทีจึงจะได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน


ก็แหม งานมันรัดตัวซะขนาดนั้น


แต่ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันสักเท่าไหร่ แต่เรื่องเงินเรื่องทองรวมไปถึงข้าวปลาอาหารนี่บอกเลยว่าทีนไม่เคยแพ้ใคร ใครไม่เคยเห็นสายเปย์ต้องมาดูหน้าทีนเป็นบุญตา ซื้อบ้านซื้อที่ดินให้ได้คงทำไปแล้ว


ผมคิดถึงความหลังแล้วหัวเราะในคอ


...ทำตัวอย่างกับคนแก่เข้าไปทุกที...


ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมจากมาทำให้ผมรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน ถึงจะมีเพื่อนไม่เยอะ แต่ก็มีเพื่อนที่ดีคอยอยู่เคียงข้าง ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยมากมายเหมือนใคร แต่ก็มีครอบครัวที่อบอุ่น


จะว่าไปผมก็เหมือนกรวิกอยู่เหมือนกัน เพราะเท่าที่สังเกต นอกจากไอ้มั่นแล้วก็ไม่มีใครแสดงท่าทีว่าเคยรู้จักสนิทสนมกับเด็กคนนี้มาก่อน เขาดูเป็นที่รู้จักอยู่บ้างเพราะเป็นลูกคนไทยเชื้อสายจีน แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกับใครอย่างจริงจัง


เป็นชีวิตที่มีแค่ครูบุญ ครอบครัวและไอ้มั่น


...เหมือนกันจังเลย...


“อ้าวคุณหมอ ลมอะไรหอบมาถึงนี่หรือครับ”


เสียงร้องทักคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินทำให้ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์แล้วหันขวับไปมอง


ร่างกำยำที่ยืนอยู่ตรงหัวบันไดกำลังฉีกยิ้มกว้างแจกจ่ายให้ทุกคนบนเรือนพลางยกมือไหว้ทุกคนเหมือนนายกเทศมนตรีที่ลงไปเยี่ยมชาวบ้านในตลาดก่อนวันเลือกตั้ง ในมือใหญ่ทั้งสองข้างมีปิ่นโตข้างละเถา เขายื่นมันส่งให้ใครสักคนในวงหลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็เฮโลพากันไปกินของฝากในปิ่นโตกันหมด


เฮ้ยๆ ในนั้นอาจจะมียาพิษก็ได้ อย่าไว้ใจมันนะโว้ย


ได้แต่คิด พูดออกไปก็ไม่ได้


ผมถอนหายใจอย่างหน่ายๆ พลันรู้สึกถึงสายตาของใครสักคนที่จ้องมองมา ในใจผมพอจะเดาได้ว่าใครแต่พอนึกดีๆ จึงได้รู้ว่าทิศทางที่รู้สึกมันคนละด้านกับทิศที่ไอ้หมอนั่นยืนอยู่ เพราะคิดได้แบบนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะหันไปมองแล้วก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีดำที่จ้องผมไม่ว่างตา


ไอ้มั่น


“มึงมองกูทำไม”


ปากมันลั่นครับ พออยู่กับคนสนิททีไรผมเป็นแบบนี้ทุกที


มันมองหน้าผมแล้วทำท่าอึกอัก


“ไม่มีกระไร”


ไม่มีเล๊ย


“อย่าโกหก กูเพื่อนมึงนะ”


มันเบ้ปากใส่ผมแล้วหันหน้ากลับไปจัดรางระนาด


“มึงนับข้าเป็นเพื่อนด้วยเหรอ มีอะไรก็ไม่เคยบอกสักอย่าง”


...อ๋อ...


“ที่ตลอดหลายวันมานี้ มึงพยายามเลี่ยงไม่เจอหน้ากูก็เพราะโกรธกูใช่ไหม”


มันยักไหล่ทั้งๆ ที่ยังไม่หันมามองหน้าผม


“คิดเอาเอง”


นั่น มีแซะ


“มั่น”


ผมเรียกชื่อแล้วค่อยๆ เขยิบเข้าไปหามัน


“มึงโกรธกูเหรอ”


ผมใช้น้ำเสียงอ่อนเหมือนอย่างที่ชอบใช้เวลาง้อไอ้ไม้


“กูขอโทษนะ”


แล้วก็งัดคำพูดไม้ตายออกมาใช้


ถ้าผมเดาไม่ผิด หลังจากนี้มันก็ต้อง...


“เอ็งน่ะ เป็นอย่างนี้ทุกที ใครมันจะไปโกรธลงวะ”


นั่น บอกแล้วว่าไอ้สองคนนี้มันเหมือนกันอย่างกับแกะ


“พูดแบบนี้แสดงว่าหายโกรธกูแล้วใช่ไหม”


ไม่ว่าเปล่า ผมยังเอามือไปสะกิดแขนมันเบาๆ เพิ่มความน่าให้อภัยให้กับตัวเอง


มันหันมามองผมหน้ามุ่ยก่อนจะใช้มือผลักหัวผมอย่างแรง


“โอ๊ย เจ็บนะ”


“เจ็บก็ดี จะได้รู้ว่าข้าโกรธ”


“โอ๋ๆ ไม่โกรธแล้วนะ”


ไม่ว่าเปล่า ผมยังเขยิบเข้าไปใกล้มันอีกนิดแล้วสะบัดมือไปมาในอากาศเหมือนกำลังหยอกล้อกับเด็กเล็กๆ


มันพยายามกลั้นยิ้มแล้วทำหน้าขึงขัง แต่ก็หลุดอมยิ้มออกมาจนได้


ไม่ได้เรียนวิชาแอคติ้งมาก็แบบนี้แหละเพื่อน


มันปัดมือที่ผมโบกไปมาแล้วแสร้งทำหน้าขึงขัง


“มึงบอกกูมาเลย เล่าเรื่องชีวิตมึงมาให้หมด แล้วอย่าทำเหมือนข้าเป็นคนอื่นคนไกลอีก มีปัญหาอะไรก็บอก”


พูดแบบนี้แสดงว่า...


“มึงรู้เรื่องเฮียกูแล้วเหรอ”


มันพยักหน้า


“เออสิ เขาลือกันไปทั้งบาง ห้าสิบบาทเลยนะเอ็ง จะหาที่ไหนไปใช้เขาทัน”


ผมถอนหายใจ


ใช่ว่าผมจะไม่คิด แต่คิดจนไม่รู้จะคิดยังไงแล้วต่างหาก


จริงสิ ผมยังไม่ได้ถามหมอเลยว่าจะให้เงินค่าจ้างผมยังไง


“ไอ้มั่น มึงรู้เรื่องที่กูไปทำงานให้หมอปีเตอร์แล้วใช่ไหม”


“เออ ไม่เล่าข้าปีหน้าเลยล่ะ”


คนขี้แซะ 2460


ผมทำหูทวนลมกับคำแซะของอีกฝ่ายแล้วเริ่มพูดต่อ


“กูต้องไปทำงานให้เขาหลังเลิกเรียนครูบุญ แต่กูยังไม่ได้ถามเขาเลยว่าวันไหนบ้าง แล้วจะได้ค่าจ้างเท่าไหร่”


มันขมวดคิ้วยุ่ง


“อ้าว แล้วทำไมไม่ถามเล่า”


บอกเลยว่าคนหน้าตาดีมีการศึกษาอย่างผมก็ต้องตอบออกไปว่า...


“อ๋อ กูลืม”


เราต้องเป็นคนยอมรับความจริงครับ


“ไอ้โง่”


กูรู้ ไม่ต้องย้ำ


มันฟาดมือตบไหล่ผมดังปั้ก


“มึงไปถามเขาเลย นั่งทำอะไรอยู่ล่ะ”


“ก็นั่งคุยกับมึงไง”


“ไอ้เวร”


มอสพูดความจริง มอสผิดอะไร


“ไปเลยไป นั่งทำซากอะไรอยู่ล่ะ”


แหน่ะ ทำเป็นมาไล่ ใจจริงก็เป็นห่วงกลัวผมขาดทุนล่ะซี่


เพราะท่าทางขับไล่ไสส่งจนแทบจะเตะผมด้วยความรักของไอ้มั่น ทำให้ผมต้องขยับตัวเองแล้วเดินเข้าไปหาคุณหมอที่ยืนฉีกยิ้มแจกจ่ายความสดใสให้ทุกคนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ปากก็พูดไม่หยุด รีมฝีปากก็ฉีกยิ้มกว้างไม่หุบ


บางครั้งมอสก็สงสัยว่าเขาเป็นคนยิ้มเก่งหรือเป็นบ้ากันแน่


“สวัสดีครับหมอ”


เขาหันมาทำหน้าตกใจเหมือนเจอผมโดยบังเอิญ


แหม แอคติ้งเก่งนะเราน่ะ


“อ้าวกร เมื่อวานไม่เห็นไปทำงานก็นึกว่าเป็นอะไร ที่แท้ก็แอบอู้นี่เอง”


เขาว่าพลางฉีกยิ้มกว้าง


“ไร้ความรับผิดชอบจริงนะ”


...


โดนแล้วครับ มอสโดนไอ้หมอเล่นแล้ว


ไอ้ท่าทางยิ้มไปด่าไปทำให้บางครั้งคนโดนด่าอย่างเราๆ ก็แยกไม่ออกว่าเขาด่าหรือเขาแค่พูดลอยๆ ไปอย่างนั้น


แต่ดูจากสภาพฉีกยิ้มกว้างแต่นัยน์ตาขึงขังแล้วน่าจะด่า


แน่นอนว่าคนอย่างผมก็ต้อง...


“ขอโทษครับหมอ”


พูดขอโทษเสียงอ่อนแล้วยกมือไหว้อย่างคนมีมารยาท


มอสไม่สู้คนโว้ย


ถึงหมอนี่จะมีบรรยากาศที่ชวนให้สบายใจ แต่ภายใต้ความใจดีนั้นก็ยังมีความขึงขังเด็ดขาดปนอยู่ ไอ้คนตรงหน้าผมน่ะเป็นพวกหน้าเทวดาแต่ปากพญามาร ปากมันน่ะยิ้ม แต่นัยน์ตาน่ะโคตรร้าย แล้วมอสผู้บอบบางคนนี้จะเอาอะไรไปสู้ล่ะ ไม่มีไง ไม่มี
เขามองหน้าผมนิ่ง รอยยิ้มนั้นยังคงอยู่ แต่นัยน์ตานั้นลุ่มลึกแปลกตา


“ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”


“ครับ?”


“ตามมา จะขอคุยอะไรด้วยหน่อย”


ผมมองคนที่หมุนตัวเดินนำไปอย่างงุนงง ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าไอ้มั่นอย่างคนต้องการกำลังใจ ภาพที่ผมเห็นคือเด็กหนุ่มผิวเข้มกำลังนั่งขะมักเขม้นกับการกะปริมาณตะกั่วถ่วงรางระนาดจนผมไม่กล้าจะเอ่ยปากขัด


เมื่อหันซ้ายก็เจอคนในวงนั่งล้อมปิ่นโตสองเถากันอย่างผาสุก หันขวาก็เจอครูบุญกำลังนั่งคุยกับน้าผ่องอย่างออกรส ผมจึงระลึกได้ว่า...


ไม่มีใครสนใจกูเลย


แต่ละคน ดีๆ ทั้งนั้น


ผมถอนหายใจกับตัวเองแล้วเดินตามเขาลงจากเรือนไป


คนๆ นั้นยืนรออยู่ตรงหัวบันได เขาหันมามองผมนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าผมเดินลงไปใกล้จะถึงขั้นสุดท้ายแล้ว เขาก็เดินนำออกไปโดยไม่รอให้ผมใส่รองเท้า


รีบเหรอ เมียใช้ให้มาซื้อน้ำปลารึไง


ผมแอบเบ้ปากใส่เขาก่อนจะเริ่มสาวเท้าเดินตามไป



ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาเป็นคนตัวสูงมากๆ อาจจะสูงกว่าฝรั่งด้วยกันด้วยซ้ำไป ประเมินด้วยสายตาแล้วคงจะประมาณร้อยแปดสิบปลายๆ ถึงร้อยเก้าสิบต้นๆ ในขณะที่ร่างของกรวิกสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบปลายๆ เท่านั้น แต่เพราะยังเป็นเด็กหนุ่มอายุม.ปลายวัยใส ยังไงเสียก็คงยังสูงได้อีก ผมกะคร่าวๆ ว่าร่างนี้คงจะหยุดสูงที่ประมาณร้อยแปดสิบต้นๆ ซึ่งจัดว่าสูงสำหรับคนจีนและคนเอเชียทั่วไป แต่ก็สู้พ่อฝรั่งตาน้ำข้าวไม่ได้อยู่ดี


เขาเดินทอดน่องไร้ความเร่งรีบมาจนถึงท่าน้ำ รอจนผมเดินมาถึงแล้วจึงเริ่มพูด


“ไปทำอะไรมา”


“ครับ?”


เดาได้ว่าหน้าผมตอนนี้คงงงเป็นไก่ตาแตกและดูโง่กว่าปกติประมาณสิบเปอร์เซ็นต์


เขายืนนิ่ง ไม่พูดไม่จาอยู่พักใหญ่ นัยน์ตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นดูแปลกตากว่าทุกที


ดูโกรธเกรี้ยว หงุดหงิดใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนนัก


เป็นอะไรของเขาน่ะ


“หมอเป็นอะ...”


“ไปจูบกับใครมา”


ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เขาก็พูดสวนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง


โอเค พอจะเข้าใจได้ว่าเขาก็ดูชอบผมอยู่ประมาณนึง ถ้ารู้ว่าผมไปจูบหรือไปกระดุ๊กกระดิ๊กกับใครก็ต้องโกรธอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือ...


เขารู้ได้ไงว่าผมไปจูบกับใครมา


“หมอพูดอะ...”


“อย่าโกหก”


เอ ทำไมไอ้คำนี้ฟังดูคุ้นๆ จังน้า


เขาเขยิบตัวเข้ามาใกล้ผมจนแทบไม่เหลือช่องว่างระหว่างกันแล้วค่อยๆ เชยคางผมขึ้น


“ปากบวมเชียว ไม่รู้ตัวเลยเหรอ”


รู้ แต่คือคนไม่สังเกตก็ไม่รู้ไง นี่ก็ช่างสังเกตจังโว้ย


เพราะไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดีผมจึงยืนนิ่ง ปล่อยให้เขาลูบคางอยู่อย่างนั้น ไม่นานนักเขาก็เอานิ้วโป้งมาคลึงริมฝีปากของผมเบาๆ หัวใจของผมเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก ยอมรับอยู่หรอกว่าไม่ได้ชอบเขาเหมือนที่ชอบคุณเปรม แต่ผมเองก็ชอบผู้ชาย แล้วมาโดนผู้ชายหน้าตาดีทำอะไรแบบนี้ เกย์ที่ไหนก็ใจเต้นด้วยกันทั้งนั้นแหละโว้ย


ริมฝีปากเรียวสวยนั้นค่อยๆ ฉีกยิ้ม แต่คราวนี้มันน่ากลัว น่ากลัวกว่าทุกครั้งที่เคยเห็นทั้งๆ ที่เขาก็ยิ้มเหมือนทุกที


“เธอรู้ไหม คนไทยที่ไม่เคยไปต่างประเทศหรือคลุกคลีอยู่กับคนต่างชาติ ไม่รู้จักดีปคิสหรอกนะ”


คำพูดของเขาทำให้ใจของผมเต้นแรงกว่าเก่า


“แล้วเธอรู้ไหมว่าผู้หญิงไทยทั่วไปแทบไม่ได้รับการศึกษา ยิ่งเคยเดินทางไปศึกษาต่างประเทศยิ่งหายาก”


ผมรู้...ผมรู้ว่าเขาจะพูดอะไร


ผมรับรู้ถึงแรงกดที่หนักขึ้นบริเวณริมฝีปาก


“ทำไมกันนะ ทำไมผมกับมันต้องมีปัญหาเรื่องนี้กันอยู่เรื่อย ที่อังกฤษก็หนนึงแล้ว มาคราวนี้...”


ผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจของเขาที่ถี่รัวขึ้นเพราะความรู้สึกบางอย่าง


...เขากำลังโกรธ...


“ทำไมต้องเป็นมัน คราวที่แล้วผมก็ยอมถอยแล้ว คราวนี้ทำไมผมต้องยอม”


นัยน์ตาของเขาสั่นระริก


มันกำลังสั่นด้วยความอัดอั้นบางอย่างจากอดีต


“ทำไมคนที่ได้ครอบครองริมฝีปากของคุณต้องเป็นมัน”


มืออีกข้างของเขาลูบหัวผมช้าๆ


“เป็นผมไม่ได้หรือ”


น้ำเสียงของเขานั้นฟังดูอ่อนแรง เต็มไปด้วยการอ้อนวอน


“ผมอยากจูบคุณ”


นัยน์ตานั้นส่งแววตัดพ้อมาให้


“อยากจูบคุณจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”


บ้าจริง ผมต้องตอบยังไง ผมควรทำยังไงดี ผมชอบคุณเปรม...


...แต่ผมต้านทานดวงตาคู่นี้ไม่ได้เลย...


ไม่ได้ ผมต้องควบคุมตัวเองสิ


พอคิดได้แบบนั้นผมจึงหลบตาลงแล้วใช้มือดันหน้าอกเขาเบาๆ


“ผมชอบคุณเปรม”


“ผมรู้”


 เขาเอ่ยตอบอย่างรวดเร็วจนผมเผลอเงยหน้ามอง และนั่นทำให้รู้ว่าผมพลาด


ดวงตานั้นแว่วหวานและอ้อนวอน


...เขากำลังอ้อนวอนขอความรักจากผม...


“เธอแค่ชอบเขา แต่ยังไม่ได้รัก เพราะฉะนั้นผมยังมีโอกาสใช่ไหม”


ผมต้องตอบยังไง ผมควรตอบยังไงดี


ผมก้มหน้าหลบตาด้วยใจที่สั่นระรัว


“ผม...ผมไม่ใช่คนใจง่ายที่จะรักคนนู้นที เปลี่ยนมากอดคนนี้ที”


เขานิ่งไป เขาเงียบไปแล้ว แต่ผมไม่กล้าพอที่จะเงยหน้าสบตา


 “ผมไม่ได้ขอให้เธอเป็นคนใจง่าย”


เขาเอ่ยเสียงนุ่มนวล


...อ่อนหวานเสียจนผมอดใจก้มหน้าต่อไปไม่ได้...


...อัญมณีสีฟ้าคู่นั้นสวยเหลือเกิน...


“ผมแค่ขอให้เธอมองผมในฐานะเดียวกับที่เธอมองเปรม”


เขาเอามือผมไปกุมไว้


“ตอนนี้ไม่ต้องชอบผมก็ได้ ขอแค่ให้โอกาส อย่าปิดกั้นตัวเองจากผม รับรู้ไว้ว่าผมชอบและอยากรักคุณมากแค่ไหน แค่นั้นก็พอ”


...ให้ตายสิ ผมต้านทานคนๆ นี้ไม่ได้เลยจริงๆ...


“อ้าว เราก็นึกว่าใครมายืนพูดชื่อของเราอยู่แถวนี้ ที่แท้ก็คุณหมอปีเตอร์นี่เอง”


เสียงของใครบางคนที่เอ่ยขัดขึ้นมาทำให้ลมหายใจผมกระตุก


จะไม่โดนจับไปปาหินใช่ไหม


แต่เสียงแบบนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหน


หรือว่า!...


“คุณเปรม...”


ผมหลุดครางชื่อของเขาออกมาอย่างลืมตัว


แย่แล้ว แย่จริงๆ แล้ว...







*******************************************************************************************

[เกร็ดความรู้]



มีการตั้งข้อสังเกตว่าคนไทยในสมัยก่อนไม่มีวัฒนธรรมจูบปากเหมือนอย่างฝรั่ง การจูบปากเพิ่งจะมาแพร่หลายเมื่อมีการเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตกในช่วงรัชกาลที่ 5  อย่างไรก็ดีแนวคิดนี้ยังเป็นเพียงข้อถกเถียงที่อาศัยหลักฐานทางวรรกรรมประติดประต่อขึ้นมาและยังไม่มีข้อสรุปหรือคำยืนยันแน่ชัด แต่ปิงปองคิดว่าน่าสนใจเลยเลยขอยกมาเล่าสู่กันฟังเนอะ



"การจูบปากยังคงเป็นเรื่องส่วนตัวที่อาจมีการเลียนแบบ แต่ก็เฉพาะแวดวงแคบๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมฝรั่ง เช่นไปศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมนับแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา

แต่ถ้าเป็นวิถีไทยแท้ๆ วัฒนธรรมการจูบไม่เคยมีในสังคมไทย อาจจะเพราะความถนัดของแต่ละชาตินั้นต่างกัน ไทยเรากลับถนัดใช้จมูกแทนปาก คือหอมไปทั่วตัว"




อ้างอิง: คนไทยเริ่มจูบปากเมื่อไร? (https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_10799)





หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งหลัง] (13/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-11-2017 15:46:09
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งหลัง] (13/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-11-2017 20:46:06
มอส เสน่ห์แรง  :mew1:
คนที่มาชอบมอส  :เฮ้อ: ก็ไม่ถูกกันซะอีก

หมอพูดน่าสงสาร  :mew2:
แต่มอสก็บอกไปตรงๆว่าชอบคุณเปรม
แล้วไง หมอยังพูด แค่ชอบ ยังไม่ได้รัก อะจ๊ากกกก
หมอขอโอกาสซะด้วย
คุณเปรม มาทัน ทำเป็นไม่มองมอส ที่แท้สังเกตตลอดสินะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งหลัง] (13/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 13-11-2017 23:24:36
ถึงคุณหมอจะดีแต่เราก็ไม่ชอบที่มอสไปหวั้นไหวกับหมออยู่ดีแหละ เอาจริงๆเราว่ามอสเป็นคนโลเลนะบอกรักคนโน้นแต่ก็เคยใจแข็งกับอีกคนได้เลย
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 15 คาดหวัง [ครึ่งหลัง] (13/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 14-11-2017 10:03:53
ดีเนอะที่มอสรู้ใจตัวเองว่าเป็น เกย์ นะ ยังหวั่นไหวกับหมอ ในเมื่อชอบคุณเปรมมากกว่า หลีกเลี่ยงท่าทางความหวั่นไหวได้ฉลาดจริงสมกับที่เรียนการแสดงหนึ่งเทอม อิอิ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งแรก] (14/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 14-11-2017 18:10:05
บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งแรก]







“อ้าว เราก็นึกว่าใครมายืนพูดชื่อของเราอยู่แถวนี้ ที่แท้ก็คุณหมอปีเตอร์นี่เอง”


“คุณเปรม...”


เขาปรายตามามองผมเพียงเสี้ยววิแล้วเบือนหน้าไปสบตากับอีกคนแทน


...โดนโกรธเสียแล้ว...


“บังเอิญเสียจริงที่เรามาได้ยิน มิทราบว่าคุณหมอมีอะไรจะพูดกับเราหรือไม่”


ใบหน้าคมสันนั้นฉีกยิ้มและพูดเจรจาอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผมรู้ดีว่าข้างในของเขากำลังเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง


ความรู้สึกที่แม้แต่ผมเองก็ไม่กล้ายืนยันว่ามันคืออะไร อาจจะเป็นความโกรธก็ได้ อาจจะเป็นความหงุดหงิดก็ได้


...หรือจะเป็นความหึงหวง?...


ผมเองก็สุดจะรู้


“ไม่ครับ ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ แค่คุยกับน้องไปเรื่อยแล้วก็เลยถามไถ่ถึงคุณเพราะเห็นว่าน้องทำงานอยู่กับคุณ”


น้อง?


น้องพ่อน้องแม่เอ็งสิไอ้หมอ ใครน้องมึง


ผมเงยหน้าขมวดคิ้วมองคนข้างตัวแทบจะทันที แต่อีกฝ่ายกลับดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ไม่แม้แต่จะหันมามองท่าทางงงเป็นไก่ตาแตกของผมด้วยซ้ำ


เพราะความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวทำให้ผมค่อยๆ เหลือบไปมองอีกคนที่อยู่ตรงหน้า


ใบหน้าคมเข้มนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะผ่อนคลายกลับคืนราวกับไม่รู้สึกอะไร


...ซะเมื่อไหร่ล่ะ...


นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นเหมือนมีเปลวไฟกองใหญ่กำลังคุกรุ่นอยู่ก็ไม่ปาน ถ้าตาคู่นั้นปล่อยแสงออกมาได้ เรือนของครูบุญคงไม่เหลือซากแล้ว


ไอ้หมอ พี่เขาโกรธจริงแล้วนะเว้ย


เพราะไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง ผมจึงเลือกที่จะหลบตาแล้วยืนเงียบๆ ปล่อยให้สองคนนั้นแผ่รังสีอำมหิตใส่กันและกันไปแบบนั้นล่ะดีแล้ว อย่าให้เขาเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นผมเลย


แหม ก็แม่สอนไว้ว่ารู้เอาตัวรอดเป็นยอดดี


คนข้างตัวผมขยับเปลี่ยนอิริยาบถเป็นล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า


ไอ้คนไม่มีมารยาท ที่บ้านไม่เคยบอกเหรอว่าเวลาคุยกับคนไม่สนิทอย่าล้วงกระเป๋ากางเกงไปคุยไปน่ะ


“วันนี้ผมก็เพียงแค่แวะมาเยี่ยม ‘น้อง’ เห็นเมื่อวานไม่ได้ไปทำงาน ก็เกรงว่าจะไม่สบายหรือเป็นกระไรไป”


เขาจงจำย้ำคำว่าน้องจนผมต้องเงยหน้ามองอีกครั้ง


มึงจะย้ำอะไรนักหนาเนี่ย


“เอาเป็นว่าผมไม่รบกวนคุณเปรมแล้วดีกว่า เช่นนั้นผมขอลาเลยแล้วกันนะครับ”


เขาว่าอย่างนั้นก่อนจะยกมือไหว้อย่างคนมีมารยาท


อยากจะร้องแหมให้ถึงดาวอังคาร


ผมเห็นจากหางตาว่าคุณเปรมก็ยกมือรับไหว้อย่างเสียไม่ได้ ยังไม่ทันที่ผมจะได้หันไปมองหน้าเขาเต็มๆ ไอ้คนข้างๆ ก็พลันกระตุกให้ผมหันไปหาแล้วเอามือลูบหัวเบาๆ


เป็นบ้า มันเป็นบ้าไปแล้วครับ


“พี่กลับก่อนนะน้อง เย็นนี้อย่าลืมมาทำงานล่ะ”


พอพูดจบก็หันไปฉีกยิ้มให้คุณเปรมอีกทีก่อนจะเดินจากไปด้วยท่าทีเบิกบานใจเหมือนอย่างเคย แถมทิ้งระเบิดเอาไว้ให้ผมลูกเบ้อเริ่ม


ไอ้-หมอ-เวร


สถานการณ์ตอนนี้เรียกว่าเขาขั้นวิกฤต ความเงียบที่คั่นระหว่างพวกเราดูเหมือนจะแผ่ขยายกว้างขึ้นๆ ทุกที จนในที่สุดก็เป็นผมเองที่ทนไม่ไหว


“คุณเปรมมาถึงนานหรือยังครับ ผมคิดว่าวันนี้คุณเปรมจะต้องไปทำงานเลยไม่ได้เข้ามาเสียอี...”


“ชอบเขาไหม”


ฮะ?


ผมจ้องเขม็งเข้าไปในตาคู่นั้นเพื่อหาคำตอบ


...มันกรุ่นโกรธ มันดูอึดอัด...


เขาโกรธอยู่มอส เย็นไว้ เย็นไว้


“ผมไม่ได้ชอบเขา”


“จริงรึ”


น้ำเสียงที่ถามออกมามีแววประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด


เย็นไว้มอส เย็นไว้


“จริงครับ”


เขากระตุกยิ้มเล็กน้อย


“ถ้าไม่ชอบก็คงไม่ปล่อยให้เรียกว่าน้องแล้วก็ลูบหัวเช่นนั้นหรอกกระมัง”


ยังครับ ไอ้คุณทวดยังไม่หยุด


“พะเน้าพะนอกันเสียขนาดนั้น คงรักกันมากล่ะสิ”


เหมือนผมได้ยินเสียงบางอย่างขาดผึงในหัว ผมเดินตรงดิ่งเข้าไปประชิดตัวคนตรงหน้าแล้วกระซิบเสียงต่ำ


ใจจริงก็อยากตะโกนด่าครับ แต่กลัวคนอื่นได้ยินแล้วจะโดนลากไปปาหิน


“คุณเปรม ผมชอบคุณ ชอบคุณมากกว่าผู้ชายคนไหนในโลก แต่ถ้าคุณยังประชดประชันต่อไปแบบนี้ผมอาจจะไปชอบเขาจริงๆ ก็ได้ ‘พี่’ เขาก็ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดี”


ผมว่าพลางยักคิ้วช่วงประโยคสุดท้าย


...ประชดมาประชดกลับไม่โกง...


ทันทีที่ผมพูดจบฝ่ามือใหญ่ก็เอื้อมมาจับแขนผมอย่างแรง


“คุณเปรมผมเจ็บ”


ถึงจะเจ็บก็ยังกระซิบครับ กลัวชาวบ้านชาวช่องได้ยิน


ผมยอมรับว่าตัวเองในตอนนี้ก็เริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน ผมเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายอย่างดื้อรั้น


ฝ่ามือใหญ่นั้นยังไม่ยอมปล่อย ตรงกันข้ามกลับบีบแขนผมแรงขึ้นอีก


“คุณเปรม ปล่อยนะ ผมเจ็บ”


“เธอเจ็บ เราก็เจ็บ”


ฮะ?


“เจ็บไปหมดทั้งใจ หึงจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”


เขาสบตากับผมนิ่ง ภาพของผมที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเขาทำให้ผมรู้ว่าทุกอย่างที่เขาพูดมันออกมาจากใจจริง


บ้าจริง เขาบีบแขนมึงอยู่นะมอส จะใจเต้นทำไมเล่า


“ตอนที่มันบอกว่าอยากจูบ เราก็กลัวว่าเธอจะยอมให้มันจูบจริงๆ”


ผมก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย


เขิน เขินมาก ช่วยด้วย ไม่ไหวแล้วเว้ย


 “กร มองตาเรา”


ไม่มอง ไม่มองอะไรทั้งนั้นล่ะ


“กร”


ไม่มองโว้ย


“น้องมองตาพี่หน่อยได้ไหม”


ไอ้เหี้ย เอาไปเลย เอาหัวใจไปเลย ปาให้ไปเลย


น้ำเสียงเว้าวอนถ่ายทอดมาถึงผมโดนตรง มันอ่อนหวาน ฟังแล้วอดเลี่ยนชวนจั๊กจี้ไม่ได้


แต่ยอมรับว่าผมชอบ และเพราะชอบเลยต้านทานไม่ได้


ผมค่อยๆ เงยหน้าสบตากับเขา นั่นจึงทำให้ผมรู้ว่าพวกเราอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน


ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงบนจมูกของผม


“พี่คงจูบน้องที่นี่ไม่ได้”


ผมรู้


“แต่พี่อยากตระกองกอดเจ้าไว้เหลือเกิน”


ผมก็อยาก


“น่ากลัวว่าพี่จะรักน้องเข้าแล้ว”


นั่นสิ


...น่ากลัวว่าผมเอง...ก็รักเขาเข้าแล้วเหมือนกัน...


รึเปล่านะ?


ให้ตายสิ ความรักนี่ เข้าใจยากจริงๆ

 











“นี่ หลังจากผมกลับ เธอก็ไม่ได้โดนเปรมทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม”


คำถามที่ถูกส่งตรงมาจากด้านหลังทำให้ผมต้องใช้หางตาปรายใส่คนถามเล็กน้อยแล้วหันกลับมาเหมือนไม่สนใจ


ทุกอย่างเกิดขึ้นก็เพราะมันนั่นล่ะครับ น่าตบให้หัวทิ่ม


ถึงแม้อีกฝ่ายจะขอให้ผมเปิดใจรับความรักจากเขาบ้าง แต่ตัวผมเองกลับทำไม่ได้


ผมสบายใจที่จะอยู่กับเขาพอๆ กับการอยู่ใกล้คุณเปรม


ผมสนุกที่ได้พูดคุยกับเขาพอๆ กับการต่อปากต่อคำกับคุณเปรม


...แต่มันไม่เหมือนกัน...


ความสบายใจเวลาอยู่กับเพื่อนกับคนที่ชอบยังไงก็ไม่เหมือนกัน


จะอธิบายให้เจ้าฝรั่งหัวรั้นนี่ฟังยังไงดีนะ


“เมินคำถามแบบนี้อยากโดนไล่ออกเหรอ”


ผมถอนหายใจเงียบๆ


“จะไล่ออกก็เชิญเถอะครับ แต่ตอนนี้ผมมีปัญหาด้านการเงินมาก ต่อให้คุณไล่ผมก็ไม่ไปหรอก”


หน้าด้านไว้ก่อน พ่อไม่ได้สอนด้วยครับ


ผมรับรู้ได้ถึงเสียงขยับเก้าอี้


“เกิดอะไรขึ้นรึ”


แหม ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเหมือนกันนะเราเนี่ย


“พี่ชายผมไปก่อเรื่องไว้นิดหน่อยครับ”


“เรื่องอะไรล่ะ กู้หนี้ยืมสินรึ”


ผมยักไหล่อย่างเคยชิน


“ขโมยของเขาน่ะครับ”


“Oh my god...”


เขาไม่ได้แสดงน้ำเสียงตกใจ มันเป็นเพียงการลากเสียงอย่างเวทนา


...ก็สมควรเวทนา...


ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป ไม่แม้แต่จะแสดงท่าทีฉงนสนเท่ หรือเข้าใจกับคำพูดของเขา


ขืนทำตัวว่าเข้าใจเขาก็สงสัยสิ


“ไม่เป็นไรหรอก ทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดี”


แหม พูดดีขนาดนี้ ขอยืมสักห้าสิบจะได้ไหม


คิดครับแต่ไม่พูด กลัวโดนด่า


ผมทำเพียงฉีกยิ้มแห้งให้เขาแล้วหันกลับมาทำงานต่อ


ก็แหม ผมไม่ถนัดฟังคำปลอบสักเท่าไหร่ พอมาโดนปลอบแบบนี้เลยรู้สึกแปลกๆ จนทำตัวไม่ถูก การยิ้มแห้งตอบไปน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว


จู่ๆ ผมก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างที่แนบลงบนหัว ครั้นพอเงยหน้าขึ้นไปมองจึงพบว่าคนที่นั่งสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้เมื่อครู่มายืนลูบหัวอยู่ข้างๆ ผมแล้ว


ณ จุดๆ นี้ ผมอนาถความเชื่องช้าของตัวเองมากครับ ถ้าเป็นงูคงฉกตายไปนอนคุยกับอาเหล่ากงแล้วแน่นอน


“จะไปทำอาหารให้นะ”


มือคู่นั้นอ่อนโยนและอบอุ่นจนผมเผลอพยักหน้าตอบ กว่าจะนึกได้ว่าลูกจ้างที่ดีไม่ควรให้เจ้านายทำอาหารให้ก็สายไปเสียแล้ว ร่างสูงใหญ่นั้นเดินกระฉับกระเฉงหายไปด้านในเรียบร้อยแล้ว


ให้ตายเถอะ เป็นเจ้านายประสาอะไรกันนะ


ผมหัวเราะเบาๆ ให้กับความแปลกของเขาแล้วเริ่มลงมือทำงานต่อ


เอกสารตรงหน้าเป็นทั้งประวัติคนไข้ เอกสารทางการแพทย์รวมไปถึงประวัติบุคลากร ผมเพิ่งจะรู้เมื่อตอนบ่ายวันนี้เองว่าที่นี่มีพยาบาลอยู่อีกสองสามคน แต่พวกเขาเป็นมิชชั่นนารีด้วยทำให้ไม่ได้พักอยู่ที่นี่และไม่ได้มาทำงานทุกวัน เพราะเหตุนั้นเองทำให้ไม่มีใครว่างพอจะมาจัดการงานเอกสารที่กองเป็นภูเขาเพราะแค่รักษาคนไข้ให้ทันเวลากลับโบสถ์ก็แทบแย่กันแล้ว การมีผมมาช่วยจัดการจึงถือเป็นเรื่องประเสริฐสุดสำหรับโรงหมอไร้ระบบแห่งนี้


น่าเห็นใจ น่าเห็นใจ


หมอบอกผมว่าจะให้ค่าจ้างเดือนละห้าบาท พอมาคิดคำนวณแล้วรวมสามเดือนก็สิบห้าบาท อีกสองวันถัดจากนี้ผมจะมีงานต้องไปแสดงกับวงดนตรีประจำบ้านของคุณเปรม งานนี้ยังไม่ได้ตกลงค่าจ้าง แต่คิดว่าก็คงได้ไม่มากไม่น้อย


จะทำยังไงถึงจะหาเงินห้าสิบบาทได้ในเวลาสามเดือนนะ


หรือจะไปรับจ้างร้องเพลงดี?


หลังจากฝึกร้อง ฝึกเล่นกับวงดนตรีไทยมาพักใหญ่ๆ ทำให้ผมค้นพบว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงมากแค่ไหน มันเป็นเสียงของเด็กหนุ่มที่แตกเนื้อหนุ่มแล้วแต่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ทำให้เสียงไม่ทุ้ม ไม่แหลมจนเกินไป ฟังแล้วรื่นสบายหู ถ้าเปรียบเทียบก็คงจะเป็นเสียงเทเนอร์ในการร้องประสานเสียง


แต่ใครมันจะไปจ้างล่ะ


ผมหัวเราะให้กับความคิดของตัวเองแล้วเบนสายตามองตามแสงสีส้มที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาในห้อง


เย็นป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย...


แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยามเย็นทำให้ผมนึกถึงวันเวลาในวัยเด็ก


...ชมรมลีลาศ เพื่อนและครอบครัว...


มันทำให้ผมนึกถึงชีวิตที่ผมจากมา


อยู่คนเดียวก็ฟุ้งซ่านแบบนี้ล่ะครับ


ถึงจะคิดตลกๆ กับตัวเองไปแบบนั้น แต่ภาพเก่าๆ กลับหลั่งไหลเข้ามาในสมองไม่มีหยุดหย่อน


พ่อกับแม่มักจะกลับบ้านช้าเพราะชอบทำงานเกินเวลา ทำให้ผมที่นั่งรอพ่อแม่มารับที่โรงเรียนต้องหาอะไรทำแก้เบื่อ จำได้ว่าตอนนั้นผมเลือกจะเข้าชมรมลีลาศ เอาเข้าจริงก็ไม่เชิงว่าเลือกเอง แต่เกิดจากการเสนอแรงจูงใจที่สมน้ำสมเนื้อ ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นห้าคะแนนพิเศษในวิชาพละ


ผมนี่ก็เป็นพวกบ้าเกรด บ้าคะแนนอยู่เหมือนกันนะ


ตอนนั้น จำได้ว่าในชมรมมีแต่เด็กผู้หญิง ผมที่เป็นเด็กผู้ชายเลยกลายเป็นของหายาก เพราะแบบนั้นก็เลยได้เต้นทุกเพลง ได้เต้นทุกรอบ เต้นจนร้องไห้บอกครูว่าไม่เอาแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็อยู่ชมรมนี้มาจนจบชั้นมัธยม พอกลับไปคิดแล้วก็ตลกดี


จู่ๆ ผมก็ดันมีเพลงผุดขึ้นมาในหัว มันเป็นเพลงเต้นลีลาศที่ผมชอบและทำมันได้ดี ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงอยากร้องมันออกมา


“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา”


 ผมเริ่มร้อง


หลังจากเรียนร้อง เรียนเล่นกับครูบุญมาพักใหญ่ ทำให้ผมติดนิสัยร้องเพลงไป ซึบซับเนื้อเพลงไป ครูบอกว่าถ้าทำแบบนั้นจะทำให้เราร้องเพลงได้ดีขึ้น


ภาพเหตุการณ์บางอย่างกำลังไหลกลับเข้ามาในหัวเหมือนภาพฉายจากฟิล์มเก่าๆ


“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา”


ผมนึกถึงแม่ ทุกครั้งที่มองอาม้า ผมเห็นภาพของแม่ลอยขึ้นมาทับซ้อนอยู่เสมอ


ตอนนี้แม่จะสบายดีไหมนะ


“โอ้ยามเย็น จวบยามนี้เป็นเวลาสุดอาวรณ์ ยามไร้ความสว่างห่างทินกร ยามรักจำจะจรจากกันไปไป”


ถ้าผมไม่ได้กลับไป ถ้าเราต้องจากกันไปตลอดกาล


...แม่จะยังยิ้มได้อยู่ไหมนะ...


หยดน้ำอุ่นๆ ที่กระทบกับฝ่ามือทำให้ผมตัดสินใจเปลี่ยนไปร้องท่อนภาษาอังกฤษแทน


อย่างน้อยก็จะได้ไม่เห็นภาพความทรงจำพวกนี้


...แต่ผมคิดผิด...


“'Tis sundown. The golden sunlight tints the blue sea.”


ผมกำลังนึกถึงภาพชายหาดในยามเย็น


“Paints the hill and gilds the palm tree, happy be, my love, at sundown.”


จำได้ว่าตอนเด็กๆ แม่ชอบพาผมหนีพ่อไปเที่ยวที่ชายหาดไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ มันไม่ใช่ชายหาดที่สวย น้ำไม่ใส ทรายก็ไม่ร่วนขาวละเอียด


แต่ผมชอบ


มันเป็นความทรงจำที่ดี แม่นั่งอยู่ตรงนั้น แม่ยิ้มอยู่ตรงนั้น


...อยากกลับไปจัง...


ก้อนความรู้สึกบางอย่างจุกอยู่ที่อกจนผมไม่สามารถร้องต่อได้ การร้องเพลงจึงหยุดอยู่แค่นั้น


...ภาพความทรงจำก็ควรหยุดอยู่แค่นั้น...


“เสียงเธอเพราะจัง”


ฉิบหาย ผมลืมไปเสียสนิทว่าไม่ได้อยู่คนเดียว


เสียงตะโกนบอกที่ดังมาจากด้านในทำให้ผมตัวแข็งทื่อ ในใจมีแต่คำว่าซวยแล้ววิ่งวนอยู่เต็มไปหมด


เอาไงดี เอาไงดี


ผมหันหลังกลับไปมอง ใจคิดว่าต้องเห็นเขายืนทำหน้ายียวนอยู่ด้านหลังแน่ แต่กลับผิดจากที่คาดไปถนัด เขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ คำพูดนั้นก็เป็นเพียงเสียงตะโกนมาจากห้องครัวเท่านั้น


งั้นแถไปก่อนแล้วกัน


ผมหันกลับไปมองคนที่เพิ่งเดินถือจานอาหารออกมาจากในครัวอย่างเป็นธรรมชาติ


“อะไรเหรอหมอ”


เขาเดินเร็วๆ มาวางจานอาหารร้อนระอุลงบนโต๊ะก่อนจะหันมายิ้มให้


“ก็เพลงที่เธอร้องไง ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว”


ผมแสร้งขมวดคิ้วยุ่ง


“ไม่ใช่เสียงผมหรอกครับ ผมพูดอังกฤษได้ที่ไหน”


เขาหันมาสบตากับผมแล้วกระตุกยิ้ม


ทำไมดูอันตรายจังนะ


“ใช่ ผมก็สงสัยอยู่ว่าทำไมถึงได้ยินเพลงอังกฤษ แต่รับรองได้ว่าในโรงหมอนี้ไม่มีใครรองเพลงนั้นได้หรอก ผมเองยังไม่เคยได้ยินเพลงนั้นมาก่อนเลย”


เขาเอามือล้วงกระเป๋าแล้วเอนตัวไปพิงโต๊ะด้านหลัง


“ที่สำคัญตอนนี้เราอยู่กันแค่สองคนเองนะ”


ไอ้คนฉลาด ไอ้คนสมองดี


แต่อย่าได้ดูถูกความสามารถด้านการแสดงของผมไป


“ผมว่าหมอหูแว่วแล้วล่ะครับ ผีหลอกรึเปล่าหมอ”


ไม่ว่าเปล่ายังทำเป็นหันซ้ายหันขวาแล้วลูบแขนแกล้งขนลุกซู่


ใครก็ได้ส่งออสการ์มาให้มอสที


เขาหัวเราะในคอแล้วส่งแววตาแปลกๆ กลับมา


มันเป็นแววตากึ่งเจ้าเล่ห์กึ่งจับผิด ดูไม่น่าไว้ใจชอบกล


“ก็คงคิดว่าหูแว่ว ถ้าไม่บังเอิญได้ยินภาษาไทยในเพลงด้วย”


โว้ย ผมล่ะเบื่อความฉลาดของมันจริงๆ


“ผมว่าหมอหูฝาด”


ฉลาดมาก็หน้าด้านกลับ ในเมื่อไม่มีทางให้ไปก็ยืนกระต่ายขาเดียวไปเลย


เขาหัวเราะเบาๆ


“อ้าวเหรอ ก็คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ว่าแต่...”


เขาทอดจังหวะอย่างจงใจ


“เพลงนี้ชื่อเพลงอะไรรึ”


อีผี ถามอย่างนี้ก็บอกมาเลยก็ได้ว่าผมดูโง่เง่าแค่ไหน


ในเมื่อหลบไม่ได้แล้วเราก็ต้องยอมรับความจริงครับ


“หมอรออีกสักยี่สิบเก้าปีเดี๋ยวก็ได้ฟังเองล่ะครับ”


ทำตัวให้เป็นปริศนาแม่งไปเลย อยากจับผิดนักก็ไปให้สุดเลยครับพี่


ผมเห็นเขาขมวดคิ้วยุ่งแต่ก็คร้านจะใส่ใจแล้ว


“อีกยี่สิบเก้าปี?”


ผมพยักหน้าแบบขอไปที


“ทำไม ทำไมต้องรออีกยี่สิบเก้าปี”


เอ้า ถ้าบอกก่อนจะให้รอทำแปะก๊วยอะไรล่ะ


“รอไปสิหมอ เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”


เขากวักมือเรียกผมเข้าไปใกล้ๆ และเพราะผมเป็นคนใสซื่อไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนเลยยอมเดินตามไปจนโดนดีดหน้าผากดังปั้ก


นิ้วทำจากเหล็กเหรอ


“เจ็บนะหมอ”


“ก็ดีดให้เจ็บไง ยียวนนักนะ เดี๋ยวนี้เอาใหญ่แล้ว”


ผมเบ้ปาก


“พูดอย่างกับรู้จักผมมานานอย่างนั้นล่ะ”


เขาหัวเราะฮึๆ ในคอ


“ก็นานพอจะรู้ว่าเป็นเด็กดื้อแถมนิสัยไม่ดีล่ะนะ”


ผมยักไหล่แสดงให้เห็นความไม่แยแส ถ้าเป็นเพื่อนผู้หญิงในคณะก็คงพูดว่า ‘โนแคร์ โนสน’ อะไรทำนองนั้น


“ผมหน้าตาดีก็แล้วกัน”


ครับ หลงตัวเอง ยอมรับ


คราวนี้อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่ากับคำตอบของผม ไร้ร่องรอยของชายขี้จับผิดเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง


“ตลกจริงนะ”


เขาลดเสียงหัวเราะลงแล้วสบตาผมนิ่ง แววตานั้นลุ่มลึกน่าหลงใหล


“แต่ก็ไม่เถียงว่าเป็นความจริง”


...ไอ้เวร ไอ้หมอเวร....







**************************************************************************


[เกร็ดความรู้]


                         "เพลงพระราชนิพนธ์ยามเย็น หรือ  Love at Sundown เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๒ ทรงพระราชนิพนธ์ ใน พ.ศ. ๒๔๘๙ ขณะยังทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย และท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา แต่งคำร้องภาษาอังกฤษ แล้วพระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีคำร้องสมบูรณ์ทั้งสองภาษาให้นายเอื้อ สุนทรสนาน นำไปให้นายบิลลี่หรือนาย คีติ คีตากร นักดนตรีชาวฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นนักดนตรีในวงดนตรีสุนทราภรณ์เรียบเรียงเสียงประสานจนสมบูรณ์จึงได้นำออกบรรเลงในงานของสมาคมปราบวัณโรค ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร เมื่อวันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ นับเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกที่นำออกบรรเลงสู่ประชาชน เป็นเพลงที่ร่าเริงแจ่มใสเหมาะสำหรับการเต้นรำในสมัยนั้น จึงเป็นเพลงยอดนิยมของพสกนิกรไทยทันที"


          ถ้านับเวลาตามเนื้อเรื่องซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2460 เพลงพระราชนิพนธ์ยามเย็นจะถูกเผยแพร่ออกสู่ประชาชนหลังจากนี้ 29 ปีพอดี




อ้างอิงประวัติเพลงยามเย็น : ยามเย็น (https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%99)




หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งแรก] (14/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-11-2017 18:37:40
พี่เปรม รัก
หมอปีเตอร์ อยู่ด้วยก็สบายใจ

แต่ทำไงให้ได้งินไปใช้แทนเฮียนี่สิ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งแรก] (14/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 14-11-2017 18:47:38
คุณเปรมนี่ขี้หึงมากๆเลยนะเนี่ย จริงๆก็อยากรู้นะว่าหมอกับคุณเปรมไปมีเรื่องอะไรยังไงกันที่อังกฤษ

ปล. เราชอบเพลงพระราชนิพนธ์มากๆเหมือนกันค่ะ ได้ฟังแล้วคิดถึงสมัยเด็กๆ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งแรก] (14/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-11-2017 20:30:09
คุณเปรมขี้หึงจังงงงง คุณหมอนี่นกพันเปอร์เซ็นต์ เราจะอาสาดามใจให้เองนะคะ
ปล.อินกับเพลงพระราชนิพนธ์มากค่ะ เพราะมาก เราชอบ คนเขียนหาข้อมูลมาดีมากค่ะทั้งเรื่องการจูบทั้งเรื่องเพลงพระราชนิพนธ์ ชอบอ่านเกร็ดความรู้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งแรก] (14/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 15-11-2017 03:32:41
กรน่ารักจัง
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งแรก] (14/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-11-2017 09:12:33
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งหลัง] (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 15-11-2017 20:14:39
บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งหลัง]






ผมเพิ่งจะนึกออกว่าไอ้มั่นเคยบอกว่าจะพาผมไปหาหลวงลุงของมันก็ตอนที่ผมเห็นพระเดินเข้ามาในรั้วบ้าน เรื่องของเรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากไปกว่า วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านเจ้าคุณอธิป พ่อของคุณเปรม ที่บ้านของเขาเลยมีการจัดงานบุญขึ้นใหญ่โต พวกผมที่เป็นวงดนตรีประจำบ้านเลยได้โอกาสมาเปิดตัว


เรื่องมันควรจะเรียบง่ายและสงบสุข ถ้าไม่ติดที่ว่า...


“พวกเอ็งต้องตั้งใจเล่นให้ดีรู้ไหม งานนี้เป็นงานใหญ่ ข้าราชการมากันหลายคน ถ้าเราเล่นไม่ดีท่านเจ้าคุณก็จะพลอยเสียหน้าไปด้วย เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่จ้างงานพวกเราอีก”


พอพูดจบครูบุญยกมือขึ้นปาดเหงื่อเล็กน้อย วันนี้ครูอยู่ในชุดเป็นทางการกว่าทุกวัน ไม่มีผ้าขาวม้าพาดคอเป็นเครื่องประดับเหมือนอย่างปกติ กางเกงจีนที่ใส่อยู่ดูก็รู้ว่าซื้อมาใหม่ เสื้อที่ใส่ด้านในเป็นเสื้อคอกลมสีขาวเหมือนอย่างทุกที แต่คราวนี้ครูคลุมทับด้วยเสื้อคลุมฝ้ายอย่างดี อาจจะดูไม่มีราคาค่างวดเท่าไหร่ แต่ก็รับรู้ได้ว่าครูตั้งใจกับงานวันนี้มาก


เพราะแบบนั้นไงผมเลยยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่


อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน ท้องฟ้าโปร่งโล่งสดใสสมเป็นวันดีๆ แต่สิ่งที่ครูบุญพูดเมื่อครู่กำลังรบกวนจิตใจผมอย่างหนัก


ถ้าทำได้ไม่ดีล่ะ


ถ้าผมทำไม่ได้ล่ะ


“ไอ้กร”


เสียงคนคุ้นเคยที่กระซิบเบาๆ ทำให้ผมต้องทำตัวเหมือนปกติ


“มีอะไร”


มือหยาบกร้านของมันบีบบ่าผมหนักๆ อยู่สองสามที


“มึงทำได้ ข้ารู้”


ทั้งสั้น ทั้งห้วน แต่กลับสามารถเรียกกำลังใจผมคืนมาได้มากโข


ผมยิ้มตอบมันไปบางๆ แล้วเงยหน้ามองฟ้า


ขอให้วันนี้ผ่านไปได้ด้วยดีด้วยเถิด


สายลมแผ่วเบาพัดผ่านราวกับคำตอบรับของเทวดาที่ผมภาวนาถึง ผมหรี่ตาสู้แสงมองกิ่งไม้เหนือหัวที่กำลังโบกกิ่งพริ้วสะบัดไหว


...อยากไปหาอาเจ้จังเลยน้า...


ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ก็ใช่ว่าจะได้ทำอย่างที่ใจคิด ตอนนี้พวกเราทั้งวงถูกพามายืนรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนใกล้กับโรงครัว เสียงสนทนาของแขกเหรื่อมากมายบริเวณหน้าบ้านผสมโรงเข้ากับเสียงโหวกเหวกวุ่นวายจากโรงครัวทำให้ผมยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก


ถึงผมจะเคยเรียนดนตรีไทยมาแต่ก็เป็นการเรียนแบบงูๆ ปลาๆ ประกงประกวดก็ไม่เคย จู่ๆ มาทำอะไรแบบนี้จะให้ไม่ตื่นเต้นเลยก็คงทำได้ยาก


...จริงสิ...


“ไอ้มั่น”


มันหันมาทำหน้างงเป็นเชิงว่า ‘เรียกทำไม’


“ไหนมึงบอกว่าจะพากูไปหาหลวงลุงมึงไง”


มันเบิกตาโตแล้วตบเข่าฉาด


“เออว่ะ ข้าลืมไปเสียสนิทเลย”


มันตบบ่าผมสองสามที


“ไม่ต้องกังวลไป ประเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปกันเลยดีไหม ข้าว่างพอดี มึงล่ะว่างไหม”


...พรุ่งนี้เหรอ...


“กูว่างทั้งวันยกเว้นช่วงบ่าย ต้องไปทำงานให้หมอ”


มันพยักหน้าเข้าใจ


“เช่นนั้นไปช่วงเช้าก็ได้ จะได้ไปทำบุญเสียด้วย”


นั่นสิ ผมห่างจากการทำบุญมานานแค่ไหนแล้วนะ


“เออ ดีเหมือนกัน ช่วงนี้รู้สึกซวยๆ พิกล”


ยังไม่ทันที่มันจะอ้าปากตอบกลับ พวกเราทั้งวงก็ถูกบ่าวคนหนึ่งมาตามให้เริ่มเข้าประจำที่


ให้ตายสิ ผมกลับมาตื่นเต้นอีกแล้ว


ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่แล้ว แต่พอเริ่มก้าวเข้ามาในงานใจของผมก็เต้นแรงมากขึ้นทุกที มันไม่ใช่งานบุญใหญ่ แต่จะเรียกว่าเป็นงานเล็กๆ ก็คงไม่ถูก ผู้คนที่เดินไปมาในงานล้วนอยู่ในชุดหรูหรามีราคา เห็นตั้งแต่ห้าร้อยเมตรก็รู้ว่าเป็นคนมีฐานะ มีหน้ามีตาในสังคม


นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมได้คิดถึงความจริงที่ว่า...ผมกับคุณเปรมต่างกันมากแค่ไหน


รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะคิด แต่ใจมันก็ประหวัดคิดขึ้นมาเสียได้ ผมพ่นลมหายใจไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว เหลือไว้เพียงความตื่นเต้นกับหัวใจที่เต้นแรงจนเจ็บในอก


ผมทำได้ ต้องทำได้สิ


แต่ทุกอย่างมันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เมื่อผมเห็นว่ามีคนมากมายขนาดไหนนั่งอยู่ด้านใน เก้าอี้มากมายทั้งถูกจับจองแล้วและยังไม่ถูกจับจองหันหน้าเข้าหาอาสนะของพระสงฆ์ที่อยู่ด้านหน้าสุด ส่วนด้านข้างอาสนะเป็นเวทีไม้ขนาดเล็กที่มีบ่าวสองสามคนกำลังจัดย้ายเครื่องดนตรีไทยเพื่อเปลี่ยนรูปแบบวงจากวงปี่พาทย์ให้กลายเป็นวงมโหรีเครื่องเล็ก


เมื่อครู่คงมีการเล่นวงปี่พาทย์ประกอบการทำบุญตอนเช้าตามธรรมเนียม ไอ้พวกผมที่ฝึกกันมาแบบวงมโหรีจึงไม่ได้มีส่วนร่วมกับพิธีการตรงส่วนนี้มากนัก คนที่มารับหน้าที่บรรเลงตรงนี้อาจจะเป็นนักดนตรีอีกกลุ่มหรือยังไง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการตามหาตัวผู้บรรเลงวงปี่พาทย์เมื่อครู่คือเครื่องดนตรีไทยที่อยู่บนเวทีนั่นต่างหาก



เครื่องดนตรีไทยบนเวทีเป็นเครื่องใหม่เอี่ยมทั้งวง ประเมินด้วยสายตาก็รู้ว่ามีราคามากแค่ไหน เผลอๆ อาจจะมากกว่าเครื่องดนตรีทุกชิ้นในบ้านครูบุญรวมกันด้วยซ้ำ


โอ๊ย กดดันโว้ย


แต่อย่างน้อยก็โชคดีว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่กดดัน ผมหันไปเห็นไอ้มั่นที่ยืนอ้าปากค้างกับพี่ๆ ในวงอีกเจ็ดคนที่มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่ก็อุ่นใจขึ้นมาอีกเปาะนึง


อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เสร่ออยู่คนเดียวล่ะนะ


ครูบุญหันมาทำหน้าดุใส่พวกผม


“เอ้า ไอ้เจ้าพวกนี้ ยืนนิ่งกันอยู่ได้ ประจำที่สิ”


เสียงเอ็ดนั้นไม่ดังนักแต่ก็มากพอที่จะทำให้พวกเราทุกคนได้สติแล้วเริ่มเข้าประจำที่ของตัวเอง


วงของพวกเรามโหรีเครื่องเล็ก แม้ว่าวงมโหรีจะไม่ได้รับความนิยมในการแสดงบรรเลงต่อหน้าสาธารณชน แต่เมื่อคุณเปรมยืนยันว่าอยากได้วงมโหรีก็คงไม่มีใครขัดได้


ในวงของพวกเรามีเครื่องดนตรีรวมทั้งหมดสิบชิ้น เดิมทีผมมีหน้าที่เล่นฆ้องวงใหญ่ แต่เพราะคุณเปรมอยากให้ผมขับร้องเลยกลายเป็นว่าผมต้องโยกย้ายมาเป็นคนเล่นซอสามสายแทน แต่ละวันที่ซ้อมนั้นแสนลำบากยากเย็น อย่างที่บอกไปว่าผมเองก็ห่างหายจากการเล่นดนตรีไทยมานานมากแล้ว จู่ๆ ต้องมาทั้งเล่นทั้งร้อง ความวินาศเลยบังเกิด ไหนจะต้องเรียนเล่น ไหนจะต้องเรียนขับร้องควบคู่ไปด้วย กลายเป็นว่าผมทุ่มเทเวลาทั้งวันทั้งคืนในการซ้อมร้องซ้อมเล่นจนแทบไม่เป็นอันจะทำอะไร


...เอาจริงผมก็บ่นไปงั้นล่ะ...


ถึงจะพูดบ่นไปมากแค่ไหนแต่ก็ต้องยอมรับว่าผมสนุกกับมันมากเหลือเกิน ดนตรีไทยเป็นสิ่งที่อยู่เคียงข้างผมในวันคืนที่ยากลำบาก คืนไหนที่ความคิดของผมฟุ้งซ่านเกินจะระงับ ผมก็จะเริ่มขับร้องเพลงที่ได้ร่ำเรียนมา คืนไหนที่ผมหวาดกลัวกับความมืดยามค่ำคืน เสียงซอสามสายที่ได้รับมาจากครูบุญจะคอยปลอบประโลมผม


เพราะดนตรีไทยนี่เองที่ทำให้ผมสนุกเสียจนลืมเวลา


เพราะดนตรีไทยนี่เองที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่


พักหลังมานี้ผมเลิกแบ่งแยกตัวเองกับกรวิกแล้ว คงเพราะผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ล่ะมั้ง


“เอ้า เตรียมพร้อมนะ”


เสียงกระซิบอย่างขึงขังของครูบุญทำให้ผมหลุดจากภวังค์มามองภาพตรงหน้า


คุณเปรมในชุดราชปะแตนกับผ้าม่วงโจงกระเบนก้มลงสวัสดีแขกเหรื่ออย่างนอบน้อมก่อนจะเดินตรงเข้ามายังวงดนตรี


...เดินตรงมายังตำแหน่งระนาดเอกที่ยังว่างอยู่...


...สวัสดี สมาชิกคนที่สิบของวง...


ผมจำได้ว่าเพลงแรกที่ต้องเล่นคือเพลงโหมโรงไอยเรศที่ผมต้องเป็นคนขึ้นเพลง จากนั้นก็...


“เอ้า ไอ้กร เริ่มสิ”


เสียงกระซิบของไอ้ไม้ที่ดังเตือนขึ้นทำให้ผมต้องจับคันซอแล้วสูดลมหายใจตั้งสมาธิ


เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน


...ต้องใช้ใจเล่นแล้ว...


...แล้วทุกอย่างก็เริ่มบรรเลงอย่างที่มันควรจะเป็น...


เพลงถูกขับกล่อมออกมา เพลงแล้ว เพลงเล่า ทั้งเพลงบรรเลงและเพลงร้อง


ผมทำมันได้ ทำได้ดีทีเดียว อย่างน้อยก็ดีกว่าที่คิด


ไม่มีการร้องผิดเนื้อ ไม่มีการสีซอผิดโน้ต ไม่มีการลืมเนื้อเพลง


ผมทำได้ ทำได้จริงๆ


แล้วโน้ตตัวสุดท้ายก็จบลงพร้อมกับเสียงปรบมือจากผู้ฟัง ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งได้รู้ว่าตัวผมในตอนนี้มาไกลกว่าเก่าแค่ไหน


เสียงตึกตักในอกของผมมันดังก้องจนน่าหนวกหู แต่น่าแปลกจริงๆ ที่ผมกลับหุบยิ้มไม่ได้


...ความภูมิใจมันเป็นอย่างนี้นี่เอง...


...เวลาที่ทำอะไรแล้วคุ้มค่าความพยายาม...มันเป็นแบบนี้นี่เอง...


...ดีจัง...ดีใจจัง...


“ลุกได้แล้วมึง”


ผมหลุดออกจากภวังค์ตอนที่ไอ้มั่นกระซิบเรียก พอหันไปมองจึงเห็นว่าคนอื่นๆ ทยอยลุกกันไปหมดแล้ว


สติมีขายที่ไหนบ้าง เอามาให้มอสที


ผมพยักหน้ารับแบบงงๆ แล้วเดินตามมันออกไป


พวกเราทั้งสิบคนยืนหยุดรอคุณเปรมกวักมือเรียกบ่าวคนหนึ่งเข้ามาหา เขาพูดอะไรกับชายคนนั้นสองสามคำก่อนจะหันมาฉีกยิ้มให้พวกผม


“วันนี้ทำได้ดีมาก เสร็จงานแล้วก็ไปพักเถอะ จะให้อยู่พาไปที่โรงครัว เดี๋ยวจะมีคนเอาเงินไปให้ ค่าจ้างวันนี้จะได้คนละห้าบาท กลับไปแล้วก็ขอให้ขยันหมั่นฝึกซ้อม หากมีงานคราวหน้าจะได้ทำได้ดีเฉกเช่นวันนี้อีก”


ทุกคนพูดขอบคุณพร้อมกับพนมมือไหว้แทบจะพร้อมกัน


ห้าบาท รวมกับที่จะได้จากหมอในสามเดือนก็ยี่สิบบาท


จะทำยังไงกับเงินสามสิบบาทที่เหลือดีนะ


จริงสิ...ผมยังมีอาเจ้นี่นา


พอคิดได้แบบนั้นผมเลยตั้งใจจะไปหาอาเจ้แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าตามคนอื่นๆ ไป ผมก็ถูกฝ่ามือใหญ่ดึงเอาไว้เสียก่อน


คุณเปรมจับแขนผมแล้วยิ้มให้


“เก่งมาก”


เขาเอามือลูบหัวผมหนึ่งที


...แค่หนึ่งที แต่อุ่นวาบไปทั้งหัวใจ...


หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยแขนผมแล้วเดินไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


...ความรักนี่...บ้าบอดีจริง...






**********************************************************************************



อย่างที่หลายคนรู้ว่านิยายเรื่องนี้ลงในเด็กดีด้วยเนอะ ตอนแรกปิงปองไม่ได้เอาเกร็ดความรู้มาใส่เพราะยังมีปัญหากับการลงนิยายในเล้าว่าควรทำยังไงให้มันอ่านสบายตาดี กลัวว่าถ้าเอามาใส่มันจะพาลรกไปกันใหญ่ แต่ตอนนี้เริ่มชินมือเลยเอาเกร็ดความรู้ทั้งหมดมาอัพเดตให้เหมือนในเด็กดีแล้วน้า

:z2: :z2: :z2:




**********************************************************************************




[เกร็ดความรู้]




วงมโหรี      
                    วงมโหรีเกิดจากการประสมกันระหว่าง
                    1.วงบรรเลงพิณ (โบราณาจารย์เรียก การขับร้องเป็นลำนำพร้อมกับการดีดพิณน้ำเต้า ในคนๆเดียว แต่มึสองลำนำขึ้นไปประสานเสียงกันว่า "วง")
                    และ
                    2. วงขับไม้ (ผู้สีซอสามสายเป็นลำนำ ร่วมกับผู้ไกวบัณเฑาะว์)
                   
                    เกิดขึ้นครั้งแรกไม่น้อยกว่าสมัยกรุงสุโขทัย ภายหลังจึงประสมเครื่องดนตรีเพิ่มมากขึ้นโดยลำดับ เป็นวงมโหรีเครื่องสี่. หก. และประสมเครื่องดนตรีวงปี่พาทย์ตามวิวัฒนาของวงปี่พาทย์เครื่องคู่. และเครื่องใหญ่แต่มีระเบียบวิธีที่เป็นข้อยึดถือเสมอมา คือ กำหนดให้ซอสามสาย และการขับร้องเป็นประธาน และยึดบันไดเสียงกลุ่มเสียงระดับเพียงออ ร่วมกับเน้นลักษณะการขับกล่อม เป็นสำคัญ แม้นเมื่อประสมด้วยเครื่องปี่พาทย์ตามยุคต่าง ๆ ก็ดี ดุริยางคศิลปิน มักจะสร้างสรรค์ให้เครื่องปี่พาทย์ปรับเข้าหาเครื่องสาย และใช้โทน รำมะนา ในการกำกับจังหวะ เนื่องจากเป็นวงประเภทการขับกล่อมเพื่อสุนทรีย์ ด้วยการปรับขนาดเครื่องดนตรีให้เล็กลงเพื่อให้เสียงกลมกลืนกันกับเครื่องสาย และกำหนดให้เสียงลูกยอดของระนาดเอกจะพอดีกับเสียงนิ้วก้อยสายเอกของซอด้วง ตลอดจนเมื่อขนาดของเครื่องดนตรีปี่พาทย์เล็กลงจะใช้ไม้นวมบรรเลง


อ้างอิง: วงมโหรี (https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5)



                      สาเหตุที่ปิงปองเลือกใช้วงมโหรีในเนื้อเรื่องแทนวงปี่พาทย์ที่เป็นที่นิยมกันในสมัยนั้นเพราะว่าปิงปองปูเนื้อเรื่องให้กรวิกเป็นคนที่มีเอกลัษณ์ที่เสียงขับร้องมาแต่ต้น ครั้นจะให้เปลี่ยนไปใช้วงปี่พาทย์ซึ่งไม่มีการขับร้องก็คงไม่ได้ ต้องขอโทษในความผิดพลาดทำให้อาจจะดูไม่สมจริงไปบ้างจริงๆค่ะ TT





โหมโรง



               เพลงโหมโรง คือ เพลงที่ใช้บรรเลงเป็นอัน ดับแรกก่อนที่จะมีการแสดงมหรสพต่างๆ หรือก่อนที่จะมีการร้องส่งเพลงอื่นๆ ต่อไป เพื่อเป็นเครื่องหมายว่า การแสดงมหรสพหรือการร้องส่งกำลังจะเริ่มแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นเพลงสำหรับวงดนตรีที่บรรเลงประโคมในงานพิธีมงคลต่างๆ บรรเลงเป็นอันดับแรก เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่งาน และเพื่อเป็นการประกาศว่า งานพิธีได้เริ่มขึ้นแล้ว


          เพลงโหมโรงมี 2 ชนิด คือ


          ก. เพลงโหมโรงที่เป็นเพลงชุด ที่โบราณาจารย์ได้นำเพลงหน้าพาทย์หลายๆ เพลงมาเรียบเรียงไว้และบรรเลงต่อเนื่องกัน แต่ละเพลงมีความหมายในทางศักดิ์สิทธิ์ เพลงโหมโรงชนิดนี้ เป็นเพลงโหมโรง “สำหรับวงปี่พาทย์เท่านั้น” ใช้บรรเลงในงานพิธีมงคล ต่างๆ และบรรเลงก่อนการแสดงมหรสพต่างๆ เช่น โขน ละคร หนังใหญ่ และลิเก โหมโรงชนิดนี้ ได้แก่ โหมโรงเช้า โหมโรงกลางวัน และโหมโรงเย็น


      ข. เพลงโหมโรงที่เป็นเพลงๆ เดี่ยว หรืออาจะเป็น 2 เพลงต่อเนื่องกัน เป็นต้น เรียกว่าโหมโรงเสภา หรือโหมโรงวา เหตุที่เรียกว่า โหมโรงเสภา เนื่องมาจาก ในสมัยก่อน เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงก่อนที่จะมีการเล่นเสภา หรือการร้องส่ง ซึ่งแต่เดิมทีเดียวการโหมโรงก่อนการเล่นเสภาก็เป็นเพลงชุดดังข้อ ก. ต่อมาเห็นว่านานเกินไป จึงตัดเหลือแต่เพลงวา เพลงโหมโรงเสภา หรือโหมโรงวาเป็นเพลงโหมโรง “สำหรับวงดนตรีไทยทุกประเภท” ทั้งวงเครื่องสาย วงปี่พาทย์ และวงมโหรี ได้มีผู้แต่งเพลงโหมโรงเสภา หรือโหมโรงวาไว้เป็นจำนวนมาก แต่ในบรรดาเพลงโหมโรงชนิดนี้ ด้วยกันแล้ว เพลงโหมโรงไอยเรศได้รับการยกย่องว่ายอดเยี่ยมที่สุด




อ้างอิง: โหมโรง (เพลง) (https://thaimusicamp.wordpress.com/tag/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87/)


หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งหลัง] (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 15-11-2017 20:45:15
คุณเปรมนี่บางทีก็เหมือนเต๊าะบางทีก็เหมือนหยอกๆนะ แต่ก็ชอบเวลาคัณเปรมใช้สายตาวิบวับอะ ใจละลาย
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งหลัง] (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-11-2017 20:54:51
 :katai2-1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งหลัง] (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 15-11-2017 22:03:05
น้องมอสก้าวหน้ามากลูก ตอนหน้าจะพบหลวงลุงแล้วซินะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 16 รักเอย [ครึ่งหลัง] (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-11-2017 22:24:04
มอส ทำได้  :hao5:
เล่นซอสามสายได้ ร้องได้ สุดยอดดดด  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งแรก] (16/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 16-11-2017 16:25:14
บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งแรก]







ชายหนุ่มร่างกำยำเดินนำพวกเราเดินลัดเลาะสวนมาจนถึงเรือนขนาดใหญ่ที่มีผู้คนคลาคล่ำ ในเรือนแว่วเสียงตะโกนดังประสานกับเสียงภาชนะกระทบกันไม่ขาดสาย บ่าวไพร่วิ่งวุ่นจับนู้นที จับนี่ที ดูวุ่นวายกว่าเมื่อเช้าเสียอีก


“เดี๋ยวพวกเอ็งก็นั่งกินข้าวกันในครัวกับพวกบ่าวไปนะ สักประเดี๋ยวจะมีคนเอาเงินมาให้ ชื่อตาอ่ำ เป็นบ่าวเก่าแก่ของที่นี่ เจอแล้วก็ไหว้ด้วยล่ะ”


ไอ้มั่นหันมาสบตาผมก่อนจะหันไปถาม


“แล้วพวกฉันจะรู้ได้อย่างไรล่ะจ๊ะว่าใครคือตาอ่ำ”


ถามได้ตรงใจผมจริงๆ ให้ตาย


ชายคนนั้นถอนหายใจระอา


รู้ว่าดูโง่ แต่อย่าแสดงออกชัดนักสิ ผมก็หน้าบางเป็นนะ


“ก็บอกอยู่ว่าเป็นบ่าวเก่าแก่ ลุงแกแก่แล้วแต่ก็ใหญ่กว่าบ่าวทั่วไป มึงเห็นพวกบ่าวมันไหว้ลุงแก่ๆ คนไหนก็คนนั้นล่ะ”


ตอบแบบนี้อย่าตอบเลยพี่


ไอ้มั่นยกมือไหว้ขอบคุณในคำตอบที่ฟังดูไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่แล้วหันมาสบตากับผม แววตากระอักกระอ่วนปนเศร้าใจนั้นทำให้ผมอดเอามือตบบ่ามันไม่ได้


บอกเลยว่ามอสเห็นใจ


ผู้ชายคนนั้นเดินจากไปแล้ว ทิ้งพวกเราเก้าคนรวมครูบุญอีกหนึ่งก็เป็นสิบให้ยืนมองหน้าแล้วยิ้มแห้งให้กันและกันอย่างไม่รู้จะเริ่มเข้าไปขอข้าวเขากินยังไงให้ไม่ดูเป็นคนจรจัดดี สุดท้ายก็เป็นครูบุญที่ส่ายหน้าเหนื่อยใจกับพวกเราแล้วเดินเข้าไปเปิดทางให้


แม่สอนไว้ครับว่าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด...


“โอ๊ย มากินข้าวอะไรตอนนี้ ฉันหัวหมุนจะแย่แล้ว รอไปก่อนแล้วกัน”


เพราะหมากัดผู้ใหญ่อยู่


ครูบุญหันมาทำหน้าเจื่อนใส่พวกผมก่อนจะปรับสีหน้าเพื่อพยายามรักษาภาพลักษณ์เป็นคุณตาที่สุขุมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด


มอสล่ะอยากจะเดินไปตบบ่าครูจริงๆ


พวกเราหันมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี ถึงจะมารวมตัวกันเป็นวงดนตรีแต่ก็ใช่ว่าพวกเราจะสนิทชิดเชื้อกันสักเท่าไหร่ จะให้มานั่งล้อมวงพูดคุยกันก็คงจะดูผิดวิสัยไปหน่อย ยิ่งยืนนานขึ้น ทุกคนก็เริ่มที่จะหันมองหน้ากันมากขึ้นจนทำให้บรรยากาศรอบด้านแย่ลงทุกที


จะทำอะไรระหว่างรอดีนะ


“ขออภัยนะคะ”


เสียงใสหวานที่ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้พวกผมหันขวับไปแทบจะพร้อมกัน


สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือเด็กสาวผมสั้นคนหนึ่งกำลังฉีกยิ้มบางมาให้ เธออยู่ในชุดเสื้อระบายลูกไม้ตัดเย็บประณีตรับกับผ้าซิ่นยาวถึงหน้าแข้งสีหวาน แม้จะสวมใส่ลูกไม้แต่กลับไม่ทำให้เธอดูสูงวัยขึ้นแต่อย่างใด กลับกันเสื้อผ้าเครื่องประดับที่เธอสวมใส่กลับทำให้เธอดูอ่อนหวานและสดใส ใบหน้าอ่อนวัยนั้นช่างงดงาม เพียงริมฝีปากชมพูบางนั้นแย้มยิ้มโลกทั้งใบก็สดใสขึ้นทันตา


ผมไม่รู้จะหาคำไหนมานิยามคนตรงหน้าได้เลย สวยก็ไม่ใช่ น่ารักก็ไม่เชิง ต้องบอกว่าน่ามอง มีเสน่ห์ ละสายตาไม่ได้ถึงจะถูก นัยน์ตากลมโตรับกับพวงแก้มอมชมพู ริมฝีปากบางเป็นสีชมพูระเรื่อตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะทำยังไงก็หาที่ติบนใบหน้าของเด็กคนนี้ไม่ได้เลยจริงๆ


ขนาดผมไม่ชอบผู้หญิงยังหลงใหลเธอถึงขนาดนี้แล้วคนอื่นล่ะจะขนาดไหน


ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ผมเหลือบตาไปมองไอ้มั่นแล้วก็พบกับความจริงที่ว่ามันเคลิ้มกับรอยยิ้มหวานนั้นไปเรียบร้อย


ก็สมควรเคลิ้มอยู่ล่ะ


ประเด็นคือไม่ใช่แค่ไอ้มั่น แต่ทุกคนเหมือนจะตกอยู่ในห้วงความงามของเด็กสาวคนนี้ไม่เสียหมด


ให้ตายสิ แบบนี้เธอคงได้มองว่าพวกเราเป็นพวกหื่นกามกันพอดี  ผมควรทำอะไรสักอย่าง...


“ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือครับคุณหนู”


เธอหันมายิ้มให้ผม


“อย่าเรียกว่าคุณหนูเลยค่ะ ฉันไม่ใคร่จะชอบนัก”


สวยไม่พอ ยังไม่ถือตัวอีก ถ้าผมชอบผู้หญิง เธอจะกลายเป็นนางในฝันของผมแน่นอน มอสฟันธง


ผมฉีกยิ้มกลับ


“เช่นนั้นคุณเรียกพวกผมทำไมหรือครับ”


เธอเก็บมือทั้งสองประสานไว้บริเวณเอว ใช้ขี้เล็บมองยังรู้ว่าเป็นคนที่ได้รับการอบรมมารยาทมาดีแค่ไหน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยตอบก็พลันมีบ่าวผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมาเสียก่อน เธอจึงหันไปหาบ่าวคนนั้นแทน


“มีใครเห็นคุณหญิงป้าบ้างหรือไม่”


ถึงน่าหงุดหงิดอยู่หน่อยๆ ที่จู่ๆ ก็โดนถีบออกจากวงสนทนา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจค่านิยมของยุคนี้ที่ว่ากุลสตรีที่ดีต้องไม่สนทนากับบุรุษโดยไม่จำเป็น


สำคัญคือสวยครับ มอสยอมโดนถีบออกมาก็ได้


บ่าวคนนั้นค้อมตัวลงเล็กน้อย


“คุณหญิงเพิ่งจะกลับขึ้นไปพักผ่อนเมื่อครู่นี้เองค่ะ ท่านบอกว่าไม่ใคร่จะสบายนัก”


เด็กสาวคนนั้นมีสีหน้ากังวลขึ้นเล็กน้อย


“น่าเสียดายจริง”


จากนั้นจึงคลี่ยิ้มละไม


สวยเป็นบ้าเลยให้ตายสิ


“ขอบใจมากนะจ๊ะ”


บ่าวคนนั้นก้มหัวต่ำลงเป็นการรับคำขอบคุณก่อนจะรีบเดินกลับเข้าไปในโรงครัว


ใบหน้าหวานหยดนั้นหันมามองหน้าผมแล้วก้มหัวให้เล็กน้อย


“ขออภัยที่เสียมารยาทนะคะ”


ดวงตากลมโตที่หลับลงแล้วคลี่ออกช้าๆ นั้นแสนตรึงตา ขนตางามงอนช่วยขับให้ดวงหน้าหวานหยดนั้นดูอ่อนโยนแว่วหวานยากจะหาอะไรมาเปรียบ


ผมค่อยๆ ก้มหัวต่ำลงเป็นการรับคำขอโทษแต่ก็ให้เกียรติคนตรงหน้าไปในที


มันเป็นการเลียนแบบการกระทำของบ่าวเมื่อครู่ทุกกระเบียดนิ้ว


เธอเพียงอมยิ้มหวานแล้วหมุนตัวเดินจากไปด้วยกริยาเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว


ยอม ไอ้มอสยอมชอบผู้หญิงเลยเอ้า


...คนอะไร หน้าตาก็ดี กริยามารยาทก็ดี ดีจริงๆ เลยให้ตายสิ...


ไอ้มั่นขยับเข้ามาแล้วคว้าคอผมไปกอดแน่น


“ไอ้กร”


“เออ กูรู้”


ไม่ต้องพูดก็รู้ใจ ของสวยๆ งามๆ ใครจะไม่ชอบกัน


“ไอ้เหี้ยเอ๊ย นั่นคนหรือนางฟ้านางสวรรค์กันนะ”


“นางฟ้านางสวรรค์ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือเตรียมสำรับให้เสร็จแล้ว จะกินไหม”


น้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังขัดขึ้นมาทำให้ผมกับไอ้มั่นหันขวับไปมอง


“อาเจ้! / พี่พลอย!”


“ชู่ เบาๆ สิ อายคนอื่นเขาบ้าง เด็กพวกนี้นี่ กระโตกกระตากกันเสียจริง”


น้ำเสียงดุไม่จริงจังพร้อมกับใบหน้าประดับรอยยิ้ม


ท่าทางขึงขังผิดกับดวงตาที่สดใส


...ผมคิดถึงจังเลย...


“อาเจ้ คิดถึงจังเลย”


เธอหันมากระตุกยิ้มแล้วแกล้งเบ้ปากใส่ผมก่อนจะหันไปหาคนอื่นๆ ในวง


“พี่ๆ ไปกินข้าวกันได้เลยนะจ๊ะ ฉันเตรียมสำรับไว้ให้ตรงมุมครัวนู้นเรียบร้อยแล้ว”


สิ้นเสียงของอาเจ้ ทุกคนก็ค่อยๆ เดินตามทิศทางที่บอกไป มีอยู่บ้างที่หันมามองผมกับไอ้มั่นแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา


แหน่ะ อยากรู้อยากเห็นล่ะซี่


ผมหันมาหาอาเจ้ ใจอยากจะกระโดดเข้าไปกอดให้หายคิดถึงแต่ก็สำเหนียกได้ว่าคงดูไม่ดี เลยทำได้แค่ยืนยิ้มให้กันเท่านั้น


“คิดถึงเจ้มากเลยรู้ไหม”


เธอเลิกคิ้ว


“ไม่จริงหรอก ถ้าลื้อคิดถึงอั๊วจริงคงมาเยี่ยมอั๊วบ้างแล้ว”


จี้ปมครับ จี้ปม


ยอมรับว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่ได้มาหาอาเจ้เลย จะมีก็แต่ฝากขนมนมเนยให้คนอื่นเอาไปให้บ้างแต่ก็น้อยจนนับครั้งได้ อาป๊ากับอาม้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง อาป๊านั้นบาดหมางกับอาเจ้ไปนานแล้ว ส่วนอาม้าเองก็ไม่มีเวลาจะมาเยี่ยม ส่วนอาเฮีย...รายนั้นขอแค่ไม่ก่อปัญหาให้ก็ประเสริฐพอแล้ว


“อั๊วขอโทษ แต่อั๊วก็ฝากขนมให้คนในวงเอามาให้อยู่น้า”


อ้อนครับอ้อน ณ จุดๆ นี้ต้องใช้ลูกอ้อนเข้าสู้


อาเจ้สะบัดหน้าใส่ผมแล้วหันไปคุยกับไอ้มั่นแทน


เฮ้ย นี่น้องไง มอสอยู่นี่ไง ยู้ฮู


“มั่น เธอล่ะเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม”


รายนั้นพยักหน้าเบาๆ อย่างนอบน้อม


นั่นพี่กู มึงจะนอบน้อมอะไรนักหนาฮะ


“ครับพี่พลอย พี่ก็สบายดีนะครับ”


อาเจ้พยักหน้าเบาๆ


“ก็ดีกว่าตอนอยู่บ้าน เหงาบ้างแต่ก็ไม่มาก โชคดีที่ได้เพื่อนบ่าวดี ขืนต้องรอน้องชายมาเยี่ยมน่ากลัวจะแกร่วตายคาเรือนไปเสียก่อน”


ไม่ว่าเปล่ายังหันมาทำตาเขียวปั๊ดใส่ผมตอนท้ายประโยคอีก


เจ้าคิดเจ้าแค้นนะเราน่ะ


เมื่อไอ้มั่นเห็นท่าไม่ดีจึงเริ่มจะเปลี่ยนเรื่องพูด


“พี่พลอย พี่รู้จักคุณคนเมื่อครู่ไหม สวยเชียว ลูกหลานใครรึพี่”


นั่น แทนที่มันจะหาเรื่องดีๆ มาพูด ดันเลือกเรื่องที่ได้ผลประโยชน์เข้าตัวซะอย่างนั้น


แต่ไม่ขัดครับ เพราะผมก็อยากรู้


อาเจ้ทำหน้าเหมือนครุ่นคิดแล้วก็ร้อง ‘อ๋อ’ ออกมายาวๆ


“คนเมื่อครู่ที่สวยๆ ใช่ไหม”


พวกผมพยักหน้าหงึกหงัก


“เธอชื่อคุณชื่น ลูกของคุณพระมิ่ง เห็นว่าคุณพระท่านเป็นข้าราชการอยู่นอกพระนคร ไม่ค่อยได้เห็นหน้าค่าตาหรอก แต่เขาลือกันว่าคุณหญิงท่านถูกใจคุณชื่นเธอนัก อยากจะได้มาดองเข้าบ้านจะแย่ ติดอยู่ที่คุณเปรมเธอไม่หือไม่อืออะไรเลย ไม่รู้ว่าจะได้ดองกันตอนไหน”


ใจของผมกระตุกวาบ


ผมลืมความจริงข้อนี้ไปได้ยังไงกันนะ


...ผมลืมไปได้ยังไงว่าสักวันหนึ่งคุณเปรมจะต้องแต่งงาน...


เขาจะแต่งงานแน่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทีนออกมานั่งหัวโด่อยู่ในห้องพักกับผม


แต่ผมยังมีความหวัง...


“แล้ว...ถ้าคุณเปรมไม่ชอบ ทำไมคุณหญิงท่านไม่ให้ลูกคนอื่นแต่งกับคุณชื่นเสียล่ะ”


อาเจ้หันมามองหน้าผมแล้วถอนหายใจ


“กรเอ๊ย เคยรู้อะไรบางไหม มั่นนี่ก็ไม่บอกมันเสียบ้าง”


เธอหันไปมองหน้าไอ้มั่นก่อนจะกลับมามองผม


“คุณเปรมเธอเป็นลูกคนเดียวของท่านเจ้าคุณอธิป ไม่ดองกับคุณเปรมก็ไม่มีใครให้ดองด้วยแล้ว”


เพียงเท่านั้นความหวังทั้งหมดของผมก็พังครืน


ชัดแน่แล้วว่าทีนไม่ใช่ลูกหลานของน้องหรือพี่คุณเปรม เขาคือลูกหลานของคุณเปรม


คุณเปรมจะแต่งงาน...


คุณเปรมจะมีลูก...


แล้วผมล่ะ ผมอยู่ตรงส่วนไหนของชีวิตคุณเปรมกันนะ


...นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกเลยจริงๆ...










...ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำตัวยังไงดีเมื่อมีคนส่งเพลงยาวมาให้...


เมื่อตอนบ่าย ตาอ่ำที่แก่และดูมีอำนาจอย่างที่ชายคนนั้นบอกก็เดินมาหาพวกเรา เขายื่นเงินให้พวกเราคนละห้าบาทก่อนจะยื่นซองจดหมายให้ผมซองหนึ่งแล้วบอกว่า ‘คุณเปรมฝากไปให้คุณหมอที่ผมทำงานอยู่ด้วย’ ผมรับมันมาแล้วพลิกอ่านหน้าซอง


‘แด่ กร’


เพียงเท่านี้ผมก็รับรู้ว่าตาอ่ำอ่านหนังสือไม่ออกและพอจะเดาได้ว่าของที่อยู่ในซองต้องเป็นอะไรสักอย่างที่สุ่มเสี่ยงให้คนรู้ไม่ได้


ผมจึงยิ้มแล้วก็พับเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้ออย่างไรพิรุธ


ผมทำตัวตามปกติ กลับบ้าน อาบน้ำ กินข้าว เข้านอน ผมรอจนทุกคนเข้านอนจึงลุกขึ้นมาทำกิจวัตรที่ ‘ไม่ปกติ’


แสงเทียนสลัวทำให้การอ่านหนังสือยากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็นทำให้ความพยายามและความอดทนของผมเพิ่มขึ้นเช่นกัน


ซองจดหมายถูกแกะอย่างระมัดระวัง ผมเอาซองเก็บไว้ในลิ้นชักแล้วเพ่งสายตาอ่านข้อความยาวเหยียดที่ถูกเขียนเอาไว้




แด่ นกน้อยของพี่

พี่รู้ดีว่าน้องอ่านเขียนออก มิเช่นนั้นคงไม่ได้ไปทำงานให้ปีเตอร์แน่ คนๆ นั้นช่างเลือกและมากความ หากไม่เก่งจริงก็คงทำงานกับเขาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เองพี่จึงเขียนข้อความนี้มาหาน้อง หวังน้องจะได้ระลึกถึงพี่บ้าง




กลอนเพลงยาวร้อยหัวใจอันสุขี

ด้วยคะนึงถึงยอดมารตี

ขอน้องนี้รับรักด้วยเมตตา

 

เสียงเจ้าหวานปานนกการเวก

ความปัจเจกเอกลักษณ์คือหรรษา

หวังนอนฟังหากเจ้ากรุณา

เพียงพบหน้าพาใจได้ภิรมย์

 

เจ้าเป็นจีนงามหมวยสวยบาดจิต

หากน้องฝากชีวิตคงสุขสม

ต่างเชื้อชาติใช่ต่างรักต่างนิยม

พี่สัญญาจักชื่นชมเจ้านิรันดร์

 

หากเจ้าเป็นมาลีพี่เป็นผึ้ง

ใช่ทะลึ่งมีแต่รักมากมหันต์

หากเจ้าเป็นโลกนี้พี่เป็นจันทร์

อยู่คู่กันตลอดไปด้วยรักเอย

                                                                                                                                                                               
จาก เปรม





[ผู้ประพันธ์ -PEN-]





ผมนั่งอ่านเพลงยาวในจดหมายซ้ำไปซ้ำมา ข้อความพวกนั้นหวานปานน้ำผึ้ง แว่วหวานชวนให้รัก


...แต่น้ำผึ้งก็เหมือนน้ำตาล กินมากไปก็จะเป็นเบาหวานตาย...


ลิ้นชักถูกเปิดออกอีกครั้งแล้วจดหมายที่ถูกพับใส่ซองก็ถูกโยนเก็บลงไป


ผมไม่คิดจะต่อเพลงกับเขาแค่นี้ผมก็หวั่นไหวกับเขามากพอแล้ว ถ้ามากไปกว่านี้...


...ถ้าเขาแต่งงานกับใครสักคนไปจริงๆ ผมคงทนไม่ได้...


เรื่องของเรามันควรจบ จบที่ตรงนี้ล่ะดีแล้ว


แย่จัง ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้นะ


ในอกมันอึดอัดจนหายใจไม่ออก ปลายจมูกก็ร้อนผ่าวอย่างไม่มีสาเหตุ


ไม่น่าเลยมอส...


...ไม่น่ารักเขาเข้าเลย...


น้ำตาหยดที่หนึ่งไหลลงบนโต๊ะ


น้ำตาหยดที่สองไหลตามมา


น้ำตาหยดที่สามหยดลงบนแขน


...แล้วน้ำตาก็ไหลลงมาไม่ขาดสาย...





******************************************************************************



คู่แข่งหัวใจของหนูมอสโผล่มาแล้ว แต่ปิงปองขอนั่งยันนอนยันตรงนี้ว่าคุณชื่นไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมาเพื่อเป็นตัวร้ายแน่นอน คุณชื่นก็คือคุณชื่น เป็นเด็กสาวธรรมดา มีความเป็นมนุษย์ปุถุชนไม่ต่างจากตัวละครอื่น ๆ  ส่วนคุณชื่นจะเข้ามามีบทบาทอะไรยังไงกับหนูมอสของเรา อันนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปเด้อ

:hao7: :hao7:



อนึ่งกลอนเพลงยาวนี้ปิงปองไม่ได้แต่งเอง แต่เป็นการไหว้วานพี่คนหนึ่งให้แต่งให้ค่ะ เครดิตนามปากกาพี่เขาจึงอยู่ตรงท้ายกลอนเนอะ 




******************************************************************************




[เกร็ดความรู้]



เพลงยาว


"กลอนเพลงยาวเป็นกลอนที่บังคับบทขึ้นต้นเพียง ๓ วรรค จัดเป็็นกลอนขึ้นต้นไม่เต็มบท  ขึ้นต้นด้วยวรรครับในบทแรก ส่วนบทต่อๆไป คงมี ๔  วรรคตลอด  สัมผัสเป็นแบบกลอนสุภาพ ไม่จำกัดความยาวในการแต่ง แต่นิยมจบด้วยบาทคู่ และต้องลงด้วยคำว่าเอย จำนวนคำในวรรคอยู่ระหว่าง ๗-๙ คำ วัตถุประสงคืสำคัญของเพลงยาวคือใช้เป็นจดหมายโต้ตอบ ระหว่างชาย -หญิง เพลงยาวปรากฎขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ได้แก่ เพลงยาวพระราชนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ที่กล่าวกันว่าทรงนิพนธ์ให้แก่เจ้าฟ้าสังวาล โดยเหตุที่วัตถุประสงค์สำคัญของกลอนเพลงยาว คือใช้เป็นจดหมายรักและจบลงด้วยคำว่า"เอย"จึงเป็นที่มาของสำนวน "ลงเอย" "



อ้างอิง: กลอนเพลงยาว (https://sites.google.com/site/chanthalakklonthai/1-klxn-xan/klxn-phelng-yaw)


หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งแรก] (16/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-11-2017 17:11:01
 :man1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งแรก] (16/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-11-2017 17:45:28
คุณเปรม ส่งเพลงยาวมาให้มอสแล้ว

นึกว่ามอส จะส่งเพลงยาวกลับไป
แต่มอส น้ำตาไหลแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งแรก] (16/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-11-2017 18:20:30
สรุปว่าคุณทวดก็ต้องแต่งงานใช่ไหม สมัยก่อนคงไม่มีอุ้มบุญหรือรับเด็กมาเลี้ยง แล้วยังไม่เป็นที่ยอมรับในยุคนั้นแน่ๆ ยากเลยทีนี้  :ling3:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งแรก] (16/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 16-11-2017 18:25:18
คุณเปรมทั้งๆที่ต้องแต่งงานแต่ก็ยังมาเกี้ยวกรอีก รู้แหละว่าสมัยนั้นหลายเมียได้แต่แหม คิดถึงใจเขาใจเราหน่อยก็ดีนะคะคุณทวด

ปล.ขอบคุณสำหรับเกร็ดความรู้ค่ะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งแรก] (16/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 16-11-2017 18:33:10
"เฮ้ย นี่น้องไง มอสอยู่นี่ไง ยู้ฮู"

มีความหัวเน่า555
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งแรก] (16/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 16-11-2017 20:06:18
พี่เปรมต้องแต่งงานมีลูกจริงๆหรอ  :mew6: :hao5:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งหลัง] (17/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 17-11-2017 18:27:16
บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งหลัง]







ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองร้องไห้จนหลับไปตอนไหน แต่พอเช้าตรู่ เสียงไก่ขันและเสียงภาชนะดังก๊องแก๊งจากในครัวก็ปลุกผมตื่นขึ้นมาอย่างทุกวัน


ผมปวดหัว ปวดตัว ปวดไปหมด


เพราะเมื่อคืนผมฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะทำให้แผ่นหลังของผมปวดร้าวจนน่ากลัวว่าหมอนรองกระดูกผมยังอยู่ที่เดิมรึเปล่า


ผมหัวเราะสมเพชให้กับความงี่เง่าของตัวเอง


อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วยังจะมาเสียน้ำตาให้เรื่องโง่ๆ อยู่ได้


ผมเอามือเช็ดหน้าสองสามครั้งแล้วตัดสินใจจะเดินออกไปอาบน้ำ ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปถึงโอ่งหลังบ้าน อาเฮียก็เปิดประตูออกมาจากห้องของเขาพอดิบพอดี


บรรยากาศระหว่างพวกเราสองคนมันน่าอึดอัด ไม่มีใครเอ่ยทักใครก่อน เขามองหน้าผมนิ่งๆ แล้วเลือกจะเดินกลับเข้าห้องไป ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเลิกจะเดินไปทำธุระของตัวเองต่อโดยไม่คิดจะสนใจเขาเช่นกัน


เขาถูกกักบริเวณอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหนเลย แรกๆ เขาก็ดูจะยอมแต่โดยดีแต่พักหลังมานี้เขากลับมีท่าทีกระวนกระวายแปลกๆ แค่ได้ยินเสียงดังปึงปังก็สะดุ้งสุดตัวอย่างคนชนักติดหลัง


พฤติกรรมของเขาน่าสงสัย แต่ผมเองก็จนปัญญาจะไปตามหาสาเหตุ


ปล่อยไปตามเวรตามกรรมแล้วกัน ยังไงเสียก็ถูกกักบริเวณอยู่ คงออกไปก่อปัญหาไม่ได้หรอก


ผมเอาผ้าข้าวม้าพาดตากไว้บนราวไม้ไผ่แล้วเดินออกมาหน้าบ้าน


วันนี้ครูบุญบอกว่าไม่ต้องไปซ้อม ถือเป็นรางวัลที่พวกผมทำงานได้ดีจึงให้เป็นวันพักผ่อนหนึ่งวัน แต่ถึงจะไม่ไปซ้อมดนตรีแต่อย่างไรเสียก็ต้องไปทำงานให้หมออยู่ดี ในขณะที่ผมกำลังตัดสินใจว่าควรทำอะไรก่อนดี ไอ้มั่นก็โผล่หน้ามาอย่างรู้งาน


ตายอยากของจริง


“ไอ้กร พร้อมหรือยัง”


ผมขมวดคิ้ว


“พร้อม? พร้อมอะไรของมึง”


มันเบิกตาโพล่ง


“เอ้า นี่มึงลืมรึว่าข้าจะพามึงไปหาหลวงลุงน่ะ”


เออว่ะ ลืมไปสนิทเลย


แต่บอกเลยมอสว่าไม่ใช่คนยอมรับคำปรามาสง่ายๆ ครับ


“ใครลืม กูจำได้ไงเลยมานั่งรอ”


มันหรี่ตามองผมแล้วอมยิ้มอย่างรู้ทัน


“พูดเช่นนี้ลืมแน่นอน”


ไม่ยอมครับ เราไม่ยอมรับความจริง


“ไม่ลืม”


“ลืม”


“ไม่ลืม”


“เช่นนั้นถ้ามึงลืมขอให้โดนผ่าฟ้าตาย”


“เออ กูลืม ถอนคำแช่งเดี๋ยวนี้เลยนะ”


มันหัวเราะร่วนใส่ผมราวกับจะเย้ยหยัน


หมั่นไส้โว้ย


เพราะมือมันไปเร็วกว่าความคิด ยังไม่ทันที่ผมจะไตร่ตรองให้ดีมือของผมก็ฟาดเข้าหัวไอ้มั่นไปแล้ว


“โอ๊ย ข้าเจ็บนะ”


ผมยักไหล่


“เรื่องของมึง”


หลังจากนั้นมันก็วิ่งไล่จับผมไปจนถึงท่าน้ำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย


นี่คนหรือควาย


มันกระชากผมขึ้นจากเรือเมื่อมาถึงจุดหมาย แรงดึงพอๆ กับการจูงควายทำให้ผมร้องโอดโอย แต่ถามว่ามันสนไหมบอกเลยว่าไม่มีแม้แต่จะหันมาเหลียวแล


ไอ้เพื่อนเวร ฝากไว้ก่อนนะมึง


หลังจากเข้ามาในรั้ววัดมันถึงได้ปล่อยมือออกจากแขนของผม ใช่ว่าจะคิดได้เอง แต่เป็นเพราะหลวงพ่อในวัดทักว่า ‘ทำไมทำกับเพื่อนอย่างนั้นล่ะโยม ทำร้ายผู้อื่นผิดศีลข้อหนึ่งนะ’ มันถึงได้ยอมปล่อยมือ


กดไลค์หลวงพ่อไปเลย ไอ้มั่นมันเป็นคนเลว ไอ้คนทำผิดศีลข้อหนึ่งในบริเวณวัด


แขนของผมแดงเถือกจากการฉุกกระชากลากถูของมัน แต่คนทำก็ใช่ว่าจะสำนึก มันหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มเยาะก่อนจะเดินนำหน้าไปแล้วบอกให้ผมเดินตาม


ไอ้เวรเอ๊ย


หมั่นไส้ครับ แต่ทำอะไรไม่ได้ เลยต้องเดินตามมันไปอย่างนั้น


ไอ้มั่นพาผมเดินลัดเลาะกุฏิน้อยใหญ่จนเกือบถึงด้านหลังวัดจึงพบกับกุฏิไม้หลังเล็กๆ ที่ดูร่มรื่นสะอาดตากว่าหลังอื่นมากนัก รอบกุฏิมีแมกไม้นานาพันธุ์ทั้งไม้ดอกไม้ประดับ ขึ้นแซมกันอย่างมีระเบียบ ดูสะอาดสะอ้านระรื่นตา


“หลวงลุงครับ อยู่ไหมครับ”


ไอ้มั่นตะโกนเรียกคนในกุฏิ ในขณะที่ผมเองก็หันซ้ายหันขวาชมนกชมไม้ไปเรื่อย จนสายตาไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง...


...ต้นการเวก...


...สิ่งย้ำเตือนให้นึกถึงคนใจร้าย...


เสียงเปิดประตูที่ดังขัดขึ้นมาทำให้ผมหลุดจากภวังค์ไร้สาระ พอหันไปมองก็พบกับพระวัยกลางคนท่าทางใจดีรูปหนึ่ง


“อ้าวโยมมั่น มาได้อย่างไรเล่า”


ไอ้มั่นยกมือขึ้นพนม


“ฉันพาเพื่อนมาหาน่ะจ้ะหลวงลุง พักนี้มันดวงตกเลยอยากให้หลวงลุงช่วยดูดวงให้มันหน่อย”


พระรูปนั้นหันมามองผมแล้วฉีกยิ้มใจดีให้


“เอ้า มาๆ ไหนๆ ก็มากันแล้ว ขึ้นมาสิ”


ผมยิ้มรับตามมารยาทแล้วทำท่าจะถอดรองเท้า ทันใดนั้นหางตาของผมก็เหลือบไปเห็นพระอีกรูปที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ด้วยสัญชาตญาณทำให้ผมหันไปมอง


เดี๋ยวนะ...


ผมพยายามเพ่งมองพระรูปนั้นแล้วเบิกตาโพล่ง


...บ้านะ...เป็นไปไม่ได้หรอก...


ก็พระที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้มีใบหน้าเหมือนหลวงลุงของทีนไม่มีผิด!


ผมเบิกตาโพล่งหายใจถี่อย่างคนตื่นตระหนก ก่อนจะพยายามควบคุมลมหายใจไม่ให้มีพิรุธมากนัก ไอ้มั่นเดินขึ้นไปบนกุฏิแล้ว แต่จุดหมายของผมไม่ใช่บนนั้น


เอาไงดีนะ


“เออมั่น”


มันหันมาเลิกคิ้วใส่ผมเป็นเชิงจะถามว่า ‘เรียกทำไม’


“พอดีเพิ่งนึกได้ว่าอาม้าบอกว่าคนจีนก็ต้องดูดวงอย่างจีน ไม่อย่างนั้นจะผิดคำสั่งบรรพบุรุษเอา”


เอ้า แถกันไปเลย หน้าด้านสุดๆ


มั่นขมวดคิ้วยุ่งทำท่าจะเอ่ยปากถาม


แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้มันถามหรอก


“เดี๋ยวกูไปเดินเล่นรอบวัดก่อนนะ มึงก็อยู่คุยกับหลวงลุงไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูมา”


ไม่ต้องรอคำอนุญาต ไม่ต้องรอคำเสนอแนะ ทันทีที่พูดจบ ผมก็พุ่งตัวออกมาจากบริเวณนั้นแทบจะทันที


พระรูปนั้นยังคงยืนกวาดใบไม้อยู่ตรงลานวัดด้วยกริยาสงบนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันมาสนใจคนที่กำลังเดินเข้าไปหาอย่างผม


แปลกไปรึเปล่า


“นมัสการครับหลวงพ่อ”


เขาหันมามองหน้าผมตามเสียงเรียกแล้วคลี่ยิ้มบาง


“ผมมีเรื่องจะถา....”


“ถ้าโยมมอสจะถามว่าเพราะเหตุใดโยมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ อาตมาก็พอจะตอบได้นะ”


ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก


...คิดไว้ไม่มีผิดเลยจริงๆ...


แต่ผมมีบางอย่างที่คาใจ


“ทำไมหลวงลุงถึงมาอยู่ที่นี่หรือครับ”


ท่านเพียงหันมายิ้มบางๆ แล้วก้มหน้ากวาดลานวัดต่อ


หรือหลวงพ่อจะเป็นดอกเตอร์ฮู!?


พระชราตรงหน้าผมหัวเราะเล็กน้อย


“ไม่มีใครย้อนกลับไปในอดีตหรือเดินทางไปในอนาคตได้หรอกนะ”


สกิลอ่านใจของหลวงลุงยังคงเทพไม่เปลี่ยนแปลง ซูฮกจากใจจริง


ผมได้ยินท่านขำอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


เดี๋ยวสิ ถ้าไม่มีใครย้อนอดีตได้ แล้วสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คืออะไรกันล่ะ?


“มันเป็นเรื่องของจิตน่ะโยม”


ผมมองหลวงลุงอย่างไม่เข้าใจ แต่ท่านไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม สองมือเหี่ยวย่นนั้นยังคงกวาดลานวัดอย่างใจเย็น


“การรับรู้ของคนเรา เกิดขึ้นจากการรับรู้ของจิต ถ้าจิตรับรู้เรื่องในอดีต เราก็จะคิดไปว่าเราย้อนอดีต”


ผมขมวดคิ้ว


“แต่ผมไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้ แล้วจิตของผมจะคิดว่าตัวผมอยู่ในอดีตได้ยังไงล่ะครับ”


คราวนี้ท่านเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม รอยยิ้มใจดียังคงประดับอยู่บนใบหน้านั้นไม่เสื่อมคลาย


“โยมจำไม่ได้ แต่มีคนเขาจำได้และอยากให้โยมจำได้”


ผมส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ


...ผมไม่เข้าใจอะไรเลย...


“พูดให้ง่าย สิ่งที่โยมรับรู้อยู่ตอนนี้ ทั้งหมดล้วนเกิดจากจิตของโยมเอง จิตของโยมกำลังรับรู้เรื่องในอดีต เพราะมีใครบางคนอยากให้โยมรับรู้มัน”


“ใครเหรอครับ”


ท่านส่ายหน้าช้าๆ


“อาตมาเองก็สุดจะรู้”


ทุกอย่างในหัวผมตีกันไปหมด


นี่มันบ้าอะไรกัน


“วันนี้อาตมานั่งสมาธิก็เลยมาหาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ไปเสียหมด กรรมใครกรรมมันนะโยม เรื่องของโยม กรรมของโยม อาตมายุ่งมากไม่ได้หรอก”


ผมส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ


“ผมไม่โทษหลวงลุงหรอกครับ ผมแค่ไม่เข้าใจที่หลวงลุงพูดเลย”


ผมพยายามลำดับความคิด


“หลวงลุงจะบอกว่าผมไม่ได้ย้อนอดีต แต่ผมกำลังรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมในอดีตเพราะมีใครบางคนทำให้จิตของผมรับรู้มัน ใช่ไหมครับ”


ท่านพยักหน้า


เคลียร์ไปหนึ่งประเด็น ยังเหลืออีกหนึ่ง


“แล้วตัวผมจริงๆ ตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้ว...ผมจะกลับไปได้ยังไงล่ะครับ”


คราวนี้นัยน์ตาฝ้าฟางคู่นั้นสบกับผมนิ่ง มันมีแววอาทรและเป็นห่วงเป็นใย


...แววตานั้นมากพอที่จะทำให้หัวใจของผมสั่นคลอนไปด้วยความหวาดกลัว...


“ตัวโยมอยู่ที่โรงพยาบาล แต่วิธีจะหลุดพ้นจากห้วงจิตนี้...อาตมาเองก็สุดจะรู้”


ผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง


...ผมกลัว ผมกำลังกลัว...


ร่างของพระชราตรงหน้าค่อยๆ จางลง


“จำไว้นะโยมมอส จิตของเราปรุงแต่งทุกอย่างที่เรารับรู้ ตอนนี้จิตใหม่ของโยมกำลังรับรู้เรื่องราวในชาติเก่า”


เสียงของท่านค่อยๆ เลือนราง


“ทุกสิ่งที่รับรู้ได้ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด”


ตัวท่านหายไปแล้ว ทิ้งท้ายไว้เพียงเสียงพูดแผ่วเบา


“แต่ความรู้สึกอันเป็นแก่นแท้นั้นเป็นของจริง”


ไม่เห็นจะเข้าใจเลย


...ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด...



 









ผมกำลังกังวล


“กร ถ้าไม่ไหวก็พักก่อนไหม”


ผมส่ายหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป มือทั้งสองข้างหยิบจับกระดาษซ่อนกันอย่างเชื่องช้า


...ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี...


“กร พอเถอะ พักได้แล้ว”


ถ้าเป็นอย่างที่หลวงลุงพูดจริง แสดงว่าผมไม่ได้ย้อนกลับมาในอดีต ผมยังไม่ตาย แล้วสิ่งที่ผมกำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้คืออะไร


“กร พอไง ผมบอกให้พอแล้ว”


ถ้าจำไม่ผิด หลวงลุงพูดประมาณว่ามีใครบางคนอยากให้ผมเห็นอดีตของตัวเอง


...ทำไมกันล่ะ...


“กร!”


ผมสะดุ้งโหยงทำให้กระดาษในมือร่วงกราวลงกับพื้น กระดาษทั้งกองประจัดกระจาดปะปนกับกองอื่นจนมั่วไปหมด


ไอ้หมอเอ๊ย


“ตะโกนทำไมล่ะหมอ อยู่กันแค่ตรงนี้เอง”


ยอมรับว่าหงุดหงิดมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าผมตอนนี้จะบอกบุญไม่รับแค่ไหน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้มีปฏิกิริยาไปในทางเดียวกันกับผมเลยสักนิด


เขากำลังทำสีหน้าเป็นห่วงใส่ผม


ฝ่ามืออุ่นใหญ่นั้นทาบลงบนแก้มผมอย่างแผ่วเบา


“เป็นอะไร”


เขาเอามืออีกข้างมาประคองแก้มผมไว้ไม่ต่างกัน


ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงเขินม้วนต้วน แต่ตอนนี้ยอมรับเลยว่าอารมณ์ไม่ดี มอสกลายร่างเป็นสายตีอย่างสมบูรณ์


ณ จุดๆ นี้ จะเปรม จะปีเตอร์ มอสก็พร้อมตีได้ทั้งนั้น


“เหนื่อยหรือ”


ผมทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย


“ยุ่งน่ะหมอ”


ทันใดนั้นฝ่ามือที่โอบแก้มผมไว้ทั้งสองข้างก็พลันเปลี่ยนเป็นดึงแก้มผมออกด้านข้างจนยืดย้วย


ประเด็นคือมันเจ็บโว้ย


“อ๋อ เอ็บ! (หมอเจ็บ!)”


ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ มือสองข้างของเขายิ่งดึงแก้มผมแรงขึ้นอีก


“อ๋อ! (หมอ!)”


“สมควรแล้วไหมล่ะ ดื้อไม่พอยังปากดี”


พอพูดจบเขาก็ปล่อยมือ


ถ้าหน้าเสียทรงจนต้องไปร้อยไหม จะกลับมาเรียกค่าเสียหายซะให้เข็ด


ผมทำหน้ามุ่ยใส่เขาแต่ก็ไม่ได้สะบัดหน้าหนีเมื่อฝ่ามือใหญ่นั้นลูบแก้มผมเบาๆ


“ขอโทษนะ เจ็บมากไหม”


หยิกเอง ขอโทษเอง ย้อนแย้งนะหมอนะ


...แต่ก็ไม่เถียงว่าหายหงุดหงิดขึ้นมานิดนึง...


เขาทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่าง


“หมอ”


เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘เรียกทำไม’


ผมจ้องนัยน์ตาของเขานิ่งแล้วเอ่ยปากช้าๆ


“หมอมีตัวตนจริงรึเปล่า”


เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจคำถาม


ก็ต้องไม่เข้าใจอยู่แล้ว ขนาดผมที่เป็นคนถามยังไม่เข้าใจเลย


มือสองข้างของผมวางแหมะลงบนบ่ากว้าง


“ก็จับตัวได้นี่ แสดงว่ามีอยู่จริงสินะ”


ผมว่าพลางหัวเราะ


...ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ฝืดฝืนเหลือเกิน...


ริมฝีปากหุบยิ้มลง ความคิดของผมลอยไปไกลแสนไกล


“ผมไม่เห็นจะเข้าใจอะไรเลย”


เพียงเท่านั้นร่างทั้งร่างของผมก็ถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดอบอุ่นของคนตรงหน้า


...อุ่นจัง...อุ่นจังเลย...


ผมซุกหน้าเข้ากับแผงอกของอีกฝ่าย สิ่งที่รับรู้ได้คือความอบอุ่นที่ล้นทะลักออกมา


ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างของผมสั่นแค่ไหน


ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามือสองข้างที่จิกลงบนเสื้อของเขาเครียดเกร็งแค่ไหน


สิ่งเดียวที่รู้คือ...ผมไม่ได้ร้องไห้


“ไม่เป็นไรนะ”


เขากระซิบ


“พี่อยู่กับกรตรงนี้แล้ว”


มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นลูบหัวผมเบาๆ


“ไม่ต้องกลัวนะ”


ผมหลับตานิ่ง ไม่ได้ตอบอะไรออกไป สิ่งเดียวที่อยากรับรู้ในตอนนี้คือความเข้มแข็งและอบอุ่นของคนตรงหน้าที่แผ่ออกมาให้


“อยากร้องก็ร้องได้นะ”


ผมส่ายหน้าช้าๆ


แล้วผมก็รับรู้ได้ถึงความอุ่นชื้นบางอย่างที่สัมผัสกับหัว


มันฝังแน่นแล้วก็ถอยไป แล้วก็กลับมาแนบชิดใหม่


“ผมหอมจัง”


น้ำเสียงแซ็วนั้นฟังดูรื่นหู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนพูดยิ้มกว้างแค่ไหน


...ไอ้คนฉวยโอกาสเอ๊ย...







***************************************************************************

มาอ่านกันเถอะ มาอ่านกันเถอะ

 :hao7: :hao7: :hao7:



หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งหลัง] (17/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-11-2017 18:47:24
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งหลัง] (17/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 17-11-2017 19:21:55
 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งหลัง] (17/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 17-11-2017 19:47:29
ถึงหมอจะเป็นพระรองแต่ก็ชอบหมอนะ อย่างน้อยหมอก็ไม่มีพันธะพร้อมรักกรได้เสมอ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งหลัง] (17/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 17-11-2017 19:52:35
อบอุ่นหัวใจ เจ็บจากคุณเปรม มีคุณหมอรักษาหัวใจก็ดีนะ นุ้งมอส
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 17 ประพันธ์ [ครึ่งหลัง] (17/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-11-2017 20:11:06
โอ๊ะ ใครนะอยากให้มอสรับรู้

แล้วที่พระท่านว่า
“ทุกสิ่งที่รับรู้ได้ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด”
"แต่ความรู้สึกอันเป็นแก่นแท้นั้นเป็นของจริง”
งง ตามมอสแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งแรก] (18/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 18-11-2017 17:47:17
บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งแรก]







เพราะมัวแต่ทำตัวอ่อนแอให้อีกฝ่ายปลอบใจ คนขี้ห่วงเลยกังวลจนเกินเหตุ


กว่าผมจะปลีกตัวออกมาจากคลินิกได้ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว พอนับรวมเวลาเดินทางไปด้วย อะไรต่อมิอะไรรอบด้านเลยถูกความมืดกลืนไปเสียหมด โชคยังดีที่ตามรายทางมีบ้านที่แขวนโคมไว้บ้าง จุดไต้ไว้บ้าง ทำให้การเดินทางกลับบ้านของผมไม่ลำบากมากนัก


เคยมีคนบอกเอาไว้ว่า ถ้าวันหนึ่งวิถีชีวิตของเราเปลี่ยนไปจากปกติ แสดงว่าวันนั้นจะเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติตามมาอีกเป็นหางว่าว


ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อนักหรอก แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ...


เสียงกรีดร้องสลับกับเสียงตะโกนดังมาจากทางบ้านของผม สองเท้าที่เดินเอื่อยเฉื่อยเมื่อครู่จึงเปลี่ยนเป็นถีบตัวออกวิ่ง ไม่นานนักภาพทิวทัศน์ที่คุ้นเคยก็ปรากฏในสายตา


แต่มีบางอย่างที่ผมไม่คุ้น


ชายรูปร่างกำยำหนึ่งคนยืนจังก้าอยู่หน้าบ้าน พอมองลอดเข้าไปจึงเห็นว่าในตัวบ้านมีชายรูปร่างคล้ายกันอยู่อีกสองคน คนหนึ่งกำลังจิกทึ้งผมของอาม้า ส่วนอีกคนกำลังซัดหมัดใส่ใครสักคน


ไม่อาป๊าก็คงเป็นอาเฮีย


ผมรีบแทรกตัวเข้าไปในบ้านจนคนเฝ้าหน้าบ้านคว้าไว้ไม่ทัน


“หยุดนะ!”


พวกมันสองคนหยุดมือแล้วหันมามองผมเป็นตาเดียว เพราะแบบนั้นผมจึงเห็นถนัดตาว่าคนที่โดนเตะเมื่อครู่คืออาเฮีย


ร่างที่เคยแข็งแรงนั้นบวมช้ำ แขนแกร่งที่เคยเป็นที่พึ่งพาให้คนอื่นกำลังกอดแน่นเพื่อปกป้องตัวเอง


...น่าสังเวชจริงๆ...


ผมหันหลังตัวเองเข้าหาผนังเพื่อไม่ให้โดนใครลอบทำร้ายจากด้านหลังแล้วกวาดตามองหน้าพวกมันทุกคน


“พวกคุณเป็นใคร มาทำแบบนี้กับคนในบ้านของผมได้อย่างไร”


ผมได้ยินเสียง ‘ฮึ’ จากคนที่ยืนเฝ้าหน้าบ้าน


ชายคนนั้นคลี่ยิ้มสมเพชใส่ผม


“มึงอย่าแส่เลยไอ้หนู เรื่องนี้พี่ชายมึงมันก่อไว้ แม่มึงเข้ามาห้ามเลยต้องสั่งสอนนิดหน่อย”


แล้วอาป๊าล่ะ อาป๊าอยู่ไหน


มันกระตุกยิ้มเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร


“ส่วนพ่อมึง มันเป็นลมล้มชักไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ป่านนี้นอนตายอยู่ในครัวแล้วกระมัง”


ใจผมหายวาบ


...ไม่จริงน้า...


ยังไม่ทันที่ผมจะได้ใคร่ครวญคิด ชายคนนั้นก็พยักหน้าให้สองคนที่เหลือเป็นสัญญาณให้ทำต่อ ผู้ชายที่อยู่ใกล้กับอาเฮียที่สุดก็เริ่มเตะอัดท้องอีกฝ่ายอีกครั้ง ในขณะที่อาม้าก็พยายามจะพนมมือร้องขอให้พวกเขาหยุดทำให้ผู้ชายอีกคนต้องทั้งผลัก ทั้งถีบเพื่อให้เธอหยุดส่งเสียงน่ารำคาญ


ไม่ไหวแล้ว


ผมปรี่เข้าไปผลักชายร่างใหญ่ที่กำลังทำร้ายอาม้าให้พ้นทาง มันเซไปเล็กน้อยและดูหัวเสีย แต่ก็ไม่ได้คิดจะเข้ามายุ่งยุ่มย่ามอะไรต่อ ตรงกันข้าม มันกลับเดินไปสมทบกับเพื่อนของมันในการรุมกระทืบอาเฮีย


บ้าไปแล้ว นี่มันบ้าไปแล้ว


“อาโซ้ยตี๋ ช่วยเฮียลื้อด้วยนะ ช่วยอาตั่วตี๋ด้วย”


เสียงอ้อนวอนปนสะอื้นได้นั้นแค่ฟังก็แทบขาดใจ ใบหน้าบวมช้ำจากการโดนทำร้ายนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา


เกินไปแล้ว นี่มันเกินไปแล้ว


“พอ! หยุด!”


พวกมันไม่คิดจะฟังผมเลยสักนิด


“ผมบอกให้หยุดไง!”


เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังผสมกับเสียงกรีดร้องของอาม้าทำให้ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป


“ไอ้พวกเหี้ยกูบอกให้หยุดไง!”


สิ้นคำพูดของผมทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบ


ทุกคนเหมือนจะหันมามองผมเป็นตาเดียว แต่ผมไม่คิดจะสนใจ คนเดียวที่ผมสนใจคือคนที่ยืนขวางอยู่ตรงประตูและดูมีท่าทีจะเป็นหัวหน้ามากที่สุด


ผมสบตากับเขานิ่ง


“พี่ผมไปทำอะไรไว้”


มันกระตุกยิ้ม


“จะให้กูบอกครอบครัวมึงไหมไอ้ชาติ ว่ามึงไปทำเลวระยำอะไรไว้”


ใบหน้าขึงขังนั้นยังจับจ้องอยู่ที่ผม แต่คำพูดที่เปล่งออกมากลับไม่ได้สื่อถึงผมเลยสักนิด


...ชาติเหรอ...


ผมหันไปมองคนที่นอนคู้อยู่กับพื้น ใบหน้านั้นแม้จะบวมจนผิดรูปหรืออาบไปด้วยเลือดมากแค่ไหน แต่สีหน้าตื่นตระหนกที่สื่ออกมานั้นก็ชัดเจนเหลือเกิน


เฮียของผมชื่อชาติ และคนชื่อชาติมีความผิดติดหลังอยู่


ผมหันกลับมาสบตากับชายคนนั้นอีกครั้ง


“ผมอยากรู้”


มันแสยะยิ้ม


“ก็พี่มึงไปเป็นชู้กับเมียของเจ้านายกูไง”


ความรู้สึกบางอย่างเอ่อแน่นขึ้นมาในใจ


“เห็นว่าเอาพลอยไปให้หล่อนด้วย พอนายกูจับได้เลยให้พวกกูสืบดู สืบไปสืบมาถึงรู้ว่าพลอยนั้นมันก็ไปขโมยเขามา พวกกูเลยไปบอกเจ้าของพลอย กะว่าจะให้มันโดนจับขังเสียให้เข็ด น่าเสียดาย...”


แววตาของมันที่ทอดมองมาที่ผมเปลี่ยนไปชั่วอึดใจก่อนจะกลับไปเป็นแววตาสมเพชเวทนาดังเดิม


เมื่อครู่คืออะไร


...เขา...เห็นใจผมเหรอ...


“มันมีครอบครัวที่ดีเกินไป”


มันละสายตาจากผมแล้วผินไปมองคนที่นอนกองอยู่กับพื้น


“คนเฒ่าคนแก่เขาว่ากันว่า ถ้าพ่อแม่มันดี ลูกก็จะดี ถ้าพี่น้องมันรักกัน มันก็จะดี ถ้าเกลอมันเป็นคนใฝ่เจริญ มันก็จะเจริญ สงสัยจะใช้ไม่ได้กับไอ้เหี้ยนี่แล้วกระมัง”


ใบหน้าดุดันนั้นหันกลับมามองผมอีกครั้ง


“วันนี้นายกูให้พวกกูมาสั่งสอนเพราะมันไม่ได้เข้าคุกอย่างที่ควรเป็น แต่ถ้ามันยังฝืนทำอีก คราหน้าจะไม่ใช่แค่สั่งสอน แต่มันจะได้กลายเป็นศพ มิมีผู้ใดพบอีกเลย”


พอพูดจบมันก็หันไปพยักหน้าให้อีกสองคนเป็นเชิงสั่งให้กลับ


ผมได้ยินเสียงอาม้าร้องไห้


ผมได้ยินเสียงอาม้ากรีดร้องราวกับจะขาดใจ


ผมได้ยิน ผมเข้าใจ ผมรับรู้มันทุกอย่าง


...รับรู้ว่าไอ้ตัวเหี้ยนี่เกิดมาเพื่อสร้างปัญหาเท่านั้น...


“เฮีย”


มันหันมามองผมก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมหัวเราะเงียบๆ ในใจ


ตอนทำล่ะไม่คิดจะกลัว


“เฮียมีปัญญาทำเรื่องดีๆ บ้างไหม”


นัยน์ตานั้นแข็งกร้าวขึ้นมาเล็กน้อย


ยัง มันยังไม่สำนึก


“คนอย่างเฮียนี่มัน...”


ผมฉีกยิ้ม


“หนักแผ่นดินจริงๆ”


“อาโซ้ยตี๋! ลื้อพูดจาแบบนี้ได้ยังไง”


เสียงของอาม้าร้องขัดขึ้นมาแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ ฝ่ามืออ่อนโยนนั้นประคองร่างของคนเจ็บให้ลุกขึ้นมานั่งอย่างเบามือ พออีกคนนั่งได้ก็เอาแต่ลูบหัวปลอบโยนไม่หยุด


ทั้งๆ ที่อาม้าเองก็หน้าบวม ตัวเขียวไปหมด


ทั้งๆ ที่อาม้าเองก็เจ็บแท้ๆ


ไม่ยุติธรรมเลย


ผมพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อสงบสติอารมณ์ ยังไม่ทันจะสงบดีก็ดันโดนสุมไฟเพิ่มขึ้นไปอีก


“อาโซ้ยตี๋ พักนี้ลื้อซี้ซั้วใหญ่แล้วนะ พูดจารู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่หน่อย”


อาป๊าที่เดินโขยกเขยกออกมาจากด้านในตำหนิผมเสียงแผ่วแต่ยังแฝงความดุดัน


เขาแกล้งเข้มแข็งไปอย่างนั้นล่ะ


ร่างผอมชรานั้นดูเจ็บปวดทุกย่างก้าว หว่างคิ้วที่ขมวดเข้าหากันทุกครั้งที่หายใจไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยสักนิด


อาป๊าเป็นอะไร


“ป๊าเป็นอะไร”


ผมถามออกไปอย่างใจคิด แต่มือเหี่ยวย่นนั้นโบกไปมาเป็นทำนองว่า ‘ไม่เป็นไร’ ก่อนจะหันมาสบตาผม


“ขอโทษเฮียลื้อเสีย”


ผมขมวดคิ้ว


ทำไม


...ทำไมผมต้องขอโทษ...


คงเพราะเห็นท่าทางดื้อดึงของผมเขาจึงพูดต่อ


“อาตั๋วตี๋เป็นพี่ ลื้อเป็นน้อง ตั่วแปลว่าหนึ่ง โซ้ยแปลว่าสุดท้อง ลื้อเป็นน้องก็ต้องเคารพพี่”


อยากจะหัวเราะให้ดังถึงดาวอังคาร


คนที่ได้รับการเคารพควรประกอบไปด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ พวกที่โตแต่ตัวบอกเลยว่า...


มอสไหว้ไม่ลง


“อาโซ้ยตี๋”


เสียงแหบพร่านั้นเอ่ยกดดันจนผมต้องยอมเพื่อให้ปัญหามันจบๆ


ผมยกมือไหว้แล้วผละออกมาโดยไม่สนใจเสียงที่ตะโกนตามหลังมา


จะดุด่าหรืออะไรก็ช่าง ผมพอแล้ว ไม่เอาด้วยแล้ว


ผมช่างเป็นน้องที่แย่จริงๆ...


...เพิ่งจะมาเข้าใจความรู้สึกของอาเจ้ก็ตอนนี้เอง...


 










สภาพของผมตอนนี้จะบอกว่าเป็นโจรสะกดรอยก็คงไม่ผิดนัก


หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อคืน ทันทีที่พระอาทิตย์สาดแสงต้อนรับวันใหม่ ผมก็รีบพุ่งตัวออกจากบ้านเพื่อไปหาคนๆ เดียวที่เข้าใจผมมากที่สุด เพราะแบบนั้นผมจึงมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้านหลังนี้พักใหญ่แล้ว


มันเป็นบ้านหลังใหญ่ มีรั้วรอบขอบชิด หนำซ้ำยังมีบริเวณกว้างขวางร่มรื่นยากจะมองเห็นด้านใน ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่ผมก็ยังพยายามเขย่งมองลอดรั้ว ทำทั้งที่รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร


อย่างน้อยก็สบายใจว่าได้พยายามทำอะไรสักอย่างล่ะนะ


“ไอ้หนุ่ม มาหาใครเหรอ”


เสียงร้องทักที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งโหยง


มาไม่ให้ซุ้มให้เสียงกันเลย


พอหันหลังไปจึงพบว่าคนที่เอ่ยทักก็คือชายชราคนหนึ่งในชุดเสื้อคอจีนสีขาวกับกางเกงแพรสีน้ำเงิน หลังของเขาค้อมลงเล็กน้อยแต่กลับดูมีอำนาจ น่าเคารพแปลกๆ ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าเขาจะชื่อ...


“โธ่ลุงอ่ำ ผมตกใจแทบตาย ขวัญหนีหมดแล้ว”


เขาคลี่ยิ้มใจดี


“ก็เห็นเอ็งมาทำตัวลับๆ ล่อๆ น่าสงสัยพิกล ข้าก็ต้องเข้ามาถามไถ่สิ”


ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยตอบเขาก็ยกมือขึ้นชี้หน้าผม


“นี่...เป็นพวกในวงดนตรีไทยใช่ไหม”


ยอมใจความจำของลุงแกจริงๆ


“ใช่จ้ะลุง จำได้ด้วยรึ เห็นหน้าผมประเดี๋ยวเดียวเอง”


เขาเอามือตบหน้าอกตัวเองสองสามครั้ง


“นี่ใคร นี่ลุงอ่ำ บ่าวของท่านเจ้าคุณอธิป จะมาทำตัวไร้ปัญญาเห็นจะไม่ได้”


ยอม ยอมลุงจริงๆ


“ว่าแต่วันนี้เอ็งมาทำอะไรล่ะ ไม่มีงานไม่ใช่รึ”


ในที่สุดลุงก็วกกลับมาเข้าประเด็นสักที


ผมก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงความเคารพยำเกรงคนตรงหน้า


แถวบ้านเรียกอยู่เป็นครับ


“ผมมาหาพี่สาวครับ พอดีที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อยเลยต้องมาแจ้งข่าวน่ะจ้ะ”


ใบหน้าเหี่ยวย่นนั่นเคลื่อนที่ขึ้นลงช้าๆ


“พี่สาวเอ็ง...ลูกคนจีนตรงแถวคลองบางลำพูใช่ไหม”


“ใช่จ้ะ”


เขาทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ผมเลยต้องช่วยเสริมแรงกระตุ้นความน่าเห็นใจ


“นะจ๊ะลุงอ่ำ ที่บ้านผมมีปัญหาจริงๆ อย่างไรเสียก็ต้องคุยกับพี่ให้ได้”


เขาตวัดสายตามองหน้าผมสลับกับพื้นดินด้านล่างก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่องช้า


“เอ้าๆ ตามมาๆ รีบคุยรีบกลับ โรงครัวจะได้ไม่วุ่นวาย”


นั่น ลูกอ้อนเท่านั้นที่ครองโลก


ลุงอ่ำเดินไปเปิดประตูบานเล็กสำหรับคนเดินเข้าออกแล้วนำผมเข้าไปข้างใน


บ้านของคุณเปรมเป็นบ้านที่มีบริเวณกว้างขวาง ตัวบ้านสร้างตามแบบตะวันตกผสมสถาปัตยกรรมไทยตั้งอยู่ตรงในกลางที่ดิน ในขณะที่โรงครัวและเรือนนอนบ่าวแยกออกมาทางทิศตะวันตก ส่วนบริเวณที่เหลือเป็นสวนทั้งหมด ในสวนใหญ่มีทั้งไม้ดอกไม้ประดับ มีทั้งดอกไม้ที่มีกลิ่นและไม่มีกลิ่น ตัดแต่งจัดวางอย่างสวยงามทำให้ดูร่มรื่นเย็นตาน่าอาศัย


ดูจากนอกโลกยังรู้เลยว่ามีอันจะกิน


ลุงอ่ำพาผมเดินลัดเลาะสวนไปเรื่อยๆ จนถึงโรงครัว ที่นั่นยังคงวุ่นวายและเสียงดัง แต่ก็นับว่าดีกว่าวันที่มีงานบุญอยู่มาก บ่าวมากมายรีบกินอาหารเพื่อไปทำงานต่อ หนึ่งในนั้นก็คืออาเจ้ของผมเอง


ผู้หญิงชาวไทยเชื้อสายจีนมีผิวพรรณที่เหลืองกว่าผู้หญิงไทยแท้ทั่วไป เมื่ออาเจ้มานั่งอยู่ท่ามกลางชาวไทยทั้งหมด ผิวขาวเหลืองของเธอจึงดูโดดเด่น มีเอกลักษณ์กว่าใคร ดวงตาชั้นเดียวรับกับรูปหน้าเรียวรูปไข่นั้นก็แตกต่างจากคนไทยทั่วไปไม่น้อย เธอแตกต่างจากทุกคน


...ผมเองก็แตกต่างจากทุกคน...


บ่าวหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในวงกินข้าวเดียวกับอาเจ้สะกิดเธอยิกๆ ก่อนจะชี้นิ้วมาทางผม ดวงตาคู่เรียวนั้นมองตามทิศทางที่นิ้วชี้มา ทันทีที่เห็นหน้าผมถนัดตา นัยน์ตาคู่สวยนั้นก็เบิกกว้างพร้อมๆ กับปากที่อ้าออกอย่างตกใจ


เธอตกตะลึงอยู่ไม่นานก็รีบกระโดดผลุงมาหาผมแทบจะทันที


แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะไหว้ลุงอ่ำซึ่งยืนอยู่ข้างผมด้วย


“เอ้า เจอกันแล้วก็ดี รีบคุย รีบกลับ เดี๋ยวข้าไปทำงานก่อน พวกเอ็งก็คุยกันไปแล้วกัน”


พวกเราพี่น้องยกมือไหว้ชายชราแทบจะพร้อมกัน เขาโบกมือเชิงว่า ‘ไม่เป็นไร’ แล้วเดินเชื่องช้าจากไป ทิ้งผมกับอาเจ้ไว้ในโรงครัวที่แสนวุ่นวาย


พวกเรายืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งอาเจ้ต้องเป็นคนเริ่มบทสนทนา


ผมยอมรับว่าไม่รู้จะเริ่มพูดมันออกมายังไงดี


“ไปหาที่เงียบๆ คุยกันไหม”


ผมส่ายหน้า


“อย่าเลย เดี๋ยวคนจะเอาเจ้ไปนินทาได้”


เธอถอนหายใจ


“ถ้าคนมันจะพูด มันก็พูดอยู่ดี มาเถอะ”


พอพูดจบ ร่างบอบบางนั้นก็หมุนตัวเดินนำผมไปที่ไหนสักแห่ง


ผมไม่รู้หรอกว่าอาเจ้จะพาผมไปไหน แต่สิ่งเดียวที่รู้คือผมเชื่อใจ


...ผมเชื่อใจอาเจ้มากกว่าใครทั้งหมด...


เธอพาผมเดินเข้ามาไกลพอสมควร ก่อนจะหยุดนิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ผมเงยหน้ามองกิ่งก้านของมันเล็กน้อยแล้วก็ต้องตกใจกับดอกไม้สีเหลืองอ่อนบานสะพรั่งเต็มต้น


...ดอกการเวก...


“ตกลงว่ามีอะไรรึ”


คำถามนั้นดึงสติผมกลับมา นัยน์ตาของเราสบกันอย่างมีนัยยะ


“เรื่องเฮียใช่ไหม”


แค่สบตาก็มากเกินพอแล้วจริงๆ


ผมพยักหน้านิ่มๆ ไม่รู้ว่าควรทำตัวแบบไหน ผมควรโกรธแต่นั่นก็ครอบครัว จะให้ทิ้งไปไม่ดูดำดูดีก็คงไม่ได้


“อีกแล้วเหรอ”


น้ำเสียงนิ่มหวานนั้นฟังดูเหนื่อยหน่ายใจ


ผมเองก็เหนื่อยหน่ายใจเหมือนกัน


“คนแบบนั้น จะเป็นตายอย่างไรเราปล่อยไปเสียมิได้รึ”


“เจ้ก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจ”


เพียงเท่านั้นคำพูดมากมายก็พรั่งพรูออกมา


“อั๊วไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องมาคอยรับผลการกระทำที่คนผู้นั้นก่ออยู่ไม่เว้นไม่ว่าง อั๊วเบื่อ เกินจะทนแล้ว คราวนี้มันไปก่อเรื่องอะไรมาอีกล่ะ อาป๊า อาม้าก็เข้าข้างมันอีกใช่ไหม แค่มันเป็นผู้ชาย มันก็ได้ทุกอย่าง”


ใบหน้างดงามนั้นบิดเบี้ยวผิดจากที่เคยเป็น


มันน่ากลัว ผมรู้สึกว่าเธอน่ากลัว


“ถ้ามันตายๆ ไปเสีย ชีวิตพวกเราคงดีกว่านี้”


...น่ากลัว....


เกิดอะไรขึ้นกับอาเจ้ของผม ทำไมเธอถึง...ไม่สิ บางที...


...ผมอาจจะไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอเลยด้วยซ้ำ...


“แล้วตกลงมาหาอั๊ววันนี้มีอะไร”


น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนนั้นแข็งกร้าว


...ผมกลัว...


...เพราะผมกลัวจึงเลือกที่จะส่ายหน้าออกไป...


“ก็เรื่องเดิมๆ นั่นล่ะ ไม่มีอะไรหรอก อั๊วแค่อยากถามว่าเจ้พอจะช่วยได้ไหม”


ใบหน้าสวยหวานนั้นดูถมึงทึงยิ่งกว่าเก่า ผมจึงต้องรีบพูดเสริม


“แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะเจ้ อั๊วหาได้”


พอผมพูดจบ ความโหดร้ายบนใบหน้าของเธอก็เจือจางลง


เธอเสตาหลบผมเล็กน้อย


“ตอนนี้คงไม่ได้ แต่หลังจากนี้ถ้าจะให้ช่วยอย่างไรก็บอกมาแล้วกัน”


ผมพยักหน้าเล็กน้อย


“ตามมาสิ จะไปส่ง”


ผมพยักหน้ารับ


การมาเยี่ยมคนที่ผมไว้ใจที่สุดไม่เห็นจะเป็นอย่างที่คิดเลยสักนิด สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครรักใครมากไปกว่าตัวเองอยู่ดี


พอคิดได้แบบนั้นคำพูดของชายฉกรรจ์เมื่อวานก็ผุดขึ้นมาในหัว


“คนเฒ่าคนแก่เขาว่ากันว่า ถ้าพ่อแม่มันดี ลูกก็จะดี ถ้าพี่น้องมันรักกัน มันก็จะดี ถ้าเกลอมันเป็นคนใฝ่เจริญ มันก็จะเจริญ สงสัยจะใช้ไม่ได้กับไอ้เหี้ยนี่แล้วกระมัง”


คำพูดของเขาเป็นจริง


เฮียไม่ได้มีพ่อแม่ที่ดี


พวกเราพี่น้องไม่ได้รักกัน


และเท่าที่จำความได้ เฮียไม่เคยมีเพื่อนเลยสักคน


สุดท้าย เฮียก็คือคนที่ไม่มีอะไรเลย เพราะแบบนั้นเขาเลยเติบโตมาไม่ดี


เพราะแบบนั้น...อาเจ้เลยเติบโตมาไม่ดี


แล้วกรวิกล่ะ? ก่อนที่ผมจะมาเขาเป็นคนแบบไหนกันนะ


“อั๊วส่งแค่ตรงนี้นะ”


ผมยกมือไหว้ลา


ประตูบ้านนั้นปิดลงแล้ว เหลือไว้เพียงผม ความว่างเปล่าและกำแพงบ้านสีขาวสะอาดตา


แย่จริงๆ



*************************************************************************************



หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งแรก] (18/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 19-11-2017 00:00:55
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งแรก] (18/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 19-11-2017 09:19:27
นุ้งมอสเป็นคนดีกว่าน้องกร รึว่าความดีพอๆ กัน เอ๊ะรึว่าน้องกรดีกว่า เอ๊ะรึว่า งงๆๆๆๆๆ รักนุ้งมอสนะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งหลัง] (19/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 19-11-2017 18:15:04
บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งหลัง]







“คุณคะ”


แล้วก็เป็นอีกครั้งที่มีเสียงร้องทักดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันกลับไปมองจึงพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือเด็กสาวที่งดงามราวกับนางฟ้าที่ผมเคยเจอในงานบุญ มันจะไม่มีอะไรน่าแปลกใจเลยถ้าคนที่อยู่ข้างกายของเธอไม่ใช่คนที่ผมคุ้นตา


...คุณเปรม...


ผมมองหน้าคุณเปรมเพียงอึดใจแล้วหลบตามามองหญิงสาวตรงหน้า


“มีอะไรหรือครับ”


เธออมยิ้มเล็กน้อย


“ฉันนึกว่าคุณจะมาใส่บาตรด้วย ก็เลยคิดว่าจะชวนเรียก แต่ดูแล้วฉันคงเข้าใจผิดไปเองกระมังคะ”


ใส่บาตร?


ผมเงยหน้ามองฟ้า


ป่านนี้น่ะนะ? พระแถวบ้านผมนี่จะฉันท์อีกรอบแล้วมั้ง


ผมได้ยินเสียงเธอหัวเราะคิกคัก


“พอดีคุณหญิงป้าท่านนิมนตร์พระมาใส่บาตรน่ะค่ะ น่าเสียดายที่ท่านไม่สบาย ฉันกับพี่เปรมจึงมาเป็นธุระให้”


...พี่เปรม...


คำๆ นี้มันโคตรแทงใจ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนที่มีสิทธิเรียกเขาว่า ‘พี่เปรม’ ไม่ใช่แค่ผม


ก็ดีแล้ว จะได้ตัดใจได้ง่ายๆ


“ฉันไม่กวนคุณดีกว่าค่ะ พระท่านก็จะมาแล้ว เชิญตามสบายเถิดค่ะ”


“ใส่บาตรด้วยกันไหมล่ะกร”


ทันทีที่สิ้นเสียงแว่วหวานนั้น อีกคนก็รีบพูดแทรกขึ้นมาราวกับกลัวว่าผมจะทำตามที่เธอบอกแล้วหายไปจริงๆ


ผมสบตากับเขานิ่ง นึกไว้ในใจอยู่แล้วว่าจะต้องปฏิเสธ แต่พระสามรูปที่เดินมาหยุดตรงหน้าพวกเราทำให้ผมไม่มีทางเลือก


คุณเปรมเดินไปหยิบถาดใส่กับข้าวมาถือไว้ เด็กสาวคนนั้นก็ใส่บาตรอย่างคล่องแคล่ว ไม่รู้เพราะความใจดีของเธอหรือเพราะคุณเปรมเอ่ยปากชวน ในถาดจึงเหลือขนมห่อใบตองอยู่สองห่อ คุณเปรมหยิบห่อหนึ่งใส่บาตรพระก่อนจะหันมาบังคับผมด้วยสายตา


เอาเถอะ ก็แค่ใส่บาตรเอง รีบใส่ จะได้รีบไปสักที


พอผมหยิบขนมห่อสุดท้ายใส่บาตร เสียงคาถาให้พรก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ พวกเราพนมมือรับพรกันสามคน น่าแปลกที่พวกเขาไม่มีบ่าวมาช่วยหยิบจับข้าวของ อาจจะเพราะไม่ถือตัวหรือรำคาญบ่าวก็สุดจะรู้


พอพระทั้งสามรูปเดินจากไป เด็กสาวคนนั้นก็หันมาคลี่ยิ้มบางให้ผมก่อนจะเดินนำกลับเข้าไปในบ้าน


เดินนำกลับเข้าไปพร้อมกับใครอีกคนที่กำลังจะเดินตามเธอไปต้อยๆ


ผมหลบสายตาจากภาพตรงหน้า ในใจวาดหวังให้พวกเขารีบๆ เดินเข้าไป ผมจะได้ไปเสียที


...น่าเสียดายที่หลายๆ ครั้งเรื่องบางเรื่องก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง...


คุณเปรมหยุดยืนตรงหน้าผม ใบหน้านั้นดูเคร่งขรึมผิดวิสัย


“ทำไมจึงไม่ตอบกลับจดหมาย”


ผมหลบตา


“ก็ลุงอ่ำบอกให้ผมเอาให้หมอปีเตอร์ ผมก็เอาไปให้แล้วไงครับ”


“โกหก”


“คุณเปรมรู้ได้อย่างไรหรือครับว่าผมโกหก”


ใบหน้าคมสันนั้นกระตุกยิ้ม


ไม่ใช่ยิ้มเอ็นดูหรือสุขใจอย่างทุกที มันเป็นรอยยิ้มแปลกๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้สื่อถึงความสุข


“ถ้าเธอเอาให้มันจริง ป่านนี้คงวิ่งโร่มาด่าทอเราถึงเรือนแล้ว”


ผมคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย จึงยกมือไหว้หวังเดินจากไป เสียแต่ว่าอีกคนคว้าข้อมือผมเอาไว้ก่อน


“ไม่ว่าน้องจะไม่ตอบพี่ด้วยเหตุผลอะไร แต่พี่ขอยืนยันว่าข้อความที่เขียนไปนั้นกลั้นมาจากใจจริง”


ผมกระตุกยิ้ม


เขากล้าพูดออกมาได้ยังไง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็อยู่กับคู่หมั้นแท้ๆ


“ครับ ผมจะจำไว้”


“กร”


เขาเรียกผมแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่ยังคงรักษาระยะห่างไว้ค่อนข้างมาก ทำให้การฟังคำพูดของเขายากลำบากเล็กน้อย


“พี่รักน้องเพียงคนเดียว แม่ชื่นก็เป็นเพียงคนที่แม่พี่หามาให้และ...”


“คุณต้องแต่งงานกับเขา”


นัยน์ตาคู่คมนั้นสบกับผมนิ่ง


“เราเป็นลูกชายคนเดียว”


ผมส่งเสียง ‘ฮึ’ ออกไป


“ครับ ผมเข้าใจว่ามันเป็นหน้าที่”


ผมกระชากมือตัวเองให้หลุดจากการจับกุมของเขา


“แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่ต้องไปเล่นชู้กับใคร”


ใบหน้าเขาเครียดขรึมขึ้นจนน่ากลัว


แต่ผมจำเป็นต้องสนใจเหรอ?


“พี่มันก็แค่คนเห็นแก่ตัว”


“กร!”


เขากระซิบลอดไรฟันอย่างขุ่นเคือง


แต่ผมรู้ สำหรับเขาภาพลักษณ์สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด


“เชิญพี่อยู่กับหน้าที่ของพี่ไปเถอะครับ ผมก็มีหน้าที่ของผมเหมือนกัน”


ผมค่อยๆ คลี่ยิ้ม


“ต่างคนต่างไปเถอะครับ”


พอพูดจบผมก็หันหลังให้เขา พอดีกับที่หยดน้ำตาหยดแรกร่วงหล่นลงมา


...แย่จัง ผมร้องไห้ให้เขาอีกแล้ว...

 










“พักนี้มีเรื่องอะไรรึเปล่า”


น้ำเสียงนั้นเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย


ผมส่ายหน้าเบาๆ แล้วจมจ่ออยู่กับความคิดของตัวเอง


ตอนนี้เองที่ผมเพิ่งจะตระหนักได้ว่าความผิดหวังทุกสิ่งทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาในวันนี้ไม่ใช่เพราะความผิดของใคร มันเป็นเพราะผม เป็นเพราะตัวผมเองที่คาดหวังมากเกินไป คิดว่าคนนั้นต้องเป็นอย่างนั้น คนนี้ต้องเป็นอย่างนี้ พอไม่ได้อย่างหวัง ก็เลยผิดหวัง


พอผิดหวัง เลยไม่สามารถที่จะฝากความหวังและความเชื่อใจเอาไว้ได้อีก


ผมรับรู้ว่าคุณเปรมเป็นคนใจดี อ่อนโยน เด็ดขาดและรักครอบครัวมากกว่าสิ่งใดในโลก ในวันที่เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อครอบครัว เขาจะทำมันโดยไม่ลังเล แต่ผมก็คาดหวังเอาไว้ลึกๆ ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับผมพอๆ กับครอบครัวของเขา


ซึ่งมันไม่จริง


ผมเคยคิดว่าอาเจ้เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน น่ารักสดใสและรักอาม้าไม่ต่างจากผม แต่วันนี้ผมกลับพบว่าทุกสิ่งที่ผมเคยเข้าใจเกี่ยวกับเธอมันผิดทั้งหมด ผมเคยคิดว่าตัวเองรู้จักเธอดีแต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่การคิดไปเอง อาเจ้ไม่ใช่คนใจดี เธอไม่ได้ต่างกันคนทั่วไป เธอเกลียดคนเป็น โกรธคนเป็น แค้นคนเป็น เธอก็แค่แค้นครอบครัวตัวเองเท่านั้น


...เท่านั้นจริงๆ...


ทุกคนรอบตัวผมล้วนถูกตั้งความหวังจากผมทั้งสิ้น ผมคาดหวังว่าอาม้าจะใจดี ผมคาดหวังว่าอาป๊าจะมีเหตุผลขึ้นมาบ้าง ผมวาดหวังไว้ว่าอาเจ้จะให้อภัยครอบครัวของตัวเองได้


ผมหวังว่าคุณเปรมจะแสดงความจริงใจให้ผมเห็นบ้าง


ผมหวัง ผมคาดหวัง ผมอยากให้ทุกคนที่รู้จักเป็นอย่างที่ผมคิด


แต่มีคนหนึ่งที่เป็นกรณียกเว้น...


ผมเหลือบตามองเขา


 “หมอมีด้านมืดบ้างไหมน่ะ”


“อะไรนะ”


เขาถามผมด้วยสีหน้างงปนตลกขบขัน รู้อยู่แก่ใจว่าคำถามมันคงแปลกหูน่าดู แต่ก็ไม่เห็นต้องทำหน้าตาตลกขนาดนั้นนี่นา


“อะไรกันเล่า เรียกถามแล้วมานั่งหัวเราะเองเสียอย่างนั้น”


ผมสบตาเขาทั้งที่ยังฉีกยิ้มกว้าง


“หมอมีนิสัยแย่ๆ บ้างไหม”


เขาหัวเราะร่วน


“ใครไม่มีนิสัยไม่ดีบ้างกัน”


“นั่นสินะ”


ผมตอบรับเขาไปแค่นั้นแล้วก้มหน้าลงทำงานต่อ


คำตอบก็สมเป็นเขาดี ผมไม่เคยคาดหวังอะไรในตัวเขามาก่อน คนๆ นี้เป็นคนเดียวที่ผมไม่เคยคาดหวังอะไรจากตัวเขาเลย เขาเจ้าเล่ห์ ขี้จับผิดและเข้าใจยากกว่าใคร เพราะแบบนั้นผมเลยไม่เคยวาดหวังว่าเขาจะเป็นคนดีหรือพึ่งพาได้ เป็นคนแปลกๆ ที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวสักเท่าไหร่


แต่ผมเองสิแปลก แปลกที่ดันรับกับความแปลกนี้ได้ แปลกที่ดันรู้สึกไปว่านิสัยเสียๆ พวกนั้นมันก็เหมาะกับตัวตนของเขาดี


สงสัยจะบ่มเพาะสกิลมาจากการมีแต่คนแปลกๆ มาคบค้าสมาคมด้วยล่ะมั้ง


“นิสัยเสียของผมน่ะมีอยู่เยอะเลยรู้ไหม”


จู่ๆ คนช่างพูดก็เอ่ยออกมา เรียกความสนใจให้ผมต้องหันไปมอง


ใบหน้าคมสันนั้นยังประดับยิ้มกว้าง


“เมื่อก่อนผมเป็นคนมุทะลุ เคยต่อยตีกับเปรมด้วย”


โห เห็นหงิมๆ แบบนี้ แต่เอาเข้าจริงก็สายตีนี่นา


“เรื่องอะไรเหรอหมอ”


เขาฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก


“เรื่องผู้ชายน่ะ”


ให้ตายสิ ไอ้พวกนี้นี่นะ


ผมพ่นลมหายใจอย่างขบขันออกมาแล้วส่ายหน้าเบาๆ


“ไม่กลัวโดนจับไปฆ่าเหรอหมอ”


เขายักไหล่


“ก็ไม่นะ แต่ผมลัพธ์จากคราวนั้นก็คือตัดออกจากกองมรดก สุดท้ายก็เลยกลายเป็นหมาหัวเน่า ไม่มีใครเอา”


แล้วทำไมถึงมาไทยล่ะ


นั่นเป็นคำถามที่ผมอยากถามออกไป แต่พอมาคิดอีกทีขืนถามออกไปคงไม่พ้นโดนด่าว่าสาระแน


แหม แต่ผมเองก็เป็นคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่ประมาณนึงด้วยสิ


เขาหันหลังให้ผม มือสองข้างวุ่นวายอยู่กับการหยิบจับอะไรบางอย่างที่ผมเองก็มองไม่เห็น


“สงสัยรึเปล่าว่าทำไมผมจึงเลือกเดินทางมาที่สยาม”


นั่น แม่นเป๊ะ บางครั้งผมก็สงสัยว่าเขาเดาได้หรือหน้าผมแสดงความกระเหี้ยนกระหือรืออยากรู้มากเกินไป


...น่ากลัวว่าจะเป็นอย่างหลัง...


เขาหันกลับมาสบตากับผมนิ่งด้วยใบหน้าที่ยังประดับด้วยรอยยิ้ม


เป็นรอยยิ้มแปลกๆ ดูกึ่งเย้ยหยัน กึ่งสมเพชชอบกล


“ผมก็มาเพื่อจะขัดขวางความรักของเปรมไงล่ะ”


เอ้า ไอ้หมอนี่เจ้าคิดเจ้าแค้นเนอะ ไม่เคยท่องบทแผ่เมตตา ไม่จองเวรแก่กันและกันล่ะสิ


...เดี๋ยวนะ ถ้าพูดแบบนี้ก็แสดงว่า...


“ที่หมอเกี้ยวผมก็เพราะหมั่นไส้คุณเปรมใช่ไหม”


เขาหันหลังให้ผมอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาหัวเราะเบาๆ


“ก็ส่วนหนึ่ง”


ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี สิ่งเดียวที่คิดออกคือผมกำลังรู้สึกขุ่นเคืองนิดหน่อย แต่ที่น่าตลกคือผมไม่ได้ผิดหวังเลยสักนิด ตลกที่ผมดันคิดขึ้นมาในใจว่า ‘คนแบบนี้ก็ต้องคิดแต่แรกแบบนี้อยู่แล้ว’


นี่สิที่เขาเรียกรู้เช่นเห็นชาติกันมาแต่ต้น


“แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ”


เขาเอ่ยขึ้นทั้งๆ ที่ยังหันหลังให้ผม


“ตอนนี้ไม่คิดอย่างนั้นแล้ว”


เอ...แต่การที่ผมไม่ผิดหวังในตัวเขา มันไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องเชื่อเขาเสียหน่อย


เพราะไม่คิดจะเชื่อ ผมจึงแสร้งพูดตลกขบขันกลับไป


“หมายความว่าตอนนี้ไม่คิดจะเกี้ยวผมแล้วใช่ไหมหมอ”


เขาหัวเราะแล้วหันมามองหน้าผมแว่บหนึ่งก่อนจะหันกลับไป


“ไม่คิดที่จะแข่งกับเปรมแล้วต่างหาก”


เขาค้อมตัวลงหยิบเอกสารจากตู้ชั้นล่าง


“เพราะตอนนี้ชอบไปจริงๆ แล้ว”


แหม นี่ก็กล้าพูดเนอะ


ผมกรอกตาใส่แผ่นหลังของอีกฝ่ายแล้วแสร้งทำน้ำเสียงเขินอาย


“ชอบผมจริงเหรอหมอ”


เขาหัวเราะคิกคัก


“จะให้พูดว่าชอบให้ได้เลยใช่ไหม”


พอพูดจบก็หมุนตัวกลับมาสบตาผม


“ใช่ ผมชอบกร”


โกหก


ความรู้สึกบางอย่างมันพวยพุ่งขึ้นมาจากในอก


คนโกหก


...ผมไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจคนโกหก...


“แต่ผมไม่ชอบหมอครับ”


สิ้นคำพูดของผม ใบหน้าสุขใจนั้นก็เปลี่ยนแทบไม่ทัน จากริมฝีปากที่เหยียดยิ้มกว้างกลับกลายเป็นหุบนิ่ง ดวงตาสีฟ้าสวยมีประกายหม่นหมอง


ผมเองก็เคยเรียนการแสดงมา เรื่องแค่นี้ทำไม่ยากหรอก


ใจจริงผมอยากตอกกลับเขามากกว่านี้อีกหน่อย แต่เอาเถอะ ไหนๆ เขาก็เป็นแหล่งรายได้ของผม อย่าไปมีเรื่องด้วยน่าจะดีกว่า อีกอย่าง...


...ผมเหนื่อยแล้ว...


พอคิดได้แบบนั้นก็เลยหันซ้ายหันขวาสำรวจรอบตัว


งานทุกอย่างที่ควรจะทำก็ทำไปหมดแล้ว ไม่น่าจะเหลืออะไรให้ทำแล้วมั้ง


“ผมกลับก่อนนะ”


น่าแปลกที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย เขาสบตาผมนิ่ง


“ผมพูดจริงนะ ที่ผมชอบกรน่ะ”


นั่น ยังไม่เลิก


“ครับ ทราบแล้วครับ”


ผมรับคำไปอย่างนั้นแล้วลุกขึ้นเดินไปใส่รองเท้าเตรียมเดินกลับบ้าน


แต่ก็ยังไม่วายไม่วางมีเสียงดังตามหลัง


“ผมพูดจากใจจริงนะ”


ผมหัวเราะในคอ


ถ้าหมอไม่หยุด งั้นผมก็จะไม่ถนอมน้ำใจอีกฝ่ายแล้วเหมือนกัน


ผมไม่ได้ผิดหวังในตัวเขา แต่ผมไม่ชอบคนโกหก


...ผมโกรธที่เขาโกหก...


“ไม่มีคนโกหกที่ไหนยอมรับว่าตัวเองโกหกหรอกครับ”


เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจแล้วดั้นด้นเถียงต่อ


“ผมไม่ได้โกหก ช่วงแรกผมอาจจะอยากเอาชนะเปรม แต่วันแรกที่เราเจอกันผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเปรมชอบคุณเพราะฉะนั้นถ้ากรจะเชื่อผะ...”


“พิสูจน์สิครับ”


เขาชะงักไป


ในเมื่อเขาอยากให้ผมเชื่อ ผมก็จะให้โอกาสเขา


“คำพูดของคนที่ไม่ทำอะไรให้เห็นมันไม่มีค่าหรอกครับ”


ผมสบตาเขาแล้วคลี่ยิ้มบาง


“ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนนะครับหมอ”


ในเมื่อคนตรงหน้าอยากให้ผมเชื่อ เขาก็ต้องเป็นคนก่อร่างสร้างความไว้ใจที่พังทลายลงไปขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเขาเอง


ผมให้โอกาสแล้ว แต่คนที่จะสานต่อก็คือเขา


ผมใส่รองเท้าเสร็จแล้ว เขาเองก็ได้แต่ยืนมองตาละห้อยจากตรงนั้น


ดูๆ ไปก็น่ารักดี


“พยายามเข้านะหมอ จริงใจเข้าไว้ ผมจะรอดู”


ผมยอมรับในตัวตนของเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าผมต้องเชื่อว่าเขาชอบผม เอาเข้าจริงก็คิดไว้แต่แรกอยู่แล้วว่าเขารุกหนักมากเกินไปจนผิดสังเกต พอมารู้ความจริงทีหลังเลยไม่ได้ตะขิดตะขวงใจอะไร แต่ไอ้เรื่องที่ยังดันทุรังบอกว่าชอบผมนี่รับไม่ได้จริงๆ


อยากเอาชนะเพื่อนก็ต้องบอกว่าอยากเอาชนะเพื่อนสิ


แต่เอ...ท่าทางเมื่อครู่ของเขาก็ดูจริงจังอยู่นะ


หรือเขาจะพูดจริง?


ใครจะรู้ล่ะ ถ้าอยากให้เชื่อ เขาก็ต้องเป็นคนพิสูจน์มันให้ผมเห็นเอง


แต่คนพรรค์นั้น จะไปได้สักกี่น้ำนะ


พอคิดแบบนั้นผมเลยหัวเราะเบาๆ ให้ตัวเองแล้วก็เดินจากมา





********************************************************************************************************
หนูกรของเรากำลังเข้าสู่นิยามที่ว่าเมื่อคนเราผิดหวังบ่อยเข้า เราก็จะไม่สามารถคาดหวังหรือเชื่อใจใครได้อีกเลย มาเป็นกำลังใจให้หนูกรของเรากันน้า
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งหลัง] (19/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-11-2017 18:32:42
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งหลัง] (19/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: DarknLight ที่ 19-11-2017 20:38:18
บางทีมันก็หนัก ๆ เหนื่อย ๆ เนอะ กร[มอส]
ที่ต้องแบกรับภาระ ที่ต้องคาดหวัง ตั้งความหวังไว้กับคนอื่น
สุดท้ายก็เป็นเราเองที่รู้สึกคนเดียว
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งหลัง] (19/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 19-11-2017 22:44:20
คุณเปรมไปเรียกมอสให้ระลึกชาติได้แน่เลย แต่ทำให้มอสเข้าใจว่าตัวเองเป็นกร ใช้ชีวิตอยู่ในยุคนั้น  เดากันต่อค่ะ แล้วทีนน่าจะเป็นคุณเปรมกลับชาติมาเกิดเพราะดูแล้วรักมอสแน่ๆ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งแรก] (20/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 20-11-2017 17:23:28
บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งแรก]








หลังจากวันนั้นผมก็แทบไม่เจอคุณเปรมอีกเลย ได้ยินคนในวงดนตรีไทยพูดประมาณว่าเขากำลังเตรียมตัวจะตบแต่งเข้าเป็นเขยของบ้านคุณพระมิ่ง อีกทั้งหน้าที่การงานก็กำลังไปได้เร็วกว่าคนในวัยเดียวกัน อีกไม่นานคงได้รับตำแหน่งเจ้าพระยาไม่ต่างจากผู้เป็นบิดา ทุกเสียงที่พูดถึงเขาล้วนเป็นเสียงแห่งความชื่นชมยินดี บ้างก็ชมว่าเก่ง บ้างก็ชมว่าเกิดมาเพียบพร้อมสมเป็นผู้มีบุญ


ดีแล้ว คงสมใจเขาแล้ว เขากำลังมีชีวิตที่ผาสุก ประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน ทำให้พ่อแม่ภูมิใจอย่างที่เขาอยากให้มันเป็นมาตลอด


“ไอ้กร”


...ดีแล้ว...


“ไอ้กร!”


เสียงตะโกนของครูบุญทำให้ผมสะดุ้งโหยงจนทุกคนพากันหัวเราะร่วน


“โธ่ครู ตะโกนทำไมเล่า อยู่ใกล้กันเพียงนี้”


ครูบุญเอาไม้เรียวเคาะหัวผมไปหนึ่งที


เจ็บเอาเรื่องอยู่นะ


“ใครสั่งใครสอนให้จับคันซอแน่นอย่างนั้น หากหักไป พังไปจะทำอย่างไร”


ไม่ว่าเปล่ายังเอาไม้เรียวตีหลังมือผมไปอีกหนึ่งที


ตีอย่างกับมีโปรลดแลกแจกแถมเลยนะครู


“แล้วนี่เกลอเอ็งไปไหนเสียล่ะ”


ผมขมวดคิ้วให้กับคำถามก่อนจะถึงบางอ้อ


“ไม่รู้มันสิครู พักนี้ไม่ค่อยเจอเลย”


ทุกคำที่พูดไปเป็นความสัตย์จริงครับ ช่วงนี้ไอ้มั่นหายหัวไปยิ่งกว่าเก่า เจอกันคราวล่าสุดก็เมื่อสองวันที่แล้วเห็นจะได้ ถ้าจำไม่ผิดเห็นบอกว่าพ่อมันได้งานก่อนสร้างที่ใหม่มา ทำให้มันต้องไปช่วยหรืออะไรทำนองนี้ สรุปอย่างง่ายๆ คือมันไม่ว่าง และจะไม่ว่างไปอีกสักพักใหญ่ๆ


...เหงาจัง...


คนเดียวที่ผมพอจะเชื่อใจได้ในตอนนี้ก็คือไอ้มั่น จู่ๆ มันหายไปแบบนี้ ผมเลยยิ่งแย่


แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้บ่นอะไรมากไปกว่านั้น เสียงอึกทึกครึกโครมก็พลันดังมาจากบริเวณบันได เสียงนั้นดังชนิดที่สามารถดึงให้พวกเราทุกคนหันไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียว


...ไม่รู้ทำไม ผมถึงพอจะเดาได้ว่าคนทำเสียงนี้เป็นใคร...


ไม่นานนักก็มีร่างสูงกำยำโผล่พ้นพื้นบ้านมาให้เห็นและนั่นก็ช่วยยืนยันว่าความคิดผมถูกต้อง


...ไอ้มั่นในสภาพเหงื่อท่วมตัวและตื่นเต้นเกินเหตุ...


มันไปทำอะไรมาล่ะนั่น


พอทุกคนเห็นว่าเป็นไอ้มั่นก็พากันหัวเราะแล้วส่ายหน้าอย่างระอา


รวมถึงผมด้วย ถึงไอ้มั่นจะเป็นผู้ชายห่ามๆ มุทะลุและไร้ซึ่งความละเอียดอ่อน แต่โดยพื้นฐานที่เป็นคนขี้เกรงใจ มีสัมมาคารวะและเข้ากับคนง่าย มันจึงกลายเป็นที่รักที่เอ็นดูของคนทั้งวง แม้บางครั้งบางคราวจะทำผิดทำพลาดไปบ้างก็ไม่มีใครคิดจะถือสาหาความกับมันอย่างจริงจัง


แม้แต่ครูบุญก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย


“เอ้าไอ้มั่น ค่อยๆ จะวิ่งมาทำไม ค่อยๆ เดิน”


โลกนี้ไม่ยุติธรรมครับ ถ้าคนที่ทำเป็นผมป่านนี้โดนฟาดขาลายไปแล้ว ในขณะที่มันแค่ยกมือไหว้ขอโทษขอโพยครูบุญนิดหน่อย ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนใบหน้าดุดันเป็นเอ็นดู


มอสล่ะหมั่นไส้


ทันทีที่ไอ้ตัวสูงเห็นผม มันก็รีบปรี่ตรงมาแทบจะทันที


รีบอะไรขนาดนั้นน่ะ


“ไอ้กร เอ็งรู้เรื่องพี่สาวเอ็งรึยัง”


น้ำเสียงของมันมีเสียงหอบปนอยู่นิดหน่อย แต่ที่เด่นชัดความคือความตื่นตระหนก


ผมขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกไม่ดีชอบกล


“ทำไม มีอะไรเกิดขึ้นรึ”


มันหันซ้ายหันขวาเลิ่กลั่กแล้วลดระดับเสียงลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบ


“ก็พี่พลอยของเอ็งมันหนีไปกับผู้ชายน่ะสิ”


“ฮะ!?”


“ชู่ เบาๆ”


เสียงตะโกนของผมทำให้ทุกคนหันมามองจนไอ้มั่นต้องหันไปยิ้มแห้งๆ รับหน้าแล้วหันมาเอ็ดผมแทน


แต่นั่นมันไม่สำคัญเลยสักนิดเทียบกับสิ่งที่มันพูดเมื่อกี้นี้


“เอ็งหมายความว่าอย่างไร”


ลมหายใจของมันเริ่มกลับเป็นปกติ นัยน์ตาคมนั้นมองผมอย่างเห็นใจ


“ก็ข้าไปทำงานกับพ่อแล้วบังเอิญไปได้ยินนายช่างใหญ่พูดว่าบ่าวบ้านเจ้าคุณอธิปหนีไปกับคนงานก่อสร้างที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ครานี้ข้าเลยเอะใจ ก็เลยลองไปเลียบๆ เคียงๆ ถามบ่าวในบ้านท่านเจ้าคุณอธิปดู”


มันเว้นจังหวะหายใจ


“ปรากฏว่าเป็นพี่สาวเอ็งว่ะเกลอ”


หัวสมองผมขาวโพลน


ไม่จริง ใครก็ได้บอกผมทีว่าไม่จริง


“มึงแน่ใจได้อย่างไร”


ผมรู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่น คงเพราะแบบนั้นไอ้มั่นจึงเอามือมาตบบ่าผมอย่างให้กำลังใจ


“ข้าถามย้ำแล้วย้ำอีกว่าใช่พี่พลอยหรือไม่ ขอเข้าไปพบก็แล้ว ปรากฏว่าเป็นพี่เอ็งจริงๆ”


ผมกลืนก้อนบางอย่างที่จุกอยู่ในคอลงไป ในหัวของผมว่างเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะพูดหรือทำอะไรต่อ


ถ้าไม่มีอาเจ้ก็หมายความว่ารายได้ในบ้านจะมาจากเพียงผม งานก่อสร้างของอาป๊าและการขายขนมของอาม้า ช่วงนี้อาป๊าคงทำงานได้ไม่มากนักเพราะสุขภาพแย่ลงทุกวัน อาม้าเองก็เช่นกัน เฮียนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะพึ่งพาอะไรไม่ได้อยู่แล้ว


...สำคัญกว่าเรื่องเงิน ผมกำลังสงสัยว่าถ้าทุกคนรู้เรื่องนี้แล้วจะทำหน้ายังไงกันนะ...


...อาป๊าจะดีใจหรือเสียใจกันแน่...


ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วสบตาไอ้มั่น


“ขอบใจมึงมากนะที่อุตส่าห์มาบอกกู”


มันพยักหน้ารับแล้วบีบไหล่ผมแรงขึ้นอีกหน่อย


“ไปบอกพ่อบอกแม่มึงเสียนะ ส่วนที่ชาวบ้านมันเอามาพูดกันก็ช่างมันเถิด ไม่จำเป็นต้องไปฟังกระไรให้มากความ”


ผมพยักหน้ารับ หากในใจกลับเห็นต่าง


ไอ้เรื่องเงินทองมันไม่ใช่เรื่องใหญ่นักหรอก ที่น่ากลัวคือคำคนต่างหาก คำพูดของคนที่คอยพูดย้ำถึงความผิดพลาด วนไป วนมา นับร้อยๆ ครั้ง ตัวผมน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่คนอื่นล่ะ


...อาม้าจะทนได้รึเปล่า...


 









หลังจากมั่นบอกเรื่องนั้นกับผม ผมก็แทบไม่มีสมาธิจะทำอะไรต่อ โน้ตทุกตัวที่ถูกสี คำทุกคำที่ถูกขับร้อง มันเละเทะไปหมด ผิดคีย์บ้าง ผิดช่องจังหวะบ้างจนครูบุญต้องออกไปไล่ให้ผมไปพักผ่อนเสีย พอรู้ตัวอีกทีผมก็ขอครูบุญกลับบ้านเสียแล้ว


แล้วยังไงต่อล่ะ?


ผมก็ทำได้แค่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงปากซอย ในหัวมันมีแต่ความวุ่นวาย จะบอกอาม้ายังไง จะบอกอาป๊าว่าอะไร จะใช้คำพูดไหน จะเริ่มตอนไหน จะเกริ่นนำว่ายังไง


...คิดยังไงก็คิดไม่ออก...


ในขณะที่ผมกำลังยืนหมุนไปหมุนมาอยู่นั้นเองที่สายตาไปปะทะเข้ากับรถม้ากับสารถีคุ้นหน้าคุ้นตา


หรือว่า...


สิ้นความคิดในหัว ผมถีบตัวเองให้ออกวิ่งฝ่าฝูงชนที่เดินจับจ่ายซื้อของกันในตลาด เพียงไม่นานผมก็มาถึงสถานที่ที่แสนคุ้นเคยในตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ด้านหน้าตึกเก่าซ่อมซ่อมีชายหนุ่มร่างสูงที่แสนคุ้นตา


...คุณเปรม...


เขายังคงดูดีหัวจรดเท้า กริยามารยาทท่วงท่าสง่างามไปทุกกระเบียดนิ้วไม่มีเปลี่ยน ใบหน้าคมสันนั้นยังคงดูใจดีและมีเมตตา เขาฉีกยิ้มเล็กน้อยให้กับคนที่อยู่ตรงข้าม ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยทักใคร คู่สนทนาของเขาก็พลันเหลือบมาเห็นผมเสียก่อน


“อ้าว พูดถึงก็มาเลย กลับไวจริงเทียว”


อาม้าพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนปกติ


หรือจะยังไม่รู้?


ร่างสูงโปร่งนั้นเหลือบมามองผมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปหาอาม้า


“ในเมื่อเขามาแล้ว เช่นนั้นเราขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”


แผ่นหลังกว้างนั้นเหยียดตรง ดูสง่าผ่าเผย น่าเกรงขามและ...


...น่าหลงใหล...


ให้ตายสิ นี่ผมเป็นคนหรือวัวนะ เจ็บไม่จำจริงๆ


เขาทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย


“เรามีข่าวไม่ใคร่จะดีนักมาแจ้ง”


ไม่นะ อย่าบอกอาม้านะ


“ลูกสาวของคุณ...”


“อาเจ้ผมไม่สบายหรือครับ”


การขัดจังหวะทะลุขึ้นกลางปล้องแบบนี้คงไม่แคล้วโดนด่าว่าไม่มีมารยาท แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมว่าอาม้ายังไม่พร้อมจะรู้เรื่องนี้


...หรืออาจจะเป็นผมเองที่ยังยอมรับมันไม่ได้...


“พลอยไม่สบายหรือคะ”


น้ำเสียงตื่นตระหนกของอาม้าทำให้เขาหันมาขมวดคิ้วยุ่งใส่ผมเป็นเชิงตำหนิ


“อย่าพูดขัดขึ้นมากลางบทสนทนา มันเสียมารยาท”


เขาเอ็ดผมเสียงเข้ม


แล้วยังไงล่ะ ถ้าเขาพูดไปแล้วเกิดอะไรขึ้นคนที่รับเคราะห์ก็ไม่ใช่เขาเสียหน่อย


สงสัยผมจะแสดงสีหน้าไม่สู้ดีมากไปหน่อย เขาจึงยอมผ่อนปรนลง


“คราวหลังอย่าทำอีก”


ผมพยักหน้ารับ ใจไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาแล้ว แค่พูดก็ไม่อยาก แต่เพราะเรื่องของอาเจ้เลยต้องมาเจอกันอีกจนได้


ไม่รู้ไปทำเวรทำกรรมอะไรกันไว้


พอเขาดุผมเสร็จก็หันกลับไปหาอาม้าอีกครั้ง


“ไม่ใช่หรอกครับ เธอไม่ได้ป่วยไข้กระไร เพียงแต่...”


เขาเว้ยจังหวะอย่างจงใจคอยดูว่าผมจะขัดขึ้นอีกหรือไม่


ผมรู้ว่าถ้าผมทำมันก็คงจะยืดเวลาได้อีกหน่อย แต่นั่นคงทำให้ผมกลายเป็นเด็กไร้มารยาทโดยสมบูรณ์ในสายตาเขา


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในใจลึกๆ แล้วมันก็ยังมีที่ให้เขาอยู่...เยอะทีเดียว


...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขาชมมากกว่า...


พอเห็นว่าผมเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี ริมฝีปากสวยนั้นก็คลี่ยิ้มบางเพียงอึดใจ


“เธอหนีไปกับผู้ชายน่ะครับ”


“ว่ากระไรนะคะ!”


...เขาพูดไปแล้ว...


...เขาพูดออกไปแล้ว...






*************************************************************************





หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งแรก] (20/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 20-11-2017 17:45:25
เจอแต่เรื่องยุ่งๆ นุ๊ นุ้งมอส ฉู้ๆ คนอ่านให้กำลังใจอยู่ในโลกปัจจุบันเน้อ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งแรก] (20/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-11-2017 17:54:11
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งแรก] (20/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 20-11-2017 22:50:46
คุณเปรมแลดูนิสัยไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งแรก] (20/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 20-11-2017 23:57:27
สงสารน้องมอสสสสสสส ต้องมาเจอแต่เรื่องปวดจิต
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งแรก] (20/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 21-11-2017 00:02:42
คุณเแรมต้องวางแผนอะไรไว้แน่ๆไม่งั้นไม่มาถึงบ้านหรอก
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งแรก] (20/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-11-2017 06:15:16
ครอบครัวกร เจอแต่เรื่องร้ายๆ
การที่พลอยหนีไปกับผู้ชายเป็นเรื่องใหญ่โตมาก
แต่เฮีย ที่เป็นขโมย เป็นชู้กับเมียนาย เรื่องก็ใหญ่พอกัน
มันคนละด้านกันเลยระหว่างกับลูกชาย ลูกสาวเลย

ป๊า ม้า ก็รักลูกแบบจีนหัวเก่าที่ผู้ชายเป็นใหญ่
เข้มงวดกับลำดับอาวุโส ยกลูกชายไว้สูง กดลูกสาวไว้ต่ำ
พี่ไม่ดี ทำตัวเลวมากกก แต่ให้น้องที่ทำตัวดี เคารพต่อไป
มอสจะแก้ไขปัญหายังไง

แต่คุณเปรม ที่เตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าว
มาแจ้งข่าวร้ายๆแบบนี้ หวังอะไร คิดอะไร มีแผนอะไร  :hao3:
อยากอ่านต่ออีกแล้ว  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งหลัง] (21/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 21-11-2017 18:36:05
บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งหลัง]





ปฏิกิริยาของอาม้าไม่ได้เหนือความคาดหมายของผมนัก ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นดูตกใจอย่างรุนแรง ริมฝีปากสั่นระริก นัยน์ตาสองข้างเบิกโพล่งก่อนที่น้ำตาหยดแรกจะหลั่งออกมา


ผมรีบวิ่งอ้อมไปประคองอาม้านั่งลงบนแคร่ พอท่านมาอยู่ในอ้อมแขนของผมจึงได้รู้ว่าร่างแก่ชรานี้อ่อนแอแค่ไหน


เนื้อตัวที่สั่นเทิ้มในอ้อมกอดของผม


น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่ไหลออกมาทั้งที่ไม่มีเสียงสะอื้น


ท่านคู้ตัวลงเล็กน้อยแล้วก็สะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร


ผมกลืนก้อนบางอย่างในคอลงไปแล้วหันไปสบตากับคนแจ้งข่าว


ผมรู้ว่าเราหนีความจริงไม่ได้ แต่...แต่...แต่อะไรล่ะ เขาทำผิดตรงไหนกัน ถ้าจะหาคนผิดสักคน ก็คงเป็นอาเจ้ของผมนี่แหละ


เธอทำได้ยังไงกันนะ เธอทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังแบบนี้ได้ยังไง พอคิดแบบนั้น ความคิดชั่วร้ายบางอย่างก็แว่บเข้ามาในหัว


...เป็นความสงสัยที่ชั่วร้าย...


เธอเคยรักพวกเราบ้างไหม พวกเรา...


....เคยสำคัญสำหรับเธอบ้างไหม...


ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบั่นทอนจิตใจพวกนั้นแล้วหันไปสบตาคุณเปรม


“คุณคงไม่ได้มาเพื่อแจ้งข่าวอย่างเดียวกระมัง”


เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ท่าทางนั้นทำให้ผมลอบถอนหายใจเงียบๆ


...ถอนหายใจเพราะพอจะเดาได้ว่าทำไมอีกคนถึงมายืนอยู่ตรงนี้..


“พี่สาวผมคงเอาเงินค่าจ้างล่วงหน้าไปเท่าไหร่”


เขาจ้องผมค้างอยู่อึดใจก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก


“มิน่าเล่า ปีเตอร์จึงถูกใจเธอนัก”


คำพูดของเขาทำให้ใจผมเต้นตุบๆ แต่ไม่ใช่เพราะอาการใจเต้นด้วยความดีใจ


ผมกำลังโกรธ และเพราะโกรธ ผมจึงอยากประชดประชันมากกว่าปกติ


“ครับ ผมก็ ‘ถูกใจ’ เขามากทีเดียว”


พูดออกไปเพียงเท่านั้น ใบหน้าสุขใจกึ่งเย้ยหยันเมื่อครู่ก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดถมึงทึง


ฮึ สมช่างประชดนัก โดนเองเสียบ้างจะได้รู้สึก


“ก็ดี”


เขายกมือขึ้นกอดอก


“แล้วเรื่องเงินที่พี่สาวเธอเอาไปแล้วทั้งที่ยังไม่ได้ทำงานให้จะชดเชยกลับอย่างไรรึ”


ฉิบหาย ไอ้คนหน้าเลือดเอ๊ย


เขาจ้องเขาเขม็ง


“ไม่ทราบว่าพี่สาวผมเอาเงินไปเท่าไรหรือครับ”


เขาทำทีเป็นครุ่นคิด แต่ผมรู้ดีว่าท่าทางพวกนั้นมันเสแสร้ง


ไอ้คนเสแสร้ง


“ราวยี่สิบบาทเห็นจะได้”


เออ เอาสิ ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรกเสียแล้ว


“ผมจะหามาใช้คืนให้เร็วที่สุดแล้วกัน”


ผมได้ยินเสียง ‘ฮึ’ ในคอของเขา


“เราได้ข่าวมาว่าเธอต้องใช้หนี้ที่พี่ชายเธอไปก่อไว้ด้วยมิใช่รึ”


อ้าว ขี้เผือกนี่เราน่ะ


“รู้ดีจริงนะครับ”


“กร”


เขาเรียกชื่อผมเสียงเข้ม ในขณะที่ผมก็ทำเพียงลูบหลังปลอบอาม้าแล้วเมินเขาเสียดื้อๆ


เออ เมินกันตรงๆ แบบนี้นี่แหละ


“แล้วตกลงจะชดใช้อย่างไร”


ไอ้นี่ก็หน้าเลือดจังโว้ย


...ไม่หรอก ผมรู้ดี เขาแค่อยากเอาชนะผมเท่านั้นล่ะ...


คราวนี้ผมกอดอกกลับบ้าง


“แล้วคุณจะให้ทำอย่างไรเล่า ในเมื่อจะชดใช้เป็นเงินคุณก็ไม่ยอม”


“ถ้าชดใช้เป็นเงินจริงจะหามาใช้ทันรึ”


“ก็ให้เวลาผมหน่อยสิ”


“ทำไมเราต้องให้ด้วยเล่า”


“คุณเปรม!”


ไอ้นี่มันวอนแล้วครับ กวนส้นเกินไปแล้ว ไอ้ผู้ดีแต่เปลือกเอ๊ย


“อาโซ้ยตี๋พอเถอะ”


ยังไม่ทันที่ผมจะได้ลับฝีปากกับอีกคนต่อ อาม้าก็เอื้อมมือมาจับแขนผมเบาๆ มือข้างนั้นดูอ่อนล้าแต่ก็พยายามจะฝืนเคลื่อนที่ออกมา


อาม้ากำลังฝืนตัวเองอีกแล้ว


ท่านเงยหน้ามองคุณเปรมพลาง ปาดน้ำตาไปพลาง


“เช่นนั้นให้ฉันเข้าไปทำงานแทนลูกสาวนะคะ”


“ไม่ได้นะม้า!”


ผมรีบปรามเสียงหลง ถ้าม้าไป ใครจะดูแลร้าน แบบนั้นก็เท่ากับบ้านเราจะขาดรายได้ไปอีกทาง ไหนจะหนี้ของเฮียที่ต้องใช้เขาก็กระชั้นชิดเข้ามาทุกวัน


“แล้วลื้อมีเงินมาจ่ายอีรึ”


...


...บ้าเอ๊ย...


ผมถอนหายใจแล้วหันหน้าหนี


ก็ถูกของอาม้า นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว


...ไม่สิ...มันยังมีอีกทางนี่นา...


“ให้อั๊วไปทำแทนไหม”


ท่านหันขวับมามองผมแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่


ทำไมล่ะนั่น


“เด็กผู้ชายเข้าครัวรึ นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก”


อ้าว ม้า ไม่รู้จักฉายาเทพมอสเอ คหกรรมเสียแล้ว


“แต่ถ้าม้าไปทำงานให้คุณเขา เราจะหาเงินมาใช้หนี้ไม่ทันเอานะ”


สิ้นคำพูดของผมอาม้าก็นิ่งไป นั่นเปิดโอกาสให้ผมโน้มน้าวเธอต่อ


“อั๊วไปทำงานให้คุณเขาสลับกับที่โรงหมอก็ได้”


“โรงครัวต้องทำงานทุกวันนะ”


เสียงของบุคคลที่สามแทรกขึ้นมาก่อนที่อาม้าจะได้ตอบ ท่าจึงทำเพียงรับฟังแล้วเม้มปากเงียบไป


นั่น ไหนใครบอกว่าคนพูดทะลุกลางปล้องมันไร้มารยาทไง


ผมหันไปหาอีกคนแล้วกระตุกยิ้มสะใจ


“อย่าพูดทะลุกลางปล้องสิครับ”


เท่านั้นล่ะครับ อีกฝ่ายก็เข้าสู่โหมดหน้าบึ้งเต็มรูปแบบ


ดี โดนซะบ้าง


ผมหันกลับมาหาอาม้าที่ยังนั่งก้มหน้านิ่ง


“ม้าก็สอนอั๊ว แล้วเดี๋ยวอั๊วไปทำงานเอง”


ดวงตาฝ้าฟางคู่นั้นดูอ่อนล้าลงทุกที


“อั๊วโชคดีจริงๆ โชคดีจริงๆ ที่ยังมีลื้อ”


พอพูดจบท่านก็คู้ตัวลงไปร้องไห้อีกครั้ง


ส่วนผมก็ทำได้เพียงเบนหน้าหนีภาพตรงหน้าไปหาอีกคนที่ยืนอยู่


“ผมจำเป็นต้องทำงานที่คลินิกเพื่อหาเงินใช้หนี้ครับ ผมเลิกไม่ได้”


เขาทำท่าจะเถียง แต่ผมไวกว่า


“สำหรับมื้อเย็น ผมจะทำงานในส่วนของผมให้เรียบร้อยก่อนออกไปแน่นอน ผมขอสัญญา”


ท่าทางจริงจังของผมทำให้เขายอมแพ้ในที่สุด ใบหน้าคมสันนั้นปรากฏแววขับขันปนเหนื่อยหน่ายใจ


เขาส่ายหัวเบาๆ ทั้งๆ ที่ยังมีรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า


“ก็เป็นเสียอย่างนี้ ใครจะปฏิเสธลง”


บ้าจริง หัวใจผม อย่าเต้นแรงสิ


นัยน์ตาสีดำสนิททอประกายวิบวับเหมือนคราวแรกที่เราตกหลุมรักกัน


ใช่ เรารักกัน


...เราเคยรักกัน...


“เอาเถิด พรุ่งนี้ก็ไปทำงานเสียด้วย”


พอพูดจบเขาก็ยกมือไหว้ลาอาม้าเตรียมลาจากไป แต่ผมกลับนึกบางอย่างขึ้นมาได้...


“คุณเปรมครับ”


เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘มีอะไร’


ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ


เอาเถอะ ยังไงก็ตัดสินใจว่าจะพูดแล้ว ก็ต้องพูดออกไป


“จดหมายที่ฝากถึงคุณหมอปีเตอร์”


ผมสบตาเขา


“หมอเขาบอกว่าชอบมากครับ เป็นกลอนที่ดีมาก ไพเราะมาก”


ผมเห็นเขาคลี่ยิ้มช้าๆ


“อีกทั้งหมอยังฝากมาบอกว่า...”


ดวงตาของเขาสวยเหลือเกิน


“ขอบคุณ”


สิ้นคำของผม ใบหน้าหล่อเหลานั้นก็ประดับรอยยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยเห็น


ผมรู้ว่าผมไม่ควรทำแบบนี้ เขากำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว ผมไม่ควรรั้งเขาไว้ แต่พอเห็นแววตาวิบวับของเขา ปากมันก็ขยับไปเอง


...ไม่ควรเลย...


...ผมเกลียดตัวเองเหลือเกิน...

 











อากาศคืนนี้ร้อนกว่าทุกวัน


“ถ้าอยากให้ขนมอร่อย น้ำเชื่อมต้องหวานหอม อย่าใส่ถ่านในเตาเยอะ ค่อยๆ เคี่ยว ใช้ไฟอ่อนๆ...”


แสงไฟสลัวจากตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนอยู่เหนือหัวเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยในการมองเห็น พอกวาดตามองรอบห้องครัวก็อดรู้สึกผวาไม่ได้ บริเวณรอบด้านทุกตารางนิ้วที่ตกอยู่ในความมืดชวนให้คิดถึงหนังผีตึงโป๊ะที่จะต้องมีตัวอะไรสักอย่างวิ่งออกมา


แต่ก็ไม่มี


ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ให้กับความคิดพิลึกพิลั่นของตัวเอง


อาม้ายังนั่งอยู่ตรงหน้าเตาอั้งโล่ร้อนๆ เสียงเปรี๊ยะๆ ของถ่านก้อนน้อยที่ปะทุในเตาอั้งโล่กับหม้อใส่น้ำเชื่อมอุ่นๆ ยิ่งเพิ่มอุณหภูมิรอบด้านให้สูงขึ้นไปอีก ผมแอบเห็นมือเหี่ยวย่นคู่นั้นปาดเหงื่อบนหน้าผากเล็กน้อย หากแต่ปากก็ยังคงพร่ำสอนไปไม่มีหยุด


ผมรู้ว่าการทำขนมให้เก่งมันทำกันในคืนเดียวไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ขอให้รู้อะไรไปให้มากที่สุดก็ยังดี


...แค่นั้นก็ยังดี...


“อาโซ้ยตี๋”


เสียงอ่อนล้าที่จู่ๆ ก็เรียกชื่อผมขึ้นมาทำให้ต้องหันไปมอง


ท่านไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ มือข้างหนึ่งยังคงคนน้ำเชื่อมในหม้อไม่หยุดหย่อน ส่วนอีกข้างก็พักไว้ข้างลำตัว ไม่มีท่าทีว่าต้องการคุยกับผมเลยสักนิด เหมือนเมื่อครู่เป็นเพียงคำรำพันที่หลุดออกมาเพียงเท่านั้น เพราะแบบนั้นผมเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง


พวกเราเงียบใส่กัน มีเพียงความเงียบ


...เงียบ...


...แล้วก็เงียบ...


ทั้งมืดและเงียบ


ผีอีเม้ยจะโผล่มาไหมนะ ถ้าโผล่มาจริงก็จะตลกไปนิดนึง


“อาโซ้ยตี๋”


คราวนี้ไม่ใช่แค่เรียก แต่มืออีกข้างนึงก็เลื่อนมาจับแขนผมเบาๆ


นัยน์ตาคู่นั้นรื้นไปด้วยน้ำตาจนผมสะท้านใจ


“เหนื่อยไหมลูก”


เพียงเท่านั้นน้ำตาก็หยดไหลลงมาจากดวงตาฝ้าฟาง


...อาม้าร้องไห้อีกแล้ว...


เมื่อตอนคุณเปรมมาบอกก็ร้องไห้ ตอนที่เล่าให้อาป๊าฟังก็ร้องไห้ อาม้าเอาแต่ร้องไห้ แต่อาป๊ากับอาเฮียกลับนิ่งเฉย พวกเขาเพียงก่นด่าอาเจ้แล้วก็ลืมเรื่องราวทั้งหมดไป


แต่อาม้าก็ยังคงร้องไห้ ผมรู้ว่าเพราะอะไร


“ถ้าเจ้รู้ว่าม้ารักอีขนาดนี้ คงไม่ทำแบบนี้หรอก”


ผมยอมรับว่าในทีแรกผมผิดหวังในตัวเธอมากๆ ตั้งแต่วันสุดท้ายที่เราพบกัน อาเจ้ดูแข็งกร้าวกว่าที่ผมเคยรู้จัก หลังจากนั้นไม่นานเธอก็จากไป ตอนที่รู้ว่าเธอเลือกจะหนี ผมโกรธ โกรธอย่างที่ไม่เคยได้เป็นมานานแล้ว แต่พอได้มีสติมานั่งคิดถึงได้รู้ว่า เธอก็เป็นแค่พี่สาวของผม เป็นแค่คนๆ หนึ่งที่ต้องการความรัก ความเอาใจใส่


ความรักที่ไม่เคยได้รับจากครอบครัว พอมีอีกคนที่ให้สิ่งเหล่านั้นกับเธอได้ เจ้ก็เลยเลือกที่จะไป ลึกๆ ในใจเธอคงรู้ว่าอาม้ารักเธอมากแค่ไหน แต่อีกส่วนในใจคงตั้งคำถาม...


...ถามว่าทำไมอาม้าถึงไม่เคยจะปกป้องเธอไว้ได้เลยสักครั้ง ถ้ารักกันจริงก็ต้องสู้เพื่อปกป้องกันสิ...


ผมว่าเธอคงคิดแบบนั้น


อาม้าซบหน้าลงกับมืออีกข้างของตัวเอง


“อั๊วรักอี แต่ทำไมอีถึงไม่เคยรู้เลย”


ใบหน้าเหี่ยวชรานั้นส่ายไปมา


“ไอ้ลูกไม่รักดีเอ๊ย ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวเลย”


“ไม่ใช่หรอกม้า”


คำพูดของผมทำให้เธอหยุดชะงักแล้วเงยหน้ามองอย่างงุนงง


“อั๊วว่าเจ้แค่รู้สึกว่าที่นี่ไม่มีใครต้องการเธอมากกว่า”


“ใครจะไม่ต้องการ ที่นี่เป็นครอบครัวอีนะ อั๊ว...”


“ครอบครัวที่ไม่รักกันมันไม่รู้จะมีไปทำไมนะม้า”


ท่านขมวดคิ้วยุ่ง ในแววตานั้นมีอารมณ์ขุ่นเคืองปนอยู่


แต่ผมไม่สนหรอก


“ที่นี่มีใครรักอีจริงๆ บ้าง ตอนป๊าด่าเจ้ ทั้งๆ ที่เจ้ไม่ผิด ก็ไม่มีใครกล้าปกป้องเจ้สักคน เป็นอั๊ว ก็คงเลือกจะไปเหมือนกัน”


เผี๊ยะ!


หน้าของผมหันไปตามแรงตบ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนผมไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกทีใบหน้าของผมก็หันไปตามแรงปะทะนั่นเสียแล้ว


ในทีแรกมันไม่รู้สึกอะไรเลย หลังจากนั้นมันก็เริ่มเจ็บ


เจ็บจนแสบ


แสบจนเป็นรอย


...อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง...


“เพราะแบบนี้ไงม้า เจ้เลยเลือกจะไป”


พอพูดจบ ผมก็เลือกที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินคลำทางในความมืดเข้าห้องนอนตัวเองโดยไม่รั้งรออะไรอีกต่อไป ผมปิดประตูลง ทิ้งตัวลงบนเตียงแข็งๆ หลับตาตัดทุกประสาทการรับรู้ แต่ผมตัดความคิดไม่ได้


ในหัวมันมีแต่คำว่า...‘ขอโทษ’


อยากขอโทษอาเจ้ที่ผมไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักอย่าง


อยากขอโทษที่ผมเคยผิดหวังในตัวเธอทั้งที่ไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะต้องเจออะไรมาบ้าง



อยากขอโทษที่ในวันที่เธอถูกทำร้ายความรู้สึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมไม่เคยอยู่ตรงนั้นเลย



ไม่เคยอยู่ข้างเธอจริงๆ สักที













หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งหลัง] (21/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-11-2017 19:09:44
 :katai1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งหลัง] (21/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 21-11-2017 19:15:21
 :mew6: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งหลัง] (21/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-11-2017 20:18:51
 :mew4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งหลัง] (21/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 21-11-2017 22:02:19
เฮ้อ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งหลัง] (21/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-11-2017 23:42:58
เหนื่อยกับครอบครัวน้องมากค่ะ มอสสู้ๆนะ อยากโอนตังให้สักสองร้อย  :ling1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งหลัง] (21/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 22-11-2017 08:14:04
ครอบครัวคนจีนส่วนใหญ่ก็ยังรัก เทิดทูน ลูกชายคนโตนะ นุ้งมอสทำไมน่ารักยังงี้ ขอจับฟัดให้หายมันเขี้ยวหน่อยซิ เศร้าๆ ก็คิดเรื่องเรื่องตลกได้ คิดบวกจริงเชียว
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งหลัง] (21/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 22-11-2017 14:07:57
สู้ๆนะลูก  :sad4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 19 รับมือ [ครึ่งหลัง] (21/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-11-2017 15:33:32
อำนาจก็ถ่ายกันมาตามขั้นตอน    ป๊า ---->  ม้า ---->  เฮีย   
แต่เจ้  กร   ไม่มีอำนาจอะไรเลย    ต้องยอมเพราะเป็นกฎของตระกูล

คนเป็นใหญ่ก็ไม่รู้ว่าอำนาจนั่นก็แค่แสดงอำนาจ
ไม่ได้แสดงความรัก ความผูกพันกันเลย   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
บางทีก็ไม่เข้าใจครอบครัวแบบนี้

กร กตัญญู เหน็ดเหนื่อย ทำงานหาเงินไปใช้หนี้แทนพี่ชาย
เฮียก็แค่ถูกกักบริเวณ ไม่ได้ช่วยหาเงินใช้หนี้ที่ตัวเองก่อเลยสักสตางค์เดียว
ถูกกลุ่มคนมาทุบตีข่มเหง คนในบ้านทำอะไรไม่ได้
ได้แต่ทุบตีคนที่ด้อยกว่าในบ้านเท่านั้น

ม้า ก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมเจ้ ถึงหนี  พอกรเฉลย ก็โกรธ จนตบหน้ากร
ถ้าเหลือแค่ ป๊า ----  ม้า ----  เฮีย   คิดว่าก็ยังคงไม่เข้าใจไปจนตาย
ทำไมเจ้ กร ถึงไม่อยากอยู่ด้วย
 
แล้วคุณเปรม ก็สมใจ  ได้กร ไปทำงานบ้านแทนเจ้ ได้อยู่ใกล้ๆกร
พอกรพูดเรื่องจดหมาย ว่ากลอนเพราะ ตาคุณเปรมก็วิบวับเลย  หมั่นไส้ซะจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก] (22/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 22-11-2017 18:24:54
บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก]







ผมจำได้ว่าเมื่อเช้าตัวเองตื่นเช้ากว่าปกติ รอบด้านยังคงมืดสนิท พระอาทิตย์ยังไม่โผล่มายิ้มแฉ่งที่ขอบฟ้าด้วยซ้ำ บ้านทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบ


เงียบ...สงัด


เงียบจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง


...ก็ดีแล้ว...


ผมรีบจัดการตัวเองก่อนจะเดินออกจากบ้านก่อนที่ใครจะตื่นขึ้นมาเจอ


ถ้าจะให้พูด สถานการณ์ในบ้านตอนนี้แย่ลงกว่าเดิมจนผมไม่อยากจะเจอหน้าใครทั้งนั้น ถึงแม้ว่าปกติแล้วผมจะเข้าหน้าใครไม่ติดอยู่แล้วก็เถอะ แต่พอมีเรื่องเกิดขึ้น แค่หน้ามดในบ้านผมก็ไม่อยากเห็น


มันแสลงใจไปหมด


“ไอ้หนุ่ม น้ำเชื่อมเสร็จหรือยัง”


เสียงร้องทักที่ตะโกนมาจากอีกฝากของอาคารเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าผมควรให้ความสำคัญกับอะไร


ใช่ ผมควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า


“เสร็จแล้วจ้ะ มาเอาได้เลย”


สิ้นคำของผม หญิงสูงวัยร่างท้วมคนหนึ่งก็เดินมายกหม้อลงจากเตาถ่านแล้วกวักมือเรียกผมเข้าไปใกล้ๆ


“เอ็งทำขนมเป็นไหม”


ผมฉีกยิ้มแห้งเผื่อสวรรค์จะเมตตา ไอ้ตัวผมเองมันก็พอจะทำได้อยู่หรอก แต่ก็คงไม่อร่อยสู้อาม้ากับอาเจ้แน่นอน ขืนทำไปน่ากลัวว่าจากคนติดรสมือจะกลายเป็นแขยงกันไปหมด


ไม่เก่งแล้วยังเสนอหน้าอีกนะผมเนี่ย


“ข้าก็ว่าอยู่แล้ว”


แทนที่จะดุด่า หญิงชราคนนั้นกลับฉีกยิ้มบางอย่างเอ็นดู


...ทำไมล่ะ...


“พี่สาวของเอ็งพูดถึงเอ็งบ่อยมากเลยรู้ไหม”


ใจของผมเต้นรัว


“ไอ้กรดีอย่างนั้น ไอ้กรดีอย่างนี้ เห็นมันนิสัยเช่นนั้นแต่มันก็รักเอ็งนะ ข้ายังจำได้อยู่เลย ตอนวันเกิดท่านเจ้าคุณ พี่สาวเอ็งนี่หาเรื่องไปทำงานในเรือนแจเลย ก็เพราะมันอยากจะไปดูเอ็งเล่นดนตรีน่ะสิ อู๊ย ข้านี่เหนื่อยใจจะบ่น”


 จริงเหรอ เรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ


“มันน่ะ ระริกระรี้จะไปดูเอ็งสีซอเสียให้ได้ พลางโอ้ชมเอ็งกับคนในโรงครัวยกใหญ่ว่าเอ็งน่ะเสียงดี พวกบ่าวมันก็เลยพากันไปฟัง อุบ๊ะ เสียงเอ็งนี่ใสอย่างกับนกการเวกอย่างไรอย่างนั้น เป็นเด็กผู้ชายแท้ๆ”


ผมยิ้มรับคำชมนั้นเล็กน้อย ในหัวยังมีแต่เรื่องของอาเจ้วนเวียนอยู่เต็มไปหมด


เจ้ห่วงผมจริงๆ เหรอ เจ้รักผมจริงๆ ใช่ไหม


...ผมสามารถพูดว่าพวกเราเป็นพี่น้องที่รักกันได้...ใช่ไหม...


เสียงถอนหายใจจากคนตรงหน้าดึงผมออกจากภวังค์


“แต่ไอ้เรื่องหนีไปกับผู้ชายนี่นะ ข้าเองก็ห้ามมันแล้ว แต่มันก็เอาแต่พูดว่าหากพ่อแม่มันรู้ มันก็คงไม่ได้แต่งกับชายคนนี้แน่ ข้าเองก็อยู่บนโลกนี้มานาน มองปราดเดียวก็รู้ว่าไอ้หนุ่มคนนั้นมันเป็นแมงดา เกาะผู้หญิงกิน ตอนทำงานอยู่ที่นี่ก็โดนรีดไถไปตั้งเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่าล่ะเอ็ง หญิงชายหากเข้าสู่อารมณ์พิศวาส เอาอะไรไปขวางมันก็ไม่ฟังหรอก”


เพราะแบบนี้สินะ ตอนผมมาพูดเรื่องเงินด้วย อาเจ้ถึงได้ดูฉุนเฉียวนัก


“ป้าพอจะรู้ไหมจ้ะว่าพี่ฉันหนีไปที่ไหน”


เธอสบตาผมแว่บหนึ่งแล้วเสหลบไป


“มันขอเอาไว้ว่าไม่ให้ข้าบอกใคร...”


เธอนิ่งเงียบไปอึดใจ


“แต่ข้าว่าเอ็งควรจะรู้ไว้นะ”


ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกระบายออกมาจากหญิงชราตรงหน้า


“มันบอกว่าจะไปอยู่ด้วยกันแถวปากน้ำโพ”


ปากน้ำโพ...นครสวรรค์เหรอ แล้วผมจะไปตามพี่ได้ยังไงกันล่ะ


...ไม่มีทางเลย คิดไม่ออกเลย...


แล้วผมก็พลันสบเข้ากับนัยน์ตาฝ้าฟาง แววตาที่ทอดส่งมาให้นั้นแสนอาทร


“ข้าว่าเอ็งตัดใจเสียเถอะ อย่างไรเสียพี่เอ็งก็ไปแล้ว จะไปตามกลับมาคงเป็นไปไม่ได้ดอก”


เหมือนมีบางอย่างทุบลงกลางอก ความรู้สึกของการรับรู้ความจริงมันเป็นอย่างนี้นี่เอง อันที่จริงผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปตามหาหรือตามตัวอาเจ้กลับมาแล้ว แต่มีอย่างหนึ่งที่ยังติดค้าง...


ผมอยากขอโทษ


...อยากพูดคำว่าขอโทษสักครั้ง...


“เอ้าๆ เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว รีบมาทำงานเร็วเข้า จะได้รีบจัดสำรับให้ทันมื้อเช้า”


คนตรงหน้าผมเปลี่ยนเรื่องพูดไปเสียดื้อๆ เมื่อเขาตั้งใจที่จะไม่พูดถึง ผมก็ควรจะสนอง พวกเราสองคนพากันทำงานต่อราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงชราชี้นิ้วให้ผมหยิบนู้นหยิบนี่ ปากก็พร่ำสอนเรื่องการทำขนมไทยไปด้วย


การทำงานในตอนเช้านั้นวุ่นวาย แต่พอพ้นช่วงสำรับเช้าไปได้โรงครัวก็สงบลง เหลือเพียงกิจวัตรเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นการดองผลไม้ ไม่ก็จัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารมื้อถัดไป ช่วงเวลาที่สงบนี้เองที่เราจะได้แอบพักงาน


เออ อู้นั่นแหละ


ผมปลีกตัวออกมาจากโรงครัวหลังจากไม่มีอะไรให้ทำ บ้านของท่านเจ้าคุณอธิปนั้นมีอาณาเขตกว้างขวาง พื้นที่ด้านหนึ่งติดกับคลองเล็กๆ ซึ่งผมเองก็จนปัญญาจะบอกว่าเป็นคลองอะไร รู้แต่เพียงว่ามีท่าน้ำและเรือให้ใช้สัญจรไปมาได้


พื้นที่ตรงนี้เงียบสงบและร่มรื่นกว่าทุกที่ที่เดินผ่านมา เพราะแบบนั้นผมเลยทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคลองต้นหนึ่ง ในทีแรกผมก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจว่ามันเป็นต้นอะไรจนกระทั่งดอกไม้ดอกหนึ่งหลุดร่วงลงมาจากกิ่ง


...ดอกการเวก...


ผมหัวเราะสมเพชตัวเองเบาๆ


ทำไมชีวิตของผมต้องมาเกี่ยวพันก็ดอกไม้บ้านี่อยู่เรื่อยเลยนะ





หากเจ้าเป็นมาลีพี่เป็นผึ้ง

ใช่ทะลึ่งมีแต่รักมากมหันต์

หากเจ้าเป็นโลกนี้พี่เป็นจันทร์

อยู่คู่กันตลอดไปด้วยรักเอย





บทกลอนที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้ผมต้องส่ายหัวแรงๆ เพื่อไล่มันออกไป


บทกลอนนั้นแว่วหวานชวนให้ใจเต้น ทุกครั้งที่กลับเข้าไปในห้อง ผมก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาอ่าน


อ่านแล้วก็เก็บ เก็บแล้วก็เอาขึ้นมาอ่านใหม่


ซ้ำไปซ้ำมา วนเวียนอยู่อย่างนั้น


รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรรัก รู้ทั้งรู้ว่าควรตัดใจ


ทำไมถึงเอาแต่อ่านจดหมายรักของเขาอยู่ได้นะ แย่จริงๆ


ผมนี่มันแย่จริงๆ


“อ้าว คุณนั่นเอง”


 เสียงใสหวานที่ดังขึ้นไม่ห่างจากตัวนักทำให้ผมสะดุ้งโหยงจนหัวโขกกับต้นไม้ที่นั่งพิงอยู่


เจ็บโว้ย


ผมลูบหัวตัวเองปอยๆ พลางมองหน้าคนมาใหม่


...อ้อ...นึกว่าใคร...


“มีกระไรจะเรียกใช้ผมหรือครับคุณชื่น”


ดวงตากลมหวานนั้นหรี่ลงเนื่องด้วยรอยยิ้ม เธอยังคงงดงามเหมือนกับวันแรกที่เราพบกัน ใบหน้าสวยหวาน เสื้อผ้าสีสดใสดูสะอาดเรียบร้อย วันนี้เธออยู่ในชุดผ้าลูกไม้แขนสั้นรับกับผ้าซิ่นพื้นชมพูทอลายสวย ในมือมีหนังสืออยู่สองสามเล่มดูเป็นผู้คงแก่เรียน


สงสัยจะมาหาที่นั่งอ่านหนังสือล่ะมั้ง


“เปล่าหรอกค่ะ ชื่นแค่คุ้นหน้าเลยมาถามดู”


น่ารักจริงๆ ให้ตายสิ


ความน่ารักของเธอยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด...ผิดมากกว่าเดิมเป็นร้อยเป็นพันเท่า


ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรตอบออกไป สิ่งที่คิดออกก็คือ...


นั่งเงียบโง่ๆ แบบนี้แหละดีแล้ว


“คุณเป็นน้องชายของพลอยหรือคะ”


คำถามนั้นทำให้ผมต้องหันขวับไปมอง ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว เจ้านายน้อยคนที่จะจำชื่อบ่าวที่ไม่สนิทได้ การที่คุณชื่นจำชื่ออาเจ้รวมไปถึงกล้าที่จะถามออกมาได้ แสดงว่าพวกเขาต้องสนิทกันพอควร


ไปสนิทกันได้ยังไงนะ


“ครับ”


ผมมองหน้าเธอด้วยแววตาที่คิดไปเองว่าไร้เดียงสาที่สุด


“แล้วไม่ทราบว่าคุณชื่นรู้จักพี่สาวผมได้อย่างไรหรือครับ”


เธอระบายลมหายใจออกมาเล็กน้อย สายตาอ่อนหวานนั้นทอดมองไปไกลแสนไกล


“พลอยเป็นบ่าวคนเดียวในเรือนนี้ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน อย่างน้อยการคุยกับเขาก็ทำให้หายคิดถึงบ้านได้บ้าง”


น้ำเสียงของเธอสั่นเล็กน้อย มันฟังดูโหยหาและโศกเศร้าอยู่ในที


แม้จะสงสัย แต่ผมกลับรู้สึกอยากพูดบางอย่าง


อยากปลอบโยนให้เธอหายเศร้า


“คุณชื่นคงจะเหงามากที่จากบ้านมาไกล แต่อย่างไรเสียเมื่อคุณชื่น...”


ผมพยายามระงับความรู้สึกบางอย่างที่พวยพุ่งขึ้นมาในอก


“...แต่งงาน ก็ต้องย้ายมาอยู่กับคุณเปรมอยู่ดีมิใช่หรือครับ”


ผมกลืนก้อนบางอย่างลงไปในคอ


“แม้ว่าตอนนี้อาจจะเหงาอยู่บ้าง แต่เมื่อออกเรือนแล้วมีลูก...”


หัวใจของผมเจ็บแปลบ


“ก็คงจะหายเหงา...นะครับ”


เธอมองผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกก่อนจะเบนสายตาทอดมองน้ำในคลองที่ไหลเอื่อย


ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเธอ...น่าสงสาร เด็กสาวตรงหน้าผมดูหงอยเหงาและไร้สุข ทั้งที่ใบหน้าสวยหวานนั้นไม่เหมาะกับความเศร้าเลยแท้ๆ


หรือเธอจะไม่อยากแต่งงานกับคุณเปรม?


ผมเองก็ไม่รู้ แต่ผมภาวนาให้มันไม่เป็นเช่นนั้น แค่แต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รักตัวเองก็แย่พออยู่แล้ว ถ้าต้องแต่งทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้รัก มันคงจะแย่ไปใหญ่


คงจะแย่และน่าสงสารทีเดียว


ความรักนี่น่าเบื่อจริงๆ ...ไม่เคยได้ดั่งใจเอาเสียเลย

 











คุณชื่นจากไปแล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือผมเองที่เลือกจะจากมา


ประการแรก ชายหญิงไม่ควรอยู่ด้วยกันตามลำพัง ยิ่งคุณชื่นเป็นหญิงสูงศักดิ์ยิ่งไม่ควร


ประการที่สอง ผมไม่มีเรื่องอะไรจะพูดกับเธออีกแล้ว


ประการที่สาม การเห็นหน้าเธอ...มันทำให้ผมเจ็บใจพิลึก


เจ็บใจ แต่ก็ไม่ได้โกรธ


ไม่โกรธ เพราะรู้สึกว่าเธอน่าสงสาร


คุณชื่นเป็นคนน่าสงสาร เป็นคนอ่อนหวานที่ซ่อนความเศร้าอย่างล้ำลึกไว้ภายใน


เกิดเป็นคนมียศมีศักดิ์ก็ลำบากเหมือนกันนะ


“กร”


ผมสะดุ้งโหยงกับเสียงเรื่องชื่อที่ดังขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


วันนี้กูสะดุ้งไปกี่ทีแล้วถามจริง ถ้าหัวใจวายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบน่ะเฮ้ย


ผมหันไปตามทิศของเสียงเรียก หวังในใจว่าถ้าเป็นบ่าวในโรงครัวพ่อจะด่าให้ยับ


...น่าเสียดายที่ไม่ใช่...


“คุณเปรม”


เขายกยิ้มบางรับคำเรียกชื่อจากผม


“ไปหาสมุนไพรด้วยกันหน่อยสิ”


แหน่ะ หาสมุนไพร verb to หาสมุนไพรงี้


อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้วว่าหื่น


“ไม่ล่ะครับ ผมมีงานมีการต้องทำ”


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมกล้าจะปากดีใส่เขา ซ้ำร้ายยังกล้าที่จะเถียงด้วย


แถวบ้านเรียกมีพัฒนาการ


“กร”


น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นกดลงเล็กน้อย


ใครสนล่ะ


ผมหันหลังกลับทำท่าจะเดินจากไป


“ถ้าเดินไปก็หาเงินยี่สิบบาทมาจ่ายภายในพรุ่งนี้เสีย”


เท่านั้นล่ะครับ หมุนตัวกลับมาแทบไม่ทัน


คนนิสัยไม่ดีฉีกยิ้มกว้างแล้วเอามือไพล่หลัง


เอ้อ หล่อมาก ผู้ดีมากว่างั้น


“เป็นเด็กดีแต่แรกก็จบแล้ว”


พอพูดจบก็ออกเดินนำไปโดยไม่รอให้ผมประท้วงอะไรสักคำ แต่ก็ดี...


ผมจะได้กรอกตาใส่ได้ถนัดๆ หน่อย


เขาพาผมมาจนถึงกระท่อมหลังหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในสวนลึกเกือบติดรั้วอีกด้านของบริเวณบ้าน ด้านหน้ากระท่อมมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนแคร่ คุณเปรมเดินเข้าไปพูดอะไรกับเขาสองสามคำก่อนที่จะเดินกลับมาหาผม


“เข้าไปหาสมุนไพรสิ เราจะรออยู่ด้านนอก”


นั่น ดูมันครับดูมัน น่าหมั่นไส้สุดๆ


ผมถอนหายใจใส่เข้าไปหนึ่งทีแล้วเดินตามชายชราที่กำลังเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในกระท่อม


ด้านในนี้ทั้งมืด ทั้งอับเหมือนกระท่อมเก็บสมุนไพรที่บ้านครูบุญไม่มีผิด ผมเหลือบมองคุณลุงข้างๆ เล็กน้อย เขาดูงกๆ เงิ่นๆ ชอบกลจนผมพลั้งปากถามออกไป


“ลุง...ปวดหลังหรือจ๊ะ”


ชายชราหันมาหาผมเล็กน้อยแล้วเริ่มเอ่ยปาก


“โอ๊ย มันก็ไปตามสังขารนั่นล่ะ นี่รู้ไหมว่าข้าเป็นบ่าวบ้านนี้อยู่กี่ปีแล้ว ชั่วชีวิตเลยล่ะไอ้หนุ่ม สมุนไพรใดๆ ถามไอ้ดำคนนี้ได้หมด แต่ทุกวันนี้นะ ยาฝาหรั่งมันก็เข้ามาในพระนครมากมายจนข้าจนปัญญาแล้ว จำไม่ได้เลยว่าอะไรเป็นอะไร พูดก็พูดเถิดนะ....”


หลังจากนั้นลุงก็พร่ำบ่นอีกยาวเหยียดไปตามประสาคนแก่ทั่วไป หัวข้อส่วนใหญ่ที่พูดออกมามักจะเป็นเรื่องของความเหนื่อยหน่ายกับคนหนุ่มสาวสมัยใหม่บ้าง เรื่องสังคมที่เปลี่ยนเร็วเกินไปบ้าง เรื่องคนต่างชาติล้นเมืองบ้าง ทุกคำที่ลุงพูดออกมาล้วนยึดติดกับอดีต เหมือนตัวตนของเขาไม่พร้อมจะอยู่ในยุคสมัยนี้ แต่ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกพวกนั้นหรอกนะ


ยังไงซะสักวันหนึ่งผมก็ต้องแก่ สักวันหนึ่งผมก็ต้องโหยหาอดีต สักช่วงหนึ่งของชีวิตผมคงมีความคิดทำนองว่า โลกสมัยก่อนเคยดีกว่านี้


สักวันหนึ่งผมก็คงเป็นเหมือนคุณลุง...เป็นคนที่ไม่เข้าใจโลกและอยากให้โลกเข้าใจเราบ้าง


แต่คนอย่างผมนี่จะได้อยู่จนแก่ตายไหมนะ แล้วผมจะแก่ตายที่นี่จริงๆ เหรอ


...


...จะกลับไปได้ไหมนะ...


“เอ้า ไอ้หนุ่ม”


“คะ ครับ”


ผมหลุดจากภวังค์แล้วรีบหันไปตามเสียงเรียก


“ข้าจะไปต้มยาให้คุณหญิงท่าน เอ็งก็ปิดกระท่อมให้เรียบร้อยเสียล่ะ ปิดประตูไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวข้ากลับมาขันกุญแจเอง”


ผมพยักหน้ารับคำสั่งนั้นอย่างว่าง่ายแล้วทอดสายตามองชายชราที่เดินกระโผลกกระเผลกออกไป


...แล้วอีกคนก็เดินเข้ามา...


เขาไม่ได้เข้ามาเปล่า มือสองข้างนั้นปิดบานประตูไว้เสียด้วย







หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก] (22/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 22-11-2017 18:48:53
ลึกๆ แล้วเจ้ก็รัก
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก] (22/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-11-2017 18:53:27
คุณเปรม จะทำอะไรๆ กับกรใช่ไหม  :hao3: :hao3: :hao3:

คุณชื่น เหมือนรู้เรื่องระหว่างคุณเปรมกับกร
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก] (22/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 22-11-2017 19:55:16
บางการกระทำของคุณเปรมมันก็น่าหมั่นไส้นะจนบางทีก็ไม่อยากเชียร์เลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก] (22/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 22-11-2017 20:14:16
อดีต ทำไมนุ้งมอสเจ็บปวดได้เพียงนี้ โลกปัจจุบันดีนะที่มีทีนดูแล
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก] (22/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 22-11-2017 21:23:29
 :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก] (22/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-11-2017 21:37:41
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก] (22/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 23-11-2017 13:21:42
 :mew6: มอสเอ๊ยยยยย ช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก] (22/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 23-11-2017 18:19:35
บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งหลัง]








ผมถอยหลังกรูจนติดผนังกระท่อม


“อย่าเข้ามานะคุณเปรม ไม่เช่นนั้นผมจะร้องจริงๆ ด้วย”


เขาหัวเราะ


“คิดว่าเราจะทำอะไรรึ”


“ทำอะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ไม่ไว้ใจ”


เขาฉีกยิ้มกว้าง


“ทำตัวอย่างกับพวกแมว”


แม้แสงด้านในจะสลัวแต่ผมก็พอมองออกว่าเขากำลังมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มกว้าง


“หรือจะเป็นปักษาสวรรค์ดีนะ จะได้พ้องกับชื่อกรวิกอย่างไรเล่า”


ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่คิดจะตอบรับคำพูดหวานเลี่ยนนั้นแม้แต่น้อย


“นกการเวก ว่ากันว่าเป็นปักษาสวรรค์ ใครที่ได้ยินเสียงนกการเวกเป็นอันต้องตกบ่วงมนตราหยุดฟังไปเสียทุกครา สงสัยว่าพี่เองก็จะตกบ่วงมนตรานกการเวกตนนี้เสียแล้วกระมัง”


ผมเกลียดเวลาเขาพูดแบบนี้


เกลียดเวลาเขาเกี้ยวพาราสีผมเหมือนไม่มีพันธะอะไร


เกลียดที่เขาพูดแบบนี้กับผมทั้งที่มีคุณชื่นนั่งเศร้าอยู่ข้างนอกนั้น


...เหนือสิ่งอื่นใดคือผมเกลียดตัวเองที่ชื่นชอบคำพูดแบบนั้นของเขา...


“ผมไม่ชอบให้คุณพูดแบบนั้นเลย”


แม้จะมองไม่เห็น แต่ผมเชื่อว่าเขาจะสัมผัสได้ว่าผมจ้องมองเขาอยู่


“คุณมีคุณชื่นอยู่แล้วนะ”


ร่างสูงใหญ่นั้นก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ


“อย่าเข้ามานะคุณเป...”


“พี่ชอบกร”


ผมนิ่งค้าง ความรู้สึกในอกมันทั้งเต็มตื้นและเจ็บปวด


ผมกำลังทำเรื่องผิดบาป


“พี่ชอบจนรัก”


แขนใหญ่สองข้างดึงผมเข้าสู่อ้อมกอดอุ่น


“พี่ชอบเจ้า ชอบเหลือเกิน”


ยิ่งเข้าบอกว่าเขาชอบผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นเท่านั้น


...เกลียดตัวเองที่เผลอยกมือขึ้นกอดตอบ...


“พี่ไม่กลัวว่าใครจะรู้เรื่องของเราหรือ”


ทำไมผมถึงถามไปแบบนั้นล่ะ ทำไมผมถึงทำตัวร้ายกาจได้ขนาดนี้


เขาดันตัวออกเล็กน้อยแล้วเอามือลูบหน้าผมแผ่วเบา


“ไยต้องกลัวคนรู้เล่า ความรัก ใช่สิ่งผิดรึ”


นุ่มนวลและอ่อนหวาน


หวานจนเสียดแทงไปทั้งใจ


“ความรักไม่ใช่เรื่องผิด แต่พี่อาจจะกำลังรักคนผิด ผม...ผมอาจไม่ใช่คนที่พี่ควรรัก”


เขาเลือกที่จะเงียบแล้วปล่อยให้ผมพูดต่อไป


“พี่สูงค่าเกินกว่าจะมารักคนอย่างผม”


คุณชื่นรออยู่ข้างนอกนั่น คุณชื่นคือคนที่น่ารัก


...น่ารักและควรรัก...


“เราเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรักเขาวัดกันที่ยศถาบรรดาศักดิ์ เผลอเข้าใจผิดว่าวัดกันที่ใจมาเสียเนิ่นนาน”


เขาเอ่ยติดตลกหวังแล้วลูบศีรษะผมแผ่วเบา


“อย่ากังวลไปเลยดวงใจพี่ รักก็คือรัก จะต่ำจะสูงอย่างไร พี่ก็จะรักปักษาสวรรค์ตัวนี้อยู่ร่ำไป”


ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ความรัก ความรักต้องทำให้ทุกคนมีความสุขสิ ความรักที่เราสุขแต่คนอื่นต้องมาทุกข์


...ผมไม่ต้องการ....


เพราะแบบนั้นผมจึงเลือกที่จะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดกว้าง


แม้จะเสียดายไออุ่นที่ห่างออกไป แต่สิ่งที่ถูกต้องก็คือสิ่งที่ควรทำอยู่ยังวันยังค่ำ


บางครั้งสิ่งที่เราต้องการกับสิ่งที่ควรทำก็อาจจะสวนทางกัน และผมคือคนที่เลือกจะทำสิ่งที่ถูก


“คุณชื่นอยู่ข้างนอกนั่น ไปหาเธอเถอะครับ”


พอพูดจบผมก็ผละออกมาหวังเดินจากไปให้พ้นๆ เสียที ติดอยู่ที่เขาคว้าแขนผมเอาไว้ได้เสียก่อน


“แต่พี่มีความรักให้น้องโดยบริสุทธิ์ใจเสมอมา”


เขาบีบแขนผมแน่นขึ้นอีก


“คนที่พี่รักคือน้อง ไม่ใช่แม่ชื่น”


ผมสบหน้าตาเขานิ่ง แม้จะมองเห็นไม่ถนัดแต่ผมมั่นใจว่าเขารับรู้ได้


“ปล่อยผมไปถอะครับคุณเปรม เส้นทางของเราไม่มีวันบรรจบกันหรอก”


เพียงเท่านั้น แรงที่จับแขนอยู่ก็ผ่อนลงจนผมสามารถดึงแขนออกมาได้อย่างง่ายดาย


หลังจากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปได้อย่างง่ายได้


ผมผลักประตูออกมาโดยไม่มีเสียงคัดค้านตามหลัง


ผมเดินจ้ำไปได้ไกลโดยไม่มีใครสั่งให้หยุด


ผมแกว่งแขนได้อย่างอิสระ


แต่หัวใจของผมกลับเจ็บจนปวดไปหมด


เจ็บจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ


เจ็บจนภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด


เจ็บจนอยากวิ่งหนีไปให้ไกลๆ แต่ก็ทำไม่ได้


ยากจังเลย...ความรักนี่มันยากจังเลย

 











กว่าผมจะทำงานที่โรงหมอเสร็จก็ปาไปเย็นมากแล้ว พอกลับมาถึงบ้าน บริเวณรอบด้านจึงมืดสนิท เหลือเพียงแสงสลัวจากตะเกียงดวงน้อยที่คอยนำทาง ประตูหน้าบ้านถูกปิดสนิทแต่แสงนวลๆ ที่ลอดออกมาตามจากใต้ประตูทำให้ผมรู้ว่าด้านในนั้นยังมีคนอยู่ อีกฝากของประตูคงเป็นใครสักคนที่ผมไม่อยากเจอ ไม่ว่าจะเป็นอาป๊า อาเฮียหรือแม้กระทั่งอาม้า ผมก็ไม่อยากเจอทั้งนั้น


แต่ชีวิตคนเราใช่ว่าจะมีทางเลือกมากนัก


ผมสูดลมหายใจเข้าเรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้วออกแรงผลักประตูเบาๆ บานประตูไม้เปิดอ้าออกทีละน้อย ค่อยๆ เผยภาพด้านในให้เห็น แล้วผมก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็น...


อาเฮียนั่งอยู่ตรงนั้น นั่งอยู่บนพื้นข้างตะเกียงดวงน้อยที่ทอแสงนวลอร่ามตา


เขาเหมือนหลุดเพิ่งจากภวังค์ นัยน์ตาเลื่อนลอยนั้นเหลือบมองผมแล้วเบนหลบ


“กว่าจะกลับมาได้นะ”


เขาพูดแค่นั้นแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับหยิบตะเกียงมาส่งให้ผม


“ม้าบอกให้อั๊วรอลื้อกลับบ้านแล้วค่อยปิดประตู ข้าวอยู่บนโต๊ะ กินแล้วก็เก็บล้างเสียด้วย”


เขาว่าเพียงเท่านั้นแล้วเดินผ่านผมไปล็อคประตูด้วยท่าทีเรียบเฉยเหมือนปกติ


...ปกติจนน่าแปลกใจ...


ในความรู้สึกของผม บรรยากาศระหว่างพวกเราพี่น้องมันแสนแปลกประหลาด มันก่ำกึ่งอยู่ระหว่างความกระอักกระอ่วนและเรียบเฉย จะว่าเจอหน้ากันแล้วทำตัวไม่ถูกก็ไม่ใช่ รู้สึกเฉยๆ ก็ไม่เชิง


ผมไม่ชอบเอาเสียเลย


“ได้ข่าวว่าไปทำงานแทนพลอยที่บ้านคุณเปมทัตรึ”


ผมแปลกใจกับคำถามที่ขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ก็ยอมตอบกลับไปแต่โดยดี


“ครับ”


บรรยากาศระหว่างพวกเราทวีความแปลกประหลาดมากขึ้นกว่าเก่า มันเป็นความเงียบที่แปลกประหลาด จะว่าอึดอัดก็ไม่ใช่ ชอบใจก็ไม่เชิง


แปลก แปลกไปหมด


“เช่นนั้นหรือ...”


เขาทอดเสียงเหมือนกำลังดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิดบางอย่าง


“ได้ข่าวมาว่าเขาจะแต่งงาน เป็นผู้หญิงลูกเจ้านายที่ไหนรึ”


ผมขมวดคิ้วแล้วเลือกที่จะหันไปมองหน้าเขาตรงๆ


“เฮียถามทำไม”


เขายังคงหันหลังให้ผม เผชิญใบหน้ากับบานประตูไม้ผุเก่า มือสองข้างขยับเหมือนกำลังขันกุญแจ


ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกไปว่าเขากำลังเสแสร้งแกล้งทำ


“ก็แค่อยากรู้”


เขาตอบมาแค่นั้น ไม่มีการขยายความอะไรเพิ่มเติม ฟังดูมีพิรุธชอบกล


ถึงจะแปลกใจแต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงอะไรที่จะตอบออกไป


“เธอชื่อคุณชื่น เป็นลูกสาวของคุณพระมิ่ง”


เพียงเท่านั้น เขาก็หันหน้าขวับมามองผมแทบจะทันที แม้แสงจะสลัวแต่ก็สว่างพอที่จะมองเห็นว่านัยน์ตาคู่นั้นเบิกโพล่งอย่างคนตกใจสุดขีด


ทำไมถึงตกใจขนาดนั้น


“มีอะไรรึเปล่าเฮีย”


เหมือนเขาเพิ่งได้สติ ใบหน้าหยาบกร้านจากการทำงานหนักนั้นสั่นรัว


“ไม่มีกระไร ลื้อไปนอนได้แล้ว”


เขาพูดแค่นั้น แล้วก็ยืนค้างอยู่อย่างนั้น


น่าสงสัย


“เฮียไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่ไหม”


เขาทำเพียงปรายตามามองผมเล็กน้อยแล้วหันกลับไปตามเดิม


“ไม่ใช่กงการของลื้อ”


เฮอะ ไม่ใช่กงการของผมงั้นเหรอ เวลาตัวเองก่อเรื่องใครล่ะที่คอยตามเช็ดตามล้าง มอสไง เฮลโหล่


ช่างเถอะ คร้านจะใส่ใจแล้ว


ผมสะบัดหน้าใส่เขาแล้วเดินเข้าห้องมาในที่สุด ถ้าเขาอยากจะยืนอยู่ตรงนั้นจนถึงเช้ามันก็เรื่องของเขา ขอแค่อย่าก่อเรื่องให้ผมเพิ่มมากกว่านี้ก็พอ





หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งหลัง] (23/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-11-2017 20:54:44
 :katai1:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งหลัง] (23/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 23-11-2017 22:43:29
เฮียชาติกับคุณชื่นรักชอบกันรึ เดาหนะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 21 พลาด [ครึ่งแรก] (24/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 24-11-2017 20:10:46
บทที่ 21 พลาด [ครึ่งแรก]











ผมกำลังเสียศูนย์


ภาพตรงหน้าผมพร่าเลือนไปหมด ผมไม่สามารถบอกได้เลยว่าตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนกระดาษแต่ละแผ่นมันแปลว่าอะไร ผมบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามือผมกระตุกไปกี่ครั้งเพื่อไม่ให้หยดน้ำจากตาเปื้อนเอกสารสำคัญตรงหน้า


ผมหยุดตัวเองไม่ได้เลย


...คำพูดพวกนั้นมันวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมหยุด...


ผมจำได้ว่าเมื่อเย็นมีบ่าวหนุ่มคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในโรงครัวแล้วเอ่ยปากถามพวกเราด้วยน้ำเสียงกึ่งตื่นเต้นกึ่งดีใจ


“พวกเอ็งรู้เรื่องที่คุณเปรมจะแต่งงานหรือยัง”


“โอ๊ย เขารู้กันไปทั้งบางแล้วกระมัง”


ผมจำได้ว่ามีคนหนึ่งตะโกนตอบกลับไป แต่ก็ไม่ได้หันไปใส่ใจมากนัก


ผมคงกำลังตกใจ


“ไม่ใช่เยี่ยงนั้นจ้ะแม่อิ่ม ข้าหมายถึงเรื่องที่ท่านเจ้าคุณไปหาฤกษ์มาได้ว่าคุณเปรมต้องแต่งงานในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่างหากล่ะจ้ะ”


“หนึ่งสัปดาห์! เร็วปานนั้นเชียวรึ”


“ได้ข่าวว่าคุณหญิงท่านยื่นคำขาดเร่งงานแต่ง เพราะคุณชื่นท่านก็มาอยู่ที่นี่นานแล้ว เกรงจะไม่งาม”


“ก็จริงอย่างที่คุณหญิงท่านว่า คุณชื่นเธอก็มาอยู่ที่นี่เกือบจะเดือนหนึ่งแล้ว ร่ำเรียนวิชาการบ้านการเรือนไปหมดแล้ว ตบแต่งเสียให้เรียบร้อยจะได้ไม่เป็นขี้ปากคน”



ถูก ทุกอย่างที่ทุกคนพูดออกมาล้วนเป็นเรื่องที่ถูก ทั้งเรื่องที่คุณชื่นควรแต่งงานเสียที จะได้ไม่เป็นขี้ปากคน รวมไปถึงเรื่องที่ว่าหนึ่งสัปดาห์ก็เป็นเวลาเตรียมตัวที่น้อยเกินไปก็ด้วย


ถูก ถูกทุกอย่างเลย ถ้าจะหาสักอย่างที่ผิด...


...ก็คงเป็นผมเอง...


ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นผมขอตัวออกมาแทบจะทันที อ้างว่าต้องรีบไปทำงานใช้หนี้ คงเป็นเพราะผมก็ไม่ใช่คนที่มีประโยชน์อยู่แล้ว ทุกคนเลยปล่อยผ่านไป


ปล่อยให้ผมเดินออกมาโดยง่าย


ดีแล้ว ถ้ามีใครสักคนรั้งผมไว้อีกนิดเดียว ผมคงขาดใจตายตรงนั้น ในอกมันหน่วงไปหมด เจ็บไปหมด พอรู้ตัวอีกทีก็เดินมาจนถึงโรงหมอเสียแล้ว


ผมเดินทางมาไกลขนาดนี้โดยไม่รู้ตัวได้ยังไงกันนะ


คงเพราะพระเจ้าเห็นใจผมอีกครั้ง จู่ๆ หมอก็มีเคสด่วนต้องออกไปรักษานอกสถานที่ เลยกลายเป็นว่าผมสามารถใช้โรงหมอแห่งนี้เป็นที่ซ่อนตัวได้โดยปริยาย


ซ่อนทั้งตัว ซ่อนทั้งความรู้สึก ขอให้ทุกอย่างจบลงที่นี่ ขอให้น้ำตาหยดสุดท้ายหยดลงตรงนี้ ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี


...ขอให้ผมมีความสุขเสียที...


“ไม่เป็นไรนะเด็กดี”


ก่อนที่ผมจะตั้งตัวได้ร่างทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนแกร่ง


...อุ่นจัง...


“ร้องออกมานะ ไม่เป็นไรแล้ว”


มือใหญ่ๆ ที่ลูบหัวอยู่มันอุ่นจังเลย


“ผมอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ กรนี่ไง”


สิ้นคำพูดนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาทับ


ผมร้องไห้ ร้องไห้เหมือนจะตาย ร้องไห้ให้กับคำที่ผมเฝ้ารอมาตลอด


‘อยู่ข้างๆ กรนี่ไง’


แค่ประโยคนี้เท่านั้นที่ต้องการ ผมอยากได้ยินมันจากใครสักคนมาตลอด ใครก็ได้ที่ทำให้ผมมั่นใจว่าเขาจะไม่ไปไหน


...ใครก็ได้ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว...


คุณเปรมเคยเป็นคนนั้น เขาเป็นคนแรกที่กอดผม จูบผม บอกว่ารักผม บอกว่าผมจะไม่เป็นไรถ้ารักเขา


แล้วยังไงล่ะ? สุดท้ายผมก็เหลือตัวคนเดียว


...เหลือตัวคนเดียวอยู่ดี...


อาม้า อาป๊า อาเฮีย อาเจ้ เคยมีใครสักคนที่จะยื่นมือเข้ามาหาผมจริงๆ บ้าง สุดท้ายทุกคนก็คิดถึงแต่ตัวเอง


...สุดท้ายผมก็คิดถึงแต่ตัวเอง...


ผมรู้ว่าผมเป็นคนไม่ดี แล้วคนอื่นล่ะ คนอื่นก็ทำเหมือนกันไม่ใช่เหรอ


อ้อมแขนที่โอบล้อมรอบตัวผมขยับแน่นขึ้นอีก


ความคิดในหัวผมตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ความผิดหวังจากเรื่องของคุณเปรมจุดชนวนให้เรื่องอื่นๆ ถูกขุดขึ้นมาทั้งหมด ทั้งเรื่องอาม้าที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรสักอย่าง เรื่องไอ้มั่นที่หายหัวไปในยามที่ผมต้องการมันที่สุด เรื่องอาเจ้ที่ผมรู้ดีว่าทุกคนมีส่วนผิด แต่เธอก็ผิดที่เลือกจะหนีปัญหา เรื่องอาเฮียที่ไม่เคยคิดจะทำเรื่องดีๆ ให้ครอบครัวเลยสักครั้ง


เรื่องที่ว่าทำไมผมต้องมาเจอเรื่องเฮงซวยพวกนี้ด้วย ผมผิดอะไร ผมคือมอสไม่ใช่กรวิก ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ใช้ชีวิตอย่างปกติ ผมก็แค่คนปกติ แค่คนธรรมดาที่มีดีบ้าง แย่บ้าง แล้วทำไมผมต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ด้วย


ไม่เห็นจะเข้าใจเลย


ความเสียใจเปลี่ยนเป็นความไม่เข้าใจ


ความไม่เข้าใจกำลังเปลี่ยนเป็นความโกรธ


“หมอ”


ผมดันตัวเองออกจากแผงอกแกร่ง


“ร่ำสุรากันไหม”


เขาขมวดคิ้วพลางอ้าปากทำท่าจะห้าม ติดที่ผมพูดสวนขึ้นเสียก่อน


“หมอไม่ดื่มผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ประเดี๋ยวผมไปคนเดียวก็ได้”


เพียงเท่านั้นเขาก็นิ่งไป


...นิ่งอยู่อึดใจ...


“เช่นนั้นเดี๋ยวเราดื่มเป็นเพื่อน พอดีเพิ่งจะได้บรั่นดีชั้นดีมาจากสหายเก่าที่ล่องเรือมาเมื่อวาน ถือว่าฉลองเสียเลยดีไหม”


ฉลอง? ฉลองอะไร ฉลองให้ความเสียใจเหมือนในเพลงอกหักงี้เหรอ


“ฉลองให้กับความเศร้าอย่างไรเล่า”


นั่นไง เดาอะไรเคยผิดซะที่ไหน สำคัญคือเสี่ยวสุดๆ


แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมหัวเราะ


“หัวเราะอะไร”


เขาถามเสียงเข้ม แต่ใบหน้านั้นกลับเจือด้วยรอยยิ้มกว้าง


...อบอุ่นและใจดีเหมือนอย่างเคย...


ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปกุมมือเขาไว้


“หมอ”


เขาเบิกตาโตพลางจ้องผมนิ่งอย่างตั้งใจฟัง


...ตลกเป็นบ้า...


ผมหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งแล้วสบตาเขาทั้งๆ ที่ยังไม่หุบยิ้ม


...ยิ้ม ทั้งๆ ที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา...


“อย่าเปลี่ยนไปนะ”


ผมบีบมือเขาแน่นขึ้นอีกหน่อย


“ถ้าหมอเปลี่ยนไปอีกคน...”


คิดเพียงเท่านั้น ร่างทั้งร่างก็พลันอ่อนแรง


“ผมคงต้องตายแน่ๆ เลย”


เพียงเท่านั้นผมก็ถูกดึงเข้าไปกอดอีกครั้ง


อ้อมแขนนั้นอบอุ่น อุ่นจนอยากจะฝังตัวไว้ในอ้อมกอดนี้ตลอดไป


ถ้ามีคนๆ นี้อยู่ข้างๆ ไปตลอดก็คงจะดี แต่ผมไม่อยากคาดหวังอะไรอีกแล้ว


...ไม่อยากอีกแล้ว...

 











หลังจากอารมณ์ผมเริ่มกลับมาคงที่ ขวดแอลกอฮอล์มากหน้าหลายตาก็ถูกลำเลียงออกมาวางไม่ขาดสาย


“ขวดนี้เป็นไวน์จาก France บ่มมาได้เกือบร้อยปีแล้ว นับว่าเป็นไวน์ชั้นยอด ไม่รักกันจริงอย่าหวังว่าจะได้ลอง”


“แบบนี้ก็แปลว่าหมอรักผมอย่างนั้นหรือครับ”


เขาชะงักแล้วหันมาสบตาผมนิ่ง ริมฝีปากที่ประดับด้วยรอยยิ้มหุบลง เหลือไว้เพียงใบหน้าจริงจัง


จริงจังเสียจนผมรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อ


“ถ้าบอกว่าระ...”


“ผมว่าเรามาดื่มกันเลยดีไหมครับ อยากลองชิมจะแย่แล้ว”


แม้จะรู้ว่าการพูดขัดจังหวะขึ้นมากลางคันเป็นเรื่องเสียมารยาทแต่ผมก็ยอม


...ยอมเสียมารยาทดีกว่าเสียความรู้สึก...


ผมยังรักคุณเปรม ทั้งรักทั้งเกลียด ส่วนหมอ...ผมเองก็บอกไม่ได้ว่าเขาอยู่ในสถานะไหน ความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้นกว่าเจ้านายลูกน้องทั่วไป จะบอกว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ บอกว่าเป็นคนรักยิ่งผิดไปกันใหญ่ มันเป็นเพียงความสัมพันธ์ที่ยากจะระบุสถานะ เป็นความสัมพันธ์ที่ก่ำกึ่งระหว่างความรักแบบเพื่อนกับความรักแบบแฟน มันอยู่ระหว่างกลางมาตั้งแต่แรกและผมเองก็บอกไม่ได้ว่าอยากให้มันเอนไปทางไหน


เขาสำคัญกับผม...นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมคิดออก


ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนรัก แต่เป็นคนสำคัญ เป็นคนที่ถ้าขาดหายไป...


...ชีวิตผมคงแย่...


ถ้าเขาขอเลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นคนรัก ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะทำให้เขาได้ไหม


...หนึ่งเพราะไม่เคยคิดกับเขาในแง่นั้น...


...สองเพราะผมยังลืมคุณเปรมไม่ได้...


คุณเปรมยังมีอิทธิพลกับหัวใจของผมมากเกินไป ถ้าเกิดผมต้องตอบรับความรู้สึกของหมอทั้งๆ ที่ผมยังมีใจให้คุณเปรม ผมคงได้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวเข้าจริงๆ


“ดื่มเยอะขนาดนั้นเดี๋ยวก็เมาเข้าจริงๆ หรอก”


เสียงร้องเตือนจากคนที่นั่งใกล้ๆ ทำให้ผมต้องหันไปมอง


แค่เพียงสะบัดหัวนิดหน่อย โลกทั้งโลกก็เหมือนโดนเขย่าอย่างรุนแรง มือที่ค้ำยันตัวเองไว้กับพื้นถูกยกขึ้นเพื่อกุมหัวที่ปวดหนึบ ทำให้ร่างทั้งร่างของผมหล่นวูบลงไปกองกับพื้นดังปั้ก


เจ็บโว้ย


“ดูสินั่น สภาพดูได้เสียที่ไหน”


ฝ่ามือใหญ่ช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นนั่งได้ตรงเหมือนเดิม แต่ผมกลับรู้สึกว่าโลกมันหมุนไปหมุนมาแปลกๆ


ทำไมกันน้า


...หรือผมกำลังฝันอยู่?...


“นี่ นั่งดีๆ สิ อย่าโยกไปโยกมา”


ใครโยกไปโยกมา ไม่มี๊ ไอ้หมอนี่ท่าจะเมานะเนี่ย


...หรือผมจะฝันไปจริงๆ?...


“กร นั่งดีๆ”


พูดมากจริงๆ


“กร อย่าเอียงไปเอียงมะ...”


มือของผมคว้าหมับเข้าที่ปากของอีกฝ่ายแล้วบีบไว้แน่น


“หมอ...”


ทำไมเสียงของผมมันยานค้างแปลกๆ


ใช่ ต้องเป็นฝันแน่ๆ


“พูดมาก น่ารามคาน”


ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะ ใบหน้าของคนที่ถูกบีบปากแยกออกเป็นสองสามหน้าซ้อนทับกันไปมา


ท่าทางจะฝันแล้วจริงๆ


แต่ทำไมเขาถึงดูมีความสุขขนาดนั้นนะ นี่ฝันของผมนะ ผมต้องมีความสุขคนเดียวสิ


“ยิ้มอาราย”


เขายังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิมแล้วไม่ตอบอะไร


“ยิ้มอยู่ด้าย ไม่ยอมตอบซ้ากที”


ผมได้ยินเสียงหัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้มันมาพร้อมกับมือใหญ่ๆ ที่ดึงมือผมออกมาจากปากของอีกฝ่าย


“ก็กรปิดปากผมอยู่ จะพูดได้อย่างไรเล่า”


เอ้อ จริงๆ


ผมยอมเอามือออกจากปากของอีกฝ่ายตามการชักนำของฝ่ามืออุ่น แต่ผมยังไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าคมสันที่แสนคุ้นเคย


หล่อจังเลยน้า


“หมอหล่อดีเนอะ”


เขาหัวเราะจนตัวโยน


“ถ้ารู้ว่าเมาแล้วน่ารักขนาดนี้ ผมมอมเหล้าไปเสียตั้งนานแล้ว”


อะไร ใครน่ารัก ใครเมากัน


สงสัยจะฝันจริงๆ เสียแล้วล่ะ


สายตาของผมยังคงจดจ่ออยู่กับใบหน้าหล่อเหลาและ...ริมฝีปากอิ่มได้รูป


เพียงแค่มองริมฝีปาก ผมก็ดันเห็นภาพของอีกคนทับซ้อนขึ้นมา


ริมฝีปากอิ่มคู่นั้น มันเคยเป็นของผม แต่ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นของคนอื่น...


...เป็นของคุณชื่น...


จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงความพลุ่งพล่านบางอย่างที่พวยพุ่งขึ้นมาในอก เสียงหนึ่งในใจได้ห้ามปรามความรู้สึกนั้นเอาไว้ แต่อีกเสียงหนึ่งกลับบอกว่า...


...ก็เป็นแค่ฝันนี่นา...


ถ้าเป็นแค่ฝัน งั้นผมก็ทำอะไรที่ผมอยากทำเลยน่ะสิ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถ้าได้ประชดคุณเปรมออกไปบ้างผมคงมีความสุขขึ้น


“หมอ”


ผมเรียกชื่อเขาออกไป


“อยากจูบ”


ใจหนึ่งคืออยากประชดคนใจร้าย แต่อีกใจมันกลับ...อยากจูบขึ้นมาจริงๆ...


...โชคดีที่เป็นแค่ฝัน...


“มาจูบหน่อย”


ไม่ต้องรอให้ขออีกเป็นรอบที่สอง คนตัวโตก็พุ่งเข้ามาทาบทับความหยุ่นร้อนนั่นกับริมฝีปากของผม


หวานจริงๆ ด้วย


รู้สึกดีอย่างที่คิดเอาไว้เลย


ฝันนี่ดีจริงๆ









หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 21 พลาด [ครึ่งแรก] (24/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 24-11-2017 20:28:08
กรเอ๋ยยยยย ทำอะไร​ไป
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 21 พลาด [ครึ่งแรก] (24/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 24-11-2017 21:25:37
กรกับหมอ ดีมากคร้า เค้าจะทำไรกานนร้า อยากให้กรมีความสุข ในยุคอดีตกับหมอ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 21 พลาด [ครึ่งหลัง] (25/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 25-11-2017 16:16:44
บทที่ 21 พลาด [ครึ่งหลัง]








พวกเราจูบกัน เขาไล่ต้อนบ้าง ผมรุกไล่บ้าง จูบอยู่อย่างนั้นราวกับกลัวว่าถ้าละจูบออกไปจะต้องพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย


ผมขบริมฝีปากเขา เขาขบริมฝีปากผมกลับ


ปลายลิ้นของผมหยอกล้อกับปลายลิ้นของเขา ตัวเขาเองเลยทำไม่ต่างกัน


จูบของเรามันหวาน มันหอม จนยากจะหยุด


แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หยุด


พวกเราสองคนหอบหายใจจนตัวโยนจากการจูบมาราธอนเมื่อครู่


“พอเถอะกร”


เขาผลักผมออกจากตัว


“ก่อนที่อะไรจะเกินเลยมากไปกว่านี้”


เขาเงยหน้าขึ้นสบตาผม


“ใจของเธอไม่ใช่ของผม ต่อให้ได้ตัวไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี”


ประโยคนั้นของเขาทำให้ผมสะอึก


ใจร้าย ไอ้หมอใจร้าย นี่ความฝันของผมนะ มีสิทธิอะไรมาพูดจาแบบนี้กัน


“แล้วยังไงล่ะ”


ผมตอบกลับด้วยความฉุนเฉียว แต่น้ำเสียงกลับฟังอู้อี้พิกล


“คนที่ผมให้ใจไปยังไงเขาก็ไม่สนอยู่ดี”


ทำไมตาของผมมันร้อนขนาดนี้นะ


ยังไม่ทันที่ผมจะได้หาข้อสรุป ร่างทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมอกอุ่น


อุ่นเหมือนจริงเลย


“เธอจะมีความสัมพันธ์กับเราเพื่อประชดเปรมหรือ”


พอฟังคำถามจบผมก็นิ่งไป


ถ้าตอบว่าใช่ เขาจะเกลียดผมไหม


ไม่ได้หรอก ต่อให้เป็นความฝันก็พูดออกไปไม่ได้หรอก


“ผมไม่เคยคิดทำอะไรต่ำตมแบบนั้นหรอก”


ผมดันหน้าออกจากอกของเขาแล้วเงยหน้าสบตา


“นี่ร่างกายผมนะ อยากจะมีอะไรกับใครผมก็ต้องเต็มใจเองสิ”


ผมโกหก


มอสเป็นคนขี้โกหก แม้แต่ในฝันก็ยังขี้โกหก


ดวงตาสีฟ้าเข้มนั้นจ้องผมนิ่ง


“แล้วอยากจะมีสัมพันธ์กับเรา...เพราะอะไร”


ผมเอื้อมมือไปจับแก้มของเขาแล้วค่อยๆ ไล้ไปตามโครงหน้าคมสันอย่างชาวตะวันตก แต่ในใจดันพาลคิดถึงคนอีกคนที่มีใบหน้าคมสันอย่างชาวตะวันออก


ป่านนี้คนๆ นั้นจะทำอะไรอยู่นะ


“เพราะจมูกโด่งๆ นี่...”


จมูกโด่งๆ ที่เคยคลอเคลียกับผม


“เพราะปากที่ช่างพูดนี่”


ปากสวยได้รูปที่ขยันหาคำมาดุด่าผมได้ตลอดเวลา


“แล้วก็...”


ผมสบตาเขานิ่ง


“เพราะเป็นหมอล่ะมั้ง”


มีเพียงประโยคนี้เท่านั้นที่ผมสื่อถึงคนที่ผมกำลังพูดด้วย และผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ


แม้นี่จะเป็นเพียงการมีอะไรกันเพื่อลบภาพของอีกคนไปจากใจ แต่ถ้าไม่ใช่เขา...ถ้าไม่ใช่หมอ ผมก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน


มีเพียงตะวันดวงนี้เท่านั้นที่จะลบทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากใจของผมได้


สิ้นคำพูดผม ร่างทั้งร่างก็ถูกรวบกอดแล้วกดตรึงไว้กับพื้นไม้เย็นแข็ง


“ตัดสินใจแล้วนะ”


ในหัวของผมปวดตุบจนคิดอะไรไม่ออก จึงทำได้แค่พยักหน้าไปเบาๆ


หลังจากนั้นเขาก็พาผมก็ดื่มด่ำกับความฝันแสนหวานครั้งแล้วครั้งเล่า


...เป็นฝันที่ดีจริงๆ...

 









ปวดหัว


ปวดหัวจนจะระเบิดอยู่แล้ว


ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละน้อยเพราะแสงแดดที่ลอดผ่านรอยแตกตรงหน้าต่างมันแยงตาจนแสบไปหมด กว่าจะลืมตาได้เต็มที่ก็ผลาญเวลาไปหลายนาที ผมหลับตาลงอีกครั้งแล้วดันตัวเองขึ้นนั่งก่อนจะสะบัดหัวไล่ความปวดหนึบ


ตื่นสายป่านนี้ พวกคนในโรงครัวคงด่าบุพการีผมกันสนุกปากแล้วมั้ง


...เดี๋ยวนะ!...


ผมลืมตาโพล่งขึ้นอย่างคนเพิ่งนึกอะไรออกแล้วกวาดตามองไปรอบตัว


เครื่องเรือนเครื่องใช้ดูมีราคาค่างวดแตกต่างจากห้องนอนซอมซ่อที่คุ้นเคย เตียงสี่เสาที่ผมนั่งอยู่ก็ดูไม่คุ้นตา ไหนจะกลิ่นหอมสะอาดที่ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องนี่อีก


ฉิบหาย ห้องใครวะเนี่ย


...เดี๋ยวนะ...


ผมก้มมองสภาพของตัวเองแล้วยิ่งตกใจมากกว่าเก่า ตัวของผมเปลือยเปล่า แย่ไปกว่านั้นคือบริเวณแผงอกไล่ขึ้นไปถึงคอมีแต่รอยจ้ำเต็มไปหมด ที่ร้ายที่สุดก็คือ...


พอผมพยุงตัวเองลงจากเตียง ทันทีที่ยืนขึ้นของเหลวแปลกปลอมเหนียวขุ่นก็ไหลอาบต้นขาจนเหนอะนะ


...ชัดเลย...


กูไปมีอะไรกับใครเนี่ย!


ผมพยายามทบทวนความทรงจำล่าสุดของตัวเอง จำได้ว่านั่งดื่มเหล้าอยู่กับไอ้หมอ จากนั้นก็...


เวรกรรม จำไม่ได้เลย


โอ๊ย เพราะแบบนี้ไงผมเลยไม่ชอบเมา เวลาไปกินเหล้ากับไอ้ไม้ก็พยายามจะดื่มอย่างรู้ลิมิตตัวเอง สงสัยเมื่อวานคงเสียศูนย์จากคุณเปรมไปหน่อยเลยซัดเข้าไปจนปลิ้นขนาดนี้ ไอ้หมอนะไอ้หมอ แทนที่จะช่วยดูแลกันยามยาก ดันปล่อยให้ผมไปบะบะโอบะบะกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ อย่าให้เจอนะ พ่อจะด่าให้สำนึกไม่ทันเลย


“อ้าวกร ตื่นแล้วรึ”


น้ำเสียงคุ้นเคยที่เอ่ยทักทำให้ผมต้องรีบเงยหน้ามอง


...ไอ้หมอ...


ใจนึกอยากด่าครับ แต่ยางอายต้องมาก่อน ผมคว้าเอาผ้าห่มบนเตียงมาห่อตัวพอให้ไม่อุจาดตาแล้วกอดอกเตรียมตี


“ไปอาบน้ำล้างตัวก่อนนะ เดี๋ยวจะทำอะไรให้กะ...”


“ไอ้หมอ!”


เขาสะดุ้ง


มึงสะดุ้งทำไม กูนี่ต้องสะดุ้ง


“หมอปล่อยให้ผมไปมีความสัมพันธ์กับใครได้อย่างไร แล้วนี่ผมมาอยู่ที่ห้องของหมอได้อย่างไร แล้วทำไมหมอไม่ห้ามผมตอนที่เห็นว่าผมเมาเล่า แล้วทำไม...”


“ใจคอไม่คิดว่าเธอจะมีสัมพันธ์กับผมบ้างรึ”


คำพูดของเขาทำให้ผมหยุดชะงัก


ดวงตาสีฟ้าสบกับผมนิ่ง ไม่มีรอยยิ้มประดับหน้า ไม่มีแววตาขบขันล้อเล่น


เอาซะกูหายแฮงค์เลย


“หมอ...อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ”


เขายังคงนิ่ง...นิ่งอยู่อย่างนั้น


“หมอ...ผมไม่ตลกนะ”


“แล้วคิดว่าที่เรามีความสัมพันธ์กันเมื่อคืนมันเป็นเรื่องตลกรึ!”


เสียงตวาดของเขาทำให้ผมสะดุ้ง


เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ เขาไม่เคยตวาดผมแบบนี้ อย่าว่าแต่ตะคอกเลย ผมยังไม่เคยเห็นเขาขึ้นเสียงใส่ใครด้วยซ้ำ


ผมทำเขาโกรธจริงๆ เสียแล้ว


“เธอคิดว่าเรื่องเมื่อคืนของเรามันคืออะไร”


เขาก้าวเข้ามาหาผมช้าๆ


“เธอจะอ้างว่าเมาแล้วให้มันจบกันไปเช่นนั้นรึ”


เขาคว้าแขนสองข้างของผมเอาไว้แล้วบีบแน่น


น่ากลัว


“นี่ยังไม่นับเรื่องที่เมื่อคืนเธอเรียกชื่อเปรมออกมาด้วยนะ”


ฮะ!


“เธอเรียกชื่อเปรมทั้งๆ ที่เรากำลังมีสัมพันธ์กัน...”


จากน้ำเสียงโกรธเคืองฉุนเฉียวเมื่อครู่กลายเป็นน้ำเสียงตัดพ้อและเสียใจอย่างล้ำลึก


“เธอทำได้ยังไง กรบอกพี่สิว่ากรทำได้ยังไง”


พอพูดจบเขาก็ซบหน้าลงตรงไหล่ของผม ตัวเขาสั่นระริก มือสองข้างของเขาปล่อยแขนผมให้เป็นอิสระแล้วเปลี่ยนเป็นรวบตัวผมเข้าไปในอ้อมกอดแทน


ผมไม่รู้สึกถึงอะไรเลยนอกจากความเปียกชื้นที่หัวไหล่


เขา...กำลังร้องไห้


“ในตอนที่พี่กำลังรักกร กรรักใคร”


เสียงของเขาสั่นเครือ


“กรรักพี่ไม่ได้เลยหรือ”


อ้อมกอดของเขากระชับแน่นขึ้น


“ถ้าได้แต่ตัวแล้วต้องปล่อยใจกรไปให้ใคร พี่ไม่เอา”


เขาซุกหน้าเข้ากับลำคอของผม


“จะเอาทั้งตัว จะเอาทั้งใจ”


ใจของผมสั่นไหวอย่างรุนแรง


หนึ่ง คือความรู้สึกผิด


หนึ่ง คือความหวามไหวที่เกิดขึ้นในใจ


ความรู้สึกที่ผมจัดการไม่ได้กำลังเอ่อล้น ใจหนึ่งผมรักคุณเปรม แต่อีกส่วนหนึ่งกำลังหวั่นไหวอย่างรุนแรง


ผมควรทำยังไงดี


พอคิดคำตอบไม่ได้ ผมเลยเลือกที่จะโอบกอดเขาเอาไว้เป็นหลักยึด


“คนละโมบ”


ผมพูดออกไปแค่นั้น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงหัวเราะแปร่งๆ


เขาดันตัวเองออกมาสบตาผม ใบหน้าหล่อเหลานั้นเปรอเปื้อนไปด้วยความเปียกชื้นไม่น่ามอง


...หยาดน้ำตาที่ตัวผมเป็นต้นเหตุ...


พอคิดได้แบบนั้น ผมจึงค่อยๆ ไล้มือบนหน้าเขา บรรจงเช็ดทุกหยาดหยดออกจากใบหน้าคมสันที่เหมาะกับรอยยิ้มอบอุ่นมากกว่า


ใช่ เขาเหมาะที่จะยิ้มมากกว่า


“พี่รู้ว่าพี่เห็นแก่ตัว”


ผมส่ายหน้า


“ผมต่างหากที่เห็นแก่ตัว”


ผมลูบหัวเขาเบาๆ เป็นการปลอบใจ


“พูดชื่อคนอื่นออกมาแบบนั้น...ผมทำได้ยังไงกันนะ”


ผมทำร้ายเขามากมายขนาดนั้นได้ยังไงกัน


เขาปล่อยผมออกจากอ้อมกอด แล้วเปลี่ยนมาทาบมือเขาทั้งสองข้างลงบนหลังมือผมที่อยู่บนหน้าเขา


เหมือนบังคับให้ผมจับหน้าเขาไปกลายๆ


“มาเริ่มใหม่กันได้ไหม”


แววตานั้นเว้าวอน


“ลืมเขาไปให้หมด ปล่อยเขาไป แล้วเรามาเริ่มใหม่กันนะ”


ถ้อยคำอ้อนวอนนั้นอ่อนหวานจนเผลอหลงใหลไปชั่วขณะ


แต่ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ จู่ๆ จะให้รักคนนู้นทีมารักคนนี้ที มันทำได้ซะที่ไหน


ความรัก มันเปลี่ยนกันได้ง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหน


“ผม...ยังทำไม่ได้”


เพียงเท่านั้นใบหน้าหล่อเหลาก็ฉายแววสิ้นหวังออกมาอย่างชัดเจน ร่างสูงใหญ่เหมือนคนหมดแรงที่จะทรุดลงกองกับพื้นจนผมต้องรีบเข้าประคอง


มอสเอ๊ย มึงทำร้ายคนที่ดีกับมึงขนาดนี้ได้ยังไงวะ


แต่ถึงจะรู้สึกผิดยังไง ผมก็ไม่อยากหลอกเขาอยู่ดี


...ไม่อยากหลอกตัวเองด้วย...


“หมอ...”


เขาเงยหน้าสบตาผมตามเสียงเรียก แม้แววตานั้นมันจะดูอ่อนล้าจนใจผมกระตุกก็ตาม


แต่ผมต้องพูด ในสิ่งที่เป็นความจริง


“ตอนนี้ผมยังรักหมอไม่ได้เพราะผมยังรักเขา”


ใช่ ผมยังรักคุณเปรม


“แต่สักวันหนึ่ง ผมอาจจะ...”


“อย่าให้ความหวังถ้าสิ่งนั้นมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง”


เขาพูดตัดบท แล้วสบตาผมนิ่ง


สมแล้วที่เป็นเขา เขารู้จักตัวผมดีกว่าที่ผมรู้จักตัวเองเสียอีก


แต่มีอย่างหนึ่งที่เขายังไม่รู้...


“ผมเป็นคนรักษาสัญญานะหมอ”


เขาขมวดคิ้วงงงวยกับคำพูดของผม


“ถ้าผมสัญญาแล้วสักวันจะลืม ผมก็จะลืม...”


ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอเพื่อเป็นการย้ำเตือนตัวเองว่า...ผมตัดสินใจแล้ว


“ถ้าผมสัญญาว่าจะรัก ผมก็จะรัก”


นัยน์ตาสีฟ้านั้นเบิกโพล่งฉายแววตกตะลึงอย่างเด่นชัด


ดูๆ ไปก็น่ารักดี


“เมื่อคืนนี้ผมถือว่าพลาด...”


ผมกระตุกยิ้มให้กับท่าทางเหลอหลานั้นเล็กน้อย


“แต่คราวนี้...ผมเอาจริง”


พอพูดจบผมก็เขย่งปลายเท้าขึ้นประทับจูบลงบนริมฝีปากอิ่มได้รูป


“มัดจำไว้ก่อนนะ ที่เหลือไว้ค่อยเอา”


สิ้นคำพูดผม ใบหน้าหล่อเหลานั้นก็ถูกประดับด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยเห็น


เขารวบผมเข้าไปกอด


เขาประทับจูบผมครั้งแล้วครั้งเล่า


เพียงแค่นั้น ไม่มีอะไรเกิดเลย


ทำไมผมถึงไม่รักคนๆ นี้ตั้งแต่แรกนะ ถ้าเป็นเขามาตั้งแต่แรก ผมคงไม่ต้องเจ็บปวดขนาดนี้


ถ้าเป็นเขามาตั้งแต่แรก ผมคงมีความสุขมากกว่านี้






************************************************************************************************

 

หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 21 พลาด [ครึ่งหลัง] (25/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 25-11-2017 16:36:51
เราไม่โอเค ขอเราไปพักก่อนนะ ขอตั้งสติก่อน
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 21 พลาด [ครึ่งหลัง] (25/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 25-11-2017 18:00:21
มีความสุขกับกร&หมอ ขอให้คุณเปรมมีความสุขกับคุณชื่น (ตอนนี้หมอมีความสุขอยู่คนเดียว)
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 21 พลาด [ครึ่งหลัง] (25/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 25-11-2017 20:44:41
เริ่มต้นใหม่แล้ววว
ครั้งแรกของกรวิกเป็นของหมอออ
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 21 พลาด [ครึ่งหลัง] (25/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-11-2017 21:05:52
ถถถถถถ  มอส เสียใจ......ดื่มเหล้า
อกหัก......ดื่มเหล้า
ว่าไม่คิดอะไรกับหมอ
แต่มอส ก็มีเซ็กส์กับหมอ  เพราะเมา  :z3: :z3: :z3:
ผิดหวังกับมอสเลย
มาอดีต เพราะคุณเปรม
แต่มาแล้วมีเซ็กส์กับหมอ งงงงงงงง  :really2: :really2: :really2:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก] (26/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 26-11-2017 13:54:48
บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก]









หลังจากเหตุการณ์...วุ่นวาย ทำให้ชีวิตของผมยุ่งเหยิงมากขึ้นกว่าเก่า จากความเคยชินเก่าที่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อออกจากบ้านไปทำงานโรงครัว กลับต้องเป็น...


“แน่ใจหรือว่าจะไม่กินอะไรก่อน เป็นลมเป็นแล้งไปจะยุ่งนะ”


น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นเจือไปด้วยความห่วงใยที่เอ่อล้น


มากเกินไปด้วยซ้ำ...


ผมฉีกยิ้มให้เขาแล้วส่ายหัวเบาๆ


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยไปกินที่โรงครัวทีเดียว”


“เช่นนั้นรึ...”


เขาพยักหน้าเข้าใจแล้วขยับเข้ามาใกล้อีกหน่อย


“เดินทางปลอดภัยนะ”


ไม่พูดเปล่า ยังประทับริมฝีปากอุ่นชื้นนั้นลงบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา


อึดอัดจังเลยน้า...


ผมฉีกยิ้มให้เขาแล้วเดินจากมาไม่ได้พูดอะไร


ทั้งๆ ที่เป็นคนสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรัก แต่พอต้องทำจริงๆ กลับไม่ง่ายเลย...ยาก จนผมเผลอถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ชาตินี้ผมจะรักเขาได้จริงๆ รึเปล่า


คำตอบก็คือ...ผมเองก็ไม่รู้


ยากจริงๆ ด้วยสิ


หลังจากตื่นขึ้นมาพร้อมกับความตื่นตระหนกและความปวดร้าวบริเวณสะโพก ผมก็ทำได้เพียงคลี่คลายสถานการณ์เฉพาะหน้าแล้วรีบบึ่งไปโรงครัวให้เร็วที่สุด ตะวันสายโด่งป่านนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะโดนก่นด่าไปมากแค่ไหน สำคัญที่สุดคือเมื่อคืนผมไม่ได้กลับบ้าน ไม่รู้ว่าอาม้าจะเป็นห่วงรึเปล่า


...


ก็คงไม่หรอก


ผมเร่งฝีเท้าขึ้นอีกหน่อย ไม่นานนักรั้วบ้านคุ้นตาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมรีบทักทายทุกคนแล้ววิ่งปรี่ไปโรงครัวให้เร็วที่สุด แน่นอนว่าคำแรกที่ต้องได้ยินก็คือ...


“ไอ้กร มาเอาป่านนี้ เอ็งไม่มาเอาชาติหน้าเลยล่ะ”


โดนแล้ว กูโดนแล้ว


แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือ...


“ขอโทษจ้ะน้าอิ่ม พอดีมันเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย”


แก้ตัวสิโว้ย อย่าไปยอมให้เขาด่าเราอยู่ฝ่ายเดียว แม้มันจะเป็นความจริงก็ตาม


หญิงวัยกลางคนปรายตามองผมแล้วเบ้ปาก


“แหม ปัญหาเรื่องผู้หญิงสิเอ็ง ลายพร้อยมาทั้งคอเชียวนะ”


สิ้นคำพูดของน้าอิ่มทุกคนในโรงครัวก็หัวเราะครืน แต่ผมนี่สิ...


อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้วโว้ย


“แม่อิ่มก็อย่าไปแซ็วมันมาก เพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มก็แบบนี้แหละ”


สิ้นคำของบ่าวอีกคน ทุกคนก็พากันหัวเราะขึ้นมาอีกระลอกจนผมไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนจึงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ แล้วเดินเข้าไปทำงานเนียนๆ


“ไม่ต้องเข้ามาแล้วโว้ย ไม่มีงานอะไรให้ทำแล้ว จะไปไหนก็ไป ไป๊”


คำขับไล่ไสส่งด้วยน้ำเสียงเอ็นดูเกินกว่าจะตำหนิของน้าอิ่มทำให้ผมยิ้มรับแล้วเผ่นแน่บออกมา


แหม ขืนอยู่ต่อไม่รู้ว่าจะโดนแซ็วว่าอะไรอีกบ้าง


ยังไงก็มีงานส่วนของตอนเย็นที่ต้องไปช่วยทำอยู่แล้ว ออกมาอู้นิดๆ หน่อยๆ ก็คงไม่เป็นไร ตำแหน่งงานที่ผมทำอยู่ตอนนี้จะบอกว่ามีประโยชน์ก็ไม่ใช่ ไร้ประโยชน์ก็ไม่เชิง เพราะสมัยที่อาเจ้ยังอยู่ ตำแหน่งของเจ้คือคนทำขนมซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญ แต่พอผมเข้ามาแทน ตำแหน่งนั้นก็ถูกโยกย้ายไปให้บ่าวคนอื่นทำแทน ทำให้ผมไม่มีหน้าที่อะไรมากนักนอกจากงานใช้แรงงานโง่ๆ อย่างปอกเปลือกผลไม้ แบกหามข้าวของ ไม่ก็ปรุงอาหารง่ายๆ เช่น คนน้ำแกงในหม้อไปเรื่อยๆ


หน้าตาผมคงดูเหมือนคนทำอาหารไม่เป็นล่ะมั้ง...ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงด้วย


วิชาคหกรรมก็คือวิชาคหกรรมไง มันเหมือนกับการทำอาหารจริงๆ ตรงไหนกันเล่า ยิ่งเป็นอาหารไทย ขนมไทยยิ่งแล้วใหญ่ ก็แหม ตอนเรียนวิชาคหกรรม ผมเรียนทำเบเกอรี่นี่นา


อนาถแท้ๆ


พอคิดถึงตรงนี้ผมก็หลุดขำออกมาซะอย่างนั้น


ได้คิดอะไรไร้สาระเสียบ้างก็รู้สึกดีเหมือนกัน


“หัวเราะอะไรหรือคะ”


เสียงร้องทักที่ดังขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ผมสะดุ้งโหยง เคราะห์ดีที่ยังไม่หลุดคำอุทานที่เป็นสิงสาราสัตว์ออกไป


คนที่ทักผมด้วยคำพูดแบบนี้ ไม่ต้องหันไปมองหน้ายังรู้เลยว่าใคร...


“คุณชื่นมาอ่านหนังสือในสวนอีกแล้วหรือครับ”


เธออมยิ้ม


“ค่ะ พอดีคุณพ่อท่านเพิ่งได้หนังสือมาใหม่จึงส่งมาให้สองสามเล่ม”


ผมเหลือบมองหนังสือเล่มหนาในมือเธอ มันเป็นหนังสือปกแข็งสีแดงเลือดหมู ความหนาชนิดฟาดหัวหมาแตก แถมดูแล้วไม่น่าจะใช่ภาษาไทย...


“คุณชื่นอ่านภาษาอังกฤษได้ด้วยหรือครับ”


เธอเอียงคอเล็กน้อย บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแปลกใจ


“ทำไมคุณถึงรู้ว่านี่คือภาษาอังกฤษหรือคะ”


วันนี้ขอเสนอคำว่า ‘ขุดหลุมฝังตัวเอง’


ผมยิ้มแห้ง


“พอดีว่า...ผมทำงานให้กับหมอฝาหรั่งน่ะครับ เลยพอจะเห็นผ่านตามาบ้าง”


เธอพยักหน้าเข้าใจ


“ค่ะ ชื่นอ่านหนังสือภาษาอังกฤษบ้าง ฝรั่งเศสบ้าง คุณพ่อท่านสอนให้ค่ะ ท่านบอกว่าความรู้จะช่วยพอกพูนคุณค่าในตัวเรา”


ทัศนคติดี เอาไปสิบคะแนน


ให้ตายสิ ยิ่งคุย ยิ่งรู้จักกับเธอมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างเรามากขึ้นเท่านั้น


เธอดีกว่าผมตั้งเท่าไหร่ เธอเหมาะสมกับเขามากแค่ไหน


ทำไมผมจะไม่รู้


แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่มีสิทธิ์จะเอาความน้อยใจของตัวเองไปทำร้ายใครอยู่ดี


“คุณไปทำอะไรมาหรือคะ”


คำถามที่ขึ้นต้นมาดื้อๆ ทำให้ผมต้องจ้องหน้าเธอเขม็ง


หมายความว่ายังไงกันนะ


“ก็...คอของคุณ มีรอยเต็มไปหมด ราวกับโดนแมลงกัดอย่างไรอย่างนั้น”


โอ้โห บันเทิงไหมล่ะมึง


ผมคว้าหมับเข้าที่คอตัวเองหวังให้หลังมือช่วยปกปิดร่องรอยพวกนั้นสักนิดก็ยังดี


“ใช่แล้วครับ ผมถูกแมลงกัด ตัวลิ้นนี่กัดเจ็บนักเชียว”


ตามน้ำไปครับ ลอยไปเรื่อยๆ จนกว่าปลายทางจะเป็นน้ำตกแล้วตกลงไปตาย


เป็นบุญของผมอีกครั้งที่คุณชื่นเข้าใจโดยง่าย เธอเพียงพยักหน้ารับแล้วเตือนให้ไปหาหยูกยามาทา


แต่เดี๋ยวนะ...แบบนี้ก็หมายความว่าคุณชื่นไม่เคยมี...


เออ แต่ในยุคนี้ใครเขาจะไปมีอะไรกับใครก่อนแต่งกันล่ะ ได้โดนตราหน้าแย่


เมื่อหัวข้อสนทนาหมดลง ผมจึงเลิกที่จะบอกลา


“คุณชื่นมาคุยกับผมตามลำพังเช่นนี้เกรงว่าจะไม่งาม เช่นนั้นผมเห็นว่าผมควรรีบไปเสียดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้า จะเอาไปพูดไม่ดี”


ริมฝีปากบางนั้นอ้าออกจากกันเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง หากถูกใครบางคนขัดขึ้นเสียก่อน


“แม่ชื่นไม่ได้มาคนเดียว”


พวกเราสองคนหันขวับไปมองคนมาใหม่แทบจะพร้อมกัน คุณชื่นไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ ต่างกับผมที่พอได้เห็นหน้าชัดๆ แล้วก็อดค่อนแขวะไม่ได้


เฮอะ จะแต่งแล้วนิ ตามมาเฝ้า มาประคบประหงมกันแจเลยนะ


...


แขวะเอง เจ็บเอง ท่าจะบ้าแล้วมอสเอ๊ย


เขาเดินมายืนข้างๆ คุณชื่นแล้วเอามือไพล่หลัง


“อ๋อ คุณชื่นมากับคุณเปรมนี่เอง เช่นนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”


“จะรีบไปไหนล่ะ”


เสียงที่ดังขัดขึ้นนั้นทั้งทุ้ม ทั้งต่ำ แถมบรรยากาศก็ต่างจากปกติ


มันฟังดู...โกรธเกรี้ยวพิกล


สายตาของเขาจับจ้องที่ใบหน้าของผมก่อนจะผละไปมองบริเวณคอแค่แว่บเดียวแล้วกลับมาสบตาผมใหม่


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


ดี รู้สึกเสียบ้างก็ดี


“พอดีต้องไปช่วยงานในโรงครัวน่ะครับ”


นัยน์ตาดำขลับนั้นนิ่งสงบกว่าทุกที


ดี หึงเสียบ้างก็ดี


ให้ตายสิ...ผมนี่มันร้ายกาจเป็นบ้า


“งานในครัวเอาไว้ก่อนเถิด...”


เขามองหน้าผมแล้วกระตุกยิ้มเย็น


“ไปช่วยเรากับแม่ชื่นเก็บดอกไม้ในสวนหน่อยแล้วกัน”


ใจร้าย เขาใจร้ายกับผมขนาดนี้ได้ยังไงกัน


“เก็บดอกไม้หรือคะ?”


ใบหน้าน่ารักหันไปถามคนข้างกาย


ผมคาดหวัง...หวังให้เขาพูดคำว่า ‘พี่ล้อเจ้าเล่นน่ะแม่ชื่น’ ไม่ก็บอกว่าอยากไปกับคุณชื่นแค่สองคนหรืออะไรทำนองนั้นก็ได้


แล้วผมก็ผิดหวัง...


“ใช่แล้วจ้ะแม่ชื่น พี่จำได้ว่าน้องชอบดอกการเวกมิใช่รึ”


ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พยายามบังคับมือไม่ให้สั่น


“พี่เห็นว่าการเวกในสวนมันออกดอก เลยอยากพาน้องไปเก็บ พี่เห็นน้องเหงาเลยอยากพามาเดินเล่น”


เขาทำกับผมขนาดนี้ได้ยังไง...เขาทำลงได้ยังไง


ใบหน้าคมสันนั้นหันมาหาผมแล้วฉีกยิ้มเย็น


“ยืนนิ่งอยู่ทำไมเล่า ไปหยิบตะกร้ามาสิ”


มือผมเย็นเฉียบ ใจนึกอยากวิ่งหนีไปเสียให้พ้นๆ


แต่ก็ทำไม่ได้...


“ผมไม่ทราบว่าตะกร้าอยู่ไหนครับ”


เขาส่งเสีย ‘ฮึ’ อย่างดูแคลน


“ต้องรอให้เจ้านายบอกรึจึงจะหามาได้”


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


ผมสบตาเขานิ่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป รู้แต่เพียงว่าอยากมองหน้าคนใจร้ายแล้วสลักมันลงลึกในหัวใจ


ตอกความเสียใจนี้ลงไป ย้ำความเจ็บปวดนี้ลงไป


แล้วเลิกรักเขาเสียที


“ครับ รอผมสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะไปหาตะกร้ามาให้”


เขาฟังผมแล้วกระตุกยิ้มเย็น ไม่มีคำปลอบโยน ไม่มีรอยยิ้มปลอบประโลมใดๆ


แค่ยิ้มแล้วมองด้วยแววตาแข็งกร้าวแค่นั้น...แค่นั้นจริงๆ

 













ความรู้สึกเจ็บจนชามันเป็นแบบนี้นี่เอง


ภาพตรงหน้าของผมคือชายหญิงที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกกำลังเดินเคียงข้างกันด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข


ไม่หรอก ก็ไม่ได้เปี่ยมสุขเสียทีเดียว


คุณชื่นดูมีความสุข แต่ไม่สุด คุณเปรมเองก็ดูพยายามมาก...มากจนไม่เป็นธรรมชาติ ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มของทั้งคู่ดูฝืดฝืนไปหมด คุณชื่นพยายามจะพยักหน้าและตอบทุกคำถามที่คุณเปรมตอบ แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่นิสัยของเธอ จากการได้พูดคุยกันโดยบังเอิญอยู่หลายครั้งทำให้ผมพบว่าเธอเป็นคนช่างซักช่างถาม ฉลาดเฉลียวและมีความคิดล้ำลึก แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่คนช่างตอบ หลายๆ ครั้งที่ผมถามเธอก็มักจะเงียบไปเสียเฉยๆ การต้องมาอยู่ในฐานะผู้ตอบคงทำให้เธออึดอัดไม่น้อย


คุณเปรมเองก็ไม่ต่างกัน คนๆ นั้นเป็นคนพูดเก่ง ขี้เล่นและมีฝีปากเป็นเลิศ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนหัวโบราณที่ยังเชื่อว่าลูกผู้ชายต้องนำความดีงามมาสู่ตระกูล ลูกผู้ชายต้องเป็นผู้นำในทุกสถานการณ์ เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่เปิดโอกาสให้คุณชื่นได้แสดงความเฉลียวฉลาดของตัวเองออกมา


เพราะแบบนี้เขาเลยไม่เปิดโอกาสให้คุณชื่นถามออกมามากนัก แถมท้ายด้วยการทำหน้าที่เป็นคนนำบทสนทนาอยู่ตลอดเวลา


เขากำลังใช้เพศสภาพและความเชื่อตัวเองกดให้ผู้หญิงฉลาดอย่างคุณชื่นอยู่ใต้เงา แต่คุณชื่นก็ดูไม่ใช่คนที่มีนิสัยยอมอยู่ใต้เงาของใคร


น่าสงสาร


นั่นเป็นคำเดียวที่ผมคิดออก พวกเขาทั้งสองคนดูเผินๆ แล้วเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก แต่ภายในแล้วคนสองคนนี้ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง คนหนึ่งหัวโบราณและยึดติดกับเพศสภาพของตน อีกคนหัวก้าวหน้าและพยายามไขว้คว้าหาจุดยืนของตน


พวกเขาจะมีความสุขในชีวิตคู่ได้ยังไงกันนะ


“แม่ชื่นชอบอ่านหนังสือรึ”


ผมหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินคำถามที่เหมือนตัวเองเคยถามออกไปเมื่อไม่นานมานี้


คุณชื่นมีสีหน้าสดใสขึ้นเล็กน้อย


“ค่ะ คุณพ่อท่านสอนให้ชื่นเขียนอ่าน บอกว่าความรู้จักพอกพูนคุณค่าในตัวคน”


“เช่นนั้นรึ”


เขารับคำ


“แต่พี่เห็นว่าน้องเป็นหญิง การเขียนอ่านคงไม่จำเป็นขนาดนั้นกระมัง”


พูดเพียงแค่นั้นแล้วเบนหน้าหนีจนคุณชื่นหน้าเจื่อนลง


เธอคงรู้สึกแย่...แย่พอๆ กับผม


ทำไมกัน ทั้งๆ ที่เขาเคยชมผมว่าฉลาด เคยชื่นชมในความรู้ความสามารถของผม แล้วทำไมกับคุณชื่น...แค่เพราะเป็นผู้หญิงเหรอ


เขาดูถูกคุณชื่นเพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิงเหรอ


ให้ตายสิ ผมรักคนน่ารังเกียจแบบนี้ไปได้ยังไงกัน


“แต่ผมไม่คิดเช่นนั้นนะครับคุณเปรม”


เพราะความคิดน้อยที่ว่าผมควรทำอะไรสักอย่างทำให้คนทั้งสองหันมามองผมเป็นตาเดียว


คุณชื่นมีสีหน้าฉงน ส่วนคุณเปรมมีสีหน้าไม่พอใจ


ใครสนมันล่ะ


“การที่คุณชื่นมีความรู้ก็หมายความว่าคุณชื่นจะช่วยเหลือคุณเปรมได้ในอนาคต การมีภรรยาผู้เปี่ยมปัญญาย่อมดีกว่ามีภรรยาที่โง่เขลามิใช่หรือครับ”


เขาขมวดคิ้วยุ่งกว่าเก่า ในขณะที่บนใบหน้าน่ารักของคุณชื่นนั้นปรากฏรอยยิ้มบาง


เธอเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าจริงๆ ด้วย


ผมกำลังจะอารมณ์ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่า...


“มิมีใครสั่งใครสอนรึว่าอย่าสอดเรื่องเจ้านาย”


เอ้า ไอ้เหี้ยนี่ มึงเป็นเหี้ยอะไร ตัวๆ กับกูไหม อย่าคิดว่ารักกันชอบกันจะต่อยกันไม่ได้นะเฮ้ย อ๋อ ลืมไป...


เขาไม่ได้รักผมแล้วนี่นา


คนรักกันเขาไม่ทำร้ายกันแบบนี้หรอก คนรักกัน...เขาไม่ทำในสิ่งที่คนที่เขารักไม่ชอบหรอก


ผมกัดฟันทนคำแขวะแล้วฉีกยิ้มกว้างให้เขา


“สอนครับ คุณหมอที่ผมไปทำงานด้วยสอนมาดีทีเดียว แต่ติดที่ว่าผมเป็นคนไม่ดีเอง ขออภัยคุณเปรมด้วยนะครับ”


ผมจงใจพูดเหน็บแหนมให้เขารู้สึกรู้สาเสียบ้างว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่มีสิทธิ์ทำคนอื่นเสียใจ


และก็ได้ผลดีทีเดียว...


“อ๋อ เช่นนั้นเองรึ”


เขาตอบรับแค่นั้น แต่ผมแอบเห็นตาเขากระตุกพร้อมกับแววตามาดร้ายที่ส่งมาให้


โกรธอะไรล่ะพ่อคุณ มีสิทธิ์โกรธด้วยเหรอเราน่ะ


เขามองผมด้วยแววตาเยียบเย็นแล้วหันไปมองคุณชื่นด้วยสีหน้าอ่อนโยน


“แม่ชื่นกลับไปรอพี่ที่เรือนก่อนนะ ประเดี๋ยวพี่จะใช้เจ้ากรไปทำงานที่เรือนเก็บสมุนไพรหน่อย”


ใบหน้าอ่อนหวานนั้นกดลงเล็กน้อยแล้วเดินจากไปพร้อมกับหนังสือในอ้อมแขน ไม่แม้แต่จะชายตามองตะกร้าดอกไม้ในมือผมแม้แต่น้อย


มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเธอไม่ได้พอใจกับการเดินเล่นครั้งนี้เลย


น่าสงสารจริงๆ


“มองตามตาละห้อยเชียวนะ อยากได้รึ”


ผมหันขวับมามองคนถาม


“คุณพูดคำพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงกันคุณเปรม”


ผมมองเขาอย่างดูแคลน


“น่าสมเพชเกินไปแล้ว”


สิ้นคำพูดของผมร่างสูงใหญ่นั้นก็พุ่งเข้ามาราวกับสัตว์ร้าย ตรึงผมไว้กับต้นไม้ใหญ่ กดแน่นจนแผ่นหลังของผมแนบสนิทไปกับเปลือกไม้แข็งจนรู้สึกเจ็บแสบ


“คุณเปรม ผมเจ็บ!”


“เจ็บสิดี จะได้รู้เสียบ้างว่าคนอื่นเขารู้สึกอย่างไร”


ถ้าเป็นการ์ตูน ภาพของผมตอนนี้คงเป็นตัวละครที่หน้าแดงก่ำและกำลังมาควันพุ่งออกจากหู


ใช่ ผมโกรธเบอร์นั้นแหละ


“เป็นบ้าเหรอเปรม”


ความสุภาพมักแปรผกผันกับความโกรธ


“ผมไม่ยักจะจำได้ว่าคุณเคยเจ็บปวดกับเขาด้วย”


เขาบีบแขนผมแน่นขึ้นอีก แน่นเสียจนรู้สึกเหมือนกระดูกจะแหลก แต่ยังแน่นไม่พอที่จะทำให้ผมร้องขอให้ปล่อย


เอาให้ข้อมือหักกันไปข้างนึงนี่แหละดี


“ไม่เคยเจ็บปวดหรือ...”


เขาเหลือบมองคอของผมแล้วเบนกลับมาสบตาตามเดิม


“ต้องทนเห็นคนที่ตนพึงใจนอกกาย คงไม่เจ็บปวดเลยกระมัง”


ใจผมกระตุกวาบกับคำพูดนั้น


‘คนที่ตนพึงใจ’ ฟังกี่ทีก็อดใจเต้นไม่ได้เลยสิให้ตาย


แต่ผมไม่ได้นอกกายเขาสักนิด จะนอกกายได้อย่างไร ในเมื่อพวกเรา...ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย


“ผมนอกกายคุณตอนไหนหรือครับ”


“เช่นนั้นรอยนี้มันคืออะไร”


ผมแค่นหัวเราะ


“จะรอยอะไร เกิดจากใครมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณไม่ใช่เหรอครับ”


ผมหมายความตามที่พูด


เขาไม่เกี่ยว เราไม่เกี่ยวกัน แต่เหมือนเจ้าตัวจะยังไม่เข้าใจ


“กร อย่าท้าทายพี่”


แรงบีบที่ข้อมือผมแรงมากขึ้นอีก...แรงจนรู้สึกเหมือนกระดูกจะแหลกในไม่ช้า


แต่ผมเป็นพวกยิ่งห้ามยิ่งพยศเสียด้วยสิ


“ผมไม่ได้ท้าทายคุณเลยคุณเปรม ผมแค่พูดความจริง”


ไม่ว่าเปล่า ยังยกยิ้มท้าทายออกไปด้วย คงเพราะแบบนั้นอีกฝ่ายเลยเลือดขึ้นหน้ามากกว่าเดิม


“ได้...”


เขาสบตาผมนิ่ง ในแววตาดำขลับนั้นลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ


“เช่นนั้นพี่จะลบรอยทั้งหมดเอง”


ทันทีที่พูดจบเขาก็ทำท่าเหมือนจะซุกหน้าลงมาทำอย่างที่ปากว่าจริงๆ แต่ผมเองก็ยังเป็นคนธรรมดาที่มีสติรู้ผิดชอบชั่วดีว่านี่มัน...


กลางแจ้งเว้ย!


ยังไม่ทันที่เขาจะได้จรดริมฝีปากลงบนผิว เข่าของผมก็พลันแทรกเข้าตรงกล่องดวงใจเขาเต็มแรงจนเจ้าตัวทรุดลงไปกองกับพื้น


ผมมองสภาพอเนจอนาถนั้นแล้วแค่นยิ้ม


“คุณบังคับผมเองนะครับคุณเปรม”


ใบหน้าหล่อเหลาช้อนตามองผม


“ใจร้าย”


“ไม่เท่าคุณหรอกครับ”


เขาแสยะยิ้ม


“อย่างน้อยพี่ก็ไม่เคยไปมีอะไรกับคนอื่น”


“แต่กำลังจะมี”


เขาอ้าปากจะเถียง แต่ผมสวนขึ้นเสียก่อน


“หรือคุณไม่คิดจะมีลูกหรือครับ”


สิ้นคำพูดของผมเขาก็ยอมหุบปากลงแต่โดยดี


เห็นไหมล่ะ เขาเองก็คิดจะนอกกายผมเหมือนกัน เพียงแต่เขามีเหตุผลที่ชอบธรรมกว่าที่จะเอามาอ้างก็เท่านั้น


“เรื่องของเราให้มันจบเถอะครับ”


ผมก้มหน้าลงสบตาเขา


“มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”


“ไม่มีทาง!”


“หรือคุณจะยอมบอกทุกคนว่าคุณไม่ชอบผู้หญิงล่ะครับ!”


ผมพยายามจะถ่ายทอดความโกรธเคืองด้วยเสียงที่เบาที่สุด อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่ในที่โล่งแจ้ง จะมาพูดตามใจคงไม่เหมาะ ขืนมีคนมาได้ยินคงไม่ดีต่อตัวพวกเราทั้งคู่


เขานิ่งเงียบไป ผมจึงได้โอกาสพูดต่อ


“ฟังนะคุณเปรม ตราบใดที่ผมยังไม่ใช่ที่หนึ่งของคุณ ตราบใดที่ความรักของเรายังเป็นเรื่องไร้สาระที่คุณเลือกจะตัดทิ้ง”


ผมสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติ


“เราก็ไม่มีวันรักกันได้ราบรื่นหรอก”


พวกเราสบตากันนิ่ง


“ความรักที่แหวกประเพณีมันยากนะคุณเปรม ถ้าใจไม่กล้าพอก็จบเถอะ รั้งกันไว้...”


ดวงตาของเขาฉายแววเจ็บปวดเหลือเกิน...เจ็บปวดเกินกว่าจะเสแสร้ง


“ก็เจ็บเปล่าๆ”


พวกเราทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ผมไม่ขยับตัว เขาเองก็ไม่ได้ขยับไปไหน ไม่แม้แต่จะพยุงตัวขึ้นจากพื้น จนในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นมา


“ไปอยู่หัวเมืองเถิด”


ฮะ?


ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ


“พี่จะยกเรือนให้น้องเรือนหนึ่งที่หัวเมือง น้องจะอยู่ที่นั่นอย่างสุขสบาย เมื่อพี่คิดถึงจะไปหา”


ถ้อยคำแต่ละคำที่เขาเอ่ยออกมาเหมือนมีดที่ค่อยๆ กรีดลงบนหัวใจของผม


ทีละนิด ทีละนิด


จนในที่สุดก็เป็นแผลเหวอะหวะ เขามองผมเป็นคนยังไงกัน แค่ได้เงิน ได้ทรัพย์สิน ก็จะยอมเป็น...เมียน้อย


ยอมที่จะทำลายชีวิตครอบครัวคนอื่นเชียวหรือ


ให้ตายสิ ผม...ผิดหวังในตัวเขาเป็นบ้า


เขาขยับตัวเข้ามาใกล้ผมอีกหน่อย


“พี่สัญญาว่าน้องจะอยู่อย่างสุขสบาย”


เขาวาดมือออกมาหวังจะดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด แต่ผมพูดสวนขึ้นเสียก่อน


“และไร้ศักดิ์ศรี”


เขาชะงักแขน นัยน์ตาดำขลับปรากฏแววงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว


“แล้วต้องได้แค่ไหนน้องจึงจะพอใจ นี่พี่ก็ยอมให้น้องที่สุดแล้ว จะเอาอะไรอี...”


ผมทาบมือลงบนหน้าอกของเขา


“จะเอาแค่ตรงนี้”


ออกแรงกดลงไปอีกเล็กน้อย


“จะเอาความจริงใจ จะเอาหัวใจ จะเอาตรงนี้”


ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่


“แต่คงไม่มีวันได้ เพราะถ้าคุณคิดจะจริงใจกับผม คุณจะไม่พูดคำพวกนั้นออกมา”


เขาระบายลมหายใจหนักๆ


“แล้วจะเอาอย่างไร ในเมื่อทั้งน้องทั้งพี่ก็รู้ว่าเรื่องที่เรากำลังทำมันผิดศีลธรรมจรรยาที่ดีงาม พี่ให้เจ้าได้เท่านี้ก็ดีถมเถแล้ว”


ผิดศีลธรรมจรรยาที่ดีงามเหรอ...


“ถ้ารู้ว่าผิดแต่แรก แล้วคุณจะเข้ามาหาผมทำไม”


เขาชะงัก


“ทีตอนที่อยู่อังกฤษไม่เห็นจะสนใจศีลธรรมจรรยา พอกลับไทยมีหน้ามีตาเลยต้องหลบซ่อนหรือครับ”


“ใครเล่าน้องเรื่องนี้!”


“จะสนใจทำไมว่าใครเล่า!”


ผมหอบหายใจหวังระงับอารมณ์


“สิ่งสำคัญคือคุณ ตัวคุณนั่นล่ะคุณเปรมที่ไม่กล้าจะยอมรับอะไรสักอย่าง แต่ผมก็เข้าใจนะ คุณมีหน้ามีตาที่นี่ มีพ่อมีแม่ต้องรักษาเกียรติ มีครอบครัว มีวงศ์ตระกูลที่ต้องเชิดชู คุณเลือกทำตามประเพณีน่ะดีแล้ว เพราะคุณจะได้ทุกอย่าง ทุกอย่างเลยคุณเปรม ทุกอย่างที่อยากได้ทั้งคำชื่นชม เกียรติยศ ศักดิ์ศรี”


ผมอมยิ้มบาง


“คุณแค่ไม่ได้ผมเท่านั้นเอง”


ผมเห็นเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ดวงตาฉายแววตกตะลึงปนเศร้าหมอง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมต้องหยุดพูด


“คุณจะบอกว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้นะคุณเปรม แต่บางคราวคุณก็ต้องลองถามตัวเองว่าผมจำเป็นต้องยอมคุณขนาดนั้นจริงหรือ แค่ผมไม่โวยวาย ไม่ต่อรองเรื่องคุณชื่นก็น่าจะมากพอแล้ว”


แววตาเขาสั่นระริก


“คุณลองคิดดูนะคุณเปรม ถ้าวันหนึ่งคนที่คุณรักกำลังจะแต่งงานกับคนอื่นแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือคุณ รั้งคุณเอาไว้แล้วบอกให้คุณมาเป็นน้อยเขา ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องยอมเลยสักนิด ความจริงแล้วคุณสามารถด่าสาดเสียเทเสียใส่คนๆ นั้นได้ตั้งแต่เขารั้งคุณไว้ด้วยซ้ำ แต่ทำไมผมจึงไม่ทำล่ะ”


ผมเอามือกดลงไปบนอกเขา


“เพราะผมรักคุณไง”


ผมรู้สึกว่าเสียงตัวเองเริ่มสั่นมากขึ้นทุกที


“ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ร่วมกี่เดือนมาแล้วคุณเปรม คุณไม่พูด ไม่อธิบาย ไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง คุณหึงผม คุณหวงผม คุณทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผม แต่แค่นั้นมันไม่พอสำหรับความรัก คนจะรักกัน เขาต้องนึกถึงกันให้มากๆ ไม่ใช่สักแต่ชอบ สักแต่หวง อย่างเมื่อครู่ก็เหมือนกัน ดูก็รู้ว่าคุณหึงผมเพราะรอยที่คอนี่ แต่ดูสิ่งที่คุณทำสิ ทำให้ผมเจ็บปวด ทำเพื่อความสะใจ บางคราวผมก็สงสัยจริงๆ ว่าตกลงคุณรักผมแน่รึเปล่า”


ผมยืนหอบเงียบๆ ส่วนเขาก็ไม่พูดอะไร ยิ่งเงียบ สถานการณ์ยิ่งกระอักกระอ่วนกว่าเก่า ผมเลยเลือกที่จะเดินจากมา ถ้าไม่ติดว่ามีแขนแกร่งรั้งผมเข้าไปแนบอกเสียก่อน


“พี่ขอโทษ”


น้ำเสียงนั้นอ่อนล้าแทบขาดใจ


“แต่พี่ไม่รู้ว่าพี่ควรทำอย่างไร เวลาหวง เวลาหึง พี่ก็ไม่รู้ว่าจะระบายออกมาอย่างไรดี”


เขาซุกหน้าลงที่ซอกคอของผม


“พี่อาจเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมบอกอะไรน้องเลย แต่น้องก็รู้ใช่ไหมว่าพี่รักน้องมากแค่ไหน พี่ทนเสียน้องไปไม่ได้”


ผมหลับตาลง


“คนรักกันเขาต้องปรารถนาให้คนที่เขารักมีความสุข พี่ก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนรักสามเส้า ถ้าพี่รักผมจริง พี่ก็ควรปล่อยผมไป”


พอพูดจบเขาก็ยิ่งซุกหน้ามากขึ้นไปอีก


“ใจเจ้า มิมีพี่อยู่ในนั้นแล้วรึ”


น้ำเสียงนั้นอ่อนระโหยโรยแรง เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เขาพยายามจะรั้งมันเอาไว้


รั้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้


ผมทาบฝ่ามือตัวเองลงบนหลังมือที่เกาะเกี่ยวเอวผมไว้แน่น


“จบกันด้วยดีเถอะคุณเปรม”


จบเถอะ


เราสองคนต่างกันเกินไป สำหรับเขาหน้าที่ เกียรติยศ ครอบครัวคือที่หนึ่ง สำหรับผมความสุขของตนสำคัญกว่าสิ่งใด อะไรที่ทำแล้วเจ็บ ผมไม่ทำ ใครที่รักแล้วต้องทน ผมก็ไม่รักเหมือนกัน


แต่ถึงจะพูดไปแบบนั้น ตัวผมเองก็รู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ได้ง่าย


ความรักไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมีตรรกะและเหตุผล บทจะรัก ต่อให้เลว ต่อให้ร้าย ก็รัก บทจะไม่รัก ต่อให้ดีแสนดี อย่างไรก็ไม่รัก


ถ้าเรารักใครสักคนได้ด้วยเหตุผลก็คงดี


ถ้าผมรักหมอได้เท่าที่รักคุณเปรมก็คงดี







*****************************************************************************



นิยายเรื่องนี้ จะ - จบ - แล้ว แหละ เย้!


ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ ชอบไม่ชอบยังไงสามารถติชมได้ตลอดเลยนะคะ


เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เรามาจับงานเขียนเรื่องยาวอย่างจริงจัง แถมเป็นแนววายเรื่องแรกที่เริ่มเขียนด้วย ก่อนหน้านี้เราเขียนแต่เรื่องสั้น งานติสจ๋า งานแนวปรัชญาชีวิตใดๆ มาตลอด พอมาจับงานเขียนแนวธรรมดาเลยอาจจะมีอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง ไม่สนุกไปบ้าง (TwT) อ่านเข้าใจยากไปบ้าง ก็ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ สุดท้ายก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยน้า อยู่ด้วยกันไปจนถึงตอนจบเลยเน้อ


:pig4: :man1: :man1: :pig4:





หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก] (26/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 26-11-2017 16:27:54
ตอนจบ กร ควรจะได้กลับอนาคต, และได้กับทิม.

ส่วนสองคนนี้ ก็ปล่อยไว้ในอดีต.
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก] (26/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 26-11-2017 18:22:41
นุ่งมอสเข้มแข็งมาก ทีนรออยู่ในโลกปัจจุบันนร้า
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก] (26/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 26-11-2017 18:41:53
รักกันจริงหรือเปล่าที่ตรงมาก
รอต่อไป
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก] (26/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-11-2017 19:02:14
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก] (26/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 26-11-2017 23:30:16
อ่านแล้วเครียดมาก ทางออก​อยู่​ตรง​ไหน​
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก] (26/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 26-11-2017 23:41:03
"ถ้าเป็นเขามาตั้งแต่แรก ผมคงมีความสุขมากกว่านี้"


ก่อนอื่นขอชื่นชนคนเขียนนะคะ หนึ่งคือภาษาดีมากจริง ๆ
สองคือเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกหมั่นไส้ตัวบรรยายเรื่องแบบที่นิยายเรื่องอื่นไม่สามารถทำได้ 555

คือมันไม่เชิงว่ามอสแย่นะ จะว่าไงดี คืออ่านยังไงมันก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าสังคมรอบข้างกร(มอส)มันแย่ แบบ นิสัยแต่ละคนชวนให้รู้สึกผิดหวังได้ง่าย ๆ ถ้าเก็บมาคิด แต่เอาเข้าจริง ๆ เราว่าทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวมอสเองนั่นแหล่ะ เพราะนางเป็นคนที่ใช้สายตาด้านลบในการตัดสินคนรอบข้างด้วย สังเกตมาตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว อีกอย่างคือเหมือนนางจะตัดพ้อคนอื่นว่าทำไมทำแบบนั้น ทำไมทำตัวไม่ดี ทำไมถึงทำไมอย่างนี้ได้ลงคอ แต่พฤติกรรมของนางแต่ละอย่างล่ะคะ? โอ้โห อย่าให้ร่ายเลยนะ สารภาพว่าแอบเบะปากแล้วกรอกตาเวลาอ่านบ่อยพอสมควร (ฮา) แต่ก็แปลกดีที่ไม่รู้สึกว่าอยากเลิกอ่านเลยค่ะ สงสัยความย้อนแย้งนี้ของตัวเองเหมือนกัน เฮ้อ

อ่านถึงตอนล่าสุดแล้วก็ไม่โอเคเหมือนกันค่ะที่สุดท้ายแล้วมอสตกลงปลงใจกับคุณหมอ เราไม่ได้เกลียดคุณปีเตอร์นะคะ แต่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ควรออกมาในรูปแบบนี้ แม้ว่าพี่เปรมที่กำลังจะแต่งงานก็ไม่ควรมีมอสเป็นเมียน้อยเหมือนกันก็เถอะ


หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก] (26/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 27-11-2017 00:19:19
ถ้ามอสต้องกลับไปปัจจุบัน แสดงว่ากรก็ต้องตายสินะ. ทำไมรู้สึกว่าทีนที่เป็นเพื่อนในปัจจุบันไม่ใช่คุณเปรมที่กลับชาติมาเกิด เพราะตอนที่คุณเปรมเสีย ทีนก็เกิดได้ขวบ2ขวบแล้วไม่ใช่หรอ หรือในครอบครัวใครมีลูกหลานอีก ถ้างั้นคุณเปรมที่มาเกิดใหม่ก็ต้องอายุน้อยกว่ามอส? อีกอย่างดูทีนไม่น่าจะชอบมอสในเชิงนั้นด้วย คงไม่ใช่คู่กันแน่ๆ (นี่มโนล้วนๆ)
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก] (26/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: MNIMD ที่ 27-11-2017 13:04:45
 ไปตามอ่านนิยายเด็กดีจบแล้วนะคะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ให้อ่านนะคะ ชอบคำบรรยาย กลอน พล็อต ชอบทุกอย่างของคนเขียนมากๆ ฉากเปิดเรื่องก็ให้ความรู้สึกหลอนๆ

 ในสมัยก่อนความรักของชายชายไม่สามารถเปิดเผยได้สมัยนี้ สงสารคุณเปรมที่ต้องมีครอบครัว ต้องรักษาหน้าตาวงศ์ตระกูล ทำให้ความรักของคุณเปรมกับกรวิกไปด้วยกันไม่ได้ คุณเปรมก็มีแนวคิดแบบคนโบราณส่วนมอสหรือกรก็คิดแบบสมัยนี้ แต่บางคำที่คุณเปรมพูดก็ดูเห็นแก่ตัวจริงๆที่จะให้กรไปอยู่หัวเมืองถ้าคิดถึงจะไปหา จุกแทนกรมาก เหมือนตัวเองต้องเป็นน้อย อยู่อย่างเก็บๆ

 ต้องบอกเลยว่าแอบกรี๊ดคุณหมอมาก ไม่แค่แอบค่ะ ชอบเลย เป็นคนที่ดี เทคแคร์ เป็นทุกอย่างให้กรแล้ว แต่ใจคนถึงแม้หมอจะดีแค่ไหนแต่ก็ไม่ใช่คนที่รักอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือเป็นหมอปลื้มในตอนนี้ คุณหมอปลื้มเปิดใจบ้างก็ได้นะคะ อ่านแล้วแบบทำไมพี่ต้องเป็นคนดีขนาดนี้อะ จะร้องไห้ให้กับความรักของพี่หมอที่มีให้กับกร ซึ้งมาก ตอนที่กรเมาแล้วมีอะไรกับหมอคือไม่ได้นึกถึงคุณเปรมเลยอะมีแต่ความสงสารหมอ รู้ว่าเขาไม่ได้รักตัวเองอยากมีอะไรด้วยเพื่อประชดคุณเปรม พอเขาตื่นมาเขาก็หาว่ามันเป็นเรื่องไม่จริง เรื่องตลก  ความรู้สึกที่หมอมีให้กรมันเป็นความรักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทนนอกจากให้เขามีความสุขกับคนที่คนรักจริงๆ

 ครอบครัวของกรสมัยก่อน ก็คนจีนจริงๆที่ถือว่าผู้ชายคือช้างเท้าหน้า ผู้หญิงต้องยอมทุกอย่าง อาเจ้รักกร รักครอบครัวนะ เข้าใจอาเจ้ที่หนีไปกับผู้ชาย เหมือนคนในบ้านทุกคนไม่มีใครเข้าใจอาเจ้ อาม้า คอยกดขี่อยู่ตลอด อาเจ้โดนด่า อาม้าก็ปกป้องแต่ปกป้องไม่สุด มันก็คงเป็นปมว่าไม่มีใครรักตัวเองจริงๆพอเจอผู้ชายที่แสดงออกว่ารักตัวเอง ถึงจะเกาะเอาเงินแค่ไหน อาเจ้ก็ยอมเพราะไม่เคยได้รับความรักแบบที่ไม่เคยได้มาก่อน

 สงสารคุณเปรมในตอนสุดท้ายที่ต้องอยู่ต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มีกรเคียงข้าง คุณเปรมรักกรมากจริงๆแต่ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ดีใจที่ได้กลับมาเจอกลับมารักกันในชาตินี้ ขอให้ความรักของทั้งคู่ราบรื่น และได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

 เรื่องนี้มีรวมเล่มมั้ยคะอยากซื้ออยากได้เก็บไว้มากจริงๆ จะคอยติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก] (26/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-11-2017 14:11:56
เขาทำกับผมขนาดนี้ได้ยังไง...เขาทำลงได้ยังไง

แล้วมอสล่ะ มีอะไรกับหมอได้ยังไง
คุณเปรม เห็นมอสในสภาพมีรอยเต็มคอ
จะไม่โมโหหึงได้ยังไง

แต่คุณเปรมก็คิดแก้ปัญหาแบบง่ายๆนะ
ที่จะให้มอสไปอยู่หัวเมืองไกลคนรู้จัก
คิดถึงแล้วค่อยไปหา  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
แก้แบบตัวเองไม่เสียอะไรสักอย่าง อยู่ดีมีสุขคนเดียว  :z6: :z6: :z6:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งหลัง] (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 27-11-2017 17:46:43
บทที่ 22 คำลา [ครึ่งหลัง]









“ได้ข่าวว่าเปรมกำลังจะแต่งงานรึ”


น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามด้วยสำเนียงแว่วหวาน อ้อมแขนที่คลอเคลียอยู่ไม่ห่างก็อบอุ่นเหลือเกิน


อบอุ่นเกินไป เจิดจ้าเกินไป


“หมอ ถอยออกหน่อยเถอะครับ ไม่ร้อนบ้างหรืออย่างไร”


เขาไม่ตอบ แต่กลับหัวเราะคิกคักพร้อมกับขยับวงแขนให้แน่นขึ้น


“หมอ เล่นอะไรเนี่ย”


“แกล้งเด็กดื้อไง”


ไม่ว่าเปล่ายังกอดรัดผมมากกว่าเก่าจนผมต้องประท้วงโอดโอย แต่ยิ้มร้องห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เขาทั้งหัวเราะ ทั้งซุกหน้าเข้ามามากกว่าเดิม จนผมคร้านจะห้าม


ดูๆ ไปก็เหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันอย่างไรอย่างนั้น


คู่รักเหรอ...


“หมอ ถามอะไรหน่อยสิ”


เขาหยุดเล่น แล้วเงี่ยหูตั้งใจฟัง


ผมรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะพูดออกไปมันแสนจะงี่เง่า แต่ผมก็แค่...อยากรู้


“ถ้า...ถ้าให้หมอเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเรา หมอจะกล้าไหม”


แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านเดียว แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เห็นว่าเขากำลังยิ้ม


ยิ้มจริงๆ ไม่ใช่การแค่นยิ้ม หรือยิ้มแบบขอไปที


“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ”


หัวใจผมอุ่นวาบ


ทำไมประโยคนี้มันถึงไม่หลุดมาจากอีกคนกันน้า


บ้าจริงมอสเอ๊ย อย่าคิดถึงเขาสิ


“แล้วถามไปทำไมล่ะฮึ จะให้พี่ไปไหว้พ่อแม่เรารึอย่างไร”


ผมหัวเราะและฟาดมือเขาที่นัวเนียอยู่แถวเอวผมไม่ห่าง


“ผมถามไปอย่างนั้นล่ะ ขืนไปเปิดตัวอาม้า อาป๊าผมได้เป็นลมเป็นแล้งพอดี”


เขาหัวเราะร่วนรับมุกตลกของผมแล้วเอาคางแหลมๆ ของตัวเองวางเกยไว้บนไหล่ของผม


เจ็บโว้ย อยากด่าครับแต่คิดๆ แล้วก็อย่าดีกว่า วันนี้ทั้งวันผมมีแต่บทสนทนาทางลบมาเยอะแล้ว


“ถ้าได้มีกรไว้ในอ้อมกอด พี่ก็ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ จะต้องหนีไปที่ไหน จะลำบากยังไงก็ยอม”


“น้ำเน่า”


“พูดจริงนะ”


พอเขาพูดจบพวกเราก็พร้อมใจกันเงียบก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาแทบจะพร้อมกัน


เหมือนคู่รักจริงๆ ด้วยสิน้า...รู้สึกผิดกับเขาจริงๆ ให้ตาย


“แล้วตกลงจะตอบได้หรือยังว่าตกลงเปรมกำลังจะแต่งงานรึ”


วกกลับมาจนได้สิน้า


“ครับ กำลังจะแต่ง”


สิ้นคำตอบพวกเราก็มองหน้ากันแล้วตกอยู่ในภวังค์ความเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะทำลายมันลง


“แล้วกร...”


“ผมสบายดี”


ไม่ต้องรอให้ถามจนจบประโยคก็พอรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร


“ผมพูดกับเขาเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ผมกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”


พอจะรู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร


“ก็ผมสัญญาแล้วอย่างไรเล่าว่าจะรัก ผมไม่ผิดคำสัญญาหรอก”


บนใบหน้าคมสันปรากฏรอยยิ้มบางเบา


“กร”


เขาเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานชวนใจเต้น


“ถ้าความรักมันเข้าใจง่ายปานนั้น ป่านนี้เราก็คงรักกันไปแล้ว”


เหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบลงกลางอก ความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก


มันแน่นไปหมด จุกไปหมด


“ถ้าคนเรารักกันได้ด้วยสมอง ป่านนี้เราคงรักกันไปแล้ว”


ถูก


ถูกทุกอย่าง ถูกจนไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาแย้ง


ถูกจนผมทำได้แค่นิ่งเงียบแล้วรับฟัง เขาเองก็เงียบ มันไม่ใช่ความเงียบที่สบายใจ แต่มันเป็นความเงียบที่...อึดอัด


ผมอึดอัด พระอาทิตย์ดวงนี้เจิดจ้าเกินไป สว่างเกินไป งดงามเกินไป


ผมอึดอัด


“พักนี้ เธอได้คุยกับพี่ชายบ้างไหม”


เหมือนเขาเองก็รับรู้ถึงความอึดอัดนี้ได้ จึงเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสียดื้อๆ


ซึ่งก็ดีแล้ว แต่ทำไมต้องเป็นหัวข้อนี้ล่ะ


“ทำไมหรือครับ”


เขามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย


“เธอ รู้จักท่านเจ้าคุณเอื้อหรือเปล่า”


ท่านเจ้าคุณเอื้อ...เหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนสักแห่ง...


อ๋อ ในไดอารี่ของคุณเปรมนั่นไง


บ้าจริง นี่ผมชินกับชีวิตที่นี่จนเกือบลืมไปแล้วว่าตัวผมมาจากไหนและมีจุดประสงค์อะไร


เกือบได้กับทวดเพื่อนแล้วไงล่ะมึง


ผมฉีกยิ้มแห้งๆ ให้กับความคิดของตัวเอง


“ก็...นิดหน่อยครับ”


เขาสบตาผมนิ่ง ดูจริงจังกว่าปกติจนผมสังหรณ์ใจชอบกล


“เธอรู้ใช่ไหมว่าพี่ชายของเธอเป็นชู้กับภรรยารองของท่านเจ้าคุณเอื้อ”


คำสบถนับล้านพรั่งพรูออกมาในสมองของผม พร้อมกับคำตอบที่ว่า...


ไม่รู้โว้ย


“ทำหน้าเช่นนี้คงไม่รู้แน่”


ถูก ถูกเลย เพิ่งจะรู้ทุกอย่างเมื่อกี้นี้เลย


เขาลูบหัวผมเบาๆ


“อย่างไรเสียก็ไปเตือนพี่ชายเธอหน่อยก็ดี ท่านเจ้าคุณเอื้อเป็นคนกว้างขวาง ซ้ำยังเป็นคนมีอิทธิพลเพราะมีบิดาเป็นคนใหญ่โต น่ากลัวว่าเขาจะใช้กำลังเข้าหักหาญเข้าสักวัน”


ช้าไปแล้วครับพี่ เฮียมันโดนซ้อมปางตายไปรอบนึงแล้ว สงสัยไม่เข็ดไม่หลาบ


เดี๋ยวนะ...หมอเขาเคยเห็นเฮียผมด้วยเหรอ


“หมอรู้จักพี่ชายผมด้วยหรือครับ”


ผมขมวดคิ้ว


“อ้าว ก็เขาเพิ่งมาถามหาเธอที่นี่เมื่อเช้านี้เอง เธอไม่รู้รึ”


อ๋อ...


“จะรู้ได้อย่างไรล่ะหมอ ในเมื่อหมอยังไม่บอกผมเลย”


เขาทำหน้าเหมือนคนจะพูดว่า ‘เอ้อ จริงด้วย’


เอากับมันสิ


ผมหัวเราะกับท่าทางแปลกๆ ของเขาแล้วเอื้อมมือไปบีบจมูกเขาเบาๆ


“ไม่ต้องตกใจหรอกครับหมอ เรื่องเล็กน้อย”


พอพูดจบผมก็พยุงตัวเองขึ้นจากพื้น


“อย่างไรเสียก็ขอบคุณมากสำหรับคำเตือนนะครับ วันนี้ผมขอกลับบ้านก่อน อยากจะไปคุยกับพี่ชายสักหน่อย”


เขาพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นยืนเคียงข้าง


“เดินทางกลับดีๆ นะ”


ฝ่ามือใหญ่นั้นลูบหัวผมแผ่วเบา


“แล้วเจอกันพรุ่งนี้”


ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรก่อนจะเดินจากมา


ด้านนอกเป็นเวลาโพล้เพล้มากแล้ว อันที่จริงผมควรจะรีบจ้ำกลับบ้านเพราะการเดินทางตอนกลางคืนมันทั้งน่ากลัวและอันตราย แต่พอนึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีคำแก้ตัวดีๆ ไปให้อาม้าเรื่องที่เมื่อวานไม่ได้กลับบ้าน ผมเลยเลือกที่จะเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ แทน กว่าจะมาถึงบริเวณแถวบ้านที่คุ้นเคยก็ปาไปพระอาทิตย์ตกดินจนได้


ในหัวผมกำลังคิดสะระตะไปถึงเรื่องที่ว่าควรจะพูดหรือทำสีหน้าใส่อาม้ายังไง ต่อด้วยจะเริ่มถามอาเฮียด้วยคำพูดแบบไหน แต่ทุกอย่างก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงตวาดกร้าวปนเสียงร้องโหยหวนของใครบางคนในป่าละเมาะที่อยู่ไม่ไกล


“ตอนทำมึงไม่คิด พอตอนนี้มึงจะมาขอชีวิต มันไม่ช้าไปหน่อยหรือวะ”


อะไร เกิดอะไรขึ้น ใครจะมาฆ่ามาแกงกันแถวนี้


“หนอยแหน่ะ พอเห็นนายกูใจดีปล่อยไปหน่อยแล้วได้ใจใหญ่เลยนะมึง คำว่าหลาบจำเคยอยู่ในหัวมึงบ้างไหม”


“ฉันขอโทษ ปล่อยฉันไปเถิดนะ”


เสียงอ้อนวอนปนสะอื้นไห้นั้นแสนคุ้นเคย


ได้โปรด อย่าเป็นคนที่ผมคิดเลย...


ผมหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะตามคนมาช่วยตอนนี้ก็น่ากลัวจะไม่ทัน แต่จะเข้าไปเลย มันก็โง่เกินไป


“โอ๊ย ได้โปรด อย่าทำฉันเลย อย่าฆ่าฉันได้”


คนๆ นั้นร้องโหยหวนด้วยความทรมานจนผมทนฟังไม่ได้แล้วตัดสินใจที่จะตามใครสักคนมาช่วย


แต่เหมือนจะสายเกินไป...


ชายรูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ยืนอยู่ตรงหน้าผม เขาพุ่งมาจากไหนไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือไม่ได้มาดีแน่


“มึงได้ยินทุกอย่างแล้วใช่ไหม”


ผมแสร้งทำหน้าซื่อตาใส


“พี่พูดเรื่องอะไรหรือจ้ะ”


เขายกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม


“อย่าคิดว่าข้าจำเอ็งไม่ได้นะ มึงเป็นน้องชายของมันใช่ไหม!”


“เฮ้ย! มีอะไรวะ”


เสียงตะโกนถามจากคนในป่ายิ่งทำให้ผมใจเสียมากขึ้นกว่าเดิม คนพวกนี้ดูมาดร้ายกว่าครั้งก่อน เหมือนไม่ได้มาเพื่อสั่งสอน แต่มาเพื่อ...


“ถือว่าเป็นคราวซวยของเอ็งแล้วกันนะ”


พอพูดจบเขาก็พุ่งเข้ามาปิดปากผมแล้วลากเขาไปในป่า แม้ผมจะพยายามดิ้นสู้มากแค่ไหน แต่เพราะพละกำลังที่ต่างกันเกินไปทำให้สู้ได้ยาก ผมทั้งเตะ ทังต่อย มันก็ทั้งลาก ทั้งกระชากเข้ามาจนสำเร็จ ร่างของผมถูกเหวี่ยงลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยกรวดและดินจนแขนขาถลอกปอกเปิก แต่นั่นไม่ได้น่าสนใจเท่ากับสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า


อาเฮีย


อาเฮียของผมอยู่ในสภาพปางตาย ใบหน้าบวมช้ำ เลือดไหลออกจากปากปละจมูกไม่หยุด เปลือกตาสองข้างบวมเป่งจนปิดลูกตาเกือบมิด เพราะความมืดทำให้ผมไม่เห็นอะไรมากไปกว่านั้น แต่ผมแน่ใจว่ามันต้องมีรอยฟกช้ำอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ในความมืด


โหดร้าย โหดร้ายเหลือเกิน


“เอาจริงๆ เอ็งก็ไม่เกี่ยวหรอกนะไอ้หนุ่ม แต่เพราะบังเอิญมารู้มาเห็น พวกข้าก็คงปล่อยไปไม่ได้”


ผมหอบหายใจถี่รัว หัวใจเต้นถี่เร็วด้วยความกลัว ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าของผมชาไปหมด


ผมกำลังกลัว


กลัวเพราะผมรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร


ฆ่า


พวกเขากำลังจะฆ่า


ชั่วแว่บนึงที่มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว


ทำไมผู้ชายคนนี้จึงขยันหาเรื่องมาให้ผมนักนะ ขยันทำให้ผมไม่มีความสุขยังไม่พอ ยังพาผมมาหาที่ตายอีก


แม้จะคิด แต่ผมก็เลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ในใจอย่างนั้น ไหนๆ ก็จะตายแล้ว ผมก็ขออโหสิกรรม ขอให้ทุกอย่างระหว่างผมกับเขาจบกันแต่เพียงเท่านี้ อย่าได้เจอะอย่าได้เจอกันอีกเลย


สิ้นความคิด หัวของผมก็ถูกตีด้วยของแข็งอย่างแรงจนเบลอไปหมด หลังจากนั้นความเจ็บปวดจากทุกส่วนของร่างกายก็ถาโถมเข้ามาไม่มีหยุด


เจ็บ


เจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ


ผมเห็นหน้าพ่อ แม่ ทีน อาป้า อาม้า อาเจ้ ไอ้มั่น ไอ้ไม้ หมอ และ...คุณเปรม


ผมเห็นเขา เห็นทุกความทรงจำที่มีร่วมกันอย่างแจ่มชัด ความสุข ความเศร้า ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถูกกรอเทปกลับมาให้ดูอีกครั้ง


คำพูดแรก


จูบครั้งแรก


เพลงยาวฉบับแรก


ช่างเป็นความทรงจำที่หวานล้ำ แม้จะเจ็บปวดแต่ก็งดงามและปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสุขในตอนนั้นเป็นของจริง หัวใจที่เต้นถี่รัวยามพบหน้านั้นก็เป็นของจริง ทุกสัมผัส ทุกคำพูดที่มีให้กันล้วนเป็นของจริง


ทุกอย่างมันสลักลึกลงในความทรงจำ แต่แล้วก็มีภาพของอีกคนโผล่ขึ้นมา


มันเป็นภาพเหตุการณ์ความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับหมอ


เจอกันครั้งแรก


หอมแก้มครั้งแรก


กอดแรก


ดวงตะวันดวงนี้สดใสเหลือเกิน ในชั่วขณะที่ชีวิตของผมมืดหม่น เขาเปรียบเสมือนคนที่คอยพยุงหัวใจที่บอบช้ำขึ้นมาจากพื้น เอามาดูแล เอามารักษา คนมากเล่ห์ที่ยิ้มเก่ง คนมากเล่ห์ที่แสนอบอุ่นและอ่อนโยน เขาเจิดจ้าเกินไป อบอุ่นเกินไปจนผมอึดอัด เพราะแบบนั้นคำสัญญาจึงไม่เป็นจริงสักที


จริงสิ ผมยังไม่ได้ทำตามสัญญาเลย


แม้แต่ในยามที่ต้องลาจาก ก็ยังไม่ได้เอ่ยคำลาแม้สักคำ


ถ้าผมจะขออธิษฐาน...


อธิษฐานเหรอ


“คำอธิษฐานนั้นมีพลังมากกว่าที่เราคิดนะโยม”


คำพูดหนึ่งที่ได้ฟังมานานแสนนานแล้วดังผุดขึ้นมาในหัว เพราะแบบนั้นผมเลยเลิกที่จะอธิษฐาน


เลิกยึดติดกับทุกอย่าง


“ผมขออโหสิกรรม”


แรงอัดที่หน้าท้องทำให้ผมกระอักไอ


“และให้อโหสิกรรมทุกคน”


หมดแล้วบ่วงที่พันธนาการผมไว้ ไม่ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุให้ผมมาที่นี่ ผมขอให้ทุกอย่างจบ ขอให้บ่วงทั้งหมดจบลงตรงนี้


แต่แล้วผมกลับนึกถึงคำสัญญา


แค่เพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะยอมให้ผูกมัดกันต่อไป


“ชาตินี้ผมรักคุณไม่ได้ แต่ชาติหน้าผมจะรักคุณแน่ๆ”


นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมจำได้ว่าตัวเองพูดมันออกไป ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงพร้อมกับความรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเบาหวิวราวกับขนนกที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศในฤดูร้อน











*********************************************************************************



ใกล้จบแล้วค่ะ ใกล้จบจริงๆ แล้วล่ะ


ส่วนตัวอยากตอบกลับทุกคอมเม้นต์เลย แต่เหมือนกฎของเล้าบอกว่าอย่าตอบกลับเม้นต์เยอะ ก็เลยไม่รู้จะทำตัวยังไงดี ใช้เล้าไม่ค่อยคล่องด้วย เลยขอรวบรวมคำถามสำคัญๆ มาตอบตรงช่วงทอล์คนี้ทีเดียวเลยเนอะ



ก่อนเลยต้องขอขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอดเลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ ที่คอยเม้นต์ คอยอ่านกันมาตลอดเลย




สำหรับนิยายเรื่องนี้ ใครจะรักจะเกลียดตัวละครของเรา เราก็แฮปปี้มากจริงๆ ค่ะ เพราะเราถือคติว่าเราอยากให้ตัวละครของเรากลมที่สุด มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มันเป็นธรรมดาของมนุษย์เนอะ ถ้าตัวละครของเรามีแต่คนชอบก็แสดงว่าเราไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างตัวละครที่ดีเท่าไหร่ อีกอย่างเราก็ยังมือใหม่มากๆ มีอะไรตรงไหนไม่ดี ไม่เมคเซ้นต์ ติชมกันได้ตลอดเลยนะคะ ยินดีรับฟังทุกคอมเม้นต์เลย



ประเด็นต่อมาคือเรื่องรวมเล่ม อันนี้ไม่แน่ใจว่าสามารถพูดตรงนี้ได้ไหม ถ้าผิดกฎยังไงแจ้งได้เลยนะคะ เดี๋ยวจะลบข้อความส่วนนี้ออกเลย

สำหรับเรื่องนี้มีการรวมเล่มแน่นอนค่ะ โดยจะออกกับสำนักพิมพ์หนึ่ง แต่ตอนนี้รายละเอียดก็ยังไม่ได้มีอะไรมากเพราะเพิ่งจะผ่านการพิจารณามาไม่นาน ยังอยู่ในขั้นตอนเตรียมการขั้นแรกๆ อยู่เลยค่ะ ถ้ามีข่าวสารอะไรจะรีบมาอัพเดตให้นะคะ แต่ว่ายังไงก็ฝากติดตามข่าวสารทางเด็กดีเป็นหลักนะคะ เพราะปิงปองก็ยังไม่ได้มีไอดีซื้อขายกับเล้า จะแจ้งข่าวก็กลัวจะผิดกฎเลยขอให้ตามในเด็กดีดีกว่าเนอะ สะดวกกว่า




เราตามอ่านทุกคอมเม้นต์เลยค่ะ แต่ต้องเลือกมาตอบเฉพาะที่เป็นคำถามเนอะ ไม่ต้องน้อยใจน้า เราอ่านของทุกคนเลย
 ขอบคุณทุกความเห็นจริงๆ ค่ะ

 :mew1: :mew1: :mew1:




ขอบคุณจริงๆ ค่ะ





หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งหลัง] (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-11-2017 18:08:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งหลัง] (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-11-2017 21:13:43
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งหลัง] (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-11-2017 21:46:49
หรือ ทีน คือหมอปีเตอร์ ที่มาเกิดใหม่  :hao3:
มอส จะรักทีนตอนไหนนะ  :z3:

มอส มีแต่วุ่นวาย เจ็บตัวเพราะเฮียแท้ๆ
เหมือนจะได้กลับมาภพปัจจุบัน

ครอบครัวกร คงเหลือแต่ป๊ากับม้าแล้วสินะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งหลัง] (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 27-11-2017 22:38:36
มอสไม่น่าสัญญาเลย. แล้วถ้ากลับมาปัจจุบันล่ะ คิดว่าจะรักคุณหมอได้หรอ แอบเดาว่าคุณหมอก็น่าจะเมาเกิดเป็นหมอเหมือนเดิม แต่จะเจอกันตอนไหนนี่สิ ส่วนทีนหรอยังคิดว่าไม่น่าจะใช่คุณเปรมตามที่เคยบอกอ่ะแหละ เพราะตอนทีนเกิดคุณทวดเปรมยังไม่ตาย
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งหลัง] (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 28-11-2017 02:15:12
ตามมาอ่านจนถึงตอนนี้แล้วว มันดีมากกกกก
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งหลัง] (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 28-11-2017 11:42:16
ไปตามอ่านในเด้กดีมาแล้ว... เรื่องหน้าแนะนำเรื่องหน้าให้คนเขียนแต่ง ... "แห้ว 4 แผ่นดิน"

ส่วนคนที่สงสารหมอ.... สงสัยจะลืมว่า ใครได้เปิดซิงกรวิก 555
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 22 คำลา [ครึ่งหลัง] (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 28-11-2017 17:24:37
โลกปัจจุบันแล้ว นุ้งมอสจะรักทีนมั๊ยนร้า
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งแรก] (28/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 28-11-2017 18:58:50
บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งแรก]











ปวด


ปวดไปทั้งตัว ปวดจนไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นเลยสักนิด แต่กลิ่นฉุนจมูกที่คุ้นเคยกับแสงสว่างสีขาวแสบตาจากที่ไหนสักแห่งมันขัดขวางการนอนของผมสิ้นดี แม้จะปวดตัวจนร่างแทบแหลกและอยากนอนพักแค่ไหนก็ไม่อาจทำต่อได้ ผมจึงต้องยอมลืมตาขึ้นแต่โดยดี


การลืมตาของผมคราวนี้ยากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เปลือกตาสองข้างหนักอึ้ง พอเปิดตาขึ้นมาได้นิดหน่อยก็ต้องรีบหลับลงเพราะรู้สึกว่าแสงสีขาวนั้นเจิดจ้าเกินจะทนไหว ผมเปิดตาแล้วหลับ รอจนหายแสบแล้วเปิดตาใหม่แบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา กว่าจะมองเห็นได้เต็มตาก็ทำเอาผมเกือบถอดใจไปหลายรอบ


แต่พอเห็นภาพตรงหน้าแล้วคิดว่าหลับลงไปเหมือนเดิมน่าจะดีกว่า


ภาพที่เห็นมีเพียงเพดานสีขาวสะอาดตาประดับด้วยหลอดไฟสีขาวจ้าชวนแสบตา แสบตาเสียจนผมต้องข่มตาลงอีกรอบแล้วรออยู่พักใหญ่จึงจะลืมตาขึ้นมาได้ ตัวของผมกำลังนอนอยู่บนเบาะนุ่มๆ ที่ผมเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นเตียง...ในโรงพยาบาล


โรงพยาบาลไม่ใช่โรงหมอ


อากาศในห้องเย็นสบายเกินกว่าจะเป็นอากาศจริงๆ ในประเทศไทย แสงไฟแสบตาตรงหน้าก็ดูสว่างเกินกว่าจะเป็นหลอดไฟในยุครัชกาลที่หก


ผมกลับมาแล้ว


ผมคิดว่าผมกลับมาแล้ว แต่จะให้ฟันธงเลยก็ไม่กล้าเพราะรอบตัวผมนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลยสักคน ถ้าจะบอกว่าผมตายจากโลกในอดีตแล้ววาร์ปไปโลกอนาคตผมก็ไม่แปลกใจอีกแล้ว


พอตั้งใจจะคิดอะไรมากกว่านั้นหัวก็พลันปวดแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุจนผมต้องยอมแพ้ ในขณะที่ผมกำลังตัดสินใจว่าจะหลับไปอีกรอบหรือรอให้มีใครมาพบดี เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดเสียก่อน


ใครบางคนเดินเข้ามาใกล้เตียงที่ผมนอนอยู่ ผมเห็นจากหางตาว่าเขาใส่ชุดสีขาวสะอาดตา ไม่นานนักเขาก็เข้ามาหยุดในระยะสายตาที่ผมสามารถมองได้ถนัด


เธอเป็นผู้หญิงในชุดสีขาว ผมรวบเก็บเอาไว้ภายใต้หมวกสีขาวสะอาด ใบหน้างดงามฉีกยิ้มใจดีให้ผมแล้วเอื้อมมือไปทำอะไรบางอย่างที่หัวเตียง


อ๋อ พยาบาล...พยาบาลในชุดสีขาวสมัยใหม่คุ้นตา


ผมกลับมาแล้วจริงๆ


“ฟื้นสักทีนะคะ พ่อแม่ของคุณห่วงมากเลย คุณหมอท่านก็แทบไม่เป็นอันหลับอันนอน”


“ผม...”


เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งกว่าทุกที แต่ก็มากพอที่จะทำให้เธอสนใจฟัง


ผมกลืนน้ำลายเรียกความชุ่มชื้นในลำคอแล้วเริ่มพูดต่อ


“ผมหลับไปนานแค่ไหนหรือครับ”


เธอขมวดคิ้วนึกเล็กน้อย


“ไม่นานหรอกค่ะ แค่สี่วันเท่านั้นเอง ตอนแรกคุณหมอคิดว่าจะนานกว่านี้อีกค่ะ แต่คุณฟื้นตัวเร็วมากจริงๆ”


ผมยิ้มตอบอย่างคนไม่รู้จะตอบอะไรกลับดี


ผมมีเรื่องที่อยากถาม แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องถามออกไปว่าอะไร ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมต้องถามใคร


กรวิกตายแล้วเหรอ ทำไมผมถึงไปอยู่ในร่างกรวิกล่ะ หมอเป็นยังไงบ้าง คุณเปรมเป็นยังไงบ้าง และคำถามที่สำคัญที่สุด...


เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความจริงใช่ไหม ผม...ไม่ได้คิด ไม่ได้ฝันไปเองใช่ไหม


ผมเงียบไปพักใหญ่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป แต่จู่ๆ พยาบาลคนนั้นเธอมองหน้าผมแล้วยกยิ้มบาง


“ไม่ต้องกังวลนะคะ รถมอเตอร์ไซต์ที่ชนคุณถูกจับแล้ว ตอนนี้กำลังดำเนินคดีอยู่ ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วค่ะ เจ้าตัวเองก็ยอมรับผิดด้วย”


อ๋อ เธอคงคิดว่าผมกำลังกังวลเรื่องอุบัติเหตุแน่ๆ แต่การที่เธอพูดถึงมันขึ้นมาก็ดี เพราะมันจะได้ย้ำเตือนใจผม


สลักเอาไว้ จำเอาไว้ให้มั่นว่าผมคือมอส นายพิทยุตม์ แซ่ตั้ง นักศึกษามหาวิทยาลัยปีสองที่แสนธรรมดาและบังเอิญโดนรถชนตอนข้ามถนนจนต้องเข้าโรงพยาบาล


ไม่ใช่กรวิก ไม่ใช่ใครทั้งนั้น


ผมหลับตาลง ภาพเหตุการณ์มากมายไหลกลับเข้ามาในหัว ความทรงจำสุดท้ายคืออาเฮียกำลังจะถูกฆ่าแล้วผมก็ถูกลูกหลงไปด้วย ตอนนั้นหัวผมถูกทุบตีอย่างแรง ร่างทั้งร่างไม่มีตรงไหนที่ไม่ถูกทำร้าย แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ พอตื่นอีกทีก็กลายเป็นว่าผมอยู่ในโรงพยาบาลที่แสนธรรมดา ด้วยสาเหตุธรรมดาๆ อย่างการถูกรถชน


หรือผมจะอ่านไดอารี่มากไปแล้วเก็บไปคิดเป็นตุเป็นตะเอาเอง...


ใครจะรู้ล่ะ


ผมระบายลมหายใจหนักๆ ออกมาพร้อมๆ กับเสียงเปิดประตูอีกครั้ง แต่คราวนี้ต่างออกไป เสียงฝีเท้ามากมายกำลังกรูกันเข้ามาทางผม ไม่นานนักผมก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่แสนคุ้นเคย


พ่อ แม่ ไอ้ไม้ แล้วก็...ทีน


ผมเพิ่งจะตระหนักได้เดี๋ยวนี้เองว่าทีนดูเหมือนกับทวดของเขามากแค่ไหน พวกเขาเหมือนกันแทบทุกอย่าง ทั้งดวงตาคมเข้ม ใบหน้ารูปไข่รับกับริมฝีปากบางได้รูป ใบหน้าคมสัน รูปร่างสูงโปร่ง


คิดถึง...


บางอย่างในใจของผมมันดังขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลจนผมต้องแสร้งถอนหายใจเพื่อสลัดมันออกจากความคิด แล้วเบนไปมองหน้าคนอื่นแทน


แม่กับพ่อผมดูซูบซีดกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน นัยน์ตาของแม่ดูฉ่ำชื้นเหมือนกำลังจะร้องไห้ ใบหน้านั้นดูสูงวัยกว่าเก่า พ่อผมจับไหล่แม่แน่น ดวงตาอ่อนล้าใต้กรอบแว่นหนาของพ่อดูมีประกายสดใสกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยเห็น พวกท่านสองคนส่งยิ้มบางให้ผม มันดูอ่อนล้าแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุข


พวกเขาดูอ่อนล้าเพราะผม และพวกเขากำลังดีใจ...เพราะผม


ความรู้สึกที่รู้ว่ายังมีคนรักเราอยู่นี่มัน...ดีจริงๆ


ผมฉีกยิ้มตอบพวกท่านแล้วเหลือบไปมองอีกคนที่คอยพยุงแม่ผมอยู่ไม่ห่าง


ไอ้ไม้


ดวงตาของมันลึกโหล่ ใบหน้าของมันดูโทรมไม่ต่างจากช่วงสอบ แต่ถึงจะดูเหนื่อยล้าแค่ไหนมันก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ประคองแม่ผมอยู่อย่างนั้น ฉีกยิ้มให้ผมอยู่อย่างนั้น


เพราะแบบนี้ถึงเกลียดมันไม่ลงสักที


ผมหลุดหัวเราะให้กับรอยยิ้มกว้างแก้มแทบปริของมันแล้วไล่สายตาไปหาคนสุดท้าย


ทีน...


ผมยอมรับว่าใบหน้าของเขาทำให้ผมแสลงใจ แต่อย่างไรเสียพวกเขาไม่ใช่คนเดียวกัน ผมไม่ควรใช้อคติมาตัดสินทีน...


แต่ความจริงที่ว่าเขาคือลูกหลานของคุณชื่นกับคุณเปรมก็เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน


แล้วทำไมผมต้องมาจริงจังกับเรื่องที่ไม่รู้ว่าจริงหรือฝันขนาดนี้ด้วยนะ


การที่เรารับรู้เรื่องราวเพียงคนเดียวแบบนี้ก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ต่อให้พูดหรือถามออกไปก็คงไม่มีใครเข้าใจ เผลอๆ คงพาลคิดว่าผมเป็นบ้าไปแทน


เดี๋ยวสิ คนเดียวเหรอ...


ภาพของพระภิกษุรูปหนึ่งที่ผมเคยเจอที่วัดในตอนที่เป็นกรวิกผุดขึ้นมาในหัว


หลวงลุง...ใช่ ผมยังมีหลวงลุงอยู่อีกคนนี่นา


“ดีใจด้วยนะครับ”


เสียงปริศนาที่พูดขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้หลุดจากภวังค์แล้วผมหันไปมองอย่างลืมตัว


โอ้โห คอผม หักแล้วมั้งนั่น


“โธ่ อย่าหันเร็วแบบนั้นสิครับ หมออุตส่าห์ดามคอไว้แล้วนะ”


กูก็ไม่ได้อยากหันโว้ย มึงเล๊ย มึงล้วนๆ


ผมพยายามมองหาต้นเสียง ไม่ทันจะเหลือบตาครบทุกด้าน ใบหน้าไม่คุ้นตาก็โผล่เข้ามาตรงหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มหวาน


เขาเป็นผู้ชายตาตี่ ใส่แว่นหนาเตอะ ผิวขาวจัดและ...


“คุณหมออย่าไปแกล้งคนไข้สิคะ”


ริมฝีปากได้รูปนั้นฉีกยิ้มกว้างแล้วหัวเราะ ก่อนจะยอมถอยหน้าออกไปโดยดี


“ก็แหม หมอเห็นคุณพิทยุตม์เขานอนกินบ้านกินเมืองมานาน เลยอยากแกล้งน่ะครับ”


ผมเห็นภาพของคนอีกคนซ้อนทับขึ้นมา


คนอีกคนที่บอกว่าตัวเองเป็นหมอ


คนอีกคนที่มีรอยยิ้มสดใสระยิบระยับราวกับพระอาทิตย์


ดูสิ มองหมอใหญ่เชียว แบบนี้อีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้แล้วมั้ง”


คำแซ็วนั้นทำให้ผมได้สติ แต่สติที่กลับมาก็ไม่ช่วยให้คิดอะไรออก ผมเลยเลือกที่จะพูดแซ็วเหมือนกัน


“หมอครับ ถึงผมจะขยับคอไม่ได้ แต่ผมก็รู้นะครับว่าขากับแขนผมใส่เฝือกอยู่ แถมที่หัวนี่ก็ยังมีผ้าพันแผล หมอจะปล่อยผมกลับบ้านสภาพนี้จริงเหรอ”


เขาหัวเราะร่วน ไม่รู้หัวเราะเพราะคำพูดของผมหรือหัวเราะเพราะเสียงที่แหบแห้งเหมือนเป็ดของผมกันแน่


“คุณพิทยุตม์ก็บ่นไปนั่น ของคุณนะสุดยอดของดวงเลยรู้ไหม หัวฟาดกับฟุตบาทแต่ไม่เสียหายมาก กะโหลกไม่ร้าวด้วยซ้ำ แค่แตกนิดๆ หน่อยๆ ให้เลือดออกเล่น แขนขาหักนี่ก็เป็นเรื่องปกติของการโดนรถชน ที่คอก็ไม่ได้โดนผ่าตัดอะไรแค่ใส่เฝือกอ่อนดามไว้เพราะได้รับความเสียหายที่คอนิดหน่อย ก็เลยต้องใส่ไว้เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูและลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น อีกไม่นานก็หายดี อวัยวะภายในก็ไม่เสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว แถมร่างกายคุณยังฟื้นตัวเร็วมากจนน่าแปลกใจ รู้ไหมว่าตั้งแต่ทำงานมา คุณดวงดีที่สุดเท่าที่หมอเคยเจอ”


เขาฉีกยิ้มกว้างให้ผม


“เทียบกับอาการบาดเจ็บ หมอว่าคุณหลับนานไปด้วยซ้ำนะ”


แหน่ะ ขี้แซะนะเราน่ะ


ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรต่อ เขาก็ชิงหันไปพูดภาษามนุษย์ต่างดาวกับพยาบาลที่อยู่ข้างๆ...ล้อเล่นครับ จริงๆ ก็ภาษาแพทย์นี่แหละ แต่ผมฟังไม่เข้าใจ


พอพูดจบ เขาก็หันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง


“หายไวๆ นะครับ”


พอพูดจบก็รับเอกสารบางอย่างมาจากพยาบาลแล้วเดินจากไป


พี่พยาบาลส่งยิ้มให้ผมแล้วเริ่มมายุ่งกับสายยุบยับรอบๆ เตียง ความรู้สึกเหมือนบางอย่างถูกดึงออกจากร่างมันเป็นความรู้สึกที่...แปลก แปลกที่สุดคือผมไม่รู้เลยว่าสายไหนคืออะไร และเขากำลังทำอะไรกับร่างกายผมกันแน่ แต่สุดท้ายผมก็ยอมนอนนิ่งๆ จนทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี


หลังจากจัดการกับตัวผมเสร็จเธอก็หันมายิ้มกว้างให้ผมอีกครั้ง


“เดี๋ยวจะมีพยาบาลเอาอาหารอ่อนมาให้นะคะ ทานอาหาร ทานยา จะได้หายไวๆนะคะ”


ประโยคสุดท้ายนี่คือก๊อปกันมาใช่ไหม


ผมฉีกยิ้มกว้างตอบรับคำพูดห่วงใยกึ่งสั่งนั้นเงียบๆ


แล้วเธอก็เดินจากไป ปล่อยผมไว้กับ...


“เจ้าอ้วน แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าข้ามถนนให้ระวัง แล้วดูสิโดนรถชนจนได้”


เริ่มแล้วครับ เริ่มแล้ว


“อย่าว่าพ่อขี้บ่นเลยนะไอ้ลูกชาย เตือนกี่รอบแล้วไอ้เรื่องข้ามถนนเนี่ย ตอนเด็กๆ นะ โอ๊ย อย่าให้พ่อต้องพูด”


นี่ขนาดพ่อไม่อยากพูดนะเนี่ย


แต่เราโต้ตอบอะไรไม่ได้ครับ เราเป็นผู้ต้องหา ทำได้แค่ยอมรับความผิด


หลังจากนั้นก็เป็นประโยคบ่นยืดยาวที่ผมเองก็จับใจความได้บ้าง ไม่ได้บ้างเพราะทั้งพ่อทั้งแม่พากันแย่งพูดเหมือนกลัวจะไม่ได้บ่น ผมจึงทำได้แค่ยิ้มแห้ง ยิ้มแห้งและยิ้มแห้ง


หลังจากปล่อยให้พวกท่านได้บ่นจนสาแก่ใจ  แม่ก็เดินเข้ามาข้างเตียงแล้วเอามือผมไปกุมไว้


“อย่าทำให้เป็นห่วงแบบนี้อีกนะเจ้าอ้วน”


สิ้นคำของแม่ พ่อก็เดินเข้ามาลูบหัวผมเบาๆ


ครับ หัวที่พันผ้าก๊อซนั่นแหละ


“ทำอะไรก็ห่วงตัวเองบ้าง ปล่อยให้พ่อแม่ตายก่อนเถอะ ไม่ต้องมาแย่ง เข้าใจไหมไอ้ลูกชาย”


แหม พอได้ยินว่าผมแค่หัวแตกเฉยๆ ก็ขยี้แผลใหญ่เลยนะพ่อ


ถึงจะพูดคิดติดตลกแต่ก็ใช่จะไม่เข้าใจ ความห่วงใยและความรักที่ส่งมาให้


“ขอบคุณนะครับ”


แค่นี้


แค่คำนี้จริงๆ ที่ผมนึกออก


ขอบคุณ ขอบคุณ...จริงๆ













ผมฝัน


มันเป็นความฝันที่แปลกประหลาด ภาพตรงหน้าของผมมืดสนิท แต่กลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่คอยกอบกุมมือทั้งสองข้าง ได้ยินเสียงร้องไห้ของใครสักคน มันฟังดูทรมานจนแทบขาดใจ ได้ยินเสียงพูดของใครสักคนหรืออาจจะหลายคน คำพูดพวกนั้นมันอู้อี้จนฟังลำบาก แต่พอลองตั้งใจฟังดีๆ มันก็ค่อยๆ ชัดขึ้น...ชัดจนผมแทบไม่เชื่อว่าตัวเองได้ยินถูกต้อง


“เจ้อาจจะไม่ใช่อาเจ้ที่ดีของลื้อ แต่ถ้ามีปัญหาอะไร อย่าลืมนึกถึงเจ้นะ”


“ให้เป็นเพื่อนที่ดีและนำมึงไปในทางที่เจริญข้าคงทำไม่ได้ สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือไม่ฉุดมึงให้ต่ำลงไปกว่านี้และไม่ปล่อยมึงให้อยู่คนเดียวไม่ว่าสถานการณ์จะแย่แค่ไหนก็ตาม”


“อาม้าอาจจะไม่ใช่ม้าที่ดีของลื้อ แต่อั๊วก็รักลื้อนะอาโซ้ยตี๋”



มันเป็นคำพูดที่ฟังดูสับสัน ฟังๆ แล้วเหมือนไม่ได้มาจากสถานการณ์และเวลาเดียวกัน แต่คำพูดนั้นสื่อให้คนๆ เดียวกัน


สื่อถึงผม...ไม่สิ ต้องบอกว่าสื่อถึงกรวิกต่างหาก


ตลอดเวลาที่เป็นกรวิก ผมรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่านั่นไม่ใช่ผม ผมไม่ใช่กรวิกและกรวิกไม่ใช่ผม บางครั้งผมก็นึกหวั่นใจว่าความรัก ความห่วงใยทั้งหมดนั้นไม่ได้ส่งมาให้ผม ไม่ว่าจะเป็นจากอาม้า อาเจ้ ไอ้มั่น คุณเปรมหรือแม้กระทั่งหมอ บางทีความรักนั้นอาจจะมีไว้เพื่อกรวิก ไม่ใช่ผม


ไม่ใช่มอส


แต่พอมาคิดอีกที ถ้าความรู้สึกพวกนั้นก่อขึ้นหลังจากที่ผมอยู่ในร่างของกรวิก จะขอโมเมว่ามันเป็นความรู้สึกที่มีไว้เพื่อผมก็ไม่ผิดใช่ไหม...ผมแค่อยากได้คำยืนยันว่าคุณเปรมรักมอส หมอรักมอส ทุกคนรักมอส


ไม่ใช่กรวิก


‘จะแบ่งแยกไปทำไมเล่า ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นตัวลื้อในตอนนี้หรือกรวิกก็ล้วนเป็นคนๆ เดียวกัน’


เสียงปริศนาที่ดังขึ้นมาในหัวทำให้ผมสงสัยปนหงุดหงิดใจ


นี่เป็นความฝันของผมนะ อย่าเข้ามาโดยพลการสิ


‘อั๊วรอมานานเหลือเกิน รอเพื่อจะขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง’


คำพูดนั้นคุ้นหู น้ำเสียงที่ได้ยินก็คุ้นเคย


ใครกันนะ


‘ขอบคุณนะโซ้ยตี๋ที่เป็นน้องที่ดีมาตลอด’


น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นฟังดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน


‘ขอบคุณจริงๆ ที่ยกโทษให้อั๊ว ขอบคุณจริงๆ ที่อโหสิกรรมให้อั๊ว’


มันเป็นคำพูดที่จริงใจที่สุดที่ผมเคยได้ยินมา แต่มันเป็นเสียงของใครกันนะ น่าแปลกที่ไม่ว่าจะพยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก


‘จากนี้อั๊วคงต้องไปตามทางของอั๊วแล้วจริงๆ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะ อั๊วคงดูแลลื้อไม่ได้แล้ว’


ผมรู้สึกถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่ไหลออกมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือฝัน แต่ความเศร้าปนดีใจที่ลอยล่องอยู่ในใจของผมเป็นของจริง


ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้กันนะ


‘อั๊วหมดบ่วงกับลื้อแล้ว แต่ดอกการเวกดอกนั้นยังไม่โรยรา อั๊วขออวยพรให้ลื้อพบทางสว่างในชีวิตนะ’


นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่ความรู้สึกว่าร่างทั้งร่างจะถูกเขย่าจะถาโถมเข้ามาจนผมต้องลืมตาตื่น


คนแรกที่เห็นในสายตาคือไอ้ไม้ที่กำลังทำหน้าตกอกตกใจ พอเบนไปมองอีกข้างของเตียงจึงได้เห็นทีนยืนหน้าเครียดอยู่ด้วย


ดูทำหน้ากันเข้าสิ เป็นอะไรกันล่ะนั่น


“มึงไหวไหมเนี่ย ฝันร้ายเหรอ”


เป็นไอ้ไม้ที่เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน แต่การพูดก่อนพูดหลังนั้นไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญคือมันรู้ได้ไงว่าผมฝันร้าย


คงเพราะผมแสดงออกทางสีหน้ามากไปหน่อย ไอ้ไม้ถึงได้ถอนหายใจอย่างระอาใส่ผมเฮือกใหญ่


“จะถามกูใช่ไหมว่าทำไมถึงรู้ว่ามึงฝันร้าย ก็น้ำตาไหลอาบทั้งหน้าแล้วนั่น”


ผมยกมือข้างที่ไม่ใส่เฝือกขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง


ผม...ร้องไห้ ร้องไห้จริงๆ ด้วย นึกว่าฝันไปเสียอีก


ใช่...เมื่อครู่ผมฝัน ฝันถึงใครบางคน...ไม่สิ มันไม่เหมือนฝัน แต่มันเหมือนกับ...


“ไอ้ไม้ มึงเคยเล่ากูใช่ไหมว่าย่ามึงที่เสียไปแล้วเคยมาเข้าฝันบอกหวยแม่มึง”


มันขมวดคิ้วให้กับคำถามของผมแต่ก็ยอมพยักหน้าโดยดี


“แล้วแม่มึงได้เล่าไหมว่าย่ามึงมาบอกยังไง”


“ถามเหี้ยไรเนี่ย เพื่อนกูไปแล้ว เพือนกูเป็นบ้าแล้ว”


“ไปไหนเล่า กูก็ยังนอนอืดอยู่เนี่ย เล่ามาเร็วๆ”


ไอ้ไม้ยังทำหน้าเหมือนคนที่สับสนว่าเพื่อนเป็นบ้าหรือเพื่อนแค่เพ้อไข้จนผมรำคาญจนต้องเบนสายตาไปถามอีกคนแทน


โอ๊ย เห็นหน้ามันแล้วแสลงใจฃ


“แล้วทีนอะ เคยรู้บ้างปะว่าเวลาผีเข้าฝันมันเป็นยังไง”


คนถูกถามขมวดคิ้วนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะร้องอ๋อออกมา


“เคยนะ พ่อเล่าให้ฟังว่าคุณทวดชายเคยมาเข้าฝัน”


ทวดชาย...คุณเปรมเหรอ


เขาทำท่านึก


“จริงๆ ก็จำไม่ค่อยได้หรอกนะ มันนานแล้วน่ะ คือเราเคยเล่าว่าพ่อเราเป็นลูกคนสุดท้องใช่มะ เออ นั่นล่ะ คือพ่อก็มีพี่ชายอีกคน พี่สาวอีกคน ตอนนั้นรู้สึกว่าจะเป็นตอนที่คุณทวดเสียใหม่ๆ เราเด็กมากเลยอะ แบบมากๆ สักขวบหนึ่งได้ ก็มีคนเล่าให้ฟังว่าคุณทวดไปเข้าฝันพ่อเราว่าตอนแบ่งสมบัติให้เอาอะไรสักอย่างให้คุณลุงด้วย หลังจากแบ่งมรดกได้ไม่นาน คุณลุงก็ไปบวชกลายเป็นหลวงลุงเลย”


ผมขมวดคิ้วยุ่ง แต่ยังไม่ทันถาม ไอ้ตัวยุ่งอีกคนก็ดันชิงถามก่อนผม


“นี่มึงแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าพูดภาษาไทย เล่าไรเนี่ย ฟังไม่รู้เรื่องเลย”


เออ ขอบใจมากเพื่อนที่พูดแทน


ทีนถอยหายใจแรงๆ


“ก็บอกแล้วไงว่ามันนานแล้ว ลืมบ้างได้ไหมล่ะ”


“เอ้าๆ ไม่เถียงกัน เดี๋ยวเทพมอสจะเล่าใหม่ให้ฟังเอง ฟังนะเพื่อนไม้”


ไอ้ไม้เบ้ปากตอนผมพูดถึงตัวเอง แต่ก็ยอมฟังแต่โดยดี


“คือพ่อของทีนมีพี่ชายกับพี่สาวใช่ไหม”


ทีนพยักหน้า ผมจึงหันกลับไปมองหน้าไอ้ไม้ต่อ


“แล้วคราวนี้ทวดของทีนก็เสีย แล้วก็มาเข้าฝันพ่อทีนว่าให้เอาสมบัติอะไรสักอย่างของคุณทวดไปให้คุณลุงของทีนด้วย หลังจากนั้นไม่นานลุงแกก็ไปบวช จบไหมเพื่อน”


ไอ้ไม้ยังขมวดคิ้วจนผมเริ่มจะเหนื่อยแทน รอบแรกยอมรับว่าทีนมันเล่าไม่รู้เรื่อง แต่รอบนี้คือที่สุดของการเรียบเรียงแล้วนะ นี่เพื่อนโง่หรือเพื่อนโง่หืม


“นี่มึงยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”


มันมองหน้าผม


“ก็เข้าใจนะ แต่กูไม่เข้าใจว่าแก่นของเรื่องมันอยู่ตรงไหน”


“แล้วมึงจะไปสงสัยเรื่องแก่นของเรื่องทำขนมเปี๊ยะมึงเหรอ”


“เอ้า ก็อาจารย์บอกว่าเราต้องสามารถจับใจความทุกเรื่องที่เราฟังได้ไง”


โอเคครับ เพื่อนผมไม่ได้โง่ มันเป็นบ้า


“นี่ถ้าไม่ติดว่ากูดามคอกับใส่เฝือกทั้งตัวอยู่นะ กูจะกระโดดตบหัวมึง”


สิ้นคำพูดของผม ไอ้สองคนนั้นก็พร้อมใจกันหัวเราะร่า


“แหม พ่อคนเก่ง มึงลุกไปเข้าห้องน้ำเองยังลำบากเลย ทำมาเป็นจะกระโดดตบกู เก่งจังเลย”


“เออ กูเก่ง กราบกูสิ”


สิ้นคำพูดของผมพวกมันก็พากันหัวเราะอีกรอบ ให้ตายสิไอ้พวกนี้...


อยู่ด้วยแล้วรู้สึกดีชะมัด


“แล้วทำไมจู่ๆ มึงถึงถามเรื่องผีเข้าฝันล่ะ อย่าบอกนะว่ามึง...”


 “ไม้ปากพล่อย”


ไอ้ไม้เอ่ยปากถามขึ้นมาตามประสาคนสนใจเรื่องชาวบ้านชาวช่องเป็นพิเศษ แล้วก็ลูบแขนประกอบคำพูดตัวเองในช่วงท้ายประโยค แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ คนอีกคนก็ชิงสวนขึ้นมาเสียก่อน


ความกลัวผีของทีนนี่ไม่รู้จะขำหรือสงสารดี


“หวาย กลัวผีเหรอจ้ะน้องทีน โอ๋นะ”


ไอ้ไม้พูดแซ็วพลางหัวเราะร่วนอย่างสะใจ ในขณะที่อีกคนแทบจะกระโดดถีบยอดหน้ามันอยู่แล้ว


มอสปวดกบาลกับไอ้พวกนี้จริงๆ


“ว่าแต่มึงน่ะ ตอบมาเลย ทำไมถึงถามขึ้นมา”


ผมหันไปมองหน้ามันแล้วยักไหล่


“กูก็แค่ถามไหม ถามไม่ได้รึไง”


มันหรี่ตามองผมอย่างระแวง


“ไม่จริงอะ คนอย่างมึงไม่มีทางถามขึ้นมาเฉยๆ”


“เออ ย่ามึงมาเข้าฝันบอกหวยกูเองแหละ”


“ไอ้เหี้ย”


ไม่พูดเปล่า มันยังออกแรงเขย่าเตียงผมให้ด้วย


ไอ้เพื่อนเวร


ผมบ่นด่ามันออกไปสองสามคำแล้วไล่ให้พวกมันไปหาเก้าอี้มานั่งข้างเตียงให้เรียบร้อย ในระหว่างนั้นผมก็นั่งคิดอะไรเงียบๆ กับตัวเอง


สิ่งที่ผมเจอคงเรียกอย่างง่ายว่าผีเข้าฝัน เรียกอย่างยากว่าการรับรู้ประสบการณ์ทางวิญญาณ


อะ ก็จะตลกไป


ถ้าผมจำไม่ผิด เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของผู้ชาย แถมยังแทนตัวเองว่าอั๊วลื้อ สำคัญคือเสียงนั้นฟังดูหนุ่มแน่นเกินกว่าจะเป็นเสียงของอาป๊า เพราะแบบนั้นผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่มาหาผมคือใคร


อาเฮีย


จากคำพูดที่เขามาบอก ทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าเขานั่นล่ะคือตัวการสำคัญที่ทำให้ผมกลับไปเห็นอดีตตัวเอง


จากคำพูดที่เขาบอก ทำให้ผมมั่นใจว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผมรับรู้...คือเรื่องจริง


เขาพาผมกลับไปที่นั่นเพื่อรับรู้ทุกอย่างและ...ให้อภัยเขา ผมไม่รู้ว่าหรอกว่าเขารอคอยการให้อภัยมานานแค่ไหน แต่หลังจากนี้พวกเราก็คงไม่ติดค้างกันอีกแล้ว


หมดแล้วซึ่งบ่วงที่ผูกกันเอาไว้


อย่างไรก็ตาม ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินมันชวนให้แคลงใจ


‘อั๊วหมดบ่วงกับลื้อแล้ว แต่ดอกการเวกดอกนั้นยังไม่โรยรา อั๊วขออวยพรให้ลื้อพบทางสว่างในชีวิตนะ’


เขาคือคนที่บังคับให้โจรพวกนั้นเอาดอกการเวกมาให้ผมไม่ผิดแน่


แต่เพราะอะไรกันล่ะ?


เขาไม่รู้เรื่องผมกับคุณเปรมด้วยซ้ำ หรือผีจะติดต่อสื่อสารกันในทำนองที่ว่า ‘ฝากเอาไปให้หน่อยสิ’ รึเปล่า


ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ เตียงก็เกิดการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงจนผมร้องเสียงหลง


“แหม กรี๊ดเป็นตุ๊ดเลยนะมึง”


ไอ้ไม้เจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมคือมันไขเตียงผมขึ้นโดยไม่บอกครับ น่ากระโดดตบให้กะโหลกแตก


ไอ้ไม้ไขเตียงให้ผมอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ในขณะที่ทีนก็เดินไปหยิบเก้าอี้มาสองตัวให้ตัวเองกับไอ้ไม้ พวกมันสองคนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เตียง


“มึงหลับไปตั้งสี่วัน ในฐานะที่กูเป็นเพื่อนที่ดี เดี๋ยวกูจะเล่าเหตุการณ์ย้อนหลังให้ฟังเอง”


พอพูดจบ ไอ้ไม้ก็เริ่มร่ายมหากาพย์การนินทาชาวบ้านให้ผมฟัง โดยมีทีนคอยเป็นคนเสริมรายละเอียดเหตุการณ์ สองคนนี้เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย พวกมันผลัดกันทำให้ผมหัวเราะบ้าง ดึงเช็งเรื่องที่จะเล่าบ้าง


แม้จะวุ่นวาย แต่ผมก็รักช่วงเวลาแสนสงบแบบนี้เหลือเกิน


ไม่รู้ว่าพวกเราใช้เวลาพูดคุยกันไปนานแค่ไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีพ่อกับแม่ก็กลับมาแล้ว จำได้ว่าก่อนจะหลับไปพ่อกับแม่บอกว่าจะออกไปซื้อของ เลยทิ้งไม้กับทีนให้เฝ้าผม ไอ้สองคนนี้ก็บังเอิญไม่มีเรียนพอดิบพอดี ทีนลงทุนยกเลิกงานทั้งหมดของวันเพื่อมานั่งเป็นเพื่อนไม้เฝ้าผม ส่วนไอ้ไม้นี่ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน รายนี้มันพวกว่างการว่างงานไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่


“อ้วน เมื่อตอนแม่ออกไปข้างนอกมีเพื่อนโทรมาถามอาการด้วยน่ะลูก”


คำพูดของแม่ทำให้พวกผมหันมองหน้ากัน


นอกจากไอ้สองคนนี้แล้วยังมีคนคบผมอีกเหรอ มหัศจรรย์ใจมากๆ


“ใครเหรอแม่”


“ชื่อปืนจ้ะ เขาบอกว่าเรื่องงานสอนพิเศษไม่ต้องห่วง เขาจะดูแลให้ก่อน เดี๋ยวหายแล้วจะหางานใหม่ให้ แม่ก็บอกขอบคุณเขาไปให้แล้วล่ะ”


อ๋อ เจ๊ปืนนี่เอง น่ารักจริงๆ เลยเจ๊ผมเนี่ย


“แล้วคนที่ชื่อหวานเขาก็บอกว่าเงินหนึ่งร้อยที่ติดเขาไว้เขาจะมาคิดดอกเบี้ยด้วยนะ”


พอพูดจบแม่ก็หัวเราะคิกคักชอบใจ


เออ ไปกันได้


พอนึกได้ว่ายังไม่ได้คืนเงินหวานก็เลยนึกถึงกระเป๋าของผมในวันที่ถูกรถชนขึ้นมาได้


“แม่ แล้วของๆ ผมในวันที่ถูกรถชนอะ”


“ทีนเอามาให้แม่แล้ว อยู่ไหนน้า”


ไม่ว่าเปล่า แม่ยังอุตส่าห์ควานหาให้ในกองของรกๆ ตรงโซฟา หลังจากนั้นไม่นานแม่ก็ชูกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาลขึ้นมาให้ดู


จากเดิมที่ผมก็ไม่ค่อยจะได้ซักจนมันดูสกปรกอยู่แล้ว พอมาเปื้อนคราบเลือดก็ยิ่งดูสกปรกเข้าไปใหญ่


 “ของยังอยู่ดีใช่ไหมแม่”


แม่พยักหน้าน้อยๆ


“มือถือกับกระเป๋าเงินยังอยู่นะ อันอื่นต้องไปดูเองแล้วล่ะ”


พอพูดจบแม่ก็เดินถือกระเป๋ามาให้ผมแล้วกลับไปง่วนกับอะไรบางอย่างแถวโซฟาต่อ


ผมเปิดกระเป๋าแล้วเช็คลวกๆ ทุกอย่างยังอยู่ครบ ทั้งมือถือ กระเป๋าเงิน ชีทสอนพิเศษ สมุดจด และ...สมุดบันทึก


ผมแอบเหลือบมองหน้าทีนเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับการค้นกระเป๋าของผมเลยสักนิด นิ่งสนิทจนผมไม่แน่ใจว่าเขาได้เช็คของในกระเป๋าให้ผมจริงๆ รึเปล่า


เขาไม่เห็นสมุดบันทึกนี่จริงๆ เหรอ


“ทีนได้เช็คของให้เราแล้วใช่ไหม”


เขาพยักหน้า


“แต่ก็ไม่ได้ดูมากอะ พอรู้ว่ากระเป๋าตังค์กับมือถือยังอยู่ก็เก็บไว้เหมือนเดิม เพราะไม่รู้ว่ามอสเอาอะไรไปบ้าง”


“อ๋อ”


โล่งไป เพราะผมเองก็คร้านจะตอบคำถามว่าทำไมหลวงลุงถึงยกสมุดบันทึกเล่มนั้นให้กับผม


ต้องบอกว่าขี้เกียจแถถึงจะถูก


ผมก้มมองสมุดบันทึกที่นอนสงบอยู่ในกระเป๋าอีกครั้งแล้วตัดสินใจเงียบๆ ว่าผมต้องหาความจริงได้แล้ว เรื่องราวพวกนี้มันควรจะจบสักที ที่สำคัญที่สุดคือผมยังจำมันได้ดี


ผมยังจำคำสัญญาสุดท้ายได้ดี


‘ชาตินี้ผมรักคุณไม่ได้ แต่ชาติหน้าผมจะรักคุณแน่ๆ’


ผมจะทำให้มันเป็นจริงได้ไหมนะ...







**********************************************************************************







หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งแรก] (28/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 28-11-2017 19:00:23
[เกร็ดความรู้]




5 อันดับสกุลแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศไทย คือ

1.แซ่ตั้ง(เฉิน)

2.แซ่ลิ้ม(หลิน)

3.แซ่หลี(หลี่)

4.แซ่อึ๊ง(หวง)

5.แซ่โง้ว(อู๋)

สถิติล่าสุดของสำนักทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง พบว่ามีสกุลแซ่ที่คนไทยเชื้อสายจีนใช้อยู่มากถึง 4,700 แซ่ แต่มีผู้ที่ยังใช้แซ่ขึ้นต้นสกุลทั่วประเทศ จำนวน 773,117 คน



ที่มา: 5 อันดับสกุลแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศไทย (http://ch3.sanook.com/45339/5-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%83)



สาเหตุที่มอสนามสกุลแซ่ตั้ง เพราะปิงปองเองอยากให้ได้บรรยากาศว่ามอสเองก็เกิดในตระกูลคนไทยเชื้อสายจีน และการเลือกแซ่ตั้งก็เพราะเป็นแซ่ที่มีคนใช้มากที่สุดในประเทศไทย จะได้ไม่ดูเจาะจงตระกูลใด ตระกูลหนึ่งจนเกินไป

ในตระกูลของปิงปองเองก็มีเรื่องเล่าว่าแซ่ต่างๆ ไม่ได้มาจากชื่อตระกูลใดตระกูลหนึ่งเป็นพิเศษ แต่มาจากชื่อหมู่บ้านที่คนเล่านั้นอพยพมา ซึ่งก็หมายความว่าคนแซ่ตั้งก็ไม่ได้เป็นตระกูลเดียวกันเสียทีเดียว เพียงแต่อพยพมาจากหมู่บ้านเดียวกันเท่านั้น อันนี้เป็นเรื่องเล่าจากบรรพบุรุษเนอะ จริงเท็จอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ก็เอามาเล่าสู่กันฟังเนอะ






[นามสกุลของคนไทย]

"ตั้งแต่โบราณมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ คนไทยเราไม่มีนามสกุลใช้  มีแต่ชื่อโดดๆ ทั้งชื่อก็ยังซ้ำกันมาก อย่าง อิน จัน  มั่น  คง  แดง ดำ ขาว เขียว เลยไม่รู้ว่าแดงไหน ดำไหน ด้วยเหตุนี้ ในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ประกาศพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้นในวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ บังคับใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นต้นไป"



พูดอย่างง่ายคือคนไทยถูกบังคับให้มีนามสกุลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 เป็นต้นมา



ที่มา: นามสกุลแรกของกรุงสยาม (https://plus.google.com/109213029326125336723/posts/fTCmroBhnYW)

หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งหลัง] (29/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 29-11-2017 16:35:10
บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งหลัง]








กว่าผมจะรู้สึกตัวก็ถึงตอนที่แสงแดดสีส้มลอดผ่านกระจกใสเข้ามากระทบกับเปลือกตา จำได้ว่าหลังจากนั่งคุยกับไอ้ไม้และทีนไปได้พักหนึ่ง พยาบาลก็เอายามาให้กิน พอกินแล้วก็รู้สึกง่วงๆ เลยของีบแป๊ปหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาอีกทีห้องทั้งห้องก็ว่างเปล่า เหลือแต่เพียงผมกับแสงสีส้มแยงตา


ผมกระพริบตาสองสามทีเพื่อปรับสภาพดวงตาแล้วนอนมองแสงสีส้มอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มีความคิดอยากขยับตัวไปไหน ผมแค่อยากนอนมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างเงียบๆ ปล่อยให้หัวสมองว่างเปล่า ไม่ต้องคิดอะไรสักพัก


“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา”


จู่ๆ ผมก็พลันนึกถึงเพลงที่ตัวเองคุ้นเคย


“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา”


จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมร้องเพลงนี้...ผมคิดถึงแม่


ใช่ ผมนึกถึงเรื่องของแม่กับตัวผมในวัยเด็ก


“โอ้ยามเย็น จวบยามนี้เป็นเวลาสุดอาวรณ์ ยามไร้ความสว่างห่างทินกร ยามรักจำจะจรจากกันไปไป”


ในตอนนั้นผมกำลังสับสนกับเรื่องราวมากมายแล้วก็พลันนึกถึงแม่ขึ้นมา คงเป็นอย่างที่เขาพูดกันว่าในยามที่เราทุกข์ใจที่สุด เราก็จะนึกถึงคนที่รักเรามากที่สุก


“’Tis sundown. The golden sunlight tints the blue sea.”


ผมชอบท่อนภาษาอังกฤษ เพราะมันทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของครอบครัวในวัยเด็ก


“Paints the hill and gilds the palm tree, happy be, my love, at sundown.”


และอีกเหตุผลที่ทำให้ผมชอบท่อนภาษาอังกฤษก็คือ...หมอ


“เสียงเธอเพราะจัง”


ผมจำได้ว่าเขาชมผมไว้แบบนั้น


“หมอรออีกสักยี่สิบเก้าปีเดี๋ยวก็ได้ฟังเองล่ะครับ”


จำได้ว่าตัวเองตอบเขากลับไปแบบนั้น


จริงสิ ชีวิตหลังจากนั้นของหมอจะเป็นยังไงกันนะ


หลังจากผมตาย หมอใช้ชีวิตอยู่ยังไงกันนะ ในช่วงสงครามโลกเขายังอยู่ที่ไทยไหมนะ


หลังจากผมตาย คุณเปรมใช้ชีวิตอยู่ยังไงกันนะ ในช่วงสงคราม คุณเปรมลำบากไหมนะ


หลังจากผมตาย ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ยังไงกันนะ


ในขณะที่ผมกำลังนอนคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ผมขยับตัวเพื่อมองคนที่เข้ามาใหม่ ตอนแรกเผลอนึกไปเองว่าอาจจะเป็นพ่อหรือแม่ ไม่ก็พวกสองคนนั้น แต่ดันไม่ใช่เลยสักคน


ดันเป็นเขาเสียได้


“สวัสดีครับหมอ”


ผมยกมือไหว้ร่างที่เดินเอื่อยๆ เข้ามาหา ดวงตาภายใต้กรอบแว่นนั้นจดจ่ออยู่กับเอกสารในมือ เขาเหลือบขึ้นมายกยิ้มให้ผมนิดนึงตอนได้ยินเสียเอ่ยทักก่อนจะก้มหน้าลงไปอ่านเอกสารต่อ


ก็เอาจริงเอาจังกับเขาได้เหมือนกันนี่นา


“คุณพิทยุตม์...อาการตอนนี้ไม่น่าเป็นห่วงแล้วนะครับ ตอนคุณหลับไปก็มีพยาบาลเข้ามาเช็คไปแล้วรอบนึง”


เขาเว้นจังหวะพูดแล้วพลิกเอกสารในมือไปมา


“คิดว่าอีกสองวันก็น่าจะกลับบ้านได้ เดี๋ยวยังไงหมอขอให้นอนต่ออีกสักสองคืนแล้วกันนะครับ ถ้าไม่มีปัญหาหรืออาการแทรกซ้อนอะไรก็จะให้กลับบ้านได้เลย”


ผมจ้องใบหน้าเอาจริงเอาจังนั้นเงียบๆ เขาพูดอะไรต่อไปอีกนิดหน่อย แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังนักหรอก เพราะผมกำลัง...สงสัย


จะใช่หมอไหมนะ...ไม่น่าเป็นไปได้ คนเจ้าเล่ห์แสนกลพรรคนั้น บทจะมาเจอกันอีก คงไม่มาเจอกันง่ายๆ แบบนี้แน่ สำคัญที่สุดคือความรู้สึกของผมเอง


บรรยากาศของหมอคนนี้ไม่เหมือนกับไอ้คนเจ้าเล่ห์นั่นเลยสักนิด


“คุณพิทยุตม์ครับ”


เสียงเรียกของเขาทำให้ผมหลุดจากภวังค์


“คะ ครับ”


“เหม่อขนาดนี้ ได้ยินหมอพูดบ้างไหมครับเนี่ย”


ผมยกยิ้มกว้างหวังทำตัวตลกกลบเกลื่อนความผิด


งานถนัดผมล่ะ


“แหม หมอล่ะก็นี่ใครครับ นี่มอสเลยนะ ไม่มีทางไม่ได้ยินครับ รับรองว่าฟังทุกคำไม่มีขาดตกบกพร่อง”


“ถ้าอย่างนั้น หมอนัดถอดเฝือกวันไหนจำได้ไหมครับ”


เชี่ย พูดตอนไหนวะ


ผมมองหน้าเขาอยู่อึดใจก่อนจะ...


ยิ้มแห้งสิครับรออะไร


ตาตี่ๆ นั้นหลับลงแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย


“นี่ถ้าคุณเป็นน้องหมอนะ จะฟาดให้เลยจริงๆ ด้วย”


“หมอนะหมอ จะฟาดผมลงจริงๆ เหรอครับ นี่น้องมอสไง”


เขามองหน้าผมแล้วฉีกยิ้มจนตาปิด


“อย่าว่าแต่ฟาดเลยครับ ปากระทะใส่ก็ทำได้ครับ”


พอพูดจบก็ดันหัวเราะกับคำพูดของตัวเองจนตัวโยน


เอ้อ เป็นคนแปลกๆ นะเราน่ะ


แต่ก็น่าแปลก ตัวผมเองกลับรู้สึกอุ่นใจตอนที่เขาพูดคำว่า ‘น้องชาย’ อย่างไม่มีเหตุผล


หรือเพราะผมเป็นลูกคนเดียวกันนะ


“หมอมีน้องชายเหรอครับ”


ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงถามแบบนั้นออกไป


เขาเงยหน้าขึ้นจากกระดาษในมือแล้วอมยิ้ม


“ไม่มีหรอก แต่ถ้ามี หมอก็อยากมีน้องอย่างเรานะ”


“โห พูดแบบนี้รับผมเข้าตระกูลเลยสิหมอ แต่ขอสมบัติห้าสิบเปอร์เซ็นต์นะ”


เขาหัวเราะร่วน


“ไม่เอาล่ะ ทุกวันนี้หมอก็ไม่มีจะกินแล้ว”


พูดไปพลาง ขำไปพลาง เขียนเอกสารในมือไปพลาง อยากจะถามว่าเหนื่อยไหม


บทสนทนาของพวกเราจบลงที่ตรงนั้น ผมเองก็ไม่มีความคิดที่จะชวนคุยต่อเมื่อเห็นอีกคนกำลังทำงานหน้าดำคร่ำเครียด


แต่จู่ๆ เขากลับเริ่มบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง


“หมอน่ะอยากมีน้องชายนะ เพราะถ้ามีน้องสาวก็คงเข้ากันไม่ค่อยได้”


ผมไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้เขาเล่าไปเรื่อยๆ


“ถ้ามีน้องชายก็คงจะพอหายเหงาได้บ้าง”


เขาพูดประโยคพวกนั้นโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือเลยสักนิด แต่เพราะอย่างนั้นผมจึงสบายใจที่จะพูดต่อ


ผมไม่ชอบสบตาคนตอนพูดสักเท่าไหร่


“หมอก็มีพ่อมีแม่ไง ถ้าเหงาก็ชวนพ่อแม่ไปเที่ยวสิ”


เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากนั้นทำเพียงแค่ยกยิ้มบาง


เหงาและเศร้าสร้อย


“หมอไม่มีพ่อมีแม่หรอก เป็นเด็กกำพร้านะรู้ไหม”


เชี่ย


“แต่พอดีว่าเรียนเก่ง อาจารย์ก็เลยช่วยหาทุนให้ตลอด ได้เรียนหมอก็เพราะได้ทุนนี่แหละ หมอทำงานไปเรียนไปนะรู้ไหม”


เชี่ยยกกำลังสอง เรียนหมอก็แทบไม่ได้นอนแล้ว นี่เรียนหมอไปทำงานไป รอดมาได้ไงเนี่ย


ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมา แต่นัยน์ตานั้นไม่ได้มองมาที่ผม เขามองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนความคิดเขาล่องลอยไปไกลแสนไกล


ความเหงาและโดดเดี่ยวของเขาที่สะท้อนผ่านแววตาทำให้ผมหวนนึกถึงใครบางคนที่มีแววตาเดียวกันอยู่ตลอดเวลา


...อาเจ้....


“สงสัยชาติที่แล้วหมอทิ้งพ่อทิ้งแม่ล่ะมั้ง มาชาตินี้ก็เลยถูกทิ้งบ้าง”


ผมกลืนก้อนบางอย่างลงคอ ความรู้สึกจุกอกนี้มันอะไรกันนะ


“ถ้าหมอมีใครสักคนให้เรียกว่าครอบครัว ก็คงดีเนอะ”


“ผมนี่ไง”


ใบหน้ากลมแป้นนั้นหันขวับมามองผมแทบจะทันทีที่พูดจบ เผลอๆ หันมาก่อนจะพูดจบด้วยซ้ำ นัยน์ตาเล็กเรียวนั้นมีแววตื่นตระหนกแต่ในขณะเดียวกันมันก็ดู...ตื่นเต้น


“แหน่ะ ทำหน้าไม่เชื่อกันอีก หมอจะนับผมเป็นน้องชายก็ได้นะ จะเป็นน้อง เป็นลุง เป็นอา ก็แล้วแต่หมอเลย นับเป็นครอบครัวของหมอไปเลยก็ได้ แต่สมบัติไม่ได้แบ่งมาหรอก เดี๋ยวไว้ผมแต่งงานกับคนรวยๆ แล้วค่อยเกาะเขากินก็ได้”


พูดเอง ปล่อยมุกเอง ตบมุกเอง ขำมุกตัวเอง มอสนี่มันมอสจริงๆ


“ได้จริงๆ เหรอ”


ใบหน้านั้นยังคงตื่นตระหนกแต่มันกลับมีความยินดีมากกว่า


“อื้อ ได้สิ นี่ใคร นี่น้องมอสแหลมสิงห์ไงครับ พูดแล้วไม่คืนคำนะเออ”


 ทันทีที่ผมพูดจบ ร่างผอมๆ นั้นก็โถมเข้ามากอดผมทั้งตัว แต่โชคดีที่ไม่ได้โถมแรงลงมาด้วย ไม่งั้นน้องแขนในเฝือกของผมคงแหลกและร้าวระบม


ว่าแต่ คนเรามันเป็นพี่น้องกันง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ


เขาถอนกอดออกไปแล้วกลับไปยืนนิ่งตามเดิม สองมือง่วนอยู่กับการจัดเสื้อกาวน์เล็กน้อย


“จริงๆ ที่ทำเมื่อกี้ก็ผิดจรรยาบรรณแพทย์ไปเยอะเลยนะ”


“มีร้อยข้อน่าจะผิดไปแล้วเก้าสิบเก้าอะหมอ”


ผมแกล้งแซ็วเล่นแล้วหัวเราะ ไอ้ตัวผมเองก็เคยได้ยินเรื่องจรรยาบรรณหมอที่ว่า อย่าสนิทสนมกับคนไข้มากเกินไป อย่าร้องไห้ให้คนไข้เห็น อย่าพูดคำว่าขอโทษถ้ายื้อชีวิตคนไข้ไว้ไม่ได้เพราะเราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว อะไรทำนองนั้นมาบ้าง แต่สำหรับตัวผมเองผมไม่ได้ถือสากับเรื่องพวกนี้มากนัก ถ้าจะสนิทสนมกันมากหน่อย ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร


เขาหน้าเจื่อนลงจนผมต้องเอ่ยปลอบใจ


“อย่าคิดมาน่ะหมอ ผมไม่บอกใครหรอก นี่ก็ไม่มีใครเห็นด้วย หมอไม่โดนดุหรอกน้า”


เขาสบตาผมเล็กน้อยแล้วเบนหลบ


“เอาเถอะ ทำไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ ยังไงหมอก็ขอโทษเรื่องเมื่อกี้ด้วยละกันนะ”


“คร้าบ”


ผมรับคำพลางหัวเราะร่วน


คราวนี้เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมนิ่งไม่ได้หลบไปไหน ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มกว้าง


“แต่ที่พูดเมื่อกี้ห้ามคืนคำนะ”


ผมสบตาเขาแล้วยิ้มตอบ


“ไม่คืนหรอกครับพี่....”


“พจน์”


“ครับ?”


เขายกยิ้ม


“พี่ชื่อพจน์”


พจน์...พลอย ก็เป็นชื่อที่ฟังแล้วชวนให้คิดถึงดีเหมือนกัน


ในตอนแรกมันก็รู้สึแปลกใจตัวเองที่จู่ๆ ก็พูดไปว่าจะเป็นน้องชายเขา และมันก็ยิ่งทวีความแปลกตรงที่เขาเองก็ดูไม่เอะใจอะไรเลย แถมยอมรับง่ายๆ เสียอย่างนั้น หรือจะพูดให้ถูก ทุกอย่างมันแปลกตั้งแต่เขาเริ่มเล่าเรื่องชีวิตตัวเองให้คนไข้อย่างผมฟังแล้ว แต่พอมานึกดูดีๆ เรื่องบางเรื่อง คนบางคนก็จัดเป็นข้อยกเว้น ความรู้สึกบางอย่างที่ลอยคลุ้งอยู่ในใจคงเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราทั้งสองกลายเป็นข้อยกเว้นของกันและกัน


ความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างติดค้างกันมาตั้งแต่ในอดีต


ผมยังจำได้ดีว่าอาเจ้ชอบพูดว่าถ้าเธอไม่ใช่ผู้หญิงก็คงจะดีบ้างล่ะ อยากเกิดเป็นผู้ชายบ้างล่ะ ไม่อยากเชื่อเลยว่าพอมาเจอกันอีกที เธอจะได้เป็นอย่างที่เธออยากเป็นจริงๆ


อาเจ้ คราวที่แล้วอั๊วผิดสัญญากับลื้อเอาไว้มาก ทั้งๆ ที่สัญญาว่าจะไปเยี่ยมบ่อยๆ แต่ก็แทบไม่ได้ไปหา คราวนี้อั๊วขอแก้ตัวนะ


“หลังจากนี้หมอเตรียมตัวไว้ได้เลย ผมจะมาเยี่ยมหมอทุกวัน ให้หมอเลี้ยงข้าวจนอยากตัดผมออกจากตระกูลเลยล่ะ”


คนที่มีใบหน้ากลมแป้น ดวงตาตี่เล็กและใส่แว่นหน้าเตอะไม่ตอบอะไร เขาแค่หัวเราะร่วนอยู่อย่างนั้น


หัวเราะร่วนด้วยสีหน้าที่เป็นสุขมากเสียจนผมอดยิ้มตามไม่ได้เลย


 






********************************************************************************************



ฮั่นแน่  มีใครทายเรื่องพี่หมอพจน์ผิดไปบ้างรึเปล่า หรือมีใครทายถูกบ้างไหมคะ แสดงตัวกันได้น้า >w<


ส่วนพี่หมอของเราต้องรออีกหน่อยค่ะ ชาติก่อนน้องมอสทำเขาไว้เยอะ มาคราวนี้พี่เขาขอเล่นตัวนิดนึง ส่วนคุณเปรมไม่ต้องห่วงค่ะ เขามาแน่นอน ขอเผยนิดๆ ด้วยว่างานนี้ไม่ใช่แค่คุณเปรม แต่คนอื่นๆ ที่ผูกพันธ์กับน้องกรของเราก็ยกขบวนแห่กันมาหมด แต่จะได้เจอกันตอนไหนฝากติดตามด้วยนะคะ อีกไม่นานเกินรอแล้ว ^^


หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งหลัง] (29/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 29-11-2017 17:19:44
อ่านจบแล้ว น้ำตาแตกให้กับคุณหมอในโลกปัจจุบันอีกล่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายที่ให้ความบันเทิง สุข เศร้า เคล้าน้ำตา และ ที่อัศจรรย์ที่สุด ทำให้รู้ว่าหลวงลุงเป็นโลกปัจจุบันของคุณชื่นนี่ล่ะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งหลัง] (29/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 29-11-2017 19:58:06
โอ๊ยยย​ทำไม​เรา​เดาทางผิดหมด
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งแรก] (30/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 30-11-2017 17:13:22
บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งแรก]









หลังจากนั้นสองวัน ผมก็ได้ออกจากโรงพยาบาลสมใจ ชีวิตในช่วงแรกของผมเป็นไปอย่างทุลักทุเล


ขาใส่เฝือกทั้งสองข้าง แขนขวาก็ใส่เฝือก ส่วนแขนซ้ายไม่มีปัญหาด้านกระดูกแต่ก็มีปัญหาข้อมือซ้น สำคัญที่สุดคือคอก็ถูกใส่เฝือกอ่อนเอาไว้


บอกตามตรงว่าสภาพของผมโคตรจะคล้ายคลึงกับมัมมี่สุดๆ ไปเลย


ในตอนแรกผมตั้งใจจะดรอปเรียนเทอมนี้อยู่แล้ว แต่ไม้กับทีนกลับเสนอให้ผมเรียนวิชาที่ไม่เปิดในช่วงซัมเมอร์ในเทอมนี้ ส่วนวิชาไหนตามเก็บช่วงซัมเมอร์ได้ก็ไปถอนออกเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระมากเกินไป ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นว่าผมเหลือวิชาที่ต้องเรียนอยู่แค่สามตัวซึ่งเป็นวิชาคณะทั้งหมด


หลังจากไปดีลกับอาจารย์โดยใช้ลูกอ้อนลูกตื้อเล็กน้อย อาจารย์ทั้งสามวิชาก็เห็นชอบกันให้ผมไม่ต้องเข้าเรียน แต่ต้องอ่านหนังสือและส่งงานเหมือนคนอื่นๆ ถ้ามีควิซก็ต้องมาสอบ ซึ่งแน่นอนว่ามันสบายกว่าต้องไปเข้าเรียนทุกคาบมากๆ แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงของการไม่เข้าใจเนื้อหาและติดเอฟ แต่ผมก็โชคดีที่ยังมีไอ้ไม้ รายนี้ปกติก็ทำตัวติดกับผมเป็นตังเม สิงผมได้คงสิงไปแล้วแล้ว แน่นอนว่าเรื่องเรียนมันก็ไม่พลาดที่จะสิงผมเหมือนเดิม จากเมื่อก่อนที่ผมเป็นสายขยันส่วนมันเป็นสายเรียนๆ เล่นๆ พอมาตอนนี้มันกลับต้องกลายมาเป็นหัวเรือหลักจดเลคเชอร์ อัดเสียงอาจารย์และตั้งใจเรียนเพื่อลากผมผ่านเอฟไปด้วยกัน


เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้มันเต็มๆ จากคนเรียนๆ เล่นๆ ต้องเปลี่ยนมาเป็นเด็กหน้าห้องคงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สำคัญคือมันไม่จำเป็นต้องทำให้ผมขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังทำ


เพราะแบบนั้นผมเลยรู้สึกขอบคุณมันมากขึ้นไปอีก


บางทีผมก็อดแอบคิดไม่ได้ว่า ไม้อาจจะเป็นไอ้มั่นในชาติที่แล้วที่สำนึกได้ว่าตัวมันปล่อยปละละเลยผมจนกระทั่งถึงวันที่ผมถูกฆ่าก็แทบไม่ได้เจอหน้ากัน มาชาตินี้เจ้าตัวก็คงตั้งมั่นไว้ว่าอยากแก้ตัว ไอ้ไม้ก็เลยเกาะผมเป็นหมากฝรั่งเคี้ยวแล้วไม่เว้นแต่ละวัน


“คำอธิษฐานนั้นมีพลังมากกว่าที่เราคิดนะโยม”


ผมยังจำประโยคนี้ของหลวงลุงได้ดี


คำอธิษฐานก็คือคำขอ คำขอที่เกิดจากความปรารถนาอย่างแรงกล้าภายใน


เฮีย ทำให้ผมรับรู้ทุกอย่างเพราะอยากให้ผมให้อภัย


อาเจ้ กลับมาเป็นผู้ชายเพราะเธออยากเป็นผู้ชายมาตลอด


ไอ้มั่น กลับมาเกาะผมเป็นตังเมอาจจะเพราะมันอยากจะชดเชยในสิ่งที่มันไม่ได้ให้ผม


ทุกคนมีความปรารถนาและกลับมาเพื่อทำให้มันเป็นจริง


ชีวิตของคนเราก็ง่ายแค่นี้เอง วนลูปซ้ำไปซ้ำมาไม่มีจบเพื่อแก้บ่วงอธิษฐานไปทีละบ่วง


เท่านั้นเอง ชีวิตคนเราก็เท่านี้เอง


ตัวผมเองก็ยังมีบ่วงที่แก้ไม่ตกเหมือนกัน


หลังจากออกจากโรงพยาบาล ผมก็เทียวมาเทียวไประหว่างโรงพยาบาล หอพักและมหาวิทยาลัยโดยมีไม้และทีนอยู่ข้างตัวไม่ห่าง กว่าจะรู้ตัว ผม ไอ้ไม้ ทีนและพี่หมอพจน์ก็กลายเป็นเดอะแก๊งค์ไปไหนไปกันเสียแล้ว ถ้าวันไหนที่พวกผมว่างและพี่เขาว่าง พวกเราก็มักจะออกไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ


ตอนนี้ตัวผมเองก็เรียกเขาว่าพี่พจน์ ส่วนเขาก็เรียกผมว่าน้องมอส ดูไปดูมาก็เหมือนคู่พี่น้องกันจริงๆ จนหลังๆ พ่อกับแม่ก็เริ่มจะรับรู้เรื่องราวของพี่เขาแล้วชวนไปเที่ยวบ้านอยู่บ่อยๆ ผมจำได้แม่นว่าในวันตัดเฝือกพี่หมอยังอุตส่าห์เดินข้ามตึกมาให้กำลังใจผมทำกายภาพบำบัดขาที่ไม่ได้ใช้มาร่วมสองเดือนทั้งๆ ที่ตัวเองก็งานล้นมือแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน


ทุกอย่างที่เขาทำ พาลทำให้ผมนึกถึงคำที่ป้าอิ่มเคยเล่าให้ผมฟัง




“พี่สาวของเอ็งพูดถึงเอ็งบ่อยมากเลยรู้ไหม”

“ไอ้กรดีอย่างนั้น ไอ้กรดีอย่างนี้ เห็นมันนิสัยเช่นนั้นแต่มันก็รักเอ็งนะ ข้ายังจำได้อยู่เลย ตอนวันเกิดท่านเจ้าคุณ พี่สาวเอ็งนี่หาเรื่องไปทำงานในเรือนแจเลย ก็เพราะมันอยากจะไปดูเอ็งเล่นดนตรีน่ะสิ อู๊ย ข้านี่เหนื่อยใจจะบ่น”

“มันน่ะ ระริกระรี้จะไปดูเอ็งสีซอเสียให้ได้ พลางโอ้ชมเอ็งกับคนในโรงครัวยกใหญ่ว่าเอ็งน่ะเสียงดี พวกบ่าวมันก็เลยพากันไปฟัง อุบ๊ะ เสียงเอ็งนี่ใสอย่างกับนกการเวกอย่างไรอย่างนั้น เป็นเด็กผู้ชายแท้ๆ”





พี่พจน์เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ก็มักจะอวยผม ห่วงผมออกนอกหน้า


ชาติก่อนเป็นยังไง ชาตินี้ก็ยังเหมือนเดิม แม้จะไม่มีหลักฐานมายืนยันแต่ใจผมมันก็เชื่อไปแล้ว ต่อให้เขาไม่ใช่อาเจ้ของผมจริง แต่การรับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรเสียใจ ออกจะน่ายินดีด้วยซ้ำไป


เอาเข้าจริงผมก็คงต้องขอบคุณเฮียที่ทำให้ผมได้รับรู้เรื่องราวในอดีต เพราะไม่อย่างนั้นผมคงใช้ชีวิตในตอนนี้ไปวันๆ โดยไม่คิดอะไรเลย


....


เดี๋ยวนะ...มันมีบางอย่างแปลกๆ


....


จริงสิ ถ้าเฮียเป็นคนทำให้ผมระลึกถึงอดีต ทำไมเสียงที่ผมได้ยินได้ช่วงแรกๆ ถึงเป็นเสียงของคุณเปรมล่ะ


บ้าจริง ทำไมผมถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้นะ


ตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ชีวิตของผมวุ่นวายอยู่กับการเรียนและสุขภาพจนไม่มีเวลาว่างได้มานั่งคิดทบทวนอะไรเลย กว่าจะนึกขึ้นได้เวลาก็ผ่านไปมากโข


ผมดึงลิ้นชักใต้โต๊ะออกมาแล้วหยิบสมุดปกหนังขึ้นมาวางบนโต๊ะ


บอกตามตรงว่าผมไม่กล้าอ่าน


ตาของผมจับจ้องมันอยู่อย่างนั้นหลายนาทีทีเดียวกว่าผมจะกล้าเปิดมันขึ้นมา ผมไล่เปิดมันทีละหน้า กวาดตาผ่านหน้าที่เคยอ่านมาแล้วไปผ่านๆ ตั้งใจว่าจะเริ่มอ่านตั้งแต่หน้าสุดท้ายที่อ่านค้างไว้เป็นต้นไป แต่พอเปิดไปถึงจริงๆ กลับพบว่าวันที่บันทึกกระโดดข้ามไปอย่างน่าแปลก


ผมจำได้ว่าหน้าสุดท้ายที่ผมอ่านบันทึกไว้ว่าเป็นวันที่ 3 มีนาคม 2460 ซึ่งเป็นวันที่กรวิกตกน้ำ


เป็นวันที่ผมได้ไปที่นั่นเป็นครั้งแรก


มาถึงตรงนี้ก็เพิ่งจะคิดอะไรบางอย่างได้


ทำไมเฮียต้องพาผมกลับไปในวันนั้นด้วยล่ะ ทำไมถึงไม่พาผมย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเด็กๆ เผลอๆ ถ้าผมได้เห็นภาพพวกเรารักใคร่กันฉันพี่น้อง ผมอาจจะให้อภัยเขาไปก่อนหน้านี้แล้วก็ได้


แปลก แปลกจริงๆ


ผมเลิกคิดแล้วกลับมาให้ความสนใจกับวันที่ในบันทึกต่อ


หลังจากวันที่ 3 มีนาคม 2460 หน้าถัดมากลับกระโดดข้ามมาที่เดือนพฤษภาคมเสียอย่างนั้น





วันนี้เป็นวันเกิดของคุณพ่อ มีแขกเหรื่อแวะมาแสดงความยินดีกันคับคั่ง แต่ก็มีเพียงเรากับคุณพ่อเท่านั้นที่คอยรับหน้า พักนี้อาการคุณแม่แย่ลงกว่าเก่า หมอทุกคนต่างพากันบอกว่าท่านคงอยู่ได้อีกไม่นาน ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากให้ท่านได้สมความปรารถนาก่อนสิ้นใจ เมื่อท่านหาคู่มาให้เราจึงมิได้คัดค้านอะไร อย่างไรเสียเราเองก็มีหน้าที่ในการสืบต่อวงศ์ตระกูลและเป็นเสาหลักของบ้านสืบไปอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้แต่งงานกับคนที่พึงใจก็คงไม่เป็นไร เพราะเขาเองก็มิได้จากไปไหนไกล เจ้านกการเวกน้อยของเรายังคงบินวนอยู่ใกล้ๆ ยังคงขับขานบทเพลง พูดจาเจื้อยแจ้วให้ฟังไม่ห่างหายไปไหน เพียงเท่านี้ใจเราก็สุขมากเกินพอแล้ว



 

วันที่ ๑๑ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖o






เหมือนมีบางอย่างมาจุกอยู่ในอก


‘เจ้านกการเวกน้อยของเรา’


คำๆ นี้ช่างเสียดแทงใจผมเหลือเกิน


ผมค่อยๆ พลิกหน้ากระดาษเพื่ออ่านต่อ





เรามิรู้จะเขียนพรรณนาความรู้สึกในอกเราออกมาอย่างไรดี ความรู้สึกร้อนรุ่มแลอึดอัดนี้คืออะไรกันหนอ เจ้าดอกการเวกของพี่ เหตุใดเจ้าจึงพูดจาเยี่ยงนั้นออกมา สายสวาทที่เราเคยมีต่อกันขาดสะบั้นไปแล้วหรือ เหตุใดใบหน้าเจ้าจึงทุกข์ระทมถึงเพียงนั้น แม้อยากจะเข้าไปกอดปลอบเจ้าเพียงใด แต่ตัวพี่เป็นใคร ตัวเจ้าเป็นใคร พวกเราเป็นใครใยจักไม่ตระหนักถึง ความรักของเราหากจะกล่าวว่าเป็นไปไม่ได้ก็คงไม่ผิด หากพี่ขอแค่ให้เจ้าอยู่ใกล้ๆ มิบินจากไปไหนไม่ได้เลยหรือ บุญกุศลที่ได้ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันในวันนี้ หากสามารถนำพาให้เรามาเจอกันแลรักกันอย่างปกติสุขในชาติภพหน้าได้ก็คงเป็นเรื่องน่ายินดี



วันที่ ๑๗ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖o






ผมดีใจ


ผมดีใจที่อย่างน้อยเขาก็ยังคิดถึงผมบ้าง คุณเปรมที่ผมรู้จักไม่ใช่คนช่างอธิบาย เขาแทบไม่ปริปากถึงสิ่งที่คิดออกมาให้ผมฟังเลยสักนิด จนหลายครั้งที่ผมเผลอ...ไม่เชื่อ...ไม่เชื่อในคำว่ารักของเขาว่ามันจะเป็นของจริง


แต่ตอนนี้ผมพอใจแล้ว แค่รู้ว่าเขารักผมจากใจจริงก็พอแล้ว


ผมพลิกกระดาษเพื่ออ่านหน้าต่อไป







ความรักของเรานั้นจบสิ้นลงแล้ว เขาบอกลาเราแล้ว เจ้านกน้อยบินจากอ้อมอกเราไปแล้ว ดอกการเวกในมือเราเหี่ยวเฉาลงเสียแล้ว หัวใจของเรา...แหลกสลายเสียแล้ว



วันที่ ๔ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๖o







บันทึกหน้านี้เป็นเพียงประโยคสั้นๆ แต่เมื่ออ่านจบหัวใจผมกลับปวดร้าวเหลือเกิน


รัก


ผมรักเขาจริงๆ ด้วย


ผมรักใครไม่ได้แล้วจริงๆ ด้วย


มือสั่นเทาของผมทาบปิดใบหน้าของตัวเอง ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ในวันนั้นคงเป็นวันที่ผมบอกลาเขา คงเป็นวันที่เขาเจ็บที่สุด


คงเป็นวันที่หัวใจของพวกเราบาดเจ็บที่สุด


ผมหยุดให้ตัวเองได้ตั้งสติอีกครั้ง เมื่อหยาดน้ำตาเริ่มแห้งเหือดผมจึงพลิกหน้าต่อไป


พลิกไปทั้งๆ ที่รู้ว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเขียนว่าอะไร


สิ่งแรกที่ผมรู้สึกกับบันทึกหน้านี้ไม่ใช่ข้อความที่สะดุดตา แต่เป็นร่องรอยบางอย่างบนกระดาษ กระดาษเก่าๆ หน้านี้มีร่องรอยเหมือนเคยโดนความชื้นมาก่อน ที่สำคัญรอยพวกนั้นไม่ได้กระจายไปทั้งหน้า แต่มันมีลักษณะเป็นหยดๆ เหมือน...


“น้ำตา”


ผมพึมพำกับตัวเอง


พูดกับตัวเองเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่สัมผัสได้คือของจริง


เขาร้องไห้....คุณเปรมร้องไห้


เพราะแบบนั้นผมจึงต้องรีบอ่านข้อความ





หัวใจเราเจ็บราวกับจะแหลกสลายในคราที่เจ้านกน้อยบอกลา แต่ในยามนี้หัวใจเราเหมือนมีใครมาทุบทำลาย บดขยี้แล้วเอาไปทาเกลืออย่างไรอย่างนั้น เมื่อยามที่ได้ทราบข่าวว่าเจ้าดอกการเวกของพี่ถูกทำร้ายสาหัสปางตาย พี่รีบรุดไปแล้ว ไปยังโรงหมอของปีเตอร์ที่เคยสาบานกับตนเองไว้ว่าจักไม่ไปเยือน แต่พี่ยอมตระบัดสัตย์เพื่อดวงใจของพี่ ครั้นพอไปถึง ที่นั่นก็มีคนอยู่มากมาย ทั้งมั่น พ่อแม่ของน้อง รวมไปถึงปีเตอร์ด้วย มั่นเล่าให้พี่ฟังว่าพี่ชายของน้องก็ถูกทำร้ายเช่นกัน แต่เสียชีวิตไปก่อนหน้าแล้ว ส่วนน้องนั้น ปีเตอร์บอกว่ามีภาวะติดเชื้อในโลหิต มั่นอาจจักไม่เข้าใจ แต่พี่เข้าใจดี น้องจักไม่คืนกลับมาหาพี่อีกแล้ว เพราะเหตุใดเล่าเจ้าจึงไม่อยู่ต่ออีกสักนิด อยู่ให้พี่ได้ขอโทษ อยู่ให้พี่ได้ตระกองกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขน พี่เพียงอยากบอกว่ารักเจ้าอีกสักครั้งเท่านั้น แม้แต่วาระสุดท้ายของเจ้าพี่ก็ไม่อาจเข้าไปกุมมือได้ บางคราพี่ก็นึกอิจฉาปีเตอร์เหลือเกิน อิจฉาที่เขาสามารถรักเจ้าได้อย่างเปิดเผย ภาพที่เขานั่งกุมมือเจ้าอยู่ข้างเตียงแลร่ำไห้ปานจะขาดใจนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของพี่มิรู้ลืม



ตัวพี่เองก็อยากทำเยี่ยงนั้นไม่ต่างกัน แต่พี่จักทำได้อย่างไร ฐานะของพี่ ตระกูลของพี่ ทุกสิ่งที่พี่แบกไว้บนบ่าทำให้พี่ทำได้แค่มองเจ้าค่อยๆ สิ้นลม ไม่อาจแม้แต่จะเดินเข้าไปกุมมือ ทำได้เพียงจิกเล็บเข้าไปในมือตนเอง จิกจนกว่าเลือดจะไหลหมดกาย เพื่อห้ามตัวเองไม่ให้พุ่งเข้าไปตระกองกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขน



อภัยให้พี่เถิดดวงใจพี่ พี่ขอโทษ พี่รักเจ้าเหลือเกิน อีกไม่นาน จักตามไปหา ถึงครานั้น คำแรกที่พี่จักพูดเมื่อเราได้พบกันคือคำว่าขอโทษ พี่จักขอโทษดวงใจพี่จนกว่าเจ้าจะให้อภัย แม้จะต้องใช้เวลาอีกกี่ร้อยกี่พันชาติพี่ก็ไม่หวั่น ขอเพียงได้พบเจ้า ได้รักเจ้า ได้ขอโทษเจ้าอีกสักครา แค่นั้นก็มากเกินพอแล้ว





วันที่ ๕ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๖o







ทันทีที่อ่านจบผมก็ร้องไห้ออกมาเหมือนจะขาดใจ


ผมไม่สนอีกแล้ว ต่อให้ทีนจะกลับมาเห็นตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ได้ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นนี้ออกมาก็พอ


ผมรักเขา ผมรักเขาจริงๆ ด้วย


ตัวผมร้องไห้ไปนานแค่ไหนไม่รู้ กว่าจะรู้ตัวอีกที ตาทั้งสองข้างก็บวมแดงเกินกว่าจะมีน้ำตาไหลออกมาได้อีก ผมถอนหายใจยาวๆ เพื่อพยายามระงับอารมณ์แล้วรวมรวบสติที่กระเจิดกระเจิงไปกลับมา


มือสั่นเทาค่อยๆ พลิกหน้ากระดาษต่อจากนั้นแล้วก็ต้องแปลกใจที่มันไม่มีอะไรต่อจากนั้นเลย


ไม่มีบันทึกต่อ


ไม่มีอะไรเขียนไว้


ไม่มีอะไรเลย ...จนกระทั่งหน้าสุดท้าย


ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอแล้วไล้มือบนหน้ากระดาษอย่างเหม่อลอย


เพลงยาวบทนี้มันแสนจะ...คุ้นเคย


...เพลงยาวที่เขาแต่งให้ผม....






กลอนเพลงยาวร้อยหัวใจอันสุขี

ด้วยคะนึงถึงยอดมารตี

ขอน้องนี้รับรักด้วยเมตตา

 

เสียงเจ้าหวานปานนกการเวก

ความปัจเจกเอกลักษณ์คือหรรษา

หวังนอนฟังหากเจ้ากรุณา

เพียงพบหน้าพาใจได้ภิรมย์

 

เจ้าเป็นจีนงามหมวยสวยบาดจิต

หากน้องฝากชีวิตคงสุขสม

ต่างเชื้อชาติใช่ต่างรักต่างนิยม

พี่สัญญาจักชื่นชมเจ้านิรันดร์

 

หากเจ้าเป็นมาลีพี่เป็นผึ้ง

ใช่ทะลึ่งมีแต่รักมากมหันต์

หากเจ้าเป็นโลกนี้พี่เป็นจันทร์

อยู่คู่กันตลอดไปด้วยรักเอย

                                                       


                                                                                       

ตรงท้ายกลอนมีข้อความสั้นๆ เขียนไว้สองสามบรรทัด




ในที่สุดพี่ก็ตามหาตัวคนที่ทำร้ายดวงใจพี่จนเจอ แต่กว่าจะพบความจริง คนผู้นั้นก็สิ้นชีพไปเสียก่อนแล้ว เขายังไม่ได้ชดใช้ให้น้องด้วยซ้ำ สิ่งที่พี่ทำได้คือทำลายทุกอย่างที่เขาเหลืออยู่บนโลกใบนี้ เขาว่ากันว่าเมื่อคนเราสิ้นไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความดีงาม แต่พี่จักทำให้มันไม่เหลืออะไรเลย เหมือนกับที่มันทำให้ชีวิตของพี่สิ้นไร้แสงสว่างในวันนั้น





จากที่อ่าน คุณเปรมคงรู้แล้วว่าทั้งหมดคือฝีมือของท่านเจ้าคุณเอื้อ ผมไม่รู้ว่าสุดท้ายเขาทำอะไร แต่อย่างน้อยเขาก็ทำมันเพื่อผมและผมก็มั่นใจว่าคนอย่างเขาย่อมไม่ใช้วิธีสกปรกแน่


ชายคนนี้มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง ขนาดตอนผมจะตาย เขายังรักษาอุดมการณ์ไว้ไม่สั่นคลอน เขายอมที่จะมองผมตายโดยไม่ได้เข้ามากอด ดีกว่าสูญเสียจุดยืนของตัวเองไป


คนแบบนี้นี่....มันเหลือเกินจริงๆ


ผมหัวเราะฝืดๆ ให้กับคำปรามาสเขาของตัวเองแล้วไล่สายตาไปมองที่ปกสมุดจึงเห็นกระดาษแผ่นน้อยแนบอยู่...




พฤษภกาสร           อีกกุญชรอันปลดปลง

โททนต์เสน่งคง      สำคัญหมายในกายมี

นรชาติวางวาย      มลายสิ้นทั้งอินทรีย์

สถิตทั่วแต่ชั่วดี       ประดับไว้ในโลกา





...กฤษณาสอนน้องคำฉันท์...


ผมเคยได้ยินกลอนบทนี้ตอนไปหาหลวงลุงที่วัดกับทีน และจำได้แม่นว่าหลวงลุงบอกผมว่านี่เป็นกลอนที่คุณทวดของทีนชอบ แต่ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ลายมือคุณเปรม ฉันท์นี้ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือที่บรรจงกว่า ประณีตกว่าและอ่อนช้อยกว่า ดูๆ ไปแล้วก็เหมือน...


...ลายมือผู้หญิง...


...คุณชื่น...นั่นเป็นชื่อเดียวที่ผมนึกออก


ถ้าคุณชื่นเป็นคนเขียนจริง แสดงว่าเธอต้องได้อ่านข้อความทั้งหมดที่ถูกบันทึกเอาไว้ในนี้


เธอทนได้เหรอ เธอจะรู้สึกยังไงกันนะ เธอจะรู้รึเปล่าว่าคนที่คุณเปรมกล่าวถึงคือผม


ปริศนามากมายถาโถมเข้ามาในหัวเสียจนผมนั่งไม่ติด


ไม่ได้แล้ว ผมต้องทำอะไรสักอย่าง


ผมเงยหน้ามองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังห้องแล้วเริ่มไล่เรียงตารางชีวิต

ตอนนี้ผมเดินเหินได้สะดวกเหมือนเก่า สำคัญที่สุดคือสอบเสร็จแล้ว เพราะฉะนั้นชีวิตผมตอนนี้จึงอยู่ในโหมดว่างถึงว่างที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็กลับบ้านไม่ได้เพราะต้องรอเรียนซัมเมอร์ต่อ ทีนก็ไปทำงาน ไอ้ไม้ก็มีสอบ


ทางสะดวกสุดยอด


พอคิดได้แบบนั้นผมเลยกุลีกุจอเก็บของลงกระเป๋าแล้วบึ่งออกไปจากหอสู่จุดหมายปลายทางที่ผมมั่นใจว่าปริศนาทั้งหมดจะคลี่คลาย


หลวงลุงเท่านั้นที่จะช่วยผมได้



********************************************************************




หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งแรก] (30/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 30-11-2017 18:10:54
 :serius2: สงสารทุกคนเลยยย
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งแรก] (30/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-11-2017 19:00:45
ที่แท้คนที่ทำให้มอสไปอดีตคือเฮีย เพื่อให้ มอสอโหสิกรรม  :z3:
แล้วมอส ก็รู้ว่าคงรักได้แต่คุณเปรม
แต่ที่เฮียพูดเรื่องดอกการะเวกนี่มันยังไงๆนะ
ทีน จะรู้ใจตัวเองว่าชอบมอสหรือเปล่า  :mew1:

อาเจ้ มาเกิดใหม่เป็นหมอพจน์  :hao3:
แล้วดีใจที่ได้มอสเป็นน้องชายซะหมดมาดหมอเลย  :ling1:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งหลัง] (1/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 01-12-2017 20:11:16
บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งหลัง]










วัดที่แสนคุ้นตายังร่มรื่นไม่ต่างจากหลายเดือนที่แล้ว ผู้คนมากหน้าหลายตาหลั่งไหลเข้ามาทำบุญไม่ขาดสายเหมือนเดิม เด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่แถวร้านอาหารเหมือนเดิม อากาศเมืองไทยยังร้อนเหมือนเดิม ทุกอย่างดูปกติสุขเหมือนเดิม


ผมเองก็มาที่นี่ด้วยความกังวลใจเหมือนเดิม


แต่ที่แย่กว่าเดิมคือผมไม่รู้ว่าผมจะหาหลวงลุงได้ที่ไหนนี่สิ ชื่อของท่านผมก็ไม่รู้ กุฏิท่านอยู่ตรงไหนยิ่งไม่ต้องพูดถึง


แย่จริงๆ


หลังจากเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะลองเดินไปยังศาลาริมน้ำที่ผมเคยพบท่านเมื่อนานมาแล้ว สถานที่แห่งนั้นยังคงสงบร่มเย็นเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่น่าแปลกที่คราวนี้กลับไม่มีใครอยู่ละแวกนี้เลยสักคน


ไม่มีเลยสักคน


หลังจากหันซ้ายหันขวาดูหลายรอบจนแน่ใจแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้


ต้องทำยังไงถึงจะได้เจอท่านนะ จะให้ไปถามพระรูปอื่นในวัดก็ไม่รู้ว่าจะถามยังไงดี ชื่อก็บอกไม่ได้ ลักษณะก็อธิบายยากเกินไป


เมื่อทำใจแล้วว่ายังไงเสียวันนี้ก็ต้องถอดใจ ผมจึงค่อยๆ พาตัวเองเดินไปนั่งรับลมในศาลาแทนการยืนอยู่กลางลานร้อนอบอ้าว


เหมือนภาพเหตุการณ์ในวันเก่ายังไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำ ผมยังจำได้ดีว่าในวันนั้น...ในวันที่ผมมาที่วัดนี้เมื่อหลายเดือนก่อน ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องเพลงลาวดวงเดือน ผมได้ยินเสียงของ...


จริงสิ ทำไมผมถึงเพิ่งนึกได้นะ


ถ้าจำไม่ผิด ในวันนั้นผมได้ยินเสียงคนร้องเพลงลาวดวงเดือนแต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใคร เลยเดาเอาว่าน่าจะเป็นเสียงอย่างที่ได้ยินทุกที พอได้ยินเสียงคนท่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ก็เลยพาลนึกไปว่าน่าจะเป็นคนเดียวกัน แต่พอกลับมานึกดูดีๆ เสียงที่ได้ยินในตอนนั้นมัน...ไม่เหมือนเสียงของคุณเปรมเท่าไหร่ เสียงนั้นใสกระจ่างกว่า แหลมกว่า เหมือนเสียงของผู้หญิง


เหมือนเสียงของคุณชะ...


“อ้าว โยมมอสไม่ใช่รึ”


ผมสะดุ้งโหยงกับเสียงร้องทักที่ดังแทรกเข้ามาในห้วงภวังค์ก่อนจะหันขวับไปมองทันทีที่ตั้งสติได้


ร่างสูงวัยคุ้นตาในชุดภิกษุทำให้ผมผลุดลุกขึ้นยืนแทบไม่ทัน


“นมัสการครับหลวงลุง ผมตามหาหลวงลุงแทบพลิกวัดเลยครับ”


ท่านไม่ได้ตอบอะไร ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นเพียงฉีกยิ้มบางแล้วค่อยๆ หย่อนตัวลงบนม้านั่งปูนในศาลา เมื่อเห็นดั่งนั้นผมจึงย่อตัวลงนั่งกับพื้นบ้าง


สงสัยงานนี้คงคุยกันยาว


เมื่อเห็นว่าหลวงลุงไม่มีท่าทีจะเริ่มบทสนทนาผมจึงพนมมือขึ้นบริเวณอกแล้วเริ่มพูด


“หลวงลุงครับ ผมมีหลายเรื่องที่อยากจะถามหลวงลุงครับ คือว่า...”


“ถ้าหากจะถามว่า พี่ชายของโยมในชาติที่แล้วคือต้นเหตุให้โยมกลับไปเห็นอดีตจริงหรือไม่ อาตมาขอตอบว่าจริง แต่หากจะถามว่าโยมได้ย้อนกลับไปในอดีตหรือไม่ อาตมาก็ขอตอบว่าไม่จริง”


คำตอบนั้นช่างเสียดแทงใจ


หลวงลุงยังเหมือนเดิม ท่านหยั่งรู้ทุกอย่างเสียจนผมนึกกลัว แต่อีกใจมันก็อยากรู้


อยากรู้จนยอมเผชิญหน้ากับความกลัวในใจ


“แล้วที่ผมเห็นมันคืออะไรหรือครับ”


ท่านก้มมองหน้าผมนิดนึงก่อนจะหันไปทอดมองแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลเอื่อยอยู่ไม่ไกล


“หากจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือนิมิตนั่นล่ะโยม”


ผมส่ายหน้ารัว


“ไม่จริงหรอกครับ ถ้าเป็นนิมิต ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นล่ะครับ ถ้าเป็นนิมิตผมควรที่จะเป็นผู้ดู ผมควรที่จะ...”


“โยมมอส”


เสียงอ่อนโยนนั้นหยุดคำพูดทั้งหมดของผมแล้วเรียกความสนใจให้สบเข้าไปในดวงตาฝ้าฟาง


นัยน์ตานั้นอ่อนโยนเหลือเกิน อ่อนโยนเสียจนผมรับรู้ได้ถึงความสงสารและเห็นใจ


“โลกใบนี้ก็มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่อาจจะเข้าใจหรือพิสูจน์ได้ สิ่งที่โยมเจอ อาตมาก็สุดจะสรรหาคำมาอธิบาย”


ท่านสบตาผมนิ่ง


“สิ่งที่โยมเผชิญมาคือสภาวะหนึ่งของจิตที่ถูกนำพาไปให้เห็นเหตุการณ์ที่ผู้นำพาอยากให้เห็น แต่เพราะเหตุใดโยมจึงรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น หรือทำไมโยมจึงได้ยินเสียงของคุณเปรมแทนเสียงของพี่ชาย หรือแม้กระทั่งเหตุผลว่าทำไมเหตุการณ์ที่โยมเห็นจึงเริ่มต้นหลังจากกรวิกตกน้ำ อาตมาเองก็สุดรู้”


ท่านเว้นจังหวะอยู่อึดใจแล้วเบนสายตากลับไปทอดมองแม่น้ำใหญ่


“ชีวิตคนเราก็เหมือนสายน้ำนั่นล่ะโยม กว่าจะมาถึงที่ๆ อยู่ตอนนี้ก็ผ่านอะไรมามากมาย จะให้จำ จะให้รู้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงเป็นไปไม่ได้หรอก”


แล้วท่านก็กลับมาสบตาผม


“สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่าเราได้อะไรมาบ้างระหว่างทาง ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมาแก่นแท้ของมันคืออะไร ปลาในน้ำมันคงไม่จำหรอกว่าเส้นทางที่ว่ายผ่านมามีกรวดอยู่กี่ก้อน มีหญ้าช้องอยู่กี่กอ แต่มันรู้ว่ามันมีจุดหมายให้ไป มีหน้าที่ต้องสืบทอดเผ่าพันธุ์ ต้องมีชีวิตอยู่”


ความรู้สึกบางอย่างตีขึ้นมาจนจุกอก


“แล้วโยมล่ะ ตอบตัวเองได้ไหมว่าจากเหตุการณ์ที่ไปรับไปรู้มา โยมได้อะไร แก่นแท้ของมันคืออะไร คนๆ นั้นให้โยมกลับไปรับรู้อดีตเพื่ออะไร”


ผมรู้สึกว่าร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มจนผมต้องหยุดสูดหายใจเข้าสองสามครั้งจึงสงบลง ในหัวค่อยๆ คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ อยู่พักใหญ่จึงค่อยเงยหน้าขึ้นตอบ


“เขา...อยากให้ผมให้อภัย”


ใบหน้าสูงวัยประดับยิ้มกว้าง


“แล้วโยมว่าอย่างไรเล่า”


“ผมกับเขา เราจบสิ้นกันแล้ว ไม่มีอะไรค้างคา ไม่ว่าจะทุกข์จะสุข ผมตัดหมดแล้ว”


ผมเห็นท่านพยักหน้าน้อยๆ พร้อมกับรอยยิ้มบาง


นั่นคงเป็นทุกอย่างที่ท่านอยากจะบอก แต่นั่นยังไม่พอ


ผมยังมีเรื่องที่อยากรู้


“แล้วเรื่องของคุณเปรมกับหมอปีเตอร์ล่ะครับ”


ท่านหันมามองผมแล้วอมยิ้มเงียบๆ


ไม่พูด ไม่ถามจนน่าแปลก แต่เพราะแบบนั้นผมจึงได้พูดต่อ


“ผมจำได้ว่าตัวเองช่วยทำซีพีอาร์ให้แม่เด็กที่ตกน้ำ ผมจำได้ว่าผมโดนหมอปีเตอร์จับผิดครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่องที่ผมมีความรู้ผิดลูกชาวบ้านทั่วไป เรื่องพวกนั้นมัน...”


“โยมจำคราวที่เราเจอกันในวัดในนิมิตโยมได้ไหม”


ผมนิ่งคิด


ภาพเหตุการณ์ที่ผมเจอท่านที่วัดคราวนั้นผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ





“การรับรู้ของคนเรา เกิดขึ้นจากการรับรู้ของจิต ถ้าจิตรับรู้เรื่องในอดีต เราก็จะคิดไปว่าเราย้อนอดีต”


“พูดให้ง่าย สิ่งที่โยมรับรู้อยู่ตอนนี้ ทั้งหมดล้วนเกิดจากจิตของโยมเอง จิตของโยมกำลังรับรู้เรื่องในอดีต เพราะมีใครบางคนอยากให้โยมรับรู้มัน”


“จำไว้นะโยมมอส จิตของเราปรุงแต่งทุกอย่างที่เรารับรู้ ตอนนี้จิตใหม่ของโยมกำลังรับรู้เรื่องราวในชาติเก่า”


“ทุกสิ่งที่รับรู้ได้ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด”


“แต่ความรู้สึกอันเป็นแก่นแท้นั้นเป็นของจริง”





ผมเงยหน้าสบตาท่าน


“หลวงลุงหมายความว่าเรื่องพวกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงเหรอครับ”


ท่านยิ้มน้อยๆ


“ถูกและไม่ถูกในคราวเดียวกัน”


ท่านส่งยิ้มให้ผมเล็กน้อย


“โยมคิดว่าถ้าโยมกับพ่อของโยมกินข้าวเช้าจานเดียวกันกับโยม พ่อของโยมจะทำทุกอย่างเหมือนอย่างที่โยมทำไหม”


ผมขมวดคิ้วยุ่ง


อะไรเนี่ย งงไปหมดแล้ว


“ก็...สมมุติว่าโยมกินอาหารจานเดียวกับพ่อของโยม โยมคิดว่าปริมาณพริกน้ำปลาหรือลักษณะท่าทางการกินของพ่อกับตัวโยมเองจะเหมือนกันไหม”


ผมส่ายหน้าช้าๆ


“มันก็เหมือนกันล่ะโยม โยมกินข้าวจานเดียวกับกรวิก ไปเจอเหตุการณ์เดียวกับกรวิก แต่คนกินคือโยม ไม่ใช่กรวิก กรวิกอาจจะไม่เติมพริกไทยลงในข้าว แต่โยมอาจจะเหยาะลงไปนิดหน่อย แล้วรสชาติอาหารมันจะไปเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วได้อย่างไร”


พอพูดจบท่านก็อมยิ้ม


“แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมว่ามันคืออาหารจานเดียวกัน”


ผมพยักหน้าช้าๆ ในหัวพยายามประมวลผลคำพูดพวกนั้น


อะ ยอมรับว่าโง่ มอสงง มอสไม่เข้าใจ


ผมได้ยินเสียงหัวเราะขำๆ จากพระภิกษุตรงหน้า


“ที่อาตมาบอกว่าถูกคือเหตุการณ์ที่โยมเห็น มันไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดอย่างที่โยมคิดน่ะถูกแล้ว แต่ที่บอกว่าผิดก็เพราะเหตุการณ์พวกนั้นเคยเกิดขึ้นจริงๆ โยมไม่ได้นึกไปเอง เพียงแต่รายละเอียดอาจไม่ได้เป็นอย่างที่โยมรับรู้”


ผมมองหน้าท่านด้วยสายตาสงบนิ่งแล้ว...


ยิ้มแห้งสิครับรออะไร มอสโง่ มอสไม่เก็ทอะไรทั้งนั้น


ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ


โอ้โห หลวงลุงด่าผมว่าโง่เถอะครับ


แต่โชคดีที่ท่านไม่ได้ทำแบบนั้น ภิกษุชราทำเพียงอมยิ้มแล้วชี้มือข้างหนึ่งของท่านไปที่นกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนต้นไม้ไม่ไกลนัก


“โยมมอสเห็นนกตัวนั้นไหม”


ผมพยักหน้า


“สิ่งที่โยมเห็นเกี่ยวกับนกตัวนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”


ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี


“มันเป็นนก...นกพิราบตัวเล็ก ที่กำลัง...เกาะอยู่บนกิ่งไม้เฉยๆ...ครับ”


ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะตอบอะไรออกไป แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นท่านก็ฉีกยิ้มกว้างให้กับคำตอบของผม


“หากอาตมาจะบอกว่านกตัวนั้นกำลังนอนหลับอยู่ โยมว่าเหตุการณ์ที่เราเห็นมันจะเปลี่ยนไปไหม”


ผมนิ่งคิดแล้วส่ายหน้า


“แล้วถ้าหากสมมุติว่าเจ้านกนั้นพูดได้แล้วบอกพวกเราว่าเขาไม่ได้หลับ เขาไม่ได้เกาะอยู่เฉยๆ แต่กำลังรอลูกๆ กลับรัง โยมว่าเหตุการณ์ที่เราเห็น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันจะเปลี่ยนไปไหม”


ผมนิ่งคิดอยู่อึดใจแล้วค่อยๆ ส่ายหัว ในใจเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง


“เหตุการณ์เดียวกัน ต่างมุมมอง ใช่ว่าเหตุการณ์นั้นจะไม่เคยเกิด รายละเอียดอาจจะไม่เหมือนเดิมเพราะคนที่มอง ไม่ใช่คนเดียวกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นยังเป็นสิ่งเดียวกัน”


ผมถึงบางอ้อแทบจะทันที


สิ่งที่ผมเห็นทั้งหมด เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นั่นล้วนเกิดขึ้นจริง รายละเอียดอาจจะไม่เหมือนกันแต่ทุกสิ่งเคยเกิดขึ้นจริง


ผมเคยช่วยหมอดูแลผู้หญิงตกน้ำคนนั้นจริง แต่อาจจะไม่ใช่ด้วยวิธีซีพีอาร์


ผมเคยทำงานกับหมอจริง แต่อาจจะเป็นงานแบบอื่นหรือกรวิกอาจจะมีความรู้ภาษาอังกฤษเหมือนกับผมก็ไม่อาจจะรู้ได้


แย่จริง ถึงจะรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีเรื่องที่ไม่รู้อีกเป็นตัน


แต่เดี๋ยวสิ มันมีเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้นี่นา...


“แต่หลวงลุงครับ ผมเคยร้องเพลงยามเย็นที่นั่นแล้วก็โดนหมอปีเตอร์ทักว่าทำไมถึงร้องเพลงนี้ได้ เพลงนี้คือเพลงอะไร ผมเลยตอบไปว่าให้รอฟังอีกยี่สิบเก้าปี เหตุการณ์นี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แล้วทำไม...”


“โยมมีอะไรฝังใจกับเพลงยามเย็นรึ”


แทนที่จะตอบคำถาม ท่านกลับเลือกที่จะถามกลับ แถมเป็นประโยคเดียวแต่ทิ่มกลางใจจนทะลุเสียด้วย


สมแล้วที่เป็นหลวงลุง


เมื่อเห็นว่าปิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมจึงค่อยๆ เปิดปากเล่า


“มัน...เป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้สึก...มีค่า”


ผมหยุดเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย


“ผมเคยใช้เพลงนี้ซ้อมลีลาศในชมรมเล็กๆ ที่โรงเรียน ที่นั่นผมมีเพื่อนหลายคน ผมได้คุยกับคนหลายคน ทุกคนต้องการผมเพราะผมเป็นผู้ชายซึ่งเป็นของหายากในชมรม ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนครับ สมัยมัธยมผมไม่มีเพื่อนสนิทด้วยซ้ำไป พอขึ้นมหาวิทยาลัยก็มีเพื่อนคบอยู่สี่ห้าคน แต่ละคนก็แปลกๆ ทั้งนั้นเลย”


พอพูดจบผมก็หัวเราะ


“แถมเนื้อเพลงที่ฟังก็ทำให้ผมนึกถึงตอนเด็กๆ ที่แม่ชอบพาผมไปเที่ยวทะเล มัน...เป็นช่วงเวลาที่มีคนอยู่ข้างๆ ผม เห็นคุณค่าของผม ผมก็เลย...รู้สึกดีเวลาได้ยิน ทุกครั้งที่รู้สึกแย่ผมก็จะชอบร้องเพลงนี้ เพราะผมจะได้รู้สึกว่าตัวผมยังมีคนที่ต้องการให้ผมไปหา”


ผมหันไปหาคู่สนทนาตรงหน้า


“แล้ว...หลวงลุงถามผมทำไมหรือครับ”


ท่านฉีกยิ้มกว้าง...กว้างกว่าครั้งไหนที่เคยเห็น


“อาตมาก็แค่สงสัยว่าทำไมโยมจึงเลือกเพลงยามเย็นก็เท่านั้น บทเพลงมีเป็นร้อยเป็นพัน การที่เราจะเลือกเพลงสักเพลงขึ้นมาร้องมันย่อมต้องมีเหตุอยู่เสมอ”


ผมนิ่งเงียบแล้วพยายามคิดตาม เอาเข้าจริงผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับหลวงลุงสักเท่าไหร่ เวลาคนเราจะร้องเพลงออกไปแตะขอบฟ้าของพี่ตูนมันต้องมีเหตุผลอะไรมากกว่าความอยากร้องด้วยเหรอ


ช่างเถอะ ถึงจะสงสัยแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะถามออกไปอยู่ดี


“ความจริงแล้วมันก็มีมากกว่าความอยากรู้ของอาตมาเองอยู่เหมือนกัน”


คำพูดเนิบนาบที่หลุดออกมาทำให้ผมตะโกนลั่นในใจ


นั่นไง มอสเคยสงสัยอะไรแล้วผิดที่ไหนกัน


ภิกษุชรามองหน้าผมแล้วทำท่าครุ่นคิด


“เมื่อหลายวันก่อน อาตมาได้มีโอกาสเจอคนๆ หนึ่งที่ชอบเพลงยามเย็นเหมือนกับโยม แต่เขาไม่มีเหตุผล เขาบอกว่าเขาชอบเพราะเขาชอบ อาตมาเลยอยากรู้”


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักของบทสนทนา


“แล้วตกลงว่าเหตุการณ์นั้นมัน...”


“โยมมอส”


น้ำเสียงที่เรียกชื่อผมนั้นฟังดูทั้งระอาทั้งเอ็นดู


“อาตมาบอกว่าอย่างไรจำได้ไหม เหตุการณ์ทั้งหมดเคยเกิดขึ้นจริง แต่โยมกับกรวิก แม้จะเป็นคนๆ เดียวกัน แต่ชาติภพใหม่ ดวงจิตก็ย่อมแปรสภาพไปไม่คงเดิม การที่โยมไปรับรู้เหตุการณ์ในครั้งเก่าก่อนด้วยดวงจิตใหม่ เหตุการณ์ที่โยมเห็นย่อมขึ้นอยู่กับความนึกคิดของจิตโยมเอง แล้วมันจะไปเหมือนเดิมทุกสิ่งได้อย่างไรกัน ในเมื่อจิตโยมไม่ได้เหมือนเดิม”


“หลวงลุงหมายความว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้นจริง แต่กรวิกอาจจะร้องเพลงอื่น หรืออาจจะทำอย่างอื่น แต่เขาอยู่ตรงนั้น กินข้าวกับหมอที่นั่นเหมือนอย่างที่ผมทำ อย่างนั้นหรือครับ”


ท่านคลี่ยิ้มแล้วพยักหน้าลงเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


เดี๋ยวสิ...


“แล้วถ้ารายละเอียดเหตุการณ์มันเปลี่ยนไป มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์จนเปลี่ยนไปหมดหรือครับ”


นัยน์ตานั้นทอดมองผมอย่างเอ็นดู


“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้โยมพยายามจะเปลี่ยนมันอย่างไร มันก็ไม่เปลี่ยนหรอกนะ”


ท่านหลับตาลง


“คนเราเปลี่ยนอดีตไม่ได้หรอกนะโยม”


กระจ่างกันเลยทีเดียว


แต่คราวนี้ดันมีปัญหาใหม่ขึ้นมา....


แล้วผมจะรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าคำพูดไหนเกิดขึ้นจริง คำพูดไหนเป็นเพียงสิ่งที่จิตใหม่ของผมคิดขึ้นเอง เอาเข้าจริงผมว่าเฮียก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องจิตใหม่ จิตเก่ามากนักหรอก เขาก็แค่พาผมกลับไปเพื่อให้ผมรับรู้ทุกอย่างแล้วกล่าวให้อภัยเขาเสีย แต่ขนาดทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ยังไม่วายไม่วางทำให้ชีวิตผมยุ่งเหยิงขึ้นกว่าเดิม


ผมนึกขำๆ กับตัวเอง คนๆ นั้นขยันหาเรื่องให้ผมไม่หยุดไม่หย่อน พอนึกได้ว่าจากนี้ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันแล้ว ผมนี่แทบลุกขึ้นจุดพลุ


แล้วคำสัญญานั้นล่ะ ผมจะทำยังไงกับมันดี


“หลวงลุงครับ”


ท่านมองผมนิ่ง นัยน์ตาแฝงไว้ซึ่งประกายบางอย่าง


ผมเอะใจ แต่ก็ไม่หยุดถาม


“ผม...ตัวผมในอดีตเคยสัญญา...สัญญาอะไรกับใครไว้ไหมครับ”


ริมฝีปากยับย่นระบายยิ้ม


“ตัวโยมกับกรวิกมีนิสัยไม่ต่างกันนักหรอก...จะเรียกว่าเหมือนก็คงไม่ผิด”


หลวงลุงพูดเพียงเท่านั้น พอพูดจบท่านก็หลับตาลงเงียบๆ แต่นั่นก็มากเกินพอ


คำพูดนั้นมันบ่งบอกคำว่า ‘ใช่’ ออกมามากเกินพอแล้ว


แล้วถ้าเกิดเราไม่ได้เจอกันล่ะ ถ้าเกิด....ถ้าเกิดผมรักเขาไม่ได้ล่ะ


เอาเถอะ ยังไงซะนั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต สิ่งสำคัญคือปัจจุบันต่างหาก


ผมพยายามนั่งนึกคำถามที่อยากถามต่อ ไหนๆ ก็มาแล้วก็อยากให้ทุกอย่างกระจ่างชัดไปเลยทีเดียว


อ่า จริงสิ เรื่องนั้นไง...


“หลวงลุงรู้เรื่องที่สูตรขนมประจำตระกูลมาจากคุณทวดชาย...คุณเปรมใช่ไหมครับ”


ท่านพยักหน้าช้าๆ


“คุณทวดเขาเอาสูตรมาจากกรวิกหรือเปล่าครับ ทำไมผมถึงไม่เห็นเหตุการณ์นี้เลย”


นัยน์ตาของพระภิกษุตรงหน้าลืมขึ้นช้าๆ แววตาเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิม


เมื่อกี้นี้มัน...อะไรกัน


“พี่สาวในชาติที่แล้วของโยมเคยบอกสูตรพวกแม่ครัวไว้ พอกรวิกเสีย คุณเปรมท่านก็ไปถามสูตรแล้วจดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อไม่ให้สูญหาย ‘จะได้มีไว้รำลึกถึงนกน้อยของเรา’ ท่านว่าไว้แบบนั้น”


น้ำเสียงแหบแห้งมีโทนเสียงที่แปลกไป จากเนิบนาบอ่อนโยนกลับเหมือน...


เหมือนถูกอะไรเข้าสิงแล้วพูดออกมาอย่างไรอย่างนั้น คำพูดคำจาก็แปลก หลวงลุงพูดราวกับว่าตัวเองเป็นคนที่ได้รับฟังประโยคนั้นจากปากคุณเปรมอย่างไรอย่างนั้น


แปลก แปลกจริงๆ


แต่เรื่องที่ผมอยากรู้ก็มีอยู่มากมายเสียจนไม่อาจหยุดถามได้


 “หลวงลุงครับ”


ท่านหันมามองตามคำเรียกแล้วอมยิ้มเหมือนจะถามว่า ‘มีอะไรรึโยม’


พอเห็นแบบนั้นผมจึงกล้าถามต่อ


“จะเป็นไปได้ไหมครับที่ทีนจะเป็น...คุณเปรม”


ผมสงสัยเรื่องนี้มานานมากแล้ว จะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็น....


“ทีนรึ”


พระชราหัวเราะออกมาเบาๆ


“อะไรทำให้โยมคิดอย่างนั้นล่ะ”


ผมนิ่งคิด


“ก็...เขาชอบทำท่าทางเหมือนชอบผมน่ะครับ”


พอได้ยินดังนั้นท่านก็ยิ่งหัวเราะมากขึ้นไปอีก


“ตอนทีนอายุสี่เดือน คุณเปรมยังไม่เสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นอาตมาขอยืนยันว่าทีนไม่ใช่คุณเปรมแน่นอน เรื่องความชอบพึงพอใจกัน ใช่ว่ามันจะต้องมาจากอดีตชาติแต่เพียงอย่างเดียวนะโยม”


ท่านส่งยิ้มให้ผม


“ก่อนที่เราจะเกี่ยวพันกับใคร เรากับเขาก็ต้องเคยเป็นคนแปลกหน้ากันมาก่อน ถ้าในหนึ่งภพหนึ่งชาติของเราจะเจอทั้งคนใหม่คนเก่า ก็ไม่แปลกไม่ใช่รึโยม”


ภิกษุตรงหน้าอมยิ้มแล้วเบนสายตาไปทอดมองแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกล


“ในหนึ่งชีวิตคนเรา คนที่เคยมีบ่วงต่อกันก็ต้องเจอ คนที่เพิ่งมาเจอกันแล้วเกี่ยวพันกันเพราะโชคชะตาก็ต้องเจอ ความจริงแล้วอาตมากับโยมเองก็เคยเกื้อหนุนกันมาก่อนเช่นกัน หรือจะพูดให้ถูก โยมเคยเกื้อหนุนอาตมามาก่อน พอมาชาติภพนี้ อาตมาเลยมาเกื้อหนุนโยมบ้าง”


ผมอ้าปากค้างกับคำพูดเนิบนาบนั้น


มันจะอะเมซซิ่งเกินหน้าเกินตาไปแล้วนะครับหลวงลุง


“ผมกับหลวงลุงก็เคยเจอกันเหรอครับ”


ท่านพยักหน้าเล็กน้อยแต่ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าท่านเคยเป็นใคร เมื่อเห็นว่าท่านไม่อยากบอกผมก็ไม่ดันทุรังที่จะถาม แค่นี้ก็มากพอแล้ว


ผมรู้มากเกินพอแล้ว


...จริงสิ ยังมีอีกอย่างที่ผมสงสัย...


“หลวงลุงครับ แล้วทำไมเฮียต้องให้พวกโจรเอาดอกการเวกมาให้ผมล่ะครับ หรือเขาจะติดต่อกับคุณเปรมแล้ว...”


ท่านส่ายหน้าเบาๆ


“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกโยม ชื่อเก่าของโยมคือกรวิก แปลว่านกการเวก ดอกการเวกก็พอจะแทนชื่อโยมได้ เขาก็คงคิดเพียงเท่านั้นล่ะ คุณเปรมกับหมอปีเตอร์เขาก็ไปเกิดตามทางของเขาแล้วล่ะ”


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


ผมนั่งนิ่งคิดว่ายังมีอะไรที่คาใจอีกไหม


...อ๋อใช่ เรื่องนั้นไง...


“หลวงลุงรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณชื่นบ้างไหมครับ”


เมื่อเห็นท่านขมวดคิ้วเล็กน้อย ผมจึงถือโอกาสอธิบายเพิ่ม


“ในนิมิต ผมเคยบอกเฮียไปว่าคุณเปรมจะแต่งงานกับคุณชื่น แล้วเฮียก็ทำหน้าตกใจ ผมไม่รู้ว่าคำพูดพวกนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่จริง แต่ผมแค่...”


“อยากรู้ว่าทำไมพี่ชายของโยมจึงตกใจใช่ไหม”


ผมพยักหน้า ในขณะที่หลวงลุงมีสีหน้าหม่นหมองลง


“พี่ชายของกรวิกเป็นชู้กับภรรยาท่านเจ้าคุณเอื้อจึงได้รับรู้ข่าวสารในแวดวงข้าราชการมาบ้าง เขาก็คงรู้มาบ้างว่าท่านเจ้าคุณเอื้ออยากได้คุณชื่นไปเป็นภรรยารอง ทั้งพยายามบีบคุณพระมิ่ง บิดาของคุณชื่นให้คืนหนี้ที่ยืมบ้าง ส่งคนไปดักที่บ้านบ้าง ยิ่งช่วงที่คุณชื่นจะแต่งเข้าบ้านคุณเปรมยิ่งหนักข้อเข้าทุกที แต่โชคดีที่คุณพระมิ่งท่านเป็นคนอดทนอดกลั้น ท่านทนจนถึงที่สุดเพื่อให้ลูกสาวของท่านได้ตบแต่งเข้าบ้านคุณปรม หลังจากพิธีสมรส ท่านเจ้าคุณเอื้อจึงได้ยอมวางมือไป”


หลวงลุงเว้นจังหวะพูดไปเล็กน้อย


“ท่านเจ้าคุณเอื้อเป็นคนบารมีสูง เกิดมาในตระกูลดี แต่ทำตัวเองให้ต่ำลง จนในที่สุดก็สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งความดีก็ไม่เหลือไว้ให้คนนึกถึง”


ผมนิ่งฟังเรื่องราวที่หลวงลุงเล่าออกมาพลางคิดสงสารท่านเจ้าคุณเอื้ออยู่ไม่น้อย


...สงสารที่ไม่เคยมีใครอบรมสั่งสอนจนเติบโตมาเป็นคนแบบนี้...


ต้องถูกเลี้ยงดูมาแบบไหนถึงโตมาเป็นคนแบบนี้ได้นะ


ช่างเถอะ ยังไงซะก็หมดเวรหมดกรรมกันไปแล้ว


...เรื่องทุกอย่างที่อยากรู้ก็กระจ่างชัดหมดแล้วด้วย...


ความรู้สึกของผมตอนนี้เหมือนคนที่ออกมาพบแสงสว่างหลังจากหลงอยู่ในวังวนของความมืดที่เรียกว่าความไม่รู้อยู่นานแสนนาน มันทั้งโล่ง ทั้งสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แม้เรื่องบางเรื่องจะไม่เป็นอย่างที่คิด แต่อย่างน้อยผมก็เข้าใจ รู้เหตุของมัน แค่นั้นก็เกินพอแล้ว


...แค่นั้นก็ทำให้ผมสบายใจมากพอแล้ว...


เมื่อลองทบทวนแล้วพบว่าตัวเองไม่มีอะไรจะถามอีก ผมจึงเลือกที่จะบอกลาหลวงลุงเพื่อให้ท่านได้ไปพักผ่อน ท่านกล่าวอวยพรผมสองสามคำ จากนั้นผมก็ก้มลงกราบนมัสการลาแล้วลุกขึ้นยืน


ผมเกือบจะเดินพ้นศาลาอยู่แล้วแต่ดันนึกเรื่องนึงขึ้นมาได้เสียก่อน


“หลวงลุงครับ”


ท่านหันมามองหน้าผมตามเสียงเรียก


“ทำไมหลวงลุงถึงเรียกคุณเปรมว่าคุณเปรมล่ะครับ หลวงลุงต้องเรียกว่าคุณปู่ไม่ใช่เหรอครับ”


ท่านไม่ตอบอะไร ใบหน้าแก่ชรามีเพียงรอยยิ้มบางแล้วหันไปทอดมองสายน้ำในเจ้าพระยาที่ไหลเอื่อย


แล้วจู่ๆ ภาพๆ หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว


ภาพความทรงจำจางๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งที่มีใบหน้าสะสวย กริยาเรียบร้อยงดงามและฉลาดเฉลียวกำลังทอดมองคลองที่ไหลเอื่อยผ่านสวนในบ้านของคุณเปรม


...คุณชื่น...


ท่านนิ่งเงียบเสียจนผมไม่กล้าถาม ตัวท่านเองก็ดูไม่อยากเอ่ยปากบอก ผมจึงทำได้เพียงเก็บงำความสงสัยแล้วหมุนตัวกลับเพื่อเดินจากไป ถ้าไม่ติดที่ว่า...


“โยมมอส”


เสียงเรียกนั้นทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง


พระภิกษุชรายังนั่งอยู่ที่เดิม ใบหน้ามีริ้วรอยนั้นยังคงฉีกยิ้มบางเหมือนเดิม แต่บางอย่างในนัยน์ตาฝ้าฟางคู่นั้นแปลกไป


...เหมือนผมกำลังสบตากับใครบางคนที่ผมคุ้นเคย...


“อาตมาชอบกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ เพราะมันเป็นบทกลอนที่ดีเอาไว้เตือนใจคนว่าแม้ในยามที่เราตาย ก็มีเพียงความชั่วดีเท่านั้นที่ยังคงอยู่ แต่การจะรู้ว่าอะไรดีหรือชั่วมันก็ต้องมาจากการได้รับการสั่งสอน ได้รับความรู้ จำไว้นะโยม...”


ท่านค่อยๆ หันมาสบตาผมอย่างเชื่องช้า


“ความรู้ที่ได้จากการศึกษาจักพอกพูนคุณค่าในตัวคน”


...แล้วคำถามในใจของผมก็ได้รับคำตอบ....






*******************************************************************************************************




มีใครเดาถูกมาแต่แรกไหมเอ่ยว่าหลวงลุงคือใคร ถ้าเดาไม่ถูกจะดีใจมากเลยค่ะ เพราะตั้งใจให้นึกไม่ถึงอยู่แล้ว แต่ถ้าเดาถูกแสดงว่าเก่งมากๆ เลย XD



ตอนหน้าเป็นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ ขอบคุณจริงๆ ที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มาตลอด ขอบคุณทุกยอดวิว ทุกยอดคอมเม้นต์ จากนักอ่านใจดีทุกๆ ท่าน ปิงปองไม่ใช่นักเขียนที่เก่ง ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องพัฒนา แต่ทุกคนก็ยังอุตส่าห์มาอ่าน มาคอมเม้นต์ให้กำลังใจปิงปองอยู่เสมอๆ อยู่ข้างกันไม่ทิ้งไปไหน ขอขอบคุณจากใจจริงเลยค่ะ


อีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว ฝากติดตามกันไปจนถึงตอนสุดท้ายด้วยนะคะ ^^




*******************************************************************************************************

หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งหลัง] (1/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 01-12-2017 20:12:48
[เกร็ดความรู้]




ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด


"ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หรือ Septicemia  Sir William Osler แพทย์ชาวแคนาดา  เป็นคนแรกที่ค้นพบว่า บางครั้งสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไม่ได้เป็นผลมาจากเชื้อโรคโดยตรง แต่มาจากปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่มีต่อเชื้อโรค ต่อมาในปีพ.ศ. 2457 Schottmueller แพทยชาวเยอรมันได้ ให้ นิยามคำว่า Septicemia คือการที่เชื้อโรคลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดและทำให้เกิดอาการต่างๆ"



พูดอย่างง่ายก็คือภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดถูกค้นพบก่อนปีพ.ศ. 2457 แต่มีการให้นิยามอาการอย่างจริงจังขึ้นในปีพ.ศ. 2457 เผื่อหลายๆ คนงงว่าเอ...ในสมัยที่น้องกรเสียชีวิต เราจะรู้จักภาวะนี้กันแล้วจริงๆ รึเปล่า จึงขอตอบว่าความรู้เรื่องภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดถูกค้นพบก่อนปีที่น้องกรจะเสียชีวิต ในเรื่องน้องกรเสียชีวิตตอนพ.ศ.2460 ซึ่งก็คือ 3 ปีให้หลังจากการบัญญัตินิยามอย่างจริงจังของอาการนี้ ปิงปองเลยคิดว่าในปีที่น้องกรเสียชีวิต ความรู้เรื่องภาวะนี้ก็น่าจะเป็นที่แพร่หลายออกไปพอสมควร และด้วยความที่ทั้งคุณเปรมและหมอปีเตอร์ล้วนเคยอยู่ในวัฒนธรรมต่างชาติกันมาก่อน ปิงปองเลยขออนุมานเอาว่าทั้งสองมีความรู้ในเรื่องนี้อยู่พอสมควรเนอะ



ที่มา:  ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (http://www.fsh.mi.th/km/wp-content/uploads/2014/09/010.pdf)
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งหลัง] (1/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marchyn ที่ 01-12-2017 21:30:43
เดี๋ยวนะครับ หลวงลุงเป็นคุณชื่น ชาติที่แล้วเหรอครับ แสดงว่าคุณชื่นต้องเสียไปก่อนคุณเปรมนานมากๆ ถึงจะเกิดมาเป็นหลานได้โตจนเป็นลุงของทีนที่เกิดในตอนที่คุณเปรมยังไม่เสีย ใช่มะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งหลัง] (1/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 02-12-2017 09:09:21
รอวันที่มอสจะได้เจอหมอกับคุณเปรม  :call:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 02-12-2017 14:16:20
ความรัก [บทส่งท้าย] (2/12/60)








หลังจากวันที่ผมไปถามหลวงลุงก็ผ่านล่วงเลยมาสองเดือนแล้ว


ทุกอย่างในชีวิตของผมยังดำเนินไปตามปกติ ผมยังคงใช้ชีวิตเหมือนเด็กนักศึกษาทั่วไปตามปกติ ทั้งตามเก็บซัมเมอร์อย่างขะมักเขม้นจนจบคอร์สมาจนได้ ทั้งจัดการเก็บกิจกรรมต่างๆ นาๆ ชดเชยช่วงที่หยุดเรียนจนเรียบร้อยตามประสาเด็กเรียนทั่วๆ ไป แม้จะเหงาไปบ้างที่ต้องเรียนซัมเมอร์ตามลำพัง เพราะทั้งไม้ทั้งทีนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านกันหมด แต่เพราะผมมักจะหาโอกาสไปเยี่ยมหลวงลุงบ้าง ไปหาพี่หมอพจน์ที่โรงพยาบาลบ้าง ก็เลยพอจะคลายเหงาไปได้บ้าง


ทุกอย่างดูธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


แต่ผมรู้อยู่แก่ใจดี ว่าใจของผมมันไม่เหมือนเดิม


ผมกำลังเฝ้ารอ...รอพวกเขาทั้งสองคนอย่างใจจดใจจ่อ เรื่องของพวกเรามันคาราคาซังมาเนิ่นนานเกินไปจนผมตัดสินใจว่า เป็นตายร้ายดียังไง เรื่องทั้งหมดก็ต้องจบลงในชาตินี้ แต่ไม่ว่าจะเฝ้ารออย่างตั้งใจแค่ไหนผู้คนรอบข้างผมก็ยังเป็นคนหน้าเก่าๆ เหมือนเดิม


....ไม่มีวี่แววของหมอหรือคุณเปรมเลย....


คำสัญญาที่ผมพูดออกไป ถ้าผมทำไม่ได้หมอจะโกรธผมไหมนะ


เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันนะ...


“อ้วน พี่หมอมาแล้วลูก”


เสียงตะโกนเรียกจากชั้นล่างของแม่ทำให้หลุดจากภวังค์ ผมกุลีกุจอกวาดของทั้งหมดบนโต๊ะลงกระเป๋าสะพายใบโปรดแล้ววิ่งลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว


“ผมไปก่อนนะครับแม่ เดี๋ยวค่ำๆ กลับมานะ”


“จ้า บอกพี่หมอขับรถระวังๆ ด้วยนะ”


“คร้าบ”


พอพูดจบผมก็ถีบตัววิ่งไปหาคนที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน


รถเก๋งสีขาวคุ้นตากับร่างสมส่วนที่ยืนโบกมือหยอยๆ ให้ผมอยู่หน้าบ้านในเสื้อลายดอกกับกางเกงขาสั้นสีขาว


ดูอีกกี่ทีก็ตลกเหมือนเดิม


ผมหลุดขำให้กับการแต่งกายที่เหมือนลืมส่องกระจกออกจากบ้านของอีกฝ่ายแล้วยกมือไหว้


“สวัสดีครับพี่หมอ”


“ขำขนาดนี้ไม่ต้องเรียกพี่แล้วมั้ง”


“อะ พูดเองนะพจน์”


“เอ้อ ไอ้นี่ก็ยุง่ายเนอะ”


พอพูดจบพวกเราก็ปล่อยหัวเราะออกมาพร้อมกัน


พี่หมอพจน์เป็นคนสบายๆ ไม่ต่างกับอาเจ้ในอดีต ผมสามารถพูดหยอกล้อกับเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ พอๆ กับที่เขาเองก็ดูจะขี้อวยผมในหลายๆ ด้านเหมือนอาเจ้ไม่มีผิด ทุกครั้งที่ไปหาเขาที่โรงพยาบาล คนขี้อวดก็จะหนีบคอผมแล้วเดินบอกคนในวอร์ดไปทั่วว่าผมเป็นน้องชายของเขา


พอนึกถึงเรื่องในอดีต ผมก็พาลนึกไปถึงหลวงลุงไปด้วย


หลวงลุงคือคุณชื่น แม้ท่านจะไม่เคยพูดยืนยันความคิดของผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ทุกอย่างที่ผมสัมผัสได้มันแจ่มชัดยิ่งกว่าคำพูดใดในโลกหล้า บรรยากาศที่โอบล้อมรอบตัวของหลวงลุงไม่ต่างจากคุณชื่นเลย


ความอบอุ่น อ่อนหวาน อ่อนโยนและเฉลียวฉลาด ความรู้สึกที่มองแล้วรู้สึกว่าคนๆ นี้แตกต่างจากทุกคนที่เคยเจอ ความรู้สึกของคนที่มองแล้วรู้สึกน่าเคารพ ทุกอย่างที่ผมสัมผัสได้จากหลวงลุงคือทุกอย่างที่ผมเคยสัมผัสได้จากคุณชื่น


เหมือนท่านเองก็รู้ว่าผมรับรู้ตัวตนของท่านในแง่ไหน ท่านจึงเลือกที่จะเรียกคุณเปรมว่าคุณเปรมโดยไม่คิดจะปิดบัง


ผมยังจำเรื่องเล่าของท่านในครั้งล่าสุดที่ผมไปเยี่ยมท่านได้ดี





‘คุณเปรมท่านรักกรวิกมาก...มากเสียจนอาตมายังไม่แน่ใจเลยว่าจะรักใครแบบนั้นได้ไหม หลังจากกรวิกตาย ท่านก็เอาแต่ทำงานตามหาฆาตกรจนเจอ ท่านสั่งให้แม่อิ่มปรุงขนมไทยสูตรของบ้านกรวิกรับประทานทุกวัน อีกทั้งยังช่วยใช้หนี้ให้บ้านกรวิกจนหมด หลังจากมีลูกกับคุณชื่นได้คนหนึ่ง ท่านก็ไม่แตะต้องคุณชื่นอีกเลย อีกทั้งยังคอยดูแลคุณชื่นไม่เคยขาด แต่คุณชื่นเป็นคนบุญน้อย อายุเพียงสี่สิบปีก็สิ้นใจด้วยอาการป่วย ในขณะที่คุณเปรมนั้นอายุยืนยาวถึงเก้าสิบเก้าปี ตอนที่คุณชื่นเสีย คุณเปรมอายุสักสี่สิบแปดปีได้ โยมมอสเชื่อไหม ห้าสิบเอ็ดปีที่เหลือหลังจากคุณชื่นเสีย คุณเปรมไม่เคยมีใครอีกเลย ทุกคนต่างเข้าใจกันว่าคุณเปรมรักคุณชื่นมากเสียจนไม่อาจมีใครใหม่ได้ แต่อาตมารู้ดี ท่านรักกรวิกต่างหาก เพราะกรวิกต่างหากท่านจึงครองตัวเป็นโสดจนถึงวันสิ้นลม’





หัวใจผมสั่นไหวกับเรื่องเล่านั้นอย่างรุนแรง


รุนแรงมากพอที่จะทำให้ผมตกหลุมรักเขาได้อีกครั้ง




‘ส่วนหมอปีเตอร์นี่ อาตมาก็สุดรู้ แต่แว่วข่าวว่าเขาย้ายออกจากพระนครไป หากให้อาตมาคาดเดา คงเป็นเพราะเขาก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตในเมืองที่เต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเขากับกรวิกได้ คุณเปรมบอกว่านอกจากคุณเปรมแล้วก็มีหมอปีเตอร์นี่ล่ะที่รัก ‘เจ้านกน้อย’ พอๆ กับท่าน’




ผมจำได้ว่าแววตาของหลวงลุงเหมือนทอดมองกลับไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล



‘คุณเปรมเป็นสามีที่ดี เป็นลูกที่ดี เป็นข้าราชการที่ดี เป็นคนดี แต่เป็นคนรักที่ไม่ดีเอาเสียเลย แต่เขาก็ยอม...ยอมจะสละความรักเพื่อรักษาทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ในขณะที่หมอปีเตอร์เองก็เป็นคนดี เป็นหมอที่ดี เป็นคนรักที่ดี และทุ่มเทให้กับความรักยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะเขาไม่มีอะไรให้ต้องรักษา เขามีเพียงความรักที่ต้องดูแล ในขณะที่คุณเปรมท่านมีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่แบกไว้บนบ่า พอเป็นแบบนี้จะให้มาบอกว่าใครดีกว่าใครคงไม่ได้หรอก ต้องถามใจเรามากกว่าว่าชอบคนแบบไหนมากกว่ากัน’




สายตาฝ้าฟางนั้นจับจ้องอยู่ที่ผม



‘แต่สุดท้ายแล้วความรักมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมากะเกณฑ์กันได้เลย เรื่องจิตใจนั้นยากจะคาดเดาเหลือเกิน ดูอย่างคุณชื่นและคุณเปรมนั่นสิ ต่างฝ่ายต่างเป็นคนดี ต่างฝ่ายต่างเหมาะสมกัน แต่สิ่งที่พวกเขามีให้กัน กลับมีเพียงความเป็นห่วงเป็นใยฉันท์เพื่อนที่ดี คุณชื่นไม่เคยรักคุณเปรมแบบคนรัก ในขณะที่คุณเปรมก็ไม่เคย’



ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นหันไปทางแม่น้ำสายใหญ่



‘ความรักมันก็เข้าใจยากแบบนี้ล่ะโยม’



ประโยคนั้นมันตรึงใจผมไม่รู้ลืม


ความรักมันก็เข้าใจยากแบบนี้เอง...ยากเกินไปด้วยซ้ำ


“เอ้าๆ ถึงแล้ว”


เสียงร้องเตือนจากสารถีทำให้ผมสะดุ้งเบาๆ เพราะกลัวเขาจะจับสังเกตได้ผมจึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน


“แหม ขับเร็วจังเลยนะครับ ยังกับวิน ดีเซล”


“วิน ดีเซลอะไร ขับมาสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเนี่ย เหม่อไปไหนนะเราน่ะ”


ไม่ว่าเปล่ายังเอามือมาเขกหัวผมไปหนึ่งที ผมแสร้งทำเป็นลูบหัวปอยๆ แล้วเดินงอนๆ ลงจากรถจนพี่พจน์ต้องกระโดดมาคว้าคอไปยีหัวเล่นจนผมร้องห้ามแทบไม่ทัน


แหม นี่มันสถานที่สาธารณะนะครับ ต้องรักษามารยาทนิดนึง


ถ้าให้ท้าวความอย่างสั้นถึงสาเหตุที่พี่หมอมาอยู่ที่นี่ก็คือ หลังจากที่ผมเรียนซัมเมอร์จบแล้วกลับมานอนอืดอยู่ที่บ้านได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ พี่หมอพจน์ก็โทรมาบอกว่าอยากมาเทียวจังหวัดบ้านเกิดผม แน่นอนว่าเจ้าบ้านที่ดีย่อมต้องบริการให้ถึงใจ ตอนแรกกะจะให้เขามาพักที่บ้านผมด้วยซ้ำ แต่ด้วยความขี้เกรงใจของเจ้าตัว เขาเลยแอบหนีไปจองโรงแรมเงียบๆ คนเดียวแล้วให้ผมเป็นคนนำเที่ยวอย่างเดียว โดยมีค่าจ้างเป็นการเลี้ยงอาหารอร่อยๆ หลายต่อหลายมื้อ ไอ้ผมมันก็คนนิสัยดีมีความเกรงใจเหมือนกัน เป็นเจ้าบ้านทั้งทีจะให้แขกมาเลี้ยงอยู่ตลอดก็น่าเกลียด ผมเลยถือโอกาสพาเขามาเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ก่อนกลับแทน


ร้านที่ผมตัดสินใจพาพี่พจน์มาเลี้ยงมื้อใหญ่ในวันนี้เป็นร้านประจำของครอบครัวผมมาตั้งแต่จำความได้ ตัวร้านเป็นอาคารไม้เก่าแก่ติดริมทะเล แว่วๆ มาว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่หก ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยซ้ำ แต่ก็ผุพังไปตามกาลเวลา เลยมีการต่อเติมนิด ขยับขยายหน่อยจนเป็นอาคารอย่างที่เห็นในปัจจุบัน


พวกเรามาถึงก่อนเวลาจองราวครึ่งชั่วโมง ทำให้ยังไม่มีโต๊ะรองรับ ผมจึงชวนเขาไปเดินเล่นที่ชายหาดด้านหลังร้าน บรรยากาศของท้องทะเลในยามเย็นชวนให้รู้สึกดี แสงแดดสีส้มสาดส่องกระทบผืนทรายสีขาวและผืนน้ำสีคราม ใบสนทะเลที่พลิ้วไหวล้อไปกับสายลมกับแสงแดดนั้นช่างเป็นภาพที่น่ามอง


ผมนึกถึงเพลงนั้นขึ้นมาอีกแล้ว



- กริ้ง กริ้ง -



ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เสียงบางอย่างก็ดังแทรกขึ้นมาในห้วงความคิด


คนข้างผมยกมือเป็นเชิงขอตัวแล้วเดินห่างออกไปรับโทรศัพท์ที่แผดเสียงดังไม่หยุดหย่อน


เมื่ออยู่คนเดียว ผมจึงเลือกที่จะหย่อนตัวลงนั่งแล้วปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเกลียวคลื่นและสายลม


ชายหาดนี้เป็นหาดที่แม่ชอบพาผมมาตอนเด็กๆ มันทั้งเงียบสงบและสวยงาม เพราะความสงบนั้นเองที่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงอิสระ


ผมอยากร้องเพลง


“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา”


พระอาทิตย์สาดแสงสว่างเสียจนแสบตา


“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา”


คนที่ผมรอคอย เขาจะสบายดีไหมนะ


“โอ้ยามเย็น จวบยามนี้เป็นเวลาสุดอาวรณ์ ยามไร้ความสว่างห่างทินกร ยามรักจำจะจรจากกันไปไป”


พวกเราจะได้กลับมาพบเจอกันไหมนะ


“'Tis sundown. The golden sunlight tints the blue sea.”


ท้องทะเลสีคราม ช่วยฟังคำขอของผมที


“Paints the hill and gilds the palm tree, happy be, my love, at sundown.”


พาพวกเขากลับมาที ส่งเสียงของผมไปให้ถึงพวกเขาที


บอกพวกเขาทีว่ารีบกลับมา...กลับมาทำให้เรื่องราวของเรามันจบสักที


“เสียงคุณเพราะจังเลยนะครับ”


คำพูดที่ดังขึ้นมาไม่ให้สุ้มให้เสียงทำให้ผมต้องหันขวับไปมอง


เขาเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อคมอย่างคนไทย ผิวสีแทน ผมสีดำสนิทเหมือนดวงตาคมที่กำลังมองมาที่ผมอย่างอ่อนโยน


สถานการณ์แบบนี้ มันคุ้นๆ ยังไงไม่รู้


“ขอบคุณครับ”


แต่คราวนี้คำตอบของผมต่างออกไป


ไม่มีแล้วที่ต้องปิดบัง ผมคือมอสและนี่คือโลกที่ผมอยู่


โลกที่ผมจะเป็นตัวของผมเอง ไม่ใช่กรวิก ไม่ใช่ใครทั้งนั้น


“คุณ...มาทานอาหารที่ร้านนี้เหรอครับ”


“ครับ ผมมากับพี่ชาย”


ผมว่าพลางชี้ไปทางพี่หมอที่ยังยืนคุยโทรศัพท์หน้าตาเคร่งเครียด


เขาหันไปมองตามแล้วพยักหน้าเข้าใจ ผมจึงได้โอกาสถามกลับ


“แล้วคุณล่ะครับ มาทานที่นี่ครั้งแรกหรือครับ”


เขายิ้ม


ยิ้มทั้งปาก ยิ้มทั้งตา


มันเป็นลักษณะการยิ้มที่คุ้นตาผมเหลือเกิน


“ครับ เพิ่งมาครั้งแรก แต่ยังไม่ถึงรอบที่จองไว้ก็เลยมาเดินเล่นก่อน ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคนร้องเพลงที่ผมชอบ”


ผมเลิกคิ้ว


บนโลกนี้ยังมีคนชอบเพลงยามเย็นอย่างจริงจังเหมือนกับผมอยู่ด้วยเหรอ


“คุณชอบเพลงยามเย็นเหรอครับ...คือผมหมายถึงใครๆ ก็ชอบเพลงนี้ แต่ทุกคนก็แค่ชอบแบบฟังได้ แต่คุณชอบแบบชอบรึเปล่าครับ”


เขาหัวเราะร่วนทันทีที่ผมพูดจบ


โอเค ก็ยอมรับว่าเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องอยู่ประมาณนึง


....


อะ จริงๆ ก็พูดไม่รู้เรื่องมากๆ นั่นล่ะ


“ชอบครับ ชอบมาก ไม่รู้ทำไมถึงชอบมากขนาดนี้”


เขาฉีกยิ้มกว้าง


กว้างเสียจนดูสดใสกว่าพระอาทิตย์เสียอีก


“คราวก่อนไปทำบุญที่วัดระฆัง ผมก็ฮัมเพลงนี้จนพระท่านถามเลยว่าทำไมถึงชอบเพลงนี้ ผมก็เลยตอบไปว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน”


พอพูดจบ เขาก็หัวเราะร่าเสียจนผมต้องหัวเราะตาม


ทำไมถึงสดใสได้ขนาดนี้กันนะ


เดี๋ยวนะ...วัดระฆังเหรอ...


...อ๋อ...คนๆ นี้นี่เองที่หลวงลุงพูดถึง...


“อย่างนั้นเหรอครับ”


ผมรับคำแค่นั้นแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเองก็เช่นกัน


แม้บรรยากาศที่โอบล้อมรอบพวกเราคือความเงียบ แต่นั่นเป็นความเงียบที่...สบายใจ


สายตาอบอุ่นที่ทอดมองมาที่ผมนั้นไม่ได้ทำให้อึดอัดเลยสักนิด


หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าเขาเป็นใคร


แต่ยังหรอก ผมยังอยากพิสูจน์อีกอย่าง...


ผมแสร้งทำเป็นหันหน้ามองออกไปทางทะเล


“ผมเคยสัญญากับคนๆ หนึ่งไว้ว่าผมจะรักเขา แต่ถ้าผมทำไม่ได้ คุณว่าเขาจะโกรธผมไหมครับ”


เขาเงียบไป แต่ผมก็เลือกที่จะจ้องมองท้องทะเลอยู่แบบนั้น


ผมขี้ขลาดเกินกว่าจะหันไปสบตาเขา ถ้าได้เห็นแววตาเจ็บปวดของคนๆ นี้ ผมคงรู้สึกผิดไปจนตาย


“ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง เพราะฉะนั้นคงตอบแทนไม่ได้”


เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย


“แต่ถ้าเป็นผม ผมไม่โกรธหรอกนะ เพราะผมเข้าใจดีว่าความรัก...มันบังคับกันไม่ได้”


น้ำเสียงอ่อนล้านั้นบังคับให้ผมต้องหันกลับไปสบตาเขา


นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นดูเหนื่อยล้าแต่มันกลับถ่ายส่งความอ่อนโยนมาให้ผมมากมายเหลือเกิน


“ถ้าความรักมันใช้สมองได้ ป่านนี้คนเราก็คงรักคนดีกันหมดแล้ว”


ความรู้สึกบางอย่างตีขึ้นมาจนจุกอก


จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ออก


เขาสบตาผมนิ่ง


“ความรักไม่ใช่เรื่องที่จะมากะเกณฑ์กันได้เลย รักก็คือรัก แค่นั้นเอง”


ผมพยายามควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความรู้สึกเห่อร้อนที่ปลายจมูกและดวงตาทำให้ผมต้องแสร้งทำเป็นเบนหน้าไปมองทะเล


รีบหันหนีเสียก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมา


ผมไม่ได้พูดอะไร เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไร พวกเรายืนข้างกันเงียบๆ อย่างนั้นจนกระทั่งพี่หมอพจน์เดินกลับมา ทีแรกที่เห็นพี่หมอเดินเข้ามา ผมกะจะรีบชวนเขากลับเข้าไปในร้านเพื่อหนีจากคนข้างๆ เสียที แต่โชคชะตามักจะเล่นตลกกับเราเสมอ...


“อ้าว ไอ้ปลื้ม มาได้ยังไงล่ะ”


...ปลื้มเหรอ...


เดี๋ยวสิ พวกเขารู้จักกันเหรอ!


ผมมองอีกคนตาค้าง ในขณะที่เขาหันมายิ้มบางๆ ให้ผมอย่างคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่


“เอ้อมึง ขอแนะนำให้รู้จักไว้ นี่น้องกู ชื่อมอส”


ใบหน้าคมสันหันไปหาคนพูดสลับกับมองหน้าผม


“เออ ก็หน้าเหมือนกันอยู่นะ แต่น้องมึงเอาตามาเยอะกว่ามึงเย๊อะ”


“ไอ้เวรนี่”


ยังไม่ทันพูดจบประโยค มือของพี่แกก็ฟาดหัวของอีกคนไม่เบานัก พี่พจน์แกเป็นคนมือปากไปไวครับ พูดจริง โบกจริง ไม่มีออมแรง แต่ดูเหมือนอีกคนก็ไม่ได้มีปัญหากับนิสัยนี้ของพี่แกมากนัก


ใบหน้าคมเข้มนั้นยังคงระบายยิ้มกว้าง


...ยิ้มกว้างๆ เหมือนหมอไม่มีผิด...


“มอส นี่ไอ้ปลื้ม เพื่อนพี่เอง เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยม เข้าหมอจบหมอมาด้วยกัน”


ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทที่ดี เขาหยักหน้าลงน้อยๆ แล้วทอดสายตาอ่อนโยนมาหาผมอย่างไม่คิดปิดบัง


ผม...คิดถึงสายตาแบบนี้จังเลย


“ตอนที่มอสมาถึงโรงพยาบาลใหม่ๆ ก็ได้ไอ้ปลื้มนี่แหละที่เป็นคนดูแลรักษาก่อนจะโอนเคสมาให้พี่ เพราะมันต้องไปรับเคสผ่าตัดด่วนที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ไม่ได้มันนี่เราตายไปแล้วนะเนี่ย”


พี่หมอว่าพลางตบไหล่อีกคนเบาๆ


“คืนนั้นพี่จำได้แม่นเลยว่าไอ้ปลื้มมันออกเวรแล้ว จริงๆ มันไม่ต้องรับเคสเราด้วยซ้ำ แต่มันก็ยอมเดินกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน จำได้ว่าคืนนั้นมันร้องไห้ด้วย พอถามว่าร้องทำไมมันก็บอกว่า ‘กูสงสารน้องเขา’ รักษาคนอื่นมาเป็นหกเจ็ดปี มึงก็ไม่สงสารเขาเลยเนอะ”


คนหน้ากลมแป้นนั้นพูดแซ็วกลั้วหัวเราะ ริมฝีปากนั้นฉีกยิ้มเสียจนตาปิด แต่ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่ผมอยากรู้...


“พี่ร้องไห้ทำไมเหรอครับ”



‘บางคราพี่ก็นึกอิจฉาปีเตอร์เหลือเกิน อิจฉาที่เขาสามารถรักเจ้าได้อย่างเปิดเผย ภาพที่เขานั่งกุมมือเจ้าอยู่ข้างเตียงแลร่ำไห้ปานจะขาดใจนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของพี่มิรู้ลืม’



เหมือนมีใครบางคนพูดประโยคในสมุดบันทึกของคุณเปรมขึ้นมาให้ผมฟัง


หมอปีเตอร์เคยเสียใจตอนที่กรวิกตายเสียจนอยู่ในพระนครต่อไม่ได้นั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ทำไมคนที่ไม่รู้จักกันต้องมาร้องไห้เสียใจให้กันด้วยล่ะ เขาเองก็เป็นหมอแท้ๆ เรื่องเกิดดับของชีวิตน่าจะเป็นเรื่องที่เขาคุ้นชินแท้ๆ


ทำไมกันล่ะ


ผมกำลังคาดหวังคำตอบบางอย่างจากเขา


นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นจ้องลึกเข้ามาในตาของผมด้วยแววตาบางอย่าง


แววตากึ่งคะนึงหา กึ่งโศกเศร้า


“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่ตอนนั้นรู้สึกว่าถ้าต้องเห็นเราตายไปต่อหน้าต่อตา พี่คง...ให้อภัยตัวเองไม่ได้แน่”


น้ำเสียงนั้นฟังดูสับสน


“แต่พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”


เขาสบตาผมด้วยแววตาสับสน แต่ในความสับสนนั้นมันมีประกายบางอย่าง


ดูๆ ไปก็คล้ายความคิดถึง


บางอย่างในใจกู่ร้องบอกว่าใช่แล้ว...คนๆ นื้คือคนที่รอคอยแน่แล้ว


สายตาอบอุ่นที่ทอดมอง


รอยยิ้มกว้างอบอุ่นอ่อนโยนราวกับพระอาทิตย์ในยามเย็น


บรรยากาศคุ้นเคยที่โอบล้อมรอบตัว


...คิดถึง...


ความรู้สึกปลื้มปริ่มฟองฟูในอกเมื่อได้รับรู้ถึงการกลับมาของ...คนสำคัญในชีวิตที่แสนดี


...หมอครับ หมอว่าชาตินี้ผมจะรักหมอได้ไหมนะ...


“นี่คือจะยืนมองกันจนกว่าน้ำทะเลจะลากลงไปถูกไหม”


คำถามกึ่งแซ็วของพี่พจน์ทำให้ผมต้องหันไปหัวเราะหน่ายๆ ใส่ แต่เหมือนอีกคนยังไม่ยี่หระ


“อะ นี่ก็มองน้องกูจัง อยากได้รึไง”


คำถามที่โพล่งออกมาทำให้ใจผมกระตุกวาบ


ถ้าเขาตอบว่าอยากล่ะ ผมควรจะทำยังไงดี เพราะผม...ไม่สามารถคิดกับเขาในแง่นั้นได้เลย ชาติที่แล้วผมเคยรู้สึกกับเขายังไง ชาตินี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง


เขายังสำคัญกับผมเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่อาจคิดเกินเลยกับเขาได้เหมือนเดิม


ได้โปรดเถอะหมอ อย่ารักผมเลย


อย่า...


“ถ้าบอกว่าอยาก มึงจะยกให้กูรึไง”


“ฝันเหอะมึง น้องกู กูหวง”


ผมได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำคลอไปกับเสียงเกลียวคลื่นจากท้องทะเล


“ต่อให้มึงให้หรือไม่ให้ กูก็อยากได้อยู่ดี”


นัยน์ตาคู่นั้นอ่อนโยนเหลือเกิน


“อยากดูแลไปตลอดอยู่ดี”


“ดีมาก สมกับเป็นเพื่อนสนิทกู น้องกูก็เหมือนน้องมึงจำไว้ มึงจำได้ไหม...”


เหมือนหูของผมดับไปแล้ว ผมจับใจความคำพูดของพี่พจน์ต่อจากนั้นไม่ได้อีกเลย สิ่งที่รับรู้ได้มีเพียงแววตาอ่อนโยนกึ่งเศร้าที่ทอดมองมา


แววตาของคนที่รักแต่รู้ว่ารักไม่ได้


ผมรู้สึกถึงหยาดน้ำอุ่นๆ ก็ไหลร่วงลงจากตา


หนึ่งหยด


สองหยด


จนไหลหลากออกมาเป็นสาย


“เฮ้ยๆ มอสเป็นไร ใครทำอะไรบอกพี่สิ”


พี่พจน์เดินเข้ามาโอบไหล่ผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย แต่ผมไม่อาจละสายตาจากคนตรงหน้าได้เลย


ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มอ่อนล้าชวนสะท้อนใจ


ผมทำเขาเจ็บมามากมายเหลือเกิน ทำตามสัญญาก็ไม่ได้ ดูแลเขาก็ไม่ได้ ทำไมเขาถึงยังให้อภัยผมอยู่ร่ำไป


...ทำไมเขาถึงยังรักผมอยู่อีกนะ...


“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับพี่พจน์”


ผมสบตากับคนตรงหน้า


“แค่ทรายเข้าตาเท่านั้นเอง”


“โถๆ ไปๆ ไปล้างตาที่ห้องน้ำไหม”


“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่”


ผมมองหน้าคนที่ยังยืมยิ้มเศร้า แววตาเขาสั่นระริกเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาพร้อมกับผมอย่างไรอย่างนั้น แต่ดีแล้วที่เขาไม่ร้องออกมา เพราะถ้าเขาร้องออกมา...


...ผมคงรู้สึกผิดจนไม่อาจมองหน้าเขาได้อีกแล้ว...


“ผมเสียอีกที่ต้องขอโทษ”


“ฮะ?”


ผมหันไปสบตาพี่พจน์แล้วเบนกลับมามองเขาตามเดิม


“ขอโทษคุณทรายที่ไม่เคยทำอะไรให้เขาได้เลย ทำได้แค่มอง แค่ใช้ประโยชน์จากเขา แต่ทำอะไรให้เขาไม่ได้เลย ให้เขามาเข้าตาทำผมเจ็บบ้างก็ดีเหมือนกัน เพราะผมไม่อยากให้เขาต้องเจ็บคนเดียวอีกแล้ว”


สิ้นคำพูดของผม หยาดน้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตาคม แต่ก่อนที่พี่พจน์จะสังเกตเขาก็รีบหันหน้าหนีเสียก่อน


ฝ่ามือใหญ่ทำท่าควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูแล้วก้มหัวเป็นการขอตัวจากไป


เขาเดินจากไปแล้ว ทิ้งผมไว้ท่ามกลางหาดทรายสีขาวกับแสงพระอาทิตย์สีส้มในยามเย็น


ผมพอจะรู้แล้วว่าทำไมวันนั้นในนิมิตผมจึงเลือกที่จะร้องเพลงยามเย็น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมคิดถึงแม่ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมรำลึกถึงอดีต แต่ยังมีอีกส่วนที่สำคัญที่สุดที่ผมไม่เคยนึกถึงเลยสักครั้ง


‘มัน...เป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้สึก...มีค่า’


จำได้ว่าผมตอบหลวงลุงไปแบบนั้น


ใช่ มันเป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้สึกมีค่า ทุกครั้งที่คิดถึงคนที่ให้ทำให้ผมรู้สึกมีค่า เพลงนี้จะดังขึ้นมาในหัว วันนั้นที่ผมนึกถึงเพลงนี้ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะเขา


เป็นเพราะหมอ...คนที่ทำให้ผมรู้สึกมีค่า รู้สึกถึงการถูกรัก รู้สึกถึงการเป็นที่รักของใครสักคน


เพลงยามเย็นสำหรับผม แต่เดิมคือส่วนประกอบของแม่และเพื่อนที่รักผม หลังจากนี้คงจะเป็นส่วนประกอบของแม่ เพื่อนที่รักผมและหมอ


...ขอบคุณ...


ผมอยากบอกเขาว่าขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม ขอบคุณที่รักกัน


...ขอบคุณ...


“มอส”


เสียงเรียกนั้นทำให้ผมหันไปมอง เจ้าของใบหน้าแป้นแล้นนั้นเหมือนมีคำถามติดอยู่ที่ริมฝีปากมากมาย แต่เมื่อเห็นหน้าผม เจ้าตัวก็เลือกที่จะเงียบแล้วถอนหายใจเบาๆ


“ไปที่ร้านกันเถอะ ได้เวลาแล้ว”


ผมตอบรับคำชวนนั้นด้วยรอยยิ้มบาง มือของเรากุมเข้าหากัน ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากอีกคนทำให้ผมรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้


เราอยู่ด้วยกันตรงนี้...ไม่เหมือนในอดีต


เราจะไม่ทิ้งกันเหมือนในอดีตอีกแล้ว


จริงสิ นี่คือปัจจุบัน เรื่องราวต่างๆ ยังไม่ถูกเขียน ผมต่างหากที่เป็นคนลิขิตมัน


หากอยากให้หมอมีความสุข ผมก็ต้องเป็นคนปลดปล่อยเขา



ต้องทำให้เขามีความสุขเสียที


“พี่พจน์ครับ เดี๋ยวพี่เข้าไปในร้านก่อนเลยนะ เดี๋ยวมอสขอไปหาป้าขายขนมตรงนู้นหน่อย ไม่รู้ว่าเขายังขายอยู่รึเปล่า”


“ให้พี่ไปด้วยไหม”


“ไปกับผมร้านแคนเซิลโต๊ะไม่รู้ด้วยนะพี่”


“เออจริง”


ผมหัวเราะแล้วดันหลังอีกคนไปทางร้าน เหมือนพี่พจน์เองก็รู้งาน เขาหันมากำชับให้ผมรีบตามไปแล้วยอมเดินจากไปแต่โดยดีผิดวิสัยช่างซักไซ้ของเจ้าตัว


...ดีแล้ว...




[ต่อโพสต์ล่าง]

หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 02-12-2017 14:20:04
ผมมองร่างสูงคุ้นตาที่ยืนมองทะเลเงียบๆ อยู่ไกลๆ บรรยากาศรอบตัวเขาดูโศกเศร้าขัดกับแสงอาทิตย์อบอุ่นที่สาดส่องกระทบตัว


เท้าสองข้างของผมเดินย่ำไปบนผืนทรายละเอียด ไม่นานนักพวกเราก็อยู่ใกล้กันแค่เพียงช่วงแขนเดียว


เขารับรู้ถึงการมาของผมแล้ว แต่ก็เลือกที่จะไม่หันมามอง


...ดีแล้ว...อย่าให้ผมเห็นดวงตาโศกเศร้านั้นเลย


“หมอครับ”


ผมเลือกทีจะใช้คำเรียกเดิมเหมือนอย่างในอดีต ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บางทีผมอาจจะแค่อยากพูดกับเขา...อยากพูดกับพี่หมอที่ผมคุ้นเคยอีกครั้ง


“ผมกับพี่เราไม่มีทางรักกันได้เลย”


ผมไม่รู้หรอกว่าเขาเข้าใจคำพูดผมในฐานะหมอปลื้มหรือหมอปีเตอร์ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารู้สึกถึงความพิเศษในตัวผมได้ไหม


ผมก็แค่พูดสิ่งที่ต้องพูด


เขาไม่ได้ตอบอะไรออกมาเลยสักคำ ร่างสูงใหญ่นิ่งงันไปพักใหญ่แล้วตัวเขาก็ค่อยๆ สั่น


ตัวเขาสั่นเทิ้มเสียจนผมต้องเข้าไปเอามือหน้าข้างหนึ่งมากุมไว้


“ผมไม่รู้ว่าพี่จะเชื่อในสิ่งที่ผมกำลังจะพูดไหม แต่ผมต้องพูด เป็นตายยังไงผมก็ต้องพูด”


ผมบีบมือเขาแน่นขึ้นหน่อย


“ครั้งหนึ่งผมเคยสาบานกับตัวเองว่าจะรักพี่ พี่เป็นบ่วงเดียวที่ผมยอมเอามาผูกตัวเอง แต่ผม...”


“พี่เชื่อ”


ในที่สุดเขาก็ยอมหันใบหน้าเปียกชื้นนั้นมามองผม


เขาร้องไห้หนักขนาดนี้เชียวเหรอ


“พี่เชื่อเพราะอะไรรู้ไหม”


ผมไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับเอาปลายนิ้วก็เอื้อมไปเกลี่ยน้ำตาให้เขาแทน


มือใหญ่สองข้างย้ายมาซ้อนทับเข้ากับหลังมือของผมแล้วกดมันแนบเข้ากับหน้าของเขาเอง


“ตั้งแต่อายุยี่สิบเป็นต้นมา ก็ไม่มีคืนไหนเลยที่พี่ไม่ฝันถึงเรา”


ลมหายใจผมสะดุด


“ยิ่งเห็นก็ยิ่งชอบ ยิ่งชอบก็ยิ่งรัก”


เขาดึงมือผมเข้าไปจูบ


“รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้ว”


เพียงเท่านั้นร่างทั้งร่างผมก็เหมือนไร้เรี่ยวแรง แต่ผมยังทรุดไม่ได้ ผมอ่อนแอมามากเกินพอแล้ว


ผมต้องพูดในสิ่งที่ควรพูด


“ผม...ผมอยากให้พี่เลิก...”


“เลิกรักเหรอ”


เขายิ้มด้วยแววตาเศร้าสร้อยลึกล้ำ


“พี่ทำไม่ได้หรอก”


ผมบีบมือของอีกคนแน่นขึ้นอีกหน่อย


“แต่ผม...ผมไม่อยากให้พี่รออย่างไรจุดหมายแบบนี้เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะรักพี่ได้เมื่อไหร่”


พวกเราสบตากัน


“ผมพยายามแล้วจริงๆ ผมพยายะ...”


“น้องไม่ต้องพยายามอะไรเลย”


เขาพูดตัดบทแล้วขยับเข้ามาใกล้อีกหน่อย


“ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องบอกให้พี่เลิกรัก ไม่ต้องพยายามมารักพี่เลย ขอแค่อย่า...”


เขาดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด


“อย่าบอกให้พี่เลิกรักก็พอ”


ผมรู้สึกถึงความแสบร้อนที่ปลายจมูก


“แต่ผมอยากให้พี่มีความสุข”


ความอบอุ่นที่คุ้นเคยประทับลงที่หัวแล้วไล้ลงเบาๆ


เชื่องช้าและอ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยน


“พี่มีความสุขแล้ว พี่มีความสุขแล้วจริงๆ”


สิ้นคำพูดนั้น ผมก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อีกต่อไป


ร่างทั้งร่างโถมเข้าใส่คนตรงหน้า ผมกอดเขา ฝังใบหน้าลงกับหน้าอกของเขา


ผมยอมรับกับตัวเองแล้วว่าไม่มีใครแทนที่หมอได้จริงๆ เขาคือคนสำคัญ เป็นคนสำคัญที่ผมทำอะไรให้เขาไม่ได้เลย


“น้องไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อยู่ให้พี่รัก ยิ้มให้พี่เห็นก็พอแล้ว ต่อให้น้องไม่รักพี่ แต่พี่ก็จะขอตกหลุมรักน้องแบบนี้ทุกภพทุกชาติไปอยู่ดี”


ผมไม่เข้าใจเลย ทำไมผมถึงรักคนๆ นี้ไม่ได้นะ


ผมเกลียดตัวเอง...เกลียดตัวเองเหลือเกิน


“ไม่ต้องโทษตัวเอง ไม่ต้องเกลียดตัวเองนะ”


เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกหน่อย


“ไปรักคนที่อยากรัก ไปใช้ชีวิตอย่างที่อยากทำ น้องไม่ต้องห่วงพี่หรอก เพราะต่อให้น้องไม่รักพี่ไปจนชั่วนิรันดร์ พี่ก็จะรักน้องเหมือนเดิมอยู่ดี”


เขาลูบหัวผมเบาๆ


“คำสัญญาที่เคยมีต่อกันมา ลืมมันไปเถอะนะ อย่าได้เอาคำสัญญาพวกนั้นมาผูกมัดตัวน้องเอาไว้อีกเลย”


ขอบคุณ...ขอบคุณจริงๆ


แค่คำนี้เท่านั้นที่ผมนึกออก


แค่นี้จริงๆ












กว่าผมจะหยุดร้องไห้แล้วพาตัวเองกลับเข้ามาในร้านได้ก็ผ่านไปหลายสิบนาที


พี่พจน์บ่นจนอิ่มแล้วมั้งนั่น


ผมคิดขำๆ ในใจไปพลาง ล้างหน้าไปพลาง ภาพสะท้อนของคนในกระจกตอนนี้ดูไม่ได้เลยสักนิด ตาบวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก ปลายจมูกก็ขึ้นสีแดงจัดเหมือนไปวิ่งชนอะไรมาสักอย่าง


แต่นี่เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่อีกคนต้องเผชิญ


น้ำตาแค่นี้ทดแทนความเจ็บปวดของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ


ผมมองตัวเองในกระจกแล้วถอนหายใจเบาๆ แล้วนึกย้อนไปถึงประโยคที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่


‘ไปรักคนที่อยากรัก ไปใช้ชีวิตอย่างที่อยากทำ น้องไม่ต้องห่วงพี่หรอก เพราะต่อให้น้องไม่รักพี่ไปจนชั่วนิรันดร์ พี่ก็จะรักน้องเหมือนเดิมอยู่ดี’


ความรักที่ไม่ได้ครอบครองมันจะรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหนกันนะ


ในตอนแรกผมเคยตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่าความรักที่ไม่ได้ครอบครองมันจะยืนยาวได้แค่ไหนกันนะ ผมถึงขั้นเคยมั่นใจด้วยซ้ำว่าสักวันหนึ่งพี่หมอต้องเลิกรักผมแน่ แต่วันนี้เขากลับพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความรักมันเข้าใจยากกว่าที่เราคิดมากนัก


เพื่อนๆ ผมมักจะพูดว่าเวลาจะเยียวยาทุกอย่าง ต่อให้รักแฟนเก่ามากแค่ไหน แต่เมื่อห่างกันไปนานๆ สักวันความรู้สึกมันก็จะจางลง แต่คำพูดนั้นคงใช้กับเขาไม่ได้เลย


‘น้องไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อยู่ให้พี่รัก ยิ้มให้พี่เห็นก็พอแล้ว ต่อน้องไม่รักพี่ แต่พี่ก็จะขอตกหลุมรักน้องแบบนี้ทุกภพทุกชาติไปอยู่ดี’


เขาเป็นคนที่ต่างกับผมเหลือเกิน สำหรับผมแล้ว หากรักไม่ได้ ผมก็จะไม่รัก เหมือนอย่างที่ผมเลิกรักคุณเปรมในอดีต...


...


...เปล่าเลย ผมไม่เคยเลิกรักคุณเปรมเลย...


...


อ๋อ...มันเป็นอย่างนี้นี่เอง


ความรู้สึกที่ว่าต่อให้อีกคนไม่รักหรือรักไม่ได้ แต่ก็ยังดันทุรังจะรัก มันเป็นแบบนี้นี่เอง


ในที่สุดผมก็เข้าใจเขาเสียที


ผมคิดพลางหัวเราะกับความคิดตัวเองเบาๆ หากนัยน์ตาผมยังสบนิ่งกับเงาสะท้อนในกระจก


“นี่”


ผมเอ่ยทักภาพที่สะท้อนกลับมา


“ความรักนี่...เข้าใจยากจังเลยนะ”


ไม่มีเสียงตอบรับจากภาพในกระจก


มันก็แน่อยู่แล้ว...มอสเอ๊ย ต้องมาคุยกับภาพสะท้อนตัวเองในกระจกแบบนี้ ท่าจะเป็นเอามากแล้วมั้ง


ผมหลับตาตั้งสติกับตัวเองอีกอึดใจแล้วฉีกยิ้มให้เงาสะท้อนในกระจก


“ยิ้มไว้ไอ้มอส อย่าทำให้พี่หมอหมดสนุกเชียว”


พอพูดจบผมก็หมุนตัวเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันที่จะพ้นประตูดีก็ดันมีอีกคนโผล่พรวดพราดเข้ามาชนจนผมเสียหลักเกือบล้มไปจับกบที่พื้น โชคดีที่เขาคว้าตัวผมไว้ทัน


อันที่จริงต้องบอกว่าคว้าเอวเอาไว้ทัน เพราะตอนนี้ตัวผมอยู่ในอ้อมแขนของเขาไปเรียบร้อยแล้ว


หัวใจผมเต้นถี่รัวเหมือนจะหลุดออกมาจากอก


ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันนะ...


...ผมคิดถึงอ้อมกอดนี้จัง...


บ้าแล้วมอส เราจะไปคิดถึงอ้อมกอดใครก็ไม่รู้ได้ยังไงกัน


นัยน์ตาของเราสบกันอย่างตื่นตระหนก ก่อนที่อีกคนจะได้สติแล้วปล่อยผมให้เป็นอิสระ


ใบหน้าหล่อเหลานั้นเลิ่กลั่กไปมา มือไม้สองข้างดูเกะกะจนเจ้าตัวต้องเอามันลูบเสื้อผ้าไปมา เขาเป็นผู้ชายที่จัดอยู่ในเกณฑ์หน้าตาดี มีผิวขาวเหลือง ใบหน้ารูปไข่ไม่คมเข้มแต่ก็ไม่ได้ค่อนไปทางคนไทยเชื้อสายจีนนัก รูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ไม่หนาไม่บางจนเกินไป


นายแบบรึเปล่านะ


หลังจากต่างฝ่ายต่างยืนเงียบกันไปชั่วอึดใจ เขาก็เป็นฝ่ายเริ่มเปิดปากก่อน


“ขอโทษครับ”


ผมคลี่ยิ้มบางๆ


“ไม่เป็นไรครับ”


ประโยคสนทนามันควรจะจบลงแค่นั้น ถ้าไม่ติดที่ว่าอีกคนยังดูเลิ่กๆ ลั่กๆ ชอบกล เขามองหน้าผมแล้วหลบตา เงยหน้ามองแล้วหลบตา ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มทนไม่ไหว


“มีอะไรรึเปล่าครับ”


เขาอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็นิ่งไปแล้วส่ายหัวช้าๆ


“ไม่ครับ...ไม่มี”


“ถ้างั้นขอทางด้วยครับ”


“ทาง...อะ อ๋อ ครับ ขอโทษครับ ขอโทษที”


ท่าทางตลกนั้นทำให้ผมเผลอหลุดขำจนเขาหันมามองแต่ไม่ได้พูดอะไร ผมจึงเลือกที่จะส่งยิ้มให้เขาน้อยๆ แล้วเดินจากมา


น่ารัก น่าดึงดูดแปลกๆ จังเลยให้ตายสิ


ฟุ้งซ่านแล้วมอสเอ๊ย


“นี่ไปซื้อขนมถึงปราจีนเลยถูกมะ รอจนอิ่มแล้วเนี่ย”


ยังไม่ทันหย่อนก้นลงนั่งคำบ่นก็ถูกร่ายยาวมาเป็นชุดจนผมต้องใช้สกิลอ้อนขั้นเทพ


“พี่หมออ่า”


ไม่ว่าเปล่ายังเอาตัวเองไปนั่งฝั่งเดียวกับอีกคนแล้วคล้องแขนไว้แน่น


“น้องเพลินไปหน่อย น้องขอโทษ”


ผมได้ยินเขาหัวเราะก่อนที่หัวของผมจะถูกผลักอย่างแรง


เจ็บครับ แต่กำลังง้ออยู่ มอสจะไม่บ่น


“ทำมาเป็น”


เขาสะบัดแขนผมออกไปพลางหัวเราะไปพลาง


เอ้อ ง้อง่ายดี ชอบๆ


“แล้วนี่...”


เขาสบตาผมอย่างมีเล่ห์นัย


“ไอ้ปลื้มไปไหนแล้วล่ะ”


ผมพยายามเก็บสีหน้าแล้วส่ายหัวเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ


“ไม่รู้สิครับ ผมไม่ได้ไปกับเขาสักหน่อย”


แววตาที่ส่งมาดูจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าไม่เชื่อ แต่ถึงจะไม่เชื่อยังไงพี่เขาก็เลือกที่จะไม่ถามต่อแล้วเปลี่ยนหัวข้อไปเสียเฉยๆ


เหมือนเขาเองก็รู้ว่าผมไม่อยากเล่า


เรื่องที่ถูกหยิบมาพูดบนโต๊ะอาหารอาหารเป็นเพียงหัวข้อธรรมดาทั่วไป บ้างก็เป็นการเล่าเรื่องของเขา บ้างก็เป็นการเล่าเรื่องของผม บ้างก็เป็นการพูดคุยถึงหัวข้อที่เราต่างสนใจด้วยกันทั้งคู่


มันเป็นบทสนทนาที่เรียบง่ายและสนุกสนาน


ผมเกือบจะลืมเรื่องราวเมื่อตอนเย็นไปแล้วถ้าสายตาเจ้ากรรมไปดันเหลือบไปเห็นอีกคนเสียก่อน


...หมอปลื้ม...


เขานั่งไกลออกไปจากผมประมาณสามโต๊ะ ใบหน้าอ่อนโยนนั้นฉีกยิ้มนิ่มนวลให้ผม


ใจดีเสียจนผมแสลงใจ แต่พอหลบตาไปอีกด้านก็ดันสบตาเข้ากับผู้ชายที่บังเอิญเจอในห้องน้ำ เขาสบตาผมด้วยแววตาที่แสนคุ้นเคย


...ดวงตาวิบวับราวกับดวงดาวบนฟากฟ้า...


“สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน”


เสียงจากไมโครโฟนบนเวทีเล็กๆ กลางร้านดึงความสนใจของผมให้หันไปมอง ชายรูปร่างท้วมคุ้นหน้าคุ้นตายืนฉีกยิ้มอยู่บนนั้น ใบหน้าจ้ำม่ำดูโอบอ้อมอารี ถ้าจำไม่ผิดเขาคือลูกชายของเจ้าของร้านคนปัจจุบัน ผมเห็นเขามาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อก่อนเขาเป็นยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างงั้น


“ทางร้านของเรายินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับที่ได้ต้อนรับ...”


เขาพูดขอบคุณลูกค้าอย่างนอบน้อมและเป็นธรรมชาติ


ตามธรรมเนียมของร้าน ทุกวันเสาร์สุดท้ายของเดือน จะมีการสุ่มแขกในร้านขึ้นมาโดยการจับฉลากแล้วให้แขกแสดงการแสดงเล็กๆ น้อยๆ บนเวที แล้วทางร้านก็จะมอบของขวัญตอบแทนเป็นอาหารฟรีหนึ่งมื้อ พูดง่ายๆ ก็คือสุ่มคนที่จะได้กินข้าวฟรีนั่นล่ะ


ผมชอบร้านนี้ก็เพราะธรรมเนียมนี้นี่แหละ


“และสำหรับวันนี้ ผู้โชคดีก็คือ...”


ผมจำได้ว่าตั้งแต่มากินข้าวที่ร้านนี้ร่วมสิบปี บ้านผมได้รับรางวัลแค่สามครั้งเห็นจะได้


เป็นบ้านคนอับโชคน่ะครับ


ถ้าครั้งนี้หวยออกโต๊ะผมคงตลกน่าดู...


“โต๊ะที่สองครับ!”


ผมอ้าปากค้างพร้อมๆ กันกับพี่หมอ เสียงปรบมือดังขึ้นจากทั่วบริเวณเหมือนเป็นการกดดันกลายๆ


ฉิบหายล่ะงานนี้


“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าอยากร้องเพลงอะไรดีครับ หรือจะเป็นเล่นดนตรีดี”


โอ้โห ช้อยยากมาก ยากถึงยากที่สุด


ผมสบตากับพี่หมอเหมือนต่างฝ่ายต่างรู้ความนัยน์โดยไม่ต้องพูด พี่พจน์ส่ายหน้ารัวๆ จนผมต้องปลงใจ


เอ้า กูก็กูวะ


“ผมจะร้องเพลง...”


ในขณะที่คิดชื่อเพลงสายตาของผมก็ดันเหลือบไปเห็นหมอปลื้มจนเกือบจะพูดคำว่า ‘ยามเย็น’ ออกไปอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าผมดันบังเอิญไปสบตาเข้ากับคนอีกคน


ชายที่ผมไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ แต่ในใจกลับคะนึงหาอย่างไม่มีเหตุผล


ไม่มีเหตุผลเลย


“ลาวดวงเดือนครับ”


“ฮะ?”


เสียงตกใจของคนถือไมค์ทำให้ผมต้องย้ำคำตอบอีกครั้ง


“ลาวดวงเดือนครับ”


“น้องเป็นคนแรกเลยนะที่เลือกเพลงแนวนี้”


เขาแซ็วขำๆ ก่อนจะผายมือเชิญผมขึ้นไปบนเวที


เครื่องดนตรีในวงไม่มีเครื่องดนตรีไทยเลยสักชิ้น แต่เมื่อพี่นักดนตรีบอกว่าเล่นได้ ผมก็จะเชื่อตามนั้น...


“เดี๋ยวๆ รอเดี๋ยว”


พี่ลูกเจ้าของร้านวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับขลุ่ยในมือ


“ไหนๆ วันนี้ก็เป็นแนวเพลงพิเศษทั้งที ผมก็ขอร่วมด้วยแล้วกันนะครับ”


สิ้นคำพูดของเขา เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกครั้งแต่เพียงไม่นานก็เงียบลง เสียงดนตรีบรรเลงดังขึ้นมาแทนที ทำนองนั้นคุ้นหู อาจจำต่างไปหน่อยเนื่องจากเครื่องดนตรีที่ใช้แต่ทำนองที่ได้ยินก็มากพอที่จะเรียกความทรงจำทั้งหมดกลับมา


“โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง”


ผมเริ่มเปล่งเสียงร้อง


ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผมเหมือนอย่างในวันนั้นไม่มีผิด


วันที่มีระนาดเอกบรรเลงอยู่ด้านหลัง วันที่ซอสามสายยังอยู่ในมือคู่นี้ของผม


“พี่นี้รักเจ้าหนอขวัญตาเรียม จะหาไหนมาเทียมโอ้เจ้าดวงเดือนเอย”


ผมสบตาเข้ากับชายคนนั้นโดยบังเอิญอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมกลับไม่สามารถดึงสายตาตัวเองกลับมาได้เลย นัยน์ตาสีดำลึกล้ำคู่นั้นเหมือนมีมนต์สะกด


มันพราวระยับราวกับดวงดาว อบอุ่นราวกับแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ


“หอมกลิ่นเกสร เกสรดอก ไม้ หอมกลิ่นคล้ายคล้ายเจ้าสูเรียมเอย”


ใบหน้าหล่อเหลานั้นค่อยๆ คลี่ยิ้มให้ผมทีละนิด


“หอมกลิ่นกรุ่นครัน หอมนั้นยังบ่เลย เนื้อหอมทรามเชยเอ๋ยเราละหนอ”


สิ้นเนื้อเพลงท่อนสุดท้าย เขาก็ยกมือขึ้นมาในระดับหน้าไม่ให้ผิดสังเกตแล้วคลี่มือออกทีละน้อยจนเห็นสิ่งที่อยู่บนฝ่ามือ


...ดอกการเวก...


หัวใจของผมสั่นรัวเสียจนไม่สามารถร้องต่อได้ ทุกคนจับจ้องมาที่ผมอย่างงุนงง แต่โชคดีที่พี่ลูกเจ้าของร้านมีไหวพริบดีพอที่จะตัดจบเพลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี


เขาเดินมาตบบ่าผมแล้วพูดปลอบใจด้วยรอยยิ้มใจดีเหมือนอย่างเคยของเจ้าตัว ในทีแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรจนกระทั่งนึกได้ว่าฝีมือขลุ่ยของเขาดีเหลือเกิน แถมเทคนิคการเล่นก็ฟังคลับคล้ายคลับคลาคล้ายผมเคยได้มาก่อนหน้านี้ชอบกล แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ผมจึงเลือกที่จะปล่อยให้ความคิดนั้นผ่านไปแล้วหันไปสนใจกับคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแทน


“ดอกการเวกนี้...พี่ให้”


ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอแต่ยังสบตาเขานิ่ง


“ทำไมเหรอครับ”


ดวงตาคู่นั้นทอดมองผมอย่างไม่คิดปิดบังความในใจ ถ่ายทอดความเสน่หา ความรักใคร่ทั้งหมดมาอย่างไม่คิดปิดบัง


“พี่ว่าเราไปคุยกันข้างนอกดีไหม”


ผมสาดสายตามองรอบตัวจึงเพิ่งรู้ว่าตัวผมเป็นจุดเด่นพอสมควร...


จริงๆ ก็มากอยู่


ในตอนที่หันไปมองรอบๆ นั้นเองที่เผลอไปสบตาเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยนและเศร้าหมอง


...หมอ...


ผมเห็นเขาพยักหน้าลงเบาๆ เหมือนเป็นการบอกความนัยบางอย่าง


...เหมือนเป็นการบอกว่าไม่ต้องห่วงเขา...


ผมละสายตาจากเขาแล้วสูดหายใจเข้าออกสงบสติอยู่อึดใจ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้คนตรงหน้า แล้วเดินนำออกไปอย่างรวดเร็ว


ทันทีที่เท้าผมก้าวออกนอกร้านร่างทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดอุ่น ผมกะจะร้องด่าอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าอ้อมกอดนี้มันคุ้นเคยเหลือเกิน...


ถ้าไม่ติดที่ว่า...


“คิดถึงเหลือเกิน”


คำพูดเพียงคำพูดเดียวที่ทำให้คำด่าทั้งหมดถูกกลืนลงคอ


ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาใช่...ใช่คุณเปรมหรือเปล่า แต่หัวใจเจ้ากรรมก็ดันเต้นรัวกับคำพูดนั้นไปเสียแล้ว


ใจง่ายจริงๆ เลยมะ...


“ปักษาสวรรค์ของพี่”


ผมเบิกตาโพล่งนิ่งค้างด้วยความตกใจสุดชีวิต


คำพูดนั้น...ทำไม...ทำไมกัน


ทันทีที่ได้สติผมก็รีบหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเขา


“ทำไมคุณ...”


“ในคราแรกพี่ไม่มั่นใจว่าใช่น้องแน่หรือไม่ แต่เมื่อได้ยินเสียงเมื่อครู่ก็แน่ใจแล้ว”


“ไม่ ไม่ใช่เรื่องนั้น”


ผมสบตาเขาด้วยแววตาสั่นไหว


“ทำไมคุณถึงจำได้”


เขาเอื้อมมือมาลูบหัวผมช้าๆ


“คงเพราะพี่เฝ้าอธิษฐานทุกวันกระมัง”


ผมรู้สึกเหมือนโดนอัญมณีสีนิลนั้นดูดให้จมลึกลงไปในห้วงความรู้สึกที่แสนล้ำลึก


“ขอให้จำได้ ขอให้ได้รักกัน ขอให้เจอกันอีกครั้ง ขออย่าให้ลืมอย่าให้เลือน”


ปลายจมูกโด่งได้รูปเลื่อนเข้ามาแตะกับปลายจมูกของผม


“พี่เสียเวลามามากเกินพอแล้ว พี่จะไม่ยอมเสียมันไปอีกแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว”


ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดลงบนริมฝีปากบังคับให้ผมหลับตาลง


“จะไม่ยอมเสียเวลาที่จะได้รักน้องไปอีกแล้ว”


เขาประทับความอุ่นชื้นลงบนริมฝีปากแล้วถอนออก


“จะไม่ยอมปล่อยปักษาตัวนี้ไปไหนอีกแล้ว”


นัยน์ตาของเขาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผมด้วยแววตาเศร้าสร้อย


“จะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าต้องตายอย่างเดียวดายอีกแล้ว”


สิ้นคำพูดของเขาร่างทั้งร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปกอดพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าครั้งนี้มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้าเหมือนอย่างทุกที


...ผมมีความสุขเหลือเกิน...


“แล้วทำไมเราถึงจำได้ล่ะ”


เสียงทุ้มนั้นถามไปพลางลูบหัวผมไปพลาง


ผมซุกหน้ากับหน้าอกแกร่งแล้วยกยิ้มกว้าง


“ไม่บอก”


เขากันตัวผมออกห่างเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือมาบีบจมูกเบาๆ


“ทะเล้นนักนะ”


พวกเราสบตากันนิ่งอยู่อึดใจก่อนจะปล่อยระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน


...ผมเฝ้ารอสิ่งนี้มานานแค่ไหนกันนะ...


เขากอดผม


เราสบตากัน


หัวเราะด้วยกัน ยิ้มด้วยกัน


ขอแค่มีคนๆ นี้อยู่ข้างๆ ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว


ขอแค่เราได้รักกัน ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว


ความรักของพวกเรามันแปลกแสนแปลก


คนๆ หนึ่งยอมอดทนที่จะรักแม้รู้ว่าไม่มีวันได้ความรักตอบ


คนๆ หนึ่งยอมรอมานานแสนนานเพียงเพื่อจะได้รัก


แล้วผมล่ะ...ความรักทำให้ผมเป็นคนยังไงกันนะ


ริมฝีปากนุ่มหยุ่นที่ประทับลงบนแก้มทำให้ผมได้คำตอบ


ความรักทำให้ผมกลายเป็นคน...สอดรู้สอดเห็นล่ะมั้ง


ผมขำความคิดตัวเองเบาๆ


“หัวเราะอะไร”


ผมหัวเราะแล้วซบหน้าลงกับไหล่กว้าง


“กำลังคิดว่าความรักทำให้ผมกลายเป็นคนสอดรู้สอดเห็น”


พอได้ยินเขาก็หัวเราะตาม


“ไม่ใช่ความรักหรอกที่ทำ เป็นอยู่แล้วต่างหาก”


“คุณเปรม!”


ชื่อเรียกชินปากที่หลุดออกไปทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อยแต่อีกคนกลับยิ้มกริ่ม


“แล้วตกลงว่าทำไมถึงรู้เรื่องในอดีตได้ล่ะ”


“พี่ชายมาเข้าฝันน่ะครับ”


เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ


“รู้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจีบนาน”


“คุณเปรม!”


เขาหัวเราะร่วน


“พี่ลงทุนถึงขนาดใช้ชื่อเดิมเชียวนะ จะได้ไม่ต้องจำเยอะอย่างไรเล่า”


ผมเบ้ปาก


“ขี้เกียจคิดใหม่ก็บอกเถอะครับ”


เขาบีบจมูกผมไม่เบานัก


“ลามปาม”


แล้วพวกเราก็หยุดมองหน้ากันเสี้ยวสินาทีก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน


ทั้งๆ ที่เขาทำกับผมไว้เยอะขนาดนั้น


ทั้งๆ ที่ผมทำกับเขาไว้เยอะขนาดนั้น ทำไมสุดท้ายเราถึงยังรักกันนะ พอคิดให้ดีจึงรู้ว่าความรักนี้เข้าใจยากจริงๆ


“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอแต่งงานเลยดีไหม เดี๋ยวไอ้หมอมันมาแย่งอีก คราวนี้ไม่ยอมแล้วจริงๆ ด้วย”


ถ้าเขาจำเรื่องราวในอดีตได้ แสดงว่าเขาก็จำเรื่องนั้นได้สินะ


...เรื่องราวที่ผมพลาดพลั้งนอกกายเขาไป...


“คุณเปรม เรื่องนั้น...โกรธผมไหม”


เขาทำสีหน้าดุดัน


“โกรธ”


ผมหลุบตาลงต่ำอย่างรู้ตัว


...ไม่โกรธสิแปลก...


“แต่อดีตก็คืออดีต”


เขาเอามือมาช้อนคางผมขึ้น


“โกรธแล้วยังไง เพราะต่อให้โกรธไปก็เลิกรักไม่ได้อยู่ดี”


เขาขยับข้ามาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดแก้ม


“น้องเองก็เคยโกรธพี่ แต่น้องก็ยังรักพี่ไม่ใช่รึ”


นัยน์ตาคู่นั้นทอประกายวิบวับเหมือนครั้งแรกที่เจอ


...เหมือนครั้งแรกที่ตกหลุมรักกัน...


“สุดท้าย เราก็เลิกรักกันไม่ได้อยู่ดี”


สิ้นคำพูด ริมฝีปากนุ่มก็โจนจ้วงเข้ามาช่วงชิงลมหายใจผมอย่างอ่อนหวานนุ่มนวลเสียจนรู้สึกเหมือนร่างกายล่องลอยอยู่ในอากาศ


ความรักนี่...เข้าใจยากจริงๆ ด้วย







กลอนเพลงยาวร้อยหัวใจอันสุขี

ด้วยคะนึงถึงยอดมารตี

ขอน้องนี้รับรักด้วยเมตตา

 

เสียงเจ้าหวานปานนกการเวก

ความปัจเจกเอกลักษณ์คือหรรษา

หวังนอนฟังหากเจ้ากรุณา

เพียงพบหน้าพาใจได้ภิรมย์

 

เจ้าเป็นจีนงามหมวยสวยบาดจิต

หากน้องฝากชีวิตคงสุขสม

ต่างเชื้อชาติใช่ต่างรักต่างนิยม

พี่สัญญาจักชื่นชมเจ้านิรันดร์

 

หากเจ้าเป็นมาลีพี่เป็นผึ้ง

ใช่ทะลึ่งมีแต่รักมากมหันต์

หากเจ้าเป็นโลกนี้พี่เป็นจันทร์

อยู่คู่กันตลอดไปด้วยรักเอย





หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 02-12-2017 14:22:01
!!จบแล้ววว จุดพลุฉลอง!!





ตอนแรกปิงปองลังเลกับตอนจบมากก มากแบบมากจริงๆ ว่าเอ...จะให้น้องมอสเขาลงเอยกับใครดี จนได้กลับมานั่งคิดอย่างจริงจังว่า ความรักมันไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจกันได้ง่ายๆ ประกอบกับได้ฟังประสบการณ์ความรักจากหลายๆ คนรอบตัวแล้วพบว่า บางครั้ง เราไม่ได้รักคนที่ดีกว่า รักก็คือรัก มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ ปิงปองเชื่อว่าถ้าเราชอบอะไรสักอย่างจริงๆ เราจะไม่ต้องมานั่งคิดหาเหตุผลว่าทำไมถึงชอบ ชอบเพราะอะไรแน่ๆ





ชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก มันเป็นคำที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวของมันอยู่แล้ว





เพื่อนของปิงปองคนหนึ่งเคยพูดว่า



"ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าอาหารคลีนดีต่อสุขภาพมากกว่าหมูกรอบ แต่ทำไมคนเรายังเลือกกินหมูกรอบอยู่ล่ะ ก็เพราะชอบไง อาหารคลีนก็อร่อย แต่ความอร่อยที่ได้จากอาหารคลีน ยังไงก็ไม่มีวันเหมือนความอร่อยจากหมูกรอบแน่นอน แล้วเราก็บังเอิญชอบความอร่อยของหมูกรอบมากกว่าก็แค่นั้นเอง"





อย่างหมอเองเขาเป็นคนดีมากคนหนึ่ง ในขณะที่คุณเปรมเองก็ใช่จะเป็นคนเลวร้ายอะไร สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับมอสว่าเขาชอบอาหารคลีนหรือหมูกรอบก็เท่านั้นเองเนอะ





...แล้วนักอ่านของปิงปองชอบอะไรมากกว่ากันน้า...


^w^




ปล. ในตอนนี้ปิงปองยังไม่มีแผนจะแต่งตอนพิเศษลงเว็บนะคะ แต่ถ้าแต่งก็คิดว่าจะเป็นกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ให้นักอ่านเข้ามามีส่วนร่วมว่าอยากให้ลงเรื่องของใคร ในพาร์ทอดีตหรือปัจจุบัน แต่ว่าคงยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามข่าวกันเรื่อยๆ ด้วยน้า








ขอบคุณจริงๆ ที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ

-ปิงปองโต้คลื่น-



หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 02-12-2017 23:46:16


สงสารหมอ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 03-12-2017 00:42:36
โอ๊ย.... เจ็บ​จน​ตอนสุดท้าย
แต่​ความ​รัก​มันบังคับ​กัน​ไม่ได้​จริงๆ​
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-12-2017 01:14:42
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Marchyn ที่ 03-12-2017 02:13:38
อยากให้ลงพาร์ทปัจุบันแบบ happy น่ะครับ อยากเห็น dark side คุณเปรมด้วย แบบจำเลยรักไปเลย ๕๕๕+
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 03-12-2017 12:39:28
เพิงเข้ามาอ่าน จะบอกว่าเรื่องนี้ภาษาสวยมากมีเกร็ดความรู้ต่างๆแทรกเข้ามาให้ด้วย ที่สำคัญคือช่วงตอนหลังๆมาอ่านแล้วร้องไห้เลย ขอบคุณนะคะ :heaven
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 03-12-2017 23:19:23
เข้ามาอ่านทีเดียวจบ ชอบมากๆเลยค่ะ  ชอบตอนเกร็ดความรู้ตอนท้ายมากรู้สึกได้ความรู้ไปพร้อมๆกัน อยากบอกหมอว่าไม่เป็นไรนะหมอมาซบอกเราได้นะ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 04-12-2017 16:23:30
คิดไว้แล้วว่าคนไม่รักยังไงก็ไม่รัก สงสารหมอจัง แต่ก็ยินดีกับเปรมมอสด้วย
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 05-12-2017 13:50:26
ชอบเรื่งนี้มากๆค่า  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 05-12-2017 14:55:34
ขอบคุณนักเขียนที่มาลงให้จนจบนะคะ เอาจริงๆเรื่องนี้ช่วงกลางเรื่องนี่เราก็คิดไปแล้วนะว่าคุณทวดไม่น่าจะใช่พระเอก คิดว่าที่นายเอกย้อนอดีตกลับมานี่เพื่อแก้ไขไม่ให้ตัวเองกับคุณทวดรักกันซะอีก ที่ไหนได้บทพลิกมากเดาทางเรื่องไม่ค่อยจะถูกเลยจริงๆ แอบสงสารคุณหมอ แสนดีขนาดนั้นแต่ไม่มีใครมารักหมอเลย คุณนักเขียนสนใจจะเขียนเรื่องคุณหมอแยกออกมามั้ยคะหรือขอตอนพิเศษเพื่อเยียวยาจิตใจคุณหมอก็ได้
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 17-12-2017 05:48:39
น่าจะเขียนต่อไปหลังจากที่มอสกับคุณเปรมเจอกันแล้วด้วยนะคะ พึ่งเจอกันก็จบซะแล้ว แงๆ อยากรู้ชีวิตรักของเขาในชาตินี้ :hao5:
สงสารหมอ นกทุกชาติ
ตอนอ่านบันทึกของคุณเปรมเราร้องไห้เลย รู้สึกได้ถึงความเสียใจที่ส่งผ่านมาทางตัวหนังสือ

ชื่นชมคนเขียนค่ะ ภาษาสวยมาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [จบแล้ว] (2/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: IamLonelygirl ที่ 17-12-2017 16:05:38
คือสมัครเล้าเป็ดเลยเพราะว่า เราอยากคอมเม้นต์ให้นิยายเรื่องนี้มากๆ เป็นนิยายที่อ่านแล้วประทับใจมากกกกกกก
ตอนแรกกอ่านแล้วหลอนมากก นึกว่าจะเป็นเรื่องผีฮืออออออออออออ
อ่านรวดเดียวจบเลย อ่านแล้วรู้สึกแบบมันดีมากๆเลยค่ะ ทั้งสำนวนการเขียน ทั้งการผูกเรื่อง มันรู้สึกว่าอ่านแล้วเหมือนหลุดกลับไปอยู่ที่ พ. ศ. 2460 ได้รู้รู้สึกอยากจะกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์กันเลยทีเดียว รู้สึกว่าแบบเป็นนิยายที่อ่านแล้วหยุดอ่านไม่ได้เป็นนิยายที่ทำให้ร้องไห้ได้ในรอบหลายปี.  ดีงามมากจริง เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ จะรออ่านนิยายจากคนเขียนอีกนะคะ ขอบคุณที่เขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา  :กอด1:
ปล.แอบรอตอนพิเศษฮี่ๆ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [เปิดโหวตตอนพิเศษวันปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 17-12-2017 19:20:14



สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาเพื่อเปิดโหวตโดยเฉพาะเลย เย่



ตอนแรกก็กะว่าจะมัดมือชกลงตอนพิเศษพาร์ทอดีตของคุณเปรมแหละเนอะ แต่พอมานั่งนึกๆ ดูยังไงเราก็เคยเกริ่นๆ ไว้ว่าจะมีให้เลือก เราเลยไม่อยากผิดคำสัญญา วันนี้เราเลยมาตามคำขอค่ะ





มาอ่านกติกากันก่อนเนอะ




1. การโหวตก็เหมือนปกติทั่วไปคือ ตัวเลือกไหนคนโหวตเยอะสุดก็ชนะ แล้วเราก็จะลงตอนพิเศษนั้นในเว็บทุกเว็บที่มีเรื่องแว่วเสียงการเวกอยู่





2. การเปิดโหวตจะเปิดที่เว็บเด็กดีเท่านั้น เพราะถ้าเปิดโหวตทุกเว็บก็กลัวจะได้ผลไม่ตรงกันแล้วเราจะแต่งมาลงไม่ทัน ส่วนสาเหตุที่ไม่เปิดโหวตในเฟสบุ๊คหรือทวิตเตอร์ก็เพราะไม่ใช่นักอ่านเรื่องนี้ทุกคนที่ตามเราในโซเชียลเน็ตเวิร์คเนอะ กลัวจะไม่รู้ข่าวกัน สำหรับข่าวสารการเปิดโหวตเราจะแจ้งทุกช่องทางแน่นอนค่ะ แต่ว่าจะเป็นการทิ้งลิ้งค์ให้เขามาโหวตที่เด็กดีแหละเนอะ




3. ตอนพิเศษที่เอามาลงเว็บนี้เป็นส่วนหนึ่งของตอนพิเศษในเล่ม โดยจะเป็นตอนพิเศษขนาดสั้น(ประมาณ 5-6 หน้า) เป็นมุมมองของตัวละครในช่วงวันปีใหม่





4. โพลนี้จะเปิดโหวตถึงแค่วันที่ 24 ธันวาคม 2560 เวลา 23.59 น. นะคะ รีบปิดก่อนลงเพื่อให้เราได้มีเวลาปั่นและเตรียมต้นฉบับให้พร้อมด้วย




5. สำคัญมากคือ ตอนพิเศษที่ชนะโหวตจะมีในเล่มแน่ๆ แต่สำหรับตัวเลือกอื่นเรายังไม่กล้ารับประกันนะคะว่าจะมีรึเปล่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเขียนให้ครบทั้ง 4 อัน แต่ไม่กล้ารับปากน้า ขอให้เป็นเรื่องของอนาคตเด้อ TwT







สำหรับเรื่องหนังสือ คาดว่าจะออกประมาณต้น - กลางปีหน้า ยังไงก็ฝากติดตามข่าวสารกันไปก่อนน้า






คร่าวๆ ที่อยากแจ้งก็มีแค่นี้เนอะ งั้นมาโหวตกันเลยดีกว่าา


v


v


จิ้มเลย (https://my.dek-d.com/mopory/poll/?id=159859)

หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [เปิดโหวตตอนพิเศษวันปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: FullFong ที่ 18-12-2017 04:43:03

ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆเรื่องนี้มาให้อ่านค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [เปิดโหวตตอนพิเศษวันปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 22-12-2017 22:15:42
ดีใจที่ทุกคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และทายไม่ถูกเลยว่าใครจะเป็นพระเอก
เห็นใจทั้งสองคนเลย แต่แอบสงสารหมอมากกว่า  :sad4:
ขอบคุณมากนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านแล้วยังได้ความรู้สอดแทรกอีก  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [เปิดโหวตตอนพิเศษวันปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: แพรพลอย ที่ 23-12-2017 18:51:51
มันยังไงล่ะ บอกไม่ถูก 5555
จะสุขมันก็สุขไม่สุดอะ มันหน่วงเรื่องหมอ คือสงสารหมอ
แต่จะให้คู่กับหมอมันก็ไม่อินอีก ฮืออ อยากให้หมอมีคู่ววว

แต่ตอนหลังๆนี่ทั้งยิ้มทั้งน้ำตาซึมเลยดีเดียว กว่าจะได้รักกันี่ไม่ง่ายเลย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [เปิดโหวตตอนพิเศษวันปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: พันวา ที่ 24-12-2017 08:44:45
ความรักมันเข้าใจยากนะ  อันนี้ก็เรื่องจริงเลย  ถามว่าเข้าใจ สามคนในเรื่องนี้ไหม เข้าใจคุณเปรมในอดี เข้าใจ คุณหมอในอดีต เข้าใจ ทั้งอดีจตและปัจจุบันของมอส  แต่ก็ยังไม่เข้าใจความรักอยู่ดี   :hao5: :hao5:

ชอบสำนวนของคนเขียนภาษาสละสลวย มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้อ่านทำความเข้าใจด้วย 

ความต้องการคือ อยากให้หมอมีคู่ คงเหมือนใครอีกหลายคนที่อ่านเรื่องนี้555555

พอเจอคนที่รักหมอและหมอรักได้ความรักที่ไม่สมหวังมันเจ็บปวด  สำหรับพันวา ถ้าไม่สมหวังคือความเจ็บปวดทั้งนั้นและถ้ามัีนเจ็บปวดมันก็ไม่มีความสุข

อยากให้หมอมีความสุข ฮืออออออออออออ :o12:

ขอบคุณที่เขียนงานดีๆมาหใ้ได้อ่านนะคะ น้ำตาไหลไปหลายก็อก 5555
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [เปิดโหวตตอนพิเศษวันปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: tangtey59 ที่ 24-12-2017 17:00:22
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ คนแต่งงบรรยายดี ตัดภาพอดีตมาปัจจุบันได้ดีค่ะ ไม่เยิ่นเย้อ แล้ว่อยๆ เฉลยเรื่องราว ชอบนิสัยและแนวคิดนายเอกมากกเลย มีคเหตุมีผล ฉลาด
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ความรัก [บทส่งท้าย] [เปิดโหวตตอนพิเศษวันปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 25-12-2017 08:10:31
 :sad4: :o12: :hao5: :ling1:

อ่านมาราทอนตั้งแต่อ่านตอนล่าสุดของลุงปราณจบ

อยากจะบอกว่าร้องไห้หนักมาก ฮือออ

ตอนแรกเราก็ว่าเอ๊ะทำไมคุ้นๆเหมือนเคยอ่าน

ที่แท้เคยลงในเด็กดีนี่เอง ไม่อยากจะบอกว่าตอนนั้นอ่านไม่จบ

เพราะมันหน่วงมาก ร้องไห้จนปวดหัว อ่านถึงแค่ตอนโดนทุบหัว

ก็ตัดสินใจพอ  มันร้องไห้ต่อไม่ไหวแล้ว

ยิ่งแอบๆมาแว้บๆดูตอนจบแล้วด้วยเลยโบกมือลา

แต่วันนี้อ่านจบแล้ว :katai2-1: ร้องไห้หนักเหมือนกัน

แต่ก็ไม่หนักเท่าตอนแรกเลยไม่ปวดหัว แค่ตาบวม :o8:

เป็นนิยายที่ดีมากค่ะ สนุกมากๆ มีเกร็ดความรู้มาเสริมให้ตลอด

ขอบคุณมากๆนะคะ สำหรับนิยายดีๆ สนุกๆแบบนี้

และอีกเรื่องคือ "หลงลุง" เราคงต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้ากี่ผืนดี

คงไม่น้อยหน้าเรื่องนี้แน่เลย :sad4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 29-12-2017 18:56:16
ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]











เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำไม่เคยจางหาย


เรารักกัน จุมพิตกัน กอดกัน ภาพเหล่านั้นยังชัดเจนมิเคยเลือน นัยน์ตาของเจ้าเป็นประกายระยิบระยับ สวยยิ่งกว่าดวงดาราใดในโลกหล้า


แล้ววันนี้เล่า ดวงดาราของพี่หนีไปอยู่ที่ไหนกัน


"คุณพี่จะเข้าไปหาพระอาจารย์ด้วยกันกับน้องหรือไม่คะ"


น้ำเสียงแว่วหวานของผู้เป็นคู่ชีวิตคือสิ่งที่คอยย้ำเตือนถึงหน้าที่ของเรา


หน้าที่ของคนเป็นลูก หน้าที่ของคนเป็นสามี หน้าที่ของคนเป็นพ่อ


...หน้าที่ที่อยู่บนบ่าของเรานี้ช่างมากมายเหลือเกิน...


ร่างเล็กบอบบางยังคงยืนคอยคำตอบด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างทุกครา เราจึงหันไปมองแล้วส่งยิ้มให้เธออย่างที่เคยทำให้เสมอเช่นกัน


"ไม่ล่ะ แม่ชื่นไปเถิด"


แม่ชื่นนิ่งพินิจเราอยู่อึดใจ นัยน์ตากลมโตหวานทอแววเห็นอกเห็นใจมาให้ หากริมฝีปากสวยนั้นก็ยังคลี่ยิ้มอยู่


“เช่นนั้น น้องขอเข้าไปนมัสการพระคุณท่านก่อนนะคะ เสร็จแล้วจะออกมาหาคุณพี่ที่นี่”


เธอรู้...เธอรู้ดีว่าเราอยากอยู่ที่นี่อีกสักพัก


สมแล้วที่เป็นคู่ชีวิตกันมาเกือบสิบปี


หญิงสาวผู้เป็นคู่ชีวิตของเราสวยสง่าขึ้นกว่าเก่าก่อนมาก ร่างเล็กบอบบางดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาตั้งแต่มีลูก ใบหน้าจิ้มลิ้มยังคงประกายแว่วหวานทุกคราที่เห็น เธอเป็นคนดีเหลือเกิน แม้นจะรู้ความจริงทั้งหมดแล้วก็มิโกรธเคืองเราเลยสักนิด กลับกัน เธอคอยปลอบโยนเราด้วยถ้อยคำอ่อนโยนเห็นอกเห็นใจ สมแล้วที่เป็นคนที่คุณแม่เลือก ทั้งกริยามารยาท และสติปัญญาของเธอนั้น ยากจะหาหญิงใดในพระนครมาเทียบเทียม


แต่แล้วอย่างไรเล่า ดีแล้วอย่างไร สวยสง่าแล้วอย่างไร อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เจ้าอยู่ดี...ไม่ใช่น้องน้อยของพี่อยู่ดี


แม่ชื่นจากไปแล้ว ทิ้งเราไว้เพียงลำพังใต้ต้นการเวกที่เลื้อยเกาะกำแพงวัดจนเป็นพุ่มใหญ่


..ต้นการเวกที่เราปลูกเองกับมือ..


การเวกต้นนี้ พี่ปลูกให้น้องด้วยตัวของพี่เอง


เราเพียรเฝ้าวอนขอท่านเจ้าอาวาสอยู่พักใหญ่จึงได้รับอนุญาตให้นำต้นการเวกมาปลูกไว้ริมรั้ววัดฝั่งที่อยู่ติดกับสุสานชาวจีน ด้วยต้นการเวกเป็นต้นหวังต้นไม้เถา พระท่านก็คงเกรงว่าจะเลื้อยจนเป็นพุ่มรกชัฏดูแลยากลำบาก แต่เพราะเรารับปากดูแลเป็นอย่างดี ท่านจึงยอมแพ้ในที่สุด


การตักบาตรกรวดน้ำตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่อาจบรรเทาความเจ็บปวดในใจพี่ได้เลย ทุกคราที่สายน้ำไหลรดลงบนผืนดิน ใจพี่ประหวัดคิดไปถึงหน้าเจ้ายามแย้มยิ้ม ทุกคราที่พี่เห็นขนมบนโต๊ะอาหาร หัวใจพี่ร้าวรานปานจะแหลกสลาย


ต้นการเวกนี้เป็นตัวแทนความคิดถึงของพี่ แม้นจะเอาไปปลูกไว้ในสุสานชาวจีนไม่ได้ แต่พี่ก็อยากให้เจ้ารู้ว่าพี่รัก


...พี่รักเจ้าการเวกของพี่เหลือเกิน...


ดวงใจพี่ กลับมาหาพี่เถิด ขอเพียงเจ้ากลับมา ต่อให้น้องบอกพี่ว่าที่น้องทำให้ใจพี่เจ็บเจียนตายนี้เป็นกลลวงพี่ก็จะไม่ถือโทษโกรธน้องเลยแม้แต่น้อย


กี่ปีที่ทำได้เพียงเฝ้ามองป้ายสลักหินแผ่นเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า กี่ปีมาแล้วที่ทำได้เพียงแนบดอกการเวกไว้ตรงอกแล้วร่ำไห้ป่านจะขาดใจ


ใครก็ได้โปรดบอกที เมื่อไรกันที่ความทรมานนี้จักสิ้นสุดลง


กร บอกพี่ที...บอกให้พี่ฟังว่าน้องจะกลับมา บอกพี่ทีว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงฝัน บอกพี่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงฝันร้าย เมื่อตื่นขึ้นมาพี่จักเจอเจ้าอยู่เคียงข้างดังเดิม


ได้โปรดเถิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก เราอยากตื่นแล้ว ให้เราตื่นจากฝันร้ายนี้เสียที ให้เราได้พบกับพ่อนกน้อยของเราเสียที เราทรมานเหลือเกินแล้ว


...ใจเราเจ็บร้าวเหลือเกินแล้ว...

 













“...ปะ”


“...เปรม”


“พี่เปรม!”


ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก


เกิดอะไรขึ้น


หัวใจผมเต้นรัวอยู่ในอก ผมคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งมือ ทั้งตัว ทั้งริมฝีปากนั้นสั่นไปหมด ความรู้สึกที่รับรู้ได้หลังจากลืมตาตื่นคือความเจ็บปวดจนใจแทบขาด หลังจากนั้นมันก็เป็นความกลัว


กลัว...กลัวเหลือเกิน


จู่ๆ ความอบอุ่นบางอย่างก็โอบล้อมรอบตัว


ความอบอุ่นอันเกิดจากเรียวแขนเพรียวบางของใครบางคนที่พยายามโอบกอดผมเอาไว้


“ไม่เป็นไรนะครับพี่เปรม”


ฝ่ามือเล็กๆ ที่ลูบไล้ไปตามแนวกระดูกสันหลังค่อยๆ ดึงความหวาดกลัวออกไปจากใจทีละน้อย


“ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เป็นไรนะครับ”


ใช่...เขายังอยู่กับผมตรงนี้ ยังอยู่ตรงนี้


มันไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่ละวันที่พ้นผ่านไปด้วยความทรมานเจียนขาดใจมันจะไม่มีอีกแล้ว


ผมยกแขนสองข้างโอบตอบร่างของอีกเขาเอาไว้


เมื่อคราวก่อนพี่ปกป้องน้องด้วยมือคู่นี้ไม่ได้ แต่คราวนี้พี่จะทำให้ดีที่สุด


...จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องจากไปอย่างเดียวดายอีกแล้ว...


“ฝันร้ายเหรอครับ”


ฝัน...ใช่แล้ว นั่นเป็นเพียงฝันร้ายที่ผ่านมาแล้ว


...ตอนนี้ผมตื่นแล้ว...


“ใช่ แค่ฝันร้าย”


รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกคน


“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะครับ พี่มอสอยู่นี่แล้ว เดี๋ยวผมจะปกป้องน้องเปรมเอง”


ดูคนช่างพูดสิ น่ารักน่าชังเหลือเกิน


น่ารักเสียจนผมอดเอามือไปบีบจมูกอีกฝ่ายไม่ได้


“ทะเล้นจริงๆ”


แววตาของอีกฝ่ายทอประกายบางอย่างที่ผมเองก็ไม่เข้าใจขึ้นมาแว็บนึงก่อนจะหายไป เหลือไว้เพียงรอยยิ้มกว้างและแววตาดีอกดีใจ


“ครับ”


เขารับคำแล้วเอาสองมือมากุมมือผมไว้


“ผมเป็นน้องที่ทะเล้นของพี่เสมอ”


ไม่รู้ทำไมคำพูดนั้นถึงทำให้น้ำตามันรื้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ


‘ทะเล้นนักนะ’


จู่ๆ คำพูดของผมในอดีตชาติก็พลันวาบขึ้นมาในหัว


อ๋อ...เพราะแบบนี้นี่เอง


...เพราะรักเหลือเกินนี่เอง...


“ไม่เอาแล้ว มาพูดเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้เนอะ คืนปีเก่าเข้าปีใหม่ทั้งที ยิ้มไว้ครับ”


รัก...พี่รักน้องเหลือเกิน


“เดี๋ยวผมไปเตรียมขนมให้ดีกว่า จะได้เอาไปนั่งกินตอนดูพลุที่ระเบียงดีไหมครับ”


ร่างสูงโปร่งทำท่าจะผละออกไป ติดเสียแต่ว่าผมคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน


ใบหน้าน่ารักเลิกคิ้วพลางเอียงข้างเล็กน้อย


“มีอะไรเหรอครับ”


ผมไม่ได้ตอบ แต่กลับออกแรงกระตุกแขนอีกคนเป็นสัญญาณให้เขยิบเข้ามาใกล้อีกหน่อย


“มีอะไรรึเปล่าคะ อื้อ”


ริมฝีปากของผมโผนเข้าฉกฉวยความหวานจากเขา


“ปักษาสวรรค์ของพี่”


ผมผละออกมาเพียงเสี้ยววิก่อนจะทาบทับลงไปใหม่


ริมฝีปากของพวกเราแตะกัน ผมขบเม้มไปบ้าง เขาเม้มกลับมาบ้าง ปลายลิ้นหยอกเย้าซึ่งกันและกันครั้งแล้วครั้งเล่า


หวาน...ริมฝีปากของนกน้อยในอ้อมกอดช่างหวานราวกับน้ำผึ้งเดือนห้า


“อ๊ะ พี่เปรม”


เสียงใสราวกับนกการเวกดังผะแผ่วขาดห้วงชวนให้หัวใจเต้นระส่ำแทบคลั่ง


หอม...เจ้านกน้อยนี้หอมไปทุกส่วนสัด


กายก็หอม ผมก็หอม กลิ่นดอกไม้ไทยจางๆ ที่เป็นกลิ่นน้ำหอมโปรดของเจ้าตัวโชยมาจากต้นคอชวนให้หลงใหล ไม่ว่าจะบดเบียดจมูกลงไปเท่าไรก็ไม่มีหน่าย


“เจ้านกน้อยของพี่”


ดอกไม้สีชมพูอ่อนท่ามกลางทะเลน้ำนมสีขาวนวลนั้นหวานยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกหล้า


“พี่เปรม ยะ อย่าดูด อ๊ะ”


ทั้งหวาน ทั้งหอม


การเวกของพี่ นกน้อยของพี่ ดอกไม้ของพี่


“อย่าไปไหน”


มันไม่ใช่คำสั่ง แต่มันคือคำขอร้อง


ได้โปรดเถิดสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย อย่าพรากดวงใจของผมไปไหนอีกเลย


“อยู่กับพี่ อยู่ให้พี่รักไปนานๆ ห้ามจากพี่ไปไหน”


รอยจูบที่ประทับลงที่ต้นคอเป็นเหมือนการย้ำเตือนอีกฝ่ายให้รู้ไว้


ต่อให้ตัวพี่ไม่อยู่ แต่วิญญาณพี่ หัวใจพี่จะอยู่กับน้องตลอดไป


“ถ้าคราวนี้น้องชิงจากพี่ไปอีก พี่จะตามน้องไป”


แรงที่โถมใส่คือคำสัญญา


จะอยู่ด้วยกันตลอดไป...พี่จะขอตามน้องไปทุกหนแห่ง


“จะไปด้วยกัน จะไม่ปล่อยให้น้องต้องร้องไห้ตามลำพังอีกแล้ว”


เราทั้งสองต่างร้องไห้เพียงลำพังมานานแสนนานเหลือเกินแล้ว ต่อแต่นี้ไปเราจะอยู่ด้วยกัน


...จะไม่ปล่อยให้ใครร้องต้องไห้ตามลำพังอีกแล้ว...


“อื้อ ระ รักนะครับพี่เปรม ระ รัก อื้อ”


รัก รักเหลือเกิน


“พี่ก็รักน้อง พี่เปรมรักมอสที่สุด”


จุมพิตที่หน้าผากคือคำรัก


“คุณเปรมก็รักกรวิกที่สุดเช่นกัน”


เรารักกัน ไม่ว่าเราจะเป็นใครเราก็ยังรักกัน


เสียงหัวใจที่ประสานเป็นจังหวะเดียวกันเคล้าคลอไปกับเสียงพลุเฉลิมฉลองที่ดังอยู่บนฟากฟ้าไกลๆ


ปีใหม่คราวนี้ดีกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา...ดีกว่าทุกครั้งที่ต้องนับกอดดอกการเวกเพียงลำพัง ในตอนนั้น ไม่ว่าจะร้องเรียกเท่าไหร่ กอดดอกการเวกไว้แนบใจเท่าไหร่น้องก็ไม่กลับมา แต่คราวนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว...


วันปีใหม่ครั้งแรกที่ไม่ต้องอยู่คนเดียว


วันปีใหม่ครั้งแรกที่มีดวงใจอยู่เคียงข้าง


...ช่างเป็นวันปีใหม่ที่เหลือเกิน...

 















แถม


ความรู้สึกนุ่มหยุ่นที่ประทับลงบนริมฝีปากทำให้ผมเบิกตาโพล่งแล้วสะดุ้งสุดตัวจนตกเตียง


โอ๊ย เจ็บโว้ย


ไอ้พี่เปรม พี่เปรมโว้ย จะจูบก็จูบดีๆ สิโว้ย จะมามอนงมอนิ่งคีสแบบไม่ให้ตั้งตัวแบบนี้ไม่ได้ ไอ้เราก็นึกว่าหอยทากไต่ปาก สะดุ้งจนตกเตียงเลยเนี่ย!


โกรธครับโกรธ เรื่องนี้พี่เปรมผิดเต็มๆ


...


โอเค๊ ทำตัวเองก็ได้


ใบหน้าหล่อเหลาของคนบนเตียงฉีกยิ้มกว้างจนดวงตากลายเป็นสระอี เขาเขยิบมาที่ริมเตียงแล้วยื่นมือมาให้อย่างคนใจดีมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่างอน งอนมากๆ ไม่จับหรอกนะ


อ๋อ เปล่า ความจริงคือเจ็บ...เจ็บ...เอ่อ เจ็บนั่นแหละ ก็เมื่อคืนกว่าเขาจะยอมปล่อยผมก็จวนเช้า เห็นพี่แกนิ่งๆ อย่างนี้นี่หื่นเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ


...เขิน...ไม่เอาไม่คิดต่อแล้วดีกว่า คิดต่อแล้วใจมอสไม่ดีเลยจริงๆ


“จับมือพี่เร็ว”


นี่ขนาดเห็นว่าผมไม่ยอมจับนะ พี่แกก็ยังไม่วายไม่วางตื้อผมอยู่นั่นล่ะ


“ไม่จับครับ”


หยิ่งครับหยิ่ง แม่บอกเราต้องเล่นตัวบ้าง


พอเห็นท่าทีของผม คนอารมณ์ดีก็ไถลตัวลงจากเตียงมานั่งยองๆ อยู่ข้างๆ


“โกรธเหรอ”


ไม่ตอบหรอกนะเพราะงอนมากๆ


“ทีเมื่อวานน้องชิงหลับไประหว่างทางพี่ยังไม่โกรธเลยนะ”


“นั่นเรียกว่าความผิดได้เหรอ!”


เสียงแว้ดของผมทำเขาหัวเราะร่วน


“ผิดสิ ปล่อยพี่ไว้คนเดียวแบบนั้น...”


เขาชิงหอมแก้มผมไปฟอดใหญ่


“ทรมานนะครับ”


โอ๊ย ไอ้บ้า ไอ้บ้าเอ๊ย เอาหัวใจไปเลย เอาไป๊


เขินครับ แต่ก็พอจะรู้ตัวว่าผมก็ผิดจริงๆ นั่นล่ะ ก็แหม เราก็รู้กันใช่ไหมล่ะว่าถ้ามันทำไปไม่สุดทางมันเป็นอะไรที่โคตรจะทรมานเลย เพราะแบบนั้นล่ะ ผมเลยต้องง้อเขาด้วยการค่อยๆ เขยิบตัวเองเข้าไปซุกอกกว้างของอีกฝ่ายจนถูกลูบหัวเบาๆ นั่นล่ะถึงได้วางใจว่าอีกคนไม่ได้โกรธอะไร


“ขี้อ้อน”


“ก็ไม่อยากให้พี่โกรธ”


“โกรธที่ไหน เรื่องเล็กน้อยเอง”


อ้อมแขนหนารวบผมเข้าไปในอ้อมกอดอุ่นๆ ร่างกายของเราใกล้กันจนผมอดเงยหน้ามองอีกฝ่ายไม่ได้


นัยน์ตาสีดำคู่นั้นเป็นประกายระยิบระยับราวกับท้องฟ้าในคืนเดือนมืด


ในวันที่ดวงจันทร์ดับลง หมู่ดาวจะทอแสงประกายเต็มฝากฟ้า


ในวันที่ขีดจำกัดทางสังคมหายไป ดวงตาของเขาทอประกายวับวาบกว่าทุกคราที่ได้เห็น


ไม่มีอะไรจะแยกเราจากกันได้อีกแล้ว


...ไม่มีแล้ว...


“จูบได้ไหม”


นั่นเป็นคำขอ พี่เปรมชอบขอผมเวลาจูบ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ได้ยินที่ไรก็จั๊กจี้หัวใจทุกที


“ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าไม่ต้องขอ”


มือสองข้างของผมคล้องเข้าที่คอของเขา


“ทำตามหัวใจของพี่เถอะครับ”


เพียงเท่านั้น ริมฝีปากของเราก็แตะกัน


เขารุกไล่ ผมโอนอ่อนตาม ปลายลิ้นของเราเกี่ยวกระหวัดกันไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า รู้ตัวอีกทีตัวของผมก็ถูกดันลงนอนราบกับพื้นกระเบื้องเย็น


เพราะพื้นมันเย็น ผมเลยโผเข้ากอดคนด้านบนแน่น


ไออุ่นจากอ้อมกอดของเขาพามล่องลอยไปยังห้วงฝันที่ทุกอย่างพร่าเบลอไปหมด สิ่งที่รับรู้ได้มีเพียงเสียงหอบกระเส่าที่ข้างหูและร่างกายที่สั่นคลอนไปตามการชักนำของอีกฝ่าย


“รักนะครับ”


'พี่รักน้องเสมอ ปักษาสวรรค์ของพี่'


ประโยคสองประโยคนั้นดังขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย


หนึ่งมาจากอดีต อีกหนึ่งมาจากปัจจุบัน


รักที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานขนาดนี้...ช่างเป็นความรู้สึกที่มีค่าเหลือเกิน


“รักเหมือนกันครับ”


...รัก...รักเหลือเกิน...

...ขอแค่มีเขาอยู่ข้างๆ แบบนี้ตลอดไป ผมก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว...








*************************************************************************************





ก็เป็นตอนพิเศษสั้นๆ เนอะ อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นเลย



ตอนนี้ก็ปิดจ๊อบแว่วเสียงการเวกอย่างเป็นทางการแล้วค่าาา เย่! ขอบคุณมากๆ ที่ตามอ่านกันมาตลอด ขอบคุณนักอ่านทุกคนเลยนะคะ ฝากติดตามผลงานกันไปยาวๆ เลยน้าา ^^





 
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 29-12-2017 21:44:29
ครึ่งแรกปวดใจมาก น้ำตาตกเลย สงสารคุณเปรมสุดหัวใจ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: IamLonelygirl ที่ 29-12-2017 21:51:25
มีความสุขสักทีน้า คุณเปรมมมมมฮืออออ
อยู่กันแบบนี้ไปนานๆน้าา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 29-12-2017 23:58:47
เฮ้ออออ กว่าจะได้หวานกันสักทีก็ต้องรอในตอนพิเศษเลย แต่อ่านแล้วก็รู้สึกดีนะที่ไม่ต้องทรมานกันแล้วคุณเปรมจากที่ในอดีตเรามองว่าเห็นแก่ตัวมาตอนนี้ก็ถือว่าพี่แกได้แก้ตัวแล้ว เหลือแต่คุณหมอนี่สิอยากให้คุณหมอมีความสุขบ้างจัง
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 30-12-2017 08:39:49
สงสาร คุณเปรมต้องร้องไห้คนเดียวนานขนาดไหนนะ คิดถึงแทบขาดใจจ ฮือออ แต่เจอกันแล้วนะ อย่าร้องไห้อีกเลย  :mew6:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 31-12-2017 01:30:59
ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: yehatt ที่ 03-01-2018 21:51:05
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :mew1: :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: FullFong ที่ 05-01-2018 11:46:57

ขอบคุณอีกครั้ง สำหรับตอนพิเศษ ยิ่งอ่าน ยิ่งรัก ทั้งหน่วง ทั้งสุข
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าอ้วงงง ที่ 05-01-2018 22:20:59
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-01-2018 18:50:23
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: MooMiew ที่ 07-01-2018 22:09:07
จริงๆ ไม่อยากอ่านพีเรียดเท่าไหร่เพราะไม่ชอบเรียนประวัติศาสตร์ 555555 แต่อันนี้ตามรีวิวมา เข้าบอกว่าดีก็เป็นคนเชื่อคนคนง่ายซะด้วยสิ

อ่านแล้วชอบนะ อ่านไปก็ตั้งคำถามต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ น่าติดตามๆ

เริ่มเรื่องก็มาเฉยๆ เหตุการณ์ปัจจุบันซะงั้นก็สงสัยว่าจะไปอดีตยังไง แต่พอย้อนอดีตแล้วนึกว่าจะเป็นแบบหนังเอเลี่ยนบุกโลกที่นางเอกเดินทางข้ามเวลาได้แบบนั้น แต่กลายเป็นเรื่องของจิตต่างหากล่ะ เหยด เจ๋งว่ะ คือไม่ได้ไปอดีตจริงๆ พูดง่ายๆ คือฝันต่างหาก

ชอบแนวคิดที่สอดแทรกในเรื่อง ชอบเรื่องราวของตัวละคร เออ มันเกี่ยวข้องกันอะ ตัวละครแต่ละตัวก็มีหลายด้าน มีเหตุผลของตัวเอง อ่านแล้วก็อืมๆๆ เข้าใจๆๆ

โดยรวมแล้วก็สนุกนะ ชอบๆ ภาษาสำนวนชวนอ่าน มีแทรกความรู้ด้วย ความรู้ที่ได้ใหม่คือภายในระยะเวลาประมาณ30ปีคาบเกี่ยวแค่3รัชกาล 555555 คือตอนแรกจำพ.ศ.ไม่ได้เลยว่ารัชกาลไหนพ.ศ.ไหน รู้สึกเสียชาติเกิดเป็นคนไทยมาก แต่นี่จะจำแม่นเลย พ.ศ.2460 ร.6นะ พ.ศ.2484 ร.9แล้วนะ กับเพลงพระราชนิพนธ์ด้วยยามเย็น โอ้จำแม่นเลยทีนี้

แต่ตอนจบเหมือนรีบตัดจบไปหน่อยเสียดาย มีความหมั่นไส้มอสเล็กๆ คนรายล้อมเยอะจังนะ 5555555

ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้เรื่องต่อไปนะคะ จะรอติดตาม

 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: super hero ที่ 08-01-2018 01:46:58
ขอบคุณค่ะ เรื่องนี้ทำเสียน้ำตาไปหลายตอนเลย
สงสารคุณหมอ  :hao5:

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Another Night ที่ 09-01-2018 17:13:52
อืมมมม อาหารคลีนกับหมูกรอบ :katai5:
ไม่รู้จะสงสารใครดี
คุณเปรมที่ต้องทนทรมานกับรักที่รักไม่ได้อยู่ทุกๆวัน
คุณหมอพีเทอร์คนดีของเราก็เฝ้ารักเฝ้าดูแลมาตลอด แต่สุดท้ายเค้าก็ไม่รัก (และก็นกต่อเนื่องทุกภพทุกชาติไป)
ถ้ามีสิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากนิยายเรื่องนี้สิ่งนั้นก็คงจะเป็น ความรักนั้น...ช่างบัดซบ!!! เดี๋ยวๆไม่ใช่ละ
ความรักคงเป็นสิ่งที่เราควบคุมมันไม่ได้ ไม่เอาไม้บรรทัดมาตีกรอบสร้างกฏเกณฑ์อะไรให้มันก็ไม่ได้ ชั้นจะรักคนเนี๊ย ทำไม!? ชั้นอินดี้!!! //ความรักไม่ได้กล่าวเอาไว้
พอได้เห็นเปรมกับกร(เอ๊ะ หรือกับมอส)รักกันด้วยดีในที่สุด ก็ดีใจ ในที่สุดทั้งสองคนก็มีความสุขด้วยกันสักที ไม่ต้องร้องไห้คนเดียว หรืออยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว
จะสงสารก็เเต่คุณหมอ... o22 o22 ปัดโธ่! หมอ แล้วดันไปสันยิงสัญญาว่าจะรักทุกชาติภพไปด้วยนะ ออหอออ ติดสถานะนกอย่างต่อเนื่องเลยนะคะคุณหมอขา เฮ้อออ :เฮ้อ:
เอาเป็นว่าถ้าหมอเหนื่อยก็หันมาทางนี้ได้นะคะ มานั่งพักให้คลายเหนื่อยได้นะ //ตบตักแรง
ทำใจนะหมอนะ พระรองก็เงี๊ย ดูแลแค่ไหนรักแค่ไหนสุดท้ายเค้าก็ไม่เอา เป็นเพื่อนเป็นที่พักใจเป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ยกเว้นคนที่เธอรัก อะเฮ้อ
ขอบคุณคุณนักเขียนมากค่ะ ที่แต่งนิยายดีๆสนุกๆแบบนี้มาให้ทุกคนได้อ่าน ชอบตรงมีการเขียนอธิบายไว้ตอนท้ายด้วยเลยได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นด้วย
ว่าแล้วก็ขอบ่นหน่อยเถอะ นิยายเรื่องนี้สนุกขนาดนี้ทำไมคนอ่านคนเม้นท์ดูน้อยๆล่ะ นี่เราตามมาอ่านเพราะเห็นคนแชร์ในทวิตนะเนี่ย เข้ามาอ่านกันเถอะ มันดีจริงๆนะ :sad4:

Love
Another Night
 :L2: :pig4: :L1: :3123: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: mameaw.omg ที่ 13-01-2018 00:49:26
สงสารพี่หมอฮือออออออ :hao5: :o12: :z3:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 13-01-2018 03:32:26
 :hao5:  อ่านแค่ตอนพิเศษนี่ก็พาน้ำตาคลอ

จะร้องไปกับคุณเปรมตลอด นึกถึงตรงนี้ก็ยังคงสงสารพี่หมออยู่ดี

ส่วนมอส!  น่าหมั่นไส้จริงๆ อยากหยิกสักที :katai2-1:

เรื่องนี้ก็ยังคงจะอยู่ในใจไปตลอดเลยล่ะนะ เป็นเรื่องที่ชอบมาก

แต่ก็ม่าเรียกน้ำตาจากเราไปมากทีเดียว แต่ก็นะ คิดว่าต่อให้

ผ่านไปอีกกี่ปีก็ตาม คงได้เข้ามาอ่านให้หายคิดถึงหลายรอบแน่ๆ

และทุกรอบคาดว่าคงจะมีน้ำตาไม่มากก็น้อยที่ต้องเสียให้เรื่องนี้

แล้วก็อย่างที่หลายคนบอก เรื่องนี้แต่งดีจริงๆ สนุกมาก

เราก็ได้แต่แปลกใจและงงๆว่าทำไมคนไม่ค่อยอ่านกันนะ

สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณมากนะคะที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาให้เรา

ได้อ่าน ได้อิน บ้าบอคอแตก ร้องไห้ตามจนตาบวม ขอบคุณจริงๆค่ะ

 o13  :mew1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Evil ที่ 14-01-2018 02:08:01
น้ำตาไหลเป็นน้ำป่าไหลหลากเลยค่าาาาา
สนุกมากกกกก
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: iNklaNd ที่ 22-01-2018 15:35:19
โยนหมอพีเธอะมาทางนี้ค่ะ ขอรับช่วงต่อเอง
พระรองที่แสนดี โถ่วๆๆ อุส่าห์หนีมาเริ่มต้นใหม่ที่สยาม ยังมาเจอหนุ่มไสแยมนีสใจร้ายอีก
แล้วไปสัญญากับเขาทำไม ดูสิตามมารักมาผูกจิต ไม่ไปไหน
สงสารคุณหมอจัง...
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 26-04-2018 05:13:43
อ่านแล้วแอบเศร้า สงสารหมอ สงสารพี่เปรม หมอนี่ก็รัก ๆๆ รักข้างเดียวไปตลอด ส่วนพี่เปรมปัจจุบันก็ยังฝันร้าย ส่วนมอสนี่ชาติที่เป็นกร เรียกได้ว่าชิงตายไปก่อน พอเป็นมอสก็พึ่งจะมารู้เรื่อง เรียกว่าเป็นตัวละครที่แอบโชคดีอยู่นะเนี่ย ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุก ๆ นะคะ ลุ้นแบบอ่านรวดเดียวจบเลย ลุ้นมากจริง ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 07-05-2018 15:46:08
 :-[
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 27-07-2018 08:23:22
อ่านจบเมื่อคืน ร้องไห้ตาบวม :mew6:
ครึ่งแรกเรื่องมันก็อ่านสบายๆเรื่อยๆ พอหลังๆสะบักสะบอมเลยค่ะ
 :sad4:
เรารู้มาก่อนแล้วว่าคุณเปรมเป็นพระเอก เราก็เลยอยู่ทีมคุณเปรมมาตั้งแต่ต้น แต่อดสงสารหมอไม่ได้จริงๆ ตอนที่หมอบอกว่าจะขอรักน้องไปตลอด เราร้องไห้หนักมากกก สงสารเขาอ้ะ
 :hao5:
เราอ่านบันทึกหน้าสุดท้ายของคุณเปรมซ้ำหลายรอบมาก โคตรเจ็บ โคตรเศร้า

นักเขียนแต่งดีมากจริงๆ ฉากที่น้องกับคุณเปรมพูดประชดกันเราอินหนักมาก เชียร์ให้ประชดหนักๆ มันเจ็บดี555

ขอบคุณมากๆนะคะ ประทับใจมากกก
 :pig4: :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 27-07-2018 09:39:49
เป็นอีกเรื่องที่จะทุ้มอยู่ในใจ  อ่านแล้วรู้สึกทรมานมาก ร้องไห้เงียบๆหมอนเปียกอยู่คนเดียว  คุณเปรมคือคุณคะทำไมดีแบบนี้ หมอก็ดี  อยากให้หมอมีคู่ค่ะ สงสารคุณเขามากๆ ดีใจที่ตอบจบคุณเปรมกับมอสได้อยู่ด้วยกัน  ฮือ ปวดตามากค่ะ เรียบเรียงความรู้สึกไม่ได้แล้ว แต่ชอบมากๆเลยนะคะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: mameaw.omg ที่ 29-07-2018 15:35:43
ฮืออปวดใจ :o12: ทีมพี่หมอรักพี่หมอนะคะเป็นพระรองที่น่าสงสารที่สุดคุณเปรมก็น่าสงสารเหมือนกัน
อยากรู้ชีวิตในปัจจุบันของพี่หมอบ้างอยากให้พี่หมอได้เจอคนดีๆทีรักพี่หมอได้บ้าง
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 10-09-2018 05:38:51
ทำไมรู้สึกอินกับพี่หมอมากกว่าคุณเปรมอีก

เสียน้ำตาให้พี่หมอทั้งอดีตและปัจจุบันเลย
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 02-10-2018 23:26:15
อ่านๆ ไปยังแอบหวังว่าไม้จะมาเคลมพี่หมอมั๊ย สงสารพี่หมอ
แต่ดูพี่เขาพูดสิ "น้องไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อยู่ให้พี่รัก ยิ้มให้พี่เห็นก็พอแล้ว ต่อให้น้องไม่รักพี่ แต่พี่ก็จะขอตกหลุมรักน้องแบบนี้ทุกภพทุกชาติไปอยู่ดี” รักมั่นขนาดนั้น ทั้งใจคงไม่เหลือให้ใครเคลมแล้ว ฮื้ออออ  :hao5:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 13-10-2018 22:49:49
สงสารคุณหมอ :sad4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: 30267 ที่ 21-10-2018 04:06:05
ฮืออ เขียนดีมาก ๆ อ่านไปก็น้ำตาไหลไป ขอบคุณนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: huoan ที่ 24-11-2018 22:37:58
นึกว่าจะพลิกเป็นหมอซะอีก 555 สงสารหมออ่ะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 23-01-2019 15:49:56
พี่หมอมาทางนี้ค่ะ อยากเข้าไปปลอบ // อ่านรวดเดียวจบเลย ขอบคุณคนเขียนมากๆ ค่ะ ชอบการเล่าเรื่องมากๆ เรื่องนี้มีหลากหลายอารมณ์ให้ติดตามมากๆ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Number1_90 ที่ 26-01-2019 10:19:40
ชอบมาก ภาษาสวย อ่านแล้วอินสุดๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 03-02-2019 03:41:11
ก่อนอื่นอยากบอกว่าเราชอบคาแรคเตอร์ผุ้ชายเรียบร้อยแบบทวดเปรมอ่า เวลาค้าจีบอ้อนขอความรักนี่มันจั๊กจี้หัวใจมาก น่ารักอ่า

แต่มีจุดเรายังสงสัย ว่าถ้าทวดเปรมตามตอนที่ทีม4 เดือน งี้ก็ต้องมาเกิดทีหลัง เป็นน้องไปอีกสิ?
แล้วตอนที่มีเสียงมาให้ได้ยินอีก เสียงนั้นมาได้ไง
หรือพี่อยากให้ได้ยิน?

อ่านตอนที่เขาสลัดรักกันในอดีตเราก็รู้สึกสะดุดนิดๆตรงที่มอสน่าจะเข้าใจว่าเปิดเผยตัวจะโดนประนามโดนก้อนหินปา แต่พอคุณเปรมต้องแต่งงานกลับรับไม่ได้ ถามคุณเปรมว่ากล้าเปิดเผยไหม อีกทำไมอ่ะ
คาดหวังอะไรกับความสัมพันธ์
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 18-12-2019 21:49:51
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ยกให้เป็น 1 ในนิยายในดวงใจ / ตอนจบจบดีมาก ตอนที่เขาเจอกันอีกครั้งเพลงคู่ชีวิตของ cocktail  ขึ้นมาในหัวเลย / ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 19-12-2019 12:39:14
อ่านไป​ ร้องไห้ไปจนเพื่อนถามว่าเป็นอะไร
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ​ สวัสดีปีใหม่​ 2563​ ล่วงหน้านะคะพี่ปอง​
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Areya ที่ 01-07-2021 08:44:20
 :L1: :pig4: ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายดีๆที่แต่งมาให้อ่าน ถึงจะมาช้าแต่มาอ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สำนวน ภาษา พลอต คือสุดยอดค่ะ บอกเลยค่ะว่าน้ำตาพรากตอนพี่หมอปีเตอร์ เอ็นดูนางสุดหัวใจค่ะ พระรองแห่งชาติจริงๆค่ะ ส่วนคุณเปรมและน้องกรต่างก็ก็น่าสงสาร ต้องทนทุกข์และเฝ้ารอมานานเหลือเกินกว่าจะได้มีความสุขสมหวังลงเอยกันได้ เป็นนิยายในดวงใจอีกเรื่องหนึ่งเลยค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะสำหรับเรื่องราวดีๆอย่างนี้ รักค่ะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 06-07-2021 20:47:47
อ่านแล้วส่งสารหมอค่ะ
น่าจะจัด 3P ไป อิอิ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmiku ที่ 10-07-2021 15:21:07
ดีมากกกก ชอบมากกกก เดิมทีชอบอ่านเกี่ยวกับกรรม เรื่องกลับชาติมาเกิดอยู่แล้ว คนแต่งผูกเรื่องได้สนุก ภาษาดีมาก มีเสริมความรู้อีกตังหาก รักคนเขียนเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 03-08-2021 08:34:46
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Vergintomza ที่ 10-11-2021 01:09:01
ลุ้นทุกบรรทัด ลุ้นทุกประโยคบอกเลย
หัวข้อ: Re: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Vergintomza ที่ 27-11-2021 22:42:40
 :mew6:ชอบมากครับ ขอบคุณมาก