พิมพ์หน้านี้ - กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 21-11-2011 09:08:20

หัวข้อ: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 21-11-2011 09:08:20
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

=============================================

สวัสดีครับ

นายหนิงหน่องกลับมาแล้ว หลังจากหายหน้าหายตาไปพักใหญ่ๆ

จากเรื่องที่แล้ว ที่แย้มไว้ว่า มีโปรแกรมจะต่อหลายๆเรื่อง แต่ต้องเลือกหนึ่งเรื่อง

ตอนนี้ก็น่าจะทราบแล้วว่าเป็นเรื่องไหน

เรื่องนี้อาจจะไม่ได้ลงทันใจแบบวันต่อวันเหมือนลุงเต้กับน้องเจ๋งนะครับ

เพราะตอนนี้ออฟฟิศย้ายมาประจำอยู่สระบุรี และไม่มีเน็ตที่ที่พักครับ

และอีกหลายๆประการทำให้ไม่สามารถพิมพ์ได้ต่อเนื่องสักเท่าไหร่ แต่จะพยายามไม่ให้นานมากนะครับ

ก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่องในรีถัดไป ฝากเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจและเป็นชื่อเรื่องของนิยายเรื่องนี้ก่อนแล้วกันครับ

Dao Xing : กรุ่นกลิ่นรวงข้าว

http://www.youtube.com/v/0Sd_utgmlQw?version=3&amp
========================================
สารบัญนิยาย by Glorious
1. หรือจะเก็บรักไว้ในสายลม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28463.0)

2. อย่าติสท์ให้มากนัก ถ้าพี่รักแล้วน้องจะหนาว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29320.0)

3. กรุ่นกลิ่นรวงข้าว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,30027.msg1727520.html#msg1727520)

รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา by Glorious (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29662.0.html)
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 21-11-2011 09:11:40
ตอนที่ ๑

“คุณอโณชาคะ ผู้จัดการเชิญที่ห้องค่ะ” เลขาสาวในชุดรัดรูปสีน้ำเงินเข้มเรียกตัวชายหนุ่มที่มีท่าทีกระสับกระส่ายในคอกแคบๆที่เรียกว่า เซคชั่น เจ้าของชื่อตาเบิกโพลงหากแต่พยายามรักษาท่าทีเอาไว้อย่างที่สุด
“เดี๋ยวนี้เลยหรอครับ”
“ค่ะ .... เดี๋ยวนี้” หญิงสาวในหุ่นรัญจวนใจเดินจากไปอย่างไม่ใยดีพนักงานหนุ่มนัก ทิ้งคนเบื้องหลังให้ถอนหายใจเฮือกใหญ่เตรียมรับชะตากรรมที่เจ้าตัวมั่นใจมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซนต์
“เอาน่ะ ไอ้โน มันคงไม่เลวร้ายเท่าไหร่นักหรอก” ชายหนุ่มปลอบตัวเองเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังห้องทำงานของผู้จัดการ
.
.
.
“นั่งก่อนสิ” ผู้จัดการหนุ่มวัยสี่สิบตอนต้นผายมือเชิญผู้ใต้บังคับบัญชาให้นั่งลงบนเก้าอี้เบื้องหน้า พลางมองตาแวบหนึ่งก่อนจะหลุบตาต่ำมองแฟ้มรายงานที่อยู่บนโต๊ะ อโณชากลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะทำตามอย่างว่าง่าย
“คุณทำงานกับเรามากี่ปีแล้วเนี่ย”
“เอ่อ ... สามปีครับ ตั้งแต่ผมเรียนจบ .... ผมก็เริ่มงานกับโปร อะกรีคัลเจอร์เลย “
“สามปีงั้นหรอ ...” ผู้จัดการเหลือบตาขึ้นมามองหน้าอโณชาอีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าลงมองรายงานในมือต่อ “นานไม่น้อยทีเดียว”
“ครับ ... นาน”
“คุณรู้มั้ย ครั้งหนึ่ง บริษัทภูมิใจในผลงานและยอดขายของคุณมาก คุณเคยทำกำไรให้กับบริษัทของเราจำนวนไม่น้อยเลย...”
“ใช่ครับ ... แต่เดี๋ยวนี้พวกเกษตรกรหันมาปลูกพืชสวนผสมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงกันเยอะ แถมพวกน้ำหมักชีวภาพก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น สินค้าของเราก็เลย ....” ชายหนุ่มก้มหน้าตอบด้วยความพยายามอย่างที่สุด
“ขึ้นชื่อว่าธุรกิจนะ อโณชา มันมีอุปสรรคให้คุณแก้ไขอยู่เรื่อยๆแหละ ปัญหาของคุณคือ คุณจะปรับกลยุทธ์ของคุณยังไงให้ยอดขายคุณเพิ่มขึ้นหรืออย่างน้อยที่สุดคุณก็ต้องรักษายอดเอาไว้ ต่อให้จะมีใครเอาทฤษฎีอะไรมาเผยแพร่ มันก็ไม่ใช่ปัญหาของคุณ”
“ผู้จัดการกำลังจะบอกว่า มันเป็นข้ออ้าง อย่างนั้นสิครับ” ชายหนุ่มกำหมัดแน่นใต้โต๊ะ พร้อมกับที่คนอีกฝั่งของโต๊ะก็เหลือบตามามองชายหนุ่มอีกครั้งอย่างไม่ยี่หระ
“คุณเข้าใจไม่ผิดนัก”
“แต่ผมก็เสนอผู้จัดการไปแล้วนี่ครับ ทำไมเราไม่คิดค้นพวกน้ำหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยอินทรีย์ตามที่พวกเกษตรกรเค้าหันมาใช้ล่ะครับ “
“มันเป็นการเสียภาพลักษณ์แบรนด์ของเรา”
“ถ้าอย่างนั้น ผู้จัดการจะมากดดันผมแบบนี้ไม่ได้ ก็ในเมื่อผมบอกผู้จัดการไปแล้ว ว่ามันเป็นทางออกของเรา”
“คุณจะบอกว่า คุณจะขายปุ๋ย ขายยาของบริษัทผมไม่ได้งั้นหรอ” ผู้จัดการหลิ่วตาเป็นเชิงถาม
“ผมยังขายของพวกนั้นได้ แต่ผมคิดว่าการปรับกลยุทธของบริษัทโปรอะกรีคัลเจอร์คือต้องนำปุ๋ยและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมาขายควบคู่เป็นตัวเลือกให้กลุ่มลูกค้าด้วยสิ”
ดวงตาของชายผู้มีตำแหน่งสูงกว่าเย็นชาจนน่ากลัว พร้อมกับปากที่ขยับช้าๆหากแต่หนาวไปถึงขั้วหัวใจ
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงไม่มีอะไรจะให้คุณเอาไปขายอีกแล้วล่ะ คุณอโณชา”
“ผู้จัดการกำลังไล่ผมออก ... งั้นรึ?” อโณชาบดกรามแน่น
“ผมกำลังเสนอทางเลือกมากกว่า คุณอโณชา ... ให้คุณกลับไปพิจารณากลยุทธของคุณอีกครั้งมากกว่า ยอดขายศูนย์เปอร์เซ็นต์สามเดือนมันไม่น่าพิสมันในสายตาผู้บริหารเท่าไหร่หรอก”

ความอดทนของอโณชาถึงขีดสุด มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน สติที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยสั่งการให้ชายหนุ่มเอ่ยวาจาออกมาช้าๆ
“ถ้าอย่างนั้น ผม...ขอลาออกครับ”
ชายหนุ่มตอบเรียบๆ ก่อนจะลุกเดินจากไปด้วยใจสั่นๆ เขารู้ดีถึงปัญหายอดขายของตัวเองที่ติดตัวแดงมาสามเดือน สำหรับตำแหน่งเซลส์แมนอย่างเขา มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายอยู่ไม่น้อย

“แม่ง กูทำเงินให้แม่งไม่รู้ปีละกี่ล้านต่อกี่ล้าน แม่งไม่สนใจ แค่กูขายไม่ได้สามเดือน มึงไล่กูออก ... บัดซบ!” ชายหนุ่มสบถกับตัวเอง พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“ฮัลโหล จอนหรอ อยู่ไหนเนี่ย”
“โทรมาตอนนี้ก็ต้องอยู่ที่มหาลัยสิ”
“เลิกเรียนแล้วมาเจอกันหน่อยสิ อยากเจอหน้า”
“.... ไว้วันหลังได้มั้ยครับ พี่โน ผมมีนัดกับพวกไอ้เคนว่าจะไปเที่ยวอตก.กัน” ปลายสายทำเสียงอ้อน
“จอน ... แต่ผมอยากเจอหน้าจอน ...ผม”
“พี่โนเป็นอะไรของพี่เนี่ย”
“พี่ตกงานน่ะจอน ....”
“....”
“มาหาพี่หน่อยได้มั้ย เดี๋ยวนี้เลย”
“ตื๊ด ... ตื๊ด ตื๊ด” ปลายสายถูกตัดไป พร้อมกับพละกำลังของอโณชาที่ค่อยๆหมดลง น้ำใสๆค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาของชายหนุ่ม
“จอนคง....แบตหมดมั้ง” ชายหนุ่มปลอบตัวเอง
.
.
.
คอนโดชานเมืองบนชั้นยี่สิบราคาหลักล้านที่ประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่มีราคาไม่น้อยถูกอโณชาไขกุญแจเข้าไปในห้องอย่างเหนื่อยอ่อนพลางมองไปยังสิ่งต่างๆรอบตัวที่ยังผ่อนไม่หมด รวมถึงเคหะสถานลอยฟ้าแห่งนี้ด้วย เขาเป็นอีกหนึ่งคนที่เลือกจะเก็บเงินเป็นสิ่งของและอสังหาริมทรัพย์ ชีวิตคนเมืองกับหนี้ดาวน์ดอกเป็นของคู่กันอย่างแยกไม่ออกเหมือนกับเพลงเพื่อชีวิตที่เสียดสีไว้ไม่ผิด
เฟอร์นิเจอร์และของใช้หลายๆอย่างในห้องยังผ่อนไม่หมดซะเป็นส่วนใหญ่ เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อโณชาซื้อมาด้วยเงินสด หนึ่งในนั้นเป็นกรอบรูปสีชมพูฟ้าที่วางอยู่หัวเตียง ชายหนุ่มหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาดูพร้อมกับยิ้มเศร้าๆ
“จอน ... คงยังไม่ได้ทิ้งโนหรอก ... ใช่มั้ย”
ความเหงาเข้าปกคลุมในจิตใจ เมื่อได้มองรอยยิ้มของคนที่รักในรูปถ่าย อโณชายังจำได้ดีถึงวันนั้น ที่เขากอดเด็กหนุ่มที่รักไว้แน่นในห้องนี้ พร้อมกับที่คนที่เขารักก็กดชัทเตอร์ถ่ายรูปคู่กันและอัดรูปบันทึกไว้ในกรอบรูปที่เขากำลังถืออยู่

จอนเป็นเด็กที่อโณชาเจอในผับแห่งหนึ่งสมัยเรียน เขาถูกชวนออกไปเต้นด้วยกันพร้อมกับขอเบอร์ติดต่อหลังจากที่ผับปิด ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินไปเรื่อยๆจนสุกงอมและใช้คำว่าแฟนในระยะเวลาสามเดือนหลังจากที่รู้จักกัน

เป็นอีกหนึ่งคืนที่ชายหนุ่มนอนลำพังคนเดียวในห้อง แฟนของเขามาหาบ้างเป็นครั้งคราวแต่ก็ไม่ทำให้อโณชานอนเหงาเท่าคืนนี้ คืนที่เขาอยากมีคนอยู่ข้างๆกาย แต่อโณชาก็ทำได้แค่กอดหมอนข้าง และกอดตัวเอง เขากลัวที่จะคิด กับคำพูดที่ว่า “เมื่อเงินเดินออกไปจากประตู ความรักก็โดดหนีออกทางหน้าต่าง” ถึงจอนจะเป็นคนที่ใช้เงินมือเติบอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็หวังลึกๆว่าคนที่เขารักคงจะไม่ทิ้งไปในเวลานี้
.
.
.
ดวงอาทิตย์ค่อยโผล่พ้นขอบตึกในตอนเช้าพร้อมกับที่ชายหนุ่มค่อยๆขยี้ตาตื่นขึ้นมาช้าๆ อโณชาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยดวงใจสั่นๆพร้อมกับพบสิ่งที่เหมือนจะรู้อยู่ลึกๆว่าจะไม่มีสายเข้าของชายผู้เป็นที่รัก เจ็ดโมงครึ่งคงจะเช้าไปที่เขาจะโทรหาจอน และเขายังเข้าข้างตัวเองว่าเด็กหนุ่มคงจะเมาหนักไปสักหน่อยถึงได้ลืมโทรหา
.
.
หลังจากอาบน้ำชำระล้างร่างกายและความขุ่นมัวภายในใจเสร็จ อโณชาก็แต่งตัวพร้อมกับหยิบขนมปังแผ่นใส่เครื่องปิ้ง ชายหนุ่มแต่งตัวหน้ากระจกช้าๆ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นพร้อมกับมุมปากที่ฉีกยิ้มอย่างเป็นสุข อโณชาวิ่งไปทางต้นเสียงพร้อมกับรับสายโดยไม่ได้มองเบอร์ที่โทรเช้า
“จอน!!”
“นี่ชั้นเอง ไม่ใช่ผัวแกหรอก”
“....แม่” ชายหนุ่มเสียงอ่อนลง ก่อนจะพูดต่อ “มีอะไรเหรอครับโทรมาแต่เช้า”
“ชั้นก็ไม่ได้อยากจะขัดความสุขของแกนักหรอก แต่มีเรื่องนิดหน่อยก็เลยโทรมา”
“อะไรอีกล่ะ เงินหมดอีกแล้วหรือไง”
“นั่นก็เรื่องนึง แต่ไม่ใช่ประเด็นหลักหรอก ชั้นจะชวนแกไปงานศพน่ะ”
“งานศพ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัย “งานศพใครล่ะแม่ เรามีญาติกับเค้าด้วยหรอ”
“อืม ... เป็นญาติที่ชั้นเองก็ลืมๆไปแล้วล่ะ ย่าของแกไง”
“ย่า?” ชายหนุ่มครุ่นคิด พลางค้นหาภาพของญาติผู้ใหญ่คนนี้ในความทรงจำ ชายหนุ่มคุ้นลางๆว่าเมื่อเยาว์วัย เคยได้วิ่งเล่นอยู่ใต้ถุนที่บ้านของย่า พร้อมกับเสียงดุด่าโหวกเหวกของหญิงชราที่เหมือนใครก็จะทำอะไรไม่ถูกใจนัก “ย่าเสียหรอแม่”
“ไม่มั้ง อาจจะถอดจิตไปเฝ้าพระอินทร์แล้วหาทางกลับไปเจอ” ผู้เป็นแม่หยอกด้วยตลกร้าย “เอาเป็นว่า ยังไงแกก็ต้องมาแหละ เพราะเค้าจะทำเรื่องแบ่งมรดกกันหลังจากที่เผาศพย่าแกน่ะ”
ชายหนุ่มยกยิ้มน้อยๆ อย่างน้อยที่สุดในวิกฤติก็ยังมีลาภลอยๆจากคนตายมาช่วยเขาได้ อย่างน้อยที่สุดน่าจะพอให้เขาพอมีกินมีใช้ในช่วงที่ว่างงานอยู่
“ถ้าอย่างนั้นรอผมแป๊บนะแม่ เดี๋ยวผมไปรับ”
.
.
.
หลายสิบปีแล้วที่อโณชาไม่ได้กลับมาที่แห่งนี้ ทั้งที่สุพรรณบุรีกับกรุงเทพก็ไม่ได้ไกลกันสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ของแม่ผัวลูกสะใภ้ของแม่กับย่าที่ลงลึกเกินเยียวยา ทำให้แม่หอบเขาหนีมากรุงเทพตั้งแต่เด็ก และใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพจนอโณชาแทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเขาเองก็มีญาติฝ่ายพ่อ
ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็พาวีออสสีขาวมาจอดที่ลานวัด ก่อนจะพาตัวเองและผู้เป็นแม่เข้ามาในศาลาตั้งศพในช่วงบ่ายๆ คนในงานไม่หนาตานัก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะปากของนางหลวยที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเลาะร้ายเหมือนตะไกรที่นางอำไพแม่ของอโณชาพร่ำบ่นอย่างเข็ดขยาด
“มาถึงแล้วรึ ยายไพ” เสียงเรียบๆเอ่ยขึ้นจากชายสูงวัยคนหนึ่ง อโณชาคุ้นหน้าเลาๆ แต่ก็นึกชื่อไม่ออก
“อ้อ ใช่สิจ๊ะ พี่วัน แม่ผัวตายทั้งทียังไงก็ต้องมาสิ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งนะคะ อ้อ ... โน นี่ลุงวัน พี่ของพ่อแกไง”
“สวัสดีครับ ลุงวัน”
“อื้ม ... โตขึ้นมาแล้วก็ยังหน้าตาดีเหมือนแม่” ผู้เป็นลุงรับไหว้ “ดูเป็นคนกรุงเทพไปเลยนะเนี่ย”
“ก็ดีกว่าปล่อยให้อยู่กับพ่อเลวๆกับแม่ผัวเค็มๆที่นี่ล่ะค่ะ”
“เลิกพูดแบบนั้นเถอะไพ ยังไงซะเค้าก็ตายไปแล้วทั้งสองคน”
“โอเคค่ะ จริงๆชั้นก็ไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่นักหรอก และก็ไม่อยากจะกลับมาเหยียบที่นี่ด้วย ชั้นก็แค่พาลูกมารับฟังเรื่องพินัยกรรมแล้วพอแบ่งมรดกกันเสร็จ ชั้นก็จะกลับแล้วล่ะ”
วันมองหน้านางอำไพด้วยสายตาตำหนิ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “เข้าไปนั่งข้างในก่อนเถอะ”
.
.
.
ตลอดเจ็ดวัน คนที่มาในงานก็ยังคงไม่หนาตาเหมือนกับในวันแรก จนถึงวันเผา อโณชาวางดอกไม้จันหน้าเมรุด้วยความคิดที่ว่างเปล่า ความทรงจำระหว่างเขากับผู้เป็นย่าแทบจะเป็นศูนย์ เหมือนๆกับวันที่เขามางานศพผู้เป็นพ่อที่ตายด้วยโรคตับแข็งเมื่อสิบปีก่อน แม่ไม่เคยพาเขามาหาญาติฝั่งพ่อเลยตั้งแต่หอบหนีมากรุงเทพ จากที่เคยโหยหาก็กลายเป็นเฉยชาด้วยวิถีชีวิตของครอบครัวแบบคนเมือง และตัวอโณชาเองก็ไม่รู้สึกถึงความต่างระหว่างการมีหรือไม่มีพ่อ
“ผมขอโทษนะครับย่า ที่อาจจะเป็นหลานที่ไม่ดีนัก แต่ก็ขอบคุณสำหรับมรดกที่ย่าจะให้ มันทำให้ผมพอจะลืมตาอ้าปากได้ในตอนนี้จริงๆ” ชายหนุ่มคคิดในใจ พลางมองกลุ่มควันที่พวยพุ่งช้าๆออกจากปล่องเมรุ
“รู้สึกยังไงบ้างล่ะฮึ โน” ผู้เป็นลุงเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง
“ลุงวันหมายถึง เสียใจน่ะหรอครับ ถ้าแบบนั้นคงจะไม่ใช่ เพราะ...เอ่อ ผมคงไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับย่าเท่าไหร่น่ะครับ”
“ก็ถูกของเรา แม่เราน่ะใจแข็งเป็นบ้าเลย ... จริงๆแล้วย่าเราเค้าคิดถึงเรามากนะโน แต่แม่เราน่ะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมกลับมาหา”
“ผมว่า ทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเองแหละครับ”
“อืมม ลุงเข้าใจ ... ว่าแต่ตอนนี้เราทำงานทำการอะไรล่ะเนี่ย ลุงก็ยุ่งๆ ไม่ได้คุยกันเลย กะจะคุยกันที่บ้าน แม่เราก็ดันไปนอนที่โรงแรมเสียอีก”
“ก็เคยเป็นเซลส์น่ะครับลุงโน แต่ตอนนี้ .... เอ่อตกงานน่ะครับ”
“โอ้ ... แย่เลยนะ”
“ครับ ก็นิดหน่อย”
ควันสีดำยังคงลอยออกมาจากปล่องเมรุช้าๆเหมือนวิญญาณของผู้ตายที่ค่อยๆลาจากโลกมนุษย์และสังชารของตนเองไป ลุงกับหลานที่ไม่ได้เจอกันมานานมองหน้ากันด้วยสีหน้ายิ้มเล็กน้อย ก่อนผู้เป็นลุงจะตบไหล่หลานเบาๆ
“กลับกันเถอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเจอกันที่บ้านผู้ใหญ่ ลุงว่าแม่เราเค้าคงไม่อยากอยู่ที่นี่นานนักหรอก”
.
.
.
บ้านผู้ใหญ่บ้านอยู่ไม่ไกลจากบ้านของนางฉลวยย่าขออโณชานัก ชายหนุ่มกับแม่มาถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้านเพื่อมารอเปิดพินัยกรรมที่นางฉลวยเขียนทิ้งไว้ก่อนตายและฝากให้ผู้ใหญ่มั่นเป็นผู้ดูแลพินัยกรรมนี้
“น่าจะมากันพร้อมแล้วนะ” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเป็นคนสุพรรณบุรีแต่กำเนิด “ข้าจะได้เปิดอ่านเสียที ...”
อโณชากลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น พร้อมกับที่ผู้ใหญ่มั่นเริ่มอ่านข้อความในพินัยกรรม “อันทรัพย์สินของข้าพเจ้า นางฉลวย ดงไผ่ อันประกอบด้วยที่นาจำนวนหนึ่งร้อยไร่ และเงินสดในธนาคารอีกสองล้านบาท  ข้าพเจ้าขอมอบให้นายวันไชย ดงไผ่ ลูกชายของข้าพเจ้าและนายอโณชาดงไผ่ หลานชายคนเดียวของข้าพเจ้า โดยแบ่งเป็นสองส่วนดังนี้ .... ส่วนที่หนึ่งอันประกอบด้วย ที่นาจำนวนหกสิบไร่และเงินสดหนึ่งล้านบาท ข้าพเจ้าขอมอบให้แก่บุตรชายคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ นายวันไชย ดงไผ่ ส่วนที่สอง อันได้แก่ที่นาจำนวนสี่สิบไร่ เงินสดหนึ่งล้าน และบ้านเลขที่ 49/7 ... ข้าพเจ้าขอยกให้แก่นายอโณชา  ดงไผ่ หลานชายของข้าพเจ้า...”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างดีใจอยู่ในที ที่ดินที่เขาได้น่าจะแปลงเป็นเงินได้ไม่น้อย อีกทั้งเงินอีกหนึ่งล้านก็ถือว่าไม่น้อยทีเดียว
“สำหรับทรัพย์สินส่วนที่สองที่ข้าพเจ้ามอบให้แก่นายอโณชาหลานชายของข้าพเจ้านั้น จะถือว่าเป็นการยกให้อย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อนายอโณชามีอายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ และเมื่ออายุครบตามที่ข้าพเจ้าได้ระบุไว้แล้ว นายอโณชาจะต้องทำกินบนที่นาผืนนี้เป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งปีให้ได้ผลกำไรอย่างน้อยสามสิบเปอร์เซนต์ของราคาที่นาของข้าพเจ้า จึงจะถือว่านายอโณชามีสิทธิ์ในมรดกที่ข้าพเจ้าจะยกให้ หากไม่สามารถทำได้ตามที่ข้าพเจ้าระบุไว้ ข้าพเจ้าขอยกทรัพย์สินส่วนนี้ให้แก่วัดเดิมบางสืบต่อไป สำหรับเงินทุนสำหรับการเริ่มปลูกข้าวของนายอโณชา ข้าพเจ้ายินดีให้นายอโณชาเบิกถอนได้จากเงินหนึ่งล้านบาทที่ข้าพเจ้าจะมอบให้ แต่ไม่เกินเดือนละสามหมื่นบาท หรือหากเกินกว่านั้นข้าพเจ้าขอมอบสิทธิ์ขาดแก่นายวันไชย ดงไผ่เป็นผู้พิจารณาว่าเห็นสมควรแก่การเบิกถอนออกมาหรือไม่”
อโณชาหน้าซีดเผือดกับพินัยกรรมของย่า ที่ระบุให้เขาต้องกลายมาเป็นชาวนา!?  ถึงชายหนุ่มจะเคยเป็นเซลส์ขายปุ๋ยก็เถอะ แต่ถ้าให้มาทำนาเองนี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายจริงๆ
“ข้าพเจ้า นางฉลวย ดงไผ่ เขียนพินัยกรรมฉบับนี้ด้วยสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ และขอยืนยันว่า ตัวหนังสือทุกตัวที่อยู่ในพินัยกรรมฉบับนี้ตรงตามความตั้งใจของข้าพเจ้าทุกประการ ... ลงชื่อ นางฉลวย ดงไผ่”
“บ้าที่สุด!!!” แม่ของอโณชาสบถ “นี่พี่วันทำอะไรกับพินัยกรรมหรือเปล่า ทำไมพินัยกรรมมันถึงได้บ้าบอแบบนี้”
“พี่จะไปทำอะไรฮึ ไพ”
“แล้วทำไมโนมันถึงต้องรออีกตั้งปี แถมยังต้องมาทำนาบนที่ดินของตัวเองด้วย ถามหลานมันสักคำมั้ยว่ามันอยากทำหรือเปล่า”
“แต่ถ้าอยากได้มรดกก็คงต้องทำตามที่ยายหลวยแกเขียนไว้นั่นแหละแม่ไพ” ผู้ใหญ่มั่นบอก “บางทียายหลวยแกอาจจะอยากให้หลานของแกกลับมาทำมาหากินที่บ้านของเราก็ได้
“ฮึ ... เป็นแบบนี้ทุกทีสิแม่ผัวชั้น เผด็จการไม่มีที่สิ้นสุด ตายไปแล้วยังก็ยังไม่ทิ้งเขี้ยวเล็บ” นางอำไพเอ่ยอย่างไม่พอใจนักก่อนจะหันมาทางลูกชาย “แล้วเราล่ะจะว่าไงโน”
“เอ่อ ... ผมไม่มีทางเลือกใช่มั้ยครับ ผู้ใหญ่”
“ก็ ... คงต้องแบบนั้นแหละ พ่อโน”
“เอาน่าโน ยังไงลุงจะช่วยอีกแรง ทำนามันไม่ยากนักหรอก ปู่ย่าตายายเราก็ทำกันมาตั้งนาน ทำไมเราจะทำไม่ได้ล่ะ”
“เอ่อ ....” อโณชาสับสนกับพินัยกรรมหลุดโลกชองผู้เป็นย่า พลางมองหน้าไปขอความเห็นจากแม่ของตน
“ชั้นไม่ขอออกความเห็นดีกว่า สมบัติของแก ย่าแกเค้าให้ ชั้นไม่อยากจะยุ่งด้วยเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าแกจะอยู่ที่นี่ ชั้นก็บอกได้เลยว่า ชั้นคงไม่อยู่ให้กำลังใจแกที่นี่หรอกนะ”
เมื่อผู้เป็นแม่ตัดพ้ออย่างไม่ใยดี อีกทั้งตัวเองก็กำลังตกงาน มันก็เหลือทางเดียวที่เขาจะพอมีเงินกินเงินใช้ และได้รับมรดกก้อนโตหากทำภารกิจของย่าสำเร็จ ...
“ถ้าอย่างนั้น ก็คงต้องลองดูแหละครับ”
“ต้องอย่างนี้สิวะ หลานลุง” ลุงวันตบบ่าหลานชาย
.
.
.
“สวัสดีครับลุงวัน” เสียงเด็กหนุ่มที่สำเนียงเหน่อตามแบบของคนแถบนี้ดังขึ้น ทำให้สามคนที่เหลือในครอบครัวดงไผ่ต้องหันไปมองตามเสียงนั้น
“อ้าว ไอ้หมา!!!” ลุงวันทักเด็กหนุ่มเจ้าของเสียง พร้อมกับอโณชาที่เงยหน้าขึ้นไปมองชายผิวสองสีตรงหน้า “เพิ่งกลับจากนารึ”
“สักพักแล้วครับลุงวัน แต่แอบได้ยินว่าพ่อกำลังคุยธุระสำคัญกับพวกลุงวันอยู่ เลยไม่อยากขึ้นไป” ชายหนุ่มพูด พร้อมกับเสตัวมามองชายผิวขาวข้างลุงวันไชย “แล้วนี่....”
“อ๋อ .... หลานชายลุงเอง ชื่อไอ้โน” ลุงวันยิ้ม ก่อนจะแนะนำหนุ่มท้องถิ่นให้หลานชายรู้จัก “ส่วนนี่ ไอ้เมฆ ลูกชายผู้ใหญ่มั่นน่ะโน ส่วนนี่...แม่ของไอ้โนมัน ชื่อ..”
“โน แม่ไปรอที่รถนะ” นางอำไพเดินไปที่รถโดยไม่ได้สนใจเจ้าของบ้านนัก
“เอ่อ ขอโทษแทนแม่ผมด้วยนะครับ คุณเมฆ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
 “ช่างมันเถอะคุณ แล้วก็ไม่ต้องทางการขนาดนั้นก็ได้หรอก ผมมันพวกบ้านนอก เรียกคุณมันจั๊กจี๋พิกล” หนุ่มผิวสองสีเกาหัวแก้เก้อ
“สนิทๆกันไว้นะโน เมฆเค้ารู้เรื่องนาเรื่องข้าวดี มีอะไรจะได้มาถามเมฆมันได้”
“อ่ะครับ” ชายหนุ่มรับคำ
“เอ๋ .... ลุงวัน เมื่อกี๊ลุงว่าไงนะ”
“ก็ เดี๋ยวไอ้โนหลานลุงมันจะมาทำนาบนที่นาของยายหลวยย่ามันที่ตายไปไง”
“ฮะ!!! .... ไอ้นี่น่ะนะ” ชายหนุ่มผิวสีหลิ่วตาอย่างชั่งใจมายังร่างบางผิวขาวเหมือนไม่เคยถูกแดดของอโณชา “จะไหวเร้อ...ลุง สอบตกตั้งแต่หุ่นแล้ว”
“นี่นาย ให้มันน้อยๆหน่อยเหอะ เราเพิ่งเจอกันนะ ไม่คิดจะรักษามารยาทหน่อยเหรอ!!!”
“อ้อๆ ขอโทษที ก็บอกแล้วว่าผมมันบ้านนอก คิดอะไรก็พูดแบบนั้น ก็หุ่นคุณมันไม่ให้นี่นา แล้วดูผิวสิ...” เมฆพูดพร้อมกับคว้าแขนของอีกคนขึ้นมาดู “อยู่แต่ในห้องแอร์สิท่า ดูซิทั้งขาวทั้งนุ่มยังกับผู้หญิงเลย”
“ปล่อยนะเว้ย!!!” ชายหนุ่มยั๊วะเมื่อโดนถึงเนื้อถึงตัว
“แหม!!! หวงตัวเป็นแต๋วเลยเว้ย”
“แต๋วบ้านนายสิวะ!!!”
“แน่นอน นี่บ้านผม ไม่ใช่บ้านคุ้ณ!!!”
ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเมื่อโดนจี้ใจดำและดูถูกซึ่งๆหน้า จนผู้เป็นลุงต้องห้ามทัพเสียเอง “ไอ้เมฆ ปากหมาไม่เลิกนะเอ็งเนี่ย”
“แหม ลุงวัน ผมก็หยอกนิดหน่อยเอง ใครจะไปรู้ว่าหลานชายลุงจะอ่อนไหวขนาดนี้เล่า”
“ผมว่า .... ผมปรึกษาลุงวันอย่างเดียวก็พอแล้วล่ะครับ ส่วนคนอื่น ... ปล่อยมันแก่ตายเถอะ” อโณชาเหน็บหนึ่งที ก่อนจะหันหลังกลับไปยังรถ
“นี่ๆ ไอ้แฉะ” หนุ่มบ้านทุ่งแกล้งคุยกับควายตัวเมียผิวดำที่ผูกไว้ใต้เรือนด้วยเสียงเหน่อๆ “ทำไมคนกรุงเทพเค้าขี้ใจน้อยจังวะ หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้ เห็นว่าน่ารักหรอกนะถึงได้หยอกน่ะ แต่ใจน้อยแบบนี้ข้าคุยกับแกดีกว่าว่ะอีแฉะ”
น่ารักเหรอ ? ถ้าไม่ใช่เวลานี้อโณชาคงจะเขินไม่น้อยที่ถูกชม แต่ในตอนนี้เวลานี้และจากปากไอ้บ้านี่ มันกลายเป็นคำเหน็บแนมชัดๆ
“อย่าเจอกันอีกเลย ไอ้มืดอ๊ย” ชายหนุ่มสาปแช่งในใจ ก่อนจะขับรถออกไป   

 :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 21-11-2011 09:26:13
กรี๊ด เรื่องใหม่  :mc4:
เริ่มเรื่องมาหดหู่นิดๆแฮะ
เมฆนี่พระเอกหรือเปล่า น่ารักดี

 :pig4: ลงชื่อติดตาม
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 21-11-2011 10:45:50
กลับบ้านนาเถอะนะ ท่าทางรักจะรออยู่  :-[
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: wdaisuw ที่ 21-11-2011 12:11:36
ชอบแนวนี้เลยค่ะ
อยากจะกรีดร้องง

ต้องมาพ่อแง่แม่งอนแบบนี้แหล่ะ
ลูกดก ฮิๆๆ :impress2:

มาต่อไวๆนะค้าาา
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 21-11-2011 12:27:05
จิ้ม  :z13: เรื่องใหม่
กลับบ้านนาเถอะรักรออยู่ :L2:
+1เป็นกำลังใจ
แถมเป็ดไปเลี้ยงแก้เหงา
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 21-11-2011 12:58:28
อ๊ะ..เรื่องใหม่ ผู่ใหญ่เมฆกับนางโน เอ๊ย..ไม่ใช่..กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แหะ แหะ
แค่ตอนแรกก็ท่าทางจะสนุกล่ะ
มาจ้ะ มา :mc4:ต้อนรับเรื่องใหม่กันจ้ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Shock_n2n ที่ 21-11-2011 13:29:41
พระเจ้า อยากอ่านแนวนี้พอดี อยากอ่านต่อมาก
แค่ ตอนแรกก็เรียก ใจได้เยอะเลยนะเนี่ย  :impress2:

อยากให้มาต่อเร็วๆ จริงเลย  :L2: :L2:
อยากจะ +ให้ สัก 100 เหอะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 21-11-2011 15:50:11
ชอบอ่ะ
รักเกิดแถวบ้านทุ่ง :o8:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 21-11-2011 15:57:30
อ่านแล้วหิวข้าว *เกี่ยวตรงไหน?

แต่น่าสนุกมาค่า^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: chinminho ที่ 21-11-2011 17:06:49
เจอกัน ก็เปิดสงคารแล้ว


ปล.ต้องรับเรื่องใหม่
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 21-11-2011 17:23:19
กำมีตอนเดียว - -
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 21-11-2011 19:19:51
หวังว่าเรื่องนี้จะไม่ดราม่าขนาดน้องลมนะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 21-11-2011 19:29:51
อ๊าย...เรื่องใหม่กับกลิ่นอายชนบทบ้านนา และ ท้องทุ่ง  :oni1:
คุณย่าคงอยากให้คุณโนกลับมาตั้งรกราก ทำมาหากิน และสร้างครอบครัวที่บ้านเกิด (นึกถึงเกมส์ Harvest Moon จัง)
แต่ไม่รู้ว่าเกษตรกรมือใหม่อย่างคุณโน กับมือโปรด้านนาข้าว เทรนเนอร์จำเป็นอย่างคุณเมฆ
จะตบตีกันตายก่อนได้เก็บเกี่ยวรึเปล่านะ?

หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 21-11-2011 19:46:23
 :mc4:

ได้กลิ่นไอบ้านนา  รออ่านตอนต่อไปค่ะ

+1และเป็ดประเดิมเป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 21-11-2011 20:16:21
ชื่อเีื้่รื่องได้กลิ่นไอบ้านทุ่งมากเลยค่ะ~
เคยตามอ่านลุงเต้กับน้องเจ๋งของคนแต่งอยู่
พอตกงานก็จะมาทิ้งกันเลยหรอไอ้เด็กจอน! :m16:
ยุ่งซะแล้วล่ะสิงานนี้อโณชาต้องปรีับตัวใหม่ทุกอย่าง ชอบพระเอกแบบเมฆอ่ะดูปากร้ายดี55.
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 21-11-2011 21:37:07
บวกให้ค่า พลอตน่ารักดีจัง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 21-11-2011 22:38:21
มาตอนแรกก็สนุกแล้ว
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 21-11-2011 23:11:39
+1
น่ารัก ชอบแบบนี้
กัดกันวันละนิดจิตแจ่มใส^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Mio ที่ 22-11-2011 00:19:11
รอวันที่คนกรุงสูงส่งโดนดึงลงมาอยู่ในท้องไร่ท้องนากับพ่อหนุ่มบ้านนอก แอร๊ยยยยยย 
สามคำๆๆ >>> ปลูก กล้วย กัน (??) :z1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 22-11-2011 07:53:08
ท่าทางโนจะได้ของดำไว้เชยชมซะแล้ว (http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/920452198.gif)
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 22-11-2011 08:04:51
 :mc4:สนุกดี :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 22-11-2011 11:47:30
น่ารัก สนุกจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 23-11-2011 18:48:53
ขอบคุณครับ


น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนแรก (๒๑ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 23-11-2011 18:52:03
คุณน้องหนิงขยันสุดๆๆ อะ เขียนเรื่องออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเรื่องนี้ ชอบพล็อตแบบนี้นะ กลับคืนถิ่น  :impress2: สงสัยได้สอนไปกัดกันไปรักกันไป
รอติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 24-11-2011 15:52:48
ตอนที่ ๒

อโณชาขับรถกลับกรุงเทพอีกครั้ง ชายหนุ่มมาส่งแม่ที่บ้าน ก่อนจะยกโทรศัพท์ต่อสายไปหาจอน ชายผู้เป็นที่รัก ทว่า...
“ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด” เสียงสัญญาณรัวเร็วเหมือนปลายสายตัดสายทิ้งในทันที ความร้อนรนทำให้ชายหนุ่มต่อสายไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถที่จะติดต่อได้อีก
“จอน ... จอมไม่รักโนแล้วหรอ....”
น้ำตาของอโณชาไหลออกมาช้าๆ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจขับรถตรงไปยังหอพักของคนรัก ที่อโณชาช่วยออกค่าห้องให้แต่ละเดือน
ชายหนุ่มก้าวขึ้นบันไดช้าๆพร้อมกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าห้องของจอน อโณชาไขกุญแจด้วยมือที่สั่นเทา พร้อมกับค่อยบิดลูกบิดประตูอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้คนข้างในรู้สึกตัว

.....และภาพตรงหน้าทำเอาหัวใจของอโณชาแทบหยุดเต้น เมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มที่ตัวเองมอบหัวใจให้กำลังกอดรัดกับชายหนุ่มอีกคนบนเตียง ด้วยเครื่องแต่งกายที่จะหลุดมิหลุดแหล่ น้ำตาที่เอ่อมาตลอดทางที่ขับรถมาเริ่มพรั่งพรูอย่างบังคับไม่ได้ ชายหนุ่มแผดเสียงด่าด้วยความโกรธเกรียวทันที...
“ทำไมจอนถึงได้เลวแบบนี้!!!”
“พี่โน....”
“เพี๊ยะ!!!” อโณชาพุ่งเข้าไปตบหน้าชายหนุ่มทั้งสองคนทันที ชายแปลกหน้าหน้าซีดเผือดเมื่อโดนสัมผัสที่รุนแรงจากฝ่ามือของอโณชา ในขณะที่จอนลูบหน้าเบาๆ พร้อมกับพุ่งมาทำร้ายอดีตคนรักด้วยวิธีการเดียวกันกับที่ตนเองโดน
“โอ๊ยยย!!! ฮือออ” อโณชาหน้าหันและเจ็บแปลบ แต่ไม่หนักเท่ากับความรวดร้าวในใจที่ได้เห็นภาพของคนที่ตนรักมีอะไรกับคนอื่น
“มึงเลิกยุ่งกับกูได้แล้ว อีเหี้ยโน แล้วถ้ามึงจะตบหน้ากูอีก คราวนี้มึงโดนกูกระทืบแน่”
“ทำไม ... จอนถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ ... เพราะโนไม่มีเงินแล้วรึไง”
“หึหึ ไม่หรอกมั้ง ...กูก็แค่ทนมึงมานานแล้วก็เท่านั้นแหละ”
“ทน ... ทนอะไร ผมทำอะไรผิดฮะ จอน ห้องนี้โนก็ช่วยออกค่าห้องให้ โนไม่เคยนอกใจจอมเลยสักครั้ง จอนอยากไปไหนโนก็ไม่เคยห้าม แล้วจอนไม่พอใจโนตรงไหน” ชายหนุ่มถามพร้อมกับน้ำตานองหน้า
“มึงเลิกถามเซ้าซี้กูแล้วออกไปจากห้องนี้ซะ ก่อนที่กูจะทำอะไรมึงมากกว่านี้!!!”
.
.
.
ชายหนุ่มกลับมาที่คอนโดของตัวเองอีดครั้งอย่างไร้เรี่ยวแรง ภาพคนสองคนในกรอบรูปถูกเจ้าของห้องขว้างทิ้งอย่างไม่ใยดีจนกระจกแตกกระจายไปทั่ว อโณชาทิ้งตัวลงบนเตียงหนาพร้อมกับฟูมฟายอย่างไร้สติ หมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง ความรักที่หลอกลวง ทุกสิ่งที่ทุ่มเททำให้กับคนๆนั้นไม่ต่างอะไรกับการเทน้ำลงบนผืนทราย ที่ไม่ได้อะไรกลับคืน
ความรักของคนที่อโณชาเรียกว่าคนรักมีค่าแค่เงินตราที่เขามอบให้เท่านั้น
สติสุดท้ายที่อโณชาหลงเหลือมีแค่เสียงร้องไห้ก่นด่าเบาๆ พร้อมกับมือที่ขยุ้มผ้าห่มจนยับยู่ ก่อนจะหมดแรงหลับไปทั้งอย่างนั้น .... จนถึงเช้าของอีกวัน
ผ้าม่านที่ไม่ได้ปิดไว้เผยแสงแดดยามเช้าให้ลอดแยงตาเข้ามา ชายหนุ่มงัวเงียตื่นขึ้นมาช้าๆพร้อมกับดวงตาที่ปวดปร่าจากการร้องไห้อย่างหนักเมื่อคืน เขาเปิดประตูบานเลื่อนริมระเบียงออกให้สายลมร้อนๆปะทะผิวกาย  ไอร้อนวูบจากเปลวแดดและไอเสียรถยนต์ที่ระเหยขึ้นมาบางๆทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าเขายังมีลมหายใจ ...เพื่อตัวเอง
หลังจากที่อาบน้ำและเก็บกระเป๋าเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มก็เริ่มใช้ผ้าสีขาวคลุมเฟอร์นิเจอร์ต่างๆในห้องด้วยความรู้สึกว่างเปล่า และหมดห่วง .... ที่เมืองหลวง กรุงเทพเมืองฟ้าอมร
“ลาก่อน... “ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเองก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินทางออกไปจากห้องด้วยดวงใจเด็ดเดี่ยว
.
.
.
“อ้าวมาแล้วหรอ โน” ลุงวันทักขึ้นเมื่อเห็นหลานชายเดินขึ้นมาบนเรือน ชายหนุ่มยกมือไว้พร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อยให้แก่ผู้เป็นลุง
“ลุงจัดห้องไว้ให้แล้วล่ะ เอาข้าวของไปเก็บก่อนมั้ย”
“ขอบคุณครับ แล้วลุงพักห้องไหนล่ะครับเนี่ย”
“อ๋อ ... ลุงอยู่บ้านของลุงน่ะ อยู่ท้ายนาโน่นแหละ”
“เอ๋ .... แล้วบ้านหลังนี้ล่ะครับ มีผมอยู่คนเดียวหรอ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ อ้อ ..แต่ไม่ต้องกลัวหรอก มีแม่ทองกับนังทิ้งอยู่คอยช่วยดูแลบ้านให้โนด้วย” ลุงวันยิ้ม ก่อนจะเอ่ยเรียกเจ้าของชื่อทั้งสองคน  “เอ้า แม่ทอง นังทิ้ง ขึ้นมาบนเรือนสิ “
สองแม่ลูกเดินขึ้นมาตามเสียงเรียก นางทองเป็นหญิงหม้ายผัวตายที่นางฉลวยมาเลี้ยงเป็นคนรับใช้โดยให้เงินค่าตอบแทนเล็กน้อยตอบแทนโดยให้สองแม่ลูกมาพักกับนางที่นี่พร้อมกับส่งเสียนังทิ้งให้เล่าเรียนด้วย
“สวัสดีจ๊ะนาย”
“เอ่อ สวัสดีครับ ไม่ต้องเรียกผมนายก็ได้มั้งครับ ผมไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอก”
“แต่นายเป็นหลานของคุณนายฉลวยนะจ๊ะ จะให้พวกฉันสองคนเรียกนายว่าอะไรล่ะ”
“เอ่อ... ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเถอะครับ ป้าทอง ...อ้อ ส่วนเราชื่อทิ้งใช่มั้ย อายุเท่าไหร่แล้วเรา“ อโณชาลูบศีรษะเด็กสาวมัดแกละสองข้างช้าอย่างอ่อนโยน
“ค่ะนาย ตอนนี้หนูแปดขวบแล้วค่ะ”
“แม่ทอง นังทิ้ง ยังไงชั้นก็ฝากหลานชั้นด้วยนะ ดูแลให้ดีเหมือนกับที่ดูแลแม่ของฉันนั่นแหละ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ๊ะ นายวัน ลูกหลานเจ้านายชั้นต้องดูแลเป็นอย่างดีอยู่แล้ว”
หนุ่มใหญ่ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหันมาคุยกับหลานชายต่อ “เดี๋ยวเราเลยไปที่ดินเลยมั้ย ให้เขาตีราคาให้ว่าที่ดินทั้งหมดมันราคาค่างวดสักเท่าไหร่”
“อ่า ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปเก็บของสักครู่”
.
.
.
อโณชานั่งรับลมยามบ่ายชายทุ่งอยู่ที่เถียงนาบนที่ดินของตัวเอง พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่ดินของเขามีราคาค่างวดไม่น้อยทีเดียว ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองพอสมควร แต่ก็ไม่แปลกนักสำหรับที่ดินบนถิ่นบรรหารบุรี กำไรหนึ่งล้านสองแสนบาทที่เขาจะต้องทำให้ได้จากการปลูกข้าวบนที่นาที่อีกอึดใจเดียวเขาจะได้กลายเป็นเจ้าของหากทำตามประสงค์ของย่าฉลวยได้สำเร็จ
ทิวไผ่ปลายนาโบกไหวไปตามสายลมพร้อมกับส่งเสียงหวีดหวิวอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มไม่คุ้นกับเสียงที่ได้ยินนัก เสียงหวีดหวิวนั้นทำให้เขาจินตนาการถึงเสียงหวีดร้องของเสียงเปรตที่มาขอส่วนบุญ หากตะวันคล้อยต่ำลงกว่านี้สักหน่อย อโณชาคงจะรีบบึ่งขับจักรยานหนีไปจากที่นี่แน่ๆ
“ผีหลอก!!!!”
“เฮ้ยยยยยยย” อโณชาสะดุ้งสุดตัวพลางลุกจากเถียงนาอย่างว่องไว ทว่าเมื่อหันไปทางผีตนนั้น ก็ได้พบกับร่างของคนๆหนึ่งที่อยู่บนหลังควายแคระซึ่งทำให้เขาไม่สบายอารมณ์เท่าไหร่
“ไอ้บ้า”
“ว่าไงครับ พ่อคนขวัญอ่อน” ตาคมกลอกไปมาอย่างสะใจและล้อเลียนเพื่อนบ้านผู้มาใหม่
“ถ้าผมตกใจจนช๊อคตายไปนายจะรับผิดชอบยังไงฮะ นายเมฆ”
“หึหึ บ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้ ถ้าคุณตายไปผมก็คงหมกศพคุณไว้แถวๆนี้ล่ะครับ”
“ไอ้มืด แกนี่มัน.....โรคจิตจริงๆ”
“นี่คุณ น้อยๆหน่อย ผมชื่อเมฆ และถึงผมจะดำผมก็ไม่อยากให้ใครมาเรียกไอ้มืดหรอกนะ เดี๋ยวพ่อก็คลั่งฆ่าหมกป่าซะจริงๆหรอก”
คำขู่ฆ่าของหนุ่มบ้านนาได้ผล สีหน้าของอโณชาซีดลงเล็กน้อย ก่อนจะพยายามเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนายมาทำอะไรบนที่ของผมล่ะ”
“โอ้โหยย เพิ่งได้กรรมสิทธิ์ยังไม่ถึงอาทิตย์ดี ทำอวดเบ่งแล้วหรอพ่อหนุ่มกรุงเทพ ผมจะบอกอะไรให้นะ ที่ของคุณนะอยู่ฝั่งโน้น ส่วนที่ที่อีแฉะมันเหยียบอยู่เนี่ยมันเป็นที่ผม” เมฆินทร์เยาะเย้นด้วยน้ำเสียงเหน่อสุพรรณตามแบบฉบับคนท้องถิ่น
“จ...จริงหรอ”
“คุณจะไปกรมที่ดินพร้อมกับผมพรุ่งนี้ไหมล่ะ”
“เออๆ ช่างมันเถอะ” ชายหนุ่มตัดบทอย่างไม่ใส่ใจ “ทีหลังอย่ามาแกล้งกันแบบนี้อีกล่ะ”
อโณชาทรุดตัวลงนั่งบนเถียงนาอีกครั้ง ก่อนจะทอดมองออกไปยังผืนนารกร้างที่รอการหว่านไถ
“คุณทำนาเป็นหรอ”
“ไม่เป็นหรอก แต่ก็คงไม่ยากหรอกมั้ง ... ผมปลูกต้นไม้ขึ้นนะ”
“โถ พ่อคุณเอ๊ย ปลุกข้าวนะคุณ ไม่ใช่ปลูกต้นตะบองเพชร ไม่เก่งจริงทำไม่ได้หรอก”
“แล้วข้าวมันไม่ใช่พืชรึไงล่ะ มันก็แค่โรยเมล็ด ให้น้ำ ใส่ปุ๋ย หมั่นดูแลเอาใจใส่ มันก็โตแล้ว มันจะไปยากอะไร”
“คนกรุงเทพก็เป็นซะแบบนี้ ยึดติดกับตำราซะจนเคยตัว ที่ตอบมาเนี่ยเอามาจากวิชา กพอ. ตอนประถมสินะ”
ชายหนุ่มหน้าชากับคำสบประมาทที่แทงใจดำ ไม่ผิดหรอก คำพูดพวกนี้ก็แค่เป็นการท่องจำมาตอบข้อสอบตอนประถมทั้งนั้นแหละ หนุ่มบ้านนาผิวสีดูสีหน้าของเพื่อนบ้านผู้มาใหม่ก็รู้สึกได้ถึงความมีชัย ก่อนจะพูดต่อ ...
“คุณจะไปรู้อะไร การทำนาน่ะนอกจากไอ้ทฤษฎีที่พวกคุณท่องๆกันเป็นนกแก้วนกขุนทองน่ะ สิ่งสำคัญอีกอย่างที่คุณจะต้องทำนั่นก็คือ การเข้าใจถึงจิตวิญญาณของพระแม่โพสพไงล่ะ”
“จิตวิญญาณพระแม่โพสพ? ... นายดูหนังมากไปจนเพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย”
“คุณนี่มันคนกรุงเทพพันธ์แท้จริงๆ คุณรู้มั้ย ว่าทำไมชาวนาถึงถูกยกย่องให้เป็นกระดูกสันหลังของชาติ แล้วคุณรู้มั้ยว่าทำไมข้าวสมัยก่อนถึงมีคุณค่าทางอาหารมากมายจนฝรั่งมังค่าเค้ามาขโมยเอาไปจดทะเบียน”
“เอ่อ....”
“ผมรู้ว่าพวกคุณน่ะไม่รู้หรอก มัวแต่สนใจว่าไอโฟนห้าจะออกเมื่อไหร่ แอ็พอะไรน่าสนใจบ้าง จนลืมไปว่าบรรพบุรุษของเราน่ะ เป็นชาวนากันมาก่อนทั้งนั้น คุณรู้มั้ยว่าทำไมเค้าถึงยังอดทนทำนากันทั้งที่นาท่วมฝนแล้ง แถมยังโดนเอารัดเอาเปรียบ ไม่ใช่เขาไม่รู้จะทำอะไรหรอกนะ แต่เพราะว่าพวกเขาสืบทอดเจตนารมณ์และจิตวิญญาณของบรรพบุรุษ ว่าถ้าไม่ปลูกข้าว ลูกหลานก็จะไม่มีข้าวกิน”
สีหน้าของเมฆินทร์จริงจังเหมือนกับคำพูดที่เอ่ยออกมา จนหนุ่มเมืองกรุงต้องหยุดฟังต่อไป
“แล้วคนสมัยนี้เอะอะอะไรก็พึ่งยาพึ่งปุ๋ยเคมี จนปูปลาในนามันตายไปหมด แถมพวกแมลงศัตรูพืชมันก็ดื้อยาด้วย สารพิษที่พวกคุณใส่ๆลงไปมันก็ไปสะสมในดินในต้นข้าว คุณรู้มั้ย ข้าวไทยสมัยก่อนน่ะ มีสารต้านมะเร็งและอะไรอีกมากมายที่พวกฝรั่งเค้าค้นเจอแล้วหาทางขโมยไปโดยที่คนอย่างพวกคนแม่งก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“นี่ นายเมฆ ผมรู้นะ ว่าคุณมีความรู้เรื่องข้าวมาก แต่คุณอย่ามาด่ากราดสาดเสียเทเสียใส่ผมแบบนี้สิ”
“ผมก็ว่าๆเอาไว้ คุณไม่ทำก็อย่ารับไปสิ”
“แล้วทำไมนายต้องทำหน้าแบบนั้นใส่ผมเหมือนผมเป็นจำเลยของสังคมแบบนั้นด้วยเล่า”
“ก็เผื่อๆเอาไว้ หวังว่าคุณจะไม่ทำ”
“ผมไม่เถียงหรอกนะ ว่าไอ้ทฤษฎีเป็นมิตรกับธรรมชาติและจิตวิญญาณอะไรของนายมันไม่ดี แต่ในปัจจุบันที่เราส่งออกกันเป็นตันๆไม่ใช่เป็นเกวียนเนี่ย นายปฏิเสธไม่ได้หรอก ที่จะไม่พึ่งปุ๋ยพึ่งยา นายทำนาปีได้หรอ นายไม่แคร์คลองชลประทานได้หรอ ก็ไม่ได้ไม่ใช่รึไง”
“ถูกของคุณ แต่คุณรู้มั้ย ว่าชาวบ้านที่นี่น่ะ พวกเราไม่ใช้ปุ๋ยเคมีไม่ใช้ยาปราบศัตรูพืชเลย และผมคิดว่า คุณมาอยู่เมืองตาหลิ่วก็ควรจะหลิ่วตาตามนะ”
“หึหึ ผมขอโทษนะ ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะผมต้องทำให้ที่นาผืนนี้มีกำไรตั้งเป็นล้านในเวลาหนึ่งปี ผมคิดว่ากระบวนการแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบนั้นมันคงไม่ทันการนักหรอก”
“ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณจะมีเงื่อนไขอะไร แต่ถ้าคุณยืนยันจะทำลายที่ดินของบ้านเดิมบางล่ะก็ ผมกับคุณเราก็คงต้องเป็นศัตรูกัน”
“นายจะทำอะไร ... ในเมื่อผมจะทำอะไรบนที่นาผืนนี้ก็ได้ เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใครหรอก นายเมฆ”
เมฆินทร์มองอโณชาด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงเรียบๆ “คุณเปลี่ยนไปมากนะ คุณโน”
“เปลี่ยน.... เราเคยรู้จักกันตอนไหนหรอ”
“ช่างมันเถอะ ... คุณไม่ต้องใส่ใจหรอก แต่ผมยืนยันอีกครั้งนะ ว่าถ้าคุณทำให้ที่ดินของที่นี่ต้องแปดเปื้อนล่ะก็ ผมไม่ยอมแน่ๆ”
หนุ่มเมืองกรุงกับหนุ่มบ้านนอกมองตากันอีกครั้ง ความคิดของทั้งคู่เหมือนต่างคนต่างยืนอยู่กันคนละฝั่งขุนเขาแห่งอุดมการณ์ และต่างฝ่ายต่างไม่คิดจะสร้างสะพานข้ามมาหากันแม้แต่น้อย
“นายดูเป็นเดือดเป็นร้อนแทนคนอื่นจังนะ นายเมฆ”
“ใช่สิ เพราะผมเป็นคนเดิมบาง ผมก็ต้องรักที่นี่ แล้วคุณล่ะ ลืมไปแล้วหรอว่าคุณเองก็เป็นลูกหลานเดิมบางเหมือนกัน ... แต่ช่างเถอะ ผมคิดว่าคุณก็น่าจะเข้าใจภาษาไทยนะ”
เสียงลำไผ่เสียดสีกันชวนหวีดหวิวตอนสายัณห์ทำลายความเงียบงันแต่กลับเพิ่มความวิเวกวังเวงขึ้นอีก อโณชานั่งลงบนเถียงนาอีกครั้งอย่างเซ็งๆพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการปะทะคารมกับชายมากอุดมการณ์อย่างเมฆินทร์ สายลมยามเย็นโชยมาเอื่อยๆปะทะผิวกายของคนทั้งคู่เหมือนเป็นระฆังห้ามทัพก่อนที่ทั้งคู่จะมีปากเสียงกันมากกว่านี้
ดวงตาของเมฆินทร์อ่อนโยนลงเล็กน้อย ก่อนจะตบโคนลำคอของอีแฉะความตัวเก่งเบาๆ
“กลับกันเถอะคุณ .... เดี๋ยวจะมืดเอา ถ้ากลับดึกกว่านี้คราวนี้จะไม่ใช่ผีปลอมๆมาหลอกแล้วนะ”
อโณชาลูบแขนอย่างหนาวๆ ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขากลัวสิ่งเร้นลับพวกนี้จนขึ้นสมอง และเป็นเรื่องเดียวที่ไม่ว่าใครก็ห้ามมาแกล้งกันด้วยเรื่องนี้ แม้ว่าจะไม่เคยเจอผีตัวเป็นๆก็ตาม
“เออ รู้แล้ว” ชายหนุ่มคว้าจักรยานพร้อมกับปั่นจากไปด้วยความเร็วพอสมควร ทิ้งคนเบื้องหลังที่คุยกับควายด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าโนมันยังกลัวผีจนขี้ขึ้นสมองเหมือนเดิมเลยว่ะอีแฉะ ไม่โตขึ้นเล้ย”
.
.
ควายแฉะทำหน้าที่พาหนะคู่ใจของผู้เป็นนายอย่างเชื่องช้าเฉื่อยแฉะเหมือนชื่อ ชายหนุ่มใช้เวลาเดินทางกลับเนิ่นนานจนสูรย์คล้อยต่ำ ชาวนาหลายๆคนพากันเดินทางกลับบ้านด้วยรถอีแต๋น เมื่อพวกเขาสวนกับลูกชายผู้ใหญ่บ้านก็ต่างหยุดทักทายกันตลอดทาง .... ไม่ใช่เพียงเพราะเมฆินทร์เป็นลูกชายผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะชายหนุ่มเป็นผู้กลับมาพัฒนาหมู่บ้านแห่งนี้ให้ปลูกข้าวทฤษฎีใหม่และทำไร่นาสวนผสม โดยลดการใช้เทคโนโลยีและเน้นการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติมากขึ้น
“เพิ่งกลับรึ พ่อเมฆ”
“ครับลุง พาอีแฉะไปไถนามา เสร็จตั้งแต่บ่ายแล้วล่ะแต่เผอิญมัวแต่ดูนั่นดูนี่เพลินไปหน่อยเลยเพิ่งจะได้กลับน่ะ”
“แหมะ!! เอ็งนี่มันทำตัวเป็นหนุ่มบ้านนอกจริงๆ ขนาดจบมาจากกรุงเทพตั้งสูงยังกลับมาขี่ควายไถนาได้เนี่ย”
“ลุงก็พูดอย่างกับฉันไม่เคยขี่ควายตอนเด็กๆงั้นแหละ เอาล่ะ...ฉันไปก่อนนะลุง”
.
.
.
อีแฉะยักย้ายกีบของมันมาเรื่อยๆจนถึงหน้าเรือนของนางฉลวยที่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนการถือครองเป็นหลานชายคนเดียวของนาง ชายหนุ่มมองเข้าไปในบริเวณบ้านแบ่งปันเขตแดนอย่างง่ายๆด้วยรั้วกระถิน และร่มรื่นไปด้วยต้นมะม่วงและต้นฝรั่ง ชายหนุ่มยังจำได้ว่าบ้านของยายหลวยนั้นมะม่วงและฝรั่งเยอะแยะ โดยเฉพาะต้นมะม่วงริมรั้วข้างศาลพระภูมิที่ชายหนุ่มจะต้องยิ้มให้กับมันเมื่อสัญจรผ่านบ้านยายหลวย ... หากถามว่าต้นมะม่วงต้นนี้พิเศษยังไง ก็มีนิดหน่อย คือเป็นต้นมะม่วงที่เมฆินทร์เป็นคนฝังเมล็ดเอาไว้เอง ส่วนเนื้อของมะม่วงนั้น .... มีเด็กผู้ชายแก้มแดงคนหนึ่งเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเป็นคนกิน ภาพแก้มที่เลอะเนื้อมะม่วงสุกของเด็กคนนั้นยังชัดเจนในความทรงจำเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน พร้อมกับเสียงใสๆที่ถามชายหนุ่มในวันนั้น
.
.
.
“พี่เม่ พี่เม่ ... มะม่วงลูกนี้กินได้มั้ย”
“อย่ากินเลยเอ็ง มันแก่มากแล้ว ไม่รู้เน่าหรือยัง”
เด็กชายเมฆินทร์ในวัยเยาว์ปีนขึ้นไปบนต้นมะม่วง ก่อนจะพยายามปลิดขั้วมะม่วงสุกมาให้เด็กน้อยอีกคนที่รออยู่เบื้องล่างกิน แต่พริบตาที่ละสายตาไป มะมวงลูกที่เด็กน้อยคนนั้นถามก็เหลือแต่เมล็ดแล้ว
“เฮ้ย ... ไอ้โน เอ็งกินเข้าไปได้ยังไง”
“ก็....ผมลองกินดู ถ้าเน่ามันต้องเหม็นดิ .... แต่นี่ไม่เห็นจะเหม็นเลย หวานดีออก” เด็กน้อยยิ้มแฉ่งพร้อมกับคราบมะม่วงที่เลอะไปทั่วสองแก้ม เมฆินทร์ในวัยเยาว์ยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะตะโกนถามคนที่อยู่เบื้องล่าง
“เอาอีกมั้ย .... มะม่วงน่ะ”
“ไม่เอาอ่ะ อิ่มแล้ว”
“เอ็งนี่น้า...” เมฆินทร์ไต่ลงมาจากต้นมะม่วงช้าๆ ก่อนจะพูดต่อ “เอ็งรู้มั้ย มะม่วงที่แก่ขนาดนั้นน่ะ ปกติเค้าจะบ่มเอาไว้ให้มันแก่จัดๆ แล้วเอาไปเพาะเมล็ดปลูกต่อนะ แต่นี่เอ็งเอามากินซะได้”
“เอ๋.... แสดงว่า ...เม็ดนี่ถ้าผมเอาฝังดินไว้มันจะงอกหรอพี่เม่”
“ก็...อาจจะล่ะมั้ง”
“ถ้างั้น ... พี่เม่ขุดดินให้ผมหน่อยสิ ผมจะปลูก .... แล้วสลักชื่อด้วยว่ามะม่วงต้นนี้ของน้องโน” เด็กน้อยยิ้มกว้างอีกครั้งจนทำให้เด็กชายอีกคนที่โตกว่าใจอ่อน “เออ ก็ได้”
เสียมขนาดพอเหมาะที่เสียบอยู่ไม่ไกลนักถูกเด็กชายเมฆินทร์หยิบขึ้นมาใช้ขุดดินเป็นหลุมขนาดย่อมๆสำหรับปลูกต้นมะม่วงของหลานชายเจ้าของบ้าน ก่อนที่เมล็ดมะม่วงเจ้าปัญหาจะถูกหย่อนลงในหลุมนั้นและถูกกลบในไม่ช้า
“ข้าก็ไม่รู้หรอกนะ ว่ามันจะงอกมั้ย แต่ก็ลองดูแล้วกัน เดี๋ยวข้าไปหาน้ำมารดก่อน”
“ไม่ต้องหรอกพี่เม่ เดี๋ยวผมรดให้เอง” เด็กน้อยยิ้มแฉ่ง ก่อนจะถกขากางเกงขาสั้นเผยหนอนน้อยแล้วปัสสาวะแทนน้ำจากฝักบัว
“เฮ้ย ไอ้โน !!!” เด็กชายเมฆินทร์อุทานอย่างตกใจ แต่ก็ไม่ได้ดุด่าอะไรต่อ “เออช่างเถอะ ถ้ามันโตก็โคตรพ่อโคตรแม่มะม่วงล่ะวะ”
.
.
.
ชายหนุ่มเหม่อมองต้นมะม่วงแกร็นๆต้นนั้นเนิ่นนานกว่าทุกวันสักหน่อยพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ควันไฟจางๆที่จุดไล่ยุงลอยมาจากชายทุ่งบอกเวลาย่ำสายัณห์ ...เจ้าของต้นมะม่วงในวันนี้แม้จะไม่เดียงสาจนน่าหยิกแก้มเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ....หากแต่แก้มนั้นยังขาวนวลเหมือนผู้เป็นแม่ไม่มีผิด
“พี่เมฆ....มาหาทิ้งหรอจ๊ะ” เสียงเล็กๆของเด็กหญิงที่คุ้นหูดังขึ้นทำลายห้วงความคิดของลูกชายผู้ใหญ่บ้าน เมฆินทร์หันมายิ้มให้กัยต้นเสียง ก่อนจะลูบหัวของเด็กหญิงเบาๆ
“ไม่ใช่หรอก นังทิ้ง ข้าก็แค่ผ่านมาเฉยๆ”
“โธ่ ... หนูก็คิดว่าหนูซะอีก ไอ้เรารึก็หลงดีใจเก้อ”
เมฆินทร์ชะเง้อมองเข้าไปในตัวบ้าน จนนังทิ้งทักขึ้น
“พี่เมฆมองหาใครหรอจ๊ะ ...แม่หนู หรือ...คุณโน”
“เอ่อ....เปล่าหรอก ข้าไม่ได้มองหาใครหรอก” ชายหนุ่มหันหน้ากลับทันที “ข้ากลับบ้านก่อนนะ”

มาต่อสายไปหน่อยเนาะ แหะๆ สามวัน อย่างที่บอกอยู่นี่ทำอะไรค่อนข้างลำบากสักหน่อย
เลยใช้เวลานิดนึงกว่าจะเข็นออกมาได้แต่ละตอน

ก่อนอื่นเลย ขอบคุณพี่ Cherry Red ที่เตือน เพราะมันผิดจริงๆอย่างที่พี่ว่าเลยครับ ให้ถูกคือ นายโนทำงานมาสามปี และบ้านเลขที่ 49/7 เป็นของนายโนแต่เพียงผู้เดียวครับ (แก้ไขแล้ว)

ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะครับ
ยังดีใจกับทุกบวกทุกเป็ดทุกเมนท์นะครับ (โดยเฉพาะอย่างหลัง) :-[

ขอตอบเมนท์สั้นๆเท่านี้นะครับ ที่ออฟฟิศไม่ส่วนตัวเท่าไหร่
เวลาเข้าเล้าแล้วต้องเลื่อนเคอร์เซอร์ผ่านแบนเนอร์ของเล้าแต่ละทีสะดุ้งเฮือกๆเลย กลัวคนมามองข้างหลัง

ขอบคุณอีกครั้งครับ  :L2:

แอบโฆษณา เรื่องสั้นคั่นเวลาลงจบทั้งสองตอนแล้วนะครับ ^ ^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 24-11-2011 16:16:05
เพื่อนเล่นสมัยเด็กๆ กลับมาเจอกันอีกครั้ง
จะมีอะไรให้หัวใจหวั่นไหวไหมนะ
ส่วนไอ้จอนของพี่โน เท่าที่อ่านดู มันเลวมาก  :z6:
ดีแล้วที่เห็นธาตุแท้ของมัน
โนไปปลูกมะม่วงกับพี่เมฆต่อไปเหอะ 555
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 24-11-2011 16:21:47
 o18

อะหะๆ  เค้ารู้จักกันแต่เด็กนี่เอง

พี่เมฆก็คงผูกพันกับหนูโนมากอยู่  เดี๋ยวคงทะเลาะกันไปมาแล้วก็ร้ากกกกันป่ะ

+1และเป็ดให้จ้า
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: PAAPAENG~ ที่ 24-11-2011 16:50:40
แค่ชื่อเรื่องก็น่าติดตามแล้วค่ะ
กลิ่นอายลูกทุ่งเลยมากเลย  555

รอติดตามค่า  :)
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 24-11-2011 18:15:20
ชอบค่ะ อ่านแล้วนึกถึงผู้ใหญ่ลีกับนางมา
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 24-11-2011 18:43:22
คนมันมีความหลัง * -*
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 24-11-2011 19:53:07
 :กอด1: :L2:
+1ให้จ๊า
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 24-11-2011 20:18:58
ชอบแนวนี้มากๆแต่เริ่มเรื่องก็มัวๆหน่อยเนอะ มาให้ไอ้หนุ่มสุพันดามใจให้ดีกว่า
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 24-11-2011 20:31:59
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 24-11-2011 20:34:38
จอนเลวกว่าที่คิดไว้
เค้ามีความหลังกันนี่เอง
โนตอนเด็กๆนี่น่ารัีกแท้  :-[
ชอบตอนที่เรียก พี่เม่ๆ

 :pig4:  o13

หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 24-11-2011 21:30:06
น่าติดตามดีค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 25-11-2011 19:17:58
อ้อ...คู่นี้เค้ามีความหลังครั้งเก่ากันมานี่เอง... :m1:
คุณเมฆจำได้ไม่ลืม แต่ไม่รู้คุณโนยังจำได้รึเปล่าสิ ? (อาจต้องมีรำลึกความหลังอะไรกันบ้าง )
เอาเป็นว่า คุณโน พาใจช้ำ ๆ ที่ผิดหวังจากคนที่ไม่เห็นคุณค่า(และไม่รักดี) กลับมาหารักใหม่ที่บ้านเกิดดีกว่าเนอะ...
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 25-11-2011 22:35:30
อ่านเรื่องนี้ได้ครบเลย
ชอบ...บรรยากาศบ้านทุ่ง
ชอบ...เพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก
ชอบ...คนดีที่ปากร้าย
ชอบ...คนแต่ง  :-[
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 25-11-2011 22:46:24
จอน แย่มาก  :z6: ดีละโนกลับไปอย่างไม่ต้องมีห่วงอะไรอีก
จิตวิญญาณของแม่พระโพสพ เป็นยังไงน้อ
ปล. ชอบแฉะ 55
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๒ (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Karn12 ที่ 25-11-2011 23:16:13
รอตอนต่อไปนะครับ

ผ้ใหญ่ลีกับนางมาเวอร์ชั่นบอยเลิฟ  อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 27-11-2011 13:46:33
ตอนที่ ๓

“เฮ้ออออ” อโณชาถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับทรุดนั่งลงบนม้าหินใต้เรือน แดดยามบ่ายทอแสงและร้อนระอุอยู่ไม่น้อยหากแต่มีร่มไม้เขียวครึ้มในตัวบ้านช่วยบรรเทาทำให้ไม่เลวร้ายเท่าไหร่นัก บ่าวทองหยิบน้ำลอยดอกมะลิมาวางบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงข้างด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรไปหรือจ๊ะ คุณโน ถอนหายใจซะหมดท่าเลย”
“เหนื่อยๆนิดหน่อยน่ะครับ เข้าไปในตัวเมืองมา”
“อ้อไปทำธุระมาหรอ”
“ครับ ว่าจะไปติดต่อหาพวกพันธ์ข้าว ปุ๋ย แล้วก็ค่าจ้างรถดำนาน่ะครับ”
“เอ๋.... ไอ้รถดำนานี่มันเป็นยังไงจ๊ะเนี่ย”
“เอ่อ... จะพูดยังไงดี มันก็เป็นเครื่องจักรที่ช่วยทุ่นแรงคนจะได้ไม่ต้องปวดหลังดำนาเองไงครับ แล้วต้นข้าวก็ตั้งตรงและเป็นระเบียบด้วย”
“โอ้โห.... สุดยอดขนาดนั้นเลยหรอจ๊ะคุณโน คงจะแพงมากสิท่า”
“แพงอยู่แล้วล่ะครับ แต่ส่วนใหญ่คนที่ไม่ได้จะทำนาเป็นเรื่องเป็นราวทีละร้อยๆไร่เค้าก็ไม่ซื้อกันหรอก จะเช่าเอา แต่ที่ผมถอนหายใจก็เพราะว่าค่าเช่ามันแพงเหลือเกิน”
“เค้าคิดเท่าไหร่ล่ะคะ”
“ไร่ละพันครับ”
“คุณพระช่วย!”
“ไม่รู้ว่าถ้าขอเงินเพิ่ม ลุงวันแกจะโอเคมั้ย”
“ลุงคิดว่ามันไม่จำเป็นหรอกโน” เสียงของลุงวันดังขึ้นแทรกการสนทนาระหว่างอโณชากับนางทอง “นาแค่ไม่กี่ไร่ ตั้งใจทำไม่กี่วันก็เสร็จแล้ว”
“โธ่ลุงวัน .... แต่ผมเคยดำนากับเค้าที่ไหนล่ะ”
“เป็นเจ้าของนาทำอะไรไม่เป็นเลยใช้ได้ที่ไหน แถมลงทุนขนาดนั้น ไม่กลัวขาดทุนหรอ อย่าลืมสิเงื่อนไขของย่าเราน่ะ”
“เรื่องย่าน่ะผมรู้ดี แต่สมัยนี้ใครๆเค้าก็จ้างเอาทั้งนั้นแหละ”
“ที่ไม่กี่ไร่จะไปจ้างให้เสียสตุ้งสตังค์ทำไม ลุงก็อยู่ทั้งคน ไหนจะแม่ทอง นังทิ้ง ชาวบ้านที่นี่เวลาดำนากรือเกี่ยวข้าวเค้าก็ไปขอแรงมาช่วยกัน ไม่กี่วันก็เสร็จแล้ว”
  “แต่ผมรู้จักใครที่ไหนล่ะครับ ลุงวัน”
“อ้าวแล้วข้านี่เป็นคนอื่นรึไงวะ ไหนจะไอ้เมฆอีก มันเก่งจริงๆนะเรื่องทำนาเนี่ย ไปขอให้มันช่วยสิ ชาวบ้านก็รักก็ชอบมันเยอะถ้ามันออกปากเดี๋ยวก็มาช่วยกันเยอะแยะ”
“ผมไม่อยากไปยุ่งกับไอ้บ้านั่นเท่าไหร่น่ะลุง ... ไม่ค่อยถูกชะตา”
“อะไรกัน สมัยก่อนยังวิ่งเล่นด้วยกันอยู่เลย ไม่เจอกันไม่กี่ปีเขม่นกันซะแล้วหรอ”
“เอ๋...ผมน่ะหรอครับ เคยวิ่งเล่นกับไอ้มืด เอ๊ย ไอ้เมฆน่ะ”
“จริง! สมัยเด็กๆน่ะ ลุงเห็นวิ่งเล่นกันได้ทุกวี่ทุกวันกับไอ้เมฆมัน จนสี่ขวบน่ะ แม่เราก็พาเข้ากรุงเทพ โนจำไม่ได้เลยหรอ”
อโณชาเลิกตาขึ้นนึกย้อนไป ความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตที่เดิมบางเลือนลางจนเหมือนลืมเลือนไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมาอยู่ที่นี่ แม่กรอกหูให้เขาฟังอยู่เสมอว่า บ้านของย่านั้นมีแต่คนใจร้ายและแม่เกลียดที่นี่ ทำให้เด็กที่ยังหัวอ่อนอย่างเขาคล้อยตามพอสมควร ... ประกอบกับการกลับมาเจอกันอีกครั้งของชายหนุ่มทั้งสองคน ที่สร้างความรู้สึกเกลียดหน้ากันในครั้งแรกยิ่งทำให้อโณชารู้สึกไม่อยากรู้จักผู้ชายคนนี้สักเท่าไหร่
“สมัยก่อนน่ะ....บ้านผู้ใหญ่มั่นเค้ายังไม่มีเหมือนเดี๋ยวนี้หรอก พ่อของผู้ใหญ่มั่นแกป่วย เสียนาเป็นไร่ๆจนแทบจะหมดเนื้อหมดตัว ย่าเราเค้าสงสารเจ้าเมฆมันมั้ง เลยส่งเสียให้ได้เล่าเรียน ไอ้เมฆมันเลยรักย่าของโนเหมือนย่าแท้ๆของมันเลย”
“แล้ว...ที่แม่บอกว่าย่าเป็นคนงกล่ะครับ”
“ลุงก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเป็นเพราะอะไรย่าถึงเปลี่ยนใจยอมเสียเงินส่งไอ้เมฆมันเรียนน่ะ แต่ถ้าให้ลุงเดา ก็อาจจะเป็นเพราะว่าย่าเราเค้าคิดถึงโนล่ะมั้ง”
“คิดถึงผมน่ะหรอครับ?”
“ใช่ .... แม่ไพน่ะ เค้าแอบหอบเราหนีไม่บอกใครสักคำนะ มีแค่เสื้อผ้าติดตัวกับตะกร้าผ้าอ้อม ก็อย่างที่รู้แม่เราน่ะเป็นหญิงใจเด็ดขนาดไหน ย่าเราเค้าเสียใจนะ ลุงคิดว่าอย่างนั้น ที่ทำให้แม่ไพต้องหอบโนหนีไป และเหมือนเค้าจะคิดถึงโนมาก ย่าของเราเค้าเลยสงสารไอ้เมฆเหมือนเป็นหลานแท้ๆคนหนึ่งของแก”
อโณชาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอนหลังพิงม้าหินและครุ่นคิดตาม บางทีเขาอาจจะต้องมองเมฆินทร์เสียใหม่อีกครั้ง อย่างไรเสียขึ้นชื่อว่าเพื่อนเก่า ก็ไม่ควรจะต้องไปตั้งแง่สักเท่าไหร่
“ว่าแต่ ผมจะทำยังไงกับที่นานี้ดีครับเนี่ย ... ลุงจะไม่ให้ผมเบิกเงินเพิ่มจริงๆหรอ”
“แน่นอน ลุงว่าโนน่าจะลองไปปรึกษาไอ้เมฆมันดูนะ ถ้าอะไรๆก็จ้าง ลุงว่าโนไม่มีทางทำได้ตามที่พินัยกรรมระบุแน่ๆ”
“ไม่มีทางอื่นแล้วหรอครับ ผมยังคิดว่า....”
“ลุงว่าลองไปปรึกษาไอ้เมฆมันก่อนน่ะดีแล้ว ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ก็ไปขอคำปรึกษาจากไอ้เมฆกันทั้งนั้นแหละ”
“เฮ้อ.... ผมจะลองดูแล้วกันครับ”
.
.
.
อโณชาปั่นจักรยานลัดเลาะไปบนคันนาในตอนสายๆฝ่าเปลวแดดไปจนถึงกระท่อมเล็กๆที่ปลูกไว้รินคันนา เบื้องหน้าไกลๆชายหนุ่มเห็นชายผิวคล้ำกำลังนั่งทำอะไรสักอย่างพร้อมกับควายแคระที่ผูกไว้กับร่มไม้ใหญ่
“โอ้ ... พ่อหนุ่มกรุงเทพ ลมอะไรหอบคุณมาหาผมถึงนี่ล่ะครับ” เสียงเหน่อๆทักขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มมุมปาก
“ผู้ใหญ่บอกว่านายอยู่ที่นี่ ผมเลยตามมา”
“ดูเหมือนคุณจะมีธุระกับผม ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาถึงที่นี่”
“ก็...นิดหน่อยน่ะ”
“ผมก็คิดอย่างนั้นแหละ ดูคุณโนไม่อยากเสวนากับไอ้บ้านนอกอย่างผมเท่าไหร่หรอก”
“นี่คุณ ผมพูดดีๆด้วยก็อย่ากระแนะกระแหนนักสิ”
“โอเคๆ อย่าถือสาผมนักเลย มีอะไรจะให้ผมรับใช้ล่ะคร้าบบ”
“เห็นลุงวันบอกว่าให้ลองมาปรึกษาคุณ ว่าควรจะเริ่มต้นทำนายังไง”
“อ้อ คุณมาหาถูกคนแล้วล่ะ”
“งั้นบอกมาสิ ผมควรจะเริ่มยังไง”
“แล้วถ้าผมบอกไป ผมจะได้อะไรล่ะ”
“....คุณคิดค่าปรึกษาด้วยหรอ” อโณชาย่นคิ้ว พลางครุ่นคิดคำนวนต้นทุนที่เขาต้องเสียเพิ่มเติม“แล้วมัน....เท่าไหร่ล่ะ”
“คนกรุงเทพนี่เอะอะอะไรก็เงินไปทุกอย่างสิน่า .... เอาเป็นว่า มาช่วยผมทำนาที่นี่สักอาทิตย์หนึ่งก็พอ โอเคมั้ย”
คิ้วที่ขมวดกันของอโณชาคลายลง ก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กน้อย “อ่า ... ก็ได้ เริ่มเมื่อไหร่ล่ะ”
“พรุ่งนี้”
“ตกลง ว่าแต่วันนี้คุณจะทำอะไรบ้างล่ะ ผมอยากจะศึกษาก่อนสักหน่อย”
เมฆินทร์ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะใช้ผ้าขาวม้าที่พาดบ่าอยู่ขึ้นมาซับเหงื่อช้าๆ “เป็นนักเรียนที่ดีนะคุณน่ะ แต่จะไปได้สักกี่น้ำกันนะ”
ชายหนุ่มก้าวขาลงจากจักรยาน ก่อนจะเดินไปนั่งในกระท่อม พร้อมทั้งส่งสายตาท้าทายว่าที่อาจารย์ “อย่าดูถูกกันนักสิ ถึงผมจะโตที่กรุงเทพ แต่ผมก็มีเลือดสุพรรณนะ”
“นึกว่าจะลืมบ้านเกิดไปแล้วนะคุณโน”
อโณชาหันมายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆตัว กระท่อมของเมฆินทร์เป็นกระท่อมไม้ไผ่มุงจากโล่งๆ ไกลออกไปเป็นที่นาของเขาที่เริ่มตั้งท้องเขียวขจีเต็มแปลง สายลมพัดมาเบาๆทำให้ใบข้าวไหวช้าๆ ชายหนุ่มลุกจากแคร่ไม้ไผ่เดินมาที่ริมคันนา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
“ผมไม่ได้หายใจลึกๆแบบนี้นานแล้วนะเนี่ย”
“เริ่มจะสำนึกรักบ้านเกิดแล้วหรอคุณ”
“ก็ไม่เชิงหรอก ... หรืออาจจะนิดหน่อย ยังไงซะก็ต้องอยู่ที่นี่อีกตั้งนานนี่นา” ชายหนุ่มหันมายิ้มให้เจ้าของที่นา ก่อนจะพูดต่อ “เห็นลุงวันบอกว่า คุณเคยเป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็กกับผมหรอ .... ทำไมผมจำไม่ได้เลยล่ะ”
“ไม่แปลกหรอก ก็คุณไปจากเดิมบางตั้งแต่สี่ขวบนี่นา”
“แล้วทำไมคุณถึงจำได้ล่ะ”
“เอ่อ....” ชายหนุ่มอึกอัก ก่อนจะตอบ “ผมแก่กว่าคุณสองปี ตอนนั้นก็ห้าหกขวบ พอจะรู้ความบ้างแล้วล่ะ”
“อ้อ ... ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องเรียกคุณว่าพี่เมฆสิ ... ขอโทษนะครับที่ล่วงเกินพี่เมฆไปซะเยอะเลย”
เมฆินทร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบ “ไม่เป็นไรหรอกโน ...นี่โนรู้มั้ย ตอนนั้นน่ะ โนยังเรียกพี่ว่าพี่เม่ พี่เม่อยู่เลย”
“จริงสิครับ “
“จริงจริ๊ง .... โนเห็นต้นมะม่วงข้างศาลพระภูมิบ้านเรามั้ย มะม่วงต้นนั้นน่ะ โตได้เพราะโนฉี่รดนะนั่น”
“เอ๊ย ไม่จริงน่าครับ”
“แหม .... น่าเสียดายที่พี่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ จะได้เถียงไม่ออก”
สายลมพัดมาเป็นระลอกๆ ....เหมือนพัดพาความทรงจำและวันเวลาสมัยเด็กๆของคนทั้งคู่ให้หวลระลึกถึงอีกครั้ง ชายหนุ่มทั้งสองคนนั่งคุยกันอย่างออกรสจนตะวันเลยหัว หนุ่มผิวเข้มเป็นคนเอ่ยถึงเวลาขึ้นก่อน
“คุยเพลินจนลืมเวลาเลยโน บ่ายแล้วนะ หิวหรือเปล่า”
“จริงหรอครับ ผมก็ไม่ได้เอานาฬิกามา ไม่รู้เวลาเลย สงสัยจะคุยเพลินจริงๆ”
“พี่ไม่ได้เอาข้าวมาเผื่อ กลับไปกินข้าวที่บ้านพี่กันมั้ย”
“ยินดีครับ”
.
.
.
อีแฉะก้าวขาช้าๆไปตามคนนาคู่กับล้อจักรยายที่ขี่คู่กันไปพร้อมกับชายหนุ่มทั้งสองคนที่ยังพูดคุยกันไปตามทางอย่างไม่กลัวแสงแดด ไม่นานนัก ทั้งคนทั้งควายก็มาถึงที่หมาย
“เอ๊า พ่อโน ....ไปยังไงมายังไงจ๊ะเนี่ย” นางชื่นภรรยาผู้ใหญ่บ้านเดิมบางเอ่ยทัก
“พี่เมฆชวนผมมากินข้าวกลางวันที่นี่น่ะครับ”
“แหม พอดีเลย แม่ต้มส้มปลาดุกกับทำต้มน้ำปลาร้าเอาไว้เยอะแยะเลยล่ะ”
“เอ๋ ...ปลาร้า” ชายหนุ่มหน้าเสียเมื่อได้ยินเมนูอาหาร ปลาร้าในความคิดของคนกรุงอย่างอโณชาหน้าตาดูไม่น่ากินเท่าไหร่นัก
“อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างนั้นสิ ลองชิมก่อน ไม่ใช่ปลาร้าอย่างที่โนคิดหรอกน่า”
.
.
.
บนโต๊ะกินข้าวใต้ถุนบ้านมีเพียงอโณชากับเมฆินทร์นั่งอยู่ หลังจากที่นางชื่นนำกับข้าวมาวางไว่ให้ก็ขอตัวไปธุระทิ้งไว้แต่ชายหนุ่มสองคน
อโณชามองชามอาหารบนโต๊ะอย่างหวาดๆ มีปลาย่างตากแห้งกลิ่นไม่คุ้นจมูกกับชามต้มส้มปลาดุกและชามต้มปลาดุกกับน้ำปลาร้า ชายหนุ่มตักแต่เนื้อปลาดุกจากชามต้มส้ม พลางมองไปที่ชามต้มน้ำปลาร้าสีน้ำตาลอ่อนที่ดูข้นคลั่ก
“กินไม่เป็นหรอ”
“อ่า ... ผมกลัวอ้วกออกมาแล้วเดี๋ยวพี่เมฆจะพาลกินไม่ลงกับผมน่ะ แต่ต้มส้มนี่อร่อยดีนะครับ”
“ต้มน้ำปลาร้าก็อร่อยนะ ลองชิมสิ ไม่เหม็นอย่างที่คิดหรอก”
“เอ่อ....”
อโณชายังคงหวาดๆ จนเจ้าบ้านถือวิสาสะตักน้ำปลาร้าใส่ในข้าวของแขกเสียเอง
“อ่ะลองก่อนน่า “
อโณชาฝืนตักข้าวราดน้ำปลาร้าเข้าปากก่อนจะค่อยๆฉีกยิ้มช้าๆ
“เห็นมั้ยล่ะบอกแล้วว่าอร่อย”
.
.
.
อากาศยามเย็นที่บ้านเดิมบางเย็นสบายตามแบบอากาศของท้องทุ่ง หนุ่มบ้านนอกอย่างอโณชานั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ข้างกองไฟที่จุดไล่ยุง พลางนึกถึงข้าวกลางวันมือที่ผ่านมา ปลาดุกในชามต้มส้มและต้มน้ำปลาร้าเหลือแต่โครงจากฝีมือของเพื่อนเล่นในวัยเด็กอย่างอโณชาหลังจากที่ได้รู้รสชาติที่แท้จริงว่าเอร็ดอร่อยเพียงใด แม่ของเขาคงจะทำอร่อยเป็นพิเศษจนผู้มาชิมกินเสียจนข้าวติดริมฝีปาก.... ชายหนุ่มนั่งยิ้มกับภาพของคนคนนั้น ... ที่ยังเหมือนเดิม พอเจอของอร่อยทีไร ก็กินจนลืมที่จะสังเกตุตัวเอง
หน้าแดงๆอย่างขวยเขินตอนที่เมฆินทร์เอื้อมมือไปหยิบข้าวที่ติดอยู่ที่ปากของอโณชาทำให้เขาอมยิ้ม ความมูมมามของคนๆนั้นยังสร้างรอยยิ้มให้กับหนุ่มบ้านนา และรอยยิ้มนั้นยังระบายอยู่บนใบหน้าของเมฆินทร์จนถึงยามเย็นเช่นนี้
“อีแฉะ เอ็งคิดเหมือนข้ามั้ยวะ ว่าเจ้าโนมันยังน่ารักเหมือนตอนเด็กไม่มีผิดเลยว่ะ”
ควายตัวเมียเจ้าของชื่อแฉะขยับหูไล่ยุงอย่างไม่รับรู้เท่าไหร่ หากแต่มันส่งเสียงรับเบาๆเหมือนพยายามเข้าใจว่าผู้เป็นเจ้าของต้องการจะบอกอะไร
“แกนี่ ... เลี้ยงมาตั้งแต่เป็นควายตัวกะเปี้ยก ป่านนี้ก็ยังไม่เข้าใจข้าอีก อะไรวะ .... ข้าบอกว่า เจ้าโนมัน ....น่ารักเนาะ”
ดวงตาซื่อๆของอีแฉะมองผู้เป็นเจ้าของเหมือนจะรับรู้ หากแต่มันคงสื่อสารกับเมฆินทร์ไม่ได้ไปมากกว่านี้ รอยยิ้มจากภาพของชายผู้มาเยือนในตอนบ่ายเผื่อแผ่มาถึงควายอย่างอีแฉะด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะดำเนินบทสนทนาข้างเดียวกับควายคู่ใจต่อไป
“ช่างเถอะ .... ว่าแต่ว่าวันนี้แกอยากฟังเพลงอะไรล่ะฮึ อีแฉะ .... เอาเพลงนี้ก็แล้วกัน แกไม่ได้ฟังนานแล้วนะ”
อโณชาหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ออกมา ก่อนจะเป่ามันออกมาพร้อมกับเสียงแว่วหวานที่ดังขึ้นมากเครื่องดนตรีชายทุ่งสอดรับกับเสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะของไม้ฟืนที่ประทุในกองไฟ
“เสียงขลุ่ยครวญหวนมากับลม
พี่สะอื้นฝืนระทม....กล้ำกลืนฝื่นข่มใจเหงา
ขลุ่ยครางครวญพี่หวนคะนึงถึงเจ้า
พังเสียงหริ่งหรีดเร้า ....พี่ยิ่งเศร้า...ไม่วาย
น้องจากนาหายหน้าจากจร....สู่กรุงเทพมหานคร
ตัดรอนมิตอบจดหมาย
ได้ข่าวดีเจ้าคว้าเทพีชาวไร่
ลืมรักเก่า....เราไว้สิ้นเยื่อใย..ลืมลง
โอ้....เจ้ากลอยดาวน้อยบ้านนา
จากดอกหญ้าไปเป็นดารา...สูงส่ง
พี่พลอยปลื้มถึงน้องจะลืมพี่ลง
อย่าเริงหลง....น้องเอ๋ยเจ้าจงระวัง
หวิว....ไผ่ครางเคล้าลมอ่อนโอน
ต้นตาลเดี่ยวสุดฝืนยืนต้น....ดั่งคนสูญสิ้นความหวัง
ขลุ่ยบรรเลงเจ้ารับฟังเพลงพี่บ้าง
กลอยเอ๋ยอย่าราล้าง....หนุ่มเดิมบางสุพรรณหลงคอย”
ท้องฟ้ายามราตรีที่บ้านเดิมบางในคืนข้างแรมคืนนี้มีดาวใหญ่น้อยมากมายแข่งกันส่งแสงสว่างไสวเต็มฟ้า บทเพลงที่จบลงแม้จะเป็นเพลงเศร้าแต่ก็เหมือนกับเป็นเพลงที่จบไปแล้ว ... ชายหนุ่มยิ้มให้กับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวพร่างพราว หากเพลงนี้จะสื่อถึงความรู้สึกในใจของเมฆินทร์แล้วล่ะก็ คงมีเพียงวรรคสุดท้ายสั้นๆที่สะท้อนความรู้สึกภายในใจได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด
“....หนุ่มเดิมบางสุพรรณ....หลงคอย”

นิยายเรื่องนี้มันผู้ใหญ่ลีกับนางมาเวอร์ชั่น ชาย-ชาย จริงนั่นแหละครับ  :laugh:

แต่เรื่องราวจะดำเนินไปแบบไหนต้องติดตามกันนะครับ

มาต่อช้ากว่าเรื่องที่แล้วทีอัพทุกวันไม่ได้ อย่างที่บอกว่าที่ทำงานใหม่ไม่สะดวกในหลายๆอย่าง

ขอบคุณหลายๆคนที่ติดตามกันนะครับ

เรื่องนี้อาจจะไม่หวือหวาเหมือนนิยายเรื่องที่ผ่านๆมา แต่ยังไงก็ฝากด้วยนะครับ

 :L2:


หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Karn12 ที่ 27-11-2011 14:08:30
รอตอนต่อไปนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: money loving ที่ 27-11-2011 14:51:36
ถูกใจกดบวกเป็ดให้เลยคับ
เป็นกำลังใจให้นะคับ :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 27-11-2011 15:00:01
ชอบแนวนี้จัง

พี่เมฆน่ารักดี  โนก็ไม่ได้เลวร้ายนัก

แต่ขอเถอะ อย่าดราม่าเหมือนเรื่องก่อนนะ

เรื่องนี้ขอเบาๆนะครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 27-11-2011 15:07:57
พี่เมฆกับน้องโน  อ๊าก น่ารักโคตรๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 27-11-2011 15:18:59
บรรยากาศแถวๆบ้านเลย อิอิ คนสุพันเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 27-11-2011 19:14:05
 o13

ชอบบรรยากาศแบบนี้จังบ้านนาและคนจริงใจ

เค้าเริ่มดีกันแล้ว  เราก็รอให้เค้าหวานกันต่อ  ฮุๆๆ

+1และเป็ดค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 27-11-2011 19:40:38
เริ่มจะหวานกันแล้วใช่มั๊ย :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 27-11-2011 19:51:18
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 27-11-2011 19:52:29
พี่เมฆ :m12:
น้องโนยังไม่ทันทำอะไรก็เพ้อถึงแล้ว
แบบนี้ถ้าร่วมกันสร้างครอบครัว ไม่กลัว เอ้ย เกรงใจแย่หรือ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 27-11-2011 20:22:54
อ่านตอนที่สองกับสามรวดเลย ~
ไอ้จอนมันเลวมากอ่ะ!  :m31: อยากกระทืบ :z6:
เมฆกับโนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเลยอ่อ ชอบๆ แบบนี้ บรรยากาศหวานๆ เป็นธรรมชาติดี
รอตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: chae ที่ 27-11-2011 22:59:57
อ๊ายยยยยยย กลิ่นนาบ้านทุ่ง
จะให้พี่เมฑช่วยดำนา หรือดำรักกันแน่จ๊ะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 27-11-2011 23:57:37
น้องโนกับพี่เมฆญาติดีกันแล้ว :m4:
ว่าแต่ปลาดุกต้มน้ำปลาร้านี้ ไม่รู้เหมือนที่บ้านดิฉันรึเปล่านะ แต่ก็อร่อยเหมือนที่โณกินนั่นแหละ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: bluebird ที่ 28-11-2011 01:08:34
ชอบบรรยากาศของเรื่องจังเลยค่ะ = ) อ่านแล้วรู้สึกว่ามันไม่รีบร้อนดี
ความหลังตอนเด็กๆของทั้งสองคนน่ารักมาก กว่าจะมาเป็นต้นมะม่วง 55+
สงสารโน >.< ทั้งโดนแฟนทิ้ง ต้องออกจากงาน
แต่กลับมาบ้านคราวนี้ก็จะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นล่ะเนอะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 29-11-2011 00:09:44
เค้าเริ่มดีกันแล้ว... :m1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ThyRist ที่ 29-11-2011 01:18:09
แอร้ย เรื่องใหม่นี่น่ารักเหมือนเคย ><

ขอฉากสวีวี่วีเยอะนะ 555+
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 29-11-2011 09:41:36
พึ่งเห็นว่าอัพ
 :-[  พี่เม่น่าร้ากก  :man1:
เค้าคุยกันดีๆแล้ว คิดว่าจะกัดกันต่อซะอีก

 :pig4: และรอค้าบ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๓ (๒๗ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 29-11-2011 13:31:11
ตามนักเขียนมาอีกเรื่อง
ชอบบรรยากาศในเนื้อเรื่องจัง ดูสบาย ๆ

 :pig4: คะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 29-11-2011 17:27:33
ตอนที่ ๔

“พี่เมฆ ผมมาแล้วครับ”
เมฆินทร์หันไปตามเสียงเรียกในตอนสายของวัน เจ้าของเสียงมาในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นที่ดูสบายๆ พร้อมกับหมวกปีกกว้างสำหรับกันแดดและรอยยิ้มที่สดใสเหมือนแสงแดดในยามนี้ระบายอยู่บนหน้า
“มาแต่เช้าเลยนะ”
“ก็ไม่อยากเอาเปรียบ เดี๋ยวอาจารย์จะสอนไม่เต็มที่”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะละจากงานตรงหน้า “จะคอยดูว่าจะไปได้สักกี่น้ำ”
“พี่เมฆพูดแบบนี้อีกแล้วว่ะ ว่าแต่วันนี้จะให้ช่วยอะไรล่ะ”
หนุ่มบ้านนอกยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยขึ้น “อันที่จริงก็ไม่รู้จะให้ช่วยอะไรเหมือนกันแหละ”
“เอ๋....” อโณชาขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อได้ยิน
“ก็ข้าวมันกำลังตั้งท้อง จะให้ทำอะไรล่ะ .... แต่ถ้าโนจะเรียนเลยพี่ก็ยินดีสอนนะ”
“เยี่ยม! ถ้างั้นวันนี้เราจะเริ่มจากอะไรล่ะครับ”
“เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟังคร่าวๆก่อนแล้วกัน....นั่งลงสิ”
อโณชาพยักหน้ารับพร้อมกับเดิมไปนั่งบนแคร่ไม่ไผ่ข้างๆครูจำเป็น ดวงตาสองข้างจ้องมองมายังผู้เป็นอาจารย์อย่างตั้งใจจนผู้เป็นอาจารย์อดยิ้มไม่ได้ ...
กาลเวลาผ่านไปยี่สิบปี ทำให้ทั้งคู่ต่างเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เมฆินทร์ยกยิ้มไม่หยุดคงเป็นสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของอโณชา นั่นคือตาใสๆคู่นั้นที่ยังจับจ้องมาที่เขา จนผู้ถูกมองต้องหลุบตาต่ำเพื่อเข้าสู่เนื้อหาเสียที
“ก่อนอื่นเลย ใครที่คิดจะทำนาก็ต้องขยัน ใจสู้ อดทน ซึ่งถ้าในตอนนี้ พี่ว่าโนก็...สอบผ่านนะ ต่อมา ก็เป็นเรื่องการเตรียมกล้าข้าว โดยเอาเมล็ดพันธ์ข้าวไปแข่น้ำ ทิ้งไว้หนึ่งคืน แล้วก็....”
“เอ่อ...เดี๋ยวครับพี่เมฆ” ชายหนุ่มขัดจังหวะขึ้น
“หืม?”
 “ผมขอไปเอากระดาษกับปากกาก่อนได้มั้ย ไม่คิดว่าพี่เมฆจะบอกผมวันนี้เลยไม่ได้เตรียมมา”
“อ่า...ได้สิ ขึ้นไปหยิบได้เลย”
อโณชาฉีกยิ้ม ก่อนจะวิ่งไปหยิบกระดาษปากกาที่อยู่บนเรือนอย่างว่องไว ก่อนที่การบอกเล่าของครูเมฆินทร์จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งจนหมดช่วงเช้า

“หิวหรือยังฮึ”
“แหะๆ กินเลยก็ดีครับ ขอแบบเมื่อวานได้มั้ย ยังเหลือหรือเปล่า”
“น้ำปลาร้าน่ะหรอ”
“อื้ม นั่นแหละ”
“น่าจะหมดแล้ว แต่พี่ทำให้กินใหม่ก็ได้”
“เอ๋ .. ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องหรอกครับ อะไรก็ได้เอามาเถอะ หรือจะกลับไปกินที่บ้านผมดี เดี๋ยวให้ป้าทองทำอะไรให้กิน”
“เอาน่า ... พี่ทำเป็นนะ อร่อยด้วย”
อโณชายิ้มช้าๆ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “งั้นคงต้องชิมสักหน่อยแล้วล่ะครับ”
.
.
.
เป็นอีกครั้งที่ปลาดุกในชามทำหน้าที่ที่ได้เกิดเป็นอาหารให้แก่มนุษย์ได้อย่างไม่เสียชาติเกิด เมฆินทร์นั่งมองชามที่เหลือแต่ก้างปลาดุกพร้อมกับยิ้มอยู่ในใจ พลางสลับมามองลูกศิษย์ที่นั่งลูบพุงช้าๆด้วยความอิ่มเหมือนกับลืมไปแล้วว่าเจ้าตัวนั้นเคยตั้งแง่กับปลาร้าขนาดไหน
“อร่อยมั้ย”
“ก็...ใช้ได้” อโณชายิ้มพร้อมกับยักคิ้วให้
“นี่ถ้าอร่อยสงสัยชามพี่คงไม่เหลือ โนคงเขมือบหมดแน่ๆ”
“แหะๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเจื่อนๆ จนคนตรงหน้าต้องฉีกยิ้มอีกครั้ง
“ไปดูพันธ์ข้าวในเมืองกัน”
“ดีเลยครับ พี่เมฆ”
.
.
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านในช่วงบ่ายพร้อมกับเมล็ดพันธุ์ข้าว เมฆินทร์ก็เริ่มเทเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อมาลงบนกระด้งจนอโณชามองอย่างสงสัย
“นี่พี่เมฆจะทำอะไรน่ะ”
“คัดเมล็ดพันธ์ไง”
“โหยยย ต้องนั่งดูทีละเมล็ดเลยหรอ”
“ก็ควรจะทำเช่นนั้นนะ”
“วันเดียวจะเสร็จมั้ยเนี่ย”
“เอาน่า ถ้าตั้งใจก็เสร็จ” เมฆินทร์ยิ้มก่อนจะเริ่มต้นลงมือฝัดข้าว
“แล้วเราไม่มีเครื่องร่อนหรอ”
“บางบ้านเค้าก็มีนะ แต่โนไม่มีนี่นา”
“ไปจ้างเค้าได้มั้ย”
“จ้างอีกแล้ว นี่กำลังสอนให้รู้จักพอเพียงอยู่นะเนี่ย”
“เออ ก็ได้ๆ!”
เมฆินทร์ยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวพี่ไปเรียกน้าทองมาช่วยแล้วกันจะได้เสร็จเร็วๆ”

เมล็ดพันธุ์ข้าวที่คัดแยกแล้วในเบื้องต้นถูกนำมาแช่ในน้ำเกลืออีกครั้ง เพื่อแยกเมล็ดพันธุ์ที่อาจจะหลุดรอดสายตาไป โดยเมล็ดพันธุ์ข้าวหรือวัชพืชที่หลุดรอดมาจะลอยอยู่บนน้ำเกลือ อโณชานั่งมองยิ้มๆ พร้อมกับที่เมฆินทร์ก็สลับมามองผู้เป็นลูกศิษย์เป็นระยะๆ
“ตายล่ะ คุณโน ห้าโมงกว่าแล้ว เดี๋ยวทองไปเตรียมข้าวเย็นให้ก่อนนะคะ” บ่าวทองขอตัว ก่อนจะจูงมือลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆหลังจากที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียน “ป่ะนังทิ้ง ไปช่วยแม่ทำกับข้าว”
“หนูขออยู่เป็นเพื่อนพี่เมฆได้ไหมจ๊ะ”
“แกจะอยู่ไปทำไมไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย มาช่วยชั้นนี่”
“โธ่แม่อ่ะ ไม่เข้าใจหัวอกลูกสาวบ้างเลย” เด็กหญิงค้อนผู้เป็นแม่ก่อนจะปรายตามาทางชายหนุ่มผิวเข้มอีกครั้ง “พี่เมฆอยู่กินข้าวกับหนูก่อนนะ”
“นังทิ้ง ... พูดจาข้ามหน้าข้ามตาคุณโนแบบนั้นได้ยังไง”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกครับป้าทอง เอาเป็นว่าพี่เมฆอยู่กินข้าวด้วยกันนะครับ ผมไปกินข้าวบ้านพี่เมฆหลายทีแล้วนะ”
ชายหนุ่มบ้านนาฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบรับคำเชิญ “งั้นพี่ไม่เกรงใจนะโน”
“พักก่อนสักแป๊บมั้ยครับ รอป้าทองเอาข้าวมาให้”
เมฆินทร์พยักหน้ารับ ก่อนจะคลายอิริยาบถลง “ก่อนจะกลับมาที่นี่ เราทำงานอะไรมาล่ะ”
“เอ่อ .... ผมเป็นเซลส์น่ะครับ ขายปุ๋ยกับยาปราบศัตรูพืช”
“หืม...”เมฆินทร์ย่นคิ้ว “มิน่า ถึงเอะอะๆ ก็จ้างก็ปุ๋ย”
“คงงั้นมั้งครับ ... แต่ผมโดนไล่ออกแล้วล่ะ หลังๆมานี่พวกน้ำหมักชีวภาพเข้ามาตีตลาดจนผมแย่เหมือนกัน”
“หึหึ ธรรมชาติน่ะดีกว่าสารเคมีอยู่แล้วล่ะ” หนุ่มบ้านนายิ้ม
“คงงั้นมั้งครับแล้วพี่เมฆล่ะ เห็นลุงวันเล่าให้ฟังว่าเรียนจบมาจากกรุงเทพ พี่เมฆจบอะไรมาหรอ”
“พี่จบเทคโนโลยีการเกษตร จากม.เกษตรน่ะ”
“เอ๋ จริงสิ เราเรียนใกล้ๆกันนะเนี่ย ผมจบสวนดุสิตแหละ”
ชายหนุ่มผิวคล้ำยิ้มรับกับคำบอกเล่าที่รู้อยู่แก่ใจ การพบกันที่บ้านเดิมบางไม่ใช่ครั้งแรกหลังจากที่ต่างคนต่างเติบโตสู่วัยหนุ่ม หากแต่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่เมฆินทร์ แอบมองชายหนุ่มผิวขาวในชุดนักศึกษาอยู่ฝ่ายเดียว ในปีการศึกษาสุดท้ายของตน
.
.
.
สามปีก่อน ที่ตลาดนัดหน้าเมเจอร์รัชโยธิน ชายหนุ่มนั่งเหม่อมองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาด้วยความคิดถึงบ้าน ชีวิตในเมืองไม่ถูกจริตกับคนอย่างเมฆินทร์สักเท่าไหร่ หากแต่เพื่อความรู้และใบปริญญาที่เขาจะต้องนำกลับคืนสู่บ้านเกิดเป็นเหตุผลที่เขาจะต้องอดทนกับความอึดอัดใจนั้น
เหมือนมีบางสิ่งดลใจให้เขาหันไปมอง ชายหนุ่มเหลือบไปมองเด็กหนุ่มตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ผิวขาว ในชุดนักศึกษา เมฆินทร์นิ่งมองอยู่นานด้วยความรู้สึกเหมือนกับเป็นคนที่คุ้นเคยกันมา ชื่อของคนๆนั้นจารึกอยู่ในใจหากแต่เขายังขาดการยืนยันให้มั่นใจว่าเป็นคนๆนั้นจริงๆ
“นี่แกมัวแต่ร่ำลาอะไรนานขนาดนั้นฮึ ก็รู้อยู่ว่าชั้นรอ” หญิงวัยดึกที่ชายหนุ่มคุ้นตาทำให้ชายหนุ่มมั่นใจว่าคนๆนั้นคือเด็กชายที่ครั้งหนึ่งเคยขี่คอเขาเล่นในวัยเยาว์
“โธ่แม่ รถมันติดหรอก ชอบตั้งแง่กับจอนมันจัง”ชายหนุ่มพ้อ “ช่างเถอะ เราไปกันเลยมั้ย อยากกินเอ็มเคตอนนี้คิวคงยาวเป็นหางว่าว”
สองแม่ลูกเดินเข้าไปในห้าง ทิ้งเอาไว้แต่ชายหนุ่มที่อมยิ้มให้กับความหลังและภาระที่ครั้งหนึ่งเคยรับปากไว้กับหญิงชราที่เมฆินทร์รักประหนึ่งญาติผู้ใหญ่สายเลือดเดียวกัน

....และก็กลายเป็จกิจวัตรของชายหนุ่ม ที่เวลาเลิกเรียนจะต้องมานั่งมองดูผู้คนหน้าเมเจอร์รัชโยธิน และเฝ้ามองหานายอโณชาที่ครั้งหนึ่งเคยมีคำนำหน้าว่าเด็กชาย และเคยเป็นน้องชายที่วิ่งเล่นขี่คอมาด้วยกัน
โชคชะตาเข้าข้างเมฆินทร์หลังจากวันแรกที่เขาได้เจออโณชาครั้งแรกหนึ่งอาทิตย์ แต่ทว่าในวันนี้ เด็กน้อยในวัยเยาว์ของเมฆินทร์เดินจูงมือกับชายหนุ่มหน้าคม
เมฆินทร์ไม่สามารถบอกตัวเองได้เหมือนกันว่าทำไมต้องใจหายกับภาพตรงหน้า ทั้งที่ภาระหน้าที่จากยายหลวย
...ก็เพียงแค่ฝากฝังหลานชายไว้กับเมฆินทร์ .... เหมือนเขาจะสับสน ว่าเด็กคนนั้นจะต้องการให้ไอ้บ้านนอกอย่างเขาดูแลหรือเปล่า หรือเขาต้องการไอ้หน้าหล่อคนนั้นอยู่เคียงข้างและคอยดูแลมากกว่า
ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจกลับหอพักของตน
“โน ...เราคงมีคนดูแลแล้วสินะ”
....อย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็ยังแอบเฝ้ามองและติดตามข่าวของอโณชาอยู่เป็นระยะๆอยู่ไกลๆ และคอยห่วงใยอยู่ห่างๆ เด็กชายหน้าคมคนนั้นอ่อนกว่าอโณชาสองปีและยังเรียนอยู่มอปลาย วัยวุฒิของคนที่อโณชาเลือกทำให้เมฆินทร์เป็นห่วงอยู่ลึกๆ ว่าเด็กคนนั้นจะทำให้อโณชามีความสุขได้สักแค่ไหน .... จนหนึ่งปีผ่านไป ในวันที่เมฆินทร์เรียนจบ และทั้งสองคนนั้นยังคงมีรอยยิ้มและอบอวลไปด้วยไอรักของกันและกัน จึงเป็นเหตุผลให้หนุ่มบ้านนาปล่อยวางจากความห่วงใยนี้

13 กุมภาพันธ์ สามปีก่อน
“พี่เมฆ พี่เมฆครับ”
เมฆินทร์สะดุ้งจากภวังค์ด้วยเสียงใสๆของรุ่นน้องร่างเล็ก ที่ยืนฉีกยิ้มอยู่ข้างหลัง
“ว่าไงล่ะฮึ หน่อง”
“เหม่อคิดถึงใครอยู่หรอครับเนี่ย”
“เปล่านี่ พี่ก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
“ช่างเถอะ ว่าแต่รู้ใช่มั้ยว่าพรุ่งนี้เป็นวันอะไร”
ชายหนุ่มครุ่นคิด ก่อนจะได้คำตอบ “นี่วาเลนไทน์อีกแล้วหรอเนี่ย”
“ก็ใช่น่ะสิ” หนุ่มน้อยอมยิ้ม “พี่เมฆน่ะน่ารักก็ตรงนี้นั่นแหละ”
หนุ่มผิวเข้มยิ้มเขินๆ ก่อนจะดีดหน้าผากรุ่นน้องหน้าเป็นเบาๆ “เดี๋ยวเถอะ”
“ไปเดทกันมั้ยพี่ พรุ่งนี้”
เมฆินทร์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเชิญตีแสกหน้า หากแต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินจากปากของรุ่นน้องคนนี้
“ไปน่ะไปได้ ...แต่พี่ยังยืนยันนะ ว่า...”
“รู้แล้วครับ ว่าพี่น่ะยังไม่อยากมีแฟน ไม่ได้มองเรื่องความรัก อยากกลับไปพัฒนาบ้านเกิด” หน่องตอบแทนรุ่นพี่ ก่อนจะพูดต่อ “อยู่คนเดียววันวาเลนไทน์มันเหงาจะตาย คนนั้นก็เดินเป็นคู่ คนนู้นก็จู๋จี๋กัน น้องยืมควงสักวันไม่ได้หรือไง เห็นว่าหล่อหรอกนะเลยชวนน่ะ”
“อ่ะ ก็ได้ ที่ไหนดีล่ะ” ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากด้วยความรู้สึกเอ็นดู
“เมเจอร์รัชโยฯละกัน ขี้เกียจไปไกล”
“อืมม ตกลงตามนั้น เลิกเรียนแล้วเจอกัน”
“ขอบคุณนะครับ ที่รัก” เด็กหนุ่มหยอก ก่อนจะรีบเดินหนีไป
.
.
.
14 กุมภาพันธ์ สามปีก่อน
หน้าเมเจอร์รัชโยธินคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เมฆินทร์เดินคู่กับรุ่นน้องที่นัดเดทกันตั้งแต่เมื่อวานด้วยความรู้สึกสนุกสนานมากกว่าหวานชื่นเหมือนคู่รักจริงๆ แต่ก็จริงอย่างที่เด็กหนุ่มบอกไว้ ว่ามันก็รู้สึกดีกว่านั่งมองคนนั้นคนนี้ในวันวาเลนไทน์ด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า
“ไปไหนกันต่อดี”
“ดูหนังแล้วกัน ขอเป็นหนังรักโรแมนติกนะ” หน่องยิ้มแฉ่ง
“อื้ม”
.
.

“เอาเรื่องนี้ละกัน น่าจะซึ้งดี เห็นว่าไปได้รางวัลมาด้วย” หน่องชี้ไปที่โปสเตอร์หนังโทนสีน้ำตาลหม่นๆ
“A moment in June ณ ขณะรัก” เมฆินทร์อ่านชื่อเรื่องเบาๆ “ตามนั้นแล้วกัน”

เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรมีผู้คนต่อคิวกันอยุ่เป็นจำนวนไม่น้อย เมฆินทร์กับแฟนจำเป็นเดินเบียดเสียดผู้คนต่อแถวจนสำเร็จ ก่อนที่หางตาของชายหนุ่มจะไปเห็นเด็กหนุ่มอีกคน ... ที่เคยทำให้เมฆินทร์รู้สึกโหวงๆในหัวใจ
“โน..”
เด็กหนุ่มคนนั้นหันหน้ามาช้า ก่อนจะยิ้มอย่างเก้อๆ พร้อมกับเด็กหน้าคมที่มาด้วยกันด้วยเครื่องแต่งกายที่ดูทันสมัย และทั้งสองคนต่างมีใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มให้กันและกัน
“เมื่อกี๊พี่เรียกผมหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ...ปะเปล่าหรอกครับ” เมฆินทร์เลือกที่จะปฏิเสธ
อโณชายิ้มอีกครั้ง ก่อนจะหันไปคุยกับเจ้าหน้าที่ต่อ ทิ้งไว้แต่ความรู้สึกว่างเปล่าในใจของผู้ชายที่ได้รับมอบหมายให้คอยดูแลอย่างเมฆินทร์
“นี่ๆ พี่เมฆ ผมเลือกที่นั่งละ จ่ายตังค์ซักทีสิ” เสียงของเจ้าหน่องทำลายภวังค์ของหนุ่มผิวเข้มลง ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง
.
.
เมฆินทร์นั่งลงบนเบาะภายในโรงหนังด้วยความรู้สึกที่สนุกน้อยลงกว่าตอนแรก ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมเขาต้องทำซังกะตายเมื่อได้เห็นไอ้ตัวดีในวัยเยาว์ของเขาเดินคู่กับแฟนของมัน ไม่มีเหตุผลรองรับความรู้สึกนี้เลย
“พี่เมฆเป็นไรปะเนี่ย ทำหน้ายังกะเหม็นเยี่ยว”
“เปล่านี่”
“ทำหน้าลั้ลลาเหมือนมากับแฟนหน่อยดิ๊ วันนี้วาเลนไทน์นะ” หน่องพ้อ
“อืม..” เมฆินทร์ยิ้มอย่างฝืนๆจนคนที่มาด้วยถอดใจ
“ช่างมันเถอะงั้น”
“ขอโทษนะครับ” เสียงเรียกดังมาจากด้านข้างของเมฆินทร์ ชายหนุ่มหันไปตามเสียงก็พบกับอโณชาที่ยิ้มน้อยๆให้ พร้อมกับที่มืออีกข้างของเขาถูกกุมไว้ด้วยมือของเด็กหนุ่มอีกคน “ขอทางหน่อยครับ”
“อ่า ...ครับ”
.
.
.
เนื้อเรื่องของหนังอาจจะดำเนินเรื่อยเปื่อยจนดูไม่น่าสนใจ หรืออาจะเป็นเพราะชายหนุ่มมีจุดสนใจอย่างอื่นมากกว่า จิตใต้สำนึกส่วนลึกของหนุ่มผิวสีทำให้เขาเผลอกำหมัดแน่นเมื่อเหลือบไปเห็นอโณชากับคนรักจับมือและแอบอิงกันเป็นระยะๆ และชายหนุ่มเลือกที่จะบอกตัวเองว่า ความรู้สึกต่างๆที่ชายหนุ่มรู้สึกมาเสมอนั้น คือความรู้สึกของพี่ชายคนหนึ่งที่หวงน้องชายเอามากๆ ...เท่านั้น
.

.
.
เป็นอีกคืนที่กองไฟลุกโชนขึ้นไม่ไกลจากใต้ถุนเรือนบ้านผู้ใหญ่มั่น เมฆินทร์นั่งเหม่อมองท้องฟ้าพร้อมกับลูบหัวอีแฉะเล่นเบาๆอย่างไม่ใส่ใจมันนัก
พอหมดเรื่องนา เรื่องที่เหมือนมีความสำคัญรองลงมาก็แทบจะทำให้ชายหนุ่มอดรนทนไม่ไหวอยากจะถามอโณชาใจจะขาด เมฆินทร์ยังคงจำความรู้สึกของตัวเองและรอยยิ้มที่อโณชากับเด็กหนุ่มคนนั้นมอบให้แก่กันได้ดี ในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เขาคงจะดีใจมากที่น้องชายได้มีคนที่รักอยู่ข้างกาย หากแต่เวลานี้ ไอ้บ้านั่นหายไปไหน ทำไมถึงปล่อยให้น้องชายของเขามาลำบากลำบนเพียงลำพังแบบนี้
“อีแฉะเอ๊ย เอ็งจำวันนั้นได้มั้ย ที่ข้ากับเอ็งไปเจอเจ้าโนมันที่ปลายนา ตอนที่มันนั่งเหม่ออยู่น่ะ”
ควายแคระหันมามองผู้เป็นเจ้าของราวกับรับฟังอยู่ หากแต่เมฆินทร์ไม่ได้ใส่ใจนักว่ามันจะรับรู้หรือไม่ ชายหนุ่มยังคงพร่ำบ่นกับควายคู่ใจต่อไป
“เอ็งว่ามั้ย ... วันนั้นเจ้าโนมันดูเศร้าๆเนาะ”
เมฆินทร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “ข้าก็ไม่อยากคิดหรอกนะ ว่าไอ้บ้านั่นมันจะทำอะไรเจ้าโนหรือเปล่า และถ้ามันทำนะ ข้าไม่ปล่อยมันไว้แน่”
ดวงตาของชายหนุ่มแข็งกร้าวแต่ก็แฝงไว้ด้วยแวววูบไหวเหมือนโขดหินกลางแก่ง ที่แน่วแน่แต่ก็หวาดกลัวในความเชี่ยวกรากของกระแสน้ำอยู่ลึกๆ ถึงเขาจะรู้ดีและตระหนักถึงคำพูดของยายหลวยที่บอบไว้กับชายหนุ่ม ทำให้เขาจะต้องเป็นผู้ดูแล เป็นพี่ชายที่คอยดูแลเจ้าตัวเล็กคนนั้น .... แต่ไอ้อาการใจสั่นๆและคิดถึงใบหน้าขาวๆของเจ้านั่น ทำให้พี่ชายอย่างเขาไม่กล้าที่จะเดาความรู้สึกตัวเองนัก

แอบลงหลังเลิกงาน แต่คนก็ยังพลุกพล่านเป็นหนอน ฮ่ะๆๆ

ขอบคุณหลายๆคนที่ยังติดตามนะครับ แม้จะไม่ได้อัพไวแบบเมื่อก่อน

เนื้อเรื่องยังแอบเรื่อยๆแบบที่เคยบอกไว้ แต่หวังว่าจะเป็นกำลังใจกันอยุ่เรื่อยๆนะครับ

 :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 29-11-2011 18:07:24
แสดงว่าก่อนหน้านี้ โนก็อยู่ในสายตาของเมฆเกือบตลอดเวลา
แต่ ณ เวลานี้ โนอยู่ในสายตาตลอดเวลา สมใจเมฆล่ะ
 
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: chae ที่ 29-11-2011 18:26:31
จากหวงน้องเพราะรับปากย่ามา
กลายเป็นหวงน้องเพราะน้องอยู่กับคนอื่น
แหมๆความรักนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 29-11-2011 18:56:48
วู้ๆ  แอบมองมานานนี่เอง

ยอมรับความรู้สึกตัวเองเร็วๆนะจะได้เดินหน้าจีบ

+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 29-11-2011 20:03:24
รอว่าเมื่อไร เขาฝากดูแล จะกลายเป็น อยากดูแล
 :pig4:
ปล. โนน่ารักขึ้นแฮะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 29-11-2011 20:18:37
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 29-11-2011 20:32:14
พี่เมฆเฝ้ามองโนมาตั้งนานแหน่ะ ~
 :-[
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 29-11-2011 20:50:25
แอบมองอยู่เรื่อยๆเลยเนอะ กล้าๆหน่อยซี่ ทำดีด้วยเยอะๆเดี๋ยวน้องโนก็หลงเองแหละ อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 30-11-2011 18:30:53
แอบมองอยู่อย่างนี้แล้ว
เมื่อไหร่จะหวานกันล่ะเนี่ย :กอด1:
+1ให้จ๊า
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 30-11-2011 19:11:09
มีความหลังฝังใจมากกว่าที่คิด แต่คนที่หมายปอง มองมานานก็อยู่ตรงหน้าแล้ว พี่เมฆอย่าให้เสียโอกาสนะ :give2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 30-11-2011 19:25:27
 :impress3:  มีความหลังฝังใจไม่น้อย


พี่เมฆจีบเลยยยยยยย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 30-11-2011 20:37:15
เฮ้ย ชอบอ่ะ
กำลังอยากอ่านเรื่องแนวบ้านทุ่งอยู่เลย
เหมือนสวรรค์สั่งหันเหลือบมาเห็นเรื่องนี้พอดี << เวอร์เน๊อะ

โนเปลี่ยนได้เร็วนะเนี่ย ตอนมาถึงยังไม่ถูกชะตากับพี่เมฆอยู่เลย
ก็อย่างว่าคนเค้าเป็นคู่กันนี่นา ฮ่าๆๆ

ชอบเรื่องนี้อ่ะ ปลูกฝังสิ่งดีๆของไทยไว้ด้วย
เจ๋งๆๆ
มาอัพเรื่อยๆนะ ติดตามอยู่
ปล.ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เราไปตามอ่านเรื่องไหน เรื่องนั้นมักไม่ค่อยอัพ
อย่าเป็นแบบนั้นเลยน้าาาาาาา ชอบเรื่องนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 30-11-2011 22:12:06
เดินไปเรื่อยๆ สงบดี
แต่บางครั้งสะดุดความหวานบ้างก็ดีนะ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 01-12-2011 00:01:39
เข้ามาสมัครติดตามด้วยคนค่า

อ่านแล้วเย็นจิตดีจริง  o13
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๔ (๒๙ พ.ย. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ThyRist ที่ 02-12-2011 09:46:49
อร้าย น่ารัก ><
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 02-12-2011 10:44:11

ตอนที่ ๕
บนที่นาของอโณขาในยามสาย เกษตรกรมือใหม่และมือฉมังอย่างเมฆินทร์กำลังหว่านเมล็ดพันธ์ข้าวลงบนผืนดินที่ทำการผันน้ำเข้ามาในระดับพอเหมาะ
“กี่วันมันถึงจะงอกเนี่ยครับ”
“สักอาทิตย์หนึ่งน่ะ”
“นานเหมือนกันนะ  “
“แหม ปลูกข้าวก็ต้องใจเย็นๆ”
“รู้แล้วน่า” ชายหนุ่มยิ้มพลางหว่านเมล็ดพันธุ์ต่อไป
แดดอ่อนๆยามสายทอเป็นประกาย เมฆินทร์ลอบมองและยิ้มให้กับภาพชาวนามือใหม่ที่ดูสนุกสนานกับการหว่านเมล็ด ที่มีพิ้นหลังเป็นทิวไผ่กับท้องฟ้าสีครามอ่อน .... ที่ช่างงดงามนักในสายตาของเขา
.
.
.
“เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย” อโณชาใช้ผ้าขนหนูสีขาวที่พาดอยู่ที่ไหล่มาซับเหงื่อที่ผุดอยู่บนหน้าผากขาวและไรผมของตน ก่อนจะหลบมานั่งพักในกระท่อมที่เมฆินทร์ปลูกให้ใหม่
“นี่แหละความทุกข์ยากของชาวนา คนเฒ่าคนแก่ถึงสั่งนักสั่งหนาว่าอย่ากินข้าวเหลือ เพราะกว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ดน่ะมันยากเย็นแข็ญใจ”
“คร้าบบ คุณพ่อ” ชายหนุ่มลากเสียงยาวล้อเลียน “ขอบคุณนะครับที่ช่วย ... พี่เมฆเนี่ยดูแลผมอย่างกับเป็นพี่ชายแท้ๆแน่ะ”
เมฆินทร์ยิ้มให้กับชายหนุ่ม ก่อนจะพูดต่อ “ย่าของโนเค้ารักโนมากนะ”
“... ก็คงงั้นแหละมั้งครับ”
“โนรู้มั้ย .... ว่ายายหลวยแกพูดถึงโนบ่อยๆ ยิ่งช่วงก่อนที่แกจะเสียน่ะ”
“ขนาดนั้นเลยหรอครับ”
“อืม... ก่อนตายแกก็คงอยากเห็นหน้าหลานชายคนเดียวของแก”
อโณชาสีหน้าสลดลงเล็กน้อย “ผมดูเหมือน...หลานอกตัญญูเลยเนาะ แถมยังหวังมรดกของแกอีก”
ชายหนุ่มบ้านนายิ้มพร้อมกับเอื้อมมือไปหาคนข้างหน้า ปลายนิ้วกร้านค่อยๆใกล้แก้มเนียนของคนตรงหน้าก่อนที่จะหยุดลงและเลื่อนไปลูบหัวชายเจ้าของแก้มขาวแทน
“ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีสิ พี่ว่านะ การที่ย่าเขาให้โนกลับมาทำนาที่นี่ นั่นก็เพราะท่านรักโน ...และอยากให้โนกลับมาอยู่กับท่านที่นี่นะ”
“ครับพี่เมฆ”
“...แล้วเราล่ะ รักที่นี่ อยากอยู่ที่นี่หรือเปล่า” เมฆินทร์ถามพร้อมกับจ้องลึกลงไปในแววตาของอีกคน
“เอ่อ... มันก็พูดยากนะครับ ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก ...แต่ผมก็ชินกับชีวิตที่กรุงเทพมากกว่า ...แล้วก็...” อโณชาเบือนหน้าหนีพร้อมกับเหม่อมองออกไปท้ายทุ่ง
ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบจนได้ยินเสียงลมทุ่งชัดเจน ความอึกอัดเข้ามาแทนที่ระหว่างทั้งคู่ .... อีกเหตุผลหนึ่งที่อโณชายอมตัดสินใจมาที่นี่ คือการพักใจจากคนที่เคยคิดว่ารัก และยังคงหลงเหลือความเศร้าเจือไว้บางๆในใจ ในขณะที่ไอ้หนุ่มบ้านนาที่กำลังพยายามอ่านแววตาคู่นั้น ... สิ่งที่เขาเดาน่าจะไม่ผิดนัก
“แล้ว...โนมีแฟนหรือยัง”
อโณชาหันมายิ้มช้าๆ ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางเดิม “ใช้คำว่าเคยมีแล้วกันครับ”
ชายหนุ่มบ้านนาถอนหายใจช้าๆ ใจอยากถามนักว่า “ไอ้บ้านั่นมันทิ้งไปใช่มั้ย” หากแต่ทำได้แค่เก็บไว้ในใจเท่านั้น
“ทำไมถึงเลิกกันซะละ”
“ก็พูดยากครับ แต่จะว่าไปก็เหมือนสัจธรรม No Money, No Honey”
“ถ้ารักกันด้วยเงิน มันก็ไม่ใช่ความรักแล้วล่ะ”
หนุ่มกรุงเทพเหลียวหลังมายิ้มให้ ก่อนจะหันมาพูดต่อ “ก็จริง ... แต่ชีวิตมันต้องมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา”
“ดูโนรักมัน ...เอ่อ เค้ามากเลยนะ”
“ก็...พอสมควรแหละครับ แต่ทำยังไงได้ล่ะ เค้าไม่ได้รักเราแล้ว”
“....พี่เชื่อว่า จะต้องมีคนดีๆรอโนอยู่แน่ๆ”
“ขอบคุณนะครับ” อโณชายิ้มช้าๆ พร้อมกับลุกขึ้น “ไปกันเถอะครับ ได้เวลามื้อเที่ยงแล้ว”
หนุ่มกรุงเทพเดินนำหน้าไป เมฆินทร์มองตามแผ่นหลังนั้นพร้อมกับให้สัญญากับตัวเองท่ามกลางแดดจ้าจากดวงตะวันยามเที่ยง
“จากนี้ไปพี่จะดูแลเราเอง โน”
.
.
.
การหว่านเมล็ดข้าวในยามบ่ายเริ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากที่สองหนุ่มเติมพลังด้วยข้าวหอมมะลิไปคนละจาน
“เหลืออีกนิดนึง เอาให้เสร็จวันนี้เลยไหวมั้ยพี่”
“อื้อหือ ...กำลังพูดกับใครอยู่ไม่รู้หรือโน”
“ดีเลย” ชายหนุ่มฉีกยิ้ม ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานต่อ
 
อุณหภูมิในยามบ่ายระอุขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับแดดที่เหมือนจะจ้าขึ้นทุกทีจนชายหนุ่มต้องใช้หมวกปีกกว้างมากันไว้ อโณชาเริ่มรู้สึกเหนื่อยๆเหมือนจะเป็นลมแทนรู้สึกสนุกเมื่อเปลวแดดค่อยๆร้อนขึ้นเรื่อยๆ
“พักก่อนมั้ย”
“ไม่อ่ะครับ อีกอึดใจเดียวก็น่าจะเสร็จแล้วมั้ง”
“โอเค อึดใจพระพุทธ สู้ๆ”

หลังจากที่กัดฟันอดทนต่อมาเรื่อยๆ แสงแดดก็ค่อยๆอ่อนลงเมื่อเวลาดำเนินไปถึงบ่ายสามโมงครึ่ง พร้อมกับเมล็ดพันธ์ที่เตรียมไว้ก็ใกล้จะหว่านหมด แต่ทว่า...กำลังของชาวนาอย่างอโณชาอาจจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว
“โน!!!” เมฆินทร์อุทาน เมื่อเห็นเจ้าของที่นาหนุ่มโงนเงนๆ และค่อยๆทรุดลงกลางผืนนาที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ
“ไปพักก่อนโน เราไม่ไหวแล้ว”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ แค่หน้ามืดนิดหน่อย” อโณชาตอบเสียงอ่อยและยิ้มบางๆ พร้อมกับใช้หลังมือที่เปื้อนดินปาดหน้าผากตัวเอง ในขณะที่อีกคนสีหน้าจริงจังเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
“อย่าดื้อสิ!” ชายหนุ่มออกคำสั่ง พร้อมกับอุ้มร่างเปรอะดินของอโณชาเข้าร่มในกระท่อม
อโณชาหลุบตาต่ำเมื่อถูกพาเข้ามาในกระท่อม ชายหนุ่มพาร่างของเขานอนบนพื้นที่ทำจากไม้ไผ่พร้อมกับใช้ผ้าขาวม้าที่เคียนเอวอยู่เช็ดหน้าเปื้อนดินของอโณชาเบาๆ
“....ขอบคุณนะครับพี่เมฆ”
“อื้ม” ชายหนุ่มยิ้ม
“พี่เมฆ...”
“หืม?”
“ทำไมถึง ...ทำดีกับผมขนาดนี้ล่ะ”
“เอ่อ...” เมฆินทร์ถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “เรารู้ใช่มั้ย ว่าย่าเราเค้าเป็นคนส่งเสียพี่ให้ไปเรียนในกรุงเทพ แล้วก็...หลายๆอย่าง”
“ครับ พอรู้มาบ้าง”
“นั่นแหละ แล้วก็อย่างที่พี่บอก ย่าของโนน่ะ รักโนมาก ท่านแทบจะพูดถึงโนทุกครั้งทุกเวลา และท่านก็ฝากให้พี่ดูแลโนให้ดี ถ้าโนกลับมาที่นี่อีกครั้ง ...”
เมฆินทร์ยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับลูบผมของคนที่นอนอยู่อย่างทนุถนอม “และพี่ก็รักและเคารพท่านมาก พี่เลยต้องทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุดให้สมกับที่ท่านเอ็นดูพี่”
คำบอกเล่าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากใจขอเมฆินทร์ทำให้อโณชายิ้มอย่างเป็นสุข หลานยายหลวยจับมือที่ลูบผมของตนไว้พร้อมกับบีบมือนั้นเบาๆ
“ขอบคุณนะครับพี่ชาย สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ลุงวันเคยเล่าให้ผมฟังว่า พี่เคยเล่นกับผมสมัยเด็กๆ ถึงผมจะจำไม่ค่อยได้ แต่ผมว่า พี่เมฆต้องเป็นพี่ชายที่ใจดีมากๆแน่เลย ....ผมรักพี่เมฆนะ”
“อื้ม...” ชายหนุ่มยิ้ม “นอนพักซะที่นี่แหละ เดี๋ยวพี่ทำต่อเอง แป๊บเดียวก็เสร็จ”
.
.
.
ยามค่ำที่บ้านผู้ใหญ่ เมฆินทร์นั่งอมยิ้มอยู่ข้างควายแฉะเหมือนทุกวันพลางนั่งลูบมือตัวเองช้าๆด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับตัวนัก ภาพหน้าขาวๆเปื้อนดินของลูกชายนางฉลวย กับมือนิ่มที่จับมือเขาไว้ทำให้ชายหนุ่มเหมือนจะ....อยากชมและสัมผัสเสียทุกวัน
“อีแฉะ แกรู้หรือเปล่า ว่ามือเจ้าโนมัน...นุ่มดีนะ” เมฆินทร์พูดพลางลูบมือตัวเองไม่หยุด
“แงะ!!!! “ ควายแฉะหันมาพร้อมกับร้องเสียงดังเหมือนน้อยใจที่ผู้เป็นนายไม่ลูบหัวมันเล่นเหมือนเคย พลางใช้หัวดันตัวเจ้านายเบาๆ
“อะไรของแกฮะอีแฉะ ข้าก็แค่ชมหนุ่มให้แกฟัง”
เจ้าของนังแฉะพูดกับสัตว์เลี้ยงคู่ใจเป็นคุ้งเป็นแคว ก่อนจะเอนหลังพิงมัน เพื่อตัดบทสนทนากับควายเสีย “ผมจะดูแลหลานของคุณย่าให้ดีที่สุดเลยครับ”
.
.
.
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เมล็ดพันธ์ที่เริ่มหว่านไว้ก็ค่อยๆเติบโตเขียวขจีเต็มทุ่ง อโณชายิ้มกว้างอย่างพอใจก่อนจะหันมาหาอีกคนข้างๆ
“ขอบคุณอีกทีนะครับ พี่เมฆ”
“จะรีบขอบคุณไปไหน ยังไม่ได้เกี่ยวเลย”
“ก็แหม ไม่มีคนเริ่มมันก็ไม่มีวันนี้หรอกน่า”
“ป่ะ ...งั้นเริ่มกันเลยมั้ย”
“อื้ม”
ชายหนุ่มสองคนมองตากันอีกครั้ง  ก่อนจะเริ่มการ “ถอนกล้า” ซึ่งก็คือการนำต้นกล้าของข้าวที่หว่านไว้มามัดรวมกัน เพื่อนำไปดำอย่างเป็นระเบียบอีกครั้ง ข้าวที่โตจะได้ไม่แย่งอาหารกันและโตสม่ำเสมอทุกต้น
อโณชาสวมบูทลุยนาพลางถอนกล้าตามที่เมฆินทร์สอนอย่างชำนาญ จนผู้เป็นอาจารย์แอบอมยิ้ม .... ให้กับทุ่งนาและแสงแดดยามสาย
“เก่งนะเนี่ยเราสอนทีเดียวก็ทำได้ละ”
“แหะๆ ก็อาจารย์เค้าสอนดีนี่นา ครับ”
“หล่อด้วย”
“โหย ไม่ค่อยเลยว่ะ”
เสียงหัวเราะเคล้ากลิ่นดินอ่อนๆจากท้องทุ่งทำให้ออกซิเจนไหลเวียนเข้าสู่ปอดได้ดี มิตรภาพที่บ้านเดิมบางดำเนินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางไอดินกับกล้าข้าวเขียงขจีเต็มทุ่ง ....เหมือนกล้าข้าวที่ค่อยๆเจริญเติบโตขึ้น ทุกวัน ...ทุกวัน 
มัดกล้าถูกมัดรวมกันไว้เพื่อรอการปักดำอีกครั้งในวันถัดไป ชายหนุ่มทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มๆ เมฆินทร์ใช้ผ้าขาวม้าซับเหงื่อที่เปรอะข้างแก้มของอีกคนอย่างทะนุถนอมเมื่องานทั้งหมดเสร็จลง สายลมยามเย็นโชยมาเบาๆพักพาดอกหญ้าและควันไฟท้ายทุ่งให้โชยพลิ้วเป็นสัญญาณการหมดไปอีกหนึ่งวันของชีวิตเล็กๆที่บ้านเดิมบางแห่งนี้
“ไปกินข้าวที่บ้านผมนะพี่เมฆ”
“อื้มเอาสิ...ห้ามกินเหลือด้วยนะ รู้แล้สนี่ว่าข้าวแต่ละเม็ดมันได้มายากขนาดไหน”
“คร้าบบ รู้แล้วคร้าบ”
ควายแฉะก้าวย่างอย่างเชื่องช้าเคียงคู่กับจักรยานเก่าๆบนถนนลูกรังยามสายัณห์ .... รอยกีบเท้าของอีแฉะทิ้งรอยทางจางๆไว้บนถนนที่มันเดินจากมาในขณะที่พระอาทิตย์ค่อยๆคล้อยต่ำลบเหลี่ยมมุมที่ทิวไผ่ หมดลงไปอีกหนึ่งวันพร้อมกับรอยยิ้มกับมิตรภาพเล็กๆที่กำลังก่อตัว .... เหมือนควายตัวดีของเมฆินทร์จะอารมณ์ดีกว่าทุกวันเพราะมันส่งเสียงร้องเป็นระยะราวกับกำลังร้องเพลงอย่างครึ้มใจในเวลานี้

.... ดอกบัวบานงามสะพรั่งอยู่กลางบึง
หมู่ภมรภู่ผึ้งบินสลอน
เขียดครางออดไล่กอดบนใบบอน
ตะวันจรจมหายที่ปลายนา

ขี่อีแฉะแสนสบายควายตัวเก่ง
แล้วร้องเพลงคลายทุกข์สุขหนักหนา
ยินเสียงกลองย่ำค่ำแว่วดังมา
ที่ชายป่าเห็นควันไฟจุดไล่ยุง

แอบมานั่งเอนกายชายตลื่ง
เพลงเพราะพริ้งแว่วหวานจากชานทุ่ง
เสียงไอ้หนุ่มบ้านไร่หรือบ้านกรุง
ร้องลูกทุ่งจีบสาวเคล้าบังอร

สายลมโรยโชยแก้มแกมรังแก
เหงาแท้แท้ลมรังแกไม่หยุดหย่อน 
สายลมเอ๋ยคืนนี้ข้าขอวอน
หอบเอาเจ้าเนื้ออ่อนมาอิงที.... (คำกลอนจากบทเพลง “เพลงรักบ้านทุ่ง”)

http://www.youtube.com/v/8s10s9mZbPk&rel=1

ได้ลงแล้วครับ แหะๆ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันเรื่อยๆ

(และเรื่องก็ดำเนินเรื่อยๆเช่นกัน)  :laugh:

 :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 02-12-2011 10:52:26
ชอบเนื้อเพลง
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: wdaisuw ที่ 02-12-2011 12:45:50
ชอบบรรยาการหวานๆแบบนี้จังเลยค่ะ
เรื่อยๆก็จริงๆ แต่มันดูอบอุ่นดี :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 02-12-2011 13:12:59
ชอบกลอนจัง ได้บรรยากาศท้องทุ่งแบบใสซื่อปนหวานๆดี
เมฆน่ะเทใจให้โนไปจนหมดแล้ว แต่โนรู้สึกกับเมฆแบบพี่น้องเอง
ก็ภาวนาให้รักของโนที่มีต่อเมฆ ค่อยๆพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบคนรักในเร็ววันด้วย
อิฉันอยากเห็นคนเขารักกัน มันชื่นใจผู้อ่านดีน่ะ อิ อิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: OtaruZ ที่ 02-12-2011 13:22:11
อ่านเรื่องนี้ชอบมากอ่ะคับ อยากให้แต่งจน จบแล้วรวมเล่ม เลยนะ  อิอิ ชอบๆๆ  ถ้ารวมเล่มจิงรออุดหนุนเลย :impress2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 02-12-2011 13:30:51
แอบกระเทาะเปลือกไข่รีบนเบาๆ


เนื้อเพลงบ้านทุ่งดีแท้
เมื่อไหร่โนจะมองพี่เมฆเป็นอย่างอื่นซักที
แต่ก็อย่างว่าแหละนะ ก็พี่เมฆยังแสดงออกเป็นพี่ชายที่แสนดีอยู่เลยนี่นา
อยากให้ลองออกอาการหึงๆหวงดูบ้างก็ดีนะ อิิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: mamui2000 ที่ 02-12-2011 14:25:49
บอกได้คำเดียวว่า "ชอบ" ครับ

เบื่อชีวิตชาวกรุงแล้วเหมือนกัน อยากกลับบ้านไปทำไร่นาสวนผสม

เศรษฐกิจพอเพียง แต่ขอมี iPhone ไว้ข้างกายเหมือนเดิม  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 02-12-2011 14:42:27
 :impress2:

หวานๆ กลิ่นดินกลิ่นโคลน  ขอให้หนุ่มบ้านนาชนะใจหนุ่มกรุงที่มาทำนา

+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 02-12-2011 17:32:02
รักแบบพี่ชาย มะไหร่จะรักแบบสามีหละจ๊ะหนู๋โน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 02-12-2011 17:49:31
 :o8:
วู้ว เมื่อไหร่เค้าจะรักกันหนอ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: chae ที่ 02-12-2011 18:00:30
หวานเหอะตอนนี้
No Honey ที่ไหนคนข้างๆตัวน่ะ เขาอยากเป็นใจจะขาด
ทำไมไม่เหลียวมองเขาบ้าง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 02-12-2011 18:09:57
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 02-12-2011 18:58:13
มิตรภาพที่พัฒนาแบบค่อยเป็น ค่อยไป เหมือนกับปลูกข้าว
ตอนนี้เพิ่งจะเพาะกล้า พร้อม ๆ กับบ่มเพาะความรู้สึกดี ๆ เดี๋ยวก็ช่วยกันปักดำ ใช้เวลาดูแลเอาใจใส่ร่วมกันทุกวัน ๆ 
คาดว่าจะได้เก็บเกี่ยว "ข้าว" พร้อมเก็บเกี่ยว "รัก" ไปด้วยกันเลย ...  :-[
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: bluebird ที่ 02-12-2011 19:00:24
นี่แสดงว่าตอนอยู่กรุงเทพฯ เมฆก็คอยตามดูน้องตลอดเลยซินะ
น่ารักจริง  >.< โนก็คบกะแฟนเก่าอยู่นานเหมือนกันนะนี่
แต่ดีใจที่โนเริ่มจะเอ็นจอยกับชีวิตกลางทุ่งนาแล้ว
เมื่อไหร่โนจะเริ่มรู้สึก sth wrong กะพี่เมฆล่ะเนี่ย ลุ้นๆๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 02-12-2011 20:48:51
หวานเบาเบา :กอด1:
+1จ๊า
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: thisispom ที่ 02-12-2011 21:03:59
เรื่อยๆ แต่อบอุ่นจัง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 03-12-2011 09:23:22
พี่เมฆ รู้สึกว่าจะหลงหลานยายหลวยจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วนะ
ระวังอีแฉะน้อยใจนะ ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 03-12-2011 10:16:19
 :impress3:   อบอุ่นจัง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 03-12-2011 14:40:21
น่ารักสุดๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 03-12-2011 16:51:46
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น

บรรยากาศโรแมนติกโดยไม่ต้องสร้างเอง  :-[
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 03-12-2011 19:30:58
พี่เมฆน่ารักอ่ะ ดูอบอุ่นที่สุด
เอร๊ย! คลิปเพลงที่เอามาลงโรงเรียนเค้าเลยนะคนแต่ง :laugh:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 04-12-2011 01:19:58
ภารกิจรัดตัวหน่อยเดียวกลับมาไปสามตอนแล้วกรี๊ด (ตามอ่านอย่างเร่งด่วน)
ถ้าเราเป็นเมฆต้องแอบน้อยใจแน่เลยที่เค้าจำไม่ได้ นี่เราไม่สร้างความประทับใจอะไรให้บ้างเลยหรือไงเนี่ย แล้วก็ท้ายตอนสามตอนที่เป็นเป่าขลุ่ยต้องเมฆเป่าป่ะจ๊ะ
โนพูดเพราะเรียกพี่เมฆแล้วน่ารักอะ  :o8: อ้อ อ่านว่าเมฆผิวสีแล้วพาลให้คิดไปว่าดำมากทุกที ไม่รู้คนเขียนตั้งใจให้ดำขนาดไหน 55
ปลูกข้าวต้องใจเย็นๆ ปลูกต้นรักก็ต้องใจเย็นเหมือนกันหรือเปล่า (แต่ไม่เอาเย็นขนาดเลยไปวัยกลางคนอย่างอีกเรื่องนะ อิอิอิ)
ขอบคุณสำหรับเรื่องนะจ๊ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๕ (๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 04-12-2011 02:12:51
น่ารักๆ
ชอบบรรยากาศเรื่องแบบนี้จังครับ
ขอให้พี่เมฆกับน้องโนรักกันเร็วๆ นะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 04-12-2011 18:27:39
ตอนที่ ๖

ดวงอาทิตย์โผล่พ้นทิวไผ่ในยามเช้า ไอ้หนุ่มบ้านทุ่งที่ตื่นแต่เช้าเป็นกิจวัตรค่อยๆบิดขี้เกียจช้าๆก่อนจะคว้าผ้าขาวม้าคู่ใจไปอาบน้ำล้างหน้า ... กลิ่นหอมโชยฉิวจากในครัวมาจากนางชื่นที่น่าจะตื่นขึ้นมาก่อนใครเพื่อเตรียมอาหาร
“วันนี้มีอะไรกินจ๊ะแม่”
“แกงขี้เหล็กน่ะ”
“อื้อหืม” ชายหนุ่มหลับตาพลางสูดกลิ่นหอมจากหม้อที่กำลังตั้งอยู่บนเตา “ไม่ได้กินนาน พูดแล้วน้ำลายไหล”
“ไปเอาถ้วยมาให้แม่หน่อยไป”
“จ้ะแม่”
มื้อเช้าของบ้านผู้ใหญ่มั่นเริ่มต้นอย่างง่ายๆ แต่เร่งรีบกว่าวันอื่นเพราะวันนี้ที่บ้านเดิมบางจะมีงานประเพณีเล็กๆที่จะจัดขึ้นในตอนสาย
“งานเรียบร้อยดีมั้ยจ๊ะพ่อ”เมฆินทร์ถามขึ้นในขณะที่ตักข้าวเข้าปาก
“อื้ม ... เรียบร้อยดี ปะรำพิธีพวกชาวบ้านก็ช่วยกันทำจนเสร็จแล้ว เดี๋ยวกินข้าวเสร็จข้าก็จะไปดูความเรียบร้อยก่อน”
“งั้นเดี๋ยวผมตามไปนะจ๊ะ ขอไปรับเจ้าโนมันก่อน”
“ตามสบายเถอะ” ผู้ใหญ่มั่นรวบช้อน ก่อนจะลุกขึ้น “ไปกันเถอะ แม่ชื่น”
“แม่กับพ่อไปเถอะจ๊ะ เดี๋ยวผมเก็บจานให้ แล้วเดี๋ยวจะเลยไปรับเจ้าโน”
.
.
.
ล้อรถเครื่องเก่าๆของเมฆินทร์บดกับถนนลูกรังในหมู่บ้านเรื่อยๆจนถึงบ้านนางฉลวย เจ้าของบ้านคนใหม่นั่งรออยู่ที่ใต้ถุนเรือนพร้อมกับสมุนตัวน้อยที่มัดแกละสองข้างยิ้มแฉ่งอยู่
“พี่เมฆมาแล้วจ๊ะ คุณโน”นังทิ้งเอ่ยขึ้น
“อื้ม..”
หนุ่มบ้านนามองหนุ่มเมืองกรุงที่ระเห็จมาอยู่บ้านเดิมบางในเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบๆด้วยความพอใจ ก่อนจะเอ่ยทักขึ้น
“หล่อนะเนี่ยวันนี้”
“ผมก็หน้าตาดีทุกวันแหละพี่เมฆ”
“แล้วหนูล่ะจ๊ะ พี่เมฆ” นังทิ้งอวดเสื้อคอกระเช้ากับผ้าถุงตัวจิ๋วที่นุ่งอยู่ พลางหมุนตัวไปมา
“แกก็น่ารักดี นังทิ้ง”
“กินข้าวกินปลามาหรือยังครับเนี่ย” เจ้าบ้านเอ่ยถาม
“เรียบร้อยแล้วโน .... เราไปกันเลยมั้ย”
“อืม ได้ครับ”
.
.
รถเครื่องของเมฆินทร์บรรทุกผู้โดยสายทังสามชีวิตโดยมีนังทิ้งนั่งหน้าตามด้วยคนขับและอโณชาซ้อนท้าย ความขัดเขินของหนุ่มเมืองกรุงทำให้เขาเลือกที่จะจับราวด้านหลังของมอเตอร์ไซค์มากกว่าจะใช้เอวของหนุ่มผิวสีที่กำลังบังคับรถอยู่
“จับเอวพี่ไว้สิโน”
“เอ่อ...คือ”
เมื่อคนนั่งท้ายมีทีท่าเขิยอาย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจละมืออีกข้างเอื้อมมาจับมือของอโณชาให้มาจับเอวของตนแทน
“เดี๋ยวตก”
“แต่ว่า... ผมเป็น..”
“ไม่เป็นไรน่า” หนุ่มผิวคล้ำยิ้มอย่างพอใจ “เกาะแน่นๆ ถนนที่นี่ไม่ค่อยดี จับไม่มั่นเดี๋ยวจะล้มคลุกฝุ่นเอา”
“ก็ได้ครับ” อโณชาโอบกระชับเอวของเมฆินทร์ตามที่เขาบอก พร้อมกับมุมปากที่กว้างขึ้นของเจ้าของเอวนั้น

ไม่นานนัก รถเครื่องกลางเก่ากลางใหม่ของเมฆินทร์ก็พาผู้โดยสารทั้งหมดมาถึงวัดเดิมบาง เครื่องไฟในงานดังขึ้นแล้วเป็นเสียงวงมโหรีปีพาทย์ คนในหมู่บ้านมากันแทบจะทุกคน เบื้องหน้านั้นมีปะรำพิธีที่มีโต๊ะหมู่บูชาและดอกไม้ธูปเทียนตั้งอยู่ รวมถึงมีเมล็ดพันธ์ข้าวและข้าวที่ทำการสีแล้ววางอยู่บนพานเงินพานทอง
นังทิ้งวิ่งนำไปก่อนใครเมื่อเจอเพื่อนๆในหมู่บ้าน ทิ้งคนที่มาด้วยทั้งสองคนให้มองอยู่เบื้องหลัง
“ผมไม่เคยมางานพิธีทำขวัญข้าวเลยนะครับเนี่ย”
“พี่เชื่อว่าคนไทยอีกไม่น้อยก็ไม่เคยเห็นเหมือนโนนั่นแหละ”
“เข้าไปข้างในเถอะครับ”

หมอทำขวัญเริ่มร้องบทกลอนศักดิ์สิทธิ์เพื่อเริ่มพิธีโดยมีชาวบ้านรายล้อมอยู่ด้านหลัง กลิ่นธูปเทียนคละคลุ้งไปทั่วบริเวณเพิ่มความขลังในงาน ชายหนุ่มทั้งสองนั่งลงบนเสื่อที่ปูอยู่ที่มีชาวบ้านหลายคนนั่งอยู่ในพิธีแล้ว

“...แม่โพสพ แม่โพศรี
แม่นางธรณี เจ้าที่เจ้าทาง
ปวงลูกช้าง ... มาเซ่น มาไหว้
ให้ออกรวง...งอกงาม
กกละหม้อ ...กอละเกวียนเทอญ”

พิธีดำเนินไปร่วมชั่วโมงกว่า ก่อนจะจบลง ผู้ใหญ่มั่นแจกพันธ์ข้าวที่ผ่านการทำพิธีแล้วรวมถึงนำเครื่องบวงสรวงบัดพลีที่จะต้องนำไปใช้เซ่นสังเวยแก้พระแม่โพสพซึ่งประกอบด้วยกล้วย อ้อย ถั่ว งา และหมากพลูอย่างละหนึ่งคำ ชาวนาจะนำเครื่องบวงสรวงเล่านั้นนำไปที่ที่นาของตนเพื่อบูชาแก่พระแม่ธรณีให้ข้าวที่กำลังตั้งท้องนั้นสมบูรณ์แข็งแรงและได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ
“พี่เมฆไม่ไปเอาหรอ”อโณชาถามขึ้น
“ไม่ล่ะ พี่ไหว้ไปแล้วตอนนาของพี่ตั้งท้องน่ะ”
“อ๋อ...”
“พี่เมฆ.”เสียงร้องของหญิงสาวดังมาจากข้างหลัง ชายหนุ่มทั้งสองคนหันไปตามต้นเสียงก็พบว่ามีสาวชาวบ้านสองคนนั่นเองที่มาทักทาย
“อ้าว เดือน หญิง ”
“พาใครมาด้วยจ๊ะเนี่ย”หนึ่งในสองสาวเอ่ยถามขึ้น
“อ๋อ นี่โน น้องพี่เอง หลานยายหลวยไง”
“อ๋อ หลานยายหลวย มาจากกรุงเทพหรอจ๊ะเนี่ย ฉันไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“ใช่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มรับไมตรี
“กลับมาเที่ยวหรอจะเนี่ย”
“อ๋อ เปล่าหรอกครับ กลับมาทำนาน่ะ”
“จริงหรอจ๊ะ ดูไม่เหมือนนะเนี่ย น่ารักออกซะขนาดนี้”
ชายหนุ่มหน้าแดงเมื่อถูกชมซึ่งๆหน้า จนเมฆินทร์ต้องเป็นคนตัดบท
“ไปปักกล้ากันต่อเถอะโน สายแล้ว”
“อะไรกันเนี่ย พี่เมฆ จะรีบพาโนไปไหน พวกฉันยังคุยกับโนไม่เท่าไหร่เอง”
“สายแล้ว พวกข้าต้องไปทำนากันต่อ”
“โธ่เอ๊ย ... หวงอย่างกับเป็นพ่อเลย” หญิงสาวพ้อ ก่อนจะปรายตามาทางอโณชา “ไว้เจอกันใหม่นะจ๊ะ”
.
.
กล้าข้าวน้อยใหญ่ที่ถูกปักดำไว้ทีละต้นๆค่อยๆเติบโตเขียวขจีเต็มทุ่งนาของอโณชา ชายหนุ่มนั่งมองผลงานของตัวเองอย่างมีความสุข นกกาส่งเสียงร้องระงมสลับกับเสียงเสียดสีของทิวไผ่ขับกล่อมชาวทุ่งเป็นบทเพลงแห่งธรรมชาติบ้านนาชวนเคลิบเคลิ้มยิ่ง
“สีเชียวนี่มันสบายตาดีนะครับพี่เมฆ”
“เห็นแล้วหายเหนื่อยเลยใช่มั้ย”
“หายปวดหลังด้วยครับ” อโณชายิ้ม
เมฆินทร์ทรุดนั่งลงข้างๆพลางขยี้หัวของหนุ่มเมืองกรุงช้าๆ “ธรรมด๊า แต่เราเนี่ยเก่งนะเนี่ย เขาบอกว่าถ้าไม่ใช่คนมือเย็นนี่ปลูกต้นไม้ไม่ขึ้นนะเนี่ย”
“ผมก็เคยบอกแล้วนี่”
“ไม่ค่อยเชื่อไง พี่นึกภาพโนตอนเป็นหนุ่มออฟฟิศไม่ออกเลย”
“ว่าแต่ ...” ชายหนุ่มละสายตาจากทิวข้าวเบื้องหน้าหันมาทางหนุ่มบ้านนา “พี่เมฆเคยบอกว่า พอข้าวตั้งท้องะมีการทำขวัญข้าว แล้วอย่างนาผมเนี่ย จะเรียกว่าตั้งท้องได้หรือยังเนี่ย”
“ก็เมื่อข้าวออกรวงนั่นแหละ ทำไม โนอยากจะทำขวัญข้าวกับเขาบ้างหรอ”
“ใช่แล้ว”
ชายหนุ่มอมยิ้มอย่างขบขัน หากแต่เขาพยายามกลั้นยิ้มไว้ ก่อนจะพูดต่อ “อีกสักสองอาทิตย์ก็น่าจะเริ่มตั้งท้องแล้วล่ะ”
“ดีเลยครับ ต้องใช้อะไรบ้างนะ ผมลืมไปซะแล้วสิ”
“เอาไว้ข้าวมันตั้งท้องพี่ค่อยบอกอีกทีก็ได้ เดี๋ยวโนจะลืมอีก”
“ฮ่าๆ ก็ได้ครับ”
.
.
.
“พี่เมฆ พี่เมฆ ดูนั่นสิ” ชายหนุ่มชี้นิ้วไปทางทิวไผ่ท้ายทุ่งในยามสายของวันหนึ่ง
“อะไรหรอโน” เมฆินทร์มองตามไปยังทางที่อโณชาชี้ไป ก็พบกับควายสีดำมะเมื่อมตัวหนึ่งกำลังเล็มหญ้าอยู่
“ควายใครน่ะพี่เมฆ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
“นั่นน่ะสิ ไม่เห็นจะมีใครจูงควายผ่านมาแถวนี้ ทำไมถึงได้มีควายมากินหญ้าตรงนั้นได้นะ”
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะหายสงสัย ก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้น
“เฮ้ย มันอยู่นั้น ไปตามจับมา!!” ชายวัยฉกรรจ์สี่คนวิ่งมาบนคันนาอย่างเหนื่อยหอบ ก่อนจะพุ่งไปทางที่ควายถึกตัวนั้นเล็มหญ้าอยู่
“อะไรกันครับเนี่ย” อโณชาถามหนึ่งในชายกลุ่มนั้นที่กำลังหืดหอบอยู่
“ควายมันหลุดมาจากรถน่ะครับ เตลิดมาถึงที่นี่เนี่ย”
เมฆินทร์มีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย “จะเอามันไปโรงฆ่าสัตว์งั้นหรอครับเนี่ย”
“ใช่ครับ”

หลังจากตามจับกันอยู่สักพัก ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็ล้อมจับควายเคราะห์ร้ายตัวนั้นได้สำเร็จ น้ำตาของมันไหลออกจนเปรอะหน่วยตาดำขลับทั้งสองข้างของมัน อโณชากับเมฆินทร์มองตามคนเหล่านั้นไปช้าๆด้วยความหดหู่ และเหมือนเจ้าควายตัวนั้นจะรู้สึกได้ มันเหลียวมามองชายหนุ่มทั้งสองคนเหมือนจะขอความช่วยเหลือ
“แงะ!!!!!” ควายตัวนั้นขืนตัวอย่างสุดกำลังพร้อมกับร้องเสียงลงจนอีแฉะที่นอนอยู่ส่งเสียงร้องประสานกันระงม
“พวกคุณครับ!!!!” อโณชาตะโกนสุดเสียง จนชายเหล่านั้นต้องหันมามอง
“ผมขอซื้อต่อควายตัวนี้ได้มั้ยครับ”
“เอ๋....”
“ขอร้องเถอะครับ ผมสงสารมัน”
ชายทั้งสี่คนมองหน้ากันด้วยความสับสนละตกใจอยู่เล็กน้อย พร้อมกับที่อโณชายืนยันหนักแน่น
“พวกพี่ไปซื้อมันมาเท่าไหร่ ผมจ่ายให้เพิ่มอีกสองพันเลยเอา ขอควายตัวนี้ให้ผมเถอะครับ”
“เอ่อ ...ก็ได้ครับ”
.
.
หลังจากวันนั้น ไอ้รอด ที่เป็นชื่อที่อโณชาตั้งให้สมาชิกตัวใหม่ของบ้านนางฉลวยก็กลายเป็นควายของหนุ่มเมืองกรุง นอกจากไอ้รอดจะเป็นสัตว์เลี้ยงของอโณชาแล้ว ยังเป็นพาหนะแทนจักรยานคันเก่าที่ถูกปลดระวางให้แก่นังทิ้งอีกด้วย
ฟากหนึ่งที่บ้านผู้ใหญ่มั่น ลูกชายของเจ้าของบ้านนั่งอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ในตอนหัวค่ำอย่างเคย ชายหนุ่มเอนหลังพิงควายคู่ใจพลางพูดคุยกับมันเหมือนเพื่อนสนิทที่รู้ทุกเรื่อง
“นี่อีแฉะ แกรู้มั้ย ตั้งแต่เกิดมา ข้าไม่เคยนึกอิจฉาแกเลย แต่วันนี้ข้าคงต้องกลับมาคิดใหม่แล้วว่ะ ข้าชักอิจฉาแกแล้วสิที่ได้เกิดมาเป็นควายเนี่ย”
ควายสาวส่งเสียงว่ารับรู้พลางกระดิกหูรับฟังต่อไป
“ข้าเห็นคนกรุงเทพเค้าเลี้ยงสัตว์แปลกๆกันก็เยอะ อีกัวน่ามั่ง ตัวนั่นตัวนี่มั่ง แต่เลี้ยงควายเนี่ยข้าก็เพิ่งเคยเห็นว่ะ”
เมฆินทร์ลูบหัวควายสาวช้าๆ ก่อนจะพูดต่อไป
“ข้าชักอยากเกิดเป็นควายมั่งแล้วสิวะ .... ได้นอนอยู่ใต้ถุนก็ยังดีนะ ข้าว่า”

เขียนนิยายเรื่องนี้ทำให้รู้ว่า มิตรรักนักอ่านจบจากโรงเรียนอะไร ฮ่าๆ
ส่วนตอนนี้ พี่เมฆก็ยังแทงกั๊กเหมือนเดิม
ขอบคุณที่ยังติดตามนะครับ
 :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 04-12-2011 18:36:39
วันนี้ได้จิ้มด้วยล่ะ  :o8:
พี่เมฆยังเรื่อยๆ เหมือนเดิม แหม แต่อยากเกิดเป็นควาย อยากให้น้องโนเลี้ยงมั่งเหรอออ
อ่านเรื่องนี้แล้วได้รู้อะไรใหม่ๆ ดีค่ะ อย่างพิธีทำขวัญข้าว   :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 04-12-2011 19:09:28
 อ่านตอนทำขวัญข้าวแล้วรู้สึกขนลุก (ไม่ได้ปวดอะไรแต่อย่างใด)

รู้สึกเหมือนเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ  :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 04-12-2011 19:21:55
 :m20:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 04-12-2011 20:27:30
 o13

ได้บรรยากาศสุดๆอ่ะ  ชอบมากกกก

รอพี่เมฆเลิกแทงกั๊ก  ฮุๆๆ

กดบวกกดเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 04-12-2011 21:00:52
ว๊าว.....พี่ครับ  เขียนอธืบายซะเห็นภาพเลยครับ  อยากเห็นของจริงเลย คงจะสวยน่าดูเนาะ
บรรยายบรรยากาศอบอุ่นจริงๆครับอ่านสบายๆ   ชอบอีกแล้วครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 04-12-2011 22:17:07
อั่ยย๊ะ
พี่เมฆอิจฉาควายยย
อยากเห็นโนหึงมีเมฆมั่งจัง <<< ได้ข่าวว่าโนยังไม่ทันชอบพี่เมฆเลย

เดี๋ยวนี้พิธีทำขวัญข้าวหายากจริงๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 04-12-2011 22:20:10
555. ยังไม่จบนะยังเรียนโรงเีรียนนี้อยู่ค่ะ : )
พี่เมฆนี่น่ารักจริง :-[ ชอบบรรยากาศเรื่องนี้อ่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 04-12-2011 22:25:00
ขอแค่นอนใต้ถุนบ้าน ถึงเป็นควายก็ยอมนะ อิอิ คนเรา ก็ไปบอกเค้าตรงๆเลยซี่
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 04-12-2011 22:39:06
555 พี่เมฆมีอิจฉาไอ้รอดนะเนี่ย ที่มันได้อยู่บ้านเดียวกะโนน่ะ
เดี๋ยวถ้าไอ้รอดจีบอีแฉะได้เสียเป็นเมียผัวกันเมื่อไร
พี่เมฆยิ่งจะอิจฉาทั้งอีแฉะด้วยแน่เลย 555
เพราะตัวเองยังไม่กล้าจีบโนได้แต่แอบรักแอบหวงนะซี้
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 04-12-2011 23:01:47
แน่ะ! ใต้ถุนก็เอาเน้อพ่อคุณ
ไปขอนอนบนเรือน โนก็ให้  . ..
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: thisispom ที่ 04-12-2011 23:08:53
ฮาพี่เมฆอะ นอกจากจะคุยกะควายแล้วยังมีอิจฉาควายด้วย 555
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 05-12-2011 00:58:03
ตั้งแต่เห็นกันที่บางกอกจนตอนนี้ข้าวจะตั้งท้องแล้ว
พี่เมฆจ๊า คิดว่าจะทรมานให้คนอ่านลุ้นไปอีกกี่จอนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 05-12-2011 10:47:06
 :o8:  บรรยากาศดูอบอุ่นมาก
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 05-12-2011 15:06:35
จากขี่จักรยาน อัพเกรดมาขึ่ควาย คุณโนกำลังจะเป็นหนุ่มนาบ้านทุ่งแบบเต็มตัวแล้ว  :m1:
แต่พี่เมฆเป็นเอามากนะ อิจฉาน้องควายก็เอา... :m26:
 
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: OtaruZ ที่ 06-12-2011 10:30:39
น่าร้ากอ่าาาาาา   ม่ะไรจะรู้ความในใจกัน  แอบลุ้น ตัวโก่งรุย   :z2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 06-12-2011 10:42:14
เมื่อไหร่จะรุกสักทีล่ะ
พี่เมฆชักช้าจังเลย :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: RoseBullet ที่ 06-12-2011 10:55:23
ชอบบรรยากาศของเรื่องจัง เรื่อยๆ ภาษาก็ดี อ่านแล้วสบายใจ ได้ความรู้ใหม่ๆเยอะเลยด้วยค่ะ
พี่เมฆอิจฉาควาย ฮ่าาาาา ต้องเริ่มรุกบ้างแล้วมั้งนะพี่
ไม่งั้นเดี๋ยวนานไปโนจะมองพี่เมฆเป็นได้แค่พี่ชายไปตลอดละพี่เมฆจะซวยเอาหนา
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 06-12-2011 13:20:25
พี่เมฆอาการหนัก ถึงขนาดอยากเป็นควายเลยเหรอ
อ่านแล้วอยากไปลองเห็นบรรยากาศแบบนี้จริงๆ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 06-12-2011 15:54:34
ตอนที่ ๗

ลมร้อนอ้าวๆกลางเดือนมิถุนายนหอบความชื้นที่ชวนให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะตัว ฤดูฝนกำลังมาเยือนบ้านเดิมบางอีกคราหนึ่งพร้อมกับที่ต้นข้าวในนาของอโณชาเริ่มตั้งท้อง ใบข้าวคมเรียวโบกพลิ้วตามแรงลมรอรับลมฝนที่กำลังจะมาในไม่ช้า
หลังจากที่เมฆินทร์กลับไปดูข้าวในนาของตนเองที่กำลังออกรวงอยู่เช่นกันเสร็จ ชายหนุ่มก็เลยมาที่ที่นาของอโณชาหร้อมกับยิ้มน้อยๆให้กับกอข้าวเขียวขจีเหล่านั้น
“พี่เมฆ ผมมาแล้วครับ”เสียงใสของชายหนุ่มดังมาแต่ไกลบนหลังควายตัวโตที่ดูขัดแย้งกับขนาดร่างกายของเจ้าของ ที่ข้อศอกของชายหนุ่มยังมีรอยของยาแดงที่ทาเอาไว้เมื่อตอนที่หัดขึ้นขี่หลังควายใหม่ๆแล้วพลัดตกลงมา สร้างความน่าสงสารปนน่าเอ็นดูเมื่อหนุ่มกรุงเทพอย่างเขาอุตริคิดจะขึ้นขี่ควายแทนจักรยานขึ้นมาเสียดื้อๆ
ในมือของชายหนุ่มถือชะลอมใบจ้อย ภายในชะลอมน่าจะมีพวกเครื่องบวงสรวงตามรายการที่เมฆินทร์ได้บอกไว้เมื่อวาน ชายผิวขาวเนียนบนหลังควายชูชะลอมในมือด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “ผมเตรียมมาพร้อมแล้วครับ”
“ไหนให้พี่ดูซิว่าครบมั้ย” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับหยิบชะลอมใบนั้นออกมาดู ภายในมีกล้วย อ้อย ถั่ว งา หมากพลู และมะยมอย่างล่ะหนึ่งคำ
อโณชาโดดลงมาจากหลังควาย ก่อนจะปัดแข้งปัดขาพอเป็นพิธี “แล้วทีนี้ผมต้องทำยังไงบ้าง”
“ตามพี่มาสิ”
เมฆินทร์คว้าเอาท่อนไม้ไผ่ขนาดเหมาะมือแถวๆนั้นมา ก่อนจะเดินนำอโรชาไปที่คันนาและปักไม้ไผ่ท่อนนั้นลงไป จากนั้นก็แขวนชะลอมใส่เครื่องบวงสรวงที่ปลายอีกด้านของไม้ไผ่ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังยืนมองด้วยความสนใจ ก่อนที่ผู้เป็นครูจะหันมายิ้มให้
“เอาล่ะ ทีนี้ตาเราแล้ว ยกมือไหว้พระแม่โพสพ แล้วก็พูดดีๆกับท่าน อยากให้ข้าวที่จะออกมาเป็นยังไงก็ขอท่าน เป็นอันเสร็จพิธี”
“ง่ายๆแบบนี้เลยหรอ”
“อื้ม แบบนี้แหละ ปู่ย่าตายายของเราก็ทำกันแบบนี้”
ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นพนม “พระแม่โพสพครับ ขอให้ข้าวของลูกออกรวงงอกงาม ให้ได้ผลผลิตเยอะๆ เก็บเกี่ยวได้มากๆ อย่าได้เจ็บอย่าได้ป่วย เพลี้ยไรอย่าได้มากัดกินเลย สาธุ”
สองมือที่ประนมอยู่ยกขึ้นเหนือหัว จนคนที่ยืนอยู่ข้างๆอดขำไม่ได้
“ขำอะไร พี่เมฆ ตัวเองเป็นคนบอกให้เค้าทำนะ”
“เปล่า พี่ไม่ได้ขำเรื่องนั้น”ชายหนุ่มยิ้ม
“แล้วอะไรล่ะ”
“พี่ก็แค่....เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก”
“มีสิ”
“ฮ่าๆ โอเค ก็คือว่า ปกติน่ะ ผู้ชายเค้าไม่ค่อยทำขวัญข้าวกันเองหรอก เค้าเชื่อกันว่า แม่โพสพน่ะ เป็นผู้หญิง เค้าก็เลยมักจะให้ผู้หญิงมาทำกันเพราะผู้หญิงจะสื่อสารกับผู้หญิงได้เข้าใจมากกว่า”
“เฮ้ย .... แล้วทำไมพี่เมฆไม่บอกผมเล่า”
“ก็พี่เห็นโนอยากทำ พี่ก็เลยไม่ห้ามไง ....แล้วก็” ชายหนุ่มเว้นช่วง ก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “พี่ว่าโนก็น่ารักไม่แพ้สาวๆที่ไหนหรอก”
แก้มขาวเนียนของอโณชาเปลี่ยนสีเป็นแดงระเรื่อ ความลับเกี่ยวกับเพศสภาพของตัวเองเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มพยายามปกปิดไม่ให้ใครรู้ เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่า เรื่องรักร่วมเพศเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนสำหรับสังคมชนบท แต่เมื่อมาได้ยินคำพูดที่เหมือนบทเกี้ยวพาราสีอยู่กลายๆ ก็ทำให้ชายหนุ่มอดที่จะเขินไม่ได้อยู่เหมือนกัน
“พี่เมฆก็พูดมาได้นะ กลางทุ่งแบบนี้ฟ้าจะผ่าเอาง่ายๆนะครับ” ชายหนุ่มหันหลังขวับซ่อนแก้มแดงๆของตัวเอง แต่ถึงกระนั้น ท่าทางแง่งอนของชายหนุ่มกลับเป็นการกระตุ้นต่อมหมั่นเขี้ยวของไอ้หนุ่มบ้านนาตัวเข้มอย่างเมฆินทร์ ให้กระทำการขัดแย้งต่อคำห้ามปรามของอโณชาแทน
“พี่ทำอะไรกันโน ถ้าพี่ทำแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าบัดสี”
ท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้างโอบรัดหนุ่มกรุงเทพไว้จากด้านหลังจนเจ้าของร่างกายนั้นสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ในขณะที่อีกฝ่ายก็อยู่ในความรู้สึกมึนๆระคนอายอยู่เหมือนกันที่กล้าทำอะไรแผลงๆกลางทุ่งนาเช่นนี้ หากแต่.... คนที่ได้ทำลงไปแล้วนั้นก็รู้สึกดีไม่ยิ่งหย่อนกับการได้ทำเช่นนี้
“พี่เมฆ ทำอะไรน่ะ!!”
แขนแกร่งทั้งสองข้างของเมฆินทร์คลายออกช้าๆอย่างนึกเสียดาย หากแต่สัมผัสและกลิ่มหอมอ่อนๆจากแชมพูของชายที่เคยอยู่ในวงแขนยังคงติดตรึงอยู่ในลมหายใจของชายหนุ่มจนแทบจะเผลอกระชับวงแขนนั้นอีกครั้ง
“แหม พี่ก็แค่หยอกเล่นเฉยๆ”
สีหน้าของอโณชาซีดลงหากแต่ยังเจือสีแดงระเรื่อเอาไว้ การหยอกเล่นของเมฆินทร์ทำให้ชายหนุ่มเขินอายระคนกลัว ชายหนุ่มคิดในใจว่า หากเมฆินทร์รู้ความจริงที่อโณชาปกปิดเอาไว้ พี่ชายที่แสนดีคนนี้จะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า
ไออุ่นจากวงแขนของหนุ่มบ้านนอกยังทำให้หนุ่มเมืองกรุงรู้สึกได้แม้วงแขนจะคลายออกไปแล้ว อโณชายังคงยืนนิ่งหลังจากการแลกสัมผัสแห่งร่างกายที่เหมือนจะเป็นการหยอกล้อกันระหว่างผู้ชายทั้งสองคน
ลมทุ่งพัดวูบให้ใบข้าวเอนไหวอีกครั้ง พร้อมกับที่ทั้งคู่แยกจากกันโดยที่ยังไม่ได้มองหน้ากัน
“เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะครับ”
หนุ่มบ้านนายิ้มกว้างอย่างเอ็นดู ก่อนจะแตะไหล่ลู่ของคนตรงหน้าเบาๆ หากแต่คนตรงหน้ากลับสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งจนเมฆินทร์นึกหมั่นเขี้ยวจนแทบจะกอดหนุ่มเมืองกรุงอีกครั้ง
“อืม ไปสิ อยู่ที่นี่นานๆอาจจะโดนฟ้าผ่าตอนกลางวันจริงๆก็ได้เนาะ”
.
.
ยามเย็นที่บ้านผู้ใหญ่มั่น เสียงขลุ่ยแว่วหวานจากฝีมือของหนุ่มบ้านนาผิวเข้มที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ โดยมีควายสาวหลับตาพริ้มเหมือนจะเคลิบเคลิ้มนอนอยู่ข้างๆ

“โฉมเอ๋ยสะอางแม่นางท้องทุ่ง
โสภายิ่งกว่านางกรุง หมายมุ่งยลโฉมน้องนาง
บ้านนาอย่างนี้แม่ยังโสภีสล้าง
เอมอิ่มปรางดั่งนางฟ้า ลอยมาอวดโฉมลาวัลย์

สวยเอ๋ยรวงทองน่ามองลิบลิ่ว
เห็นแนวกอไผ่เป็นทิว ลิบลิ่วสดสีอำพัน
ใคร่จะป่าวร้อง ข้าวรวงสีทองใครปั้น
มือแม่นางบอบบางนั้น กำเคียวเกี่ยวข้าวในนา

ใบข้าวคมเรียวเกี่ยวแก้มเป็นรอย เลือดย้อยนวลปราง
ยิ่งงามไม่สร่างประทับใจข้า
นางน้องบ้านนาโสภาล้ำเลิศ
เสียทีแม่เกิดห่างไกลคนมอง

หอมเอ๋ยมาลัยทั่วในแคว้นด้าว
หอมเดียวไม่เหนี่ยวใจน้าว เหมือนกลิ่นสาบสาวเนื้อทอง
ใคร่เอาความรักพี่เป็นเหมือนกำแพงป้อง
โลมประคองตระกองขวัญ รำพันแอบน้องบ้านนา”... (น้องนางบ้านนา : สมยศ ทัศนพันธ์)

“เขินว่ะอีแฉะ ...ข้าทำแบบนั้นลงไปได้ยังไงวะ” ชายหนุ่มรำพันกับควายคู่ใจ พลางกอดขลุ่ยไว้แนบอก ก่อนจะพูดต่อ “แต่ข้าก็...อยากกอดเจ้าโนมันอีกเหมือนกันนะ คนกรุงนี่ก็ตัวหอมดีเหมือนกัน”
เมฆินทร์ลุกขึ้น พลางใช้มือลูบตัวควายแคระที่นอนอยู่ข้างๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาดม
“หรือข้าจะชินกับกลิ่นของแกวะอีแฮะ พอได้กลิ่นหอมแปลกๆ ก็เลยติดใจเป็นพิเศษ...ละมั้งเนาะ”
ควายแฉะเอี้ยวคอขวับไล่ยุงที่ดูเผินๆเหมือนมันกำลังค้อนผู้เป็นนายอย่างน้อยใจที่พร่ำพรรณนาถึงหนุ่มเมืองกรุงที่เพิ่งจะมาอยู่เดิมบางได้ไม่นาน และไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มนุษย์ก็ไม่มีทางรู้ได้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ อีแฉะที่เกิดเป็นควายของเมฆินทร์จึงต้องอดรนทนฟังผู้เป็นนายพร่ำเพ้อถึงหนุ่มเมืองกรุงอย่างเลี่ยงไม่ได้
และหากควายเข้าใจมนุษย์ ฟากหนึ่งที่บ้านของนางฉลวย ไอ้รอดคงจะกำลังเฝ้ามองเจ้าของผู้มีพระคุณอย่างใคร่รู้ว่าผู้เป็นนายกำลังคิดอะไรอยู่ที่ใต้ถุนเรือนกันแน่
อโณชากำหญ้าในมือหลวมๆปล่อยให้ไอ้รอดโน้มคอลงมากินเหมือนทุกวัน ต่างออกไปที่วันนี้เขาดูใจลอยกว่าวันไหน จนไอ้รอดต้องส่งเสียงทำให้รู้สึกตัว
“โม!!!!”
“อะไรของแกฮึ ไอ้รอด”
ชายหนุ่มหันมาดุควาย พลางรู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่มือ จึงได้อุทานออกมา
“อ้าว หญ้าหมดแล้วหรอ” ชายหนุ่มเอื้อมไปหยิบหญ้าที่วางอยู่อีกฝั่งมาป้อน ก่อนจะบ่นอย่างเอ็นดู “แกนี่มันเสียชาติควายจริงๆนะเนี่ย กินเองไม่เป็นแล้วหรือไง ถึงต้องให้ชั้นป้อนเนี่ย”
“ไอ้รอดมันคงเห็นคุณโนเหม่อๆมั้งคะ เลยร้องให้คุณตื่น” นางทองเอ่ยขึ้นพร้อมกับนำขันเงินใส่น้ำมาวางข้างๆ “เหนื่อยมั้ยคะวันนี้ เป็นยังไงบ้าง”
“เอ่อ วันนี้หรอครับ” ชายหนุ่มครุ่นคิด ภาพตัวเองถูกกอดโดยไม่ทันตั้งตัวสว่างขึ้นในมโนภาพจนเจ้าตัวหน้าแดง “ก ...ก็ดีครับ”
บ่าวทองนิ่วหน้าอย่างสงสัย ก่อนจะแซวผู้เป็นนาย “วันนี้คุณโนทำตัวพิลึกๆ หากเป็นสาวเป็นนางล่ะก็ ทองคงเดาว่าวันนี้คุณโนไปโดนไอ้หนุ่มที่ไหนเกี้ยวมาแน่ๆ”
 อโณชาหน้าแดงหนักขึ้น จนเผลอเสียงดัง “ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย!!”
“คุณโนนี่ยังไง ก็อิฉันบอกว่าถ้าเป็นผู้หญิงนี่คะ ตกใจอย่างกับโดนจับได้อย่างนั้นแหละ”
“ก็....” อโณชาอ้ำอึ้งและพยายามเปลี่ยนเรื่อง “แล้ววันนี้ข้าวเย็นเป็นอะไรครับเนี่ย”
“มีแกงส้มดอกกับป่นปลาช่อนน่ะค่ะ จะกินเลยมั้ยคะเดี๋ยวทองไปยกมาให้เลย”
“ก็ดีครับ กำลังหิวเลย”
บ่าวทองลุกจากไปด้วยรอยยิ้ม ทิ้งผู้เป็นนายถอนหายใจเฮือกใหญ่เบื้องหลัง
“พี่เมฆนะพี่เมฆ เพราะพี่คนเดียวเลย มาแกล้งกันแบบนี้” ชายหนุ่มบ่นลอยๆ ก่อนจะหันมาดุควายอย่างไม่มีเหตุผล “แกก็ด้วย
อโณชาทรุดลงนั่งอีกครั้ง ก่อนจะลูบหัวไอ้รอดเบาๆ “ชั้นมีอะไรจะบอก แกรู้แล้วแกอาจจะรับไม่ได้ก็ได้นะ ที่จะให้ชั้นเป็นนายของแก ...แต่แกเป็นควายนี่นาแกคงไม่อคติเหมือนพวกมนุษย์หรอก .... อันที่จริงชั้นไม่ใช่ผู้ชายเต็มร้อยหรอก ชั้นมันพวกชอบผู้ชายด้วยกันน่ะ”
“โม....” ไอ้รอดส่งเสียงว่ามันรับฟังอยู่ จนอโณชายิ้มออกมาได้
“แล้วทีนี้ทำไมแกรู้หรือยังว่าทำไมชั้นต้องเขิน ต้องตกใจตอนนั้นน่ะ และถึงชั้นจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เมฆ แต่คนอย่างชั้นน่ะ เวลาโดนผู้ชายมากอดมาถูกเนื้อต้องตัว มันก็มีหวั่นไหวกันมั่งแหละ คนนะไม่ใช่พระอิฐพระปูน”
รอบคอของไอ้รอดถูกแขนทั้งสองข้างของอโณชาโอบไว้ ก่อนจะกระซิบข้างหูเบาๆ “ขอกอดหน่อยสิ ไอ้รอด แกก็เป็นควายตัวผู้นี่นา แล้วแกก็น่าจะไว้ใจได้ด้วย ส่วนมนุษย์ผู้ชายน่ะ ...ชั้นยังแหยงๆอยู่เลย เจ็บแล้วต้องจำนี่เนอะ รอดเนอะ”
.
.
“โน โน!” เสียงเรียกของเมฆินทร์ดังมาจากหน้าบ้านทำให้ชายหนุ่มต้องชะโงกหน้าออกมาดู
“อ้าวพี่เมฆ ไปยังไงมายังไงถึงมาหาผมที่นี่ล่ะ”
“คิดถึงล่ะมั้ง”
“เอ๊ยพี่เมฆฟ้ามาครึ้ม จะผ่ามั้ยนั่น”
“ฮ่าๆ เรานี่ ดักคอแบบนี้ทุกที กลัวอะไรนัก พี่ก็แค่หยอกขำๆ”
“กลัวฟ้าผ่าไง”
“โธ่ โนก็” เมฆินทร์บ่นด้วยความแอบเสียดายอยู่ลึกๆ
“ว่าแต่ทำไมมาหาผมที่นี่ล่ะครับ”
“อ้อ คืองี้ วันนี้มีเกษตรอำเภอคนใหม่ย้ายมาที่นี่น่ะ เลยว่าจะชวนโนไปดูกัน”
“อ้อ งั้นหรอครับ ไปสิไป “
.
.
ศาลาประชาคมในหมู่บ้านมีชาวบ้านมารออยู่พอสมควร มองไกลออกไป ทั้งคู่มองเห็นชายหนุ่มในชุดราชการสีกากียืนที่ด้านหน้ากระดานดำเหมือนกำลังอธิบายความรู้แก่เกษตรกรและชาวบ้านอยู่
“เหมือนยังเด็กๆอยู่เลยนะครับเนี่ย ท่าทางจะไฟแรง”
“คงงั้นแหละมั้ง เข้าไปดูกันมั้ย”
“อื้ม”
อโณชากับเมฆินทร์เดินเข้าไปในศาลา ในขณะที่เกษตรอำเภอหนุ่มพักเบรกพอดี และแวบเดียวที่ตากลมโตคู่นั้นมองปราดมายังผู้มาใหม่ เกษตรอำเภอหนุ่มก็ปราดเข้ามาหาทั้งคู่ทันที
“พี่เมฆใช่มั้ยเนี่ย”
“อ้าว นึกว่าใคร หน่องนั่นเอง”
“รู้จักกันหรอครับ” อโณชาถามด้วยความสงสัย
“อื้ม รุ่นน้องสมัยเรียนน่ะ” ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน “โนนี่หน่องนะ ส่วนหน่อง นี่โน เป็นน้องพี่เอง”
“เอ๋ ....น้องหรอ” เกษตรอำเภอคนใหม่มองอโณชาอย่างพินิจพิเคราะห์ “ดีใจจัง ผมก็นึกว่าแฟนซะอีก”
“คุณหน่องว่ายังไงนะครับ!!” อโณชาอุทานสุดเสียง ในขณะที่เมฆินทร์ถึงกับหน้าถอดสี
“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่ะครับ” ชายหนุ่มในชุดสีกากีหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะหันมาพูดกับเมฆินทร์ “นี่พี่เมฆ เลี้ยงข้าวน้องซักมื้อสิ ต้อนรับสู่บ้านเดิมบางไง”
“อ่ะ ...เอ่อ ก็ได้” ชายหนุ่มอึกอัก ก่อนจะหันมาชวนอโณชา “โนก็มาด้วยกันนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่กับหน่องไม่ได้เจอกันนาน คงมีเรื่องคุยกันเยอะ ผมไม่กวนดีกว่า”
“กวนเกินอะไรกัน เพื่อนๆ น้องๆกันทั้งนั้น”
“ไม่ได้อยากเป็นแค่น้องซะหน่อย”
“หน่อง! เลิกแซวพี่แบบนี้ได้แล้ว”
“โธ่ พี่เมฆนี่ยังจริงจังเหมือนเดิมเลยนะ” ชายหนุ่มอมยิ้ม “แต่พี่เมฆก็น่ารักตรงนี้แหละ”
หนุ่มบ้านนาส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยๆ ก่อนจะจบบทสนทนาลง “พี่ไปก่อนดีกว่า เอาเป็นว่าไปเจอกันที่บ้านพี่เย็นนี้นะ”
“อื้มได้ครับพี่เมฆ แล้วเจอกัน”

เรื่องทำขวัญข้าว แต่ละที่ก็จะมีวิธีแตกต่างกันไปครับ
แต่ใจความก็คือเหมือนกับเป็นการบอกกล่าวแม่โพสพ ให้ข้าวออกรวงงอกงาม อะไรประมาณนั้น
แต่ในสมัยใหม่ที่มีการจัดเป็นพิธีใหญ่โตขึ้นมา เพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคนทำไงครับ
เค้าเลยจัดขึ้นมาเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีด้วย

อ้อ มีคนท้วงมาทางหลังไมค์ เรื่อง Time Line ซึ่งผมลองเช็คแล้ว
สรุปคือ ผมพลาด(อีกแล้ว) จริงๆนั่นแหละครับ
ดังนั้น ขอกลับไปแก้ตอนแรกๆ ที่บอกว่า โนไปเจอจอนที่ผับตอนงานเลี้ยงฉลองยอด เป็นแค่ไปเจอกันที่ผับนะครับ
ขอโทษด้วย และขอบคุณพี่สาวสุดสวยที่ช่วยท้วงมาหลังไมค์ แต่เพิ่งมาตอบ เพราะเพิ่งจะว่างได้ตอบเมนท์ยาวๆ แหะๆ

ตอนนี้พี่เมฆเริ่มออกลายแล้ว ไม่รู้จะถูกใจกันหรือเปล่า แต่เหมือนจะมีตัวป่วนโผล่มาอีกคน
เอาใจช่วยกันต่อไปนะครับ

ขอบคุณที่ติดตามครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๖ (๔ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: WinterRose ที่ 06-12-2011 15:55:46
เวรกรรม พี่เมฆ อยากเป็นควายซะแล้ว
ควายมันกอด มันจูบ กับคนไม่ได้นะพี่ เป็นคนเถอะ lol
อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนได้กลิ่นรวงข้าวจริงๆเลยค่ะ
เป็นเด็กที่โตมากับทุ่งนาเหมือนกันค่ะ มือมีแต่รอยแผลเป็นเพราะเคียว ฮ่าๆ
ตอนนั้นยังเด็ก ใช้ไม่เป็น แต่อยากแย่งตากับยายทำ เลยได้แผลซะ
นิ้วก้อยมือซ้ายนี่มีกี่แผลไม่ทราบ ร้องไห้จ้ากันไป
ตอนนี้คุณยายขายที่นาไปแล้ว เพราะทำไม่ไหว คิดถึงเหมือนกันน้า
รอตอนต่อไปนะคะ คุณคนแต่งสู้ๆ ^^
 :L1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: OtaruZ ที่ 06-12-2011 16:10:33
 :fire: OMG   โน คู่แข่งมาแล้ว ยังไม่ไปถึงไหนเลย ไมมาเร็วจังอ่าเนี่ยยยย   แทบซ็อกกกกกกกกกกกก :serius2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 06-12-2011 16:46:30
เพิ่งอ่านทันจ้า บรรยากาศเรื่องนี้ดูสบายอ่ะ อ่านแล้วเห็นแต่ภาพสีเขียว ๆ ชอบจังเลย

ว่าแต่หน่องมาแล้ว โนจะว่าไงจ๊ะ

ปล. พี่เมฆน่ารักอ่ะ พระเอกในอุดมคติเลย  :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 06-12-2011 17:29:44
ชอบพิธีทำขวัญข้าวจัง
แต่ที่ชอบมากคือพี่เมฆอยากเป็นความเนี่ยแหละ :laugh:

 :pig4: คะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 06-12-2011 18:46:20
ชอบบรรยากาศมากเลยครับ
อ่านแล้วก็คิดถึงบ้านตัวเองทันที
ถ้ากลับไปบ้านจะเจอหนุ่มแบบเมฆมั้ยอ่ะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: WinterRose ที่ 06-12-2011 19:04:04
อ๊าว เราก็คอมเม้นท์ไม่ได้ดูเลยว่าคุณคนแต่งมาต่อตอนที่ 7 แล้ว
ตอนกดส่งคอมเม้นท์มันไม่ไป ระบบบอกให้รอกดใหม่
ก็ยังว่าอยู่ ใครนะมาคอมเม้นท์พร้อมเราพอดี lol
ตอนนี้มีตัวป่วนมาอีกหนึ่งจริงๆ
นี่ก็ไม่รู้วันไหนเจ้าจอนมันจะได้กลิ่นมรดกตามโนมาถึงเดิมบางบ้าง
อย่างน้อยถึงตอนนั้นก็ขอให้พี่เมฆกับโนรักกันดีแล้ว ใจคอหนักแน่นมั่นคงละกันนะคะ
^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 06-12-2011 19:05:53
น่ารักอบอุ่นยังไงเรื่องนี้ก็ยังน่ารักอบอุ่นอย่างนั้น
แต่ไม่รู้ว่าพายุจะเข้าเปล่านี่  สงบเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 06-12-2011 19:14:18
หน่องเนี่ย จะเป็นคู่แข่งเมฆ หรือเป็นคู่แข่งโนล่ะ
แต่จะเป็นคู่แข่งใครก็คงเป็นการพิ่มสีสันในเรื่องแหละ จะรอตอนหน้าจ้ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 06-12-2011 20:05:20
หน่องอาจจะไม่ใช่ตัวป่วนอาจจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา

ของโนกับเมฆก็ได้น้า

กดบวกกดเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 06-12-2011 20:06:21
ตอนแรกก็นึกว่าจะมีไอ้หนุ่มมาแย่งจีบ น้องโน ที่ไหนได้ หุหุ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 06-12-2011 20:44:11
โนจัดการเลยนะ :beat:

ลากพี่เมฆไปหลังกระท่อมแล้วรวบหัวรวบหางเลย :z1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 06-12-2011 20:50:54
อ๊าย~ :-[ ชอบตอนนี้พี่เมฆปากว่ีามือถึงอ่ะ เริ่มออกลาย ชอบๆ55.
หน่องนี่ยังไงน๊า
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 06-12-2011 21:12:12
หน่องโผล่มาเป็นตัวป่วน หรือว่า สารกระตุ้น จ๊ะ

กระตุ้นพี่น้องคนละท้องให้เกิดปฏิกิริยากันเสียที
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 06-12-2011 21:53:06
 :กอด1: :z2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 06-12-2011 22:05:45
 :angry2:  หน่องมาแล้ว

ทั้งๆที่โนกะพี่เมฆยังไม่กะเตื้องเลย     :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 06-12-2011 22:36:55
 :-[ พี่เมฆลุยเลย

 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: RoseBullet ที่ 06-12-2011 22:53:41
ว๊ากกก ทำไมคู่แข่งโผล่มาเร็วจัง
สองคนนั้นยังไม่ทันอะไรเลย โนยังแค่เขินนิดๆหน่อยๆเอง
หรือจะมาเร่งปฏิกิริยาเนี่ย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 06-12-2011 23:53:10
นั่นไง มาแล้วๆ
เราว่าหน่องนี่แหละ จะเป็นตัวกระตุ้นให้โนรู้ใจตัวเอง
พี่เมฆแอบเจ้าเล่ห์นะเนี่ย หลอกกอดสาว เอ้ย กอดหนุ่ม
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 07-12-2011 00:16:59
มีควายเหมือนกันด้วย พออ่านตอนเมฆคุยกะแฉะแล้วก็ตลกดีนะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 07-12-2011 01:09:08
พี่เมฆ อย่าทำเป็นหยอด ทีเล่นทีจริง จะจีบก็จริงจังหน่อย ( ไม่งั้นคงได้เป็นแค่ พี่ชาย ไปอีกนาน)
น้องโน ก็ตั้งกำแพงปิดกั้นหัวใจ เพราะ กลัวเจ็บซ้ำซ้อน (ของอย่างงี้ ต้องใช้เวลา)
น้องหน่อง เค้าหยอกล้อขอเป็นแฟนกับพี่เมฆมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่รู้สึกจะไม่มีอะไรในกอไผ่ ( หวังว่านะ...)
เนื้อเรื่องเดินเรียบ ๆ แต่มีให้ลุ้นเรื่อย ๆ ฉนั้นรอตอนต่อไป... :m13:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๗ (๖ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 08-12-2011 02:08:41
ตอนแรกมาอย่างน่ารักอะ พี่เมฆมีเนียน ร้ายนะ
ตัวเร่งปฏิกิริยา (รึเปล่า?) มาถึงเร็วเชียว เพราะพี่เมฆกับโนยังเรื่อยๆ อยู่แน่เชียว
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 08-12-2011 09:53:26
ตอนที่ ๘

บ้านผู้ใหญ่มั่นเย็นนี้ดูคึกคักกว่าทุกวันเพราะได้ต้อนรับแขกจากกรุงเทพถึงสองคน เกษตรอำเภอคนใหม่ดูร่าเริงและคุยเก่ง โดยเฉพาะเรื่องการเกษตรแบบต่างๆที่ชายหนุ่มพูดได้อย่างไม่เคอะเขินถูกคอกับผู้ใหญ่บ้านทุ่งเดิมบางยิ่งนัก
“พ่อหน่อง แล้วเราว่าการปลูกยูคาลิปตัสนี่เป็นยังไง ลุงเห็นหลายคนเริ่มขายที่นาไปปลูกยูคากันเยอะแล้วนะ”
“มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียแหละครับ ข้อดีของยูคาก็คือปลูกง่ายโตไว ขายได้ราคา ถ้าพูดแค่นี้นี่ทุกคนก็อยากปลูกกันแล้วใช่มั้ย แต่ข้อเสียของมันก็มีนะไม่ใช่ว่าไม่มี เพราะว่าเวลาปลูกกันแต่ละทีเนี่ย  ก็ต้องมาปรับปรุงดินกันเหนื่อยเหมือนกัน เพราะรากของมันน่ะหยั่งรากลงดินลึกมาก ถ้าจะปลูกรอบต่อไปก็ต้องขุดขึ้นมาก่อนไม่งั้นปลูกใหม่ก็ไม่โต แล้วแทบจะปลูกพืชชนิดอื่นไม่ได้เลยล่ะ”
“แล้วในความเห็นของเรา เราว่ายังไง ปลูกดีหรือไม่ปลูกดี” นางชื่นเอ่ยถาม
“อย่างที่บอกแหละครับว่ามันมีทั้งข้อดีข้อเสีย ถ้าคิดจะปลูกผมว่าแบ่งที่ไว้ปลูกเฉพาะยูคาเลยก็ไม่เลวนะครับ แต่ก็ต้องเข้าใจถึงผลที่ตามมาด้วย” ชายหนุ่มตอบพร้อมด้วยยิ้ม ก่อนจะหันมาเปลี่ยนเรื่องคุยกับลุกชายผู้ใหญ่บ้านบ้าง “แล้วพี่เมฆล่ะครับ เรียนจบมาสองสามปี เป็นยังไงบ้าง”
“ก็....มีความสุขดีตามอัตภาพแหละ ไม่ได้ร่ำรวยอะไร”
“แม่ชื่น ข้าว่า เราขึ้นบ้านดีกว่า หนุ่มๆเค้าคงมีเรื่องคุยกันเยอะแยะ คนแก่ๆอย่างเราคงไม่เข้าใจ นั่งให้เขาเกรงใจกันเปล่าๆเนาะแม่เนาะ”
“โธ่ พ่อผู้ใหญ่ก็พูดเกินไป”
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อหน่อง ลุงขอตัวดีกว่า” ผู้ใหญ่มั่นยิ้มก่อนจะพาภรรยาออกไปด้วย ทิ้งไว้แต่ชายหนุ่มทั้งสามคน
อโณชานั่งยิ้มรับฟังอยู่เงียบๆ ในขณะที่ชายตาโตผู้มาใหม่พูดเจื้อยแจ้วเป็นนกขุนทอง
“นี่โนรู้ป่ะ สมัยพี่โนเค้าเรียนน่ะนะ โคตรเนิร์ตอ่ะ เหล้าไม่กิน หญิงไม่แตะ” หน่องปรายตาวาวมาทางอโณชาก่อนจะพูดต่อ “จนเค้าเรียกกันพี่มหาเลยแหละ”
“ขนาดนั้นเลยหรอครับ”
“นายก็พูดเกินไป หน่อง”
“จริงจริ๊ง” เกษตรอำเภอยืนยัน ก่อนจะพูดต่อด้วยแววตาเป็นประกาย “แต่พี่เค้าก็น่ารักตรงนีแหละ ผมถึงได้แอบปลื้มไง”
“หน่อง น้อยๆหน่อย นี่บ้านพี่นะ”
“ฮ่าๆ โทษทีน่า”
อโณชาจ้องหน้าของพี่ชายต่างสายเลือดอย่างครุ่นคิด การพูดจาทีเล่นทีจริงทำให้เขาไม่มั่นใจนัก ว่าหนุ่มผิวสีที่แสนดีคนนี้จะเป็นแบบนั้นจริงๆหรือ แม้หลายๆครั้งที่อโณชาจะเห็นประกายในแววตาที่ชวนให้รู้สึกแปลกๆเมื่อได้มองก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็เลือกจะสลัดความสนใจใคร่รู้เรื่องนั้นออกไป ....
“จะไปใส่ใจทำไม เรื่องของพี่เมฆเค้า” ชายหนุ่มบอกกับตัวเอง

“แล้วโนไปยังไงมายังไงถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ”
“เอ่อ ..คือ”
“ย่าของโนเป็นคนที่นี่ ทำไมโนจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ล่ะฮึ หน่อง”
“แหม ต้องออกตัวแทนด้วยนะพี่เมฆ” หน่องพ้อ
“ผมกลับมารับมรดกน่ะครับ แล้วย่าเค้าให้ทำนาก่อนถึงจะได้รับ” อโณชาตอบตามตรง
“เอ๋ .... แปลกดีนะครับเนี่ย เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกัน แล้วเป็นยังไงบ้างครับ พอได้ลองทำแล้วเป็นไงบ้าง”
“ก็พอไหวครับ ยังดีที่พี่เมฆเค้าช่วยเป็นธุระให้หลายๆอย่าง”
“หรอครับ ....”เกษตรอำเภอนิ่วหน้าแต่แววตาดูเจ้าเล่ห์ “น่าคิดนะเนี่ย”
“อะไรหรอครับ”
“หึหึ เปล่าหรอกครับ”
“นี่อย่ามาทำหน้าแบบนั้น ไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอกน่าไอ้หน่อง”
“ผมเปล่าคิดอะไรซะหน่อย”
อโณชาอมยิ้มกับท่าทีสนิทสนมของรุ่นพี่รุ่นน้องคู่นี้ พลางยกมือขึ้นมองนาฬิกา “ดึกมากแล้ว ผมว่าผมขอตัวก่อนดีกว่า”
“อื้ม เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอกครับ พี่ไม่ได้เจอกับหน่องนาน คงอยากคุยกันตามลำพังบ้างแหละ”
“โนพูดเหมือนกับ.... หน่องมันเป็นแฟนอย่างนั้นแหละ”
อโณชาหน้าแดง ยิ่งเขาไม่พูดเรื่องเกี่ยวกับรักร่วมเพศ แต่ทำไมกับคนๆนี้บทสนทนาหลายๆครั้งถึงวกเข้าเรื่องนี้นักนะ
“พี่เมฆคิดไปเองทั้งนั้น”
“ฮ่าๆ พี่เมฆไม่เคยได้ยินหรอครับ ว่าผีน่ะต้องเห็นผีด้วยกันสิ”
“หน่อง อย่ามาล้อโนแบบนี้นะ!!!”
“ผมรู้แล้วน่า ผมก็แค่ล้อเล่น ปกป้องจังน้องชายคนนี้ ทีน้องอย่างผมน่ะดุได้ดุดี”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้คิดอะไรหรอกหน่อง ผมขอตัวก่อนนะ” อโณชายิ้มให้ ก่อนจะขึ้นขี่ไอ้รอดกลับบ้าน

เมื่อชายหนุ่มคล้อยหลังไป เกษตรอำเภอหนุ่มก็ยกขาขึ้นขัดสมาธิพลางผิวปากอย่างไม่ยี่หระต่อแววตาของเจ้าบ้านที่ดูไม่ค่อยพอใจนัก
“ทำไมต้องทำแบบนี้”
“ผมทำอะไร”
“อยากให้โนมันรู้นักใช่มั้ยว่าพี่เป็นแบบไหน”
“หืม ... ผมว่าผมไม่ได้จะสื่อว่าพี่เมฆเป็นรุกหรือรับซะหน่อย”
“หน่อง พี่ไม่ตลกด้วยนะ”
“ผมรู้พี่ไม่ตลก แต่พี่จริงจังเลยล่ะกับผู้ชายคนนั้นน่ะ”
“หน่อง!!”
“แต่ผมก็ยังเหมือนเดิมนะ ผมรู้สึกกับพี่เมื่อก่อนยังไง ผมก็ยังรู้สึกแบบเดิม”
เมฆินทร์ถอนหายใจ พลางมองหน้าเกษตรอำเภอหนุ่มด้วยแววตาที่อ่อนลง “....เรื่องของหัวใจบางทีมันก็ห้ามกันไม่ได้หรอก พี่เข้าใจหน่องนะ ว่าหน่องรู้สึกยังไง “
ข้าราชการหนุ่มยิ้มช้าๆ ก่อนจะตบไหล่คนตัวโตกว่าเบาๆ “ไม่ต้องมาทำเสียงเศร้าน่า ผมไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้นหรอก”
“ก็ดีแล้ว ไอ้น้อง”
“แล้วพี่คิดว่า โนมันจะเป็นเหมือนพี่มั้ย”
“ทำไมจะไม่รู้ พี่น่ะรู้จักมันดีกว่าใคร ตั้งแต่อยู่ที่กรุงเทพแล้ว “
“พี่รู้จักโนตั้งแต่ที่กรุงเทพแล้วหรอ?”
“ก็ไม่เชิงหรอก ใช้คำว่าแอบมองอยู่ข้างเดียวก็ได้มั้ง รายละเอียดมันเยอะ”
“อืม ใช้คำว่าแอบรักข้างเดียวก็ได้ใจความดี”
หนุ่มผิวเข้มยิ้มเศร้าๆ “ทำนองนั้นแหละ ไม่ผิดหรอก เอาจริงๆ โนมันเป็นหลานของผู้มีพระคุณของพี่ บางครั้งพี่ก็คิดนะว่าพี่ไม่อาจเอื้อม จะเอาหลานเค้ามาเป็นแฟน เป็นเกย์ ต่อให้มันจะเป็นอยู่แล้วก็เถอะ แต่พี่ไม่อยากให้ใครต้องมาตราหน้ามันแบบนั้นด้วยมือของพี่เองเหมือนกัน ต่อให้พี่รู้สึกดีกับโนมันแค่ไหนก็ตาม”
“พี่เมฆ เราก็แค่เป็นแบบนี้ แต่เราไม่ได้ไปฆ่าพ่อใครตายนะ ทำไมพี่ไม่มั่นใจในสิ่งที่พี่มีดีๆล่ะ พี่เป็นผู้นำชาวบ้านให้ทำเรื่องดีๆตั้งหลายอย่าง พี่กลับมาพัฒนาหมู่บ้าน ถามชื่อไอ้เมฆทุกคนในหมู่บ้านรู้จัก แล้วพี่จะมาแคร์กับไอ้เรื่องขี้ผงแค่นี้ทำไม”
“มันไม่เหมือนกันนะหน่อง ในเมืองกับที่นี่ ตรรกะทางความคิดของคนมันต่างกัน ตัวพี่เองน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่กับโน พี่ยอมไม่ได้ พี่รักมันพอๆกับที่เคารพย่าของมันนั่นแหละ”
“พี่เมฆ....” เกษตรอำเภอหนุ่มมองเมฆินทร์ด้วยแววตาระคนความสงสาร ก่อนจะคลี่ยิ้มช้าๆ “เอาเถอะ ผมจะคิดซะว่ามันเป็นเรื่องของพี่เมฆ ผมไม่เข้าไปยุ่งหรอก แต่วันนี้ มาให้น้องกอดให้หายคิดถึงหน่อยซิ”
“นายนี่มัน จะหลอกแต๊ะอั๋งพี่ล่ะสิ” เมฆินทร์ขยี้หัวเกษตรอำเภอคนใหม่อย่างเอ็นดู “แต่ก็เอาเถอะ พี่จะแกล้งโง่ให้ก็แล้วกัน”
หนุ่มบ้านนายิ้มกว้างพลางกางแขนทั้งสองข้าง อดีตรุ่นน้องยิ้มรับก่อนจะโผตัวเข้าไปในวงแขนนั้นอย่างมีความสุขและโอบรัดร่างกายของเกษตรกรหนุ่มแห่งบ้านเดิมบางด้วยรอยยิ้มและความรู้สึกเสียใจเจืออยู่บางๆ
ภายในใจของนฤบดินทร์แอบสะอื้นอยู่เบาๆในอ้อมแขนนี้ อ้อมแขนที่ชายหนุ่มอยากอยู่อย่างนี้ตลอดไป หากแต่เจ้าของวงแขนคงไม่ได้ใจดีบ่อยนัก ถึงแม้จะเป็นความสุขจากการได้โกหกตัวเองว่า นี่คืออ้อมกอดที่พี่ชายคนหนึ่งมอบให้ แต่ลึกๆแล้ว ความเจ็บปวดจากการที่ไม่ใช่คนที่ถูกเลือกก็สร้างความร้าวรานอยู่ลึกๆในใจของเกษตรอำเภอหนุ่ม
.
.
.
ค่ำคืนเดือนหงายที่บ้านเดิมบางเย็นเยียบ ท้องฟ้ายามทิวากาลมืดทะมึนหากแต่ยังมีแสงจันทร์นวลเด่น ไฟที่หัวเตียงเปล่งแสงนวลส้มอยู่ที่หัวเตียงของเจ้าบ้านคนใหม่พร้อมกับนายน้อยที่ยังไม่สามารถข่มตาหลับลงแม้จะมืดค่ำแล้ว หลังจากการพยายามทำใจให้นิทราอยู่เป็นเวลานานชายหนุ่มก็ละความพยายามเปลี่ยนมานั่งปรับทุกข์กับความคู่ยากที่ใต้ถุนบ้าน
“แกหลับแล้วหรอฮึ ไอ้รอด แต่ทำไมชั้นนอนไม่หลับเลยนะ”
ไอ้รอดยังหลับตาพริ้มหากแต่หูยังกระดิกไล่ยุงเหมือนรับรู้ ซึ่งอโณชาก็ตีความเข้าข้างตัวเองว่ามันก็ยังรับฟังอยู่
“ไม่รู้ทำไมชั้นถึงต้องกลับไปดูด้วยนะ เค้าจะคุยจะทำอะไรกันมันก็เรื่องของเค้าสองคนนี่นา ทำไมชั้นต้องอยากรู้แล้วก็ได้ไปเห็นด้วยนะ”
ภาพพี่ชายที่แสนดีของอโณชากอดกับเกษตรอำเภอผู้มาใหม่แจ่มชัดในมโนจิต ทั้งๆที่เจ้าตัวก็ไม่ได้เป็นอะไรลึกซึ้งกับหนุ่มบ้านนาคนนั้น ทั้งๆที่สัญญากับตัวเองว่าจะไม่รู้สึกเสน่หากับใครอีก แต่ทำไมเขาต้องรู้สึกใจหวิวๆและตาร้อนๆเหมือนจะมีหยดน้ำไหลออกมาจากปลายตา ทั้งหมดเป็นสิ่งที่อโณชาไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ และต่อให้มีคำใบ้ ชายหนุ่มก็ไม่ใคร่อยากหาคำตอบของคำถามนั้นสักเท่าไหร่
“แกว่ามั้ยไอ้รอด บางทีพี่เมฆเค้าก็คงไม่อยากให้ชั้นรู้เหมือนที่ชั้นเองก็ไม่อยากให้ใครรู้เหมือนกันแหละเนาะ”
สายลมยามค่ำพัดโชยฉิวมาปะทะผิวกายของอโณชาจนสั่นสะท้าน ไอ้รอดยังนอนอยู่ท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงสร้างรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของเจ้าของ
“แกจะบอกชั้นว่า ยังไงซะคืนนี้ชั้นก็ต้องนอนใช่มั้ย ไอ้รอด แกนี่มันทำตัวเหมือนแม่ชั้นไม่มีผิดเลยนะ แต่เอาเถอะ ชั้นจะลองดูอีกทีก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มแหงนมองฟ้าชื่นชมความงามของแสงจันทร์อีกครั้ง ก่อนจะก้าวขึ้นเรือนไปด้วยความรู้สึกเหงาๆ
.
.
.
เช้าวันใหม่ที่บ้านเดิมบาง ไก่ที่เลี้ยงไว้ใต้ถุนแต่ละบ้านแข่งกันโก่งคอขันรับอรุณเหมือนเสียงนาฬิกาปลุกในเมืองกรุงที่แข่งเสียงร้องกันระงมหากแต่ไพเราะเพราะพริ้งยิ่งกว่า
อโณชาออกมาดูนาของตนเหมือนอย่างทุกวันเพื่อตรวจตราดูศัตรูของข้าวเช่นปูหรือหอยเชอร์รี่จนเสร็จสิ้นงานในตอนสายของวัน ชายหนุ่มทรุดลงนั่งพักบนแคร่หน้ากระท่อมเล็กๆบนเถียงนาพลางเหม่อมองออกไปด้วยจิตใจที่ว่างเปล่าอย่างไม่รู้ว่าตนเองคิดอะไร
เวลาล่วงเลยไปจนตะวันเลยหัว โดยที่อโณชาไม่ได้ใส่ใจกับเข็มนาฬิกาที่หมุนไป แต่หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งจากภวังค์ด้วยเสียงที่คุ้นเคย
“เหม่ออะไรกันโน พี่เรียกตั้งนานไม่ยักได้ยิน” หนุ่มบ้านนาทักพลางผูกเชือกจูงควายไว้กับต้นไม้
“เอ่อ คิดอะไรเพลินๆไปเรื่อยแหละครับ ไม่ได้มีแก่นสารอะไรหรอก”
“งั้นหรอ คิดถึงพี่ล่ะซี้” ชายหนุ่มหยอก
“คิดว่าไม่นะครับ” อโณชายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“ฮ่าๆ แล้วนี่กินข้าวหรือยังเนี่ย”
“เอ๋ .... เที่ยงแล้วหรอครับเนี่ย”
“ไม่ใช่เที่ยงแล้วโน บ่ายกว่าแล้วมั้ง”
“จริงสิครับ นั่งเพลินจนลืมหิวเลยนะเนี่ย”
“เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย ฮึ”
“ปะ...เปล่าหรอกครับ” ชายหนุ่มละล่ำละลัก
ท่าทางประหม่ามากมายเกินปกติวิสัยทำให้เมฆินทร์ต้องหลิ่วตาอย่างเป็นห่วง และอดถามหลานนางฉลวยไม่ได้
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าโน”
“ไม่มีหรอกครับพี่เมฆ จริงๆ ผมกลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านก่อนนะครับ” ชายหนุ่มโบกมือลา พลางขึ้นขี่ความถึกคู่ใจกลับบ้านไปเงียบๆ ทิ้งความสงสัยและความรู้สึกแปลกใจไว้กับชายหนุ่มบ้านเดิมบางที่อยู่เบื้องหลัง

งดตอบเมนท์ก่อนนะครับ ช่วงนี้งานเยอะ

(แค่เจียดเวลามาลงยังโดนเขม่นเลย  :sad4:)

ขอบคุณที่ตามอ่านกันเรื่อยๆ

และขอบคุณทุกเมนท์ทุกบวกครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: RoseBullet ที่ 08-12-2011 10:05:53
อ๊ากกก บรรยากาศเปลี่ยนไป
ดูเหมือนหน่องก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไร ดูเข้าใจอะไรง่ายดี ไม่น่าจะสร้างเรื่องอะไรได้
แต่โนดันเดินมาเห็นเองนี่ล่ะซี่ ซวยไปเลยนะพี่เมฆ ดันจะใจดีไม่ถูกจังหวะ เหอๆๆ

พี่เมฆรีบจัดการอะไรหน่อยเถ๊อ ชอบบรรยากาศแบบเดิม
แต่พี่เมฆจะกล้าไหม ดูจะพอใจกับการรักข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่งนี่แหละ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: OtaruZ ที่ 08-12-2011 10:32:23
  o22ได้กลิ่นมาม่าเดือด เหมือนจะมีดราม่าาาา  สู้ๆๆนะโน   :angry2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ThyRist ที่ 08-12-2011 10:42:47
อร้าย เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นแล้ว

แต่ตอนที่แล้วน่ารัก  :-[
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 08-12-2011 11:11:04
มารอตอนต่อไปรับ
สงสารโนที่เข้าใจผิด อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 08-12-2011 11:14:28
ดีเหมือนกัน มีหน่องมาเร่งปฏิกิริยาให้สองคนนี้รู้สึกต่อกันหนักหน่วงยิ่งขึ้น
แล้วจะมีเหตุการณ์อะไรอีกไหมน้า ที่มาเร่งให้หนักขึ้นอีก
จนสองคนนี้ทนไม่ไหวต้องระเบิดออกมาสารภาพกันซะทีน่ะ อิ อิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 08-12-2011 11:20:29
ตัวเร่งปฏิกิริยาทำหน้าที่แล้ว
รอดูต่อไป
จะมีดราม่าไหม
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 08-12-2011 11:51:09
พี่เมฆกรุณาเคลียร์ด่วน :angry2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 08-12-2011 11:54:49
โน กะลังสับสนอ่ะสิ ต้องเวลาซักพัก

ว่าแต่หน่องน่าสงสารจัง  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 08-12-2011 12:19:54
 o13 สุดยอดเป็นเนื้อเรื่องที่กำลังหาอ่านอยู่พอดีเลยหล่ะ
ชอบแบบธรรมชาติ อยู่กับนา กับต้นไม้ (ในกทมมีแต่ความวุ่นวาย - -)
โนน่ารักมากขึ้นทุกๆตอนเลยอ่ะ  :-[ ชอบที่สุด
แต่ตอนที่ 8 เนี้ยแอบมาม่านิดๆนะเนี้ย  :เฮ้อ:
โนก็ดันเข้าไปเห็นฉากนั้นพอดีซะด้วยซิ งานเข้าพี่เมฆแล้วไง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 08-12-2011 12:34:48
หาคู่ให้หน่องหน่อยนะคะ  ดูเป็นคนดีที่เข้าใจง่าย

โนเริ่มสับสนเดี๋ยวคงรู้ใจตัวเองล่ะแต่พี่เมฆนี่สิจะปากหนักไปไหน

กลัวว่าสักวันแฟนเก่าโนจะโผล่มาทำเอาป่วยน่ะสิ

+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 08-12-2011 12:50:58
เหมือนโนจะงงๆกับตัวเอง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ASSASSIN ที่ 08-12-2011 13:15:21
แนวที่ชอบเลยอ่า อิอิ บรรยากาศชายทุ่งแบบนี้  กรี๊ดๆๆๆๆ  น่าร๊ากกกกกกก  :impress2: :o8: :-[
+1 คร๊าบบบบบ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 08-12-2011 13:42:21
หน่องน่ารักจัง :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: WinterRose ที่ 08-12-2011 13:55:09
สงสารหน่องเนาะ ยิ่งเขามาใจดีด้วยเพราะเห็นเป็นน้องมันยิ่งตัดใจไม่ใครจะขาด เฮ้อ
โนก็ช่าง เลือกกลับมาเห็นตอนที่เขากอดกันพอดีเสียอีก
แบบนี้จะถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะทำให้โนรู้ใจตัวเองได้เร็วขึ้นรึเปล่าน้อ
หน่องจะมีคู่มั้ยค๊า สงสารน้องจัง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: andy_kwan ที่ 08-12-2011 13:59:38
หน่องคงจะเป็นตัวเร่งให้ทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 08-12-2011 19:25:14
มีแววมาม่าไหมเนี่ย

แต่สงสารหน่องนะ :sad4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 08-12-2011 19:51:03
ชอบหน่องอะ ปลื้มก็บอกว่าปลื้ม น่าสงสารด้วยรักเขาข้างเดียว สมควรมีคู่อย่างรุนแรง
โนกลับไปดูนี่มีใจแบบสุดๆๆ อย่าหนีความรู้สึกตัวเองอีกเลยค่า
ขอบคุณมากจ้า คนเขียนงานยุ่งแต่ขยันมากๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 08-12-2011 20:20:37
ไม่รู้จะเม้นต์ว่าไง แต่เรื่องนี้น่ารักใสๆมากเลยครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 08-12-2011 20:28:22
หน่องเข้าใจง่ายอย่างนี้ก็ดีน๊า~
จะได้ไม่มีมือที่สามมาแืีทรกกลาง55.
อยากอ่านตอนหวานๆ ของพี่เมฆกับโนแล้วอ่ะ
 :-[
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 08-12-2011 23:00:09
ใจทั้งสองคนตรงกัน
แต่เมื่อไหร่ปากจะตรงกับใจเสียที
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 09-12-2011 01:07:26
เป็นตอนที่รู้สึกอึมครึมจังเนอะ... :m21:
เพราะ แต่ละคนไม่สามารถแสดงความรู้สึกได้ชัดเจนเท่าที่ต้องการ
รักไม่กล้าบอก, หวั่นไหวแต่ต้องหักห้ามใจ, รักข้างเดียวที่ไม่มีวันสมหวัง
ขณะที่นาข้าวกำลังเจริญงอกงาม แต่ความรักกลับ.... :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 09-12-2011 07:25:03
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: bluebird ที่ 09-12-2011 10:42:27
เอาไงล่ะนี่ทีนี้ เป็นอาการอึกๆอักๆกันทั้งสองฝ่าย >.<
ได้แต่ปรับทุกข์กับเพื่อนยากที่ใต้ถุนบ้านกันไป 55+
บางทีการมีคนที่3เข้ามาอาจจะมาทำให้สองคนเริ่มเปิดใจกันเร็วขึ้นก็ได้นะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๘ (๘ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 09-12-2011 22:08:29
อย่ามัวแต่อึกอัก รีบรักกันนะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 12-12-2011 12:48:10
ตอนที่ ๙

รถเก๋งฮอนด้าซิตี้สีเทาถูกผู้เป็นเจ้าของนำมาตรวจเช็คสภาพอย่างง่ายๆหลังจากที่ไม่ได้แตะต้องมันสักเท่าไหร่ เพราะหันไปถูกใจแรงงานสัตว์อย่างควายถึกที่ผูกไว้ที่ใต้ถุน ไอ้รอดมองพาหนะของผู้เป็นเจ้าของมันอย่างสนใจใคร่รู้ แต่เพียงไม่นานมันก็ละความสนใจไปยังหญ้าสดที่อโณชาหามาให้ตามเดิม
“อยากได้อะไรมั้ยทิ้ง เดี๋ยวพี่ซื้อมาฝาก”
“อะไรก็ได้ค่ะ เพราะถ้าให้ทิ้งบอกนายคงจดกันไม่หวาดไม่ไหว “เด็กหญิงยิ้มละไม ก่อนที่จะถูกชายหนุ่มลูบหัวอย่างนึกเอ็นดู
“ช่างเจรจานะเรา “
“แล้วของพี่ชายล่ะครับ คุณอโณชาจะมีมาฝากบ้างมั้ยล่ะครับ” ชายหนุ่มผิวคล้ำผู้มาพร้อมควายสาวฉีกยิ้มกว้างมาแต่ไกล ในขณะที่เจ้าบ้านยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแฝงด้วยความรู้สึกที่แม้แต่จ้าตัวก็อธิบายไม่ถูก
“พี่เมฆ...”
“จะเข้าไปในเมืองหรอเรา เข้าไปซื้ออะไรล่ะฮึ”
“เอ่อ...คือ” ชายหนุ่มหลุบตาต่ำลง
“เป็นความลับหรอ?”
“ไม่เชิงหรอกครับ ผมแค่จะไปดูหนังสือเกี่ยวกับเรื่องการเกษตรในเมืองสักหน่อย”
“หืม...โนจะทำไร่นาสวนผสมงั้นหรอ พี่ว่าเร็วไปมั้ง”
“เอ่อ เปล่าหรอกครับ ก็แค่อยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการทำนาให้มันถ่องแท้กว่านี้แค่นั้นแหละครับ”
เมฆินทร์ผูกคิ้วเป็นโบว์อย่างไม่สบอารมณ์นัก ภาพแผ่นหลังที่ว่างเปล่าที่ชายหนุ่มมองเมื่อครั้งล่าสุดที่จากกันที่ปลายนาวิ่งย้อนเข้ามาในหัว พลางคิดย้อนกลับไปถึงหลายๆวันที่ผ่านมาที่ชายหนุ่มมัวแต่วุ่นวายอยู่กับนาข้าวที่ใกล้ถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวทุกที ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถมาหาอโณชาได้ในตอนเช้าเหมือนที่เคย และเมื่อไปหาที่นาเมื่อยามบ่ายคล้อย เถียงนาที่เคยนั่งคุยกันประจำกลับกลายเป็นกระท่อมร้างที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งคนที่ชายหนุ่มอยากพบหน้า
“ถ้าโนอยากรู้เรื่องการทำนาให้ลึกซึ้งล่ะก็ โนลืมไปแล้วหรอว่าพี่นี่ล่ะคือสารานุกรมการทำนาที่มีลมหายใจนะ” ชายหนุ่มพยายามพูดติดตลก ซึ่งไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ต่ออีกฝ่าย
“ผมไม่อยากรบกวนพี่เมฆบ่อยๆน่ะครับ คนเราจะยืมจมูกคนอื่นหายใจไปตลอดไม่ได้หรอก” อโณชาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะหันมาลาเด็กหญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ “พี่ไปก่อนนะทิ้ง”
รถเก๋งสีเทาเคลื่อนตัวออกจากเรือนในเวลาไม่นานทิ้งหนุ่มบ้านนาไว้เบื้องหลังที่เต็มไปด้วยความรู้สึกปวดใจอยู่ลึกๆ
“พี่ไม่ได้อยากให้โนมายืมจมูกพี่หายใจหรอก พี่ก็แค่...อยากให้เราใช้ลมหายใจร่วมกันนะ”
ชายหนุ่มบอกตัวเองในใจ พลางปล่อยลมหายใจออกมาเบาๆอย่างเหนื่อยใจ
.
.
.
อโณชานอนอยู่ข้างๆหนังสือที่ซื้อมาด้วยความรู้สึกเบื่อๆ การนั่งอ่านหนังสือเหล่านี้ไม่สร้างความน่าอภิรมย์และความดึงดูดใจใดๆแก่ชายหนุ่มทั้งสิ้น แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เป็นคนเกลียดการอ่านหนังสือเท่าไหร่ หากแต่เสียงเหน่อๆของใครคนหนึ่งกลับดังขึ้นมาในโสตประสาทเสมอเมื่ออโณชาใช้ความคิดทำความเข้าใจตัวหนังสือที่ปรากฎอยู่ในตำราที่ซื้อมา
“ถ้าโนอยากรู้เรื่องการทำนาให้ลึกซึ้งล่ะก็ โนลืมไปแล้วหรอว่าพี่นี่ล่ะคือสารานุกรมการทำนาที่มีลมหายใจนะ”
หนังสือที่ซื้อมาถูกปิดลงพร้อมกับเจ้าของที่พลิกตัวมานอนอย่างกระสับกระส่าย ก่อนจะผุดลุกผุดนั่งอย่างคนที่นึกหาทางออกไม่ได้ ชายหนุ่มเปลี่ยนอิริยาบถมายืนรับลมริมหน้าต่าง และภาพแรกที่เขาเห็นนอกจากทิวไม้รกครึ้ม คือภาพของไอ้หนุ่มบ้านนาที่ชะเง้อมองขึ้นมาจนคอตั้งบ่าด้วยดวงตาละห้อย
เมฆินทร์ก้มหน้างุดหลบดวงตาของเจ้าบ้านคนใหม่ด้วยความรู้สึกหงอยๆ ก่อนจะสะบัดเชือกจูงควายเบาๆบังคับให้ควายสาวที่ขี่อยู่เดินไปข้างหน้า ... และภาพชายหนุ่มที่ดูหดหู่ ก็สร้างความรู้สึกที่ไม่ต่างกับความรู้สึกของอโณชาเท่าไหร่นัก
“พี่เมฆ!” อโณชาร้องเรียกจากชั้นสองของเรือน พร้อมกับเจ้าของชื่อหันรับมาด้วยรอยยิ้มดีใจ เหมือนหมาที่ดีใจเมื่อผู้เป็นเจ้าของเอ่ยชื่อ
“จ๋า โน”
อีกฝ่ายยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดต่อ “รับซะน่ารักขัดกับหน้าตาจังนะครับ”
“แหะๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเขินๆ พลางยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ
“เหมือนพี่จะมารอผมอยู่นานแล้ว ทำไมไม่ให้ทิ้งขึ้นไปตามผมล่ะครับ”
“เอ่อ... พี่บอกทิ้งไปเองแหละ ว่าไม่ต้องไปตาม... อันที่จริง พี่ก็คงแค่ อยากมาเจอแค่นั้นแหละมั้ง”
“เจอ?” ชายหนุ่มย้นคิ้ว หากแต่ระบายยิ้มบนใบหน้าเนียน “โดยไม่คุย.... งั้นหรอครับ?”
“เอ่อ... คือจะว่ายังไงดี” ชายหนุ่มยังเกาหัวแกรกๆ พยายามนึกคำพูด “พี่รู้สึกว่าหลังๆมานี้เหมือนโนไม่ค่อยอยากคุย ไม่ค่อยอยากเจอพี่เท่าไหร่”
อโณชาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พลางเสตามองไปทางอื่น “ถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะครับ”
“แล้วพี่ผิดอะไรล่ะโน ”
“ผมแค่บอกว่าถ้าครับ” อโณชาเลิกคิ้ว “พี่โนไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก”
“พี่ฝากท้องที่นี่ได้มั้ย” เมฆินทร์เปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเห็นท่าทางไม่สบายใจของอีกฝ่าย พร้อมกับพยายามฝืนยิ้มเพื่อลดความตึงเครียดลงบ้าง
“เอ่อ...เชิญสิครับ”

โต๊ะอาหารมีกับข้าวง่ายๆวางล้อมวงอยู่ เจ้าบ้านตักข้าวกินเรียบๆ พร้อมกับแขกผู้มาเยือนที่ดูกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยกับท่าทีของเจ้าบ้าน  และความอัดอั้นทั้งหมด ชายหนุ่มก็เลือกที่จะระบายออกมา
“พี่ว่าต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแหละ”
“เกิดขึ้นกับ?”
อโณชาเสตามองไปทางอื่น ในขณะที่ตาซื่อๆของไอ้หนุ่มบ้านนากลับเพ่งมองไปที่หน้าขาวเนียนของหลานนางฉลวยอย่างหาคำตอบ มือหนาของเขาเลื่อนไปจับมือข้างหนึ่งที่จับช้อนสังกะสีไว้หลวมๆ จนเจ้าตัวสะดุ้งจากภวังค์
“กับโนนั่นแหละ พี่เป็นห่วง และพี่รู้สึกเหมือนว่าโนกำลังโกรธพี่อยู่”
“ไม่ใช่หรอกครับ” เจ้าของมือที่ถูกกุมไว้ถอนมือออกข้าๆพร้อมกับใบหน้าที่เจือเลือดฝาดสีแดงอ่อนที่สองแก้มขาว “ว่าแต่ วันนี้หน่องไม่มาหาพี่เมฆหรอครับ”
“หน่อง? ทำไมเขาจะต้องมาหาพี่ เขาก็ต้องทำงานที่อำเภอสิ”
“ก็ผมเห็นพี่ดูสนิทกับเขาจัง”
เมฆินทร์นั่งจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด เขาพยายามจับใจความถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด และหลังจากประมวลผลข้อมูลที่เขาได้รับในตอนนี้ บวกกับการตีความเข้าข้างตัวเอง ก็ทำให้ไอ้หนุ่มบ้านนาต้องยิ้มกว้างกับคำตอบที่เขาให้กับตัวเอง
“โนรู้มั้ย โนทำให้พี่นึกถึงละครทัดดาว บุษยา”
อโณชาย่นคิ้วอย่างสงสัย “ทำไมพี่คิดแบบนั้น”
“ก็...” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าให้พี่เป็นเจ้าน้อย โนก็คงเหมือนเจ้าฮะ ที่แอบหึงพี่กับหน่องมันอยู่ไง”
“บ้าเหอะ!!!” อโณชาสบถขึ้นอย่างไม่สบอารม ในขณะที่อีกฝ่ายกลับยิ้มกริ่ม
“เอ...หรือที่จริง โนจะเป็นผู้หญิงปลอมตัวมาเหมือนในละครนะ”
“พี่เมฆนี่เพ้อเจ้อเอามากๆ!!!”
“ถ้าคิดถึงหน่องมันล่ะก็” ชายหนุ่มตัดบทอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะพูดต่อ “สักอาทิตย์หน้าน่าจะได้เจอ พี่จะชวนมันมาที่นาพี่ เพราะที่บ้านพี่จะลงแขกเกี่ยวข้าวกันน่ะ อ้อ แล้วถ้าโนอยากเจอหน้าไอ้หน่องมันล่ะก็ พี่รบกวนโนมาช่วยกันลงแขกที่นาพี่ด้วยแล้วกันนะ”
“ตกลงผมจะไปช่วย แต่คงไม่ได้อยากเจอมาหยารัศมีของพี่เมฆนักหรอก”
“เราก็เพ้อเจ้อพอๆกับพี่นั่นแหละ”ชายหนุ่มอมยิ้ม
“ก็พี่เมฆเป็นคนพูดเอง” ชายหนุ่มวางช้อน ก่อนจะเก็บจานข้าวของตัวเองและของแขก “กินอิ่มแล้วก็กลับไปได้แล้ว”
“อะไรกัน พี่ยังไม่ได้บอกว่าจะกลับซักหน่อย ยังไม่ได้บอกว่าอิ่มด้วย”
“กินแค่นี้แหละ เปลือง!”
“ไล่เป็นหมูเป็นหมาเลยนะโน”
“นี่ถือเป็นมารยาทที่ดีที่สุดแล้วครับสำหรับแขกที่พูดจาไม่เข้าหู”
“อ่ะโอเคๆ พี่กลับก็ได้” ไอ้หนุ่มบ้านนาลุกขึ้นพร้อมด้วยร้อยยิ้ม “ ถึงพี่จะเป็นเจ้าน้อย พี่ก็คงเป็นเจ้าน้อยที่ไม่มีความสงสัยในตัวทัดดาวหรอกโน”
.
.
.
เมฆินทร์นั่งอมยิ้มอยู่ข้างกองไฟที่จุดไล่ยุงและให้ความอบอุ่นยามค่ำคืน พลางนึกถึงแก้มขาวเจือเลือดฝาดของอโณชาที่ดูน่ารักนักในสายตาของเขา ควายแฉะหลับตาพริ้มอย่างไม่สนใจผู้เป็นนายนัก หากมันเข้าใจมนุษย์มันคงจะอิดหนาระอาใจกับผู้เป็นนายที่พร่ำเพ้อถึงแต่หนุ่มน้อยหน้ามนผู้มาจากเมืองกรุงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของมันไปแล้ว
“แกจะไม่ดีใจเป็นเพื่อนข้าหน่อยหรอแฉะ หรือแกว่าไง ข้าว่าบางทีข้ากับเจ้าโนมันอาจจะ...ใจตรงกันก็ได้นะ”
“แงะ!!!”อีแฉะขานรับ
“ใช่มั้ยล่ะ ข้าบอกแล้ว...ข้าดีใจนะ แต่ว่า ข้าควรจะ....สารภาพเลยดีไหมวะแฉะ”

ฟากหนึ่งของบ้านเดิมบาง ชายหนุ่มอีกคนก็กำลังนั่งลูบหัวควายถึกอย่างช้าๆ พลางครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับคำพูดของพี่ชาย ที่เจ้าตัวคล้ายๆจะหวั่นไหวกับท่าทีของคนๆนั้น
“พี่เมฆเค้า....เป็นคนดีเนาะแกว่ามั้ยไอ้รอด”
ควายหนุ่มส่ายหัวไปมาเหมือนไม่รับรู้อะไร พร้อมกับเจ้าของที่ถอนหายใจเบาๆ
“ไหนจะรุ่นน้องเค้าอีกล่ะ แกรู้มั้ยไอ้รอด ผู้ชายพวกนี้บางทีก็เชื่อไม่ได้ ชั้นเจ็บมาเยอะแล้ว”
ชายหนุ่มนั่งเหม่อมองไปบนถนนลูกรังหน้าบ้าน ภาพรางๆของหนุ่มบ้านนอกผิวเข้มกับยิ้มฟันขาวโผล่ขึ้นมาบนถนนสายนั้นจนชายหนุ่มต้องสลัดหัวแรงๆ
“บางที ชั้นอาจจะเหงาเกินไป หรือต้องหัดยับยั้งชั่งใจให้มากกว่านี้ล่ะ ไอ้รอดเอ๊ย”
.
.
รวงข้าวในนาของอโณชาแตกกอออกรวงงอกงามจนโน้มเอนลงดิน ลมทุ่งพัดโชยมาเบาๆในยามสายของต้นฤดูหนาว อโณชาเหม่อมองต้นข้าวของเขาอย่างเป็นสุขและเหงาใจ สุขใจที่ได้นั่งมองผลผลิตจากความเหน็ดเหนื่อย และเหงาใจเมื่อนึกถึงว่าต้นข้าวเหล่านี้งอกงามด้วยน้ำมือของคนอีกคนที่ช่วยเหลือ
“เก่งนะครับเนี่ย ปลูกได้ขนาดนี้”
เสียงไม่คุ้นหูนักดังขึ้น แต่เมื่อชายหนุ่มหันไปยังต้นเสียงจึงได้รู้สึกคุ้นหน้า เจ้าของเสียงเรียกมาในชุดสีกากีพร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนเป็นสิ่งติดตัวชายผู้นี้อยู่เสมอ
“อ้าวหน่อง”
“นั่งด้วยได้มั้ยครับ”
“อ่า ...ได้สิ”
“เห็นพี่เมฆบอกว่า โนบ่นหาผม ผมไปทำให้โนคิดถึงได้ไงครับเนี่ย”
“อย่าไปเอาอะไรกับพี่แกมากเลยครับ เพ้อเจ้อซะส่วนใหญ่”
“ฮ่ะๆ งั้นหรอครับ” ชายหนุ่มยิ้ม “แต่ผมว่าดูท่าผู้ชายคนนั้นเขาจะคิดถึงโนอยู่ทุกวันเลยนะ”
“ที่เกษตรเค้าสอนกันมาแบบนี้หรอครับเนี่ย แต่ละอย่างเนี่ยเสี่ยงต่อการโดนฟ้าผ่ากลางแจ้งจริงๆ”
“ฮ่าๆ โนเนี่ยตลกเหมือนกันนะเนี่ย” นฤบดินทร์หัวเราะร่วน “ผมยังไม่เคยเห็นเกย์คนไหนโดนฟ้าผ่าตายสักคน กอดกันกลางสยามก็ยังเคยเห็น แต่สยามก็ยังอยู่รอดปลอดภัยจากฟ้าผ่านะโน”
“อ่า ...แต่ผมไม่”
“แต่ผมเป็นไง” ชายหนุ่มยิ้มเปิดเผย “ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นอะไร อยู่ที่ว่าทำดีให้แก่สังคมได้หรือไม่มากกว่า ผมถึงไม่คิดจะปิดบังเลยว่าผมเป็นอะไร”
อโณชาหันมามองหน้าอีกฝ่ายตาโต ก่อนจะคลี่ยิ้มช้าๆ “นั่นสินะ ผมรู้สึกเหมือนหน่องมีความสุขตลอดเวลา ... ใครได้อยู่ใกล้ๆหน่องก็คงมีความสุขเหมือนกัน”
“ไม่หรอกโน ไม่มีใครมีความสุขไปเสียทุกเรื่องหรอก “
“นั่นสินะ แต่ผมก็ยังคิดว่า หน่องยังเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาอยู่ดีนั่นแหละ เหมือนหน่องไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเครียดเลยนี่”
“อิจฉาผมงั้นหรอโน” เกษตรอำเภอยิ้มพลางกลอกตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า “แต่ผมกลับคิดว่า ผมต่างหากที่ต้องอิจฉาโน”
“เอ๋....”
“ผมมาเยี่ยมเฉยๆน่ะ – อย่าใส่ใจอะไรผมนักเลย นอกจากผมจะยิ้มง่ายแล้ว บางทีผมก็พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน แล้วก็ขอให้ขายข้าวได้ราคาดีๆนะ“
“ขอบใจนะหน่อง”

งดตอบเมนท์เหมือนเคย

และขอโทษที่มาต่อช้า เพราะยังไม่ได้หยุดงานเลย เจอโอทีทุกวัน T T

ขอบคุณที่ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 12-12-2011 13:16:05
พี่เมฆจีบเลยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 12-12-2011 13:38:17
ต่างคนต่างคิด
แล้วเมื่อไหร่
จะลงเอยกันล่ะเนี่ย :กอด1:
+1จ๊า
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 12-12-2011 13:51:02
 :เฮ้อ:เมื่อไรน้าพี่เมฆจะจีบโนอย่างเป็นทางการซะที จะได้ไม่ต้องไปนั่งรำพึงรำพันกับอีแฉะ
รึโนจะจีบพี่เมฆก่อนก็ไม่น่าจะผิดกติกานี่ ไอ้รอดจะได้ไม่ต้องมาฟังโนปรับทุกข์เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 12-12-2011 14:05:59
ชอบพี่เมฆอ่ะ :-[ น่ารักใสซื่อ จริงใจ
ต่างคนต่างก็ชอบกันนั่นแหละนะ
แต่ไม่มีใครกล้าพูดเลย~ :o8:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 12-12-2011 14:29:38
แหม่ พี่เมฆก็มัวแต่บ้าๆบอๆอยู่ได้ เดี๋ยวก็โดนสุนัขแย่งไปรับประทานหรอก
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 12-12-2011 14:35:38
ต่างคนต่างคุยกับควาย
ไม่คุยกันเองแล้วจะรู้เรื่องไหมนั้น :z3:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: name ที่ 12-12-2011 14:44:13
อบอุ่นมากเลยครับเรื่องนี้ ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 12-12-2011 14:50:06
หน่องนี่ดูง่ายๆสบายๆดีนะ
โนเอ๋ยยย อย่าคิดให้มันเยอะ ใจตัวเองมันรู้สึกตั้งขนาดนั้นแล้วเน๊อะ
พี่เมฆรุกให้มันชัดๆไปเล้ยยยย ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลู่เคอOlive♥ ที่ 12-12-2011 15:31:00
เรื่องน่าติดตามมาก
ชอบพี่เมฆนะ น่ารัก
ให้เป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: chae ที่ 12-12-2011 15:50:50
แอบมีดราม่านิดนะเนี่ย หึงเขาหรอน้องโน
แต่เราว่าหน่องน่าจะเป็นคนที่เจ็บมากกว่าทั้ง 2 คน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 12-12-2011 16:02:15
หน่องน่ารักอ่ะ มาเป็นแฟนเราดีกว่า (นังชะนีนี่)

พี่เมฆจีบเห๊อะ โต ๆ กันแล้ว อย่าเกริ่นนาน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 12-12-2011 16:21:48
เจอโอทีทุกวัน  โห..เอาตังค่าโอทีมาแบ่งกันมั่งดิพี่
คนที่ชื่อหน่องนี่เป็นแบบใหนกันนะเดาทางยากเนาะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 12-12-2011 16:38:04
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 12-12-2011 17:17:57
รีบๆๆ สารภาพรักกันได้แล้ว
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 12-12-2011 17:31:40
จีบแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 12-12-2011 20:35:09
บรรยากาศ... หน่วงนิดๆ
พี่เมฆลุยเลย จริงๆ ก็ชอบแบบเนียนๆ เข้าไปนะ แต่ถึงขั้นนี้แล้วพี่เมฆช่วยรุกคืบบ้างไรบ้าง  :impress2:
และหน่องยังน่ารักอยู่ พี่เมฆไม่ชอบเรา ก็เชียร์คนที่เค้าชอบดีกว่าเนอะ
ติดตามต่อจ้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 12-12-2011 22:10:11
แอบหวงไม่ให้เมฆรู้แต่เค้าก็รู้จนได้ ฮุๆๆ

หาคู่ให้หน่องหน่อยดีม้า

+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 13-12-2011 13:35:12
พี่เมฆจัดไปอย่าให้ช้า บอกความจริงไปเลย

 :pig4: คะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 14-12-2011 00:10:19
แค่พี่เมฆบอกประโยคนี้ให้น้องโนได้ยิน...
“พี่ไม่ได้อยากให้โนมายืมจมูกพี่หายใจหรอก พี่ก็แค่...อยากให้เราใช้ลมหายใจร่วมกันนะ"
เจ้าแฉะกับเจ้ารอด คงไม่ต้องมาฟังเจ้านายเพ้ออยู่ทุกคืนหรอก  :m13:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ThyRist ที่ 14-12-2011 00:46:39
เข้ามาบ่นว่า คนอ่านก็ติดโอทีเหมือนคนเขียน  :laugh:

สูบพลังมาก เหนื่อยชิหายเลย กลับมาเจอมาม่าอีก TT
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 15-12-2011 13:01:29
ต่างคนต่างคุยกับควาย  :laugh:
พี่เม่ลุยเลย

 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 17-12-2011 18:50:06
มารอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: wdaisuw ที่ 17-12-2011 19:55:42
อยากได้หนุ่มบ้านนาใสซื่อ รักจริงแบบพี่เมฆอ่ะ
 :o8:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 17-12-2011 23:43:38

ตอนที่ ๑๐

อโณชาอยู่บนหลังควายถึกคู่ใจที่กำลังก้าวย่างไปอย่างเชื่องช้าบนถนนลูกรัง ชายหนุ่มเหม่อมองไปข้างหน้าโดยไม่ได้ใส่ใจทิวทัศน์เบื้องหน้าสักเท่าไหร่ ไอ้รอดทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์จนมาถึงปลายทาง เบื้องหน้ามีชาวบ้านมากมายมาช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าวอยู่ในทุ่งข้าวหอมมะลิสีเหลืองทองอร่ามไปทั่วบริเวณ พร้อมกับที่เจ้าของที่นาฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นผู้มาเยือนรายใหม่คนนี้
“มาแล้วหรอโน”
“อืม...ครับ”
“จะพักสักหน่อยมั้ย หรือจะลงไปเลยดี”
“ลงไปช่วยพี่เมฆเลยดีกว่าครับ ผมไม่ได้เหนื่อยอะไร”
“อื้ม ได้” ชายหนุ่มผิวสียิ้ม พลางเอื้มไปหยิบเคียวที่วางไว้ใกล้ๆส่งให้กับอโณชา “นี่ของโน เดี๋ยวพี่จะสอนให้”
ผู้เป็นเจ้าภาพเดินนำหน้าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะลงไปในพื้นนา พร้อมกับยื่นมามาทางอีกคน
“ส่งมือมาสิ”
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกครับ” ชายหนุ่มปฏิเสธสั้นๆ หากแต่ยังทำให้คนที่ยื่นข้อเสนออมยิ้มอยู่
อโณชาเหลือบดูชาวบ้านที่กำลังเกี่ยวข้าวกันอย่างขะมักเขม้น ก่อนจะเดินเลี่ยงเมฆินทร์มายังที่ว่างๆที่ไม่มีคนพลุกพล่านนัก พร้อมกับลงมือเกี่ยวข้าวเองบ้าง
“ดูแล้วก็ไม่น่ายาก พี่เมฆไม่ต้องสอนผมก็ได้ครับ” ชายหนุ่มพูดพลางใช้มือข้างที่ว่างอยู่กำกอข้าวและใช้เคียวตัดตรงบริเวณเหนือโคนต้นข้าว
“โอเคๆ พ่อคนเก่ง...แต่พี่ขอเตือนนะ ว่าเคียวน่ะมันคม ระวังมันจะบาดมือเอา แล้วก็...สำหรับมือใหม่ เกี่ยวข้าวครั้งแรกนี่มือระบมเหมือนกันนะ “ ชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางหันหลัง และร้องเพลงเกี่ยวข้าวอย่างอารมณ์ดี
“เกี่ยวเถอะนะพ่อเกี่ยว ช่า ช่า เกี่ยวเถอะนะพ่อเกี่ยว....”
เมฆินทร์หันมายักคิ้วให้อย่างเจ้าเล่ห์ “อย่ามัวชะแง้แลเหลียว เดี๋ยวเคียวจะเกี่ยวก้อยเอย”
อโณชาอมยิ้มอยู่ในทีพร้อมกับใช้มือปิดปากตัวเอง
“พี่ว่านะ ... พี่มาเกี่ยวตรงนี้แหละ กลัวคนแถวนี้จะโดนเคียวบาดก้อยเอา”
“ตามใจเถอะ นาของพี่นี่”


หนุ่มบ้านนาผิวปากอย่างอารมณ์ดี พลางเหลือบมามองอีกฝ่ายเป็นระยะๆ อโณชาเป็นคนหัวไวอย่างที่คุย และท่าทีแง่งอนของเขาทำให้ชายหนุ่มอดใจเย้าหยอกไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของเขา
“แอบมองหน้าแล้วยิ้มที่กรุงเทพเค้าจะหมายความว่าหาเรื่องนะครับ” ชายหนุ่มพูดโดยที่ไม่ได้มองหน้า
“เอ...เรื่องอะไรดีล่ะ พี่ก็ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุยดีเหมือนกัน”
“จะหยุดพูดแล้วก็ก้มหน้าห้มตาเกี่ยวไปก็ได้ครับ”
“เรานี่น้า....” เมฆินทร์หยุดเกี่ยวข้าว พลางหยุดยืนต่อปากต่อคำกับอโณชาอย่างตั้งใจ “เมื่อไม่กี่วันยังคุยด้วยกันดีๆอยู่เลย โกรธอะไรพี่นักหนานี่ฮึ”
“ผม....เปล่าซะหน่อย”
“เปล่าแล้วทำไมทำเหมือนบึ้งตึงใส่พี่จัง พี่น่ะออกจะดีแสนดี”
“เปล่าก็คือเปล่าไงเล่า พี่เมฆนี่พูดไม่รู้เรื่อง!!!”
หนุ่มบ้านนาอมยิ้มเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคล้ายจะตบะแตก เมฆินทร์เดินตรงเข้าไปพร้อมกับยกนิ้วก้อยขึ้นมา “ดีกันก่อนดีกว่าก่อนที่จะโดนเคียวเกี่ยวเอาดีกว่านะ”
“งั้นผมตัดทิ้งก่อนเลยดีมั้ย ....ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ ทำไมจะต้องมาทำอะไรติงต๊องแบบนี้ด้วย”
“หยอกกันน่ารักดีนะคู่นี้” เสียงใสดังขึ้นจากคันนาไม่ไกลนัก เจ้าของเสียงแสดงรอยยิ้มประจำตัวพลางกอดอกมองทั้งคู่
“อ้าว หน่อง มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“ก็ทันเห็นทุกอย่างแหละ”
“ผมขอตัวไปแปลงนู้นก่อนแล้วกัน บางทีพี่อาจจะต้องสอนหน่องมันเกี่ยวข้าว ส่วนผมไม่ต้องแล้วล่ะ” อโณชาพูดก่อนจะหันหลังไป
“เอ่อ นั่นสินะโน”
“พี่เมฆก็ไปอำโนเค้า” เกษตรอำเภอหัวเราะเบาๆ “ไอ้เรื่องพวกนี้ผมทำเป็นตั้งแต่มหาลัยแล้ว ไม่งั้นจะมาสอนชาวนาได้ยังไงล่ะโน”
“งั้น พี่เมฆเค้าอาจจะอยากอยู่กับหน่องสองต่อสองก็ได้มั้ง หน่อง”
“โนนี่พูดตรงใจพี่” เมฆินทร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมกับกระโจนขึ้นไปบนคันนา “คิดถึงเมียรักจะแย่แล้ว”
“วิตถาร!”อโณชาสบถ
“เฮ้ยอย่ามาทำแบบนี้ ขยะแขยง” เกษตรอำเภอหัวเราะลั่น พลางดันอกอีกคนที่กำลังทำท่าเหมือนจะกอดร่างเล็กของเขา
“ขอตัวครับ” อโณชาตอบเรียบๆ พลางเดินจากไป
“ไม่อยู่ดูหน่อยหรอ เห็นโนชอบทำท่าทำทางเหมือนอยากให้พี่กับเจ้าหน่องมันเป็นอะไรกันจัง”
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น และพี่ก็น่าจะเข้าใจไปเอง”ชายหนุ่มหันมาตอบด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะเดินจากไปจริงๆ
“ไปอำเขาขนาดนี้ ระวังโกรธจนคืนดีกันไม่ได้นะเอ้อ” นฤบดินทร์กระทุ้งศอกใส่คนข้างๆเบา
“เอาน่า ยังไงซะมันก็ยังไม่ถึงเวลา แต่ได้แกล้งโนมันแบบนี้ก็สนุกดีนะ”
“อ่ะจ้า... อย่ามาเพ้อให้ฟังทางโทรศัพท์ตอนดึกๆอีกก็แล้วกัน”
“ก็กลางคืนมันหนาวนี่นา พอหนาวแล้วมันก็เหงา”
.
.
.
“ผู้ชายมันเป็นแบบนี้ทั้งหมดเลยหรือไงนะ” อโณชาบ่นกับตัวเองในใจ พลางเกี่ยวข้าวไปด้วยอย่างไม่สบอารมณ์นัก ชายหนุ่มแอบเหลือบไปมองข้างหลังเป็นระยะและพยายามไม่ให้ทั้งคู่รู้สึกตัว หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งนฤบดินทร์และเมฆินทร์เป็นฝ่ายที่กำลังตั้งใจลอบมองดูอโณชาจากบนคันนาแทน

ท่าทีทีเล่นทีจริงของเมฆินทร์ทำให้อโณชานึกถึงแฟนเก่าที่จากกันมาไม่ดีนัก เขายังจำได้ถึงความรักที่มีให้ต่อชายผู้นั้น และด้วยความที่อโณชาเป็นผู้ใหญ่กว่า ทำให้เขามักจะยอมให้แทบทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องเที่ยวหรือบุหรี่ หากแต่มีเพียงเรื่องเดียวที่ชายหนุ่มยื่นคำขาดขอร้องนั่นคือ การนอกใจที่ไม่ว่าอย่างไรชายหนุ่มก็ไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้

“ไม่ว่าจะผู้ชายหรือเกย์มันก็เจ้าชู้ไปหมดจริงๆ” ชายหนุ่มรำพึงท่ามกลางแดดจ้า และพาลหมั่นไส้เจ้าของที่นาเอาเสียดื้อๆ อโณชาหันหลังให้กับที่นา พลางเดินดุ่มไปบนคันนาอย่างไม่สบอารมณ์
“จะไปไหนน่ะโน” เมฆินทร์ถามขึ้น
“ผมจะกลับแล้ว”
“อะไรกัน ยังไม่เสร็จเลย”
“คนช่วยเยอะแยะแล้วนี่ “
“แต่พี่อยากให้โนอยู่ช่วยด้วยอีกแรงนี่นา”
“นายจ๋า...”เสียงใสๆดังขึ้นจากหญิงสาวในบ้าน นังทิ้งวิ่งจ้ำอ้าวมาพร้อมเสียง ชายหนุ่มหันตามต้นเสียงพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก ก่อนที่ยิ้มเล็กๆนั้นจะคลายลงเมื่อรู้ว่ามีใครอีกคนที่เดิมตามมาข้างหลัง
“จอน...”
“นายโนรู้จักใช่มั้ยจ๊ะ เขามาหาที่บ้านบอกว่ามาหานาย หนูเลยพามาที่นี่”
เด็กหนุ่มผู้มาใหม่ยิ้มกว้าง พร้อมกับโผเข้ากอดอดีตคนรักอย่างไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง “ผมคิดถึงพี่มากเลยนะ ทำมถึงหนีมาแบบนี้”
“ปล่อยพี่เดี๋ยวนี้นะ” ชายหนุ่มสลัดอ้อมกอดนั้น พร้อมกับกระเถิบตัวหนี “เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะ”
“ผมขอโทษกับทุกสิ่งที่เคยทำกับพี่ และผมก็ไม่ได้ขอให้พี่คืนให้ผมหรอก” ชายหนุ่มทำหน้าเศร้า “ผมแค่อยากขอโอกาสอีกสักครั้งเท่านั้นเอง ขอแค่ให้พี่ได้ยกโทษให้ผม ผมยินดีทำทุกอย่าง”
ชาวบ้านหลายคนหันมามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงเจ้าของที่นาที่มองดูด้วยความรู้สึกปวดปร่า หลายคนเริ่มส่งเสียงซุบซิบนินทา จนอโณชารู้สึกได้
“กลับไปคุยกันที่บ้าน พี่อายคน” อโณชาตัดบท
“ได้ครับ แล้วเราจะกลับกันยังไงเนี่ย”
“พี่ขี่ไอ้รอดมา”
ชายผู้มาใหม่หันมองไปทางพาหนะของคนรัก “ถ้าอย่างนั้นผมเดินตามกลับก็ได้ ผมรู้พี่ยังโกรธผมอยู่”
อโณชาไม่สนใจในท่าทีของอดีตแฟนนัก ก่อนจะหันไปถามเด็กหญิง “แล้วเราจะกลับพร้อมพี่มั้ยทิ้ง”
“เอ่อ...” ทิ้งมองซ้ายทีขวาทีอย่างลังเล “หนูรอติดรถคนแถวนี้กลับดีกว่า คิดว่าคงไม่ควรเท่าไหร่”
ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะหันมาพูดกับนายจอน “ถ้าอย่างนั้นก็กลับด้วยกันก็ได้ พี่คิดว่าไอ้รอดมันไหว”
“ขอบคุณมากครับ”ตอนฉีกยิ้มกว้าง “พี่โนเนี่ยไม่ว่าจะยังไงก็ยังน่ารักแบบนี้ทุกทีเลยสิ”

ควายถึกมองผู้เป็นนายและชายแปลกหน้าอย่างระแวงระวัง พลางสะบัดเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก จนผู้เป็นเจ้าของต้องพูดปราม “ไอ้รอด นี่แขกของชั้นเอง”
ชายหนุ่มหันมามองอดีตคนรักอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้น “ถอดหมวกแดงของจอนด้วยก็ดี ถึงพี่จะไม่เคยเห็นมันวิ่งไล่ของสีแดงเหมือนที่เค้าพูดๆกัน แต่พี่ก็ไม่อยากให้โนทดสอบกับไอ้รอดหรอก”
“แหะๆ ครับ โทษที” ชายหนุ่มทำตาม ก่อนจะหันไปพูดกับไอ้รอด “แกต้องคุ้นเคยกับชั้นไว้มากๆนะ เพราะชั้นกำลังจะเป็นนายของแกอีกคนไง”

หลังจากทุลักทุเลกันอยู่พักใหญ่ กว่าจะเอาเด็กหนุ่มขึ้นขี่หลังควายได้สำเร็จ ทั้งคู่ก็จากไปพร้อมกับสายตาเศร้าๆของคนที่อยู่ข้างหลังที่มองตามไปจนสุดสายตา
“ผมว่า พี่เมฆจะมีงานเข้าเสียแล้วล่ะ” เกษตรอำเภอเย้าพลางตบบ่าพี่ชายเบาๆ
“นั่นสินะ...” ชายหนุ่มตอบเศร้าๆ “ถ้าาพี่กล้ากว่านี้สักหน่อย บางทีบนหลังไอ้รอดวันนี้อาจจะเป็นพี่ก็ได้”
.
.
.
เป็นอีกคืนที่ชายหนุ่มรู้สึกเหงาเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะลมหนาวที่เหมือนความอบอุ่นจากกองฟืนก็ทำท่าจะเอาไม่อยู่ และเสียงขลุ่ยที่เป็นเพื่อนคู่ใจก็ช่วยไม่ได้เสียเลย
“ข้ามันลูกทุ่ง ข้านอนมุ้งสี่สาย
ผูกด้วยเชือกจูงควาย เอนกายแล้วสิ้นลำเค็ญ
ไม่ต้องสนใจมาดัดนิสัย ข้าหรอกบานเย็น
ข้ามันลูกทุ่งเอ็งก็คงเห็น ข้าเป็นแค่คนชาวนา

ถ้าเอ็งมองข้าว่าหัวข้าล้าสมัย
สุดที่เอ็งทนได้ ตามใจเอ็งเถิดแก้วตา
จะเปิ่นหรือเชย ข้าก็ยังเคยมุ้งแบบของข้า
เอ็งอยากจะรักข้าก็ไม่ว่า เอ็งจะเกลียดข้าไม่ว่าสักน้อย

ไอ้หนุ่มบางไหน มันใส่กางเกงทรงสวย
ถ้าเอ็งชังกางเกงขาก๊วย คนสวยไม่ต้องมาคอย
ถ้าเจ้าบานเย็นคิดไปเด่นในกรุงเลิศลอย
อยากจะทิ้งข้าให้เศร้าหงอย ข้าจะไม่คอยขวางตา

ข้ามันลูกทุ่ง ข้านอนมุ้งสี่หู
ข้าพูดเอ็งมึงกู ฟังดูก็ตรงหนักหนา
ข้าชอบไทยเดิม ข้าส่งข้าเสริมคำพูดบ้านข้า
ข้าแต่งกับเอ็ง เอ็งเป็นของข้า ใครเรียกภรรยาแต่ข้าเรียกเมีย”

“แหม.... ทำเป็นน้อยใจหนุ่มบางกอกนะ” หน่องเย้า เมื่อหนุ่มผิวเข้มเป่าขลุ่ยจบลง
“ทำไมยังไม่กลับอีก ค่ำมืดดึกดื่น”
“ก็กลัวพี่ชายจะไปผูกคอตายใต้ต้นมะเขือ” ชายหนุ่มยังแหย่ไม่เลิก “อย่าเพิ่งทำซังกะตายสิพี่ ยังไม่ได้บอกรักเขาเลย”
“พี่...ไม่รู้สิ” เมฆินทร์ถอนหายใจ “พี่จำวันนั้นได้นะ ไม่ว่ายังไง พี่ก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองแพ้ไอ้บ้านั่นทุกที”
“ผมว่าเพราะพี่มัวแต่แทงกั๊กมากกว่า เท่าที่ผมดู ก่อนหน้านี้ โนเค้าก็...รู้สึกดีกับพี่ไม่น้อยนะ”
“พี่ก็เคยคิดแบบนั้น” ชายหนุ่มหันไปลูบหัวอีแฉะเล่น “แต่พอได้มาเห็นวันนี้ พี่คิดว่าพี่ก็แค่คิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นแบบนั้น”
“พี่คิดไปเองว่าเค้ายังรักกันมากกว่า....แต่ถ้าพี่ยังทำตัวเป็นไอ้ขี้แพ้แบบนี้ มันอาจจะเป็นอย่างที่พี่คิดจริงๆ” นถบดินทร์เอ่ยเป็นเชิงดุ “ของอย่างนี้น่ะนะ บางครั้ง คนที่อยู่ในเกมก็มองไม่ขาดเหมือนคนนอกหรอก”
“พี่จะทำอะไรได้ หน่อง....ยังไงซะเค้าก็...”
“แค่เคยเป็นแฟนกันครับ และผมเชื่อนะ ว่าถ้าพี่กล้าพูดออกไป ไอ้หมอนั่นก็จะเป็นแค่แฟนเก่า เชื่อผมสิ”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มช้าๆ พลางตบไหล่รุ่นน้องเบาๆ “ขอบใจมากนะ พี่จะลองดูก็แล้วกัน ส่วนเราก็กลับบ้านกลับช่องไปได้แล้ว ขับรถกลางคืนมันอันตราย”
“กลับก็ได้ ทีน้องน่ะไล่ได้ไล่ดี” ชายหนุ่มพ้ออย่างไม่จริงจังนัก “ฝันดีนะครับ”
“อื้มเราก็ฝันดีนะ” เมฆินทร์อำลาพลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกทางหนึ่ง ก่อนจะขึ้นบ้านไป

เกษตรอำเภอมองตามด้วยรอยยิ้ม พลางแหงนมองดูท้องฟ้าทิศที่เมฆินทร์เหลือบมองเมื่อสักครู่ พลางรำพึงกับตัวเองในใจ
“หน้าหนาว...ดาวสวย พี่เมฆเค้าก็คงอยากนั่งนับดาวกับโน...เหมือนเราสินะ”
ชายหนุ่มดับความนึกคิดของตัวเองลงก่อนจะก้าวขึ้นรถและออกจากบ้านเดิมบางไปเงียบๆ

ก่อนอื่นเลย ต้องขอโทษอย่างแรงๆ ที่มาช้ามาก
อย่างที่บอกว่าช่วงนี้งานยุ่งมากถึงมากที่สุด ทำงานยาวเหยียดตั้งแต่หลังวันพ่อมาถึงวันนี้ยังไม่ได้หยุด
กลับบ้านค่ำมืดทุกวัน กลับมาดูกระทู้ก็เห็นว่า เว้นไปห้าวันเลย (ถือว่านานมากเมื่อเทียบกับนิยายเรื่องก่อน)

วันนี้เลยจำใจต้องฝืนสังขารมาเขียนให้จบตอนนี้ให้ได้ (หลังจากที่เขียนทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง)

ตอนนี้ ข้าวเริ่มส่งกลิ่นหอมกรุ่น แต่เหมือนจะข้ามขั้นไปเป็นมาม่าชามเล็กๆ แหะๆ
(คนเขียนโดนเหยียบ :z6: โทษฐานชอบดราม่าซะทุกเรื่อง)

แต่ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ จะจบด้วยอารมณ์เดียวกับพี่เต้น้องเจ๋งแน่นอนครับ  :z1:

อาทิตย์หน้าจะได้กลับบ้านเสียที หลังจากที่ผจญความทรมาณที่สระบุรีตั้งสองเดือน

ถ้าอยู่กรุงเทพคงได้มาต่อว่องไวเหมือนเมื่อก่อน

หวังว่าจะติดตามกันและขอบคุณที่ยังชื่นชอบนะครับ

ปล. เรื่องสั้นคั่นเวลาเรื่องที่สาม "ภูเก็ต" ใกล้จะคลอดแล้วครับ สัญญาว่าไม่เกินสองวันนี้ (หรือคืนนี้) แอบฝากไว้ในอ้อมใจด้วย

(และอาจจะไหลไปหน้าสองอย่างว่องไวเมื่อลงแล้ว ฮ่าๆ)
 :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๙ (๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 17-12-2011 23:57:28
มัวแต่ปากหนักระวังถูกหมาคาบไปนะจ๊ะ แต่ว่าโนคงไม่คืนดีหรอก คนชั่วๆแบบนั้น
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 18-12-2011 00:29:36
โนอย่าไปใจอ่อนนะ เจ็บแล้วต้องจำ
กลับมาคราวนี้ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือเปล่าก็ไม่รู้
แนะนำให้โนถามใจตัวเอง แล้วยอมรับรักครั้งใหม่ คงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 18-12-2011 00:32:02
อย่างที่หน่องบอกขอให้เมฆเลิกแทงกั๊กซะทีเถอะ

เฮ้อว่าแล้วว่าไอ้แฟนเก่ามันต้องมาแล้วก็จริง

ขอให้โนเจ็บแล้วจำทีเถอะ "เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือ  อีแฉะ " >>  แบ๊ะๆๆ

+1และเป็ดค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 18-12-2011 01:06:53
กรี๊ดดดด ไอ้คนนิสัยไม่ดีคนนั้นมันกลับมาทำไม
ชิชะ พี่เมฆกับโนยังไปไม่ถึงไหนเลยนะ
มาทำไม กลับไปชิ้วๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 18-12-2011 07:09:58
พี่เมฆปากหนักขนาดนี้
ระวังนะจะโดนแย่ง
ถ้าไม่รีบสารภาพ :z2:
กด+ให้จ๊า
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 18-12-2011 07:31:51
 :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 18-12-2011 08:31:12
ไอ้จอน ไอ้เวรตะไลๆๆๆๆๆๆๆ อุ๊บส์!!!!

 :m14:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 18-12-2011 10:18:15
โอ๊ย เพลียเหลือเกินพระเอกของเรา :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 18-12-2011 10:19:05
สงสารพี่เมฆแอบรักมาตั้งนานไม่ได้พูดอะไรเลย~
เกลียดนายจอน! :m16: จะมาทำไมเนี่ย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 18-12-2011 11:29:02
หน่องน่ารัก  :กอด1:
พี่เมฆอย่าพึ่งถอดใจ
จอนมาทำไม  :z6:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: RoseBullet ที่ 18-12-2011 13:53:19
พี่เมฆมัวแต่ช้าเฉื่อยแฉะอยู่นั่นแหละ
เดี๋ยวโนก็โดนฉกไปหรอก เดี๋ยวจะเสียใจ

อ่านไปอ่านมาเริ่มสงสารหน่อง เฮ้อ
หน่องยังรักพี่เมฆอยู่ แต่ก็ยังช่วยให้พี่เมฆสมหวังในความรักกับโน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 18-12-2011 14:39:47
ไอ้บ้านั่นมันกลับมาทำไมวะ 
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 18-12-2011 15:10:23
พี่เมฆสุ้ๆ จะไปกลัวอะไรกับของเก่าที่ทิ้งแล้วละครับพี่เมฆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 18-12-2011 16:11:48
นั่นแหละมัวแต่ช้า เลยต้องมีตัวกระตุ้นเลย

 :pig4: คะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 18-12-2011 17:27:20
 :เฮ้อ:  แอบสมน้ำหน้าพี่เมฆ  ช้านัก ปากแข็ง แถมไปแกล้งโนอีก
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลู่เคอOlive♥ ที่ 18-12-2011 19:26:38
สงสัยตาจอนคงจะเงินหมด รีบมาขอตังแน่
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 18-12-2011 19:47:38
เกลียดไอ้จอนอ่ะ จะมาเกาะอีกล่ะสิ

โนไล่มันกลับไปเลย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 21-12-2011 19:28:23
รู้สึกคุณโนจะอารมณ์อ่อนไหวจนน่าเป็นห่วง ( ก็อะไร ๆ ไม่ชัดเจนนี่น่า... :sad2:)
และก็ดันมีแมลงสัตว์ศัตรูพืชมาเกาะแกะซะแล้วสิ...พี่เมฆจะปราบยังไง?
ว่าแต่น้องจอนตามเก่งมากเลย ไปรู้มาจากไหนว่าโนอยู่ที่นี่ ? 
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 21-12-2011 19:48:07
พี่เมฆ ช้าง่า ช้าๆ บางทีก็ได้พร้าเล่มงามบางทีก็อาจจะชวดนะเออ ยังไปแกล้งน้องโนเค้าแบบนั้นอีกก็รู้อยู่ว่าออกจะคิดมาก
มีจอนมาเร่งปฏิกริยาอีกคนแล้ว ติดตามต่อนะจ๊ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๐ (๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 25-12-2011 10:59:41
อยากกระทืบจอน มาทำไมเนี่ย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 27-12-2011 22:36:00
ตอน ๑๑

“จอนมาที่นี่ได้ยังไง” อโณชาถามขึ้นเมื่อพาอดีตคนรักมาถึงเรือน แขกไม่ได้รับเชิญนั่งลงบนเก้าอี้ไม้อย่างสบายอารมณ์พลางฉีกยิ้มให้เจ้าของบ้านจนตาหยี
“คิดถึงไง”
“พี่ยังไม่ลืมหรอกนะ ว่าก่อนนี้ เราจากกันด้วยดีขนาดไหน” ชายหนุ่มประชด พลางหันมองไปทางอื่น
“ผมถึงมาขอโทษไงครับพี่โน พี่รู้มั้ยว่าผมเสียใจขนาดไหน พอผมรู้ตัวว่าผมผิด ผมก็ตามหาพี่จนทั่ว ถึงขนาดไปถามหาพี่จากแม่พี่ พี่ก็รู้แม่พี่น่ะ เข้าหายากจะตาย”
“อ้อ แล้วแม่พี่เค้ายังไงล่ะ”
“เค้าก็บอกว่ามาทำนาอยู่ที่นี่ ผมงี้นั่งนึกตั้งนานนะ ว่าพี่โนกับการเป็นชาวนานี่จะเป็นยังไง” ชายผู้มาใหม่อมยิ้ม ก่อนจะเดินมาโอบไหล่คนร่างเล็กที่หันหลังให้ “แต่พี่โนก็ยังน่ารักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย”
“ปล่อยนะ!” อโณชาสลัดตัวออกจากวงแขนของเด็กหนุ่ม “พี่ยังยืนยันว่าเราจบกันแล้ว”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าของชายผู้มาใหม่ ก่อนที่เขาจะผละออกมาหนึ่งก้าวและยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ “โอเคๆ พี่จะยืนยันแบบนั้นก็ได้ แต่พี่โนรู้มั้ย ตาทั้งคู่ของพี่โนกำลังบอกผมว่าพี่โนไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก”
อโณชาหลบตาและเสมองไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นกับขจรเกียรติ “กลับไปได้แล้ว”
“ผมมารถทัวร์ ...” เด็กหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “และผมคิดว่ารถคงหมดแล้ว”
“งั้นพี่จะไปส่งที่กรุงเทพ”
“จะใจจืดใจดำไปไหนกันครับพี่โน .... ผมก็แค่ต้องการที่พักกาย....และที่พักใจ อย่างน้อยตอนนี้ผมต้องการจากพี่แค่อย่างแรกเท่านั้น”
ชายหนุ่มถอนหายใจให้กับความใจอ่อนของตัวเอง ก่อนจะเดินไปเรียกนางทอง
.
.
.
เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วรับอรุณพร้อมกับดวงตะวันที่ค่อยๆ โผล่พ้นทิวไผ่ที่บ้านเดิมบาง เมฆินทร์แปรงฟันหน้ากระจกช้าๆด้วยสติและแววตาที่เลื่อนลอย อากาศเย็นในยามเช้าทำให้เขาแลดูซึมเซากว่าปกติ และเมื่อคืนนี้ ด้วยเรื่องราวมากมายหลายอย่างก็ทำให้เมื่อคืนเป็นราตรีที่ทำให้หลับใหลไม่สนิทนัก
“ฮัดเช้ยยย!!!”
ฟองจากแปรงสีฟันพ่นกระจายเต็มกระจกจนชายผิวเข้มต้องวักน้ำมาลูบมันออก กระจกที่ต้องน้ำทำให้เขาสามารถมองหน้าตัวเองได้ชัดเจนขึ้น ถุงใต้ตาหย่อนๆปรากฎบนใบหน้าจากการนอนไม่พอบวกกับความเศร้าซึมในใจทำให้ใบหน้าคมเข้มนั้นดูหม่นราศีไปบ้าง
“นี่มึงเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยหรือวะไอ้เมฆ” ชายหนุ่มพูดกับตัวเองในกระจก ก่อนจะยกน้ำขึ้นบ้วนปาก และสลัดหัวแรงๆเรียกสติ

ตอนสายของวัน ชายหนุ่มนั่งมองรถหกล้อที่บรรทุกข้าวเปลือกส่งไปยังโรงสีด้วยใจหม่นๆ หลังจากที่เรื่องเข้าที่เข้าทาง เขาก็ขี่ควายคู่ใจไปยังที่นาของตนเอง ทุ่งนาที่เคยอร่ามไปด้วยสีเหลืองทองเหลือเพียงตอข้าวเหี้ยนๆจากการเก็บเกี่ยว ชายหนุ่มมองภาพเบื้องหน้าอย่างเหงาๆ หากแต่สายลมเย็นยังช่วยบรรเทามันลงไปบ้าง
“แล้วเราจะทำยังไงที่นาต่อครับ เผาหรอ”เสียงใสๆดังมาจากข้างหลัง ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปยังต้นเสียงที่กำลังยกยิ้มมุมปาก
“โน”
“เห็นเป็นหน่องหรือไง”
“ปะ...เปล่า” ชายหนุ่มรีบแก้ตัว “แล้วจอนล่ะ”
“เอ๋....” อโณชาย่นคิ้ว “พี่รู้จักจอนด้วยหรอ”
“ก็เมื่อวาน...”
“ผมว่าผมยังไม่ได้แนะนำให้ใครรู้จัก”
“สักวันก็คงรู้กันทั่วแหละ แฟนหลายยายหลวย” ชายหนุ่มพูดอย่างน้อยใจ
“พี่เมฆ!” หนุ่มเมืองกรุงเสียงเข้ม “ผมไม่ชอบให้พี่พูดแบบนี้ ทีเรื่องของพี่กับหน่องผมยังไม่เคยจะพูดให้พี่ต้องอับอายชาวบ้านเลยนะ”
“พี่ขอโทษก็ได้” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ พลางเสหน้าไปทางอื่น “แล้วเขาไปไหนเสียล่ะ”
“กลับไปแล้ว .... ไม่มีเหตุผลอะไรที่จอนจะต้องอยู่ที่นี่นี่”
“มีสิ ก็เขาเป็น....”
“ผมกับจอนไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น ผมยืนยัน.... ไม่ได้เหมือนพี่เมฆกับ...”
“พี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรกับหน่องมันอย่างที่โนคิด” หนุ่มบ้านนาพูดด้วยสีหน้าแววตาที่จริงจัง ก่อนที่ทั้งคู่จะปล่อยให้สายลมทำหน้าที่ในการทำลายความเงียบระหว่างทั้งคู่ลง
“ความจริง....” อโณชาเป็นฝ่ายดึงบทสนทนาให้กลับมาอีกครั้ง “ผมจะมากวนพี่ให้ไปดูนาให้ผมหน่อย ผมว่าผมอาจจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ซะทีแล้วมั้ง”
เมฆินทร์หันกลับมามองอีกฝ่ายที่ทำหน้าเรียบๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หนุ่มบ้านนาคลี่ยิ้มช้าๆ ก่อนจะกลอกตาไปมาอย่างเจ้าเล่ห์
“อย่าทำหน้าดุบ่อยนักสิ”
“อะไรของพี่เนี่ย”
“พี่ว่า ... เวลาโนพูดดีๆกับพี่น่ารักกว่าตอนดุพี่เป็นไหนๆ แต่จะว่าไป พี่ว่ามันก็น่ารักคนละแบบ เพียงแต่พี่ชอบแบบแรก”
“พี่เมฆ!!!”
“อ้อ มีอีกแบบ คือตอนเขิน พี่ว่าน่ารักที่สุด”
“ผมว่า เราควรจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
“โนไม่ได้คิดอะไรกับไอ้จอนมันแล้วใช่มั้ย”
“ผม!” อโณชาหันขวับเมื่อถูกถามในสิ่งที่ไม่ตรงกับประเด็นนัก หากแต่ร่างเล็กของเขากลับถูกจับไว้เบาๆด้วยมือทั้งสองข้างของคนที่อยู่ด้านหลัง
“พี่เข้าใจว่าโนบอกพี่แบบนั้น และจะเป็นไปได้มั้ย ถ้าพี่อยากให้โนลองมองพี่บ้างสักหน่อย” เมฆินทร์จับแขนทั้งสองข้างของอโณชาเบาๆ พร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของคนตรงหน้า
“พี่เมฆ....”
“พี่ไม่คิดเหมือนกัน ว่าพี่จะกล้าทำอะไรแบบนี้ แต่ไอ้เด็กบ้านั่น....มันทำให้พี่กลัว และหน่องเองก็บอกพี่ว่าพี่ควรจะทำอะไรสักอย่างไม่ใช่ปล่อยให้มันเป็นไปในแบบที่พี่ไม่อยากให้เป็น”
“....”อโณชายังคงตะลึงงันกับคำพูดของคนตรงหน้า สมองเหมือนหยุดสั่งการชั่วขณะหากแต่ดวงตายังคงเบิกกว้างให้อีกฝ่ายได้จ้องมองเพื่อค้นหาคำตอบของคำถามที่ไถ่ถามผ่านม่านตาคู่นั้น
“ยายหลวยแกสั่งนักสั่งหนา ว่าหากได้เจอกับหลานแก ให้พี่รักและดูแลหลานแกให้ดีเหมือนที่พี่รักยายหลวยเหมือนแม่อีกคน ตอนแรกพี่ก็รู้สึกแค่อยากดูแลอยู่ห่างๆ แต่ตอนนี้ พี่ว่าพี่อยาก....ดูแลมากกว่านั้น อยากดูแลโน...ข้างๆโน ตลอดไป”
สายลมทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ ต้นไผ่หวีดหวิวจากการเสียดสีกันประสานกับเสียงสายลมทำลายความเงียบและภวังค์ของคนทั้งคู่ อโณชาค่อยๆผละตัวออกมาช้าๆ ก่อนจะหลุบตาลงต่ำ
“เอ่อ...”อโณชาพยายามเอื้อนเอ่ย หากแต่เขารู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ และเข้าเลือกที่จะหลบตาของคนตรงหน้าต่อไป
“พี่ขอโทษ.... โนลำบากใจสินะ”
“คนที่เคยถูกทำร้าย ไม่ว่านานแค่ไหนก็หนีความกลัวไม่พ้นหรอกครับ เหมือนนกที่เคยถูกยิง ที่เพียงแค่ได้ยินเสียงคันศรเหนี่ยว มันก็อาจจะตกลงมาจากฟ้าได้”
“....”กลับกลายเป็นเมฆินทร์ที่นิ่งฟังบ้าง คำตอบของอโณชาเหมือนคำตอบที่ไม่ใช่คำตอบนัก
“ตอบตามตรง ผมกลัวการเริ่มต้นใหม่ แต่ก็ขอบคุณนะครับพี่เมฆ สำหรับทุกอย่าง ผมยังยืนยันนะว่าผมไม่ได้เป็นอะไรกับจอนแล้ว แต่...ผมคิดว่าผมยังไม่พร้อมสำหรับการเริ่มต้นใหม่ตอนนี้จริงๆ”
อโณชาเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้าที่กำลังจ้องมองมายังเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“แต่พี่เมฆจะให้ผมมองพี่บ้างใช่มั้ยครับ ตอนนี้ผมก็ทำตามที่พี่ขอแล้วนะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็มองอยู่ไม่เห็นรึไง” อโณชาตอบ พร้อมกับกะพริบตาถี่ จนอีกฝ่ายยิ้มและตบหัวเบาๆ
“นี่แน่ะ ... ทะเล้นนัก”
“โอ๊ย...” ชายหนุ่มร้องอย่างไม่จริงจังพลางลูบหัวตัวเองป้อยๆ “ผมขอเวลาสักหน่อยได้มั้ย ผมยังไม่พร้อมจริงๆ แต่เรื่องที่ขอให้มองน่ะ....ยังไงก็จะลองมองตามที่ขอก็แล้วกัน”
คำตอบของหนุ่มเมืองกรุงแม้จะสื่อความถึงการประวิงเวลา หากแต่เพียงแค่นั้นก็เปรียบได้กับหยดน้ำเล็กๆกลางทุ่งนาหน้าแล้งที่แห้งผาก แม้จะไม่ถึงกับคลายความร้อนแต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าฤดูฝนกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า
.
.
.
ตลาดในอำเภอเดิมบางไม่พลุกพล่านนัก แต่ก็ยังมีชาวบ้านร้านตลาดเดินไปมาอยู่บ้าง เด็กหนุ่มจากเมืองกรุงเดินเตร็ดเตร่อยู่อย่างไรจุดหมาย หลังจากที่ถูกขับรถพามาส่งที่นี่เพื่อให้กลับบ้าน แต่ด้วยปัญหาที่รออยู่ที่กรุงเทพ ทำให้ชายหนุ่มยังมืดมนไร้หนทางที่จะไปต่อ
“ร้อนชิบ” เด็กหนุ่มสบถ ก่อนจะเหลือบไปเห็นที่ว่าการอำเภอ และเขาเลือกที่จะนั่งพักหลบแดดที่นั่น
ตะวันตรงหัว ข้าราชการข้างในเริ่มออกมาหาข้าวกลางวันกินกันแล้ว ขจรเกียรตินั่งมองคนเหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะสะดุดตากับชายหนุ่มที่คุ้นตาในความรู้สึก
“คุณ!!!” จอนทักชายในชุดสีกากีคนหนึ่ง ในขณะที่เจ้าตัวที่ถูกทักมองคนทักด้วยแววตาที่เบิกโพลง
“ผมไม่รู้จักคุณ”
“ผมก็ไม่รู้จักพี่ แต่ผมจำพี่ได้ เราเจอกันที่บ้านเดิมบางเมื่อวานนี้”
นฤบดินทร์ถอนหายใจเบาๆ จากที่ฟังมา เด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่น่ารู้จักเลยสักนิด “เราไม่รู้จักกันแน่ๆ ผมยืนยัน แต่ช่างเถอะ เอาเป็นว่า คุณมีธุระอะไรกับผม”
“พี่จะไปไหนครับ”
“เที่ยงแล้ว ผมกำลังจะไปกินข้าว”
“อืมม งั้นหรอ” เด็กหนุ่มครุ่นคิด “อืมไปกินข้าวก่อนก็ไม่เลวนะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม”
“ผมไปด้วยไง” จอนยิ้มกว้าง
“เฮ้อ” เกษตรอำเภอถอนใจเฮือกใหญ่ พลางบ่นในใจ
“เอาเถอะ แค่กินข้าวคงไม่เป็นไร”
.
.
.
ข้าวกลางวันของนฤบดินทร์หากจะพูดว่าไม่อร่อยก็คงไม่ผิดนักแม้จะเป็นร้านประจำที่ฝากท้องอยู่ทุกมื้อเที่ยง และนั่นคงเพราะวันนี้มีเด็กหนุ่มที่ทำให้เกษตรอำเภอคนนี้ต้องระแวดระวังเป็นพิเศษทำให้สติสัมปชัญญะไม่ได้ถูกใส่ลงไปในประสาทรับรสเสียเท่าไหร่
“แอบมองผมจัง ชอบผมรึไงครับพี่”
“ใครเค้าแอบมองนาย”
“ก็พี่ไง .... อ้อ จะเรียกผมน้องจอน หรือจอนเฉยๆก็ได้นะ แล้วพี่ล่ะชื่ออะไร”
“หน่อง” ชายหนุ่มตอบพลางตักข้าวเข้าปากอย่างเก็บอาการ
“อืมม ....” ขจรเกียรติยิ้มกรุ่มกริ่ม “น่ารักนะ”
“ขอบใจ” นฤบดินทร์ตอบสั้นๆ ก่อนจะรวบช้อน “ผมไปทำงานต่อล่ะ”
“เย็นนี้จะไปบ้านพี่โนมั้ยครับ”
“อาจจะไปหาพี่เมฆ เอ่อ...พี่ของโนเค้าน่ะ ทำไมล่ะ”
“ผมไปด้วยนะ”
เกษตรอำเภอนิ่วหน้าอย่างสงสัย ก่อนจะถามขึ้น “แล้วทำไม นายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ”
“...เอ่อ ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าพี่หน่องไปส่งผมที่บ้านพี่โนได้มั้ย”
“ไม่รับปาก” ชายหนุ่มตอบอย่างแทงกั๊ก ด้วยความรู้สึกที่ยังคลางแคลง “นายจะกลับบ้านไปเลยก็ได้ ผมว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับนายหรอก”
“แล้วที่ไหนล่ะครับถึงจะเหมาะกับผม ก็ในเมื่อแฟนผมอยู่ที่นี่ ”
“หึหึ แต่ผมกลับรู้สึกว่า เหมือนโนเค้าออกจะรังเกียจนายด้วยซ้ำไปนะไอ้น้อง อ้อ แล้วถ้าให้ผมเดา ก็คงเพราะสาเหตุนี้แหละ ที่ทำให้คุณต้องระหกระเหินมาเตร็ดเตร่แถวนี้เนี่ย ”หน่องยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีชัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย
“ยังไงผมกับโนก็เคยเป็นคนรักกันแหละพี่” เด็กหนุ่มพูดพลางยกมืออวดแหวนเงินที่นิ้วนาง “ว่าแต่ .... พี่ไปมีเอี่ยวอะไรกับเค้า ทำไมดูเหมือนพี่จะไม่ชอบหน้าผมจัง ผมไปทำอะไรพี่หรือไงฮึ”
“ผมไม่เกี่ยวอะไรกับเค้าหรอก แต่ผมเป็นอัศวินแห่งความรักมั้ง ...” หน่องลุกออกไปจากโต๊ะ ก่อนจะหันมาทิ้งท้าย “ถ้าทำตัวไม่ดีนักระวังจะโดนลงทัณฑ์นะไอ้น้อง”
“ปัญญาอ่อนดีนะ”
“ฮ่าๆๆ คงงั้นแหละ”
“ผมรอนะพี่”
“กลับบ้านไปเถอะ”
.
.
.
บ่ายคล้อย เกษตรอำเภอบิดขี้เกียจหนึ่งทีเมื่อชาวบ้านคนสุดท้ายจากไป เขาชะโงกหน้ามาดูด้านล่างของอาคารที่ว่าการก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ เมื่อไม่พบกับคนที่เป็นศัตรูหัวใจของคนรัก
“ไปซะได้ก็ดี... พี่เมฆผมช่วยพี่ขนาดนี้ เห็นทีพี่ต้องจัดหนักให้ผมซักมื้อนะเนี่ย”
เขาบิดขี้เกียจซ้ำอีกที ก่อนจะเก็บข้าวของลงไปด้านล่าง และก้าวย่างไปที่รถของตัวเอง สัญญาณรีโมทดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างโย่งที่ซุ่มอยู่ที่พุ่มไม้โผล่พรวดออกมาและทะยานเข้าไปในรถเก๋งที่เจ้าของกำลังตกตะลึงอยู่
“เฮ้ย!!!”
กระจกฝั่งคนขับเลื่อนลง พร้อมกับโจรหน้าใสเอาหน้ายื่นออกมา
“ผมพร้อมแล้วครับ ไปกันเลยมั้ย”

 

อ๊ากกก ตอนนี้มาสายมาก ทั้งที่มา กทม แล้ว
ชีพจรลงเท้าบ่อยมากครับ พอได้หยุดก็มีงานให้เคลียร์ T T

เนื้อเรื่องตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะชอบกันมั้ย เพราะหลายๆคนบ่นว่า
เมื่อไหร่จะไปถึงไหนต่อไหนกันเสียที ผมว่า น่าจะไปไหนมาไหนกันมั่งนะครับ ฮ่าๆ

ปีใหม่ไปเที่ยวกันบ้างครับ ปีนี้ผมได้ขึ้นเชียงใหม่กับเชียงรายเป็นครั้งแรก
(ชีพจรลงเท้าจริงๆ)

ระหว่างนี้จะพยายามลงถี่มากที่สุดครับ

ขอบคุณทุกบวกทุกเป็ดด้วยครับ :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 27-12-2011 22:54:13
นางจอนนี่คงไม่มาจับหน่องต่ออีกหรอกนะ หรือว่า หน่องจะเปลี่ยนนิสัยมันได้ ฮิฮิ


ชอบพี่เมฆตอนนี้มากพระเอ้กพระเอก
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 27-12-2011 23:24:52
จอนคู่กับหน่องหรอเนี่ย อิอิ
มาเชียร์พี่เมฆกับโน ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 28-12-2011 08:45:38
พี่เมฆหล่อมากอ่ะ

ไอ้จอนนี่หนาแท้ ไล่ก็ไม่ไป
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 28-12-2011 09:17:25
สงสัยราหูกำลังจะอมหน่องแล้วละ ต้องไปแก้ก่อนปะเดี๋ยวจะแย่ :laugh:

 :pig4: คะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 28-12-2011 09:35:45
หรือจอนกับหน่องจะเป็นอีกคู่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 28-12-2011 10:26:37
พี่เมฆสู้ๆ ขอเวลาให้น้องเขาหน่อยแล้วกัน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 28-12-2011 11:11:12
 :กอด1:

คิดถึงโน+เมฆ ในที่สุดก็มา

"...โผล่พ้นทิวไผ่ที่บ้านเดิมบาง อโณชาแปรงฟันหน้ากระจกช้าๆ..."

น่าจะเป็นเมฆ นะคะ

+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 28-12-2011 11:26:43
 :-[ คืบหน้าแล้ว พี่เมฆลุยเสียที
หน่องน่ารัก  :กอด1:
 :pig4:
ก่อยนที่ทั้งคู่จะปล่อยให้สายลมทำหน้าที่ในการทำลายความ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 28-12-2011 13:56:55
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ

สนุกและได้บรรยากาศบ้านนาจริงๆ

คงจะเป็น 2 คู่ชู้ชื่นนะคะ   :L1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 28-12-2011 17:05:26
อัยย๊ะ พี่เมฆรุกแล้ว อิอิ
แต่ก็เข้าใจโนนะ ก็ทั้งเรื่องยังไม่ค่อยมีท่าทีเลย
แล้วจะมาปุบปับตอบรับพี่เมฆเลยก็ดูจะใช่เรื่อง
ว่าแต่บักจอนนี่มันจะมาอะไรๆกับหน่องรึเปล่า
ไม่อยากจะให้อะไรๆกันเลย เพราะยังจำตอนที่จอนมันด่ามันไล่โนได้เลยอ่ะ ติดลบมากกับผู้ชายคนนี้
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 28-12-2011 17:28:53
อีตาจอนจะเอายังไงกันแน่เนี่ย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 28-12-2011 21:01:49
แหม่ๆ
พอรู้ว่าเค้าไม่เกี่ยวข้องกัน :-[ พูดหยอดโนใหญ่เลยนะพี่เมฆ
ไม่ชอบนายจอนเลยอ่ะ! :m16:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 29-12-2011 00:57:40
พี่เมฆเริ่มแสดงออกชัดเจนมากขึ้น น้องโนก็น่าจะยอมรับความรักครั้งใหม่นี้ได้ในเร็ววัน  :กอด1:
แต่แอบ surprise กับจอน-หน่อง คือ ถ้า(ไอ้)น้องจอนยังไม่ทิ้งนิสัย(เลว)เดิม ๆ ก็น่าเป็นห่วงนะ
เพราะ เท่าที่อ่านมายังไม่เห็นด้านดีของอิน้องจอนเลย ( นอกจากหน้าตา ? )

ปีใหม่ทางนี้จะไปลั้นลาที่หัวหิน แต่ไม่แน่ใจว่ากำลังวิ่งเข้าหามรสุมรึเปล่าสิ ?
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 29-12-2011 07:40:54
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 29-12-2011 12:20:02
โหยๆๆ  ชอบเรื่องนี้จังเลยยยย
คิดถึงสมัยเด็กๆตอนที่อยู่บ้านย่า
วันหยุดก็วิ่งเล่นตามท้องนาจนตัวดำ
ฮ้าๆๆๆ :laugh:  :laugh: :laugh:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 29-12-2011 13:07:15
 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 29-12-2011 20:51:46
 o13  พี่เมฆเยี่ยม
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 01-01-2012 03:37:54
ตัวเร่ง  ออกตัวแรงมาก
มากระชั้นแบบนี้ พี่เมฆปรับแผนทันไหม
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: ลู่เคอOlive♥ ที่ 01-01-2012 22:42:30
สงสัยจอนจะเงินหมดจริง ตามติดซะ
หน่องระวังตัวด้วย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 03-01-2012 05:34:54
โธ่โน จำต้องให้ตาจอนค้างด้วย แต่พี่เมฆก็รุกแล้ว
หน่อง-จอน สุดท้ายจะคู่กันหรือเปล่า หน่องระวังตัวดีๆ น้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนจอนจะยังไม่เลิกล้มความตั้งใจเรื่องโนง่ายๆ
เป็ดเป็นกำลังใจจ้ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 03-01-2012 05:45:35
:call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 03-01-2012 12:14:19
พี่เมฆสู้ๆ   555  ในที่สุดก็กล้าที่จะพูดออกไปแล้วน้อ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๑ (๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๔)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 03-01-2012 13:47:32
จอนกับหน่อง
หรอเนี่ย อุอุ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 04-01-2012 20:59:51
ตอนที่ ๑๒

“อะไรของนายเนี่ย!!!!” เกษตรอำเภอหนุ่มตวาดชายที่ไม่ใครคุ้นหน้าลั่น หากแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด
“ขอติดรถไปลงบ้านพี่โนหน่อยสิครับพี่”
“ผมไม่ได้บอกว่าผมจะไปที่นั่น”
“ผมรู้ว่าพี่หน่องใจดี ไม่ใจไม้ไส้ระกำกับผมหรอก”
นฤบดินทร์กำมือแน่น ถึงเขาจะไม่ได้ใส่ใจกับชายคนนี้นัก แต่เขาก็ไม่พอใจกับพฤติกรรมเยี่ยงกองโจรแบบนี้
“นี่มันไม่ตลกเลยนะครับ” ชายหนุ่มบดกรามแน่น
“ผมจริงจังนะครับ” ขจรเกียรติพูดเสียงอ้อน “ผมรบกวนแค่นี้เอง อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ พี่ไม่อยากไปเจอแฟนพี่หรอ”
เกษตรอำเภอหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มในรถ หากแต่เขาพยายามเก็บซ่อนอาการเอาไว้ “ผมไม่ได้มีแฟนที่นั่น นายคงจะเข้าใจผิด”
“เอ๋ .... งั้นหรอครับ ผู้ชายผิวเข้มๆที่พี่หน่องชอบไปยืนข้างๆไม่ใช่แฟนพี่หรอกหรอ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “แต่ผมว่านะ .... พี่ต้องแอบชอบพี่คนนั้นอยู่แหละ ตาพี่มันฟ้อง”
“มันไม่ใช่เรื่องของนาย!!!” ชายหนุ่มแผดเสียง “ลงไปจากรถของผม....เดี๋ยวนี้”
“พี่หน่องครับผมขอร้องเถอะ” นายจอนยังอ้อนวอนต่อไป “ผมไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ”
นฤบดินทร์ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นของอีกฝ่ายคล้ายจะจริงใจและตรงไปตรงมาในความคิดของเขา แต่ประวัติที่แสนจะน่ากลัวของคนๆนี้ก็น่ากลัวจนยากจะไว้ใจ อย่างไรเสีย หลังจากที่เขาชั่งใจอยู่ครู่เดียว นฤบดินทร์ก็ก้าวขึ้นไปในรถโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
.
.
รถของนฤบดินทร์มาถึงบ้านของอโณชาในตอนเย็น เขาทอดตามองเข้าไปในบ้านก่อนที่คนที่นั่งมาด้วยจะโดดลงจากรถพร้อมด้วยเสียงตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน
“พี่โน พี่โนครับ”
“คุณโนไม่อยู่หรอกค่ะ คุณ” บ่าวทองเดินออกมาบอกกล่าวแก่แขก
“พี่โนไปไหนหรอครับ”
“สงสัยจะยังไม่กลับจากนาล่ะมังคะ”
“พี่หน่องพาผมไปหาพี่โนนาได้มั้ยครับ” เด็กหนุ่มหันมาขอร้อง
“นี่ผมกลายเป็นคนขับรถของนายตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ผมขอร้อง...”
“อืม เอาเถอะ ผมจะพาไป”

ทุ่งรวงทองของอโณชาพลิ้วไหวไปตามสายลมยามเย็นปรากฏเป็นภาพระลอกคลื่นสีเหลืองทองทาบทับกับแดดอ่อนยามสายัณห์ เจ้าของที่นานั่งมองอย่างนั้นอยู่ข้างๆชายหนุ่มที่เพิ่งจะสารภาพความรู้สึกในใจ เขารู้ดีว่าชายผู้นั้นคงจะแอบมองหน้าของเขาอยู่หากแต่ด้วยความรู้สึกเขินอายทำให้อโณชาเลือกที่จะหลบตาคู่นั้นและทอดมองภาพเบื้องหน้าแทนแววตาวาบหวามคู่นั้น
มือเรียวที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่สงบนิ่ง หากแต่ความงามของมุมได้เชื้อชวนให้อีกคนที่มือเหมือนจะกร้านกว่าค่อยๆเขยิบมือของตนให้ใกล้มือเรียวของเจ้าของที่นาช้าๆ ก่อนที่จะสัมกับปลายนิ้วก้อยอย่างสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น
“ถือโอกาสแตะเนื้อต้องตัวแบบนี้เดี๋ยวคะแนนความชื่นชมจะตกนะครับ”
“อ่ะ เอ่อ...”เมฆินทร์รีบชักมือกลับ พลางเสตามองไปทางอื่น “พี่ขอโทษ ก็แค่....พระอาทิตย์มันสวยดี”
หนุ่มกรุงหัวเราะเบาๆกับคำตอบที่ไม่ค่อยเข้าทีของอีกฝ่าย ก่อนจะหันมายิ้มให้ “แต่หงอๆแบบนี้ก็คะแนนตกได้เหมือนกันนะ”
“แล้วจะให้ทำยังไงเล่า”
อโณชากลอกตาหยอกล้ออย่างมีชัย ก่อนจะหันมองไปทางอื่น “ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ทำตัวตามปกติสิ”
“เอ่อ ... พี่ก็แค่”
“ผมหมายถึง ลองทำอย่างที่ใจอยากทำน่ะ”  อโณชาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะส่งสายตาไปยังมือของตัวเองที่วางอยู่เป็นการบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ และไอ้หนุ่มบ้านนาก็ไม่ได้ถึงกับเดียงสานักเมื่อเห็นการบอกใบ้เช่นนี้ เมฆินทร์ยื่นมือสั่นระริกของตนมายังมือของอีกฝ่ายช้าๆ ก่อนจะรู้สึกสัมผัสที่นุ่มมือ เขากุมมือนั้นเบาๆด้วยหัวใจที่เต้นรัว หากแต่เจ้าของมือกลับเลือกที่จะมองไปทางอื่นเหมือนไม่ใส่ใจในคำดุที่แกล้งพูดออกไปในครั้งแรก จนเมฆินทร์ได้ใจกุมมือนั้นแน่นขึ้นอีก....
“พี่โน ... พี่โนครับ” เสียงของขจรเกียรติดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับกับเจ้าของเสียงจนทั้งอโณชาและเมฆินทร์ต้องหันกลับไปมอง
“จอน .... ทำไมถึงยังไม่กลับกรุงเทพไปล่ะ...แล้ว”อโณชามองผ่านไปยังด้านหลัง นฤบดินทร์เดินตามมาด้วยสีหน้าเรียบๆ ก่อนจะตอบแทนคนที่ถูกถาม
“ผมพามาเอง .... เห็นเขาบอกว่าเขาไม่มีที่จะไป” เกษตรอำเภอถอนหายใจ “บางทีโนกับเด็กคนนี้อาจจะต้องเคลียร์กันก่อน”
“ผมคิดว่าผมไม่มีอะไรต้องพูดกับเค้าอีก”
“ทำไมพี่โนพูดแบบนั้น พี่โนลืม...ลืมทุกสิ่งทุกอย่างของเราไปแล้วหรอครับ” เด็กหนุ่มทรุดตัวลงตรงหน้า
“พี่ไม่ได้ลืม แต่จอนนั่นแหละเป็นคนทำลายมัน” อโณชาเบือนหน้าหนี “และพี่ไม่อยากพูดถึงมันอีก”
“พี่โน ผม...” ขจรเกียรติโผเข้ากอดอดีตคนรักด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา “ผมขอโอกาสอีกครั้งเถอะนะครับ หรืออย่างน้อย ผมแค่อยากอยู่กับพี่สักระยะหนึ่ง ได้มั้ยครับ”
อโณชาดูตกใจไม่น้อยกับภาพและท่าทีของอดีตคนรัก เขาค่อยๆดึงมือข้างที่ถูกกุมไว้ออกมาเพื่อลูบหลังนที่กำลังร้องไห้ในอ้อมกอดเบาๆ ก่อนจะผละตัวออก
“เอ่อ ...พี่”
“ผมแค่ขออยู่ด้วยกับพี่เท่านั้น ส่วนเราจะกลับมาเหมือนเดิมมั้ย ผมขอแค่ให้เวลาและหัวใจของผมพิสูจน์ให้พี่เห็น “
ชายหนุ่มเหลือกตาขึ้นสูงและกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “เอาเถอะ ถ้าไม่มีที่ไปจริงๆ จะมาอยู่ด้วยกันกับพี่ก็ได้ แต่พี่คิดว่า พี่ไม่ต้องการเวลาสำหรับพิสูจน์อะไรอีกแล้ว .... ที่เรายังมีต่อกันคงเป็นแค่ในฐานะเพื่อนมนุษย์”
ดวงตาของนายจอนกลับมามีประกายอีกครั้ง เขาโผเข้ากอดอโณขาพร้อมกับคำขอบคุณ “ขอบคุณ ขอบคุณมากครับ แต่ผมยืนยันว่า ผมจะพิสูจน์ตัวเองให้พี่เห็น พี่จะได้รู้ว่าผมน่ะรักพี่”
อโณชาหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับเมฆและหน่อง “ผมขอตัวก่อนนะครับ ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนกันไปหมด”
“เดี๋ยวก่อนโน!!” เมฆินทร์เอ่ยเรียก เมื่ออโณชาหันหลังไป “แล้วพี่...”
“ผมยังยืนยันคำพูดของผม พี่เมฆเชื่อใจผมสิครับ” เขายิ้ม ก่อนจะพานายจอนและตัวเองขึ้นขี่ไอ้รอดเดินลับไป

“นี่มันยังไงกันเนี่ยหน่อง” เมฆินทร์ถามรุ่นน้อง ที่ยังคงตตีหน้าเรียบเฉย
“ก็...ไม่ยังไงนี่ครับ”
“พาไอ้บ้านั่นมาทำไม!!!”
“เอ่อ.... ผมขอโทษ” เกษตรอำเภอหน้าถอดสีเล็กน้อย “เขามาเตร็ดเตร่อยู่แถวอำเภอ แล้วบังเอิญมาเจอผม แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นมานิดหน่อย มันเป็นเรื่องแบบตกกระไดพลอยโจนน่ะครับ”
“ไม่ใช่ว่ามันเป็นแผนของหน่องหรอกใช่มั้ย”
“พี่เมฆ!!!” นฤบดินทร์พูดเสียงดังด้วยโทสะ “ทำไมพี่ถึงคิดแบบนั้น ไม่ใช่เพราะผมหรอที่คอยให้คำปรึกษา ให้กำลังใจพี่ แต่แค่นี้พี่ก็มองผมแบบนั้นแล้ว ...”
นฤบดินทร์พูดด้วยดวงตาที่ชื้นแฉะจากน้ำตา ก่อนจะระเบิดอารมณ์ต่อ “พี่คงจะก้าวหน้ากับโนไปอีกขั้นแล้วสิ แต่พอไอ้จอนมันกลับมาพี่ถึงได้ไม่พอใจผม....ผมเห็นนะว่าพี่ทำอะไรกันเมื่อกี๊”
เมฆินทร์สีหน้าสลดลงเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ “หน่อง พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้หน่องเสียใจ”
“พี่ไม่เคยแคร์ผมเลยต่างหาก!”
“พี่ ... ขอโทษจริงๆหน่อง”
พระอาทิตค่อยๆลับหายไป ท่ามกลางความเงียบของทั้งคู่ และความน้อยใจขอนฤบดินทร์ที่ไม่อาจซ่อนไว้ในแววตา
“ผมขอตัวก่อนแล้วกัน”
.
.
.
“เป็นอะไรไปหรอครับพี่ ดูเหมือนใจลอยๆชอบกล” จอนถามขึ้นในขณะที่ทั้งคู่อยู่บนโต๊ะอาหาร
“เอ่อ เปล่าหรอก”
“ผมขอโทษที่ทำให้พี่โนต้องลำบากใจนะครับ”
“ช่างมันเถอะ” อโณชารวบช้อน ก่อนจะถามขึ้น “แล้วทำไมถึงได้บอกว่า ไม่มีที่จะไปล่ะ”
“เอ่อ....คือ” เด็กหนุ่มอึกอัก “ผมทะเลาะกับที่บ้านน่ะครับ”
“งั้นหรอ...” อโณชาหลิ่วตา “พี่ไม่เคยได้ยินเหตุผลนี้จากจอนนะ”
“จริงๆนะครับ”
“เอาเถอะ พี่จะลองเชื่อดู....อีกสักครั้ง”อโณชาเว้นช่วงนานกว่าปกติ “แต่พี่ยืนยันอีกครั้งว่าเราคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรอก”
“เพราะไอ้เขมรนั่นสินะ” ขจรเกียรติสบถ
“อย่าไปว่าพี่เมฆแบบนั้น ถ้าจะมีใครสักคนที่ทำให้พี่เปลี่ยนใจ นั่นก็เพราะจอนเองที่ทำตัวเอง พี่ยังไม่ลืมวันนั้นหรอกนะ”
ขจรเกียรติสลดลงเล็กน้อย พลางรวบช้อนลง “ผมขอโทษ ... ผมเสียใจนะกับเรื่องวันนั้น และผมก็...เสียใจที่เสียพี่ไป ทุกครั้งที่ผมนึกย้อนกลับไป ผมถึงมารู้ว่า ผมไม่ควรทำแบบนั้นกับพี่เลย”
“ไม่มีใครย้อนเวลาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับผลการกระทำของตัวเอง” อโณชายิ้มมุมปาก “เอาเถอะ พี่จะช่วยเท่าที่พี่พอจะช่วยได้แล้วกัน”

ลมหนาวยามค่ำคืนโลมไล้ผิวกายของอโณชา เขานั่งป้อนหญ้าให้ไอ้รอดอย่างเคย หัวใจเขาครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆมากมาย รวมถึงคำพูดของชายคนนั้น
“ไอ้รอด ... ชั้นว่า บางทีชั้นเองก็อาจจะรักพี่เมฆอยู่เหมือนกันนะ”
ชายหนุ่มรำพัน พลางกอดตัวเองแน่น “แต่ชั้นกลัวนะ ไม่รู้สิ ความรักมันจะยืนยาวไปได้นานสักเท่าไหร่กัน บางทีถ้าเราอยู่แบบนี้ มันก็อาจจะดีกว่าต้องเสียใจในวันที่ความรักจากเราไปนะ แกว่ามั้ย”
ควายรอดเคี้ยวเอื้องอย่างเชื่องช้า จนหญ้าที่อยู่ในมือของอโณชาหมดลง เขาพลิกตัวไปหาควายคู่ใจพลางลูบหัวของมันช้าๆ “ชั้นไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย บางทีถ้าชั้นอยู่คนเดียวแบบนี้ต่อไปอีกสักหน่อย ชั้นอาจจะสามารถอยู่คนเดียวโดยไม่ต้องการความรักหรือความสงสารจากใครก็ได้นะ”
“ไม่ดีหรอกครับเจ้านาย ....รอดอยากจะบอกเจ้านายว่า อาจจะมีใครที่สามารถฝึกตนให้พ้นจากความรักและความสงสารได้ แต่ผมยังไม่เคยจะเห็นใครหลุดพ้นจากความเหงาได้สักคน”
เสียงดังมาจากข้างหลังของอโณชา น้ำเสียงนั้นคุ้นหูจนทำให้เขาเลือกที่จะไม่หันไปด้วยความเชื่อใจ
“ช่างพูดนักนะ ไอ้รอด ชั้นไม่ได้เหงาสักหน่อย”
“แต่เจ้านายก็มาพูดกับผมแบบนี้ไม่ใช่หรอ ถ้าเจ้านายไม่เหงา คงไม่มาพูดกับควายหรอก”
“ไปเอามาจากไหนล่ะครับเนี่ย คำคมนี้เนี่ย” อโณชาหันมายังต้นเสียงที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่
“พี่อ่านเจอจากหนังสือน่ะ ความรักอาจจะมีหลายด้าน แต่พี่อยากให้โนเชื่อใจในตัวพี่นะ”
เจ้าของบ้านยิ้มให้กับแขกผู้มาเยือนยามวิกาล ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“มาทำไมดึกดื่น”
“พี่ก็แค่....เอ่อ ไม่ไว้ใจมัน”
“มัน?.... จอนน่ะหรอ”
“อืม”ชายหนุ่มรับคำ
“ที่พี่ควรจะเชื่อใจคือผม ไม่ใช่จอน แต่ผมก็บอกพี่ไปแล้วนี่นาว่าผมกับจอนไม่ได้มีอะไรต่อกันแล้ว”
“แต่พี่ ... เอ่อ จะพูดว่ายังไงดี จะว่าหึงก็ได้แหละมั้ง” เมฆินทร์ยอมรับตามตรง
“ฮ่าๆๆ ผมว่าผมยังไม่ได้บอกว่าผมกับพี่เมฆเป็นอะไรกันถึงขั้นไหนนะครับ” อโณชายิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าผมจำไม่ผิด พี่เมฆบอกให้ผมลองมองพี่เมฆสักหน่อย”
“โธ่ โนก็... ไม่เข้าใจพี่เลย” ชายหนุ่มพ้อ
“แล้วมาเห็นแบบนี้พอใจหรือยัง— ถ้าพอใจแล้วก็กลับไปได้แล้ว ค่ำมืดดึกดื่น”
“ยังหรอก ยังไม่พอใจ” เมฆินทร์ยิ้มกรุ้มกริ่ม “ถ้าจะให้พอใจคงต้องให้กอดให้ชื่นใจสักหน่อย”
“ทะลึ่งแล้ว พี่เมฆ” อโณชาขยับตัวหนี “ผมจะขึ้นนอนแล้ว กลับบ้านกลับช่องไปได้แล้ว”
“ล้อเล่นหรอกน่า ไม่ทำจริงๆหรอก แต่โนจะอยู่กับพี่อีกสักเดี๋ยวไม่ได้หรอ ลองเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้าสิ” เมฆินทร์เงยหน้าก่อนเป็นการเชื้อเชิญ “คืนนี้ดาวออกจะสวย”
“ก็งั้นๆแหละ.... แต่เอาเถอะ จะอยู่เป็นเพื่อนให้สักหน่อย”
อโณชาทรุดตัวลงนั่งบนม้าหินอีกครั้ง ก่อนที่แขกยามวิกาลจะนั่งลงข้างๆ ลมหนาวของฤดูเก็บเกี่ยวพัดผิวกายของคนทั้งคู่ และเหมือนอะไรๆจะเป็นไปตามสัญชาตญาณ ร่างกายของทั้งสองคนขยับชิดกันจนไหล่เกยก่อนที่ไอ้หนุ่มบ้านนาจะคว้าไหล่อีกข้างของหลานชายยายฉลวยไว้แล้วเลื่อนมือไปยังศีรษะของคนข้างๆให้โอนอ่อนลงมาบนไหล่กว้างของตน
“ลองดูดีๆสิโน ถ้ามองจากมุมนี้....ตรงนี้ มันจะสวยมากๆเลยล่ะ”

มาลงช้าอีกแล้ว > <

ขอโทษด้วยครับ เพราะผมไปเที่ยวที่เชียงรายมา
เพิ่งได้กลับเมื่อวาน
(เป็นข้ออ้างที่ฟังแล้วไม่ปลื้มเลยเนาะ ฮาๆๆ :laugh:)

จะพยายามมาต่อให้ไวกว่าเดิมเป็นของขวัญปีใหม่นะครับ
แล้วก็สวัสดีปีใหม่ทุกคนครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 04-01-2012 21:06:21
จอน จะมาดีหรือร้ายอีกนะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 04-01-2012 21:19:20
แอบรำคาญจอน
แต่ว่าพี่เมฆนี่แกบุกมาบ้านเลยรึ
หลอกแตะอั๋งน้องเค้าอีกแล้ว ฮ่าๆ จอนมาเห็นคงบาดใจพอดู
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 04-01-2012 21:21:24
นายจอนมาป่สนจริงๆคนรักเค้าจะหวานกัน

กดบวกและเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 04-01-2012 21:25:14
เอา อิจอนนี่ไปทิ้งไกลๆที เค้าอุตส่ามานี่แล้วยังตามมาอีกหน้าด้านจริงๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 04-01-2012 21:27:09
ยังไงก็ไม่ชอบนายจอนอ่ะ !
ตอนนี้พระนายเค้ามีหวานกันนิดๆ
 :-[
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 04-01-2012 21:31:19
หวานละมุนลุ้นกันตัวโก่งอีกแล้ว  ไอ้คุณหน่อง  ไปไกลๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 04-01-2012 22:04:03
หน่องกับจอนคงจะสร้างปัญหาให้กับพี่เมฆและน้องโนไปอีกนาน  :เฮ้อ:

ไล่ก็ไม่ไปซะด้วย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 04-01-2012 23:01:18
เหนื่อยใจกับบักจอนจริงๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: mr.tou_chi ที่ 05-01-2012 02:25:43
ทำไมบรรยากาศมันบ้านน๊อกกกก บ้านนอก แต่ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เขินอ่ะ ไอ่จอน เดี๊ยวออกค่ารถกลับกรุงเทพให้ไปเลยป่ะ...
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 05-01-2012 09:58:49
พี่เมฆน่ารักอ่ะ จริงใจดี ไม่เยอะไม่แยะ

ส่วนไอ้จอน เป็นปลิงหรือเปล่าเนี่ย สลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุดซะที :m16:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 05-01-2012 10:36:38
หวานเกิ๊นนน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 05-01-2012 10:56:53
 :-[  :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 05-01-2012 15:06:53
แหมกำลังจะหวานแล้วเชียว นายจอนดันโผล่มาซะก่อน

 :pig4: คะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 05-01-2012 16:35:58
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 05-01-2012 17:03:14
 :impress3:   ขอหวานๆล่ะกัน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 05-01-2012 17:52:44
ทีเมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้นะพี่เมฆ :laugh:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 05-01-2012 18:23:28
มีตัวขัดขวางตลอดเลย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 05-01-2012 19:52:23
ซังบักจอน ฮ่าๆๆ
มักพี่เมฆเด้
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 05-01-2012 20:24:08
อ่าว อ่านเพลิน หมดซะแล้ว รอตอนต่อไป หลังจาก ที่อ่าน ทั้งสองเรื่องก่อนหน้าไปจบแล้ว ทั้งเรื่องของลม และเรื่องของพี่เต้ กับเจ๋ง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 05-01-2012 20:44:08
พี่เมฆเปลี๋ยนไป๋
เดี๋ยวนี้ปากว่ามือถึงนะจ้า  แต่แบบนี้แหละที่ชอบ ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 06-01-2012 02:54:29
เฮ้อออ :เฮ้อ:
เรื่องที่กำลังจะดีขึ้น  มันชักจะไปกันใหย่แล้วนา
สงสารหน่องจริงๆเลย  เกลียดไอ้จอนนนน :angry2:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 06-01-2012 22:35:11
ยังไง ๆ อิน้องจอนก็ไม่น่าไว้วางใจเป็นที่สุด  :m26:
ใจดีให้อยู่ด้วย ต้องเป็นตัวปัญหาแน่ ๆ แมลงศัตรูพืชต้องรีบกำจัดให้สิ้นซาก  :angry2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: winamp ที่ 07-01-2012 00:16:58
 o13 o13 o13 o13 o13

ต้องติดตามแล้วเรื่องนี้ ชอบแนวท้องทุ่งมันคันทรี่ดี

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: name ที่ 07-01-2012 00:24:29
หน่องน่าสงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 07-01-2012 01:18:20
ตอนที่ ๑๓

“พี่โนว่ายังไงนะครับ จะให้ผมเนี่ยนะไปช่วยเกี่ยวข้าว!!!” ขจรเกียรติถามย้ำอย่างตกใจ เมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่บนม้าหินด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ก็ใช่น่ะสิ ไหนๆก็อยู่ว่างๆ จะช่วยงานแทนค่าที่พักไม่ได้หรือไง”
“แต่ผมไม่เคยทำ ดูแล้วไม่น่าใช่งานง่ายเท่าไหร่นะ”
“ไม่ยากหรอก แค่ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ก็ไหนบอกอยากจะยอมทำทุกอย่างไง อีแค่นี้ก็บ่นเสียแล้ว”
“เฮ้อ .... ก็ได้ครับ ยังไงซะก็ดีกว่ากลับไปกรุงเทพตอนนี้”
อโณชาหลิ่วตาอย่างสงสัยเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม “พี่ถามจริงๆนะจอน ทำไมจอนถึงไม่กลับกรุงเทพ ถ้าแค่ทะเลาะกับแม่มันไม่น่าจะ.... พี่ดูจากท่าทีของจอนแล้วมันน่าจะมีเรื่องร้ายแรงกว่านี้”
“เอ่อ...ไม่ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“แต่พี่ว่ามี ในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง พี่ยังเป็นห่วงจอนอยู่นะ”
ขจรเกียรติหันมามองอดีตคนรักช้าๆ ก่อนจะหลบตาลง “ขอบคุณนะครับ แต่ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่....ทะเลาะกับแม่น่ะ”
“เอาเถอะ ไม่เป็นไร” อโณชาตัดบท “พี่ไปนาก่อน จักรยานที่ใต้ถุนน่ะจอนจะขับไปไหนก็ได้นะ”
.
.
.
อโณชาขี่ไอ้รอดเยื้องย่างมาถึงบ้านผู้ใหญ่มั่น เบื้องหน้านั้นลูกชายผู้ใหญ่กำลังฉีกยิ้มให้อย่างมีความสุขเมื่อเห็นแขกผู้มาเยือน
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่เมฆ”
“อื้ม....เมื่อคืนหลับสบายมั้ย”
“เอ่อ.... ก็ดีครับ”
“แต่พี่หลับไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ อยู่ๆก็รู้สึกว่านอนคนเดียวมานานเกินไปแล้ว”
“หรอออออ” หลายยายหลวยลากเสียงยาว “เยอะนักนะ”
“แฮ่ๆๆ ไม่เท่าไหร่หรอกน่า”
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่า พี่จะช่วยผมอย่างที่บอกใช่มั้ย”
“อื้ม ช่วยสิ เราไปกันเลยมั้ย”
“ครับพี่”
ชายหนุ่มสองคนกับความสองตัวค่อยๆก้าวไปข้างหน้าบนถนนลูกรังของบ้านเดิมบาง เมฆินทร์พาอโณชาไปหาชาวบ้านเพื่อแนะนำให้รู้จักและขอแรงให้มาช่วยลงแขกกันที่นาของหลานนางฉลวย และด้วยมิตรจิตมิตรใจที่ชาวบ้านแห่งนี้มีให้กันมาตลอด ทุกคนจึงไม่ปฏิเสธต่อคำขอร้องของลูกชายผู้ใหญ่บ้านคนนี้
.
.
.
“เฮ้อออ” หนุ่มกรุงถอนหายใจเบาๆ บนเถียงนา ก่อนจะล้มตัวลงนอนกางแขนอย่างหมดแรง เมฆินทร์มองเขาด้วยเอ็นดูก่อนจะใช้มือลูบไรผมที่ปรกหน้าอโณชาอยู่
“เหนื่อยหรอ”
“เปล่าหรอกครับ อากาศมันร้อนๆน่ะ”
“โนรู้มั้ย” เมฆินทร์ยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะพูดต่อ “วันนี้โนทำให้พี่รู้สึกอะไรบางอย่าง”
“ยังไงหรอครับ” 
“พี่รู้สึกเหมือน พาแฟนไปให้ใครๆรู้จักน่ะ”
“บ้าเหอะ!!!” อโณชาสบถหน้าแดง พลางดีดตัวขึ้นมาทันที“ผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ทั้งนั้นนะ”
“แล้วจะเป็นเมื่อไหร่ล่ะ พี่รอมานานแล้วนะ”
“นานที่ไหน เพิ่งจะบอกเมื่อไม่กี่วันเอง”
“ใครบอกว่าไม่นาน ตั้งแต่วันที่พี่เจอโน .... หลายปีแล้วนะที่พี่รออยู่” เมฆินทร์ลูบแก้มของอโณชาอย่างแผ่วเบา “ไม่เห็นใจพี่บ้างหรอ”
“พี่เมฆ...” อโณชาหลบสายตาอ่านใจของอีกฝ่าย หากแต่ร่างกายยังคงไม่ไหวติงปล่อยให้เมฆินทร์ไล้แก้มขาวของตน
“อีกนานไหมโน ที่พี่จะได้ยินคำนั้น แววตาของโนตอนนี้ทำให้พี่คิดว่าในใจของเราคงจะคิดไม่ต่างกันหรอก”
ชายหนุ่มจับมือกร้านของอีกฝ่ายให้หลุดจากใบหน้าของตน ก่อนจะยิ้มให้
“อีกไม่นานหรอกครับ .... ผมเริ่มคิดว่าที่เดิมบางน่าอยู่กรุงเทพเป็นไหนๆเลยล่ะ”
“โนจะอยู่ที่นี่ กับพี่ตลอดไปงั้นหรอ?”
“เปล่าซะหน่อย” อโณชายิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมจะอยู่กับป้าทอง นังทิ้ง แล้วก็ลุงวันต่างหากเล่า”
“อ้าว แล้วพี่ล่ะโน”
“ก็อยู่บ้านตัวเองไปสิ ผมก็มีบ้านของย่านี่นา” ชายหนุ่มหัวเราะพลางหันหลังให้ “ผมกลับบ้านดีกว่า”
“นี่แน่ะ เล่นลิ้นดีนัก” เมฆินทร์ตะครุบหนุ่มกรุงจากข้างหลังพร้อมทั้งกอดเขาไว้แน่น แต่อโณชาก็ไม่ได้สะทกสะท้านกลับหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันมาพูดกับหนุ่มบ้านนาผิวเข้ม
“ถ้าอย่างนั้น เอาเป็นว่า ผมจะอยู่ตรงนี้ แค่ตะวันตกดินก็แล้วกัน .... หรือจนกว่าพี่จะเบื่อที่จะทำแบบนี้”
“ถ้ารอพี่เบื่อ บางทีตะวันตกดินคงไม่พอหรอกโน”
ลมทุ่งพัดมาอีกระลอกหนึ่ง หากแต่เสียงของสายลมก็ไม่ดังเท่ากับเสียงสองหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน อโณชาเอนหลังพิงแผงอกของเมฆินทร์พลางหลับตาลงช้าๆ และปล่อยให้เมฆินทร์โอบกอดจากด้านหลัง เขานึกขอบคุณความโหดร้ายของสังคมเมืองหลวงอยู่ไม่น้อยที่เป็นเหมือนสายลมพัดพาให้เขาได้มายืนอยู่ที่นี่และได้มาอยู่ในอ้อมแขนของพี่ชายคนนี้ ....
....ไม่สิ เมฆินทร์คงอยากจะเป็นมากกว่านั้น แต่ทว่า อโณชาคงนึกสนุกอยู่ไม่น้อยกับการหยอกคนตัวโตให้แง่งอนกับการเล่นตัวของเขา ทั้งที่ตอนนี้ เขาคงแน่ใจแล้วล่ะว่าใจที่เคยบอบช้ำของตนนั้น ควรจะมอบให้ใครเป็นผู้ดูแลต่อไป
.
.
.
นฤบดินทร์นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนโต๊ะทำงานในวันที่ไม่ค่อยมีใครมาหาเท่าไหร่ เขาครุ่นคิดถึงความลำเอียงที่เมฆินทร์หยิบยื่นให้เขาเสมอไม่ว่าจะนานสักเท่าไหร่ และไม่ว่าจะนานสักเท่าไหร่ที่เขานึกโกรธตัวเองไม่น้อยไปกว่าความรู้สึกน้อยใจนั่นก็คือ ทำไมเขาถึงยังรักยังเป็นห่วงรุ่นพี่จอมทึ่มคนนี้นัก
การพาขจรเกียรติไปหาอโณชากลายเป็นการสร้างปัญหาให้แก่เมฆินทร์เหมือนการขว้างก้างไปคาคอ เขาแอบสะใจอยู่ลึกๆเพราะจริงๆแล้ว หากเมฆินทร์ไม่สมหวังในความรัก บางทีโอกาสที่รุ่นพี่คนนั้นจะหันมาเหลียวแลเขาบ้างอาจจะเพิ่มขึ้นมาสักหน่อย หากแต่ด้วยความปรารถนาดีของเขาที่มีมากกว่าทำให้นฤบดินทร์รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ยอมใจอ่อนให้กับเด็กหนุ่มคนนั้น
รถของนฤบดินทร์ขับเคลื่อนมาบนถนนลูกรังของบ้านเดิมบาง ก่อนจะมาหยุดลงที่หน้าบ้านของนางฉลวย เจ้าของรถก้าวลงจากรถพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่นานนัก บ่าวทองก็ออกมาต้อนรับ
“มาหาคุณโนหรอคะ”
“เอ่อ .. เปล่าหรอกครับ ผมมาหาเอ่อ คุณจอนน่ะ”
“อ้อ ค่ะ คุณจอนอยู่ข้างบน จะให้ป้าไปตามให้มั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมไปหาเขาเอง”
นฤบดินทร์ก้าวขึ้นบันไดไปช้าๆ เขาสอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณเพื่อมองหาเด็กหนุ่มคนนั้นและเมื่อไม่พบเขาจึงตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในตัวบ้านอีก .... และเบื้องหน้านั้น สิ่งที่เขาเห็น...
“เฮ้ย นายกำลังทำอะไรน่ะ”
ขจรเกียรติสะดุ้งสุดตัว ในขณะที่เขากำลังรื้อค้นชั้นวางของในบ้านรวมถึงหีบเก่าๆที่วางเรียงรายอยู่ ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดเผือดหากแต่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติง
“นี่ใช่มั้ย จุดประสงค์ของนาย ไอ้เลว”
เกษตรอำเภอหนุ่มพุ่งเข้าไปคว้าแขนของขจรเกียรติ หัวขโมยมือใหม่สะบัดมือออกก่อนจะกระโจนหนีแต่ก็ไม่ทันเมื่อถูกนฤบดินทร์กระโดดถีบกลางหลังจนต้องร้องโอดโอย
“อ๊ากกกกกก”
“นายนี่มันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ เสียแรงที่อุตส่าห์เห็นใจ” นฤบดินทร์ล๊อกแขนของจอนไว้จากด้านหลังโดนเอาหน้าของอีกฝ่ายแนบไว้กับพื้นเรือน
“พี่หน่อง ผมขอโทษ ผมจำเป็นจริงๆ” จอนละล่ำละลัก “ถึงผมจะเลวแค่ไหนแต่ผมก็ไม่อยากจะขโมยของใครจริงๆนะพี่”
“แล้วไอ้ที่นายทำมันเรียกว่าอะไร”
“ผม.... ผมขอโทษ แต่ผมจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ”
“นายจะเอาเงินไปทำอะไร”
“ผม....ผมติดหนี้โต๊ะบอลอยู่ห้าหมื่น แล้วพวกมันก็ไล่ตามผมอยู่” ขจรเกียรติเฉลย
“ไอ้เด็กบ้า ....ทำไมแกถึงได้สิ้นคิดนักนะ” นฤบดินทร์สบถ “แล้วก็หาทางออกด้วยการขโมยเนี่ยนะ แกมัน....โอ๊ย ไม่รู้จะด่ายังไงดีเว้ย”
“พี่หน่อง .... ผมขอโทษ แต่พี่ปล่อยผมก่อนเถอะครับ เดี๋ยวพี่โนก็คงจะกลับมาแล้ว “
“แล้วไง อย่าคิดว่าชั้นจะเอาผิดนายไม่ได้นะไอ้เด็กเวร”
“ผมไม่ทำแบบนั้นแล้วครับพี่ ผมสัญญา ผมก็แค่...ไม่มีที่จะไป ผมยังกลับกรุงเทพไม่ได้ตอนนี้ ไอ้พวกนั้นมัน”
“นี่แกยังมีหน้าจะอยู่บ้านเขาอีกหรอวะไอ้จอน ชั้นไม่รู้จะนิยายความเลวให้แกยังไงดีจริงๆ”
“ผมไม่มีที่ไปจริงๆครับพี่ ได้โปรดเถอะ อย่าบอกพี่โนเลยนะครับ”
นฤบดินทร์นึกเจ็บใจอยู่ลึกๆ ไม่ว่าใครๆก็ล้วนแต่ใส่ใจความรู้สึกของคนๆนั้น มันทำให้เขาพลันนึกถึงเมฆินทร์ เขาชั่งใจอยู่ครู่เดียวก่อนจะปล่อยมือให้ขจรเกียรติเป็นอิสระ
“ชั้นขอถามนายสักหน่อยได้มั้ย”
“ครับ”ชายหนุ่มรับคำ นฤบดินทร์จ้องมองไปในแววตาคู่นั้นอย่างหาคำตอบ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอด
“นายจะสัญญากับชั้นได้มั้ย ว่านายจะไม่ทำพฤติกรรมเลวๆแบบนี้อีก”
“แน่นอนครับ ผมสัญญา ที่ผมทำเพราะจะเป็นจริงๆ”
นฤบดินทร์กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะถามคำถามต่อไป
“แล้วก็....นายยังรักโนอยู่หรือเปล่า”
“เอ่อ....”เด็กหนุ่มหลุบตาต่ำ ก่อนจะถอนหายใจ “ถ้าให้ตอบตามตรง ผมยอมรับว่ายังรู้สึกดีๆกับพี่โนครับ ในวันที่ผมจนตรอก มันทำให้ผมนึกถึงพี่โน พี่โนเป็นผู้ให้แก่ผมเสมอไม่ว่าผมจะทำเลวกับพี่เขาสักแค่ไหน และผมเองก็อยากจะกลับไปยืนที่เดิมอีกครั้ง”
ขจรเกียรติใช้มือทั้งสองข้างลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะเลื่อนออกช้าๆ “แต่ผมรู้ พี่โนเขาไม่ได้อยากให้ผมไปยืนตรงนั้นแล้ว และคนเลวๆอย่างผมก็คงทำอะไรไม่ได้
นฤบดินทร์รู้สึกอิจฉาอโณชา ที่ไม่ว่าใครๆต่างก็พากันรุมรัก ในขณะที่เขาไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจ
“ถ้าอย่างนั้น ปัญหาของนายตอนนี้ก็มีแค่ว่า นายไม่มีที่ไปสินะ”
ขจรเกียรติพยักหน้ารับ และทั้งหมดนี้ก็ครบเงื่อนไขที่เพียงพอต่อสิ่งที่นฤบดินทร์จะตัดสินใจต่อไป...
“ไปเก็บข้าวของซะ”
“อะไรนะครับ!”
“ไปเก็บข้าวของซะ แล้วไปจากที่นี่ ชั้นจะให้นายไปอยู่กับชั้น”
“พี่หน่อง!” ขจรเกียรติอุทาน เมื่อได้ยินน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย
“ชั้นจะไปรอข้างล่าง”
“เดี๋ยวก่อนครับ” จอนเอ่ยถามด้วยความงุนงง “พี่....ทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน”
“นายไม่มีสิทธิ์มาถามชั้น และอย่ามาเซ้าซี้ไปมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นชั้นอาจจะเปลี่ยนใจบอกเรื่องนี้กับโน คราวนี้นายอาจจะมีที่ไปเป็นซังเตพร้อมข้าวแดงสามมื้อก็ได้”
.
.
.
เกษตรอำเภอหนุ่มและหัวขโมยกลับใจนั่งเงียบๆอยู่ใต้ถุนเรือนของนางฉลวย ก่อนที่อโณชาและเมฆินทร์จะกลับมาหลังจากเรื่องวุ่นๆจบลงได้ไม่นาน ทั้งคู่ดูแปลกใจไม่น้อยเมื่อพบนฤบดินทร์นั่งอยู่ข้างๆกับขจรเกียรติเช่นนี้
“อ้าวหน่องมาได้ยังไงเนี่ย” เมฆินทร์เอ่ยขึ้น
“ผม...มาหาโน”
“มาหาผม?” อโณชาเลิกคิ้ว
“ครับ มีเรื่องจะขอร้อง”
“อ้อ ได้สิครับ ด้วยความยินดี”
“ได้ข่าวมาว่า โนจะเอาไอ้เจ้านี่ไปช่วยเกี่ยวข้าวงั้นหรอครับ”
“อ่ะ....ใช่ครับ “ อโณชาตอบด้วยความสงสัยอยู่ลึกๆ
“ผมคิดว่า เอาคนกรุงเทพมาทำนาเกี่ยวข้าวมันคงดูไม่ค่อยเข้าท่าซักเท่าไหร่ แล้วเผอิญผมก็กำลังหาคนมาดูแลทำความสะอาดบ้านอยู่พอดี ผมก็เลย...”
“ฮะ อะไรนะ จะให้ผมไปเป็นคนทำความสะอาดบ้าน!!!?” ขจรเกียรติอุทานลั่น แต่นฤบดินทร์ก็ถมึงตาใส่เป็นเชิงข่มขู่ทำให้ท่าทีของเด็กหนุ่มเมืองกรุงฝ่อลง ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“ถ้าไม่รังเกียจ ผมอยากจะขอยืมตัวน้องคนนี้ไปช่วยดูแลบ้านให้หน่อย อย่างน้อยน้องเขาก็จะมีรายได้ด้วย”
“เอ่อ.... จะดีหรอครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคิดว่าก็ยังดีกว่าเอาไปเกี่ยวข้าวแหละ อีกอย่าง ยังไงซะจอนเขาก็เป็นคนรู้จักของโน” หน่องปรายตามายังหัวขโมยมือใหม่ ก่อนจะพูดต่อ “ยังไงซะก็น่าจะไว้ใจได้”
“จอนว่าไงล่ะ โอเคหรือเปล่า” อโณชาหันมาถามขจรเกียรติ
“ผม...เอ่อ ...โอเคก็ได้ครับ”
“งั้นผมขอตัวกลับเลยนะครับ” นฤบดินทร์ยิ้มให้กับเจ้าของบ้าน ก่อนจะแตะบ่าของเมฆินทร์เบาๆ “ผมไปก่อนนะพี่เมฆ”
เมฆินทร์มองตามทั้งคู่ไปช้าๆ ก่อนจะหันมามองหน้าอโณชาที่งุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน ไม่นานนัก รถของนฤบดินทร์ก็แล่นออกไปและทิ้งความสงสัยต่างๆไว้เบื้องหลัง

ยังแอบเรื่อยเฉื่อยอยู่ แต่พี่เมฆกับเจ้าโนมันหวานกันทุกตอนจนคนเขียนก็ชักหมั่นไส้  :laugh:
เรื่องนี้จะมาต่อเรื่อยๆนะครับ แต่ความสม่ำเสมออาจจะประมาณนี้แหละ
เพราะกำลังสนุกกับนิยายเรื่องใหม่ ที่ได้ใช้ภาษาหรูหราสะใจนัก

โฆษณาเสียเลย เรื่องนี้

อิฐเก่าเล่าตำนาน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=31094.msg1797116#msg1797116)

เป็นเรื่องแนวย้อนยุคนิดๆ สมัยกรุงศรีอยุธยา
(ไม่นิดละมั้ง  :z6:)

เผื่อใครชอบก็ตามไปให้กำลังใจกันได้นะครับ

ขอบคุณที่ติดตามเรื่องนี้ด้วย
ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 07-01-2012 02:00:16
 :กอด1:

เอื่อยๆเรื่อยๆเหมือนเดินอยู่ในทุ่งนาดีค่ะ 555

กดเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 07-01-2012 02:36:45
ต๊ายยยยยยยยยยยยยยยไปอยู่ด้วยกันจะคบคิดการใหญ่หรือป่าวน๊าหน่อง แอบกลัวใจหน่อง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๒ (๔ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 07-01-2012 04:04:08
พึ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ ชอบมากกๆๆๆ อ่านเเล้วให้บรรยกาศบ้านนอกๆมากๆๆ ห้าๆๆๆ

ชอบๆๆๆๆ   มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


อย่าจบเศร้านะคับบ

ความรักเป็นสิ่งสวยงาม "
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 07-01-2012 08:09:17
 :3123:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 07-01-2012 09:50:26
หวานกันทีละนิด  :-[
เชียร์จอนหน่องดีกว่า 
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 07-01-2012 11:26:01
เขินพี่เมฆแทนโนจริง ๆ เลย   :-[

จอน+หน่อง น่าคิดนะ หวังว่าหน่องจะเปลี่ยนจอนให้เป็นคนดีกว่านี้ได้
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 07-01-2012 12:18:13
อย่าบอกนะว่าหน่องแค่คิดจะเอาคนร้ายไปดัดนิสัยน่ะ ไม่ได้มีอะไรที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้การกระทำนี้น่ะ
ดูมีเลศนัยชอบกล
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 07-01-2012 12:43:36
พี่เมฆขยันหยอดจริงๆ

น้องโนอย่าพึ่งใจอ่อนนะ อยากดูกลเม็ดการจีบของหนุ่มบ้านนา
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 07-01-2012 13:20:01
ไอ้คุณจอนเลววะ  แต่โดยรวมตอนนี้  น่ารักมากๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 07-01-2012 13:35:22
 :เฮ้อ: หน่องจะทำอะไรนะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 07-01-2012 14:34:16
 :impress3:  ชอบหวานๆแบบนี้แหล่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 07-01-2012 16:23:03
เฮ้อ...ชักจะยุ่งกันใหญ่แล้ว
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 07-01-2012 23:54:42
เหอ เหอ เหอ โจรกลับใจ  ถ้ากลับใจจริงๆก็ดี ให้อภัยกันได้
หน่องทำแบบนี้คิดจะแยกจอนออกจากโนเพื่อช่วยพี่เมฆงั้นหรอ
ถ้าคิดจะช่วยจริงนี่...หน่อง นายช่างเป็นคนดีที่สุดในใต้หล้า
เพราะทำแบบนี้ไปตัวเองก็ไม่ได้อะไร  แถมต้องมาลำบากอีกด้วย
แล้วทำไปใครจะรู้ใครเห็นความดีตรงนี้รึเปล่าก็ไม่รู้ 
 :กอด1:หน่อง :กอด1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 08-01-2012 14:59:59
ความอิจฉาในใจเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเราไม่สมหวัง แต่ก็ต้องมีความยับยั้งไม่ให้จิตใจเราตกต่ำไปกว่านั้น
หวังว่าหน่องจะเอาจอนไปดัดนิสัยโดยไร้จุดประสงค์ซ้อนเร้น แต่ถ้ามีนัยยะแฝง คือ เอาจอนไปเป็นเมีย ก็เชิญตามสบาย...
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 09-01-2012 19:50:43
ชอบที่พี่เมฆกับโนเค้าหวานๆใส่กันจังเลย
คือมันไม่มากไม่น้อยอ่ะ กำลังพอดี ถ้ามากกว่านี้ก็จะรู้สึกเลี่ยนไปขัดกับบรรยากาศบ้านทุ่ง ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๓ (๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 09-01-2012 20:08:55
หวานกัลจังคู่นี้ :-[
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 16-01-2012 15:04:34
“ห้องของนายอยู่ที่นี่” นฤบดินทร์ชี้ไปยังประตูห้องที่ปิดเอาไว้ในบ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่โตนักหลังตลาดที่เขาเช่าไว้ “อาจจะมีฝุ่นบ้างเพราะชั้นก็ไม่ค่อยได้ทำความสะอาดห้องนี้เท่าไหร่ ทนอยู่ไปก่อนคืนนึง หรือถ้าทนไม่ไหวจะไปเอาผ้าชุบน้ำมาลูบสักหน่อยก็ได้นะ น่าจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร”
“เอ่อ.... ขอบคุณมากครับ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ว่า...” ท่าทางของขจรเกียรติดูกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
“ผมไม่มีเงินช่วยแชร์นะครับ”
“ชั้นให้นายมาช่วยงานบ้าน ดังนั้นนอกจากจะไม่ต้องเสียเงินแล้ว นายจะได้รายได้นิดหน่อยจากชั้นด้วย”
“เอ่อ...ผมไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นได้หรอกนะครับ”
“ก็หัดซะสิ คงไม่ยากเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะทำได้หรอก”
ขจรเกียรติมองแววตาของคนข้างหน้า ก่อนจะถามขึ้น “พี่ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”
“ชั้นบอกนายแล้วว่านายไม่มีสิทธิ์มารู้เหตุผลของชั้น”
“แต่ผมไม่เข้าใจ”
“ชั้นจะนอนแล้ว... ยังไงพรุ่งนี้เจอกัน”
เกษตรอำเภอหันหลังให้กับลูกจ้างของตนอย่างไม่ใยดี ประตูห้องของเขาถูกปิดลงโดยทิ้งผู้มาเยือนให้ยืนสับสนอยู่กับคำถามและเรื่องราวหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องของตนเองไป
ภายในห้องของขจรเกียรติ แม้เจ้าของบ้านจะบอกว่าไม่ได้ทำความสะอาดเท่าไหร่ หากแต่ผ้าปูที่นอนก็เรียบตึงและผ้าห่มก็ถูกพับไว้ที่ปลายเตียงอย่างเป็นระเบียบ เขาตบที่นอนเบาๆเพื่อดูฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาก็พบว่ามันไม่ได้สกปรกอย่างที่คิดหรือตามที่เจ้าของบ้านขู่ไว้นัก ภายในห้องมีหน้าต่างอยู่สองบานให้อากาศถ่ายเท ชายหนุ่มเปิดหน้าต่างออกให้อากาศได้ถ่ายเท ก่อนจะทอดมองออกไปข้างนอก ตลาดยามหัวค่ำเงียบสงบเพื่อรอคอยความพลุกพล่านในตอนเช้ามืดวันใหม่ มันทำให้เขาคิดว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นเหมือนคนที่หลงทางและเหมือนคนที่ไม่มีค่า เขาเชิดหน้าชูตาในสังคมด้วยการเกาะคนมีเงิน และครั้งหนึ่งเขาเคยทำร้ายคนที่ดีกับเขาหลายต่อหลายคนรวมถึงชายร่างเล็กที่เขาเพิ่งถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
และในวันนี้ หมากชีวิตที่เขาวางแผนผิดพลาดเริ่มส่งผลต่อชีวิตเขาในตอนนี้ มันทำให้เขาไม่มีที่ยืนในสังคม ตลาดสดเบื้องหน้าทำให้เขานึกถึงเด็กขนผักในตลาด อย่างน้อยที่สุด คนเหล่านั้นยังมีค่าและมีศักดิ์ศรี ไม่เหมือนกับตัวเขาในตอนนี้ที่ไม่ต่างอะไรจากขยะไร้ค่าที่ใครๆต่างก็พากันผลักทิ้ง
และนี่แหละทำให้เขาสงสัยว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่ ขยะอย่างเขามีค่าอะไรให้คนอย่างนฤบดินทร์เก็บไว้เช่นนี้?

ฟากหนึ่งของประตู นฤบดินทร์ที่อาบน้ำและแต่งกายในชุดนอนลายทางกำลังนั่งเหม่อมองอยู่บนโต๊ะหนังสือพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไป เพราะความรักบ้าบออย่างไม่ลืมหูลืมตา เพราะไอ้ความรู้สึกที่ไม่เคยจะลบมันออกไปจากใจทำให้เขาต้องทำอะไรต่อมิอะไรให้กับคนๆนั้น แม้กระทั่งการพาตัวอันตรายอย่างไอ้เด็กคนนั้นมาไว้กับตัวก็ตาม
เสียงเรียกเข้าดังขึ้น เขามองเบอร์ที่โทรเข้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไงพี่เมฆ”
“หน่องกำลังทำอะไรของหน่องกันแน่”
“หมายถึงอะไรล่ะครับ”
“พี่ไม่เข้าใจว่าหน่อง....กับไอ้บ้านั่น ทำไม?”
“จำเป็นต้องใส่ใจผมด้วยหรอพี่”
“นี่หน่อง อย่ากวนได้มั้ย พี่เป็นห่วงหน่องนะ ไอ้เด็กนั่นมันไม่น่าไว้ใจ”
“คิดถึงตัวเองเถอะครับพี่เมฆ ผมทำไปก็เพื่อเป็นการรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำ ก็พี่เป็นคนบอกผมเองว่าผมเป็นคนพาหน่องมาแล้วทำให้เรื่องมันแย่ลง ตอนนี้ผมก็พาเค้าออกมาจากที่นั่นแล้วนี่”
“แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาไปเก็บไว้กับตัวนี่”
“ถึงเด็กคนนั้นจะร้ายกาจยังไงแต่เค้าก็เป็นคนนะพี่ พี่จะผลักไสเหมือนเค้าไม่มีจิตใจไม่ได้”
เมฆินทร์ปล่อยลมหายใจผ่านโทรศัพท์ ก่อนจะพูดต่อ “แล้วหน่องจะทำยังไงต่อไป”
“ช่างมันเถอะครับ พี่ก็ดูแลคนของพี่ให้ดีเถอะ”
“....พี่ขอโทษนะหน่อง พี่กำลังรู้สึกเหมือนพี่กลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก มากจริงๆ”
“ไม่ต้องมาขอโทษหรอก ผมเลือกของผมเอง ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
นฤบดินทร์วางสายลง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงและคว่ำหน้าซุกลงกับหมอนใบโตด้วยเนื้อตัวที่สั่นระริกเหมือนกำลังร้องไห้ หากแต่ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ หรือหากตั้งใจฟังดีๆ อาจจะมีคนได้ยิน เพียงแต่ใครบางคนก็คงจะไม่ได้ยินหรือใส่ใจฟัง
.
.
.
กลิ่นควันจางๆลอยเข้ามาในห้องยามสายทำให้นฤบดินทร์ตื่นขึ้นมา เขาขยี้ตาเบาๆก่อนจะเดินตามกลิ่นนั้นไปในครัว และยิ่งใกล้ต้นตอของกลิ่นเข้าไปเท่าไหร่ กลิ่นที่ว่ายิ่งชัดเจนว่ามันคือกลิ่นไหม้!
“ทำอะไรของนายเนี่ย” เจ้าของบ้านถาม เมื่อเห็นแผ่นหลังเก้งก้างของแขกลูกจ้างของตน
“เอ่อ.... พยายามมองให้เป็นไข่เจียวนะครับ” ชายหนุ่มหันมาพร้อมกับจานข้าวที่โปะด้วยไข่เจียวสีน้ำตาล
“ผีตนไหนเข้าสิงให้นายมาทำกับข้าวกินแบบนี้”
“ก็...ในเมื่อผมมาอยู่ในฐานะคนดูแลบ้าน ผมก็อยากทำอะไรให้พี่น่ะ แล้วก็อันที่จริง...ผมหิวน่ะ”
“แล้วทำไมไม่ไปหาอะไรกินข้างนอก”
“ผมมีเงินที่ไหนเล่า“
นฤบดินทร์ส่ายหน้าอย่างเสียไม่ได้ “เอาเป็นว่าชั้นขอโทษแล้วกัน ไม่คิดว่านายจะกระจอกขนาดนี้จริงๆ”
“ครับ พี่พูดไม่ผิดหรอก ผมมันกระจอก ไม่มีอะไรเลย แมงดาดีๆนี่เองแหละ”
สีหน้าของขจรเกียรติเจื่อนลง จนคนที่เผลอปากพูดออกไปรู้สึกผิดที่พูดไปโดยไม่คิดถึงใจของอีกฝ่าย
“เอาเถอะ ยังไงซะมันก็คงไม่เลวร้ายนักหรอกมั้ง” นฤบดินทร์คว้าจานข้าวไข่เจียวมาจากมือพ่อครัวฝึกหัด “ไว้ตอนเที่ยงชั้นจะพาไปหาอะไรกินในตลาด แต่อย่าคิดว่าชั้นจะเลี้ยงนะ เพราะชั้นจะเก็บไปหักเงินเดือนนาย”
“เอ่อ...ขอบคุณนะครับ”

รสชาติไข่เจียวของนฤบดินทร์ไม่ถึงกับขี้ริ้วนักแม้หน้าตาจะดูไม่ค่อยน่ากิน เบื้องหน้าของเจ้าของบ้านนั้น พ่อครัวมือใหม่นั่งกินข้าวอย่างเจียมตัวโดยไม่ได้พูดอะไรจนนฤบดินทร์ต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง
“เมื่อคืนหลับสบายมั้ย”
“ก็...หลับอยู่ครับ”
“ดีแล้ว....”

บทสนทนาจบลงสั้นๆโดยต่างฝ่ายต่างเงียบไปอีกครั้ง
“แล้ว ผมต้องทำอะไรบ้างที่นี่”
ชายหนุ่มเหลือกตาอย่างครุ่นคิดหาคำตอบ “ก็...ทำความสะอาด ....แล้วก็ นึกเอาว่าจะทำอะไรให้คุ้มค่ากับเงินวันละสองร้อยที่ชั้นจะจ่ายให้”
“สองร้อยหรอครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง แต่สุดท้ายก็รักษาอาการไว้ตามเดิม “ทำยังไงได้ล่ะ ผมไม่มีทางเลือกนี่”
“เงินทองเป็นของหายาก ชั้นว่าเมื่อก่อนนายคงจะเคยใช้เงินแต่ละวันเยอะกว่านี้สินะ”
“เอ่อ...ก็จริงแหละครับ”ขจรเกียรติตอบอ้อมแอ้ม
ต่างคนต่างเงียบกันไปชั่วอึดใจ ก่อนที่นฤบดินทร์จะเป็นฝ่ายออกคำสั่งในฐานะนายจ้าง
“กินอิ่มแล้วก็ไปหาอะไรทำซะ ห้องของนายทำความสะอาดให้ดีๆ แล้วก็ฝากกวาดถูข้างนอกให้ด้วย”
“เอ่อ.... ครับ”
.
.
.
ตะวันตรงหัวพอดี เกษตรอำเภอนั่งอยู่บนโซฟาหนังเทียมพลางเปิดทีวีโดยที่ไม่ได้ใส่ใจกับเนื้อหาละครบนจอแก้วนั้นนัก สายตาของเขาแอบเหลือบมองชยหนุ่มที่กำลังทำงานบ้านด้วยท่าทางงกๆเงิ่นๆอย่างรู้สึกขัดตาอยู่เล็กน้อย หากแต่เขาก็เก็บอาการไว้ไม่ใส่ใจในความไม่ประสาของชายผู้นั้นนัก
ไม้ถูพื้นถูกบิดเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับคนที่เพิ่งใช้งานมันค่อยปาดเหงื่อที่ผุดอยู่บนหน้าผากของตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะเดินมายังห้องโถงเล็กๆกลางบ้านเพื่อถามความต้องการของเจ้านายจำเป็นของตน
“ให้ผมทำอะไรเพิ่มมั้ยครับพี่หน่อง”
“พักก่อนก็ได้” นฤบดินทร์เหลือบไปมองนาฬิกาติดผนัง “นี่ก็บ่ายแล้ว พักสักแป๊บเดี๋ยวไปหาอะไรกินกัน”
เสียงออดหน้าประตูดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่หันไปทางต้นเสียง อีกฝั่งของรั้วมีชายสองคนที่คุ้นตากันดียืนยิ้มอยู่ที่นอกรั้ว นฤบดินทร์เอ่ยด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ก่อนจะออกคำสั่งคนใช้จำเป็นอีกครั้ง
“ออกไปเปิดประตูให้โนกบพี่เมฆเข้ามาที”
“ค...ครับ” ขจรเกียรติรับคำก่อนจะทำตามอย่างว่าง่าย

“เป็นไงบ้าง มาอยู่กับหน่อง” อโณชาถามขึ้น เมื่ออดีตคนรักมาเปิดประตูให้
“ก็ดีครับพี่โน”
เมฆินทร์หลิ่วตามองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา หากแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆออกไป ฝ่ายขจรเกียรติสบตาคนตัวโตอีกคนแวบหนึ่งก่อนจะเสตาหนีไปทางอื่น
“พี่แวะมาเยี่ยมน่ะ ซื้อส้มตำมาฝากด้วย ยังไม่ได้กินข้าวกันใช่มั้ย”
“เอ่อ ครับยังไม่กินครับพี่”
“นายดู....สงบเสงี่ยมผิดปกตินะ เกิดอะไรขึ้นกับนายหรือเปล่าเนี่ย” เมฆินทร์ถามเรียบๆ
“ไม่มีครับ ผมควรจะต้องแสดงท่าทางยังไงถึงจะเป็นปกติหรอครับ”
เมฆินทร์นึกในใจแทนเสียงพูดที่อยากจะกล่าวออกไป “เพราะมันปกติไงมันถึงผิดปกติ” หากแต่เขาก็เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“ก็ไม่อะไรหรอก เข้าบ้านกันเลยดีกว่า ผมหิวแล้วล่ะ”
ขจรเกียรติเดินนำหน้าแขกก่อนจะเปิดประตูเข้าไป หน่องยืนขึ้นพลางยิ้มต้อนรับ “ลมอะไรหอบมาถึงนี่เนี่ย ทั้งสองคนเลย”
“ลมคิดถึงมั้งครับหน่อง ผมเป็นห่วงทั้งสองคนน่ะ ก็เลยมาเยี่ยม”
“เป็นห่วง? กลัวผมจะทำอะไรเจ้าจอนหรือกลัวเจ้าจอนมันจะทำอะไรผมหรอหน่อง พูดแบบนั้นน่ะ” เจ้าของบ้านยิ้มมุมปาก
“ก็กลัวทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ พูดตามตรงผมยังงงๆอยู่เลยว่าสองคนนี้ไปยังไงมายังไงถึงได้มาอยู่ด้วยกัน เมื่อวานผมก็ไม่ทันได้ตั้งตัวสักเท่าไหร่ ยังไงๆจอนมันก็เหมือนน้องชายคนหนึ่งแหละครับ”
“โนจะเอากลับไปอยู่ด้วยมั้ยล่ะครับ ผมไม่มีปัญหานะ ”
“ก็เจ้าตัวเขายืนยันนี่ครับ ว่าจะอยู่ที่นี่ ผมจะไปคิดอะไรแทนเขาได้“
นฤบดินทร์ปรายตามาทางขจรเกียรติที่ยืนเงียบๆไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยปากออกมาสั้นๆ
“ผมอยู่ที่นี่ดีแล้วครับพี่ ได้ทำงานด้วย อีกไม่นานก็เปิดเทอมแล้ว”
“เออจริงสิ ลืมไปเลย แล้วเปิดเทอมเมื่อไหร่จะเปิดเทอมเนี่ย” อโณชาถามอย่างใส่ใจใคร่รู้
“อีกเดือนกว่าน่ะครับ”
“อืม... ก็คิดซะว่ามาเปลี่ยนประสบการณ์ที่บ้านนอกแล้วกันนะ ที่นี่ก็ไม่เลวร้ายนักหรอกเชื่อพี่สิ”
“กินข้าวกันเลยมั้ย พี่ชักหิวแล้วสิ” เมฆินทร์เปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อ ก่อนที่นฤบดินทร์จะออกคำสั่ง
“จอน เอาส้มตำไปใส่จานไป”
“อ่า ครับ”
“เดี๋ยวพี่ไปช่วย” อโณชายิ้ม พลางลุกขึ้นตามไป
“เอ่อ โน ไม่ต้องก็ได้...” เมฆินทร์ร้องทัก
“ห่างกันสักหน่อยไม่เป็นไรหรอกน่า” นฤบดินทร์เอ่ยเรียบๆ พร้อมกับที่อโณชาก็พยักหน้ารับ และเดินจากไป
“ผมช่วยขนาดนี้แล้ว ถ้ามันจะแป๊กอีกพี่ก็ควรไปบวชได้แล้วล่ะ” เกษตรอเภอพูดขึ้น เมื่อทั้งอโณชาและขจรเกียริตเดินเข้าไปในครัว
“หน่อง ... พี่ไม่รู้จะพูดยังไงดี หน่องไม่ควรจะทำให้พี่ขนาดนี้เลย...จริงๆนะ”
“เพราะคำน้ำเน่าคำเดียวน่ะพี่ ผมถึงทำแบบนี้ พี่ก็แค่หลับหูหลับตารับประโยชน์ไปเถอะ”
“แต่มันไม่แฟร์กับหน่อง วันนี้ไอ้บ้านั่นมันอาจจะเชื่องกับหน่อง แต่วันไหนมันจะเป็นไอ้บ้าเหมือนเมื่อก่อนหน่องไม่มีทางรู้เลยนะ”
“ช่างมันเถอะครับ ผมยังยืนยันว่าพี่ก็แค่หลับหูหลับตา....”
“พี่รัก....และเป็นห่วงหน่องนะ” ชายหนุ่มเว้นช่วง ก่อนจะต่อคำท้ายหนักแน่น
“ขอบคุณมากครับพี่เมฆ ผมขอแค่คำหลังก็พอ”
“ไอ้นั่นมันจะอยู่กับหน่องอีกนานแค่ไหน”
“ก็เมื่อเขาพร้อม”
“หน่องต้องเป็นคนตัดสินสิ ไม่ใช่มัน”
“ให้เขาเลือกเถอะครับ มีบางเรื่องที่พี่ไม่รู้ และผมก็คิดว่ามันควรเป็นความลับต่อไป .... ถึงผมจะเล่นบทร้ายแต่ในมโนสำนึกผมก็มีความเห็นใจให้เด็กคนนั้นอยู่บ้าง และพี่ก็ไม่ควรจะไปรู้เหตุผลข้อนี้ด้วย”
“แล้วหน่องได้อะไรชึ้นมา กับการทำทุกสิ่งทุกอย่างลงไป”
“ไม่มีเลย .... ถ้าจะมีก็คงเป็น...การได้ทำในสิ่งที่เอ่อ... ช่างมันเถอะ”
อโณชาและนฤบดินทร์เดินกลับมาพร้อมกับจานอาหาร เกษตรอำเภอเหลือบไปมองก่อนจบบทสนทนาลง
“กินข้าวกันดีกว่าครับพี่เมฆ เมื่อกี๊พี่เป็นคนบ่นว่าหิวไม่ใช่หรอ” เขายิ้ม ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหาร
.
.
.
หัวค่ำของวัน หลังจากขจรเกียรติอาบน้ำเสร็จ วันนี้เขาอาบน้ำเร็วกว่าปกติเนื่องจากทำงานมาทั้งวันจนรู้สึกอ่อนเพลียกว่าทุกที เขาเดินมายังโถงกลางบ้าน เบื้องหน้านั่น นฤบดินทร์ยังคงนั่งอยู่บนโซฟาดูทีวีอย่างไม่ได้แยแสว่ามีเขาอยู่ในบ้าน
“มีอะไรจะให้ผมทำอีกหรือเปล่าครับ พี่หน่อง”
“วันนี้พอแล้วล่ะ เก็บแรงไว้เถอะ พรุ่งนี้จะต้องไปช่วยโนเค้าเกี่ยวข้าวกันนี่”
“ขอบคุณนะครับ ที่อนุญาตให้ผมไปช่วยพี่โน”
“อืม.... ไม่เป็นไร ยังไงซะคนมันเคยผูกพันกันนี่นา”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
“จะขอบคุณอะไรนัก”
“ผมขอบคุณที่พี่ช่วยผม แม้ผมจะไม่เข้าใจว่าพี่ทำไปเพื่ออะไรกันแน่ก็เถอะ”
“ไม่มีใครทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนหรอก เพียงแต่นายอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่านายกำลังเสียอะไรไป”
“เอาเป็นว่า ผมยินดีจะเสียมันแล้วกัน แลกกับกาที่ผมได้อยู่รอดที่นี่”
นฤบดินทร์คว้ากระเป๋าเงินก่อนจะควักธนบัตรสีแดงสองใบให้กับอีกฝ่าย
“ชั้นให้เป็นรายวันแล้วกัน นายจะได้มีเงินไว้ทำซื้อหาอะไรบ้าง”
“ขอบคุณครับพี่หน่อง” เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่พื้นยกมือไหว้ พลางรับเงินนั้นไว้ ชายหนุ่มสะดุดเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ก่อนจะพูดติดตลกขึ้น
“นายดูละครหลังข่าวมากไปหรือเปล่า”
“ทำไมหรอครับ”
“ขึ้นมานั่งด้วยกันข้างบนก็ได้ ชั้นไม่ได้มองนายเป็นบ่าวต่ำต้อยขนาดนั้นหรอก ถึงนายจะต้องมาทำงานแลกเงินที่บ้านของชั้น แต่เอาเป็นว่า .... นายมาอยู่เป็นเพื่อนชั้นก็แล้วกัน นายจะได้ไม่ต้องเกร็ง ตกลงมั้ย?”
“เอ่อ จะดีหรอครับ”
“อื้ม แต่ถ้าอยากนั่งข้างล่างก็ตามใจ” เจ้าของบ้านเบนสายตากลับไปยังทีวี ก่อนที่ที่ว่างบนโซฟาจะยวบลง
“ผมจะเจอนายจ้างดีๆแบบพี่หน่องมั้ยเนี่ย ถ้าผมเรียบจบมีงานทำเนี่ย”
“ไม่รู้สิ น่าจะไม่มั้ง”
เสียงต่อล้อลต่อเถียงเงียบลงจนเหลือเพียงเสียงทีวีที่ดังขึ้น ทั้งสองคนต่างคนต่างนั่งกันเงียบๆ จนละครหลังข่าวจบ นฤบดินทร์หันมามองคนข้างๆ ก่อนจะพบว่า บ่าวจำเป็นของเขาหลับคอพับไปตั้งแต่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เขายื่นมือไปเพื่อจะแตะให้ชายคนนั้นได้สติ หากแต่เขาก็ชะงักมือไว้ และเปลี่ยนใจเดินเข้าห้องนอนไป

ถ้าจะหายไปนานขนาดนี้  :sad4:

ไม่รู้จะมีใครรออ่านอยู่รึป่าว หายไปนานมาก  :laugh:

งานเยอะ + เขียนนิยายสองเรื่อง + วุ่นวายกับน้องไอ(โฟน) ที่เพิ่งถอยมา

ไอโฟนนี่มันช่างเป็นมือถือที่ต้องการการเอาใจเสียจริงๆ - -

แต่ก็เหมือนโทรศัพท์ต้องสาปนะครับ ที่พอซื้อมาแล้วต้องขลุกอยู่กะมันทั้งวี่ทั้งวัน

เอาเป็นว่าขอโทษที่หายไปนานๆนะครับ

แอบแย้มนิดว่า อีกไม่กี่ตอน น่าจะถึงตอนจบแล้วล่ะครับ

(ไม่กล้าบอกว่าเท่าไหร่ตอน แต่นี่ก้โค้งสุดท้ายแล้ว)

สรุป เรื่องนี้มันเอื่อยเฉื่อย ตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว  :L2:

 :laugh:

ปล. ผมเพิ่งเปลี่ยนชื่อลีอกอินนะครับ อย่าเพิ่งตกใจนะ ว่าชื่อใครไหงมันเช้ยเชย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 16-01-2012 16:25:19
อ่านรวดตอน 13 กับ 14 เลย !
โนกับพี่เมฆน่ารักอ่ะ~ 55. คนเีขียนติดเกมในไอโฟนอ่อ
>///<
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 16-01-2012 16:33:50
หน่องเป็นคนดีที่รับบทร้าย?นิดๆเนอะ

หน่องคู่กับใครอ่ะ มีคู่มั้ยน้อ

+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ASSASSIN ที่ 16-01-2012 16:42:14
โห  จะจบแล้วหรา  เร็วจัง อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 16-01-2012 17:00:22
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 16-01-2012 17:07:05
ความจริงจอนหน่องก็น่ารักดีนะ

จอนเอง ก็คงไม่ใช่คนร้ายกาจอะไรมากมาย

หวังว่านายคงเอาดีได้นะจริง ๆ นะจอน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 16-01-2012 17:18:09
 :impress3:   หวังว่านายจอนจะกลับตัวกลับใจได้จิงๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 16-01-2012 17:22:24
หน่องได้คู่กับจอนใช่มั้ยเนี่ย
อยากอ่านโนกับพี่เมฆอีกเยอะๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: chae ที่ 16-01-2012 17:57:05
หน่องจะเสียสละเกินไปแล้วนะ
แบบนี้คิดว่าดีแล้วใช่ไหม
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 16-01-2012 18:01:41
นายจ้างกับลูกจ้างจะปิ๊งกันเปล่า
คนใจช้ำ กับคนชอกช้ำในชีวิต อาจจะได้ปลอบใจกันใช่ไหม อิ อิ เดาไปก่อน
ให้บทเรียนนายจอนเยอะๆก็ดีนะคะ จะได้รู้สำนึก ให้ต่อไปนี้เขาได้ภูมิใจในชีวิตบ้าง
ส่วนน้องโนกับพี่เมฆต่อไปนี้คงจะมีแต่หวานกับหวานเท่านั้น
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 16-01-2012 18:10:51
ใกล้จะจบแล้วจริงดิี้
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: wdaisuw ที่ 16-01-2012 18:11:48
หวังว่าคู่หน่องกับจอนจะมีลุ้นนะคะ

แต่ตอนนี้สั้นจังอ่า  อ่านไม่สะใจเลย :serius2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 16-01-2012 19:06:06
อ่านคร๊าบบบบบบบบ  น่าอ่านแบบนี้ไม่อ่านได้ไง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 16-01-2012 19:12:41
 :เฮ้อ: อ่านแล้วหน่วงๆ ป่วงๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 16-01-2012 21:23:31
ทำเพื่อพี่เมฆได้ทุกอย่าง แม้ว่าตัวเองจะต้องชอกช้ำระกำใจน้ำตาตกในกับรักที่ไม่มีวันสมหวัง
ทุกอย่างเพียงเพื่อคำน้ำเน่า(คำนั้น) และ ภาพของเขาที่มีความสุขกับคนอื่น คุณหน่อง "ใจ" มาก ๆ เลยค่ะ  o7

ตอนที่ผ่านมา เราเกือบเข้าใจการกระทำของคุณหน่องไปอีกอย่าง แต่พอมาเจอเจตนาเสียสละแบบนี้
มันสะท้าน สะเทือนอารมณ์เหลือเกิน ( คุณหนิงลำดับเรื่องได้แยบยลดีจังเลย  :m1: )

หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 16-01-2012 21:43:47
บางครั้งเราก็เบื่อคำน้ำเน่าคำนั้นเหมือนกัน

อยากจะตีพี่เมฆแรงๆสักที โทษฐานทำให้น้องหน่องเศร้าแบบนี้
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 16-01-2012 22:16:08
คู่ผู้อาภัพนับวันยิ่งน่ารักแฮะ

หวังว่าจอนคงจะสำนึกได้นะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 17-01-2012 13:02:07
 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 17-01-2012 13:09:35
ไม่รู้จะสงสารใครดี
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 17-01-2012 22:48:39
เมฆรักมั่นคง โนโชคดีที่สุด บรรยากาศชวนสดชื่น เฮ้อ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 18-01-2012 01:46:06
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ อ่านรวดเดียวเลย
สนุกมาก ชอบพี่เมฆคุยกับน้องแฉะ

สงสารหน่องที่ต้องลงทุนทำเพื่อพี่เมฆ เสี่ยงเหมือนกันนะถ้านายจอนเลวกว่านี้หน่อย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 18-01-2012 03:47:54
คู่บาวกับนาย จะเป็นยังไงน่า   าา
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: londoneye ที่ 18-01-2012 17:18:57
เพิ่งจะไ้ด้มาอ่านเรืื่่องนี้

แนวผู้ใหญ่ลีกับนางมาฉบับวาย :impress2:

คู่โนกับพี่เมฆก็คงจะไม่แคล้วกันแล้วล่ะ

ส่วนคู่จอนหน่องนี่........ก็ขอให้จอนกลับตัวกลับใจได้ก็แล้วกันนะ

เรื่องนี้ถึงจะดูเรื่อยๆ.....แต่ก็อ่านได้รอยยิ้มอยู่เรื่อยๆเหมือนกันค่ะ :-[
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 18-01-2012 18:29:38
น่าเห็นใจทุกฝ่าย
รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 20-01-2012 18:12:29
อยากรู้ว่าจอนจะทำเลวอีกหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 20-01-2012 19:40:23
นายเอกเรื่องนี้เป็นคนดีมากกกกกทั้งคู่
ส่วนพระเอกเรื่องนี้ก็เป็นคนดีแต่แอบเลวทั้งคู่เหมือนกัน
เหอ เหอ เหอ  o18

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 23-01-2012 19:34:37
คนเขียนไปฉลอง
ตรุษจีนอยู่ไหนเนี่ย :z2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 27-01-2012 11:28:11
ชอบหน่องจัง
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: kanunsak ที่ 28-01-2012 11:48:32
สงสารหน่องจัง   :m15:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 29-01-2012 20:16:48
คิดถึงเรื่องนี้!
รออ่่านตอนใหม่น๊า~
 :z2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: wittawattrk ที่ 05-02-2012 12:31:20
เจ๋งอีกแหละพี่เรา ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนที่ ๑๔ (๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 05-02-2012 20:36:13
เข้ามาแจ้งข่าวว่าคงจำเป็นต้องดองพี่เมฆกับน้องโนก่อน :z6:
เพราะจากที่ผมบ่นๆให้ฟัง ว่าตั้งแต่ต้นปีมา
งานก็บึ้มมม เป็นโกโก้ครันช์ จนไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย

แล้ววันที่ 12 กพ. นี้ ผมจะได้บวชแล้วครับ
ยังไงเสียสัญญาว่า ไม่ทิ้งคนอ่านแน่นอนครับ

แต่คงกลับมาต่อหลังสึกต้นเดือน มีนาคม แน่นอน
ยังไงเสีย ผมขออโหสิกรรม ท่านผู้อ่านทุกท่าน
(ที่บังอาจดอง)
ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

นายหนิงหน่อง :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 05-02-2012 20:38:09
โอเคค่ะ
ยังไงก็รอน๊า~ รอเสมอ
 :z10:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-02-2012 20:42:51
รอได้ค่ะ
ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 05-02-2012 20:53:25
ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: chantana ที่ 05-02-2012 20:59:02
+1 จ้า

อนุโมทนาบุญด้วยจ้า   :amen:

และอโหสิกรรมด้วยจ้า  o1

สึกมาแล้วคงว่ากันใหม่นะ   :really2:

รอจ้า  :call:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 05-02-2012 21:03:20
ขอร่วมอนุโมทนากับคุณหนิงด้วยคนล่ะกัน
ขออวยพรให้คุณหนิงตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนในพุทธศาสนา
เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดำเนินชีวิตวันข้างหน้าด้วย
โชคดีมีชัยนะค่ะ... :bye2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 05-02-2012 21:04:00
ขออนุโมทนาด้วยจ้ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 05-02-2012 21:05:31
ขออโหสิกรรมให้ทั้งมโนกรรม วจีกรรม ค่ะ

และอนุโมทนาบุญด้วยนะคะ

รอค่ะ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 05-02-2012 21:06:18
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: yagin ที่ 06-02-2012 01:25:18
ขออนุโมทนาบุญด้วยน่ะจร้า

พึ่งมาตามอ่าน สนุกมากเลย รอแน่นอน ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 06-02-2012 02:38:31
ขอร่วมอนุโมทนาด้วยคน คับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 06-02-2012 08:03:12
จะรอนะ ขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 06-02-2012 11:18:20
ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
 :bye2:

หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 06-02-2012 11:47:31
ขออนุโมทนาด้วยคนค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 07-02-2012 00:51:01
อนุโมทนาบุญค่ะ

ทางโลก ขอให้วางใจ ดองนานเท่าไหร่ก็ได้ ทางนี้ยินดีรอค่ะ
ทางธรรม ขอเกาะชายผ้าเหลือง ช่วยให้จิตใจสงบบ้าง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 09-02-2012 09:59:43
ยุ่งจนไม่ค่อยได้อ่านนิยาย... (ต่อของตัวเองก็เลือดตาแทบกระเด็น) มาอีกทีได้รับการแจ้งข่าว ขออนุโมทนาและขออโหสิด้วยนะคะ แล้วไว้พบกันใหม่ จะตามอ่านต่อจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 09-02-2012 14:04:38
อนุโมทนาบุญด้วยจ๊ะ
รอได้ :n1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว แจ้งข่าว (๕ ก.พ. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: yumsonteen ที่ 26-02-2012 21:13:45
 :impress2: ชอบเรื่องนี้จังคับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 05-03-2012 13:35:51
ตอน ๑๕

แดดอ่อนๆยามเช้าเรียกความกระปรี้กระเปร่าให้กับหนุ่มเมืองกรุงที่กลายเป็นชาวนาอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะเช้าวันนี้ที่ความฝันของชายหนุ่มจะได้เป็นจริงไปอีกก้าว ชายหนุ่มผูกผ้าขาวม้าเคียนเอวอย่างทะมัดทะแมงก่อนจะก้าวขาขึ้นคร่อมไอ้รอดควายคู่ใจ
“ไม่กินข้าวกินปลาก่อนหรือจ๊ะคุณโน”บ่าวในบ้านร้องทัก เมื่อเห็นผู้เป็นนายกำลังจะออกไป
“เอ่อ ผม...อยากไปนาไวๆน่ะครับ ตั้งหลายเดือนแล้วนี่นา กว่าผมจะได้เกี่ยวข้าวกับเขาสักที”
“เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งเอานะคะ ถ้าอย่างนั้น รอป้าแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวป้าไปห่อข้าวให้ก็แล้วกัน”
“แต่....” อโณชาทำท่าจะปฏิเสธ หากแต่บ่าวทองก็ท้วงไว้
“เอาไปเถอะค่ะ แล้วยังไงป้าจะเอาข้าวเอากับข้าวตามไปอีกทีตอนเที่ยงๆไว้เลี้ยงคนที่มาช่วย แต่คุณโนเองถ้าหิวจนตาลายแล้วจะไม่ได้เกี่ยวข้าวนะ”
นางทองยิ้มอย่างเอ็นดูที่ได้เห็นผู้เป็นนายแสดงอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด นายน้อยของบ้านยิ้มเก้อๆ ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงตกลง ภาพนั้นทำให้นางนึกถึงภาพของอโณชาในวัยเด็กที่ใสซื่อบริสุทธิ์ แม้แวบแรกที่เขาได้กลับมาที่บ้านเดิมบางอีกครั้งจะทำให้นางทองนึกถึงหนุ่มเมืองกรุงที่แสนจะนิยมความศิวิไลซ์ แต่อย่างน้อยเลือดของคนเดิมบางก็ทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นเจ้าของบ้านนาแห่งนี้ออกมาจากเบื้องลึกแห่งจิตใจ
.
.
.
กอข้าวสีทองอร่ามมองไปสุดลูกหูลูกตา รวงข้าวที่โน้มเอนลู่ลงดินถูกสายลมยามสายพัดให้เอนไหวหากแต่ความสมบูรณ์ของเมล็ดข้าวก็ทำให้มันขยับโอนอ่อนได้เพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มเจ้าของที่นานั่งมองภาพเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าอย่างมีความสุข เขาสูดลมหายใจเข้าปอดซึมซับกลิ่นหอมอ่อนๆของไอดินและกลิ่นรวงข้าว ก่อนจะหยิบชะลอมใส่ไข่ที่ผูกด้ายผ้าดิบที่ตัดเป็นริ้วสีแดงขึ้นมาผูกไว้กับท่อนไผ่ที่เตรียมไว้แล้ว เขาปักไผ่ท่อนนั้นลงบนคันดินพร้อมทั้งผูกชะลอมด้วยริ้วผ้า ก่อนจะส่งเสียงร้องขึ้น
“แม่โพสพจ๋า ผมจะมาเก็บเกี่ยวแล้วนะจ๊ะ”

สายลมพัดวูบมาปะทะผิวหน้าของชายหนุ่มประหนึ่งได้รับฟังคำบอกกล่าวขวัญข้าวของเขาแล้ว รอยยิ้มเล็กถูกระบายขึ้นบนใบหน้านวลของเจ้าของที่นาหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับที่เจ้าตัวยกมือประนมไหว้ไม้ไผ่ที่ผูกชะลอมเครื่องเซ่นสรวงบัดพลี
“มาไวจังนะ” เสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง เจ้าของเสียงผิวสียืนยิ้มกว้างเผยฟันขาวอย่างอารมณ์ดี
“ก็ผมเป็นพ่องานนี่ครับ พี่เมฆ”
เมฆินทร์พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเสตามองไปรอบๆ “ข้าวของโนงามกว่าที่คิดนะเนี่ย ไม่น่าเชื่อว่าหนุ่มกรุงเทพอย่างเราจะทำได้ขนาดนี้ เอ....ไม่สิ ต้องขอบใจพี่สักหน่อยมั้ย”
“ทวงบุญคุณหรือไง” อโณชาหน้าง้ำอย่างไม่จริงจังนัก
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ อยากได้ค่าตอบแทนด้วยคำๆเดียวเท่านั้นแหละ ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ฟังคำนั้น”
“แต่เช้าเลยนะ” หนุ่มเมืองกรุงพ้อ เมื่อได้ยินคำหวานจากปากของลูกชายผู้ใหญ่บ้าน พลางเดินเลี่ยงมานั่งบนแคร่ไม้ไผ่ “ไม่รู้ว่ารอบนี้จะได้ค่าข้าวสักเท่าไหร่”
“ใจเย็นๆสิ ยังพอมีเวลาอยู่น่า ไม่ต้องกลัวหรอกเรื่องนั้นน่ะ มีพี่อยู่ทั้งคน” เมฆินทร์ขยี้หัวอีกคนอย่างเอ็นดู “ทำไม อยากทำให้ได้ตามพินัยกรรมไวๆจะได้ไปจากที่นี่หรือไง”
อโณชาหุบยิ้มลง ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ หากวันหนึ่งพันธนาการทั้งหมดที่ผูกมัดเขาให้ต้องอยู่ที่เดิมบางสิ้นสุดลง เขาจะทำอย่างไรกับที่นาผืนนี้ต่อไป...

นายวันผู้เป็นลุงของอโณชามาถึงในตอนสายๆพร้อมกับบ่าวทองโดยรถอีแต๋น ไม่นานนักชาวบ้านเดิมบางที่เมฆินทร์ไหว้วานให้มาช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าวก็ทยอยมาเรื่อยๆด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและมีไมตรี ก่อนที่จะพากันถือเคียวคนเดินลงไปในนา นายวันที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเพลงของหมู่บ้านเริ่มด้วยบทไหว้ครูก่อน
“ยกหัตถ์เหนือหว่างคิ้ว
ทั้งสิบนิ้วประทุมทอง
จะไหว้พระแท่นศิลาอาสน์
ไหว้พระบาทที่ท่านจำลอง
จะเล่าแต่ต้นให้วนเวียน
ถึงพ่อค้าเกวียนเจ้าขายของ
คืนเข้าธานินทร์กบิลพัสดุ์
ได้เป็นกษัตริย์ครอบครอง
ได้คู่เคียงมาร่วมภิรมย์
มีนางสนมเนืองนอง
พอบุญมาเตือนก็เคลื่อนคลา
ทิ้งภริยาที่ร่วมห้อง
ไปบรรพชารักษาพรต
สละหมดทั้งข้าวของ
ให้เป็นมงคลอยู่บนสมอง
ลูกที่ในท้องนาเอย
ลูกจะไหว้ศรีพระแม่โพสพ
แม่นพดารา
นางพระแม่ธรณีแม่คงคา
ลูกก็ไหว้
ให้มาปกเกล้าปกผม
ลูกรักดั่งร่มโพไทร
ไหว้ครูเสร็จสรรพ
ลูกจะคำนับคุณใหม่
ไหว้บิดามารดา
ที่ท่านเลี้ยงมาจนใหญ่
ได้อาบน้ำป้อนข้าว
มาแต่ตัวเรานี้กะไร
ทั้งน้ำขุ่นมิให้อาบ
ขมิ้นหยาบมิให้ทา
ท่านเอาลูกใส่ในแปล
ร้องโอ้ละเห่และช้าไกว”

“เกี่ยวเถิดหนาแม่เกี่ยว ช่า ช่า เกี่ยวเถิดหนาพ่อเกี่ยว อย่ามัวงะแง้แลเหลียว เดี๋ยวเคียวจะเกี่ยวก้อยเอย” เสียงร้องเพลงกำดังเจื้อยแจ้ว พร้อมกับสองหนุ่มที่เกี่ยวข้าวอยู่ข้างกัน ชายผิวขาวนั้นกำลังตัดกอข้าวอย่างขะมักเขม้น ในขณะที่อีกคนนั้นเกี่ยวข้าวไปพลาง ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปพลางโดยที่สายตานั้นไม่ได้เพ่งพิจารณาที่ต้นข้าวสักเท่าไหร่

“แล้วเราจะเกี่ยวก้อยกัน” เมฆินทร์ร้องเป็นเพลง พลางใช้นิ้วก้อยของตัวเองเกี่ยวกระหวัดไปยังนิ้วก้อยเรียวของอีกคนโดยไม่ทันให้ตั้งตัว อโณชาหันมาทำตาดุใส่ในขณะที่คนร้ายนั้นกลับยิ้มกว้างอย่างได้ที
“ถ้าไม่ตั้งใจช่วยกันอย่างนี้ เดี๋ยวจะโดนฟันนิ้วก้อยขาดนะครับ”
“แหม จะใจร้ายกับพี่ขนาดนั้นเชียวหรอ” ชายหนุ่มทำหน้าตาน่าสงสาร
“ก็อย่าอู้สิ”
“พี่ไม่ได้อู้ซะหน่อย เค้าเรียกว่าฉวยโอกาส”
“อ้อ งั้นหรอ งั้นสมควรโดนเคียวเกี่ยวหนอนชาเขียวให้ขาดเลยดีมั้ยครับ”
“อย่าโหดให้ขัดกับหน้าตาสิ โนนี่ก็” หนุ่มผิวเข้มพ้อ พลางจีบจมูกเจ้าของที่นาเบาๆ โดยไม่ได้สังเกตุสายตาอย่างน้อยสองคู่ที่มองอยู่ไกลๆที่ริมคันนา ก่อนที่เจ้าของสายตาคนหนึ่งจะเดินลงไปในนาเงียบๆ และเลี่ยงไปทางอื่นที่ไกลจากอโณชาและเมฆินทร์
 
พระอาทิตย์ตรงหัวจนเงาที่สะท้อนต้นตะแบกริมคันนาหดเล็กลงบ่งบอกเวลาเที่ยงตรง นายวันร้องเรียกชาวบ้านที่มาลงแขกเกี่ยวข้าวให้ละจากงานตรงหน้าเพื่อมาพักผ่อนกินข้าวร่วมกันให้หายเหนื่อยก่อนจะเริ่มงานต่อในยามบ่าย อโณชาและเมฆินทร์เดินตามกันไปยังร่มไม้ที่กระท่อม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนแคร่ พลางใช้หมวกสานพัดให้คลายร้อน ก่อนที่หนุ่มกรุงเทพจะเหลือบไปเห็นแขกที่คุ้นตาสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว
“อ้าว หน่อง จอน มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“ก็สักพักแล้วครับพี่โน” ขจรเกียรติเป็นผู้ตอบรับคำทักทายด้วยใบหน้าเรียบๆปนรอยยิ้มเจื่อนๆ
“น่าจะบอกกันบ้างนะ”
“ก็ผมเห็นพี่ยุ่งๆ เลยลงไปช่วยเกี่ยวข้าวกับพวกลุงๆป้าๆเค้าเลน่ะครับ”
“แล้วเราทำเป็นหรอ”
“ก็ถามๆเค้าเอาน่ะครับ ไม่ได้ยากเท่าไหร่”
บทสนทนาดำเนินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เมฆินทร์ที่ฟังอยู่เงียบๆ ก็ขยับมานั่งชิดกับเจ้าของที่นาโดยที่ไม่พูดอะไร ส่งผลให้อโณชาหันมามองด้วยสายตาดุหากแต่เจ้าตัวกลับทำทองไม่รู้ร้อน ส่วนแขกผู้มาเยือนปรายตามองด้วยหางตา พลางตักข้าวเข้าปากอย่างเสียไม่ได้
“ไม่มีใครขโมยไปไหนหรอกน่า ไม่ต้องหวงก้างขนาดนั้นหรอก” เกษตรอำเภอแขวะลอยๆ อย่างไม่สบอารมณ์
“พี่เปล่าซะหน่อย หน่อง”
“ผมก็ไม่ได้หมายถึงใคร เลยไม่จำเป็นที่ใครจะต้องร้อนตัว”
“พอเถอะครับ สองคนนี้นี่จิกกัดกันตลอดสิน่า กินข้าวกันได้แล้วครับ เดี๋ยวไม่มีแรงช่วยงานผมต่อนะ” อโณชาพูดด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับชวนให้ต่างคนต่างกินข้าว
.
.
.

ดวงตะวันลับทิวไผ่ยามเย็นย่ำ ชาวบ้านที่มาช่วยทยอยกลับกันไปทีละคนๆ ทิ้งไว้แต่เพียงเจ้าของที่นาที่นั่งอยู่บนแคร่รับลมทุ่ง ข้างๆกันมีชายผิวสีนั่งอยู่พลางทอดมองไปยังเบื้องหน้า ทุ่งรวงทวงที่เมื่อตอนเช้ายังเต็มไปด้วยรวงข้าวจำนวนมากหายไปกว่าครึ่งเหลือเพียงกอข้าวเตียนๆที่มีควายสองตัวเดินย่ำวนเป็นวงพลางพักเคี้ยวเอื้องเชื่องช้าจนที่นาบริเวณนั้นเหลือเพียงที่เตียนๆที่ทิ้งไว้หลังการเก็บเกี่ยวเสร็จ กอข้าวบางส่วนถูกสุมเป็นกองสูงรอการนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อไป

มือเรียวขาวของเจ้าของที่นาที่วางนิ่งอยู่บนแคร่เชื้อเชิญให้มือกร้านของอีกคนได้สัมผัส และเขาก็ไม่ได้ยั้งใจให้มือข้างนั้นได้เป็นอิสระ เพียงครู่ที่คิดได้ มือข้างนั้นก็ถูกกุมไว้ด้วยมือหนาพร้อมกับเสียงดังเผียะที่เกิดจากมือขาวอีกข้างนั้นตีอย่างแรง
“โอ๊ย โน เจ็บนะ” เมฆินทร์ลูบมือตัวเองป้อยๆ
“ก็อยากฉวยโอกาสทำไมล่ะ”
“แหม นิดหน่อยเอง”
“กลางทุ่งกลางท่ายังจะทำแบบนี้อีก ตีมือแค่นี้ยังน้อยไปสิ”
“แล้วทำได้แค่ไหนล่ะ” ลูกผู้ใหญ่บ้านทำหน้ากวน
“อยู่นิ่งๆเป็นมั้ย ถ้าไม่ได้ก็กลับบ้านไป”
อีกคนเลือกที่จะไม่ตอบ เขาเพียงยิ้มยั่วอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขโมยซุกริมฝีปากลงที่แก้มขาวของคนที่กำลังหน้าง้ำอยู่ฟอดใหญ่
“ไม่ได้ ไม่ยอมกลับ และจะทำมากกว่านี้ด้วย”
เจ้าทุกข์ที่ถูกขโมยหอมแก้มหน้าแดงเรื่อพลางแตะไปที่แก้มข้างนั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะตีไปที่หน้าอกกว้างของจำเลย
“ไอ้บ้า” เขาพ้อสั้นๆ ก่อนที่แก้มอีกข้างจะถูกริมฝีปากของอีกคนรุกล้ำอธิปไตยบนใบหน้า
“ซ้ายแล้วก็ขวา ต่อมาก็ตรงกลางนะ” เมฆินทร์ยิ้มให้กับคนที่กำลังไม่ได้สติดีนัก พลางใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆที่ริมฝีปากของอโณชาเป็นการสื่อว่า ตรงกลางที่เขาหมายถึงนั้นคือบริเวณใดของใบหน้า
“บ้าเถอะ ใครจะไปยอม” อโณชาตอบโดยที่ใบหน้าแดงเรื่อกว่าเก่า
“แต่ก็ได้หอมทั้งสองข้างแล้วนี่”อีกคนรวน
“ไอ้บ้า” อโณชาหาได้พ้อแต่ปาก หากแต่ไล่ทุบและเตะอีกคนจนเมฆินทร์ต้องหนี และเลยเป็นวิ่งไล่กันบนคันนา และจบลงที่คนที่ไล่ทำร้ายถูกโอบไว้ทั้งตัวกลางที่นาที่เตียนโล่งโดยที่มีควายสองตัวที่ยืนมองเหือนใคร่รู้ หากแต่มันก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
“พี่รักโนนะ เมื่อไหร่โนจะบอกพี่เสียทีว่าโนก็รักพี่”
คนในอ้อมกอดนิ่งเงียบ เขาแอบอมยิ้มพลางเสตาหนีไปทองทางอื่น
“ผม....”
“รักพี่เมฆ”ลูกชายผู้ใหญ่บ้านเสริมประโยคให้จนจบพลางหอมไปอีกฟอด และครั้งนี้ไร้การขัดขืนใดๆ
“ไม่พูดแล้วเว้ย”


.
.
.
ประตูรถถูกปิดด้วยใบหน้าเรียบๆของทั้งสองคน คนขับรถยังทำสีหน้านิ่งเรียบ และชั่วอึดใจในความเงียบ อีกคนก็หันมาทางนฤบดินทร์
“เราจะไม่ไปลาพี่โนกับพี่เมฆ....หรอครับ”
“คงไม่ต้องแล้วล่ะ...” เขาตอบโดยไม่ได้หันมาทางคนถาม ก่อนจะบังคับรถให้เคลื่อนตัวจากไป
“แล้ววันพรุ่งนี้....”
“เดี๋ยวชั้นจะให้เงินไว้ นายนั่งรถมาเองก็แล้วกัน ชั้นอยากพักผ่อนอยู่ที่บ้านสักวัน”
 “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่หน่อง” ขจรเกียรตืถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปยังกระจกรถฝั่งตนเอง “ผมว่า...ผมอยู่ทำงานบ้านดีกว่า”

กลับมาแล้วครับ หลังจากหายไปสู่ร่มกาสาวพัสตร์
ไม่รู้ว่าจะมีคนคิดถึงกันอยู่มั้ย

แต่ผมยังคิดถึงทุกคนนะครับ

 :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 05-03-2012 14:06:05
เย้ๆๆ กลับมาแล้ว
มาต่ออีกนะครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-03-2012 14:08:20
ยินดีต้อนรับค่ะ
เป็นอย่างไรบ้าง อิ่มบุญแปล้เลยสินะ
กลับมาพร้อมนำความหวานมาให้ ดีมาก ๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 05-03-2012 14:37:50
ว้าว..ๆ..ๆ.. :m4:กลับมาแล้ว คราวนี้ไม่ใช่คุณหนิงหน่องล่ะ เป็นทิดหนิงหน่องแล้วหนา
คิดถึงอยู่เสมอแหละจ้ะ ที่ไม่ไปเขียนถึงในช่วงเวลานั้นน่ะ เพราะเหตุผลสำคัญประการเดียวคือ
ไม่ต้องการรบกวนช่วงเวลาที่พระ(ในตอนนั้น) กำลังศึกษาและปฏิบัติธรรมะ
กลัวจะเป็นอกุศลกรรมน่ะจ้ะ
มาวันนี้พ่อทิดพาน้องโนกับพี่เมฆมาส่งก็ดีใจล่ะ หายคิดถึงแหละ คู่นี้เขาหวานกันซะ :man1:
แต่อีกคู่ล่ะ หน่องกับจอน จะมีใครดูมาแลหัวใจช้ำๆ :m15:ให้ไหมน้า...หรือให้ทั้งสองหันมาดูแลกันดีไหมจ๊ะพ่อทิด

หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 05-03-2012 14:47:22
รอๆ ตอนต่อไป เมื่อไหร่โนจะยอมบอกรักพี่เมฆเสียทีหนอ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ASSASSIN ที่ 05-03-2012 15:05:36
อยากอ่าน NC กลางทุ่งนา  อว๊ากกกกกกกกก   :haun4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 05-03-2012 16:02:14
 o13

กลับมาก็หวานเลยนะคะ  แต่ตอนต่อๆไปขอหวานกว่านี้ได้ป่ะ^^

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 05-03-2012 19:15:19
คิดถึงค้าาาา คิดถึงที่สุดอ่ะ
รอนิยาย ฮ้าๆๆๆ
รอตอนต่อไปนะค้า

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Dongmin ที่ 05-03-2012 20:44:39
ชอบมากครับ บรรยากาศทุ่งนา อีกสามวันกลับบ้านอ่างทอง ขี่รถเล่นดูทุ่งข้าว
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 05-03-2012 21:37:48
นึกภาพทุ่งนาสีทองกับความร้อน ณ ปัจจุบัน :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chantana ที่ 05-03-2012 22:13:07
+1 ให้ค้า

แอบอ่านตอนไปบวชนะ  :really2:

ชอบค้าาาาาาาาาาาาาาาา    :z3:

รอ   :call:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 06-03-2012 11:03:03
เพิ่งเข้ามาอ่านสนุกมาก
ทำให้คิดถึงบรรยากาศเมื่อก่อนตอนเด็กๆ
ตามปู่กับย่าไปเกี่ยวข้าวสนุกมากๆลมที่นาก็เย็นสบาย
มันผ่านมาเกือบจะยี่สิบกว่าปีแล้วอยากย้อนเวลาไปตอนเด็กๆจัง
+ 1 นะคะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 06-03-2012 11:58:22
กลับมาแล้วเหรอ

คิดถึงมากเลย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 06-03-2012 13:32:22
มาแล้ว เห็นเมฆกับโนรักกันมันก็ดี แต่สงสารหน่อง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๕ (๕ มี.ค. ๒๕๕๕) กลับมาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 06-03-2012 13:55:01
ดีใจจังกลับมาแล้ว :L2:

กด+เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 19-03-2012 17:45:17
ตอนที่ ๑๖

รถของนฤบดินทร์จอดที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ก่อนจะถามคนนั่งข้างๆด้วยน้ำเสียงเรียบๆโดยที่ไม่ได้หันไปมอง
“ปกตินายกินเหล้ากินยาหรือเปล่า”
“ก็....บ้างครับ”
“ลงไปซื้อลีโอมาสักลังสิ”
“ลังหนึ่ง!!!” ขจรเกียรติอุทาน “สองคนเนี่ยนะครับ”
“ไม่หมดก็เก็บไว้ได้ ลงไปเถอะน่า”
จอนทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะลงไปตามคำสั่ง
.
.
.
“ยกมานี่สิ” หน่องเปิดประตูห้องให้คนที่ถือลังเบียร์เข้ามาในห้องนอนของตน
“ให้วางตรงไหนครับ”
เจ้าของห้องเปิดประตูอีกบานหนึ่งที่เชื่อมระหว่างระเบียงกับห้องนอน “วางตรงนี้แหละ แล้วไปยกกระติกน้ำแข็งกับแก้วมาด้วย”

น้ำสีอำพันถูกรินลงในแก้วที่บรรจุน้ำแข็ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะยื่นแก้วให้กับคนตรงหน้า “นี่ครับ”
“อืม” เขาขานรับ ก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดกแล้วทอดมองออกไปเบื้องหน้า
“ผมไม่เคยเห็นพี่หน่องจะเป็นแบบนี้” ขจรเกียรติพูด ก่อนจะยกแก้วของตนขึ้นจิบช้าๆ
อีกฝ่ายปรายตามามอง “เรารู้จักกันมานานขนาดไหนกันเชียว” เขาพูดก่อนจะกระดกของเหลวที่เหลือจนหมดแล้วยื่นแก้วให้บ่าวจำเป็นรินให้
“ผมขอโทษครับ”
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าชั้นก็ไม่ใช่คนดีนักหรอก ออกจะร้ายด้วยซ้ำ”
“แต่ผมว่าพี่เป็นคนดีนะ” อีกคนค้านด้วยแววตาจริงจัง “ดีมากๆด้วย”
“เราก็แค่คนที่เพิ่งรู้จักกัน”
“ก็เพราะเราเพิ่งรู้จักกันน่ะสิ .... แต่พี่ก็ยังทำเพื่อผมขนาดนี้”
“เปล่าเลย ทั้งหมดนี้ชั้นทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อ.... “เกษตรอำเภอกลืนน้ำลายลงคอ “ช่างมันเถอะ”
“เพื่อพี่เมฆ” อีกฝ่ายตอบแทน
นฤบดินทร์ถอนหายใจก่อนจะหลบสายตาซักไซ้คู่นั้น “เหมือนชั้นจะเข้มแข็งนะ แต่พอมาเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ ชั้นก็เจ็บอยู่ดี”
“ผมเข้าใจครับ”
“การทำตัวเป็นพระเอกมันต่างจากการเป็นไอ้โง่แค่เส้นบางๆเองนะ นายว่ามั้ย ทำทั้งๆที่ตัวเองต้องเจ็บและเขาเองก็ไม่เคยจะเห็นค่าเนี่ย”
น้ำสีอำพันถูกกรอกลงคอของชายหนุ่มอีกครั้งด้วยตัวของเขาเองจนหมดแก้ว ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“ไม่รู้เมื่อไหร่ถึงจะคิดได้ เมื่อไหร่ชั้นถึงจะเลิกทำแบบนี้ ไม่เบื่อบ้างหรือไง เจ็บเท่าไหร่ก็ไม่เคยจำ”
ขจรเกียรติมองดวงตาเศร้าของคนตรงหน้า ก่อนจะเลื่อนมือไปกุมมือของเขาที่วางอยู่
“ก็จนกว่าจะมีใครสักคนที่เขาเห็นค่าของพี่แหละครับ ผมเชื่อว่าสักวันพี่จะต้องเจอคนๆนั้น”
เจ้าของบ้านถอนมือออกเมื่อรู้สึกตัว “ขอบใจนะ”
“สำหรับ?”
“สำหรับคำปลอบใจและอยู่เป็นเพื่อนกินเบียร์”
หน่องยกมุมปากเล็กน้อยก่อนจะกระดกเบียร์ต่อไปเงียบๆ และเป็นการตั้งวงกินเบียร์ที่อาจจะเงียบที่สุดในโลก เพราะมีเพียงเสียงลมพัดเบาๆกับเสียงน้ำแข็งที่กระทบกันในแก้วเท่านั้นกระมังที่ดังขึ้น
.
.
ขจรเกียรติเก็บขวดเบียร์เปล่าขวดที่สี่จากในลังเก็บคืนในลังตามเดิม ก่อนจะดึงแก้วเบียร์ที่อยู่ในเมือของคนที่กำลังฟุบหน้าคว่ำอยู่บนโต๊ะออก
“เฮ้อ นี่น่ะนะ คนร้าย กินเบียร์ไม่กี่แก้วก็เมาหลับแบบนี้” เขาส่ายหน้าเบาๆพลางมองไปยังคนอวดดีตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆช้อนร่างไร้สตินั้นไปวางบนเตียง
ใบหน้ายามหลับของเกษตรอำเภอเดิมบางนั้นนิ่งเรียบ หากแต่ซ่อนความอ่อนละมุนอยู่ภายใน ขจรเกียรติใช้มือข้างหนึ่งเกลี่ยผมที่ปกหน้าคนที่กำลังหลับช้าๆให้เป็นทรง ก่อนที่เขาจะชะงักมือกลับเมื่อนึกถึงสถานะของตัวเอง
“เอ่อ ผมขอโทษครับ”
“อืมมม” นฤบดินทร์พึมพำอย่างไม่ได้สติ
ขจรเกียรติเหม่อมองออกไปข้างนอก พลางถอนหายใจช้าๆ .... ณ ที่แห่งนี้ที่เขายืนอยู่ ยังมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เขาต้องอยู่ที่นี่หรือเปล่านะ ในเมื่อ....คนที่เขารักนั้นมีคนอื่นไปแล้ว และเขาเองก็คงไม่มีค่าสำหรับใคร
.
.
.
ยามสาย ณ ชายทุ่ง อโณชายืนสูดอากาศบริสุทธิ์ของบ้านเดิมบางลำพังด้วยใบหน้าที่แช่มชื่น เขานึกถึงเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นมากมายหลังจากที่ได้เหยียบย่างหมู่บ้านแห่งนี้ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้เขาคิดได้ถึงความวุ่นวายในเมืองกรุงที่เขาจากมา และตอนนี้เขาตัดสินใจแล้วว่า จากนี้ไป....เขาควรจะใช้ลมหายใจของตัวเองที่เหลือนั้นอยู่ที่ใด

“อุ้ย!” เขาอุทานเล็กน้อยเมื่อรู้สึกสัมผัสที่โอบรัดเขาจากด้านหลัง หากแต่เมื่อสติรับรู้เริ่มทำงาน เขาก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแขนหยาบกระด้างสีดำที่แข็งแกร่งที่คุ้นเคย
“ขวัญอ่อน ยังไม่ชินอีกหรอ”
“ไม่คิดจะชินหรอก” เขาตอบอย่างไม่ตรงกับใจนัก
“พูดดี” คนที่ยืนอยู่ด้านหลังจับร่างบางของอโณชาให้พลิกหันหน้าไปหา “อย่างนี้มันต้องเลียนแบบหนังพิศาลจะได้หายอวดดี”
“เดี๋ยวจะโดนเตะ” อโณชาไสตัวเองออกจากวงแขนนั้นพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ทำอย่างนี้มันไม่ถูกนะ ลูกเขามีพ่อมีแม่”
“งั้นถ้าให้แม่ไปขอล่ะ จะยอมเป็นแฟนมั้ย” ไอ้หนุ่มบ้านนาผิวหมึกฉีกยิ้มฟันขาว
“ฮ่าๆๆ มาซี้ ถ้าแน่จริงน่ะ” อโณชาหัวเราะทีเล่นทีจริง
“อย่าท้าคนสุพรรณนะครับ คุณอโณชา”
ทั้งคู่ต่างยิ้มให้กัน ก่อนที่อโณชาจะส่ายหัวเบาๆและทรุดลงนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ “นึกแล้วก็ไม่เชื่อตัวเองว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ ผมลองคำนวณคร่าวๆแล้ว หว่านอีกสักสองรอบก็น่าจะได้ตามเป้าแล้ว”

อโณชาหันมายิ้มให้กับอีกคนด้วยใจจริง “ ขอบคุณมากนะครับ”
“แล้วถ้าทำสำเร็จแล้วล่ะ จะทำยังไง ยังจะไปจากที่นี่อีกมั้ย”
“หึหึ” เจ้าของที่นาเสตาหนีแววตาซุกซนของคนตรงหน้า “ไม่แล้วล่ะ ผมกลายเป็นคนเดิมบางไปเสียแล้วล่ะ”
“ถ้าจะพูดให้ถูกคือเป็นสะใภ้เดิมบางต่างหาก” เมฆินทร์แกล้งตีรวน
“อยากโดนเตะจริงๆใช่มั้ย” คนถูกพาดพิงหันมาทำตาเขียว

เสียงหัวเราะของคนสองคนสอดประสานขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงลมโบกพลิ้วต้นไผ่ที่แทงต้นทะลุเอนไหวไปตามแรงลมเสียดสีกันหวีดหวิว ครั้งหนึ่งอโณชาเคยรู้สึกหวาดกลัวเสียงนั้นว่าเป็นเหมือนกับเสียงภูตผีที่หวีดร้อง หากแต่วันนี้เขากลับรู้สึกว่า มันเป็นเสียงบรรเลงเพลงของท้องทุ่งที่เขาฟังว่ามันก็ไพเราะดีไม่ต่างจากเพลงคลาสสิคจากเครื่องเล่นในเมืองเลย

.
.
.

“ไอ้หมา!!! แกว่ายังไงนะ” เสียงของผู้ใหญ่มั่นกับเมียอุทานพร้อมกันด้วยสำเนียงสุพรรณ “แกจะให้ฉันสองคนไปสู่ขอลูกสาวบ้านไหนนะ”
“ลูกสาวที่ไหนล่ะพ่อจ๋าแม่จ๋า หลานยายหลวยน่ะเป็นผู้ชายนะ” ลูกชายผิวเข้มยืนยิ้มแหยๆ หลังจากที่เขารวบรวมความกล้าอยู่หลายวันที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ “ฉันรักเจ้าโนมัน”
“โอ๊ย! ... ให้ฟ้าผ่าควายตาย นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย” นางชื่นภรรยาผู้ใหญ่บ้านเอามือทาบอกอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ฉันพูดจริงจ๊ะแม่” เมฆินทร์พูดย้ำชัดถ้อยชัดคำด้วยสำเรียงท้องถิ่น “ฉันรักเจ้าโนมัน ส่วนเรื่องขันหมากน่ะฉันพูดเล่น ฉันเพียงแค่บอกให้พ่อกับแม่รู้ว่าฉันเป็นยังไง และถึงฉันจะเป็นแบบนี้แต่ฉันก็เป็นยังเป็นลูกของพ่อกับแม่ เป็นคนดีคนหนึ่งของบ้านเดิมบางไม่ใช่หรอจ๊ะ”
“ข้าเข้าใจนะไอ้หมา แต่เอ็งมาบอกข้าแบบนี้ ข้ายังทำใจยอมรับไม่ได้เว้ย” ผู้ใหญ่มั่นกล่าว ในขณะที่ผู้เป็นแม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ก็อย่างที่ว่าแหละไอ้หมาเอ๊ย ข้ายอมรับนะว่าตกใจ” นางชื่นว่า ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก “แต่ก็เอาเถอะจะดีจะชั่วยังไงเอ็งก็เป็นลูกข้านี่นะ ว่าแต่....มีใครรู้บ้างล่ะเนี่ย บ้านตาวันเขารู้หรือยัง”
เมฆินทร์ยิ้มกว้างที่อย่างน้อยแม่ก็ยอมรับตัวตนของเขาได้ในระดับหนึ่ง ส่วนพ่อก็ไม่ได้ปฏิเสธรุนแรงนัก “ยังจ๊ะ ฉันบอกพ่อกับแม่ก่อน แต่เดี๋ยวฉันจะไปหาลุงวัน ฉันจะไปบอกว่าฉันชอบรักหลานชายแก ....เจ้าโนมันจะได้เลิกบ่นเสียทีว่าตัวเองก็เป็นลูกมีพ่อมีแม่”
“เฮ้อ  ข้าล่ะจะเป็นลม ว่าแต่นี่ข้าคงไม่ต้องจัดขันหมากไปสู่ขอหลานชายบ้านนั้นหรอกนะ” นางชื่นยังมีสีหน้ากังวล
“มันก็ไม่แน่หรอกจ๊ะแม่” เมฆินทร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่ทำให้ผู้เป็นบุพการีต้องหนาวสันหลังวาบเมื่อได้เห็น
.
.
.
ควายรอดก้าวเท้าช้าๆบนทางลูกรังของถนนในหมู่บ้านในยามบ่ายพร้อมๆกับที่เจ้าของของมันขี่หลังมันพลางผิวปากอย่างสบายอารมณ์ อโณชามุ่งหน้าไปยังบ้านของผู้ใหญ่มั่นเพื่อมาหาผู้เป็นลูกชายของบ้านนั้น เขาแปลกใจเล็กน้อยที่บ่ายนี้ไม่ได้เห็นหน้าและรอยยิ้มกวนๆของไอ้หนุ่มบ้านนา ความสงสัยระคนกับเหตุผลที่ว่าตนมีธุระปะปังกับผู้ชายคนนั้นนิดหน่อย เนื่องจากจะไหว้วานให้ไปในเมืองเป็นเพื่อนเพื่อไปซื้อพันธ์ข้าวมาเพาะกล้าสำหรับดำนารอบใหม่ ทำให้ชายหนุ่มจำเป็นต้องเป็นฝ่ายมาหาเมฆินทร์ถึงบ้าน

“ผู้ใหญ่ครับ ป้าชื่นครับ พี่เมฆอยู่มั้ย” ขายหนุ่มร้องเรียก และไม่นานนัก นางชื่นก็เดินลงมาจากชั้นสอง พลางใช้สายตามองว่าที่ลูกสะใภ้ที่ลูกชายหมายมั่นด้วยแววตาที่ยังไม่ปกตินัก
“เอ่อ ....ผมมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับเนี่ย” สายตากึ่งๆไม่เป็นมิตรของนางชื่นทำให้อโณชารู้สึกได้
“ไอ้เมฆมันไม่อยู่หรอก ไม่ได้อยู่กับเรารึ”
“ป...เปล่าครับ”
“ไม่ได้คุยกันล่ะมั้งเนี่ย” นางชื่นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่เสียงปืนลูกซองแฝดจะดังขึ้นจากท้ายทุ่ง
“ปัง!!!!!!”
“เสียงปืนใช่มั้ยครับเนี่ย” อโณชาถามขึ้น
“บ้านไหนมีงานกันนะ ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”

ไม่ทันที่ทั้งสองคนจะคลายความสงสัย เสียงโหวกเหวกก็ดังขึ้นจากคนในหมู่บ้านที่ช่วยกันตีเกราะกระจายข่าว
“เจ้าข้าเอ๊ย!!!! ตาวันบ้าไปแล้ว คว้าปืนไล่ยิ่งไอ้เมฆเป็นหมาเลย เจ้าข้าเอ๊ย!!!”

“พี่เมฆ/ไอ้หมา!!!!” อโณชาและนางชื่นประสานเสียงแทบจะพร้อมกัน ก่อนจะรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุโดยทิ้งความคลางแคลงที่มีต่อกันละกันเมื่อครู่ทิ้งไปชั่วคราว

ได้มาต่อเสียที แหะๆ ที่หายไปไม่ได้ทิ้งนิยายนะครับ
ไปจบเรื่อง อิฐเก่าเล่าตำนาน และมีนิยายเรื่องใหม่ (เผื่อใครไม่เห็น)
โดยเรื่องใหม่นี้ เป็นนิยายที่แพลนว่าจะเขียนนานแล้ว เป็นภาคต่อของ นิยายเรื่องแรกที่เขียน (หรือจะเก็บรักไว้ในสายลม)
นั่นก็คือเรื่อง "เพทุบายในสายหมอก" ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องใหม่และฝากลิ้งค์ไว้เลยนะครับ อิอิ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32192.0

ส่วนพี่เมฆกะน้องโนใกล้จะจบแล้ว
(เริ่มจะมีอะไรหวือหวาเอาตอนใกล้จะจบ เรื่อยเปื่อยจริงๆ)

ยังไงก็ช่วยติดตามเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 19-03-2012 17:51:07
จิ้มคนแต่ง แล้วไปอ่านอย่างไว อิอิ

พี่เมฆจะมีชีวิตรอดมั้ยเนี่ย ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 19-03-2012 18:01:09
ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยเหรอ



หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 19-03-2012 20:01:34
เมฆโดนทดสอบด้วยลูกปืนซะแล้ว โนรีบไปช่วยเร็วนะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Dongmin ที่ 19-03-2012 20:12:07
พี่เมฆโดนซะแล้ว
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 19-03-2012 20:36:37
เมื่อพี่เมฆเอาจริงก็ต้องวัดด้วยลูกปืนซะแล้ว

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Aimmie88 ที่ 19-03-2012 21:20:26
ว้าวมาต่อแล้ววว
กำลังลุ้นเลยว่าจะมาต่อเมื่อไหร่ 5555
ตามมาจากเรื่องอื่นน่ะค่ะ ชอบทุกเรื่องทุกแนวที่คุณแต่งเลย :)

เรื่องนี้ถึงจะเรียบๆหน่อยแต่ก็น่ารักดี อ่านแล้วอมยิ้ม
แอบลุ้นคู่จอนกะหน่องด้วยอ่ะ เวลาจอนอยู่กะหน่องแล้วน่ารักดี
ดูไม่น่าจะร้ายแบบตอนแรกเลยอ่ะ
ยังไงก็จะรอลุ้นต่อนะคะ เอาใจช่วยพี่เม่ให้หนีพ้นลูกปืนลุงด้วยละกัน 555
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 20-03-2012 04:12:31
พี่เมฆทำแบบนี้ไม่ปรึกษากันเลย
ทำตัวเรื่อยเฉยอยู่ตั้งนาน บทจะจีบก็รีบเสียจนตามไม่ทัน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: wittawattrk ที่ 20-03-2012 06:04:23
ในที่สุดก็มาซะที รอตั้งนานอิอิ ขอบคุณคร้าบบ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 20-03-2012 09:15:59
พี่เมฆแย่แล้ว โนต้องรีบไปช่วยแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 20-03-2012 11:03:58
พี่เมฆโดนซะแล้ว

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-03-2012 12:05:21
ผิดคาดนึกว่าพ่อแม่พี่เมฆจะมีปัญหา กลายเป็นฝ่ายลุงน้องโนซะนี่ แกคงช็อก
จอนอยู่เป็นเพื่อนหน่องไปเรื่อย ๆ สิ คนเหงาสองคนช่วยปลอบใจกัน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: wdaisuw ที่ 20-03-2012 12:08:20
พี่เมฆสู้ๆ  :mc4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 20-03-2012 12:47:01
สงสารเมฆนะต้องวิ่งหนีลูกปืน แค่ไปขอโนแค่นั้นเอง เอิ้ก
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 21-03-2012 00:20:27
พี่เมฆงานเข้า คุณลุงไม่ปลื้มอย่างแรง ถึงกับเอาลูกซองไล่ยิง หวังว่าจะรอดกลับมาหาคุณโนอ่ะนะ... :m29:

ชอบคู่สมาคมคนอกหักจังเลย เพราะรักเลยต้องหลบ เพราะรักเลยต้องเจ็บ แต่รักครั้งใหม่ น่าจะใกล้กว่าที่คิดนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 22-03-2012 21:55:40
ตายล่ะ!!!!!! พี่เมฆจะมีชีวิตรอดกลับมาหาน้องโนมั๊ยเนี่ยยยยยยยยยยย

ว่าแต่ จอนนี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดนะ ตอนแรกนึกว่าจะฉวยโอกาสกับหน่องซะแล้ว

อยากให้คนเหงาสองคนใจตรงกัน จะได้ไม่ต้องเหงาอีกต่อไป จอนกับหน่องก็ดูเข้ากันดีอยู่นะ ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 24-03-2012 10:42:28
อั้ยยะ เสียงปืนเลยหรอค๊าาา
ว่าแต่สงสารหน่องจัง  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: londoneye ที่ 25-03-2012 01:45:48
 :m20:

พี่เมฆโดนไล่ยิง

ก็ไปขอหลานชายเค้าอะนะ

น่ารักจริงๆ  แต่จะจบแล้วอ่า

รอลุ้นตอนต่อไป^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๖ (๑๙ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 25-03-2012 02:13:23
ฮ้าๆๆๆ นึกภาพพี่เมฆวิ่งหนีลูกปืนลุงวันแล้วฮาจริงๆ
แต่จะบอกว่าพี่เมฆกล้ามากอ่ะ สุโค่ยยย ลูกผู้ชายตัวจริง

ตอนนี้มีใช้ชื่อผิดด้วยนะ
เมฆินทร์ยิ้มกว้างที่อย่างน้อยแม่ก็ยอมรับตัวตนของเขาได้ในระดับหนึ่ง ส่วนพ่อก็ไม่ได้ปฏิเสธรุนแรงนัก “ยังจ๊ะ ฉันบอกพ่อกับแม่ก่อน แต่เดี๋ยวฉันจะไปหาลุงมั่น ฉันจะไปบอกว่าฉันชอบรักหลานชายแก ....เจ้าโนมันจะได้เลิกบ่นเสียทีว่าตัวเองก็เป็นลูกมีพ่อมีแม่”
ตรงนี้ต้องเป็น ลุงวัน ใช่เปล่า
ควายแฉะก้าวเท้าช้าๆบนทางลูกรังของถนนในหมู่บ้านในยามบ่ายพร้อมๆกับที่เจ้าของของมันขี่หลังมันพลางผิวปากอย่างสบายอารมณ์ อโณชามุ่งหน้าไปยังบ้านของผู้ใหญ่มั่นเพื่อมาหาผู้เป็นลูกชายของบ้านนั้น
ตรงนี้ต้องเป็น ควายรอด รึเปล่า ควายของโนชื่อรอดไม่ใช่หรอ

รอตอนต่อนะ
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 26-03-2012 13:22:01
บ่ายโมงของวันเดียวกันนั้น....
.
.
.

“อ้าวว่าไงไอ้เมฆ ไปยังไงมายังไงถึงมาหาข้าถึงบ้านได้” นายวันถามขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่คุ้นหน้าคุ้นตามานานตั้งแต่เด็กๆ
“ก็มีธุระกับลุงวันนิดหน่อยแหละจ๊ะ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ พลางเดินขึ้นไปบนเรือน
“มีธุระกับข้างั้นรึ?” เจ้าของบ้านทำหน้าสงสัย ก่อนจะยกน้ำใส่ขันมาให้ “อะไรล่ะ”
“คือผมจะบอกว่า....” เมฆินทร์สีหน้าเขินเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เฉลย “ผมกับโนเรารักกันน่ะครับ”
“เฮ้ย!!! ตาเถร” นายวันอุทานลั่นด้วยดวงตาเบิกโพลง “เอ็งพูดบ้าๆอะไรเนี่ย”
“ผมพูดจริงๆครับลุงวัน ผมรักโน และผมก็มาบอกให้ลุงรู้” ชายหนุ่มตอบชัดเจน “ผมก็ไม่ได้จะป่าวประกาศไปทั่วแต่ผมก็อยากให้ผู้ใหญ่ของผมกับของโนรู้ เพราะผมจริงจังกับโนนะครับ”

“พลั่ก!!!” เมฆินทร์หงายหลังลงกับพื้นเรือนอย่างแรงจากแรงถีบอย่างจังเบอร์ที่กลางหน้าอกของเจ้าบ้านที่อารมณ์คุกรุ่น คนที่นอนกองกับพื้นตกใจไม่น้อย หากแต่เขาก็ยังพยายามที่จะอธิบายความจริงต่อไป
“ลุงวันครับ”
“เอ็งหุบปากเลย ไอ้เมฆ  เอ็งจะเป็นห่าอะไรก็ไม่สนหรอก แต่เอ็งจะโมเมว่าหลานข้าวิปริตแบบมึงไม่ได้ ไป!! มึงจะไปไหนก็ไป!!”
“แต่ลุงวันครับ...”
“เปรี้ยงงงง!!!” เสียงปืนลูกซองที่แขวนไว้ข้างฝาถูกคว้าอย่างว่องไว ทิศทางของกระสุนถูกยิงขึ้นฟ้าหนึ่งนัด เสียงของมันดังกังวาลและแผดก้องราวกับเสียงกรีดร้องของพญามัจจุราชที่สามารถพรากชีวิตของชายหนุ่มไปได้
“ข้าบอกให้เอ็งกลับไป”
“ผมไม่กลับ จนกว่าลุงจะเข้าใจผมกับ...”
“เปรี้ยงงงง!!!” เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ทิศทางของกระสุนนั้นพุ่งไปทางพื้นเรือนในรัศมีที่ไม่ไกลจากเมฆินทร์นัก ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งโหยงและดีดตัวลอยราวกับบินได้
“ถ้าเอ็งยังพูดพล่อยๆอีก ข้าจะเป่าให้กระหม่อมกระจุยเลย”
.
.
เมฆินทร์ก้าวถอยหลังช้าๆ ก่อนจะค่อยลงไปจากบ้านของนายวันอย่างผู้แพ้ เขาเดินคอตกไปจนถึงกลางทาง มาพบนางชื่นและอโณชาที่วิ่งตาตื่นาแต่ไกล ก่อนที่ทั้งคู่จะหอบแฮ่กเมื่อพบว่าคนที่เป็นห่วงปลอดภัยดี
“ไม่เป็นไรใช่มั้ยพี่เมฆ/ไอ้หมา” สองคนประสานเสียง หนุ่มผิวคล้ำยิ้มแหยๆก่อนจะตอบ
“ยังไม่ตายครับ”
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ยครับ พี่เมฆ” อโณชาถามขึ้น ด้วยยังงุนงงกับเหตุการณ์ทั้งหมด
“ก็เพราะเอ็งนั่นแหละ” นางชื่นแผดเสียง “เพราะมันรักเอ็ง ลูกฉันถึงได้เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง!!”
“ป้าชื่นว่ายังไงนะครับ ผม...ผมงงไปหมดแล้ว”
“แม่ครับ พอเถอะ ไม่ใช่ความผิดของโนมันหรอก” คนที่เพิ่งรอดกระสุนปืนมาหวุดหวิดปกป้องอโณชา “ผมทำตัวเองทั้งนั้น”

“แล้วมันได้อะไรขึ้นมาเฮอะ ไอ้หมา เอ็งจะเอาชีวิตไปทิ้งเพราะความรักงั้นหรอ ....ไอ้หมา ฟังแม่นะ ลำพังเรื่องความรักของเอ็ง ข้าก็ทำใจลำบากแล้ว แต่ถ้าฝั่งตาวันมันไม่เอาด้วยแบบนี้ ข้าเองก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน ข้าน่ะก็รักเอ็งไม่แพ้ที่เอ็งรักเจ้าโนมันหรอก และข้าก็จะไม่ยอมให้เอ็งต้องมาตายเพราะความรักโง่ๆแบบนี้ ” นางชื่นพรั่งพรูความรู้สึกทั้งหมด ด้วยดวงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ และนางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับคนทั้งคู่
“ลูกมันก็เลี้ยงได้แต่ตัว แต่ถ้าเอ็งเลือกที่จะตายแบบนั้นก็ตามใจ แต่ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่อีก!!!”

นางชื่นค่อยๆเดินลับตาไป ทิ้งไว้แต่สองหนุ่มที่ยืนนิ่งงันโดยไม่พูดไม่จา
“ทำไมทำอะไรไม่ปรึกษากัน นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วนะ”
“พี่ขอโทษโน พี่ผิดเอง” ชายหนุ่มก้มหน้ายอมรับ
“ผมเข้าใจความรู้สึกพี่เมฆนะครับ” คนตัวบางแตะไหล่อีกคนด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ “แต่พี่ก็ควรจะเลือกครอบครัวของพี่ ไม่ใช่คนนอกอย่างผม”
“โน อย่าทำแบบนี้” เมฆินทร์จับมือของอีกคนไว้แน่น “พี่ไม่ยอมให้มันเป็นแบบนี้แน่”
“ ผมขอเวลาคิดอะไรๆสักหน่อยเถอะครับ ช่วงนี้.... เราควรต้องห่างๆกันสักพัก”
ชายหนุ่มค่อยๆแกะมือของอีกคนออก ก่อนจะเดินจากไปทิ้งไว้แต่ไอ้หนุ่มบ้านนาที่กำลังเข่าทรุดลงกับพื้นและหลั่งน้ำตาลูกผู้ชาย
“มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ ไอ้เมฆ”
.
.
.
อโณชานั่งเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ที่เฉลียงชั้นสองด้วยความรู้สึกสับสน เขาไม่ปฏิเสธหรอก ว่าเวลานี้ตัวเองก็มีใจให้กับลูกชายผู้ใหญ่บ้านไม่น้อย หากแต่....ความรู้สึกทั้งหมดมันเพิ่งจะเริ่ม และหากความสัมพันธ์ของเขามันจะก่อปัญหาให้กับใครต่อใคร .... ถ้าเป็นเขา เขาก็เลือกที่จะถอย เพราะเขารู้ ว่าเขาทำใจได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอกหักสักหน่อย

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ สามเดือนที่ผ่านมาแทบจะไม่มีใครโทรเข้าจนชายหนุ่มต้องเปลี่ยนโปรโมชั่นเป็นแบบเติมเงินให้เหมาะสมกับการใช้งาน และเมื่อเห็นว่าปลายสายเป็นเบอร์ของใคร เขาจึงตัดสินใจรับสายนั้น
“ว่าไงครับแม่”
“ชั้นจะโทรมาถามสารทุกข์สุขดิบไม่ได้รึไง นี่มันไม่ใช่แค่วันสองวันนะที่แกหายหัวไปน่ะ” ปลายสายยังคงมีนิสัยเช่นเดิม
“ทำอย่างกับแม่ใส่ใจผมนัก ปกติก็โทรมาตอนสิ้นเดือนอยู่แล้วนี่”
“เอาเถอะ ชั้นไม่อยากต่อปากต่อคำกับแกเท่าไหร่ แกสบายดีใช่มั้ย”
“ก็....” ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “สบายดีมั้งครับ”
“ก็ดี .... ความจริงที่โทรมาเนี่ย ชั้นก็มีเรื่องจะบอกอยู่เหมือนกัน ..... “
“เงินหมดอีกหรือไง”
“เปล่าหรอก ชั้นแค่จะบอกว่า ชั้นจดทะเบียนกับผัวใหม่แล้วน่ะ แกจำได้มั้ย ตาชิตน่ะ”
อโณชาค้นหาชื่อและหน้าตาของคนชื่อชิตในความทรงจำ และก็พบว่าเป็นหนึ่งในผู้ชายหลายๆคนของแม่ หากแต่เขาก็รู้จักผู้ชายคนนี้เพียงผิวเผินมาก
“ทำไมถึงเลือกตาคนนั้นล่ะแม่”
“คนเราดีไม่ดีก็ดูกันยามยากนี่แหละ ช่วงที่แกแย่ๆ แม่ก็ได้เค้าช่วย ถึงเค้าจะดูทึ่มๆขัดกับสเปคชั้นสักหน่อย แต่ก็ดีกว่าพวกไก่แก่แม่ปลาช่อนคนอื่นๆ” แม่ตอบตรงไปตรงมา

คำว่าผู้ชายซื่อๆทึ่มๆ ทำให้อโณชานึกถึงใบหน้าของคนๆหนึ่งลอยขึ้นมาในความคิด คนที่เขาควรจะต้องตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังกับผู้ชายคนนี้
“แล้วแกล่ะ ไปอยู่ที่นั่น ไปได้กับชาวนาที่ไหนบ้างมั้ย” คำถามของแม่ยังตรงกับบุคลิก
“เฮ้อ .... ไม่มีหรอกครับ มาทำงานไม่ได้มาหาแฟนนี่”
“แล้วไอ้จอนล่ะ เห็นมันมาถามหาแก ได้เจอกันหรือยัง”
“เจอกันครับ....แต่ผมกับจอนไม่ได้เป็นอะไรกันมานานแล้ว”
“แล้วแกเป็นอะไรของแกล่ะ ฉันรู้นะ....ตอนนี้จิตใจของแกไม่ได้เป็นปกตินักหรอก”
“แม่....รู้ได้ยังไงไง” อโณชาตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินแม่ของตนพูดเช่นนั้น
“เพราะชั้นเป็นแม่แกไง ทำไมชั้นจะไม่รู้เช่นเห็นชาติ แกอาจจะใสซื่อกับคนอื่น แต่แกไม่อ่อนหวานกับชั้นนักหรอก แล้วที่แกมาพูดเสียงอ่อยๆใส่ชั้นนั่นแสดงว่าแกคงมีเรื่องไม่สบายใจอะไรอยู่ ...แต่ก็เอาเถอะ ชั้นก็ไม่ได้ขอให้แกมาระบายกับชั้นหรอก แกเองก็โตรู้เรื่องรู้ภาษาแล้ว แต่ยังไงชั้นก็เป็นแม่แก มีอะไรให้ช่วยได้ก็บอกมาแล้วกัน”
“เอ่อ....” อโณชาหลับตา และถอนหายใจเบาๆ “ขอบคุณมากครับแม่ เอาเป็นว่าผมยินดีด้วยกับแม่แล้วกัน เรื่องแฟนใหม่น่ะ”
.
.
.
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!” เสียงเคาะประตูบ้านเกษตรอำเภอดังขึ้นในเช้าตรู่วันหนึ่ง ผู้ที่อาศัยในบ้านทั้งสองคนมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่นฤบดินทร์จะเป็นคนไปเปิดประตูให้เมื่อเจ้าของบ้านพยักหน้ายินยอม

บานประตูไม้ถูกเปิดออกเผยให้เห็นแขกผู้มาเยือนที่คุ้นหน้าแต่แปลกตาออกไปด้วยสภาพที่ดูอิดโรยกว่าทีเคยเห็น
“ขอคุยด้วยหน่อยสิ จอน”
“ผมหรอครับ พี่เมฆ” ขจรเกียรติย่นคิ้วอย่างแปลกใจด้วยไม่คิดว่าชายตรงหน้าจะมีธุระกับตน
“ใช่ .... นายนั่นแหละ” เมฆินทร์ย้ำคำแน่นหนัก
“งั้น .... คุยข้างในดีมั้ยครับ”
เมฆินทร์พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามอีกคนเข้าไป นฤบดินทร์มองแขกผู้มาเยือนด้วยแววตาที่แปลกใจไม่ต่างกับผู้เป็นบ่าวนัก หากแต่ด้วยหลายๆอย่างที่ผ่านมาทำให้เขาเลือกที่จะประพฤติตัวเย็นชาให้กับผู้มาเยือน
“มีเรื่องอะไรล่ะเนี่ย”
“พี่มีเรื่องอยากจะคุยกับจอนสักหน่อยน่ะหน่อง”
“งั้น....ผมต้องหลบไปที่อื่นก่อนมั้ย”
“ไม่ต้องก็ได้ .... อยู่ฟังด้วยกันนี่ล่ะ เผื่อหน่องจะมีความคิดอะไรดีๆ”
.
.
.
“สมน้ำหน้า ทำอะไรไม่คิด” นฤบดินทร์พูดสั้นๆเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด พลางยักไหล่อย่างไม่แยแสต่อความรู้สึกของคนที่กำลังทุกข์หนัก
“ก็รู้ว่าผิด แต่ยังไงพี่ก็ไม่ยอมให้มันจบลงแบบนี้นะ”
“แล้วไง ซมซานมาที่นี่เพื่ออะไร ผมน่ะนะ....”นฤบดินทร์ตอกย้ำ แต่ชายผู้ทุกข์ร้องก็ยกมือห้ามไว้
“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะพี่แค่จะขอยืมตัวจอนไปด้วย...เท่านั้นเอง” เมฆินทร์เฉลยความต้องการ ทำเอาอีกสองคนต้องหันมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจนัก
“ผม.... น่ะหรอครับ” คนที่ถูกอ้างถึงเลิกคิ้ว “ผมจะทำอะไรได้”
“พาผมไปหาแม่ของโนที่อยู่กรุงเทพหน่อยได้มั้ย ผมยินดีทำทุกอย่าง .... ขอแค่พาผมไปหาแม่ของโน ให้ผมได้ไปพูดกับท่าน แต่ถ้ามันจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปกว่าเดิม ผมก็คงต้องยอมแล้ว แต่ผมขอดิ้นรยต่ออีกหน่อยเถอะ”
ขจรเกียรติและนฤบดินทร์มองหน้ากันเป็นเชิงถามใจ ก่อนที่ฝ่ายเกษตรอำเภอจะหยักหน้าและถอนหายใจเสียงดังด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“ตกลง .... แต่พี่เมฆสัญญาแล้วนะว่ายินยอมทุกอย่าง”
“ใช่ ผมสัญญา”
“หึหึ....ตกลง งั้นเราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลยมั้ยครับ”
“ได้...ได้สิ ไปกันเดี๋ยวนี้เลย” เมฆินทร์มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด


รถกระบะของเมฆินทร์บึ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วด้วยความที่คนขับคงจะอยากให้ถึงกรุงเทพให้เร็วที่สุด นฤบดินทร์มองรถคันนั้นที่ค่อยๆแล่นลับตาไปพลางส่ายหัวเบาๆ พลางนึกเป็นห่วงเมฆินทร์อยู่ลึกๆ เขาคงมัวแต่หูตามืดบอกเพราะความรักจนลืมที่จะสังเกตแววตาเจ้าเล่ห์ของคนที่พาไปด้วย ถึงแม้นฤบดินทร์จะพอมองออกว่า ขจรเกียรติไม่ได้เป็นคนที่ชั่วร้ายมากนักเหมือนในอดีต แต่เชื่อเถอะ ขึ้นชื่อว่าหมาจิ้งจอกน่ะ ต่อให้เอามาหัดให้กินพืชแต่มันก็ไม่ทิ้งนิสัยเจ้าเล่ห์หรอก

“อย่าแกล้งตานั่นแรงนักก็แล้วกันนะจอน” นฤบดินทร์อมยิ้มพลางภาวนาในใจ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปอย่างอารมณ์ดี บางทีให้ไอ้หนุ่บ้านนอกโดนซะมั่งมันก็ดีเหมือนกัน



“ผมขอค่านำทางห้าหมื่น” ขจรเกียรติแจ้งเงื่อนไขของตนเมื่อรถแล่นข้ามทางแยกเดิมบาง ซึ่งคำพูดนั้นทำให้กามนิตหนุ่มถึงกับต้องรีบจอดรถเข้าข้างทาง
“ห้าหมื่น นายจะบ้ารึไง!!!” เมฆินทร์สบถลั่น
“ไม่เป็นไร งั้นผมขอลงตรงนี้แล้วกันครับ” ขจรเกียรติยิ้มเจ้าเล่ห์ และเปิดประตูรถออกไป
“โว้ยยย ไอ้....!!!!” เมฆินทร์ตะโกนอย่างเหลืออดและหมดทางเลือกเมื่อเจอเด็กเมื่อวานซืนอย่างขจรเกียรติย้อนเกล็ดเข้าอย่างจัง!  

มาต่อแล้วครับ

ช่วงนี้จะวุ่นๆนิดหน่อย แต่ก็ไม่มากมายเหมือนช่วงก่อนบวช

ยังพอมีเวลาจัดการนิยายบ้างอะไรบ้างอยู่

สำหรับเรื่องนี้ก็ใกล้จะเข้าโค้งสุดท้ายแล้ว

ตามแพลนที่วางไว้ น่าจะอีกสักสองตอนน่าจะจบ

และมีตอนพิเศษในหัวอยู่อีกสองตอน

โดยทั้งหมดทั้งปวง จะลงสลับกันระหว่าง เพทุบายในสายหมอก กับเรื่องนี้นะครับ

ส่วนความถี่ในการลง ตอนนี้ก็อาจจะห่างสักหน่อย (แต่พยายามไม่ให้เกินอาทิตย์)

หลังสงกรานต์ อะไรๆ น่าจะเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้

ขอบคุณสำหรับการติดตาม และยินดีต้อนรับมิตรรักนักอ่านที่เพิ่งเข้ามาคอมเมนท์และได้รู้จักกันนะครับ

ขอบคุณคุณ Penda สำหรับการตรวจคำผิด เดี๋ยวลงเสร็จผมจะกลับไปแก้คำผิดนะครับ

ส่วนหมาน้อย พี่ลงพี่เมฆให้อ่านแล้วนะ  :z1:

ขอรางวัลหน่อยเร็ว

 :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 26-03-2012 15:04:03
จอนแกเรียกค่านำทางอย่างนี้จะแกล้งเมฆเหรอ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 26-03-2012 15:13:27
ฮิฮิฮิ จอนแสบว่ะ กะเรียกค่านำทางจากพี่เมฆเอาให้หมดหนี้เลยป่ะ

เป็นกำลังใจให้พี่เมฆนะ ขอให้ได้ลงเอยกันเร็วๆ :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 26-03-2012 16:00:14
ไอ้จอน ชั้นอยากจะตื๊บแกแทนพี่เมฆจริง ๆ

ขอให้แม่โนเห็นใจด้วยเถอะนะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: londoneye ที่ 26-03-2012 17:28:31
โดนเข้าแล้วพี่เมฆ

ค่านำทางห้าหมื่น :laugh:

แล้วจะทำไงน้อ

จะจบแล้วอ่า.... :sad4:

แต่ยังไงก็รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-03-2012 17:52:23
ขอให้พี่เมฆผ่านด่านว่าที่คุณแม่ยายที่รัก อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 26-03-2012 18:38:41
ห้าหมื่นก็ไม่มากเท่าไรนะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 26-03-2012 19:14:14
เพิ่งเ็ห็นว่ากลับมาอัพแล้ว~
ดีใจมากกกที่อัพ (>///<)
มีอีกทีก็ใกล้จบแล้ว TT'
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 26-03-2012 20:35:05
ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์นี่คงแสบไม่เปลี่ยน

สงสารพี่เมฆจังเลย  สู้ๆพี่

บวกเป็ด

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 26-03-2012 21:38:51
จอนแกล้งพี่เมฆ
ได้ลงคอ :m16:

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 26-03-2012 22:00:37
ทำอะไรไม่คิดเลยนะพี่เมฆ รอเวลาเหมาะๆ กว่านี้หน่อยก็ไม่ได้
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 26-03-2012 22:09:05
 :L2:อืมตามอ่านจนทันละ :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 27-03-2012 02:12:14
จอนจะเอาเงินไปใช้หนี้ใช่ป่ะเนี่ย
แล้วก็ปลดแอกความเป็นทาส(? ฮ้าๆๆ)จากหน่อง
แล้วจะได้อยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกัน
จะได้จีบได้ถนัดๆ อย่างเต็มที่ใช่ป่ะ อิอิ

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 27-03-2012 21:24:29
จะทำอะไรก็คิดให้ดีๆนะพี่เมฆ

แอบหนักใจแทนเจ้าโน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Aimmie88 ที่ 28-03-2012 01:03:13
นิสัยอย่างจอนนี่เหมาะให้หน่องปราบอย่างแท้จิง หึหึ
พี่เมฆก็สู้ๆเค้าน้า ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 01-04-2012 05:12:40
ค่า GPS แพงมาก
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 01-04-2012 07:11:46
 :z6: ขอกระโดดขาคู่กลับตัวสามรอบเตะจอนทีนึง ไม่ไหวๆๆๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๗ (๒๖ มี.ค. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 03-04-2012 22:09:10
จอนไม่คิดจะเกรงใจเลย เรียกค่าตัวขนาดนั้น ไม่กลัวพี่เมฆกระทืบกลับไปแทนรึไง ?
แล้วจะจ่ายจริง ๆ เหรอนั่น ? ต้องทำนากี่คราวล่ะเนี่ย ? ( แต่ระดับพี่เมฆคงคราวเดียวล่ะมั้ง? )
หวังว่าการที่พี่เมฆลงทุนไปครึ่งแสน เพื่อไปหาแม่ของโณ คงได้ผลคุ้มค่าอ่ะนะ... :z2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 04-04-2012 17:06:45

กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ๑๘

“ผมล้อเล่นน่ะครับ”
“วะ! อะไรของนายกันเนี่ย” เมฆินทร์สบถอย่างหัวเสียอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าตัวเองตามความคิดของอีกคนไม่ทัน
“คือมันก็ไม่ถูกเสียทั้งหมด ความจริงผมแค่จะยืมเงินพี่เมฆก็เท่านั้น”
“ห้าหมื่นเนี่ยนะ นายจะ ...บ ...”
“ผมรู้ มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ และผมเองก็ไม่สามารถบอกพี่เมฆได้ว่าจะใช้คืนพี่ได้หมดเมื่อไหร่ ผมมีแค่สัญญาใจว่าผมจะคืนพี่ให้หมดในชาตินี้แน่ๆ “ ขจรเกียรติเฉลยด้วยสีหน้าแววตาที่แน่วแน่จริงจัง
“นายจะเอาเงินไปทำอะไร”
ขจรเกียรติถอนหายใจ เขาหลุบตาต่ำอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้างหน้ามีปั๊มน้ำมัน เราไปคุยกันที่นั่นดีกว่ามั้ยครับ”
“นายยังมีลูกไม้อะไรอีกหรือเปล่า”อีกฝ่ายย่นคิ้วอย่างระแวง
“ผมมีลูกไม้เดียวแค่ที่ผมกำลังจะบอกพี่ พี่จะมองว่าผมเป็นคนเจ้าเล่ห์ก็ได้ แต่ผมก็อยากให้พี่ฟังผมก่อน ถึงพี่จะคิดว่ามันเป็นแผนการไม่ใช่ความจริงใจของผม อย่างน้อยผมคิดว่ามันก็เป็นการวิน-วินกันทั้งสองฝ่ายอยู่ดี”

เมฆินทร์มองหน้าอีกคนอย่างชั่งใจ ก่อนจะปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่
“นายคงไม่รู้ว่าที่ผ่านมาน่ะ ชั้นรู้จักนายมากแค่ไหน แต่เอาเถอะ ชั้นจะรับฟังแต่ชั้นไม่ได้รับปากหรอกนะว่าจะโอเคกับนายหรือเปล่า”
.
.
.
อโณชานั่งมองแปลงข้าวที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำและเต็มไปด้วยกล้าข้าวที่เพาะเอาไว้ ตอนนี้ต้นข้าวเหล่านั้นกำลังแตกหน่ออ่อนๆพ้นน้ำขึ้นมาสักข้อนิ้วโป้ง คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยกว่าจะถอนกล้าขึ้นมาทำการปักดำต่อไปได้

แดดแทบจะไม่มีแม้เวลาจะล่วงเลยมาไม่น้อย ชายหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มีสีเดียวกับความรู้สึกในใจตัวเองอย่างเหม่อลอย  .... ไม่มีใครอีกคนที่เคยฉีกยิ้มฟันขาวข้างๆมันก็ออกจะเหงาอยู่ไม่น้อย กล้าข้าวที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เขาตบมือดีใจที่ได้เห็นมันค่อยๆเจริญงอกงาม ในวันนี้กล้าข้าวเหล่านั้นก็เหมือนจะแทงยอดทะลุผิวดินเชื่องช้ากว่าตอนที่ไม่มีคนๆนั้น

“คิดถึงใครอยู่รึไงฮึ เจ้าโน”

เสียงเข้มๆดังมาจากข้างหลัง ในมือของชายคนนั้นมีลูกซองแฝดประทับมั่นอยู่เหมือนในฉากของหนังเรื่องลูกสาวกำนันยุคจารุณี สุขสวัสดิ์ หากแต่เวอร์ชั่นบ้านเดิมบางเวลานี้ เหมือนนางเอกจะไม่ได้เป็นหญิงสาวแก่นเซี้ยวเหมือนต้นฉบับ

เจ้าของชื่อที่ถูกทักถอนหายใจ ก่อนจะหันไปตอบ

“เปล่าครับ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ลุงวันไปทำเขาขนาดนั้นเขาคงไม่กล้ามายุ่งกับผมแล้วล่ะ”
“แค่นั้นยังไม่พอหรอกนะ แกเองก็ห้ามคิดถึงมันด้วย”
“เฮ้อ ... ผมกลับบ้านก่อนนะครับ”

อโณชาขึ้นขี่ควายรอดคู่ใจก่อนจะเหม่อมองไปยังท้องนาของตน เขามองเลยข้ามเขตคันนาไปพลางคิดถึงเจ้าของที่นาฝั่งตรงข้ามอยู่ลึกๆ
.
.
.
มื้อเที่ยงที่เรือนนางฉลวยเป็นไปอย่างเงียบเชียบเหมือนเคย หากแต่บรรยากาศที่อึมครึมกว่าทุกทีอาจจะเกิดจากการที่มีผู้เป็นลุงของเจ้าของบ้านมาร่วมวงด้วย ลุงหลานนั่งเงียบใส่กันโดยไม่ได้พูดจากัน อโณชาตักข้าวเข้าปากอย่างเชื่องช้าเหมือนเด็กๆที่เบื่ออาหาร

“อิ่มแล้วหรือไง” ลุงวันถามขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มรวบช้อน
“ครับ”

รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านอโณชาทำให้ทั้งสองคนบนโต๊ะกินข้าวต้องหันไปมอง และเมื่อผู้เป็นลุงเห็นรถคันนั้น เขาก็คว้าปืนลูกซองแฝดมาอยู่ในท่าประทับเล็งทันที
“พี่เมฆ!!!” อโณชาอุทาน

ทว่า คนที่ก้าวลงมาจากรถกลับเป็นคนที่ทุกคนไม่คาดฝันว่าจะได้พบ
“แม่ไพ!...” นายวันเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะค่อยๆลดปืนลง
“กลับไปก่อนเถอะ” ผู้มาเยือนบอกสารถีที่มาส่ง ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับช้าๆ ก่อนที่จะขับรถออกไปช้าๆทิ้งไว้เพียงแววตาที่แอบลอบมองคนในบริเวณอย่างมีความหวัง

“ลมอะไรพัดมาถึงที่นี่ .... แถมยัง มากับไอ้บ้านั่นด้วย” ลุงวันเอ่ยขึ้น
“ฉันได้ข่าวว่าใครบางคนทำตัวเป็นอันธพาลไล่ยิงชาวบ้านไปทั่ว ฉันก็เลยมาดูซะหน่อยน่ะ” นางอำไพเอ่ยขึ้นลอยๆ ก่อนจะหันมาทักทายลูกชาย “สบายดีนะโน”
“ครับแม่” อโณชาฉีกยิ้มกว้าง “กินอะไรมาหรือยังครับ”
“ยัง .... ให้ใครคดข้าวมาให้หน่อยสิโน เดี๋ยวพอกินอิ่มแม่จะได้มีแรงสะสางอะไรต่อมิอะไรสักหน่อย”
“ถ้าเป็นเรื่องไอ้...!”
“พี่วันนั่งเงียบๆไปเลยจนกว่าฉันจะกินข้าวอิ่ม!” นางอำไพออกคำสั่ง ซึ่งคำสั่งนั้นก็มีอำนาจเพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายทำตามแต่โดยดี
.
.
.
ขจรเกียรติเปิดประตูเข้าบ้านพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี เขาส่ายสายตาซ้ายขวามองหาเจ้าของบ้างก็พบว่า เจ้าของบ้านกำลังนั่งดูทีวีอยู่โดยไม่ได้หันมามองว่าเขาเข้ามาข้างในแล้ว
“ดูมีความสุขนะ” นฤบดินทร์พูดโดยที่ไม่ได้หันมา
“ก็นิดหน่อยครับ”  เขาตอบด้วยรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น “พี่จะไม่ถามผมหน่อยหรอว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง”
“ไม่ล่ะ ... บางทีชั้นก็เบื่อๆที่จะใส่ใจเรื่องของสองคนนั้นเหมือนกัน”
“แล้วเรื่องที่เกี่ยวกับผมล่ะครับ”
คำพูดของบ่าวจำเป็นส่งผลให้อีกฝ่ายต้องหันกลับมามอง หากแต่นฤบดินทร์ก็ยังคงพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“นั่นยิ่งไม่น่าใส่ใจเลยสักนิด”
“โอเคๆ” ชายหนุ่มยกมือตัดบท “ไม่ใส่ใจก็ไม่ใส่ใจครับ”

ขจรเกียรติเดินไปในโถงกลางของบ้าน พลางใช้มือลูบบนโซฟาหนังเทียมที่อีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่ช้าๆ ก่อนที่มือข้างนั้นจะไล้ไปถูกไรผมของคนที่นั่งอยู่
“อีกไม่นานมหาลัยก็จะเปิดแล้ว .... สมมติถ้าผมกลับไป ใครจะทำความสะอาดบ้านให้พี่นะ”
นฤบดินทร์เสตามามองผ่ามือของอีกคนเพียงแวบเดียว ก่อนจะตอบอย่างไม่ยี่หระ
“ก่อนหน้านี้ชั้นก็ทำของชั้นเอง .... ว่าแต่นายพร้อมที่จะกลับไปวิ่งหนีตีนพวกนั้นแล้วรึไง”
“ผมก็แค่พูดเผื่อๆไว้ อนาคตมันไม่แน่นอนหรอกครับ”
.
.
.
เมฆินทร์นั่งวางขาข้างหนึ่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่พลางทอดสายตาเหม่อลอยราวกับรอคอยที่จะพบใครสักคน เสียงขลุ่ยผิวครวญหวีดหวิวกรีดใจจนร้าวชา  ควายแฉะคู่ใจกระดิกหูเหมือนรับรู้ความเศร้าของผู้เป็นนาย

https://www.youtube.com/v/BV4RAbu5rIo?version=3&amp&&loop=1&autoplay=0

“โอ้อกเอ๋ยเจ็บปวดร้าวรวดนัก
ด้วยคมรักบาดใจให้เป็นแผล
เคยโลมเล้าเคล้ากอดยอดดวงแด
เคยงอนแง่ง้องอนตอนราตรี

ย้ำคำรักฝากใจใต้เงาไผ่
ใบข้าวไหวไกวเอนเป็นสักขี
แต่ยอดชู้อยู่ไหนในตอนนี้
ได้ยินพี่ร่ำไห้ไหมดวงใจ

เลิกจากนาสายัณห์ตะวันรอน
เคยกล่อมนอนด้วยขลุ่ยผิวให้หลับใหล
เจ้าลืมหมดหรือเล่าเจ้าหายไป
เหลือทิ้งไว้เพียงรอยไถใกล้กองฟาง

หรือมีเพียงแต่เราเฝ้ารออยู่
เจ้ามิรู้หรือจึงทิ้งให้หมองหมาง
พี่ร้องไห้อยู่ริมทุ่งจนรุ่งราง
กี่ฟ้าสางกันเล่าเจ้าจะมา”

“นี่นังแฉะ...” หน่มบ้านนาใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวควายแคระเบาๆ “ทำไมมันเงียบไปแบบนี้ ก็ในเมื่อข้าก็พาแม่ของโนมาแล้ว และท่านก็ไม่ได้รังเกียจอะไรข้าไม่ใช่รึ ”
“แงะ!!!” ควายแฉะส่งเสียงร้องราวกับรับรู้ หากแต่มันก็ทำได้เพียงเท่านั้น เพราะต่อให้มันเป็นคนและพูดได้ มันก็คงจะรู้อะไรเท่าที่เมฆินทร์รู้เช่นกัน
“นี่ก็หลายวันแล้ว ทำไมถึงไม่มีข่าวคราวอะไรบ้างเลยล่ะ.... หรือที่ข้าทำไปทั้งหมด มันเปล่าประโยชน์งั้นหรอวะ”

ท้องฟ้าบ้านเดิมบางเวลานี้เป็นสีเทาหม่นๆ และมีเสียงฟ้าคำรามครืนคราม สายฝนคงจะโปรยปรายลงมาในอีกไม่ช้า เมฆินทร์ถอนหายใจกับตัวเองก่อนจะพาควายของตนเข้าคอกเพื่อหลบฝนที่กำลังจะมาในไม่ช้า

“พี่เมฆ”
เจ้าของชื่อยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะก้าวลงจากควายที่ขี่มา
“หายไปไหนมา รู้บ้างมั้ยว่าพี่....”

ฟ้าคำรามลั่น อีกครั้งก่อนที่เม็ดฝนจะโปรยปรายลงมา เสียงซ่านซ่าดังสนั่นกลบคำพูดของหนุ่มบ้านนาที่ร้อนรนรอการกลับมาของคนตรงหน้า 
“ขอเอาไอ้รอดเข้าไปหลบฝนก่อนสิครับ”
“อ่า....อื้ม” ชายหนุ่มรับคำ ก่อนจะจูงควายอีกตัวเข้ามาในคอก
“หายไปไหนมา” เมฆินทร์ถามขึ้นอีกครั้งเมื่อทั้งคนและควายรวมสี่ชีวิตเข้ามาหลบฝนกันในคอก
“ไปทำธุระหลายๆอย่าง”
“แล้วเรื่องของเรา...เอ่อ พี่หมายถึงลุงวันน่ะ”
ใบหน้าของคนถูกถามดูเศร้าหมองลงเล็กน้อยเมื่อได้ยิน เขาพรั่งพรูลมหายใจก่อนจะตอบสั้นๆ
“เรื่องนั้น .... มันจบแล้วล่ะครับ”
.
.
.
ฟากหนึ่งที่บ้านของเกษตรอำเภอท้ายตลาด ขจรเกียรติกำลังขะมักเขม้นกับการเก็บผ้าที่ตากไว้ตั้งแต่ตอนเช้า เนื่องจากฝนที่ตกลงมา ชายหนุ่มพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังจากที่วางตะกร้าผ้าลง ก่อนจะใช้มือสองข้างลูบเม็ดฝนที่เปียกอยู่ตามใบหน้าและไรผม

“ฝนตกอีกแล้ว” นฤบดินทร์เอ่ยลอยๆเมื่อมองออกไปด้านนอก
“ก็ดีไม่ใช่หรอครับ ช่วงนี้ชาวนาเค้ากำลังจะเริ่มลงข้าวกันใหม่ไม่ใช่หรอ”
“ถ้ามองมุมนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเอาตามความรู้สึกส่วนตัว ชั้นไม่ค่อยชอบฟ้าสีนี้เท่าไหร่ สีเทาๆแบบนี้มันทำให้รู้สึกเหงาและก็อ้างว้าง”
“แล้วทำไมพี่หน่องไม่หลับตาล่ะครับ ถ้าพี่หน่องไม่ชอบสีเทา พี่หน่องก็แค่หลับตาแล้วรับรู้ถึงความเย็นฉ่ำจากสายฝนได้นี่”
“ก็ถูกของนายนะ” เขายิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของอีกคน
“ถ้าพี่ไม่ชอบท้องฟ้าตอนมีฝน พี่ก็ต้องอดทนเอาหน่อย ฝนไม่ตกไปตลอดหรอก เค้าถึงบอกว่าฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ”
“งั้นหรอ.... ไม่น่าเชื่อนะว่านี่จะเป็นคำพูดของคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักการพนัน”
ขจรเกียรติหลุบตาต่ำ สีหน้าเขาหม่นลงเล็กน้อยจนทำให้อีกคนที่รู้สึกผิดที่พลั้งปากพูดไป
“เอ่อ ... ชั้นขอโทษ มันไม่ถูกต้องหรอกที่ชั้นเอาอดีตของนายมาพูดแบบนี้”
“ช่างเถอะครับ อย่างน้อยมันก็เป็นการเตือนตัวเองไม่ให้กลับไปเป็นแบบเดิม เหนือสิ่งอื่นใด ต้องขอบคุณคนที่เปลี่ยนให้ผมเป็นแบบนี้ ขอบคุณมากนะครับ”
ชายหนุ่มทั้งสองคนสบตากันชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเสตาหนีกันไปคนละทาง

ฝนเริ่มซาลง พร้อมๆกับที่เริ่มมีคนออกมาจับจ่ายซื้อของกัน นฤบดินทร์และขจรเกียรติ ยืนมองอย่างเงียบเงียบเชียบและเนิ่นนานตลอดเวลาที่ฝนกระหน่ำบนระเบียงชั้นสองโดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดอะไรกันอีก ฝ่ายเด็กหนุ่มแอบลอบมองคนข้างๆอย่างเจียมตัว เขามองมือเล็กๆที่จับกับราวระเบียงไว้ในขณะที่มืออีกข้างของเขาที่อยู่ชิดกันนั้นสั่นระริกและค่อยๆเลื่อนเข้าใกล้มือข้างนั้นด้วยความตื่นเต้น .... และสุดท้ายความเจียมตนก็ทำให้เขาปล่อยมือจากราวระเบียงมาไว้ข้างตัว

“ฝนซาแล้วนะครับ”
“อืม .... แต่ฟ้าก็ยังเป็นสีเดิม”
“แต่ว่ามันก็เป็นสัญญาณที่ดีของการเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่หรอครับ”
นฤบดินทร์หันมาย่นคิ้วอย่างไม่แน่ใจสิ่งที่ได้ยินนัก ทำให้คนที่ถูกจ้องหน้าต้องเกาหัวแก้เก้อ
“คือผมหมายความว่า เริ่มมีคนออกมาเดินกันบ้างแล้ว”
“อื้ม” คิ้วของเกษตรอำเภอคลี่ปมออก ก่อนจะหันไปทางเดิม
“ถ้าวันหนึ่งผมไปจากที่นี่....”
“ชั้นอยู่ได้ ..จอน และชั้นยินดีถ้านายจะไปยังทางที่ดีกว่านี้ อนาคตของนายไม่ใช่การเป็นคนใช้ของชั้นไปตลอดชีวิตหรอก”
“ครับ” เขารับคำพลางก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง ...  


กลับมาแล้วครับ

หลังจากหายไปนานมาก

ต้องขอโทษด้วยตรงนี้ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ

แต่แค่ขอชี้แจงสาเหตุที่หายไปเนื่องจากภารกิจที่รัดตัว

และช่วงนี้ต้องดูแลไอ้หมาน้อยมันด้วย นานๆจะได้เจอกันน่ะนะ  :z1:

ซึ่งถ้าใครอ่านวิน-หมอก จากเรื่องเพทุบายในสายหมอก น่าจะทราบสาเหตุอยู่บ้าง

สำหรับเรื่องนี้ ตอนหน้า (น่าจะ) เป็นตอนจบแล้ว

ซึ่งจะมีตอนพิเศษให้แน่ๆเลย หนึ่งตอน กับอีกตอนหนึ่งกำลังพิจารณาครับ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจและการติดตาม

ถึงบางครั้งจะนานไปหน่อย แต่เรื่องนี้ก็ใกล้จะปิดม่านลงแล้วครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับ :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ยใ ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: wdaisuw ที่ 04-04-2012 18:00:55
ที่ว่าเรื่องมันจบแล้วนี่คือ
แฮปปี้แล้วใช่มั้ยจ้ะโน??? o13

ส่วนอีกคู่ดูเหมือนว่าจะเริ่มผูกพันกันไปทีละนิด
ขอให้ลงเอยด้วยดีอีกคู่นะคะ :3123:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 05-04-2012 06:18:30
 o13 วุ้ววววววว ชอบเพลงที่โพสไว้มากๆเลยจ้าาา เนิบๆเนื่องๆ ได้ฟิลตอนอ่านเรื่องเลยจ้าาาาาา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ยใ ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 05-04-2012 09:28:53
ตกลงโนหายไปไหนมา  แลัแม่จะช่วยอะไรบ้าง  อยากรู้จัง

ฝ่ายหน่องก็กลายเป็นคนเฉยชาไปซะแล้ว

รอตอนต่อไปค่ะ

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ยใ ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 05-04-2012 10:04:23
 :กอด1: :L1:

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ยใ ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 05-04-2012 11:58:51
คู่โณกับเมฆไม่รู้ว่าเป็นไง จอนชอบหน่องเหรอ
ตอนหน้าจะจบแล้วจะสมหวังหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ยใ ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-04-2012 14:30:18
แม่มาเคลียร์ด้วยตัวเองเลย น้องโนคงมีข่าวดีให้พี่เมฆนะ
จอนกับหน่องคงต้องดูกันอีกยาวมั้ง ถามใจตัวเองให้แน่เสียก่อน ว่าไม่ใช่แค่เหงา

อิจฉาคนเขียนเล็กน้อย ท่าทางอินเลิฟน่าดู
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ยใ ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 05-04-2012 15:05:24
จะจบแล้วเหรอ

คิดถึงแย่เลย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ยใ ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 06-04-2012 12:58:28
ตอนหน้าก็จบแล้ว
ยังไม่ได้อ่านตอนหวานๆให้จุใจเลย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ยใ ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 07-04-2012 01:58:48
แหม...คุณแม่ออกโรงเองทั้งที มีหรือที่พี่เมฆกับโนจะไม่สมหวัง  :laugh3:
ท่าทางคุณแม่เป็นสาวแกร่งแรงเกินร้อย ทำตามหัวใจเรียกร้องซะขนาดนั้น จะให้ลูกตัดใจง่าย ๆ น่ะ...ไม่มีทาง  o16

น้องจอน กลับตัว กลับใจเป็นคนดีแล้วจริง ๆ สินะ  :oni1:
กลับไปเรียนครั้งนี้ ก็ตั้งอก ตั้งใจ ทำให้สำเร็จลุล่วง
แล้วกลับมาในลุคผู้ใหญ่ที่ดี พี่หน่องจะได้หันมามองแบบเต็ม ๆ ตาซะที !!!
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ยใ ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 08-04-2012 10:36:13
ปกติแล้วเรื่องมีแต่จะยาวกันไปไหน
แต่เรื่องนี้นี่กลับรู้สึกว่าสั้นจัง จะจบซะแล้ว
จะมีปมมีประเด็นอะไรมาให้วิ่งเล่นกันอีกหน่อยก็ได้นะ อยากอ่าน อิอิ

คู่หลักน่ารักดีครับ แม้ว่าตอนท้ายๆ มุกพ่อตาหวงลูกสะใภ้จะดูเชยๆไปหน่อย
แต่ก็น่ารักเข้ากับบรรยากาศดี

เรื่องของเจ้าจอนดูมาไวไปไวไปนิดนึง แต่จริงๆแล้วผมชอบ เพราะมักจะรำคาญพวกตัวประหลาดในเรื่อง
กลับกลายมาเป็นตัวเอกของอีกคู่ได้ก็ดี (ตอนแรกแอบแช่งให้น้องโนจัดการซะให้เข็ด)

รอดูฤทธิ์แม่ไพในตอนจบครับ โย่ว

ปล. อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงบรรยากาศบ้านนอกตอนเด็กๆมากเลย
ถึงจะไม่ถึงกับใกล้ชิดไร่นาขนาดนี้แต่ก็คิดถึงบ้านสวนชะมัด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๘ (๔ เม.ยใ ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 08-04-2012 16:18:41
มารอตอนจบและตอนพิเศษครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ อวสาน (๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 08-04-2012 16:31:19
กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนอวสาน

นางอำไพยกน้ำในขันเงินขึ้นดื่ม ก่อนจะส่งเสียง “อ้า” เบาๆเป็นการแสดงถึงการสิ้นสุดลงของอาหารมื้อนี้
“ทำไมแม่ไพถึงมากับไอ้วิปริตนั่นได้ล่ะ” นายวันเอ่ยขึ้น
“พ่อหนุ่มนั่นไปบอกฉันเอง”
“อ้อ มันคาบไปฟ้องแม่ไพสินะ”
“ใช่ เขาฟ้อง ... แต่ถ้าไม่ไปฟ้องฉันก็ไม่มีทางรู้ว่าว่าพี่ทำอะไรแย่ๆไปบ้าง” นางอำไพเอ่ย พลางชายตามาทางลูกชาย “แกก็ด้วยเจ้าโน ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะไม่พูด เห็นฉันเป็นคนอื่นหรือยังไง”
“ก็รู้ไง ว่าถ้าแม่มาแล้วจะเป็นแบบนี้ อีกอย่างผมก็ไม่รู้จะบอกแม่ยังไง”
“แกพูดเหมือนชั้นไม่รู้อะไรๆของแก นี่ไม่ใช่แฟนหนุ่มคนแรกของแกนะ “
“อะไรนะแม่ไพ!!” นายวันอุทานเสียงหลง
“นี่ตาเฒ่า ฉันก็รู้อยู่หรอกนะว่าที่นี่มันบ้านนอก แต่คงไม่ถึงกับไม่มีไฟฟ้าและทีวี เลยไม่รู้ว่าทุกวันนี้โลกมันไปถึงไหนต่อไหน... หลานของแกน่ะมันเป็นชอบผู้ชายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว “
“แต่ฉันก็รับไม่ได้ที่....”
“รับไม่ได้ก็เรื่องของพี่เถอะ .... ถึงพี่จะรักมันเหมือนลูกยังไงแต่พี่ก็ยังเป็นแค่ลุง ฉันจะไม่พูดหรอกนะว่าพี่ก็เป็นแค่ลุง แต่ฉันก็หวังว่าพี่เองก็คงอยากให้เจ้าโนมันมีความสุขในสิ่งที่มันเป็นไม่ใช่สิ่งที่พี่เห็นว่ามันควรจะเป็นน่ะ”

นายวันถึงกับสะอึกเมื่อเจอผู้เป็นแม่ของหลานยื่นคำขาดเช่นนั้น และนางอำไพก็ไม่ได้เว้นจังหวะให้ชายหัวโบราณตรงหน้าได้อุทธรณ์ด้วย
“แล้วแกล่ะ เจ้าโน... คิดยังไงกับเจ้าลูกชายผู้ใหญ่บ้านนั่น”
.
.
.
“โนหมายความว่ายังไงที่ว่ามันจบแล้วน่ะ” เมฆินทร์ถามด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความกลัวต่อคำตอบที่กำลังจะออกจากปากของตรงหน้า
“ผมขอโทษนะครับ” อโณชาหันหลังให้อีกคน
“โอเค .... พี่เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆพร้อมกับดวงตาที่เริ่มร้อนและพร่ามัวด้วยม่านน้ำตา
“ผมขอโทษนะ ที่ไปกรุงเทพโดยไม่บอก คุณอาเค้าพาผมกับแม่ไปเที่ยวตากอากาศกันที่ประจวบน่ะครับ” หนุ่มเมืองกรุงหันมายักคิ้วให้ “นี่คุณอากับแม่ผมเค้าไปเที่ยวกันต่อ ส่วนผมขอกลับมาก่อน”
“คุณอา?”
“ครับ ... แฟนใหม่แม่ผม”
หนุ่มบ้านนาขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความฉงน ก่อนจะพูดต่อ “แล้วลุงวัน?”
“ลุงวันก็อยู่ท้ายหมู่บ้านไงครับ” อโณชายิ้มแฉ่งตีรวน
“นี่มันยังไงกันแน่เนี่ยโน”
“ผมก็ไม่รู้สิครับ”

คำพูดของชายหนุ่มแม้จะกำกวม หากแต่สีหน้าของเขานั้นก็คล้ายๆกับเป็นการเฉลยเรื่องราวทั้งหมดอยู่ในที และนั่นก็ทำให้ร่างเล็กนั้นถูกตะครุบด้วยฝีมือของไอ้หนุ่มลูกทุ่ง จนคนในอ้อมกอดดิ้นขยุกขยิกแต่ก็ยังหัววเราะคิกคัก

“หัวเราะอะไร มันไม่ตลกเลยนะ เกือบโดนลูกปืนเจาะพุงไส้แตกแน่ะ”
“ช่วยไม่ได้ อยากทำอะไรไม่คิด”
“ก็เพราะว่ารักน่ะสิ .... ไม่รู้หรือไง” ไม่เพียงแต่คำพูดเท่านั้น เขายังฝากรอยช้ำเบาๆบนแก้มของคนในอ้อมกอดด้วย
“ฮ่าๆๆๆ ไม่รู้ๆ ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ”

สายฝนยังคงกระหน่ำซัดฝืนดินอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เสียงซ่านเซ็นดังกลบเสียงหัวเราะของคนที่กำลังหลบฝนอยู่ในคอกควายแคบๆที่เหมือนจะแคบเกินไปเพราะทั้งคู่ต่างกำลังเบียดกายแนบชิดกันใกล้ขึ้นและแน่นขึ้นเรื่อยๆเหมือนไม่อยากที่จะให้มีช่องว่างซึ่งกันและกัน

.
.
.
ขจรเกียรติเก็บเสื้อผ้าและข้าวของของตนด้วยความเหม่อลอย ถึงแม้ตอนนี้เขาสามารถที่จะเป็นอิสระได้ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับไม่มีความสุขที่จะไปจากที่นี่ ราวกับเขาเป็นนกที่ถูกเลี้ยงในกรงมาตั้งแต่เล็กๆและเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในกรงมากกว่าที่จะโบยบินไปสู่อิสระ .... ถึงแม้จะคิดมานานแล้วว่ายังไงก็ต้องกลับไปเรียนให้ได้ หากแต่.... ถ้าคนๆนั้นเลือกที่จะรั้งเขาไว้สักหน่อย หรือพูดเหมือนว่าเขาก็มีความสำคัญ.... เขาคงจะไปจากที่นี่อย่างมีความสุขมากกว่านี้

ชายหนุ่มหิ้วกระเป๋าสะพายใบโตที่บรรจุของส่วนตัวทุกอย่างเอาไว้เดินออกมาจากห้อง นฤบดินทร์กำลังจิบกาแฟอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยท่าทีเรียบสงบ เขาเสตามามองเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
“จะไปแล้วงั้นหรอ งั้นเดี๋ยวชั้นไปส่งที่ บขส. นะ”
“ครับ”
เกษตรอำเภอยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะวางลงและคว้ากุญแจรถขึ้นมา
“เดี๋ยวครับพี่หน่อง ....พี่ไม่สงสัยหรอว่าทำไมผมถึงกล้ากลับไปกรุงเทพ”

ชายในชุดสีกากีหันไปมองคนที่พูดขึ้น ก่อนจะตอบไป “การที่นายไปที่นั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง นั่นก็เป็นการตอบได้แล้วนี่ว่านายจะกลับไปได้อย่างปลอดภัย .... อีกอย่างหนึ่งคือฉันรู้ว่านายน่ะเป็นคนฉลาดมากจนใกล้เคียงกับคำว่าเจ้าเล่ห์ พอๆกับที่ฉันก็รู้ว่าตาพี่เมฆนั่นค่อนข้างฉลาดน้อยใกล้เคียงกับคำว่าทึ่ม .... การที่นายไปลงเรือลำเดียวกับตานั่นเป็นการยืนยันอีกทางว่านายคงได้อะไรกลับมาจากภารกิจครั้งนี้ .... ใช่ไหมล่ะ?”

เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง พลางเกาหัวแก้เก้อ “พี่หน่องเล่าได้เป็นฉากจนผมกลัวเลยนะครับ แต่ผมก็ไม่ได้รังแกพี่เมฆของพี่มากนักหรอกน่า”
“ไม่ใช่ของพี่หรอกจอน เป็นของคนอื่น”

ขจรเกียรติกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เป็นอีกครั้งที่ฝ่ายตรงข้ามทำให้เขารู้สึกเหมือนคนจนตรอก และครั้งนี้ คำพูดของเกษตรอำเภอแห่งบ้านเดิมบางก็กำลังทำให้เขาหวั่นไหว .... เพราะเขาก็ไม่อยากให้คนตรงหน้า ....เป็นของคนอื่นเหมือนกัน

“ถ้าผมจะบอกว่า ผมเองอยากเป็นเจ้าของพี่บ้างล่ะครับ” ขจรเกียรติพูดหลังจากที่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“นั่นเป็นคำพูดที่ชั้นไม่อยากฟังเลยจอน... โอเค เราอาจจะต่างคนต่างเหงา ต่างคนต่างเข้าใจกัน แต่สำหรับชั้น ... ไม่สิ ไหนๆเราก็ไม่ได้เป็นนายบ่าวกันแล้ว พี่ขอพูดในฐานะพี่ชายของนายคนหนึ่งแล้วกัน พี่ว่ามันยังน้อยเกินไปที่เราจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ พี่อยากให้จอนอย่าเพิ่งคิดอะไรกับพี่ไปมากกว่านี้ กลับไปที่เก่าที่จอนมาแล้วตั้งใจทำตรงนั้นให้ดีที่สุดเถอะ”

ขจรเกียรติพยักหน้ารับช้าๆด้วยดวงตาที่ชื้นแฉะ “ผมเข้าใจครับ .... ว่าตอนนี้ผมมัน....”
“การศึกษาจะทำให้คนเรามีค่ามากขึ้นในสังคม จอน .... “
“ครับพี่หน่อง .... ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำและทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา”เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองเพดานพลางใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเอง ”และมีอีกคำที่ผมอยากจะพูด นั่นคือ ผมรัก พ....”
“เอาไว้ให้ถึงวันนั้น เราค่อยมาพูดเรื่องนี้กันอีกทีเถอะ” นฤบดินทร์ตัดบทพลางยิ้มให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า “รถเข้ากรุงเทพเที่ยวแรกกำลังจะออกในอีกครึ่งชั่วโมง พี่คิดว่าเราควรจะไปกันได้แล้วล่ะ”

เกษตรอำเภอเดินนำหน้าไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งอีกคนยืนยิ้มแหยๆอยู่ข้างหลัง เขาเปิดประตูเข้าไปในรถก่อนจะตะโกนเรียก
“นี่ถ้าไม่ขึ้นรถพี่จะไม่ไปส่งแล้วนะ อย่าลีลา”
“อ่า...ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”

.
.
.
http://www.youtube.com/v/o6RO7xTcdBI?version=3&amp&autoplay=1

“หอมกลิ่นน้ำคลองที่ปลายท้องทุ่ง
สาวนาช้อนกุ้งอยู่ท้ายทุ่งเหว่ว้า
แดนนี้คือสวรรค์บ้านนา
ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวทั่วบาง

ฉันหลับฝฝันดีที่เพิงไม้ไผ่
ถึงจนทนได้และภูมิใจไม่จาง
คนท้องนามือหนาหน้าบาง
รำเคียวเกี่ยวฟางสร้างพลังชาติไทย

กระถินริมทาง กระยางริมทุ่ง
น้ำพริกผักบุ้ง ต่อลมหายใจ
อาบดินกินแดดร่ำไป
อยู่อย่างไทย ผิวกายกร้านแกร่ง

หอมกลิ่นเนื้อนวลเมื่อจวนฟ้ารุ่ง
หอมทวนลมทุ่ง บ้านนาหน้าแล้ง
สาวท้องนาถึงแก้มไม่แดง
ฝีมือต้มแกง เสน่ห์เจ้าแรงเหลือเกิน”
(สวรรค์บ้านทุ่ง : ยอดรัก สลักใจ)

 ลมทุ่งพัดโชยมาเบาๆหอบเอากลิ่นไอดินและรวงข้าวมาแตะจมูกผมทำเอารู้สึกหิวขึ้นมาตงิดๆ ถึงเจ้านายจะไม่ได้เลี้ยงดูผมอย่างอดอยาก แต่กลิ่มหอมๆแบบนี้ก็ช่วยเรียกน้ำย่อยในกะเพราะให้ออกมาท้าทายกับหญ้าสดๆได้ดี

ผมเดินเยื้องย่างไปบนทางเดินที่เป็นดินลูกรังอย่างเชื่องช้าไปยังที่ทำงานอย่างกระปรี้กระเปร่า หลังจากที่เมื่อคืนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เบื้องหน้าลิบๆผมมองเห็นที่ทำงานของผมที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำพร้อมกับมนุษย์ผิวคล้ำนั่งอยู่บรแคร่ไม้ไผ่ที่เจ้านายชอบนั่งพักเวลาที่ช่วยกันทำงานกับผมแล้วเสร็จ ถึงผมจะมองเห็นชายคนนั้นลิบๆแต่ก็คงไม่ต้องสงสัยว่าเป็นใคร เพราะแขกที่แวะเวียนมาที่ที่ทำงานของผมเป็นประจำก็มีอยู่แค่หนึ่งคนกับหนึ่งนางเท่านั้น

“แม่แฉะจ๋า ไอ้รอดคิดถึงแม่แฉะจังเลย” ผมทักทายควายสาวที่ยืนเคี้ยวหญ้าอ่อนๆบนคันนา หลังจากที่เจ้านายก้าวลงจากตัว แม่แฉะยังน่ารักและงดงามสมกับเป็นควายที่ผมหลงเสน่ห์มานมนาน
“ไม่ต้องมาปากหวานเลยไอ้รอด ทำไมถึงมาช้านัก”แม่แฉะค้อนหนึ่งทีก่อนจะก้มลงกินหญ้าต่อไป
“ตะวันยังขึ้นได้ไม่นานเลยนะจ๊ะ ... ปกติคุณโนเขาก็มาเวลานี้ คุณเมฆของแม่แฉะนั่นแหละที่มาไวตั้งแต่ไก่โหเสียทุกวัน”
“อ้อ .... นี่หาว่าเจ้านายของฉันเป็นคนผิดสินะ!” แม่แฉะตวาด
“อะไรกันฮึ นังแฉะ ทะเลาะอะไรกัน” คุณโนพูดขึ้นหลังจากที่ได้ยินเสียงแม่ยอดขมองอิ่มของผมร้องลั่น ถ้าคุณโนเข้าใจภาษาควาย เขาก็คงจะช่วยผมแก้ตัวกับแม่แฉะด้วยอีกแรง
“มันคงจะจีบกันละมั้งโน ... ก็เจ้านายมันสมหวังแล้วนี่จะเหลือก็แต่มันสองตัวนี่แหละ” คุณเมฆพูดได้ตรงใจผมนัก
“ฝันไปเถอะจ๊ะคุณเมฆ ฉันน่ะไม่เอาควายขี้เหร่อย่างไอ้รอดมาทำผัวหรอก” แม่แฉะตัดรอนจนผมคอตก
“โธ่แม่แฉะ!!”
 
“กินอะไรมาหรือยังครับพี่เมฆ”
“รอกินพร้อมโนนั่นแหละ” คุณเมฆยิ้มแฉ่ง ก่อนจะชะโงกหน้ามาดูเถาปิ่นโตที่คุณโนนำมาด้วย “ไหนดูซิมีอะไรกินบ้าง”
“ก็มีไข่เจียวกับแกงเลียง แต่อย่างหลังไม่รู้จะกินได้มั้ย เพิ่งให้ป้าทองสอนได้ไม่นาน”
“ต้องอร่อยอยู่แล้ว เชื่อสิ”
เจ้านายยิ้มเหมือนจะขวยเขินเล็กน้อย ก่อนจะแก้เชือกที่ล่ามผมให้ออกหาหญ้ากิน
“หืยยย จืดชะมัด” เจ้านายสบถขึ้นเมื่อตักแกงคำแรกเข้าปาก คุณเมฆตักเข้าปากบ้างหากแต่อุทานออกมาคนละอย่าง
“ไม่นะ อร่อยจะตายไป”
“พูดไป.... ตอนนี้น้ำต้มผักก็ว่าหวานแหละ”
“ไม่ใช่แค่ตอนนี้สักหน่อย .... ตลอดไปเลยล่ะ รักน่ะนะ ”

โอ๊ยให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้ทำควายเขิน!!


“ข้าก็รักแกมากนะนังแฉะ”ผมฟังแล้วก็ชักอยากจะหวานกับบ้าง
“แต่ฉันเกลียดแก ไอ้รอด!” แม่แฉะยังตัดเยื่อใย
.
.
ผมกับแม่แฉะออกแรงลากคันไถที่ผูกติดกับแอกที่อยู่ด้านหลัง ดินของที่นี่ค่อยข้างเป็นดินที่ดีและมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ทำให้ผมไม่ต้องออกแรงมากนัก
“เหนื่อยไหมจ๊ะแม่แฉะ”
“ถ้าแค่นี้เหนื่อยก็ไม่สมควรที่จะเกิดมาเป็นควายแล้วล่ะ เสียชื่อควาย”
“แต่แม่แฉะเป็นควายแคระนี่จ๊ะ ฉันก็เลยเป็นห่วง”
“แคระแต่ก็เป็นควายไม่ใช่หรือไง ฉันเป็นควายตัวเมียไม่ใช่มนุษย์ผู้หญิงจะได้ให้ควายตัวผู้มาคอยดูแลเอาใจใส่ว่าอันนั่นไหวมั้ยไอ้นี่ไหวหรือเปล่า เพราะฉันเองก็แข็งแรงไม่แพ้แกหรอกไอ้รอด” แม่แฉะพูดในขณะที่กำลังลากคันไถ
ผมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น “เพราะอย่างนี้ฉันถึงรักแม่แฉะยังไงล่ะ ฉันเชื่อนะว่าแม่แฉะจะต้องเป็นแม่ที่ดีของลูกๆเราได้”
“ลูกของเรา? .... จะต้องให้ฉันย้ำอีกกี่รอบฮึไอ้รอดว่าไม่มีวัน”

.
.
ควันไฟที่จุดไล่ยุงม้วนตัวเป็นวงลอยขึ้นฟ้า ผมกระดิกหางไล่ยุงช่วยอีกแรงพลางเงยหน้ามองควันไฟเหล่านั้นเหมือนเป็นศิลปะที่สรรค์สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ วันนี้เจ้านายและคุณเมฆถือโอกาสมานอนที่นากัน เจ้านายแอบกระซิบบอกผมว่า คุณเมฆนี่ก็โรแมนติกอยู่ไม่หยอกที่ชวนมาดูดาวกันริมทุ่งแบบนี้ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยมาดูดาวกันด้วยบรรยากาศแบบนี้เลย

ปลาช่อนที่จับได้เมื่อเย็นอยู่บนกองไฟส่งกลิ่นแตะจมูกเบาๆ ผมทำจมูกฟุดฟิดพลางนึกสงสัยถึงรสชาติของมัน แต่มันคงน่าอร่อยไม่น้อย เพราะผมเห็นคุณโนทำหน้าเหมือนพอใจในกลิ่นของมันมากๆ
“หอมจังครับพี่เมฆ”
“และอร่อยมากๆด้วย ปลาช่อนนาเมืองสุพรรณเชียวนะ”
คุณเมฆบิเนื้อปลาออกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะเป่าให้เย็นลงและป้อนเข้าปากเจ้านายของผม
“อร่อยจริงๆด้วยเนาะ”
“พี่เคยโกหกโนมั้ยล่ะ”
“เชื่อครับ คนอย่างพี่เมฆน่ะ โกหกใครไม่เป็นหรอก”
“ฟังเหมือนเป็นคำชมนะ”
“เปล่าเลย ผมกำลังจะบอกว่าพี่เมฆน่ะทึ่มจะตาย”
“ปากดีแบบนี้เดี๋ยวปากจะโดนดี” คุณเมฆส่งสายตาเจ้าเล่ห์
“ทำไม พี่เมฆจะทำอะไรผม” เจ้านายส่งยิ้มกวนไม่แพ้กัน และเพียงเท่านั้น ครู่เดียวผมก็เห็นใบหน้าของเจ้านายถูกบังไว้ด้วยใบหน้าของคุณเมฆ
“โดนแบบนี้ไง”
“เค็มมั้ยล่ะนั่น ปากยังเลอะปลาย่างอยู่เลย”
“นิดหน่อย .... แต่ยังดีที่จูบของโนรสชาติใช้ได้”

คุณเมฆทำให้ผมคิดไปว่า แล้วปากของแม่แฉะจะรสชาติเป็นอย่างไรนะ จะหอมกลิ่นใบหญ้าเหมือนที่ผมชอบหรือเปล่า ผมหันไปมองแม่แฉะที่มองเจ้านายของหล่อนเงียบๆพลางกระพริบตาปริบๆเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างผมเท่าไหร่ ความคิดทั้งหมดเลยถูกพับไปเพราะถ้าถามไปตอนนี้คงถูกไล่ขวิดจนต้องวิ่งหนีจนน้ำบาน
.
.
.
“คืนนี้ดาวสายจริงๆด้วย”
“ก็พี่บอกแล้วนี่ คืนนี้เป็นข้างขึ้นไง ดาวเลยสวยอย่างนี้”คุณเมฆพูดในขณะที่ทั้งคู่นอนหงายมองดาวบนฟ้า ส่วนเจ้านายกำลังหนุนแขนข้างหนึ่งของคุณเมฆไว้ ดูจากสีหน้าของเจ้านายแล้วคงมีความสุขไม่น้อย ทั้งคู่ชี้ชวนกันดูดาวนั่นนี่ ก่อนจะจบลงที่เจ้านายถูกซุกจมูกลงบนแก้มเป็นครั้งที่เท่าไหร่ผมก็เลิกนับไปแล้ว

“โนลองนับดาวคืนนี้ดูสิ ว่ามีกี่ดวง”
“โหย จะบ้าหรือไง เยอะขนาดนี้ ใครจะนับหมด” เจ้านายพ้อ
“ไม่แปลกหรอก ก็เหมือนความรักที่พี่มีต่อโนนั่นแหละ ถ้านับได้ก็คงนับกันไม่หวาดไม่ไหว”
“โอ๊ย เลี่ยนจะอ้วก”

คุณโนครับ ไอ้รอดเห็นด้วย ไอ้รอดเสียดายหญ้าจริงๆ แต่ผมฟังแล้วก็รู้สึกผะอืดผะอมอยากสำรอก!

ผมหันไปทางยอดขมองอิ่มของผมที่ทำหน้าทองไม่รู้ร้อนอย่างไม่รู้สึกรู้สา ก็อดถามขึ้นไม่ได้
“แม่แฉะเป็นอะไรไป ไม่ดีใจกับเจ้านายหน่อยรึ คุณเมฆเค้าออกจะมีความสุขอย่างนี้”
“แล้วยังไงล่ะ แกจะวิ่งไปเคล้าแข้งเคล้าขาแสดงว่าแกรู้สึกดีใจกับเขามาแค่ไหนเหมือนไอ้ด่างหรือยังไง”
“เอ่อ ... ก็ถูกของแม่แฉะ “ผมพยักหน้า “ฉันก็แค่ดีใจที่เจ้านายมีความสุข”
“ย่ะ!”

ผมขยับตัวเข้าไปใกล้แม่แฉะขึ้นอีก ก่อนจะถามขึ้น
“ถามจริงๆเถอะนะ แล้วแม่แฉะไม่คิดจะมีคู่กับเขาบ้างรึ ขนาดมนุษย์อายุยืนยาวกว่าเราเขายังไขว่คว้าอยากมีคู่เลย”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากมี แกรู้บ้างมั้ยก่อนที่เจ้านายของเราจะมาหวานแหววกันแบบนี้ คุณเมฆเขาเสียน้ำตามากแค่ไหน ไหนจะบ่นระบายบ้าบออะไรก็ไม่รู้เหมือนคนบ้า พูดแต่รัก รัก รัก ฉันเป็นควายฉันก็ไม่รู้หรอกว่ารักคืออะไร แต่ถ้าจะให้ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันไม่เอาแน่ๆ เกิดเป็นควายภูมิใจของเราคือการไถนา ไม่ใช่เรื่องอะไรแบบนี้”

แม่แฉะเฉลยความรู้สึกของตนเองและของเจ้านาย ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง “ไม่ใช่แค่คุณเมฆหรอก เจ้านายของฉันก็พร่ำบ่นเกี่ยวกับความรักมามากมาย ซึ่งฉันเองก็ไม่เข้าใจนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้คือก่อนหน้านี้เจ้านายเหงาและว้าเหว่มาก เขาผ่านเรื่องราวร้ายๆจากกรุงเทพและโชคชะตาก็ทำให้เจ้านายมาอยู่ที่นี่ ... เหนือสิ่งอื่นใดที่ถือเป็นบุญคุณกับฉันอย่างไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไรคือเจ้านายเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่กับฉัน ฉันเลยรักเจ้านายมาก”
“รัก? เหมือนกับที่เจ้านายรักกับคุณโนของแกงั้นน่ะรึ”
“ฉันว่าไม่เหมือนกันนะจ๊ะแม่แฉะ ฉันไม่เข้าใจความรักมากนักว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ สำหรับฉันกับเจ้านาย ความรักของฉันคือฉันอยากไถนาให้เจ้านาย อยากเป็นที่ระบายยามที่เขามีความทุกข์ .... ส่วนกับแม่แฉะ ความรักของฉันคือฉันอยากเดินไปด้วยกัน อยากไถนากินหญ้าอยู่ข้างกัน และก็อยากขยายพันธ์ควายรุ่นต่อๆไปให้โลกได้รู้ว่า ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ซื่อสัตย์อย่างพวกเราอยู่บนโลก”

“นี่ ไอ้รอด ถ้าแกคิดอยากจะแค่ผสมพันธ์ล่ะก็ ฉันจะบอกให้ว่าบนโลกนี้มีควายอีกเยอะแยะ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นฉันที่ไม่คิดจะมีผัวหรอก” แม่แฉะยังยืนกราน

“แม่แฉะพูดถูกว่ามีควายอีกเยอะแยะ ฉันก็บอกไม่ถูกว่าฉันรักแม่แฉะตรงไหน อาจจะมีควายตัวกะทัดรัดอย่างแม่แฉะให้ฉันได้รู้จักพบเจอ แต่ตอนนี้ฉันกล้าพูดเลยนะ ว่าถ้าไม่ใช่แม่แฉะฉันก็ไม่เอามาทำแม่พันธ์หรอก”

แม่แฉะนิ่งเงียบไปเลยเมื่อเจอไม้นี้ของผม และผมไม่ปล่อยโอกาสให้โดนปฏิเสธอีกหรอก สาวเจ้าเคลิ้มแล้ว งานนี้มันต้องซ้ำ!

“ชีวิตมันสั้นนักนะแม่แฉะ ถ้าหากแม่แฉะได้ลองมาวิ่งหนีคนที่กำลังจะเอาเราไปเชือดอย่างฉัน แม่แฉะจะเข้าใจว่าชีวิตควายเรามันสั้นเพียงใด แต่ที่ฉันจะบอกไม่ใช่ว่าเราควรจะผสมพันธ์ก่อนที่เราจะตายไป ...ที่ฉันจะบอกคือ เราควรจะไขว่คว้าความสุขเอาไว้ก่อนที่เราจะละลมหายใจเหลือเพียงแต่เขาและกระโหลกบนโลกใบนี้ต่างหาก”

“แกน่ะหรอ จะเป็นความสุขของฉัน ไอ้รอด!”

“ฉันเชื่อมั่นอย่างนั้นจ๊ะแม่แฉะ และควายอย่างเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยถ้าไม่ลองเชื่อดูก่อน ถึงเวลานั้น ถ้าแม่แฉะคิดว่าฉันทำให้แม่แฉะมีความสุขไม่ได้ จะปฏิเสธฉันฉันก็จะไม่ว่าอะไรเลย”

แม่แฉะพยักหน้ารับรู้ พลางพ่นลมหายใจจนฝุ่นฟุ้ง หล่อนหันมองไปทางอื่นก่อนจะตอบรับเบาๆ
“ก็ได้”
“หมายความว่ายังไงหรือจ๊ะแม่แฉะ”
“ฉันจะลองเชื่อดูก็ได้”
“แม่แฉะ!!!!” ผมอุทานเสียงดังอย่างลิงโลด “จริงหรอจ๊ะ”
“อย่าให้พูดซ้ำ ฉันไม่ใช่ควายพูดจาเรื่อยเปื่อย บอกว่ายังไงก็อย่างนั้นแหละ”
“ไชโย!!!  ไอ้รอดดีใจที่สุดเลย รู้ไหมจ๊ะ แม่แฉะจ๋า”

“ไอ้รอด แกจะส่งเสียงดังทำไมเนี่ย!” เจ้านายหันมามองผม ซึ่งคงจะร้องดีใจเสียงดังไปหน่อย แต่เวลานี้ผมขอพยศเสียหน่อย ก็คนมันดีใจระคนสะใจ อยากหวานกันนักจนควายอิจฉา ผมเลยถือโอกาส....

“เอ๊ยนั่น ควายจูบกันแน่ะโน ฮ่าๆๆ” คุณเมฆอุทานพลางหัวเราะเสียงดังลั่น
“จูบกันที่ไหน มันเลียปากกันเฉยๆ”
“ไอ้รอด .... อย่ามาทะลึ่งนัก ฉันเพิ่งตอบตกลงแกจะมาลวนลามฉันเลยแบบนี้มันง่ายไปมั้ย” แม่แฉะตวาดเสียงเขียวพลางเอาเขาสั้นๆของแม่แฉะขวิดผมเบาๆ
“โอ๊ย!” ผมสลัดตัวบรรเทาความเจ็บ ก่อนจะหันไปบอกเจ้านายทั้งสองคนด้วยภาษาควาย
“ถึงคุณเมฆจะทึ่มอย่างที่คุณโนบอก แต่ผมว่าเรื่องของควายเจ้านายช่างไร้เดียงสานัก ก็อย่างนี้นี่แหละครับที่ควายเรียกว่าจูบน่ะ”
“ไอ้รอด !!! ยังมีหน้าไปบอกคนเขาอีก ไอ้ควายบ้า!!!”

 “อุ๊ย ทำบ้าอะไรน่ะ” เจ้านายอุทานได้แป๊บเดียว ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ปากของเจ้านายถูกประกบด้วยปากของคุณเมฆไปเสียแล้ว ผมหัวเราะคิกคักเพราะกว่าคุณเมฆจะถอนปากออก เจ้านายก็หน้าแดงก่ำจนเห็นได้ชัด

“ไม่อายควายมันรึไง ดูซิมันมองตาแป๋วอยู่น่ะ”
“ก็เพราะอิจฉามันไง เลยจูบให้มันดู มีอย่างที่ไหนมาจูบกันให้เห็นแบบนี้”
“ไอ้พี่เมฆบ้า อิจฉาควายก็เป็น!!”

เชิญเถอะครับคุณเมฆ ไอ้รอดไม่สนใจหรอก เพราะไอ้รอดสนใจแค่ว่า ตอนนี้ไอ้รอดมีเมียแล้ว ไอ้รอดไม่ได้เป็นควายตัวเดียวอีกต่อไปแล้ว

คืนนี้ควายอย่างไอ้รอดคงหลับฝันดี เพราะมีคู่ชีวิตนอนอยู่ข้างๆ
ถ้าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมานะ ไอ้รอดจะจูบปากแม่แฉะก่อนอื่นเลย แล้วก็ดมกลิ่นไอดิน กลิ่นหญ้าอ่อนๆ กลิ่นรวงข้าวที่ลอยมากับสายลม ฉลองชีวิตใหม่ ... ชีวิตคู่ของไอ้รอด

โอ๊ย...ไอ้รอดมีความสุขที่สุดเลย!

---อวสาน----

นายหนิงหน่อง

จบแล้วครับสำหรับพี่เมฆกับนายโน
เรื่องนี้ยอมรับโดยดีเลยว่าเขียนได้ไม่ดีเท่าไหร่ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง
เช่นเขียนในช่วงที่งานกำลังรุมเร้า เลยได้เว้นช่วงแต่ละตอนนานมาก

อีกทั้งเป็นช่วงเตรียมตัวบวช เลยทำให้มีเรื่องให้คิดให้ทำหลายอย่าง
ดังนั้นผมไม่แก้ตัวเลยว่าเรื่องนี้มันดรอปลงมากแค่ไหน

ยังไงซะก็ขอแก้ตัวกับเรื่องต่อๆไปนะครับ

สำหรับตอนจบที่แอบหักมุมแบบนี้
(แทนที่จะให้พี่เมฆกับน้องโนเป็นตอนจบกลายเป็นไอ้รอดกับนังแฉะขโมยซีนไปเสียฉิบ)

ไม่รู้ว่าจะชอบหรือโกรธคนเขียนมั้ย
แต่สุดท้ายก็เลือกแล้วครับว่าจะจบแบบนี้

ส่วนหนึ่งเป็นแรงบันดาลใจจากที่ได้อ่านเรื่องสมาคมขนสั้นของพี่เดหลี
เลยอยากเขียนนิยายผ่านมุมมองสัตว์เลี้ยงบ้าง

แต่ถ้าเขียนตอนนั้นเลยคงจะโดนหาว่าลอกเลียนแน่ๆ
เลยมาเขียนหักมุมจบตอนนี้แทน

เรื่องนี้เป็นนิยายที่สั้นที่สุดที่เคยเขียนมา แต่อย่างที่เคยบอกเสมอว่าเป็นคนเขียนหวานๆได้ไม่นาน
ชีวิตไม่ค่อยรู้จักความหวานเท่าไหร่ ฮ่าๆๆ

ยิ่งมาเจอเนื้อเรื่องเรื่อยๆแบบนี้บางทีก็หาทางไปไม่เป็นเหมือนกัน
แต่ดันมาได้ถึงขนาดนี้นับว่าภูมิใจกับเรื่องนี้ในระดับหนึ่งแล้ว

สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ

ปล. ใครแอดเฟสมาแนะนำตัวกันด้วยเนาะครับว่ามาจากเล้า
บอกล๊อกอินกับชื่อด้วยก็ดีเราจะได้รู้จักกันและเป็นครอบครับเล็กๆกัน

ขอบคุณอีกครั้งครับ  :L2:

หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 08-04-2012 16:41:46
จิ้มแล้วไปอ่านตอนจบ อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 08-04-2012 17:57:41
 จบแบบเฮปปี้ ทั้งเจ้านาย พี่เมฆ-น้องโน
ทั้งไอ้รอด-อีแฉะ อิ อิ
 :L2: :pig4:ขอบคุณคนเขียนจ้ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 08-04-2012 19:25:57
อิอิอิ ตอนจบน่ารักมากกกกกกกกกกก คู่ไอ้รอดกับอีแฉะแอบมาขโมยซีนเจ้านาย

แต่ก็ยังรอตอนพิเศษอยู่นะคะ อยากได้ตอนพิเศษหวานๆหื่นๆ แล้วก็อยากรู้เรื่องจอนกับหน่องด้วย คู่นี้ก็น่ารัก อยากให้รักกันจังเลย

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 08-04-2012 19:37:30
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 08-04-2012 20:02:07
 :pig4:

สำหรับเรื่องราวท้องทุ่งไอดินและคนจริงใจ

อ่านเรื่อยๆ  สบายใจ

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ อวสาน (๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 08-04-2012 20:19:54
"เราควรจะไขว่คว้าความสุขเอาไว้ก่อนที่เราจะละลมหายใจเหลือเพียงแต่เขาและกระโหลกบนโลกใบนี้ต่างหาก"
แอร๊ยยยยยยยยยย ชอบตรงนี้ :D จบแล้วๆๆๆๆ รีเควคสขอตอนพิเศษค่าาาา ขอตอนจอนค่าาาาา
พีเอส สารภาพงงนิดหน่อยตอนเรื่องหลังจากแม่โนมาแล้วทานข้าวเสร็จ แล้วไปไงมาไงแอบมึนๆนิดหน่อยค่า แต่จบแบบน้องควายมาพูดกันน่ารักดีๆ
 :กอด1: ขอกอดคนแต่ง  o13
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-04-2012 20:43:25
ต้องมอบรางวัลจอมขโมยซีนให้ไอ้รอดกับอีแฉะ เล่นเอาพี่เมฆกับน้องโนจืดไปเลย
ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารัก ๆ บรรยากาศท้องทุ่ง อ่านสบายไม่เครียด

หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: wdaisuw ที่ 08-04-2012 21:21:08
จบได้หวานฮาเคล้ากลิ่นกองฟางมากๆเลยค่ะ
ชอบจังเลยมันได้บรรยากาศลูกทุ่งๆ โรแมนติกดี :กอด1:

เห็นจะจริงที่ ไอ้รอด กะอีแฉะนี่ขโมยซีนเจ้านายเห็นๆ ฮ่าๆๆๆ :laugh:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 08-04-2012 21:34:35
ขโมยซีน!!!
น่ารักมากครับ ขอบคุณครับ ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 09-04-2012 00:44:30
อิอิ ชอบๆๆ ตอนที่อ่านแรกๆ ก็คิดเหมือนกันว่าน่าจะมีบทให้เจ้าสองตัวนี้ด้วย
เพราะเห็นคนแต่ละคนที่อะไรก็มาลงกะควาย จนเดาว่ามันก็คงอยากบอกว่า "มีอะไรก็ไปคุยกันเองไป มาบ่นอะไรกับฉันนักหนา"

ถามว่าดรอปลงไหม ผมไม่รู้สึกนะว่ามันดรอปลงจากเรื่องไหน มันก็เป็นเรื่องสั้นๆ น่ารัก
มีเนื้อหา มีปมอะไรไปตามปกติ คลี่คลาย จบ แฮปปี้เอ็นดิ้ง
แถมด้วยบรรยากาศในเนื้อเรื่องที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ผมว่าดีจะตาย

ขอตินิดนึงในตอนจบนะครับ อยากให้ลองดูเรื่องชื่อคนอีกนิดนึง
เหมือนจะเรียกเมฆเป็นโนอยู่หลายที แล้วรอดเรียกเมฆว่าเจ้านาย
ถ้าเข้าใจไม่ผิด คนที่ถูกเรียกว่าเจ้านายของรอดควรจะเป็นโนไม่ใช่เหรอ
คือผมก็ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า ฝากทวนดูด้วยนะครับ
หรือถ้าอยากให้บอกเป็นจุดๆไปเลยว่าตรงไหนดูแปลกๆ ก็บอกได้นะครับ
ยินดี
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 09-04-2012 01:53:16
รอตอนพิเศษกร๊ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 09-04-2012 22:17:33
ตอนจบ จบน่ารักมากๆเลยค่ะ
ดีใจด้วยนะเจ้ารอด แกนี่โชคดีจิงๆเลย
นอกจากรอดตายเมื่อคราวนั้นแล้ว มาตอนนี้ยังได้แฟนอีก
แหมมมม ทำคนเค้าอิจฉากันไปเลยนะเนี่ย
ว่าแต่ตอนพิเศษนี่จะเป็นของคู่ นายเกษตรอำเภอให้คนอ่านได้หายค้างกันไหมคะ
หรือว่าคู่นี้จะเอาไว้แต่งต่อภาคสอง หรือแต่งเป็นเรื่องใหม่รึเปล่าเอ่ย
ยังไงจะรอตอนพิเศษนะคะ

ใส่ชื่อผิดอีกแล้วรึเปล่าเอ่ย...
“ตะวันยังขึ้นได้ไม่นานเลยนะจ๊ะ ... ปกติคุณโนเขาก็มาเวลานี้ คุณเมฆของแม่แฉะนั่นแหละที่มาไวตั้งแต่ไก่โหเสียทุกวัน”
“อ้อ .... นี่หาว่าคุณโนของฉันเป็นคนผิดสินะ!” แม่แฉะตวาด
ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าหมายถึง โนผิดที่เป็นคนมาช้า  ซึ่งพิมพ์ชื่อถูกคนแล้ว
หรือควรจะเป็น "คุณเมฆ" คือ เมฆผิดที่เป็นคนมาเร็วแต่ไก่โห่เอง  ซึ่งแสดงว่าพิมพ์ชื่อผิดคน
แต่อ่านแล้วรุ้สึกว่าน่าจะเป็น "คุณเมฆ" มากกว่า ไม่รุ้ว่าใช่ไหมเลยลองถามดูนะคะ

ควันไฟที่จุดไล่ยุงม้วนตัวเป็นวงลอยขึ้นฟ้า ผมกระดิกหางไล่ยุงช่วยอีกแรงพลางเงยหน้ามองควันไฟเหล่านั้นเหมือนเป็นศิลปะที่สรรค์สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ วันนี้เจ้านายและคุณโนถือโอกาสมานอนที่นากัน เจ้านายแอบกระซิบบอกผมว่า คุณโนนี่ก็โรแมนติกอยู่ไม่หยอกที่ชวนมาดูดาวกันริมทุ่งแบบนี้ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยมาดูดาวกันด้วยบรรยากาศแบบนี้เลย
ตรงนี้ก็น่าจะเป็น "คุณเมฆ" รึเปล่า เพราะเจ้ารอดเป็นคน(ตัว)บรรยาย เจ้านายก็ต้องเป็นโน เพราะงั้นอีกคนต้องเป็นเมฆ ใช่เปล่า

แม่แฉะเฉลยความรู้สึกของตนเองและของเจ้านาย ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง “ไม่ใช่แค่คุณโนหรอก เจ้านายของฉันก็พร่ำบ่นเกี่ยวกับความรักมามากมาย ซึ่งฉันเองก็ไม่เข้าใจนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้คือก่อนหน้านี้เจ้านายเหงาและว้าเหว่มาก เขาผ่านเรื่องราวร้ายๆจากกรุงเทพและโชคชะตาก็ทำให้เจ้านายมาอยู่ที่นี่ ... เหนือสิ่งอื่นใดที่ถือเป็นบุญคุณกับฉันอย่างไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไรคือเจ้านายเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่กับฉัน ฉันเลยรักเจ้านายมาก”
“รัก? เหมือนกับที่คุณโนรักเจ้านายของแกงั้นน่ะรึ”
ตรงนี้ก็น่าจะเป็น "คุณเมฆ" ใช่รึเปล่า
คุณเมฆ กลายเป็น คุณโน หมดเลย ฮ้าๆๆ

“ถึงคุณเมฆจะทึ่มอย่างที่คุณโนบอก แต่ผมว่าเรื่องของควายเจ้านายดูเดียงสานัก ก็อย่างนี้นี่แหละครับที่ควายเรียกว่าจูบน่ะ”
ตรงนี้จะสื่อว่าอะไรคะ ถ้าจะบอกว่าเจ้านาย(โน)ไม่รุ้เรื่องควายมากนัก ต้องใช่คำว่า "ไร้เดียงสา" นะคะ เพราะคำว่า เดียงสา=รู้เดียงสา ซึ่งหมายถึง รู้ความแล้ว ซึ่งจะตรงข้ามกับคำว่า ไร้เดียงสา นะคะ

ลองเช็คดูอีกทีนะคะว่าใช่รึเปล่า :bye2:
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 09-04-2012 22:43:31
พี่เมฆ&น้องโนหวานสุดๆ

หนุ่มรอดกะสาวแฉะก็น่ารักมากก

อ่านไปนึกสำเนียงเหน่อนิดๆ

น่ารักอ่ะ ชอบ :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 10-04-2012 01:38:36
ใจจริงอยากจะเอา comment จากตอนที่แล้ว มา re-use ซะอีกรอบ เพราะ เข้ากับสถานการณ์ตอนจบเป๊ะ ๆ  :teach:
นิยายเรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนดูละครช่วงเย็น ( ก่อนข่าว )
เพราะ เนื้อหาเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน simple พอจะคาดเดาได้ แต่ก็ยังมีอะไร ๆ ให้ลุ้นระทึก หรือ surprise อยู่บ้าง
โดยรวม ๆ คือ อ่านเพลิน ๆ ไม่ซีเรียส ส่งเสริมให้เห็นคุณค่าและความสำคัญของ ประเพณีวัฒนธรรมในพื้นถิ่น
เกษตรอินทรีย์ และการอยู่อย่างพอเพียง สรุปว่า เด็ก(?)อ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านดี  o14

ป.ล. เราว่าเรื่องนี้ไม่ drop หรอกนะ เพียงแต่ค่อนข้างจะเรียบง่ายเท่านั้นเองแหละ   :กอด1:     
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: londoneye ที่ 10-04-2012 02:08:35
น่ารักแบบเรียบง่ายค่ะ :-[

โดยเฉพาะเอาคู่ควายมาบรรยายจบ...ชอบค่ะ o13

เป็นเรื่องที่เรื่อยๆแต่ก็ทำให้ยิ้มได้เรื่อยๆเหมือนกัน

เป็นนิยายวายน้ำดีอีกเรื่องนึงค่ะ^^
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 11-04-2012 11:07:28
ตอนจบทำไมควายมันได้เป็นคู่เอก
อยากอ่านตอนเมฆกับโนหวานกัน
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 20-04-2012 14:31:16
ตอนจบโดนโขมยซีนซะงั้น :L1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: obab ที่ 20-04-2012 15:24:48
ชอบค่ะ บรรยากาศหวานๆต่างจากเรื่องอื่นน ดราม่าน้ำตานองงง  T^T!
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 05-05-2012 19:54:51
ยอดเยี่ยมครับ  o13

เรื่องนี้ก็ไม่เรื่อยๆนะ สนุกดีออก บรรยากาศท้องทุ่งท้องนาดูอบอุ่น

พระเอกน่ารักอีกแล้วอ่า  :o8:

นายเอกไม่เลือกมากนะ แค่เขม่นกันตอนแรกนิดเดียวเอง

ก็เจ้าพระเอกแหย่แรงนี่นาเลยโดนซะ  :beat:

ชอบมากครับ ที่ตามมาอ่านเรื่องนี้ก็เพราะตามชื่อนักเขียนมาอ่าครับ

ตอนนี้เหลือแค่รวมเรื่องสั้นคั้นเวลาที่ยังไม่ได้ไปอ่าน

และจะตามไปเดี๊ยวนี้แหล่ะครับ เอิ๊กๆ

ชอบมากครับ ขอบคุณอีกครับ  :pig4:

และจะรอตอนพิเศษนะครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: - คราส - ที่ 07-05-2012 20:20:16
ชอบตอนจบค่ะ เจ้ารอดกับนังแฉะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 08-05-2012 20:15:39
อ่านตอนจบแล้วฮาาา

5555
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 10-05-2012 08:57:00
 :L2:จบแบบนี้ก็ดีนะชอบไม่ีใครต้องเสียใจ


ปล.ไปบวชมาเหรอคะ :call:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: GAZESL ที่ 10-05-2012 22:06:44
 :m4: สนุกอ่า ชอบมากเลยค่ะ
น้องโนกะพี่เม่น่ารักมาก555 สำนึกรักบ้านเกิดทันที อิอิ
มีตอนพิเศษมั้ยค๊า o11 ขออ่านคู่หน่องหน่อยค่า
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 12-05-2012 04:02:32
จบแบบ Happy Ending ดีไม่มีไครต้องเสียใจ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: yotsaput ที่ 12-05-2012 14:57:33
บ้านทุ่งได้อีก ><
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: keem ที่ 13-05-2012 20:32:40
ขอบคุณมาก ขอบคุณจากใจในฐานะนักอ่านคนนึง

ผมชอบงานเขียนเรื่องนี้มา่ก สบายใจ สุขใจที่ได้อ่าน

ให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกข้าว ให้กลิ่นอายท้อทุ่งที่สบายใจ จนบอกไม่ถูก

บรรยายภาพและเหตุการณ์ได้น่ารัก  ชอบที่สุดคือการแต่งให้นายเอกขี่ควาย ผมอ่านแล้วยิมเลย น่ารักจริงๆ จินตนาการภาพตามแล้วถ้าผมเป็นเมฆคงหลงรักน่าดู

หวังว่าจะมีผลงานดีๆมาให้อ่านอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: chatori ที่ 15-05-2012 10:05:36
น่ารักมากๆ เรียบง่ายแต่น่าติดตาม
ชอบแนวลูกทุ่งๆอย่างนี้ อิอิ
แอบเชียร์อยากอ่านต่อของจอนหน่อง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: runma ที่ 20-05-2012 21:08:27
ตามมาอ่านเรื่องนี้จากลุงเต้น้องเจ๋ง เรื่องนี้ได้อีกอารมณ์เลย
ชอบบรรยากาศท้องทุ่งที่บรรยายจนนึกเห็นภาพซะจนอยาก
ไปอยู่บ้าง

พี่เมฆกับโนก็น่ารักดีครับ โรแมนติกกันกลางทุ่งเลย ขอบคุณ
สำหรับนิยายดีๆ นะครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: kanunsak ที่ 14-06-2012 15:58:29
ชอบตอนจบมากๆๆๆๆ  อ่านแล้วฮาอ่ะ น่ารักดีนะ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าควายเค้าจีบกันแบบนี้นี่เอง เหอๆๆๆ 
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 17-06-2012 04:44:33
สนุกมากมายครับขอบตุณครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: nco1236 ที่ 22-06-2012 00:51:31
กระบือชนะเลิศ :laugh:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Naenprin ที่ 23-06-2012 09:28:51
 :o12:


ชอบคาาาาาาาาา


น่ารักมาก


คุณลุงแรงได้ใจ

555555+

 :z2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: netsu ที่ 23-06-2012 17:01:20
ฮารอดกับแม่แฉะอ่ะ
ทำไปได้ ควายจีบกัน เหอๆ ไม่เคยเห็นอ่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: TinyB ที่ 24-06-2012 10:10:30
ชอบเรื่องนี้อ่าาาาาาา ชอบพี่เมฆหนุ่มบ้านนอกคอกนา จูงควายจีบหนุ่มกรุง
คนแต่ง แต่งดีจัง นึกภาพออกตามทุกฉากเลยเวลาบรรยาย  :L2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 12-08-2012 09:20:54
 :L1: :pig4:
กรุ่นกลิ่นรวงข้าว คละคลุ้งกลิ่นไอรัก
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: maykiz ที่ 11-11-2012 07:11:34
สมหวังทั้งนายทั้งควายเลยนะคะ น่ารักจัง
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: โดดเดี่ยวแต่ไม่ ที่ 15-11-2012 13:25:57
เรื่องนี้ไม่เศร้าแฮะ จบแบบนี้ก็มีความสุข
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 13-12-2013 01:11:52
อ่านเรื่องนี้่แล้วให้บรรยากาศแบบสบายๆ ของชนบท น่ารักมากเลยค่ะ
พี่เมฆนี่ตอนแรกก็ว่าเฉยๆ ตอนหลังนี่เผลอไม่ได้ เดี๋ยวหอมเดี๋ยวจูบ  :o8:
โนก็น่ารักน่าชัง แก้มแดงตลอดเลย
ขอบคุณมากค่าสำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: GF_pp ที่ 14-12-2013 11:16:06
เรื่องนี้น่ารักและดูอบอุ่นมากมากเลยค่าาาาาาา   :กอด1: :-[ :o8:

ชอบตอบจบมากกกกกกกก โดยเฉพาะพาสพี่ไอ่รอดพูด 5555+    :o8: :m20:

น่ารักมว๊ากกกกกกกกกกกกกกกก   :mew1:     :mew1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: story ที่ 14-12-2013 16:10:43
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกสนุกๆ สบายมากครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมสัมปันนี ที่ 20-12-2013 11:36:02
  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Baruda ที่ 14-01-2015 14:13:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 20-02-2015 16:38:41
 :L1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-02-2015 09:13:57
น่ารักจังเลย5555
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Evil ที่ 26-02-2015 19:10:35
น่ารัก เขินๆๆๆ แต่ก็อยากรู้เรื่องของ หน่อกับจอนเนอะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 30-07-2015 22:10:06
รำคาญจอนกับหน่องนัเอาจริงๆ
ตอนแรกก็เหมือนจะมีเหตุผล แต่ตอนนี้ เฮ้อ กรอกตามองบน :seng2ped:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 31-07-2015 08:57:10
 :pig4: มนต์รักบ้านนาหอมฟุ้งจริงๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: Quipblur1994 ที่ 19-08-2015 23:25:42
อ่านจบแล้วให้ความรู้สึกบ้านนามากๆ ค่ะ บรรยากาศสบายๆ ไม่มีเรื่องเครียด อ่านแล้วผ่อนคลายดี อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: JA(e)jung ที่ 21-08-2015 15:50:04
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกน่ารัก 5555
คนในเมืองน้อยนักที่จะเจอโมเม้นแบบนี้
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่แต่ให้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 22-08-2015 17:07:05
สนุกมากเรื่อยๆมาเรียงๆ อยากกลับไปมีชีวิตแบบนั้นจริงๆเลย
ชีวิตที่เรื่อยทำนาทำไร่ มีความสุขเท่าที่มี ได้มีคนรัก
ขอบคุณคนเขียนมากๆ นะที่เขียนเรื่องราวดีๆ มาให้อ่านกัน
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 23-08-2015 14:00:53
ขอบคุณนะคะ  :pig4:

น่ารักมากๆเลย
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 21-02-2016 13:54:41
สนุกมากครับ คนเขียนเก่งมาก ๆ เลย บรรยายบรรยากาศต่างจังหวัดได้ดีจริง

สมหวังทั้งคนและควาย ........ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 21-02-2016 21:23:31
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: นาฬิกาทรายดำ ที่ 04-03-2016 13:14:24
ทั้งเรื่อง รักน้องแฉะ รักน้องรอด  :L1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 01-04-2020 17:10:41
 :impress2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 04-04-2020 23:35:06
จบแล้ว น่ารักดีค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 15-10-2020 13:21:33
เข้ามาอ่านรอบสอง
น่ารักดี
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 18-10-2020 00:43:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 24-10-2020 22:25:11
 :bye2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอน ๑๙ ตอนอวสาน(๘ เม.ย. ๒๕๕๕)
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 01-11-2020 14:39:42

ขอบคุณนักเขียน หนิงหน่อง มาก สำหรับเรื่องราวน่ารัก เรื่อยๆ แบบเย็นใจ

 :pig4: :pig4: :pig4:

เป็นกำลังใจสู้ๆ ต่อไปน้าาาา

 o13 :bye2: o13