พิมพ์หน้านี้ - (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: pradoza ที่ 30-10-2016 09:14:59

หัวข้อ: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 30-10-2016 09:14:59
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------





                                                    The Love อย่ามาใกล้ ถ้าไม่ได้รัก


คุณซี ศิริวัฒน์  เกียรติกุล



"นายคือน้ำตาล แต่ฉันขอเวลานะ ให้ฉันได้พิสูจน์ ว่ามดอย่างฉันอยากกินน้ำตาลเพราะมันหวาน หรือเพราะสีขาววาวล่อตานั้นกันแน่"

"ฉันอยากรักนาย ที่นายเป็นนาย ไม่ได้อยากรักนายเพราะนายหน้าเหมือนเขา"





พายุ วิริยะโยธิน



"ผมไม่รู้จริงๆ ว่าคุณต้องการให้ผมอยู่ในฐานะอะไร"

"อย่าเลยครับ อย่าทำให้ผมเข้าใจว่าคุณรักผมเลย ผมคือผม ผมเป็นตัวแทนของใครให้คุณไม่ได้"



หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :Intro
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 30-10-2016 09:24:23
=intro=
 
           
 
                อากาศเช้านี้ค่อนข้างแจ่มใส แต่อาการหงุดหงิดก็ปิดไม่มิด เพราะผม ติดอยู่ตรงนี้กว่า 20 นาทีแล้ว แอร์ในรถญี่ปุ่นกึ่งเก่ากึ่งใหม่ ค่อนข้างเย็น อากาศข้างนอกก็ไม่ได้รัอนอะไร แต่การที่รถอยู่นิ่งๆ แบบนี้ไม่ขยับกว่า 20 นาที มันส่งผลให้หงุดหงิดมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ตั้งใจตื่นตั้งแต่เช้า เพราะรู้ว่าวันนี้มีการปั่นจักรยานมาราธอน อะไรสักอย่าง รู้อยู่แล้วว่ารถต้องติดแต่ …. มันสมควรเป็นขนาดนี้ไหม
 
            ตำรวจจราจรเวลาเห็นหน้าพวกท่านแล้วผมหงุดหงิดจริงๆ ครับ มันช่วยไม่ได้เลย เวลาที่ผมเห็นพวกท่านทีไรรถก็มักจะติดแบบไร้สาเหตุอยู่เสมอ ขอโทษด้วยครับ แต่เสียงเป่านกหวีดกับมือที่ถูกสวมด้วยถุงมือสีขาวที่คอยกวัดแกว่งมันชวนให้หงุดหงิดจริงๆ ไหนจะรถที่ยาวเหยีดนั้นอีก
 
            ผู้คนเริ่มออกมาจากนอกตัวรถเพื่อดูว่าข้างหน้าเกิดอะไรขึ้นแน่ แค่ปั่นจักรยานไม่น่าที่จะติดนานขนาดนี้ อย่าถามถึงการไปทำงานสายเลยครับ พวกเราบนถนนสายนี้คงเลยจุดนั้นมาแล้ว และต้องยอมรับชะตากรรมที่จะต้องโดนเจ้านายดุด่าอย่างที่หาคำโต้แย้งไม่ได้ 'คุณต้องออกจากบ้านเช้ากว่านี้ซิครับ' นั้นคงเป็นคำตอบจาก เจ้านายแหละครับ
 
            RRRRRRRRRRRRRRR แค่นึกในใจเองครับ
 
            “ครับ”
            (คุณอยู่ตรงไหนครับ ผมมีประชุมเช้าคุณก็รู้นิครับ)
 
            ปลายสายปนน้ำเสียงโมโหมาให้ผมได้ยิน มันก็ไม่แปลกหรอก เพราะเอกสารที่ต้องใช้ในการประชุมเช้านี้ อยู่กับผม แต่ถ้าจะโทษก็เอกสารมันเรียบร้อยแล้วนี่ครับ คุณเจ้านายเองต่างหากหละ ที่อยากให้ผมแก้นั้นนิดแก้นี่หน่อย จนผมต้องอยู่ดึกดื่นแถมต้องหอบเอากลับไปทำที่คอนโดอีก
 
            “เอ่อ รถมันติดมากเลยครับ วันนี้มีปั่นจักรยาน ผมไม่คิดว่าจะติดขนาดนี้ครับ”
            (คุณก็ต้องออกจากบ้านให้เร็วกว่านี้ซิครับ)
 
            มันผิดจากที่ผมคิดไหมครับ มนุษย์เงินเดือนอย่างผม ก็ต้องทำตามที่เขาสั่ง ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นแหละครับ มันไม่ต่างจากกระโถนดีๆนี่แหละ
 
            “เอ่อ ผมออกแช้าแล้วนะครับ”
            (ออกเช้าก็ต้องทันซิครับ นี่ไม่ทันนี่ครับ)
 
            “ให้แมสที่ออฟฟิตมารับได้ไหมครับยังไงผมก็ไปไม่ทัน”
            (คุณนี่... แก้ปัญหาแบบเอาตัวรอดจริงๆ นะครับ แล้วแบบนี้ผมจะวางใจให้คุณดูแลหุ้นส่วนใหม่ของเราได้ยังไง)
 
            อ้าวคุณ แล้วจะให้ผมทำยังไงครับ ผมเหาะไปไม่ได้ โธ่!!!
           
            ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แมสเซนเจอร์ ของบริษัท ก็มาครับ เอกสารถูกส่งออกไป และผมก็นั่งสบายใจอยู่ในรถแล้วครับ เหมือนกับปลดเปลี้องปัญหาไปได้สักระยะ แต่ไอ้รถนี่มันจะติดอีกนานไหมครับ ผมตัดสินใจเปิดประตูออกไปดูบ้าง หลังจากนั่งเฉยๆ มานานแล้ว
 
            โครม!!!!
           
            เสียงที่ทำให้ผมขนลุกชันไปถึงสมองกลีบที่ลึกทีสุดเลยครับ ให้ตายเถอะ ช่วงจังหวะที่ผมเปิดประตู ก็มีจักรยานโผล่มาจากไหนไม่รู้ครับ ชนเข้ากับประตูที่ผมเปิดออก และเขาก็นอนพังพาบอยู่ตรงนั้น
 
            ผมค่อยๆหยัดตัวลุกออกจากเบาะคนขับ ยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่อะไรครับ ถ้าเขาตาย ผมจะทำยังไง แต่ไม่นะ แค่นี้เองจะทำให้ตายได้ยังไง เขาขี่มาเร็วหรือก็เปล่า อย่างมากก็แค่เจ็บแหละครับ
 
            เขาค่อยๆถอดแว่นดำหน้าตาประหลาด เงยหน้ามองผม หัวก็สวมหมวกกันน๊อครีๆยาวๆ นั้นไว้ สวมเสื้อกับกางเกงรัดรูป จนเห็น..... เอ่อ ช่างมันก่อนครับ มือที่สวมถุงมือหนัง
สีขาวดำนั้นถูกถอดอย่างช้าๆ และสายตาก็ยังไม่ละออกจากผม
 
            “คิดจะช่วยผมบ้างไหมครับ” เขาเอ่ยพูดในขณะที่ไม่ได้ขยับตัว และขาที่ถูกจักรยานทับนั้นก็นิ่งสนิท ผมค่อยๆ มองไปทางขากำยำนั้น แล้วก็ตั้งใจจะยกจักรยานออกจากขาเขา แต่ มันหนักครับ หนักมากจนผมไม่แน่ใจว่านี่จักรยาน หรื่อ จักรยานยนต์
 
            “ เอ่อ มันหนักครับ ผมยกไม่ไหว”
 
            “หึ.. ไม่แปลกใจเลยถึงได้ตัวกระเปี้ยกแบบนี้ไง” หลังจากที่ได้ฟังประโยคสบประมาณนั้น ก็ได้มองคาดโทษคนที่ยังนอนกองอยู่ที่พื้นถนน ก่อนที่จะมีหน่วยพยาบาลเข้ามาดูแล
           
            เชอะ ถึงจะผมจะเปิดประตูรถไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่เขาเองก็ขี่มาไม่ดูตาม้าตาเรือเหมือนกันนี่ครับ จะให้ผมทำยังไงได้ เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ผมอยากให้เขาบาดเจ็บรึก็เปล่า แล้วอีกอย่างปีนี้ผม 27 แล้วนะ มันถูกต้องแล้วหรือไงที่เรียกผมว่าตัวกระเปี้ยกอะ
 
           
            ผมอยู่หน้าห้องตรวจของโรงพยาบาลใกล้ๆ นี้ เขามีอาการปวดที่ข้อเท้าเพราะจักรยานล้มทับลงมาทั้งคัน มีข้อศอกที่ถลอกเล็กน้อย กับช่วงข้อมืออีกนิดหน่อย ข้อศอกกับข้อมือน่ะ ผมไม่ห่วงหรอก เพราะดุจากสายตาแล้ว ไม่น่าเป็นอะไรมาก แต่ไอ้ข้อเท้านี่ซิ เพราะผมวินิจฉัยด้วยตาไม่ได้ แต่ที่น่ากังวลเพราะหมอนั่นร้องจ๊ากทันทีที่ถูกพยุงตัวขึ้นแล้วเท้าแตะลงเล็กน้อยกับพื้นถนน ถ้าเขาเกิดขี่จักรยานไม่ได้อีกนี่เป็นเพราะผมใช่ไหม ดูก็รู้ว่าเขาต้องเป็นนักกีฬาแน่ อนาคตเขาต้องจบเพราะผมหรอ???
 
            ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรอผลตรวจโรคมะเร็งร้ายอะไรสักอย่าง เขาถูกหามเข้าไปในห้องตรวจเป็นพักแล้ว ผมก้มมองหมวกกันน๊อคหน้าตาประหลาดที่วางอยู่ข้าง ๆ“ดูแลมันอย่างดีเลยนะ ตัวเปี้ยก” เขาพูดแบบนี้ก่อนจะถูกหามเข้าไปโดยผู้ชายที่เป็นเจ้าหน้าที่อีกสองคน
 
               “ถ้าเป็นกระเป๋าตังค์หรืออะไรก็ว่าไปอย่าง แล้วฉันก็ 27 แล้วนะจะเรียกตัวเปี้ยกได้ไง” ผมพึมพำกับตัวเอง นั่งมองไอ้หมวกบ้านั้นที่เขาลั่นวาจาว่าถ้ามันเป็นอะไรไปจะเอาผมถึงตาย นั่งพึมพำได้พักเดียว คนบาดเจ็บก็นั่งรถเข็นออกมา
 
                 นี่ตอนที่เจอกันครั้งแรก เป็นเพราะหมวกทรงประหลาดกับแว่นตาที่เหมือนแว่นดำน้ำนั้นหรือเปล่านะ ผมถึงไม่ได้สังเกตหน้าตาของเขาเลย คิ้วหนาๆ ดำๆ นั้น ผิวหน้าสะอาดนั้น ไม่เหมือนกับคนที่ตากแดดปั่นจักรยานไปทั่ว สันกรามคมนั้นรับกับใบหน้าคนที่นั่งอยู่บนรถเข็น หัวใจของผมมันเต้นรัวอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ให้ตายเถอะ ผมไม่ได้ใจเต้นแรงตั้งแต่สมัยมัธยมที่แอบชอบนักกีฬาบาสรุ่นพี่ในโรงเรียนแล้ว มันนานซะจนผมเองลืมความรุ้สึกแบบนี้ไปแล้ว แขนกำยำนั้น ส่งมาที่ผม ทำท่าปัดป่ายโดยที่ผมไม่เข้าใจความหมาย เอาหละ ผมไม่ปฎิเสธว่าผมเห็นแต่กล้ามแขนของเขากับคราบเหงื่อไคล้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่
 
            “ตัวเปี้ยก” ผมสะดุ้งหลุดจากความคิดพิเรนทร์ ลามก (ละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับ) เสียงทุ้มๆ ที่เคยเรียกผมก่อนหน้านี้ทำไมผมไม่รู้สึกว่ามันน่าขนลุก จนตอนนี้ที่ผมได้ยินอีกครั้ง ผมกลับรู้สึกขนลุกซู่จนแทบจะหายใจหายคอไม่ออก
 
          “คะ...ครับ ว่าไงครับ” ผมขานรับออกไปเหมือนกับยอมรับชื่อนั้นโดยดุษฎี ผมอาจจะตัวเล็กนิดหน่อย ถ้าเทียบกับผู้ชายทั่วไปแต่ถ้าเทียบกับเขา ผมคงเป็นไอ้ตัวเปี้ยกจริงๆ
 
           “นายน่ะ ไปหยิบหมวกมา” ผมเดินไปหยิบหมวกมาให้เขาด้วยท่าทางว่าง่ายผมกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ ไปแล้วครับ
 
ระหว่างที่เขากำลังพิจารณาหมวกใบเก่าหน้าตาประหลาดนั้น คุณหมอก็เดินออกมาพอดี
 
“โอ๊ย....” ทันทีที่มือหมอวางลงบนไหล่เขา เจ้าบ้านั้นก็ร้องจ๊ากออกมา แต่เจ็บไหล่ด้วยหรอ
 
“นาย เจ็บไหล่ด้วยหรอ ขาก็เจ็บไหล่ก็เจ็บเหรอ แล้วแบบนี้...” ผมอดคิดไม่ได้ ว่าผมเองเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้หมอนั้นเป็นถึงขนาดนี้ แต่ยังไงผมก็ยังยื่นยันว่ามันไม่น่าจะเจ็บมากขนาดนั้น ก็มันชนไม่แรงนี่น่า
 
“พอได้แล้ว คุณซี” เสียงทุ่มเอ่ยจากผู้ชายที่สวมชุดกาวน์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟังจากน้ำเสียงเขาสองคนต้องรู้จักกันมากก่อนแน่ หรือว่า จะเป็นแก๊งค์ต้มตุ๋น ผมไม่ผิดใช่ไหม ที่จะคิดแบบนี้ แบบหลอกว่าเจ็บหนักแล้วจะเอาเงินก็มีเยอะแยะไปนิ แต่อยากจะหลอกอะไรผมหละ เอาไปเถอะ ผมไม่มีอะไรให้หลอกหรอกนะ
 
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกครับ ไอ้คุณซีแค่ข้อเท้าซะ......”
 
“น้องซี” ยังไม่ทันที่คุณหมอจะพูดจบประโยค เสียงผู้หญิงที่ดังมาจากทางเข้าประตูฉุกเฉินก็ดังลั่น เหมือนจะมีใครตาย ที่นี่โรงพยาบาลนะครับ เธอเดินผ่านหน้าผม โผเข้ากอดคนที่อยู่บนรถเข็นทันที
 
“เอบอกซีแล้วใช่ไหม ว่าให้เลิกขี่จักรยานบ้าบออะไรเนี้ย แล้วดูซิต้องมาเจ็บตัว รู้แบบนี้นะ ให้ขี่มอเตอร์ไซด์เหมือนเดิมยังดีกว่า ไม่ๆๆ นั้นก็หนังหุ้มเหล็ก เดี๋ยวเอจะบอกมี๊ให้เอาทั้งจักรยานทั้งบิ๊กไบท์ซีไปทิ้งให้หมดเลย ใช้รถยนต์สบายจะตายทำไมไม่ชอบ”
 
“พอแล้วเอ” เสียงคุณหมอห้ามผู้หญิง แต่งตัวดี ที่วิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาแล้วไม่ฟังเสียงใคร ผมที่ยืนอยู่ตรงกลางเหมือนเป็นคนนอกแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก
 
“แล้วใคร คนไหนที่ทำซีเป็นแบบนี้ บอกเอมาซิ” ไม่มีใครให้คำตอบเจ้าหล่อนได้ เธอกวาดสายตาไปทั่ว และ...หยุดลงที่ผม เธอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า จากเท้าขึ้นมาหัว ยกยิ้มที่มุมปาก กับสายตาที่ส่งมาแสนจะร้ายกาจไม่เหมือนกับหน้าตาน่ารักนั้นสักนิด
 
“อ่อ คงเป็นนายใช่ไหม ที่ทำให้ซีเป็นแบบนี้ นายแน่ๆ”
 
“เอ่อ คือ.... ผม”
 
“นายรู้ไหมว่าซีเป็นใคร รู้ไหมว่าเขามีค่ามากแค่ไหน”
 
“ผะ ผม ไม่ทราบครับ”
 
“พอน่าเอ น้องเขาหน้าซีดหมดแล้ว...” เป็นคุณหมอที่เขามาดึงผุ้หญิงตรงหน้าผมเอาไว้ พร้อมกับพูดปรามอยู่ในที
 
“หมอ แต่นายนี่ทำซีเป็นแบบนี้นะ”
 
“ไอ้ซีมันไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เท้าซ้นเท่านั้นเอง อีกวันสองวันก็ซ่าได้เหมือนเดิมแล้ว”
 
“ก็นั้นแหละ จะให้เอบอกมี๊ว่าไง ซีนั้งรถเข็นแบบนี้ ไหนหมอลองบอกเอหน่อย”
 
“เดี๋ยวนะครับ นี่คุณไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอ แล้วแหกปากร้องทำไมขนาดนั้น” เป็นผมบ้างที่ต้องเคลียร์กับคนที่นั่งอยู่บนรถเข็น
 
“เจ็บซิ ทำไมจะไม่เจ็บ ไม่เจ็บจะร้องหรอ หะ ตัวเปี้ยก” ชั่วแวบหนึ่งที่เราสบตากัน แล้วก็เป็นชั่วแวบเดียวที่ผมรู้สึกว่าสายตามันอยากจะอธิบาย แต่มันมีอะไรบางอย่างทำให้ผมต้องกลืนคำพูดทุกอย่างลงคอไปหมด ผมเป็นบ้าอะไรเนี้ย
 
“เห็นไหมหมอ ว่าซีเจ็บ ฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลยคอยดุ” พอพูดจบ ก็ส่งสายตาร้ายกาจมาหาผมอีกจนได้
 
“เอาเถอะ พอแล้ว นายน่ะ อยู่บ้านยังไงหรอ” ผมถึงกับถลึงตาใส่คนที่อยู่บนรถเข็นอยู่ดีๆ เขาก็ถามอะไรแบบนี้ออกมา อยู่บ้านยังไง? เขาถามอะไรของเขา
 
“หมายถึงว่าอยู่กับพ่อแม่ คอนโด มีรูมเมทหรืออะไรไหมแบบนั้น ถ้าอยู่กับพ่อแม่ฉันจะได้ไปหาท่าน”
 
“ปะ...ไปหาทำไมครับ”
 
“ก็ไปขออนุญาตไง ตกลงอยู่แบบไหน”
 
“ผมอยู่คอนโดครับ พ่อแม่ผมอยู่ต่างจังหวัด แต่ว่า ขออนุญาตอะไรครับ” ผมยังไม่ได้เข้าใจพฤติกรรมของคนตรงหน้า สายตาเขาดูยียวนกวนประสาท จนผมอยากเข้าไปกระชากคอให้ได้ นิ้วยาวที่เคาะบนหมวกกันน๊อคหน้าตาประหลาดบนตักมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
 
“ก็ขอให้นายไปอยู่กับฉันไง ฉันก็อยู่คนเดียว ขาแข้งเป็นแบบนี้ใครจะมาพยาบาลดูแลหละ”
 
“อะไรนะ!!!!”
 

               
TBC
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก : ตอนที่ 1 ย้ายมาอยู่ด้วยกัน
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 30-10-2016 09:28:13
=1=



ภายในห้องพักหรู ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ตัว ว่าตัวเองจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ในห้องที่ผมยังไม่เห็นเตียง (แล้วทำไมต้องหาเตียงก่อน) ผนังถูกทาสีดำสนิทสลับขาว ซึ่งมันก็เข้ากันดีกับคนคนนั้น จะใครหละ ก็คนที่ผมเพิ่งก่ออุบัติเหตุกับเขา ให้ตาย ผมไม่คิดเลยว่า การที่ชนกันเบาๆมันจะเป็นข้อผูกมัดให้ผมต้องมาอยู่ที่นี่ มันใช่เรื่องไหมหล่ะ

ก่อนหน้านี้ โรงพยายาล

"อะไรกันซี จะให้หมอนี่ไปอยู่ด้วยทำไม เอจ้างพยาบาลให้ก็ได้นี่" เสียงแผดปวดแก้วหูของผู้หญิงบุคคลิกดีคนเดิม ออกความคิดเห็นค้านหัวชนฝา หลังจากได้ยินว่าเขาต้องการให้ผมไปอยู่ด้วยเพื่อคอยดูแลพยาบาล ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ผมว่ามันไม่จำเป็นสักนิด

"ก็เขาทำฉันเป็นแบบนี้ เขาก็ต้องดูแลฉันซิ เออย่ามีปัญหา"

"ก็เอบอกแล้วไงว่าเอจะจ้างพยาบาลให้ ไม่งั้นก็โทรบอกแพร ให้แพรไปอยู่"

"เอ !!!" เสียงกระแทกนั้นเจือปนด้วยความโมโห ผู้หญิงตรงหน้าผมนิ่งไปเหมือนกับใครปิดสวิตไม่ใช่เพียงแต่เธอผมเองก็เหมือนกัน

"ตัวเปี้ยก เดี๋ยวเก็บของที่ห้องนายก่อนเอาแต่ที่จำเป็นพอหละ"

" เดี๋ยวครับ..." คนที่พยายามลุกจากรถเข็น หันมา ปลายตามาทางผมสายตาแบบนั้นมันน่ากลัวจนผมอธิบายไม่ถูกเขากำลังโมโหอะไรหละ

"คุณไม่ได้ถามความสมัครใจผมเลยนะครับ ว่าผมอยากไปไหม จริงๆจ้างพยาบาลอย่างที่คุณเอบอกก็ได้นี่ครับ"

"แล้วความรับผิดชอบของนายหละ มันจะถูกวางไว้ตรงไหน"

"ผมออกค่าใช้จ่ายให้ก็ได้นี่ครับ"

"......."

"อะ...เอ่อ ครับ แต่วันนี้ผมคงต้องโทรไปลางานก่อน" ผมพูดออกไปเพราะสายตาแบบนั้นส่งมาให้ผมอีกแล้ว เหมือนจะบอกว่า 'หยุดพูดได้แล้ว' กรรมเถอะครับ ผมทำตามคำพูดนั้นแบบไม่อิดออด ผมว่าเขาน่ากลัว ถึงแม้ว่าผมจะหาระดับของมันไม่ได้ แต่เชื่อเถอะครับ นอกจากความหล่อที่พุ่งเข้าตาแล้ว หมอนี่ก็แปลกประหลาดทุกอย่างในสายตาของผม

"โทรลางาน นี่นายทำงานแล้วหรอ"

"ครับ คุณคิดว่าผมอายุเท่าไรกัน"

C's part

ผมจ้องมองแผ่นหลังที่เคลื่อนออกไปเรื่อยๆ ยอมรับเลยครับว่าตกใจตอนที่ตัวเปี้ยกของผม (ตอนนี้ผมคิดคนเดียวก่อนนะ) จะเอ่ยปากออกมาว่าทำงานแล้ว หน้าตาของเขายังดูอ่อนกว่าผมซะอีก ผมคิดว่าเขาเป็นรุ่นน้องผมซะด้วยซ้ำ ให้ตาย ผิวขาวๆ ปากแดงๆ เอวเล็กๆ ตัวเล็กๆ แบบนั้นผมอยากกอดเขาให้จมอก เอาจริงๆ
ผมแทบจะไม่ได้เป็นอะไรเลยครับ แต่ที่น่าจะห่วงสุดคงเป็นข้อเท้าที่ผมรู้สึกเจ็บแต่มันก็แค่นิดหน่อยเท่านั้นครับ ไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่ก็ผมอีกนั้นแหละที่บอกให้ไอ้หมอมันพันผ้าให้เวอร์วังเข้าไว้ มันอดไม่ได้นี่ครับ เงยหน้ามาเห็นหน้าตาจิ้มลิ้มที่ตกใจเหมือนกับตัวเองฆ่าใครตาย ตากลมนั้นเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ เห็นแล้วก็อดแกล้งไม่ได้จริงๆครับ โธ่ ผมนะเบรกทันอยู่หรอกครับที่เห็นประตูรถเปิดออกมาแบบนั้น จักรยานนะครับมันจะเร็วได้สักแค่ไหนเชียว แต่พอเห็นหน้าของคนเปิดประตูผมก็อยากอาการสาหัสให้เขามาดูแลเลยครับ

"ไอ้ซี ไหนมึงบอกกูว่าเป็นเด็กไงวะ"

"ก็ไม่รู้ไงไอ้หมอ เข้าใจปะว่ากูไม่รู้" ผมกับหมอเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกัน ถึงตอนแรกมันไม่ได้ตั้งใจมาเป็นเพื่อนผม แต่ตั้งใจมาเป็นแฟนเอพี่สาวผมก็ตามแต่จนแล้วจนรอดมันก็เป็นแค่ไอ้พี่หมอเท่านั้นแหละครับ

"มึงเห็นหน้าก็คิดเหมือนกันใช่ไหมหละ หน้าแม่งเด็กสุด น่าฟัดน่าขยี้"

"มึงใจเย็นไอ้หื่น ถ้าเขาไม่มีรสนิยมแบบมึงโดนตอกหน้าหงายจะหาว่าพี่ไม่เตือน"

"ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้เปล่าวะ นี่ไงถึงต้องพิสูจน์โดยให้ไปอยู่ด้วยกัน"

"มึงจะลากไปได้เท่าไรวะ ขามึงอะ อยู่นิ่ง ๆ 2-3 วันก็หายแหละ" ไอ้หมอพูดพลางปรายตาดูข้อเท้าของผม

"ก็นี่ไง กูถึงได้ให้มึงพันผ้าหนาๆ ถ้าไม่แกะผ้าออก กูไม่เดิน แม่งเขาก็ไม่รู้ปะ ว่ากูไม่ได้เป็นไรมาก เอาน่า ยังไงมึงก็หมดห่วงไปเรื่องนึงแหละ"

"ยังไงวะ" ไอ้หมอยังคงทำหน้างงใส่ผม

"ก็อย่างน้อยกูก็ไม่ได้พรากผู้เยาว์ไงวะ" ไอ้หมอมองหน้าผมอย่างเอื่อมระอาแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ส่ายหน้าไปมา
ผมยังคงมองคนตัวเล็กอยู่บนรถเข็น ท่าทางที่ผมเห็น ผมคงทำเขาลำบากเข้าให้แล้ว ก็สังเกตได้จากท่าทางที่ดูหงุดหงิดแล้วก็สบถใส่โทรศัพท์แบบไม่มีเสียงนั้นแหละครับ

'ครับ...ครับ เข้าใจแล้วครับ ขอโทษด้วยครับหัวหน้า ครับ ครับ ผมจะรีบเคลียร์ทุกอย่างให้ทันครับ' "งี่เง่าชะมัดใครอยากให้มันเป็นแบบนี้วะ" พอวางโทรศัพท์ ตัวเปี้ยกก็ตีโพยตีพายกับเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในมือ เหมือนกับอยากได้ให้ปลายสายรับรู้ ทั้งๆ ที่วางสายไปนานแล้ว
"ตัวเปี้ยก เรียบร้อยรึยัง" เขาหันมาช้าๆ ถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ขมวดคิ้วแน่นใส่ผมอีก หน้าแกล้งชะมัด

"โดนดุรึไง" ผมพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเหย้าแกมเป็นห่วง ผมว่าท่าทางเขาตอนอารมณ์เสีย มันก็น่ารักไม่แพ้กับตอนตกใจเลยครับ

"วันนี้ผมมีประชุมตอนเช้าครับ แล้วก็เพราะงานจักรยานของคุณมันทำให้ผมไปไม่ทัน แล้วไหนที่คุณต้องมาเป็นแบบนี้อีก วันนี้วันซวยของผมชัดๆ" เขามองหน้าผมแล้วถอนหายใจอีกครั้ง

"ผมขอโทษครับ ความผิดผมแท้ๆ จะมาลงกับคุณมันก็ไม่ใช่คุณก็คงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้" คนตัวเล็กตรงหน้า เอ่ยปากขอโทษผม กับเรื่องที่เกิดขึ้น โธ่ ถ้าคนตัวเล็กตรงหน้ารู้ว่าผมตั้งใจ ผมโดนสำเร็จโทษแน่

"เอ่อ นี่ยังไม่รู้จักชื่อกันเลยนะครับ" เสียงไอ้หมอที่ไล่หลังมา ทำให้ผมคิดได้ว่า ยังไม่รู้เลยว่าคนตัวเล็กชื่ออะไร

"ผมชื่อ พายุ ครับ" คนตัวเล็กตอบแบบเนื่อยๆ ชื่อพายุ นี่ไม่ได้เหมาะกับตัวเลย ดูซิ ตัวกระเปี้ยกเดียว
"ผมชื่อวุฒิครับ หมอธรรมวุฒิ ส่วนสองคนนี้คุณก็น่าจะพอรู้จากบทสนทนาเมื่อกี้ นี่เจ้าซี ศิริวัฒน์ ครับ ส่วนนั้นก็พี่สาว เอ เอมมิกา" ไอ้หมอสาธยายยาวเหยียด

"ไม่เห็นต้องทำความรู้จักมักจี่อะไรมากมายเลยหมอ เอจะรีบเคลียร์เรื่องนี้ให้จบ แล้วนายก็ต้องออกจากห้องซีทันทีที่ฉันหาพยาบาลที่ถูกใจซีได้" เอาเถอะครับ เอยังคงแสดงท่าทางเหมือนแม่ผมเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ ยังไงดีครับ พ่อแม่เราไม่มีใครอยู่เมืองไทยสักคน เอ ก็เป็นผู้ปกครองกลายๆ นั้นแหละครับ ตั้งแต่เรื่องคราวนั้นเอก็เหมือนพวกกังวลจริต กลัวทุกอย่าง คิดคาดการณ์ไปข้างหน้าแบบหลายล้านปีแสงเลยครับ สีหน้าของคนตัวเล็กยังคงดูกังวลซึ่งที่ผมดูผมว่าไม่ใช่แค่เรื่องของผมแน่

"อย่ามองผมแบบนั้นเลยครับคุณเอ รีบเคลียร์เถอะครับ ผมไม่ได้อยากอยู่กับน้องคุณเลยสักนิด ถ้าเป็นไปได้ คุณก็คุยกับน้องคุณให้ล้มเลิกความคิดนี้ซิครับ" เสียงเรียบของคนตรงหน้า มันช่างต่างกับประโยคที่เหมือนจะแซะพี่สาวผมหน่อยๆ และผมรู้สึกได้เลยว่า เอ คงกำลังปริ๊ดแตกแน่ๆ ก็น้ำหนักมือที่อยู่บนไหล่ของผมนะ เจ็บนะครับพี่สาว

"นี่นาย...."

"เอาหละๆ พอได้แหละ ทั้งหมดนั้นแหละ" ผมรู้สึกขอบคุณไอ้หมอทุกครั้งที่มันห้ามอารมณ์ของเอได้ ถึงแม้เอจะบอกผมอยู่เสมอ ว่ายังไม่อยากมีความรัก เพราะต้องการดูแลผม แต่ผมก็รู้เลยว่ามีแต่ไอ้หมอนี่แหละ ที่เอจะเชื่อฟัง แต่ก็ยังปากแข็งอยู่

"ลุงจวงมาโน้นแล้ว" หมอพนักหน้าให้ทุกคนดูว่ามีรถคันใหญ่จากที่บ้านผมเองมาจอดอยู่

"คุณซีครับ ลุงเอาจักรยานขึ้นหลังรถเรียบร้อยแล้วนะครับ" คุณลุงจวงคือคนขับรถเก่าแก่ ท่านขับรถไปส่งผมที่โรงเรียนตั้งแต่เด็กครับ ความน้อบน้อมของแกนั้นแหละครับที่ผมรัก ถึงแม้ผมจะบอกอยู่ตลอดว่า ผมเด็กกว่าอย่าทำท่าทีน้อบน้อมขนาดนั้น แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ คุณซีคือลูกของคนมีพระคุณครับ ผมรักท่านเหมือนพ่ออีกคนเลยครับ

"ขอบคุณครับลุง ลุง เอาจักรยานกับเอไปเก็บที่บ้านทีนะครับ" คนตัวเล็กมองหน้าผมแล้วเอียงหัวเล็กน้อย ท่าทางแบบนั้นมันน่ารักครับ เหมือนหมางง มันน่าเอ็นดูครับ

"เดี๋ยวนะ ทำไมต้องให้ลุงพาพี่ไปด้วย"

"ก็จะใช้รถเอนะซิ เอากุญแจมา ถ้าเอไม่กลับบ้านจะขึ้นไปทำงานต่อก็ได้นี่" ผมหยักไหล่สองทีให้พี่สาว ใช่ครับที่นี่คือโรงพยาบาลของบ้านผมเอง ชั้นบนสุดเป็นออฟฟิต

"ซีชักจะเอาใหญ่แล้วนะ ทำไมไม่กลับบ้าน"

"ฉันว่าฉันพูดชัดแล้วนะ จะกลับไปอยู่คอนโดแล้วก็ให้พายุดูแล แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาหาพยาบาลหรอกเอ ยังไง เขาก็ต้องรับผิดชอบที่ทำฉันเจ็บ" เอ กระฟัดกระเฟียดเล็กน้อยก่อนจะหันหลัง ให้แล้วเดินผ่านประตูเข้าไปข้างใน ผมสะกิดแขนไอ้หมอให้ตามไปดูก่อนจะโวยวายจนโรงพยาบาลพัง

ไม่ถึง 5 นาที แพรคนที่พี่สาวผมพูดถึงนั้นแหละ ครับ คนที่ให้มาดูแลผมแทนพายุ ก็วิ่งเอากุญแจรถมาให้ เขามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าจากเท้าถึงมาหัว แล้วส่ายหน้าไปมา แพรเป็นเด็กข้างบ้าน ที่ชอบหมกตัวอยู่กับผม จนถึงเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนก็คิดว่าผมกับแพรคงต้องรักกันแน่ๆ แต่เปล่าหรอกครับ ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ก็คงรู้ ว่าผมไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นกับแพร แต่ความรู้สึกแพรที่แสดงออกมาแบบชัดเจนผมคงไปห้ามไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่มองเห็นความดีของเขาหรอกนะครับ ผมแค่รู้สึกว่า ความรักของผมมันพร้อมจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่ว่าเพศไหนด้วย เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เกิดขี้นกับแพร แค่นั้นเองครับ

กับคนตัวเล็กข้างหน้าก็เช่นกันครับ มันยังไม่ใช่แบบนั้น รักแรกพบมีแค่ในนิยายครับ ผมแค่รู้สึกว่าเขาน่ารัก น่าเอ็นดู และอยากทำความรู้จัก อยากสนิท และถ้าอนาคตมันจะเป็นมากกว่าสนิทผมก็ยินดี แต่มันยังคงไม่ใช่ความรักหรอกครับ

"ทำไมซีถึงดื้อแบบนี้ พี่เอเล่าให้แพรฟังหมดแล้ว" เธอพูดพร้อมกับยื่นกุญแจรถในมือมาให้

"ดื้ออะไรกันแพร เอก็เล่าเกินจริง"

"ให้แพรไปดูก็ได้นี่ จะได้ไม่ต้องลำบากคุณเขา" แพรเสหน้ามองอีกคน คนตัวเล็กเพียงแค่ยิ้มแหย่ๆ แล้วก็หันไปมองโทรศัพท์ของตัวเอง

"แพร.. ขอบคุณมากนะ แต่..แพรเข้าใจซีใช่ไหม" ผมลูบมือนิ่มเล็กๆ ที่เกาะอยู่บนหัวไหล่ แพรวาพนักหน้าเล็กๆ พร้อมกับเสียงตอบรับในลำคอแล้วเดินจากไป ผมส่งลูกกุญแจให้เจ้าหน้าที่ตรงประตูทางเข้าโรงพยาบาลไม่นานนัก รถซูเปอร์คาร์คันหรูของเอก็มาจอดต่อหน้า ผมโยนลูกกุญแจที่เจ้าหน้าที่ยื่นทันทีที่เขาเอารถมาจอดเรียบร้อย ให้กับคนตัวเล็ก เขารับไปแล้วทำหน้างงๆ ก่อนจะเดินไปฝั่งคนขับ

"อย่าถามนะว่าทำไม ขาแบบนี้นายจะให้ฉันขับหรอ" ผมพูดดักคอก่อนที่เขาจะเปิดประตู เพราะเห็นเขาทำหน้างงเอียงคอมอง เหมือนหมาสงสัย ท่าแบบที่ผมชอบนั้นแหละ

เขาขับรถได้ดีทีเดียว ถึงแม้มันจะออกแนวยืดยาดไปหน่อยเพราะความไม่ชินมือ แถบปากก็ยังบ่นไม่หยุด 'รถแพงขนาดนี้ไม่ชินมือเลย' 'เผลอไปเฉียวอะไร ไอ้ยุเอ่ยได้เป็นหนี้หัวโตแน่' หรือ 'จะรอดถึงห้องไหมวะ' แปลกที่ผมกลับเห็นว่าไอ้ถ่อยคำสบถเหล่านี้มันทำให้พลขับจำเป็นของผมดูน่ารักน่าหยิก

"ถึงแล้วหรอ"

"อื่ม" เขาแค่พยักหน้าพร้อมกับถอดสายเบลออก

"คุณจะทำอะไร" เขาเอ่ยปากถามเสียงแข็ง ในขณะที่ผมกำลังถอดสายเบลออกเหมือนกัน

"ก็ขึ้นไปกับนายไง"

"คุณไม่สมประกอบแบบนี้ จะขึ้นไปทำไมครับ ขับรถยังไม่ได้ หรือคุณแกล้ง" โอ๊ะ ผมลืมตัวเข้าให้แล้ว ดันลืมเรื่องไม่น่าลืมซะได้

"รีบไปรีบมานะ ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว"

"เป็นเด็กติดพี่เลี้ยงหรอครับ" อื่มมมม ดูท่าทางจิ้มลิ้มน่ารักแบบนั้น แต่เวลาเขากัดนี่ ผมหละแสบระบมมากกว่าข้อเท้าที่ซ้นนี่ซะอีก ผมยักไหล่แบบไม่สนใจจนเขาออกจากตัวรถไป

"ปากดีนักนะ รอก่อนเถอะ เดี๋ยวจะฟัดซะให้เข็ด

---------------------

ผมนั่งอยู่ปลายเตียง มองตู้ เสื้อผ้าที่เปิดอ้าซ่า ต้องยอมรับครับ ว่าในหัวผมมันตีรวนไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมควรค้านเขาหัวชนฝาเหมือนที่พี่สาวเขาทำ ทำไมผมจะต้องไปอยู่กับเขา ผมถอนหายใจแบบนี้อยู่ราวๆ 15 นาทีแล้วครับ ในหัวได้แต่คิดวกวนเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้ตาย ผมจะต้องไปอยู่กับเขาจริงๆ หรอ เฮ้อ.... แล้วผมก็ถอนหายใจออกมาอีกแล้วครับ

ผมเก็บเสื้อผ้าเพียงแค่สองสามชุดเท่านั้น เพราะผมคงได้ดูแลเขาเวลาที่ไม่ไปทำงานเท่านั้นแหละครับ จะให้ผมลางานมาอยู่กับเขาเลยมันก็ไม่ใช่ แล้วเมื่อกี้ผมก็แอบถามหมอมาแล้ว ว่าขาของเขาแค่สามสี่วันก็หาย ถ้าอักเสบก็ไม่เกินอาทิตย์ไม่มีประโยชน์ที่ต้องขนอะไรไปเยอะแยะ

ผมเก็บของส่วนตัวในห้องน้ำ มองตัวเองในกระจกแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ผมยังนึกถึงเสียงหัวใจของตัวเองที่มันเต้นโครมครามในตอนนั้นอยู่ ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ ที่ผมอยู่กับเขาผมต้องพยายามให้ใจสงบ อย่าเพิ่งคิดอะไรไป รักแรกพบ มันมีแต่ในนิยายครับ เรื่องจริงไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก

ท่าทางของเขาที่ยืนอยู่ข้างรถ ด้วยท่าที่ยกขาไว้ข้างหนึ่งไม่ให้มันแตะพื้น กับคิ้วที่ขมวดมุ่นนั้น อ่า... ผมคงใช้เวลาเก็บของนานเกินไป

"ยืนแบบนั้นไม่ปวดขาหรอครับ"
เขาไม่ตอบครับ แต่กลับโขยกเขยกตัวเองไปนั่งรอในรถ ผมเปิดประตูฝั่งคนขับ แล้วก็วางกระเป๋าใบเล็กที่เบาะหลัง

"ของแค่นี้เก็บนานเป็นชาติ ว่าแต่... มันจะไม่น้อยไปหรอ" เขาพูดพลางเหล่มองกระเป๋าเสื้อผ้าของผม

"หมอบอกแค่สามสี่วันก็หายแล้วนี่ครับ"

"นี่นายไม่คิดถึงผมข้างเคียงหรอ อักเสบเรื้อรังอะไรพวกๆนั้น"

"นี่คุณพูดอะไร ขาแพลงนะครับ ไม่ใช่แผลเบาหวาน"

"ช่างเถอะ ไม่พอไปซื้อใหม่ก็ได้"

"อะไรของคุณ"

"เสื้อผ้านายนะ ถ้าไม่พอไปซื้อใหม่ก็ได้ เพราะนานน่าจะอยู่กับฉันอีกนาน"

"เอาแต่ใจ ไอ่เด็กนี่" ผมพึมพำให้ได้ยินเพียงคนเดียว

"บ่นไรตัวเปี้ยก ได้ยินนะ"

"ได้ยินแล้วถามทำไมครับ"

ผมยังนั่งอยู่บนโซฟาสีดำสนิท กลางห้องผนังสีดำนี้ เหตุการ์ณมันรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว แล้วผมเองก็มาที่นี่แบบไร้เหตุผลตามหลักความจริง เที่ยวมาอยู่กับคนไม่รู้จักกับคำว่ารับผิดชอบที่แสนยิ่งใหญ่ ให้ตายเถอะ บางทีผมก็อยากทึ้งหัวตัวเองที่ไม่หัดปฏิเสธซะบ้าง

ผมต้องกลืนน้ำลายหนืดลงคออยู่หลายรอบกับภาพตรงหน้า จะใครซะอีกหละครับ ก็เขาเล่นถอดเสื้อ แล้วไอ้กล้ามท้องกับผิวขาวๆนั้น เขยกขาเดินไปเดินมา ผมว่าเขาไม่น่าจะเจ็บเท่าไรกระโดดกะหยองก๊องแก่งแบบนั้น

"ตัวเปี้ยก" เสียงเรียกของเขาทำให้ผมหลุดออกจากความคิดในทันที

"ไม่ต้องเรียกดังแบบนั้น แล้วอีกอย่างผมมีชื่อ"

"ฉันเรียกหลายรอบแล้วนิ แล้วก็ชื่อเนี้ยแหละน่ารัก แล้วฉันก็เรียกได้คนเดียวด้วย จำไว้"

"....." นี่มันอะไร ถ้าไม่ได้เพิ่งเจอกัน แล้วมาทำแบบนี้ นี่มันอ่อยกันชัดๆ

"เป็นอะไร เหม่อ แล้วก็หน้าแดงแบบนั้น"

"มะ...ไม่มีอะไรนี่ครับ"

"เขินหรอ"

"ปะ เปล่านี่ครับ ทำไมผมต้องเขิน"

"เอ้า ไม่ก็ไม่" รอยยิ้มกริ่มที่ปรากฏตรงมุมปากนั้น มันชวนใจสั่นซะจนผมไม่กล้าขยับไปไหน

เขานั่งลงข้างๆผม ซึ่งผมรู้สึกได้ว่ามันใกล้ไปครับ ใกล้มาก ผมขยับตัวหนีเขา จนชนกับพนักวางแขนแล้ว ทำอะไรไม่ได้ครับเพียงได้แต่ส่งสายตา

"เอ่อ ทำไมต้องขยับมาใกล้ขนาดนี้ครับ ที่ก็เหลือตั้งเยอะ" ผมชะโงกหน้ามองเนื้อที่ของโซฟา

"อยากนั่งใกล้ๆ" พูดเสร็จ ไม่เพียงแต่ไม่ขยับออกแต่กลับยังส่งส่ายตาแบบนั้นมาอีก นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นผู้ชายด้วยกัน หรือไม่คิดว่าเขาคงไม่รู้ว่าผมจะมีความรู้สึกกับเพศเดียวกันได้ขนาดนี้ ผมต้องคิดแน่ๆ สายตาที่ส่งมาแบบนั้น แต่ผมจะไม่ใจอ่อนครับ ผมจะไม่ยอมตกเป็นทาสเขาเด็ดขาด อีกอย่างสาวน้อยหน้าหวานที่เอากุญแจมาให้คนนั้น คุณแพรนั้นแหละครับ ผมว่าคงเป็นแฟน ถ้าไม่ใช่ก็คงเป็นคนที่ เอ พี่สาวของเขาหมายหมั่นปั่นมือไว้แน่ๆ

"...."

"ไม่แกล้งแล้วก็ได้ ทำกับข้าวเป็นไหม"

"......." ใครจะทำเป็นกันเหล่า ผมเป็นผู้ชายนะ

"ไม่เป็นซินะ หิวไหมหละ ฉันทำอะไรให้กิน" ฮะ ทำอะไรให้กิน

"คุณทำเป็นหรอครับ ผมว่า ผมไปหาซื้ออาหารแถวนี้มาให้ดีกว่า" ไม่มั่นใจครับ ไม่มั่นใจอย่างมาก

"ทำเก่งนะ แล้วนายจะติดใจไม่อยากไปจากที่นี่เลย คอยดู"

"ผมไม่ใช่คนเห็นแก่กินนะครับ"

คนตัวสุง ไม่ใส่เสื้อ แต่กลับสวมผ้ากันเปื้อนเอาไว้ ขาข้างที่เจ็บยกลอยเหนือพื้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลดความเท่ห์ของเขาไปได้เลย อ่า..... ผมกำลังชมเขาอยู่ครับ เขาหล่อนี่ แล้วก็หุ่นดีด้วย เวลาผมเห็นกล้ามเนื้อของเขา ก็อดที่จะมองพุงน้อยๆ ของตัวเองไม่ได้เลย ทำไมนะ เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ

ท่าทางคล่องแคล้วของเขา มันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาแบบไม่รุ้ตัวครับ ตอนที่รู้ว่ายิ้มน่ะ

"ยิ้มอะไรตัวเปี้ยก มากินได้แล้ว" ผมก้าวขาเดินออกจากขอบประตูไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวอย่างว่าง่าย ลงนั้งตรงข้ามกับเขาและก้มมองสปาเก็ตตี้ในจานที่ถูกจัดไว้อย่างดี

"กินไปเถอะนะ ไม่ตายหรอก ไม่ต้องเพ็งมันขนาดนั้นก็ได้" ไม่ใช่ว่าผมอยากจะมองอาหารในจานนี่สักหน่อย แต่ถ้าให้ผมมองหน้าเขา ผมคงเก็บอาการไว้ไม่อยู่ 'ไอ้ยุเอ้ย ลำบากแล้ว'

"เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็ขอบใจฉันด้วย ที่ทำอาหารให้นายกิน ทั้งๆ ที่นายทำฉันเจ็บ"

"........." ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา สายตาที่เขาจ้องผมมานั้น มันแบบ ยังไงดีหละครับ เหมือนเขาดูตั้งอกตั้งใจจ้องไม่ให้คาดสายตาเลยทีเดียว

"เป็นอะไร ทำไมไม่กินหละ หรือนายไม่ชอบสปาเก็ตตี้ อยากกินอะไรหละ ฉันทำให้ใหม่ก็ได้"
"ปะ เปล่าครับ ผมไม่ได้ไม่ชอบ"

"งั้นก็ แปลว่า ชอบ นะสิ" เขาเน้นหนักตรงคำว่า ชอบ ซะเสียงหนา ถ้ายังทำแบบนี้อีก ผมจะคิดว่าคุณชอบผมแล้วนะคุณซี

อาหารมื้อกลางวันของผมในคอนโดของเขามันค่อนข้างน่าอึดอัด รวมถึงผมด้วย ก็เขาน่ะ ดูสบายใจจนออกนอกหน้า ก็มีบ้างที่จะเรียกให้หยิบน้ำ ขนม ให้ ระหว่างที่เขานั่งดูการ์ตูนเรื่องโปรด ไม่ผิดครับการ์ตูนจริงๆ

"ตัวเปี้ยก ป๊อปคอร์นได้ยัง" ผมยืนมองแผ่นหลังกับทรงผมยุ่งที่โผล่พ้นพนักโซฟาออกมา เสียงติ๊ด จากไมโครเวฟและก็เสียงเขาทีดังขึ้นพร้อมกัน ผมสวมถุงมือบุฟองน้ำอย่างดี แล้วก็เอาถึงป๊อบคอร์นออกมาเทใส่โถแล้วถือไปเสริฟ์ให้ถึงที่

"มาแล้วครับ"

"นั่งดูด้วยกันซิ" เขาพูดพร้อมกับรับโถแก้วใบใหญ่ไปจากมือผม แต่ไม่ขยับตัวสักนิด

"อยากให้นั่งก็ขยับไปหน่อยซิครับ"

"ไม่อะ ไม่ขยับ แต่นายต้องนั่ง" นี่มันอ่อยกันเห็นๆ

ผมลงนั่งข้างๆ พอนั่งลงปุ๊บ ระดับหน้าของผมก็ชนกับอกแกร่งนั้นพอดิบพอดี ใจของผมเต้นไม่เป็นส่ำแถมมือไม้ก็สั่นแถบจะควบคุมไม่ได้ ผมควรทำยังไงดีครับ นี่แค่วันแรก กว่าจะครบอาทิตย์ หัวใจผมคงแตกเป็นเสี่ยง

"เป็นอะไร ตัวแข็งเชียว"

"ปะ..เปล่า ว่าแต่คุณจะไม่ใส่เสื้อหรอ"

"ทำไมอะ"

"ผมแค่รู้สึกว่ามันน่าอาย ผมเป็นคนอื่นคุณก็น่าจะ..."

"อายอะไร ผู้ชายเหมือนกัน วันนี้ยังตั้งใจให้นายถูหลังให้ด้วยซ้ำ"

อะไรนะ ถูหลัง ให้ตายเถอะบ้าไปแล้ว ผมจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง มีหวังได้เขินตายกันพอดี แล้วอีกอย่างผมควรบอกเขาไหมว่า ผมเป็นแบบไหน เขาจะได้ระวังตัว

"ทำหน้าตกใจอย่างกับทำใครตาย ทำหน้าเหมือนตอนที่เปิดประตูมาชนชั้นเลย"

"คุณขี่มาชนประตูผมต่างหากเล่า"

"ฮ่าๆๆๆ จริงซินะ"

เขาหัวเราะเล็กๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ ก้มหน้าก้มตากินป๊อปคอร์นในมือดูสนอกสนใจหนังตรงหน้าเหมือนไม่มีผมอยู่ตรงนี้ มันทำให้ผมกลับเข้าหาความอึดอัดอีกครั้ง

ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากเราทั้งคู่ เขายิ้มและหัวเราะให้กับการ์ตูนตรงหน้า ผมคงทำได้แค่คอยชำเลืองมองแก้มสากนั้นเป็นระยะ โดยไม่ให้เขารู้ตัว ผมต้องทำยังไง
ผมต้องทำยังไงกับหัวใจของผมครับ

TBC

 

 

หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก : ตอน2 สวัสดีตอนเช้า
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 05-11-2016 08:23:09


=2=




 

ผมมองคนตัวเล็กขยุกขยิกอยู่บนเตียง ตอนนี้เกือบแปดโมงแล้วเจ้าตัวเปี๊ยกของผมกำลังจะไปทำงานสาย ผมละสายตาจากแฟ้มประวัติของใครบางคน ก็สิ่งที่อยู่ต่อหน้ามันน่าสนใจกว่านี่ครับ

พายุ วิริยะโยธิน  เลขานุการฝ่ายประสานงาน บริษัท เค ดีเวลลอปเม้นท์

นั่นคือแฟ้มข้อมูลที่ผมกำลังอ่าน ครับ ลูกน้องของเอเพิ่งเอามาให้เมื่อคืนตอนคนตัวเล็กหลับไปแล้ว

เมื่อคืน เสียงออดหน้าห้องทำให้ผมตื่น คนที่ตอนนี้หลับอยู่ข้างๆโดยหัวเล็กๆนั่นวางอยู่บนไหล่ของผม ผมพลาดโอกาสที่จะสูดกลิ่นหอมนั่นไปแล้วเพราะเผลอหลับ ทีวียังคงเล่นการ์ตูนเรื่องโปรด โหลแล้วที่ตอนนี้ป๊อปคอร์นก็หมดไปเกือบค่อน ผมรู้สึกว่าภาพรอบตัวที่ดูจะธรรมดามันน่ามองไปหมดแม้แต่เสียงในทีวีก็ดูน่าฟัง ถ้าพูดให้ไอ้หมอฟังมันต้องว่าผมบ้าแน่ๆ ผมค่อยๆ ขยับอุ้มเจ้าตัวเปี๊ยกไปวางบนที่นอนอย่างเบามือที่สุด ก่อนที่จะเดินไปเปิดประตู

"คุณหนูครับ" ลูกน้องคนสนิทของเอทำความเคารพผมก่อนที่เดินก้าวตามเข้ามาในห้อง

"เป็นไงมั่ง"

"ประวัติค่อนข้างราบเรียบครับ ดูจะเป็นคนบ้างานไปสักนิด แทบจะไม่เจอที่อื่นเลยนอกจากที่ทำงานแล้วก็ห้องพัก"

"อื่ม" ผมตอบไปสั่นๆ พลางมองแฟ้มในมือ รูปตั้งแต่ตอนเด็ก เรียนมัธยม มหาวิทยาลัย อื่ม ปีนี้เขาอายุ 27 แล้ว แก่กว่าผมสองปี แต่ผมจะไม่ยอมเป็นน้องเขาเด็ดขาด

"เป็นลูกคนเดียวครับอยู่ต่างจังหวัด ที่บ้านค้าขายแล้วก็มีสวนผลไม้อยู่ไม่กี่ไร่ครับ"

"ขอบใจมากเดี๋ยวฉันจัดการเอง นายกลับไปเถอะ.... อ่อ แล้วเรื่องนี้เอคงไม่รู้หรอกนะ" ผมกำชับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป

คนตัวเล็กนอนเอาตัวซุกกับผ้าห่ม เอ๊ะ หรือว่าแอร์จะเย็นไปก็ผมขี้ร้อนนิ หรือผมจะเบาแอร์ ไม่ดีกว่า
ผมคิดได้ก็ขยับตัวเข้าหาเจ้าก้อนเล็กที่มุดอยู่กับผ้าห่ม ห่มผ้าผืนเดียวกัน และดูเหมือนพายุจะหนาวจริงๆ ทันทีที่ผมแทรกกายลงนอนเขาก็ซุกหาอกอุ่นทันที



 

 

"สวัสดีตอนเช้า" ผมหยุดความคิดเรื่องเมื่อคืน เมื่อคนที่ผมคิดถึง เด้งต้วลุกขึ้นจากเตียงในทันที

"นี่กี่โมงแล้ว..ครับ" สติคงกลับมาแล้วถึงได้กระโจนลงจากเตียงแบบนั้น ผมไม่ได้ตอบเขาหรอกครับ เขาคว้าเอาโทรศัพท์มาดูเองต่างหาก พอเห็นว่าเกือบแปดโมงแล้วตาก็ลุกวาว

โครม!!!!!

ขาสั้นแค่นั้นจะกระโดดพ้นได้ยังไง ผมรีบเข้าไปดูจนลืมตัวว่าตัวเองขาเจ็บอยู่

"เป็นอะไรไหม"

"ไม่ครับ แต่ขาคุณ...." ผมคงตกที่นั่งลำบากแล้ว

"......."

"เย็นนี้ให้ผมกลับมาก่อนอย่าไปไหนนะครับ คุณตายแน่"

นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่เขาจะวิ่งเข้าห้องน้ำไป ผมนั่งมองคนตัวเล็กวิ่งไปวิ่งมา พลางก็บ่นไปเรื่อย "เนคไท เนคไท" " ผ้าเช็ดหน้า อ่าาา ไม่ได้เอาผืนเก่งมา" "บัตร บัตร บัตร พนักงาน"  เขาวิ่งไปมาจนน่าเวียนหัว แต่ทำไมผมกลับรู้สึกกว่ามันน่ารักดุ๊กดิ๊กอย่างบอกไม่ถูก

"เอ้า ตัวเปี๊ยก อ้าปาก" ผมยื่นแซนวิชชิ้นเล็กที่แอบทำตอนเขาเข้าไปอาบน้ำ

"ไอ่อานอั้ยอ่ายอับ อ๋มอ้ายแอ้ว" พูดไม่เป็นภาษาก็ยังอยากจะพูด

"จะไม่กินได้ยังไง มันก็ไม่ได้เสียเวลามาก แล้วก็ไม่ต้องคิดจะไปขึ้นรถเมล์นะ ลุงจวงรอข้างล่างแล้ว ตั้งใจทำงานนะเด็กน้อย"  พูดจบผมก็ดันหลังคนดื้อ ที่เอาแต่จ้องตาเขม็ง ให้ออกจากห้องไป

"รอก่อนนะครับ เรามีเรื่องต้องคุยกัน"  มือที่ถือเอกสารเต็มมือ ผละออกมาเพื่อหยิบแซนวิชที่ถูกกัดไปนิดหน่อยมาถือไว้



 

 

"เชิญครับ คุณหนู" ลุงจวง คนขับรถของคุณซี เปิดประตูรถให้ผมพร้อมกับค่อมหัวให้อย่างสุภาพ ผมก็ทำตอบกลับไปเช่นกัน

"เรียก ยุ ก็ได้ครับลุง ใครๆก็เรียกผมแบบนั้น คุณหนูน่ะ เก็บไว้เรียกคุณหนูตัวแสบของลุงเถอะ" แกไม่ได้มีสีหน้าว่าจะโกรธเคืองแถมขำใส่ผมอีกต่างหาก คงจะแสบมากจนลุงจวงยังขำออกมา

ผมเข้าไปนั่งในรถคันโก้สีดำสนิท มีพลขับให้ นี่เป็นครั้งแรก ที่คนอย่างไอ้พายุมีคนขับรถให้นั่ง บรรยากาศ มันเงียบแต่ก็ไม่ได้อึดอัดจนทนไม่ได้ ภาพใบหน้าของผู้ชายที่ตื่นมาเจอในตอนเช้าพร้อมกับคำว่า สวัสดี มันยังไม่ลบไปเลย ผมควรรีบจัดการกับหัวใจของตัวเองก่อนมันจะเลยเถิดไปกว่านี้ ผมไม่ได้รักเขา ใช่ นั้นถูกต้องที่สุด ผมจะไม่รักคนที่เพิ่งเจอกันแค่สองวันแน่ๆ แต่หัวใจที่มันเต้นแรงเวลามองไปในแววตาคู่นั้น มันก็ทำให้ผมกลัว

"ลุงครับ ลุงอยู่กับคุณหนูนานแล้วหรอครับ"

"ตั้งแต่สมัยพ่อของท่านนั้นแหละครับ"

"เอ่อ คุณหนูเขามีแฟนรึยังครับ" ลุงไม่ตอบได้แต่นิ่งเงียบ มองผมผ่านกระจกหลังในสายตาเชิงสงสัย ผมถามผิดคำถามซินะ

"เอ่อ ก็ที่ผมหมายถึงคือ คุณซีเขาหน้าตาดี ช่วงหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ผมอยู่กับเขาไม่เห็นเขาจะมีโทรศัพท์ เล่นแชทอะไรพวกนั้นเลยนี่ครับ ก็เลยสงสัย ..เอ่อ... ผมขอโทษครับลุง" ลุงจวงคนเก่าแก่ แกไม่ได้ตอบได้แต่พยักหน้าเล็กๆให้ผม ทำให้ผมเข้าใจได้เองโดยที่ลุงแกไม่ต้องพูด ว่าบทสนทนาของเราควรจบลงตรงนี้

ใช้เวลาไม่นานผมก็มาถึงที่ทำงานแล้วครับ ผมเงยหน้ามาองตึก 15 ชั้นตรงหน้า ป้ายใหญ่ บริษัท เค ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เด่นเป็นสง่าอยู่หน้าตึก ผมทำงานที่นี่เข้าปีที่ 5 แล้ว แต่ยังโดนด่าทุกวัน ถึงจะพยายามยังไงก็ไม่เคยถูกใจคุณเจ้านายสักที บางทีผมก็แอบคิดว่าเขาต้องเกลียดอะไรบางอย่างในตัวผมแน่ๆ อย่างเช่นวันนี้

"คุณหนูเป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมไม่ขี้นไป" ลุงแกคงเห็นผมลงจากรถได้พักนึงแล้วแต่ก็ยังไม่ขึ้นไปสักที

"วันนี้ผมตื่นสาย อยากยืนทำใจสักพักครับ"

"โดนดุหรอครับ"

"แน่ๆ เลยครับ" ผมบอกแกออกไปหลังจากพยักหน้างึกงัก ส่งไปให้ ลุงจวงค้อมหัวให้ผมอีกรอบในขณะที่ผมก็ขอบคุณแกกลับเช่นกัน ก่อนที่รถยนต์คันสวยจะเลื่อนออกไปจากหน้าตึก





"ไอ้ยุ แกตายแน่เตรียมโดนเชือดในห้องมืดได้เลย"

"รู้แล้วน่าเจ้" ผมบอกเพื่อนร่วมงาน เจ้เจน สาวสวยประจำออฟฟิต ที่โสดสนิทเพราะปากพี่แกเอง อันนี้ผมไม่ได้พูดแต่แกพูดเองอยู่ตลอด ปากหมาแบบฉันใครจะมาจีบ นั่งจิบกาแฟเท้าคางมองผมด้วยสายตาเยาะเย้ยสุดๆ ผมเตรียมใจมาแล้ว เมื่อวานไม่ได้เอาเอกสารมาเข้าประชุม แถมยังไม่ได้มาทำงานอีกทั้งวัน วันนี้ยังสายอีก

"เห็นหน้าฉันปุ๊บถามถึงแกปั๊บเลย" ผมถอนหายใจพรูดออกมา นึกไปถึงหน้าคนยียวนนั้น ถ้าผมโดนไล่ออกจะให้คนขี้แกล้งสำออยเจ็บขารับผิดชอบยังไงดี

"น้องยุคะ บอสบอกว่าถ้าน้องยุมาแล้วให้เขาไปหาเลยค่ะ" พี่ฟ่างคนสวยเลขาบอส เจ้านายของผม เดินมาบอกด้วยทางกล้าๆกลัวๆ วันนี้เขาคงอารมณ์เสียไม่น้อย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะประตูก่อนที่จะค่อยๆ ก้าวเข้าไปในห้องทำงานใหญ่ เขายังนั่งหันหลังอยู่แบบนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมเข้ามาแล้ว

"ทำไมถึงมาเอาป่านนี้ครับ"

"ผมตื่นสายครับ" ผมพูดความจริงออกไป ป่วยการที่จะสร้างเรื่องโกหก มาถึงตอนนี้ผมคงต้องพร้อมชน

"ดีครับ งั้นคุณอยากนอนตื่นสายทุกวันไหมครับ" เก้าอี้หนังตัวใหญ่ค่อยหมุนกลับมา ใบหน้าหล่อเหลาที่ผมเคยรู้สึกยินดีที่ได้เห็นตอนนี้กลับรู้สึกรังเกียจจนบอกไม่ถูก รอยยิ้มที่แสยะออก ส่อถึงอาการของคนมีอำนาจเหนือกว่า อยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ จ้องหน้ากันแบบนี้มันอึดอัดจนอยากจะเดินออกจากห้อง

"............"

"ทำไมไม่ตอบหละครับ คุณพายุ ผมถาม คุณควรพิจารณาตัวเอง คุณทำงานผิดพลาด มาสาย ให้ผมทำยังไงกับคุณดีครับ" ผมไม่เคยทำงานถูกอยู่แล้วนี่ครับ จริงๆ แล้วคุณเจ้านายจะให้ผมทำยังไงก็พูดออกมาเลยดีกว่า อย่าเล่นสงครามประสาทกันเลย ผมผิดจริง จะลงโทษยังไงก็ว่ามาเถอะ

"ยังคงไม่ตอบ คนที่เกิดอุบัติเหตุเป็นยังไงบ้างครับ"

"มีอาการที่ข้อเท้า แล้วก็น่าจะมีอาการทางสมองด้วยครับ" ครับอาการทางสมองใครจะแสดงละครโกหกหน้าตายได้ขนาดนั้น พอพูดถึงอุบัติเหตุหน้าของคนโกหกขี้สำออยก็ลอยเด่นมาให้เห็น

"อยากออกไปดูแลและรับผิดชอบเลยไหม" อยากว่าอยากพูดอะไรก็ตรงๆเลยได้ไหม หน้าตาท่าทางยียวนกวนประสาทนั่นจะทำให้ผมระงับสติไม่อยู่ ท่าทางกวนประสาทของเขาทำให้ผมอยากจะกระโจนเข้าไปซัดหน้าเขาสักหมัด

RRRRRRRRRRRRRRRRRR

"ครับ ....... อะไรนะครับ........ เอ่อ.... ครับ ได้ครับ พายุ หรอครับ" เสียงพูดคุยโทรศัพท์ของเจ้านายทำให้ผมคิ้วขมวด เพราะมีชื่อผมอยู่ในบทสนทนานั้นด้วย

ผมโดนไล่ออกจากห้องทำงานของเจ้านายหลังจากที่คนตรงหน้าวางสาย โดยไม่มีคำพูดอะไรจากเขา เพียงแค่กิริยาปัดมือกลายๆเหมือนปัดความรำคาญ

ตลอดช่วงบ่ายผมรู้สึกเหมือนเป็นดาราดัง ทุกครั้งที่บอสเดินออกจากห้องทำงานมักจะปรายตามองมาทั้งผม จนพี่ๆที่ทำงานมองกันมาเป็นตาเดียว 'เกิดอะไรในห้อง' 'ไอ้ยุแกห้อยพระอะไร นอกจากจะรอดแล้วยังไม่มีบทลงโทษอะไรอี๊ก' คำพูดของเจ้เจนวนเวียนอยู่ในหัว ผมว่าต้องเป็นโทรศัพท์สายนั่นแน่ๆ

RRRRRRRRRRR

ผมปรายตามองโทรศัพท์เห็นชื่อคนขี้สำออยโชว์หลาอยู่

"ครับ"

'จะกลับกี่โมง ตอนเย็นนายอยากกินอะไร เอจะให้คนที่บ้านเอามาส่ง'

"อะไรก็ได้ครับ" น้ำเสียงของปลายสายเหมือนกับไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำผิด มึนซะไม่มี

'พูดถึงแล้วก็อยากกินเสต็กเหมือนกันนะ แต่นายอยากกินอาหารไทยรึเปล่า'

"......."

'ตัวเปี๊ยก ตัวเปี๊ยก ยังอยู่ไหม'

"คุณนี่..." เฮ้อ ผมถอนหายใจออกมาก่อนพูดออกไป "แค่นี้นะครับ ผมจะทำงาน เดี๋ยวโดนไล่ออก"

'ใครจะกล้าไล่นายออก เชื่อสิ แค่ดุด่ายังไม่กล้าเลย'

"คุณโทรหาเขาหรอ คุณซี คุณนี่มัน" ผมไม่เข้าใจผมรู้ว่าเขารวยแต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไม เขามีอำนาจอะไร บอสของผมถึงได้ต้องยอม นี่ผมต้องกลายเป็นเด็กเส้นหรอ ผมโกรธเขาจริงๆ โกรธเพิ่มมากกว่าจากตอนที่เขาหลอกว่าบาดเจ็บนั่นซะอีก

 

เวลาล่วงเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว ทุกวันก่อนเลิกงานประมาณครึ่งชัวโมงผมจะได้รับงานกองใหญ่จากเจ้านาย และต้องทำให้เสร็จจนเวลาล่วงเลยช่วงเวลาของการทำงานไปมาก แต่วันนี้ไม่มี

"บอสครับ ผมจะกลับแล้วนะครับ" ผมตัดสินใจเดินเข้าไปที่ห้องทำงานใหญ่ที่เพิ่งเข้าไปเมื่อเช้า

"ครับ คุณกลับเได้เลย อย่าเถลไถล"

'อย่าเถลไถล' คำนี้เขาไว้ใช้กับเด็กรึเปล่านะ ผมค่อยๆปิดประตู เดินออกด้วยความงงงวยนิดหน่อย นี่คงไม่ได้มีเหตุมาจากคุณซีหรอกนะ

ติ๊ด

เสียงข้อความดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพ์ขึ้นมาดู

C:รีบกลับหละตัวเปี๊ยก ฉันหิวแล้ว

ผมเก็บกระเป๋าเดินออกจากออฟฟิตด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ลงมาถึงชั้นล่างรถหรูคันเดิมที่มาส่งเมื่อเช้า ก็จอดรออยู่ก่อนแล้ว ได้ความว่า ลุงจวงไปส่งคุณแพรและอาหารมื้อเย็นที่คอนโด แล้วคุณหนูของลุงก็เร่งให้มารับผม

พอเอ่ยชื่อคุณแพร ผมก็แอบใจกระตุก ตลกดีนะครับ ผมไม่รู้ว่าต้องรู้สึกยังไง และไม่รู้ถึงต้นเหตุด้วย แต่รู้สึกว่าชื่อของเธอมันทำให้ผมใจแป่ว และรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นโรคประหลาด ที่เดี๋ยวนี้จิตใจวูบวาบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพียงแค่วันเดียวเองไอ่ยุ วันเดียวอย่าปล่อยใจให้มันไปไกลนัก

 

 

ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังออกจากในห้องครัว ผมเอากระเป๋าทำงานไปวางในห้องแล้วตั้งใจว่าจะเดินเขาไปช่วยคนทั้งคู่เตรียมอาหารเย็น แต่สิ่งที่ผมเห็น .....

ภาพของผู้หญิงตัวเล็ก หน้าตาน่ารัก กำลังใช้แขนเรียวเล็กของเธอคล้องคอผู้ชายอีกคนที่ผมอาศัยไหล่กว้างๆนั่นแทนหมอนเมื่อคืน ใบหน้าของเขาทั้งคู่มันใกล้กันซะจนเกือบจะแนบชิด ขาของผมหยุดชะงัก ออกจะสั่นๆ นิดหน่อยเสียด้วยซ้ำ ผมค่อยๆถอยออกมาไม่อยากให้พวกเขารู้ตัวว่าตอนนี้มีผมอยู่ในห้องนี้ด้วย แต่เจ้ากรรม มือของผมดันไปโดนแก้ว

เพล้ง!!!!

ทั้งคู่หันมามองพร้อมกันโดยที่ผมก็คาดเดาสายตาของคนทั้งคู่ไม่ถูก

"ผะ ผม ขอโทษครับ"

 

TBC

 

 
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะ เรื่องนี้มีลงไว้ที่เด็กดีด้วยค่ะ เผื่อใครอยากอ่าน แต่งสต๊อคไว้แล้ว จะทยอยลงให้อ่านกันนะคะ อาจมาช้านิดหน่อ เพราะภาระกิจฟุ้งมากช่วงนี้ ขอบคุณนะคะ
แปะลิงคเด็กดีไว้ให้นะคะ ฝากติดตามด้วว ขอบคุณค่ะ

https://writer.dek-d.com/pradoza-aom/story/view.php?id=1449757

หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :ตอนที่ 3 ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 13-11-2016 10:34:11
= 3 =

 



 

มันน่าอึดอัดกับการที่ต้องมาเผชิญหน้ากันแบบนี้ บนโต๊ะอาหารที่มีเสต็กวางอยู่ ผมจ้องเนื้อหมูในจานนานหลายนาที ในขณะที่อีกสองคนทานมันด้วยความเงียบ ความอึดอัดเข้าปกคลุมไปทั่วห้องอาหาร ทำไมถึงต้องอึดอัดด้วยหละ พวกเราอยู่ในสถานะไหนกัน

"ผมขอโทษนะครับ ที่เข้ามาขัดจังหวะพวกคุณ"

"ไม่มีอะไรสัก...."

"ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราผิดเอง ลืมไปเลยว่าคุณพายุก็อยู่" เสียงใสของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดออกมาซะก่อนที่เขาจะพูดออกมาจนจบประโยค

"จริงๆ ให้ผมกลับเลยก็ได้นะครับ มีคุณแพรมาอยู่ด้วยแล้ว อีกอย่างดูเหมือนขาคุณซีจะไม่เจ็บแล้ว"

"อะไรกันนายนี่ เมื่อเช้าเป็นเพราะนายล้มตกจากเตียงต่างหากฉันถึงลืมตัวรีบเข้าไปช่วยนายน่ะ เห็นไหม ยังบวมอยู่เลย" ไม่พูดเปล่ายังยกขึ้นมาให้ดูด้วย

ผมได้เห็นสายตาของผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า คำพูดของเขาไม่ต่างกับการหักหน้าคนข้างๆ ผมไม่มีคำพูดทีใดที่จะพูดอะไรออกความคิดเห็นอะไรก็ไม่ได้ เพราะตัวผมเองยังไม่รู้สาเหตุที่ตัวเอง ใจสั่น ขาแขนเหมือนไร้เรี่ยวแรงอยู่ตรงนี้เลยสักนิด ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจและการที่ผมนอนกอดเขาทั้งคืน มันก็ไม่ได้แปลว่าผมรักเขา ใช่ไหม?

"กินสักที ชืดหมดแล้ว"

"ผมอิ่มแล้วครับ อร่อยมากแต่พอดีผมไม่ค่อยอยากอาหาร ขอโทษด้วยนะครับ" ผมตัดสินใจยกจานเสต็กตรงหน้าเขาไว้ในครัว แล้วเดินกลับเขาห้องไปอย่างเงียบ ๆผมจะทนกับความรู้สึกแบบนี้ได้อีกนานเท่าไรกัน

"แต่นายกินไปนิดเดียวเองนะ" ผมทำเป็นไม่ได้ยินเสียงที่ตะโกนออกมา เดินเลยโต๊ะกินข้าวเข้าห้องทันที ผมไม่อยากรับรู้ ทำไมจิตใจของผมมันถึงได้ไร้สาระขนาดนี้

"เจ้..." ผมกดโทรศัพท์โทรหาพี่สาวที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรพี่เขาก็คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมตลอด

'ว่ามา'

"คือ ผมว่า..."

'ชอบเขารึเปล่า ไอ้ยุ' ยังไม่พูดอะไรประโยคแทงหน้าอกก็ออกมาจากปลายสาย นอกจากจะเป็นเจ้ขาโหดปากเสียแล้วยังเป็นแม่หมอด้วยรึไง

"............"

'เงียบไม่ตอบอีก ยังไง โตป่านนี้แล้วไม่รู้รึไงว่าแบบไหนชอบแบบไหนไม่ชอบ แล้วนี่ยังไงหละ พาผู้หญิงมากินกันที่ห้องหรอ ถึงใบ้แดกแบบนี้" เจ้แกแอบมาติดกล้องวงจรที่ห้องคุณซี หรือว่าแกแอบเอาเครื่องดักฟังหย่อนใส่กระเป๋ากางเกงผมมากันแน่

'แกอะ รู้ตัวอยู่แล้ว จะสามสิบแล้วไม่รู้ความรู้สึกตัวเองได้ยังไง แกจะยอมรับไหมหละ ตอนที่แกแอบชอบบอสแกยังบอกฉันได้ตรงๆ เลยนี่ แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้หละไอ่ยุ' แต่กับบอสมันไม่โครมคามขนาดนี้นี่น่า บอกแล้วไงว่าใจเต้นแรงแบบนี้ครั้งสุดท้ายคือรุ่นพี่นักบาสน่ะ

"ก็... ผมเพิ่งเจอเขาเมื่อวาน มันก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำไม่ได้มีดอกไม้สีชมพูซะหน่อยนิ แล้วผม จะชอบเขาได้ไง ผมว่าเขาแค่หล่อ ดูดี มันก็เลยทำให้ผมงงๆ มากกว่า"

'แล้วแต่เลย แต่สำหรับฉัน ฉันว่าแกชอบเขาแน่ๆ ไม่งั้นไม่โทรมาหรอก ถ้าคิดว่ามันเป็นแค่หลง งั้นออกมาก็น่าจะดีกว่าไหม แล้วแกก็บอกเองว่าเขาไม่ได้เจ็บอะไร ไม่ใช่ เขาอยากให้แกอยู่กับเขารึเปล่า'

"ไม่หรอก เขาคงมีเหตุผลที่บอกไม่ได้ อาจจะแค่อยากแกล้งคนจน มนุษย์เงินเดือนแบบผมเล่นก็ได้"

เจ้เจนแกคงรำคาญ ประโยคสุดท้ายที่พูดมาเหมือนพูดในทำนองว่า แล้วแต่นะ โตแล้ว คิดเอง ถามว่าผมไม่รู้หรอกว่าไอ้อาการปวดหัวใจแบบนี้เกิดจากอะไร ผมตกหลุมรักคนง่าย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว มันเป็นข้อเสียของผม ที่มักจะทำให้หัวใจตัวเองต้องเจ็บปวดอยู่เสมอ เมื่อคืนผมรู้ตัวนะ รู้ตัวตั้งแต่เขาพยายามอุ้มผมไปวางบนเตียง และผมก็รู้ตัวด้วยว่านอนกอดเขาทั้งคืน ทำยังไงดี ทั้งๆ ที่ผมคอยบอกตัวเองอยู่ตลอดว่ารักแรกพบมันไม่มี แล้วนี่ผมชอบเขาได้ยังไง

"ตัวเปี๊ยก"
เสียงคนๆเดินที่ผมคุ้นหูเร็วเกินไป กับสรรพนามที่ใช้เรียกกันจนดูเหมือนจะติดปากไปแล้ว เขาไม่ได้เปิดประตูโพลงเข้ามาแต่กับเคาะประตูเบาๆ ทั้งๆ ที่นี้เป็นห้องของเขา มันคือการให้เกรียติกันอย่างนึงใช่ไหม

"ครับ" ผมเอ่ยตอบออกไป ยอมรับชื่อ ตัวเปี๊ยก ไปซะแล้ว

"ฉันเข้าไปนะ" พอไม่ได้ยินเสียงปฎิเสธ ประตูไม้บานเล็กก็ถูกเปิดออก แสงไฟจากข้างนอกส่องเข้ามากระทบกับตาของผม ผมมองไม่เห็นเขา ได้แต่เห็นเป็นเงาดำๆ ยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาก้าวเท้าเดินมาไม่กี่ก้าว กับท่าทางขโยกเขยกดูพิกล ประตูก็ถูกปิดลง ความมืดและความเงียบเขาครอบงำเราทั้งคู่อีกครั้ง

"ทำไมไม่เปิดไฟหละ มืดจะตาย"

"อย่านะครับ" เขาทำท่าเหมือนจะเอื้อมมือไปกดสวิตไฟที่อยู่ตรงพนังนั้น "ผมอยากอยู่มืดๆ" เขาเหมือนจะเชื่อฟังผมโดยดี เดินโขยกเขยกมานั้งอยู่ที่ปลายเตียง

"เมื่อเช้าฉันตกใจน่ะ ก็เลยลืมเจ็บไปเลย กลัวนายจะหัวม่งพื้น พอนายออกไปทำงานมันก็เลยกลับมาบวมอีก ไอ้หมอออกเวรพอดีก็เลยแวะมาดู พันผ้าให้ใหม่ด้วย"

ผมไม่ได้พูดอะไรได้แต่ปรายตามองข้อเท้าที่ถูกผ้าพันเอาไว้หนากว่าเดิมนิดหน่อยในความมืดที่มีแต่แสงสลัวที่ส่องเข้ามาทางระเบียง

"นายนี่นะ แทนที่จะมาดูแลกลับมาทำให้แผลอักเสบ แค่วันเดียวเอง ยังไม่ได้ดูแลอะไรเลย ก็งอแงอยากกลับบ้านซะแล้ว"
ผมไม่ได้พูดอะไร เขาเขิยบตัวเขามาใกล้ผมอีก มือสาก จับปลายคางให้เชิดหน้ามองเขา ผมฝืนอยู่ในทีแรกแต่ก็ต้องยอมเมื่อนิว้โป้งใหญ่ๆ นั้นกำลังเกลี่ยแก้มผมอยู่

"เป็นอะไร อยู่ที่นี่มันน่าเบื่อมากหรอ หื้ม" ผมจับมือของเขาออกหันหน้าไปทางอื่น ถ้าผมกับเขาเป็นคนรักกันผมต้องคิดว่าเขากำลังง้อผมอยู่แน่ๆ แต่เราไม่ เราไม่ใช่

"เปล่าครับ แต่ผมมาอยู่ที่นี่เพื่อดูแลคุณ แต่ผมเห็นว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อีกอย่างคุณแพรเธอก็ดูว่าอยากจะมาดูแลคุณผมอยู่แบบนี้ก็อึดอัดเปล่าๆ"

"นายนี่โง่หรืออะไรกันแน่ เรื่องในครัวน่ะ ฉัน.."

"ช่างเถอะครับ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม แต่ว่า ผม... คือ..."

"มีอะไร" ผมกำมือที่จับกันไว้แน่ เขาเข้ามาใกล้ผมเกินไป ภายในห้องได้ยินแค่เสียงแอร์กับเสียงลมหายใจของเราเท่านั้น การใกล้กันขนาดนี้ ผมว่ามันจะยิ่งแย่กับใจของผม

"ว่าไง" มือของเขาโอบเอวของผมเอาไว้ เหมือนพยายามจะดึงตัวผมขึ้นไปนั่งบนตัก แต่ไม่ มันเป็นแบบนี้ไม่ได้ ผมต้องดึงสติตัวเองกลับมา ผมทะลึ่งตัวออกโดยที่เขาไม่ทันระวังเกือบจะหงายหลังไปแล้ว

ผมเดินไปเปิดไฟ เห็นตาหยีๆ ของเขาที่ปรับเข้ากับแสงสว่างไม่ทัน ผมเหลือบมองที่ข้อเท้าเขาอีกหน มันดูบวมแล้วก็แดงขึ้นเล็กน้อย ผมเสตัวเดินเข้าห้องน้ำ เขาไม่ได้ทักท้วงอะไร เพียงแต่มองตามผมไปเรื่อยๆ ผมคว้าอ่างใบเล็กที่อยู่ในห้องน้ำ และก้าวออกจากห้องไปเอาน้ำอุ่นในครัว พร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กแช่ลงไป กลับเขามาในห้อง เขาก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม

"ทำอะไรหน่ะ"

"แช่เท้าไงครับ แช่กับน้ำอุ่น เลือดจะได้ไหลเวียนดีขึ้น" ผมค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงที่พื้นข้างเตียงตรงที่เขานั่งพอดี จับเท้าของเขาวางไว้บนหน้าขาของผม ค่อยๆแกะผ้าพันแผลนั้นออก เท้าเขาบวมจริงๆ ครับ แดงคล้ำจนเกือบม่วง หรือว่าเขาจะไม่ได้โกหก ผมค่อยเช็ดเท้าเขาด้วยมือของผมเอง แล้วก็ค่อยๆ วางลงไปในอ่างอย่างเบามือ

"ร้อนไปไหมครับ"

ผมส่ายหน้าให้กับคนที่นั่งอยู่ที่พื้นเบาๆ เขาดูน่ารักน่าทะนุถนอมไปหมด ผมไม่คิดว่าเขาจะกล้า ใช้มือนุ่มเล็กๆ นั้นเช็ดเท้าของผม ไม่คิดว่าเขาจะเอาเท้าของผมวางบนตักของเขา และไม่คิดว่าเขาจะนั่งต่ำกว่าผมขนาดนี้ ผมตกหลุมรักเขาเข้าแล้วใช่ไหม ผมขอให้หัวใจผมได้ทำงานสักหน่อย ปากเล็กๆ พึมพำว่า บวมจริงๆด้วย หรือว่าเจ็บจริง ดูเจ้าตัวเปี๊ยกนี่ซิครับ คิดว่าผมโกหกหรือไง ก็จริงอยู่ที่ผมไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด แต่เรื่องที่ผมเจ็บข้อเท้ามันก็เรื่องจริงนี่ครับ เพียงแต่ผมไม่ได้บอกว่าผมเจ็บไม่มากอย่างที่เขาเข้าใจ

ก่อนหน้านี้ในห้องครัว ท่าทางของแพรกับผมนั้นตอนจะจูบกัน ครับ ถ้าพายุไม่เข้ามาก่อนผมคงต้องจูบกับแพรแน่ๆ ต้องขอบคุณเขาเหมือนกัน อย่าว่าผมนะ ผมเป็นผู้ชาย ใกล้กับผู้หญิงแบบนั้นมันก็เหมือนน้ำมันกับไฟนั้นแหละ ก็เหมือนตอนนี้ไงที่ผมกับพายุเหมือนน้ำตาลกับมด เจ้าน้ำตาลหน้าหวานที่ตอนนี้ทั้งบีบนวดเท้าผมอย่างเบามือ บ่นขมุบขมิบแทบจะไม่ได้ยินเสียง มันทำให้มดตัวโตแบบผมอยากจะกินน้ำตาลลิ้มลองความหวานซะเหลือเกิน แต่ยังก่อน ผมขอใช้เวลาพิสูจน์ก่อนว่าผมอยากจะกินน้ำตาลขาวสะอาดนั้นจริงๆ หรือเพียงแค่เห็นว่าสีขาววาวนั้นมันสวยล่อตา

เด็กอายุไม่เด็ก ที่อยู่ตรงหน้าผมงอแงอยากจะกลับบ้านซะแล้ว ก็ยังดี ที่เขาไม่พูดคำนั้นออกมาซะก่อนให้ผมปวดใจเล่น เพียงแค่คิดว่าเขาจะเอ่ยประโยคที่ว่า "ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว" หัวใจของผมก็เหมือนตกอยู่ในหลุมดำ อยู่ก่อนเถอะนะ อยู่ให้ฉันได้รู้ก่อนว่าแค่เพราะหน้าตาของนายที่คล้ายกับเขา หรือเป็นเพราะนายกันแน่ที่ทำให้ฉันใจสั่นอยู่ตอนนี้








ผมถือวิสาสะด้วยความสนิท เปิดประตูห้องทำงานของผู้หญิงที่ผมหลงรักตั้งแต่แรกเห็น เอยังนั่งจมกองเอกสารตรงหน้า ที่ในมือดูจากตรงนี้ก็ยังมองออกว่ามันเป็นรูปถ่าย ผมค่อยๆเดินก้าวเข้าไปหา ยังไม่ทันจะถึงโต๊ะทำงาน ผู้หญิงตรงหน้าก็โยนรูปสองใบนั้นมาให้ผมต้องก้มลงไปเก็บ ผมพิจารณารูปแล้วก็ได้แต่มองหน้าของเธอ ใบหน้าน่ารักนั้นงอง้ำเหมือนคนที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง

"เหมือนไหมหมอ หมอว่าเหมือนกันไหม"

"ก็คล้ายอยู่นะ" ผมมองรูปในมืออีกครั้งก่อนจะตอบออกไป

"ซีก็รู้สึกใช่ไหมหมอ ว่าคล้ายกันถึงได้ทำแบบนั้น"

"ไม่หรอกมั่ง ถ้าใช่ ไอ้ซีมันต้องพูดแล้ว แต่นี่ไม่เห็นมันพูดอะไรเลย"

"แล้ว ซี พูดถึงเด็กคนนั้นยังไงบ้าง ซีบอกหมอว่าไง"

"ใจเย็นน่าเอ ปล่อยซีมันบ้าง มันโตแล้วนะ ปีนี้ก็ 25 แล้ว"

"อื่ม" เอหันเก้าอี้ไปมา ทำประจำตอนที่ต้องใช้ความคิด "หรือว่าเด็กนั้นจะรู้ก็เลยแกล้งทำให้เกิดอุบัตเหตุเพื่อที่จะเข้ามาหลอกซี"

"เอ อ่านนิยายมากไปแล้วนะ"

"เอ ต้องรู้ให้ได้เลยหมอว่าเด็กนั้นต้องการอะไรกันแน่ นี่หมอรู้ไหม เมื่อวานนะ เอให้แพรเอาเสต็กไปให้เพราะเห็นบ่นมาหลายวัน พอดีเชฟที่โรงแรมเพิ่งกลับมาจากดูงาน เอก็รีบสั่งให้ทำแล้วให้รีบเอาไปส่ง แต่กลับโทรมาบอกว่าเดี๋ยวก่อนนะไม่รู้ว่าเด็กนั้นอยากกินอาหารไทยหรือเปล่านี่มันอะไรกันหมอ ทำไมต้องขนาดนี้"

"มันจะแปลกตรงไหนเอ มันเป็นอาหารบ้านเรานะ"

"แปลกซิ หมอก็รู้ว่าซีน่ะ ชอบเสต็กมากแค่ไหน แล้วหมอก็รู้ว่า ซีไปกินอาหารแผงลอยเป็นปีๆ เพราะอะไร แล้วท่าทางเด็กนั้นก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ถ้ามีเสต็กกับข้าวไข่เจียวอยู่ตรงหน้า หมอจะเลือกอะไร ห่ะหมอ"

"..........."

"มีแต่เด็กคนนั้นเท่านั้นแหละ ที่เลือกข้าวไข่เจียวกับน้ำปลา ทั้งๆ ที่ไม่เคยกินเสต็กมาก่อน"




 

 

นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้วจากเหตุการ์ณวันนั้น เราไม่ได้พูดถึงเรื่องวันนั้นกันอีก ผมแช่เท้าให้คุณซี นวดข้อเท้า ให้เขาทุกคืนก่อนนอน อาการบวมลดลงไปมากนั้นถือว่าเป็นเรื่องดี แต่เรื่องที่ไม่ดีก็คือ เรายังคงนอนกอดกันทุกคืน ใช่ครับ ทุกคืน โดยที่ผมและเขาก็มีสติครบถ้วน บางครั้งที่เขาเข้าใจว่าผมหลับแล้ว ผมจะได้รับไออุ่นจากจมูกโด่งๆ นั้น ไม่ที่หน้าผากก็ที่หัวของผม ผมอยากบีบคอตัวเองให้ตาย ไม่ได้ขัดขืนแถมไม่เคยเอ่ยถามซะด้วยซ้ำว่าเป็นเพราะอะไร เขาถึงทำการกระทำที่ทำให้ผมใจสั่นทำตัวไม่ถูก แต่ผมก็ปล่อยและไม่คิดจะแก้ไข

เมื่อกี้เขาเพิ่งโทรมาบอกกับผมว่าจะไปโรงพยาบาล ผมเองก็เผลอทำน้ำเสียงแบบนั้นออกไป

'โรงพยาบาลหรอครับ คุณเป็นอะไรมันเจ็บหรือว่ายังไง เจ็บจนทนไม่ไหวหรอครับ แต่ผมว่ายุบลงตั้งเยอะแล้ว เป็นอะไรครับเนี้ย หรือไม่สบายตรงอื่น ตรงไหนครับ หัวไหล่หรือว่า ปวดหัวครับ วันนั้นหัวกระแทกรึเปล่า แต่คุณใส่หมวกนี่ คุณซีตอบหน่อยคุณเงียบไปนะครับ'

'ใจเย็น ไม่ใช่ฉันไม่อยากตอบแต่นายไม่มีช่องให้ฉันตอบเลยนะ'

'ขอโทษครับ'

'ไม่มีอะไรหรอก ไอ้หมอโทรมาบอกให้ไปเอ็กซเรย์อีกรอบ เพราะฉันเองแหละ ฉันบอกไปว่าเดินได้แล้วไม่ค่อยเจ็บแล้วก็เลยจะไปตรวจให้แน่ใจแค่นั้น'

'หรอครับ'

'อีกสองสามวันนายก็ได้กลับบ้านสมใจแล้วหละ ไม่ต้องดีใจจนแก้มปริขนาดนั้นหรอกนะ ถึงไม่เห็นก็รู้นะ ว่านายเบื่อที่ต้องนวดเท้าให้ฉันแล้ว'

'แค่อาทิตย์เดียวก็รู้ใจกันขนาดนี้แล้วหรอครับ'

'อื่ม นายไม่อยากอยู่กับฉันจริงๆซินะ แต่ก็ขอบใจนะที่เมื่อกี้ยังอุตส่าห์เป็นห่วง'

'มันไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อยครับ'

'ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันจะแวะซื้ออาหารเย็นเองนะ'

ตอนที่เขาบอกว่าผมดีใจจนแก้มแทบปริน่ะ ผมเองก็หน้าซีดเผือดจนเจ้เจนแกตกใจ ผมไม่อยากไปจากเขาซะแล้ว ทำยังไงดีครับ แต่ผมไม่มีข้ออ้างอะไรที่จะอยู่แล้วนิครับ ถ้าเขาคิดเหมือนกันกับผม ถ้าเขารู้สึกชอบผมบ้างสักนิดก็คงดี ถ้าการที่เขากอดผมจนหลับไปทุกคืนมันมีความหมายอื่นด้วยก็คงดีซินะ

นั้นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมนั่งอยู่ที่นี่ร้านกาแฟข้างๆ บริษัท เพราะยังไม่อยากกลับไปเจอหน้าเขาแล้วก็ต้องเผชิญความจริงว่าขาของเขาหายสนิทดีแล้วผมเห็นแก่ตัวใช่ไหมครับ อยากให้เขาป่วยตลอดไปจัง

ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าข้างผม ฝนตกหนัก ลุงจวงไปธุระให้คุณเอ ส่วนไอ้รถกระป๋องคู่ใจของผมก็จอดเอ้งเม้งอยู่คอนโด ทำให้ผมยืดเวลาออกไปได้อีกสักหน่อย ผมยังไม่อยากเจอหน้าเขา

RRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRR

'ตัวเปี๊ยก' เพียงแค่ผมกดรับสายยังไม่ทันจะเอ่ยคำทักทายคุณซีก็โพล่งพูดออกมาซะก่อน

"ครับ"

'ทำไมยังไม่กลับหละ ต้มยำกุ้งจะเย็นหมดแล้ว'

"ฝนยังไม่ซ่าเลยครับ แท็กซี่ก็ยังไม่เห็นสักคัน"

'เอาไงดี แถวนั้นไม่น่าหาแท็กซี่ยากเลยนี่น่า ลุงจวงก็ยังไม่กลับ ให้ฉันไปรับไหม'

"ไม่ครับ อย่าลำบากเลย เดี๋ยวฝนก็คงหยุด"

'ถ้านายยังไม่ถึงห้องภายในครึ่งชั่วโมง ฉันจะออกไปรับจริงๆ'

"คุณจะบ้าหรอ ฝนตกรถติดขนาดนี้ ผมจะไปถึงห้องทันได้ยังไง ตั้งกฎแบบนี้ไม่ให้ทำได้ใช่ไหม"

'ใช่ นายเข้าใจถูกแล้ว รอนะ'

รถซูเปอร์คาร์สีดำสนิทจอดที่หน้าร้านกาแฟ ในเวลาเกือบชั่วโมง ผมคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ดูเหมือนเวลาของผมจะหมดลงแล้ว ท่าทางการเดินที่ถือร่มออกมาจากรถของเขาไม่ต้องเอ่ยปากถามก็รู้ว่าเขาคงจะหายดีแล้ว น่าจะสนิทแล้วด้วย แล้วยังไงหละ ผมต้องย้ายออกเมื่อไร พรุ่งนี้หรอ

"หายดีแล้วใช่ไหมครับ ขับรถได้แล้ว"

"อื่ม ถ้านายอยากกลับบ้านกลับพรุ่งนี้ยังได้เลย" เขาตอบผมด้วยใบหน้าอมยิ้มนิดๆ นี่ตกลงเขาหรือผมกันแน่ที่ดีใจจนแก้มปริ

"ครับ" ผมไม่รู้จะตอบอะไรได้แต่มองสายฝนที่อยู่ข้างหน้าต่างรถยนต์คันโก้ ผมจะบอกเขาได้ไหมครับ ผมขออยู่กับคุณต่อได้ไหม ในฐานะอะไรก็ได้ ผมพูดแบบนี้ได้ไหมครับ

"เป็นอะไรโดนเจ้านายดุมาอีกหรอ"

"เปล่าครับ"

"นั้นซิ ฉันว่าเขาน่าจะไม่กล้าดุนายแล้ว"

"ผมก็สงสัยอยู่ อย่าว่าแต่ดุเลย บางทีโต๊ะผมโล่งจนหน้าแปลกใจ คุณเป็นใครครับ หุ้นส่วนบริษัทหรอ"

"อาจจะใช่ก็ได้นะ"

ผมเดินตามหลังคุณซีเข้าห้องมาอย่างเงียบๆ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะกินข้าว คว้าชามต้มยำกุ้งไปอุ่นก่อนที่จะวางกุญแจรถซะอีก เป็นแบบนี้บ่อยเลย ต้มยำกุ้ง ไข่เจียว เมนูนี้ ทั้งๆ ที่เขากินเผ็ดได้ซะเมื่อไร

"คุณก็กินเผ็ดไม่ได้นี่ครับ เวลามีต้มยำกุ้งทีไร ผมกินคนเดียวทุกทีเลย"
ผมบุ้ยปากมองคนข้างๆ ที่เอาแต่ยิ้ม

"ไม่ชอบกินหละสิ ทำไมไม่บอกคราวหลังจะไม่ให้ป้านิ่มทำแล้ว"

"ไม่ใช่ครับ แต่คุณน่ะ กินแต่ไข่เจียวอย่างเดียวเลย"

"ก็... มันอร่อยน่ะ" คงหาคำปฎิเสธไม่ได้ที่ตัวเองไม่กินเผ็ดเป็นผู้ชายตัวโตซะเปล่า

"เอ่อ พรุ่งนี้ผมย้ายกลับได้เลยใชไหมครับ"

"อยากกลับขนาดน้ันเชียว"

"ก็ขาคุณหายแล้วนี่ครับ" ผมไม่มีเหตุผลอะไรด้วยนี่น่า ที่จะอยู่ต่อน่ะ

"อื่ม ถ้านายอยากกลับก็กลับได้เลย แต่ไม่ใช่คืนนี้นะ ฉันยังอยากนอนกอดนายอยู่" พูดอะไรออกมาแบบนั้นกัน เล่นเอาผมไปไม่เป็นเลย นอกจากนั่งกินข้าวไปเงียบๆ ถ้าแบบนั้นก็รั่งผมไว้ไหมครับ แค่บอกเหตุผลของคุณมา ผมก็พร้อมจะอยู่ ผมหลงรักคนง่าย จำได้ไหม

แสงไฟในห้องนอนดับลงในขณะที่ผมยังอยู่ในห้องน้ำ เป็นสัณญาณว่าคุณซีอาบน้ำเข้านอนไปก่อนแล้ว ผมแต่งตัวเสร็จได้แต่ยืนมองคิ้วเข้มได้รูป ปากหนาอวบอิ้มนั่น ผมตกหลุมความหล่อของเขาเข้าให้แล้วใช่ไหม ผมแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนหนา ใช้แขนของเขาแทนหมอนหนุน แทรกตัวหาความอบอุ่น ซุกหน้าลงกับอกแกร่งนั่น ผมทำตามใจตัวเองอีกแล้ว เขากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น มือหนานั่นลูบไปมาบนหัวของผม

"หอมจัง"

เขาพูดเพียงแค่นั่นแล้วหลับตาพริ้ม

ถ้าผมจะบอกว่า ไม่อยากไปจากที่นี่แล้วจะได้ไหมครับ ช่วยแกล้งเจ็บต่ออีกหน่อยได้ไหม

 

 

TBC

หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :ตอนที่ 4 เขาคือใคร
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 13-11-2016 13:49:10
= 4 =



 

 

 

 “นี่ตัวเปี๊ยก”

“ครับ”  ผมละสายตาจากหน้าต่าางรถคันหรู หันกลับมามองตามเสียงเรียกของคนขับ วันนี้คุณซีมารับผมเหมือนอย่างเคย ผมไม่เคยบอกครับว่าคุณซีคือใคร คงมีแต่เจ้เจนเท่านั้นที่รู้ และก็เป็นอะไรที่ประจวบเหมาะ ช่วงเวลาที่คุณซีจะมาถึงบริษัท ก็เป็นช่วงที่พนักงานมักจะกลับกันไปหมดแล้ว

“นายคิดจะกลับไปเมื่อไร” ออกปากไล่กันเลยหรอ

“เอ่อ พรุ่งนี้ก็ได้ครับ”

“ถัดไปอีกสักวันเถอะ” ผมหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายทันที

“.....”

“ได้ไหมหละ ตอบหน่อย”

“เอ่อ ครับ ว่าแต่เหตุผลหละครับ”

“นายเป็นคนต้องการเหตุผลอยู่ตลอดเวลาซินะ”

“ก็...ไม่ว่าอะไรมันก็ต้องมีเหตุและผลทั้งนั้นแหละ”  ผมตอบออกไปและหันกลับไปมองหน้าต่างเหมือนเช่นเคย

วิวข้างนอกรถคุณซี นอกจากการจราจรจะติดขัดเหมือนกับทุกๆวันแล้ว ฝนก็ดูท่าเหมือนจะตกด้วย ท้องฟ้ามืดครึ้มไม่สดใส ลมเย็นๆ ที่ผมสัมผัสไม่ได้ข้างนอกนั้นค่อนข้างแรง ถ้าวัดจากใบไม้ที่ร่วงตามฟุตปาธกำลังหมุนเป็นวงเล็กๆ ช่วงนี้การสนทนาของเรามันค่อนข้างจบง่าย ไม่รู้จะต่อคำยังไง

“เดี๋ยวครับ” ผมสังเกตเห็นเส้นทางว่ามันไม่ใช่ทางที่จะกลับคอนโดคุณซี

“ว่าไง”

“ไปไหนครับ นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน”

“ใช่  ไม่ใช่ทางกลับบ้าน เราจะไปทะเลกัน”  เขายิ้มกรุ่มกริ่มออกมา ไปทะเล แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเนี้ยนะ

“ยิ้มอะไรครับ”

“ยิ้มคำว่า บ้าน น่ะ นายหมายถึงบ้านเรารึเปล่า”

“ไม่ใช่ซะหน่อย นั้นบ้านคุณต่างหาก” ผมต้องหลบสายตาแบบนั้น ถึงแม้เขาจะไม่ได้หันมามองผมตรงๆ แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่าหน้าของผมต้องแดงแน่ๆ เพราะอาการที่ผมสัมผัสได้ก็คือความร้อนที่หน้าของผมเอง

“เขินอะไรน่ะ”

“ปะ...เปล่าเขินนะครับ”  ผมได้ยินเสียงหัวเราะ ออกจากคนขับ หึ เรื่องแกล้งผมนี่เก่งนักหละ เขาเด็กกว่าผมแท้ๆ แต่ทำไมผมถึงแพ้ทางเขาตลอดเลย

“ห้ามงอแงนะ ฉันแค่อยากอยู่กับนายอีกวัน”  ผมได้แต่หันไปมองหน้าเขา ด้านข้างยังมีเสน่ห์จนผมก็แอบยิ้มออกมา ขนตายาวๆ จมูกโด่งๆ ผมอยากได้เป็นของผมจัง คุณชอบผมบ้างไหมครับ? เหมือนกับผมที่หลงชอบคุณตั้งแต่ตอนแรกที่เห็น และพยายามบอกตัวเองว่ามันไม่จริง อาการใจเต้นแบบนั้น แพ้สายตาแบบนั้น ไม่มีเหตุผล ทุกอย่างต้องมาจากเหตุและผลใช่ไหมครับ


ลมเย็นๆ ที่ปะทะหน้าผม จนทำให้ผมตื่น ผมลืมตามองภาพวิวข้างหน้า ไม่เห็นอะไรเลยทุกอย่างดูมืดไปหมด แต่ลมนั้นทำให้ผมเดาได้ไม่อยากว่าเราคงมาถึงกันแล้ว ท้องฟ้าสีมืดสนิท ถ้าไม่มีแสงดาวระยิบระยับนั่นผมคงแยกไม่ออกว่าไหนฟ้าหรือทะเล มันทั้งดูเหงา เศร้า และหมดหวัง หรือเป็นเพราะผมเองที่ตอนนี้รู้สึกแบบนั้นกันแน่

กว่าสายตาจะปรับรับสิ่งที่เห็นหลังจากตื่นนอนที่เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเขาเพื่อไม่ให้เขาง่วง ผมทำอะไรไม่ได้อย่างใจตัวเองอีกแล้ว

ตึก ตึก ตึก

นั้นเสียงหัวใจของผมเอง ทันทีที่ผมหันหน้ากลับมาอีกทาง จมูกโต่งๆ นั้นก็เกือบจะชนกับจมูกของผม ผมไม่เคยได้เห็นหน้าของเขาใกล้ขนาดนี้ ไม่ได้เห็นขนตา ดวงตาที่รื่นอยู่  ผิวขาวๆ สะอาดตา มันใกล้จนเหมือนหัวใจของผมจะหยุดเต้น ใบหน้าของคุณซีเลือนใกล้เข้ามา นอกจากผมจะไม่หลบแล้ว มือของผมกลับกำเบาะรถไว้แน่น ผมหลับตาเพือรอสัมผัสนั้น ไม่นานลมหายใจอุ่นก็สัมผัสออ่นเบาลงบนหน้าผากของผม

“ผมม้ายาวไปแล้ว ตัวเปี๊ยก” นี่คือคำพูดของคนที่ทำให้ผมแทบหัวใจหยุดเต้น ผมถอนหายใจโล่งออกทันทีที่เขาเปิดประตูรถออกไป ถ้าเขายังทำแบบนี้กับผมอีก ผมคงต้องตายแน่ๆ

“นี่อย่ามัวอึ้งอยู่ลงมาได้แล้ว ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว”

“คะ...ครับ”

บ้านไม้ขนาดกลางเปิดไฟสว่างอยู่เบื้องหน้า มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกทั้งๆที่เคยมาครั้งแรก บ้านทั้งหลังเหมือนกำลังรอการกลับมาของเจ้าของบ้าน คุณซีดึงกระเป๋าเอกสารของผมไปถือไว้เอง ในขณะที่คนงานผู้ชายมาถือกระเป๋าเสื้อผ้าสองใบจากมือคุณซี และในสองใบนั้นก็มีกระเป๋าของผมด้วย แอบเก็บเสื้อผ้าตอนผมไปทำงานใช่ไหม ตั้งใจไว้แล้วซินะ

คุณซีโผเข้ากอดคุณป้าวัยกลางคนที่สวมชุดนอนลายโสร่งผ้าพลิ้วที่ยืนกางแขนรอกอดจากเด็กตัวโต มันเป็นภาพที่ดีจริงๆ มุมนี้ของคุณซีที่ผมไม่เคยเห็น ผมเดินตามเขาไป ทิ้งระยะห่างพอสมควร ไม่อยากให้บรรยากาศเสีย เพราะมีคนนอกแบบผมยืนอยู่ด้วย

“ตายแล้ว ผีทะเลผีป่าผีเขา” ผมต้องถอยห่างออกมาอีกสองก้าว เพราะทันทีที่ป้าแกผละออกจากอ้อมกอดของคุณซีแว๊บแรกที่แกเห็นผมก็ร้องลั่นจนผมเองก็ตกใจ ไม่รู้ว่าผมแสดงสีหน้าออกไปยังไง แต่นั้นทำให้คุณซีถึงกับทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วเข้ากอดป้าแกอีกครั้ง

“ไม่ใช่ฮะป้า เขามากับผม ชื่อพายุฮะ” เขาพูดพลางลูบแขนอันอวบอิ่มของป้าไปด้วย ผมค่อยๆ ยกมือไหว้แล้วแกก็รับไหว้เหมือนกับคนเพิ่งหายจากอาการตกใจ

“ไหว้พระเถอะค่ะคุณหนู ป้าตกใจหมด เหมือนกันจริงๆเลย” แกพูดจบก็หันไปมองหน้าผู้ชายคนที่กำลังกอดแกอยู่

“ไปค่ะ มากันเหนื่อยๆ คุณหนูของป้าโตขึ้นเป็นกอง ไม่กี่ปีเองนะคะเนี้ย”

“น่าจะสามแล้วฮะ”

“นั้นซินะคะ คงตั้งแต่คุณ....”

“ป้าฮะ ซีหิวจังป้าพอจะมีอะไรง่ายๆ ให้ซีกับยุกินไหมฮะ” ไม่เคยเห็นคุณซีท่าทางออดอ้อนเป็นเด็กน้อยแบบนี้เลย แบบนี้ซิค่อยดูสมวัยหน่อย ไม่ใช่คอยแต่จะแกล้งคนที่แก่กว่าแบบผม

“มีซิค่ะ อาหารทะเลไม่มีนะ กินกันง่ายๆ ไปก่อน พรุ่งนี้ป้าจะให้ลุงไปตลาดแต่เช้า จะให้หิ้วปูสดๆมาเยอะๆเลย คุณหนูชอบทานปูไหมคะ” ผมพนักหน้าให้กับคุณป้าที่น่ารักและดูใจดี เห็นป้าแล้วก็คิดถึงแม่ขึ้นมา

“ป้าจัดห้องไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ ห้องเดียวตามคำสั่ง” พูดจบป้าแกก็เดินเข้าบ้าน ไป เหลือไว้แต่คุณหนูตัวแสบของป้าที่ทำหน้าตาทะเล้นยักไหล่ยักคออยู่ตรงนี้

“ห้องเดียวหรอครับ”

“อื่ม”

“คุณนี่มัน...” เขายักคิ้วให้ผมอีกครั้งก่อนที่จะเดินตามป้าไป

อาหารมื้อเย็นง่ายๆ ครับ ต้มยำปลา ไข่เจียว สำรับอาหารถูกตั้งไว้อีกด้านของบ้าน ด้านนี้ไม่เห็นทะเล แต่ก็ดีเหมือนกันไม่อยากนั้นคงได้กินไข่เจียวทรายแน่ ป้าคนดูแลบ้านที่มารู้ที่หลังว่าแกชื่อนวล ทำอาหารอร่อยรสชาติละมุนละม่อม เพราะคุณซีทานเผ็ดไม่ได้ แต่ก็ยังมีหน้ามาถาม ‘จืดไปรึเปล่า ให้ป้านวลปรุงต้มยำให้ใหม่ไหม’ ผมไม่ได้เป็นคนทานรสจัดอะไรมากมาย แต่คุณซีกลับทำเหมือนรู้ใจไปซะทุกอย่าง

ท้องฟ้าที่มองได้จากนอกระเบียงห้องต่างกันเล็กน้อยกับท้องฟ้าที่มองจากระเบียงห้องคุณซีที่คอนโด ไม่มีไฟฟ้าจากตึกให้เห็นแต่ก็มีดาวสวยๆเต็มฟ้า ทะเลนิ่งสงบ และสีดำสนิท มันดูน่ากลัวมากกว่าที่จะน่าเล่น แต่ผมก็ยังเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น ที่ริมทะเลนั้น หลังจากทานข้าวเสร็จและเก็บสัมภาระบนห้องนอนแล้ว คุณซีก็บอกว่าจะไปเดินเล่น ซึ่งแน่นอนว่าผมจะไม่ตามไปด้วยถ้าเขาไม่เอ่ยปาก ซึ่งก็จริงเขาไม่เอ่ยปาก นั้นหมายความว่าเขาคงต้องการที่จะอยู่คนเดียวสักพัก ผมเห็นแววตาที่วูบไหวอยู่หลายครั้ง แล้วก็ยังแอบได้ยินป้านวลถามเขาว่า ‘อยากให้เปลี่ยนห้องใหม่ไหมคะ’ ซึ่งเขาก็ตอบว่าไม่เป็นไร ผมนอนได้ ทั้งๆ ที่ห้องมันสวยงามและน่านอนเกินกว่าจะต้องใช้ความอดทนในการข่มตานอน ก่อนที่เขาจะเดินเข้าห้องแอบได้ยินเสียงถอนหายใจอยู่นิดหน่อย ซึ่งตลอดหนึ่งอาทิตย์ทีผ่านมาผมไม่เคยเห็นหรือได้ยินเขาถอดหายใจเลยสักครั้งนั้นคงจะมีแต่ผมที่ทำให้เขาได้ยินซะมากกว่า ผมประมวลเหตุการ์ณเองว่าคงต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่แน่ ที่ทำให้เขาดูกังวลใจขนาดนี้

ผมละสายตาออกจากระเบียงที่มองคนตัวสูงคนเดิมกลายเป็นคนตัวเล็กจิ๋ว แล้วหันมาสนใจกับเสียงเคาะประตูที่ดังขี้นสิ้นเสียงของป้านวลบานประตูก็ถูกเปิดออก

“กว่าคุณซีจะกลับขึ้นมา นมก็น่าจะอุ่นพอดี” แกพูดพลางวางนมสองแก้วลงบนโต๊ะหัวเตียง

“ขอบคุณครับ ผมถามอะไรหน่อยได้ไหมครับป้า”

“ได้ซิค่ะ” ป้าแกยิ้มเล็กๆ ลงนั่งที่โซฟาข้างเตียง

“คุณซีไม่ได้มาที่นี่นานแล้วเหรอครับ”

“สามปีเห็นจะได้ก็ตั้งแต่มีเรื่อง” ผมชะงักกับคำนั้นของป้านวลมีเรื่อง “เมื่อก่อนเธอซนจะตาย เสาร์อาทิตย์วันหยุดมาขลุกอยู่ที่นี่ พาเพื่อนพาฝูงมาสนุกกันเชียวค่ะ แต่หลังจากวันนั้น เธอก็ไม่ค่อยมาแล้วค่ะ ดีนะคะ ที่วันนี้เห็นคุณหนูเธอยิ้ม ป้าดีใจ ขอบคุณคุณหนูยุนะ ต้องเป็นเพราะคุณแน่ๆ”

“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ผมต่างหากที่ทำให้เขาลำบากนี่ขาเขาก็เพิ่งหายเพราะผมเป็นคนทำ”

“หรอค่ะ” ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากป้าแกแต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เกาท้ายทอยแก้เก้อไปแค่นั้น

“แต่ว่า ป้าครับ เรื่องสามปีก่อน...”

แอ๊ดดด

ไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบจากป้านวล คนที่กำลังถูกพูดถึงก็เดินเข้ามาซะก่อน ภาพทีผมและป้านวลเห็นมันน่าชวนตกใจ สภาพของคุณซีที่ผมไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำซักเท่าไร ขาแข้งก็มีรอยถลอก เสื้อที่เปียกน้ำเกือบครึ่งตัว ฝ่ามือก็มีเลีอดซึมอีก

“ไปทำอะไรมาคะคุณหนู”

“หกล้มน่ะฮะ ป้า” น้ำเสียงที่ตอบป้านวลยังไม่มีแววสลดกลับดูเหมือนยิ่งทะเล้น มันทำให้ผมโมโห

“เป็นเด็กน้อยสามขวบเหรอครับ ถึงได้หกล้ม”

“เดี๋ยวป้าไปเอากล่องยามานะคะ”


สีหน้าของตัวเปี๊ยกของผมดูไม่สู้ดีนัก ผมไม่ได้เจ็บอะไรมาก เพียงแต่รู้สึกเสียฟอร์มนิดหน่อย เขาคงโมโหจริงๆ ถึงได้ถลึงตาใส่ผมแบบนั้น ผมแค่เหยียบก้อนหินพลาดเองนะ เขาผลักผมให้นั้งลงบนโซฟา หลังจากที่ป้านวลเอากล่องยามาให้แล้ว อีกแล้วครับ เขานั้งลงที่พื้นอีกแล้ว ยกเท้าผมที่มีแผลกถลอกนิดหน่อยลงบนตักอีกเหมือนเคย ผมเองก็คงจะเคยชินได้แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมก็ยังคงรู้สึกใจเต้นแรงอยู่ทุกครั้ง

ผมแอบเหลือบมองป้านวล ที่ยืนอมยิ้มอยู่ที่หน้าประตู

“ไม่เห็นมีอะไรน่าขำเลยฮะ” ผมเห็นรอยยิ้มแบบนั้นของป้าแล้วก็ทนไม่ได้

“ป้าคงยังไม่ชินที่เห็นคุณย้อนกลับไปเป็นเด็กซน”  ผมเหมือนโดนไม้ตีหน้า ปากที่บุ้ยใบ้บ่นอยู่นั้น ผมอยากจะจับมาบีบจริงๆ

“ยุขอน้ำอุ่นกับผ้าหน่อยได้ไหมครับ” หลังจากที่แว้ใส่ผมเสร็จก็หันไปทำสายตาน่ารักให้กับป้านวลซะงั้น

“ตัวเปี๊ยก”

“.....” เงยหน้ามองแต่ไม่ตอบครับ ผมได้แต่สายตามองค้อนกลับมาแทน

“โกรธหรอ”

“เปล่าครับ” ปากตอบว่าเปล่าแต่ก็ก้มหน้าไม่เงยมามองกันสักนิด

“แล้วนี่จะไม่มองหน้ากันเลยหรอ ฉันทำผิดขนาดนั้นเชียว”

“เปล่าครับ” ผมอยากจะถามเขาจังว่าจริงนะ ที่พูดออกมาน่ะ

เฮ้ออ เขาถอนหายใจออกมาเสียงดัง

“ทำไมถึงเจ็บตัวขนาดนี้ครับ แค่ลงไปเดินเล่น ต้องมีพี่เลี้ยงอยู่ด้วยตลอดเวลารึไง ตัวก็โต อายุก็เยอะทำไมถึงไม่ระวังตัวหละครับ คุณ..คุณนี่มัน” ไม่รู้ว่าผมเข้าข้างตัวเองไหม แต่รู้สึกเหมือนเขากำลังจะร้องไห้

“แค่นี้เอง ฉันขอโทษ ต่อไปจะระวังกว่านี้ โอเคไหม อย่ามาขี้แยใส่ฉันนะ” สายตาค้อนๆ ส่งมาอีกรอบ แต่ตอนนี้มีเสียงถอดหายใจแถมมาอีกละลอก

RRRRRRRRRRRRRR

ด้วยขาของผมที่ตอนนี้มันก็ออกจะลำบากสักหน่อยที่จะเดินไปรับโทรศัพท์ ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปเพียงแต่มองหน้าคนที่นั่งอยู่ที่พื้น พายุลุกยืนไปหยิบโทรศัพท์จากโต๊ะข้างเตียงมาให้

“คุณเอโทรมาน่ะครับ ผมออกไปก่อนนะ”  ผมกดรับสายพร้อมกับที่เขาพูดขึ้นมา ผมได้แต่พูดไม่ออกเสียง ‘ไม่ต้อง’ พร้อมกับดึงข้อมือเล็กๆนั้นไว้ พายุว่าง่ายเดินนั่งลงข้างๆ ผม

“ไม่เป็นไรเอ”

(งั้นหรอ แล้วไปทำอะไรที่บ้านไม้)

“มาเที่ยว”

(ไปกับเด็กนั้นงั้นเหรอ เอรู้นะ เอเข้าใจความรู้สึกของซีแต่มันไม่ใช่นะ เอรู้ว่าซีก็รู้)

“รู้น่า แล้วก็ไม่คิดว่าใช่ด้วย ตอนแรกที่เห็นยังไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำแค่เห็นว่าคล้ายๆ เฉยๆ”

(ซีโตแล้วนะ ซีต้องรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่)

“รู้หรอกน่า”

(แล้วนี่เห็นหมอบอกขาหายแล้วนี่ เด็กนั้นย้ายออกกลับไปอยู่บ้านเขาได้แล้วมั้ง)

“อื่ม กลับจากบ้านไม้ พายุก็จะย้ายกลับคอนโดแล้วหละ”

(ก็ดี แค่นี้แหละ พักผ่อนด้วยหละ นี่ยังไม่รู้จะรายงานม๊ายังไงเลย)

สีหน้าของตัวเปี๊ยกที่ผมไม่อาจคาดเดาได้ สายตาของเขาอ่านไม่ออก ทั้งๆ ที่ปกติเขาเป็นคนอ่านออกง่ายจะตายไป สิ่งที่เขาแส่ดงต่อผม ผมก็รู้ดีมันออกจะชัดเจนขนาดนั้น

“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วคุณค่อยอาบต่อ”  ผมสบตาคู่นั้น อยากจะเค้นเอาความรู้สึกของเขาออกมาแต่ก็เปล่าประโยชน์ คนแก่หัวดื้อเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมถอดเสื้อผ้าที่เปียกเกือบหมดออก ไม่ต้องเกรงใจอีกคนที่ตอนนี้อยู่ในห้องน้ำ

ทำไมผมถึงต้องบอกเอถึงกำหนดการ์ณการย้ายกลับของพายุอย่างชัดเจนขนาดนั้นหรอครับ เพราะผมไม่อยากตอบคำถามเรื่องคนๆนั้นอีกแล้ว ไม่อยากให้เอคิดว่าผมอยากจะรั้งเขาไว้ ขอเพียงแค่เราได้แยกจากกันห่างกัน และถ้าผมคิดถึงเขา ไม่ต้องห่วงผมจะเดินหน้าเต็มกำลัง และไม่ปล่อยให้เขาหายไปอีก แต่ตอนนี้อย่างที่ผมเคยบอก ผมขอเวลา

“เห้ย” เสียงตะโกนข้างหลังผม ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ควรหันไปตอนนี้ เพราะบางทีอีกคนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำอาจจะช๊อคตายไปซะก่อน

“ยะ อย่าหันมานะคุณ เดี๋ยวผมเอาผ้าขนหนูให้” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาต้องเขินมากแน่ๆ ก็น้ำเสียงสั่นๆ และเหมือนกับเสียงของหล่นนั้นคงไม่รีบร้อนตะลีตะลานทำอะไรพังหรอกนะ

“ทำไมถึงทำแบบนี้ครับ” ผมหันกลับมาแล้วพร้อมกับผ้าขนหนูพันอยู่รอบเอว

“ทำอะไร จะเขินอะไรนักหนา”

“ปะ เปล่านะครับ” ปฎิเสธทั้งๆที่แก้มแดงขนาดนั้นได้ยังไง

“คุณซีครับ” น้ำเสียงที่พายุเอ่ยถามมันจริงจังแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ว่า”

“คุณหายดีแล้วใช่ไหมครับ”

“อื่ม”

“ดีจังเลยครับ” อะไรของเขากัน

“ยังอยากอยู่กับฉันไหม” ผมตัดสินใจถามออกไปหลังจากที่เงียบอยู่แค่ชั่วอึดใจ

“ห้องผมก็มี ทำไมต้องอยากอยู่กับคุณหละ”

“นั้นซิ” ถ้าเขาตอบว่าอยาก ผมก็พร้อมที่จะล้มเลิกไอ้บททดสอบหัวใจอะไรบ้าๆนั้นซะ แต่นี่เขาก็ปฎิเสธหรือจริงๆ แล้วเขาก็ใจดีกับทุกคนแบบนี้กันนะ

ไม่มีใครพูดอะไรการสนทนาของเราจบลงเพียงแค่นั้นไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเป็นเพราะว่าบทสนทนาของเรามันสั้นลงทุกวันกันนะ เขานอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของผมเหมือนเช่นเคย ทุกอย่างดูไม่มีอะไรแปลกไป นอกจากที่เขากระชับออ้มกอดผมแน่นขึ้นมากกว่าทุกวัน ผมมั่นใจอันนี้ผมไม่ได้คิดไปเองแน่

เช้าวันนี้ดูดีกว่าเมื่อวานเป็นไหนๆ เพราะภาพที่เห็นนอกหน้าต่างนั้นไม่ใช่สีดำสนิทอีกแล้ว ผมเห็นทะเลสีสวยและทอ้งฟ้าสีใส อ่า มันช่างดูสดชื่นจริงๆ มันต่างจากในเมื่องที่เราจากมาเมื่อวาน ท่าทางดุเหมือนฝนกำลังจะตกซะด้วยซ้ำอยากหยุดเวลาไว้จังครับ ผมปรับสายตาไม่นานก็รู้แล้วครับว่าคุณซีไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว ไม่นานผมก็ได้คำตอบจากเสียงของน้ำที่อยู่ในห้องน้ำ คุณซีเดินออกมาในเวลาไม่นานนักกางเกงขาสั้นเสมอเข่าเผยให้เห็นรอยแผลของเด็กซนเมื่อคืน เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่ถูกคลุมทับเสื้อกล้ามที่ขาวทีอยู่ข้างใน ผ้าปิดแผลที่มือดูรุ่งริ่งชอบกล เห็นแบบนั้นผมก็เลยเดินไปจูงมือหนาๆ นั้นมา นั้งลงที่ปลายเตียงแล้วทำแผลให้ใหม่ เหมือนเด็กไม่มีผิด

“ขอบใจนะ ไปอาบน้ำเถอะ ฉันมีที่ที่อยากพานายไป”

“ครับ” ผมเงยมองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไปอย่าง่ชัดถ้อยชัดคำ

ที่ที่คุณซีพามาคือเกาะเล็กๆ ไม่ไกลจากฝั่งที่บ้านไม้ตั้งอยู่ น้ำทะเลตรงนี้ใสกว่าตรงหน้าบ้านมากได้เห็นปลาตัวเล็กสีสวย แล้วยังเห็นปะการังหน้าตาประหลาดอีกด้วย คุณซีจอดเรือสปีดโบ๊ทไกลจากเกาะพอสมควรถ้าเราใกล้เกินไปปะการังน้ำตื้นอาจจะได้รับความเสียหาย โลกของผมเหมือนหยุดหมุนไม่ใช่แค่มีคุณซีอยู่ข้างๆ แต่เพราะน้ำทะเล ปลาสวยๆ บรรยากาศทั้งหมด

“ชอบหรอ”

“ครับ”

“ถ้าชอบวันหยุดยาวคราวหน้าจะพามาอีก ชวนไอ้หมอกับเอมาด้วย ดีไหม”

“มาได้หรอครับ”

สีหน้าที่เจื่อนลงของพายุทำให้ผมตอบอะไรไม่ออก ทำไมผมจะไม่เข้าใจที่เขาถาม นี่เขาคิดจะไม่เจอหน้าเจอตาผมอีกแล้วหรือไง จะตัดขาดกันไปเลยหรอ ยิ่งผมเห็นเขาท่าทางเหม่อลอยแบบนี้เขาก็ยิ่งคล้าย คล้ายกับอีกคนที่อยู่ในความทรงจำของผมไม่เคยลืม สามปีมาแล้วแต่ไม่มีแม้แต่วันเดียวหรือวินาทีเดียวที่ผมจะไม่นึกถึงเขา แต่บางทีมันก็จางไปความคิดถึงของผมที่มีต่อเขามันจางลงน่าจะประมาณอาทิตย์นึงได้แล้ว ถึงแม้เขาทั้งคู่จะคล้ายกันแค่ไหนแต่ก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว ตรงที่ที่พายุนั่งอยู่ เขาเคยนั่ง แต่ไม่ได้นั้งมองออกไปทะเลเหมือนกับพายุหรอกกนะ รายนั้นนั่งกินเหล้าอยู่ตรงนี้ เมื่อก่อนผมมาที่นี่เหมือนกับที่เป็นบ้านหลังที่สอง เพราะเขาเป็นคนชอบทะเลมาก มากซะจนผมอยากจะปลูกบ้านอีกหลังที่เป็นของผมเองไว้ตรงนี้ แต่เกิดเรื่องซะก่อนโครงการก็เลยต้องพับไป

ท่าทางที่ดูจะเหนื่อยอ่อนอยู่ตลอดเวลาทำให้ผมสงสารพายุขึ้นมาดื้อๆ หลายๆ ครั้งที่เขาถอนหายใจและพูดคำว่า ขอโทษ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงจะโมโหแค่ไหนก็ไม่พูดได้แต่บ่นกับตัวเองทั้งวัน วันๆ นี่บ่นกับตัวเองหลายรอบเลย ไอ่ยุเอ้ย จะบ้าไปแล้ว ไอ้ยุ ไอ้ยุ อยู่ทั้งวันซึ่งมันก็ดูตลกดี

ผมนั่งค่อมซ้อนหลังเขาเอาไว้ ตัวเล็กๆของเขาอยู่ตรงหว่างขาผมได้พอดิบพอดี ไหล่เล็กๆนั้นกระตุกนิดๆ ตอนที่เขารู้สึกตัวว่าผมซ้อนอยู่ข้างหลัง ผมวางคางไว้บนไหล่นั้น แรงกระตุกที่เคยมีก็กลับกลายเป็นแข็งทื่อไปซะ กลิ่นหอมอ่อนของแป้งเด็กที่พายุชอบใช้ กลิ่นสบู่ กับแชมพูกลิ่นเดียวกันกับของผม แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกหอมมากกว่าหลายเท่า ผมเสพติดกลิ่นนี้ไปซะแล้ว แล้วถ้าเขาไม่อยู่ผมไม่ได้ดมกลิ่นหอมๆนี้แล้วผมจะนอนหลับไหม

“นายไม่อยากเจอฉันอีกแล้วเหรอ”  ผมกระซิบถามแกล้งแหย่คนแก่กว่าที่อยู่ข้างหน้าให้ขนลุกเล่นที่ใบหู เขาไม่เคยว่าไม่เคยห้ามหรือปฎิเสธเวลาที่ผมเอาแต่ใจอยากกอด อยากดม กลิ่นหอมแบบเฉพาะตัวของเขา แถมไม่เคยถามเหตุผลด้วยว่าทำไมผมถึงทำ แต่ผมก็พอจะเดาได้เ พราะเขาน่ะ แสดงมันออกมาอย่างชัดเจน

แต่ไม่ว่ายังไง คนๆนี้ก็ไม่เคยชินกับสัมผัส่ของผมหรอกเขายังคงตัวแข็ง ขนลุก และหน้าก็แดงล่ามไปถึงหูอย่างเช่นตอนนี้

“ปะ เปล่าครับ” น้ำเสียงพูดตะกุกตะกักนี่ก็เป็นอีกอย่างเสียงสั่นที่พยายามจะไม่ให้มันสั่นนั้นแหละที่ผมว่ามันน่ารัก

“งั้น วันหยุดหน้าก็มาด้วยกันอีกนะ”

“ผมต้องดูงานก่อนครับ”

“ดีนะ ที่นายไม่ใช่แฟนฉันไม่งั้นฉันคงบ้าตายที่นายส่นใจแต่งานแบบนี้”

“......”

“เพราะงั้นถ้านายเปลี่ยนมาเป็นแฟนฉันเมื่อไร นายต้องเลือกนะ แล้วพอถึงตอนนั้นก็หวังว่านายคงจะตัดสินใจได้ว่าจะเลือกใคร”

 

 

TBC
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :ตอนที่ 5 เจ้านายคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 17-11-2016 19:28:58
 =5 =





เป็นอาทิตย์แล้วที่ผมกลับมาห้องตัวเอง ผมกลับมาใช้ชีวิตปกติ กลับมาใช้ไอ้กระป๋องญี่ปุ่นคนเดิม ไม่ใช้รถซูปเปอร์คาร์คันหรูอีกแล้ว ลุงจวงแวะเวียนหอบหิ้วของกินมาให้โดยอ้างว่าผ่านมาพอดีแล้วก็คิดถึง จนผมเค้นถามจึงได้ความว่าคุณณหนูบอกให้เอามาให้

ผมคิดถึงเขา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องมี่น่าแปลกใจแล้ว เพราะผมคิดถึงเขาตั้งแต่วันแรกที่เราแยกกัน ผมมีแอบถามลุงจวงเหมือนกันว่าขาเขาเป็นยังไงบ้างแล้วก็อ้างไปว่าไม่อยากต้องไปรับผิดชอบอะไรอีกถ้ามันเรื้อรัง ซึ่งผมก็ได้คำตอบมาว่าเขาสบายดี นั่นผมก็เห็นว่าดี ถึงแม้จะแอบหวังสักนิดว่าเขาอาจจะถามถึงผมบ้างซึ่งลุงจวงไม่ได้พูดอะไรเลย เขาคงลืมผมไปแล้ว

วันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม หลังจากที่ผมได้รับโทรศัพท์ว่าอีกไม่ถึงห้านาทีก็ถึงแล้วให้ลงมาที่ข้างล่างเลย

“หวัดดีครับลุงจวง”

“ครับคุณหนู วันนี้เป็นยำผักทอด แล้วก็มีต้มยำปลาน้ำใสครับ”

 “อ่า ขอบคุณครับ ฝากบอกคุณหนูของลุงด้วยว่าไม่ต้องแล้วครับ ผมหาทานเองได้”

“ลุงสั่งให้แม่นิ่มแยกน้ำยำมาแล้วนะครับ ผักจะไดัยังกรอบอยู่” ดื้อเหมือนกันเลย

“.....”

“โธ่คุณหนูครับ คุณหนูซีน่ะ ทำอย่างไม่รู้จักนิสัยเธอ”

“......” ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าจะติดต่อมาบ้างซิ

“เธอน่ะห่วงคุณหนูนะครับ กลัวว่สจะไม่ได้ทานข้าว”

“.....”  ห่วงประสาอะไรกันไม่เห็นจะโทรมาหา

“คุณก็รู้นี่ครับ ว่าคุณหนูน่ะดื้อ”

“ครับ ขอบคุณนะครับลุง”

ผมหอบหิ้วกล่องพลาสติกใบเล็กใหญ่ขึ้นไปบนห้อง อาหารยังคงอุ่นถ้าสัมผัสจากข้างนอกกล่อง ผมวางมันลงที่โต๊ะกินข้าว มันน่าเบื่อตอนที่ผมเอาแต่จ้องโทรศัพท์ว่าเขาจะโทรมาไหม

“ตอนอยู่ด้วยกันส่งข้อความหาเช้ากลางวันเย็นแล้วดูตอนนี้ซิ หึ” ได้แต่บ่นกับตัวเองผมคงบ้าไปแล้ว ผมคิดถึงมากไปแล้วจริงๆ

เช้านี้มันเป็นเช้าธรรมดาสำหรับผมแต่สำหรับพนักงานในบริษัท มันดูเป็นวันที่น่าตื่นเต้น มันคือวันที่เราจะได้พบกับหุ้นส่วนใหม่ของ เค ดีเวลลอปเม้นท์ ถ้าถามผม ผมว่าการที่ใช้ตึกที่เป็นตึกเก็บเอกสารมาปรับปรุงรื้อใหม่ทั้งหมดทำเป็นแบบสไตล์โมเดริ์นเพื่อต้อนรับอีกคนที่เพิ่งเรียนจบจากต่างประเทศ เพิ่งจบมาไฟแรงซะด้วย

“ไม่ตื่นเต้นหรอไอ้ยุ” เจ้เจน

“เขาว่าหล่อมากเลยอะแก” วัลลภ หญิงสาวในร่างชายหนุ่มฝ่ายบุคคล

“ยังไม่เห็นหรอ” ก็ฝ่ายบุคคลต้องเห็นหน้าก่อนไม่ใช่รึไง

“ยังอะดิ เนี้ยหัวหน้านะเก็บแฟ้มเงียบเลยอะ ในระบบก็ไม่มีรูป แต่ว่าเป็นลูกชายคนเดียวของคุณเกียรติ”

“เดี๋ยวนะ ลูกชาย งั้นก็ไม่ใช่หุ้นส่วนดิ”

“หุ้นส่วนยะ เขาลงทุนด้วยเงินเขาเองใน เค ดีเวล ยะ”

ตอนนี้เรากำลังคุยกันถึงคุณเกีรยติ เกรียติกุล เจ้าของบริษัท เค ดีเวลลอปเม้นท์ พวกเราไม่เคยได้เห็นหน้าคุณเกียรติ หรือที่พวกเราเรียกกันว่านาย ได้แต่คำสั่งผ่านบอส คุณธนินทร์ ที่ตอนนี้จะต้องมีคนใหม่มาคุมแทนแล้ว เห็นมาขาเม้าท์มาจากหน้าห้องเลขาว่า บอสเองก็หงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อยที่ได้ลูกชายนายมาเป็นหัวหน้า ด้วยอายุที่อ่อนกว่า อย่าถามหาประสบการณ์เลย ไม่มีหรอก ก็เพิ่งอายุ 25

ผมน่าจะต้องตื่นเต้น เพราะผมถูกวางตัวให้เป็นเลขาฝ่ายประสานงานคู่กับพี่ปริม ถือว่าเป็นตัวแม่ของเลขาเลยก็ว่าได้ ถ้าตื่นเต้นคงการที่เจอพี่ปริมที่ไม่เจอกันมาเกือบสามปีแล้ว แต่การเจอหุ้นส่วนคนใหม่นั้นผมไม่เห็นว่าจะน่าตื่นเต้นตรงไหน

“พายุ มาแล้วทำไมไม่มาหาผมครับ” บอกให้ผมไปหาหรอ ตอนไหนกัน

“เอ่อ ครับ” ผมเดินตามเข้าไปให้ห้องทำงานบอส

“หุ้นส่วนมาถึงตั้งนานแล้ว นี่เขากำลังรอเจอคุณอยู่”

“เจอผม หรอครับ ผมคิดว่า จะประชุมพร้อมกันตอนบ่ายซะอีก”

“เขาเลื่อนมาเป็นเช้าแล้วครับ เก้าโมง นี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้วด้วย”

“เอ่อ ผมไม่ทราบเลยครับ ไม่งั้นผมคงมาเช้ากว่านี้”

“ผมแจ้งไปทางไลน์ แต่ช่างเถอะ ยังไงผมก็ยังทำอะไรคุณไม่ได้อยู่ดี” คำแซะค่อนคอดนั้นมันทำให้ผมหงุดหงิด ไม่ได้หงุดหงิดเขาแต่หงุดหงิดตัวเอง ทั้งๆ ที่ผมกำโทรศัพท์ทุกคืน กำอยู่ตลอดแต่เวลาเรื่องสำคัญกลับไม่ได้ยิน และไม่เปิดอ่านให้ตาย

“ผมขอโทษครับ”

“ช่างเถอะ ไปตึกใหม่เถอะ เขารออยู่ มาถึงก็ถามหาคุณเลย”

“???” ผมได้แต่ฝากความสงสัย ถามหาผม

การข้ามมาอีกตึกด้วยสะพานเชื่อมต่อระหว่างตึกมันทำให้ผมเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย ผมเข้ามารอในห้องประชุม เหมือนทุกคนจะพร้อมกันที่นี่แล้ว ผมส่งยิ้มขยิบตาให้พี่สาวคนส่วยที่ไม่เจอกันกว่าสามปี พี่ปริมยังดูสวยและน่ารักเหมือนเดิม ตั้งแต่ที่ลาออกไป

ผมนั่งแง่วอยู่ในห้องประชุมและก็เลยเวลานัดประชุมมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นทั้งๆที่ปกติผมเป็นคนไม่ชอบเล่นโซเชียลใดๆ ทั้งสิน แต่เพราะคนๆ นั้น ทั้งๆ ที่บอกว่ามาตั้งนานแล้วแต่กลับไม่เข้ามาในห้องประชุม การเปิดตัวผู้ถือหุ้นรายใหม่มันต้องให้ผู้ใหญ่บอร์ดบริหารมานั้งรอกันขนาดนี้เลยหรอ ผมจะทำงานกับคนที่ไม่มีมารยาทแบบนีได้หรือเปล่า

“ขอโทษทีครับที่ให้ทุกคนต้องรอ ผมมีปัญหานิดหน่อย” เสียงทุ้มๆ นั้นทำให้ผมรีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง เสียงนั้นฟังคุ้นหูจนน่าแปลกใจหรือเป็นเพราะผมคิดถึงเข้ามากเกินไป

ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง ท่าทางของคนตัวสูงที่ผูกไทด์ใส่สูทแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมที่ถูกจัดทรงไว้เป็นอย่างดี เสื้อสูทสีดำเข้ารูปพอดีกับอกกำยำนั่น  ไทด์สีเทาเข้มเข้ากันกับเสื้อสีดำนั้นเหลือเกิน เขาดูดีไปหมด ดูดีเกินกว่าที่ผมจะเคยนึกภาพได้ซะอีก

ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ผมแสดงสีหน้ายังไง แสดงความตกใจมากแค่ไหน การที่เรากลับเจอกันแบบไม่ถูกที่ถูกทางหรือผิดจังหวะไปหมด ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาที่เขาไม่ติดต่อผมมา อาจเป็นเพราะอยากตัดขาดกับผม เพราะผมกลายเป็นลูกจ้างเขาไปแล้ว กลายเป็นคนที่ไม่คู่ควรมากขึ้นไปอีก แล้วคำพูดที่พูดเหมือนว่าเรายังจะได้เจอกันอีกนั้นก็โกหกอีกหรือไง

สิ่งที่น่าหงุดหงิดเรื่องนี้มีหลายอย่าง อย่างแรก เขาไม่เคยบอกผมว่าเขาเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทที่ผมทำงานอยู่ เขาอาจจะไม่รู้ ไม่ครับ ลุงจวงมารับมาส่ง รวมทั้งเขาด้วย จะไม่รู้ได้ยังไงว่าผมทำงานอยู่ที่นี่

อย่างที่สองตอนที่เรากำลังประชุมเกี่ยวกับแผนการตลาดใหม่ ที่เกือบร่วมสองชั่วโมงเขาไม่เพียงแต่ไม่มองหน้าผม แต่กลับทำเหมือนว่าไม่รู้จักด้วย ผมไม่เคยเห็นเขาแบบนี้เขาเป็นเด็กไร้สาระ เอาแต่ใจ แบบที่ผมเคยรู้จัก แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แล้ว เขามีภาวะการเป็นผู้นำ พูดจาฉะฉาน ดูมีอำนาจ และดูภูมิฐานเหมาะกับการเป็นเจ้านายคนใหม่

“ผมฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ ประสบการณ์ผมยังน้อยยังต้องการคำชี้แนะจากพวกคุณ ขอบคุณครับ” ประโยคสุดท้ายของเขาจบลงพร้อมกับการยื่นขึ้นโค้งคำนับอยู่ตรงหัวโต๊ะ เลยทำให้ทุกคนพลอยยืนรับคำนับนั้นไปด้วย

ทุกคนกำลังทยอยออกจากห้องประชุม รวมทั้งผมด้วย แต่ไม่ทันที่ผมจะเอี้ยวเลือนเก้าอี้ออก เสียงทุ้มๆ นั้นก็เรียกผมเอาไว้ ให้ผมไปพบที่ห้อง

ผมเดินออกจากห้องประชุมตามแผ่นหลังกว้างๆ นั้นไป เขาเดินคู่อยู่กับพี่ปริม เลขาส่วนตัว ผมได้แต่เดินอยู่ห่างๆ และมีความอึดอัดที่บอกไม่ถุก ไม่รู้จะประติดประต่อเริ่มจากตรงไหน ผมหงุดหงิด และรู้ตัวว่าตัวเองงี่เง่า จะไปโกรธเขาเรื่องอะไร ผมมีสิทธิ์โกรธเขาหรอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาไม่ติดต่อมา หรือแม้แต่เรื่องที่เขาเป็นเจ้าของบริษัท

เรานั่งบรีฟงานกันอยู่ในห้องทำงานใหญ่ของคุณซี พี่ปริมบันทึกสิ่งที่คุณเขาต้องการลงให้ไอแพดเครื่องเหมาะมือ ส่วนพวกโลเทคแบบผมก็ได้แต่จดให้ทันที่เขาพูด

เขาบอกถึงสิ่งที่ชอบและไม่ชอบรวมถึงการรีโนเวทห้องทำงาน ขยายด้านข้างให้เป็นห้องส่วนตัวแบบพักผ่อนได้ เพื่อกรณีที่ต้องทำงานห่ามรุ่งห่ามค่ำ รวมไปถึงสิ่งที่ต้องการ น้ำแร่ กาแฟที่ชอบ ไม่กินเผ็ด อุณหภูมิห้องที่ต้องไม่เกิน 23 องศา ใช่สิ ตอนอยู่ด้วยผมต้องห่มผ้านวมมิดคอตลอด ที่สำคัญจะให้ใครมาพบโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตก่อนไม่ได้ ติดต่ออะไรผ่านพี่ปริมเท่านั้น

“ผมมีที่ต้องการแค่นี้แหละ ขอบคุณมาก อ่อ คุณปริม ผมรบกวนฝ่ายบัญชีกับฝ่ายการตลาดส่งตัวแทนมาคุยกันเล็กๆ น้อยๆ ที่ห้องหน่อยนะครับ”

“ได้ค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ อ่อ อีกเรื่องเวลาออกไปพบลูกค้า หรือมีงานครั้งนอก ผมคงขออนุญาตคุณปริม ว่าผมจะออกไปกับคุณพายุเท่านั้นนะครับ ขอโทษด้วย คุณมีหน้าที่เฝ้าคลังสมบัติของผมอยู่ที่นี่ ไม่เบื่อนะครับ ผมไม่อยากกระเตงคุณไปไหนต่อไหนไม่อยากตอบคำถามพ่อ”

ผมมองหน้าพี่สาวคนสวยเธอพนักหน้าแล้วก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ทำอย่างกับสนิทกันมากอย่างนั้นแหละ

“คุณพายุ รบกวนอยู่ก่อนนะครับ” พี่ปริมได้ยินแบบนั้นก็เดินออกจากห้อง หอบแบบที่คุณชายเขาต้องการให้ต่อเติมห้องทำงาน ออกไปด้วย

“คุณพายุ ไม่ชอบยำผักทอดหรอครับ” เขาประสานมือสองลงบนโต๊ะ พร้อมกับยกมันขึ้น วางคางยาวๆ ไว้บนนั้น ส่งสายตากวนประสาท ยักคิ้วเล็กน้อย มันน่านัก

“.......”

“อยากกินอะไรหละครับ ผมจะสั่งป้านิ่มให้” สรรพนามที่ยังไม่ชินหูถูกพ่นออกมาอีกครั้ง ไหนบอกชอบเรียกตัวเปี๊ยกไง

“........”

“โกรธหรอ ขอโทษที่ไม่ได้บอก ตั้งใจเซอร์ไพรส์”

“...........” เซอร์ไพรส์อะไรกันเล่า ไอ้เด็กบ้า ผมต้องนอนกอดโทรศัพท์อยู่ทุกคืน

“ไม่เจอกันเป็นอาทิตย์ ไม่คิดถึงบ้างรึไง”

“..........” คิดถึงแทบบ้า จะรู้บ้างไหมเนี้ย

“ไหนมากอดหน่อยดิ” ไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรเขาลุกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเดินมากอดผมโดยผ่านพนักเก้าอี้ทางด้านหลัง

“ปล่อยครับ เดี๋ยวใครมาเห็น”

“นายลืมกฎแล้วหรอ ห้ามใครเข้ามาในห้องก่อนได้รับอนุญาต”

“อย่ามาทำรุ่มร่ามครับ เป็นเจ้านายซะเปล่า”

“ก็คิดถึงนี่”

“คิดถึงอะไรกันครับ” คิดถึงแต่ไม่เห็นติดต่อมาน่าน้อยใจ

“ลุงจวงบอกนายปฎิเสธอาหารเรื่อยเลย”

“ผมไม่ใช่เด็กนะ หาทานเองได้ ผมแก่กว่าคุณนะลืมไปแล้วรึไง”

“ไม่ลืมหรอกน่า ว่าแต่ ผอมไปรึเปล่าเนี้ย กอดไม่เห็นอุ่นเลย”

“ก็ไม่ต้องกอดซิครับ ปล่อยได้แล้ว”

(คุณซีคะ ฝ่ายการตลาดกับฝ่ายบัญชีมาพร้อมแล้วค่ะ) พอเสียงพี่ปริมพูดจบ ผมก็ได้ยินเสียงถอดหายใจที่ดังอยู่ข้างหู

“ขัดจังหวะชะมัด ยังไม่หายคิดถึงเลย”

“คิดถึงอะไรกัน ข้อความยังไม่เห็นเคยส่งมา” ผมพูดบ่นกับตัวเอง นึกน้อยใจอยู่เหมือนกัน ที่พูดว่าคิดถึงๆ อยู่ไม่ยอมหยุด ผมก็เอาคำพูดวันนั้นที่เกาะนั่น ยังจำอยู่จนถึงตอนนี้

            “เพราะงั้นถ้านายเปลี่ยนมาเป็นแฟนฉันเมื่อไร นายต้องเลือกนะ

แล้วพอถึงตอนนั้นก็หวังว่านายจะตัดสินใจได้ว่าจะเลือกใคร”

เขาปล่อยกอดของเขาหลังจากที่กรอกเสียงตอบกลับอินเตอร์คอมของพี่ปริมเป็นการอนุญาตให้คนที่รออยู่เข้ามาได้ ผมกำลังเดินออกจากห้องของเจ้านายคนใหม่ พร้อมกับที่หัวหน้าฝ่ายการตลาดและฝ่ายบัญชีเดินเปิดประตูเข้ามาพอดี

ตึ้ง

C : ขอโทษนะที่ตลอดอาทิตย์ไม่ได้ติดต่อไปเลย แต่ฉันคิดถึงนายจริงๆ นะ แล้วก็ขอบคุณด้วยที่นายก็คิดถึงฉันเหมือนกัน

ผมก้มมองโทรศัพท์ในมือ แล้วก็ได้แต่ยิ้ม ไอ้เด็กนี่ ชักจะมีอิทธิพลกับผมมากขึ้นทุกวันแล้วซินะ











TBC



ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :ตอนที่ 5 เจ้านายคนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 19-11-2016 10:49:42
เรื่องน่ารักมากๆเลย
แอบน้อยใจ หวังว่าซีคงจะบอกความจริงกับพายุบ้างนะ
ขออย่าเอาพายุไปเปรียบกับเขาคนนั้นของซีด้วย

ติดตามตอนต่อไป :)
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก : UP ตอนที่ 6 ขอบคุณ(26/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 26-11-2016 09:12:32

= 6 =
 
 
   วันนี้ที่ออฟฟิตครึกครื้นและน่าหงุดหงิด จะเรื่องอะไรซะอีก ถ้าไม่ใช่เรื่อง เขา ผมได้ยินชื่อเขาตั้งแต่ย่างกายเข้ามาในออฟฟิต คุณซี อย่างนั้น คุณซี อย่างนี้ มันชวนทำให้หงุดหงิด และผมที่เป็นเป้าเพราะต้องทำงานร่วมกับเขาก็ยิ่งแล้วใหญ่ วันก่อนเราเพิ่งออกไปพบลูกค้าด้วยกันมา เวลาอยู่กันสองคนก็ไม่ต่างจากการอยู่คอนโดสักเท่าไร ยังเป็นคนที่อ่านยากและยียวนอยู่เช่นเดิม อ่อ เรื่องมือถึงนี่ก็ไม่น้อยลงด้วย แต่ไอ้เวลาอยู่กับคนอื่นๆ นี่ซิ มันน่าหมั่นไส้กับท่าเก็กขรึมแบบนั้น ชายตาก็ไม่หันมามอง ซึ่งผมน่าจะมองว่าเป็นเรื่องดี แต่ก็เปล่าเลย ผมกลับมีอาการหงุดหงิดขึ้นมาซะได้
 
   ผมไปๆ มาๆ ระหว่างตึกใหม่กับตึกเก่า คุณซีออกมานั้งทำงานที่ห้องเล็กติดกับห้องของเขา เพราะตอนนี้ช่างได้เข้ามาทำการต่อเติมเรียบร้อยแล้ว ซึ่งปกติแล้วห้องนี้จะเป็นห้องทำงานของผมกับพี่ปริม มีประตูเชื่อมถึงห้องใหญ่ มีส่วนที่เป็นส่วนรับรองแขกที่ดูหรูหรา เพราะคุณชายเขาไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรอห้อง ตรงนี้เลยกลายเป็นห้องรับแขกกลายๆ พี่ปริมดูจะรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย คุณศิริวัฒน์ อยู่มากโข คอยจะถามอยู่ตลอดเวลาว่าอึดอัดไหม ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่เป็นไรครับ และมันเป็นน้ำเสียงที่แสนจะสุภาพ
 
   คุณแพรแวะเวียนมาสองสามครั้งแล้ว นั้นเป็นสาเหตุที่ผมได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่รู้จัก คุณเอ โทรมาถามเรื่องที่ทำงาน เอ้า จะไล่ออกกันหรือไง ผมทำงานที่นี่ก่อนน้องคุณนะ แต่ก็อีกนั้นแหละ ใครกันแน่ที่ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องบังเอิญ “อย่าให้รู้นะว่านายวางแผนไว้” มันฟังดูไร้สาระนะครับ ใครจะทำแบบนั้นกัน
 
   ผมรู้สึกตอนนี้อะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด แม้กระทั้งแก้วน้ำส้มที่เจ้เจนกินหมดแล้วแต่ยังไม่ได้เอาไปทิ้งที่วางอยู่บนโต๊ะที่แคนทีนของบริษัท
“เป็นไรวะ หน้าหมาไม่แดกมาสองสามวันแหละ”
“เปล่า” ผมตอบห้วนๆ ออกไปพร้อมกับในมือก็เขี่ยข้าวในจานไปด้วย”
“เปล่าอะไร๊ หน้าอย่างกับปลาดุกชนเขื่อน” ผมเงยหน้ามองเจ้แกแปบนึง แล้วก็ก้มลงมาอีก
“.....”
“เขี่ยเข้า ข้าวน่ะ เขี่ยให้เป็นต้นกล้าเลยนะ”
“......”
“กลุ้มอะไรนักหนาวะ”
“ไม่หนักหรอกเจ้ ถ้าจัดการกับตัวเองได้ก็จบ”
“นี่อย่าบอกนะว่าเรื่องไอ้คนที่แกไปทำเขาขาหักน่ะ ตัดใจไม่ได้ซิ  ไหนแกบอกว่าแค่หลงเพราะเขาหล่องะ ย้ายออกมาแล้วไม่หายก็ชอบปะวะ”
“ไม่รู้ดิ แต่มันมีเรื่องน่าลำบากกว่านั้น”
“เห้ย นั้นแฟนคุณซีหรอวะ” ประโยคนั้นของเจ้เจน ทำให้ผมรู้ว่าแกไม่ได้สนใจกับประโยคที่ผมพูดแต่เปลี่ยนเรื่องคุยไปกะทันหัน และทันทีที่ได้ยินชื่อของเขาผมก็หันตามสายตาของเจ้เจนไป
“เขาบอกว่าไม่ได้เป็นแฟนนะ แต่ดูคุณแพรเธอจะชอบคุณซีเอามากๆ”  ผมตอบเสียงเนือยๆ ออกไปพร้อมกับมองคนตัวสูงกำลังเปิดประตูรถหรูคันสีดำสนิท ที่ผมเคยนั่งอยู่ประจำ ให้กับฝ่ายหญิงใส่เดรสสั้นสีดำดูเซ็กซี่ ไม่เหลือคราบคุณแพรที่แสนน่ารักที่เคยเห็นอีกแล้ว
“แกรู้จักหรอวะ ฉันเคยเห็นเขามาคุยกับคนทำห้องให้คุณซีด้วยว่ะ นึกว่าจะมาสร้างเรือนหอ”

“เฮ้อ....” ผมไม่ได้ตอบได้แต่ถอนหายใจแล้วก็จัดการรวมช้อนให้เรียบร้อย ตอนนี้อาหารมันไม่น่ากินเอาซะเลย
“แต่งตัวซะสวย สงสัยไปเดทแอนด์ไปจุ๊กกะดุ๋ยดุกดุ๊ย แน่เลย”
“ก็ไม่แปลกหรอก พี่สาวเขาอยากได้จะตายไปคนเนี้ย”
“หรอ เอ่อ แต่เขาก็เหมาะกันดีนะ” ผมหันไปมองภาพทางด้านหลังอีกครั้ง ก็พบว่าตอนนี้ไม่มีรถจอดอยู่แล้ว เขาคงออกไปแล้ว

ตึ้ง ตึ้ง

C: ฉันออกไปข้างนอกนะ ช่วงบ่ายอาจไม่เข้าออฟฟิตแล้ว

ผมเปิดดูข้อความที่อีกคนส่งมาได้แต่พูดกับตัวเอง “จะไปไหนก็ไปเลย” แต่มันคงไม่เบาพอ
“เดี๋ยวนะ ทำไมแกรู้เรื่องคุณซีเยอะจังอะ เขามาทำงานไม่ถึงเดือนเลย แกเป็นเลขาหรือเลียขาวะ รู้เยอะจริง”
“เลขาอะไม่รู้ว่าเป็นไหม แต่เลียขาไม่เป็นแน่ๆ เคยแต่นวดขาแค่นั้น”
“อ่อ ห๊ะ อะไรนะนวดขา ขาคุณซีอะนะ” เสียงเจ้ากรรมของเจ้แก ผมแทบจะกระโดดไปปิดปากแกจากฝั่งตรงข้าม และก็ไม่ลืมที่จะมองด้วยว่ามีใครได้ยินมั่ง
“เฮ้ย เจ้ ไรเนี้ย เสียงดังทำไม”
“แกว่าไงนะ นี่แกไปจุ๊กกะดุ่ยกับเขาแล้วหรอ”
“บ้าหรอ”
“เดี๋ยวนะ นี่แกจะบอกฉันว่า คนที่แกไปอยู่ด้วยเป็นอาทิตย์นั้น” เจ้เจนเอามือปิดปากทำท่าเหมือนสาวน้อย หลังจากที่ผมพยักหน้า
“แล้วที่แกโทรหาฉันคืนนั้น ไอ้ยุ แกตกที่นั่งลำบากแล้ว”
“รู้แล้วน่า พูดมากจัง”  ผมได้แต่มองจานข้าวที่ตอนนี้มีข้าวอยู่เต็มจาน ไม่รู้ว่าเรื่องที่วนเวียนอยู่ตอนนี้คืออะไรกันแน่
 
“ยุ คุณซีน่าจะไม่เข้าแล้ว ยุกลับบ้านได้นะ” พี่ปริมพูดทันทีที่ผมวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะทำงาน ผมเงยหน้ามองหน้าพี่คนสวย แล้วก็ได้แต่ยิ้มแหย๋
“กลับได้หรอครับ ตอนผมอยู่ตึกเก่าทำไม่ได้นี่ครับ”
“ได้ซิ คุณซีส่งข้อความมาบอก”
“อ่อ หรอครับ”
“คู่นี้เขาน่ารักกันดีนะ คบกันมาตั้งนานแล้วไม่เห็นมีทีท่าว่ายังไง” พี่ปริมพูดไปก็เก็บของไปด้วย
“หรอครับ พี่ปริมรู้จักคุณซีมานานแล้วหรอครับ”
“รู้จักตั้งแต่ก่อนที่เธอจะไปนอกซะอีก พี่เป็นเลขาของคุณเกียรติ พ่อของคุณซีน่ะ” พี่ปริมเงียบเว้นวรรคไปสักหน่อยก่อนจะพูดต่อ
“หลังจากที่ท่านหย่ากับคุณนายได้ไม่นานน่ะ….แล้วก็มีเรื่องเยอะแยะไปหมด เจอกันครั้งสุดท้ายก็สามปีก่อน ไม่น่าเชื่อว่าคุณซีจะกลับมาได้ขนาดนี้ นึกว่าจะเสียผู้เสียคนไปแล้ว
สามปีก่อนอีกแล้ว  เรื่องที่บ้านไม้ก็ยังติดใจผมอยู่ ไม่ได้คำตอบอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวจากป้านวลสักนิด แล้วนี่พี่ปริมยังมาพูดเรื่องสามปีก่อนนี่อีก

RRRRRRRRRRRRRR

“ฮัลโหลครับ”
(ยุ ป้าเจ้าของคอนโดนะ)
“ครับ ป้ามีอะไรรึเปล่าครับ”
(อ่อ พอดีป้าจะให้ยุย้ายออก)
“เดี๋ยวนะครับป้า ย้ายออกเรื่องอะไรครับ”
(รายละเอียดค่อยมาคุยกันนะยุ)
   
   ผมเก็บโทรศัพท์มือไม้สั่น ทำไมถึงมาบอกอะไรกะทันหันแบบนี้ ผมไม่เคยที่จะทำอะไรผิดที่ผิดทางสักนิดทำตามกฎของคอนโดทุกอย่างแล้วทำไมถึงอยากให้ผมย้ายออก ผมออกจากออฟฟิตทันที บอกพี่ปริมว่ามีปัญหานิดหน่อย
   
   ผมขับรถคันเก่าของผมกลับเข้าไปที่ห้องทันที ภาพตอนที่ไปถึงหน้าห้องก็มีคนเต็มไปหมด กำลังขนของผมออกมาวางข้างนอก
 “เดี๋ยวครับป้า นี่มันอะไรกัน”
“เจ้าของห้อง เขาขอห้องคืน เขาจะกลับมาอยู่”
“นี่ไม่ใช่ห้องป้าหรอครับ”
“ไม่ใช่ นี่เขาโทรมาว่าจะย้ายเข้าพรุ่งนี้ ยุต้องออกแล้วหละ อย่าว่าป้าใจร้ายเลยนะ”
“แต่ป้าใจร้ายจริงๆ น่าจะบอกผมล่วงหน้าบ้าง แบบนี้คืนนี้ป้าจะให้ผมไปนอนที่ไหนกัน”
ผมได้แต่มองผู้ชายสามสี่คนกำลังขนของออกมา ถึงของในห้องผมมันจะไม่มีอะไรมาก แต่ทุกอย่างมันก็คือเงินทั้งนั้น แล้วไหนจะรูปพ่อแม่ที่ผู้ชายคนนั้นทำหล่นอีก
“พี่ครับระวังหน่อย” ผมหันไปแหว๋ใส่ก่อนจะหันมาขอความเห็นใจจากป้า
“ป้าครับ บอกเจ้าของห้องว่าผมขอเวลาหาห้องใหม่หน่อย แบบนี้มันแย่นะครับ ข้าวของมากมายจะให้ผมไปอยู่ที่ไหน”
 “ป้าขอโทษนะยุ แต่ป้าช่วยไม่ได้จริงๆ ป้าจะให้คนขนลงไปไว้ข้างล่างให้แล้วกัน อ่อ แล้วก็ป้าขอกุญแจคืนด้วยนะ ส่วนค่าน้ำค่าไฟส่วนที่ยุอยู่ป้าขอหักจากเงินค้ำประกันเลยนะ ส่วนค่าห้องน่ะ เจ้าของเขาไม่เอา”
 
“ป้าครับ อย่าทำแบบนี้เลย ขอเบอร์เจ้าของห้องให้ผมหน่อย ผมจะโทรคุยกับเขา เขาน่าจะมีความเห็นใจกันบ้าง”
“อุ้ย ไม่ได้หรอก จะให้เบอร์สุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง ป้าโดนเล่นแน่”  หน้าตาของคนที่ยืนตรงหน้าทำผมอยากจะร้องไห้ ผมหยิบกุญแจห้องคืนให้แก ก่อนที่แกจะเดินหันหลังไป
   ขาของผมแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงให้ตายเถอะ ทำไมถึงใจร้ายกันขนาดนี้ ผมเป็นผู้เช่าที่ไม่ดีหรือก็ไม่ ไม่เคยทำเรื่องอะไรเลย แล้วทำไมต้องมาเจอแบบนี้ ผมนั้งเข่าอ่อนอยู่ที่หน้าประตูห้อง ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป ผมจะทำยังไงดี คืนนี้จะนอนที่ไหน ข้าวของตั้งมากมาย แต่ผมคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
   ผมค่อยๆ เดินลงมาข้างล่าง ข้าวของของผมถูกวางไว้ข้างรถ อย่างไม่เป็นระเบียบนัก เสื้อผ้าถูกโยนๆ อยู่บนกระโปรงรถ ตะกร้าผ้าที่อัดเสื้อผ้าทุกอย่างแน่นอยู่ในนั้นถูกวางไว้ใกล้ๆ กัน กล่องหนังสือ แฟ้มเอกสารถูกวางถมๆ กันอยู่ ที่สำคัญ รูปของพ่อกับแม่แตกแล้ว ถ้าวันนั้นผมไม่ตัดสินใจแบบนั้นผมจะเป็นแบบนี้ไหม พอคิดแบบนั้นยิ่งทำให้ผมยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่ ความรู้สึกของผมตอนนี้ มันเหมือนประเดประดังจนทำอะไรไม่ถูก ผมคิดถึงเขา ตอนลำบากแบบนี้ผมคิดถึงเขาจริงๆ อยู่ดีๆ น้ำตามันก็พาลจะไหล ผมไม่มีสิทธิ์แม้จะโทรหาเขาด้วยซ้ำ เขาอยู่กับแฟนของเขา ถ้าให้เวลาผมสักหน่อย ก็คงดีกว่านี้ ผมตั้งตัวไม่ทันเหมือนโดนปล่อยเกาะ อึดอัดไปหมด
 RRRRRRRRRRRRRRRRRR

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมันทำให้ผมได้สติ แต่พอเห็นใครโทรมา

คุณซี

   น้ำตามันก็ไหลออกมาดื้อๆ ให้ตาย ผมเก็บน้ำตานั้นไม่อยู่เผลอปล่อยโฮออกมา ผมนั่งยองๆ กอดเข่าอยู่ข้างรถของตัวเอง กำโทรศัพท์ในมือแน่น ยังไม่กล้าที่จะรับสาย ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนที่ผมคิดถึงมากที่สุดตอนนี้ ผมไม่อยากให้เขาได้ยินเสียงสะอื้นของผม
 
RRRRRRRRRRRRRR
 
คุณซีโทรกลับมาอีกสาย ผมฮึบกลั้นน้ำตาแล้วกดรับสายในที่สุด
(อาบน้ำอยู่หรอถึงรับสายช้า หรือแอบไปเที่ยวที่ไหนให้กลับก่อนแต่ห้ามไปเที่ยวกับคนอื่นนะ)
เสียงทุ้มที่ดูร่าเริงของเขาทำน้ำตาผมไหลอีกแล้ว เขาเข้ามาตอนที่ผมลำบากไม่รู้จะไปพึ่งใคร ผมอยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ จัง
(ทำไมไม่พูดหละ อย่าบอกนะว่าโกรธ เอ๊ะ หรือนายหึง)
“ฮึก ซึด ฮึก”
(ตัวเปี๊ยก นายเป็นอะไร)
“คุณซี ฮื่ออ คุณซีครับ” ผมปล่อยโฮออกไปแล้วน้ำเสียงนั้นสั่นจนฟังแทบจะไม่เป็นภาษา
(นายร้องไห้หรอ เป็นอะไรเกิดอะไรขึ้นอยู่ทีไหน ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้)
“ผม ผมไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร”
(ไม่เป็นไรบ้าอะไร ร้องไห้ขนาดนี้ นายอยากให้ฉันโมโหจริงๆ ใช่ไหม ห๊ะ)  น้ำเสียงตวาดที่กรอกมาตามสายทำหยุดสะอื้นได้ในทันที
(ฉันขอโทษ นายอยู่ที่ไหน ฉันเป็นห่วงจะบ้าอยู่แล้ว)  พอเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผมก็กลับมีน้ำตาเอ่อออกมาอีก บ้าชะมัด ทำไมถึงได้อ่อนแอขนาดนี้

   หลังจากที่ผมวางสาย ผมก็แทบบ้า ให้ตายเถอะ อะไรที่ทำให้เขาต้องร้องไห้ขนาดนั้น ผมเหยียบคันเร่งให้ถึงห้องของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่การจราจรตอนช่วงเย็นนี่มันก็น่าหงุดหงิดจนผมแทบบ้า โมโหแต่ไม่รู้จะลงกับใคร เพียงแค่ผมอยากไปหาเขาให้เร็วที่สุด
   ผมรีบวิ่งจากถนนไปถึงหน้าคอนโดให้เร็วทีสุด แต่ขาของผมก็อ่อนแรงลงเอาดื้อๆ  ภาพที่ผมเห็นคนตัวเล็กนั่งเก็บเสื้อผ้าที่หล่นลงตะกร้า พับแล้วค่อยๆ วางมันลง ข้าวของว่างระเกะระกะ เขาค่อยๆ ถอดไม้แขวนเสื้อออกจากเสื้อผ้าแล้วพับมันที่ละตัวแล้ววางลงที่เบาะหลังรถ ผมหยุดมองเพียงแค่เสี้ยวนาที เขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง จมูกนั้นแดงซะจนเหมือนกับทาสีไว้ ในตาก็ฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่น้ำตาให้เห็นแล้ว
   ผมยืนมองเขาไม่นานเขาก็ยิ้มออกมา คนแก่บ้าๆ ยิ้มออกมาทั้งๆ ที่ตัวเองร้องไห้จนตาแดงเนี้ยนะ มันน่าโมโหนัก ผมอยากกอด กอดเขาไว้ และผมก็ทำอยากที่คิด ผมโผเข้ากอดเขา กอดแน่นที่สุดเท่าที่แรงของผมจะมี เขาสะดุ้งเหมือนอย่างทุกทีแต่ก็ไม่ได้ขัดขื่น
“โดนไล่ออกจากห้องน่ะครับ” น้ำเสียงที่ยังคงเครือทำให้ผมกระชับอ้อมกอดเข้าไปอีก
“แน่นไปแล้วครับคุณซี” ถึงแม้น้ำเสียงจะแกล้งเหย้าแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกดี ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้
“ผมไม่เป็นไรครับ จริงๆ แค่เห็นหน้าคุณ ผมก็ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณนะครับ”
   ประโยคนั้นที่ผมได้ยินยิ่งทำให้ผมกอดเขาแน่นเข้าไปอีก ผมไม่น่าเลย ไม่น่าปล่อยเขาให้เจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้เลย ผมปกป้องคนที่ผมชอบไม่ได้อีกแล้ว อีกครั้งแล้ว ผมจะไม่ยอมให้เขาเจอแบบคนๆ นั้นเจอเด็ดขาด
“เรื่องแค่นี้เอง อย่าร้องไห้แบบนี้อีกนะ” ผมปล่อยเขาออกจากอ้อมกอด ตัวเปี๊ยกยู่ปาก พ่นคำว่า ฮึ ออกมาจากลำคอ
“ไปคุยกับเขากันทำแบบนี้กับผู้เช่าไม่ได้นะ มันผิด”
“ไม่ต้องหรอกครับ ช่างมันเถอะ ป้าแกก็คงไม่อยากให้เกิด ผมคงซวยเอง” เอาอีกแล้ว ต้องโทษตัวเองอยู่เรื่อย
“นี่ ไปทิ้งคุณแพรไว้ตรงไหนครับ” ดูสีหน้าแบบนั้น ตั้งใจถามจริงๆ หรอ ก้มหน้างุดไม่มองหน้ากัน นี่เขาคิดว่าผมไม่รู้หรอว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ สายตาที่มองผ่านกระจกห้องอาหารเมื่อตอนกลางวันนั้นก็อีก ทำอย่างกับคนเขาจะดูไม่ออกอย่างนั้นแหละ
“ไปส่งแล้ว ฉันถึงโทรหานาย”
“หรอครับ” น้ำเสียงอ่อยลงไปอีกแล้ว ขี้หึงใช่เล่นนะเนี้ย ปากน่ะแข็งไปเถอะ
“ไม่เอาเรื่องแน่นะ”
“............” ไม่ตอบได้แต่พยักหน้า ก้มลงไปหยิบกรอบรูปที่ไม่มีกระจกแล้วที่กองหนังสือมาถือไว้
“งั้นกลับบ้านกัน”
“บ้านไหนครับ ผมเพิ่งบอกอยู่ ว่าโดนไล่ออกมา”
“บ้านเราซิ ไม่ใช่บ้านนาย”
-------------------------------------------

รองเท้าสีดำขลับ ค่อยๆ ย่างก้าวเข้าใกล้ประตูบานใหญ่เปิดมันออกโดยที่ไม่เคาะประตูขอเจ้าของห้อง

“เด็กนั้นโดยให้ออกไปตามที่คุณสั่งเรียบร้อยครับ แต่ว่า.....” คนสวมชุดสูทสีดำสนิทเงยหน้ามองพนักเก้าอี้หนังตัวใหญ่ ที่ค่อยขยับแต่ไม่หันกลับมามอง
“ดูเหมือนจะมีคนมารับเด็กนั้นไปครับ”
ตุ๊บ เสียงทุบโต๊ะดังลั่น กำปั่นเล็ก สวมแหวนเพชรเม็ดโต นาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือ สั่นสะเทือน
“ฉันอยากให้มันต้องลำบากไม่ใช่ให้พวกมันได้กลับไปอยู่ด้วยกัน”
“ผมขอโทษครับคุณ”
“ออกไป ไป!!!”
เสียงประกาศดังสนั่นห้องทำงานใหญ่ ก่อนที่ประตูไม้จะค่อยๆ ถูกปิดลง
 
 

TBC


 
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ  :mew1:
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 6 ขอบคุณ(26/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 26-11-2016 19:13:08
เห็นชื่อเรื่อง ก็รีบกดเข้ามาเลย น่าสนใจมาก
พออ่านแล้วสนุกดี เรื่องมันน่าติดตามมาก

ตอนล่าสุดสงสารพายุ โดนไล่ออกจากห้อง
อยากรู้จริงว่าใครอยู่เบื้องหลัง หึหึ

มาต่อบ่อยๆนะครับ
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 6 ขอบคุณ(26/11/59)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 27-11-2016 02:42:45
ใครอะ ตัวละครสุดท้าย ไม่ใช่ว่า
คนที่ซีรักคือยุนะ เเต่เเบบความจำเสื่อมไรงี้
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 7 ฉันขอโทษ (4/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 04-12-2016 17:51:08
= 7 =
           

                    ผมสังเกตเห็นว่ารูปที่ตัวเปี๊ยกกอดมาตลอดทางคือรูปครอบครัว ในรูปตัวเปี๊ยกยังเป็นตัวเปี๊ยกจริงๆ ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย เขาไม่มองหน้าผมตลอดการเดินทางจากคอนโดของเขาจนมาถึงคอนโดของผม ได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่างรถ ถามอะไรก็ไม่ตอบทั้งนั้น ผมอยากรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นึกไปนึกมาตอนนี้ก็อยากมีพลังวิเศษขึ้นมาเลย ภาพตอนที่เขาเก็บของกับเสียงตอนที่เขาร้องไห้มันก้องอยู่ในหูผม ผมรู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือผูกพันธ์กับห้องนั้นเท่าไรหรอก ผมว่าเขาคงรู้สึกเหมือนไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนที่เรื่องมันกะทันหันแบบนี้ แต่ผมว่าเรื่องนี้มันมีกลิ่นทะแม่งๆ อยู่

ผมโทรหาลุงจวงให้พาคนงานที่บ้านมาจัดแจงข้าวของของพายุขนย้ายมาที่คอนโดของผม ดูท่าทางเขาเองก็ไม่ห่วงอะไรนอกจากรูปที่กรอบกระจกแตกไม่เหลือชิ้นดี

“หิวไหม อยากกินอะไรก่อนเข้าห้องรึเปล่า” ผมถามเพื่อต้องการทำลายความเงียบนี้ก็เท่านั้น

“ไม่ครับ”

“ทำไมหละ น่าจะรองท้องสักหน่อย” ไม่มีคำตอบผมได้แต่รับการพยักหน้าเท่านั้น

เราเดินเข้าห้องโดยไม่มีอะไรตกถึงท้องกันเลย เดี๋ยวเถอะถ้าดึกๆ ได้ยินเสียงกอกแกกที่ครัวจะตีหนูให้จมเตียง เขาเดินคอตกเป็นหมาเหงา เป็นภาพที่นานๆ จะได้เห็นที คุณพายุฝ่ายประสานงานคนเก่งหายไปแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่พ่อโทรมาเกลี่ยกล่อมผมอีกรอบกับการสืบทอดกิจการ ผมจะไม่ตกปากรับคำเลยถ้ามันไม่ใช่บริษัทที่เขาทำงานอยู่ โดยมีเงื่อนไขว่าผมจะเอาเงินที่ผมหาด้วยน้ำพักน้ำแรงสมัยตอนที่อยู่เมืองนอกมาซื้อหุ้นและเป็นของผมเองเท่านั้นผมถึงจะยอมเข้าไปบริหาร ซึ่งก็ได้คำตกปากรับคำจากพ่อ แต่ก็ไม่วายส่งคุณปริมมาเป็นเลขาส่วนตัวซะได้
         
       พ่อเสนอว่าให้เลือกเลขาที่เป็นส่วนประสานงานได้อีกคน เลือกตามใจเลยเพราะโดนบังคับด้วยเลขาส่วนตัวไปแล้ว นั้นก็เป็นสาเหตุที่พายุมาอยู่ตรงนี้ สีหน้าของเขาที่มองผมในห้องประชุมยังติดใจผมอยู่จนทุกวันนี้

ความตกใจนั้นมันไม่ได้น่ากลัวเหมือนตอนที่เขาเปิดประตูรถมาชนจักรยานของผม หรือตอนที่บอกว่าจะให้เขาถูหลังให้ มันเป็นความตกใจแบบใหม่ที่ปนความโกรธที่แสดงให้เห็นชัดเจนมากทางสายตา แต่ผมไม่ปล่อยให้ความโกรธของเขาได้ทำงานนานนักหรอก เหตุผลที่ทำให้เขาอยู่ในห้องงทำงานผมก็คืออันนี้แหละ และนั่นก็ทำให้ผมได้เห็นแววตาของความน้อยใจที่มาเต็ม

ยิ่งตอนนี้ความรู้สึกของเขากลับทำให้ผมรู้สึกหม่นไปด้วย ไม่ชอบแบบนี้เลย อย่างที่ผมบอก ผมว่าเรื่องนี้มันแหม่งๆ และผมคงไม่ปล่อยความค้างคาใจนี้ไป ไม่งั้นคืนนี้ผมคงนอนไม่หลับ

“นายไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวหาอะไรรองท้องให้ ขี้เกียจฟังเสียงหมาครางร้องหิวตอนดึก”

“ครับ” ไม่ตอบโต้ น่ารัก ไม่เถียง ไม่ดื้อ แต่ผมไม่ชอบ

ผมปลีกตัวเดินเข้ามาในครัวหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยเป็นชุดสบายๆ แล้ว ผมกดโทรออกหาคนที่พอจะช่วยผมเรื่องนี้ได้

“ผมต้องการให้ช่วย”

(ครับ)

“พายุโดนไล่ออกจากห้องแบบไม่ปกติ”

(ได้ครับคุณหนู ได้เรื่องยังไงผมจะรีบแจ้งครับ)
           
          ผมกดวางสายแล้วทำแซนวิชง่ายๆ แช่ตู้เย็นไว้เผื่อตัวเปี๊ยกจะหิวตอนดึก เขาเดินออกมาด้วยเสื้อนอนตัวใหญ่ของผม จริงสิ ลุงจวงยังไม่ได้เอาของมาให้เลย มันยาวเหนือหัวเข่าขึ้นมานิดหน่อย ก็เขาตัวสูงแค่ไหล่ของผมแค่นั้นเอง ในมือก็มีผ้าขนหนูผืนเล็กเดินพลางเช็ดผมพลางไปด้วย ท่าที่เขาก้าวนั่งพับขาบนโซฟากลางห้อง เขาจะรู้ไหมว่ามันน่ารักน่าฟัดขนาดไหน
           
     
     ผมว่าความรู้สึกของผมมันชักจะห้ามไม่อยู่ ยิ่งตอนที่เจอกันครั้งแรก ก็ห้ามให้ตัวเองไม่เดินไปกอดเขาไม่ได้ ให้ตาย ทำทะเล่อทะล่าอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวนี้เรื่องการบังคับความรู้สึกของผมที่มีต่อเขามันยากขึ้นทุกวัน แล้วมันก็ยิ่งสนุกที่เห็นเขาหงุดหงิดจนออกนอกหน้าเวลาที่แพรมาหาที่ออฟฟิต ก็เคยบอกแล้วไงว่าเขาเก็บความรู้สึกไม่เก่ง แถมขี้หึงอีกด้วย

     ผมหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ คว้าผ้าขนหนูผืนเล็กนั้น มาเช็ดผมให้เขาซะเอง คนตัวเล็กที่ตอนนี้ยังนั้งมองรูปครอบครัวอยู่ที่เดิม ผมที่เริ่มหมาด ก็เริ่มมีอาการชี้ฟูให้เห็น ดูแล้วก็น่ารักดี

“พรุ่งนี้จะเอาไปเปลี่ยนกรอบให้โอเคไหม”

เขาไม่ตอบได้แต่หันมายิ้มตาหยี ไม่รู้ว่าเพราะเราห่างกันเลยทำให้เขาน่ารักขึ้น หรือเพราะว่าสิ่งที่เขาเจอมาทำให้พยศน้อยลงกันแน่

“จริงๆ แล้ว ผมหนีออกจากบ้านนะครับ”

มือที่เช็ดผมอยู่ของผมก็หยุดชะงักทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นออกจากปากอีกคน  ใจหนึ่งก็รู้สึกดีอยู่หรอกที่เหมือนอีกคนจะยอมเปิดใจแล้ว แต่อีกใจก็รู้สึกว่าเขาคงต้องใช้ความกล้ามากมายในการพูดเรื่องนี้

“ผมทะเลาะกับพ่อ แต่เรื่องที่ทำให้ผมออกจากบ้านน่ะ ผมจำไม่ได้แล้ว ว่าเรื่องไหน เพราะผมกับพ่อทะเลาะกันตลอดเวลา ยิ่งเป็นเรื่องของผม เรื่องที่ผมเป็นผม ท่านก็ยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่”

น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนสบายๆ แต่ก็ไม่ใช่ รอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าแต่มันกลับดูไม่สดชื่นเลยสักนิด

“ผมตัดสินใจออกมาน่าจะเกือบ 6 ปีได้แล้ว ตอนนั้นยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ ขอเข้าไปอยู่หอในของมหา’ลัย แล้วก็ทำงานไปด้วย ทำเรื่องกู้เรียน เพราะไม่อยากบากหน้าไปขอเขาอีกแล้ว ผมไม่เคยกลับไป ไม่เคยโทรหาเขา ครั้งแรกที่ผมเห็นคุณกับป้านวล ผมก็คิดถึงเขาขึ้นมาดื้อๆ เลย”

“รูปใบนั้น....” พายุมองมาที่รูปที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ “เป็นสิ่งเดียวที่ผมติดตัวมา เป็นตัวแทนของพ่อกับแม่”

ผมอดไม่ได้ที่จะลูบหัวเล็กๆ นั้นเป็นการให้กำลังใจ ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตหลังจากที่เจอเรื่องแบบนี้มา ดีเท่าไรแล้วที่พายุไม่เสียผู้เสียคนไปเสียก่อน

“ตอนที่ผมโดนไล่ออกจากห้อง แล้วรูปใบนี้ถูกโยนกระเด็นออกมา ผมรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันพังหมด ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว แม้กระทั่งพ่อกับแม่”

“ถึงแม้ผมจะเหนื่อยขนาดไหน แค่มองรูปนั้นผมก็หายแล้ว มีกำลังใจขึ้นเยอะ เพียงแค่คิดว่าถ้ามันได้รับความเสียหาย กำลังใจของผมคงไม่เหลืออีกแล้ว”

“ผมเหนื่อยจนอธิบายไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก แล้วตอนนั้นคุณก็โผล่มาพอดี เหมือนคุณเป็นอากาศตอนที่ผมกำลังจะขาดใจ ขอบคุณนะครับ”

ผมไม่ได้พูดอะไรได้แต่ยิ้มให้กับคำพูดที่น่ารัก และก็คงอดที่ปลื้มปริ่มไม่ได้ อย่างน้อยผมก็มีประโยชน์ในวันที่เขาอ่อนล้าเหมือนกัน
 

---------------------------------------------

            

 ผมให้คุณซีจอดตรงจุดที่ไม่ไกลจากบริษัทมากนัก ผมไม่อยากให้ใครเห็นว่าเรามาด้วยกัน ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเรารู้จักกันมาก่อน รถของผมยังจอดอยู่ที่คอนโดเก่า ตั้งใจจะให้ลุงจวงไปเอามาให้วันนี้ จริงๆ ผมอยากให้เขาไปส่งที่คอนโดด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่ามันสายแล้ว หน้าที่ของผมถึงจะเป็นเลขาของคุณซี แต่ก็ยังขึ้นกับบอสอยู่ดีเรื่องมาสายน่ะ มันเหมือนชนักที่ติดหลังผมอยู่

“อ้าว พายุ ทำไมถึงเดินมาหละ” ลุงยามเอ่ยปากถามเมื่อเห็นผมเดินมาแต่ไกล

“เอ่อ เมื่อคืนไปนอนบ้านเพื่อนครับ เลยไม่ได้เอารถมา”

เอ่ยทักทายกันไม่กี่คำลุงแกก็ขอตัวไปทำหน้าที่ เพราะตอนนี้รถซูเปอร์คาร์คันหรูสีดำสนิท จอดเทียบหน้าบริษัทเรียบร้อย คุณซีส่งกุญแจรถให้ลุงยามขับเข้าไปเก็บที่จอดรถประจำ เขาดึงแว่นดำลง ขยิบตาใส่ผมนิดหน่อยก่อนที่จะถือกระเป๋าเอกสารขึ้นไป “เหอะ ดูทำท่าเข้า เสี่ยวชะมัด” ผมได้แต่บ่นฟึดฟัด เดินเลยประตูไปเพื่อเข้าไปอีกตึก

“ห๊ะ อะไรนะ มันไล่แกออกเรื่องอะไรเนี้ย” เสียงแจ้นของเจ้เจนดังลั่นออกไปถึงประตูหน้า

“เบาๆ” ผมพูดปลามพลางตีหน้าขาของคนที่นั่งจิบกาแฟอยู่ข้างๆ

“แกแอบเอาผู้ชายไปนอนรึเปล่า อียุ เขาถึงไล่ออก เขาไม่ให้คนนอกเข้าใช่ไหม”

“คุณวัลลภครับ นี่คอนโดนะครับไม่ใช่หอพักสตรีล้วน” ผมตอบคนที่ตะโกนเสียงแปร๊นจากโต๊ะทำงาน ที่ถัดไปอีกสองสามตัว

“เห้ย แบบนี้แปลว่าแกพาไปจริงดิ” มันพูดหลังจากไสเก้าอี้มีล้อมาจนติดตัวผม

“บ้าหรอ ก็เห็นอยู่ว่าไอ้ยุเป็นผู้ชาย” เจ้เจนไม่พูดเปล่ายังชายตามองมาที่ผมอีก สายตาแบบนั้นพูดประชดใช่ไหม

“แหม เจ้ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่หรอกนะ”

“แล้วนี่แกไม่ไปตึกโน้นเหรอ” ผมได้แต่ส่งหน้าเนื่อยๆ ไปให้ พอพูดถึงตึกโน้นก็อดนึกถึงหน้าเขาไม่ได้
 
 
เมื่อคืนนี้

“ไหนมากอดหน่อยไม่ได้นอนกอดตั้งอาทิตย์” เขาขยับตัวเข้ามาใกล้ มันคงจะไม่เป็นอะไรถ้าผมไม่ได้แต่งตัวแบบนี้นอน

            เมื่อตอนหัวค่ำก็เผลอเล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟังไป แถมเหมือนจะสารภาพออกไปด้วย ให้ตาย ผมรู้สึกดีใจที่เห็นหน้าเขาขนาดนั้นเลยหรอ คิดแล้วก็หงุดหงิดตัวเอง

            เสื้อยืดตัวโคร่งของคุณซี แม้ผมจะพยายามจัดให้มันเข้าที่เข้าทาง แต่ไหล่เล็กๆ ของผมมันโผล่เลยคอนเสื้อปาดกว้างนั้นอยู่ดี คุณซีไม่ได้กอดเปล่า กลับเอาจมูกโด่งๆ นั้นมาคลอเคลียที่หัวไหล่อีก ชอบทำให้ผมคิดอยู่เรื่อย

“หอมจัง” ผมได้ยินคำพูดนี้บ่อยแล้ว แต่นั่นจะเป็นตอนที่เขาจูบหน้าผาก หรือไม่ก็ผมของผม ในตอนที่เขาเข้าใจว่า ผมหลับแล้ว ไม่เคยทำต่อหน้าต่อตาแบบนี้เลย

“คุณซีครับ ขยับไปหน่อย” น้ำเสียงผมคงตะกุกตะกักให้เขาได้ขำอีกแล้ว ผมได้ยินเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้จัง ไม่เคยจะเก็บความรู้สึกอะไรได้เลย

“ทำไม ปกติก็นอนกอดแบบนี้นิ”

จุ๊บ

            เขาหอมที่ซอกคอผม ทำเอาขนลุกชันไปทั้งตัว หน้าผมต้องแดงแล้วแน่ๆ ผมรู้สึกร้อนตรงใบหูคุณซีแกล้งผมอีกแล้ว หันตัวกลับตั้งใจจะปรามคนที่กอดจากด้านหลัง นึกคำด่าว่าไว้เต็มหัวแต่ก็ในที่สุดแล้วก็ไม่มีคำใดหลุดออกจากปากสักคำ เพราะสายตาแบบนั้นที่ส่งมา

            เขาไม่เพียงแต่ไม่หันหนีกลับก้มหน้าเข้ามาใกล้อีก ระยะนี้มันอันตรายเกินไปสำหรับผม จมูกรั้นนั้นเข้ามาใกล้หน้าผมจนผมเห็นแพรขนตาของเขา ไม่นานนักผมก็ได้รับสัมผัสที่ไม่เคยได้สัมผัส

            ริมฝีปากหนาค่อยละเมียดแทะเล็มปากของผมอย่างอ่อนโยน มันรู้สึกเหมือนถูกหยุดเวลา แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนที่เขาทำอย่างนั้น เขาจูบผมแช่ค้างชั่วพริบตาเดียวก่อนจะผละออก

“หวานจัง” ไม่รู้ว่าผมทำสีหน้าแบบไหนออกไป ผมเผลอไปแตะปากตัวเองโดยที่ตายังจ้องประสานกันอยู่

“คะ คุณซะ..” มือของผมที่แตะอยู่ที่ปากถูกกุมไว้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

            ไม่ทันจะจบประโยคปากอิ่มนั้นก็ประทับลงมาอีก คราวนี้ไม่อ่อนโยนเหมือนเก่า แต่กลับรุนแรงและเร้าร้อน ลิ้นหนานั้นเข้ามาในโพรงปาก พร้อมกับเล่นไปทั่วเหมือนกับควานหาความหวานในปากของผม ตัวผมเองที่น่าโมโหที่ปล่อยให้เขาทำ เผยอปากรับลิ้นร้อนนั้นอย่างไม่อิดออด เข้าจับท้ายทอยของผมให้ปรับองศาให้เขากับรสจูบที่ผมรู้สึกว่ามันแสนจะวิเศษ นี่เรากำลังจะเลยเถิดรึเปล่า ผมรู้สึกถึงมืออุ่นที่กำล้วงเข้าไปลูบเอวของผมอย่างแผ่วเบา ให้ตาย ผมต้องสำลักความรู้สึกนี้ตายแน่ๆ ผมพยายามดึงสติกลับมา หยุดหัวใจและความรู้สึกเผลอไผลนั้นให้ได้  ผมดันอกของคุณซีออก คุณซีปล่อยผมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมือซนที่เอว หรือมือที่กุมกันไว้ เว้นก็แต่ปากหนานั้นยังไม่ลดละกับรอยจูบ คุณซีค่อยๆ เลียรอบริมฝีปากของผมก่อนจะถอนจูบออกไป

“ตัวเปี๊ยก ฉะ...” คุณซีพูดออกมาโดยไม่มองหน้าผมสักนิด แถมยังเสสายตามองไปทางอื่นอีก

“......”

“คือ..ฉัน” ผมไม่ชอบเลย ไม่ชอบสายตาแบบนั้น

เอาจริงๆ ผมรู้สึกแย่ก็ตรงนี้แหละ ผมไม่ได้รู้สึกแย่ตอนที่เราจูบกัน ถึงแม้มันจะเป็นการจูบที่งงๆ และไม่สามารถสรุปสถานะอะไรได้ แต่ที่ผมกลับรู้สึกแย่คือตอนนี้ต่างหาก ตอนที่เขารู้สึกว่าเรื่องที่ทำมันไม่สมควรผมไม่ปฎิเสธหรอกครับ ว่าจูบครั้งแรกนั้นผมตกใจ แต่อีกครั้งนั้นไม่น่าใช่ความผิดพลาด ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าเรื่องที่ผมพูดเมื่อหัวค่ำ ที่ผมแสดงว่าผมรู้สึกกับเขาแบบไหนมันทำให้ผมคิดว่าเขาก็รู้สึกเหมือนกันกับผม เขาถึงได้จูบ แต่ก็เปล่า

            สีหน้าที่รู้สึกผิดแบบนั้น ถึงแม้ว่าห้องจะมืดแต่ผมก็เห็นใบหน้าของเขาผ่านแสงโคมสลัวนั้นอยู่ดี ความอึดอัดมันเข้ามาครอบคลุมเราจนไม่สามารถจะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้ามันดีขึ้นกว่านี้ได้อีกแล้ว

“ช่างมันเถอะครับ ผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ” ผมตอบออกไปแล้วก็พลิกนอนหันหลัง

“......”

“ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกครับ มันไม่ใช่ครั้งแรกของผม” คำโกหกคำโตถูกพ่นออกไปแล้ว

“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น”

“.......” แล้วคิดแบบไหนหละครับ

“ฉันขอโทษ พายุ” คำขอโทษนี่มันเจ็บปวดเกินไปแล้วนะครับ

“ครับ”

            นั้นก็คือสาเหตุที่ผมตื่นสายและเอาจริงๆ ผมไม่อยากเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ คุณซีคือคนพิเศษ ที่ตื่นมาแล้วกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ผิดกับผมที่เห็นหน้าเขาก็ยังคิดถึงเรื่องจูบนั้นอยู่ดี ตลอดทางที่ผมนั่งอยู่ข้างคนขับจนมาถึงที่ทำงาน ผมคงทำได้เพียงหยุดสายตาไว้ที่หน้าต่างเท่านั้น แล้วไอ้ท่าทางยียวนก่อนเข้าออฟฟิตนั้นอีก เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมจริงๆ ซินะ

“พายุ คุณปริมโทรมาตามแล้ว”
 
--------------------------------------


“ทำไมไม่พากันมาด้วยค่ะ ต้องให้พี่โทรตามอีก” คุณปริมพูดพลางวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ

“ทำงานด้วยกัน ไม่รู้หรอครับ ว่าน้องยุของคุณปริมน่ะ ดื้อขนาดไหน นี่ขนาดให้มาด้วยกันยังให้ผมจอดส่งที่หน้าบริษัท”

“อื่ม เป็นพี่ พี่ก็กลัวค่ะ” ผมเห็นสายตาของคุณปริมก็อดนึกถึงเรื่องตอนนั้นไม่ได้ และเชื่อว่าคุณปริมก็คงคิดอยู่เหมือนกัน

“เรื่องมันนานแล้วนะครับ คุณปริมลืมๆ มันบ้างเถอะ ตอนนี้อะไรๆ ก็ลงตัวหมดแล้วนี่ครับ” ผมพูดปลอบใจคนตรงหน้าออกไป ให้เขาได้คลายความกังวลลงบ้าง

“อ่อ แล้วเรื่องยุที่โดนไล่ออกจากคอนโด”

“ผมกำลังให้คนของเอช่วยสืบอยู่”

“เอ่อ แล้วถ้าเป็นเหมือนคราวก่อน” เสียงของคุณปริม แผ่วลงก่อนจะพูดต่อ “คนของคุณเอจะสืบได้หรือคะ”

ผมเข้าใจความหมายที่คุณปริมพูดเข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ถ้าไม่มีหลักฐานก็เอาผิดอะไรคนๆ นั้นไม่ได้ เหมือนเรื่องสามปีก่อน ที่ยังค้างคาใจผมจนทุกวันนี้

“เอ่อ คุณปริมรู้จักกับพายุมานานแล้วหรอครับ” คุณปริมกำมือปิดปากหัวเราะ คำถามผมมันน่าขำตรงไหนกัน

“นานค่ะ ก่อนที่จะลาออกตอนนั้นยังทำงานเป็นเด็กฝึกงาน ใส่ชุดนักศึกษาวิ่งถ่ายเอกสารอยู่เลยค่ะ”

“คุณปริมขำอะไรครับ”

“ก็คุณน่ะ ถามเหมือนเด็กนั้นเลยค่ะ พี่ปริมรู้จักคุณซีนานแล้วหรอครับ แบบนี้ค่ะ เหมือนกันเลย” ผมได้แต่ยิ้มตอบกลับคำพูดนั้นไป

“ถึงเขาจะหน้าคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันหรอกนะคะ”

“ครับ ผมทราบ ผมไม่เคยคิดว่าเขาเหมือนหรือว่าใครจะแทนใครได้หรอกครับคุณปริม”

“ชอบเขาหรือคะ” รอยยิ้มกริ่มของคุณปริมมันทำให้ผมอดเขินตามไม่ได้ คงมีแต่ผู้หญิงคนนี้แหละครับ ที่จะหลอกล่อให้ผมยอมพูด

“ขอเวลาอีกนิดครับ”

“ค่ะ อย่าทำให้น้องพี่เสียใจหละ อ่อ แล้วก็ระวังโดนปาดหน้าเค้กนะคะ” ห๊ะ ปาดหน้าเค้ก ทำไมถึงพูดแบบนั้น

“เดี๋ยวครับ คุณปริม คุณจะมาทิ้งระเบิดแล้วเดินออกจากห้องแบบนี้ไม่ได้นะครับ” เสียงคุณปริมหัวเราะลั่น

“ทำไมคะ คุณซียังชอบเลย ก็น้องเขาน่ารักใช่ไหมหละ ไม่คิดว่าคนอื่นจะมองว่าเขาน่ารักบ้างหรอคะ อย่าวางใจไปนะคะ อย่าคิดว่าอยู่ด้วยกันจะทำอะไรก็ได้ คนเราน่ะ ไม่ว่าใครก็ต้องการความชัดเจนทั้งนั้นแหละค่ะ แล้วอย่างคุณซี พี่เชื่อเลยว่า พายุไม่ได้นอนในห้องสบายๆ หรอก ถูกไหมคะ”

“คุณปริม เห็นผมเป็นคนยังไงครับเนี้ย”

            ผมโดนระเบิดลูกใหญ่ก่อนที่คนวางจะเดินออกไป ยังมีหน้ามายิ้มชายตาให้อีก ให้ตาย นี่ผมต้องโดนปาดหน้าเค้กจริงๆ หรอ แต่ผมจูบจองไว้แล้วนะ

            ผมเริ่มกระวนกระวายใจแล้ว นี่เขาไปไหนทำอะไร ป่านนี้ยังไม่มาอีก แค่ตึกข้างๆ เนี้ย ทางเชื่อมก็มีเดินแปบเดียวก็ถึง แล้วนี่โทรตามตั้งนานแล้วหรือไปแวะอยู่แผนกไหน

“เอ่อ ขอโทษครับ เห็นคุณพายุไหมครับ”

            ผมเดินมาตึกเก่าทั้งๆ ที่เคยบอกกับคุณจิรายุทธเจ้านายเก่าของพายุไว้แล้วว่าจะไม่มาก้าวก่ายหน้างานของเขา แต่ก็ยังเดินท่อมๆ มาถิ่นเขาอีก ซึ่งผมก็ต้องยอมรับครับ เพราะผมต้องมาตามหา “ตัวเปี๊ยก” ของผม ซึ่งผมต้องยอมรับอีกนั้นแหละ ยอมรับในสายตาและเสียงซุบซิบนั้นด้วย แต่ถ้าถามว่าผมมาทำไมต้องไปโทษมือวางระเบิด ให้เดินมาตอบก็ตอบน้ำเสียงยียวนว่า “ไปตามเองซิค่ะ ถ้าคุณซีรอไม่ไหว” ตอนนี้คงได้หัวเราะลั่น กับคำทิ้งท้าย “ชัดเจนขนาดนี้ไม่ต้องรอเวลาแล้วค่ะ”

“ขอโทษครับ” ผมขอโทษที่เผลอถอนหายใจออกไปเสียงดัง จนฝ่ายประชาสัมพันธ์มองหน้าอมยิ้ม ถ้าจำไม่ผิด ผมว่าเธอคือคนที่กินข้าวกับพายุเมื่อวาน

“พายุ อยู่ฝ่ายการตลาดค่ะ น่าจะไปคุยงานเรื่องแกรนด์โอเพิ่นนิ่ง โซนใหม่ของห้างแล้วก็เปิดตัวคุณซีด้วยค่ะ” ผมพยักหน้าให้กับพนักงานสาว ดวงตาเป็นประกายของเธอทำเอาผมเก้ๆ กังๆ อย่างบอกไม่ถูก

“ช่วยนำทางผมไปหน่อยได้ไหมครับ”

“คุณซีรอที่นี่ไม่ดีกว่าหรอคะ เดี๋ยวยุก็คงมา เจนโทรไปแจ้งที่แผนกให้แล้ว” ผมได้แต่พยักหน้าซึ่งจริงๆ ผมไม่อยากรอแล้วครับ แต่ผมจะมีเหตุผลอะไรไปพูดหละ

“เจ้ ไอ้ยุมันไปอยู่ตลาดนานไปแล้วนะ ไม่ใช่ไปหลงเสน่ห์ น้องเบสท์ สุดหล่อของฉันเข้าหละ” ผมได้ยินเสียงสองของเพื่อนร่วมงานพายุยิ่งทำให้ผมเป็นกังวลใหญ่

“อย่าประสาทไอ้ลภ ไอ้ยุไม่ได้บ้าผู้ชายแบบแก” ได้ฟังแบบนั้นผมก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย

“แต่น้องเบสท์ หล่อมากนะเจ้ แถมมันยังเคยเอ่ยปากชมเองด้วย ไม่น่าไว้ใจ ลภไปตามเองดีกว่า เดี๋ยวมันคาบของฉันไปกิน”

            ผมตัดสินใจเดินตาม วัลลภเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลห่างๆ จริงๆ แล้วแผนกการตลาดก็หาไม่ยากเดินเข้ามาหน่อยเดียว ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ที่ยุ่งยากคงเป็นใจผม ที่มันกระวนกระวายใจจนแทบจะควบคุมไม่ได้ ก็ตอนนี้ตัวเปี๊ยกของผมโดนโอบไหล่ แถมคนโอบยังหน้าตาดีซะด้วย พอพายุเอามือที่โอบไหล่นั้นออกก็เปลี่ยนมาเอาหน้าใกล้กันเข้าไปอีก ดูแผนงานอะไรกันใกล้ขนาดนั้น

ผมไม่รู้ตัวว่าทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่มันคงไม่ดีนัก สังเกตได้จากสีหน้าของวัลลภ ผมยืนกอดอกอยู่นิ่งๆ คนสองคนที่หน้าใกล้กันจนแทบจะจูบกันอยู่แล้ว ก็ไม่มีท่าทีว่าจะผละออกจากกัน จนวัลลภสะกิดผู้ชายหน้าตาดีคนนั้น ซึ่งผมเดาได้ว่าน่าจะเป็นคนชื่อเบสท์ที่ถูกพูดถึงเมื่อกี้ วัลลภพูดไม่มีเสียง “คุณซีมา” นั้นแหละ คนแก่จอมอ่อยถึงได้ลุกขึ้นยืน แล้วแขนของไอ้เด็กนั้นถึงได้ออกจากหัวไหล่ของเขา

“มานี่” ผมไม่พูดพล่ำทำเพลง ดึงแขนของพายุออกมาจากแผนกการตลาด และพยายามลากกลับเข้ามาที่ห้อง แต่ยังไม่ทันจะถึงห้อง คนแก่หัวดื้อ ก็ยื้อตัวไว้ไม่ยอมเดินต่อ ซึ่งไม่ต้องห่วงเรื่องคน ทุกคนต่างมองกันเป็นตาเดียว

“คุณซี ปล่อยก่อนครับ”

“ไม่!!!”

“ผมเจ็บครับ ปล่อยก่อนคนมองกันใหญ่แล้ว”

“ก็มองไปซิ ทำไม! แคร์คนอื่นมากกว่าฉันหรอ” ผมเผลอตะโกนออกไป ผมทนไม่ไหวแล้ว ทีกับไอ้เด็กนั้นไม่เห็นจะทำเป็นอายสายตาคนอื่น

“คุณนี่ เป็นอะไรไป มันร้อนไปรึว่ายังไงครับ”

“ฉันบอกให้ไปหาที่ห้อง นี่มัวไปทำอะไรอยู่ ชอบมันรึไง”

“ชอบอะไรกันครับ คุณซี เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ นี่ที่ทำงานนะครับ” เขาตวาดผมกลับมาบ้างแต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ไอ้ท่าทางยิ้มแบบนั้น ผมไม่เคยได้รับเลยสักนิด แล้วท่าทางที่ดูสนิทสนมนั้นอีก พี่แบบนั้น พี่แบบนี้  ได้ยินแล้วผมหงุดหงิด

“ไม่ต้องไปไหนเลยนะ ต่อไปเดินขึ้นตึกใหม่เลย”

“แต่ผมยังต้องทำงานนะ แล้วก็...คนมองกันใหญ่แล้วนะครับ” พายุยังพูดซ้ำประโยคเดิม คนมองแล้วก็เริ่มซุบซิบกันอีก

“พวกคุณมองอะไรกันครับ ไม่มีงานทำกันใช่ไหม ผมจะได้แจ้งออกให้” สิ้นคำพูดนั้น ทุกคนก็แตกหื่อ เดินออกไปคนละทิศละทาง

“มานี่เลย” ผมยื้อตัวคนตัวเล็ก กึ่งลากกึ่งจูงจนมาถึงห้องทำงาน

“อะไรกันคะเนี้ย” คุณปริมดูท่าทางตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า

“ผมไม่พบใครทั้งนั้น อย่าให้ใครมาในห้องผมนะคุณปริม” คุณปริมพยักหน้ารับก่อน ที่ผมจะลากคนตัวเล็กเข้ามาในห้องและโยนเขาลงบนโซฟา พร้อมกับกดล๊อคประตูเสร็จสรรพ

“เป็นบ้าหรอ” พายุตะโกนใส่หน้าผม พลางลูบแขนตัวเองปลอยๆ

“ใช่เป็นบ้า ทำอะไรไหนบอกอายคนอื่น หรืออายแค่กับฉัน ทีกับมันทำไมถึงให้มันโอบขนาดนั้น”

“คุณซีพูดอะไร”

“นี่นายอยากให้ฉันบ้าใช่ไหม” พายุขมวดคิ้วหนัก แต่ก็ไม่พูดอะไรกลับมา

“นายนี่มัน..” ผมถอนหายใจ ทรุดลงนั้งที่ข้างๆ เขา นี่ผมเป็นอะไรไปแทบคุมสติอะไรไม่ได้เลย

“คุณซีเป็นอะไรไปครับ ทำไมเป็นแบบนี้หละ” น้ำเสียงที่เคยแข็งกร้าวเมื่อกี้ อยู่ดีๆ ก็กลับอ่อนลง ทำให้ผมอดไม่ได้ อยากเห็นหน้านั้น อยากให้เขาอยู่ใกล้

“........”

“โกรธอะไรครับเนี้ย ทำไมโมโหขนาดนี้ ใครทำอะไรไม่ถูกใจหละครับ” ผมว่า เขารู้จุดอ่อนของผมแล้ว เสียงออดอ้อนและมือเล็กๆ ที่ค่อยๆ แตะที่แขนของผมนั้นทำให้ใจของเย็นลงไปมาก

“.....”

“อย่าโมโหแบบนี้เลยครับ มันน่ากลัว คนกลัวทั้งบริษัทแล้ว คุณทำแบบนี้คนจะพูดถึงคุณไม่ดีนะครับ เมื่อกี้นี้คนก็มองกันใหญ่”

“เจ็บมากใช่ไหม” ผมชำเลืองมองต้นแขนของอีกคน ที่อีกมือก็ยังลูบอยู่ไม่หยุด

“ครับ บอกได้รึยังว่าโกรธอะไร” ผมได้แต่ถอนหายใจส่ายหน้าไปมา จะให้บอกว่าอะไรครับ หึง หวง ไม่อยากให้ใครมายุ่ง แล้วผมจะเอาสิทธิ์อะไรไปบอกแบบนั้นครับ

“.....”

“โกรธที่ผมมาช้าหรอครับ ก็ผมทำงานอยู่นะ เรื่องที่จะเปิดโซนใหม่ คุณมีอะไรด่วนหละ” เขาขยับเขามานั่งใกล้ผมมากขึ้น

“ไม่มี ไม่มีอะไรด่วนเลย แค่ไม่อยากให้นายอยู่ห่างฉัน ไม่อยากให้อยู่ไกลสายตา ฉันอยากมองเห็นนายทุกๆ  ครั้งที่ฉันเงยหน้า ทำได้ไหมพายุ”

            ผมไม่กล้ามองหน้าเขา ทำไมผมถึงได้ขี้ขลาดขนาดนี้ ผมได้แต่นั้งกำมือแน่นอยู่แบบนั้น ผมจะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี ทั้งๆ ที่ผมตั้งใจแล้ว อยากจะให้เวลาตัวเองอีกสักหน่อย แต่ผมคิดว่ามันคงทำมันไม่ได้ ต่อให้สมองอยากใช้เวลาเท่าไร แต่หัวใจของผมก็ควบคุมยากขึ้นทุกที
 


TBC
ยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขาเลย ไปหึงเขาซะแล้ว แหม๋มมมมมมมมม
โดนจูบแล้วนะ ฮิฮิ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
T
B
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 7 ฉันขอโทษ (4/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: AutoAngels ที่ 09-12-2016 21:03:19
น่ารักๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 8 อย่าคิดเลย (10/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 10-12-2016 19:07:05
=8=




เรื่องเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว กลายเป็นเรื่องทอล์คออฟเดอะทาวน์ของบริษัท ผมถูกจ้องทุกอย่างก้าวที่เดินไปเดินมา มาเป็นอาทิตย์แล้ว ไอ้คำพูดที่ตะโกนใส่หน้ากัน ตรงระหว่างทางเชื่อมวันนั้น ถ้าเป็นผมเอง ผมก็คงอยากรู้ ว่าคนสองคนนั้นสนิทสนมกันในขั้นไหน และเมื่อข่าวลือมันหนาหู ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่แบบนี้ซีจะดูไม่ดีในสายตาคนอื่น เธอไมคิดหรอ” ผมกับคุณเอ ออกมาคุยกันในร้านกาแฟที่ไม่ไกลบริษัทมากนั้น ผมไม่มีคำพูด หรือคำอธิบายใดๆ ให้เธอ ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเธอยังไง ในเมื่อผมไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด

เอาเข้าจริงๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการกระทำของคุณซีวันนั้นคืออะไร ถึงแม้เจ้เจนกับลภจะบอกว่าเขาหึง หึงผมกับเบสท์ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ถึงผมจะแอบเข้าข้างตัวเองนิดหน่อยว่ามันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะคิดไปเองคนเดียว

            เหตุการณ์นั้นที่ผมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบคนใจร้อน แรงบีบของเขาที่ต้นแขนยังทำให้ผมไม่ลืมถึงความรู้สึกระบมนั้นเลย พยายามถามก็ไม่ตอบ แต่ความรู้สึกผิดที่เขาส่งมาให้ผมก็รู้สึกชัดเจน ท่าทางทำคอตกเป็นหมาหงอยเหมือนที่เขาชอบพูดกับผม วันนั้นผมได้เห็นเต็มสองตา เขานั่งอยู่บนโซฟา มือสองข้างประสานกันไว้ ก้มหน้าก้มตาไม่มองหน้ากันอีก ถึงแม้คำพูดสุดท้ายที่บอกว่า อยากให้ผมอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ เมื่อทันทีที่ห้องทำงานปรับปรุงเสร็จ โต๊ะทำงานของผมก็ย้ายเข้าไปอยู่ข้างในแบบที่ผมตั้งตัวไม่ทัน

“คุณซี ต้องให้พี่ปริมเข้ามานั้งรึเปล่าครับ”

“ไม่นะ นายน่ะถูกแล้ว”

“แต่พี่ปริมเป็นเลขาส่วนตัวนะครับ”

“ใช่ แต่พ่อฉันคงไม่พอใจเท่าไรถ้าให้คุณปริมเข้ามานั่งติดกับฉันแบบนี้ อีกอย่างนายอยู่ใกล้มือ จะใช้อะไรก็คงไม่ยาก”  นั่นคือคำตอบของเขาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

วันนี้พอคุณเอเปิดประตูเข้ามาเจอผมที่หน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ตรงนี้ เธอก็เดือดดาลโมโหอะไรผมก็หาสาเหตุไม่ได้และลากผมมาที่นี่

“นายไปทำอีท่าไหนถึงทำให้ซีลากเข้ามานั่งในห้องได้”

“......” อีท่าไหน มันคืออีท่าไหนกันหละคุณ

“เฮ้อ ... ฉันจะทำยังไงดี นายถึงจะออกไปจากชีวิตน้องฉันสักที”

“คุณเอครับ ผมทำงานที่นี่มาก่อน ใครกันแน่ครับที่เข้ามาในชีวิตใคร ถ้าคุณเอไม่คิดน้อยเกินไปผมว่าคุณเอน่าจะเข้าใจ”  ผมไม่อยากใช้คำพูดแรงๆ กับพี่สาวของเจ้านาย แต่คำพูดไร้เหตุผลแบบนั้น ผมก็ทนไม่ได้

“นายคงไม่ได้วางแผนไว้ก่อนใช่ไหม รู้ก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหมว่าซีเป็นลูกเจ้าของบริษัท”

ผมได้แต่ส่ายหน้ากับคำพูดชวนหัวของเธอ จนกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังนั่งอยู่ นั่งอยู่แบบนี้เมื่อคำพูดสุดท้ายของพี่สาวสุดสวยของเจ้านายทิ้งไว้แค่เพียงว่า “แผนของนายไม่สำเร็จแน่ ฉันจะไม่ยอมเด็ดขาด” ดูละครหลังข่าวมากไปแน่ๆ

ผมกลับเข้ามาในออฟฟิตหลังจากรับโทรศัพท์ของพี่ปริม ว่าเขาต้องการพบด่วน ผมเปิดประตูเข้าห้องทำงานใหญ่โดยที่ยังไม่ทันได้เคาะประตู เอาอีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้ว ภาพของหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา วางสะโพกอวบอิ่มนั้นไว้กับโต๊ะทำงานใหญ่ มือนึงจับเนคไทด์ของเขาไว้ เหมือนจะออกกำลังดึงให้หน้าเขาเข้ามาใกล้จากที่ใกล้กันอยู่แล้ว มันทำให้ผมถึงกับขยับมือแข้งขาไม่ได้  ทั้งคู่หันหน้ามามองผม และผมก็ชะงักมืออยู่แบบนั้น ไม่แม้แต่จะปล่อยลูกบิดประตู ผมรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว แม้แต่จะขยับเพื่อหนีภาพตรงหน้าก็ยังทำไมได้ สีหน้าของคุณซีที่ส่งมาผมเดาทางไม่ออก เมื่อเขาสองไม่ยอมผละออกจากกัน แล้วผมจะต้องยืนอยู่ตรงนี้อีกทำไม

“ขอโทษครับ” เรื่องนี้วนซ้ำกลับมาอีกแล้ว มันเหมือนกับเรื่องในครัว ตอนเขากับคุณแพร ก็เกือบจะจูบกันอยู่แล้ว แล้วนี่หละ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครอีก

มันอดไม่ได้เมื่อภาพคืนนั้นตีวนเข้ามาในหัวผมอีกแล้ว คืนที่เราจูบกัน และก็เรื่องที่เรายังเป็นข่าวลืออยู่ด้วยกันแบบนี้ ผมคงคิดเข้าข้างตัวเองมากไป อยากจะถ่ายรูปคู่นี้แล้วไปตอกหน้าเจ้เจนกับไอ้ลภสักทีว่าเรื่องที่พวกเขาคิดมันไม่ใช่ รวมทั้งคุณเอด้วย พวกเขาสองพี่น้องจะได้ออกไปจากชีวิตผมสักที ไม่มีคำตอบอะไรจากคำพูดที่ผมเพิ่งกล่าวขอโทษออกไปเมื่อกี้

“ทีหลังก็เคาะประตูก่อนซิคะ ไม่มีมารยาทเลย”

“ผมขอโทษครับ” ผมเอ่ยขอโทษออกไปอีกแล้ว เมื่อสาวสวยคนเดิมเปลี่ยนท่าทางจากที่พิงสะโพกอยู่กับโต๊ะ คล้องคอโอบกอดเขาจากทางด้านหลัง สายตาของคุณซีที่ส่งมาหาผม เหมือนกับจะเอ่ยคำขอโทษ แววตาอ่อนไหวนั้นผมไม่อยากเห็นมัน

“คุณเอมมี่ทำแบบนั้นคุณซีจะทำงานไม่ถนัดเอานะคะ” ผมได้เสียงพี่ปริมจากทางด้านหลังทำให้ผมต้องปล่อยมือออกจากลูกบิดประตู หลีกทางให้พี่ปริม หันกลับไปมองก็เห็นว่า ในมือของพี่สาวมีถาดกาแฟและก็น้ำส้มวางอยู่ ซึ่งตามจริงแล้วนั้นเป็นหน้าที่ของผม

“ก็เอมมี่กำลังจะให้ซีเลิกงานอยู่นี่ไงค่ะคุณปริม” ผู้หญิงตรงหน้าผมไม่ตอบเปล่ากลับเอาจมูกเล็กๆ ของเธอคลอเคลียแก้มสากนั้นไม่หยุด ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงหัวใจ ทำยังไงดี แถมเขาก็ไม่ขยับหนี ไม่แม้แต่จะปฎิเสธสัมผัสนั้น ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้าอยู่อย่างนี้ อยากจะออกจากห้องไป แต่ขาเจ้ากรรมก็ดันไม่มีแรงจะก้าวเดิน

“ไม่ได้หรอกค่ะ ช่วงบ่ายมีประชุมยาวไปถึงเย็น คุณเอมมี่เดินทางมาเหนื่อยๆ ทำไมไม่กลับไปพักคะ จะมาแกล้งคนต้องทำงานทำไม” พี่ปริมพูดพลางวางแก้วกาแฟกับแก้วน้ำส้มลงตรงหน้าคนทั้งคู่

“ก็เนี่ยแหละค่ะ วิธีคลายเหนื่อยของเอมมี่ นี่ถ้าคุณปริมเป็นแค่เลขาซี ไม่มีตำแหน่งอื่นพ่วงด้วย เอมมี่จะด่าคุณปริมสะ... เอ้ย ไม่ใช่ วุ่นวายเกินหน้าที่นะคะ แต่นี่คุณปริมมีตำแหน่งอื่นที่ได้มาแบบงงๆ ด้วย ก็เลยไม่กล้าน่ะค่ะ” ถึงผมจะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดที่ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยออกมา แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าพี่ปริมกำลังใช้ความอดทนขั้นสุดในการโต้ตอบคนๆ นี้

รอยยิ้มของพี่ปริมที่ส่งออกไปกับท่าทางค้อมหัวเล็กน้อยให้คนทั้งคู่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าเธอจะเป็นใครแต่คำพูดคำจาแบบนั้นมันชวนให้น่าอึดอัด

“ไปเถอะยุ ไปเตรียมรายงานการประชุมกับพี่ อ่อแล้วก็เบสท์มาหานานแล้วนะ รออยู่ข้างนอกให้คนหล่อ รอนานๆ มันไม่ดี” พี่ปริมพูดก่อนจะหันหลังเดินมาจากหน้าโต๊ะใหญ่กลางห้อง ซึ่งถึงประโยคนั้นจะพูดกับผม แต่สายตาพี่ปริมไม่ได้มองผมสักนิด แต่กลับจ้องหน้าคุณซีเขม่ง

.......................................................

            ทุกคนพร้อมแล้วในห้องประชุมยกเว้นคุณซี คุณซีหายออกไปกับคุณคนสวยเกือบสองชั่วโมงก่อนหน้าที่การประชุมจะเริ่ม แต่เขาก็ยังมาสาย และขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องรอ เนคไทด์ที่ไม่เรียบร้อยของเขามันทำให้ผมเอาแต่คิดว่า สองชั่วโมงเขาหายไปไหนมา คงไม่ทำเรื่องคลายเหนื่อยให้คุณเอมมี่สุดสวาทนั้นมาแน่ๆ

            ตลอดช่วงบ่ายเราไม่คุยกันและแน่นอนผมไม่มีอะไรจะคุยกับเขาด้วย เราออกจากห้องประชุมด้วยท่าทางของคนที่ไม่รู้จักกัน

“ฉันจะออกไปข้างนอกนะ นายกินข้าวก่อนได้เลยไม่ต้องรอ เดี๋ยวให้ลุงจวงเอากับข้าวที่บ้านใหญ่ไปให้” ผมพนักหน้ารับและไม่คิดจะถามว่าเขาจะไปไหน การที่บอกให้ผมไม่ต้องรอกินข้าวนั้นก็หมายความว่า เขาจะไม่กลับเข้าออฟฟิตอีกแล้ว ถึงแม้จะเหลือเวลาแค่ไม่ถึงสองชั่วโมงก็เลิกงาน

แต่ทำไม ผมถึงยังนั่งรอเขาอยู่ นี่ก็จะสี่ทุ่มแล้ว จริงๆ มันใกล้เวลานอนของผมแล้ว แต่ผมยังนั่งอยู่ตรงนี้ อยู่ที่โซฟาตัวเดิม และก็ไม่มีความรู้สึกง่วงเลยสักนิด เอาเข้าจริงๆ ตั้งแต่ผมอยู่ที่นี่เราไม่เคยห่างกันเลยสักครั้ง ไปทำงานพร้อมกัน (ถึงแม้จะรถคนละคันก็เถอะ) กลับพร้อมกัน กินข้าวกลางวันพร้อมกันถึงแม้จะคนละโต๊ะ นั่งอยู่ในห้องทำงานเดียวกัน ผมแอบรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนรักของเขา ทั้งๆ ที่วันนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งยืนยันแล้วว่าไม่มีทางเรื่องที่ผมคิดเข้าข้างตัวเองจะเป็นไปได้

แต่เรื่องของเรื่องคือผมไม่อาจลบภาพที่ผมมีกับเขาได้ ทุกอย่างฉายวนอย่างกันละครรีรันเล่นแล้วเล่นอีก รสชาติรอยจูบนั้นไม่อาจลบเลือนถึงมันจะผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วก็ตาม ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ บางทีผมน่าจะย้ายออกไปจากที่นี่สักที

แก๊ก เสียงขยับลูกบิดนั้นทำให้ผมสรุปเอาเองว่า เขาคงกลับมาแล้ว ตีหนึ่ง่สามสิบห้านาที นั้นคือเวลาที่ผมเห็นที่หน้าปัดนาฬิกา ผมอดทนรอมาได้จนถึงตอนนี้ แล้วก็ดับวูบ ผมเหนื่อยกับการที่ต้องรอเขาโดยหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ อาหารที่ลุงจวงเอามาส่งเมื่อตอนหัวค่ำยังอยู่สภาพเดิม ผมไม่ได้รอเขากลับมาทานด้วยกัน เพียงแต่ผมทานอะไรไม่ออก

“ทำไมยังไม่นอนหละ”

“.....” ผมลุกขึ้นจากโซฟาตัวยาว กำลังจะเข้าห้องนอน เข้ากลับมาแล้ว ผมคงนอนได้แล้วซินะ

“ถามทำไมไม่ตอบหละ” น้ำเสียงที่เน้นหนักขึ้นทำให้รู้ว่าเขาเริ่มหงุดหงิด

“...........” ไม่ใช่ว่าผมอยากจะยียวนเขา แต่ผมไม่มีคำตอบให้ ทำไมยังไม่นอน ผมไม่มีคำตอบผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

“ฉันถามทำไมไม่ตอบ หรือตอบได้แต่กับไอ้หน้าหวานนั้น”

แรงบีบที่ต้นแขนมันแรงจนผมร้าวไปทั้งแขน ทั้งๆ ที่ตัวเองหายไปกับคนอื่นทั้งคืนกลับมีหน้ามาถามผมแบบนี้งั้นหรอ ผมไม่มีคำตอบให้เขา คงมีแต่สายตาที่บอกว่าผมเจ็บปวดแค่ไหน เรื่องคุณแพรเขาแสดงอย่าง่ชัดเจนว่าไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่าน้องสาว แค่นั้นผมก็ยังรู้สึกวูบโหว่งเวลาเขาอยู่ด้วยกัน แต่นี่ กับคนๆ นี้ภาพที่ผมเห็นในห้องทำงานยังติดตาผมอยู่และไม่มีแม้คำปฎิเสธ ผมควรทำอย่างไรดี  ผมรู้สึกเหนื่อย เคยรู้สึกว่าเรื่องที่ตัวเองคาดหวังไม่เป็นไปอย่างที่หวังไหมครับ ผมกำลังเป็นอยู่ และผมคงรับไม่ไหว ผมน่ารับกับความผิดหวังไม่ได้แล้ว

“ผมง่วงแล้วครับ” ผมพูดออกไปเพราะว่าเราจ้องตากันนานเกินไปแล้ว มันไม่มีประโยขน์ไม่ว่าจะทางไหน ถ้านานกว่านี้ผมอาจร้องไห้ออกมา ซึ่งนั้นผมว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดี

“ง่วงแล้วทำไมไม่นอน” น้ำเสียงของเขาอ่อยลงรวมถึงแรงบีบที่ต้นแขนนั้นด้วย

“.......”

“เจ็บมากไหม” เขาที่เคยบีบต้นแขนเปลี่ยนมาเป็นลูบแขนตรงบริเวณที่เกิดรอยแดง

“ครับ”

“นี่ไม่กินข้าวเลยใช่ไหม เห็นคุณปริมบอกมื้อกลางวันก็ทานไปนิดเดียว”

“ผมไม่ค่อยอยากอาหารครับ” ผมตอบได้ด้วยน้ำเสียงเนื่อยๆ

“อย่าเป็นแบบนี้ได้ไหม นายก็รู้ว่าฉันเป็นห่วงป่านนี้แล้วก็ยังไม่นอน ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน แล้วไหนจะเรื่อง... สนุกใช่ไหมที่ทำให้ฉันเป็นบ้าแบบนี้ได้” คำพูดของเขามันทำให้ผมรู้สึกว่าเขาทรมานเหลือเกินกับการที่ผมไม่กินข้าว และยังนั่งรอเขาอยู่แบบนี้ ทำเหมือนว่าผมสำคัญกับเขามากมาย ที่ทำให้เขาเป็นห่วงได้มากมายขนาดนี้

“คุณซีไปไหนมาหรอครับ” ผมเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาใจออกไปแล้ว ถึงแม้ผมพอจะเดาได้แต่ผมก็อยากได้ยินจากปากเขา ถ้าเขาอยากให้ผมแสดงความรู้สึก ผมก็จะทำ

“ห๊ะ..” ผมรู้ว่าเขาได้ยิน และผมก็มั่นใจว่าเขาเข้าใจคำถามเป็นอย่างดี เขาคงตกใจจากสีหน้าที่แสดงออกมามันค่อนข้างชัดเจน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องของเขา

“ผมถามว่าคุณซีไปไหนมาครับ ถึงกลับมาป่านนี้”

“เอ่อ คือ ฉัน...” คุณซีทำท่าทางเหมือนถูกจับได้ว่าทำผิดมา เขาคงลืมไปว่าผมไม่มีสิทธิ์

“ไม่ต้องตอบหรอกครับ ป่านนี้คุณเอมมี่เธอคงหายเหนื่อยลงไปมาก คืนนี้คุณซีนอนที่โซฟานะครับ เดี๋ยวผมเอาเสื้อผ้ากับหมอนผ้าห่มมาให้ อ่อ แล้วก็อาบน้ำห้องน้ำข้างนอกนะครับ ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณซีจริงๆ”

 

 

คืนนั้นผมได้นอนข้างนอกจริงๆ สมใจเขาหละ ผมไปอยู่กับเอมมี่จริงๆ แต่เราไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่พายุเข้าใจ แต่ผมก็ไม่รู้จะอธิบายเขาได้ยังไง มันงงไปหมด ตัวเปี๊ยกของผมเวลาแผลงฤทธิ์ ก็ดูจะโหดแบบนิ่งๆ เหมือนกัน ตอนเอาหมอนผ้าห่มมาให้นั่นน่ะ ต้องใช้คำว่าโยนเลยครับ ดุซะ เพราะว่าเสียงดังตุบนั้นดังไปถึงในครัว แต่เสื้อผ้า ที่มาพร้อมผ้าขนหนู แถมแปรงสีฟันที่บีบยาสีฟันมาพร้อมแล้ว ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาน่ารักอยู่ดี ถึงแม้จะขี้หึงและก็งี่เง้าไปหน่อย ไม่เคยเชื่อใจกันเลยซินะ นี่ผมว่าผมแสดงตัวมากแล้วนะ แต่ผมต้องแสดงมากกว่านี้ใช่ไหม

ผมไม่ได้คุยกันมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว มันนานใช่ไหมครับผมว่ามันนานมากทีเดียวสำหรับผม คำนินทาข่าวลือนั้นจางลงไปพร้อมๆ กับการมาของเอมมี่ที่ขยันมาที่ออฟฟิตได้ทุกวัน และตามเคย จะตามหาตัวพายุยากขึ้นเป็นสองเท่า ถ้าไม่ไปหมกตัวอยู่ตึกเก่า ก็ออกไปข้างนอกโน้น แต่ผมกลับไม่ชอบอย่างแรกมากกว่า เพราะไม่รู้ว่าไปหมกอยู่กับไอ้เด็กหน้าหวานนั่นรึเปล่า

นอกจากเลขาผู้ช่วยแล้ว เลขาส่วนตัวก็พาลโกรธไปด้วย ขอกาแฟน้ำส้มให้เอมมี่แต่ละครั้ง เสียงตอบรับกลับมานี่แทบเหมือนอยากจะบีบคอผม “อย่าทำน้องพี่เสียใจนะคะ” คำพูดคุณปริมที่คุยกันครั้งล่าสุดก็ก้องอยู่ในหู ให้ตายเถอะ เขาดูไม่เป็นอะไรเท่าไรเลย แต่ผมก็โดนโกรธเข้าให้แล้ว พอแก้ตัวก็ “หน้ายุอย่างกับเจอศึกหนักมาทุกวัน ตานี่ล้าจะตายคุณซีอยู่ด้วยกันไม่ได้สังเกตหรอคะ” แล้วผมต้องนอนโซฟามาเป็นอาทิตย์แล้วนี่คุณปริมไม่สังเกตเหมือนกันใช่ไหมว่าผมก็ดูอ่อนแรง

เอมมี่คือแฟนเก่าผมเอง เราคบกันตอนที่ผมเรียนอยู่ที่เมืองนอกหลังจากที่เสียอกเสียใจกับการที่ผมไม่มีบี แต่ผมไม่ได้ลืมใครง่ายหรอกนะ ตอนนั้นผมออกจะเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัว แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมดีหรอกนะ ผมก็ยังเห็นแก่ตัวอยู่ ตอนนั้นที่ผมเสียเขาไป ไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่เกือบปี พ่อส่งผมไปอยู่นอกประเทศเลย ให้ผมไปเจอบรรยากาศใหม่ๆ โดยที่มีมี๊ค้านหัวชนฝาแต่ผมก็ตัดสินใจไป

แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นผมยังคงคิดถึงเขาอยู่ และคิดถึงมากขึ้นทุกๆ วัน จนเอมมี่เข้ามา เธอเป็นถึงประธานชมรมเชียร์ลีดเดอร์ แน่นอนว่าใครๆ ก็หลงใหลเธอ อยากได้เธอมาเป็นที่รักทั้งนั้น และผมเป็นคนเดียวที่ไม่สนใจ นั้นทำให้เธอเป็นฝ่ายสนใจผมซะเอง แน่หละ ผมโดนเขม่นอยู่พอสมควร ก็ผู้ชายธรรมดา กลับได้สาวสวยติดอันดับของนักเรียนไทยที่โน้น มันก็ไม่แปลก เราคบกันได้เกือบปี ก็เลิกกัน เพราะผมไม่สามารถทนและลืมคนอีกคนหนึ่งได้ และผมก็แกล้งทำเป็นมีความสุขลืมเขาไปแล้วไม่ได้เช่นกัน และเรื่องที่เธอล้ำเส้นเกินไป

เอมมี่ไปประกาศตัวโดนการบอกผมว่าจะกลับไปไทยเพื่อไปเยี่ยมบ้าน แต่ไม่ใช่บ้านเธอกลับเป็นบ้านผม ไปประกาศกับพ่อ ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้จักกับคุณปริม และมันก็ทำให้ผมโกรธมาก มากจนเอาเหตุผลนี้มาเป็นข้ออ้างในการขอเลิกด้วยอีกเหตุผลหนึ่ง

เลิกกับเอมมี่ได้เกือบปีผมถึงคิดได้ว่าผมควรหยุดการทรมานตัวเองสักที ผมจึงตัดสินใจกับเมืองไทย และใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้ ทำทุกอย่างที่ผมกับเขาเคยอยากทำด้วยกัน ซึ่งมันทำให้ผมมีความสุข และเป็นผู้เป็นคนมาจนทุกวันนี้

ผมนั่งมองคนตัวเล็กขยุกขยิกอยู่เป็นพัก ตอนนี้เขาว่างและไม่มีอะไรทำแต่เขาคงจะอึดอัดกับการที่ผมนั่งจ้องเขาอยู่แบบนี้ ผมอยากแกล้งคนที่บอกว่าไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นอะไร แต่งอนผมมาเป็นอาทิตย์ ผมโทรไปปรึกษาไอ้หมอก็โดนด่ามาชุดใหญ่ว่าปล่อยเรื่องมันเรื้อรังมาจนป่านนี้ได้ยังไง แต่ให้ผมทำยังไงได้ พ่อยอดขมองอิ่มไม่ยอมแต่กระทั่งจะคุยด้วยถ้าไม่ใช่เรื่องงาน

“กลัวไรวะ ห้องก็ห้องมึง มึงไม่มีกุญแจสำรองรึไง โอ๊ยเป็นกูนะ ได้นอนในห้องตั้งแต่คืนที่สองแหละ”

“อ้าวแล้วคืนแรกหละวะ”

“น้ำกำลังเชี่ยวถ้าขืนเข้าไปคืนแรกได้โดนแน่” คำแนะนำไอ้หมอก็น่าสนอยู่ ถ้าคืนนี้ล๊อคห้องอีกผมจะแอบไขถุญแจเข้าไป

เราต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน เอมมี่งอแงอยู่สักพัก ผมก็บังคับให้กลับไปวันนี้ผมจะไม่ปล่อยโอกาสให้คนตัวเล็กกลับบ้านก่อนอีกแล้ว

            เราสองคนถึงห้องไล่ๆ กัน ลุงจวงเอาอาหารจากบ้านใหญ่มาให้ทำให้บรรยากาศดีขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ใช่ว่าจะนาน ก็ลุงแกไม่ได้อยู่กับผมทั้งคืนนี่นะ

            “ทำไมวันนี้ถึงกลับได้ครับ” ว้าววว ผมนี่ทั้งตกใจทั้งดีใจ ที่เขาพูดกับผมก่อนมันเป็นประโยคแรกในรอบอาทิตย์ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำเหน็บแนมก็เถอะ

            “มาคุมเด็กดื้อไม่ยอมกินข้าว” ผมอุตส่าห์ดีใจว่าเรื่องน่าจะคลี่คลายไม่ครับ ไม่เลยสักนิด

            “ผมอิ่มแล้วครับ” เขารวบช้อนแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะทันที ทำให้หน้าที่เก็บโต๊ะเป็นของผมไปโดยปริยาย ไม่นานครับ เพียงแค่ชั่ววิบตาที่ผมเข้ามาในครัว ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ชุดนอนผ้าขนหนูพร้อมแปรงสีฟันที่บีบยาสีฟันไว้เรียบร้อยแล้ว

แก๊ก แก๊ก

            ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว และเป็นไปตามคาด ประตูห้องนอนล๊อคครับ และคืนนี้ผมจะไม่ยอม ผมหยิบลูกกุญแจดอกเล็กที่อยู่ในมือไขอย่างระวัง เพราะไม่รู้ตัวเปี๊ยกหลับไปแล้วหรือยัง เขาเป็นคนหลับง่าย ผมค่อยๆ ปิดประตู พยายามเดินให้เบาที่สุดเพราะคนที่นอนอยู่บนเตียงน่าจะหลับไปแล้ว แต่ไฟโคมหัวเตียงนั้นยังไม่ปิด ทำให้ผมได้เห็นคนร่างเล็กนอนอยู่บนเตียง แค่เห็นแผ่นหลังเล็กๆ นั้น ผมก็คิดถึงขี้นมาจับใจ นานเป็นอาทิตย์แล้วที่ผมไม่ได้นอนกอดคนตัวเล็ก

            ผมค่อยๆ แทรกตัวเข้าผ้าห่มผืนหนา ทิ้งน้ำหนักลงบนเตียงให้ได้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ล้มตัวลงนอนลงข้างร่างกายที่แสนจะคิดถึง กลิ่นหอมของแชมพูและสบู่เหลวที่เหมือนกับของผม แต่ทำไมมันกลับสดชื่นและหอมชวนใจมากขนาดนี้ เวลาที่ได้กลิ่นจากคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า

            ผมลอบกอดคนที่ท่าทางน่าจะหลับไปแล้วจากทางด้านหลัง แรงสะดุ้งเหมือนที่คนตัวเล็กชอบทำแสดงให้ผมเห็นว่า ผมคิดผิด แต่คนตัวเล็กก็เหมือนเดิมไม่ขัดขืนแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้ยินดีที่ผมมาอยู่ตรงนี้

            ผมอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มนิ่มๆ นั้น และเหมือนเดิมเขายังคงสะดุ้งตัวแข็ง ผมใช้จมูกไล่สูดความหอมที่ผมโหยหามาทั้งอาทิตย์ นี่เพราะผมคิดถึงเขามาก หรือเป็นเพราะว่าเขาหอมขึ้นกันนะ และผมเองก็เหมือนจะหยุดตัวเองไม่ได้ ถึงแม้จะอยากทำแค่ไหนก็ตาม

            ซอกคอขาวๆ นั้น และ ลาดไหล่เล็กๆ ที่พ้นคอเสื้อออกมามันทำให้ผมจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว แต่ก็ต้องห้ามใจของตัวเองไว้ กระชับอ้อมกอดกับเอวคอดเนื้อนิ้มนั่น จนอีกคนขยับหนี แต่ผมจะไม่มีวันปล่อยเด็ดขาด ผมกระชับกอดและรั่งเอวเล็กๆ เข้ามาใกล้อีก ใกล้จนแผ่นหลังของเขา ชนเข้ากับแผงอกของผม และกลิ่นหอมๆ นั้นก็ปะทะเข้าที่จมูกของผม ผมอยากจะให้ฟัดให้หายคิดถึง

            “ปะ ปล่อยก่อนครับ” เสียงกระเซ้าที่มันยิ่งทำให้ผมอดทนไม่ได้นั่น ส่งออกมาเหมือนอ้อนวอนขอ

            “ไม่อะ” ผมตอบออกไปดื้อๆ และคนในอ้อมกอดก็เริ่มฟึดฟัด จะหลุดจากกอดของผมให้ได้ แต่มีหรือที่ผมจะยอม

            “คุณซี ผมบอกให้คุณนอนข้างนอกไม่ใช่หรือไง”

            “อะไรกันตัวเปี๊ยก เป็นอาทิตย์แล้วนะ” ผมพยายามทำเสียงอ้อนให้คนอ้อมกอดใจอ่อน พลางจูบกลุ่มผมนิ่มนั้นไปด้วย

            “.......”

            “นายใจร้ายมากนะ ทำแบบนี้ได้ยังไง ให้ฉันที่เป็นเจ้าของห้องแท้ๆ นอนหลังขดหลังแข็งที่โซฟา แถมยังไม่ให้กอดอีก”

            “.............”

            “หายโกรธเถอะ ฉันไม่มีอะไรกับเอมมี่จริงๆ นะ อยากรู้เรื่องอะไรหละ จะเล่าให้ฟังทุกอย่างเลย”

            “ผมไม่ได้อยากรู้อะไรสักหน่อย อีกอย่างเรื่องคุณกับคุณเอมมี่ก็ไม่เกี่ยวกับผม”

            “แน่ใจนะ ถ้าไม่เกี่ยวนายจะไล่ฉันเป็นอาทิตย์ๆ แบบนี้หรอ”

            “ปะ เปล่านะครับ”

            “ไม่เอาแล้ว ไม่คุยแล้ว หลังก็ปวดวันนี้จะนอนที่นี่แหละ ทำงานเหนื่อยมากด้วยนะวันนี้  ไม่ยอมไปนอนข้างนอกหรอก ปวดหลังจนจะขยับไม่ได้ออยู่แล้ว” แอบส่งเสียงงอนๆ ไปให้คนในอ้อมกอดที่ตอนนี้ดูเหมือนจะสงบไปแล้ว

            “ไอ่เด็กนี่” เสียงแผ่วที่ออกมาจากปากของตัวเปี๊ยกทำให้ผมรู้ว่าเขาใจอ่อนแล้ว

            “พายุ”

            “ครับ”

            “ความรู้สึกกับการกระทำของฉันน่ะ นายไม่รู้จริงๆ หรอ อย่าคิดเรื่องฉันกับเอมมี่อีกเลยนะ ยังไง สิ่งที่ฉันแสดงกับสิ่งที่รู้สึกไม่มีวันไม่เหมือนกันหรอกนะ เข้าใจไหม”

            “..............”

            ไม่มีคำตอบจากอีกคนแต่การที่เขาหันหน้ามากอดตอบผม แค่นั้นผมก็ดีใจมากแล้ว อ้อมกอดที่ผมคิดถึงมาทั้งอาทิตย์ แค่คืนนี้คืนเดียวผมว่ามันไม่พอ ผมจะไม่ยอมห่างจากเขาอีกไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

            “หอมจัง”

 

 

 

          TBC

นี่คุณซีเขาสารภาพรึเปล่า ทำไมชอบทำให้ไอ่ยุคิดไปเองเรื่อยเลย !!!!!


ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ เจอกันเสาร์หน้านะคะ :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 8 อย่าคิดเลย (10/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 10-12-2016 19:51:31
หาความชัดเจนไม่เจอบอกไม่มีอะไรแต่ให้กอดให้หอมจะจูบกันอยู่แล้วยังไปกับเขาอีกปล่อยให้อีกคนรอหาพระเอกใหม่เถอะ :m31:
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 8 อย่าคิดเลย (10/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: AutoAngels ที่ 10-12-2016 19:57:52
ง้อหน้ารักจัง :mew1:
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 9 ผมชอบคุณ (22/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 22-12-2016 17:38:14
= 9 =


  “มันจะเป็นไรไปหละ แค่นี้เอง”
   
 “ไม่ครับ ผมไม่อยากเป็นขี้ปากใคร”

บทสนทนาของเราในเช้าวันนี้คือเรื่องการไปทำงานครับ ไอ้กระป๋องคู่ใจของผมเข้าอู่อีกแล้ว มันอยู่ในอู่มากกว่าอยู่กับผมซะอีก และผมก็เจอคนงอแงหนึ่งอัตราตรงนี้

“ไม่เห็นจะสนใจเลย ทำไมนายต้องสนใจคนอื่นด้วย”

 “แค่นี้ผมก็ถูกจับตามองทุกย่างก้าวแล้วครับ”

“เฮ้อ....” ถอนหายใจพลางมองแก้วกาแฟที่ผมเพิ่งวางไว้ให้ พร้อมกับอาหารเช้าแบบง่ายๆ

  “ขับรถดีๆ นะครับ คุณขับรถเร็วเกินไปนะ ช่วงนี้” พอเห็นอีกคนไม่มีข้อโต้แย้งผมก็เหมาเอาเองว่าเขาโอเคแล้ว

“ซุ่มซ่ามแบบนายข้ามถนนรถจะชนเอา ไปด้วยกันแล้วจอดให้ลงหน้าบริษัทก็ได้” พูดไปก็หยิบกาแฟขึ้นดื่มไปด้วย

  “ระวังนะครับ มันร้อน” ได้ยินเสียงเป่ากาแฟดังพรู่ “คุณก็ส่งลุงยามไปอบรมมาแล้วนี่ครับ”

 “เมื่อไรฉันจะชนะนาย”

    “คุณเป็นเด็กต้องแพ้ผู้ใหญ่อย่างผมอยู่แล้ว” ผมถอดผ้ากันเปื้อนพาดกับพนักเก้าอี้โต๊ะกินข้าวก่อนที่คว้าเอาเสื้อสูทกับกระเป๋าเอกสารเดินออกจากห้องครัว

   “ระวังด้วยนะตัวเปี๊ยก” เสียงทุ้มตะโกนไล่หลัง เขาไม่ได้หันมามองหรือเดินมาส่งที่หน้าประตู ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้วหละ เพราะถ้าเขาทำแบบนั้นคงได้เห็นแก้มแดงๆ ของผมแน่

   เราไม่ได้พูดถึงเรื่องคุณเอมมี่อีก นั้นคือข้อเสียของผม ผมแค่รู้ว่าคุณเอมมี่คืนแฟนเก่าและพ่อคุณเอมมี่มีหุ้นส่วนอยู่กับอีกบริษัทที่อยู่ในเครือ ถึงแม้คุณเกียรติ พ่อของคุณซี จะไม่ได้ซีเรียสเรื่องคบหรือเรื่องเลิก แต่การถือหุ้นถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์มันก็มีผล

ผมลงจากแท็กซี่แล้วมองลุงยามกับนกหวีดอันใหม่ของแก ถึงจะดูไม่แก่เท่าไรแต่ใครๆ ที่นี่ก็เรียกแกติดปากว่าลุงไปหมดแล้ว  ลุงยามถูกส่งไปอบรมเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะว่าหน้าบริษัทมีอุบัติเหตุบ่อยครั้งถึงแม้จะไม่ร้ายแรงอะไร แต่เจ้านายคนใหม่ของ บริษัท เค ดีเวลลอปเม้นท์ ก็ไม่เห็นสมควร

อาทิตย์ที่แล้ว มีคนโดนรถเฉี่ยวหัวเข่าถลอก เดือนก่อนก็มีมอเตอร์ไซด์เบียดกับรถของพนักงาน ผ่านไปสามวัน ลุงยามแกก็กลับมาด้วยหน้าแช่มชื่น พร้อมกับพูดว่า “นี่พายุ ลุงจะไม่ให้มีใครเจออุบัติเหตุหน้าบริษัทเราอีก เชื่อมือลุงเลย” พร้อมกับยกกำปั้นทุบลงหัวใจเบาๆ  ลุงแกมีลูกหลงเล็กๆ ยัยหนูนุ่มนิ่ม ตัวนิ่มสมชื่อ เมื่อก่อนติดพี่พายุแจแต่ตอนนี้ เพื่อนตัวน้อยที่โรงเรียนอนุบาลก็ได้ใจยัยหนูไปเต็มๆ ไม่เหลือที่ให้พี่พายุอีกแล้ว เห็นท่าทางที่แกโบกไม้โบกมือแล้ว ก็กลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ ผมชูถุงน้ำเต้าหู้ที่มีในมือให้แกดู แกก็พนักหน้ารับพร้อมกับส่งสัญญาณมือห้ามไม่ให้ผมข้ามไป

 “อย่าเพิ่งนะพายุ” แกตะโกนข้ามฝั่งมา “รถพวกนี้นี่ทางม้าลายแท้ๆ ไม่ชะลอกันเลย” บ่นงึมงำคิ้วขมวดยุ่ง

   “มาเลย มาเลย ทางโล้งแล้ว”

แกตะโกนมาจากอีกฝั่งของถนน แต่ยังก้าวข้ามถนนไปไม่ถึงดี มอเตอร์ไซด์ที่ออกมาจากซอยเล็กอีกฝั่งของถนนก็โผล่พรวดออกมาตัดหน้ารถยนต์ที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ รถยนต์หักหลบ เหมือนจะพุ่งมาทางผม ‘ไอ้ยุคงได้ตายวันนี้’ นั่นคือสิ่งเดียวที่โผล่ขึ้นในหัวผม กับเสียงปี้ดๆ ของนกหวีดลุงยาม ในขณะที่ผมรู้สึกถึงแรงปะทะที่เข้ามา กับภาพหน้ารถที่ดูจะเลือนไปก็ได้ยินเสียง เสียงของเขาที่ก้องในหู “ตัวเปี๊ยก!!”

ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของลุงยาม แล้วคนที่ยืนมองอยู่นั่นก็คุณศิริวัฒน์ ผมรู้สึกเจ็บที่ข้อศอก พอเหลือบตามองเสื้อเชิ้ตแขนยาวของผม ตรงข้อศอกมันก็ขาดวิ่นเป็นรูใหญ่ นั้นอาจเป็นเพราะแรงไถลที่ลุงยามคงพยายามช่วยผมให้พ้นจากวิถีของรถที่วิ่งมา สีหน้าของคนที่ยืนมองอยู่ไม่สู้ดีนัก ผมรู้ว่าเขาห่วง ห่วงมาก และก็คงโกรธมากเช่นกัน คำพูดของเขาเมื่อเช้ามันวนในหัวผม ‘ระวังด้วยนะ’ แต่สายตาที่เขาส่งมามันทำให้ผมอยากจะลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมไม่เป็นไรจริงๆ ผมพยุงตัวเองขึ้นในขณะที่ลุงยามก็ทำเช่นกัน แต่ผมกับรู้สึกหน้ามืด พอจับที่หัวก็รู้สึกว่ามีแผลอยู่นิดหน่อย น่าจะกระแทกตอนที่ลุงยามมาช่วยไว้ พอผมตั้งตัวได้แขนนั้นก็โอบไหล่ของผมไว้แล้ว

“ผมไม่เป็นไร นิดหน่อยเองครับ”

เขาเหลือบลงมามองผม มือใหญ่นั้นแตะเลือดที่ไหลซึมออกมาจากแผลที่หัว จากนั้นก็ผละมามองที่ข้อศอก เขาไม่พูดอะไรสักคำ มันยิ่งทำให้ผมกลัวมากกว่าเดิมซะอีก ถ้าเขาพูดต่อว่าอะไรผมบ้างผมคงรู้สึกดีกว่านี้ สายตาที่มองผม กับสายตาที่มองลุงยาม มันต่างกันสิ้นดี บางทีผมก็ไม่อยากคิดอะไรเลย ผมกลัวว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมคิด

“ผมขอโทษครับนาย” ลุงยามเอ่ยปากออกมาทันทีที่คุณซีจ้องหน้าแกเขม่ง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ลุงไปทำแผลเถอะครับ”

“ผมไล่คุณออก” ลุงยามยังไม่ทันที่จะพนักหน้ารับ คนที่ยืนอยู่ข้างๆ โพล่งพูดขึ้นมาซะก่อน พูดในสิ่งที่ผมกลัวจนได้

“แต่นายครับ ผมดูดีแล้วนะครับ ถนนไม่มีรถแล้วจริงๆ ตอนที่พายุจะข้ามมา”

“นั่นสิ ผมก็ดูอยู่นะครับ” ผมดึงปลายเสื้อสูทของคนที่ยื่นอยู่ข้างๆ แรงสะกิดของผมทำให้เขาปรายตาลงมามองแล้วกระชับอ้อมกอดเข้าไปอีก นี่ถ้าลุงยามโดนไล่ออกมันก็เป็นความผิดของผม ผมคงรู้สึกผิดไปอีกนาน

“ผมไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซาก”

“เดี๋ยวก่อนคุณ เรื่องแบบนี้ใครจะอยากให้เกิดขึ้น อย่าทำแบบนี้เลยนะครับ” ผมพยายามใช้เสียงที่อ่อนลงให้เขาได้เห็นใจ หรือไม่ก็เห็นแก่ผมบ้าง

“นายเกือบตายนะ ฉันบอกแล้วใช่ไหมให้ระวัง บอกว่าให้มาด้วยกัน มันเป็นเพราะความดื้อของนาย”  เขาตะโกนใส่หน้าผม แววตาที่โกรธเกรี้ยวนั้น ผมไม่เคยเห็นมาก่อน คนที่มุงดูอุบัติเหตุก็ว่าเยอะพอตัวอยู่แล้ว แต่เสียงตะโกนของเขายิ่งเรียกความสนใจของพนักงาน ก็มันใกล้เวลาเข้างานไปทุกทีแล้ว ไม่แปลกที่ชั้นล่างจะมีคนเยอะขนาดนี้

“แต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ทั้งๆ ที่ในใจอยากจะหายไปจากตรงนี้ คุณซีกระชับแขนแกร่งที่โอบกอดผมไว้ แน่นเข้าไปอีก

“แล้วนั่นอะไร” ถึงน้ำเสียงจะอ่อนลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ตรงหน้าดีขึ้นเลย เขาเหลือบมองดูข้อศอกของผมที่เอามืออีกข้างกุมไว้

“ถ้าคุณไล่ลุงออก แล้วเมียแกลูกแกจะอยู่ยังไงครับ ลูกแกเพิ่งจะเข้าโรงเรียน แล้วลุงแกก็แก่แล้วจะไปหางานเงินเดือนแบบนี้ได้จากที่ไหน คุณซีครับ” ผมส่งสายตาอ้อนวอนไปที่เขาในมือก็ยังกำชายเสื้อสูทไม่ปล่อย

“นั่นไม่ใช่ปัญหาของผม” คุณซีพูดจบก็เสหน้ามองไปอีกทาง ผมไม่คิดเลยว่าคำพูดเย็นชาแบบนี้จะออกมาจากปากของเขา คนที่ผมอยู่ด้วยและคิดว่าเขาคือคนดี แต่คำพูดของเขาเมื่อกี้ ผมบอกตรงๆ เลยครับ ว่าผมผิดหวัง

“คุณเย็นชาเกินไปแล้วนะครับ” ผมขยับตัวออกจากแขนแกร่งที่โอบไหล่ผมไว้ ข้ามฝั่งถนนเพื่อเดินเข้าบริษัท ให้ผมอยู่ตรงนี้คงไม่ไหว ผมโกรธจริงๆ เขาดูไร้เหตุผล ลุงแกเองก็คงไม่ได้ตั้งใจให้ใครบาดเจ็บรวมทั้งตัวแกเองด้วย

“พายุ!!!”  เจ้านายคนใหม่กระแทกเสียงลงต่อหน้าผม  แถมยังมีคนอื่นๆที่มองดูเหตุการ์ณอยู่อีก ผมพ่นลมหายใจตามมาด้วยเสียงกระแทกเท้า ถึงมันจะไม่ได้ดังสักเท่าไร แต่ก็ทำให้อารมณ์ที่พุ่งพล่านของคนตรงหน้า เดือดดาลเพิ่มขึ้นอีก

“พายุ หยุดเดียวนี้นะ” เขาตะโกนชื่อของผมตามหลังมา ผมได้ยินชัด แต่ผมจะหยุดเพื่อหันไปฟังคนที่ไร้มนุษยธรรมและความเห็นใจแบบนั้นหรอ ผมคงไม่ทำ

“พายุ มาคุยให้รู้เรื่อง หยุดเดี๋ยวนี้นะตัวเปี๊ยก” สรรพนามที่เคยเอ่ยเรียกกันแค่สองคนถูกพ่นออกมา ทันทีที่สองหูผมได้ยิน ก็อดที่จะมองรอบข้างไม่ได้ หลายคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ คงสงสัยในสรรพนามที่เจ้านายคนใหม่ของผมเอ่ยเรียก

“พูดจาแบบนั้นแล้วยังกล้าส่งสายตาแบบนั้นมาอีก ชักจะเอาใหญ่แล้ว” ประโยคถัดมาตะโกนตามหลังให้ได้ยิน หลังจากที่ผมส่งสายตาไม่พอใจไปให้

 
************************************************************************************

หลังจากที่พายุ งอนผมเดินหายไป ผมปล่อยให้เจ้าหน้าที่เคลียร์เรื่องหน้าบริษัทให้เรียบร้อยแล้วออกตามหาตัวแสบ สายตาแบบนั้นผมเกลียดจนแทบทนไม่ได้ให้ตายเถอะ ใครกันแน่นะที่เย็นชา

ลุงยามที่ยังเดินตามมาขอโทษขอโพยผมไม่หยุด ผมไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น แต่ผมโกรธจริงๆ โกรธจนไม่รู้จะอธิบายยังไง ก็พูดกันอยู่หยกๆ ว่าให้ระวังรถ แต่ก็ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก

“ลุงไปก่อนเถอะครับ”

“แต่…. นายอย่าไล่ผมออกเลยนะครับ” แกยืนค้อมหัวอยู่ต่อหน้า ก้มหน้าก้มตา ผมรู้ว่าแกก็คงไม่อยากให้เกิดรวมถึงผมด้วย ถึงได้ส่งแกไปอบรม ไม่ว่าจะเกิดกับใครผมก็ไม่ชอบทั้งนั้น แต่นี่ดันมาเกิดกับเขาผมยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก

“เอาจริงๆนะ ตอนนี้ผมหงุดหงิดแล้วก็โกรธมาก ผมไม่มีความคิดวิเคราะห์ใดๆเลย ไว้เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน”

“ครับ” แกทำหน้าไม่สู้ดีแต่ก็ยังไม่เดินไป

“ไปทำแผลเถอะ ถ้าหมอนั่นเป็นอะไรมากกว่านี้ ผมคงไม่ยืนคุยกับลุงแบบนี้แน่”

ผมไม่เห็นคนที่ต้องการพบมากที่สุดตอนนี้ ระหว่างทางจากชั้นล่างขึ้นมา ผมรู้ว่ามีคนกระซิบกระซาบกันมาตลอดทาง และผมก็รู้อีกว่าที่พายุโกรธผม นอกจากเรื่องที่ลั่นปากว่าจะไล่ลุงยามออกแล้วก็คงเป็นเรื่องนี้อีกเรื่อง เรื่องที่ผมตะโกนเรียกเขาด้วยสรรพนามนั้น “อย่าให้ใครรู้เลยครับผมไม่อยากเป็นขี้ปากใคร” แต่ผมโมโหนิครับ ถ้าออกมาด้วยกันก็ไม่ต้องเจอแบบนี้ สนใจแต่คนอื่น โดยไม่สนใจผมเลยว่าจะรู้สึกยังไง ถ้าเขาต้องเป็นอะไรไป

 “คุณปริม พายุไปไหน”  คุณปริมเงยหน้าจากกองเอกสาร ส่งสายตารำคาญมาให้ ก็เธอยังโกรธผมเรื่องเอมมี่อยู่ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลา

“ยุ ไปช่วยงานตึกโน้น คุณซีมีอะไรคะ บอกพี่ก็ได้พี่ทำให้” คุณปริม พูดพลางก้มลงไปสนใจเอกสารตรงหน้าต่อ

“ไปทำไม ตึกโน้นมีอะไร แล้วนี่เขาทำแผลแล้วหรอครับ ไปทั้งที่สภาพตัวเองเป็นแบบนั้นอะนะ” ผมเค้นเสียง จะไม่ให้โมโหได้ยังไงก็ดูเอาแขนก็เจ็บหัวก็แตก แล้วนี่โทรไปก็ไม่รับ ชักกล้าดีมากขึ้นทุกวัน นี่เขาไม่แคร์ผมเลยสักนิดซินะ

“คุณซีไปทำอะไรมาหละคะ ยุถึงได้ไม่อยากเห็นหน้า” คุณปริมพูดโดยทีไม่เงยหน้ามามองผม ก็ดีเหมือนกันครับ เพราะผมไม่เคยปิดความรู้สึกกับคุณปริมได้แม้แต่เรื่องเดียว มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว

“เอ่อ คือผม” คุณปริมเงยหน้ามองผมอย่างสงสัย

“ว่าไงคะ อยากให้พี่ทำอะไร”

“คุณปริมตามพายุมาได้ไหมครับ นะครับ ผมไม่อยากทะเลาะกับเขาแล้ว” เพราะผมรู้สึกว่าเราทะเลาะกันบ่อยเกินไปแล้ว ตั้งแต่เรื่องแพร เรื่องเอมมี่

“แล้วถ้าเขาไม่ยอมมาหละคะ” ท่าทางของคนขี้แกล้งทำให้ผมต้องยอมคุณปริมทุกอย่างแล้วครับ ได้ทีแล้วนี่

“จะขู่ยังไงก็ได้ครับ นะครับ นะครับพี่ปริม” ผมตัดสินใจใช้สรรพนามที่เคยเรียกคุณปริมก่อนหน้านี้ เผื่อคุณปริมจะหายโกรธ ผมเผยรอยยิ้มออกมาทันทีที่เห็นคุณปริมหยิบมือถือออกมาจากในลิ้นชัก แต่ก็เหมือนเดิม เขาไม่รับโทรศัพท์แม้กระทั่งของคุณปริม

“เจน พายุอยู่ไหม คุณศิริวัฒน์ ต้องการพบด่วน”

“ยุ คุณซีต้องการพบยุด่วนเลย ไม่ต้องให้พี่อธิบายนะว่าทางนี้เป็นยังไงบ้าง”

“อื่ม รีบมาหละ พี่เบื่อหน้าคุณซีแย่แล้ว มารับหน้าเขาแทนพี่หน่อย”

“เขาต้องว่าผมบ้าอำนาจแน่ๆ” ผมถามคนที่เพิ่งวางโทรศัพท์ ด้วยสีหน้าที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสะใจมาก

“คุณซีนี่รู้ใจยุนะคะ ห้านาทีค่ะ เดี๋ยวมา” คุณปริมพูด และแถมด้วยหัวเราะเล็กๆ อยู่ในลำคอ สะใจเขาหละ

 

 ********************************************************************************

 

“ยุ ไปเร็วๆ เลย ทะเลาะอะไรกันเนี้ย” พี่ปริม เลขาส่วนตัวคุณซี หน้าบูดบึ้ง หลังจากที่เล่าให้ฟังว่าโดนอะไรเหวี่ยงออกมาบ้าง ทำไมถึงทำตัวเป็นเด็กแบบนี้

ผมค่อยๆเปิดประตูเข้าไปในห้อง ผมว่าตอนนี้อารมณ์คงเย็นลงแล้ว ผมรู้ครับว่าที่เขาโกรธก็เพราะห่วงทำไมผมจะไม่รู้ แต่การที่ไล่คนๆ หนึ่งออกเพราะเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดแบบนี้มันไม่ยุติธรรม แล้วอีกอย่างลุงยามแกก็เป็นคนช่วยผมไว้

“ผมบอกแล้วนี่ครับว่าถ้าไม่ใช่พายุก็ออกไปก่อน” เขาพูดออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่เงยหน้ามามองสักนิดว่าใครเป็นคนที่เดินเข้ามา ใช้ฝ่ามือพยุงหัวตัวเองเอาไว้ แถมนิ้วเรียวยาวนั้นก็เคาะกับโต๊ะเป็นจังหวะชวนน่ารำคาญ

“งั้นผมไปนะครับ” เขาเงยหน้ามองผมแต่กลับไม่พูดอะไร รอยยิ้มเหมือนจะดีใจในทีแรก ก็หุบลงทันทีที่ไม่ได้รับรอยยิ้มกลับจากผม เราจ้องตากันประหนึ่งว่าเล่นเกมส์ใครเผลอกระพริบตาก่อนคนนั้นต้องแพ้

“ไหนบอกอยากพบผม ถ้าไม่มีอะไรพูด ผมไปนะครับ” ผมหันหลังกลับ ถ้าไม่มีอะไรคุยมันก็เปล่าประโยชน์ที่ผมจะต้องอยู่ตรงนี้ เผลอๆ จะพาลใจอ่อนหายโกรธเอาดื้อๆ

“ตัวเปี๊ยก” เอาอีกแล้วเรียกแบบนี้อีกแล้ว ทั้งๆผมบอกหลายทีแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าเวลาที่ได้ยินแบบนี้ น้ำเสียงที่เหมือนจะอ้อนวอนนั้น มันทำให้ขาแข้งอ่อนยวบจริงๆครับ คงมีแต่ใจที่เต้นแรงทุกๆ ครั้งที่ได้ยิน ผมหันหลังกลับไปมองคนที่นั่งอยู่กลางห้อง

“ทำไมทำตัวเป็นเด็กแบบนี้หละครับ มีอย่างที่ไหน เที่ยวไล่คนนั้นคนนี้ออกไปทั่ว บ้าอำนาจหรอครับ”

“ชักจะเอาใหญ่แล้วนะนายน่ะ”

“ไว้คุณใจเย็นก่อน แล้วค่อยมาคุยกันผมว่าตอนนั้นเราน่าจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่า”

“ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะใครหละ” เขาตะโกนสุดเสียง ลุกขึ้นยืนทุบโต๊ะด้วยกำปั้น อารมณ์แบบนี้ไม่ต่างจากตอนที่ไปลากผมมาจากแผนกการตลาด คงคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ เอาเถอะ ผมไม่อยากคุยตอนที่เขากำลังร้อน

“ ไม่คุยแล้วนะครับ ไร้สาระ แล้วก็ดูเด็กมากจริงๆ ถ้าคุณยังยืนยันจะไล่ลุงยามออก ผมก็ทำอะไรไม่ได้ พนักงานตัวเล็กๆ แบบผม คงทำได้แค่นี้แหละ แต่ลองนึกในมุมกลับกันบ้างก็ดีนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวไปทำงาน” เขาไม่พูดอะไรจ้องผมตาเขม่ง พอกันทีครับ ผมเหนื่อยที่จะต้องคุยอะไรกับเขาแล้ว

“วันนี้ผมขอไม่กลับคอนโดนะครับ มันคงไม่ดีถ้าคุณยังแบบนี้” ผมกำลังจะเดินออกจากห้องทำงานนั้นอยู่แล้วถ้าไม่ใช่….. แรงกอดโถมทั้งตัวจากด้านหลังของผม ผมก้มลงมองแขนแกร่งที่ตอนนี้กอดผมไว้แน่น

“นี่ฉันไม่ชัดเจนอีกใช่ไหม”

“.........” เรื่องอะไรหละครับ ไม่เคยพูดอะไรเลย จะให้ผมคิดเองคนเดียวไปถึงไหนกัน

“ทำไมต้องบอกว่าจะไม่กลับมานอนห้องด้วย ร้ายกาจไปแล้วนะ”

“........” เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนี่ครับ ถึงแม้แต่ตอนที่คุณกอดผมอยู่ ผมก็ไม่เข้าใจความหมายของมันอยู่ดี

“ลุงยามคนนั้น มีความสำคัญถึงขนาดที่ทำให้นายทำกับฉันแบบนี้เลยหรอ”

“........”  ถ้าคุณไม่สำคัญใจของผมคงไม่สั่นอยู่แบบนี้

“ตัวเปี๊ยก พูดอะไรบ้าง ฉันอึดอัดนะ อย่าเป็นแบบนี้ นายอยากให้ฉันบ้าจริงๆใช่ไหม”

“........” คุณก็กำลังทำให้ผมเป็นบ้าเหมือนกันครับ

“นายก็รู้ว่าฉันห่วง หรือว่านายไม่รู้เลย ถ้านายเป็นอะไรไป คิดถึงฉันบ้างรึเปล่า ถ้านายเป็นอะไรไปฉันจะเป็นยังไงบ้าง”

“แต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ แล้วถ้าไม่มีลุงแกผมอาจเจ็บมากกว่านี้ แกเป็นคนช่วยผม คุณลืมแล้วหรอครับ”

“ฉันรู้ แต่โมโหนิ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดด้วยหละ ไม่เอาแล้วไม่อยากให้มันเกิดอีก” เขาก้มหน้างุดลงกับไหล่ของผม ปลายจมูกนั้นก็เขี่ยรั้นบนหัวไหล่ไปมา

“..............” เคยเกิดขึ้นแล้วหรอ ถึงได้พูดแบบนี้

“อย่าพูดว่าจะไปอยู่ที่อื่นอีกนะ” ความสงสัยของผมก็ถูกพับไปกับน้ำเสียงออดอ้อนนั้นที่ถูกส่งมา ผมอยากอยู่กับคุณทุกวันเลยครับ อยากอยู่ด้วยใจแทบขาด อยากตื่นมาตอนเช้าแล้วเห็นหน้าคุณทุกวัน แต่… ผมอยู่ในฐานะอะไรหละครับ

“ในฐานะอะไรหละครับ” สองแขนที่กระชับกอดผมแน่นค่อยๆคลายออก   ผมค่อยๆ แกะแขนแกร่งนั้นออกจากตัวผม และแน่นอนคนดื้อที่กอดจากด้านหลังนั้นไม่ยอมปล่อย

“.......”  ไม่มีคำตอบจากคนด้านหลัง ผมค่อยๆ หันไปมองหน้าเขา สีหน้าที่ดูหงอยลงไปถนัดตานั้นทำให้ผมสงสารเขาขึ้นมาจับใจแต่ผมก็สงสารตัวเองเหมือนกัน

“ถ้าคุณซีระบุอะไรต่อมิอะไรให้มันชัดเจนกว่านี้ได้ก็ดีซินะครับ บางทีการกระทำก็ไม่ได้ทำให้มั่นใจเท่าคำพูดหรอกนะครับ”

“ก็ได้ ฉันจะไม่ไล่ลุงแกออก แต่ นายกลับไปนอนห้องได้ไหม อย่าไปนอนที่อื่นเลย”

“มันไม่ได้เกี่ยวกับลุงหรอก ผมรู้ว่าคุณเข้าใจที่ผมพูด”

“ก็ฉันยังนึกไม่ออกนี่ว่าจะต้องทำยังไงถ้าไม่มีนายนอนอยู่ข้างๆ”

“ก่อนหน้านี้ก็นอนคนเดียวนี่ครับ”

“แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้วนิ ขนาดฉันนอนโซฟาแต่นายอยู่ในห้องแค่แยกกันนอนฉันยังนอนไม่ค่อยจะหลับ แล้วนี่จะไปนอนที่อื่น นะ นะ ตัวเปี๊ยก นี่นายไม่อยากเจอหน้าฉันมากขนาดนั้นเลยหรอ”

“อยากเป็นเด็กสมอายุเอาตอนนี้หรอครับ”  นี่หรอที่ว่าผมดื้อ คุณนั้นแหละตัวดื้อเลย คุณซี

“นะ ตัวเปี๊ยก นายอยากให้ฉันตายหรอ”

“แค่นี้ไม่ตายหรอกครับ เป็นเด็กติดพี่เลี้ยงไปได้ ให้คุณแพรมาอยู่เป็นเพื่อนไหมหละ หรือจะเป็นคุณเอมมี่หละครับ รายนั้นมาเร็วแน่เชื่อผม” ผมพยายามทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น

“ไม่เอาเรื่องนี้มาพูดได้ไหม”

 “..........”

            เขาค่อยๆ คลายมือจากรอบเอวของผมแต่ก็ยังไม่วายกอดมันไว้หลวม ผมเกลี่ยปรอยผมที่เริ่มยาวลงมาปิดตา ผมรักเขาจัง ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ ทำไมผมถึงได้รักเขาทั้งๆ ที่เรื่องมันไม่มีเหตุและผลเลยสักนิด

            “จะไปนอนที่ไหน ไม่ต้องมาทำหน้าตาใจดี ทั้งๆ ที่นายกำลังถือมีดจะแทงฉันเลย”

            “โอ้โห เจ้าบทเจ้ากลอน เจ้าเล่ห์”

            “เหมือนไม่โกรธแล้วเลย ทำไมยังจะไปหละ”

            “ถ้าผมบอกว่าผม... ผมชอบคุณ คุณจะว่ายังไงครับ” ผมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ถึงแม้มันจะตะกุกตะกักไปบ้าง แต่มันก็ไม่ตื่นเต้นจนใจสั่นอีกแล้ว เพราะผมสารภาพกับเขาทุกการกระทำ และผมรู้ว่าเขาก็รู้

            “งั้นก็อยู่ด้วยกันซิ” เขาดูไม่ตกใจ เขาดูผมออกอยู่ตลอด

  “คุณซีมีคนอื่นอยู่ตลอดเลย ทั้งๆ ที่ผมชัดเจนขนาดนี้ และผมรู้ว่าคุณรู้ความรู้สึกของผมตั้งแต่วันแรกที่เราได้อยู่ด้วยกันเลยด้วยซ้ำใช่ไหมครับ แต่นอกจากคุณจะไม่เคยบอกถึงเหตุผลที่เรานอนกอดกัน ที่เราจับมือกัน หรือแม้แต่ .... ที่เราจูบกัน ผมก็ไม่เคยคิดจะถาม เรื่องคุณแพร หรือแม้แต่คุณเอมมี่ ผมคิดว่าคุณก็คงรู้ว่าผมเจ็บแต่คุณก็ได้แต่พูดว่าขอโทษ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมต้องการเหตุผลของรอยจูบ ที่คุณมอบให้และผมไม่มีทางลืมมันได้ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าเป็นแบบไหนกันแน่ ก็อย่าเอาตัวคุณมาอยู่ในโลกของผมเลย โลกของผมในสายตาคนอื่นมันสกปรก ปล่อยผมไปเถอะ ยิ่งอยู่ผมยิ่งรู้สึก แล้ววันนี้ที่คุณโมโหขนาดนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้าข้างตัวเองว่าคุณก็รู้สึกเหมือนกับผม ขอบคุณนะครับ”

            “ซีคะ” ผมไม่รู้ว่านั้นคือเสียงสวรรค์สำหรับผมรึเปล่า ขาผมอ่อนแรงเต็มทน และผมก็ไม่รู้ว่าจะสู้หน้าเขาได้อีกกี่วินาที การไม่มีมารยาทในการเคาะประตูของคุณเอมมี่ ผมว่ามันดีก็วันนี้แหละ

            “ผมขอตัวนะครับ” อ้อมกอดนั้นปล่อยออกจากเอวผมแล้ว สายตานั้นผมจะจำให้ได้มากที่สุด เพราะไม่แน่ว่าหลังจากที่ผมสารภาพทุกอย่างออกไปแล้ว  ผมอาจไม่ได้เห็นตาคู่นั้นอีก

ประตูไม้บานใหญ่ถูกปิดลง และผมก็ไม่รู้ว่าจะได้เปิดมันอีกไหม ไม่ใช่ประตูห้องทำงานหรอกนะ แต่เป็นประตูของเขาประตูที่มันกั้นอยู่ที่ผมเข้าไปไม่ได้

 

 ***************************************************************************************

            รองเท้าหนังขัดมัน หยุดยืนหน้าประตูไม้บานใหญ่ ขาที่ออกจะสั่นน้อยๆ นั้น แสดงถึงความหวั่นเกรงอย่างปิดไม่มิด คนถูกมอบหมายงาน ตั้งหลักหน้าประตูสักพัก ก่อนที่ประตูไม้จะถูกเปิดออก โดยที่ไม่เคาะประตู สองมือกุมกันไว้แน่นจนเห็นเส้นเลือดปูนโปน บทลงโทษที่เขาต้องน้อมรับเพราะการทำงานที่ผิดพลาด

            “เป็นไง”

            “รอดไปได้ครับ”  น้ำเสียงที่ตอบออกไปถึงจะมีความหนักแน่นแต่ก็เจือความกลัวไว้อย่างชัดเจน

            “ ท่าทางจะดวงแข็งกว่าคนก่อน” เสียงหัวเราะในลำคอของบุคคลหลังพนักเก้าอี้หนังสีดำ นั้นชวนให้คนรายงานผลงานที่ได้รับมอบมายขนลุกซู่ ตั้งหลักไว้ว่าต้องเจออารมณ์เกรี้ยวกร้าด แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอนั้นแทน

 

 

 

TBC

 

ผิดสัญญาไปหลายวันเลย (ก็ตั้งใจจะลงวันเสาร์น่ะ)  ขอโต๊ดดดดดดด  :monkeysad: ขอบคุณอีกครั้งที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 10 ตัดสินใจ (29/12/59)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 29-12-2016 16:20:12
= 10 =









“ยุ เย็นนี้แกหาไรกินได้เลยนะ ฉันจะแวะไปหาพ่อหน่อย เดี๋ยวมา”

            “ครับ ว่าแต่ลุงเจือแกมากี่วันเนี้ย”

            “โอ๊ย มาแปบๆ ก็กลับแหละ บอกให้มานอนด้วยกันก็ไม่เอา บอกนอนโรงแรมสบายกว่า แล้วอยากกลับตอนไหนก็กลับได้เลยไม่ต้องรอฉัน ไม่รู้จะห่วงอะไรนักหนาไอ้บ้านไร่เนี้ย

            “คนแก่อะเจ้ ขนาดผมยังคิดถึงบ้านเลย”

            “ไม่กลับบ้านบ้างวะ ป่านนี้เขาเป็นห่วงแล้วมั่ง”

            “ผมส่งแต่เงินไปน่ะพี่ เขาก็คงรู้แหละว่าผมสบายดี”

            “เออๆ ตามใจ นี่แล้วก็รีบๆ ดีกันซะหละ เบื่อหน้าแก”

            คำทิ้งท้ายของเจ้เจนก่อนจะออกไปทำงาน มันทำให้ผมรู้สึกขำขึ้นมานิดหน่อย ไม่รู้ขำอะไร ถูกเจ้แกว่าเหมือนเด็กงอนกันทั้งๆ ที่ผมเองก็ใกล้เลขสามเข้าไปทุกที กลับไปงอนเด็กไม่รู้เรื่อง ผมถูกบังคับให้ไปทำแผลไกลถึงโรงพยาบาลเกรียติกุล ที่คุณหมอธรรมวุฒิประจำอยู่ ถึงไม่สะดวกไปถึงโน้น ก็มีหมอมาทำแผลให้ถึงที่นี่

            แผลที่ข้อศอกดีขึ้นมากแล้ว ที่หัวก็ไม่น่าเป็นห่วง จะห่วงก็ที่ใจนี่แหละ

            “คุณพายุนี่ใจแข็งนะครับ จะครบอาทิตย์แล้ว ไอ้ซีใกล้เป็นบ้าเต็มทีแล้วนะครับ”

            “จะเป็นบ้าอะไรหละครับ ไม่เห็นมีเรื่องอะไรให้เป็นประสาทสักหน่อย” คุณหมอยิ้มขำ พลางเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์ถูที่ข้อศอกไปมา

            “ไม่รู้หรอครับเนี้ย ว่าคุณนั้นแหละที่ทำให้มันเป็นบ้า รีบดีๆ กันเถอะครับ ผมขี้เกียจรับโทรศัพท์มันตอนกลางดึก”

            “ก็ไม่เคยบอกอะไรสักอย่างเลยนี่ครับ” ผมพูดเสียงอ่อนลงตั้งใจไม่ให้คนที่กำลังเก็บอุปกรณ์ทำแผลได้ยิน แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง

            “ให้เวลามันหน่อยนะครับ ให้อะไรๆ มันชัดเจนหน่อย” น้ำเสียงของคุณหมอที่อยู่ดีๆ ก็จริงจังขึ้นมา ทำให้ผมยิ่งรู้สึกสับสนมากไปอีก คงมีแต่ผมซินะ ที่ชัดเจนกับเรื่องนี้ และคงมีแต่ผมซินะ ที่แสดงทุกอย่างออกมาอย่างชัดเจน

            คุณหมอกลับไปแล้วก็คงเหลือแต่ผม ผมคิดถึงเขา คิดถึงเขามาก จะทำยังไงดี ผมอยากนอนกอดเขา อยากไปทำงาน กินข้าว กลับบ้านพร้อมๆ กัน นี่มีแต่ผมคนเดียวใช่ไหมที่รู้สึกว่าชอบเขามากขึ้นทุกวัน ผมคงรักเขาให้แล้ว

            เวลาแยกกันเขาก็เป็นแบบนี้ตลอดไม่เคยติดต่อมา ไม่มีแม้แต่ข้อความ ตั้งแต่รู้จักกัน เราก็ทะเลาะกันบ่อย งอนกันบ่อย กว่าจะคุยกันได้เหมือนเดิมก็ร่วมอาทิตย์ หรือว่าเราควรจำกัดความสัมพันธ์ของเราไว้แค่นี้

            ผมรู้สึกสับสนบางทีเขาก็ดูเหมือนรัก หวง ห่วง และบางทีก็ทำให้ผมรู้สึกว่าผมคิดไปเอง สถานะที่ไม่สามารถบ่งบอกออกมาเป็นรูปธรรมได้ ผมรู้สึกเจ็บปวด เขารู้ว่าผมอยู่ที่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะมาตามหรือมาง้อให้ผมกลับไป นี่ผมคงคิดเข้าข้างตัวเองและตั้งความหวังสูง มากเกินไปแน่ๆ

บางทีผมมาคิดๆ ดูแล้ว ประตูไม้บานนั้นดูจะลงกลอนแน่นสนิท ถึงแม้บางช่วงเวลาผมจะรู้สึกว่าเขายอมเปิดใจแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เหมือนเปิดออกมาแค่แง้มๆ ให้ผมเห็นข้างใน แต่ก็กลับปิดลงอีก คงมีประตูของผม ที่มันเปิดออกกว้างจนเขาเห็นทะลุปรุโปร่ง ผมทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก ทำให้หัวใจตัวเอง เจ็บปวด อกหักแบบที่ยังไม่ได้เริ่ม จริงๆ แล้วเขาอาจไม่คิดอะไรเลยก็ได้ ท่าทางชอบอ่อยแบบนั้น ชอบหว่านเสน่ห์ซินะ

คอนโดของเจ้เจนไม่ได้หรูหราเหมือนกับคอนโดของคุณซีและไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิด แต่ผมกลับเห็นเขาอยู่ในทุกๆ ที ใครกันแน่ที่กำลังจะเป็นบ้า ผมอยากให้ทุกๆ วันเป็นวันทำงานอย่างน้อยผมก็เห็นหน้าเขา ผมเริ่มไม่รู้ตัวแล้วว่าผมเป็นคนโกรธเขา หรือเขาโกรธผมกันแน่ ก็น่าจะเป็นผมมากกว่าที่เอาแต่หาโอกาสมองเขาตลอด รวมทั้งตอนที่คุณเอมมี่มาทานกลางวันด้วย ผมก็ยังหาเรื่องเข้าไปในห้องอยู่ดี มันน่าสมเพชนะว่าไหม

การที่ผมย้ายออกมาคราวนี้ มันต่างจากคราวก่อนเยอะ ตรงที่ผมคิดถึงเขามากกว่าเดิมซะอีก อาจเป็นเพราะรอยจูบบ้าๆ นั้น ที่ผ่านมานานแค่ไหน หลับตาก็ยังไม่ลืม มันน่ารำคาญตัวเอง มันไม่ใช่จูบแรก ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา อายุปาไปตั้งเท่านี้แต่ทำเหมือนเป็นเฟริส์คิสลืมไม่ลงไปได้ น่าเบื่อ เรื่องน่าเบื่ออีกเรื่องการที่นั่งจ้องโทรศัพท์ตลอดเวลา ก็รู้ๆ อยู่แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองอยู่ร่ำไป ไอ้ยุเอ้ย

 

****************************************************************************************

            วันนี้เป็นวันที่หนักหน่วงของผมจริงๆ ยิ่งไม่มีตัวเปี๊ยกอยู่ที่ห้องผมยิ่งเหนื่อย คุณเกียรติบินตรงจากต่างประเทศ มาถึงก็ประชุมยาวจนไม่หายใจหายคอ เหมือนเป็นการประเมินทดลองงานสามเดือนยังไงอย่างงั้น  วันนี้ผมให้พายุลาพักเพราะเขาน่าจะยังเจ็บอยู่ ผมเหมือนโดนรุมจากคุณเลขาแล้วก็พ่อ

            การที่พ่อมาแล้วเที่ยวถามหาแต่พายุ มันก็คงเดาได้ไม่ยากว่าคุณเลขาของผมคงรายงานกันไปหมดทุกอย่างแล้ว

            “พี่ซีฮะ” เสียงน้องชายต่างแม่ตะโกนลั่นหลังจากเปิดประตูเข้ามาได้แล้ว

            “ไอ้แสบ คิดถึงไหม”

            “คิดถึงฮะ”

            “ปอม ปล่อยพี่ซีลูก” เสียงคุณแม่เจ้าตัวแสบตามมาติดๆ “เห็นไหมว่าพี่ซีออกมาจากห้องประชุมแล้วเหนื่อยมาก”

            “ไม่เป็นไรครับ” คุณปริมยิ้มพนักหน้าเล็กๆ ก่อนจะวางคุกกี้และนมแก้วใหญ่ลงที่โต๊ะกลางโซฟา

            “พ่อหละครับ”

            “ไปตึกเก่าค่ะ วันนี้ดูจะอยากเจอยุมาก”

            “เพราะคุณปริมใช่ไหมล่ะ” คุณเลขาคนสวยลูบหัวเจ้าแสบที่กระดกแก้วนมอย่างเอร็ดอร่อย

            “ไงแก” ชายวัยกลางคนเดินผ่านประตูมาสบายๆ พร้อมกับลงไปหยิบคุกกี้ในจานที่วางไว้ให้เด็กกินเหมือนเป็นของตัวเอง

            “ไหน พายุของคุณผมยังไม่เจอเลย”

            “เขาประสบอุบัตเหตุหน้าบริษัทครับ ผมก็เลยให้เขาพัก” ผมตอบแทนในขณะที่พ่อกำลังคุยกับคุณปริม

            “อื่ม” หน้าของพ่อดูเจือนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมก็จะไม่พูดอะไร ผมรู้ว่าพ่อคิดอะไรอยู่

            “ผมให้คนคอยดูเรื่องนี้แล้วครับ”

            “ก็ดี แกก็รู้ว่าเขาทำได้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ต้องหอบแม่เจ้าปอมกับเจ้าปอมไปไกลขนาดนี้” ผมมองหน้าเด็กต่างแม่ที่ท่าจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ก็ดีแล้วครับเรื่องในอดีตของผู้ใหญ่เด็กไม่ควรมารับรู้

            “พ่อพักทีไหนครับ”

            “บ้านซิ ทำไมจะพาเด็กนั้นมาหาฉันเหรอ”

            “ไม่เด็กแล้วพ่อ ไม่รู้จะว่าพาไปได้ไหม กล้ายังไม่กล้าโทรไป”

“เดี๋ยวปริมพาลูกไปหาขนมกินข้างล่างนะคะ” คุณปริมยังเป็นคนที่รู้ใจไม่ว่าจะกับผมหรือกับพ่อ เธอพาเจ้าตัวแสบออกไปจากห้อง เพียงเพื่อให้ผมกับพ่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง

            “เห็นปริมบอกว่าหน้าเหมือนกันมาก”

            “ครับ” ผมเดินจากโต๊ะทำงานไปนั่งข้างๆ พ่อที่โซฟา

            “แล้ว แกชอบใครคนไหนหละ”

            “.....” ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพราะผมยังตอบตัวเองไม่ได้ แรกๆ ตัวเองก็รู้ตัวอยู่หรอก แต่ตอนนี้ทุกครั้งทีผมอยู่ใกล้เขาก็เผลอคิดถึงอีกคนทุกที ผมไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ความรู้สึกมันมากมายจนหาทางออกไม่ได้ ทุกครั้งที่ผมอยู่คนเดียว ผมมักจะคิดถึงเขา แต่ช่วงหลายเดือนมานี้ผมกลับคิดถึงตัวเปี๊ยกด้วย ทุกครั้งจะมีตัวเปี๊ยกโผล่เข้ามาในความคิดเสมอ และเวลาอยู่กับตัวเปี๊ยกก็จะมีบีเข้ามาเสมอเหมือนกัน

            “แยกให้อออกไอ้หนู อย่าให้ใครลำบาก”

            “ครับพ่อ”

            “แล้วก็ตัดสินใจให้มันเร็วๆ อย่าให้อะไรมันบานปลายกลายเป็นความเข้าใจผิดเหมือนฉันกับปริม”

            พ่อกับแม่เลิกลากันมานานมากแล้วตั้งแต่ผมยังเด็ก แต่ด้วยหน้าที่ หน้าตาทางสังคม ท่านทั้งคู่ไม่สามารถประกาศออกมาอย่างเป็นทางการได้ สมัยผมอยู่มัธยม พ่อกับคุณปริมก็เจอกันและตกหลุมรักกันซึ่งคุณปริมเองก็ไม่ได้แก่กว่าผมไปมากเท่าไร นั้นยิ่งทำให้พ่อปิดความรู้สึกของตัวเอง มันตลกนะครับมันเป็นความรู้สึกที่น่าตลก รักแต่บอกไม่ได้ รักแต่แสดงไม่ได้ คุณปริมถูกย้ายมาเป็นเลขาส่วนตัว ผู้ชายวัยสามสิบปลายๆ ในตอนนั้นจะเก็บกักความรู้สึกได้สักเท่าไรกันเชียว

            ข่าวเรื่องเมียน้อยเมียหลวงแพร่กระจายไปทั่วบริษัท แต่ผม เอ หรือแม้แต่พ่อเรารู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร และมันก็ไม่ได้เลวร้าย คุณปริมไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้ายเหมือนในละคร และก็ไม่ได้เป็นเมียน้อยทาปากแดงแจ๋แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดด้วย เธอเป็นคนที่ให้อยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ถึงแม้เราจะรู้แต่คนภายนอกไม่รู้ เธอเองก็โดนอะไรต่อมิอะไรมามาก อุบัตเหตุแบบไม่รู้สาเหตุ เรื่องบังเอิญที่ไม่น่าบังเอิญ จนคุณปริมตั้งท้องพ่อจึงตัดสินใจให้คุณปริมลาออกจากบริษัท จัดการหย่ากับแม่อย่างเป็นทางการ และหายตัวเข้ากลีบเมฆ

            ผมได้รับโทรศัพท์จากพ่ออีกทีก็ตอนสามปีก่อนที่มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นและผมก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นสักพักเหมือนกัน

            “พ่อหวังว่าแกจะตัดสินใจได้เด็ดขาด ถ้าแกไม่สงสารตัวเองที่ต้องนั่งทรมานอยู่แบบนี้กับความคิดถึง ก็สงสารคนที่แกบอกว่าชอบเขาเถอะ ป่านนี้เขาคิดไปต่างๆ นานา แล้ว”

            “ผมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าชอบ”

            “นี่ฉันพ่อแกนะ อย่าทิ้งไว้นานเลย ถ้าเสียเขาไปแล้วแกจะรู้สึก”

            ผมรู้ว่าพ่อต้องการสื่ออะไร และผมก็รู้ว่าผมรักเขามากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่อาจลืมอีกคนไปได้ ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นการเอาเปรียบอีกคนมากเกินไปไหม ที่หัวใจของผมยังมีอีกคนอยู่ ความรักมันจะทำร้ายเขารึเปล่า แต่ผมก็คิดถึงเขา คิดถึงเหลือเกิน

            “ถ้าคิดถึงก็ไปหา ถ้ารักก็บอก อย่าให้เรื่องในอดีตที่แก้ไม่ได้มาทำให้แกไม่มีความสุข”

 

****************************************************************************************
 

“นี่ แน่ใจแล้วนะ” ไอ้หมอพูดพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ตอนที่ผมบอกกับมันว่าอยากจะเริ่มใหม่ อยากจริงจังกับใครสักคนอีกครั้ง ซึ่งมันก็เดาได้ไม่ยากว่าคนๆ นั้นคือใคร

วันนี้เราว่างตรงกัน ผมเพิ่งออกมาจากห้องประชุมมาราธอนโดยมีคุณเกียติเป็นประธานในการประชุม พอเขาแลนด์ดิ้งปุ๊บก็เรียกประชุมปั้บ ทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย ส่วนไอ้หมอก็เพิ่งออกเวรเป็นการดีที่เราจะคุยเรื่องสัพเพเหระกัน

“อื่ม”

“แต่พายุ มาแทนใครไม่ได้นะเว้ย” ผมรู้นะว่าปัญหาเรื่องนี้มันเกิดจากอะไร ทุกคนรอบตัวผมคิดว่าผมยังรักเขาอยู่ ซึ่งมันก็ถูกต้อง แต่ผมไม่แย่ขนาดที่ไม่รู้ว่าผมรู้สึกแบบไหนกับใครกันแน่

“รู้ แวบแรกที่กูเห็นเขากูก็ไม่ได้รู้สึกหรือนึกถึง บี นะเว้ย แค่เห็นหน้าตาตกใจหางตาตกๆ ทำท่าเหมือนฆ่าใครตายแล้วมันตลก และก็น่ารัก เพิ่งมาสังเกตว่าเขามีส่วนคล้ายกันตอนหลังนี่เอง” พอนึกถึงหน้าตัวเปี๊ยกก็อดยิ้มไม่ได้

“ซี”

“หืม” ผมขานตอบเพราะไอ้หมอมันแค่เรียกไม่ได้พูดอะไรอีก

“อะไรของมึง” ผมแซะไปอีกรอบเพราะมันยังคงมองหน้าผมแล้วยิ้ม

“กูไม่เห็นมึงยิ้มแบบนี้นานแหละ สามปีแล้วมั่ง มึงเข้าใจที่กูพูดใช่ไหม”

“เอ่อ มึงนี่..”  เรายิ้มและหัวเราะให้กัน

“ขอเค้กสตอร์เบอร์รี่สามชิ้นแล้วก็ช๊อคสามชิ้นครับ” ผมหันไปบอกกับพนักงานร้านกาแฟ ไอ้หมอเลิกคิ้วเชิงสงสัย เพราะผมไม่กินของหวานอยู่แล้ว

“กูจะเอาไงง้อคนแก่หน่อย”

            ผมจอดรถเทียบถนนในสวนสาธารณะที่ผมกับเขามักจะมาด้วยกันเสมอ เราจะมาด้วยกันเพื่อผ่อนคลายกับปัญหาหนักๆ ที่ต่างคนต่างเจอกันมา แล้วเริ่มต้นใหม่ในวันต่อไป เป็นที่ที่เราให้กำลังใจกันเสมอ น้ำตรงหน้าผมตัดกับฟ้าสีส้มๆ นั่น เป็นภาพที่สวยเหลือเกิน ผมคิดถึงเขา และยังคิดถึงอยู่

            ผมรู้ว่าเขาต้องมองผมจากที่ไหนสักแห่ง และเขาคงไม่มีความสุขถ้าผมจะยึดติดอยู่กับเขาแบบนี้ และมันก็ไม่ยุติธรรมกับอีกคนเอาซะเลย ผมมีพายุเขามาวนเวียนตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลานี้ ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคนไหนกันแน่ที่จะน้อยใจ

            ผมจะไม่ลืมว่ารักเขามากขนาดไหน และไม่มีวันลืมไม่ว่ายังไงเขาก็ยังอยู่ในใจผมเสมอ แต่ผมต้องก้าวต่อไป และทำชีวิตให้มีความสุขและเขาก็น่าจะมีความสุขที่เห็นผมมีความสุข ซึ่งผมต้องเดินหน้าแล้ว ก่อนที่อีกคนจะไม่หยุดรอ

            “กูรักมึง มึงรู้ใช่ไหม” คำพูดพึมพำที่หวังว่าเขาจะได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง เรายังรักกันไม่ว่าจะนานแค่ไหน และเราก็จะรักกันตลอดไปในส่วนหนึ่งของหัวใจที่จะไม่มีวันลืม

 

            คอนโดของคุณเจนหาไม่ยากอย่างที่ไอ้หมอบอกไว้ พายุ หายดีแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจากคำบอกเล่าของหมอ และผมจะลากเขากลับห้องให้ได้

ก๊อก ก๊อก

            “มาหายุหรอคะ” ประตูเปิดออกแต่คนที่มาเปิดประตูไม่ใช่ตัวเปี๊ยกของผม คุณเจนในชุดสบายๆ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเอ่ยปากถาม

            “เขาไม่อยู่หรอครับ”

            “สงสัยสวนกันแน่เลยค่ะ เห็นเขาบอกว่าจะกลับคอนโดแล้วนี่คะ” ได้ยินแบบนั้นผมก็ขอบคุณเจ้าของห้อง แล้วรีบบึ้งรถกลับมาทันที

            ทันทีที่ผมแตะคีย์การ์ดเข้าห้อง ผมว่าบรรยากาศมันขมุกขมัวซะจนน่ากลัว พายุนั่งดูทีวีที่โซฟาตัวกลางด้วยหน้าตาบูดบึ้งแถมคิ้วขมวดด้วย

            “ตัวเปี๊ยกซื้อเค้กมาฝากด้วยล่ะ” ผมได้รับสายตาค้อนๆ นั้นกลับมาและไม่มีคำตอบ ผมรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างและผมว่ามันน่ากลัว

            “จะกลับมาก็ไม่บอกจะรีบกลับมาอาบน้ำรอเลย ตัวจะได้หอม”

            “......”

            “ฮื่ม กลิ่นอะไรอะ นี่นายทำอาหารหรอ กินได้รึเปล่าเนี้ย” ผมได้กลิ่นเหมือนต้มซุปหอมมาจากในครัว นอกจากตัวเปี๊ยกจะหายโกรธแล้วยังทำกับข้าวให้กินอีก นี่สิแบบนี้สิ ที่เรียกว่าน่ารัก

            “ซีกลับมาแล้วหรอ” คนที่สวมผ้ากันเปื้อนถือทัพพีโผล่ออกจากในครัว มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะมองหลังคนที่นั่งดูทีวี และกำรีโมทไว้แน่น

            “แพรมาได้ไง”

            “ก็แพรมีคีย์การ์ดนี่น่า แล้วก็ซีบอกเองว่าจะมาเมื่อไรก็ได้ ถึงได้ให้คีย์การ์ดสำรองไว้ไง”

            ผมรู้ถึงสาเหตุของการที่อีกคนหน้าบูดแล้ว “ไม่มีการ์ดสำรองหรอครับ คอนโดผมไม่หรูเท่าของคุณยังมีการ์ดสำรองเลย” “ไม่มีนะ” นั่นคือคำตอบที่ผมตอบออกไปทันที ในตอนแรกที่เราทำเรื่องเพื่อทำคีย์การ์ดอีกอันตอนที่พายุย้ายมาอยู่ที่นี่

            “แพรทำซุปไก่ไว้ค่ะ แต่ไม่ได้ทำเผื่อคุณพายุนะคะ เห็นบอกว่าย้ายออกไปแล้วก็แปลกใจเหมือนกันที่เจอที่นี่”

            “ไม่นะ พายุอยู่ที่นี่อยู่ถาวรเลย”

            “ใครบอกคุณครับ ผมแวะมาเอาของแค่นั้น” พายุตอบแหวขึ้นมาทันทีแถมทำท่าจะแยกเขี้ยวใส่ผมอีก ความวัวยังไม่ทันหาย อะไรนักหนาวะไอ้ซี

            “เดี๋ยวๆ นายจะไปไหน” ผมรีบรั้งข้อมือเล็กๆ นั้นไว้ทันทีที่เขาทำท่าเหมือนจะเปิดประตูออกไป

            “กลับซิครับ”

            “ได้ยังไงกัน เค้กก็ยังไม่ได้กินซื้อมาตั้งเยอะ”

            “ผมดูเป็นคนเห็นแก่กินในสายตาคุณตั้งแต่เมื่อไรครับ” ท่าทางจะโกรธจริงจัง

            “งั้นเดี๋ยวไปส่ง รอก่อนเปลี่ยนชุดแป๊บเดียว”

 
*********************************************************************************
           


 ผมนั่งรอคุณซีเปลี่ยนชุดมาเกือบสิบห้านาที นี่มันอะไรกัน ไม่รั้งกันไว้ให้นานกว่านี้อีกหน่อย อยากอยู่ด้วยกันมากนักซิ ได้ ผมไปก็ได้ ทั้งๆ ที่วันนี้ตั้งใจจะทำเนียนๆ ลืมเรื่องที่พ่นใส่กันเมื่อต้นอาทิตย์ แล้วกลับมานอนห้องเพราะทนแรงคิดถึงไม่ไหว ถึงไม่มีสถานะให้ แต่ผมก็ยอมเพียงแค่ไม่ต้องทรมานเพราะความคิดถึงแบบนี้ แต่นี่อะไร กลับมาดันมาเจอเซอร์ไพรส์แบบนี้  โกหกเก่งนัก ไม่มีหรอกคีย์การ์ดสำรอง นี่โมโหไม่รู้จนจะโมโหยังไงแล้ว

ก๊อก ก๊อก

            ผมเดินไปเปิดประตูคนคุ้นเคยค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าห้องมา

            “หมอมาหาคุณซีหรอครับ”

            “เปล่าครับ พอดีไอ้ซีโทรตามมา”

            “มาแล้วหรอมึง พอดีเลย กูฝากห้องกับแพรด้วยนะ อ่อ ฝากไปส่งแพรด้วย เดี๋ยวดึกๆ กูกลับ” คุณซีออกมาจากห้องนอนก็พูดรัวติดกันจนทั้งผมและคุณแพรก็อ้าปากค้างพร้อมกัน คุณหมอ ตอบ อื่ม ออกมาจากปากแค่คำเดียว คุณซีเดินตรงมาหาผม โอบไหล่ผมไว้

            “ไปกันตัวเปี๊ยก หิวแล้ว”

            “ดะ เดี๋ยวครับคุณซี” เรื่องเนียนต้องยกให้คนนี้ซินะ

            “นิสัยไม่ดี” นั่นคือคำพูดคำแรกของผมหลังจากที่เรานั่งอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว

            “กินไรดี”

            “ไม่ได้บอกว่าอยากกินข้าวนะครับ ไปส่งผมเลย”

            “ไม่ได้บอกว่าให้กลับนะ ไปกินข้าวกัน” เรื่องดื้อ เรื่องยียวนนี่ขอให้บอกเลย อะไรเนี้ย

            คุณซีขับรถออกนอกเมืองมาเล็กน้อย เข้าหมู่บ้านคนรวย ซึ่งถึงตรงนี้ผมก็พอจะเดาได้แล้วว่าเราไม่ได้กำลังไปร้านอาหารแน่ แต่เรากำลังไปบ้านใครสักคน ซึ่งตรงนี้ผมไม่ค่อยโอเค ผมไม่ชอบเซอร์ไพรส์

            “เรากำลังจะไปไหนกันครับ”

            “กินข้าวไง”

            “คุณซี อย่ากวนนะ ผมยังโกรธอยู่”

            “เอาน่า ไม่น่ากลัวหรอก ฉันไม่เอาไปฆ่าหรอก” มือใหญ่ที่กำลังจับพวงมาลัย ละออกมากุมมือผมไว้หลวมๆ และผมก็รู้สึกอบอุ่นแบบประหลาด

            คุณซีจอดรถที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ไม่นานประตูรั้วก็เปิดออก ผมเห็นคนสามคนยืนอยู่ที่หน้าประตู เด็ก ผู้หญิง และ ผู้ชาย พอรถจอดใกล้ตัวบ้าน ถึงจะยังไม่เห็นหน้าชัดๆ แต่รูปร่างผู้หญิงคนนั้น ก็คือพี่ปริมแน่ๆ แต่อีกสองคนนั้น

            คุณซีเปิดประตูรถด้วยท่าทางสบายๆ และกวักมือเรียกให้ผมลงจากตัวรถ

            “พ่อครับ ผมพาเขามาเจอพ่อแล้ว”

 

 

 

TBC

 

          คุณซีตัดสินใจได้สักทีนะ ^^
ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ


           

 

 


หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 11 คบกันเถอะ (7/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 07-01-2017 11:21:45
= 11 =









เรื่องพี่ปริมกับคุณเกียรติ มันก็น่าเซอร์ไพรส์อยู่หรอก แต่เหตุการณ์วันนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ข่าวลือที่เคยได้ยินมาก่อนที่พี่ปริมจะลาออกว่าออกจะมีมูลอยู่บ้าง แต่ที่ขัดคงเป็นเรื่องที่นายกับภรรยาเลิกลากันไปตั้งแต่คุณซียังเด็ก ยังไงซะ เรื่องโดนครหาพี่ปริมคงหลีกเลี่ยงไม่ได้

วันนี้ก็ทำให้เข้าใจด้วยว่า สถานะอื่นของพี่ปริมที่ได้มาแบบงงๆ เหมือนที่คุณเอมมี่เคยพูดคือสถานะอะไร ก็เฉลยเอาในวันนี้ จากบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร ก็ชี้ชัดได้ว่า คุณเอไม่มีความยินดีกับการที่มีแม่เลี้ยงอายุห่างจากตัวเองไม่กี่ปี แต่ก็ไม่ยินร้ายกับเรื่องนี้ซะจนเอาตัวเองไปขัดขวาง

น้องปอมน้องคนเล็กต่างแม่ ดูจะติดพี่ซีหนึบหนับ พี่ซีฮะ น้องปอมกินผักเก่งแล้วนะฮะ พี่ซีน้องปอมอยากเล่นกับพี่ซี พี่ซีกินนี่ไหมฮะ ดูเหมือนบนโต๊ะอาหารจะมีพี่ซีกับน้องปอมเท่านั้น ซึ่งมันก็น่ารักอยู่ไม่หยอก ต้องยอมรับว่าความน่ารักของน้องปอมกับพี่ซีทำผมลืมเรื่องคีย์การ์ดนั้นไปเลย

บางทีผมก็นึกสงสารคุณแพรและตัวเอง (แน่นอนว่าไม่มีคุณเอมมี่อยู่ในความสงสารนี้) เราสองคนดูจะรักคุณซีพอๆ กัน แต่คุณแพรเธอโดนปฎิเสธซึ่งๆ หน้ามาหลายครั้งแล้ว วันนี้ก็เช่นกัน ถ้ามีเบอร์หมอวุฒิ ผมคงจะโทรไปหาแล้วถามว่าคุณแพรเป็นยังไงบ้าง คุณแพรคือหนึ่งในคนที่ติดกับความใจดีของคุณซีเหมือนผม

ส่วนคุณเอมมี่นั้นถือว่าเป็นขั้นสุด เธอเป็นคนเดียวที่ได้ครอบครองร่างกาย(ซึ่งผมมั่นใจมาก) และหัวใจ(อันนี้ไม่มั่นใจนัก) ของคุณซีในช่วงระยะเวลานึง อย่างน้อยก็ช่วงที่เรียนต่อสามปีนั้น ไม่เหมือนผมกับคุณแพรที่คงใช้ความคิดเข้าข้างตัวเองให้มีความสุขไปวันๆ แตกต่างอีกส่วนก็คงเพราะผมเป็นผู้ชายและยังไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ ว่าคุณซีเป็นแบบไหน และที่แสดงกับผมเป็นเพียงแค่อยากแกล้งคนที่ใครๆ มองว่าไม่ปกติหรือเปล่า

คุณซีกับนายคุยกันออกรสชาติทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว จนบางทีผมอยากออกไปจากตรงนี้เพราะดูเหมือนจะมีผมคนเดียวในที่นี่ที่เป็นคนนอก แต่คุณเกียรติก็บอกว่าให้นั่งอยู่นี่แหละ ผมเป็นเลขาผมสมควรรู้เรื่องเจ้านายทุกอย่าง แต่ก็นะ พี่ปริมก็เป็นเลขาเหมือนกันแต่ตอนนี้เธอกับน้องปอมอยู่ในห้องเล่นเด็ก

“เรื่องโซนใหม่แกทำได้ดีนะ เยี่ยมไปเลย”

“ต้องขอบคุณยุ เขาดูเรื่องนี้อยู่”

“งั้นเหรอ”

“ไม่หรอกครับ ไม่ใช่ผมคนเดียว ทั้งฝ่ายการตลาด และพนักงานคนอื่นๆ ก็ช่วยด้วย” ผมรีบตอบออกไปหลังจากที่สายตามีอำนาจนั้นจับจ้องมาที่ผม อ่า ตอนนี้ผมมีส่วนร่วมในบทสนทนานั้นแล้ว

“อ้อ ใช่แล้วครับพ่อ มีนายเบสท์ หนุ่มหล่อหน้าตาดี เป็นที่ปรึกษาแบบ สนิท ให้พายุด้วย” ผมเหลือบตามองคนที่จีบปากจีบคอพูดจนน่าหมั่นไส้ แถมกดเสียงซะหนักตรงคำว่าสนิท ไม่เพียงแต่คุณเกียรติจะไม่แย้งอะไร กับหัวเราะ หึๆ ออกมาให้ได้สงสัยอีก

“งั้นต้องขึ้นเงินเดือนให้นายเบสท์อะไรนั่นใช่ไหม หรือจะให้ย้ายมาอยู่แผนก MKT ของตึกใหม่ดี”

“อะไรของพ่อเนี้ย” เสียงงอแงเหมือนเด็ก ยิ่งกว่าน้องปอมที่นั่งดูการ์ตูนอยู่ถัดไปอีกห้องซะอีก

“ทำไม ว่าไงยุ เลื่อนตำแหน่งให้มาร์เก็ตติ้งคนนั้นดีไหม”

“ดีครับ”

“โห” เสียงหัวเราะคิกคักทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายลงได้มาก ผมรู้ว่าวันนี้อยู่เหนือคุณซีทุกอย่าง ดีจัง

“ว่าแต่ นายมีอะไรดี ถึงทำให้เจ้าซีเลือกนายมาเป็นเลขาได้”

“เลือกผม???” ผมสงสัยมาตลอด แต่ก่อนหน้านี้บอสเคยบอกว่าจะให้ผมดูแลหุ้นส่วนใหม่ของบริษัท ผมเองก็คิดว่าคงไม่มีใครอยากทำงานนี้ จนมาเจอพี่ปริมที่เป็นเลขาส่วนตัว ผมก็เดาแบบเข้าข้างตัวเองว่า งานนี้อาจมีเส้นสาย เพราะการที่ผมสนิทกับพี่ปริมก่อนที่เธอจะลาออกไปนั้น อาจทำให้ผมมายืนในตำแหน่งนี้ แต่พอนายถามมาแบบนี้ ผมเริ่มชักไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองคิดซะแล้ว

“ใช่ อ้าว ไอ้แสบไม่เคยบอกเขาหรอ” ประโยคหลังหันไปพูดกับคุณซีที่นั่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนั้น

“จะเคยได้ยังไง พ่อเนี้ยชอบทำผมขายหน้าตลอด”

“ขายหน้าหรือว่าอะไร ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะรวนดังขึ้นอีกหน แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“???” ผมยังคงแสดงหน้าเอ๋อใส่ผู้เป็นเจ้านายทั้งสอง ทั้งพ่อทั้งลูกหัวเราะกันใหญ่

“หน้าแบบนี้เลยพ่อ ตอนที่เขาเปิดประตูรถลงมา”

“เออ หน้าตาน่าแกล้งอย่างที่แกบอกจริงๆ ด้วย”

“เดี๋ยวครับ นี่มันยังไงกัน” ผมชักทนไม่ไหวแล้ว ทำไมถึงดูเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเอาซะเลย

“ไม่เอาน่าตัวเปี๊ยกอย่าทำหน้าแบบนั้นซิ” คุณซีวางมือลงบนหน้าขาของผม แล้วย้ายตัวเองมานั้งข้างๆ

“นี่มันอะไรกันครับ คุณนี่มันขี้โกหกจริงๆ เลย”

“โกหกอะไรกันตัวเปี๊ยก ไม่เคยทำสักหน่อย” พูดพลางมือไม้ก็ยาวเป็นปลาหมึก โอบไหล่ผมไว้แน่น

“อย่าให้ต้องพูดเรื่องคีย์การ์ดกับเรื่องขานะครับ เดี๋ยวของขึ้น”

“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังลั่นดังขึ้นอีกรอบ ผมกับคุณซีมองหน้ากัน งงๆ แล้วก็ยิ้มตามไปด้วย

“รู้แล้วหละว่าทำไม นายถึงได้มาเป็นเลขาลูกฉัน” ผมยิ้มแหย่เพราะก็ยังไม่รู้คำตอบอยู่ดี “แต่ก็ต้องขอบใจนายนะ พายุ เพราะถ้าไม่ได้นายป่านนี้เจ้าซีคงยังไม่เป็นโล้เป็นพายแน่ๆ กว่าจะกล่อมให้กลับมาทำงานได้ เล่นเอาเหนื่อย ตอนแรกก็แปลกใจนะว่าทำไมมันถึงตอบรับที่จะมาดู เคดีเวลฯ ให้ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วหละ เพราะนายทำงานที่นั้นน่ะซินะ ถึงทำให้ไอ้แสบอยากไปทำงานด้วย” 

ผมได้แต่มองคนที่นั่งข้างๆ ที่ตอนนี้เกลี่ยนิ้วมือของผมเล่นไปมานิ่งๆ เขาไม่พูดและไม่ตอบอะไรออกมาด้วย ได้แต่เห็นรอยยิ้มที่มุมปากนั้น จนนายมองหน้าผม สลับกับมือที่คุณซีเกลี่ยอยู่ด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก ผมลืมตัวไปแล้ว ลืมว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน และคนเป็นพ่อก็คงไม่ชอบนักที่ลูกชายตัวเอง จะมาทำท่าทางสนิทสนมสกินชิฟแบบถึงเนื้อถึงตัวกับผู้ชายอีกคน แบบที่ผู้ชายเขาไม่ทำกัน ถึงจะมีรอยยิ้มเล็กๆ นั้นใบหน้าแต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ คนเป็นพ่อเป็นแม่คงไม่อยากให้ลูกชายคนเดียวที่ต้องสืบทอดกิจการถูกตราหน้าว่าผิดเพศ

ผมชักมือกลับในขณะที่มองหน้าคุณเกียรติไปด้วย ท่านไม่ได้มองผมแต่จ้องหน้าลูกชายและสลับกับจ้องที่มือผมเขม่ง ผมไม่อยากทำให้เขามีปัญหา แต่แรงของมือใหญ่ที่ยื้อมือของผมไว้ ก็ทำให้ผมต้องจ้องหน้าเขาอีก ขมวดคิ้วส่งไปให้ เพราะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่

“ปล่อยครับ” ถึงผมจะทำเสียงเบาแค่ไหนแต่คนที่นั่งห่างกันเพียงหนึ่งโต๊ะกลางโซฟากั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ยิน

“ทำไมหละ อยากจับนี่ คิดถึงจะแย่”

“คุณพูดอะไรของคุณ เกรงใจพ่อคุณบ้าง”   คุณซีไม่ได้ตอบอะไรแค่เงยหน้ามองพ่อแล้วยิ้ม

“ตามสบายเถอะ ไปฟังเมียเล่านิทานกับเจ้าปอมดีกว่า อ่อ คืนนี้ก็ค้างกันซะที่นี่ละกัน ฉันให้คนทำความสะอาดห้องแกไว้แล้ว” พูดจบคนเป็นพ่อก็เดินหายเข้าไปในห้องเล่นเด็ก   เพี้ยะ !!! ผมตีแขนคนข้างๆ ที่ไม่หยุดซนสักที “ทำไมบอกให้หยุดไม่หยุดครับ”

“อะไรกัน อยู่ด้วยกันมาไม่เคยเห็นจะห้ามอะไรเลย ตามใจตลอด ทำไมเป็นแบบนี้”

“แต่นี่..ที่นี่ มันไม่ใช่ที่ที่คุณจะมาลุ่มล่ามนะครับ”

“งั้นถ้าเป็นที่ห้องก็ได้ซิ งั้นขึ้นห้องกันเลย เนอะ ๆ “

เพี้ยะ ผมฟาดลงที่แขนแกร่งนั้นอีกครั้ง “คุณซี” พร้อมกับกระแทกเสียงเรียกไปด้วย

“เอาน่า อย่าโกรธนักเลย ไม่ไหวจะง้อแล้วนะเนี้ย สามวันดี สี่วันโกรธ”

“ก็ไม่ต้องง้อสิครับ ผมไม่ได้ขอ”

“แล้วที่กลับมานี่ก็ไม่ใช่ว่าคิดถึงกันหรอกหรอ ฉันคิดถึงนายจะตายประสาทจะกินอยู่แล้ว”

“เวอร์!!”

“บางทีนายก็ควรรู้ไว้ ว่าฉันห่างนายไม่ได้แม้สักนาที อย่าคิดว่าตัวเองจะอยู่ตรงไหนก็ได้ซิ เห็นแก่คนที่ต้องทรมานเพราะความคิดถึงนายด้วย”

“....”

น้ำเสียงจริงจังที่ถูกส่งออกมา มือใหญ่ๆ นั้นที่กุมมือผมไว้แน่น นิ้วโป้งใหญ่เกลี่ยบนหลังมือไปมา มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่อาจห้ามได้ และก็ปฎิเสธไม่ได้ด้วยว่าผมรู้สึกดี ดีมาก เขาก้มหน้ามองมือผมนิ่ง

“ชอบทำตัวเหมือนไม่สำคัญเรื่อยเลย น่าหงุดหงิดชะมัด” ท่าทางเด็ก ๆ นั้นทำให้ผมอดขำไม่ได้จริงๆ 

วันนี้ผมรู้สึกดีจริงๆ ท่าทางที่ไม่เคร่งเครียดนักและก็ขี้อ้อนแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้เปิดประตูบานใหญ่นั้นสักที ไม่รู้สิ แต่เรื่องในใจของเจ้านายคนนี้ที่ผมยังไม่รู้ ผมกลับไม่รู้สึกอยากรู้อะไรอีกแล้ว ผมยังคงก้มมองนี้วเรียวยาวนั้น เขี่ยรอบนิ้วนางของผมเล่น และกลุ่มผมสีดำนั้นก็วางแมะลงมาที่ไหล่เล็กของผม

“หอมจัง”    คำพูดนี้อีกแล้ว ที่ไม่ว่าจะได้ยินกี่ครั้งผมก็รู้สึกดีเสมอ และก็ชวนให้คิดถึงเรื่องน่าอายวันนั้นด้วย

“ตัวเปี๊ยก ถ้าวันนี้จูบอีกจะได้ไหม” ผมสะดุ้งกับคำพูดตรงเพ้งแบบนั้น ให้ตาย เด็กนี่คิดอะไรอยู่ถึงได้พูดออกมาแบบนั้น คิดจะทำให้ผมเขินตายไปเลยใช่ไหม ก็ใช่อยู่หรอกที่ตอนนี้เราทั้งคูไม่ได้สบตากัน ไม่ได้แม้แต่มองหน้ากัน แต่ความร้อนที่ออกมาจากตัวผม หัวใจที่เต้นแรงยิ่งกว่าจังหวะแทงโก้แบบนี้ คนที่เอาหัวพาดไว้ที่ไหล่จะได้ยินไหมนะ

“....”

“แต่คราวนี้ฉันจะไม่ขอโทษหรอกนะ” เหมือนเวลาจะหยุดหมุนในทันที ที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นเงยขึ้นมาประสานสายตากัน หัวใจของผมเต้นถี่รัวเร็วจนบอกไม่ถูก มือของผมชื้นเหงื่อจนเขาต้องยกไปลูบขากางเกงตัวเอง

“........”

“เขินแล้วน่ารักชะมัด” ผมยิ่งกว่าทำตัวไม่ถูก ทั้งใจสั่นแล้วก็วูบโหว่ง ให้ตายจูบก็เคยมาแล้ว ตอนนั้นไม่เห็นจะตื่นเต้นขนาดนี้ แต่ดันทำอะไรไม่ถูกกับคำพูดธรรมดาที่หาจุดของความเขินอายไม่ได้ มือใหญ่ผละออกจากนิ้วนาง แล้วดึงแก้มผมจนยืด

“เขินแล้วน่ารักจัง”


 
**************************************************************************************


“พ่อเห็นยุไหมครับ” ผมตื่นมาก็ไม่เห็นคนตัวเล็กอยู่ข้างๆ แล้ว ในห้องน้ำก็ไม่มีลงมาชั้นล่างก็เหมือนว่าสำรับจะถูกเก็บไปเรียบร้อย ใช่แล้ว ผมไม่ทันอาหารเช้า ก็เมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับได้ ก็การที่มีคนที่ชอบและยอมรับแบบเต็มอกเต็มใจแล้วมานอนอยู่ใกล้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะข่มตาหลั แถมยากมากกว่าเดิมตอนที่เหมือนถูกแกล้ง ให้ตายเถอะ ตัวเปี๊ยกของผมนอนซุกอกผมหลับสบายอารมณ์สุด ๆ แต่ผมนี่แทบจะกลั้นอารมณ์ไม่ไหว

“อยู่กับเจ้าปอมที่สระว่ายน้ำโน้น”

ผมได้ยินแบบนั้นก็นั่งลงที่ข้างๆ พ่อ คุณปริมที่ยกกาแฟมาให้แบบไม่ต้องสั่ง ว่างแก้วกาแฟลงแล้วก็เดินไปที่สระว่ายน้ำข้างบ้าน

“เป็นไงไอ้แสบ ถึงขนาดตื่นสายเลยหรอ”

“ไม่มีอะไรเลยพ่อ ไม่มีจริง ผมถึงได้ตื่นสายแบบนี้ไง นอนไม่เต็มอิ่ม”  คนเป็นพ่อจิบกาแฟหลังอาหาร หัวเราะร่วน

“เขาน่ารักดีนะ”

“ครับ พายุน่ารัก” ผมคนกาแฟในแก้วแก้เขิน ไม่รู้จะอธิบายคำว่าน่ารักของพ่อยังไง ไม่รู้ว่ามันจะตรงกับของผมไหม แต่เขาก็น่ารักมากอยู่ดี

ผมเดินหยุดดูคนตัวเล็ก เล่นน้ำอยู่ในสระเด็กของบ้าน ตอนนี้เจ้าปอมคงติดพี่ยุมากกว่าพี่ซีซะแล้วมั่ง ไม่เห็นจะถามหาอะไรเลย ใบหน้าขาวๆ นั้น เริ่มมีสีระเรื่อ คงเป็นเพราะแดดตอนสายที่เริ่มแรงขึ้นทุกที ผมนั่งที่เก้าอี้ข้างสระในมือถือผ้าขนหนูผืนใหญ่ไว้สำหรับห่อเจ้าตัวเปี๊ยกส่วนปอมน่ะ แม่ของเขาเตรียมไว้แล้ว

“พี่ซีฮะ ปอมยังไม่ขึ้นได้ไหมฮะ”

“แต่แดดเริ่มมาแล้วนะครับ” ผมตอบไอ้ตัวเล็ก ที่เอาขาตีน้ำในขณะที่ตัวเองอยู่ในห่วงยางมาจนถึงขอบสระ

“แต่ปอมอยากเล่นกับพี่ยุนี่ฮะ” ผมมองหน้าบุคคลที่สามที่ตอนนี้ยิ่งกว่าเซ็กซี่ เสื้อยืดสีขาวตัวเก่าของผมพอเปียกน้ำก็เห็นไปถึงไหนๆ ถึงแม้จะไม่ได้เปียกทั้งตัวมะล่อกมะแล่กก็เถอะ เพราะน้ำสูงแค่เอว แต่นั้นมันก็ทำให้ผมใจเต้นไม่หยอก ผมหันมองหน้าคุณปริมที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างๆ ว่าจะอนุญาตเจ้าน้องชายตัวแสบไหม พอคุณปริมพนักหน้าเจ้าตัวแสบก็ตีขาเล่นน้ำใหญ่

“แค่อีกครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะปอม” เสียงคุณปริมตะโกนลงไปในสระอีกรอบ

ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าสายตาของตัวเปี๊ยกที่ส่งมาให้ผมนั้น ผมรู้สึกมันดูกรุ่มกริ่มยังไงบอกไม่ถูก นี่คงจะไม่อ่อยกันต่อหน้าเด็กหรอกนะ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นผมก็พร้อมพลีใจให้อยู่แล้ว (เรื่องพลีกายไว้ค่อยว่ากัน)

เมื่อคืนกว่าจะเคลียร์กันได้ก็ดึกดื่น ตัวเปี๊ยกดูจะไม่โกรธแล้ว แต่ผมก็ดูออกว่าเขาไม่อยากนึกถึงมันอีก ผมมันแย่ตรงที่สลัดใครไม่ได้สักคน แพรที่เห็นว่าเป็นเพื่อนอยู่ตลอดถึงจะเคยบอกอยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ก็มักจะได้คำตอบ “แพรก็ดูแลซีแบบเพื่อนไง” กับ เอมมี่ ที่พ่อเองก็บอกผมว่า คุณพ่อของเอมมี่มีความเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่เอาเรื่องธุรกิจมาปนกับเรื่องส่วนตัวของลูกสาว แต่ผมก็ไม่อาจเห็นแก่ตัวทำอะไรที่มันอาจทำร้ายความมั่นคงของธุรกิจไปได้ “พ่อรักเอมมี่มากซีก็รู้นี่คะ ถ้าพ่อถอนหุ้นคงไม่ต้องบอกถึงผลที่จะตามมาหรอกนะ” แล้วผมควรทำยังไงดี

อีกทั้งยังมีเรื่องเขาที่คอยทำให้ผมกังวลใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่แน่ใจนักหรอกนะว่าผมรักยุ แต่ผมก็กลัวว่ายุเองเขาจะไม่มั่นใจในตัวผม ผมยังไม่ลืมและผมไม่คิดจะลืมด้วย ผมอยากมีทั้งเขาและยุ ผมอยากเก็บความทรงจำของผมกับเขาอยู่ตลอดไป และผมอยากให้ยุเป็นปัจจุบันของผมเสมอ มันดูเห็นแก่ตัวใช่ไหม ผมรู้และก็ยอมรับ ผมจะไม่ยอมปล่อยพายุไปอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามผมจะเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้แหละ ผมจะไม่ทรมานตัวเองอีกแล้ว

ผมอธิบายเรื่องคีย์การ์ดนั้นว่าตอนที่ซื้อคอนโดเอเป็นคนจัดการ คีย์การ์ดสำรองเอบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเอาไป อาจจะให้แพรมาดูแลเรื่องอาหารการกิน และบางทีเอก็อาจจะแวะมานอน ผมถึงรู้อยู่แล้วว่าคีย์การ์ดอีกอันมันไม่มี แต่ที่ผมไม่ได้บอกเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้คีย์การ์ดอันนั้นมันอยู่ที่ใครกันแน่ และผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร

เมื่อคืนผมพูดจนหมดเปลือก เรื่องแพร เอมมี่ เรื่องคีย์การ์ด หรือแม้แต่เรื่องความรู้สึกของผม คนฟังไม่ปริปากพูดอะไรสักนิดได้แต่นั่งฟังอยู่แบบนั้นพอถามว่าคิดยังไง ก็กลับทำแค่ส่ายหน้ามาให้ผม ซึ่งมันน่าหงุดหงิดชะมัด

“ต่อไปมองฉันใหม่ได้ไหม ไว้ใจกันด้วย ทุกอย่างที่ฉันคิดกับที่ฉันทำมันเหมือนกันนั้นแหละ ก็เคยบอกหลายครั้งแล้วนี่”

ถึงผมจะพูดไปแบบนั้นแต่พายุกลับทำแค่คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ออกจากห้องน้ำก็ล้มตัวลงนอนแถมหันหลังให้อีก ให้ตาย เรื่องจูบที่ขอไว้ตอนก่อนขึ้นมาก็ไม่ได้ทำซะอีก แต่ก็ยังดีที่คนตัวเล็กไม่ปฎิเสธอ้อมกอดของผม แค่นั้นผมก็รู้แล้วว่าคนตัวเล็กน่ะหายโกรธแล้ว แต่ที่รุ้สึกว่าแกล้งกันแน่ๆ คงเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากที่หันหน้าเข้าหาผมหลังจากที่ผมผละออกจากอ้อมกอดไปอาบน้ำแล้วกลับลงมานอนที่เตียงอีกครั้ง สายตาปรือง่วง มันดูน่ารักและน่าฟัดไปในเวลาเดียวกัน แถมด้วยนิ้วเรียวที่ค่อยสัมผัสที่ริมฝีปากของผมนั้นอีก หัวใจผมแทบจะทะลุออกมานอกอก พายุค่อยๆ เลือนหน้าเข้ามาใกล้ จนผมต้องถดตัวเอนหลังแนบกับที่นอน ปลายนิ้วเล็กๆ คลอเคลียไล่ลงไปจนถึงปลาร้า ส่งสายตาหวานเยิ้มจนผมที่แทบจะเก็บกักอารมณ์ไม่อยู่

สะโพกอวบอิ่มที่ผมสัมพันธ์ได้เต็มมือนั้น ผมค่อยละเมียดเลื่อนมือ เพื่อสัมพันธ์กับผิวนุ่มเหมือนผิวเด็ก ออกแรงนิดหน่อยคนตรงหน้าก็เหมือนจะกึ่งคร่อมผมอยู่แล้ว เขาคงเสียหลักไม่น้อยจึงถอดมือจากอกของผมไปเท้าไว้ที่หมอนบริเวณข้างหู สายตาที่เราจ้องกัน ทำให้อยากจะเก็บกักความรู้สึกไว้ ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้นานมากแล้ว แค่กับเขาเท่านั้นที่ผมให้ผมรู้สึกอึดอัดขนาดนี้ได้ และผมรู้ว่าเขาก็รู้ สายตาที่เหลือบมองหัวกางเกงของผม คิ้วข้างหนึ่งของคนตัวเล็กถูกยกขึ้น และหัวเราะในลำคอเชิงเยาะเย้ย

“นอนซะน้องชาย อย่าคิดอะไรไปไกลนัก” ดูพูดเข้าแบบนี้มันน่าจับกดให้พรุ่งนี้ลุกไม่ไหว พายุถดตัวลงนอนโดยใช้แขนของผมเป็นหมอนหนุน อ่า คืนนี้ผมคงได้กินแห้วแน่นอนแล้วซินะ คนตัวเล็กหลับตาพริ้ม เหมือนรู้สึกสะใจที่ได้แกล้งกันขนาดนี้

“หอมจัง” กลิ่นหอมอ่อนจากแชมพูสระผม ทำให้ผมอดไม่ได้ที่หอมลงไปที่กลุ่มผมนุ่มนั้น พายุยกแขนพาดเอวแล้วกระชับกอดผมไว้แน่น เรานอนกันในท่านี้ ท่าที่อีกคนดูสบายแต่ผมต้องทนกับความอึดอัดไปค่อนคืน

 

********************************************************************************



“คิดอะไรอยู่ครับ หน้าแดงเชียว คิดเรื่องลามกหรือเปล่า” คนตัวเล็กหยิบผ้าขนหนูที่ผมวางไว้บนตักขึ้นเช็ดหัวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้สระตัวข้างๆ

“.....” ผมไม่ได้ตอบเพียงหันหน้าเข้าหาแล้วดึงผ้าขนหนูมาเช็ดผมนั้นซะเอง

“คิดเรื่องเมื่อคืนหรอครับ” สายตาแบบนี้ส่งมาอีกแล้ว ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ

“คนชนะพูดอะไรก็ได้นี่ ใจร้ายมากด้วย”

“ทำไมไม่ลุกไปจัดการตัวเองหละครับ” ผมไม่รู้เลยว่าคนแก่จะลามกได้ขนาดนี้ พูดเรื่องแบบนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบได้ยังไง ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยหรือไง

“ก็มีหมากอดอยู่ขยับไปไหนไม่ได้”

“ผมรู้หรอกครับ ถึงตื่นก็ไม่ห้ามหรอก” คนพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา พลางหยิบแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นดื่ม

“ก็ไม่อยากจัดการเองนิ มีทางที่ดีกว่านั้นตั้งเยอะ” ผมส่งคำพูดกำกวมออกไป และผมรู้ว่าคนแก่ลามกนั้นน่ะ เข้าใจดี เพราะแรงตีที่ต้นแขนนั้นแหละ

“อย่าไปทำหน้าตาแบบนี้ใส่ใครนะ มันน่ารัก แล้วก็สายตาแบบเมื่อคืนก็ห้ามไปมองใครด้วยฉันหวง” ถึงจะยังไม่ได้ขอเป็นแฟนแต่ก็ลั่นวาจาไปแล้วว่าคนนี้แหละของผม ก็ผมจูบจองไปแล้วนะ



**************************************************************************************
 

   
    ตอนนี้ผมสวมเชิ้ตสีชมพูกับกางเกงสามส่วนสีขาวของคุณซีที่เขาบอกว่ามีคนซื้อให้เป็น ของขวัญแต่ก็กะขนาดผิดไปหลายไซส์ ผมใส่มันได้พอดี ก็คงเป็นเพราะเหตุผลนั้นนั่นแหละ
ของว่างของน้องปอมที่ถูกจัดเตรียมไว้เพราะเด็กมักจะหิวหลังจากที่เล่นซน ก็มีพ่วงของว่างของผู้ใหญ่ด้วย คุณซีกับนายนั่งดื่มกาแฟกับคุกกี้อบใหม่ที่กลิ่นหอมลอยมาจนถึงเชิงบันไดทำให้ผมอยากจะเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย แต่สองขาก็ต้องหยุดไว้ก่อน เพราะสีหน้าของคุณซีตอนนี้มันดูเคร่งเครียดไปถนัดตา ทำให้เบนเข็มเข้ามาหาพี่ปริมในครัวซะยังจะดีกว่า

“ทำไมหน้าเครียดกันจังเลยครับ ที่บริษัทมีปัญหาหรือเปล่าวันนี้พวกเราไม่ได้ไปทำงานกันหมด” ผมถามคนที่เตรียมอาหารเที่ยงกับแม่บ้านอีกสองคน

“เมื่อกี้ตอนที่พี่เข้าไป เหมือนกำลังคุยกันเรื่องหุ้นของพ่อคุณเอมมี่น่ะ ยัยนั้นเอาเรื่องนี้มาขู่คุณซีตลอด”

“อ่อ หรอครับ แต่ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรนี่ครับ”

“คุณซีคงไม่อยากให้ยุคิดมากหละมั่ง”

“คิดมากเรื่องอะไรครับ” ถึงผมจะรู้อยู่แก่ใจก็ได้แต่ทำไก๋ ล้างผักที่วางอยู่ตรงหน้าแทน

“ก็คนชอบพอกันคบหากันก็ไม่อยากให้ใครมายุ่งหรอกจริงไหม อะไรที่ขัดความไม่สบายใจของอีกฝ่ายลงได้ก็ควรทำ” ผักกาดขาวในมือหลุดลงในกะละมังที่มีน้ำอยู่เต็มดังจ๋อมแถมกระเด็นขึ้นมาบนเสื้อด้วย เสียงน้ำนั้นทำให้พี่ปริมหละมือจากหม้อต้มยำตรงหน้าคว้าผ้าสะอาดมาเช็ดเสื้อให้ทันที สีหน้าที่ผมแสดงออกไปไม่รู้ว่ามันเป็นแบบไหนที่พอพี่ปริมเห็นมือเล็กๆ ที่เช็ดอยู่บนเสื้อก็ชะงักลง

“เดี๋ยว นี่ยุอย่าบอกนะ”

“???”

“อะไร นี่แสดงว่าคุณซียังไม่ได้พูดอะไรอีกหรอ” ผมได้แต่พยักหน้าตอบกลับไป

“ไม่ได้แหละ พี่ต้องทำอะไรสักอย่าง พี่นึกว่าคุยกันเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้วซะอีก”

“พี่ปริมครับบางทีคุณซีอาจจะ..”

“อาจจะอะไร แสดงขนาดนั้นแม้แต่เจ้าปอมยังดูออกเลย” ผมยังไม่ทันได้พูดจบประโยคก็เหมือนพี่ปริมเข้าไปนั่งอยู่ในใจผมแล้ว

“พี่ปริมครับ” ผมเขย่าแขนอีกคนที่ดูเหมือนอารมณ์จะคุกรุ่นจนยากที่จะดับลง

“มีอย่างทีไหน จับไม้จับมือนอนห้องเดียวกันโอบไหล่เดินทั่วไป คนอื่นก็รู้ก็เห็นกันหมด เราไม่ใช่ของเล่นที่จะให้เขาทำอะไรก็ได้นะ แถมยังตัดโอกาสตัวเองด้วย พอมีคนเข้ามาคุยด้วยหน่อยก็หึงเป็นหมาบ้าเชียว”

“.....”

“อยากให้มีใครสักคนมาจีบยุจริงๆ อยากดูน้ำหน้าคุณซีนักว่าจะเป็นยังไง”

“พี่ปริมครับ คุณซีเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไร แค่ผู้ชายด้วยกันแบบนี้มันเรื่องธรรมดาครับ”

“งั้นหรอยุ ยุว่าเขาดูไม่ออกหรอว่าเรารู้สึกยังไง พี่ยังดูออกเลย แล้วคนเจ้าชู้แบบคุณซีจะดูไม่ออกหรอ พี่ไม่เชื่อหรอก” พี่ปริมลดระดับแก๊สให้เหลือแค่ไฟอ่อน ๆ แต่ดูเหมือนไฟในใจพี่แกยังไม่ลดลงเลย

“พี่เตือนพี่บอกไปหลายครั้งแล้ว ว่าให้ทำอะไรให้ชัดเจน อย่าทำให้ยุเสียใจ อย่าทำให้ยุคิดว่าตัวเองคิดไปเอง นี่พี่ยังคิดเลยนะว่า คุณซีคงขอยุคบตั้งแต่ยุย้ายกลับมาอยู่กับคุณซีแล้วซะอีก ยุไม่ต้องคิดมากนะ พี่จะไม่ทำอะไรในฐานะลูกจ้างหรอก พี่จะทำในฐานะแม่เลี้ยงแล้วก็พี่สาวของยุ”

 


**************************************************************************************


“เจียมไปเอาของหวานมาไป” พี่ปริมสั่งพี่แม่บ้านให้ไปยกของหวานหลังจากที่เราทานอาหารเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณซียังคงก้มหน้าก้มตาไถแทบเล็ตในมือ ดูรายงานการประชุมที่พี่ฟ่างเลขาบอสส่งมาให้อย่างขะมักเขม้น

“ยุทานของหวานก่อนนะเดี๋ยวค่อยไป” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าหลังจากที่ได้ยินประโยคชวนงงงวยนั้น ไป ไปไหน ผมจะไปไหนหละ

“ไปไหนครับ” คงไม่ใช่ผมคนเดียวแล้วที่งง คนที่จ้องสนใจอีเมลล์เขม่งก็โพล่งถามขึ้นมาด้วย

“อ่อพอดีเบสท์บอกว่าจะมารับยุไปเดินเล่นน่ะ เขาออกมาพบลูกค้าพอดี แล้วยุไม่รู้ทางที่มาบ้านเราพี่ก็เลยอาสาบอกทางไป อีกแปปก็คงถึง”

“เดี๋ยวครับ คุณปริม คุณปริมทำไมต้องบอกทางให้ไอ้หน้าจืดนั้นมารับยุด้วยครับ” เสียงของคุณซีดังข้ามหน้าคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ คุณเกียรติไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ชำเลืองตามองเพียงแค่นั้น

“ทำไมหละคะ ทำไมเบสท์ถึงมารับยุไม่ได้”

“พ่อ พ่อดูเมียพ่อนะ ทำแบบนี้ได้ไง” คุณเกียรติหันไปสบตากับพี่ปริมแล้วตักขนมเข้าปากอีกคำ

“ทำแบบไหน บอกทางมาบ้านนะหรอ”

“พ่อ” คุณซีกระแทกเสียง คิ้วขมวดมุ่น “คุณปริมก็รู้นี่ครับว่าไอ้หน้าจืดนั้นมันชอบยุอยู่ แล้วยังจะบอกทางให้มันมาเจอยุอีก”

“แล้วทำไมหละคะ หน้าที่การงานก็ดี หน้าตาก็หล่อเหลา ถึงจะอายุน้อยไปหน่อย แต่ความคิดก็เป็นผู้ใหญ่อยู่มาก น่าจะดูแลปกป้องยุได้ ถ้าเขาขอยุคบพี่ว่าก็ดีนะยุ”

“คุณปริม” เสียงกระแทกลงอีกครั้ง ถ้วยของหวานถูกเลื่อนออกจากตรงหน้า ทำให้รู้ว่าอารมณ์เสียจนไม่อยากจะกินอะไรแล้ว ท่าทางของคุณซีมันน่ากลัว เวลาเขาโมโหน่ะน่ากลัวสุดๆ แต่ผมก็อดยิ้มไม่ได้อยู่ดี

“นี่ก็ยิ้มอะไรอยากไปกับมันมากเลยใช่ไหม อย่าหวังเลยไม่มีทางหรอก ลองมาดูซิ ถ้ามันรู้ว่านายอยู่กับฉันยังจะกล้าจีบอีกไหม” อ้าว หันมาแหว๋ใส่ผมอีก ไม่ขำก็ได้ผมจะพยายามแต่ผมดีใจนิ ดีใจจริงๆ ถึงจะไม่มีสถานะแต่เป็นแบบนี้ก็ได้ ผมยอม แค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้ว

ผมอยู่ที่สวนสาธารณะตรงหน้ามีแม่น้ำให้ได้สดชื่นสายลมเย็นของช่วงบ่าย ช่วยทำให้แสงแดดจ้าๆ นั้นไม่ร้อนจนเกินไปนัก คุณซีถอนหายใจก่อนจะนั่งลงบนพื้นหญ้า ก่อนหน้านี้หลังจากที่พูดประโยคนั้นจบ คุณซีก็ลากผมออกจากโต๊ะกินข้าว บอกว่าจะพาไปเก็บของที่ห้องเจ้เจน และก็ทิ้งท้ายว่าไม่อยากให้ผมนั่งรอไอ้หน้าจืดอยู่ที่บ้านเขา เรื่องแบบนี้มันหยามหน้ากัน ผมมองมือที่ลากผมมาจนถึงรถแต่ก็ยอมมาด้วยโดยดี มันรู้สึกดีนี่ครับ ถึงเขาจะโมโหแต่ผมก็รู้สึกดีจริงๆ

“มานั่งใกล้ๆ ซิ” คุณซีกวักมือเรียกและผมก็เดินตามคำสั่งนั้นไปโดยดี

“ไหนว่าจะพาไปเก็บของไงครับ” ผมมองคนที่หลับตาพริ้มอยู่ตรงหน้าคุณซีเอนตัวใช้สองแขนเท้ากับพื้นหญ้าไว้

“กลับไปอยู่บ้านพ่อดีไหมนะ”

“อะไรนะครับ”

“ย้ายกลับไปอยู่บ้านพ่อดีไหม ไม่ต้องไปอยู่คอนโดแล้ว”

“จะดีหรือครับ เกรงใจท่านเปล่าๆ “

“เดี๋ยวบ้านนั้นก็ต้องกลายเป็นบ้านเราอยู่ดีนั้นแหละ เดี๋ยวพออะไรเข้าที่เข้าทางท่านก็กลับแล้ว” ผมสะดุดกับคำว่าบ้านเราเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรออกไป สายตาคุณซีที่มองออกไปข้างหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด มือของเขาเอื้อมมือกุมมือของผมไว้ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยมันตามความเคยชินที่ทำอยู่ประจำ

“.....”

“คบกันเถอะยุ” คำพูดที่เหมือนจะทำให้ใจผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ท่าทางที่ยิ้มหลับตาพริ้มอย่างสบายยิ่งทำให้ผมตื่นเต้นมากไปอีก

“คุณซีว่าอะไรนะครับ” ถามไปอีกรอบเพื่อความแน่ใจ คุณซีลืมตา หันหน้ามองมาที่ผม เราสบตากับอยู่ชั่ววิเดียว

“คบกันเถอะ ฉันทนให้ใครมายุ่งกับนายไมไหวแล้ว”

“อะ อื่มมม”

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบตกลงหรือปฎิเสธ ปากหนาที่เฝ้าพร่ำพูดขอให้เราคบกันก็ประทับลงกับปากของผมทันที มันไม่เหมือนครั้งที่แล้วไม่รุนแรง ละมุนละไม และเป็นเพียงจูบสั้นๆ แล้วผละออก แต่เพียงแค่นั้นหัวใจของผมก็แทบจะปลิวหายไปกับสายลมแล้ว





“หวานจัง”

 

 

 





TBC



ปาไปห้าพันกว่าคำเลย ทำไมรู้สึกว่าตอนนี้ยากจัง ลบเขียนๆ อยู่หลายรอบ(อีกแล้ว) ตั้งใจให้ออกมาดีค่ะ แต่ถ้ามันยังไม่ดีก็ติมาได้เลยนะคะ พี่อยากฟังความเห็นของทุกคนว่ามันเป็นยังไงบ้าง

 
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ ^^ 
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 11 คบกันเถอะ (7/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 07-01-2017 12:50:30
น่ารัก
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 11 คบกันเถอะ (7/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 07-01-2017 21:29:16
น่ารักจ้า  มาบ่อยๆ  นะ  ปะติดปะต่อเรื่องได้เมื่อย้อนกลับไปอ่านใหม่
สนุกนะจ๊ะ  เป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 12 ไม่ใช่ตัวแทน (12/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 12-01-2017 10:37:03

=12=


 



 

                    ตอนคบกับไม่คบกันนี่ไม่ต่างกันเลยเสียด้วยซ้ำ  เรายังคงไปทำงานด้วยรถคนละคัน กินข้าวคนละโต๊ะ นั่งทำงานในห้องเดียวกันเหมือนอย่างเช่นก่อนหน้านี้ กล่าวขอบคุณตอนที่ผมวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ ส่งข้อความมาบอกว่าไปไหนทำอะไร จะเข้าออฟฟิตหรือเปล่า มันไม่ได้แตกต่างจากเหตุการ์ณก่อนหน้านี้เลยสักนิด เพียงแต่ว่า รอยยิ้มของเราหรืออาจแค่ของผมมันดูไม่เหนื่อยและผมมีความสุขจริงๆ

               ช่วงนี้ที่คุณเกียรติยังอยู่เมืองไทย เรายังคงแวะเวียนไปบ้านชานเมือง แวะไปทานข้าวบ้าง ไปค้างในวันหยุดบ้าง ไปว่ายน้ำและพาน้องปอมไปเที่ยวเล่นบ้าง นั้นยิ่งทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นไปอีก ผมรู้สึกถึงคำว่าครอบครัว ถึงแม้สายตาของคนอื่นๆ ที่มองมาตอนที่เราเดินเที่ยวในห้างกันสามคนมันจะไม่ดีนัก แต่แรงบีบที่มือนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่เหมือนที่เคยเป็นมาก่อนหน้า

               คอนโดถูกตกแต่งใหม่นิดหน่อย แน่ล่ะมีรูปของผมมากขึ้นมันดูเป็น บ้านเรา เหมือนที่คุณซีชอบพูดจริงๆ  เรื่องที่เราคบกันไม่เป็นเรื่องที่แพร่กระจายในคนหมู่มาก แต่ใครที่คุณซีอยากให้รู้ย่อมได้รู้ แน่นอนว่าในนั้นก็มีเจ้เจน ลภ หมอวุฒิ รวมถึงคุณแพรและคุณเอมมี่ด้วย

                    คุณเอมมี่ปาแก้วน้ำส้มที่ผมเพิ่งวางลงบนโต๊ะเฉี่ยวปลายนิ้วเท้าผมไปไม่กี่เซน เสียงโวยวายโหวกเหวกหลังจากที่คุณซีบอกถึงความสถานะใหม่ของผม ทำไมถึงชอบเลขากันนัก ประโยคต่อจากนั้นคงไม่ต้องคิด ถูกปิดด้วยสายตาดุๆ จากคุณซีไปก่อนแล้ว ทั้งผมและคุณซีก็พอจะเดาทางได้ ว่าคุณเอมมี่จะพูดว่าอะไร หลังจากที่เธอโวยวายเรื่องหุ้นแล้วออกไป คุณซีก็กุลีกุจอมาดูที่เท้าผม นั้นยิ่งทำให้ผมรู้ว่าไม่ว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไรก็พร้อมชนแค่มีเขาอยู่ข้างๆ

                    คุณแพรยังแวะเวียนมาที่คอนโดอยู่เป็นประจำ ถึงแม้จะเห็นรูปที่วางไว้บนโต๊ะข้างทีวี รูปที่คุณซีหอมแก้มผมตอนหลับ แต่นั้นไม่ได้ทำให้เธอล้มเลิกความตั้งใจตั้งแต่สมัยเด็กของเธอ ผมเคารพความรักของคุณแพร เคารพและนับถือ ที่คุณแพรมีความรักและมั่นคงขนาดนี้  เธอเดินมองไปรอบๆ ห้องเดิมที่ตอนนี้มีการตกแต่งเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ฉันเป็นเพื่อนเขามาตั้งนานและฉันก็ไม่คิดว่าความดีของฉัน ซีจะมองไม่เห็น ฉันไม่ได้ถูกปฎิเสธครั้งแรก ฉันรอเขามาตลอด และฉันก็รอเขาได้เสมอ ผมไม่ได้ตอบคำพูดลอยๆ เหล่านั้น ไม่ได้แสดงความคิดเห็น และไม่ได้ห้ามที่คุณแพรเดินเข้าครัวเพื่อไปทำซุปไก่ให้คุณซี

               ผมจะยอมรับในความรักนั้น และผมก็เชื่อในความรักของตัวเองเหมือนกัน ถ้าคุณซีคิดเกินเลยกับคุณแพรคงคิดนานแล้วไม่ใช่ตอนนี้

               คืนนั้นที่บ้านชานเมือง คุณซีพูดหลายเรื่องและผมก็จับใจความได้ว่า เมื่อสามปีก่อนคุณซีเสียคนที่รักมากๆ ไป และนั้นทำให้เขาไม่กล้าแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีต่อผม ซึ่งเขาเองไม่รู้ว่าความรู้สึกของเขามันไม่ยุติธรรมกับใครกันแน่ คนๆ นั้นหรือว่าผม ผมไม่คิดที่จะถามต่อว่าเขาเป็นใคร และยังรักเขามากแค่ไหน ผมเพียงแต่คิดว่าไม่เป็นไร ต่อให้เขารักคนๆ นั้นมากแค่ไหนผมก็รักเขามากอยู่ดี ผมแก้อดีตไม่ได้ และผมก็ทำให้เขาลืมไม่ได้ด้วย ผมไม่ควรอิจฉาคนในอดีตจริงไหม

               เบสท์หลบหน้าหลบตาผมตลอดอาทิตย์  ครั้งสุดท้ายเบสท์มานั่งกินข้าวด้วย และคุณซีก็เดินมาจากโต๊ะของผู้บริหาร คุณเบสท์ครับ ผมอยากให้คุณอยู่ห่างๆ เลขาของผมหน่อย ไม่ใช่เพราะว่าผมหวงเลขาหรอกนะครับ แต่ผมหวงแฟนของผม เสียงกระซิบเบาหวิว แต่ผมว่าเบสท์ได้ยินชัดเจน เพราะอาการที่เลิ่กลั่กลุกออกจากโต๊ะไป ทั้งๆ ที่กินข้าวไปได้ไม่เท่าไร เจ้านายตัวแสบหันมาบุ้ยปาก ยกไหล่ ไม่สนใจใดๆ ในโลก ก่อนที่เอามือยีผม ผมจนยุ่งแล้วเดินกลับไปกินข้าวต่อ ลืมไปรึเปล่าว่าผมแก่กว่าเขา

               อาทิตย์นี้ผมกับคุณซีเหนื่อยกันมากจริงๆ ผมต้องเตรียมเอกสารสำหรับการสัมมนากลุ่มโรงแรม (ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจจการเกียรติกุล) ที่คุณซีจะต้องไปประชุมที่ต่างจังหวัดปลายอาทิตย์นี้ ส่วนพี่ปริมก็กำลังจะเตรียมตัวบินไปจีนเพื่อไปศึกษาดูงานกับคุณเกียรติ มันเป็นช่วงสุดแสนจะชุลมุน พวกเรากลับถึงคอนโดดึกขึ้นทุกๆ วัน และ ได้นอนน้อยลงทุกๆ วัน

               “เหนือยไหมครับ” ผมนั่งลงข้างๆ คนที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง

               “อื่ม” เสียงครางอื่ม ตอบออกมาด้วยความเหนื่อยล้า ดูจากไทด์ที่ถอดกองอยู่ข้างๆ ตัว เสื้อสูทอยู่คนละทิศละทาง แถมถุงเท้าก็ยังไม่ได้ถอด ผมก้มไปถอดถุงเท้าจับพลิกตัวคนตัวโตให้นอนได้ถนัด อยากจะลากไปอาบน้ำแต่ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้ตัวโตกว่าผมตั้งเท่าไร

               “ไปอาบน้ำก่อนไหมครับจะได้หลับสบาย” คนตัวโตที่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงไม่ตอบกลับดึงผมลงไปนอนทับอีก

               “อื่ม หอมจัง” เสียงเหนื่อยๆ แต่ก็ยังเจือปนด้วยความทะเล้นไม่หยุด

               “ไม่หนักเหรอครับ”

                “ตัวกระเปี๊ยกเดียว จะหนักอะไร” ผมหลับตาพริ้มเพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รอยจูบอุ่นๆ ประทับลงที่หน้าผาก มันอบอุ่นและผมรู้สึกว่าหายเหนื่อยเหลือเกินแล้วสำหรับผม

               “ผมจะทำอะไรได้บ้าง”

               “หื่ม??” ไม่ใช่แต่เพียงน้ำเสียงที่ตกใจและอาการเบิกตาโพล่งนั้นก็ทำให้ผมได้หลุดยิ้มออกมา

              “ก็เมื่อกี้คุณทำให้ผมหายเหนื่อยแล้ว ผมแค่อยากรู้ว่าทำยังไงคุณจะหายเหนื่อยบ้าง”

               “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่อยากให้นายทำให้หายเหนื่อย แต่อยากให้นายทำให้เหนื่อย” หน้าผมต้องแดงมากแน่ๆ เพราะสายตาและเสียงหัวเราะในลำคอของคนใต้ร่างนั้นแสดงออกชัดเจนมาก

               “ไปอาบน้ำได้แล้วครับ” ผมยังคงเนียนไม่รับรู้ถึงเรื่องที่คุณซีกำลังสื่อ ผมไม่ใช้เด็กน้อยนะครับ ผมรู้ทุกอย่างนั้นแหละ

               “ขอกอดอีกนิดนะ” เสียงออดอ้อนไม่ได้ทำให้ผมอิดออด ผมทิ้งตัวลงนอนข้างๆ คนงอแง ทั้งๆ ที่เราทั้งคู่ยังไม่ได้อาบน้ำ และยังไม่มีอะไรตกถึงทอ้ง แต่เราก็มีความสุข สุขกับความเหนียวเหนอะหนะ ตลกไหม

               “อย่างอแง ไปอาบน้ำแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะครับ”

               “ไม่อยากไปเลย”

               “มันไม่มีทางเลือกนี่ครับ”

               เรื่องที่ว่าไม่มีทางเลือกคือตอนแรกที่แพลนกันไว้ ผมต้องไปสัมมนากับคุณซี ส่วนพี่ปริมก็ต้องบินไปจีนกับนาย แต่ทุกอย่างก็ต้องเป็นอันยกเลิก เพราะเมื่อวันก่อน ตัวแทนจากบริษัท อัลเบิร์ต อินดัสตรี บริษัท ยักษ์แถบฝั่งตะวันตก สนใจอยากร่วมทุนขึ้นมาซะดื้อๆ แล้วมันก็เป็นโอกาสที่ดี ของกลุ่มบริษัท เกียรติกุล  ที่จะขยายกิจการ

               ในตอนแรก ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องน่ากังวลใจอะไร ถือว่าเป็นเรื่องดีซะอีก แต่การที่นายบอกปฎิเสธไปตั้งแต่แรกนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมคิดผิด

               คุณเกียรติปฎิเสธที่จะให้เข้าพบตั้งแต่ตอนแรก โดยให้เหตุผลว่าไม่มีใครสามารถที่จะเป็นตัวแทนหรือมีความเหมาะสมมากพอในการตัดสินใจเรื่องธุรกิจ แต่ทางนั้นก็ยืนยันมาว่าต้องเจรจาให้ได้ แถมบอกอีกว่าเป็นพี่ปริมก็ได้ เพราะในฐานะภรรยาอำนาจก็ไม่น่าต่างกัน

               ซึ่งผมมารู้ที่หลังว่า คุณอัลเบิร์ตค่อนข้างสนิทสนมกับนายผู้หญิงเป็นอย่างมาก ซึ่งคุณเกียรติก็พูดออกมาอย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้มันมีกลิ่น และการที่เจาะจงคุณปริมก็ยิ่งน่ากังวล เป็นอันว่าคำขู่เรื่องทางธุรกิจที่ทางนั้นเสนอมา ทำเอาคุณเกียรติถึงกับกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ถึงแม้พี่ปริมจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ได้ลดความกังวลใจของผู้เป็นสามีได้เลยสักนิด

               ผมสัมผัสได้ถึงความวิตกกังวลที่เกิดกับเจ้านายทั้งสองคน แต่ผมก็ไม่กล้าที่เอ่ยปากถาม เรื่องนี้มันคงจะใหญ่ใช่ย่อย เพราะการที่เอาน้องปอมไปฝากให้คุณยายเลี้ยงตลอดสามวันที่พวกเราต่างมีงานยุ่งก็ทำให้ผมรู้ว่าเรื่องนี้ดูจริงจัง

               “นายต้องระวังตัว ย้ายไปนอนที่บ้านพ่อตอนฉันไม่อยู่ โอเคไหม”

               “คร้าบ เราคุยเรื่องนี้กันหลายรอบแล้วไง”

               “ฉันไม่อยากปล่อยนายไว้คนเดียวเลยจริงๆ” แขนหนานั้นกระชับกอดเข้ามาอีก มือที่ว่างก็เล่นปอยผมไปด้วย

               “เมื่อก่อนก็อยู่คนเดียวนี่ครับ”

               “ตอนนั้นนายยังไม่ได้เป็นแฟนฉันนิ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”

               “คุณคิดมากเกินไปแล้ว” ผมเงยหน้าคนที่นอนหลับตาพริ้ม

               “เอาน่า แค่นี้ทำให้ฉันไม่ได้เหรอ แค่ไปนอนบ้านพ่อจะได้เป็นเพื่อนคุณปริมด้วยไง”

               “ครับๆ  รับทราบแล้ว ไปอาบน้ำได้แล้วครับ”

 

 

 *********************************************************************************

 

               ผมออกจากห้องน้ำก็เห็นคนตัวเล็ก หลับคอพับอยู่บนเตียง ในมือยังถือไอแพด และมีตารางงานของผมอยู่ในนั้น ช่วงพ่อยังอยู่เมืองไทยหน้าที่หลักของเรื่องจัดการตารางงานเอกสารทุกอย่างก็ตกหนักมาเป็นของตัวเปี๊ยกแทน เพราะคุณปริมก็ต้องไปจัดการด้านงานของพ่อ

               ผมกับพ่อมีความกังวลที่สุด ทั้งเรื่องอัลเบิร์ตและเรื่องที่เราทั้งคู่จะได้ไม่อยู่กับคนรัก แต่ที่มันหนักกว่านั้น บ้านของอัลเบิร์ตกับบ้านของมี๊ของผมค่อนข้างสนิทกันจนแทบจะแยกกันไม่ออกถึงขนาดว่าจะขอเงินเป็นหลักสิบล้านแบบไม่ต้องมีหลักประกันได้นั้นแหละ ยิ่งทำให้การติดต่อมาของอัลเบิร์ตมันยิ่งทำให้น่าวิตก ซึ่งผมกับพ่อไม่ได้คิดเลยว่ามันเป็นเรื่องธุรกิจมันจะต้องมีอย่างอื่น

               (ครับคุณหนู) ผมกดโทรศัพท์หาสายเดิมที่เคยโทร สายที่เคยใช้สำหรับสือเรื่องราวต่างที่ ๆ ผมต้องการรู้

               “ผมจะไม่อยู่สองสามวัน พ่อก็ต้องไปจีน ผมอยากให้คุณเฝ้าดูแลความปลอดภัยให้หน่อย”

               (ได้ครับคุณหนู)

               “ผมจะให้ยุไปอยู่บ้านชานเมือง คุณจะได้สะดวกในการดูแล” ผมกดวางสายเมื่อได้รับคำตอบเป็นมั่นเป็นเหมาะกับคำสั่งที่เพิ่งสั่งออกไป

               พ่อโทรมาย้ำถึงเรื่องที่เคยคุยกันก่อนหน้านี้ ว่าอยากจะให้ยุไปอยู่ที่บ้านชานเมืองเพื่อความปลอดภัย แต่ด้วยที่ผมไม่สามารถจะบอกออกไปตรงๆ ถึงเหตุผลได้ การชวนยุไปอยู่ที่นั้นก็ดูจะไร้เหตุผลไปสักหน่อย ยุไม่อยากไปเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนนอก เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นคนในครอบครัวเลยสักนิด นั้นยิ่งทำให้ผมกังวลมากขึ้นไปอีก

               เพราะตอนนั้นผมก็ไม่ได้อยู่กับเขา

               พ่อรู้และเข้าใจดีว่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมันทำให้ผมทุกข์ใจขนาดไหน และก็ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีก มันเป็นเรื่องตลกในความไม่ตลกที่ผมกับพ่อกำลังพยายามติดต่อเจรจาเลื่อนเวลาให้งานของพวกเราเริ่มเร็วขึ้นเพื่อที่จะได้จบเร็วขึ้นด้วย ของพ่อน่ะทำได้ แต่ของผมเนี้ย มันไม่มีโอกาสเลย ผมทำได้เพียงจองเที่ยวบินที่เร็วที่สุดหลังจากสมัมนาเสร็จเพื่อกลับมาหาพายุให้เร็วขึ้นแค่นั้น

               ผมปลุกคนตัวเล็กให้อาบน้ำและเตรียมตัวนอนเราทั้งคู่เหนื่อยกันมากถึงได้สลับกันปลุกสลับกันเรียกอาบน้ำอยู่แบบนี้ หลังจากที่พายุเข้าห้องน้ำไปแล้วผมก็มองเห็นแก้วนมอุ่นๆ ที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียง กระเป๋าเสื้อผ้าสำหรับเดินทางสามวันสองคืนถูกจัดไว้เรียบร้อย และเสื้อผ้าชุดนอนสะอาดก็ถูกวางไว้ปลายเตียง เขาน่ารักใช่ไหมครับ

 

 

 ******************************************************************************

               วันนี้ผมแวะมาส่งพายุเอาของเก็บที่บ้านชานเมืองก่อนที่จะไปสนามบิน กว่าจะบังคับได้ก็เรื่องเยอะอยู่พอดู เมื่อไรจะเลิกกังวลเรื่องคบกันสักทีก็ไม่รู้ เรื่องคนซุบซิบนินทาว่าเขาอยากร่ำรวยเกาะเจ้านาย มันน่าจะเป็นเรื่องไร้สาระเรื่องเก่าที่ไม่น่าเอามาใส่ใจอีกแล้ว แต่นั้นไม่ใช่กับพายุ ถึงข่าวลือเรื่องผมกับเขา (ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นข่าวลือทั้งหมด) จะแพร่กระจายไปทั่ว และมันก็เป็นความจริงแต่พายุก็ไม่เคยคิดจะแก้ข่าวให้มันถูกต้องและก็ไม่ให้ผมทำด้วย ดีจริงนะ

               ผมให้ลุงจวงเอารถของพายุไปเช็คสภาพ ถึงแม้เจ้าของรถจะคัดค้านหัวชนฝาแต่ผมก็ไม่อาจวางใจ ตั้งแต่รู้จักกันมา ตั้งแต่คบกันมานี่เป็นครั้งแรกที่ต้องแยกกันไกลขนาดนี้ ถึงจะแค่สามวันแต่ผมก็ไม่สบายใจ

               พ่อออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อวานเพื่อที่จะกลับมาก่อนผม คุณปริมและพายุเตรียมตัวไปรับคุณอัลเบิร์ตที่สนามบินบ่ายนี้ เราทุกคนแยกกันทำงาน รีบทำให้เสร็จและกลับมาอยู่ด้วยกัน

               “สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่เมืองไทย” พี่ปริมยื่นมือไปจับมือกับผู้ชายไว้นวดเคราแต่ไม่น่าเกลียดตรงหน้า หุ่นกำยำดูดีในชุดสูทนั้นคงเดาได้ไม่อยาก กระเป๋าสองใบถูกคนของคนทางคุณอัลเบิร์ตไปถือไว้ซะเอง

               “ครับ ได้ข่าวว่า พ่อลูกเกียรติกุลไม่อยู่ทั้งคู่ เหลือแต่อนุ” คำไม่สุภาพถูกส่งออกมาซะแล้ว ตั้งแต่วันแรกทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ก้าวออกจากสนามบิน ผมกำมือนั้นแน่นไม่กล้าที่จะสบตาผู้ชายตัวสูงตรงหน้าพี่ปริม

               “ค่ะ แต่ยังไงสิทธิ์การตัดสินใจก็เป็นของคุณเกียรติและคุณศิริวัฒน์อยู่ดี ถึงแม้ดิฉันจะเป็นภรรยาแต่ก็ไม่สามารถตัดสินใจในเชิงลึกได้หรอกค่ะ” คุณอัลเบิร์ตหัวเราะ หึ ในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะออกเดินนำหน้าไป

               “ไปรถผมเถอะ รถคุณค่อนข้างเล็กไปหน่อยสำหรับพวกเรา” คำพูดสุภาพของการยัดเหยียดคำว่าไม่ให้เกียรติสินะ พี่ปริมยอมขึ้นรถแต่โดยดีโดยมีผมรั้งท้าย

               “คุณปริมจะไม่แนะนำหนุ่มน้อยน่ารักคนนี้ให้ผมรู้จักหรอครับ”

               “นี่เป็นเลขาของคุณศิริวัฒน์ค่ะ ชื่อพายุ” ผมยื่นมือพร้อมค้อมหัวออกไปตามมารยาทในขณะที่เราอยู่ในรถมินิแวนคันหรู

               “อ่อ ได้ยินแต่ชื่อ น่ารักตามที่นายซีพูดถึงจริง ๆ” สิ่งที่ผมได้ยิน ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัย เพราะก่อนหน้านี้ คุณซีไม่เคยแสดงความยินดีกับการมาของผู้ชายคนนี้ มีหรือ ที่จะเล่าเรื่องผมให้เขาฟัง

               “งั้นหรอคะ ดิฉันคิดว่าเด็กนี่หน้าตาธรรมดา ทำงานก็ยังไม่ได้เรื่องเท่าไร” พี่ปริมพูดออกไปทั้งชายตามองผมที่นั่งอยู่ข้างๆ

               “อะไรกันครับ หน้าตาสะอาดสะอ้านน่ารักจะตายไป แถมค่อนไปทางผู้หญิงซะด้วยสิ” ผมไม่ชอบสายตาที่เขามองมาไม่ชอบเลยสักนิด

               “ดิฉันได้นำสัญญามาให้คุณอ่านคร่าวๆ ด้วย”  ผมรู้ว่านั้นคือการเบี่ยงประเด็นของพี่ปริม

               “อะไรกันเลดี้ ผมยังไม่อยากคุยงาน ณ วินาทีแรกที่มาถึงหรอกนะ เราไปหาอะไรกิน เดินเล่น ชมเมืองหน่อยเป็นไร ไม่ได้กลับมานานเหลือเกิน ตั้งแต่พิชชี่หย่า” ผมลอบมองหน้าพี่ปริมที่ตอนนี้แสดงออกชัดเจนว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้แต่ยิ้มแหย่ส่งไปให้

               เรามาถึงร้านอาหารจีนที่คุณอัลเบิร์ตบ่นว่าอยากกินและเป็นร้านประจำของเขากับพิชชี่เพื่อนรัก ซึ่งผมมารู้ที่หลังว่านั่นคือชื่อเล่นของคุณ เพชรสินี อดีตภรรยาของคุณเกียรติแม่ของคุณซีนั้นเอง เขาเป็นเพื่อนสนิทกัน

               มันยิ่งน่าขนลุกขนพองเมื่อคุณอัลเบิร์ตบอกความจำนงว่าอยากกินอาหารมื้อนี้กับผมแค่สองคนแต่นั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดี และพี่ปริมก็ดูท่าจะไม่ยอมหัวชนฝา พายุยังเด็กในด้านการทำงาน ดิฉันไม่อยากให้ทำอะไรขัดหูขัดตาคุณ ซึ่งแม้แต่เด็กอนุบาลก็ยังรู้เลยว่าท่าทางแบบนี้คืออะไร

               เรานั่งกินข้าวกัน และมีหลายจังหวะที่พี่ปริมพยายามยื่นสัญญาให้อ่าน แต่ไม่มีแต่วี่แววที่ดี พี่ปริมบอกว่าถ้าคุณอัลเบิร์ตอ่านสัญญาเร็วเท่าไร ตลอดสามวันเราก็ไม่ต้องอยู่กับเขา ร่างสัญญามาคร่าวๆ แล้ว ถ้าไม่ใช่ ไม่ถูกใจจะแก้ไขตรงไหนก็จะได้รีบทำ เพราะยังไงอำนาจการเซ็นก็ขึ้นอยู่กับสองคนที่ไม่อยู่ตรงนี้อยู่ดี

               เสียงโทรศัพท์ของพี่ปริมทำให้ผมรู้ว่านี่คือการเปิดโอกาสให้ผมได้อยู่กับเขาสองคน บางทีผมก็คิดว่าอะไรคือการที่เราต้องเกรงใจคนที่ไม่เกรงใจเราเลยสักนิด ทำไมเราต้องผูกติดกับอะไรก็ตามที่เราไม่เต็มใจ ซึ่งไม่ได้หมายถึงผมคนเดียว พี่ปริม คุณซี หรือแม้กระทั่งคุณเกียรติ ผมมั่นใจว่าไม่มีใครยินดีกับการมาของเขา

               วันนี้หมดไปแบบไร้สาระและไม่ได้งานอะไรสักอย่าง นอกจากคุณอัลเบิร์ตจะไม่อ่านสัญญาทำความเข้าใจในเนื้อหาแล้ว ผมกับพี่ปริมยังตะเวณไปทั่ว ไปทานกาแฟ ขนม ช้อปปิ้ง หรือแม้แต่การจองตั๋วละครเวทีในวันพรุ่งนี้ นี่มันงานอะไรกันแน่

               ผมกลับมาที่คอนโดพร้อมกับถุงช้อปปิ้งในมือสามสี่ถุง เอาจริงผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตอนที่คุณอัลเบิร์ตถามว่าเสื้อตัวไหน กางเกงต้วไหนดีกว่ากัน นั้นหมายถึงการที่ผมจะต้องได้เป็นเจ้าของมัน มันไม่น่ายินดีเอาซะเลย

               คืนนี้ผมขอพี่ปริมกลับมานอนที่คอนโด มันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับการไปนอนที่ที่ไม่คุ้นและไม่มีคุณซีอยู่ด้วย และพี่ปริมก็ดูจะเหนื่อยล้ามาก ถ้าต้องมารบรากับเด็กดื้อแบบผม แต่คืนนี้ผมคิดถึงคุณซีจริงๆ อยากนอนบนที่นอนที่เรานอนด้วยกัน

               “ครับ” เสียงโทรศัพท์ผมให้ผมรู้แล้วว่าความคิดถึงก็ไม่ได้ทรมานผมมากเท่าไร

               (ตัวเปี๊ยกไม่ได้นอนที่บ้านใช่ไหม)

               “ครับ” ผมรีบตอบออกไปตามความจริง  จริง ๆ จะโกหกให้คุณซีดีใจก็ได้แต่ผมไม่ทำ

               (ดื้อจังนะ)

               “ผมอยากกลับมานอนที่นอนของเรานี่ครับ”

               (ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย ไม่ต้องมาเอาใจกลับไปก่อนเถอะ)

               “งานเป็นไงบ้างครับ”

               (ดีนะ ได้ไอเดียไปใช้ที่บริษัทเยอะเลย ที่นี่สวยมาก ถ้าไม่มีอัลเบิร์ต ฉันคงจะอู้อยู่นี่ที่กับนายต่อแน่ ๆ)

               “รีบกลับมานะครับ ผมคิดถึงคุณมากเลย”

               (เดี๋ยวนี้ชัดเจนใหญ่แล้วนะ)

               “ผมก็ชัดเจนมาตลอดนั้นแหละ คุณเองต่างหาก”

               (ไม่พูดถึงเรื่องนั้นได้ไหมหละ)

               “นอนเถอะครับ ผมอยากให้สามวันนี้ผ่านไปเร็วๆ”

               (ฝันดีนะ)

               วันที่สองของการคุยสัญญาการร่วมทุนของบริษัท เค ดีเวลฯ และบริษัทในเครือ กับบริษัท อัลเบิร์ต อินดัสตรี้ ยังไม่มีอะไรคืบหน้า นอกจากการที่เรายังนั่งชมละครเวทีอยู่ที่นี่และก่อนหน้านี้กับการทานอาหารญี่ปุ่นมื้อใหญ่ ถึงแม้การช้อปปิ้ง ทานอาหาร การดูละคร จะไม่ผลาญงบประมาณด้านเอนเตอร์เทนของบริษัท แต่นั้นก็ไม่ได้ลดความอึดอัดลงเลย

               “ปล่อยพายุไปไหนต่อไหนกับผมสองคนบ้างซิ บางทีผมอาจจะอ่านสัญญาที่คุณร่างมาก็ได้นะ เลดี้”

               และตอนนี้ผมก็ไม่รู้แล้วว่าผมหรือพี่ปริมกันแน่ที่เป็นฝ่ายปกป้องดูแลกันแน่ ทั้งๆ ที่คุณซีบอกให้อยู่เพื่อเป็นเพื่อนและดูแลพี่ปริมด้วยแต่ตอนนี้เหมือนเป็นพี่ปริมที่ดูแลผม ขอเสนอของคุณอัลเบิร์ตมันน่าเวียนหัว ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนเสนออยากจะร่วมทุนเอง แต่กลับให้ฝ่ายเราเป็นฝ่ายตามง้อ แต่เหตุผลทางการตลาดที่ว่าถ้าได้เขาเข้ามาเป็นหัวหอกทางด้านธุรกิจมันก็คงดีไม่น้อย

               “ทีนี้เราจะอ่านสัญญากันได้หรือยังคะ” พี่ปริมกล่าวประโยคเดิมอีกรอบ ในขณะที่เราอาหารค่ำสุดหรูกันเรียบร้อย

               “โธ่ เลดี้ ผมอยากพักผ่อนจริงๆ ดึกมากแล้วนะ”

               “แปลกจังนะคะ คุณเองเป็นฝ่ายเสนออยากจะร่วมทุนกับเรา แต่กลับเป็นฝ่ายเราที่ต้องคอยตามให้คุณอ่านสัญญา ทั้งๆ ที่แค่อ่านเท่านั้น ยังไม่มีการตกลงใดๆ ทั้งสิ้น คุณเองก็ไม่ทำ ดิฉันชักไม่แน่ใจแล้ว ว่าคุณต้องการมาที่นี่เพื่อผลทางธุรกิจจริงหรือเปล่า” นี่คงถึงเวลาเหลืออดของพี่ปริมแล้ว

               “ถ้าคุณไม่สุภาพถึงขนาดนี้ ผมว่า เรื่องสัญญาคุณพับเก็บไปเลยดีกว่าครับ ผมเองก็เห็นว่าเมืองไทยมีลู่ทางในการทำกำไร และบริษัทที่น่าลงทุนด้วยก็มีเยอะแยะมากมาย แต่ที่ผมมองในเครือของเคกรุ๊ปก่อนก็คงเป็นเพราะพิชชี่ แต่ถ้าคุณจะใช้น้ำเสียงแบบนี้ ผมคงต้องหาบริษัทอื่น อ่อ อีกอย่างถ้าข่าวแพร่กระจายออกไปว่า ตัวแทน เค กรุ๊ป ไม่มีความยินดีที่จะได้รับการลงทุนจากต่างประเทศแล้วหละก็ ผมว่าอนาคตบริษัทต่างๆ ในเครือคงไม่สว่างสไวนัก เอาหละ ผมพูดมากพอแล้ว แล้วนี่ก็ถึงบ้านคุณแล้วด้วย เราลากันตรงนี้ดีกว่านะครับ” ผมเห็นสีหน้าของพี่ปริมก็ดูออกแล้วว่าไม่สู้ดีนัก ให้ผมเดามันคงไม่ใช่เรื่องที่เราจะไม่ได้เซ็นสัญญากับทางคุณอัลเบิร์ตหรอก แต่ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องข่าวลือที่เขาพร้อมจะปล่อยมากกว่า

               พี่ปริมก้าวลงจากรถมินิแวนคันหรู ตามด้วยผม แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวออกจากรถ มือของคุณอัลเบิร์ตก็ดึงข้อมือของผมไว้

               “นี่หนุ่มน้อย ถ้าอยากให้ฉันอ่านสัญญา ก็มาหาฉันตามที่อยู่นี้ซิ คนเดียวนะ บางทีฉันอาจจะไม่ปล่อยข่าวลือให้เจ้านายของนายเสียหายก็ได้” ผมหยุดมองหน้าและกระดาษในมือของคนตรงหน้า แต่ก็ไม่ตอบอะไรออกไปในทันที

               “ไปคิดดูก่อนแล้วกันนะคนดี ผมให้เวลาคุณได้ทั้งคืน” น้ำเสียงออกจะเจ้าชู้ของคนตรงหน้า ทำให้ผมสะบัดข้อมืออย่างแรงแล้วลงมาจากรถ ไม่วายยังยักคิ้วให้อีก

               “พี่ปริมครับ” ผมเรียกอีกคนที่ดูท่าทางจะหมดแรงอยู่บนโซฟา

               “พี่ไม่ห่วงหรอกนะเรื่องสัญญาน่ะ ทางเราเองก็ไม่ได้อยากเซ็นกับเขาอยู่แล้ว แต่ที่ห่วงเนี้ย คือเรื่องข่าวลือต่างหาก เขาค่อนข้างมีอำนาจ ถ้าเขาเป็นคนปล่อยข่าวไปได้ไกลแน่ๆ”

               “เราควรทำยังไงดีครับ”

               “เขาเสนออะไรมารึเปล่า ยุอย่าไปทำตามนะ พี่ว่ามันแปลก ดูเขาสนใจยุยังไงก็ไม่รู้”

               “ไม่ครับ ไม่ได้พูดอะไร” ผมต้องโกหกออกไป เพราะไม่อยากให้พี่ปริมเหนื่อยไปมากกว่านี้

               “เดี๋ยวพี่จะลองปรึกษาคุณเกียรติอีกที พรุ่งนี้ท่านก็กลับมาแล้ว อยากให้อยู่คุยกันเองจัง” พี่ปริมทิ้งประโยคนั้นไว้แล้วเดินขึ้นไปบนบ้านไป ผมยังคงก้มมองกระดาษแผ่นเล็กในมือ ถ้ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น แค่เพียงเรื่องแค่นี้ ก็ไม่น่ามีปัญหา   
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 12 ไม่ใช่ตัวแทน (12/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 12-01-2017 10:38:40
(ต่อ)


               ผมจอดรถกระป๋องหน้าคฤหาสต์หลังใหญ่ ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นบ้านของใคร แต่ที่แน่ๆ มันคือที่ ที่อยู่ในกระดาษที่คุณอัลเบิร์ตส่งมาให้เมื่อวาน ในมือผมถือสัญญาที่พี่ปริมร่างไว้มาด้วย ยังไงซะถึงจะไม่มีการเซ็นสัญญานี่ แต่อย่างน้อยการมาของผมก็คงกลบข่าวลือบ้าๆ ที่คุณอัลเบิร์ตตั้งใจปล่อยได้บ้าง

               ผมเข้ามาอย่างง่ายดายไม่มีการไตร่ถามอะไรสักนิด จากคนเฝ้าหน้าประตู หรือคนรับใช้ภายในบ้าน ห้องโถงใหญ่ที่ผมแถบจะกลายเป็นมดตัวเล็กๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ บ้านที่แต่งด้วยสไตล์ยุโรป เพดานสูง บันไดเกลียว ยิ่งกว่าในหนังซะอีก

               “เชิญดื่มน้ำแล้วนั่งรอนายหญิงตรงนี้ก่อนนะคะ” คนรับใช้วางแก้วน้ำลงที่โต๊ะกลางห้องโถง ถึงจะสะดุดกับคำว่านายหญิง เด็กคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ในถามอีกแล้ว ผมตั้งใจจะกดโทรศพัท์หาคนที่นัดผมมาที่นี่เพื่อที่จะอ่านสัญญาแต่ก็ไม่เป็นผล ปิดเครื่องตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว

               ผมรู้สึกกลิ่นไม่ดี แล้วก็ทะแม่งๆ ชอบกล แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะกลับลำอะไรไม่ทันแล้ว เมื่อผมเห็นผู้ชายใส่สูทสองคนยืนคุมเจ้ารถกระป๋องของผมเหมือนว่ามันจะขับออกไปได้เอง พอเห็นแบบนั้นก็จำใจที่ต้องกลับมานั้งโซฟาตัวเดิม พอหย่อนก้นลงนั่งปั๊บ ชายใส่สูทอีกสองคนก็ยืนคุมที่ประตูทันที ให้ตาย ผมน่าจะบอกใครสักคนก่อนที่จะมาที่นี่

               ผมหยิบโทรศัพท์เพื่อจะโทรหาใครสักคนถึงจะทำช้าไปหน่อยก็ดีกว่าไม่ทำเลย แต่กรรมผมคงมีมากกว่า โทรศัพท์แบตหมด

               “ผมขอใช้โทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ”

               “เชิญค่ะ” คนรับใช้คนเดิมบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบและหยิบโทรศัพท์ไร้สายออกมาให้

               “พี่ปริมครับ”

               (ยุอยู่ที่ไหน ทำไมเบอร์ที่โทรมาถึงเป็นเบอร์นี้)

                    “เอ่อ ผมหยิบสัญญามานะครับ แต่ผมว่าที่นี่มันแปลกๆ โทรศัพท์ผมก็แบ.. แค่นี้ก่อนนะครับพี่ปริม” ผมตัดสายเมื่อเห็นมีคนเดินลงมาจากข้างบน

                    หญิงวัยกลางคนที่ยังดูสวยมาก สวยเกินกว่าอายุจริง ซึ่งผมก็พอจะเดาได้ว่านี้แหละคือนายหญิงที่เด็กรับใช้พูดถึงเมื่อกี้ การแต่งตัวสบายๆ นั้นทำให้ผมรู้ว่าการพบกันครั้งนี้ไม่ได้มีพิธีรีตองซักเท่าไร ผมลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการให้เกียรติคนที่กำลังทิ้งตัวลงนั้ง

                    “อื่ม.. ทำตัวตามสบาย ยกชามาหน่อย” พูดกับผมก่อนที่จะหันไปสั่งคนรับใช้ แหวนหลายวงที่ใส่อยู่ที่นิ้ว แสดงถึงความมีอันจะกิน อีกทั้งนาฬิกาเรือนทองซึ่งพอจะเดาได้ว่าราคาเหนียบล้านแน่ๆ แต่ที่เดาไม่ได้คือผมมาทำอะไรที่นี่ ดูเหมือนว่าคุณอัลเบิร์ตจะมีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้แน่ๆ

               “คบกับนายซีนานหรือยัง” ประโยคคำถามที่ได้ยินแล้ว น้ำในแก้วที่ยกขึ้นดื่มแทบพุ่งแต่ผมเองก็ต้องตั้งสติเอาไว้

               “ไม่นานครับ แต่เรารู้จักกันมาก่อน”

               “ใช่นายหรือเปล่าที่ทำให้ลูกฉันขาเจ็บตอนต้นปี” พอพูดประโยคนี้ออกมาก็คงไม่ต้องมีการแนะนำตัวอะไรกันอีกแล้ว นี่คงเป็นคุณ เพชรสินี แน่ๆ

               “ครับ”

               “หน้าเหมือนกันอย่างกับแกะว่าแล้วนายซีถึงชอบ” ผมได้ยินประโยคแบบนี้อีกแล้วถึงแม้ว่าผมพยายามจะไม่เอามาใส่ใจแต่เรื่องมันก็กลับมาตอกย้ำผมอยู่ตลอด

               “คุณผู้หญิงหมายความว่ายังไงครับ”

               “เรียกนายหญิงเหมือนคนอื่นๆ เถอะ เธอก็เรียกคุณเกียรติว่านายใช่ไหมหละ” ผมพยักหน้ารับคำ และชำเลืองมองคนที่นั่งดื่มชาอยู่ตรงหน้าไปด้วย

               “หน้าเหมือนแฟนเก่านายซีน่ะ เหมือนมาก” แฟนเก่างั้นหรอ หรือคนที่คุณซีบอกว่ายังรักอยู่เต็มหัวใจคือแฟนคนนี้งั้นหรอ พูดไม่พูดป่าว คุณผู้หญิงโยนรูปใบหนึ่งลงตรงหน้าผม

               รูปที่เหมือนผมถ่ายคู่กับคุณซี แต่นั้นมันไม่ใช่ รูปชุดนักศึกษาที่คุณซีใส่เดาได้ว่าน่าจะหลายปีมาแล้ว ผู้ชายคนข้างๆ คุณซี ย้อมผมสีเทา แต่งตัวไมเรียบร้อยเท่าไรนัก ในมือถือบุหรี่ ซึ่งนั้นต้องไม่ใช่ผมแน่นอน มีแขนของคุณซีโอบไว้ด้วย รูปนี้ถ่ายที่บ้านไม้ ใช่บ้านไม้ที่คุณซีเคยพาผมไป บ้านไม้ริมทะเล

               ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ยังไง ใจหนึ่งก็คิดว่า แล้วไงหละ ก็ตอนนนี้เขารักผม และเขาก็บอกอยู่ทุกวันว่าเขารักผม แต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาเอาผมมาแทนใครหรือเปล่า ผมก็คือผม ผมเป็นตัวแทนของใครไม่ได้ แล้วคุณซีหละ ที่เขาแกล้งเจ็บขา บังคับให้ผมต้องมาอยู่กับเขาก็เพราะผมหน้าเหมือนผู้ชายคนนี้หรอ

               “เธอคิดว่าลูกชายฉันเขารักเธอจริงๆ หรอ เธอคิดแบบนั้นหรอ รู้ไหมตอนที่แฟนเขาจากไป นายซีแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร เป็นบ้าเป็นหลังไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่เป็นปี จนคุณเกียรติทนไม่ไหวต้องส่งไปอยู่เมืองนอกถึงสามปี แล้วเธอคิดว่าคนที่เขารักมากขนาดนั้นภายในเวลาแค่สามปีเขาจะลืมได้หรอ” ผมตอบคำถามนั้นไม่ได้ ได้แต่จ้องรูปใบนั้นนิ่ง คุณซียิ้มสดใสดีจริงๆ

               “แล้วเธอคงไม่คิดว่าฉันจะยินดีกับการที่มีลูกชายเพียงคนเดียวเป็นรักร่วมเพศหรอกนะ เอาเข้าจริงๆ แล้ว รสนิยมของนายซีน่ะ ไม่ใช่แบบนี้หรอก เขาก็คบผู้หญิงมาตลอด ดูอย่างหนูเอมมี่หรือหนูแพรซิ ทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิง นายนั้นน่ะคือคนแรก” คุณผู้หญิงพูดไปก็ปลายตามองรูปตรงหน้าผมไป

               “คงมีอีกคนก็คงเป็นเธอ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะเธอหน้าเหมือนเขายังไงหละ เธอนี่มันโง่นะ ดูจากประวัติแล้วก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร หรือว่าจริง ๆ ก็รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว ดูเธอไม่ตกใจอะไรเลยนิ”

               “ไม่ครับ ผมไม่ทราบ”

               “งั้นเหรอ ฉันคิดว่าเธอตั้งใจมาจับลูกชายฉันซะอีก”

               “ผมไม่ได้มีความตั้งใจแบบนั้นครับ” ผมตอบออกไปด้วยความหนักแน่น ไม่ต้องคิดแล้วว่าความคิดพวกนี้คุณเอได้มาจากใคร

               “ไปจากลูกชายฉันซะเถอะ”

               “ไม่ครับ ผมรักคุณซี” ผมตอบออกไปแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด

               “แต่ลูกชายฉันไม่ได้รักเธอ เธอจะยอมเป็นตัวแทนของใครคนอื่นไปได้ตลอดเลยหรอ ถึงเขาจะเคยเปรยๆ กับฉันว่า เธอคือแฟนเขากลับชาติมาเกิดแน่ๆ แต่ยังไงฉันว่ามันก็ตลกอยู่ดี อยากอยู่กับคนที่ไม่ได้รักตัวหรือไง” นี่คุณซีเห็นว่าผมเป็นแค่ตัวแทนของคนอื่นจริงๆ หรอ

               “ไม่เป็นไรครับ ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็อยากให้คุณซีบอกผมด้วยตัวเอง ผมขอโทษครับแต่ผมขอฟังแค่เขาเท่านั้น” ถึงปากจะพูดไปแบบนั้น แต่ในใจของผมก็สั่นไหวจนควบคุมไม่ได้ ต่อให้ตอนนี้คุณผู้หญิงจะปล่อยผมกลับ ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีแรงพอที่จะขับรถกลับไปถึงบ้านไหม

               “ดื้อด้านเหมือนกันเลยนะ” ดูเหมือนน้ำเสียงและท่าทางใจดี ที่มีตอนแรกจะหายไปแล้ว

               “แกอยากให้ฉันใช้ไม้แข็งกับแกหรือไง เป็นพวกผิดเพศ ไม่ปกติแล้วยังจะลากลูกฉันไปตกนรกด้วยหรอ เขาเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงในเคกรุ๊ป ต้องให้คนมาติฉินนินทาว่าเป็นพวกลักเพศหรอ ห๊ะ!!!” แก้วน้ำชาถูกเขวี้ยงลงโต๊ะกลางตรงหน้าผมพอดี เศษแก้ว ไม่ได้ทำให้ผมบาดเจ็บมากไปกว่าน้ำร้อนๆ ที่กระเด็นขึ้นมา

               “อยากได้ลูกฉันขนาดนั้นเชียว เชื้อสายพงศ์พันธ์แกนี่มันเป็นยังไงกันนะ สปีชี่ร์บ้าผู้ชายรวยๆ หรอ เพราะแกเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง พ่อแกถึงรับไม่ได้จนไล่ออกจากบ้าน อย่าเอาลูกชายฉันไปเกลือกกลั้วกับความสกปรกที่แกก่อได้ไหม”

                มือเล็กๆ นั้นผลักหน้าผากผมจนเซถลาไปด้านหลัง น้ำตาที่ผมตั้งใจกลั้นเอาไว้ไม่ให้ออกมากลับทำไม่ได้ เรื่องพ่อที่ผมได้ยินมันทำให้ผมเจ็บจนชาไปหมด ผมไม่ได้อยากเกิดมาเป็นแบบนี้แต่ผมเกิดมาแล้วจะให้ผมทำยังไง แค่ผมมีความรัก กับคนๆ หนึ่งผมต้องกลายเป็นตัวสกปรกน่าขยะแขยงในวงสังคมขนาดนั้นเลยหรอ

               “แกออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว แกนี่มันเชื้อโรคดีๆ นี่เอง มีอย่างที่ไหน เขาไม่ได้รักก็ยื้ออยู่ได้ นี่คงคิดอยากจะเป็นตัวแทนไอ้นั้นไปตลอดซินะ ขอแค่มีผู้ชายไว้ให้แกก็พอแล้วใช่ไหม อย่ามายุ่งกับลูกชายฉันอีก ถ้าแกไม่อยากตายศพไม่สวย ก็อยู่ห่างๆ ลูกฉันไว้ ไป!!!”

               ผมคว้าเอกสารบนโต๊ะที่ตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำชาเกือบครึ่ง ความปวดแสบปวดร้อนที่ข้อมือทำให้ผมเห็นเลือดซิบๆ ที่เกิดจากเศษแก้วที่กระเด็นมา แต่นั้นยังไม่ใช่เหตุผลที่ผมลุกลี้ลุกลนขนาดนี้ ผมอยากออกไปจากที่นี่ อยากเจอคุณซี นั้นคือคนแรกที่ผมคิดถึงในตอนนี้ ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับผม เพียงเห็นว่าผมคือตัวแทนของใครอีกคน แต่ผมก็ยังเจอเขามากที่สุดตอนนี้อยู่ดี

               ชายใส่สูทที่เคยยืนอยู่หน้าประตูแหวกทางให้ผมอย่างพร้อมเพรียง ผมต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นคุณเอเดินเข้ามาในบ้าน

               “นายมาทำอะไรที่นี่ แล้วซีหละ ซีปล่อยให้นายมาคนเดียวได้ยังไง” ผมไม่มีคำตอบให้กับคุณเอ เพียงแต่ค้อมหัวให้แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่รถเท่านั้น

               สติผมแทบจะไม่มีเหลือผมเหยียบคันเร่งจนสุดกำลังเพื่อที่จะทะยานออกไปจากตรงนี้ให้ได้ ผมอยากไปถึงที่ให้เร็วที่สุด อยากจะจับเครื่องบินตามคุณซี ไปซะด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้ว ว่าผม น่าจะต้องโกรธเขา แต่มันไม่ใช่ ผมอยากได้ยินคำอธิบาย คำปฎิเสธ ว่าจริงๆ แล้วเขาเห็นเป็นผม ไม่ได้เห็นผมเป็นคนอื่น

               “เรารักกันใช่ไหมครับ”

               ผมเหยียบคันเร่งมาจนสุด หัวใจผมมันเจ็บปวด แต่ทุกอย่างก็เบาลงตามที่มันควรจะเป็น ผมจะไม่คิดไม่ตัดสินใจอะไรเองทั้งนั้น ผมเชื่อในตัวคุณซี เชื่อในความรักของผม ถึงแม้รูปที่เขาสองคนประคองกันนั้นยังติดตาผมอยู่ก็ตาม

               “ผมต่างจากเขามากนะครับคุณซี คุณคงไม่เห็นผมเป็นเขาใช่ไหม” ได้แต่พึมพำกับตัวเอง น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาจนแทบจะมองไม่เห็นทาง ผมไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ถึงแม้จะคอยบอกตัวเอง ว่าอย่าคิดอะไรไปเองเลย อย่าคิดว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นแบบนั้น ฟังจากปากเขา จากคนที่คอยบอกกันว่ารัก

               ผมพยายามประคับประคองสติ เมื่อเห็นลางๆ ข้างหน้าว่าคือสัญญาณจราจร มันเปลี่ยนเป็นสีแดงและผมเป็นคันแรกของเลน

               “ทำไมเบรกไม่ได้หละ”

               ผมเหยียบเบรกซ้ำๆ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้รถชะลอลงเลย ความเร็วของรถที่เหยียบมาเต็มที่มันยากที่หยุดตรงแยกพอดี และก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง

 
ปี๊ดดดดดดดดดดด!!!!!!

 

เสียงบีบแตรยาวคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน

 


โครม!!!!

 

 

 


TBC

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะ

 
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 12 ไม่ใช่ตัวแทน (12/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 12-01-2017 11:49:46
ทำไมคุ้นเหตุกานณ์นี้อีกแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 12 ไม่ใช่ตัวแทน (12/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-01-2017 12:36:42
ว่าแล้วเชียวเหตุการณ์ร้าย ๆ ในบ้านต้องมีเบื้องหลัง พิชชี่เป็นแม่ประเภทไหนกันถึงทำร้าย(จิตใจ)ลูกได้หน้าตาเฉย
แต่ที่ขัดใจที่สุดก็คือทางบ้านของซีทุกคนไม่มีใครยอมบอกเรื่องทั้งหมดให้พายุรู้เลย
เราว่า รู้ย่อมป้องกันได้ดีกว่าไม่รู้ พอไม่รู้อะไรเลย ก็ไม่รู้ว่ากำลังเผชิญกับอะไร แถมปกป้องหรือหลีกเลี่ยงก็ไม่ได้
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 12 ไม่ใช่ตัวแทน (12/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 12-01-2017 13:17:43
เป็นที่หนึ่ง หรือที่สอง แม้ที่สาม
บางชั่วยาม มันก็ดี ไม่มีเขา
แต่มันแย่ ถ้าจริงแล้ว เป็นแค่เงา
ถึงมีเรา ยังมีเขา อยู่ร่ำไป

"ตัวแทน" นิยามของความหดหู่

นิยานสนุกดี อ่านแล้วชอบ
กด + และให้คะแนนเป็นกำลังใจคนแต่งฮับ
 :L2:

ได้เจาะไข่คนแต่งซะด้วย
อิอิ
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 13 เรื่องเล่าของบี (18/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 18-01-2017 17:59:03
=13=   เรื่องเล่าของบี
 

 
 
“จ้องหน้ากูนี่หาเรื่องรึไง”
 
“เปล่านิ ไอ้บี๋ มึงไม่อยากมีแฟนหรอวะ” ผมออกปากถามเพื่อนสนิท หลังจากที่เรานั่งรอแม่ยอดขมองอิ่มของผม ร่วมชั่วโมงแล้ว แต่แม่สาวดาวคณะอักษรก็ไม่มีท่าทีว่าจะลงมา
 
“ไม่อะ กูมีคนที่ชอบแล้ว”
 
“ห๊ะ” ผมตกใจกับคำตอบไม่น้อย แล้วผมก็รู้สึกแย่กับคำตอบของมันด้วย
 
“แล้วกูไม่คิดจะมีใครด้วย แล้วไม่ต้องถามนะว่าทำไมกูไม่บอกเขาว่ากูชอบ เพราะว่ากูไม่อยากจะบอก”
 
“ไม่บอกแล้วเขาจะรู้เหรอวะ ว่ามึงชอบ”
 
“กูไม่บอกแต่กูแสดงออกเยอะมาก แต่แม่งก็เสือกฉลาดน้อยเกินกว่าจะสังเกตเห็น” ผมนั่งเขี่ยหลอดในแก้วน้ำอัดลมที่ตอนนี้น้ำแข็งละลายจนทำให้โคล่าในแก้วจืดเต็มทน แต่ผมขอจับสายตาไว้ที่แก้วนี่เถอะ เพราะคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามมันเอาแต่จ้อง ผมกลัวว่ามันจะจับสังเกตผมได้
 
“แล้วไง ยัยคุณหนูดาวคณะมึงเนี้ย อีกนานไหมกว่าจะเสด็จ”
 
“บี๋ มึงมีคนที่ชอบแล้ว แล้วถ้ามีคนอื่นมาบอกว่าชอบมึง มึงจะทำไงวะ”
 
“ทำใม? อะไรดลจิตดลใจมึงให้อยากรู้เรื่องกูขนาดนี้”
 
“ช่างเถอะ กูแค่ถาม เห็นมึงก็มีสาวๆ มาตอมใช่ย่อย”
 
“ก็อย่างที่กูบอก ถ้ากูไม่ได้คบกับเขา กูก็ไม่คบใครหรอก”
 
คำพูดประโยคสุดท้ายของไอ้บี ที่ผมเรียกมันจนติดปากว่า บี๋ เพื่อนตั้งแต่มัธยมมันทำให้ผมถอดใจ ไม่นานมานี้ผมมารู้สึกตัวเองว่าเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ ถึงแม้ไอ้อาการหวงมันจะมีมานานโขแล้วแต่ก็แน่ใจสุดๆ ตอนที่แม่สาวทรงโตเดินมาคลอเคลียมันแบบต่อหน้าต่อตา แล้วไหนจะพวกนักกีฬาหล่อล่ำพวกนั้นอีก ไอ้บี๋ หน้าตาน่ารักออกจะถนัดไปทางผู้หญิง ผมสีเทาควันบุหรี่ที่เพิ่งจะทำมาใหม่ยิ่งทำให้มันดูมีเสน่ห์ ผิวขาวสะอาดสะอ้าน ร่างกายผอมบางอ้อนแอ่นไม่เหมือนผู้ชาย ไม่แปลกนักที่จะมีหนุ่มล่ำๆ มาแจกขนมจีบ
 
แต่เรื่องเสน่ห์ของมันก็ไม่ได้จบลงเท่านี้ ตอนมันจับไมค์ร้องเพลงกับวงของมหาวิทยาลัย สาวๆ ก็กรี๊ดกันฮอลแทบแตก หรือจะเป็นท่าดูดบุหรี่ใต้ต้นไม้ข้างสนามบาสหลังจากที่มันแข่งชนะนั้นก็ด้วย ผมใจสั่นทุกครั้งที่เห็นมันถอดเสื้อนักศึกษาแล้วใส่เสื้อกีฬากลับลงไป ผิวขาวๆ ไม่สามารถทำให้ผมละสายตาได้แม้แต่ครั้งเดียว
 
ผมเป็นบ้าเป็นบออยู่เป็นพัก เพราะคิดว่าตัวเองคงผิดเพศไปแล้วที่มาละเมอถึงผู้ชายด้วยกัน แต่ก็ต้องยอมรับในที่สุดว่าไม่ใช่ใครก็ได้ เพราะหลังจากการพิสูจน์ตัวเองด้วยการดูหนัง AV ผู้ชายกับผู้ชายก็ทำให้ผมอ้วกแตกไปหลายรอบ หรือว่าลองไปมองคนอื่นถอดเสื้อก็ไม่ใจสั่นเหมือนกัน ทำให้ผมคิดว่าอารมณ์ร้อนรุมของผมก็เป็นเฉพาะเวลาอยู่กับมันเท่านั้น
 
เรื่องมันอลม่านเมื่อมีดาวคณะอักษรแอบเขียนโพสอิทแปะไว้ที่กระเป๋าตอนทีเราเล่นบาสด้วยกัน “ซีสนใจมากินข้าวด้วยกันไหมคะ ดาวจะรอที่โรงอาหารอักษร” ไม่ใช่มีแค่ผมกับไอ้บี๋ที่ได้อ่านโพสอิทอันนี้ แทบจะทุกคนในสนามเลยก็ว่าได้
 
ผมมองหน้าไอ้เพื่อนตัวดี แต่มันกลับตบไหล่ผม “เอาดิวะ น้องดาวสาวสวยเชิญขนาดนี้รอไร เป็นกู กูไปแล้ว” นั้นทำให้ผมรู้ว่า เรื่องความห่วงใย ความใส่ใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับมันมีเพียงแค่ผมคนเดียวที่คิดมาก
 
ตลอดเดือนที่ผ่านมาที่ผมไปเดทกับน้องดาว แต่หน้าไอ้บี๋ก็ลอยมาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งพอน้องดาวทักอีกยิ่งไปกันใหญ่
 
“คู่หูบีซีนี่ตัวติดกันตลอดเลยนะคะ”
 
“ไม่นะ ต่างคนก็ต่างมีเรื่องที่ต้องทำ แต่เอ๊ะ ทำไมถึงเรียกคู่หูบีซี”
 
“ก็เห็นซีที่ไหนก็เห็นบีที่นั้นใครๆ ในมหา’ลัยก็เรียกกันแบบนี้ทั้งแหละ ไม่มีใครไม่รู้จักหนุ่มสุดฮอตคณะบริหารหรอกนะ”
 
“งั้นหรอ”
 
แล้วตั้งแต่ที่ผมเดทกับดาว ดาวคณะอักษร ก็เหมือนไอ้บี๋ก็มีเดทเหมือนกัน ซึ่งเรื่องนั้นทำให้ผมเอ่ยปากถามมันในวันนี้
 
“ซีรอดาวนานไหม”
 
“นานมาก” ไอ้บี๋ปากไวตอบออกไปซะก่อนที่ผมจะเอ่ยปาก
 
“อาจารย์อะซิ ไม่รู้อะไรนัก เรียกคุยเรื่องงานกีฬากระชับมิตรมหา’ลัย ให้ถือป้ายทำอะไรก็ไม่รู้ น่าเบื่อจะตายไป”
 
“ก็ดาวน่ารัก ใครๆ ก็อยากให้โชว์” ไอ้บี๋ทำหน้าทำตาล่อเลียนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ดาวจนเธอเบี่ยงหน้าหนี
 
“แล้วนี่ บีไม่ไปหาแฟนหรอ มาติดหนึบกับซีอีกแล้ว”
 
“โธ่ ถามแฟนเธอก่อนคุณหนูว่าทำไมฉันต้องมานั่งตรงนี้ ป่านนี้ที่รักฉันรอแย่แล้ว”
 
“อ้าว มึงมีนัดทำไมไม่บอกกูหละ”
 
“ไม่เป็นไรอะ เด็กกูโอเค ว่าง่าย น่ารัก”
 
“เดี๋ยวๆ ไหนมึงบอกจะไม่คบใครไง” ผมยื้อข้อมือเล็กๆ นั้นไว้ ก่อนที่มันจะสะพายเป้ขึ้นไหล่ ผมเห็นสายตาของผู้หญิงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงกลางมองมือของผมสลับกับหน้าผมนิ่ง เธอคงสงสัย แต่ผมก็ปล่อยให้ความสงสัยของผมค้างคาไม่ได้เหมือนกัน
 
“ก็หนุกๆ ไงวะ เพราะไม่ว่ายังไง เขาก็ไม่คบกับกูอยู่ดี ถึงกูจะบอกหรือไม่บอกก็มีค่าเท่ากันนั้นแหละ สู้ให้มันเป็นแบบนี้ได้มองหน้าได้คุยได้อยู่ใกล้ยังดีซะกว่าไม่ได้อะไรเลย” ผมปล่อยข้อมือเล็กๆ นั้นที่วันนี้ผมเพิ่งสังเกตว่าเล็กกว่ามือผมอยู่หลายเท่า ผมปล่อยให้มันเดินไปได้เห็นแต่แผ่นหลังเล็กๆ  แต่ผมอยากรู้จัง ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร คนที่ไอ้บี๋มันชอบจนไม่กล้าที่จะเอ่ยปากสารภาพ
 
 
 
 
******************************************************************************************         
 
 
 
“บี ช่วยห่างจากซีหน่อยได้ไหม”
 
“เธอว่าอะไรนะ” ผมงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อแม่สาวสวยดาวคณะอักษร แฟนไอ้ซีเพื่อนสนิทผมนัดผมออกที่ร้านนมแถวๆ มหา’ลัย แถมยังเริ่มบทสนทนาแบบไม่ได้ทันให้ตั้งตัวอีก คนเริ่มพูดก่อนกลับก้มหน้างุดไม่ยอมเงยหน้ามาสบตากัน
 
“เราอยากให้บีห่างๆ ซีหน่อย”
 
“เดี๋ยวนะ ที่หมายความว่าจะให้เลิกคบกับไอ้ซีงั้นหรอ เลิกเป็นเพื่อนกันแบบนั้นน่ะหรอ”
 
“ไม่นะ ไม่ใช่แบบนั้นเพียง เราแค่ไม่อยากให้ซีกับบีตัวติดกันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
 
“นี่เธอกำลังใช้สิทธิ์ของแฟนมากเกินไปนะ ฉันกับไอ้ซีรู้จักกันตั้งแต่ม.ต้น แล้วทำไมฉันจะต้องเลิกคบกันเพราะกะอีแค่มันมีแฟน”
 
“แต่เราไม่อยากให้บีเข้าใกล้ซีอีกแล้ว”
 
“เธอจะบ้าหรอ ดาว เป็นอะไรมากไหม”
 
“ขอร้องหละบี เรารู้ว่ามันไม่มีเหตุผล เรารู้ทุกอย่างแหละ”
 
“รู้แต่ก็ขออะไรบ้าๆ” ทำไมผมจะยอมให้ความเป็นเพื่อนของผมกับซีล้มเพราะผู้หญิงแค่คนเดียว ผมคงทนนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ตัดสินใจลุกขึ้นยืน พอกันที ผมไม่อยากคุยอีก
 
“เรารู้นะ ความรู้สึกของบีที่มีกับซี เรารู้ เราดูออก” นั้นแหละคือคำพูดที่ทำให้การกระทำของผมหยุดนิ่ง ผมค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม ให้ตายเถอะ มีแต่ไอ้บ้านั้นใช่ไหมที่ดูไม่ออก ผมโมโหตัวเอง และก็โมโหทุกอย่างในโลก ที่ทำให้ผมคิดกับมันแบบนี้ ทำให้ผมคิดกับเพื่อนสนิทเกินจากเพื่อน
 
“รู้แล้วไง ไอ้ซีไม่... ไม่รู้นิ แล้วก็ไม่ต้องห่วง มันไม่มีวันรู้แน่”
 
“แต่ตั้งแต่วันนั้นวันที่บีบอกว่ามีคนที่ชอบแล้ว บอกว่ามีคนอยากคบด้วย ซีก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขนาดวันก่อนกินข้าวด้วยกัน ซียังกล้าถามเราว่าคิดว่าผู้หญิงที่บีชอบจะเป็นคนยังไง ถึงทำให้บีรักได้ขนาดนั้น พอเราบอกว่า ก็ดีแล้วที่บีมีคนที่ชอบ ซีก็ตอบกลับมาว่าไงรู้ไหม ซีบอกว่า ซีไม่อยากให้บีมีใคร ไม่อยากให้บีชอบใคร มีแค่ซีก็น่าจะพอแล้ว ฮึก ฮื่อ บี เราขอร้องหละ ระ ฮึก ฮือ เรารักซีจริงๆ”
 
เสียงสะอึกสะอื้นของผู้หญิงตรงหน้า มันทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก คนในร้านเริ่มหันมามองเราทั้งคู่ แล้วผมควรทำยังไง ที่ดาวกำลังพูดหมายถึงว่าไอ้ซีมันก็รู้สึกกับผมเหมือนที่ผมรู้สึกกับมันงั้นหรอ แล้วผมจะต้องทำยังไงหละ ทำไมผมต้องยอม ถ้ามันคิดเหมือนผม ทุกอย่างก็ลงตัวแล้วใช่ไหม แล้วทำไม ทำไมผมจะต้องแคร์คนอื่น
 
“บี คงไม่อยากให้ใครมองซีไม่ดีใช่ไหม ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าซีแปลกแยกใช่รึเปล่าบี”
 
ทำไม!! มีความรักมันผิดขนาดนั้นเลยหรอ เราเลือกไม่ได้นิ ว่าเราจะรักใคร ผมรักมันและมันก็เป็นผู้ชายแค่นั้นเอง มันกลายเป็นความผิดขนาดนั้นเลยหรอ
 
“อื่ม หยุดร้องได้แล้ว ฉันจะหายไปเอง โอเคไหม” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำตาของคนตรงหน้า หรือเป็นเพราะผมรักมันมากจนไม่อยากเสียมันไปกันแน่ ก็จริงอย่างที่ดาวพูด ผมคงทนไม่ได้ถ้ามีใครมามองว่ามันเป็นพวกแปลกแยก หรือมองมันไม่ดี ไหนจะพ่อแม่มันอีก บ้านซีมีทั้งหน้าตาชื่อเสียงทางสังคมคงไม่ยอม ไม่เหมือนผม แค่เด็กกำพร้าไม่มีหน้าตาใครให้ต้องรักษา
 
“แต่ ฉันจะไม่ยอมเลิกคบกับมันหรอกนะ” ผู้หญิงตรงหน้าพนักหน้างึกงัก พร้อมกับเช็ดน้ำตาลวกๆ และขอตัวกลับในทันที แล้วผมหละ จะต้องทำยังไง ผมควรจัดการกับหัวใจตัวเองก่อนตอนนี้ การได้อยู่กับคนที่ชอบที่รัก แล้วแสดงออกมาถึงแม้จะพูดไม่ได้ แต่เราก็ยังได้อยู่ใกล้ๆ ผมว่านั้นก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งแล้ว ถึงมันจะทรมานก็เถอะ แต่.. ตอนนี้ผมต้องตัดใจจริงๆ เข้าใกล้ก็ยังไม่ได้ ผมจะทำยังไงดี
 
 
 
*************************************************************************************
 


ผมรู้สึกไปเองหรือว่าไอ้บี๋มันหลบหน้าหลบตาผมจริงๆ  นี่เป็นอาทิตย์แล้วที่ไม่เห็นหัวมัน เรียนก็ไม่เข้าเรียน แถมไปหาที่บ้านก็ไม่เจอ นี่เป็นอะไรของมัน ถามใครก็ไม่มีใครรู้ กลุ่มพวกที่เล่นบาสกับมันก็ไม่เห็น มหาวิทยาลัยก็แค่นี้ผมไม่รู้จะตามหาตัวมันได้ที่ไหน ก็... ผมคิดถึงมันนี่หว่า
 
“มึงอยู่ไหนเนี้ย” นี่แทบจะเป็นครั้งเดียวในรอบอาทิตย์ที่มันรับสายผมแต่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่ผมโทรหามัน
 
(มึงมีอะไรหละ)
 
“ไอ้ฉิบหาย กูโทรหามึงจะร้อยรอบแล้ว เรียนก็ไม่เข้า บ้านก็ไม่กลับ”
 
(เอ่อ กูรู้แล้วว่ามึงไปหา ป้าเขาบอกกูแล้ว มึงมีไรก็รีบๆ พูดมากูยุ่ง ไม่ว่างคุย”
 
“มึงยุ่งอะไรวะ มึงไม่ว่างคุยกับกูเนี้ยนะ”
 
(ก็เอ่อดิ มึงมีอะไรหละ ไม่มีอะไรกูวาง)
 
“ไอ้บี๋”
 
(เอ่อ)
 
“มึงโกรธกูเรื่องอะไรวะ กูทำอะไรให้มึง มึงถึงหลบหน้ากูขนาดนี้ กูขอโทษได้ไหม มึงอย่าทำแบบนี้กับกูเลย” ผมทรุดตัวนั่งลงที่โต๊ะม้าหินที่เราจะนั่งด้วยกันประจำ ผมหมดแรงแล้ว ผมไม่รู้ว่าระหว่างมันกับผม มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกอย่างมันถึงได้ลงเอยแบบนี้ได้
 
(เปล่า กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก ช่วงนี้กูไม่ค่อยว่าง) น้ำเสียงของบี๋มันแสดงให้ผมรู้ว่ามันมีเรื่องบางอย่างที่ค้างในใจ
 
“มึงเคยไม่ว่างกับกูด้วยหรอวะ”
 
(แค่นี้นะไอ้ซี กูต้องไปแล้ว) 
 
“มึงไม่มีกู ก็ไม่เป็นไรใช่ปะวะ” ไม่มีเสียงตอบมาจากไอ้บี๋ มีแต่เสียงตัดสายไปแค่นั้น นี่ผมทำอะไรผิดวะ มันถึงได้ห่างเหินกับผมแบบนี้
 
“ซีกำลังทำอะไรอยู่เหรอ ไหนบอกเหนื่อยอยากกลับบ้านไง”
 
“อื่ม ก็กำลังจะกลับ” ผมเงยหน้ามองดาว ที่เดินมาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียง
 
“เป็นอะไรไป”
 
“เปล่านี่ เลิกแล้วหรอ กลับพร้อมกันเลยไหม”
 
“ซีคิดถึงบีหรอ” น้ำเสียงอ่อมแอ่มของผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำท่ากล้าๆ กลัวๆ
 
“เหงามั้ง เคยอยู่ด้วยกันตลอด ดาวอยากไปไหนไหมอะ ไปกินไอติมไหม” ผมกำลังพยายามทำหน้าที่ของว่าที่แฟนที่ดี ที่พูดแบบนี้เพราะเราไม่มีการคุยกันว่าเราคบกันแล้ว เพียงแต่การที่เราไปไหนมาไหนด้วยกันก็ทำให้คนในมหา’ลัย มากกว่าครึ่งก็เข้าใจแบบนั้นไปแล้ว ซึ่งกับไอ้บี๋เองผมก็ไม่เคยบอกมันด้วยซ้ำว่าผมกับดาวอยู่ในสถานะไหน และผมรู้ว่ามันก็เข้าใจเหมือนคนอื่นๆ
 
“ไม่อะ ซีไม่ได้อยากไปกับดาวเลย นี่ซีไม่รู้สึกอะไรกับดาวเลยใช่ไหม ก็จริงที่ดาวเข้าหาซีก่อน แต่ว่า... ซีก็น่าจะหันมามองดาวบ้าง” ถึงผมจะรู้ว่าคนตรงหน้าหมายความว่ายังไง แต่ตอนนี้ผมก็ขอเนียนไม่รู้เรื่องไปก่อน
 
“ดาวพูดเรื่องอะไร”
 
“ดาวรู้นะ ดาวดูออก” ผมทำหน้าไม่ถูกกับคำพูดที่ได้ยิน ไม่รู้คำว่าดูออกของดาวนี่มันเป็นแบบไหนกันแน่
 
“ดูอะไรออก”
 
“ดาวดูออกนะว่าซีคิดยังไง เพียงแต่ดาวไม่รู้ว่ามันเป็นกับทุกคน หรือเป็นแค่กับบีคนเดียว เพราะดาวไม่เคยเห็นซียุ่งกับผู้ชายคนไหน”
 
“....”
 
“ดาวเป็นคนบอกให้บีออกห่างจากซีเองนั้นแหละ ดาวไม่อยากให้ซีสับสน แต่ดาวว่า ซีไม่สับสนแล้วหละ ซีชอบบีมากขนาดนั้นเลยหรอ” คำถามที่ถูกถามออกมาผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบแบบไหนที่มันจะดีกับเราทั้งคู่ เพราะไม่ว่ายังไง คำตอบก็หลีกเลี่ยงเรื่องที่ผมไม่ได้ชอบเธอไม่ได้
 
“ซีจะยอมให้คนอื่นมองแบบนั้นได้หรอ”
 
“นี่มันเป็นปีไหนแล้วดาว ไม่มีใครมาคิดเล็กคิดน้อยแบบนั้นแล้วหละ”
 
“แล้วที่บ้านซีหละ” นี่แหละคือคำถามที่ทำให้ผมบอกไม่ถูก ผมทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้ง กำสายเป้ไว้แน่น
 
“ขอให้นั้นเป็นปัญหาของเราแล้วกัน แต่ว่า... ดาว เรื่องของเรา หยุดมันแค่นี้ดีกว่าไหม” ไม่รู้ว่าผมหูฝาดไปไหมแต่สาบานได้ ว่าผมได้ยินเสียงสะอื้น ถึงแม้ผมจะไม่ได้มองหน้าเธอตรงๆ แต่ผมก็รู้ ว่าผมทำเธอร้องไห้ซะแล้ว
 
“ได้ซิ” น้ำเสียงสั่นเครือนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
 
“ขอบใจนะ”
 
“ไม่เป็นไร แต่ซีคงคบกับบีไม่ได้หรอกนะ ต่อให้ยุคสมัยไหน ปากบอกว่ารับได้ แต่เชื่อดาวเถอะ ไม่มีใครรับเรื่องนี้ได้แบบเต็มอกเต็มใจหรอก” คำทิ้งท้ายของดาว คือมีดที่ค่อยแทงผมลงไปทีละน้อย
 
ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมายอมรับหรอก ผมรู้ และผมก็เชื่อว่าความรักเกิดได้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม และผมก็รู้ตัวด้วยว่าคนที่ผมรักคือไอ้บี๋ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้ ขอแค่อยู่แบบนี้ อยู่แบบที่มีเราอยู่ด้วยกัน เหมือนที่ผ่านๆ มา เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง และเป็นคนรักด้วย ถ้ามันต้องการ
 
ผมกลับมาหอพักด้วยความเบื่อหน่าย เดี๋ยวนี้ไอ้บี๋แทบจะไม่กลับมานอนห้องเลยด้วยซ้ำ มันอ้างแค่ว่าไปนอนคอนโดเพื่อน ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ผมไม่เห็นจะรู้ว่ามันมีเพื่อนคนอื่นที่สนิทถึงขนาดไปค้างอ้างแรมด้วยได้ นอกจากผม
 
ผมไม่ซักไซร้อะไรมัน เพราะผมรู้ว่ามันคงรู้แล้วว่าผมรู้สึกยังไง แล้วก็ไม่แปลกใช่ไหมถ้ามันจะรังเกียจ หลังจากที่ดาวเล่าให้ฟัง ว่าพูดอะไรกับมันไปบ้าง ผมก็ตัดสินใจโทรหามันอีกรอบ แต่มันไม่รับโทรศัพท์ผมเลย
 
นี่ก็เป็นอาทิตย์แล้วที่เราไม่เจอหน้ากัน แต่ก็ยังดีหน่อยที่มันมาเรียนถึงจะนั่งอีกฝั่งหนึ่งก็ตาม ใครๆ ก็ถามว่าผมกับมันทะเลาะอะไรกัน แย่งผู้หญิงคนเดียวกันหรือเปล่า เพราะเราไม่เคยแยกจากกันเลย
 
 “สงสัยไอ้บีแม่งแอบชอบดาวอักษรวะ เคยเห็นแม่งยื่นคุยกันบ่อยๆ”
 
“แล้วเดี๋ยวนี้ก็ไม่เห็นไอ้ซีเดินกับดาวแล้วด้วย แม่งเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดชัวร์”
 
ถึงจะเป็นคำพูดลอยๆ แต่ผมก็รู้ว่าไอ้พวกนี้มันตั้งใจให้ผมได้ยินชัดๆ
 
 
 
“ไอ้บี๋” ผมตัดสินใจดึงข้อมือนั้นเอาไว้หลังจากจบคลาส มันจะคาราคาซังกันนานเหลือเกินแล้ว
 
“มีอะไร” น้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมันยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด
 
“กูเลิกกับดาวแล้วนะ”
 
“กูรู้แล้ว ดาวบอกกูแล้ว” ถ้ามันพูดแบบนี้แสดงว่ามันจะรู้ทุกอย่างเลยหรือเปล่า
 
“งั้นหรอ ไปหาอะไรกินกันไหม” ยังไงก็ได้ ขอแค่กลับมาเหมือนเดิม ผมไม่อยากเป็นคนที่ไม่มีแม้กระทั่งสถานะ
 
“ไม่วะ กูนัดไอ้พวกนั้นกินเหล้าแล้ว” มันบุ้ยหน้าไปทางหน้าประตู ผมก็เห็นว่ามีอีก 2-3 คนยืนรอมันอยู่
 
“หรอวะ งั้นกูไปด้วยดิ” เอาวะ ยอมแลกทุกอย่างแล้ว ขอกันหน้าด้านๆ แบบนี้แหละ
 
“อย่าเลย มึงไม่สนิทกับพวกมัน กูกลัวมึงอึดอัด”
 
“แล้วกับมึงหละ กูก็ไม่สนิทหรอ” ผมจำต้องปล่อยแขนเล็กๆ นั้นไป ไม่มีแม้แต่คำตอบให้ผม แล้วสายตานั้นก็เย็นชาเกินกว่าที่ผมจะทนได้ มันทิ้งผมไว้ตรงนั้นแล้วเดินไปกับพวกนั้นโดยที่ไม่หันมามองผมอีกเลย
 

 
 
**************************************************************************************
 
 
ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ประตูห้อง เพราะไอ้คนเคาะ มันเคาะแบบไม่เกรงใจใครเลย นี่ก็ปาไปจะตีสองแล้ว ใครยังกล้ามาเคาะเอาป่านนี้ ทันทีที่ผมเปิดประตู คนที่ถูกหามอยู่หน้าประตูก็มีสภาพไม่ต่างจากหมา เมาเหมือนหมา สองคนที่หิ้วปีกไอ้บี๋มา ผมไม่รู้จักแต่ก็เคยเห็นหน้ากันบ้างว่าเป็นเด็กคณะศิลปกรรมที่วันนี้เรียนเซคเดียวกัน
 
“มึงเอาเพื่อนมึงไปที กูไม่ไหวแหละ เมาแล้วเรื้อน”
 
“ทำไมถึงเมาขนาดนี้วะไอ้บี๋” ผมไม่ได้สนใจคำพูดของพวกมัน กลับก้มไปถามไอ้คนไม่ได้สติ แล้วรับมันมาหิ้วไว้เอง
 
“ขอบใจมากเว้ย แล้วก็ขอโทษด้วย”
 
“เอ่อไม่เป็นไร มึงดูๆ มันหน่อย ท่าทางมันจะมีเรื่องไม่สบายใจ”
 
“เอ่อๆๆ ขอบใจมาก” เด็กจากศิลปกรรมสองคนกลับไปทันทีที่ผมปิดประตู สภาพของไอ้บี๋ไม่น่าดูเอาสะเลย
 
“อะ อั๊วะ อะ”
 
“เห้ยๆๆ อย่านะมึง ไปเลย แม่งอย่ามาอ้วกแถวนี้” ผมลากเพื่อนสนิทเข้าห้องน้ำ เพราะท่าทางเหมือนจะขย้อนของเก่าออกมา
 
“ไอ้ซี ทำไมมึงอยู่นี่วะ” เสียงเมาๆ ยานคางของมันทำให้ผมอยากทุบกระโหลกมันจริงๆ ใครสั่งใครสอนให้กินขนาดนี้
 
“มึงเป็นบ้าอะไรเนี้ย แดกขนาดนี้”
 
“กูทนไม่ไหวแล้ว ถ้ากูไม่แดกกูก็ทนไม่ไหว กูทนไม่ไหว” พูดวนไปวนมาอยู่แบบนี้ มึงทุกข์อะไรขนาดนั้น มึงต้องทนอะไรวะ ผมปล่อยให้มันพูดไปแล้วก็ถอดเสื้อเชิ้ตของมันออกด้วยทั้งเหล้าทั้งอ้วกเหม็นไปหมด
 
“ซี มึงถอดเสื้อกูทำไม”
 
“มึงต้องอาบน้ำ แม่งเน่าขนาดนี้ ถ้ามึงไม่อาบกูจะเตะโด่งมึงไปนอนนอกห้อง”
 
“มึงอาบให้กูซิ” มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วผมเองก็หยุดลมหายใจไว้แค่นั้น แก้มแดง เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ มันทำให้เพื่อนสนิทที่ผมคิดไม่ซื่อ ดูน่ารักจนอธิบายไม่ถูก
 
“มึงโตแล้วก็อาบเองซิ”
 
“มึงกำลังอายหรอ” ปกติเมาก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้นี่หว่า แล้วทำไมวันนี้ไอ้บี๋ถึงได้เป็นแบบนี้ มือไม้อยู่ไม่สุก ลูบหน้าลูบตาผม ไปทั่ว แถมเอาแขนเล็กๆ นั้นมาคล้องคอผมไว้อีก
 
“จูบกันไหม” คำพูดนี้ผมรู้ว่ามันไม่มีสติ ถึงได้พูดออกมา
 
“บีมึงตั้งสติหน่อย”
 
“นี่มึงเรียกชื่อจริงๆ กูแล้วหรอวะ สติกูเต็มมาก” พูดไปก็แค่นหัวเราะไปด้วย
 
“แบบนี้นะ เรียกสติเต็ม?”
 
“กูขอโทษซี กูขอโทษ แต่กูทนไม่ไหวแล้ว กูไม่รู้จะต้องทำยังไง กูรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย กูขอโทษ กูขอโทษซี กูไม่น่าให้มันเกิดแต่ก็ห้ามไม่ได้ ฮึก กะ กู ห้ามไม่ได้”
 
“ไม่เป็นไร” ผมไม่รู้ว่ามันขอโทษเรื่องอะไร แต่สภาพเมาเหมือนหมา ไม่ได้ใส่เสื้อ ร้องไห้คร่ำครวญ เกาะไหล่ผมแน่น เมื่อกี้ยังหัวเราะอยู่ ตอนนี้ร้องไห้อีกแล้ว ก็ทำให้ผมต้องพูดคำนั้นออกไป หวังแค่ว่าอยากให้มันหยุดร้องไห้จนเหมือนจะขาดใจสักที เพราะผมก็จะขาดใจเหมือนกัน
 
อาบน้ำให้ไอ้ขี้เมาเสร็จ ครับ ต้องอาบให้มันจริงๆ พามันลงไปนอนแต่ก็ไม่เป็นสุขหรอกครับ ก็ตอนนี้มันคร่อมผมอยู่
 
“มึงเป็นอะไรไอ้บี๋ ทำไมทำแบบนี้” ผมคงต้องจริงจังหน่อยแล้ว
 
“คือ เอาจริงๆ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมสังเกตท่าทางที่มันทำท่าเขิน แล้วก็ต้องขำออกมาจนได้ ดูเหมือนตอนนี้ไอ้บี๋จะส่างขึ้นเยอะ เสียงไม่ยานคางแล้ว
 
“มึงขำไรไอ้ซี กูเมานะ กูไม่มีสติ”
 
“อะไร อาบน้ำแล้วมึงควรส่าง แล้วตอนที่มึงขอกูจูบมึงก็บอกมึงมีสติ”
 
“กูไม่รู้อะ กูจำอะไรไม่ได้” แก้มที่ขึ้นสีของมัน ผมรู้เลยว่าคราวนี้ไม่ได้มาจากเหล้าแน่ๆ  ถึงตอนนี้มันกำลังอยากจะลงจากตัวผม แต่ก็ไม่ได้แล้วหละ
 
“แต่กูจำได้” ในเมื่อมันเอาแต่ก้มหน้า หลบสายตาผม ถอดหายใจทิ้งไปเป็นไร่ ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผมหยัดตัวลุกขึ้นให้เราสบตากันได้สนิท มือกอดเอวมันไว้ หันหน้าเข้าหากัน ต้องคุยกันจริงจังสักที
 
“กูทำขนาดนี้ แล้วมึงรังเกียจกูไหม” คำพูดแรกที่เราสบตากัน ก็ไม่ต้องอธิบายความรู้สึกอะไรข้างในอีกแล้ว
 
“กูกอดเอวมึงแบบนี้ ให้มึงนั่งอยู่แบบนี้ มึงคิดว่าไง”
 
“กูกลัว คนอื่นจะมองมึงยังไง กูก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง กูก็งงตัวเอง แต่พอกูรู้ตัว กูก็ไม่ชอบให้ใครใกล้มึงแล้ว แล้วกูก็คุยกับใครคนอื่นไม่ได้ด้วย แม่งคิดถึงแต่มึง” พูดจบก็ถอนหายใจออกมาอีก
 
“มึงแค่งงตัวเอง แต่กูนี่จิตตกอยู่เป็นเดือนๆ ไปศึกษาไปดู ไปพบจิตแพทย์ แล้วกูก็เครียดมาก แต่กูเลือกที่จะปล่อยผ่าน เพราะไม่อยากเสียมึงไป ไม่อยากให้มึงรู้ว่ากูแม่งคิดอกุศล แต่ดูมึงทำกับกูซิ หนีหน้ากันไปดื้อๆ”
 
“กูไม่อยากให้ใครมองมึงไม่ดี”
 
“ถ้าการที่กูรักมึง แล้วคนอื่นมองไม่ดี ก็ช่างหัวแม่งซิวะ” นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพูดคำว่ารักในแบบที่เข้าใจตรงกันเลยว่าไม่ได้หมายความถึงเพื่อน แน่ๆ
 
“เอ่อ พอๆ มึงนี่ ถึงกูจะเป็นเพื่อนกับมึงมานาน แต่มึงไม่ควรทำให้กูเขิน”
 
“มึงไม่ต้องสงสัยนะว่าทำไมกูถึงรักมึง กูว่ามึงรู้อยู่แล้ว”
 
ผมกอดมันไว้และไม่อยากให้มันไปไหนอีแล้ว แก้มที่ขึ้นสีน่ารักนั้น ทำให้ผมอดไม่ไหวที่จะหอมลงไปฟอดใหญ่ ซอกคอขาวเหมือนมีกลิ่นหอมลอยมาแบบที่ผมไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน และผมกำลังใจเต้นแรงจนควบคุมไม่อยู่ ปากอิ่มๆ ที่ครางอื่อ ตอนที่ผมซุกหน้าลงที่ตรงซอกคอนั้น ปากสีชมพูแบบที่ผมเห็นอยู่เป็นประจำ แต่วันนี้ดูเหมือนว่าผมจะไม่ต้องทนอีกแล้ว
 
ปากนิ่มๆ นั้นหวานอย่างที่ผมไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นกับผู้หญิงคนไหนก็ไม่หวานเท่ากับปากของเพื่อนสนิทคนนี้  บดเบียดดูดดึงจนไอ้เพื่อนตัวแสบมันฮึดฮัดดันอกผมออก แต่ผมยังอยากชิมคำหวานนั้นอยู่ จะให้ผมทำยังไงได้ รู้สึกเหมือนถูกดูดกลืนไปให้ลุ่มหลงในรสจูบ ถึงแม้คนในอ้อมกอดทำท่าเหมือนจะหมดแรง แต่ผมก็ไม่อาจปล่อยโอกาสนั้นได้นาน
 
เสื้อนอนตัวบางดูเหมือนมันจะขัดหูขัดตาผมมากไปอีก ทั้งๆ ที่ผมเองเป็นคนสวมให้มัน ถ้ารู้ว่าต้องมาลำบากถอดทั้งๆ ที่ไม่อยากถอนรอยจูบแบบนี้ น่าจะไม่ต้องใส่ให้ตั้งแต่แรก
 
ความอึดอัดที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผมถอนจูบ อยากจะมองหน้าไอ้คนที่ขึ้นมาบนตักนัก ตอนนี้จะทำยังไง ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนเอ่ยปากขอจูบเองแท้ๆ ทั้งๆ ที่เป็นคนปีนขึ้นมานั้งบนตัก กลับก้มหน้าไม่พูดไม่จา
 
“กูทำให้มึงกลายเป็นแบบนี้ได้ไงวะ” ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับภาพตรงหน้า หน้าตาแม่งก็ละม้ายผู้หญิงอยู่แหละ พอทำเขินแบบนี้ยิ่งน่ารักเข้าไปอีก
 
“มึงไม่เสียใจแน่นะ” น้ำเสียงดูจริงจังขึ้นมาในทันที ผมตัดสินใจผลักมันลงไปนอนราบไปกับพื้นเตียงนุ่ม
 
“นี่พอจะแทนคำตอบได้ไหม” พูดไปก็พลางถอดกระดุมเกะกะออกไปซะ
 
“เดี๋ยวๆ มึงรู้หรอว่าต้องทำไง” ในตาหวานฉ่ำกับความอึดอัดที่ผมสัมผัสได้ตรงหน้าขา กับแก้มแดงๆ แบบนั้นยิ่งทำให้ผมมันเขี้ยว
 
“ช่วงกูสับสนกูศึกษามาเยอะ”
 
“แม่ง มึงนี่มันลามก”
 
“ถ้ามึงกลัวกูช่วยมึงก่อนก็ได้”
 
“จะว่ากลัวไหม กูก็กลัว แต่กูอยากให้มึงมีความสุข มึงจะมีความสุขใช่ไหม” ผมเกลี่ยปรอยผมที่ร่วงมาปิดหน้าอีกคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง
 
“ถ้าเป็นมึง ไม่ต้องทำอะไรกูก็มีความสุข”
 
การที่ไอ้เพื่อนตัวดียกแขนขึ้นมาคล้องคอทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ต้องทนอะไรอีกแล้ว ผิวขาวสะอาดตาปรากฎต่อหน้า และผมก็มีความสุขจริงๆ ที่ได้เห็น ความอึดอัดที่ปะทะเข้ามาแก้ปัญหาได้ง่ายกว่าเสียงครางในลำคอของมันที่ทำให้ผมแทบจะอดทนไม่ไหว
 
หรือแม้แต่เสียงร้องหลงจนผมแทบจะหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้ แต่คนตรงหน้าก็น่ารักเกินกว่าจะห้ามใจได้
 
ถึงแม้จะไม่มีสถานะที่พูดกันโต้งๆ ว่าคบกัน แฟนกัน แต่คืนนี้เป็นคืนที่ผมมีความสุข จนอยากจะหยุดเวลาไว้แค่นี้
 
“กูรักมึง มึงรู้ใช่ไหม”
 
 
 




TBC
 
 
ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้พบพาร์ทเรื่องเล่าของบีในตอนเดียวเลย แต่คาดว่าจะยาวไปจนตัดจบไม่ได้ ก็เลยขอยกยอดไปตอนหน้าแล้วกันนะคะ เขียนฉากเขินๆ ไม่ค่อยเขินเลยแหะ จะพยายามฝึกฝีมือต่อไปค่ะ ^^
 
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะ
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 13 เรื่องเล่าของบี (18/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 18-01-2017 18:10:19
พายุจะเป็นยังไงบ้างนะ?
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 14 เรื่องเล่าของบี (17/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 16-02-2017 22:35:53
=14=
 
 
 (https://f.ptcdn.info/359/016/000/1393963425-18-o.jpg)
 




แสงสว่างดับวูบลง
รอบตัวมีเพียงแค่ความมืดมิด
ผมคิดถึงเขา
เขาคือแสงสว่างเดียวของผม
 
“ซี กูรักมึงนะ”
 
 
สองขาก้าวสุดกำลังที่ผมมี เรี่ยวแรงทั้งหมดแทบไม่เหลือ และเรื่องราวร้ายๆ มันก็เกิดขึ้นอีก ทันทีที่ผมเหยีบสนามบินหวังเพียงแค่จะมาเซอร์ไพรส์คนรักก่อนหนึ่งวัน แต่ผมกลับต้องวิ่งเหมือนหัวใจกำลังจะหลุดออกจากร่างแทน เสียงโทรศัพท์ของพ่อที่บอกพายุอยู่ในห้องฉุกเฉินทำให้ผม อยากจะหายตัวไปอยู่ข้างๆ เขาถ้าทำได้
 
ชีวิตของผมต้องดับมืดลงอีกครั้งหรอ ผมไม่อยากสูญเสียหัวใจดวงเดียว แสงสว่างเดียวของผม ผมไม่อยากกลับมาที่นี่อีกแล้ว แล้วทำไมจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้
 
ผมหยุดยืนอยู่ที่ประตูหน้าห้องฉุกเฉิน พ่อกับคุณปริมที่ร้องไห้ปานจะขาดใจ อยู่ที่หน้าห้อง พ่อปลอบประโลมคนรักและละมือออก หลังจากเห็นหน้าผม ผมไม่ได้มีคำถาม แต่พ่อกลับมีคำตอบให้ผมเพียงส่ายหน้าและถอนหายใจ ผมลูบหน้าที่ร้อนวูบปานอยากจะให้เรื่องทุกอย่างมันจางหายไปเพียงแค่ผมลืมตา แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ภาพต่อหน้าผมยังคงเป็นหน้าประตูห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล
 
เสียงรองเท้าส้นสูงวิ่งมาจากทางเข้า เอ ทรุดกายพร้อมกับถอนหายใจข้างๆ ผม
 
“กลับมาถึงเมื่อไร ไหนว่ากลับพรุ่งนี้” ผมไม่ได้ตอบคำถามผมรู้ว่า เอ ต้องการทำให้ทุกอย่างดูผ่อนคลายแต่มันหนักหนาเกินกว่าที่เราจะแสร้งทำเป็นมีความสุขได้
 
“ยุ ไม่เป็นไรหรอก เชื่อเอนะซี หมอต้องช่วยยุได้อยู่แล้ว” เอตบลงที่บ่าผมเบาๆ
 
ผมมองมือที่กำกันแน่น ผมอยากจะให้หมอออกมาจากห้องเร็ว ๆ แล้วบอกว่ายุไม่เป็นไร เขาจะไม่เป็นไร
 
 
 
 
 
“ซี เดี๋ยวเสาร์นี้กูจะไปหาพ่อกับแม่นะ”
 
“มึงเลื่อนไปวันอาทิตย์ไม่ได้หรอวะ กูจะได้ไปด้วย”
 
“มึงจะไปทำไม” ไอ้เพื่อนตัวดี พูดไปก็คว้าผ้าขนหนูผืนเล็กออกจากมือผมไปเช็ดผมให้เสร็จสรรพ
 
“ไปฝากตัวเป็นเขย”
 
“ทะลึ่ง อย่าตามไปรังควาญพ่อกับแม่กู” พูดไปหัวเราะไป แถมโยกหัวผมแทบทิ่ม
 
“กูอยากไปไหว้เขาด้วยนี่หว่า”
 
“วันหลังก็ได้ มึงไปหาแม่มึงเถอะ ช่วงนี้กูว่าเขาต้องการมึงมากกว่าใคร”
 
ผมถอนหายใจหลังจากได้ยินคำพูดของเพื่อนพ่วงสถานะแฟน พ่อเพิ่งประกาศกับสื่อว่าหย่ากับแม่ผมอย่างเป็นทางการ และได้เลขาส่วนตัวเป็นภรรยาใหม่ ทั้งผมและเอรู้เรื่องนี้นานแล้ว พี่ไม่เคยเรียกร้องอะไร แต่พี่ปริมดันมีเจ้าตัวเล็ก และพ่อก็อยากจะรับผิดชอบว่าจริงๆ แล้วพี่ปริมไม่ใช่มือที่สาม แต่เรื่องแบบนี้ใครจะเชื่อ
 
แม่เองก็รู้คงรู้สึกเสียหน้าที่พ่อมาประกาศเอาตอนที่ผู้หญิงใหม่อุ้มท้องซะแล้ว เรื่องนี้ถูกปิดมานานและแม่ก็ไม่คิดว่าพ่อจะจริงจังถึงขนาดอยากให้พี่ปริมมีหน้ามีตาทางสังคมจนต้องประกาศกับสื่อ แม่กับพ่อไม่มีความสัมพันธ์ในฐานะสามีภรรยามานานโข แต่หน้าตาทางสังคมก็ทำให้พวกท่านพูดอะไรไม่ได้ อีกทั้งเรื่องธุรกิจที่ทำร่วมกันก็ต้องตกลงกันให้หมั่นเหมาะ ซึ่งนั้นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่
 
เรื่องของผมกับบียังคงเป็นเรื่องของผมกับบีอยู่แบบนั้น ถึงผมจะบอกว่าไม่แคร์ไม่สนใจใครแต่กับบีไม่ใช่ บีไม่ต้องการให้ผมปฎิบัติกับเขาเหมือนคนรัก แค่ยังคงเป็นเพื่อนกันในสายตาคนอื่นก็พอแล้ว
 
 
“มึงกับกูตัวติดกันอย่างกับฝาแฝดไม่ต้องบอกหรอก”
“แต่กูไม่ชอบให้ใครมาจีบมึง หรือมาใกล้มึง มึงไม่รู้ตัวหรือไง”
“งั้นกูจะระวังตัวให้มากขึ้น แล้วก็ปฎิเสธให้ชัดเจนขี้นด้วย นะ นะ ซี”
“เอ่อ ก็ได้ อะไรวะมีแฟนก็ทำอะไรต่อหน้าคนอื่นไม่ได้”
 
 
 
ถึงผมจะหงุดหงิดแค่ไหนเวลาไอ้พวกรุ่นน้องมาคอยมองเวลามันเล่นบาส หรือสาวๆ มากรี๊ดตอนมันร้องเพลง แต่ผมก็ต้องสงบจิตใจไว้
 
พ่อของแม่บี หรือที่ผมชอบเรียกมันว่าไอ้บี๋ ประสบอุบัติเหตุตั้งแต่มันยังเด็กเหลือมันคนเดียวที่รอดมาได้ มันถูกอุปการะโดยบ้านอุปถัมภ์ของครอบครัวเกียรติกุล นั้นเองที่ทำให้เรารู้จักกัน มันต้องสอบชิงทุนของสมาคม เพื่อที่จะได้เรียนในทุกๆ ชั้นปี เพราะคนเป็นคนหัวดี ถึงได้เรียนมัธยมด้วยกัน และก็มหาวิทยาลัยเดียวกัน แฟนผมเก่งนะ น่ารักด้วย
 
เสาร์นี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อกับแม่บี แต่ผมก็ยังงอแงอยากให้มันไปวันอาทิตย์แทนเพราะผมอยากไปกับมันด้วย แต่ก็ช่วยไม่ได้ เสาร์นี้ผมต้องเข้าไปบ้านใหญ่ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่
 
 
“เอารถกูไปเถอะ อย่านั่งรถไปเลย”
 
“แล้วมึงอะ”
 
“เดี๋ยวกูให้ลุงจวงมารับก็ได้ เอารถกูไป” ทำท่างอแงใส่อีกคนที่แต่งตัวเรียบร้อยกำลังจะออกจากห้องไปชลบุรี พร้อมกับยัดกุญแจรถใส่มือให้ด้วย
 
“เอ่อ ก็ได้ มึงนี่”
 
“น่ารักจัง” ผมโผกอดอีกคนจากทางด้านหลัง “เดี๋ยวกูให้ป้านิ่มทำกับข้าวให้ ต้มยำกุ้งแซ่บๆ กับไข่เจียวฟูๆ ของโปรดมึงแล้วกับมากินด้วยกันดีไหม”
 
คนในอ้อมกอดพยักหน้างึกงัก น่ารักจนผมอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มฟอดใหญ่
 
 
ผมออกจากห้องตามหลังบีไปติดๆ และถึงบ้านใหญ่ในเวลาไม่นานเพราะลุงจวงขับรถมารอ
หน้าหอแล้ว
 
            “ตาซี เลิกกับบีได้ไหม” นั้นเป็นประโยคแรกที่ผมก้าวเท้าเข้าในบ้าน ยังไม่ทันจะเอ่ยทักทาย ยังไม่ทันที่จะนั่งลงคุยกันดีๆ
 
            “ไม่ครับ” และนั้นก็เป็นประโยคที่ผมพูดทันทีแบบไม่คิดเหมือนกัน
 
            “ซีอยากทำให้มี๊อับอายไปถึงไหนกัน แค่นี้หน้าก็จะไม่เหลืออยู่แล้ว พ่อแกก็คว้าเอาเลขามาเป็นเมียแถมท้องอีก  แกยังจะผิดเพศอีก”
 
            “มี๊ ซีรักบีนะ รักมาก ซีมีความสุข”
 
            “แล้วมี๊หละ ซีอยากให้มี๊ตายใช่ไหม ยัยเอก็รู้แต่ก็ปิดกันเงียบทำไม อ่อ ใช่ซิ๊ พวกแกมันลูกพ่อนิ เขื่อพ่อแรง กินไม่เลือก”
 
            “มี๊พูดแบบนี้ไม่ได้นะ เราต่างก็รู้กันดี เรื่องพ่อกับแม่น่ะ อย่าหลอกตัวเองว่าพี่ปริมเขามาแย่งพ่อไปเลย พ่อไม่ใช่ของมี๊นานแล้ว”
 
            “ตาซี” เสียงตวาดกร้าว ดังไปทั่วห้องโถง จร ลูกชายลุงจวงเลขาของแม่วิ่งเข้ามาด้วยความตกใจว่าข้างในคงมีอะไรเกิดขึ้น พอเดินมาเห็นว่าข้างในสถานะการณ์ปกติดี ถ้าไม่รวมแก้วน้ำที่ถูกขว้างลงต่อหน้า ก็ยืนดูห่างๆ
 
            “เราจะไม่ทำให้มี๊เสียหน้าหรอกครับ เรื่องที่เราคบกันจะไม่มีใครรู้”
 
            “ไม่มีใครรู้ แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังซุบซิบนินทาในวงสังคม จนรู้มาถึงหูฉันแล้ว แกยังจะบอกว่าไม่มีใครรู้อีกหรอก”
 
            “แต่มี๊ครับ ซีรักบีครับ รักมาก”
 
            “แล้วฉันหละ แกรักฉันบ้างไหม”
 
            “มันไม่เหมือนกันนี่ครับ”
 
            “งั้นแกก็เลือกเอา ว่าอยากให้มันตายหรืออยากให้ฉันตาย” ผมถอนหายใจกับคำพูดที่เอาแต่ใจของแม่ แต่ผมก็รู้ว่าช่วงนี้แม่อ่อนไหว และอ่อนแอมาก ไว้ค่อยกลับมาคุยกันดีๆ อีกทีดีกว่า
 
            “ถ้าแกก้าวออกไปจากบ้านนี้ ฉันจะถือว่าแกเลือกแล้ว เลือกเด็กนั่นไม่ใช่ฉัน” ผมหยุดชะงักกับคำพูดนั้นเพียงชั่ววิ และก้าวเดินออกมา ผมไม่ได้คิดจะทิ้งแม่ ผมแค่อยากให้แม่มีเวลาแม่คิด และใจเย็นลงกว่านี้แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่ ผมทิ้งครอบครัวของผมไม่ได้ และผมก็ทิ้งเขาไม่ได้เหมือนกัน
 
            ทันทีที่ผมก้าวเท้าจนถึงรถ เสียงกรี๊ดของแม่ก็ดังจนลั่นบ้าน ผมไม่ได้หันกลับไปมอง ก่อนที่ตัดสินใจขึ้นรถของลุงจวงเพื่อให้ไปส่งที่หอ
 
            ไม่นานรถคันหรูของบ้านก็จอดลงที่หน้าหอ ผมฝากฝังให้ลุงจวงดูแลแม่ให้ด้วย เพราะตอนนี้ดูเหมือนเอก็ไม่ค่อยอยากกลับบ้านซักเท่าไร แล้วยังต้องมาทะเลาะกับผม แม่คงเหงาน่าดู
 
            ก่อนที่ผมจะหาคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูเข้าไปในหอ ผู้หญิงหน้าตาน่ารัก เพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวของผมก็ยืนอยู่ตรงนั้น
 
 
“พอซีเลิกกับดาว ซีก็ไปคบกับบี ซึ่งเป็นผู้ชายเหมือนกันอีกต่างหาก”
 
            “ไม่หรอกแพร ซีแค่คิดว่าความรักมันเกิดกับใครก็ได้ ความรักไม่ได้ระบุเพศหรอกนะ”
 
            “แต่ความรักของซีไม่ได้เกิดขึ้นกับแพรซินะ” น้ำเสียงอ่อยๆ และสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ไม่ยากเลยที่จะทำให้ผมรู้สึกผิด ผมเข้าใจความรู้สึกของแพรดี และมันก็เหมือนกับที่แพรบอก ความรักของผมไม่เคยเกิดขึ้นกับแพรเลย
 
            “แต่เราเป็นเพื่อนกันนะ และแพรก็คือเพื่อนคนเดียวของซี แพรคือคนแรกที่ซีมักจะคิดถึง” ผมสัมผัสผมสีดำสนิทนั้นอย่างเบามือ คนตรงหน้าก้มหน้างุด มือเล็กๆ เอื้อมมาจับมือของผม ไว้แน่น
 
            “ถ้าแบบนั้นทำไมเวลาซีไม่เหลือใครกับไม่นึกถึงแพรหละ ทำไมถึงเป็นบี” ผมจะบอกยังไงดี คำว่า ไม่รัก คำเดียวก็ดูจะชัดเจนอยู่แล้ว แต่...มันก็เจ็บปวดที่สุดด้วย
 
            “ซี แพรรักซีนะ รักซีมาตลอด” ผมไม่นึกว่าแพรจะพูดมันออกมาถึงแม้ว่าผมจะรู้ดีถึงความรู้สึกนั้น
 
            “ขอโทษนะแพร ซีขอโทษ แพรเข้าใจซีใช่ไหม” ผมเชยคางของอีกฝ่ายให้มองขึ้นมาสบตากัน
 
            ชั่ววินาทีเดียวที่เหมือนโลกของผมหยุดหมุน แพรเขย่งปลายเท้า ปากเล็กๆ นั้นสัมผัสกับปากของผม มือเล็กๆ ปล่อยออกจากมือของผมแล้ว จับแก้มผมไว้แน่นเหมือนไม่ให้ขยับหนี รอยจูบที่ดูไม่ประสีประสา แต่ก็บอกได้ถึงความตั้งใจ รอยจูบที่แพรมอบให้ ผมไม่รู้สึกกับมันเลยสักนิด ไม่เหมือนรอยจูบที่ผมมีให้กับบี ผมทั้งตกใจ และไม่คิดว่าผู้หญิงเรียบร้อยที่อยู่ต่อหน้าจะกล้าโน้มหน้าผู้ชายลงมาจูบ
 
 
เอี้ยดดดดดดด
 
           
เสียงออกตัวรถดัง นั่นผมให้ผมผละออกจากจูบของแพรและหันไปดู รถคันสีดำสนิทที่คุ้นตา แถมเลขทะเบียนที่เห็นไวๆ นั้นก็ใช่ วันนี้คงเป็นวันโชคร้ายของผมที่ไอ้เพื่อนสนิทน่าจะเห็นผมจูบกับแพรพอดี
 
            ผมพยายามโทรหาบี แต่มันก็ไม่รับสายผมแม้แต่สายเดียว แล้วนี่ฟ้าก็มืดขนาดนี้แล้ว ผมพยายามโทรหาเพื่อนทุกคน แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากใครสักคนที่รู้ว่าบีไปอยู่ที่ไหน
 
 
RRRRRRRRRRRR
 
            “ฮัลโหลครับ”
 
            (โรงพยาบาลเกีรติกุลค่ะ คุณรู้จักคนที่ชื่อบดินทร์ไหมคะ)
 
            “ครับ ผมรู้จักเกิดอะไรขึ้นครับ”
 
            (ตอนนี้คุณบดินทร์ ประสบอุบัติเหตุอยู่ที่ห้องฉุกเฉินค่ะ)
 
            ผมกดวางสายแล้วรีบไปโรงพยาบาลทันที
 
           
 
 
            “หมอเสียใจด้วยครับ”
 
         
 
เสียงสุดท้ายของหมอ ได้พาหัวใจของผมไปด้วย พาแสงสว่างของผมไป ผมทรุดตัวลงที่หน้าห้องฉุกเฉิน ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงคร่ำครวญ ผมเพียงนั่งอยู่ตรงนั้น และอยากจะตามเขาไปในทันที
 
“รถของผู้ตายถูกตัดสายเบรกครับ”
 
เสียงของตำรวจที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ทำให้ผมมีสติ ประโยคที่วนเวียนในหัว
 
          “งั้นแกก็เลือกเอา ว่าอยากให้มันตายหรืออยากให้ฉันตาย”
         
          มันไม่ใช่อุบัติเหตุ
 
            “ผู้ตายขับรถเร็วมากครับ ผมให้รถเสียหลักอย่างแรง”
 
            จริงๆ แล้วคงเป็นผมเองที่ทำให้เขาตาย
 
            “ผู้ตายกำรูปของคุณไว้ด้วยครับ”
 
            รูปของผมที่บีมักจะใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ ถูกขย้ำและเต็มไปด้วยเลือด ผมมองมันอย่างเลือนลอย ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
 
ผมคิดถึงกลิ่นของเขา รอยกอดที่ผมกอดเขาเมื่อเช้า นั้นคือครั้งสุดท้ายที่ผมกอดเขา และก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เราคุยกัน
 
ผมอยากให้เขากลับมา รูปในมือของเขาผมหยิบมันมาจากมือของตำรวจ ผมเห็นแล้วก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขาตายเพราะผม เขาตายแล้วยังเข้าใจผิดว่าผมมีคนอื่น เขาตายเพราะรถของผมโดนตัดสายเบรก คนทำมันอยากให้ผมตาย ถ้าผมไม่บังคับให้เขาเอารถผมไป ผมอาจจะไม่เสียเขา ไม่เสียเขาไปแบบนี้ ผมอยากได้เขาคืนมา ผมจะทำยังไงดี โลกทั้งโลกของผมไม่เหลืออีกแล้ว แสงสว่างของผมไม่มีอีกแล้ว
 
 
 
 
“ไอ้ซี” เสียงตบบ่าดังปุ ทำให้ผมตื่นจากความทรงจำเดิมๆ
 
“คุณยุปลอดภัยแล้ว” สิ่งที่ไอ้หมอบอกมันคือเสียงสวรรค์ที่ผมไม่อาจปฎิเสธได้เลยว่าผมดีใจมากแค่ไหน
 
“ขอบใจเว้ย”
 
“แต่ตอนนี้ยังเข้าเยี่ยมไม่ได้นะ มึงค่อยมาพรุ่งนี้ รอฟื้นก่อน”
 
“ขอกูดูหน้าเขาแปบนึงได้ไหมวะ” ผมต่อรอง ไอ้หมอพยักหน้า ผมรู้เลยว่าที่มันทำคือความสนิทล้วนๆ
 
ภาพของคนที่นอนอยู่ในห้องกระจกตรงหน้า มีสายระโยงระยางห้อยเต็มตัว ปากยังอมท่อออกซิเจนอยู่ ผ้าพันแผลที่พันทั้งข้อมือ แขน เท้า ที่หัว นอนหลับตาพริ้มไม่กระดุกกระดิก ภาพดิจิตอลรูปหัวใจตรงเครื่องวัดชีพจรเป็นสิ่งเดียวที่บอกให้รู้ว่าเขายังหายใจอยู่ หน้าตาที่มีรอยฟกช้ำปะปรายทำให้ผมแทบหัวใจแทบหยุดเต้น เป็นไปได้ ผมอยากเป็นคนนั้น คนที่นอนอยู่ตรงนั้นแทนเขา
 
“ทำไมไม่เป็นกูวะ ไอ้หมอ คราวที่แล้วก็เหมือนกัน มันสมควรเป็นกูไหมวะ”
 
“แล้วมึงคิดว่า ถ้ายุ หรือ บี มายืนอยู่ตรงนี้จะไม่คิดเหมือนมึงหรอวะ”
 
เขาต้องคิดเหมือนผมแน่ เขาต้องอยากลงไปนอนทรมานตรงนั้นแทนผมแน่ แต่ผมอยากเห็นแก่ตัว อยากเป็นคนที่เจ็บซะเอง เพราะผมว่าผมคงรู้สึกดีกว่าที่ต้องยืนมองเขาอยู่แบบนี้
 
“จะลำบากอะไร มึงดูซิ หลับสบายเชียว” ผมพูดออกไปพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบาๆ น้ำตาก็ไหลออกจากสองตา แบบที่ผมไม่รู้ตัว ไอ้หมอตบบ่าผมอีกที
 
“ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วหละ ถ้าผ่านคืนนี้ ชีพจรปกติ ก็โล่งแล้ว” ผมพยักหน้า แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ผมอยากจะกอดเขา อยากจูบเขา อยากลูบผมนิ่มๆ นั้น
 
 
 
“ตัวเปี๊ยก อยู่กับฉันก่อนนะ สู้ให้ผ่านคืนนี้ไปให้ได้นะ”
 
 
 



ขอโทษทุกคนนะคะ ที่มาช้า :monkeysad: จะไม่ให้เกิดแบบนี้อีก สัญญา ชีวิตวึดวือไม่ฟุ้งฟิ้งเลย  :katai4: เลิกงานเกือบสี่ทุ่มทุกวันทำงานวันนึงเกิน 10 ชั่วโมงแล้ว :katai1:

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ

 
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 15 กลับมาเถอะนะ (23/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 23-02-2017 11:08:58
= 15 =


(https://image.dek-d.com/27/0470/8191/121679709)


 

 

พื้นดินเขียวชอุ่มเธอชอบที่แห่งนี้หรือ

ไอทะเล กลิ่นหาดชายเธอชอบมันงั้นหรือ

เสียงคลื่นกับนกร้องเธอหลงรักมันงั้นหรือ

หลับให้สบายที่รัก

 

“บี กูรักมึง มึงรู้ใช่ไหม”

 

 

 

 

 

               พายุออกจากห้องฉุกเฉินวันที่สามแล้ว เป็นสามวันที่เขานอนอยู่นิ่ง ๆ เป็นสามวันที่ผมนั่งโง่ๆ อยู่ที่ปลายเตียงเขา สิ่งเดียวที่บอกว่าเขายังอยู่กับผม ก็คือเส้นแสดงการเต้นของหัวใจที่เป็นรูปคลื่นนั่นแค่นั้น เป็นสามวันที่ผมนั่งมองกระดาษแผ่นเล็กลายมือน่ารังเกียจของไอ้ตัวนกต่อ ที่จดที่อยู่ของบ้านใหญ่ให้พายุไปหา อัลเบิร์ตมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แบบไม่ต้องสงสัย ยิ่งคุณปริมมาบอกว่า พายุเอาสัญญาไปด้วยและใช้โทรศัพท์ที่บ้านใหญ่โทรมาหาก่อนจะเกิดเรื่อง ก็ไม่ต้องสืบสาวราวเรื่องอะไรกันอีก ไม่มีใครปริปากว่าพายุขับรถไปไหนมาบ้าง ถึงผมจะแน่ใจ แต่ก็ใช่ว่าผมจะอยากให้เรื่องราวมันเป็นแบบที่คิดอยู่ในหัวทั้งหมดซะเมื่อไร พยายามบอกกับตัวเองว่าเขาคงไม่ใจร้ายแบบนั้น

                เรื่องอุบัติเหตุของพายุคงเป็นข้อกังขาให้กับตำรวจ เพราะพายุไม่มีศัตรูที่ไหน การสอบปากคำของคนที่ทำงานก็ยิ่งทำให้รู้ว่าพายุไม่มีทางไปทำให้ใครโกรธแค้นถึงขนาดจะฆ่ากันได้ลงคอ รถของพายุโดนตัดสายเบรกเหมือนกับรถของผมเมื่อสามปีก่อน รอยตัดที่ตำรวจไม่กล้าจะฟันธงว่ามันเป็นอุบัติเหตุ “น่าจะเป็นคนเดียวกันครับคุณหนู”  คำบอกเล่าของคนสนิทของเอ ที่ยิ่งทำให้ผมแน่ใจมากขึ้นไปอีก

                ผมไม่ได้ติดต่อบ้านใหญ่ไป หัวใจของผมมันทรมานเกินกว่าจะมารับรู้ความจริง ตั้งแต่วันที่บีตาย ผมเองยังไม่เคยคุยกับแม่ได้เกินสองคำเลยด้วยซ้ำ คำพูดของแม่ในวันนั้นยังชัดเจนในหัวของผม

               สามวันกับการกุมขมับของผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี เรื่องดีๆ ในสามวันนี้คงมีแค่หนังตาของเขากระตุก นิ้วก้อยกระดิก และลูกตาที่กลิ้งไปมาที่จะเห็นจากการขยับของเปลือกตาแค่นั้น ผมยังไม่รู้จะเอายังไงต่อไป อยากให้พายุฟื้น อยากจับคนที่ทำร้ายพายุมาให้คาหนังคาเขา อยากเค้นคอถามว่าใช่คนที่ทำลายชีวิตผมกับบีเมื่อสามปีก่อนหรือเปล่าและคนบงการใช่คนที่ผมคิดไหม

              “คงต้องรอใจอย่างเดียววะ” ไอ้หมอพูดหลังจากที่ตรวจร่างกายเขาเรียบร้อยแล้ว

             “ร่างกายเขาโอเคหรอวะ”

               “อื่ม”  ผมลูบปลายเท้าของเขามันเย็นซะจนน่ากลัว

              “เขาไม่อยากกลับมาหากูหรือเปล่าวะ”

                “ไม่หรอกมึง มีเยอะแยะที่ร่างกายหายแล้วแต่ไม่ฟื้น ต้องเรียกบ่อยๆ ชวนคุยบ้างเขาจะได้รู้ว่ามีคนรออยู่”

                “มึงไม่คิดว่าเขาจะเกลียดกูหรอวะ ในเมื่อร่างกายโอเคทุกอย่างแล้วทำไมไม่ฟื้น มึงคิดว่าเขาถูกหลอกให้ไปบ้านใหญ่เพื่อไปนั่งเฉยๆ หรอวะ ป่านนี้มี๊กูคงพูดอะไรไปเยอะ แล้วกูเองก็ไม่เคยเล่าเรื่องบีให้เขาฟัง” ผมถูมือสองข้างเข้าหากันเพื่อให้เกิดความอบอุ่นแล้วจับไปที่เท้าของเขาอีกครั้ง

            “มึงอย่าคิดมากดิวะ”

            “มึงคิดว่าอะไรที่จะทำให้เขาขับรถเร็วได้ขนาดนั้นวะ ขนาดนั่งไปกับกู กูขับเร็วหน่อยยังบ่นซะ แล้วนี่ที่ตัวเองขับรถเร็วซะเองมึงว่าไม่มีสาเหตุหรอวะ” ผมขยับผ้าห่มให้มาห่มปลายเท้าของเขาด้วย

            “แล้วนี่มึงติดต่อพ่อแม่เขาหรือยัง” หมอมันถอนหายใจ

            “กำลังติดต่ออยู่ ดูเหมือนเบอร์ที่พายุเมมไว้ว่าแม่น่าจะเป็นคนอื่น”

            “กูได้ข่าวว่าพ่อเขาไม่โอเคกับเขาหรอวะ”

              “อื่ม กูก็ยังไม่รู้เลย ว่าจะไปพูดยังไงดี แค่เรื่องที่เป็นคนรักแบบนี้ก็หนักเอาการอยู่แล้วแถมดูแลลูกเขาไม่ได้ ยังทำให้ลูกเขาเจ็บแบบนี้อีก” ผมเอื้อมไปจับมือเล็กๆ นั้น ที่ตอนนี้มีตัวจับชีพจรหนีบอยู่ที่ปลายนิ้ว

              “มึงไม่ได้เป็นคนขับรถ หรือเป็นคนตัดสายเบรกเขาสักหน่อย เอาหน่า มึงอย่าไปคิดเรื่องที่ยังไม่เกิดเลยวะ กลับบ้านพักผ่อนบ้างเหอะมึงอะ เฝ้าอยู่แบบนี้มึงก็จะแย่ตามเขาไปด้วย”

            ผมอยากให้เขาตื่นเพื่อมาถาม ว่าเรื่องที่ได้ยินมาจริงไหม ผมอยากอธิบาย อยากให้เขาเข้าใจความรู้สึกของผมทุกอย่าง ไม่อยากให้อะไรๆ มันค้างคาใจเขาแล้วพาลโกรธกันทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อธิบายแบบนี้

 
**************************************************************************************
 

 

              เรื่องของพายุมันหนักหน่วงเกินไป ผมออกมาสูดอากาศข้างนอกเพียงแค่จะบรรเทาความรู้สึกอึดอัดนั้น แต่... ผมก็มาอยู่ที่นี่โดยที่ผมไม่รู้ตัว

             พื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มตรงหน้าแท่นศิลาหินอ่อนสีครีมสะอาดตา ไม้กางเขนสัญลักษณ์ของพระเจ้าที่ปรากฎอยู่ต่อหน้า ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมเผลอขับรถมาหาเขาอีกแล้ว

            ผมทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ แท่นศิลาสีอ่อน  เผลอถอนหายใจให้กับตัวเอง

               “กูจะทำยังไงดีวะบี” เผลอเอ่ยปากถามใครบางคนที่ไม่รู้ว่าจะได้ยินบ้างไหม

             “ไม่รู้ว่ามึงจะรู้ไหม แต่กูไม่เคยนอกใจมึง ไม่เคยแม้สักครั้ง ที่มึงเห็นมึงเข้าใจผิด ตอนนี้มึงยังเข้าใจกูผิดอยู่หรือเปล่า”

             “กูขอโทษนะบี กูขอโทษ” ถึงแม้จะไม่มีน้ำตาแต่ผมก็เจ็บปวดจนไม่อยากจะหายใจ

               “กูรักเขา รักพายุ” นี่ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเปล่า ผมบอกรักอีกคนให้คนรักอีกคนฟัง

            “กูอยากให้เขาฟื้น กูอยากให้เขามาเจอมึง กูอยากให้คนกูรักทั้งคู่รู้จักกัน”

ผมได้แต่ลูบชื่อที่สลักอยู่บนหินอ่อนนั้นอย่างแผ่วเบา หวังแค่เพียงสัมผัสนี้จะระบายความคิดถึงของผมได้บ้าง

ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน สายลมเอื่อยๆ ในสุสานมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด เหมือนผมได้นอนหนุนตักเล็กๆ ที่ผมเคยชิน

            ความเงียบปกคลุมไปทั่วสุสาน สายลมสบายเปลี่ยนเป็นสายลมเย็น เหมือนตั้งใจจะปลุก ท้องฟ้าข้างหน้าที่ผมเคยเห็นก่อนหน้านี้ เปลียนเป็นสีอมส้มตัดกับพื้นหญ้าเขียวๆ มันก็ดูสวยดี ผมลุกขึ้นยืนมองไปทั่วๆ ไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้ว แม้กระทั้งคนที่คอยทำความสะอาด

                "ต้องกลับแล้ว มึงจะไม่เหงาใช่ไหม” ผมเอ่ยปากกับลมกับฟ้าอีกแล้ว ผมยิ้มให้กับศิลาที่สลักชื่อคนรักไว้ และผมเชื่อว่าผมจะต้องได้รับรอยยิ้มกลับมาเหมือนกัน

            เสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่ก็ไม่ได้เบาซะจนผมจะไม่ได้ยิน ผมค่อยๆ หันมองรองเท้าหนังสีดำมันขลับ เงยหน้ามองไล่กางเกงสแลคทรงสุภาพผ่านการตัดเย็บจากช่างฝีมือดี มือสองข้างที่รวบกันไว้ที่หน้าขา อกผายไหล่ผึ่ง หน้าตาจริงจังที่หน้ายำเกรง แต่นั้นไม่ใช่กับผม

            “คุณรู้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่”

            “มีหรือครับที่คุณหนูไปที่ไหนแล้วผมจะไม่รู้”

            “จริงด้วยซินะ”

            “ในสถานการณ์อย่างนี้ คุณหนูคงอยากกลับมาหาคุณบีแน่ๆ “

            “อาจไม่ใช่เสมอไปหรอกครับ คุณก็น่ารู้ดี”

            “แต่ผมก็เจอคุณที่นี่ นี่ครับ หัวใจของเรา ต่อให้ตายไปแล้ว ก็คือหัวใจของเราอยู่ดีครับ”

            “คุณพูดถึงขนาดนี้ ก็ไม่น่าทำร้ายเราสองคนนี่ครับ”

            “ไม่ว่าคุณหนูจะคิดยังไงแต่คุณหนูเข้าใจผิดนะครับ อย่างที่ผมบอก ผมยังยืนยันกับคุณหนูคำเดิม ไม่ว่าจะเรื่องสามปีก่อน หรือว่าเรื่องนี้”

            “แล้วมันเป็นเพราะใครหละครับ พี่รู้ใช่ไหม ทำไมพี่ไม่บอกผม ทำไมต้องให้มันเกิดขึ้นอีกทำไมครับ ผมไม่รู้จะต้องทำยังไงแล้ว ผมไม่อยากเสียเขาไป พี่ครับ  หัวใจของผม มันเจ็บปวดไปหมด” ผมหมดแรงแล้ว ผมทรุดตัวลงต่อหน้าผู้ชายที่เปรียบเสมือนพี่ชายของตัวเอง ความเข้มแข็งที่แสดงออกมาเหมือนจะพังทลาย ความอ่อนแอตั้งแต่รับโทรศัพท์ของพ่อเรื่องพายุ เหมือนกำลังจะทะลักออกมาตรงหน้า น้ำตาที่ไม่สมควรให้ใครเห็นกลับไหลออกมาตอนนี้

            “คุณหนูครับ” ขจร ก้มลงคุกเข่าต่อหน้าผม พยุงผมให้ลุกขึ้นจากความอ่อนแอ

            “พี่ครับ ทำไมถึงทำแบบนี้”

            “ผม... คุณหนูกำลังเข้าใจผิดนะครับ”

            “งั้นก็บอกสิ่งที่ถูกกับผมสิครับ นะครับพี่ พี่ครับ ผมจะตายอยู่แล้ว ผมเจ็บจนจะตายอยู่แล้ว” ผมรู้สึกจุกจนเหมือนหายใจไม่ออก มันจุกตรงอกเหมือนอากาศที่ผมใช้หายใจมันน้อยเหลือเกิน ผมอยากให้ความเจ็บปวดนี้มันหยุดลงซะที

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่

            “ว่าไง ไอ้หมอ”

            (มึงอยู่ไหน รีบกลับมาก่อน)

  “มีอะไร พายุเป็นอะไร”

            (มึงรีบมาก่อน อาการไม่ค่อยดี)

            ผมออกแรงวิ่งเต็มกำลังโดยไม่สนใจคนตรงหน้า ไม่ถึงสองชั่วโมงก็มาถึงโรงพยาบาล พ่อกับคุณปริมนั่งรออยู่ในห้องของพายุแล้ว ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไป ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมามองผมแบบพร้อมเพียงกัน

            “หยุดหายใจไปน่ะ แต่ตอนนี้หมอช่วยไว้ได้แล้ว”

            ผมได้แต่ถอนใจหายใจกับคำพูดของพ่อ และลงนั่งที่ข้างเตียง ปลายเตียงมีเจ้าตัวเล็กนั่งอยู่

            “พี่ซีฮะ พี่ยุเจ็บไหมฮะ” น้ำเสียงของเด็กไร้เดียงสา มันทำให้ผมอยากจะร้องไห้ลงตรงนี้ แต่ผมจะให้ใครเห็นความอ่อนแอของผมไม่ได้ ผิดกับคนเป็นแม่ที่น้ำตาเริ่มไหลอีกแล้ว

            “เจ็บซิครับ แต่เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้วล่ะ”

            “พี่ยุตื่นมาเล่นกับปอมนะฮะ” น้องชายต่างแม่ทำท่าทางว่าจะร้องไห้ มือเล็กๆ ไล่ลูบวนอยู่ที่เท้าเย็นเฉียบของพายุ

            “เรามาเป็นกำลังใจให้พี่ยุดีกว่านะครับ เดี๋ยวพี่ยุก็กลับมา”

            “นี่เป็นที่อยู่ของบ้านยุ ที่คุณซีให้พี่หาค่ะ” คุณปริมยื่นกระดาษใบเล็กๆ ให้กับผม

            “พี่มีโทรไปคุยกับท่านแล้ว ด้านคุณแม่น่ะ ไม่เท่าไร แต่คุณพ่อของยุนี่...”

            “ยังไม่ได้บอกเรื่องของเขากับพวกท่านใช่ไหมครับ” คุณปริมพยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ

 
    “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะคุยกับพวกท่านเอง”

            “ไปเถอะ ไปคุยกันให้เรียบร้อย แสดงความเป็นลูกผู้ชายให้เต็มที่ แล้วก็แกก็ต้องยอมรับด้วย ถ้าพ่อเขาจะไล่แกออกมา” พ่อวางมือที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและความหนักแน่นส่งผ่านมาที่ผม

 

 

 

*****************************************************************************************
 

 

            ต้นไม้ใหญ่ครึ้มเต็มพื้นที่ มีป้ายไม้ไม่ใหญ่มากนัก ไร่พายุตะวัน ผมค่อยๆ ขับรถเข้าทางประตูไร่ มีคนงานตามริมข้างทางประปราย ดูท่าว่าจะมีคนสนใจผมไม่น้อย อาจจะด้วยรถยนต์ที่ไม่น่าจะใช่ของคนแถวนี้  หรือท่าทางขับพยักเพยิดเหมือนคนไม่รู้ทางนั้นก็อีก

            ขับรถไม่นาน ก็เจอกับบ้านหลังไม่ใหญ่มาก อยู่กลางสวน หน้าบ้านมีคนงานสองสามคนกำลังทำความสะอาดอยู่ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เตรียมใจกับสิ่งที่จะเกิดตรงหน้า ยังไงผมก็ต้องพบพวกท่านอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอในสถานการ์ณแบบนี้

            ผมค่อย ๆ ก้าวลงจากรถ พร้อนกับตระกร้าผลไม้ในมือ มันดูโง่เง่าว่าไหมครับมาสวนผลไม้กับตระกร้าผลไม้ แต่มันก็ดูเขินเกินไปที่จะเดินมาเฉยๆ

            “เอ่อ ขอโทษนะครับ”

            “เชิญข้างในก่อนซิคะ” ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยถามคนที่กำลังเลมต้นไม้อยู่หน้าบ้าน หญิงวัยกลางคนหน้าตาดูเศร้าหมองก็เดินออกมาทักผมซะก่อน เธอต้องเป็นแม่ของพายุแน่ หน้าของเธอเหมือนกับพายุ และแววตานั้นก็ด้วย แต่มันดูเศร้า เศร้ามากจนน่าสงสาร

            “พ่อตะวันเข้าไปในไร่น่ะค่ะ” ตะวัน หรือว่าผมจะเข้าใจผิด

            “??”

            “ตะวันเป็นพี่ของพายุค่ะ เราเสียเขาไปตอนที่มีไฟป่าบนเขาโน้น เขาเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้” พอได้ยินแบบนั้นผมก็ต้องขมวดคิ้วเพราะใจประวัติพายุเป็นลูกคนเดียว แม้แต่คนลูกน้องของเอ ก็ให้ข้อมูลมาแบบนั้น

            “ขอโทษครับ ผมไม่เคยรู้มาก่อน”

            “ไม่แปลกหรอกค่ะ พวกเราเสียใจกันมากจนไม่มีใครอยากพูดถึงมัน มันเป็นการจากไปที่ค่อนข้างเจ็บปวด แต่พวกเราก็ภูมิใจในตัวของเขาเสมอ” คนเป็นแม่พูดไป ก็ดูเหมือนน้ำตาจะคลอเอ่อ อยู่ตลอดเวลา

            “เอ่อ ผมจะมาแนะนำตัวครับ”

            “ฉันทราบจากเลขาคุณแล้ว ว่าคุณเป็นเจ้านายของยุ”

            “คือ จริงๆ แล้วผมเป็น...”

            “ใครมาน่ะ แม่ตะวัน” เสียงทุ่มดูมีอำนาจ ดังมาจากทางหน้าบ้านคงเดาได้ไม่ยากว่านั่นคงเป็นพ่อของพายุแน่

            “เจ้านายของยุ คนที่ฉันเล่าให้พ่อฟังเมื่อคืน”

            “อ่อ มาทำไม มันไม่ใช่ลูกฉันตั้งแต่วันที่มันตัดสินใจออกไปจากที่นี่”

            “ผม มาแจ้งข่าวเกี่ยวกับเขาครับ” ไม่มีเสียงตอบจากคนทั้งคู่ คนเป็นพ่อเพียงขมวดคิ้วแล้วหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม

            “มีอะไรก็ว่ามา ฉันไม่ได้ว่างฟังเรื่องสกปรกได้ทั้งวัน” ผมรู้สึกเสียวสันหลังกับคำว่าสกปรก ไม่ต้องเอ่ยปากถามผมก็เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร

            “พายุประสบอุบัติเหตุครับ ตอนนี้ยังไม่ฟื้น”

            เคร้ง!!!!

 
แก้วน้ำในมือ ของคนเป็นพ่อ หลุดลงแตกกระจายตรงพื้น คนรับใช้วิ่งมาแล้ววิ่งกลับเข้าไปเพื่อทำการเก็บกวาด แม่ของพายุที่กำลังปอกผลไม้อยู่ที่โต๊ะตัวข้างๆ ก็ทำมีดหลุดมือเพราะได้ยินเรื่องที่ผมเพิ่งบอกไป

“ยังไง ทำไม เพราะอะไรคุณ ทำไมลูกชายเราถึงประสบอุบัติเหตุ ยุไม่ใช่คนขับรถเร็ว หรือรีบไปทำงาน แต่เห็นบอกว่าย้ายมาอยู่ใกล้ที่ทำงานตั้งเยอะแล้วนี่น่า แล้วทำไม”

“นี่แม่ยังติดต่อกับมันอีกเหรอ”

“แต่ยุเป็นลูกเรานะพ่อ ต่อให้มันจะเป็นยังไงมันก็เป็นลูกเรา”

“ลูกพ่อมีแค่ตะวันคนเดียว” เสียงตวาดกร้าว สีหน้าเห้อแดงด้วยความโกรธถูกส่งออกมาแบบไม่คิดจะปิด

“ถึงแม้เขาจะเป็นแบบนี้ คุณลุงก็ไม่คิดจะไปดูเลยหรือครับ”

“ไม่ ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันมีลูกคนเดียว แล้วก็ตายไปแล้วด้วย”

“คนที่ยังอยู่ไม่ใช่ลูกหรอครับ” ผมไม่เข้าใจในความคิดของคนเป็นพ่อ ว่าทำไมเขาถึงได้คิดแบบนี้

“มันไม่ใช่ลูกฉันตั้งแต่วันที่มันบอกว่าชอบผู้ชายแล้ว”

“แค่ชอบผู้ชายก็ไม่ใช่ลูกแล้วหรอครับ แค่มีความรักก็กลายเป็นกำพร้าไปแล้วหรอครับเลือดในตัวพายุไม่ใช่ของคุณลุงแล้วหรอครับ” ผมพูดทุกสิ่งที่คิด ไม่ใช่ว่าไม่มีความเคารพต่อผู้ใหญ่ แต่ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาทำผิดอะไรขนาดนั้นถึงขนาดจะเป็นจะตายก็ยังไม่สนใจ และผมก็รู้ว่านั้นคือคำพูดที่ทำให้คนเป็นพ่อ โกรธมากขึ้นไปอีก

“คุณเป็นใครเป็นแค่เจ้านาย อย่ามายุ่งให้มันมากนัก” เสียงดังลั่นที่มาพร้อมกับเสียงทุบโต๊ะดังปังสนั่น

“ครับ ผมเป็นเจ้านาย และเป็นคนรักของเขาด้วย” สีหน้าความตกใจตามมาด้วยความเหยียดหยามไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ ผมเตรียมใจมาแล้ว

“ผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้น้อยคนนักที่จะเข้าใจ ต่อให้ออกสื่อ ป่าวประกาศยอมรับและเปิดกว้างแค่ไหน แต่จริงๆ แล้วคนส่วนน้อยนักที่จะกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเข้าใจ แต่สำหรับพายุ เขาคือลูก ผมแค่คิดว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงเป็นแบบไหนเขาก็คือลูกไม่ใช่หรือครับ เขากลายเป็นคนอื่นเพียงแค่มีความรู้สึก มีการกระทำที่ไม่เหมือนกับคนส่วนมากที่เขาทำกันเท่านั้นหรือครับ แค่ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับคนส่วนใหญ่เลยกลายเป็นผิดปกติหรือครับ”

“คุณก็พูดได้ซิ คุณก็เป็นเหมือนมันเป็นพวกเดียวกันใช่ไหมหละ”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นเกย์ ถ้าคุณลุงจะหมายความว่าอย่างนั้น ผมรักพายุ แต่พายุเป็นผู้ชายก็แค่นั้นครับ ผมไม่ได้รักผู้ชายคนไหนก็ได้ ถ้าคนนั้นไม่ใช่พายุผมก็ไม่รัก มันไม่นานเกินไปหรอครับ สำหรับการลงโทษให้เขาอยู่คนเดียว”

“ฉันไม่ได้ไล่มันไป มันไปของมันเอง”

“แต่การที่คุณลุงบอกว่าเขาไม่ใช่ลูก ผมเป็นคนอื่นผมยังเจ็บ แล้วเขาเองจะไม่เจ็บปวดหรอครับ แล้วถ้าเขาไม่ได้กลับมาอีก ถ้าครั้งนี้เขาต้องจากพวกเราไปจริงๆ คุณลุงก็ยังไม่คิดจะอภัยให้กับสิ่งที่เขาเลือกหรือครับ ผมเชื่อว่าพายุดไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ ไม่อยากทำให้คุณลุงคุณป้าผิดหวัง แต่เขาก็คงอยากมีความสุขเหมือนกัน ถ้านั่นคือความสุขเพียงสิ่งเดียวที่เขามี แล้วไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร ยังคงเป็นคนดี เป็นลูกทีดี ดูแลพ่อแม่ กตัญญู เขายังไม่ใช่ลูกหรือครับ”

“คุณพาฉันไปหาลูกชายของฉันได้ไหมคะ” ผมละสายตาจากชายกลางคนตรงหน้า แม่ของพายุมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบพอเหมาะอยู่ในมือ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตาของความห่วงใย

“ได้ซิครับ”

“นี่แม่กำลังจะทำอะไร”

“ก็ถ้ายุมันไม่ใช่ลูกพ่อก็ไม่เป็นไร แต่มันคือลูกแม่ แม่มีลูกสองคน แล้วแม่ก็จะไม่ยอมเสียลูกคนไหนไปอีก”

“ขอบคุณนะครับ คุณป้า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว คนทั้งโลกจะไม่เข้าใจจะไม่ยอมรับก็ได้ แค่คนที่อยู่ใกล้ๆ คนที่เรารักเข้าใจเรายอมรับเรา ผมว่า แค่นี้พายุก็น่าจะมีกำลังใจในการฟื้นกลับมาหาพวกเราแล้วนะครับ”

ผมมองหน้าอีกคนที่ยังคงนั่งนิ่ง ไม่เป็นไรครับ ถ้าท่านยังไม่เห็นว่าพายุเป็นลูกอีก ผมจะดูแลเขาเอง ผมจะอยู่ข้างๆ เขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น และสวยงาม

ผมเดินไปคว้ากระเป๋าขนาดย่อมจากมือแม่ของพายุ ผ่านหน้าอีกคนไป


RRRRRRRRRRRR

 

“ว่าไงไอ้หมอ จริงหรอ  อื่ม กูกำลังไป” ผมวางสายด้วยหน้าตาอิ่มเอมที่สุดตลอดหลายวันมานี้ เสียงอ้อนวอนของผม เสียงคร่ำครวญที่ผมมีต่อพระเจ้าตอนนี้มันเป็นจริงแล้ว

 

“พายุฟื้นแล้วครับ”

 

 

 

TBC

 

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะ
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 16 ความฝัน (25/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 25-02-2017 10:38:33
=16=

 



     หมอกหนาพร่าเลือนทำให้ผมมองไม่เห็นทางข้างหน้า ผมกำลังเดินแต่ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เดินอยู่ที่ไหน ข้างหน้าดูเหมือนจะมีควันเต็มไปหมด แต่นั้น เหมือนเสียงคลื่น นี่ผม อยู่ที่ทะเลหรอ ใช่ต้องใช่แน่ ผมค่อยๆ เดินเพราะทัศนวิสัยค่อนข้างแย่ถึงแย่จัด แต่ตอนนี้ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ครั้งสุดท้าย ผมขับรถ จะไปสนามบินเพื่อไปหาคุณซี รถติดไฟแดง แต่ผมเหยียบเบรกไม่ได้ หรือว่า

ผมตายแล้วหรอ???

 

         ภาพข้างหน้าเริ่มชัดเจนแล้ว ที่นี่ เกาะงั้นหรอ เกาะที่คุณซีเคยพาผมมา ที่ตรงนั้น ที่เราเคยนั่งอยู่ด้วยกัน ที่ทำให้ผมรู้สึกชอบเขามากกว่าครั้งไหนๆ

     “มานี่ซิ” เสียงเรียกดังอยู่ไม่ไกลนัก ผมค่อยๆ เดินตามเสียงนั้นไป ไม่จริง ถ้าผมไม่ตายไปแล้ว เรื่องนี้ก็ต้องเป็นผมแน่ที่กำลังฝันอยู่

     “งงอะไร” คนๆ เดิมพูดออกมา เหมือนเรื่องที่ผมเห็นหน้าเขามันตลกสิ้นดี

     “เปล่าครับ”

     “นั่งซิ” ผมลงนั่งที่พื้นทราย เป็นที่เดิมที่ผมเคยนั่งกับคุณซีก่อนหน้านี้ ที่ที่คุณซีเคยกอดผมจากทางด้านหลัง

     “หน้านายนี่น่าแกล้งเหมือนที่ไอ้ซีบอกจริงๆ ด้วย”

     “เขาพูดแบบนั้นกับทุกคนเลยหรอครับ”

     “อื่ม” คนที่หน้าตาคล้ายกับผมมาก ใส่ชุดขาวสะอาดทั้งตัว ผมสีเทาควันบุหรี่ปลิวไปตามลมทะเล เขาน่ารัก และมีเสน่ห์ อย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด ไม่แปลกใจที่คุณซียังรักเขาอยู่จนทุกวันนี้

     “ไม่ผิดหรอก ไอ้ซีมันยังรักฉันอยู่ แล้วยังไงล่ะ นายจะเลิกรักมันไหม”

     “เอ่อ ผม ผม ตอบไม่ได้ครับ”

     “ฮ่าๆๆ ทำไมหละ คำถามง่ายจะตาย ซีมันไม่ได้รักนายนะ มันเห็นนายเป็นแค่ตัวแทนฉันเฉยๆ”   คุณบีหัวเราะร่วนและก็ปล่อยคำถามที่ผมตอบไม่ได้ มันตรงกับที่ผมคิดทุกอย่าง

     “เอาน่า เลิกรักมันซะ ยังไงมันก็ไม่รักนายอยู่ดี มันรักฉัน”

     “แต่คุณซี บอกว่ารักผมเหมือนกันนะครับ” ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตาคนข้าง ๆ

     “มั่นใจได้ยังไงหละ”

     “ก็ตอนที่คุณซีขอผมคบเขาก็ดูหนักแน่น แล้วแววตานั้นก็ไม่โกหก” ผมพูดด้วยความสัตย์จริง ตอนที่คุณซี บอกว่าทนให้ใครมาสนใจผมไม่ได้แล้ว แววตาของเขาดูจริงจังแล้วก็ไม่ล้อเล่นด้วย

     “ไอ้บ้านั้นมันไม่เคยล้อเล่นหรอก” ผมต้องรีบหันกลับไปหลบตา เพราะคนข้างๆ มองมาอีกแล้ว ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดกับคุณบียังไงก็ไม่รู้

     “ครับ”

     “แล้วเรื่องที่มันยังรักฉันอยู่ก็จริงด้วย นายจะทนได้หรอเป็นตัวแทนของฉันไปตลอดน่ะ”

     “คิดว่าไม่ได้ครับ”

     “งั้นต้องทำยังไงล่ะ”

     “ทำไมคุณถึงถามผมเรื่องนี้ล่ะครับ”

     “นายนี่เก่งนะ ทำให้ไอ้ซีมันบอกรักได้ ฉันแอบรักมันมาตั้งสามปี กว่าที่มันกับฉันจะได้รักกัน แถมรักกันได้ปีเดียวก็มาตายซะนี่ ฮ่าๆๆๆ ตลกเนาะว่าไหม”

     “น่าเศร้าจะตาย ตลกตรงไหนครับ”  สีหน้าของคนที่บอกว่าตลกไม่เห็นมีความสุขสักนิด

     “ตลกตรงที่รู้จักกันมาตั้งนาน เป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก ดันมารักกันซะได้ แถมรักกันก็ต้องจากกันแบบนี้ ชีวิตแม่งโคตรตลก” ผมรู้สึกถึงความเศร้าใจที่ส่งออกมาอย่างชัดเจน น่าสงสาร ทำไมเรื่องของคุณบีกับคุณซีถึงน่าสงสารขนาดนี้

     “มันเป็นเรื่องที่ดีนะ คุณบีไม่คิดแบบนั้นหรอ การที่มีใครบางคนรักเราได้มากขนาดนี้ มันก็เป็นเรื่องที่น่าจดจำไม่เห็นจะน่าน้อยใจตรงไหนเลย”

     “ฉันบอกเมื่อไรว่าน้อยใจ”

     “อิจฉาหรอครับ”

     “แหน่ะ อิจฉาทำไมเป็นแค่ตัวแทนเขาอย่าทำมาเป็นดีใจ” ผมเผลอยิ้มออกมาเพราะหน้าตาของคนพูด ดูก็รู้ว่าอิจฉาชัดๆ

     “ผมไม่แย่งคุณซีจากคุณหรอกครับ”

     “หมายความว่ายังไง”

     “ก็คุณซี เป็นของคุณบีนี่ครับ เป็นมาตลอด สามปีที่ผ่านมา คุณซีไม่เคยรักใครเลยนะครับ”

     “แล้วนายล่ะ ไหนเมื่อกี้บอกว่ามันรักนายไง”

     “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าจริงๆ แล้วคุณซีเห็นผมเป็นแค่ตัวแทนของคุณหรือเปล่า”

     “กลับไปได้แล้ว ไอ้ซีมันกำลังจะเป็นบ้า”

     “เขาคงคิดถึงคุณในตัวของผม”

     “คิดถึงได้ไง นายกับฉันไม่เหมือนกันสักนิด ถึงหน้าตาจะคล้ายกันก็เถอะ” รอยยิ้มใจดีแอบกวนประสาทนิดๆ นั้นน่าหมั่นไส้จริงๆ เหมือนกำลังคุยกับคุณซีในเวอร์ชั่นหน้าคล้ายตัวเองยังไงยังงั้นเลย

     “มันก็น่าคิดนี่ครับ ดูอย่างอาหารที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาชอบสั่งแต่เมนูเดิมทั้งๆ ที่ตัวเองก็กินไม่ได้ นั้นคงเป็นอาหารที่คุณชอบ”

     “กินเหล้าไหม สูบบุหรี่ไหมล่ะ เคยนอนกับผู้หญิงหรือเปล่า” ประโยคสุดท้ายทำให้ผมเบิกตาโพล่ง มันใช่เรื่องต้องมาถามกันโต้งๆ แบบนี้ไหม

     “ไม่เคยใช่ไหมล่ะ เห็นไหม นี่ก็ไม่เหมือนกันตั้งสามข้อแล้ว”

     “ทำไมถึงจากคุณซีมาหละครับ”

     “ฉันไม่ได้อยาก แต่ฉันจำเป็น ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ไม่ชอบที่เราคบกันเท่าไรนัก ทั้งๆ ที่ฉันกับมันก็เก็บเป็นความลับเต็มที่ แต่คงไม่ดีพอ อุบัติเหตุคราวนั้นมันทำให้ฉันไม่เจอมันอีก เหมือนกับคราวนี้ ถ้านายไม่กลับไป ซีมันต้องตายแน่ๆ “

     “อุบัติเหตุ มีคนตั้งใจทำร้ายคุณหรือครับ ใครเป็นคนทำครับ”

     “คนแก่บ๊องเอ้ย ฉันเป็นเรื่องในหัวของนาย ถ้านายไม่รู้แล้วฉันจะรู้ได้ไง”

     “อ้าว งั้นหรอครับ หมายความว่าคราวนี้ผมก็โดนทำร้ายเหมือนกันหรือครับ”

     “ก็น่าจะนะ อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกด้วย”

     ทำไมถึงมีคนต้องการทำร้ายผม หรือว่าจะเป็นแม่คุณซีที่อยากให้เราเลิกกัน ไม่น่าจะใช่ ถึงจะดูใจร้ายไปหน่อย แต่ก็คงไม่ใจร้ายถึงขนาดฆ่าแกงกันได้ แต่จะมีใครอีกหละ คำขู่นั้นก็ดูหนักแน่นและน่ากลัว และเธอก็คงทำแบบนั้นได้ไม่ยาก

     “กลับไปเถอะ แล้วบอกไอ้ซีด้วย ว่าเรื่องมันกับแพร ฉันไม่เคยเอามาคิดสักนิด ให้มันสบายใจได้ แล้วเรื่องจูบวันนั้นก็ไม่ได้คิดว่ามันนอกใจ เพียงแต่อยากที่จะหนีไปสงบสติสักแป๊บ จะมีใครเห็นแฟนตัวเองจูบกับคนอื่นแล้วจะอยู่เฉยได้จริงไหม”

     “เรื่องจูบอะไรครับ ไหนคุณบอกว่าคุณอยู่ในหัวของผม ถ้าผมรู้คุณก็รู้ เรื่องนี้ผมไม่เห็นจะรู้เลย” ผู้ชายผมสีเทาควันบุหรี่ ขยี้หัวผมจนไม่เป็นทรง

     “นายนี่มันน่าแกล้งจริงๆ” เสียงหัวเราะที่ผมได้ยินจากคนตรงหน้า  มันดีจริงๆ มันเป็นเสียงหัวเราะที่บอกถึงความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย

     “ผมมีคำตอบแล้วนะครับ”

     “หื่ม???”

     “ที่คุณบีถามว่า ถ้าคุณซียังรักคุณอยู่ แล้วผมจะเลิกรักเขาไหม”

     คุณบีใช้มือเท้าคางตัวเองไว้ เอียงหัวน่ารัก แถมยิ้มมุมปากจนหน้าหมั่นไส้

     “ผมจะไม่เลิกรักเขาหรอกครับ ถึงแม้เขาจะรักคุณนั้นก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับผม ส่วนเรื่องทีผมรักเขา นั้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาเหมือนกัน”

     รอยยิ้มจนตาหยีปรากฎให้เห็นต่อสายตา นี่เป็นเรื่องดีอีกเรื่องในชีวิตของผม ดีจริงๆ

 

 
******************************************************************************************
 

     สายตาค่อยๆ ปรับโฟกัส จนเห็นเพดานสีขาว ไฟดาวน์ไลท์ที่เกาะอยู่บนเพดาน

     “ยุฟื้นแล้ว”

     เสียงพี่ปริม บอกให้รู้ว่าเธอมีความสุขมากแค่ไหน ที่ผมลืมตาในที่สุด ผมไม่รู้ว่านอนนิ่งๆ แบบนี้มากี่วันแล้ว ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไร แต่หนังตาที่หนักอึ้ง กับความระบมที่หัวก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนที่นอนดูด ต้องนานแล้วแน่ๆ เลย

     ภาพผู้ชายผมสีเทาควันบุหรี่กับรอยยิ้มน่ารักนั้น ผมยังจำได้ เหมือนว่าเพิ่งคุยกันเมื่อกี้ แต่ที่นี่ไม่ใช่เกาะเล็กกลางทะเลนั้น ที่นี่ไม่ใช่ทะเลหาดส่วนตัวของคุณซี และถ้าผมไม่สติเลอะเลือนจนเกินไป ที่นี่คงเป็นโรงพยาบาล

     “เป็นไงมั่งยุ จำพี่ได้ไหม” เสียงพี่ปริมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เดาไม่ออก จะว่าตกใจก็น่าจะใช่อยู่ หรือว่าความรู้สึกดีใจก็ปนๆ กันไป

     “ตายแล้ว จำอะไรไม่ได้หรือเปล่า คุณเรียกหมอหน่อยค่ะ” เสียงเลื่อนประตูดังตามมาติดๆ ถ้าคำว่าคุณนั้น น่าจะหมายถึงคุณเกีรยติ ไม่ใช่ผมจำไม่ได้ แต่ดูเหมือนสติผมจะประมวลไม่ทัน มันยังรู้สึกหัวหนักๆ อยู่

     “คุณยุครับ คุณยุ มองตามแสงนะครับ” หมอธรรมวุฒิ ใช้ไฟฉายขนาดเล็กสำหรับแพทย์ ส่ายไปมาบริเวณตาผม ผมเพียงมองนิ่งๆ ผมรู้สึกเหนื่อยอย่างประหลาด

     “ปกตินะครับ คุณยุครับ คุณยุได้ยินหมอไหม” ผมพยักหน้าให้กับคำถามนี้ เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นทุกคนคงวุ่นวายกันกว่านี้แน่

     “ดิฉันโทรบอกคุณซีนะคะหมอ คุณซีต้องดีใจแน่ๆ” เสียงเอ่ยชื่อของอีกคน ทำให้ผมใจเต้น นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราเจอกันหลังจากเกิดเรื่องบ้าๆ นั้น คำถามที่ค้างคาในใจ ถึงแม้คุณบีบอกว่าผมกับเขาไม่เหมือนกันสักนิด แต่ดูด้วยตามันก็คล้ายเลยใช่ไหมล่ะ ตอนแรกที่คุณซีเห็นผมก็ต้องคิดว่าใช่ ใช่ไหม

     “ผมโทรเรียบร้อยครับ เดี๋ยวมันคงรีบกลับมา”

     “พี่ดีใจมากนะ” ผมพยักหน้าอีกรอบ ให้กับคนที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ น้ำตาพี่ปริมปริ่มจะไหลลงบนแก้มผมแล้ว

     “ตอนที่ยุยังไม่ฟื้น คุณซีเป็นห่วงยุมากนะ นั่งเฝ้าทั้งวันทั้งคืนเลย ก็มีวันนี้นี่แหละ ที่เขาไม่อยู่” ผมส่งยิ้มเล็กๆ ให้กับพี่ปริม

     “ให้ยุพักผ่อนดีไหม คุณชวนคุยเยอะไปแล้ว”

     “ก็ดีใจนี่คะ” หันไปยิ้มให้กับคุณเกียรติที่เพิ่งปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง

     “ผมหลับไปนานไหมครับ”

     “ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนี้ก็เข้าวันที่ห้าแล้วล่ะ ดื้อนะเรา เรียกให้กลับก็ไม่กลับ”

     “ห้าวันเชียวหรอครับ”

     “จำอะไรได้บ้างไหม เกิดอะไรขึ้นแล้วไปที่บ้านนั้นทำไม” ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงคำถามนี้ก็ต้องถูกถาม แต่ผมกลับไม่ได้คิดคำตอบไว้ล่วงหน้าเลย

“อุบัติเหตุ มีคนตั้งใจทำร้ายคุณหรือครับ ใครเป็นคนทำครับ”

     มีคนตั้งใจทำร้ายผมและคุณบี

“หมายความว่าคราวนี้ผมก็โดนทำร้ายเหมือนกันหรือครับ”

     มีคนอยากให้เราทั้งคู่หายไป

“ก็น่าจะนะ อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกด้วย”

 
     ผมจะพูดเรื่องนี้ได้ยังไง คนเดียวที่อยากให้ผมกับคุณบีหายไป คงมีแต่เขา

     “ผมจำไม่ได้ครับ” พี่ปริมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

     “กระทบกระเทือนหรอ จำไม่ได้หรือไง ว่าไปที่ไหนมา”

     “ผมจำได้ว่า ผมตั้งใจเอาสัญญาไปให้คุณอัลเบิร์ตเซ็น หลังจากนั้นก็ ..... ก็ จำอะไรไม่ได้อีกเลยครับ”

     สีหน้าที่เป็นกังวลของพี่ปริมส่งออกมาชัดเจนมาก ผมรู้ว่าเธอเป็นห่วง เธอรักผมเหมือนกับน้องชายแท้ๆ แต่ผมก็เป็นห่วงเหมือนกัน ห่วงความรู้สึกของคนที่ผมรัก

“แกอยากให้ฉันใช้ไม้แข็งกับแกหรือไง”

     ถ้าผมพูดหรือเล่าอะไรไป คุณซีจะรู้สึกยังไง

“ถ้าแกไม่อยากตายศพไม่สวย ก็อยู่ห่างๆ ลูกฉันไว้”

     คำพูดวนเวียนออกจากหัวไม่ได้เลยจริงๆ

 
     ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ พี่ปริมยังคงง่วนอยู่กับการปอกผลไม้ข้างๆ เตียง เจ้าปอมเด็กแสบตัวน้อย แอบขึ้นมานั่งจ้องหน้าผมนิ่งๆ บนเตียง พร้อมกับพูดตลอดว่า พี่ยุเจ็บไหมฮะ อยู่แบบนั้น

     ตอนนี้ก็ใกล้เย็นแล้ว แสงสีส้มที่รอดผ่านช่องหน้าต่างนั้นเป็นสิ่งเดียวที่บอกให้ผมได้รับรู้เวลา เขายังไม่มา คุณซียังไม่มา ผมยังคงรอคอย และคิดถึงเขาเหลือเกิน

     ผมคิดถึงคุณซี แต่ก็ล้างเรื่องราวของคุณบีออกจากหัวไม่ได้เลย ตอนนี้ไม่สงสัยแล้ว ว่าทำไมคุณเอ ถึงคิดว่าผมตั้งใจมาหลอกน้องชายเขานัก เพราะถ้าเป็นผม ผมก็คงคิดแบบนั้น คนอะไรหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ ถ้าผมรู้มาก่อนว่าเขารักคุณบีมากแค่ไหน เรื่องที่จะให้เขาสนใจผมทันทีที่เห็นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

     “พี่ปริมรู้จักคุณบีใช่ไหมครับ” ผมเอ่ยถามในความเงียบของห้อง ทั้งๆ ที่ผมมองไปนอกหน้าต่าง แต่ก็แอบเห็นพี่ปริมหันไปมองหน้าคุณเกียรติ คุณเกียรติเดินออกจากห้องไปพร้อมน้องปอม เหมือนรู้ว่าผมอยากคุยกับพี่ปริมแค่สองคน

     “เขาน่ารักใช่ไหมครับ” พี่ปริมพยักหน้า

     “ไปรู้เรื่องเขามาจากไหนหละ ไหนว่าจำไม่ได้ว่าไปไหนมา”

     “ผมไม่อยากพูดอะไร แต่ก็ค้างคาน่ะครับ”

     “แฟนเก่าคุณซี นิสัยดี น่ารักเชียวแหละ ออกจะกวนๆ สักหน่อยตามประสาผู้ชาย แต่เวลาอยู่ด้วยกันก็เหมาะกันดี” ภาพผู้ชายผมสีเทาควันบุหรี่ที่ส่งสายตายียวนก่อนหน้านี้ลอยขึ้นมาในความคิดทันที

     “คุณซีรักคุณบีมากใช่ไหมครับ”

     “......”

     “พี่ปริมไม่อยากบอกผมหรือครับ ยังไงผมก็รู้เรื่องนี้แล้ว แล้วก็ไม่ได้รู้จากคุณซีด้วย ผมเลยจุดที่จะตกใจหรือเสียใจกับการที่ผมหน้าคล้ายคุณบีมาแล้วครับ ผมเลยความรู้สึกที่ว่าคุณซีอาจเห็นผมเป็นแค่คุณบี และอาจไม่ได้รักผมอย่างที่เขาบอกจริงๆ”

     “ยุอย่าคิดมากน่า ยังไงบีก็จากไปนานแล้ว เราคือปัจจุบัน อย่าสนใจกับอดีตนักเลย”

     “แต่อดีตนั้นสวยงามเหลือเกินครับ และก็เจ็บปวดมากด้วย จะลืมง่ายๆ เชียวหรือครับ ถ้าลืมง่าย คุณซีคงไม่ใช้เวลาในการทำใจตั้งสามปีหรอกใช่ไหมครับ แล้วตอนนี้ก็ใช่ว่าคุณซีจะลืมได้เมื่อไรกัน”

     เสียงเลื่อนประตูทำให้บทสนทนาของเราจบลง พี่ปริมยังคงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมและพี่ปริมหันไปทางประตูพร้อมกัน และนั้นก็ทำให้ผมตกใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

     สีหน้าของผู้หญิงวัยกลางคนเปื้อนน้ำตา ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้อย่างกล้าๆ กลัว ผมมองหน้านั้นนิ่ง แขนข้างหนึ่งที่ยังมีผ้าพันแผลอยู่อยากโอบกอดความรักที่หายไปนานหลายปี หัวที่มีผ้าพันแผลอยู่อยากซบลงที่ไหล่เล็กๆ นั้น ให้สมกับความคิดถึง แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผมสักนิด ถ้าไม่ติดสายน้ำเกลือ ผมคงจะลงจากเตียงโผกอดผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมคิดถึง

     “ยุลูก” น้ำเสียงสั่นเครือที่นานแล้วไม่ได้ยินแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันก็หลายเดือนก่อนตอนโดนไล่ออกจากห้อง แต่กี่ปีแล้วนะ ที่เราไม่คุยกันต่อหน้าแบบนี้

     “แม่ครับ” ผมพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง พี่ปริมที่ยื่นอยู่ข้าง ๆ เห็นก็เข้ามาช่วยในทันที

     “แม่ไม่เข้ามาหายุหรอครับ ยุลงจากเตียงไม่ไหว แม่เดินมาหาให้ยุกอดหน่อยได้ไหมครับ” น้ำตาค่อยๆ คลอออกมาอย่างไม่รู้ตัว แม่ปล่อยโฮร้องไห้แล้วเดินมาหาข้างเตียง ผมโผกอดผู้หญิงคนนี้ ที่ผมสามารถกอดเขาไปได้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะต้องเวลานานเท่าไร

     “เจ็บไหมลูก” น้ำเสียงปนกับเสียงสะอื้นทำให้ผมแทบจะขาดใจ ต่อให้ผมเจ็บปางตายผมก็จะไม่ปริปาก

     “ไม่ครับ ยุไม่เจ็บเลย”  ผมผละออกจากอ้อมกอดอยากเห็นหน้าแม่ชัดๆ

     “เป็นเด็กเป็นเล็ก หัดโกหก หายแล้วจะตีให้ตาย”

     “ยุโตแล้วนะแม่” โผเข้ากอดคนเป็นแม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะกอดอีกนานเท่าไรมันก็รู้สึกว่ามันชดเชยไม่ได้ ตลอดเวลาหลายปี ที่เราเสียทุกอย่างให้กับคำว่าทิฎฐิ

     “ผมขอโทษครับ”

     “ขอโทษที่ขับรถไม่ระวัง หรือขอโทษที่แกเกิดมา” น้ำเสียงดุดัน ที่ผมเคยชิน แต่ไม่ได้ยินมันมาหลายปี น้ำตาที่ไหลนองหน้าไหลหดกลับเข้าไปหมด ไม่ได้ยินเสียงของพ่อมานานเท่าไรแล้ว ผมเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนที่จะจ้องหน้านั่นเขม่ง น้ำเสียงเกีรยวกราดยังมีให้เห็นไม่ได้ลดลง ผ่านมานานเท่าไรแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเห็นผมเป็นลูก

     ผมไม่รู้ว่าพ่อไม่รักผมตั้งแต่เมื่อไร ผมจำความได้ ก็ไม่เคยมีอะไรดีสำหรับพ่อเลยสักนิด จะว่าเขาโกรธตอนที่ผมบอกว่าผมชอบผู้ชาย ก็คงจะไม่ใช่ เพราะเขามีลูกเพียงคนเดียวมานานแล้ว ลูกที่ชื่อตะวัน พอตะวันตายทุกอย่างทุกความคาดหวัง ก็มาฝากไว้ที่ผม ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยมองเห็นผมเสียด้วยซ้ำ แต่พอไม่มีตะวันอยู่ตรงนี้ ผมก็กลายเป็นคนสำคัญ ที่ไม่มีตัวเลือก

     ครั้งนึงที่ผมเคยเล่าเรื่องของผมให้กับคุณซีฟัง แต่ไม่ได้เล่าถึงเหตุผลว่าเพราะอะไรถึงออกจากบ้าน ตอนนั้นแค่เล่าไปแค่นั้นก็เหมือนว่าตัวเองเปิดใจให้เขาไปจนหมดแล้ว แต่เรื่องที่มันทำให้ทุกอย่างบานปลายคือเรื่องที่พ่อพยายามหาแฟนให้ผม ซึ่งนั้นก็เป็นเหตุผลที่ผมต้องบอกออกไปตรงๆ ว่าผมชอบผู้ชาย จากนั้นทุกอย่างที่ผมหยิบจับก็ดูจะน่ารังเกียจสกปรกไปซะหมด ยิ่งไม่มีตะวันคอยห้ามเรื่องของผมกับพ่อก็ยิ่งรุนแรง จนผมออกมาจากบ้าน

     วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกในรอบหกปีที่เราได้คุยกัน แน่นอน ว่ามันรู้สึกกะอักกะอ่วนไม่น้อย ผมไม่รู้จะตอบคำพูดนั้นออกไปยังไงดี คำพูดที่ดูเหมือนจะค่อนขอดว่าผมไม่น่ามีชีวิตอยู่ให้เขาได้อาย

     “คงจะเป็นอย่างหลังมั่งครับ” ผมตอบออกไปโดยที่จ้องหน้าแม่นิ่ง จริงๆ เขาไม่ต้องมาด้วยก็ได้

     “แม่มาได้ยังไงครับ ทำไมถึงมาที่นี่ได้”

     “แฟนเรานั่นแหละ เขาไปพาแม่มา”

     “แฟน???” คงไม่ต้องอธิบายก็คงพอจะเดาออก ว่าต้องเป็นคุณซีแน่ แต่ไอ้เรื่องที่ไปบอกพ่อกับแม่ว่าเป็นแฟนนี่คือยังไง แล้วคนต้นเรื่องหายไปไหนซะล่ะ

     “ไม่ต้องมามองหน้าฉัน ฉันไม่ได้ยินดียอมรับหรอกนะ แค่เห็นว่าแกยังไม่ตายหรอกถึงมา” พ่อหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกับกระแทก พลางเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

     “เขาบอกแม่หรือครับ ว่าเป็นแฟนยุ”

     “เขาบอกว่าเป็นเจ้านาย แล้วก็เป็นคนรัก แบบนี้เรียกแฟนไหมหละ” แม่ยีหัวผมเหมือนกับผมเป็นเด็ก ผมมองหน้าแม่ทีพ่อที แล้วก็โผกอดกันอีกครั้ง แว็บนึงที่ผมเห็นพ่อมองมาแล้วทำท่าเหมือนโล่งใจ ทำไมผมถึงรู้สึกดีใจกับอีแค่รอยอมยิ้มที่มองไม่ออกด้วยซ้ำว่ายิ้มหรือเปล่านั้นนะ

     “ทำเป็นเก๊กไม่เข้าเรื่อง”

     “อะไรเล่า แม่นี่ พูดอะไร พ่อไม่ได้เก๊กอะไรสักหน่อย”

     “ไหนตลอดทางพูดว่า มันฟื้นก็ดีแล้ว”

     “อะไร ไม่ได้พูดสักหน่อย”

     เสียงพ่อกับแม่เถียงกันลั่นโรงพยาบาล พลอยมีเสียงหัวเราะของพี่ปริม เสียงคุณเกียรติที่พาเจ้าปอมตามเข้ามาทีหลัง แนะนำตัวกันเสร็จสรรพ ผมจะคิดเอาเองว่าพ่อยอมเปิดใจบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย ถึงสายตาที่มองมาจะไม่เอ็นดูนัก แต่ก็ดีแค่ไหนแล้วที่เขายอมมา ยอมคุยกับคุณเกียรติ ดีแค่ไหนแล้ว ที่เขายังมองหน้าผมบ้าง

     ผมเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ยังเป็นลูกของพ่อกับแม่ใช่ไหมครับ
 

 

 
*************************************************************************************
 

 

          เสียงหัวเราะ ดังลั่นรอดประตูห้องพักคนไข้ของโรงพยายาม มือเล็กกำกันแน่น เห็นเส้นเลือดปุนโปนด้วยความโมโหเหมือนกำลังมีไฟที่เผาหัวใจให้ร้อนและใกล้แตกเป็นเสี่ยง เพราะเรื่องที่อุตส่าห์ลงแรงไปกลับไม่เป็นผล คนยืนอยู่ข้างๆ กับรองเท้าหนังสีดำขลับ ยืนสงบนิ่งไม่ปริปาก เพราะอารมณ์ของอีกคนต่อให้พูดอะไรก็คงไม่มีทางทุเลาแน่

          “ตายยากจริงนะ” น้ำเสียงพึมพำเหมือนจะไม่อยากให้ใครได้ยิน รองเท้าหนังสีดำขยับเข้ามาใกล้ เหมือนสัญญาณบอกว่าควรไปจากตรงนี้ได้แล้วก่อนที่ใครจะมาเห็น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

TBC

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ขอตัดตอนที่ตรงนี้ ถ้าต่ออีกฉากต้องยาวแน่ แล้วเจอกันค่ะ


หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 17 ได้โปรด (5/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 05-03-2017 18:55:06
= 17 =

 

 

สีดำมืดสนิทคือสิ่งแรกที่ปรากฎต่อสายตาของผม มือทั้งสองข้างถูกมัดไพล่ไว้ข้างหลัง อาการปวดหนึบที่ขมับขวาแสดงอาการทันทีที่ผมรู้สึกตัว เวลาที่ผ่านไปไม่นานก็ทำให้สายตาของผมปรับรับแสงได้มากขึ้น นี่คือห้องว่างที่ไม่มีแม้แต่หน้าต่าง ที่กลางห้องมีเพียงแค่เตียงเหล็กเก่าๆ เพียงหลังเดียว และก็เป็นที่ที่ผมนั่งอยู่ ห้องไม่ได้ใหญ่นัก และกลิ่นอับเหม็นคละคลุ้งนั้นก็ทำให้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะไม่มีใครอยู่นานมากแล้ว

ผมไม่ได้รับการตอบกลับจากสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างยังคงเงียบมาร่วมชั่วโมง แสงเล็กๆ ที่รอดผ่านช่องประตูเข้ามา และมีเงาตัดกันบ้างในบางครั้ง ทำให้รู้ว่าข้างนอกหลังประตูที่ผมแทบจะมองไม่เห็นนั้น มีคนเฝ้าอยู่

ผมไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้แม้ว่าคนร้ายที่จับผมมานั้นต้องการอะไร เอาเข้าจริง ตั้งแต่ผมเกิดมาจนอายุใกล้เลขสามผมมั่นใจว่าไม่มีทางที่ผมจะไปก่อศัตรูที่ไหนแน่ จนตอนนี้ หนึ่งปีให้หลังมานี่ผมก็รู้สึกเหมือนมีศัตรูรอบตัว แบบขนาดที่ไม่สามารถเดาได้เลยว่าเป็นใครกันแน่ ทุกคนดูอยากเป็นศัตรูกับผมทั้งนั้น

ประตูบานเล็กๆ ตรงหน้า ค่อยๆ ถูกเปิดออก แสงจ้าจากทางด้านนอกทำให้ผมมองเห็นแค่เพียงเงาดำๆ ของคนที่กำลังเปิดประตูเข้ามาเท่านั้น แต่เงาดำนั้นก็ไม่ได้ปิดท่าทางของคนที่กำลังถือถาดเข้ามาได้

รองเท้าหนังสีดำที่ผมเห็นได้ชัดตอนที่เขาเข้ามาใกล้ ผู้ชาย ที่ใส่กางเกงทรงสุภาพสีเทาเข้มที่เห็นแค่ปลายขานั้น ดูได้ไม่ยากว่าการตัดเย็บนั้นต้องมาจากห้องเสื้อหรูพอสมควร

ถาดอาหารถูกบรรจงวางลงที่ปลายเตียง อาการค้อมหัวเล็กน้อย แสดงถึงความสุภาพที่มีต่อผมเป็นอย่างดี เขาดูไม่เหมือนคนร้าย

“จับผมมาทำไมครับ” และท่าทางของคนตรงหน้าดูจะมีความเป็นมิตรอยู่ไม่น้อย ไม่มีเสียงตอบจากอีกคน แต่เขากำลังเปิดฝาครอบที่กำลังครอบชามข้าวต้มควันของความร้อนพวยพุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นหอม แต่ผมคงจะไม่มีอารมณ์กินตอนนี้แน่

“คุณต้องการอะไรครับ”

“ทานก่อนเถอะครับ คุณจะได้มีแรง” น้ำเสียงทุ้มดูมีความใจดี และสุภาพเกินกว่าจะเป็นผู้ร้าย แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็คือคนที่ทำให้ผมติดอยู่ในสภาพนี้อยู่ดี

“แล้วคนอื่นๆ ล่ะครับ คุณจับเขามาด้วยหรือเปล่า” ผมถามออกไปและไม่ได้แม้แต่จะชายตามองช้อนที่มีข้าวต้มอยู่ค่อนช้อน เล็บสะอาดสอ้าน มือเรียวยาวสวย บ่งบอกถึงความมีสุขภาพของคนตรงหน้า ทำให้ผมยิ่งอยากรู้เหตุผลของการที่ผมต้องมาอยู่ที่นี่

“ทานหน่อยซิครับ” คำคะยั้นคะยอยังคงถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ถ้าคุณทานข้าวต้มชามนี้หมด พร้อมทั้งกินยาที่ผมเตรียมไว้ ผมจะตอบคำถามทุกข้อเลยครับ” สัจจะในหมู่โจรจะมีไหมหละ แต่ก็เอาเถอะ ผมเลือกที่จะรับช้อนข้าวต้มนั้นแล้วตักมันเข้าปากเสียเอง ไม่นานนัก ข้าวต้มพร้อมกับยาเม็ดเล็กหลายเม็ดก็หมดไม่มีเหลือ

“ผมทานหมดแล้ว คนอื่นหายไปไหนกันครับ”

“คุณมาที่นี่เพียงคนเดียวครับ” น้ำเสียงสุภาพเอ่ยออกมาจากที่ใดที่หนึ่งในห้องมืดนี้

“แล้วคุณจับผมมาทำไม”

“คุณคงเป็นที่รักมากเกินไป มีความสุขเกินไป และแข็งแรงเกินไป”

“ที่คุณพูดคือผมน่าจะต้องตาย แต่กลับไม่ตายหรือครับ หรือว่าคุณ” คำตอบของคำถามนี้อยู่ในหัวผมเต็มไปหมด โดยที่ไม่ต้องรอคำตอบจากเสียงที่ไม่รู้ต้นทาง

 “คุณทำให้มีคนไม่พอใจ”

“ไม่พอใจที่ผมรอด ไม่ตายเหมือนคุณบีหรือครับ”

“น่าจะเป็นแบบนั้น”  น้ำเสียงแผ่วลง แสดงถึงความลังเล และรู้สึกผิดอยู่ในที

“ทำยังไงผมถึงจะได้กลับบ้านครับ”

“ก็เลิกกับเขาซิ!!!”

 

น้ำเสียงนี้ ผมคุ้นเคยดี แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นเขา

 

 

 
********************************************************************************************
 

“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมตำรวจเต็มไปหมดแบบนี้” วันนี้พายุออกจากโรงพยาบาล ผมตั้งใจจะมารับเขากลับ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เจอเขามาเป็นอาทิตย์แล้ว

 

 

เมื่อคืนนี้

“คุณหนูจะไม่ไปหาคุณยุบ้างหรือครับ” เสียงของคิด ที่วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะทำงานในบ้านหลังใหญ่ ทำให้ผมรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เป็นอาทิตย์แล้วที่พายุฟื้นจากอาการที่ประสบอุบัตเหตุแต่ผมยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะไปเห็นหน้าเขา คิด คนสนิทของเอ ที่ผมใช้เขาทำเรื่องต่าง สืบเรื่องราวทั้งหมด ก็กลับเข้ามาดูแลผมเหมือนกับเลขาส่วนตัวในเวลานี้  ผมกลับมาอยู่ที่บ้านใหญ่ ตั้งแต่พายุฟื้น ผมต้องมาคอยดู และใกล้ชิดเพื่อที่ผมจะได้รู้ข่าวเร็วกว่าใคร การอยู่ใกล้ศัตรูยิ่งทำให้รู้ความเคลื่อนไหวมากขึ้น

“เรื่องที่ให้ไปสืบไปถึงไหนแล้ว”

“ผมกำลังเช็กกล้องวงจรปิดทุกตัวที่มีครับ แต่ของเมื่อสามปีก่อนก็ดูจะยากสักหน่อยครับ แต่ผมจะทำให้ดีที่สุด ส่วนของคุณยุ ดูเหมือนจะเกิดหลังจากที่คุณหนูเดินทางครับ”

“เรื่องบี ฉันอยากหาตัวคนที่ทำร้ายเขาให้เจอ ไม่งั้นฉันคงไม่มีหน้าไปเจอยุ ถ้าเรื่องของบียังผุดขึ้นในหัวฉันทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา” ผมได้ยินเสียงรับคำของคิด ก่อนที่เข่าจะเปิดประตูออกไป

“ฉันคิดถึงตัวเปี๊ยกของฉันจริงๆ อยากเห็นหน้าอยากกอด” ผมได้แต่พูดกับตัวเอง คำพูดที่ผมอยากพูดกับเขา พอรู้ว่าคนที่ตั้งใจจะทำร้ายพายุกับบีเป็นคนเดียวกัน ผมก็ต้องยิ่งกังวล และยอมรับตรงๆ ว่าไม่มีหน้าไปเจอพายุ มันน่าละอาย ที่ปากผมบอกว่ารักเขาแทบจะขาดเขาไม่ได้ แต่ก็นึกถึงเรื่องบีอยู่ตลอดเวลา

ผมย้ายตัวเองเข้ามาอยู่บ้านใหญ่ไม่ต้องบอก ก็คงเข้าใจความต้องการของผม การที่อยู่ใกล้ๆ เขาทำให้ผมดูแลพายุได้ดีกว่า ทุกการกระทำของเขา จะต้องอยู่ในสายตาผม เราไม่เคยคุยกัน ผมกับแม่ ไม่เคยแม้แต่มองหน้ากัน เราเหมือนคนอื่นสำหรับกันและกันไปแล้ว ซึ่งตามหลักความจริงแล้วมันทำไม่ได้ ยังไงเขาก็เป็นแม่ ถึงผมจะคิดว่าทุกอย่างเป็นฝีมือเขา แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลายเป็นคนอื่นไม่ใช่แม่ของผม

คุณปริมโทรมาบอกว่าพรุ่งนี้ พายุจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งผมก็คัดค้านในทันที เขาเพิ่งจะฟื้นน่าจะพักอีกสักหน่อย ร่างกายยังไม่แข็งแรงดี ทันทีที่ผมรู้เรื่องก็โทรหาไอ้หมอทันที

“ทำไมให้ออกเร็วจังวะ”

(มึงน่าจะมาหาเขาบ้าง เขารอมึงทุกวัน)

“กูก็ไปทุกวัน”

(มาตอนหลับมาทำไมวะ)

“กูอยากให้เขาพักอีกสักหน่อย อีกอย่างกูว่าเขายังไม่ปลอดภัย”

(เขาอยากกลับคอนโด เพราะคิดว่ามึงอยู่ที่นั้นไม่ต้องบอกก็รู้นะ ว่าเขาอยากเจอมึงมากแค่ไหน” ประโยคที่มันพูดกับผม ผมเข้าใจดีทุกอย่าง ดีกว่าอะไรทั้งหมด

“กู เกือบทำเขาตาย”

(มึงคิดแบบนี้อีกแล้วนะ แต่เขายังไม่ตายถ้ามึงคิดว่าตัวมึงเป็นสาเหตุมึงก็ควรมาโผล่มาให้เขาเห็นบ้าง)

“เอ่อ กูรู้แล้ว เดี๋ยวกูจะไปรับเขาเอง”

ผมตกปากรับคำไอ้หมอออกไปแล้ว เมื่อคืน นั่นเป็นเหตุผลที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ เมื่อเช้ากว่าจะทำใจออกจากบ้านใหญ่ได้ก็เดินแล้วเดินอีก ไม่รุ้จะต้องทำหน้ายังไง พอทำใจได้ตัดสินใจมา กลับพบว่ามีตำรวจยืนเต็มหน้าห้องพายุไปหมด

“ว่าไงครับ คุณปริม แล้วนี่ยุอยู่ไหน” คุณปริมทำหน้าเจือนจนใจคอผมไม่ดี

“เกิดอะไรขึ้น” ผมเน้นเสียงให้อีกคนตอบอะไรออกมาบ้าง

“คือ ยุ หายไปค่ะ”

“หายไป ยังไง”

คุณปริมยื่นกระดาษใบเล็ก มาให้ผม

บอกให้ศิริวัฒน์ เลิกยุ่งกับพายุซะ ถ้ายังอยากเจอกันอีก

หนังสือตัวพิมพ์ออกจากคอมพิวเตอร์ บนกระดาษใบเล็กที่ผมได้อ่าน แทบจะทำให้ผมหมดแรง ผมค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องพักคนไข้ สมองตีรวนจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่มองกระดาษใบเล็กที่ตอนนี้ดูจะยับยู่ยี่เต็มที

“นี่มันอะไรกันอีก” ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที เสยผมที่ปกหน้าผากลวกๆ เพราะรู้สึกรำคาญ แค่เสียงเดินไปเดินมาของตำรวจผมก็รำคาญ ทุกอย่างมันชวนหน้าหงุดหงิด ผมล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงหวังจะต่อสายถึงอีกคน ให้จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนที่ผมจะอกแตกตาย แต่ก็เหมือนโลกจะพังลงตรงหน้า คิดปิดเครื่อง ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยจะปิดโทรศพัท์ ทุกครั้งที่ผมโทรหาเขา ไม่ว่าจะดึกดื่นขนาดไหนไม่มีทางที่คิดจะไม่รับโทรศัพท์แน่ๆ

ความหงุดหงิดและความโมโหเข้าเกาะกุมทั้งอารมณ์ สมอง จิตใจ จนตอนนี้กระวนกระวายแทบเป็นบ้า ไอ้หมอเดินมาพร้อมกับตำรวจอีกสองคนที่หน้าตาดูจริงจังและแสดงออกถึงความกังวล

“ดูเหมือนจะปลอมตัวเป็นบุรษพยาบาลแล้วพาคุณพายุออกไปทางด้านหลัง”

ผมเงยหน้ามองหน้าไอ้หมอแล้วไม่พูดอะไรสลับกับมองหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนคนเดิมที่ทำคดีขอ

“ผมประสานไปเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดแล้วครับ น่าจะได้เรื่อง”
 

“พอดีกล้องที่หลังโรงพยาบาลเสีย เราเลยไม่เห็นเลขทะเบียน” ผมถอดหายใจอีกครั้ง และมองหน้าคนตรงหน้าที่เหมือนผลัดกันรายงานสถานการณ์ประจำวันทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ถาม

“ดูเหมือนคุณพายุจะหมดสติ” ผมกำกระดาษในมือแน่น จนเส้นเลือดปูน

“มึงดูกล้องแล้ว คิดว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนไหม”

“มองคร่าวๆ ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร อาจจะโดนยาสลบ ถึงได้ดูหมดสติแบบนั้น”

ผมจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ผมจะต้องทำยังไงให้ทุกอย่างมันจบลงซะที  ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผมกันแน่ แม่ต้องการอะไรกันแน่ถึงต้องทำแบบนี้ แค่ทำให้เกิดอุบัตเหตนั่นก็มากเกินพอแล้ว ถึงขนาดมีคนตายแล้ว และนี่เขายังต้องการอะไรอีก ต้องการอะไรจากผมอีก ในเมื่อผมยังติดต่อคิดไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงกับเรื่องนี้ กุญแจรถที่อยู่ในมือ ผมกำมันแน่น ไม่ได้ใช้เวลาในการใคร่ครวญเรื่องต่างๆ นานเท่าไรนัก ผมจะต้องเค้นคอถามคนที่เป็นต้นเรื่องว่าทุกอย่าง ผมจะต้องทำยังไงมันถึงจะจบ แล้วเขาเอาพายุไปไว้ที่ไหน

 
ผมตัดสินใจแบบนั้นแล้ว เหยียบคันเร่งเต็มกำลัง เดินทางกลับบ้านใหญ่ ไปคุยกับแม่ให้รู้เรื่อง เรื่องนี้มันชักจะบานปลายไปกันใหญ่แล้ว

ทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าบ้าน ภาพที่เห็นนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ภาพตรงหน้าที่แม่กำลังจิบน้ำชาถ้วยโปรด มือสไลด์หน้าจอแทบเล็ตเลือกแบบเครื่องเพชรแบบที่ท่านชอบทำ ท่าทางไม่รู้สึกรู้สาอะไรนั้น ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่าเดิม

แม่ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ไม่มีท่าทางร้อนรน หรือสบายใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ท่านดูธรรมดา ปกติ เหมือนไม่ได้มีเรื่องให้คิด

“จ้องทำไม มีอะไรก็พูด” พอจบประโยคนั้น ผมก็นั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม คนตรงหน้าไม่ได้มองหน้าผมสักนิด

“มี๊ กำลังทำอะไรอยู่ครับ” ผมพยายามคุมความโกรธที่มีอยู่ให้มันสงบลง ถ้าผมผลีผลามพายุอาจอยู่ในอัตราย

“เลือกเครื่องเพชรที่จะใส่ไปงานพรุ่งนี้ ทำไม” นั่นไม่ใช่คำตอบที่ผมอยากได้

“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ผมหมายถึงว่ามี๊กำลังทำอะไรอยู่ เรื่องผมกับยุ”

“ทำไม มันตายแล้วหรอ” ผมกำมือแน่น ความโมโหที่มีมันกำลังทำให้ผมตกนรก

“มี๊ปล่อยผมกับยุไปเถอะครับ เรารักกัน”  สายตาที่แม่มองมาที่ผม เหมือนกับละจากของที่ตัวเองสนใจเพียงแค่ชั่วแวบ แล้วสิ่งนั้นไม่ได้น่าสนใจเท่ากับสิ่งแรกที่มองอยู่มันดูไร้ค่าจนผมต้องหลบสายตาเย็นชาแบบนั้น

“มาบอกฉันทำไม”

“มี๊ปล่อยเราไปเถอะครับ ผมจะไม่บอกเรื่องที่ผมรักกัน ไม่ทำให้มี๊ต้องเสียหน้าทางสังคม ปล่อยพวกเราเถอะ เรื่องสามปีก่อน เรื่องอื่นๆ ผม ...ผมจะไม่ใส่ใจและมองข้ามมันไป เพียงแค่วันนี้ มี๊ปล่อยพายุเถอะครับ” ทั้งๆ ที่ตั้งใจ มาถามให้รู้เรื่อง มาด้วยความโมโห และจะให้มันรู้ดำรู้แดงกันวันนี้ แต่พอมาถึง กลับทำได้แค่เพียงอ้อนวอนให้แม่เห็นใจเราทั้งคู่

“มี๊จะคิดซะว่าผมไม่ใช่ลูกก็ได้ ถ้ามันจะทำให้มี๊ต้องอับอาย”

“แกคิดว่ามันง่ายแบบนั้นหรอ แกเป็นลูกฉันมา 26 ปี แล้วอยู่ดีๆ ก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นก็ได้หรอ” น้ำเสียงของแม่ราบเรียบซะจนตัดความหวังของผมอย่างไม่มีทางเลือก

“ผมกับยุจะไปอยู่ที่อื่น ประเทศอื่น ออกจากวงจรชีวิตของมี๊”

“ทำเหมือนที่พ่อแกทำน่ะหรอ” แม่วางแท็บเล็ต แล้วยกแก้วชาขึ้นจิบ ขายกไขว้ห้าง หลังพิงพนักโซฟาอย่างสบายอารมณ์

“แล้วมี๊จะให้ผมทำยังไงครับ ทำยังไง ผม.. ฮึก ผม ไม่รู้ต้องทำยังไงแล้ว ผมอยากได้เขาคืนมี๊คืนเขาให้ผมเถอะครับ ผมขอร้องล่ะ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ที่มี๊ต้องการ ผมไม่อยากเสียเขาไปเหมือนเสียบีอีกแล้ว มี๊ครับ ได้โปรด ..ฮึก.. ได้โปรดเถอะครับ” ผมไม่ได้มองหน้าแม่ว่าตอนนี้ท่านทำหน้ายังไง ผมก้มหน้าให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลอีกแล้ว ผมเหนื่อยกับเรื่องนี้ ผมอยากได้เขาคืน ถ้าไม่มีเขาอีกคน ถ้าผมต้องเสียคนที่รักอีกคน ผมคงต้องตาย

“ตาซี เงยหน้า มองแม่” ผมค่อยๆ ทำตามคำสั่ง ที่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าคำสั่งนั้นคือคำสั่งของแม่ ที่มีต่อลูก ไม่รู้สึกเหมือนครั้งก่อนๆ ที่เหมือนกับเจ้านายสั่งลูกน้อง

“....”

“แกร้องไห้ขนาดนี้ทำไม ได้ข่าวว่ามันไม่ตายไม่ใช่หรือไง”

“ผม ผมขอร้องนะครับมี๊” ผมเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างเต็มตา ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยที่ผมรู้สึกว่าไม่ได้รับมันนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้
 

“ขอร้องฉันเรื่องอะไร”

“ปล่อยพายุกลับมาหาผมเถอะครับ มี๊เอาตัวเขาไปไว้ที่ไหน” แม่ขมวดคิ้วต่อหน้าผม ยังไม่ตอบคำถามที่ผมถาม

“มี๊ครับ ผมขอร้อง ปล่อยเขามาเถอะครับ แล้วผมจะลืมทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องบี หรือเรื่องนี้”

“เดี๋ยวตาซี นี่แกกำลังพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“มี๊พาตัวพายุไปไว้ไหนครับ แค่มี๊บอกมา ผมจะไปรับเขาเอง แล้วเรามาลืมเรื่องนี้ด้วยกันนะครับ” ผมยอมทุกอย่างพยายามเกลี่ยกล่อมคนตรงหน้า นั่งลงที่พื้นต่อหน้าแม่ วางมือไว้บนตัก เหมือนตอนเด็กที่ผมเคยอ้อน
 
“ฉันไม่ได้เอาตัวมันไป”

“ฉันไม่ได้เอาตัวพายุไป แม่ไม่ได้ทำแบบนั้นนะตาซี” น้ำเสียงที่จริงจังของแม่ ทำให้ผมรุ้สึกว่ามันไม่มีคำโกหกปนอยู่ในนั้นเลย ไม่ใช่แค่ตลอดสามปีที่ผมไม่ได้เห็นสายตาจริงจังแบบนี้ แต่สายตาแบบนี้จะถูกแสดงออกเสมอถ้าเรื่องนั้นจริงจังจนไม่มีทางปฎิเสธแม่ได้ สายตาแบบนี้แม่เคยมองผมตอนที่บอกให้ผมเลือกท่านกับบี

“มี๊ ...”

“ฉันไม่ได้จับตัวเด็กนั้นไปจริงๆ เรื่องอุบัติเหตุหน้าบริษัท เรื่องรถที่เสียบ่อยๆ เรื่องโดนไล่ออกจากคอนโด เรื่องอุบัติเหตุแปลกๆ ทุกอย่าง ฉันเป็นคนทำเอง เรื่องข้อความที่มันได้รับว่าให้เลิกคบกับแก เรื่องเอมมี่ เรื่องหนูแพร ที่ฉันบอกให้พวกหล่อนเข้าไปวนเวียน ให้กุญแจคอนโดแกกับหนูแพร ฉันทำเองทั้งนั้น แต่ฉันไม่ได้เป็นคนเอาตัวมันไป”

คำพูดที่แม่พูดออกมาทำเอาผมน้ำตาไหลย้อนกลับเข้าไปข้างใน สีหน้า น้ำเสียง ไม่มีแววโกหกแม้แต่นิดเดียว

“แล้วเรื่องตัดสายเบรก”

“ฉันไม่ได้ทำ”

“.....” ผมยังมองหน้าคนเป็นแม่นิ่ง

“ไม่ได้ทำทั้งตอนนี้ ไม่ได้ทำทั้งเมื่อสามปีก่อน”



คุณหนูกำลังเข้าใจผิดนะครับ

 

“นี่แกคิดว่า แม่ของแกจะฆ่าใครให้ตายได้อย่างนั้นหรอ”

“ก็คำพูดของมี๊วันนั้น”

“แกคิดว่าฉัน ใจร้ายขนาดนั้นเลยหรอ ถึงฉันจะเกลียดไอ้เด็กนั่น เกลียดมันทั้งคู่ แต่คิดว่าฉันจะฆ่าคนได้เลยหรอ” แม่หยิบมือของผมออกจากตักของท่านและนั่งหันหน้าหนี

ผมนั่งหมดแรงอยู่ที่เดิม ยอมรับว่ารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกว่าเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้บีต้องตายและทำให้พายุเกือบตายไม่ใช่ฝีมือแม่ คำของพี่ขจร ดังในหูว่าผมกำลังเข้าใจผิด นั้นไม่ได้หมายความเพียงแต่ว่า พี่จรรู้ว่าแม่ไม่ได้ทำ แต่นั่นอาจหมายถึง พี่จรรู้ว่าใครเป็นคนทำด้วย

“มี๊ พี่จรอยู่ไหน”

“ขอลางาน เห็นบอกว่ามีธุระต้องไปจัดการ ถามมันก็ไม่บอก” แม่พูดถึงเลขาส่วนตัวของตัวเอง ด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

“ลาตั้งแต่เมื่อไร”

“วันนี้แหละ มาบอกเมื่อเช้า ทำไมมีอะไร”

“ก็พี่เขาพูดกับผม ตอนที่เจอกันที่หลุมศพบี พูดเหมือนเขารู้ว่าใครเป็นคนทำ”

แม่ไม่ตอบอะไร เพียงแต่มองหน้าผมนิ่ง ๆ

เสียงโทรศัพท์ทำลายบรรยากาศน่างุนงงและใช้ความคิดของผม

“นี่หายไปไหนมารู้ไหมฉันโทรหากี่รอบแล้ว”

(ทราบครับ)

“มี...”

(คุณหนูครับ)  ผมยังไม่ทันได้บอกสิ่งที่คิดอยู่ในใจคิดก็ขัดขึ้นมาซะก่อน

“ว่ามา”

(ผมได้กล้องวงจรปิดเมื่อสามปีก่อนมาแล้วครับ และก็ได้พยานปากสำคัญคดีคุณพายุด้วยครับ ตอนนี้ผมอยู่ชลบุรี แต่ผมมีไฟล์บางส่วนที่อยากส่งให้คุณหนูดูก่อน)

“ส่งมา”

(คุณหนู ห้ามบุมบ่ามนะครับ) ไม่มีอะไรทำให้ผมอารมณ์ร้อนได้มากกว่านี้อีกแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่าแม่ไม่ใช่คนทำ แต่ใช่ว่าผมจะไม่โกรธไอ้คนทำ

คิดว่างสายไปแล้ว รอชั่วอึดใจเดียว เสียงแจ้งเตือนก็ดังตามมา ไฟล์วีดีโอที่ผมได้รับผ่านทางแอพริเคชั่นนั้น ไม่ได้ชัดเจนมากนัก แต่ที่เห็นชัดถึงแม้ภาพจะเบลอขนาดไหนก็คงเป็นเขา ผมสีเทาควันบุหรี่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่ไปวันนั้น เขายืนหันหลังให้กับกล้องกำลังคุยกับผู้หญิงอีกคนในขณะนั้น ไฟล์วีดีโออีกอัน ที่มองเห็นหน้าของบีชัดเจน แต่เพียงแค่เสี้ยวเดียว โฟกัสหลักของกล้องกลับตรงไปที่รถที่ตอนนี้เห็นปลายขาเลยออกมาจากใต้ท้องรถ

หลังจากที่ผมดูทั้งสองคลิปจบแล้ว ความรู้สึกคุ้นก็ติดอยู่ในหัวแต่นึกไม่ออก ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร ซึ่งถ้าดูกันตามหลักแล้ว คงไม่พ้นเรื่องสมรู้ร่วมคิดแน่ๆ

Kid: ต่อไปเป็นภาพนิ่งนะครับ

Kid: ส่งรูปภาพถึงคุณ

Kid: ส่งรูปภาพถึงคุณ

Kid: ส่งรูปภาพถึงคุณ

Kid: ส่งรูปภาพถึงคุณ

 

 

รูปภาพจำนวนสี่รูปถูกส่งมาเครื่องของผม และแค่ไม่นานรูปนั้นก็ชัดเจนขึ้นจากการโหลดเรียบร้อย และภาพของผู้หญิงคนนั้น

 

 

 

 

“ไม่จริง!!!!”

 

 

 

TBC

 

 

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ใกล้จบแล้วนะ มีใครลองเดากันบ้างไหมว่าใครเป็นคนร้าย แต่ไม่ใช่แม่นะ ไม่ใจดี แต่ก็ไม่ใจร้ายนะจ๊ะ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ^^
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 17 ได้โปรด (5/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: bemue_am ที่ 05-03-2017 19:03:10
งื้อสนุกกกก ทำไมพึ่งเห็น  :mew1:
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 17 ได้โปรด (5/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 05-03-2017 23:34:51
ใครอ่ะ :a5:
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 17 ได้โปรด (5/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่KEI_jry ที่ 06-03-2017 01:00:51
แพรหรอ.... :serius2:
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 18 ได้โปรด (25/3/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 25-03-2017 14:07:11
=18=




“ทานนี่ซิคะ จะได้ทานยา” เสียงหวานหูพร้อมกับช้อนที่มีข้าวต้มอยู่เต็มช้อน ยื่นเข้ามาใกล้หน้า เหมือนไม่ได้ต้องการป้อนแต่ต้องการราดใส่หน้าซะมากกว่า

“อย่าดื้อซิคะ คุณพายุไม่ทานอะไรเลย เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอซีหรอกค่ะ”  น้ำเสียงไพเราะทำให้ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงซะคุณซีก็ไม่ได้รักผมอยู่แล้ว”

“รู้ตัวแล้วหรือค่ะ นึกว่าจะโง่อีกนานซะอีก”

“ครับ ผมรู้แล้ว แล้วคุณล่ะครับ”

“หมายความว่ายังไง”

“คุณรู้หรือยังครับ ว่าไม่ว่ายังไงคุณซีก็ไม่มีทางรักคุณ” เสียงกระแทกชามข้าวต้มกับโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงดังไปทั่วห้องมืดมิด

“คุณพายุ” เสียงกระแทกรอดไรฟัน เป็นสัญญาณของอารมณ์ครุกรุ่นของคนตรงหน้า

“เราต่างก็รู้ดี ว่าหัวใจของคุณซีมีแต่คุณบีเท่านั้น ถ้าผมไม่หน้าคล้ายคุณบี เขาเองก็อาจจะไม่คบกับผมก็ได้ ถ้าเขาคิดจะรักคุณ ผมคงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้”

“ปากดีนักนะ”

ผมอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถต่อสู้ไหว ร่างกายที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางดีนัก ผมถูกจับตัวมาที่นี่เข้าวันที่สามแล้ว มีเพียงนาฬิกาข้อมือกับเข็มเรืองแสงที่พอจะบอกเวลากับวันที่ให้กับผมได้ ห้องมืดสนิทที่มองไม่เห็นใคร มองไม่เห็นแม้แต่หน้าตาของคนพูด แต่ผมจำเสียงเขาได้ดี และก็นึกเสียใจอยู่ไม่น้อย คนที่ผมไม่เคยนึกถึงว่าจะเป็นคนทำร้ายผมได้

ความสงสารที่ผมเคยมีให้เขาก่อนหน้านี้ผมอยากจะขอคืนมันทั้งหมด เขาไม่เคยอยู่ในลิสต์รายชื่อของคนที่ทำร้ายผมเลยสักนิด ถ้าเขาเพียงแค่แสดงตัวว่าเกลียดผมให้ชัดเจนกว่านี้ โอเค ผมรู้ว่าเราไม่ได้ญาติดีกันนัก แต่เราไม่ได้เกลียดกันถึงขนาดตั้งใจฆ่ากันได้ขนาดนี้

“เอาล่ะ ยังไงก็กินซะ หรือต้องรอให้ผู้ชายมาป้อนถึงกินได้” ผมเบือนหน้าหนีช้อนคันเล็กนั้น

“ให้ผมจัดการเองดีกว่า” เสียงทุ้มที่ดูใจดี พูดขัดการกระทำบ้าๆ นั้นซะก่อน

“ลืมไป ว่าเป็นเกย์” น้ำเสียงที่ดูราบเรียบแต่แฝงด้วยความเย้ยหยันทำให้ผมรู้สึกหวิวโหวงอยู่ในใจไม่น้อย เสียงเดินด้วยรองเท้าส้นสูง และแสงจากประตูทำให้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเดินออกไปแล้ว

“ทำไมไม่ทานล่ะครับ  แรงแทบจะไม่มีอยู่แล้ว บางทีคุณก็น่าจะทำตัวน่ารักบ้าง เธอจะได้ไม่โมโห เจ็บไหมครับ” ชามข้าวต้มถูกถือกลับมาอยู่ในมือใหญ่อีกครั้ง อีกมือที่ตอนนี้น่าจะถือช้อนกลับลูบเบาๆ ที่ขมับของผม ที่โดนตีเมื่อวาน

“ไม่ครับ”

“ทานเถอะครับ น้ำเสียงคุณดูอ่อนแรงซะจนผมกลัว” ช้อนที่เต็มไปด้วยข้าวต้มคันเดิมถูกยื่นมาอีก ผมอ้าปากรับข้าวต้มนั้นอย่างว่าง่าย

“แล้วทำไมไม่ทำตัวน่ารักแบบนี้กับเธอบ้างล่ะ” ถ้าผมหูไม่ฝาดเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอของคนตรงหน้า ที่แม้แต่หน้าก็มองไม่เห็นกัน

“คนเกลียดกันจะให้มาทำน่ารักใส่กันได้ยังไงกันครับ”

“ผมรู้แล้วครับว่าทำไมคุณซีถึงรักคุณนัก”

“...”

“ก็คุณน่ารัก ขนาดโกรธยังน่ารักเลยนะผมว่า” ผมรับข้าวต้มอีกคำ ผมอยากมองเห็นหน้าเขา จากน้ำเสียงเหมือนว่าเขากำลังยิ้ม

“ไม่รักหรอกครับ” ช้อนข้าวต้มนั่นชะงัก และวางกลับลงไปในชาม

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นครับ”

“สามวันแล้วนะครับ ผมว่ามันนานเกินไปแล้ว ไม่สิ ตั้งแต่ผมฟื้นผมยังไม่เห็นหน้าเขาสักครั้งเลย” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจออกมา

“ข้างนอกวุ่นวายน่าดูเลยครับ ทีมสืบสวนชุดใหญ่กำลังหาคุณกันให้ขวัก แถมมีคนสนิทคุณเอมาช่วยด้วย ไม่นานนี้คุณซีคงหาคุณเจอ และนั่นอาจทำให้เราต้องย้ายที่ซ่อนตัวคุณ” น้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังมากกว่าทุกที ถึงรู้ว่ายังไงคุณซีก็คงต้องออกตามหาผมแน่ๆ แต่เรื่องที่น้อยใจกับเรื่องตามหาตัวผมกลับไปผมแยกมันออกจากกันอย่างชัดเจน มาหักกลบลบกันไม่ได้

“งั้นหรอครับ” ผมรับชามข้าวต้มมาถือไว้เอง

“ทำไมถึงคิดว่าคุณซีไม่รักล่ะครับ”

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่อยากเป็นตัวแทนของใครไปตลอด หน้าคล้ายกันแต่ไม่ใช่คนเดียวกัน ผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าที่เขาทำ เขารู้สึกมันจริงๆ หรือเปล่า หรือเพียงแค่อยากให้ผมอยู่ใกล้ๆ เพื่อที่จะได้เห็นคุณบีตลอดเวลา” ข้าวต้มในชามที่กินไปได้เพียงครึ่งถูกวางลง  ผมควานหาถ้วยเล็กที่ใส่ยาและกลืนมันลงคอ เพียงชั่ววิ แก้วน้ำก็ถูกยัดใส่มือ

“ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกครับ”

“เข้าใจเขาดีหรอครับ” ผมคืนแก้วน้ำให้กับคนตรงหน้า

“ผมคิดว่าผมเข้าใจ”

“ทำไมถึงทำแบบนี้ครับ”

“ทำอะไรครับ”

“ทำไมถึงยอมร่วมมือกับเธอ คุณอาจจะติดคุกไปด้วยนะ”

“ผมรักเธอครับ  รักเธอมานาน ไม่รู้หรอกครับว่าเมื่อไร รู้ตัวว่ารักเธอก็พร้อมๆ กับที่รู้ว่าเธอรักคนอื่นนั่นแหละครับ” เรื่องนี้มันคือเรื่องน่าเศร้าที่สุดที่ผมได้สัมผัสมา การรักใครสักคนแล้วเขาไม่รักเนี้ย มันน่าเศร้านะว่าไหม

พวกเราทุกคนล้วนมัวเมาอยู่ในคำว่ารัก ผม คุณซี คุณคนแปลกหน้า และผู้หญิงคนนั้น ทำไมมันถึงได้ดูน่าเจ็บปวดขนาดนี้ แค่คำว่า รัก ทำให้พวกเรายอมทำทุกอย่าง ทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายหัวใจที่อ่อนแอลงทุกวัน

“น่ากลัวจังนะครับ”

“???”

“คำว่ารัก มันน่ากลัว จริงๆ “

“เราเลิกคุยกันดีกว่าครับ แล้วก็พักผ่อนนะ ผมคิดว่าคืนนี้พวกเราคงต้องเดินทางกันจริงๆ แล้ว คุณซี คงไม่ยอมให้คุณหายไปเข้าวันที่สี่แน่ ผมรู้สึกได้” ถึงแม้คนแปลกหน้าจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ยังรู้สึกน้อยใจ มันเป็นความขัดแย้งที่ผมเองก็บอกไม่ถูก คิดถึงเขาอยากเจอเขามาก อยากกอด อยากให้เขาพูดว่ารักผม แต่อีกใจก็ไม่อยากเจอเขาอีก รอดจากตรงนี้ไปได้ ผมอยากหายไปจากชีวิตเขา ใช่และเขาก็ต้องหายไปจากชีวิตผมด้วย ผมไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาอีก ผมไม่อยากเป็นตัวแทนของคุณบีไปตลอด เหมือนที่ผมเคยบอกไว้นั้นแหละ ว่าผมยอมไม่ได้ ที่จะเป็นตัวแทนเขาไปตลอด

 

 *************************************************************************************
 

 

             ความมืดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณเป็นเครื่องกำบังให้ผมและเหล่าตำรวจได้เป็นอย่างดี ตำรวจใช้เวลานานเกินไปมันเป็นสามวันที่ผมสุดจะทรมาน  คิดได้ขอให้เพื่อนเข้ามาช่วย แต่ดูเหมือนทุกอย่างมันจะดูอืดอาดไปหมด “เราต้องไม่ประมาทเราต้องวางแผนไม่งั้นอาจเป็นอันตรายต่อตัวประกัน” นี่คือคำพูดที่ผมได้ยินเกือบจะตลอดเวลา ให้ตาย!! ผมรู้สึกหงุดหงิดจนแทบเป็นบ้า ภาพของพายุถูกส่งเข้าเครื่องของผม จากเบอร์ที่ค้นหาไม่พบ ภาพที่เขามีเลือดซึมที่ขมับ มันถูกส่งเข้ามาเมื่อวาน ผมสติขาดทันทีที่เห็น แต่คงเป็นแค่ผมคนเดียว คิดและเหล่าตำรวจยังคงใจเย็น เย็นจนผมกลัวว่าพายุจะตายไปซะก่อน

          “บอกซิ ว่าจะเลือกยุ่งกับมัน แล้วพายุจะปลอดภัย” คำขู่ไร้สาระที่ส่งให้ผมทุกวันตั้งแต่วันแรกที่พายุถูกจับตัวไป ผมไม่เคยตอบข้อความนั้น แต่ไม่ใช่ไม่สนใจ ผมพยายามค้นหาประสานกับทางตำรวจแต่เป็นเบอร์ที่ไม่ได้ลงทะเบียนทุกอย่างก็จบ และเบอร์ก็เปลี่ยนไปทุกๆ วัน  และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกทำร้าย 

ผมไม่เข้าใจจุดประสงค์ครั้งนี้ของเธอว่าเธอต้องการอะไร ทำไปเพื่ออะไร และที่ผมอยากรู้เหตุผลก็คือเรื่องเมื่อสามปีก่อน

          ตำรวจเข้าประชิดตัวบ้านอย่างเงียบเชียบ มันน่าจะเป็นที่แรกที่ผมควรนึกถึงแต่ไม่เลย ผมไม่ได้คิดถึงที่นี่เลยสักนิด แสงไฟสีส้มจากหลอดกลมเพียงดวงเดียวที่ส่องสว่างอยู่กลางบ้านในตอนนี้ พวกเราเฝ้าดูอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะรู้แน่ชัดว่าพายุอยู่ห้องไหน ห้องใต้บันได ห้องที่ผมเคยใช้เล่นซ่อนแอบ มีเงาคนเดินเข้าออกจากตรงนั้น

ปัง!!!!


เสียงปืนมาจากทางหลังบ้านที่ติดกับทางเข้าป่า คิดยัดปืนกระบอกนึงให้ผม และวิ่งไปกับตำรวจอีกสองคน อีกสองคนที่อยู่กับผมกำชับปืนในมือแน่น นั่นรวมทั้งผมด้วย

ผมอ้อมไปเข้าทางข้างบ้าน ทางนั้นเป็นทางที่ใกล้ที่สุดที่เข้าไปที่ห้องใต้บันได แต่คงไม่ทัน ไฟของบ้านทั้งหลังถูกเปิดจนสว่าง และทันทีที่ผมเปิดประตูพร้อมกับตำรวจอีกสองนาย

 

แพรวากำลังใช้ปืนจ่อขมับพายุ!!!!

 

เพราะพายุตัวเล็ก และสภาพยังไม่แข็งแรงดี นั้นทำให้ดูเหมือนเขาจะไม่มีแรงสู้ หน้าตาที่ดูอิดโรยนั่นทำให้หัวใจของผมแถบหลุดออกจากร่าง น้ำใสที่คลออยู่ที่หน่วยตาเล็กๆ นั้น ยิ่งทำให้ผมอยากเข้าไปกอดเขา และทันทีที่ผมก้าวเท้า ปืนพกพาสำหรับผุ้หญิงก็กระแทกเข้ากับขมับของพายุ ถึงจะไม่แรงนัก แต่ก็หยุดการกระทำของผมได้ทุกอย่าง

“แพร ปล่อยพายุเถอะ เขายังไม่หายดี” ผมใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเพียงแค่หวังให้เธอปล่อยคนรักของผม

“ไม่!!! ทำไมซีถึงมองข้ามแพรตลอดเลย”

“ซีไม่ได้รักแพรไง แค่นี้”

“ไม่จริง ถ้าไม่มีพวกมัน ซีก็ต้องรักแพรอยู่แล้วใช่ไหม เหลือแพรเพียงคนเดียวแล้วที่รักซี” น้ำตาของผู้หญิงตรงหน้าผมไม่ได้เรียกความสงสารจากผมเลยสักนิด เอาเข้าจริงถ้ามองข้ามเรืองเพศผมอยากชกหน้าแพรวาตรงนี้เลย สีหน้าของพายุดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว

“ต่อให้ไม่มีผม คุณซีก็ไม่รักคุณแพรหรอกครับ แค่ก “ เสียงไอปนกับเสียงพูดของพายุทำให้ผมแทบขาดใจ ตาหยีๆ ของเขาทำให้ผมรู้ว่า เขาคงถูกขังอยู่ในห้องมืดๆ นี้ตลอดสามวัน

“หุบปากไปเลยนะ” แพรวาพูดลอดไรฟันข้างหูตัวประกัน ถ้าพายุมีแรงดี แรงล๊อกของผู้หญิงแค่นั้นคงไม่ลำบาก ยังไงพายุก็เป็นผู้ชาย แต่ตอนนี้ตอนที่ร่างกายเขายังไม่แข็งแรง ยังคงมีผ้าพันแผลพันอยู่เหมือนกับตอนที่ออกจากโรงพยาบาลแค่แรงจะยืนยังเอาไม่อยู่

“แพร ต่อให้คุณทำอะไรพายุมันก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่ายังไง ซีก็ไม่ได้รักแพร”

“งั้นซี่รักใครหล่ะ รักมันงั้นหรอ” น้ำเสียงปนเย้ยหยันที่ถูกส่งออกมายังไม่เท่ากับสายตาที่ต้องการฟังคำตอบของอีกคน

“หรือว่า ซีรัก ไอ้บี รักมันจนทุกวันนี้ เพราะหน้ามันเหมือนกันใช่ไหม ซีถึงเลือกมัน ถ้าไม่มีมัน ไม่มีพวกมัน ซีก็ต้องเลือกแพร ไม่มีใครเหมาะสมกับซีเท่าแพรอีกแล้ว” เสียงไอค่อกแคกของอีกคนยังทำหัวใจผมหล่นวูบอยู่ดี

“มันไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้นแหละ ปล่อยพายุไปเถอะแพร” ระหว่างที่กำลังเกลี่ยกล่อมกันอยู่นั้น ผมก็ดันเหลือบไปให้ใครอีกคน ที่ไหล่ขวาของเขามีรอยกระสุน ขจรโดนยิง

“ไม่จริง ก่อนหน้านี้ ซีไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลย ใจร้าย ซีใจร้ายที่สุด ไม่รู้สึกได้ยังไง ไม่รู้ได้ยังไงว่าแพรรักซีมากขนาดไหน  คิดว่าขจัดยัยดาวไปได้ ทุกอย่างจะจบ ก็ดันมีบีเข้ามาอีก”

“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับดาว”

“ฮึ ซีคิดว่า ผู้หญิงโง่แบบดาว จะดูออกเองเหรอ ว่าไอ้บีมันชอบซีถ้าไม่มีคนสะกิดมัน ไม่มีคนบอกมันมันจะรู้เหรอ พวกสวยแต่โง่แบบนั้นจะไปรู้เรื่องอะไร”

“นี่ มีเรื่องอะไรบ้างที่แพรทำ นี่แพรทำอะไรลงไปบ้าง”

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องเลย ท่าทางของซีที่ไม่ตกใจเลยตอนเห็นแพรไม่ได้หมายความว่า ซีรู้เรื่องมาก่อนหรอ”

สีหน้าของพายุเริ่มน่าเป็นห่วงมากกว่าเก่า เสียงหอบหายใจที่ดังมาเป็นระยะ แผลที่หัวที่น่าจะโดนตีเมื่อวาน ตามภาพที่ผมได้รับ เริ่มมีเลือดซึมออกมาอีก ผมเหลือบตามองดูเหมือนพี่จรจะค่อยๆ เดินมาข้างหลังแพร โดยที่เธอไม่รู้ตัว ช่วงเวลาไม่ถึงวิ ผมเหลือบมองเห็นสายตาที่ส่งมานั้นทำให้ผมรุ้ว่าพี่จรต้องการให้ผมถ่วงเวลาและเรียกความสนใจจากอีกคนที่ถือปืนจ่อขมับพายุอยู่

“แพร อย่าทำแบบนี้เลยนะ ถ้าแพรยอมปล่อยพายุ ซี จะคิดเรื่องของเราใหม่”  สีหน้าที่ดูดีใจของแพร มีให้เห็นไม่นานนัก แล้วคิ้วก็กลับมาขมวดอีก

“โกหกอีกแล้วนะซี”

“จริงๆ คุณก็รู้นี่ครับ คะ แค่ก ว่า ยังไง คุณซี คะ แค่ก ไม่มีทางรักคุณ” เสียงไอปนเสียงหายใจหอบ แต่ก็ยังพูดในสิ่งที่คิด

“จะตายอยู่แล้วยังไม่เงียบปาก” ปลายกระบอกปืนถูกดันหัวคนดื้อที่ฝีนร่างกาย จนผมแทบอยากจะเข้าไปกระชากออก

“ซีก็รู้ว่ายังไงแพรก็ไม่ยอม แพรทำได้ทุกอย่าง แพรบอกคุณป้าเรื่องบีกับซี แพรกระจายข่าวในวงสังคมแบบลับๆ เพื่อให้เข้าถึงหูคุณป้า ซีก็รู้ว่าคุณป้าห่วงหน้าตาตัวเองแค่ไหน ข้างหลังไม่ต้องขยับ ถ้ามีตำรวจคนไหนก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว หัวไอ้นี่กระจุยแน่” เสียงแพรวาประกาศกร้าว หลังจากที่ตำรวจอีกสองนายกำลังค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้

“ทำทุกอย่างให้คุณป้าเรียกบีมาคุย แต่ก็ไม่เป็นผล จนถึงซี ขนาดมีเรื่องหย่า ซีก็ไม่ยอมเลิกกับมัน รักมันมากนักหรอ” พูดไป ก็เหมือนกับระบายอารมณ์กับคนที่ไร้เรี่ยวแรงที่ตัวเองล๊อกคออยู่

“อุตส่าห์ดันด้นตามไปถึงสุสานพ่อกับแม่มัน ขอร้องมันดีๆ ว่าแพรรักซีมากแค่ไหน แต่มันก็กลับบอกว่ามันก็รักเหมือนกัน ตลก ผู้ชายกับผู้ชาย มันน่าขยะแขยง แล้วความคิดของแพรก็คิดได้ แพรบอกว่าเรามีอะไรกัน วันนี้บีไม่อยู่ แพรมีนัดกับซี แต่มันตอบไงรู้ไหม มันบอกว่าขอให้มันได้เห็นกับตามันถึงจะเลิก ขอให้ซีเป็นคนบอกมันเองว่าไม่รักมันแล้วมันจะไป ถ้าไม่มีสองอย่างนี้ มันก็คงต้องตายแล้วหละ ถึงจะเลิกรักซี แล้วยังไง แพรก็เลยทำให้มันตายสมใจ แต่ก็น่าเสียดายนะ จริงๆ แพรไม่ได้อยากให้มันตายเลยด้วยซ้ำแต่มันใจเสาะทนเห็นแพรกับซีจูบกันไม่ไหวถึงได้แหกโค้งตายแบบนั้น”

“ผิดแล้วล่ะครับ คุณแพรเข้าใจคุณบีผิดแล้ว”  ทั้งแพรและผมต่างก็มองหน้าอีกคนที่กำลังเหมือนรวบรวมกำลังเพื่อที่จะพูด

“คุณบีไม่เคยเข้าใจคุณซีผิด คุณบีไม่เคยคิดว่าคุณซีนอกใจ เหมือนกับผม ที่ไม่เคยคิดว่าคุณซีจะรักใครคนอื่นนอกจากคุณบีได้ ตอนนั้นคุณบีแค่ต้องการหลบไปก่อน มันก็จริงที่คุณบีทนเห็นคนรักของตัวเองจูบกับคนอื่นไม่ได้ แต่ คุณบีไม่โกรธคุณซีเลยสักนิดครับ เขายังคงรักคุณ รักเหมือนเดิม” ประโยคสุดท้ายที่พูดออกมา เหมือนพูดกับผม สายตาที่มองผม ทำให้ผมอยากเข้าไปกอดเขา แต่ไอ้ปืนบ้านั้นก็ยังจ่อหัวเขาอยู่ พี่จรกำลังค่อยๆ เดินเข้ามาและดูท่าทางของแพรอยู่ห่างๆ

“ไม่มีแรงจะพูดยังปากดีอีก เรื่องแกก็เหมือนกัน ฉันเป็นคนเป่าหูให้คุณป้าทำทุกอย่าง เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับแกมันเป็นเพราะฉันทั้งนั้น และคนที่เสนอเรื่องให้คุณอัลเบิร์ตเข้ามาในช่วงจังหวะที่คุณลุงกับซีไม่อยู่ ก็ฉันอีกนั้นแหละ และเป็นฉันเอง ที่ทำให้รถแกเบรกแตก แต่แปลกนะ ฉันอยากให้แกตาย แต่แกกลับดวงแข็ง รอดจนมาปากดีใส่ฉันได้ ฮึ แกคิดว่าฉันจะยอมหรอ ที่ทุกครั้งที่ไปห้องซีต้องเห็นไอ้รูปบ้าๆ พวกนั้น แกคิดว่าฉันจะยอมใช่ไหม” 

ด้ามปืนแข็งถูกทุบเข้าที่ท้ายทอยของอีกคน จนร่างทั้งร่างลงไปกองกับพื้น พี่จรใช้จังหวะนี้ในการจู่โจมเข้าจับตัวแพรจากทางด้านหลัง

 

 

ปัง!!!

 

แพรลั่นไกปืนมันเป็นช่วงชุลมุนวุ่นวาย ลูกปืนเฉียดต้นแขนผมไปเพียงนิดเดียว ผมเซถลารับร่างทั้งร่างของพายุ และกอดเขาไว้แน่น ไม่ได้สนใจ แผลที่ต้นแขนเลยสักนิด และนั่นทำให้การกระทำของแพรที่กำลังต่อสู้สุดกำลังหยุดลง

“ซี แพรไม่ได้ตั้งใจ แพรขอโทษ” ผมเพียงแค่เงยหน้ามองแพรแค่นั้น ไม่ได้แม้แต่ตอบว่าไม่เป็นไร ผมอภัยให้เธอซึ่งนั้นผมคงมอบให้เธอไม่ได้


“ตัวเปี๊ยก มองฉัน ตื่นซิ อย่าหลับ อย่าเป็นอะไรไปอีก ฉันขาดนายไม่ได้ นายก็รู้ ตัวเปี๊ยก”

ผมเห็นแพรทรุดตัวลงตรงหน้าอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลอาบแก้ม ร้องไห้ปานจะขาดใจ แต่ผมจะไม่ปล่อยพายุอีกแล้ว

“ซีมาหาแพร มาปลอบแพร แพรรักซีนะ รักซีมากกว่าใคร รักซีมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ที่บ้านเรายังอยู่ข้างกัน ซี มาหาแพร มาหาแพร ฮึก ฮื่อออ ซี มานี่นะ”

“ซีขอโทษนะแพร”

“ทำไม ทำไมไม่เป็นแพร ทำไมซีถึงมองคนอื่นตลอดเวลา แพรขจัดทุกคนออกไปจากซี แม้กระทั่งเอมมี่ ทำไม ทำไมซีถึงทำแบบนี้ ทำไมไม่มองเห็นแพรบ้าง มันไม่ได้รู้จักซีเลย มันไม่ได้รักซีเท่ากับที่แพรรัก ซี ซีกลับมาหาแพร มาหาแพร”

ภาพของเพื่อนสนิทที่โดนหิ้วปีกออกไป พร้อมกับน้ำตาทำให้ผมแทบขาดใจ แพรวา ยังคงเป็นเพื่อนที่ผมสนิทด้วยที่สุด ยังคงเป็นเพื่อนที่ผมคิดถึงมากที่สุด และ เป็นเพื่อนที่ทำให้ผมเจ็บปวดมากที่สุด ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เพราะ ผมเห็นเธอเป็นแค่เพื่อนใช่ไหม เรื่องมันถึงได้ลงเอยแบบนี้

 *********************************************************************************


คนป่วยยังหมดสติอยู่บนเตียงคนไข้ เรื่องนี้วนกลับมาอีกแล้ว ผมทำให้พายุเหนื่อยเกินไป เขาเจอเรื่องบ้าๆ พวกนี้เพราะผม ภาพที่เขาหลับพริ้มยิ่งทำให้ผมเจ็บปวด ถึงหมอจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมากเพราะร่างกายยังอ่อนแอ และยังเจอเรื่องแบบนั้นก็เป็นธรรมดาที่เขาจะหมดสติ “ปล่อยให้คุณพายุชาร์ตแบตซักพักนะไอ้ซี” คำพูดติดตลกของไอ้หมอไม่ได้ทำให้ผมยิ้มเลยสักนิด

แพรสารภาพหมดเปลือกและบอกว่าตัวเองเป็นคนสั่งการทุกอย่าง ถึงแม้ว่าพี่จรจะเป็นคนที่กระทำการทุกอย่าง แต่เธอก็บอกเองว่าเธอรับผิดทั้งหมด พี่จรเป็นคนลงมือตัดสายเบรก

พี่จรทำทุกอย่างไปเพราะรักแพรวา รักมากและทนไม่ได้ที่จะเห็นแพรต้องร้องไห้ทุกๆ ครั้งที่ผมมีแฟน นั่นเป็นสาเหตุที่เขาพร้อมจะทำทุกอย่างตามที่แพรสั่ง แม้กระทั่งฆ่าคน แต่เรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณเขา คิดบอกว่า เขาได้คุยกับพี่จรก่อนที่พายุจะหายตัวไป พี่จรเป็นคนแนะนำให้ลองไปคุยกับบาทหลวงคนก่อน ว่าเหตุการ์ณเมื่อสามปีก่อนเกิดอะไรขึ้นบ้าง และก็ได้ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดของโบสถ์ และข้อมูลจีพีเอส ที่คิดได้รับจากเบอร์ที่ไม่ได้ลงทะเบียนที่ระบุสถานที่ที่จับตัวพายุก็มาจากพี่จรเหมือนกัน  “คุณซีรักคุณพายุมากผมรู้” คำพูดประโยคเดียวที่ผมได้ยินก่อนที่พี่จรจะถูกใส่กุญแจมือ

แพรเป็นคนแนะนำเอมมี่ให้ไปเปิดตัวกับพ่อในตอนนั้นเพราะเธอรู้ว่าผมจะไม่ชอบใจและขอเลิกในที่สุด เป็นคนบอกแม่เรื่องที่อยู่ของพายุ และดูเหมือนจะตามสืบเรื่องพายุตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ต้องยอมรับว่าแพรมีเซนต์เรื่องนี้ และเธอบอกว่าเธอแน่ใจมากขึ้นว่าพายุต้องชอบผมแน่ๆ ก็ตอนที่เธอเอาสเต็กมาให้แล้วเราเกือบจูบกัน “สีหน้าของมันชัดเจนจะตาย”

ถึงจะเอ่ยปากบอกว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้บีตาย แต่ถ้าถึงขนาดตัดสายเบรกกันแล้วมาพูดแบบนี้มันก็ขัดกันไปหน่อย วันนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่าที่พี่จรบอกว่าผมเข้าใจผิดเรื่องแม่ก็เป็นแบบนี้เอง

แม่เพียงแค่มามองพายุตอนที่ยังไม่ฟื้นไม่ได้พูดอะไรแล้วกลับไป “ฉันจะไปดูหนูแพรที่สถานีตำรวจ”  แพรยังเป็นที่รักของพวกเราเสมอ เอตกใจมากกว่าใครที่สุด เพราะแพรเป็นเหมือนกับน้องสาว และเป็นเหมือนกับเลขาของเอด้วย ท่าทางน่ารักสุภาพ มันผิดจากที่คาดการณ์ไว้มาก “ไม่เป็นไรก็ดี ท่าทางจะชอบนอน ไม่ฟื้นสักที” เอชายตามองคนที่นอนหลับ ตบไหล่ผมสองสามครั้งแล้วออกจากห้องไป

ผมโทรบอกพ่อกับแม่ของพายุ และแน่นอนท่านต้องตกใจและโกรธผมมาก ยืนยันว่าให้ผมไล่พายุออกจากงานซะ และปล่อยตัวลูกชายเขากลับบ้านซะที นั้นก็เป็นอีกเรื่องที่ผมยังคิดไม่ตกตอนนี้ ผมไม่อยากจากเขาไปไหนอีกแล้ว

ส่วนอีกเรื่อง คำพูดของพายุ คุณบีไม่เคยคิดว่าคุณซีนอกใจ เหมือนกับผม ที่ไม่เคยคิดว่าคุณซีจะรักใครคนอื่นนอกจากคุณบีได้  ที่ผมต้องแก้ไข หลังจากที่คำพูดมันวนอยู่ในหัว ผมก็เข้าใจแล้วว่าพายุต้องคิดว่าผมไม่รักเขาแน่ๆ และที่ผมไม่ได้มาเจอเขาเลยเขาก็ต้องคิด นั้นมันไม่ผิด เพียงแต่เขาเข้าใจผิด

ผมไม่ได้ตั้งใจหลบหน้าเขา เพราะเขาเป็นตัวแทนของใคร แต่ที่ผมหลบเพราะผมละอายใจ ที่เรื่องของเขามันซ้ำกับของบี จนผมทนมองหน้าเขาไม่ได้ ทำไมคนที่ผมรักต้องเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้เพราะผม ถึงแม้ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ แต่ผมก็จะไม่ยอมให้เรื่องมันบานปลายจนกลายเป็นว่าเขาเกลียดผมหรอกนะ

 

“อื่มม น้ำ ขอน้ำหน่อยครับ” เสียงอู่อี้จากคนป่วยทำให้ผมลุกจากเก้าอี้ข้างเตียง รินน้ำใส่แก้วพร้อมหลอดให้กับคนขี้เซ้า

“ตื่นแล้วหรอ คนขี้เซ้า” สายตานิ่งที่ส่งมานั้นทำให้ผมกลัว กลัวซะจนไม่รู้ว่ารอยยิ้มของตัวเปี๊ยกจะกลับมาให้ผมอีกเมื่อไร

“เจ็บไหมครับ” นิ้วเล็กๆ นั้น ที่ท่าทางดูอ่อนแรง ยกขึ้น แตะที่ผ้าพันแผลตรงต้นแขนของผม ผมจับมือนุ่มๆ นั้น แล้วกำมันไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่ผมมี พร้อมกับส่ายหน้าให้ไปเป็นคำตอบ

“พักสักหน่อย เดี๋ยวไอ้หมอก็มา แล้วกลับบ้านเรากันนะ”

“คุณแพรเป็นยังไงบ้างครับ” ยังมีกระจิตกระใจไปห่วงเขาทั้งๆ ที่เขาทำให้เป็นถึงขนาดนี้

“อยู่สถานีตำรวจ”

“ผู้ชายคนนั้น มีทางช่วยเขาไหมครับ เขาดูแลผม และดีกับผมมาก”

“นายหมายถึงพี่จรหรอ เรื่องสามปีก่อนเขาเป็นคนตัดสายเบรกคราวนี้ก็เหมือนกัน ต้องรอรูปคดีอีกที แต่คงทำอะไรไม่ได้มาก”

“งั้นหรอครับ” น้ำเสียงอ่อยลงไป แถมยังเมินหน้าหนีอีก

“เป็นอะไร ไม่หันมามองกันเต็มๆ ตาหน่อยเหรอ ไม่เจอกันตั้งนาน”

“ไม่อยากมองครับ” หัวใจผมกระตุกวูบ เขาตอบในทันทีโดยที่ไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ เหมือนเป็นคำพูดธรรมดาที่ไม่มีผลต่อความรู้สึกอะไรสักอย่าง

“ตัวเปี๊ยก”

“หยุดเรียกแบบนั้นเถอะครับ ผมมีชื่อ” ผมถูกเกลียดแล้ว

“พายุ” ผมลูบกลุ่มผมนั้นอย่างเบามือ หวังทุเลาความโกรธเกลียดที่เขามีต่อผม

“อย่าเลยครับ อย่าทำให้ผมเข้าใจว่าคุณรักผมเลย ผมคือผม ผมเป็นตัวแทนของใครให้คุณไม่ได้”

“นายกำลังเข้าใจฉันผิด ฉันไม่ดะ...”

“ผมไม่รู้จริงๆ  ว่าคุณต้องการให้ผมอยู่ในฐานะอะไร”

“ตัวเปี๊ยก นายเป็นคนรักของฉัน คนรักของฉันไง”

เขาสะบัดมือผมออกและนอนหันหลังให้กับผม และเอ่ยประโยคที่แทบจะทำให้ผมตายทั้งเป็น

 

“คุณจำคนผิดแล้ว ผมไม่ใช่คุณบี”

 



TBC

เจอศึกหนักแล้วคุณซี สู้ๆ นะ  :ling3:

ขอบคุณทุกคนที่ยังอ่านนะคะ ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้ ขอบคุณค่ะ

ตอนหน้าจะมีคัทซีน ไม่รู้ว่า กฎของเล้าจะอธิบายได้มากขนาดไหน แฮ่ :hao4:
เม้นมาบอกเค้าด้วย เผื่อจะไปเกลาให้สละสลวยแค่พองาม แบบแค่กอดกันตัดฉากโคมไฟงี้  :o8: 

รักคนอ่านนะจ๊ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 19 (16/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 16-04-2017 20:18:44
=19=



ท้องฟ้าวันนี้สดใส ยังคงสดใสเหมือนเมื่อสามเดือนก่อน และยังคงงดงามเหมือนเมื่อตอนที่เราเจอกันครั้งแรก ทุกๆวันของผมในไร่พายุตะวัน ที่ไม่มีคุณซีคอยป่วนเปี้ยน มันรู้สึกเหงาจนบอกไม่ถูก และรู้สึกทรมานจนยากจะอธิบาย ผมผ่านมันมาได้ และมันเป็นเรื่องที่ผมสมควรจะเก็บไว้เป็นบทเรียน ไม่มีใครทำร้ายใจเราได้ นอกจากตัวเราเอง สามเดือนก่อน ที่ผมสะบักสะบอมกลับมาบ้าน ทันทีที่พ่อรู้เรื่องการลักพาตัว ก็เหมือนผมโดนลักพาตัวอีกรอบ เราเดินอาดๆ ออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ได้รับคำอนุญาติจากหมอ “บอกไอ้ซีมันหน่อยดีไหมครับ ผมบอกให้มันออกไปหาอะไรกิน” คำพูดของหมอวุฒิไม่ได้ทำให้ขาทั้งสองข้างของพ่อ และมือทั้งสองข้างที่กุมมือผมกับมือแม่ลดกำลังลงเลย

ทันทีที่เราขึ้นรถกะบะคันใหญ่โดยที่พ่อเป็นคนขับ ประโยคแรกและประโยคเดียว ตลอดการเดินทาง “จะอยู่ให้มันทำร้ายอยู่ทำไม” และทั้งผมและแม่ก็ไม่มีคำพูดอะไรอีก คุณซีโทรมาไม่ได้หยุด เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ตลอดเวลา พ่อแค่ปรายตามองผ่านกระจกมองหลังและก็ไม่ได้บอกให้ผมรับหรือไม่รับ หลังจากที่พูดประโยคนั้นไป ผมกลับรู้สึกผิดขึ้นมาซะเอง ทั้งๆ ที่ผมก็รู้อยู่แล้ว ว่าคุณซีน่ะรักผมแค่ไหน ผมเชื่อแบบนั้น และก็ยังเชื่ออยู่ตลอด แต่ที่ผมพูดไปกับคุณแพรนั่นก็เรื่องจริงทั้งหมด ผมไม่คิดว่าคุณซีจะรักใครได้อีกนอกจากคุณบี ซึ่งผมก็ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกนั้นเหมือนกัน มันเป็นความย้อนแย้งในใจผมจนเรียบเรียงเป็นคำพูดลำบาก

ผมคิดถึงคุณซีและยังคิดถึงมาก ถึงแม้ว่าจะผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว แต่ก็ยังทรมานอยู่

“ตัวเปี๊ยก ฉันไปหาได้ไหม”
“ตัวเปี๊ยก กินข้าวหรือยัง นอนพักด้วยหล่ะ”
“ตัวเปี๊ยก ที่โน้นฝนตกไหม ดูแลตัวเองด้วยนะ ที่นี่ตกหนักมากเลย”
“ตัวเปี๊ยก น้องปอมเรียกหาพี่ยุทุกวันเลยนะ ฉันเองก็ด้วย”
“ตัวเปี๊ยก ฉันคิดถึงนาย”

ข้อความที่ผมได้รับทุกๆ วันมันทำให้ผมใจอ่อนลงทุกที อยากจะขับรถเข้าไปหาเขาซะเดี๋ยวนี้ ผมกำโทรศัพท์ในมือแน่น เมื่อเห็นว่าข่าวทางทีวีช่วงข่าวสังคมสั้นๆ ได้บอกถึงข่าวลือเกี่ยวกับความสั่นคลอนของความมั่นคงในบริษัท ยิ่งทำให้ผมอยากตอบกลับข้อความเหล่านั้น อยากยืนใกล้เขาและบอกว่าทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้น

เนื้อข่าวไม่ได้มีอะไรนอกจาก บริษัทในเครื่อเกียรติกุลทั้งหมด กำลังประสบปัญหาขลาดแคลนเงินทุน และจ้องที่จะคว้ากำไรอย่างหนักหน่วงกับบริษัทที่มีชื่อเสียงทางฝั่งตะวันตก แต่กลับยังเลือกที่จะปฎิเสธและดูถูกบริษัทที่เล็กกว่า ว่าไม่มีอำนาจมากพอที่จะเหมาะสมเป็นผู้ร่วมทุนกับทางเกรียติกุล พอผมเห็นข่าวก็พอเดาทางได้ว่าไอ้ข่าวพวกนี้มันออกมาจากไหน

“บริษัทที่เราทำงานหรอ” ผมพยักหน้าตอบแม่แค่เพียงเท่านั้น หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบอีกหน “ตัวเปี๊ยก ฉันเหนื่อย” ผมกับแม่มองมันพร้อมกัน ผมยังมองหน้าจอนั้นนิ่งและไม่คิดทีจะสไลด์มันอ่าน

“นี่ ทำแบบนี้แล้วมันมีความสุขหรือไง อย่าไปฟังพ่อให้มากนัก หาความสุขให้ตัวเองซะยังจะดีกว่า”

“แล้วถ้ามันไม่ใช่ความสุขหละแม่”

“ยุ รู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ มีคำตอบอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”

“.....”

“อะไรมีความสุขก็ทำเถอะ” แม่เดินออกจากห้องรับแขกไป พร้อมกับความรู้สึกของผม เพราะตอนนี้ผมไม่มีความรู้สึกอะไรเลย หน้าตาของคนที่คิดถึงมาตลอดอาทิตย์ปรากฎหล่าอยู่ในหน้าจอทีวี ด้วยที่โดนนักข่าวรุมซะจนแทบจะไม่มีทางเดิน

ผมกดปิดทีวี และยังคงจ้องโทรศัพท์เขม่ง ถ้าผมโทรไปเขาจะหายเหนื่อยไหม

ผ่านความทรมานจากการคิดถึงมาอีกอาทิตย์ ผมไม่ได้รับข้อความจากคุณซีอีก และก็ไม่มีการโทรเข้ามาด้วย ใจหนึ่งผมก็คิดว่าคุณซีต้องกำลังวุ่นวายกับเรื่องของอัลเบิร์ตแน่ ส่วนอีกใจก็คิดว่าคุณซีอาจเบื่อที่ง้อกันแล้ว แต่ยังไงซะผมก็ยังเข้าข้างตัวเองว่ามันยังเป็นข้อแรกอยู่

เรื่องของคดีความเมื่อสามปีก่อน และคดีของผมถูกคลี่คลายแล้ว ผมได้รับโทรศัพท์จากตำรวจเจ้าของคดี ผู้ชายแปลกหน้าที่คุณซีบอกผมตอนอยู่โรงพยาบาล ชื่อขจร เป็นลูกชายของลุงจวง และเป็นคนสนิทของคุณเพชรสินี เขาน่าจะรักคุณแพรมานาน คุณแพรกลับคำให้การว่า เธอไม่เคยบอกให้ขจรทำอะไรทั้งสิ้น เธอไม่ได้เป็นคนสั่งให้ไปฆ่าใคร ซึ่งมันก็ตรงกับคำให้การของคุณขจร “เธอแค่บอกว่าไม่อยากเห็นคนๆ นั้นอีกแล้ว และผมก็ทำมันเองทุกอย่าง” นั้นคือคำตอบของการกระทำทั้งหมด คุณแพรไม่ได้รับความรักดีๆ แบบนี้มันน่าเสียดาย เรื่องอุบัติเหตุที่หน้าบริษัท เรื่องที่ผมโดนไล่จากคอนโด นั้นก็เป็นฝีมือคุณขจรเหมือนกัน แต่เป็นคำสั่งของคุณเพชรสินี แค่ทำยังไงก็ได้ ให้ผมออกไปจากชีวิตลูกชายเขา ซึ่ง คุณขจรก็บอกอีกว่า “ทุกอย่างผมคิดเองว่าการทำแบบนั้นน่าจะทำให้คุณพายุออกไปจากชีวิตคุณศิริวัฒน์ นายหญิงไม่เคยสั่งให้ผมไปทำร้ายใคร ผมคิดเอง” ตามรูปคดีจำเลยก็เลยกลายเป็นขจรไปซะ ส่วนคุณแพรยังหนีไม่พ้นเรื่องลักพาตัว กักขัง ซึ่งคุณขจรก็รับอีกว่าเขาเป็นคนต้นคิด คุณแพรไม่ใช่ตัวหลักในเรื่องนี้  แต่ยังไงซะคนไม่รักก็คือไม่รัก คุณแพรยังเรียกหาคุณซีอยู่ตลอดเวลา

ผมมีโอกาสไปเยี่ยมคุณขจร หลังจากผ่านเหตุการ์ณบ้าๆ นั้นมาได้เดือนหนึ่ง กระจกกั้นเจาะรูเพียงเล็กน้อยที่ทำให้เราได้คุยกัน

“ผมเพิ่งเห็นหน้าคุณชัดๆ เป็นครั้งแรก” ผมได้รอยยิ้มเล็กๆ กลับมาเป็นคำตอบ “คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” และผมได้คำตอบเหมือนเดิม แถมการส่ายหน้าเล็กๆ มาด้วย

“ผมมีผลไม้จากสวนมาด้วย ไม่รู้ว่าเขาจะให้คุณทานได้ไหม ผู้คุมเอาไปแล้วนะครับ” คำตอบกลับมาคือการพยักหน้าอีกรอบ

“ทำไมถึงรับผิดอยู่คนเดียวหละครับ”

“คุณยุไม่น่ามาที่แบบนี้เลยครับ”

“ทำไมผมจะมาไม่ได้ ผมมาหาคนที่เคยช่วยชีวิตผมนะ”

“คุณซีรู้คุณต้องโดนเอ็ดแน่ครับ” ผมไม่รู้ว่าส่งสายตาแบบไหนไปให้หรือว่าทำหน้ากระอักกระอ่วนจนอีกคนสังเกตเห็น “ทะเลาะกันหรือครับ” ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพียงแค่ส่งยิ้มที่อธิบายไม่ถูกออกไป แต่มันก็คุ้ม เพราะผมได้เสียงหัวเราะจากอีกคนกลับมา

“คิดเรื่องคุณบีหรอครับ คุณซีไม่ได้รักคุณบีแล้วหละครับ วางใจได้”

“คุณรู้ใจคุณซีหรอครับ”

“ถ้าคุณได้เห็นตอนที่เขาคุกเข่าร้องไห้ อ้อนวอนบอกให้ผมเล่าถึงเรื่องอุบัติเหตุของคุณ ตอนที่คุณยังไม่ได้สติ คุณต้องไม่ถามผมแบบนี้แน่” ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตาอีกคนที่ตอนนี้กำลังมองผมเหมือนผมทำอะไรผิด

“เขาเป็นเพื่อนกันมานาน ก่อนที่จะเป็นคนรัก ขาดใครไปสักคนมันก็ต้องคิดถึงเป็นธรรมดาครับ ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนรักกัน แค่เพื่อนกัน ถ้าคุณบีจากไปแบบนี้ เชื่อเถอะครับว่าคุณซีก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกัน ยิ่งก่อนหน้านั้นคุณซีเข้าใจว่าคุณบีตายเพราะตัวเองยืนจูบกับ ... กับแพร ทำให้ขาดสติในการขับรถถึงเกิดอุบัตเหตุด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เศร้าหนักไปกันใหญ่ สามปีก่อน สองปีก่อน ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขายังรักกันอยู่ไหม แต่ตอนนี้ ผมกล้ายืนยันว่าไม่แล้ว” ประโยคยาวถูกพูดออกมาจนหมด นี่คงจะเป็นประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่คุยกันมา ก่อนที่ผู้คุมจะบอกว่าหมดเวลา

ผมเหลือบเห็นในสมุดลงชื่อเยี่ยมผู้ต้องหา ศิริวัฒน์ เกียรติกุล เซ็นต์ต่อจากชื่อของผม

“ขอโทษนะครับ คนนี้เขาไปไหนแล้ว”

“น่าจะกลับไปแล้ว เขามาเยี่ยมคนเดียวกับคุณ”

“อ่อ ครับ” ไม่รู้ว่าผมหวังอะไร ทั้งๆ ที่เป็นผมเองที่ไม่ได้อนุญาตให้เขามาหา ทั้งๆ ที่ข้อความพวกนั้นจะถามอยู่ตลอดว่ามาหาได้ไหม แต่ตอนนี้ผมกลับคิดว่า ถ้าเราบังเอิญเจอกันความทรมานจากการคิดถึงของผมมันคงได้เยียวยา แต่ก็ไม่ ผมยังคงนั่งรออยู่ตรงนั้น รอให้เขาไปไกลกว่านี้ รอให้เราไม่บังเอิญเจอกันทั้งๆ ที่ผมอยากเห็นหน้าเขาใจแทบขาด

ผมขับรถกะบะคันใหญ่ของพ่อกลับไร่ และลายมือหวัดๆ นั้นก็ยังติดตาไม่ต่างจากเจ้าของของมัน

“ตัวเปี๊ยก คิดถึงจัง นี่นายนั่งอยู่ในนั้นนานเท่าไร ไม่อยากเจอกันขนาดนั้นเลยหรอ ไม่เป็นไรหรอกนะ แค่ฉันได้เห็นหลังเล็กๆ นั้น มันก็ดีมากแล้ว”

ข้อความที่ถูกส่งมาหลังจากที่ผมออกจากเรือนจำมาไม่ถึงร้อยเมตร คุณซียังคงอยู่แถวนี้ซินะ ทำให้ผมหาคำตอบได้ว่า ไม่ว่าจะบังเอิญเจอกัน หรือตั้งใจเจอกัน ผมก็ยังทรมานกับการคิดถึงอยู่ดี นี่ผมไม่ได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ เห็นแค่ลายมือหวัดๆ นั้นก็อยากจะกลับรถกลับไปซะแล้ว

ผมมาถึงไร่โดยสวัสดิภาพกับการมีเรื่องกวนใจอย่างขมุกขมัว พ่อเป็นห่วงซะจนออกนอกหน้า เดี๋ยวนี้ไม่เกร็กทำเป็นไม่รักผมอีกแล้วหละ ผมเข้าในนั่งในห้องตะวัน เล่าเรื่องที่คับแค้นใจอยู่ในนั้น เขาเป็นพี่ชายที่ผมพูดได้ทุกเรื่อง

“ตะวัน ถ้ายุไม่ได้เป็นแบบที่พ่อหรือตะวันตั้งใจอยากให้เป็น ตะวันจะเกลียดยุไหม”

“แล้วแกยังจะเป็นน้องฉัน เป็นลูกของพ่อกับแม่อยู่หรือเปล่า”

“แล้ว ... แล้ว ถ้าเกิด ถ้า.. ยุ ไม่ได้ ชอบผู้หญิงหล่ะ” สายตาของพี่ชายเบิกโพลงเล็กน้อย แต่ก็ส่งยิ้มกลับมา

“แกก็ยังเป็นน้องฉัน เป็นลูกพ่อกับแม่อยู่ดี” แรงกอดเต็มอกของพี่ชาย ทำให้ผมร้องไห้ออกมาอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจเอาไว้ ตะวันยีผมของผมแล้วลูบมันอยู่แบบนั้นจนผมหายสะอื้น

ภาพของตะวันที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงตอนที่ผมสารภาพว่าเป็นเกย์ เพราะแอบชอบรุ่นพี่ที่เป็นนักบาสในโรงเรียน ยังอยู่ในหัวผมเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

“ตะวันยุรักเขา รักเขามาก เขาจะรักยุไหม เขาจะใช้ยุเพื่อเป็นตัวแทนของใครหรือเปล่า ยุทรมานมากเลย ที่ไม่มีเขาอยู่ใกล้ๆ” พูดความในใจทั้งๆ ที่รู้ว่าตะวันไม่มีทางตอบกลับมา แล้วน้ำตาที่ตกอยู่ข้างในมันก็ไหล “ผมคิดถึงคุณครับคุณซี” และเสียงโฮของผมที่ปล่อยออกมามันก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่มีทางที่จะหยุดรัก และหยุดคิดถึงเขาได้

เข้าเดือนที่สองของการกลับมาอยู่บ้าน พื้นที่ว่างท้ายไร่เป็นงานอดิเรกของผมที่คิดอยากจะลองทำดู ผมปลูกดอกไม้จนเต็มพื้นที่ และมันน่าจะกลายเป็นรายได้อีกทางของไร่พายุตะวัน ข่าวของคุณซีที่ลงในหน้าอินเตอร์เน็ตเวบไซต์หน้าธุรกิจ บอกว่าคุณซีเดินทางเข้าออกไทยเป็นว่าเล่น แถมเดินทางทั่วประเทศแทบยุโรปและอเมริกาด้วย ถ้าเดาไม่ผิด ก็คงไม่พ้นการไปสร้างไมตรีและไปแก้ข่าวแย่ๆ ผมติดต่อกับพี่ปริมบ้างบางครั้งและได้มีโอกาสคุยกันเล็กน้อยถึงเรื่องงาน คุณเพชรสินีช่วยอะไรไม่ได้นัก เพราะเพื่อนรักเพื่อนสนิทอย่างอัลเบิร์ต รู้สึกว่าเพชรชี่ของเขายอมง่ายเกินไปแล้ว สำหรับความแค้นใจกับการถูกนอกใจ ยิ่งกลายเป็นคุณเพชรสินีเข้าไปเจรจาความโมโหและข่าวลือเลยกระพรือมากขึ้น ข้อความของคุณซี ก็ห่างๆ ไปด้วย อาจเป็นเพราะงานที่ยุ่งมาก ถึงจะรู้เหตุผลแต่เวลาข้อความที่ขึ้นด้วย ตัวเปี๊ยก มันหายไปบ้างก็รู้สึกน้อยใจแปลกๆ

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผมได้แต่รู้ข่าวของคุณซีจากหน้าจอทีวี และอินเตอร์เน็ต มันก็ออกจะทรมานอยู่สักหน่อย “ตัวเปี๊ยก ถ้าเคลียร์ทางนี้เรียบร้อยแล้ว อยากไปหาจัง ได้ไหม”  ผมเปิดอ่านและมองหน้าจออยู่แบบนั้น “ไม่เป็นไร แค่นายอ่านก็ดีใจแล้ว” และนั่นก็เป็นข้อความที่ส่งมาอีกรอบ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ไม่ได้ตอบข้อความอะไรของเขาเลย ทั้งๆ ที่ผมโหยหาเขาแทบแย่

“ไอ้ยุ เดี๋ยวดอกไม้ให้พ่อเอาไปพร้อมกับผลไม้เลยไหม”

“เดี๋ยววันนี้ยุเข้าไปส่งเองก็ได้”

“เอางั้นหรอ ก็ดี วันนี้พวกเกษตรจังหวัดเขาจะมาด้วย พ่อจะได้ไม่ต้องรีบ”

“อื่ม ยุจะไปดูปุ๋ยมาใส่เยอบีร่าด้วย แล้วในไร่ในสวนจะเอาอะไรก็พ่อก็จดมาแล้วกัน”

“จะขับไปคนเดียวหรอ ทำได้หรอ” เสียงแม่ที่วางแก้วน้ำหวานลงตรงหน้า พลางหย่อนตัวลงข้างๆ พ่อ

“ฝนมามืดแล้วไอ้ยุ ไม่ต้องกลับดีกว่ามั่ง ไปค้างที่โรงแรมในเมืองที่แกจะไปส่งดอกไม้นั่นแหละ”

“ไม่เป็นไรพ่อ เดี๋ยวดูก่อนถ้าพอกลับมาได้ ยุจะกลับมานอนบ้าน”

“งั้นก็ไม่ต้องไป ขับรถมันอันตราย”  ผมเข้าใจความหมายของพ่อดี กลายเป็นคนวิตกกังวลไปแล้ว หลังจากที่เมื่อก่อนขับรถขับราได้สบาย กลายเป็นว่าต้องมาคอยห่วง ถ้ามืดไม่ต้องขับ ฝนตกไม่ตัองขับ “นี่ถ้าไม่ติดว่าพวกเกษตรจังหวัดจะมาดูสวน ก็ไปเองแล้ว”

“ตัวเปี๊ยก ฉันคิดถึงนาย”  หน้าจอสว่างวาบอีกครั้ง เราสามคนในห้องนั่งเล่นพากันมองไปที่จุดเดียวกัน ผมกดปิดหน้าจอให้มันมืดลงเหมือนเดิม พ่อมองหน้าพลางจดยุกยิกลงในกระดาษตามเดิม “พรุ่งนี้เช้าที่โรงแรมจะมีงาน ดอกไม้สำหรับพรุ่งนี้ผมจะให้พวกคนงานตัดแล้วออกเลย จะได้ดอกไม้สดๆ อีกอย่างเห็นว่าพวกจัดดอกไม้เก่งๆ ระดับแนวหน้ามากันด้วยผมอยากไปดู แอบบอกกับพี่แป้งไว้แล้วด้วย” สาธยายเหตุผลออกไปซะมากมาย เห็นพ่ออมยิ้ม แล้วกลับทำหน้าบึ้งอีกรอบ
 


   “มาเองหรอ” ผมสวัสดีพี่สาวคนสวย ที่อยู่แผนกจัดเลี้ยง พลางเรียกให้พนักงานมาช่วยกันยกดอกไม้ลงจากรถ พร้อมกับเสียงพูดอยู่ตลอดเวลา “เบาๆ หน่อยเดี๋ยวจะช้ำ”

   “ยุ ตัดเสร็จก็มาส่งเลยครับ แล้วนี่พวกทีมงานมากันหรือยังครับ”

   “อื่ม ก็ทยอยกันมาแล้วหละ อยากดูเขาจัดดอกไม้สิเรา” ผมยิ้มและพยักหน้าให้กับพี่แป้ง

   ภายในห้องจัดดอกไม้ของโรงแรมระดับห้าดาว ดูวุ่นวายไปหมด นอกจากดอกไม้สดที่สั่งจากไร่ของผมก็ยังมีของประดับตกแต่งอื่นๆ ที่กำลังทยอยขนกันเข้ามา เสียงโวยวายประโยคเดียวกับพี่แป้งเมื่อกี้เป๊ะ ทุกคนดูชำนาญไปกันหมด เอาจริงๆ มันสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผมอยู่มากโข คนที่โง่เรื่องดอกไม้ ทั้งๆ ที่เป็นคนปลูกเองแท้ๆ ก็เพิ่งเริ่มเองนี่ แต่ผมจะทำให้สุดฝีมือผมเลย

   “ดอกไม้มาส่งพอดีเลยค่ะ วันนี้น้องมาเอง แล้วก็ขอเข้ามาดูจัดดอกไม้ด้วยค่ะ” ผมได้ยินเสียงพี่แป้งรายงานถึงการมาของผม ซึ่งถ้าให้เดาน่าจะเป็นเจ้าของงานวันนี้

สิ่งที่ประสบกับสายตาแรกของผม คิ้วเข้มๆ ปากอิ่ม ผิวที่คล้ำลงไปนิดหน่อย ร่างสูง เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทพอดีตัว กับการเกงสีซีด ผมที่ไม่ได้เซท มีแว่นกันแดดเสียบไปที่สาบเสื้อกระดุมเม็ดที่สามเป็นเพียงปราการเดียวที่ไม่ให้มันตกลงไป สายตาที่ส่งมาให้ มันแสดงความคิดถึงโดยที่ไม่ต้องพูด ไม่มีรอยยิ้มที่ใบหน้าเราทั้งคู่ ไม่มีแม้แต่คำทักทาย โลกของผมมันหยุดหมุนและผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกต่อไป ถึงแม้ในห้องนี้จะวุ่นวายแค่ไหน แต่ผมก็เห็นเพียงแค่เขา

   “พายุนี่คุณซี เจ้าของที่นี่ พายุ ยุ ได้ยินพี่ไหม” แรงเขย่าจากรุ่นพี่ตัวเล็กทำให้เสสายตาจากคนตรงหน้า หันไปหาคนที่เรียกก่อนหน้านี้

   “พี่แป้ง ยุกลับก่อนนะครับ”

   “อ้าวไหนว่าอยากเจอพวกอาจารย์ที่จัดดอกไม้ไง”

   “ผมไม่ว่างแล้วหละครับขอโทษด้วย” ผมรีบเดินผละออกมาจากห้องจัดเลี้ยงทันที ผ่านหน้าคุณซีมาโดยไม่หันกลับไปมอง

ให้ตาย!!! ฝนตก

ฝนที่ตกลงเหมือนกับจะไม่ตกอีกแล้ว ฟ้ามืดมิดจนแทบจะมองไม่เห็น

“ตัวเปี๊ยก เดี๋ยวก่อน” พอได้ยินเสียงคุณซีทั้งๆ ที่คิดถึงแต่ร่างกายกลับปฎิเสธ ผมสาวเท้าก้าวสู่สายฝนและตั้งใจจะเปิดประตูรถ แรงของน้ำฝนที่ปะทะใบหน้าทำเอาเจ็บไปหมด

“ตัวเปี๊ยก หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฝนตกเห็นไหม”

ผมพยายามเปิดประตูรถและออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ฝนตกแรงขนาดนี้คงกลับไร่ไม่ได้ แต่ผมก็จะไม่ยอมมองหน้าเขานานๆ แน่ แต่ดูเหมือนฝนฟ้าจะเข้าข้างคุณซีมากกว่าผม ผมหากุญแจรถไม่เจอ และยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่ามันจะไม่อยู่ในกระเป๋า เพราะตอนนี้ผมเทมันออกมาข้างรถแต่ไม่มีไอ้ตุ๊กตาตัวใหญ่ที่ห้อยกุญแจรถอยู่เลย

   “กลับเข้าไปข้างในเดี๋ยวนี้นะ” คุณซีตะโกนแข่งกับเสียงฝนทันทีที่ถึงตัวผม

   “ผม คือ”

   “คืออะไรอีก ทำไมถึงดื้อแบบนี้” ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ คุณซีเสยผมที่เปียกชุ่มลวกๆ แล้วมือใหญ่ๆ นั้นก็กลับมาลูบแก้มผมที่เต็มไปด้วยน้ำ ใจของผม ใจของผม มันเต้นแรงยิ่งกว่าฝนที่ตกลงมาซะอีก

   “กลับเข้าไปก่อน ถ้านายไม่อยากเจอฉัน ฉันไปก็ได้ แต่กลับเข้าไปเถอะ ฉันไม่ให้นายขับรถออกไปในสภาพอากาศแบบนนี้แน่”


เราสองคนอยู่ในห้องสวีทของโรงแรมในสภาพที่เปียกโชก คุณซีเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ผมถอดเสื้อลายสก๊อตสีแดงของตัวเองใส่ลงในตระกร้าที่มีถุงพลาสติกรองอยู่ เสื้อยืดสีขาวตอนนี้ไม่ได้ช่วยให้อุ่นเลยสักนิด กางเกงยีนส์ชุ่มน้ำไปหมดจนหนักอึ้ง แทบจะยกไม่ไหว คุณซีเดินออกมาในสภาพที่มีแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวพันอยู่รอบเอว และหน้าผมก็ร้อนจนไม่ต้องพึ่งเครื่องทำความร้อนจากที่ไหนเลยสักนิด ถึงแม้จะเห็นกันมาแล้ว แต่นี่ก็สามเดือนแล้ว ผมต้องทำความคุ้นชินกับมันใหม่ซินะ

   “ตัวเปี๊ยกไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวจะป่วย” คุณซียื่นผ้าเช็ดตัวผืนหนา รวมทั้งชุดคลุมอาบน้ำส่งมาให้

   “แล้วคุณหละครับ”

   “ไปอาบก่อนเถอะ นายอาบเสร็จแล้วฉันค่อยอาบ หรือ อยากจะอาบพร้อมกัน” ผมคว้าผ้าเช็ดตัวจากมือเขาแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำทันที


   คุณซียังนั่งอยู่ในชุดเดิม จิบกาแฟสบายอารมณ์เหมือนไม่ตื่นเต้นอะไรเลย ผิดกับผมที่ตอนนี้หัวใจเหมือนจะทะลุออกมาข้างนอก ผมอยากกอด อยากจูบ อยากคุย และอยากถามว่าระหว่างที่เราไม่เจอกัน อะไรทำให้คุณซีผอมขนาดนี้ อะไรทำให้ผิวคล้ำไปขนาดนี้ อะไรทำให้แววตานั้นมันเหนื่อยล้าเหลือเกิน

   “ฉันอุ่นนมไว้ให้ ดื่มก่อน จะได้อุ่นขึ้น” ผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับเช็ดผมถูกโยนมาแปะอยู่บนหัวผม ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีคุณซีก็ออกจากห้องน้ำ เขาไม่เคยอาบน้ำเร็วขนาดนี้

   “ผม ผมเตรียมยาไว้ ทานซะหน่อย” ผมหันไปหยิบยาหลังจากที่เห็นคุณซีนั่งลงที่ปลายเตียง

   “แล้วนายหละ กินหรือยัง” ผมพยักหน้าพลางส่งยาแก้ไข้สองเม็ดพร้อมกับน้ำไปให้ คุณซีรับแก้วน้ำหลังจากกินยาสองเม็ดนั้นลง ยื่นแก้วน้ำกลับมาให้ผม แต่.... ทันทีที่ผมจะคว้าแก้วน้ำจากมือเขา มืออีกข้างก็คว้าแขนของผมและช้อนตัวขึ้นไปนั่งตักคนขี้แกล้งแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว สองมือโอบกอดรัดเอวอยู่ไม่ห่าง

   “ทำไมผอมขนาดนี้ สามเดือนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้กินข้าวเลยหรือไง”

   “......”
   
   “ฉันใช้แรงแค่หนึ่งในสามนายก็ปลิวมาแล้ว”

   เราสบตากัน จ้องมองกันถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ขนตาของคุณซียังคงเป็นแพรสวยเหมือนที่เคยเป็น จมูกโด่งยังคงเป็นสันคมชวนหลงใหล ริมฝีปากหนายังคงอวบอิ่มหน้าสัมผัส และรอยสัมผัสที่เคยคุ้นชินก็กลับมา ปากหนาของคนขี้แกล้งประทับลงที่ปากของผม ผมกำลังจะละลายกลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟ มันไม่เร้าร้อน ไม่รุนแรง แต่อ่อนนุ่มละมุนจนผมเผลอเผยอปากให้คนเอาแต่ใจได้ส่งลิ้นเข้าไปชิมความหวาน แก้วน้ำถูกดึงออกจากมือและวางลงบนโต๊ะหัวเตียงโดยที่เรายังไม่ผละจูบออกจากกัน ท้ายทอยถูกควบคุมด้วยมือใหญ่ให้ปรับองศาที่เข้ากับการจูบ ไหล่กำยำของคุณซีถูกผมบีบกดเพราะอากาศที่ไม่เพียงพอ คุณซีงับลงที่ปากล่างของผมเบาๆ แค่พอทำให้ใจสั่นก็ผละออก

   “คิดถึงจังเลย คนใจร้าย” พูดไปก็มือเจ้าเล่ห์นั่นก็เขี่ยปากของผมไปด้วย ผมไม่มีคำตอบให้เขาได้แต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาคนขี้แกล้ง ที่แกล้งให้ผมแทบจะสำลักความเขินตายหลังจากที่ไม่เจอกันร่วมสามเดือน

   “หอมจัง” จมูกโด่งนั้นซุกไซร้ลงกับซอกคอ พร่ำกระซิบคำว่าหอมไม่หยุดหย่อน ความต้องการโหยหาแล่นลิ่วจนไม่อาจปิดบังได้

   “ขอกอดได้ไหม ฉันใจจะขาดอยู่แล้ว”

พูดไม่พูดเปล่า เด็กจอมซน ซุกไซร้ จมูกวนไปตามลำคอ  อายุป่านนี้จะไม่เข้าใจคำว่ากอดได้ยังไง หน้าตาร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอารมณ์ หรือเพราะคำพูดที่ไม่ต้องการคำตอบนั้นกันแน่
เราสองคนเปลื่อยเปล่า แค่ชุดคลุมอาบน้ำกับผ้าขนหนูผืนเดียว คงไม่ได้ทำให้อะไรต่ออะไร มันสงบหรือเก็บเนื้อเก็บตัวมากกว่าที่เป็นอยู่ คุณซี ดึงมือของผมที่ดันอกของเขาเอาไว้ ทำให้เราแนบชิดกันมากขึ้นไปอีก เชือกชุดคลุมอาบน้ำหลุดออกไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ จมูกซนยังคงทำหน้าที่ของมันได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ความขุ่นเคืองใจที่เรามีให้กันตอนนี้ถูกบดบังด้วยแรงอารมณ์ที่มันเหมือนกับกลายเป็นแค่จุดเล็กๆ ที่ทำให้เคืองตาแต่ไม่ได้ทำให้มองทางข้างหน้าไม่เห็น
มือซุกซนบีบเค้นก้อนนุ่มเหมือนหนอนลูกใหญ่ คนถูกบีบแบบผม รู้สึกเหมือนเขากำลังจะขย้ำให้มันแหลกคามือ

“คุณ คุณซี” น้ำเสียงของผมแม้แต่จะเปล่งออกมาได้ยังลำบาก ทั้งมือทั้งจมูกทำหน้าที่ของมันได้ถนัดถนี

“หื้ม” ไม่เงยหน้ามอง ไม่หยุด และไม่ได้ปล่อยให้ผมได้หายใจ มือหนาที่เคยตะคองกอด บีบเค้นก้อนนุ่มนั้นกลับมาสนใจ ความเป็นตัวผมแบบไม่ทันตั้งตัว และมันก็คงไม่ต้องบอก
ว่าต้องการคุณซีมากแค่ไหน
    
   “ดีจัง ฉันชอบนะ ที่นายรับความรู้สึกฉันได้ดีขนาดนี้”

สายตาเจ้าเล่ห์ส่อให้เห็น ถึงผมจะแก่กว่าเขา แต่ดูเหมือนตอนนี้ผมเป็นเด็กไร้เดียงสาในมือเขาเท่านั้น ยิ่งอีกคนขยับมือจนผมแทบจะทนไม่ได้ ถึงได้ตัดสินใจกุมมือหนาๆ นั้นไว้

   “อะไรกัน...ไม่ถูกใจเหรอ” ผมได้แต่ส่ายหน้าแต่ก็อายเกินกว่าจะบอกว่า มันมีความสุขซะจนจะทะลุออกมาจากตัวของผม

   “อ๊ะ....”

“อยู่กับฉัน ฉันไม่ยอมนะ” ผมถูกผลักลงที่เตียงนุ่ม ชุดคลุมอาบน้ำถูกเหวี่ยงแบบไม่ต้องเสียเวลาหาว่าอยู่ตรงไหน
   
“หน้าแดงเชียว” ผมก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าผมอายและเขินเรื่องอะไร ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้ประสา ก็อายุปาเข้าไปเท่านี้แล้ว รวมถึงตอนที่คุณซีเข้ามาด้วย ให้ตายผมกำลังจะตาย ตัวกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

   “ตัวเปี๊ยกฉันคิดถึงนาย” แรงเร้าถูกส่งมาได้เพียงครึ่ง

   “เจ็บ” น้ำตาที่ไหลเพราะความเจ็บปวดทรมาน ถูกแปลงเป็นเสียงออกมา

   “แป๊บเดียวนะคนดี แป็บเดียว” คุณซีเกลี่ยปรอยผมที่ชื้นเหงื่อเปอะหน้าผากของผม

   “ฉันอยากกอดนายแรงๆ มันดีกว่าที่จินตนาการไว้ซะอีก” แรงเร้าถูกส่งเข้ามาเป็นครั้งที่สอง

   “ผม เจ็บครับ ผมเจ็บ”

   “เจ็บก็จิกแรงๆ” มือของผมที่ตอนนี้กำที่นอนจนยับย่นกลับถูกเปลี่ยนทิศทางมาที่ไหล่และผมก็จิกเข้าเต็มแรง

   “ตัวเปี๊ยกฉันรักนาย” คำบอกรัก เหมือนคำล่อหลอก ผมสติหลุดไปเพราะคำว่ารักที่เคยได้ยินจากปากเขาเป็นครั้งแรก แบบที่ไม่ได้คิดไปเอง และนั้นทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาอย่างเต็มรัก หัวใจของผม ความคิดถึงของผม ถูกเยี่ยวยาด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข รวมถึงความแคลงใจที่ผมล้างไปได้แค่เพียงจูบเดียว

   “อื่ม พายุ” เสียงคุณซียิ่งทำให้ผมรู้สึกหวาบหวิวช่องท้องไปหมด แรงรักนั้นยิ่งแรงมากขึ้นเกินกว่าที่ผมจะคาดการ์ณไว้

   “ให้ตายเถอะพายุ ให้ตาย” คุณซีป้อนจูบ แต่คราวนี้มันรุนแรงและเร้าร้อน แรงส่งรุนแรงพอๆ กับรอยจูบ ผมได้กลิ่นคาวเลือดและรสฝาดเฝื่อนในปากของตัวเอง

คุณซีโน้มตัวลงมา สอดแขนเข้าใต้ท้ายทอยของผม กอดรัดแน่นซะจนเหมือนเรากำลังจะลอมหลวม ความเจ็บปวดที่ทรมานกลายเป็นความสุขสมจนเผลอครางเสียงน่าอายออกมาแข่งกับเสียงฝนด้านนอก

“ฉันรักนาย พายุ รักมาก” เสียงน่าเกลียด ที่ผมพยายามกลั้นไว้กลับ ถูกครางร้องออกมาไม่หยุด

“ตรงนั้น แรงๆ ได้ไหมครับ” คุณซียิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะทำตามใจ ขาแขนผมไร้เรี่ยวแรงร่างกายบิดเร้าทรมานแต่สุขสม สีขาวโพลนที่อยู่ตรงหน้า ความเป็นตัวเองแข็งขื่นและรับความเสียวซ่าน คุณซีใช้มือกอบกุมมันเหมือนที่เคยทำ ส่งแรงตามใจหลังจากที่เอ่ยขอไปไม่หยุด จนผมกลั้นไว้ไม่ได้ และไม่นานผมก็ได้รับแรงรักของคุณซีที่ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะมากมายขนาดนี้

“พายุ ฉันรักนาย” พร่ำพูดคำว่ารักไม่หยุดปาก

“ผมรู้แล้วครับ ผมได้ยินแล้ว” คุณซียิ้มและทิ้งตัวทั้งตัวบนตัวของผม

เด็กจอมซนไล่เลียใบหู หายใจเอาไอร้อนรินรดจนขนลุกชันไปหมด  นิ้วซนกลับมาทำงานจนผมหว้าวุ่นอีกรอบ ความรักของคุณซีก็กลับมาให้ผมรู้สึกได้อีกครั้งเพราะเรายังไม่ได้แยกจากกัน

“ฉันรักนายพายุ”

เสียงฝนที่แข่งกับเสียงครางกระเซ่าในคืนนี้คงจะไม่มีทางหยุดง่ายๆ



 TBC
********************************************************


ปรับ NC เพราะมันน่าจะขัดกับกฎเล้านิดนึง ก็เลย เขียนใหม่  :hao5:
แต่ถ้าใครอยากอ่านออริจิ ก็ ทางนี้ http://pradoza.blogspot.com/  :o8:
แล้วจะรีบกลับมานะจ๊ะคนดี  :katai2-1:




   



หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 19 (16/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-04-2017 20:21:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 19 (16/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 16-04-2017 20:39:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 20 (25/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 25-04-2017 09:53:18
   
=20=





เสียงฝนข้างนอกยังคงดังแซ่งแซ่ ไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนลงเลย และนี่คงเป็นเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว แต่ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มเหมือนกับไม่ใช่เช้าวันใหม่ ผมลืมตาตื่นเวลานี้ทุกๆ วัน ทั้งๆที่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้จากโทรศัพท์ แต่ก็ตื่นก่อนปลุกทุกที ถึงแม้ว่าเมื่อคืนจะเพลียมากแค่ไหนก็ตาม ร่างกายเปลื่อยเปล่าถูกห่มด้วยผ้านวมผืนหนา เราไม่ได้กกกอดกันจนแทบจะจมหายไปในอกของอีกคน แต่เรากำลังหันหน้าเข้าหากัน และภาพที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นประสบกับสายตา

   คิ้วหนายังคงดูหนาได้รูป ดูเหมือนว่าคุณซีจะกันคิ้วเล็กน้อย ปากหนาที่เฝ้าบอกรักยังคงปิดสนิทไม่ต่างจากเปลือกตาสีไข่ไก่แพรขนตายาว และจมูกซุกซนที่เมื่อคืนพร่ำบอกให้หยุดเท่าไรก็ไม่เชื่อฟัง อีกคนยังคงหลับสนิท และเพียงแค่นี้ ก็ทำให้ผมนอนมองยิ้มจนเสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้ในโทรศัพท์ลั่นดัง

   ผมกดปิดมันเพื่อไม่ให้รบกวนคนที่หลับอยู่ จมูกโด่งนั้น  ผมอดที่จะสัมผัสไม่ได้ นิ้วยาว ค่อยๆลูบสันนั้น และมือหนาก็คว้าหมับเข้า ทำให้ผมรู้ว่าคนที่กำลังแกล้งหลับนั้นน่าตีแค่ไหน

   “แตะอั๋งหรอ” คำถามที่ถูกปล่อยออกมาทั้งที่ตายังหลับอยู่ คนขี้แกล้งคว้ามือไปจูบและซุกมือนั้นไว้ข้างแก้มของตัวเอง

   “ตื่นนานแล้วหรอครับ”

   “อื่ม ยังง่วงอยู่เลย แต่โดนเมียแกล้ง” คำว่าเมียที่หลุดออกมาทำผมหน้าร้อนฉึ่งแล้วก็ไม่ชินกับการได้ยินคำนี้เลย

   “พูดอะไรของคุณ”

   “ทำไมล่ะ เป็นแล้วนิ ทำไมเรียกแบบนี้ไม่ได้ เมียจ๋า”

   “เรียกคุณบีแบบนี้หรือเปล่าครับ”

   “ไม่นะ ก็เรียกไอ้บี๋ตลอด” ผมต้องคุยเรื่องนี้ให้เป็นปกติใช่ไหม ในเมื่ออีกคนดูจะไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด ถึงแม้เขาจะสอดแขนเข้ามาที่ท้ายทอยของผมเพื่อดึงตัวผมเข้าไปกอดก็ตาม 

   “ยังไม่ได้บอกให้ใครรู้เลย แม่งก็ชิงตายไปซะก่อน” ผมตีคุณซีดังอักเข้าที่หน้าอก เสียงหัวเราะคิกคักนั้นยิ่งหน้าหมั่นไส้

   “อย่าพูดแบบนั้นซิครับ ผมเศร้านะ”

   “ฉันก็เศร้า” คุณซีพูดพลางไล้มือไปกับผมของผม “เจ็บมากไหม” ผมได้แต่ส่ายหน้าตอบ ผมได้รับไออุ่นจากจูบที่แสดงความรู้สึกเอ็นดูที่หน้าผาก ผมมีความสุข มีความสุขจริงๆ ขอโทษนะครับคุณบี ที่ผมรู้สึกที่มีความสุขในขณะที่คุณกำลังทุกข์หรือเปล่าผมก็ไม่รู้ แต่ว่า ผมขอไม่เอาคุณมาไว้ในหัวใจผมแล้วได้ไหมครับ ผมขอแค่มีคุณซีคนเดียว

“นอนต่อนะ”

“ไม่ได้ครับ ต้องกลับแล้ว”

“อยากกอดอยู่เลย” ผมมองหน้าคนพูดนิ่งเพราะไม่รู้ความหมายของคำว่ากอดที่แน่ชัดได้ ก็คุณซีเล่นใช้มัวไปหมด

“กอดแบบนี้ต่างหาก แต่ถ้านายอยากกอดแบบนั้น ฉันก็โอเคนะ” พูดพลางกระชับอ้อมกอดแน่นซะจนเกือบหายใจไม่ออก ผมซุกหน้าลงกับอกกว้างๆ นั้น ไม่กล้าเงยหน้าไปสบตากับคนพูดเลยสักนิด ให้ตาย ขยันทำให้ใจสั่นทำให้เขินตลอด

“ว่าไง กอดแบบไหนดี”

“คุณซี” ผมพาดมือวางลงบนเอวของคนตรงหน้า ตอนนี้เราได้กกกอดเหมือนจะจมหายไปกับอกอีกคนอย่างแท้จริง “อีกแปบเดียวนะครับ”

“แค่แปบเดียวก็พอแล้ว”









RRRRRRRRRR 

เสียงโทรศัพท์ที่คุ้นเคยทำเอาผมปรือตา มองเห็นเป็นเบอร์จากที่ไร่ ก็ตื่นได้เต็มตาแบบไม่ต้องใช้ตัวช่วย ผมมองนาฬิกาที่ผนัง 10.00 น. ผมตายแน่งานนี้

“ครับ”

(นี่ จะกลับกี่โมงตะวันโด่งแล้ว ยัยแววแกบอกแกสั่งดอกไม้ไว้ ไม่เห็นไปส่ง) ผมลืมออเดอร์ของป้าแววซะสนิท แกเปิดร้านดอกไม้ไม่ใหญ่นักในตลาด

“เอ่อ พอดี ผม...”

“ตัวเปี๊ยก” เสียงที่รอดเข้ามาทำเอาผมตะกุกตะกักมากกว่าเดิม รู้อยู่หรอกว่าเด้งตัวออกมาแบบนั้น ต้องปลุกอีกคนไปด้วยแน่

(อื่ม เสร็จธุระแล้วก็กลับมาบ้านได้แล้ว)

“ครับ”

(เอามันกลับมาด้วย มีเรื่องต้องคุย)

“ครับ”

.
   “มือเปียกหมดแล้ว” มือที่กระชับมือของผมไว้สอดประสาน ในขณะที่ขับรถเพียงมือเดียว ผมมองเสี้ยวหน้าของคนขับแล้วก็อดหวั่นใจไม่ได้

   “ไม่ต้องกลัวน่า ไม่มีอะไรหรอก” น้ำเสียงราบเรียบไม่ตื่นเต้นอะไรของอีกคน กลับยิ่งทำให้ผมกลัว
   
   “คุณซีน่าจะให้ผมกลับมาเอง”

   “ไม่เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวหรือไง มีคนขับให้ไม่ดีหรอ อีกอย่างคุณลุงก็บอกให้พาฉันกลับมาด้วยไม่ใช่หรอ”

   “คุณซี..” ผมกระแทกเสียงด้วยความหงุดหงิด

   “ไม่เอาน่า กลัวไปได้ พ่อนายคงไม่ฆ่าฉันหรอก หรือถ้าทำ นายจะปล่อยให้ผัวตายหรอ” ผมบุ้ยหน้าใส่ คำพูดประเจิดประเจ้อพูดออกมาแบบไม่อาย รู้อยู่หรอกว่าคนๆ นี้ทั้งยียวน ทั้งขี้แกล้ง แต่เล่นพูดโต้งๆ ทุกสามนาทีก็ไม่ไหวนะ

   “มันใช่เวลามาทำเป็นเล่นหรอ ไอ้เด็กนี่” เสียงหัวเราะร่วนตอบกลับมา มือที่เคยจับกันไว้ ละออกมายีหัวผมเล่น

   “ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางยอมให้นายหายไปจากชีวิตอีกแล้ว ที่ผ่านมาเรามีความทุกข์กันมากเกินไปแล้ว มันนานเกินไปแล้ว”

   

บรรยกาศในบ้านมันวังเวงยิ่งกว่าบ้านพี่สิง พี่อ้อยที่มาช่วยดูแลบ้าน แกก็ทำหน้าปะหลับปะเหลือกเหมือนไม่อยากยุ่ง แกเดินเลี่ยงไปอีกทาง ทำบุ้ยปากว่ามีคนอยู่ในครัว ผมค่อยๆ เดินไป มือเรายังกำกันแน่น คุณซีได้แต่ยิ้ม ไม่มีท่าทางว่าจะกลัวอะไรสักนิด แต่ผมนี่แหละที่กลัว

รู้กันดีอยู่แล้ว ว่าพ่อไม่ได้พออกพอใจกับการที่ผมเป็นแบบนี้ ถึงแกจะไม่ได้ขัดขวางเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ใช่ว่าแกจะยินดีปรีดาอ้าแขนรับ

แล้วเรื่องที่แกลากผมออกจากโรงพยาบาลก็เพราะเรื่องคุณซีไม่ใช่หรอ เพราะแกรู้เรื่องที่ถูกลักพาตัวนั้นอีกรอบ แกถึงได้โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง แล้วนี่จะให้ผมสบายใจได้ยังไง ผมยังไม่รู้ว่าถ้าผมไม่สามารถอยู่กับคุณซีได้ ผมจะเป็นยังไงต่อ ผมไม่อยากขัดคำสั่งพ่อ และผมก็ไม่อยากเสียคุณซีไป ผมรับรุ้ว่าตลอดสามเดือนที่ผมจมอยู่กับความทุกข์ถึงแม้จะไม่ได้นั่งเศร้าร้องไห้ฟูมฟายแต่ผมรุ้ว่าพ่อกับแม่ก็ทุกข์ไปกับผมเหมือนกัน แต่ผมจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีคุณซียิ่งตอนนี้ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว

   “อ้าว มากันเงียบเชียว คุณซีนั่งก่อน แม่เพิ่งทำคุกกี้เสร็จ” แม่ยิ้มหวานถือถาดคุกกี้ด้วยมือที่สวมถุงมือฟองน้ำหนา “ระวังหล่ะมันร้อน ยุไปเอาน้ำเย็นๆ มาหน่อยซิ เอามาเผื่อพ่อด้วยหล่ะ” ผมพนักหน้ารับ ได้แต่ทำตามคำสั่ง ทำไมแม่ถึงได้ดูใจเย็นนัก

   “ไปไงมาไงเนี้ย”

   “มาจัดงานต้อนรับพวกเอเย่นต์จากแถบยุโรปครับ ไม่รู้ก่อนว่าดอกไม้สวยๆ นั้นเป็นของที่ไร่”

   “อ่อ เพิ่งจะดิวกับโรงแรมได้ไม่นานเอง ไม่รู้ว่าเป็นของคุณซี”

   “ครับ พอดีโรงแรมนี้เป็นของผมกับเพื่อนๆ รวมหุ้นกัน ไม่ได้อยู่ในเครือของเกียรติกุล”

   “อื่มกินขนมก่อน แม่เพิ่งได้สูตรมาจากเพื่อน” คุณซีหยิบคุ้กกี้จากถาดที่ตอนนี้ถูกจัดลงจานเรียบร้อยแล้วไปชิม อมยิ้มแก้มแทบปริ และรับแก้วน้ำแดงจากผมไปด้วย

   “พ่อหละแม่”

   “โน้น ไปดูดอกไม้ในสวนแทนแกโน้น หายไปเป็นวันๆ”

   “ป้าแววแกว่าไงบ้างแม่”

   “ไม่ว่า พ่อแกให้คนงานเอาไปส่งแล้ว”

   ผมพนักหน้าไม่ได้พูดอะไรต่อ เสียงหัวเราะที่คุณซีกับแม่มีไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย เสียงหัวเราะเงียบลงทันทีที่เจ้าของบ้านตัวจริงลงนั่งที่โซฟาตัวตรงข้าม คุณซีหุบยิ้ม และยกมือไหว้ ก่อนที่สีหน้าเรียบตึงและไม่มีการรับไหว้ใดๆ ปรากฎต่อสายตา

   “ทำไมเพิ่งมา”

   “พอดีฝนตกหนัก ยุก็เลย..”

   “ไม่ได้ถามแก ว่าไง ทำไมเพิ่งมา” พ่อไม่ได้มามองที่ผมเลยสักนิดกลับจ้องตาคุณซีเขม่ง

   “ผมเคลียร์หลายเรื่อง ทั้งเรื่องคดี เรื่องที่มีข่าวลือเกี่ยวกับบริษัทในเครือ แถมบินไปบินมาจนเรื่องคลีคลายลงได้บ้าง”

   “แล้วนี่เรียบร้อยแล้วหรือไงถึงโผล่หัวมาได้” ผมนั่งนิ่ง ไม่ได้กล้าแม้แต่จะสบตาคนเป็นพ่อได้แต่หลุบสายตาลง

   “ยังครับ มาจัดงานต้อนรับกุล่มบริษัททางแถบยุโรป ที่ไปคุยมาช่วงก่อนหน้านี้ และบังเอิญเจอกันครับ”

   “อ่อ ไม่ได้ตั้งใจมาง้อมาหา”

   “แต่ผมไม่เคยลืมครับ”

   “แล้วไอ้ที่อยู่บนคอไอ้ยุนั้นอีกนานไหมกว่าจะหาย ทำอะไรไม่เข้าท่า” ผมรีบตะครุบคอที่ไม่ได้สังเกตตัวเองว่ามันมีรอยอะไรหรือเปล่า พอรับโทรศัพท์จากพ่อก็รีบออกมากันเลย ทั้งอายและทั้งไม่รู้จะตอบคำถามของพ่อยังไง

   “น่าจะประมาณสามสี่วันก็คงหายครับ ถ้าไม่ได้ทำเพิ่ม” น้ำเสียงเรียบนิ่งของคนข้างๆ ทำผมหันขวับไปหาทันที คนพูดหันมาสบตา ยิ้มให้ราวกับดีใจอะไรสักอย่าง หัวเราะหึออกมาในลำคอ และคว้ามือผมที่ตะครุบคอตัวเองไปกุมไว้พอหลวม ถึงผมจะดึงดันขนาดไหน มือนั่นกลับยิ่งส่งแรงบีบ ไม่ให้ผมออกจากการกอบกุม แถมยังสอดนิ้วประสานเข้ามาอีกด้วย ถึงผมจะทมึงตาใส่อีกฝ่ายยังไงก็ไม่เป็นผล เพราะอีกคนนอกจากจะไม่ยอมปล่อยมือ แถมไม่มองหน้าผมกลับจ้องตาพ่อซะนิ่ง

   ผมหันไปมองพ่อที่กอดอกพิงพนักโซฟา และถอนหายใจ จ้องหน้าคุณซีสลับกับมือที่กุมกันไว้ ยกขาขึ้นไขว้ห้าง ดูเหมือนท่าทางจะคุยสบายๆ แต่เปล่าเลย ดูสีหน้าที่ขมวดคิ้วเป็นปมนั่นยิ่งแล้วใหญ่

เฮ้อ!!! ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของพ่ออีกแล้ว

   “แล้วคดีเป็นยังไง”

   “พี่จรรับสารภาพว่าทำเองหมด โดยไม่สักทอดไปทางคุณเพชรสินี หรือว่า แพรวาครับ แต่เพราะพายุเคยพูดไว้ ว่าอยากให้เขารับโทษน้อยที่สุด ผมก็เลยกำลังหาทนายฝีมือดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ช่วยเขาอยู่” พ่อทำเพียงพนักหน้างึกงัก

   “แล้วเรื่องแฟนเก่าคุณหละ”

   “บีเสียไปนานแล้วครับ บีเป็นความทรงจำเป็นอดีตที่มีค่า ผมคงไม่ลืมบีแน่ๆ แต่...” คุณซีเว้นช่วงจังหวะ และใช้สองมือกุมมือของผมที่จับไว้อยู่ก่อนแล้ว “แต่พายุเป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต” และสบตากับผมนิ่ง “เพราะฉนั้น ผมขออนาคตของผมคืนได้ไหมครับ” ก่อนที่จะหัดสบตาส่งน้ำเสียงจริงจังแววตาแน่วแน่ให้กับพ่อ

   “งั้นก็ดี แล้วแกหละไอ้ยุ” ผมเผลอเลียริมฝีปากที่ตอนนี้มันแห้งผากซะจนรู้สึกเจ็บ

   “ยุไม่รู้ครับ รู้แค่ว่าคิดถึง และคิดถึงตลอดเวลา มากขึ้นทุกๆ วินาทีแต่ถ้าพ่อบอกว่ามันไม่สมควร ความคิดถึงของยุ ก็ไม่สำคัญครับ” เราสบตากันนิ่งก่อนที่คุณซีจะเบือนหน้าไป

   “ช่วงเวลาหลายปีที่พายุออกจากบ้าน เขาคิดถึงคุณลุงนะครับ เพราะฉนั้น พอความสัมพันธ์ของคุณลุงกับพายุดีขึ้นผมก็ไม่อยากเป็นตัวมาทำลาย ถ้าคุณลุงไม่ยอม ผมเชื่อว่ายังไงพายุต้องเลือกคุณลุงอยู่แล้ว แต่... ผมอยากขออนุญาต โปรดเห็นด้วยกับเรื่องของเราด้วยเถอะครับ”

   “แล้วแกทำใจเรื่องคนเก่าได้แล้วหรือยังไง” ผมหันไปสบตากับคุณซีนิ่ง จ้องมองลงไปในดวงตาของเขา ที่ในนั้นมีแต่ผม แค่ผมคนเดียวเท่านั้น

   “ยังครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พ่อปล่อยมือที่กอดอกยกตัวนั่งหลังตรง “แต่ยุจะอยู่กับปัจจุบัน เพราะยุเป็นปัจจุบันและอนาคตใช่ไหมครับ” ผมหันหาคุณซีอีกรอบ และประโยคนั้นผมก็ถามคุณซีด้วยกลายๆ

   คุณซีพยักหน้า พลางอมยิ้ม ปล่อยมือที่กุมกันไว้ ขึ้นลูบหัวผมราวกับเอ็นดู ทุกอย่างอยู่ในความเงียบชั่วอึดใจ ผมหลุบตาลงไม่กล้ามองหน้าพ่อ เหมือนรอคำตัดสินจากผู้พิพากษา


   “ไปคุณลุก ไปช่วยกันดูไร่สวนหน่อย ไอ้ยุคนเดียวเลยทำระบบรวนไปหมด ให้มันไปค้างแต่ไม่ได้ให้มันกลับมาสายโด่งป่านนี้” ผมตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของพ่อก่อนที่ท่านจะยกแก้วน้ำแดง และคาบคุกกี้ที่แม่วางไว้ในปากชิ้นนึง ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “หาหมวกให้สักใบนะแม่ตะวัน เดี๋ยวคนกรุงเทพจะเป็นลม” ตะโกนไล่หลังมาอีกก่อนเดินจากบ้านไปทางประตูข้าง

   “เดี๋ยวคุณซี” ผมดึงมือรั้งอีกคนไว้ ตอนที่คุณซีลุกขึ้นเต็มความสูง ยิ้มตาหยีให้กับเรื่องที่เกิดขึ้น

   “เอ้า ลีลาอยู่นั้นมาเร็วๆ จะไปส่งผลไม้ในตลาด เร็วๆ เข้า” เสียงตะโกนโวยวายจากข้างนอกของพ่อไม่ได้ทำให้มือที่ผมกุมไว้อยากเปล่อยออกเลยสักนิด

   “ไหวหรือครับ” ผมได้คำตอบแค่เพียงการตบหลังมือของผมปุๆ คุณซีรับหมวกใบเก่งจากแม่แล้วเดินออกนอกบ้านไป

   “ไม่ต้องห่วงนะ พ่อแกคงไม่ทำให้ถึงตาย” แม่พูดขึ้นมาลอยๆ แล้วเดินหายเข้าไปในครัว





***********************************************************************************************
   

   
   ท้องฟ้าฉ่ำน้ำเพราะตลอดช่วงบ่ายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่มีท่าว่าจะหยุดสนิท ขนาดปาเข้าไปเกือบทุ่ม แต่น้ำฝนก็ยังเป็นละอองอยู่ประปราย จากที่ให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำ จนกลายเป็นความน่าหงุดหงิดอย่างที่ไม่รู้จะระบายตรงไหน ผมได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง ยืนมองทางเข้าของไร่ หลังจากที่รถบรรทุกขนาดเล็กของพวกคนงานกลับมาแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววของรถกะบะคนโตของพ่อเลยสักนิด ฟ้าสีแดง ที่สังเกตเห็นแม้จะมืดค่ำทำให้ผมรู้ว่า อีกไม่นานพายุคงจะมาแน่

   “อย่ากังวลไปเลย ไปหาอะไรกินกันหรือเปล่า”

   “พ่อคิดอะไรอยู่ครับ” ผมเอ่ยเสียงอ่อน ต่อคนที่คอยลูบหลังลูบไหล่ด้วยความเป็นห่วง

   “พ่อแกไม่ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้นหรอกนะ เอาน่ะ” ตบไหล่อีกสองที แม่ก็บอกว่าจะลงครัวเพราะไม่รู้ว่าสองหนุ่มจะกินอะไรรองท้องมาแล้วหรือเปล่า

   ใช้ว่าเวลากว่าชั่วโมง แสงไฟสีส้มของหน้ารถก็ทอดเข้ามาจนเกือบถึงตัวบ้าน ผมที่ทนความเหนอะหน่ะของอากาศไม่ไหว ก็เข้าไปอาบน้ำและออกมาเห็นพอดี อยากจะวิ่งโจนทะยานจากตรงนี้ไปยังบ้านใหญ่ให้รู้แล้วรู้รอด ห่วงคนที่ไม่เคยได้หยิบจับอะไรที่ต้องใช้แรงงาน ตากแดดตัวดำซะก็ไม่รู้ ถึงใจอยากจะทำอย่างนั้น แต่ผมก็ต้องทำให้เป็นปกติ ยิ่งพ่อแซวเรื่องรอยจูบที่คอ ผมยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ ไม่อยากให้แกรู้สึกว่า ผมเห็นคุณซีสำคัญกว่าแก

   “พ่อกลับช้าจัง” ผมเอ่ยเรียบๆ เคียงๆ กับคนที่ยกแก้วน้ำแดงชงขึ้นดื่ม ถึงหางตาจะแอบมองอีกคนแต่คนๆ นั้นก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ให้เหล่มองเลยสักนิด

   “ทำไม ปกติก็ไม่เห็นจะเคยรอ”

   “แต่ยุว่า วันนี้พ่อกลับช้ากว่าปกติ”

   “เพราะแกรอนะสิ เลยรู้สึกว่ามันช้า ห่วงว่าพ่อจะทำให้คนของแกตายหรือไง”

   “ยุไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย ยุก็ห่วงพ่อนั่นแหละ ฟ้าแดงไม่นานฝนคงตกใหญ่”

   “เหอะๆ ไม่ต้องมาพูด ห่วงผะ เฮ้อ ห่วงคนอื่นก็พูดมา” ถึงแม้ประโยคที่ละไว้จะไม่เอ่ยปากออกมา แต่ผมกับแม่ก็เดาได้ว่าพ่อพูดคำไหน คำพูดที่มากับเสียงถอนหายใจทำให้ผมต้องถอนใจตามไปด้วย

   “เหนียวตัวเต็มทีแม่ตะวัน ฉันจะขึ้นไปอาบน้ำ หาอะไรง่ายๆ ให้คนกรุงเทพหน่อย น้ำพริกแมงดาของยายจาบคุณแกคงกินไม่ได้ หน้าดำหน้าแดงไม่รู้เผ็ดอะไรนักหนา” เดินไปพูดไปไม่ทันจบประโยค

   “แม่เห็นคุณซีไหมครับ”

   “ออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก นึกว่าจะไม่ถามถึงซะอีก”

   “กลัวพ่อ แม่ไปพักเถอะ เดี๋ยวยุจัดการเอง” ผมมองถ้วยไข่เจียวที่แม่ว่างไว้ข้างเตา เปิดแก๊สอุ่นกะทะ ลอบมองคนเดินออกไปคุยโทรศัพท์จนแทบหาไม่เจอ กลิ่นไข่เจียวที่ลอยฟุ้งไม่ได้ทำให้ผมสนใจมันมากไปกว่าน้ำเสียงที่ดูออกจะหงุดหงิดนั้นให้ได้ยิน

   คุณซีเดินเข้ามาในบ้าน ด้วยเสื้อผ้าที่เปียกชื้น และท่าทางสงบสติอารมณ์อย่างไม่ปิดไม่มิด

   “หิวไหมครับ ไม่มีอะไรให้ทานมากนัก กินไข่เจียวไปก่อน”

   “แค่นี้ก็พอแล้ว”

   “วันนี้เป็นไงมั่ง” ผมนั่งลงที่เก้าอีกตัวข้างๆ ขณะที่คุณซีกำลังเขี่ยข้าวในจานให้ควันลอยฉุ่ยออกมา
    “อื่ม สนุกดี ไม่ได้ทำอะไรมาก คุณลุงให้ขับรถให้ ส่วนพวกเข่งผลไม้ก็ให้คนงานเป็นคนยก”

   “คุณซี”

   “หื้ม”

   “ถามได้ไหมครับ” คุณซีละออกจากจานข้าว มองหน้าผมแล้วอมยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงไปทานข้าวต่อ

   “แพรน่ะ เธออยากเจอฉัน ไม่รู้ว่าทำไม”

   “ก็เธอรักของเธอ”

   “พูดอะไรไม่เห็นใจกันเลย นั่นคนที่ตั้งใจฆ่าคนรักของฉันถึงสองคนเลยนะ ความรักครั้งแรก และความรักเพียงครั้งเดียวที่ฉันต้องการมี ครั้งแรก คือ บี และครั้งเดียวคือนาย”

ถึงแม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่สีหน้าก็ปิดไม่มิด ศิริวัฒน์ ขี้แกล้ง ไม่มีอีกแล้ว แค่บรรยากาศข้างนอกที่ฝนยังโปรยปรายก็ทำให้ทุกอย่าง่มันเศร้าอย่างอัตโนมัตอยู่แล้ว ยิ่งพูดเรื่องนี้ผมยิ่งเศร้าเข้าไปใหญ่

ผมพาคุณซีกลับม่าที่บ้านพักท้ายไร่ หาเสื้อผ้าของตะวันให้ใส่ เพราะของผมเองคุณซีคงยัดไม่ลง ที่นี่ไม่มีรายการเคเบิ้ลเหมือนที่คุณซีชอบดู เราจึงล้มตัวลงนอน ทั้งๆ ที่เพิ่งเป็นเวลาสามทุ่ม

“คิดอะไรอยู่ครับ ถ้าเรื่องคุณบีเลิกคิดเถอะผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นแล้ว คุณให้ผมอยู่ตรงไหนผมก็อยู่” ผมตัดสินใจถามทำลายความอึดอัดที่ก่อตัวแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าก่อนออกไปคุณซีก็ยังดูดีไม่ท่าทางว่าจะเศร้าขนาดนี้ หรือจริงๆ แล้วเป็นผมเองที่ไม่ได้สังเกต หรือตลอดเวลาคุณซีก็ยังคิดถึง

“.....”

“เรื่องคุณแพรก็ด้วย จบๆ มันไปเถอะ”

“ดูพูดเข้า”

คุณซีลุกขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้ จมูกโด่ง ไล้หอมแก้มซ้ายแก้มขวา พลางลูบผมที่ลงมาปิดหน้าให้ ผมใจสั่นแต่ไม่ได้รู้สึกเขินอายจนทำอะไรไม่ถูกแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกเลยเสียเมื่อไร

“อย่าพูดว่าให้อยู่ตรงไหนก็ได้ได้ไหม บอกแล้วไงว่าไม่ได้ให้มาแทนใครสักหน่อย”

“ผมรู้ แต่... ผมจะพยายามคิดให้น้อยลงก็ได้” เสียงหัวเราะในลำคอ หยุดลงด้วยเสียงฟอดที่แก้มของผม

“วันนี้เหนื่อยนะ เอาใจหน่อย”

“ไหนบอกไม่เหนื่อยไง ไหนบอกว่าสนุกดี”

“นะ เอาใจหน่อย ช่วงนายไม่อยู่ไม่มีใครมาดูแลเลย คุณปริมก็ไปช่วยทางพ่อ เหนื่อยจะแย่” มือซนสอดเข้าใต้เสื้อนอนตัวโคร่ง

“คุณซี”

“หื้ม ...” ถึงจะไม่ได้บอกตรงๆ แต่ผมก็เข้าใจความต้องการของเด็กซนว่าต้องการอะไรกันแน่

“จะไม่ยิ่งเหนื่อยหรอครับ”

“ไม่เลย ไม่เหนื่อยแน่ ๆ”
 

ความรักของผมกำลังงดงาม หัวใจของผมกำลังเต็มอิ่ม ต่อให้ต่อไปจะต้องเจอกับอะไรผมก็ไม่กลัวทั้งนั้น ผมจะไม่หนี และผมจะรับมันของแค่มีมือคู่นี้จับกันไปตลอดก็พอ









TBC

ตอนหน้าจบแล้วนะคะ ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์ ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านงานของเรานะคะ ขอบคุณค่ะ


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 20 (25/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-04-2017 10:06:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 29-04-2017 09:47:53
=21=


(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSMpjKrQ8QGTk0xULxOQlMISj0X2XSdxN5c3cLz3etU0F_chDjZWg)


คฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ผมมีความทรงจำกับมันไม่ดีนัก มันเป็นความทรงจำค่อนข้างแย่ และไม่อยากนึกถึง ความทรงจำที่ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ บ้านใหญ่ของตระกูลเกียรติกุล ยังคงมีความน่าเกรงขาม ยังคงเต็มไปด้วยเหล่าบอร์ดีการ์ดเหมือนกับที่ครั้งแรกที่ผมได้มาเหยียบที่นี่ไม่มีผิด แตกต่างกันตรงที่ตอนนี้ มือของผม มีมือของใครอีกคนกระชับอยู่ มือของเราทั้งคู่สอดประสาน และคงไม่มีวันที่ผมจะกลัวอะไรอีก


ทุกย่างก้าวที่ได้ก้าวเดินออกจากความกลัวนั้นยังคงมีความกังวล แต่แรงบีบนั้นเหมือนกับกำลังเปล่งเสียง “ไม่เป็นไร” ออกมาให้ได้ยิน ถึงแม้จะไม่มีคำพูดใดก็ตาม

“ตาซี” เสียงเรียกระคนความดีใจ ลอดออกมาให้ได้ยินทันที ที่คุณซีก้าวผ่านธรณีประตู แต่สีหน้าของคุณหญิงเพชรสินีก็เรียบตึงอีกครั้ง เมื่อเห็นหน้าผม สองขาของหญิงวัยกลางคน หยุดชะงักลงดื้อ ๆ ทั้งที่จริงๆ แล้ว จากเหตุการ์ณตรงหน้า ท่านคงกำลังอยากจะวิ่งมากอดลูกชายคนเดียว ที่มีทั้งความรัก ความหวังของท่านอยู่เต็มเปี่ยม และสาเหตุของการผิดหวัง เสียใจ ที่มีปรากฎต่อดวงตาคู่นั้น ผมก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็มีส่วน

คุณซีโอบไหล่ผมไว้ เดินผ่านคุณหญิง ด้วยสีหน้าที่ผมอ่านไม่ออก เขาไม่มีคำพูด และมีแค่รอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้านั้น ส่งมาให้ ผมนั่งลงตรงที่โซฟาตัวเดิม ชุดเดิม ที่ผมเคยเห็นภาพของผู้ชายหน้าตาน่ารัก กับผมสีเทาควันบุหรี่ ภาพนั้นซ้อนทับเอาจนปวดหัวใจ ถึงแม้ว่าผมจะไม่คิดเรื่องนั้นแล้ว แต่พอได้คิดหัวใจก็เจ็บไปหมด

คุณซีเดินตรงไปที่คุณหญิง ที่ดูเหมือนภาพตรงหน้าที่คุณซีโอบไหล่ผม จะยังทำให้เธอตะลึงจนก้าวขาไม่ออก เขากอดคุณหญิงจากทางด้านหลัง คางเกยไว้บนไหล่ของคนเป็นแม่ ภาพที่เห็นมันทำให้ผมน้ำตาลื้นออกมา อย่างที่ไม่ได้ตั้งใจ ความรู้สึกผิดแล่นลิ่ว มือของผู้หญิงวัยกลางคนเอื้อมมาขยุ้มกลุ่มผมสีดำโดยที่ไม่พลิกตัวกลับมา ไหล่ที่สั่นสะท้าน ทำให้ผมรู้ว่าคนเก่ง อย่างคุณหญิง เพชรสินีกำลังร้องไห้

ผมไม่เคยนึกโกรธ เรื่องที่ท่านห่วงลูกชายจนเผลอทำร้าย ลูกใคร ใครก็รัก คิดในแง่ของผู้หญิงคนนึง คนที่ถูกสามีที่อยู่ด้วยกันมาจนมีลูกเต้า โตจนเป็นหนุ่มเป็นสาว กลับถูกพูดใส่หน้าปาวๆ ว่าไม่เคยรัก แต่งกันเพราะความจำเป็น แล้วแถมยังถูกหักหน้าด้วยการบอกรักผู้หญิงอื่นมากกว่า หน้าตาทางสังคมค้ำคอเกินกว่าจะร้องไห้ฟูมฟาย ทั้งๆ ที่ในใจเสียใจ หัวใจแหลกสลายแทบไม่เหลือชิ้นดี ความหวังเดียว กลับถูกทำลายในเรื่องที่คนในสังคมยังไม่ยอมรับ ลูกชายรักผู้ชาย ความสูญเสียที่มีอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับหัวใจ ผมยังนึกไม่ออก ถ้าตัวเองเป็นคุณหญิง ผมจะทำแบบนั้น หรือมากกว่าที่เธอเคยทำไหม

ภาพสองคนแม่ลูกกอดกัน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเศร้า ตัวเองเป็นหนึ่งในตัวการที่แสนจะเจ็บปวดของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่แบกรับภาระ อยู่บนคอ น้ำหนักของคำว่าอคติ ทิฎฐิ ศักดิ์ศรี และหน้าตาทางสังคม ทำให้ความสุขแค่เพียงเล็กๆ น้อยๆ และความเข้าใจ ถูกบดบังจนสนิท ไม่เหลือแม้แต่ความรักที่มีให้แต่ลูกมากมายแต่กลับแสดงออกมาในแง่ที่ทำให้คิดว่าไม่รักกันเลยสักนิด

ยิ่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวน กลับยินดีปรีดาญาติดีกับคนที่ทำให้เจ็บช้ำยิ่งโกรธยิ่งเกลียด ถึงลูกสาวจะไม่ได้ออกหน้ามากนัก แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจรังงอนฝ่ายนั้น ให้คุณหญิงเพชรสินีรู้สึกว่านี้แหละพวกของตัว ได้อย่างเต็มอกซะทีไหน ยิ่งท่าทางเป็นกลางของคุณเอ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดยิ่งชัดเท่าไร คุณหญิงก็รู้สึกเหมือนตัวคนเดียว เพราะฉนั้นการที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้หัวเดียวกระเทียมลีบ ร้ายแค่ไหนก็ต้องทำ

แก้วน้ำชาถูกวางลงที่เดิมเหมือนกับภาพซ้อนทับ นั่งไทม์แมชชีนกลับมาอย่างไรอย่างนั้น คนรับใช้ในบ้านยังคงมองด้วยสายตาเหยียดอยู่นิดหน่อย ก่อนจะวางแก้วลงอย่างสุภาพและเดินจากไป คุณหญิงถูกประคองด้วยลูกชายลงนั่งฝั่งตรงข้ามที่เธอเคยนั่ง ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กสีขาวสะอาดถูกหยิบยื่นด้วยลูกชายคนเดียว เธอซับน้ำตาพร้อมทั้งรอยยิ้มให้ลูกชายที่นั่งข้าง ๆ อยู่ไม่ห่าง

“มี๊ครับ นี่คือคนรักของผม” เป็นการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการที่แสนเจ็บปวด มือที่เคยเช็ดน้ำตาอย่างอ่อนโยน กลับกำผ้าเช็ดหน้าที่เมื่อกี้ถะนุถนอมเสมือนของล้ำค่ากว่าสิ่งใดในโลก จนยับย่นไม่เหลือชิ้นดี

“แกจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้” น้ำเสียงสั่นเครือกระแทกน้ำหนักเสียงทีละคำ ทำให้ผมไม่กล้าสบสายตา

ก่อนหน้านี้ที่ผมตัดสินใจกลับมากับคุณซี เพียงแค่เราต้องการจะไปหาคุณบีด้วยกัน เพราะผมอยากขอโทษ ความรู้สึกจิตใต้สำนึกว่าผมแย่งคนรักของคุณบีมา ยังคงวนเวียนไม่ห่าง ถึงแม้จะตกใจนิดหน่อย หวั่นใจเล็กน้อย เมื่อคุณซีเลี้ยวเข้าเขตรั้วคฤหาสน์ แต่นี่ก็ไม่ช่สิ่งที่ผมผิดคาดมากนัก แต่ที่ไม่กล้าสบตา เพราะดวงตาคู่นั้น มันช่างเศร้าสลด เจ็บปวด ราวกับโดนทำร้ายอย่างจัง แทบจะไม่เหลือชิ้นดี

“ผมจริงจังกับยุ ผมอยากให้เขาเป็นอนาคตของผม”

“ฉันมองเห็นอนาคตที่มืดมนของแกแล้ว” น้ำเสียงถึงแม้จะอ่อนลงแต่ก็ไม่ลดความขุ่นเคืองลงสักนิด

“มี๊ครับ”

“ฉันไม่ยอม!! ยังไงฉันก็ไม่มีทางให้แกกลายเป็นพวกผิดเพศสกปรก” คุณหญิง ลุกขึ้นยืนตะเบงเสียงตะโกนลั่น สองมือกำกันแน่นด้วยความโกรธ เส้นเลือดปูดโปนเหมือนจะทะลุ หน้าตาแดงก่ำ น้ำตาไหลนองสองแก้ม

“ผมไม่ได้ให้มี๊ยอมรับพายุ ผมแค่พา พายุมาแนะนำให้รู้จัก ซึ่งนั้นหมายถึงพายุต้องเคารพมี๊ในฐานะแม่ของผม และมี๊ก็ต้องรับรู้ว่าลูกของมี๊มีคนรักแล้ว แค่นั้น ที่ผมต้องการ”

“ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่เด็ดขาด แกเตรียมตัวเข้าพิธีหมั่นแต่งงาน เป็นหลักเป็นฐานได้เลย ยังไงซะฉันก็จะให้แกแต่งกับลูกคุณหญิงคนใดคนหนึ่งอยู่ดี”

“มี๊ต้องการให้ผมมีชีวิตแบบพ่อ และทำกับลูกคุณหญิงพวกนั้นเหมือนที่พ่อทำกับมี๊หรือครับ ต้องการแบบนั้นใช่ไหม”

“ตาซี!!!”

สองสายตาแม่ลูกจ้องกันเขม็ง คนเป็นแม่เข่าอ่อนทรุดลงนั้ง น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ผมอยากจะเอื้อมมือไปบีบแขนของทั้งคุณซีและคุณหญิงให้ทั้งคู่คลายมือที่กำแน่นออกจากมือของตัวเองเสียที ความโกรธที่ทั้งสองคนกำลังสาดใส่กันไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้นสักนิด

“แกกล้าเอาเรื่องนี้มาพูดเหรอ แกก็รู้ว่าฉันเจ็บกับเรื่องนี้มากแค่ไหนแกก็ยังขุดเอาขึ้นมาพูด ใช่สิ ก็พ่อแกมันดี อีนั้นมันก็ดีใช่ไหม แกถึงพะเน้าพะนอมัน แล้วก็รับเรื่องบ้าๆ สกปรกของแกกับเด็กบ้านั้นได้ใช่ไหม แกถึงเรียกมันคุณทุกคำ” เสียงสะอึกสะอื้น ทำให้ผมใจเสีย สิ่งที่คิดว่าผู้หญิงคนนี้น่าสงสารภาพตรงหน้ายิ่งตอกย้ำมากขึ้น   

“พ่อแกไม่ผิด ไม่ผิดเลยที่ไม่ได้รักฉัน เรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้แกคิดแบบนั้นใช่ไหม แต่แกรู้อะไรไหมซี ฉันรักเขา รักเขาจนหมดใจ รักตั้งแต่ก่อนที่จะรู้ว่าต้องแต่งงานกับเขา”

“พี่เกียรติ คือผู้ชายใจดี เขาน่ารัก เขาดูแลฉัน ที่เป็นแค่ลูกเศรษฐีใหม่ ที่ในสังคมไม่ได้ยอมรับมากนัก น้องพิชชี่ ทุกครั้งที่เสียงทุ้มๆ นั้นเรียกฉันทำให้ฉันใจสั่น หัวใจของฉันลิงโลดพอรู้ว่าจะได้แต่งงานกัน เพียงแค่เพราะฐานะทางบ้านฉันจะช่วยเกียรติกุลได้ พี่เกียรติของฉันก็เลยกลายเป็นคุณเกียรติ ไม่มีแววตาของพี่ชาย และไม่มีทางที่เขาจะรักฉัน”

“ฉันรู้ตอนนั้นแหละ ว่าสิ่งที่เขาทำกับฉัน ห่วงใยใส่ใจทุกอย่างฉันคิดไปแค่คนเดียว มันยุติธรรมไหม ฉันอดกลั้น ถึงแม้จะรู้เรื่องยัยบ้านั้น แต่ก็ยอม ขอแค่เรายังเป็นครอบครัว ฉันยอมเป็นหัวโขนยิ้มให้กับเรื่องทุกอย่างที่ถูกนินทา แต่พ่อแกก็ทำมันพังหมด โดยการประกาศหย่า และรับมันเป็นเมียพร้อมกับเด็กหัวขนในท้องนั้นอีก แล้วแก แกก็ยังจะไปจากฉัน ไปรักกับไอ้เด็กกำพร้านั้น ทั้งๆ ที่มันกินเงินมูลนิธิของฉันแท้ๆ มันยังกล้า แค่สะเอ่อะมาเป็นเพื่อนกับแกฉันก็เตือนหลายครั้งแล้ว มันยังกล้า กล้าก้าวข้ามความรู้สึกบ้าๆ นั้น ทั้งๆ ที่มันสัญญาแล้ว มันสมควรแล้ว สมควรที่มันต้องตายแล้ว”

“มี๊” น้ำเสียงของคุณซีดูอ่อนใจ

ผมลุกจากที่นั่งของตัวเอง เดินเข้าไปหาคนที่นั่งสะอึกสะอื้นร้องไห้ปานจะขาดใจ คุกเข่าอยู่แทบเท้า คนที่รังเกียจผมเหมือนกับใช้ลมหายใจร่วมกันไม่ได้ กลับไม่ถอยหนี นั่นก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย ผมจับมือ และคุณหญิงก็ไม่ชักมือกลับนั่นก็เป็นเรื่องที่ดี

“คุณหญิงครับ” เธอไม่ตอบได้แต่กลืนน้ำลาย กัดฟันข่มความโกรธที่มี

“ผมไม่แย่งคุณซีไปจากคุณหญิงครับ ผมไม่เอาเขามาสกปรกกับผมแบบที่คุณหญิงคิด และผมจะไม่ทำให้คุณซีหรือตระกูลของเกียรติกุลแปดเปื้อน” ผมไม่ได้ประชด ผมคิดแบบนั้นจริงๆ

“ผมจะยอมไม่มีตัวตนเป็นอากาศธาตุ ไม่ให้คุณหญิงรำคาญตาอีก แต่ผมขออย่างนึงได้ไหมครับ”

“.....”

“เลิกร้องไห้” ผมค่อยๆ แกะมือที่กำกันแน่น ดึงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก และเช็ดลงไปที่ใบหน้าสวยที่ตอนนี้  นองไปด้วยน้ำตา แต่คุณหญิงก็ยังสวยงามด้วยความรักของคนเป็นแม่

“แล้วมีความสุขได้ไหมครับ เลิกทิฎฐิ อคติ และเลิกสนใจคำนินทา คำพูดของคนอื่น คุณหญิงไม่ได้เป็นแบบที่พวกเขาพูด คุณหญิงคือคนที่ทำให้ทุกคนมีความสุขโดยแบกรับความทุกข์ไว้คนเดียว คุณหญิงเก็บคำพูดพวกนั้นเอามาวางบนบ่าจนเจ็บไปหมดแล้ว ปล่อยมันได้ไหมครับ แล้วผมจะหายไปเลย”
ผมยิ้มให้กับคุณหญิง ที่เบ้ปากกระเหง้ากระงอด เหมือนเด็ก น้ำตายังไหลเผาะๆ หันไปเห็นคุณซีก็ขมวดคิ้วฉับ แถมส่ายหัวให้กับความคิดโง่ๆ ของผม

ผมไม่ได้จะเลิกรักคุณซี ผมไม่ได้จะเลิกกับเขา เพียงแต่ ความสุขเล็กน้อย ที่คุณหญิงจะได้รับเพียงแค่ผมหายไปจากสายตาจากความคิด แลกกับความทรมานที่เธอต้องแบกรับมาตั้งแต่แต่งงานผมว่ามันคุ้ม ถึงมันจะดูน้ำเน่าไปหน่อย แต่ผมเชื่อว่าเวลาคงจะช่วยบรรเทาให้พวกเราเจ็บปวดกับความรักน้อยลง ทรมานกับการไม่รักน้อยลง และยิ้มรับให้กับความโดดเดี่ยวมากขึ้น ทุกอย่างจะต้องดีและเป็นไปในทางที่ถูกวางไว้แล้ว



*********************************


กลิ่นไอทะเล หญ้าเขียวๆ กลิ่นดินหลังจากฝนตกใหม่ๆ ที่ปลายฟ้ามีรุ้งให้เห็นอยู่เล็ก ๆ นี่คือบรรยากาศของความสุข ที่ผมสัมผัสได้เต็มหัวใจ หลังจากฝนหยุดตก เราออกจากโรงแรมในตัวเมืองทันที พอมาถึง ความชื้นในผืนดินก็คลายลงไปมาก แต่อากาศกำลังสบาย ดอกแคสเปียในมือ ถูกวางลงที่หน้าแผ่นศิลาหินอ่อน รอยยิ้มที่ปรากฎแก่ใบหน้าของคนวางดอกไม้ ทำให้ผมยิ้มออกมา

“บีกูรักมึง มึงรู้ใช่ไหม” คำพูดเบาหวิวลอยมาให้ได้ยิน ผมยิ้มรับคำนั้นได้เต็มหัวใจ อดีตของคุณซี มันน่าชื่นชม ความรักสวยงามเสมอ

“ขอบคุณนะครับคุณบีและก็ขอโทษด้วย” ผมขอบคุณที่ทำให้คุณซีกับผมได้เจอกัน และขอโทษที่รู้สึกยินดีกับการจากไป ผมเห็นแก่ตัวครับ ผมยอมรับ ถ้าคุณบียังยืนอยู่ตรงนี้ ผมคงไม่ได้เจอความรักของตัวเอง แต่คุณบีและคุณซีคงเป็นคนรัก ที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก

ใบไม้ไหวลมพัดผ่านเหมือนกับว่าคุณบียอมรับในคำพูดของผม และรับรู้ในความรักของคุณซีเช่นกัน คุณซีถอยออกมาจับมือของผมไว้แน่น ก่อนที่เราจะสบตากัน

คุณซีหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ ศิลานั้น และบอกกับผมว่า เขามักจะทำแบบนี้ เวลาไม่สบายใจ เคยมาปรับทุกข์กับคุณบีหลายหน จนไม่รู้ว่าคนข้างในเบื่อฟังไปแล้วหรือเปล่า คุณซีกำลังดื่มน้ำ และมีแซนวิชอันเล็กที่ผมทำใส่กล่องมากินด้วยกัน เรากำลังปิคนิคกันสามคน และเรากำลังมีความสุข

หลังจากวันนั้น แพลนที่วางไว้ว่าจะไปหาคุณบีก็เป็นอันต้องพับเก็บ คุณหญิงงอแงเหมือนเด็ก และแน่นอนผมโดนคุณซีเทศน์ยาว

“ยังไงก็ไม่เลิก พูดอะไรไม่เคยคิดถึงใจฉันเลย” นั้นเป็นคำพูดแรกที่ตะวาดใส่หน้าผมหลังจากที่กล่อมให้คุณหญิงเข้านอน ครับ เราอยู่ที่นั้นกันทั้งวัน จนค่ำมืด และนอนค้างที่นั้นด้วย

“ผมไม่ได้บอกสักนิดว่าจะเลิกกัน”

“แต่พูดแบบนั้น ก็เหมือนเลิกไหมหละ”

“คุณซีแลกความสุขเล็กๆน้อย ๆ เพื่อความสุขของคุณหญิงไม่ได้หรอครับ”

“ความสุขของฉันคือการมีนาย”

“ความสุขของผมคือเห็นคุณมีความสุข และคนรอบข้างคุณมีความสุขด้วย”

“......” เด็กซนไม่ยอมตอบ ขณะที่กำลังนอนหนุนตักผมอยู่ในห้องนอนของตัวเอง

“เรารักกันใช่ไหม” คนนอนเล่นหลับตาพริ้มพลางพนักหน้ารับ

“ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ผมก็รักคุณอยู่ดี คุณซี และผมรู้ว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน คุณก็จะรักผมเหมือนกัน เพราะเรารักกัน”

นั่นคือคำพูดที่ดูจริงจังที่สุดสำหรับเราทั้งคู่

ผมยังอยู่ที่ไร่ ผมยังคงดูแลสวนดอกไม้ของผม และทำให้มันเติบโต คุณซียังคงเป็น ศิริวัฒน์ เกียรติกุล ที่ต้องดูแลบริษัทในเครือ และออกงานสังคมไปกับคุณหญิงควบคู่กัน เวลาผ่านไป พวกเราโตขึ้น ดูแลตัวเองมากขึ้น และรักกันมากขึ้น แฟนเด็กอายุ 29 ของผม เป็นผู้ใหญ่จนผมตามเขาไม่ทัน เราจะเจอกันทุกครั้งที่คุณซีว่าง และทุกวันที่คุณบีจากไปของทุก ๆ ปี อย่างเช่นวันนี้ 

ความรักของเราเติบโต มองมุมกว้างขึ้น รักคนอื่นมากขึ้น ผมไม่หวังให้อะไรมันดีกว่านี้ มีความสุขมากกว่านี้ เพราะที่มีตอนนี้ผมก็รู้สึกโชคดีมากแล้ว จะมีใครสักกี่คนที่ได้รับความรู้สึกนี้กัน

คุณหญิงไม่ได้สะบัดปัดปึงยามที่เจอหน้ากัน แค่รับไหว้ แล้วหายไปจากวงสนทนา ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องดี ที่เธอไม่สั่งให้ใครลากผมออกไป ผมไม่ได้หวังให้เธอยอมรับโอบกอดผมเหมือนกับลูกชายอีกคน นั้นมันคงเป็นไปได้ยาก

พ่อไม่ได้บอกว่าคุณซีคือลูกเขย เพราะแบบนั้นจะเป็นการยอมรับว่าผมกลายเป็นผู้หญิง แต่การที่พ่อชอบบังคับให้คุณซีกินของเผ็ดทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณซีกินไม่ได้ แล้วหัวเราะชอบใจเวลาที่คุณซีเรียกหาน้ำนันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีของผม มันเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆ ของพ่อ

คุณเอ ไม่ได้ตกลงปลงใจกับหมอธรรมวุฒิ แต่เหตุการณ์ที่คุณหมอโดนกาแฟเย็นสาดหน้า เพราะรับมันมาจากพยาบาลที่เข้าบรรจุใหม่ โกรธเป็นฟื้นเป็นไฟอยู่หลายวันนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน ถึงจะโดนกาแฟสาด แต่หมอธรรมวุฒิก็ยิ้มแก้มแทบแตกอยู่ทั้งวัน

เจ้เจน วัลลภ บอส ยังคงทำงานที่เค ดีเวลฯ และพวกเรายังติดต่อกันอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้ติดต่อกับบอสโดยตรงแต่ก็ได้ฟังคำบอกเล่าจากเจ้อยู่ไม่น้อย ทุกครั้งที่ผมแวะเข้ากรุงเทพฯไปค้างที่คอนโดหรือค้างที่บ้านใหญ่เราจะนัดสังสรรค์กันเฉพาะกิจอยู่เสมอ ถึงแม้จะถูกงอนว่าถูกแย่งเวลาจากเด็กซน แต่มันก็ไม่ได้จริงจังอะไรนัก

น้องปอม มีน้องสาวแล้ว นั้นทำให้พี่พายุถูกหลงลืมไปซะสนิท พักร้อนของคุณซีปีนี้เราคงไปบินไปเยี่ยมเจ้าตัวเล็ก ได้เห็นแต่รูปถ่าย แก้มยุ้ยๆ นั้นน่าหยิกซะไม่มี


“ตัวเปี๊ยก”

“หืม”

“ไม่กลับมาอยู่ด้วยกันหรอ ฉันคิดถึงนายนะ”

“กล้าพูดแบบนี้ ต่อหน้าคุณบีหรอครับ” เด็กซนเจ้าเล่ห์ ล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้า ใกล้กับแท่นศิลาหินอ่อน
“ไอ้บี๋มันรู้หรอก กลับมาอยู่ด้วยกันนะ อย่าทรมานกันนักเลย”

“แล้วไร่ผมล่ะ”

“นานๆ กลับไปดูทีก็ได้นี่น่า” ผมเกลี่ยปอยผมของคุณซีที่ตอนนี้เริ่มยาวแล้ว “จะพากลับทุกอาทิตย์เลยก็ได้เอ้า”

“แล้วคุณหญิงล่ะครับ กลับไปนอนบ้านบ้าง ถ้าผมกลับมาอยู่ที่คอนโด คุณซีจะกลับไปนอนบ้านไหม”

“ฉันคิดถึงนาย” น้ำเสียงงอแงแสดงความเป็นเด็กเต็มที่

“ผมก็คิดถึงคุณ แต่ตอนนี้คุณไม่มีความสุขหรอ”

“มีสิ”

“ผมก็มีครับ มีมากด้วย”

คุณซีหยัดตัวลุกขึ้น มือใหญ่ลูบแก้มผม นิ้วโป้งนั้นเกลี่ยแก้ม ด้วยความเอ็นดู ขนตายาวๆ ของคุณซีเข้ามาใกล้ทุกที ริมฝีปากหนา ที่เมื้อกี้ยังกระเหง้ากระงอดงอแง ใกล้เข้ามา ประทับรอยจูบลงอย่างแผ่วเบาแล้วผละออก

“ฉันรักนาย พายุ”

“ผมรักคุณซีนะ” เราสบตากัน และรอยจูบนั้นก็ดึงดูดกันอีกครั้ง สองมือ คุณซีประคองใบหน้าให้อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม และผมไม่คิดที่จะขยับหนี ลิ้นร้อนถูกส่งเข้ามาทำให้ใจวาบหวิว จูบกันจนนับครั้งไม่ได้ แต่ทุกครั้งก็ยังตื่นเต้น หัวใจสั่นไหว เหมือนเป็นจูบแรกอยู่เสมอ

ดอกแคสเปียถูกวางไปบนแท่นศิลา พลิ้วไหวตามสายลมที่พัดผ่าน

ความรักที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะไม่ลืมเลือน

เราจูบกันและผละออก และจูบกันอีกครั้ง

เรารักกัน และคงรักตลอดไป

ข้างหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไร หนทางต่อจากนี้จะมีอุปสรรคหรือยากลำบากแค่ไหน แต่เราจะจับมือกัน มีความสุข และมีความทุกข์ ไปด้วยกันเสมอ







 The End.






เดินทางกันมาจนถึงตอนจบ ขอบคุณนะคะ นี่เกินความคาดหวังที่ตั้งเอาไว้มากเลย สำหรับเรื่องแรก ดีใจและก็เป็นแรงฮึด ให้ฝึกฝีมือต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะรู้สึกท้อไปบ้างแต่ก็ทำให้ยิ้มและกลับมาเขียนอีกครั้ง เพราะทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ


จริงๆ มีที่สต๊อกเขียนขาดๆ เกินๆ ไว้หลายเรื่องแต่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเนาะ

ไม่รู้ว่าตอนจบจะถูกใจหรือเปล่า ที่เขียนไม่ให้คุณซีกับพายุกลับไปอยู่ด้วยกัน เพราะในความเป็นจริงบางทีทุกอย่างก็ไม่แฮปปี้เอนดิ้ง เสมอไปค่ะ แต่เขาก็ยังรักกัน ถ้ารักกันแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดหรอกจริงไหม ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องดำเนินชีวิตในแบบที่เป็นค่ะ

อาจจะไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ทุกอย่างดูง่ายไปหมด ไม่รู้ว่ามองโลกในแง่ร้ายไหม แต่เชื่อว่า คนไม่ชอบกัน การเปิดใจให้รับเข้ามาและรักเหมือนไม่เคยเกลียดกันมาก่อนเลยคงเป็นไปได้ยาก พ่อของพายุไม่ได้ยอมรับการเป็นเกย์ของพายุนะคะ แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขวาง แต่ถ้าใครมาถามว่า ลูกเป็นเกย์หรอ ไอ้หนุ่มกรุงเทพนั้นเป็นแฟนลุกชายหรอ แกคงไม่ตอบว่าใช่แน่นอน แม่ของซีก็เหมือนกันค่ะ

เพราะฉนั้นเรารักกัน ไม่ได้รักกันแค่สองคนค่ะ ต้องยอมรับว่าองค์ประกอบอื่นๆก็มีผล

ขอบคุณที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้นะคะ และอย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหน ตามเรื่องอื่นๆ ด้วยน้าาาาาาา ^^

นี่เป็นทอล์คที่ยาวที่สุดแล้ว ตั้งแต่เปิดบทความ อย่าเพิ่งเบื่อ อิอิ

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ



**ความหมายของดอกแคสเปีย ขอบคุณข้อมูล twitter@ILA_flower
ความรักที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะไม่ลืมเลือน**

pradoza
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-04-2017 17:26:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-04-2017 21:39:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 30-04-2017 13:21:35
ขอบคุนสำหรับนิยายดีๆค่า :hao3:
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: miwmiwzaa ที่ 30-04-2017 16:49:44
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 30-04-2017 17:12:36
เราว่าจบเก๋นะ

แต่ตัวคุณหญิง ยังขาดเรื่องราวหรือเบื้องหลังที่รุนแรงพอจนยอมรับไม่ได้
บางเหตุการณ์ก็ยังดูขาดความสมจริง เหมือนตัวละครถูกจับยัดเข้าเหตุการณ์ ปูเรื่องไม่แน่นพอ

แต่รวมๆดีครับ
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 30-04-2017 17:38:50

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

มันเป็นอีกมุมหนึ่งของสังคม

แม้ไม่ได้บอกใคร

แต่ก็รักกัน

หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 30-04-2017 18:02:38
ขอบคุณสำหรับคำติชมมากๆ ค่ะ จะพยายามฝึกฝน ให้ดียิ่งๆ ขึ้นค่ะ ของคุณนะคะ  :L2: :pig4:
เราว่าจบเก๋นะ

แต่ตัวคุณหญิง ยังขาดเรื่องราวหรือเบื้องหลังที่รุนแรงพอจนยอมรับไม่ได้
บางเหตุการณ์ก็ยังดูขาดความสมจริง เหมือนตัวละครถูกจับยัดเข้าเหตุการณ์ ปูเรื่องไม่แน่นพอ

แต่รวมๆดีครับ
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 30-04-2017 21:53:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 01-05-2017 08:18:27
ขจรดูฉลาดและจิตใจดี ไม่น่าเลือกตามใจแพรแบบไม่ลืมหูลืมตาเลย เสียดาย  :เฮ้อ: 

ดูแล้วแพรไม่น่าจะโดนโทษหนัก คนที่มีปัญหาทางจิตใจขั้นรุนแรง ปล่อยออกมาเดินเพ่นพ่านจะดีเหรอ? น่ากลัวง่ะ
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-05-2017 13:05:58
 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: tangMa ที่ 01-05-2017 21:30:15
ตื่นเต้นในทุกๆตอนที่อ่าน
ขอบคุณที่ทำให้เรามองความรักได้ในหลายแง่มุมมากขึ้นนะคะ
ชอบมากๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ
 :man1:
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 02-05-2017 02:07:47
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ
ชอบมากค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกดี เข้าใจซี ที่มีคนนึงเป็นอดีต และอีกคนเป็นปัจจุบันและอนาคต
เพราะเราก็มีเหมือนกัน ต่างกันตรงที่อดีตของเรา เขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนซักแห่ง 55+
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ สนุกมากๆ
คนร้ายเป็นคนที่คาดไม่ถึงจริงๆ
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 02-05-2017 03:26:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 02-05-2017 22:58:49
ขอบคุณคนเขียนค่าาาา ลงได้จุใจมาก
แรกๆลุ้นว่าเป็นหญิงแม่แน่ๆ ไปๆมาๆเป็นแพรเฉย อ๊ากกกก ร้ายกาจจจจ
 :z3: :bye2: :z3: