พิมพ์หน้านี้ - ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: llมว_น้oe ที่ 17-10-2019 22:11:17

หัวข้อ: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 17-10-2019 22:11:17
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม







......ใครบอกว่าชื่อนกจะต้องนก? เรื่องนี้จะทำให้คุณรู้ว่า ชีวิตของนก บัดซบแค่ไหน.......


เพราะพ่อผมดันตั้งชื่อให้ว่านก ชีวิตผมถึงได้นกไม่มีที่สิ้นสุด อยากเปลี่ยนชื่อ!!! ผมอยากเปลี่ยนชื่อโว้ยยยยยยยย แต่อะไรก็แทบจะดีไปหมด เพื่อนดี งานก็...เกือบดี



ติดอย่างเดียวเท่านั้น!!!



ทำไมผมถึงรู้สึกว่าไอ้ปามันชอบมองผมแปลกๆ พูดจาแปลกๆ แต่ที่แปลกกว่าการกระทำของมัน ก็หัวใจของผมนี่แหละ ที่เต้นแรงแปลกๆ นี่ผมไม่ได้ชอบมันใช่ไหมครับ????

นี่เพื่อนไงปา นี่เพื่อนมึงไงงงงงงงงง

                       

                       

                       







เปิดเรื่องใหม่ค่ะ เรืื่องนี้เป็นฟีลกู๊ด+คอมเมดี้ที่มีความบ้าบอของนกเป็นที่ตั้ง แต่ถามว่ามีดราม่าไหม หึหึ ชีวิตใครบ้างล่ะคะที่จะสุขสงบ จริงไหม รักนก หลงนกกันเยอะๆ นะคะ แล้วเจอกัน....#ปากินนก





นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของแมวนะคะ งดนำไปเผยแพร่ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจ้า


ผลงานที่ผ่านมา

(เรื่องสั้น)
-  คลินิกรัก(ษ์)บำบัด(ไข้)ใคร่ 18+ [จบแล้ว]
-  เรื่องสั้นสุดวาย(Y) ฉบับนิทานสุดฟิน [จบแล้ว]

(เรื่องยาว)
-  บุปผาร้อยราตรี (จีนโบราณ) [จบแล้ว]
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่1. นกกับวันปกติ 50% up. 17/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 17-10-2019 22:19:10
[1]

คุณเคยรู้สึกว่าชื่อเป็นอะไรที่สำคัญไหมครับ ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น เพราะตอนนี้ผม.......กำลังเกลียดชื่อตัวเอง



3ปีก่อน

“นก เราเลิกกันเถอะ”

หลิน แฟนคนสวยของผมที่คบกันได้ไม่ถึงปี

“ทำไม........” ผมมองหลินอย่างต้องการคำตอบ ผมแทบจะหาเสียงตัวเองไม่เจอ เมื่อคนที่ผมรักพูดคำนี้ออกมา

“ฮึก.....นกต้องเข้าใจเรานะ เรารักนก แต่นก...ฮือ นก นกดูเฉิ่มเกินไป”

“!!!”

“เวลาเราไปไหนมาไหนกับนก มันก็เหมือนเราเดินกับโรคจิตที่คอยแอบซุ่มตามเรา” นี่กูเป็นโรคจิตแล้วหรือ

“เราผิดที่เกิดมาแบบนี้สินะ ถึงทำให้หลินทิ้งเรา”

“ไม่ใช่!!! ไม่ใช่เลยนก” ผมยิ้มเยาะตัวเอง

“เราขอบคุณนกนะ ที่นกพยายามเพื่อเราทุกอย่าง”

“หลินครับ......ไปกันเลยไหม” ผมและหลินหันไปมองชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่ นั่นมัน......

“อ้าว.....พี่นก สวัสดีครับ” ครับ ไอ้เอ็ม น้องรหัสผมเอง

“อืม.......”

“ถ้างั้น ผมรอข้างนอกนะครับ อย่าช้านะ ผมคิดถึง” เอ็มขยิบตาให้หลินและหลินเองก็แก้มแดงปลั่ง นี่สินะ สิ่งที่ผมไม่มี ความเท่ ความหล่อ และความน่าสนใจ อย่างนี้ทุกทีสินก มึงนี่นกได้สมชื่อจริงๆ

“กะ ก็ อย่างที่หลินบอก ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ หลินไปก่อนนะ ขอโทษนะนก” เดี๋ยว จบง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ แล้วไอ้ที่ร้องไห้เมื่อกี้นี่ ใครวะ??? ผมได้แต่มองชาเขียวร้านดังในห้างที่ผมแทบไม่ได้แตะ กับลาเต้เย็นของโปรดของหลินที่ทุกครั้ง ผมจะเป็นคนซื้อไปให้ที่คณะเสมอ มันคงไม่มีอีกแล้วสินะ มันจบแล้วสินะ ผมคงไม่มีเธออีกแล้วใช่ไหม

“ฮะ ฮะ สมน้ำหน้ามึงไอ้นก เสือกชื่อนกทำไม” ผมได้แต่เยาะเย้ยตัวเอง มันธรรมดาที่ทุกคนต้องเลือกคนรักที่หน้าตา คนอย่างผมจะไปสู้เดือนคณะได้ยังไง คนอย่างผมจะมีสิทธิ์ไปรักใครได้อีก ผมลุกเดินออกไปโดยไม่สนใจจะหยิบแก้วน้ำสุดแพงนั้นออกมาด้วยซ้ำ ดีแล้วละ ให้มันอยู่คู่กันเพียงแค่บนโต๊ะนั้นก็ยังดี ชาเขียวกับลาเต้ไม่เคยเข้ากันเหมือนที่ผมไม่เคยเข้ากับเธอ

ปัจจุบัน

ผมนั่งก้มหน้าอยู่กับกองเอกสารมากมายที่แทบจะถมร่างผมให้จมลงไป งานผมคนเดียวที่ไหนละครับ เขาโยนมากันทั้งนั้น

“นก พี่ฝากดูเอกสารนี่หน่อยนะ สำคัญมากด้วยแต่พอดีที่บ้านพี่มีปัญหา พี่ต้องรีบไป ยังไงพี่ฝากด้วยนะ” แล้วผมปฏิเสธได้เหรอครับ ไม่หรอก ผมจึงทำได้แค่ ยิ้ม

“ครับพี่ฝน เดี๋ยวผมดูให้ครับ”

“จ้า ขอบใจมากเลยนะ พี่พึ่งพานกได้จริงๆ” พี่ฝนลูบหัวผมไปมา อา ถ้าไม่ได้หวังผลก็ดีอยู่หรอกครับ

“ถ้างั้นพี่ไปก่อนนะ บายๆ จ้า”

“ครับพี่” ผมโบกมือลาพร้อมส่งยิ้มให้จนอีกคนลับตาไป ก่อนจะถอนหายใจออกมา

“มาม่าอีกแล้วสิเราวันนี้” ผมก้มหน้าก้มตาจัดการเอกสารตรงหน้าให้เสร็จภายในคืนนี้ให้ได้ โอทียาวๆ ไปสิครับ ทั้งออฟฟิศตอนนี้เหลือแค่ผมคนเดียวบรรยากาศวังเวงใช้ได้เลยละ ผมน่ะมันไม่เอาไหนปฏิเสธใครไม่เป็นมาตั้งแต่เด็กๆ มาแล้ว ถึงได้โดนใช้ให้ทำนั่นทำนี่บ่อยๆ

“เอ.......ตรงนี้อืมมม”

“ทำอะไรอยู่คนเดียวน่ะ”

กรี๊ดดดดดด ผีหลอกกกกกกกก

“นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ” อย่ามาหลอกมาหลอนผมเลย

“ทำบ้าอะไรวะนก” ผมหันหน้าไปมองทางต้นเสียง

“ปา โธ่ กูนึกว่าผี” โล่กอกไปที

“ผีห่าอะไร แล้วนี่อะไรงานมึงเหรอเต็มโต๊ะแบบนี้”

“เอ่อ ก็ไม่เชิง” ผมหลบสายตาคาดคั้นของเพื่อนรักคนเดียวในบริษัท

“นี่มึงรับงานคนอื่นมาทำอีกแล้วเหรอวะไอ้นก!!!” อึ๋ย.....โดนอีกแล้วกู

“ก็เขามีธุระนี่หว่า ทำไงได้ละวะ”

“มึงก็บอกไปดิว่าตัวมึงเองก็มีธุระ นี่ห่าอะไรก็มาโยนๆ ให้มึง”

“......” มันกวาดตามองงานที่กองอยู่ตรงหน้าผม

“มึงจะเป็นถังขยะแล้วนะไอ้เหี้ย!!” โอ๊ย.....เจ็บ

“กูขอโทษคร๊าบบบบ เพื่อนปา อย่าโกรธกูเลยนะๆ ๆ” ผมเขย่าแขนร่างสูงตรงหน้าอย่างง้อๆ จนไอ้ปาทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่า อย่างนี้ทุกที

“เออๆ เอา......กูซื้อข้าวมาเผื่อ กูรู้ว่าอย่างมึงคงนั่งแดกมาม่าอีกแน่” ชิ..รู้ได้ไงวะ

“ขอบคุณคร๊าบบบบ” กลิ่นผัดกะเพราลอยเข้าจมูก

“ห๊อมมม หอมมมม”

“ไม่ต้องมาปากดี แดกๆ ไป เดี๋ยวกูช่วยทำ สัตว์เอ๊ย แม่งลำบากกูทุกที”

ผมแกะกล่องข้าวในถุงกินอย่างอร่อย ถึงมันจะเป็นอาหารสิ้นคิด แต่ก็ดีกว่ากินมาม่าละว๊า!! ผมลอบมองเพื่อนคนเดียวที่อยู่ข้างๆ ผมตลอดเวลา มันเป็นคนที่เก่ง เก่งไปหมด หน้าตาดี โครงหน้าหล่อเหลาสันจมูกโด่ง ปากบางผิวสีแทนกับทรงผมที่ถูกเซ็ตมาอย่างดี กลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำหอมราคาน่าจะแพงทำให้สาวๆ น้อยใหญ่ในบริษัทต่างกรี๊ดกร๊าด ขนงขนมนี่มีมาทุกวัน ยิ่งความสูงที่มีถึง186ซม. กับกล้ามเนื้อทุกส่วนและซิกแพคที่ผมเคยแอบเห็นและมองมันอย่างอิจฉาทำให้ตัวมันดูเท่ไม่หยอกในสายตาคนอื่นๆ
แตกต่างจากผม ผู้ชายที่สูงเพียง175ซม. ใส่แว่นหนาเตอะเนื่องจากสายตาที่สั้น ผมเผ้าขาดการดูแลจนมันยาวมาปรกใบหน้า แม้จะมีริมฝีปากที่ไอ้ปามักจะบอกว่าสวยกว่าผู้หญิง (ผมควรดีใจไหม) แต่เบ้าหน้าผมมันไม่ให้ไง ไหนจะเรื่องรูปร่างที่บางจนใครชนทีผมก็กระเด็นติดฝา ก็จะให้ผมทำไงได้ละครับ งานมันเยอะจนต้องกินมาม่านี่นา ผมไม่ได้ขาวจนน่าสนใจแต่ก็ขาวในระดับที่ยืนกับไอ้ปาแล้วภูมิใจได้ว่า เหี้ย!! กูขาวกว่าโว้ย (?)

“แดกเร็วๆ งานจะเสร็จไหม กูง่วง!!!”

“ง่ำๆ ๆ” ผมยัดข้าวเข้าปากอย่างเร็วเมื่อคุณท่านตรงหน้ามองจิกผมด้วยแววตาที่ว่า หากมึงยังแดกไม่หมด กูจะผ่าท้องแล้วยัดแม่งไปทั้งกล่อง ฮื่อออ แม่จ๋า ปาน่ากลัว

“เอ็ดแอ้ว” ผมวางกล่องข้าวลงทันที

“แดกน้ำสิ จะรอติดคอหรือไงวะ”

“อั๊บๆ” ผมจึงต้องยกน้ำขึ้นกระดกพรวดเดียว ก็มันเหลือแค่นั้นอ๊า

“เสร็จแล้วก็ทำงาน ทีหลังก็อย่ารับงานคนอื่นอีก หน้าที่มึงก็ไม่ใช่ ถ้าแม่งรีบกลับบ้านมากก็ให้มันหอบไปทำที่บ้านด้วย” มันบ่นๆ ทั้งที่สองตายังกวาดมองไปทั่วเอกสาร

“แล้วมึงดูนี่....” ผมชะโงกหน้าไปมองแฟ้มในมือมัน

“มึงจะทำได้ไงวะ มึงรับเหี้ยไรมาก็ดูบ้างสิโว้ย นี่มันของแผนกบัญชี” ผมย่นคอลงเมื่อคนตรงหน้าตะคอกใส่ปาวๆ

“มึงอยากให้เงินบริษัทหายแล้วเขามาโทษมึงใช่ไหมห๊ะ!!! มึงอยากให้ฝ่ายตรวจสอบเขามานั่งจับผิดมึงเพราะเขาคิดว่ามึงโกงเงินบริษัทไปใช่ไหม!!”

“..!!!” ผมส่ายหน้าทันที ใครมันจะไปอยากฟะ

“ไม่ใช่แล้วมึงรับมาทำไมวะไอ้นก!”

“กะ ก็พี่หนูบอกว่า หมาที่บ้านพี่เขาจะคลอดลูก”

ปัง!!!

“หมาเหี้ยอะไร พี่หนูมันแพ้ขนหมา ไอ้สัตว์ ทำไมมึงโง่แบบนี้วะไอ้นกกกกก!!!!” ผมถูกไอ้ปาที่แปลงร่างเป็นยักษ์จับตัวมาเขย่าๆ จนกระดูกแทบจะหลุดร่วงเป็นชิ้น

พรึบ!!

“ปาครับ นกสัญญาว่านกจะไม่ทำอีก” มุกเด็ดผมต้องกุมมือมันเอาไว้ สวดคาถาไล่ยักษ์ในใจ จงออกไปจากเพื่อนกู จงออกไปให้ไกลจากเพื่อนกู

“มึงแน่...”

“แต่นกขอโทษที่นกเลิกโง่ไม่ได้นะครับ” ผมบอกด้วยน้ำตาที่ปริ่มๆ จะไหล

“ไอ้เหี้ยนก!!! มึงกวนตีนกูใช่ไหม!!!”

“เปล่านะๆ กูพูดจริงๆ อ๊ากกกก อย่ารัดคอกู!!!”

“ต่อไปนี้มึงกลับบ้านพร้อมกู เข้าใจไหม เดี๋ยวกูจะพูดเอง ใครแม่งมาฝากให้มึงทำอีกกูจะด่าแม่ง” หวาย สบายเลยกู

“คร๊าบบบบบบผมมมมมมม” ผมส่งยิ้มประจบประแจงใส่ ไม่ได้หรอก เดี๋ยวยักษ์มันกลับมาอีก ผมบอกแล้วยักษ์มันน่ากลัว

ผลัวะ!!!

“รีบทำสิวะ กูง่วง!!!!”

“ครับๆ” อ้าว.....ยักษ์ยังอยู่

“เสร็จแล้วววววววว” โฮๆ ๆ ๆ เตียงนอนจ๋า ในที่สุดนกก็จะได้ไปหาแล้ว

“เออ!! ทีหน้าทีหลังอย่ารับมาอีก ถ้ากูเห็นอีกคราวนี้นะ.......มึงโดนแน่” หูย~ น่ากลั๊วน่ากลัว

“จ้า ผมจะไม่ทำแล้วจ้า” มันยิ้มมุมปากก่อนจะหยิบเอกสารที่ผมจำได้ว่าเป็นของฝ่ายบัญชี

“มึงจะเอาไปไหนวะ”

“จิ๊!!! มึงอยู่เฉยๆ เดี๋ยวกูจัดการเอง แล้วก็อย่า กูสั่งห้ามเลย มึงห้ามสบตาพวกฝ่ายบัญชีเด็ดขาด เข้าใจไหม!!” ผมพยักหน้ารัวๆ ก็มันทำเสียงน่ากลัวอ๊า

“ว่าแต่ มึงคงไม่ได้ไปขู่กรรโชกเขาใช่ไหมวะปา ถ้าเรามีปัญหากับแผนกนั้นมันจะเป็นปัญหากับเรามากกว่านะ”

“มึงกลัว?”

“กลัวดิวะ เกิดกูตกงานทำไง ทำมาตั้งสองปีกูก็ไม่อยากจะเปลี่ยนงานนะ” มันเลิกคิ้วขึ้น

“หึ!! มึงไม่โดนไล่ออกหรอก เชื่อกูดิ มีกูอยู่ทั้งคน” ดูมันพูด

“มีมึงมันก็ดี แต่มีกินคงดีกว่านี่กูแดกๆ ก็เงินบริษัทนะไม่ได้ดูดอากาศแล้วอิ่มได้ ถึงได้ไม่ต้องกลัวพวกเส้นใหญ่” เกิดพวกฝ่ายนั้นเล่นงานผมขึ้นมา มีหวังอดตาย

“เออน่า ไม่ต้องกังวลหรอกเชื่อกูสิ เดี๋ยวกูเคลียร์เอง” นั่น....มันฟังผมที่ไหน มันถือเอกสารเดินตัวปลิวไปไกลแล้ว เออ แล้วผมยืนทำไมละครับ

“รอกูด้วยๆ ๆ” วิ่งสิครับ เดี๋ยวผีก็ออกมาหลอกหรอก ยิ่งวังเวงๆ อยู่

.
.
.
.
.
.
.

ผมที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองต้องมองออกไปรอบๆ อย่างระแวง ไม่รู้ไอ้พี่หนูมันจะมาเฉ่งผมเมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ปาไปพูดอะไรไว้กับฝ้ายนั้นบ้าง ถ้ามีปัญหากับพี่มัน ผมคงโดนไล่ออกเป็นแน่ ก็พี่หนูมันเป็นลูกของผู้ถือหุ้นคนสำคัญของบริษัทนี่ครับ ไอ้ผมมันก็แค่พนักงานธรรมดา ถ้ามันแกล้งให้ผมต้องออกจากงานขึ้นมา ผมคงอดตายแน่ๆ แค่ทุกวันนี้ก็ไม่มีจะกินอยู่แล้ว ถึงไอ้ปามันจะพูดกับผมไว้ว่าจะไม่มีปัญหาก็เถอะ

ปึง!!!

“นี่หมายความว่ายังไง ไอ้นก!!!”

“อะ อะไรครับ”

“ทำไมงานที่กูวานมึงถึงได้ไปอยู่ที่ไอ้ปรมะ นี่มันหน้าที่มึงที่ต้อง....”

“หน้าที่พี่ไม่ใช่เหรอครับ พี่หนู หรือผมควรไปถามหัวหน้าพี่ดีว่ามันเป็นหน้าที่ใคร!!” ไอ้ปา มะ มันมาตอนไหนฟะ

“มะ ไม่ต้องมาขู่กูไอ้เด็กเวร อย่าคิดว่ากูกลัวนะไอ้สัตว์ ส่วนมึงไอ้นก กูจะจำไว้ว่าเรื่องแค่นี้กูไหว้วานอะไรมึงไม่ได้!!” พี่หนูชี้หน้าผมอย่างคาดโทษก่อนจะเดินจากไป

“นี่ไง เพราะมึงไปยอมมันมากๆ ก็เป็นแบบนี้ ต่อไปเลิกรับงานคนอื่นเลยนะไอ้สัตว์ เงินเดือนก็ได้กันเต็มจำนวนแท้ๆ งานตัวเองเสือกไม่ทำ” ไอ้ปาพูดขึ้นเสียงดังจนคนอื่นๆ ได้ยินกันทั่ว แต่ก็ไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมามอง แหงสิครับ ก็พวกเขาโยนงานมาให้ผมจริงๆ นี่

“ช่างเถอะมึง มึงกลับไปทำงานเถอะ กูต้องเคลียร์งานต่อ”

“เออ ไอ้สัตว์ ไล่กูเชียว หมดประโยชน์แล้วนี่”

“อย่างอนดิวะ เดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวเที่ยงวันนี้เอง”

“ให้มันจริง พูดอย่างนี้ทีไร กูจ่ายทุกที” ฮะๆ ก็กูจนอ่า

“แหะๆ”

“เออๆ .....กูไปละ เจอกันตอนเที่ยง”

ผมพยักหน้าให้มันแล้วก้มลงทำงานที่ค้างอยู่ต่อ โอ๊ย ไอ้พี่หนูแม่งทำผมขี้หดตดหายเลย มันจะอาฆาต อะไรหนักหนาก็แค่งานของพี่มันแค่งานเดียวเอง ทำเองเสียก็จบทำไมมันต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่รู้ ผมได้แต่ส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจในความคิดของพี่หนู ดีนะที่ไอ้ปามันเข้ามาทัน หัวเกือบแตกแล้วไม่ล่ะกู

“พักเที่ยงนี้กินอะไรดี”

“นี่สิ ร้านมาเปิดใหม่ เห็นคนอื่นเขาว่าอร่อยนะ ไปลองไหม” ผมเงี่ยหูฟังแม้จะไม่ได้เงยหน้ามองก็ตามที

“คนเยอะหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไปกินร้านป้าเอมแทนแล้วกัน วันหลังค่อยไปลอง”

“เอางั้นเหรอ” ทั้งสองคนเดินผ่านผมไปโดยไม่ได้หันมอง ร้านป้าเอมเหรอ น่าสนใจ ชวนไอ้ปาไปดีกว่า เหมาะกับคนงบน้อยอย่างผมดี คึคึ

“ไอ้ปา~”

“ว่าไงนก หน้าสลอนมาเชียว”

“เที่ยงแล้วเถอะมึง ไปหาไรแดกกัน กูหิวแล้ว” ผมแลบลิ้นเลียปากไปมาให้มันเห็นว่าผมโคตรหิวจริงๆ

“หืม.......มึงเลี้ยง”

“อะแน่นอน!! กูพูดคำไหนคำนั้น” ผมเชิดหน้าขึ้น ให้มันรู้บ้างว่านี่ใคร

“เอ้า งั้นไป กูก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน”

ไอ้ปาลุกจากเก้าอี้แล้วคว้าคอผมดึงไปใกล้ตัว เดินลำบากชะมัดแต่ดันออกไม่ได้ครับ ไอ้ปามันแรงควาย พวกเราเดินออกจากบริษัท (เสียที) ไม่อยากบอกเลยครับว่ากว่าจะเดินออกมาได้ต้องฟันฝ่าพงดงหญิงแท้และหญิงเทียมทั้งน้อยใหญ่ โอ๊ย!! เดี๋ยวคนนั้นก็

‘พี่ปา~’

‘ครับน้องริน’

‘กำลังไปไหนคะเนี่ย’

‘ไปทานข้าวครับ’

‘ให้รินไปทานเป็นเพื่อนไหมคะ จะได้ไม่เหงา กรี๊ดดด!!’ ครับน้อง มันโคตรเหงาเลย มันไปแดกคนเดียว ถุ้ย!!

หรือ......

‘ว๊ายยย น้องปา แหม ไปทานข้าวคนเดียวเหงาแย่เลย ไปกับพวกพี่ไหมคะ’ ไอ้คนข้างๆ ผมก็แม่งยิ้มอย่างเดียว มึงทำแบบนี้มึงบอกเขาไปเลยสิวะว่ามึงพกหมามาแดกข้าวด้วย!!!

อ๋อ.....ยังมีๆ

‘ปา~ เราทำอาหารมาเอง มาทานด้วยกันไหม เผื่อติดใจ เดี๋ยวเราจะทำให้ทานทั้งชีวิตเลย’ ที่ผมสงสัยคือ ไอ้นกมันเคยมีตัวตนในสายตาพวกคุณๆ กันบ้างไหม!!! หรือเห็นหัวผมแค่ตอนที่จะจิกหัวใช้งานเท่านั้น โฮ~ ทำไมสวรรค์สร้างผมมาให้หล่อ (?) น้อยกว่ามันได้เนี่ย!!

“เป็นไรวะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ชิ ไม่รู้ตัวเลย

“ป๊าว กูก็หน้าอย่างนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว”

“หน้าเหี้ย”

“ไอ้ห่าปา!!! อย่าให้กูหล่อบ้างก็แล้วกัน!!!”

ชิช๊ะ ไอ้เพื่อนเลว แดกความหล่อไปหมดไม่พอ ยังจะมาเนื้อหอมเกินหน้าเกินตา นกจะไม่ทน นกจะไม่โท๊นนนนนนนนนนนนนน

“จึก.....งำๆ”

“.......”

“จึก.....งำๆ”

“......”

“จึก จึก จึก......งำๆ ๆ”

“มึงจะจิ้มๆ งับๆ อีกนานไหมวะ แดกดีๆ เดี๋ยวจานทะลุขึ้นมาต้องจ่ายค่าจานเพิ่มอีก” ขัดอารมณ์ฉิบหาย

“จึก จึก จึก พุ๊!!” ฉิบหายแล้ววว!!!!

“นั่นไง กูบอกแล้วไอ้สัตว์” ฮื่อๆ ทะลุเลย

“ไอ้นก!!!!!”

“จะ จ๋า~ ป้าเอม” อู้หู ยืนถือตะหลิวเท้าสะเอวมาเชียว

“เอ็งทำจานข้าทะลุอีกแล้วนะ!!”

“ป้าเอม นกขอโทษก๊าบบบบ” ยืนถือตะหลิวเท้าสะเอวมาเชียว ตาเขียวด้วยอ่ะ นกกลัว

“ข้าจะโทรไปบอกพ่อเอ็ง” อ๊าก!!! ตายแน่นกเอ๋ย ตายๆ

“ป้า ไม่เอา!!! นกขอโทษ!!!”

“......” ไอ้ปามองผมที่คุกเข่ากอดขาป้าเอมด้วยแววตาเวทนา เชี้ย!! มึงไม่เข้าใจกูหรอก ว่าถ้าพ่อกูรู้นะ งื้ออออ~ ตูดลายแน่กู

“เออๆ ปล่อยข้าเลย แต่ถ้าคราวหลังยังมีอีกนะ ข้าจะบอกพ่อเอ็งแน่ๆ” ป้าเอมสะบัดขาออก ก่อนจะเดินไปผัดข้าวต่อ

“ลุกมาๆ อายคนไหมเนี่ย กูบอกแล้วว่าอย่าจิ้มจาน มึงก็ไม่เชื่อ”

ผมเบ้ปาก ยกจานขึ้นมาสำรวจความเสียหาย อึ๋ย แรงคนเหรอวะเนี่ย พังอย่างกับแรงควาย ทีตอนมีปัญหากับใคร ทำไมแรงกูไม่ออกมาเยอะเหมือนเวลากูจิ้มจานบ้างวะ เชี้ย! ต่อยใครทีอย่างกับกูเอาหมัดไปสะกิดเขา อนาถแท้หนอชีวิตมึง ไอ้นก

“เอิ๊ก เอออ” อือหือ เรอได้ทุเรศมาก กูอยากให้สาวๆ มาเห็นมึงเรอจริงๆ
แต่ภาพความจริงคือ.......

“กรี๊ดดดด!!!! พี่ปาเรอแหละแก”

“ใช่ๆ ขนาดเรอยังหล่อเลยอ่ะ กรี๊ดดดดดด”
อืม......ปลงตก ลองผมเรอไหมละครับ ได้อี๋ แถมจะโดนถีบออกนอกร้านล่ะไม่ว่า

“เอาอีกแล้ว ทำไมมึงชอบทำหน้าแบบนี้วะ”

“หน้าแบบไหน”

“เหมือนหมาไม่ได้แดกขนม” เปรียบเทียบได้ส้นตีนมาก

“พ่องง”

“ป้าเอมคร๊าบบบ เก็บตังด้วยคร๊าบบบบ”

ปึง!!!

“500” ไอ้หย๊า ป้าเอมโหดดดด

“500เลยเหรอป้า นกจนน๊า ป้าไม่สงสารหลานเหรอครับ” ปิ๊งๆ ทำตาหวานๆ เข้าไว้

“ไม่ต้องมาปากดีไอ้นก จ่ายมา500 นี่ข้าต้องไปซื้อจานมาสักโหลไหมวะ เอามาให้เอ็งนั่งจิ้มเผื่อมันพังอีก”

“ป้าอ๊า~”

“นี่ครับ 500” ไอ้ย๊ะ!! ท่านเทพ กระเป๋าตังค์เคลื่อนที่ของน้องนก

“โธ่ พ่อคุณ กับพ่อป้าเอาแค่200พอแล้วจ้า” ป้าเอมหยิบแบงค์สีแดงไปสองใบด้วยแววตาเอ็นดู ป้าใจร้ายมาก กับหลานเก็บ500 คนอื่น200 ฮื่อออ ป้าลำเอียงงงงง

“เชี้ยมาก แม่งเชี้ยมาก”

“อะไรของมึงวะนก”

“ป้าแม่งลำเอียงสัตว์ๆ กูเป็นหลานเก็บกูตั้ง500 พอกับมึงเก็บ200 คืออะไรวะ” มันเลิกคิ้วขึ้น

“มันอยู่ที่มาตรฐานความหล่อโว้ย” ควายเถอะ!

“เหี้ย กูโกรธ!!”

“โอ๋ๆ น้องนก อย่าเคืองพี่ปาเลยนะครับ มามะ พี่ปาจะพาไปกินตับ” แขนมันโอบไหล่ผมไว้

“ตับพ่องง กูจะไปขี้”

สะใจครับ มันหน้าเหวอเลยเจอคำพูดผม ผมสะบัดตูดเดินหนีแม่ง สมน้ำหน้า อยากเด่นมากทำไม ผมเดินไปไม่สนใจมันที่ยังยืนอึ้งแดกอยู่ที่เดิมนั้นล่ะครับ ชิช๊ะ ไอ้เนื้อหอม ไม่อยากคุย มันหล่อเกินหน้าเกินตา ไม่อยากคุย มันทำให้ป้าสุดที่รักของผมลำเอียง ไม่อยากคุย มันแม่งสาวเยอะ ไม่รู้โว้ยยย!!! ผมพาล



....50%....



นกลูกกกกกก ทำไมหนูหยาบคายแบบนี้คะ ถถถ
#ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่1. นกกับวันปกติ 100% up. 18/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 18-10-2019 18:59:23
ผมนี่เวลาว่างก็แทบจะไม่มีไหนจะงานล้นโต๊ะ ไหนจะเรื่องครอบครัว ผมล่ะเหนื่อยจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ยิ่งตอนนี้ผมต้องมาเจอเพื่อนร่วมงานที่เอาแต่โยนงานมาให้ผม (ถึงจะโดนมาตลอดก็เถอะ) ผมได้แต่ถอนหายใจเดินเหม่อลอยไปตามทางเดินหลังออกจากห้องน้ำ

“เออ...นกๆ” ใครเรียก?????

“ครับพี่” ผมเดินเข้าไปหาพี่ชายที่อยู่เยื้องๆ กัน

“มึงว่างใช่หรือเปล่าวะ” ผมมองโต๊ะทำงานตัวเอง

“ก็ว่างนะพี่”

“ดีเลยๆ ฝากนี่ไปให้ไอตาลหน่อย มันลืมไว้เมื่อตอนเช้า” เชี้ย!! ตั้งแต่เช้า ทำไมพี่มึงไม่เอาไปให้เขาละโว้ย

“อ่า....ครับ” ผมเดินงงๆ เอาเอกสารที่ว่าไปให้สาวร่างท้วมที่ชื่อตาล ซึ่งพี่ตาลเหรอครับ บ่นสิ ทำไมพึ่งจะเอามาให้ป่านนี้ #%$$*%#$#<€¥%#* เอาเป็นว่าผมยืนฟังแกบ่นอยู่ครึ่งชั่วโมงได้อ่ะ

“อาว นก ไม่มีงานเหรอ”

“อ่า......”

“ดีๆ มานี่ๆ ช่วยพวกกูยกพวกนี้หน่อย” อ่าของผมคือ กูไม่ได้ว่างครับ กูเพิ่งไปให้ไอพี่ตาลมันบ่นมา แต่จะทำอะไรได้ครับ ยกสิ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่มีน้ำใจ แล้วยังไงละ ลิฟต์แม่งเสือกไม่ใช้ไง กูต้องแบกกองแฟ้มที่ท่วมหัวตามหลังพี่มันต้อยๆ แล้วมันไม่ใช่ชั้นเดียว ห้าชั้น!!! คือมึงควรจะใช้ลิฟต์ไหม!!

“แฮกๆ เฮ้ออออ”

“เออ ขอบใจมากเว้ย มึงกลับไปทำงานของมึงได้เลย”

เออ ครับ เอากับพี่มันสิ ใช้กูเสร็จก็ปล่อยกูทิ้งเลย ผมเดินกลับอย่างงงๆ ไม่งงสิแปลก เหมือนถูกลากมาแล้วปล่อยทิ้งไว้ วันนี้แม่ง วันส้นตีนไรวะเนี่ย

“น้องนกๆ” อีกละ เรียกกูอีกละ

“คะ ครับ พี่จุ๋ม”

“น้องนกว่างอยู่ ช่วยชงกาแฟไปเสริฟที่ห้องประชุมหน่อยสิคะ สักสิบสองแก้วนะคะ” สิบสองแก้ว กูมีสองมือนะพี่มึงงงงง

“......”

“ครีม2น้ำตาล1 กาแฟ1 4แก้ว กาแฟ2ครีม2น้ำตาล2 อีก4แก้ว กาแฟ1ไม่ใส่ครีม น้ำตาล2 อีก2แก้ว อีกสองแก้วเป็นชานะคะ น้ำตาล2ช้อน จำได้ใช่ไหม พี่ฝากด้วย”

“เด๊ะ เดี๋ยว...” ทันไหมละ วิ่งตูดบิดลงลิฟต์ไปแล้ว จำได้เหี้ยไรล่ะ ห่าเอ๊ย ฉิบหายแน่ๆ อะไรบ้าง กาแฟสาม หรือสองวะ น้ำตาลโหลหนึ่ง ครีมอีกเท่าไหร่ว๊า ไอ้เชี้ยยยยยยย เอาวะ มั่วแหลกแล้วกู

“เอาวะ.....แม่งมั่วๆ ไปแล้วกัน”

ผมกลั้นใจชงให้เสร็จๆ ไป สิบสองแก้ว สิบแก้วกาแฟ สองแก้วเป็นชา กูจำได้แต่ชานี่แหละ น้ำตาลสอง ง่ายสุด

ก๊อกๆ

“กะ กาแฟครับ” อือ สายตาทิ่มแทงกูมาก ผมก้มหน้ามองพื้น รีบวางให้แต่ละคน ว่าแต่ชาสองแก้วนี่ของใคร แต่สั่งแปลกแยกแบบนี้ ผู้บริหารแน่ๆ งั้นหัวโต๊ะแล้วกันวะ

“ขอบใจมาก”

“คะ ครับ”

ผมจัดการเรียบร้อยก็วิ่งปรู๊ดออกมาจากห้องนั้นทันที อยู่ให้ฝ่าตีนลอยมาทำไมละครับโผ๊มมม แต่แล้ว.....

พรวดดด!!!!!

“เหี้ยอะไรวะเนี่ย!!!!!!”

“รสชาติส้นตีนมาก กูอยากอ้วก!!!”

ครับ เสียงโหยหวน เอ๊ย โอดครวญดังมาจากห้องประชุมราวกับเกิดการฆาตกรรมหมู่ขึ้น งื้อออ นกขอโต๊ดดดดด นกบ่ฮู้ นกจำบ่ได้ อโหสิให้นกเต๊อะ ไปสู่สุขติเถอะนะ แล้วนกจะทำบุญไปให้ พรุ่งนี้....ข่าวพาดหัวใหญ่แน่ๆ อนาถ หนุ่มออฟฟิศคลั่ง ชงกาแฟสังหารยกห้องประชุม แง๊~ แม่จ๋า พ่อจ๋า ประกันตัวนกด้วยน๊า
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ผมนั่งรอจนนาฬิกามันเดินไปถึง5โมงนั่นคือเวลาแห่งอิสรภาพของผมเอ๊งงงงงง ในที่สุดก็ได้กลับบ้านแล้วว ฮู่เล่ ฮู้ล่

“นกกกกกก~” อีกแล้ว

“ครับพี่ฝน”

“คือวันนี้พี่ฝาก...”

“ไอนก!!!! เสร็จยัง เลิกงานแล้ว” อ่ำ พี่ฝนเงียบไปเลย เมื่อเจอไอ้ปาแทรกกลางแบบไร้มารยาทมว๊ากกก

“เอ๊ะ เอ่อ พะ พี่ฝนมีอะไรหรือเปล่าครับ” มารยาทกูก็ไม่มี หักหน้าสาวซะงั้น พี่ฝนยืนหน้าเสียอยู่ตรงหน้าผม

“ปะ เปล่าๆ กลับบ้านดีๆ นะ”

“ครับพี่ เอ่อ บายๆ ครับ เฮ้ย เดี๋ยวดิ ช้าๆ” ไอห่านี่แม่งก็ไม่ดูขนาดขากูเลย ลากเอาๆ ไม่รู้มันไปอารมณ์เสียที่ไหนมาหรือเปล่า แล้วกล้าหาเรื่องมันไหม ก็ไม่ หน้าตาแต่เดิมก็ไม่หล่อพอแล้วครับ ขืนมีเรื่องอีกเดี๋ยวจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

ผมยืนหงุดหงิดอยู่ในลิฟต์ข้างๆ ไอ้ปานี่แหละ ในลิฟต์ก็ไม่เว้นจริงๆ ไอ้ความชอบของสาวๆ ที่มีต่อไอ้ปาน่ะผมพอเข้าใจ แต่ไอ้ที่ไม่เข้าใจคือ......สภาพผมที่โดนบี้ติดผนังลิฟต์เพราะสาวๆ อยากอยู่ใกล้ๆ ไอปานี่ล่ะครับ ชั้นแม่งก็ไม่ได้เยอะห่าเหวอะไรเลย แต่ผมจูบผนังลิฟต์นานมาก นานจนแม่งจะท้องอยู่แล้ว

“คิคิ ปานี่ก็พูดเล่นไปเรื่อยเลย”

“อาว....ผมพูดจริงๆ นะ เขาว่าผู้หญิงขยันเนี่ย.....มักจะเร่าร้อนเวลาอยู่บนเตียง” ไอ้ปายักคิ้วหลิ่วตาให้ ไม่ใช่ผมครับ เพราะผมกำลังผลิตลูกกับลิฟต์อยู่

“บ้า....พูดอะไรก็ไม่รู้” อือ จ้ะแม่คุณ บิดจนจะเป็นเลขแปดแล้วนั่น

“แล้วจริงหรือเปล่าละครับ”

“เอ......ของอย่างนี้มันต้องลองนะ” ไอย๊ะ ผมอยากเห็นจังว่าใคร แต่คงได้แต่มองผนังลิฟต์ต่อไป

“หึหึ”

“ว่าแต่ว่า......พูดมาแบบนี้ แฟนปาไม่ว่าเหรอคะ”

“ไม่หรอกครับ ผมยังโสด”

“กรี๊ดดดดดด!!!” เอาเข้าไป ลั่นลิฟต์เลย ผมละกลัวสลิงขาดเพราะเสียงกรี๊ดจริงๆ

“ว้า ถึงซะแล้ว งั้นเราไปก่อนนะปา กลับบ้านดีๆ นะ”

“ครับ บาย” ไปเสียที กูจะเป็นพ่อเด็กในท้องลิฟต์อยู่แล้วแม่ง

“เอ้า มึงไปทำอะไรตรงนั้นวะ” กล้าถาม!!!

“กูเกิดอารมณ์กับลิฟต์มั้ง ไอ้เหี้ย!” มันทำหน้าหมางงใส่ผม เพราะผมใส่อารมณ์กับมัน

“อะไรของมึงวะ อดอยากเหรอนก”

“ให้กูเด้าลิฟต์ กูชักเองดีกว่า” ผมยกกำปั้นขึ้นให้มันดู จนได้ยินเสียงมันหัวเราะเสียงดัง

“อะ ไปๆ เดี๋ยวกูไปส่งห้อง” ฟวยเถอะ อย่างนี้ทุกที แล้วยอมไหม

“เออ ดี!!! ประหยัดค่ารถกู” ยอมสิ ฟรีนี่ครับ

“ไอ้นก ไอ้ขี้งก!!!” งกที่ไหนครับ อย่างผมเนี่ยเขาเรียกกันว่า วางแผนการเงินเก่ง แดกกับใครได้ก็แดกไป ไม่เสียเงินเป็นเรื่องดี ต้องเข้าใจครับเศรษฐกิจไม่ค่อยดี คนตกงานเยอะ เงินเดือนเพิ่มก็จริงแต่ค่าข้าวค่าของก็เพิ่มตามไปด้วย ไหนผมจะต้องส่งให้พ่อกับแม่ใช้ ต้องจ่ายค่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินแต่ละวัน แทบจะไม่พออยู่แล้ว ผมจึงต้องแอบๆ กินจากไอ้ปาเพื่อนผมแทน แต่มันดีนะครับ ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่บ่นสักเดือนด้วยว่าไม่พอใช้ สงสัยมันจะรับจ๊อบกลางคืนอีกงานแน่ๆ เลย

“อะ อะ ไอ้ปา รถมึงเหรอวะ” ผมนี่อ้าปากค้างเลยครับ

“ใช่ดิ มึงคิดว่ากูไปขโมยใครมาหรือไง”

“เชี้ย!!! ทำไมมึงมีรถสวยแบบนี้วะ แถมใหม่กิ๊ก ไม่ใช่ป้ายแดงด้วย มึงทำได้ไง มึงแอบไปทำงานอื่นใช่ไหม ไอ้เพื่อนเลววว” ผมคว้าไหล่มันพร้อมเขย่า เอาให้สมองแม่งไหลเลย

“เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ๆ คันนี้ญาติกูให้มา เพราะเขาซื้อคันใหม่คันนี้ไม่ได้ใช้เลยยกให้กู” ไอ้ปารีบยกมือห้ามเมื่อสมองผมเริ่มมโนอย่างหนัก

“อาวเหรอ ชิส์ ทำไมญาติกูแม่งไม่มีใครซื้อรถใหม่บ้างวะสัตว์” ไอ้ปาส่ายหน้ายิ้มๆ

“เฮ้ย....แต่นี่กูไม่ได้อิจฉามึงนะ”

“เออๆ กูเชื่อ” เชื่อแล้วมองแบบนั้นทำไมฟะ

“เอ้า ขึ้นมาได้แล้ว”

ห่านี่ ช้านิดช้าหน่อยไม่ได้เลย แล้วไง ก็วิ่งไปเปิดประตูขึ้นรถสิ ขืนชักช้ามากๆ มันทิ้งผม ผมก็ต้องเสียเงินค่ารถอีก ไม่เอาหรอกผมชอบอะไรฟรีๆ

ฟุดฟิดๆ

“กลิ่นอะไรวะปา”

“น้ำหอมไง” อย่างหอมมมม

“ฟุดๆ ฟิดๆ”

“มึงเลิกดมได้แล้ว ชอบอะไรขนาดนั้นวะ”

“มันหอมอ่ะมึง กูขอไปใช้ที่ห้องได้ป่าววะ”

“ไอ้สัตว์ นี่มันน้ำหอมรถ มันใช้ในห้องได้ที่ไหน โง่อีกแล้วมึงนี่” อ้าว......ก็นึกว่าเหมือนๆ กัน

“ด่ากูโง่ได้ทุกวันอ่ะมึง จริงๆ กูฉลาดจะตาย”

“ฉลาดห่าอะไร ทีเรื่องที่กู....” ผมมองหน้ารอให้มันพูดต่อ

“อะไรวะ” ไอ้ปาละสายตาจากถนนมองหน้าผมอย่างเอือมระอา

“ฉลาดนักก็คิดเองสิ”

เอ๊ะ......หรือว่ามัน

“นี่อย่าบอกกูนะว่ามึง......”

“.....” มันลอบกลืนน้ำลาย

“นี่มึง มึง!!!”

“...”

“มึงปวดขี้ใช่ไหม มึงแอบตดในรถใช่ไหม ไอ้สันดาน!!!!”

เอี๊ยดดด!!!! โป๊ก!

“โอ้ย เจ็บนะโว้ย!!! เบรกหาพ่อมึงเหรอ”

“ไอ้นก.......” มันจับไหล่มองผมด้วยสายตาที่เวทนามาก กูผิดอะไร~

“กูผิดเองนก กูผิดเองที่นึกว่าในหัวมึงมันคือสมอง กูขอโทษ”

“ไอ้เชี้ยนี่!! ด่ากูอีกละ ขับๆ ไปเลย กูจะกลับห้องแล้ว”
ผมสะบัดตัวออก งอน เอะอะอะไรก็ว่าผมโง่ ผมโง่ตรงไหน แอบตดก็บอกดีๆ ดิ กูไม่ได้กลิ่นหรอก น้ำหอมมึงกลบมิดแล้ว เชื่อกูดิ

ตัวรถค่อยๆ จอดหน้าแมนชั่นที่แม้จะทรุดโทรมตามกาลเวลาและดูราวกับว่าจะเคยมีใครตาย แต่มันก็เป็นที่ซุกหัวนอนของผม ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่แพงและเป็นกันเองมาก เวลาผมกลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ บางครั้งก็ไม่มีเสียงรบกวนเลยแม้แต่น้อย บางครั้งนะ ไม่ใช่ครั้งนี้......

โครม!!! เพล้ง!!!!!

“มึงแอบไปกินกับมันมานานแล้วใช่ไหม ไอ้ผัวเหี้ย!!” ร่างของผู้ชายคนหนึ่งกระเด็นออกมาจากห้องกลิ้งหลุนๆ มาติดผนังอีกด้าน ตีนเมีย

“ไม่ใช่โว้ย!!! มึงฟังกูบ้างสิวะ กูบอกว่าน้องๆ มึงก็ไม่เชื่อ”

“น้องเหรอๆ น้องบ้านแม่มึงเขาให้กางเกงในตัวเองติดกระเป๋ามึงมาเหรอห๊ะ!!!!”

ตะหลิวลอย ฟิ้วววว~ ปึก!

“โอ๊ย!! เดี๋ยวๆ”

“ไม่เดี๋ยวแล้วโว้ยยย!!!”

กระทะลอย ฟิ้วววว~ ปัก!!

“อ๊ากกก!!!! หัวกูแตกแล้วโว้ย!!!”

“เรื่องของมึง!! มองหาส้นตีนอะไรวะ จะเดินก็เดินไปสิ เสือกเรื่องชาวบ้าน!!” ผมสะดุ้งจนต้องรีบผลักร่างไอ้ปาให้กลับไปเสียที

“ไปเร็วมึง เดี๋ยวเขาด่าเอาอีก”

“ที่นี่แม่งตลกดีนะ อย่างกับกูกำลังดูละคร” ละครพ่อมึงสิ เฉียดหัวไปนิดเดียวเนี่ย

“มึงกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวเลือดหัวก็ออกหรอก”

“เออๆ กูไปแล้ว ฝันดีนะมึงไอ้นก” ผมพยักหน้าแล้วโบกมือลามัน

ผมยืนมองร่างของไอ้ปาที่กำลังเดินออกไป อดอิจฉามันไม่ได้เลยเพราะมันคือนิยามของผู้ชายที่โชคดีหลายๆ อย่างที่ผมตั้งเอาไว้ หน้าตา งาน เรื่องของความรัก ไหนจะเรื่องรถที่มันได้มาฟรีๆ อีก ดูผมสิครับ เรื่องหน้าตาไม่ต้องไปพูดถึง ไหนจะเรื่องงาน ที่ทุกวันนี้ไม่ต่างจากคนใช้ที่พวกนั้นทำกับผม เรื่องความรักนี่พูดแล้วหดหู่ใจครับ หน้าตาอย่างผมใครเขาจะมองกัน ส่วนเรื่องรถ ชาติหน้ามั้งครับผมถึงจะมี เอาแค่รอดถึงสิ้นเดือนก่อนดีกว่า เฮ้อออ.....ทำไงได้ละครับผมมันค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเยอะนี่นา ต่างกับไอปาที่ตัวคนเดียว พูดถึงตัวผมเองก็ไม่เคยไปเห็นหรือรู้จักครอบครัวมันเลย สงสัยต้องถามไถ่บ้างแล้วอย่างนี้ไม่ได้ไม่แฟร์ ครอบครัวผมมันรู้จักหมด แต่ครอบครัวมันผมไม่เคยรู้จักเลย อย่างนี้ต้องมีเคลียร์

แกรก.......แอด

ถึงแล้วสินะ ห้องแสนสุขของผม ผมถอดรองเท้าก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปภายในด้วยความคุ้นเคย ใช้มือข้างถนัดคลำหาสวิชไฟก่อนจะเปิดมัน ความสว่างจ้าขับไล่ความมืดของเวลากลางคืนไปจนหมด ผมตรงไปยังตู้เย็นขนาดพอดีที่ผมอดข้าวอดน้ำใช้เงินซื้อมาเพราะมองเห็นความจำเป็นและความคุ้มค่าของมัน ใช่สิครับ มีตู้เย็นผมก็ซื้ออะไรมาใส่ไว้เพื่อทำกินได้ ไม่เน่าเร็วผมยังยื้อชีวิตได้อยู่

“นมหมดอีกแล้วเหรอวะเนี่ย เฮ้อ....” ผมกวาดตาไล่หาอะไรที่พอจะทานรองท้องรอจนเช้าไปก่อนได้ อืม.......ไข่สามฟองกับผักอีกนิดหน่อย อ๊ะ!! มาม่าเหลืออยู่สองซองนี่นา ทำมาม่าแล้วกัน ผมลงมือหันผักต้มน้ำรอจนมันเดือด ใส่ผักลงไปผมอ่ะชอบผักสุกๆ เปื่อยๆ เพราะงั้นผมต้องรอสักพัก ก่อนที่ผมจะใส่มาม่าและตอกไข่ลงไป อิ่มแน่ๆ มื้อนี้ พรุ่งนี้ค่อยแวะไปซื้อของลดราคามาไว้อีก คนจนก็แบบนี้แหละครับ มีอะไรประหยัดได้ก็ประหยัด ไม่อย่างนั้นคงไม่มีกิน ดีหน่อยที่พรุ่งนี้ผมหยุดงาน ว่าแต่......แล้วกลางวันผมจะเอาอะไรกินละครับเนี่ย!!!!!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
แสงแดดที่สาดส่องมาบนหน้าผมทุกเช้าไม่ได้ทำให้รำคาญเลย มันทำให้หน้าผมดำมากกว่า แสงก็ส่องเข้าตาจนถ้าตาผมกักเก็บแสงไว้ได้คงปล่อยออกมาเป็นเลเซอร์แล้วละครับ

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

“โว้ย!!! รู้ๆ แล้วๆ ตื่นแล้วเนี่ย” บ่นไปก็เท่านั้นล่ะครับ นาฬิกาปลุกมันก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอก ผมจึงต้องเอื้อมมือไปปิดทุกเช้าไง ผมขยี้หัวแรงๆ ด้วยความหงุดหงิดที่ต้องตื่นขึ้น เดินเข้าไปทำธุระต่างๆ ในห้องน้ำจนเสร็จแล้วเดินมาอยู่หน้าตู้เย็นเข้าเก่าที่คราวนี้เหลือเพียงแค่ไข่ไก่สองฟอง อดตาย!!! เอาวะ เจียวไข่เอาก็ได้!!!

หลังจากที่กินจนอิ่มหนำสำราญใจกับข้าวไข่เจียวฝีมือตัวเอง ผมก็ออกจากแมนชั่นมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะตรงปากซอย ต้นไม้มากมายเรียงรายกันเต็มไปหมด คนส่วนใหญ่ก็มักจะมีสูดอากาศหรือแม้แต่นักเรียนบางคนที่เป็นแฟนกันก็มานั่งเล่นแถวๆ นี้เช่นกัน ด้วยว่าบรรยากาศมันชวนโรแมนติกสุดๆ แล้วผมมาทำไมน่ะหรือครับ ผมมีนัดทุกๆ วันหยุด อ๊ะๆ ผมเปล่านัดสาวนะครับ อย่างผมน่ะ นัดได้แค่เพื่อนที่เป็นพวกเดียวกันเท่านั้น

“เอ้า กินเยอะๆ นะ วันนี้กูไปเอามาให้เยอะมาก ดีนะที่ทางร้านมีขนมปังที่จะทิ้ง ไม่งั้นพวกมึงก็อดอ่ะ ดูอย่างกูดิ ไม่เลือกแดกก็ไม่อด” ผมโยนขนมปังที่ตัวเองแบ่งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อโปรยให้พวกนกที่หิวโหยพวกนี้กิน

“เอ้า.....ไม่ต้องแย่งกันๆ มึงอย่าแย่งเพื่อนดิวะ กูบอกแล้วนี่ว่ากูมีเยอะ วู้!! เอาๆ เอานี่ไปแดก” สบายใจครับ อย่างน้อยการได้มาทำอะไรแบบนี้ก็เหมือนผมได้มาช่วยเหลือพวกที่ลำบากกว่า และนั่น......มักทำให้ผมต้องยิ้มออกมาเสมอ

“นี่เขาเปลี่ยนชื่อจากลั่นทมมาเป็นลีลาวดี เปลี่ยนแห้วให้เป็นสมหวัง กูว่าพวกมึงก็ไม่รอด” เป็นฝูงด้วยพวกมึงน่ะ

“ถ้าเขาเปลี่ยนมานี่พวกมึงเตรียมตัวได้เลยนะ คงถูกแดกในไม่ช้า” เออเว้ย......ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉิบหายกันหมดแน่ๆ เลยวะ และเหมือนพวกมันจะรู้ตัว ชิ่งบินหนีผมไปหมด อะไรวะ.....แค่นี้ก็กลัว ผมนั่งเรื่อยๆ เฉื่อยๆ เดินไปโน้นมานี่รอจนเวลาล่วงเลยไปถึงสองทุ่ม และแล้วก็ได้เวลา.....แท่นแท๊น!!!! ของลดราคาคร๊าบบบบบบบบบ ผมมุ่งหน้าตรงไปยังแผนกของสดซึ่งจะมีพนักงานถือป้ายsale และบรรดาป้าๆ ทั้งหลายแหล่แห่กันมารออยู่ตรงนั้น ถึงผมจะเฉื่อยชาความคิดช้า แต่เรื่องแย่งของกับชาวบ้านเขาเนี่ย ผมโคตรไว!

“เฮ้ย....ลดแล้วๆ” เสียงแห่งการเปิดทางของทุกสรรพสิ่ง เพราะเพียงเสียงนั้นดังมาก ทุกคนก็วิ่งตะลุมบอนเข้าไปยื้อแย่งกันเป็นที่เรียบร้อย

“อ๊าก!!! ใครเหยียบตีนผม!!” ไม่รู้หรอก และคงไม่มีใครออกมาบอกด้วย เพราะสมองจดจ่ออยู่ที่ป้ายsaleเท่านั้น เฮ้ย......นั่นสันคอหมู ป๊าด~ 25บาท สายตาผมไม่ไวอย่างเดียวนะครับ พอเห็นตัวเลขมือผมก็คว้ามาก่อนใครเลย แม้จะถูกสายตากดดันนับสิบ แต่ผมไม่แคร์ครับ ความอยู่รอดของปากท้องผมสำคัญที่สุด

ศึกแห่งความเป็นความตายบนสังเวียนป้ายเหลืองที่ขึ้นต้นว่าsaleหากไม่แข็งแกร่งจริงไม่มีทางได้ยืนอยู่เป็นคนสุดท้าย และแน่นอนว่าผมคือคนที่รอด ความชุลมุนขยายเป็นวงกว้างจนทำให้ไม่มีใครสังเกตผม นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมคว้าสันคอหมู เนื้อสไลด์ ไก่สับทรงเครื่อง ตับหมู เครื่องในไก่ และพวกผักต่างๆ มาจนล้น พวกที่ไม่ทันได้หยิบจึงจ้องมองโอกาสที่มีคนเผลอเพื่อจะฉกชิงไป แต่.....ไม่ใช่ผมคร๊าบบบบ ผมนี่แทบจะกอดตะกร้าไว้ด้วยซ้ำ ระแวงซ้ายขวาจนพวกนั้นได้แต่กระทืบเท้าด้วยความขัดใจ โฮะๆ ๆ ๆ ไม่ทันนะน้อง ไปฝึกมาใหม่

ระหว่างที่ผมถือของพะรุงพะรังอยู่นั้น ตัวผมเริ่มรับรู้ได้ถึงเสียงฝีเท้าซึ่งได้เดินตามผมมาสักระยะหนึ่งแล้ว ผมภาวนาให้เป็นผีสางนางไม้ เพราะพวกนั้นการรับมือมันง่ายกว่า ผมไม่กลัวโจรครับ เพราะผมไม่มีเงิน แน่นอน สิ่งที่ผมกลัวคือพวกที่แย่งไม่ทันแล้วจะมาแย่งเอากลางทางเสียมากกว่า

“เฮ้ย.....มึงอ่ะ” ผมหันไปร่างชายอายุประมาณ20-22

“ห๊ะ??? เรียกพี่เหรอครับ”

“ใช่!!” เขาเอามือเข้าไปในเสื้อก่อนจะล้วงบางอย่างออกมา

“เฮ้ย!!! น้อง ใจเย็นๆ”

“มึงไม่ต้องมาปากดี มึงคิดว่ามึงเร็วนักเหรอวะ ส่งที่มึงซื้อมาให้กูเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูแทงใส้ไหลแน่” ผมมองมีดที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างหวาดหวั่น ไอ้ห่า ปล้นอะไรไม่ปล้น มาปล้นของsale กู

“ไม่ให้โว้ย มึงช้าเอง อันนี้ของกู”

“เฮ้ย หยุดนะโว้ย!!!!!” จะอยู่ทำไมละครับ วิ่งสิ อยู่เดี๋ยวมันก็แทงตายหรอก แต่แม่งเสือกวิ่งไล่ตามผมมาเนี่ยสิครับ ผมเลยต้องวิ่งตรงดิ่งกลับไปยังแมนชั่นทันที โอ๊ย!! ไอ้เหี้ย มึงไม่เหนื่อยแต่กูเหนื่อยนะโว้ย!!! ผมรีบเร่งฝีเท้าจนห่างกับมันได้สักระยะให้มันห่างประมาณว่าถ้าผมเข้าตึกไหนไปมันจะไม่เห็นว่าผมไปตึกไหน

ผมยืนหอบหายใจแฮกๆ หลังที่เข้าห้องและรอดพ้นจากไอโจรปล้นsaleได้ คนห่าอะไรวิ่งเร็วมาก เกือบขาดอากาศหายใจตายแล้วไหมล่ะกู



100%



โจร : ส่งมาเดี๋ยวนี้นะ!!!

นก : ม๊ายยยยยย (กอดของแน่น)

แมว : กลอกตาสิบแปดตลบ อย่าตีกันค่ะลูกขาาา

นกก็คือนก งกไปวันๆ #ปากินนก[/pre]
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่1. นกกับวันปกติ 100% up. 18/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 18-10-2019 20:41:13
ตัวหนังสือเล็กมากๆ แก้ไห้ด้วยจร้า ติดตามๆ ^^
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่1. นกกับวันปกติ 100% up. 18/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-10-2019 21:12:03
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่2. นกกับความหวัง 50% up. 19/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 19-10-2019 17:47:48
[2]

วันนี้มันช่างเป็นวันที่สดใส....แน่นอนครับ ผมย่อมต้องกินอิ่มสบายท้องอย่างแน่นอนกักตุนไว้เต็มตู้เย็นแบบนี้ ผมอยู่รอดถึงสิ้นเดือนแน่ๆ เพราะผมทำข้าวกล่องมาเองงงงงง

“แดกอะไรวะนก ไม่ออกไปกินข้างนอกเหรอวะ” อย่ามาชวนคุย กูจน

“ไม่ไป กูทำมาแดกเอง ผัดพริกกับเครื่องในไก่” นี่มันหอมน่ากินจริงๆ

“อะไรวะ แดกได้เหรอ” ผมหันไปมองหน้าหาเรื่องมันทันที ดูถูก!

“แดกได้ดิ เอ้า....แดกดู”

“หน้าตาเยินๆ เหมือนหน้าคนทำเลยว่ะ” มันเหลือบมองปิ่นโตของผม จนผมนี่แทบอยากจะเอามาปาใส่หน้ามันจริงๆ

“ไอ้สัตว์!!!”

“......”

“ถ้างั้นก็ไม่ต้องแดก!!!” ผมรีบดึงกลับทันที เสียอารมณ์แดกข้าวฉิบหาย แต่มือของไอ้ปากลับดึงปิ่นโตกลับไป

“โอ๋ๆ กูหยอกเล่นหรอก” ผมแยกเขี้ยวใส่มัน

“เอามาๆ ไหนกูขอลองสิ มันจะอร่อยอย่างที่มึงว่าหรือเปล่า” Kเถอะ แล้วทำมาพูดดี

ไอ้ปาใช้ช้อนที่ผมใส่มาในกล่องข้าวตักเข้าปากเพื่อจะชิม

ไงละมึง ทำหน้าแบบนั้น อร่อยล่ะสิ หึหึ ฝีมือไอ้นกเสียอย่าง

ผมรีบแย่งกล่องข้าวคืนแต่ไอปามันกลับพาหนี เอ้า แล้วกูจะได้แดกไหมเนี่ย

“ไอ้ปา ของกู!!!” มันลอยหน้าลอยตาไม่สนใจที่ผมพูด แถมยังตักเข้าปากไปอีกคำ หน็อย!! แต่ละคำที่มึงตักนี่ กูแดกได้ครึ่งท้องแล้วมั้ง

“อะ มึงเอาของกูไปแดกแทน แลกกัน”

“....!!!!” เชี้ย! ปิ่นโตคุณชายปาเป็นซูชิ น้ำลายแทบจะไหลเลยกู

“เอาไง แลกไม่แลก ไม่แลกกูเอาคืนนะ” มันทำท่าว่าจะมาดึงคืนแต่เรื่องกินผมไวกว่า ผมพากล่องหนี

“เรื่องดิวะ มึงแดกไปเยอะละ กูแดกของมึงก็ได้ นี่กูจำเป็นต้องเอานะเนี่ย”

“เหรอออออ......” เออดิ ผมจกซูชิเข้าปากด้วยสีหน้าที่ปลื้มปริ่ม ปกติผมไม่เคยกินหรอกครับของดีๆ แบบนี้ มันแพง

“มึงทำเองเหรอวะ” ผมถามมันที่ตักข้าวผมเข้าปาก ส่วนผมก็เคี้ยวซูชิมันแก้มตุ่ย
“เปล่า” เอ้า....

“หรือมึงซื้อมา” มันส่ายหน้าให้ผมแทนคำตอบ

“ฝ้ายเอามาให้” หา!!!!

“ฝ้ายเหรอ”

“ใช่...”

“ฝ้ายที่ว่านี่.....เลขาท่านประธานใช่ไหมวะ?” มันพยักหน้า

“ก็ใช่”

“นี่มึงฟาดเลขาท่านประธานเลยเหรอ!!!”

พรวด!!!

เต็มๆ เต็มหน้ากูเลย

“คิดส้นตีนอะไรวะ ไอ้เหี้ยนก” ผมยกมือขึ้นลูบเอาตับไตไส้พุงไก่ออกจากหน้าตัวเอง

“ก็ถ้าไม่ใช่แล้วเขาจะเอามาให้มึงทำไมล่ะ”

“เขาสั่งมาให้ท่านประธาน แต่ท่านไปทานกับลูกค้าข้างนอก เขาเห็นว่ากูเดินไปแถวนั้นพอดีเลยยกให้” อ๋อ.....แบบนี้เอง

“ก็ ก็ ก็กูไม่รู้นี่หว่า” ผมคีบซูชิเข้าปากอีกชิ้น

“ไม่รู้ก็หัดถามสิวะ เดามั่วได้เหี้ยมากเลยนะมึงน่ะ” ห่า ได้ทีใส่กูใหญ่

“ว่าแต่ว่า.....มึงทำอร่อยดีนะ วันหลังทำเผื่อกูด้วยสิ” ทำเผื่อเหรอ ทำให้=ไถเงิน โอ๊ะ รวย ผมแบมือไปข้างมัน จนมันทำหน้าไม่เข้าใจ

“อะไรวะ?”

“ไหนเงิน”

“ค่าอะไรของมึง”

“ค่าข้าวดิวะ มึงคิดว่าของมันลอยมาเองเหรอ” โด่ แค่นี้ทำงง

ป๊าบ!

“อ๊าก เจ็บนะ” ผมกุมหัวตัวเองที่โดนมันตบ มองมันอย่างเคืองๆ

“ไม่ต้องมาโกรธกู มีที่ไหนมาคิดเงินกับเพื่อน”

“ชิ!.....ของมันแพงนะเว้ย” ผมมองค้อนมัน

“นี่ถ้ามันไม่ขึ้นป้าย sale กูก็คงไม่มีปัญญาซื้อมาทำแดกหรอก” พูดแล้วจะร้องไห้ มันไม่รู้หรอกว่า ศึกแห่งการแย่งชิงมันหนักแล้ว โดนจี้เอาของที่ซื้อนี่หนักกว่า

“ไม่ต้องมางอแงใส่กู ถึงกูไม่ให้เงินมึงก็ใช่ว่ากูจะแดกฟรีๆ”

“ไม่ต้องล้างจานให้กูนะ กูล้างเองได้”

“ไม่ใช่โว้ย!!! กูหมายถึงกูจะไปซื้อของให้มึง”

เอ๊ะ! เอ๊ะ!! เอ๊ะ!!! เดี๋ยวนะ คำนวณก่อน มันบอกว่าจะซื้อของให้ หมายความว่า ผมไม่ต้องเข้าในศึกแย่งชิง ไม่ต้องกินของที่เกือบจะเสีย ไม่ต้องรอของsale และผมก็จะแดกอะไรก็ได้ เยี่ยม!!!!

“ทำไมกูรู้สึกว่ากูควรกลับไปซื้อแดกเองวะ”

“เฮ้ย ไอ้ปาเพื่อนรัก เดี๋ยวนกคนนี้จะจัดการทำตามเมนูที่เพื่อนปาสั่งเลยนะ ไม่ต้องไปซื้อกินหรอก” ผมส่งยิ้มพร้อมกุมมือมันทั้งสองข้างขึ้นมา

“แค่เพื่อนปาซื้อของให้กูก็พอ แดกอิ่มทุกมื้อแน่นอนเพื่อนรัก” มันส่งยิ้มให้ผมแบบไม่เต็มใจ

“เออๆ ก็ได้วะ ดีที่มึงทำอร่อย ไม่อย่างนั้นกูยอมซื้อแดก”

วะฮะๆ ๆ ในที่สุด ผมก็มีกระเป๋าเงินสำรองที่จะลดการใช้เงินแต่ละเดือนไปได้อีก โอ๊ย.....อยากขอบคุณท่านแม่เหลือเกินที่ตบและจิกหัวไอนกให้มาช่วยทำอาหาร โชคดีจริงๆ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
พอเลิกงานตอนเย็น ไอปาก็ลากผมออกมาจากที่ทำงานทันที พวกเราก้าวขึ้นไปบนรถโดยที่มันทำหน้าที่ขับออกไปบนถนนอย่างเร่งรีบ จะไปไหนของมันวะ

“ไปไหนวะปา”

“ไปห้าง.....ดิ” ผมขมวดคิ้ว

“ไปทำไมวะ”

“ไปซื้อของที่จะให้มึงทำกับข้าวมาให้กูแดกไง” อ้าว......ผมดันลืมไปเลยนี่สิ

“จริงด้วยวะ ดีๆ ตรงไปเล๊ยย~”

ผมคาดเข็มขัดนิรภัยเตรียมพร้อมและมองตรงไปข้างหน้าอย่างมีความสุข จะซื้ออะไรดีนะ ไก่ หมู หรือเนื้อดี เอ๊ะ....หรือจะอาหารทะเล ตื่นเต้นชะมัด ของดีโดยไม่เสียเงินมันทำให้ผมตื่นเต้นสุดๆ เลยครับ ในขณะที่ผมกำลังคิดเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก็ลอยมากระทบหู แต่ผมไม่สนใจหรอกครับ ของฟรีที่กำลังจะมามันทำให้ผมไม่สนใจอย่างอื่นเลย พอไอปามันต้องเอารถไปจอดผมจึงอาสาจะไปเลือกของก่อนอย่างใจดี แต่มันไม่เข้าใจไงมันบังคับให้ผมนั่งนิ่งๆ รอจอดรถเสร็จแล้วไปพร้อมกัน พอเดินเข้ามาในห้างตัวผมก็ถลาไปที่เนื้อต่างๆ ทันทีโดยมีไอปามันเข็นรถตามมา

“นั่น! เอาอันนั้นมึง” ผมชี้ มันก็หยิบ

“อันนั้นด้วย” มันก็หยิบ

“เฮ้ย.....อันนี้สด” มันก็หยิบ

“มึง.....กินปลาไหม” มันหยิบใส่โดยไม่สนใจจะตอบคำถามผม แหม......อยากกินล่ะสิ

“พอยังวะ” มันส่ายหน้าอย่างระอา พร้อมกับถามผมที่กำลังเดินดูต่อ

“ยังๆ เอาพวกผักด้วยสิวะ ไข่ไก่อีก เฮ้ย!! นั่นๆ มึงไปเร็ว” ผมวิ่งไปด้วยความเร็วแสง ก็เว่อร์ไป แต่ก็เร็วมากจนไอปาต้องเร่งตามมาให้ทัน

“ช้าๆ ไอนก จะรีบไปไหนวะ”

“ชิมก่อนได้เลยค่ะ วันนี้เรามีโปรโมชั่นมาเสนอเป็นพิเศษ” ผมยืนมองตาโต ของฟรี~

“ตรงหน้าของคุณลูกค้าคือน้ำผลไม้ยี่หลัน ที่คัดสรรผลส้มมาจากอเมริกา ผ่านการตรวจและคัดกรองอย่างดี ไม่มีการปรุงแต่งจากน้ำตาล ใช้ความหวานจากตัวส้มเองเลยนะคะ ลองก่อนได้ค่ะ เรามีทั้งน้ำส้ม องุ่น และลำไย”

“ขอองุ่นแก้วหนึ่งครับ”

“นี่ค่ะคุณลูกค้า ถ้าคุณลูกค้าซื้อสามแพควันนี้เราจะลด10% ทันที ยิ่งลูกค้าซื้อมากยิ่งได้ส่วนลดเยอะมากเลยนะคะ” อืม.....หวานดีแฮะ

“ขอบคุณครับ” ผมยกขึ้นชิมแล้วเดินออกมา โดยที่เธอยิ้มค้างอยู่ที่เดิมและมีไอปายืนมองตาค้างอยู่ข้างๆ อีกคน อะไรของมัน ไม่ยอมตามมาสักที เดี๋ยวก็โดนบังคับให้ซื้อหรอก ไอนี่

“ไอ้ปา ไปกันได้แล้ว”

“อะ ห้ะ? อ๋อ...โอเคๆ” อะไรของมัน งงๆ แปลกๆ

“เมื่อกี้......มึงไม่ซื้อแล้วไปแดกของเขาทำไมวะ” ผมยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย อร่อยดีออก” มันส่ายหน้าใส่ผมช้าๆ

“มึงนี่น๊า......กูล่ะเชื่อเลย”

“อะไร บ่นมาก ผักยังไม่ได้ซื้อเลย ไปๆ ยังเหลือของอีกเยอะ”

สุดท้ายผมกับมันก็เดินไปยังจุดโน้นจุดนี้เพื่อซื้อของต่างๆ ที่ขาด อย่างแชมพูเอย สบู่เอย โอ๊ะ......อย่าบอกมันนะ เดี๋ยวมันให้ผมจ่ายเอง คิกคิก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
และเมื่อเรากลับมาจนถึงห้องของผม เราก็มีปัญหาใหญ่มากรออยู่ ไม่ใช่เรื่องของเพื่อนบ้านตีกันหรืออะไรทำนองนั้น และแน่นอนว่าวันนี้ผมไม่ได้เจอโจรปล้นเพราะผมไม่ได้ซื้อของsale แต่ปัญหาของผมคือ......

“เชี้ยเอ๊ย!!! แม่งยัดไม่เข้า” ผมโมโหมาก เมื่อพยายามดันเท่าไหร่มันก็ไม่เข้าสักที

“ก็ซื้อห่าอะไรไม่เคยจะดูขนาดของตู้เย็นมึงไง” ไอคุณชายมันนั่งบ่นผมทั้งๆ ที่ปากยังเคี้ยวโดนัทที่ซื้อมา

“ทำไงดีวะ กูเสียดาย กูจะร้องไห้แล้วนะ ฮื่อออออออออ” พูดแล้วน้ำตาไม่ไหล เอาวะ น้ำลายแปะๆ เอาก็ได้

“ซกมกจริงๆ มึงนี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูซื้อตู้เย็นใหม่มาให้” มันลุกขึ้นปัดมือที่มีโดนัทติดอยู่ออก แล้วเดินมาเอาชายเสื้อของมันเช็ดน้ำตาของผม เอ่อ.....ถึงจริงๆ มันจะเป็นน้ำลายก็เถอะ

“มึงมีเงินเหรอวะ มันไม่ใช่ถูกๆ นะ” เหมือนมันจะชะงักไปเล็กน้อย

“ของมือสองสิวะ มือ1กูจะเอาปัญญาที่ไหน”
เออ ก็จริงของมัน ผมพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ พนักงานกินเงินเดือนอย่างพวกเราจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อของแพงๆ ได้ล่ะครับ แค่ลำพังจะเลี้ยงตัวเองยังลำบากเลย คิดๆ แล้วผมก็รู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องให้มันซื้อของพวกนี้ให้ผม มันดูมากเกินไป

“ปา.....”

“หือ” ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าไอ้ปาที่กำลังเช็ดหน้าให้ผมด้วยสายตารู้สึกผิด

“กูขอโทษนะ เหมือนกูเอาเปรียบมึงยังไงไม่รู้” มันชะงักมือเล็กน้อยก่อนจะสบตาผมอย่างตั้งใจฟัง

“.....”

“กูเองก็ต้องกินต้องใช้ แต่กลับให้มึงซื้อทั้งหมด ทั้งๆ ที่อาหารเมื่อกลางวันมันก็แค่ ของsale” ผมหลับตาหดคอลง รอการฟาดลงมาของฝ่ามือใหญ่

“หึ......คิดว่ากูไม่รู้เหรอวะ” อะ อ้าว เป็นงั้นไป

“มึงรู้...”

“รู้ดิ แต่กูก็แค่อยากซื้อ ยังไงกูก็ต้องแดกข้าวตามร้านอยู่แล้ว สู้กูเอาเงินพวกนั้นไปซื้อของมาไว้ให้มึงทำไปให้กูแดกไม่ดีกว่าเหรอ ถูกกว่า อร่อยกว่าด้วย” อืม.......มันก็จริง

“เข้าใจใช่ไหม ว่ามึงไม่ได้เอาเปรียบกู กูยินดีที่จะจ่ายเอง” มันใช้มือทั้งสองข้างกุมใบหน้าผมไว้ให้เชิดขึ้น ก่อนจะหยิกแก้มและดึงมันจนยืดดดดด เอาใส่กระเป๋ากลับไปเล่นบ้านไปครับเพื่อน! จนผมต้องปัดมือมันออก

“พอเลยๆ หยิกแก้มกูเป็นเด็กๆ ไปได้มึงนี่”

“ใครให้แก้มมึงนุ่มมือน่าหยิกวะ” ผมมุ่ยหน้าใส่เมื่อได้ยินคำตอบ

“เอาเถอะ ทำอะไรให้กูกินหน่อยสิ เสียเงินไปเยอะกูเริ่มหิวแล้วนะตอนนี้”

ทวงๆ แล้วเมื่อกี้หมาตัวไหนมันบอกว่ายินดีเสียเงินวะ แม่ง แต่ก็นั่นแหละครับ ผู้อุปการคุณรายใหญ่แบบนี้ ด่าออกเสียงไม่ได้ พึมพำเอาอย่างเดียวครับ ส่วนมือผมน่ะเหรอ คุ้ยเอ๊ยค้นหาอะไรในตู้มาทำให้คุณชายเขาทาน เหมือนจะซื้อกุ้งมากับหน่อไม้ฝรั่ง เอามาผัดก็แล้วกัน

“มึงกินผักได้ใช่ไหม”

“ก็ได้นะ กูแดกได้ทุกอย่าง”
ก็ดี ผมหุงข้าวเอาไว้ก่อนเพราะผมคิดว่าเมื่อทำกับข้าวเสร็จข้าวก็คงสุกพอดี ผมลงมือปอกเปลือกกุ้งเหลือแต่ส่วนหัวให้ติดกับส่วนตัวเอาไว้ แม่ผมทำแบบนี้ตลอด แม่บอกว่ารสชาติของกุ้งมันจะอร่อยมากโดยเฉพาะส่วนหัวของกุ้งก่อนจะหั่นหน่อไม้ฝรั่งเตรียมเอาไว้ ผมตั้งกระทะ ใส่กระเทียมแล้วผัดกุ้งพร้อมกับเครื่องปรุงรสต่างๆ ก่อนจะใส่หน่อไม้ฝรั่งที่เตรียมไว้ลงไปผัดรวมกัน ไม่นานผมก็ตักมันขึ้นมาใส่จานก่อนจะเอาไปวางไว้ตรงหน้าของไอ้ปา แล้วเดินไปตักข้าวใส่จานมาวางให้มันกับผมอีกที

“เสร็จละ แดกเลย” ผมไม่มีพิธีรีตองอะไรหรอกครับ ทำเสร็จผมก็ตักกินเท่านั้น ผมเป็นคนที่ชอบข้าวสวยหุงสุกใหม่ๆ มันเป็นอะไรที่ฟินมาก ยิ่งกับข้าวหอมๆ ยิ่งชวนให้น้ำลายไหล

“อื้อหือ..........อร่อยโคตร!” ไอ้เว่อร์

“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ กูดูไม่ออกเลยว่ามึงเฟค” ผมตักข้าวเข้าปากเรื่อยๆ มองอีกฝ่ายที่หัวเราะเบาๆ แต่ก็นั่งกินต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งผมก็มองเป็นพักๆ ก็แหม ผมอยากรู้นี่ครับว่าอาหารที่ผมทำอร่อยหรือเปล่า

“อะไร”

“ก็......เปล่า”

“หึ......เติมได้ไหม กูหิวมาก” เอ๊ะ

“ได้ๆ เดี๋ยวกูตักให้”

ไม่ต้องพูดว่าอร่อย แค่คำว่าเติมอีกมันก็เหมือนกับอีกฝ่ายพูดว่าอร่อยนั่นล่ะครับ ซึ่งแน่นอน แค่นี้ผมก็ยิ้มจนแก้มปริแล้ว
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เช้าวันใหม่กับการยุ่งยากในออฟฟิศที่ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง เพราะแค่ถึงเวลาเข้างานทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ผมที่โดนตั้งแต่เช้าเชียว

“ไอ้นก กูดีใจที่เห็นมึงขยันนะ”

“ครับพี่อาร์ต ก็งานผมนี่นา”

“หึหึ ได้ยินแบบนี้ก็ดีเลย เพราะกูมีข่าวดีมาบอกมึง” ผมเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารมองหน้าพี่อาร์ต

“อะไรหรือครับพี่ งานเพิ่มนี่ผมของบายนะครับ” ซึ่งนั่นแหละครับ พี่อาร์ตหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อผมพูดดักทางเอาไว้

“ไม่ใช่เว้ย มึงนี่! พอดีกูได้ยินจากเบื้องบนมาว่าเขากำลังจะเลื่อนตำแหน่งให้พนักงานอย่างเรา”

“ครับพี่....” ผมมองหน้าพี่อาร์ตอย่างสงสัย ก็นกไม่เข้าใจนี่ครับ

“ดีใจด้วยไอน้อง ชื่อมึงติด1ในนั้น” หา!!!!

“จริงหรือพี่ ผม ผมได้รับการเสนอชื่อเหรอครับ” พี่อาร์ตตบไหล่ผมอย่างแรง ถ้าในออฟฟิศจะมีคนหวังดีกับผม ก็มั่นใจได้เลยครับว่านอกจากไอปาแล้วก็มีพี่อาร์ตนี่ล่ะครับอีกหนึ่งคน

“จริงสิวะ อีกสองวันผลจะออกมา เตรียมตัวเอาไว้ล่ะ”

“ครับพี่!!! ขอบคุณพี่มากนะครับ” ผมยกมือไหว้ด้วยความตื้นตัน

“เฮ้ย! ไม่ต้องไหว้ๆ อย่าคิดมาก กูได้ยินมาก็แค่มาบอกเท่านั้น ยังไงก็ดีใจด้วยนะ”

“ครับ!!!”

ผมมีความสุขมาก งานแม้จะกองจนท่วมหัวผมแต่มันกลับเป็นเพียงบันไดเล็กๆ ที่ผมจะไต่มันขึ้นไปสู่การอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าเท่านั้น ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นไอนก ทุกๆ อย่างจะดีขึ้น!!!

“เที่ยงแล้ว ไหนข้าวกู” อะ อ้าว เที่ยงตอนไหนวะ ผมมองไปรอบๆ ตัวเห็นพนักงานหลายคนกำลังออกไปทานข้าวข้างนอกกันเป็นส่วนใหญ่

“โทษทีวะ กูกำลังดีใจ” ผมอมยิ้มค้นหาปิ่นโตของไอ้ปาก่อนจะยื่นให้มัน

“เรื่องอะไรวะ”

“มึงต้องไม่เชื่อแน่!!” ผมเม้มปากเพราะกลัวว่าจะหลุดยิ้มที่บ่งบอกได้ว่าในใจผมมันเต้นแรงและดีใจขนาดไหน

“.....”

“กูกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง ไอ้ปา กูกำลังจะได้เป็นหัวหน้า!!”

“..!!!”

“กู กูดีใจมาก จนจะบ้าอยู่แล้ว มึงเชื่อไหม”

“เออ.......กูเห็นแล้ว” มันส่งยิ้มให้ผมบางๆ ผมตื่นเต้นที่ได้บอกเพื่อนสนิทของผม ในขณะที่มันเปิดปิ่นโตออกดู

“อันนี้ของกูเหรอ”

“ใช่ ทำไมวะ มึงไม่ชอบถั่วฝักยาวผัดเหรอ ยังมีแกงส้มผักรวมกับกุ้งด้วยนะ” มันเลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร มันตักกินอย่างสบายใจ ผมจึงหันไปหยิบของตัวเองออกมากินบ้าง

“อร่อยไหม มีอะไรที่ไม่ชอบก็บอกนะ เผื่อกูทำมาไม่ถูกใจมึง” ผมตักกินไปด้วยบอกมันไปด้วย

“ก็ไม่ได้แย่อะไร ปกติกูไม่ค่อยชอบแกงส้ม แต่ไม่เป็นไร กูว่ามันก็อร่อยดี” ผมเหลือบมองมันที่ตักกินด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน มันคงไม่ได้เกลียดขนาดนั้นมั้ง

“พรุ่งนี้ ขอข้าวผัดอเมริกันได้ไหมวะ” เอ......วันก่อนไม่ได้ซื้อไส้กรอกเสียด้วยสิ

“ไม่มีไส้กรอกวะ จำพวกถั่วลันเตากับของจุกจิกที่ใช้ทำมันมีไม่พอ”

“เหรอ......ไม่เป็นไร” ผมมองใบหน้าของมันที่หงอยลงทันที เอ้า......เอาวะ เดี๋ยวค่อยกลับไปดูของ ข้าวผัดอื่นมันก็คงกินได้เหมือนกันแหละ

“อร่อยดีนะ กูชอบ ขอบใจมาก”

“เออ ไม่เป็นไร”

ผมมองมันที่วางปิ่นโตเอาไว้แล้วเดินกลับไปเงียบๆ วันนี้ผมรู้สึกว่าไอปามันแปลกๆ มันเป็นอะไรวะ แค่ไม่ได้กินข้าวผัดต้องหงอยขนาดนี้เลยเหรอ แล้วผมต้องทำไงล่ะครับ ก็ของจะทำมันไม่พอ เฮ้อ......สรุปนี่ผมมีลูกต้องเลี้ยงใช่ไหมครับ ไม่ได้มีเพื่อน ให้ตายเถอะ ผมได้แต่เก็บปิ่นโตไปล้าง ในสมองก็ประมวลหาข้าวผัดที่จะทำให้ไอเด็กน้อยขี้งอนมันกิน เป็นข้าวผัดไข่กับแตงกวายัดไส้น่าจะได้มั้ง คงต้องลองทำดู ไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวงอนมากๆ หรือนานๆ เข้าจะง้อยาก




50%




เมื่อไหร่แม่จะได้กินบ้างล่ะคะลูกกกก ทำให้แต่ผั- แค่กๆ เพื่อนตัวเองกิน แม่จะงอนหนูแล้วน๊าาา ใครอยากกินกับข้าวของน้องนกจงวางปลาทูซะดีๆ ไม่งั้นน้องนกจะยกข้าวไปให้ปากินคนเดียวววววว

#ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่1. นกกับความหวัง 100% up. 21/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 21-10-2019 00:07:30
     วันต่อมา

ผมก็ยังคงนั่งทำงานของตัวเองต่อไป ยิ่งช่วงปลายๆ เดือนผมยิ่งมีงานเข้ามาเยอะมาก และดูเหมือนไม่ได้มีแค่ผมเพราะทุกคนก็ดูวุ่นวายเช่นกัน ตอนแรกที่ผมเข้ามาในบริษัทนี้มันเป็นอะไรที่ยากลำบากแต่ผมไม่คิดเลยว่าทางบริษัทจะรับผมเข้ามาทำงาน ด้วยเกรดเฉลี่ยของผมที่ไม่ได้สูงและประสบการณ์ก็ไม่มี ตัวผมเป็นเพียงนักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบ แต่ทางบริษัทก็รับผมจากคนที่สมัครอีกมากมาย ตัวผมจึงไม่อยากทำอะไรให้บริษัทผิดหวัง ยิ่งโอกาสก้าวหน้าลอยมาให้ผมคว้า ผมก็อยากจะทำให้เต็มที่เผื่อให้ได้เห็นว่าผมสามารถทำได้จริงๆ

การที่ได้เลื่อนตำแหน่งนั่นก็ย่อมหมายถึงเงินเดือนที่สูงขึ้นด้วย ครอบครัวของผมเองก็จะสบายขึ้น ผมก็ไม่ต้องนับวันหรือนับเหรียญจ่ายในช่วงปลายเดือน นี่โชคดีหน่อยที่ได้ไอ้ปามาช่วยแบ่งเบาค่ากินเพราะถ้าไม่ได้มัน ผมคงยังนั่งกินแต่ไข่อยู่ ถึงแม้จะต้องแลกด้วยการที่ผมต้องลุกขึ้นมาแต่เช้าเพื่อทำอาหารกลางวันสองชุดก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรเลย นี่มันก็ซื้อตู้เย็นมาให้อย่างที่มันพูดเอาไว้ ติดอยู่แค่ว่า มันดูใหม่มากๆ ใหม่เกินที่จะเป็นของมือสอง แต่มันก็ยืนยันเป็นเสียงหนักแน่นว่าแค่มือสองจริงๆ ผมจะทำอะไรได้นอกจากจะเชื่อที่มันพูด แต่บางทีเขาอาจจะย้ายบ้านหรือย้ายที่อยู่แล้วไม่อยากจะเอาไปเลยขายถูกๆ ก็เป็นไปได้เหมือน ซึ่งผมเองก็เคยเจอที่เขาขายยกชุดเพราะขี้เกียจที่จะขนไป แต่ช่วงนั้นผมไม่มีเงินเท่าไหร่และคิดว่าไม่ได้จำเป็นอะไรมากเลยไม่ได้ซื้อมาไว้ ตู้เย็นใหม่ของไอ้ปาเป็นแบบ Twin ที่ผมเคยเดินดูในห้างซึ่งเป็นมือหนึ่งที่แพงมาก แต่ไอ้ปาซื้อมาในราคาแค่4,000 บาท ไม่รู้ไปต่อราคาอีท่าไหน ได้มาถูกเกิน ผมล่ะหมั่นไส้ความหล่อของมัน ถ้าเป็นผมไปซื้อสักบาทเดียวเขาก็คงไม่ลดให้ผมหรอก

“นก เอกสารที่พี่ส่งไปให้เสร็จหรือยัง”

“ครับพี่ เสร็จแล้วครับ” อยู่ไหนวะ ด้วยความที่ว่า โต๊ะผมรกไปด้วยกองงาน มันจึงหายากนิดหน่อย

“อ๊ะ......นี่ครับพี่”

“เออ ขอบใจมาก”

เมื่อผมยื่นเอกสารให้พี่จีเสร็จผมก็หันมาเคลียร์งานบนโต๊ะต่อ จนลืมเวลาไปเลย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไอ้ปาเดินมาสะกิดไหล่ผม

“ข้าวกูล่ะ” ไอ้ห่านี่มาทีก็ทวงแต่ข้าว

“อะ.........ของมึง”

“วันนี้ทำอะไรกินวะ” ไอ้ปาถามขณะที่ยังคงวุ่นอยู่กับการแกะกล่องข้าว

“...!!” ไงล่ะๆ ตาค้างเลยสิ หึหึ

“กูตื่นสาย กูเลยทำข้าวผัดไข่มาให้แทน” ไอ้ปาส่งยิ้มกว้างอย่างดีใจมาให้ผม เชี้ย!! แสบตา ความหล่อมันพวยพุ่งมาก?

“ขอบใจว่ะ”

“อีกกล่องนั่นเป็นต้มจืดแตงกวายัดไส้ มึงเอาไปอุ่นกับไมโครเวฟของบริษัทก็ได้นะ จะได้ร้อนๆ " ใช่ครับ จะทานให้อร่อยมันก็ต้องอุ่นให้ร้อน และแน่นอนว่าไอปามันทำตามอย่างแน่นอน ถือกล่องเดินละลิ่วตัวปลิวไปหน้าไมโครเวฟเรียบร้อย ไม่นานกลิ่นหอมก็ลอยมาเชียวครับ เล่นซะน้ำลายหกเลยทีเดียว ส่วนผมน่ะเหรอ แกะกล่องข้าวรอไอปาเอาต้มจืดกลับมาครับ ตอนนี้ในบริษัทคนอื่นๆ เขาก็ออกไปทานข้างนอกกันหมด จะเหลือก็แค่ผมสองคนเท่านั้น ผู้ชายสองคนในบรรยากาศอันเงียบงันกับแอร์เย็นๆ ชวนสยองใช่ไหมล่ะครับ แต่ทำไงได้ล่ะทางรอดของคนกินเงินเดือนก็คือต้องประหยัดเท่านั้น อะไรที่ประหยัดได้ก็ประหยัด และผมก็เต็มใจประหยัดเผื่อแผ่มันด้วย แต่ใช่เพราะผมจะพิศวาสอะไรมันนะครับ ผมแค่เห็นว่ามันซื้อของให้แล้วผมก็แค่ลงมือทำ ส่วนข้าวผัดวันนี้ก็ไม่ใช่อะไร แค่เห็นว่ามันทำง่ายผมเลยทำมาไม่ใช่เพราะมันอยากจะกินเลย จริงจริ๊ง

“อุ่นเสร็จแล้ว” ไอปาวางกล่องต้มจืดลงตรงหน้าผมก่อนที่มันจะลากเก้าอี้มานั่งทานด้วยกัน

“แดกๆ เดี๋ยวคนอื่นกลับมาก่อน” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจกับสิ่งที่มันบอก

“ทำไมวะ คนอื่นมาก็ใช่ว่าจะหมดเวลาพักเสียหน่อย”

“กูไม่ได้กลัวหมดเวลา” มันก้มหน้าก้มตากิน เช่นเดียวกับผมที่ลงมือจัดการตักเข้าปาก

“.......”

“กูกลัวคนอื่นเขาจะมาแย่งกิน”

“ฮ่าๆ เอาน่า ถ้ามีคนมาแย่งกิน เดี๋ยวพรุ่งนี้กูทำให้กินใหม่ก็ได้” ผมหัวเราะกับความขี้หวงของกินเหมือนเด็กๆ ของมัน

“ไม่ใช่.....”

“.....”

“กูแค่ไม่อยากให้ใครได้กิน........นอกจากกู”

“..!!”

ผมนิ่งค้างช้อนที่ตักต้มจืดยังคาปาก น้ำซุปยังคงละลายอยู่ภายในช่องปาก โดยที่ตัวผมลืมกลืนมันด้วยซ้ำ สมองของผมค่อยๆ ประมวลผล แต่มันก็ดูจะตื้อเกินไป ราวกับมันไม่เข้าใจความหมายได้แค่วนเวียนเปิดคำพูดนั้นซ้ำๆ กูแค่ไม่อยากให้ใครได้กิน.......นอกจากกู นอกจากกู นอกจากกู

สติของผมกลับมาเมื่อรับรู้ความร้อนจากปลายนิ้วของคนตรงหน้าที่เช็ดเข้าที่มุมปากของผม นั่นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย

“แดกดีๆ สิวะ เสียดายของ”

“...!!!”

เชี้ย!!! ผมนี่ร้องเหี้ยหนักมากเพราะแม่งเอานิ้วที่เช็ดปากผมเข้าปากมัน ไม่ต้องเสียดายครับมึง กูยกให้ทั้งถ้วยเลยไอปา แค่หยดเดียว เช็ดเอาก็ได้ ก็อยากจะพูดอยู่หรอกครับ แต่หัวผมแม่งว่างจนเบลอเพราะนอกจากจะตัดข้าวเข้าปากเรื่อยๆ แล้ว ผมก็คุยกับใครไม่รู้เรื่องหรอก อยากจะกวนตีนมันเหมือนเดิม แต่วันนี้แม่งเป็นห่าอะไรไม่รู้ ผมแม่งเขินไอปา ไม่ได้ๆ ผมต้องทำตัวให้เนียน

“ใช่!!! กูนึกได้ว่าลืมแปรงฟัน”

พรวด!!!!

“ไอ้เหี้ยนก!!!!” น้ำแกงเอย ข้าวเอย มาเต็มๆ หน้าไอ้นกเลยครับ แต่ก็ดีหน่อย ผมจะได้กลบเกลื่อนง่ายๆ

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ กูล้อเล่น ฮ่าๆ มึงเชื่อจริงดิ”

“ไอ้สัตว์ มึงนี่ จิ๊...”

ผมกับมันทานข้าวกันในบรรยากาศที่เรียกว่าเฮฮา นั่นผมรู้สึกดีกว่าที่มันเป็นก่อนหน้านี้ที่ผมทำตัวไม่ถูก ผมไม่ชอบสถานการณ์แบบนั้นเลยครับ ผมหน้าร้อนผ่าวกับการวางสายตาไม่เป็นที่และแขนขาที่เกะกะขวางทางไปหมด ไม่รู้ว่าควรเอาไปไว้ตรงไหน ไม่รู้ว่าควรทำหน้ายังไง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่าผม.....ใจเต้นทำไม
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากที่ทานกันจนหมด ผมก็เก็บทุกอย่างล้าง ใช่สิครับ ผมต้องล้างจะใครล่ะ ก็เพราะผมดันไปพูดเอาไว้ไงว่า ไม่ต้องล้างจานให้ล้างเองได้ มันก็แดกแล้วเดินตัวปลิวกลับไปทำงานต่อ ส่วนผมต้องยืนล้างในห้องน้ำชาย

“เฮ้ย นก ได้ข่าวมาแล้วนะ ขอให้โชคดีได้เลื่อนขั้นนะโว้ย”

“ขอบคุณครับพี่” แต่จะดีกว่านี้ถ้าพี่มึงจะล้างมือหลังที่เยี่ยวเสร็จ ไม่ใช่มาตบหลังกู กลิ่นเยี่ยวแม่งจะติดตัวกูไหมเนี่ย

ผมหอบกล่องข้าวที่ล้างเสร็จออกจากห้องน้ำเพื่อกลับไปยังโต๊ะทำงานของผมเอง ระหว่างทางทุกคนที่เดินผ่านก็เอาแต่แสดงความยินดีกับผมซึ่งผมไม่รู้เลยว่าข่าวมันมาจากไหน แต่ผมก็รู้สึกดีนะครับ ที่ได้รู้ว่ามีคนยินดีกับผมมากขนาดนี้

ผมไล่ความคิดฟุ้งซ่านทุกอย่างก่อนจะลงมือทำงานตัวเองต่อ ถ้าจะต้องขึ้นเป็นหัวหน้าผมต้องพยายามอย่างหนักเผื่อให้ทุกคนเห็นว่าผมเต็มที่จริงๆ และผมพร้อมจะเป็นที่พึ่งให้กับทุกคน แต่ผมก็รู้ว่าไม่ได้มีผมแค่คนเดียวที่เป็นหนึ่งในรายชื่อ ซึ่งอย่างน้อยๆ พี่หนูเองก็อยู่ในรายชื่อนั้น และตัวพี่หนูเองก็มีหุ้นส่วนบางคนหนุนหลังให้อยู่ โดยตัวผมเองไม่ได้มีใครหรืออะไรหนุนหลังเลยผมจึงทำได้แค่แสดงให้พวกเขาเห็นว่าผมนี่แหละคือคนที่พวกเขาควรจะเลือก

พี่หนูไม่ชอบผมมาตั้งแต่ไอปามันเอางานไปคืนและดูพี่แกจะเกลียดขี้หน้าผมด้วยซ้ำไป ผมอาจจะโง่ แต่เรื่องนี้ผมยอมรับเลยว่าโง่จริงๆ เพราะแค่งานชิ้นเดียวที่ผมไม่ยอมทำให้พี่หนู แกต้องจงเกลียดจงชังผมขนาดนี้เลยหรือ ผมไม่เข้าใจจริงๆ แต่จะหันไปถามใครได้ล่ะครับ ผมมันก็แค่ไอบ้านนอกที่จับพลัดจับผลูได้มาทำงานในบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศเท่านั้น เกียรตินิยมก็ไม่มี เกรดเฉลี่ยก็ไม่ได้ดีกว่าคนอื่นเขา แค่ดวงดี แค่โชคดีเท่านั้น ส่วนพี่หนูแกเจ้ามาได้ด้วยการฝาก หรือที่เขาเรียกกันว่าเด็กเส้น แต่เด็กเส้นคนนั้นทำงานกับบริษัทมาแล้วห้าปี แต่ผมทำมาแค่สองปี ประสบการณ์ที่มีก็ไม่เท่า 
ผมเคยเจอกับท่านประธานครั้งหนึ่ง ท่านเป็นคนที่ใจดีมากครับ ผมยังเคยได้รับของฝากที่พี่ฝ้ายเอามาให้โดยที่พี่ฝ้ายบอกว่าท่านประธานนำมาฝากผม ผมดีใจนะครับถึงแม้ในใจจะสงสัยก็ตามทีว่าทำไมท่านถึงให้ผม แต่ก็เท่านั้นคนอย่างไอ้นก เจอของอร่อยก็ลืมเหตุผลไปหมด แน่นอนครับ ไอปามันก็ด่าผมว่าไอตะกละไปตามระเบียบ แต่คนอย่างไอ้นกไม่มีแคร์ครับ อิจฉาตาร้อนแล้วหาเรื่องด่าผมก็อย่างนี้แหละ

“กลับบ้านได้แล้ว ขยันเอาโล่เหรอมึง” อะไรวะ เผลอแป๊บเดียวก็เย็นเสียแล้ว

“อ้าว.....เลิกงานแล้วเหรอวะ” ผมหันมองซ้ายมองขวา ทุกคนล้วนแต่กำลังเก็บของกลับบ้านกันทั้งนั้น

“เออ มึงใจลอยไปไหนเนี่ย” ใจลอยเหี้ยอะไร ไอ้นี่ก็พูดไม่คิด

“กูทำงาน ใจลอยที่ไหนวะ”

“จะรู้เหรอวะ เห็นมึงนั่งมึนไม่รู้เวลา” ปากหมาจริง

“ชิ......กูไม่อยากคุยกับมึงแล้ว” ผมรีบเก็บของลงกระเป๋าอย่างเร่งรีบ วันนี้เป็นวันเงินเดือนออกด้วยสิ

“เหรอ.......ไม่อยากคุยจริงดิ” ผมกัดปากพยายามกลั้นขำเต็มที่ ก็ไอ้ปาเล่นทำหน้าตาตลกแบบนี้นี่

“แน่ใจนะ..........นี่กูคิดว่าจะพามึงไปเลี้ยงข้าวเย็นเสียหน่อย สงสัยต้องชวนคนอื่น น่าเสียดายจัง” ผมรีบหันไปคว้าแขนมันทันที (ที่ได้ยินว่าเลี้ยง)

“เดี๋ยวดิ.......กูว่าง ไปได้ๆ” มันเลิกคิ้วเล็กน้อย

“แน่ใจ โกรธกูไม่ใช่เหรอวะ” มันรีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ใคร๊ มันจะไปกล้าโกรธเคืองท่านเทพปรมะ

“ไม่มี๊ ใครมันจะไปโกรธมึ๊งงง ว่าแต่จะพากูไปเลี้ยงที่ไหนวะ”

“หึหึ.........เดี๋ยวก็รู้”

บรรยากาศร้านที่มันพาผมมานี่อย่าให้ผมต้องพูดออกมาเลยครับ เพราะมันหรูมาก!! โคตรของโคตรหรู และผมคิดว่าชีวิตนี้เกิดสักสิบชาติผมก็คงไม่มีบุญได้เข้าด้วย โคมไฟระย้าที่ประดับอยู่บนเพดานกับความระยิบระยับของแสงไฟ โต๊ะถูกจัดแต่งไว้มีไม่มากจนดูรกตา ความหรูหราจากการแต่งกายของผู้คนที่เข้ามารับประทานยิ่งเสริมให้ดูมีระดับขึ้นไปอีก ผมนั่งเจียมตัวหดหัวอยู่ที่โต๊ะไม่กล้าแม้แต่จะเสนอหน้าไปคุยกับพนักงานเสริฟด้วยซ้ำ เพราะจากการแต่งกายของเขายังดูดีกว่าเหงาของผมอีก นี่ไอปามันจงใจพาผมมาขายขี้หน้าใช่ไหมเนี่ย

“ไอ้ปาๆ กูไม่มีปัญญาจ่ายนะ” มันเบนสายตาจากเมนูมามองหน้าผม

“ก็กูบอกอยู่ว่ากูเลี้ยง” ไอ้สัตว์ เงินเดือนมึงกับกูก็พอๆ กัน ยังจะมาพูดอีก

“ออกตอนนี้ยังทันนะมึง” ผมยกเมนูขึ้นบังหน้าไม่ให้พนักงานที่ยืนรับออเดอร์อยู่ได้ยิน

“ออกตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วครับน้อง สั่งสักทีเถอะครับ กูเมื่อย!!” เวร........กูนึกว่ามึงไม่ได้ยิน

“อะแหะๆ ครับๆ”

“หึหึ.....มึงก็ไปแกล้งมันไอชาย” หือ..... ผมมองหน้าไอ้เด็กเสริฟที่ชื่อชายสลับกับหน้าไอ้ปาด้วยความงุนงง อะไรวะ......หรือกูโง่

“โทษทีวะ......เด็กมึงแม่งน่าแกล้งฉิบหาย” บุคคลซึ่งเพิ่งจะเปิดเผยชื่อเปลี่ยนเป็นยืนด้วยท่าทีสบายๆ ยกมือขึ้นเสยผมไปมาด้วยท่าทางแบดๆ

“มะ ไม่ใช่ๆ ผม25แล้วครับ” ผมละล่ำละลักพูดแก้ต่าง แต่อีกฝ่ายกลับปล่อยก๊ากเสียอย่างนั้น ผมพูดอะไรผิดวะเนี่ย

“ฮ่าๆ เด็กมึงจี้วะไอ้ปา”

“หึหึหึ”

“???” ผมนั่งเอ๋อแดกงองูแบบอินฟินิตี้ยาวๆ

“ไม่ได้หมายถึงมึงเด็ก”

“....” อ้าว แล้วหมายถึงอะไรวะ

“มันหมายถึง......มึงกับกู.....อะ” เว้นหาเหี้ยอะไรวะ แล้ววันนี้กูจะเข้าใจไหม

“????” ผมจึงหันไปทำหน้างงชวนสงสัยใส่เพื่อนไอ้ปาแทน

“อย่างงใส่กู กูหมายถึง มึงเป็นแฟนมัน” อ๋อ.....กูเข้าใจล่ะ

“ไม่ใช่ๆ เป็นเพื่อนกัน!” ผมนี่แทบเด้งหนีเลยครับ แต่เหมือนเจ้าตัวยังคาใจเพราะผมเห็นชายหันไปถามไอ้ปาทางสายตา จนไอปายิ้มมุมปากก่อนจะพยักหน้าเบาๆ จนชายยิ้มอย่ามีเลศนัยที่คนโง่ๆ อย่างผมไม่เข้าใจ

“ทำไมยิ้มแบบนั้นกันวะ”

“หึ เปล่านิ”

“เอ้าสั่งสิคุณปรมะ นั่งอมอากาศแล้วจะอิ่มไหม” กัดทุกคำจริงๆ สมแล้วที่เป็นเพื่อนกัน

“เป็นพนักงานก็เลือกมาสิวะ กูรอแดกกับจ่ายตัง” ไอ้ปาโยนเมนูลงอย่างไม่สนใจจะอ่านอีก

“เออ!! เดี๋ยวกูจะเอาให้มึงจนเลย” ผมนี่แทบจะลงไปกราบไอ้ชายเลยครับ กลัวไม่มีปัญญาจ่ายอ่ะบอกตรงๆ

“กูจนอยู่แล้ว ไอ้ชาย”

“อะ อ๋อ เออๆ กูลืม เดี๋ยวลงบิลกูไว้ก็ได้นะ ยังไงก็สวัสดิการพนักงานของร้านอยู่แล้ว” ไอ้ชายยิ้มให้ผมก่อนจะเดินเข้าไปในครัว

“ไอ้ปาๆ”

“ว่าไงนก”

“มึงว่ากูลาออกจากงานดีป่ะวะ” ผมถามสีหน้าจริงจังจนมันมีสีหน้างงงวย

“ทำไม”

“สวัสดิการร้านนี้ดี กูว่าจะลาออกมาทำที่นี่”
ผลัวะ!

“โอ๊ย!!!” หัวผมระบบหมดแล้วเนี่ย

“อย่าแม้แต่จะคิด ไม่ทันไรนี่มึงคิดทรยศบริษัทซะแล้วเหรอ”

เออ ก็จริงของมัน ทำงานมาตั้งหลายปี ไหนจะตำแหน่งที่รอลุ้นอยู่

“จริงของมึง”

“เออ!! .....คิดซะบ้าง!!”

ผมพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่มันพยายามจะสื่อความหมาย สงสัยผมคงจะคิดน้อยไปจริงๆ ผมนี่โง่จริงๆ เลย

“แล้วมึงว่า เขารับพนักงานพาร์ทไทม์ไหมวะ”

“โว้ย!!!! ไอ้ห่านก ไอ้เหี้ย!!!”

ผมผิดตรงไหนทำไมมันต้องทำหน้าตาเหมือนผมหยิบหนอนมาแดกด้วยวะ ก็หาเงินสองทางไง ไม่ได้ลาออก กูก็ทำพาร์ทไทม์หาเงินพิเศษแถมได้แดกของหรูมีสวัสดิการด้วย เหี้ยดีอ่ะ ถ้าผมเจอที่นี่ก่อนนะ ผมไม่ไปสมัครหรอกบริษัทนั้น แหะๆ ผมล้อเล่นครับ แต่ผมอยากทำพาร์ไทม์จริงๆ นะ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
อาหารมาเสริฟเป็นอาหารที่ผมไม่รู้จักครับ ก็ยังดีที่พอจะงูๆ ปลาๆ แดกไปได้ไม่ปล่อยไก่ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยได้กินหรอกครับอาหารแบบนี้ ส่วนไอ้ปาแดกแบบชิลค์ๆ มาก จนผมยังอึ้งแต่ไม่กล้าถามกลัวว่าปกติเขาจะทานกันเป็นแล้วกลายเป็นว่ามีแต่ผมที่โง่แดกไม่เป็นแค่คนเดียว กลิ่นหอมที่ไม่เหมือนอาหารที่ผมทำ ความกลมกล่อมของรสชาติและความลงตัวมันทำให้ผมต้องละเมียดละไมเคี้ยวให้นาน (จริงๆ แค่อยากเก็บรสชาติ เพราะไม่รู้เมื่อไหร่จะได้แดกอีก) ไม่อยากให้อาหารตรงหน้าหมดลงเลย ผมที่กินช้ากว่าปกติจนดูมีมารยาท วางท่าทางสง่า (?) ดูแล้วโคตรจะรวย แต่ดูการแต่งตัวผมสิครับ เสื้อเชิตผูกเน็กไทเก่าๆ กับรองเท้าที่ผ่านการใช้งานมานานไม่ต่ำกว่า3ปี และแว่นตาบนหน้าที่หนาจนแทบจะเอามาใช้แทนจานอาหารยังได้ 

ส่วนไอปาแค่เสื้อเชิตยับๆ ยับแบบมีสไตล์ เน็กไทถูกดึงลงให้ดูหลวมๆ กับผมที่ถูกเซ็ตมาตั้งแต่เช้าที่แม่งก็ยังอยู่ทรงเดิม จนบางทีผมก็แอบคิดว่านั้นแว็กซ์หรือโบกปูนกันแน่อึดถึกทนเหลือเกิน และที่สำคัญ...ใบหน้าที่หล่อเหลาของมันไม่มีใครมองหรอกครับว่าแม่งเป็นพนักงานบริษัทแบบผม นี่ถ้าผมไม่ได้มากับผมถามว่าพนักงานเปิดประตูเขาจะอัญเชิญตัวผมเข้ามาไหม เหอะ!! โลกแม่งลำเอียง ไม่สิ ต้องบอกว่า คนบนโลกแม่งลำเอียง!!!

และในที่สุดแม้ว่าผมจะพยายามแดกช้าแค่ไหน มันก็ต้องหมดอยู่ดี นี่ถ้าเลียจานได้นี่ผมเลียไปแล้วนะ เสียดาย หรือเก็บจานไปล้างให้เขาที่บ้านดีวะ

“เอาอีกจานไหม”

“อะ ห๊ะ เฮ้ยไม่เอาๆ พอแล้ว” ผมยิ้มยิงฟันให้ชายที่ถามผม คงเวทนาที่ผมจ้องจานจนแทบจะแดกมันเข้าไป

“เออ กูลืมแนะนำเลย นี่ไอ้ปฐพี เพื่อนสมัยเรียนมหาลัยของกูเอง ส่วนมึงไอ้ชาย นี่ไอ้นก เพื่อนที่ทำงานของกู” ไอ้ชายทำหน้าอ๋อเหรอใส่ไอ้ปาที่มันแนะนำผม แต่ผมได้แต่ยิ้มให้มันไป แต่กูยังคาใจอยู่นะ

“เอ่อ....ชาย”

“ครับผม....” อ๊ากหล่อ.........ไม่ใช่แล้ว ผมจะไขว้เขวกับรอยยิ้มของเจ้าชายไม่ได้ๆ ผมมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องถาม

“มึงจะหน้าแดงหาพ่อมึงเหรอวะ ไอนก!!!” สะดุ้งสิครับ เรียกซะลั่นร้านขนาดนี้

“กะ กูเปล่านะ”

“มึงก็เลิกยิ้มได้แล้วไอชาย!! อย่าให้กูต้อง...”

“จะดุทำเหี้ยอะไรวะ นกมันตัวสั่นหมดแล้วดูสิ”

ตึง!!!

ชายที่กำลังลูบหัวลูบหางผมสะดุ้งตกใจพร้อมๆ กับผมเลยครับ ก็คุณพ่อเล่นทุบโต๊ะเสียดังขนาดนั้น นี่ผู้จัดการยังไม่มาไล่เราอีกเหรอวะเนี่ย

“อย่า-เยอะ!!” ชายหัวเราะชอบใจ ในขณะที่ผมไม่เข้าใจว่ามันโกรธอะไรเลยได้แต่นั่งตัวลีบที่สุด

“แล้วนกจะถามอะไรเราเหรอ” เออใช่ๆ

“คือ เอ่อ ที่นี่ รับพนักงานพาร์ทไทม์ไหม”
ปัง!!!

“ไอนก กลับ!!!” อ้าว พ่อมันลุกยืนแล้ว งานกูล่ะ

“ดะ เดี๋ยวดิ กูยังไม่ได้คำตอบเลย” ผมพยายามรั้งแขนไอปาเอาไว้

“หึหึ.....ปกติก็รับนะ แต่กรณีนกเราคงรับไม่ได้อ่ะ” เอ๊ะ ทำไมหว่า ผมก็มีแขนมีขาครบปกตินะ ไม่เห็นต่างจากคนอื่นตรงไหน

“ทะ ทำไมละ เราขยันนะ” รีบๆ ตอบหน่อย พ่อมันจะแดกหัวผมแล้ว

“ก็......พอดีเจ้านายเราเคยบอกว่าเจ้านายของนกน่ะ เขาดุมาก แถมขี้หวงซะด้วย ถ้าเราดึงนกมาคงมีปัญหา เดี๋ยวจะต้องไปฉีดยากันยกใหญ่” ฉีดยา?? ฉีดทำไม เจ้านายกูเป็นโรคร้ายเหรอ

“แต่เรา โอ๊ะ!! เจ็บนะไอ้ปา อย่าลากดิ” ไม่ทันได้พูดอะไรผมก็โดนรั้งออกมาจากร้านเรียบร้อยโดยมีชายซึ่งเป็นเพื่อนใหม่ หรือเปล่า ใช่นั้นล่ะ โบกมือไล่หลังเรามาก ว่าแต่ นี่ไม่ต้องจ่ายจริงดิ ท่าทางอาหารจะแพงด้วยนะนั่น

“เข้าไป!!” ผมถูกจับยัดใส่รถสวยราคาแพงแต่มันไม่ได้ซื้อ ซี๊ดดด กัดปาก!!

“เจ็บนะเนี่ย มึงแม่งชอบขวางเวลากูจะหาเงินเพิ่ม” ผมลูบข้อมือที่เริ่มจะแดงเพราะแรงบีบไปมา

“ไม่ต้องมาพูดเลย กูไม่ให้ทำ!!” เอ้า พ่อ ทำไมพ่อพูดจาไร้สมองแบบนี้ งานกูครับไอ้เหี้ย!

“ไม่ใช่ๆ งานกู กูไม่ได้มาขออนุญาตมึง” ผมถูกไอ้ปายิงเอ็ม16 ใส่ด้วยสายตา

“กูไม่ให้ทำ!!! ชัดไหมนก”

“ชะ ชัด ชัดแล้ว” ไม่ต้องก้มหน้ามาหาก็ได้ หูไม่ได้ตึง

“อย่าไปทำหน้าแบบนั้นใส่มันอีกนะ กูสั่งห้าม”

“แบบไหนวะ”

“แบบที่........ถ้าได้จูบก็คงจะดี” เชี้ย!!! พูดอย่างนี้ได้ไง

“กูเปล่า!!!”

“ก็ลองทำอีกรอบสิ จะได้รู้ว่าที่กูพูดมันจริงไหม!!”

“..!!”

หมดคำพูด พูดอะไรไปก็เข้าตัว เงียบไว้ดีกว่า เกลียดอะ พูดอย่างนี้ ใครมันจะไปกล้าวะ กัดปาก!!!
ผมเงียบมาตลอดทางที่ขับรถ แต่นั่นแหละครับถ้าไม่เงียบคงมีมวยรอบสองแน่ๆ เพลงที่คลอเบาๆ ช่วยขับให้ความง่วงเข้าโจมตี หน้ามันน่ะสิ!!! ใช่ผมที่ไหน
“ปิดเพลงเลย ถ้ามึงจะขับไปง่วงไปแบบนี้ พากูแหกโค้งตายห่าพอดี” ห่าแม่ง

“เออๆ ปิดๆ หาวนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เลยนะ” ไอ้เชี้ย!!! นิดๆ แหกโค้ง หน่อยๆ ตกคลองสิ พูดไม่คิดจิงๆ

“ตาอ่ะลืมด้วย อย่าพึมพำแต่งปาก นั่น!!! รถๆ ไอ้เหี้ย!!”

เอี๊ยด!!! แต่ไม่จอด พ่องงงง

“ก็ให้มันหลบไปดิวะ กูขับตรงทางแล้ว” ตรงไหนของมัน

“ลืมตา กูบอกให้ลืมตา” ยัง ยังไม่ลืม ไม่ลืมใช่ไหมได้!!!

เพี้ยะ!!

“โอ๊ย!!”

เพี้ยะ!!! เพี้ยะ!!! เพี้ยะ!!!!

“โอ๊ยๆ ๆ ๆ ๆ ตื่นแล้วๆ ห่านี่ จูบปลุกไม่ได้หรือไง” หือ อะไรปลุกๆ นะ

“อะไรนะ กูไม่ค่อยได้ยิน”

“เปล๊า กูบอกว่าตื่นแล้ว”

“คำหลังอะ”

“ปลุกเบาๆ ไม่ได้หรือไง” เหมือนจะไม่ใช่ แต่ช่างแม่ง ให้มันลืมตาพาผมกลับบ้านอย่างปลอดภัยพอ

“ไม่ได้ แหกตาไว้แล้วขับรถดีๆ กูยังไม่อยากตาย”

“จะกลัวอะไร มึงไม่ได้ตายคนเดียวเสียหน่อย” ผมนี่หันไปจ้องหน้ามันเลยครับ

“กูไม่ได้กลัวเหงา กูไม่อยากตาย”

“กูยังไม่คิดมากเลย ถ้าได้ตายพร้อมมึง”

“!!!”

ผมควรคิดมากไหมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ผมต้องหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างแทน ไม่ไหวครับ ผมสู้มันไม่ได้จริงๆ ปากแบบนี้นี่เองที่สาวๆ ทั่วทุกแผนกต่างก็หมายปองจะครอบครองไว้ หยุดไว้ หายใจเข้าออกลึกๆ มันก็แค่คำพูดของคนเป็นเพื่อนกัน มันไม่ได้พิเศษ อย่าคิดถึงมัน
กูยังไม่คิดมากเลย ถ้าได้ตายพร้อมมึง

ถ้าได้ตายพร้อมมึง

ถ้าได้ตายพร้อมมึง

แล้วทำไมมันต้องรีรันเสียงไอ้ปาด้วยวะ ทำไมสมองผมต้องจำแต่คำพูดมันด้วยเนี่ย!!! ไม่เข้าใจๆ ๆ ผมแค่นายอินทรีย์ที่ชอบอกหักเพราะเรื่องรักๆ และกำลังหวั่นไหวกับคำพูดของเพื่อนรักเพียงคนเดียวในบริษัท ให้ตายสิ บอกได้คำเดียวเลย กัดปาก!!!!




100%




กรี๊ดดดดด อีนกกกกกกกกก แค่กๆ ผิดค่ะๆ น้องนก หนูหวั่นไหวเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ลูก แม่ใจไม่ดีเลยค่ะ / นั่งกุมใจ จะลงทุกวันจนกว่าจะทันเว็บอื่นนะคะ

โปรดวางปลาทูและของเล่นแมวด้วยนะคะ

เมี๊ยวววว~

#ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่1. นกกับความหวัง 100% up. 21/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-10-2019 07:31:42
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่1. นกกับความหวัง 100% up. 21/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 21-10-2019 10:40:54
อ่านๆไปจนถึงตอนล่าสุด น้องนกเบ๊อะแท้
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่1. นกกับความหวัง 100% up. 21/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 21-10-2019 12:40:06
ผมว่าปานี่ต้องเป็นทายาทบริษัทสักแห่งแน่ๆ (หัวเราะ) โชคยังดีนะครับที่น้องนกอ๊องเกินกว่าจะจับผิดได้ แต่คิดว่าน่าจะเป็นทายาทของบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งหรือเปล่าครับ? เห็นในเรื่องเขียนไว้ว่าบริษัทที่นกเข้าไปทำเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ที่ผมไม่มองว่าปาเป็นทายาทของบริษัทที่น้องนกและตัวเองทำอยู่ เพราะถ้าปาเป็นทายาทบริษัทที่กำลังทำอยู่ แล้วมาทำงานในตำแหน่งที่ไม่สูง มันไม่มีทางที่ข่าวมันจะถูกเก็บเงียบได้ขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีข่าวซุบซิบมาบ้างครับ

แต่ว่าการที่ปาสามารถผลักดันช่วยเหลือน้องนกในบริษัทได้ นอกจากความทุ่มเทและทัศนคติในการทำงานของน้องนกที่ขยันน่าชื่นชมแล้ว น่าจะเพราะว่าปามีความสำคัญบางอย่างกับบริษัทนี้ จากที่อ่านดูหลายอย่างแล้วก็น่าจะอนุมานได้ว่าน่าจะเป็นบริษัทของเพื่อนพ่อนะครับ ที่ปาเข้ามาทำในตำแหน่งไม่สูงมาก (เพราะน้องนกบอกว่าเงินเดือนเขาพอๆกัน) น่าจะเป็นการมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในบริษัทอื่นที่มีกระบวนการทำงานคล้ายๆกันก่อนรึเปล่า เพราะถ้าเป็นแนวนี้ มันก็จะตอบคำถามที่ว่าคนในบริษัทไม่มีข่าวซุบซิบเกี่ยวกับฐานะของปาเลย

อีกคำถามนึงที่ผมยังงงอยู่นิดหน่อย แต่ย้อนกลับไปอ่านก็ยังไม่เห็น ซึ่งอาจจะดูช่องโหว่ไปนิดนึง คือปากับนกรู้จักกันได้ยังไงครับ? จากที่บรรยายมาช่วงต้น เห็นนกบอกว่าเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด ถ้าเป็นเพื่อนกันมานานแต่ว่าไม่รู้จักครอบครัว ก็อนุมานได้ว่าอาจจะมารู้จักกันตอนมหาวิทยาลัย ซึ่งถ้าเป็นแนวนี้ ก็ต้องวางเรื่องว่าทำไมนกไม่เคยรู้จักเพื่อนกลุ่มชายของปามาก่อน (กรณีมหาวิทยาลัย จะไม่รู้ฐานะแท้จริงของปาก็ไม่เป็นไร เพราะว่าแนวคุณชายติดดินมันก็อธิบายได้)

หรือว่ามารู้จักกันตอนทำงานที่บริษัท? แต่ถ้าเป็นรูทนี้ผมว่ามันจะมี plot hole ที่เยอะระดับหนึ่งน่ะครับ อันดับแรกคือต้องไปแก้เรื่องที่รู้จักกันมานานก่อน เพราะน้องนกเพิ่ง 25 ถ้ารู้จักกันแค่สามปีก็ยังไม่ถือว่านานนะครับ ถ้าเป็นมัธยมปลายนับถึงปัจจุบัน มันจะ 10 ปี ถ้าเป็นรู้จักกันตั้งแต่มหาวิทยาลัยมา มันจะ 7 ปี ซึ่งอันนี้แหละก็ถือว่านาน แต่ถ้าแค่สามปี สำหรับผมมันยังไม่ถือว่านานพอที่จะสนิทกันได้นะครับ แล้วยิ่งเป็นเพื่อนร่วมงานด้วย โมเมนต์แบบที่เกิดขึ้นในเรื่องมันจะเกิดได้ยากมาก

อันดับที่สองคือต้องตอบให้ได้ว่าทำไมถึงสนิทกัน ปกติแล้วเราจะสนิทกับเพื่อนร่วมงานน้อยกว่าเพื่อนเรียนครับ ดังนั้นการพัฒนาความสัมพันธ์จะค่อนข้างยาก ยิ่งถ้าเป็นแนวโรแมนซ์ด้วย ตรงนี้จะทำให้ความสมจริงของพล็อตเรื่องตกไปหน่อย ผมคิดว่าต่อให้เราทำงานร่วมกับใครมาเป็นสิบปี แต่เราก็ยังมี barrier บางอย่างที่วางกั้นไว้ ทำให้พัฒนาความสัมพันธ์แบบเพื่อนผสมโรแมนซ์ยากอยู่

อันดับสุดท้ายคือต้องเคลียร์ความบังเอิญที่ดูจะเป็นไปไม่ได้ให้มันสมจริงขึ้นมา เพราะถ้ามารู้จักกันตอนทำงาน แปลว่าปาเข้ามาในบริษัทนี้ด้วยจุดประสงค์เรียนรู้งาน ซึ่งบังเอิญมาเจอน้องนก (ซึ่งบังเอิญบริษัทรับเข้ามา) แล้วก็บังเอิญตกหลุมรักอีก มันหลายแจ็คพอตเกินไปจนดูจงใจนิดหนึ่งครับ ผู้อ่านบางคนอาจรู้สึกว่าไม่ค่อยสมจริง ซึ่งตรงนี้ก็จะขัดๆ เพราะว่าเท่าที่ผมอ่าน รู้สึกเหมือนว่าปากับน้องนกน่าจะเข้ามาทำงานบริษัทนี้พร้อมกัน แล้วจากบรรยาย ก็อนุมานได้ว่าปาน่าจะใช้เส้นสายช่วยให้น้องนกได้เข้ามาทำงานด้วยกัน แปลว่าต้องรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้วน่ะครับ

ทีนี้มาพูดเรื่องสไตล์การเขียนบรรยาย ผู้เขียนเขียนสนุกเลยนะครับ ทำได้ดี น้องนกอ๊องได้น่ารักมาก เอกลักษณ์ความใจดีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของน้องเป็นคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นมากครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรับงานเยอะเกินไปหน่อย (ฮา) หรือว่าฉากที่น้องให้อาหารเหล่านก คำผิดก็มีน้อย คุมโทนเรื่องโรแมนติกคอเมดี้ได้ดี อยากให้พัฒนาตรงปมมุมพล็อตอีกนิดหน่อยก็จะทำให้ภาพรวมออกมาดีขึ้นอีกครับ
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่1. นกกับความหวัง 100% up. 21/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 21-10-2019 12:58:19
^ คุณ grey twilight  คอมเมนท์ดีมากอะ :heaven
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่3. นกก็นกอีกแล้ว 50% up. 22/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 22-10-2019 23:21:29
[3]


เมื่อคืนกว่าผมจะกลับถึงบ้านต้องตบต้องตีต้องหยิกไอปาให้ตื่นตั้งหลายรอบ กลัวมันจะพาผมไปตรวจเลขทะเบียนท้ายรถใครเขาเหลือเกินครับ แต่มีหนักกว่านั้นอีกนะ

“ไอ้ปา หมาๆ เหยียบเบรก!!!”

“เดี๋ยวมันก็บินหนี เชื่อกู” บินพ่อมึงสิ หมา มันไม่ใช่นก
“เห็นไหม มันหลบได้ กูบอกแล้วกูเก่ง” ได้ข่าวว่ามึงบอกกู เดี๋ยวมันก็บินหนี ไอ้สัตว์

“ปา กูไม่ไหวแล้ว”

“อะไรวะนก อยากเหรอ เสียงกระเส่าเชียว” ลืมตาบ้างก็ดีนะเวลาจะพูด

“อยากห่าไร กูปวดขี้ เร็วๆ หาปั้มก่อน ไอ้สัตว์มันจะโผล่หัวออกมาทักทายแล้วมึง!!”

“ออกมาเลยๆ เดี๋ยวกูนั่งคุยกับมันเอง”

“ไอ้ห่า กูไม่เล่น!!! กูต้องการห้องน้ำ!!!”

“กูอยากคุยกับขี้มึง”
ผมล่ะอยากร้องไห้ มันเมาอะไรมาวะเนี่ย เมาน้ำลายบูดตัวเองใช่ไหม ความง่วงแม่งพาเพื่อนผมเพี้ยนไปแล้ว สรุป...กว่าจะได้เข้าห้องน้ำ ขี้เกือบเล็ดออกมา ดีหน่อยที่ได้ระบายตดในรถบ้าง แต่จุ๊ๆ นะครับ เดี๋ยวมันรู้

ซึ่งนั่นล่ะครับ พอหลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยผมก็กลับถึงห้องอย่างปลอดภัย ผมรู้สึกว่าอยากจะก้มลงกราบห้องกอดหมอนไม่อยากออกไปไหน บอกตรงๆ ว่าประสบการณ์ที่ไอ้ปาพาไปเจอนี่ทำให้ผมแทบจะสิงอยู่แต่ในห้อง แต่จะทำไงได้ล่ะครับ ผมมีงานต้องทำเดี๋ยวจะกลายเป็นคนไม่รับผิดชอบไปอีก ยิ่งกำลังถูกจับตามองความประพฤติเพื่อตำแหน่งที่สูงขึ้นยิ่งต้องขยันครับ

“อ้าวนก มาแต่เช้าเลยนะจ๊ะ”

“สวัสดีตอนเช้าครับพี่ฝน ทานอะไรมาหรือยังครับเนี่ย” ผมยิ้มทักทายพี่ฝนที่เดินเข้ามาทักทาย

“เรียบร้อยแล้วจ้า เราเถอะ ทานอะไรบ้างไหมเนี่ย ผอมเชียว” ผมชอบพี่ฝนนะครับ แกเป็นเหมือนพี่สาวของผม พี่ฝนจะชอบลูบหัวผม แม้บางครั้งพี่ฝนจะใช้ประโยชน์จากผมบ่อยๆ ก็ตาม

“ทานเรื่อยๆ ครับพี่ แต่น้ำหนักไม่ค่อยจะขึ้นเลย” พี่ฝนมองผมด้วยความหมั่นไส้ เลยเปลี่ยนจากลูบหัวเป็นดึงแก้มยุ้ยๆ ของผมแทน

“แหม.......น่าอิจฉาจริงๆ เลยน๊า~” จำไว้นะครับ อย่าพูดเรื่องกินแล้วไม่อ้วนกับผู้หญิง ไม่อย่างนั้นหน้าคุณจะระบมแบบผม

“พี่ฝนครับ นกเจ็บ”

“อุ๊ย!! ขอโทษที แก้มนกนิ่มมากเลยนี่นา พี่เลยเผลอไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรคร๊าบ” ผมฉีกยิ้มกว้างไปให้และแน่นอนว่าผมมักจะได้รับสายตาเอ็นดูกลับมาเสมอ

“เฮ้อ....”

“มีอะไรไม่สบายใจเหรอครับพี่” พี่ฝนที่ถอนหายใจเสียงดัง หันหน้ามามองผมเต็มๆ ตา

“นก......เพราะพี่เอ็นดูเราเหมือนน้องเหมือนนุ่ง พี่จะเตือนเราไว้”

“.....” ผมมองพี่ฝนนิ่งๆ รอฟังสิ่งที่พี่ฝนจะบอก
“พี่อยากให้เราทำใจเอาไว้บ้างเรื่องตำแหน่ง”

“โห.....พี่ฝน เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงครับ ผมสบายมาก ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” ผมยิ้มอย่างสบายๆ ให้พี่ฝนเห็นว่าไม่เป็นไรจริงๆ ถึงผมจะอยากได้ตำแหน่งแต่ผมรู้ดีว่าไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่จ้องตำแหน่งใหม่นี้อยู่

“พี่ได้ยินแบบนี้พี่ก็ดีใจ เพราะพี่ได้ยินมาว่ามีใครบางคนที่เส้นหนาสั่งระงับการขึ้นตำแหน่งให้นก”

“...!!!” ถึงผมจะบอกว่าเตรียมใจรับความผิดหวัง แต่ไม่ใช่เรื่องนี้แน่ๆ

“แต่อาจจะเป็นแค่ข่าวลือก็ได้เนอะ อย่าคิดมากล่ะ” ผมยิ้มแหยๆ กลับไปให้พี่ฝน

“ครับพี่.....คงไม่มีอะไรหรอก....มั้ง”

พี่ฝนลูบหัวผมอย่างให้กำลังใจ ในขณะที่ตัวเองเดินกลับไปนั่งโต๊ะเพื่อเตรียมตัวทำงานต่อ ส่วนผมยืนนิ่งคิดทบทวนสิ่งที่พี่ฝนบอก ใครกันคนๆ นั้น หากจะหาคนที่เกลียดผมก็เห็นแต่จะมีแค่ พี่หนู แต่ไม่ใช่หรอก พี่หนูไม่น่าจะทำแบบนั้น ถึงแม้ว่าผมจะพยายามเชื่อแบบนั้น แต่ทำไมใจผมถึงแย้งมันออกมานะ

“นก......เดี๋ยวมึงเข้าไปหากูที่ห้องหน่อยนะ”

“ครับพี่!!” พี่อาร์ตเดินตรงมาเรียกผม ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง ผมจัดการวางกระเป๋าลงก่อนจะตรงตามร่างพี่อาร์ตไป

“มีอะไรหรือครับพี่”

“ปิดประตูก่อน”

ผมหันไปปิดประตูทั้งที่ตัวเองยังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น หรือผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า พี่อาร์ตทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“มีอะไรครับพี่ ผมทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ!”

“เปล่า....ไม่ใช่หรอก” พี่อาร์ตยกฝ่ามือขึ้นมาปิดดวงตาทั้งสองข้างดูเครียดๆ จนผมเองก็เริ่มกังวล

“พี่มีอะ// กูมีเรื่อง” เราสองคนชะงักมองหน้ากัน แต่ผมอ่านแววตาตรงหน้าไม่ออก

“พี่พูดเลยครับ ผมแค่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้น” พี่อาร์ตพยักหน้า

“พี่อยากให้แกฟังพี่พูดให้ดีๆ”

“ครับ?” พี่อาร์ตสูดลมหายใจเข้าปอด ดูท่าทางอย่างกับว่าเรื่องที่จะพูดเป็นเรื่องใหญ่

“เรื่องเลื่อนตำแหน่งของมึง มีการร้องเรียนจากเบื้องบนว่าไม่เหมาะสม มึงเลยถูกตัดชื่อออกไป”

ผมได้แต่นิ่งค้างฟังสิ่งที่พี่อาร์ตพูด มือเท้าผมเย็นเฉียบจนคิดว่าวัดอุณหภูมิไม่ได้ สมองผมคิดถึงคำพูดที่พี่ฝนบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้และนั่นทำให้ผมสงสัย

“เป็นคนที่ผมรู้จัก ใช่ไหมครับ” ผมพยายามกัดฟันถามทั้งๆ ที่เจ็บปวด

“พี่บอกไม่ได้วะ”

ใช่ครับ เรื่องแบบนี้มันบอกกันไม่ได้หรอกเพราะเดี๋ยวปัญหามันจะกลับไปหาตัวต้นเรื่อง จะใครไม่รู้แต่คนที่มีปัญหากับผมมีแค่คนเดียว

“พี่หนู ได้เลื่อนตำแหน่งไหมครับพี่”

“อืม”

แค่คำตอบเท่านี้ ทุกอย่างมันก็กระจ่างแล้ว แค่นี้ผมก็รู้ตัวแล้ว ผมกำหมัดแน่นด้วยความโมโห ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเดือดได้ขนาดนี้เลย เพราะไม่เคยจะคิดเลยว่าพี่หนูแกจะทำแบบนี้กับผมได้ลงคอ นี่เหรอคนที่เป็นผู้ใหญ่ นี่เหรอคนที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้า แค่ความเป็นคนมันยังไม่มีเลย

“ขอบคุณครับพี่ที่มาบอกผม” ผมยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณพี่อาร์ทจากใจ

“ไม่เป็นไร อย่าคิดมาก โอกาสหน้ากูเชื่อว่ามึงทำได้”
ผมทำได้เพียงส่งยิ้มบางๆ ให้พี่อาร์ตและเดินออกมา แค่เพียงลับสายตาเท่านั้นรอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าของผมมันก็หายไป ผมคงยิ้มต่อไปไม่ได้หากไม่ได้เคลียร์กับตัวต้นเหตุ และตอนนี้ ผมทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป แค่ต้องอดทนเพราะไม่มีหลักฐาน แค่ต้องอดทนเพราะเขาใหญ่กว่า แค่ต้องอดทน อดทนต่อไปแม้ว่ามันจะเจ็บใจแค่ไหนก็ต้องอดทน

ผมพยายามจดจ่อกับงาน พยายามทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด ให้มันเหมือนก่อนหน้านี้ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะเป็นแบบนี้ ผมทำได้ดีมาตลอดและต้องทำต่อไป แต่ผมรู้ตัวดีว่าผมเหม่อลอยบ่อยๆ จิตใจฟุ้งซ่านจนไม่เข้าใจสักตัวอักษรของเอกสารที่อยู่ตรงหน้าเลยสักตัวเดียว

ปัง!!!

ผมเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเอกสารถูกโยนมาบนโต๊ะของผมอย่างแรง และไม่ใช่ใครที่ไหนเลย เพราะเขาคือคนที่ตอนนี้เป็นหัวหน้าของผม พี่หนู

“มีอะไรครับพี่”

“มึงทำงานชุ่ยๆ แบบนี้ได้ไงวะ มึงได้ตรวจก่อนเอามาให้กูไหม” ผมหยิบเอกสารขึ้นมาหวังจะเอามาดู แต่ก็ถูกคนตรงหน้ากระชากมันออกไป

“...” ผมได้แต่เม้มปากแน่น พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้

“เงียบ ทำเป็นเงียบ เพราะมึงทำงานแบบนี้ไงถึงไม่ได้ตำแหน่ง” อึก!! มันเจ็บนะครับเมื่อมีคนมาสะกิดแผลเรา

“ถ้ามึงจะทำงานเหี้ยๆ แบบนี้ กูแนะนำให้มึงลาออกกลับไปนอนเล่นที่บ้านมึงแทน!!”

พรึบ!!!

เอกสารในมือพี่หนูถูกปาใส่หน้าผมโดยที่พี่หนูไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าผมจะเป็นยังไง รู้สึกแบบไหน เพราะเขาไม่เคยสนใจอยู่แล้ว ทุกสายตามองมาที่ผม เสียงกระซิบที่มันดังเข้าโสตประสาทของผมอย่างจัง นี่พวกเขาไม่รู้เลยเหรอว่าผมได้ยิน

“ได้ยินไหม นกแห้วตำแหน่ง”

“ฉันว่าแล้ว”

ผมทำได้เพียงก้มลงเก็บเอกสารต่างๆ ขึ้นมาช้าๆ ไม่อยากรีบลุก ไม่อยากเห็นสายตาสมเพชเวทนาที่ส่งมาและผมคิดว่า คงมีสายตาสมน้ำหน้าส่งมาเช่นกัน ผมเกลียดการใส่หน้ากาก เกลียดการเสแสร้งเพราะมันไม่ใช่งานถนัดของผม ผมอยากให้เลิกงานเสียที ผมเหนื่อย ผมอยากกลับไปพักแต่ยิ่งผมเฝ้ารอมากแค่ไหนก็เหมือนว่าเวลามันจะเดินช้าลง จากชั่วโมง นานเป็นนาที แม้แต่วินาทีก็ยังนานเกินไป

ผมหูอื้อตาร้อนผ่าวจนอยากจะร้องไห้ แต่ผมจะกลายเป็นคนอ่อนแอไม่ได้ นั่นจะยิ่งทำให้พวกเขาสมน้ำหน้าผมเข้าไปใหญ่ ผมจึงต้องกลืนก้อนสะอื้นลงคอไปแม้มันจะยากลำบากเพราะการตีตื้นขึ้นมาเป็นระยะๆ ของน้ำตาก็ตาม ผมก้มหน้าอยู่กับโต๊ะไม่สนใจสายตาและเสียงซุบซิบที่ดังมาสักนิด เมื่อไหร่จะจบเสียที ผมเหนื่อย!!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ผมเช็ดหน้าเช็ดตาหลังจากที่ทานข้าวเที่ยงกับไอปาจนหมด แม้ผมจะแน่ใจว่ามันคงได้ยินมาแล้วก็ตามเรื่องที่ผมชวดการเลื่อนตำแหน่ง แต่มันก็ไม่คิดที่จะเอ่ยถามอะไรให้ผมอึดอัดแม้แต่น้อย มันพูดแค่ว่า อยากระบายเมื่อไหร่ค่อยพูด เหอะๆ เพื่อนผมดีใช่ไหมล่ะครับ ที่มันพูดแบบนั้นเพราะมันรู้ดีว่าเวลานี้ไม่เหมาะกับการที่ผมจะร้องไห้ออกมา รู้ใจกูดีจริงๆ ผมเดินผ่านมุมตึกแต่ขาของผมก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูที่คุยกัน

“มึงเห็นหน้ามันไหมวะ อยากหยิ่งดีนัก แค่กูฝากงานแม่งเรื่องมากฉิบหาย เหอะ!!” ไอ้พี่หนู!! ผมยืนฟังเงียบๆ

“เออ หน้าแม่งซีดเป็นไก่ต้มเลย มึงก็ไปแกล้งมัน”

“เรื่องของกู สะใจกูฉิบหาย คนอย่างมันแม่งไม่เหมาะจะเป็นหัวหน้า มันต้องกูโว้ย ฮ่าๆ”

“เออ ฮ่าๆ ๆ”

กรอด!! พวกมันเห็นว่าเรื่องของผมเป็นเรื่องสนุกปาก มันคิดว่าผมเป็นตัวตลกของพวกมัน ผมจะไม่ทนอีกแล้ว!!!!!

ผลัวะ!!!

“โอ๊ย!!! เหี้ยอะไรวะ!!!”

“สำหรับปากหมาๆ ของมึง!!” ผมโผล่ออกไปต่อยเข้าที่เบ้าตาของพี่หนูเต็มๆ

“มึงต่อยกูเหรอวะ ไอ้เหี้ยนก!!!”

“เออ!!!” ผมกระชากคอเสื้อของมันก่อนจะต่อยไปอีกสองหมัด

ผลัวะ!! ผลัวะ!!

“ไอ้สัตว์!! หยุดนะ อั๊ก!!!!”

“มึงมันเหี้ย!!”

ผลัวะ!!

“มึงใช่ไหมที่ทำให้กูไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง!!”

“หึ......มึงมันไม่มีความสามารถเอง อย่ามาโทษกู ถุ้ย!!”

ผลัวะ!!

“กูไม่เชื่อ!!” ผมกระหน่ำต่อยมันอย่างบ้าคลั่งในขณะที่เพื่อนมันเอาแต่ยืนมองด้วยความอึ้ง แต่นั่นดีแล้วสำหรับผม เพราะกว่าที่พวกมันจะได้สติไอพี่หนูมันก็เลือดกบปากจนสะบักสะบอม

“ปล่อยนะโว้ย!!” เพื่อนๆ มันต่างกรูเข้ามาแยกผมออกจากร่างของไอพี่หนู

“ปล่อยมัน! ถุย! เจ็บฉิบหาย” ผมสะบัดแขนออกจากการจับกุมของเพื่อนๆ มัน ยืนเชิดหน้ารอการเอาคืนอย่างไม่กลัว บอกเลยว่าเวลานี้ผมไม่คิดจะกลัวอยู่แล้ว

“จะต่อยก็เข้ามา กูไม่กลัวมึงหรอก!!” ผมตะคอกเสียงดัง

“หึ....กูไม่อยากต่อยเด็กให้เสียมือกูหรอกจะบอกให้นะ คนอย่างกูไม่คิดลอบกัด ถ้าจะทำกูทำตรงๆ แบบนี้”

ผลัวะ!!

ผมถูกชกจนล้มเพียงแค่หมัดเดียวของมันทำให้ผมมึนและงงได้จนต้องสะบัดหน้าไล่ความมึนออกไปและลุกขึ้นไปเผชิญหน้ามันอีกครั้ง

“อะไรที่มึงยัดเยียดให้กู ถ้ากูไม่ได้ทำ กูไม่รับ!!”

“ถุย!! กูไม่เชื่อมึงหรอก!!”

ไอ้พี่หนูมันตบแก้มผมเบาๆ ก่อนจะบีบมันอย่างแรงจนผมต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ถึงแม้ว่าผมจะพยายามแกะมือมันออกจากหน้ามากแค่ไหนก็ตาม

“จะเชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของมึง!! แต่กูไม่ได้ทำนั่นคือความจริง” มันปล่อยมือออกอย่างแรงจนใบหน้าของผมหันไปตามแรงที่ปล่อย ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ต้องเป็นมันสิ มันโกหกแน่ๆ ใช่ มันต้องโกหก

“อ้อ......ระวังเพื่อนมึงให้ดีก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่ารุ่นพี่อย่างกู ไม่เตือน!!!”

ผมมองตามหลังของไอ้พี่หนูอย่างไม่เข้าใจ มันหมายความว่าไง มันจะทำอะไรไอปา นี่แค่กูคนเดียวไม่พอเหรอวะ ผมเดินเข้าไปด้านในอย่างหัวเสีย ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งเจ็บแผลที่มุมปาก ไหนจะไอประโยคที่มันทิ้งท้ายไว้อีก ผมไม่อยากจะคิดเลย ปวดหัว

แต่เรื่องใหม่ก็เข้ามาหาผมจนได้ เพราะแค่ไม่หย่อนก้นลงนั่งที่ไม่นานผมก็ถูกเรียกเข้าไปในห้องของพี่อาร์ต อีกรอบ ต่างกันแค่ว่าคราวนี้ มีไอพี่หนูมันเข้าไปด้วย สงสัยมันจะเอาเรื่องที่ผมต่อยมันไปฟ้อง เหอะ!!

“เอาล่ะ ผมจะถามสั้นๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับคุณหนู” พี่อาร์ตหันไปถามไอ้พี่หนูที่ยืนเต๊ะท่าราวกับไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ว่าแต่ ไอ้ที่พี่อาร์ตเรียกพี่หนูมันดูสาวยังไงไม่รู้สิ ตัวอย่างกับควายเรียกคุณหนู

“ก็ไม่มีอะไร กูกัดกับหมามา แค่นั้น” มันหยักไหล่ราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ที่น่าแปลกใจคือ ผมนึกว่ามันจะเป็นคนที่มาฟ้องเสียอีก

“แน่ใจนะครับ”

“งั้นสิ หรือมึงอยากให้กูกัดกับมึง” พี่อาร์ตยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ทั้งๆ ที่สีหน้ามีแต่ความขบขัน อะไรกันวะ???

“แล้วมึงละนก เกิดอะไรขึ้น?”

“ผมโดนหมากัด แค่นั้นครับ” หึ หมามาก็หมากลับ ผมเหลือบตาไปมองหน้าไอ้พี่หนูที่กัดฟันกรอดๆ อย่างสะใจ

“ดีจังนะ คนหนึ่งกัดกับหมา อีกก็โดนหมากัด แหม.....สงสัยจะหมาตัวเดียวกัน” ผมและพี่หนูสะดุ้งเมื่อพี่อาร์ตเน้นคำว่าหมาจนดูจงใจจะกัดเราทั้งคู่

“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม กูจะได้ไปทำงานต่อ” พี่อาร์ตพยักหน้า นั่นแหละครับพี่หนูถึงได้เดินปึงปังออกไป

“กูไม่ได้โง่จนดูไม่ออก แต่ก็จะไม่คาดคั้นอะไร แต่จะทำอะไรก็คิดหน่อย ถ้ามึงตกงานไปจะทำยังไง”

“ครับพี่” ผมก้มหน้ารับผิด ผมรู้ว่าพี่อาร์ตเตือนเพราะเป็นห่วง

“ไปทำงานต่อเถอะ กูไม่มีอะไรแล้ว”

ผมเดินออกมาเพื่อทำงานต่อ ผมรู้ดีว่าตัวเองผิดที่ไม่รู้จักอดทนและรู้สึกผิดที่ต้องเอาเรื่องปวดหัวพวกนี้มาเป็นปัญหารกสมองให้พี่อาร์ตเพิ่ม พวกพนักงานคนอื่นๆ ก็เริ่มซุบซิบกันแต่เรื่องของผมกับพี่หนู ส่วนใหญ่จะหาว่าผมพาลที่ไม่ได้ถูกเลื่อนตำแหน่งก็เลยไปหาเรื่องพี่หนูแทน เอาเถอะครับ ผมเองคงไม่สามารถไปห้ามความคิดใครได้ ใครอยากคิดอะไรก็คิดไป สบายใจก็ทำ ผมเบื่อที่จะต้องสนใจอะไรที่ไม่ใช่ตัวผมแล้ว



50%




ต้องขอบอกว่า เราดีใจมากๆเลยค่ะที่มีคนมาคอมเม้นและยาวด้วย (ฮ่าๆ) ก่อนอื่นแมวต้องบอกก่อนว่า ขอบพระคุณมากค่ะที่เข้ามาอ่านนิยายไร้สาระของแมว ซึ่งจริงๆเรื่องนี้ไม่มีสาระหลักแหล่งอะไรเลยค่ะ มันขายความบ้า ความโง่ของอีนกล้วนๆ โปรดอย่าคาดหวังอะไรจากมันเลยนะคะ แหะๆ เพียงแต่ว่า เราน้อมรับทุกคำติชมและความหละหลวมบางประการที่ได้แจ้งเรามา แต่นะ ไม่ได้จะขัดแต่อย่างใด แมวต้องขออธิบายก่อนว่า สำหรับบางคน ซึ่งย้ำนะคะว่า บางคน การที่คบเพื่อนมาในระยะเวลา 2-3ปี ก็ถือว่านานแล้ว (ไม่ๆ ไม่ใช่แมวน้าา) แต่คนแบบนี้มีจริงๆค่ะ ระยะเวลาและคำว่านานหรือไม่ต้องอยู่ที่หลายปัจจัย อย่างที่แมวบอกไปตั้งแต่ต้นนิยาย นกเป็นคนไร้เพื่อนค่ะ เป็นคนที่ไม่มีใคร(แม้แต่แฟน) เขาจึงมองว่า ระยะเวลาที่คบกับปามา มันอยู่ในระดับที่สามารถใช้คำว่านานได้ แต่ส่วนอื่นๆ ขอให้รอลุ้นกันก่อนน้าา อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ใช่ แต่แมวรับรองว่า แมวมีคำตอบให้แน่นอนจ้า ตอมเม้นมาเถอะ ยาวๆ สั้นๆ แมวขอแค่ได้เห็นก็ดีใจจนน้ำตาไหลแล้วค่ะ เม้นด่าก็ได้ เม้นมาโลดดดด~

แมว : ทำไมต้องทำร้ายน้องคะหนู! /รูดไม้เรียว

หนู : เฮ้ยๆ มันต่อยผมก่อนนะ มันต่อยผมตีมันดิ ตีมัน!

นก : ฮึก แม่ครับ พี่หนูต่อยผมเจ็บมากเลย แง๊

แมว : รังแกน้องใช่ไหม ฮึ่มมมม เพียะๆๆๆ

หนู : อ๊ากกก เจ็บนะแม่ อย่าตีโผมมมมมม

นก : คิกๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ

#ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่3. นกก็นกอีกแล้ว 50% up. 22/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 22-10-2019 23:33:48
คนเราเวลาบอกว่า ไม่คิด เราโอเค เอาเข้าจริงๆก็ไม่โอเคกันทั้งนั้น ขนาดน้องนกยังหลุดเลย

แต่น้องนกยังไม่น่าเป็นหัวหน้าใครได้นะ คือเอาจริงๆมันต้องมีความเป็นหัวหน้าในบุคลิกด้วย แต่น้องแบบว่ายังไม่มีตรงนี้อะ อาจจะเป็นส่วนนึงที่ทำให้นกหรือเปล่า?

แต่ถ้าเฉลยว่าเป็นปาที่ดึง น้องน่าจะโกรธมาก แต่ปาคงมีเหตุผลที่ดี(ถ้าเขาทำจริงๆอะนะ)

หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่3. นกก็นกอีกแล้ว 100% up. 25/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 25-10-2019 13:20:30
ในที่สุดเวลาที่ผมจะพักผ่อนก็มาถึงเสียที เมื่อนาฬิกาบอกเวลา5โมงเย็น และแน่นอนทุกคนทยอยเก็บของลงกระเป๋ากลับบ้านหรือบางคนอาจจะออกไปหาความสนุกส่วนตัว แต่ผมพยายามเก็บของให้ช้าที่สุดเพราะไม่อยากเห็นสายตาของใครที่มองมาที่ผม และไม่อยากจะได้ยินเสียงซุบซิบนินทาที่ผมแน่ใจว่าเขาคงไม่ได้อยากให้ผมได้ยิน แต่ผมดันได้ยินไง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เสียงกล่าวหาของใครๆ มันอยู่ที่ว่าผมทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมากกว่า จากคนที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของใครกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมา โดยที่ผมเองไม่ได้ต้องการมันเลยแม้แต่น้อย ผมอยากกลับไปไร้ตัวตนเหมือนเดิม เพราะแบบนั้นมันสบายใจสำหรับผมมากกว่า

“ไอ้นก!!! รอกูด้วย แฮกๆ”

ผมหันไปมองไอ้ปาที่วิ่งกระหืดกระหอบมาทางผมด้วยท่าทีเร่งรีบ เดาว่ามันคงเดินหาผมจนทั่วแน่ๆ

“ว่าไงวะ”

“ไปแดกเหล้ากับกูไหม เดี๋ยวกูเลี้ยง” ไอ้ปากอดคอผมเหมือนอย่างที่เคยทำตลอดมา

“เอางั้นก็ได้ กูไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”

ผมตอบตกลงกับมันไปเพราะอย่างที่ผมบอก กลับไปผมก็ไม่มีอะไรทำนอกจากนั่งร้องไห้อย่างเจ็บใจ ผมเชื่อว่าพอกลับถึงห้องน้ำตาผมคงไหลออกมาแน่นอน

“งั้นปะ......ไปรถกู เดี๋ยวกูพาไปส่ง” ไปส่ง!! ให้ตายเถอะครับ ความทรงจำเมื่อคืนดันย้อนเข้ามาในสมองผมเสียได้ แค่ง่วงมันยังแทบพาผมไปตาย ถ้ามันเมานี่ผมไม่ตายไปแล้วเหรอครับ

“เฮ้ย.....กูกลับแท็กซี่ก็ได้!!” กูกลัวตาย

“จะเสียเงินกลับแท็กซี่ทำไมวะ รถกูก็มี”

“ไม่เอา เดี๋ยวกลับไม่ถึงบ้าน” ไอ้ปาชะงัก ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ จนผมต้องผงะหนี

“ทำไมครับ กลัวตื่นมาแล้วอยู่บ้านพี่เหรอ”

ผมส่ายหน้าไม่สนใจไอ้ปาที่หยักคิ้วหลิ่วตาจนน่าเตะให้หน้าหงายด้วยความหมั่นไส้จริงๆ มีอย่างที่ไหนกับเพื่อนกับฝูงเล่นหน้าเล่นตา

“เปล่า......กูกลัวว่าจะตื่นข้างทางมากกว่า”

ถึงแม้ผมจะพูดแบบนั้นแต่ก็เดินนำมันไปที่ตัวรถคันสวยของมันอยู่ดี ก็แหม....วันนี้ผมเครียดนี่ครับ ขอปลดปล่อยบ้างอะไรบ้างสิ เหล้านี่แหละครับตัวปลดปล่อยชั้นดี โดยมีเสียงไอ้ปาลอยมากับสายลม

“หึ....ข้างทางคงไม่ แต่ถ้าข้างๆ กูอะ ไม่แน่”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
แสงสีเสียงกระหึ่มจนเวลาที่จะคุยกันต้องตะโกนใส่หน้าใส่หูกันแทน ผมไม่ค่อยได้มาที่แบบนี้บ่อยนัก เพราะล่าสุดที่มาก็ตอนที่เลี้ยงสายรหัสกัน ครับสายรหัส น้องรหัสที่แย่งแฟนผมนั่นล่ะ ผมมองไปรอบๆ ตัวที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่สนุกสนานเฮฮาเต้นแร้งเต้นกากันไปตามเสียงดนตรี ส่วนผมกับไอ้ปาเพียงนั่งกันที่โต๊ะเท่านั้น แต่อย่างที่รู้ครับ หน้าตาแบบมันดึงดูดสาวๆ เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ตอนนี้

“คิกๆ พี่ปานี่ตลกจังเลยค่ะ คาร่าชอบ”

สาวสวยปากแดงใช้แขนคล้องคอของไอ้ปาดึงให้ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงคืบเท่านั้น เพียงลมหายใจที่ปัดผ่าน

“หึหึ พี่ก็ชอบ ก็คาร่าสวยขนาดนี้” ไอ้ปาใช้ความเร็วของมันแตะจมูกลงบนแก้มสีชมพูสวย จนคาร่าฟาดมือลงบนแขนของไอ้ปาเบาๆ แล้วจะตีทำไมฟะ!! ส่วนผมกระดกแต่เหล้าเข้าปากไม่สนใจอะไรอีก

“บ้าจริง พี่ปาก็...อายเพื่อนพี่บ้างสิคะ”

“ตามสบายเลยคร๊าบบบบ”

ผมตอบน้องคาร่าที่ลอบมองผมอย่างเขินอาย ก่อนจะหันไปกระซิบที่ข้างหูของไอปาและพากันเดินออกไป

“เดี๋ยวกูมานะ รอนี่”

ผมพยักหน้ารับทราบ จะให้กูไปไหนวะ กูรอมึงจ่ายตังค์แล้วพากูกลับบ้านนี่แหละ สรุปแล้วมันพาผมมาปลดปล่อยความทุกข์ หรือมันพามารอมันปลดปล่อยอารมณ์กันแน่เนี่ย

ผมยังคงดื่มด่ำกับรสสุราที่แรกๆ มันขมแต่พอเราเคยชินมันก็ไม่ขมอีก ซึ่งผมก็เป็นเช่นนั้น ผมยกขึ้นดื่มเรื่อยๆ รอเวลาให้ไอ้ปามา แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นมาเสียที รอจนผมเริ่มจะมึนๆ แล้วด้วยซ้ำ

“อะ อ้าว! นกนี่ มาคนเดียวเหรอ”

ใครทักกูวะ! ผมหันไปมองหน้าของเจ้าของเสียงหล่อเหล่าที่แต่งตัวด้วยเชิดสีน้ำเงินเข้มที่ปลดเพียงกระดุมเม็ดบนสองเม็ดกับกางเกงสีดำแนบตัว แขนเสื้อที่ถูกยกขึ้นจนถึงข้อศอกทำให้เห็นนาฬิกาข้อมือสุดหรูของเจ้าตัว เด็กเสริฟนี่มีเงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“หวัดดีชาย นั่งก่อนๆ” ผมขยับเลื่อนเก้าอี้เชื้อเชิญให้อีกคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ได้นั่งลง

“แล้วทำไมมาอยู่นี่คนเดียวล่ะ ไอปาไปไหนล่ะ” ชะเง้อจนคอจะยาวเป็นยีราฟแล้วนั่น

“ไปเยสาว เห็นพากันเดินไปทางนู้นนนนนนน” ต้องปากจู๋ด้วยนะครับ แล้วมันไม่เชื่อ แต่ผมกลับโดนชายหัวเราะใส่แทน

“ฮ่าๆ เหรอๆ มันก็แบบนี้ประจำแหละ แล้วนกไม่ไปบ้างเหรอ” มันส่ายหน้าเร็วๆ จนแว่นร่วงลงมาอยู่ที่ปลายจมูก ผมจึงยกมือขึ้นมาดันแว่นตาขึ้นจนสุด

“ไม่ไปหรอก สาวๆ ไม่ชอบหนุ่มเนิร์ด”

“อืม~ งั้นเดี๋ยวเรานั่งเป็นเพื่อนนกดีกว่าเนอะ หรือไม่ดี”

“ดีๆ มาๆ เราชงเหล้าให้” ผมรีบตอบรับก่อนจะหยิบแก้วเหล้ามาชงให้ชาย

“มาๆ กินด้วยกัน”

“ครับๆ”

ชายรับแก้วจากผมแล้วยกขึ้นจรดปาก แตะๆ แบบนั้นจะไปได้รสอะไร ต้องแบบผมนี่ แป๊บเดียวครึ่งแก้ว อา รสชาติขมๆ กับชีวิตบัดซบนี่เข้ากันดีจริงๆ

“แล้วคิดยังไงถึงมาดื่มละนก” ถามเรื่องนี้ ถ้าถามเรื่องนี้ ต้องเล่า!!!

ปัง!!

“ชีวิตเรามันเหี้ย!!! ชายเข้าใจไหม แม่ง!! อึกๆ ๆ” พูดแล้วต้องกระดกเหล้าต่อ

“อะ เอ่อ แบบไหนเหรอ”

“เราทำงานดีแสนดี ขยันขันแข็ง แต่มีคนแกล้งเรา!!! ไปบอกเบื้องบนว่าเรามันไม่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้า!!!!”

ผมเริ่มขึ้นเสียงมากขึ้นตามอารมณ์จนชายผงะหนี อะไรแค่นี้ก็ต้องหนีด้วย

“อะ อ่า”

“แล้วชายคิดว่าเรานี่เหรอที่ไม่เหมาะ หา!!!”

“ไม่เลยๆ ใครนะช่างกล้าทำ” หน้าตาชายดูไม่จริงใจเล๊ย

“เขาบอกมานะ ว่าเป็นคนที่เส้นใหญ่มาก ระงับการขึ้นตำแหน่งเรา”

พรวด!!

“แค่กๆ” ผมหันไปมองชายที่สำลักเหล้าหน้าดำหน้าแดง

“เป็นไรเปล่า เอาน้ำเปล่าไหม” ชายโบกมือปฏิเสธทั้งที่ยังไม่หยุดไอ

“ไม่ๆ อะ แค่กๆ ไม่เป็น แค่ก ไร”

“แน่ใจนะ” ชายพยักหน้ายืนยันว่าตัวเองโอเค ผมจึงหันไปสนใจเหล้าตัวเองต่อ

“แล้วนกคิดว่าเป็นใครล่ะ ที่ทำแบบนั้น”

“เราคิดว่า.....”

“อึก...” ชายมองผมอย่างลุ้นคำตอบที่จะได้จนต้องกลืนน้ำลายลงคอ

“เราว่าต้องเป็นไอ้พี่หนูแน่ๆ!!”

“...ฟู่....” เมื่อได้ยินคำตอบจากผม ชายก็ทิ้งหลังติดเก้าอี้เป่าปากอย่างโล่งใจ แล้วชายโล่งใจอะไรหว่า????

“นี่วันนี้ก็เพิ่งต่อยกันมา!! แต่แม่งก็ไม่ยอมรับว่ามันทำ แถมยังบอกให้เราระวังไอปาด้วยนะ ให้ตายสิ!! นี่มันคงคิดจะแกล้งไอ้ปาแน่ๆ”

คิดแล้วโมโหไม่หาย น่าจะต่อยมันเพิ่มอีกสักสามสี่ที ชิ! อยากระบายโว้ย หงุดหงิดๆ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ไง เลยต้องนั่งแดกเหล้าอยู่แบบนี้

“ฮะ ฮะ ไอปามันเอาตัวรอดได้ อย่าห่วงเลย” ไม่ได้ห่วง กูหงุดหงิดเฉยๆ

“ไม่รู้มันไปเยสาวหรือมันไปฉาบปูนห้องน้ำกันแน่” อยากกลับบ้าน

“ฮ่าๆ อยากกลับบ้านแล้วเหรอ ให้เราไปส่งไหมล่ะ” ผมหันไปมองชายที่ส่งยิ้มอย่างหวังดี ก็ดีเหมือนกัน เริ่มง่วงแล้วด้วยสิ

“ไม่ต้อง!!!”

“อ้าวมึง!! เสร็จแล้วเหรอวะ”

มันหันมามองผมแค่หางตาไม่นานก็หันไปมองไอ้ชายต่อโดยที่น้องคาร่าก็ยังเกาะแขนมันไม่ห่าง ชายที่ถูกจ้องด้วยสายตาดุดันถึงกับต้องยกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้

“กูเห็นว่ามึงยังไม่มา แล้วไอ้นกมันก็ง่วงกูเลยหวังดีจะพากลับ แค่นั้น”

“มึงง่วงแล้ว?” มันหันมาถามผม อะไรวะ ไม่เชื่อเพื่อนตัวเองซะงั้น

“อะ เออ แต่มึง เดี๋ยวกูกลับแท็กซี่ก็ได้นะ”

บรรยากาศมาคุชอบกล ผมล่ะไม่อยากกลับกับใครเลย แค่อยากกลับบ้านไปนอนพักแค่นั้น ไม่งั้นพรุ่งนี้ผมคงแฮงค์แน่ๆ ดูจากปริมาณเหล้าที่ผมกินไปแล้ว ไม่น่ารอด

“ไม่ต้องเดี๋ยวกูไปส่ง”

มันปลดแขนของน้องคาร่าออกแล้วมาดึงมือผมให้เดินออกไปโดยไม่ลืมวางเงินเอาไว้ให้บาร์เทนเดอร์ ผมมองคาร่าที่ยืนงุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าและหน้าตาที่กระตุกยิ้มมุมปากของชาย มันเคยรู้ตัวไหมเนี่ย ว่ายิ้มแบบนั้นทีไร หน้าตามันชวนเอาตีนไปเหยียบมาก

ไอ้ปาจับผมยัดลงในรถโดยที่ตัวเองจะเดินไปอีกฝั่งก่อนจะขับออกไป ผมกับมันต่างคนต่างก็เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของแต่ละคน ผมเห็นมือของมันที่กำพวงมาลัยแน่น ไม่รู้มันไปหงุดหงิดโมโหอะไรมา

“ไม่ได้เยเหรอวะ”

อูย......ดูเหมือนผมจะถามผิดหรือยังไงไม่รู้เพราะมันเหวี่ยงสายตาใส่ผมเสียอย่างนั้น อะไรของผม ผมแค่อยากจะถามเพื่อทำลายความเงียบ เห็นมันหงุดหงิดก็นึกว่าไม่ได้เย

“หรือว่าของมึงไม่ขึ้นแล้ววะ”

“เสือก!!” เอ้า ไอ้สัตว์ พูดหมาๆ

“นี่กูถามมึงดีๆ ถ้าตอบกูดีๆ ไม่ได้ก็จอด เดี๋ยวกูกลับเอง!!” อารมณ์เสียฉิบหาย

เอี๊ยด!!

“อยากกลับเอง หรือมึงจะโทรให้ใครมารับกันแน่!” ผมหันไปมองหน้ามันอย่างไม่อยากเชื่อ

“นั่นมึงคิดแล้วเหรอปา ไอ้ที่มึงพ่นออกมาจากปากนี่มึงใช้สมองคิดแล้วใช่ไหม!!”

“....”

“กูนั่งรอคนเดียวอยู่ที่โต๊ะ! รอมึงพาสาวไปเย จากนั้นกูต้องมารองรับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของมึง!!”

“....”

“แบบนั้นใช่ไหมปา กูต้องมาเจอแบบนี้ใช่ไหม!!!” ผมแม่งตลกตัวเองฉิบหาย รอเพื่อนกลับมาพูดจาเหี้ยๆ ใส่ เออดีจริงๆ

“นก คือกู...”

“พอเถอะวะ วันนี้กูเหนื่อยมากพอที่จะคุยกับมึงแล้ว”

“แต่..”

“มึงรู้ป่ะ กูรอคุยกับมึง รอระบายให้มึงฟัง รอแล้วก็รอๆ ๆ แต่สิ่งที่กูได้จากการที่กูรอ คือมึงที่มาใส่อารมณ์กับกู ทั้งๆ ที่กูไม่ได้ผิดเหี้ยอะไรเลย!!!”

หมับ!

“กูขอโทษ”

ไอ้ปาดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้จนจมอก พร้อมกับกระซิบคำขอโทษเบาๆ ไม่มีใครเข้าใจผมหรอก ว่าการที่ต้องมาเจอเรื่องเหี้ยๆ ในวันเดียวกันมันแย่แค่ไหน เพื่อนที่เราคิดว่าเขาจะรับฟังเรา กลับกลายเป็นมานั่งให้มันด่าแบบนี้ บางทีผมก็อยากจะร้องไห้เหมือนกันนะครับ

“ปล่อย..”

ผมพยายามดันอกมันออก แต่ไอ้ปามันฝืนไม่ยอมปล่อยผมออกจากอ้อมแขน ความอบอุ่นจากวงแขนมันทำให้ความเข้มแข็งที่ผมพยายามมาทั้งวันได้พังทลายลงจนน้ำตามันเอ่อล้นออกมา

“ปล่อยกู ฮึก ปล่อย”

“ขอโทษ ขอโทษนะนก ปาขอโทษ”
มันแย่ ที่ความรู้สึกของผมทั้งหมดมันถูกอ้อมกอดที่กอดผมอยู่ตอนนี้ทำให้มันต้องไหลรินออกมา ผมไม่ได้อยากแสดงความอ่อนแอแม้สักนิด ผมไม่ใช่คนที่ควรจะอ่อนแอแบบนี้ แต่ไม่รู้ทำไม เพียงแค่มันกระซิบขอโทษผมเบาๆ มันก็ทำให้ผมต้องปล่อยทุกอย่าง

“ฮื่ออ ฮึก ฮื่อออ”

ปาไม่พูดอะไรอีก ได้แค่ขอโทษผมซ้ำๆ กอดรัดร่างกายผมจนแน่นแต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรมากมาย การที่มีเพื่อนเวลาร้องไห้นี่ดีจังนะครับ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาผมมักจะร้องไห้คนเดียวมาเสมอ ถึงจะมีสายรหัสตอนอยู่มหา’ ลัย มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมมีเพื่อนมากขึ้นมา คนส่วนใหญ่มองผมที่ภายนอก เขาไม่เคยมองเห็นเลยว่าภายใต้แว่นตา ภายในหัวใจผมเป็นเพียงแค่คนคนหนึ่งที่อยากมีความสุข อยากเป็นคนที่ทุกๆ คนยอมรับ ไม่ใช่คนที่ใครจะเห็นเมื่อมีประโยชน์ หรือแค่เพราะผมเป็นตัวประหลาด แต่ไอ้ปาเป็นคนที่คบผมโดยไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกของผมด้วยซ้ำ ไม่สนใจว่าคบกับผมแล้วจะถูกมองแบบไหน นั่นทำให้ผมมีมันเพียงคนเดียวที่เป็นเพื่อน

ในใจผมตั้งคำถามของผมตั้งคำถามทุกครั้งที่มองไปยังกลุ่มของเพื่อนคนอื่นๆ การคบกันเป็นเพื่อนมันต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ผมขาดคุณสมบัติข้อไหนหรือเปล่าถึงต้องนั่งกินข้าวคนเดียว ต้องนั่งอ่านหนังสือคนเดียว ต้องพยายามทุกๆ อย่างเพียงคนเดียว จะเป็นเพื่อนกันรูปลักษณ์แบบไหนที่ผมควรจะมี ถึงจะมีเพื่อนอย่างคนอื่นๆ เขา ผมไม่เคยเข้าใจเลยสักอย่าง เพราะผมโง่อย่างนั้นเหรอ ไอ้ปาบอกเสมอว่าผมโง่ ถ้าผมโง่.....ทำไมผมเจ็บปวดที่ใครๆ มองผมด้วยสายตาเหยียดหยาม ทำไมผมถึงเจ็บปวดทุกครั้งที่มีคนหัวเราะเยาะ ทำไมผมถึงเจ็บปวดทุกครั้งที่ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ๆ ผม ผมอยากโง่นะ อยากโง่จนไม่ต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ มันคงจะดีกว่า ถ้าผมไม่ต้องรับรู้มัน หรือผมไม่ควรเดินอยู่ในสังคม

“มึงระบายกับกูได้.....กูรับฟังมึงทุกอย่าง ขอโทษที่กูหงุดหงิดใส่มึง มันจะไม่มีอีก”

“ช่างมันเถอะ ฮึก กูไม่อยาก ฮึก พูดถึงมันอีก” ผมปล่อยให้มือของไอปาปาดไล่น้ำตาบนใบหน้า อย่าถามเลยว่าทำไมผมถึงยอม ถ้าหากใครอยู่ในจุดที่มีเพียงคนเดียวที่ยอมรับผมเป็นเพื่อน เรื่องแค่นี้ไม่ยากเลยถ้าจะให้อภัย

“บอกกูหน่อย ทำไมปากมึงช้ำแบบนี้” ปลายนิ้วของปาสัมผัสเบาๆ ราวกับกลัวว่าผมจะเจ็บ

“มีเรื่องกับไอ้พี่หนูมันนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก กูก็เป็นลูกผู้ชาย ต่อยตีกันมันต้องมีบ้าง” พ่อผมบอกเสมอ เกิดเป็นลูกผู้ชาย อย่ากลัวโดนต่อย ความเจ็บปวดจะสอนให้เรายืนขึ้นได้

“มันทำอะไรมึง หรือมันพูดจาหาเรื่องมึง” ผมส่ายหน้า

“ไม่ใช่หรอก กูคิดว่ามันเป็นคนสั่งระงับการเลื่อนตำแหน่งของกู กูเลยเข้าไปซัดมันก่อน” ไอ้ปาชะงักไปเล็กน้อยโดยที่ผมไม่ได้สนใจ

“แล้วมันว่ายังไง ยอมรับไหม”

“ไม่.......แต่มันเตือนกูมา”

“.....” ไอ้ปามองหน้าผมนิ่ง จนเป็นผมเองที่ต้องกัดปากระงับการสั่นของตัวเอง

“มันบอกว่า ให้ระวังมึงไว้ให้ดี”

“หึ!!” ไอ้ปามันยกยิ้มราวกับขบขันเรื่องที่ผมพูด

“ปา กูไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับมัน พี่มันอาจจะแกล้งมึงต่อจากกูก็ได้ กูไม่อยากให้มึงมีปัญหา ถ้ามึงโดนไล่ออก แล้วกูจะทำยังไง” ผมไม่อยากอยู่คนเดียว

“อย่าห่วงไป กูไม่โดนไล่ออกง่ายๆ หรอก”

“แต่มัน......พี่มัน....” ให้ตายสิ ผมพูดไม่ออก

“กูรู้จักมันดี กูรู้ว่ามึงห่วงเรื่องเส้นของมัน” ผมเม้มปากแน่น ใช่ นั่นแหละที่ผมเป็นห่วง

“....”

“แต่มันไม่กล้ามายุ่งกับกูหรอก เชื่อสิ มันสู้กูไม่ได้หรอก”

“มึงจะแน่ใจได้ยังไง” ผมหันไปสบตากับไอ้ปา

“กูเคยพูดอะไรออกมาโดยที่กูไม่มั่นใจเหรอ” ไม่เคย ผมส่ายหน้าและไอ้ปาก็ส่งยิ้มมาให้ผม

“เพราะงั้นเลิกเป็นห่วงกูได้เลย กูอยู่นี่แหละ ไม่ไปไหนหรอก”

“ฮึก มึงก็รู้ ว่ากูมีมึงแค่คนเดียว แล้วถ้าหาก ถ้าหาก....” อึก ถ้าหากว่ามึงต้องไปล่ะ ผมคงทนไม่ได้

“หึหึ นก มองหน้ากูสิ”

ไอ้ปาจับใบหน้าของผมขึ้นมาให้สบตากับมัน แววตาที่มุ่งมั่นและมั่นคงส่งตรงมาที่ผม เพียงแต่แววตานั้นกลับแฝงบางอย่างเอาไว้ บางอย่างที่คล้ายความห่วงใยแต่มันดูเหมือนจะมีมากกว่า เพียงแต่ผมไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร ผมรู้แค่ผมทนไม่ได้ที่จะเสียเพื่อนเพียงคนเดียวไป ทนไม่ได้ที่จะต้องมองหน้าคนที่ทำให้เพื่อนผมต้องไป พอถึงตอนนั้น ผมจะทำยังไง ผมสบตามันด้วยแววตาสั่นระริกที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตา

“มึงอยู่ตรงนี้ ที่นี่ กูจะไปไหน กูก็ต้องอยู่กับมึงสิ”

“....” ผมเบี่ยงหน้าหนี บอกตรงๆ ผมก็ยังไม่มั่นใจ

“ถ้ากูไป ใครจะช่วยมึงเรื่องกองงานที่มึงค้าง ใครจะช่วยไม่ให้คนอื่นฝากงานมึงอีก”

“....ฮึก...”

“เห็นไหม กูไปไม่ได้หรอก และกูจะไม่ยอมไปด้วย ไม่ต้องกลัวหรอก มึงจะไม่มีทางอยู่คนเดียว”
ผมกระชับอ้อมกอดของมันให้แน่นขึ้น กลัวเหลือเกินว่าอ้อมแขนตรงหน้านี้จะหายไป ความอบอุ่นที่ผมได้รับนี้จะไม่มีอีก กลัวว่าคนตรงหน้าจะต้องไป ผมไม่อยากให้มันไป

“มึงสัญญานะ” ไอ้ปายิ้มและกระชับอ้อมแขนมากขึ้น

“กูสัญญา”

เพียงแค่คำพูดสั้นๆ แค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ผมก็มั่นใจแล้วว่าไม่ว่าพี่หนูมันจะทำอะไร ไอปาก็จะยังอยู่ตรงนี้ ไม่มีทางหายไปจากผม ไม่มีทางทิ้งผมไปให้ผมต้องอยู่คนเดียว ผมเชื่อในคำสัญญาที่มันมีให้ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมอยากจะเชื่อ อาจจะเป็นเพราะคำว่าเพื่อน ที่ทำให้ผมเชื่อมัน ไอ้ปาไม่เคยโกหก จะไม่พูดหากว่าทำไม่ได้ ถ้ามันสัญญานั้นหมายถึงมันต้องมีทางออก

“เอ้า!! เช็ดหน้าได้แล้ว กูจะพาไปส่ง” มันดันผมออกเล็กน้อยก่อนจะหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าส่งมาให้ผม

“ขอบใจ ฟึดดดด!” อา ค่อยโล่งจมูกขึ้นหน่อย

“เหี้ย!! กูให้เช็ดหน้า ไม่ใช่เช็ดขี้มูกมึง” เอ้า

“ก็กูไม่รู้ เอาน่าๆ มึงเอากลับไปซักเดี๋ยวมันก็หาย” ผมส่งยิ้มกว้างใส่มันโดยไม่สนใจว่ามันพยายามจะเอาหัวโขกพวงมาลัยรถตาย

“ห่าเอ้ย!!!! วันหลังกูจะพกผ้าขี้ริ้วมาให้มึงใช้!”

“ไม่เอาอะ เดี๋ยวเชื้อโรคเข้าโพรงจมูกกู”

“ไอ้สัตว์!!!”

การสนทนาก็กลับมาเหมือนเดิมครับ ขำขันกันไปมา ไม่มีความหงุดหงิดใส่กันอีก

ครืดดด ครืดดด

“มีไรวะ” ไอ้ปาหยิบโทรศัพท์เครื่องสวยขึ้นมากดรับสาย

“...”

“ถามทำไม” อะไรวะ มองผมด้วยสายตาแล้วตอบกลับไปแบบนั้น

“...”

“ก็เปล่า ปกติดี เออๆ”

“....”

“หึ!! ก็เอาไปดิ กูยกให้”

“....” ผมได้แต่ฟังเงียบๆ กลัวเสียมารยาท

“เออ แค่นี้นะ กูขับรถอยู่” อ๋อ....เพิ่งรู้ตัว ผมส่ายหน้าเบาๆ กับความเอาแต่ใจของมัน มันหันมามองผมอย่างสงสัย

“ไม่ถามเหรอวะ ว่าใคร”

“ไม่ใช่เรื่องของกูนี่ โทรศัพท์มึง ถ้าโทรศัพท์กูก็ว่าไปอย่าง”

มันหัวเราะหึหึในลำคออย่างพอใจ แต่ผมไม่รู้หรอกครับว่าหมายถึงอะไร มันอาจจะเห็นด้วยกับความคิดผม หรืออาจจะคิดว่ารู้ตัวก็ดีก็ได้ วันนี้เป็นวันธรรมดา ที่มีทั้งดีและร้าย ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด แค่เพื่อนทะเลาะกัน นี่แหละรสชาติของชีวิต และผมก็โอเคกับมัน อย่างน้อยๆ มันก็ไม่เหี้ยไปหมด อย่างน้อยวันนี้ก็มีคนปลอบเมื่อผมร้องไห้ อย่างน้อยๆ ........วันนี้ ก็ไม่ต้องกลับไปร้องไห้คนเดียว กัดปากเบาๆ


100%


นกลูก มาค่ะ อกแม่ว่างนะคะ มาซบอกแม่ก็ได้ โปรดวางปลาทูและของเล่นแมวด้วยนะคะที่รัก

#ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่3. นกก็นกอีกแล้ว 100% up. 25/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 25-10-2019 16:11:01
น้องนกโดนรังแกหนักมาก ไหน ใครกล้ามาแกล้งลูกแม่คะ แต่กลัวใจปาจะเป็นคนทำเกิ๊น น้องเสียใจตายเลยนะคะแบบนั้น
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่3. นกก็นกอีกแล้ว 100% up. 25/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 26-10-2019 13:44:16
ได้แต่หวังว่าปาจะเป็นคนที่ดีกับหนูนกจริงๆนะ :call:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่4. นกกับการพิสูจนฯ 50% up. 28/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 28-10-2019 13:52:13
[4]

ตอนที่4 นกกับการพิสูจน์ความกล้า


ตื่นมาอาการปวดหัวก็เข้ามารุมเร้าผม ก็แน่ละครับผมกินเหล้าไปเยอะนี่นาเมื่อคืน ไอ้ตอนที่กินเนี่ย ไม่ได้คิดหรอกว่ามันจะขนาดไหนหลังจากกินไปนี่แหละครับ ถึงได้มาคิดว่า ไม่น่าแดกเลยกู โอ๊ย......เอกสงเอกสารนี่ลายตาไปหมด ตัวอักษรกระโดดมาขี่กันทำไมวะนั่น ห่าเอ๊ย.....กูไม่น่าจะรอดแน่ๆ มีหวังได้น็อกก่อนเที่ยงชัวร์ๆ

มึนตัวที่สามร้อยหนึ่ง มึนตัวที่สามร้อยสอง มึนตัวที่สามร้อยสาม โอ๊ย ทำไมมึนเยอะวะ นี่ผมนับได้หลายมึนแล้วนะ ยังไม่หายมึนเลย

“เฮ้ออออ”

ถอนหายใจบ่อยๆ เผื่อความมึนมันจะหายไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยครับ เพราะผมก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม นี่ขนาดชงกาแฟมาดื่มเข้มๆ มันยังไม่ช่วยอะไรผมเลย ให้ตายเถอะ เมื่อเช้าถ้าไอ้ปามันไม่ไปรับผมที่ห้อง ผมจะเดินออกจากห้องถูกทางไหมดีกว่า เพราะแค่ตื่นเช้ามาเดินเข้าห้องน้ำยังไม่ถูกเลยครับถ้ามันไม่มารับ ผมคงปีนหน้าต่างออกมาทำงาน

“นก!! เป็นไงบ้าง!!”

“เมาค้างนิดหน่อยครับพี่ฝน ไม่เป็นไรครับ”

“ไม่ใช่ๆ คือ เมื่อวานเขาลือกันทั้งบริษัทเลยนะ ว่านกไปต่อยพี่หนูเพราะพาลเรื่องตำแหน่ง” อ๋อ.....เรื่องนี้เอง ผมมองหน้าพี่ฝนที่มีสีหน้าเป็นกังวล

“ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค”

ผมได้แต่ส่งยิ้มเพื่อยืนยันให้พี่ฝนเห็นและสบายใจว่าผมไม่เป็นไรจริงๆ บางทีเราก็ต้องทำตัวเก่งไม่ให้ใครเห็นความอ่อนแอนะครับ และผมมักจะเป็นคนแบบนั้นบ่อยๆ

“แน่ใจนะ ไม่อยากเล่าให้พี่ฟังเหรอ” อ๋อ...ที่แท้ก็อยากได้เรื่องเผือก ผมได้แต่กลอกตาไปมา เอาที่พี่สบายใจเลยครับ

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับพี่ ผมโอเคดี”

พี่ฝนทำหน้าเสียดายแต่ก็ยอมเดินกลับไปที่โต๊ะแต่โดยดี เสียดายอะไรวะ

หลังจากที่พี่ฝนเดินจากไป ผมก็ทำงานของตัวเองต่อโดยไม่ได้สนใจคนรอบข้างอีกเลย เพราะทุกคนก็คงไม่พ้นซุบซิบนินทาเรื่องของผมอีกเหมือนเดิม ถ้าผมไม่สนใจทุกคำพูดกำอะไรผมไม่ได้ ถ้าผมไม่มองสายตาพวกนั้นก็ไม่ทำให้ผมต้องเจ็บปวด เห็นไหมครับ ถ้าไม่สนใจเสียอย่างเราก็ไม่เป็นอะไร แต่ความเป็นจริง ใครบ้างครับที่ได้ยินเสียงนินทาตัวเองแล้วจะไม่สนใจจะฟัง ใครบ้างครับที่มีคนมองมาแล้วไม่สนใจสายตาพวกนั้น ไม่มีหรอกครับ ทุกคนย่อมเลือกความเจ็บปวดอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าเจ็บ ก็เลือกที่จะเก็บมันมาใส่ใจอยู่ดี ผมก็คนธรรมดา ทุกๆ เสียงนินทาและทุกๆ สายตา ผมไม่สามารถปัดมันออกจากวงกลมของความสนใจได้ ไม่ได้จดจ่อแต่ก็รับรู้ เหมือนอากาศที่แทรกซึมเข้าสู่ปอด เหมือนน้ำที่ค่อยๆ ซึมลงบนทราย เหมือนความเจ็บปวดที่ค่อยๆ ฝังลึกลงไปในใจของผม

“เอาล่ะๆ หยุดมือแล้วฟังทางนี้หน่อย!!!”

ทุกสายตาเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารตรงหน้ามองตรงไปยังร่างผอมบางของพี่อาร์ตที่ยืนเป็นจุดสนใจอยู่กลางห้องด้วยท่าทางสุดจะเก๊กตามแบบฉบับของพี่มัน

“มีอะไรเหรอค้า หรือจะปรับเงินเดือนให้พวกเรา” เสียงโห่ร้องสนับสนุนดังสนั่นจนผมต้องยกมือขึ้นปิดหู

“ดูปากกูๆ ชาติ-หน้า”

ครับ ทุกสายตาก็ไปกองรวมอยู่ที่ปากแดงๆ ของพี่มันที่ขยับแต่ไม่ออกเสียงออกมา แต่ก็เรียกเสียงโห่ร้องได้ดังยิ่งกว่า

“เลิกเล่นๆ วันนี้เลิกงาน ฝ่ายบริหารจัดทริปพิเศษไว้ให้พวกเรา ใครสนใจบ้าง” ยกมือกันให้พรึบ ไม่มีหน้าไหนไม่ยกหรอกครับ ของฟรีนี่

“นี่พวกมึงไม่คิดจะถามเลยเหรอว่าจัดที่ไหนยังไง”

“ไม่!!!” พร้อมใจกันตอบราวกับนัดกันมา

“เออ!! ดี งั้นเลิกงานแล้วพวกมึงไปขึ้นรถตู้กันให้หมดนะ ถ้าไปถึงที่หมายแล้วใครคิดจะกลับ ซองขาว!!!”

สะดุ้งกันยกใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาพอลับหลังพี่อาร์ตเสียงซุบซิบเรื่องทริปพิเศษก็กระหึ่มดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งห้อง ส่วนผม.....เหมือนเดิมครับ ไม่มีใครคบได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาทำงานไม่คุยกับใคร เกิดเป็นไอ้นกก็แบบนี้ ลำบากลำบนก็ต้องอดทนครับทำไงได้ ส่วนคนอื่นๆ ก็หัวเราะคิกคักๆ สนุกสนานกับเรื่องที่คุยกันอย่างเมามัน บ้างก็คุยกันว่าเขาจะเลี้ยงอะไร บ้างก็คุยเกี่ยวกับหนุ่มๆ แผนกอื่นๆ ที่อาจจะไปกับเรา ซึ่งยังไม่รู้เลยว่าเขาจะไปกันหรือเปล่า

และเวลาก็ล่วงเลยไป..........

5 โมงเย็น

ทุกคนต่างมีความสุขและลุ้นไปกับทริปที่จะเกิดขึ้น ผมเริ่มเก็บของเพราะกลัวเหลือเกินว่าพวกเขาจะไม่รอผม ก็ผมมันเป็นส่วนเกินนี่นา ถ้าเขาไม่สนใจผมคงไม่ได้ไป คิดไปก็หดหู่จริงๆ

“นก! เสร็จยังวะ!!” เสียงไอ้ปาเร่งผมเมื่อเห็นว่าทั้งห้องเหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังไม่ไปเสียที

“เออๆ เสร็จแล้ว” ผมหยิบกระเป๋าขึ้นมาก่อนจะเดินไปหาไอ้ปาที่ยืนรออยู่

“มึงนี่ชักช้าจริงๆ”

“ก็ไม่ต้องรอกูดิ” ก็กัดฟันพูดไปแบบนั้นล่ะครับ จริงๆ ดีใจจะตายห่าที่มันมารอ

“หึ.....เอากระเป๋ามา เดี๋ยวกูถือให้”

“เฮ้ย!! ไม่เป็นไรๆ มันไม่ได้หนัก กูถือได้”

“เออ เอามาเหอะ”

มันฟังผมที่ไหนครับสุดท้ายมันก็แย่งจากมือผมไปถืออยู่ดี ผมได้แต่ส่ายหน้ากับความเอาแต่ใจตัวเองของมัน จริงๆ เลย

ผมและไอ้ปารีบเดินไปยังตัวรถตู้ที่จอดรอโดยมีสาวๆ โบกไม้โบกมือเรียกไอ้ปายิกๆ นี่ถ้ากระโดดมาคาบคอมันขึ้นรถได้คงทำไปแล้วล่ะครับ ไอ้ปากลับเพียงแค่ส่งยิ้มให้เท่านั้นแต่มือมันสิครับคว้าแขนผมแล้วลากให้เร่งเดินไปกับมันซะอย่างนั้น

“แหม....น้องปา มาช้าจังเลยนะคะ พี่รอตั้งนาน”

“ผมไปรอไอ้นกมันมาน่ะครับเลยช้าไปหน่อย” ไอ้ปามันตอบเนิบๆ อย่างไม่ได้สนใจอะไรมากมาย

“พิรี้พิไรอะไรหนักหนาวะ จะไปไม่ไป คนอื่นเขารอกันทั้งคัน!!!” ปากหมาแบบนี้ก็มีแค่ไอ้พี่หนูมันนั่นแหละ ผมไม่ติดใจอะไรหรอก ติดใจมากๆ เดี๋ยวได้มวยกันอีก

“หึ.....ถ้าปากไม่ได้มีไว้พูดเรื่องดีๆ ก็ควรเก็บไว้กินข้าวดีกว่านะครับ” แต่ไม่ใช่กับไอ้ปา

“มึง!!” ไอ้พี่หนูชี้หน้าไอ้ปาด้วยความโกรธ

“ไอ้ปา พอเถอะมึง” มือผมกระตุกเสื้อเพื่อเตือนมัน
“หรือปกติพี่กินหญ้าล่ะครับ”

“ไอ้เหี้ยปา!!!!”

ผมกลัวมากเลยครับกับสถานการณ์ตอนนี้ที่มีผู้ชายร่างยักษ์สองตัว เอ๊ย สองคนยืนจ้องหน้ากัน คนหนึ่งมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อส่วนอีกคนมองด้วยรอยยิ้มที่เรียกตีนสุดๆ

“มีอะไรกัน ขึ้นรถได้แล้ว!!” พี่อาร์ต!! โอ๊ย.....ฮีโร่ผู้สยบสถานการณ์ร้ายของโผ๊มมมมม เพราะมีแต่พี่อาร์ตนี่ล่ะครับที่จะกล้าบุกฝ่าดงสงครามระหว่างพี่หนูและไอ้ปาได้ หลังจากที่มีผู้มาสยบสงครามได้ผมและไอ้ปาเดินขึ้นรถไป ไอ้ปาถูกสาวๆ ดึงไปนั่งตรงแถวที่สองซึ่งมีที่ว่างอยู่สองที่

“ไอ้นก! มานั่งสิ” ไอ้ปากวักมือเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ

“เอ่อ..”

“โอ๊ย...ไม่ได้หรอกค่ะพี่ปา ตรงนี้ที่ของเหมยเขา พี่นกไปนั่งที่อื่นแล้วกันนะคะ” แล้วผมจะหน้าด้านหน้าทนไปนั่งหรือครับ

“เฮ้ยไม่เป็นไรๆ กูไปนั่งข้างหลังสบายกว่า”

ผมเดินหนีหลบสายตาของสาวๆ ที่ทำให้ผมอึดอัด คนเขาไม่อยากให้นั่งก็อย่าไปนั่งสิ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ผมนั่งคนเดียวก็ได้สบายใจกว่าด้วย ผมเลือกที่จะนั่งติดหน้าต่างหลังสุดเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงทุกๆ คนผมไม่เหงาหรอก ก็ผมมีวิวข้างนอกเป็นเพื่อนไงครับ แต่อยู่ๆ เบาะข้างๆ ผมก็ยวบลงจนผมต้องหันไปมอง

“มึงว่าพี่เขาจะพาเราไปไหนกันวะ” ไอ้ปา....
ผมมองมันที่นั่งเก๊กหน้าหล่ออยู่ข้างๆ อย่างไม่เชื่อสายตา ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเลือกมาข้างผมมากกว่าจะนั่งกับสาวๆ นั่นทำให้ผมดีใจจนต้องระบายรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า

“มึงมานั่งกับกูไม่เป็นไรเหรอวะ” ไอ้ปาหันมามองผมที่หันใบหน้าไปอีกด้านไม่ยอมมองหน้ามัน กลัวมันจะเห็นว่าผมยิ้มอยู่

“ที่ว่างมีเยอะแยะ กูอยากนั่งตรงไหนก็นั่ง”

“...” นั่นสิครับ ที่ก็ว่างตั้งเยอะแยะ

“กูอยากนั่งข้างมึง..........กูก็มานั่ง จริงไหม” ไอ้บ้าเอ๊ย!! กระซิบทำไมวะ แม้ว่าประโยคที่เอ่ยออกมาจะเป็นเหมือนประโยคคำถาม แต่ผมไม่ตอบหรอกครับเพราะดูแล้วตอบยังไงก็เข้าตัวอยู่ดี แล้วทำไมหน้าผมมันร้อนผ่าวขึ้นมาง่ายๆ กับคำพูดแค่คำเดียวของไอ้ปาด้วย ผมไม่เข้าใจตัวเองเลย

หลังจากรถออกจากบริษัทมาสักพักผมกับไอ้ปาก็ได้แต่คุยสัพเพเหระกันอย่างออกรส โดยที่มีสาวๆ เดินมานั่งใกล้ๆ ไอ้ปาไม่ขาดสายแต่พ่อเจ้าประคุณท่านเย็นชามากครับ ยิ่งกับพวกน้องเหมยกับน้องรินนี่แทบจะกลายเป็นอากาศสำหรับมันก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าสองสาวจะชวนคุยอะไรมันก็จะทำราวกับไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น สงสารน้องครับบอกตรงๆ หน้าตาน้องสองคนซีดจนจะเป็นไก่ต้มอยู่แล้ว ผมเห็นใจจึงได้สะกิดไอ้ปา

“ไอ้ปาๆ มึงคุยกับน้องเขาบ้างดิวะ หน้าซีดหมดแล้วนะนั่น”

“ไม่วะ ปากกูไม่ว่าง.....คุยกับมึงอยู่” ไอ้สัตว์!! ตอบแบบนี้น้องแม่งก็ซีดเข้าไปอีกดิ

“เฮ้ย!! อย่าพูดแบบนั้นดิวะ” ไอ้ปาถอนหายใจใส่ผมก่อนจะหันไปหาสองสาวที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างๆ

“เหมย ริน”

“คะพี่ปา!!” สองสาวตอบพร้อมกันเมื่อไอ้ปาเรียกด้วยเสียงเข้ม

“พี่ไม่ชอบการกระทำที่เราสองคนทำกับไอ้นกมัน อย่าทำอีก!” สองสาวหน้าสลดลงเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ขี้เล่นเหมือนเดิมกับแววตาที่ทิ่มแทงใจ

“ฮึก ค่ะ” น้องเหมยน้ำตาคลอแต่น้องรินนี่ถึงกับปล่อยโฮเลยทีเดียว ก่อนที่สองสาวจะกลับไปนั่งที่ของตัวเองเมื่อเห็นว่าไอ้ปาไม่มีท่าทีจะสนใจอีก ผมปลื้มปริ่มกับการกระทำของมันก็จริงแต่ก็อดสงสารเด็กสาวสองคนนั้นไม่ได้ ผมเหลือบมองไอ้ปาเป็นระยะๆ แต่ผมกลับมองเห็นเพียงอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นเท่านั้นผมจึงหันไปมองวิวข้างทางดีกว่า ระยะทางมันช่างแสนไกลรอบข้างต่างเต็มไปด้วยบ้านเรือนแต่ไม่นาน เมื่อตัวรถแล่นไปเรื่อยๆ บ้านเรือนก็เริ่มน้อยลง จนตัวรถมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ที่รกร้างราวกับไม่มีใครอยู่มานานหลายปีภายใต้ความมืดของท้องฟ้ายามค่ำคืนยิ่งวังเวงแปลกๆ

“เอ้าๆ ลงมากันได้แล้ว ถึงแล้ว” เสียงพี่อาร์ตดังอยู่นอกตัวรถพร้อมๆ กับประตูรถที่เปิดออก พวกเราค่อยๆ ทยอยลงจากรถกันทีละคนจนหมด

“ไม่เห็นมีร้านเหล้าหรือที่สังสรรค์เลยพี่ เราจะไปทริปกันที่ไหนอ่ะ” ผมเองก็สงสัยยังดีที่มีคนถามแทน

“ก็ที่นี่แหละ”

“หา!!!!!!” พวกผมสิบกว่าคนร้องออกมาพร้อมกันอย่างตกใจ

“เลี้ยงกันยังไงวะพี่ ที่นี่ดูยังไงๆ ก็บ้านร้างชัดๆ” พวกผมมองไปรอบๆ อย่างระแวง

“ก็ใช่ดิวะ ต้องบ้านร้างดิถึงจัดทริปได้”

“ยังไงของมึงไอ้อาร์ต!” พี่หนูถามออกมาอย่างเหลืออด

“ก็ฝ่ายบริหารจัดทริปความหลอนนี่ครับคุณหนู ถ้าจัดที่ผับมันจะหลอนได้ยังไง”

“ไอ้เหี้ย!!! งั้นกูกลับ!” พี่หนูหันหลังกลับทันทีที่พูดจบ

“กลัวสินะครับคุณหนู”

“มึงว่าไงนะ!!!” ศึกนี้พี่อาร์ตชนะเห็นๆ สงครามประสาทกับความอารมณ์ร้อนของพี่หนูมัน ผมว่าพี่อาร์ตเข้าเส้นชัยก่อนแน่ๆ

“จริงๆ ที่จะกลับก็แค่กลัวสินะครับ ที่ทำเป็นอารมณ์เสียก็แค่กลัวผี”

“ไอ้อาร์ต!!!!” พี่หนูกระชากคอเสื้อพี่อาร์ตด้วยความโมโหโดยมีเหล่าบรรดาลูกน้องพี่หนูคอยห้ามปราม

“ว่าไงครับ คุณหนู อยากกลับก็กลับไปสิครับ”

“จิ๊!!!” พี่หนูมันยอมปล่อยง่ายๆ ครับแถมยังไม่กลับด้วย

“อย่างที่กูบอกไปเมื่อตอนกลางวัน ถ้าใครกลับ ซองขาว!!!” ทุกคนสะดุ้งกันทั่วหน้าถึงจะกลัวผี แต่นาทีนี้คงกลัวตกงานกันมากกว่าครับ

“มึงกลัวปะ”

“กลัวดิวะ!! หรือมึงไม่กลัวไอ้ปา” ไอ้ปายกยิ้มมุมปากแต่ไม่ยอมตอบคำถามของผม งั้นผมจะคิดว่ามันกลัว!! ฮ่าๆ

“เอ้าๆ ไอ้สองคนนั้น อย่าเพิ่งจีบกัน มาฟังผมอธิบายก่อนครับ!!” เชี้ย!! พี่อาร์ตแม่งพูดซะเสียงดัง

“เฮ้ยยย ไม่ใช่พี่” แม้ผมจะพยายามอธิบายแต่ไอ้พี่อาร์ตกลับโบกมือทำราวกับจะบอกว่า เรื่องของมึง

“เริ่มจากประวัติบ้านก่อนแล้วกัน บ้านหลังนี้เมื่อ25ปีก่อน เกิดการฆ่าตัวตายปริศนา เป็นสาววัยรุ่นที่ท้องแก่ใกล้คลอดที่ผูกคอตายที่ห้องนั่งเล่นของตัวบ้าน”

“แล้วมันเป็นปริศนาตรงไหนคะพี่” นั่นสิ

“ก็เพราะจากคำให้การพยาน เขาบอกกันว่าก่อนเสียชีวิตผู้หญิงคนนั้นไม่มีท่าทีว่าจะฆ่าตัวตายเลยสักนิด แต่จากภาพคดีตำรวจจึงสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย” น่าสงสารจัง ญาติๆ คงเสียใจมากแน่ๆ

“แต่นั่นไม่ใช่ที่สุด หลังจากนั้นมา12ปี ก็มีนักศึกษาชายถูกฆ่าปาดคอที่นี่เหมือนกัน หลังจากที่นักศึกษาคนนั้นตาย ก็จะมีคนพบเห็นนักศึกษาคนนี้เดินมาขอความช่วยเหลือหน้าบ้านเสมอ บางคนถึงขั้นเจอแบบเลือดทะลักบริเวณลำคอวิ่งมาขอความช่วยเหลือก็มี” มะ ไม่เอานะ ผมไม่อยากเจอ

“ยังมีต่อนะ จนเมื่อล่าสุด พอบ้านหลังนี้ถูกซื้อไป ครอบครัวที่เข้ามาอยู่เป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานไป แต่อยู่ๆ ไปก็รับรู้ถึงวิญญาณสาวท้องแก่ที่นั่งร้องไห้อยู่กลางห้อง กับเด็กที่ค่อยๆ คลานออกมาจากทางระหว่างขาของเธอพร้อมๆ กับเสียงกรีดร้อง หรือวันดีคืนดีก็จะเห็นวิญญาณนักศึกษาใช้มือกุมบริเวณลำคอพอเข้าไปถามเขาก็จะปล่อยมือให้เห็นคอที่เกือบจะขาดจากการถูกเชือดกับเสียงพูดที่ดังอยู่ในหูว่า ‘ทำไมไม่ช่วยกู’ อยู่ตลอดเวลา จนอยู่ไม่ได้ต้องย้ายออกไป” ทุกคนต่างทำหน้าตาหวาดกลัวจนอยากจะร้องขอกลับไปใช้ชีวิตต่อที่บ้าน แต่ดูจากการเกริ่นเรื่องมาขนาดนี้ของพี่อาร์ตแล้วคงไม่ได้กลับแน่นอนครับ

“แล้วมึงจะให้พวกกูทำอะไร” พี่หนูยืนกอดอกถามพี่อาร์ตอย่างวางท่า ทั้งๆ ที่ผมแอบเห็นขาพี่มันสั่น ลองคิดภาพผู้ชายตัวใหญ่ๆ ยืนขาสั่นเต๊ะท่าหล่อดูสิครับ

“ครับ......ผมจะให้ทุกคนจับคู่กันพากันเข้าไปในบ้าน และอยู่ในนั้นเป็นเวลา20นาที”

“อะ เอ่อ” พี่ฝนยกมือขึ้น

“ว่าไงครับพี่ฝน”

“ระบุเพศไหม เอ่อ พี่หมายถึง หญิงทั้งคู่หรือชายทั้งคู่หรือยังไงก็ได้”

“แล้วแต่สะดวกเลยครับ แค่ให้ได้คู่ก็พอ” ก็ดีนะไม่ระบุเพศมันก็ดีไปอย่าง ถ้าผมมีคู่นะ

“เอาละครับ ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจับคู่กันได้เลย แล้วเดี๋ยวเราจะมาจับเลขเพื่อเรียงคิวเข้าไปกัน”

ผมมองซ้ายมองขวาดูทุกคน (เกือบ) สนุกสนานกับการจับคู่ และมองไอ้ปาที่ถูกสาวๆ รุมล้อมตอมมันอย่างกับขี้

“พี่ปาคู่เหมยนะ”

“ไม่ได้สิ พี่ปาคะ รินกลัว พี่ปาไปกับรินนะคะ” บนรถพวกน้องยังหน้าซีดเป็นไก่ขาดเลือดอยู่เลย

“ปาคะ / พี่ปา /น้องปา” จากล่าท้าวิญญาณจะกลายเป็นงานชักเย่อแล้วครับ

“ไอ้นก!!!” ไอ้ปาตะโกนเรียกผมพร้อมกับสะบัดแขนออกจากสาวๆ แล้วเดินมาทางผมแทน

“ว่าไงวะ ได้คู่แล้วเหรอ” ผมชะเง้อคอไปมองสาวๆ ข้างหลังมัน

“เปล่าวะ กูว่าจะมาขอคู่มึง”

“เฮ้ย!! สาวตั้งเยอะ มึงจะมาคู่กูทำไมวะ” คิดสภาพผมกลัวผีแล้วกระโดดกอดมันคงน่าเกลียดตาย

“เอาเป็นว่ากูคู่มึงจบนะ”

“ตะ..”

“หืม~” ทะ ทำไมต้องโน้มหน้าเข้าใกล้ๆ ด้วยวะ ตกไข่ เอ้ย!! ตกใจนะเนี่ย

“ระ ระ รู้แล้ว”

“หึหึ.....ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมมีคู่แล้ว”

หอปาหันไปบอกสาวๆ ที่ยืนโอดครวญกันอย่างเสียดาย อันนั้นไม่เท่าไหร่ คือ....มึงจำเป็นต้องโอบเอวกูไหม ผมนี่ถึงขั้นต้องดึงมือมันออกอยู่หลายรอบ ให้ตายเถอะครับ ไม่รู้มันใช้กาวอะไรทามือเหนียวกว่าปลาหมึกเสียอีก

“เอาละๆ เมื่อจับคู่กันแล้วก็มาจับหมายเลขกันต่อ แต่ละคู่ส่งคนมาจับหนึ่งคนนะ” คู่ผมส่งไอ้ปาออกไปจับครับแต่ละคู่ก็ทยอยออกไปจับกันจนครบ

“เอาละ คู่พี่ฝนกับฟ้าเป็นคู่แรก ต่อด้วยอุ้มกับเมย์.....รินกับเหมย.....คมกับต้น......สองกับต้อม....ปากับนก และปิดท้ายด้วยผมกับคุณหนู” เออเว้ย.....พี่อาร์ตกับพี่หนูเข้าไปด้วยกัน ผมควรจะสงสารผีดีไหมครับ เพราะสองคนนี้เข้าไปมีกัดกันแน่ๆ ดูหน้าพี่หนูสิครับ หน้าพี่แกราวกับว่าอยากจะฆ่าตัวตายเสียให้ได้
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรง ที่ที่เราอยู่เป็นพื้นที่รกร้างจึงไม่มีไฟข้างทางให้เราแม้แต่ดวงเดียว แต่ทางบริษัทก็ยังใจดีแจกไฟฉายให้ทุกคนได้ใช้ ผมยืนมองพี่ฝนกับพี่ฟ้าที่แทบจะเดินกอดกันเข้าไปด้านใน ขนาดพวกผมยืนกันอยู่ข้างนอกนะครับยังรับรู้ถึงบรรยากาศที่น่าขนลุก ไม่ต้องพูดถึงข้างในเลยว่าจะน่ากลัวแค่ไหน พอคู่พี่ฝนเดินเข้าไปข้างใน จู่ๆ ลมก็พัดวูบเข้าหน้าจนพวกผมหันไปมองรอบๆ แปลก.....ทั้งๆ ที่มีลมพัด แต่ต้นไม้รอบๆ ตัวผมกลับไม่ไหวติงใดๆ เลย

“กรี๊ดดดดดดดด!!!!!!!!”

“..!!”




50%



กะ เกิดอะไรขึ้นคะ! แหกปากร้องทำไมเล่าาา แมวตกใจจนขนพองหมดแล้วนะรู้ไหม! เจอกันครึ่งหลังวันพรุ่งนี้นะคะทุกคน อย่าลืมปลาทูกับของเล่นให้แมวด้วยน้าาา~

#ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่4. นกกับการพิสูจน์ฯ 50% up. 25/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-10-2019 11:57:44
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่4. นกกับการพิสูจน100% up. 29/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 29-10-2019 19:05:00
100%


“กรี๊ดดดดดดดด!!!!!!!!”

“..!!”

“อะไรๆ เกิดอะไรขึ้น!!” ไม่รู้ครับว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ตัวผมนี่กระโดดกอดคอเป็นลิงปีนต้นไม้อยู่บนตัวไอ้ปาเรียบร้อยแล้ว

“มะ แมงมุม แมงมุมมันไต่หนูค่ะพี่!!!”

“โธ่......กูก็นึกว่าอะไร”

ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าไอ้ปาที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นให้ผมกอด ปรากฏว่าไอ้ปามันกลัวจนตัวแข็งไปแล้วครับ ฮ่าๆ แต่จะไปหัวเราะมันไม่ได้หรอกครับ ผมเองก็ตกใจจนกระโดดกอดมันนี่แหละ ว่าแต่ แค่แมงมุมนี่ร้องกันขนาดนี้เลยเหรอครับ แล้วถ้าเจอผีจะร้องกันแบบไหนละเนี่ย

“กรี๊ดดดดดดด!!!!!!!!!”

“คราวนี้ตัวอะไรไต่อีกล่ะ” ผมหันไปมองรอบตัวแต่ทุกคนต่างก็หันมองหาต้นเสียงเช่นเดียวกัน

“ไม่มีใครร้องนี่ครับ มึงร้องปะ น้องล่ะ” ทุกคนต่างส่ายหน้าปฏิเสธกันหมด ผมเองก็สงสัย ถ้าเสียงไม่ได้มาจากพวกเรา งั้นใคร

“กรี๊ดดดดดดด!!!” อะ อีกแล้วครับ เสียงมาอีกแล้ว

“คระ ใคร ใครร้องวะ!!!!”

“กรี๊ดดด ไม่เอาแล้วๆ”

พี่ฝนกับพี่ฟ้าวิ่งออกมาจากตัวบ้านร้างก่อนจะวิ่งผ่านหน้าพวกเราที่ยืนมองอยู่ขึ้นรถตู้ไปนั่งกอดกันด้วยตัวที่สั่นและแววตาที่หวาดกลัว ผมมองพี่ฟ้าและพี่ฝนอย่างสงสัย แม้ใจหนึ่งจะไม่อยากรู้ก็ตามว่าพี่เขาไปเจออะไรมา

“เอ้าๆ คู่ต่อไป เข้าไปได้แล้ว”

“ไม่อาว!!!!!” อุ้มกับเมย์กอดกันจนตัวกลมพร้อมๆ กับส่ายหน้าไปมาอย่างแรง

“ไป เร็วๆ อย่าช้า จะได้กลับบ้าน!” ทั้งลากทั้งดึงจนผมอดทึ่งในความสามารถของผู้ชายบริษัทนี้ไม่ได้ นี่พวกมึงทำกับผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบนี้เหรอวะ อุ้มไปโยนไว้หน้าบ้านแล้วพวกมึงก็วิ่งกลับมาเนี่ยนะ แล้วไง บ่นไปแล้วกล้าเดินไปช่วยเขาไหม ก็ไม่ครับ ผมก็ได้แต่ยืนหลบอยู่หลังไอ้ปาเนี่ยล่ะ ว่าแต่......มึงยังไม่เลิกแข็งอีกเหรอ

เมย์กับอุ้มที่ถูกพาเข้าไปจนตอนนี้พวกผมที่เหลือยังคงนั่งรอลุ้นเหตุการณ์ต่อไป จนในที่สุดเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอีกคู่พร้อมๆ กับร่างของทั้งสองคนที่วิ่งออกมาก่อนจะขึ้นรถไปรวมอยู่กับพวกพี่ฝนและพี่ฟ้าที่เข้าไปก่อนหน้านี้ ผมเห็นรินกับเหมยตัวสั่นมองหน้ากันอย่างหวาดๆ น่าสงสารนะครับ ผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคนต้องมาเห็นคู่ก่อนหน้ามีสภาพแบบนี้แล้วยิ่งตัวเองต้องเข้าไปเป็นคิวต่อไปอีก คงจะขวัญเสียแน่นอน

“เอ้า....คิวต่อไปครับ”

“พี่......รินไม่เล่นได้ไหมอะ รินกลัว”

“เหมยก็กลัวพี่อาร์ต เหมยไม่เอาแล้ว” ทั้งสองคนมีสีหน้าไม่สู้ดีเลยครับ ผมเห็นแล้วก็อดสงสารน้องไม่ได้

“เข้าๆ ไปแป๊บเดี๋ยวเอง ครึ่งชั่วโมงเองก็ได้ออกมาแล้ว เอางี้ พี่ลดให้ เหลือ20นาทีแล้วกัน” ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างลังเลแต่สุดท้ายก็ตกลง เพราะยังไงก็ต้องเข้าไป 20นาทีนี่น้อยกว่าคนอื่นๆ แล้วนะครับ เมื่อทุกอย่างโอเคเหมยกับรินก็เดินเข้าไปด้ายท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เดินสองเก้าถอยสิบก้าว จะได้เข้าไปไหมครับแบบนี้

“20นาทีมีจำกัดเวลานะ ถ้าพวกน้องยังไม่เข้าไปพี่ยืดให้เต็มเวลาจริงๆ ด้วย” พี่อาร์ตยืนกอดอกมองหน้าน้องๆ อย่างเอาเรื่อง

“ไปแล้วพี่ ไปแล้วๆ” สุดท้ายทั้งคู่ก็หลับหูหลับตาเดินเข้าไปจนได้

“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!” อะไรวะ ยังไม่ทันจะเข้าบ้านเลยมั้งนั่น น้องรินกับเหมยก็วิ่งออกมาซะแล้ว

“เฮ้ยๆ อะไรๆ ยังไม่ทันเข้าไปเลยนะ” พี่อาร์ตจับแขนของทั้งสองคนที่หลับตาวิ่งมาหน้าตาแตกตื่น

“ไม่เอาแล้วค่ะพี่ จะให้เข้าไปได้ไง เขายืนเรียกอยู่หน้าบ้านเลยนะ”

“ฮื่อๆ ใช่ค่ะ ยืนกวักมืออยู่หน้าบ้าน ให้ตายหนูก็ไม่ไปหรอก จะไล่ออกก็ไปไม่”

พี่อาร์ตยืนงงสิครับงานนี้ ก็น้องมันเล่นเดินไปไม่ถึงนาทีวิ่งออกมาจากเวลาที่กำหนด20นาทีแท้ๆ เลยต้องจบคู่ของเหมยกับรินไปอย่างช่วยไม่ได้ แล้ว.......น้องกลัวผีแล้วเดินมากอดไอ้ปาทำไมวะ ว่าแต่......จะกอดไอ้ปาทั้งคู่เลยเหรอ อกพี่ก็ว่างนะ

“เออๆ งั้นก็คู่ต่อไป ไอ้คมไอ้ต้น พวกมึงเข้าไปเลย”

“ผีเผอที่ไหนมี เดี๋ยวกูจะจับกลับมาให้ดู” พี่คมเดินล้วงกระเป๋านำพี่ต้นที่มีท่าทีว่ากลัวมากกว่าพี่คมเขา

“ไอ้คม ไอ้เหี้ย ปากหมานะมึง ถ้าเขามาหลอกมึงกูก็โดนไปด้วยนะโว้ย!!”

เหมือนจะสนุกนะครับ แต่เห็นคนที่กลัววิ่งตามหลังไอ้คนที่ชอบท้าไปทั่วแบบนี้แล้วความสงสารเลยเข้ามาแทน พวกผมที่เหลืออีกสามคู่ยืนรอดูหนึ่งคนที่ปากดีกับอีกคนที่กลัวผีแบบสุดๆ ว่าจะเป็นยังไงต่อไป

“ริน เหมย ปล่อยครับ พี่อึดอัด!” สงสัยไอ้ปามันจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าโดนน้องสองคนกอดเสียแน่นถึงได้พยายามแกะมือออกจากตัว แต่ว่าดูเหมือนน้องรินกับน้องเหมยจะมีเหนียวมากกว่าจนไอ้ปาต้องเอ่ยปากออกมา

“ไม่เอาค่ะ ก็รินกลัวนี่คะ”

“เหมยก็กลัวค่ะพี่ปา มันน่ากลัวมากเลย” ผมได้แต่กลอกตาไปมากับน้องสองคนนี้จริงๆ ครับ ปากบอกกลัวแต่ทำหน้าฟิน คืออะไร?

หมับ!!

“ไอ้นก กูกลัววะ กอดหน่อย” พ่องงง!! กอดหน่อยเหี้ยไร ดูมันทำสิครับ ก็เล่นกระโดดจากสาวๆ มากอดผมแทนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ดูหน้าน้องๆ สิ อึ้งจนต้องอ้าปากค้างเลยนะนั่น

“ปล่อยเลยๆ ร้อนจะตายห่า” ผมสะบัดออกตัวออกจากมัน ผู้ชายสองคนยืนกอดกันมันเป็นภาพที่คงไม่น่าดูเท่าไหร่หรอกครับ

“น้องริน น้องเหมย พี่ว่าขึ้นไปรอบนรถก็ดีนะ หรือว่าอยากจะเข้าไปอีกรอบ”

“มะ ไม่เอาดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเราสองคนขึ้นไปรอพี่ปาบนรถนะคะ” ไอ้ปาทำหน้าเอือมระอาใส่สองสาว

“ไม่ต้องหรอก ยังไงพี่ก็นั่งกับไอ้นกอยู่แล้ว”

ไอ้ปาไม่สนใจสองสาวที่เดินคอตกขึ้นรถอีก เพราะตอนนี้ไอ้ปาเอาแต่จดจ่อรอดูผลของคู่พี่คมต่อ

“อ๊ากกก!!!! ผีหลอก!!!!!”

“ฮ่าๆๆๆๆ”

นั่นไงเสียงมาแล้ว เดี๋ยวก็ต้องวิ่งออกมา แล้วนั่นมันอะไรครับนั่น!! ทำไมพี่คมวิ่งหัวเราะแถมบนหลังยังมีพี่ต้นขี่หลังออกมาแบบนั้นล่ะ มันเกิดอะไรขึ้นข้างในกันแน่ แต่ผมว่าคงไม่ได้เจอผีหรอกครับ น่าจะโดนพี่คมแกล้งมากกว่า

“อะไรวะ มึงเจออะไรมา”

“ผีๆ ผีหลอกผมพี่” พี่ต้นบอกทั้งๆ ที่ยังซบหน้าลงกับแผ่นหลังของพี่คม แขนนี่รัดซะจนผมกลัวว่าพี่คมจะหายใจไม่ออก

“ไม่มีผีอะไรหรอกพี่อาร์ต ผมแกล้งมันเอง”

“เอ้า....ไอ้เชี้ย!! นี่มึงแกล้งกูหรอกเหรอ!!” พี่ต้นโวยวายทุบหลังพี่คมอย่างแรงในขณะที่พี่คมก็พาร่างของพี่ต้นที่อยู่บนหลังวิ่งไปมาด้วย เอาเข้าไปครับ เอาเข้าไป

“เอ้าๆ สองต้อม มึงสองคนเข้าไปได้แล้ว”

“รับทราบครับลูกเพ่!!”

สองคนนั้นวิ่งเข้าไปอย่างไม่มีความกลัวใดๆ เลยครับ แถมยังทำอย่างกับว่ากำลังวิ่งแข่งกันซะอย่างนั้นอีก ผมสิ ยืนเครียดอยู่ตรงนี้ เพราะคู่ต่อไปก็พวกผมแล้ว ไม่อยากเข้าไปเลย เสียงในใจร้องบอกผมเต็มที่ ร่างกายก็เริ่มกระวนกระวายเดินไปมาจนไอ้ปาที่ยืนอยู่ข้างๆ รำคาญ

“เดินทำไมนักหนาวะ เดินจนจะครบรอบวงกลมสี่รอบแล้วเนี่ย เห็นแล้วเวียนหัวแทน” เหอะ!! ไอ้คนใจเย็น ผมไม่ตอบมันหรอกครับได้แต่สะบัดหน้าหนีมันเท่านั้น ไม่อยากคุยกับไอ้พวกมั่นใจในตัวเอง
ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว บรรยากาศแถวๆ นี้ที่เต็มไปด้วยต้นไม้เรียงรายกัน ทำให้พวกผมยิ่งรับเอาลมเย็นๆ เข้ามาเต็มๆ ยืนอยู่แถวๆ นี้ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเย็นจนเกือบจะยะเยือก ไม่ต้องพูดถึงเลยครับว่า ข้างในจะเย็นแค่ไหน ผมยังคงยืนรอเสียงร้องกับการวิ่งออกมาของสองคนนั้น แต่ก็ไม่มีครับ นี่ก็ผ่านไปจนครบครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมยังไม่ออกมากันนะ

“ฮ่าๆ สนุกวะ วันหลังเอาแบบนี้อีกดีกว่า สนุกดี”

“เออ สนุกดี แต่กูอยากแดกเหล้ามากกว่า”

“ก็จริงว่ะ”

เดินคุยกันมาแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ ไม่เข้าใจอ่ะ ทำไมต้อมกับสองไม่เจออะไรที่คนอื่นๆ เขาเจอกัน หรือในนั้นมันไม่มีอะไรจริงๆ งั้นอะไรที่ทำให้ทุกคนร้องออกมาแบบนั้น อะไรที่ทำให้ทุกคนที่เขาไปก่อนหน้าหวาดกลัว มันคืออะไรกันแน่........

“นี่ก็ดึกแล้ว เอาเป็นว่า เหลือสองคู่ก็......เข้าไปพร้อมๆ กันเลยแล้วกัน!” ผมกับไอ้ปาหันมามองหน้ากัน เหอะๆ นี่ต้องเข้าไปเจอหน้าไอ้พี่หนูมันข้างในอีกเหรอ

“จะไปก็รีบๆ ไปสักทีดิ กูอยากกลับบ้านไปนอนแล้ว!!” เห็นไหม ไม่ทันไรก็ปัญหาเยอะซะแล้ว

“ครับๆ คุณหนู เอ้าไปพวกมึง เดี๋ยวคุณหนูจะอารมณ์เสียแล้วแดกหัวพวกมึงหรอก”

“ไอ้เหี้ยอาร์ต!!!”

เป็นผมก็คงอุดหูแล้ววิ่งหนีแบบพี่อาร์ตแหละครับ เสียงแม่งโคตรหนวกหูเลย พี่อาร์ตวิ่งอุดหูเข้าไปในบ้านร้างโดยที่มีพี่หนูวิ่งตามหน้าตาเหมือนจะแดกหัวพี่อาร์ตจริงๆ ครับ ผมละหน่ายกับสองคนนี้จริงๆ
ผมกับไอ้ปาเดินตามพี่หนูกับพี่อาร์ตเข้าไปข้างในตัวบ้าน ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ตัวบ้านมากเท่าไหร่ ความเย็นที่กระจายอยู่รอบๆ ตัวทำให้ขนผมลุกไปทั้งร่าง ผมขยับไปเกาะแขนไอ้ปาด้วยความรู้สึกกลัวนิดๆ ไม่รู้สิครับ บรรยากาศมันไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ อีกอย่าง.....ผมอาจจะคิดมากไปก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่า มีใครบางคนแอบมองพวกเราอยู่

“เป็นอะไรวะ เกาะแขนกูซะแน่นเชียว”

“กูรู้สึกเหมือนมีใครมองพวกเราอยู่เลยวะ” ผมมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง

“ไหนวะ.......พวกไอ้สองไอ้ต้อมหรือเปล่า” ก็จริง เราเพิ่งจะเดินเข้ามาเมื่อกี้ อาจจะเป็นพวกนั้นก็ได้

“ก็.....อาจ.....จะ....ใช่” ผมหยุดความคิดไว้แค่นั้น เพราะตอนนี้เราเข้ามายืนอยู่กลางบ้านเรียบร้อยแล้ว
“เอาล่ะ ฟังนะ เดี๋ยวกูกับคุณหนูจะอยู่ชั้นล่าง ส่วนมึงกับไอ้ปา ขึ้นไปชั้นสอง”

“โอเคครับพี่อาร์ต งั้นอีกครึ่งชั่วโมงเรามาเจอกันตรงนี้นะครับ” ไอ้ปาจับมือผมเอาไว้แน่นแล้วหันไปบอกพี่อาร์ต ก่อนจะจูงมือผมเดินขึ้นตัวชั้นสองไป ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดผมเห็นเศษไม้ต่างๆ ที่กระจัดกระจายบริเวณบันไดไปจนถึงชั้นสอง ผมว่าห้องโถงด้านล่างหนาวแล้วนะ พอได้ขึ้นมาบนนี้ถึงรู้ว่าหนาวที่แท้จริงมันเป็นยังไง

“หนาวไหมวะมึง”

“ไม่นี่ กูว่าร้อนไปด้วยซ้ำ” ไอ้ปามองหน้าผมอย่างสงสัย

“มึงหนาวเหรอ”

“อือ......หนาวๆ ไงไม่รู้วะ สงสัยไข้จะแดกกู” เมาค้างตอนเช้า ตกกลางคืนไข้แดกนี่เป็นเรื่องปกติใช่ไหมครับ ผมถึงได้หนาวขนาดนี้

“อะ เอาของกูไปใส่” ไอ้ปาถอดเสื้อคลุมที่ตัวเองใส่อยู่มาคลุมตัวผมเอาไว้ ไอ้อุ่นจากร่างกายของมันที่ถูกกักเก็บเอาไว้ในตัวของเสื้อทำให้ผมอุ่นขึ้นทันที

“ขอบใจนะมึง” ผมกระชับเสื้อเข้าหาตัวมากขึ้นให้ความอบอุ่นมันแผ่ซ่านไปทั้งตัว

“เออ....ไม่เป็นไร”

ผมแอบยิ้มกับความน่ารักของไอ้ปา แหม....อยู่กับมันมาตั้งนาน เพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่าน่ารัก แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นสีชมพู เพราะมันยังมืดอยู่เช่นเดิมครับ แถมยังวังเวงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยครับ

“ไอ้ปาๆ”

“อะไรอีกวะ มึงนี่เรื่องเยอะจริงๆ” ไอ้ปาหันมามองผมด้วยความรำคาญ

“แฮะ....เปล่าหรอก มันเงียบๆ น่ะ กูกลัวกูก็เลยเรียกมึง”

“เกาะแขนกูแน่นขนาดนี้ มึงยังจะกลัวอีกเหรอวะ” ผมเบนสายตามามองที่แขนไอ้ปา เออวะ เกาะมันแน่นจริงๆ ด้วย แล้วไงครับ คิดว่าผมจะปล่อยเหรอ ไม่มีทางอยู่แล้ว!! ไอ้ปาก็ยังเดินหน้าสำรวจอย่างเต็มที่ส่วนผมก็ยังเกาะแขนมันอย่างเหนียวแน่นเช่นเดิม

แกร็ก แอ๊ดดด.....

จู่ๆ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ผมและไอ้ปาหันมองหน้ากันทันที ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไร รู้แต่ผมคิดว่า เจอดีเข้าแล้ว

“สะ สะ เสียงอะไรวะมึง!”

“ประตู” เออ ไอ้สัตว์ กูก็รู้นั่นแหละว่าเสียงประตู แต่ที่กูถามคือ ใครเปิด!!!

ไอ้ปาไม่สนใจเลยสักนิดว่าผมกำลังขวัญเสียขนาดไหน เพราะมันทำหน้าที่สำรวจได้ดีมากลากผมไปหาที่มาของเสียงที่ได้ยินมาเมื่อครู่จนเรามาเจอห้องห้องหนึ่ง ซึ่งประตูได้ถูกเปิดทิ้งไว้ โดยที่ห้องอื่นๆ บริเวณชั้นสองนี้ ไม่มีห้องไหนเลยที่เปิดประตู

“มะ มึง ไม่เอาไม่เข้าไป”

“ไม่เข้าไปจะรู้ได้ไงวะ กูก็อยู่กับมึงเนี่ย กลัวอะไร” ผมพยายามขืนตัวไม่ยอมเดินไปตามแรงดึงของไอ้ปา แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ ปล่อยมือเอาง่ายกว่า แต่ถ้าปล่อย ผมก็อยู่คนเดียวน่ะสิ ไม่เอาหรอก!!

ไอ้ปาใช้เท้าเตะประตูให้เปิดกว้างขึ้นกว่าเก่า เพราะตอนแรกมันเพียงแค่แง้มๆ ออกมาเท่านั้น ผมหลับตาปี๋ ไม่กล้ามองเข้าไปในห้องที่มันเปิด

“เห็นไหม กูบอกแล้วว่าไม่มีอะไรๆ” ผมค่อยเปิดตาทีละน้อยๆ

“..!!!”

ผมรีบหลับตาลงอีกครั้งทันที พร้อมกับกระตุกแขนไอ้ปาแรงๆ ไม่สนใจว่ามันจะเจ็บหรือเปล่า

“อะไรของมึงวะนก”

“ออกไปกันเถอะมึง นะๆ”

ไอ้ปาไม่สนใจซ้ำยังพาตัวผมเดินเข้าไปข้างในเสียอีก ไอ้บ้าปา ออกไปได้นะ กูจะตีหัวมุงคอยดู

“ฮื่อๆ ไปเถอะนะมึงนะ กูอยากออกไปจากที่นี่แล้ว”

“อะไรของมึงเนี่ยนก มึงก็ลืมตาดูดิวะ มันไม่มีอะไรเลย” ผมโมโห บอกเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ลืมตาแม่ง

ผ่าง!!!!

นั่นไง นั่นไง เป็นตัวๆ เลย ยืนมมองหน้ากูอยู่เลยนะนั่น ยังไม่เรียกว่ามีอะไรอีกเหรอ นี่มึงตาบอดใช่ไหมไอ้ฟาย

“ไม่มีพ่อมึงดิ!!! แล้วที่ยืนจ้องหน้ากูอยู่นั่นตัวเหี้ยอะไร” ผมแม่งน้ำหูน้ำตาไหลนองหน้า ไม่สนใจเลยว่าแม่งจะน่าเกลียดแค่ไหน เอาเป็นว่าออกจากที่นี่ให้ได้เป็นพอ

“ไหนวะ กูไม่เห็นอะไรเลย มึงตาฝาดหรือเปล่านก” ก็กูลืมตาอยู่เนี่ย ชะโงกหน้ามองจากข้างหลังมันอีกที แม่งก็ยังยืนอยู่ที่เดิม

“นี่มึงต้องเห็นให้ได้ใช่ไหมถึงจะเชื่อกู จะให้กูทำไงวะ ให้กูเดินไปขอเซลล์ฟี่กับแม่งเลยไหม ห้ะ!!!” นาทีนี้เวลากลัวผีหมดแล้วครับ ความโมโหมันเข้ามาแทน จนผมต้องทะเลาะกับมันเสียยกใหญ่ คนเหี้ยอะไร ไม่เห็นผีแต่มาเชื่อว่าคนอื่นจะเห็นด้วย

“ก็แล้วกูไม่เห็น แล้วกูจะรู้ได้ยังไงล่ะ!!” ไอ้ห่านี่แม่ง
“มึงมาเอาตากูไปเลยไหม ห้ะ อยากเห็นนักมึง อื้อ!!!!”
จู่ๆ ไอ้ปามันก็จับหน้าผมเข้าไปรับจูบมัน ทำเหี้ยอะไรของมึง!!!!! กูบอกให้มึงเอาลูกตากู ไม่ใช่ปากกูโว้ย ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของมัน ผีเผออะไรผมไม่มองมันแล้ว ตบไอ้เกรียนนี่ก่อนแล้วกัน

ผลัวะ!!

“โอ๊ย!! ตบกูทำไมวะ” ยัง ยังมีหน้ามาถาม

“ก็แล้วมึงจูบกูทำไมล่ะ!!!” ผมเช็ดปากแรงๆ จนรู้สึกแสบๆ ที่ปาก

“เอ้า!! ก็กูไม่เห็น แต่ถ้ากูได้เชื่อมต่อกับมึง กูอาจจะเห็นก็ได้นี่หว่า” ตรรกะส้นตีนมาก สาบานว่าไอ้ที่ใช้คิดนี่สมอง

“แล้วไง มึงเห็นไหม” มันกวาดตามองไปรอบๆ

“เหี้ย!!!!”

“มึงเห็นเหรอ!!” ผมรีบถามมันทันทีที่ไอ้ปาทำสีหน้าตกอกตกใจ

“เหอะ กูไม่เห็นอะ” พ่อง แล้วมึงจะเสือกตกใจทำเหี้ยอะไรวะ

“จะไม่เห็นได้ไงวะ กูแม่งยืนอยู่....” ตรงนั้น อ้าว.....หายไปแล้ว ผมหันซ้ายหันขวาเงยหน้าหงายหลังมองหาไอ้ผีเจ้าปัญหาที่ผมเจอเมื่อกี้ แต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหนแล้วเนี่ยสิครับ

“ไหน ตรงไหน” ผมกัดปากอย่างเจ็บใจ (เจ็บปากด้วย)

“ไม่รู้!!! แม่งหายไปแล้วนี่หว่า”

“หึหึ.....งั้นก็ได้ผลสินะ” ผมหันหน้าไปมองไอ้ผาอีกครั้งอย่างสงสัย

“อะไรได้ผลวะ”

“หึหึ.....”

ไอ้ปาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ จนผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจของมัน จากที่เงียบอยู่แล้ว ตอนนี้เงียบจนผมรู้สึกว่าได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรง และนั่นทำให้ผมต้องผละหนี

“ก็...’ จูบ’ ไล่ผีไง”

อ๊าก!!!! มันมีที่ไหนวะ ตำราเล่มไหนที่มันสอนมึง!!! กูจะไปซื้อมาเผาทิ้ง ไม่รู้ว่าจริงไหม แต่ผีแม่งก็หายไป เฮ้ย!! ไม่ได้ๆ ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดที่เห็นด้วยกับมันให้ออกไป นี่ผมเสียเปรียบนะ เห็นผีแถมยังต้องเสียจูบให้มันอีก ไม่เห็นมีอะไรดีเลย ว่าแต่ เพื่อนกันเขาจูบกันไหมอ่ะ?

หลังจากสำรวจบริเวณชั้นสองแล้วและผมไม่พบวิญญาณอีก ไอ้ปาและผมจึงเดินลงมาเพื่อรอพี่อาร์ตกับพี่หนูที่กำลังสำรวจชั้นล่างอยู่ ผมเดินเกาะมันเหมือนเดิม แหม.....ก็ผมกลัวนี่ ใครจะรู้ว่าผีมันจะออกมาตอนไหน แต่ตอนนี้.....แม่งเกิดวิปโยคห่าเหวอะไรขึ้นวะ!! นอกจากผมจะถูกจูบแล้ว นี่พวกพี่มันแม่งก็จูบกันด้วยเหรอ ผมกับไอ้ปาชะงักเท้าที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆ ตะลึงค้างกับภาพที่เห็น ไอ้พี่หนูแม่งจับแขนทั้งสองข้างของพี่อาร์ตติดกำแพง
ริมฝีปากของพี่มันก็บดขยี้จูบพี่อาร์ตที่พยายามดิ้นรนหนีออกมาจากตัวพี่หนูอย่างแรง เสียงอู้อี้และใบหน้าที่พยายามสะบัดหนีริมฝีปากร้อนๆ นั้นบ่งบอกได้ดีเลยว่าพี่อาร์ตมันไม่ได้เต็มใจจะจูบจะสักนิดเดียว เกิดอะไรขึ้น นี่คือสิ่งที่ผมถามตัวเองเบาๆ ในความคิด ถึงผมจะมีสติรู้ดีว่าควรออกไป แต่ขาผมมันไม่ยอมทำตามเลย จนไอ้ปาที่เริ่มได้สติ ลากผมออกไปรอบริเวณหน้าตัวบ้าน

“เป็นอะไรวะ” มันคงเห็นว่าหน้าตาผมเหมือนหมางงมั้งครับ เลยถามดู

“ไม่รู้ดิ มึงว่าพี่มันสองคนจูบไล่ผีด้วยหรือเปล่า” ไอ้ปาเบี่ยงหน้าหลบตาผม แต่ผมเห็นนะว่าไหล่มันไหว แบบนี้แอบหัวเราะกูแน่ๆ

ป๊าบ!!!

“โอ๊ย ไอ้นก ตีกูอีกแล้วนะ”

“ก็มึงขำทำไมล่ะ กูยิ่งซีเรียสๆ อยู่”

แล้วไงครับ คนอย่างนายปรมะ คุณคิดว่ามันจะสำนึกไหม ไม่!!! มันหัวเราะออกมาเสียงดังต่อหน้าผมเลยครับตอนนี้

ระหว่างที่รอพี่อาร์ตและพี่หนูมา ผมเริ่มรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาอีกครั้ง ผมพยายามหันไปหาต้นตอของสายตานั้น แต่มันก็ไม่มี ใครกันที่แอบมองพวกผมอยู่ ทำไมถึงหาไม่เจอกันนะ ทั้งๆ ที่ผมรู้สึกว่ากำลังถูกมองแต่กลับไม่มีใครเลยสักคน พี่อาร์ตเดินออกมาจากตัวบ้านด้วยใบหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากบวมเจ่อซึ่งผมคงไม่ต้องบอกว่าเกิดจากอะไร

พี่หนูที่เดินตามมามองตามร่างของพี่อาร์ตไม่ห่างตา ผมไม่รู้ว่ามีอะไรในสายตานั้นไหม แต่ให้เดาพี่หนูน่าจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสายตามองตามร่างพี่อาร์ตตลอดเวลา เพราะสีหน้าของพี่หนูมันแสดงออกถึงความหงุดหงิดและไม่พอใจ แต่ผมไม่รู้หรอกครับว่าเรื่องอะไร

“พวกมึงเสร็จแล้วใช่ไหม” พี่อาร์ตพยายามคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้แสดงความหงุดหงิดออกมา

“ครับพี่ // ครับ” ผมกับไอ้ปาตอบพร้อมกัน

“ดี.....กลับ!!!”

พี่อาร์ตเดินนำไปโดยไม่รอใครเลยสักคนโดยมีพี่หนูที่เดินตามหลังกวาดสายตามองพี่อาร์ตทั่วทั้งร่างก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง ให้ตายสิครับ พี่หนูมันโคตรโรคจิตเลย ผมกับไอ้ปาเดินตามหลังไปติดๆ แต่ผมยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่ยังคงมองมา และนั่นทำให้ผมกลัวจนต้องพยายามเบียดร่างเข้าไปใกล้ๆ ไอ้ปามากขึ้น สายตาลึกลับที่หาตัวไม่พบ คงไม่ต้องคิดให้มากมายอะไรเลยนะครับว่ามันคืออะไร แต่สำหรับผมฟันธงว่าเป็นผีไปก่อนก็แล้วกัน

ผมกับไอ้ปาก้าวขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ผมยังคงนั่งหลังสุดเหมือนตอนมาแต่ไอ้ปาถูกสาวๆ ดึงไปนั่งข้างๆ อย่างไม่อาจจะปลีกตัวออกมาผมจึงต้องนั่งคนเดียว เบาะด้านหลังว่างเปล่าไร้ผู้คนร่วมชะตากับผม มันเงียบเหงาทั้งๆ ที่เสียงพูดคุยกันดังไปทั่วทั้งตัวรถ เพียงแต่ผมกลับมีความเหงาทั้งหัวใจ มันกัดกินจนผมรู้สึกได้ถึงความร้อนในดวงตา

นี่ผมกำลังจะร้องไห้เหรอ น่าตลกนะครับ เพราะแค่การต้องอยู่คนเดียวไม่กี่นาทีก็ทำให้ผมแทบจะร้องไห้ได้ ผมทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง มองไปอย่างไร้จุดหมาย ผมรู้ ว่าไอ้ปามันเป็นห่วงผม เพราะมันลอบมองผมเป็นระยะๆ เพียงแต่ผมทำเป็นไม่เห็นเท่านั้น ผมอยากให้มันมีสังคมอื่นนอกจากตัวผม มันแทบจะไม่มีเพื่อนเพราะเอาแต่อยู่กับผม

ผมไม่เคยได้ยินเรื่องแฟนของมันด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะผมก็ได้ที่ทำให้มันยังโสดอยู่ ถ้าผมไม่เอาแต่ยึดมันไว้กับตัว มันก็คงมีเพื่อนอีกมาก มีสาวๆ เข้ามาง่ายๆ ที่ของผมอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ที่ที่มันยืน แม้จะใช้มันเพื่อให้ตัวเองได้มีตัวตนในสายตาใคร แต่มันก็ไม่ใช่ตัวผมอยู่ดี ผมเพียงแค่เศษฝุ่นผงสีดำอยู่บนสิ่งที่ดึงดูดสายตา มันเกะกะและน่ารำคาญ จนบางทีคนบางคนก็ทนไม่ได้จนต้องปัดมันทิ้งไป แต่ผมไม่อยากให้ใครมาปัดทิ้ง เพราะมันเจ็บกว่าการทิ้งตัวเอง ผมเพียงแค่ยืนในที่ของตัวเองเท่านั้น มันดีแล้วกับทุกคน
ผมพยายามเบี่ยงหน้าให้มากที่สุด ปล่อยความเหงาออกไปทางสายตา ความอบอุ่นเดียวที่ยังเหลือให้ผมคือเสื้อที่ไอ้ปามันให้ยืม กลิ่นของมันแตะจมูกจนผมเผลอสูดดมเข้าไปจนสุดปอด มันยังอยู่ตรงนี้แม้จะเป็นเพียงแค่เสื้อก็ตาม แค่นี้ก็พอแล้ว พอแล้วสำหรับคนอย่างผม แค่เพื่อนห่วงใยผมก็พอใจแล้ว ในระหว่างที่ผมมัวแต่ใจลอยออกไปนอกหน้าต่างนั้น จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงลมหายใจของใครบางคนที่อยู่ใกล้ๆ จนผมต้องหันไปมอง แต่มันว่างเปล่า ถ้าอย่างนั้น มันคืออะไร!!

‘ผมจะอยู่กับคุณเอง’




TBC


ครบ100%แล้วจ้าาา เป็นยังไงกันบ้าง พอจะเข้าตาบ้างไหม ถ้าถูกใจอย่าลืมวางของเล่นแมวและปลาทูไว้ด้วยน้าาา ตอนนี้ทันเว็บอื่นแล้ว ต่อไปเราจะลงอาทิตย์ละ1ตอน แบ่งเป็นสองวัน วันละ50%น้าา

รักแมวหลงแมว รักแมวหลงแมว เพี้ยงงงง

#ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่4. นกกับการพิสูจน100% up. 29/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-10-2019 20:22:16
 :pig4:
 :3123:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่4. นกกับการพิสูจน100% up. 29/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 30-10-2019 06:02:44
ปาอย่าทิ้งน้องงงง จูบอล้วก็ต้องรับผิดชอบ
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่4. นกกับการพิสูจน100% up. 29/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-10-2019 09:17:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่5. นกกับบางสิ่งฯ 50% up. 01/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 01-11-2019 15:30:25
[5]

ตอนที่ 5.

☆ นกกับบางสิ่งที่ตามติด ☆

รถตู้ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาจอดเทียบบริเวณหน้าแมนชั่นของผม ตอนนี้ในรถเหลือเพียงแค่ผม ไอ้ปา พี่หนูและพี่อาร์ตเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ กลับบ้านไปหมดแล้ว ผมขยับตัวเพื่อจะเดินลงจากรถเมื่อมันจอดสนิท ประตูถูกเปิดออกด้วยมือของพี่คนขับที่ทำหน้าที่อย่างดี แต่แทนที่จะมีแค่ผมที่ลงมา ไอ้ปากลับเดินลงมาพร้อมผมซะงั้น

“มึงลงมาทำไมวะ”

“กูว่าจะขอค้างด้วย” ผมเลิกคิ้วมองมันอย่างแปลกใจ

“เกิดเฮี้ยนอะไรของมึง” ปกติไม่เห็นเคยขอค้าง แต่ไอ้ปาเพียงแค่ยักไหล่

“ก็เปล่า.....ทำไมวะ กูค้างกับมึงไม่ได้หรือ” ผมเบะปากใส่ หมั่นไส้กับท่าทางกวนตีนๆ ของมัน ผมถอดเสื้อที่เอาของไอ้ปามาใส่คืนมันไป

“อะ....ขอบใจมาก มึงกลับไปก่อนแล้วกัน วันหลังค่อยมาค้าง วันนี้กูง่วงวะ ไม่ไหว”

“เอางั้นก็ได้” ผมหันไปหาพี่อาร์ตเมื่อไอ้ปากลับขึ้นรถไป

“พี่อาร์ต หวัดดีครับพี่......ดีครับพี่หนู” กูไม่เต็มใจ!

“เออ....ฝันดีไอ้น้อง เจอกันพรุ่งนี้” ผมส่งยิ้มกลับไปให้พี่อาร์ต นี่สรุปไอ้พี่หนูมันจะไม่มองหน้ากูเลยใช่ไหมเนี่ย แม่งเอาแต่มองหน้าพี่อาร์ตอยู่นั่นแหละ ผมได้แต่ส่ายหน้า

“ฝันดีมึง พรุ่งนี้เจอกัน”

ผมโบกมือให้ไอ้ปาก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินเข้าไปในตัวแมนชั่น เวลาดึกแบบนี้ส่วนใหญ่คนในแมนชั่นจะนอนหลับกันหมดแล้ว จะมีบ้างที่เวลาเดินผ่านจะได้ยินเสียงของทีวีหรือวิดีโอเกมดังลอดออกมาจากด้านใน ผมไม่ได้สนใจอะไรชีวิตความเป็นอยู่คนอื่นมากนัก เพราะแค่ชีวิตของผมยังเอาไม่รอดเลยนี่นา

ตึก ตึก ตึก

ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนเดินตามผมมา ขนแขนผมลุกชัน รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง ผมหันไปมองหวังให้มีสักคนกลับบ้านเวลานี้ เวลาเดียวกับที่ผมกลับแต่.....ไม่มีเลย!! เพราะสิ่งที่เมื่อผมหันไปเห็นนั้นคือ.....ความว่างเปล่า ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ ไม่มีแม้แต่มดสักตัว ผมเลิกสนใจพยายามตั้งสติแล้วเดินไปข้างหน้า อีกนิด.......อีกเพียงนิดเดียว อีกแค่สองห้องเท่านั้น ผมคิดเช่นนั้น เท้าของผมเร่งความเร็วมากขึ้น ความกลัวทำให้ผมใจสั่น

ครืดดดด........คราดดดดด

เสียงอะไร? ไม่หรอก มันอาจจะเป็นเพียงเสียงดังจากห้องของใครก็ได้ อาจจะยังมีคนที่ยังไม่หลับ ผมพยายามไม่คิดอะไร มือล้วงกระเป๋าเพื่อหยิบกุญแจออกมาไข ระหว่างที่ไขประตูมือผมสั่นจนน่ากลัวและทันทีที่ประตูเปิดผมรีบเอาตัวเองเข้าไปแล้วปิดประตูอย่างรีบร้อน ถ้าเป็นคนผมกลัวว่าจะเป็นโจรแต่ถ้าไม่ใช่.....ผมไม่อยากคิด คืนนี้ผมจะนอนหลับไหม ภาพบ้านร้างมันติดตาผม ผู้ชายคนนั้นที่ผมเห็นคือใคร ทำไมมีแค่ผมเท่านั้นที่เห็นเขา เขาต้องการอะไรจากผมหรือเปล่า ผมเฝ้าถามตัวเองตลอดทั้งคืนจนเผลอหลับไป.......

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมสะลึมสะลือรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ผมเหลือบมองนาฬิกาตรงโต๊ะข้างเตียง ตี2.30น. ให้ตายเถอะ ใครกันที่มาเคาะประตูเวลานี้ ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงเดินโซซัดโซเซด้วยความง่วงไปที่ประตูห้อง

“คร้าบบ”

!!!

ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก มันไม่มีใครเลยที่ยืนอยู่ตรงนั้น มีเพียงแสงไฟสลัวๆ ที่ดูแล้วชวนให้รู้สึกขนลุก หรือจะหูฝาด ผมคิดและปิดประตูเพื่อจะกลับไปนอนอีกครั้ง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

อีกแล้ว!! ใครกันแกล้งผมแบบนี้ ไม่รู้หรือยังไงว่าเวลานี้เป็นเวลานอน ผมเดินไปหน้าประตูอีกครั้งอย่างหัวเสีย แน่ใจแล้วว่าคราวนี้ไม่ได้หูฝาดไปแน่ๆ

แต่ทันทีที่ผมเปิดประตู มันกลับไร้วี่แววของผู้คนสักคนเดียว อะไรเนี่ย!!! เกิดอะไรขึ้นกับผม ผมบ้า? หูฝาด? หรือว่าผมเหนื่อยเกินไป ผมอยากนอนพัก พรุ่งนี้ผมต้องไปทำงานอีก อย่ากวนผมนักเลย ผมได้แต่คิดในใจ ไม่ไหว ร่างกายของผมล้าเกินกว่าจะสนใจแล้ว ผมทิ้งตัวลงบนเตียงและหลับไปอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่มีเสียงเคาะอีก

เมื่อเช้านี้ผมตื่นมาทำกับข้าวใส่กล่องสองกล่องเหมือนทุกวัน แต่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าแทบไม่ได้นอน ไม่รู้สิครับ หรือว่าผมอาจจะเหนื่อยมากจนพักไม่พอก็เป็นไปได้ แถมเมื่อคืนผมยังเพิ่งจะไปบ้านร้างเจอเรื่องที่อธิบายไม่ได้มา ผมอาจจะมึนงงจนเบลอก็เป็นได้ ที่บริษัทพูดคุยกันเสียงดังเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนนี้ พี่ฝนลางานได้ยินคนพูดกันเรื่องนี้ว่าพี่ฝนจับไข้ ผมอยากรู้ว่าสิ่งที่พี่ฝนเจอคืออะไร แต่ก็นั่นล่ะ พี่ฝนป่วยแล้วผมจะไปคุยกับใครได้ ไอ้ปาหรือ? ตัวมันเองยังมองไม่เห็นวิญญาณด้วยซ้ำแล้วผมจะไปคุยอะไรกับมันได้ จะให้ผมไปบอกมันว่าเมื่อคืนเจอเสียงเคาะประตูปริศนาหรือครับ มันคงหัวเราะเยาะใส่หน้าผมน่ะสิ

“ไอ้หนู เมื่อคืนเป็นไงวะ เข้าไปกับไอ้อาร์ตแบบนั้น” ผมหูกระดิกเลยครับ พอได้ยินเรื่องนี้ ก็ฉากร้อนแรงที่ไอ้พี่หนูมันแสดงสดในบ้านร้างมันยังติดตาผมไม่หาย อึ๋ย.....พูดแล้วขนลุก

“เป็นไง ไม่เป็นไง มันก็กวนตีนกูเหมือนเดิม” พี่หนูพยายามทำเสียงเข้ม ขี้โม้จริงๆ

“แล้วไม่เจออะไรหรือวะ ในนั้น”

“ก็ไม่ กูไม่เห็นเจออะไรเลย” อ้าว.....สรุปเมื่อคืนพี่มันไม่ได้จูบไล่ผีกันหรือวะ แล้วเขาจูบกันทำไม????

“เออก็ดีแล้วเว้ย แต่ระวังนะ......เขาว่า ถ้าผีถูกใจ จะตามกลับบ้านด้วย”

“หยุดเลยไอ้เหี้ยคม มึงไม่ต้องมาแหย่กู มึงก็รู้ว่ากูไม่กลัว” ชิ!! หมดอารมณ์ พี่หนูมันจะทำเป็นกลัวหน่อยก็ไม่ได้ ไม่มีเรื่องสนุกเลยวะ

“ไม่มีงานมีการทำกันหรือไง!!!”

“มี ทำอยู่ไม่เห็นหรือ” พี่หนูตอบด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์พี่อาร์ตสุดๆ

“มึงล่ะคม ไม่มีงานมีการทำหรือ กลับไปทำงานได้แล้ว!!!” พี่คมเหลือบตามองพี่หนูก่อนจะเดินกลับไปทำงานของตัวเอง พี่อาร์ตมองพี่หนูด้วยหางตาก่อนจะเดินกลับห้องไป มันผิดปกติ เพราะปกติแล้วพี่อาร์ตจะกวนตีนพี่หนูด้วยรอยยิ้ม

แต่วันนี้พี่อาร์ตแทบไม่อยากจะคุยกับพี่หนูเลย ขนาดพี่หนูตอบพี่อาร์ตยังแค่มองด้วยหางตาเท่านั้น หายนะแล้ว อย่างที่บอกมันไม่ปกติและผมบอกได้เลยว่ามันทำให้พี่หนูไม่พอใจ’ มาก!!’ ทำไมผมถึงรู้หรือ เพราะพอพี่อาร์ตมองด้วยหางตาแล้วเดินเข้าห้องไปแบบไม่สนใจอีก พี่หนูมันกำปากกาที่ตัวเองถือไว้แน่นจนผมได้ยินเสียงปากกาที่แทบจะหักคามือ

พรึบ!!

ผมมองกระดาษจากโต๊ะของผมที่กระจายลงบนพื้น ผมหันไปมองรอบๆ เพื่อจะดูว่าใครกันที่ทำให้มันหล่น แต่ไม่มีเลย ไม่มีใครเดินผ่านโต๊ะผมด้วยซ้ำ แถมแก้วกาแฟที่วางไว้บนโต๊ะอีก ตอนแรกมันไม่มี แค่ผมหันไปมองพี่หนูคุยกับเพื่อนเท่านั้น ไอ้กาแฟแก้วนี้ก็โผล่มา ถ้าไม่มีใครงั้นมันมาวางที่นี่ตรงนี้ได้ไง กระดาษผมมันหล่นได้ไง แต่จะอึ้งหรือคิดนานไม่ได้ครับ ต้องเก็บเอกสารขึ้นมาก่อน ทำไมมีแต่เรื่องที่ผมไม่เข้าใจเลยนะ

เวลาล่วงเลยไปจนผมที่วุ่นอยู่กับเอกสารบนโต๊ะรู้สึกว่าท้องร้อง ร้องดังมากด้วยครับ กาแฟแก้วเดียวมันไม่พอนี่ครับ แต่นี่ก็เที่ยงแล้วด้วย ทำไมไอ้ปายังไม่มาเอาข้าวกล่องอีกนะ ผมชะเง้อคอมองหาไอ้ปาว่าเมื่อไหร่มันจะมาสักทีผมจะได้กินบ้าง ผมตัดสินใจถือข้าวกล่องเพื่อจะเอาไปให้มันแทนเพราะผมรอไม่ไหวแล้ว วันนี้มันมาช้าเกินไป

“ชอบไหมคะ”

“แน่นอนสิครับ พี่ต้องชอบอยู่แล้ว”

เสียงไอ้ปา ผมแอบฟังไอ้ปาคุยกับสาวคนหนึ่งในออฟฟิศ ซึ่งผมไม่คุ้นหน้าแต่ดูจากการแต่งตัวแล้วเหมือนน้องเขาจะเป็นนักศึกษาฝึกงาน

“นี่เบญทำสุดฝีมือเลยนะคะ พอรู้ว่าพี่ปาชอบ” มือของน้องเบญไล้ไปบนแขนของไอ้ปาช้าๆ

“เบญก็ทำ....เพื่อพี่โดยเฉพาะ”

เสียงหวานที่กระซิบอยู่บริเวณริมหูของไอ้ปากับสายตาหื่นกระหายในรสรักของมันทำให้ผมรู้แล้วว่า ข้าวกล่องของผม คงไม่จำเป็นกับไอ้ปาอีกแล้ว ผมมองข้าวกล่องในมือด้วยสายตาที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูก แต่น่าจะเป็นความเสียดายมากกว่า เสียดายเวลาที่ผมต้องตื่นเช้าขึ้นมาทำให้มัน โดยที่มันไม่ได้กินสักคำ

ผมเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองอย่างหมดแรง เป็นช่วงเดียวกับที่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของผมดังขึ้น เบอร์แปลก ผมจำได้ว่าช่วงนี้ไม่ได้ให้เบอร์ใครด้วยซ้ำ หรือผมให้หว่า?? เอาเถอะ! ผมรองรับดูก็คงจะรู้

“ครับผม”

‘นกหรือ ผมชายนะ’ ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ชายรู้เบอร์ผมได้ยังไง

“มีอะไรหรือเปล่าชาย แล้วนี่เราเคยให้เบอร์ชายด้วยหรือ ทำไมเราจำไม่ได้” ผมพยายามนึกแต่กลับได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะจากปลายสายแทน

‘ไม่เคยหรอก แต่ไม่เกินความสามารถเรา’ เป็นงั้นไป

“แล้วมีอะไรให้เราช่วยหรือ”

‘คือเราติดต่อไอ้ปาไม่ได้ นกอยู่กับมันไหม พอดีเรามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับมันอะ’ คงติดต่อได้หรอก จีบสาวอยู่หน้าห้องแบบนั้น

“เปล่านะ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เออ จริงด้วยชาย”

‘ว่าไงครับ’ ผมหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ

“ชายทานข้าวเที่ยงหรือยัง”

‘หึหึ......ยังครับ ทำไมเอ่ย จะชวนเราหรือ’

“เราทำอาหารไว้ให้ไอ้ปามัน แต่มันคงไม่มากินแล้ว เอ่อ ถ้าไม่รังเกียจ...”

‘ไม่นี่ เราไม่รังเกียจ กำลังหิวพอดี เดี๋ยวเราเข้าไปเอานะ ขอบคุณมาก’

อ้าว......วางไปแล้ว ผมมองโทรศัพท์อย่างงงๆ กับชาย อะไรของเขาเนี่ย แต่ดีแล้วล่ะครับ ไอ้ปามันคงไม่มากินแล้วล่ะ ผมแค่เสียดายของ และผมคงกินคนเดียวไม่หมดแน่ๆ เพราะงั้นแบ่งๆ ให้ชายกินด้วยก็คงไม่เป็นไร ผมเปิดกล่องข้าวเพื่อจะเริ่มกินมันแต่ทันทีที่ผมเอาช้อนตักมันร่างของใครที่ผมเพิ่งโทรไปเมื่อครู่วิ่งกระหืดกระหอบมายืนอยู่หน้าโต๊ะผม แต่ผมเพิ่ง แต่ผม เอ่อ ผมอ้าปากค้างมองหน้าชายอย่างตกตะลึง ผมเพิ่งโทรไปเมื่อกี้เองนะ มาเร็วไปไหมเนี่ย

“ไหน แฮกๆ ข้าว” ผมที่ตกตะลึงได้สติทันที

“อะ อ๋อ นี่ไงๆ” ชายดึงเก้าอี้ของโต๊ะข้างๆ มานั่งกับผม

“โห.....หอมจัง”

“แน่นอน เราทำเองเลยนะ เอ่อ ชายทานได้ใช่ไหม มันก็แค่กุ้งผัดพริกเผากับไข่ดาวเย็นชืด” ชายยักไหล่ให้ผมราวกับมันไม่ได้สำคัญอะไร

“ได้ดิ เรากินอะไรง่ายๆ อยู่แล้ว” ผมส่งยิ้มให้ชายบางๆ

ผมเอากล่องข้าวใส่ถุงผ้าให้ชายเอากลับไปเพราะดูเหมือนชายจะมีเรื่องด่วนที่ร้านของเขาอาจจะโทรมาตามก็ได้ ผมมองชายที่โบกมือลายิ้มโดยมีสาวๆ มองตามตลอดทาง เพราะช่วงเวลาที่ชายกลับเป็นช่วงที่ทุกคนเริ่มกลับเข้ามา ผมคงไม่ได้ทานข้าวแล้วล่ะครับวันนี้ ผมตัดสินใจเก็บข้าวกล่องแล้วหันมาสนใจกับงานแทน ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมไม่สมาธิทำงานเลย ผมเหม่อลอยแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตลอดทั้งเที่ยงไอ้ปาไม่มาหาผมเลยไม่เข้าใจ แต่อย่างว่าอาหารของผมจะไปสู้อะไรกับของน้องเบญได้ล่ะครับ พูดแล้วก็รู้สึกหดหู่อย่างไม่มีเหตุผล ผมพยายามดึงสติกลับมาให้จดจ่อกับงานอีกครั้ง ทุกคนดูเอาจริงเอาจังกับงานช่วงบ่ายอย่างมากแม้จะมีเสียงพูดคุยกันอยู่บ้างประปรายแต่ก็ไม่ได้ดังมากจนทำให้รำคาญ ความง่วงจู่โจมผมจนผมรู้เลยว่าตัวเองหาวนับครั้งไม่ถ้วน





เสียงอื้ออึงจากทั่วทุกทิศดังขึ้นเมื่อตอนนี้เป็นเวลาที่ทุกคนรอคอย ใช่ครับ.......เวลาเลิกงาน ผมเก็บของเข้ากระเป๋า มองข้าวกล่องที่ตอนเที่ยงตัวผมเองไม่มีเวลาได้ทานเลย ผมตัดสินใจเก็บมันลงไปเพื่อจะเอากลับบ้าน ท้องผมร้องประท้วงเพราะความหิว ผมรู้ดีว่าหิวแต่ปัญหาคือผมทานไม่ลง ปากผมไม่รับอาหาร ลำคอผมไม่อยากจะกลืนอะไรนอกจากน้ำ วันนี้ผมดื่มน้ำไปเยอะมากด้วยว่าผมอาจจะทดแทนข้าวที่ไม่ได้กิน ผมเดินออกจากออฟฟิศไปเรื่อยๆ จนถึงป้ายรถเมย์ ผมนั่งรอให้รถเมย์เพื่อจะตรงกลับบ้านแต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มาสักที แต่จู่ๆ ตรงหน้าผมก็มีรถยนต์คันสวยสีดำที่คุ้นตาเป็นอย่างดีมาจอด กระจกไฟฟ้าเลื่อนลงจนเผยใบหน้าของเจ้าของรถให้ผมได้เห็น

“ขึ้นรถ! เดี๋ยวกูไปส่ง” ผมเลิกคิ้วมองหน้ามันที่ทำหน้าตาไม่พอใจใส่ผม อะไรอีกล่ะคราวนี้

“ไม่เป็นไร กูกลับรถเมย์ก็ได้”

“ขึ้น!! - รถ!!!” ผมหันไปมองหน้าไอ้ปาที่แทบจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แต่ก็ยอมเดินขึ้นรถของมันไป ทันทีที่ผมปิดประตู รถคันสวยก็พุ่งทะยานจนผมต้องหาอะไรยึดไว้

“เฮ้ย ช้าๆ ดิวะ กูไม่อยากตายวันนี้นะเว้ย!!” ผมหันไปพูดกับไอ้ปา แต่มันไม่สนใจผมสักนิด

“....”

“มึงเป็นอะไรวะ มึงโกรธอะไรกู”

เอี๊ยด!!!

“มึง เอา.....ให้......ทำไม”

“อะไรนะ” ผมไม่เข้าใจที่มันพึมพำ

“กูถามว่า มึงเอาข้าวของกูไปให้ไอ้ชายทำไม!!” ไอ้ปาหยิบกล่องข้าวที่ว่างเปล่าโยนมาบนตักของผม ผมจำได้ว่ามันเป็นอันเดียวกับที่ผมเอาให้ชายไปเมื่อตอนเที่ยง

“คือ.....กูเห็นว่ามึงไม่กินแล้ว กูเสียดายเลยเอาให้ชายไปกินแทน”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่กิน!!” ผมหันไปมองไอ้ปาที่ระบายความโกรธด้วยการทุบพวงมาลัยรถ

“ก็ถ้ามึงจะแดก!! มึงคงเดินมาหากูแล้ว ไม่ปล่อยให้กูนั่งหิวรอมึงจนหมดเวลาหรอก!!!” ผมตะคอกใส่มันเสียงดัง

“...”

“แค่ข้าวไอ้ปา มันก็แค่ข้าวที่กูแบ่งให้เพื่อนมึง”

“...”

“มันคือข้าวของมึงที่มึงไม่กิน!!! กูผิดตรงไหนวะ!!!”

“ก็มันคือข้าวของกู ข้าวของกูที่มึงเป็นคนทำ” หึ!!

“ก็ถ้ามันสำคัญ....” ผมกัดปากตัวเอง

“...”

“ถ้ามันสำคัญจริง......ทำไมวันนี้มึงไม่มา”

“กะ กู เอ่อ กู” ก็ตอบไม่ได้

“กูรู้......กูรู้ว่ามึงกินไปแล้ว ข้าวที่คนอื่นทำให้มึง”

“...!!!” ไอ้ปามองหน้าผมอย่างตกใจ

“แต่ที่กูไม่รู้คือ มึงมีสิทธิ์จะโกรธกูหรือวะ” ผมยกยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปหมด

“ไอ้นก มึงเข้าใจผิด กูไม่ได้..” ผมยกมือขึ้นห้ามมัน ตอนนี้ผมไม่อยากจะฟังอะไรทั้งสิ้น

“พากูไปส่ง กูอยากกลับบ้าน” ผมทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง เอนตัวพิงเบาะอย่างไม่สนใจคนข้างๆ อีก ผมนั่งรอแต่คนข้างๆ ไม่มีท่าทีจะออกรถเลย จนผมต้องหันไปมองหน้ามันทั้งๆ ที่ใจจริงแล้วผมไม่อยากจะเห็นหน้ามันสักนิด ไอ้ปานั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับตัวจนผมสงสัย มันจะเล่นอะไรอีก

“ถ้ามึงไม่คิดจะไปส่งก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวกู อ๊ะ!!”

แทบไม่ทันตั้งตัว ผมพูดไม่ทันจะจบประโยคไอ้ปาก็เหยียบคันเร่งจนผมหงายหลังไปด้วยแรงกระชากของรถ ความเร็วที่หน้าปัดบอกคือ120 และผมมั่นใจว่าความเร็วขนาดนี้ถ้าพุ่งไปชนอะไรสักอย่างผมคงไม่ทันจะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ แต่มันไม่ได้สนใจ

“ไอ้ปา จอดกูจะกลับเอง จอดรถ!!”

ผมพยายามจะเรียกร้องให้มันจอด อยากจะทำเหมือนในหนังในนิยายที่เปิดประตูแล้วกระโดดออกไป แต่ความเร็วขนาดนี้โดดไปก็ตาย ผมไม่เสี่ยงดีกว่าครับ เดี๋ยวตายฟรี

“มึงจะไปไหน กูจะกลับบ้าน จอดดิวะ!! จอด!!!”

“...”

มันไม่คิดจะสนใจผมเลยครับ เพราะมันรู้ดีว่าผมกลัวตายไม่กล้าทำอะไรมาก จะต่อยมันก็กลัวรถเสียหลัก จะเปิดประตูก็กลัว ผมเลยได้แค่โวยวายใส่มันเท่านั้น มันเอาแต่เงียบไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไร พอโวยวายมากๆ ผมเองก็เริ่มเหนื่อยเลยใช้สงครามประสาทเล่นกับมัน เอาสิ ถ้ามึงคิดว่ามีมึงคนเดียวที่เงียบได้ กูจะทำให้ดูว่าเงียบกว่าเป็นยังไง

ทันทีที่ตัวรถเข้าไปจอดหน้าคอนโดที่ผมไม่รู้จัก แต่เคยเห็นตามพวกป้ายโฆษณาขายหลายๆ ที่ สวยหรูตามที่โฆษณาไว้จริงๆ มิน่าล่ะ......ถึงแพง ว่าแต่มันพาผมมาที่นี่ทำไม คงไม่พาผมมาสมัครงานรปภ.หรอกใช่ไหมครับ ผมอยากทำร้านอาหารเดียวกับชายมากกว่า นกชอบของฟรี แต่เดี๋ยวก่อน.....ผมโกรธมันอยู่นี่นา

“ลงมานก”

“...” นิ่ง.... ผมนั่งเม้มปากไม่สนใจมัน เหมือนที่มันไม่สนใจคำพูดของผมก่อนหน้า

“นก ลงมา อย่าให้กูต้องอุ้มมึงนะ” เชี้ย!! อุ้มเลยหรือ

“ไม่ต้อง!! ลงเองได้” ผมก้าวลงจากรถอย่างไม่เต็มใจ ใครจะเต็มใจมาละครับที่ที่ไม่รู้จักแบบนี้

“มานี่”

“อะไร ไม่ต้องมาจับ กูเดินเองได้” ผมสะบัดแขนออกเมื่อมันจับเข้าที่แขนของผม

“อย่าดื้อ!!”

“...” ผมชะงักเมื่อมันค่อยเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ อะไร จะแดกหัวกูหรือ ไม่กลัวหรอก แล้วผมถอยหนีทำไมวะเนี่ย

“เพราะถ้ามึงดื้อ......กูอาจจะคุมตัวเองไม่ได้”

ไอ้ปาลากผมเดินตรงเข้าไปภายใน ผมที่ยังอึ้งอยู่รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดหน้าห้องแล้ว ผมได้แต่พยายามบิดมือออกจากการเกาะกุมแต่มันไม่ช่วยอะไรเลย เพราะมือของไอ้ปาเหนียวแน่นมาก ไม่รู้มันเป็นตุ๊ดแกมาเกิดใหม่หรือเปล่าแกะเท่าไหร่ก็แกะไม่ออก จนมันไขกุญแจเสร็จผมถึงได้ถูกลากเข้าไปข้างใน ให้ตายสิครับ!! ชาตินี้แทบไม่เชื่อเลยว่าไอ้นกจะมีบุญได้มาเหยียบห้องหรูๆ แบบนี้ แทบจะเรียกว่าระยิบระยับเลยครับ อาจจะเพราะผมมัวแต่ทึ่งกับความสวยงามของห้องทำให้ผมไม่รู้ตัวเองเลยว่ามันปล่อยมือผมตอนไหน

“จะกินอะไรไหม” ผมหันขวับไปมอง

“ไม่กิน จะกลับบ้าน!” อะไร ทำไมมันต้องยิ้มเหมือนเอ็นดูผมด้วย

“ถ้ามึงยังโกรธยังไม่ฟังอยู่แบบนี้ กูก็ไม่พากลับหรอก นอนห้องกูนี่แหละ” ห้องมัน??

“นี่ห้องมึงหรือ” ผมกวาดสายตาไปรอบๆ จนสะดุดเข้ากับทีวีจอยักษ์

“ใช่.....พอดีญาติกูเขาปล่อยว่างไว้ กูเลยขอยืมเอ่อ เช่าอยู่ไปก่อน” เดี๋ยวรถ เดี๋ยวคอนโด

“ญาติมึงเป็นมหาเศรษฐีหรือวะ”

พรวด!!!

“อึก แค่กๆ พูดเหี้ยอะไรของมึง” ผมเลิกคิ้วมองมันที่สำลักน้ำจนไอ้

“ผิดตรงไหน เดี๋ยวรถ เดี๋ยวคอนโด ไม่มหาเศรษฐีแล้วทำไมซื้อแต่ของแพงๆ แถมให้มึงโดยที่ไม่เสียดาย”

‘ทีอย่างนี้ล่ะทำมาฉลาด’

“ห้ะ??? มึงว่าไงนะ” ผมปายักไหล่โดยไม่สนใจจะตอบผมอีก ผมรู้สึกเหมือนนักสำรวจอยากจะขุดคุ้ย เอ๊ย ค้นบ้านไอ้ปาแล้ว คันมือมากเลย ผมชะเง้อคอมองไอ้ปาที่หันหลังให้ค่อยๆ ย่องเข้าไปในห้องที่แยกอยู่

กึก กึก

ฉิบหาย เสือกล็อกอีก เอาวะ ไปดูห้องน้ำก็ได้ ผมเดินไปอีกหน่อย ประตูที่ปิดอยู่ทำให้ผมอยากรู้อยากเห็นจนต้องเอื้อมมือไปเปิด แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ผมแทบกรี๊ด นั่นๆ นั่นมันรูปผมนี่ครับ!!! ทำไมมีรูปผมอยู่เต็มห้องน้ำไปหมดแบบนี้ล่ะครับท่าน!!!!

ตึง!!

“ทำอะไรของมึงวะ!!!” ผมสะดุ้งค้างกับภาพที่เห็นจนไม่รู้เลยว่าไอ้ปามาเมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีมันก็ปิดประตูตรงหน้าผมไปแล้ว

“ทะ ทะ ทำไมมีรูปกู.......อยู่ในนั้น”

“.....” ไอ้ปาไม่ตอบคำถามผม เอาแต่หลบสายตาผมไม่เข้าใจ นี่มันอะไรกัน??







50%





นกลูก หนูจะลืมความโกรธง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะคะสามีหนูมันจะไม่จำเอาน้าา แมวมาอัพแล้ว แจ้งวันอัพตรงนี้เลยนะคะ จากนี้แมวจะอัพอาทิตย์ละ 1ตอน ตอนละ2พาร์ท เท่ากับว่า1อาทิตย์แมวจะลงนิยายสองวันจ้า ทุกวันศุกร์และเสาร์นะจ๊ะ ฝากน้องนกกับพี่ปาไว้ด้วยนะคะ

ขอปลาทูโหน่ยยยย~

#ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่5. นกกับบางสิ่งฯ 50% up. 01/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 01-11-2019 17:56:38
ทำไมรู้สึกว่าปาเหมือนเห็นนกเป็นของตาย

อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป ขาดความชัดเจนมากๆ
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่5. นกกับบางสิ่งฯ 50% up. 01/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 02-11-2019 00:13:46
ปาถ้าชอบนกก็รีบๆบอกนะ ก่อนจะมีคนชิงตัวไปเสียก่อน
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่5. นกกับบางสิ่งฯ 100% up. 02/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 02-11-2019 16:11:49
“ทะ ทะ ทำไมมีรูปกู.......อยู่ในนั้น”

“.....” ไอ้ปาไม่ตอบคำถามผม เอาแต่หลบสายตาผมไม่เข้าใจ นี่มันอะไรกัน??

“มึง......ติดรูปกูเอาไว้ ในห้องน้ำเนี่ยนะ”

“คือกู”

“แถมตอนเผลอด้วย” ผมจ้องหน้าไอ้ปาที่ยังไม่ยอมสบตากับผม

“คือ...”

“ทำไมมึงไม่บอกกูก่อนวะ ไม่หล่อเลย”

“หา???” งงอะไรของมัน ก็หน้าผมในรูปมันเหวอฉิบหาย มีรูปหนึ่งที่ผมนั่งอ้าปากกว้างกำลังตักข้าวเข้าปากเลย

“อยากถ่ายรูปกูก็มาขอดีๆ กูจะได้ทำหน้าหล่อๆ ก่อน” ไอ้ปาเหวอไปเลยครับ คงไม่คิดว่าผมจะยอมให้ถ่ายง่ายๆ แบบนี้ล่ะสิ ฮึ.....อยากได้รูปคนหล่อก็บอกดีๆ ก็ได้

“มึงคิดงั้นหรือ”

“ทำไม มึงไม่อยากได้หรือ”

“เปล่า เอ๊ย! หมายถึงอยากสิวะ” ผมยักไหล่เมื่อตกลงกันได้ก็โอเค ต่อไปรูปแย่ๆ ของผมคงไม่ออกมาอีก

“งั้นก็ดีล!!” ผมยื่นมือไปตรงหน้ามันเพื่อต้องการทำข้อตกลง ไอ้ปามองมือผมก่อนจะยกยิ้มมุมปากจนน่าหมั่นไส้แล้วยื่นมือมาจับ

“ดีล!!”

ผมเดินตามไอ้ปากลับไปที่โซฟาตัวใหญ่ที่นุ่มมาก นุ่มตูดผมสุดๆ จนอยากหาผ้าห่มมานอนเลยครับ ผมลูบไล้ไปตามเบาะนั่งอย่างเพลิดเพลินจนไอ้ปากลับมานั่งข้างๆ ผม ใกล้ไปมั้งเนี่ย ผมขยับหนีเล็กน้อยแค่ห่างจากมันนิดหน่อยติดกันเกินไปผมอึดอัด

“นั่นอะไรวะ” ผมหันไปมองตามที่นิ้วไอ้ปาชี้ อ๋อ.....กระเป๋าผม

“ข้าวกูเอง” ไอ้ปาเลิกคิ้วอย่างสงสัย ไม่แปลกครับ ก็ข้าวผมมันเหลือเต็มกล่อง

“มึงไม่ได้กิน?” เอ้า.....ไอ้นี่ก็ถามแปลก

“ถ้าได้กิน มึงจะเห็นว่าเหลือเต็มกล่องหรือวะ”

โป๊ก!!

“โอ๊ย!!”

“กวนตีนนะมึง” ผมอมลมแก้มป่องงอนมันเมื่อไอ้ปาเขกลงบนหัวผมแม้จะไม่แรงมากก็ตาม

“หึหึ.....กูจะไม่โกรธมึงที่เอาข้าวกูไปให้ไอ้ชาย ถ้าตอนนี้.......มึงทำให้กูกิน” จะ จะ จะเอาหน้าเข้ามาใกล้ทำไมฟะไอ้ปาโน้มหน้าลงมาจนผมต้องเอนตัวหนีมันกลิ่นโคโลญจากตัวมันแตะจมูกผม มันหอมจนผมเผลอรับกลิ่นเข้าไปจนเต็มปอด

"ได้ๆ "

ผมรีบลุกหนีทันที จะนั่งอยู่นานๆ ทำไมละครับเดี๋ยวใจก็หายหรอก เกือบไปแล้วๆ หยุดนะไอ้นก นั่นเพื่อนนะ ผมเม้มปากแน่นระหว่างที่ก้มลงหาของสดในตู้เย็นไอ้ปา ไม่มีห่าอะไรเลย แล้วมันจะให้ผมทำอะไรให้มันกินละครับเนี่ย บ้าจริง!!

“ตู้เย็นมึงไม่มีอะไรพอจะทำแดกได้เลยหรือวะ” ผมย่อตัวลงเพื่อจะหาอะไรสักอย่าง อะไรที่พอจะทำเป็นอาหารได้

“มีสิ!”

“!!” ผมสะดุ้งเมื่อน้ำเสียงทุ้มดังอยู่ข้างหูทางด้านหลังของผมจนต้องหันไปมอง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมหันกลับไปมองตู้เย็นเมื่อเห็นว่าหน้าของเราสองคนห่างกันเพียงแค่กระดาษกั้นกลาง ผมยังรู้สึกถึงลมหายใจที่ออกมาอยู่เลย

“มันก็มี........ไข่นี่ไง”

ไอ้ปามันโผล่หน้ามาทางขวามือจนแก้มของเราสัมผัสกัน มันเอื้อมมาหยิบแผงไข่ที่ผมน่าจะเห็นแต่กลับไม่เห็น แล้วทำไมผมมองไม่เห็นนะ

“อะ เอ่อ ขอบใจ”

“หึหึ!!”

เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ ถอยห่างจากผมจนผมรับรู้ได้ว่ามันกลับไปที่โซฟาแล้วผมถึงได้หยิบไข่ออกมาสี่ฟอง ไอ้ปามันมีอุปกรณ์เครื่องครัวครบแต่กลับไม่มีของสดในตู้ มันดูขัดแย้งกันยังไงไม่รู้ ผมลงมือหุงข้าวรอ มันต้องรอครับ รอให้ข้าวสุกแล้วค่อยทอดไข่ เดี๋ยวมันเย็นหมด

“เออ ไอ้ปา กูถามหน่อย”

“หือ” มันไม่สนใจหันมามองหน้าผมหรอกครับ กดแต่โทรศัพท์อยู่นั่นแหละ

“มึงโสดหรือวะ” ไอ้ปาชะงักก่อนจะหันมามองผมด้วยแววตาแวววับ

“ทำไม.....สนใจหรือ”

“ไม่สนใจจะถามหรือวะ” ถามแปลกๆ ละ แล้วทำไม ต้องยิ้มแบบนั้นด้วยล่ะ

“โสดสิ........”

ตึกตัก ตึกตัก

“โสดเฉพาะกับมึงนะ”

หมายความว่าไง ผมไม่เข้าใจแต่ไอ้ปาก็คือไอ้ปา มันไม่อธิบายเพิ่มให้ผมฟังเพราะมันดูอารมณ์ดี ยิ้มไปเล่นโทรศัพท์ไป ส่วนผมก็นั่งทำหน้าโง่ๆ อยู่ข้างๆ มัน สงสัยในคำพูดของมันอยู่คนเดียว
ข้าวสุกแล้ว!

ผมลุกขึ้นจากโซฟาไปในครัว เตรียมกระทะเพื่อทอดไข่ ผมมัวแต่สนใจกับการทอดไข่เลยไม่ได้สนใจไอ้ปาอีก แต่คิดว่ากลิ่นหอมๆ คงล่อมันมา เพราะตอนนี้มันนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าครัวรอข้าวที่ผมทำ นี่มันหิวขนาดนี้เลยหรือครับ ผมวางจานลงตรงหน้าไอ้ปาแล้วลากเก้าอี้มานั่งอีกฝั่งตรงข้ามมัน ไอ้ปากินโดยไม่สนใจอะไร มันเป็นอาหารสิ้นคิดผมรู้ แต่มันคงไม่สิ้นคิดถ้ามันจะมีของสดบ้าง เดี๋ยวนะ......หรือว่าที่ไอ้ปาไม่มีของสด เพราะผม!! คิดได้แบบนั้นผมก็ชะงักมือ

“ไอ้ปา”

“หือ”

“ที่มึงไม่มีของสดติดห้อง เพราะกูให้มึงซื้อเข้าห้องกูหมดแล้ว ใช่ไหม” ไอ้ปามองผมด้วยแววตาจริงจัง

“เปล่า ไม่ใช่หรอก” ใช่แน่ๆ

“มึงไปแบ่งจากห้องกูมาไว้ห้องมึงบ้างก็ได้นะ” ไอ้ปาส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปาก

“ที่กูไม่มีของสด เพราะกูทำอาหารไม่เป็น”

“แต่...”

“ที่กูมีของสำหรับทำอาหารครบ เพราะ.....” ไอ้ปาลากเสียงก่อนจะจ้องตาผมตรงๆ จนผมรู้สึกทำตัวไม่ถูก

“เอ่อ เพราะอะไรหรือ”

“หึ......เพราะกูรอให้คนที่กูรัก มาทำให้กิน”

เคร้ง!!!

ผมอึ้งค้าง มือไม้อ่อนจนช้อนตกลงกระทบกับจานจนเกิดเสียงดัง ทันทีที่รู้สึกตัวผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองไอ้ปาอีก ใจหล่นวูบ เพียงแค่มันบอกว่าคนที่รักมาทำให้มันกิน เพียงแค่คิดว่ามันจะไม่กินอาหารฝีมือผมอีก มันก็คันๆ เจ็บๆ ที่หัวใจ อาการแบบนี้คืออะไรน่ะ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ แต่ไม่สนใจให้มากจะดีกว่าครับ คิดไปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี อย่างที่ไอ้ปาชอบว่าผมบ่อยๆ นั่นแหละ ไอ้นกมันโง่ คิดได้แต่เรื่องโง่ๆ

“เอ้า ชุดนอน” ผมรับชุดที่ไอ้ปาโยนมาให้ มองชุดสีน้ำเงินเข้มด้วยความสงสัย

“ของใครวะ”

“ของกูเอง เมื่อตอนม.ต้นได้มั้งตัวนี้” โห.....นานขนาดนั้นแม่งยังจะเก็บไว้อีก

“เออ ขอบใจ”

ผมรับผ้าขนหนูมาไว้พร้อมกับชุดนอน ทำไงได้ล่ะครับเจ้าของห้องไม่ยอมให้ผมกลับบ้านนี่ ผมใช้เวลากับการอาบน้ำไปนานพอสมควร ไม่ใช่เพราะรักสะอาดอะไรเลย ผมใช้เครื่องทำน้ำอุ่นมาเป็นจนต้องลำบากไปตามไปปาให้มาช่วยดูให้นี่แหละ ไหนจะไอ้สิ่งที่รูปร่างเหมือนกะละมังใหญ่ๆ นี่อีก เอาไว้ทำอะไรวะ หรือจะใช้ซักผ้า คอนโดก็หรูน่าจะมีเครื่องซักผ้าสักเครื่องนี่ต้องลำบากใช้กะละมังกระเบื้องใหญ่ๆ ซักแทนแล้วหรือ ว่าแต่ว่า......มันใหญ่จนผมคิดว่าเอาผ้าทั้งห้องมาซักก็ยังไม่เต็มเลยมั้งครับเนี่ย พอออกมาจากห้องน้ำก็เห็นไอ้คุณชายนั่งอยู่กับกองเอกสารเยอะแยะมากมาย ว่าแต่นี่มึงบอกกูไม่ให้รับงานคนอื่นแต่มึงทำเองเนี่ยนะ ผมเดินเข้าไปใกล้เพื่อจะดูว่างานของแผนกไหน แต่มันดันไหวตัวทัน!! ปิดเอกสารก่อนที่ผมจะเห็นซะอย่างนั้น

“อะไรวะ งานมึงหรือ”

“เปล่า ไม่ใช่ของกู” ผมยิ่งมั่นใจเลยว่ามันรับงานคนอื่นมา

“มีคนฝากมึงทำแทนหรือวะ” ผมพยายามจะดูแต่ไอ้ปากลับเอาเอกสารหนีผม อะไรวะขอดูนิดหน่อยไม่ได้ โธ่เอ๊ย ทำเป็นหวง

“ใช่”

“ใครวะ ไหนมึงบอกไม่ให้กูรับงานคนอื่น แล้วทีแบบนี้ทำไมมึงรับมาวะ” ผมหัวเสียทันทีที่ได้ยินคำตอบมัน มีที่ไหนสั่งคนอื่นไม่ให้ทำแต่ตัวเองดันไปทำเสียเอง

“ไม่ใช่แบบนั้นเว้ย” ไอ้ปาถอนหายใจใส่ผม หน็อย.....

“ไม่ใช่เหี้ยไร ก็เห็นๆ อยู่ว่างานคนอื่น ใคร!! บอกมาเลยกูจะไป...”

“ท่านประธาน”

“กราบสวัสดี ไอ้สัตว์!! แล้วไม่รีบบอกกู” แล้วไม่บอก เกือบด่าท่านประธานบริษัทแล้วไหมล่ะกู ผมโยนผ้าขนหนูที่ใช้เช็ดผมใส่หน้ามันแต่เสือกรับทัน

“ฮ่าๆ มึงแม่ง ฮ่าๆ” เฮอะ!! เออๆ เอาหัวเราะเข้าไป แม่งทำหน้าตากวนตีนจนแทบจะเอาตีนถีบหน้ามันอยู่แล้วเนี่ย

“ไปอาบน้ำไปสัตว์ เหม็น” ไอ้ปาเลิกคิ้วขึ้นอย่างกับว่ามันไม่เชื่อผม แถมมีการดมพิสูจน์ให้ดูด้วยนะครับว่าไม่เหม็น เอาเถอะครับพ่อ เอาที่พ่อสบายใจ

“ห๊อมมม หอมมมม” เอากับมันสิครับ ลอยหน้าลอยตาได้อีก

“งั้นกูนอนโซฟา”

“เดี๋ยวกูอาบเลย เหม็นจริงๆ ด้วยวะ”

ผมทำหน้าเหม็นเบื่อ ไอ้เด็กติดหมอนข้าง ตอนที่มันไปค้างห้องผมมันก็ไม่ยอมให้ผมนอนข้างล่าง มันจะนอนเบียดบอกว่าตัวเองติดหมอนข้าง เชื่อไหมล่ะครับ ก็ผมเชื่อไปแล้วนี่ ผมมองไปรอบห้อง ไม่เห็นหมอนข้างมันสักใบไหนมันบอกว่าติดหมอนข้างไงวะ นี่ถ้าไม่เกรงใจผมจะเดินหาแล้วนะ คาใจจริงๆ ผมเลิกสนใจเรื่องจุกจิกแล้วกระโดดขึ้นเตียงนอนใหญ่ตรงหน้าแทน โอ้แม่เจ้า!! นุ่มมาก และเพราะความนุ่มนิ่มของมันนี่แหละครับ ที่ทำให้ผมหลับทันทีที่หัวถึงหมอน

ZzzzZzz

ผมหลับไปแต่ความรู้สึกของผมสิครับ รู้สึกว่ามีคนมาสะกิดเรียก แต่ผมนอนหลับไปแล้วไม่อยากลืมตาขึ้นมามองจึงทำทีไม่สนใจคิดว่าเดี๋ยวมันก็เลิกสะกิดเอง แต่เปล่าเลย จากสะกิดตัวผม มันกลายเป็นเขย่าตัวแรงๆ จนผมนึกรำคาญ

“ฮืออ จะนอน” ผมสะบัดตัวหนีแล้วหันหน้าไปอีกด้านแทน แต่มันก็ยังไม่จบ เมื่อหลับไปอีกสักพัก จากที่เขย่าร่างผมก็กลายเป็นผมที่ถูกจูงให้ลุกจากเตียง มือของผมถูกใครบางคนจับจูงให้ผมเดินไปเรื่อยๆ

“จะไปไหน...ปา กูง่วง อยากนอน”

ไม่ตอบ ทำไมมันไม่ตอบ ผมง่วงและไม่อยากไปไหนผมจึงขืนตัวเอาไว้จะกลับไปนอนที่เดิม แต่มือที่ยึดผมไว้ดูเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ

'ไปด้วยกันนะ ไปอยู่กับผม'

เสียงไม่คุ้นเลย ถ้าไม่ใช่ไอ้ปางั้นใครล่ะที่กำลังลากผมอยู่ ถึงแม้ความง่วงจะมีมากแต่ตอนนี้ผมคงต้องตัดใจลืมตาขึ้นเพื่อมองคนตรงหน้าก่อน
พรึบ!

“ไอ้ปา ไอ้ปาช่วยด้วย!!!!” มะ ไม่จริง สิ่งที่ผมคือระเบียงห้องไอ้ปาที่มองเห็นวิวข้างล่างชัดเจน แต่ที่มันชัดแบบนี้เพราะตัวผมตอนนี้.....มันปีนอยู่บนระเบียง!!!

“ไอ้ปา!!! ช่วยกูด้วย!!!” ผมมองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ว่าร่างของผมถูกดัน มีใครบางคนพยายามผลักผมให้ลงไป ไม่เอานะ ผมยังไม่อยากตาย

‘ลงไปสิ เดี๋ยวเราก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ’

ใคร เสียงใครน่ะ ไม่เอานะ ไอ้ปาอยู่ไหน ช่วยด้วย

“เฮ้ย!!! ไอ้นก!!!”

โชคดีที่ไอ้ปามาทัน มันดึงผมลงจากระเบียงได้ ทันเวลา ผมกอดมันแน่นความกลัวยังไม่จางหายไปแม้แต่น้อย ตัวผมสั่นระริกร้ำตาไหลนองอย่างห้ามไม่ได้ เสียงสะอึกสะอื้นของผมดังเป็นระยะอยู่กับอกของไอ้ปา

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” มืออุ่นๆ ลูบหัวผมอย่างปลอบโยน อ้อมแขนก็กระชับแน่นขึ้นมันคงอยากให้ผมรู้สึกปลอดภัย

“ฮื่อออออ กูกลัว”

“ไม่เป็นไร......กูอยู่นี่แล้ว ไหนบอกกูหน่อย ทำไมมึงไปอยู่ตรงนั้น” ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าไอ้ปา พยายามนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า

“กูหลับอยู่ รู้สึกเหมือนมีคนมาสะกิด สักพักก็เขย่าตัวกู แต่พอกูไม่ยอมตื่น มันก็ลากกูมาตรงนี้ กูไม่รู้ ฮึก ไม่รู้ว่าเป็นใคร กูนึกว่ามึง ฮื่อออ”

“ช่างมันนก ถ้ามึงไม่สบายใจ พรุ่งนี้กูจะพาไปหาหลวงพ่อ”

หาหลวงพ่อหรือ มันก็ดีหรอกแต่กว่าจะเช้าล่ะ ถ้าเขากลับมาอีกล่ะ ผมกลัว ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับผม ผมไปทำอะไรเขางั้นหรือ ผมไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ หรือว่า!!

“ปา เขาต้องตามกูมาจากบ้านร้างแน่ๆ เลย ต้องใช่แน่ๆ”

“ใจเย็นนก ใจเย็นๆ เขาทำอะไรมึงไม่ได้แล้ว กูอยู่นี่ พรุ่งนี้เราไปทำบุญให้เขากัน” ผมพยักหน้ารับ มองไปรอบๆ ตัวอย่างหวาดระแวง ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ตรงไหน หรือยังอยู่ที่นี่ไหม แต่ที่ผมรู้คือผมควรจะตั้งสติและรอเวลา แต่มันยากนะครับ กับการที่เราเฉียดตายไปเมื่อกี้แล้วต้องมานั่งตั้งสติ มันยากจริงๆ ยากเกินกว่าที่ผมจะทำมันไหว





เสียงนกร้องกับแสงแดดที่ลอดเข้ามาทำให้ผมขยับตัวและลืมตาตื่น นี่ผมเผลอหลับไปตอนไหนนึกยังไงก็นึกไม่ออก แถมตอนนี้ยังกลับมานอนบนเตียงแล้วด้วย หรือไอ้ปามันจะเป็นคนอุ้มผมมา ว่าแต่......แล้วนี่มันหายไปไหน ผมไม่อยากอยู่เดียว

“อ้าว.....ตื่นแล้วหรือวะ”

“อะ อื้ม” ผมหลบตาไม่กล้ามองหน้ามันตรงๆ อาจจะด้วยเพราะมันเพิ่งผ่านมาเมื่อคืน ที่มันเป็นคนช่วยชีวิตผมเอาไว้ เลยไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าตายังไงดี

“ไปล้างหน้าล้างตาดิ เดี๋ยวกูจะพามึงไปวัด” ผมชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ จริงด้วยสินะผมต้องไปทำบุญให้เขา

“อ่า....โอเค”

ล้างหน้าล้างตาสินะ ล้างหน้าล้างตา การรับฟังของผมยังทำงานปกติ แต่การประมวลผลดูจะย่ำแย่เอามากๆ เพราะแค่มันสั่งให้ไล้างหน้าล้างตาผมยังเดินชนผนัง สะดุดธรณีประตูห้องน้ำ หนักสุดก็เกือบจะเอาน้ำในโถมาป้วนปากนี่แหละครับ สยองกว่าเจอผีก็อาการผมนี่แหละ แต่ใครจะรู้ว่า ไอ้ปาเพื่อนของผม มันจะทำอาหารเป็น!!!! ดีครับ ใส่อัศเจรีย์เยอะๆ เลย แต่ผมไม่แน่ใจนะว่าเรียกว่าอาหารไหม ไข่ดาว ขนมปัง ไส้กรอกสองชิ้น กับนมแก้วหนึ่งนี่ เรียกอาหารได้ใช่ไหมครับ ไม่รู้สิ ก็ปกติผมกินแต่กาแฟ ไม่ก็โจ๊กหมู พูดถึงโจ๊กหมูแล้วก็คิดถึงหน้าแมนชั่นผม อร่อยสุดๆ ครับ ขนาดที่ต้องต่อแถวรับบัตรคิวกันเลยทีเดียว พูดแล้วหิว แดกอาหารของไอ้ปาไปก่อนแล้วกันวะ

"แดกเสร็จแล้วใช่ไหม ไปได้แล้ว" อะอ้าว กูยังไม่ได้แดกเลย แต่จะทำอะไรได้ล่ะครับ ก็ยกนมดื่มจนหมดแก้วรองท้องแล้วเดินตามมันออกไปเท่านั้นแหละครับ จริงๆ ไม่ได้กลัวมันทิ้งหรอก กลัวไอ้ผีตัวเมื่อคืนมากกว่า กลัวว่าไอ้ปาไม่อยู่แล้วมันจะออกมาลากผมไปโดดตึกอีก สยอง

ไอ้ปาขับรถมาจอดหน้าวัดหนึ่งที่ดูเก่ามาก ตลอดทางผมเอาแต่ถามมันว่าเราจะไปวัดไหน มันเอาแต่ยิ้มไม่ยอมตอบผมจนสุดท้ายเราก็มายืนอยู่ที่นี่ ไอ้ปาพาผมเข้าไปพบหลวงพ่อ มันบอกว่าที่บ้านมันมาทำบุญที่นี่บ่อยหลวงพ่อที่นี่ท่านเก่งวิชามาก น่าจะช่วยอะไรผมได้บ้าง แต่ที่ผมสงสัยมากๆ คือ ทำไมพวกเราเข้ามาแล้วท่านไม่มองหน้าพวกเราเลย เอาแต่มองไปที่ประตูตลอดเวลา

"โยม......มาทำไมที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของโยม" ผมก้มลงกราบท่าน รู้สึกเหมือนหนังหน้าอย่างผมไม่เหมาะกับวัดเข้าไปอีก

"ผมขอโทษครับที่มารบกวนหลวงพ่อกะทันหันนะครับ แต่ผมมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนจริงๆ " หลวงพ่อหันมามองผมแล้วยิ้มบางๆ

"อาตมาไม่ได้หมายถึงโยมหรอก โยมนก" อ้าว....นี่หลวงพ่อรู้ชื่อผมได้ไงหว่า หรือไอ้ปาจะบอกท่าน ว่าแต่ว่า....ถ้าท่านไม่ได้หมายถึงผมแล้วหมายถึงใครกัน

"อาตมาหมายถึงคนที่ยืนอยู่ตรงประตูนั่นต่างหาก"

"...!!! " ผมกับไอ้ปาหันขวับไปมองเบื้องหลังทันที แต่สิ่งที่หลวงพ่อเห็นพวกผมสองคนกลับไม่เห็นเสียนี่ ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ไอ้ปามากขึ้น กลัวครับ เกิดหลวงพ่อบอกว่าเขามานั่งข้างๆ ผม ผมคงได้กระโดดขี่คอไอ้ปาแน่ๆ

"โยมนก ทำบุญกรวดน้ำให้เขาไปสิ เขาชอบโยมนะ แต่เพราะโยมเป็นคนเดียวที่มองเห็นเขา เขาถึงพยายามจะพาโยมไปอยู่กับเขา" โฮ.......ไม่น่าดีใจเลย มองเห็นว่าไม่ดีแล้ว นี่มองเห็นแล้วจะพาไปอยู่ด้วยยิ่งไม่ดีใหญ่ ผมส่ายหน้าให้หลวงพ่อ เบ้ปากจะร้องไห้ให้ได้

"ผมไม่อยากไปอยู่กับเขานี่ครับหลวงพ่อ ผมอยากอยู่กับไอ้ปามากกว่า" หมายถึงอยู่กับเพื่อนนะครับ ถ้ามีเพื่อนเป็นผีแล้วต้องไปอยู่กับผี ผมอยากอยู่กับเพื่อนที่เป็นคนมากกว่า หลวงพ่อมองผมก่อนจะส่ายหน้า อ้าว ผมทำอะไรผิด

"โยมนี่นะ.....กรรมมันจะมาจากปากโยมนี่แหละ คนเราเวลาจะพูดอะไร ต้องแน่ใจว่าคนฟังเขาจะเข้าใจตามที่เราตั้งความหมายด้วย อย่างเช่น ถ้าหาก อาตมาพูดว่า นก แต่ความหมายในยุคปัจจุบันเขาหมายถึงการที่เราไม่สมหวัง แต่ความหมายของอาตมาคือนกที่เป็นสัตว์ปีกเท่านั้น โยมคิดว่าเขาจะเข้าใจอาตมาไหม" ผมนั่งเอ๋อ พยายามประมวลผลกับสิ่งที่หลวงพ่อบอก แต่คนโง่ๆ อย่างผมไม่เข้าใจอยู่ดี

"หลวงพ่อปล่อยไปเถอะครับ ไอ้นกมันโง่ มันไม่เข้าใจหรอก" ผมได้แต่ยิ้มแหยงๆ ให้หลวงพ่อแม้ในใจจะอยากถีบไอ้ปาที่ด่าผมโง่ก็ตาม

"เอาเถอะ มันก็คือกรรมของโยมทั้งสองที่ต้องเผชิญ ส่วนเรื่องของเขาคนนั้นที่หน้าประตู ไปทำบุญกรวดน้ำให้เขาก็พอ เดี๋ยวอาตมาจะคุยกับเขาให้เอง" ผมรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินแบบนั้น ทีนี้ผมจะได้นอนหลับเสียทีไม่ต้องระแวงว่าจะไปตื่นตรงขอบตึกอีกเมื่อไหร่

"ขอบคุณครับหลวงพ่อ"

ผมกับไอ้ปากราบลาท่านก่อนจะไปหาสังฆทานมาถวายพร้อมกับกรวดน้ำให้เขาตามที่หลวงพ่อแนะนำ เชื่อไหมครับ แค่เพียงได้ทำผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นเป็นกอง มันรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ผมเห็นหลวงพ่อยืนมองเรานิ่งๆ ผมจึงสะกิดไอ้ปาก่อนที่เราสองคนจะยกมือไหว้ลาหลวงพ่อไป ผมเดินยิ้มขึ้นอย่างสุขใจ พูดถึงการทำบุญแล้วผมเองก็ไม่ได้ทำมานานแล้วเหมือนกัน วันนี้ได้ทำมันเสียที เฮ้อ! หวังว่าเรื่องเลวร้ายจะหมดไปเสียทีนะครับ ชีวิตผมตอนนี้ไม่พร้อมเจอเรื่องร้ายๆ อะไรอีก เอ่อ ว่าแต่ว่า......ทำบุญแล้วจะถูกหวยไหมครับ รู้แบบนี้ผมน่าจะขอหวยเขาไว้ก็ดีหรอก

“ไงล่ะมึง สบายใจแล้วสิแบบนี้” ไอ้ปาถามขณะที่ตายังมองถนน

“ก็โอเคนะ ดีกว่าเมื่อคืนเยอะเลย”

“หึหึ.......เสียดายเนอะ” ผมหันไปมองหน้ามันด้วยความสงสัย

“เสียดายอะไรวะ” ไอ้ปามองหน้าผมด้วยแววตาระยิบระยับจนผมอยากควักเอาลูกตามันไปขาย

“ก็เสียดาย.......”

“..? ..”

“เพราะถ้ามึงยังไม่สบายใจ”

“......” ไอ้ปาค่อยๆ เกลี่ยปอยผมของผมเอาไปทัดหู แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงไอ้ร้อนของนิ้วมือที่แตะลงบนผิวแก้มของผม

“จะไปนอนกับกูอีกสักคืนก็ได้นะ กูยินดี”

“มะ มึง ขับรถไปเลย!!”

“หึหึ”

ผมผลักไหล่ของมันอย่างแรงด้วยความรู้สึกแปลกๆ และเพราะผมรู้สึกถึงความร้อนที่ตีขึ้นมาบนใบหน้า ยิ่งทำให้ผมต้องหลบหน้ามันหันไปมองหน้าต่างแทน มันพูดบ้าอะไรของมัน ขยันพูดให้ผมรู้สึกแปลกๆ ตลอดเวลา แต่ที่บ้ากว่าคงจะเป็นหัวใจของผมเอง ที่ดันเต้นแรงกับคำพูดที่ไม่คิดอะไรของเพื่อนตัวเอง
คนพูดไม่คิดอะไร........แล้วทำไมคนฟังถึงรู้สึก



TBC



งื้อออออ แมวก็อยากจะไปนอนกับปา แค่กๆ หมายถึงลองไปนอนคอนโดคุณปาบ้างจังเลยค่ะ แต่ไม่ใช่น้องนก...ไม่มีสิทธิ์ขึ้นห้องปานะคะ แล้วแมวก็นกไปอีกคน งอแง!

#ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่5. นกกับบางสิ่งฯ 100% up. 02/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-11-2019 12:30:15
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่6. นกกับความจริงฯ 50% up. 09/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 09-11-2019 18:59:06
[6]
ตอนที่6.
นกกับความจริงของปา

จากวันนั้นมาผมก็ไม่เจอวิญญาณผู้ชายคนนั้นอีกเลย ไม่ใช่แค่ผู้ชายคนนั้นนะครับไอ้ปาเพื่อนผมมันก็หายไปพร้อมกับวิญญาณเลย หรือไอ้ปาจะเป็นผีเหมือนกัน ไม่ๆ ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดไร้สาระของตัวเองออกไป บ้าจริงเชียว ถ้าไอ้ปามันเป็นผีมันคงไม่พาผมไปที่วัดหรอก หระ หระ หรือว่า!! หลวงพ่อจะเป็น อ๊ากกกก!!! นรกกินหัวผมแล้ว!! ให้ตายสินี่ผมคิดแบบนี้ได้ไงกันนะ แต่ก็นะ ไอ้ปามันหายไม่ติดต่อผมมาเลยเนี่ยสิ ข้าวกล่องที่ผมทำมาก็เลยเหลือทุกวัน ไปไหนของมันก็ไม่รู้ ไม่รู้จักโทรหรือไลน์มาบอกกันเลย อ๊ะๆ ไม่ได้เป็นห่วงนะครับ ผมก็แค่......เสียดายของเฉยๆ อ๊าก!!! ผมไม่ได้ทำเสียงอ่อยซะหน่อย!! อย่ามาจับผิดผมน้า!!!!!

“อ้าว.......น้องนก มาทำอะไรตรงนี้คะเนี่ย” หือ ตรงนี้ ผมหันไปมองป้ายที่เป็นรูปประจำห้องน้ำหญิง ตายห่า!!!

“อะ แหะๆ พี่ฝ้าย พอดีผมคิดอะไรเพลินๆ น่ะครับ ไม่รู้มาโผล่ตรงนี้ได้ไง” ผมเกาแก้มตัวเองแก้เขินจนพี่ฝ้ายหัวเราะแล้วส่ายหน้าไปมา

“คิดเรื่องอะไรคะเนี่ยถึงเดินมาหน้าห้องน้ำหญิงได้” ผมก็ได้แต่ยิ้มให้พี่ฝ้ายเท่านั้น เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรออกไปดี ตอนนี้ในหัวผมเอาแต่คิดถึงเหตุผลที่ทำให้ไอ้ปาหายไป

“เอ๊ะ!! หรือว่า น้องนกจะคิดเรื่องที่ไม่ดีๆ คะ”
ผมเบิกตากว้างตกใจกับความคิดของพี่ฝ้ายจนต้องรีบส่ายหน้าปฏิเสธ แต่พี่ฝ้ายสิครับ กลับหัวเราะผมเสียยกใหญ่

“ฮ่าๆ น้องนกเนี่ย แหย่เล่นแล้วสนุกเหมือนที่คุณปาบอกเลยนะคะ” หือ คุณปา??

“พี่ฝ้ายสนิทกับไอ้ปาหรือครับ” พี่ฝ้ายดูเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินที่ผมถาม

“ก็พอรู้จักค่ะ ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” หืม......ผมหรี่ตามองพี่ฝ้ายด้วยความสงสัย หรือพี่ฝ้ายจะอกหัก

“ถ้างั้น.....พี่ฝ้ายพอจะทราบไหมครับว่าไอ้ปามันหายไปไหน” ผมมาทำงานวันนี้ยังไม่เจอมันเลย

“ค่ะ......ปาไม่ได้บอกน้องนกหรือคะว่าต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างจังหวัด” ผมส่ายหน้าไปมาจนพี่ฝ้ายได้แต่ร้องอ้าว อย่าอ้าวเลยครับพี่ มันไม่บอกผมสักคำ

“บางทีปาอาจจะคิดว่ากลับมาทันก็ได้นะคะ คงไม่ได้ตั้งใจจะหายไปเฉยๆ หรอกค่ะ”

“ครับ.......ก็คงงั้น ถ้างั้น.....ผมขอตัวก่อนนะครับพี่ฝ้าย”

“เอ๊ะ? เอ่อ.......ค่ะ”

ผมอดยิ้มเยาะตัวเองไม่ได้ เพื่อนหรือ? ก็แค่บอกว่าไม่อยู่สักพักมันก็ได้ไหม เพื่อนกันมันก็ต้องบอกกันสิ แบบนี้......มันไม่เห็นจะเหมือนเพื่อนสักนิด หรือผมฝ่ายเดียวที่คิดว่ามันเป็นเพื่อน นั่นสินะ จะว่าไปตัวไอ้ปาเองก็รู้เรื่องของผมเยอะอยู่ มีแค่ผมฝ่ายเดียวที่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ครอบครัวมีกี่คน มีพี่น้องไหม พ่อแม่ชื่ออะไร มันรู้หมดในชีวิตผม แต่ผม.....รู้แค่มันชื่อปา มาสมัครงานพร้อมผมแล้วได้งานพร้อมกัน แค่นั้น มันดูน้อยนิด แต่เมื่อก่อนผมไม่เคยเอะใจเลยกับเรื่องราวพวกนี้ เพราะผมเชื่อว่า ความเป็นเพื่อนมันไม่ต้องใช้ข้อมูลเลยคิดว่าเดี๋ยวมันอยากเล่าก็คงเล่าเอง แต่รอแล้วรอเล่าจนป่านนี้ที่ผมและมันเป็นเพื่อนกันมาสองปี ไม่มีเลยสักวันที่ผมจะได้ยินเรื่องนี้จากปากมัน

ตกลงเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ไหมวะปา หรือมึงไม่อยากเป็นเพื่อนกูอีกแล้ว

ทุกคนเริ่มพูดคุยกันหนาหูขึ้นถึงการกินข้าวคนเดียวของผม หรือการที่เหลือแค่ผมคนเดียวไร้วี่แววไอ้ปาข้างๆ เหมือนเดิม บางคนบอกว่าผมมันนิสัยไม่ดีไอ้ปาคงเบื่อนิสัยเสียๆ ของผมแล้ว ก็เป็นไปได้นะครับ ว่าแต่ พวกคุณมึงรู้จักกูหรือ บอกกูนิสัยไม่ดีเนี่ย หนักกว่ากูว่ากันว่าผมมาเกาะไอ้ปาแล้วไอ้ปาเกิดรู้ตัวเลยเลิกเป็นเพื่อนกับผม เอาสิครับ ผมล่ะอยากถามเหลือเกินว่า ไอ้ปากับผมก็จนพอกันจะไอ้เกาะแดกมันทำไม เหมือนกับว่า บ้านผมมีเกลือบ้านมันมีน้ำปลาไปแลกของมันมาก็เค็มพอกัน คนพวกนี้ไม่มีอะไรทำกันหรือไงน่ะ ไม่เข้าใจจริงๆ

ผมกลับถึงบ้านด้วยอาการเหนื่อยที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นร่างกายหรือจิตใจกันแน่ ผมเหนื่อยล้ากับการที่ต้องพยายามทำงานไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทารอบข้าง ไอ้ผมน่ะอยากจะเดินไปถามเหลือเกิน ชีวิตพวกพี่ไม่มีอะไรทำนอกจากนินทาผมแล้วหรือครับ เหอะ!! แล้วไง กล้าหรือ ก็ไม่! นั่งแห้งอยู่ที่โต๊ะเหมือนเดิม ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กอีกครั้งวันนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ผมก็ไม่รู้ หวังว่าเพื่อนเพียงคนเดียวของผมจะโทรเข้ามาหรืออาจจะไลน์มาให้ผมได้เห็น แต่โทรศัพท์เครื่องสวยก็โชว์ให้เห็นเพียงภาพหน้าจอที่มีผมและมันยืนกอดคอยิ้มให้กล้อง มันเป็นรูปที่ผมกับมันถ่ายด้วยกันเป็นครั้งแรกและมันก็ดูดีที่สุดแล้ว หมายถึงหน้าผมนะครับ หน้าไอ้ปาไม่ต้องเลือกหรอกครับแม่งหล่อทุกรูปเลยมีแต่ผมนี่แหละเรื่องมากอยู่คนเดียว

กูคงไม่ได้ทำให้มึงเบื่อใช่ไหมวะ ไอ้ปา




กาแฟแก้วเดียวคืออาหารเที่ยงสำหรับผม เมื่อไม่มีเงาของไอ้ปามากินด้วยมันเหงาๆ น่ะครับผมเลยกินอะไรไม่ค่อยลงเท่าไหร่ สิ่งเดียวที่พอจะให้ผมมีแรงทำงานต่อไปได้คือกาแฟ เพราะช่วงนี้ผมนอนไม่ค่อยจะหลับด้วยเลยต้องกินกาแฟที่เข้มกว่าปกติ งานก็ใช่ว่าจะมากมายอะไรนักหนา แต่ผมเองที่ข่มตานอนให้หลับไม่ได้ ผมรู้สึกเป็นเอามาก ในหัวผมคิดไปต่างๆ นานา ถ้าหากมันไปดูงานที่ต่างจังหวัดอย่างที่พี่ฝ้ายบอกจริงๆ มันก็คงติดต่อผมมาแล้ว หรือว่าตัวมันจะมีปัญหาอะไร หรือจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น!! สิ่งที่ผมคิดทำให้ผมกระสับกระส่าย อยากจะโทรหาแต่ใจหนึ่งก็ยั้งมือตัวเองเอาไว้

“เฮ้อ!!” ผมเองก็ได้แค่ถอนหายใจ ความคลุมเครือไม่ชัดเจนแบบนี้ผมยิ่งไม่ชอบเลย ไม่รู้ว่ามันจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่ถ้าไม่เป็นอะไรก็คงจะดี

“ถอยหายใจคิดถึงกูอยู่หรือ” กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้ผมหันไปมองข้างหลังทันที

“ไอ้ปา!!” ผมเบิกตากว้างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่ผมฝันไปหรือ

“โอ๊ย!!!”

ตายล่ะ เพราะความไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ เอ่อ ไม่ใช่สิ ไอ้ปาที่ยืนตรงหน้าผมตอนนี้คือตัวจริงหรือฝันกันแน่จึงทำให้มือเจ้ากรรมหยิกหมับเข้าที่เนื้อตัวเองอย่างแรง เจ็บอ่ะ

“ฮ่าๆ ทำอะไรของมึงวะนก” เออ หัวเราะไปเถอะ ผมมองหน้ามันตาเขียว

“มาทำไม!!”

“เฮ้ย.....โกรธอะไรกูเนี่ย” สัตว์! โง่ต่อไปเถอะ คิดหรือว่าผมต้องบอกมันทุกอย่างว่าเป็นอะไร

“....” ผมไม่ชอบต่อล้อต่อเถียง ความเงียบคือสิ่งที่ดีที่สุด

“เฮ้ย....อะไรว้า! กูเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ยังต้องมาโดนมึงโกรธกูอีกหรือ”

“....” เหอะ!! อมลมแก้มป่อง อมลมแก้มป่องงงง

“ว้า!! แย่จริง โดนโกรธแบบนี้สงสัยต้องเอาช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตที่ซื้อมาฝากไปให้คนอื่นซะแล้วสิ” ง่ะ ชะ ชะ ช็อกโกแลต,ช็อกโกเลต

“ให้ใครดีน้า.......ให้พี่ฝ้ายดีกว่า”

“อย่าน้า เอามาๆ” ผมรีบดึงแขนมันไว้ กลัวมันจะเอาไปให้คนอื่นจริงๆ ก็ของโปรดผมนี่ครับ

“อ้าว......ไม่โกรธกูแล้วหรือ”

“อื้อ” โกรธกูก็อดแดกดิ

“หึหึ มึงนี่น้า ไหนบอกมาดิ โกรธอะไรกู” ชิ ไม่บอกได้ไหมเนี่ย แต่ดูจากสายตามันคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ

“มึงหายไปไหนมาล่ะ” พูดแล้วโมโห โกรธมันต่อดีไหมเนี่ย!!

“กูหรือ?”

“ก็เออดิ มึงไปไหนไม่บอกกูเลย กูทำข้าวมาเผื่อมึงทุกวันๆ แล้วแม่งก็เหลือทุกวันๆ มันเสียดายของนะเว้ย!!”

“เฮ้ยๆ ไม่ใช่ล่ะ กูบอกมึงแล้ว” ตอแหล

“บอกกูตอนไหน กูไม่เห็นรู้เรื่อง นี่ถ้ากูไม่ได้ไปถามพี่ฝ้าย กูก็คงไม่รู้ว่ามึงไปต่างจังหวัด" แต่ท่าทางที่โบกมือไปมากับใบหน้าที่ขมวดคิ้วอย่างจริงจังทำให้ผมถึงกับงง

“กูไลน์ไปบอกมึงแล้วนะ อะ ไม่เชื่อใช่ไหม งั้นดูนี่”
ไอ้ปาเปิดโทรศัพท์ตัวเองให้ผมเห็นแอปพลิเคชันสีเขียวที่มีชื่อผมอยู่ภายใน จริงด้วย!! อย่างที่ไอ้ปาบอก แต่ที่ผิดคือมันพิมพ์มาจริง แต่ผมไม่ได้อ่าน! ด้วยความสงสัยทำให้ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันตัวเดียวกันเพื่อจะเช็กดู

“ไง....กูบอกแล้วเห็นไหม” อย่างที่ไอ้ปามันบอก มันไลน์มาจริงๆ ด้วย แล้วทำไมไม่มีแจ้งเตือนขึ้นมาล่ะ

“ก็ ก็ มันไม่เตือนกูนี่” ผมบอกมันเสี่ยงอ่อย รู้สึกเหมือนว่าความผิดมันกลับมาเข้าตัวผมแทนเนี่ยสิ

“ไม่ต้องมาทำตาแป๋วใส่กู กูยึดช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตคืนดีไหมห๊ะ!!” หวา.....ไอ้ปาโกรธแล้ว ช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตของผมจะลอยไปแล้ว

“มึงจะเอาคืนไปจริงๆ หรือปา”
ปริบๆ

“ควรไหม...” ผมส่ายหน้ายิ้มเอาใจมันจนแทบจะเห็นฟันครบทุกซี่ จนไอ้ปาส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ

“หึหึ กูไม่เอาคืนหรอก แต่!!!”

“อะไรวะ?”

“แต่มึงต้องไปกินข้าวกับกู อื้ม.....3วัน” ผมกะพริบตาถี่ๆ เอียงคอมองมันอย่างไม่เข้าใจ

“ข้าวอะไรวะแดกตั้ง3วัน”

ป๊าบ!!

“กวนตีน” ผมนี่แดดิ้นไปมาก็ไอ้ปาน่ะสิตบซะกะโหลกแทบจะยุบลงไปเลย

“ก็มึงบอกให้กูไปกินข้าวกับมึง3วัน กูผิดตรงไหน โอ๊ยๆ” มันจิ้มหน้าผากผมแบบไม่ยั้งมือเลยครับ

“ในนี้มันมีอะไรอยู่ข้างในวะ ใช่สมองไหม”

“ก็สมองดิ มึงจะให้กูเอาลอดช่องไว้ในหัวกูหรือ” อุ้ย ไอ้ปาตาเขียวเลยอ่ะ น่ากลัว ผมเลยเสมองไปทางอื่นทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ยกช็อกโกเลตขึ้นมากัดกิน สนใจของอร่อยดีกว่า คนหน้ายักษ์ไม่น่ามอง ว่าแต่ช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตอันละสิบบาทกับของฝากของไอ้ปานี่รสชาติแตกต่างกันเยอะเลยครับ เพราะอันนี้อร่อยอ่ะ มีรสชาติขมๆ ด้วย อื้อออ มันฟินอ๊า~
ทุกอย่างเริ่มกลับมาปกติเพราะแค่ไอ้ปาเดินมาหาผมพร้อมของฝากและการพูดคุยที่ยังเหมือนเดิมก็ทำให้พวกจับกลุ่มนินทาก่อนหน้านี้หายไปกับสายลมอย่างไร้ร่องรอย แม้ผมจะได้รับสายตาอาฆาตอยู่บ้างก็ตามแต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าสายตาที่เขามองแบบสมน้ำหน้าหรอกครับ แค่นี้ไม่ทำให้ผิวหนังของน้องนกสุดหล่อคนนี้ระคาย นกทนได้คร้าบบบ แหม ก็พออารมณ์ดี รู้ว่าเพื่อนไม่ได้ทิ้งแต่เป็นเพราะความผิดพลาดมันก็สบายใจอ่ะ ทุกอย่างก็ดู ดี๊ ดี๊~ โลกนี่สดใสขึ้นมาทันตา แล้วพอทุกอย่างลงตัวแบบนี้นะครับ ไอ้ท้องของผมมันก็ดันร้องซะดังลั่นจนทุกคนต้องหันมามองผมอย่างเวทนาหาว่าจนขนาดไม่มีข้าวจะกิน คือไม่ใช่ครับ จริงๆ มันก็แค่พอเราสบายใจ จากที่กินอะไรไม่ลงมันก็ต้องหิวใช่ไหมล่ะ นั่นล่ะ ดีหน่อยที่มีของฝากของไอ้ปาอยู่ผมเลยได้แดกรองท้องไปพลางๆ ถึงไม่อิ่มแต่ก็เลี่ยนจนเอียนได้เหมือนกัน ความหวานของมันก็ช่วยให้ผมอยู่ท้องรอเลิกงานอ่ะครับถึงจะได้กลับไปกิน นี่วันนี้ก็ตกลงกับมันไว้นะครับว่าจะยอมให้มันไปค้างด้วย ลองไม่ยอมสิพ่อเล่นจะยึดแต่ของฝากคืนไปอยู่นั่นแหละ ก็รู้อยู่ว่าของชอบผมๆ มันก็ยังจะเอาคืน ชิ รอกูแดกจนหมดก่อนเถอะมึง เดี๋ยวมึงก็ไม่มีอะไรมาขู่กูได้แล้ว ฮ่าๆ

“เสร็จยัง” อะ อ้าว

“มึงไม่ทำงานหรือวะ”

“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้กูเพิ่งกลับมา นี่กูกลับไปเอาเสื้อผ้ามาพร้อมแล้ว ไปกันเลยไหม” ไปห่าอะไร นี่ยังไม่เลิกงานเลย”

“เฮ้ย ไม่ได้ๆ กูทำงานอยู่” ผมบอกในขณะที่หันซ้ายหันขวากลัวพี่อาร์ตจะมาดึงหูจริงๆ

“เอาน่า วันเดียว ไปๆ เดี๋ยวกูเคลียร์เอง”

“เฮ้ย!! เดี๋ยวดิ” มันฟังที่ไหนครับ เก็บเอกสารผมวางเอาไว้บนโต๊ะเสร็จก็ลากมือผมออกจากออฟฟิศไป ทำไมมันเอาแต่ใจแบบนี้ล่ะครับเนี่ย งานนี้ผมจะไม่โดนเด้งใช่ไหม

“ขึ้นรถดิ” ผมยืนมองรถคันเดิมที่ไปส่งผมบ่อยๆ ในช่วงหลังก่อนจะเปิดขึ้นไปนั่ง

“ไปไหนวะ”

“ห้องมึง” ไอ้ปาตอบพร้อมกับตีนมันที่เหยียบคันเร่งจนรถถลาไปบนถนน

“มึงรีบไปไหมเนี่ย!! ถ้าเกิดกูโดนไล่ออกขึ้นมาทำไง”
“มึงจะกลัวอะไร กูอยู่ด้วยทั้งคน” มีมึงมันก็ดี แต่มีกินมันดีกว่า

“ถ้าพี่อาร์ตรู้ว่ากูหนีงานมาน่ะ มีหวังกูโดนไล่ออกแน่ๆ เลย” ผมลุกลี้ลุกลนกลัวว่าพี่อาร์ตจะโทรมาด่าเหลือเกิน แต่ดูมันสิครับ ผิวปากสบายอารมณ์จนน่าหมั่นไส้

“คิดมากทำไมว้า เอาอย่างนี้ ถ้ามึงโดนไล่ออกมาทำงานให้กู เดี๋ยวกูจ้างมึงเอง” ผมเลิกคิ้วมองไอ้ปาที่ดูไม่ทุกข์ร้อน

“งานอะไรวะ?”

“หึหึ เฝ้าห้องให้กู”

“ไอ้เหี้ยปา กูไม่ใช่หมานะ!!!” มันคิดได้ไงครับ จะเอาผมไปเฝ้าห้องมัน หน้ากูเหมือนหมาเฝ้าบ้านหรือ!!

“เฮ้ย กูไม่ได้จะว่ามึงเป็นหมา”

“ไม่ใช่หมาแล้วอะไร!!” มันก็เป็นได้แค่หมาอ่ะ จะคิดเป็นอย่างอื่นได้อีกหรือ

“เป็น มะ มะ”

“มะ อะไรวะ!! มะกรูด มะนาว มะพร้าว??”

“มะ แมวเว้ย!! หมายถึงแมว”

“เออ แล้วไป” พูดให้จบก็สิ้นเรื่องก็แค่แมว แล้วมันจะหน้าแดงทำไมวะนั่นไม่เข้าใจเลย สงสัยจะเข้าวัยทองแล้วมั้งเพื่อนผมอารมณ์ไม่ค่อยจะคงที่เลย

ไอ้ปาเลี้ยวรถเข้าจอดหน้าแมนชั่นผมพอรถจอดสนิทผมกับมันก็พากันลงจากรถ ผมหอบเอาถุงของฝากมันติดมือมาด้วยอยู่แล้วครับ ทิ้งไว้เดี๋ยวหาย ส่วนไอ้ปามีเพียงกระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้ามันมาเท่านั้น แต่ดูๆ แล้วไม่เหมือนมาค้างบ้านผมนะ เหมือนเด็กจะไปค่ายมากกว่า พอคิดแบบนั้นผมเองก็อดที่จะขำไม่ได้ ภายใต้ความหล่อที่ชวนหลงใหลยังคงเก็บซ่อนเด็กชายตัวน้อยเอาไว้สินะ

แกร็ก...

“เข้ามาดิ” ผมเปิดประตูอัญเชิญเพื่อนตัวใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าห้องไม่ยอมเข้ามาสักที อะไรของมัน ก่อนหน้านี้ล่ะอยากจะมาค้าง ทีตอนนี้ล่ะยืนเฉยอยู่หน้าห้อง

“หะ?? อ๋อๆ เออ โทษที”

แปลก.....ปกติไอ้ปาไม่เคยเหม่อลอยแบบนี้ ผมได้แต่มองมันที่พยายามทำตัวปกติ หรือมันปกติจริงๆ แล้วผมคิดมากไป มันก็เป็นไปได้ ไอ้ปาวางกระเป๋าหน้าตู้ จัดการเอาทุกอย่างออกจากกระเป๋าแล้วยัดใส่ตู้ผม บ้าไปแล้ว!!

“นั่นมึงขนมาทั้งบ้านเลยไหม” ตัวสองตัวยังพอว่า นี่มันแทบจะเหมามาทั้งโรงงานเลย

“เกือบแล้วแหละ แต่กูเก็บไว้บ้าง เผื่อมึงไปค้างห้องกู”
“ไม่ไปหรอก ไปค้างห้องมึงคืนแรกตื่นมากูไปอยู่บนระเบียง มึงยังคิดว่ากูจะไปอีกหรือวะ” ผมยังจำได้ไม่ลืมวันนั้นที่แทบจะตกตึกตาย ดีที่มันช่วยผมไว้ทัน ไปอีกรอบมีหวังตกลงมาตายจริงๆ แน่ๆ

“เฮ้ยๆ นั่นเขาตามมึงมา ไม่เกี่ยวกับห้องกูเลย”

ผมไม่สนใจจะต่อล้อต่อเถียงมันอีก ได้แต่ส่ายหน้าให้มันเห็นว่าผมไม่อยากจะพูดเรื่องนี้อีก ผมเดินไปที่ตู้เย็น หาอะไรมาทำให้เพื่อนผู้หิวโหยของผมที่ยังคงวุ่นอยู่กับตู้เสื้อผ้าผมไม่เลิก

“มึงจะกินอะไรวะ!”

“อะไรก็ได้ มึงทำมาเลย”

“เฮ้ย!!!!”

ผมรีบวิ่งไปหาไอ้ปาที่กำลังรื้อลิ้นชักตู้เสื้อผ้าผม หนำซ้ำยังหยิบยกเอากางเกงในผมมาดมดูอีก นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนกันมา ผมคงนึกว่ามันเป็นโรคจิตแน่ๆ มีที่ไหนมาดมกางเกงในชาวบ้านเขา ผมดึงกางเกงในออกจากมือมันอย่างรวดเร็ว

“ทำบ้าอะไรของมึงวะ!! จะดมหาอะไร!!”

“อะไร? ก็ดมดูเฉยๆ ว่าซักหรือยัง” ไอ้ปาถามหน้าซื่อๆ ราวกับไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด

“ไม่ต้องดม กูซักแล้ว!!” บ้าเอ๊ย!! นี่มันของส่วนตัวนะ

“แล้วบ็อกเซอร์ล่ะ ไว้ตรงไหน”

“ลิ้นชักทางขวา แล้วก็ห้ามดมอีกนะ!!!”

ผมพูดดักทางเอาไว้ก่อนมันไว้ใจไม่ได้ครับ เดี๋ยวพอเผลอก็เอามาดมอีก ผมเดินกลับไปที่ตู้เย็นอีกครั้งไอ้ปาที่ได้ยินผมพูดก็เอาแต่หัวเราะทั้งที่มือยังคงง่วนอยู่กับการเก็บเสื้อผ้าตัวเอง

ผมลงมือหุงข้าวหันผักหันเนื้อเตรียมของให้พร้อมเพื่อจะทำอะไรกินกับไอ้ปา จะว่าไปผมเองก็ไม่มีเพื่อนมาเยี่ยมบ้านมาก่อนเลยแฮะ ไอ้ปาเป็นคนแรกเลยที่มาค้างบ้านผมแบบนี้ พอคิดแบบนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมา

“ทำอะไรกินวะ”

“เหี้ย!!!”

ผมตกใจเมื่ออยู่ๆ ไอ้ปาก็มายืนซ้อนหลังผมแถมยังกระซิบอยู่ข้างๆ หูของผมอีก คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ แท้ๆ

“อะไรของมึงวะ ฮ่าๆๆ ขวัญอ่อนจริง แล้วตกลงทำอะไรกิน” ไอ้ปากุมท้องหัวเราะอย่างขบขันที่ผมตกใจ

“ต้มยำทะเลน้ำข้น กับไข่เจียวหมูสับ”

“โห.......เห็นแล้วน้ำลายไหล” ก็ ก็แล้วทำไมต้องมามองหน้าผมละเนี่ย

“มึงไปนั่งรอดิวะ เดี๋ยวก็ได้กินแล้วน่า” ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่มีมันยืนซ้อนหลังทำให้ผมต้องออกปากไล่ให้มันไปนั่งรอ ไอ้ปายักไหล่ยอมเดินไปนั่งรอที่โต๊ะอย่างเรียบร้อย แต่สายตาของมันก็ยังคงไม่เลิกจับจ้องผม การทำอาหารหรือทำอะไรก็แล้วแต่ถ้ามีคนมานั่งจ้องยืนต้องเราจะเขินจนทำตัวเปิ่นๆ ออกไป เคยเป็นกันใช่ไหมครับ ยิ่งผมที่เป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเองแบบนี้แล้วด้วยผมยิ่งประหม่าไปกันใหญ่

เพียงไม่นานอาหารน่าทานสองอย่างก็ถูกจัดลงบนโต๊ะ โดยมีไอ้ปาทำหน้าตาราวกับว่าไม่เคยกินอาหารพวกนี้มาก่อน เวอร์จริงเพื่อนใครวะ

ผมวางกับข้าวลงบนโต๊ะเสร็จก็ลุกขึ้นไปหยิบจานออกมาจากตู้สองใบเพื่อตักข้าวใส่ ข้าวสวยร้อนๆ ถูกตักใส่จานควันลอยจนเข้าหน้าเข้าตาผมแต่ไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งอยู่ในห้องต่างหากที่ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะผมเริ่ทำงาน

“อื้อหือ!!! หอมมมมมมมม”

“หอมก็กินดิวะ สูดแต่กลิ่นแล้วอิ่มหรือมึงอ่ะ” จานข้าวแทบจะปลิวลงบนหัวผมเมื่อไอ้ปายกขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้

“เดี๋ยวกูเทใส่หัวมึงเลยนี่” ผมนั่งตักข้าวเข้าปากเงียบๆ โดยลอบสังเกตท่าทีของไอ้ปาไปด้วย ดูมันมีความสุขกับการทานอาหารที่ผมทำมาก เพราะหลายๆ ครั้งที่มันทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีใครทำให้กิน แต่คงไม่ใช่หรอก.....คนอย่างไอ้ปาคงมีคนทำให้กินเยอะแล้ว บ่อยด้วย ดูจากวันนั้น........ที่มีนักศึกษาฝึกงานเอาข้าวกล่องมาให้สิ

เดี๋ยวนะ!! แล้วทำไมผมต้องเอาเรื่องวันนั้นมาคิดด้วยนะ บ้าจริงๆ

ผมส่ายหน้าอย่างแรงเพื่อไล่เรื่องบ้าๆ ให้ออกไปจากหัว ดันเผลอคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องระหว่างกินข้าวเสียแล้วสิ คิดได้ยังไงกันนะ แต่ไม่รู้ทำไม แต่คิดว่ามันกินข้าวของใครคนอื่น......มันทำให้ผมรู้สึกหน่วงๆ ที่ใจแปลกๆ

“เป็นไรวะไอ้นก เดี๋ยวส่ายหน้า เดี๋ยวขมวดคิ้ว มึงไม่สบายหรือ” ผมเผลอกำช้อนในมือจนแน่น เสียงไอ้ปาทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเที่ยงของวันนั้น วันที่มันไม่กินข้าวกล่องของผม

“เปล่าวะ กินข้าวต่อเถอะ”

ไอ้ปามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยอมทานอาหารต่อ ผมก้มหน้าก้มตาทานต่อเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่บริเวณลำคอแท้ๆ จะกลืนข้าวยังลำบาก ขอบตาพาลร้อนผะผ่าวขึ้นมาจนต้องกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำที่ตั้งท่าจะไหลรินให้หายไป อย่าบ้าน่า.....กับเรื่องแค่นี้ ไม่เห็นจำเป็นต้องร้องไห้เสียงหน่อย ผมเหลือบมองไอ้ปาที่ทานข้าวไปเล่นมือถือไปพลาง มันดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร ผมไม่รู้ว่ามันคุยกับใครหรือทำอะไร แต่มันก็ดูมีความสุขกับพื้นที่เล็กๆ ของมัน ส่วนผม ก็แค่เงียบเหงาอยู่ในส่วนเล็กๆ ของตัวเองก็ดีแล้ว

ผมเก็บจานชามมาล้างทำความสะอาดในขณะที่ตัวไอ้ปานั่งดูทีที่มีช่องเคเบิลฟรีจากแมนชั่นของผม มันอาจจะไม่มีช่องมากมายแต่ก็พอจะมีหนังมีกีฬาให้ไอ้ปาได้ดูเล่น ขายาวเหยียดอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเตียงนอนที่เจ้าตัวกินเสร็จก็กระโดดขึ้นไปนอนพร้อมรีโมททีวี ส่วนผมก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านยืนล้างถ้วยล้างชามต่อไป ผมหูกระดิกเมื่อหนังที่กำลังฉายอยู่เป็นแอคชั่นเรื่องโปรดที่ผมไม่ยอมพลาดเด็ดขาด

“ไอ้นกๆ หนังโปรดมึงมาวะ!!” เสียงเรียกดังขึ้นจนผมต้องเอี้ยวดังไปถาม

“เรื่องอะไรวะ”

“Taken โว้ย!! รีบๆ ล้างแล้วมานอนดูกับกูดีกว่า” ประเสริฐจริงๆ เพื่อนผมสั่งให้รีบล้างแล้วไปนอนดูกับมัน มีที่ไหนครับแบบนี้ แทนที่จะลุกขึ้นมาช่วยผม แต่อย่าว่ามันเลยครับ แค่ได้ยินชื่อหนังผมก็ล้างจนมือเป็นระวิงแล้ว กลัวจะดูไม่ทัน

“เสร็จแล้วๆ!!!”

พอล้างมือเสร็จผมก็กระโดดขึ้นเตียงทันที ดีชะมัดที่มาทันเวลา ผมชอบเนื้อเรื่องของเรื่องนี้ ที่เป็นเรื่องราวของพ่อผู้ที่เดินทางไปตามหาและช่วยลูกสาวคนเดียวออกมา ดูทีไรก็อยากจะกลับไปกอดพ่อผมทุกที น้ำตาจะไหล

“ล้างมือยังวะ” เอ้า......ไอ้นี่!!!

“ล้างแล้วดิวะ” ผมไม่ได้หันไปมองมันหรอก สนใจหน้าจอมากกว่า

“มึงนี่เก่งเนอะ” เก่ง? เก่งอะไร

“หะ???” ผมหันไปมองมันอย่างไม่เข้าใจ แต่แทนที่จะได้สบตา กลับเห็นว่ามันเอาแต่มองหน้าจอทีวีอยู่

“ก็นี่ไง......อาหารก็เป็น งานบ้านก็เก่ง”

“........”

“ใครได้มึงเป็นแฟน.......โชคดีฉิบหาย” ผมหลบสายตาที่จ้องมองมาตรงๆ ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกแน่นบริเวณหน้าอกจนหายใจแทบไม่ออก

“อย่าเวอร์น่า อย่างกูคงไม่มีใครมาสนใจหรอก” แม้จะไม่ได้หันไปมอง แต่หางตาผมก็ยังเห็นว่าไอ้ปามองมาและส่งยิ้มให้

“แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งมีคนมาสนใจมึงล่ะ” ถ้าเกิดมีก็ดีนะสิ

“ฮ่าๆ ถ้ามีกูก็คงยินดีเป็นแฟนเขาเลยมั้ง ถ้าเขาอยากโชคดีแบบที่มึงว่ามานะ” แต่จะไปมีได้ไงกันคนแบบนั้น ผมได้แต่หัวเราะไปกับความคิดของไอ้ปา

“แล้วถ้ากูอยากโชคดีล่ะ” ไอ้ปาส่งยิ้มหวานเยิ้มให้ผม

“...!!!” มือหนาลูบไล้แก้มผมอย่างแผ่วเบา ในขณะที่ผมยังคงอึ้งอยู่

“ถ้ากูอยากจะโชคดี........มึงจะยินดีเป็นให้กูไหม”

ผมไม่รู้ตัวอะไรเข้าสิงมัน ไม่รู้ว่ามันเล่นบ้าอะไร แต่ผมที่หันกลับมามองทีวีเลิกสนใจที่จะตอบคำถามได้แต่ฟังเสียงหัวเราะเบาๆ ของมันที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมหน้าแดง ความร้อนแล่นขึ้นหน้าขนาดนี้ผมน่ะรู้ดีเลยล่ะ ตกลงTaken จบยังไงไม่รู้ แต่หัวใจผม จบตั้งแต่ไอ้ปาพูดมันออกมาแล้ว ไอ้เพื่อนบ้า.......ไอ้หมาขี้อ่อย กูไม่ใช่ผู้หญิงนะโว้ย!!!!



50%


กรี๊ดดดด พี่ปาขา อย่ารุกแรง ใจแมวไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ

กราบขออภัยในความเลินเล่อของแมวที่ลืมไปว่าเมื่อวานนี้คือวันศุกร์ และแมวจะต้องลงนิยาย แง๊ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ กำหนดยังคงเดิม พาร์ทหลังจะมาต่อให้พรุ่งนี้ ส่วนตอนที่7 เจอกันวันศุกร์หน้าน้าาา

โปรดวางปลาทูและของเล่นแมวด้วยเจ้าค่ะ เมี๊ยว~


ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่6. นกกับความจริงฯ 50% up. 02/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 10-11-2019 00:15:50
นกรู้ได้แล้วว่าปามันอ่อยแก :katai1:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่6. นกกับความจริงฯ 50% up. 02/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-11-2019 16:20:17
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่6. นกกับความจริงฯ 100% up. 10/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 10-11-2019 21:31:50
         

          เมื่อคืนผมกับมันดูหนังกันจนดึก พอตอนเช้าเกือบจะตื่นไปทำงานไม่ทัน ดีหน่อยที่ไอ้ปามีรถมันเลยไม่ต้องเสียเวลารอรถเมย์เหมือนทุกๆ วัน ไม่อย่างนั้นได้สายแน่ๆ ผมนั่งมองกองเอกสารที่ถูกใครบางคนโยนลงมาบนโต๊ะของผม จากมือคนบางคน ไม่อยากเรียกมันเป็นคนเลย ให้ตายสิ!

“งานมึงน้อยไปสินะไอ้นก ถึงได้หนีงานกลับบ้านไปก่อนคนอื่น” ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าไอ้พี่หนูผ่านเลนส์แว่น หน้าตาก็ดี ไม่น่าเลี้ยงหมาในปากเลย เสียดายความหล่อ

“งานพี่เองก็น่าจะน้อยไปนะครับ ถึงมีเวลาว่างมากัดผม”

ปัง!!

“ไอ้เหี้ยนก!!!!” เสียงตบโต๊ะที่ว่าดังแล้ว ยังสู้เสียงแหกปากจองพี่มันไม่ได้เลย ป่านนี้ขี้หูผมคงพากันลุกขึ้นมาเต้นระบำแล้วล่ะ

“เอะอะอะไรกัน!!!” ผมนั่งเงียบส่วนไอ้พี่หนูมันก็ฟึดฟัดขัดใจเมื่อเห็นว่าคนที่มาขัดจังหวะคือพี่อาร์ต

“เสือกอะไรด้วยไอ้อาร์ต กูด่าลูกน้องที่มันไม่ตั้งใจทำงาน” ไม่จริงเสียหน่อย!! ผมสบตาบอกพี่อาร์ตเป็นนัยๆ ว่าพี่หนูมันโกหก

“ไอ้นกมันทำอะไรหรือครับคุณหนู”

“เมื่อวานมันหนีงาน กลับบ้านก่อนเวลา!! กูเลยจะเพิ่มงานให้มันจะได้ไม่ว่างมากนัก!!!” ผมเห็นพี่อาร์ตหลบสายตาพี่หนูมาสบตากับผมแทน ทำไมเหมือนพี่อาร์ตไม่อยากจะอยู่ใกล้ ไม่อยากสบตา ไม่อยากมองหน้าพี่หนูมันวะ หรือผมคิดไปเอง

“เมื่อวานนกยืนเอกสารลาแล้ว ผมอนุญาตเอง” หะ??? กูไปยื่นตอนไหนวะ ผมมองหน้าพวกพี่มันด้วยความไม่เข้าใจ แต่เหมือนไอ้พี่หนูมันไม่ได้สนใจเครื่องหมายคำถามที่อยู่บนหน้าผม มันดูสนใจหน้าพี่อาร์ตมากกว่า

“กูอยากคุยกับมึง ตัว-ต่อ-ตัว”

“ขอโทษด้วยนะครับคุณหนู พอดีผมไม่ว่าง” พี่อาร์ตพูดจบก็เดินหนีไป ไม่สนใจพี่หนูที่ยังยืนอยู่ที่เดิมอีก

เชี้ย!!!

ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้พี่หนูมันแต่แทนที่จะเห็นแววตาโกรธเกรี้ยวที่ควรแสดงออกมา กลับพบว่าพี่มันมองไล่หลังพี่อาร์ตไป แลบลิ้นเลียไปบนริมฝีปากตัวเองอย่างกับโรคจิต ผมที่นั่งอยู่ตรงนี้ ขนลุกแทนเลยครับ

“มองห่าอะไร!! ทำงานของมึงไปสิวะ!!”

ผมนี่สะดุ้งเลยอยู่ๆ พี่มันก็หันมาตวาดผมลั่น เมื่อมึงยังทำหน้าโรคจิตๆ ใส่พี่อาร์ตอยู่เลย กูเห็นนะ แต่จะไปพูดอะไรได้ เป็นลูกน้องก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป อย่าให้ถึงทีไอ้นกบ้างก็แล้วกัน นกจำได้นะใครทำอะไรนกอ่ะ พ่อจะจิกให้พรุนเลยคอยดูสิ

“ไปแดกข้าวกันไอ้นก” เที่ยงทีก็มาลากผมทีเนอะมันเนี่ย จะมีใครอีกล่ะครับ ก็ไอ้ปาเพื่อนผมนี่แหละ

“เออๆ รอกูเก็บของก่อน” ผมจัดเอกสารให้เข้าที่เรียบร้อย ตรวจดูว่าอยู่ครบไหม เกิดหายขึ้นมาขี้เกียจไปตีฝีปากกับไอ้พี่หนูมันอีก

“ไปได้แล้ว อ้อยอิ่งจริงๆ มึงนี่!!”

“รีบห่าอะไรขนาดนั้นวะ ร้านมันจะบินหนีมึงไปทางช้างเผือกหรือ” ปากผมจะหมาขึ้นเมื่อเกิดความหมั่นไส้คน

“หึ.......ร้านคงไม่ไปหรอกทางช้างเผือก แต่ถ้าเป็นมึงกับกู.......มันก็ไม่แน่”

พ่องง พูดอะไรไม่ออกเลยต้องปล่อยให้มันลากขึ้นรถจับคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วขับรถออกไป เวลาพักแค่ชั่วโมงเดียวมันจะพาผมไปไหนเนี่ย ไม่นานตัวรถก็มาจอดหน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง

ร้านคุณอา

ทำไมชื่อร้านว่าคุณอา คุณอาเป็นเจ้าของร้านหรือ มองป้ายไปก็คิดไปต่างๆ นานา คนส่วนใหญ่อาจจะตั้งชื่อร้านจากชื่อตัวเอง แต่ดูแล้วร้านนี้ไม่น่าจะใช่ บรรยากาศก็ดีหรอกนะ แต่ความอร่อยจะแค่ไหนคงต้องเข้าไปชิม

“สวัสดีค่ะ จองไว้หรือเปล่าคะ” สาวสวยหน้าร้านเอ่ยทักทายพร้อมยกมือไหว้ผมและไอ้ปา

“ครับ จองชื่อ ‘ปรมะ’ เอาไว้ครับ”

“อ๋อคุณปรมะ งั้นเชิญทางด้านนี้เลยค่ะ สองท่านชั้นพิเศษเราจัดเตรียมไว้ให้แล้วค่ะ” อะไรพิเศษๆ นะ ผมหูฝาดหรือเปล่า

พนักงานพาเราทั้งคู่เดินมาที่บริเวณชั้นสองที่สามารถมองเห็นสระน้ำทางด้านหลัง โต๊ะที่นี่เรียกว่านับตัวได้เลย สงสัยคงให้เข้าเฉพาะคนที่จองเท่านั้น ยิ่งโต๊ะผมยิ่งแล้วใหญ่ อย่างกับว่าอยู่ในห้องส่วนตัว
“คิดยังไงพากูมากินข้าวเนี่ย” เพราะปกติผมจะเป็นคนทำ หรือไม่ก็จะหาอะไรกินแถวบริษัท

“ก็แม่กูบอกเอาไว้” หือ.....แม่มันรู้จักผมหรือ

“แม่มึงบอกว่าไง”

“แม่บอกว่า........”

“........”

“ถ้าชอบใคร ให้พามากินข้าว”

อึก!!

มือบนหน้าขาใต้โต๊ะเผลอจิกเล็บลงจนเจ็บแต่ไม่ได้ทำให้สติที่หลุดหายไปกับมุขไอ้ปาจะกลับมาแม้แต่น้อย ผมนี่เหวออ้าปากจนไอ้ปาที่นั่งตรงข้ามถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง

มันแกล้งผมอีกแล้ว!!!!!

“ฮ่าๆ หน้ามึงตลกวะไอ้นก ฮ่าๆ”

ไอ้เหี้ย!!! ไอ้เพื่อนเหี้ย!! ทั้งที่ควรจะรู้ว่ามันแกล้งอำผมเล่นแต่ตัวผมเองกลับเผลอใจเต้นกับคำพูดมัน ทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่ควรเลยสักนิด ใจสั่นไปก็ไร้ความหมาย

“เมนูครับ”

“อ๊ะ ขอบคุณครับ” ผมรับเมนูมาจากผู้ชายที่ยื่นให้แล้วส่งยิ้มขอบคุณไปให้เขา เขาเองก็ยิ้มให้ผมเช่นกัน แต่ผมก็ต้องชะงักเมื่ออยาดีๆ ไอ้ปาก็เล่นกระชากเมนูจากมือของพนักงานเสริฟจนอีกฝ่ายถึงกับหน้าเสีย กลัวว่าตัวเองไปทำอะไรให้ลูกค้าไม่พอใจแล้วจะตกงาน

“เอ่อ ไอ้ปา สั่งอาหารดีไหมวะมึง ไม่มีอะไรนะครับ เพื่อนผมคงโมโหหิว” ผมพูดกับไอ้ปาก่อนจะหันไปบอกอีกคนให้คลายความกังวล ดูหน้าเขาสิ จะร้องไห้อยู่แล้ว

“มึงอยากกินอะไรสั่งเลย”

“งั้นเอา......ผัดผักรวมมิตรกับปลาสามรสครับ อ๋อ แล้วก็ข้าวสวยสองจานด้วยนะครับ”

“ครับ รอสักครู่นะครับ” พนักงานเดินออกไปพร้อมกับเมนูในมือส่วนผมเอาแต่จ้องหน้าไอ้ปาที่ทอดสายตาออกไปด้านนอก

“ทำไมไม่เห็นมึงสั่งอะไรเลยวะ” ไอ้ปาหันมามองหน้าผม พร้อมกับใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ๆ

“มันไม่มีที่กูอยากกิน” อะไรวะ อาหารตั้งเยอะตั้งแยะมันกลับบอกไม่มีที่อยากกิน

“แล้วมึงอยากกินอะไรล่ะ”

“กูอยากกิน..........นก” ผมเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ แต่ไม่นานปากผมก็ขยับตอบโต้ได้เหมือนเดิม

“แหม.....อยากกินกูก็ไม่บอก” ไอ้ปายกยิ้มมุมปากก่อนที่เสียงทุ้มของมันจะตอบกลับมา

“ก็แล้วถ้ากูบอก.......มึงจะยอมให้กูกินไหมละ

“อะ อะ ไอ้” อยากจะด่าแต่ด่าไม่ออก ได้แต่ส่งเสียงตะกุกตะกักขยับตัวไปมา สายตาที่มองมาที่ผมมันดูกรุ้มกริ่มจนเลือดสูบฉีดเข้าหัวใจดีกว่าปกติ แรงเต้นที่หน้าอกทำเอาผมกลัวว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามจะได้ยินมัน เมื่อไม่รู่จะทำยังไง ผมจึงได้แต่ยกน้ำขึ้นดื่มแก้เก้อ ทอดสายตาไปจับจ้องอยู่ที่สระน้ำมากกว่าจะเป็นสายตาคู่นี้

“อาหารมาแล้ว” ไอ้ปาเอ่ยขึ้นให้ผมหันกลับมาสนใจอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า ผมเหลือบมองหน้าหล่อของไอ้ปาเพียงเสี้ยววินาที คิดไว้ว่าจะแอบมองไม่ให้มันรู้ตัว แต่ที่ไหนได้เจ้าตัวกลับมองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่สายตาเราสองคนสบกัน ผมก็หลบตามองอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าแทน อะไรกันแววตาหยาดเยิ้มแบบนั้น มันใช่สายตาของเพื่อนผมจริงๆ หรือ

“อิ่มวะ”

“สมควร” ปลาทั้งตัวผมกับมันจัดการกันจนแทบไม่เหลือซาก แดกก้างได้คงแดกกันไปแล้ว ส่วนผัดผัก หึหึ! เหลือแต่น้ำกับซากหมูที่แทบจะดูไม่ออกว่าเคยเป็นชิ้นมาก่อน ผมก้มลงมองเวลาในโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อมันเหลืออีกไม่กี่นาทีก็ต้องกลับไปเข้างานแล้ว แต่พอหันมามองไอ้เพื่อนตัวดีที่นั่งเต๊ะท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมมากกว่าที่ร้อนรนจนแทบนั่งไม่ติด

“มึง กลับเถอะ เดี๋ยวเข้างานสายกูจะมีปัญหากับไอ้พี่หนูมัน” ไอ้ปาเลิกคิ้วมองผมราวกับจะถามว่า มึงกลัว? คือกูน่ะไม่ได้กลัว แต่กูไม่อยากตกงาน อีกอย่างเวลามันด่า คนอื่นเขามองกูอาย

“กลับเหอะปา เชื่อกู เดี๋ยวมื้อนี้กูจ่ายเองก็ได้”

“เฮ้ย!! ได้ยังไง กูพามึงมา กูก็ต้องเลี้ยงดิ” ไอ้ปายืนยันเสียงแข็ง เมื่อเห็นว่าผมไม่สบายใจไอ้ปาก็ยอมเรียกพนักงานมาเก็บเงิน

ผมกับไอ้ปาพากันเดินออกมาจากร้าน อาหารอร่อย บรรยากาศดีแถมไม่แพงแบบนี้ ผมจะจำแล้วมากินบ่อยๆ เลย แต่ตอนนี้ผมต้องคิดก่อนว่าทำยังไงให้ไปทันและไม่โดนไอ้พี่หนูมันกัดเอาอีก เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้เกลียดอะไรพี่มันมากนักหรอกครับ ถ้าไม่นับที่มันใส่ร้ายทำให้ผมพลาดตำแหน่งมันก็แค่คนขี้แกล้งที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้น แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ สายตาที่พี่มันมองพี่อาร์ตวันนี้ มันเหมือน.........เหมือนกับสายตาที่.......ไอ้ปาใช้มองผม พอคิดแบบนั้น สายตาของผมก็พลันไปจับจ้องใบหน้าของไอ้ปาแบบไม่รู้ตัว

“มีอะไร มองกูแบบนั้นทำไม หืม?” ผมสะดุ้งเมื่อถูกจับได้ว่าแอบมองมันที่เดินอยู่ข้างๆ

“ปะ เปล่านิ กูก็แค่ไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนเฉยๆ” น่าอายชะมัดดเลย ไอ้ปายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ผมก่อนจะมายืนตรงหน้าพร้อมกับใช้มือจับใบหน้าของผมให้แหงนขึ้นสบตากับมัน

“เอาสิ”

“.......” หืม??

“ถ้าไม่รู้วางไว้ตรงไหน.....”

“.....”

“วางที่กูก็ได้.......”

“.....”

“กูยินดี”

ผมถูกรอยยิ้มของมันเล่นงานเข้าซะแล้วสิ แบบนี้แย่แน่ หัวใจผมเริ่มจะอ่อนแอซะแล้ว เขาจะรู้ไหมว่าทำแบบนี้มันจะเป็นการ......อ่อยผมโดยที่เขาไม่รู้ตัว และแบบนี้ เพราะแบบนี้ ทำให้ผมจ้องหลบตาไม่ยอมมองหน้ามันอีก ผมก้มหน้าซ่อนความแดงซ่านที่ปรากฏอยู่บนผิวแก้ม อย่าคิดๆ ไอ้นก ห้ามคิดเด็ดขาด ลืมไปแล้วหรือไงว่ามึงควรปิดใจให้สนิท ลืมความเจ็บปวดที่ได้รับจากหลินเมื่อตอนนั้นแล้วหรือ อีกอย่าง.......นั่นเพื่อน มันเป็นเพื่อน เพื่อนเพียงคนเดียวของมึงนะ หยุดเต้นสิ หยุดส่งเสียงดังเดี๋ยวนี้นะหัวใจ

“อ้าว!! พี่ปา!!”

“เบญ” ผมเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ไอ้ปาเรียกเธอว่าเบญ สวยชะมัด เธอสูง ขายาว สวมชุดนักศึกษารัดรูปจนเห็นขนาดของอกอวบที่ล้นจนแทบทะลักออกจากเสื้อ ใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มสดใสแสดงความดีใจจนออกมาฉายชัด อีกทั้งสองแขนเล็กๆ ที่โอบกอดแขนของไอ้ปาอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของนั่นอีก

......อึก......

อยู่ๆ หัวใจของผมก็เจ็บแปลบๆ เหมือนถูกเข็มนับร้อยปักลงบนหัวใจ ยิ่งเห็นท่าทางสนิทสนมของไอ้ปากับน้องเขา ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะยืนอยู่ตรงนี้ เหมือนไม่เหลือที่สำหรับผมอีก ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ ทำไมถึงต้องเจ็บเพียงแค่เห็นมันอยู่กับน้องเบญ ผมให้คำตอบกับความรู้สึกของผมตอนนี้ไม่ได้ มือทั้งสองข้างเผลอกำชายเสื้อตัวเองแน่น ผมด้านหน้าที่ยาวจนปิดตาไม่ได้ทำให้ภาพตรงหน้าจางหายไปได้เลย

เหมาะสมกันเหลือเกิน

ผมเชื่อว่าใครมาเห็นก็คงคิดเช่นเดียวกันกับผม มันเป็นธรรมดาที่คนหล่อเหล่อย่างไอ้ปาเมื่อยืนอยู่กับสาวสวยอย่างเบญจะถูกจับจ้องเป็นพิเศษ ความเหมาะสม ความลงตัวของทั้งสองคน ทำให้ผมอดคิดไม่ได้เลยว่า พวกเขาอาจจะเกิดมาคู่กัน

“พี่ปามาทำอะไรที่นี่คะ” ตากลมโตของเธอเหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้ไอ้ปาอีกครั้ง

“พี่มา....”

“เอ๊ะ หรือว่าพาลูกน้องมาทานข้าวคะเนี่ย” หือ? ลูกน้องหรือ น้องเบญก็เป็นเด็กฝึกงานที่บริษัทนี่นา ทำไมถึงคิดว่าผมเป็นลูกน้องไอ้ปาล่ะ ก็ผมกับมันทำตำแหน่งเดียวกัน

“เปล่า พี่พา...” เหมือนไอ้ปาตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่เธอชิงพูดออกมาเสียก่อน

“อ๊ะ จริงด้วยสิคะ คุณพ่อฝากมาบอกว่าให้พี่ปานัดคุณลุงให้หน่อย ท่านอยากจะไปตีกอล์ฟกับคุณลุงจะแย่แล้ว”

“ได้สิครับ เดี๋ยวพี่จะบอกท่านให้นะ” เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่ากีฬากอล์ฟเป็นกีฬาของพวกคนรวยๆ หรือ

“แล้วนี่พี่ปาจะไปไหนต่อคะเนี่ย”

“พี่จะไปส่งนกที่ออฟฟิศน่ะ” พอได้ยินแบบนั้น สายตาน้องเบญก็มองเหยียดผมอย่างไม่ปิดบัง จนผมหน้าชารู้สึกจุกจนแน่นหน้าอก

“ไปส่งทำไมคะ พี่เป็นถึงระดับผู้บริหารนะ ทำไมต้องไปส่งพนักงานกิ๊กก๊อกแบบนี้ด้วยละ”

“..!!!”

“เบญ!!!!”

ผมอึ้งมองไอ้ปาที่หันไปเรียกน้องเบญจนเสียงดัง นี่มันอะไรกัน หมายความว่ายังไงที่ว่าระดับผู้บริหาร ไอ้ปาเป็นใครกันแน่ ระดับผู้บริหารก็คือประธาน ฮะๆ ผมนี่มันโง่จริงๆ เลย แค่นี้ก็น่าจะรู้แล้ว มันเป็นความจริงสินะ ไอ้ปามันหลอกผมมาตลอด ดูจากที่มันไม่ยอมสบตาผมก็พอจะรู้ได้แล้ว

ร่างกายไม่มีแรงเสียดื้อๆ ทั้งๆ ที่อยากจะก้าวออกไปจากตรงนี้ แต่เหมือนขามันไม่ยอมขยับ บางที ส่วนลึกในใจของผม หวังให้มันบอกสักคำ ว่าที่เบญพูดมา มันไม่จริง

หึ.......หวังอะไรของมึงอยู่ไอ้นก โง่ไม่เลิกจริงๆ

“นก...มึงฟังกูก่อนนะ” ไอ้ปาจับแขนของผมให้หันไปฟังมัน แต่ผมสะบัดออกอย่างรังเกียจ

"พี่ปา!! จะไปสนใจทำไมคะ!! ก็แค่เด็กในบริษัทเอง!! นี่!! รีบๆ กลับไปเสียทีสิยะ!! เสียมารยาทจริงๆ หรือกลับเองไม่เป็นต้องรอให้เจ้าของบริษัทขับรถไปส่ง!!”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เบญ!!!” เสียงของเธอดังจนคนรอบข้างเริ่มหันมาสนใจ ผมพยายามทำตัวลีบๆ ก้มหน้าไม่ให้ใครเห็น อับอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เสียงซุบซิบดังเข้าหูจนนึกอยากเอามือปิดไว้ จนเผลอคิดว่า.........ถ้าหูหนวกก็คงจะดี

ถ้าตาบอดได้ก็คงจะดี

ถ้าไม่มีหัวใจก็คงจะดี

เพราะผมคงไม่ต้องทนอยู่อย่างนี้........ไม่ต้องเจ็บเพราะใคร

“นก!!! เดี๋ยวนก!!!!”

“พี่ปา!!! จะไปไหนคะ ห้ามไปนะ!!!”

ผมวิ่งหนีไอ้ปาและน้องเบญออกมาจากร้าน ไม่อยากรับรู้ว่าตัวเองโง่แค่ไหน ยิ่งเห็นหน้ามันผมยิ่งเจ็บ วันนี้ผมคงไม่เข้าบริษัทอีกแล้ว ผมคงไม่เข้าไปในบริษัทเพื่อให้ใครๆ หัวเราะและสมน้ำหน้าผมหรอก

“อ้อ......ระวังเพื่อนมึงให้ดีก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่ารุ่นพี่อย่างกู ไม่เตือน!!!”

นี่สินะที่พี่หมายถึง........พี่หนู ผมเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองหูหนวกตาบอดแค่ไหน พี่ชนะแล้วว่ะ ผมแม่ง.....แพ้อย่างหมดท่า พี่เก่งกว่า ฉลาดกว่า แต่คนอย่างผมคงไม่กลับไปให้พี่สมน้ำหน้าหรอก ผมทำไม่ได้ ผมเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่แมนชั่นของตัวเอง อยากอยู่กับตัวเองให้มากกว่านี้ คิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด แม้จะเจ็บแค่ไหน ก็ต้องเรียนรู้ให้สุด เจ็บให้ลึก เอาให้ฝังใจ ต่อไป จะได้ไม่โง่แบบนี้อีก!!

ผมเปิดประตูทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง น้ำตาที่สะกดกลั้นเอาไว้ตั้งแต่ที่ร้านถูกปล่อยให้มันไหลรินจนหมอนเปียก ความขมของน้ำตาไม่ใช่ยาที่ช่วยให้ได้สติ แต่มันคือความรู้สึกทั้งหมดที่ถูกกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำ ของๆ มันยังอยู่ในห้องผม ผมนึกอยากจะเอาไปเผาทิ้ง อยากจะใช้มีดกรีดให้มันพังไป ให้เหมือนที่มันเอาหัวใจของผมไปเหยียบเล่นมาตลอดสองปี มันทำได้ยังไง มันยังเห็นว่าผมเป็นเพื่อนมันไหม หรือจริงๆ แล้วผม.......เป็นแค่ตัวตลกในสายตามัน

ครืน ครืน

เสียงเรียกเข้าของผมดังขึ้นจนต้องหยิบมันขึ้นมาดู ละเป็นอย่าที่ผมคิดไว้ เมื่อชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทำให้ผมเม้มปากแน่นทั้งที่น้ำตายังนองหน้า ก่อนจะกดล็อคหน้าจอเพื่อตัดสายของอีกคนไป เสียงยังคงดังอยู่หลายครั้งและมันก็เป็นชื่อเดิมที่โทรเข้ามาตลอด เมื่อไหร่มันจะเลิกโทรสักที ผมไม่อยากคุยกับมัน มันไม่เข้าใจหรือไง!!! เสียงเพลงและการสั่นทำให้ผมโมโหจนหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมกลับต้องชะงัก เมื่อชื่อที่ปรากฏ ไม่ใช่ไอ้ปา

“ฮึก ฮะ ฮัลโหลครับ”

‘นี่มึงโดดงานหรือไอ้นก!! ทำไมป่านนี้มึงยังไม่ถึงบริษัทอีก!!’ ไอ้พี่หนู ผมจำเสียงของมันได้ ขี้โวยวายแบบนี้มีแต่พี่มันนั่นแหละ

“ผม ขอ ฮึก ขอลาป่วย ครับ” แม้จะพยายามกัดปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นเท่าไหร่ แต่ก็เหมือนไม่ได้ผล

‘........’

เสียงเงียบจากอีกฝ่ายทำให้ผมต้องเอาโทรศัพท์ออกมาดูว่าพี่มันวางไปหรือยัง แต่ไม่นี่ ก็ยังติดอยู่

‘มึงเป็นอะไร ไอ้นก มึงร้องไห้หรือ’ ณ ตอนนี้ ถ้าผมจะคิดว่ามันเยาะเย้ยผมคงไม่แปลกใช่ไหมครับ เมื่อเดิมทีตัวพี่หนูเองก็ไม่ได้ชอบใจอะไรในตัวผม ออกจะเกลียดเสียด้วยซ้ำ

“ใช่!!! ทำไม อยากสมน้ำหน้าหรือ เอาสิ!!! พูดเลยสิ!!! หัวเราะเลยสิ!!! สาแก่ใจดีไหมล่ะ ที่ไอ้นกคนนี้มันโง่ โดนหลอกให้เป็นควายมาหลายปี!!! ฮือออ”

‘.......’

“ฮือๆๆ พี่อยากพูดอะไรก็พูดสิวะ!! เงียบทำไมเล่า!! ฮึก พูดมาดิ ซ้ำเติมผมสิ!! พี่ถนัดอยู่แล้วนี่!!!” น้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสายจากตอนแรก ยิ่งกระหน่ำไหลอย่างไม่มีท่าทีจะหยุด ไม่กลัวหรอก ผมไม่เหลืออะไรให้กลัวอีกแล้ว

‘.......แค่นี้นะ ติ๊ด!!’

“โธ่เว้ย!!!!!!!”

ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ

ผมได้แต่ระบายอารมณ์ด้วยการใช้มือทุบหมอนเท่านั้น แค่นี้นะหรือ ไม่ด่าเขางั้นหรือ หึ!! ผมไม่เชื่อหรอก ป่านนี้พี่มันคงนั่งหัวเราะเยาะผมอยู่แน่ๆ คนอย่างพี่หนู ไม่มีทางเห็นใจผมหรอก ไม่มีทาง!!!



TBC




ดำดิ่งเข้าสู่วังวนของดราม่า ไหนใจใคีพร้อมบอกมาสิ~ เรื่องความสัมพันธ์ของนก แมวจะคุยละเอียดตอนเรื่องทั้งหมดเปิดเผยนะคะ แต่คาดว่าหลายๆคนคงจะเดาได้

ชีวิตคือน้ำตาและเสียงหัวเราะ เพราะไม่มีใครที่ยิ้มได้ทั้งชีวิต และไม่มีใครต้องร้องไห้ตลอดไป มาค่อยๆลุ้นและเดินไปกับนิยายเรื่องนี้ทีละก้าวกันนะคะ


ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่6. นกกับความจริงฯ 100% up. 10/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 11-11-2019 01:31:52
เอาแล้ว มีเคลียร์กันยาว

งานนี้ปาผิดจริงๆแหละ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด
ใครเป็นนกก็ต้องโกรธเผลอๆอาจเกลียดด้วยซ้ำ

สู้ๆนะ ตามง้อต่อไป
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่6. นกกับความจริงฯ 100% up. 10/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 11-11-2019 08:36:44
งงงวย ทำไมนกอ่อนจังคะ  ชกปาไปเลยเหอะ  หลังรู้ความจริงแล้วอะ
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่6. นกกับความจริงฯ 100% up. 10/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 11-11-2019 12:23:12
โอ๊ยยยย อยากรู้ว่าปาจะทำไง พี่หนูนี่คงจะรู้เรื่องตั้งแต่แรกเลยกวนประสาทนกมาตลอด สนุกมากก ไรท์สู้ๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่6. นกกับความจริงฯ 100% up. 10/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 12-11-2019 00:12:59
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่6. นกกับความจริงฯ 100% up. 10/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 14-11-2019 22:35:51
น้องงงงงง กอดดดด ไม่ต้องร้องนะลูก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่7. นกโดนหักหลัง 50% up. 15/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 15-11-2019 19:13:15
[7]

ตอนที่7.

นกโดนหักหลัง
[/b]

กว่าจะผ่านเมื่อคืนไปได้แม่งโคตรทรมาน ผมนอนร้องไห้อยู่บนเตียงทั้งคืนจนปวดตาปวดหัวไปหมด แม้แต่หมอนที่ใช้เองก็แทบจะบิดน้ำออกมาได้จนเต็มกะละมัง ถึงไม่ส่งกระจกผมก็รู้สึกได้ ตาผมมันต้องบวมและช้ำมากแน่ๆ ก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องร้องไห้มากมายกับแค่เรื่องที่มันโกหก

ผมไม่กินข้าว ไม่สนใจจะอาบน้ำ ไม่อยากจะทำอะไรด้วยซ้ำ มือของผมกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจจะดูหรือก แค่ไม่อยากปล่อยให้สมองว่างแล้วคิดเรื่องนั้นอีก แค่นี้ก็เสียน้ำตาไปเยอะแล้ว ถ้าห้องนิ่งเงียบผมคงยิ่งร้องไห้ ยิ่งจมปลักอยู่กับความเศร้าความเสียใจ ผมไม่อยากเดินไปในครัว เพราะในครัวเต็มไปด้วยของที่ไอ้ปามันซื้อไว้ ยิ่งเห็น ผมก็ยิ่งทรมาน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมากัน ผมก้มลงมองดูสภาพตัวเอง ชุดเมื่อวานกับตาที่แดงก่ำมันไม่ใช่สภาพที่จะรับแขกแน่ๆ แต่การจะให้เขาเคาะไปเรื่อยๆ มันก็คงจะดูน่าเกลียดและผมเกรงใจห้องอื่นที่เขาอาจจะรำคาญได้ เอาเถอะ ยังไงก็คงต้องเปิด

“ครับ!” พอประตูเปิดออก คนที่มายืนอยู่ตรงหน้ากลับทำให้ผมมองด้วยความไม่เชื่อในสายตาตัวเอง ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจ ผมคงยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองไปแล้ว ใครมันจะอยากเชื่อว่าคนที่ยืนอยู่ตอนนี้จะเป็น ไอ้พี่หนู

“พี่มาทำไม” มันคงเป็นคำถามที่ออกจะดูเสียมารยาทไปหน่อย แต่กับพี่มันคงไม่คิดเรื่องมารยาทกับผมมั้งครับ ในเมื่อเราเกลียดกันจะตาย

“อะไร......กูมาเยี่ยมลูกน้องที่หนีงาน ผิด?” ผมกลอกตาก่อนจะเปิดประตูกว้างขึ้นให้พี่มันเข้ามาข้างใน เอาเถอะ อยากมาก็มา ห้องผมว่างอยู่แล้ว

“กูซื้อของมา เอาไปแดกๆ ซะ” มันแทบจะโยนของในมือมาอ่ะ ดีนะที่ผมรับไว้ได้ ร้อนก็ร้อน จากที่ดูแล้วคงเป็นโจ๊กแน่ๆ ยังดีที่พี่มันมีน้ำใจซื้อของมาให้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ มันมาทำไมวะ!!

“อะไร มองหน้ากูแบบนั้น??” จะให้ผมมองด้วยแววตาเทิดทูนก็คงไม่ได้หรือกครับ คนอย่างพี่มัน

“แล้วพี่จะให้ผมมองยังไง อยู่ๆ พี่ก็มาหาผมพร้อมกับโจ๊ก ทั้งๆ ที่เราไม่ถูกกัน ผมไม่คิดว่าพี่มาเพื่อฆ่าผมก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

โป๊ก!!

นั่นไง กูว่าแล้ว

“พี่แม่ง มาฆ่าผมจริงๆ ด้วย” ผมเบะปากใส่มัน ตอนนี้อารมณ์อ่อนไหว เจออะไรนิดหน่อยน้ำตาแม่งก็จะไหลท่าเดียว ไอ้พี่หนูมันส่ายหน้าด้วยความระอาเมื่อเห็นน้ำตาที่เริ่มปริ่มๆ จะไหลของผม

“มึงอย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างของการร้องไห้” ผมชะงัก หลบสายตาที่มองมาของพี่มัน แม่ง.....โคตรจะจี้ใจดำเลย อย่างที่พี่หนูพูด เหมือนผมจะเอาความเจ็บอื่นๆ มาเป็นข้ออ้างในการจะร้องไห้

“ผมเปล่า” ผมบอกปฏิเสธเสียงเบา แต่ก็รู้ว่าพี่หนูมันได้ยิน มือของพี่มันแตะลงบนไหล่ผมสองสามที ก่อนที่มือนั้นจะเลื่อนขึ้นไปที่กลุ่มผมสีดำของผม

“มึงอยากร้องก็ร้อง ไม่เห็นต้องหาข้ออ้างอะไร”

“......”

“คนที่ร้องไห้ ใช่จะแปลว่าอ่อนแอ”

“.....ฮึก.....”

“แต่มันแปลว่ามึงยังมีความรู้สึก ยังมีชีวิตและมึง........ยังมีหัวใจ”

ปึกๆ

“ตรงนี้โว้ย!!” ผมเจ็บจนแทบจะจุกกับกำปั้นที่ทุบลงมาบนตำแหน่งของหัวใจ เกือบซึ้งครับ ถ้าแรงที่พี่มันประเคนลงมาไม่ใช่แรงควาย

“ถึงว่าดิพี่ ตอนพี่ทุบผมแม่งโคตรจุก!” จากที่กำลังซึ้งๆ กัน กลายเป็นทั้งห้องมันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของพี่หนูมัน ผมเองก็พลอยยิ้ม รอยยิ้มแรกของวันมาจากผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเกลียดขี้หน้า แต่น้ำตาที่ไหล มาจากผู้ชายที่เรียกว่าเพื่อน ชีวิตบัดซบดีจริงๆ ผมจะเชื่อใครได้อีกวะแบบนี้

พี่หนูมันก็ดี หาอะไรให้ผมกิน วันนี้พี่มันเองก็หนีงานมาอยู่กับผม ไม่รู้สิครับ ผมว่าพี่มันคงกลัวว่าผมจะฆ่าตัวตาย สงสัยพี่หนูจะเข้าใจผิดครับถึงได้คิดแบบนั้น คนจะฆ่าตัวตายมันต้องอกหักจากแฟน ไม่ใช่โดนเพื่อนโกหกแบบผม พี่หนูนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงโดยมีผมมองจ้องไปเป็นระยะๆ เพราะตอนนี้ตัวเองได้แต่ตักโจ๊กในชามทาน ร่างกายประท้วงบอกผมว่าไม่หิว เหมือนจะสั่งการไม่ให้ตักมันขึ้นมาเข้าปากด้วยซ้ำ ผมรู้สึกไม่ดี ไม่อยากกินอะไรเลยสักนิด ทำไงดี เสียดายของจัง พี่หนูเองก็อุตส่าห์ซื้อมาให้ผม เฮ้อ........

“กินๆ เข้าไปเหอะ เดี๋ยวจะไม่มีแรงทำห่าอะไร”

“ผมไม่หิววะพี่” แม้สายตาของพี่หนูไม่ได้มองมา แต่ก็ยังอุตส่าห์รู้อีกนะว่าผมไม่ได้กินมันเข้าไป

“พยายามหน่อยดิวะ เดี๋ยวมึงก็ปวดท้อง” ผมได้แต่ถอนหายใจ วันนี้ไม่รู้ว่ารอบที่เท่าไหร่แล้วที่ผมเอาแต่ถอนหายใจแบบนี้ ใครๆ เขาก็บอกว่าการถอนหายใจมันทำให้อายุสั้นลง ป่านนี้ผมจะเหลือเวลาอยู่อีกกี่ปีกันเนี่ย จะทันได้แต่งงานมีลูกกับเขาไหมนะ

“เออพี่หนู”

“ว่า.......” ตาน่ะ ละโน้ตวีมามองผมบ้างก็ได้นะครับ

“ผมถามจริงๆ นะพี่ พี่เป็นคนไปพูดให้เบื้องบนปลดชื่อผมหรือเปล่าครับ” พี่หนูหันมาสบตากับผม สีหน้าพี่มันเหมือนครั้งก่อนที่เราตีกัน คือจริงจังและเต็มไปด้วยความมั่นใจ หาแต่ตอนนั้น ใบหน้าของพี่มันมีรอยยิ้มเยาะเย้ยอยู่เป็นนัยๆ ไม่เหมือนกับตอนนี้

“กูเปล่า......”

“งั้น........” ผมเริ่มลังเล จับต้นชนปลายไม่ถูก แล้วถ้าไม่ใช่พี่หนู มันจะเป็นใคร

“คนที่ทำ........มันต้องใหญ่กว่ากู” ใครใหญ่กว่าพี่หนู คนที่ใหญ่กว่า.......หรือว่าจะเป็น......

“ไอ้ปา....”

“อืม.......”

เสียงตอบรับที่ดังมากระทบหูมันเป็นเหมือนเข็มที่คอยทิ่มแทงและตอกย้ำให้ผมรู้สึกเจ็บ หัวใจมึงทำด้วยอะไร ขนาดความก้าวหน้าที่กูหวัง มึงยังทำลายมันลงด้วยมือของมึงเอง ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นเพราะชื่อของผม หรือเพราะผมไว้ใจคนผิดกันแน่

ครืน ครืน

มันยังคงดังไม่หยุด เสียงโทรศัพท์ที่มีแค่เพียงชื่อเดียวที่โทรเข้ามาจนเกือบจะร้อยสาย ผมไม่สนใจจะรับ ไม่สนใจจะมองด้วยซ้ำ แต่เสียงมันดัง......จนผมอยู่เฉยไม่ได้

อยากจะโยนออกไป

อยากจะปาทิ้งให้มันพัง

แต่ผมก็ทำได้แค่อยู่เฉยๆ มองมันสั่นอยู่บนโต๊ะเงียบๆ จมอยู่กับความคิดตัวเองไปจนลึกสุดหยั่ง คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของผม มันจะโทรมาทำไม? ต้องการอะไรอีก? ผมยังโง่ไม่พอหรือ? แต่คำถามที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้ผมกล้าพอจะรับสายของมัน ผมอยากให้ทุกอย่างจบไปอย่างเงียบๆ ให้ทุกอย่างมันค่อยๆ จางหายไป เหมือนกับสายลม

“ฮัลโหล”

อ้าว......แล้วไอ้พี่หนูมันเดินมารับโทรศัพท์ผมทำไมเนี่ย!!!!

“กูไง ทำไม??” เขาคุยอะไรกันวะ

“เสือก!! เรื่องของกู” ไอ้พี่หนูยิ้มเยาะทำอย่างกับว่าปลายสายจะมองเห็น

“แล้วแต่มึงจะคิด” พี่หนูเหลือบมองผมก่อนจะหันไปคุยต่อ สีหน้าที่บ่งบอกว่าตัวเองชนะ มันหมายความว่าไงวะพี่

“จริงด้วยสิ......”

“...??? ...”

“กูเพิ่งรู้ว่าไอ้นกตัวมันก็หอมดีเหมือนกัน”

ฉะ ฉะ ฉิบหายแล้ว!!! พี่มันเกิดเฮี้ยนอะไรขึ้นมาวะถึงพูดไปแบบนั้น เดี๋ยวมัน....เอ่อ ผมหมายถึงเดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดกันหมดหรือกว่าผม....... ซวยๆ งานนี้ซวยแน่ๆ

แต่เดี๋ยวนะ!!! ผมจะกังวลไปทำไมวะเนี่ย??

พี่หนูหันเลิกคิ้วถามว่า มีปัญหาหรือ โอ๊ย!! พี่!! ขนาดนี้แล้วไม่มีแล้วล่ะครับ เพราะถ้ามีมันก็คงไม่ทันแล้วล่ะ บอกตรงๆ ตอนนี้ผมจิตใจฟุ้งซ่านมาก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องกลัวไอ้ปาเข้าใจผิด ช่างมันสิวะ!! มันอาจจะไม่สนใจผมก็ได้นี่ ยังไงมันก็มีน้องเบญอยู่แล้วทั้งคน ใช่!! ผมมันจะไปสำคัญอะไร มันอาจจะกำลังหัวเราะเยาะผมที่เพิ่งจะฉลาดตอนนี้ก็เป็นไปได้

ไม่เอาดิวะ........เลิกคิดๆ

“มึงคุยกับตัวเองอยู่หรือ” หือ ผมหันหน้าไปมองพี่หนูด้วยสีหน้าที่เรียกว่าเอ๋อแดกก็คงจะได้

“ใช่!! ....มั้งครับ” ผมก็ไม่แน่ใจ พี่หนูมันถอนหายใจก่อนเดินกลับไปนอนดูหนังบนเตียงของผม ย้ำว่าของผมแต่โดนพี่มันยึด ผมรู้สึกตงิดๆ ใจเหมือนกับว่าเรื่องมันจะไม่จบแค่นี้น่ะสิ หรือผมจะคิดมากไปกันนะ เพราะดูแล้วพี่หนูมันก็ไม่เห็นจะเดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับการไปยั่วโมโหไอ้ปามันแบบนั้น ตั้งแต่รู้จักกันมา นับครั้งได้เลยที่ผมจะเห็นไอ้ปาโมโหแต่กับพี่หนู ทุกครั้งเหมือนกับว่าไม่เคยถูกกันเลย ตอนแรกผมก็คิดว่าไอ้ปามันไม่ชอบเพราะพี่หนูเป็นเด็กเส้น แต่ผมว่า.........คงไม่ใช่แค่นั้นแน่ๆ











เคยรู้สึกว่าตัวเองซวย แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโคตรซวยมาก่อนเลย เมื่อก่อนอาจจะมีเรื่องราวมากมายที่ผมเจอมา และทุกครั้งมักจะเป็นผมที่ทำผิดพลาดและผิดหวัง มันคือคำว่าชีวิตเฮงซวยที่ผมได้แต่โทษชื่อของตัวเอง เคยเรียกร้องให้พ่อเปลี่ยนชื่อให้ผม แต่พ่อกลับบอกผมว่า.....

คนอื่นจะชื่อหมู ชื่อหมา ชื่อกา ชื่อไก่ ก็แล้วแต่มัน แต่ที่ข้าตั้งให้เอ็งชื่อนก เพราะอยากให้เอ็งมีอิสระ บินไปให้สูง ถึงจะตกลงมาเอ็งก็จะไม่เจ็บ เพราะเอ็งมีปีก

ซึ้งครับ พอได้ยินตอนนั้นคือรู้สึกดีจนผมยืดอกพกชื่อตัวเองไปอย่างไม่อายไปพักใหญ่ๆ แต่มันก็แค่พักหนึ่งเพราะเรื่องซวยๆ มันก็มีมาไม่หยุดเช่นเดิม อุปสรรคของนกไร้ปฏิเสธแค่ไหน ชีวิตผมก็ไม่ต่างกัน นกไร้กรงต้องดิ้นรนหาอาหาร ต้องแย่งชิง ต้องพยายามเพื่อมีชีวิตรอด ผมก็ไม่ต่างกัน แม้จะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหนผมก็ต้องกางปีกบินผ่านมันไปให้ได้ เหมือนที่พ่อบอกผม ว่าผมเป็นนกที่มีอิสระ แต่ไม่ใช่ตอนนี้........

ตอนที่ไอ้ปามายืนเคาะประตูอยู่หน้าห้องของผม!!!!!

ปึงๆๆ

“เปิดประตู!!” ผมผวากับเสียงเคาะของไอ้ปาที่กระหน่ำทุบมันจนเกิดเสียงดังจนน่ากลัว

หยุดสักที!!

ปังๆๆๆ

“กูรู้ว่ามึงอยู่ข้างใน.....เปิดให้กูเข้าไปเดี๋ยวนี้ ไอ้นก!!!” ผมกัดปากยกมือขึ้นปิดหูไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น ผมไม่อยากคุยกับมัน มันไม่เข้าใจหรือไงนะ ตอนนี้ผมแค่อยากอยู่คนเดียว อยากใช้เวลากับตัวเอง อยากให้มันเลิกเห็นผมเป็นควายที่คิดจะพูดอะไรก็ได้ให้ฟังแล้วผมก็เชื่อเสียที ผมเป็นคนที่กินข้าวนะ ไม่ได้กินหญ้า

ปึงๆๆ ปังๆๆๆ

“เปิดดิวะ!! มึงอยากให้กูพังใช่ไหมนก!!! อยากให้กูพังเข้าไปใช่ไหม!!!”

อย่านะ แบบนั้นผมก็เดือดร้อนนะสิ

“กะ กูไม่อยากคุย!! มึงกลับไปเถอะ นะ” ผมพยายามจะตะโกนกลับไปให้มันเข้าใจและหยุดสิ่งที่ทำอยู่

“เปิดเดี๋ยวนี้!! กูไม่สนว่าค่าประตูมันจะแพงแค่ไหน มึงก็รู้กูมีปัญญาซ่อม!!” ผมรู้ รู้ดีเลย ลูกชายของประธานบริษัทที่ผมทำงานอยู่ มีหรือจะไม่มีเงินจ่ายค่าประตู แต่ปัญหามันอยู่ที่ผมไม่อยากเห็นหน้ามัน

“ไอ้ปา กูขอร้อง...ถ้ายังเห็นกูเป็นเพื่อน หยุดและกลับไปเถอะ นะปา”

ผมไม่ได้ยินเสียงมันตอบกลับมา ความเงียบที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมสงสัย มันกลับไปแล้วใช่ไหม นั่นคือสิ่งที่ผมถามตัวเอง ห้องผมไม่มีตาแมว เป็นเพียงห้องเช่าที่มีแค่ห้องน้ำในตัวเท่านั้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอ เพราะแค่ได้ยินเสียงของมัน ผมก็แทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

ผลัวะ!!!

“กรี๊ด!!! มีคนตีกัน ช่วยด้วยค่า!!!” ผมสะดุ้งเมื่อมีเสียงกรีดร้องจากห้องอื่นดังมา ผมลังเลใจที่จัเปิดแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ไอ้ปามันเหมือนหมาบ้า มันกัดไม่ยอมปล่อย และผมเองก็กลัวว่ามันจะทำคนอื่นเดือดร้อน

“ไอ้ปา พี่หนู หยุดนะ!!!”

ผมรีบสิ่งตรงไปแยกไอ้ปาที่คร่อมตัวพี่หนูไว้พร้อมกับหมัดที่กระหน่ำซัดเข้าไปที่ใบหน้าหล่อเหลา เลือดสีแดงไหลออกมาจากปากและจมูก รอยช้ำบนหน้าเกิดขึ้นแต่ไม่ชัดมาก ผมคิดว่าพรุ่งนี้มันคงเขียวแน่ๆ

“หยุดนะมึง!! อย่าต่อยพี่เขา!!!” ผมตะโกนออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร มันได้ผล ไอ้ปาชะงักเหลือบมองมาที่ผมก่อนจะปล่อยมือออกจากคอเสื้อของพี่หนู ผมไม่รู้ว่าทำไมพี่หนูถึงยังยิ้ม ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เขาไม่สู้ เพราะหมัดที่ผมเคยได้ลิ้มรสเมื่อตอนนั้น มันไม่ใช่แรงที่เบา ผมเชื่อว่ามันหนักไม่แพ้หมัดไอ้ปาเลย เราสามคนยืนประจันหน้ากันโดยไม่มีใครยอมถอยด้วยอารมณ์ที่ต่างกันออกไป ไอ้ปามองหน้าผมด้วยความขุ่นเคือง พี่หนูมองไอ้ปาด้วยรอยยิ้มราวกับว่าสะใจหนักหนา ส่วนผมได้แต่มองไอ้ปาทีพี่หนูทีเพราะกลัวจะตีกันอีก คนอย่างไอ้นกมันไม่ได้กล้าขนาดเดินดุ่มๆ เข้าไปห้ามโดยไม่กลัวมือกลัวตีนใครนะ เกิดโดนลูกหลงมาที เจ็บแน่ๆ ยิ่งไม่ค่อยจะหล่ออยู่แล้ว

“นี่มึงเป็นห่วงมันหรือนก!!” ผมหลบสายตา ไม่อยากมองแววตาคาดคั้นและเจ็บปวดของไอ้ปาที่ส่งมาให้ผม

อะไรกัน มันไม่ใช่ความผิดผมเสียหน่อย

“ใช่......ก็มึงไปต่อยพี่เขา”

“ก็แล้วเมื่อวานพวกมึงสองคนทำเหี้ยอะไรกันล่ะ!!!” ผมมองหน้าไอ้ปาตรงๆ ด้วยความไม่เข้าใจ

“ทำอะไร? กูทำอะไร???”

“มึงให้มันเข้าไปในห้อง!! ให้มันรับโทรศัพท์แทนมึง!! มึงจะบอกว่าไม่มีอะไรงั้นหรือ!!!”

“ก็มันไม่มีอะไร.......มึงจะให้โน้ตบอกว่ามีได้ยังไงล่ะ” ไอ้ปาตวัดสายตามองพี่หนูที่ส่งยิ้มยียวนไปให้ ขนาดเลือดกบปากอยู่ไม่ได้ทำให้พี่หนูลดความกวนตีนลงเลยแม้แต่น้อย

“แต่มัน!! ....” ผมถอนหายใจกับความดึงดันของมันที่ไม่ยอมลดละและไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่ผมพูด

“กลับไปเถอะ มึงไม่เชื่อกูอยู่แล้วไม่ว่ากูจะพูดอะไรยังไง เพราะงั้น......มึงกลับไปเถอะ กูยังไม่พร้อมจะเจอหน้ามึง” ผมเบี่ยงหน้าไปอีกด้าน ไม่อยากมองหน้าเพื่อนที่โกหกผมมาตลอด เพื่อนที่หักหลังผม

“กูไม่กลับ.... กูมาเพื่อคุยกับมึงนะ กูอยากให้มึงฟังกูสักนิด” ผมปรายตามองไอ้ปาที่แววตาเต็มไปด้วยความเว้าวอน ถัดไปก็จะเจอกับพี่หนูที่ใบหน้าเริ่มฉายชัดถึงความฟกช้ำจากฝีมือไอ้ปา

“พี่หนู ขอบคุณที่มาเยี่ยม มาอยู่เป็นเพื่อนนะครับ แต่วันนี้ผมรบกวนพี่กลับไปก่อนได้ไหมครับ ผมอยากจะเคลียร์กับไอ้ปา...ให้มันจบๆ”

“เอางั้นก็ได้ ไว้กูจะมาเยี่ยมมึงใหม่แล้วกัน” ไอ้ปาเหยียดยิ้มเยาะใส่พี่หนู แต่พี่หนูก็ไม่ได้สนใจอะไรกับท่าทางของมัน กลับยืนถุงข้าวและของอย่างอื่นมาให้ผมแทน

“นี่ข้าวกับน้ำแล้วก็ขนม กูซื้อมาฝาก ไว้กูจะมาใหม่วันหลัง”

“ขอบคุณมากครับพี่"

ผมยกมือไหว้ขอบคุณกับสิ่งที่พี่หนูทำให้ผม พี่หนูหันหลังเพื่อจะเดินกลับไปแต่ก็ไม่วายหันมามองสบตากับไอ้ปาก่อนพี่หนูจะหยุดเดิน

“ระวังตัวมึงไว้ให้ดีเถอะ!!” ไอ้ปากัดฟันพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ ผมมองไม่เห็นหน้าพี่หนูเพราะพี่มันหันหลังให้ผม รู้เพียงแต่ว่า พี่หนูมันหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับไอ้ปาก่อนที่สีหน้ามันจะเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างบอกไม่ถูก ผมเดินนำมันเข้ามาในห้อง บอกให้ตัวมันนั่งรออยู่ที่เก้าอี้โดยที่ตัวผมเดินเข้าไปหยิบน้ำเย็นๆ มาให้มัน (ตามมารยาท) ไอ้ปารับน้ำไปถือไว้ มันอาศัยจังหวะนั้นจับกุมมือผมเอาไว้

“ปล่อย” ผมพยายามดึงมือออก แต่เหมือนไอ้ปาจะทากาวเอาไว้เพราะไม่ว่าผมจะดึงยังไงก็ดึงไม่ออก

“กู......คิดถึงมึงนะนก” ผมหันหน้าหนีสายตาที่บ่งบอกความรู้สึกคิดถึงเหมือนดังที่ปากกล่าว

“อย่าเลยวะปา...” ผมยิ้มเยาะออกมา ไม่รู้ว่ายิ้มให้ตัวเองหรือให้มันกันแน่

“ไอ้นก......”

“ที่กูยอมให้มึงเข้ามาในนี้ ยอมคุยกับมึง เพราะกูอยากจะถามบางอย่างแล้วเคลียร์ให้มันจบๆ ไป” ไอ้ปาสูดลมหายใจเข้าราวกับต้องการเรียกกำลังใจให้ตัวเอง

“มึงอยากจะรู้อะไร ไม่ว่ามึงจะถามอะไรกูจะตอบมึงทั้งหมด ขอแค่ให้มึงยอม.....คุยกับกูเหมือนเดิม กลับไปทำงานเหมือนเดิม และอยู่กับกูเหมือนเดิม”

หึ.....นี่มันหวังมากไปไหม

“เรื่องที่กูไม่ได้ปรับขึ้นตำแหน่ง......เป็นฝีมือของมึงหรือเปล่า” ในใจหวาดหวั่น แม้จะรู้อยู่แล้วแต่ผมก็หวังเอาไว้ว่าจะไม่ใช่มัน แต่ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าที่แสดงออกมาทำให้ผมแน่ใจถึงได้ยิ้มเยาะตัวเองอยู่แบบนี้

“คือกู......” หึ...คิดแล้วเชียว

“เป็นมึงจริงๆ สินะ” ผมพยายามจะสะบัดแขนออกจากการจับกุมของมัน แต่มันก็ไม่ยอมปล่อย ไอ้ปามันเห็นแก่ตัว มันทำร้ายผมแต่ก็ยังคงยึดตัวผมไว้ มันไม่ยอมให้ผมไป

“ปล่อยกู!!!”

“ไม่ๆ นก ขอร้องฟังกูก่อนได้ไหม” ฟังหรือ ตลกสิ้นดี มันบอกให้ผมฟังมันหรือ สองปีที่มันโกหก สองปีที่มันทำลายความเชื่อใจ ไม่ใช่เพราะผมฟังมันหรือไงกัน!!!

“ฟังอะไรอีก!!!! ตลอดมากูไม่เคยฟังหรือ!!!”

“นก อย่าเป็นแบบนี้” ผมมองมันด้วยน้ำตาที่นองหน้า

“แบบไหน มึงอยากให้กูกลับไปเป็นไอ้นกโง่ๆ ที่เอาแต่เดินตามมึงโดยไม่รู้อะไร ไอ้นกคนที่มึงทำลายโอกาสที่จะก้าวหน้าไปกับมืองั้นหรือ มึงอยากได้ไอ้นกคนนั้นใช่ไหม!!!!!” ผมใช้แรงทั้งหมดสะบัดมือมันออก ตัดสินใจหันหลังหวังจะเดินหนีแต่ก็ถูกไอ้ปารวบเข้าไปกอดไว้จนหลังของผมสัมผัสกับแผ่นอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของมัน แรงของผมไม่สามารถดิ้นรนหนีออกจากอ้อมกอดนี้ได้ ผมเคยดีใจที่มีมันเป็นเพื่อน เคยดีใจจริงๆ

“ไม่ใช่!!! กูไม่เคยมองว่ามึงโง่เลยนะนก ไม่เคยเลยสักครั้ง” เสียงนุ่มที่กระซิบอยู่ริมหูไม่ได้ช่วยให้ใจผมลดความเจ็บปวดลงไปเลย มันกลับเป็นเหมือนมีดที่กรีดลงบนหัวใจผมมากกว่า

“หึๆ กูยังเชื่ออะไรมึงได้อีกวะ ยังเชื่ออะไรกับคำพูดมึงได้อีก”

“ที่กูทำไปทั้งหมด ก็เพราะกูรักมึงนะ!!!”

“รักเหี้ยอะไร!!! จะบอกว่าทั้งหมดนี่มึงหวังดีกับคนที่มึงเรียกว่าเพื่อนงั้นสิ??” อ้อมแขนที่กอดรัดผมไว้ถูกกระชับมากขึ้นจนผมแทบจะขยับตัวไม่ได้

“เพราะกูไม่เคยเห็นมึงเป็นเพื่อนไง ทั้งหมดเพราะกูรักมึง รักมึงแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักใครสักคนได้ มึงไม่เข้าใจเลยหรือ!!!”

อะ อะไรนะ!! นะ นี่มัน ไม่จริง!!

ผมไม่อยากจะยอมรับ บอกตรงๆ ว่าทำใจยอมรับไม่ได้ เพราะการกระทำมันช่างสวนทางกับคำพูดมันเหลือเกิน คำหวานที่มันใช้ล่อหลอกผมเป็นเหมือนกับดักที่ใช้ล่อหลอกแมลงให้ตกหลุมพรางก่อนจะฆ่ามันให้ตายอย่างเลือดเย็น ผมไม่รู้ว่าควรมองเห็นอะไรในตัวของคนที่ผมเรียกว่าเพื่อน เพราะสายตาของผมในตอนนี้ มองเห็นแต่ความโหดร้ายที่เหมือนมันถือมีดเล่มหนึ่งมากระหน่ำแทงที่ด้านหลังของผม

“ปา...มึงปล่อยกูเถอะ มึงปล่อยกูไปได้ไหม กูขอร้อง” ผมหมดแรงจะดิ้นรน น้ำตาไหลนองปากก็พร่ำบอกให้มันได้ปล่อยผมไป แต่แขนแกร่งแทนที่จะปล่อยผมตามคำขอกลับยิ่งเพิ่มแรงกอดรัดมากขึ้นไปอีก ร่างของผมสะอื้นไห้อยู่ในอ้อมแขนของมัน ผมไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เป็นแบบนี้ ผมรู้แค่ว่า สุดท้ายแล้ว มันก็กลายเป็นผมเองที่ไม่มีปัญญาจะหนีไปให้ไกลจากกับดักของมัน

ไอ้ปากระชับอ้อมกอดไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหลุดหายไป ปากก็เอาแต่พูดคำว่าขอโทษไม่หยุด ผมปล่อยสายตาเลื่อนลอยไปกับทิวทัศน์นอกหน้าต่างห้อง ปิดความรู้สึกนึกคิดทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ยินยอมให้มันกอดเอาไว้จนกว่ามันจะพอใจ

ไม่เอาแล้ว พอแล้ว ผมเหนื่อยเกินไปแล้ว

อาจเพราะผมไม่ดิ้นรนเพื่อออกจากอ้อมแขนมันถึงได้ใจ จับผมหันหน้าไปหาแล้วกอดไว้อีกครั้ง ฝ่ามือของไอ้ปาลูบหัวผมอย่างต้องการจะปลอบโยน แต่มันจะเข้าใจหรือเปล่านะว่า ยิ่งมีคนปลอบเราก็ยิ่งแสดงความเจ็บปวด ยิ่งคนที่กำลังปลอบผมคือคนที่ทำร้ายผม ผมก็ยิ่งทนไม่ได้

มันเจ็บ มันจุก มันทรมานจนอย่างจะตาย

ผมแค่อยากให้มันได้รู้สึกบ้าง รู้สึกอย่างที่ผมรู้สึก เจ็บเหมือนที่ผมเจ็บ ทรมานให้เหมือนที่ผมกำลังทรมานอยู่ตอนนี้!! ทำไมสวรรค์ไม่เห็นความดีของผมบ้าง ทำไมสวรรค์ถึงส่งมากลั่นแกล้งผม ทำไม ทำไมต้องเป็นมันด้วย!!!!






50%



ขออธิบายจ้าาา การที่ปาระงับชื่อน้องนกไม่ให้น้องเป็นหัวหน้าเพราะว่า...ในฐานะประธานบริษัทแล้ว นกยังไม่มีคุณสมบัติมากพอจะขึ้นมาได้ค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นปาเองก็ไม่ได้อยากทำนะคะ แต่น้องยังเป็นไม่ได้จริงๆ อีกอย่างน้องมีตำแหน่งทีทดีกว่ารออยู่ค่ะ นั่นคือเมีย แค่กๆ แฟนของประธานไงคะ เพราะงั้นโปรดเข้าใจปาด้วยนะคะ กระทืบปาเบาๆน้าาา เดี๋ยวพระเอกแมวตายเสียก่อน คิกๆ

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่7. นกโดนหักหลัง 50% up. 15/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 15-11-2019 20:02:06
ปาต้องแสดงความจริงใจมากๆๆนะ เพือแผลของนกจะได้หายไวไว
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่7. นกโดนหักหลัง 50% up. 15/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 15-11-2019 21:35:46
เข้าใจเรื่องการบริหารนะ แต่จะระงับการเลื่อนขั้นมันก็น่าจะแจ้งเหตุผลไม่ใช่เหรอครับ ไม่ใช่ระงับไปเฉยๆ ยิ่งจะเลื่อนตำแหน่งยิ่งไม่ควรบอกว่าเธอเข้ารอบว่าจะได้เลื่อนขั้นนะ ใครก็คิดไปไกล แล้วอยู่ๆ มารู้ว่าตัวเองไม่ได้ ใครก็จิตตกเน้อ

อยากอ่านครึ่งหลังแล้วอะครับ มาลงเลยได้ไหม
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่7. นกโดนหักหลัง 50% up. 15/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 15-11-2019 23:07:47
นกน่าจะยอมรับตัวเองด้วยนะเรื่องตำแหน่ง
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่7. นกโดนหักหลัง 50% up. 15/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-11-2019 00:07:03
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่7. นกโดนหักหลัง 100% up. 16/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 16-11-2019 11:40:24
ผมลืมตาตื่นมาในตอนเช้าของอีกวันที่ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาพบความจริงเลยสักนิดเดียว หัวใจที่บอบช้ำยังไม่ได้รับการรักษาแม้แต่น้อย เหมือนแอปเปิลที่ตกลงมาแล้วถูกจิกกิน รอเพียงเวลาจะเน่าไปเท่านั้น มันไม่มีวันกลับมาเป็นแอปเปิลเต็มผลได้เหมือนเดิมอีกแล้ว แล้วหัวใจผมล่ะ จะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกหรือเปล่านะ

อย่าถามหาเลยว่าคนที่เอาแต่กอดผมไว้ไม่ยอมปล่อยเมื่อวานนี้หายไปไหน ผมจำได้แค่ว่าตัวเองหลับไปทั้งน้ำตา หลับไปเพราะความเพลียที่ต้องร้องไห้หนักขนาดนั้นโดยที่มีมันกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ผมสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่หน้าท้องตัวเองและไอ้อุ่นที่แผ่นหลังสัมผัส ก่อนจะรู้ตัว บางสิ่งก็รัดผมแน่นขึ้นจนผมตกใจ

“อืม......นก มึงตื่นแล้วหรือ” ไอ้นกตัวนี้อยากจะบ้าตาย!!!! นี่มันไม่คิดกลับบ้านกลับช่องมันหรือไงวะเนี่ย ถึงได้เอาตัวมาซุกอยู่กับผม

ไม่ได้ๆ!! อย่าหลงกลเก่าๆ อย่ากลับไปกินหญ้าอีก!!!

“ปล่อยกูได้แล้วไอ้ปา กูไม่ใช่หมอนข้างให้มึงมากอดเวลานอน ปล่อย!” แต่ไม่ว่าจะแงะ จะแกะ จะดิ้น จะถีบ จะทำอะไรกับร่างกายของมัน แต่มันก็ไม่ปล่อยมันเอาแต่กอดรัดตัวผมเอาไว้จนอึดอัด

“นก...ยังโกรธกูอีกหรือ”

ผมอยากจะหัวเราะให้ฟันหัก นี่มันคิดว่าผมจะหายโกรธมัน กะอีแค่นอนหลับตื่นมาในอีกวันงั้นหรือ มันดูง่ายเกินไปหรือเปล่า นี่มันใช้สมองคิดหรือว่าใช้...คิดกันแน่ ผมอยากหยุดทุกๆ อย่าง อยากจะให้มันเข้าใจผมบ้าง ผมไม่อยากเห็นหน้ามันแต่มันก็ยังเอาหน้าของมันมาให้ผมเห็น ผมไม่อยากคุยกับมัน มันก็ยังดึงดันจะคุยกับผมให้ได้ สุดท้ายเราก็ไม่ได้คุยกัน เพราะเหตุผลของผมกับมันต่างกันเสียจนไม่สามารถจะเข้าใจกันได้ มันถึงได้กอดรัดตัวผมเอาไว้ ไม่ยอมให้ผมหนีมันไปไหน

ไอ้ปาใช้คำว่ารักมาเป็นเหตุผลทุกๆ อย่าง ในขณะที่ผมใช้คำว่าหลอกลวงที่มันให้ในการหาเหตุผล แต่ผมก็ได้เพียงแค่ลมปากกลับมา ไม่ใช่คำตอบที่ผมต้องการสักนิด คำว่ารักของมันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย กลับยิ่งทำให้ผมเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก ยิ่งถูกมันกอดผมก็ยิ่งปวดร้าวไปทั้งหัวใจ น้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นอยู่ที่ดวงตาจนผมต้องพยายามห้ามไม่ให้มันไหลออกมาอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น...ผมคงจะทรมานเพราะจะหยุดร้องไห้มันยากมากเหลือเกิน

“กูไม่โกรธแล้วล่ะ”

“จริงหรือ!” ไอ้ปารีบเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนผมต้องยิ้มเยาะออกมา

“ใช่! ถ้าต่อไปนี้...มึงกับกู ต่างคนต่างอยู่” ผมถูกไอ้ปากระชากให้หันหน้าไปสบตากับมันอย่างแรงจนผมต้องนิ่วหน้า ไอ้บ้านี่มันแรงควายไม่ต่างกับไอ้พี่หนูมันเลยสักนิด เผลอๆ แรงกว่าด้วยซ้ำ มิน่าล่ะ...หน้าพี่หนูวันนั้นยับเยินเชียว

“มึงพูดอะไร? ต่างคนต่างอยู่อะไรของมึง?” น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความไม่พอใจจนผมสัมผัสได้ แต่จะให้ผมหัวหดกลัวมันก็คงไม่ใช่เรื่อง

“ก็หมายความว่า กูกับมึงเลิกเกี่ยวข้องกะ...อื้อ!!”

ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อถูกมันจู่โจมด้วยริมฝีปากร้อนผ่าว มันดูดดึงอย่างเอาแต่ใจไม่สนว่าผมจะดิ้นรนหนีมันแค่ไหน สองมือของผมพยายามผลักอกกว้างของมันออก เบี่ยงหน้าหลบเลี่ยงไม่ยอมให้ไอ้ปามันสอดลิ้นร้อนเข้ามาในปากของผม หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมาอยู่นอกอก ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ มันจะกล้าขนาดจูบผมกลางวันแสกๆ แบบนี้ล่ะ ทั้งๆ ที่ผมยังโกรธมันอยู่

หรือมันคิดว่าผมใจง่ายกัน?

“ปล่อย! ไอ้ปาอย่า!” ผมรีบร้องห้ามเพราะตัวมันเริ่มมีท่าทีว่าจะไม่หยุดง่ายๆ แค่จูบ ใบหน้าของมันซุกไซร้ลงมาที่ซอกคอของผม ใช้ปลายลิ้นเลียไปตามลำคออย่างชอบใจ

“กูจะเอามึงตอนนี้ก็ได้นะนก กูจับมึงกดลงเตียงได้ง่ายๆ เลยมึงเห็นไหม?” ผมพยักหน้ารัวๆ อย่างกลัวๆ เมื่อมันถามแบบนั้น เสียงของมันเต็มไปด้วยความไม่พอใจผมได้ยินเสียกัดฟันดังลอดออกมาจนผมตัวสั่น มันไม่เคยโกรธขนาดนี้ ปกติผมไม่เคยถูกมันโกรธเลยด้วยซ้ำ

แต่เดี๋ยวสิ! ผมหรือเปล่าที่ควรจะโกรธ!!

“ปา...กูสั่งให้มึงออกไป!” เมื่อนึกได้ว่าควรเป็นผมต่างหากที่ต้องโกรธผมจึงพยายามดันมันออกพร้อมกับออกคำสั่งด้วยเสียงที่เข้มขึ้น ผมสบตากับมันอย่างไม่เกรงกลัว ให้มันรู้กันไปว่าผมกับมันใครจะโกรธได้นานกว่ากัน
ผมจ้องตากันไม่กะพริบจนน้ำหล่อเลี้ยงในดวงตาเหือดแห้ง ต่อให้อยากกะพริบตาแค่ไหนผมก็จะแข็งใจไม่กะพริบเด็ดขาด เกมนี้ผมจะแพ้ไม่ได้ ถ้าผมแพ้ผมก็ต้องหายโกรธมันน่ะสิ แต่ไอ้ปามันกลับละสายตาจากดวงตาของผมทั้งสองข้างที่ตอนนี้แข็งค้างจนไม่สามารถจะเอาเปลือกตาลงมาได้ มันจับจ้องที่ริมฝีปากของผมจนผมต้องเม้มปากแน่น หนีสายตาวาววับของมัน ไอ้บ้านี่มันบ้า มันจ้องเหมือนกับว่าจะกินปากผมเข้าไป ถ้าทำได้

“ก็ได้...” มันยอมแพ้แล้วปล่อยมือจากผม ผมขยับตัวหนีไปอีกด้านเว้นระยะห่างจากมันพอสมควร เผื่อเอาไว้ก่อน เกิดมันบ้าจับผมกดขึ้นมาจะได้หนีทัน

นี่ผมไม่ได้กลัวมันนะ จริงจริ๊ง!

“กลับบ้านมึงไปได้แล้ว! ที่นี่มันบ้านกู”

“จะกลับได้ไง ก็อยากอยู่กับเมีย”

อะ อะ ไอ้บ้านี่มัน! พูดอะไรของมันนนนนนนนนน

“กูไม่ใช่เมียมึงโว้ย!” ผมโวยวายลั่นเมื่อได้ยินคำพูดที่พาให้ขัดหู ขัดหูไม่พอ ขัดตีนด้วย ขัดอีกหน่อยคงได้ถีบหน้ามันแน่ๆ
ผมไม่รู้ว่าหน้าผมตอนนี้เป็นยังไงแต่มันก็คงไม่น่าดูนักหรือก ไม่อย่างนั้นไอ้ปามันจะยิ้มแบบนั้นหรือ ผมหลบหน้าหันเหความสนใจไปทางอื่นโดยการเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการล้างหน้าแปรงฟันแทน แอบหวังเอาไว้ว่าเมื่อกลับออกมามันจะไม่อยู่ในห้องอีกแล้ว ผมยืนมองตัวเองในกระจกแล้วก็ต้องตกใจ ไอ้คนที่ยืนหน้าแดงก่ำปากสั่นผมยุ่งๆ ที่ดูน่าฟัดนี่มันใครวะ? ใช่ผมแน่หรือ จริงด้วยสินะ! เพราะผมไม่ได้ใส่แว่นนี้เอง มิน่าล่ะ ไอ้ปามันถึงยิ้มแบบนั้นใส่ผม ยิ้มแบบที่...ทำให้ผมใจสั่นได้โดยไม่ต้องทำอะไร

ผมกัดปากกอดตัวเองแน่น รสสัมผัสจากปากร้อนๆ นั้นยังติดอยู่ที่ริมฝีปากของผม ความหวานที่ถูกป้อนให้มันยังคละคลุ้งไปทั้งปากราวกับจะบอกว่าไม่อยากจะปล่อยความหวานในครั้งนี้ไป หัวใจของผมเต้นแรงจนต้องยกมือขึ้นมากดมันเอาไว้ พยายามคิดเรื่องอื่นให้สมองทำงานหนักจะได้ไม่หลงเหลือความทรงจำที่ทำให้ร่างกายของผมสั่นสะท้านด้วยความปรารถนาบางอย่างซึ่งผม...ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นมา

ไม่ได้! จะเป็นแบบนี้ไม่ได้!

ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปจากหัวให้หมด เอาน้ำลูบหน้าให้หายบ้า มีอย่างที่ไหนผมถึงไปคิดเรื่องแบบนั้นกับไอ้ปามัน ในตอนนี้ผมต้องใช้น้ำแค่ไหนกันนะถึงจะทำให้ผมเลิกคิดเรื่องแบบนั้นได้ ผมโกรธมัน ผมต้องท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ จะใจอ่อนกับความรู้สึกวูบไหวที่ผ่านเข้ามาไม่ได้

ไม่ได้เด็ดขาด! มันโกหก มันหลอกลวง มันตัดอนาคตของผม มันทำให้ผมพลาดโอกาสที่จะได้เลื่อนขั้น

พอคิดแบบนั้นมือของผมก็กำเข้าหากันจนแน่น ผมมองสบตาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกด้วยความโกรธแค้น ผมเห็นความเกลียดชังที่ผมปล่อยออกมาจากแววตา จากใบหน้าที่ดูยั่วให้ลากขึ้นเตียงตอนนี้เหลือเพียงแค่ผู้ชายที่เต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธ มันจะรู้ไหมว่าชีวิตของผมหวังเอาไว้กับตำแหน่งนั้นแค่ไหน มันจะรู้ไหมว่าสิ่งที่มันบอกว่าทำเพราะรัก มันคือการทำร้ายผมอย่างที่สุด ความเจ็บปวดจากการถูกโกหกยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่ถูกคนที่ไว้ใจ...หักหลัง

ผมเปิดประตูห้องน้ำออกมาหลังจากที่จัดการกับตัวเองเรียบร้อย กวาดสายตามองไปหาร่างอันคุ้นเคยอย่างลืมตัว จากมุมมุมหนึ่งก็กลายเป็นมองจนทั่วทั้งห้อง ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะมองหามันทำไม ทำไมจะต้องบอกตัวเองให้เดินไปจนทั่วทั้งห้องแบบนี้ ผมไม่ควรจะสนใจด้วยซ้ำว่ามันจะอยู่ตรงส่วนไหนของบ้าน ต่อให้มันยังอยู่แล้วยังไงล่ะ ก็แค่ไม่ต้องไปสนใจเสียก็จบ แต่ก็ไร้ซึ่งเงาของไอ้ปา ไม่ว่าจะมุมไหนของห้อง...ก็ไม่มีมันอยู่

มันไปแล้วสินะ...

แล้วทำไม ทำไมผมจะต้องปวดที่ใจแบบนี้ด้วยล่ะ? ผมควรจะดีใจไม่ใช่หรือ

สายตาของผมเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมขยับเดินเข้าไปใกล้ๆ อย่างสนใจว่ามันคืออะไรกันแน่ ในใจผมหวัง...ให้เป็นสิ่งที่มันทิ้งเอาไว้บอกอะไรสักอย่างกับผม แล้วมันก็เป็นไปดังคาด มันคือลายมือของไอ้ปาจริงๆ และผมก็เผลอตัวดีใจกับมันไปแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ก่อนจะถูกผลักให้ตกเหวตายกับเนื้อหาในกระดาษนั้น

ขอโทษนะนก พอดีน้องที่รู้จักกันรถเสีย กูเลยต้องไปรับเขาก่อน มึงหาอะไรกินด้วยนะ กูเป็นห่วง

เมื่อคาดหวัง....ก็ย่อมต้องมีผิดหวัง มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาคือน้ำตาที่กำลังไหลลงมาอย่างช้าๆ โดยที่ผมไม่มีแม้แต่แรงจะเช็ดมันออกด้วยซ้ำ น้องที่รู้จักงั้นหรือ คงจะเป็นน้องเบญคนสวยของมันล่ะสิ เกลียดตัวเองเหลือเกินที่เผลอคิดว่าตัวเองสำคัญสำหรับมัน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วผมก็เป็นแค่คนธรรมดาที่อยู่ข้างๆ มันมานานเท่านั้น วันหนึ่ง...เราก็แค่ห่างกันไป ต่างก็เดินตามทางของตัวเอง ซึ่งมันก็แค่...ไม่มีผมในเส้นทางนั้น

ชีวิตของผมอาจจะพูดได้เต็มปากว่าไม่เคยมีใครดีกับผมเท่าไอ้ปาอีกแล้ว และไม่มีใครทำร้ายความไว้ใจของผมได้เท่ากับมันเช่นกัน ผมเจ็บมากครับเมื่อได้รู้ว่ามันคือคนที่ลงมือทำร้ายผมอย่างไม่ปรานี เจ็บกว่าตอนที่ผมถูกแย่งแฟนไปเสียอีก ผมหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมต้องโกรธมันขนาดนั้น ทำไมต้องผิดหวังกับตัวมันมากขนาดนี้ แต่ที่ผมรู้คือผมไม่สามารถมองหน้ามันได้อย่างเต็มตาเหมือนเมื่อก่อน ผมทำไม่ได้จริงๆ





“แล้วไง? มึงก็เลยนั่งหงอยเป็นหมาโดนทิ้งแบบนี้หรือ?” ไอ้พี่หนูมันถามทั้งๆ ที่ตายังไม่ละไปจากทีวีบ้านผมด้วยซ้ำ มือมันก็จกขนมซองสีเหลืองที่เป็นมันฝรั่งทอดด้วยความอร่อย ทำไมผมมองไม่เห็นความสนใจในเรื่องของผมจากหน้าพี่มันเลยล่ะครับ

“ผมเปล่าเว้ย! ใครจะนั่งหงอยวะ อยากไปก็ไปดิ ดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องกลับมา ฮึ!” ผมเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี ไม่เห็นสนใจสักนิดว่าจะอยู่หรือไป เฮอะ!

“ถ้ามึงไม่สนใจ มันจริงๆ ... มึงจะมานั่งทำหน้าเศร้าอย่างนี้หรือ คิดถึงมันก็บอกมาเถอะ “ผมกัดปากตัวเองแน่นไม่อยากยอมรับสักนิดว่าคิดถึงมัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อมันหายไปเป็นใจผมเองที่หายไปพร้อมกับมัน ทั้งทั้งที่ความจริงแล้วผมควรจะโกรธมันมากๆ ผมควรจะไม่สนใจมันไม่ว่ามันจะมาหรือมันจะไปแต่สุดท้ายผมกลับรู้สึกเหงาเมื่อไม่มีมันอยู่

ผมก้มหน้ามองมือตัวเองที่อยู่บนตักบอกมันนิ่งๆ ด้วยสายตาที่ปวดร้าว มันไม่รู้หรือกว่าผมรู้สึกยังไงมันไม่เคยรู้ และผมคิดว่ามันไม่เคยคิดจะสนใจ สำหรับผมมันคือเพื่อนที่ดีที่สุดเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ห่วงใยผม คอยอยู่ข้างๆ ผมเวลาผมมีปัญหา แต่มันก็เป็นคนที่ทำให้ผมเจ็บมันเลือกที่จะโกหกเลือกที่จะไม่บอก เหมือนผมไม่ใช่เพื่อนผมมันและมันไม่คิดจะแคร์สักนิด

“ผมแค่...” อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

"มึงแค่... แค่ไม่แน่ใจหรือ หรือมึงแค่ไม่อยากยอมรับว่าเหงาเมื่อไม่มีมัน" การได้ยินคำพูดคำนั้นที่ออกมาจากปากของพี่หนู มันก็ทำให้ผมอึ้งจนพูดไม่ออก ไม่อยากจะยอมรับ แต่มันก็คงจะจริง เมื่อผมตอนนี้รู้สึกราวกับขาดอะไรไปสักอย่าง เพียงแต่ความรู้สึกที่ถูกหักหลัง...มันมีมากกว่า

“พี่แม่งรู้ดีวะ...” พี่หนูมันแสยะยิ้มให้ผมราวกับว่าตัวเองคือคนที่รู้ดีเหลือเกิน มันน่าหมั่นไส้จนผมต้องเบ้ปากใส่พี่มันอย่างอดไม่ได้

“กราบกูสิ”

“พวงมาลัยด้วยไหมพี่ หรือน้ำแดงด้วยดี?”

“ไอ้นก! กูไม่ใช่ศาลพระภูมินะโว้ย!” ผมเอียงหัวหลบหมอนและข้าวของต่างๆ ที่บินตรงมายังหัวผมอย่างเฉียดฉิว ความโมโหแรงนี้พี่มันควรตัดทิ้งหรือเปล่า จะมาห้องคนอื่นแล้วใช้ข้าวของของคนอื่นปาหัวข้าวของห้องไม่ได้จริงไหม ผมก้มหลบเป็นพัลวันกับของที่ลอยละล่องมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมล่ะกลัวเหลือเกินว่ามันจะปลิวมาโดนหัวเมื่อไหร่

“ก็พี่บอกให้ผมกราบพี่อ่ะ ผมก็แค่ถามหรือเปล่าวะ ไม่เอาหัวหมูมาถวายให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ในประโยคหลังไม่ให้พี่มันได้ยิน แต่รู้สึกว่าพี่หนูมันจะหูดีเกินไป หน้าตาที่บอบช้ำจากการถูกไอ้ปาซัดหน้ามาถึงเริ่มบึ้งตึงใส่ผม

“มึงพูดอะไรให้มันดังๆ ดิ! จะพึมพำเบาๆ เห่าให้เห็บบนหัวมึงฟังหรือ?” กัด! เก่งแต่กัดกูนี่ล่ะ แม่ง...ผมรู้สึกเหมือนตัวเองคิดผิดที่เชิญมันเข้ามาในห้อง คนบ้าอะไรวะด่าผมอยู่ได้ตลอดเวลา อย่าให้มันหาช่องได้นะ ผมนี่อยากจะเกลียดขี้หน้าพี่มันอีกรอบแล้วครับ

“พี่ดิมีเห็บ! ผมรักสะอาดเถอะ!” เฮอะ! มาหาว่าผมมีเห็บ! ผมไม่ใช่หมานะ!

“เดี๋ยวมึงจะโดนไอ้นก กวนตีน!” พี่หนูมันชี้หน้าใส่ผมด้วยสายตาคาดโทษ

กลัวตายล่ะ แบร่!

จริงๆ ผมก็อดคิดตามที่พี่มันบอกไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วผมเหงาหรือเปล่าเวลาที่ไม่มีมันอยู่ ลองนึกย้อนๆ ไปก่อนหน้านี้ ผมมีไอ้ปาอยู่ด้วยตลอดเวลา วันหยุดมันก็ตัวติดกับผม กินข้าวก็กินกับผม ไปไหนก็ไปกับผม เรียกได้ว่าเจอหน้ากันมากกว่าหน้าพ่อแม่มันอีกมั้ง

แต่จะว่ายังไงล่ะ เพราะเราสนิทกันมากนี่ล่ะ เพราะชีวิตของผมมีมันอยู่แค่คนเดียว ผมถึงได้เป็นบ้าเป็นหลัง ผิดหวังกับมันอย่ารุนแรงที่มันโกหกผม ทำเหมือนกับว่าเราสองคนไม่ใช่เพื่อนกัน ทั้งๆ ที่ผมไว้ใจมันมาก ให้มันทั้งใจ แต่สิ่งที่ผมได้ตอบแทนมา...กลับเป็นการหลอกลวงที่ผมต้องมารับรู้และถูกหัวเราะเยาะจากคนอื่นที่ผมไม่รู้จัก ทุกอย่างมันเลยทำให้ผมรู้สึกแย่ รู้สึกเจ็บปวดจนเรียกได้ว่าน้อยใจ

ขอโทษนะนก พอดีน้องที่รู้จักกันรถเสีย กูเลยต้องไปรับเขาก่อน มึงหาอะไรกินด้วยนะ กูเป็นห่วง
อึก! ทำไมเจ็บที่ใจแบบนี้นะ แปลกชะมัดเลย

อาการปวดๆ หน่วงๆ บริเวณหน้าอกข้างซ้ายเมื่อผมคิดถึงข้อความในโน้ตที่มันทิ้งเอาไว้ให้ผม ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมาลูบมันเบาๆ อย่างเหม่อลอย ในสมองกำลังทำหน้าที่คิดวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ แต่ผมก็ไม่สามารถหาเหตุผลจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาได้

มันเกิดบ้าอะไรกับหัวใจของผมกันแน่! ผมไม่เห็นเคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยเลยสักครั้ง แต่แค่ผมคิดถึงเนื้อความในโน้ตที่ไอ้ปาบอกว่าจะไปหาน้องที่รู้จัก

น้องที่รู้จักหรือ เฮอะ! น้องเบญสินะ!

“เฮ้ยๆ ไอ้นก มึงกัดปากตัวเองทำไมวะนั่น เดี๋ยวก็เลือดออกหรือก!” แต่มันไม่ทันแล้ว ตอนที่พี่มันทักให้ผมได้สติในปากของผมก็ได้กลิ่นคาวเลือดพอดี

“นั่นไง! กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่ากัด ดูดิ! พูดไม่ทันขาดคำเลือดออกแล้วนั่น” ผ้าเช็ดหน้าลายพื้นสีทึบถูกยื่นออกมาให้ผม ผมใช้มันซับเลือดที่ปากตัวเอง แต่แค่แตะๆ ก็ต้องร้องซี๊ดแล้ว

“ซี๊ด…เจ็บวะพี่”

“ไอ้ตอนมึงกัด กูไม่เห็นว่ามึงจะร้องเจ็บ ทีตอนนี้แค่แตะๆ มึงกลับร้องเสียงดัง”
เอ้า! ก็ผมพึ่งจะเจ็บนี่ผมผิดเรอะ???

“คือกูไม่ควรร้องใช่ไหมครับพี่?” พี่หนูมันทำหน้าตาเหม็นเบื่อแล้วตอบผมกลับมาเสียงหนักแน่นว่า

“เออ!!”

หยาบคาย นี่น้องนกนะ น้องนกที่กำลังเจ็บปากเพราะกัดปากตัวเองไง ทำไมไม่อ่อนโยนวะ
ผมเบ้ปากจะร้องไห้ แต่ถูกตบหัวด้วยมือใหญ่ของพี่หนูอย่าแรงจนหน้าแทบจะทิ่มพื้นใส่แรงอีกนิดนี่กูคอหักได้เลยนะ
แล้วคิดว่าพี่มันสนไหมครับ?

ไม่!!! พี่มันไม่สนใจเลยว่าผมจะคอหักตายเพราะมันหรือเปล่า เห็นได้จากอาการลอยหน้าลอยตาใส่ตอนนี้ และการพาดขากระดิกเท้าที่ชวนให้อยากเอาตีนไปถีบเหลือเกิน

หรือว่าผมควรไล่พี่มันออกจากห้องดีวะ?


TBC


ไล่มันออกไปเลยค่ะลูก ไม่ต้องให้มันมานอนกินขนมในห้องหนูเลยค่ะ ไล่พี่มันไปเลย ชิ้วๆ ยังคงความหม่นๆทางอารมณ์และคงรอยยิ้มไว้บ้าง เนื้อเรื่องของเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่เป็นสาระเลยค่ะ ขายความไร้สาระล้วนๆ สนุกไปกับมันแล้วพบกันใหม่ อาทิตย์หน้านะคะ

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่7. นกโดนหักหลัง 100% up. 16/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-11-2019 09:43:03
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่7. นกโดนหักหลัง 100% up. 16/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 19-11-2019 17:05:40
นกชอบปาก็บอกไม่ต้องพื้นน  แม่รู้แม่เรียนมา
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่8. นกกับเรื่องวุ่นฯ 50% up. 22/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 22-11-2019 17:54:56
[8]

ตอนที่8.
นกกับเรื่องวุ่นวาย

วันนี้ผมถูกไอ้พี่หนูมันลากมาบริษัทอย่างไม่เต็มใจ ผมไม่เต็มใจ!!! เข้าใจบ้างไหม!!
แต่เหตุผลที่ถูกปามาใส่หน้าคือ!

“กูใจดีให้มึงหยุดมาตั้งหลายวันแล้ว ถึงเวลาที่มึงควรกลับมาทำงานสักที”
แต่ความจริงคือประโยคนี้ต่างหาก!

“ไม่ทำงานแล้วมึงจะเอาเงินที่ไหนมาแดก!!!”

ใช่ไง! ไม่มีเงินจะแดกแล้ว ไม่ใช่ผมกินเยอะหรือข้าวของราคาแพงอะไรนะ ของพวกนั้นผมสามารถไปหาของsale มาประทังชีวิตได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ที่มันหมดเร็วก็เพราะมีเหลือบไรตัวเห็บหมัด มาคอยกัดแทะเงินในกระเป๋าให้หมดไปไง!! ไม่ต้องให้เดาก็คงจะรู้ใช่ไหมล่ะครับว่าใคร?

เออ!! ไอ้พี่หนูนั่นล่ะ!! มันนั่นล่ะตัวดูดเงินในกระเป๋าผม!

เวลาจะกินขนมก็มาเอาที่ผม! แทนที่มาใช้น้ำใช้ไฟห้องผมแล้วยังจะมาใช้เงินอันน้อยนิดที่มีติดอยู่ไม่ถึงพันของผมไปใช้จนหมด ใครจะไปคิดว่าพี่หนูมันแม่งโคตรเด็ก แดกแต่ขนมนมเนยแต่พี่มันก็ไม่อ้วน เห็นจะมีแต่กล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นลอนๆ น่าอิจฉา ตกลงแดกขนมแล้วหุ่นดีใช่ไหมครับ พวกไขมันทั้งหลายสามารถกลายเป็นกล้ามเนื้อได้ใช่ไหม ว่าแต่ทำไมผมถึงมีแต่พุงล่ะ??? ทำไมโลกไม่ยุติธรรมกับโผมมมมมมมมม ทำไมไขมันต้องรักผมขนาดนี้!!!!!! โหดร้ายที่สุดดดดดด
พี่แม่งโคตรเหี้ยเลยโว้ยยยยยยยยยย!!!!!!!

“หน้าหงิกหน้างอ นี่กูลากมึมาหาเงินไหมไอ้นก ทำเหมือนกูพามึงมาทำเรื่องเหี้ยๆ ไปได้!” ผมคงมีเวลาพักอีกยาวๆ ถ้าพี่มึงไม่แดกตังค์กูหมด

“พี่แม่ง! พี่ก็รู้ว่ากูไม่อยากมาที่นี่อะ!” แทนที่พี่มันจะทำหน้าตาสำนึกผิดให้ผมเห็นใจหรือยกโทษให้ มีหรือครับ ไม่มีหรอก!! พี่มันก็ยังยกกาแฟร้านดังขึ้นแดกได้หน้าตาเฉยเหมือนเดิมนั่นล่ะ มันสนใจคนอื่นที่ไหนกัน

ผมบอกพี่หนูมันไว้ว่าจะลาออก แต่กลับกลายเป็นว่าผมลาป่วย ผมป่วยหรือ? ไม่เลย ผมสบายดี แต่ผมไม่อยากมาเห็นไอ้เพื่อนทรยศ ไอ้คนที่มันทำให้ผมบ้าบอคอแตกกับความรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจอยู่แบบนี้ต่างหาก ไม่อยากเจอ ไม่อยากพบ ไม่อยากจะรู้จักมันแล้วด้วย ถ้าไม่ติดว่าผมไม่มีเงินแล้ว ผมจะย้ายหอ ย้ายหนีแม่งไปให้ไกลจนมันหาผมไม่เจออีกเลยยิ่งดี อยากเปลี่ยนงานเปลี่ยนทุกอย่าง เปลี่ยนให้หมดทุกอย่างจนใครๆ ก็จำผมไม่ได้อีก เผื่อว่าผมจะเลิกเป็นไอ้โง่ที่โดนเพื่อนรักของตัวเองหลอกมาสักที

ผมพร่ำเพ้ออยู่ในใจอย่างนั้น จดจ่ออยู่กับที่นั่งกิตติมศักดิ์ข้างๆ ไอ้พี่หนูด้วยเหตุผลข้อเดียวคือ พี่มันกลัวว่าผมจะหนีกลับบ้านไป มาถึงขนาดนี้แล้วไหมวะ คนเห็นเยอะแยะว่าไม่เป็นเหี้ยอะไร ให้หนีกลับไปก็คงหน้าด้าน แล้วผมก็ไม่ใช่คนหน้าด้านแบบนั้นเสียด้วย ซึ่งมันหมายความว่าผมต้องในจนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน แล้วลาขาดจากไอ้พี่บ้าข้างๆ ตัวเอง

“อ้าว...นก หายดีแล้วหรือ?” ผมหันไปมองหน้าพี่ฝนที่เดินเข้ามาทักทายผมด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้มเหมือนทุกที
ยิ้มที่มีเรื่องจะใช้งานกูนั่นล่ะ

“ครับพี่ ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะครับ” ผมตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อนๆ ที่อยากให้พี่เขาเข้าใจว่า กูไม่อยากคุย ไม่ว่างทำงานให้เมิงงงงงงง แต่พี่ฝนหรือจะเข้าใจ เอ๊ะ หรือเข้าใจแต่ทำแกล้งไม่เข้าใจวะ อันนี้ผมไม่รู้นะครับ

“ว่าสิ ไม่เห็นหน้าเรามาสองสามวันแล้ว พี่ก็ว่าจะไปเยี่ยมอยู่” ว่าจะไปนี่คือไม่ไปหรอกสินะครับ เพราะตั้งแต่ผมหยุดงานมา ไม่มีหรอกสักคนจะโผล่หน้ามาเยี่ยมผมอ่ะ

อ๋อ...ยกเว้ยเห็บหมัดอย่างพี่หนูมันตัวหนึ่งนะครับ สิงห้องผมได้นี่มันคงทำไปแล้วล่ะ

“ครับพี่”

“ยิ่งตอนที่นกไม่อยู่นะ โอ๊ยมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นด้วยล่ะ” ผมขมวดคิ้ว มองพี่ฝนด้วยความสงสัย

“เรื่องอะไรหรือครับ?” ทำไมไม่เห็นไอ้พี่หนูมันบอกเรื่องใหญ่กับผมเลย

“จะอะไรล่ะ ก็ปาน่ะสิ เอ๊ย ไม่ได้ ต้องเรียกคุณปาสินะ คุณปาน่ะ กลายเป็นลูกชายคนเล็กของท่านประธานบริษัทของเรา แถมตอนนี้ก็ยังมานั่งเก้าอี้ประธานอีกด้วยนะรู้ไหม! พวกพี่นี่ก็พอรู้อยู่บ้างหนอกว่าเจ้านายเรามีลูกชายสองคน แต่ใครจะไปคิดว่าลูกเจ้านายจะมาเล่นเป็นพนักงานแบบนี้ นกว่าจริงไหมล่ะ?” ผมเม้มริมฝีปากแน่น อดไม่ได้ที่จะสั่นไหวไปตามคำบอกเล่าของพี่ฝน เพราะผมเองก็รู้ตัวตนของมันมาก่อนแล้ว เพราะแบบนั้นมันถึงได้ป่าวประกาศและดำรงอยู่ในจุดที่มันควรจะอยู่สินะ
แล้วผมจะเจ็บทำไมกันนะ ทำไมต้องปวดใจขนาดนี้ด้วย?

“ครับพี่” ผมตอบพี่ฝนที่เล่าให้ผมฝังเสียงเบาหวิวจนแทบจะไม่ได้ยิน

“นี่สาวๆ ตาพากันมองตาละห้อย แต่งตัวยั่วยวนคุณปาเป็นว่าเล่นเชียวล่ะ คงนึกจะปีนขึ้นไปเป็นลูกสะใภ้คนเล็กกันนะสิ นกก็เถอะ สนิทกับปาไม่ใช่หรือ รู้มากก่อนก็ไม่บอกกันบ้างเลยนะ” ผมได้แต่หัวเราะเหอะๆ

“อะ ครับ” ตอบได้แค่นี้แหละ ตอบอะไรไม่ได้อีก ไม่อยากรู้ด้วยว่าเข้ามาทักผมทำไม เดี๋ยวงานงอก แบบงอกจริงๆ นะครับ งอกมาให้กูทำนี่ล่ะ

“ว่าแต่ตอนนี้นกคงกำลังว่างใช่ไหม พอดีพี่...” นั่นไง งานงอกจริงๆ เร็วกว่าเพาะเห็ดก็งานไอ้นกนี่ล่ะ บ้าบอ ทำไมไม่ทำกันเองวะ เวลาขี้ใส่กางเกงนี่ผมต้องไปซักให้ไหม?

“เอ้า นั่งนิ่งทำเหี้ยอะไร ทำงานสิวะ เห็นไหมว่ากูกองไว้ตรงหน้ามึงจนจะทับมึงตายได้แล้วนะนั่น”
เอ่อ...ผมรู้สึกว่าพี่ฝนกำลังหน้าแตกยับเยินจน ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเดินออกไป

แน่ล่ะครับ เป็นผมก็เหวอ เห็นๆ อยู่ว่าผมว่าง แต่ไอ้พี่หนูมันดันบอกว่างานผม (?) งานมันล้วนๆ ที่กองอยู่ตรงหน้าคืองานมันนน ไม่ใช่งานผม!!! พี่ฝนส่งยิ้มแบบใกล้จะร้องไห้เต็มทีให้ผม คงอยากจะให้ผมใจอ่อนหรือไม่ก็อายจนอยากจะร้องไห้

“เอ่อ พี่ไปก่อนนะ พอดีมีงานค้างอยู่”

“อ่า...ครับพี่ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ” มารยาทและความตอแหลล้วนๆ ครับในคำพูดนั้น ความจริงใจมีที่ไหน เพราะถ้าผมพูดได้ ผมคงบอกว่า...

รู้ว่ามีงานค้างเยอะก็ไปทำงานตั้งแต่แรกสิโว้ย!!!! จะเดินมาหว่านล้อมกูทำไม!!!!
แต่เมื่อมีความเกรงใจและความน่ารักของไอ้นกบวกเข้ามาด้วย จึงกลายเป็นคำขอบคุณไปโดยปริยาย นะ ตอแหลกว่าผมคงไม่มีอีกแล้วล่ะครับ ในบริษัทนี้

“นก!!”

ยกเว้นมันนะ...

“อืม...” ผมก้มหน้ามองเอกสารของไอ้พี่หนูมันก่อนจะจัดเรียงหน้าให้เรียบร้อยโดยไม่สนใจจะเงยหน้าขึ้นมองมันด้วยซ้ำ

“มึงมาทำงานด้วยหรือ ทำไมไม่บอกวะ กูจะได้ไปรับ” ไปรับผม? นี่มันคิดว่าเรากำลังเล่นเป็นเพื่อนที่แสนดีกันอีกรอบหรือ? ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น บอกได้แค่ว่าผมไม่สามารถเงยหน้ามองมันได้โดยที่ไม่มีแววตาตัดพ้อใส่มัน หรือความโกรธเกรี้ยวที่จะถูกส่งผ่านออกไปทางแววตาได้ ผมไม่สามารถห้ามตัวเองได้หรอก

ผมไม่ใช่คนดี ไม่ใช่พ่อพระที่จะอภัยให้ได้ทุกอย่าง เพราะผมโกรธมัน และเกือบๆ จะเกลียดมันไปแล้วด้วย

เพียงแค่มันไม่เคยรู้.......

มันไม่เคยสนใจ.......

ว่าผมเจ็บปวดกับการกระทำของมันมากแค่ไหน

“ไม่เป็นไร...นกมันมากับกูเอง” หัวของผมถูกมือหนาของพี่หนูมันจับโยกไปมาราวกับว่าเอ็นดูผมนักหนา ซึ่งมันคือความตอแหลล้วนๆ ตอแหลแบบเกิน80% ตอแหล๊ ตอแหล

แต่มันก็ดีกว่าการที่ผมต้องรับมือกับไอ้ปาคนเดียว ดีที่ยังมีพี่มันอยู่ข้างๆ เป็นทัพหน้าตีบุกด่านและคอยต้านกำลังศัตรู เดี๋ยวเบรกก่อน ไม่ใช่แล้วล่ะ กลับมาที่เรื่องไอ้ปากันเถอะ

“ผมคุยกับไอ้นกครับพี่…ไม่ได้คุยกับพี่” พี่นกแม่งขยุ้มหนังหัวผมอย่างแรงโดยไม่ให้ไอ้ปารู้ คือผมเข้าใจนะว่าพี่มันโกรธที่โดนด่าว่าเสือกซึ่งๆ หน้าแบบนั้น

แต่นี่หนังหัวกูไงพี่มึง!! ไอ้ที่พี่มึงกำลังดึงคือผมกูโว้ย!

ผมไม่รู้หรอกว่าพี่หนูมันเจ็บแค้นไอ้ปามากแค่ไหน แต่ตอนนี้ที่ผมรู้คือหัวผมถูกจิกระบายอารมณ์จนแสบไหมหมดแล้ว ไม่รู้ว่าผมหลุดอแกไปกี่ร้อยเส้น ถ้าหัวล้านขึ้นมาก็ใช่ว่าพี่หนูมันจะชดใช้ให้ผมได้ แต่พอผมลองเงยหน้าขึ้นมองพี่หนู สีหน้าเรียบเฉยที่มีรอยยิ้มอยู่มุมปาก กับแววตาที่เหมือนจะเยาะเย้ยของพี่มันทำให้ผมต้องหันไปมองคู่กรณีอย่างอดไม่ได้

ไอ้ปา…มันกำลังโกรธ ผมมองเห็นประกายไฟที่โหมขึ้นมาในดวงตาของมัน แม้ว่าใบหน้าของมันจะไม่มีอะไร แต่คนที่เป็นเพื่อน เอ่อ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า ผมที่เคยเป็นเพื่อนมันมาหลายปีมองเห็นอย่างชัดเจนเลยครับว่า มันโกรธมากถึงมากที่สุด พี่หนูอาจจะมีเส้นสาย แต่คงไม่เส้นใหญ่เท่ากับการเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทอีกแล้วล่ะ เพราะอย่างนั้น ผมจึงปล่อยให้พี่หนูมันเดือดร้อนไม่ได้
ขนาดผมยังโดนถอนชื่อออกจากการเป็นหัวหน้าได้ การไล่พี่หนูออกคงไม่ใช่เรื่องยากหรอก

“มึงมีอะไรหรือเปล่า?” ไม่อยากถาม อย่าว่าแต่ถามเลยแค่จะพูดด้วยผมยังไม่อยากจะพูด แต่เพื่อจบปัญหาที่จะตามมา ผมควรพูดกับมันเสียตอนนี้

“กูแค่เป็นห่วงมึง อยากคุยกับมึงก็เท่านั้น”

“แต่มันไม่ได้อยากคุยกับมึงไง” เอ่อ…ผมไม่ได้พูดนะ ไอ้พี่หนูมันพูดขึ้นมาก่อนที่ผมจะได้อ้าปากด้วยซ้ำ คราวนี้ไอ้ปาเริ่มโกรธจัด ผมรู้ได้เลยจากบรรยากาศรอบๆ ตัวมัน พี่หนูแม่งงง มึงรู้ไหมครับพี่ ว่ากูพยายามช่วยมึงอยู่!!!

“เสือ…”

“อยากคุยใช่ไหม งั้นไปกัน” ผมรีบพูดขัดมันขึ้นมาก่อนที่มันจะพูดจบ กลัวมวยกลางออฟฟิศ และมันคงไม่ดีหรอกครับถ้าจะต้องนั่งดูร่างควายสองคนต่อยกัน ผมไม่เอาอ่ะ กลัวโดนลูกหลง

“ได้!”

สุดท้ายมันก็ยอมถอยออกมาง่ายๆ บางทีมันคงอยากคุยกับผมจริงๆ แต่ผมไม่อยากคุยเลย ผมอยากห่างกับมันสักพัก อยากถอยออกไปจากการมีมันดูบ้าง แม้ว่าสองสามวันที่ผ่านมาผมจะรู้ว่าตัวเองเหงา รู้สึกว่าขาดอะไรไปสักอย่างแต่ผมก็ยังอยู่ได้ ยังสามารถยิ้มหัวเราะไปกับไอ้พี่หนูมันได้ ถึงแม้บางครั้งที่ผมจะมีอาการเหม่อลอยขึ้นมาก็เถอะ โอเค…ผมเหม่อบ่อยๆ

“พี่หนูเดี๋ยวผมมา แป๊บเดียวเท่านั้นพี่ ไม่นาน” ผมหันไปบอกและดูเหมือนพี่หนูมันจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ยังยอมตอบตกลงให้ผมไป

“ได้…แต่อย่าไปไกลนะมึง เสร็จแล้วรีบกลับมาช่วยกูทำงานด้วย เข้าใจไหม?” เหอะ! งานผมหรือก็ไม่ใช่ แต่ก็ต้องตอบตกลงทำให้พี่หนูมันอยู่ดี เอาเถอะครับ ยังไงพี่มันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ออกจะเป็นคนดีด้วยซ้ำ ผิดกับไอ้คนข้างหลังผม โกหกปลิ้นปล้อน

“ไปได้แล้ว!”

“อ๊ะ! อย่าดึงได้ไหม กูเดินเองได้!” แขนผมถูกไอ้ปากระชากลากถูให้ตามหลังมันไป ตัวก็ควายแรงยังควายอีก แขนผมแทบจะช้ำ กระดูกจะแตกเพราะแรงบีบจากมือของมัน ไอ้ปามันคงจะโมโหมากที่ผมขัดปากมันไว้ ไม่ยอมให้พ่นคำพูดเหี้ยๆ ออกมา

ร่างของผมถูกลากมาจนถึงข้างนอก ผ่านสายตาของพนักงานหลายคนที่มองพวกเราเหมือนกับว่าเห็นเรื่องประหลาด เออ…แต่มันก็ประหลาดจริงนั่นล่ะ ปกติผมเคยถูกไอ้ปาลากด้วยสีหน้าบึ้งตึงแบบนี้ที่ไหน เพราะหลายปีที่เป็นเพื่อนกันมามีแต่เดินไปด้วยกัน ไม่มีหรอกไอ้การกระชากลากถูผมที่ทำอยู่ตอนนี้ ผมพยายามบิดแขนตัวเองออกเพราะแขนผมเจ็บมาก แต่ไอ้ปาก็ไม่ยอมปล่อยจนเราออกมาพ้นตัวบริษัทผมถึงได้อิสระ

“เจ็บ…” ผมบ่นเบาๆ มือก็ลูบแขนตัวเองไปมา

“มึง…ทำไมถึงมากับมัน?” สายตาของไอ้ปามันเต็มไปด้วยความคาดคั้นที่จะเอาคำตอบจากผม
“แล้วทำไมกูจะมากับพี่หนูไม่ได้…”

ไม่อยากสบตา ผมกลัวสายตาของมัน

หัวใจก็ไม่รักดี…เอาแต่จะเต้นดัง นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วล่ะนี่ ทั้งความรู้สึกจั๊กจี้หัวใจและความรู้สึกบีบหัวใจที่เกิดขึ้นพร้อมกันเวลาที่ได้เจอหน้าของไอ้ปา

ผิดหวังหรือเปล่า?

ถ้าไม่ใช่มันคืออะไรล่ะ?

“มาทำงานพร้อมมันตอนเช้าทั้งที่บ้านมึงกับมันอยู่กันคนละทาง คงไม่ใช่ว่าเมื่อคืนนี้มึงกับมันนอนด้วยกันหรอกนะ” ผมเม้มปาก กำมือจนแน่นกับคำพูดของมัน มันบ้าไปแล้วหรือ มันคิดว่าผมเป็นอะไร ไอ้คำพูดที่ส่อให้เข้าใจไปในทางร้ายๆ แบบนั้น ใช่คำพูดของคนเป็นเพื่อนเขาพูดต่อกันหรือ?

“หมายความว่าไงวะ มึงพูดแบบนั้น…จะบอกอะไรกันแน่?” เสียงของผม…มันกำลังสั่น น้ำตา…มันกำลังตีตื้นขี้นมา ไอ้ปาเพียงแค่ยิ้มเยาะ กวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าคล้ายดูถูก มันทำให้ผมเจ็บไปทั้งใจ แรงจะยืนก็แทบจะไม่มี

“อย่าให้กูพูดดีกว่า ว่าแต่มันให้อะไรมึงวะถึงได้ยอมนอนอ้าขาให้มันเอา!”

ผลัวะ!

“ถ้าอยากจะพูดเหี้ยๆ แบบนี้! ทีหลังก็ไม่ต้องเดินเข้ามาคุยกับกู ฮึก เลิกเป็นเพื่อนกันไปเลย!!”

ผิดหวัง…ผมผิดหวังเหลือเกินกับสิ่งที่มันพูด สายตาที่เคยมีรอยยิ้มให้ผม เคยแฝงความเอ็นดูในตอนนี้มีแต่คำดูถูกที่เป็นเหมือนมีดที่กรีดลงบนหัวใจของผม

มันใจร้ายเกินไปแล้ว!!!

หมับ

“แล้วมึงจะให้กูคิดยังไงวะ! มันเอาแต่ไปอยู่กับมึง! มึงเอาก็เปิดประตูต้อนรับมันทั้งที่เมื่อก่อนเกลียดขี้หน้ามันนักหนา!”

“เจ็บ…ปล่อยนะ ฮึก ไอ้เหี้ย!”

“แล้วทีเป็นกู แค่เข้าไปมึงยังไม่ยอม แค่มองหน้ากูมึงยังไม่มอง แล้วมึงจะให้กูคิดยังไง!!”

“ปล่อยกูนะ ฮึก กูเจ็บ!” ผมพยายามเหลือเกินที่จะสะบัดแขนออกจากมือของมัน แต่มันไม่ยอมปล่อย กลับยิ่งดึงผมเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิม ผมกลัวสายตาของมัน กลัวสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของมัน

“กูมีมากกว่ามัน มีให้มึงได้เยอะกว่าที่มันให้ ทำไมล่ะนก อยากได้อะไรทำไมไม่มาเอาที่กู!! ทำไมมึงต้องไปอยู่ใกล้มันด้วยวะ! ทำไม!!”

ผลัก

“เพราะพี่มันไม่เคยโกหกกูไง!! ...”

“นก…”

“มึงมีมากกว่าพี่หนู ใช่! แต่แล้วไงวะ ของพวกนั้นเคยซื้อกูได้หรือ? ถึงกูจะจน แดกแต่ของsale แต่ไม่ได้หมายความว่ามึงจะมาพูดเหี้ยๆ อะไรใส่กูก็ได้แบบนี้! ฮึก” ผมระเบิดอารมณ์ มือปาดน้ำตาออกจากหน้าตัวเองลวกๆ โดยไม่ใส่ใจว่าตอนนี้ผมน่าสมเพชแค่ไหนในสายตาของมัน

“กูสบายใจที่อยู่กับพี่หนู เพราะอย่างน้อยๆ คนอย่างพี่หนูที่จิกหัวกูใช้งานและเอาเปรียบกู มันก็ไม่เคยโกหกกู เหมือนที่มึงทำ!!”

“นก กูไม่ได้…” ผมยกมือขึ้นห้าม ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเป็นการบอกให้มันรู้ว่า สายไปแล้วที่จะมาพูดอะไรตอนนี้

“ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ไม่ได้ตั้งใจ คำพูดพวกนี้มึงบอกกูหลายครั้งแล้วว่ะ แต่สุดท้ายมึงก็ยังเหมือนเดิม และมันเปลี่ยนสิ่งที่มึงทำไม่ได้ ถูกไหมวะ” สีหน้าของมันดูเศร้าลง ความโกรธก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะหายไปจนไม่หลงเหลืออะไรอีกนอกจาก ความรู้สึกผิดที่สะท้อนออกมาจากแววตาของมัน จนผมต้องเบือนหน้าหนี กลัวว่าหัวใจที่กำบังเจ็บปวดของผม จะยอมโอนอ่อนให้อภัยมัน

“นก ไม่เอาแบบนี้ดิวะ มึงก็รู้ว่ากู…แม่งเอ๊ย!” ผมเองสะดุ้งกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของมัน เพราะแรงสั่นสะเทือนที่กางเกงของมันดังออกมา ไอ้ปาดูจะหัวเสียมากจนต้องใช้มือเสยผมขึ้นไปก่อนจะสูดลมหายใจระงับอารมณ์ แล้วล้วงเอาโทรศัพท์เครื่องสวยออกมาดู ก่อนที่มันจะชะงักไป

เบญ

อา…นั่นสินะ จะมีใครไปอีกล่ะ ผมนี่ก็โง่ไม่เปลี่ยนแปลง

“รับเถอะวะ ยังไงกูก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว ตามสบายนะครับ ท่านประธาน”

“นก นก!!!” ผมโค้งตัวให้แล้วหันหลังเดินหนีทันทีไม่สนใจเสียงเรียกที่ดีแต่ส่งเสียงนั่น เพราะสุดท้ายมันก็เลือกจะยืนอยู่ที่เดิม กดรับสายจากคนรักมันมากกว่าการจะมาง้อเพื่อนที่ไม่รู้ว่าสำหรับมันผมใช่เพื่อนหรือเปล่าอย่างผม
เหมือนเรื่องงี่เง่าที่ไม่จบไม่สิ้น แต่จริงๆ มันคือเรื่องใหญ่มากๆ

อย่างน้อยมันก็ใหญ่มากสำหรับหัวใจของผม ที่ยังไม่ยอมหยุดส่งสัญญาณความเจ็บปวดเสียที

เขาไม่ได้เลือกมึงไง ชัดแล้วก็เลอกบ้าสักทีไอ้นก คนแบบมึง แค่มีเพื่อนยังนกเลย

ผมเดินก้มหน้าเข้ามาในบริษัทอีกครั้ง น้ำตาที่ไหลแห้งไปหมดแล้วในตอนนี้ แต่ตาผม จมูกของผมมันยังคงแดงอยู่ และเพื่อนไม่ให้ใครได้พูดจาว่าสมน้ำหน้า ผมจึงไม่อยากให้ใครได้มองเห็นใบหน้าของผมในตอนนี้ และมันคงจะดีกว่าถ้าผมจะเดินก้มหน้าเข้าไป ป่านนี้พี่หนูมันคงบ่นผมจนขนร่วงหมดตัวแล้วล่ะครับ เล่นถูกลากมาคุยนอกบริษัทแบบนี้ จริงๆ ที่จะคุยเงียบๆ มันก็มีหรอก แต่ดูท่าทางว่าลูกชายของท่านประธานใหญ่จะไม่อยากให้ใครได้รู้มั้งครับว่าทะเลาะกับผม นั่นสินะ ถ้ารู้เข้าคงเสียฟอร์มตายเลย

“มาช้านะมึง ไอ้นั่นล่ะ?” พี่หนูเปิดปากถามผมทันทีที่ผมนั่งลงข้างๆ พี่มัน แถมยังมีหน้าสอดส่องสายตามองซ้ายขวาหาร่างของไอ้ปาอีก

นี่กวนตีนผมหรือพี่มันไม่รู้จริงๆ วะ?

“ไปหาคู่หมั้นเขาสิพี่ ทำไมวะพี่ พี่คิดถึงมันหรือ?” ไอ้พี่หนูมันทำหน้าปูเลี่ยน กลอกตาใส่ผมจนนึกอยากหาอะไรมาควักลูกตาพี่มันทิ้งจริงๆ

“แล้วมึงเป็นไงวะ ตาแดงๆ นะ ร้องไห้มาหรือจ๊ะน้อง” เสียงกวนส้นตีนไม่พอ หน้าตาเสือกเรียกตีนอีก ดีจริงๆ

“พี่หนู พี่ควรหาอะไรทำที่มันห่างๆ ตีนบ้างนะพี่ เสียงหรือหน้าแม่งก็เรียกตีนดีฉิบหาย พี่โตมาได้ไงวะ”

โป๊ก!

“โอ๊ย!! พี่แม่ง! ...” ปูดไหมวะ มือหรือตีนก็ไม่รู้ หนักฉิบ!

“เดี๋ยวมึงจะได้ตีนจากกูนี่ล่ะไอ้นก ปากมึงนะ มีหมาอยู่กี่ตัว เวลาไปวัดนอกจากทำบุญมึงนี่คงชอบเก็บหมาวัดเข้าปากสินะ โผล่มากัดกูเป็นฝูงขนาดนั้น” ดู๊!! ดู ดูพี่มันด่าผมสิ!

“พี่แม่งเลววะ ด่าผมเจ็บฉิบหาย ล็อตไวเลอร์หรือพิบูลวะ?”

“พิบูล ถุ๊ย เดี๋ยวมึงจะโดน จัดเอกสารไปเลย ห่านี่” ผมหัวเราะตัวงอเมื่อเห็นว่าพี่มันยอมรับมุขเล่นไปด้วยกับผม ผมว่าพี่หนูมันคงสงสาร ไม่อยากให้ผมเศร้าเลยพาเล่นอะไรคลายเครียด แต่ผมว่ามันได้ผลนะ…เพราะตอนนี้ผมสบายใจขึ้นมากเลย
บางที…พี่หนูมันก็น่ารักดีเหมือนกันนะครับ ว่าไหม


50%

พี่หนูน่ารักแล้วๆ ไหนใครเกลียดพี่หนูของเรามาก่อนรีบมองพี่หนูใหม่เลยน้าาา ตอนนี้ความสัมพันธ์ของน้องนกกับพี่หนูกำลังไปได้สวย ใครจิ้น จิ้นได้นะคะ แต่เราไม่เปลี่ยนพนะออกน้าาา (ฮาาา) ขอให้สนุกกับครึ่งแรกนะคะทุกคนนนน

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่8. นกกับเรื่องวุ่นฯ 50% up. 22/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 22-11-2019 18:34:46
ผมว่ามีคาแรกเตอร์แบบพี่หนูอยู่ในเรื่องก็ไม่แย่นะครับ พี่หนูกับน้องนกนี่ให้อารมณ์แบบ น้องชายที่ชอบงอแงกับพี่ ส่วนคนพี่ก็เลี้ยงน้องด้วยลำแข้ง (ฮา) น้องนกนี่กับพี่หนูก็ปากกล้าใช้ได้นะครับเนี่ย เหมือนน้องชายตัวจิ๋วเถียงพี่ชายฉอดๆเลย /หัวเราะ

สงสารปา นี่ถ้านกมีเพื่อนรุ่นพี่แบบพี่หนูที่สนิทเพิ่มเข้ามาล่ะก็ หัวเน่าแน่แก แต่ก็สมควรอะครับ หลอกเค้าไม่พอ ยังสกัดความก้าวหน้าในชีวิตโดยที่ไม่บอกอะไรเลย ถ้านกจะอยากย้ายบริษัท เพราะไม่อยากอยู่กับประธานบริษัทที่นิสัยแบบนี้ ผมก็เข้าใจน้องนะครับ ความจริงก็สนับสนุนให้ย้ายนะครับ แต่ก็คิดว่าคงจะได้ที่ทำงานแย่กว่าเดิมแน่ๆ ซึ่งน้องอาจจะสบายใจกว่า แต่ถ้าให้ดีละมุนละม่อม ก็จับไปเป็นเลขาส่วนตัวเลย เพราะปาก็คงไม่ว่าอะไรที่จะให้นกรู้และจัดการชีวิตส่วนตัวอยู่แล้ว ถือว่าประณีประณอมกันทั้งสองฝ่าย (ฮา)
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่8. นกกับเรื่องวุ่นฯ 50% up. 22/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 22-11-2019 19:39:04
 :mew6:าอีปา นี้ยังไง
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่8. นกกับเรื่องวุ่นฯ 50% up. 22/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 22-11-2019 20:39:59
คหสต. ไม่ชอบแบบปาเลย ถ้ามีให้โหวตพระเอกจะเอาคนอื่นที่ไม่ใช่ฮิม แค่ความคิดก็ห่วยแตกแล้วอะ คิดมาได้
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่8. นกกับเรื่องวุ่นฯ 50% up. 22/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 22-11-2019 21:30:51
 :sad4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่8. นกกับเรื่องวุ่นฯ 50% up. 22/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 23-11-2019 02:57:06
ปาไม่ชัดเจนซักอย่าง จะเอายังไง จะทำอะไรก็ไม่สุด
จะง้อนกก็ไม่ชัดเจน ปากบอกรักแต่ก็ยังมีเบญเป็นบ่วง

ไปๆ มาๆ สิ่งที่สัมผัสได้จากปา คงแค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง
ที่มองนกเหมือนของเล่นหรือสมบัติของตัวเอง
วันหนึ่งที่ของชิ้นนั้นกำลังจะหลุดมือ ถึงได้มีอาการแบบนี้

เอาใจช่วยนกละกัน ถึงนกจะซื่อมากแต่ก็แอบหวังว่าจะหาทางออกของตัวเองได้
ไม่ต้องลาออกก็ได้แต่ต้องมูฟออนเชิ่ดใส่ไปเลย
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่8.นกกับเรื่องวุ่นฯ 100% up. 23/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 23-11-2019 14:17:52
จากที่ผ่านมานานพอสมควรที่ผมต้องนั่งจัดเอกสารให้พี่หนูมันอย่างไม่ได้พัก ใช้งานผมยิ่งกว่าเลขาหน้าห้องท่านประธานอย่างพี่ฝ้ายอีก ผมทั้งถูกใช้ชงกาแฟ จัดเอกสารยันเช็ดโต๊ะ ผมอยากจะถามเหลือเกินว่า หน้าที่กูหรือวะ? ใช่หน้าที่กูหรือไง!!!!

ผมเหลือบมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาแล้วว่าใกล้เลิกงาน ผมจะได้หลุดพ้นจากพี่หนูมันสักที ผมยิ่งกว่านับเวลารออีกครับ เหลือบมองแทบจะทุกสิบวินาทีเลยก็ว่าได้ เหลือบมองจนไอ้พี่หนูมันแทบจะไล่ให้ผมไปสิงนาฬิกาแทนนั่งทำงาน ก็ผมอยากกลับบ้านแล้วนี่! ผมผิดตรงไหนเล่าาาาา

“มึงคิดว่ามองบ่อยๆ เวลามันเดินเร็วขึ้นหรือไง?” ก็ไม่หรอก แต่ผมกลับบ้านนี่ เหนื่อยนะทำทุกอย่างให้พี่มันขนาดนี้!

“ก็ไม่แน่นะ มันอาจจะเดินเร็วขึ้นจริงๆ ก็ได้” ผมหันไปยักคิ้วใส่พี่หนูมันจนได้สันมือของพี่มันเป็นของขวัญลงมาบนหัวเลยเต็มๆ เจ็บนะนี่!

ผมบ่นไม่เป็นคำ บ่นจนกว่าจะได้เลิกงานกลับบ้านไปทิ้งตัวนอน แต่ก็ไม่กล้าบ่นให้พี่หนูมันได้ยินหรอก ผมกลัวว่าถ้าพี่มันได้ยินขึ้นมา งานผมจะเพิ่มขึ้นนะสิ รอบนี้คงให้ผมไปช่วยแม้บ้านขัดห้องน้ำแน่ๆ ผมเลยทำได้แค่บ่นไม่ให้พี่มันได้ยิน ก้มหน้าก้มตาทำงานแม้จะเหลือบมองนาฬิกาอยู่เหมือนเดิมก็ตามที เมื่อไหร่จะเลิกงานนนน ผมอยากกลับบ้านแล้ว ไม่อยากอยู่ที่นี่ ผมกลัวเจอไอ้ปา แม้ว่าตั้งแต่คุยกับผมไปมันจะไม่ได้กลับเข้ามา แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีโอกาสกลับมาไง ผมถึงอยากชิ่งหนีกลับบ้านสักที

“5 โมง! เลิกงานแล้ว!!!” ผมเหลือบมองครั้งสุดท้ายและพบว่ามันถึงเวลาเลิกงานพอดี ผมลุกขึ้นยิ้มแก้มปริคว้ากระเป๋าทำท่าจะวิ่งออกไปด้วยอารมณ์ดีใจด้วยซ้ำ

“จะไปไหนไอ้นก…” นี่ไง! ติดตรงที่มีคนเรียกไง!! คิดว่าใครล่ะครับ ก็ไอ้พี่หนูเจ้าเดิมนั่นล่ะ ผมค่อยๆ หันหน้าไปหาพี่หนูมันช้าๆ ค่อยปรับสีหน้าที่ติดรำคาญให้กลายเป็นยิ้มหวาน ก็ตอแหลไง ยอมรับตรงๆ เลยนี่ล่ะ

“กลับบ้านไงครับพี่ ก็นี่มันเลิกงานแล้ว”

“ใครให้มึงกลับ?”

“พี่! ก็ผมเลิกงานแล้วนี่ ผมกลับบ้านไม่ได้หรือ?”

“ได้ดิวะ ถ้ามึงอยากกลับมึงกลับก่อนเลย”

ผมนี่ยิ้มกว้างเลยครับเมื่อได้ยินแบบนั้น

“แต่มึงก็คงต้องอดไปนะ กูรึอุตส่าห์ว่าจะพาไปเลี้ยงข้าว แต่ไม่เป็นไร มึงไปเถอะ กลับบ้านไปได้เลย” เลี้ยงข้าว! หูของผมกางรับคำว่าเลี้ยงข้าวอย่างเต็มที่ เงินไม่กระเด็นแถมยังอิ่มท้อง มีหรือที่ผมจะปฏิเสธ ไม่แน่นอน! คนอย่างไอ้นก คำว่าเลี้ยงเรียกได้เสมอ!

“เฮ้ยพี่! ใครรีบกลับวะ ไม่มี๊ไม่มี! ผมอ่ะเป็นห่วงพี่นะ กินข้าวคนเดียวไม่ดีหรอก เชื่อดิ” ไอ้พี่หนูส่ายหน้าใส่ผมแต่ก็ไม่จิกกัดเหมือนวันอื่นๆ ผมว่าพี่หนูมันคงจะรู้ล่ะว่าผมไม่ค่อยจะมีเหลือแล้ว (สาเหตุก็มาจากพี่หนูมันนั่นล่ะ) เลยคิดจะพาผมไปเลี้ยง แต่ช่างหัวเหตุผลบ้าบออะไรของพี่มันเถอะ ขอแค่พี่มันเลี้ยงผมก็พอแล้วล่ะ

“ไปได้แล้ว ชักช้ากูไม่รอนะ”

“คร้าบบบบบ”

ผมรีบสาวเท้าวิ่งตามหลังพี่หนูไปติดๆ สีหน้าของผมหรือ ยิ่งกว่าจานดาวเทียมอีก ปากที่ฉีกยิ้มก็แทบจะติดกับใบหู อารมณ์ดีจนลืมไปหมดแล้วว่าก่อนหน้านี้ทะเลาะกับใครอะไรยังไง หรือถูกไอ้พี่หนูมันใช้งานหนักหนาสาหัสแค่ไหน ไม่รู้ครับ จำไม่ได้ ฮ่าๆ

พอผมกับพี่หนูเดินเข้ามาในลิฟต์ได้ ความน่าอึดอัดก็มาเยือนทันทีเมื่อคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมหรือพี่หนู เปิดศึกอันดุเดือดกลางลิฟต์ ชนิดที่ไฟแทบจะเผาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง พี่อาร์ตดูหัวเสีย สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจนจนผมที่เคยเห็นแค่พี่อาร์ตฉบับยิ้มๆ ยังงงไปเลย พี่อาร์ตคนนั้น คนที่ยิ้มมาตลอดกำลังไม่พอใจกับการลงลิฟต์ตัวเดียวกันกับผม (?) หรือไอ้พี่หนูวะ

“เฮ้ยไอ้นก มึงว่าวันนี้เราจะแดกอะไรกันดีวะ?” ก็อยู่กันแค่นี้เองนะ พี่มึงจะเสียงดังทำไมครับ

“เอ่อ…ผมกินอะไรก็ได้พี่ แล้วแต่พี่เลย” ทำไมรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางสงครามโลกได้วะเนี่ย

“มึงนี่ดีนะไอ้นก กล้าไปกินข้าวกับกู”

ดีตรงไหนวะ ถ้าไม่ติดว่ากูกำลังจนไม่มีตังค์จะแดกข้าว กูก็ไม่ไปกับพี่มึงหรอก ไม่สิ กินฟรีไม่เสียตังค์ไอ้นกไม่เคยปฏิเสธอยู่แล้วต่างหาก นี่ผมไม่ได้งกนะ เขาเรียกว่าอยู่เป็น

“ไม่เหมือนคนบางคน แม่งแค่ไปกินข้าวกับกู เขายังไม่กล้าเล๊ย” พี่หนูมันแดกดันใครผมไม่รู้นะครับ แต่ตอนนี้รังสีฆ่าฟันทะลุออกมาจากตัวพี่อาร์ตมาก จนผมต้องหันไปมอง พี่อาร์ตยืนนิ่งแต่ริมฝีปากของพี่อาร์ตเม้มจนแน่น แววตาของพี่อาร์ตแข็งกร้าว สองมือกำหมัดแน่นจน….นกกลั๊วววววววววววว แง๊

“จิ๊ อะไรของมึงนก” พี่หนูมันโวยวายเพราะผมกระตุกเสื้อพี่มันยิกๆ ไม่ยิกได้ไงเล่า ดูหน้าพี่อาร์ตสิ ดูสิวะ หันมาดูบ้างสิโว้ยยยยยย

“พะ พี่หนู” นกกลัวแล้วนะ นกกลัวจริงๆ แล้วนะ

 

“โอ๊ย ไอ้อาร์ต!” นั่นไง เต็มเบ้าตาเลยไหมล่ะ พี่อาร์ตคงโมโหมากจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ เพราะพอผมเรียกพี่หนูแล้วพี่หนูมันหันมาหาผม พี่อาร์ตก็เล่นต่อยเข้าตาซ้ายเต็มหมัดเลย เห็นตัวเล็กกว่าผมไม่คิดว่าพี่อาร์ตแม่งจะ…เป็นมวยด้วยอ่ะ

แล้วชีวิตน้อยๆ ของนกจะรอดไหมครับ พ่อจ๋า แม่จ๋า นกไม่อยากถูกกระทืบตายยยยยย

“ทำไม? ต่อยกูคืนสิ มาสิ” เออ! ต่อยดิ เฮ้ย ไม่ใช่ๆ อย่าต่อยกันนะ เดี๋ยวผมเจ็บ!

“พี่อาร์ต ใจเย็นๆ นะพี่ ใจเย็นๆ นะพี่หนูนะ” ทำไมกูต้องมาเป็นกรรมการห้ามมวยด้วยวะเนี่ย ใช่หน้าที่กูไหม

“นก ไปกินกับกูก็ได้นะ แค่ข้าวเดี๋ยวกูเลี้ยงมึงเอง ไปกับไอ้คนนิสัยไม่ดีแบบนี้ เดี๋ยวมึงจะรอดกลับบ้านยาก ไม่พ้นร้านอาจจะโดนตีนใครก่อนกลับได้” เออวะ ไม่ปลอดภัยๆ ผมค่อยๆ กระดึ๊บตัวออกห่างพี่หนูมาใกล้พี่อาร์ตมากขึ้นเรื่อยๆ ปลอดภัยไว้ก่อน

“ไอ้นก! ถ้ามึงไปกับกู กูจะเลี้ยงเหล้ามึง!”

เหล้า! เหล้า!!!!! ไป!

ผมขยับตัวไปทางพี่หนูมากขึ้น งื้อออ อย่าว่าผมนะ ผมไม่มีเหล้าให้กินมานานแล้ววว

“ไปกับกูดีกว่านก” พี่อาร์ตดึงแขนผม

“ไปกับกูไอ้นก!” พี่หนูก็ดึงแขนอีกข้างของผมเช่นกัน

“ไปกับกู!”

“กับกู!”

“กับกู!!!”

“กับกู!!!!”

“โอ๊ยยย! แขนผมจะหลุดแล้วเนี่ย! ก็ไปพร้อมกันทัเงคู่นั่นล่ะ พี่หนูเลี้ยงเหล้า พี่อาร์ตกับแกล้มจบ! จะดึงทำไมนักหนาแขนคนนะไม่ใช่หนังยาง” ผมลูบแขนตัวเองเบาๆ พี่หนูแม่งก็แรงควาย พี่อาร์ตก็โคตรแรงเยอะ ตัวบางๆ อย่างไอ้นกช้ำหมดแล้วครับตอนนี้ อย่าว่าแต่แขน หูผมเองก็อื้อหมดแล้ว เล่นมาตะโกนคำว่ากับกูๆ อยู่ข้างๆ หูแบบนี้ หูหนวกไปพวกพี่แม่งจะรับผิดชอบผมกันไหม!

“ไง? มึงกล้าไหมไอ้อาร์ต” พี่อาร์ตจิกตาใส่อย่างแรงทันทีที่ได้ยินคำถามแกมดูถูกของพี่หนู

“กล้า กูกล้าแน่นอน! ขืนปล่อยไอ้นกไปกับคนแบบมึงนะ ได้กลับบ้านแบบโชกเลือดแน่” ขอบคุณครับพี่ที่ห่วงผม เขินจัง เหมือนผมหล่อมากอะ คนแย่งกันสองคน ตายล๊าวววว

สรุปแล้วผมและพี่อาร์ตกับไอ้พี่หนูก็เรียกแท็กซี่หน้าบริษัทเพื่อจะไปยังร้านABY เป็นร้านที่ไอ้พี่หนูมันจะพาผมไปเลี้ยงข้าวในตอนแรก เพียงแต่ข้าวของพี่มันมีเหล้าขายเป็นอาหารเสริมนั่นเอง ผมนั่งคั่นกลางระหว่างพี่อาร์ตกับพี่หนู ตอนแรกพี่หนูมันจะให้ผมนั่งในสุด แต่พี่อาร์ตคงจะรังเกียจพี่หนูมากจนต้องดึงผมให้ผมนั่งคั่นกลางเอาไว้ มันจึงกลายเป็นพี่หนูที่ต้องนั่งด้านในสุด แม้ว่าสีหน้าพี่มันจะโคตรไม่เต็มใจก็ตาม

ไม่พอใจอะไรของพี่มันวะ???

พอมาถึงร้านลงแท็กซี่พี่หนูกับพี่อาร์ตก็แย่งกันจ่ายเงิน เออ! เอาเข้าไป ดี…ผมไม่ต้องจ่ายสักอย่าง ยิ่งจนๆ อยู่

“อ้าว…พี่มิก วันนี้กี่ที่ดีครับ” เดี๋ยวนะ! มิก มิกไหนวะ ผมหันไปมองหน้าพี่อาร์ตแต่ดูเหมือนพี่อาร์ตเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน สายตาของเราสองคนจึงหันไปมองร่างของพี่หนูมันแทน พี่หนูยิ้มให้พนักงานคนนั้นระหว่างที่พับแขนเสื้อของตัวเองขึ้นมาจนถึงศอก

“สามที่ ขอเมนูที่กูสั่งมาประจำ กับเหล้าสามกลม น้ำแข็งโซดา…แค่นั้น” ดูเหมือนผมกับพี่อาร์ตจะได้คำตอบโดยไม่ต้องเอ่ยถามใดๆ ให้เปลืองน้ำลายเลย แค่มองพี่มันคุยตอบโต้แบบเป็นกันเองก็พอจะรู้แล้ว

“งั้นทางนี้เลยพี่ เงียบๆ เพลงคลอเบาๆ อย่างที่พี่ชอบ”

“อืม…” พี่หนูมันรับคำเบาๆ ก่อนจะเดินตามพนักงานคนนั้นเข้าไปในร้านตรงมุมขวาช่วงในสุด เงียบ และบรรยากาศดีอย่างที่เด็กคนนั้นบอกจริงๆ ถึงจะดูไม่หรูหราเท่าร้านของชายเพื่อนไอ้ปาเมื่อครั้งก่อน แต่ก็ถือว่าชวนให้นั่งกินลมชมวิวฟังเพลงเพลินๆ ได้

“รอแป๊บนะพี่มิก เดี๋ยวผมจะไปบอกในครัวให้”

“เออ”

พอเด็กคนนั้นเดินออกไป ผมก็ขยับตัวเข้าไปใกล้พี่หนูมันแทบจะทันที ไอ้ความอยากรู้อยากเห็นของผมมันพุ่งสูงกว่าความร้อนในภูเขาไฟ

“พี่ๆ อะไรคือมิกวะ พี่ไม่ได้ชื่อหนูหรอกหรือ?” ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น อืม…ของผมเองนี่ล่ะ

“ไม่…กูชื่อมิกกี้ ที่บ้านเรียกกูว่ามิก แต่เพื่อนกูมันบอกมิกกี้ก็คือหนู มันเลยเรียกกูว่าหนูมาตลอด” เว้ยๆ สุดยอดเลยวะ ชื่อแม่งโคตรอินเทรนด์แต่ดันไม่บอกคนอื่นให้คนอื่นเรียกว่าหนู ต่อมความรู้สึกของพี่มันตายด้านหรือ?

“โห…ชื่อดูดีเนอะพี่” ผมบ่นเลื่อนลอยเพราะพอเทียบกับชื่อผมแล้ว ไม่ติด ผมนี่ล่ะเทียบพี่มันไม่ติด อิจฉาโว้ยยยย

“ดีแต่ชื่อน่ะสิ หึ!” พี่อาร์ตยิ้มเยาะ ทั้งที่ยังคงหันหน้าไปอีกทาง

“อย่างอื่นกูก็ดี หรือมึงอยากลอง?”

“สัตว์!!”

“หึ! ...” ผมหันมองพี่หนู เอ่อ พี่มิกที่ตอนนี้ริมฝีปากกระตุกยิ้มอันตรายกับแววตาที่จับจ้องพี่อาร์ตเหมือนสัตว์ร้ายเวลาเจอเหยื่อน่ากิน ส่วนพี่อาร์ตสีหน้ายุ่งเหยิงจะเรียกว่าหงุดหงิดหรือโมโหดี ถ้าพี่อาร์ตมันเรียกไปต่อยหน้าร้านได้นี่พี่อาร์ตมันคงทำอะผมว่า เป็นผม ผมก็ลากไปต่อย ดูคำพูดคำจาสิครับ ชวนให้เอาตีนไปลูบหน้ามาก

รออยู่สักพัก ทั้งเหล้าทั้งอาหารก็มาเต็มโต๊ะ สงครามน้ำลายถึงได้เงียบลงไป ผมกับพี่อาร์ตกินข้าวกันก่อนเป็นสิ่งแรก ด้วยกบัวว่าท้องว่างแดกเหล้าไปจะเมาเร็วขึ้น พออาหารตรงหน้าพร่องไปเยอะนั่นล่ะครับ เหล้าก็เริ่มเข้าปาก พี่หนู ผมหมายถึงพี่มิกน่ะ พี่มันเอาแต่จิบเหล้าเงยหน้าขึ้นหลับตาฟังเพลง ปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศที่เงียบๆ กับเพลงเพราะๆ ถุย! นี่พี่มันคิดว่ามันพาเด็กฝึกงานมาเลี้ยงหรือไง อยากกลอกตาให้พี่มิกมันจริงๆ

ความเงียบเริ่มกลับมาสู่โต๊ะ ทั้งผม พี่มิกหรือแม้แต่พี่อาร์ตก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ผมเหลือบมองพี่มิกกับพี่อาร์ตอยู่เงียบๆ แบบไม่ให้รู้ตัว และบ่อยครั้งที่ผมเห็นว่าพี่หนูมันจ้องใบหน้าของพี่อาร์ตโดยที่พี่อาร์ตไม่ได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ มันแปลก…เพราะแววตาของพี่มิกมันดูร้อนแรง มันชวนให้ผมเสียวสันหลังแทนคนที่ถูกจับจ้อง ผมไม่สามารถอธิบายได้ พอหาเหตุผลของแววตาคู่นั้นไม่ได้ผมจึงปล่อยให้มันเป็นเพียงเรื่องของพวกเขาสองคน กลับมาจมอยู่กับความคิดตัวเอง

ไอ้ปา…ภาพวันที่ผมนั่งรถไปกินข้าวกับมัน ภาพของการหัวเราะให้กันมันย้อนกลับมาในหัวไม่มีหยุด ยิ่งผมกลืนน้ำสีอำพันในแก้วไปมาเท่าไหร่ ภาพพวกนั้นยิ่งชัดเจน หัวใจยิ่งบีบรัดด้วยความทรมานที่เจียนตาย คำพูดร้ายๆ ที่มันพูดกับผม หรือแม้แต่คำพูดหวานๆ ที่มันชอบพูดเพื่อแกล้งผม มันยังชัดเจนเหมือนผมย้อนกลับไปอยู่ในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง

อยากหัวเราะ…แต่เสียงที่ออกมากลับคล้ายการเยาะเย้ยตัวเอง

อยากร้องไห้…ก็ทำได้แค่เงยหน้าขึ้นให้น้ำตามันขังอยู่ในดวงตา ไม่ให้แสดงความอ่อนแอ

เพื่อนคนเดียวของผม กลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวผมเองไม่มีใคร แต่ยังดีที่ผมยังเหลือพี่อาร์ตกับพี่มิก ไม่อย่างนั้นผมก็คงกลายเป็นไอ้นก…คนที่ไม่มีใครคบหรือเห็นใจ สังคมที่ต้องใส่หน้ากากผมไม่ชินเลย ไม่เคยชินกับมันสักครั้ง ต้องคอยระวังหลัง ไม่ให้ถูกใครแทงจนตาย แต่สุดท้ายผมก็ถูกเพื่อนที่ไว้ใจที่สุดทำร้าย จนต้องซมซานมาให้ศัตรูสงสาร

ไม่เอาดีกว่า รู้สึกว่าจะดราม่าเกินไปแล้วสิผมนี่

“เป็นอะไรมึง ตาแดงๆ” พี่มิกถามผมเบาๆ คงรู้ว่าผมกำลังเป็นบ้าทางอารมณ์อีกแล้ว

“โน้กกกก…มาหากูมา ม่ายต้องไปกล้ายมาน” โห…ผมจมอยู่กับตัวเองแป๊บเดียวพี่อาร์ตของผมเมาเละเลยหรือ ใครชงให้พี่มันวะ??

ผมเห็นสภาพของพี่อาร์ตแล้วก็เลยกลับไปจ้องไอ้พี่มิกมันอีกครั้ง ครั้งนี้พี่มิกมันหลบตา ยกแก้มเหล้าขึ้นมาจรดปากแล้วยิ้ม นี่พี่มึงแกล้งเขาหรือ! เวรกรรมอะไรของไอ้นกวะเนี่ย อยากจะเมากลับต้องมาดูแลคนเมา โอ๊ยยยย อยากเมาบ้างงงงงง

“แดกๆ ไปเถอะ เดี๋ยวกูรอเก็บศพทั้งมึงและมันนั่นล่ะไม่ต้องห่วงหรอก” ผมส่งสายตาถามประมาณว่าพี่มันแน่ใจใช่ไหมว่าไหว พอเห็นว่าพี่มันพยักหน้าผมจึงผ่อนลมหายใจแล้วกระดกเหล้าไม่หยุดมือ

“เออพี่หนะ เอ่อ พี่มิก”

“ว่าไง…” พี่มิกวางแก้วเหล้าลงก่อนจะพิงเก้าอี้กอดอกมองผมราวกับจะบอกผมว่า มีอะไรก็พูดมา

“ผมสงสัยวะพี่ ชื่อพี่มันก็โคตรดีนะ ทำไมพี่ไม่บอกคนอื่นวะว่าชื่อมิก ไม่ใช่ชื่อหนู” ชั่วขณะหนึ่งผมรู้สึกเหมือนมีคำว่าเสือกอยู่บนหน้า แต่แค่แป๊บเดียวทันก็หายไปทันที อะไรวะ คิดไปเองหรือ?

“ชื่ออะไรมันก็เหมือนกันนั่นล่ะ ถ้าไม่ใช่คนที่สำคัญกับกู จะเรียกอะไรก็เรื่องของพวกมันเถอะ” ผมพยักหน้าหงึกอย่างพอจะเข้าใจได้

“ผมเข้าใจ” แต่จะว่าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ เอ่อ….

“ฟังนะนก ชื่ออ่ะ ขอแค่รู้ว่ามีไว้เรียกเรา…มันก็แค่ชื่อ มึงไม่สนใจ ไม่ไปคิดถึงมันมาก มันก็แค่คำเรียกเท่านั้น”

“…” มันก็…ใช่

“แต่ถ้าเป็นคนสำคัญของกู กูย่อมต้องอยากให้เขา เรียกชื่อของกูที่พ่อแม่เป็นคนตั้งให้กูอยู่แล้ว เพราะนั่นคือชื่อกู ต่อให้ใครบอกมันจะดูตุ๊ดดูเหี้ยอะไรก็ตาม ถ้ามันถูกเรียกออกจากปากคนที่กูรัก กูชอบทั้งนั้น”

ผมเงียบ เพราะสิ่งที่พี่มิกมันพูดมามันคือความจริง สำหรับผมตอนที่หลินเรียกผมว่านก มันคือความรู้สึกที่เรียกได้ว่าชอบ เป็นครั้งแรกที่ผมชอบชื่อของตัวเอง แต่ผมก็คอยโทษแต่ชื่อว่ามันทำให้ผมเสียไปทุกสิ่งทุกอย่าง ขนาดตำแหน่งดีๆ ผมยังเสียมันไป มือของผมกำจนแน่น ทว่ามันกลับสั่นระริกจนน่าสงสาร

แต่ใครจะมาสงสารผมกันล่ะ

ผมต้องคอยปลอบตัวเองสินะ เป็นแค่ไอ้นกกับชีวิตนกๆ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้ใครมาเห็นใจอยู่แล้ว ความตึงๆ ทางอารมณ์ทำให้ผมเร่งกระดกเอาเหล้าขมๆ เข้าปากอย่างไม่คิดจะหยุดมือ จากแก้วที่พร่องไปก็ถูกเติมจนเต็ม ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ผมกินมันจนหมด แก้วของผมก็ไม่เคยหมดจริงๆ เลยสักครั้ง

ราวกับว่าผมกำลังถูกมอม

แต่บ้าสิ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พี่หนูมันจะมามอมผมทำไมกัน เอาเป็นว่าผมเรียกพี่มันว่าพี่หนูแล้วกัน ผมเริ่มจะสับสนเองแล้วตอนนี้

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ ออกไปจากหัว ตัวผมเองตอนนี้เองก็เริ่มมึนๆ แล้วเหมือนกัน ภาพตรงหน้าเริ่มซ้อนทับจนมองแทบไม่ออก แต่ผมรู้สึกเหมือนเห็นพี่หนูมันนั่งกับใครสักคน ลักษณะคล้ายๆ พี่อาร์ตเลยวะ แต่ไม่ใช่หรอกมั้งครับก็พี่อาร์ตนั่งอยู่ข้างๆ ผมนี่นา คงเป็นใครที่คล้ายพี่อาร์ตมากกว่า ผมโยกตัวโยกศีรษะไปมาตามจังหวะเพลง ทั้งที่ใบหน้าเริ่มแดงดวงตาก็ปรือเสียจนแทบจะปิดอยู่เต็มที

หือ? มือที่หนูมันกำลังลากจากเอวของคนข้างกายลงไปยังสะโพก ใช่ครับ ตูดผู้ชายนั่นล่ะ ผมหัวเราะเบาๆ ออกมากับการกระทำที่หน้าไม่อายของพี่มัน ดูสิครับ โดนลวนลามขนาดนั้นยังนั่งนิ่งซบไหล่พี่หนูมันอยู่ได้ คนอะไรหน้าด้านชะมัดเลย! ผมแอบเบ้ปากใส่ผู้ชายที่คล้ายพี่อาร์ตผู้แสนดีของผมอย่างไม่ค่อยพอใจ นี่ถ้าพี่อาร์ไม่เมาคงลุกขึ้นมากัดพี่หนูอีกสักรอบแล้วล่ะ

สติของผมคล้ายๆ ว่าจะดับวูบไปกับเสียงเพลงที่ดังเข้ามาในหู ทุกสิ่งดำดิ่งลงสู่ห้วงความมืดมิดที่ทำให้ผมรู้สึกสบายและผ่อนคล้าย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมกลับรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของโทรศัพท์เครื่องสวยของตัวเองดังขึ้นมา ผมไม่ไหวจะลุกแล้ว ผมจึงควานหาโทรศัพท์ตัวเองทั้งที่ยังไม่ลืมตา

“มีอะไร?” หืม? เสียงพี่หนูนี่ครับ กำลังคุยกับใครกันนะ

‘…..’

“หึ ใช่อยู่กับกูนี่ล่ะ อย่ามาขึ้นเสียใส่กู!”

“อื้อ!” ผมรำคาญ อยากจะไล่แต่ทำได้แค่ส่งเสียงให้รู้ว่ากำลังรบกวนการนอนของผมอยู่

“หึ! มึงคิดว่ากูทำอะไรมันล่ะ แต่จะว่าไป…แม่งโคตรรู้สึกดีเลยว่ะ”

รู้สึกดีอะไร? แต่ช่างเถอะ ผมง่วงจะตายอยู่แล้ว

“กูหรือ? นั่นสิ อยู่ไหนกันนะ คงแถวๆ ….ล่ะมั้ง หวังว่ามึงจะหาเจอนะ ปรมะ”

แล้วเสียงพูดคุยก็หายไปจากหูของผม แต่สิ่งที่มาแทนที่คือสัมผัสอันอ่อนโยนที่ลูบเส้นผมของผมอย่างแผ่วเบา พร้อมกับคำกระซิบที่แสนแผ่วเบาจนแทบจะจับใจความไม่ได้ริมหู

“กูไปก่อนนะนก…โชคดีนะ”

ไปไหนกัน ไปไหน ทำไมถึงทิ้งผมล่ะ ผมอยากจะลืมตาขึ้นมา อยากจะขยับปากถาม แต่ทุกอย่างมันหนักอึ้งไปหมด มันไม่ยอมฟังคำสั่งของผม ทั้งที่สั่งให้ลืมตาขึ้นมอง แต่กลับทำได้เพียงปรือตามองแผ่นหลังของพี่หนูที่อุ้มร่างของใครบางคนไว้แนบอกเดินกลับไป

ผมควรร้องไห้ไหม ทำไมผมถูกทิ้งอีกแล้ว

แล้วนี่พี่มันจ่ายเงินหรือยังก็ไม่รู้ ผมขยับร่างตัวเอง อยากดึงขึ้นจากความเมามายของตัวเอง แต่กลับเป็นเพียงการขยับตัวที่คล้ายการหาท่านอนที่ถูกใจเสียมากกว่า

ผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา กับเสียงหอบหายใจราวกับว่าวิ่งมาไกลเหลือเกินค่อยๆ เข้ามาใกล้เรื่อยๆ นั่นยิ่งทำให้ผมขมวดคิ้ว ใครมา มาทำไม แล้วผมจะกลับบ้านยังไงล่ะไหนจะค่าเหล้าค่าอาหารอีก ผมไม่อยากลุกขึ้นเลย อยากให้มันเป็นแค่ฝันไป

“อื้ออออ”

ทำไมผมลอยได้ล่ะ ทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับวงแขนที่กำลังยกผมขึ้นมา ผมพยายามปรือตามองแต่เห็นเพียงโครงหน้าหล่อเหลารางๆ ที่แสนคุ้นตาเท่านั้น ก่อนที่ความง่วงงุนจะจู่โจมผมจนต้องจมอยู่กับอกกว้างของใครบางคน กลิ่นของเขาทำให้น้ำตาของผมซึมออกมา ร่างกายสั่นสะท้านกับแรงสะอื้นไห้อยู่กับแผ่นอกที่มีเสื้อสีฟ้าอ่อนสวมทับอยู่

กลิ่นที่ผมรู้จักดี กลิ่นที่ผมมักจะสบายใจเสมอเวลาเจ้าของกลิ่นเข้ามาใกล้ๆ

และเป็นกลิ่นเดียวกับคนที่ทำให้ผมทรมานจนต้องระบายออกมาเป็นหยดน้ำตา

“ปา…ฮึก”

มันใช่ไหม เป็นมันจริงๆ ใช่ไหม ผมกำเสื้อที่อกของผู้ชายที่อุ้มผมจนแน่น ไม่สนใจว่าเสื้ออีกฝ่ายจะยับยังไง น้ำตาของผมยังคงนองหน้า ไหลลงมาจนชุ่มไหล่กว้างของเขา แต่เขาไม่ได้รังเกียจผม มือที่แสนอบอุ่นไม่เคยผลักไสผมออก กลับกัน มันกลับยิ่งทวีความอ่อนโยนมากขึ้นจนผมหวั่นไหว

เพราะผมเมาใช่ไหม เพราะผมกำลังเมาใช่ไหมถึงเจอกับภาพลวงตาในตอนนี้

ถ้าใช่…ผมไม่อยากตื่นอีกแล้ว ไม่อยากให้มันหายไปอีกแล้ว

เพื่อนคนสุดท้ายของผม ไอ้ปา…





TBC



กรี๊ดดดดก พี่มิกขาาาา มาอุ้มแมวด้วยสิค้าาา ความจริงน้องโหยหาปามากนะคะ ก็เขาสองคนสนิทกันมาสองสามปี ตัวติดกันตลอดน้องเลยเคว้งก็ไม่แปลก แต่ปาคะ น้องเมานะลูก อย่าทำอะไรน้องล่ะรู้ไหม แม่ๆอย่าเพิ่งเบื่อเพราะหาสาระใดๆจากหัวน้องนกไม่ได้เลยนะคะ เพราะต่อไปก็...ไม่มีสาระเหมือนเดิมค่ะ (ฮ่าๆ) 

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่8.นกกับเรื่องวุ่นฯ 100% up. 23/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-11-2019 09:09:27
สงสารนกอ่ะ ปาก็นะรักเค้าแต่ก็ปิดบังตัวตนทุกอย่าง เานความเชื่อใจจะโทษใครได้
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่8.นกกับเรื่องวุ่นฯ 100% up. 23/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 24-11-2019 17:22:53
หนูนกลูกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่8.นกกับเรื่องวุ่นฯ 100% up. 23/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 24-11-2019 21:12:51
ยิ่งอ่านยิ่งเกลียดปา  ฮือๆๆ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่9.นกตัวนี้สำคัญมาก 50% up. 29/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 29-11-2019 13:57:16
ตอนที่ 9.

 นกตัวนี้สำคัญมาก 

หนักจัง….

มันคือสิ่งแรกที่ผมรู้สึกถึงขนาดที่เป็นตัวปลุกผมจากความฝันจนน่ารำคาญ ผมยังอยากจะนอนต่อ ยังอยากจะจมอยู่กับฝันเมื่อคืนนี้ ความฝันที่ผมได้มีมันอยู่เคียงข้างอีกครั้งเหมือนกับเมื่อก่อน ผมไม่อยากจะยอมรับว่า ความฝันเมื่อคืนนี้มันช่างดีกับผมเหลือเกิน มันช่วยให้จิตใจที่เริ่มอ่อนแอของผมนั้น ได้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง

แต่ต่อให้ไม่อยากจะลืมตาขึ้นมาแค่ไหน ผมก็จำเป็นจะต้องลืมตาขึ้นมาอยู่ดี

เพราะน้ำหนักที่ทับจนผมแทบจะขาดใจตายอยู่ตอนนี้ มันเพิ่มขึ้นอีกแล้ว!!!

ใครมันเอารถถังมาทับผมวะ!

“โอ๊ย...หนักนะโว้ย!!!” ผมตกโกนออกไปทั้งที่ยังมองเห็นไม่ชัด มือ แขนและขาของผมชาเหมือนถูกวางยาชาเอาไว้ แต่ไอ้ท่อนซุกที่ดูคล้ายๆ ท่อนขาของคนนั้น ทำให้ผมต้องพยายามเอามือตัวเองออกมาจากการถูกทับไว้ให้ได้

“ฮึบ...”

อา...ในที่สุด เลือดของผมก็สามารถเดินทางไปเลี้ยงที่แขนสักที ทับเสียจนผมนึกว่าพิการไปแล้ว

ผมมองก้อนผ้าสีขาวที่ห่อตัวใครบางคนเอาไว้จนมิด มีเพียงช่วงขาที่โผล่ออกมาทับตัวผมอยู่ในตอนนี้เท่านั้น ซึ่งผมคงยังไม่เสียเวลาไปเปิดดูหรอกว่าใคร เพราะสิ่งที่ผมควรจะทำตอนนี้คือ การหาอากาศหายใจให้ตัวเองก่อน เริ่มจากการยกไอ้ท่อนขาควายๆ ที่หนักสักสิบตันนี่ออกจากตัวผมโดยเร็วที่สุด

ผมยกท่อนขาปริศนานี่ออกอย่างแรงเรียกว่าผลักเลยก็ได้ คนอื่นอาจจะกลัวว่าไอ้บุคคลปริศนาข้างๆ จะตื่น แต่ผมไม่กลัว กล้าดียังไงมาฆ่าผมด้วยวิธีนี้ จะให้ผมเป็นข่าวหน้าหนึ่งว่าขาดอากาศหายใจตายเพราะถูกทับด้วยขาปริศนาหรือครับ ไม่เอาหรอก ไม่เห็นจะเท่เลย ขอเป็นรวยจนตายหรืออะไรแบบนี้ได้ไหมครับ นกจะไม่บ่นเลยสาบาน

“บ้าเอ๊ย!” แน่นอน เสียงผมเอง ทั้งที่ออกแรงไปขนาดนั้น ไอ้ขาปริศนานี่ยังไม่ยอมขยับออกไปเลย ผมต้องกลั้นหายใจพยายามกลิ้งตัวออกมาจากท่อนขานั่นแทน เพราะไม่อย่างงั้นผมคงตายก่อน

แล้วในที่สุดผมก็หลุดออกมาได้~ พร้อมกับความฉิบหายของบั้นท้ายผม

ตุบ

“โอ๊ย...บ้าจริง” ผมต้องลูบคลำที่ก้นตัวเองเมื่อดันพาตัวเองร่วงลงมาข้างเตียง ซวยแต่เช้าจริงๆ เลย เวรกรรมอะไรของผมวะเนี่ย

“ลงไปทำอะไรตรงนั้น”

เสียงนี้มัน….ไม่จริง!

“ไอ้ปา!” ใช่มันจริงๆ ผมอ้าปากค้าง ลืมไปหมดกับความเจ็บปวดตรงก้นที่ตกลงมากระแทกกับพื้น

บ้าจริงๆ ผมเมาจนคิดว่าเมื่อคืนที่ได้สัมผัสมันคือความฝันงั้นหรือ? ต้องเมาขนาดไหนนะถึงจะเป็นได้ขนาดนั้น แล้วไหนจะห้องนี้อีก เพราะผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการอึดอัดคล้ายคนถูกทับจนหายใจไม่ออก ผมถึงไม่ได้มองให้ดีๆ ว่าที่นี่คือที่ไหน บ้าเอ้ย! ผมพลาดมาก พลาดมาอยู่กับมันแบบนี้ได้ไงวะ แล้วพี่หนูล่ะ พี่หนูกับพี่อาร์ตหายไปไหน!!

“ก็กูไง” ก็มึงไง กูก็หมายถึงมึงนั่นล่ะ

“ทำไมกูมาอยู่ที่นี่!” ผมควรกลับพร้อมพวกพี่หนูสิ แบบนี้มันจะแปลกเกินไปแล้ว

“กูเป็นคนหิ้วมึงกลับมาเอง” ท่าทางการพูดสบายๆ กับการนอนเท้าแขนมองผมช่างหล่อ เอ่อ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า กวนตีนมากๆ เลยต่างหาก อย่างไอ้ปา เพื่อนเหี้ยๆ แบบนี้ ไม่มีหรอกคำว่าหล่อในหัวผม

“แล้ว แล้วพี่หนูล่ะ พี่หนูไม่มีทางให้กูกลับมากับมึงแน่!” ผมกลัว…กลัวว่าสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำที่คล้ายจะเป็นความฝันนั้น จะกลายเป็นความจริงที่ผมอับอาย ช่วยให้มันเป็นแค่ฝันทีเถอะครับ

แต่ไอ้ปากลับทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วยิ้มเยาะผม กูเห็นนะ!

“มันทิ้งมึงไว้ที่ร้าน แบบนี้มึงยังจะเรียกว่า ‘ไม่มีทางให้มึงกลับมากับกู’ อีกไหมวะนก”

“กะ โกหก!”

ใช่ มันต้องโกหก มันโกหกผมตลอด ผมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด

ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ ไอ้ปาก็โกหกผมมาเสมอ จะมาเชื่อมันเพราะมันพาผมกลับบ้านของมันแบบนี้ ผมไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด จำได้ไหมไอ้นก มึงจำได้ไหมว่ามันโกหกมึง จำได้ไหมว่าเจ็บแค่ไหนวันที่ได้รู้ความจริงจากปากของคนอื่น หยุดโง่ หยุดเชื่อคำพูดมันสักทีเถอะ หยุดทำตัวไร้สมองมองว่ามันเป็นเพื่อนที่แสนดีของมึงได้แล้ว มันไม่ใช่ ไม่ใช่อีกแล้ว เพื่อนคนนั้นมันเป็นแค่ภาพลวงตา ที่ไม่มีวันจะปรากฏตัวขึ้นมาเวลาที่เราลืมตาหรอก

ผมแค่นยิ้มออกมาเมื่อนึกย้อนไปในคราวที่มันเลี้ยงข้าวผม ในวันที่ผมได้รู้ความจริงที่แสนเจ็บปวดว่าผมกับมัน เป็นเพื่อนกันไม่ได้ มันโกหก มันหลอกลวง และมันคือคนที่ทำให้ผมก้าวไปข้างหน้าอีกไม่ได้ ต้องย่ำอยู่กับที่ เป็นคนที่ทำให้ความหวังของผมพังทลายลง แล้วผมยังจะเชื่ออะไรมันได้อีก!

“กูจะโกหกมึงไปทำไมวะนก?”

“คงเหมือนที่มึงโกหกกูมาหลายปีล่ะมั้ง” ไอ้ปาถอนหายใจดันตัวเองขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าผม ผมเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ตอนนี้จึงกลายเป็นผมกับมันยืนประจันหน้ากันอยู่

“เมื่อไหร่มึงจะหยุดพูดเรื่องนี้สักทีวะนก กูพูดกับมึงไปหลายครั้งแล้วนะว่ากูขอโทษ”

“…” ใช่…มันพูด! แต่ใจของผมมันรับคำขอโทษแล้วยื่นการอภัยให้มันไปไม่ได้ ผมเจ้าคิดเจ้าแค้นหรือ ก็ไม่! แต่ผมเพียงแค่ปกป้องตัวเอง เจ็บแล้วก็แค่จำมันก็เท่านั้น ผมไม่ได้แค้นเคือง ไม่ได้คิดแค้นอยากเอาคืนกับมัน สำหรับผมแล้ว สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือกลไกปกป้องตัวเองจากคำโกหกที่อาจจะมีอีกของไอ้ปา ไอ้ปาจับมือผมเอาไว้แล้วมองตาอย่างจริงจัง

“เฮ้อ…มึงไม่เข้าใจหรือวะ ว่ากูแคร์มึงมากแค่ไหน มึงไม่เข้าใจหรือว่าทำไมกูต้องเฝ้าตามง้อมึง ทั้งที่กูไม่จำเป็นต้องทำก็ได้” ผมสะอึก ไม่ใช่เพราะจริงอย่างที่มันพูด แต่คนที่เคยมีแผลแบบผม ไม่สิ ต้องเรียกว่า คนที่กำลังน้อยใจมันอย่างผม มาเจอคำพูดแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับราดน้ำมันลงสู่กองไฟ

ไม่จำเป็นหรือ ใช่สิ ไม่จำเป็นสักนิด

ถ้าอย่างนั้นมึงจะมาง้อกูทำไม!!

“หึ! ...” ผมสะบัดมือออกอย่างแรง ในสายตาของผมไอ้ปาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด ความจริงแล้วมันอาจจะเป็นคนแบบนี้อยู่แล้วก็ได้ ผมมันโง่เองที่ไปเชื่อภาพลวงตาที่มันสร้างขึ้นมาในตอนนั้น

“นก มึงแม่ง!”

“กูทำไม? กูขอให้มึงมาง้อหรือ? ก็เปล่า มึงทำของมึงเองไหม กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามายุ่งกับกู!” ใช่! แต่มันก็ไม่ยอมหยุด ความผิดผมตรงไหน!

“….”

“มึงอยากเลิกง้อใช่ไหม เอาสิ…กูไม่เคยห้ามมึงอยู่แล้ว ดีเสียอีกกูจะได้อยู่อย่างสงบสักที” ทั้งที่ในใจผมเจ็บ แต่ก็เลือกจะสาดคำพูดร้ายๆ ออกไป เพียงเพื่อให้มันเจ็บเหมือนผม

แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ได้ผลหรอก คนอย่างไอ้ปรมะ มันไม่มีหัวใจ!

“นก!” เฮอะ! คิดว่าตีหน้ายักษ์เรียกชื่อผมเสียงดังแล้วผมจะกลัวหรือ? ไม่มีทาง

“ทำไม? กูพูดอะไรผิด ทุกวันนี้มีแต่มึงนั่นล่ะที่ อื้อ!!”

ผมเบิกตากว้างจนแทบจะหลุดออกมานอกแว่น เมื่อถูกไอ้ปามันดึงใบหน้าเข้าไปใกล้และประกบปากจู่โจมด้วยจูบหนักๆ ราวกับกำลังลงโทษผม

บ้า! นี่มันบ้าบอสิ้นดี!

“อื้อ ปล่อย อื้ม!” ผมทั้งทุบทั้งตีทั้งหยิก ทำทุกอย่างให้มันหยุดขยี้ริมฝีปากของผมเสียที แต่มันกลับบีบแก้มของผมอย่างแรงจนต้องเปิดริมฝีปากออกรับลิ้นร้อนที่เข้ามากวาดต้อนหาความหวาน ผมพยายามจะส่ายหน้าหนี แต่ก็ทำได้แค่ส่ายหน้าไปเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากจะไม่ช่วยอะไรเลยแล้ว มันยังเป็นการเปลี่ยนมุมองศาให้อีกฝ่ายได้ขโมยจูบผมอย่างง่ายดาย

มันเห็นผมเป็นอะไรกัน?

อยากจะทำอะไรก็ทำ จะหลอกอะไรก็หลอก จะพูดอะไรก็พูดงั้นหรือ

น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลลงมาพร้อมๆ กับเรี่ยวแรงที่ค่อยๆ หายไปจนไม่สามารถขัดขืนจูบอันจาบจ้วงได้อีก ผมหลับตาลง ปล่อยให้มันบ้าคลั่งอยู่อย่างนั้นจนกว่ามันจะหยุดไปเอง ไอ้ปาปล่อยมืออีกข้างหนึ่งออกจากใบหน้า เปลี่ยนมากระชับวงแขนให้ตัวของผมแนบชิดเข้ากับมัน

ใจร้าย ใจร้ายเกินไปแล้ว!

จนมันยอมถอนริมฝีปากออก ผมก็หมดเรี่ยวแรงจะพยุงตัวเองแล้ว ได้แต่หอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการถูกมันช่วงชิงลมหายใจไป มือของมันลูบแผ่นหลังของผมราวกับปลอบประโลม แต่ผมไม่รู้สึกดีด้วยหรอก การที่มันทำแบบนี้ไม่ต่างกับการตบหัวผมแล้วลูบหลัง

“อย่าพูดแบบนั้นอีก” ผมจ้องหน้ามันด้วยแววตาไม่ยอมแพ้ ร่างกายดิ้นรนเพื่อหนีออกจากอ้อมแขนแข็งแรงที่กอดรัดตัวผมอยู่ แต่มันช่างยากเย็นราวกับว่าสิ่งที่กำลังกอดรัดผมอยู่นั้นไม่ใช่อ้อมแขนของคน

“ปล่อยกู!”

อย่าไปกลัวมัน จ้องมันกลับไป อย่าไปยอมแพ้

“กูไม่ใจดีขนาดนั้นมึงควรรู้ไว้นก…” ไอ้ปามันใช้ปลายนิ้วเกลี่ยริมฝีปากที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายของมัน จับจ้องด้วยดวงตาพราวระยับทว่ากลับแฝงไปด้วยอันตราย

“ไอ้เหี้ย!” คิดคำด่าไม่ออก เอาไปแค่นั้นก่อนแล้วกัน ก็เพิ่งโดนจูบมาเข้าใจไหม ผมเพิ่งโดนจูบมา แถมไอ้บ้านี่กลับจ้องเหมือนจะแดกปากผมเข้าไปอีก ไม่เขินมันก็ต้องเขินบ้างล่ะ แต่แทนที่มันจะโกรธกลับหัวเราะในลำคอเบาๆ คล้ายกับว่ากำลังตลกกับสิ่งที่ได้ยิน

มึงมันโรคจิต ไอ้เวร!

“เหี้ยสิ…ไม่เหี้ยกูจะทำแบบนี้ได้หรือวะ?”

“…” ผมกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้อย่างระงับอารมณ์ ร่างกายของผมกำลังสั่นเพราะการยอมรับคำด่าง่ายๆ ของผมอย่างเต็มใจ เหมือนมีคนมาพูดกับผมว่า มึงขี้แล้วไม่กดชักโครกใช่ไหม แล้วผมยืดอกตอบกลับไปว่า ใช่กูเอง มันก็จะอารมณ์นั้นล่ะครับ

“กูทำให้มึงหลุดจากการชิงน้ำแหน่งหัวหน้าได้…กูก็ไล่มึงออกได้นะนก”

แม่งเอ๊ย! มันจะเหี้ยเกินไปแล้ว คราวนี้ผมทั้งดิ้นทั้งทุบ ทั้งผลัก ทั้งต่อย พยายามทุกวิถีทางให้ได้หลุดออกจากอ้อมแขนของมัน สาบานเลยว่าถ้าผมสามารถรอดพ้นจากการกอดของมันได้ ผมจะต่อยหน้ามันให้หมดหล่อเลย มันพูดแบบนี้ได้ยังไงว่าจะไล่ผมออก มันก็รู้ดีว่าตัวผมเป็นยังไง ปัญหาของผมคืออะไร ทั้งๆ ที่รู้ก็ยังจะไล่ผมออก

“อยากไล่ใช่ไหม! ไล่กูเลย! แล้วสาบานเลยว่าชาตินี้มึงกับกูจะไม่มีวันได้เจอกันอีก” ใช่! ผมกลับไปบ้านก็ได้ ไปทำงานที่นั่นก็ได้ ไม่ตายผมย่อมต้องหาทางจนได้ ก็แค่งานที่นี่เงินดี ก็แค่สนิทกับคนที่นี่ ก็แค่…ผูกพัน ผมน่ะ ทิ้งมันได้อยู่แล้ว

“อย่าท้ากูนะนก! มึงกำลังยั่วโมโหกูอยู่!” เฮอะ! มันคิดว่าตัวมันโมโหเป็นคนเดียวหรือไง ผมไม่มีสิทธิ์รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดของมันใช่ไหม

“มึงมันก็ทำได้แค่นี้ไอ้ปา ไม่ได้ดั่งใจมึงก็โมโห เฮอะ! สมเป็นลูกคุณหนูจริงๆ”

“ไอ้นก!”

“จะเรียกทำไม! รู้แล้วว่าชื่อนก! ไม่ต้องย้ำกูนักหรอก กูจำชื่อตัวเองดะ โอ๊ย!”

ดูเหมือนว่ามันจะสติแตกแล้ว สีหน้าดำทะมึนกับดวงตาแข็งกร้าวของมันจ้องหน้าผมอย่างน่ากลัว อ้อมกอดของมันรัดผมแน่นขึ้นเหมือนการกลั่นแกล้งให้ผมที่ทำอะไรไม่ได้ต้องเจ็บจนกระดูกทั้งตัวร้าวจนแทบจะแตกละเอียด เห็นมันตัวโต แต่ไม่นึกว่าจะแรงควายด้วย แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วครับ มันแรงควายจริงๆ

แต่ถามว่าผมยอมแพ้ไหม…

ผมบอกได้เลยว่า!

ยอม…ก็ผมเจ็บนี่

“เจ็บ ปล่อยกูนะ” ผมเลิกดิ้น เพราะสีหน้าของผมตอนนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไอ้ปาชะงัก อ้อมแขนค่อยๆ คลายแรงออกจนแทบจะไม่เหลือความอึดอัด แต่ก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี เหมือนติดอยู่กับกาวเหนียวๆ

“เจ็บหรือ เจ็บมากไหม ขอโทษนะ”

สีหน้าของมันดูเหมือนสำนึกผิด มันจ้องหน้าผมตอนเอ่ยคำว่าขอโทษ ดวงตาสีดำคู่นั้นกำลังอ่อนลงและ…มันชวนให้ใจสั่นแปลกๆ

ตึกตัก

“ใจมึง…เต้นแรงจัง” มะ มันบ้าหรือไง! เรื่องแบบนี้ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้หรือเปล่า ผมหลุบตาลงจ้องมองที่แผ่นอกของมันแทน เพราะรู้สึกได้ว่าความร้อนกำลังแล่นขึ้นใบหน้า

“ขะ ของมึงหรือเปล่า ไม่ใช่กูสักหน่อย!” ผมกัดริมฝีปากที่สั่นระริกเอาไว้ แก้มสองข้างมันต้องแดงมากแน่ๆ ไม่ต้องส่องกระจกผมก็รู้ได้ ผมแอบเหลือบตามองหน้าไอ้ปา แต่เมื่อเห็นมันยิ้มพร้อมกับก้มลงมาช้าๆ ทำให้ผมเลือกจะปล่อยสายตาหาเห็บบนหน้าอกของมันแทน หรือเหา เผื่อมันจะเลี้ยงเอาไว้

“ก็ใช่…”

“ทำอะไร!” ผมร้องขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อมันจับมือผมขึ้นมาวางไว้บนหน้าอกของมัน เห็บเหาจะเดินเข้ามาหาผมไหมครับนี่

“ให้มึงลองสัมผัสดูไง…”

ไอ้ปาโน้มใบหน้าของมันลงมาจนหูของผมได้ยินเสียงลมหายใจของมัน

“มึงจะได้รู้ว่าใจกูก็เต้นแรง”

ขอผมจับขอผม touch นอนบนตักพี่สักพัก ขอสัมผัสได้มั้ยจ๊ะ

ใครก็ได้ ปิดเพลงในหัวผมที!!!!!











มันต้องบ้า ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

และที่น่าจะบ้ากว่ามัน ก็คงเป็นผมนี่ล่ะ ที่ดันเขินกับคำพูดบ้าๆ ท่าทางบ้าๆ ที่ดูเหมือนการจีบสาวของมัน ตอนนี้ไอ้ปามันออกไปแล้ว แต่ขนาดมันออกไปก็ยังขู่ผมเอาไว้ว่า หากผมออกจากห้องของมันไป มันจะทำผมให้ยับ ยับจนไม่สามารถหนีมันได้อีก

น่ากลัว…มันคิดจะ

คิดจะ…

คิดจะ…

คิดจะกระทืบผมใช่ไหม! น่ากลัวจัง ผมกลัวแล้ว ฮื่อๆ ใครก็ได้ ช่วยนกที นกกลัว ไอ้ปาน่ากลัวจังเลยครับ โฮ~ ถ้าไม่กลัวว่าจะโดนมันกระทืบยับ ผมนี่หนีกลับบ้านแล้วครับ ไม่นั่งนิ่งเป็นหินอยู่แบบนี้หรอก นี่ก็กว่า20นาทีแล้วที่มันออกไป มันบอกจะไปหาข้าวหาอะไรมาให้ผมกิน ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีไม่ให้ผมออกไป มันบอกว่าอากาศร้อนให้อยู่ในห้องตากแอร์ไป ไอ้ผมก็สบาย นั่งนอนตีพุงดูทีวีสบายใจสิครับ

“กลับมาแล้ว” แล้วไง? ผมต้องตอบกลับไปว่า ยินดีต้อนรับกลับบ้านหรือ? ฝันเถอะ!

“เออ” ผมหันไปสนใจอนิเมะที่ฉายอยู่ในทีวีมากกว่า ที่จริงผมต้องไปทำงาน แต่อย่างว่าล่ะครับ ผมถูกลูกชายเจ้าของบริษัทกักตัวเอาไว้ เพราะอย่างนั้น ถ้าบริษัทคิดจะไล่ผม ผมจะลากไอ้ปาเข้ามาอยู่ในวงสนทนาด้วย เพราะมันคือต้นเหตุทำให้ผมไม่ได้ไปทำงาน

“กูซื้อข้าวผัดทะเลมา กับกะเพราเนื้อ มึงจะกินกล่องไหน”

“กะเพราเนื้อ” ผมตอบกลับอย่างรวดเร็ว จนเห็นสีหน้ายิ้มอย่างอารมณ์ดีของมันนั่นล่ะครับ ผมถึงอยากจะตบปากตัวเอง ไอ้ปาเดินเข้ามาหาผม ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆ ผม แถมยังโน้มตัวเข้ามาหาจนผมต้องเอนตัวหนี มันจะทำอะไรอีก

“ขอบใจนะ”

“ขะ ขอบใจอะไรของมึง” มันยิ้ม มันยิ้มอีกแล้ววววววว

“ขอบใจที่ยังจำได้ว่ากูชอบข้าวผัด” บะ บ้าจริง! ผมเผลอเลือกสิ่งที่มันไม่ชอบมากินเองอีกแล้ว โอ๊ย! ผมพลาด! ผมพลาดดดดดด!!

“กะ กูก็แค่ ก็แค่อยากกินกะเพราเนื้อเถอะ มะ มึงหลงตัวเองแล้วไอ้ปา!” หัวเด็ดตีนขาดยังไงผมก็ไม่ยอมรับหรอกว่าผมเลือกกะเพราเนื้อเพราะมัน ไม่มีทาง…

“จริงหรือ?”

“จะ จะ จริงสิ! กะ กูจะโกหกมึงไปทำไมล่ะ” เย็นไว้ตัวผม อย่าแสดงพิรุธ จ้องใจเย็นเข้าไว้

“ถ้าอย่างนั้น…มึงหลบตากูทำไมล่ะ ไหน…มองหน้ากูหน่อยสิ” โอ๊ย แค่มองหน้าเอง สบายมาก!

“ได้เลย!”

“เอาสิ” ผมเลื่อนสายตาของตัวเองไปที่หน้ามัน ก่อนที่สายตาของผมจะปัดออกจากหน้ามันทั้งที่ยังมองไปไม่ถึงสองวิ

ฉิบหาย! ใกล้ฉิบหายเลยโว้ย!!

“ไหนบอกจะมองหน้ากูไง” ผมรู้สึกได้ว่าลมหายใจของผมเป่ารดอยู่ตรงแก้มของผม บ้าจริง ผมมองหน้ามันไม่ได้! อันตรายเกินไป

“มะ มึงก็ขยับออกไปหน่อยสิ”

“แบบนี้หรือ” ไอ้ปาขยับจริงๆ แต่ขยับมาหาผมมากกว่าเดิม

พ่อมึง! แบบนั้นเขาเรียกขยับเข้ามา! ไม่ใช่ขยับออก

“ขะ ขยับออก! ไม่ใช่ขยับเข้ามาหากู!” ผมบอกมันเสียงสูงมาก ถ้าแหกปากตะโกนใส่หูมันได้ ผมทำไปแล้ว แต่ถ้าจะตะโกนใส่หูมัน ผมก็ต้องหันหน้าไปหามันใช่ไหมล่ะ ผมทำไม่ได้หรอก ทำไม่ได้!!!!

“ทำไม อยู่ใกล้แล้วหวั่นไหวหรือ?”

“ใคร? ไม่มี๊”

“ถ้างั้นทำไมไม่หันมาล่ะ หรือเขิน”

“บ้านแม่มึงสิเขิน กูจะเขินมึงไปทำซากอ้อยอะไร” ใช่ ก็แค่ผู้ชายหน้าตาดีๆ ที่บอกว่าใจเต้นแรงในตอนที่กอดผม แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรเลย ไม่มี๊ ไม่มี

“หืม?” มันลากเสียงอย่างกวนตีนพร้อมกับขยับเข้ามาหาผมมากขึ้นไปอีก

นี่ผมกับมันแทบจะรวมร่างกันแล้วนะ จะขยับเข้ามาทำไมนักหนาวะ ผมจึงต้องยกมือขึ้นมาดันอกของมันไว้

“มะ มึง…ถอยออกไปหน่อยสิ บะ แบบนี้กูอึดอัด”

ตึกตัก ตึกตัก

อีกแล้ว…ใจเต้นอีกแล้ว ทั้งผมและไอ้ปา หัวใจของเราทั้งสองคนต่างก็เต้นแรงเป็นจังหวะเดียวกัน จนผมต้องรีบเอามือออกราวกับสัมผัสเข้ากับของที่ร้อนจนลวกมือ แต่ไอ้ปากลับไม่ยอมให้ผมถอย มันจับมือผมขึ้นมาวางไว้ที่เดิมอีกครั้ง ทั้งที่ผมไม่ได้หันหน้าไปมองเลยว่ามันทำสีหน้าแบบไหน แต่ผมรู้ดีเลยว่า ถ้าผมหันไปแม้แต่เสี้ยววินาที ผม…อาจจะไม่รอดก็ได้





50%









งุ้ยยยย ปาอย่างรุนแรงสิคะ สงสารน้องนกหน่อย น้องตัวนิดเดียวเองนะ

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่9.นกตัวนี้สำคัญมาก 50% up. 29/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-11-2019 17:10:44
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่9.นกตัวนี้สำคัญมาก 100% up. 30/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 30-11-2019 16:42:59
“ถะ ถอยหน่อย” กูจะตายอยู่แล้วปา ใจกูจะหลุดออกมาอยู่แล้ว

“มึงรู้สึกใช่ไหม ว่าหัวใจกูเต้นแรงทุกครั้ง ที่อยู่ใกล้มึง”

ผมส่ายหน้าทันทีโดยไม่ต้องคิด จะพยักหน้าให้เรื่องเข้าตัวทำไมล่ะครับ ส่ายหน้าปฏิเสธไว้ก่อนเลย รู้ไม่รู้ค่อยคุยกับตัวเองทีหลัง ตอนนี้ ไม่อยากคุยกับมันแล้ว ยิ่งคุยกับมันผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองแปลกๆ ทั้งหัวใจที่เต้นแรงราวกับแผ่นดินไหว ทั้งความร้อนที่แล่นขึ้นสู่ใบหน้า ยิ่งทำให้ผมดูอ้อนแอ้นเข้าไปอีก ไหนจะความรู้สึกที่ตีรวนอยู่ในสมองกับหัวใจ ที่ผมยังแยกไม่ออกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหนกันแน่อีก

อยู่กับไอ้ปาทีไร ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหาคำตอบอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง

“ตัวมึงแนบกูแบบนี้ก็ดีนะ” ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย! ผมเสียเปรียบชัดๆ เลยครับตอนนี้

“ร้อน…” ผมพูดออกมาเบาๆ

“อะไรนะ?” และเดาว่ามันคงได้ยินไม่ชัด จึงกัดปากแล้วพูดออกไปเสียงดังว่าเดิมนิดหนึ่ง

“กูบอกว่าร้อน ขยับออกไป” แต่ไอ้หน้าหนาข้างๆ มีหรือครับที่มันจะขยับ ไม่มีเสียหรอก มันยังคงตั้งหน้าตั้งตากวนตีนผมด้วยการเขยิบเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม จากที่แนบชิดอยู่แล้ว ในตอนนี้จึงกลายเป็นแนบแน่นจนไม่มีเหลือช่องว่างให้ผมได้หนี มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้ทำแบบนี้ แต่ที่บ้ากว่าก็คงเป็นผมที่ดูจะตื่นเต้นเหลือเกิน

“ขยับแล้วนะครับ”

ทะ ทำไมต้องกระซิบด้วย

ผมก้มหน้ากัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรงเพื่อระงับอาการแปลกๆ ที่ตีรวนขึ้นมาให้รู้สึก ไอ้ปามันทำสีหน้าแบบไหนไม่รู้ ผมน่ะไม่กล้าหันไปมองหรอก ที่ทำได้ก็คงได้แต่รอให้มัน ขยับออกห่างผมไปเอง

“นก…หันมาหน่อยสิ” เรื่องสิ เรื่องอะไรผมต้องหันไปด้วย

ผมส่ายหน้าทั้งที่รู้สึกได้ถึงความร้อนที่สัมผัสแผ่นหลังของผมในตอนนี้

“มึงจะอายอะไรวะ! กูก็เพื่อนมึงไหม” น้ำเสียงจริงจังที่เรียกสติผมให้กลับมาอีกครั้ง ใช่! ทำไมผมต้องอาย ต้องเขินมันด้วยล่ะ เราสองคนเป็นเพื่อนกัน มันเป็นเพื่อนผมและผมก็เป็นเพื่อนมัน เพราะงั้นไม่มีอะไรที่ชวนให้เขินเลยสักนิด ผมต้องหันไปสบตามันได้สิ จะมาเป็นบ้าเป็นบอแบบนี้ไม่ได้ ผมพยายามเตือนสติตัวเองก่อนจะหันขวับไปมองหน้ามันอย่างรวดเร็วจน…

จุ๊บ

พละ พลาดแล้ว! หลงกลมันจนได้!!!!

“ปากนุ่มจัง ปากนกนุ่มจัง”

อ๊ากกกก!!!

กรี๊ดดดด!!!!

โว้ยยยย!!!!

ผมอยากจะร้องดิ้นเป็นผู้หญิง หรือไม่ก็อาละวาดอะไรสักอย่างให้หายอับอาย ช่วงที่ผมหันหน้ามาเพื่อจะมองหน้าของไอ้ปา ปรากฏว่าไอ้ปามันอยู่ใกล้ผมมาก เหมือนมันรอจังหวะนี้อยู่แล้ว เพราะแบบนั้นพอผมหันไป ปากของมันกับผมถึงได้…ชนกัน

ชนกันไม่พอ! ไอ้ปายังกดแรงลงมาด้วย กดแรงเลยครับ กดจนปากผมแบนเลย!

“อะ อะ ไอ้!” ด่าไม่ออก จากที่โง่อยู่แล้วตอนนี้ผมเลยกลายเป็นไอ้เอ๋อที่นั่งหน้าแดงก่ำไม่กล้ามองหน้ามัน แต่ก็ไม่สามารถหันหนีได้เช่นเดียวกัน เมื่อไอ้ปามันใช้สองแขนกอดรัดตัวผมเอาไว้ ไม่ยอมให้หันกลับไปทางไหนอีก

“ไอ้อะไร? พูดไม่ดี ระวังจะไม่จบแค่เมื่อกี้นะ”

“จะทำไม? จะต่อยกันก็มาเลย กูไม่กลัวหรอก” ไอ้ปาได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดีจนผมที่ได้ยินอดโมโหไม่ได้

“ต่อยทำไมล่ะ ต่อยไปก็มีแต่ต้องเจ็บตัว”

“วะ เหวอ…” อยู่ดีๆ ไอ้ปาก็ยกร่างของผมขึ้นมานั่งบนตักมันโดยที่หน้าของเราสองคนห่างกันแค่เพียงลมหายใจกั้นผ่าน ท่าทางล่อแหลมแบบนี้มันไปจำมาจากไหน! มันจะใช้กับผู้หญิงคนไหนก็ได้! แต่จะใช้กับเพื่อนแบบผมไม่ได้!!!!

“ถ้าเปลี่ยนเป็นตอดมึงก็ว่าไปอย่าง ว่าไง”

“พะ พูดเหี้ยอะไร!” ตอดเติดอะไร ใครเขาพูดเรื่องแบบนี้กัน อีกอย่างมันกับผมไม่ใช่ปลานะ จะมาตอดได้ยังไง แล้วผมก็ไม่ใช่ขนมปังด้วย ตอดไม่ได้! ผมห้าม!!

“ไม่เข้าใจหรือนก?”

“…” ผมเม้มปาก ไม่ตอบคำถาม กลัวว่าถ้าตอบไปมันจะเกิดเรื่องบ้าๆ ขึ้นอีก ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าตาขวานี่กระตุกยิกๆ เหมือนจะเตือนอะไรผมสักอย่าง

“ถ้ามึงไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูแสดงตัวอย่างให้ดู”

“ห๊ะ? อ๊ะ!” ก่อนจะเข้าใจอะไรหรือถามอะไรไอ้ปาก ริมฝีปากร้อนผ่าวเหมือนถูกไฟลวกก็สัมผัสลงบนลำคอของผมก่อนจะขบเม้มมันเบาๆ แต่ก็สามารถทำให้ผมสะดุ้งได้

มันทำอะไร! มันทำบ้าอะไรแบบนี้!

นี่คือสิ่งที่ผมสงสัยและไม่เข้าใจ ผมจับจุดที่ถูกสัมผัสที่ลำคออย่างตกใจ เห็นมันมองหน้าผมตาพราวแล้วยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นผลงานของตัวเองก่อนที่มือผมจะปิดมันเอาไว้ ลิ้นสีสดของไอ้ปาเลียไปตามริมฝีปากของมันเองอย่างพึงพอใจราวกับเสียดายรสหวานที่ได้ลองลิ้มรสไป

เสียดายอะไร ได้ข่าวว่ากูยังไม่ได้อาบน้ำนะโว้ย!

“มึงบ้าหรือวะ! มึงทำแบบนี้ไม่ได้!”

“ทำไมล่ะ?” ทำไมนะหรือก็เพราะ…

เพราะว่า…

“เพราะกูเป็นเพื่อนมึงไง! มึงต้องทำแบบนี้กับแฟน ไม่ใช่เพื่อนอย่างกูนะ”

มันอาจจะแค่อารมณ์ชั่ววูบ แค่ความรู้สึกเก็บกดของมันเท่านั้นก็ได้ ตัวผมเองอาจจะไม่ได้เป็นอะไร แต่เพราะช่วงนี้ไม่เคยได้ชิดใกล้กับใครขนาดนี้ ถึงได้เกิดความรู้สึกแปลกๆ จนควบคุมและหาคำตอบไม่ได้ง่ายๆ

ใช่! มันจะต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน!

“กูก็แค่แสดงให้มึงเห็น จะได้เข้าใจว่าคำว่าตอดของกูเป็นยังไง”

“ฮะ เฮ้ยๆ” ผมได้ยินคำตอบของมันยังไม่หนาวเท่ากับฝ่ามือนั้นที่กำลังลูบไล้ตรงช่วงเอวของผมลงไปเรื่อยๆ

“หืม?”

“มือๆ ไอ้สัตว์ มือมึงน่ะ หยุดลูบสักทีสิวะ!”

“หึหึ” ไอ้ปาหยุดลูบตามที่ผมเตือน แต่ยังไม่ยอมปล่อยให้ผมลงจากตักของมันไปได้ แถมยังกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก นี่ถ้าไม่ติดว่าสภาพมันชวนให้คิดลึกนะ ผมจะนั่งทับให้ขามันชากันไปข้างหนึ่งเลย

แต่ตอนนี้คงไม่ดี ขืนนั่งนานๆ บางทีผมอาจจะโดนท่อนซุงตำก้นเอาได้ เพราะงั้น…ลงจากตักมันอย่างไวเลยดีที่สุด

“ปล่อยสิ กูจะแดกข้าว” สีหน้าของผมเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ ขึงตาใส่มันจนแว่นจะแตกเพราะแรงแค้นอยู่แล้ว แต่ไอ้ปามันเคยรับรู้หรือครับ นั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีเหมือนคนบ้าก็ไม่ปาน

“ไอ้เหี้ยปา! กูจะไปแดกข้าว!” ใช้เสียงก็แล้ว ส่งสายตาก็แล้ว แต่ไอ้คนที่ถูกผมทับกลับไม่ยอมขยับเขยื้อนส่วนไหนที่นอกจากมือ

มันเริ่มลูบผมอีกแล้ว! มันเป็นบ้าหรือไงนะถึงเอาแต่ลูบผมอยู่ได้!

“อะ ไอ้!!”

“โอเค กูปล่อยก็ได้” สมควร จริงๆ มึงควรจะปล่อยกูตั้งนานแล้ว ไม่ใช่อ้อยอิ่งกระทิงแมวอยู่จนกูเมื่อยตูดจากการเกร็ง! แต่ผมก็ได้แค่คิดนั่นล่ะ จะพูดออกไปได้ยังไง เดี๋ยวกัด เดี๋ยวตอด ผมยังอยากมีชีวิตรอดอยู่นะครับทุกคนนนนน

“ไหนข้าว!” เสียงที่ใช้ถามออกจะเต็มไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย โอเค ไม่น้อยก็ได้ ก็ผมไม่ชอบที่มันทำนี่ครับ ไม่ชอบเลยจริงๆ ทำเหมือนผมเป็นผู้หญิงไปได้

“รอสักครู่นะครับ…”

สีหน้ากับรอยยิ้มและเสียงที่ตอบรับผมมันช่าง…ชวนให้เอาตีนไปลูบหน้ามันเหลือเกิน ผมเกลียดท่าทางแบบนี้ของมันจริงๆ ท่าทีที่บ่งบอกว่าเล่นสนุกมากพอแล้วถึงได้ปล่อยไปแบบนั้น ยิ่งทำให้ไฟโกรธในใจของผมมันเริ่มปะทุขึ้นมาอีกรอบ ผมกับไอ้ปาดูท่าคงจะดีหันยากแล้วล่ะครับ

อา…พอคิดแบบนั้นอยู่ๆ หัวใจของผมก็กระตุก แถมยังสั่นอย่างไม่มีเหตุผลอีกต่างหาก

ความจริงแล้วผมควรจะต้องยินดีหรือไม่ก็ดีใจสบายใจไม่ใช่หรือ ที่มันจะเป็นแบบนั้นไปได้สักที ผมจะได้ตัดขาดจากมัน และมันจะได้เลิกวุ่นวายกับผม ก็แค่กลับไปเป็นคนที่ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ ส่วนมันก็กลับไปเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ คงจะมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง มีสาวๆ เข้าคิวให้มันเลือก เราก็แค่ต่างคนต่างอยู่ในจุดที่ตรงกันข้าม และไม่มีวันผสานมันเข้าด้วยกันได้อีก

ใช่…มันคงต้องเป็นแบบนั้นสินะ

ฮ่าๆ เป็นแค่ไอ้นกแท้ๆ จะหวังอะไรมากมายวะ

“เป็นอะไร…” ไอ้ปามันนั่งลงบนส้นเท้าตัวเอง มองหน้าผมที่ก้มอยู่อย่างเป็นห่วงเป็นใย

“เปล่า” ผมบ่ายหน้าหนี กลัวว่าสายตาของผมมันจะยังหลงเหลือความรู้สึกบางอย่างจนมันจับได้ ผมกลัวครับ ยอมรับตรงๆ เลยว่ากลัวมาก

เพราะผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่า สิ่งที่จะสะท้อนออกไปคือความรู้สึกไหนกันแน่

“กินข้าวๆ มึงหิวไม่ใช่หรือ” อา…นั่นสินะ ผมควรเลิกคิดแล้วกินข้าวให้อิ่ม เสร็จแล้วก็จะได้กลับห้องตัวเองสักที

“อืม…”

มันลุกขึ้นมานั่งข้างๆ ผม เราสองคนต่างแกะกล่องข้าวของกันและกัน และเริ่มลงมือกินของใครของมัน ในห้องเงียบมาก แม้ว่าจะมีเสียงจากทีวีดังอยู่บ้าง แต่สำหรับผมแล้วมันเงียบเกินไปจริงๆ ผมมองไปรอบๆ ห้องชุดสุดหรูที่ครั้งหนึ่งไอ้ปาเคยบอกว่า เป็นของญาติและมันแค่มาอาศัยอยู่

ผมอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองต้องโง่ขนาดไหนถึงคิดไม่ได้ ญาติที่ไหนจะใจดีขนาดเอาห้องสุดแพงแบบนี้มาให้พนักงานระดับล่างอย่างพวกผมใช้ เพราะงั้นมันย่อมต้องเป็นของไอ้ปา ไม่ใช่ของญาติห่าเหวอะไรที่มันยกมาอ้างทั้งสิ้น

ยิ่งคิดได้ผมก็ยิ่งอยากจะหัวเราะเยาะตัวเองที่โง่จนไม่หลงเหลือความโง่ให้ใครอีก

ถามว่าผมชอบไหม ใครบ้างล่ะครับจะไม่ชอบความสะดวกสบาย ของสารพัดอย่างที่โคตรจะอำนวยความสะดวก ของแพงๆ ที่ผมเคยเห็นผ่านตาจากในห้างและเว็บขายของ แต่ถึงผมจะชอบมันมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเกลียดมันมากกว่า เพราะมันคือสิ่งตอกย้ำความโง่ของผมที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้ โง่จนถูกเพื่อนตัวเองหลอกมานานเป็นปี

“ไม่อร่อย?” ผมมองช้อนในมือที่เขี่ยข้าวครึ่งกล่องไปมา ถ้าถามผมว่าหิวไหม ผมหอวนะครับ แต่ผมกินไม่ลง

“เปล่า กูอิ่มแล้ว”

“ปกติมึงไม่เคยกินเหลือนี่ เป็นอะไรวะ” ผมเม้มปากแน่น นัยน์ตาไหวระริกแย่างไม่อาจห้าม

“อิ่มแล้วจริงๆ” แม้ว่ามันจะไม่เชื่อผม แต่อาจจะเพราะว่าเมื่อคืนผมเมาหนักมากด้วยล่ะมั้งครับ มันถึงได้เชื่อง่ายหน่อย มันคงคิดว่าผมเมาค้าง แต่ก็ดีแล้วล่ะครับ จะได้ไม่ต้องถามผมอีก

“นก…เฮ้อ ตามใจมึง เดี๋ยวกูไปเอานมมาให้ อย่างน้อยก็กินเข้าไปหน่อย”

ผมพยักหน้ารับ ไอ้ปาจึงเดินเข้าไปเปิดตู้หยิบแก้วออกมาหนึ่งใบ ก่อนจะเดินมาที่ตู้เย็นแล้วเปิดออกเอานมสีขาวออกมาเทใส่แก้ว ก่อนที่จะเดินเอามาให้ผม ผมมองนมสีขาวในแก้วนิ่งๆ รู้สึกไม่อยากกินมันเท่าไหร่ แต่เมื่อรับปากไปแล้วก็คงต้องดื่มเท่านั้น ผมจึงต้องฝืนยกแก้วขึ้นมาจรดริมฝีปาก ยอมฝืนกระดกมันจนหมดแก้วไม่ให้เหลือ จนไอ้ปาที่มองอยู่ยิ้มอย่างพอใจ

“ฮ้า!” เกือบขาดใจตายเพราะแดกนม ดีนะยมบาลไม่อยากให้ผมตายอนาถ ถึงได้ยังไม่ยอมให้ผมขาดใจ

“ปา กูกลับได้หรือยัง”

ปึก!

ผมสะดุ้งกับแรงกระแทกของแก้วน้ำที่อยู่ในมือไอ้ปาลงกับโต๊ะจนเสียงดัง ดีหน่อยที่มันไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมขวัญหนีดีฝ่อได้แล้วล่ะ สายตาของมันมองตวัดมาที่ผมเหมือนไม่พอใจ คล้ายกับว่าผมทำอะไรผิดไปสักอย่าง แต่มันคืออะไรล่ะ?

“ไอ้ปา…” ผมพยายามเรียกมันด้วยเสียงที่อ่อนโยน เหมือนเวลาที่เราเคยเป็นเพื่อนกัน แค่อยากให้มัน…ปล่อยผมไป

“ทำไมต้องรับกลับ? มึงนัดใครไว้หรือไง!!” ผมไม่เข้าใจอารมณ์แปรปรวนของไอ้ปาสักนิด ก่อนหน้านี้ผมเห็นมันก็ยังดีๆ หัวเราะ ยิ้มแย้ม แล้วตอนนี้ทันเป็นอะไรไปอีกล่ะ ผีเข้าหรือ?

“กูจะกลับห้องกูนี่คือกูต้องนัดใครไว้เท่านั้นหรือ? กูไม่มีสิทธิ์กลับไปหรือไงวะ” ผมเองก็เริ่มฉุน เริ่มไม่ชอบใจคำพูดของมันแล้วเหมือนกัน

บ้าอะไรวะ แค่ผมจะกลับห้องหมายความว่าผมต้องนัดใครไว้หรือ?

“ถ้าไม่มีแล้วมึงจะรีบทำไม! ห้องมึงมันไม่หายไปไหนหรอก!!”

“ก็แล้วทำไมกูจะรีบไม่ได้วะ นั่นมันห้องกู! มันคือบ้านกู!”

“ไอ้นก! มึงยอมรับมา! มึงนัดใครไว้! ไอ้เหี้ยหนูใช่ไหม! มึงนัดมันใช่ไหม!” สองแขนของผมถูกมือหนาของไอ้ปายึดเอาไว้แล้วดึงเข้ามาใกล้ แรงบีบที่ต้นแขนทำให้ผมต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ

“โอ๊ย!! มันเรื่องของกูไหม!!!” ผมสะบัดแขนออกจากมือของมันอย่างแรงด้วยความรำคาญ ไอ้ปามองผมราวกับอึ้งสุดๆ ก่อนที่สีหน้าของมันจะโกรธสุดขีด

“นี่มึง!! ...”

ครืดดดด ครืดดดด

‘พี่หนู’

โธ่เอ๊ย…ทีเวลาแบบนี้ล่ะโทรมาถูกจังหวะเหลือเกินนะ ผมเอื้อมมือออกไปจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ แต่ยังไม่ทันได้เอื้อมไปแตะโดนด้วยซ้ำ โทรศัพท์ของผมก็ถูกไอ้ผีบ้ามันหยิบไปต่อหน้าต่อตาเสียก่อน เพียงแค่เห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา ไอ้ปาก็พร้อมจะแปลงร่างปล่อยแสงแห่งหายนะใส่ผมทันที

“ไหนมึงบอกไม่ได้นัดมันไง! นี่รีบขนาดต้องโทรตามกันเลยหรือ?”

ผมว่าไอ้ปาน่าจะสมองบวม ฟังจากเรื่องที่มันแต่งขึ้นมาเป็นตุเป็นตะ

“หรืออดทนรอไม่ไหว จนต้องโทรมาให้ได้ยินเสียง!!!”

ไม่ก็สมองกลับ ผมล่ะอยากลุกขึ้นปรบมือให้กับความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องแย่ๆ ของมันเสียเหลือเกิน อยากจะบอกมันว่ามันควรไปเขียนนิยายขายน่าจะรุ่งกว่า แต่ลืมไปว่ามันรวยอยู่แล้ว คงไม่ต้องปากกัดตีนถีบแบบผมหรอก ไอ้ปาที่เห็นผมเงียบไม่ตอบ มันก็กดรับสายทันที

“….” ไอ้ปาไม่ยอมพูด เอาแต่ฟังเสียงจากฝั่งโน้นโดยไม่ตอบโต้ แต่สีหน้าไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด กลับยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

นี่ผมจะถูกมันฆ่าตายไหม?

“นกมันไม่ว่างคุยกับมึงหรอก ปากมันอม…กูอยู่” ไอ้ปายิ้มเยาะด้วยใบหน้าสะใจก่อนจะตัดสายทิ้งไปไม่คิดจะฟังอะไรจากไอ้พี่หนูอีก ส่วนผม นั่งอึ้งแดกกับคำพูดมันอยู่เป็นนาที ก่อนที่ความโกรธจะเริ่มทำงาน!

“ไอ้ปา! มุงพูดเหี้ยอะไร!!” มันปรายตามองผมอย่างเย็นชา แต่ทว่ากลับส่งยิ้มมาให้

บอกได้เลยว่า โคตรสยอง

“ก็ถ้าไม่ได้นัดกัน ทำไมต้องกลัวมันเข้าใจผิดล่ะ? ทำไมกูจะพูดอะไรแบบนั้นไม่ได้?” พอ พอกันที ผมหมดความอดทนกับมันแล้ว!

“กูจะกลับห้อง!”

“กูไม่ให้กลับ!” ผมถูกไอ้ปาขวางอยู่หน้าประตู สายตาของมันดึงดันไม่ยินยอมอ่อนข้อให้ผม แต่ผมก็ไม่ยอมอ่อนข้อหรือยอมแพ้ต่อมันเหมือนกัน

“กู! จะ! กลับ!” ไอ้ปาจ้องหน้าผมอย่างดุดัน แล้วเดินเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยหนี

“กูบอกมึงแล้วไง ว่าไม่ให้กลับ!” มันกระซิบ กระซิบอีกแล้ว แต่คราวนี้น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความข่มขู่ เหมือนต้องการเตือนว่ามันไม่ใช่ประโยคบอกเล่า แต่มันคือประโยคคำสั่ง

“ไอ้ปา! ถอยเดี๋ยวนี้!”

“กูไม่ยอมให้มึงไปหามันหรอก!” มันพูดบ้าอะไร

“กูบอกว่าไม่ได้ไปหาใครไงวะ จะกลับห้อง กูจะกลับห้องของกู!!!” ผมเริ่มจะคุมตัวเองไม่อยู่แล้วนะ ถ้ามันยังไม่เลิกบ้า ผมกับมันได้มวยกันจริงๆ แน่

“มึงโกหก! มึงจะไปหามันใช่ไหม! กูไม่ให้ไปหรอก ไม่ให้ไป!!”

ผลัวะ

ผมบอกแล้วว่าคงได้มวยกันแน่ถ้ามันไม่เลิกบ้า!

ไอ้ปาที่ถูกผมต่อยชะงักไปอย่างนึกไม่ถึง แน่ล่ะ ใครจะไปคิดว่าไอ้นกที่ตัวบางๆ ขี้ก้างๆ จะมีแรงต่อยเรียกสติไอ้ปาตัวใหญ่อย่างกับควายได้ แต่ผมก็ต่อยมันไปแล้ว อย่าว่าผมบ้าเลยนะครับ แต่ผมโคตรรู้สึกดีเลยวะ อยากต่อยอีกสักหมัดจัง

“เลิกบ้าแล้วสินะ ทีนี้จะหลบกูได้หรือยัง?” แววตาของไอ้ปาเริ่มกลับมาปกติ นัยน์ตาคู่นั้นมีแววสับสน มึนงงและเจ็บปวด ซึ่งมันทำให้ผมไม่อยากจะมองเลยสักนิด ผมมันคนใจอ่อน ขี้สงสาร ยิ่งเห็นว่ามัน…กำลังเจ็บ ผมยิ่งกลัวว่าตัวเองจะยอมให้อภัยมันทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ผมยังไม่ยอมให้อภัย

“นก…อย่าไปเลยนะ อยู่กับกูก่อนนะ” น้ำเสียงของมันเว้าวอน เสียงที่เปล่งออกมาคล้ายการอ้อนวอนต่อผม มันสั่นใจผมได้จริงๆ จนผมต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนตัวเองเอาไว้ให้เข้มแข็ง

“ปา…กูต้องกลับห้อง กูอยู่ที่นี่ไม่ได้” มันไม่ใช่ที่ของกู

“นก กูอยู่คนเดียวมึงเห็นไหม ถ้ามึงไป กูอาจจะลืมกินข้าว ลืมอาบน้ำ หรือ…อาจจะลืมหายใจก็ได้นะ” เอ่อ ลืมกินข้าวยังพอทน ลืมอาบน้ำยังพอเข้าใจได้ แต่ลืมหายใจนี่ไม่ใช่ว่าตายหรือครับ แล้วคนเรามันลืมได้หรือ การลืมหาย

“มึงไม่ลืมหรอกไอ้ปา มันคือสิ่งที่มึงทำอยู่ทุกวัน มันไม่มีทางลืมง่ายๆ” ไอ้ปาจับมือผมขึ้นมากุมเอาไว้ สายตาจับจ้องเข้ามาในแววตาของผมอย่างจริงจัง จนไม่รู้ว่ามันอยู่ไม่ได้จริงๆ หรือแค่หาข้ออ้างให้ผมไม่ไป

“ขอร้อง…อยู่กับกูก่อนนะ แล้วเราไปซื้อของมาทำกินกันไง มึงชอบทำกับข้าวนี่ กูก็ชอบกินฝีมือมึง นะนก เดี๋ยวกูออกค่าของเอง แค่มึงยอมอยู่ อะไรก็ได้ทั้งนั้นนะ”

ลังเล สับสน ไม่แน่ใจ ผมควรเดินออกไป ควรจะตัดสินใจให้เด็ดขาดแต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมสงสาร เห็นใจ

ก็ได้!! ผมเห็นแก่กิน อย่ามาทำเป็นรู้ดีนะ! ฮึ!

“ห้องกูมีอ่างด้วยนะ เวลานอนแช่โคตรสบายเลย”

โอเค ผมอยู่ต่อ ทำไมล่ะ ก็ห้องผมไม่มีนี่!

“ได้! แค่วันนี้นะ” ไอ้ปายิ้มจนตาปิด หมดกันลุคหล่อๆ แบดๆ ที่สะสมมา ลักษณะตอนนี้ โคตรลูกหมาเลยครับ ฮ่าๆ

“ได้ๆ แค่วันนี้ก่อน (วันหลังค่อยว่ากันใหม่) ก็ได้” เหมือนได้ยินอะไรที่ไม่ใช่ประโยคสั้นๆ แต่ช่างเถอะ เอาเป็นสนใจของกินกับอ่างก่อนดีกว่า วันนี้จะได้ลงอ่างแล้ว~

“ที่จริง…มึงไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้นะ แค่กูจะไปหรือจะอยู่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย” ถึงจะบ่นแบบนั้นแต่จริงๆ ผมออกจะตื่นเต้นดีใจมากจนแทบจะลอยติดเพดานเลยล่ะ แต่ยังไงก็ต้องเตือนไว้ก่อน ถึงยังไงมันก็เป็นพะ…ไม่สิ ไม่ใช่เพื่อนแล้ว เอาเป็นเพื่อนร่วมงานก็แล้วกัน ลูกเจ้าของบริษัท อนาคตก็คงเป็นเจ้านายของผม ถึงเวลานั้น คำว่าเพื่อนร่วมงานก็คงใช้ไม่ได้แล้ว ระหว่างที่ผมคิดไร้สาระมากมายไอ้ปากลับเดินเข้ามาซ้อนหลังผมแล้วกระซิบคำพูดข้างๆ หูประโยคเดียว ที่ทำให้ผม…ใจสั่นจนเต้นแรง

“เพราะนกสำคัญไงครับ”

บ้าจริง! ใครสั่งใครสอนให้พูดกับผู้ชายแบบนี้วะ!! ผมจะเอาระเบิดไปปาบ้านมัน!!!!

ไอ้บ้า! ไอ้ปา! เขินเป็นนะเว้ย







TBC





เพราะนกสำคัญไงครับ กรี๊ดดดดด แมวรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูเลยค่ะ โยนหัวใจใส่ปารัวๆเลย

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่9.นกตัวนี้สำคัญมาก 100% up. 30/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 30-11-2019 19:41:59
ปามันเหมือนคนโรคจิตเลย นกกรูจะโดนฆ่าไหมเนี้ย
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่9.นกตัวนี้สำคัญมาก 100% up. 30/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 30-11-2019 23:00:54
นกต้องดัดนิสัยปาบ้าง
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่9.นกตัวนี้สำคัญมาก 100% up. 30/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 01-12-2019 20:50:35
ปาต้องมีปัญญาจิตทางแน่ๆ  :sad4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่10.นกกับตำแหน่งใหม 50% up. 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 07-12-2019 09:41:50
[10]

ตอนที่10.

นกกับตำแหน่งใหม่ 

ให้ตายสิ ใครจะไปรู้ว่าการที่ผมตกปากรับคำ ยอมไปนอนค้างบ้านของมันเพราะเห็นแก่อ่างอาบน้ำใบใหญ่ของมัน จะเป็นการทำร้ายตัวเองแบบนี้ เมื่อคืนตอนผมอาบน้ำอย่างสบายตัวนั้น จู่ๆ ไอ้ปาก็แล่นเข้ามาบอกผมว่าจะขออาบด้วยเพราะมีแค่ห้องเดียว ผมแทบจะถีบมันออกไปด้วยสองเท้าเลยล่ะ แต่ติดที่ผมกำลังโป๊ทั้งตัวนี่สิ ผมจึงได้ทำได้แค่ขู่มันไปว่าถ้าหากมันจะอาบพร้อมผม ผมก็จะกลับไปนอนที่บ้าน ยังดีที่มันพอจะพูดด้วยภาษาคนรู้เรื่องบ้าง มันจึงยอมออกไปด้วยท่าทางที่โคตรเต็มใจ

ผมรู้ว่านี่อ่างมัน แต่ผมอาบอยู่ไง จะมาอาบด้วยกงด้วยกันได้ยังไง! สาวๆ ยังไม่เคยอาบกับผมเลยนะ นี่มันเป็นแค่เพื่อนจะมาอาบกับผมได้ยังไงเล่า

อ้อ…ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าอดีตเพื่อนต่างหาก

คิดถึงตรงนี้แล้วก็หงุดหงิด แต่เดี๋ยวก่อน…ยังไม่จบแค่นั้น

กลางคืนห้องไอ้ปาโคตรหนาว ไม่รู้ว่าแอร์ห้องมันส่งตรงมาจากขั้วโลกเหนือหรือเปล่า ถึงได้ทำเอาผมนอนสั่นแทบจะทั้งคืน ต้องซุกตัวเข้าไปหาไอ้ปาอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ผ้าห่มก็ผืนเล็กเหลือเกิ๊นนนน ไม่รู้ว่างกอะไรหนักหนา ทั้งที่รวยแท้ๆ แต่ผ้าห่มหนาๆ ใหญ่ๆ สักผืนก็ซื้อไม่ได้หรือไง แต่ก็บ่นอะไรไม่ได้หรอกครับ ทำได้แค่นอนรับชะตากรรมร่วมกันไป พอผมดึงผ้าห่มมาทางผมมากหน่อย ไอ้ปาก็ตัวสั่นจนผมต้องยอมขยับเข้าไปนอนใกล้ๆ แบ่งๆ กันใช้ไป

น่ารักแล้วยังใจดีไม่มีใครอีกแล้วนอกจากนกเอง~

พอลืมตาตื่นเช้ามา สิ่งที่ผมเห็นตอนส่องกระจกคือ รอยแดงครับ รอยแดงเต็มคอเลย!

ตัวเหี้ยอะไรกัดกูวะแม่งเอ๊ย!

เห็นแบบนั้นผมอึ้งนะครับ ใครจะคิดว่าห้องที่ดูแพงฉิบหายวายวอดจะเลี้ยงเพลี้ย เลี้ยงยุงเอาไว้ล่ะ ถ้าผมรู้ก่อนหน้านี้ผมคงไม่ยอมนอนห้องมันแน่ แดงเถือกเหมือนโดนรุมกัดทั้งฝูงแบบนี้ เดินไปไหนก็อายคนครับ หรือว่าจะให้ผมใส่ผ้าพันคอ

ไม่ไหวๆ แบบนั้นคงน่าสงสัยกว่าเดิมอีกมั้งครับ

“เฮ้อ…” เอาเถอะ ใส่กระดุมจนเม็ดบนสุด เดินก้มๆ หน้าลงหน่อยคงไม่มีใครเห็นหรอก อีกอย่างคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เห็นผมอยู่ในสายตาอยู่แล้วด้วย เพราะงั้นไม่น่าจะมีอะไรให้ห่วง

พอคิดแบบนั้น จากความกังวลก็เปลี่ยนเป็นสบายใจทันที ผมนั่งทำงานตามปกติโดยไม่ได้สนใจใครรอบข้างคนไหนอีก ยุ่งกับคนอื่นให้น้อย งานก็จะไม่มาก เรื่องวุ่นวายก็ไม่ดี ชีวิตก็จะดีขึ้นมาเอง~ แน่นอนว่าผมเพิ่งจะถือคตินี้ ไม่ต้องถามนะครับว่าเพราะใคร

ก็ไอ้คนที่มันลากผมไปแดกเหล้าแต่ดันทิ้งผมไว้ร้านเหล้าแถมยังให้ไอ้ปามาลากคอผมกลับห้องมันอีก

ครับ…ไอ้พี่หนูนั่นล่ะ

หลังจากที่มันทิ้งผมไว้ ส่วนตัวเองก็กลับบ้านไปอย่างสบายใจ ผมก็ได้รับโทรศัพท์สายพิเศษจากพี่มันที่ถามด้วยน้ำเสียงโคตรกวนส้นตีนว่า

‘ไงมึง…โดนเอาไปกี่ที’

พ่อมันสิโดนเอา!

ผมกับไอ้ปาแค่เพื่อนกันธรรมดาไหม ถามมาแบบนี้ก็ย่อมต้องโดนผมด่ากลับไปอยู่แล้วครับ ไม่เหลือรอดหรอก แต่ผมที่ยังบ่นไม่อิ่ทกลับต้องถูกไอ้ปา ไอ้เพื่อนสารเลวกระชากเอาโทรศัพท์ไปคุยเองหน้าตาเฉย มันทำเหมือนกับว่าโทรศัพท์ผมเป็นของมัน พอคุยจบแทนที่มันจะคืนมาให้ผม มันกลับทั้งค้น ทั้งหา ทั้งรื้อจนแทบจะทุกซอกทุกมุมของโทรศัพท์เลยทีเดียว บางทีผมก็อยากจะบอกมันเหมือนกันว่าเอาไปใช้เลยไหม กูยกให้ เฮอะ!

“อ้าว…ไอ้นก มาทำงานแต่เช้าเลยนะมึง” ผมอยากจะกลอกตาใส่สักเจ็ดสิบรอบ เอาให้ลูกตาทั้งขาวดำปั่นรวมกันไปเลยได้ยิ่งดี นี่พี่มันกวนผมในโทรศัพท์เมื่อวานไม่พอใช่ไหม น้ำเสียงที่ใช้ทักทายผมถึงได้ดูกวนเบื้องล่างขนาดนี้

“ยังมั้งพี่ ที่เห็นนี่คงเป็นโฮโลแกรม”

ป้าบ

นั่นไง! กูว่าแล้ว

“พี่แม่ง! ตบหัวผมทำไมวะเนี่ย!” เจ็บฉิบหาย แรงที่ตบลงมาก็ไม่ใช่เบาๆ พี่หนูมันควรจะรู้ได้แล้วนะว่าพี่มันแรงควาย แม่ง…ถ้าผมฉี่ใส่ที่นอนใครจะซักวะ!

“ตบหัวมึงอ่ะดีแล้ว เกิดกูตบตูดมึง เดี๋ยวจะระบมเปล่า” ไอ้ท่าทางมั่นอกมั่นใจกับสีหน้าคล้ายๆ ล้อเลียนคืออะไร ทำไมผมตีความไม่ออก ผมเลยทำหน้าโง่ๆ เอียงคอเล็กน้อยด้วยความบ้องแบ๊วกลับไป

“ระบม??” พี่หนูมันคิ้วกระตุกก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ๆ โน้มตัวลงมากระซิบกระซาบกับผมราวกับว่าเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้เป็นความลับระดับชาติ ที่ถ้าหากมีใครได้ยินขึ้นมาจะถูกพาไปปรับทัศนคติ แค่กๆ

“อย่าบอกนะว่า มึงยังซิง” ผมขมวดคิ้ว ผมซิงทำไมต้องกระซิบ แต่คิดไปคิดมา ควรจริงๆ นั่นล่ะ สาวๆ ไม่ปลื้มผู้ชายไร้ประสบการณ์

“ซิงดิพี่ ผมมีแฟนที่ไหนล่ะ สาวๆ แม่งไม่แลแม้แต่หางตา”

พูดแล้วเศร้า อยากแดกเหล้าอีกแล้วอ่ะ

“เฮ้ย! นี่มึงยังไม่ถูกไอ้ปาจับแดกหรือวะ! เป็นไปได้ไง!” พี่หนูมันตาโตจนแทบจะถลนออกมากองอยู่ข้างนอก สีหน้าพี่มันดูอึ้งๆ เหมือนไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่

“แล้วทำไมผมต้องโดนมันกินด้วยวะพี่ ผมไม่ใช่พิซซ่านะ!”

แดกได้ที่ไหนกัน เฮอะ!

พี่หนูมันกลอกตาใส่ผม สีหน้าเหมือนกับรำคาญผมจนถึงจุดที่เรียกได้ว่าเอือมระอา ทั้งที่ผมว่าผมออกจะนิสัยดี นิสัยน่ารัก ใครๆ เห็นก็ควรจะต้องหลงรักผม ยกเว้นสาวๆ ที่แม้ว่าผมจะน่ารักแค่ไหนก็จะมองผมด้วยสายตาแบบ ยี๋ ขยะแขยง

“ไอ้นก ไอ้ควาย ไอ้โง่ ไอ้ตัวบรมโง่ ในนั้นมึงมีสิ่งที่เรียกว่าสมองไหม หา!”

“มีดิพี่ คนเราต้องมีสมองสองซีกอยู่แล้ว พี่ก็ถามอะไรโง่ๆ เนอะ” ถามอะไรไม่คิด ถามเหมือนที่โรงเรียนไม่สอน ไม่ไหวๆ ผมไม่อยากคุยกับพี่หนูเลย กลัวติดเชื้อความโง่กลับมา สงสัยจังว่าพี่มันจบจากที่ไหนมา ผมจะได้บอกน้องบอกลูกๆ หล่นๆ ไม่ให้ไปเรียน สงสารเยาวชนของชาติจริงๆ เฮ้ออ…

“ไอ้เหี้ย! โอ๊ย กูต้องด่ามึงแบบไหนให้มึฉลาดขึ้นมาได้บ้างวะ แม่งเอ๊ย!!!”

เออ สงสัยจะวัยทอง คนบ้าอะไรอารมณ์เสียได้แม้แต่เรื่องด่าคน นี่พี่มันอารมณ์แปรปรวนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ สงสารพี่หนูจัง ถ้าผมมียาปรับสภาพอารมณ์จะจัดให้พี่มันสักเม็ด

“พี่เป็นไรวะ เป็นบ้าหรือวะ ทำไมวันนี้พี่แม่งเหวี่ยงๆ วีนๆ แปลกๆ” ผมหรี่ตามองพี่หนูที่ชะงักอย่างจับผิด เนี่ยยยย มันต้องมีอะไรแน่ๆ พี่มันต้องปิดบังอะไรไว้แน่ๆ เห็นไหมครับ ผมฉลาดจะตาย ไม่ได้โง่อย่างที่พี่หนูมันพูดเสียหน่อย ไอ้พี่หนูมันนั่นล่ะที่โง่ เฮอะ!

“อะไร? ใครเหวี่ยง? ใครวีนนนน” เออ แล้วแต่พี่มึงเถอะครับ เอาที่พี่มึงสลายใจเลย ผมได้แต่โยกศีรษะไปมาอย่างปลงตกในความปากแข็งของพี่มัน

“พี่หนู! ทำไมพี่ทิ้งให้ผมกลับกับไอ้ปาวะ!” เนี่ยยย อารมณ์ผมขึ้นเลย หงุดหงิดมาก แทนที่พี่มันจะเก็บเด็กหลงทางอย่างผมไปปล่อยไว้ที่บ้านพี่มันสักตัวไม่มีหรอก ทิ้งกูแล้วสะบัดตูดหนีกูไปเฉยเลย ฮึมมม คิดแล้วโมโห

ผมนั่งจ้องหน้าพี่มันด้วยสายตาคาดคั้นความจริง สองมือกอดอกเหมือนเวลาที่คุณครูกำลังรีดเค้นความจริงจากเด็กนักเรียน มาสิ! แก้ตัวมา ไม่เข้าหูเมื่อไหร่ผมจะแหกปากให้ลั่นบริษัทแม่เลย! คนพี่เห็นแก่ตัว!!!

“อะไร๊…กูไม่ได้ทิ้งมึงเถอะนก” แล้วหลบตากูทำซากเห็ดอะไรวะ

“เหรอออออออ” ฟังจากน้ำเสียงเอาเถอะว่าผมเชื่อไหม

“เออดิวะ นั่นกูแค่…แค่…”

“แค่นานเนอะ แค่พี่นี่แม่งยาวถึงเชียงใหม่แล้วล่ะ”

“แค่ไปส่งไอ้อาร์ตไง เออใช่ๆ กูคิดว่าไปส่งอาร์ตมันเสร็จก็จะมารับมึง”

พี่คุยกับตัวเองให้มั่นใจก่อนไหมวะพี่หนู ฟังแล้วตัวพี่มันเองแม่งยังไม่มั่นใจในคำตอบของมันเองเลย แล้วผมจะเอาอะไรไปเชื่อออ อยากจะด่าพี่มันอีกสักรอบแต่ก็สงสารสีข้างที่แถไปเมื่อกี้ ท่าทางแผลน่าจะลึกใช้ได้เลยนะนั่น ว่าแต่ทำไมพี่หนูมันต้องหน้าแดงวะ แถมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มอีก นี่มีอะไรที่พี่มันไม่ยอมเล่าให้ผมฟังใช่ไหม!!

ต่อมเสือกทำงานเลยคร้าบบบบ

“ผมเชื่อ…ถ้าพี่ยอมเล่าว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น” พี่หนูมันผงะทันทีที่ผมลุกขึ้นไปจ้องหน้าพี่มันในระยะประชิด ชิดมากครับ ชิดจริงๆ กลัวพี่มันบ่ายเบี่ยงไง

“เกิดอะไรของมึง!!” เสียงสูงทำไม…

“แน่ใจ?”

“แน่!!” แน่…แต่หลบตาแถมหน้าแดงเข้าไปอีก พี่หนู พี่แม่งเนียนมาก เนียนกว่าพี่ก็เด็กอนุบาลแล้วล่ะครับ

อยากกุมขมับแล้วเครียดตายจริงๆ

“แล้วพี่จะหน้าแดงทำไมวะถ้ามันไม่มีอะไร” พี่หนูมันจับหน้าตัวเอง ขึงตาใส่ผมแล้วถามว่า

“ใคร…ใครหน้าแดง” กูมั้ง กลอกตาได้ไหม เบื่อคนไม่เนียน

“ขอความจริงดิวะพี่” พี่หนูมันชะงักก่อนที่สายตามันจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ ดวงตาพี่หนูแม่งโคตรวิบวับ

“กูจะเล่า…ถ้ามึงบอกว่ารอยที่คอมึงได้มายังไง” ผมสะดุ้งกับปลายนิ้วพี่มันที่จิ้มมาที่บริเวณลำคอของผม แม่ง…นั่นจุดอ่อนเลยนะ

“เอาดิ…” แค่รอยแมลงกัดทำไมจะเล่าไม่ได้ โธ่เอ๊ย

“มึงเล่ามาก่อน”

“พี่นึกว่าผมโง่หรือ ผมเล่าก่อนพี่ด็ไม่เล่าดิ พี่นั่นล่ะเล่ามา!” ผมได้ยินเสียงพี่หนูมันจิ๊ปากอย่างขัดใจ ช่างดิ ไม่สนใจหรอก ผมขอแค่ได้เสือกก็พอ

“เล่าดิ!!” ผมเร่งเมื่อเห็นว่าพี่มันอ้อยอิ่งตีฉิ่งกับแมวอยู่นาน

“กูพามันไปส่งบ้าน…กู แค่นั้น” ห๊ะ? แค่นี้ แค่นี้! แค่นี้แล้วจะหน้าแดงหาพระแสงอะไรเล่าโว้ย!!!!!

นอกจากหงุดหงิดจนแทบจะเรียกว่าเกือบระเบิดแล้ว ผมยังรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่านั้นแต่พี่มันไม่ยอมเล่าไง โธ่เอ๊ย! มาทำให้อยากแล้วจากไป ไอ้พี่หนู! ไอ้คนนิสัยไม่ดี!!

“ตามึงแล้ว เล่ามา รอยบนคอมึงล่ะ” ผมชักสีหน้าอย่างไม่ชอบใจ กระแทกเสียงตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

ขี้โกงฉิบหายเลยวะ

“ตัวเหี้ยอะไรไม่รู้กัด!”

พรืด

“ฮ่าๆ มึงโกหกไม่เนียนเลยไอ้นก รอยแบบนี้ใช่รอยแมลงกัดที่ไหน ฮ่าๆ” ผมมองพี่หนูด้วยความสงสัย แน่ล่ะไม่สงสัยสิครับแปลก ถ้าไม่ใช่รอยกัดจากแมลง แล้วมันจะเป็นรอยอะไรไปได้ล่ะจริงไหม?

“เฮ้ย ผมพูดจริงนะพี่ ห้องไอ้ปาแม่งไม่รู้เลี้ยงตัวเหี้ยอะไรไว้ กัดผมได้กัดผมดี นี่สงสัยมันคงอาศัยตอนผมกำลังหลับสบายมากัดผมแน่ๆ พูดแล้วมันน่าหาอะไรไปฉีดให้ตายจริงๆ”

“หืม ไอ้นก มึงไม่รู้จริงดิ?” พี่หนูมันหรี่ตามองผมอย่างต้องการจะจับผิด ส่วนผมก็นั่งงงไปสิว่าพี่มันจับผิดอะไร ก็ผมมีอะไรให้จับผิดที่ไหนกัน ผมพูดความจริงล้วนๆ

“รู้อะไรวะพี่ พี่ชักเริ่มจะแปลกๆ แล้วนะ”

“ช่างมันเถอะ งั้นกูถามหน่อย เวลามึงไปนอนห้องไอ้ปา มีรอยแบบนี้บ่อยไหมวะ?” เวลาไปนอนห้องไอ้ปาหรือ อืม….

“คราวก่อนก็ไม่เป็นนะพี่ รอบนี้สงสัยว่ามันจะไม่ได้ทำความสะอาดมั้ง ทำไมเหรอพี่?” พี่หนูมันยักไหล่ แต่แววตาวาววับราวกับว่ารู้อะไรบางอย่าง

“ก็เปล่า…กูแค่ถามดู” เฮอะ! เชื่อพี่ผมก็ออกลูกเป็นควายแล้วล่ะ

“ว่าแต่พี่เถอะ เมื่อคืนพี่คุยอะไรกับมันวะ ไอ้ปาแม่งแทบจะแดกหัวผมเข้าไป ดีนะมันไม่จับผมยัดส้วมแล้วกดทิ้ง” ยังสยองจากสายตาของไอ้ปาเมื่อคืนไม่หาย คนอะไรโกรธโทรศัพท์แต่มาจ้องผม

“ก็ไม่มีอะไรมาก กูก็แค่แกล้งแหย่มันนิดๆ หน่อยๆ เอง” ผมตวัดสายตามองพี่หนูที่มันทำท่าทางสนุกสนานด้วยแววตาโกรธแค้นทันที เพราะพี่มันนี่เองที่ทำให้ผมเกือบถูกฆ่าตายในห้อง ฮึ่มมมม!

“ที่แท้ก็พี่นี่เอง ตายซะ!!”

“ดะ เดี๋ยวๆ เฮ้ยยยย”

ผมไม่ฟงไม่ฟังอะไรอีก รีบโถมตัวเข้าไปขย้ำไอ้พี่หนูมัน หวังจะเอาเล็บกุมๆ กับตัวผอมๆ ฆ่าพี่หนูมันให้ตาย เอาให้มันตายอนาถจนขายขี้หน้ายมบาลในนรกเลย ข้อหาทำให้ผมเดือดร้อน นอนผวาไอ้ปากลัวมันจะลุกขึ้นมาฆ่า แม้ว่าสุดท้ายผมจะหลับสนิทชนิดที่ใครปลุกก็ไม่ลุกก็ตาม

“เฮ้ย/โอ๊ย!”

จากการฆ่ากัน กลับกลายเป็นฉากรักโรแมนติก ถุ้ย ไม่ใช่สิต้องบอกว่ามันเกิดความผิดพลาดขึ้นมาเพราะผมดันกระโดดโถมตัวเข้าไปแบบนั้น จังหวะที่พี่หนูมันถอยหลบดันมีผมที่เข้าไปถึงตัวพอดี การทรงตัวที่ไม่มั่นคงเลยทำให้ผมล้มทับไอ้พี่หนูจนหน้าเราห่างกันแค่คืบเดียว

แต่เจ็บชะมัดเลยโว้ย

ผมรู้นะว่าผมผิดที่กระโจนเข้าใส่พี่มันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่การที่เราสองคนล้มลงไปแถมผมยังทับพี่มันอยุ่มันก็คืออุบัติเหตุไหมครับ แล้วอะไรที่ทำให้พี่หนูมันต้องหยิกเอวย้วยๆ ของผมแบบนี้ด้วยวะ บิดเฉยๆ เบาๆ แบบการตักเตือนก็ไม่ได้ เพราะไอ้พี่หนูมันดันบิดชนิดที่เรียกว่าไม่ห่วงถ้ามันจะหลุดติดมือมา ผมนิ่วหน้ากัดริมฝีปากแน่นไม่ยอมร้องออกมา ขณะที่ขอร้องพี่มันทางสายตาว่าให้ปล่อยไขมันน้อยๆ ของกูไปเถอะ มันจะขาดอยู่แล้ว แต่สายตาไอ้พี่หนูมันดันเต้มไปด้วยความ…

สะใจครับ ไม่ใช่สงสารหรือเห็นใจใดๆ สะใจพี่มันล้วนๆ

ไอ้พี่เวร!

“นก!!”

“ไอ้นก!!!” เสียงเรียกชื่อผมของคนสองคนที่ยืนห่างอยู่ไม่ไกลเรียกให้ผมต้องหันไปมอง ไอ้ปากับพี่อาร์ตมองผมกับไอ้พี่หนูด้วยแววตาตื่นตะลึง นั่นคือแววตาของพี่อาร์ตนะครับ ส่วนไอ้ปา…ตามันโคตรน่ากลัว ไอ้ปาค่อยๆ เดินเข้ามาหาผมกับพี่หนูช้าๆ ไม่รู้พี่หนูมันเฮี้ยนอะไรขึ้นมา พอเห็นว่าไอ้ปาขยับตัวเดินมาหา มือที่หยิกเอวผมอยู่ก็เปลี่ยนเป็นลูบมันเล่นแทบ ทำเอาขนผมลุกแทบจะทั้งตัว

“อ๊ะ!” ยังไม่ทันที่ขนบนล่างจะกลับลงไปนั่ง ตัวผมก็ถูกดึงกระชากจนร่างกายของผมปลิวขึ้นไปยืนอยู่ในอ้อมแขนไอ้ปาอย่างงงๆ สมควรงงไหมล่ะ มีแต่คนถูกดึงแล้วล้มลงไปนั่งกับพื้น ผมนี่รู้สึกได้เลยว่าเท้าลอยจากพื้น แต่เสือกยืนด้วยท่าโคตรสวย นักกีฬาเห็นยังอายเลยครับ

“ทำอะไรกัน!” ไอ้ปาจ้องหน้าผมอย่างคาดคั้น ผมหันหลบไม่อยากตอบมัน แต่ทั้งหมดที่ผมทำไปก็เพราะความมึนล้วนๆ ครับ ไม่ได้มีเจตนาที่จะยั่วโมโหมัน แต่กลับกลายเป็นผมที่ถูกมือหนาบีบต้นแขนที่ถูกโอบไหล่ไว้อย่างแรง

เจ็บเอวจากไอ้พี่หนูไม่พอ นี่แขนกูก็จะช้ำเพราะไอ้ปาอีกหรือ

ชีวิตนกๆ นี่บัดซบเอาเรื่องเหมือนกันนะ

“กูถาม!” ได้ยินเสียงมันกัดฟันกรอดดังลอดออกมาแล้วรู้สึกน่ากลัวพิลึก

“ไม่ได้ทำ” ผมตอบเสียงอ่อย ไม่ๆ ไม่ได้อ่อยมันนะ ผมไม่ได้กลัวด้วย จริงๆ นะ!

“ไม่ได้ทำแล้วไปนอนทับบนตัวมันทำไม! ชอบมันหรือไง หา!!” ผมตวัดสายตาใส่ มองด้วยแววตาแข็งๆ ด้วยความไม่พอใจ ดูมันพูดกับผมนะ ดูมันพูด ไหนจะสายตาคาดคั้นที่เหมือนผมเป็นนักโทษของมันอีก ผมเป็นเพื่อน…หมายถึงอดีตเพื่อนของมันนะ! พูดจากเหมือนหลุดออกมาจากตูดควายแบบนี้ สมควรกลับไปเป็นเพื่อนด้วยไหม!

“เสือก!” เห็นไหม ปากผมมันก็ไวแบบนี้ล่ะ ใครใช้ให้มันมาพูดจาเหมือนหมาเห่ากับผมแบบนี้ล่ะ ผมไม่ชอบ!

“ไอ้นก!”

“ไอ้ปา!!” เอาสิ! คิดว่าตะโกนเป็นเดียวหรือไง เฮอะ!

“ลุกได้แล้วมึงน่ะ จะนอนเป็นพรมเช็ดตีนอีกนานไหม กูจะได้หาคนมาแทนตำแหน่งมึง” ในขณะที่ผมกับไอ้ปายังคงยืนจ้องหน้ากัน พี่อาร์ตก็เดินเข้าไปจ้องไอ้คนที่ยังไม่ยอมลุกด้วยแววตาที่เรียกได้ว่า เกลียดขี้หน้ากันมาสักสิบชาติก็ไม่ปาน ตกลงแล้วคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ พี่อาร์ตถึงได้มองพี่หนูประหนึ่งกองขี้ที่ติดฝ่าเท้า

เอ๊ะ? ผมเปรียบถูกไหมนะ??

พี่หนูลุกขึ้นด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังออกมาจากลำคอ ตอนที่ยืนขึ้นมานั้น สายตาของพี่หนูก็จับจ้องมองโต้ตอบกับไอ้ปาที่หันไปมองหน้าพี่มันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ อยากจะจับพี่มันมาเฉือนมาสับให้เป็นชิ้นๆ

อะไร! ผมไม่ได้ใส่อารมณ์ส่วนตัวเลยนะ! นี่ตามสายตาของไอ้ปาจริงๆ! เชื่อผมสิ!

“มีปัญหาอะไรครับ ท่านประธาน” ผมสะอึก หลงลืมไปว่าแท้จริงแล้วไอ้คนที่มันยืนข้างๆ ผมตอนนี้เป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทเป็นท่านประธานของทุกคน

แล้วผมเป็นใครถึงกล้าไปขึ้นเสียง

เป็นแค่พนักงานแท้ๆ มิน่าล่ะ ทุกคนถึงทำหน้าตาไม่พอใจที่ผมยืนเถียงกับไอ้ปา

“ขอโทษด้วยครับท่านประธาน ผมเสียมารยาทแล้ว” ก่อนที่จะเกิดสงครามระหว่างพี่หนูกับไอ้ปามัน ผมต้องรีบขอโทษไปก่อน จะได้ไม่เกิดเรื่องอะไรร้ายๆ ตามมา อย่างน้อยก็ลดสายตาที่จับจ้องมาทางมไปได้บ้าง

ไอ้ปาขมวดคิ้วเหมือนกับเวลาที่มันไม่พอใจและไม่ชอบใจมากๆ และผมก็รู้…ว่ามันเป็นเพราะอะไร มันเป็นเพราะผมเรียกมันแบบนั้น ใช้คำว่าท่านประธานทำให้มันและผมอยู่กันคนละชั้น ให้มันรู้ว่าผมไม่อาจเอื้อมไปต่อล้อต่อเถียง ยอมก้มหัวให้กับฐานะที่กุมชะตาเอาไว้ และนั่น…ยิ่งทำให้เราสองคน ยิ่งห่างกันออกไปไกลเหลือเกิน

สายตาของมันสะท้อนหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ผมคงจะโกหกถ้าจะบอกว่าผมมองไม่เห็นและไม่เข้าใจมัน รู้ดีว่าตัวเองแค่งี่เง่าเอาเรื่องนี้มาทำให้มันถอยห่างออกไปจากผม แต่ใครไม่เป็นผมไม่มีทางเข้าใจ ว่าผมเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน ทั้งที่คนตรงหน้าเป็นเพื่อนที่ผมรักมาก แต่มันกลับทำร้ายผมด้วยความเห็นแก่ตัวของมัน ทำให้ผมต้องเป็นไอ้โง่มานานหลายปี โดยไม่เคยคิดจะบอกความจริงให้ผมได้รู้

เป็นธรรมดา มันคงคิดว่าผมจะมาเกาะมัน จะมาปีนป่ายขาของมันจนน่ารำคาญถ้าผมรู้ว่ามันเป็นใคร

“หึ…” ไอ้ปาปรายตาไปมองพี่หนูที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยแววตาเข้มขึ้นจนน่ากลัว แต่อาจจะเพราะผมตอนนี้กำลังน้อยใจ กำลังเสียใจถึงได้กลัวมันน้อยลง

“ไอ้นก…มึงไปกับกู!”

“ไม่ไป” ผมขืนแรงที่กำลังจับจูงผมไปไหนก็ไม่รู้ เรื่องอะไรผมต้องไปด้วยล่ะ เป็นเจ้านายแล้วยังไง นี่ก็เวลาทำงานไหม จะมาลากผมไปไหนมาไหนแบบนี้ไม่ได้หรอก

“ไอ้นก!”

“นี่เวลางานครับเจ้านาย ผมต้องทำงาน ผมยังต้องคุยงานกับพี่หนูอีก ไม่ว่างไปเป็นเพื่อนเล่นกับคุณหรอก” สีหน้าของไอ้ปาย่ำแย่ แต่มือที่จับข้อมือของผมอยู่นั้นไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย หนำซ้ำมันยังเพิ่มแรงขึ้นอีก สะบัดออกก็ไม่ได้ด้วย ลำบากกว่าผมมีอีกไหมครับ

“คุยงาน…ท่าไหนดีล่ะ อย่างเมื่อกี้งั้นหรือครับคุณอินทรีย์” สายตาของมันมองไล่ตัวผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นมุมปาก

“ไม่เสือกดิวะ ไม่ใช่เรื่องของมึง”

ไม่ๆ ไม่ใช่ผม ไม่ใช่เสียงผมมมมมมมม ตอนแรกผมคิดจะตอกกลับไปเหมือนกันแต่ช้ากว่าอีกคนมาก ปากไวจนผมอยากจะร้องไห้ด้วยความรักใคร่ชื่นชม ไม่เคยมีสักวันที่ผมจะรู้สึกว่า พี่หนูมันพูดได้ดีมาก ดีจนผมอยากกระโดดเข้าไปกอดเข้าไปหอม พี่หนู! ปากพี่นี่หมาจริงๆ ว่ะ หมาแบบโคตรหมา ฟาร์มหมาชัดๆ เลยพี่!

นี่ชมนะ ชมจริงๆ

“ไอ้…” ยังไม่ทันได้ออกปากด่า พี่อาร์ตคงรู้สถานการณ์ถึงได้ลากไอ้พี่หนูมันไป สภาพเหมือนแม่แมวมาคาบลูกกลับไปในรังของมัน แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ก็ลูกแมวที่ไหนเขาตัวใหญ่กว่าแม่บ้างวะ พี่อาร์ตเองคงทุลักทุเลมากแน่ๆ ที่ต้องดึงคอเสื้อไอ้พี่หนูมันจากด้านหลัง แต่เดี๋ยวนะ แล้วกูล่ะเฮ้ย! กูเล่า!!!!

อยากจะทิ้งตัวแง้วๆ ร้องงอแงตีขาด้วยความไม่พอใจจากการถูกทิ้ง พี่ทั้งสองจะไปไหนกันก็ได้ครับ แต่จะทิ้งน้องนกแบบนี้ไม่ได้!!!

“ปล่อย…ครับ” โว้ย พูดยากพูดเย็น ไม่เข้าใจหรือไงว่ากูไม่อยากอยู่ใกล้มึงน่ะ หา!!

“ไปกับกู! เร็วๆ!”

พ่อมึงเถอะไอ้สัตว์! บอกให้เร็วแต่ช่วยดูความยาวขากูกับมึงด้วย มึงก้าวหนึ่งก้าวกูต้องก้าวหนึ่งก้าวครึ่ง จะเอาตรงไหนไปเร็ว ให้กูติดเทอร์โบหรือติดปีกบินไปเลยไหม ไอ้ที่ลากๆ อยู่นี่สาบานว่าแรงคน กระชากทีไขมันหลุดทิ้งเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ลอยอยู่ในจักรวาล จะให้เอาที่ไหนไปเร็วครับพี่ ก่อนอื่นพี่มึงควรใจเย็นแล้วให้กูเดินดีๆ ก่อนไหม อย่างน้อยมึงควรอายสายตาชาวบ้านที่มองมาเหมือนประหนึ่งเรื่องผัวเมีย ณ บริษัทสิโว้ย!





50%



นกลูกกกก นั่นรอยจูบค่ะลูก นังปามันลักหลับหนู หนูไม่ได้โดนอะไรกัด! โธ่...วงวารสมองอันน้อยนิดของหนูจริงจริ๊งงงง แล้วพบกันใหม่กับครึ่งหลังนะคะ 

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่10.นกกับตำแหน่งใหม่ 50% up. 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 07-12-2019 19:27:38
นกนี้จะว่ายังไงดีกวนได้กวรดีเนาะ
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่10.นกกับตำแหน่งใหม่ 50% up. 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-12-2019 00:52:25
นกนี่ซื่อจนหยดสุดท้ายเลยนะ
พี่อาร์ต ก็จัดการกับพี่หนูให้ดีๆ ละ อย่าได้ไปแกล้งคนอื่นมากนัก
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่10.นกกับตำแหน่งใหม 100% up. 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 09-12-2019 12:02:50
ผมถูกไอ้ปาลากมายังห้องทำงานใหญ่ของมัน ใช่…ของมันนั่นล่ะ ในเมื่อตอนนี้มันเป็นท่านประธานใหญ่แห่งบริษัทธนากรุ๊ป มันคงไปเป็นกรรมกรแบกหามไม่ได้ เสียชื่อลูกชายเจ้าของบริษัทหมด แต่พอคิดถึงตรงนี้ก็อดทึ่งกับความทุ่มเทในการปิดบังของมันไม่ได้ นี่ไม่อยากให้ผมรู้ขนาดที่ต้องโยกย้ายตัวเองลงมาเป็นพนักงานระดับล่างเลยหรือ เป็นปีๆ เสียด้วย เฮอะ! ใครไม่เชื่อมันแบบผมก็เทพทรูแล้วล่ะ

สาวสวยหน้าห้องมองผมที่ถูกกระชากปลิวไปตามแรงควายๆ ด้วยความอึ้ง มองเห็นผมทันถึงสามวินี่คือพี่มีสายตาไวกว่าชาวบ้านแล้วครับ ผมจะยิ้มให้พี่เขาริมฝีปากยังไม่ทันจะพ้นจากไรฟัน หน้าพี่เขาก็หายไปแล้ว เจอแต่กำแพงสีขาวกับการตกแต่งหรูๆ ที่ดูยังไงผมก็ไม่มีปัญญาหามาชดใช้แน่นอนถ้าเผลอไปทำอะไรพัง

บุญตีนขนาดไหนได้เข้าห้องท่านประธานแบบนี้

“ปล่อยได้แล้ว!” ผมสะบัดแขนออกจากมือมันทันทีที่ได้สติ ไม่รู้จะจับอะไรหนักหนา แขนคนนะ…ไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์

“สะดีดสะดิ้งจริงนะกับแค่กูแตะนิดแตะหน่อย” ผมยักไหล่ด้วยท่าทางกวนๆ สีหน้าบ่งบอกเลยว่ามันเข้าใจถูกแล้วล่ะ แต่ไอ้ปาพอเห็นท่าทางแบบนั้นของผมมันก็ยิ่งไม่พอใจ สายตานี่ดุยิ่งกว่าหมาเวลาแย่งอาณาเขต

“ทำไม? ต้องเป็นไอ้พี่หนูมันคนเดียวหรือไงถึงจะมีสิทธิ์จับมึง!” ผมกลอหตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ไม่เข้าใจว่าจะลากพี่หนูมาเกี่ยวข้องทำไมในเมื่อพี่มันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย

“เรื่องที่มะ เอ่อ ที่คุณจะพูดมีแค่นี้ใช่ไหมครับ? ผมจะได้กลับไปทำงานของผมสักที” อยู่ใกล้มันแล้วหายใจลำบากยังไงก็ไม่รู้ อึดอัดแปลกๆ

“ไอ้นก! อย่ายั่วโมโหกู!” ผมถอนหายใจอย่างแรง เอาให้เห็นกับโต้งๆ เลยว่าเบื่อจะพูดแล้ว

“ท่านประธานครับ คุณควรจะหัดควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อยนะครับ” ยิ่งมันทำตัวแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์จะกลับไปเป็นเพื่อนมันอีก อยากทำลายความหวังทั้งหมดทิ้งไป ผมจะได้เลิกบ้าบอไปวันๆ แบบนี้ แค่มันพาผมไปค้างห้องตัวมันเอง ไม่ได้หมายความว่า เราสองคนจะหลับไปเป็นเหมือนเดิม

เพราะฐานะเราสองคนมันต่างกัน

“เป็นถึงประธานบริษัทแต่การควบคุมตัวเองเท่ากับศูนย์ ลูกน้องคนอื่นรู้เข้าคงหัวเราะเยาะ” นี่คือคำเตือนของอดีตเพื่อนอย่างผมที่ให้มันได้ เพราะไม่อยากให้มันต้องขายหน้า ต้องมาตกต่ำเพราะคำนินทา แม้ว่าผมจะโกรธจะน้อยใจมันมากแค่ไหน ไม่ว่ามันจะทำร้ายความเป็นเพื่อนสักเท่าไหร่แต่ความหวังดีผมก็ยังมีให้มัน แต่คงในฐานะที่เคยเป็นเพื่อนกันเท่านั้น

“กูไม่เคยควบคุมตัวเองไม่ได้”

“แต่ที่ผมยังเห็นอยู่…คือคุณที่ไม่พอใจก็แสดงออกมาโดยไม่คิดจะควบคุม นั่นมันเหมือนกับเด็กคนหนึ่งนะครับ ไม่ใช่ท่านประธาน” อยากให้มันรู้ ให้มันจำว่าตัวเองกำลังดำรงตำแหน่งสำคัญ เป็นใหญ่เหนือคนอื่น

“นั่นเพราะมึงต่างหาก!!”

ปึง!

ผมถูกกักตัวเอาไว้กับผนังห้องด้วยสองแขนของไอ้ปาที่มันทุบกำปั้นตัวเองลงกับผนังอย่างแรง ตัวเราห่างกันเพียงเล็กน้อย ผมรู้สึกได้ว่ามันกำลังโมโหจนเจียนคลั่ง กำลังเก็บอารมณ์โมโหที่มีอยู่ไม่ได้ แววตาที่จับจ้องผมคล้ายกับสัตว์ร้ายที่กำลังกดดันเหยื่อที่กำลังหนี บรรยากาศรอบตัวชวนให้ขนลุกและตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้

ใช่…ผมกำลังกลัว และกลัวมากเสียด้วย

ไม่ว่ากี่ครั้งที่มันโมโห มันไม่เคยเป็นแบบนี้ มันอาจจะตะคอกผม ใช้น้ำเสียงและคำพูดเหี้ยๆ กับผม แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่มันโกรธถึงขีดสุดอย่างครั้งนี้ ผมรู้สึกได้เลยว่าถ้าผมจะถูกมันทำร้ายก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไอ้ปาในตอนนี้ดูจะหยุดยั้งความน่ากลัวของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ปล่อยให้ความกดดันออกมาบีบคั้นให้ผมเกือบขาดอากาศตายเพราะไม่กล้าหายใจ

มันจะต่อยผมไหม จะทำร้ายผมหรือเปล่า

ผมไม่รู้ แต่สิ่งที่รู้คือตอนนี้ ไอ้ปาน่ากลัวเกินไป เหมือนผมต้องรอความตายที่กำลังจะก้าวเข้ามา

“ผะ ผมไม่ได้ทำอะไร”

“คิดว่ากูตาบอดหรือไง…มึงตั้งใจลงไปทับมัน ทำหน้าตายั่วมัน มึงชอบให้มันลูบตัวมึงใช่ไหม!”

“มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก! ไม่มีใครเขาคิดเรื่องแบบนี้เหมือนคุณหรอก! โอ๊ย!” ไอ้ปาใช้มือใหญ่ของมันบีบคางของผมแน่น ดวงตาฉายแววอันตรายจนผมแทบจะทรุดกายลงไปนั่งกับพื้น

“อุบัติเหตุโง่ๆ ที่มึงหรือมันตั้งใจทำล่ะ ถ้าชอบแบบนั้นทำไมไม่บอกวะ กูทำให้มึงได้มากกว่าเสียอีก”

“ปล่อยนะโว้ย!” ในตอนนี้ผมคงไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็นประธานบริษัทหรืออะไร แค่โดนไล่ออก ผมออกไปหางานใหม่ก็ได้ ต่อให้ต้องทำร้ายมัน ผมก็จะต้องหลุดออกจากการคุกคามที่น่าอึดอัดนี้ให้ได้ ผมทั้งผลัก ทั้งดัน แต่ก็ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะดิ้นออกจากพันธนาการของมันเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดพ้น

“จะดีดดิ้นทำไมวะ มึงชอบไม่ใช่เหรอฉากแบบละคร กูก็ทำได้เหมือนกัน!”

“อะ อื้อ!!”

ผมเบิกตากว้างขึ้นทันทีที่มันก้มลงมาปิดปากของผมด้วยปากของมันเอง มันดูดดึงริมฝีปากล่างของผมอย่างแรงโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นยังไง บดเบียดแสดงความต้องการออกมาอย่างไม่คิดปิดบังใดๆ ปลายลิ้นไล่เลียไปตามรอยแยกของริมฝีปาก หวังให้ผมเผยอปากออกรับปลายลิ้นชื้นนั่นเข้ามา ผมพยายามหันหน้าหนี แต่ก็ถูกมือใหญ่ที่ยึดคางเอาไว้บีบจนเจ็บ น้ำตาผมคลออยู่ที่ดวงตาเมื่อความเจ็บที่ปลายคางกำลังทำให้ผมต้องเปิดริมฝีปากออกรับสิ่งที่ลุกล้ำเข้ามา

ไอ้ปากกวาดต้อนปลายลิ้นเข้ามาในโพรงปากอย่างรวดเร็ว รุกไล่เอาแต่ใจจนผมที่เลือกจะพาปลายลิ้นของตัวเองหนียังไม่อาจจะหนีพ้นไปได้ เพียงแค่ปลายลิ้นของผมและมันสัมผัสกัน ร่างทั้งร่างของผมก็คล้ายกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อตจนอ่อนแรง หูอื้อตาลายและมึนเบลอไปหมด เรี่ยวแรงเหือดหายไปจนต้องอาศัยอ้อมแขนของผมเป็นที่พักพิง พร้อมกับปล่อยให้มันชิมความหวานจนกว่าจะพอใจ

ผมไม่รู้ว่าเวลาที่เราจูบกันมันผ่านไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่าจากจูบที่เร่าร้อนรุนแรงในครั้งแรกที่คล้ายกับการลงโทษ ในตอนนี้มันกลับเป็นจูบที่อ่อนหวาน เอาใจ ราวกับว่าผมคือคนสำคัญที่ต้องทะนุถนอมเอาไว้ไม่ให้แตกสลาย รสชาติหวานล้ำที่ถูกส่งมาทางปลายลิ้นทำให้ผมหลงมัวเมาไปกับมันไม่ยากเย็น อดไม่ได้ที่จะขยับปลายลิ้นไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของไอ้ปาเพื่อรับรสหวานล้ำนี้อีก

ติดใจ ตราตรึง หลอมละลายจนร่างทั้งร่างเหมือนไม่ใช่ตัวผมเอง

“อึก แฮ่กๆ อื้ม” เพราะกลัวผมจะขาดใจตาย ริมฝีปากของมันจึงยินยอมถอยห่างให้ผมได้รับเอาอากาศเข้าไปแล้วประกบทับลงมาใหม่ ไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว เราจูบกันเนิ่นนานจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระดุมเสื้อของผมถูกปลดลงไปกว่าสี่เม็ด มันหมิ่นเหม่จนน่าหวาดกลัว แต่สติของผมตอนนี้ถูกจูบหวานๆ ทำให้ไม่ได้สนใจกับอันตรายตรงนี้แม้แต่น้อย

“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ” ผมได้สติทันทีแทบจะผลักมันออก แต่ไอ้ปายึดเอวของผมเอาไว้ กดศีรษะของผมลงกับอกของมัน แล้วตวัดสายตาดุใส่พี่ฝ้ายที่เข้ามาโดยพลการทันที

“ทำไมไม่เคาะประตู!” ผมเหลือบมองพี่ฝ้ายเห็นเธอหน้าเจื่อนก็อดสงสารไม่ได้ แต่จะให้ขยับออกจากตัวไอ้ปาตอนนี้ผมก็ไม่กล้า สภาพของผมมันชวนให้เข้าใจผิดมากเกินไป

“ขอโทษค่ะน้องปา แต่พี่เคาะแล้วนะคะ” พี่ฝ้ายเหลือบมองผมแล้วส่งยิ้มขอโทษขอโพยให้โดนที่ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่า ดีแล้วครับพี่ที่เข้ามา ไม่อย่างนั้นผมคง… ไม่อยากจะคิดเลย

“เอาล่ะ พี่มีอะไรครับ” ถึงแม้จะตีหน้าขรึม แต่ผมรู้ว่ามันอ่อนลงมาก คงรู้ว่าเป็นความผิดมันไม่ใช่คนอื่น ผมเองก็พยายามติดกระดุมเสื้อที่ถูกปลดออก

“คือว่า…เมื่อกี้นี้พี่ได้รับโทรศัพท์จากอาร์ต เขาต้องการตัวนกกลับไปทำงานค่ะ” ผมเริ่มขยับตัวเมื่อได้ยินว่าพี่อาร์ตโทรมาตามตัวผมกลับไปทำงาน ผมว่าคงเป็นพี่หนูบอกให้พี่อาร์ตโทรมามากกว่า อย่างน้อยพี่มันก็ยังเห็นใจผมอยู่

“ปล่อย…จะไปทำงาน!” ไอ้ปาไม่เพียงไม่ปล่อย กลับยิ่งกระชับอ้อมกอดมากขึ้นไปอีก

“กูเป็นเจ้านายมึงหรือเปล่าไอ้นก กูสั่งให้มึงไปแล้วหรือไง?” ผมกัดริมฝีปากที่บวมเจ่อจากจูบเร่าร้อนเมื่อครู่ ใครจะไปปฏิเสธได้กันล่ะ ในเมื่อมันเป็นประธานนั่นก็หมายถึงมันคือเจ้านายของผมด้วยเหมือนกัน

“ผมรบกวนพี่ฝ้ายติดต่อกลับไปหาคุณอาร์ตด้วยว่า ตั้งแต่นี้ไป นกจะไม่ไปทำงานที่แผนกของเขาอีกแล้ว” ผมตัวชาวาบทั้งตัว นึกไม่ถึงว่ามันจะไล่ผมออกจากงานง่ายๆ แบบนี้ ผมรู้สึกว่าน้ำตากำลังจะไหลออกมา แต่ไม่ได้หรอก ผมจะมาอ่อนแอกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้ มันอยากไล่ออกก็ไล่ไป ผมหางานใหม่ที่อื่นก็ได้เหมือนกัน แบบนี้สิดี จะได้ตัดขาดความเป็นเพื่อนกันไปเลย จะได้ลบความหวังทั้งหมดออกไป

ดีแล้ว! แบบนี้ดีแล้ว!

“ตะ แต่…”

“คำสั่งผม! พี่ขัดได้หรือครับ?” พี่ฝ้ายลังเลเล็กน้อย ในแววตาฉายชัดถึงความสงสารที่มีต่อผม ผมเองก็สงสารตัวเองเหมือนหันครับ แต่ไม่เป็นไร แค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก ผมกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอลงท้อง สกัดกั้นความอ่อนแอเก็บเอาไว้ภายในไม่ยินยอมให้ออกมาแสดงตัวให้ใครเห็น ผมเริ่มดิ้น เริ่มไม่ยอมให้เขากอด

ในเมื่อไม่ได้เป็นพนักงานของที่นี่อีกต่อไป ผมก็คงไม่ต้องเกรงใจอะไรหรอกมั้งครับ

“ปล่อย!” ไอ้ปาจ้องใบหน้าของผมในขณะที่พี่ฝ้ายเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูลงอย่างไม่หันกลับอีก ผมเองก็จ้องประสานสายตากับไอ้ปาอย่างไม่เกรงกลัว พยายามผลักมันเพื่อให้ตัวเองออกจากอ้อมแขนของมันให้ได้

“กูบอกให้ปล่อย!”

“ไม่ปล่อย…” สายตาของมันจับจ้องมาที่ดวงตาเลื่อนลงมาที่จมูกก่อนจะหยุดลงที่ริมฝีปากของผม ผมเห็นใบหน้าของมันค่อยๆ โน้มลงมาช้าๆ แต่ผมก็ไม่คิดจะพลาดเป็นครั้งที่สองเหมือนกัน!

จูบน่ะ เขามีไว้ให้คนที่รัก! ไม่ใช่คนที่เกลียด!

ผลัวะ!

“ซี๊ด…” ผมปล่อยหมัดออกไปกระทบใบหน้าหล่อเหลาของมันจนผงะ เผลอปล่อยแรงโอบรัดออกจนผมสามารถดิ้นรนออกมาจากพันธนาการของมันได้ ผมไม่คิดจะอยู่ต่อเพื่อขอโทษหรือทำเรื่องไร้สาระอะไรอีก ตอนนี้หมดสถานภาพการเป็นพนักงานของบริษัทของมันแล้ว ผมก็คงไม่จำเป็นต้องกลัวเกรงอะไรมันอีก

จบก็คือจบ

เจ็บแค่ไหนก็ต้องถอยห่าง ในเมื่อมันเลือกที่จะไล่ผมออก ก็แล้วแต่มัน แต่ผมจะไม่อยู่รองรับอารมณ์ของมันอีกเช่นกัน ผมหันหลังเดินออกมาทันที แต่เพียงแค่มือเท่านั้นที่เอื้อมถึงประตู ร่างของผมก็ถูกกระชากกลับไปทางด้านหลังจนแผ่นหลังสัมผัสกับแผ่นอกของมัน รับรู้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่สะท้อนอยู่ในอก

“อ๊ะ! ปล่อย!”

“มึงจะไปไหนนก มึงกำลังคิดจะไปไหน” น้ำเสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แขนที่รักอยู่ที่เอวของผมก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นจนผมรู้สึกหายใจไม่ออก

“ปล่อย! มึงไล่กูออกแล้ว กูก็ไม่จำเป็นต้องอยู่มี่นี่อีก! ปล่อยกู!”

“นก…มึงต้องฟังกู”

“เฮอะ! กูไม่มีอะไรต้องฟังมึงอีก ปล่อยกูสิวะ ไอ้เหี้ย!” ผมทั้งดิ้น ทั้งแกะมือของมันออก แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ได้ผล ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งเพิ่มแรงมากขึ้นไปอีก

“นก! ทำไมมึงดื้อแบบนี้วะ! กูบอกให้ฟังกูก่อนไง!”

“มึงคิดจะให้กูฟังเหี้ยอะไรอีก ในเมื่อมึงไล่กูออกไปแล้ว กูก็กำลังจะไปให้พ้นๆ มึงนั่นล่ะที่ต้องปล่อยกู ปล่อยกูสักที!!” ไอ้ปาหน้าตึง นัยน์ตาเริ่มวาวโรจน์ด้วยโทสะ ผมเองก็โกรธไม่ต่างจากทัน อย่าคิดว่าจ้องหน้าผมแบบนั้นแล้วผมจะกลัว

ไม่มีทาง!

“ถ้ามึงยังดิ้น ยังแหกปากให้กูปล่อยมึงอีก…กูจะไม่หยุดแค่จูบ และสาบานเลยว่าต่อให้ไอ้หน้าไหนมันเดินเข้ามา กูก็จะไม่หยุดจนกว่ากูจะพอใจ!”

“มะ มึง!” ผมหยุดดิ้นแทบจะทันทีที่ได้ยินคำขู่ มันหอบหายใจถี่ๆ เหมือนกำลังระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ผมเองก็ไม่กล้าทำอะไรเพราะรู้ดีว่ามันไม่ได้แค่ขู่ผมเล่นๆ แน่ คนอย่างไอ้ปา ถ้ามันบ้า ใครก็หยุดความบ้าของมันไม่ได้!

“จะเอายังไง จะฟังกูหรือจะให้กูทำอย่างที่กูพูด” ผมเบนสายตาหนี ไม่กล้าสบตากับมัน ถามมาได้ว่าจะเอายังไง ทำเหมือนผมมีทางเลือกมากมาย ถ้าผมเลือกอย่างหลังก็ควายเต็มทนแล้ว

“จะพูดห่าเหวอะไรมึงก็พูดมา แต่ปล่อยกูด้วย กูไม่ชอบ!”

ฟอด!

“อะ ไอ้เหี้ย!” มันหอมแก้มผม! มันหอมแก้มของผม!!!!

ผมตวัดสายตาปานจะเชือดเฉือนมันให้ตายทั้งที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น แต่ยังดีที่มันยอมปล่อยผม ไม่ยืนกอดอยู่เหมือนเมื่อกี้ ผมถูกมันจับลากมานั่งที่โซฟา ส่วนมันเองก็นั่งข้างๆ ผมโดยที่ยังคงจับมือเอาไว้ไม่ยอมปล่อย นิ้วโป้งของมันคลึงหลังมือผมเล่น แววตาที่ทอดมองก็หยาดเยิ้มจนผมทำตัวลำบาก

ไม่รู้มันจะมองอะไรหนักหนา

“มีอะไรก็รีบพูด จะมองให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ” ไอ้ปามองผมด้วยสายตาเอ็นดู ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาอย่างระอาในตัวผม

“กูไม่ได้จะไล่มึงออกนะนก”

“เรอะ…” กูควรเชื่องั้นสิ?

“กูคิดจะย้ายมึงต่างหาก” ย้าย? ย้ายผมนี่นะ?

“ย้ายทำไม กูทำที่เดิมก็ดีอยู่แล้ว ทำไมกูต้องย้ายด้วย!” ผมอยู่ตรงนั้นมีทั้งพี่หนู ทั้งพี่อาร์ต มันสนุกและมีความสุขดีแล้ว ทำไมผมต้องย้ายไปอยู่จุดอื่นที่ทำให้ผมต้องไปเริ่มใหม่ ผมอยากอยู่ที่ที่ผมมีความสุข

“หน้าที่ใหม่ ตำแหน่งใหญ่และเงินเดือนดีกว่า มึงไม่สนใจเหรอ?” เงินเดือนดีหรือ หน้าที่และตำแหน่งใหญ่ขึ้น มันก็ชวนให้ผมคิดหนักได้เหมือนกันนะ แต่…มันเองก็เป็นคนทำให้ผมพลาดตำแหน่งใหญ่นี่! ถ้ามันไม่ทำแบบนั้นลงไป ผมเองป่านนี้ก็เป็นหัวหน้าคนไปแล้วเหมือนกัน

เดี๋ยวสิ แบบนั้นก็กลายเป็นว่าพี่หนูก็อดน่ะสิ อ๊ากกกก ทำไมผมต้องมานั่งเครียดกับเรื่องนี้ด้วยล่ะ?

ผมดึงมือออกมาจากมือของไอ้ปาทันที ประสบการณ์ที่ผ่านมามันดันทำให้ผมเกิดการระแวดระวังเอาไว้ก่อน กลัวว่าเมื่อดีใจไปแล้วจะมานั่งเสียใจอีกครั้งทีหลัง ซึ่งผมบอกตรงๆ เลยว่า ใจของผมค่อนข้างจะบอบบาง รับความผิดหวังหนักๆ อีกไม่ได้แล้ว เพราะถ้าหากผมโดนทำร้ายอีกครั้ง ผมคงทนต่อไปไม่ไหว คงไม่สามารถมองหน้าไอ้ปาได้อย่างเต็มตา

“นก…มึงไม่เชื่อกูเหรอ” ผมเชื่อไม่ลง กล้าพูดเลยว่าบาดแผลในใจมันพาลให้ผมเชื่อใจไอ้ปาไม่ลง ผมมองสบตาของไอ้ปาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแล้วต้องหลบสายตาออกไป ไม่ใช่ผมไม่กล้าสู้สายตา แต่ผมแค่รู้สึกว่า…ตัวเองจะใจอ่อนกับสายตาของมัน

“ไม่ใช่กูไม่เชื่อ” แต่แค่เชื่อไม่ได้…

“ถ้างั้นก็ตกลงสิ ตกลงแล้วมาทำงานเป็นเลขาของกู อยู่ใกล้ๆ กูไงล่ะ”

มือของไอ้ปาเอื้อมมาจับใบหน้าของผมให้หันไปสบสายตาของมัน แววตาที่จริงจังมันทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับแทนการตอบคำถามไป ไอ้ปาดีใจจนดึงตัวผมเข้าไปกอดจนแน่น ทั้งปากทั้งตายิ้มกว้างจนผมเห็นแล้วอดที่จะอ่อนใจกับมันไม่ได้ ผมรู้ว่ามันพยายามอย่างมากมายในการง้องอนผม แต่ตัวผมเองที่ปิดกั้นทุกอย่างไม่ยอมรับรู้สิ่งที่มันทำ

คนเราทำผิดพลาดกันเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ผมใจไม่แข็งพอที่จะรับความผิดหวังอีกครั้ง จึงต้องดึงตัวเองออกมาจากจุดนั้น ในตอนนี้ความสัมพันธ์ของไอ้ปากับผมมันไกลกว่าคำว่าเพื่อนไปมากมายแล้ว เพราะคนที่เป็นเพื่อนกันเขาไม่มีวันจูบกัน เขาไม่มีวันกอดกันเหมือนที่ผมกำลังโดนมันกอดเอาไว้ คนที่เขาเป็นเพื่อนกัน เขาคงไม่มองกันอย่างที่ไอ้ปามันใช้มองผมในทุกวันนี้

ไอ้ปามันมักจะบอกผมเสมอว่ามันรักผม เป็นความรักที่ผมเองก็นึกว่าเรารักกันเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่สิ่งที่ไอ้ปาแสดงออกมาในช่วงหลังๆ นี้ มันเกินกว่าที่เพื่อนเขาจะทำต่อกัน

บางทีผมเองก็อาจจะรู้สึกไม่ต่างจากตัวมันเองก็ได้ ไม่อย่างงั้น…ผมคงจะถีบมันออกไปจากชีวิตตั้งนานแล้ว

หรือบางทีอาจจะเป็นตัวผมเองที่ขาดไอ้ปาไม่ได้ ทุกอย่างที่ผมรู้สึก ทุกความผิดหวังและเสียใจในสิ่งที่มันทำ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกของผมที่มีต่อมันมากเกินกว่าคำว่าเพื่อน เพียงแค่เพราะผมรู้ความจริงจากผู้หญิงของมัน ผมถึงได้เสียใจเป็นบ้าเป็นหลัง เสียใจจนไม่สามารถฟังคำอธิบายจากมันได้ อาจจะเป็นเพราะผมเองที่ทำใจฟังมันทำร้ายหัวใจของผมมากไปกว่านี้ไม่ได้มากกว่า

ใช่…ทุกสิ่งเป็นเพราะความกลัวของผมเอง

เพราะผมกลัวที่จะเสียใจ และหวาดกลัวที่จะไม่มีมันอยู่ในชีวิตอีกต่อไปนั่นเอง







TBC





ไหนใครอยากด่าน้องนกกด1 

อยากตีหัวปากด2

อยากเป็นเมียพี่หนูกด3

อยากตบแมวกด4 ได้เลยค่ะ คิกๆ


​​​​​​​ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่10.นกกับตำแหน่งใหม 100% up. 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 09-12-2019 13:06:44
รุ้สึกว่าปาเป็นโรคจิตอ่ะ สงสารนกแล้วนะวันๆต้องเจอกับอะไรไม่รุ้เนี่ยะ
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่10.นกกับตำแหน่งใหม 100% up. 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 09-12-2019 19:35:14
เริ่มเบื่อนกล่ะ เข้าใจเถอะ จะได้ไปตอนถัดไป
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่10.นกกับตำแหน่งใหม 100% up. 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-12-2019 19:47:05
อยากดูพี่อาร์ตตบพี่หนูมากกว่า อยากรู้ว่าพี่หนูจะกลัวไหม อิอิอิ
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่10.นกกับตำแหน่งใหม 100% up. 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 10-12-2019 13:07:58
น้องนกรู้ตัวว่ารักแค่กลัวผิดหวังเลยปิดกั้นทุกอย่างใช่ม่ายยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่10.นกกับตำแหน่งใหม 100% up. 09/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-12-2019 17:13:54
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่11.นกกับความจริงฯ 50% up. 14/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 14-12-2019 18:27:04
[11]

ตอนที่ 11.

นกกับความจริงที่เพิ่งรู้



“เดี๋ยว! มึงบอกให้กูเป็นเลขามึงใช่ไหม” ผมผลักมันออกห่างแล้วจ้องหน้ามันอย่างจริงจัง จนไอ้ปาที่กำลังดีใจเพราะผมตอบตกลงพยักหน้าให้อย่างงงๆ

“ใช่”

“แล้วพี่ฝ้ายล่ะ พี่ฝ้ายเป็นเลขามึงมาตั้งแต่ต้นนะ มึงจะไล่เขาออกเหรอ?” เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมยอมออกไปหางานอื่นทำเองยังดีกว่า พี่ฝ้ายทำงานที่นี่มานานแค่ไหน จู่ๆ ผมเข้ามาแย่งงานของพี่ฝ้ายไปมันใช่เรื่องหรือครับ ผมไม่ได้เลวบัดซบแบบนั้น!

“พี่ฝ้ายก็พี่ฝ้ายสิ มึงเป็นเลขาส่วนตัวของกู มันจะไปเกี่ยวกับพี่ฝ้ายตรงไหน?” หมายความว่าไง ทำไมผมฟังแล้วงงหนักมาก มันต่างกันตรงไหนล่ะนี่

“กูไม่เข้าใจ มึงอธิบายเพิ่มสิ?”

“พี่ฝ้ายจะทำงาน ประสานงานให้กู คอยจดทุกอย่างเวลาเข้าประชุมให้กูอะไรแบบนี้ พี่ฝ้ายจะทำจำพวกนั้นทั้งหมด”

“อ้าวแล้วกูล่ะทำอะไร หน้าที่ไม่ใช่ว่าเหมือนๆ กันเหรอ?” ความสงสัยมันชวนให้ผมต้องหาคำตอบจริงๆ เพราะผมกำลังมึนหนักมากถึงต้องเอ่ยถามออกมาแบบนี้

“มึงก็แค่ไปกินข้าวกับกู นั่งทำงานในห้องกับกู”

ไอ้ปาใช้ปลายนิ้วปัดเส้นผมที่ปรกหน้าผมออก ก่อนที่ปลายนิ้วที่แสนร้อนจะไล้ไปเบาๆ บนผิวแก้มเบาๆ มันทำให้ผมเผลอมองรอยยิ้มที่หล่อเหลาของไอ้ปาอย่างไม่รู้ตัว คล้ายกับว่าถูกดึงเข้าไปในจุดที่น่าหลงใหล ชวนให้ผมต้องลุ่มหลงง่ายๆ

“คอยอยู่ใกล้ๆ กูแค่นั้นก็พอ” ผมเม้มริมฝีปากตัวเองลง เบนสายตาของตัวเองออกจากใบหน้าของไอ้ปาทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ผมต้องทำ ผิวแก้มร้อนผะผ่าวราวกับถูกลวก เมื่อปลายจมูกของไอ้ปากดลงมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะใช้ริมฝีปากแตะบริเวณเดียวกัน

ผมเอียงหน้าหลบ แต่ก็ไม่พ้นถูกจับให้หันกลับมารับริมฝีปากและความหวานจากจูบอันร้อนแรง ไอ้ปาใช้ปลายลิ้นไล่เลียกลีบปากของผม ก่อนจะดูดดึงปากบนล่างของผมราวกับต้องการหยอกเย้าผมให้ต้องการมันมากยิ่งขึ้น ผมตัวสั่นระริกกับสิ่งที่มันมอบให้ ในหัวขาวโพลนจนไม่สามารถคิดอะไรได้ เสียงที่ได้ยินมีเพียงแค่เสียงชื้นแฉะยามที่ลิ้นของผมกับไอ้ปาเกี่ยวกระหวัดกันไปมา ยิ่งในห้องเงียบเท่าไหร่เสียงที่แสนวาบหวามยิ่งดังมากเท่านั้น

“พะ พอ” ผมดันร่างของไอ้ปาออก หอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างรวดเร็วจนแทบจะสำลัก เพียงแค่จูบเดียวยังทำให้ผมแทบจะขาดใจตายได้ขนาดนี้ ไม่ต้องพูดเลยว่านับจากนี้ผมยังต้องเจอกับจูบของมันอีกกี่จูบ

ทำไมถึงรู้สึกเปลืองตัวแบบนี้วะนี่

“กูยังไม่พอเลย มึงก็น่าจะรู้…” มองเสียตาเยิ้มขนาดนั้นไม่รู้ก็โง่เป็นควายแล้วล่ะ แต่จะให้มันจูบไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ไหม ผมกับมันตอนนี้สถานะเองก็ยังไม่ชัดเจน

“ไอ้ปา…ตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนกันหรือเปล่าวะ?”

มันเป็นประโยคที่ผมควรจะถาม ผมค้างคาถึงสถานะของพวกเราในตอนนี้ เพราะผมไม่รู้ว่าควรวางตัวเองไว้เป็นแบบไหน ถ้าหากคำตอบที่ไอ้ปาตอบมาคือคำว่าเพื่อน ผมก็จะยืนอยู่ในโซนของเพื่อนเหมือนที่ผ่านมา ต่อให้ในตอนนี้ หัวใจของผมมันจะคิดกับไอ้ปาและรู้สึกกับมันไปไกลกว่าคำว่าเพื่อนก็ตาม แต่หากว่าคำตอบของมันคือเรารักกัน ผมก็จะสามารถรักมันได้เต็มหัวใจ สามารถมีมันได้อย่างเต็มที่

ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับคำตอบจากปากของไอ้ปาเท่านั้น

ผมมองสายตาคู่นั้นของมันอย่างเฝ้ารอและค้นหา ยิ่งมันเงียบผมยิ่งรู้สึกใจฝ่อจนต้องกลั้นหายใจ ระยะห่างไม่กี่วินาทีมันก็สามารถทรมานผม สามารถทำให้ผมคิดฟุ้งซ่านไปมากมาย ในหัววนเวียนคิดถึงสิ่งที่ควรจะทำยามถูกปฏิเสธ ผมคิด…ถ้าหากมันไม่รักผม มันเลือกจะวางผมในจุดที่เรียกว่าเพื่อน ผมจะยังยิ้ม ยังสามารถสนุกเฮฮากับมันได้อีกไหม เพราะแค่มันเงียบลงผมก็อยากวิ่งออกไป ไม่กลับเข้ามาอีก แต่แล้วไอ้ปาก็ยิ้มออกมาราวกับคำถามของผมมันชวนให้ขำเหลือเกิน

“นก…เพื่อนสำหรับมึง เพื่อนมันจูบกันด้วยเหรอ” ผมชะงักค้าง แล้วส่ายหน้าตอบมันไป เพื่อนที่ไหนเขาจูบกัน อย่างน้อยๆ เพื่อน (คนอื่น) ในมหา’ ลัยก็ไม่มีทางจูบกันแน่ๆ ไอ้ปาหัวเราะในลำคอก่อนที่ฝ่ามือของมันจะวางลงบนหัวของผมแล้วโยกไปมาเหมือนผมเป็นเด็ก

“ถ้างั้นแล้วมึงรู้ไหมว่าตอนนี้เราเป็นอะไรกัน?”

ผมก็ยังคงส่ายหน้าอีกครั้ง ผมไม่สามารถตอบได้หรอกว่าเราเป็นอะไรกัน ถ้าไม่ได้ยินจากปากของมันเอง

“ตอนนี้…กูเป็นคนที่กำลังจีบมึงอยู่ แต่ถ้ามึงยอมรับรักกู จากคนที่กำลังจีบก็จะกลายเป็นแฟนมึงไง”

“แฟน…” ผมพึมพำบ่นคำที่มันบอกออกมาอย่างเหม่อลอยกับสัมผัสที่ถูกมือของไอ้ปาลูบศีรษะของผมอย่างเอ็นดู

“ใช่…นก แฟน มึงอยากให้กูอยู่ในสถานะไหน คราวนี้คือสิ่งที่มึงต้องเลือกให้กูแล้ว”

ผมก้มหน้าลงซ่อนความเขินอายที่กำลังแล่นขึ้นมาบนใบหน้าไม่ให้มันได้เห็น มันบอกว่าให้ผมเลือก แต่ผมควรเลือกอะไรล่ะ ผมอยากเป็นแฟนมันหรือเปล่า…แน่นอนว่าใช่ ในเมื่อตอนนี้ผมยอมรับแล้วว่าผมชอบมันในแบบที่คนคนหนึ่งชอบใครสักคนหนึ่ง ผมย่อมอยากได้รับสถานะแฟนอย่างแน่นอน

แต่คำว่าแฟนสำหรับผมมันคือความทรงจำที่เจ็บปวด ครั้งหนึ่งที่ผมเคยมีแฟน หลินก็ทำให้ผมเจ็บปวดมาก หากว่าผมยอมรับสถานะแฟนกับไอ้ปา ผม…จะต้องกลับไปทรมานแบบนั้นอีกหรือเปล่า

ผมกลัวจริงๆ

“กู…” ผมควรเลือกอะไร

“นก มึงกังวลอะไรอยู่?”

ผมเม้มปาก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับมัน มันพูดถูก ผมกลัว และความกลัวมันไม่ใช่สิ่งที่ลบออกไปง่ายๆ

“กู ไอ้ปา คือกู…”

“นกมึงมองหน้ากูสิ! มึงเห็นอะไรไหม เห็นไหมว่าในสายตาของกูมันมีมึงอยู่ในนั้นแค่คนเดียว” ผมถูกจับให้มองใบหน้าของไอ้ปา สายตาของมันเต็มไปด้วยความจริงจัง ไม่มีแม้แต่แววตาที่เคยขี้เล่นอย่างเมื่อก่อน และนั่น…มันกำลังสั่นคลอนความหวาดกลัวในใจของผม มันกำลังทำให้ผมเกิดความโลภที่จะอยากได้ อยากครอบครองสถานะที่จะนำพาแต่ความเจ็บปวด

ทั้งๆ ที่รู้ ผมก็ยังปรารถนาจะได้มัน

“บอกกูสิ…พูดกับกูว่ามึงก็รักกูเหมือนที่กูรักมึง ใช่ไหมนก” เสียงของมันสั่นเครือ คล้ายกับว่าตัวของมันกำลังเจ็บปวดจนใกล้จะแตกสลายลงไปเต็มทีแล้ว หากผมเอ่ยปากปฏิเสธมันออกไป มันจะไม่สามารถเป็นมันคนเดิมได้อีก มันทำแบบนี้…กำลังทำให้ผมต้องยอมรับใช่ไหม

กำลังจะบอกว่าทั้งชีวิต มันขาดผมไม่ได้เหมือนกันกับผมใช่ไหม

“กูรักมึง…ปา”

มันคงไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะคว้าเอาสถานะที่มีแต่ความเจ็บปวดมาสักครั้ง

คงไม่ผิดใช่ไหมครับ ถ้าผมอยากจะลองเชื่อใจคนที่ผมรักดู











หลังจากเมื่อวานนี้ที่ผมยอมรับรักมัน สถานะของผมและไอ้ปาก็เลื่อนจากเพื่อนรัก กลายมาเป็นแฟนอย่างไม่ยากเย็น ทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากมาย ผมก็ยังคงเป็นผมเหมือนเดิมที่มันรู้จักมาตลอด ส่วนไอ้ปาก็แค่กอดผมมากขึ้น จับมือผมบ่อยขึ้น มองผมทุกครั้งที่ผมเผลอ แต่ที่สำคัญคือเราสองคนยิ้มให้กันมากกว่าเดิม ถ้าถามว่าเขินไหม ผมยอมรับเลยว่าเขินมาก ทำตัวไม่ถูกไปพักใหญ่

ดีหน่อยที่พี่ฝ้ายเอาเอกสารมาให้ไอ้ปามันเซ็น มันเลยยุ่งวุ่นวาย ปล่อยให้ผมนั่งตาแอร์กินโกโก้เย็นกับขนมเล่น สรุปแล้วคือวันนั้นผมไม่ได้ทำงานอะไรเลยสักงาน นั่งเล่นๆ ในห้องประธานก็เท่านั้น พอพักเที่ยงผมกับมันก็พากันออกไปกินข้าว แน่นอนว่าคนอย่างผมไม่ใช่คนที่สนใจราคาอาหาร เพราะพอออกมาจากบริษัทมันก็คล้ายกิจวัตรประจำวันของเราที่จะไปกินข้าวกันทั่วๆ ไป แม้ว่าตอนนี้มันจะมีตำแหน่งใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมกับมันจะต้องติดหรูไปด้วย

ความเคยชินมันทำให้ผมวางตัวไม่ยากนัก

สิ่งที่แตกต่างก็คงเป็นมือของเราสองคนที่จับกันไม่ยอมปล่อย

ตอนนี้ก็เช่นกัน มือของเราทั้งสองคนก็ยังจับกุมกันเอาไว้แน่น ผมดีใจที่มันแสดงออกมาโดยไม่ปิดบัง ไม่อับอายที่มีผมเป็นแฟน ใบหน้าของผมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เรียกได้ว่ายินดีอย่างที่สุดก็ว่าได้

มันยากจะอธิบาย แต่ผมที่เป็นแบบนี้ไม่มีหรอกนะที่ใครจะกล้าเดินจับมือกับผม แต่ตอนนี้ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นเพื่อนกัน และตอนนี้เรากำลังอยู่ในสถานะแฟนเขายอมจับมือของผมโดยไม่สนใจสายตาของใครสักคนที่มองมา ไอ้ปามักจะหันมามองผมเป็นระยะ ส่งรอยยิ้มที่บ่งบอกได้ถึงความสุขในใจมาให้อย่างไม่คิดปกปิด นั่นยิ่งทำให้หัวใจของผมเต้นแรง

อา…ผมเขินจนไม่รู้จะเขินยังไงแล้ว

“ร้อนไหม” ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่หรอก แดดแค่นี้ มึงก็รู้ผิวกูหนาจะตายไป” กวนตีนกันเหมือนเดิม เพียงแค่เราสองคนไม่คิดจะปล่อยมือเท่านั้น ต่างก็แค่คราวนี้ไอ้ปาหยุดเดินแล้วหันมาหาผม ก่อนที่มือของมันจะหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วใช้ซับเอาเหงื่อของผมออกจากใบหน้าและไรผมอย่างเอาใจใส่

แล้วแบบนี้…จะไม่ให้ผมใจสั่นได้ยังไงกัน

เราเดินผ่านพนักงานหลายคน ไม่ว่าจะเป็นที่เราคุ้นเคยดีหรือที่เราไม่สนิทก็ตาม ข่าวที่ว่าไอ้ปาคือประธานแพร่ไปจนทั่วทั้งบริษัท ยิ่งทำให้สาวๆ จับจ้องมันตาเป็นมันเข้าไปใหญ่ ผมเองก็กังวลนะ ใช่ว่าเมื่อก่อนมันจะไม่เคยยุ่งกับสาวคนไหนเสียเมื่อไหร่ บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนี้มันดีแล้วจริงๆ หรือเปล่า ไอ้ปาพาผมเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งธรรมดาๆ ไม่ได้ติดองติดแอร์หรือหรูหราฟู่ฟ่าอะไร แต่ผมว่าแบบนี้มันดีแล้ว ผมยังจำวันที่ตัวเองไปกินร้านของชายได้อยู่เลย ผมน่ะ…เกือบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องเริ่มกินยังไง เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างของเราทั้งคู่ แค่คิดผมก็ต้องถอนหายใจออกมาแล้ว

จะว่าไป…ช่วงนี้ไม่เจอชายเลย

“ปา…ช่วงนี้มึงได้คุยกับชายบ้างไหมวะ” มือที่กำลังถือช้อนอยู่หยุดชะงัก บรรยากาศรอบตัวมันเริ่มแผ่กระจายความไม่พอใจออกมาเงียบๆ

“ถามหามันทำไม?” น้ำเสียงห้วนๆ แบบนี้นี่คงไม่พ้นหึงอีกแน่นอน ผมได้แต่กลอกตาไปมากับอาการที่มันแสดงออก แม้ว่าจริงๆ ลึกๆ แล้วผมจะดีใจก็ตาม

“กูก็แค่สงสัย ที่ชายมันหายไปเลยก็แค่นั้น” ผมบริสุทธิ์ใจนะ ต่อให้ทันหรี่ตาหรือหาเครื่องจับเท็จมาตรวจผมก็ยังยืนยันว่าตัวเองไม่ได้คิดอะไรกับชาย ชายเป็นเพื่อนมันนั่นย่อมหมายถึงเป็นเพื่อนผมเช่นกัน และผมรู้สึกสนิทใจที่จะมีชายเป็นเพื่อน ชีวิตของผม…การมีเพื่อนมันยากนะ

เพราะคนปกติส่วนมากเขาไม่ค่อยจะคบผมไง ฮ่าๆ

“คงยุ่งมั้ง”

เสียงมันตอบเหมือนไม่แยแส อาการแบบที่เรียกว่าไม่คิดจะสนใจมากกว่า ผมติดใจสงสัย อยากจะถามมันเพิ่มหลายๆ อย่างเกี่ยวกับชาย แต่สุดท้ายผมก็ต้องเงียบปากลงแล้วจัดการกับอาหารตรงหน้าของตัวเองแทน ระหว่างนั่งทานผมก็ลอบมองหน้ามันเป็นระยะ ไอ้ปามันนิ่งมาก ไม่มีวี่แววไม่พอใจอะไรอยู่เลย แต่การที่มันนิ่งไปแบบนี้มันทำให้ผมกังวลมากกว่าที่มันโวยวายหรือโกรธผมเสียอีก

มองไปมองมาก็คงไม่ได้คำตอบอะไร ผมจึงเลือกจะถอนสายตาออกจากใบหน้าของมันแล้วมองออกไปข้างนอกแทน แต่แล้วแทนที่ผมจะได้ทอดสายตาแล้วเหม่อลอย กลับพบกับใครบางคนที่คุ้นตาซึ่งเดินตรงมาที่ผมนั่งอยู่ด้วยสีหน้าติดรอยยิ้มที่แสนจะโคตรกวนตีนเลย คิ้วผมกระตุกยิกๆ อยากจะคว้ามือไอ้ปาแล้วพากันวิ่งออกหลังร้านไป แต่ก็ทำไม่ได้จึงต้องนั่งนิ่งๆ ทำทีเป็นไม่ได้สนใจรอยยิ้มที่ส่งมาเท่านั้น

ใครจุดธูปเรียกวะ! แม่ง!

“โอ๊ะโอ…ไม่คิดนะเนี่ยว่าจะได้มีบุญมาเจอท่านประธานนั่งแดก ไม่สิๆ นั่งทานข้าวกับพนักงานของตัวเอง” คำพูดคำจาแดกดันเรียกตีนประทับใบหน้า แถมท่าทางการยกมือทาบอกที่คล้ายกับจะบอกว่าไม่อยากจะเชื่อก็ชวนให้หงุดหงิด แต่แน่นอนครับว่าไม่ใช่ผมแน่นอนที่หงุดหงิด

ไอ้ปาแม้จะมีทีท่าไม่สนใจการก่อกวนของพี่หนู แต่ผมเห็นนะว่าในแววตาของมันเต็มไปด้วยความไม่พอใจและไม่ชอบใจอย่างมาก ผมที่เป็นคนกลางได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับพี่หนูก่อนจะยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มทั้งแก้วเพื่อดับร้อน แม้ว่ามันจะไม่ค่อยจะช่วยเท่าไหร่ก็ตาม

มาคุเหลือเกิน อากาศยังร้อนไม่พอใช่ไหมครับ กัดกันอีกแล้ว

“ผมนี่ปลื้มใจแทนทุกคนจริงๆ” เออ เอาเข้าไป อยากจะกลอกตาใส่พี่หนูแล้วลากพี่มันไปเก็บเหลือเกิน อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องไอ้ปามันทำม้ายยยยย

“หึ…แค่มาทานข้าวกับแฟน คงไม่ถึงกับต้องให้คุณมาปลื้มใจแทนแฟนผมหรอกนะครับ” พี่หนูชะงักเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปรายตามาแล้วยกคิ้วขึ้นถามผม ซึ่งผมเองก็พยักหน้าตอบกลับไป จะโกหกไปทำไมในเมื่อมันคือความจริง

“โอ้…ยินดีด้วยครับที่เขารับรักสักที จากที่อยู่ในเฟรนด์โซนมาน้านนาน” ผมจุกแทนยังไงไม่รู้สิ รู้สึกเจ็บๆ จุกๆ แทนไอ้ปาหน่อยๆ ปากพี่หนูนี่อมหมาไว้ทั้งฟาร์มเลยหรือยังไง ทำไมกัดเก่ง กัดไม่ปล่อยเลย

ก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นมาจนมีเรื่องบานปลาย ร่างของพี่อาร์ตก็เข้ามาแล้วตบหัวพี่หนูไปหนึ่งทีเต็มๆ อย่างแรงด้วย ผมได้ยินเสียงสมองพี่หนูไหลไปรวมกันอยู่ทาด้านหน้าเลยครับ ไม่ได้เยอะอะไรเลย แค่พี่มันมึนไปหลายนาทีอยู่

แต่จะว่าไปสะใจเหมือนกันนะครับ สมน้ำหน้า โดนเสียบ้าง ฮึ!

“ลามปาม!” พี่หนูที่ยังมึนๆ หันไปมองข้างหลังอย่างงงๆ ผมเองก็สงสารนะ แต่ท่าทางมึนๆ นั่นโคตรทำให้ผมรู้สึกสนุกสุดๆ ไปเลย ผมเลยเผลอยกมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปเอาไว้ กะว่าคืนนี้จะส่งไปแกล้งพี่หนูมันเสียหน่อย

จะหัวเราะออกมาก็เกรงใจพี่มันนิดหน่อย ฮ่าๆ

“…” พี่หนูเหลือบมองหน้าของพี่อาร์ตแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ซึ่งผมมองว่ามันผิดปกตินะ รอบนี้พี่หนูมันแค่ยกยิ้มน้อยๆ ปล่อยให้พี่อาร์ตข่มจนพอใจไปเองนั่นล่ะ

เดี๋ยวสิ สองคนนี้มันเกิดอะไรขึ้นล่ะครับนี่?

“ขอโทษด้วยครับ ตามสบายเลยนะครับท่านประธาน ส่วนมึง…ไปได้แล้ว” ผมยังไม่ทันจะหายสงสัย ร่างอันสูงใหญ่ของพี่หนูก็ถูกพี่อาร์ตลากไปเก็บ เอ๊ย ผมหมายถึงพาออกไปจากโต๊ะผมกับไอ้ปาทันที ไอ้ผมก็ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ได้แต่สงสัยว่า ตกลงพี่มันเดินเข้ามาทำไมวะ?

“สนใจอะไรมันหนักหนา!” ผมสะดุ้งเมื่อไอ้ปาถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจ แต่เรื่องอะไรล่ะ? หรือโกรธพี่หนูแล้วพาลผมอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นผมก็ต้องถอนหายใจออกมา

“กูเคยเตือนมึงแล้วนะปา ว่ามึงต้องหัดรู้จักควบคุมอารมณ์บ้าง มึงเป็นประธานนะปา ไม่ใช่พนักงานแบบกู” ผมพูดจริงนะ ถ้ามันยังเป็นแบบนี้ มันจะมีปัญหาเพราะการไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ของมันเอง

“บ้าเอ๊ย! คิดเงินครับ!”

ไอ้ปาสบถออกมาแต่ไม่คิดจะตอบรับผม สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความหงุดหงิดทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนถูกพี่หนูยั่วโมโห มันก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เก็บอารมณ์เก่งจริงๆ ต่อหน้าศัตรู แต่พอแต่หน้ากูนี่บึ้งตลอด แล้วแบบนี้ผมจะวางใจมันได้ไหม เกิดมันบ้าดีเดือดพุ่งเข้ามาต่อยผมตอนเราทะเลาะกันแบบนั้นผมก็ไม่เอานะ ถึงผมจะเคยมวยกับไอ้พี่หนูมันมาก่อน แต่ผมเป็นพวกรักสงบ ไม่คิดชกต่อยอะไรเลย แค่วันนั้นมันโมโหจนขาดสติจริงๆ

ไอ้ปาลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยที่มือของมันลากผมไปด้วยติดๆ ยิ่งใกล้เวลาเข้างานช่วงบ่าย บริเวณหน้าบริษัทยิ่งเต็มไปด้วยพนักงาน ผมเห็นรินกับวอลล์เปเปอร์ยมองมาทางไอ้ปาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก แต่ไอ้ปามันกลับไม่ได้สนใจสายตาของน้องเลย มันเอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งลากพาผมไปอยู่อย่างนั้น ทั้งๆ ที่รอบข้างต่างมองผมคล้ายกับว่าผมเป็นคนแปลกหน้า แต่ช่างเถอะ ถึงอย่างไรถ้าไม่ใช่เพราะผมมีประโยชน์ต่อพวกเขา ผมก็แค่คนแปลกหน้าอยู่ดีนั่นล่ะ

ว่าแต่มันจะลากผมไปถึงไหน ข้อมือจะหลุดอยู่แล้ว

“ไอ้ปา ปล่อยก่อนได้ไหม กูเดินเองได้” ไอ้ปาหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าผมแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมืออยู่ดี

“กลัวมันมาเห็นหรือไง?”

มัน? มันไหน? ใครวะ?

“มึงพูดถึงใคร? อ๊ะ เดี๋ยวดิวะ!” มันฟังที่ไหน มันยังคงตั้งหน้าตั้งตาลากผมอยู่แบบนั้นล่ะ ต่อให้ใครมองก็ช่างไอ้ปาไม่แคร์ แน่ล่ะสิ มันจะแคร์ทำไม มันเป็นใครล่ะ เฮอะ!

สุดท้ายผมก็ถูกลากกลับห้อง ผมหมายถึงห้องทำงานของไอ้ปา หรือก็คือห้องทำงานของผมด้วยนั่นล่ะ เพราะโต๊ะของเลขาส่วนตัวที่ไอ้ปาว่ามานี่ ก็คือส่วนตัวจริงๆ ครับ เก็บไว้ส่วนตัวชัดๆ ไม่คิดจะให้ผมขยับขาก้าวออกจากห้องหรอก ถ้าไม่ใช่เวลาเลิกงานเพื่อกลับบ้าน ผมรู้สึกยังไง ก็ดี แอร์เย็น ห้องเงียบ เสียอย่างเดียวไม่ค่อยมีอะไรให้ผมทำมันเลยกลายเป็นว่าผมง่วงบ่อยๆ มันเบื่อนี่นา เบื่อมากๆ ด้วย แต่บอกไอ้ปาไม่ได้หรอก วิธีแก้เบื่อของมันไม่เหมือนชาวบ้านเขาหรอก

ผมว่าพวกคุณเดาได้นะว่าวิธีไหน หึ!

“อะไร? ทำไมต้องมองกูแบบนั้นด้วยวะ” มาถึงแทนที่จะบอกว่าเป็นอะไร หรือขอโทษสักคำที่ลากผมมาเหมือนผมเป็นตุ๊กตา มันกลับเอาแต่จ้องผมไม่กะพริบตา นั่งข้างๆ กันแท้ๆ แต่กลับรู้สึกชวนให้เสียวสันหลังแปลกๆ

“ตอนนี้เราเป็นอะไรกันนก” เดี๋ยวนะ จำได้ว่าวันก่อนผมเป็นคนถามไป แล้วไหงวันนี้ถึงเป็นมันล่ะที่ถามผมออกมา ผมเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างงงงวย แต่ก็ยอมตอบออกไปอยู่ดี

“ก็ ก็แฟนไง” พูดเองก็เขินเองได้ ผมนี่ล่ะไม่ใช่ใครหรอก ไอ้ปาเหมือนจะผ่อนคลายลงไปแต่ก็ยังไม่ปกติอยู่ดี

“แล้ว…กับไอ้พี่หนูล่ะ มึง…คิดยังไงกับพี่มัน” พี่หนูเหรอ ผมพยายามตีความหมายความรู้สึกของตัวเองอยู่ในหัว

“อืม…ว่าไงดี พี่หนูมันช่วยกูไว้หลายเรื่อง เวลากูเสียใจพี่มันก็อยู่กับกูตลอด สงสัยคงกลัวกูคิดสั้นฆ่าตัวตายมั้ง” ผมพูดติดตลก แต่ไอ้คนฟังมันกลับไม่ยอมตลกด้วย สีหน้ามันกลับยิ่งแข็งขึ้นทันตา ในแววตามีร่องรอยความดุร้ายแผ่ซ่านออกมา ข้อมือก็ถูกบีบอย่างแรงจนเจ็บ

“กูถามว่ามึงคิดยังไง ไม่ใช่ให้มึงมาสรรเสริญเยินยอให้กูฟัง!” ผมแทบจะหัวหดกับน้ำเสียงของมันแล้วเริ่มตอบให้ตรงคำถามเสียที

“ก็…ไม่ได้คิดอะไร พี่มันก็เหมือนพี่ชายกู คอยช่วยกู ดูแลกู” ไอ้ปาได้ยินคำตอบแล้วก็เอนหลังลงพิงกับโซฟา มือที่บีบข้อมือผมก็ค่อยๆ ผ่อนแรงออกจนเกือบจะปล่อย แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย

“ถ้าเป็นแบบนั้น มึงจะแอบถ่ายรูปมันไปทำไม?” ผมย่นคิ้วลง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนที่อยู่ในร้านผมแอบถ่ายรูปพี่หนูมันไว้จริงๆ

ผมจึงบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของมัน ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา เลื่อนๆ ก่อนจะยื่นให้ไอ้ปาได้ดูว่าที่จริงแล้วผมแอบถ่ายพี่มันไปทำไมกันแน่ ไอ้ปาที่รับไปด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ พอเห็นภาพที่ผมถ่ายออกมาไอ้ปามันก็หลุดรอยยิ้มมุมปากออกมาครู่หนึ่ง จริงๆ ตอนถ่ายรูปผมก็คิดว่ามันตลกดี อยากจะเอาไปข่มขู่ขอของกินอร่อยๆ แพงๆ สักมื้อ แต่เจอความโกรธจนแทบจะฆ่าให้ตายแบบนี้ ผมไม่เสี่ยงตีนออกไปกินข้าวกับพี่มันดีกว่า เดี๋ยวตายฟรี

“สบายใจแล้วสินะ” ไอ้ปาเหลือบมองผมก่อนจะกระตุกยิ้มเล็กน้อย ผมล่ะอยากจะกลอกตาใส่มันเหลือเกิน วางท่าดีจริงๆ

“ตลกดี…” แน่ล่ะ ไม่อย่างนั้นผมจะถ่ายพี่มันไปทำไม

“ใช่ไหมล่ะ กูเห็นว่ามันตลกไง ถึงได้ถ่ายไว้ คิดเอาไว้ว่าจะส่งไปเย้ยพี่มันคืนนี้พอดี เฮ้ย!!” ไอ้ปาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ มันวาดแขนมาดึงรั้งเอวของผมจนตัวผมปลิวขึ้นมานั่งซ้อนอยู่บนตักของมัน

“ทำไมอะไรของมึงเนี่ยปา!” ผมพยายามจะดิ้นลงจากตักของมันให้ได้ ส่วนมันก็กอดผมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย อีกมือก็วุ่นวายกับการกดโทรศัพท์ของผม จนเมื่อเห็นว่ามือที่มันยื่นออกมากำลังอยู่ในหน้าต่างกล้อง ผมจึงได้หยุดดิ้นลง

“อยากถ่ายรูป ก็ต้องถ่ายกับแฟน ห้ามถ่ายคนอื่น” ริมฝีปากของมันร้อนมาก เมื่อมันมากระซิบอยู่ที่ลำคอของผม การสะท้อนภาพจากกล้องทำให้ผมเห็นได้เลยว่ามันกำลังซุกใบหน้าลงกับลำคอของผมทางด้านหลัง แต่สายตากลับเหลือบขึ้นมาจ้องตากับผมผ่านทางกล้องโทรศัพท์

แม่งโคตรน่าอายเลยจริงๆ นะ! มันกำลังทำให้หัวใจของผมเต้นแรงและทำงานหนักมาก

“กูอนุญาตให้โทรศัพท์ของมึงมีแค่รูปมึงกับกูเท่านั้น คนอื่นกูไม่อนุญาตให้มันสะเออะแทรกเข้ามา จำไว้ด้วยนะนก” ผมกลืนน้ำลายเมื่อดวงตาที่ส่งผ่านมาทางกล้องช่างร้อนแรงจนอุณหภูมิของห้องเริ่มสูงจนแทบจะเดือด มันหวิวๆ รู้สึกพลุ่งพล่านแปลกๆ แต่ก็ต้องระงับเอาไว้







50%



นก : ปา กูว่ารูปเราสองคนมีอะไรแปลกๆว่ะ

ปา : อะไรวะที่ว่าแปลก

นก :มีใครไม่รู้ติดมาในรูปด้วย ทั้งที่เราถ่ายกันสองคน

ปา : เฮ้ย จริงด้วย! ใครวะ ยืนยิ้มเหมือนใครเชิญมันมาเข้ากล้อง

แมว : เก๊าเองงงงงงง

นก / ปา : .... (ลบรูปโดยมิได้นัดหมาย)


หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่11.นกกับความจริงฯ 50% up. 14/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-12-2019 20:38:37
ปานี่ก็หึงไม่เข้าเรื่อง ถ้านึกดีๆ ก็คงจะนึกออกว่าพี่หนูกับพี่อาร์ตจูบกันในบ้านร้างน่าจะพอเข้าใจนะ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่11.นกกับความจริงฯ 100% up. 15/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 15-12-2019 19:50:29
“กูอนุญาตให้โทรศัพท์ของมึงมีแค่รูปมึงกับกูเท่านั้น คนอื่นกูไม่อนุญาตให้มันสะเออะแทรกเข้ามา จำไว้ด้วยนะนก” ผมกลืนน้ำลายเมื่อดวงตาที่ส่งผ่านมาทางกล้องช่างร้อนแรงจนอุณหภูมิของห้องเริ่มสูงจนแทบจะเดือด มันหวิวๆ รู้สึกพลุ่งพล่านแปลกๆ แต่ก็ต้องระงับเอาไว้

“มึง เอ่อ ปล่อยกูก่อนดีไหม” แต่มันกลับไม่ยอมปล่อย ยังคงยึดเอวของผมเอาไว้แน่น ก่อนที่มันจะวางคางของมันไว้บนไหล่ผม จนแก้มของเราสองคนแนบกัน

ผมหน้าร้อนผ่าว ไม่กล้ามองสบตากับมันในกล้องสักวินาทีเดียว กลัวว่าตัวเองจะอ่อนระทวยเพียงเพราะสัมผัสที่ใกล้ชิดและดวงตาหวานฉ่ำที่กำลังมองผมอยู่ ผมก้มลงมองพื้นด้วยความอาย รู้ได้เลยว่าแก้มของผมแดงขนาดไหน ทำไมผมรู้สึกว่านับวันผมยิ่งเหมือนสาวน้อยขึ้นทุกที เหมือนเด็กสาวที่กำลังมีรักผลิบาน แต่เดี๋ยวสิ! ผมเป็นผู้ชายต่างหาก มาองมาอายแบบนี้โคตรเสียงเชิงเลย ไม่ได้สิ! ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองมัน

ใช่! ผมทำได้แน่! ก็แค่จ้องตาจะไปยากอะไร!

ตึกตัก ตึกตัก

อ๊าก!!! ยาก! มันยากมากด้วย! ผมสู้สายตามันไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ น้าาาา

“ถ่ายรูปกันเถอะ” ผมเม้มปากหน้าแดงก่ำแต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับคำชวนของมัน

ไอ้ปากยกกล้องขึ้นสูงจนเห็นใบหน้าของเราสองคน มันยิ้มอย่างมีความสุขส่วนผมยังคงเขินอยู่เลยได้แต่ปล่อยสายตาให้จ้องใบหน้าที่แนบอยู่กับแก้มของผมแทน แต่เพียงแค่มองได้ไม่ทันจะถึงนาที ไอ้ปาก็กดริมฝีปากลงกับแก้มของผมจนจมหายลงไป ผมเบิกตากว้างนั่งเอ๋ออยู่อย่างนั้นไม่กล้าขยับไปไหน ตัวแข็งทื่อไม่ต่างจากหิน ในขณะที่ไอ้ปากลับชอบใจจนได้ยินเสียงกดถ่ายหลายรูป

“กะ แก้มกูช้ำหมดแล้ว!” มันเป็นการโวยวายกลบเกลื่อน ไม่อย่างนั้นผมจะทำตัวไม่ถูก หรืออาจจะถึงขนาดที่ลืมวิธีหายใจไปเลยก็ได้ แต่ไอ้ปากลับหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี กระชับอ้อมกอดดึงผมเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมเสียอีก

“ถ้างั้นเปลี่ยนที่ได้ไหม ขอเป็นตรงนี้แทน”

ตรงนี้ของมันที่ว่า ไอ้ปาใช้ปลายนิ้วลูบเบาๆ ที่ริมฝีปากผมเพื่อสื่อความหมายว่าตรงนี้คือตรงไหน ส่วนผมที่ตอนนี้กำลังเขินหนักเข้าไปอีกก็เริ่มทำอะไรไม่ถูก ในสมองมันไม่มีแม้แต่ความคิดใดๆ หลงเหลือ มันว่างเปล่าจนผมนึกว่าตัวเองโง่ไปแล้วจริงๆ ผมสบตามันครู่เดียวก่อนจะหลบตาลงมามองมือของมันที่ยังไม่ยอมหยุดไล้ริมฝีปากของผม มันลูบไล้ส่วนผม…เผลอเผยอริมฝีปากออกอย่างไม่รู้ตัว

แชะ!

“อื้อ…” ทันทีที่ริมฝีปากร้อนประกบลงมามอบจูบร้อนแรงให้ผมก็ได้ยินเสียงกดถ่ายภาพรัวๆ จนผมกลัวเหลือเกินว่าความจำมันจะเต็มไปเสียก่อน

จากที่ผมต้องพยายามหันหน้าไปรับจูบของมัน ในตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหันหน้าเข้าหามันเมื่อไหร่ สภาพของผมตอนนี้อยู่ในท่าที่ดูไม่ดีนัก เพราะผมกำลังนั่งคร่อมตักของไอ้ปาอยู่ โดยที่มีมือของมันลูบไล้อยู่ที่เอวบางของผมไปมา มืออีกข้างของมันประคองใบหน้าของผมเอาไว้ให้รับจูบร้อนแรงได้อย่างถนัดถนี่ รสหวานถูกปลายลิ้นร้อนส่งเข้ามาให้ผมได้ลิ้มรสชาติ หยอกเย้าและล่อลวงให้ผมต้องหลงมัวเมาไปกับมัน ตวัดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดตอบสนองความต้องการจนไอ้ปาครางแผ่วอยู่ในลำคอ

มือทั้งสองข้างของผมโอบรอบลำคอของไอ้ปา เผลอยกสะโพกขึ้นสูงเมื่อจูบที่ดูดดื่มนั้นเพิ่มความร้อนแรงยิ่งขึ้น ความเร่าร้อนและรสชาติหวานๆ ที่ติดปลายลิ้นก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นตาม มือหนาของไอ้ปาเลื่อนลงมายังสะโพกของผม ก่อนที่มันจะบีบและขยำมันอย่างเมามัน ผมที่กำลังถูกสูบวิญญาณและสติไปกับจูบที่ไอ้ปามอบให้ไม่อาจจะรู้เลยว่าในตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในความเย้ายวนมากเพียงใด

“อา…” ผมและไอ้ปาผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง อาวรณ์ความหวานที่ได้ลิ้มลองอย่างแสนเสียดาย

“มึงหวาน…” ปลายนิ้วของไอ้ปาไล้ไปตามริมฝีปากของผมที่ฉ่ำวาวและแดงระเรื่อ แววตาร้อนแรงจับจ้องมันราวกับอยากจะกลืนกินมันเข้าไปอีกครั้ง ผมหลบสายตาพยายามจะลงไปนั่งที่โซฟาดีๆ เพราะท่าทางตอนนี้มันออกจะน่าอายเกินไป แต่มันไม่ยอมปล่อยผมลงกลับกอดผมแน่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“ปา กูจะลงไปนั่งดีๆ ปล่อยกูก่อน” ไอ้ปายิ้ม แต่ไม่ยอมปล่อย

“นั่งแบบนี้ก็ได้”

“ไม่เอา…เดี๋ยวมึงหนัก” ผมพยายามให้เหตุผลแต่ไม่กล้าสบตา

“ไม่หนักหรอก ตัวมึงผอมนิดเดียว กูไม่หนักหรอกนก”

โอ๊ย! ทำไมพูดยากพูดเย็นแบบนี้ แล้วมือนั่นน่ะ ทำไมต้องเอาลงไปต่ำขนาดนั้น นั่นมัน…ก้นของผมนะ อ๊ากกกก

“ปา มือมึงน่ะ เอาออกไปเลยนะ!” ผมรีบใช้เสียงข่มทันทีที่เริ่มรับรู้ว่ามือของมันตอนนี้อยู่ตำแหน่งไหน

“ทำไมวะ ก็พอดีมือกูดีออกนี่” ไอ้ปามันพูดกลั้วหัวเราะ ถะ แถมมันยังบีบก้นผมเล่นอีกต่างหาก บ้าจริง!

“ไอ้ปา!!”

“ครับๆ ปล่อยแล้วครับคุณแฟน” มันยกมือขึ้นสองข้างอย่างยอมแพ้ ส่วนผมได้แต่เม้มปากหน้าแดงก่ำกับคำเรียกขานที่มันใช้เรียกผม ก่อนที่จะลงมานั่งบนโซฟาดีๆ แทน ไอ้ปาขยับเข้ามาใกล้ผม ส่วนผมก็นั่งอยู่เฉยๆ นั่นล่ะ ขยับหนีไปก็ใช่ว่าจะรอด ดีไม่ดีอาจถูกจับขึ้นไปนั่งบนตักมันอีกก็ได้ ผมไม่เสี่ยงดีกว่า

“มึงกูสิ รูปของเรา” ผมเหลือบมองหน้ามันที่ตอนนี้ยังคงจับจ้องไปที่รูปในโทรศัพท์อย่างพึงพอใจ ริมฝีปากยังคงติดรอยยิ้มยิ่งทำให้หน้าของมันดูหล่อขึ้นไปอีก ดวงตาของมันเป็นประกายจนใจผมเต้นแรง

ผมสบายใจมากนะที่ได้อยู่กับมันแบบนี้ ใช้เวลาแบบนี้แม้ว่ามันจะมีการเข้าใจผิดบ้าง มีการโกรธกันบ้างทะเลาะกันบ้าง แม้ไอ้ปาที่นิสัยเหมือนเด็ก ควบคุมอารมณ์ไม่ได้จะทำให้ผมปวดหัวอยู่บ้าง แต่ผมว่ามันก็มีความสุขดีอีกแบบหนึ่ง มันแตกต่างกับตอนที่เราเป็นเพื่อนกัน ผมว่าไอ้ปาเอาใจใส่ผม ผมแคร์ความรู้สึกผมมากขึ้น ซึ่ง…ผมรู้สึกดีนะครับ

เพราะมันหมายความว่าผมสำคัญมาก

“ถ่ายยังไงวะ กูไม่เห็นหล่อเลย” ผมยิ้มแซ็วเมื่อเห็นภาพที่ออกมามีแต่ไอ้ปาที่หล่อ ส่วนผมก็ยังหน้าตาเหมือนเด็กแถวบ้านทั่วไป รัศมีเทียบชั้นคุณชายอย่างมันไม่ได้จริงๆ

“ก็ดีแล้วนี่ ถ้าคนอื่นเห็นว่ามึงหล่อ กูก็มีคู่แข่งเยอะน่ะสิ” ผมส่ายหน้ากับความคิดของมัน นี่มันคิดได้ไงครับว่าจะมีคนมาแข่งกับมัน ผมก็แค่ไอ้นกที่บนหน้ามีแต่แว่น วันๆ ก็ทำงานงกๆ ไม่เคยดูแลตัวเอง ขี้งกก็เป็นที่หนึ่ง แบบนี้ใครเขาจะมาสนใจผมกัน

“คงไม่มีใครตาบอดมาชอบกูเหมือนมึงแล้วล่ะ”

“พูดแบบนี้มากูก็ไม่ได้สบายใจขึ้นหรอกนะ” ผมกลอกตาไปมากับคำตอบของมัน

“แล้วมึงจะให้กูทำไงวะ?” ไอ้ปามันยิ้ม ยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูด้วยเสียงที่แหบพร่าจนผมหน้าแดง

“ถ้างั้นคืนนี้ไปนอนกับกูนะ”

















เฮอะ! ใครบอกกันว่าผมจะไปนอนกับไอ้ปา ไม่มีทางอยู่แล้ว เมื่อคืนผมรีบกลับบ้านด้วยตัวเองไม่ต้องรอให้ไอ้ปาไปส่งอะไรหรอก เพราะขืนให้มันไปส่งผมมีหวังไปจบที่ห้องของมันแน่ๆ ยิ่งช่วงนี้เป็นแฟนกันใหม่ๆ ไอ้ปาก็เล่นแสดงความต้องการจนออกนอกหน้าแบบนั้น ผมคงไม่มีทางยอมกลับกันมันแน่ๆ ผมไม่ยังอยากเสียตัวหรอกนะครับ

แต่ก็ใช่ว่าจะหนีหน้ามันเสียเมื่อไหร่ ผมเองก็ส่งข้อความบอกมันก่อนอยู่แล้ว เหมือนที่มันเองก็ส่งข้อความบอกผมว่าฝันดีอยู่ทุกวัน ผมเองก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน รู้สึกเหมือนหลับไปเป็นเด็กที่ต้องส่งข้อความหาแฟนสมัยที่ยังเรียนอยู่มัธยม

เมื่อคืนนี้ผมนอนยิ้มกับภาพที่อยู่ในโทรศัพท์ทั้งคืน ยิ่งดูก็ยิ่งเขิน แต่ถึงจะเขินผมก็ชอบอยู่ดี ผมจึงได้จัดการตั้งเป็นวอลล์เปเปอร์โทรศัพท์ตัวเอง แน่นอนครับว่าไม่ใช่รูปจูบหรอก มันต้องเป็นรูปที่ผมถูกมันกอดแล้วแก้มเราชิดกันอยู่แล้ว จะว่าไปผมเองก็ไม่ได้ขี้เหร่เท่าไหร่นะ ดูๆ ไปก็น่ารักดี ยิ่งอยู่ในอ้อมกอดของไอ้ปา มันก็ยิ่งทำให้ผมที่กำลังเหลือบมองมันแล้วหน้าแดงยิ่งดูน่ามองขึ้นไปอีก

กว่าจะข่มตานอนหลับไปได้ก็นานเอาการ ถึงขนาดลืมชาร์จแบตตัวเองแล้วหลับไปด้วยซ้ำ เพราะตอนที่ผมมีแฟน ตอนที่ผมคบกับหลินมันไม่ใช่แบบนี้ หลินไม่ชอบถ่ายรูปกับผม ไม่เคยอยากจะถ่ายด้วยซ้ำ

แต่ไอ้ปากลับเป็นคนเอ่ยปาก เป็นมันที่ถือกล้องแล้วถ่ายรูปของเราออกมา มันจึงทำให้ผมดีใจมากจนเก็บความดีใจเอาไว้แทบไม่ไหว หัวใจของผมยิ่งทำงานหนัก เผลอแค่แป๊บเดียวผมก็รักไอ้ปามากกว่าเดิมเสียแล้ว คนที่ไม่เคยมีใครมองเห็นตัวตน ดันเป็นคนที่ถูกรักขึ้นมาแบบนี้ ผมจึงวางตัวไม่ถูก ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นอย่างคนอื่นเขา

ผมคิดไปต่างๆ นานา หากว่าผมทำให้มันเป็นที่อับอายล่ะ ถ้าหากว่าการที่มันคบกับผมทำให้ชีวิตมันแย่ลงล่ะ มันดีจริงๆ น่ะหรือที่เราสองคนเป็นอยู่ในตอนนี้ สถานะแฟนที่มั่นคงและเป็นผมที่ไม่อาย แต่คนรอบข้างจะมองไอ้ปาแบบไหน จะรังเกียจเพราะมันคบกับผู้ชายด้วยกันอย่างผมหรือเปล่า ยิ่งผมเป็นแค่ไอ้นกที่ไม่มีอะไรดี ชีวิตนี้แค่จะปฏิเสธใครสักคนยังทำไม่ได้ มีอะไรดีที่ทำให้ไอ้ปามันภาคภูมิใจ เดินจับมือกับมันจะถูกคนมองเหยียดหยามไหม ผมจินตนาการไปต่างๆ นานา

ยิ่งคิดไปถึงวันข้างหน้า ถ้าหากวันนั้นไอ้ปาพบคนที่มันอยากจะอยู่ด้วย หากว่ามันรู้ตัวว่าไม่ได้รักผมจริงๆ เป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบที่เกิดขึ้นผมจะทำยังไง จะสามารถยืนยิ้มแล้วปล่อยมือจากมันไปได้หรือเปล่า จะสามารถใช้ชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีมันได้หรือ แล้วถ้าหากว่าผมทำไม่ได้ล่ะ ถ้าผมเกิดชินที่มีมันอยู่เคียงข้าง ผมจะทำยังไงในวันที่ผมไม่มีมันแล้ว

ไม่ได้สิ! ผมจะมาคิดเองเออเองคนเดียวแบบนี้ได้ยังไงกัน ในเมื่อเรื่องมันยังมาไม่ถึงเสียหน่อย ใช่ว่าเหตุการณ์ที่ผมคิดไว้มันจะเป็นจริงเสมอไปเสียเมื่อไหร่ บางที…มันอาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นก็ได้ ในเมื่อตอนนี้ทั้งผมและมันต่างก็มีความสุขที่ได้มีกันและกันอยู่ เราจะไปคิดมากถึงจุดที่ยังมาไม่ถึงทำไม

ผมส่ายหน้าสะบัดไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากหัวไปให้หมด เดอนหน้าไปยังประตูใหญ่ที่เป็นห้องทำงานของประธานอย่างไอ้ปา และก็คือห้องทำงานของผม แต่ทำไมประตูถึงปิดไม่สนิทล่ะ หรือว่าไอ้ปาจะมาแล้ว อาจจะเป็นไปได้ ผมตั้งท่าว่าจะเคาะประตูแต่กลับต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยลอดออกมาจากภายในห้อง

"ได้ยินว่ามึงคบกับนกแล้วเหรอวะ" เสียงชาย เสียงนี้ผมจำได้ดี แต่ชายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?

"ใช่..."

"หึ สักทีนะมึง เห็นตามมานาน กูยังคิดอยู่เลยว่าจะได้กินหรือเปล่า"

ผมเหรอ? พวกเขากำลังพูดถึงผมใช่ไหม ผมแอบเสียมารยาทแอบลอบมองเข้าไปที่ช่องว่างของประตู เห็นไอ้ปานั่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งของมัน ส่วนชายกำลังพิงตู้ที่ข้างผนังด้วยท่าทางสบายๆ สีหน้าของชายเหยียดยิ้มออกมาอย่างล้อเลียน ส่วนไอ้ปา…รอยยิ้มของมันทำให้ผมตีความหมายไม่ออกจริงๆ

"ระดับกู...ไม่มีพลาดหรอก มึงก็รู้ดี"

"เออ...กูรู้" ชายเดินมานั่งที่เก้าอี้แล้วทิ้งตัวลง สองมือกอดอกเอาไว้แต่ใบหน้ากลับจับจ้องไปที่ไอ้ปาอย่างไม่วางตา ไอ้ปาเองก็เช่นกัน มันไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร กลับสบายๆ เสียมากกว่าที่ถูกมองแบบนั้น

"แล้วนี่มึงจะทำไงต่อ? "

"เรื่องอะไรล่ะ"

"เรื่องน้องเบญของมึงไง มึงจะไม่บอกไอ้นกเหรอ"

บอกเหรอ? บอกอะไรผมล่ะ? ยังมีเรื่องปิดบังผมอีกงั้นเหรอ…

"บอกทำไม..." น้ำเสียงของไอ้ปาดูไม่แยแสสักนิด สีหน้าเรียบเฉยราวกับว่ามันไม่สำคัญอะไรเลย

"ก็น้องเบญเป็นคู่หมั้นมึง มึงทำแบบนี้ถ้าไอ้นกรู้มันจะเสียใจนะโว้ย" คะ คู่หมั้น! น้องเบญคือคู่หมั้นของไอ้ปาเหรอ ทำไมล่ะ ทำไมมันถึงไม่ยอมบอกผมเรื่องนี้

"หึ...ก็แค่อย่าให้รู้ก่อนมันก็จบไหม" แค่อย่าให้รู้ ทำไมมันพูดเหมือนกับว่าการปกปิดความจริงกับผมเอาไว้มันง่ายดาย เหมือนกับว่าผมโง่เหลือเกิน

"แล้วอีกนานแค่ไหนมึงถึงจะจบเรื่องนี้วะ"

"ไม่นานหรอก กูกำลังจะจบแล้วล่ะ มึงไม่ต้องห่วง"

ผมอดทนฟังต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ผมรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังไร้เรี่ยวแรงลงไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะล้มลงไปนั่งกับพื้น อยากร้องไห้เหลือเกินแต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาประจานความโง่งมของผมได้ ผมต้องเก็บมันเอาไว้ กล้ำกลืนฝืนมันไม่ให้ไหลออกมาในตอนนี้ ผมเหมือนคนโง่ที่เพิ่งหูตาสว่าง คำพูดและสีหน้าของไอ้ปามันเต็มไปด้วยความเฉยชา ชัดเจนแล้วว่ามันแค่แกล้งผมก็เท่านั้น

ผมก็แค่ของเล่นของมัน ไม่ใช่คนรักอย่างที่ผมคิดว่าเราเป็น

ขาทั้งสองข้างสั่นจนแทบจะยืนไม่อยู่ สองมือไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะยึดเกาะอะไรไว้พยุงร่างกายแล้วในตอนนี้ ผมเพียงแค่ก้าวออกไป ก้าวออกไปจากตรงนั้น ก้าวออกไปเรื่อยๆ จนผมมาถึงฝ่ายบุคคลเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้

เพราะวันนี้ผมมาเช้าเกินไป ทุกคนถึงได้ยังมากันไม่ครบ ผมพยายามสูดลมหายใจแล้วเดินก้าวไปหาร่างท้วมของคนที่ผมไม่สนิทใดๆ และเขาเองก็ไม่ได้รู้จักผมเป็นการส่วนตัว ซึ่งแบบนี้ดีแล้วครับ สิ่งที่ผมจะทำจะได้ไม่เป็นที่สงสัยจนไปถึงหูไอ้ปา

ผมกำมือที่สั่นระริกเอาไว้แน่น ต้องห้ามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าอย่าร้องไห้ ทั้งที่ก้อนสะอื้นตีตื้นขึ้นมาจนจุกลำคอ แต่ผมก็จำต้องกลืนมันลงไป แม้ว่านั่นจะเป็นความเสียใจที่ถาโถมมา ผมก็จะต้องกักเก็บมันเอาไว้ไม่ให้ออกมา ผมยิ้มให้เขาอย่างปกติ พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้มันสั่นจนสังเกตเห็น

“พี่เป้ครับ พอดีไอ้ปา เอ่อ ผมหมายถึงท่านประธานให้ผมมาเอาใบลาออกจากพี่หนึ่งใบครับ” พี่เป้มองหน้าผมอย่างฉงนใจ ซึ่งมันก็ไม่แปลกเลยที่เขาจะติดใจสงสัยในคำพูดผม

“คุณปรมะเหรอ แล้วคุณปรมะจะเอาใบลาออกนี่ไปทำไมกันล่ะ?” ผมหยุดชะงัก รอยยิ้มที่มีแข็งค้างไปหลายวินาที ผมลืมไป ผมลืมไปว่าการที่ประธานมาขอใบลาออกมันจะดูแปลกๆ ใช่ มันแปลกจริงๆ นั่นล่ะ

ทำไงดีล่ะ แบบนี้มีหวังเรื่องถึงหูไอ้ปาอย่างแน่นอน

ไม่ได้นะ! ไอ้ปาจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้

“เอ่อ อันนี้ผมไม่รู้นะพี่เป้ พี่เป้คงต้องถามไอ้ปาเองแล้วล่ะครับ” อย่าสั่นสิ ต้องพยายามทำให้พี่เป้เห็นว่าผมไม่มีอาการผิดปกติใดๆ อย่างน้อยพี่เป้ก็คงไม่กล้าพอจะไปเอ่ยถามกับประธานอย่างไอ้ปาเองหรอก

และดูเหมือนผมจะคิดถูก พี่เป้แม้จะติดใจสงสัยแต่ก็ยินยอมยื่นใบลาออกมาให้ผมแต่โดยดี ผมขอบคุณพี่เป้ด้วยรอยยิ้มที่ปกติที่สุด ก่อนจะเดินออกมาอย่างช้าๆ ไม่เร็วจนผิดสังเกต เมื่อพ้นจากสายตาของพี่เป้แล้ว ผมจึงเอากระดาษแผ่นนั้นใส่ลงไปในกระเป๋าตัวเองโดยไม่ลืมที่จะพับมันเอาไว้ อย่างไรก็ต้องทำ จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ในเมื่อทุกสิ่งเป็นแค่ภาพลวงตา เมื่อถึงเวลามันก็จะจางหายไป

ความรักที่ผมมีให้ไอ้ปาเป็นของจริง เพียงแต่ความรักที่ผมคิดว่าได้มาครอบครองนั้นเป็นเพียงลมที่พัดไปมา เป็นแค่อากาศเพียงน้อยนิดที่ช่วยต่อลมหายใจให้ผมได้ยืนยาวขึ้นเท่านั้น

ผมพาตัวเองกลับมาที่ห้องทำงานของไอ้ปาอีกครั้ง ครั้งนี้ผมไม่ได้ยินเสียงไอ้ชายอีกแล้ว ประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ก็ปิดสนิท และพี่ฝ้ายเองก็มาถึงแล้วด้วยเช่นกัน ผมเก็บความร้าวรานในแววตา ลบมันให้หายไปทันทีที่พี่ฝ้ายหันหน้ามาหาผมแล้วยิ้มให้

“พี่ฝ้ายสวัสดีครับ มาแต่เช้าเลยนะครับพี่”

“จ้า ต้องรีบมาเคลียร์งานที่ค้างอยู่ ว่าแต่นกเถอะ เพิ่งมาเหรอ” ลมหายใจของผมสะดุดลง ก่อนจะมองสบตากับพี่ฝ้ายเพื่อค้นหาความผิดปกติจากดวงตาคู่สวยคู่นั้น แต่เมื่อไม่พบอะไรผมจึงยังคงยิ้มตอบออกไปเช่นเดิม

“ครับพี่ พอดีเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ เลยตื่นสายไปหน่อย”

“เป็นอะไรมากไหม เอากาแฟไหมคะพี่จะไปชงให้” ผมยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ ในตอนนี้ทั้งกระเพาะ ทั้งลำคอของผมมันไม่รับอาหารอะไรเลยสักอย่าง เพราะมันกินความเสียใจจนเต็มท้องไปหมด ยังไม่ได้นับการระบายออกมาถึงได้อึดอัดขนาดนี้

ถ้าหาก…ถ้าหากไม่ติดว่าผมจะวางใบลาออกไว้ในวันนี้ ผมคงเลือกที่จะกลับบ้านไปแล้ว

“ถ้างั้นเข้าไปข้างในเถอะค่ะ น้องปามานานแล้วคงรอน้องนกอยู่” ผมพยักหน้าแล้วยิ้มให้พี่ฝ้ายก่อนจะเดินเข้าไปอย่างที่พี่ฝ้ายบอก

เพียงแค่เอื้อมมือไปจับประตู มือของผมก็สั่นจนแทบจะคุมเอาไว้ไม่อยู่ ผมต้องใช้มืออีกข้างกุมมันเอาไว้ ทำทีท่าว่ากำลังออกแรงผลักประตูให้เปิดออกเพื่อไม่ให้ดูผิดปกติ

ไอ้ปาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่กำลังอ่าน มันเห็นว่าผมเดินเข้าไปหามันก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ แต่ผมกลับยิ่งเจ็บ…ทุกครั้งที่ต้องมองหน้าของมัน มองรอยยิ้มหวานที่มันส่งมาให้ ทั้งที่ผมรู้ความจริงแล้วแต่กลับไม่สามารถพูดอะไรได้ ผมต้องฝืนความรู้สึก เก็บน้ำตาให้อยู่ลึกลงไปจนยากจะออกมา ก่อนจะยิ้มออกไปให้มันเหมือนทุกๆ วันที่ผมมาทำงาน

เหมือนทุกวัน แต่ก็ไม่เหมือนอีกแล้วเช่นกัน

“ทำไมวันนี้มาช้าจัง มีอะไรหรือเปล่า?” สีหน้าและแววตาสื่อความห่วงใยออกมาได้ดีจนผมเกือบจะหลงเชื่ออีกแล้ว แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของมัน ผมก็เชื่อไม่ลงว่าสิ่งที่มันทำอยู่กับผมในตอนนี้คือความจริงใจ

ผม…ทำใจเชื่อมันไม่ลง

“เปล่าหรอก เมื่อคืนแค่ไม่ได้นอน เลยตื่นสายน่ะ” ไอ้ปาเดินมาหาผม ใช้มือจับไปตามหน้าผากและลำคอ คล้ายกับตรวจหาอุณหภูมิร่างกายของผมว่าผิดปกติหรือเปล่า ผมปล่อยให้มันทำ ปล่อยให้ความอบอุ่นจากร่างกายของมันถ่ายเทมาที่ผม

ผมเป็นคนโลภ จึงได้หวังว่าก่อนที่ผมจะไป อยากจะขอกักเก็บทุกอย่างของมันเอาไว้ในใจ ให้ร่างกายได้จดจำว่าคนตรงหน้าคือคนที่ผมรักมากขนาดไหน เป็นคนที่ทำให้ผมต้องเจ็บมากเช่นกัน ผมอยากจะจดจำมันเอาไว้ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความฝันหนึ่งคืน ความฝันที่ผมหลงละเมอเพ้อพก...ว่ามันคือความจริง

“ตัวก็ไม่ร้อนนี่ แล้วมึงเป็นอะไรล่ะถึงไม่ได้นอน”

“นั่นสิ คงเพราะกู…กลัวความฝันล่ะมั้ง” ไอ้ปาขมวดคิ้ว มองหน้าผมที่ยิ้มออกมาอย่างไม่เข้าใจ

“กลัวความฝัน ทำไมต้องกลัวด้วยวะ มันเป็นฝันร้ายเหรอ” ไม่เลยปา มันไม่ใช่ฝันร้าย ผมได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธออกไป

“เปล่า…มันเป็นฝันดี ฝันที่ดีมากๆ” ฝันดีจนกูไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเชียวล่ะ มึงรู้ไหม

“เอ้า ก็ถ้ามันเป็นฝันดีแล้วมึงจะกลัวมันทำไมวะนก” มึงคงไม่เข้าใจหรอกปา คนที่สร้างฝันอย่างมึง ไม่มีทางเข้าใจคนที่ต้องอยู่ในความฝันนั้นหรอก

“เพราะเป็นฝันดีน่ะสิถึงน่ากลัว มึงรู้ไหมว่าความฝันที่น่ากลัวจริงๆ แล้วไม่ใช่ฝันร้ายหรอกนะ แต่เป็นฝันดีต่างหาก”

“คือยังไงวะ กูฟังแล้วไม่เข้าใจเลย” ไอ้ปาถามอย่างอารมณ์ดี น้ำเสียงที่ใช้ถามยังเต็มไปด้วยความขบขัน

“เพราะฝันร้าย…เราก็แค่ตื่นขึ้นมามันก็จบจริงไหม”

ไอ้ปาพยักหน้า มันรอฟังคำพูดของผมอย่างตั้งใจ ดวงตาของมันจับจ้องผมอย่างไม่ละสายตา ทุกอย่างที่ทำล้วนแสดงออกว่าผมสำคัญ ถ้าหากว่ามันจริงนะ

“แต่สำหรับฝันดี…ต่อให้ถึงเวลาที่จะตื่น เราก็ไม่ยอมที่จะตื่นหรอก และบางครั้งฝันดีนั้นอาจจะทำให้เรา…ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเจอความจริงเลยก็ได้ มึงคิดเหมือนกูไหมล่ะ” ไอ้ปาหัวเราะออกมาในที่สุด เสียงหัวเราะของมันก้องไปทั้งห้อง มือหนาของมันวางลงบนศีรษะของผมแล้วโยกไปมาอย่างที่เคยทำ

ความเคยชินนี่น่ากลัวจริงๆ ผมเกือบจะยิ้มและหลงใหลไปกับมันอีกรอบเสียแล้วสิ อันตรายเหลือเกิน ความฝันตรงหน้าของผมตอนนี้

“มึงคิดมากไปแล้วนก ความฝันสำหรับกูนะ จะดีจะร้ายกูก็จะตื่นขึ้นมาอยู่ดี เพราะมันเป็นแค่ฝัน มันไม่ใช่สิ่งที่กูต้องการจริงๆ”

นั่นสินะ เพราะคนสร้างฝันอย่างมึงไม่มีทางจมไปกับความฝันนั้นอย่างแน่นอน

คนที่จะจมลงไปกับความฝันที่บางคนสร้างขึ้นมันคือคนที่เป็นเหยื่อ คือคนที่อ่อนแอและโง่กว่ายังไงล่ะ ผมนี่ไงหลักฐานสำคัญที่จะยืนยันได้ เพราะถ้าหากผมฉลาดสักนิด ผมคงไม่เลือกที่จะกลับมายืนข้างมัน ผมคงเลือกที่จะหันหลังแล้วเดินออกไปตั้งแต่ครั้งนั้น ครั้งที่ผมยังไม่ยอมรับว่ารักมัน ครั้งที่หัวใจของผมยังไม่บอบช้ำถึงขนาดนี้ แต่ครั้งนี้…เพราะผมมั่นใจในตัวเองมากเกินไป ผมถึงได้ถูกความฝันที่แสนสวยดูดกลืนเข้าไปจนไม่อยากจะตื่นขึ้นมาพบความจริง

แต่สุดท้าย…ผมก็หนีความจริงไม่พ้น สุดท้ายผมก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่ใช่เอาแต่หลับตาแล้วฝันต่อไป

ใช่แล้วปา…ความฝันที่แสนสวยงามที่มึงสร้างให้กู มันน่ากลัวจริงๆ มันดีจนกูไม่อยากจะตื่นเลยล่ะ ถ้าหากเป็นไปได้ กูอยากจะหลับตาแล้วฝันต่อไป ไม่ต้องตื่นขึ้นมาเจอความโหดร้าย ไม่อยากตื่นขึ้นมาพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่สิ่งที่มึงสร้างขึ้นมา เป็นแค่ภาพมายาที่ไม่มีจริง กูไม่อยากตื่นขึ้นมาจริงๆ นะปา ถ้าเป็นไปได้…กูไม่อยากตื่นขึ้นมาเลย





TBC





วิ่งหลบบรรดาหม้อไหและรองเท้าทั้งหลายแหล่ ดราม่ายังไม่หมดอีกเหรอ!!!!! บอกเลยค่ะว่า ยัง!!! ฮ่าๆ แต่จะหมดแล้วจริงๆจ้า อดทนกับนังปาและน้องน้องกันหน่อยนะคะ อย่าเพิ่งเทน้องนกเพราะความซื่อ ความโง่ ความกะล่องก๊องที่เหมือนในหัวมีแต่ขี้เลิ่อยของนางเลยค่ะ อยู่กับแมวจนถึงบทสุดท้ายเถอะนะคะ เรื่องนี้มันคอมเมดี้จริงจริ้งงงง แมวไม่ได้โกหกเล๊ยยยยย

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่11.นกกับความจริงฯ 100% up. 15/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-12-2019 21:14:56
เราเห็นใจนกนะ เพราะการได้เชื่อใจใครสักคนแล้วย่อมเทหมดใจ
พอรู้ว่า เขาไม่ได้บอกหมด ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของปา ซึ่งปาคงแก้ไขเอง
แต่นก ก็คิดมากไปแล้ว ความน้อยใจเข้ามาบดบังเหตุผลทั้งหมด
ก็นะ สู้ๆ ทุกคน
 :ruready :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่11.นกกับความจริงฯ 100% up. 15/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 16-12-2019 22:14:12
มาเจอคำพูดอน่างนี้ก็จุกเหมือนกัน ถึงนกจะเขาใจผิดไป แต่คำพูดปาทำร้ายมาก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่12.นกที่บาดเจ็บ 50% up. 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 21-12-2019 20:02:10
[12]

ตอนที่ 12.

 นกที่บาดเจ็บ 
[/b]

ผมเตรียมตัวกับตัวเองเอาไว้ เพราะผมต้องวางแผนครั้งใหญ่เพื่อจะอยู่รอดให้ได้ ไอ้ปาคือผู้ชายที่ผมรัก แต่ก็นั่นล่ะ ในเมื่อมันไม่ได้รักผม ผมจะไปทำอะไรได้นอกจากจะยอมรับความจริง ผมไม่คิดจะถามหรอกครับ ไม่คิดจะถามความจริงกับมัน ไม่คิดจะรอฟังคำตอบที่มันอาจจะทำให้ผมหมดแรงแม้แต่จะหายใจแม้แต่น้อย

ยอมรับว่าขี้ขลาด มันชัดเจนอยู่แล้วนี่ครับว่าผมกลัว

ผมไม่ใช่คนเข้มแข็ง ไม่ใช่คนที่จะยืนหยัดขึ้นมาได้ถ้าหากว่าเจ็บ สำหรับความเจ็บปวดที่ตอนนี้มีอยู่เต็มหัวใจจนแทบกระอักเลือด มันไม่สามารถทำให้ผมยืนขึ้นมาได้หรอก มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ผมเหนื่อยนะ ท้อมากด้วย บางทีผมก็แอบคิดว่าตัวเองอาจจะถูกสาปให้กลายเป็นคนที่ไม่มีทางสมหวังในความรัก

ผมอาจจะเป็นนกเหมือนชื่อของผมก็ได้

เพราะเป็นอิสระ ถึงไม่เคยผูกพันกับใครได้นาน

ผมได้แต่ยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ พ่อผมบอกว่าอยากให้ผมมีอิสระ ไร้สิ่งใดมากีดกันจากความเป็นอิสระของผม แต่พ่ออาจจะไม่รู้เลยว่า อิสระที่ผมแสนจะโหยหา แต่มันช่างโดดเดี่ยวและหนาวเหน็บเหลือเกิน

อา…ต้องเป็นโสดอีกแล้ว

ผมหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองเบาๆ คนอื่นอาจจะมองว่าผมบ้า แต่ผมเปล่าเลย ผมแค่สมเพชตัวเองเท่านั้นที่ดันหลงใหลไปกับความฝันบ้าบอ หลงคิดว่าตัวเองมีดีมากพอให้ยืนเคียงข้าง

ปา…ก็เหมือนฝูงปลาในสายน้ำ ที่จะแหวกว่ายไปตามลำน้ำใหญ่น้อยอย่างสนุกสนาน

ส่วนผมมันก็แค่นก ที่ต้องบอกไปมา ระหว่างเราสองคนมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แล้วผมคิดได้ยังไงกันนะว่าจะสามารถก้าวเข้าไปอยู่ในโลกของมันได้ ในเมื่อเราสองคนต่างเหมือนอยู่กันคนละโลก เป็นเหมือนฟ้าที่สูงและกว้างใหญ่กับเหวลึกที่ต่ำเตี้ย ไม่มีคำว่าคู่ควร ไม่ควรที่จะหวังเอาไว้สูงขนาดนั้น เพราะแบบนี้ไงล่ะ เพราะแบบนี้ผมถึงเจ็บมาก เพราะยิ่งคาดหวังและเพ้อฝันไปสูงแค่ไหน เวลาที่ผิดหวังก็มักจะเจ็บมากเท่านั้นเช่นกัน

“นก…มีอะไรหรือเปล่า” อาจจะเพราะผมเผลอปล่อยให้ความเศร้าครอบงำ สีหน้าและแววตาคงเผลอแสดงออกมาให้ไอ้ปาได้เห็น มันถึงได้ถามผมแบบนั้น ผมหันไปมองแล้วเก็บกักความรู้สึกเอาไว้ ให้มันได้เห็นเพียงแค่ว่าผมไม่ได้เป็นอะไร

“กูเหรอ? ไม่นี่ เป็นอะไรวะ?” ผมพูดกลั้วหัวเราะให้มันรู้สึกผ่อนคลาย แต่การฝืนหัวเราะแห้งออกมาบางทีมันก็เหมือนการบังคับตัวเองให้แสดงความเข้มแข็งออกมา ซึ่งผมไม่ได้มีมันเลยสักนิดเดียว

อย่าอ่อนแอนะ ยังไม่ใช่ตอนนี้

ไอ้ปาถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจผมมากมายนัก ผมยิ้มขืน รู้สึกเจ็บจนแทบจะตาย มันชัดเจนแล้วนี่ว่าผมไม่ได้สำคัญ ไอ้ปาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมผิดปกติ ว่าผมกำลังทรมานแค่ไหน เพราะมันไม่ได้สนใจจะมองผมตั้งแต่แรก ผมเป็นแค่คนธรรมดา มีอะไรไปต้องใจท่านประธานที่แสนหล่อเหลา คนที่เป็นที่ถูกใจใครต่อใคร ต่อให้ไม่ใช่ผม…ก็คงมีคนอีกมากมายที่พร้อมจะเข้ามาหามัน

แล้วผมเป็นใครล่ะ พิเศษกว่าคนพวกนั้นตรงไหน?

ไม่มีเลยด้วยซ้ำ หน้าตาธรรมดาบ้านไม่ได้ร่ำรวย แถมผมยังขี้งกแบบนี้อีกใครที่ไหนเขาจะมาสนใจ อยากหัวเราะตัวเองที่โง่ ไม่เคยใช้สมองคิดให้ดีๆ ว่าคำว่ารักที่มันพูดออกมามันมีความจริงอยู่มากแค่ไหน ถ้าผมคิดสักนิด เจียมตัวอีกสักหน่อยก็คงไม่ต้องมาทรมานหัวใจตัวเองแบบนี้ ผมหลบสายตาลงมองซองขาวในมือ มันสั่นเพราะผมกำลังจะสกัดกั้นความอ่อนแอเอาไว้ไม่ไหว อยากไปให้พ้นจากที่นี่ อยากจะไปในที่ที่มองไม่เห็นมันอีก เพราะบางทีผมอาจจะทำใจขึ้นมาได้บ้าง

ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งเหม่อแบบนั้นอยู่นานแค่ไหน แต่คงนานมากเพราะภายนอกที่เคยสว่างในตอนนี้เริ่มเป็นสีส้มที่บ่งบอกช่วงเวลาได้อย่างดี ผมรู้สึกตัวขึ้นมาก็ในตอนที่ไอ้ปามันกำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ ผมถึงได้สะดุ้งและรีบซ่อนซองสีขาวในมือตัวเองไว้ในลิ้นชัก ยังไม่ถึงเวลาที่จะให้มันได้เห็น ตอนนี้มันเป็นเพียงช่วงเวลาที่ควรตักตวงให้ได้มากที่สุด กักเก็บความสุขที่แสนปวดร้าวเอาไว้ ก่อนที่ผม…จะเลือกเดินจากมันไป ก่อนที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก

“กลับกันเถอะ เลิกงานแล้ว” มันยิ้มให้ผม มองผมด้วยสายตาที่แสนรักใคร่

อา…เจ็บชะมัดเลย เพราะผมรู้ว่ามันไม่ใช่ของจริง

เพราะผมรู้…ผมถึงได้เจ็บจนเจียนตาย

“มึงเสร็จงานแล้วเหรอ?” อย่าเพิ่งนะ อย่าเพิ่งอ่อนแอเลยนะ…

“ใช่ ไปกันเถอะ กูหิวแล้วด้วยสิ” ผมพยักหน้าก่อนจะหยิบเอากระเป๋ามาถือไว้ ในตอนที่ไอ้ปาหันหลังเดิน ช่วงเวลาที่มันหันหลังให้ผม ผมก็เอาซองสีขาวที่เตรียมเอาไว้ออกมาวางไว้บนโต๊ะตัวเอง หวังไว้ว่าพรุ่งนี้…มันจะเห็น

รู้ว่าระเบียบของบริษัทจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้า แต่ผมไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว คงไม่ต้องทำตามระเบียบอะไร เงินเดือนที่มีเหลืออยู่ในกระเป๋าตอนนี้ก็เพียงพอให้ผมใช้จ่ายได้ ผมทอดสายตามองรอบห้องเพื่อจดจำเอาไว้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยถูกใส่ใจจนได้เข้ามาอยู่ในห้องนี้ เคยได้รับความรักที่แม้มันจะเป็นเพียงของปลอมแต่ผมก็มีความสุขกับมันมาก มากจนผมเองก็ไม่อยากจะเสียมันไป แต่ผมเลือกอะไรไม่ได้ ผมทำได้เพียงแค่ยอมรับมันแล้วเดินออกมา ปล่อยให้โชคชะตานำทางผมไป

ผมเดินตามไอ้ปาออกไป เราแวะพูดคุยกับพี่ฝ้ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ผมและไอ้ปาจะขอตัวออกมา พี่ฝ้ายก็ยิ้มแล้วโบกมือลาให้เราสองคน ผมเองก็ยกมือขึ้นโบกกลับไปเช่นกัน เพราะอย่างน้อยตอนนี้ยังมีเวลาบอกลา หากถึงเวลาพรุ่งนี้ ผมคงไม่มีเวลาบอกลาพี่ฝ้ายอีกแล้ว ไม่แน่ว่าผมเองก็อาจจะไม่ได้เจอพี่ฝ้ายอีกแล้วเช่นกัน

ผมพยายามยืนให้ไร้ตัวตนที่สุด ผมจำสายตาของทุกคนได้ดีเมื่อครั้งที่ผมได้ถูกเสนอชื่อมันเป็นสายตาที่ร่วมยินดีผสมไปด้วยความอิจฉา แต่ในวันที่ได้รู้ว่าไม่ใช่ผมที่ได้รับตำแหน่งนั้น มันต่างกันราวฟ้ากับเหว สายตาทุกคนมันคล้ายคนเยาะเย้ย ถากถางแม้จะไม่ได้พูดออกมาแต่ผมก็สามารถอ่านมันได้จากสีหน้าของพวกเขา ใครจะไปรู้…บางทีผมอาจจะถูกนินทาลับหลังไปแล้วก็ได้ และครั้งนี้ผมเองก็ไม่อยากจะถูกหัวเราะเยาะหรือสมน้ำหน้าหรอกนะ

ผมขยับตัวเองให้ยืนชิดผนังลิฟต์ให้มากที่สุด ปล่อยให้พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกสาวๆ และคนอื่นๆ ยึดครอง ผมไม่มีเรี่ยวแรงและกำลังใจจากที่ไหนไปแย่งชิงกับพวกเขาหรอก ผมตอนนี้กำลังบาดเจ็บหนักจนเรียกได้ว่าใกล้จะตาย เสียงพูดคุยเอ่ยทักทายกับไอ้ปาดังขึ้นมาตลอด ผมเพียงแค่ไม่คิดจะสนใจ เพียงแค่ปล่อยสายตาตัวเองให้โฟกัสไปกับตัวเลขที่ระบุชั้นเท่านั้น ใครอยากจะทำอะไรก็ปล่อยเขาไป ผมไม่ใช่เจ้าของไอ้ปา ไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์ไปหวงหรือหึงมัน ไม่สามารถเป็นอะไรได้เลยนอกจาก…เพื่อนคนหนึ่ง

หรือบางที…เราอาจจะไม่เคยเป็นเพื่อนกันเลย

นั่นสินะ ไอ้ปาก็เคยบอกผมว่ามันไม่เคยคิดว่าผมเป็นเพื่อนของมันมาตั้งแต่แรก

เจ็บชะมัด เจ็บจนแทบจะตายลงไปให้มันรู้แล้วรู้รอด

แต่อยู่ๆ มือของผมก็รู้สึกได้ถึงไอร้อนจนต้องหันไปมอง ไอ้ปามันกุมมือผมเอาไว้แน่น กระชับราวกับไม่อยากจะปล่อย แผ่ความร้อนจากฝ่ามือมันมาให้ผมจนหัวตาร้อนผ่าว ทั้งๆ ที่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มพูดคุยกับคนอื่นๆ อยู่เหมือนเมื่อกี้ แต่ฝ่ามือกลับกุมมือของผมเอาไว้อย่างหวงแหน มันจะรู้ไหมว่ายิ่งทำแบบนี้ผมยิ่งเจ็บ มันยิ่งทำให้ผมตัดใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่มือเรากุมกันอยู่แต่สายตาของมันและรอยยิ้มกลับมอบให้คนอื่น ผม…เป็นอะไรสำหรับมันกันแน่ ทำไมต้องทำให้ผมสับสนแบบนี้ ผมไม่เข้าใจ

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก พวกพนักงานคนอื่นๆ ก็ออกไปกันหมดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มโดยไม่เห็นหัวผมเหมือนเคย ไอ้ปาจูงมือของผมเดินออกจากลิฟต์อย่างไม่รีบร้อน มันเป็นคนเดินนำหน้า ส่วนผมเดินตามหลังมันโดยมีมือของเราสองคนที่เชื่อมกันอยู่ แผ่นหลังของคนที่ผมรัก มันกว้างและดูอบอุ่นมาก ไม่เคยอยากนึกอิจฉาคนที่จะได้ครอบครองหัวใจของมัน แต่ในตอนนี้ที่ผมยอมรับทั้งหัวใจแล้วว่ารักมัน ผมก็อิจฉาทุกอย่าง อิจฉาคนที่ได้รับรอยยิ้มจากมัน อิจฉาคนที่ได้พูดคุยกับมัน อิจฉาคนที่อยู่ในสายตามัน และอิจฉาผู้หญิงคนนั้นที่กำลังจะได้เป็นเจ้าของมัน

รสชาติความรักที่ผมเคยได้รู้มันหอมหวานและน่าลิ้มลอง หากได้กัดกินมันสักครั้งจะไม่สามารถหยุดวิ่งตามหารสชาตินี้ไปได้อีก แต่รสชาติความรักของผมมันกลับขมปร่าผสมกับรสชาติหวานๆ ที่คล้ายยาพิษ ผลไม้ที่ชื่อว่าความรักมันกำลังค่อยๆ ฆ่าผมอย่างช้าๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนอย่างผมจะเจ็บหนักเพราะความรักครั้งนี้ ไม่ใช่ความรักที่เคยได้จากหลิน มันต่างกันมาก มากเสียจนผมไม่สามารถอธิบายได้เลยว่ามันต่างกันอย่างไร เพียงแต่ความเจ็บปวดที่ผมได้รับจากไอ้ปากลับมากกว่าที่ได้จากหลินเสียอีก

“อยากไปกินที่ไหนหรือเปล่านก” ผมละสายตาจากถนนหันมามองไอ้ปาที่เอ่ยถามทั้งที่ยังคงจดจ่อสมาธิอยู่กับท้องถนน

“ที่ไหนก็ได้ มึงเลือกเถอะ เอาแถวๆ นี้ก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องไปไกล” ผมอยากรีบกลับ ความเข้มแข็งที่แทบไม่มีอยู่ของผมมันกำลังใกล้จะหมดลงเต็มที

“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า กูเห็นมึงดูแปลกๆ ทั้งวันเลย” ผมหลบสายตาแต่ก็ยังยอมพยักหน้าให้ กลัวว่ายิ่งเห็นแววตาของมันที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ผมจะยิ่งคิดเข้าข้างตัวเองมันพานแต่จะทำให้ผมตัดใจไม่ได้เสียเปล่าๆ

“เปล่าหรอก กูแค่รู้สึกปวดหัวเหมือนจะไม่สบายน่ะ” แค่เจ็บที่หัวใจ แค่คนที่ไม่สำคัญ มึงไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยนักก็ได้ ยิ่งทำแบบนี้กูก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งทำแบบนี้กูก็ยิ่งรักมึงนะปา มึงทำไมไม่เข้าใจ

แต่แล้วมันกลับวางมือลงบนหน้าฝากของผม สัมผัสหาความร้อนที่ผิดปกติจากร่างกายของผมตามคำบอก กำแพงที่ผมสร้างเอาไว้ทั้งวันกำลังพังทลาย หัวตาร้อนผ่าวพร้อมกับน้ำตาที่กำลังไหลรินลงมาอาบแก้ม นั่นคือความเข้มแข็งและความอดทนทั้งหมดของผม มันหมดแล้ว มันพังทลายแล้วทุกสิ่ง เพียงแค่สัมผัสแผ่วเบาจากคนที่เป็นเจ้าของหัวใจของผม มันก็ทำให้ผมปล่อยความอ่อนแอออกมาอย่างไม่อาย

“นก…”

อย่า ขอร้องเถอะ อย่าเรียกกูแบบนั้น อย่าทำเหมือนห่วงใยกูอีกเลย กูเจ็บจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

“มึงร้องไห้ทำไม…บอกกูสิ”

“ฮึก…” จะบอกได้ยังไง บอกได้ยังไงว่าผมเจ็บตรงนี้ ที่อกซ้ายตรงที่มันเป็นคนเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี หัวใจของผมที่มันล้อเล่นราวกับมันไม่มีชีวิต

“เป็นอะไร บอกกูสินก ใครทำมึงร้องไห้” ผมทอดสายตามองมัน จับจ้องเข้าไปในแววตาคมที่สะท้อนความห่วงใยจนผมยิ่งร้องไห้มากขึ้น

ทำไม ทำไมต้องทำเหมือนรักทั้งๆ ที่ไม่ได้รัก ทำไปทำไม สนุกนักหรือ

“มะ ไม่ ฮึก ไม่มี กูแค่ปวดหัว ปวดมากๆ ” ปวดจนใจแทบจะสลาย มึงคงไม่มีวันเข้าใจสินะ

“ปวดมากเหรอ ไปหาหมอไหม กูจะพามึงไปโรงพยาบาลนะ ทนหน่อยนะ” ผมจับมือไอ้ปาเอาไว้ บีบมือมันเบาๆ อย่างห้ามตัวเองไม่ได้

“ไม่ต้องหรอก กูอาจจะแค่นอนน้อยเลยปวดหัว ไปกินข้าวกันเถอะนะ นะปา กูอยากกินข้าวกับมึง”

ครั้งสุดท้าย

ไอ้ปายังคงนิ่ง มันเงียบไปเกือบนาทีก่อนจะพยักหน้าตกลงแล้วขับรถพาผมไปจอดร้านก๋วยเตี๋ยว ผมกับมันลงจากรถไปนั่งที่โต๊ะ มือของผมปาดไล่น้ำตาพยายามสูดลมหายใจเรียกเอาความเข้มแข็งที่พังลงไปขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้…ยังสามารถครอบครองได้ก็ครอบครอง พอถึงพรุ่งนี้ก็ไม่สามารถครอบครองได้แล้ว เวลามันสั้นผมควรใช้มันให้คุ้ม แม้ว่าเวลาที่มีความสุขในตอนนี้จะมีความเจ็บปวดอยู่ด้วยก็ตาม

“พี่ครับ เอาเล็กแห้งต้มยำพิเศษหนึ่งที่ แล้วมึงเอาอะไรล่ะนก”

“เหมือนมึงก็ได้” ไอ้ปาเงียบ ก่อนจะหันไปสั่งให้ผม

“อีกที่เอาเส้นเล็กน้ำใสครับ”

“รอแป๊บนะไอ้น้อง” พี่เจ้าของร้านเขาหันมาตะโกนบอกผมกับไอ้ปา แต่ที่ผมสงสัยคือทำไมผมถึงกินแบบมันไม่ได้ ทำไมต้องเปลี่ยนเมนูด้วยล่ะ?

“มึงบอกเองว่าไม่สบาย อย่ากินรสจัดเลยวะ กินของอ่อนๆ ก็พอ” ใส่ใจอีกแล้ว ผมเงียบแล้วพยักหน้ารับ ทั้งที่มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเจ็บไปหมด ผมกำลังอ่อนแออีกแล้ว ทำไมไอ้ปาถึงชอบทำให้ใจของผมอ่อนไหวตลอดเลย ทำไมมันไม่ทำร้าย พูดจาร้ายๆ บ้าง อย่างน้อยถ้ามันทำร้ายผมไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำ ผมอาจจะตัดใจจากมันได้ง่ายยิ่งกว่านี้ ไม่ใช่อาการเดี๋ยวใจเต้น เดี๋ยวเจ็บแปลบ

ผมกับไอ้ปาก้มหน้ากินกันอย่างเงียบๆ ไม่นานก็หมด ไอ้ปาก็ลุกขึ้นไปจ่ายเงินพาผมขึ้นรถแล้วขับออกไป

สายตาของผมมองถนน แต่สมองกลับคิดไปต่างๆ นานา ผมเอาแต่คิดถึงพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ที่จะไม่มีมัน พรุ่งนี้ที่ผมจะต้องเดินคนเดียว ไม่มีสายตาอ่อนโยน ไม่มีแววตาห่วงใย ไม่มีรอยยิ้มที่ยินดีเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องทำงาน ไม่มีใบหน้าของมันให้ผมได้เห็นอีก

และจะเป็นพรุ่งนี้ไปทุกๆ วัน ผมยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้ผมจะร้องไห้อีกแค่ไหน เพราะแค่วันนี้ ผมยังไม่สามารถเข้มแข็งได้นาน

รถจอดลงหน้าแมนชั่นที่ผมพัก ไอ้ปาดับเครื่องยนต์แล้วหันมาหาผม ผมที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัยอยู่นั้นถูกขับมือไปกุมไว้ก็ชะงักลง หันไปมองหน้าไอ้ปาอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ดึงออกหรือแสดงท่าทีที่ชวนให้สงสัย ผมยิ้มให้มัน เป็นรอยยิ้มเจื่อนๆ ที่ผมสามารถจะให้ได้ ไอ้ปายกมือของผมขึ้นมาจุมพิต ทั้งหลังมือและฝ่ามือถูกริมฝีปากร้อนกดจูบจนรู้สึกได้ถึงริมฝีปากนุ่ม

“นก…” มันเรียกผมเสียงแผ่วเมื่อผมลูบแก้มของมันเบาๆ อยากสัมผัสใบหน้านี้แล้วจดจำทุกรายละเอียดเข้าสู่สมอง

“กูไม่เป็นไรหรอกนะปา ก็แค่ปวดหัว เดี๋ยวมันก็หาย” ใช่แล้ว แค่ปวดใจเดี๋ยวเดียวมันก็หายไป อย่ากังวลกับคนที่ไม่ได้รัก อย่าทำเหมือนกับว่าเรื่องของกูทำให้มึงคิดหนักเลยนะปา มันยิ่งทรมาน

“กูเป็นห่วงมึง อยากดูแลมึงให้ดีที่สุด” ผมฝืนกลืนก้อนสะอื้นลงคอไปอย่างยากลำบาก ไม่อาจจะร้องไห้ออกมาได้อีกแล้ว สิ่งที่มันพูดผมจะจดจำเอาไว้ในใจ เก็บเอาไว้เป็นความฝันที่ดี อย่างน้อยๆ ก็ได้ฝันดีกับเขาบ้าง

“มึงดูแลกูดีแล้วปา มันดีมากจนกูไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้กูจะได้รับมันจากใคร” มันดีมากแล้ว เท่านี้ก็ดีมากแล้วจริงๆ

“กูรักมึงนะนก” รัก…นั่นสินะ เพราะคำนี้นี่ล่ะที่ทำให้ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะคำคำนี้ถึงทำให้ผมเจ็บจนแทบขาดใจ ผมใช้มือที่สั่นกุมใบหน้าของมันเอาไว้ มองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มตา ส่งยิ้มที่ออกมาจากใจให้มันด้วยความรู้สึกทั้งหมด

“กูรู้…กูก็รักมึง รักมึงมากๆ นะ” และจะรักมึงตลอดไป

“นก…จูบได้ไหม” ผมยิ้ม ยิ้มให้กับมันอย่างที่หัวใจผมมีความสุขที่สุด

“ได้ดิวะ ก็เรา…เป็นแฟนกันนี่”

ไอ้ปาประคองใบหน้าของผมขึ้น ผมจับจ้องดวงตาสีดำที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาอย่างช้าๆ ก่อนที่ผมจะหลับตาลง รอรับจุมพิตหวานๆ จากริมฝีปากของมัน จูบสำหรับคนรักที่ยังคงเป็นคนรัก ผมไม่กล้าถามว่าเราเป็นแฟนกันใช่ไหม เพราะถึงแม้จะถามไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ผมเอียงใบหน้าปรับองศาให้ได้มุมที่อีกฝ่ายจะดูดดึงริมฝีปากของผมอย่างถนัด ผมรู้สึกได้ว่าลิ้นของมันกำลังถูกสอดแทรกเข้ามา

เสียงครางต่ำดังขึ้นมาเมื่อผมเปิดปากออกตอบรับปลายลิ้นที่รุกคืบเข้ามาอย่างเอาอกเอาใจ ปล่อยให้ความร้อนแรงแผดเผาเราทั้งสอง รวมทั้งหัวใจของผม

น้ำตาหยดเล็กๆ หล่นลงจากหางตา ใบสมองพร่าเบลอด้วยความรู้สึกวาบหวาม เพียงถูกลิ้นของมันชักนำให้เกี่ยวกระหวัดตามความต้องการก็แทบจะหายใจไม่ออกแล้ว ผมปรือตาขึ้นมองไอ้ปา มองหน้าผู้ชายที่ผมรักอย่างสุดหัวใจด้วยความรู้สึกหลากหลาย เสียใจ เจ็บปวด และรักมาก ทุกความรู้สึกถูกกระตุ้นด้วยคำว่ารักที่ออกมาจากปากของมันเอง

เรารักกันจริงไหม ไม่รู้หรอกครับ แต่ที่ผมรู้คือตอนนี้ โลกของผมมีมันอยู่ข้างใน โลกที่มีเราเพียงแค่สองคน โลกที่ไม่มีจริง มันก็คือโลกของความฝัน ถึงเวลาต้องตื่นแล้วใช่ไหม มันถึงเวลาที่ต้องยอมรับความจริงเสียที

โลกที่กูต้องอยู่ให้ได้โดยไม่มีมึง













ปัง!

“ฮึก ฮือ” ผมทรุดตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรง ผมอดทนไม่ร้องไห้ พยายามพาร่างของตัวเองขึ้นมายังห้องให้ได้ แต่เพียงแค่ปิดประตูลง ความอ่อนแอของผมก็จู่โจมอย่างรวดเร็ว น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมยกมือขึ้นปิดปาก ไม่ให้เสียงสะอื้นไห้ต้องดังไปรบกวนห้องอื่น

ไอ้ปากลับไปแล้ว เราแยกกันข้างล่าง มันบอกผมว่ามีเรื่องต้องรีบกลับไปจัดการ

ผมไม่เซ้าซี้ เพราะรู้ดีว่าตัวมันเองคงต้องยุ่งกับการจัดการงานหมั้นและวางแผนแต่งงานเอาไว้ ผมเข้าใจ แต่เพราะเข้าใจถึงได้เจ็บอยู่ในตอนนี้ เสียงของมัน สัมผัสของมันยังคงชัดเจน จูบที่เรามอบให้กันมันยังคงฝังลึกลงไปในหัวใจของผม ผมไม่ได้อยากทำร้ายใคร ผมบอกแล้วว่าจะเป็นคนเดินออกมา จะไม่ไปรบกวนชีวิตที่ดีกว่าของไอ้ปาเด็ดขาด จะยืนอวยพรอยู่ห่างๆ จะยินดีกับมันด้วยหัวใจ ไม่ต่อว่าหรือโทษมัน

ผมรู้ว่าความรักมันบังคับกันไม่ได้ ผมแพ้แล้ว แพ้แล้วทุกอย่าง ผมไม่ใช่คนที่ครอบครองหัวใจของไอ้ปา ไม่ใช่คนที่ควรยืนอกแล้วบอกว่าแฟน ไม่ใช่

ผมมันก็แค่อดีตเพื่อนสนิท แค่พนักงานคนหนึ่งที่เกิดหวั่นไหวกับเจ้านายตัวเอง ผมผิดเองทั้งหมด ถ้าหากวันนั้นผมไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ผมคงไม่ต้องมานั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้ ทรมานมากมายจนอยากจะตาย แต่ก็ทำไม่ได้เพราะผมไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ผมทำไก้เพียงเดินหนีออกมา ก่อนที่ความเจ็บปวดมันจะยิ่งมากขึ้นไปกว่านี้ ไม่ว่าเหตุผลที่ไอ้ปาล้อเล่นกับหัวใจผมจะเป็นอะไร ผมอโหสิกรรมให้

ผมค่อยๆ พยุงตัวขึ้นจากเพื่อนอย่างอ่อนแรง ผมกวาดสายตามองไปรอบห้องตัวเอง มองทุกสิ่งทุกอย่างให้เต็มตาแล้วเดินไปที่เตียง ผมหันหน้าเข้าหาตู้เสื้อผ้า หยิบเอากระเป๋าใบใหญ่ออกมาแล้วยัดเสื้อผ้าลงไปด้วยมือที่สั่น น้ำตายังคงหยดลงบนหลังมืออย่างต่อเนื่อง สายตาพร่ามัวไปหมดเพราะหยาดน้ำตาที่เอ่อนองอยู่จนล้น แต่ผมก็ยังคงกัดฟัน รีบเอาของลงกระเป๋าอย่างรวดเร็ว เก็บเพียงแค่ของที่ผมต้องใช้จริงๆ เท่านั้น เมื่อไม่คิดจะกลับมาอีก ก็ไม่จำเป็นต้องเสียดาย ยังไงเสีย…ของพวกนี้ก็แค่หาซื้อใหม่ รอผมหางานได้ค่อยหาซื้ออีกที

ส่วนตู้เย็น…คงต้องฝากให้ป้าหม่อนเอาไว้ ยังไงถ้าผมไม่ไปทำงาน ไอ้ปาก็คงจะต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น…แค่ให้ป้าหม่อนช่วยบอกมัน ให้มันมายกคืนไปก็คงหมดเรื่อง

ส่วนเรื่องโทรศัพท์ ผมคงต้องเปลี่ยนเบอร์ใหม่ ยังไงก็คงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เบอร์เดิมอีกแล้ว แต่ผมก็ยังตัดใจเปลี่ยนมันไม่ได้ ผมยังคงติดอยู่ระหว่างสองโลก ระหว่างความฝันละความเป็นจริง ยังคงหลอกตัวเองด้วยไออุ่นที่ไอ้ปาเจียดมาแบ่งปันให้กับผม ติดอยู่กับรสจูบที่หวานล้ำ ความอ่อนโยนที่ทำราวกับเราคือคนรักกัน มันช่างเป็นความฝันที่ทำให้ผมไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเสียจริง

ครืด ครืด

ผมจ้องแสงไฟหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างขึ้น มือที่ยื่นออกไปชะงักอยู่กลางอากาศ เพราะผมกลัวที่จะหยิบมันขึ้นมาดู กลัวที่จะต้องเห็นเนื้อหาภายในที่ถูกส่งมา กลัว…ผมกลัวไปหมด ทั้งที่ไม่ควรสักนิด ผมควรตัดใจได้แล้ว แต่ทำไมล่ะ ทำไมร่างกายถึงไม่ฟังคำสั่งของผม ทำไมสายตาต้องเอาแต่จับจ้องที่โทรศัพท์ราวกับไม่สามารถละสายตาจากมันไปได้ ขาที่พานแต่จะก้าวเข้าไปใกล้เพื่อเอื้ออำนวยให้มือทั้งสองข้างได้คว้ามันขึ้นมาดู

สุดท้ายผมก็แพ้ใจตัวเอง ยังคงอยากจะรู้ในทุกสิ่งที่เป็นมันเสมอ

…ฝันดีนะครับ ที่รัก…

ผมกัดริมฝีปากที่สั่นระริก คำถามที่ถูกตั้งขึ้นมาในหัวคือมันส่งให้ใคร ใช่ผมหรือเปล่า หรือจริงๆ มันแค่อยากจะส่งให้คนที่มันรักจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ผมอย่างแน่นอน อีกแล้ว ผมกำลังเจ็บปวดอีกแล้ว หัวใจที่แรกเริ่มเต็มไปด้วยความทรมาน ในตอนนี้แทบจะแหลกสลายเพียงเพราะข้อความที่ไม่ชัดเจน ผมต้องเจ็บอีกมากมายแค่ไหน ต้องทรมานและขาดใจไปมากเท่าไหร่ ผมจึงจะสามารถหยุดรัก หยุดความรู้สึกที่มีต่อมันได้สักที ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ปล่อยให้มือถือดับแสงไปอย่างไม่คิดจะสนใจมันอีก ดวงตาว่างเปล่าของผมจับจ้องไปเพียงเพดานสีขาว ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆ

เพราะบางทีมันอาจจะสามารถลดความปวดร้าวในใจผมลงไปได้บ้าง ผมหลับตาลงอย่างช้าๆ แต่เมื่อความมืดมิดโอบล้อมตัวผมไว้ ผมกลับมองเห็นภาพของไอ้ปาที่กำลังยิ้มให้ผมอยู่

“ไอ้ปา…”

ภาพมันชัดเจนเหลือเกิน ราวกับว่าหากเพียงผมเอื้อมมือออกไปคว้ามันมา ผมก็จะสามารถมีมันอยู่ต่อไปได้ แต่ทว่าความจริงเพียงปค่ผมเอื้อมมือออกไปก็สัมผัสได้เพียงอากาศเท่านั้น หัวใจที่ปวดร้าวยิ่งทุกข์ทรมาน แค่ภาพลวงตาผมยังเจ็บได้ขนาดนี้ แต่สุดท้ายผมก็ทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตาระบายความทรมานในใจออกมา

ผมยกมือขึ้นปิดดวงตาเอาไว้ ทว่ากลับไม่สามารถปิดกั้นให้น้ำตาหยุดไหลได้ ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับภาพความทรงจำที่แสนสุข แม้ว่าใจจะเจ็บปวดมากก็ตามที่ต้องนึกถึงภาพเหล่านั้น แต่สมองกลับยังคงฉายซ้ำภาพความทรงจำระหว่างผมกับไอ้ปา รอยยิ้มของเราทั้งสองคน คำพูดที่พวกเราใช้โต้ตอบกัน หรือแท้แต่วันเวลาที่พวกเราใช้มันด้วยกัน ผมจำมันได้ดีทุกๆ อย่าง และมันยิ่งชัดขึ้นเมื่อผมหลับตา ราวกับว่าผมยังคงติดอยู่ในวันเวลาเหล่านั้น







50%



แจกจ่ายผ้าเช็ดหน้าคนละผืนนะคะ อภินันทนาการจากแมวเอง สงสารน้องนก ไม่เก่งอะไรเลยค่ะลูกหนูน่ะ นอกจากคิดไปเองนี่ล่ะ เก่งมาก แต่คุณปาก็น่าตีจริงๆเชียว มาทำให้น้องยอมรับว่ารักแล้วทำร้ายน้องแบบรี้ได้ยังไงคะ แม่เหลาไม้เรียวรอแล้วค่ะ ยื่นก้นมาเสียดีๆ อย่าเพิ่งหายไปไหนกันนะคะ รอดูบทสรุปของทั้งสองคนกับแมวก่อน~ ลัฟยูววว

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่12.นกที่บาดเจ็บ 50% up. 21/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-12-2019 07:37:38
นกคิดมากไปแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่12.นกที่บาดเจ็บ 100% up. 23/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 23-12-2019 19:28:43
ผมดันร่างให้ลุกขึ้นมาเก็บข้าวของต่อ ผมรวบรวมทุกอย่างไว้ในกระเป๋าเดียว พยายามเอาไปให้น้อยที่สุดเพราะมันจะลำบากผมเองที่ต้องแบกมันไป ผมจึงต้องตัดใจทิ้งของส่วนใหญ่ แต่เอาเถอะ ยังไงก็คงไม่ได้ใช้อีก ถือเสียว่าให้ป้าหม่อนไว้ใช้ ทีวีก็เป็นของมือสองที่ซื้อมาใช้ดูแก้เบื่อแก้เครียด ราคาไม่ได้แพงเพราะงั้นไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย ผมพอจะทำใจทิ้งได้ ผมปิดกระเป๋าลงเมื่อของทุกอย่างที่จำเป็นเก็บลงจนหมดแล้ว

ผมดันร่างให้ลุกขึ้นมาเก็บข้าวของต่อ ผมรวบรวมทุกอย่างไว้ในกระเป๋าเดียว พยายามเอาไปให้น้อยที่สุดเพราะมันจะลำบากผมเองที่ต้องแบกมันไป ผมจึงต้องตัดใจทิ้งของส่วนใหญ่ แต่เอาเถอะ ยังไงก็คงไม่ได้ใช้อีก ถือเสียว่าให้ป้าหม่อนไว้ใช้ ทีวีก็เป็นของมือสองที่ซื้อมาใช้ดูแก้เบื่อแก้เครียด ราคาไม่ได้แพงเพราะงั้นไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย ผมพอจะทำใจทิ้งได้ ผมปิดกระเป๋าลงเมื่อของทุกอย่างที่จำเป็นเก็บลงจนหมดแล้ว

แต่นั่นสินะ ผมอาจจะกังวลเกินไปก็ได้ บางทีไอ้ปาอาจจะไม่ออกตามหาผมหรอก ก็ผมไม่สำคัญนี่นา

ผมสะพายกระเป๋าขึ้นบนหลังเปิดประตูออกแล้วปิดมันลงอย่างเบามือ ไม่อยากจะรบกวนใครให้ต้องตื่นขึ้นมาเพียงเพราะผมกำลังจะไป ผมเดินลงบันไดมาจนถึงชั้นล่าง พอพ้นออกมาจากตัวแมนชั่นมันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง อยู่มาสองสามปีจะรู้สึกแปลกๆ ตอนจะไปก็คงเป็นเรื่องปกติ ใช่…ผมรู้ มันไม่ได้แปลกอะไร เป็นผมเองที่กำลังไม่อยากจะไป ไม่อยากจะไปจากที่นี่ และไม่อยากจะไปจากมัน เพราะผมกลัวว่าจะอยู่ไม่ได้ ผมขาดมัน…ไม่ได้

ทำไมต้องเป็นแบบนี้ทุกที ทำไมผมต้องเป็นคนที่ต้องเจ็บทุกครั้ง

ทำไมกัน ผมไม่เข้าใจ ผมทำผิดอะไรหรือที่ต้องพบเจอแต่ความเจ็บปวด ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ผมรักใคร ผมก็จะต้องเป็นฝ่ายเสียใจเสมอ ทั้งๆ ที่ผมเลือกเองว่าจะเดินออกมา ไม่ใช่ไอ้ปาบอกเลิกหรือทิ้งผมไป แต่ผมก็เป็นคนที่เสียใจ เจ็บปวดจนเจียนตาย หรือเพราะผมเป็นคนที่เหมาะสมกับความผิดหวัง มันจึงต้องเป็นผมที่ต้องรู้สึก หรือเพราะผมรักมากกว่า ถึงต้องเจ็บกว่าคนที่ไม่ได้รัก

ผมนั่งรถเมย์ที่มีน้อยนิดไปลงที่ขนส่ง ถนนโล่งๆ กับลมเย็นๆ ที่ตีเข้าหน้าทำให้ผมปลดปล่อยความคิดออกไปไกลแสนไกล ถึงแม้ว่าจะคนจะน้อยแต่ผมก็รู้ว่าไม่ควรปล่อยตัวเองจมอยู่กับความเศร้าจนร้องไห้ มันคงดูไม่ดีนักหรอกหากมันเป็นแบบนั้น ผมเป็นผู้ชาย ทั้งที่มันก็แค่อกหักไม่ถึงตาย แต่มานั่งร้องไห้เป็นเด็กๆ ก็ต้องดูแย่อยู่แล้ว ผมดันแว่นตาขึ้นไปเมื่อมันใกล้จะร่วงลงมา ทอดสายตามองแสงไฟตามทางและจากรถคันอื่นๆ อย่างเหม่อลอย แต่ก็ยอมรับเลยว่ามันทำให้ผมฟุ้งซ่านได้ดีกว่าอยู่ที่ห้องจริงๆ อาจจะเป็นเพราะความเงียบบนท้องถนนและบรรยากาศยามเช้าที่ยังไม่สว่างก็เป็นได้ที่ทำให้ผมจมกับความรู้สึกได้ง่าย

จวบจนรถจอดลงที่จุดหมาย ผมก็ลงจากรถและเดินเข้าไปที่นั่น ผ่านตาหลายสิ่งหลายอย่าง แม้แต่ผู้คนมากมายที่มาที่นี่ เดินสวนกันไปมาก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจจะมองได้ ผมเดินเข้าไปซื้อตั๋ว จุดหมายของผมก็คือบ้าน บ้านที่มีพ่อมีแม่และมีน้องชายของผมอยู่ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน อย่างน้อยๆ ก็มีบ้านให้ผมได้กลับไป ถึงยังไงคนที่บ้านก็ไม่ใช่คนอื่น ย่อมเป็นแหล่งพักพิงหัวใจให้ผมได้อย่างแน่นอน

แต่นี่ตี4 กว่าจะถึงเวลารถออกก็อีกหลายชั่วโมง ผมจึงต้องหาที่นั่งรอเวลาขึ้นรถ ตอนนี้อากาศหนาวกว่าทุกวัน ผมเองก็รู้สึกได้ แม้จะไม่ได้หนาวจนสั่นแต่ก็ไม่ร้อนเหมือนช่วงเวลากลางวัน ผมเดินไปนั่งแล้วหยิบเอามือถือขึ้นมากดเล่นเกมในเครื่องแก้เบื่อ เล่นจนสุดท้ายจากการแก้เบื่อก็กลับกลายเป็นความเบื่อที่มากขึ้นไปอีก สุดท้ายผมจึงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าไป ผมนั่งมองผู้คนเดินไปเดินมาอย่างไม่รู้จักเบื่อ มองคนอื่นๆ ที่หลับไปบ้าง ตื่นบ้างด้วยความเฉยชา แปลกนะ ทั้งที่ผมไม่ได้นอน ทั้งที่ผ่านการร้องไห้มา ผมกลับไม่รู้สึกถึงความง่วงแม้แต่นิดเดียว ผมกลับอยากให้ถึงเวลาที่รถออกเร็วๆ

อยากกลับไปกอดแม่ ไปกอดพ่อ ไปกอดน้องชายคนเดียวของผม

ไปพักใจที่บ้านของเรา ให้ผมได้เติมความเข้มแข็งเข้ามาในหัวใจ ก่อนที่มันจะแหลกสลายจนไม่สามารถเยียวยาได้อีก

ไอ้ปา ปรมะ เทียบสินธนากุล ผู้ชายที่ทำให้ผมรู้ว่าความรักของเราไม่จำกัดเพศใดๆ เป็นผู้ชายที่ผมรู้สึกว่ารักได้ทั้งใจ และเป็นผู้ชายที่ทำให้ผม เจ็บจนแทบจะขาดใจเช่นกัน

ไม่รู้ว่าผมปล่อยความคิดไปนานแค่ไหน บ่อยแค่ไหนที่ต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมา แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันก็ทำให้ผมหลงลืมเวลาไปจนถึงตอนที่อาทิตย์ขึ้น แสงสว่างสาดส่องไปจนทั่วนั่นล่ะครับ ผมถึงได้รู้ตัวว่าตอนนี้…มันเช้าแล้ว ผมเหลือบมิงนาฬิกาอีกครั้ง และมันก็บอกว่าผมเหลือเวลาอีกไม่นานรถก็จะออกแล้ว ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปยังจุดที่ผมจะต้องขึ้นรถ ในตอนนี้คนเริ่มทยอยขึ้นรถไปบ้างแล้ว และผมก็เช่นเดียวกัน ผมกำลังจะก้าวขึ้นไป แต่ใจก็ลังเลอยู่เล็กน้อยว่าอย่างน้อยผมก็ควรจะโทรไปลาพี่หนูกับพี่อาร์ตก่อนดีไหม

อย่าน้อยๆ พี่หนูกับพี่อาร์ตก็คือคนที่หวังดีกับผมมากทั้งคู่

และผมคงรู้สึกแย่ถ้าจะหายไปจากทั้งคู่เฉยๆ

ผมถอนหายใจ ก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง กดเบอร์โทรที่ขึ้นอยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ ฟังสัญญาณที่บ่งบอกว่ารออีกฝ้ายรับสายอยู่เงียบๆ ตอนนี้เช้าแล้ว มันจะมารอผมหน้าตึกไหมนะ ใช่สิ ผมลืมโทรบอกป้าหม่อนไปเลย เอาเถอะ ขอคุยกับพี่หนูก่อนแล้วกัน แล้วค่อยโทรไปหาป้าหม่อนอีกที ยังไงผมก็คงต้องบอกแกเอาไว้ก่อน

‘ฮัลโหล ว่าไงไอ้นก’

“พี่…” บ้าจริง ทำไมถึงพูดไม่ออกนะ น้ำตาก็มีทีท่าว่าจะไหลออกมาอีกรอบแล้วด้วย จะอ่อนแอไปถึงไหนไอ้นก!

‘มีอะไรหรือเปล่าวะ? ทำไมมึงเงียบไป’

“เปล่าพี่ ผมสบายดี ผมแค่…จะโทรมาลาพี่” ผมยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและความเสียใจ อย่างน้อยพี่หนูก็ไม่เห็น ว่าสีหน้าของผมในตอนนี้มันย่ำแย่แค่ไหน

‘มึงจะไปไหนนก? ทำไมต้องลา?’

นั่นสิ ทำไมต้องลา จะไปไหน ผมคงบอกออกไปไม่ได้ ผมกลืนน้ำลาย พยายามไล่ความอ่อนแอที่มากระจุกอยู่ตรงหัวตาให้ออกไปกะพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่หยาดน้ำตาที่พยายามจะเอ่อล้นออกมาให้หายไป

“สักทีวะพี่ ที่ไหนสักที่หนึ่ง”

‘มึงมีเรื่องอะไรวะ มึงมาหากูสิ มึงจะไปที่อื่นทำไม’

“ไม่ได้…ไปหาพี่ไม่ได้ มันจะหาผมเจอ”

‘มันไหน! ไอ้ปาใช่ไหม! มันทำอะไรมึง!’ ผมข่มเสียงสั่นๆ ที่มักจะแสดงออกถึงความอ่อนแอในตอนที่มีใครสักคนกำลังเป็นห่วงเป็นใยผม แต่ผมเลือกแล้ว เลือกที่จะจากมาแล้ว

“ไม่หรอกพี่หนู มันไม่ได้ทำอะไร พี่…ฮึก…อย่าไปว่ามันเลยนะ” ผมกลั้นเอาไว้ไม่ไหว ไม่ไหวอีกแล้ว ผมต้องร้องไห้อีกแล้วใช่ไหม ทำไมต้องอ่อนแอขนาดนี้ด้วยนะ จะทำให้พี่หนูเป็นห่วงมึงไปถึงไหนวะนก

‘เกิดอะไรขึ้น มึงพูดมา! กูไม่อนุญาตให้มึงวางสาย!!’ น้ำเสียงของพี่หนูเด็ดขาดและเต็มไปด้วยความหงุดหงิดมากๆ ผมรู้แต่ก็ยังคงเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่อยากจะพูดถึง แต่ตอนนี้ผมกำลังอ่อนแอสุดๆ ตัวสั่น เสียงสั่น สะอื้นจนน่าอาย

“มัน…มีคู่หมั้น ฮึก แล้วพี่ มันไม่ได้รักผม ฮือๆ ไม่ได้รักผมเลย”

‘นก…มึงอยู่ที่ไหน ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหน กูจะไปหามึง บอกกูมา’ ผมส่ายหน้า ใช้มือพยายามปกปิดเสียงร้องไห้อันน่าเวทนาของตัวเองไว้ โชคดีที่จุดที่ผมออกมาโทรศัพท์ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ดีที่ไม่มีสายตาสมเพชส่งมาให้ผม

“ผะ ผม ฮึก ผมต้องไปแล้วครับพี่ ฝากพี่ลาพี่อาร์ตด้วย ถ้า ฮืออ ถ้ามีโอกาส เราคงได้เจอกันอีก ขอบคุณครับพี่ สำหรับทุกๆ อย่าง ขอบคุณมากนะครับ พี่ชาย”

‘นก!’

ผมกดวางทันทีที่ตัวเองพูดจบ ไม่อยากจะให้พี่หนูเซ้าซี้มากไปกว่านี้ ผมกลัว ไม่ใช่กลัวว่าพี่หนูจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน ผมกลัวแค่ว่าตัวเองจะอ่อนแอและกลับไปพึ่งพิงพี่หนูเหมือนตอนนั้น มันดีนะครับที่มีคนห่วงใยเรา แต่ผมไม่อยากเป็นภาระให้ใครอีกแล้ว หัวใจของผม ผมควรจะรักษามันเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมารักษามัน สิ่งที่ผมกำลังหนีคือความเจ็บปวดที่กำลังจะเข้ามาหา ผมเลือกที่จะเจ็บเพียงแค่นี้ ดีกว่าหลอกตัวเองกับความรักที่มันหยิบยื่นมาให้แล้วเจ็บจนตายในวันที่มันปลุกให้ตื่น ผมคงทนไม่ได้เมื่อวันนั้นมาถึง

ผมกดมือถือตัวเองอีกครั้งเพื่อโทรหาป้าหม่อน รอไม่นานนักแกก็รับสายผม

“ขอโทษที่โทรมาแต่เช้านะครับป้า พอดีผมมีเรื่องอยากจะรบกวนป้าหม่อนหน่อยน่ะครับ”

‘หนูนก เพื่อนหนูเขามาหาแต่เช้าแล้วนะคะ คุยกับเขาหน่อยนะคะ’ ผมชะงักกับเรื่องที่ป้าหม่อนบอก ยอมรับว่าช็อกไปครู่หนึ่งถึงจะได้สติ เลยรีบเพื่อจะปฏิเสธไป

“ป้าครับผมไม่…”

‘นก…’ แต่มันก็ไม่ทัน เสียงไอ้ปาที่ผมได้ยินจากปลายสาย มันยังเหมือนเดิม ไอ้ปายังเป็นไอ้ปาเหมือนทุกวันที่ผมรู้จัก แต่ไม่รู้ทำไม ทำไมผมถึงเจ็บขนาดนี้เพียงแค่ได้ยินเสียงของมัน เพียงแค่มันเรียกชื่อของผม

“…”

‘นก…มึงอยู่ไหน กูมารับมึงไปทำงานแล้วนะ’ ผมไม่รู้ว่ามันจะรู้หรือเปล่าว่าผมกำลังจะไปจากมัน แต่เสียงที่มันพูดกับผม มันคล้ายคำอ้อนวอน คล้ายคนที่พยายามเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ให้อยู่กับมัน แต่ผมอาจจะเพียงแค่คิดไปเองก็ได้

“ปา…ตู้เย็นในห้องกูที่มึงเคยซื้อให้ มึงเอากลับไปเถอะนะ”

ต้องตัดใจ จะใจอ่อนไม่ได้ ไม่อยากเจ็บมากกว่านี้

‘นั่นเป็นของมึงไงนก กูซื้อให้มึง มึงบอกว่าจะทำอาหารให้กูกินไม่ใช่เหรอ’ ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ยิ้มบางๆ กับสายลมที่พัดผ่านไป

“กูคง…ไม่ได้ทำให้มึงกินแล้วล่ะขอโทษนะ” ขอโทษที่อยู่ข้างๆ มึงต่อไปไม่ได้ กูมันอ่อนแอเกินไป

‘มึงหมายถึงอะไร มึงจะไปไหนนก?’

“มัน…ไม่เกี่ยวกับมึง” ผมพูดแบบนั้นออกไป ไม่ได้ต้องการทำร้ายจิตใจใคร หรืออวดดีว่าอยู่เหนือกว่า แต่ผม…ไม่รู้ว่าควรจะพูดคำไหนออกไป รู้สึกแย่หลังพูดมันก็เท่านั้น แก้ไขอะไรไม่ได้ ไอ้ปาเงียบลงไป ผมไม่รู้ว่ามันอึ้งหรืออะไรถึงได้เงียบลงไปแบบนั้น แต่ผม…รู้สึกไม่ดีเลยสักนิด

‘มึงโกรธกูเรื่องอะไร ทำไมถึงพูดแบบนั้นวะ ทำไมพูดว่าไม่เกี่ยวกับกู! เราสองคนเป็นแฟนกันไม่ใช่หรือไง!!’ ผมหลับตา กำมือแน่นเมื่อได้เสียงของไอ้ปาตะคอกกลับมาทางโทรศัพท์ มันเจ็บ มันสะท้าน มันทรมานจนอยากจะจบมันเสียที แต่อีกใจก็ยังโหยหา ยังปรารถนาจะได้ยินเสียงของมันมากกว่านี้ ให้ได้คุยกันมากกว่านี้อีกสักนาทีก็ยังดี

“ถ้า…ฮึก…ถ้าหากว่ามันทำให้มึงลำบาก งั้นเราสองคน…เลิกกันเถอะนะ” เลิกกันตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อที่มึงจะได้รักเขาจนหมดหัวใจ หยุดล้อเล่นกับความรู้สึกของกู แล้วเราก็จากกันด้วยดี

เพล้ง!

ผมสะดุ้ง แม้จะเป็นแค่เสียงที่ลอยมาจากปลายสายแต่ใจก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้

‘ทำไม…ทำไมต้องพูดว่าเลิกกันด้วยวะ!’

“มึงทำอะไร เสียงเมื่อกี้คืออะไร”

‘ฮึ! มึงจะสนใจทำไม กูจะเจ็บตรงไหน จะตายยังไงมึงจะสนใจทำไมในเมื่อมึงกำลังจะทิ้งกู!!’ ทำไมล่ะ มันควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ มันควรจะต้องยินดี และรู้สึกดีที่ผมกำลังจะไปสิ หรือเพราะผมเป็นคนพูด ไอ้ปาเลยรู้สึกเหมือนเสียศักดิ์ศรี

“ถ้างั้นมึงเป็นคนบอกเลิกกูก็ได้นะ กูเป็นคนถูกมึงทิ้งก็ดะ…”

‘กูไม่มีวันทิ้งมึง! อย่ามาพูดแบบนี้นะไอ้นก!’ มันพูดจริงเหรอ? ไม่ ไม่สิ อย่าใจอ่อน อย่าหวั่นไหว มึงลืมคำพูดของมันไปแล้วหรือไง

"เรื่องน้องเบญของมึงไง มึงจะไม่บอกไอ้นกเหรอ"

"บอกทำไม..."

"กูน้องเบญเป็นคู่หมั้นมึง มึงทำแบบนี้ถ้าไอ้นกรู้มันจะเสียใจนะโว้ย"

"หึ...ก็แค่อย่าให้รู้ก่อนมันก็จบไหม"

"แล้วอีกนานแค่ไหนมึงถึงจะจบเรื่องนี้วะ"

"ไม่นานหรอก กูกำลังจะจบแล้วล่ะ มึงไม่ต้องห่วง"


“ปา กูรู้แล้วนะ เรื่องคู่หมั้นของมึง”

‘นก…’ ปฏิเสธไม่ออกสินะ ผมยิ้มเย้ยหยันให้กับความโง่ของตัวเอง สุดท้ายมันก็เป็นอย่างที่คิด ไอ้ปามันก็แค่สนุกที่ได้เล่นกับความรู้สึกของผม ผมมันใจง่ายไปรักมันง่ายๆ เองจะไปโทษใครได้

“เพราะงั้นมึง…ปล่อยกูไปเถอะนะ ขอร้องล่ะ” ให้กูไปเถอะ สงสารกูทีได้ไหม อย่าทำร้ายกูอีกเลย

‘นก มึงโกรธเรื่องนี้ใช่ไหม มึงกลับมาหากูนะ เดี๋ยวกูจะอธิบายให้ฟังเอง หรือ หรือมึงอยู่ที่ไหน เดี๋ยวกูรีบไปรับ บอกกูมาสิ’

“กูกลับไปไม่ได้อีกแล้วปา กูบอกมึงแล้วไง ปล่อยกูไปเถอะ” ผมอ้อนวอนมันด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร พยายามให้มันเห็นใจที่กำลังจะแตกสลายไปของผมสักที ผมไม่อยากฟังคำอธิบาย ไม่ได้อยากรู้ว่ามันรักกันแค่ไหนหรือเหตุผลเพราะอะไร คนขี้ขลาดอย่างผมแค่อยากหยุดความเจ็บปวดที่ทรมานนี้สักที

‘กูไม่ยอม! ไม่ยอมหรอกนก กูไม่เลิก ไม่ปลงไม่ปล่อยเหี้ยอะไรทั้งนั้น!! มึงเป็นแฟนกู เป็นของกูได้ยินไหม!!’

“ไม่เป็นไร…ถ้างั้นแต่งงานเมื่อไหร่ บอกข่าวกูบ้างนะ”

‘เหี้ย แม่งเอ๊ย!! ไอ้นกมึงจะทำแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม! มึงจะเอาแบบนี้ใช่ไหม!!’ ผมไม่อยากจะสนใจว่ามันโวยวายหรืออะไร พยายามปิดหูไม่ฟังคำพูดของมันเพราะกลัวว่าจะหวั่นไหวแล้วยอมกลับไปเจ็บอีก

“กูรักมึงนะปา ฝากบอกป้าหม่อนด้วยว่ากูขอย้ายออก ของในห้องถ้าป้าหม่อนอยากได้อันไหนก็เอาไปเถอะ ส่วนตู้เย็น มึงก็ยกกลับไปเถอะนะ ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง ฮึก”

‘หยุดพูด! กูบอกให้มึงหยุดพูด!! บอกกูมาเดี๋ยวนี้ มึงอยู่ที่ไหน! '

“กูจะเก็บความทรงจำดีๆ เอาไว้นะ ขอบคุณมากๆ ที่มึงทำให้ครั้งหนึ่งกูได้หลับฝันดี ลาก่อนนะ กูรักมึง”

ผมกดวางสายทันทีที่ตัวเองพูดจบ ทรุดตัวลงร้องไห้อย่างหนักกับอาการปวดหนึบที่หัวใจของตัวเอง ทั้งๆ ที่อยากจะไปเงียบๆ แท้ๆ ไม่คิดเลยว่า…ผมจะได้คุยกับมันเป็นครั้งสุดท้าย ดีเหลือเกิน อย่างน้อยผมก็ได้บอกลามันแล้ว อย่างน้อยๆ ผมก็ไม่ติดค้างอะไรกับมันอีก จะได้เก็บเอาเศษเสี้ยวหัวใจพังๆ ไปรักษา ดีใจที่มันยังคงยึดติดกับผม แต่ไม่นานหรอก ไม่นานมันก็จะลืมผมไป ผมก็แค่ของใกล้มือที่มันคว้าขึ้นมาเล่นเวลาที่เหงา พอมันได้แต่งงานมันก็คงจะหยุดคิดถึงของเล่นชิ้นนี้

ดีแล้ว…ดีแล้วจริงๆ ที่ได้คุยกัน

ครืด ครืด

‘กูไม่เลิก ไม่ปล่อยอะไรทั้งนั้น!’

ข้อความง่ายๆ ที่แสดงถึงความเอาแต่ใจของมันเหมือนเดิม แต่กลับเรียกน้ำตาของผมมากขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงข้อความที่ดูเหมือนกำลังข่มขู่ผม แต่ผมกลับรู้สึกมีความสุขกับมัน ผมคงบ้าไปแล้วแน่ๆ แต่แล้วข้อความต่อมาก็ถูกส่งมาที่ผมอีกครั้ง

‘อย่าให้กูหามึงเจอ! เราจะได้เห็นดีกัน!’

ยอมรับว่าขนลุก ไม่ใช่เพราะรังเกียจหรือขยะแขยง เพียงแค่สัญชาตญาณของผมมันร้องเตือนว่านี่ไม่ใช่แค่การขู่ แต่มันเอาจริงอย่างแน่นอน ผมสะบัดไล่ความคิดนั้นออกไป ถอดซิมออกจากเครื่องแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงอีกครั้ง ก่อนจะปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วเดินไปขึ้นรถ ได้เวลากลับไปรักษาแผลให้หายแล้ว

ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้ปาตอนนี้จะเป็นยังไง รู้สึกยังไงหรือจะทำหน้าตายังไง แต่ผมตอนนี้รู้สึกดีและไม่ดีตีกันให้วุ่นวาย ทั้งความรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องไปจากคนที่ผมรัก หรือความรู้สึกโล่งใจที่ได้บอกกล่าวต่อพี่หนูและไอ้ปาเอง อย่างน้อยๆ ผมก็ได้พูดออกไป การตัดความสัมพันธ์ที่เงียบหายไปมันดูจะใจร้าย ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้จริงจัง แต่ด้วยนิสัยของผมไม่ชอบหรอกครับการหายไปเฉยๆ มันทำให้ใจเคว้งคว้าง ตัดสินใจเดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังก็ลำบาก เพราะงั้นการที่ผมได้พูดกับไอ้ปามันถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว แบบนี้ดีที่สุด

รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ ขับผ่านเส้นทางหลากหลายทิวทัศน์ให้ผมได้มอง แต่เมื่อเริ่มรู้สึกดีและสบายใจ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองง่วงเหลือเกินจนต้องพักสายตาให้หลับไป บางทีหากได้พักผ่อนผมอาจจะดีขึ้นมาบ้าง ผมร้องไห้มากเกินไปแล้วในวันนี้ ร่างกายอาจจะถึงจุดที่ต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นกำลังกายและกำลังใจ เผื่อว่าการหลับตาฝันอาจจะทำให้ผมได้พบกับไอ้ปา ได้ใช้เวลาด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกันในแบบที่ความเป็นจริงนั้นมันไม่มีวันเกิดขึ้นมา

ผมอาจจะมีความสุขกว่าตอนนี้ อาจจะรู้สึกดีถ้าได้มีโอกาสฝันหวานแบบนั้น

แต่ความจริงแล้วคือไม่ว่าจะความจริงหรือความฝัน เราก็ไม่สามารถบังคับมันได้อยู่ดี แม้ว่าจะรู้ตัวว่าเรากำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แต่ก็ไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ง่ายๆ ไม่สามารถบังคับให้ความฝันเป็นไปตามที่เราต้องการได้ ไม่สามารถปลุกตัวเองให้ตื่นได้แม้ว่าจะต้องการแค่ไหน ความฝันคือความฝัน เช่นเดียวกับความเป็นจริงที่ไม่มีทางที่เราจะบังคับให้มันเป็นไปตามที่เราต้องการ ไม่ว่าจะความคิด หัวใจ ความรัก หรือความรู้สึก ขนาดความรู้สึกของผมเอง ผมยังควบคุมมันไม่ได้ บังคับให้มันเลิกรักใครคนนั้นยังไม่ได้เลย เช่นเดียวกับที่ผมไม่สามารถห้ามความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจอยู่ในตอนนี้ให้หายไปได้ มันไม่มีทางหรอก ต่อให้พยายามมากมายแค่ไหน ความเจ็บปวดก็จะยังคงอยู่ไม่มีวันหายไปอยู่ดี

แม้ว่าผมจะปิดกั้นหัวใจ หักห้ามความรู้สึกก็ตาม

เพราะงั้นขอเถอะครับ แค่ความฝันก็ยังดี ช่วยให้ผมกับมันได้รักกันที ได้โปรดเถอะครับ เห็นใจผมที่กำลังจะขาดใจตายด้วยเถอะ ผมขอร้อง







TBC



แจกจ่ายผ้าเช็ดหน้าคนละโหลค่ะ เอาเลย เอาให้พอกับน้ำตาที่ต้องเสียไป~ ไหนคะความคอมเมดี้ ไหนนนนนน อุก อั๊ก พูดแล้วเจ็บปวด แต่เดี๋ยวมรสุมก็จะหายไป ฟ้าใหม่ก็จะเปิดออก แล้วความสุขจะมาหาเราเอง //หลบรองเท้า 

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่12.นกที่บาดเจ็บ 100% up. 23/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 23-12-2019 20:21:26
นี้เข้าใจนกมากเลยนะ ความไม่รู้ทำให้คิดไปเองได้ไกลมาก ส่วนปาเป็นห่วงความรู้สึกจึงไม่บอก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่12.นกที่บาดเจ็บ 100% up. 23/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 23-12-2019 20:54:06
นก ไปหาที่สงบพักใจสักนิดนะ คิดมากไป เดี๋ยวเป็นบ้า อารมณ์ตอนนี้ไม่ฟังเหตุผลอะไรแล้ว
คิดได้อย่างเดียวคือ หนีไปให้ไกลก่อน เวลาเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาได้นะ
ว่าแต่ บอกพี่หนูไปลาพี่อาร์ตทำไม ป่านนี้ไม่โดนพี่อาร์ตตบจนช้ำไปแล้วเหรอ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่13.นกกลับรัง 50% up. 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 28-12-2019 20:20:24
[13]


ตอนที่ 13.

 นกกลับรัง
[/b] 

ในที่สุด…ก็มาถึงสักที

ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกข่มปร่าในลำคอ อาการตีตื้นของความอ่อนแอเริ่มจู่โจมผมอีกระลอกคล้ายกับมันจะรู้ว่าที่นี่ เป็นที่ที่ความเข้มแข็งอะไรไม่จำเป็นต้องใช้ อยากจะร้องไห้ดังมากเท่าไหร่ก็ทำได้โดยไม่ต้องอาย ผมกำมือเม้มริมฝีปาก สายตาทอดมองบ้านหลังน้อยที่ผมเติบโตมาตั้งแต่เด็กด้วยความคิดถึง สองสามปีที่ผ่านมาผมเอาแต่ทำงานจนไม่ได้กลับมาบ้านเลยสักวัน มากสุดก็เพียงแค่โทรกลับมาคุยให้ชื่นใจเท่านั้น แต่มันก็ไม่เคยเต็มหัวใจของผมเลย

ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะด่าผมไหม ถ้าผมจะกลับมาพึ่งอาศัยเงินพ่อแม่กินไปก่อนในช่วงนี้ แล้วค่อยๆ หางานทำดูว่าแถวนี้พอจะมีอะไรให้ผมทำได้บ้าง

ผมถอนหายใจก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปใหม่อีกครั้งแล้วเอื้อมมือเปิดประตูรั้วของบ้านออกอย่างเบามือ

ไม่ๆ ผมไม่ได้มาย่องเบาบ้านตัวเอง ผมแค่อยากจะให้พ่อกับแม่ประหลาดใจ

แต่เอ่อ…จะประหลาดหรือลำบากนี่คงต้องดูอีกทีแล้วล่ะครับ

ผมถอดรองเท้าที่ประตูบ้าน แอบย่องเข้าบ้านอย่างที่คิดว่าเบาที่สุด เสียงโทรทัศน์ดังออกมาจนถึงด้านนอกทำให้ผมรู้ได้เลยว่า พ่อผมคงไม่แคล้วนั่งดูมวยอยู่แน่ๆ ผมยกยิ้มแล้วค่อยๆ ก้าวไปจนเห็นแผ่นหลังของพ่ออยู่บนโซฟา แล้วจัดการตะครุบไหล่ทั้งสองข้างของพ่อจนพ่อของผมสะดุ้งโหยงพร้อมกับคำอวยพรสารพัดที่ถูกพ่นออกมา

“แฮร่!”

“พ่อมึ_ตาย ไอ้ฉิบหาย %*&=@-& (&’ ;? :) @+@”

“ฮ่าๆ” ผมทรุดตัวลงหลังโซฟาแล้วหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังจนน้ำหูน้ำตาไหล ส่วนพ่อผมกลับยังยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ผมเข้าไปทำให้แกตกใจ สีหน้าดำสลับแดงทำให้ผมพอจะรู้ได้ว่าตอนนี้พ่อกำลังโกรธขนาดไหน

ผมถอดกระเป๋าออกจากหลังแล้ววางมันเอาไว้บนพื้น ก่อนที่จะขยับตัวเข้าไปกอดพ่ออย่างเอาอกเอาใจพร้อมกับยิ้มประจบ แต่พ่อผมกลับสะบัดตัวออกอย่างรังเกียจ (?) ถลึงตาใส่ผมด้วยความไม่พอใจจากการที่โดนผมแกล้งเมื่อครู่

ขี้น้อยใจจังเลยนะพ่อผมเนี่ย

“กลับมาทำไมไอ้เวร!” เดี๋ยวนะ ทำไมการทักทายที่มีต่อลูกถึงเป็นคำถามแบบนี้ล่ะ? หรือมันเป็นเรื่องปกติของทุกบ้าน นั่นสิ ต้องเป็นแบบนั้นแน่อยู่แล้ว พ่อรักผมจะตายไป

“กลับมาเกาะพ่อกินได้ไหมพ่อ ผมกำลังตกงาน ข้าวก็ไม่ได้กิน หิ้ววว หิววว” แอบทำตาปริบๆ เหมือนลูกนกน่าสงสารให้พ่อที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผม

เดี๋ยวสิพ่อ ไอ้หน้าตาแบบนั้นมันไม่ควรทำใส่ลูกรักที่ห่างหายไปกว่าสามปีไหม ไหนความคิดถึง ไหนความเป็นห่วงเป็นใย?? พ่อผมตายด้านเหรอ?

“เรื่องของเอ็ง! ทำงานยังไงให้โดนไล่ออกวะ!” ผมยิ้มเจื่อน เหมือนกับว่ารอยยิ้มที่ติดอยู่บนใบหน้าคือการฝืนมันออกมา แค่นึกถึงมันแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ผมก็ออกอาการอีกแล้ว

ไม่ได้สิ จะมาทำตัวน่าห่วงแบบนี้ไม่ได้!

“แหมพ่อ…ลูกพ่อเป็นใคร ทำงานดีเวอร์วังขนาดไหนดูด้วย” พ่อกลอกตาใส่ผมทำไม? ผมพูดความจริงทั้งนั้น

“เรอะ? ถ้าทำงานดีมีเรอะที่เอ็งจะโดนไล่ออกมาแบบนี้” พูดไปพ่อผมจะเข้าใจไหมนะว่าผมลาออกเอง ไม่ใช่โดนไล่ออก ชาตินี้ทั้งชาติผมจะโดนไล่ออกไหมก็ไม่รู้ พอคิดถึงข้อความที่ไอ้ปาส่งมาขู่ผมก็ขนลุกแปลกๆ แต่ปล่อยผ่านไปดีกว่า ผมว่ามันคงส่งมาขู่แค่นั้น คงไม่มีอะไรหรอก อีกอย่างมันคงจะยุ่งวุ่นวายกับคู่หมั้นของมันมากกว่า ของเล่นอย่างผมเดี๋ยวเวลาผ่านไปสักเดือนสองเดือนมันก็คงลืมๆ ไปแล้วก็ได้ ไม่แน่นะครับ ตอนนี้มันอาจจะเจอคนใหม่แล้วก็ได้

“พ่อไม่รู้อะไร ลูกพ่ออินดี้ อยากใช้ชีวิตแบบไม่มีงานทำ กลับบ้านมาเกาะพ่อเกาะแม่กินต่างหาก วู้!” ผมลอยหน้าลอยตาตอบพ่อที่ถลึงตามองจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า

อะไรกัน แค่ลูกชายคนดีกลับมาขอเงินกินแค่นี้ต้องมองแรงขนาดนั้นเลยเหรอ โหดร้ายจริง!

“กลับไปทำงานเลยนะเอ็ง เงินข้า ข้าจะใช้กับเมียข้าสองคน!”

“นี่ลูกไหมพ่อ!!” นี่ลูกนะ ทำไมพูดเหมือนคนอื่นคนไกล อะไรคือเงินใช้กับเมียสองคน คนทั่วไปเขาต้องเอาไว้ให้ลูกใช้สิ! ใช้เองได้ไง!

“ก็ลูกไง หรือเอ็งไม่อยากเป็นแล้ว? เฮ้ย! ได้นะ เดี๋ยวข้าโทรบอกแม่เอ็งก่อน”

“พ่อ!!!” ไม่ได้โว้ยยยยย

ผมรีบทั้งดึงทั้งรั้งแขนขาพ่อผมไง้ ตอนนี้แทบจะกลายร่างเป็นเถาวัลพันพ่อเอาไว้ทั้งตัว เพราะกลัวว่าพ่อจะโทรไปบอกแม่แบบนั้นจริงๆ นี่ผมเริ่มงงแล้วนะครับ การที่ผมกลับบ้านมาพึ่งพิงใบบุญพ่อกับแม่ ทำไมอยู่ๆ กลายเป็นกำลังจะกระเด็นออกจากสถานะลูกไปได้ล่ะ แบบนี้ก็ได้เหรอ นี่ผมต้องเสียใจเรื่องไอ้ปาพร้อมกับต้องบีบน้ำตาร้องไห้อ้อนวอนพ่อไม่ให้ตัดผมออกจากวงศ์ตระกูลใช่ไหม

“ปล่อยขาข้านะไอ้นก ไอ้ลูกเวร!” เรื่องสิ ขืนปล่อยผมก็ต้องระเห็จออกไปนอนข้างถนนน่ะสิ

“ไม่มีทาง พ่อจะมาตัดผมออกจากวงศ์การ์ตูนไม่ได้”

“วงศ์ตระกูลโว้ย วงศ์การ์ตูนบ้านพ่อเอ็งสิวะ!” ผมเงยหน้าแล้วเอียงคอถามอย่างน่ารักน่าชัง

“ใช่สิ ก็บ้านพ่อไง ไม่ใช่บ้านแม่เสียหน่อย บ้านแม่ต้องขับรถไปอีกไกลเลยล่ะ”

โป๊ก!

“ไอ้เวร! ช้าด่าเอ็งโว้ยไม่ใช่คำบอกเล่า นี่ไปอยู่กรุงเทพสมองเอ็งไม่ได้พัฒนาขึ้นมาเลยใช่ไหม”

“พัฒนานะพ่อ ตอนนี้ผมสามารถเขียน กอไก่ถึงฮอนกฮูกได้จนจบเลยนะ!”

“ข้าล่ะเพลียกับเอ็ง พอๆ ข้าจะตายเพราะเอ็งแล้ว!” ผมเห็นพ่อทำท่าทางจะล้มลงจริงๆ จึงพยุงพ่อให้ไปนั่งดีๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปหยิบน้ำเย็นๆ มาวางให้พ่อ มองพ่อยกมันขึ้นดื่มแล้วหลับตาลงช้าๆ

เดี๋ยวสิ ถ้าพ่อเกิดตายไปทำไงล่ะ สมบัติผมก็ไม่ได้น่ะสิ ไม่ได้ๆ

“อะไร นี่อะไรของเอ็งอีก?” ผมดึงสมุดเล่มไม่เล็กมากออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้พ่อพร้อมกับปากกาและรอยยิ้มบนใบหน้าของผม

“ก่อนจะ…ยังไงพ่อก็เขียนพินัยกรรมให้ผมก่อนนะ” พ่อผมอ้าปากค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะถลึงตาใส่ผมหนักกว่าเดิมอีก

“ไอ้นก!!!” แต่ก็ยังมีแรงเรียกชื่อผม หรือนี่คือเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย โธ่พ่อของผม น่าสงสารจริงๆ

“พ่อ อย่าตะโกนสิ เก็บแรงเฮือกสุดท้ายไว้ก่อน เขียนพินัยกรรมให้ผมก่อน ผมไม่เอาอะไรมากเลยพ่อ ผมขอแค่ เงินในบัญชี กับที่ดินที่สุโขทัยกับเชียงใหม่ให้ผมก็พอ อ๋อใช่พ่อ ขอบ้านหลังนี้ด้วยนะ ผมขี้เกียจขนของออก”

“กูยังไม่ได้จะตายโว้ย! ไอ้ลูกเวร!”

เซ็ง ตกลงผมก็ชวดสมบัติน่ะสิ ทำไมพ่อทำแบบนี้ล่ะ ทำไมพ่อต้องโกหก เอาความเป็นความตายมาทำให้ผมดีใจ เอ๊ย มาทำให้ผมตกใจได้ยังไง ดูสิ ผมหรืออุตส่าห์ค้นหาสมุดออกมาให้พ่อเขียนพินัยกรรม มีที่ไหนที่พ่อจะมาทำหน้าตาบึ้งตึงโกรธผมเสียยกใหญ่ ผมทำอะไรผิด ผมเป็นห่วงพ่อนะนี่ กลัวพ่อจะไปไม่หมดห่วง

“แล้วนี่ไอ้แมวไปไหนล่ะพ่อ ทำไมมันปล่อยพ่อให้อยู่บ้านคนเดียว”

แมวคือน้องชายของผมเอง มันเป็นเด็กอายุ22ที่…ค่อนไปทางแปลก แปลกจริงๆ นะ ผมว่าผมแปลกแล้วมันแปลกกว่าผมอีก ที่ผมบอกว่าแปลกคือรสนิยมของมัน ไอ้แมวมันเป็นผู้ชาย แต่กลับชอบคิตตี้สีชมพู ทุกอย่างของมันต้องเป็นคิตตี้เท่านั้น จะผ้าห่มหมอนมุ้งหรือเสื้อผ้าของใช้จุกจิกของมันก็มักจะเป็นลายคิตตี้เสมอ

ขนาดแก้วน้ำมันยังแยกออกไปใช้เองทั้งที่คนอื่นๆ เขาก็ใช้ร่วมกันในบ้าน แต่นี่ไอ้แมวมันกลับยอมเก็บเงินค่าขนมเพื่อที่จะซื้อแก้มน้ำลายแต๋วจ๋าที่มันบอกว่าเป็นสินค้าลิขสิทธิ์มีจำนวนจำกัดและราคาโคตรแพง แต่มันก็ซื้อ! มันบ้าหรือเปล่า ที่จริงเดินไปตลาดหน้าซอยบ้านเอาก็มีขาย แถมถูกกว่าเหมือนได้ฟรี แต่มันก็ไม่เอา ส่ายหน้าจนขนบนหัวแทบจะร่วงปากก็บอกว่ามันเป็นการเหยียดหยามคิตตี้ของมัน

เออ เอากับมันสิ

มีครั้งหนึ่งที่ผมเคยหลอกมัน เอาแก้วราคาไม่กี่ร้อยมาใส่กล่องของขวัญให้มันในวันเกิด พอมันแกะออกมาเห็นก็กรีดร้องสาวแตกจนผมนึกว่ามีน้องสาว แต่พอใช้ไปสองสามครั้งมันก็หลุดลอกตามคุณภาพของมัน พอมันรู้ความจริงผมก็ถูกเฉ่งจนแทบไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขเกือบอาทิตย์ เดือดร้อนผมต้องยอมกัดฟันทุบกระปุกออมสินไปซื้อมาชดใช้ให้มัน นั่นล่ะครับความสงบสุขของผมถึงกลับมา แต่ความทุกข์ก็มาเมื่อพบว่าเงินหมดเกลี้ยง

ผมจึงค้นพบแล้วว่าอย่างไรก็ไม่ควรเอาความชื่นชอบชื่นชมของมันมาล้อเล่น เพราะสุดท้าย คนที่ซวยก็คือผมเอง!!

“ยังไม่กลับหรอก เห็นมันบอกว่าวันนี้มีร้านมาเปิดใหม่ ก็คงเป็นร้านลายแมวต๊องๆ สีชมพูเหมือนเดิมของมันนั่นล่ะ” พ่อผมทำหน้าเซ็ง จะว่าปลงก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ไหนจะสีหน้าตอนพูดถึงร้านกับลายโง่ๆ ที่ผมรู้สึกเหมือนพ่อผมกำลังด่าน้องของผมเอง ฟังแล้วมันก็ตลกดีครับ แต่อย่าให้เจ้าตัวมันมาได้ยินนะ เดี๋ยวเรื่องจะยาว

“มันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะพ่อ”

“แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่เลยมั้ง ทุกวันนี้ข้าก็ยังสงสัยอยู่นะว่ามันเป็นลูกชายหรือลูกสาวข้าวะ ทำไมของมันต้องสีหวานกับลายต๊องๆ แบบนั้นด้วย” ผมเข้าใจพ่อนะ ผมเข้าใจดีเลยล่ะ แต่ผมก็รู้สึกขำเหลือเกินครับกับสีหน้าที่บรรยายออกมาไม่ได้ของพ่อผม

“เอาน่าพ่อ พ่อน่าจะชินได้แล้วนะ มันชอบของมันมาตั้งกี่ปีแล้ว”

“เออ! มันชอบมากี่ปี เอ็งก็คูณจำนวนเงินที่มันปล้นจากข้าไปด้วยเลยไหม!” เนี่ยยยย พ่อผมยั่วง่ายไง ผมขำก๊ากออกมาอย่างอั้นเอาไว้ไม่อยู่ ที่จริงผมรู้ล่ะว่าที่พ่อเคืองนี่ไม่ใช่เพราะมันชอบอะไรแบบนี้หรอก พ่อผมเคืองเพราะมันมาตอดเอาเงินพ่อไปมากกว่า แต่จะเรียกว่าตอดก็ไม่ถูก นิสัยไอ้แมวมันเจ้าเล่ห์ มันชอบแบล็กเมลพ่อประจำ ความลับต้องเก็บไว้ให้เป็นความลับ เพราะถ้าไอ้แมวมันรู้ปั๊บ ความฉิบหายของกระเป๋าสตางค์จะมาเยือนทันทีเลยล่ะ

“แล้วพ่อให้มันไปทำไมล่ะ?”

“ก็ข้า! ...” พ่อทำหน้าตาเลิ่กลั่กจนน่าสงสัย ผมน่ะพอรู้อยู่หรอกว่าพ่อมีความลับ แต่ผมไม่เคยไปสืบไปรื้อไปค้นความเป็นส่วนตัวของพ่อไง แต่ไอ้แมวไม่ใช่ มันต้องหาเงินมาเพื่อน้องคิตตี้ของมันเอง มันดันรู้ไปหมดว่าใครมีความลับอะไร ขนาดผมยังเคยโดนเลย

“ว่าไงพ่อ?” หลุดปากมาสิพ่อ ผมจะได้รู้บ้าง

“ไม่ ไม่มีอะไร ข้าก็แค่สงสารมัน!” จ้าาา เป็นพ่อผู้แสนดีรักลูกขึ้นมาทันทีขนาดนี้ แสดงว่าเรื่องใหญ่ใช้ได้ แบบนี้ความเสือกของไอ้นกยิ่งทำงาน คันคะเยอไปทั้งตัวจนอยากจะเกามาก แต่ไม่รู้จะไปถามจากใคร ไอ้แมวเองก็คงไม่บอกผมหรอก ไม่อย่างนั้นมันคงถูกพ่อริบเงินคืน

โอ๊ย!!! ทำไมผมต้องเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ด้วยนะ! ไม่ยุติธรรมเลย!

“อ้าวพี่นก! กลับมาบ้านทำไมล่ะเนี่ย?” ผมอยากจะร้องไห้ ทำไมน้องชายกับพ่อผมถึงมีคำถามแบบนี้ ผมกลับบ้านนี่มันไม่ดีเลยใช่ไหมครับ โฮๆ

“ก็บ้านพี่ไหม ถามเหมือนพี่ไม่ได้กลับบ้านตัวเอง”

“เฮ้ยๆ ข้ายังไม่ตาย บ้านนี้ยังเป็นของข้ากับเมียนะโว้ย ไม่ใช่ของพวกเอ็ง” ถ้าผมกลอกตาใส่พ่อจะบาปมากไหมครับ ทำไมพ่อถึงต้องหวงของอะไรขนาดนี้ล่ะนี่! ทุกอย่างเดี๋ยวมันก็เป็นของผมอยู่แล้ว ขี้งกจริงๆ

“เดี๋ยวมันก็เป็นของผมอยู่แล้ว” พ่อยกสมุดขึ้นมาจะคว้างมาใส่หน้าผม แต่ผมฉลาด ยึดไอ้คิตตี้ตัวใหญ่ที่ไอ้แมวมันอุ้มมา มาใช้เป็นเกาะกำบัง

“เย้ย!! พ่อ!! พ่ออย่านะ อย่าปามานะ!!”

โธ่น้องรัก ผมซึ้งใจจริงๆ ที่มันเป็นห่วงผม น้ำตาแทบจะไหลแล้วครับตอนนี้

“ไอ้แมว…พี่ไม่นึกเลยว่าเอ็งจะเป็นห่วงพี่ กลัวว่าพี่จะเจ็บขนาดนี้” ช่างเป็นน้องชายที่น่ารักอะไรขนาดนี้นะ ผมควรจะซื้อคิตตี้ชุดพิเศษให้มันใช่ไหมครับ

“บ้าเหรอ! ผมจะห่วงพี่ทำไมเล่า!” อ้าว ไอ้เวร…

“ก็เอ็งห้ามพ่อไม่ให้พ่อปาสมุดมาใส่พี่ไม่ใช่หรือไง!” ไอ้แมวเบ้ปากใส่อย่างไม่ค่อยพอใจ สายตาจิกกัดจนผมแทบจะแหว่งไปทั้งร่าง

“ผมห่วงน้องคิตตี้ของผมต่างหาก นั่นมันแพงมากนะ พี่น่ะจะเจ็บจะจุกก็เรื่องของพี่เถอะ! พ่อหยุดมือนะ! อย่าปามา ไม่งั้นผมจะเก็บเงินจากพ่อสองเท่าของราคาเลย!”

ดูเหมือนคำขู่ของไอ้แมวจะได้ผล พ่อมองหน้าผมอย่างแค้นเคืองแต่ก็จำเป็นต้องลดสมุดลงเมื่อสีหน้าไอ้แมวกดดันอยู่ เอ่อ จริงๆ เป็นผมก็ยอมวางนั่นล่ะครับ เพราะขืนให้มันเก็บเงินสองเท่า ผมว่าเป็นผมเองก็คงไม่เอา ไม่ขอเสี่ยงจะดีกว่า ไอ้แมวมีสีหน้าพออกพอใจก่อนจะตวัดสายตาใส่ผมแล้วแย่งเอาน้องคิตตี้ของมันกลับไปกอดเอาไว้อย่างทะนุถนอม อีคิตตี้มันเป็นพี่น้องของมันเหรอ ทำไมน้องชายของผมถึงรักถึงหวงมากกว่าผมที่เป็นพี่ชายอีกเล่า!!

แบบนี้มันได้ที่ไหนกัน! ผมยังเป็นพี่มันอยู่ไหม!

“นี่พี่ยังเป็นพี่ของแกไหมไอ้แมว ทำไมแกห่วงไอ้หน้าหนวดนั่นมากกว่าพี่วะ!” ผมเจ็บปวดมากนะ เจ็บปวดสุดๆ หัวใจผมเหมือนจะพังลงไปเมื่อเห็นน้องชายคนเดียวเอาแต่กอดไอ้ตุ๊กตาหน้าหนวดนั่น! อย่าเผลอก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นกูเอาไปเผาทิ้งแน่!!

“พี่นก! อย่ามาว่าคิตตี้ของผมนะ หน้าพี่น่ะสิไอ้หน้าหนวด!” ดูสิ...แค่ด่าตุ๊กตามันว่าไอ้หน้าหนวดผมยังโดนมันด่ากลับมาเลย แบบนี้จะเรียกว่าพี่น้องกันได้อีกเหรอครับ ในเมื่อความห่วงใยและความรักน้องชายของผมมันเอาไปให้ไอ้ตุ๊กตาสีชมพูหวานแหววนั่นไปหมดแล้ว แล้วผมจะยังเหลือความสำคัญอะไรอีก!

“ดีๆ แกเห็นมันดีกว่าพี่ใช่ไหม!”

“ใช่!!” ผมโมโหมาก โกรธและน้อยใจจนอยากจะกระอักเลือดออกมาตายๆ ไป แต่ใครจะไปคิดกันล่ะว่าคำตอบจากไอ้แมวจะทำผมจุกได้มากกว่าที่เป็นอยู่

ตอนนี้ผมนึกอยากจะต่อสายหาแม่แล้วถามแม่ว่า สรุปแล้วผมใช่ลูกของแม่หรือเป็นแค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง

เจ็บจนอยากร้องไห้ น้องผมมันรักไอ้คิตตี้หน้าหนวดนั่นมากกว่าผมเสียอีก! มันทำแบบนี้ได้ยังไง!! ทำไมได้ยังไงกัน!!!

“พ่อ...ไอ้นี่ใช่ลูกชายพ่อแน่นะ ไม่ใช่ว่าตอนคลอดพ่อเอาไปสลับกับลูกของใครสักคนใช่ไหม” ไม่มีความรักพี่รักน้องแบบนี้ ลูกบ้านอื่นแน่ๆ

“ลูกข้านี่ล่ะ เอ็งเห็นไหมล่ะว่ามันเหมือนข้าจะตาย” จ้า เหมือนมากกกก อาการเห่อลูกคนเล็กนี่คือยังไม่หมดไปจากตัวพ่อผมอีกเหรอ คนอื่นเขาควรจะหมดไปตั้งนานแล้วหรือเปล่า ทำไมของพ่อผมมันยังไม่หมดไปสักทีล่ะ

“แล้วผมไม่เหมือนพ่อหรือไง” พ่อหันมามองหน้าผม มองจริงๆ ครับ มองแล้วก็คิด ลูบคางของตัวเองไปมาคล้ายกับคำนวณอยู่ว่าเหมือนไหม

ได้เหรอพ่อ ถ้าจะขนาดนี้ก็ตะโกนออกมาเถอะว่าไม่เหมือนน่ะ

“เอ็งดู...เหมือนแม่เอ็งนะข้าว่า เสียดายก็แต่แม่เอ็งไม่ได้ขี้เหร่เหมือนเอ็งนี่ล่ะ”

อุก...เจ็บสุดกระดองใจก็คำพูดพ่อนี่ล่ะ

ใครต่อใครมากมายว่าผมขี้เหร่นะ บอกว่าผมไม่หล่อบ้าง เหมือนพวกโรคจิตติดตามชาวบ้านเขาบ้างผมยังไม่รู้สึกมากมายเท่ากับที่พ่อบอกว่าผมขี้เหร่แบบอ้อมโลกก็ไม่อ้อม จะตรงก็ไม่ตรงเสียทีเดียว แบบนี้ผมยิ่งเจ็บมากกว่าเดิมเข้าไปอีก จบคำพูดพ่อผมก็ยืนอึ้งจนเรียกว่าใบ้แดกเลยทีเดียว ส่วนไอ้น้องในไส้ที่โผล่มาอยู่นอกไส้ก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอย่างพึงพอใจมากที่เห็นผมเงียบปากลงไปได้สักที

ที่เงียบนี่ไม่ใช่ว่ากลัวหรืออะไรนะ แต่เป็นเพราะหมดคำจะพูดจริงๆ ครับ จุกมากเลย

เพราะตัวผมก็ดันคิดไปด้วยว่า มันเป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้ผมกับไอ้ปา เราไม่สามารถเดินไปต่อด้วยกันในทางเดียวกันได้ แต่ไม่ว่าจะเพราะหน้าตาผมหรือเปล่าที่เป็นปัญหา ผมก็ยังหลีกเลี่ยงความจริงที่ว่ามันมีคู่หมั้นอยู่แล้วไปไม่ได้ สิ่งที่เราสองคนต่างกันคงเป็นความจริงใจล่ะนะ เพราะผม...เมื่อยอมรับความรู้สึกแล้วก็จะจริงใจกับมันทั้งหัวใจ แต่กับมัน...คงไม่ใช่ เพราะถ้าหากว่าใช่ เราสองคนคงไม่...

อา ช่างมันเถอะ คิดไปก็มีแต่เจ็บเปล่าๆ ไม่ว่าสาเหตุจะคืออะไร ผมก็แค่ต้องถอยออกมา

“เฮ้ยไอ้นก! เป็นอะไรของเอ็งวะ ข้าพูดแค่นี้เอ็งถึงกับต้องซึมเลยเหรอ”

“พี่นก!! พี่ร้องไห้ทำไม!”

ผมร้องไห้งั้นเหรอ?

ผมเอื้อมมือที่สั่นออกมาแตะบนผิวแก้มของตัวเองเบาๆ สัมผัสความเปียกร้อนที่ไหลอาบผิวแก้มอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกหลากหลาย ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตา แปลกจริงๆ ทั้งที่ผมเพียงแค่คิด แค่คิดเล่นๆ เท่านั้นตามที่เหตุการณ์มันพาไป แต่ทำไมผมถึงร้องไห้ออกมากันล่ะ ทำไมกัน?

“ไม่...ไม่มีอะไร”

ก็แค่เจ็บ ที่น้ำตาไหลออกมามันก็แค่เจ็บ

เจ็บที่ไปรักคนที่ไม่อาจจะรักได้ เจ็บที่ต้องยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งมันก็แค่ความฝันชั่วคราว ที่เขาแบ่งปันมันมาให้ ไม่ใช่โลกทั้งใบอย่างที่ผมเผลอคิดไป

“จะไม่มีอะไรได้ยังไงพี่นก พี่ร้องไห้ แล้วพี่ก็ตัวสั่นด้วย” ผมยกมือขึ้นมาจับแขนของตัวเองเอาไว้ คล้ายกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่แมวมันพูดกับผม

แต่มันจริงทุกอย่าง ร่างกายผมกำลังสั่นไปตามแรงสะอื้น ผมควบคุมหัวใจไม่ได้ ตอนนี้ก็ยิ่งควบคุมความรู้สึกและร่างกายของตัวเองไม่ได้ ผมพยายามทุกอย่าง ทั้งที่ผมพยายามยิ้มออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่น้ำตาพวกนี้กลับไม่ยอมหยุดไหลสักที มันเอาแต่ประจานความอ่อนแอของผมออกมาอย่างไม่คิดจะอาย

ต้องกี่ครั้ง อีกกี่ครั้งผมถึงจะชินกับมันเสียที

บอกกูหน่อยสิปา ต้องทำยังไงกูถึงจะหยุดรักมึงได้เสียที!











ตอนนี้ผมอยู่ในห้องของตัวเอง หลังจากที่ได้เข้าไปล้างหน้าล้างตาผมก็ได้เห็นว่าสภาพผมตอนนี้มันน่าเวทนาแค่ไหน ตาบวมไม่พอ จมูกยังแดงและคัดสุดๆ หายใจยากลำบากยิ่งกว่าเป็นหวัด ขอบตาก็แดงระเรื่อเมื่อเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา

พ่อเอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นคนที่ทำให้ผมต้องร้องไห้ ว่าผมเสียใจกับคำพูดเล่นๆ ที่พ่อพูดออกมา ส่วนไอ้แมวกลับไปที่ห้องแล้วโยนตุ๊กตาไว้บนเตียงโดยไม่คิดจะสนใจอีกเพื่อที่จะรีบลงมาหาผม มันเป็นคนพาผมขึ้นมาบนห้อง เป็นที่คอยถือกระเป๋าของผมขึ้นมาแล้วจัดของเข้าตู้ ผมรู้ว่ามันดูออกว่าผมไม่ได้เสียใจเรื่องที่พ่อพูด แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่มันเลือกที่จะไม่พูด ไม่ถามออกมาก็แค่นั้น

ซึ่งตอนนี้มันดีมากเลยนะ ผมยังไม่พร้อมจะตอบคำถามใดๆ เพราะผมกลัวว่าผมจะต้องร้องไห้ออกมาอีก

“พี่นก...” อา...ผมรู้ครับว่ามันอยากจะถาม สีหน้าของไอ้แมวมีความลังเลอยู่อย่างชัดเจน

รู้ว่ามันเป็นห่วง แต่เพราะรู้ถึงไม่อยากจะให้มันมารับรู้เรื่องที่จบไปแล้วของผม

“ไม่มีอะไรหรอก คงเหนื่อยมากไปล่ะมั้ง”

เหนื่อยมากไปเป็นข้ออ้างที่โคตรไร้สาระ คนเหนื่อยมากที่ไหนเขามานั่งร้องไห้อย่างผม มันไม่เชื่อหรอก แววตาของไอ้แมวไม่มีแม้สักเศษเสี้ยวที่จะเชื่อคำพูดผม มันถอนหายใจออกมาแล้วมองหน้าของผมด้วยแววตาจริงจัง ซึ่งผมทำได้แค่ยิ้มให้มันเท่านั้น บอกกับมีนผ่านรอยยิ้มว่าพี่ชายที่ชื่อนกคนนี้ ไม่เป็นอะไรเลย

“เอาเถอะ เมื่อพี่ไม่อยากจะเล่าผมก็จะไม่ถาม แต่พี่รู้ใช่ไหมว่ายังไงพี่ก็ต้องเล่ามันให้ผมฟัง” ผมเงียบ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ผมก็รู้ดีว่ามันเป็นห่วงและผมก็ย่อมต้องทำอย่างที่ไอ้แมวมันพูดกับผม

ใช่...ยังไงผมก็ต้องเล่า

“มันไม่มีอะไรเลย ก็แค่เรื่องโง่ๆ” เรื่องโง่ๆ ของหัวใจผมที่รักคนที่ไม่สมควรจะรัก

ไปรักทั้งๆ ที่เขามีเจ้าของแล้ว

“หึ...ถ้าให้ผมเดา พี่คงอกหักมาล่ะสิ” ผมหันไปมองหน้าน้องชายตัวเองช้าๆ ไม่ผิดหรอกที่มันพูดมา จะเรียกว่าอกหักก็คงได้ ในเมื่อต่อให้ผมไม่ได้เป็นบอกเลิก มันก็คงบอกเลิกผมเองอยู่ดี ผมจะไปยืนอยู่ที่ตรงไหนได้ ในเมื่อข้างๆ มันไม่มีที่ว่างอีกแล้ว

ไม่อยากจะเชื่อว่าสองสามปีที่ผมคบกับมันมาในฐานะเพื่อน ผมจะไม่เคยรับรู้เรื่องนี้เลยว่ามันจะมีคู่หมั้นแล้ว แต่จะว่าไปมันก็คงไม่แปลก เพราะขนาดมันเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทผมเองยังไม่เคยรู้เลย นับประสาอะไรกับเรื่องคู่หมั้นมันล่ะจริงไหม ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งอยากจะหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองที่โง่บัดซบ ปล่อยให้ความรู้สึกครอบงำความคิดจนเผลอลืมความเจ็บปวดที่มันโกหกเอาไว้ไป หลงคิดไปว่ามันจะไม่ทำให้ผมต้องเสียใจอีก

แต่แค่เพียงไม่นาน ไม่นานเท่านั้น...

ผมก็ต้องเจ็บยิ่งกว่าเดิม

“พี่โง่ใช่ไหม บอกแล้วไงว่ามันก็แค่เรื่องโง่ๆ” ผมเหยียดยิ้มออกมาส่งไปให้น้องชาย ทั้งที่พยายามจะเข้มแข็ง แต่ผมกลับไม่สามารถควบคุมความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาได้เลย มันจึงสะท้อนออกมาทางแววตา ทำให้ผมยิ่งดูน่าสมเพชเข้าไปอีก แต่แมวกลับถอนหายใจแทนการซ้ำเติม แววตาของมันมองเหมือนกับผมเป็นคนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย

“ถ้ามันเป็นแค่เรื่องโง่ๆ ทำไมพี่ชายผมต้องมานั่งร้องไห้เสียใจกับเรื่องนี้ด้วยล่ะ?” เหตุผลง่ายๆ

“เพราะพี่ชายแกมันโง่ไงแมว”

คนที่ไม่โง่ เขาคงเจ็บแล้วก็จำ ไม่ยอมเดินเข้าไปเจ็บซ้ำอีกทั้งที่มีประสบการณ์มาแล้ว

“พี่นก พี่ไม่ใช่คนโง่หรอก เพราะคนที่โง่น่ะ เขาไม่รู้จักหรอกว่าความรักคืออะไร”





50%



น้องงงงงง ไม่เอาไม่ร้องนะคะลูก โธ่ เจ้าปานี่นาตีจริงๆเชียว มาทำให้น้องนกของแม่ร้องไห้ซะได้ ต้องตีๆๆ

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่13.นกกลับรัง 50% up. 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 28-12-2019 21:53:31
นก  นก  นก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่13.นกกลับรัง 50% up. 28/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-12-2019 22:48:34
บ้านนี้ในความเป็นจริง ถ้าไม่มีเรื่องสะเทือนใจ ตลกกันทั้งบ้านเลยหรือ
เอาน่านก อยู่กับพ่อแม่น้อง ก็คงดีขึ้นนะ อยู่กับตัวเองเดี๋ยวบ้า
สู้ๆ น้า
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่13.นกกลับรัง 100% up. 29/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 29-12-2019 18:26:23
“พี่นก พี่ไม่ใช่คนโง่หรอก เพราะคนที่โง่น่ะ เขาไม่รู้จักหรอกว่าความรักคืออะไร”

“...”

“พี่เป็นคนฉลาด ฉลาดที่เลือกจะเรียนรู้ความเจ็บปวด ความสุข และสิ่งที่จะได้รับกลับมาเมื่อมีรัก”

“ฮึก...” ผมปล่อยให้น้ำตาไหล ปล่อยให้ไอ้แมวมันเดินเข้านั่งข้างๆ บนเตียงแล้วลูบหลังของผมเบาๆ

“และเพราะพี่ฉลาด พี่ถึงเข้าใจมันและรู้สึกกับมันมากยังไงล่ะ”

“แมว ฮือๆ” ผมเอนศีรษะลงซบกับไหล่ของน้องชาย ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้ตัวใหญ่ไปกว่าผม ไม่ได้สูงไปกว่าผม แต่แค่ผมได้พักพิงลงบนตัวมัน ผมกลับรู้สึกว่า นี่ล่ะคือความสบายใจ ผมสามารถอ่อนแอแค่ไหนก็ได้ มันจะไม่เหยียบผมซ้ำ แต่จะคอยพยุงผมขึ้นมาแล้วผลักดันให้ผมเดินต่อไป

“พี่ชายผมไม่ใช่คนโง่ คนที่สอนเรื่องพวกนี้ให้พี่ต่างหากที่โง่ยิ่งกว่า”

“ฮึก ฮือๆ”

“เพราะเขาทำให้พี่เรียนรู้จนจบและสามารถเริ่มใหม่ได้อย่างระวังตัว เขาต่างหากที่พลาด พลาดที่ปล่อยให้พี่เดินจากมา ทั้งที่พี่ชายของผมน่ะ...น่ารักขนากนี้” ผมถูกน้องชายตัวเองดึงแก้มทั้งสองข้างแล้วยิ้มกว้าง ส่วนผมได้แต่ตัวสั่นจากแรงสะอื้นมองใบหน้าของน้องด้วยความรู้สึกขอบคุณ มีแค่มันที่ทำให้ผมขนาดนี้ ทำให้ผมไม่ต้องรู้สึกแย่และโง่ลงไปมากกว่าเดิม

แม้ว่ามันจะติดตุ๊กตาติงต๊อง ชอบสีหวานแหววขนาดไหน แม้ใครๆ ต่างมองว่ามันเป็นตุ๊ด

แต่น้องชายผมในวันนี้...โคตรแมน

“พี่อยากลืม ฮึก อยากจะให้หัวใจพี่เลิกเจ็บสักทีที่ไปคิดถึงมัน” อยากหยุดรักมันให้ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำได้ในเวลาเพียงแค่วันสองวัน

“ลืมไปทำไมล่ะพี่นก จำมันให้ขึ้นใจเวลามันตกลงมาตายพี่จะได้สมน้ำหน้ามันได้อย่างสะใจ ไม่ดีกว่าเหรอ” เดี๋ยวนะ ทำไมคำพูดมันเริ่มแปลกๆ ผมเช็ดน้ำหูน้ำตาออกแล้วมองหน้ามันดีๆ อีกครั้ง ผมอดขนลุกกับรอยยิ้มของมันไม่ได้ นี่คือน้องชายบ้าๆ บอๆ ที่ชอบถือตุ๊กตาตัวเท่าควายสีชมพูจ๋าอยู่ในบ้านคนนั้นเหรอ?

“นี่แกไม่ได้คิดจะใช้พี่ไปจับมันโยนลงมาจากตึกสูง หรือพามันขึ้นเครื่องบินแล้วผลักมันตกลงมาหรือว่า...” ยังพูดไม่ทันจบไอ้แมวก็ยกมือขึ้นห้ามความคิดเลยเถิดของผม

“เดี๋ยวๆ ผมว่ามันช่างไปกันใหญ่แล้วล่ะ ผมไม่ได้คิดให้พี่ไปทำแบบนั้นเสียหน่อย” อ้าว...ก็นึกว่าใช่ พูดเสียน่าคิดเชียว

“ไม่ใช่หรอกเหรอวะ”

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ! ผมไม่ได้โง่ให้พี่ไปทำแล้วติดคุกหรอกนะ ขืนพี่ติดคุกพ่อแม่ก็แย่สิ”

“แมว...แกเป็นห่วงพี่” ผมรู้สึกซ้ำใจ มองใบหน้าของน้องชายด้วยความซาบซึ้งอย่างสุดใจ

“ที่ไหนกัน ผมแค่กลัวว่าจะต้องทำงานหนักแทนพี่ไปทั้งปีทั้งชาติต่างหาก!”

“ไอ้แมว! ไอ้เด็กบ้าตุ๊กตา!” ไอ้น้องเวร!

“ฮ่าๆ ไม่เอาน่าพี่นก อย่าไปเครียดดิ ผมก็แค่พูดไปอย่างงั้นเอง”

“ให้มันจริงเถอะ!” คงไม่ใช่ว่าปากพูดในใจคิดหรอกนะ เฮอะ! ซึ้งใจได้ไม่ถึงนาที โดนความกวนตีนของมันเบรคเสียหัวทิ่มหัวตำเลย

“ฮึบ! ผมไปนอนดีกว่า พี่เองเถอะ รีบนอนได้แล้ว” ไอ้แมวลุกขึ้นจากเตียงของผมแล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อย

“ได้ แกก็อย่านอนดึกล่ะ”

“รู้แล้วครับ”

ผมเดินมาหน้าประตูเพื่อจะได้ล็อกห้องในตอนที่ไอ้แมวออกไปแล้ว แต่กลับต้องชะงักเมื่อไอ้แมวหันกลับมาหาผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาวาววับแปลกๆ ชวนให้ไม่น่าไว้ใจสักนิด

“อะ อะไร?” สายตาไม่น่าไว้ใจ สายตาไม่น่าไว้ใจเลย

“ผู้ชายคนนั้น...”

“คนไหน?”

“คนที่มันทำพี่ร้องไห้อยู่ตอนนี้ไง” เอ๊ะ? เดี๋ยว มันรู้งั้นเหรอ

“ไอ้แมว แกพูดถึงใคร” ไม่ได้ ไม่จริงหรอก มันจะรู้ได้ไง

“หรือต้องให้ผมเรียกมันว่าแฟนพี่?” แม่ง...มันรู้จริงๆ ด้วย ผมหลบตามันกัดริมฝีปากจนแน่นระงับอาการสั่นของตัวเองเอาไว้

“แกรู้...” ไอ้แมวยักไหล่ สีหน้าคล้ายกับไม่ใช่เรื่องยากเย็น

“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ พี่พูดถึงแต่มัน อยากลืมมัน ไม่อยากเจ็บเพราะมัน มีใครที่ไหนจิกเรียกผู้หญิงที่เป็นแฟนตัวเองว่ามันวะ” ผมใบ้แดกกับความผิดพลาดของตัวเอง นี่กลายเป็นว่าผมเปิดเผยความลับให้มันรู้ด้วยปากของผมเองงั้นเหรอ เจ็บใจชะมัดเลยแบบนี้

“เอาเถอะ ผมไม่คิดจะยุ่งหรอก แต่บอกไว้ก่อน เจอเมื่อไหร่ผมซัดไม่เลี้ยงแน่!”

“อุบ ฮ่าๆ” ผมเห็นท่าทางชวนหาเรื่องของไอ้แมวแล้วมันก็อดขำไม่ได้ ตัวมันก็เท่าผม รูปร่างก็ไม่ต่างกัน จะไปต่อยตีกับไอ้ปาผมว่าคงยาก ลักษณะเลยคล้ายกับลูกแมวตัวเล็กๆ ที่ขู่ฟ่อ พองขน โก่งตัวขึ้นขู่คำรามใส่ราชสีห์ นึกภาพออกมาแบบนั้นผมเองก็หยุดขำไม่ได้ แต่เห็นสายตาที่น้องชายแสนดีของผมส่งมาให้ผมก็เอามือปิดปากไว้ทั้งๆ ที่ยังคงขำไม่หยุด แล้วพยักหน้ารับให้ว่าไม่ขำอีกแล้ว มันถึงยอมเดินกลับไปห้องนอนตัวเอง

จะว่าไปน้องผมก็น่ารักนะครับ เวลาแบบนี้ ถ้าหากผมไม่เสียใจ วันนี้ไม่ร้องไห้ ไม่รู้ว่าตัวผมเองจะมีวันได้เห็นความน่ารักจากมันแบบนี้ไหม หรือผมควรจะขอบคุณไอ้ปาดี

ไม่สิ จะไปขอบคุณมันทำไมกัน

สงสัยว่าผมควรจะเข้านอนได้แล้วสินะ จะได้เลิกคิดฟุ้งซ่านเสียที

ผมล็อกประตูเรียบร้อยก็กลับเข้ามาที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนอย่างแรงโดยไม่กลัวว่าจะเจ็บเลยสักนิดเดียว ในตอนนี้ไม่มีที่จะทำให้ผมเจ็บได้เท่ากับอาการตกค้างในหัวใจอีกแล้ว ตราบเท่าที่ผมยังไม่สามารถลบความเจ็บปวดที่มีอยู่ในหัวใจให้ออกไปได้จนหมด ความเจ็บไหนๆ ผมก็ไม่เคยนึกกลัว

ผมหยิบเอามือถือออกมาจากกระเป๋า มองแสงจอที่สว่างจนเห็นรูปคู่ที่ถูกตั้งเอาไว้เป็นภาพหน้าจอ รูปที่ผมกับมันถ่ายเอาไว้ก่อนที่เราจะหยุดความสัมพันธ์ลงไป ผมอดไล่ปลายนิ้วลงไปบนรูปหน้าของไอ้ปาไม่ได้ อดใจหายกับสายตาที่อยู่ในรูปตอนนี้ไม่ได้เลยสักนิด

แปลกนะ ทั้งที่เรารู้ดีว่าสิ่งไหนที่ทำให้เราเจ็บมากขึ้น หรือสิ่งไหนที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากมันได้ แต่คนเราก็มักจะเลือกทำในสิ่งที่เจ็บ อย่างผมเอง...ทั้งๆ ที่ผมเองก็รู้ว่าการที่ผมเอาโทรศัพท์ออกมาจะต้องเห็นรูปของเรา แต่ผมก็ทำ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวผมรับมันไม่ไหว ทั้งๆ ที่ผมรู้ดีว่าตัวเองจะต้องเสียน้ำตาอีก แต่ผมก็ยังอยากจะเห็นหน้ามัน ผมไม่สามารถ...หยุดรักมันได้จริงๆ

ไอ้ปาเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่สามารถทำให้ผมรักมันได้ขนาดนี้ และเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ผมเจ็บได้ขนาดนี้เช่นกัน ตัวของมันเองก็คงไม่รู้หรอกว่าผมเจ็บมากแค่ไหน คิดถึงมันมากเท่าไหร่ ต้องทนทรมานกับความรักที่มันเอามาเล่นกับผม เอามาทำให้ผมกลายเป็นคนที่อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน

มันเก่งจริงๆ ทั้งที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะรู้สึกกับใครได้มากมายขนาดนี้

เก่งเหลือเกินที่ทำให้ผมรู้สึกทรมานจนเหมือนคนใกล้ตายได้

ไอ้ปา...มึงแม่งเก่งจริงๆ วะ เก่งมากจนกูทนแทบไม่ไหวแล้ว

การที่มันทำให้ผมตกลงรับรักกับมันได้ ทำให้ผมยอมรับในตัวมันและเริ่มก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งได้ มันไม่ง่ายเลย ผมเป็นคนที่ฝังใจ เป็นคนที่โดยปกติผมจะหวาดกลัวถ้าหากคนคนนั้นเคยทำให้ผมเจ็บมาก่อน ผมจะดึงตัวเองออกมาห่างๆ ไม่ยอมเข้าไปใกล้อย่างที่ผมไว้ใจมัน ไม่เคยเลยสักครั้ง ผมจึงได้เจ็บมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เพราะผมเป็นคนเลือกเองว่าจะเชื่อใจ แล้วผลสุดท้ายก็กลายเป็นผมเองที่เจ็บซ้ำๆ ไม่เคยคิดจะจำ

ใช่สินะ ผมไม่ได้โง่เสียหน่อย

“ฮึก...กูไม่ใช่คนโง่ ไอ้นกคนนี้ ฮือ ไม่ใช่คนโง่”

ผมไม่ใช่ และไม่มีวันใช่

“มึง ฮึก ต่างหาก ฮือๆ ที่โง่ มึงมันโง่ไอ้ปา”

ผมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ไปเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกกลั่นกรองออกมาเป็นหยาดน้ำตา ดีกว่ากลายเป็นแผลกัดกินหัวใจของผมจนไม่เหลือชิ้นดี เสียงของไอ้แมวดังอยู่ในหัวของผมตลอด ราวกับเป็นสิ่งที่กำลังปลอบประโลมผมไม่ให้เจ็บไปมากกว่านี้ หัวใจของผมเหมือนถูกมือบอบบางที่มองไม่เห็นค่อยๆ ประคองเศษเสี้ยวที่แตกละเอียดขึ้นมาช้าๆ ค่อยๆ เป่าความเจ็บปวดให้ผมแล้วถามผมว่า

เจ็บมากไหม ไม่เป็นไรนะ

ทั้งๆ ที่มันคือความเจ็บปวด ทั้งๆ ที่เพียงแค่มองภาพรอยยิ้มของเราสองคนที่หน้าจอมันก็ยิ่งทำให้ผมเจ็บ แต่ผมกลับรู้สึกว่า มันก็แค่ความรู้สึกเท่านั้นที่เจ็บปวด เป็นการสั่งการของหัวใจที่ส่งไปยังสมองให้ผมต้องทรมานกับความเจ็บนี้ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ผมไม่ได้มีบาดแผลใดๆ เลย

แล้วผมจะเจ็บขนาดนั้นได้ยังไงกัน

มันก็แค่ความเจ็บปวดที่ไม่มีตัวตน ไม่มีบาดแผลเป็นเครื่องยืนยัน

มันคงไม่น่าจะนานเท่าไหร่...ที่ผมจะได้หายดี















ผ่านไปไม่นานผมก็อยู่ที่นี่มาเกือบจะเดือนหนึ่งแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นานเท่าไหร่ เหมือนมันเพิ่งจะผ่านมาสองสามวันเท่านั้น นี่ก็เท่ากับว่าผมกับไอ้ปาไม่ได้ติดต่อกันมาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้วสินะ มิน่าล่ะ ผมถึงได้หน่วงๆ ในหัวใจแปลกๆ เพราะเหมือนกับว่าตัวผมไม่มีความสำคัญกับมันมากพอที่มันจะหาวิธีติดต่อผมนี่เอง แต่ถึงอย่างไรผมเองก็ไม่ได้อยากให้มันติดต่อมาอยู่แล้ว

ใช่สิ ผมไม่ได้ต้องการให้มันติดต่อผมมาเสียหน่อย

ไม่ได้ต้องการเลยสักนิด

ผมถอนหายใจ การทะเลาะกับตัวเองมันดูบ้าบอคอแตกจนอดคิดไม่ได้ว่าหรือทุกวันนี้ผมจะเสียใจเพราะมันจนกำลังจะเป็นบ้าไปแล้ว

“เฮ้อ...” รอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า

“เฮ้ออ...” ผมควรถอนหายใจต่อไป

ทำไงได้ล่ะครับก็อารมณ์ผมมันไม่ได้อยู่ในช่วงที่ปกตินี่นา ตอนนี้ถึงได้มานั่งถอนหายใจเป็นบ้าเป็นหลังอยู่แบบนี้ไงล่ะ ใครจะปลอบผมด้วยคำพูดสวยหรูแค่ไหนมันก็ใช้ได้เพียงแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้นล่ะ หลังจากนั้นมันก็ไม่ต่างกับสายลมที่พัดผ่านไปมาไม่มีตัวตน ไม่ได้ซึมซับเข้าไปในหัวใจสักนิด อาการของผมในตอนนี้ถ้าจะเรียกสวยหรูก็คือไข้ใจ

เรียกแบบบ้านๆ ก็คือ คิดถึงจนแทบบ้า เพราะไม่ได้พบไม่ได้เจอถึงได้เหงาหงอยเป็นแมวถูกทิ้งอยู่แบบนี้

อา ไม่ได้สิ ยังไงๆ แมวมันก็น้องผม ทิ้งไม่ได้หรอก (แม้ว่าจะอยากก็ตามที)

“พี่นกเป็นอะไรวะเชี่ยแมว?”

เสียงใคร ใครถาม??

“เป็นบ้า มึงไม่ต้องไปสนใจหรอก เดี๋ยวพี่นกมันเลิกบ้ามันก็หายเอง”

อ๋อ เสียงเพื่อนน้องผมนี่เอง

“เฮ้อออ...” ผมก็ยังคงทอดถอนใจต่อไปอย่างไม่แคร์สื่อ ในสายตาของไอ้พวกเด็กน้อยทั้งหลายนั่นจะมองยังไงก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมทำได้แค่ถอนหายใจนี่จะทำไงได้ คงต้องถอนหายใจต่อไปเผื่อว่าบางทีมันอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็ได้

“กูว่าพี่มึงอาการหนักแล้วนะ ไม่พาไปหาหมอวะ” ไอ้แมวปรายตามาหาผม ก่อนจะทำสีหน้าเซ็งจิตสุดๆ

“หมอที่ไหนก็ช่วยไม่ได้หรอก ถ้าไม่ใช่ไอ้หมอนั่น” คำสุดท้ายไอ้แมวมันพูดเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน

“หือ? มึงว่าอะไรนั่นๆ นะ?” แต่เพื่อนมันเสือกหูดี ได้ยินทีก็ไม่เต็มประโยค

“เปล่าๆ เอ้า ทำๆ อย่าหยุดมือสิวะ จะรอให้อาจารย์มาแดกหัวตอนงานไม่เสร็จเหรอ” ผมรู้น้องกำลังเหนื่อย กำลังเร่งปั่นงาน แต่ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปช่วยใครเลยตอนนี้ ถ้าให้ไปช่วยคงไม่แคล้วทำงานมันพัง ไม่ก็ไปเป็นภาระให้มันทำงานหนักกว่าเดิมแน่ๆ

“ห่า...กูเครียดกับงานแล้วยังต้องมานั่งเครียดกับพี่ตัวเองอีก ชีวิตไอ้แมวจะมีเรื่องดีๆ บ้างไหมวะ”

“มีพี่เป็นพี่นี่ไงเรื่องดีๆ ของแก”

มันอดไม่ได้จริงๆ ครับ ว่าจะนั่งถอนหายใจต่ออยู่หรอก แต่ดูมันพูดสิ ไอ้แมวเบ้ปาก กลอกตาไปมาราวกับว่าสิ่งที่ผมพูดมันไม่จริงเลย

มันออกจะจริง ใครที่ไหนจะมีพี่ชายแสนดีอย่างผม ไม่มีหรอกนะ หาไม่ได้อีกแล้ว

“มีพี่เป็นพี่นี่สิถึงจะเรียกว่าเรื่องซวยๆ” ผมฉุนมาก ฉุนสุดๆ จนต้องลุกขึ้นยืน

“ซวยตรงไหน หา!! พูดดีๆ นะไอ้แมว” พูดไม่ดีโดดตีปากแน่ๆ งานนี้รับรองว่ามีเจ็บ!

“จะเอาตรงไหนดีล่ะ แทนที่เป็นพี่เขาจะปลอบน้อง ช่วยน้อง นี่อะไร อกหักมาทีผมต้องเป็นคนปลอบ เฮอะ!” พวกเพื่อนมันตาโตแทบจะถลนออกมา แล้วหันมามองหน้าผมสลับกับไอ้แมวอย่างสงสัย

อย่าสงสัยมาก ไม่ใช่เรื่องของพวกเอ็งเลยสักคน ทีเรื่องของคนอื่นนี่หูผึ่งกันเหลือเกินนะ

“ใครอกหักวะ ไม่มีเสียหน่อย!” ผมเชิดหน้าหนีไม่สนใจสายตาทั้งหลายแหล่ของเพื่อนมัน ไม่อยากจะต้องยอมจำนนแม้จะจนด้วยหลักฐานก็ตามที ผมยังคงตีเนียนว่าเป็นคนปกติ ดีๆ ชิวๆ ไม่ได้อกหักอะไรกับใครเขา

“เหรออออ ไอ้คนที่มันร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังอยู่วันก่อนนี่ใครวะพี่นก ใครวะ” กูนี่ล่ะ จะใครอีก แต่ให้ยอมรับเหรอ? ไม่ล่ะ ไม่ใช่ผมหรอก

“จะไปรู้แกเรอะ แกอาจจะไปฟันสาวที่ไหนแล้วเขามาร้องไห้ก็ได้ ใครจะไปรู้”

โยนความผิดให้น้องคืองานถนัดของผมเอง

เป็นไง ผมหล่อไหมล่ะ

“เฮ้อ...ไอ้เพี้ยน! พี่เพียวยังอยู่ที่บ้านไหมวะ” ไอ้แมวมันหันไปถามตะเพียน เพื่อนของมันถึงพี่สาวที่บ้าน

“ก็ยังอยู่ ทำไมวะ?”

“กูจะเอาพี่ชายไปบริจาก เผื่อพี่มึงอยากแดกนกขึ้นมา” อะ ไอ้น้องเวรตะไล นี่มันจะเอาผมไปให้คนอื่นทอดกรอบราดน้ำจิ้มชุ่มๆ กินเหรอ ชั่วช้าที่สุดดดดดดดด

“เดี๋ยวนะไอ้แมว พี่กูเป็นมัง ไม่แดกเนื้อสัตว์ อย่าว่าแต่นกเลย มดพี่กูก็ไม่แดก” เดี๋ยวนะน้องเพียน สีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ปานนั้น นี่พี่เคยไปขี้บนหลังคาบ้านน้องเหรอครับ

กูเริ่มงงแล้วว่านี่เพื่อนน้องชายหรือศัตรูแต่ชาติปางก่อน

“งั้นพี่มึงล่ะไอ้พาบ”

“พี่กุ้งของกูเป้นสัตว์น้ำ แดกเฉพาะพวกหน้าตาน่าฟัดวะ” ตะพาบหันมามองหน้าผมแล้วก็ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าราวกับจะบอกว่าไม่ไหวหรอก

ความหมายของน้องคือพี่หน้าเหี้ยสินะ

“พี่นก! พี่ควรจะสำรวจตัวเองได้แล้วนะว่าตอนนี้พี่เป็นยังไง พี่คิดดูนะว่าเพื่อนผมทุกคนแม่งไม่มีใครอยากเอาพี่กลับบ้านสักคนเลย นี่ถ้าผมยกพี่ให้พวกมันไปไม่แน่ว่ามันคงเอาพี่ไปโยนทิ้งเป็นก้อนขี้หมาอยู่หน้าปากซอยก็ได้!!”

เพื่อนมันด่ายังไม่รู้สึกเท่าไหร่ ทำไมคำพูดน้องผมที่พูดมารู้สึกรับไม่ได้ยังไงไม่รู้ รู้สึกเหมือนถูกจับตีหัวแต่ไม่สลบแล้วพาไปฝังดินทั้งที่ยังตื่นอยู่ ผมควรจะรู้สึกยังไงครับ เพราะความรู้สึกของผมตอนนี้ มันเลยคำว่าจุกไปไกลแล้ว ไกลขนาดที่ว่านั่งเครื่องบินหารอบโลกแม่งก็หาไม่เจอหรอก

” ก่อนหน้านั้นก็ขอถามมึงหน่อย พวกมึงมีชื่อกลุ่มกันไหม?” พวกมันสามคนหันไปมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ตอนแรกคุยๆ กันอยู่ก็เรื่องผมอยู่หรอก แต่ผมดันพาเบี่ยงประเด็นไปทางเรื่องชื่อกลุ่มพวกมันเสียย่างนั้น

จริงๆ ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่เห็นชื่อพวกมันแต่ละคนแล้วเกิดความคิดชั่วๆ เอ๊ย หมายถึงชั่ววูบขึ้นมาเท่านั้น

“ไม่มีหรอก มีไปทำไมวะพี่นก นี่พวกผมไม่ใช่เด็กสามขวบที่คิดชื่อแก๊งไปตีกับเด็กข้างบ้านนะเว้ย” ไอ้แมวมองผมด้วยสายตาประหลาด ประมาณว่ากูโตแล้วนะ ทำไมถามอะไรปัญญาอ่อนออกมาไม่อายหนังหน้าตัวเองบ้าง

เดี๋ยวสิ ทำไมผมแปลภาษาจากสายตาของมันออกมาแล้วเจ็บแบบนี้ล่ะ ถ้าจะขนาดนี้ ด่ามาตรงๆ เถอะ กูยังเจ็บน้อยกว่ามานั่งแปลเองเลย

“พวกแกก็ควรมีไหมล่ะ ชื่อกลุ่มมันออกจะเท่นะ ไม่อยากมีบ้างเหรอ” พวกมันสามคนพร้อมใจกันส่ายหน้ามาก ไม่คิดจะฟังสักนิดว่าผมคิดชื่ออะไรไว้ให้

“ไม่ล่ะ ขอบคุณมาก แต่พี่เก็บเอาไว้ตั้งกลุ่มพี่เถอะวะ” พูดแบบนี้คิ้วผมก็กระตุกยิกๆ เผลอนึกถึงพี่หนูกับพี่อาร์ตไปเสียได้ แต่ก็ใช่ว่าผมจะมาโดยไม่ล่ำลาเสียหน่อยนี่เนอะ ยังไงก็จากกันด้วยคำลาไปแล้ว คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง พี่หนูกับพี่อาร์ตคงไม่โกรธหรอก ฮะๆ

“สักนิด...พี่อุตส่าห์คิดให้แล้ว” สักนิดเถอะ อย่าให้ชื่อกูต้องเป็นหม้ายคันปากเลยนะ

“ไม่เอา! พี่แม่งไว้ใจได้ที่ไหน ดูแต่ละชื่อที่พี่คิดให้ไอ้พวกลูกแมวที่โรงเรียนตอนเป็นเด็กดิวะ” ทำไมวะ ผมลองนึกๆ แล้วมันก็ไม่ได้แย่นะ

“พวกมันก็ออกจะชอบใจมากนี่” ไอ้แมวกลอกตาไปมา แล้วย้อนความทรงจำให้ผม

“ชอบดิพี่นก ชอบฉิบหายเลย วันต่อมาแม่งเลยกระโดดให้รถชนตายห่ายกคอกเลยไง”

“...”

“...”

เออวะ...มีเรื่องแบบนั้นด้วยนี่เนอะ ตอนนั้นจำได้ว่าหลังจากที่ผมตั้งชื่อให้พวกมัน วันต่อมาก็ได้ยินว่ามันพร้อมใจกันกระโดดให้รถชนตายยกคอก ผมยังเสียใจไม่หาย เลยอดเรียกชื่อที่แสนไพเราะของพวกมันเลย

“เดี๋ยวนะ พี่นกพี่ตั้งชื่อพวกมันว่าอะไรกันแน่วะ” ไอ้ตะเพียนมีสีหน้าหวาดๆ แต่ก็ยังอยากรู้ ซึ่งผมบอกได้เลยว่า...

“ลืมไปแล้วล่ะ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ นึกไม่ออก” ผมลืมไปจริงๆ นะ ไม่ได้โกหก มันเหมือนติดอยู่ที่ปากแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้

“เดี๋ยวกูบอกเอง พี่นกมันตั้งว่า ไอ้ลูกเหม็น ลูกเห็บ ไอ้ฉี่หมา ตัวสุดท้ายนี่คือเหม็นหึ่ง”

“...”

“...”

ทำไมเงียบกริบ ชื่อก็ออกจะดูดีนะ ไม่ได้แย่อะไรถึงขนาดต้องมากระโดดให้รถชนตายเสียหน่อย

“กูเข้าใจล่ะ...” พาบมันถอนหายใจแล้วพยักหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง

“เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมกูไม่อยากได้ชื่อจากพี่นก” ชื่อออกจะดี

“เออ...ถ้าเป็นกูยอมตายตั้งแต่พี่มึงตั้งล่ะ ไม่รอให้เช้าหรอก ชื่อแม่งโคตรเหี้ย!” ไอ้แมวกับไอ้เพียนทำสีหน้าปลงตก เห็นพวกมันแล้วผมก็หมั่นไส้ไม่ได้ ชื่อของผมออกจะดูดี พวกมันหูไม่ถึงไงถึงไม่เข้าใจความคลาสสิกของชื่อพวกนี้

เฮอะ! ไอ้น้องทรยศ

เชิญพวกมึงนั่งเป็นแก๊งสัตว์โลกผู้น่ารักต่อไปเถอะโว้ย!





TBC



โถๆๆ วงวารน้องนกเหลือเกินลูก คนพวกนั้นจิตใจทำด้วยอะไรถึงมาว่าน้องนกของแม่แบบนี้ แต่เอ่อ ลูกคะ แม่ว่าชื่อมันก็แปลกไปนิดนึงนะคะลูก ดึงดราม่ามากไปไม่ได้ ต้องแทรกไปด้วยเสียงหัวเราะ เอาแบบร้ำไห้พร้อมกับหัวเราะไปเลย!! (คนบ้าอะไร) รักนก หลงนก เพี้ยงๆๆ

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่13.นกกลับรัง 100% up. 29/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 29-12-2019 19:14:11
น้องนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่13.นกกลับรัง 100% up. 29/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-12-2019 20:13:45
นกเอ๋ย จงนกต่อไปเถอะ ขนาดเพื่อนๆน้อง ยังส่ายหน้ากันทุกคนเลย
 :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่14.นกกับชายที่ฯ 50% up. 04/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 04-01-2020 15:12:15
[14]

ตอนที่ 14.

 นกกับชายที่อยู่ข้างบ้าน 

หลังจากที่อารมณ์เสียกับน้องชายตัวดีและพวกเพื่อนๆ ของมันไปแล้วหลายนาที ผมก็กลับมานั่งอยู่จุดเดิม มุมเดิมแล้วเหม่อลอยอีกครั้ง แปลกที่ผมควรจะเลิกปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับเรื่องในอดีต ควรจะทำให้ตัวเองไม่ว่างพอจะต้องมานั่งนึกย้อนเรื่องอะไรก็ตามที่มันบั่นทอนจิตใจ แต่หัวใจคนเรามันบังคับยากเหลือเกิน เพราะเพียงแค่ครู่เดียว เรื่องราวของผมกับไอ้ปาก็ย้อนกลับเข้ามาฉายใหม่ซ้ำๆ ทั้งสุข ทุกข์และเศร้า มันเวียนวนกลับมาไม่จบไม่สิ้นจริงๆ

พ่อเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับของสดมากมาย มันนานมากแล้วที่ผมไม่ได้เห็นพ่อซื้อของสดเข้ามาในบ้านแบบนี้ มันเป็นเพราะผมเองที่ไปทำงานไกลบ้าน แม้จะคิดถึงแต่ก็กลับมาไม่ได้ แต่วันนี้พ่อเดินถือของสดมากมายเข้ามา ใบหน้าแสดงออกถึงความใจดีที่ผมไม่ค่อยได้เห็น เพราะส่วนใหญ่พ่อของผมจะตีหน้าเข้ม ดึงอารมณ์ให้ดุเข้าไว้ก่อนเสียมากกว่า ครั้งนี้คงมีเรื่องอะไรพิเศษเกิดขึ้นแน่ๆ

เอ๊ะ! หรือแม่กำลังจะกลับจากบ้านคุณยาย

หรือเจ้าแมวมันได้A+

หรือว่าพ่อผมถูกหวยแล้วกลายเป็นเศรษฐี

ไม่ได้! ถ้าพ่อผมถูกหวยอย่างน้อยมันต้องมีส่วนแบ่ง แต่ตอนนี้ต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าพ่อผมเป็นอะไร

“พ่อ ซื้ออะไรมาเยอะแยะขนาดนั้น จะเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านเหรอ บ้านเรามีกันแค่สามคนเองนะ” ผมหรี่ตามองการกระทำของพ่อผม ที่ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“ใครบอกว่าข้าจะทำให้เอ็งกบไอ้แมวกินกันวะ” อ้าว...แบบนี้ยิ่งน่าสงสัย

หรือพ่อจะถูกหวยจริงๆ โอ้ไม่นะ นี่ผมกำลังจะรวยเหรอ!

“พ่อ! พ่อรีบบอกมาเลย มาบอกเลยนะว่าพ่อถูกหวยใช่ไหม!!” พ่อผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่ผมถามก่อนจะได้สติจึงถลึงตาใส่ผมแทน

ผมพูดอะไรผิด หรือผมจะออกนอกหน้ามากเกินไป?

งั้นเอาใหม่...

“พ่อจ๋า พ่อคนดี๊คนดี สามีสุดหล่อของแม่ บอกนกสิครับว่าพ่อถูกหวยรางวัลไหน นะๆ เดี๋ยวนกบีบนวดให้” แต่พ่อกลับทำท่าทางรังเกียจใส่ผม ประหนึ่งว่าผมคือก้อนขี้ที่ติดรองเท้ามา

นี่ลูกไง พ่อจะมารังเกียจผมแบบนี้ไม่ได้!!

“ถูกรางวัลบ้านเอ็งสิ ถ้าข้าถูกรางวัลจริง เอ็งคงไม่เห็นข้าเดินเข้าบ้านมาแบบนี้หรอก ข้าหอบเสื้อผ้าพาแม่เอ็งหนีไปนานแล้ว” ใช่เหรอพ่อ ไอ้สองหน่อนี่ก็ลูกไหมครับ หอบเมียหนีเขาใช่กับเหตุการณ์ที่พ่อตาไม่ยอมให้แต่งงานไม่ใช่เอามาใช้กับลูก

ทำไมผมปวดหัวกับพ่อผมที่เริ่มอาการติดเมียและหวงเมียหนักขึ้นทุกๆ วันล่ะครับ

ผมควรเครียดเรื่องอื่นบ้างนะ ไม่ควรจะมารับรู้เรื่องรักๆ ของพ่อกับแม่

“แล้วนี่ตกลงว่าพ่อเอาของพวกนี้มาทำอาหารเลี้ยงใคร?” ก่อนที่จะรู้สึกว่าอาหารที่กินไปเมื่อตอนเที่ยงเริ่มเป็นพิษผมจึงต้องทำภารกิจ สืบเสาะ (เสือก) เรื่องของพ่อต่อไป

พ่อผมถอนหายใจมองผมที่ตั้งหน้าตั้งตาสืบสาว (เสือก) อย่างไม่ลดละ แถมมองตาใสด้วยอาการตื่นเต้นประหนึ่งว่านี่คือเหตุการณ์ที่ไม่สามารถพลาดไปได้ เพราะถ้าหากพลาดมันไปผมอาจจะตายได้

ทำไมช่วงนี้แปลสายตาใครรู้สึกเหมือนโดนด่าแรงๆ ทุกทีเลย

นกไม่เข้าใจ นกทำอะไรผิด กระซิกๆ

“ว่าไงล่ะพ่อ สรุปซื้อมาเลี้ยงใคร” ถึงแม้จะโดนด่า ผมก็ยังไม่หยุดความอยากรู้ ยังคง...ต่อไป

“คนข้างบ้าน” อันนี้คือคำตอบที่พ่อกวนตี- ไม่ๆ ผมหมายถึงพ่อแกล้งผมหรือเปล่าต่างหาก อ่านผิดแล้ว อ่านใหม่ๆ

“เอาจริงๆ ดิพ่อ เลี้ยงใคร”

“ก็ข้าบอกเอ็งอยู่นี่ไงว่าเลี้ยงคนข้างบ้าน!”

เดี๋ยวสิ...ไม่ใช่ว่าข้างบ้านผมมันไม่มีคนอยู่หรอกเหรอ ผมจำความได้ไอ้บ้านที่ว่านั่นเขาก็ย้ายเข้ากรุงเทพฯ ไปกันหมด แม้ว่าจะไม่ได้ทิ้งให้มันร้างแต่ผมก็ไม่เห็นแม้แต่หมาสักตัวที่เดินข้าออกบ้านหลังนั้นเลยนะ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะมีแมวหลงเข้าไปแต่นั่นก็ไม่ได้นับว่าเป็นเจ้าของบ้านไหมล่ะ

ระ หรือว่า ว่าผมจะเอาไปเลี้ยงผี!

“ละ ล้อเล่นแล้วพ่อ ข้างบ้านเรามีคะ คนอยู่ที่ไหนเล่า!” พ่อต้องแกล้งผมเล่นแน่ๆ ก็รู้อยู่ว่าผมกลัวผี

พูดถึงผีก็นึกถึงครั้งนั้นขึ้นมาได้ เพราะผีนี่ล่ะที่ทำให้ผมเกือบจะตกลงมาจากคอนโดไอ้ปาตายห่าแล้ว ดีหน่อยที่แหกปากลืมตาตื่นขึ้นมาทัน ถ้าเกิดว่าตอนนั้นผมยังหลับต่อไปก็ไม่รู้ว่าร่างผมจะเละขนาดไหน ต้องเป็นผีที่นกเรื่องความรักไม่พอยังหิวโหยเพราะกินไม่อิ่มอีก น่าอนาถเหลือเกินชีวิตนกๆ ฮือๆ

“มีสิวะ ก็ข้ายังไปยืนคุยกับมันอยู่เลย!” แง! แม่จ๋า พ่อคุยกับผี

“นกจะฟ้องแม่ นกจะฟ้องแม่ว่าพ่อโกหก เอาเรื่องผีมาหลอกนกกกกกก” ตอนนี้ผมกลายร่างเป็นเด็กสามขวบแล้ว เรื่องผีอย่าเอาความเข้มแข็งเข้าสู้ จงทำตัวให้ดูน่าสงสารแล้วคุณจะชนะ! ขึ้นชื่อว่าแม่ มักศักดิ์สิทธิ์เสมอกับคนเป็นพ่อ

โป๊ก!

แต่ไม่ได้คิดว่าจะมาในรูปแบบขันใบใหญ่ที่บินเข้ามาโดนหัวผมแบบนี้โว้ย!!

“ผีพ่- เปลี่ยนใหม่ ผีม่ะ- ไม่ได้ๆ นั่นก็เมียข้าอีก”

เอ่อ พ่อไปตกลงกับตัวเองก่อนไหมว่าจะด่าคำไหนกันแน่ ฟังแล้วผมปวดหัวแทนยังไงไม่รู้ จะด่าพ่อก็เหมือนเข้าตัวเอง จะด่าแม่ก็ห่วงเมีย แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ไม่ต้องโดนด่า ดีเสียอีก ไม่ต้องด่าเลยผมยิ่งชอบ

“ช่างเถอะๆ ข้าไม่อยากจะด่าเอ็งแล้ว สรุปง่ายๆ ก็คือไอ้หนุ่มข้างบ้านมันเพิ่งจะซื้อบ้านต่อมาจากเจ้าของคนเก่า ชื่ออะไรก็ไม่รู้ข้าลืมไปแล้ว เมื่อกี้ยืนคุยกันข้าก็เห็นว่ามันอัธยาศัยดี ข้าเลยว่าจะทำกับข้าวแล้วให้เอ็งเอาไปให้มันเสียหน่อย ถือเสียว่าต้อนรับเพื่อนบ้านใหม่” ทีกับลูกล่ะไม่เคยได้กินของดี กับคนย้ายมาอยู่ใหม่ที่พ่อไม่ได้รู้จักนี่แทบจะเอาของดีๆ ใส่พานให้มันกิน

เฮอะ! น่าโมโหชะมัด

“แล้วผมกับไอ้แมวล่ะ จะได้กินไหม” พ่อไม่สนใจผมอีกนับตั้งแต่นั้น หันไปสนใจการจัดของเข้าตู้เย็นแทนเสียอย่างนั้น

“รอเหลือจากให้ไอ้หนุ่มข้างบ้านก่อน พวกเอ็งค่อยกิน ถ้าไม่เหลือก็ไม่ต้องกิน ไปหากินเอาข้างนอก!”

“พ่อ! นี่ผมลูกพ่อนะ!” นี่คือพ่อผมเหรอ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงผมกับไอ้แมวเป็นลูกชายพ่อหรือไอ้ข้างบ้านกันแน่! ผมกลับมาจากกรุงเทพฯ เคยได้กินของดีๆ ที่ไหน ไม่มีหรอก!

แต่ไอ้หมอนั่น! มันเป็นใครกัน! จู่ๆ จะมาแย่งความรักจากพ่อบังเกิดเกล้าของผมได้ยังไงกัน! ผมไม่ยอมหรอก!

ไม่ยอม!!

“ก็ใช่ไง! เพราะพวกเอ็งสองคนเป็นลูกข้าไงล่ะ ข้าถึงบอกให้ไปกินข้างนอก หัดเสียสละบ้างสิวะ!” เสียสละมาทั้งชีวิตแล้วนะเนี่ย พวกผมสองคนแทบจะไม่เคยได้แตะหรอก ของดีของพ่อ นึกแล้วก็น้อยใจชะมัดเลย ไอ้บ้านั่นมันเป็นใครกัน! ใหญ่มาจากไหนถึงทำให้พ่อผมมองมันเป็นคนสำคัญได้

คอยดูเถอะ! ตอนเอาอาหารไปให้ ผมจะด่าให้เสียหมาเลยคอยดู!!

“พี่นก…เป็นอะไรพี่ ทำหน้าตาเหมือนอยากจะฆ่าใครแบบนั้นทำไมกัน?” ผมหันไปมองไอ้แมวที่กำลังถอดรองเท้าจากการไปส่งไอ้เพื่อนสองตัวของมันกลับบ้านมา สีหน้าสบายอกสบายใจนี่คือยังไม่รู้เรื่องรู้ราวสินะ ดีๆ เดี๋ยวรู้แล้วหน้าตาผมกับมันก็คงไม่ต่างกันหรอก

“แกเห็นหน้าไอ้คนข้างบ้านหรือยังวะ?” ไอ้แมวสะดุ้งโหยงก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตากดดัน

“อย่ามาพูดเล่นนะ! พี่ก็รู้ว่าผมกลัวผี!” กูก็กลัวไหมวะ!

“ไม่ใช่ผี! คนนี่ล่ะ!” หน้าตาไอ้แมวคือต่อมความเสือกเหมือนไปขึ้นอยู่บนหน้ามันเลยครับตอนนี้ หนักกว่าตอนที่ผมสืบสาวราวเรื่อง (เสือก) จากพ่ออีก

“เฮ้ยพี่ มีคนย้ายมาจริงดิ หล่อไหมๆ หรือเป็นสาวสวย โอ๊ย อยากเห็นจัง~” ไอ้น้องเวร!

“อยากเห็นเหรอวะ?” ไอ้แมวพยักหน้าอย่างแรงไม่กลัวว่าเหาบนหัวจะหล่นลงมาสักนิด

“อยากดิๆ พี่มีวิธีเหรอ?” วิธีน่ะง่ายมากเลยล่ะนะไอ้น้อง

“เดี๋ยวพ่อทำอาหารเสร็จแกก็ยกไปให้บ้านนั้นสิ ได้เห็นแน่ๆ” กำลังขี้เกียจพอดี กลัวว่าเห็นหน้าแล้วอยากจะฆ่าคนเปล่าๆ

“ผมสั่งให้ผมเอาไปให้เหรอพี่นก” ผมส่ายหน้าทำหน้าตาเหม็นเบื่อสุดๆ

“เปล่า…ใช้พี่เอง”

“อ้าว! แบบนี้พี่จะมาใช้ผมทำได้ยังไงกัน! ผมไม่ไปหรอก! ไม่อยากเห็นหน้าแล้ว ฮึ!” น้องชายผมมันกอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างงอนๆ ซึ่งคงไม่ได้งอนผมหรอกคนับ คิดว่าคงเป็นเพราะพ่อให้ความสำคัญกันคนข้างบ้านมากเกินไปประหนึ่งว่านั่นคือลูกในไส้แท้ๆ แต่พวกผมนี่คือเก็บมาเลี้ยง

พอนึกๆ ดูแล้วก็น่าสงสัยเหมือนกันนะครับ หรือพ่อผมจะไปไข่ทิ้งไว้จริงๆ

“ก็พี่เห็นแกบอกว่าอยากจะไปเจอ พี่ถึงได้เปิดทางให้ไปดูหน้าหมอนั่นง่ายๆ ไง” ผมผิดตรงไหน ดูสิว่าผมออกจะเป็นคนดี แต่ไอ้แมวกลับทำหน้าตาราวกับว่าผมสำรอกเอาสิ่งน่ารังเกียจออกมาจากปาก เดี๋ยวสิ ทำไมช่วงนี้คนชอบด่าผมเจ็บๆ ทางสายตา รู้ไหมว่าคนแปลมันเจ็บปวดนะ!

“ไม่ไปหรอก อย่านึกว่าผมไม่รู้นะว่าพี่แค่ขี้เกียจจะเดินไป”

ทำไมรู้ทัน…

“ใคร๊! มีที่ไหน ไม่มีหรอก! แค่ข้างบ้านเองพี่จะขี้เกียจไปได้ยังไงเล่า!” ทำไมหน้าตาดูไม่มีความเชื่อในตัวผมสักนิดเลยล่ะ สักนิดเถอะนะ นี่พี่ชายไง ไม่ใช่คนอื่น!

“เฮอะ! ผมเชื่อพี่เขาผมก็งอกออกมาจากหัวแล้วล่ะ” ผมเลยยิ้มแล้วจับหัวของมันมาดู

“ไหน! ดูสิมีงอกหรือยัง” ไอ้แมวมันขึงหน้าขึงตาใส่ แถมยังสะบัดตัวออกจากผมอย่างรุนแรงด้วย

“พี่นก! พี่แม่งนิสัยไม่ดี! ขอให้ไอ้ผู้ชายข้างบ้านมันลากพี่ไปทำเมีย!”

“อ้าว ไอ้น้องเวร” ทำไมมันปากหมาแบบนี้วะ ใครสอนให้มันพูดจากับพี่อย่างผมแบบนี้! ถึงผมจะชอบผู้ชายแต่ไม่ได้หมายความว่าผมง่ายนะ

พออ้าปากจะด่ามันเพิ่มเติม ไอ้แมวก็วิ่งหนีขึ้นห้องปิดประตูเสียงดังโครมครามจนผมแทบสะดุ้ง นี่ตกลงแล้วผมต้องเดินเอาอาหารแสนน่ากินแต่กินไม่ได้ไปให้ผู้ชายที่พ่อผมเห็นว่าดีกว่าลูกชายงั้นเหรอ! ผมทำใจไม่ได้ ไม่อยากไปเลย ไม่อยากไปสักนิด กลัวว่าเห็นหน้าแล้วจะยิ่งพานเกลียดเสียเปล่าๆ แย่งข้าวที่แสนหาได้ยากจากพ่อผมไม่พอ ยังมาแย่งตำแหน่งสำคัญอย่างลูกชายสุดที่รักไปอีก! ฮึ่มมมมม มันเป็นใครมาจากไหนวะ!!!

“ไอ้นก! ไอ้นกโว้ย!” ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรมากมายไปกว่านั้น เสียงของพ่อผมก็ดังออกมาจากทางด้านในห้องครัว ผมจึงได้ตะเบ็งเสียงตอบกลับไปเช่นกัน

“คร้าบบบบบ”

“เข้ามานี่มา” ผมได้แต่พ่นลมหายใจออกจากปากตัวเอง เป่าผมที่ปรกหน้าตัวเองอยู่อย่างเซ็งๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าให้ผมเข้าไปทำไม อย่าไปหวังเลยว่าจะได้ชงได้ชิมหรือได้กินอะไรที่พ่อผมทำ สิ่งที่รอผมอยู่คงไม่พ้น…

“ครับ?” ผมเดินเข้าไปหาพ่อที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่ พอได้ยินเสียงผมที่พูดอยู่ด้านหลังแกคงรู้แล้วว่าผมมาแล้วตอนนี้ จึงได้หันกลับมาพร้อมกับของน่ากินในจานสองจาน หูย…น้ำลายแทบไหล แต่น้ำตาไหลแทน

ทำไมผมไม่ได้กินล่ะ โฮๆ

“เอานี่ไปให้ไอ้หนุ่มข้างบ้าน” พ่อผมส่งจานในมือซ้ายมาให้ ปลาตัวโตๆ ที่ถูกนึ่งร้อนๆ กลิ่นหอมๆ ก็ทำให้ผมแทบจะก้มหน้าลงไปกัด อยากกินจัง หิวจัง พ่อใจร้าย!

“อีกจานล่ะพ่อ” พ่อผมปรายตามองสายตาละห้อยของผมที่ยังจับจ้องปลานึ่งตัวมหึมาในจานไม่ยอมวางตา ก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ผมอย่างระอา

“อีกจานก็ข้าวเย็นไงวะ หรือเอ็งจะไม่กิน” ผมตาโตแล้วรีบร้อนพยักหน้าระรัวโดยไม่กลัวว่าหัวจะหลุดออกมา ขอแค่ได้กิน อะไรก็ได้ ผมยอมมมมม

“กินๆ ผมกินนนนนนน”

“เออ! ถ้าจะกินเอ็งก็เอาไปวางที่โต๊ะก่อน เดี๋ยวข้าจะทำอีกสองสามอย่าง แล้วก็เอาปลานึ่งมะนาวนี่ไปให้ไอ้หนุ่มนั่นเสียด้วย!” ผมฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีอยู่ใต้แว่นตาทันที

“รับทราบครับท่าน! กระผมจะทำตามอย่างแน่นอนครับ!”

พ่อเหมือนจะรำคาญกับท่าทางบ้าๆ บอๆ ของผมจึงโบกมือไล่ให้ผมเอากับข้าวสองจานนี้ออกไป ผมเองก็มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้ พอมาถึงโต๊ะอาหารก็รีบวางปลาสามรสลงบนโต๊ะ เสียดายนิดหน่อยที่ปลานึ่งนี่ไม่ได้อยู่บนโต๊ะด้วย ไม่อย่างนั้นคงอร่อยน่าดู

แต่ผมก็เลิกสนใจ ช่างมันเถอะ อย่างน้อยก็ยังมีอีกสองสามอย่างที่พ่อกำลังเร่งทำอยู่ กับข้าววันนี้ต้องน่ากินมากๆ แน่ๆ เจียดเอาปลาเน่าๆ นี่ไปให้หมอนั่นหน่อยคงไม่เป็นไร ถือเสียว่าทำบุญทำทานให้คนไม่มีจะกิน เฮอะ!

ผมยังคงจิกกัดไอ้คนข้างบ้านอย่างไม่คิดจะหยุด เพราะมันทำให้ความโปรดปรานของผมกับน้องกลายเป็นคนนอกส่วนมันคือลูกรัก มันทำให้พ่อผมลงทุนทำกับข้าวให้มันกิน! ผมแค้นมาก! ไม่ชอบขี้หน้าแม้ว่าจะยังไม่เห็นหน้าก็ตาม แต่ภาวนาให้มันขี้เหร่ ขาเป๋ ปากเบี้ยว อะไรก็ได้ที่ทำให้มันน่าเกลียดผมสาปแช่งมันในใจตลอด

ผมเดินออกจากบ้านตัวเองมาทั้งที่สีหน้าโคตรจะไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายก็หมุนตัวเดินไปที่ข้างบ้านของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ประตูรั้วถูกปิดอยู่ ผมเลยต้องกดกริ่ง แต่กดไปแล้วหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนมาเปิดประตูให้ ผมชะเง้อคอมอง ไม่มีเงาคนสักคน

นี่พ่อผมแน่ใจใช่ไหมว่าคุยกับคนข้างบ้านจริงๆ ไม่ใช่เจ้าที่เจ้าทาง

“ขอโทษครับ! มีใครอยู่บ้างไหมครับ!”

ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่ผมเห็นว่าประตูบ้านเปิดอยู่ จะว่าไปมองดีๆ บ้านหลังนี้ก็ถูกดูแลมาอย่างดีใช้ได้เลยครับ ภายนอกไม่มีคราบอะไร ไม่มีความรกร้างจากการทิ้งเอาไว้เป็นเวลานาน ลักษณะแบบนี้คงจะมีคนย้ายมาจริงๆ นั่นล่ะ ถูกเก็บกวาดเสียเรียบร้อยขนาดนี้

ผมเอื้อมมือไปเปิดประตูรั้วออก ไม่ได้คิดจะรุกล้ำหรือว่าอะไร เจตนาของผมคือมือกูจะพองแล้ว! ไอ้เจ้าของบ้านแม่งก็ไปตายห่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ยังดีที่ประตูบ้านมันไม่ได้ล็อกเอาไว้ เปิดง่าย ผมจึงได้เปิดประตูเข้าไปด้านในได้

แต่จะว่าไป หมอนี่ไม่ค่อยระวังตัวเลยนะ ประตูไม่ล็อกแบบนี้มันเชิญชวนให้พวกขโมยมันเข้ามาทำการย้ายข้าวของในบ้านเป็นว่าเล่น แต่ก็นั่นล่ะ ไม่ใช่บ้านผมนี่ ผมไม่สนใจหรอก

ผมเดินผ่านประตูบ้านเข้าไปถึงด้านใน ภายในบ้านถูกจัดเอาไว้อย่างดี มีของมากมายที่ถูกจัดเข้าที่เป็นทางเรียบร้อย ภายในบ้านก็ให้ความรู้สึกเย็นๆ สบายๆ ทั้งที่ไม่ได้เปิดแอร์ แต่อาจจะเพราะประตูเปิดโล่งเอาไว้ลมเลยสามารถพัดเข้ามาได้ดี ผมเดินผ่านห้องนั่งเล่นไป สายตาก็กวาดหาโต๊ะสักตัวให้ผมได้วางไอ้ปลาเน่าที่ร้อนมือนี่ลงสักที จนในที่สุดก็เข้ามาถึงด้านใน ผมจึงได้เห็นโต๊ะทานอาหารจึงได้รีบวางมันลง

ฟู่…ร้อนเป็นบ้าเลย

ไฟในบ้านก็ไม่ได้เปิด ดีหน่อยที่ยังพอมีแสงรำไรให้ได้มองเห็นทางอยู่บ้าง แต่จังหวะที่ผมหันหลังจะเดินกลับไป ตัวของผมก็ต้องแข็งทื่อไปกับสิ่งที่ได้เห็น ใบหน้าของผมซีดเผือดไร้สีเลือด ดวงตาเบิกกว้างอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง สิ่งที่ผมได้เห็นไม่ใช่ภูตผีหรือปีศาจตนไหนเลย ไม่ใช่เจ้าที่เจ้าทางหรือเทวดาที่ไหน

แตาเป็นคนที่ผมไม่อยากเจอที่สุดต่างหาก

ใช่! เป็นมัน!

“มะ มึง” ผมเห็น เห็นว่ามันสาวเท้าเข้ามาใกล้ เห็นว่าดวงตาคู่นั้นมันเรียบเฉยจนน่ากลัวขนาดไหน แต่ใบหน้าของมันกลับมีรอยยิ้มประดับอยู่ รอยยิ้มที่ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว

รอยยิ้มที่ทำให้สัญญาณอันตรายในร่างร้องเตือนราวกับสัญญาณไฟไหม้

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ไอ้นก”

“ทะ ทำไมถึง…”

ทำไมล่ะ ทำไมมันถึงอยู่ที่นี่!

ผมหวาดหวั่นกับรอยยิ้มบนใบหน้า มันเอียงองศาของหน้าไปทางซ้ายคล้ายกับกำลังสงสัยในคำพูดของผม แสงจากภายนอกเริ่มเบาบางลง ความมืดเริ่มเข้ามาแทนที่จนผมเริ่มมองไม่เห็นแววตาของมัน เริ่มมองไม่เห็นรอยยิ้มหรือแม้กระทั่งว่าตอนนี้สีหน้าของมันเป็นยังไงผมก็มองแทบจะไม่เห็นแล้ว แต่ในขณะที่ทุกอย่างเริ่มมืดลงนั้น ความกลัวที่ผมมีต่อมันกลับชัดเจนขึ้น

“ทำไมถึงอะไรล่ะ ทำไมกูถึงมาอยู่ที่นี่ หรือทำไมเป็นกูที่อยู่ข้างบ้านมึง” หูของผมได้ยินชัดเจน ร่องรอยความไม่พอใจมันเด่นชัดออกมาจากน้ำเสียงที่ถูกถ่ายทอดออกมาให้ได้ยิน ตัวผมกำลังสั่น มือที่ยึดขอบโต๊ะเอาไว้สั่นไหวไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะความหวาดกลัวกับท่าทีที่มันมีให้ผมหรือเพราะกำลังกลัวใจตัวเองกันแน่

ต้องหนี! มันคือสิ่งที่สมองของผมสั่งการมาอย่างรวดเร็ว การเผชิญหน้ากับไอ้ปาตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ใช่! มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ผมจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

เมื่อตัดสินใจได้แล้วผมจึงจับแขนตัวเองเอาไว้จนแน่นเพื่อบังคับร่างกายให้หยุดสั่น ปลอบตัวเองเบาๆ ให้ใจเย็นๆ เพื่อหลอกล่อมันให้หลบไปจนพ้นทาง

“มะ ไม่ใช่อยู่แล้ว กูต้องดีใจสิที่มึงมา มึงมาได้ไง มากับใครเหรอ” ผมฉีกยิ้มฝืนๆ สายตาเหลือบมองด้านหลังของมันตลอดเวลาเพื่อรอโอกาสที่จะหนีไป

“ดีใจ? มึงแน่ใจเหรอวะ สิ่งที่กูเห็นตอนนี้…มันห่างไกลกับคำว่าดีใจไปมากเลยล่ะ” ใบหน้าของผมเริ่มซีดอีกครั้ง ร่างกายก็กลับมาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ไม่ได้ผล ไอ้ปาไม่เคยตกหลุมพราง มันเป็นคนนำเกมเสมอ เป็นผมที่โง่เง่าคิดว่าวิธีนี้จะใช้หลอกล่อมันได้

“ปะ ปา กู กูต้อง อึก! ต้องปะ ไปดูพ่อ ต้องกลับแล้ว งะ งั้นไว้ ไว้คุยกันใหม่นะ” ผมลนลานอย่างที่ไม่เคยเป็น พยายามพูดดีๆ กับมันเพื่อไม่ให้มันโกรธไปมากกว่านี้ แต่มันโกรธผมเพราะอะไรล่ะ ผมทำผิดตรงไหน ผมก็แค่เลือกที่จะเดินออกมาจากเส้นทางที่มันเป็นแค่ฝัน เลือกที่จะตื่นขึ้นมารับรู้ความจริงว่ามันไม่เคยเป็นเรามาตั้งแต่แรก แล้วผมทำผิดอะไร

ผมก้มหน้าลงซ่อนร่องรอยแห่งความคิดถึงและความเจ็บปวดเอาไว้ ไม่อยากให้มันต้องมาเห็นว่าคนอย่างผมไม่สามารถลืมมันไปได้แม้ว่าจะเป็นคนเดินออกมา อีกไม่นานมันก็จะแต่งงาน หรือบ้านหลังนี้จะเป็นสถานที่ที่มันเลือกไว้สำหรับฮันนีมูน ถ้าเป็นแบบนั้นผมคง…ต้องทนเห็นมันมีความสุขกับคนอื่นอีกสินะ ไม่ว่าผมจะหนีความเสียใจยังไงก็ไม่เคยหนีไปได้พ้นเลย สุดท้ายความเสียใจนั้นก็ย้อนกลับมาหาผมอยู่ดี ต่อให้ผมโยนมันไปไกลแค่ไหนก็ตาม

แต่จังหวะที่ผมกำลังจะเดินผ่านตัวมันเพื่อจะออกไปจากบ้านหลังนี้ แขนของผมกลับถูกไอ้ปายึดเอาไว้แน่น แล้วออกแรงกระชากผมเข้าไปจนชนเข้ากับอกของมัน ไอ้ปากักขังผมเอาไว้ในอ้อมแขนที่ผมคุ้นเคย ไม่ยอมปล่อยให้ผมออกไปจากมันง่ายๆ มือของมันโอบรัดเอวของผมเอาไว้จนไม่เหลือช่องว่างระหว่างผมกับมัน ผมจึงทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้นมาดันหน้าอกของมันเอาไว้แทนด้วยความตกใจ

“ทะ ทำอะไร! ปล่อยกูนะ!” ผมทั้งตกใจทั้งอับอาย สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีเลยสักนิด มันกักตัวผมเอาไว้แบบนี้ผมก็กลับบ้านไม่ได้น่ะสิ

“จะรีบไปไหนวะ กูอุตส่าห์มาถึงนี้ มึงไม่คิดจะ…ค้างกับกูสักคืนเหรอ”

“ไอ้ปา กูไม่เล่น ปล่อยกู!” ผมเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว มันพูดเหมือนผมเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่จำเป็นต้องสนใจไยดีอะไรกับความรู้สึกของผม

“มึงจะดิ้นทำไมวะ! กูแค่กอดนิดๆ หน่อยๆ มันจะทำไมหนักหนา! ลืมไปแล้วเหรอว่ากูกับมึงเราเป็นแฟนกันนะ!” ผมหยุดดิ้น แค่นยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน

“แฟนเหรอ จะไปลืมได้ยังไงกัน แฟนที่เป็นแค่ของเล่น ใครมันจะไปลืมได้ลง” ไอ้ปาออกแรงแขนที่โอบรัดเอวของผมแรงขึ้นจนเจ็บ แต่ผมก็ยังคงฝืนยิ้มอยู่อย่างนั้น มองแววตาคมที่ดุดันวาววับไปด้วยร่องรอยของความไม่พอใจ

“มึงพูดเหี้ยอะไรไอ้นก! ของเล่นอะไร!” เฮอะ! โมโหกลบเกลื่อนเป็นแบบนี้เอง ผมไม่ได้นึกสนใจน้ำเสียงที่ไม่พอใจของมัน ผมค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วปรับอารมณ์ลง ในตอนนี้ ผมเองก็เริ่มโกรธบ้างแล้วนะ ผมไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะได้ไม่มีความโกรธอยู่ในตัวเอง

“ก็มึงไง ทุกอย่างทุกสถานะที่มึงให้กู มันก็แค่สิ่งที่มึงเอาไว้สนุกเพื่อฆ่าเวลา รอเวลาที่จะได้แต่งงาน กูพูดอะไรผิดล่ะ?” ผมจ้องตามันตอบ เชิดหน้าขึ้นท้าทายเมื่อสิ่งที่ผมพูดไปล้วนแต่เป็นความจริงทั้งนั้น

“ไอ้นก! มึงกำลังจะทำให้กูโกรธแล้วนะ!” รู้! ผมรู้ดีเลยล่ะ ยิ่งมันออกแรงกอดเอวผมมากเท่าไหร่นั่นหมายความว่าความอดทนมันก็เริ่มจะหมดลงไปเช่นกัน

แต่แล้วยังไงเล่า! ผมเองก็โกรธเป็นนะ!





50%



ใช่! แฟนที่ไหนกัน เมียต่างหาก อะ อ้าว...ยังไม่ใช่เหรอคะ ขอโทษค่ะๆ แมวรีบเกินไปหน่อย ฮ่าๆ ว่าแต่คุณปาขา มาถึงก็รุนแรงเลยนะคะ รู้ค่ะว่าโกรธที่น้องหนีมา แต่อ่อนโยนบ้างก็ได้ น้องช้ำหมดแย้ววววว 

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่14.นกกับชายที่ฯ 50% up. 04/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 04-01-2020 23:25:28
นกหยุดเพ้อเจ้อเถอะ ปาก็บอกๆไปได้ละ อยู่กันมาตั้งนานก็น่าจะรู้ว่ากับนกมันต้องพูดตรงๆไม่ไงนางไม่เข้าใจหรอกกกก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่14.นกกับชายที่ฯ 100% up. 05/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 05-01-2020 16:56:41
[14]

“มึงคิดว่ามึงโกรธเป็นคนเดียวงั้นเหรอ!! กูนี่! กูต่างหาก! กูต่างหากที่ควรโมโห! ควรเสียใจในสิ่งที่มึงทำลงไป!!” ผมใช้แรงพลักมันออกทันที ทั้งโกรธ ทั้งโมโห ทั้งเสียใจจนระงับความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ได้ ทุกอย่างมันทำให้ความกล้าของผมออกมาแทนที่ความหวาดกลัว ผมได้แต่หอบหายใจแรงๆ เมื่อความโกรธของตัวเองกำลังพุ่งขึ้นสูงจนแทบจะทะลุ

ไอ้ปามันเงียบ แต่แววตาที่แข็งกร้าวกลับไม่ได้มีทีท่าว่าจะหายไป

“มึงมันก็แค่ไอ้คนเห็นแก่ตัว ทั้งที่มึงมีคนของมึงอยู่แล้ว แต่มึงก็ยังมาล้อเล่นกับความรู้สึกกู มันสนุกมากเลยใช่ไหม? ไอ้โง่ที่ชื่อนกคนนี้มันเล่นด้วยแล้วสนุกมากใช่ไหมไอ้ปา มึงถึงได้ไม่สนใจว่ากูจะเสียใจมากแค่ไหน!!”

ทั้งๆ ที่ผมอยากจะหนีไปให้ไกล ปล่อยให้ทุกอย่างมันคาราคาซังอยู่แบบนี้ เพื่อสักวันหนึ่งผมจะสามารถลืมสิ่งที่มันทำเอาไว้ ลืมทุกอย่างที่มันเคยทำ สักวันหนึ่งนั้น…ผมอาจจะพอยิ้มแล้วทักทายกับมันได้บ้าง

“กูทิ้งมึงมา มันทำให้มึงเสียหน้ามากสินะ มึงถึงต้องตามมาระรานกูถึงนี่ เอาสิ! มึงพูดเลย บอกเลิกกูเองกับปากของมึง มันจะได้จบๆ สักที”

“หยุด!”

“บอกเลิกสิปา” ผมเขย่าแขนของมัน หวังให้มันทำตามที่ผมพูด

“กูบอกให้หยุดพูด!”

“บอกเลิกกูมาแล้วปล่อยกูไปสักที!”

ไอ้ปาจ้องหน้าผมไม่หลบสายตา มันกัดฟันด้วยความไม่พอใจแต่กลับไม่ยอมพูดในสิ่งที่ผมร้องขอ มันนิ่งเฉยราวกับว่ากำลังระงับความโกรธของตัวเองอยู่

“ขอร้อง กูขอร้อง แค่กูคนเดียว ปล่อยกูไปได้ไหม มึงเอง อะ อีกไม่นานก็คงจะแต่งงานแล้ว เพราะงั้น…ปล่อยกูไปเถอะ มึงทิ้งของเล่นชิ้นนี้ได้ไหมวะ กูขอร้อง” เสียงของผมเต็มไปด้วยการร้องขอ เป็นครั้งแรกที่ผมร้องขออ้อนวอนต่อมัน ขอให้มันเห็นแก่อะไรก็ได้ จะความเป็นเพื่อนที่เราเคยมีต่อกันมา หรือความรู้สึกดีๆ แม้จะเพียงเสี้ยวเดียวก็ตาม ไม่เป็นไรเลย แค่ทำให้มันยอมปล่อยผมไป จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น

“เลิกบ้าสักที! เลิกห่าเหวอะไรไม่มีทางหรอก มึงฝันไปเถอะ กูไม่มีวันปล่อยมึงไปแน่!!” ไอ้ปายึดแขนของผมเอาไว้ทั้งสองข้าง บีบจนกระดูกแขนแทบจะแหลกละเอียด

“ปล่อย! ปล่อยกู!!”

“ขอเล่นงั้นเหรอ เฮอะ! มึงดูถูกกูเหลือเกินนะนก มึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของเล่นจริงๆ แล้วมันเป็นยังไง แต่ไม่ต้องห่วง กูจะทำให้มึงรู้สึกจนมึงเสียใจที่พูดคำคำนี้เลยล่ะ มานี่!” ไอ้ปาลากผมที่พยายามขัดขืนมันขึ้นบันไดไป ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากไป ผมอยากกลับบ้าน

“ปล่อย ปล่อยกูนะ ปล่อยยยย”

แต่ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนมากมายแค่ไหน ไอ้ปาก็ไม่ยอมปล่อยผมไปอยู่ดี แขนของมันทั้งดึงทั้งลากผมที่เกาะราวบันไดขึ้นไปให้ได้ มันไม่สนใจสักนิดว่าผมจะอยากไปหรือเปล่า สิ่งที่มันทำอยู่คือความเอาแต่ใจ ไม่สนใจความรู้สึกของผม ผมทั้งเสียใจทั้งเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดทางร่างกายไม่เท่ากับจิตใจ

ผมเจ็บ ทำไมมันไม่เข้าใจ

ผมทรมานจนอยากจะหยุดทุกอย่าง ทำไมมันไม่ยอมปล่อยผมไปเสียที

ผมพร่ำขอร้องให้มันปล่อยผม ให้มันเห็นใจและสงสารผมบ้างสักนิด แต่ไม่เลย ไอ้ปาไม่มีสักนิดเดียวที่จะเหลือเศษเสี้ยวความเห็นใจให้กับผม น้ำตาที่ไหลนองใบหน้าไม่ได้เป็นสิ่งที่ใช้เรียกร้องความสงสารจากมัน แต่มันคือความอัดอั้นและปวดร้าวเหลือเกินจนล้นทะลักออกมา

ประตูห้องถูกมือของมันเปิดออก ทันทีที่ก้าวเข้าไปร่างของผมก็ถูกเหวี่ยงลงไปบนเตียง ผมถูกกระแทกจากแรงเหวี่ยงจนเจ็บ ได้แต่นิ่วหน้ากัดฟันอดทนเอาไว้ ใช้แววตาตัดพ้อมองไอ้ปาที่กำลังปลดกระดุมเสื้อสีขาวออกอย่างช้าๆ

“มะ มึง มึงจะทำอะไร” ผมขยับตัวหนี สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกับท่าทางแสนคุกคามของมัน ผมพยายามหนี มองหาทางรอดให้กับตัวเองแต่กลับมืดมนไปหมด แม้ว่าไฟในห้องจะถูกเปิดจนสว่างก็ตาม

“กูเหรอ? ก็กำลังจะทำให้มึงรู้จักไงว่า ของเล่นน่ะ มันเป็นกันแบบไหน” เสื้อสีขาวถูกโยนออกไปโดยที่มันไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะไปตกหล่นอยู่มุมไหน มันขยับเข้ามาใกล้ผมก็ยิ่งถอยห่าง เตียงที่แสนกว้างกลับเหมือนหลุมกับดักที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผม

“ไอ้ปาอย่าทำแบบนี้เลยนะ” มันโมโหถลาร่างเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วจนผมหนีไปไหนไม่ได้ แขนทั้งสองข้างถูกมันกดลงบนเตียง ช่วงลำตัวก็ถูกมันทาบทับเอาไว้จนแทบจะขยับตัวไม่ได้ ผมได้ขัดขืน พยายามดึงแขนของตัวเองออกจากมือของมัน

“มึงรู้ไหมว่าของเล่น…มันเป็นยังไง” มันเลื่อนมือที่จับผมเอาไว้ขึ้นไปเหนือศีรษะ ก่อนจะรวบข้อมือทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยกันด้วยมือเพียงข้างเดียว แววตาของไอ้ปาเต็มไปด้วยความหิวกระหาย เพียงแค่ได้มองร่างของผมก็สั่นสะท้านไปหมด

“อยะ อย่านะ!”

มือของไอ้ปาที่ว่างอยู่จับขอบกางเกงและชั้นในของผมเอาไว้แน่นแล้วกระชากมันออกไปทันที แม้แต่เสียงร้องห้ามของผมเองมันยังไม่ยอมฟัง ตอนนี้ร่างกายท่อนล่างว่างเปล่าไร้สิ่งใดปกปิด ของต้องห้ามถูกเปิดเผยให้มันเห็นจนเต็มตา ผมพยายามหนีบขาของตัวเองเอาไว้บิดกายเอนตัวหนีไปไม่ให้มันมองเห็น แต่กลับเป็นการกระทำที่ผิด มันกลับยิ่งอำนวยความสะดวกให้ไอ้ปาทำเรื่องบ้าๆ นี่กับผมมากขึ้น

“ยะ หยุดนะ! อย่าทำกับกูแบบนี้! หยุด!!”

“ทำไม? เป็นของเล่นกูไม่ใช่เหรอ ก็อยู่นิ่งสิวะ ให้กูเล่นมึงหน่อยสักรอบสองรอบจะเป็นอะไรไป!”

“อย่า อ๊าก!!” นิ้วมือถูกสอดเข้ามาอย่างแรงโดยไม่มีความเปียกชื้นใดๆ มีเพียงการฝืดฝืนกดมันเข้ามาย้ำๆ แล้วดึงเข้าออกอยู่อย่างนั้นราวกับจะกลั่นแกล้ง ผมดิ้นไปมากับความเจ็บปวดและอึดอัด กรีดร้องแทบบ้าแต่มันกลับไม่สนใจผมเลยสักนิด มันยังคงกระทำเรื่องเลวร้ายต่ออย่างไม่คิดปรานี

“แค่นิ้วกูมึงก็ดีดดิ้นจะเป็นจะตาย ร้องห่มร้องไห้ว่าเจ็บ? ของเล่นน่ะ ไม่มีใครเขามาเตรียมความพร้อมให้หรอกนะ ถ้ามึงเป็นของเล่นของกู กูจะเอาของกูยัดลงไปแล้วกระแทกแรงๆ จนมึงจมเตียงไปนานแล้ว!!”

“อะ ฮึก!” นิ้วของไอ้ปาถูกดึงออกทันทีที่จบประโยค ผมตัวสั่นร้องไห้จนตัวโยนราวกับเด็กๆ ทั้งเจ็บปวดช่องทางด้านหลังที่ถูกนิ้วเรียวของมันบังคับฝืนรั้งเข้ามา ทั้งปวดใจที่มันทำกับผมเหมือนไม่มีความรู้สึก

แต่แม้ว่ามันจะพูดแบบนั้น แม้มันจะพยายามบอกว่าผมไม่ใช่ของเล่น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความจริงที่ว่ามันมีคนของมันอยู่แล้ว

ถ้าไม่ใช่ของเล่นแล้วผมเป็นตัวอะไรสำหรับมันกันล่ะ ในเมื่อตัวมันเองก็มีตัวจริงอยู่แล้ว

“มึงจะเอาแต่ร้องไห้เหรอนก?”

“ละ แล้ว ฮึก มึงจะให้กูพูดอะไรอีก ฮือๆ” อยากจะฟังอะไรอีกในเมื่อความจริงผมกับมันควรหยุดทุกอย่างลงไปได้แล้ว

“ทำไมมึงไม่คิดจะฟัง จะถามอะไรกูบ้างวะ! มึงมันขี้ขลาด! เอาแต่หนี!”

“เออ! กูมันขี้ขลาด! กูเอาแต่หนี! แล้วยังไงล่ะ ต่อให้มึงจะบอกว่ากูไม่ใข่ของเล่นแล้วมันเปลี่ยนแปลงอะไรได้วะ สุดท้ายมึงก็แค่ผู้ชายเห็นแก่ตัวที่มีคนรักอยู่แล้วแต่มาหลอก อื้อ!!”

ผมเบิกตากว้างเมื่อไม่ทันที่จะพูดได้จบประโยคก็ถูกมันกดริมฝีปากลงมาปิดปากของผมอย่างแรง พยายามจะสอดแทรกปลายลิ้นเข้ามาแต่ผมก็ปิดปากตัวเองเอาไว้ ไม่ยินยอมให้มันทำได้ตามใจ ไอ้ปายิ่งบดเบียดจูบที่รุนแรงลงมาอีกเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงขัดขืน ความไม่โอนอ่อนผ่อนตามยิ่งทำให้ไอ้ปาแทบบ้าคลั่ง กระชากเสื้อของผมออกจากร่างในทันที

“อื้อ! อ่า อื้ม!” ผมร้องห้ามด้วยความตกใจ แต่กลับถูกปลายลิ้นสอดเข้ามาเกี่ยวกระหวัดและช่วงชิงลมหายใจของผมไปจนแทบจะหมดสิ้น

แววตาตื่นตระหนกของผมเบิกกว้าง ส่ายหน้าเพื่อจะหนีให้พ้นแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เมื่อมือหนาบีบคางของผมจนเจ็บ บังคับให้หันหน้ากลับมายอมรับจูบที่แสนรุนแรงและเอาแต่ใจ และอาจจะเพราะการดิ้นขัดขืนของผมยิ่งโหมกระพือความโกรธของไอ้ปาให้มากขึ้น มันจึงได้ลงโทษผมด้วยการกัดริมฝีปากจนรับรู้ถึงรสคาวของเลือด

เจ็บ…

แต่แม้จะเจ็บกลับไม่เท่าที่หัวใจ

ผมปล่อยแรงขัดขืนออกไป ยินยอมให้มันโรมรันความกักขฬะลงมาบนริมฝีปากอย่างจำใจ ดวงตาของผมค่อยๆ หลับลงช้าๆ หยาดน้ำตาที่เอ่อล้นค่อยๆ ไหลรินลงมาคล้ายกับการปลงแล้วในทุกสิ่ง หัวใจถูกย่ำยีจนเป็นแผลเหวอะหวะไร้หนทางจะรักษา ต้องก้มหน้ากัดฟันทนความปวดร้าวที่ค่อยๆ มากขึ้นอยู่อย่างนั้น

มันจะรู้ไหม จะเข้าใจความเจ็บปวดที่ผมมีบ้างไหม

หรือว่าความจริงแล้ว ความรู้สึกของผมไม่ได้มีค่าอะไรเลยสำหรับมัน

ในตอนที่ผมยินยอมรับในทุกความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น ไอ้ปากลับถอนริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้าและอ้อยอิ่ง เหมือนกับเสียดายจนไม่อยากจะละออกไป แววตาของมันจับจ้องมาที่กลีบปากของผมที่ตอนนี้คงบวมช้ำและมีร่องรอยปริแตกจนได้เลือดอย่างหลงใหล ใช้ปลายนิ้วเช็ดเบาๆ ผมจึงได้ลืมตาขึ้นมามองมันอีกครั้ง

“…”

“…”

เราสองคนต่างไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา ทั้งความอึดอัดและเหนื่อยล้าเกิดขึ้นมาในใจของผมอย่างห้ามไม่ได้ ผู้ชายที่กำลังทำร้ายผมในตอนนี้ คืออดีตเพื่อนที่ผมมีอยู่เพียงหยิบมือ และคืออดีตคนรักเพียงคนเดียวที่ผมรักมากและเจ็บปวดกับมันมากเช่นกัน ทว่าในตอนนี้เราสองคนกลับไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์นั้นแล้ว มันมีคนของมันและผมไม่ควรเข้าไปแทรกกลาง เพียงแต่มันกลับไม่ยอมปล่อยมือจากผม ทั้งที่ผมเลือกจะเป็นฝ่ายปล่อยมันไปแล้ว ปล่อยให้ตัวเองเดินออกมาจากจุดนั้น สุดท้ายคือมันกลับมาดึงรั้งผมเอาไว้ ไม่ยินยอมให้ผมไปไหน

“อย่าทำ ฮึก แบบนี้เลย” ทั้งที่มันก็มีเขาอยู่แล้ว ทั้งที่เราสองคนควรลาจากกันแล้วตั้งแต่วันนั้น แล้วทำไม…

ทำไมไม่ปล่อยให้ผมใช้เวลาเพื่อลืม

“ปล่อยกูไปเถอะ นะปา” ให้กูหลุดพ้นจากความรักที่ผูกมัดเราเอาไว้สักที

“ไม่ได้…มึงเป็นแฟนกูแล้ว กูจะปล่อยมึงไปได้ยังไง” มันยังคงเป็นมัน ยังคงไม่ยอมรับฟังคำขอของผม ผมอยากจะหัวเราะนะ อยากจะหัวเราะออกมาเหมือนที่เคยทำ แต่ผมกลับไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม มีเพียงแค่หยดน้ำตาที่ยังไหลลงมาไม่มีหยุด

“มึงมีแค่สองมือนะปา สุดท้ายมึงก็ต้องปล่อยไป ไม่กูก็เขา” ไม่มีใครสามารถยึดจับอะไรเอาไว้ได้ทั้งสองอย่าง ไม่มีความเห็นแก่ตัวไหนที่ไม่มีความสูญเสีย เพียงแค่วันนี้ผมเลือกจะเป็นฝ่ายเดินออกมา ให้มันได้มีชีวิตที่ดี ครอบครัวที่อบอุ่นกับคนของมัน

แต่ไอ้ปา…ไม่เคยยอมเสียอะไร ไม่เคย

“เพราะงั้นนะ ฮึก ให้กูเป็นคนที่เดินออกมาเองเถอะ นะปา ฮึก มึงไม่สงสารกูเหรอ ฮือๆ ไม่สงสารกูที่ต้องทนดูมึงกับเขามีความสุขกันถ้าวันนั้นมาถึงเหรอ ไม่คิดถึงใจกูบ้างเลยเหรอว่ากูจะเจ็บปวดมากแค่ไหน ฮึก ในวันที่มันต้องเดินยิ้มจูงมือเขาเข้าห้องหอ แล้วกูล่ะ? ฮือ กูจะเป็นยังไง ปล่อยให้กูเจ็บตั้งแต่ตรงนี้ได้ไหม มึงปล่อยกูไปเถอะนะ” ผมขอร้องอ้อนวอนให้มันเข้าใจ ว่าตอนนี้ผมไม่ใช่ไม่รักมัน เพียงแต่เรารักกันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ความรักที่เริ่มต้นผิดเวลา มันไม่คู่ควรให้มาเสียเวลาด้วย ผมยอมรับและพร้อมจะเดินออกไป ขอแค่มันเข้าใจผมสักนิด ยอมรับการตัดสินใจของผม

แต่ผมคงหวังมากเกินไปสินะ

“มึงไม่เข้าใจไอ้นก มึงไม่เข้าใจ กูปล่อยมึงไปไม่ได้ กูรักมึง กูมีแค่มึง แค่มึงเท่านั้น ขอร้อง” สายตาของมันเต็มไปด้วยความร้าวรานจนผมต้องผินหน้าหนี เพียงแค่เห็นมันเจ็บปวดผมก็แทบจะตายแล้ว แล้วมันล่ะ ผมเจ็บปวดขนาดนี้ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ

“แล้วมึงจะให้กูไปอยู่ตรงไหนวะปา ในเมื่อมึงมีน้องเบญอยู่แล้ว มึงจะให้กูไปอยู่ตรงไหน!!” มันเรียกร้อง อ้อนวอนขอให้ผมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วผมไม่มีจุดยืนของตัวเองด้วยซ้ำ ข้างกายของมัน…ไม่ได้ว่างให้ผมยืนอีกแล้ว แล้วจะมีผมไปทำไมกัน จะให้ผมเข้าไปในชีวิตมันในฐานะอะไร

“กูไม่ได้มีใครนะนก ไม่ได้มีใครทั้งนั้น” โกหก มันกำลังโกหก

“ก็กูได้ยินกับหู!! มึงจะมาโกหกกูเพื่ออะไร! จะต้องให้กูทรมานอีกแค่ไหนปา อีกแค่ไหน! ฮึก ฮือๆ” ผมดิ้นหนี พยายามจะไปให้พ้นจากมัน ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากมองตา ไม่อยากฟังเสียงมันที่พร่ำบอกแต่คำโกหก

ไม่มีใครงั้นเหรอ มันเห็นผมเป็นควายหรือไง

“ไม่ๆ นก มึงฟังกูก่อน อย่าดิ้นสิ ฟังกูก่อน ฟังกูบ้างสิ!!”

“ฮือๆ ปล่อยกูนะ ฮือๆ”

“กูไม่ได้โกหกมึงนะนก กูไม่ได้มีใครจริงๆ กูยอมรับว่ากูหมั้นกับน้องเบญ ไม่ เดี๋ยว นิ่งๆ สิ!”

“ปล่อยกู ปล่อย!!” มันยอมรับแล้ว มันยอมรับออกมาแล้ว ความเสียใจที่มีมากเกินไปเริ่มทำให้ผมทนฟังเรื่องบ้าๆ นี่อีกไม่ไหว อยากจะกลับบ้าน ผมอยากกลับไปอยู่ในที่ของผม ลืมทุกอย่าง ลบมันออกไปจากใจ ขังตัวเองเอาไว้จนกว่าจะสามารถลืมมันได้

ให้ความเจ็บปวดในหัวใจที่มากมายจนล้นใจตอนนี้ ได้หายไปเสียก่อน

“ฟังกู! มึงต้องฟังกูนก!” ผมยกมือขึ้นมาปิดหูตัวเองเอาไว้ ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน คนโกหก มันโกหก

“ไม่ ไม่ฟังๆๆ ไม่อยากฟัง!!!” ไอ้ปาดึงมือผมออกกดเอาไว้ข้างลำตัว

“ต้องฟัง! กูยอมรับว่าหมั้น แต่มึงต้องรู้ด้วยว่าแค่เคยเท่านั้น! ตอนนี้กูถอนหมั้นแล้ว กูไม่ได้มีใคร กูมีแค่มึง แค่มึงคนเดียว!” ผมชะงัก แต่เพียงพริบตาเดียวสมองของผมก็สั่งการว่าอย่าไปเชื่อคำลวง มันกำลังโกหกผม กำลังหลอกลวงผมอีกแล้ว

“โกหก! มึงโกหก!” โกหกทั้งหมด รวมหัวกันหลอกผมที่โง่ไปหลงเชื่อมัน ผมคงง่าย คงดูจะหัวอ่อนจนต้องเชื่อคำพูดของมัน มันคิดผิดแล้ว ผมไม่ใช่ ไม่ใช่คนที่โง่เง่าคนนั้นอีกแล้ว ไม่ใช่อีกแล้ว

“มันคือความจริง ก่อนหน้านี้กูแค่ไม่อยากให้มึงต้องมาเสียใจ แต่กูคิดจะจัดการกับการหมั้นที่ผู้ใหญ่จัดให้อยู่แล้ว กูรักแค่มึง มีแค่มึง มึงไม่เคยรู้เลยหรือไงวะนก กูไม่เคยแสดงออกบ้างเลยเหรอ กูทำให้มึงเชื่อไม่ลงเลยเหรอว่ากูรักมึง มีแค่มึงจริงๆ” ผมหลบตาของมัน ไม่อยากจะมองสายตาตัดพ้อที่มันส่งมาให้ ยอมรับว่าผมดีใจ ดีใจมากๆ เลยเสียด้วยซ้ำไปที่ได้ยินแบบนั้น แต่มันจะจริงงั้นเหรอ จะเป็นไปได้เหรอ

“…” ผมไม่กล้าเชื่อ แต่ก็อดใจเต้นไม่ได้ อดคาดหวังความหวังลมๆ แล้งๆ ที่ถูกส่งมาให้ไม่ได้

“มึงเชื่อกูเถอะนะ เชื่อกูได้ไหม กูมีแค่มึงจริงๆ อย่าทิ้งกูไปเลยนะ”

อย่าทิ้งกูไปเลยนะ มันช่างเป็นคำพูดที่ทำเอาใจของผมอ่อนยวบ น้ำเสียงสั่นเครือกับแววตาอ้อนวอนของมัน หรือแม้แต่การที่มันใบหน้ามาซบลงกับไหล่ของผมราวกับว่าหมดสิ้นเรี่ยวแรงยิ่งทำให้ผม…ปวดร้าวในใจ

มันเจ็บ ผมเจ็บ เราทั้งสองคนต่างก็เจ็บไม่ต่างกัน แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าใครที่เจ็บมากกว่ากัน แต่เราต่างก็พยายามในแบบของเรา ผมพยายามเดินออกมาเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของมัน ส่วนมันก็พยายามเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ ไม่ให้หายไปจากสายตา

“คิดถึง…กูคิดถึงมึงนก คิดถึงมึงที่สุด” ผมเม้มปาก ยกมือขึ้นมากอดมันเอาไว้ ลูบแผ่นหลังด้วยฝ่ามือที่สั่นไหวตามอารมณ์ ผมก็ติดถึงมัน อยากเจอมันทุกวัน แต่เพราะรู้ดีว่าไม่ควร จึงได้แต่คิดถึงมัน

“มึงเชื่อกูแล้วใช่ไหมนก! เชื่อกูใช่ไหม” น้ำเสียงอ่อนล้าแต่กลับเต็มไปด้วยความคาดหวังยิ่งทำให้ผมจุกไปหมด

“จะให้กูเชื่อมึง…ได้ยังไง กู กูไม่รู้ว่าจะเชื่อมึงได้ยังไงแล้ว ตอนนี้…กูสับสน” ถ้าหาก…ถ้าหากมันโกหก หรือถ้าหากว่าครั้งนี้มันพูดความจริง ผม…จะเชื่อมันดีไหม? แต่ว่า มันไม่มีอะไรมายืนยัน

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นเลยนก ตอนนี้มึงอาจจะเกิดความสงสัย อาจจะคลางแคลงใจในตัวกู นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย” ไอ้ปายิ้ม จับมือของผมขึ้นมาวางไว้บนอกข้างซ้ายของมัน ให้ได้รับรู้ถึงหัวใจที่เต้นแรง

“…”

“แค่ตอนนี้มึงยังยอมฟังกู ยอมอยู่ข้างๆ กู ต่อให้มึงจะสงสัยในตัวกูแค่ไหน กูก็พร้อมจะพิสูจน์ พร้อมจะทำให้มึงมั่นใจว่าหัวใจที่กำลังเต้นแรงอยู่ตอนนี้ มันเต้นได้เพียงแค่กับมึงคนเดียว”

กับผม ผมคนเดียวเหรอ

“กูเหรอ แค่กับกู…จริงๆ เหรอ” อยากเชื่อ แต่ก็ลังเลใจ อยากจะเชื่อมั่น แต่ก็ทำไม่ได้ แม้ว่าหัวใจจะเต้นแรง ดีใจไปกับคำหวานที่มันป้อนให้แต่ส่วนหนึ่งของหัวใจผมก็ร้องเตือนกระตุกหัวใจจนเจ็บแปลบ เรียกสติที่กำลังจะหายไปให้กลับมา

“แค่กับมึงนก หัวใจของปา…เต้นได้แค่กับนกคนเดียวเท่านั้นครับ”

ใบหน้าของผมเห่อร้อน ผิวแก้มกำลังแดงก่ำไปด้วยเลือดฝาด แววตาของไอ้ปา มันมั่นคง มั่นคงจนผมสับสนว่านี่คือคำลวงที่หบอกล่อให้ผมต้องกลับไปจมอยู่ในความฝัน หรือมันคือความจริงที่ผมกำลังจะได้รับมันมา คำหวานที่มันพูดมานั้นผมไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหวั่นไหวจนใจสั่นไปกับคำพูดของมัน

ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็เชื่อไปแล้วกว่าครึ่งใจ

ไม่อยากรัก แต่ก็รักไปแล้วหมดทั้งใจ

ไม่อยากหวั่นไหวกับคำพูดของมัน แต่ก็ไม่อาจทำให้หัวใจของผมสงบลงไปได้

เก่งเหลือเกินกับการทำให้ผมหลงรักมันอีกครั้ง ตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองกำลังลังเลหรืออะไรกันแน่ เพราะหัวใจของผมกำลังเต้นแรงยิ่งกว่าเสียงกลอง สองหูแทบจะได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองด้วยซ้ำ มันไม่เคยเต้นแรงขนาดนี้มากก่อน ไม่เคยแม้แต่กับหลินแฟนเก่าผม แต่แค่ไอ้ปา แค่ไอ้ปามันพูดกับผม มองตาผม ผมก็แทบจะห้ามตัวเองไม่ได้ ห้ามหัวใจเอาไว้ไม่ได้อีกเลย ผมควรทำยังไงดี?

“มึงหน้าแดง” ไอ้ปายิ้ม ผมชิ่งเขินเข้าไปใหญ่

“อะ อากาศร้อน” แค่ร้อน ร้อนจนอยากจะบ้าตาย

“ตัวมึงก็แดง” สายตาของมันกวาดลงมามองผมทั้งตัว และนั่น…ก็ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า…

“เชี่ย! ไอ้ปา ปล่อยๆๆ โอ๊ย อย่ามองกูนะ!!” ผมพลิกตัวหนีสายตาที่วิบวับของมัน ให้ตายนี่ผมลืมไปได้ยังไงว่าโดนมันถอดออกไปแล้วทั้งตัว เท่ากับว่าตอนนี้ผมกำลังโป๊ แถมต่อหน้าต่อตามันด้วย ผมรีบคว้าผ้าห่มมาปกปิดร่างกายเอาไว้ ไม่ใช่เหนียมอายเป็นผู้หญิง ผมเป็นผู้ชาย แต่ลองถูกจ้องด้วยแววตาของคนรักดูสิครับ เป็นใครก็ต้องเขินอยู่แล้ว ผมมั่นใจเลยว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวแน่นอนที่อาย!

“มึงจะรีบปิดทำไมวะ?” ถามโง่ๆ

“จะเปิดจองบัตรเข้ามาชมกูโป๊เลยไหมล่ะ อย่าดึงสิวะไอ้ปา หยุดเลยนะมึง! จิ๊!” ผมถลึงตาใส่มันที่ทำหน้าตาทะเล้นทะลึ่ง แกล้งดึงผ้าห่มเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ไอ้บ้านี่พอรู้ว่าผมอายก็แกล้งใหญ่เชียวนะ! มันน่านักเชียว!

“ถ้ามึงจองบัตรจริงๆ กูจะเหมา แต่ต้องถอดให้กูดูคนเดียว บนเตียงในห้องกูนะ”

อะ ไอ้ ไอ้คนหน้าด้าน!

ใครจะไปยอมถอดวะ เออ...แต่ความจริงตอนนี้ผมก็ถอดอยู่นะ แถมบนเตียงมันด้วย แต่แบบนี้ไม่นับได้ไหม มันบังคับผมถอดต่างหาก ผมไม่นับนะ ไม่นับบบบบบ!!!





TBC



เปิดจองบัตรชมเรือนร่างน้องนก รายได้เข้าการกุศล (กระเป๋าน้องนกเอง) ใครสนใจโอนเงินได้ที่บัญชี 11xx333xx ชื่อบัญชี น้องนก ผู้นกตลอดกาล ธ.ดึกดำได สาขากุ้งกิ้งกั้งก้าย โอนกันเข้ามาเยอะๆน้าาา 

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่14.นกกับชายที่ฯ 100% up. 05/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-01-2020 17:07:53
จะรอดไหมเนี่ย นก นก นก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่14.นกกับชายที่ฯ 100% up. 05/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 06-01-2020 09:47:15
นกเป็นคนกลัวคำนอบบ
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่15.นกกับการรักษา 50% up. 10/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 10-01-2020 22:10:45
[15]

ตอนที่ 15.

 นกกับการรักษา 

ผมกลับบ้านด้วยสภาพที่ต้องเปลี่ยนเสื้อใหม่ด้วยการยืมเสื้อไอ้ตัวการที่ทำเสื้อผมขาดมาใส่ พ่อผมตอนเห็นผมก็เกิดความแปลกใจกับการที่ผมไปลากไอ้หนุ่มข้างบ้านมาที่บ้านด้วย แถมในมือของมันยังมีกับข้าวที่พ่อผมเพิ่งจะบอกให้ไปส่งถือกลับมาอีก สายตาพ่อตวัดกลับมาหาผมอย่างคนที่ต้องการคำอธิบาย ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป ลอบมองไอ้หน้าด้านข้างหลังผมที่ยังคงยิ้มระรื่นอย่างมีความสุขจนน่าหมั่นไส้

ส่วนไอ้แมวตาวาววับแทบจะทันทีเมื่อเห็นหน้าของคนข้างบ้านที่ผมได้เคยนินทาอยู่กับมัน มันคงนึกชอบใจกับความหล่อเหลาที่บรรดาพี่ชายเพื่อนของมันยังเทียบไม่ได้ แน่ล่ะ…ไอ้พวกห่าเหวนั่นจะมาเทียบกับแฟนผมได้ยังไง พี่ชายของไอ้ตะพาบถึงจะหล่อแต่ถ้าเทียบความสูงคงได้แค่ปลายคางไอ้ปาด้วยซ้ำ หน้าตาก็ติดจะหวานอยู่นิดๆ แต่ก็มีความคมคายอยู่มากกว่า ส่วนไอ้ปาหล่อทะลุจอขนาดที่เดินไปไหนไม่ต้องตามหา กระดิกนิ้วนิดหน่อยสาวๆ ก็แทบจะวิ่งเข้ามาหามันแล้ว ไม่อย่างนั้นตอนผมเป็นเพื่อนกับมันอยู่มีหรือที่ผมจะยังโสด เฮอะ! หล่อไม่เท่าเลยเหลาใครไม่ได้

“ไอ้นก!” ผมสะดุ้งโหยงเลยทีเดียวเมื่อเจอน้ำเสียงห้วยดุดันเรียกมาจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็น…ผัวแม่

“จะ จ๋าพ่อ” หน้าผมนี่แห้งแล้วแห้งอีก ฟีบแล้วฟีบอีกก็ยังไม่ได้เศษเสี้ยวความสงสารเห็นใจจากพ่อผม เหงื่อตกจนต้องยกมือขึ้นมาปาดทิ้งเลยทีเดียว

“เอ็งให้ไอ้หนุ่มนี้เอากับข้าวมาคืนข้าเรอะ!” หื้อ! พ่อใส่ร้ายผมทำไมเนี่ย ผมรีบส่ายหน้าทันทีเลยครับ กลัวเป็นประเด็นสำคัญที่จะทำให้กระเด็นออกไปจากบ้าน

“ใคร๊! ผมเหรอจะกล้า ไม่มีหรอกพ่อ มันเอามาคืนเองต่างหาก” ไม่ใช่ลูกรักเลยโดนใส่ร้าย มันน่าน้อยใจเหลือเกิน ฮึก!

“มัน? พวกเอ็งสองคนรู้จักกันงั้นเหรอ?”

“อา ก็ ก็รู้จักครับ” บอกยังไงดีล่ะ บอกว่าเป็นแฟน? ไม่ได้ๆ พ่อมีหวังช็อกตายก่อนเขียนพินัยกรรมให้ผมแน่ๆ

งั้นบอกว่าเป็นเพื่อนดีกว่า ปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุด

“?” เมื่อตัดสินใจได้ผมจึงยิ้มให้พ่อแล้วสูดลมหายใจลึกพร้อมกับโกหกคำโตว่า!

“เป็นพะ…”

“เป็นแฟนครับคุณพ่อ!”

ฉิบหายแล้ว! ใครใช้ให้มึงบอกพ่อกูออกไปแบบนั้นไอ้เวรเอ๊ย!!

ผมเก็บคำว่าเพื่อนที่ไม่ทันจะหลุดออกจากปากกลืนลงท้องอย่างปวดหัว แอบลอบมองพ่อที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งตั้งโชว์อย่างใจเต้นแรง แล้วเหลือไปมองไอ้น้องชายที่น่ารักของผมที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศกร้าวว่าจะต่อยหน้าไอ้ปาให้หงาย ซึ่งสภาพมันตอนนี้ปากนี่แทบจะหุบไม่ลง ช็อกจนเรียกหาสภาพความเป็นปกติไม่เจอเลย

รู้สึกเหมือนตัวเองคิดผิดที่ให้ไอ้หน้าทะเล้นที่ได้ชื่อว่าแฟนของผมตอนนี้เข้ามาในบ้านยังไงไม่รู้ แถมเสื้อก็ยืมมันมาใส่ สภาพผมตอนนี้โดนไอ้แมวที่ดึงสติกลับมาได้แล้วกวาดสายตามองทั้งร่างจนแทบจะพรุน

พี่เปล่านะ พี่ไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นจริงๆ

แต่สายตาของมันเหมือนจะไม่เชื่อ มันมองบนแล้วกลอกตาจนลูกตาแทบจะหมุนได้รอบโลกอยู่แล้ว เข้าใจนะว่าหมั่นไส้ เข้าใจไงว่ามันชวนให้คิด ตอนออกไปใส่เสื้ออีกตัวหนึ่ง กลับมากับเสื้ออีกตัวหนึ่ง ใครๆ ก็คิด ไม่ใช่แค่มันหรอกที่คิด ถ้าน้องผมกลับมาสภาพแบบนี้ ผมก็คิดครับ!

ประเด็นหลักของเรื่องคือ!

กูไม่ได้ทำอย่างที่มึงคิดไงครับไอ้น้องเวร! เก็บสายตาเวทนาที่แสนดูแคลนนั่นกลับไปเลย!

พี่ชายคนนี้ยังรักษาเอกราชเอาไว้ได้ดี ยังไม่ถูกใครตีแตก แม้จะเกือบไปแล้วก็ตาม

จะว่าไป…นิ้วเดียวคงไม่นับหรอก ใช่ไหม?

หรือว่านับ?

ไม่หรอกๆ ไม่นับสินั่นแค่นิ้วเอง ฮะๆ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนว่ามันนับวะ ไม่ๆ โอ๊ย! แล้วทำไมผมต้องมาเถียงกับตัวเองด้วยล่ะเนี่ย! จะบ้าตายๆ นี่ผมอาการหนักขนาดนี้ไปได้ยังไงกัน ผมในตอนแรกออกจะน่านับถือ (?) น่ารักน่าเอ็นดู (ตรงไหน?) ใครๆ เขาก็ชอบผมกันทั้งนั้น แต่ไอ้อาการที่เกิดขึ้นนี่คือการวิตกจริตของผมเองใช่ไหม ผมคงไม่ใกล้เคียงกับคำว่าบ้าหรอกเนอะ

“อะ ไอ้นก นี่ นี่เอ็งเป็น…” พ่อกลืนคำว่าเกย์ลงคอไปอย่างยากลำบาก สีหน้าย่ำแย่พอๆ กับที่ไอ้แมวมันมีอยู่ตอนนี้ จะว่าไปแล้วไอ้แมวจะโกรธผมก็ไม่แปลกหรอก เพราะมันเป็นคนมาปลอบผมตอนร้องไห้ แต่พ่อนี่สิ โกรธเรื่องอะไรหว่า?

“ครับคุณอา ผมขอแนะนำตัวอีกครั้งนะครับ ผมชื่อปา นายปรมะ เทียบสินธนากุลครับ เป็นแฟนกับลูกชายคุณอาครับผม” ไอ้ปายืดอกบอกเผยรอยยิ้มภาคภูมิใจอย่างเต็มเปี่ยมจนน้ำหูน้ำตาผมเกือบจะไหล

เนี่ย! ไอ้แมวแกดูๆ แบบนี้จะไม่ให้ใจอ่อนได้ยังไงเล่า!

“เป็นแฟน? ใช่ไอ้คนที่มันทำพี่นกร้องห่มร้องไห้ ซมซานหนีกลับมาบ้านป่ะ?”

วูบ!

เหมือนมีลมพัดผ่านหน้าไปอย่างหนาวยะเยือก พ่อผมที่ได้ยินคำพูดของไอ้แมวที่ติดรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมาก็นิ่ง บรรยากาศรอบตัวอึมครึมจนน่ากลัว ผมไม่เคยเห็นพ่อมีท่าทางแบบนี้มากก่อนเลย ตั้งแต่เกิดมาผมเคยเห็นแค่เวลาพ่อหงุดหงิด พ่อรำคาญ แต่ไม่เคยเห็นพ่อโกรธใครเลยสักคน มันจึงช่วยไม่ได้ที่ผมจะตัวสั่นขึ้นมา

ไอ้แมว ไอ้ปากสว่าง!

ถ้ามันไม่พูดขึ้นมา พ่อก็คงไม่มีทีท่าจะฆ่าใครตายแบบนี้!

ผมไม่ได้ห่วงไอ้ปา ไม่เลยครับ ผมห่วงพ่อนี่ล่ะ ไม่อยากขึ้นโรงขึ้นศาล แก่แล้ว

“มึงนี่เอง…” อึก! มึงกูก็มาแล้วจ้าาาาา

“ครับผมเอง” แล้วมึงจะรับคำทำซากฟอสซิลอะไรวะไอ้เห็บหมา! ไม่กลัวพ่อกูเอาปืนมายิงกบาลมึงเลยใช่ไหม!!!

ผมอยากจะทิ้งตัวลงร้องไห้แม่งเลย ทั้งพ่อทั้งผะ เอ่อ ทั้งแฟนแม่งจะดวลพลังวัตรกันให้คนข้างๆ เป็นลมตายให้ได้ใช่ไหม พ่อผมจ้องหน้ามันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนไอ้ปายิ้มเฉย ยิ้มเหมือนไม่รู้ว่ามัจจุราชมายืนกวักมือเรียกอยู่ข้างๆ แล้ว ละเหี่ยใจจนอยากเดินเข้าบ้านเลยได้ไหม ทิ้งสองคนนี้ให้จ้องกันไปเองทั้งคืน

“ไอ้แมว! ไอ้นก!” พ่อเรียกผมกับไอ้แมวเสียงเข้มทั้งที่สายตายังคงไม่ละออกมาจากหน้าไอ้ปา

“ครับ! / ครับพ่อ” ไอ้แมวกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษรับคำเหมือนถูกทหารสั่งให้ไปออกรบ ส่วนผม หมดอาลัยตายอยากมาก

“เอ็งสองคนเอากับข้าวที่ข้าให้มันกลับมาแล้วส่งมันออกไป อย่าให้มันมาเหยียบประตูบ้านนี้อีก!” นั่นไงล่ะ พ่อผมตัดความเอ็นดูมันออกไปแล้วจริงๆ ด้วย ฮือๆ

“ได้ครับ!” ผมหันไปมองไอ้แมวที่ดูดี้ด้ามีความสุขฉิบหายด้วยความหมั่นไส้ อยากจะถีบมันสักทีสองทีเหลือเกิน ไอ้น้องเวร!

แต่จะไปว่ามันก็ไม่ได้ วันนั้นผมแม่งก็อาการหนักจริงๆ การที่น้องชายผมจะโกรธมัน ไม่ต้อนรับมันย่อมไม่แปลก

“ดี เอาพี่เอ็งกลับเข้าไปในบ้านด้วย อย่าปล่อยให้หมามันคาบไปไหนได้อีก!”

โอ้! ดีใจด้วยนะไอ้ปา มึงอัปเกรดจากสัตว์น้ำเป็นสัตว์บกสี่ขากระดิกห่างพร้อมแลบลิ้นแล้ว! เย้!

“พะ พ่อ” ผมอยากจะอธิบายให้พ่อฟัง แต่ไอ้ปาดึงแขนผมเอาไว้แล้วส่ายหน้า มันยังคงยิ้มไม่เปลี่ยน แววตาที่มองผมอ่อนโยนจนผมต้องถอนหายใจออกมา

“ไม่เป็นไร กูผิด กูก็ต้องทำให้มันดีขึ้นเอง”

“แต่ แต่ว่า…” มันไม่ได้ง่ายเลยนะ พ่อผม…ไม่เหมือนใคร ยิ่งโกรธยากแค่ไหน จะให้หายโกรธยากยิ่งกว่า ผมรู้ดี

ไอ้ปาวางมือบนศีรษะของผมแล้วโยกเบาๆ ไม่ให้ผมคิดมาก แต่ขอโทษเถอะ กูคิดไปแล้วครับ!

“รออยู่อย่างนั้นล่ะครับคุณนก เดี๋ยวผมคนนี้จะพาคุณมายืนข้างๆ ผมอีกครั้งแน่ๆ รักมากขนาดนี้…ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ หรอก” ผมก้มหน้าลงซ่อนใบหน้าแดงก่ำแล้วพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่มันสื่อ

ทุกอย่างแม้จะเป็นผมที่ทิ้งและหนีมันมาก แต่มันก็มองว่าเป็นความผิดของมันอยู่ดี ถึงได้พยายามจะสร้างความไว้ใจขึ้นมาใหม่ พยายามจะสร้างความเชื่อใจและเข้าหาพ่อของผมเองโดยไม่ยอมให้ผมช่วยพูดหรืออะไรทั้งสิ้น สำหรับไอ้ปา สิ่งที่พยายามหามาได้ด้วยตัวเองย่อมน่าภูมิใจกว่า นั่นสินะ…ผมต้องรอให้ได้ ต้องเชื่อในตัวของมัน

เพราะเราต่างก็รักอีกฝ่ายมากพอๆ กัน

“เอามือออกจากหัวลูกกูได้แล้วไอ้ตะไคร่น้ำ!” ดะ เดี๋ยว! นั่นด่าแล้วเหรอพ่อ!

ผมอ้าปากค้างกับคำเรียกขานของพ่อผมที่ใช้เรียกไอ้ปา บ้าจริง ไอ้ตะไคร่น้ำเนี่ยนะ? เหอะๆ ผมควรจะขำหรือช็อกดี สกิลการด่าของพ่อธรรมดามากครับ ว่างๆ ควรไปลับฝีปากกับไอ้แมวมันบ้าง ลูกคนเล็กพ่อนี่ปากจัดมาก คมกว่ากรรไกรจนผมสงสัยแล้วว่ามันได้ใครมา

“ครับๆ ขอโทษครับคุณอา” ไอ้ปาหัวเราะเบาๆ แล้วปล่อยมือออกจากหัวของผมทันที อดเสียดายความอบอุ่นที่หายไปไม่ได้

ไม่ได้สิ อดทนไว้ไอ้นก! อดทนเอาไว้ก่อน

“ไอ้แมว! ไอ้นก เข้าบ้าน!” ผมมองไอ้ปาตาละห้อย ส่วนไอ้แมงเดินไปกระชากจานที่อยู่ในมือไอ้ปาออกมา แถมท้ายด้วยการแยกเขี้ยวใส่ขู่เขาไปอีก

จ้ะ สูงแค่อกเขายังจะไปขู่เขาอีกกกก น้องผมนี่มันกล้าไม่กลัวขนาดตัวจริงๆ เห็นแล้วหดหู่ใจ ไม่รู้มันจะได้กินตีนจริงๆ วันไหน ใครสั่งสอนให้มึงห้าวขนาดนี้ หา!!!

“อย่ามายุ่งกับพี่นกอีกนะ ไอ้…” หืม? ไอ้อะไร ฟังไม่ชัด รีเพลย์อีกทีได้ไหม

“หึๆ”

คงไม่แรงมั้ง ไม่งั้นไอ้ปาคงไม่หัวเราะแบบนี้ เอาเถอะ ปล่อยๆ ไปก่อนค่อยไปถามมันวันหลังว่าไอ้แมวมันด่าว่าอะไร

“พี่นก! เข้าบ้านดิวะ จะยืนแดกยุงอีกนานไหม เร็ว!” ไอ้น้องสารเลว พูดซะกูกลายเป็นคางคกเลย ผมทำหน้าเซ็งใส่มันพร้อมกับส่งเสียงตอบกลับไปว่า…

“เออ!!” ผมเดินเข้าบ้าน แอบเหลือบมองข้างหลังตัวเองอยู่เป็นระยะๆ ไอ้ปาโบกมือให้ผมใบหน้ายังคงส่งยิ้มมาให้ ปากของมันขยับเป็นคำพูดที่ผมไม่ได้ยินเสียง แต่สามารถมองเห็นได้ และเข้าใจ แค่นั้น แค่นั้นผมก็ยิ้มแล้ว ยิ้มให้แก้มแม่งแตกตายไปเลยโว้ยยยย

“ยิ้มบ้าอะไรวะพี่นก ประสาทเหรอ?”

เหมือนมีพ่อคนที่สอง แม่ง…บังคับผมพอๆ กันเลย

ผมยังคงไม่สนใจ ยังคงเดินยิ้มเข้าบ้านโดยไม่ได้ตอบกลับมันไป ในหัวยังคงวนเวียนอยู่แต่กับปากของมันที่บอกคำพูดแสนธรรมดาๆ มาให้ผม แต่แปลกนะ เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำนี้กลับทำให้ใจของผมเต้นแรง ปากก็ไม่สามารถหุบยิ้มลงไปได้ เหมือนคนบ้าจริงๆ นั่นล่ะ แต่ทำไงได้ คงเพราะผมรักมันมากเกินไปนั่นล่ะ ถึงได้มีอาการแบบนี้ ก็ใครที่ไหนเขาถูกบอกด้วยคำธรรมดาๆ แล้วหุบยิ้มไม่ได้บ้าง คำพูดแค่ไม่กี่คำที่ว่า…

ฝันดีนะ ปารักนกมาก

ขอบใจนะปา ฝันดีเหมือนกันนะครับ แฟนของผม















หลังจากเข้ามาในบ้านเมื่อคืน พ่อกับน้องชายขอผมก็จัดการปิดล็อกประตูหน้าต่างบ้านเหมือนกลัวว่าโจรจะมาปล้นโดยมีผมที่ยืนมองตาปริบๆ อาการกระซิบกระซาบกันอยู่สองคนโดยกันผมออกมาอยู่วงนอกยิ่งทำให้ผมรู้สึก หมั่นไส้มากโว้ยยยยยย นี่คือเรื่องของผมนะ เรื่องของโผมมม พวกคุณสองคนจะกันผมออกมาไม่ให้รู้เรื่องรู้ราวไม่ได้

แต่พอขยับเข้าไปใกล้ พ่อกับไอ้น้องชายตัวดีของผมก็จะถลึงตาใส่ ขยับออกห่างเหมือนผมเป็นตัวเชื้อโรค สุดท้ายคืนนั้นพ่อกับน้องผมก็หารือกันเองอยู่สองคน ส่วนผมหลุดออกจากวงโคจรแทบจะทันทีทันใด ไร้ตัวจนถ้าไม่เข้าไปใกล้

พอกลับขึ้นไปบนห้องนอน ผมยังถูกน้องชายตัวดีจับผมยัดใส่ผ้าห่ม ส่วนตัวมันก็เดินสำรวจว่าหน้าตงหน้าต่างห้องล็อกแล้วเรียบร้อยไหม มีอะไรแปลกปลอมหลุดเข้ามาหรือเปล่า มันแทบจะรื้อห้องผมดูด้วยซ้ำ ผมล่ะอยากจะกลอกตาใส่เหลือเกิน

แต่อย่าคิดว่าแค่นี้จะจบ ไอ้น้องชายหน้าแมวของผมก็กระโดดขึ้นมานอนกับผมที่ร้อยวันพันปีมันก็นอนของมันคนเดียวในดงคิตตี้ยักษ์สีชมพูของมัน!

ใช่! มันมาเฝ้าผม! นี่ผมควรจะดีใจไหมครับ

“เฮ้ออ…” ผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เรื่องเมื่อคืนก็คือเรื่องเมื่อคืนเถอะ ตอนนี้ดีกว่า ขนาดตื่นมาเข้าวันใหม่ ผมยังไม่วายถูกขังอยู่ในบ้าน!

สาเหตุเพียงเพราะว่าไอ้ปามันมากดออดแต่เช้า พ่อกับไอ้แมวเลยจัดการแท็กทีมกันออกไปประจันหน้ากับไอ้ปา ประหนึ่งว่าข้าศึกบุกมาตีประตูเมือง ผมเองก็อยากจะหัวเราะ แต่มันก็หัวเราะไม่ได้ จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตา ชีวิตอันขื่นขมของผมดำเนินไปอย่างนี้อยู่กว่า3วัน

ทุกครั้งที่ไอ้ปายอมล่าถอยไป ผมจะเห็นพ่อและไอ้แมวขนของมากมายเข้ามาในบ้าน ปากก็บ่นขมุบขมิบฟังไม่ได้ศัพท์ แต่มือกลับเปิดถุงดูโน่นดูนี่ ตาก็จับจ้องเป็นมันจนผมอดใจไม่ได้ต้องถามออกไปว่าของใคร แล้วคำตอบที่ผมได้กลับมาคือ…

“ของไอ้ตะไคร่น้ำข้างบ้านนั่นไง”

เดี๋ยวสิพ่อ พ่อไม่ชอบมันไม่ใช่เหรอแล้วรับของมันมาทำไม??

เป็นแบบนี้อยู่ทุกครั้ง ครั้งล่ะสองเวลา เช้าเย็นเสมอเหมือนการทานยาหลังอาหาร ไอ้ปาก็ช่างขนมาเหลือเกิน พ่อเองก็หน้าบานตอนได้เห็นของข้างใน ไอ้แมวยิ่งแล้วใหญ่วิ่งกรี๊ดลั่นบ้านเพราะไอ้ปาดันซื้อคิตตี้อลิมิเต็ดอิดิชั่นให้มัน ทุกวันนี้ก็โน้นล่ะครับ เข้าไปกองอยู่ในห้องมันโน้น

ละเหี่ยใจ

“นก…”

เมื่อไหร่พ่อกับแฟนผมจะดีกันสักที ขี้เกียจยืนเป็นกรรมการห้ามมวยแล้วนะ

“ไอ้นก…”

“หืม?” ใครมาเรียก? เสียงคุ้นหูทำให้ผมหันไปมองทางหน้าบ้านตัวเอง ถึงได้เห็นไอ้ปายืนเกาะประตูรั้วด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ผมยิ้มออกเลยครับ ไม่ได้เจอตั้งหลายวันโคตรคิดถึงมันเลย

“ไอ้ปา!” ผมเผลอเรียกมันเสียงดังด้วยอาการดีใจ ปากฉีกยิ้มกว้างแทบจะถึงหู รีบถลาตัวไปหามันหน้าบ้านทันทีเมื่อหันไปมิงรอบตัวแล้วมั่นใจว่าพ่อกับไอ้แมวคงไม่ออกมาแน่ๆ

รู้สึกเหมือนลักลอบเป็นชู้กันเลยว่ะ ไม่ดีๆ

“คิดถึงมึงจังนก” แหม…มาถึงก็ป้อนคำหวาน สมกับเป็นมันจริงๆ ผมหัวเราะแก้เขิน ยอมรับเลยว่าเขินมากแม้ว่าจะเป็นคำพูดดาษดื่นทั่วๆ ไป แต่ด้วยอาการดีใจและสุขใจมันทำให้ผมหัวใจพองโตไม่ได้

คิดถึง สองคำนี้ฟังกี่ทีก็ดีต่อใจ

“มึงมาได้ไง ไม่กลัวว่าจะไม่ได้เจอกูเหรอ?” ไอ้ปายิ้มขำแล้วส่ายหน้า

“ไม่ ไม่เคยกลัวเลย วันนี้ไม่เจอ พรุ่งนี้ก็มาใหม่ จะมาจนกว่าเจ้าของบ้านจะยอมให้เจอลูกเขา” ผมกัดปากก้มหน้าลง เหมือนถูกจีบยังไงไม่รู้

“มึงไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้นะ”

ทำไปขนาดนั้นบางทีมันอาจจะเสียเปล่า พ่อกูอาจจะไม่ยอมรับพวกเราก็ได้

“ทำไงได้วะ กูรักลูกเขาไปแล้วนี่” ผมอมยิ้มแก้มจะแตกตาย เขินจนตัวบิดยืนม้วนเป็นเลขแปดอยู่หน้ารั้วบ้านจนคนขับรถผ่านไปผ่านมานึกว่าคนบ้าคุยกัน ไอ้ปามองผมด้วยสายตาอ่อนโยนเสมอ แม้มันจะเจ้าอารมณ์แต่ก็อ่อนโยนอยู่มาก มันทำเพื่อผมหลายอย่าง พอมานึกย้อนดูแล้วก็อดรู้สึกขอบคุณมันไม่ได้

“ปา”

“ครับ?”

“ขอที่กูคืนให้มึง กูคืนให้จริงๆ นะ แต่กูรู้สึกขอบคุณมากๆ ที่มึงทำให้กูขนาดนั้น ทุกอย่าง” มือขอมันเอื้อมมาประคองใบหน้าของผมให้เงยขึ้นมาสบตา

“ของพวกนั้นกูให้มึง แต่ถ้ามึงจะคืนก็ไม่เป็นไร” มันยิ้มกว้างจนผมแสบตา ไม่ใช่ความฝัน ไอ้ปาที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้คือของจริง มันคือคนที่ยังไงก็ทำให้หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ มันเป็นคนที่แค่คำพูดเพียงไม่กี่ทำก็สามารถทำให้ผมละลายได้

เป็นมัน ต้องเป็นปาเท่านั้นใจผมจึงจะมีปฏิกิริยา ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายทำงานหนักทุกครั้งที่มีมันอยู่ใกล้ๆ

แต่แม้จะเป็นแบบนั้น ผมกลับ…ชอบที่มีไอ้ปาอยู่ ชอบที่เรามีกันและกัน

“เพราะยังไงต่อไปนี้มึงก็มีของที่ห้องกูให้ใช้อยู่แล้ว”

หมายความว่าไง?

“กูไม่เข้าใจ” ผมขมวดคิ้วเป็นปม ส่วนไอ้ปาหัวเราะร่าอย่างมีความสุข ฝ่ามือสองข้าที่ประคองหน้าผมเอาไว้ก็ออกแรงจนแก้มผมจนปากยู่ ก่อนจะนวดมันเบาๆ ไปมาอย่างสนุกมือ

นี่แก้มนะ ไม่ใช่ก้อนแป้ง จะนวดทำซากเห็ดอะไร

“ก็หมายความว่า ต่อไปนี้มึงก็จะเป็นแฟนกูอย่างเต็มตัว อยู่กับกู ของทุกอย่างเราจะใช้มันร่วมกันไงล่ะ”

ไม่แบ่งแยก ไม่ต้องกลายเป็นคนอื่น เราสองคนใช้ร่วมกัน คำนี้มันช่าง…

“ปล่อยมือออกจากหน้าลูกกูเลยนะไอ้เวร!”

เฮือก!

สะดุ้งสิครับ เสียงเข้มมาขนาดนั้นผมก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา ไอ้ปายอมละมือออกจากหน้าผมอย่างช้าๆ เหมือนไม่อยากจะเอามือออกไปตามคำสั่ง ซึ่งผมเองก็โหยหามือคู่นั้นเองเช่นกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบจากพ่อ ไอ้ปาต้องการจะฝ่าฟันมันเพื่อผม จึงได้ยอมถอยห่างตามที่พ่อของผมต้องการ

ผมเองก็จะต้องเข้มแข็ง อดทนรอให้มันทำสำเร็จ เราสองคนก็จะสามารถมีกันและกันได้เสียที

“สวัสดีครับคุณอา” ไอ้ปายกมือขึ้นไหว้พ่อผมอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพ่อผมอยู่ในระดับอันตราย

“เอากองไว้ตรงนั้นล่ะ!”

กองทำไม เกะกะหน้าบ้าน ทีเขามาไหว้ล่ะกองไว้ ไอ้ของที่ขนๆ เข้าบ้านไปทำไมพ่อไม่บอกให้มันกองเอาไว้บ้างล่ะ หรือพ่อผมบอกมันไปแล้ว??

“คุณอายังสุขภาพแข็งแรงดีเหมือนทุกวันเลยนะครับ” มันพูดยิ้มๆ ส่วนพ่อผมนี่คิ้วกระตุกไปแล้วครับ คาดว่าต่อจากคิ้วคงจะเป็นตีน

“เออ! กูไม่ตายง่ายๆ หรอก อย่าหวังจะมาคาบอะไรในบ้านกูไปแดกได้”

เดี๋ยวนะพ่อ นั่นคนหรือจระเข้ ต้องลักลอบเข้าบ้านมาคาบอะไรไปแดก

แต่ไอ้ปาไม่ได้สะทกสะท้านใดๆ ยืนยิ้มกริ่มอย่างพอใจด้วยท่าทางสบายอารมณ์ ผมนี่โคตรอยากจะยกนิ้วให้ อยากจะปรบมือดังๆ แล้วตะโกนออกไปว่ามึงโคตรเก่ง เห็นแบบนี้แต่พ่อผมขึ้นชื่อว่าดุมาก อาจจะไม่ถึงกับพิบูลแต่ก็พอจะเข้าขั้นล็อตไวเลอร์ได้

เอ่อ นรกจะกินหัวผมไหม?

งั้นเอาใหม่ดีกว่า ที่ไอ้ปาเจออยู่นี่เรียกว่าเบาะๆ พ่อผมตอนไปต่อยกับผู้ชายที่มาตามจีบแม่นะ หูยยย อย่าให้พูดเลย แทบจะตายคาตีนพ่อผมด้วยซ้ำ ไอ้หมอนั่นนะรู้ทั้งรู้ว่าแม่ผมมีผัวแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด ยังตามมาส่งขนมจีบถึงบ้าน พ่อผมก็ปรี๊ดแตก ลากแม่งไปต่อยกันหน้าบ้านประกาศศักดาให้คนอื่นๆ รู้ไปเลยว่า ใครกล้ายุ่งกับเมียกูก็จะหน้าแหกแบบไอ้เหี้ยนี่ล่ะ

ผมโคตรชอบเลยตอนนั้น จำได้เลยว่าชาวบ้านแทบจะขยาดพ่อผมไปเลย เวลาเดินผ่านก็หลีกทางให้ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวประหนึ่งเจ้าถิ่นที่พร้อมจะบวกเมื่อมีคนสด ไอ้ผมที่เคยถูกแกล้งสารพัด พอเรื่องพ่อผมกระจายเป็นวงกว้างในบรรดาผู้ปกครอง ผมก็อยู่สุขสบายขึ้นมาทันที ถึงจะมีเพื่อนไม่มากแต่ก็พอจะหาได้ ยกตัวอย่างเช่นไอ้เพียว พี่ชายเพื่อนไอ้แมวนั่นก็คนหนึ่ง กอดคอกันมาตั้งแต่เด็ก ถึงจะไม่ค่อยได้อยู่ห้องเดียวกันแต่มันก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีเลยล่ะ

ส่วนพี่กุ้งพี่ชายเพื่อนไอ้แมวอีกคนหนึ่งนั้นเป็นรุ่นพี่ผมกับไอ้เพียว ผมกับไอ้เพียวเลยไม่ได้รู้จักมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยคุยกัน คือรู้จักแต่ไม่สนิท คุยได้แต่ไม่ใช่คนสำคัญประมาณนี้มากกว่า

กลับมาเข้าเรื่อง ก่อนจะมีใครตาย

“ผมก็เชื่อว่าคุณอาจะอยู่อีกนานครับ น่าจะอยู่จนถึงวันที่ได้อุ้มลูกของผมกับนก”

“อุ แค่กๆ” ผมสำลักน้ำลายตัวเองจนหน้าดำหน้าแดง ส่วนพ่อผมหน้านี่เปลี่ยนจากโกรธเป็นอึ้ง จากอึ้งเป็นช็อก ก่อนจะเปลี่ยนจากช็อกเป็นโกรธจัด

มันพูดบ้าอะไรของม้านนนนนน!!!





50%



ปาาาาา!!! นั่นมันพ่อตานะลูก!! เดี๋ยวก็อดได้ลูกสาว แค่กๆ ลูกชายของเขาหรอก โอ้ยย แมวจะเป็นลม ขอยาดมหนอ่ยค่ะทุกคนขาาา

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่15.นกกับการรักษา 50% up. 10/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 10-01-2020 23:11:40
นกที่ว่าเพี้ยนแล้วนะ มาตอนนี้เจอปาเข้าไป คิดไม่ออกเลยจริง
พ่อก็ทำมึนๆ ไปก่อนละกัน มึนจนกว่าปาจะหาของฝากที่ถูกใจ
 :jul3: :jul3: :jul3:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่15.นกกับการรักษา 50% up. 10/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 11-01-2020 00:53:28
อีปาก็เพี้ยนน
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่15.นกกับการรักษา 100% up. 11/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 11-01-2020 20:25:50
“ไอ้เวรนี่!!”

“ดะ เดี๋ยวๆ พ่อ พ่อจ๋า นกหิ๊วววหิว ไปหาอะไรกินในบ้านกันเถอะ นะๆ” ผมทั้งกอดทั้งรั้งตัวพ่อเอาไว้เพราะกลัวว่าพ่อกับแฟนตัวเองจะวางมวยกันหน้าประตูรั้วบ้านนี่ล่ะ

“หึๆ ขอโทษครับคุณอา ผมแค่พูดเล่นเท่านั้นเองครับ” ไอ้ปายกมือขึ้นไหว้ขอโทษพ่อผม แต่รอยยิ้มใบหน้าของมันดูจะติดขำมากกว่า คงจะชอบเห็นพ่อผมเดือดจนควันขึ้นหัว แต่ด้วยความที่ยังไม่สามารถเข้าใกล้ผมได้มันเลยต้องยอมๆ พ่อผมไปก่อน

อืม หรือผมอาจจะคิดไปเอง

“ไปไอ้นกเข้าบ้าน!” แล้วพ่อก็กระชากลากคอเสื้อผมให้เดินตามกลับไปเข้าบ้านทันที ผมมองไอ้ปาที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยแววตาเสียดาย เพิ่งจะได้คุยกับมันแค่นิดเดียวเอง พ่อก็ออกมาไล่มันเสียแล้ว ไอ้ปามือขึ้นโบกให้ผม ผมเองก็ยิ้มเหงาๆ โบกมือคืนไปให้มัน

ครั้งที่สองแล้วที่มันต้องยืนมองผมจากด้านหลัง เราสองคนต่างคนต่างก็เหงาไม่ต่างกันเลย ต่างคนต่างก็คิดถึงกัน ผมดีใจนะครับ เพราะเมื่อเป็นแบบนั้นก็ย่อมหมายความว่าผมสามารถรักมันได้จริงๆ

ค่อยๆ คลายไปทีละอย่างก็ได้ ผมรอได้อยู่แล้ว

มึงก็ต้องรอให้ได้นะปา ตอนนี้อาจจะเป็นเรื่องของพ่อกู ครอบครัวกู

แต่วันหน้า…ขอให้มึงคลายความสงสัยในตัวมึงให้กูบ้างนะ กูจะได้รักมึงอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

โป๊ก!

“โอ๊ย! พ่อ!” เจ็บนะ หัวคนนะเนี่ย

“แรดนะเดี๋ยวนี้ เอ็งยังใช่ลูกชายข้าอยู่ไหม!” ผมยู่ปากใส่พ่อที่ขึงหน้าขึงตาใส่ผม เก๊กว่าเข้มให้ตัวเองดูน่าเกรงขาม แต่เอาเถอะ เห็นพ่อพยายามขนาดนั้น ผมจะทำเป็นกลัวเอาหน่อยก็ได้

“แรดที่ไหน นี่ลูกชายพ่อเหมือนเดิมนั่นล่ะ” มนุษย์ต่างดาวโคลนนิ่งมาก็ไม่เหมือนนกต้นฉบับหรอก เฮอะ! ไม่อยากจะคุย พ่อถึงกับยกมะเหงกขึ้นมาอีกรอบ ตั้งท่าจะเขกลงมาบนหัวผมอีกรอบจนผมต้องยกมือขึ้นป้องไว้ หดหัวหดคอกลัวแรงที่จะส่งลงมา

“เป็นลูกชายข้าจริง มีเหรอที่เอ็งจะเดินไปให้ผู้ชายแตะเนื้อต้องตัวง่ายๆ แบบนั้น” ผมกะพริบตาปริบๆ

นี่ผมง่ายเหรอ?

“ผมง่ายเหรอพ่อ?” พ่อทำท่าทางฉุนกึก มองค้อนผมเสียวงใหญ่ตามด้วยน้ำเสียงกระแทกใส่อย่าหมั่นไส้

“เออ! เอ็งมันแรด! แรดไม่พอยังจะง่ายอีก! ข้าล่ะเจ็บใจจริงๆ มีลูกชายแทนที่จะแต่งเมีย กลับแต่ผัว!”

แต่งผัว! ใครจะไปแต่งผัวกัน นี่พ่อผมเข้าใจผิดไปถึงไหน

“ใครบอกพ่อกัน ไอ้ปามันเป็นว่าที่ลูกสะใภ้พ่อต่างหาก ผมนี่ล่ะผัวมัน” ต้องแก้ความเข้าใจผิด ตำแหน่งนี้ผมไม่มีทางยอมเปลี่ยนแน่!

อย่างอื่นช่างมัน แต่เรื่องการอยู่บนอยู่ล่างนี่ผมจริงจัง! ผมไม่มีทางยอมโดนเสียบหรอก

อะไร! ตอนนั้นผมแค่ตกใจเลยลืมสู้กลับ อีกอย่างไอ้ปาแค่ใส่เข้ามานิ้วเดียวเอง ไม่นับสิ! ไม่นับบบบบ

ตำแหน่งผัวมันเป็นของผม คนอื่นอย่าหวัง!

“เฮอะ! เอ็งนี่นะผัวมัน ข้ายอมกินเลือดไก่สดๆ ทั้งชามเลยถ้ามันเป็นเมียเอ็ง” ผมโกรธแล้วนะ! ทำไมพ่อสบประมาทผมแบบนี้ล่ะ ฮึ่มมมม!!

“พ่อคอยดู วันนี้ล่ะ ผมจะทำให้มันเป็นเมียผมแน่นอน!” ไอ้นกคนนี้ถึงจะผอมแห้งตัวบาง แต่ก็เป็นผู้ชายนะ จะสู้แรงผู้ชายด้วยกันไม่ได้ก็ให้มันรู้ไปสิ!

โป๊ก!

“เอ็งอย่ามาหัวหมอไอ้นก! ข้าไม่ได้โง่ เรื่องอะไรจะต้องรอดูในเมื่อข้าไม่ให้เอ็งไปหามัน”

เออวะ ผมลืมเลย

“เอ้า ก็พ่อไม่เชื่อนี่ ผมก็จะไปพิสูจน์ให้พ่อดูไงว่า แม้จะมีแฟนเป็นผู้ชาย ผมก็ยังอยู่ในตำแหน่งผัวไม่มีเปลี่ยน” พ่อกวาดตามองผมทั้งตัวแล้วร้องเฮอะ! ออกมา อะไร? เฮอะทำไม ก็ผมพูดความจริง

“ฝันไปเถอะเอ็งน่ะ แต่ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนข้าก็ไม่ให้เป็น! เรื่องอะไรข้าจะต้องยอมรับไอ้คนที่มันทำลูกข้าร้องไห้ด้วย!” ผมชะงัก กะพริบตาปริบๆ มองพ่ออย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

นี่พ่อเป็นห่วงผมงั้นเหรอ พะ พ่อก็รักผมใช่ไหม!

“พ่อออออ!!” ผมโคตรดีใจเลย พ่อรักผมล่ะ พ่อก็รักผม!!! โฮๆ ใครก็ได้ หุบยิ้มให้ผมที ตอนนี้ปากผมแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว

“หยุดเลยนะเอ็ง ก้าวเข้ามาข้าเขวี้ยงพระใส่จริงๆ ด้วย!” เอ่อ มีพ่อบ้านไหนขู่ลูกด้วยพระบ้างวะ

ปิ๊งป่องงงง บ้านผมไง

“พ่อก็! ซึ้งได้ไม่เท่าไหร่เอง แล้วใครเขาขู่ลูกชายผู้แสนหล่อเหลาด้วยพระกันบ้างเนี่ย” พ่อผมเชิดหน้าขึ้น จิกตามองผมด้วยท่าทางที่โคตร…ดี ดีจ้าดี ทำต่อไปจ้า

“ข้านี่ไงล่ะ ไม่เคยเห็นใช่ไหม กราบข้าสิเอ็งจะรออะไร” ผมตาลุกวาว วิ่งไปหยิบของบางอย่างออกมาจากลิ้นชักตู้ของแม่ แล้ววิ่งกลับมาหาพ่อ คุกเข่าลงไปกอดขาแน่นๆ

“พ่อออออ พ่อเมพขิงๆ เลย โอ้โห!”

แปะๆ

“ดีมาก เดี๋ยว..นั่นเอ็งทำอะไรวะไอ้นก เฮ้ย! เอ็งเอาอะไรมาทาขาข้าวะ!” ทาไม่พอหรอก เรียกว่าทายังน้อยไป ผมพอกเลยต่างหาก ขาพ่อผมตอนนี้ขาวจนเกือบจะมองไม่เห็นผิวหนัง

อืม…น่าจะได้แล้วนะ

“โอ๊ยๆๆ ไอ้เวร! จะถูกหาบิดาเอ็งเรอะ!” ผมเงยหน้าขึ้นจากขาพ่อมองหน้าพ่ออย่างไม่เข้าใจ แต่มือผมก็ยังไม่หยุดถูๆ ที่ขาข้างนั้น

“หาทำไมก็พ่อยืนให้ผมถูอยู่นี่ไง”

“ข้าประชด! หยุดถูขาข้าสักที! เอ็งจะถูให้มันได้อะไรขึ้นมา!” พ่อพยายามจะดึงขาออกจากการกอดของผม ทั้งสะบัด ทั้งถีบ แต่ผมเหนียวแน่น ยังคงขูดๆ ถูๆ ต่อไป

“เดี๋ยวพ่อ เดี๋ยวก่อน เผื่อมันจะขึ้น”

คิดว่าพ่อจะฟังที่ผมพูดงั้นเหรอ เปล่าเลย พ่อยิ่งทั้งสะบัดทั้งถีบผมเข้าไปใหญ่

“อุก…พ่อ! ละ ลูก ลูกผม โอยย” ผมเอามือออกจากการขูดหาเลขจากขาพ่อผมทันทีแล้วเอามากุมลูกชายผมแทน หน้าเขียวเลยครับ พ่อเล่นเหยียบไอ้นกน้อยเต็มแรงไม่กลัวการสูญพันธุ์ของครอบครัวเราเลยแม้แต่น้อย

อ้อ! ไอ้ปาไม่มีมดลูกนี่นา ลืมไปเลย

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องใช้งานนะ! ต้องใช้มันสร้าความสุขให้กับว่าที่ลูกสะใภ้บ้านเราอย่างไอ้ปา ทำแบบนี้ไอ้ปามันต้องนอนร้องไห้แน่ๆ ใบหน้าผมบิดเบี้ยว ทั้งจุกทั้งเจ็บจนลุกไม่ขึ้น แถมยังมีสายตามองเหยียดเยาะเย้ยของพ่อที่ส่งมาอีก นี่ตกลงแล้วพ่อรักผมบ้างไหม!! ทำไมทำร้ายร่างกายของผมขนาดนี้!!

น้อยใจ! มันน่าน้อยใจจริงๆ

“เฮอะ! ข้าจะกำจัดมันทิ้งให้ ถ้าเอ็งยังคบกับไอ้สัตว์น้ำประเภทกินเนื้อนั่นก็ตัดทิ้งไปซะ! เอ็งไม่ได้ใช้แน่นอน!” ดูสิดู!! ดูพ่อผมพูด มีที่ไหนแช่งให้ลูกถูกเขาเสียบ

“ใจร้ายยยยยยยย” แต่พ่อไม่ได้แยแสกับน้ำตาปลอมๆ ที่คลออยู่ในตาผมเลย พ่อสะบัดตูดเดินหนีขึ้นไปข้างบนแล้ว ส่วนผมก็ยังนั่งไว้อาลัยให้กับน้องนกน้อยลูกชายสุดรักสุดหวงของผม โธ่…ผงาดอยู่เมื่อกี้ ต้องมานอนตายเป็นมะเขือเผาเสียแล้ว น่าสงสารจริงๆ ฮือๆ

จะว่าไปพ่อก็ขึ้นไปแล้ว แอบย่องไปหาไอ้ปาดีกว่า หึๆ

“ไอ้นก ถ้าข้าเห็นเอ็งแรดออกไปหาผู้ชายอีก ข้าจะจับเอ็งตอน!!”

เซ็ง…รู้ทันทุกที















ผมถูกจับตามิงอย่างใกล้ชิดชนิดที่แค่เดินไปขี้ก็ต้องมีคนตามไปเฝ้าเพราะกลัวว่าผมจะแอบหนีออกไปหาไอ้ปา ผมล่ะปวดหัวเหลือเกิน นี่พ่อกับไอ้แมวคิดว่าผมจะจับตัวเองลงชักโครกแล้วกดน้ำลงไปหรือไง ห้องน้ำหน้าต่างมันก็เล็กนิดเดียว ขนาดเท่าแมวลอดเข้ามาได้มั้ง แล้วนี่พ่อกับน้องผมคิดไปได้ยังไงว่าผมจะหนีออกไปได้น่ะ

แถมเวลาจะขี้ยังมีคนมายืนจ้อง มามองกดดัน

ใครมันจะไปขี้ออกวะ!!!

ผมทั้งอึดอัดพ่อกับน้อง ทั้งอึดอัดกับการอั้นอึจนป่านนี้ขยายเผ่าพันธุ์เป็นดาวใหม่ในลำไส้อยู่แล้ว พอไม่สะดวกใจจะถ่ายของเก่าทิ้งก็กลายเป็นว่าของใหม่ก็กินไม่ลง ผมก็โดนเฉ่งมาอีกรอบ หาว่าประชดชีวิตรักที่ถูกขัดขวางด้วยการอดข้าว หนำซ้ำไอ้น้องชายตัวดีก็ยังทำเหมือนผมเห็นแฟนดีกว่าสภาพร่างกายตัวเอง งอนผมจนสะบัดตูดใส่ตั้งหลายรอบ

มันไม่ใช่ไง ไม่เข้าใจเหรอว่าผมไม่ได้ขี้!!!

ปวดทั้งหัว ปวดทั้งท้อง ถ้าจะวิ่งเข้าห้องน้ำไม่แคล้วคนใดคนหนึ่งต้องวิ่งตามผมมาแน่ๆ แล้วกูก็ไม่ได้ขี้อย่างมีความสุข

อยากร้องไห้จัง ทำไมชีวิตของผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ฮือๆ

“ถ้าพี่ลุกไปห้องน้ำ แกจะทำไง?” ผมบิดซ้ายบิดขวาพยายามหยุดยั้งเผ่าพันธุ์ในร่างกายไม่ให้ออกมายึดพื้นที่โลกในตอนนี้ ไอ้น้องชายตัวดีก็เหลือบมองผมประหนึ่งว่าช่างกล้าถามเรื่องแบบนี้ออกมาได้

ผมน่ะช่างกล้าถามมันออกไป แต่มันน่ะช่างกล้าเข้าไปเฝ้ากูขี้!

“พี่อยากให้ทำยังไง?” เออดี มีการย้อนถามกูกลับมาอีก เจริญเถอะน้องผม แต่ก็ดี บางทีเราอาจจะคุยกันได้

“พี่อยากให้แก…รออยู่ข้างนอก ได้ไหม” ขอเถอะ ช่วยรอให้ผมล้างกงล้างก้นเสร็จเรียบร้อยค่อยเข้าไป ผมไม่สะดวกใจ ไม่สะดวกใจมากๆ ด้วย!!

“อะไร! นี่พี่คิดจะหนีไปหาไอ้หน้าหล่อข้างบ้านเราใช่ไหมถึงไม่อยากให้ผมเข้าไป!” ผมอยากจะร้องไห้ ไอ้แมวมันโกรธเป็นจริงเป็นจังมาก เหมือนผมเอาน้องคิตตี้ของมันมาผ่าแยกชิ้นส่วน

“ไม่ เอ่อ แกจำห้องน้ำเราได้ไหม” ไอ้แมวชักสีหน้า นั่งกอดอกทำแก้มป่องใส่ผมอย่างน่าหมั่นไส้

“จำได้ ใครบ้างจะลืมห้องน้ำบ้านตัวเอง พี่ก็ช่างถามอะไรโง่ๆ นะพี่นก” เออ กูผิดเอง ผมกลอกตาไปมาอย่างช่วยไม่ได้

เครียดโว้ยยยยย!!!

“แล้วแกเห็นทางไหนที่พี่ชายแกคนนี้มันจะพอสอดตัวเข้าไปได้บ้างวะ!” ช่วยใช้สมองอันชาญฉลาดหน่อยเถอะ ขอร้องล่ะนะน้องรัก แต่ไอ้แมวกลับยักไหล่

“ใครจะไปรู้ พี่อาจจะแปลงร่างเป็นขยะแล้วลอยออกทางหน้าต่างไปก็ได้”

ในใจผมเจ็บแปลบๆ รู้สึกเหมือนอีกนิดเดียวจะกระอักเลือดตายอยู่ตรงหน้ามัน พ่อก็ขู่จะเอาพระเขวี้ยงใส่ผม ส่วนน้องชายก็บอกว่าผมจะแปลงร่างเป็นขยะ

นี่สรุปผมยังเป็นคนอยู่ไหมครับ??

ทั้งน้องทั้งพ่อนี่รักผมกันฉิบหายเลย รักผมเหลือเกินจ้าาา

“แปลงร่างเป็นขยะอะไร หน้าตาแบบนี้เป็นดารายังได้เลย” ผมไม่ได้มั่นอกมั่นใจว่าหล่อเหลาอะไรหรอก แต่เห็นแล้วหมั่นไส้ อดปากไม่ได้จริงๆ

“เหอๆ อย่างพี่นกเนี่ยนะเป็นดารา เดินผ่านกล้องเขายังไม่เอาเลย” โห ดูถูกๆ แบบนี้ผมปรี๊ดเลยครับ!

“ทำไมๆ พี่มันทำไมห๊ะ!!” ฟังแล้วฉุน ถึงขะไม่ได้คิดว่าตัวเองหล่อ แต่ก็ไม่ได้หมดความรู้สึกรู้สาจนมีคนมาด่าแล้วยังยิ้มสบายใจได้หรอกนะ!

“ไม่ทำไม ดาราเขาเอาแต่คนที่เจ้าบทบาท อย่างพี่แค่เดินผ่านกล้องยังแข็งเลย ไปเป็นดาราไม่ได้หรอก ไม่มีทางๆ” ถ้าผมฆ่าน้องชายตัวเองผมจะสามารถหนีรอดจากการถูกจับไหม ผมอยากฆ่ามันชะมัดเลย

แต่แล้วเสียงดังจากหน้าบ้านก็ดึงเอาความสนใจจากผมไปทั้งหมด ผมกับไอ้แมวหันไปมองทางต้นเสียง แต่จุดที่เรายืนอยู่นั้นไม่สามารถจะมองเห็นได้ เสียงที่ผมได้ยินชัดๆ คือพ่อของผมเอง แต่กำลังทะเลาะกับใครล่ะ?

อย่าบอกนะว่า...

“ไอ้แมว! ไปเร็ว!” ผมเตรียมถลาจะไปหาพ่อทันที แต่กลับถูกไอ้แมวดึงรั้งเอาไว้

“ไปไหน? พี่จะไปไหนเนี่ย??”

“แกไม่ได้ยินหรือไง เสียงพ่อดังอยู่ข้างนอกนั่นน่ะ” ไอ้แมวสีหน้าเรียบเฉยแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

อะไร? เกิดอะไรขึ้น? ไอ้แมวมันรู้อะไร???

“ผมได้ยิน แต่พี่ออกไปไม่ได้” คิ้วของผมขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

“ทำไม?”

“พี่นก พี่คิดว่าพ่อจะยืนด่าใครอยู่ล่ะ คิดว่าทำไมผมถึงต้องมานั่งเฝ้าพี่แบบนี้” ทุกสิ่งหยุดชะงักไปสำหรับผม สมองเริ่มทำงานประมวลผลขึ้นมาทันที ถ้าหากพ่อผมอยู่ข้างนอก เหตุผลที่ไอ้แมวยังอยู่เฝ้าผมแบบนี้นั่นต้องหมายความว่า คนที่อยู่กับพ่อผมก็คือ…

“ไอ้ปาเหรอ? ไอ้ปามันมา?” แมวมันพยักหน้า หรี่ตามองอาการดีใจของผมด้วยความไม่ชอบใจนัก

“ใช่…พ่อบอกให้ผมเฝ้าพี่ และพี่ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปหามัน”

ไอ้ปามันมา ผม…ผมิยากไปหามันจัง อยากเห็นหน้า อยากคุยกับมัน ผมรู้ว่าเรื่องของเรายังไม่ได้ทำให้มันมั่นคง ยังมีเรื่องของน้องเบญที่ผมยังปักใจเชื่อมันเต็มร้อยไม่ได้ แต่ตัวผมเองก็ไม่สามารถห้ามหัวใจไม่ให้มันเต้นแรงเวลาอยู่กับมันไม่ได้ ยิ่งเราห่างกันแต่ไม่ไกลกัน มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกคิดถึง อยากพบ อยากคุย อยากเจอมันใจจะขาด

“พี่นก ผมถามจริงๆ”

“ถามอะไรล่ะ?” ผมหันไปมองไอ้แมวอย่างไม่เข้าใจ สีหน้าของมันแปลกๆ เหมือนมีอะไรสักอย่างที่ติดอยู่ในใจ

“พี่กลับมาเพราะหมอนั่นใข่ไหม หมอนั่นทำให้พี่เจ็บใช่หรือเปล่า มัน…นอกใจพี่เหรอ”

นอกใจเหรอ หึๆ จะเรียกแบบนั้นได้ไหมนะ

“ไม่ใช่เสียทีเดียวหรอก อา จะว่าไงดี พี่คบกับมันแล้วมารู้ทีหลังว่ามันหมั้นแล้ว เลยคิดว่าตัวเองถูกไอ้ปามองเป็นของเล่น” สีหน้าของไอ้แมวเริ่มย่ำแย่ ดวงตาของไอ้แมววาววับด้วยความโกรธ

“แล้วทำไมพี่ยังไปดีกับไอ้หมอนั่นอีก! พี่ไม่เข็ดหรือไง!” ผมเข้าใจที่น้องโกรธ น้องเป็นห่วงผม และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ทั้งการกระทำของพ่อและของน้องชาย ต่างทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ

“ไม่ใช่ไม่เข็ด ตัวพี่เองก็เจ็บ แต่เพราะมันบอกว่าจะพิสูจน์ให้พี่เห็นว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่อย่างที่พี่คิด ไอ้ปาน่ะ มันบอกพี่ว่ามันถอนหมั้นไปแล้ว ที่หมั้นกันก็เพราะผู้ใหญ่จัดการ ไม่ใช่สิ่งที่มันต้องการ”

“แล้วพี่ก็เชื่อเหรอ! พี่โง่หรือเปล่า” ผมส่ายหน้าไม่ได้โกรธหรือรู้สึกอะไรกับคำต่อว่าของน้อง เพราะรู้ดีว่ามันเป็นห่วง

“ไอ้แมวฟังนะ พี่ไม่ได้เชื่อ แต่รอให้มันพิสูจน์มากกว่า ถ้าหากพี่หลับหูหลับตาบอกไปว่าไม่มีวันเชื่อ ไม่ต้องพิสูจน์อะไรมา แกสามารถบอกพี่ได้เต็มปากไหมว่าพี่จะไม่เสียใจในสิ่งที่เลือก?”

“ผม…” ไอ้แมวชะงักไปทันที แววตามันดูสับสน

“แกสามารถรับรองได้ไหมว่า มันโกหกพี่จริงๆ ว่ามันไม่มีการพิสูจน์อะไร” ไม่หรอก ไม่มีใครรับรองได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นคืออนาคต ผมแค่เลือกในสิ่งที่คิดว่า โอเค ต่อให้เจ็บ อย่างน้อยก็จะได้รู้ไปว่า มันไว้ใจไม่ได้อีก ถึงตอนนั้น ผมกับมันจะลาขาดชนิดที่ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีวันได้เจอกัน

“ผม…ผม” ผมถอนหายใจกับคำว่าผมซ้ำๆ ของมันแล้ววางมือลงบนไหล่

“พี่รู้ว่าแกห่วงพี่ แต่เชื่อเถอะถ้ามันโกหกพี่ล่ะก็ พี่จะกลับมาแล้วไม่มีวันให้มันได้เห็นหน้าอีกแน่นอน!” ไอ้แมวมองสบตาของผม มองความรู้สึกจริงๆ ในแววตา ซึ่งผมรู้ว่ามันเองก็ไม่อยากยอมรับหรอก ไอ้แมวกัดริมฝีปากแล้วเอามือขยี้หัวตัวเองแรงๆ

“โธ่เว้ย! ก็ได้ๆ ออกไปดูใช่ไหม ผมออกไปด้วยก็ได้!” ไอ้แมวพูดอย่างหัวเสีย ส่วนผมได้แต่หัวเราะกับท่าทางน่ารักของน้องชายตัวเอง งุ่มง่ามแต่ก็ซื่อตรง แถมยัง…รักผมสุดๆ

นี่ล่ะเรื่องดีๆ ของผม

สุดท้ายผมก็เดินออกมาจากในบ้านพร้อมกับไอ้แมว แม้จะมีทีท่าฮึดฮัด แต่ก็ยอมเดินมาพร้อมกันโดยไม่บ่นอะไร ผมมองไปที่แผ่นหลังของพ่อ ระหว่างพ่อกับไอ้ปามีรั้วกั้นอยู่ ผมไม่เห็นสีหน้าของพ่อ แต่ไอ้ปาผมเห็นได้ชัดเจน มันยืนนิ่งให้พ่อผมด่าอยู่อย่างนั้นไม่คิดจะเถียงอะไรสักคำ แต่พอเห็นว่าผมมามันก็มองมาที่ผมแล้วยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง

“เอ็งมาทางไหนก็กลับไปเลยนะ! ข้าไม่มีทางยกลูกชายสุดที่รักของข้าให้เอ็งหรอก!”

สะ สุดที่รักเหรอ นี่พ่อเรียกผมว่าลูกชายสุดที่รักของพ่องั้นเหรอ!

ดีใจจัง ดีใจชะมัด ดีใจฉิบหายเลยโว้ยยยยยย

“พ่อ! ผมเป็นลูกสุดที่รักจริงหรือเปล่า จริงไหมๆ” ผมกอดเอวพ่อเอาไว้เล่นเอาพ่อสะดุ้งสีหน้าเปลี่ยนจากโกรธ ตีหน้าดุเป็นเขิน พ่อผมน่ารักโคตรๆ เลย

“อะ อะไรของเอ็งไอ้นก! กลับเข้าบ้านไปเลยนะ!” แน่ะ มีหน้าดงหน้าแดงแล้วมาดุกลบเกลื่อน

“ม่ายยยยยย” ผมยิ่งรัดเอวพ่อแน่นเข้าไปอีก ปากก็ฉีกยิ้มจนแทบจะถึงหูอยู่แล้ว

“ปล่อยข้าเลยนะไอ้เวร ข้าอายชาวบ้านเขา!”

“ไม่เอาหรอก นกจะกอดพ่อแน่นๆ เลย จะกอดให้คนอื่นเขาเห็นไปให้หมดเลย” พ่อดันผมออกทันทีจนปลิวออกไปทางไอ้แมวที่อยู่ด้านหลัง ยังดีที่ไอ้แมวยังพอมีน้ำใจรับร่างของพี่มันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงถลาไปจูบต้นไม้จนฟันหักแน่ๆ

พ่อโหดร้ายกับนกอีกแล้วเนี่ยยยย

ผมไม่โกรธหรอก ไม่สักนิด ได้ยินคำว่าลูกรักก็ไม่มีอะไรมาทำให้ผมโกรธได้อีกแล้วครับ แต่ไม่ใช่พ่อผม จากความอับอายที่ผมพุ่งเข้าไปกอดรัดทำให้พ่อผมหันไประบายความอายด้วยการดุใส่ไอ้ปา ส่วนไอ้ปาแม้ว่าจะมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไร แต่แววตาของมันกลับมีความอ่อนโยนระคนเอ็นดูอยู่เล็กน้อย คนอื่นอาจจะมองไม่เห็น แต่ผมเป็นเพื่อนมันมานานก่อนจะมาเป็นแฟน ผมมองออกแน่นอน!

“เอ็งจะมายืนมองอะไรอีก! กลับบ้านเอ็งไปได้แล้ว!”

“ไม่ได้หรอกครับ ผมมาหานกเพราะคิดถึง ยังไม่ทันได้คุยผมจะกลับได้ยังไงกัน” ไอ้ปามาเพราะคิดถึงผมล่ะ มันมาเพราะคิดถึงผม ว๊ากกก เขินนนนน

“พี่นกๆ เก็บอาการหน่อย บิดจนตัวจะงอแล้วนั่น” อะ เอ่อ…ผมออกอาการมากไปเหรอ? แต่ใครจะไปทนได้ล่ะ ก็มีผู้ชายมายืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับบอกว่าคิดถึง เป็นใครก็ต้องเขินจริงไหม

โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่าแฟน

“ไปไกลๆ ลูกชายข้าเลยนะ! เอ็งทำมันร้องไห้ยังไม่พออีกเรอะ คิดว่าข้าจะยอมให้มันกลับไปเจ็บเหมือนตอนที่มันกลับมาหรือไง! ข้าไม่ได้โง่พอจะทำแบบนั้นหรอกนะไอ้เวร!”

ไอ้ปานิ่งเงียบ มันก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผมคิดว่ามันคงจะเสียใจและรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ยืนหน้าด้านให้พ่อผมตะโกนด่าจนน่าอับอายแบบนี้หรอก นี่ผมไม่ได้เข้าข้างมันเลยนะ พูดตามที่เห็นเฉยๆ

“ผมยอมรับผิดตรงจุดนั้นครับ แต่เรื่องนี้นกแค่เข้าใจผิด ผมไม่ได้…”

“หุบปากของเอ็งไปเลยข้าไม่อยากจะฟัง! กลับบ้านเอ็งไปซะ! ไม่งั้นอย่างหาว่าข้าไม่เตือน!” ไอ้ปาเงยหน้าขึ้นมาด้วยแววตาจริงจัง

“ผมรักนก อยากคุยกับนก อยากใช้ชีวิตกับนก เรื่องนี้ผมจะไม่มีวันยอมแพ้ ผมอดทนรอ ทำทุกอย่างเพื่อให้คุณอายอมรับในตัวผม” มะ มึง มึงหล่อมากเลยปา กระชากใจกูเลยตอนนี้ แต่พ่อกลับไม่พอใจอย่างมาก กระชากประตูรั้วให้เปิดออกแล้วตรงปรี่เข้าไปหาไอ้ปาจนผมกับไอ้แมวตกใจ

“เฮ้ยพ่อ!!”

“พ่ออย่านะ! ไอ้ปาวิ่งเร็ว!!”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!!”

ฉิบหายแล้ว พ่อ!! เมียพ่อมา!







TBC



กรี๊ดดดดด เมียมาค่ะพ่อออออ เอ่อ แล้วเราจะตื่นเต้นไปทำไมกันล่ะ ปา!! วิ่งค่ะลูกกก เอาชีวิตรอดก่อนนนนนน

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่17.นกกับการพิสูจน์ฯ 50% up. 18/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 18-01-2020 17:05:42
[17]

ตอนที่ 17.

นกกับการพิสูจน์ความจริง

กระเป๋าถูกเก็บจนเรียบร้อยทันทีที่ตกลงใจได้ว่าจะตามไอ้ปามันกลับกรุงเทพฯ ผมเดินเข้าไปบอกพ่อกับแม่เพื่อจะลาท่านทั้งสอง แต่พอผมอ้าปากบอกว่าจะไป พ่อก็ตะเบ็งเสียงใส่ สั่งห้ามไม่ยอมให้ผมกลับไปอย่างเด็ดขาดด้วยเสียงเข้มๆ ผมจำได้นะว่าตอนผมกลับมาพ่อยังไล่ผมให้กลับไปอยู่เลย พอตอนนี้ที่ผมตกลงจะกลับพ่อผมดันไม่ยอมให้กลับเสียอย่างนั้น สรุปแล้วพ่อจะเอายังไงกับปมกันแน่

แต่ถึงพ่อจะไม่ยอมให้ผมไป แม่ของผมกลับยิ้มแล้วถือกระเป๋าลงมาส่งผมเองกับมือ พ่อที่หงุดหงิดงุ่นง่านเป็นคนวัยทองก็ได้แต่ฮึดฮัดเดินตามมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ สายตาวาวโรจน์จ้องไปที่ไอ้ปาไม่วางตา เพียงแต่ไอ้ปาไม่ได้รู้สึกถึงสายตาของพ่อผมเลยสักนิด เพราะตัวมันเอาแต่คุยโทรศัพท์มาพักหนึ่งแล้ว

“ครับ…ใช่ครับคุณแม่ ได้แบบนั้นก็จะดีมากเลยครับ โอเคครับ ครับ สวัสดีครับ”

“คุยกับแม่เหรอ” ผมถามเมื่อมันวางสายแล้วเดินกลับมายืนอยู่ข้างๆ ผม

“ใช่ เดี๋ยวรอรถจากที่บ้านกูก่อน แม่กูส่งลุงโชคมารับแล้ว อีกสักพักก็คงมาถึง” ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

“พี่ชายพ่อมึง?” แต่ไอ้ปากลับกลอกตาใส่ราวกับว่าเบื่อความโง่ของผม

ทำไมมีแต่คนชอบด่าผมทางสายตา นกไม่เข้าใจ ฮือๆ

“คนขับรถที่บ้านกู มึงนี่ก็นะ”

“อ๊ะๆ อย่านะมึง” ผมรีบใช้มือปกป้องศีรษะตัวเองเอาไว้เมื่อไว้ปายกมือขึ้นมาแล้วมีท่าทีจะเขกลงไปบนหัวของผม

ไอ้ปาส่ายหน้ากับความบ้าบอและเล่นไม่ดูเวลาของผม แม่ผมเองก็หัวเราะกับความสนิทกันของเราทั้งสองคน แต่ที่ผมอยากบอกแม่คือนี่ไม่ใช่การเล่นกันนะแม่ ถ้าแม่กับพ่อไม่อยู่ตรงนี้รับรองเลยว่ามือมันเขกลงบนหัวผมแน่ๆ ผมกล้าเอาหัวเป็นประกันเลย ไอ้ปามันร้ายยยย

“เฮอะ!” ก็มีแต่พ่อผมนี่ล่ะที่ไม่สบอารมณ์กว่าชาวบ้านเขา ผมเหลือบตามองพ่อที่ยืนกอดอกกระดิกเท้าผินหน้าหนีไปทางอื่นก็รู้ได้เลยว่านี่คืออาการงอนของพ่อ

จริงๆ เลยพ่อผมเนี่ย ปากแข็งที่หนึ่ง ทำมึนก็เก่ง แถมยังขี้งอนสุดๆ ด้วย

“โธ่พ่อครับ…อย่าโกรธเลยนะ” แต่พ่อก็ยังเมินใส่จนแม่ต้องตีแขนแรงๆ พ่อถึงยอมหันมาหาผม

“เดี๋ยวเถอะพี่นุ ลูกจะกลับกรุงเทพฯ นะคะ ไม่ได้ไปประเทศอื่น” ใช่ๆ ไปแค่กรุงเทพฯ นะครับ ไม่ได้จะไปไหนไกลเสียหน่อย คิดถึงก็มาหา ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนผมไปอยู่เมืองนอกนะ

“ไม่รู้จะกลับไปทำไม!” ตอนมาก็ไม่อยากให้มา พอจะกลับก็ไม่อยากให้กลับ อะไรของพ่อผมครับเนี่ย!!

“เดี๋ยวผมจะพานกมาเยี่ยมบ่อยๆ แน่นอนครับคุณอา” ไอ้ปาโอบไหล่ผมไว้แล้วบอกกับพ่อผม แต่แทนที่พ่อจะยินดีที่ได้ยิน กลับแยกเขี้ยวใส่ ตั้งท่าจะกัดไอ้ปาให้ตายไปเลย

ดีนะแม่ผมอยู่ ไม่งั้นคงมีมวยอีกแน่ๆ

“แง่งงงง” มีขู่ๆ

“พี่นุ!!!” หงอย หงอยไปเลยจ้าาา พ่อผมที่ยืดตัวพองขนขู่ตั้งท่าจะบวกเต็มที เจอแม่เรียกเสียงเข้มทีเดียวร้องเหมียวๆ เลี้ยวกลับแทบไม่ทัน

“ก็พี่ไม่อยากให้ลูกเราไปนี่คะหนู” แม่ผมส่ายหน้ากับอาการหวงลูกอย่างหนักของพ่อ

อย่าคิดมากเลยแม่ โรคนี้สงสัยรักษาไม่หายแล้วล่ะ ฮ่าๆ

“ถึงอย่างนั้นก็ควรทำตัวดีๆ หน่อยสิคะ พี่เป็นพ่อคนแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ”

“แม่ครับ แน่ใจนะว่าพ่อโตแล้ว?” พ่อหันขวับมาหาผมแทบจะทันทีตามด้วยเสียงเรียกชื่อผม

“ไอ้นก! ไอ้ลูกเวร!”

“แม่มีผัวชื่อเวรเหรอครับ เอ้านี่ผมคิดมาตลอดนะว่าเป็นลูกพ่อนุ สงสัยต้องไปเช็กข้อมูลใหม่ซะแล้วสิ” พ่อผมหายใจแรงแทบจะโมโหตาย ส่วนแม่ผมยืนหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีที่เห็นพ่อผมเถียงไม่ออก

แน่ล่ะ จะมาเถียงสู้ผมได้ยังไงเล่า นี่ใครครับ ดูด้วยนะครับ หึๆ

“เอ็งจะไปไหนก็ไปๆ ดีเสียอีกข้าจะได้พาเมียข้าไปเที่ยวได้อย่างสบายใจ”

“คร้าบๆ” อยากกลอกตาใส่พ่อจัง หายใจเข้าออกก็มีแต่เมีย เมีย เมีย ไม่มีหรอกลูกน่ะ เฮอะ!

เพียงแต่ว่า…พ่อเป็นสามีที่ดีของแม่ เป็นพ่อที่ เอ่อ ดีไหมวะ ก็ดีแหละ เอาเป็นว่าดีของพ่อผมไอ้แมวแล้วกัน

ไอ้แมวเองมันก็ไม่ค่อยพอใจนะที่ผมเลือกจะกลับไปกับไอ้ปา ผมเข้าใจความรู้สึกมัน มันอาจจะเป็นผมเองที่งี่เง่าเลือกที่จะร้องไห้แสดงความอ่อนแอออกมาให้น้องชายของผมเห็น จึงทำให้มันออกอาการต่อต้านและผิดหวังในตัวผมอยู่ไม่น้อย ผมไม่ได้เลือกจะไปเพราะว่าเห็นมันสำคัญ

แต่ที่ผมเลือกจะไปเพราะผมอยากจะเคลียร์ปัญหาทุกอย่างให้จบ

อยากมั่นใจว่าครั้งนี้ผมไม่ได้เลือกผิด มันไม่ได้โกหก สิ่งที่ค้างคาใจของผมได้ถูกกำจัดไปหมดแล้วจริงๆ ความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือ มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ไม่ได้ทำให้ผมกับไอ้ปารักกันมากขึ้นหรือผูกพันกันมากขึ้น แต่มันจะเป็นตัวบั่นทอนความรู้สึกของเรา ให้ความรักของเราค่อยๆ ลดลง

เพราะฉะนั้นผมจึงเลือกที่จะเดินต่อ เลือกที่จะกลับไปกรุงเทพฯ กับมัน

“เป็นอะไร โกรธพี่เหรอ?” ผมถามน้องชายที่ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ตรงหน้า แต่น้องชายผมกลับสะบัดหน้าใส่ยังไม่สนใจ รอบนี้ผมต้องง้อแบบไหนละเนี่ย ต้องใช้เงินส่วนตัวไปซื้อเจ้าคิตตี้บ้านั่นมาให้มันอีกแล้วใช่ไหม ช่างเป็นน้องชายที่ละลายทรัพย์กูได้ดีจริงๆ

ยัง ยังจะมางอนกูอีก ยังไม่พูดกับกูอีก กูพี่มึงนะไอ้แมว

“คิตตี้…” แหม ทีอย่างนี้ล่ะหันมาได้ ถ้าไม่มีชื่อลูกรักนี่มันจะหันมาหาผมไหม

เอาเถอะ อย่างน้อยก็ถือว่าซื้อมาง้อน้อง ใครใช้ให้มันเกิดมาเป็นน้องชายผมกันล่ะ มีน้องชายคนเดียวก็ต้องเอาอกเอาใจมันหน่อย ให้งอนมากๆ ไม่ได้หรอก พี่ชายมันอย่างผมปวดใจ รู้ว่ามันเป็นห่วงและผมก็เข้าใจที่มันจะโกรธหรือว่างอนผม แต่ด้วยความที่เป็นพี่มันเพราะงั้นผมจึงรู้ดีว่าจะต้องง้อด้วยวิธีไหน

“ไว้พี่จะซื้อมาให้ รับรองว่าไม่ลืมแน่นอน” ผมยิ้มวางมือบนหัวน้องชายตัวเองแล้วโยกเบาๆ ด้วยความรู้สึกเอ็นดู

“หายงอนพี่ได้แล้วไอ้แมวต๊อง” ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะมันปัดมือผมออก แววตายังคงมีร่องรอยของความขัดเคืองอยู่ไม่น้อยเลย แต่มันกลับเม้มปากใส่ผม

อะไร??? ทำไมตัวน่ารักแบบนี้มันจะเอาอะไรอีก ซื้อให้สองเท่าไม่ไหวนะบอกก่อน กูก็จนอยู่!

“พี่แม่ง…ไม่เคยจำอะไรเลย!!” เอ้า! อะไรวะ? เหวี่ยงกูเฉย

“ใจเย็นๆ โกรธอะไรขนาดนั้นวะแมว” ผมเริ่มงงกับน้องตัวเองแล้ว นี่ผมแค่กลับกรุงเทพฯ หรือเปล่าวะ?

“ไม่ต้องมาพูดเลย! พี่แม่ง…ฮึ่ย!!”

น้องผมมันไม่ปกติหรือผมเองที่โง่ ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกโดยมีพ่อแม่และไอ้ปายืนมองอยู่ ไอ้แมวเองก็มีทีท่าฮึดฮัดๆ ไม่ต่างจากท่าทีของพ่อเท่าไหร่ นิสัยเหมือนกันจริงๆ ดูสิ ยังจะส่งสายตาโกรธมาทางนี้อีก คิตตี้ไม่พอหรือยังไงหว่า??

“เอาที่พี่เข้าใจด้วย พูดแล้วเข้าใจคนเดียวไม่ต้องพูด” ผมถอนหายใจแต่หัวคิ้วยังไม่คลายออก ไม่ชอบให้น้องโกรธ ผมแหย่มันได้ แซ็วมันเล่นอะไรๆ แบบนี้ได้ แต่ไม่ชอบครับถ้าเราสองคนต้องมาทะเลาะกัน

“พี่นกแม่งโง่ไง! เจ็บแล้วทำไมไม่จำ กลับไปให้มันทำพี่ร้องไห้อีกเหรอ!” ผมกลอกตาไปมา สรุปที่โกรธคือโกรธที่ผมรีบกลับกรุงเทพฯ ใช่ไหม แบบนั้นจริงๆ พูดตรงๆ มาก็ได้ว่าไม่อยากให้ไป

อ้อมโลกกันจริงๆ

“ก็…ถ้าร้องไห้อีกก็จะกลับมาอีกไง” ผมพูดติดตลก แต่เหมือนไอ้แมวจะไม่ขำด้วย

“ไม่ต้องมาเลย! ไม่ต้อนรับแล้ว บินโง่ๆ เข้าป่าไปเลยไป!!”

เอ่อ…ถึงกูจะชื่อนกแต่ไม่ได้แปลว่ากูมีปีกนะมึง

“ก็ได้งั้นพี่จะไปร้องไห้คนเดียวแล้วกัน เฮ้อ…” ผมแกล้งถอนหายใจพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ดูท่าทีไอ้น้องชายตัวดีว่ามันจะทำยังไง แล้วก็ได้ผล ไอ้แมวที่เดิมทีโกรธอยู่นั้นเริ่มร้อนใจ สายตาจ้องมองผมอย่างสับสนว่าจะโกรธต่อหรือง้อผมดี

น่ารักว่ะ น้องใครวะ

“ก็ ก็ได้! พี่กลับมาก็ได้! แต่ไม่ต้องเอามันกลับมาด้วยนะ คนที่ทำพี่ร้องไห้ผมไม่ชอบ”

อยากจะยิ้มให้แก้มปริเมื่อได้ยินแบบนั้น รู้สึกได้เลยว่าหัวใจฟูจนคับอก หน้าบานกว่ากระด้งแล้วครับตอนนี้ น้องผมมันซึนเดเระใช่ไหม ทำไมทำตัวน่าดึงเข้ามากอดแล้วหอมแก้มแรงๆ จังเลย แบบนี้จะมีผู้หญิงที่ไหนมาเป็นแฟนมันได้วะ นิสัยมันเป็นแบบนี้ดูๆ แล้วคงไม่พ้นมีผู้ชายมาจีบแน่ๆ

“ไม่รับปากนะ แต่ถ้าพี่ไม่ร้องไห้ พี่ขอพามันกลับมาด้วยได้ไหม?” ไอ้แมวเม้มริมฝีปากก่อนจะเชิดหน้าไปอีกทาง

“ถะ ถ้าพี่นกยิ้มกลับมา จะพามาเป็นของแถมผมก็ไม่ว่าหรอก”

หมับ!!

“น่ารักว่ะไอ้น้องงงงงง” ผมกอดมันเข้าเต็มอกเลย กอดแน่นๆ ทั้งที่ปากยังฉีกยิ้ม

น่ารัก น่ารัก น่ารัก

ทำไมน้องชายปมน่ารักแบบนี้วะเนี่ยยยย

“ปล่อยเลยนะโว้ย! พี่นกปล่อยๆๆๆ อย่ามากอดผมนะ!” มันดิ้นแง้วๆ เหมือนแมวดิ้นไปมาไม่ยอมให้กอด นอกจากจะชื่อแมวชอบแมวโง่สีชมพูแล้วยังนิสัยเหมือนแมวอีก

“ฮ่าๆ พี่รักแกชะมัดเลยไอ้แมว” มันชะงักไปแป๊บหนึ่งก่อนจะดันผมให้ตัวมันเองหลุดออกจากอ้อมกอดผม

“เออ! เรื่องของพี่เถอะ แล้วก็อย่าลืมคิตตี้ของผมด้วยล่ะ ห้ามซื้อของปลอม ของตลาดราคาถูกๆ ก็ไม่เอา อีกอย่าง…ถ้าผมจับได้ว่าพี่ทำเหมือนวันเกิดผมตอนนั้น ผมจะปรับพี่ให้ซื้อของนอกให้ซะเลย”

“เห็นใจเงินในกระเป๋าพี่บ้างเถอะ ขอร้องล่ะ” เหมือนเห็นภาพเงินสุดที่รักปลิวหายออกไปจากกระเป๋าแล้วหันมาโบกมือลากลายๆ

“ถ้างั้นพี่ก็อย่าลืมซื้อสิ อย่าลืมเอามาให้ผม! อย่าลืม…กลับมานะ” ผมรู้สึกว่ากระบอกตามันร้อนผ่าว มองความฉ่ำวาวในดวงตาของน้องอย่างตื้นตันใจ

ไอ้แมวมันเป็นห่วงผม มันกำลังบีบบังคับ ใช้ทุกอย่างเพื่อให้ผมกลับมาที่บ้านอีก

อา ไม่อยากไปแล้วสิแบบนี้

“กลับสิ กลับมาแน่นอน” ครอบครัวอยู่ที่นี่ ผมจะไม่กลับมาได้ยังไงกัน ไอ้แมวมันหันหลังให้ผม มือยกขึ้นมาที่ใบหน้าเองแล้วถูแรงๆ สองสามครั้งแล้ววิ่งเข้าบ้านไปโดยมีผมตะโกนตามหลัง

“พี่จะกลับมาแน่นอน! จะเอาไอ้คิตตี้มาฝากด้วย!!”

นั่นคือคำสัญญาที่ผมมีให้น้อง มันจะไม่มีวันเปลี่ยน ผมจะกลับมาหาน้องอีกแน่ๆ ถึงยังไงผมก็ไปแค่ยืนยันทุกอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ไปอยู่ที่นั่นถาวรเสียหน่อย ผมกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ความร้อนที่หัวตาออกไป กลืนความรู้สึกจุกที่ลำคอให้มันลงไปในอกอีกครั้ง มองพื้นดินหน้าบ้านด้วยความรู้สึกหวิวๆ ในใจ

“ไม่เป็นไรหรอกนก เดี๋ยวแม่ดูน้องให้เอง” ผมเงยหน้าขึ้นมามองรอยยิ้มของแม่ คิดถึง ผมอยากอยู่ต่อแต่ตอนนี้ยังไงก็ต้องไป บางอย่างให้มันชัดเจนตั้งแต่ตอนดีกว่าที่จะปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเรื่อยๆ แล้วต้องมาอยู่กับความค้างคาใจ

“นก…ต้องไปแล้ว” ผมหันไปมองไอ้ปาที่ส่งสายตาไปให้ดูรถหรูสีดำที่เข้ามาจอดเทียบรออยู่แล้ว

“ผมต้องไปแล้วครับแม่”

“ไปเถอะลูก โทรมาบ้างนะคะ” แม่ยังคงยิ้มให้ผม มองด้วยแววตาอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยน เมื่อครั้งที่ผมไปเรียนที่กรุงเทพฯ แม่ก็พูดแบบนี้ สุดท้ายผมก็ไม่มีเวลาที่จะได้ติดต่อมา

มันคิดถึง โหยหา และรู้สึกยึดติดจนไม่อยากไป

เหมือนกับว่าตรงนี้คือพื้นที่ที่ผมสามารถจะทำอะไรก็ได้ เสียใจแค่ไหนก็ได้ มีความสุขยังไงก็ได้ มีทุกคนอยู่ข้างๆ เป็นบ้านที่แสนสุขของผมเอง

“พ่อ!” พ่อยังคงตีสีหน้าเรียบเฉย แววตาเต็มไปด้วยร่องรอยความห่วงหา

“อะไรของเอ็งอีก!” ถึงแม้ว่าพ่อจะทำสีหน้าติดรำคาญใส่ผม แต่ผมก็รู้ว่าพ่อรักผมมาก

“ผมไปแล้วนะครับ”

“ก็ไปสิวะ ข้าห้ามเอ็งได้เรอะ!” ปากแข็งตลอดเลยนะพ่อ แต่เพราะพ่อเป็นแบบนี้ล่ะผมถึงได้ไม่เศร้ามากนัก

“สวัสดีครับแม่ สวัสดีครับพ่อ แล้วผม…จะซื้อของกลับมาฝากนะครับ ถ้าหางานใหม่ได้แล้ว”

“จ้ะ ไหนมาแม่กอดหน่อยสิ” แม่ดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบผมของผมอย่างเอ็นดู

“ผมรักแม่นะครับ”

พอผละออกจากอ้อมกอดแม่ผมก็รู้สึกหวิวๆ ขึ้นมา พ่อหันหลังให้ผมกับไอ้ปาทันที ทำทีว่าจะเดินกลับเข้าไปในบ้านแต่ผมรวบพ่อเข้ามากอดเอาไว้ทางด้านหลังเสียก่อน ใช้แขนออกแรงรัดตัวพ่อจนแน่น นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้กอดพ่อแบบนี้ มันนานมากแล้วจริงๆ

“นกรักพ่อนะ” เสียงผมอู้อี้เมื่อใบหน้าซุกอยู่กับแผ่นหลังของพ่อ

“อะ เออ! ข้ารู้แล้ว!” ผมปล่อยพ่อออกทันที ไม่อยากให้พ่ออึดอัดมาก เพราะรู้ว่าพ่อไม่ค่อยชอบการแสดงความรักแบบนี้สักเท่าไหร่

“ถ้างั้นผมลานะครับคุณน้า คุณอา สวัสดีครับ”

“จ้ะ” ไอ้ปายกมือไหว้แม่ผม แม่ผมก็รับไหว้ด้วยรอยยิ้มอย่างดี แต่พ่อผมสิ ไม่ยอมหันกลับมามองด้วยซ้ำไป ผมและไอ้ปาจูงมือกันหันหลังจะเดินจากไปแต่ก็ต้องชะงักกับเสียงเรียกที่คุ้นหู พร้อมกับคำพูดที่ทำให้ผมแทบจะไม่อยากก้าวขึ้นรถไปเลย

“ถ้าเอ็งทำลูกข้าเสียใจอีกครั้ง อีกแค่ครั้งเดียวข้าจะไปพามันกลับ และจะไม่มีวันส่งมือมันไปให้เอ็งจับอีก จำเอาไว้ให้ดี!”

พ่อ…

“ไม่มีวันนั้นแน่นอนครับคุณอา ผมสัญญา” ไอ้ปากุมมือผมแน่น รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้ายามมองหน้าผม ความอ่อนโยนของมันถ่ายทอดออกมาทางแววตาจนผมสามารถรับรู้ได้อย่างดี แต่น้ำเสียงที่เอ่ยตอบพ่อผมกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นราวกับต้องการยืนยันให้พ่อผมได้มั่นใจ

“หึ! ข้าจะรอดู”

“เอาล่ะๆ เสียเวลามามากแล้ว นกกับปารีบไปเถอะลูก”

“ครับ งั้นผมกับนกไปก่อนนะครับ”

“เดินทางปลอดภัยนะลูก”

ผมโบกมือให้แม่ ส่วนพ่อเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วตอนนี้เหลือเพียงแค่แม่เท่านั้นที่ยืนส่งพวกเราอยู่ ลุงโชคคนขับรถของแม่ไอ้ปาเอากระเป๋าของผมและไอ้ปาใส่ท้ายรถก่อนจะมาเปิดประตูให้ผมกับไอ้ปาเข้าไปนั่งด้านใน ลุงโชคดูแก่กว่าพ่อผมนิดหน่อย ท่าทีที่มีต่อไอ้ปาเรียกได้ว่านอบน้อมมากๆ จนผมทำตัวไม่ถูก

ภายในรถเงียบมาก ไอ้ปาเองก็แทบไม่พูดอะไรเลย บรรยากาศเลยชวนให้อึดอัดไม่น้อย ผมเองก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป เอาจริงๆ ผมไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า

“หิวไหม?”

“อะ ห๊ะ? อ๋อ นิดหน่อยไม่เป็นไรๆ” จู่ๆ ไอ้ปาก็หันมาถามผมจนผมตั้งตัวไม่ทัน

“อืม…งั้นกินขนมก่อนแล้วกัน แม่กูฝากมาให้กินระหว่างทางอยู่แล้ว”

“โอเค ได้กินหน่อยก็ดีเหมือนกัน”

ไอ้ปาเอื้อมมือไปทางด้านหน้า หยิบเอาถุงกระดาษที่มีขนมหลายอย่างอยู่ในนั้นออกมาให้ผมกิน ส่วนตัวมันเองก็กินไปไม่กี่ชิ้น ส่วนใหญ่จึงกลายเป็นผมเสียมากกว่าที่กิน อย่างน้อยก็เติมพลังก่อนออกรบ เพราะยังไม่รู้ว่าถึงกรุงเทพฯ แล้วจะต้องเจออะไรบ้าง เตรียมพร้อมไว้ก่อนคงดีที่สุด

เฮ้อ…หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมาให้ปวดหัวอีกหรอกนะ













แล้วผมกับไอ้ปาก็มาถึงกรุงเทพฯ เสียที ผมเพิ่งจะรู้ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าคนของมัน (คนที่ทำงานให้) ไอ้ปามันจะวางท่ามากๆ เหมือนคุณชายที่อยู่ในละครไม่มีผิดเพี้ยน แบบนี้ผมก็ยิ่งวางตัวยากเข้าไปอีก ชนชั้นวรรณะที่แตกต่างแบบนี้ชวนให้รู้สึกแย่ไม่น้อยเหมือนผมเป็นซินเดอเรลล่ายังไงไม่รู้

ตัวมันยังเคร่งเครียดกับคนขับรถขนาดนี้ เข้าไปไหว้แม่มันถึงบ้านผมจะถูกมองเป็นเด็กเก็บกระเป๋าไหมครับ

แล้วดูตอนนี้สิ ลงจากรถแล้วคุณชายปรมะก็ยังวางท่าเป็นคุณชายผู้เคร่งขรึมไม่เลิก ส่วนลุงโชคแกก็ชินกับท่าทางการวางตัวของไอ้ปา เหมือนว่านี่คือตัวตนที่มีมาตั้งแต่เกิด น่าอิจฉาจริงๆ เลยพวกคนรวยเนี่ย ผมไม่รวยบ้างให้มันรู้ไป ฮึ!

“คุณชายจะให้ผมขนขึ้นไปไว้ให้บนห้องไหมครับ” คะ คุณชาย ผมแอบตาโตกับสรรพนามที่ไอ้ปาถูกเรียก

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปเอง ลุงกลับไปที่บ้านเถอะ” การสนทนาที่ไร้ความตะขิดตะขวงใจช่างเป็นอะไรที่ทำให้สติของไอ้นก หลุดลอยหายไปกับอากาศเหลือเกิน จริงๆ มันต้องไอ้ปาที่อายุน้อยกว่าจ้องเป็นคนที่มีท่าทีนอบน้อม เคารพกับคนรุ่นพ่ออย่างลุงโชคสิ นี่อะไรกัน คนรุ่นพ่อกลับต้องมามีท่าทางนอบน้อมและเคารพต่อไอ้ปาแทน เป็นผมนะอึดอัดแย่เลยล่ะ

“คุณผู้หญิงให้ถามคุณชายก่อนกลับด้วยครับว่าจะเข้าไปพบท่านเมื่อไหร่” ไอ้ปามองผมอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ใช่การมองแบบถามความเห็น เพราะถ้าใช่มันคงรอให้ผมตอบแล้วล่ะ ไม่ใช่การหันไปตอบเองแบบนี้

แล้วมึงจะมองหน้ากูทำไม!!!

“บอกคุณแม่ว่าอีกสองวันผมจะเข้าไปทานข้าวเย็นด้วย แล้วก็จะค้างที่บ้านเลย ฝากลุงบอกนมชื่นให้ด้วยนะครับว่าช่วยจัดห้องของผมให้หน่อย” ลุงโชคยิ้มแล้วก้มตัวลงเล็กน้อย

“ได้ครับคุณชาย นมชื่นต้องเตรียมของโปรดของคุณชายไว้รอแน่ๆ ครับ ถ้างั้นผมกลับก่อนนะครับ”

“ครับ”

“อะ เอ่อ ขอบคุณนะครับที่ขับรถมาส่งผมกับปา” เพราะเห็นว่าลุงโชคกำลังจะหลับแล้ว และผมไม่อยากเสียมารยาทที่นั่งรถมาแล้วไม่เอ่ยคำขอบคุณต่อผู้ใหญ่ออกไป ผมจึงเลือกที่จะก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อยและพูดคำขอบคุณออกไปอย่างชัดเจน

ลุงโชคยิ้มให้ผมปากก็บอกว่าเป็นเรื่องที่แกต้องทำอยู่แล้วยิ่งทำให้ผมทำตัวไม่ถูกเข้าไปอีก ส่วนใหญ่เคยแต่นั่งแท็กซี่ที่ต้องจ่ายเงิน ขึ้นรถเมย์ที่ต้องจ่ายค่าตั๋ว ไม่เคยมานั่งสบายตูดเป็นคุณชายแบบนี้ แถมรถหรู เบาะกว้างแอร์เย็นแบบนี้ ที่สำคัญเงินสักบาทก็ไม่กระเด็นออกจากกระเป๋า ถึงปากจะติดเกรงใจแต่ในใจผมโคตรชอบเลยครับ

อยากนั่งอีก อยากมีบ้าง ทำไมพ่อไม่รวยยยยยยย

“ปะ…” ปะ? ปะอะไร?

“…?? ...”

“ขึ้นห้องสิ จะทำหน้างงอะไรของมึงเนี่ยนก หน้าปกติก็โง่อยู่แล้ว เวลามึงงงหน้ามึงโง่กว่าเดิมหลายเท่าเลย” ไอ้เวร! นี่คือคำพูดของคนที่เป็นแฟนกันเรอะ!! รู้สึกได้เลยว่าตีนกระตุกจนอยากจะยกขึ้นมาถีบคน

“ไอ้เหี้ย!”

แต่แทนที่มันจะเจ็บหรืออะไร ไม่เลยครับ! มันหัวเราะเสียงดังเหมือนกับว่าชอบใจที่ผมเรียกมันด้วยชื่อของสัตว์ตัวน้อยที่ลิ้นสองแฉกแบบนั้น มันไม่ปกติใช่ไหม นี่คืออาการของคนใกล้บ้าที่ถูกด่าแล้วหัวเราะชอบใจเหรอ? หรือว่าผมควรจะด่ามันเยอะๆ ด่าอะไรก็ได้มันไม่โกรธหรอก เอ…แบบนี้ก็น่าลองเหมือนกันนะครับผมว่า

เราสองคนเดินขึ้นลิฟต์มา ผมเดินตัวปลิวเชียวล่ะเพราะไอ้ปาทำหน้าที่แฟนได้ดีมาก แย่งกระเป๋าของผมไปถือเองเสร็จสรรพ ไม่มีการเกี่ยงงอนว่าใครจะถือ มีแต่แย่งดันด้วยซ้ำ เพราะผมไม่ชอบหรอกนะที่มันทำเหมือนผมเป็นผู้หญิงอ่อนแอ แค่กระเป๋าก็ถือเองไม่ได้ แต่แล้วไอ้ปาก็ปล่อยคำพูดที่ทำเอาผมต้องยอมปล่อยมือ เลิกยื้อยุดฉุดกระชากกับมันไปเลย มันบอกผมว่า ไม่ใช่เพราะเห็นเป็นผู้หญิง แค่เห็นว่าเป็นหน้าที่แฟน กูเลยอยากจะทำ

เนี่ยยยย เนี่ยยยยย แล้วผมจะไปปฏิเสธได้ยังไงกันเล่าาาาา







50%





ปลื้มปริ่มประหนึ่งได้ส่งลูกไปถึงห้องหอ อะ อ้าว ยังเหรอคะ ขอโทษๆ แหมแมวดีใจมากไปหน่อย

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่17.นกกับการพิสูจน์ฯ 50% up. 18/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-01-2020 19:30:39
พ่อนก จะเก่งปานไหน แต่ก็แพ้หัวหน้าเผ่าอย่างแม่นก อยู่ดี
อ่ะ กลับมากรุงเทพฯ แล้ว เข้าสู่โหมดการทำงานเสียทีนะนก
ว่าแต่ ทำตัวดีๆ ตอนไปพบแม่ผัว เอ้ยแม่แฟนด้วยละ อิอิอิ
 :hao3 :hao3:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่17.นกกับการพิสูจน์ฯ100% up. 19/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 19-01-2020 20:22:13
[17] 100%


“โอ๊ย…ปวดตัวชะมัดเลย” พอเข้าห้องมาได้ผมก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา บ่นพึมพำอย่างเหนื่อยล้าจากการนั่งรถ ไอ้ปาเอากระเป๋าของเราทั้งสองคนไปเก็บในห้องนอน ก่อนจะเดินมาที่ครัวแล้วรินน้ำเย็นมาวางไว้ตรงหน้าของผม

ผมบีบนวดตัวเองไปตามแขนและขา โดยมีไอ้ปาที่นั่งอยู่ข้างๆ มองอยู่ตลอดไม่ยอมละสายตา จะว่าไปเหมือนผมจะลืมอะไรไปสักอย่างแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก คิดแล้วคิดอีกก็ยังมึนๆ

อะไรน้าาาา ผมลืมอะไรไปหนออออ

“ซิมการ์ดมึงน่ะ เอากลับมาใส่ในโทรศัพท์บ้างหรือยัง?” นั่นไง! ว่าแล้วว่าผมลืมอะไร!

“มึงไม่ทักกูก็ลืมไปแล้วนะเนี่ย เดี๋ยวๆ กูใส่ซิมแป๊บ” ผมจับๆ ไปตามตัวเพื่อหากระเป๋าสตางค์ก่อนจะหยิบมันออกมาแล้วเปิดออก รูดซิบช่องเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าจะใส่อะไรแต่ตอนนั้นผมเอาซิมการ์ดใส่เอาไว้ออกมา ซิมเล็กๆ จากค่ายดังถูกผมดึงออกจากกระเป๋าแล้วนำไปใส่เอาไว้ในมือถืออีกครั้ง

เมื่อเครื่องถูกรีเซตใหม่เรียบร้อย สัญญาณโทรศัพท์กลับมาใช้งานได้อีกครั้งก็ปรากฏข้อความหลายร้อยข้อความ ทั้งข้อความเสียง ทั้งข้อความแจ้งเตือนเรื่องจำนวนสายที่โทรเข้าและเบอร์ที่โทรเข้ามา ทั้งข้อความจากไอ้ปาที่ผมไม่ได้อ่านอีกมากมายจนเครื่องเก่าๆ ราคาไม่แพงแทบจะค้างแล้วพังตัวเอง

จะเยอะไปไหน!! มีใครตายหรือไงเล่า!!!

“ฉิบหาย เครื่องกูจะระเบิดไหมเนี่ย!” มันเริ่มร้อนๆ แล้วด้วย หรือผมรู้สึกไปเอง?

“ใครสอนให้มึงหนีปัญหาล่ะนก สมควรแล้วล่ะ” สีหน้าไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจกูเลย เปลี่ยนแฟนได้ไหม มีแฟนใหม่ได้ไหม แบบนี้ไม่เอาแล้วล่ะ นกไม่ถูกใจสิ่งนี้

ผมเบ้ปากใส่มันอย่างไม่ชอบใจ ฮึดฮัดกับข้อความที่ดังไม่หยุด เมื่อไหร่ระบบมันจะส่งมาเสร็จสักที ไม่ก็มึงรวบยอดแล้วส่งมาทีเดียวเลยไม่ใช่เด้งมาทีล่ะข้อความแบบนี้ เครื่องกูพังไปมึงจ่ายให้กูไหม!!! บ่นในใจไปก็เท่านั้น สุดท้ายผมก็ได้แต่นั่งรออย่างเซ็งๆ แต่ระหว่างที่ผมนั่งรอให้มันรีรันจนครบทุกข้อความ จู่ๆ มือถือที่มีข้อความมากมายเด้งมาก็เปลี่ยนเป็นสายเรียกเข้าจากใครบางคน

ที่ไม่ใช่คนตัวที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมแน่นอนครับ คนบ้าที่ไหนนั่งข้างกันแล้วยังโทรมาหาอีก

“ว่าไงพี่หนู คิดถึงผมล่ะซี้กระหน่ำโทรมาแบบนี้น่ะ” ผมทักพี่มันด้วยรอยยิ้ม แต่ไอ้คนข้างๆ นี่ไม่ยิ้มแล้วครับ มาคุเลยด้วย

‘ไอ้นก! มึงหายหัวไปไหนมาวะ! รู้ไหมว่ากูเป็นห่วงขนาดไหนเนี่ย!’ มาถึงก็หูชาจากเสียงพี่มันเลย ขี้บ่นได้ใครวะ

“ก็นี่ไง ผมรับสายแล้วเนี่ย ว่าไงครับคุณหนู มีอะไรให้นกรับใช้ดีเอ่ย~”

‘ถุย! กวนตีนไม่เคยเปลี่ยนเลยนะมึง ตอนนี้มึงอยู่ไหน’ อยู่ไหนเหรอ ตอบยังไงดีล่ะ ถ้าบอกว่าอยู่คอนโดไอ้ปาจะมีปัญหาไหม จำได้ว่าก่อนไปผมดันบอกพี่มันไปแล้วด้วยว่าไอ้ปามีคู่หมั้นแล้ว

“เอ่อ…อ๊ะ ดะ เดี๋ยวดิวะ!” ยังไม่ทันได้ตอบอะไรไอ้ปาก็ดึงมือถือผมออกไปแนบหูตัวเอง

‘เฮ้ย! เป็นอะไรวะ มึงอยู่ไหนตอนนี้บอกกูมาดิไอ้นก’ ไอ้ปาปรายตามามองผม จับจ้องด้วยแววตาคาดโทษเบาๆ จนผมต้องหมั่นไส้ลงไปด้วยความเกรงกลัว ถ้ามีกระดองนะ ผมจะไม่โผล่หัวออกมาเลยล่ะรับรอง

“อยู่กับผม พี่มีอะไรกับมันไม่ทราบ?” เสียงพี่หนูผมไม่ได้ยอนอีก เห็นแค่รอยยิ้มแสยะมี่ออกมาทางสีหน้าของไอ้ปาเท่านั้นที่ชวนให้ขนลุก

“ได้ ได้ รู้แล้ว เดี๋ยวผมส่งโลฯ ไปให้ เออ แล้วแต่พี่เถอะ แค่นี้นะ!” ไอ้ปากดวางสายแทบจะทันทีที่ตัวเองพูดจบ ไม่รู้ทางพี่หนูจะหัวร้อนแค่ไหน แต่งช่างเถอะ หัวร้อนไม่ร้อนก็ช่างมันแล้ว ขอแค่ไอ้ปาอย่าหัวร้อนก็พอ ผมไม่อยากเป็นเป้าให้มันมายิงใส่หรอกนะ เวลามันโมโหผมซวยทุกที

“พี่หนูว่าไงวะ?” มันโยนมือถือคืนมาให้ผมจนเกือบรับไม่ทัน ดีนะที่ทันไม่งั้นจะร้องไห้ใส่แม่งเลย ยิ่งมีเครื่องเดียวด้วย

“มันบอกว่าจะมาหามึง ให้กูแชร์โลฯ ไปให้ เห็นบอกว่าจะพกเหล้ากับหิ้วพี่อาร์ตมาด้วยอีกคน” พี่อาร์ต อา…แต่ว่านะ ไม่ใช่ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกันหรอกเหรอ?

“จะไม่ตีกันตายเหรอวะ ยิ่งชอบกัดกันอยู่ด้วย” ห่วงสวัสดิภาพห้องไอ้ปานะครับ กลัวจะกลายเป็นเวทีมวยลุมพินีเสียก่อน ศึกเดือดเลือดบริษัทเลยนะงานนี้

“หึ…มึงยังไม่รู้อะไรอีกเยอะไอ้นก รอดูไปเถอะ” เห็นรอยยิ้มรู้ดีกว่าชาวบ้านของไอ้ปาแล้วอยากกระโดนถีบขาคู่ใส่หน้ามัน หมั่นไส้เหลือเกินพ่อจอมวางท่า

ไม่ว่ากับใครก็เก่งเหลือเกิน เก่งกว่าเขาไปหมด มันน่าจะอัดสักทีสองทีให้สะใจ

“มึงรู้ดีทุกอย่างงั้นสิ?” ไอ้ปาหันมาหาผม สีหน้าฉายชัดถึงความเหนือกว่า

“แน่นอนสิ ผู้ชายของมึงคนนี้น่ะรู้ดีทุกอย่างเลยล่ะ”

ขะ ขนลุก!

ไอ้ปามันกวาดสายตามองผมทั้งตัวโดยไม่สนใจเลยว่าผมจะมีสีหน้ายังไง ผมนี่รีบยกเข่าขึ้นมากอด ทำตัวกลมๆ ไว้เผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะได้กลิ้งหนีมันไปได้ง่ายๆ แต่ท่าทางของผมที่เหมือนหนูแฮมเตอร์หนีภัยยิ่งทำให้ไอ้ปาขบขันเข้าไปใหญ่ เพราะมันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาไม่หยุด จนผมหน้าแดงด้วยความอับอาย

มันแกล้งผมอีกแล้ว!!

ทำไมผมเป็นคนที่ถูกแกล้งทุกที ผมกอดอกหันหน้าหนีมันไปอีกด้านอย่างงอนๆ ไอ้ปาเอามือมันมาวางบนหัวผมแล้วโยกไปมาอย่างเอ็นดู ใบหน้าของผมที่แข็งค้างด้วยอาการติดงอนก็พลันอ่อนลง บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกยังไง แต่หัวใจผมมันอ่อนยวบกับความอ่อนโยนที่ได้รับมาตอนนี้

ผมมองโทรศัพท์มือถือตัวเองอีกครั้งอย่างตั้งใจ ตอนนี้ข้อความต่างๆ ก็ถูกแจ้งเตือนจนครบแล้ว หลักๆ ก็มีการโทรเข้าของพี่หนูกับพี่อาร์ตรวมถึงไอ้ปาด้วย แต่ที่น่าตกใจคือข้อความของไอ้ปามากกว่า

“หืม? มึงจะกลับมาไหม ถ้าไม่กลับกูเผาไอ้หอพักเน่า ๆ ของมึงแน่” เดี๋ยวนะ มันจะเผาแมนชั่นของคนอื่นเขาแบบนี้ไม่ได้สิ มันไม่ใช่ของผม ผมย้ายออกแล้ว!!

“ก็มึงปิดเครื่องหนีกูนี่หว่า” ท่าทางไม่ได้สำนึกอะไรเลยครับ เหมือนกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ใครๆ เขาก็ทำ

แต่ปัญหาคือมันไม่มีใครเขาทำแบบมึ้งงงงงงง

“นี่อีก ถ้ากูเจอตัวมึง กูจะล่ามไว้สามวันสามคืนไม่ให้มึงออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน?” เห็นผมเป็นหมาเหรอ ล่ามไว้แล้วจะเชื่องขึ้นมาหรือยังไง ความคิดมันช่างบ้าบอสิ้นดี แต่ไอ้ปาก็แค่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ดวงตาวิบวับน่าตบให้ไฟตกฉิบหาย

“ก็น่าลองนะนก…” ไอ้ปา ไอ้จัญไร ไอ้คน…ฮึ่ยยย ไม่รู้จะด่ามันว่าอะไรแล้ว

“จะแทงมึงให้ยับ ทำจนมึงท้องลูกของกู! ไอ้ปา ไอ้เหี้ย!!! มึงส่งส้นตีนอะไรมาวะ!” เจอข้อความนี้ไปผมอยากจะเอาโทรศัพท์มาเขวี้ยงใส่หน้ามันมาก แทงให้ยับ ทำจนท้อง พ่องงงงง กูมีมดลูกหรือไงไอ้หน้าหมา!

ไม่สิ ไม่ใช่ประเด็นนั้น ประเด็นคือ กูต้องเป็นคนได้ทำโว้ย!!

“ส่งสิ่งที่กูคิดไง ทำไม กูผิดตรงไหน?” หน้าด้านไม่มีใครเกิน ลอยหน้าลอยตาถามผมมาได้ว่าทำผิดอะไร มันผิดตั้งแต่จับกูขังแล้วโว้ย!!

“กูอยากเลิกคบกับมึงจริงๆ ไอ้ปา แต่ล่ะอย่างที่ส่งมา กูรู้สึกว่าชีวิตไม่เคยบัดซบขนาดนี้เลย” ปวดหัวกับมันจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับเอาไว้แล้วคลึงเบาๆ มีใครเจอความฉิบหายและเลวร้ายกว่าผมอีกไหม ช่วยยกมือขึ้นมาหน่อยเถอะ ผมอนาถตัวเองจะแย่แล้ว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“สงสัยพี่หนูมันมาแล้วล่ะ”

“อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจไอ้ปาจึงเดินไปเปิดประตู เพียงแค่ประตูเปิดออกกว้าง พี่อาร์ตแม่งก็แทรกตัวเข้ามาในห้องโดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาตใดๆ ทั้งสิ้น พี่อาร์ตครับ มารยาทพี่แม่งโคตรดีเลยเว้ย

พี่อาร์ตเดินเข้ามาหาผมแล้วนั่งลงข้างๆ ผม จับหน้าผมหันซ้ายกันขวา สำรวจดูความเสียหายของสินค้า เอ๊ย ไม่ใช่ๆ ต้องบอกว่าสำรวจอาการบาดเจ็บของผมด้วยตาตัวเอง ผมมองแววตาที่กวาดมองไล่ไปยังส่วนต่างๆ ของใบหน้าและร่างกาย แววตาคู่นั้นของพี่อาร์ตมันเต็มไปด้วยความห่วงใย สีหน้าคลายกังวลลงไปมากเมื่อเห็นว่าผมปกติดีทุกอย่าง

พี่หนูเดินตามเข้ามา เดี๋ยวนี้พี่มันแต่งตัวชวนซี๊ดมาก หล่อแบบวัวตายควายล้มเลยครับ เมื่อก่อนเป็นหนุ่มออฟฟิศธรรมดาๆ แต่เดี๋ยวนี้หรือเพิ่มระดับเป็นหนุ่มหล่อสุดแบดที่สาวๆ ใฝ่ฝันอยากจะครอบครัวหัวใจ เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาระหว่างที่ผมไม่อยู่หรือเปล่า ทำไมแต่ละคนไม่เหมือนเดิมแบบนี้ล่ะ

ผมพยักหน้าให้พี่หนูโดยที่พี่มันแค่ยักคิ้วหลิ่วตาให้เหมือนเคย แต่พี่อาร์ตไม่มองพี่หนูมันเลย เอาแต่จ้องผมไม่กะพริบตาจนผมรู้สึกว่าตัวเองแทบจะถูกมองจนทั่วทั้งตัวอยู่แล้ว ไอ้ปาเดินนำพี่หนูเข้าไปในครัว คงไม่จัดการเหล้าเบียร์และกับแกล้มกันนั่นล่ะ เลยทิ้งผมเอาไว้กับพี่อาร์ตตรงนี้

“นก...มันทำอะไรมึงหรือเปล่า ไอ้ปามันทำอะไรมึงไหม?” ผมขมวดคิ้วกับท่าทางอันแสนจริงจังของพี่อาร์ต นี่พี่ชายผมไปกินอะไรผิดสำแดงหรือใครปล่อยวิญญาณที่ไหนเข้าสิงพี่กัน

“ไม่นี่ครับ ทำไมพี่ถามแบบนั้นล่ะ” ไม่ใช่ว่าพี่อาร์ตไม่รู้จักไอ้ปาเสียเมื่อไหร่ ก็เห็นกันมาตั้งนาน นิสัยมันไม่เคยทำร้ายร่างกายผมอยู่แล้ว

“ตอนมึงหายไป มันให้คนไล่เช็กภูมิลำเนาของมึง ต้องไปค้นเอกสารเก่าๆ จนแทบไม่ได้นอนกันเลย” อา มิน่าล่ะมันถึงรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน

“มันไม่ได้ทำอะไรหรอกครับพี่สบายใจได้ ไอ้ปามันก็แค่อยากคุยอยากอธิบายให้ผมฟัง” ผมยิ้มแล้วตอบพี่อาร์ตไปอย่างเคย แต่สีหน้าของพี่อาร์ตไม่ได้คลายกังวลลงไปเลย

“มึงไม่เข้าใขไอ้นก กูเห็นมัน ตอนนั้นมันเหมือนคนที่พร้อมจะ...” พี่อาร์ตไม่ได้พูดต่อแกกลืนคำพูดลงคอไปอย่างเงียบเชียบ จนผมที่รอฟังได้แต่นั่งงง

“ครับ??”

“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” เสียงไอ้ปาดังขึ้นมาขัดความสงสัยทุกอย่าง ผมเห็นพี่อาร์ตกัดปากตัวเอง แววตาที่มองมาที่ผมฉายชัดถึงความเป็นห่วง

“ไม่ได้คุยอะไร มึงขนอะไรมาวะเยอะแยะ” ผมพามันเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะสงสารพี่อาร์ต แกหน้าซีดแล้วซีดอีก คงไม่อยากให้ไอ้ปารู้เรื่องที่มาบอกผม แต่ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ช่าง พี่อาร์ตเป็นพี่ที่ดี เรื่องแค่นี้ปิดบังไว้หน่อยก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา

“ถามคนนั้นสิ ว่าขนเหี้ยอะไรมาห้องกู” ผมเอี้ยวตัวมองพี่หนูที่อยู่ข้างหลังแล้วเลิกคิ้ว

“พี่ขนอะไรมาวะ ใช่เงินไหมพี่ ช่วงนี้กำลังจนเลย”

“มาถึงก็ถามหาแต่เงินนะมึงไอ้นก ขอผัวมึงโน้น” ผมยู่หน้าใส่อย่างไม่ชอบใจ

“ผมต่างหากผัวมันน่ะ” ทำไมใครๆ ก็ชอบให้ผมเป็นเมียไอ้ปาเรื่อยเลยนะ ไม่ยุติธรรมสักนิด พี่หนูเหลือบมองไอ้ปาที่ไร้อารมณ์ด้วยใบหน้าที่ติดสงสัย

“จริงเหรอวะ มึงไก่อ่อนขนาดนั้น?” ไอ้ปากระตุกยิ้ม

“รอดูต่อไป มันอยากพูดอะไรก็ให้มันพูด”

ก็เพราะมันคือความจริงไอ้ปาถึงปฏิเสธผมไม่ได้ไงล่ะ พวกคุณคิดผิดแล้วครับที่เชียร์ให้ไอ้ปากดผม ผมต่างหากที่จะกดมันน่ะ บอกเลยว่างานนี้น่ะนกชนะใสๆ

แต่จะว่าไปแล้วพอมองดีๆ พี่หนูกับไอ้ปาในลุคนี้ก็น่าสนใจเหมือนกันนะ มองๆ ดูแล้วหล่อใช้ได้เลยล่ะ ตอนเดอนเข้ามาผมยอมรับเลยล่ะว่าตกใจ เพราะไม่เคยเห็นพี่หนูมันเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวมาก่อน มันดูดีนะ จนผมเองยังเผลอคิดเลยว่าก่อนหน้านี้พี่มันจะแต่งตัวเต็มขั้นทำไม ถ้าแต่งแบบนี้ตั้งแต่แรกนะ สาวๆ คงกรี๊ดกันมากกว่าไอ้ปาอีกมั้ง

“มองอะไร!” ผมสะดุ้งหลุดออกจากความคิดของตัวเอง มองไอ้ปาที่จ้องมาด้วยแววตาดุดันอย่างร้อนตัว

“เปล่าซะหน่อย กูก็แค่คิดว่าพี่หนูมันแต่งแบบนี้ก็หล่อดีออก ทำไมไม่แต่งตั้งนานแล้ว” ไอ้ปายิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ แต่พี่หนูที่ตอนนี้จัดเหล้าจัดกับแกล้มอยู่บนโต๊ะหูผึ่งจนต้องรีบเดินมาทางนี้

“กูหล่อใช่ไหม? ฮ่าๆ หล่อกว่าไอ้ปาไหมวะ” ผมทำท่าทางครุ่นคิด สายตาจ้องมองสลับไปมาที่ไอ้ปาและพี่หนู

ดูยังไงๆ ก็…

“พี่หนูหล่อกว่าจริงๆ นั่นล่ะ”

“ฮ่าๆ” คราวนี้เป็นพี่หนูที่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น มือก็ตบบ่าไอ้ปาอย่างปลอบโยน เอ้า…ผมพูดความจริงนะ

“ขำอะไรวะพี่” นี่กูชมพี่มันหรือกูเล่นตลกให้ดูวะ เริ่มงงแล้วนะ

“เปล่าๆ ฮ่าๆ เอาน่าไอ้ปา มึงก็อย่าคิดมากสิวะ แค่หล่อน้อยกว่ากูเอง” คิ้วไอ้ปากระตุกยิกๆ มันจ้องมาทางผมอย่างน่ากลัว

“เดี๋ยวมึงได้จมเตียงไอ้นก พูดแบบนี้” ผมขมวดคิ้ว จมเตียง? เอ้า เตียงพังหรอกเหรอเนี่ย ตายห่า แล้วคืนนี้จะไปนอนที่ไหนวะ!

“ทำไมไม่บอกวะว่าเตียงมึงพัง กูจะได้ไปหาโรงแรมอยู่ เชี่ย ป่านนี้แล้วด้วย กูจะมีที่พักไหมวะ” ทำผมเดือดร้อนได้ตลอดจริงๆ เลยนะครับแฟนผมคนนี้

“ฮ่าๆ กูชอบๆ ไอ้นก กูยกนิ้วให้มึงเลย” ผมไม่ได้สนใจพี่หนูที่หัวเราะราวกับคนบ้าอยู่หรอก ตอนนี้กำลังคิดหาที่นอนอยู่มากกว่า ส่วนไอ้ปาก็เดินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมาหาผมแล้วล็อกคอเอาไว้จนแน่น

“มานี่เลยมึง คำพูดมึงนี่วอนตีนดีจริงๆ”

ผมถูกลากมานั่งอยู่ข้างๆ ไอ้ปา ส่วนพี่หนูก็ดึงรั้งพี่อาร์ตมานั่งข้างๆ เหมือนกัน มือก็พาดลงบนไหล่ของพี่อาร์ตอย่างสนิทสนม แต่พี่อาร์ตกลับสะบัดตัวออก ไม่สนใจว่าพี่หนูมันจะรู้สึกยังไง แต่ผมเห็นนะ ว่าพี่หนูกระซิบอะไรบางอย่างใส่พี่อาร์ตแล้วพี่มันก็หน้าซีด ยอมให้พี่หนูพาดแขนลงบนไหล่แต่โดยดี

อะไร ความลับเหรอ นกก็อยากรู้ด้วย!!!

พวกเรากินกันไปไม่รู้เท่าไหร่ คำว่าพวกเราคือไอ้ปากับพี่อาร์ตแล้วก็พี่หนูนะครับ ส่วนเหล้าผมนี่โดนไอ้ปาชงซะจางเลย จางจนแทบจะแดกแต่น้ำเปล่าก็ยังได้

แต่ดูพี่หนูกับไอ้ปาสิ กินเข้มๆ ชงเข้มๆ ผมเองก็อยากกินแบบนั้นบ้างงงงงง

ถึงไม่ได้เข้มๆ เหมือนของไอ้ปากับพี่หนู ก็ขอแบบพอมีรสชาติของเหล้าแบบพี่อาร์ตก็ได้ ไม่ใช่ประเคนน้ำเปล่าที่แก้วมีรอยเหล้ามาให้กูแบบนี้!!

กูไม่โอเคเว้ย! ไม่โอเคมากๆ ด้วย!!!

แต่บ่นอะไรไม่ได้หรอก เหล้าผมก็ไม่ได้ออกตังค์ นั่งแดกกับแกล้มจนจะอิ่มอยู่แล้วตอนนี้ก็บังไม่รู้ว่าตกลงว่าพวกพี่หนูมันมาทำไม คือพี่อาร์ตผมพอเข้าใจได้นะว่าเป็นห่วงผมมาก เพราะนาทีแรกที่เข้าห้องมาได้แกก็พุ่งหลาวเข้ามาหาผมแล้วสำรวจร่างกายก่อนเลย

แต่ไอ้พี่หนูสิ มันมาทำไม!!!

หอบทั้งเหล้าทั้งกับแกล้มมานี่คือไม่ใช่มาธุระหรือห่วงใยกูแน่ พี่มึงเหงาใช่ไหมตอบมา!!!

แม้ว่าพี่อาร์ตจะกินช้า แต่ผมก็เห็นว่าแกเมาก่อนคนอื่นเขาเลยล่ะ เวลาพี่อาร์ตเมาจะหน้าแดงมากๆ นั่งก้มหน้านิ่งๆ แล้วเล่นมือตัวเอง มันเป็นภาพที่โคตรกระแทกใจอ่ะ ดาเมทคือแรงมากครับ เห็นแล้วมันรู้สึกงุ้ยๆ น่ารักน้าหยิก ชวนให้จั๊กจี้หัวใจแปลกๆ ทำไมน่ารักขนาดนี้วะ โอ๊ยย อยากดึงเข้ามากอดจังเลย

“ไอ้นก…”

“ครับ?” ผมละสายตาจากพี่อาร์ตแล้วมามองหน้าไอ้พี่หนูแทน

“มึงรู้เรื่องไอ้ปากับน้องเบญแล้วสินะ” ผมพยักหน้า พอพูดชื่อน้องแล้วผมก็รู้สึกหวิวๆ ในใจจัง

“ก็…ครับ ผมรู้แล้วนั่นล่ะ” จริงๆ คือเพราะเสือกแอบไปฟังเขาคุยกันไงเลยได้รู้เรื่องมา ไม่งั้นผมก็ยังนั่งโง่เหมือนเดิม คิดแล้วแค้น อยากเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านอีกรอบจัง

“จะว่าไปมึงคงไม่รู้สินะ”

รู้??? ยังมีอะไรที่ผมไม่รู้อีกเหรอ

“เรื่องอะไรวะพี่?” ผมควรรู้สึกยังไง ปวดใจอีกรอบ หรือควรปลงตกได้แล้วดี

“เรื่องที่ว่าเบญเป็นน้องสาวกูเอง”

หืม? หืม??? หืมมมมมมมม

“ล้อเล่นใช่ป่ะ” เอาจริงๆ ผมแอบช็อกนะ แทบจะเรียกได้ว่าอึ้งเลยนั่นล่ะ เพราะผมเองก็พอรู้อยู่บ้างว่าพี่หนูแกเส้นใหญ่ แต่ก็ไม่ได้นึกว่าจะเส้นใหญ่ขนาดนี้

“กูพูดจริง เบญเป็นน้องสาวคนละพ่อคนละแม่กับกู”

“…” เอ่อ แบบนี้เรียกน้องสาวได้ด้วยเหรอ?

“ยังไงดีล่ะ แม่กูตาย พ่อกูก็เลยแต่งงานใหม่ แล้วแม่เลี้ยงกูเขาก็มีลูกติดคนหนึ่งชื่อเบญ” อ้อ! แบบนี้นี่เอง

“ผมเข้าใจล่ะ ว่าแต่ทำไมไอ้ปาถึงไปหมั้นกับน้องสาวพี่ได้ล่ะ” คาใจนะ ถ้าเกิดคำตอบคือสองคนนี้ชอบพอกันมาก่อน ผมคงปวดใจแล้วก็เกลียดตัวเองเลยล่ะ เพราะเป็นคนที่ทำลายความรัดของอีกคนหนึ่ง

“เรื่องนี้…ต้องโทษที่แม่เลี้ยงกับเบญเองนั่นล่ะ”

“ยังไงวะพี่?” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจสิ่งที่พี่หนูบอก พี่แกก็ถอนหายใจออกมาเสียงดัง สายตาหลุบลงมองพื้น

“เบญมันชอบไอ้ปามาตั้งนานแล้ว ก่อนที่จะรู้จักกับมึงอีก ด้วยนิสัยมันที่ถูกแม่เลี้ยงกูตามใจมา มันก็อยากได้ไอ้ปาถึงขั้นสร้างเรื่องว่าชอบพอกัน แต่มันก็ไม่ได้พูดออกมาโต้งๆ หรอก แค่เปรยๆ พ่อแม่ไอ้ปาก็เลยจับหมั้นเอาไว้ก่อน ถึงยังไงซะ พ่อแม่ไอ้ปาก็ไม่ใช่คนหูเบา แค่ทำให้มันจบๆ เรื่องไปแล้วให้ไอ้ปามันเคลียร์เอง” พี่หนูดูหดหู่แปลกๆ ท่าทางรอบยิ้มเย้ยหยันนั่นดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจแม่เลี้ยงกับน้องสาวต่างสายเลือดตัวเองสินะ

“ตอนที่กูคบกับมึงก็กูคิดเอาไว้แล้วว่าจะพามึงไปหาพ่อกับแม่ จะพาไปไหว้ท่านทั้งสองแล้วถือโอกาสยกเลิกการหมั้น เพราะกูไม่ได้ชอบน้องเบญ แต่มึงดันหนีไปซะก่อน” ไอ้ปายกเหล้าขึ้นมาจิบ ปล่อยอารมณ์ให้ไหลออกไปทางสายตาที่ทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย

“เรื่องนี้จะไปโทษไอ้ปามันก็ไม่ได้ ตัวเบญเองนั่นล่ะที่ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ กู…ไม่อยากเข้าไปยุ่งมากนักหรอก พูดมากๆ กูก็มีปัญหากับพ่อกูเองอีก” แววตาที่มีความน้อยใจเจอปนอยู่นั้นทำให้ผมรู้สึกเห็นใจพี่หนูไม่ได้ ใครว่ามีเงินหนา มีเส้นใหญ่แล้วจะมีความสุขกัน พี่หนูไม่มีมันด้วยซ้ำความสุขที่ว่า ตอนนี้มีแต่ความรู้สึกไม่เป็นธรรมที่ผมพอจะเดาได้ว่า เป็นความรู้สึกที่ถูกรักไม่มากพอ

พ่อของพี่หนูลำเอียงจริงๆ หรือเป็นพี่หนูที่เข้าใจผิด ผมเองคงตอบพี่หนูไม่ได้

เพราะผมไม่ได้ยืนอยู่ตรงจุดนั้น

ผมเห็นใจพี่หนูนะครับ ไม่ใช่เพียงแค่เห็นใจอย่างเดียว ผมสงสารแกทั้งที่เป็นลูกชายแท้ๆ แต่กลับต้องมารู้สึกว่าพ่อรักพี่หนูน้อยลง ถ้ามันไม่มีเรื่องอะไรให้เข้าใจปอด ผมว่าคงไม่มีใครคิดหรอกว่าพ่อแท้ๆ จะลำเอียงรักลูกเลี้ยงมากกว่า สาเหตุมันต้องมี แต่ผมคงจะไปสะกิดพี่หนูแล้วบอกว่าให้ไปนั่งคุยกันไม่ได้ อย่างที่ผมบอกไป ผมคือคนนอก ไม่ใช่คนในครอบครัวของพี่หนู

เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก ต้องให้พี่หนูจัดการด้วยตัวเอง ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ

“พี่อย่าคิดมากเลย ถึงยังไงพี่ก็มีผมอยู่ เอ่อ มีไอ้ปาด้วย มีพี่อาร์ตอีก” รวมๆ ไปก่อนแล้วกัน กลัวสายตาที่จ้องแต่จะฆ่าฟันแฟนตัวเองของไอ้ปา

คืนนี้หลับตาตื่นมาผมจะกลายเป็นศพไหมครับ รู้สึกเหมือนชีวิตใกล้จะลาโลกเต็มทีแล้ว

“เออ กูรู้เว้ย! ใครไม่รักกูช่างมันสิวะ ตอนนี้กูมีคนที่กูต้องทำให้รักอยู่แล้วอีกคน!”

“ใครวะพี่!” ความเสือกมาก่อนทุกเรื่องเสมอ ผมอยากรู้อยากเห็นมาก ยิ่งไม่ใช่เรื่องของตัวเองยิ่งอยากรู้มากเป็นพิเศษเลยล่ะ

“กูไม่บอกมึงหรอกไอ้นก อย่ามาถามกูซะให้ยากเลย ฮ่าๆ” โหย! ขี้งกวะ ไม่อยากรู้ก็ได้วะ

แต่ถ้าผมรู้เมื่อไหร่ผมจะเป่าหูคนคนนั้นให้หนัก เอาให้พี่หนูจีบยังไงก็ไม่มีทางติดไปเลย อยากปิดบังผมดีนักใช่ไหม

งั้นก็ไม่ต้องสมหวังแล้วกัน หึหึ

ว่าแต่ผมจะถามจากใครดีล่ะ ไอ้ปาหรือพี่อาร์ตดี

แต่ดูสภาพพี่อาร์ตตอนนี้คงตอบอะไรผมไม่ได้ เพราะแกมุดไปนั่งคุยกับมดอยู่ใต้โต๊ะแล้วล่ะ เอ้อ…กูเครียดดดด









TBC



เอ๋ ใครกันน้าาาา แมวไม่รู้เลยจ้าาา ไหนใครเดาได้บ้างบอกสิ แต่เราไม่เฉลยหรอก คิกๆ พวกเธอต้องคิดกันเอาเองงงงงง

ปากินนก แล้วหนูจะกินอะไร อุกๆ
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่18.นกกับการเผชิญฯ 50% up. 25/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 25-01-2020 20:24:55
[18]

ตอนที่ 18.

 นกกับการเผชิญหน้า 

ผมปวดหัวกับพี่อาร์ตที่พอยิ่งเมามากเท่าไหร่ยิ่งทำตัวว่าง่ายเป็นเด็กเล็ก จ้องหน้าผมตาแป๋วด้วยซ้ำ ใจผมนี่อยากจะกระชากพี่อาร์ตมากอดมาจูบมาก ความน่ารักตะมุตะมิเรียกความคลั่งไคล้จนอยากดูเอ็น เอ๊ย เอ็นดูเต็มที รู้สึกคล้ายตัวเป็นป๋าที่กำลังตะล่อมเด็กเข้ามาทำอนาจาร

แต่พอผมขยับเข้าไปใกล้ ไอ้พี่หนูก็แยกเขี้ยวใส่ ไอ้ปาก็จ้องจะแดกหัวผมอยู่ตลอดเวลา ผมเลยได้แต่ขยับหนี ต้องเข้าไปนั่งใกล้ไอ้ปาแทน สีหน้าก็จะแสดงออกถึงความเซ็งอย่างไม่ปิดบัง

อยากนั่งใกล้คนน่ารักไง ทำไมไม่เข้านกบ้างงงงงง

อยากงอแงใส่ อยากทำตัวเป็นเด็กแล้วทิ้งตัวลงไปนั่งร้องไห้ ร้องแต่จะเอาๆ ให้มันมาตามใจ แต่ก็กลัวว่าจะกลายเป็นภาพที่อุบาทว์ลูกตาจนทนดูไม่ได้ ไม่ใช่แค่คนอื่นทนดูไม่ได้หรอก ผมก็คงอายตัวเองด้วยเหมือนกัน แต่ว่าผมก็อยากนั่งใกล้ๆ พี่อาร์ตนี่ ดูสิ! คนอะไรเมาแล้วโคตรน่ารักเลย

ผมหลงรักได้เลยนะ ใจเต้นตึกตักเลยเนี่ย

“มองอะไรหนักหนา หืม?” เลื้อย เลื้อยมาแล้ววววว

“เปล่า ไม่ได้มอง” ผมไม่ได้โกหก ผมไม่ได้มองมันจริงๆ ผมมองพี่อาร์ตอยู่ สายตาของผมไม่ได้ถูกดึงกลับมา แต่ร่างกายก็ขยับโดยอัตโนมัติเพื่อหนีจากมือไม้ที่ออกลวดลายเป็นปลาหมึกใส่ผม

“ก็กูเห็นมึงมองอยู่นี่ไงนก!” เสียงเข้มอีกแล้ว ผมมุ่ยหน้าใส่เมื่อถูกเสียงเข้มๆ นั้นเอ่ยใส่คล้ายว่ากำลังดุผม

“อะไร! ก็กูไม่ได้มองมึงซะหน่อย” จะเดือดร้อนทำไมหนักหนา ผมก็แค่อยากมองพี่อาร์ต พี่อาร์ตน่ารัก คนน่ารักใครๆ ก็อยากจะมองไหม ทีเมื่อก่อนมันมองสาวๆ นมโตๆ ใส่เสื้อแหวกหน้าแก้หลังโชว์ขา ผมยังไม่เคยบ่นมันเลย

ไอ้คนสองมาตรฐาน!

“ก็ถ้ามึงมองกูกูจะถามมึงแบบนี้ไหม! เลิกมองสักที!!”

“อะไรของมึงวะปา!! หงุดหงิดเหี้ยอะไรก็อย่ามาลงกับกูแบบนี้! กูเป็นที่ระบายอารมณ์ของมึงหรือไง หา!!!”

อีกแล้ว ผมจะหงุดหงิดแล้วนะ! พอกริ่มๆ ใกล้เมาทีไรก็เป็นแบบนี้ตลอด เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจชอบบังคับ ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่กลับกรุงเทพมากับมันแล้วนะ ตัวมันเองไม่เคยควบคุมอารมณ์ตัวเองเลยจริงๆ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันก็ยังถือเป็นเรื่องใหญ่

ไอ้ปาจ้องหน้าผม สีหน้าและแววตามันชัดเจนมากว่ากำลังจะโมโหแล้วจริงๆ ผมแอบหวั่นๆ นะครับ ไอ้ปามันโมโหแล้วไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขาหรอก จากเหตุการณ์ก่อนๆ ถ้านึกย้อนไปก็จะเห็นว่า ไม่กระชาก ไม่บีบแขนผม ไม่ผลักผม มันก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่ผมเจ็บ และเป็นผมเสมอที่เจ็บตัว

“ก็เพราะมึงเป็นคนที่ทำให้กูหงุดหงิดไงวะ!! จะมองทำเหี้ยอะไร ชอบหรือไง? ผัวมึงนั่งอยู่ตรงนี้ทำไมไม่มอง!!”

อะ ไอ้…

ผมชะงักค้าง อารมณ์โมโหถึงกับค้างเติ่งกลางอากาศไปเลยเมื่อเจอคำพูดไอ้ปา ผัวเหรอ? ผัวใคร? ผมกับมันไม่ใช่ผัวเมียกันสักหน่อย อีกอย่างเราตกลงกันแล้วนี่ว่าผมจะเป็นผัวมัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือมันพูดออกมาหน้าตาเฉยได้ยังไง ผมเลิ่กลั่ก มองซ้ายขวาก็เห็นพี่หนูมันตาวาววับแต่ก็มีมารยาทไม่แซ็วออกมาจึงยกแก้วเหล้าขึ้นมาแดกต่อแทน

เหี้ยเถอะ! มันพูดแบบนี้ได้ไงวะ

“มึงพูดเหี้ยอะไรปา!” ไอ้ปาจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ แต่ก็ปล่อยมือจากผมแล้วหันไปยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มต่อจนหมดแก้ว แล้วชงใหม่ ผมที่ยังทั้งอึ้งทั้งอับอายก็ทำอะไรไม่ได้ จะดื้อด้านดึงดันถามต่อมันก็เหมือนยิ่งพาตัวเองขายหน้าเปล่าด้วย แต่ในช่วงที่ผมกำลังมึนๆ และอายๆ จู่ๆ ร่างกายของผมก็ถูกโอบกอดทั้งตัว ถูกดึงใบหน้าไปซุกอกหอมๆ ของใครคนหนึ่ง ผมรู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่ลูบผมของผมเบาๆ รับรู้ถึงน้ำเสียงอ่อนโยนที่เอ่ยออกมาปลอบผมของเขา

จะเป็นใครไปไม่ได้อีกนอกจากพี่อาร์ต พี่ชายที่น่ารักของผม

“ไม่เป็นไรน้าาา”

กลิ่นพี่อาร์ตหอมชะมัด หอมจนไม่อยากออกจากอกนี้เลย

“พี่กอดนกอยู่น้าา โอ๋ๆ เด็กดี”

อา ผมชอบพี่อาร์ตแบบนี้!! อยากมอมเหล้าพี่มันทุกวันแล้วจับมากอดๆ มาซุกๆ แบบตอนนี้อีก งื้อออ ผมเสพติดกลิ่นพี่อาร์ต!!!

“ขอบคุ อะ เฮ้ย!” แทบหงายหลังเลยบอกได้คำเดียว ถูกกระชากจากด้านหลังไม่พอ ยังถูกมือพี่หนูที่มาแงะมาแกะตัวผมกับพี่อาร์ตออกจากกันแล้ว แถมพี่มันยังผลักผมออกไปข้างหลังจังหวะเดียวกับที่ไอ้ปามันเข้ามากระชากผม

เจ็บคูณสอง ถนอมกูบ้างเถอะพวกมึงงงง กูช้ำหมดแล้วเนี่ย!

แล้วดูนะครับ มีใครหน้าหนาผลักคนอื่นที่เขากอดกันด้วยความรักออกแล้วมายืนมองหน้าหาเรื่องแบบนี้บ้าง พี่หนูมันบ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ จู่ๆ มายืนตวัดสายตาฆ่าฟันใส่ผมอย่างไม่มีสาเหตุ แบบนี้ผมต้องการคำอธิบายนะ เผื่อว่าถูกฆ่าตายจะได้เข้าฝันบอกไอ้แมวได้ว่าสาเหตุของการถูกฆาตกรรมคืออะไร

ไอ้ปาก็อีกคน ปกติถูกกระชากเจ็บๆ มันก็บ่อยอยู่หรอก แต่ตอนนี้ทั้งช้ำจากมือมันที่กระชากแขนผมมาไม่พอ พ่อเจ้าประคุณก็เล่นยีบแขนกูจนจะหักคามืออยู่แล้ว ไม่รู้โกรธแค้นอะไรหนักหนา จะว่าไปเมื่อกี้เถียงมันก็ไม่ได้รุนแรง แต่ความมาคุในห้องคืออะไร ทำไมทุกคนต้องเงียบเป็นเป่าสาก มองหน้ากันเงียบๆ นิ่งๆ แบบนี้ด้วยเล่า

นกก็อยากรู้เรื่องบ้างนะ!!

“กูกลับก่อนดีกว่า” อ้าวเฮ้ย! ทำไมงั้นอ่ะพี่มึงงงงง

หลังจากสบตากันอยู่สักพัก พี่หนูก็สลัดอาการเมามายออกไปจนเหลือแต่ผู้ชายลุคแบดๆ ที่กอดพี่อาร์ตเอาไว้ในอ้อมแขน ดวงตาฉายแววจริงจังและเงียบขรึม มันดูไม่เหมือนพี่หนูที่ผมรู้จัก ส่วนไอ้ปาก็เหมือนกันไม่หลงเหลืออาการที่ส่อว่าเมามายเหมือนเมื่อกี้ที่ถกเถียงกับผมเลย ราวกับว่าไอ้ปาที่ต่อว่าผมอยู่เมื่อครู่เป็นเพียงภาพมายา

ความตึงเครียดที่ผมไม่เข้าใจว่ามันมาจากที่ไหนก้าวเข้ามาปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ผมมองไอ้ปาสลับไปมากับพี่หนูอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงอยู่ในโหมดที่เข้าใจกันได้เพียงแค่มองตา ในเมื่อไม่ถูกกันแท้ๆ แต่ทำเหมือนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แรงที่ไอ้ปาใช้บีบแขนผมไม่ได้ลดลง ทางด้านพี่อาร์ตก็คงอึดอัดเช่นกันที่ถูกรวบตัวไปกอดเอาไว้ด้วยแขนเดียวแบบนั้นถึงได้พยายามดิ้นหนีอยู่

“ไม่ส่ง…” สั้นแค่เนี่ย? มึงจะประหยัดคำไปไหน

“พี่ เดี๋ยวดิ ทำไมรีบกลับวะ?” พี่หนูไม่ได้ตอบคำถามของผมหรอก มันไม่ได้มองผมด้วยซ้ำ สายตายังมองไอ้ปาไม่หยุด จนตอนที่กำลังจะหันกลับนั่นล่ะครับถึงได้ปรายตามามองผมอยู่บ้าง

อะไร?? รู้สึกเหมือนว่าจะถูกโกรธ นกทำอะไรผิด

อารมณ์ของผมตอนนี้คืองงเป็นไก่ตาแตกว่าตัวเองทำผิดตรงไหน ทบทวนหาสาเหตุของการถูกพี่หนูโกรธแต่ก็หาไม่เจอ ผมว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ ไม่ได้ทำอะไรที่สะเทือนอารมณ์หรือชวนให้โมโหด้วยซ้ำ แล้วตรงไหนล่ะที่พี่มันเอามาโกรธผมแบบนี้ แถมไอ้ปาเองก็ดูไม่สบอารมณ์ เหมือนไม่พอใจผมเช่นเดียวกับพี่หนู

หมับ!

“อ๊ะ!” อะ อะไรอีกวะเนี่ย!

ผมยืนงงกว่าเก่า แต่กลิ่นนี้ผมจำได้ พี่อาร์ต พี่อาร์ตแม่งกระโดดกอดผมทั้งตัวเลยครับ ไม่ใช่กอดธรรมดาเหมือนการกอดลาอะไรแบบนี้นะ เป็นการกอดที่เอาขาสองข้างมาเกี่ยวรัดเอวไว้ แขนสองข้างก็รัดคอผมจนแทบจะหายใจลำบาก ใบหน้าของพี่อาร์ตก็ซุกอยู่ที่ไหล่ของผม อารมณ์เหมือนเห็นลูกลิงเกาะต้นมะพร้าวก็ไม่ผิด เพียงแต่ผมแม่งเตี้ยกว่าต้นมะพร้าวไง มันเลยดูไม่สมดุลเอามากๆ

ดูขัดๆ ลูกตาไม่น้อยเลยล่ะผมว่านะ

“อาร์ต ลงมา!” เสียงพี่หนูพูดเตือนเสียงจอดไรฟัน สีหน้ายิ่งดำทะมึนเข้าไปมากกว่าเดิม แต่ไม่ว่าพี่หนูมันจะทำหน้าแบบไหน คนที่กลัวก็มีแค่ผมนี่ล่ะ เพราะพี่อาร์ตมองไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงอย่างเดียวเท่านั้น

“ม่ายยยย นกกกกกก”

“อะ ครับๆ แฮะๆ” อย่าฆ่ากู กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย ผมเหลือบตามองไอ้ปา ฝ่ายนั้นยิ่งแล้วใหญ่ สีหน้าแววตาเหมือนฆาตกรที่เพิ่งออกมาจากคุก

ไอ้เหี้ย! น่ากลัวไปแล้วนะโว้ย!!

“ลงมาอาร์ต กูพูดกับมึงดีๆ แล้วนะ!” เอ่อ ขอโทษนะพี่ นี่ดีแล้วเหรอ?

“ไม่อาวๆ จะอยู่กับนก นกกก นกจ๋าาาา”

“จะ จ้าาา” จ๋าไม่ได้ เดี๋ยวตายไม่มีศพ นกอยากร้องไห้ นกอยากจะร้องไห้นะ

“ไอ้ปา! มาเอาเมียมึงออกจากไอ้อาร์ตเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นเมียมึงเจ็บแน่!” ผมสะดุ้งเลยครับ ยิ่งได้ยินคำว่าเจ็บยิ่งรู้สึกหวาดกลัวเข้าไปใหญ่ ไอ้พี่อาร์ต มึงไม่น่ารักแล้ว รีบๆ ออกไปเลยไอ้พี่เวร!!!

“พี่ต่างหาก เอาพี่อาร์ตออกไปซะ ก่อนที่ผมจะตัดแขนตัดขาที่เกี่ยวไอ้นกไว้ทิ้ง!” นี่มันประธานบริษัทหรือฆาตกรตามหมายจับ ทำไมโหดกันแบบนี้ ถ้ามือถืออยู่ใกล้ๆ นะ ผมจะโทรแจ้งตำรวจ ให้มันรู้ไปเลยว่าสองคนนี้ใครหนีคดีมา!

“ไอ้นก! ปล่อยไอ้อาร์ต เดี๋ยวนี้!”

เอ่อพี่มึนได้แหกตาดูไหมครับว่าใครควรปล่อยใคร? โดดมาหากูเป็นลูกลิงแบบนี้ กูจะปล่อยยังไงวะ

“พี่อาร์ตปล่อยไอ้นกซะ แล้วพี่จะกลับบ้านได้ครบสามสิบสอง” ขนลุกเกรียวทันทีที่ได้ยินคำขู่ของไอ้ปา ผมรับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องขบขันอะไรแน่ๆ อย่างไอ้ปา…มีหวังเอาจริงแน่นอน

“พี่ พี่อาร์ตครับ ผะ ผมว่า…”

“คร่อกกกก ฟี้”

“…”

“…”

“…”

หมดคำจะพูด ใบ้แดกกันยกห้อง ผมอยากจะกลอกตาขึ้นฟ้าแล้วหงายหลังให้หัวมันโขกกับพื้นแล้วตายไปซะ เจ้าตัวต้นเหตุหลับอยู่ในท่าที่ไม่ควร เกาะผมหนึบเป็นตังเม ปล่อยให้ผมเจอเหตุการณ์ระทึกขวัญสั่นประสาทอยู่คนเดียว ส่วนพี่มันหลับสบายสไตล์มิ้วลีบแบบนี้เหรอครับ มันไม่ได้ไงเฮ้ย!!

ร้องไห้ได้ไหม นกร้องไห้ได้ไหม ฮือๆๆ

“พี่หนู แยกพี่อาร์ตออกไป”

“เออ”

ไอ้ปาลดทอนเสียงลงไปมาก แต่หน้าตาก็ยังคงตึงเครียดไม่เปลี่ยน ส่วนพี่หนูถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่พี่มันจะเดินเข้ามาแล้วแกะแขนที่เหนียวหนึบเหมือนฉาบเอาไว้ด้วยกาวตราเช้งออกไป หนังคอผมแทบจะหลุดตามมือพี่อาร์ตไปด้วย บอกตามตรงเลยว่า ตุ๊กแกยังอาย

ในที่สุดก็หลุด ผมเป็นไทยแล้วครับ!!

“เดี๋ยว!”

“เฮ้ย!”

ฉิบหายล่ะ

กึก!

โอ๊ยยยย อยากจะร้องไห้ออกมาเสียงดังๆ ให้แม่งอับอายไปเลย! พี่หนูแม่ง พี่มึงทำไมเหยียบแว่นกูซะเละแบบนี้วะ!! นี่ผมต้องทิ้งและลาจากกับแว่นสุดรักสุดหวงแล้วเหรอ อยู่ด้วยกันมาก็ตั้งหลายปี ช่วยผมทำเรื่องต่างๆ ก็มาก ทำไมจากกันไปเร็วแบบนี้ล่ะ ฮืออออออ

“เอ่อ นก กูขอโทษที ไม่ได้ตั้งใจวะ” เต็มตีนขนาดนี้ไม่ได้ตั้งใจเลยมั้ง! ถ้าตั้งใจไม่ถอยรถบรรทุกมาเหยียบทับอีกรอบเหรอ!

“ช่างมันเถอะครับ” มันแจ้งตำรวจจับไม่ได้นี่นะแว่นแตกแบบนี้ โกรธไปก็คงไม่ได้อะไร แต่นกเสียใจ เสียใจมากด้วยยยย

“แหะๆ งั้นกูกลับก่อนนะ โทษที”

แล้วเสียดายแว่นของผมก็มาพร้อมกับกรงขังอีกใบ คอผมที่ถูกปล่อยออกจากแขนของพี่อาร์ตก็มีแขนของไอ้ปามาแทนที่ ผมก็ทำอะไรไม่ได้ แค่ขยับตัวจะออกจากวงแขนมันยังถูกล็อกไว้แน่นกว่าเดิม เป็นแบบนี้แล้วผมจะหนีมันได้ยังไงล่ะ ขืนหนีอีกมีหวังถูกกดจนหลอดลมปิด ขาดใจตายพอดี ผมไม่อยากเสี่ยงตายแบบนั้นนะ มันทรมาน

“ปล่อยกูได้แล้ว ไม่เห็นเหรอพี่มันไปแล้ว” ล็อกซะเหมือนกลัวผมจะวิ่งตามพวกพี่หนูไปงั้นล่ะ ป่านนี้คอผมแดงไปหมดแล้วมั้ง เดินออกไปข้างนอกคงมีคนนึกว่าถูกคนพยายามฆ่าด้วยการรัดคอ

“หึ!”

หึ? หึอะไรวะ???

“หึอะไรของมึง?” ไอ้ปาเอาแขนออกอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังยืนจ้องหน้าผมเอาไว้ไม่ยอมหลบสายตา ผมเองก็ไม่ยอมแพ้แน่นอนว่าจ้องมาย่อมต้องจ้องกลับ ใครกะพริบตาก่อนคนนั้นแพ้ ผมเล่นบ่อยหรอกเกมนี้ เด็กๆ เตรียมตัวเรียกลูกพี่ได้เลยไอ้ปา

ฮึบ!

ผมเล่นแข่งจ้องตากับมัน ไม่มีใครยอมใครมันเองก็ไม่หลบตา ไม่ยอมกะพริบตาสักนิด เราสองคนจ้องกันนานมาก (ประมาณ30วิได้) ตาผมแทบจะขึงเอาไว้ไม่ไหว น้ำตาเริ่มคลอเบ้าโดยที่ไอ้ปายังคงชิวๆ สบายๆ เหมือนเกิดมายังไม่เคยกะพริบตามาก่อน

มันเป็นไปไม่ได้!!

โอเค กูยอมแพ้

ผลสรุปคือผมยอมกะพริบตาแล้วใช้มือนวดๆ ดวงตาตัวเอง ให้ตายเถอะใครจะไปคิดว่ามันจะอึดขนาดนี้ ตาผมแทบจะลืมไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำตอนนี้ แต่มันยังไม่ยอมละสายตาไปจากผมเลยครับ ไม่รู้จะจ้องให้มีใบมีดอกงอกออกมาจากตัวผมหรือเปล่า

“จะมองทำไม มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า” ถูกมองแบบนี้นานๆ เข้าผมก็เริ่มทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน เพราะงั้นพูดออกมาเลยดีกว่า

“ทำไม? กูมองไม่ได้?” ผมกลอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ

“แล้วไม่ใช่ว่ามึงมองอยู่เหรอตอนนี้” ไอ้ปายกยิ้มมุมปาก ดวงตาของมันวาววับจนน่ากลัว

“กูเพิ่งรู้ว่ามึงชอบแบบนั้น”

“แบบไหน?” ผมสงสัยจริงๆ นะเนี่ย ไอ้แบบนั้นของมันคือแบบไหนกัน แต่ไอ้ปาไม่ปล่อยผมงงนาน มันเย้ยหยันผมด้วยวาจาที่น่าตบตีนเข้าที่ปากมาก

“แบบไอ้พี่อาร์ตไง! มึงอย่ามาทำหน้าโง่ๆ เหมือนไม่รู้อะไรได้ไหม กูเห็นอยู่กับตาว่ามึงอยากจะแดกมันเข้าไปด้วยซ้ำ!”

“อย่ามาหาเรื่องกูนะไอ้ปา!”

“กูหรือหาเรื่อง นี่กูกำลังถามมึงดีๆ ต่างหาก รู้ไหมว่าถ้าไม่ใช่เพราะกลัวมึงจะโกรธกูอีก กูจับมึงลงเตียงแล้วจัดการมึงไปนานแล้ว!” ผมเม้มปาก นี่คือคุยกันดีๆ แล้วเหรอ?

“ปากมึงก็บอกว่าถามกูดีๆ มึงแน่ใจแล้วเหรอว่าที่ถามอยู่นี่คือดีแล้ว? ถ้าจริงๆ มึงพูดห่าอะไรดีๆ กับกูไม่ได้ มึงไม่ต้องพูดก็ได้นะปา กูเองก็เบื่อจะทะเลาะกับมึงเหมือนกัน” งี่เง่า ผมเองกำลังงี่เง่าอยู่ แค่น้อยใจกับน้ำเสียงกับคำพูดคำจาที่มันใช้กล่าวหาผม แม้มันจะเรียกว่าถามก็ตามที แต่สำหรับผมมันไม่ต่างจากการยัดเยียดนั่นล่ะ

“แม่งเอ๊ย!” ไอ้ปามันอารมณ์ขึ้นจนถึงขีดสุุด ผมหลับตาปี๋เพราะกลัวว่ามันจะลงไม้ลงมือกับผมขึ้นมาจริงๆ แต่เปล่าเลยครับ ร่างกายผมไม่มีความรู้สึกเจ็บ สิ่งที่รับรู้และรู้สึกได้คือความอุ่นร้อนจากแผ่นอกของมันและวงแขนแข็งแรงที่รัดร่างของผมเอาไว้

มันกำลังกอดผม และผมเองก็อดตกใจจนตัวแข็งทื่อไม่ได้

“ขอโทษ”

!!!

มันพูด…อะไรนะ?

“กูขอโทษที่พุดจาเหี้ยๆ ใส่มึง ขอโทษที่หึงแล้วพาลใส่มึงแบบเมื่อกี้” หะ หึง! มันหึงผมเนี่ยนะ

“เอ่อ…” ตอนนี้เลยกลายเป็นผมเองที่พูดไม่ออก ทำตัวไม่ถูกมากกว่าเดิมเข้าไปอีก

“แต่กูรักมึงมากนะนก แค่มึงมองใคร กู กูก็หวงจนอยากจะฆ่าคนนั้นทิ้งแล้ว”

ฆ่า ฆ่าเลยเรอะ!!

“เพราะงั้นตอนที่มึงมองพี่อาร์ต ตอนที่พี่อาร์ตกอดมึงกูถึงได้หงุดหงิด กูอิจฉาทุกคนที่อยู่ในสายตามึง”

“ดะ เดี๋ยว!” มันใช่เวลาจะมาหวานตอนนี้ไหม? แต่ไอ้ปาไม่สนใจหรอกว่าผมจะร้องห้ามยังไง มันยังคงพูดต่อไปอีกเช่นเดิม

“อิจฉาทุกคนที่มึงอยากเข้าไปใกล้ๆ”

“อ๊ะ!” สะ ส้นตีนเถอะ พูดอย่างเดียวไม่ต้องจูบคอกู ไอ้เหี้ย!!!

“แค่เห็นว่าร่างกายของมึงถูกใครสัมผัส กูก็ร้อนใจจนอยู่ไม่ได้แล้ว”

“อะ อือ” ทะ ทำไมไม่มีแรงเลยล่ะ ทำไมทุกอย่างถึงดูว่างเปล่า ผมรับรู้ถึงฝ่ามือของมันที่ไล่มาจากเอวของผมขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ผมไม่สามารถห้ามมันได้ สมองผมเริ่มเลือนราง เรี่ยวแรงหดหายเพียงเพราะสัมผัสที่ร้อนระอุจากริมฝีปากของมันที่ไล่เลียและพรมจูบตามซอกคอและหัวไหล่

ไม่ได้นะ! แบบนี้อันตรายแน่ๆ

“หยะ อย่า ปา” ไอ้ปาชะงักมือ แต่ไม่ยอมปล่อยผมออกจากอ้อมแขน มันยังกอดผมเอาไว้ มองใบหน้าเลื่อนลอยของผมอย่างหลงใหล

“ได้ กูหยุดแล้ว”

“…” ไม่มีแรง ไม่มีแรงแม้แต่จะตอบ ผมเค้นเอาแรงสุดท้ายมาบอกให้มันหยุดไปแล้ว ร่างกายที่อ่อนเปลี่ยนจึงตกอยู่ในอ้อมกอดของมันอยู่พักใหญ่ เพื่อที่จะเรียกคืนเรี่ยวแรงให้กลับมาอีกครั้ง ไอ้ปาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยผิวแก้มของผมเบาๆ มองผมด้วยความอ่อนโยนพร้อมกับรอยยิ้มหวาน

“กูจะรอ…รอให้มึงพร้อม ให้มึงยอมรับกูอย่างเต็มใจ” ผมหลบตาลง หัวใจสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่

“มะ มึงพูดจริงๆ นะ” ไอ้ปายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่กระชากใจผมมากๆ

“จริงสิ แค่มีมึงอยู่ข้างๆ กูก็พอ ต่อให้มันนานแค่ไหน กี่เดือน กี่ปี กูก็รอมึงได้ทั้งนั้นนก”

รอได้ มันบอกว่ารอผมได้ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะทำได้จริงๆ ไหม แต่ผมกลับรู้สึกตื้นตันใจ รู้สึกว่าตัวเองสำคัญมากๆ สำหรับมัน สำคัญมากพอให้มันรอผมด้วยใจจริง ผมอดยิ้มไม่ได้ ความขุ่นเคืองที่มีมาก่อนหน้าหายไปในทันที

บางครั้งคนเราก็ไม่ได้อยากได้ความพิเศษอะไรมากมาย ไม่ต้องเวอร์วังอลังการงานสร้างใดๆ แค่คนที่ผมรักสามารถทำให้ผมรับรู้และรู้สึกได้จากใจว่าเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่เขาแคร์มากๆ แค่นั้นก็ดีมากมายแล้ว

“ขอบใจนะ” ขอบใจที่มึงเข้าใจ ไม่เร่งรัด ไม่เอาเปรียบกู ทั้งที่จะทำก็ได้

ขอบใจที่ทำให้กูสำคัญมากขนาดนี้ ขอบใจจริงๆ







TBC





อะ อาร์ต! กลับมาหาแม่เร็วค่ะลูก อย่าไปอยู่ใกล้ฆาตก๊รรรรร แอบปาดเหงื่อเบาๆ แต่หัวใจแมวเต้นแรงมากเลยค่ะ ขอแอบเก็บน้องอาร์ตเข้าบ้านได้ไหมคะ แมวหวงงงงงง

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่18.นกกับการเผชิญฯ 50% up. 25/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-01-2020 22:21:27
่ตกลง คนที่น่ากลัวที่สุดคือพี่อาร์ต ที่สามารถสร้างให้คนใกล้ตัวเป็นศัตรูกันได้ หุหุ
 o18 o18
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่18.นกกับการเผชิญฯ 100% up. 26/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 26-01-2020 21:52:33
[18]


ไม่ได้มากรุงเทพแค่เดือนเดียว ความเปลี่ยนแปลงของเมืองกรุงไม่ได้มากมายอะไร เรียกได้ว่าแทบจะไม่เปลี่ยนเลยมากกว่า แน่นอนสิครับ มันสมควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว คิดว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาควรจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ? รัฐบาลชุดใหม่เหรอ? มียานบินลำใหม่? หรือคิดว่าตึกราทั้งหลายจะถูกรื้อถอนจนหมด

เรื่องพวกนั้นย่อมไม่ใช่เวลาเพียงแค่เดือนเดียวแน่นอนที่จะทำได้ ผมจึงสามารถเดินไปเดินมาอย่างสบายใจ ดีหน่อยที่ไอ้ปามันยอมปล่อยผมให้ออกมาเดินเล่นบ้าง

ใครกำลังนึกภาพเจ้าตัวเล็กที่มีปลอกคอพร้อมกับสายจูงรีบหยุดเลยนะ ไม่อย่างนั้นผมจะแช่งให้โสดไปทั้งชีวิตจริงๆ ด้วย!

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมก็ยังคงเบื่อหน่ายกับสภาพจราจรของบ้านเราอยู่ดี ถึงแม้หนึ่งเดือนมานี้ผมจะหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน แต่ที่บ้านผมก็ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์หนักๆ เสียงบีบแตรไล่ หรือเสียงที่ชวนให้หงุดหงิดแบบที่นี่ ไม่มีการแก่งแย่งกันของคนขับรถ มีแต่ความสงบเงียบ ความน่าอยู่ ที่ชวนให้คิดถึงแต่กลับไปไม่ได้

ขืนไอ้ปามันรู้ว่าผมอยากกลับบ้านนะ ไอ้คำว่ารอที่มันพูดเมื่อคืนเตรียมถูกขยำทิ้งได้เลย

บรึ๋ยยยยย ไม่อยากจะคิดสภาพตัวเอง

“โอ๊ย! โคตรร้อนเลย ทำไมฝนไม่ตกลงมาบ้างวะ” ถึงปากจะบ่นแบบนั้น แต่ก็ดีกว่าหมกตัวอยู่แต่ในห้องล่ะนะ ไอ้ปาที่นั่งดูข่าวอยู่ตรงโซฟาหันมามองผมแล้วยิ้มกับท่าทางเหนื่อยล้าของผม

“มึงลงไปเดินแค่สิบนาทีก็บ่นแล้วเหรอวะ แต่จะว่าไปก็ควรบ่นอยู่หรอก ใครใช้ให้มึงไปอยู่ที่บ้านตัวเองซะเป็นเดือนล่ะ” ผมขมวดคิ้ว ตอนนี้สมองผมไม่พร้อมทำงาน พวกมันกำลังนั่งตากแอร์กันอยู่

“เกี่ยวอะไรกับบ้านกูวะ?” อา แอร์จ๋า เย็นดีจังเลยยยยย

“ก็บ้านมึงน่ะ ร่มรื่น อากาศก็ไม่ร้อนจัดเหมือนที่นี่ แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ กรุงเทพฯ ย่อมต้องมีมลพิษ” อ้อ! มลพิษคือตัวทำให้อากาศร้อนเข้าไปใหญ่สินะ พอเข้าใจอยู่หรอก

“แล้วนี่ไม่มีแว่นมึงมองเห็นทางเหรอ บอกแล้วว่าให้กูไปด้วยก็ไม่เชื่อ” แค่ไม่มีแว่นไหม ไม่ได้ตาบอด

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้สั้นขนาดนั้น ใส่ให้มันดูน่าค้นหาเฉยๆ เผื่อว่าสาวๆ สวยๆ จะสนใจอยากจะมองตาใต้แว่นของกูบ้าง” ไอ้ปาชี้หน้าผม ทำสีหน้าขึงขังแยกเขี้ยวใส่ผมอย่างคาดโทษ

“หยุดเลยนะ คนที่จะมองมึงได้มีแค่กูคนเดียว คนอื่นกูจะจับแม่งฆ่าแล้วโยนทิ้งทะเลแม่งเลย!” ไอ้โหดเอ๊ย!!

ผมเปิดตู้เย็นหยิบเอาโค้กมาหนึ่งกระป๋องแล้วเปิดออก หยิบอีกกระป๋องแล้วเดินมาหาไอ้ปาที่ยังคงจับจ้องไปกับการรายงานข่าว สนใจอะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้ ข่าวพักนี้ก็มีแต่คดีฆ่ากันตาย ไม่ก็คดียาเสพติด สังคมเราจะเสื่อมลงๆ ไปถึงไหนก็ไม่รู้ ผมเองเป็นอีกคนที่ดูข่าวพวกนี้ไม่ได้ สงสารเหยื่อและครอบครัวที่ต้องมาเจอกับความเลวร้ายของคนบางคน

“อะ” ผมยื่นน้ำให้ไอ้ปาที่มีสีหน้าเคร่งเครียด มันหันมายิ้มให้ มือรับน้ำไปเปิดดื่มแล้วพึมพำเบาๆ ให้ผมได้ยินว่าขอบคุณ ก่อนที่มันจะหันไปสนใจกับเนื้อหาข่าวสารต่อ

ผมเองก็นั่งชิว ๆ ดูไปงั้น ๆ ไม่ได้ลงลึก แต่มีสะดุดใจบ้างเป็นบางข่าว

“ถ้าดูแล้วเครียด มึงจะดูทำไมวะปา” ไอ้ปาถอนหายใจ จากที่นั่งจับจ้องทีวีนิ่งๆ ก็ขยับเอนหลังพิงกับผนังโซฟาแทน

“ก็ดูไปแบบนั้นล่ะ มันไม่มีอะไรให้กูดูนี่หว่า” ผมส่ายหัว แล้วเปลี่ยนช่องด้วยตัวเองแทน

“นี่ไง หนังก็มีทำไมมึงไม่ดูล่ะ?” แต่ไอ้ปากลับยิ้มกรุ้มกริ่ม แววตาระยิบระยับแพรวพราวจนน่าหมั่นไส้

เป็นบ้าอะไรของมัน! แล้วทำไมผมต้องใจเต้นแรงกับเรื่องแค่นี้ด้วยล่ะโว้ย!!

“หนังที่ไม่มีมึงดูอยู่ข้างๆ ดูยังไงก็ไม่สนุกสักเรื่อง” ผมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ รอยยิ้มร้ายๆ จึงถูกจุดขึ้นมาที่ริมฝีปากของผม

“ไม่สนุกสักเรื่องใช่ไหม?”

“ที่สุดแล้วครับแฟน” ยัง ยังไม่เลิกปากดี

“ปีก่อน เดือนกุมภา วันที่14” ผมไม่พูดอะไรมาก แค่นั้นก็ทำเอาไอ้ปามันหยุดชะงัก รอยยิ้มที่กรุ้มกริ่มเหลือแค่ยิ้มเจื่อนๆ ที่ถูกกระป๋องโค้กยกมาบดบัง

ไงล่ะ หายเจ้าชู้ไปเลยสิ

วันที่14เดือนกุมภาปีที่แล้ว ผมจำได้ว่ามันออกไปกับน้องคนหนึ่งที่ชื่อก้อย ถ้าจำไม่ผิดเด็กคนนั้นเจอมันที่ผับAในคืนที่มันออกไปเที่ยวคนเดียว ผมที่เซ็งๆ กับความโสดเองก็หมกตัวอยู่ในห้อง นอนตีพุงอย่างสบายอกสบายใจแม้จะอิจฉาคนอื่นๆ หน่อยๆ ที่มีคู่กันหมด กับน้องก้อยไอ้ปามันคบได้อยู่สักอาทิตย์หนึ่งล่ะมั้ง แล้วทั้งคู่ก็โบกมือลา โดยที่หน้าไอ้ปามีรอยมือกลับมาด้วยอีกห้านิ้ว จำได้ว่าผมขำไม่หยุดจนมันงอนหนีกลับบ้านไป

“เสือกจำได้อีก” หือ?

“อะไรนะครับคุณแฟน?” ไอ้ปายิ้มเจื่อนๆ แล้วรีบโบกมืออย่างไม่มีพิรุธใดๆ ไม่มีเลยจริงๆ ครับ ผมดูไม่ออกเลย

“ไม่มี๊ ไม่มี”

หึๆ ผมไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดใดๆ มันไม่อยากให้ได้ยินผมก็ทำเป็นไม่ได้ยินอย่างที่มันต้องการ แต่อากาศร้อนๆ แบบนี้ออกไปได้แค่สิบนาทีก็เหงื่อมโทรมไปทั้งร่างแบบนี้ก็ไม่ไหว ผมอยากออกไปข้างนอกบ้าง ตอนที่ทำงานอยู่ก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เพราะส่วนใหญ่ก็ถูกคนอื่นเขาวานให้ทำงานให้ พอจะไปก็ติดที่ตังค์ไม่ค่อยจะมีอีก พอมาตอนนี้ที่พอจะมีเงินเหลืออยู่ โลกก็ดันร้อนตับจะแล่บออกมาแหกปากร้องงอแง

นี่กูไม่มีทางได้ไปเที่ยวใช่ไหม สวรรค์ใจร้ายวะ

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“หือ?” ผมหันหน้าไปหามันด้วยความเหลอหลา เป็นอะไร? ใคร? ผมเหรอ?

“เห็นมึงทำหน้าเบื่อๆ เศร้าๆ” ผมยิ้มใช้นิ้วลูบกระป๋องโค้กด้วยแววตาเหม่อๆ

“กูแค่เซ็งๆ อยากออกไปข้างนอกบ้าง แต่อากาศก็ร้อนฉิบหาย” ก็แค่อยากเปิดหูเปิดตา แค่อยากใช้เวลากับไอ้ปามากกว่าการที่เราสองคนต้องมานั่งอยู่ในคอนโดแบบนี้

“หึๆ อยากออกไปเที่ยว?” ผมไม่กล้าสบตา ได้แต่ก้มหน้าลงซ่อนรอยแดงบนแก้มไว้ไม่ให้มันเห็น

“อืม”

“งั้นก็ไป ลุกขึ้นมา”

เอ๊ะ? อะไร?

ผมทำหน้างงใส่มัน มองตัวมันที่ยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วส่งมือมาตรงหน้าผมราวกับว่าต้องการให้ผมส่งมือตัวเองไปวางไว้บนมือของมัน

“มาสิครับคุณแฟน ผมจะพาคุณไปเดินเล่นให้หายเบื่อเลยล่ะ” รอยยิ้มของมันทำให้ผมตาพร่ามัว ยอมส่งมือออกไปให้มันอย่างง่ายดาย

“ขอบใจนะปา” ไอ้ปายิ้มขำ

“ขอบใจทำไม เราเป็นแฟนกันนะนก เรื่องการพามึงออกไปเที่ยว มันก็ต้องเป็นหน้าที่กูถูกไหม” ผมพยักหน้าให้มัน ส่วนมันก็ยิ้มละมุนแล้วโยกหัวผมไปมา

“งั้นก็เลิกขอบจงขอบใจแล้วไปเที่ยวกันได้แล้วครับ คุณแฟน”

“อื้อ!” ผมยิ้มกว้างขึ้นจนตาหยี ความรู้สึกสุขใจประดังเข้ามาจนล้นปรี่ ผมมีความสุขมาก มีความสุขจนแทบจะสำลักความสุขตาย

ไอ้ปาพาผมออกมาจากคอนโดโดยที่มันทำหน้าที่ขับรถเอง ซึ่งผมว่ามันดีเลยล่ะ เพราะถ้าหากต้องให้ลุงโชคมาขับให้อีกผมว่าตะคริวได้กินหน้าผมอีกรอบแน่ วางตัวอย่างไอ้ปาไม่ง่ายเลยสักนิดผมน่ะลองมาแล้ว ไม้รู่ว่าตัวมันเองทนทำมาได้ยังไงนานขนาดนั้น มาดคุณชายผู้เคร่งขรึมดูสูงสง่าไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ภายในวันเดียวจริงๆ หรือเพราะผมไม่ได้มีความรวยติดตัว รัศมีเลยเทียบไม่ติดไปด้วยก็ไม่รู้

ขับมาสักพักก็มาถึงห้างใหญ่กลางกรุงพอดี อย่าให้ผมต้องบ่นเรื่องจราจร รถติดยิ่งกว่าอะไร ไฟแดงทุกๆ สามวิ ไฟเขียวคืออะไรผมแทบจะไม่รู้จัก เหมือนยืนโบกมือแล้วบอกสวัสดีจากนั้นก็ลาก่อน บางทีผมก็สงสัยมากๆ ว่าจะมีไฟเขียวไปทำไมถ้าไม่เปิดใช้งาน อ้าว นี่ผมบ่นไปแล้วหรอกเหรอ

แต่ยังดีที่ไอ้ปาเลือกมาทางอื่น นั่นก็คือเงินแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ทางด่วนเลยครับท่าน แม้จะมีรถมากหน่อย รถเกือบจะติดเหมือนทางปกติ แต่ก็ถือว่าน่าหงุดหงิดน้อยกว่าล่ะนะ

ทำไมล่ะ แฟนรวยซะอย่าง ค่าทางด่วนน่ะจิ๊บๆ

นี่ผมไม่ได้อวดแฟนเลยนะ จริงจริ๊ง

ผมกับมันเดินลงจากรถมาโดยที่ไม่ลืมล็อกรถเอาไว้ สมัยนี้ไว้ใจยากครับ พวกโจรขโมยมันเยอะ ต้องระวังเอาไว้ก่อน ไอ้ปาจับมือผมเอาไว้แน่น เราสองคนจูงมือกันเข้าไปในห้างโดยไม่สนใจว่าใครจะมองแบบไหน สมัยนี้เพศที่สามเปิดเผยแล้ว ความรักของคนสองคนไม่มีคำว่าเพศมาจำกัด ยิ่งโลกเปิดกว้างความรักก็ยิ่งมากมายตามไปด้วย เหมือนที่ผมและไอ้ปาเราสองคนรักกัน

ใช่แล้ว เรารักกัน นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมและไอ้ปา

“อยากทำอะไรล่ะ?”

อยากทำอะไรงั้นเหรอ อืม ทำอะไรดีล่ะ ผมไม่ได้คิดมาเสียด้วยสิ

“ยังคิดไม่ออกเหรอ”

“อืม กูไม่ค่อยได้มาเที่ยวเท่าไหร่ ตอนที่มาเที่ยวก็กับแฟนเก่ากูสมัยยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ” ช่วงนั้นก็เป็นช่วงตามใจผู้หญิง เงินจากการทำงานพิเศษก็เอามาใช้ในการจ่ายค่ากินค่าเที่ยวให้กับหลิน ผมจำได้ดี

“อ๊ะ!”

“คิดดีแล้วเหรอที่พูดถึงแฟนเก่าต่อหน้าแฟนคนปัจจุบันอย่างกู?” ผมยิ้มเจื่อนกับน้ำเสียงข่มขู่และใบหน้าบึ้งตึง

“ไม่เลยๆ กูไม่ได้นึกถึงเขาหรือคิดถึงอะไรพวกนั้น ความหมายของกูคือนอกจากเดินตามเขากูก็ไม่รู้เลยว่าควรทำอะไรบ้าง” นั่นล่ะครับ บรรยากาศมาคุถึงได้หายไป เหลือแค่ความอ่อนโยนของมันเหมือนแรกเริ่มที่เราเดินเข้ามา

“ถ้างั้นไปดูหนังกันดีไหม”

“เอาดิ…กูน่ะได้ทั้งนั้นล่ะ”

ผมยิ้มให้ ไอ้ปาก็ยิ้มตอบ ทุกอย่างมันไปได้ดีมาก เราสองคนไม่ได้สนใจมองรอบข้าง ต่างพากันเดินไปยังจุดหมายที่เราต้องการ ผมชอบนะ การได้เดินเคียงข้างมันแบบนี้ มีแค่เราสองคนที่เป็นกันและกัน ยิ้มให้กัน หัวเราะด้วยกัน แบบนี้ไปทุกๆ วันผมคงมีความสุขมาก

“รอนี่ เดี๋ยวกูไปซื้อตั๋ว”

“ได้”

ผมก็ยืนรอตามที่ไอ้ปาบอก ใช้เวลากวาดสายตามองซ้ายขวาหน้าหลังไปเรื่อยเปื่อย เพราะตอนนี้ผมเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงมากครับ เดินไปไหนไม่ได้กลัวหลง ดีที่ไอ้ปาจับมือไว้ตลอดจึงพออุ่นใจได้บ้าง

แต่จะว่าไปเดี๋ยวนี้เด็กวัยรุ่นก็เดินกันเป็นคู่เยอะเหมือนกันนะ ทั้งจับมือ โอบไหล่ กอดเอว นั่งหัวเราะกันดูท่าทางมีความสุข แต่อย่างว่าล่ะครับ ติดอยู่ในห้วงความรัก จะมีสักกี่คนที่มานั่งอมทุกข์ ใช่อยู่ว่ามีไม่น้อย แต่สุดท้ายไม่ว่าจะจบแบบไหน วันหนึ่งเราก็จะกลับมามีรอยยิ้มอยู่ดี

“ได้ตั๋วมาแล้ว แต่กว่าจะถึงรอบฉายอีกนานเลย อยากไปไหนก่อนไหม”

“ไม่รู้เลย กูไม่เคยมา ถ้ามาคนเดียวคงกลัวหลงแย่ ยังดีที่มีมึงมาด้วย” ผมบอกด้วยความขบขัน ไอ้ปาเองก็หัวเราะแล้วใช้ฝ่ามือของมันโยกศีรษะของผมไปมาเหมือนผู้ใหญ่เวลาเอ็นดูเด็ก

แต่ได้ข่าวว่ากูกับมึงเราอายุเท่ากันนะ…

“หิวหรือยัง จะได้ไปหาอะไรกินก่อน” จะว่าไปตั้งแต่ออกมาก็ยังไม่ได้กินอะไรจริงๆ นั่นล่ะ งั้นก็ไม่มีอะไรให้ปฏิเสธ

“เอาสิ กูเองก็หิวพอดี”

ช่วงเวลาที่แสนสุขต้องถนอมเอาไว้ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันจะถูกช่วงชิงไป แค่ตอนนี้เรายังสามารถตักตวงความสุขที่แสนล้นใจเอาไว้ได้ ก็ต้องรีบตักตวงไว้ก่อนจริงไหม

















“สนุกดีนะ ไม่ได้ดูหน้ามาเสียนานจนแทบจะลืมไปแล้วว่าโรงหนังแม่งเป็นยังไง” ผมบิดตัวไปมากับอาการเมื่อยขบไปตามตัวเพราะนั่งนาน แถมไอ้ปาก็เอาแต่โอบเอวผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“หึๆ วันหลังมาดูบ่อยๆ ก็ได้” ผมส่ายหน้าแทบจะทันที

“ไม่เอาหรอก มาบ่อยๆ ก็น่าเบื่อแย่เลย ของแบบนี้มันควรจะมาเฉพาะเรื่องที่เราอยากดูจริงๆ มากกว่า” ไอ้ปายิ้มสายตาของมันอบอุ่นและเต้นระริกไปด้วยความสุขไม่ต่างจากผม

“นั่นสิ ถ้างั้นวันหลังเราดูโปรแกรมหนังด้วยกัน ถ้ามีเรื่องที่มึงกับกูอยากดู เราค่อยหาเวลามากันใหม่ แบบนี้มึงว่าดีไหม” ผมยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

“ดีสิ แบบนั้นดีเลยล่ะ”

“หึๆ”

“อ๊ะ พี่ปานี่นา ใช่จริงๆ ด้วย!”

เราสองคนชะงักฝีเท้าลงก่อนจะหันไปมองร่างบอบบางของใครคนหนึ่งที่แสนคุ้นตา แค่เห็น…ความปวดหนึบก็แล่นมาจู่โจมหัวใจของผมอย่างรุนแรงเสียแล้ว

น้องเบญ คู่หมั้นของไอ้ปา

ผมจับจ้องใบหน้าอ่อนหวานที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ได้พบกับไอ้ปา แววตาเต้นระริกไปด้วยความยินดีที่ถ่ายทอดออกมาทางสีหน้าได้อย่างไม่ต้องคาดเดา วันนี้น้องเบญอยู่ในชุดสบายๆ แต่ไม่สบายตานัก เพราะกระโปรงของเธอมันสั้นจนแทบจะปิดอะไรไม่มิด ตัวเสื้อก็ปล่อยความอวบอิ่มของอกสาววัยรุ่นให้ปรากฏออกมาดึงดูดสายตาของหนุ่มๆ ให้น้ำลายไหล

ความหวาดหวั่นเกิดขึ้นในใจโดยอัตโนมัติ ยิ่งเห็นว่าไอ้ปาถูกมือเล็กๆ ของน้องเบญเกี่ยวแขนเอาไว้ ใช้ความเอิบอิ่มถูไถกับแขนของมันผมยิ่งรู้สีกว่าตัวเองไม่สมควรจะยืนอยู่ตรงนี้

แม้จะหงุดหงิดแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

เขาเป็นคู่หมั้นกัน…แล้วผมเป็นใครล่ะ? จะเอาความสัมพันธ์แบบไหนไปหึงหวงไอ้ปา

มันไม่มีอยู่แล้ว หนุ่มหล่อ สาวสวย เป็นภาพการออดอ้อนของคนรักที่ดูเหมาะสมกันจนผมต้องเบือนหน้าหนี ไม่อยากจะเห็นภาพบาดตาที่เป็นเสมือนมีดกรีดลงมาในหัวใจของผม มันเจ็บจนทรมาน ปวดจนแทบจะร้องไห้ แต่ก็ทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนั้น…ทนมองดูมันอย่างร้าวราน เฝ้ารอให้คนของหัวใจขับไล่ผมไปจากตรงนี้เสียที

“เบญ…มาทำอะไรที่นี่หรอ” ไอ้ปายังคงสุภาพเสมอ น้องเบญยิ้มเอาใจ เอียงหน้าเล็กน้อยให้ดูมีความน่ารักมากขึ้นกว่าเดิม

“เบญมากับเพื่อนค่ะ พี่ปามาทำอะไรเหรอคะ” ผมเม้มปากแน่น กำมือที่สั่นระริกเพื่อสกัดกั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลลงมา

“พี่มาดูหนังครับ”

“คนเดียวเหรอคะ?” ไอ้ปายิ้ม ปลดมือของน้องเบญออกจากแขนตัวเองแล้วเดินมาหาผม วางมือของมันลงบนศีรษะของผม

“มากับแฟนพี่ครับ”

ตึกตัก

“…” ผมกลั้นหายใจมองใบหน้าของมันที่ประดับรอยยิ้มเอาไว้ สายตาก็มองไปที่น้องเบญ

ดีใจ ผมดีใจมากจนแทบจะยิ้มกว้างออกมา แต่เพราะรู้ว่ามันไม่ควรผมจึงได้แต่กลั้นยิ้มเอาไว้ด้วยการเม้มริมฝีปาก ใช้มือเอื้อมไปทางด้านหลังแล้วกำเสื้อของมันจนแน่น

“โกหกเบญสินะคะ อำเบญแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะคะพี่ปา” เธอปรายตามาทองผม แต่ดูเหมือนเธอจะลืมผมไปแล้วสินะ มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นเพราะเรื่องที่เธอบอกกับผมว่าไอ้ปาคือเจ้าของบริษัทมันก็นานมากแล้วด้วย ผมไม่ได้ติดใจอาการเหยียดหยามของเธอที่มีต่อผมเมื่อก่อน พอเข้าใจได้ว่าเป็นแค่พนักงานแต่กลับเป็นเพื่อนกับเจ้านายมันคงดูไม่ดีนัก

เพราะผมเข้าใจเธอ จึงไม่เคยโกรธเธอ ไม่เคยเกลียดเธอ รู้ดีว่าเธอคงชอบไอ้ปามาก

“พี่ไม่ได้โกหก นี่นกแฟนพี่เอง” น้องเบญหุบยิ้มทันตา แววตากร้าวขึ้นมาอย่างไม่พอใจในคำตอบที่ได้ยิน

“พี่ปาคงไม่ได้ลืมใช่ไหมคะว่าหมั้นอยู่กับเบญ ถ้าจะเล่นๆ กับของเล่นชิ้นนี้เบญก็ไม่ว่าหรอกค่ะ แต่ถึงขนาดแนะนำของเล่นว่าเป็นแฟนต่อหน้าคู่หมั้นอย่างเบญเห็นทีเบญคงจะยอมรับไม่ได้” ผมหันไปมองไอ้ปาทันที

ไหนมันบอกว่าถอนหมั้นไปแล้วไง ไหนบอกว่าตอนนี้มีแค่ผมไง

ความเจ็บปวดจากครั้งก่อนวิ่งมากระทบใจอีกระลอกหนึ่ง ร่างกายของผมแข็งทื่อ เกร็งร่างกายเพื่อเบี่ยงออกจากวงแขนของมันแต่ก็ถูกไอ้ปาใช้แรงที่มากกว่ายึดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ผมได้ยินมันถอนหายใจออกมาเสียงดัง ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยใจกับการดิ้นรนขัดขืนของผมหรือเปล่า

“เบญ พี่ว่าเรื่องนี้คุณแม่พี่ได้คุยกับคุณลุงวิชัยแล้วนะ”

“คุยอะไรเบญไม่เห็นรู้เรื่องสักนิด” น้องเบญเชิดหน้าขึ้นตอบ ก่อนจะหันมาจับจ้องผมด้วยความไม่พอใจและเจ็บแค้น

“แกน่ะ หน้าคุ้นๆ นะ ใช่ผู้ชายที่ไม่เจียมตัวไปนั่งทานข้าวกับพี่ปาทั้งที่เป็นแค่พนักงานระดับล่างหรือเปล่า” ความจริงกระแทกใจเข้าอย่างจังจนจุก ผมจึงได้แต่ยิ้มตอบแล้วพยักหน้ารับคำถามเธอไป

“เบญ!”

“ตอนแรกก็นึกว่าอยากจะเจริญก้าวเลยมาทำตัวสนิทสนมกับพี่ปาที่เป็นเจ้าของ นี่หน้าด้านถึงขนาดเอาตัวมาเป็นของเล่นให้พี่ปาเลยเหรอ ไม่รู้หรือไงว่าพี่ปามีคู่หมั้นตัวจริงอย่างฉันอยู่แล้ว!” รู้สิ ผมรู้ดี แต่ทั้งที่รู้ก็ยังเลือกจะเชื่อว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว

“อึก รู้ครับ”

“อย่าไปฟังนะนก อย่าไปฟัง” ไอ้ปาดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้ กระซิบข้าหูของผมด้วยเสียงทุ้มที่อ่อนนุ่ม

ไม่ฟังได้ยังไงกัน ในเมื่อเขาเอาความจริงมาปาใส่หน้ากูแบบนี้

“ปล่อยพี่ปานะไอ้บ้า!!”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะเบญ!! ไม่อย่างงั้นพี่จะไม่เกรงใจแล้วนะ!” ไอ้ปาตะคอกใส่น้องเบญที่ตอนนี้เป็นยังไงผมไม่รู้ ผมมองเห็นแค่ไหล่ของไอ้ปา และคนจำนวนมากที่เริ่มเข้ามามุงดูเหตุการณ์ครั้งนี้

อับอายเหลือเกิน ตกเป็นเป้าในวงสนทนาทั้งที่ผมไม่ได้อยากจะแย่งของใคร

“พี่ปา!! พี่ปาปกป้องมันเหรอ! มันเป็นใครแล้วเบญเป็นใคร! เบญเป็นคู่หมั้นพี่นะ! พี่จะปกป้องไอ้ของเล่นนี่มากกว่าคนที่จะเป็นเมียพี่ในอนาคตหรือไง!!” น้ำเสียงของเบญแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความโกรธและความน้อยใจจนผมสามารถรับรู้ถึงมันได้

สุขใจได้ไม่นานก็ต้องคืนให้เขา นี่คือความจริงเมื่อยืมคนของเขามา

เจ็บเป็นบ้าเลย เจ็บจนอยากจะร้องไห้ เจ็บจนอยากจะหายไปจากความวุ่นวายพวกนี้

ผมมันอ่อนแอใช่ไหม ยืนหยัดขึ้นมาต่อสู้ไม่ได้ แต่ผมไม่สู้เบญไม่ใช่เพราะความอ่อนแอ แต่เพราะว่าเขาคือตัวจริงส่วนผมมันก็แค่คนที่มาสร้างรอยร้าวของคนสองคนเท่านั้น ผมผิด ผมจะตอบโต้ได้ยังไง คนที่เป็นมือที่สาม จะแก้ต่างตัวเองยังไงมันก็คือคำแก้ตัว

“พี่ปกป้องแฟนพี่ พี่ผิดตรงไหน!”

“ผิดตรงที่เบญต่างหากที่เป็นแฟนของพี่ไม่ใช่มัน!” ใช่แล้วไอ้ปา เขาต่างหากที่เป็นแฟนมึง

“คุณแม่พี่ถอนหมั้นกับเบญไปแล้ว! เบญไม่ใช่แฟนพี่ ไม่เคยใช่ และไม่มีวันใช่!!”

“พี่ปา!!!” ไอ้ปาหายใจแรงจนผมที่อยู่ในอ้อมกอดรู้สึกได้ น้ำตาของผมกำลังไหลรินลงมา สองแขนเริ่มมีแรงยกขึ้นมากอดมันเอาไว้

ไม่อยากปล่อย ผมหวงแหนอ้อมกอดนี้มากจนไม่อยากจะปล่อยให้ใครที่ไหน

ขอร้องล่ะปา ชัดเจนหน่อยเถอะ ก่อนที่กูจะทนเหนี่ยวรั้งความเห็นแก่ตัวที่จะยึดมึงเอาไว้ไม่ได้อีก

“พี่จะยืนยันอีกครั้ง เราถอนหมั้นกันแล้ว!”

“ไม่จริงๆ! เบญไม่ถอนหมั้น!! เบญจะหมั้น!!!”

“พี่ไม่เคยรักเบญเกินกว่าน้องสาว ทุกอย่าง…เบญเป็นคนสร้างเรื่องขึ้นมาเอง แม้แต่เรื่องที่เราสองคนต้องหมั้นกันด้วย!”

ไอ้ปากอดผมแน่นเมื่อรับรู้ได้ว่าตัวผมเริ่มสั่น มือของมันลูบศีรษะผมอย่างปลอบประโลม ใช้ความอบอุ่นค่อยๆ รักษาแผลที่ถูกทำร้ายในหัวใจอย่างช้าๆ

“แก! เพราะแก เพราะแก!!” ร่างของผมถูกเหวี่ยงไปทางด้านหลัง ไอ้ปาใช้ตัวเองปกป้องผมเอาไว้จนสิ่งที่ตามมาคือใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกตบจนแดง

เพียะ!

“พะ พี่ พี่ปา พี่ปาขาเบญไม่ได้ ไม่ได้ตั้งใจนะ” น้องเบญตัวสั่น พยายามจะอธิบายแต่ผมที่ตกใจกว่ากลับจับให้ไอ้ปาหันหน้ามาเพื่อตรวจดู

“หันมาปา หันมานี่!” แก้มมันแดงจนขึ้นรอยนิ้ว ผมขมวดคิ้วแล้วลูบเบาๆ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง กูไม่เจ็บหรอก” แววตาของผมสั่นระริก หยาดน้ำตาไหลลงมาช้าๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มของมัน รับรู้ได้ถึงฝ่ามือของมันที่กุมมือของผมเอาไว้แล้วดึงไปแนบกับแก้มตัวเอง

“มึงเจ็บ…เพราะกู” ไอ้ปาจูบฝ่ามือของผม ส่ายหน้าช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ใช่…กูเจ็บเพราะปกป้องมึงต่างหาก นั่นต่างหากที่ทำให้กูดีใจ”

“หยุดนะไอ้บ้า ปล่อยพี่ปานะ ปล่อยพี่ปา!!!” เบญเริ่มขาดสติ พุ่งตัวเข้ามาจะทำร้ายผมแต่ไอ้ปาไม่ยอมให้ผมอยู่ใกล้เธอแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันเพื่อนของน้องเบญเองก็เดินเข้ามาพอดี

“เบญ! เบญทำอะไร แกทำอะไร” เพื่อนของน้องเบญต่างพยายามจับเบญเอาไว้แล้วเอ่ยถาม

“มันแย่งแฟนฉัน ไอ้บ้านั่น ไอ้คนชั้นต่ำนั่นมันกล้าแย่งของของฉัน ฉันจะตบมัน กรี๊ดดดดด”

“พาเบญไปส่งที่บ้านซะ แล้วบอกคุณลุงวิชัยด้วยว่า ปรมะขอบคุณมากที่จัดการเรื่องนี้ได้ดีเยี่ยม!” รอยยิ้มของไอ้ปาเหี้ยมเกรียมจนน่าขนลุก ทั้งผมและเพื่อนๆ ของน้องเบญต่างก็หวาดหวั่นไม่ต่างกัน เพียงแต่ความอ่อนโยนที่ถ่ายทอดมาทางผิวกายและสัมผัส มันทำให้ผมได้สติและจำได้ดีว่าไอ้ปาไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่มีเหตุผล

“คะ ค่ะๆ”

“กรี๊ดดดด ไม่ไป! พี่ปาเป็นของเบญ ของเบญ!!”

ผมถอนหายใจด้วยความโล่งใจเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ ของน้องเบญต่างช่วยกันพาน้องเบญกลับไป คราวนี้ความสงสัยในใจของผมก็ถูกทำให้กระจ่างแล้ว จากนี้ไปผมคงต้องเริ่มเชื่อใจไอ้ปาได้แล้วในเมื่อมันแสดงให้ผมเห็นแล้วว่า เป็นผมเองที่สำคัญกับมัน

ผมกระชับมือที่จับฝ่ามือใหญ่เอาไว้แน่น หันไปมองสบตากับไอ้ปาแล้วส่งยิ้มให้กับมัน ให้มันได้รู้สึกถึงความรักของผม ไอ้ปาเองก็ค่อยๆ กระชับฝ่ามือตัวเองให้แน่นขึ้น เราสองคนไม่รู้หรอกว่าฝูงชนเลือนหายไปมากมายแค่ไหน ในห้วงเวลาของเรามีเพียงแค่เราเท่านั้น ผมฉีกยิ้มกว้าง แล้วพูดกับมันด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นหัวใจ

“กลับบ้านกันนะ” ไอ้ปายิ้ม

“อืม…กลับบ้านกัน”







TBC


ละ และแล้ว ลูกนกของแม่ก็ได้ความชัดเจนสักที!!! อยากจะร้องไห้ออกมาเป็นภาษาดาวอังคาร ตอนนี้เราเดินทางมาเกือบจะจบเรื่องกันแล้วนะจ๊ะ เรื่องราวอันสุข เศร้าและเฮฮาของน้องนกและผองเพื่อน กำลังจะจบแล้วน้าาา 

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่18.นกกับการเผชิญฯ 100% up. 26/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-01-2020 22:46:28
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่18.นกกับการเผชิญฯ 100% up. 26/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 27-01-2020 23:26:53
น้องเบญขาจะทำให้คุณพ่อขาเดือดร้อนมั้ยนะ
อยากให้พี่ปาขาช่วยจัดหนักๆให้ที
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่18.นกในรังใหม่ 50% up. 02/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 02-02-2020 19:24:01
[19]


ตอนที่ 19.

นกในรังใหม่

ตอนนี้ผมกำลังตื่นตะลึงกับสภาพบ้านที่โคตรใหญ่โตของไอ้ปา ในตอนแรกที่รถหักเลี้ยวเข้ามาผมก็คิดว่าอาจจะแค่อยู่ข้างๆ ไม่คิดว่าจะเป็นหลังนี้จริงๆ แบบนี้เรียกว่ารวยมันธรรมดาไปแล้วครับ มันเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีชัดๆ อ๊าก!!! ผมอิจฉาอีกแล้วนะเนี่ย! ฮึ่ม!!

พอรถผ่านประตูบ้านที่กว้างกว่าบ้านผมทั้งหลังมาได้ ซ้ายขวาก็ถูกขนาบข้างด้วยป่าที่มีต้นไม้ไม่เรียงรายแต่เต็มไปหมด แน่นอนว่าร่มรื่นมากกก ต่อให้แดดแรงแยงเข้าตาใคร แต่บ้านไอ้ปาไม่มีทางเจอภาวะโลกร้อนหรอกครับ ผมกล้ายืนยันเลยเรื่องนี้

ผมหุบปากไม่ได้ด้วยซ้ำไป มองรอบข้างอย่างอึ้ง ทึ่งแม้จะไม่เสียวแต่ใจก็เต้นตึกตักๆ ไม่หยุด บุญตีนไอ้นกจริงๆ ที่มีโอกาสได้มาเหยียบถึงบ้านคนรวยๆ แบบนี้ รอบนี้กลับไปรัศมีความจังไร เอ่อ หมายถึงรัศมีความรวยต้องจับตัวผมไม่มากก็น้อยล่ะ หวังก็แต่ว่าคนในบ้านนี้จะไม่มีใครเป็นแบบละครหลังข่าวหรอกนะ พวกที่รังเกียจจนออกนอกหน้า มองจิกตั้งแต่หัวจรดเท้า หรือเอาเงินฟาดหัวแล้วขับไล่ไสส่ง

พอคิดแบบนั้นในใจก็อดรู้สึกกังวลไม่ได้ ผมเป็นคนจืดๆ หน้าตาก็ชืดๆ ติดไปทางน้ำล้างจาน จะดีหน่อยก็ตรงที่…เดี๋ยวนะ เหมือนผมจะหาข้อดีตัวเองไม่เจอ

เฮ้ย!! เป็นไปได้ยังไงกัน ผมจะไม่มีข้อดีเลยไม่ได้นะ! แบบนี้มันจะไร้ค่าเกินไปแล้ว!

จริงสิ! ข้อดีของมคือผมประหยัดไงล่ะ ฮ่าๆ

รถถูกขับมาจอดที่หน้าบ้าน ทางซ้ายที่สามารถมองเห็นได้คือโรงรถ โอ๊ย! อิจฉาความรวยที่กระทบตาจัง! ใครเขามีรถอยู่ในบ้านเป็นสิบคันแบบนี้บ้าง! แถมแต่ละคันก็คนล่ะรุ่นเกรดพรีเมียมหมด ถามจริงๆ เถอะ คนบ้านนี้ใช้รถกันคนละกี่คัน ขับวันล่ะกี่หน ใช้รถหมดทุกคันได้จริงๆ น่ะเหรอ ผมเริ่มรู้สึกสงสารคนล้างรถที่นี่ชะมัดเลย

“ไปกันเถอะ”

“โอ๊ย อ๋อ อืม” ยังมึน ยังหาทางออกจากวังวนความรวยไม่ได้

พอเราก้าวลงจากรถกันมา ผมก็เห็นคนห้าคนมายืนรอเราอยู่แล้ว พวกเขาใส่เสื้อสีขาวกับกระโปรงใช่ไหม เอ่อ ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร เอาเป็นผมเรียกมันว่ากระโปรงแล้วกันนะครับเป็นกระโปรงสีทึบ ผู้ชายก็ไม่ต่างกันนัก ในห้าคนมีสองคน คนหนึ่งใส่เสื้อสีกรม อีกคนหนึ่งใส่เสื้อสีฟ้าและกางเกงสีดำ ญาติพี่น้องไอ้ปาเหรอ

อ๊ะ จะมองเพลินไม่ได้ ต้องสร้างความประทับใจ

“สะ สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ของปา”

“…”

“…”

“…”

“…”

“…”

ผมรีบยกมือขึ้นไหว้แต่พอเงยหน้าขึ้นมาทุกคนก็ยืนอึ้งนิ่งค้างไปเหมือนกับรูปปั้นในสวน ผมงุนงงเล็กน้อย เป็นเวลาเดียวกับที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของไอ้ปาดังขึ้นมา ผมจึงได้หันไปมองมันอย่างสงสัย

ผมทำอะไรผิดเหรอ?

“หึๆ”

“กูทำอะไรผิดเหรอ?” ผมเอียงคอถามอย่างไม่เข้าใจ ไอ้ปาก็ยิ่งปล่อยเสียงหัวเราะออกมา วางฝ่ามือลงบนศีรษะของผมแล้วโยกมันเล่น

กูจะกลายเป็นไอ้ตุ๊กตาหัวโตที่ส่ายไปมาแล้วนะ เล่นเหี้ยอะไรหนักหนากับหัวกูเนี่ย!

และด้วยความหงุดหงิดผมจึงปัดมือมันออกไป จ้องถลึงตาใส่อย่างงอนๆ เอาสิๆ หัวเราะให้ตายไปเลย จะได้หาแฟนใหม่ หัวเราะเลยๆ ไอ้แฟนชั่วช้าหัวเราะกูไปเลยยยยยย!!!

“นี่ไม่ใช่ หึๆ พ่อแม่กูนะนก พวกเขาเป็นคนดูแลบ้านของกู” คนดูแลบ้าน แปลบ้านๆ คือคนใช้

ผมรู้สึกถึงบางสิ่งที่แตกยับ อ๋อ หน้าผมนี่เอง อยากจะก้มลงไปเก็บเศษหน้าแล้วหากาวตราเช้งมาติดมันเข้าด้วยกันใหม่ รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งจะปล่อยไก่ออกไปตัวเท่าตึก จับเข้าคอกก็ล้วนแต่ถูกเห็นได้ ผมเหลือบมองไปที่พวกเขาที่มายืนต้อนรับ สีหน้ากระอักกะอ่วมมาก แต่ไม่ใช่เพราะทำตัวไม่ถูก พวกเขากลั้นขำ!!

จะกลั้นทำไม! ขำเลย ขำออกมา จงสรรเสริญไอ้นกด้วยเสียงหัวเราะของพวกท่านเสียเถอะ!!!

อยากร้องไห้ นกอยากหดตัวแล้วหนีกลับบ้านจัง อับอายที่สุด ฮือออ

“หึๆ อะแฮ่ม เราเข้าไปข้างในกันดีกว่า” ถึงมึงจะหยุดขำแต่ใช่ว่ากูจะไม่เห็นสายตาล้อเลียนของมึงนะไอ้ปา ไอ้เลว ผมแยกเขี้ยวใส่มัน ให้มันเห็นว่าผมสามารถกัดมันได้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

“เออ!”

ตอนนี้ความตื่นตงตื่นเต้นอะไรไม่มีหลงเหลืออยู่อีกแล้วจ้า ไอ้นกเป็นไทจากอาการตื่นๆ พวกนั้นแล้ว สิ่งที่มาทำหน้าที่แทนอาการตื่นเต้นก็คือ ท้าดา~ ความอับอายไงล่ะ ไหนใครทายถูกมาเอารางวัลสิ! ไอ้นกคนนี้จะส่งความขายขี้หน้าไปให้คุณเอง อะไรนะ? ไม่เอา เฮอะ! คุณพลาดแล้วล่ะ

ว่าแต่บ้านไอ้ปาส้วยสวย ใบผนังฝังเพชรไว้บ้างไหม ว่างๆ จะมาของแงะบ้านมันดูหน่อย

โอ๊ะ! นั่นๆ แจกันนั่นเป็นสีทอง จะใช่ทองแท้หรือเปล่า อาจจะใช่ก็ได้นะ ถ้าแอบไปขอลูบๆ คลำๆ จากนั้นอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครเห็นแบกกลับบ้าน ไอ้ปาก็ไม่น่าจะงกมั้ง อืม…อันนั้นก็สวย อุ๊ย! อันนี้ก็สวย บ้านไอ้ปาสวยหมดเลยทุกอย่าง ชวนให้รู้สึกอยากยกเค้า ไม่ใช่ๆ หมายถึงอยากมาอาศัยเฉยๆ นะ

“ไอ้นก…”

“อะไรวะ?” ผมไม่ได้หันไปหรอก สายตาของผมยังจับจ้องไปที่ข้าวของต่างๆ พวกนั้น ฮือออ เงินนน ทองงง ไปโรงจำนำกันเถอะนะพวกเอ็งงง

“ปรับสีหน้าหน่อย เดี๋ยวแม่กูตกใจนึกว่ากูพาโจรมาปล้นบ้านตัวเอง โอ๊ะ!” ผมฟาดมือลงไปบนไหล่มันทันทีที่ได้ยิน

“ดูมึงพูดนะปา อยากโดนดีใช่ไหม” ไอ้ปายิ้มๆ แล้วทำหน้าตาสำออยใส่ผม มือก็ลูบแขนตัวเองไปมาราวกับจะสื่อว่าเจ็บมาก

มันไม่เจ็บหรอก คนที่เจ็บต้องเป็นผมสิ คนห่าอะไรหนังหนาฉิบหาย มีที่ไหนล่ะที่ตีคนอื่นแล้วตัวเองเจ็บเอง

อ้อ! มีคนหนึ่ง ผมเองงงง ไอ้นกเองจ้าาาา

“ไม่กล้าจ้าไม่กล้า ผัวหรือจะกล้ากับเมีย”

“โอ๊ย ไอ้ ไอ้!” ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ด่าอะไรไม่ออก ใบหน้าขึ้นริ้วแดงเมื่อเห็นสายตาของคนรอบข้างกับรอยยิ้มล้อเลียนของมัน ไอ้ปา ไอ้บ้า! บอกแล้วไงว่ากูจะเป็นผัว!!!

“เดินๆ ไปเลย!”

ผมผลักมันให้เดินไปข้างหน้า ส่วนมันก็เอาแต่หัวเราะผมไปด้วย ที่หน้าแดงไม่ใช่เพราะเขิน ผมโกรธมันต่างหากที่เรียกผมว่าเมีย บอกแล้วไงว่าผมจะเสียบ ไม่ใช่ถูกเสียบ!!! ทำไมมันไม่เข้าใจอะไรเลยแบบนี้เนี่ย!! สงครามการขึ้นคร่อมต้องร้อนระอุเพราะตกลงสถานะกันไม่ได้เหรอ เราต้องต่อสู้แย่งชิงสถานะความเป็นสามีกันแล้วล่ะ

รู้สึกอนาถใจยังไงไม่รู้ เหมือนจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่ง

แต่ไม่ได้สิ! ผมจะมานั่งเสียใจกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน มันต้องลองสักตั้ง ฮึบ!

“อ้าว มากันแล้วเหรอคะลูก” ผมมองรอยยิ้มอ่อนหวานของผู้หญิงตรงหน้าด้วยความงุนงง

ใครหว่า สวยจัง

“สวัสดีครับคุณแม่ คิดถึงคุณแม่จังเลย”

มะ แม่! แม่มันเหรอ! สวยมาก สวยหยาดฟ้ามาดิน สวยจนน่าตกใจ สวยแบบใครก็เทียบไม่ได้ อายุเท่าไหร่วะเนี่ย ดูหน้าแล้วตอนแรกนึกว่าพี่สาว โอ้โห แม่ผมชิดซ้ายเลย ไม่แปลกใจเลยครับที่ไอ้ปามันจะหล่อลากกระชากใจสาวแบบนี้ เพราะมีแม่สวยนี่เอง ว่าแต่ว่า…แม่ผมก็สวยนะ ทำไมผมหน้าตาไม่ดีล่ะ ฮือออ สวรรค์ใจร้ายย ทำไมผมไม่หล่อบ้างล่ะท่าน!!

“นก…นี่แม่กู แม่ครับนี่นกแฟนผม” แม่ไอ้ปาหันมามองผมด้วยสายตานิ่งๆ ก่อนที่รอยยิ้มบนหน้าแม่ไอ้ปาจะหายไป นี่ท่านไม่ใช่ว่าไม่ชอบผมหรอกนะ

“แฟนเหรอ?” น้ำเสียงยะเยือกชวนให้หนาวสั่นนี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ไอ้ปา กูกลัวแม่มึ๊งงงงง

“ครับแม่ หึๆ”

จะหัวเราะทำซากเห็ดอะไร เห็นไหมว่าแม่มึงหรี่ตาแทบจะบีบกูให้ตายแล้วนั่น โธ่…พ่อแม่ไอ้แมว มาเก็บศพนกด้วยนะครับ ฮือๆ

“ปา…ไม่เห็นลูกบอกเลยว่าจะ…” จะ??? จะอะไรครับแม่ จะเป็นผู้ชายหรือเปล่า อยากเก็บกระเป๋ากลับบ้าน นกกลัวแล้ว

ผมกลืนน้ำลายลงคอ ส่งยิ้มให้แม่ไอ้ปาด้วยใบหน้าเจื่อนๆ

“จะน่ารักขนาดนี้! โอ๊ยตายแล้วทำไมถึงน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้คะลูก ไหน ขอแม่ดูหน้าหนูหน่อยสิคะ” อึ้งแดกเป็นที่เรียบร้อย สติไอ้นกบินออกไปนอกจักรวาลแล้วครับและไม่น่าจะมีแพลนกลับมาในเร็ววัน สมองผมวนเวียนทบทวนคำพูดของแม่ไอ้ปาอีกครั้ง น่ารักเหรอ น่าเอ็นดู เดี๋ยวนะ! นั่นใช่ผมแน่ๆ ใช่ไหม

แต่ความสงสัยก็ได้รับคำตอบเมื่อใบหน้าเอ๋อๆ ของผมถูกแม่ของไอ้ปาจับพลิกซ้ายพลิกขวา แกแขน จับลำตัว บีบนมด้วยเรอะแม่! อยากจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก ได้แต่พะงาบๆ มองคุณแม่คนสวยของไอ้ปาขยับตัวของผมเองไปเรื่อยๆ

“โอ๊ย! ใจแม่เต้นแรงมากเลยค่ะหนูนก หนูน่ารักจังเลยค่ะลูก แก้มก็นิ่ม ปากก็แดง ตัวก็เล็ก เอวก็บาง กรี๊ด! นี่มันเคะในตำนาน!”

“เคะ??” เดี๋ยวๆ แม่! เคะคืออะไร!!!

ผมไม่ได้แค่อึ้งแดก ตอนนี้ยังมีงองูวนอยู่รอบหัวด้วย เอวบาง พอนึกๆ แล้วก็บางนั่นล่ะ ก็ผมจนนี่ยิ่งอกหักยิ่งกินอะไรไม่ค่อยจะได้ แก้มนิ่ม อืม…อันนี้ผมก็อธิบายยากนะ แต่คงนิ่มมั้ง แม่ผมก็ชอบหยิกเหมือนกันส่วนปากนี่ เอ่อ ผมว่ามันก็ไม่แดงนะ มันแดงจริงๆ เหรอ? ทำไมผมถึงคิดว่ามันสีปกติ สีดูเป็นธรรมชาติ หรือผมไม่ปกติ? เริ่มสับสนตอนแม่ไอ้ปาทักนี่ล่ะ อยู่มาตั้งหลายปี ไม่เคยมีความคิดในหัวหรอกว่าปากตัวเองมันแดงหรือเปล่า

“ใช่ค่ะหนูนก เคะ! เคะคือผู้ชายที่ เอ๊ะ อะไรคะลูก” เอ้า ที่อะไรล่ะครับแม่!!

“ไว้ค่อยคุยเถอะครับแม่ ไอ้นกน่าจะหิวแล้วล่ะ” ผมเหรอ ผมหิวที่ไหน ตอนนี้อยากรู้มากกว่าว่าเคะในตำนานคืออะไร ศัพท์ใหม่เหรอ? ผมกะพริบตาแล้วส่ายหน้า

“ไม่ๆ กูยังไม่หิวเลย” ผมไม่ได้หิวจริงๆ นะ

“เห็นไหมล่ะคะลูก หนูนกยังไม่หิวซะหน่อย มาค่ะแม่จะอธิบายต่อ คือว่าเคะเนี่ยมันจะ…” ผมก็รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ แต่ก็ถูกดันหลังให้เดินไปอีกทางแทน เดี๋ยว กูยังไม่รู้เลยว่าเคะคืออะไร!!

“แต่กูหิวแล้ว”

หิวแต่ไม่ไปแดกเองคืออะไร ผมทั้งมึนทั้งงง ได้แต่ปล่อยให้มันดันหลังตัวเองเดินไปแบบนั้น ส่วนแม่ของมันยืนนิ่งค้างเมื่อคู่สนทนาอย่างผมถูกมันพามาอีกทางหนึ่ง

ขอโทษนะครับแม่ นกไม่ได้ไร้มารยาทใดๆ เลย ลูกแม่ล้วนๆ ครับ ด่ามันเลย!!

“นมชื่นสวัสดีครับ” นมชื่อ? ชื่อคุ้นจัง เคยได้ยินที่ไหนนะ อืม…

“คุณปา! กลับมาแล้วเหรอคะ นมคิดถึงจังเลยค่ะ ฮืออ” เอิ่ม…แล้วคุณนมชื่นร่างอวบก็ถูกไอ้ปารวบเข้าไปกอดปลอบโยน แกเล่นร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลจนน่าสงสารแบบนั้นนี่ครับ สงสัยจะคิดถึงไอ้ปามาก นี่มันไม่ได้กลับบ้านมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย! อาการคนในล้านเหมือนมันหายตัวไปนานมากๆ จนถึงขนาดถอดใจจะตามหา กลับมาเลยคิดถึงมากมาย เริ่มงงกับสถานการณ์ในล้านมันเสียแล้วสิ

“โธ่ กลับมาแล้วสิครับ ผมก็บอกลุงโชคแล้วนี่ครับว่าจะมา” มือมันลูบหลังของคนในอ้อมแขนเบาๆ ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นจนผมยังเผลอยิ้มตาม

“โอ๊ย ก็นมคิดถึงนี่ คุณปาเล่นหายหน้าไปเป็นปีไม่ยอมกลับมาที่บ้าน นมก็ทั้งเป็นห่วงทั้งคิดถึง”

ตายห่า เป็นปีเลยเรอะ! นี่มันหนีออกจากบ้านประชดชีวิตหรือยังไงล่ะเนี่ย

“แล้วดูสิ! ได้กินอะไรที่มีประโยชน์บ้างไหมคะ ทำไมถึงผอมแบบนี้ ไม่ได้! :นมจะต้องไปทำอาหารเพิ่ม! แม่นวล! แม่นวล!”

“หึๆ ไม่ต้องหรอกครับนม วันนี้ผมพาคนพิเศษมาแนะนำให้นมรู้จักด้วยนะ” ไอ้ปาคว้าแขนนมชื่นเอาไว้ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ นมชื่อที่ได้ยินคำพูดของไอ้ปาก็แสดงออกถึงความตกใจไม่น้อยแต่นอกจากความตกใจยังมีความแปลกใจมาอีกด้วย แต่ทำไมต้องแกใจล่ะ

“นมครับนี่คือนก แฟนผมเอง ไอ้นกนี่นมชื่น คนที่คอยดูแลกูมาตั้งแต่เด็ก” ผมยิ้มแล้วยกมือขึ้นมาไหว้อย่างนอบน้อมตามแบบฉบับของผู้ชายมารยาทงดงามแห่งปี เอาล่ะหลับมาที่เดิมก่อนจะไหลไปไกล

“สวัสดีครับนมชื่น ผมชื่อนกครับ” นกที่แปลว่านกเสมอ นกจริงๆ นะครับไม่ใช่นกบินได้ นกที่ไม่เคยได้อะไรเลย นกนั่นล่ะครับคือผมเอง นมชื่นยกมือขึ้นมารับไหว้ผมทั้งที่ยังงงๆ อยู่ แต่เพียงแค่ครู่เดียวดวงตาที่ฉายแววไม่เข้าใจก็พลันสว่างวาบ จับจ้องผมด้วยดวงตาระยิบระยับ

“สวัสดีค่ะ…หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ เลย ตาคุณนกสวยมากเลยนะคะ” เอ่อ ตาอีกแล้วเหรอ นี่ผมจะน่าชมทุกอย่างไม่ได้นะ

“ขอบคุณครับ แต่นมชื่นสิครับสวยทั้งตัวเลย ดูแล้วเหมือนเพิ่งจะสามสิบเอง” ผมยิ้มประจบประแจง เรื่องการเข้าหาผู้ใหญ่ผมถนัด

“โอ๊ยยตายแล้ว! ปากหวานจริงๆ เลยนะคะ ไหนคะคุณนกชอบทานอะไรเดี๋ยวนมจะทำให้ทานเป็นพิเศษ” นมยิ้มหวานให้ผม มองผมด้วยความเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน

“ผมทานได้ทุกอย่างครับ ขอแค่อร่อยรับรองเลยครับว่าจะกินไม่ให้เหลือ” ผมตบพุงกลมๆ เอ่อ แบนๆ ของตัวเองให้นมดูเพื่อเป็นการยืนยันจนนมชื่อหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

“โอเคค่ะ ถ้างั้นนมจะเข้าไปทำอาหาร คุณนกรอทานด้วยนะคะ อย่าให้เหลือเลยนะคะ” นมชื่นแกชี้หน้าผมเพื่อเน้นย้ำ แต่ท่าทางก็ยังดูเป็นการเย้าเล่นเสียมากกว่าจะขู่จริงจัง ผมจึงยกนิ้วขึ้นสามนิ้วแล้วยืนยันอีกครั้ง

“ผมสัญญาครับ!!”

นมโอ๊ยหัวเราะอย่างชอบใจแล้วเดินจากไป ผมเหลือบเห็นไอ้ปามันกลั้นขำ แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงอยู่ดี ผมจึงตวัดสายตาไปใส่มัน ให้มันรู้ว่าผมเห็นนะไม่ว่าจะทำอะไร มันจึงกระแอมไอเบาๆ แล้วทำทีท่าไม่รู้ไม่ชี้ใดๆ

เดี๋ยวเถอะ! เดี๋ยวกูจะลงโทษให้ลุกไม่ขึ้นเชียว!

“คุณปาครับ กระเป๋าของคุณปากับคุณนกให้ทำยังไงครับ?” เดี๋ยว! กระเป๋าอะไร?? จำได้ว่าก่อนมาผมไม่ได้ขนอะไรมานี่นา มาตัวเปล่าๆ ขนาดกระเป๋าตังค์ยังมีแค่สองร้อยเลย แล้วกระเป๋าผมมาจากไหน แต่พอจะเอ่ยปากขึ้นถามไอ้ปาก็ชิงตอบเสียก่อน

“พี่หนุ่มเอาไปไว้ที่ห้องผมนั่นล่ะครับทั้งสองใบเลย”

“ได้ครับคุณปา”

พี่หนุ่มคือผู้ชายที่ยืนอยู่ตอนต้อนรับพวกเราหน้าบ้าน แต่แกก็เรียกว่าเกรงอกเกรงใจไอ้ปามากอยู่ จัดเรียงลำดับไว้ด้วยท่าทางของคนที่อยู่ต้อยต่ำกว่าอย่างชัดเจน ทั้งที่ผมก็เห็นว่าแม่ของไอ้ปาก็ออกจะใจดี แต่…

กระเป๋าอะไร??

“ไอ้ปา”

“หืม?” ยังจะมาหืมอีก

“กระเป๋าของกูนี่หมายความว่าไง ไม่ใช่ว่าเรามากันตัวเปล่าเหรอวะ?” ไอ้ปาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

“ก็ใช่ เรามาตัวเปล่าเพราะมึงไม่ยอมเก็บของ”

อา…ใช่ครับผมไม่ยอมเก็บของเอง เพราะมันบอกว่าจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ แล้วผมก็เป็นแค่แฟนมัน เป็นคนที่ยังไม่ถูกยอมรับด้วยซ้ำจะหน้าหนาหน้าด้านเข้ามาอยู่ในบ้านไอ้ปาได้ยังไงกัน มันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะงั้นผมถึงได้ปฏิเสธมันและบอกให้พวกเรามาแต่ตัว

เพราะงั้นผมถึงได้งงว่ากระเป๋าของพวกเรามันมาได้ยังไง!

“แล้วกระเป๋ามันจะมาได้ยังไง?”

“ก็เพราะมึงไม่เก็บ กูไม่เก็บ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เก็บนี่” ไอ้ปายิ้มเจ้าเล่ห์จนผมขนลุกไปทั้งตัว นี่มันคงไม่ได้…

“นี่อย่าบอกกูนะว่ามึง…” มันยิ้ม! มันยิ้มมมมม!

“ถูกต้องแล้วครับที่รัก กูสั่งให้คนไปเก็บกระเป๋าของพวกเราแล้วตามมาที่นี่ คราวนี้…มึงก็ต้องอยู่ที่นี่แล้วล่ะ หึๆ”

ไอ้เวร! นี่มันมัดมือชกกันชัดๆ ทำแบบนี้ได้ยังไงกันเล่า!!

ผมหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง รู้สึกอยากจะเป็นลมตายเหลือเกิน มันทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองเสมอ การเอากระเป๋าผมไปเก็บแบบนี้คือผมไปไหนไม่ได้แล้วสินะ เพราะถ้าผมถือกระเป๋าออกจากบ้านต้องมีคนถามแน่ๆ ว่าจะไปไหน แล้วไอ้ปาน่ะหรือครับที่มันจะยอมให้ผมเอากระเป๋าออกมาจากห้อง จากนิสัยมันคงไม่มีทาง มีหวังมันล็อกห้องขังผมเอาไว้แน่ ปวดหัวกับมันจริงๆ จะเอาแต่ใจไปถึงไหนกันล่ะเนี่ย!

“ไอ้ปา มึงก็รู้กูอยู่ที่นี่ไม่ได้” ช่วยเข้าใจอะไรง่ายๆ ทีเถอะกูไหว้ล่ะ แต่ไอ้ปาก็คือไอ้ปา เป็นคุณชายเต็มรูปแบบมาก เพราะมัน…ไม่ฟังเลยครับ มันเดินขึ้นห้องไปทันที

ผมจะทำไงได้ล่ะ เดินตามสิ บ้านผมเสียเมื่อไหร่ บ้านมันนั่นล่ะ! มีหน้ามาทิ้งกูอีก!

“ไอ้ปา ไม่เอาดิวะ คุยกันก่อน” ผมดึงมันไว้ไม่ยอมให้มันเดินเข้าห้อง ไม่อยากเข้าไปในที่ที่เคลียร์กันลำบาก ไอ้ปายอมหยุดแล้วหันมาหาผม สีหน้ามันดู…โกรธมาก โกรธทำไมล่ะเนี่ย!

“มึงเป็นอะไรปา คุยกันดีๆ ดิ”

“มึงบอกว่าอยู่บ้านกูไม่ได้” ผมพยักหน้า ก็ผมพูดจริงๆ

“ใช่”

“ทำไม”

“เฮ้อ…ก็นี่ไม่ใช่บ้านกู การเข้ามาอยู่มันเป็นเรื่องไม่สมควร มึงคิดว่าพ่อกับแม่และคนอื่นๆ จะมองกูยังไงวะปา”

ไอ้ปาเงียบและนิ่งมาก มันไม่มองหน้าผม ผมเลยไม่รู้ว่ามันทำสีหน้าแบบไหน แต่ผมเองก็ไม่อยากให้มันโกรธเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ ความจริงการที่ผมไปอยู่กับมันที่คอนโดเองก็เป็นเรื่องที่ไม่ควร แต่เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่มันเลยดูไม่น่าเกลียดนัก ตัวไอ้ปาก็ไม่ได้ถูกมองว่าแย่อะไร แต่เพราะที่นี่คือบ้านของมัน บ้านที่มีผู้ใหญ่อยู่ไม่ใช่แค่เราสองคน มันจึงดูเป็นเรื่องที่ผมไม่ควรจะทำเลย ไม่ควรอย่างยิ่ง

“โอ๊ยเข้าใจใช่ไหมปา”

“เพราะเหตุผลแค่นั้นใช่ไหมที่อยู่ไม่ได้” สำหรับมันอาจจะเหตุผลแค่นั้น แต่สำหรับผมแล้วมันคือเหตุผลสำคัญ

“ใช่ เพราะเหตุผลนี้ล่ะ” ไอ้ปานิ่งไปก่อนจะหันมาหาผมด้วยสีหน้าและแววตาที่ไม่มีความขุ่นเคืองอีกต่อไป ผมจึงได้โล่งอกที่มันเข้าใจผมเสียที

“โอเค กูเข้าใจแล้ว ไปกินข้าวกัน”

” ดะ เดี๋ยว”

ไม่เดี๋ยวแล้วล่ะ มันลากผมลงมาชั้นล่างแล้วตรงไปยังห้องทานอาหาร เลื่อนเก้าอี้ออกแล้วจัดให้ผมนั่งอยู่ข้างๆ มัน จานข้าวถูกวางไว้มากกว่า4ที่ นับๆ ดูแล้วก็อยู่ที่6ที่พอดิบพอดี แล้วนี่ที่บ้านมันมีใครบ้าง ผมยังไม่รู้เลยนี่นา เจอแต่แม่ของมัน คนอื่นผมยังไม่รู้จัก

“ไอ้ปา ที่บ้านมึงมีใครอยู่บ้างวะ” ผมกระซิบให้ไอ้ปาได้ยินคนเดียว เพราะคงไม่ดีนักถ้าแม่มันได้ยินคำถามแบบนี้ไปด้วย

“มีพ่อแม่กูกับพี่ชายและพี่สะใภ้อีกคน” อ้อ 4บวกผมกับไอ้ปาไปก็เลยเป็น6 เข้าใจล่ะ แบบนี้นี่เอง







50%



ขอโทษค่าาา แมวมาช้าใช่ไหม แง พอดีช่วงนี้แมวมึนและเบลอมาก เลยอัพช้าไปหน่อย น้องนกเข้าบ้านผัวแล้วนะคะคุณ~ 

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่19.นกในรังใหม่ 100% up. 04/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 04-02-2020 20:20:00
[19]

“โอ้…วันนี้ฝนตกแน่ๆ เลยครับคุณแม่ เจ้าปามันกลับมาทานข้าวที่บ้านด้วย” ผมหันไปมองตามเสียงก็พบกับผู้ชายที่รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมคายละม้ายคล้ายไอ้ปาไปกว่า7ส่วน คนนี้สินะพี่ชายไอ้ปา ขาวกว่ามันอีกนะเนี่ย ฮ่าๆ

“คุณ! อย่าแซ็วน้องสิคะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ้าน้องปา” ว้าวๆ พี่สะใภ้ไอ้ปาสวยมาก สวยเหมือนดาราเลยนะเนี่ย บ้านนี้คงไม่ได้คัดคนจากหน้าตาใช่ไหม รู้สึกเป็นจุดด้อยยังไงไม่รู้

“ครับพี่วรรณ” ไอ้ปายิ้มให้พี่สะใภ้ของมัน ส่วนพี่วรรณหรือพี่สะใภ้ของมันก็มองมาที่ผมแล้วทำหน้าตาตกอกตกใจ คนนะครับพี่ ไม่ใช่ผีจะตกใจทำไม

“ต๊าย! ใครคะน้องปา ทำไมถึง นะ น่ารักจังเลย!” เดี๋ยวๆ ทำไมชอบมีคนชมผมว่าน่ารักวะ หลายคนแล้วนะ ดูท่าทางนั่นสิ แทบจะพุ่งถลาตัวเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงผมอยู่แล้ว นี่คนนะครับไม่ใช่ตุ๊กตา ใจเย็นๆ ก็ได้จ้าา

“แฟนผมเองพี่วรรณ น่ารักใช่ไหมล่ะ” พี่วรรณพยักหน้ารัวๆ แล้วดันสามีให้นั่งก่อนตัวเองนั่งอยู่ตรงข้ามผม จนพี่ชายไอ้ปาได้แต่น้อยเนื้อต่ำใจ

“วรรณ! ไม่สนใจผมเลยนะ!” อาการน้อยใจคนเราเป็นเช่นนี้เอง แต่พี่วรรณไม่ได้สนใจเลยครับ ยังคงจ้องผมตาเป็นประกายเหมือนเดิม

“คุณเก่าแล้วค่ะคุณปี วรรณสนใจน้องคนนี้ดีกว่า ชื่ออะไรคะหืม?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามประหนึ่งว่ากำลังสนทนากับเด็กอนุบาล กูเริ่มเครียดแล้วนะไอ้ปา!

“เอ่อ ชื่อนกครับพี่วรรณ”

“โอ๊ย!” ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ พี่วรรณก็มีรีแอคชั่นพิเศษด้วยการใช้มือกุมหัวใจตัวเองเอาไว้แน่นิสีหน้าบ่งบอกถึงความสุขจนแทบจะบินได้

“กะ เกิด เกิดอะไรขึ้นครับ พี่ พี่วรรณเอ่อ โอเคไหม” ผมตกใจจนฉี่แทบเล็ด เดี๋ยวเกิดคดีขึ้นมา กูนะครับที่จะซวย!

“โอ๊ย ไม่ ไม่เลยค่ะ น้องนกน่ารักเกินไป ใจพี่วรรณเลยเต้นแรงไปหน่อย” โอ้โห ทำท่าเหมือนหัวใจจะวาย ผมนี่แทบจะช็อกตายแทนแล้วครับพี่วรรณ!!

“ใช่ไหมลูกวรรณ น้องน่ารักใช่ไหมคะ แม่เห็นแม่ยังหลงน้องเลยค่ะ”

“โอ๊ย คุณแม่ขา แบบนี้ละค่ะที่หายากมาก ปกติเจอแต่คนที่เหมือนคุณปีหรือน้องปา อย่างน้องนกเนี่ย วรรณหาแทบไม่ได้เลย เห็นแล้วอยากกอดอยากฟัดเหลือเกินค่ะ งื้อออ” หดตัวลงไปอยู่รูมดได้นี่ทำแล้วนะ ทำไมผู้หญิงน่ากลัว ผมกลัวไปหมดแล้วเนี่ย!

“ไม่ได้นะพี่วรรณ นี่แฟนผม ผมฟัดได้คนเดียว” ผมส่ายหน้าอย่างแรง มึงเข้าใจผิดแล้วปา มึงก็ฟัดกูไม่ได้โว้ย!!!

“ส่ายหัวอะไร หนีกูได้เหรอมึงน่ะ” ผมนั่งกัดปากมองค้อนไอ้ปาวงใหญ่เมื่อมันทำหน้าตาล้อเลียนผมที่หนีไปไหนไม่ได้จริงๆ จะหนีไปไหนล่ะ กระเป๋าก็อยู่กับมัน

หนอย! อย่าให้กูมีโอกาสก็แล้วกัน กูจะไม่ขนไปแค่กระเป๋า แต่จะยกเค้าบ้านมึงเลยด้วย!

“จริงสิครับแม่”

“ว่าไงคะลูก?” ไอ้ปาหันมามองผมเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แปลกๆ มันจะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย ยิ้มทีไรงานเข้ากูทุกที

“ผมคิดว่าจะย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเสียหน่อย แต่ไอ้นกมันไม่ยอมย้ายมากับผม มันบอกว่าคนในบ้านจะมองมันไม่ดี คุณแม่คิดว่ายังไงครับ” ฉิบหาย! มึงพูดอะไร๊!!!!!

“จริงเหรอคะลูก! ดีจังเลย หนูนกคะย้ายมาเลยค่ะลูกไม่มีใครมองไม่ดีแน่นอน ถ้ามีแม่จะจัดการเอง ว่าไงคะลูกปี จะมองน้องไม่ดีไหม หืม?” พี่ชายไอ้ปาสะดุ้ง เกาแก้มตัวเองอย่างงงๆ ว่าเข้ามาอยู่ในบทสนทนาครั้งนี้ได้ยังไง

“มะ ไม่ ไม่เลยครับคุณแม่ ดี๊ดีเลยครับ” พี่มันโคตรเต็มใจตอบ ผมดูออกมากเลยครับว่าพี่มันไม่ได้โดนบังคับ อยากลอกตาไปมาสักแปดล้านรอบ แล้วสายตาของแม่ไอ้ปาก็หันมาทางผมด้วยรอยยิ้มที่แสนจะเรียกว่า กดดันกูสุดๆ

“แล้วหนูนกคิดว่าไงคะลูก จะย้ายมาไหมเอ่ย” อย่ามีคำว่าเอ่ยเลยครับถ้าจะใช้การกดดันกันขนาดนี้ ผมนึกอยากจะหันไปกัดไอ้คนข้างๆ ให้จมเขี้ยว กัดให้เนื้อแหว่งไปเลยยิ่งดี ดูหาเรื่องให้ผมสิ! คิดแล้วเชียวว่าอย่างมันไม่น่าจะยอมแพ้ง่ายๆ

มึงวางแผนมาตั้งแต่แรกใช่ไหมไอ้ปา!!!

“เอ่อ คะ ครับ ย้าย (ก็ได้) ครับ”

ผมเห็นท่านยิ้มหวานเลยครับ พอได้คำตอบที่ถูกใจปุ๊บทุกอย่างก็ดำเนินสู่สภาวะปกติ คุยสัพเพเหระเพื่อรอคนบนโต๊ะอาหารให้พร้อม ขาดก็แต่คนหัวโต๊ะ ต้องเป็นพ่อไอ้ปาแน่ๆ เลย

“อ๊ะ คุณคะ มาดูว่าที่ลูกสะใภ้ของเราสิคะ น่ารักมากเลยค่ะ” วะ ว่าที่ลูกสะใภ้ ใครวะ??

“หืม? ไหนล่ะคุณ”

“นั่นไงคะคุณ ช้างๆ ลูกชายคนเล็กของคุณนั่นละค่ะ น่ารักไหมคะ น่ารักใช่ไหมคะ” ใจเย็นๆ นะครับแม่ ให้คุณพ่อหายใจสักนิด กดดันผมไม่พอยังกดดันพ่อไอ้ปาอีก ผมจะรอดไหมเนี่ย

“จ้ะๆ น่ารักมากเลย น่ารักอย่างที่คุณว่าจริงๆ” แต่หน้าตาพ่อไม่เต็มใจสักนิด สงสารตัวเอง ฮือๆ

“ใช่ไหมละคะ ฉันบอกคุณแล้ว นี่ปาก็จะย้ายกลับมา ติดที่ลูกสะใภ้เราเขาเกรงใจ กลัวทุกคนมองเขาไม่ดีนี่ล่ะค่ะ แล้วว่าไงคะ คุณคิดว่าลูกควรย้ายกลับมาไหม หื้ม?” พ่อไอ้ปาปาดเหงื่อเลยครับ สายตาของแม่ที่จับจ้องไปเรียกได้ว่าต้องได้คำตอบที่ถูกใจเท่านั้น

น่ากลัว แม่มึงน่ากลัวมากปา

“แน่นอนสิคุณ! ย้ายมาเลยลูก ทั้งคู่เลยนะ ไม่ต้องคิดมากมายอะไร ใครมองไม่ดี เดี๋ยวแม่เขาก็กัดหัว เอ๊ย เดี๋ยวแม่เขาก็จัดการให้เอง” สภาพแม่เริ่มไม่เหมือนคนแล้วนะครับ แต่แม่บอกไอ้ปาไม่ได้สนใจเลยครับ พอได้ยินสิ่งที่ต้องการจบ ก็หันกลับมาหาทุกคนแทน

“ดีค่ะ ถ้าแบบนั้นเราทานข้าวกันดีกว่า วันนี้นมชื่นทำกับข้าวหลายอย่างมาก สงสัยจะทำมาเอาใจลูกสะใภ้คนใหม่ของแม่ คิกๆ”

“ไอ้ปา…”

“ว่าไงครับที่รัก” จะอ้วก! แต่เขิน ช่างมันก่อนเถอะ!

“กูเลือกกลับบ้านตอนนี้ทันไหมวะ” รู้สึกเหมือนว่าจะไม่ทัน ไอ้ปาหัวเราะเสียงต่ำมันชวนให้หลอนๆ ยังไงไม่รู้ มือของมันลูบขาผมเล่น

“ไม่ทันแล้วครับ และไม่มีโอกาสอีกแล้ว เพราะจากนี้ไป…เราจะอยู่ด้วยกัน”

แม่ครับ บ้านนี้ไม่มีใครปกติเลย น่ากลัวจัง นกกลัวมากเลย พ่อครับแม่ครับ มารับนกกลับบ้านที!!



“อา อิ่มแปล้เลย” ผมทิเงตัวลงบนเตียงของไอ้ปาเมื่อมาถึงห้องนอน เตียงโคตรนุ่ม ผ้าโคตรนิ่ม ยิ่งอิ่มๆ นะครับอย่าให้บอกว่าโคตรน่านอนขนาดไหน

ผมลูบท้องตัวเองไปมา อย่างที่รับปากนมชื่นเอาไว้ ผมซัดทุกอย่างไม่ให้เหลือจนทุกคนหัวเราะชอบใจ พ่อกับพี่ชายของไอ้ปาที่ในตอนแรกดูจะถูกแม่บังคับให้ยอมรับผมมากกว่า ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนเลยครับว่าทุกคนไม่ได้รังเกียจผม พวกเขายิ้มถามไถ่และดูแลผมดีมาก ยิ่งพี่สะใภ้กับคุณแม่ของไอ้ปานะครับ ยิ่งรักผมยิ่งกว่าลูกตัวเอง ผมรู้สึกดีนะ ตอนแรกคิดว่าจะมาเจอการถูกฟาดด้วยเงินก้อนใหญ่เหมือนในละครเสียอีก

จะว่าไปเหมือนผมลืมถามอะไรสักอย่างกับแม่ไอ้ปา แต่ก็นึกไม่ออก

“หึๆ อร่อยใช่ไหม ฝีมือของป้านวลกับนมชื่นน่ะ อร่อยมากจนกูเองยังคิดถึง” ไอ้ปานั่งลงข้างๆ ผม เอี้ยวตัวหันมามองแล้วยิ้มขำกับท่าทางแสนขี้เกียจของผมเอง

ก็แหม…ขอนิดหนึ่งสิ ผมเพิ่งจะกินอิ่มๆ นะ

“จะว่าไปก็ไม่อยากจะเชื่อเลยนะ”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“เรื่องของเรา” ผมหันหน้าไปหามัน เราสองคนสบตาของกันและกัน เรื่องของเราจริงๆ ครับ พอนึกย้อนไปแล้วทุกอย่างมันช่างดูน่าขำไปหมด

“นั่นสิ…หึหึ”

“มึงชอบกูตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอปา” ผมดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง หันหน้าเข้าหามันอย่างรอคอยในคำตอบ

“เมื่อไหร่…คงตั้งแต่แรกเลยมั้ง” ทำไมเหมือนไม่แน่ใจ ผมขมวดคิ้วกับคำว่ามั้งของมันที่แสดงออกถึงความไม่มั่นใจของมันเอง

“ทำไมต้องมีมั้ง มึงจำไม่ได้เหรอ?” ไอ้ปามันขำ หัวเราะเสียยกใหญ่

“ไม่ใช่หรอก กูแค่ชินปาก แน่นอนว่ากูจำได้ดี วันที่กูชอบมึง วันที่เจอมึงวันแรก ทุกอย่างที่มีมึงอยู่ในนั้น…กูไม่เคยลืม” ผมรู้สึกเขินหน่อยๆ แต่ก็ยังคงชวนมันคุยไปเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนเราสองคนคุยกันน้อยมาก เหมือนทุกอย่างมันลงตัวไปหมดแล้วในตอนนี้ การพูดคุยจึงเต็มไปด้วยใจจริงของทั้งผมและมัน

“มึงรักกูจริงๆ ใช่ไหมวะปา”

ไอ้ปายิ้ม แววตาถ่ายทอดความรักออกมาจนสามารถมองเห็นได้ มันค่อยๆ โน้มตัวลงมาช้าๆ จนใบหน้าของเราห่างกันเพียงแค่คืบ ผมรับรู้ถึงความร้อนจากมัน มันเองก็รับรู้ความร้อนจากร่างกายของผม เราแลกเปลี่ยนลมหายใจของกันและกันอย่างไม่รู้ตัว

“รักสิ”

มันยิ้ม ยิ้มทั้งใบหน้าและหัวใจ น้ำเสียงอ่อนนุ่มที่ทุ้มหูฟังแล้วชวนให้ใจเต้นแรง

“ไม่เคยมีสักวันที่กูจะรักมึงน้อยลง และไม่เคยมีสักวันที่กูอยากจะเลิกรักมึง” ไอ้ปาไล่ปลายนิ้วไปมาบนผิวแก้ม ในขณะที่เรายังคงไม่อาจละสายตาจากกันและกันไปได้

ความจริงที่สะท้อนในดวงตา มันทำให้ผมรู้ว่าไอ้ปาไม่ได้โกหก คำว่ารักที่ถูกบอกออกมานั้นออกมาจากใจจริงๆ

“มึงคือเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตกู เป็นส่วนหนึ่งที่กูไม่อาจจะทำหายไปได้”

ตึกตัก ตึกตัก

“เพราะงั้น…อย่าหนีกูไปไหนอีกเลยนะ ช่วยอยู่ให้กูได้รักมึงตลอดไปที” ผมกลั้นยิ้มอีกไม่ไหว น้ำตาก็พายแต่จะไหลลงมา

ช่างมันสิ จะอ่อนแอ จะเข้มแข็ง จะเป็นสิ่งไหน ถ้าคนที่ได้เห็นคือคนที่อยู่ตรงหน้า ผมยอมแสดงมันออกมาทั้งนั้น

“มึงจะไม่ทิ้งกูใช่ไหมปา” ไอ้ปายังคงยิ้ม ปลายนิ้วเลื่อนมาไล่วนอยู่ที่ริมฝีปาก

“ไม่มีวัน กูสัญญา”

“กูรักมึงนะปา” ผมบอกเสียงสั่น ทุกอย่างมันสั่นไปหมด แม้แต่หัวใจของผมเอง

“กูก็รักมึงนก รักมึงมาก”

ไอ้ปาก้มลงมาจูบผมอย่างแผ่วเบาแล้วผละออก เราสองคนมองตากันอยู่ครู่หนึ่ง ความร้อนแรงก็ถูกส่งมาที่ริมฝีปากของผมอีกครั้ง รสชาติหวานละมุนค่อยๆ แทรกซึมไปทั่วทั้งริมฝีปากจนผมต้องเผยอมันออกเพื่อลิ้มรสให้มากขึ้น ไอ้ปาเปลี่ยนจากการดูดดึงริมฝีปากเป็นสอดแทรกปลายลิ้นเข้ามา หยอกเย้าเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นของผมจนตัวผมเองสั่นสะท้านและมึนงง

มันเก่ง เก่งมากเหลือเกิน

ความเชี่ยวชาญของมันนำให้ผมก้าวเข้าสู่ความรสชาติที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน ค่อยๆ ละเมียดละไมอย่างเชื่องช้า ให้ผมได้เรียนรู้ไปกับความรู้สึก มันสอนผมด้วยการชักนำ หลอกล่อให้ผมโหยหาและตอบสนองมันช้าๆ ไม่เร่งรีบใดๆ ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังดูดดึงปลายลิ้นของมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมกำลังล่องลอยไปกับความหวานที่ได้ลิ้มรส

“อืม” ฝ่ามือของไอ้ปาประคองใบหน้าของผมให้ปรับเปลี่ยนองศาเพื่อตอบรับจูบที่เริ่มรุนแรงขึ้น เมื่อมันรู้แล้วว่าผมเริ่มชินกับสิ่งที่มันสอน มันก็เริ่มเรียกร้อง เริ่มเปลี่ยนความเชื่องช้าเป็นความร้อนแรงจนแผดเผาผมให้ร้อนรุ่ม

สองมือของผมกอดเกี่ยวลำคอของมันเอาไว้แน่น ไอ้ปายกตัวผมขึ้นมาเล็กน้อยแล้วดึงเสื้อของผมออกจากศีรษะอย่างรวดเร็วพร้อมกับกางเองที่ถูกปลดตามออกไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ร่างกายผมเกือบเปลือยเปล่าแต่ผมกลับไม่สามารถขยับหรือห้ามปรามใดๆ ได้ ริมฝีปากยังคงถูกปลายลิ้นของมันหยอกเย้าอย่างเอาแต่ใจ เรี่ยวแรงเองก็หดหายไปเพราะจุมพิตร้อนแรงที่ถูกมอบให้ ในสมองขาวโพลน คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ตัวเลยว่าปราการชื้นสุดท้ายได้หลุดลอยออกจากร่างกายไปในตอนไหน

แม้ว่าภายในห้องจะเย็นฉ่ำไปด้วยอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศ แต่ร่างกายของผมกลับร้อนระอุเกินกว่าที่ความเย็นในห้องจะดับได้ ยิ่งได้ดูดดึงปลายลิ้น ได้เกี่ยวกระหวัดกินรสหวานมากเท่าไหร่ สติของผมก็เหมือนถูกดับลงไปตาม

“อะ อื้อ” ผมแอ่นอกขึ้นเมื่อไอ้ปาใช้ปลายนิ้วสะกิดยอดอกสีหวานของผมเล่น ความเสียวซ่านแล่นไปทั่วทั้งร่างจนอ่อนปวกเปียก มีเพียงความแข็งแกร่งเบื้องล่างเท่านั้นที่แข็งขืน ชูชันขึ้นมาตามแรงอารมณ์

ไอ้ปาไล่จูบลงมายังลำคอ ซุกไซร้มันอย่างหลงใหลพร้อมกับความเจ็บเล็กๆ ที่ทำให้ผมนิ่วหน้าลง แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความเสียวซ่านที่ได้รับลงไปเลย ไอ้ปาจูบแก้มของผม ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาของมันจะลดลงไปที่แผ่นอกของผม

“ปะ อื้ออ”

ยอดเล็กๆ ถูกปลายลิ้นของมันตวัดเลียเล่นอย่างถูกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดูดดึงให้เกิดเสียงน่าอายขึ้นมา ผมใบตอนนี้ไม่รู้เลยว่าสภาพตัวเองเป็นอย่างไร เพียงแค่ถูกปลายลิ้นแตะลงบนยอดอก สติและความนึกคิดก็พลันสลายหายไปแทบจะทันที ได้แต่สอดมือเข้าไปในกลุ่มผมสีดำของมัน กอบกำเอาไว้เพื่อระบายอารมณ์เสียวซ่านเจียนขาดใจลงไปบ้าง

ไอ้ปาเล่นกับยอดอกของผมทั้งสองข้าง ดูดดึงราวกับทารกที่ต้องการน้ำนมก็ไม่ปานจนแผ่นอกของผมลอยขึ้นสูง ส่งความหวานเข้าสู่ริมฝีปากของมันอย่างลืมอาย มืออีกข้างยังคงทำหน้าที่ สะกิดและบีบบี้จนผมสั่นไปทั้งตัวกับรสชาติความกระสันมี่ถูกปรนเปรอ ก่อนที่มือข้างนั้นจะละออกจากยอดอกแล้วไล่ลงไปยังเบื้องล่างที่ตื่นตัวของผม

“หวาน…นกของปาหวานที่สุด”

“ฮะ อึก! อื้ม”

มือของมันขยับรูดรั้งความองอาจ ขยับมือเป็นจังหวะจนเรียกเสียงครวญครางออกมาจากริมฝีปากของผม สองมือจิกไหล่ของมันเมื่อความเสียวซ่านเล่นงานจนใบหน้าผมเหยเก หลอกล่อให้ผมกระโจนเข้าสู่กับดักอันแสนหอมหวานที่ถูกวางเอาไว้ มันทั้งน่าลิ้มลองและดูอันตราย แต่เมื่อถูกล่อหลอกด้วยความรัญจวน ผมก็ยิ่งอยากจะขยับกายแล้วกระโดดเข้าไปในกับดักนั้น

“ชอบไหม หื้ม? ชอบหรือเปล่า” ไอ้ปาถามทั้งที่ปลายลิ้นยังคงตวัดเล่นอยู่กับยอดหวานบริเวณแผ่นอก

ยิ่งเห็นผมไม่ยอมตอบกลับ กัดริมฝีปากเอาไว้แน่นไม่ยอมอ่อนข้อมันก็ยิ่งขยับรูดรั้งจังหวะรุนแรงขึ้น จากปลายลิ้นก็เปลี่ยนเป็นริมฝีปากที่ดูดดึงเม็ดทับทิมเข้าไปอย่างจงใจแกล้ง

“อ๊า อย่า ปา อื้อ” ความกระสันเล่นงานจนหัวหมุน ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ

แต่ไอ้ปาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มันยังคงแกล้งเร่งและผ่อนจังหวะของมือที่รูดรั้งตลอดจนยังคงใช้ลิ้นโลมเลียยอดอกสีหวานอย่างรุนแรง ดูดดึงจนมันแดงก่ำและแวววาวไปด้วยน้ำลาย

“บอกมาสิ ชอบไหม มึงชอบให้กูทำแบบนี้ใช่ไหม” แม้ว่าใบหน้าจะส่ายไปมา เสียงหอบครางยังไม่อาจจะหยุด แต่ผมกลับคิดอะไรไม่ออก ทรมานเหลือเกิน อยากจะไปให้ถึงฝั่งเสียที

“ชอบ อะ ชอบ กูชอบ อ๊า ปา”

“ดี อยากปล่อยไหม หืม?” ผมพยักหน้าระรัวอย่างไม่ต้องคิด ไอ้ปาก็เร่งมือเข้าไปใหญ่จนผมขนลุกไปทั้งตัว มันวาบหวามจนไร้เรี่ยวแรง กว่าจะรู้ตัวความองอาจของผมก็ถูกมันครอบครองด้วยความร้อนผ่าว

“อื้อ!! อย่าาาา”

ผมแทบจะคลั่งกับสัมผัสที่มันปรนเปรอ แทบจะสำลักความสุขตายเสียเดี๋ยวนั้น ปลายลิ้นสากตวัดเลียยอดสีสวยที่ชูชันอย่างหยอกเย้า ก่อนจะครอบครองมันเสียทั้งหมดอย่างตะกละตะกลาม ผมตัวสั่นไปด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน ดึงรั้งศีรษะของไอ้ปาเอาไว้ตามจังหวะที่มันดูดดึง ความองอาจที่ได้สัมผัสความร้อนจากปากของไอ้ปาก็แทบจะปลดปล่อยออกมาตามธรรมชาติ

“มะ อะ อ๊า!” ขาของผมสั่นไปหมด ดวงตาปรือมองภาพความองอาจผลุบเข้าออกด้วยความรู้สึกเกินจะบรรยาย ก่อนที่ผมจะเกร็งตัวกระตุกร่างกายปลดปล่อยออกมาจนหมดทุกหยดหยาด ไอ้ปารอจนผมปล่อยออกมาจนหมดจริงๆ จึงยอมถอนริมฝีปากออกจากความแข็งแกร่งของผม ตอนนี้มันอ่อนตัวลงไปส่วนตัวผมก็ได้แต่นอนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

“ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวสิ! อื้อ!”

อึดอัด ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เมื่อถูกปลายนิ้วสอดแทรกเข้ามายังจีบรักที่ปิดสนิท ปลายนิ้วของมันค่อยๆ ถูกสอดเข้ามาลึกยิ่งขึ้น แต่ร่างกายผมก็ปิดกั้นไม่ยินยอมรับสิ่งแปลกปลอมใดๆ ให้รุกล้ำพื้นที่หวงห้าม

“ผ่อนคลายหน่อยยก กูเข้าไม่ได้”

“ไม่ได้ อื้อ อึดอัด เอาออกเถอะนะ” แต่ไอ้ปาไม่ยอม ยังคงสอดปลายนิ้วเข้ามาเรื่อยๆ แม้ว่าจีบรักของผมจะรัดมันเอาไว้ไม่ยอมให้ขยับมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่สุดท้ายปลายนิ้วก็บุกรุกได้จนเต็มพื้นที่ มันกดค้างเอาไว้ไม่ยอมถอดถอนออกมา หนำซ้ำยังเริ่มขยับความองอาจที่อ่อนยวบของผมอีกครั้งเพื่อปลุกเร้า ริมฝีปากจู่โจมตามจุดอ่อนไหว ทั้งลำคอและแผ่นอกเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งรัก

“ปา อื้อ เบาหน่อย อึก!” ผมร้องห้ามเมื่อมันเริ่มขยับสอดปลายนิ้วเข้าออกเป็นจังหวะ เน้นย้ำและควานหาบางสิ่งอยู่ภายในร่างกายของผม มันไม่เจ็บก็จริง แต่มันอึดอัดและจุกแปลกๆ

“ฮื้อ อื้อ อะไร อ๊า”

จู่ๆ ผมก็ถูกความเสียวซ่านโหมกระหน่ำเข้าใจ ปลายนิัวของมันสะกิดเข้ากับบางสิ่งที่เพียงแค่สัมผัสโดนมัน ผมก็อ่อนปวกเปียก ร่างทั้งร่างคล้ายถูกไฟช็อต ไอ้ปายิ้มทั้งที่ริมฝีปากยังคงติดอยู่กับยอดอกของผม มือมันยิ่งได้ใจขยับเข้าออกอย่างว่องไวจนผมร้องครางอย่างลืมตัว

“ฮะ อ๊ะ อ๊า” ยิ่งรุนแรงร่างผมยิ่งเกร็งไปหมดทั้งตัว สมองขาวโพลนจนไม่อาจจะคิดอะไรต่อไปได้ ผมปล่อยให้ไอ้ปาทำตามใจเพราะตัวเองไม่มีแม้แต่แรงจะพูด ริมฝีปากได้แต่เปล่งเสียงครวญครางเสียงหวานออกไปตามความรู้สึก สองขาเปิดอ้าให้มันล่วงล้ำเข้ามาอย่างไม่คิดจะเหนียมอาย แต่ไม่นานผมก็ได้สติเพราะความเจ็บที่กำลังย่างกรายเข้าม้าๆ

“หยุด! เจ็บ! อ๊ะ ไอ้ปา! กูเจ็บ!”

“ชู่! เดี๋ยวก็หายเจ็บนะ กูจะค่อยๆ ช้าๆ ไม่รีบร้อน เราจะค่อยๆ ทำ อา มัน” ช้าๆ บ้าอะไรผมไม่เชื่อหรอก! คนอย่างมันเชื่อได้ที่ไหน ขนาดแค่สอดปลายนิ้วเข้ามายังตะบี้ตะบันขยับเหมือนอดอยากขนาดนั้น ให้มันสอดไอ้นั่นเข้ามาผมมีหวังได้ตายพอดี

“หยุด มึง อ๊า!”

ผมรู้สึกได้เลยว่าจีบรักกำลังกลืนกินตัวตนของมันทีละน้อย ความใหญ่โตที่บุกรุกเข้ามาทำให้ช่องทางของผมเต้นตุบๆ ผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ น้ำตาคลอเบ้าอยู่ทั้งสองตา แต่ไอ้ปากลับแหงนหน้าขึ้นร้องคราง ยั้งความปรารถนาของตัวเองเอาไว้แล้วค่อยๆ ขยับเข้ามาทีล่ะนิดๆ

“นก อา อย่าดิ้น ซี๊ด มึงเล็กจังวะ” แล้วรู…ใครเขาใหญ่โตมโหฬารบ้างเล่า ไอ้เหี้ย! ถามอะไรควายๆ ออกมาแบบนี้เลิกรับมันเป็นแฟนดีไหม ผมต้องมาทนเจ็บแบบนี้เหรอ ไม่เอาหรอก! ผมไม่ยอมแล้ว!

“หยุด! กู อึก กูจะทำเอง มึงเอาออกสิ เอาออก กูจะเสียบมึงเอง” ไอ้ปาหยุดชะงัก สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความต้องการอย่างชัดเจนจับจ้องมาที่ผมทั้งตัว กวาดมองทั่วร่างแล้วแสยะยิ้ม

“ไม่มีทาง มึงเป็นผัวกูไม่ได้หรอกนะนก มึงเป็นได้แค่เมียกูเท่านั้น อย่าดื้อมากนัก! เพราะถ้ามึงยังไม่ยอมหยุดดิ้น กูจะไม่อดทนแล้ว!” ผมพยายามดันร่างมันออก พยายามให้การเชื่อมต่อของเราหลุดออกจากการโดยเร็วที่สุด แต่ไอ้ปามันไม่ยอมง่ายๆ เพราะมันเกร็งตัวเองไว้ แล้วดันสะโพกเข้ามาอย่างแรงจนผมต้องร้องลั่น

“โอ๊ย! ไอ้ปา กูเจ็บ!!”

“อา อยู่นิ่งสินก อย่าดิ้นนะ ซี๊ด”

ไอ้ปาก้มลงมาประกบริมฝีปาก มอบจูบที่แสนหวานและร้อนแรงชักนำให้ผมหลงลืมความเจ็บปวดในตอนนี้ไป ใช้ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัด กวาดไล่กับเรียวลิ้นของผมอย่างเพลิดเพลิน นิ้วของมันสะกิดยอดสีหวานที่ชูชันไปมาจนมันผงกหัวสู้มือทำให้ผมเผลอผ่อนแรงที่รัดความใหญ่โตของมันเอาไว้

ไอ้ปาค่อยๆ กดร่างลงมาช้าๆ เมื่อไหร่ที่ผมเริ่มเกร็งมันจะหยุดลง หยอกเย้าจนผมหลงลืมอีกครั้งแล้วกดลงมาเรื่อยๆ จนสุดความยาว ภายในจีบรักโอบล้อมความองอาจที่มีขนาดใหญ่โตเอาไว้ กลืนกินมันจนหมดด้วยความโลภไม่ยอมให้เหลือเอาไว้

“นก ไหวไหม กูขยับได้ไหม” ไอ้ปาใช้ปลายนิ้วไล่เช็ดเหงื่อตามไรผมออก เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนห่วงใยจนผมต้องเม้มริมฝีปากแล้วพยักหน้ารับมัน

“ชะ ช้าๆ ได้ไหม กู กูยังไม่ชิน” มันยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ผมแทบจะเขินจนมุดเข้าไปใต้หมอนแล้วกรีดร้องดังๆ สายตาที่มีแต่ความร้อนแรงกับรอยยิ้มของมันเป็นเหมือนมันสิ่งที่ล่อลวงคนได้อย่างดี แม้แต่ผมเองก็เช่นกัน

“ครับ ปาจะกินช้าๆ”

“อ๊า”

ผมร้องลั่นเมื่อมันกดร่างเข้ามาสัมผัสถึงบางสิ่งที่อยู่ภายใน มันทำให้ผมต้องยึดบ่ากว้างของไอ้ผาเอาไว้ แหงนเงยใบหน้าขึ้นครางด้วยน้ำเสียงแสนหวานที่ผมแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แต่ทุกครั้งที่ถูกความองอาจของมันตอกเข้ามา ผมก็เป็นเหมือนคนที่ถูกไฟช็อตจนอ่อนแรงแต่ก็วาบหวามด้วยเช่นกัน

สองขาเกี่ยวกระหวัดเอวหนาเอาไว้แน่น ยกสะโพกขึ้นตอบรับจังหวะการสอดแทรกเข้ามา ยิ่งพายุอารมณ์โหมกระหน่ำมาแค่ไหน ยิ่งทำให้เราสองคนเร่งเร้าเข้าหากันอย่างไม่คิดจะหยุด ไอ้ปาจับเอวของผมเอาไว้แน่น ยกตัวผมขึ้นมาจนเราสองคนต่างก็นั่งหันหน้าเข้าหากันทั้งที่ยังคงเชื่อมต่อกันอยู่

“ปา อื้อ ไม่เอาแบบนี้” ผมไม่คุ้น มันน่าอายเกินไป

“ขยับสิ แค่ขยับตามที่มึงต้องการ มึงทำได้”

ผมเม้มริมฝีปากอย่างลังเล แต่อาการค้างอยู่กลางอากาศแบบนี้ผมเองยิ่งไม่ชอบ อยากไปถึงฝั่งฝัน อยากไปจนสุดทางกับมัน ผมจึงพยายามขยับร่างกายเงอะงะของตัวเอง แต่กลับเรียกเสียงครางที่ทุ้มต่ำของไอ้ปาออกมา ปากมันก็ชมว่าผมเก่ง สีหน้ามันสุขเสียจนผมรู้สึกว่าตัวเองทำได้จริงๆ

ยิ่งผมขยับเร่งเร้าจังหวะมากเท่าไหร่ ไอ้ปาก็ยิ่งส่งเสียงครางให้ได้ยินมากเท่านั้น ความเสียวซ่านชักนำให้ผมทำไปตามจังหวะแห่งธรรมชาติ ความองอาจสอดลึกจนขาสั่น ไอ้ปากอดเอวผมเอาไว้ เร่งตัวผมและมันให้เร็วขึ้น กระแทกความใหญ่โตเข้าออกถี่ยิบจนศีรษะของผมสั่นไปตามแรง มันกดใบหน้าลงแนบแผ่นอก ดูดดึงยอดเล็กๆ เข้าในปากอย่างทนไม่ไหว

“ไม่ไหว อา ปา ไม่ไหวแล้ว”

“ซี๊ด อีกนิด อา อีกนิดเดียว ฮึ่ม!”

ผมถูกกดลงนอนบนเตียงอีกครั้ง คราวนี้มันเป็นฝ่ายยึดเอวผมเอาไว้แล้วกระแทกกายเข้าออกอย่างเอาแต่ใจและรุนแรง สองมือกำผ้าปูเตียงแน่นเพื่อระบายความเสียวซ่านที่กำลังแล่นขึ้นสูง ไอ้ปาขยับเอวถี่ยิบและรุนแรงเพียงไม่นานผมก็ปลดปล่อยหยาดรักสีขาวขุ่นออกมา พร้อมๆ กับมันที่กระตุกเกร็งร่างฉีดพ่นความร้อนเข้ามาจนล้นทะลักในตัวผม ผมเหนื่อยจนแทบขาดใจ ความวาบหวามยังคงไม่หมดไปง่ายๆ ผมรู้ดี ตัวไอ้ปาเองก็ยังไม่ยอมถอดถอนความองอาจออกไปจากร่างกายผม ความใหญ่โตของมันยังไม่มีทีท่าจะอ่อนตัวลงทั้งที่ปลดปล่อยออกไปแล้ว

“แฮกๆ เหนื่อย แฮก เหนื่อยแล้ว” ไอ้ปาจับผมพลิกไปด้านข้าง ก่อนจะทิ้งตัวลงมานอนซ้อนหลังผม มือของมันยกขาของผมขึ้นมาข้างหนึ่ง ก่อนที่สะโพกจะเริ่มขยับอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง

“มึงนอนพักสิ เดี๋ยวกูทำเอง”

“อ๊ะ อ๊า ปา อ๊า” ผมถูกไอ้ปาจับพลิกซ้ายขวาแทบจะทั้งคืน ต้องปล่อยให้มันกินจนอิ่มผมจึงจะได้พัก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ อยากนอนก็ไม่ได้นอน อยากพักก็ไม่ได้พัก มันอดยากมาจากไหนวะเนี่ย! ผมจะตายคาเตียงไหม! กินข้าวบ้านมันวันนี้ไม่คุ้มเลยครับ กลายเป็นว่าผมต้องแบ่งพลังงานจากอาหารเย็นมาเป็นพลังงานสำรองในเรื่องแบบนี้มันใช่เหรอ ผมจะจำเอาไว้ให้ขึ้นใจเลยว่า คนอย่างไอ้ปา…มันไม่มีคำว่ารอบเดียว!!







TBC




รอบเดียวคืออะไร ปาไม่รู้จักหรอกจ้าาา ได้ชื่อใหม่แล้ว ปาผู้ไม่รู้คำว่ารอบเดียว สงสารน้องนกของแม่เหลือเกิน ไม่รู้ว่าช้ำไปแค่ไหนแล้ว โธ่ๆๆๆ มาเอาใจช่วยกันดีกว่าค่ะ เพราะตอนหน้า ก็จะถึงบทสรุปกันแล้ววว เย้~ ในที่สุดก็จบสักที!! คราวนี้แมวจะอู้ยาวๆ อู้จนกว่าจะหาเรื่องมาลงใหม่ได้ ฮ่าๆ 

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ ตอนที่19.นกในรังใหม่ 100% up. 04/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-02-2020 14:18:02
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
เม้นท์ไม่ถูกแล้วตอนนี้ ปาาาาา กิน นกกกก แล้ว
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: llมว_น้oe ที่ 09-02-2020 18:35:49
บทส่งท้าย

 นก…ไม่นกแล้วนะ 
[/b]

“อื้อ อย่า” อะไรกัน คนกำลังหลับสบายแท้ๆ แต่กลับถูกรบกวนจากบางสิ่งที่กำลังลากไล้ไปตามแนวสันหลังของผม แต่พอผมพยายามจะขยับร่างกายหลบหนี ความเจ็บรวดร้าวก็แล่นขึ้นมาจนผมต้องนิ่วหน้า สติและความนึกคิดทุกๆ อย่างกลับมาจนครบถ้วน

ผมนอนกับไอ้เหรอ? คำตอบคือใช่! ผมนอนกับมัน แต่เดี๋ยวก่อน…ทำไมไปๆ มาๆ ผมถึงเป็นฝ่ายโดนเสียเองล่ะ บอกไปแล้วไงว่าผมจะเป็นผัว! ไม่ได้อยากเป็นเมียใครแบบนี้!!

“นก…เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” ไอ้ปาผละออกจากแผ่นหลังของผม ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดอย่างร้อนใจ

“ฮึก มะ มึง ฮึก มึงทำให้กู เป็นเมียมึง ฮือๆ”

ไอ้ปายิ้มเอ็นดูพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำที่หัวเราะอยู่ในลำคอ มือของมันก็ลูบศีรษะผมไปด้วยเพื่อปลอบโยน ผมเสียใจจริงๆ นะ ก็เคยบอกมันไปแล้วว่าผมน่ะต้องเป็นผัวมันเท่านั้น แต่สุดท้ายมันก็เป็นฝ่ายได้ผมไป แบบนี้ผมก็เสียเปรียบนะสิ ผมไม่ยอมนับง่ายๆ หรอกนะ! ผมจะประท้วง!

“ปล่อยกูเลยนะ ฮึก มึงมันไอ้คนเห็นแก่ตัว ไอ้คนชั่วช้า!”

“ครับๆ ชั่วช้าก็ชั่วช้า หึหึ” น้ำเสียงของมันไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความโกรธ มันทั้งอ่อนโยนที่ปนเปความอ่อนใจ น้ำเสียงที่คล้ายกับผู้ใหญ่กำลังปลอบประโลมเด็กน้อยขี้แยก็ไม่ปานนั้น ยิ่งทำให้ผมดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของมัน

ผมไม่ยอมใจอ่อนหรอก เรื่องอะไรจะยอม!

“ปล่อยเลย ออกไปเลย!” แต่ไอ้ปากลับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ดึงใบหน้าของผมให้อยู่ในระดับเดียวกับมัน ใช้ดวงตาคมคู่นั้นสะกดผมเอาไว้ไม่ให้ขยับ

ผมจับจ้องดวงตาคู่คมที่เต้นระริกไปด้วยความรักแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ ก่อนจะหลุบตาลงไม่มองหน้ามันอีกเพราะกลัวว่าจะเป็นคนเปิดเผยความรู้สึกไปเองว่าผมกำลังหวั่นไหวไปกับความรู้สึกที่มันส่งมา ปลายจมูกของเราสองคนแตะกัน รับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่เราทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนมัน ผมเห็นริมฝีปากของมันเผยอออกเล็กน้อยในขณะที่มันกำลังเคลื่อนเข้ามาหาผมอย่างเชื่องช้าในตอนนี้ โดยที่ผมเองก็เผลอเผยอริมฝีปากออกตามเช่นกัน

ราวกับว่าทุกอย่างหยุดหมุน รอบกายไร้สิ่งใดที่ควรจะใส่ใจ กลิ่นหอมหวานของความรักกำลังลอยฟุ้งอยู่เหนืออากาศ หลอมรวมจิตสำนึกทุกอย่างให้หายไป สติที่ถูกเรียกคืนมากำลังดำดิ่งลงไปกับห้วงอารมณ์และแรงปรารถนาที่พวยพุ่งขึ้นมา ผมอยากจะหยุด อยากจะเรียกร้องความยุติธรรมคืนมา แต่เพียงแค่ถูกมันจับจ้องด้วยแววตาแบบนั้น ส่งผ่านความต้องการของร่างกายผ่านทางผิวเนื้อที่แนบชิดและรับรู้ได้ถึงความร้อนแรงที่แววตาของมันมองผม ผมก็ยิ่งคล้ายกับถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจนไม่อาจจะหยุดลงได้

“เจ็บมากไหม” ทั้งที่ผมเจ็บ แต่น้ำเสียงที่นุ่มละมุนกลับทำให้ผมแก้มแดงปลั่งส่ายหน้าปฏิเสธมันเบาๆ จนแทบจะมองไม่เห็น

“ไม่เจ็บแล้วเหรอ?” ผมกัดริมฝีปากตัวเอง ร่างกายสั่นสะท้านเมื่อฝ่ามือของไอ้ปาเลื่อนลงไปจนถึงบั้นท้ายกลม บีบเค้นมันเบาๆ ด้วยกลัวว่าจะทำให้ผมเจ็บ แต่สัมผัสแผ่วเบาที่ได้รับมากลับเป็นเหมือนยากระตุ้นความเร่าร้อน ร่างกายผมจึงตอบสนองด้วยการชูชันขึ้นมาอีกรอบ ร่างกายของผมสั่นระริกจนต้องกัดริมฝีปากห้ามเสียงครางหวานๆ เอาไว้เมื่อถูกความองอาจของไอ้ปาถูกไถเข้ากับความองอาจของผม

“ต่อได้ไหม”

ผมส่ายหน้าดวงตาสองข้างฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตา มือถูกยกขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้ ไม่ยอมให้เสียงน่าอับอายใดๆ ได้หลุดลอดออกไปเด็ดขาด แต่ไอ้ปากลับเหมือนยิ่งแกล้ง แรงบีบคลึงส่วนโค้งนูนทางด้านหลังกลับยิ่งแรงขึ้น มือข้างที่ยังว่าอยู่ก็ลูกลากไล้มายังด้านหน้า กอบกุมเอาความองอาจของผมไปไว้ในมือ

“อื้ออ”

ความทรมานที่แสนหวานถูกไอ้ปาใช้เป็นเครื่องมือบีบบังคับให้ผมตอบรับ มันขยับรูดรั้งอย่างเชื่องช้าก่อนจะเร่งเร้าจนผมแทบจะทนไม่ไหว หลุดเสียงครางดังออกมาจากลำคอ หยัดกายขึ้นตามจังหวะอันรุนแรงทั้งที่สองมือยังคงปิดปากตัวเองแน่น

แต่ความเสียวซ่านที่แล่นไปทั่วทั้งร่างกลับทำให้ผมต้องยอมแพ้ ปล่อยมือจากการปกปิดห้ามเสียงครางออก จิกทึ้งผ้าปูเตียงแน่น ยิ่งถูกปรนเปรอด้วยลิ้นร้อนที่คอยตวัดไล่เลียอยู่กับยอดอกสีหวาน ยิ่งทำให้ผมหูอื้อตาลาย สมองมึนงงไปจนหมด ได้แต่อ้อนวอนไอ้ปาด้วยแววตาขอร้อง

“ว่าไง…อยากให้กูช่วยไหม” ยังจะถามอีกเรอะ! ถึงจะอยากจับหัวมันมาโขกกับเตียงให้ตายๆ ไปซะ แต่ผมตอนนี้อ่อนเปลี้ยเพลียแรงมาก ยิ่งถูกสุมด้วยความต้องการ ร่างกายก็ยิ่งไม่อาจจะควบคุมได้

ไอ้ปาลากปลายนิ้วเข้าไปยังช่องทางที่ฉ่ำไปด้วยหยาดหยดของมันที่ปลดปล่อยเอาไว้ ค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปอย่างเอาแต่ใจจนสุดปลายนิ้ว มันมองผมที่บิดเร้าร่างอย่างต้องการด้วยความร้อนแรง เสียงเฉอะแฉะลอยเข้าหูยิ่งเร้าอารมณ์ให้ผมอย่างประหลาด ไอ้ปาเพิ่มจำนวนนิ้วขึ้นเป็นสอง ขยับเข้าออกเป็นจังหวะเนิบนาบจนรู้สึกได้ว่าผมตอบรับการร้องขอเพื่อเข้าไปของมัน จำนวนนิ้วจึงเพิ่มขึ้นอีก

“ทำ อื้อ ทำเถอะนะ”

“ครับ” ไอ้ปาดึงนิ้วทั้งสามออกทีเดียวจนผมผวาเฮือกตามอย่างลืมตัว มันวูบโหวงกับความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นมากะทันหัน ไอ้ปาจับขาของผมให้อ้าออกกว้างๆ ยกสะโพกขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่มันจะจับจ่อความองอาจที่ใหญ่โตนั้นกับความอ่อนนุ่มที่เปิดอ้ารอรับอย่างหิวกระหาย

“อ๊า!”

“ซี๊ด อา นกมึงรัดกูฉิบหาย”

ไอ้ปาหยุดดันตัวเมื่อช่องทางของผมเริ่มหดเกร็งอีกครั้งเพราะความใหญ่โตของมัน ส่วนหัวที่ถูกผนังอุ่นร้อนโอบรัดเอาไว้แทบจะกลืนหายไปด้วยซ้ำ ผมพยายามคลายตัวออกเมื่อถูกปรนเปรอทางด้านหน้า ปากถูกประกบจูบดูดดึงจนบวมเจ่อ ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร กว่าจะรู้ตัวว่าผมเผลอไผลไป ก็ในตอนที่ถูกกดสิ่งนั้นเข้ามาจนแนบชิดร่างกันไปแล้ว

“อื้อ!!”

“สุดยอดเลยนก อา มึงไม่เจ็บใช่ไหม” ผมนอนอ่อนแรงอยู่บนเตียง ทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับมันเท่านั้น ความเสียวกระสันที่เกิดจากการเสียดสีกันของช่องทางผมกับความองอาจของมันทุกครั้งที่ขยับเข้าออกแทบจะทำให้ผมคลั่งตาย

“ไม่ อ๊ะ ขยับ อึก! ขยับเลย” ได้ยินคำตอบจากผมมันก็ขยับดึงความใหญ่โตออกมาเกือบสุด แล้วดันสะโพกเข้าไปอีกครั้งอย่างเชื่องช้า ผมบิดกายไปมาอย่างวาบหวาม ถูกความใหญ่โตตอกย้ำเข้าออกเบาๆ ก่อนจะหนักหน่วงรุนแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ของเรา

เสียงหอบหายใจดังไม่หยุด ภายในห้องร้อนระอุจากพายุอารมณ์ของเราสองคนจนไม่อาจจะดับลงไปได้ มือของไอ้ปาจับเอาความองอาจของผมไว้ในมือ ขยับรูดรั้งจนมันผงกหัวสู้มือ

ผมยอมรับว่าเมื่อคืนนี้มันเจ็บมาก เรียกว่าทรมานแทบตายเลยก็ได้ ถูกบังคับให้ต้องดูดกลืนความใหญ่โตที่จ่ออยู่ตรงบั้นท้าย กัดกินเอาไว้ไม่ให้หลุดออกมา มันทั้งจุกทั้งเจ็บ แต่พอผ่านไปครู่ใหญ่ผมจึงได้รู้สึกถึงความวาบหวามที่ค่อยๆ แล่นเข้ามาแทนที่ แต่วันนี้ความเจ็บพวกนั้นหายไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่รสชาติอันร้อนแรงที่ถูกป้อนให้กินซ้ำๆ จนผมร้องครวญครางไม่เป็นภาษา

“อ๊ะ อ๊า”

ผมถูกพลิกกายคว่ำหน้าลงกับหมอน สะโพกถูกยกขึ้นสูงตามด้วยความใหญ่โตที่สอดเข้ามาแล้วกระแทกเข้าจนสุด ผมขาสั่นไปหมด ร่างกายไร้เรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิงจนต้องจิกผ้าปูเตียงเอาไว้เพื่อระบายอาการเสียวซ่าน ไอ้ปากระแทกกายเข้าออกซ้ำๆ ย้ำจุดเดิมจนผมเกือบจะปลดปล่อยออกมา มือของมันยึดสะโพกของผมเอาไว้แล้วดันตัวเข้าออกไปเรื่อยๆ อย่างรุนแรง

จังหวะที่ถูกสอดเข้ามาและดึงออกนั้นส่งเสียเฉอะแฉะน่าอายออกมา ครีมสีขาวเปรอะเปื้อนแก่นกายของไอ้ปาจนไม่น่ามองสักนิด แต่แววตาของมันกลับยิ่งทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้นขยับสะโพกเข้าหาผมอย่างแรงโดยไม่สนใจเสียงร้องครวญครางที่ทั้งสุขสมและทรมานไปพร้อมกันแม้แต่น้อย ริมฝีปากร้อนไล่ไปตามแนวกระดูกสันหลังทั้งที่การสอดแทรกกายเบื้องล่างยังไม่หยุดลง หนำซ้ำมันยังยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก

ผมที่ถูกกระแทกเข้าออกครั้งแล้วครั้งเล่าจนหัวสั่นคลอน ได้แต่ขยับสะโพกตัวเองตอบสนองกลับไป เสียงหอบหายใจปะปนกับเสียงครางหวาน ในห้องจึงมีเพียงภาพการร่วมรักกันของผมกับไอ้ปาที่ไม่มีทางจะสิ้นสุดลงง่ายๆ ไอ้ปาจับผมพลิกขึ้นไปอยู่บนตัวมัน ทั้งที่การเชื่อมต่อกันระหว่างเรายังคงไม่หลุดไปไหน ช่องทางด้านหลังแน่นจนจุก แต่ความเสียวซ่านกลับยังมีมากกว่า

“อะ อะไร อ๊า!” ในหัวขาวโพลน ร่างกายไร้เรี่ยวแรง แต่ไอ้ปากลับกอบกุมสะโพกของผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังจับมันขยับขึ้นลงเป็นจังหวะเองจนผมต้องปลดปล่อยเสียงครางออกมา

“มึงบอกกูเองนี่ว่าอยากอยู่ข้างบน”

“มะ ไม่ใช่! กูบอกว่า อ๊า! อยากจะ อ๊ะ เสียบมะ อื้อ มึง” มันสวนสะโพกขึ้นมาในจังหวะที่สะโพกของผมหล่นลงมาพอดี ความใหญ่โตของมันจึงเข้าไปลึกยิ่งกว่าเก่า ผมกัดริมฝีปากที่สั่นระริกของตัวเองแน่น รู้ได้อย่างดีกว่ามันกำลังแกล้งให้ผมขาดใจตายเพราะความเสียวซ่าน

“อา มึงว่าอะไรนะนก กูได้ยินไม่ชัดเลย ซี๊ด มึงอยากจะทำอะไรนะ?” ผมจิกเล็บลงไปบนไหล่ของมันเมื่อต้องดันอะไรบางอย่างเอาไว้เพื่อพยุงกาย สะโพกยังคงหมุนควงไปมา ดันเข้าออกอย่างร้อนแรงโดยไม่สนใจสักนิดว่าผมกำลังรู้สึกมากแค่ไหน

“ทะ ทำ อื้ม”

“ว่าไง?” ผม ผมกำลังจะพ่ายแพ้

“ทำ ระ เร็วๆ จะ อึก! อ๊า จะไปแล้ว แฮ่กๆ”

“บอกมาสิ ตอนนี้มึงเป็นอะไรของกู” ผมส่ายหน้า สองตาเริ่มมีหยาดน้ำใสคลออยู่

มันแกล้งผม มันจงใจแกล้งผมชัดๆ

“ปะ ปา ทำ ทำเถอะ อ๊ะ อา นะ” ไอ้ปายิ้มร้าย สวนสะโพกเข้าออกไม่หยุด

“บอกมาก่อนสิ บอกได้ถูกใจกูเมื่อไหร่ กูจะให้มึงไป” ไอ้ปาจับเอวของผมเอาไว้ ขยับเสียดสีความใหญ่โตกับผนังร้อนๆ ที่โอบรัดอย่างยั่วเย้า ผมตัวสั่นเมื่อถูกความเสียวกระสันจู่โจมอย่างรุนแรง ใบหน้าแดงก่ำ แววตาฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตา ริมฝีปากแดงจากการถูกจูบหนักๆ มาหลายต่อหลายครั้ง เผยอขึ้นส่งเสียงครางที่ชวนให้วาบหวามยามได้ยิน

“ปะ เป็น ฮึก ฮ๊า เป็นมะ อ๊ะ เมีย! ฮึก อื้อ ระ รีบๆ ทำสัก ฮ๊า ทีเถอะ” ผมจะขาดใจตายเพราะความเสียวซ่านนี้อยู่แล้ว

“ดี ดีมาก ซี๊ด”

ไอ้ปาจับร่างผมให้นอนลงอีกครั้ง ดันเข่าของผมชิดอกก่อนจะสอดใส่ความองอาจเข้ามาแล้วกระแทกเข้าใส่ด้วยความรุนแรง ผมบิดร่างกายอยู่บนเตียงด้วยความเสียวซ่าน ปากเผยอร้องครางออกมาจนสุดเสียง สะโพกขยับตอบรับตามจังหวะที่ถูกกระแทกกระทั่นจนศีรษะสั่นคลอน หัวใจเต้นแรง ลมหายใจหอบถี่ราวกับว่าผ่านการวิ่งมาหลายกิโล

ไอ้ปาบดจูบร้อนแรงเข้ามา สอดปลายลิ้นเพื่อเกี่ยวกระหวัดในจังหวะที่เริ่มจะลุกไหม้ ช่องทางรักร้อนผ่าวจากการเสียดสี ความองอาจกลางร่างปวดจนแทบระเบิดออก

“อ๊ะ อ๊า ไม่ไหว ละ แล้ว อ๊า!”

ร่างกายของผมกระตุกทันทีที่ปลดปล่อยคราบสีขาวขุ่นออกมาจนเต็มแผ่นอก ด้านหลังถูกกระแทกถี่ๆ จนรับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนที่ฉีดพุ่งเข้ามาภายในร่างกายของผม ผมนอนหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า บทรักนี้กินแรงกายขอผมไปมากกว่าครึ่ง หนังตาเริ่มหนักขึ้นจนใกล้จะหลับ แต่กลับถูกไอ้ปาอุ้มขึ้นสูงจนต้องผวาร่างตามมาด้วยแขนของผมที่กอดลำคอขอลมันเอาไว้จนแน่น

“ละ เล่น เล่นบ้าอะไร” ใจหายวาบเลยนึกว่าจะตกไปเสียแล้ว ไอ้ปาหัวเราะเบาๆ ยกตัวผมขึ้นสูงจนตัวตนของมันหลุดออกจากช่องทางด้านหลังจนเกิดเสียงดัง ผมรู้สึกได้ว่าจีบรักของผมกำลังพ่นเอาน้ำรักของไอ้ปาออกมาเพราะถูกปลดปล่อยเอาไว้จนมากเกินไป

น่าอายเกินไปแล้ว

“กูจะพามึงไปอาบน้ำ ล้างเอาของกูออก” ผมก้มหน้าลงซ่อนร่องรอยสีแดงบนผิวแก้มเอาไว้

“กู กูเดินไปเองก็ได้” ผมอาย ทั้งเขินทั้งอาย ยิ่งด้านหลังปล่อยคราบสีขาวที่คั่งค้างเอาไว้ออกมามากแค่ไหนผมก็ยิ่งอับอาย ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าหรือสบสายตากับมัน

“อย่าห่วง…หน้าที่แบบนี้ คนที่เป็นผัวต้องทำอยู่แล้ว หึๆ”

อะ อะ ไอ้เหี้ยปา!!! ไอ้สารเลววววว

แต่ผมก็ทำได้แค่แหกปากต้องอยู่ในใจ เพราะปากของผมได้ถูกปิดแน่นด้วยริมฝีปากและเรียวลิ้นของมันที่สอดเข้ามาดูดดึงและขบเม้มไปแล้ว ดูท่า…คงได้มียกสองนอกเตียงอีกรอบสินะ เฮ้อ…



















สุดท้ายแล้วผมก็ถูกปล่อยออกมานอกห้องนอนได้ในที่สุด หลังจากที่มื้อเช้าถูกไอ้ปาจับกินไปหลายต่อหลายรอบ ผมก็หอบร่างกายอันเหนื่อยล้าที่ย่ำแย่ลงมาด้านล่าง เพราะท้องผมกำลังประท้วงร้องขออาหารเต็มที่แล้ว ไอ้ปาพยุงผมให้นั่งลงที่โต๊ะอาหาร ตอนนี้มีเพียงแค่ผม คุณแม่ของไอ้ปา พี่วรรณพี่สะใภ้ของมันและไอ้ปาเองที่นั่งอยู่ ส่วนคนอื่นคงไปทำงานกันหมดแล้ว

สายตาวิบวับนั่นมันอะไรกันครับคุณพี่ คุณแม่ มองแบบนั้นผมเองก็ร้อนตัวได้โดยที่ไม่ได้ทำความผิดหรอกนะ

“น้องปาคะน้องปาขา แบบนี้แล้วพี่จะได้ยินข่าวดีของน้องทั้งสองเมื่อไหร่คะ คิกๆ” ผมหน้าร้อนผ่าวกับคำถามและรอยยิ้มล้อเลียนนั่น แต่ไอ้ปากลับยิ้มระรื่นราวกับว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิอกภูมิใจเหลือเกิน

“นั่นสิคะลูก เมื่อไหร่ดีคะ แม่จะได้หาฤกษ์งามยามดีเอาไว้ เอาเป็น...หมั้นเช้าแต่งเย็นไปเลยดีไหมคะลูก!” เดี๋ยวนะครับคุณแม่ครับ อะไรคือหมั้นเช้าแต่งเย็น ผมยังเป็นผู้ชายอยู่นะ ฮืออออ

“คะ คือ คือว่า”

“ก็ดีนะครับแม่ ของานใหญ่ๆ เลยนะครับ ผมอยากประกาศให้ทุกคนรู้ว่านี่เมียของผมเอง” ยังไม่ทันได้พูดอะไรไอ้ปาก็แทรกขึ้นมาแทบจะทันที

ไอ้ปา! ไอ้เพื่อน เอ๊ย ไอ้ผัวเหี้ย! แบบนี้ผมจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอพ่อกับแม่ของผมกัน โดนพ่อกับไอ้แมวล้อตายแน่ๆ โอ๊ย! อยากจะบ้าตาย อยากจะบ้าตายจริงๆ!

“ดีเลยค่ะลูก แล้วเรื่องฮันนีมูนละคะลูก จะไปที่ไหนดี ญี่ปุ่น ปารีส สวีเดนหรือว่าอยากจะไปที่ฮาวายคะ” ผมอ้าปากค้างกับชื่อแต่ละสถานที่ ผมไม่เคยไปหรอก แม้แต่จะคิดยังไม่เคยเลย เงินก็มีพอให้กินให้ใช้ธรรมดา จะเอาปัญญาที่ไหนไปคิดเรื่องเที่ยวต่างประเทศ

“คุณแม่คะ ช่วงนี้ญี่ปุ่นซากุระกำลังบานเลยค่ะ แต่จะว่าไปคิดเรื่องฮันนีมูนก็ต้องเป็นที่ฮาวายสินะคะ จริงไหมคะคุณแม่” พี่วรรณพูดจบแม่ไอ้ปาก็ตาวาววับขึ้นมาทันที

“งั้นก็ฮาวายนะคะ เดี๋ยวแม่จะไปจองตั๋วทำเรื่อง เร่งดำเนินการและจัดการทุกอย่างให้เอง ตอนนี้ก็เตรียมตงเตรียมตัวกันเถอะค่ะ ไปค่ะลูกวรรณเรามีเรื่องต้องทำอีกเยอะเลย” หา? เดี๋ยวสิ นี่เรียกปรึกษาแล้วเหรอ ทำไมรู้สึกเหมือนโดนมัดมือชก คุณแม่กับพี่วรรณลุกขึ้นจากเก้าอี้ ผมก็ได้สติทันที

“ดะ เดี๋ยวก่อนสิครับ! ไอ้ปา มึงช่วยห้ามบ้างสิวะ!” ผมเรียกทั้งสองคนเอาไว้ก่อนที่จะหาตัวไม่พบเพราะมัวแต่ยุ่งกับการเตรียมการต่างๆ ที่ผมยังไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น ไอ้ปายักไหล่ พูดด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์

“พูดทำไม กูก็อยากไปฮันนีมูนนะ” ไม่ใช่สิโว้ย! ไอ้ฮันนีมูนน่ะผมก็อยากไป แต่ไอ้ที่ให้ห้ามน่ะอีกเรื่องหนึ่ง!

“ว่าไงคะน้องนก มีอะไรเอ่ย” จะมีอะไรได้เล่า ผมกัดปาก พยายามทำใจแข็งปฏิเสธความหวังดีบางประการของทั้งสองบวกหนึ่งตัวที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมออกไปก่อน

“คะ คือ เรื่องฮันนีมูน ผมไม่คัดค้านอะไร” ทั้งสองยิ้มกว้างขึ้น ไอ้ปาเองก็พลอยยิ้มไปด้วย

คือกูยังพูดไม่จบ!

“งั้นก็ดีแล้วนี่คะ ไปค่ะคุณแม่”

“ไม่ๆ ไม่ใช่ครับ แต่เรื่องแต่งงานผมไม่เอาด้วยนะ!” เหมือนทุกอย่างในโลกหยุดหมุนกะทันหัน สายตาทั้งสามคู่จับจ้องมาที่ผมเป็นจุดเดียว คุณแม่และพี่วรรณดูอึ้งๆ ส่วนไอ้ปา อย่าไปมองเลยครับ มีแต่สายตาของความรุนแรง เหมือนจับรังสีได้ว่าขึ้นห้องเมื่อไหร่ผมคงยับแน่ๆ

ขนลุกพรึบเลยกู

“คะ คือว่า เอ่อ”

“ทำไม!” เสียงดุดันของไอ้ปาเอ่ยถามออกมาเล่นเอาผมสะดุ้งด้วยความตกใจ ไม่อยากหันไปมองแต่ก็ต้องหัน และเป็นอย่างที่สังหรณ์เอาไว้จริงๆ เพราะมันมองเหมือนจะจับผมลงโทษเอาตรงนี้เลยด้วยซ้ำไป น่ากลัวกว่าเดิมไปอีก!

“ฟะ ฟังก่อนนะ ที่กูพูดไม่ได้หมายความว่ากูไม่คิดอยากแต่ง แต่กูหมายถึงว่าเราควรจะจัดแค่งานเลี้ยง เพราะยังไงการที่กูกับมึงจัดงานแต่งงานก็จะทำให้คนอื่นมองครอบครัวมึงไม่ดีมากกว่า กูแค่ห่วง เพราะงั้น เราเปลี่ยนเป็นจัดงานเลี้ยงเถอะนะ ในงานมึงอยากจะประกาศอะไรกูก็ไม่ว่า จะบอกว่ากูเป็นเมียมึง จะบอกว่าเราจะอยู่ด้วยตลอดไปก็ได้ กูขอแค่จากงานแต่งเป็นงานเลี้ยง ได้ไหมครับแม่ พี่วรรณ” เพราะกลัวว่าจะไม่ได้ผล ผมจึงหันไปถามพี่วรรณและคุณแม่แทน

ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะ เพราะครอบครัวไอ้ปาก็ไม่ใช่จะหมูหมากาไก่ที่ไหน ชื่อเสียงก็มี รวยตั้งเท่าไหร่ ถ้าเกิดว่าถูกมองเหยียด ถูกสังคมต่อว่าผมก็อยากให้มันเป็นแค่งานส่วนตัว เป็นงานเลี้ยงที่ไม่ใช่งานแต่งงานที่ตายตัว ผมแค่กลัวว่าทุกอย่างมันจะล้มลงมา แล้วพวกเราจะยิ่งเสียใจ

“คุณแม่คิดว่าไงคะ?”

“แม่ว่าแบบนั้นก็ดีนะคะ มันดูไม่เอิกเกริกกันเกินไปด้วย เป็นความคิดที่ดีเลยค่ะ” ผมค่อยยิ้มออกมาได้หน่อยเมื่อได้ยินคำตอบของคุณแม่ ตอนนี้พี่วรรณกับคุณแม่คือโอเคแล้วเหลือก็แต่ไอ้ปาที่จะมีปัญหาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ผมเหลือบตามองไอ้ปาเพื่อจะดูปฏิกิริยาของมัน ไอ้ปาเงียบลง ใบหน้านิ่งขรึมลงไปไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ จนผมเองก็อดหวั่นใจไม่ได้

“ได้ครับ งานเลี้ยงก็ได้ผมโอเค” ผมยิ้มกว้างกับคำตอบที่ได้ยิน เอื้อมมือออกไปจับฝ่ามือของไอ้ปาเอาไว้แน่น ใช้ปลายนิ้วไล้ไปมาเบาๆ บนหลังมือของมัน

“กูดีใจนะ ที่มึงเข้าใจกู” ไอ้ปาเองก็บีบกระชับฝ่ามือจนแน่น ส่งสายตาหวานที่เต็มไปด้วยความรักมาให้

“ขอแค่มีมึงอยู่ข้างๆ ต่อให้มันเป็นแค่งานเลี้ยงกูก็ดีใจแล้ว”

ผมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่มีมันอยู่เคียงช้าง รู้สึกโชคดีที่ได้เป็นคนสำคัญของมัน สำหรับคนบางคนความรักอาจจะไม่หอมหวานและน้ามองนัก เหมือนตัวผมเมื่อก่อนที่เจ็บปวดจากหลินมาก็ไม่กล้าคบกับใครอีก แต่ความจริงแล้วความรักมันเป็นสิ่งที่สวยงามและดึงดูดให้เราหลงเข้าไปในห้วงความรักนั้นๆ จนตัวเราเองก็ไม่สามารถถอนตัวออกมาได้

ผมว่าเพราะแบบนั้นเราจึงมองว่าความรักเป็นสิ่งที่เจ็บปวด

แต่ความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดคือตัวของเราเองที่ยึดติด ไม่ยอมปล่อยวางมันลงไป

“โอเคค่ะ ถ้าอย่างงั้นแม่กับหนูวรรณจะไปจัดการเรื่องทั้งหมดนะคะ ลูกทั้งสองคนก็พักผ่อนเถอะค่ะ คงจะเพลียกันแย่แล้ว คิกๆ” ผมก้มหน้าลงทั้งที่ความร้อนกำลังเล่นงานแก้มใสทั้งสองข้าง เขินอายทุกครั้งที่ถูกมองมาอย่างล้อเลียน

“ดีค่ะคุณแม่เราไปกันดีกว่าค่ะ” พี่วรรณยิ้มแล้วคล้องแขนไปกับคุณแม่อย่างอารมณ์ดี เพราะเธอยิ้มกว้างจนผมเองยังคิดว่าเป็นงานเลี้ยงแนะนำตัวของพี่น้องเธอเอง แต่ผมดีใจนะครับที่พี่วรรณเอ็นดูผม เพราะผมเองก็มีแต่น้องชาย ความรู้สึกที่ถูกใส่ใจจากพี่สาว มันดีจนผมอยากจะให้แม่ย้อนกลับไปแล้วมีลูกใหม่ก่อนจะมีผมมาคนหนึ่งก่อน ผมอยากมีพี่บ้างไง

“จริงสิคะน้องนก น้องปา”

“ครับ?”

“ถ้ายังไงเก็บแรงเอาไว้หน่อยนะคะอย่าเพิ่งหักโหมมากนัก รอไปฮันนีมูนแล้วค่อยเต็มที่ ถึงตอนนั้นต่อให้ร้องเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจหรอกค่า~” พี่วรรณพูดจบก็เดินจากไปพร้อมกับคุณแม่และเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของทั้งสองคน ทิ้งให้ผมยืนหน้าแดงก่ำจากความอับอาย ตวัดสายตามองไอ้ตัวต้นเหตุที่ยังคงนั่งชิวไม่รู้สึกรู้สาอะไรแบบนี้

นิ่งนักใช่ไหม ไม้รู้สึกอะไรใช่ไหม ดี!!

“โอ๊ย! เดี๋ยว โอ๊ยนก! กูเจ็บ อย่าตี! โอ๊ย! เมียจ๋า เจ็บแล้วจ้าๆ”

“ไม่ต้องมาเรียก มึงได้ยินไหม เพราะมึงทำเสียงดังนั่นล่ะ”

“อ้าว! ทำไมโทษกูล่ะ ก็มึงร้องเสียงดังเองนะ”

“ยัง…”

“ยังอะไร กูไม่ได้เถียงเลยนะ นี่กูพูดความจริงล้วนๆ”

“ยังไม่ตายอีกเรอะ! ย๊ากกก!!!”

“อ๊ากกกก กูขอโทษษษษษษษษษษ!!”

หากใครวิ่งผ่านไปผ่านมาในบ้านคงตกใจกับภาพที่ผมกำลังสั่งสอนผู้ชายของตัวเองอยู่ตอนนี้เป็นแน่ แต่ภาวนาให้อย่ามีใครเดินมาเลยครับ โดนเฉพาะคุณแม่กับพี่วรรณ ผมไม่อยากให้ทั้งสองคนมาเห็นผมทำร้ายร่างกายลูกชายและน้องเขยพวกเขาหรอก แต่แหม...ก็ผมโมโหนี่ จะทำไงได้

ยังไงก่อนจะได้จัดงานเลี้ยงเปิดตงเปิดตัวอะไร ก็จัดรถพยาบาลให้ไอ้ปาไปพักผ่อนก่อนสักคืนสองคืนก็แล้วกันนะครับ

ว่าแต่…รู้กันหรือยังครับว่าผม…

ไม่นกแล้วนะ หึหึ





...The End...
[/b]





จบแล้วจ้าาาา เขามีความสุขกันแล้ว เต็มอิ่มกันไหมคะ ในที่สุดก็จบสักที โฮ~ จากนี้แมวจะอู้งาน!!! อู้งานนนนนนนน เพราะยังคิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรต่อดี ถ้าหากว่าคิดออกแล้ว เขียนแล้ว แมวจะเอามาลงให้อ่านต่อกันนะคะ ฝากรักน้องนกและน้องปากันเยอะๆหน่อยน้าาา แล้วพบกันใหม่ในงานเขียนเรื่องต่อไป กราบขอบพระคุณทุกคอมเมนท์และทุกคนที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณมากๆค่ะ 

ปากินนก
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-02-2020 19:17:30
จบเสียที ปากับนก เลิฟๆ อีกอย่างครอบครัวปาน่ารักมากมาย ชอบจัง
ขอบคุณคนเขียนมากอนุญาตให้พักผ่อนได้นะ
แต่ถ้าว่างๆ ขอตอนพิเศษพี่อาร์ตกับพี่หนูด้วยนะ อยากรู้ว่าพี่หนูไปล่อลวงพี่อาร์ตยังไง
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-02-2020 10:13:04
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 12-02-2020 18:43:48
นกเป็นคนตลกและสุดแสนจะซื่อ น่ารักมากมาย สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 13-02-2020 18:33:21
ขอบคุณค่ะ ชอบแนวพระเอกขึ้หึงมากกกกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: Blue ที่ 14-02-2020 04:50:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 14-02-2020 12:02:57
นกตลกอะ  คำพูดซื่อๆแต่กวนตีนคนอื่นแท้  :pigha2:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 20-02-2020 21:59:50
ฮาทั้งเรื่อง แม้กระทั่งตอนดราม่า ยังฮาเลย  :hao7:
หัวข้อ: Re: ☆ My name is...เพราะผมชื่อ'นก' ☆ บทส่งท้าย.นกไม่นกแล้วนะ [จบ] up. 09/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 13:58:46
 :pig4: