Ep.31 Buddy
โชคดีที่เขาเป็นคนพูดจารู้เรื่อง พอไม่ทำตัวประเจิดประเจ้อแล้วเขาก็ดูน่ารักขึ้นไปอีกแบบ แววตาทั้งสองข้างดูสงบนิ่ง ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับบรรยากาศ สูดเอาอากาศเหนือพื้นน้ำภายใต้ถ้ำมรกตไปพร้อม ๆ กับพยายามเก็บทุกช่วงเวลานี้ให้อยู่กับตัวเองไปนาน ๆ ผมว่าเขาเองก็คงคิดไม่ต่างไปจากผมสักเท่าไหร่
จะว่ายังไงดี ก็ไม่ใช่ว่าผม ‘ไม่อยาก’ หรอกนะ แต่ผมเองก็มีหลาย ๆ เรื่อง รบกวนภายในใจผมเหมือนกัน
‘โช’
ให้ตายเถอะ ถ้าภาพติดตาของผมกับพี่พอร์ชคือการที่ผมรู้สึกฝากหัวใจทั้งหมดไว้กับเขา ภาพจำของผมกับโช ก็คงจะเป็นความสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่ยังไม่มีชื่อเรียก ยังไม่ได้ลึกซึ้ง แต่ทว่ามันกลับมีความสำคัญมาก ๆ กับความรู้สึกของผมประการหนึ่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มาจากที่ไหนสักที
ความรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือ ‘สิ่งที่ผิด’
ชั่วขณะนั้นเอง รอยยิ้มและสายตาที่มองผมผ่านการคอลวิดีโอไลน์ก็ย้อนกลับเข้ามาในสมองของผม เหตุผลบางอย่างที่ผมเลือกจะมาปรากฏขึ้นในสมองอย่างเรือนราง ผมปวดหัวจี๊ดขึ้นมาดื้อ ๆ เจ้าตัวโตโอบกอดผมไว้ก่อนจะกระซิบข้างหูเบา ๆ
“คิดมากอะไรอีกแล้วใช่ไหมครับ?” เขาถาม
เพราะถูกกอดจากด้านหลัง ผมเลยไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อยากตอบโกหกอะไร ได้แต่พยักหน้าขึ้นลงเป็นการสารภาพว่าแอบคิดอะไรเยอะแยะตีกันในหัวจริง ๆ ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย แต่ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมจะสามารถทำตัวเป็นคนอื่นได้ยังไงบ้าง
“ไม่เป็นไรนะครับ ถ้าคิดแล้วปวดหัววางมันลงสักแปปก็ได้” เขาว่า พูดจบก็กอดผมไว้แบบนั้น ผมยิ้มเย็น ๆ รู้สึกผิดกับเขา รู้สึกผิดกับโช และรู้สึกผิดกับตัวเอง
คำตอบที่เราถามตัวเราเองแล้วยังไม่ได้คำตอบ บางที่อาจจะเพราะมันยังไม่ถึงเวลาเฉลยรึเปล่า?
“คุณครับ”
“ครับ?” เขารับคำ ผมหันไปหาก็จะสบตามองกับเขา
“หลังจากนี้จะยังไงต่อ...ผมหมายถึง หลังจากนี้ คุณจะใช้ชีวิตยังไงต่อไป?” ผมถาม จับหัวไหล่ของเขาทั้งสองข้างแทนที่ค้ำยัน เขายิ้มเย็น ๆ ให้กับผม ส่ายหน้าเงียบ ไม่ตอบคำถามแต่อย่างไร
“ผมยังไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้หรอก มันยากเกินไปสำหรับผม ผมขอให้มันค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป มันให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวันก็เพียงพอแล้วครับ”
...นั้นอาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะให้ผมได้ ผมคิดแบบนั้น
เราเล่นน้ำกันอีกสักพักใหญ่ ๆ ตอนนี้สี่โมงกว่า ผมหิวมาก ๆ แล้วเลยชวนเขาขึ้นน้ำ เราสองคนเดินออกมาบริเวณภายนอกถ้ำ ก่อนจะหามุมเหมาะ ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมกันมา (จริง ๆ ต้องบอกว่าที่เขาเตรียมมาให้มากกว่า) พอเสร็จสรรพเรียบร้อยเขาก็พาผมเดินออกไปอีกทางหนึ่งที่พื้นไม่แฉะมาก
“อากาศยังกับเมื่อกี้ฝนไม่ได้ตกเลยเนาะ?” ผมว่า พลางเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเย็น เมฆโปร่งราวกกับว่าฝนตกหนักเมื่อชั่วโมงก่อนเป็นเรื่องโกหก
“ธรรมชาตินะ ไว้ใจอะไรไม่ได้เลย เปลี่ยนแปลงก็บ่อย ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นัก” เขาตอบประโยคบอกเล่าของผมด้วยประโยคบอกเล่า ผมเห็นด้วยกับเขานะ
“ก็เหมือนชีวิตละนะ มืดบ้าง สว่างบ้าง บางวันก็มีฝนโปรยปราย แต่สุดท้ายเดี๋ยวท้องฟ้าก็กลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง” ผมอธิบายในส่วนของความรู้สึกจากในหัว กลิ่นฝนอ่อน ๆ หลังหยุดตก ให้ความรู้สึกเหมือนคุณเป็นกบที่ได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์จริง ๆ ครับ
เราเดินไปหยุดกันตรงบริเวณร้านขายของที่มีของที่ระลึกและอาหารขายนิดหน่อย ผมเลือกซื้อข้าวเหนียวไก่ชิ้นมาทาน ส่วนเขายัดกล้วยเข้าท้องสองลูกเป็นอันอิ่ม
“ไปไหว้พระกันไหมคุณ?” เขาถาม พร้อมชี้ไปทางบันไดทางขึ้น ผมสบตาเป็นเชิงถามว่าแน่ใจเหรอ ถ้าผมจำไม่ผิด บันไดนี้น่าจะมีประมาณพันกว่าขั้น แค่คิดก็รู้สึกเมื่อยขามาก ๆ แล้ว เหมือนจะรู้ทันความคิดของผม อีกฝ่ายพูดต่อโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตอบคำถามนั้น
“ถ้าไม่งั้นก็ซื้อของกินแล้วกลับห้องกัน” เขาว่า ผมยืนคิดสักครู่ ตอนนี้ เกือบ 4 โมงแล้ว กว่าจะกลับห้องเสร็จสรรพสรรพก็น่าจะเกือบครึ่งชั่วโมง คงเร็วเกินไปที่จะกลับไปในเวลานี้ ผมกุมขมับ สูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงชี้ไปทางบันไดทั้งหมด 1260 ขั้น
อย่างมากก็แค่ตัดขาทิ้ง ผมคิด
...........................
“พระเจ้...” ผมอุทานเสียงขาด ทิ้งตัวลงไปนอนหงายหน้ามองฟ้าอย่างไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น หลังพาลากกายหยาบขึ้นมาถึงขั้นบนสุดของบันไดได้ สาบานกับตัวเองได้เลย ผมจะไม่ใจอ่อนยอมขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ ถ้ายังไม่ผอมไปมากกว่านี้
เขายืมยิ้มมองผม ใบหน้าและร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ พอเห็นผมหายใจได้คล่องแล้วก็ส่งขวดน้ำเล็ก ๆ จากระเป๋าทั้งหมดที่เขาเลือกจะเอาสะพายเอง ผมยิ้มแทนคำขอบคุณเพราะไม่มีเสียงจะพูด ก่อนจะรับน้ำมาแล้วค่อย ๆ กระดกจิบน้ำที่ละนิด ๆ เพื่อป้องกันอาการสำลักน้ำ
เพราะอยากทำเวลาไม่ให้กลับไปเตรียมตัวเก็บของช้าไปนัก คำนวณเวลาแล้ว ทั้งผมและเขา เราอยากใช้ระยะเวลาในการไปกลับไม่เกินชั่วโมงครึ่ง นั้นแปลว่าเรามีเวลาแค่ประมาณ 40 นาทีในการขึ้นมาให้ถึงด้านบนสุด ผมกับเขา เราเลยวิ่งแข่งกัน แรก ๆ ก็สนุกดี แถมยังต้องหลบหลักกลุ่มคนที่เดินสวนลงมา แต่หลัง ๆ ผมชักเมื่อย เลยได้แต่ปล่อยให้เขาแซงหน้าไป
หมอนี้อึดมากกว่าที่ผมคิดไว้มาก ๆ อย่างน้อย ๆ ในส่วนของกำลังขานั้นก็ชัดเจนแล้วว่าทนแค่ไหน ผมไม่กล้าถามว่าที่เขาอึดได้ขนาดนี้เพราะฤทธิ์ของยารึเปล่า และก็นั่นแหละ เหมือนเขาจะอ่านความคิดของผมได้
“ผมไม่ได้ใช้ยา” เขาว่า
“ผมว่าจะถามมานานแล้ว คุณเลี้ยงลูกกรอกเหรอ ทำไมถึงเดาความคิดผมได้หมดเลย” ผมทักเซ็ง ๆ ไม่ชอบใจที่ตัวเองอ่านออกสักเท่าไหร่
“เพราะผมรู้ใจคุณต่างหาก...”
“....”
“ผมรู้ว่าความคิดของคุณประมาณไหน คุณมองโลกยังไง อย่างตอนที่คุณมองมาที่ผม แววตาคุณสับสน มันไม่ใช่แววตาของความสับสนในความลังเลใจว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ แต่มันเป็นแววตาที่สับสน ว่าตัวเองตัดสินใจถูกรึเปล่าที่มาที่นี้กับผม คิดถูกไหมที่บอกกับใครอีกคนของคุณไปแบบนั้น และสุดท้ายแล้ว...คุณสับสนว่าจะทำยังไงไม่ให้ผมเจ็บปวด”
“...”
“ผมจะเจ็บปวด...ไม่ว่าจะทำยังไงเมื่อมันมาถึงตรงนี้แล้ว มันต้องมีสักคนที่จะต้องเจ็บปวด ถ้าเป็นไปได้ ไม่ว่าใครก็อยากกลายเป็นคนที่สมหวังในท้ายที่สุด รสชาติของความผิดหวังนะมันขม เพราะคุณสัมผัสมันมา คุณถึงได้อ่อนโยนมากกว่าที่คุณคิด คุณพยายามช่วยผมถือแก้วที่แตกอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เราก็มองเห็นรอยร้าวบนแก้วใบนี้เต็มไปหมด”
“ครับ”
“ผมนะ...ไม่ต้องคิดมากนะ ผมนะพร้อมจะฟังทุกอย่าง ในเวลาที่คุณอยากจะบอกผม ”
เขาพูดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมระหว่างเรา สายลมบนยอดเขาพัดปลิวไปมา เจ้าตัวโตเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม ที่สุดแล้วเราพักกันเพียงแค่สิบห้านาทีก็ช่วยกันลุกขึ้นยืน ผมจับมือเขาไว้แน่น ๆ ก่อนจะพูดออกมาบางเบา
“ขอเวลาหน่อยนะครับ” มีเพียงแค่การพยักหน้าขึ้นลง ที่บ่งบอกให้ผมรู้ว่าเขารับทราบแล้ว
เราเดินสำรวจบริเวณรอบ ๆ ลมเย็น ๆ ตีหน้าผมไปมา ผมสูดอากาศเข้าปอด ทอดสายตามองไปยังวิวทิวทัศน์รอบ ๆ ตัว มองไปไกลลิบ ๆ แอบเห็นทะเลเป็นริ้ว ๆ ไกลสุดลูกหูลูกตา น่าเสียดายที่แบตเตอรี่โทรศัพท์ของผมหมดลงไปแล้วเลยไม่สามารถบันทึกภาพความทรงจำครั้งนี้ไว้ได้ ผมค่อย ๆ เดินดูสถาปัตยกรรม ถ้าตามคำบอกเล่า ชาวบ้านที่นี้เขาเชื่อกันว่าเมื่อก่อนมีเสืออยู่บนถ้ำจริง ๆ เลยนำมาตั้งเป็นวัดถ้ำเสือนั้นเอง
เดินวนกันอยู่นานสองนาน สุดท้ายแล้วผมและเขาก็เดินไปหยุดที่หน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง
“ผมเป็นคริสต์” ผมออกตัว ผายมือให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปสักการะตามพื้นความเชื่อดังเดิมของเขาได้เลย เจ้าตัวรับทราบ เหมือนเพิ่งนึกได้ ก่อนจะจุดธูปแล้วหลับตา พนมมืองึมงำอะไรสักอย่างสองอย่าง พอเสร็จแล้วก็เดินไปปักธูปไว้ที่กระถาง เป็นอันเสร็จสิ้นการสักการะ ผมยกมืออธิษฐานเหนืออก ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมา
“คุณขออะไรเหรอ?” ผมถาม เขายักคิ้วให้ผมแล้วตอบกลับมา
“คำอธิษฐานถ้าบอกไปก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์สิครับ” เขาว่า ผมอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากกับเหตุผลนั้น
“กลับกันเถอะครับ” ผมว่า เขาพยักหน้ารับก่อนจะสะพายกระเป๋าแล้วเดินก้าวตามมา ผมสูดอากาศบนยอดเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าลงบันไดที่ละขั้น ๆ
ไม่แน่ใจว่าเพราะตอนลงเราไม่ฝืนแรงโน้มถ่วงรึเปล่า ทำให้สบายกว่าขาขึ้นมาก ๆ ผมเหลือบมองเวลาแล้ว เราลงมาไวกันกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ ตอนนี้ห้าโมงเกือบจะครึ่ง พอเดินลงมาถึงข้างล่างก็พักกันประมาณสิบนาที ก่อนจะเดินกลับไปที่ลานจอดรถยนต์ พอผมขึ้นไปนั่งได้อีกฝ่ายก็หันมาถามทันที่
“โอเครึเปล่าครับวันนี้?” เขาถาม สีหน้าเหมือนเด็กลุ้นว่าอาจารย์จะรีเจกหัวข้อวิทยานิพนธ์ของตัวเองไหม
“โอเคสิครับ ได้ไปตั้งหลายที่ แถมผมยังไม่เคยไปด้วย แอบเมื่อยนิดหน่อยตอนขึ้นเขา แต่พอขึ้นไปถึงแล้ววิวก็สวยมาก ๆ แถมยังได้ไปเห็นอะไรอีกเยอะด้วย อีกอย่างทริปนี้ผมมาฟรีทั้งหมด คุ้มยิ่งกว่าคุ้มแล้ว” ผมว่า แอบแซวความป๋าของเขาในตอนท้าย เจ้าตัวยิ้มก่อนจะขับรถไวขึ้นจนผมประหลาดใจ
“คุณรีบไปไหนรึเปล่า?” ผมถาม เขาหัวเราะตอบกลับมาเบา ๆ
“รู้ด้วยเหรอครับ”
“ผมสังเกตเอา รู้สึกเหมือนคุณอยากรีบกลับที่พัก” ผมบอก เพราะตอนขามาเขาดูขับใจเย็นกว่านี้ แล้วก็ไม่เลาะเลี้ยวเก่งเท่าตอนนี้ เขาไม่ตอบผมแต่ขับรถเร็วขึ้นไปอีก ผมสบถออกมาเบา ๆ พร้อมตะโกนตอบกลับไป
“ชิบ ยังไงก็ตาม ผมขอนะ อย่าเกิน 100กิโลเมตรต่อชั่วโมง” ผมว่า เกาะผนังรถแน่น ยิ่งพอเห็นอาการที่กลัวของผม เขายิ่งเหมือนแกล้งกันด้วยการขับเร็วขึ้นไปอีก แต่สุดท้ายก็ยังดีที่เขาทำตามที่ผมขอ คือไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ระยะทางระหว่างรถเรากับรถคนอื่น ๆ ไม่ตัดกันมากเกินไป
ด้วยอิทธิฤทธิ์ตีนผี จากเดินที่ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะกลับมาถึงที่พัก แค่ประมาณยี่สิบนาทีเศษ ๆ เขาก็พาผมกลับมาถึงแล้ว ในขณะที่ผมกำลังจะถามว่าทำไมถึงต้องรีบกลับมามากขนาดนี้ เขาก็ชี้ให้ผมหันหน้าออกไปดูทางทะเล ผมเงียบทันทีที่ได้เห็นมัน เข้าใจแล้วว่าเขาอยากให้ผมกลับมาทันดูอะไร
“สวยใช่ไหมละ?” เขาถาม
ในขณะที่ผมกำลังเหม่อมองจ้องพระอาทิตย์ดวงโต ๆ กำลังตกลงไปในทะเล สาบานได้ ถ้าตอนนี้ผมกำลังหิว พระอาทิตย์ดวงนี้ก็คือไข่เป็ดทอดที่ไม่สุกและข้างในเต็มไปด้วยเนื้อไข่สำหรับคนที่ไม่ชอบทานแบบสุกมาก สีส้มอมแดงตัดกับเฉดของท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีเขียวอ่อนปนน้ำเงิน
มันสวยมากจนถ้าไม่เห็นกับตา ผมก็คิดว่ามันคงมีอยู่แค่ในนิยาย ในภาพซีจี
ที่สุดแล้วธรรมชาติก็ยังมีความงดงามมากมายในตัวมันเองเสมอ ๆ
รู้สึกตัวอีกทีฝ่ามือของเขาก็ซ้อนกับนิ้วมือของผม ความรู้สึกอบอุ่นค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นร้อนมากขึ้น ผมหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รอยยิ้มของเขามันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนส่งออกมาจากใจ แต่มีความเจ็บร้าวซ่อนอยู่ในแววตาทั้งสองข้าง ผมมองหน้าเข้า ก่อนจะคว้าคอขยับใบหน้าเข้ามากใกล้ ๆ
ริมฝีปากของเราชนกัน ผมสัมผัสได้ถึงความแตกกระด้างของเนื้อผิว ผมไม่สนใจค่อย ๆ สอดลิ้นเข้าไป เขานิ่งไปชั่วขณะเหมือนมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ถึงห้าวินาทีก็ตวัดลิ้นเกี่ยวกลับมา ผมค่อย ๆ เคลื่อนไหวปลายลิ้นไปทั่วทั้งโพรงปาก สำรวจหาความหวานของรสจูบนี้
เพลง Rehab ดังขึ้นมาพอดี ผมกดจูบกับเขากดไว้แบบนั้น จากจูบที่นุ่มนวลค่อย ๆ ร้อนแรงมากขึ้นตามอากาศในปอดที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ฟันของเขาขบลงมาเบา ๆ ที่ริมฝีปากของผม ผมขบกับไป ก่อนจะค่อย ๆ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นชื้น ๆ ที่มาจากใบหน้าของเขา ปลายลิ้นของผมสัมผัสได้ถึงคาวเลือด เราถอนจูบออกช้า ๆ ก่อนจะมองหน้าผม
เขาสั่น ...สั่นไปหมดทั้งตัว ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมองเขาผ่านแว่นตาไม่ชัด กำลังคิดอยู่ว่าเป็นเพราะเลนส์ที่ไปมัวตอนไหนรึเปล่า
แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่
ผมมองไม่เห็นเขา เพราะน้ำตาของผมบดบังตัวเขาไว้
“คุณ...ร้องไห้ทำไม” ผมถามเสียงสั่นทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของตัวเองน้ำตาเต็มไปทั้งสองตา เขาเอื้อมมือสั่น ๆ ค่อย ๆ ซับน้ำตาให้กับผม ทั้ง ๆที่ตัวเองก็ร้องไห้ไม่ต่างอะไรกัน มือบาง ๆ คู่นั้นดึงผมเข้าไปซุกไว้ที่ตัว ผมสัมผัสได้ถึงน้ำตามากมายที่ค่อย ๆ หยดลงมาโดนหัวของผม
“ผมขอโทษ...ผมขอโทษ” เขาพูดแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา ผมเองก็ร้องไห้ไม่ต่างอะไรไปจากเขา หัวใจของผมเองก็กรีดร้องไม่ต่างอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมองเห็นสายตา ผมยิ่งรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในนั้น ผมเห็นความเจ็บปวด ผมเห็นความแหลกสลาย ผมเห็นว่าเขารับรู้ทุกความรู้สึกของผม เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด...
...ตอนที่ผมมองหน้าพี่พอร์ช แล้วรู้ว่าทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้แล้ว
“ผมขอโทษ...ผมไม่น่ามาที่นี้เลย” ผมว่าเสียงสั่น หัวใจเจ็บที่กำลังรับรู้ว่าตัวเองทำร้ายและทำลายคนอีกคนมากมายขนาดไหน ผมรู้ว่าเขาต้องใช้ความกล้ามากแน่ ๆ ที่จะชวนผมมา ทั้ง ๆ ที่ผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าผมได้ให้ใจใครไปอีกคนตั้งนานแล้ว และเป็นผมเอง เป็นผมเองที่ทำร้ายทุกคนมาตลอด
ผมมาหาเขา เพราะต้องการทดสอบโชว่าเขาจะคิดยังไง ว่าเขาจะหวงผมไหม ว่าความรู้สึกจะยังเหมือนเดิมรึไม่ เพราะทั้งหมดนั้นผมกลัวว่ามันจะเปลี่ยนไป ถ้าจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน ขอให้มันอยู่ในวันและเวลาที่เรายังไม่ได้ไปด้วยกันไกลมากไปกว่านี้ เพราะผมคิดแบบนั้น เพราะในใจลึก ๆ ของผมหวาดกลัวการเริ่มต้น
ขอแค่คำเดียวที่เขาพูดมา แค่สายตาที่ผิดหวังในตัวผมตอนที่ผมไปมีอะไรกับใคร
มันคงทำให้ผมตัดใจ คงทำให้ผมไม่รู้สึกอะไร ที่ต้องเดินจากผมมา
ลึก ๆ ข้างในแล้ว ผมขยะแขยงตัวเอง ผมรังเกียจตัวเองที่ทำแบบนี้ เพราะกลัวการเริ่มต้น ถึงไม่เริ่มใหม่กับใคร ต้องการแค่คนที่มานอนเป็นครั้งคราวไป ไม่คาดหวังอะไรนอกจากว่าอีกฝ่ายจะมีคุณค่ามากพอให้ผมรู้สึกอยากจะมีอะไรด้วย
เพราะกลัวมาตลอดว่าทุกคนจะเข้าหาด้วยเรื่องแค่นี้ เลยพยายามห้ามตัวเองไว้ไม่ให้คิดอะไรไปไกลมากกว่าแค่คืนหนึ่งคืนที่ผ่านมาและผ่านไป เพราะลึก ๆ ข้างในแล้วผมขยะแขยงตัวเอง ผมไม่อาจจะยอมรับว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลยที่จะต้องมีอะไรกับใครสักคน เพราะผมกลัว ผมไม่สามารถก้าวข้ามความหวาดกลัวได้
ผมกลัวหลงทางอีกครั้ง เหมือนที่ใครบางคนเคยพยายามนำทางผมและทุกอย่างก็แหลกสลายไปในท้ายที่สุด
ผมถึงทดสอบกับโชครั้งแล้วครั้งเล่า ทดสอบว่าเขา..จะรังเกียจคนแบบผมไหม?
ในที่สุดแล้ว ผมไม่สามารถมีอะไรกับใครคนอื่นได้นอกจากโช ไม่หรอก ผมมีได้ แต่ความรู้สึกที่ตามหลังมาเหมือนกับว่าผมกำลังทำผิดพลาด เหมือนกับว่าผมกำลังหักหลังเขา ผมกำลังหักหลังตัวผมเอง เหมือนที่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสองคนนั้น ที่จริงแล้วถ้าผมจะหยุดผมก็คงทำได้ แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ ผมเลือกที่จะปล่อยให้ความรู้สึกนำหน้าเหตุผลเพื่อทดสอบเขา
...ผมเห็นแก่ตัวกับคนเหล่านี้มากมายเหลือเกิน
“ผมยินดี”
เขาพูดทั้งหยาดน้ำตา คล้ายอ้อมกอดให้ผมได้เห็นใบหน้าที่กำลังมองลงมา
“24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จะเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของผม คุณไม่ต้องเสียใจ คุณไม่ต้องเสียดาย ไม่มีอะไรเลยที่คุณได้ทำผิดพลาดไป ทั้งหมดคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดเสมอในท้ายที่สุด”
“....”
“พระอาทิตย์ขึ้นและตกแบบนี้ จนกว่าสักวันโลกจะแตก ที่สุดแล้วทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นและจบลงไป สุดท้ายแล้วปลายทางของใครสักคนก็ต้องตัดผ่านกันอยู่ดี ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ...ผมยินดี ผมยินดีมาก ๆ แล้วที่ได้มีคุณอยู่ในชีวิต แค่เท่านี้ชีวิตของผมก็สมบูรณ์เท่านี้มันจะสมบูรณ์ได้ด้วยตัวมันเองแล้ว”
“ครับ...”
“ดังนั้นแล้ว ได้โปรดอย่าร้องไห้เลยนะครับ”
น่าเสียดาย ผมไม่สามารถทำตามที่เขาขอร้องได้เลยสักนิด
เหมือนหัวใจผมแตกสลาย น้ำตามากมายไหลออกมาไม่ต่างจากฝนเมื่อยามบ่าย
.....................
ผมร้องไห้หนักมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกที เราทั้งคู่ก็ถอดเสื้อผ้า เปลือยกาย แล้วก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน ผมเหมือนตุ๊กตาเดินได้ที่ไม่มีสติอยู่กับตัว ก้มหัวลงให้เขาสระผมให้ มือหยาบกระด้างค่อย ๆ ฟอกแชมพูให้ผม ก่อนจะเทสบู่เหลวลงมือแล้วไล่ไปทั่วร่างกายผมไม่แม้แต่จุดซ่อนเร้น ผมไม่หลบหนี ปล่อยเขากระทำตามใจกับร่างกายไปเรื่อย ๆ
ผมอยากให้เขามีความสุข นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึก
เขาไม่ได้ทำอะไรผมไปมากกว่านั้น ไม่ได้ล่วงเกินมากไปกว่าแค่ต้องการชำระล้างร่างกายให้ผมเท่านั้นเอง ผมเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกันกับเขา เจ้าตัวช่วยผมเช็ดศีรษะด้วยการเอาผ้ามาพัน ๆ แล้วถูให้จนแห้งสนิท พร้อมเสร็จหลังจากนั้นก็ทาแป้งเบา ๆ ให้ผม ยื่นชุดที่คิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่เข้าใส่ว่าเขาไปหาไซซ์ผมมาได้ยังไงให้ใส่
เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าเราจะต้องขับรถกลับไปสนามบิน ผมใช้เวลาครึ่งชั่วโมงที่เหลืออยู่นอนกอดเขาเงียบ ๆ เหมือนกันที่เขานอนกอดผม พยายามแล้ว แต่ที่สุดเราสองคนก็ยังนอนกอดกันร้องไห้แบบนั้น เขาเปิดเพลง ‘ฉันดีใจที่ได้พบเธอ’ ของ Whal & Dolph ก่อนเราจะนอนกอดกันร้องไห้ไปแบบนั้นจนหมดเวลา
หลังจากเช็กว่าไม่ลืมอะไรทิ้งไว้เป็นครั้งสุดท้าย ผมก็กดล็อกกุญแจที่พัก ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ หันไปมองหน้าเขา หันมามองเรา พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้สองตาบวม ๆ ในการจดจำและบันทึกทุกอย่างไว้ในความทรงจำของตัวผมเอง
มันเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีค่ามากสำหรับผมจริง ๆ
ถึงเวลากลับ เรานั่งสายการบินเดิมที่นั่งมาเมื่อเช้า..จริง ๆ ผมต้องบอกว่าเมื่อคืนสินะ? ช่างเถอะ หัวของผมหมุนวนจนไม่สามารถคิดอะไรได้อีกแล้ว เรานั่งเงียบ ๆ เสียบหูฟังกันคนละข้างจนมาถึงกรุงเทพฯ ผมแอบตกใจนิดหน่อยที่คนรถเมื่อเช้ายังอยู่รอเราสองคน เขาโค้งให้คนข้าง ๆ ตัวผมก่อนจะยื่นกุญเจรถพอร์ชคันเดิมให้กับเขา
ผมนั่งเงียบ ๆ เหม่อเห็นนาฬิกาเกือบห้าทุ่มกว่าแล้ว เวลา 24 ชม.ที่เกิดขึ้นกำลังจะจบลง ผมเหมือนคนเบลอยา เหมือนหลับแล้วฝันไป ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่ามันจะเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ยาวนานมากขนาดนี้ เขาขับขึ้นทางด่วน ถนนยามค่ำคืนค่อนข้างโล่งโดยเฉพาะเมื่อมันเป็นคืนวันเสาร์
เขาขับรถมาเรื่อย ๆ ไม่ช้า ไม่เร็ว เวลาเองก็กำลังเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ เช่นกัน น่าแปลกที่ผมกลับเริ่มสงบใจได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าในที่สุดแล้วผมก็เข้าใจตำแหน่งของใครอีกคนสักที
ความเจ็บปวดที่พี่พอร์ชมอบให้กับผม แม้มันจะเป็นบาดแผลที่ใหญ่และรุนแรง แต่อย่างน้อยที่สุดมันไม่ใช่แผลเรื้อรัง มันทำให้ผมตัดสินใจที่จะไปต่อได้ง่ายมากขึ้น
การไม่มีความหวังใด ๆ หลงเหลืออยู่ในรักครั้งเก่า ก็เป็นประตูอีกบานที่จะส่งเราไปเจอกับความรักครั้งใหม่ ๆ
เขาจอดรถเทียบในมหาวิทยาลัย มองนาฬิกาแล้วยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีเศษ เราเงียบ ก่อนเขาจะเป็นคนพูดก่อน
“ไปเดินเล่นกัน” เขาว่า ผมพยักหน้าและเดินลงไปจากรถ หยิบมาเพียงแค่โทรศัพท์มือถือที่ติดตัวมาด้วยเพียงอย่างเดียว
เราเดินเงียบ ๆ ข้าง ๆ กัน ผมไม่รู้จะพูดอะไร เพราะผมพูดทั้งหมดที่ผมอยากจะพูดออกไปหมดแล้ว ผมว่าเขาเองก็คงไม่ต่างกัน เลยปล่อยให้บรรยากาศรอบ ๆ ตัวได้ทำงานของมัน เสียงแมกไม้ เสียงรถยนต์ที่ดังเข้ามาจากถนนใหญ่หน้ามหาวิทยาลัย เสียงนักศึกษาบางส่วนที่ยังคงค้างและหลงเหลืออยู่ในนี้
ยี่สิบสามนาฬิกา ห้าสิบเก้านาที...
“ส่งผมแค่ตรงนี้ก็พอครับ” ผมพูดออกมาเป็นครั้งแรก หันหน้าไปเจอกันกับเขา
“....”
“คุณครับ...”
“....”
“ได้โปรด...ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ” ผมบอก พยายามไม่ให้ความรู้สึกขม ๆ ข้างในทะลักออกมาเป็นทะเลน้ำตา
เขาเงียบสงบกว่าที่ผมคิด ไม่ร้องไห้ฟูมฟายหรือแสดงอาการเสียใจ พยักหน้ารับคำและส่งรอยยิ้มให้กับผม
“ผมชื่อ‘หยก’”
เขาบอก ผมพยักหน้ารับคำเงียบ ๆ บ้าง
หยก ผลึกอัญมณีที่มีค่า สำหรับคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวมัน
“ผมชื่อทรอย” ผมตอบกลับไป เขาพยักหน้าขึ้นลงรับทราบอย่างสงบ
เราเงียบและมองหน้ากัน เหมือนผมได้ยินเสียงเข็มวินาทีดังขึ้น เหลือบตามองหน้าปัดเป็นเวลา 00.00 นาฬิกา
“หยกครับ ทรอยต้องไปแล้วนะ”
“ครับ”
ผมเตรียมหัวจะหันหลังกลับมา แต่เสียงของเขาก็ดังขึ้นมาก่อน
“หยกจะจำชื่อทรอยไปชั่วชีวิตของหยกนะครับ”
เขาบอก ผมพยักหน้ารับทราบ ทำสิ่งที่สมควรทำครั้งสุดท้ายด้วยการกอดอีกฝ่ายแล้วปาดน้ำตาให้กับเขา ถึงที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าสักวันหยกจะเจอกับใครสักคนที่จะมอบความรักทั้งหมดให้กับเขาได้จริง ๆ
ผมหันหลังกลับและเดินหน้าต่อไป ปราศจากเสียงเรียกรั้งใด ๆ แต่ผมสัมผัสได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งมองไล่ตามผมจนสุดทาง แต่ผมไม่สามรถหันหลังกลับไปมองได้ ผมไม่สามารถหันกลับไปได้ทั้ง ๆ ที่น้ำตาเต็มสองตาของผมแบบนี้ ผมไม่ใส่ใจสายตาของใครต่อใครที่มองมาที่ผม พยายามอย่างมากที่จะส่งเสียงออกมาว่าตัวเองกำลังเสียน้ำตา
จนกระทั้งเดินมาถึงหน้าหอพัก แล้วพบว่าใครคนหนึ่งกำลังยืนรออะไรบางอย่างที่หน้าประตู
บางอย่างที่ว่า...นั่นคือผม
“กลับมาแล้วเหรอครับ?” เขาว่า ยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นผมกำลังเดินเข้าไปหา ใบหน้าอิดโรยอยู่ในชุดออฟฟิศที่มีเสื้อสูทตัวนอกพาดแขน แม้จะดูเหนื่อยล้าขนาดไหนแต่เขาก็ยังพยายามที่จะส่งยิ้มกลับมาให้ที่ผม
“หิวไหม...ทานอะไรมารึ...” โชพูดได้ไม่ทันขาดคำ ผมก็เขาไปกอดเขาไว้เต็มรัก
“ขอโทษนะครับ ช่วยอยู่กับผมตรงนี้ก่อนได้ไหมครับ?”
ไม่ใช่คำขอร้อง แต่คือคำอ้อนวอน
....นานแล้วเหลือเกิน ที่ผมไม่ได้เจอใครสักคน ที่ทำให้ผมกล้ามากพอที่จะร้องไห้ให้เขาฟัง
Time talk : มาติดตามสี่ตอนที่เหลือกันนะครับ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ขอบคุณจริง ๆ เลยนะ ที่ยังอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ ใกล้แล้วนะครับ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งรีบเดินจากกันไปไหนนะครับ :)
“ชื่อจริง ๆ ของผมคือทรอย”
ผมว่า หันไปมองหน้าเขา มือของผมสั่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพูดถึงมัน
“ครับ”
“ไม่ใช่ทรอยที่แปลว่าของเล่น ถ้าพูดให้สวยหรูแบบที่ ‘เขา’ พูดถึงมัน มันคือชื่อเมืองทรอย ...ทรอยในตำนานของพวกกรีก-โรมัน เมืองที่เกิดหายนะกับผู้คนเพราะความลุ่มหลงในอิสตรี ....แต่จริง ๆ แล้วผมคิดว่ามันมาจากคำว่า soul-destroying ที่แปลว่าทำลายหัวใจมากกว่า”
“...”
“พ่อผม.. ผู้ชายคนนั้นน่ะ เขาไม่ได้รักใคร่หรือถูกคออะไรแม่ผมหรอก ปู่ของผมเป็นเพื่อนสนิทของตา น่าจะเกิดปัญหาอะไรสักอย่างกับเศรษฐกิจครอบครัวช่วงนั้นมั้ง? ผมก็ไม่รู้ว่ามันร้ายแรงมากขนาดไหน แต่ก็ร้ายแรงมากถึงขนาดว่าแม่เขียนบันทึกถึงปู่ไว้ว่า ‘ปู่ขายแม่’ เพื่อให้มีเงินมารอดมาเลี้ยงครอบครัว”
ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเล่าด้วยน้ำเสียงหรือท่าทีแบบไหน ทุกครั้งเวลาพูดถึงมัน ผมจะอึดอัด หายใจไม่ออก มันคือประสบการณ์การรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดที่คุณไม่สามารถหลีกหนีมันพ้นได้ ...ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคุณคือเรื่องจริง สัมผัสเดียวที่ผมสัมผัสได้คือมือของพี่โชที่จับผมไว้ไม่ปล่อย
“แม่น่ะ เขาเขียนไว้ว่า ‘รู้สึกเหมือนตัวเองโดนข่มขืนโดยคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีในทุก ๆ วัน’ ที่แย่ก็คือ แม่ไม่สามารถบอกเล่าหรือไปขอความช่วยเหลืออะไรจากใครได้ ก็แน่นอนล่ะ ‘เขา’ เป็นสามีถูกต้องทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาบอกว่าฉันโดนสามีของฉันข่มขืน...มันคงไม่มีใครรับฟัง”
“...”
“ผมเกิดขึ้นมาโดยปราศจากความรัก ตอนนั้นผมโตพอจะรับรู้ว่าท่าทีของพ่อที่มีต่อผม..มันไม่เหมือนกับเราเป็นพ่อลูกกัน ไม่นานหลังจากนั้น ผมน่าจะสักม.ต้นได้มั้ง...” ผมเว้นวรรค สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วพูดต่อโดยไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้าและน้ำเสียง
“แม่ถูกกล่าวหาว่ามีชู้"
"ใช่ ‘เขา’ บอกว่าผม ‘ไม่ใช่ลูกเขา’ อาการป่วยทางจิตของแม่หลังจากคลอดผมแล้วยิ่งปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็หนักถึงขนาดที่ว่า แม่ไม่สามารถเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนได้สักคนเพราะอาการหวาดระแวงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต...ใช่ แม้กระทั่งผม แม่ก็จำไม่ได้”
ผมว่า กลืนก้อนเหนียว ๆ ลงคอ พยายามเป็นอย่างมากไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีกรอบเพราะความปวดร้าวที่เกิดขึ้น
“หลังจากนั้น ผมย้ายออกจากที่นั่นไปอยู่กับญาติชั่วคราว ส่วนแม่อยู่โรงพยาบาลจิตเวชเป็นการถาวร แรก ๆ อาการมันก็เหมือนจะดีขึ้น มันก็มีบางครั้ง มีบางวันที่เขาจำได้ว่าผมคือใคร มีบางวันที่เขาเรียกผมว่า ‘ลูก’ และก็มีอีกหลาย ๆ วันที่ผมเป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง ..เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทำให้เขาหวาดระแวง กลัวว่าจะเข้าไปทำร้ายเขา” ผมว่า เสียงของผมสั่นและขาดหายไปเป็นช่วง ๆ
“ถ้าไม่ไหวไม่เป็นไรนะครับ พี่ไม่อยากให้เรารู้สึกเจ็บเพราะมัน” พี่โชบอกกับผมแบบนั้น ผมพยักหน้ารับทราบความปรารถนาดีจากเขาแต่ก็เลือกจะพูดต่อ
“ผมไม่รู้หรอกว่าผมเกิดมาทำไม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวผมเองมีคุณค่ากับใครไหม โลกนี้มันไม่แฟร์ มันไม่เคยแฟร์ มันจะต้องมีคำถามที่ไม่ว่าจะถามไปยังไงก็ไม่มีคำตอบต่อให้ผมจะตะโกนถามว่าทำให้ผมเกิดมาทำไม ผมไม่ได้อยากเกิดมาเจอเรื่องพวกนี้ ผมไม่ได้อยากเจ็บปวด ไม่ว่าผมจะตะโกนออกไปดังมากแค่ไหน เสียงของผมไม่เคยมีใครได้ยิน
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผมจะเกิดมาด้วยเหตุผลอะไร ผมเกิดมาแล้ว และเป็นผมที่เลือกจะยืนอยู่ตรงนี้ด้วยสองขาของตัวเอง เขาเป็นเพียงต้นกำเนิด แต่ปราศจากความสำคัญในชีวิตของผม สุดท้ายแล้วผมก็ต้องพยายามเป็นอย่างมากที่จะเป็นเซฟโซนของตัวเอง พยายามใช้ชีวิตบิด ๆ เบี้ยว ๆ ด้วยการทำให้มัน ‘ปกติ’ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ปกติ”
“พี่เข้าใจแล้วครับ” พี่โชว่า สองตาของเขาซึมออกมาด้วยน้ำตาเล็ก ๆ ผมยกมือขึ้นไปปลอบอีกฝ่ายบ้างทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ร้องไม่ต่างกัน
“ผมถึงไม่เคยใช้ชื่อจริง ๆ ของผมเลยสักครั้ง มันไม่ใช่แค่การปิดบังตัวตน แต่เพราะผมมองว่ามันคือสิ่งที่ผม ‘ไม่ได้เลือก‘ ผมเลือกไม่ได้ว่าผมจะเกิดหรือไม่เกิด เป็นพวกเขาที่เลือก เลือกให้ผมลืมตามาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ว่าบางครั้งแล้วครอบครัวไม่ได้หมายถึงความเป็นพ่อแม่ลูกเสมอไป”
“ครับ”
“จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจถึงการมีตัวตนและการคงอยู่ของผมอยู่ดี ผมใช้ชีวิตโดยหวังเพียงแต่ว่าอยากทำให้เด็กแบบผมมีหนทางให้เติบโตและเดินหน้าต่อให้มากที่สุด เราเจ็บปวด เราทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ แต่ช่างมันเถอะ ผ่านมันไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่อยู่กับมันให้ได้ก็พอ” ผมว่า ในที่สุดผมก็เค้นรอยยิ้มของตัวเองออกมาจนได้ โชยิ้มตอบ เขาหยุดน้ำตาที่มันไหลออกมาแล้วกระชับกอดของเราให้แน่นมากขึ้น
“แต่รู้อะไรไหมครับ เราไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วนะ เราเป็นครอบครัวของพี่แล้วนะครับ”
“ผมรู้สิครับ ผมรู้แล้วว่าบางครั้งแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ผมต้องปล่อยใจออกจากอดีต แล้วเดินต่อไปกับอนาคตที่ผมยังมองไม่เห็นบ้าง ผมจะไม่กลัวแล้วกับการที่จะรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต แต่ถ้าเป็นไปได้..”
“ครับ?”
“ผมก็ไม่อยากให้พี่จากผมไปไหนนะ”
ผมว่า มองหน้า ‘ครอบครัว’ ที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยตัวผมเอง
“ไม่ไปไหนหรอก พี่มันคนหน้าทน ไล่ให้ตายยังไงพี่ก็จะไปหายไปจากเราอยู่ดี” เขาว่า โอบกอดผมด้วยอ้อมกอดพอดี ๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้แน่นมากเกินไป หรือหลวมเกินไปจนผมไม่รู้สึกถึงมัน
ตอนนี้ห้าโมงเย็นกว่าแล้ว สีของฟ้าอมส้มกำลังดี ข้างล่างผู้คนสัญจรผ่านไปมา ผมและเขาเราเป็นแค่ส่วนประกอบเล็ก ๆ ของโลกใบนี้เท่านั้นเอง
“งั้นเรามาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งนะครับ” ผมพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาพยักหน้ารับแล้วพูดตอบกลับ
“พี่ชื่อแชมป์ อิทธิพงศ์ ครับ” พี่โช..ไม่สิ พี่แชมป์พูดขึ้นพร้อมมองหน้าผมแล้วดึงแก้มออกมาเบา ๆ ผมยิ้มจนแก้มปริ ยิ้มทั้งน้ำหูน้ำตาแล้วตอบเขากลับไป
“ผมเหรอ? ....ผมชื่อน้องทรอยครับพี่แชมป์”
สวัสดี
The End
"แด่ทุกความทุกข์ ความสุข ความรัก รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และหยาดน้ำตาบนโลกใบนี้"
Time talk : ขอบคุณจริง ๆ ที่อยู่ด้วยกันจนมาถึงบรรทัดนี้ ผมไม่เคยขอร้องสักครั้ง แต่ก่อนเราจะพูดคุยกันยาวๆ อีกครั้งใน Topic หน้าถึงที่มาที่ไปของนิยายเรื่องนี้ ผมขอนะครับ ผมขอสักครั้งได้ไหมครับ ผมอยากรับฟังเสียงของทุกคน ผมอยากได้รับมันจริง ๆ นะครับ
แล้วพรุ่งนี้เรามาคุยกันใหม่นะครับ
พ่อแมวพุงโต
Ps.นิยายเรื่องนี้มีการรวมเล่มนะครับติดตามรายละเอียดได้ผ่านหน้าเฟสบุ้ค / ทวิตเตอร์ได้เลยนะครับ :L2: