พิมพ์หน้านี้ - - - มาลาสุราลัย - - ตอนที่22 - - 06/08/62
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: nikkou ที่ 10-05-2019 19:59:34
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
--------------------------
มาลาสุราลัย
กล่าวกันว่าหานชินอ๋องนั้นดุดันน่ากลัวราวกับปีศาจ มู่ซูฮวาที่ถูกบังคับหมั้นหมายกับอีกฝ่ายจึงรู้สึกดีใจราวกับได้พรจากฟ้าเพราะหานชินอ๋องปฏิเสธไม่เข้าร่วมพิธีอภิเษกสมรสพระราชทาน เมื่อกราบไหว้ฟ้าดินและเข้าห้องหอเพียงลำพังเสร็จพระชายาน้อยก็โยนหลักคุณธรรมภรรยาที่ฝืนเรียนมาแต่เล็กทิ้ง! หลังจากนี้ซูฮวาจะฝึกวรยุทธ! ซูฮวาจะฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านยอดฝีมือที่พบกันโดยบังเอิญ แต่ซูฮวาหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วท่านอาจารย์ของตนนั้นก็คือ...
นี่เป็นพีเรียดจีนเรื่องแรกของเราเลย ตื่นเต้นมาก 5555 ถ้ายังไงก็ขอฝากด้วยนะคะ!!
--------------------------
-
บทนำ
“คุณชายซูฮวาเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่ห้ามคุณชายอ่านตำราพิชัยยุทธอีกไม่ใช่หรือเจ้าคะ”หลี่หมิงสาวใช้ที่เพิ่งเข้ามาทำงานในจวนได้ไม่นานนักรีบปรี่เข้ามากล่าวเตือนทันทีที่เจ้าหล่อนเห็นคนตัวเล็กกำลังนอนเอกขเนกอ่านตำราว่าด้วยเรื่องสงครามอยู่
มู่ซูฮวาทำหน้ามุ่ย เขาอุตส่าห์แอบหนีมาอ่านคนเดียวในซอกหลืบของสวนที่ไม่ค่อยมีใครผ่านไปผ่านมาแท้ ๆ
“ข้าเป็นบุรุษ ไม่ให้ข้าอ่านตำราแล้วจะให้ข้าไปเรียนเย็บปักถักร้อยหรืออย่างไร”ริมฝีปากบางเชิดรั้นอย่างดื้อดึง เมื่อผู้เป็นนายมองสำรวจสาวใช้คนใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพบว่านางให้ความยำเกรงตนอยู่หลายส่วนดวงตาคู่โตจึงเปล่งประกายอย่างย่ามใจ
คุณชายน้อยไม่เพียงไม่เก็บตำราแต่เจ้าตัวกลับก้มลงไปอ่านต่ออย่างไม่สนใจเสียงโอดครวญของคนเป็นบ่าว
“โธ่ คุณชาย อย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจสิเจ้าคะ หากฮูหยินมาเห็นเข้าล่ะก็ข้าน้อยต้องโดนลงโทษแน่ ๆเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านแม่จึงไม่ยอมให้ข้าอ่านตำราพิชัยยุทธ”น้ำเสียงของผู้ที่กำลังหยัดกายขึ้นนั่งฟังดูนุ่มนวลขึ้นหลายส่วน ยังไงซูฮวาก็ไม่ใช่พวกคุณชายใจร้ายที่ทนเห็นบ่าวไพร่โดนโบยเพราะตนเองได้ เมื่อเห็นว่าสาวใช้คนนี้ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วเขาจึงยอมวางตำราที่อุตส่าห์แอบเข้าไปขโมยมาจากห้องของบิดายามดึกไว้ข้างกาย
คนฟังส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ บอกตามตรงว่านางเองก็แปลกใจไม่น้อย ตามปกติแล้วบุตรชายบ้านอื่นหากมีใจฝักใฝ่ด้านบู๊ สนใจเรื่องการทหารผู้เป็นบิดามารดาจะปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างยิ่ง ผิดกับคนบ้านนี้นัก
สกุลมู่เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นเล็ก ๆนามแคว้นอันผิง อาณาเขตทั้งหมดตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา เส้นทางคมนาคมสู่โลกภายนอกมีจำกัด เรื่องจะขยายดินแดนออกไปก็เป็นไปได้ยากดังนั้นแคว้นอันผิงจึงเป็นเพียงแคว้นอ่อนแอต้องพึ่งใบบุญบารมีของอาณาจักรต้าจินอันยิ่งใหญ่มาโดยตลอด
และด้วยความอ่อนแอเหนือคณานับ เจ้าผู้ครองแคว้นอันผิงจึงไม่ได้มีกระทั่งยศเป็นอ๋อง บรรดาศักดิ์ของเจ้าผู้ครองแคว้นแห่งนี้เทียบเท่าแค่ขุนนางระดับสองในราชสำนักเท่านั้น แต่ตระกูลมู่ก็ก้มหน้ายอมรับความต่ำต้อยนี้ด้วยความยินดี กล่าวไปกล่าวมาก็วนมาบรรจบตรงที่ว่าเพราะแคว้นอันผิงนั้นอ่อนแอจึงไม่ค่อยมีปากมีเสียงใด ๆ
แต่คงเพราะถูกคนอื่นกดขี่มามาก คนของสกุลมู่จึงได้มีจิตใจเมตตากับบ่าวไพร่และราษฎรนัก
ตัวของนางเองเมื่อผ่านการคัดเลือกได้เข้ามาเป็นสาวใช้ในจวนสกุลมู่ บิดามารดาก็ดีใจประดุจในตระกูลมีลูกชายสอบติดขุนนางอย่างไรอย่างนั้น
แต่เมื่อทำงานมาได้ไม่นานนางก็ต้องพบกับความประหลาด
ท่านเจ้าผู้ครองแคว้นคนปัจจุบันนั้นเป็นบุรุษที่มีใจรักเดียว นอกจาก ฮูหยินใหญ่แล้วเขาก็ไม่ได้ตบแต่งอนุคนใดเข้าจวนเลย ด้วยเหตุนี้บุตรชายทั้งสามคนของสกุลมู่จึงเกิดจากฮูหยินใหญ่ทั้งสิ้น
คุณชายใหญ่นั้นเชี่ยวชาญศาสตร์และศิลป์ นับเป็นบัณฑิตผู้ทรงปัญญาน่าเลื่อมใส อีกทั้งยังมีกิริยามารยาทอ่อนโยนสูงส่งประกอบกับใบหน้าอันหล่อเหลางดงามทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของบรรดาหญิงหม้ายสาวโสด
คุณชายรองนั้นแม้จะให้ความสนใจทางด้านบู๊มากกว่าบุ๋นแต่นั่นกลับทำให้เขากลายเป็นบัณฑิตที่มีวรยุทธ แม้จะไม่ทรงภูมิเท่าผู้เป็นพี่แต่เพราะเขาเป็นคุณชายที่เอาการเอางานบรรดาชาวเมืองจึงมอบความเลื่อมใสให้เขา
ในส่วนของคุณชายสามนั้นหลี่หมิงคงต้องใช้นิยามของลูกคนเล็กให้แก่เขา คุณชายซูฮวานั้นเป็นลูกหลงที่มีอายุห่างจากพี่ชายคนรองเกือบสิบปี คงเพราะเป็นบุตรที่ไม่คาดฝันว่าจะได้รับทำให้ซูฮวาได้รับความรักอันล้นพ้นจากผู้เป็นบิดามารดา
ฮูหยินใหญ่นั้นรักคุณชายสามประดุจแก้วตาดวงใจ เลี้ยงดูมาด้วยความทะนุถนอม นามซูฮวาของเขานั้นมาจากคำว่าซูที่แปลว่างดงาม และฮวาที่แปลว่าดอกไม้ บ่งบอกถึงความตั้งใจของคนสกุลมู่ที่ต้องการให้เขาเติบโตอย่างงดงามดุจดั่งดอกไม้
แล้วคุณชายสามผู้นี้ก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง
มู่ซูฮวาเติบโตมาอย่างงดงามดุจดอกไม้ หรือจะกล่าวว่าดอกไม้นั้นยังไม่อาจนำมาเปรียบเปรยความงามของเขาได้ก็ฟังดูไม่เกินจริงนัก
ยามนี้มู่ซูฮวามีอายุครบสิบหกปีแล้วแต่ส่วนสูงของคุณชายน้อยผู้นี้กลับมากกว่าหลี่หมิงที่เป็นสตรีไม่เท่าไหร่ ส่วนความเนียนละเอียดของผิวกายนั้นไม่ต้องยกเขามาเปรียบเทียบกับนางให้นางต้องอับอายขายขี้หน้าเลย ในฐานะสาวใช้คนสนิทนางจึงเคยช่วยคุณชายท่านนี้อาบน้ำมาแล้ว บอกตามตรงว่าน้ำตาแทบพุ่งเป็นเลือดเพราะความขาวบาดตา ส่วนของเส้นผมนั้นก็เป็นสีดำขลับตรงยาวสลวยจนถึงกลางหลัง แม้เจ้าของดูจะไม่สนใจบำรุงรักษาเท่าไหร่ทว่าเส้นผมของซูฮวากลับงดงามราวกับผ้าแพรจากสวรรค์ ยังไม่นับรวมใบหน้าหวานหมดจด พวงแก้มสองข้างเป็นสีชมพูระเรื่อตามประสาคนสุขภาพดี ดวงตาคู่กลมฉายประกายสดใสและริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน
“เพราะว่าข้างดงามยังไงเล่า!!”
“คะ อะไรนะเจ้าคะ”เพราะเห็นว่าหลี่หมิงมั่วแต่ยืนเหม่อไม่ยอมตอบคำถามที่ว่าทำไมมารดาถึงไม่ยอมให้ตนอ่านตำราสงครามเสียทีซูฮวาจึงต้องถามเองตอบอย่างด้วยน้ำเสียงแง่งอน
“ท่านแม่เข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นสตรี”ซูฮวาทำท่าฮึดฮัด มือบางพยามเอื้อมไปแกะเครื่องประดับบนหัวออก ความจริงเขาไม่อยากแต่งองค์ทรงเครื่องแบบนี้เลยสักนิดแต่ท่านแม่กลับบังคับให้เขาใส่
หลี่หมิงเห็นว่าคุณชายของนางกำลังจะเหวี่ยงของขวัญจากฮูหยินใหญ่ลงบ่อเต่าที่อยู่ด้านหลังด้วยความหงุดหงิดนางจึงรีบกระโจนเข้าไป”อย่าถอดแบบนั้นสิเจ้าคะ ผมยุ่งหมดแล้ว”
“ดูสิ เจ้าก็เป็นไปกับเขาอีกคน! เห็นข้าเป็นสตรี!”ซูฮวาลุกขึ้นยืนเท้าสะเอว คุณชายสามใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากสาวใช้คนใหม่จึก ๆ”เจ้าเพิ่งมาใหม่อาจจะเข้าใจผิดได้ แต่จงจำไว้ว่าข้าเป็นบุรุษ!”
หลี่หมิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แม้ว่าคุณชายสามจะงดงามจนดอกไม้ยังอายเพียงใดแต่เขาก็ยังมีลักษณะของบุรุษอยู่ครบถ้วนทุกประการ ต่อให้ไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ก็ไม่มีทางเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีไปได้หรอก”อย่าลืมสิเจ้าคะว่าเมื่อคืนข้าช่วยคุณชายอาบน้ำแล้ว ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร”
ซูฮวาร้องอ้อเบา ๆก่อนจะยกมือขึ้นมาเขกหัวตัวเองโทษฐานกล่าววาจาโง่เขลา
“ท่านแม่ก็รู้ว่าข้าเป็นบุรุษ...”แล้วทำไมท่านแม่ถึงชอบแต่งตัวให้ข้าเสียน่ารักมาตั้งแต่ยังเยาว์กันนะ คุณชายน้อยตัดพ้อในใจ ตั้งแต่ซูฮวาจำความได้เขาก็มักได้รับเครื่องประดับสร้อยคอ กำไล ต่างหูจากท่านแม่เสมอ
“หรือจะเป็นเพราะเรื่องนั้น”เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ใบหน้างามก็หมองคล้ำลงอีกหลายส่วน
“เรื่องนั้น?”หลี่หมิงเอียงคอถาม
“เจ้าเพิ่งมาใหม่อาจจะไม่รู้ แต่ว่าข้ามีสัญญาหมั้นหมายมาตั้งแต่อายุได้เพียงสองขวบปีแล้ว”ซูฮวาส่ายหน้าไปมาอย่างระเหี่ยใจ เจ้าของใบหน้าหวานเหลียวกลับไปมองตำราพิชัยยุทธอีกครั้งอย่างอาลัยอาวรณ์ราวกับมันเป็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งที่เจ้าตัวกำลังจะเสียไป
ในขณะที่ผู้เป็นนายทำหน้าเหมือนกำลังแบกโลก ผู้เป็นบ่าวกลับเอามือทาบอกอย่างตกใจ”คุณชายหมั้นหมายแล้วหรือเจ้าคะ”
เรื่องที่คุณชายสามงดงามล่มเมืองนั้นทุกคนในแคว้นอันผิงทราบดี เรื่องที่เขาถูกเลี้ยงเป็นไข่ในหินทุกคนก็รู้ แต่เรื่องสำคัญอย่างเรื่องคุณชายสามมีคู่หมั้นแล้วกลับไม่มีใครในอันผิงรู้!!
“ผู้น้อยขอถามได้ไหมเจ้าคะว่าใคร”เห็นคนงามทำหน้าอมทุกข์เช่นนี้ หลี่หมิงจึงอดกังวลไม่ได้
หากคู่หมั้นของคุณชายสามเป็นสตรีหน้าตาบ้าน ๆล่ะก็คงน่าสงสารเจ้าหล่อนที่มีสามีงดงามกว่าแย่
นางคิดว่าคุณชายสามกำลังลำบากใจเรื่องที่ตนอาจงามกว่าภรรยา แต่ทว่าคำตอบที่นางได้รับกลับน่าตกใจยิ่งกว่า
“ชินอ๋องแห่งต้าจิน”
“ชินอ๋อง!!”
ว่าด้วยเรื่องตำแหน่งชินอ๋องนั้น ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนก็ล้วนเป็นตำแหน่งของบุรุษเท่านั้น โดยเป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งให้กับพระโอรส พระเชษฐา หรือพระอนุชาในองค์จักรพรรดิแห่งต้าจินอันยิ่งใหญ่
“คะ คุณชาย ตะ แต่ง กับ บุ บุ บุ บุ...”หลี่หมิงติดอ่างไปแล้ว
“ได้ยินมาว่าที่ต้าจินนั้นการตบแต่งภรรยาชายไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แม้จะไม่แพร่หลายนักแต่ก็ไม่ขัดกับขนบธรรมเนียม”มู่ซูฮวานั่งแหมะลงบนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง หยิบตำราพิชัยยุทธมาเขี่ยหญ้าไปมาอย่างอดสู”ข้าอยากเป็นอย่างพี่รองที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊”
“โธ่ คุณชาย”หลี่หมิงน้ำตารื้นแล้ว คุณชายสามที่นางเพิ่งรับใช้ได้ไม่นานช่างน่าสงสารนัก
“แต่ท่านแม่กลับให้ข้าเรียนแต่หลักคุณธรรมของภรรยาและลูกสะใภ้อะไรก็ไม่รู้”ซูฮวาเบ้หน้าฮึดฮัด แม้จะขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาตนถูกเลี้ยงมาอย่างดอกไม้งามในกรงทอง เป็นดอกไม้ก็ไม่มีขาจะหนีไปไหนอยู่แล้วยังจะถูกขังไว้ในกรอบแคบ ๆอีกช่างอนาถแท้
“ท่านอ๋องที่คุณชายต้องแต่งด้วยเป็นอ๋องคนใดหรือเจ้าคะ”หลี่หมิงเอ่ยถาม หากในต้าจินการแต่งภรรยาชายเป็นเรื่องปกติล่ะก็ไม่แน่ว่าทางนั้นอาจจะมอบอิสระให้คุณชายได้มากกว่า
ทว่าความหวังของหลี่หมิงก็ถูกซูฮวาดับอีกครั้ง
“หานชินอ๋อง”
“หานชินอ๋อง!!!!!!”คราวนี้หลี่หมิงตกใจยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าคุณชายสามต้องแต่งกับบุรุษเสียอีก
ก็หานชินอ๋องน่ะ...
“คุณชายสามเจ้าคะ ชินอ๋องผู้นี้...”
“ข้าเองก็ได้ยินคำร่ำลือของเขามาอย่างที่เจ้าได้ยินนั่นแหละ”ว่าที่ชายาของหานชินอ๋องถอนหายใจออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย”หานชินอ๋องขึ้นชื่อเรื่องการรบ ฝีมือด้านบู๊ของเขาเป็นหนึ่งไม่มีสอง บัญชาการกองทัพสร้างความเกรียงไกรให้ต้าจินตั้งแต่อายุสิบหก เจ้าดูสิ ตอนเขาอายุเท่าข้าเขาได้เป็นแม่ทัพแล้ว แต่ตัวข้าแม้แต่ตำราพิชัยยุทธสักเล่มยังอ่านไม่จบ”
“เท่าที่ข้าน้อยได้ยินมา ดูเหมือนชินอ๋องผู้นี้จะมีมากกว่าฝีมือบู๊นะเจ้าคะ”หลี่หมิงไม่รู้ว่าควรจะบอกเรื่องต่อไปนี้กับผู้เป็นนายหรือไม่ แต่ผิดคาดตรงที่ซูฮวากลับพูดออกมาเอง
“พวกพ่อค้าจากต้าจินต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าหานชินอ๋องร่างกายสูงใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่น สามารถบีบคอม้าศึกตายได้ด้วยมือข้างเดียว ผิวกายดำคล้ำน่ากลัว ฟันเขี้ยวยาวเหมือนยักษ์ เนื่องจากต่อสู้ในทะเลทรายมานานทำให้ดวงตาแดงก่ำราวกับปีศาจ”เสียงหวานกล่าวราบเรียบราวกับเขาปลงกับชีวิตแล้ว
“คุณชายเจ้าคะ โฮวววว”หลี่หมิงน้ำตากระเด็นวิ่งเข้าไปกอดคุณชายน้อยเอาไว้อย่างหวงแหน”ฮูหยินใจร้ายเหลือเกิน เหตุใดจึงยอมให้คุณชายสามหมั้นหมายกับบุรุษอันตรายเช่นนั้น ฮืออออ”
“เรื่องการหมั้นนี้เป็นความต้องการของพระมเหสีแห่งต้าจิน แคว้นอันผิงของพวกเราไม่อาจปฏิเสธได้ แล้วที่สำคัญตอนหมั้นเขาเองก็เพิ่งอายุเก้าขวบปี ท่านพ่อท่านแม่ไม่รู้หรอกว่าโตขึ้นมาเขาจะกลายเป็นยักษ์ร้ายฆ่าคนเช่นนี้”ซูฮวาผลักร่างของสาวใช้ออก อย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ แม้จะไม่มีใครมองเห็นความเป็นบุรุษในตัวเขาก็ตามแต่ชายหญิงไม่ควรชิดใกล้
“ได้ข่าวว่าหานชินอ๋องทำศึกอยู่ที่ชายแดนทางเหนือมาสามปีแล้วสงครามยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ไม่แน่เขาอาจจะพลีชีพกลางสนามรบก็ได้”หลี่หมิงเอ่ย
“ดูเจ้าพูดเข้า หากคนอื่นมาได้ยินเกรงว่าหัวเจ้าคงหลุดจากบ่าไปแล้ว”ซูฮวากล่าวเอ็ด”แต่ที่เจ้าว่าก็ดันตรงใจข้าเหลือเกิน ข้าน่ะทุกครั้งที่ไหว้พระข้ามักขอพรให้เขาตายคาสนามรบไปเสีย”
แบบนี้เขาเรียกว่าแช่งแล้วไม่ใช่ขอพร สาวใช้ได้แต่เถียงในใจ
“ถ้าเขาตายข้าก็จะได้เดินตามรอยเท้าของพี่รอง ฝึกฝนทั้งบุ๋นและบู๊ ฮ่ะ ๆๆๆ”ต่อให้รักษากิริยาราวกับปลงตกเรื่องการหมั้นหมายได้แล้วแต่ทั่วทุกซอกทุกมุมของหัวใจของมู่ซูฮวาก็ไม่ต้องการตบแต่งกับหานชินอ๋องแม้แต่น้อย
เมื่อแลกเปลี่ยนความในใจกันเสร็จแล้ว ทุก ๆวันก่อนเข้านอนสองนายบ่าวก็มักจะไปที่ห้องพระเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษและไม่ลืมที่จะขอร้องเหล่าปู่ย่าตายายผู้ล่วงลับให้ช่วยเร่งความตายให้หานชินอ๋องผู้นั้นด้วยเถิด
หลังจากที่จับมือกับหลี่หมิงกราบไหว้บรรพบุรุษสกุลมู่เพื่อขอพรให้ หานชินอ๋องไปตายเสียให้พ้นทางได้เพียงแค่สิบวัน คณะทหารม้าหลวงก็นำสารด่วนมาจากราชสำนักต้าจิน
“หานชินอ๋องพิชิตศึกชิงดินแดนทางเหนือปราบปรามเผ่าต๋าต้าที่คิดตั้งตนเป็นอิสระได้สำเร็จ ขณะนี้นำทัพหลักกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว โอรสสวรรค์ต้องการพระราชทานรางวัล แก้วแหวนเงินทองรวมไปถึงพระชายาให้ชินอ๋องที่จับทวนสู้รบอยู่แดนไกลมานาน ดังนั้นจึงมีราชโองการให้มู่ซูฮวาเดินทางไปยังเมืองหลวงแห่ง ต้าจินเพื่อเข้าพระราชพิธีอภิเสกสมรสกับหานชินอ๋อง! จบราชโองการ”
ขันทีอาวุโสที่นำสารจากโอรสสวรรค์มายังแคว้นมู่ม้วนแผ่นกระดาษบุด้วยผ้าสีทองหรูหรากลับดังเดิมก่อนที่เขาจะหันไปสั่งให้ขันทีน้อยด้านหลังนำของพระราชทานจากโอรสสวรรค์ออกมามอบให้แก่คนสกุลมู่
ในขณะที่บรรดาข้ารับใช้ของสกุลมู่ผู้ไม่รู้มาก่อนว่าคุณชายสามหมั้นหมายกับหานชินอ๋องพากันตกอกตกใจ บรรดาญาติพี่น้องสกุลมู่ที่มีสีหน้าอึมครึมเหมือนญาติเสีย ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นพระชายานั้นก็ได้เข่าอ่อนจนลุกไม่ขึ้นไปแล้ว
คุณชายน้อยหันไปยังทิศที่มีแท่นบูชาบรรพบุรุษอยู่ด้วยสายตาตัดพ้อ
เหตุใดพวกท่านจึงไม่ช่วยข้า มิหนำซ้ำยังช่วยให้เขากลับเมืองหลวงอีก!
ซูฮวาจะร้องไห้แล้วแต่ก็ต้องฮึบไว้เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของสกุลมู่ต่อหน้าขันทีจากราชสำนัก
----------------------------------
#มาลาสุราลัย
เป็นกำลังใจให้ยัยหนูด้วยนะคะ 5555
-
:pig2:
:katai2-1:
รออ่านต่อค่ะ น่าสนุก
o13
-
จะออกเรือนแล้ว
-
ติดตามๆ น่าสนุกนะ มาอัพบ่อยๆ นะคะ เป็นกำลังใจใจค่ะ
-
คำเตือน 1.นายเอกเรื่องนี้สวยเกินความจำเป็นไปมาก สวยเหลือเฟือ สวยใสและไม่ค่อยมีสมองเท่าไหร่
2.นิยายเรื่องนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของยุคโบราณ ไม่สามารถนำตรรกะ สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ชนชั้นในศตวรรษที่21มาตัดสินการกระทำและแนวคิดของตัวละครได้
.......................................................
บทที่๑
เมื่อครั้งยังเยาว์ซูฮวาเคยถามมารดาว่าไม่รักตนหรือ เหตุใดถึงใจร้ายบังคับให้ตนอยู่ในกรอบ ขาดอิสระไม่เหมือนพี่ชายทั้งสอง ในตอนนั้นฮูหยินมู่ไม่ได้กล่าววาจาอันใดทว่าแววตาของนางเจ็บปวดจนน่าอดสู แต่น่าเสียดายที่ในยามนั้นซูฮวายังอ่อนวัยเกินกว่าจะเข้าใจ
กระทั่งเติบโตขึ้น คุณชายสามแห่งสกุลมู่เริ่มเหลียวมองไปรอบแคว้นตัว อันผิงเป็นแคว้นที่ถูกโอบด้วยหุบเขา เลยออกไปก็คืออาณาจักรใหญ่ ทั้งต้าจินและอาณาจักรอื่น ๆ
อันผิงไม่สามารถขยายดินแดนไปได้มากกว่านี้ อันผิงไม่มีที่ดินสำหรับการเกษตรมากนัก และยิ่งมีราษฎรณ์เพียงแค่หยิบมือ
เจ้าผู้ครองแคว้นปกครองอันผิงด้วยความรักอย่างเปี่ยมล้น พวกชาวบ้านเองก็ศรัทธาคนสกุลมู่อย่างแรงกล้า
แต่แค่ความรักและศรัทธานั้นไม่เพียงพอสำหรับการอยู่รอด
อันผิงต้องเกาะชายเสื้อโอรสสวรรค์แห่งต้าจินเพื่อความอยู่รอดมาตลอด ต้าจินร้องขอสิ่งใดก็ไม่อาจปฏิเสธ ลองเหลียวมองพวกเผ่าเล็ก ๆที่แข็งข้อกับต้าจินดูสิ โดนถล่มเสียราบเป็นหน้ากลองแล้ว
ในที่สุดซูฮวาก็เข้าใจ บิดากับมารดาไม่ได้ไม่รักตน ทว่าบิดากับมารดาจำเป็นต้องรักทุกคนในอันผิงด้วย การหมายหมั้นกับหานชินอ๋องคือพระประสงค์ของพระมเหสีแห่งต้าจินแล้วชาวอันผิงตาดำ ๆจะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า
และในเมื่อรู้ว่าสักวันลูกจะต้องตบแต่งเข้าวังท่านอ๋อง จะไม่สอนหลักปฏิบัติของภรรยาให้ลูกรู้เลยก็คงไม่ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาคนสกุลมู่ต้องกล้ำกลืนกันมาเท่าไหร่คนที่เข้าใจดีที่สุดก็คือซูฮวาเอง
ยิ่งเลี้ยงซูฮวาให้เติบโตมาในฐานะบุรุษ สอนตำรา ปลูกฝังให้อยากเป็นขุนนางรับราชการมากเพียงใด ยามได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายา เป็นภรรยาที่ต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเชื่อฟังสามี ซูฮวาจะยิ่งรับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เพียงนั้น
แม้จะไม่ต้องการ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธ...
ขบวนรถม้าอันประกอบด้วยพลทหารเดินเท้าร้อยนาย พลทหารม้าอีกยี่สิบนาย เกี้ยวของขุนนางสองคัน เกี้ยวของสาวใช้หนึ่งคัน และเกี้ยวของมู่ซูฮวาอีกหนึ่งคันเคลื่อนตัวออกจากหุบเขาอันเป็นที่ตั้งของแคว้นอันผิงมาได้หลายวันแล้ว
“หลี่หมิง เจ้าคิดว่าชีวิตหลังจากนี้ของพวกเราจะเป็นอย่างไร”
เจ้าผู้ครองแคว้น ฮูหยินและคุณชายใหญ่ไม่อาจออกจากแคว้นได้จึงมีเพียงพี่รองเท่านั้นที่มาส่งซูฮวา แต่เมื่อขบวนรถม้าเดินทางได้แค่ครึ่งทางท่านพี่รองก็ต้องกลับแคว้นอันผิงไปก่อนเนื่องจากได้รับรายงานว่ามีโจรป่าบุกปล้นสะดมพ่อค้า
ร่างบางนั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างของรถม้าพลางทอดถอนหายใจอย่างน่าสงสาร
ระยะทางจากอันผิงถึงเมืองหลวงของต้าจินนั้นต้องใช้เวลาเดินทางเกือบสิบห้าวัน ถนนหนทางก็ใช่ว่าจะดี ทั้งขรุขระทั้งมีแต่ฝุ่น การเปิดม่านออกไปชมทัศนียภาพเบื้องนอกเช่นนี้ย่อมทำให้ใบหน้าหวานมอมแมมไปหมด
หลี่หมิงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับให้คุณชายสามอย่างอ่อนโยน
ถ้อยคำเมื่อครู่คุณชายสามถามนางว่าชีวิตของพวกเราจะเป็นอย่างไร แทนที่จะถามว่าชีวิตของข้าจะเป็นอย่างไร คำว่าข้าคนเดียวกับพวกเราสองคนมีความหมายแตกต่างกันนัก หากพินิจอย่างละเอียดอ่อนก็จะพบว่าคุณชายสามผู้นี้ใส่ใจนางอย่างยิ่ง
“ต้าจินเจริญรุ่งเรือง เมืองหลวงมีการจัดเทศกาลมากมายทั้งเทศกาลโคมไฟหรือเทศกาลชมดอกไม้ ในแต่ละฤดูก็จะมีขนมไม่ซ้ำแบบ ข้าน้อยเชื่อว่าคุณชายต้องชอบมาก ๆแน่นอนเจ้าค่ะ”ในฐานะที่หลี่หมิงอายุมากกว่านางจึงเอ่ยปลอบใจด้วยน้ำเสียงที่เหมือนพี่สาวคนหนึ่ง
“เจ้าเพิ่งมารับใช้ข้าไม่นานแต่กลับดีกับข้าขนาดนี้ ต้องติดตามข้าไปอยู่ที่ต้าจินชั่วชีวิต ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ”มู่ซูฮวามีน้ำเสียงรู้สึกผิดยิ่งนัก สาวใช้ของเขาคนนี้นับว่าดวงตกอย่างแท้จริง เพิ่งเข้ามาในจวนสกุลมู่ได้ไม่กี่วันก็ต้องลาจากบ้านเกิดเมืองนอนติดตามเจ้านายมายังแดนไกล
“ข้าได้ยินมาว่าบุรุษในเมืองหลวงของต้าจินหล่อเหลามาก เอาไว้ข้าจะมองหาบัณฑิตอนาคตไกลสักคนให้เจ้าแล้วกันนะ”แม้ว่าหลี่หมิงจะเป็นสตรีที่มีใบหน้าดูดีในระดับหนึ่งแต่ฐานะของนางต่ำต้อย หากตบแต่งกับขุนนางหรือพ่อค้าคงไม่แคล้วต้องกลายเป็นอนุ ดังนั้นซูฮวาจึงหมายมาดไปที่เหล่าบัณฑิตที่มาจากครอบครัวชาวบ้าน
“คุณชายน้อยไม่ต้องห่วงเรื่องหาสามีให้ข้าหรอกเจ้าค่ะ”
“เจ้ากำลังจะย้อนว่าให้ข้าเป็นห่วงเรื่องสามีของตนเองดีกว่าสินะ”ซูฮวาหัวเราะเสียงแห้ง
ยามกล่าวถึงหานชินอ๋องใบหน้าหวานจะหมองคล้ำลงไปหลายส่วน
“เจ้าคิดว่าข่าวลือเกี่ยวกับเขาเป็นความจริงไหม”ว่าที่พระชายาพยามวาดภาพใหม่ให้พระสวามีของตน
“ก่อนเข้าจวนสกุลมู่ ข้าได้ยินมาตลอดว่าคุณชายสามมีใบหน้าที่งดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองรองใครในแผ่นดิน พอได้เจอหน้าท่านก็พบว่าข่าวลือเป็นความจริงเจ้าค่ะ”หลี่หมิงดับฝัน
“หากหานชินอ๋องตัวใหญ่มหึมาแถมยังมีกำลังวังชาเช่นนั้นจริงเจ้าคิดว่า...”กล่าวมาถึงตรงนี้พวงแก้มทั้งสองข้างของคนงามก็แดงปลั่ง
เพราะผู้เป็นนายพูดทิ้งไว้เพียงครึ่งประโยคหลี่หมิงจึงไม่เข้าใจคำถาม”ทำไมหรือเจ้าคะ”
“อ่า...เอ่อ...”หลังจากอ้ำอึ้งอยู่ครึ่งค่อนวันคุณชายสามก็ยกพัดสี่ขาวอันโปรดของตนขึ้นมาบดบังใบหน้าเสียมิดก่อนจะอ้อมแอ้มถามอออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆว่า”เรื่องบนเตียงของเขาจะน่ากลัวไหม”
หลี่หมิงร้องโอ้ออกมาเบา ๆแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกไป
เนื่องจากเขินจนต้องเอาพัดปิดหน้าทำให้ซูฮวาไม่รู้ว่าสาวใช้ของตนมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นไร แต่เห็นหลี่หมิงเงียบไปเช่นนี้ร่างบางก็เริ่มกระสับกระส่าย
“เอาไว้ถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่พวกเราไปหาซื้อขี้ผึ้งหอมมาตุนไว้เยอะ ๆเลยแล้วกันนะเจ้าคะ”หลี่หมิงช่วยเจ้านายได้เพียงเท่านี้ นางยิ้มเจื่อนก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่นทิ้งให้ซูฮวานั่งหน้าถอดสีอยู่ลำพังโดยทียังอยู่ในอารมณ์แตกตื่นเจ้าตัวจึงลืมเอาพัดลง
กว่ามู่ซูฮวาจะทำใจได้ก็เล่นเอาเมื่อยแขนไปหมด
การสนทนาถึงชีวิตในภายภาคหน้าของสองนายบ่าวสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ ตลอดทางที่เหลือเมื่อแวะเมืองไหนพวกเขาก็จะพากันไปตะลุยกินอาหารและของอร่อยประจำถิ่นราวกับเป็นนักเดินทางที่อดอยากหิวโหย แต่ความจริงแล้วซูฮวาก็แค่เอาของกินมาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเท่านั้น
และแล้วพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองหลวง
เมืองหลวงแห่งต้าจินคึกคักดังที่หลี่หมิงกล่าว ดวงตาคู่งามของคุณชายสามทอประกายพราวระยับ ร่างบางเลิกม่านขึ้นเพื่อเหลียวมองไปทั่ว เนื่องจากความงามเกินบรรยายทำให้ตลอดทางที่ผ่านมาซูฮวาจำเป็นต้องใส่หมวกสานปีกกว้างซึ่งมีผ้าคลุมยาวปกปิดใบหน้าตลอดเวลา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาโผล่หัวออกมาในขณะที่นอกรถม้ามีคนอยู่เต็มไปหมด
ซูฮวาไม่ได้ซุกซนจนเกินกว่าเหตุ เขารู้ดีว่าดอกไม้งามเป็นเหยื่ออันโอชะของพวกหนอนแมลงดังนั้นยามเมื่อเดินทางผ่านหมู่บ้านกันดารหรือซอกเขาที่อาจมีโจรป่าร่างบางก็จะเก็บตัวเรียบร้อย แต่ยามนี้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงแล้ว! คงไม่มีใครประสาทกลับถึงขนาดพุ่งเข้ามาฉุดคนกลางเมืองหรอก
“คุณชายเจ้าคะ...”หลี่หมิงรีบร้อนหยิบหมวกมาให้เจ้านายสวมทว่าสายไปเสียแล้ว
ตอนนี้ซูฮวาโผล่หัวออกไปนอกหน้าต่างเกี้ยวแล้วเรียบร้อย และผลที่ตามมาก็คืออาการมองตาค้างของชาวเมือง แต่ซูฮวาหาได้สนใจหรือเคอะเขินไม่ เพราะทุกครั้งที่เขาไปเที่ยวเล่นนอกจวนพวกชาวบ้านของอันผิงก็มักมองมาด้วยสายตาชื่นชมเช่นนี้แล
“บ้านเมืองของต้าจินเจริญจริง ๆ บุรุษเมืองหลวงหน้าตาดีดังคาด เจ้าดูคนนั้นสิ”ในขณะที่ผู้คนสองข้างทางเหลียวมองเกี้ยวของคณะเดินทางที่มีคนงามนั่งอยู่จนคอแทบเคล็ด คนงามดังกล่าวก็ชี้นิ้วไปทางโน้นทีทางนี้ทีทุกครั้งที่พบคนหล่อ เล่นเอาเหล่าคนหล่อพากันเขินหน้าแดงจนต้องก้มหัวงุด ๆ
“กลับเข้ามาเถอะเจ้าค่ะคุณชาย”หลี่หมิงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว นางพยามดึงเอวบางให้กลับเข้ามานั่งในรถม้าดี ๆทว่าบัดนี้ซูฮวากำลังคึกคักยากที่สาวใช้อย่างนางจะหยุดยั้งได้แล้ว
“ข้ากำลังมองหาสามีให้เจ้าอยู่นะ”เสียงหวานหันมากระซิบตำหนิสาวใช้ของตน
“แต่แบบนี้มันดูไม่งามนะเจ้าคะ เอาไว้คุณชายค่อยหาชายหนุ่มรูปหล่อให้ข้าน้อยวันหลังเถิด”หลี่หมิงถึงกับปาดเหงื่อ
“วันหลังงั้นรึ ข้าจะได้ออกจากวังของชินอ๋องอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็ได้ที่ข้าจะมีโอกาสเห็นถนนของเมืองหลวง”ตามหลักแล้วสตรีที่ตบแต่งเข้าสกุลใหญ่มักจะถูกจำกัดบริเวณให้อยู่แต่ในบ้านขาดอิสรภาพโดยสิ้นเชิง ยิ่งรู้ว่าสามีของตนเป็นถึงอ๋องความเป็นไปได้ที่จะได้ออกมาเดินเตร่ในเมืองยิ่งมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
เมื่อเห็นคุณชายน้อยทำหน้าน่าสงสารหลี่หมิงก็ใจอ่อนยวบ“หานชินอ๋องอาจจะไม่ใช่คนใจร้าย”
“แต่เขาเป็นคนที่หักคอม้าได้ด้วยมือข้างเดียว...”พูดมาถึงตรงนี้ความตื่นเต้นยามได้เห็นเมืองหลวงแห่งต้าจินก็มลายหายไปสิ้นแล้ว ซูฮวาหดคอกลับเข้ามาในรถม้าตามเดิมเรียกเสียงโอดครวญอย่างเสียดายจากเหล่าชาวบ้านขามุงตามท้องถนน
เนื่องจากถนนหนทางในเมืองหลวงเต็มไปด้วยร้านค้าและผู้คนที่สัญจรไปมา กว่าขบวนของซูฮวาจะเดินทางมาถึงที่พักที่ทางต้าจินจัดเตรียมไว้ให้ก็เย็นย่ำแล้ว ร่างบางเดินลงมาจากรถม้าในสภาพปวดเมื่อยไปทั้งตัวเจ้าตัวจึงบิดกายเป็นท่านั้นท่านี้พิสดารสารพัด เรียกสายตาแปลกใจจากคนของกรมพิธีการที่มาให้การต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
ขุนนางที่รับหน้าที่จัดงานแต่งให้หานชินอ๋องและคุณชายสามแห่งอันผิงมีสีหน้าฉงนยามเห็นร่างบางกำลังออกท่าทางเพื่อคลายเมื่อย ตัวเขาทราบมาบ้างว่าว่าที่พระชายาผู้นี้งดงามเกินบุรุษแต่เมื่อได้พบกันจริง ๆเขาจึงรู้ว่ามู่ซูฮวาไม่เพียงงามเกินบุรุษทว่างามเกินสตรีเสียด้วยซ้ำ
แล้วเหตุใดคนที่งดงามขนาดนี้ถึงได้ไม่รู้จักสำรวมกิริยาเลยเล่า
ขุนนางจากกรมพิธีการนึกในใจว่าหากซูฮวาเป็นลูกสาวของตนเขาจะจับมาตีเสียให้ขาเป็นรอย แต่คิดก็ส่วนคิด ขุนนางจากกรมพิธีการกล่าวนัดหมายเรื่องพระราชพิธีกับซูฮวาอย่างจริงจังทำให้ร่างบางต้องหันมายืนตัวตรงตั้งใจฟัง
“กำหนดการอภิเษกคือวันพรุ่งนี้โดยงานจะจัดขึ้นที่คฤหาสน์ของตระกูลหานซึ่งเป็นบ้านเก่าของพระมารดาของชินอ๋อง เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าของสกุลหานชรามากแล้วไม่สะดวกเดินทางมาร่วมพิธีที่จวนของชินอ๋อง”
“พรุ่งนี้เลยรึ ไม่เร็วไปหน่อยหรือ”ซูฮวาถามอย่างแปลกใจ
เมื่อเจอคำถามนี้เข้าไปขุนนางตัวแทนราชสำนักพลันมีสีหน้ากระอักกระอ่วน”มีเหตุขัดข้องบางประการ พระมเหสีจึงมีรับสั่งให้จัดพระราชพิธีอย่างเร่งด่วน ต้องขออภัยคุณชายด้วย”หากจะว่ากันตามยศแล้วตอนนี้ซูฮวาเป็นเพียงคุณชายจากแคว้นเล็ก ๆ ขุนนางท่านนี้ไม่จำเป็นต้องพูดจานอบน้อมถึงเพียงนี้ แต่เมื่อพรุ่งนี้มาถึงเมื่อไหร่บรรดาศักดิ์ของซูฮวาก็จะสูงส่งมากแล้วดังนั้นเขาจึงแสดงความอ่อนน้อมให้แก่ซูฮวาค่อนข้างมาก
“ทางต้าจินมีปัญหาอันใดหรือ”ซูฮวาถามตรง ๆ
ดวงตาคู่ใสจับจ้องไปยังใบหน้าของขุนนางกรมพิธีการคนดังกล่าว คล้ายไม่คาดคั้นทว่ากดดันคนตอบยิ่งนัก
“ดูเหมือนพระราชพิธีพรุ่งนี้ฝ่าบาทจะไม่ได้เสด็จมาใช่ไหม”มู่ซูฮวาไม่ใช่คนโง่ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีไหวพริบแต่น่าเศร้าตรงที่ความเฉลียวฉลาดของเขาไม่เคยได้รับการเจียระไน
ขุนนางกรมพิธีการลอบปาดเหงื่อก่อนกล่าวรวดเดียวว่า”หานชินอ๋องต้องการความเป็นส่วนตัวดังนั้นในพิธีอภิเษกพรุ่งนี้จะมีเพียงคนในครอบครัวสกุลหานเท่านั้น หากไม่มีอะไรแล้วข้าคงต้องขอตัวก่อน เชิญคุณชายพักผ่อน”
มู่ซูฮวามองตามแผ่นหลังของคนจากกรมพิธีการที่รีบร้อนจากไปด้วยความเคลือบแคลงใจ ทว่าความค้างคาใจเหล่านี้ก็คงอยู่ได้ไม่นานเมื่อสาวใช้คนสนิทเอ่ยชวนออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า”คืนนี้เป็นโอกาสดี พวกเราไปหาอะไรอร่อย ๆทานกันดีกว่าเจ้าค่ะ”
คุณชายน้อยยังเยาว์เกินกว่าจะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอันเล็กน้อยของพวกขุนนาง เมื่อได้ยินคำว่าของกินร่างบางก็ยิ้มแก้มแทบปริ จากนั้นหนึ่งนายหนึ่งสาวใช้ พร้อมด้วยทหารติดตามอีกสี่นายก็เดินทางไปยังแหล่งร้านค้าของเมือง
หลังจากถามไปถามมาจนได้ความว่าหอหยุนเซียนเป็นร้านอาหารที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยและราคาแพงที่สุดของเมืองหลวงมู่ซูฮวาก็รีบตรงดิ่งไปยังภัตตาคารดังกล่าวทันที
หอหยุนเซียนนั้นเป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำ ห้องอาหารส่วนหน้าซึ่งมองไม่เห็นทิวทัศน์แม่น้ำจะมีราคาถูกกว่ามากแต่ไหน ๆก็มาแล้วซูฮวาก็อยากได้ห้องที่ดีที่สุดเลย
“ต้องขออภัยคุณชายด้วย ห้องส่วนตัวริมแม่น้ำถูกจองล่วงหน้ายาวไปจนถึงสิ้นเดือนแล้ว”คำตอบของพนักงานทำให้คนงามมีสีหน้าผิดหวัง
“ข้ามาได้แค่คืนนี้เท่านั้นนี่นา...”ซูฮวาลองส่งสายตาออดอ้อนดู
แล้วสายตาพิฆาตของคุณชายสามก็ได้ผล พนักงานร้านชายคนดังกล่าวมีอาการหน้าแดงลามไปถึงใบหูก่อนจะอ้อมแอ้มตอบว่า”ข้าจะลองไปถามให้ว่ามีห้องใดยินดีให้พวกท่านร่วมโต๊ะหรือไม่”
“ฮี่ ๆ”คล้อยหลังพนักงานชาย ซูฮวาคนงามก็เปลี่ยนหน้ากากจากคนงามตาละห้อยเป็นมารน้อยจอมเจ้าเล่ห์ทันที แถมยังมีหน้าหันมายักคิ้วให้หลี่หมิงราวกับต้องการโอ้อวดว่ามารยาของตนสัมฤทธิ์ผลอีกต่างหาก
หลี่หมิงได้แต่ลอบปาดเหงื่อในใจ คุณชายน้อยของนางช่างมีนิสัยสมเป็นคุณชายน้อยยิ่งนัก กล่าวคือเป็นเด็กผู้ชายตัวแสบที่บังเอิญหน้าตาดีเท่านั้นแถมยังเอาหน้าตาของตนมาใช้กับเรื่องพรรณนี้อีก
“หลังจากแต่งงานแล้วคุณชายจะส่งสายตาเช่นนี้ให้ชายอื่นไม่ได้นะเจ้าคะ”หลี่หมิงตักเตือนคุณชายน้อยเสียหน่อย
“ข้าแค่มองเฉย ๆ มีตรงไหนเสียหาย”ซูฮวาเบ้ปากอย่างเอาแต่ใจ
หลี่หมิงคิดไม่ตกอีกครั้ง ความจริงแล้วสายตาที่คุณชายน้อยใช้มองพนักงานชายคนเมื่อครู่ก็เป็นสายตาปกติเพียงแต่เจือแววออดอ้อนเล็กน้อย หากเป็นคนอื่นทำเกรงว่าคงจะถูกพนักงานคนเมื่อครู่มองผ่าน แต่พอเป็นคุณชายของนางทำแล้ว แค่กระพริบตาตามปกติคนก็เข้าใจผิดคิดว่าให้ท่าแล้ว
“เจ้าคิดว่าจะมีคนแบ่งห้องให้เราไหม”ซูฮวาถามด้วยความตื่นเต้น
พวกเขานายบ่าวเดินเข้ามาในร้านพร้อมทหารผู้ติดตามหนึ่งคน ส่วนอีกสามคนปล่อยให้ยืนรอด้านนอกเนื่องจากกลัวเกะกะคนในร้าน และขณะที่กำลังยืนรอคำตอบจากพนักงานอยู่นี้ก็มีบุรุษสองสามคนใจกล้าเดินเข้ามาออกปากเชิญชวนให้มู่ซูฮวาร่วมโต๊ะด้วยทว่าร่างบางกลับปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิด
“หากหาห้องริมแม่น้ำไม่ได้พวกเราก็หาโต๊ะว่างฝั่งถนนนี้ก็ได้นี่เจ้าคะ” หลี่หมิงพยามโน้มน้าวความตั้งใจของผู้เป็นนาย
“เจ้าไม่อยากร่วมโต๊ะกับผู้อื่นหรือ”ซูฮวาเอียงคอถาม
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยเพียงแค่ห่วงความปลอดภัยของคุณชาย อย่างไรเสียฝั่งที่ติดแม่น้ำทั้งหมดก็เป็นห้องอาหารส่วนตัว จัดเป็นที่ลับตาคน เกรงว่า...”
“เจ้านี่ก็แปลกคน เสี่ยวซุนก็อยู่กับพวกเราด้วย แถมในร้านยังมีคนตั้งมากมายจะกังวลอันใดเล่า”เสี่ยวซุนก็คือนายทหารที่ติดตามเข้ามาในร้านด้วย ได้ยินผู้เป็นนายกล่าวพาดพิงถึงตนเสี่ยวซุนก็ได้แต่ยิ้มแห้ง
ผู้ติดตามชายหญิงทั้งสองหันไปสบตากันอย่างอ่อนใจ หลี่หมิงกำลังจะคิดหาคำมาโน้มน้าวใจคุณชายใหม่แต่พนักงานชายคนนั้นกลับวิ่งกลับมาบอกข่าวดีว่า”ข้าหาห้องให้ได้แล้วขอรับ เชิญตามมาได้เลย”
“ช้าก่อน”ร่างบางยกมือขึ้นมาเชิงห้าม
“ขอรับ”พนักงานชายเลิกคิ้วอย่างฉงนใจ
“เจ้าของห้องเป็นใครมาจากไหนหรือ”ซูฮวาถาม
“เจ้าของห้องเป็นคุณชายสี่ท่าน ส่วนเรื่องเป็นใครมาจากไหนข้าน้อยไม่ทราบขอรับ”พนักงานชายตอบ
“เจ้าไปขอเขาว่าอะไรเขาถึงยอมให้พวกเรานั่งด้วย”ซูฮวายังไม่หยุดถาม
“ข้าน้อยเพียงแค่เข้าไปถามว่ามีคุณชายกับผู้ติดตามอีกสองคนหาที่นั่งไม่ได้ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่ในเมืองหลวงแล้วอยากลิ้มรสอาหารในหอ หยุนเซียวเป็นครั้งสุดท้าย คุณชายท่านหนึ่งจึงกล่าวแสดงน้ำใจเชิญพวกท่านขึ้นไปขอรับ”พนักงานชายกล่าวโดยละเอียด
ซูฮวาแอบหัวเราะชอบใจ เจ้าพนักงานคนนี้ถึงกับไปแต่งเรื่องเพิ่มเติมเพื่อเรียกความเห็นใจให้
มือขาวหยิบเหรียญเงินจำนวนหนึ่งออกมามอบให้เป็นรางวัลแก่พนักงานชายคนนั้นก่อนถามย้ำอีกครั้งว่า”เจ้าไม่ได้พูดถึงเรื่องหน้าตาของข้าใช่ไหม”
“พูดขอรับ!”พนักงานรับเงินด้วยความดีใจแต่ก่อนที่เขาจะเก็บเงินเข้าอกเสื้อมือเรียวก็ฉวยโอกาสฉกเงินคืนมากว่าครึ่งด้วยความไม่พอใจ
เห็นพนักงายทำหน้างุนงงปนเสียดายร่างบางจึงกล่าวเสียงเข้มว่า”ข้าไม่นั่งร่วมห้องกับคุณชายที่เจ้าหามาหรอก วานเจ้าหาโต๊ะว่างฝั่งถนนให้แทนแล้วกัน”
ซูฮวารู้จักสถานะของตนเองดี เขาเป็นถึงว่าที่พระชายาแม้ว่าจะอยากดื่มด่ำกับทิวทัศน์ริมแม่น้ำเป็นครั้งสุดท้ายเพียงใดเขาก็ต้องสำรวมกาย วาจาและใจเอาไว้มิให้ด่างพร้อย คุณชายที่เหมือนมีน้ำใจยอมแบ่งโต๊ะให้หากไม่รู้เรื่องรูปโฉมของตนก็แปลว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่น่าคบหาอย่างยิ่ง แต่หากอีกฝ่ายรับทราบเรื่องหน้าตาของตนแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
และไม่นานหลังจากนั้นพนักงานชายก็จัดหาโต๊ะฝั่งถนนซึ่งอยู่ในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวให้
ร่างบางเห็นว่าในร้านดูไม่น่ามีอะไรจึงบอกให้จัดโต๊ะให้พวกทหารที่รออยู่ด้านนอกอีกโต๊ะหนึ่งและไล่เสี่ยวซุนไปนั่งกับพวกนั้น ทั้งโต๊ะจึงเหลือแค่ซูฮวากับ หลี่หมิงสองคน แต่คุณชายสามกลับสั่งอาหารมาเยอะจนโต๊ะแทบไม่พอวาง ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่น่ากินหมด
“กินกันเถอะ!”คุณชายสามผู้ตัวกระจ้อยร่อยแต่กลับสั่งกับมาแปดอย่างน้ำแกงอีกหนึ่งอย่างคว้าตะเกียบขึ้นมาสวาปามอาหารเข้าปากอย่างหิวโหย
หลี่หมิงได้แต่ยิ้มแห้งก่อนเริ่มลงมือทานบ้าง และทันใดนั้นเองความวุ่นวายก็มาเยือน
ความวุ่นวายนั้นไม่ได้มาเยือนพวกซูฮวา แต่เสียงเอ็ดตะโรกลับดังมาจากปีกขวาของร้าน พอมองออกไปจึงเห็นว่ามีคนกำลังทะเลาะกันอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะของพวกเสี่ยวซุน
“เจ้าไปตามพวกเสี่ยวซุนออกมาซิ”ซูฮวาสั่ง
“ได้อย่างไรกันล่ะเจ้าคะ”คำสั่งนี้หลี่หมิงปฏิบัติตามไม่ได้หรอก นางมองไปทางด้านนั้นการต่อสู้กำลังดุเดือด
เห็นลาง ๆว่ามีชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ราว ๆสิบคนกำลังรุมชายคนเดียว แต่กลับกินชายคนนั้นไม่ลงเพราะเขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่น ผิวกายสีเข้มเกรียมแดด กล้ามแขนก้อนเท่าหัวของซูฮวาไว้หนวดเครารกรุงรัง
เสียงดังโครมครามไม่ขาดสาย โต๊ะเก้าอี้เริ่มถูกชายคนนั้นโยนเป็นอาวุธจนปลิวว่อนไปทั่ว เหล่าลูกค้าทั้งหลายพากันหนีตายออกไปด้านนอก พวกเสี่ยวซุนเองก็รีบวิ่งตาลีตาเหลือกมายังโต๊ะของซูฮวาที่ปลอดภัยจากลูกหลง
หลังจากพวกเสี่ยวซุนวิ่งมาได้ไม่นานการต่อสู้ก็จบลง ผลคือชายสิบคนนั้นแพ้ให้กับบุรุษยักษ์โดยที่บุรุษยักษ์ไม่ได้แผลแม้แต่รอยขีดข่วนแถมการต่อสู้ยังสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วราวกับนกกระจอกกินน้ำ ซูฮวาเห็นแล้วถึงกับปรบมือด้วยความชื่นชม แม้ว่าภายนอกจะเป็นคุณชายรูปงามแต่จิตใจของซูฮวานั้นเทิดทูนฝ่ายบู๊สุดใจ
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม!”เพราะในร้านตอนนี้ไม่เหลือลูกค้าคนอื่นแล้ว แม้แต่พนักงานร้านยังวิ่งหนีตายกันอุตลุดเสียงปรบมือเปาะแปะจากร่างบางที่นั่งอยู่ตรงมุมสงบจึงดังเข้าไปในรูหูของชายร่างใหญ่คนนั้น
พอบุรุษยักษ์หันมามองหลี่หมิงก็รีบคว้าแขนคุณชายของนางให้เลิกปรบมือเสียทีในขณะที่พวกเสี่ยวซุนนึกอยากจะอุ้มซูฮวาหนีออกไปจากร้านเสียเดี๋ยวนั้น
ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังกลัวว่าจะโดนชายร่างยักษ์หันมาหักคอด้วยมือข้างเดียวคุณชายสามแห่งสกุลมู่กลับทำท่าเหมือนจะเดินเข้าไปไกล“พี่ชายท่านนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไรหรือ”
เสี่ยวซุนจะร้องไห้แล้ว ทำไมคุณชายของพวกเขาถึงไม่รักตัวกลัวตายเลยนะ!
บุรุษยักษ์เมื่อเห็นคนงามสืบเท้าเข้าไปใกล้ด้วยสายตาชื่นชมก็เกิดอาการอึกอักทำตัวไม่ถูก แล้วเขาก็ต้องหันไปด้านหลังเพื่อขอคำปรึกษากับคนที่มาด้วยอย่างเงอะงะ ตอนนั้นเองที่พวกซูฮวาถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าบุรุษยักษ์ไม่ได้มาคนเดียว
ด้านหลังของบุรุษยักษ์มีชายสี่คนนั่งอยู่ น่าแปลกที่เกิดการต่อสู้โกลาหลขึ้นขนาดนั้นแต่จานชามบนโต๊ะของพวกเขายังคงวางอย่างเป็นระเบียบไม่ได้หกคว่ำเพราะแรงกระแทก แม้แต่น้ำชาสักหยดก็ไม่หกลงจากจอก
ซูฮวาผู้เทิดทูนฝ่ายบู๊ร้องโอ้ออกมาอีกครั้งอย่างตื่นเต้น
ผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ร่างบุรุษยักษ์ที่สุดเป็นบัณฑิตหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหมดจดคนหนึ่ง เขาสวมชุดเนื้อผ้าดีสีขาวปรอด ในมือถือพัดตามแบบฉบับพวกมีการศึกษา กลับกัน คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาแม้การแต่งตัวจะเหมือนบัณฑิตแต่สีหน้ากลับจองหองอวดเบ่ง ข้างกายเขาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้งท่าทางมาสายบัณฑิตเช่นชายคนแรก
และคนสุดท้ายที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ เมื่อสบตากับชายคนนี้ร่างบางก็รู้สึกเสียวสันหลังจนเผลอก้าวถอยไปข้างหลังก้าวครึ่ง บุรุษผู้นี้มีร่างกายกำยำแลดูแข็งแรง ท่านั่งองอาจสง่าผ่าเผย สีผิวไม่ขาวไม่คล้ำคาดว่าคงออกแดดบ่อย ดวงตาคมเข้มฉายแววดุดันน่ากลัว คิ้วหนาโก่งดั่งคันศร สันกรามได้สัดส่วนราวกับเป็นผลงานของจิตกรชั้นเอก โดยภาพรวมแล้วชายคนนี้จัดว่าหล่อเหลาสะท้านแผ่นดิน แต่น่าเสียดายที่ความหล่อของเขาถูกบรรยากาศสังหารรอบตัวกลบจนมิด
------------------------------------------------------
ชื่อเรื่อง มาลาสุราลัย นี้มีที่มา
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปีของจีน ได้มีสตรี4นางที่ได้รับการยกย่องในความงามและได้รับฉายาดังนี้
มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง
ซูฮวาของเราเป็นตัวละครที่สร้างขึ้นด้วยความตั้งใจว่าจะต้องสวยไม้แพ้4หญิงงามในตำนานจีน ชื่อของยัยหนูแปลว่าดอกไม้งาม แต่ความจริงแล้วดอกไม้ยังไม่กล้าประชันความงามกับยัยหนู ตามความหมายของ"มวลผกาละอายนาง"
ดังนั้นเราเลยอยากให้ชื่อเรื่องมือคำว่าดอกไม้ แต่จะเป็นดอกไม้เบสิคก็คงไม่ได้ ไม้ดอกไม้ประดับก็ดูไม่คู่ควรกับยัยหนู สุดท้ายเราจึงตัดสินใจเลือกคำว่า"สุราลัย"ที่แปลว่าสรวงสวรรค์ มาลาสุราลัยจึงแปลว่าดอกไม้ที่สวรรค์บันดาลนั่นเอง
ปล. ชื่อของนิยายเรื่องนี้เราเค้นความสามารถทางด้านภาษาทั้งหมดที่มีในหัวออกมาแล้ว รู้สึกภาคภูมิใจกับมันเป็นอย่างยิ่ง ใครว่างก็ช่วยอ่านแล้วเข้ามาชมหน่อย 555
-
สนุกดีค่ะ ติดตามๆ มาอัพบ่อยนะคะ ว่าแต่ทำไมว่าแต่ทำไมถึงว่านายเอกไม่ค่อยมีสมอง
-
เนื้อเรื่องน่าสนุก o13
-
o13
:3123: :3123: :3123:
-
มาต่อ ไวๆ เลยยย รอแนวนี้มานานแล่ว ชอบๆ ขอบคุณผู้แต่ง ^^
-
ได้เจอกันแล้วซินะ
-
เจอว่าที่เจ้าบ่าวผู้ดุดันแล้วสินะ
-
ตามค่ะ
-
“คุณชายน้อยผู้นี้มีรูปร่างหน้าตางดงามแต่กลับมีจิตใจกล้าหาญ ไม่หวั่นเกรงพี่หูโปแถมยังเข้ามาทักทาย”ชายที่สวมชุดขาวกล่าวช่วยให้ซูฮวาทราบนามของชายร่างยักษ์”ข้าผู้แซ่ถัง นามเฟย ขอทราบนามของคุณชายน้อยได้หรือไม่”
ร่างบางเห็นบัณฑิตหนุ่มลุกขึ้นมาประสานมือทำความเคารพพลันดีใจจนเนื้อเต้น นี่คือภาพบรรยากาศการพบพานของชาวยุทธที่ตนใฝ่ฝันมานานไม่ใช่หรือ”ข้าแซ่มู่ นามซูฮวา พวกท่านจะเรียกข้าว่าซูฮวาเฉย ๆก็ได้”
เพราะมัวแต่ดีใจกับบรรยากาศผูกมิตรของลูกผู้ชายอยู่นั้นเองทำให้ซูฮวาไม่ทันสังเกตเลยว่าทุกคนในโต๊ะรวมไปถึงหูโปที่ยืนอยู่หันขวับไปมองชายหน้าดุที่นั่งตรงหัวโต๊ะอย่างพร้อมเพียงราวกับเตี๊ยมกันมา แต่ก็ชั่วพริบตาเท่านั้นเพราะพวกเขาล้วนโดนสายตาคมตวัดมองจนต้องรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเป็นการใหญ่
“ได้มาพบคุณชายมู่ในที่แบบนี้นับว่ามีวาสนาต่อกัน ถ้าไม่รังเกียจมือนี้ท่านยินดีมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกเราไหม”ถังเฟยกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ประหลาดออกไปนิดหน่อย
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนแล้ว ไม่ทราบว่าให้นางร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่”ซูฮวาไม่ลืมหันไปหาสาวใช้ของตน”นางชื่อหลี่หมิง ติดตามข้ามาจากแดนไกล เป็นสตรีที่รูปร่างหน้าตาดี ฉลาดมีไหวพริบ ช่างเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง”
หลี่หมิงแทบจะเอาหัวมุดใต้โต๊ะเมื่อผู้เป็นนายกล่าวเยินยอนางเกินจริง
พูดมาถึงตรงนี้นางเข้าใจวัตถุประสงค์ที่คุณชายยอมร่วมโต๊ะกับคนพวกนี้แล้ว คนกลุ่มนี้มากันห้าคน มีชายหน้าตาระดับสะเทือนแผ่นดินไปแล้วสาม บวกกับการที่พวกเขาไม่ได้นั่งในห้องส่วนตัวริมแม่น้ำ แม้การแต่งกายจะดีแต่ก็สามารถสรุปได้ว่าไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโต อีกฝ่ายอาจจะเป็นบัณฑิตหรือลูกหลานครอบครัว ขุนนางจากเมืองไกล
คุณชายต้องการหาคู่ให้นางนี่เอง!
“คุณชายเจ้าคะ วันนี้ก็ดึกแล้ว พรุ่งนี้ท่านมีธุระสำคัญ...”
“เจ้าไม่ต้องมาบ่ายเบี่ยงเลย เมื่อครู่ข้าเพิ่งกินข้าวไม่กี่คำเอง ยังไม่อิ่มเลยจะกลับอะไรล่ะ!”ร่างบางกล่าวเสียงเข้ม พยามสื่อสารผ่านสายตาให้หลี่หมิงรับรู้ว่าคุณชายโต๊ะนี้คุณภาพคับแก้วนัก หากพลาดโอกาสนี้ไปก็ไม่รู้ว่าจะมีแบบนี้มาอีกเมื่อไหร่แล้วนะ!
เมื่อเห็นสายตาอันมุ่งมั่นที่จะหาสามีให้นางให้ได้เช่นนี้หลี่หมิงก็ได้แต่กัดฟันนั่งลงบนเก้าอี้ที่เสี่ยวเอ้อหยิบมาเพิ่มให้
“เอ่อ คุณชาย เรื่องค่าเสียหาย...”เสี่ยวเอ้อผู้โชคร้ายถูกส่งมาเป็นตัวแทนทวงเงิน ร่างของเขาสั่นเทิ่มจนน่าสงสารขณะกล่าววาจากับหูโปชายร่างยักษ์
ถังเฟยผู้อัธยาศัยดีหัวเราะให้กับอาการตลก ๆนั่นก่อนหันไปหาคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ”ท่านจ่ายให้พี่หูโปหน่อยสิ”
คนถูกขอยืมเงินปรายตามองถังเฟยอย่างเย็นชาแต่สุดท้ายก็หยิบถุงเงินออกมาวางพร้อมกล่าวเสียงเข้มว่า”พรุ่งนี้พวกเจ้าต้องได้รับโทษ”
“เห้ ๆ ไม่เกินไปหน่อยเหรอท่าน คนที่ก่อเรื่องมีแค่พี่หูโปคนเดียวนะทำไมพวกข้าถึงพลอยโดนไปด้วยเล่า ท่านมองตาใต้เท้าหวังสิ เขาอายุก็ปูนนี้แล้วเดี๋ยวได้ตายกันพอดี ที่สำคัญพรุ่งนี้ท่านจะมาที่กะ----“
ปัง!!
ร่างสูบตบโต๊ะเสียงดังก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ท่านจะกลับแล้วหรือ”ถังเฟยที่โดนสายตาพิฆาตใส่ไปหนึ่งครั้งแสดงอาการสำรวมมากขึ้นหลายเท่า เขาเอ่ยถามเสียงอ่อย เมื่อเห็นว่าร่างสูงกำลังจะเดินจากไปแล้วก็ไม่ได้คิดเอ่ยรั้งไว้ และเมื่อคล้อยหลังชายคนดังกล่าวทุกคนที่เหลือก็ลอบปาดเหงื่ออย่างโล่งอก
“น่ากลัวกว่าพี่หูโปอีก”ซูฮวาพึมพำออกมาอย่างเหลือเชื่อ เกิดมาเขาไม่เคยเจอคนที่มีรูปร่างน่ากลัวเท่าหูโปมาก่อนแต่กลับเจอเรื่องน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเมื่อมีคนที่สามารถใช้เพียงแค่สายตากดข่มพี่หูโปคนนั้นให้หน้าหดลงเหลือแค่ปลายนิ้วก้อยได้
ได้ยินซูฮวากล่าวเช่นนั้นถังเฟยก็ได้แต่หัวเราะเสียงเจื่อน”เขาไม่เป็นมิตรแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว ขอโทษแทนเขาด้วยแล้วกัน คงลำบากท่านแล้ว”
“เห ไม่หรอก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าไม่ถือสาอยู่แล้ว”
“ท่านโปรดให้อภัยความเอาแต่ใจของเขาด้วย เหอ ๆ”ถังเฟยหัวเราะเสียงแห้งอีกครั้งขณะเอ่ยวาจาที่ซูฮวาไม่เข้าใจ
ร่างบางเห็นอีกฝ่ายมองไปทางอื่นจึงไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่ถังเฟยกำลังพูดกับซูฮวาหรือกำลังกล่าวลอย ๆกับตัวเองกันแน่ดังนั้นจึงเลือกที่จะปล่อยผ่านคำพูดดังกล่าว
เนื่องจากทางหอหยุนเซียนเกิดความวุ่นวายขึ้นฝั่งติดถนนของร้านจึงไม่มีลูกค้าเข้ามาอีก สุดท้ายพวกซูฮวาจึงเป็นโต๊ะเดียวที่เหลืออยู่ ด้วยความเห็นใจพวกพนักงานที่ปัดกวาดเช็ดถูกเศษซากที่พี่หูโปก่อเอาไว้พวกเขาจึงรีบกินและรีบไปไม่ได้กล่าวอะไรกันอีก
“น่าเสียดายนะ ดูเหมือนพวกเขาไม่สนใจเจ้าเลย ช่างมีตาหามีแววไม่ซะจริง แต่ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะหาบัณฑิตอนาคตไกลคนอื่นให้เจ้าเอง”ซูฮวาปลอบใจสาวใช้ของตนที่ดูเหมือนไม่มีอาการเสียใจเลยสักนิดขณะที่พวกเขากำลังจะเดินทางกลับ
“ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องหาสามีให้ข้าหรอกเจ้าค่ะ”
“เอาอีกแล้ว เจ้านี่น้า ข้าน่ะสงสารเจ้าที่ต้องจากครอบครัวมาอยู่ต่างถิ่นเช่นนี้ ข้าก็แค่อยากมองหาครอบครัวใหม่ที่อบอุ่นให้เจ้า แต่ถ้าหากเจ้าต้องการหาเองล่ะก็ไว้หาเจอเมื่อไหร่ก็ให้พาเขามาหาข้า ถ้าเขาเป็นบัณฑิตข้าจะช่วยมองหาตำแหน่งขุนนางให้ หากเขาสอบไม่ผ่านข้าก็จะเปิดกิจการร้านค้าให้พวกเจ้าร้านหนึ่ง”
หลี่หมิงได้ยินเช่นนี้ก็แอบน้ำตารื้น นางไม่เพียงแค่ซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้านายเท่านั้น ในสิบส่วนนางรู้สึกสงสารคุณชายน้อยไปแล้วเก้าส่วน”ไม่รู้ว่า หานชินอ๋องจะตัวใหญ่เหมือนพี่หูโปหรือไม่นะเจ้าคะ”
“อะ...”พวกเขาเดินมาถึงจวนรับรองที่กรมพิธีการจัดให้พอดี กำลังจะเดินเข้าไปด้านในร่างบางก็ชะงักขาเสียก่อน
“ข้าลืมคิดไปเลย!! หากนับในฐานะจอมยุทธล่ะก็ข้าย่อมเลื่อมใสพี่หูโปเป็นแน่ แต่ถ้าให้มีสามีแบบเขาล่ะก็...”ร่างบางส่ายหน้าไปมาอย่างหวาดกลัว
โดยไม่รู้ตัว ตรงหางตาก็มีน้ำตาไหลเผาะ ๆออกมา
“ฮือ หลี่หมิง ช่วยข้าด้วย ข้ากลัว ฮือออ”ร่างบางเดินไปซบอกสาวใช้คนสนิทตัวสั่นงันงก
“พวกเราลืมซื้อขี้ผึ้งหอมด้วยเจ้าค่ะ”หลี่หมิงเอ่ยถึงความจริงอันโหดร้ายอีกข้อหนึ่ง
“ม่ายยย”ซูฮวาทำเหมือนพรุ่งนี้ตนจะต้องเข้ารับโทษประหาร หาใช่พิธีอภิเษกไม่
และแล้วค่ำคืนนั้นซูฮวาก็นอนไม่หลับ ดวงตาคู่งามที่เคยมีประกายราวกับดวงดาวยามราตรีฉายแววหม่นหมองน่าอดสู ใต้ตาดำคล้ำ เดินโงนไปเงนมาราวกับคนไร้เรี่ยวแรง ขนาดคนของกรมพิธีการเข้ามาในจวนเพื่อมอบชุดแต่งงานพระราชทานซูฮวายังรับมาแบบเหม่อ ๆ จัดว่าอาการหนักจนหลี่หมิงจะร้องไห้แทน
หากเปลี่ยนตัวกันได้นางคงยอมพลีชีพเข้างานแต่งแทนเจ้านายไปแล้ว หลี่หมิงได้แต่กัดผ้าเช็ดหน้าขณะส่งร่างบางในชุดเจ้าสาวสีแดงมีผ้าคลุมหน้าขึ้นไปบนเกี้ยวคันหรู
ขบวนแห่เกี้ยวเจ้าสาวเริ่มออกเดินทางท่ามกลางสายตาตื่นเต้นปนอยากรู้อยากเห็นของพวกชาวบ้าน เนื่องจากซูฮวาเป็นคนงามอยู่แล้ว งามชนิดที่ไม่แต่งหน้าดีกว่าแต่งหน้าเพราะเครื่องสำอางพวกนั้นจะกลบความงามเอาได้ดังนั้นคุณชายน้อยจึงแค่เสียเวลาแต่งตัวทำผมแค่นิดหน่อยเท่านั้น
แต่ยามนี้ใบหน้าอันงดงามยังถูกซ่อนเอาไว้ใต้ผ้าสีแดง คนที่มีสิทธิ์เปิดมันออกมีเพียงผู้เป็นเจ้าบ่าวเท่านั้น
เมื่อคิดไปคิดมาซูฮวาก็ประหม่าจนอยากจะโดดลงจากเกี้ยว ใจสั่นไม่ใช่เพราะตื่นเต้นแต่เพราะหวาดกลัว เมื่อเช้าเขาบอกให้เสี่ยวซุนไปหาขี้ผึ้งหอมในตลาดแล้วแต่เจ้าตัวกลับคว้าน้ำเหลวจึงโดนหลี่หมิงด่าเสียจนร้องไห้วิ่งออกไปหาอีกรอบแต่ก็กลับมามือเปล่าเหมือนเดิม
“ขี้ผึ้งหอม...”คนงามล่มเมืองครางหงิง ๆอยู่เพียงลำพังในเกี้ยว
ร่างบางเอนซบผนังเกี้ยวอย่างเศร้าหมอง”ขี้ผึ้งหอม...”
ราวกับขี้ผึ้งหอมเป็นคำสวดภาวนาขอพรจากพระเจ้าไปแล้ว ซูฮวาพูดถึงของสิ่งนี้ซ้ำไปซ้ำมาอย่างน่าสงสารอยู่ในเกี้ยว ยิ่งพูดน้ำตายิ่งไหลพรากไม่รู้ว่าตกลงแล้วกำลังพูดถึงขี้ผึ้งหอมหรือกำลังปอกหัวหอมอยู่กันแน่
โชคดีที่ใบหน้าหวานถูกคลุมด้วยผ้าสีแดงดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นว่าบนใบหน้าของว่าที่พระชายาผู้นี้เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา และสาเหตุที่ร้องไห้ก็ช่างน่าสงสาร เพราะว่าทหารรับใช้หาซื้อขี้ผึ้งหอมมาให้ไม่ได้นั่นเอง
เกี้ยวมาถึงคฤหาสน์สกุลหานที่ปลูกอย่างสงบอยู่ตรงชานเมืองแล้ว คนในหมู่บ้านระแวกใกล้เคียงถูกสั่งไม่ให้เข้ามาใกล้พระราชพิธี รอบ ๆบ้านสกุลหานจึงมีทหารของทางการล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา แม้แต่มดสักตัวก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาใกล้
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือไม่มีใครออกมารอต้อนรับว่าที่พระชายาที่หน้าบ้าน มีเพียงบ่าวรับใช้ที่ก้มหน้าคางจรดอก ความผิดปกติเหล่านี้ชัดเจนเกินไป ซูฮวาหันไปมองรอบตัวอย่างไม่เข้าใจ พิธีการหลายอย่างถูกตัดตอนไปอย่างน่าประหลาด
ร่างบางในชุดสีแดงถูกเชิญเข้ามาในโถงรับรองอันเป็นสถานที่จัดพิธีเคารพฟ้าดินและบรรพบุรุษ สีหน้าของคนสกุลหานดูกระอักกระอ่วนอย่างมากเมื่อพวกเขามองเห็นซูฮวา โดยเฉพาะชายวัยกลางคนที่ท่าทางจะเป็นเจ้าบ้านคนปัจจุบันและฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งมีศักดิ์เป็นยายของหานชินอ๋อง
สกุลหานนั้นแรกเริ่มเดิมทีเป็นครอบครัวชาวบ้านธรรมดาที่มีอาชีพเปิดร้านค้าเล็ก ๆในเมือง ทว่าอดีตพระมเหสีผู้เป็นบุตรสาวของสกุลหานนั้นกล่าวกันว่ามีความงดงามชนิดที่ว่าหากนางงามเป็นอันดับสอง ทั่วใต้หล้านี้คงไม่มีใครกล้าขึ้นไปเป็นที่หนึ่ง
อดีตพระมเหสีหานถวายตัวเข้าวังเป็นนางสนมก่อนจะเลื่อนขั้นขึ้นอย่างรวดเร็วจนครองตำแหน่งมารดาของแผ่นดิน คนสกุลหานที่เดิมทีเป็นชนชั้นรากหญ้าก็พลอยได้เชิดหน้าชูตาในวงศ์สังคมไปด้วย ทว่าเมื่อสิ้นพระนางฐานะของคนสกุลหานก็ตกต่ำลงอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
กล่าวโดยสรุปก็คือแรกเริ่มเดิมทีพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านดังนั้นทุกคนจะให้ความเคารพเกรงใจซูฮวาที่เป็นถึงพระชายาก็ไม่แปลก แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ควรให้เกียรติกันจนแทบจะคลานเข่าขนาดนี้
ร่างบางขมวดคิ้วพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
“ท่านอ๋องไม่มาหรือ”ซูฮวานึกออกแล้วว่าพิธีแต่งงานนี้มีอะไรแปลก
ที่แท้ก็ไม่เห็นเงาของเจ้าบ่าวเลยนี่เอง...
“เอ่อ...”สิ้นคำถามของซูฮวาทุกคนในบ้านก้มทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียอย่างนั้น
“ท่านอ๋องไม่มาหรือ”กลับเป็นซูฮวาที่คาดคั้นถามขึ้นอีกครั้งอย่างกระตือรือร้น
“ท่านน้าไม่อยากแต่งกับท่านก็เลยหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อุ๊บ---“เด็กชายจ้ำม่ำคนหนึ่งเป็นหน่วยกล้าตายพูดออกมาก่อนจะโดนคุณแม่ลากตัวออกไปอย่างรีบร้อน
“โฮ่ ๆเรื่องพรรณนี้มันช่าง...”เสียงหวานเปล่งออกมาด้วยความเหลือเชื่อ ดวงตาที่เคยอิดโรยเพราะอดนอนกลับพราวประกายอีกครั้งอย่างดีใจ ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นตุบ ๆหลังจากได้ยินข่าวน่ายินดีในรอบสิบหกปีนับตั้งแต่เกิดมา
หานชินอ๋องไม่ต้องการแต่งงานกับก็เลยหนีไปแล้ว!!
“ต้องกราบขออภัยพระชายาเป็นอย่างสูง พวกเราอบรมบุตรหลานไม่ดีเอง พวกเราอบรมบุตรหลานไม่ดีเอง!!”ท่านเจ้าบ้านคุกเข่าลงโขกหัวกับพื้นโป๊ก ๆ
“ท่านอย่าได้กังวลไป รีบลุกขึ้นเถิด ท่านอ๋องเติบโตมาในวัง ไม่ได้โตมาในบ้านนี้เสียหน่อย ฮะ ๆ”ร่างบางกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง หลังจากร้องหาขี้ผึ้งหอมมาครึ่งค่อนวันบัดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว!
ร่างบางอยากชูมือขึ้นฟ้าร้องไชโยออกมาดัง ๆแต่พอเห็นสีหน้าหมองคล้ำของคนในบ้านสกุลหานแล้วร่างบางก็ต้องหดมือกลับมาเพื่อรักษาท่าที”แล้วตกลงงานแต่งต้องเลื่อนออกไปก่อนหรือจะยกเลิกไปเลยล่ะ”
“เรื่องนี้ พระมเหสีจางทรงมีรับสั่งว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งภายในวันนี้...”ท่านเจ้าบ้านลุกขึ้นยืนพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ย่ำแย่ลงกว่าเดิม
“ด้านหนึ่งสั่งให้แต่งก็ต้องแต่ง อีกด้านหนึ่งเป็นตายก็ไม่ยอมแต่ง โฮ่ ลำบากท่านเจ้าบ้านหานแล้ว”ร่างบางส่ายหน้าไปมา หันไปมองแท่นกราบไหว้บรรพบุรุษอีกครั้งก่อนสืบเท้าเข้าไปใกล้
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคนในบ้าน มู่ซูฮวากำลังกราบไหว้ฟ้าดินเพียงลำพัง
งานแต่งอันเงียบงันเริ่มต้นขึ้นด้วยความกระอักกระอ่วน ดำเนินไปด้วยความรู้สึกผิด และสิ้นสุดลงด้วยน้ำตาของคนสกุลหานหลายคน ระหว่างที่พวกเขาเดินไปส่งมู่ซูฮวาเขาเรือนหอฮูหยินผู้เฒ่าปาดน้ำตาก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอดร่างบางเอาไว้แน่”หลานชายของข้าช่างโง่เขลาที่ปฏิเสธคนประเสริฐเช่นเจ้า”
“ท่านยายกล่าวเกินไปแล้ว”
“พวกเราสกุลหานผิดต่อเจ้าจริง ๆ”ท่านเจ้าบ้านเดินเข้ามาก้มหัวให้ซูฮวาอีกครั้งหนึ่ง
“ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ”เสียงหวานกล่าวราบเรียบก่อนหันกายเข้าไปในเรือนหอเพียงลำพัง
ต่อหน้าคนสกุลหานซูฮวาน้อยต้องพยามสะกดกลั้นอาการดีใจจนเนื้อเต้นเอาไว้เต็มกำลัง ยามประตูหอปิดลงร่างบางจึงกระโดดไปมาด้วยความดีใจ แต่เนื่องจากยังเห็นเงาคนอยู่นอกห้องดังนั้นพระชายาคนใหม่จึงไม่เสียอาการหลุดตะโกนคำว่าไชโยออกมา
คนด้านนอกนั้นได้ยินเพียงเสียงตึงตังดังมาจากด้านในก็พากันเป็นห่วงกลัวว่าพระชายาจะคิดสั้น หลายคนเสนอความเห็นให้พังประตูเข้าไปดูแต่หลี่หมิงเข้าใจเจ้านายของตนดี สาวใช้คนสนิทจึงออกปากอาสาเข้าไปในห้องหอเอง
ตามปกติคืนวันแต่งงานเช่นนี้สาวใช้ไม่สามารถเข้าไปเสนอหน้าในห้องนอนของผู้เป็นนายได้ แต่ไหน ๆก็หลุดกรอบธรรมเนียมมาตั้งขนาดนี้แล้วการที่นางเดินเข้าไปในเรือนหอจึงไม่มีใครคัดค้าน
เมื่อปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้วหลี่หมิงก็ฉีกยิ้มกว้าง
“พระชายาเพคะ!”
“หลี่หมิง!!”
หลังจากเรียกชื่อกันเสร็จทั้งสองคนก็กระโดดกอดกันด้วยหน้าชื่นมื่น
“หานชินอ๋องช่างประเสริฐอะไรเช่นนี้!”ซูฮวากล่าวเทิดทูนผู้เป็นสามีอีกครั้ง
“หานชินอ๋องจงเจริญ!”หลี่หมิงผสมโรงด้วย
แล้วในค่ำคืนนั้นสองนายบ่าวก็กอดคอกันสรรเสริญวีรกรรมของหานชินอ๋อง ชนิดที่ว่าขุดตั้งแต่เรื่องที่เขาอ่านเขียนได้ตั้งแต่สามขวบยันเรื่องที่เพิ่งพิชิตศึกชายแดนทางเหนือมาหมาด ๆมากล่าวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
-------------------------------------
-
:m20:
-
:katai2-1:
ซูฮวา ดีใจอะไรปานนั้น 555
อย่าให้รู้ถึงหูเฮียหานนะ เด๋วเขาหมั่นไส้ จะรีบมาเข้าหอ
:z2:
-
สนุกค่ะ มาต่อบ่อยๆ นะคะ
-
เจ้าสาวดีใจรื่นเริงเป็นล้นพ้น เพราะเจ้าบ่าวเทงานแต่ง5555
-
แต่งก็ถือว่าแต่งเข้าบ้านแล้ว
-
5555 :pigha2:
-
บทที่๓
หลังจากออกจากห้องหอแล้วซูฮวาก็แต่งองค์ทรงเครื่องในชุดประจำบรรดาศักดิ์ชินหวังเฟยอันเป็นตำแหน่งชายาเอกของชินอ๋องเพื่อเข้าวัง ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วลูกสะใภ้จะต้องไปเคารพแม่สามีทุกเช้าเพื่อแสดงความกตัญญู แต่เนื่องจากหานชินอ๋องมีวังเป็นของตนเองการไปคาราวะพระมเหสีในรั้ววังจึงเป็นเรื่องลำบากเกินกว่าจะทำทุกวัน แต่เช้าวันแรกหลังเข้าหอย่างไรก็ควรไป
ร่างบางนั่งเกี้ยวไปยังพระราชวัง แลกป้ายเพื่อเข้าวังหลัง ทว่ากว่าจะได้เข้าวังหลังเพื่อไปพบแม่สามีนั้นก็ต้องผ่านขั้นตอนมากมายสืบเนื่องมาจากซูฮวาเป็นบุรุษ การเข้าออกวังหลังจึงต้องถูกจับตามองอย่างเข้มงวด
พอได้เข้ามาในวังหลังแล้วร่างบางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลงเข้าใจผิดคิดว่าเรื่องราวหลังจากนี้จะง่าย ทว่าซูฮวาคิดผิดแล้ว
พระมเหสีไม่อนุญาตให้ซูฮวาเข้าเฝ้า พระนางออกคำสั่งให้พระชายานั่งคุกเขาอยู่หน้าตำหนักของพระนางรอจนกว่าพระนางจะออกมา ทว่าซูฮวานั่งรออยู่ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนพระอาทิตย์อยู่กลางหัวแล้วพระมเหสีก็ไม่ยอมออกมาพบหน้า
“น้ำเพคะพระชายา”หลี่หมิงแค้นใจแทนเจ้านายของตนเหลือเกินแต่สาวใช้ต่ำต้อยอย่างน้อยจะให้ไปจิกหัวพระมเหสีออกมารับการเคารพจากพระชายาก็คงไม่ใช่เรื่อง สิ่งเดียวที่นางทำได้คือหาน้ำหาท่ามาให้นายของตนดื่มดับกระหาย
ร่างบางเหงื่อแตกพลั่ก ลำคอแห้งผากไปหมด ส่วนเข่าตอนนี้ชาจนไร้ความรู้สึกไปแล้ว
“อย่างนี้นี่เอง...”แต่ถึงแม้จะถูกกลั่นแกล้งอย่างโจ๋งครึ่มร่างบางกลับไม่แสดงความโกรธแค้นออกมา กลับเอ่ยปากชวนสาวใช้คุยราวกับเขากำลังนั่งอ่านบทกลอนอยู่ในสวนดอกไม้อันร่มรื่น
“อย่างนี้อะไรหรือเจ้าคะ”หลี่หมิงถาม
ซูฮวากวักมือให้นางยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกหน่อยเพื่อกระซิบเสียงเบา”แต่เดิมแล้วหานชินอ๋องไม่ได้เป็นเพียงอ๋องแต่เขามีศักดิ์เป็นรัชทายาทที่เกิดจาก พระมเหสีหาน”
แม้ว่าหานชินอ๋องจะเป็นองค์ชายลำดับที่ห้า แต่ว่าเขาเป็นโอรสองค์โตที่เกิดจากพระมเหสีทำให้เขาครอบครองตำแหน่งรัชทายาทจนกระทั่งอายุได้แปดปีตำแหน่งรัชทายาทของเขาก็ถูกชิงไป สาเหตุก็เพราะพระมารดาของเขาสิ้นพระชมน์ จางกุ้ยเฟยผู้เป็นสนมเอกได้รับแต่งตั้งเป็นพระมเหสีองค์ใหม่ และโอรสของนางได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นรัชทายาทในเวลาต่อมา
“พระมเหสีจางย่อมไม่ชอบหานชินอ๋องที่เกิดจากพระมเหสีองค์ก่อนเป็นทุนเดิม พอนางได้รับตำแหน่งนางก็รีบยัดข้าซึ่งเป็นบุรุษให้เป็นคู่หมั้นของเขาทันทีเขาจะได้ไม่มีโอกาสครองบัลลังก์อีกต่อไป นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหานชินอ๋องจึงชังน้ำหน้าข้านัก และที่น่าอนาถที่สุดก็คือข้าเป็นพระชายาของเขาทำให้พระมเหสี-จางพลอยไม่ชอบขี้หน้าข้าไปด้วยทั้ง ๆที่นางเป็นคนบังคับให้เราแต่งงานกันแท้ ๆ”ซูฮวาหัวเราะเสียงแห้ง
เขาเป็นเด็กหัวดี แต่การที่บางครั้งเข้าใจเรื่องราวกระจ่างเกินไปก็เป็นข้อเสีย
“ในต้าจินแห่งนี้เห็นทีข้าคงหัวเดียวกระเทียมลีบแล้ว”
“พระชายาเพคะ...”หลี่หมิงน้ำตาไหลพราก ขณะที่นางกำลังจะโผเข้าไปกอดคุณชายน้อยของนาง ร่างบางที่เริ่มโงนเงนมาตั้งแต่เมื่อครู่ก็ล้มลง
“กรี๊ดดด พระชายาหมดสติไปแล้ว ใครก็ได้ช่วยด้วย!”นางคิดว่าซูฮวาอาการไม่หนักเพราะยังชวนนางคุยอยู่เลย ใครเล่าจะคาดคิดว่าคุณชายน้อยของนางเป็นคนประเภทตัวตายไม่ว่าขอให้ข้าได้นินทาชาวบ้านก็พอกันเล่า!
หลังจากผ่านความชุลมุนยกใหญ่ ในที่สุดพระเมหสีจางก็ยอมส่งคนไปตามหมอหลวงมาให้และอนุญาตให้หลี่หมิงหอบร่างนายของนางไปนอนพักในศาลาข้างสระบัวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักของพระมเหสีได้
“พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง”หลี่หมิงรีบซักหมอหลวงที่เพิ่งตรวจชีพจรตรงข้อมือขาวเสร็จ
หมอหลวงคลี่ยิ้มพลางกล่าว”พระชายาเพียงแค่อ่อนเพลียจึงหมดสติไป ข้าจะจัดยาบำรุงมาให้ แต่ทางที่ดีเจ้าควรพาพระชายากลับไปพักที่วังอ๋องก่อนเถิด”
ขามากว่าซูฮวาจะทำเรื่องขอเข้าเฝ้าได้ก็กินเวลาอยู่ร่วมหนึ่งชั่วยาม ทว่าขาออกกลับง่ายแสนง่าย หลี่หมิงกับนางกำนัลอีกสองสามคนช่วยกันหอบพยุง พระชายาผู้ยังไม่ได้สติออกไปส่งที่เกี้ยว แม้คนอุ้มจะมีแต่ผู้หญิงแต่พวกนางกลับหิ้วบุรุษน้อยตัวปลิว นางกำนัลจากตำหนักของพระมเหสีแอบลอบอิจฉาความเอวบางร่างน้อยของซูฮวาในใจ
เมื่อพามาถึงเกี้ยวที่จอดรออยู่หน้าพระราชวังหลี่หมิงก็จ่ายเงินตอบแทนนางกำนัลเหล่านั้นตามมารยาทก่อนจะตามคุณชายน้อยของเธอขึ้นไปบนเกี้ยว ทว่าภาพที่นางเห็นทำให้นางตกใจถึงขั้นผงะ
“พระชายาฟื้นแล้วหรือเพคะ”หลี่หมิงคลานไปหาร่างบางที่กำลังนั่งเอกเขนกอย่างสบายใจอยู่ภายในเกี้ยวที่ปิดม่านสนิท
เมื่อเกี้ยวเริ่มเคลื่อนตัวออกไปคนที่เมื่อสักครู่ยังแลดูอ่อนแอราวกับดอกไม้บอบบางก็ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก”ฟื้นอะไรของเจ้า ข้ายังไม่ได้หลับไปเสียหน่อย”
“ก็เมื่อครู่พระชายาเป็นลม...”หลี่หมิงเผลอนึกว่าซูฮวาหมดสติไปแบบไม่รู้ตัวนางจึงตั้งท่าจะอธิบายแต่เมื่อมองเห็นแววตาที่ไม่มีความใสสื่อสักนิดของผู้เป็นนายนางก็ต้องเปลี่ยนความคิดแทบไม่ทัน”เมื่อครู่ท่านแสร้งทำเป็นหมดสติหรือ เพคะ!?”
“หากไม่ทำเช่นนี้เจ้าคิดว่าข้าต้องนั่งอยู่ตรงนั้นไปถึงเมื่อใดกัน”ร่างบางคลี่พัดโบกสะบัดไปมาด้วยใบหน้าแสนสุดจะภาคภูมิใจในแผนการอันชาญฉลาดของตน”หลังจากนี้หากไม่จำเป็นข้าก็จะไม่เข้าวังแล้ว หากมีใครตำหนิข้าผ่านทางเจ้าก็โยนความผิดไปให้หานชินอ๋องให้หมด บอกว่าเพราะเขาหักหน้าข้าในพิธีอภิเษกทำให้ข้าอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าใคร! หึ”
รูปประโยคฟังดูแล้วสมเหตุสมผล หลี่หมิงได้ยินมาจากเสี่ยวซุนอีกทีหนึ่งว่าบัดนี้ชาวบ้านในตลาดร่ำลือกันว่าหานชินอ๋องไม่เข้าร่วมพิธีแต่งปล่อยให้ พระชายาผู้งดงามต้องเคารพฟ้าดินอย่างโดดเดี่ยว
เหล่าชาวเมืองบางคนได้มีโอกาศยลโฉมซูฮวาและความร่าเริงไม่ถือตัวของเจ้าตัวครั้งที่เจ้าตัวชะโงกหัวออกมาจากรถม้ายามเข้าเมืองหลวงเมื่อวันก่อนแล้ว นั่นเป็นภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างดีในความทรงจำของผู้คนตรงกับข้ามกับ หานชินอ๋องที่ดิบเถื่อนดุร้ายทั่วร่างมีแต่ไอสังหาร
หากให้เลือกเทคะแนนสงสารให้ใครสักคนเหล่าชาวบ้านย่อมเทมาทางซูฮวาเต็ม ๆ
“พวกเรากำลังจะไปวังอ๋องครั้งแรกสินะ ตื่นเต้นจริง ๆ”ร่างบางยิ้มแก้มปริ ทำท่าเหมือนกำลังเฝ้ารอเรื่องสนุกบางอย่าง
“วังหานชินอ๋องคงจะงดงามโอ่อ่าน่าดูเลยนะเพคะ”หลี่หมิงนับถือความไม่คิดอะไรมากของเจ้านายตนอย่างยิ่ง หากเป็นคนอื่น ลองมาเจอแบบที่ซูฮวาเจอเกรงว่าคงร้องไห้ขอกลับแคว้นไปแล้ว
“คิก ๆข้าไม่สนใจว่าวังอ๋องจะเป็นเช่นไร ข้าอยากพบคนที่อยู่ในวังต่างหาก”
“เกรงว่าหานชินอ๋องคงไม่กลับวัง”หลี่หมิงใจกระตุกวาบ นางเข้าใจไปว่าเจ้านายของนางกำลังดีอกดีใจที่จะได้เจอหน้าพระสวามีผู้ใจร้าย โถ ท่านซูฮวาของนางช่างไร้เดียงสานัก
แต่อนิจจา หลี่หมิงทายใจเจ้านายของนางผิดอีกครั้ง
“ใครจะไปอยากเจอเขากัน! ข้าอยากเจอเหล่าอนุของเขาต่างหาก ฮี่ ๆ”
“อะไรนะเพคะ...”หลี่หมิงรู้สึกสับสนมึนงง
“ข้าได้ยินมาว่าหานชินอ๋องผู้นี้มีฮูหยิน ฮูหยินรอง และอนุอีกสามคนรออยู่ในวัง”ซูฮวาตบเข่าดังฉาด”พวกนางจะต้อนรับขับสู้ข้ายังไงกันนะ นั่นคือสิ่งที่ข้าอยากรู้ หากพวกนางให้ความเคารพข้าล่ะก็แล้วไป แต่ถ้าพวกนางหัวเราะเยาะข้าเรื่องที่ถูกหานชินอ๋องทอดทิ้งล่ะก็ สนุกพวกเราแล้ว ฮี่ ๆ”
“...”หลี่หมิงได้แต่เงียบ นางรู้สึกว่าภาพจำของคุณชายสามผู้บอบบางราวดอกไม้กระดาษช่างห่างไกลจากภาพพระชายาที่กำลังหัวเราะชอบใจในเรื่องที่ไม่สมควรจะชอบใจสักนิดนี่
กระทั่งรถม้ามาถึงวังอ๋อง
คณะผู้ติดตามขบวนใหญ่ที่ตามมาส่งซูฮวาถึงเมืองหลวงกลับไปหมดแล้ว ยามนี้ข้างกายของซูฮวาเหลือเพียงแค่หลี่หมิงผู้เป็นสาวใช้ และเสี่ยวซุนซึ่งเป็นทหารองครักษ์กึ่งเบ๊จิปาถะ
เมื่อก้าวลงจากเกี้ยวสิ่งแรกที่ซูฮวาทำก็คือบิดขี้เกียจอย่างหมดมาดคนงาม สิ่งที่สองคือเดินเข้าวังอ๋องอย่างองอาจห้าวหาญ
ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของซูฮวานั้นได้คนจากราชสำนักช่วยขนมาเก็บที่วังชินอ๋องก่อนแล้วดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงเดินเข้ามามือเปล่า นำโดยซูฮวาผู้คึกคัก ตามมาติด ๆด้วยเสี่ยวซุนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ตบท้ายด้วยหลี่หมิงที่กำลังเครียดจัด
และเบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสามก็ปรากฏร่างของเหล่าข้ารับใช้ในวังอ๋องรวมไปถึงเหล่าอนุที่ออกมายืนรอต้อนรับกันหน้าสลอน
“อืม...”ซูฮวาคลี่พัดพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ”ฮูหยินกับรอง ฮูหยินไม่อยู่หรือ”
ประโยคแรกก็ฟาดเข้าตรงจุดเล่นเอาหัวหน้าพ่อบ้านซึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่กำลังจะก้าวเข้ามากล่าวต้อนรับถึงกับสะดุดอากาศหน้าแทบทิ่ม”คือว่า...”
รอยยิ้มหวานฉีกกว้างขึ้นอีกระดับ ยามนี้ร่างบางได้กลิ่นของสงครามระหว่างภรรยาที่ตนจะต้องรับมือแล้ว
ท่ามกลางเหล่าคนใช้ที่แต่งตัวธรรมดานั้นมีเพียงหัวหน้าพ่อบ้านที่สวมชุดดูดีหน่อยกับหญิงสาวหน้าชะแล่มอีกสามคนที่แต่งกายด้วยสีสันฉูดฉาด แต่แม้ว่าพวกนางจะสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีและมีเครื่องประดับแต่ก็ยังน้อยเกินกว่าจะเป็นสตรีที่มียศเป็นถึงฮูหยินดังนั้นซูฮวาจึงมองออกในปราดเดียวว่าพวกนางเป็นเพียงอนุ
“อา พ่อบ้านไม่ต้องทำหน้ารู้สึกผิดไป ข้าเข้าใจทุกอย่างดี เข้าใจดี”น้ำเสียงของพระชายาผู้ถูกทอดทิ้งฟังแล้วคล้ายเศร้าใจ แม้แต่เสี่ยวซุนที่อยู่ด้านหลังยังนึกโกรธฮูหยินหน้าโง่นั่นแทนนายของตน
คนในที่นี้ล้วนโดนภาพลักษณ์ของซูฮวาหลอกจนหมดสิ้นยกเว้นหลี่หมิงที่รู้เท่าทัน คุณชายสามถูกเลี้ยงดูดุจดอกไม้ในกรงทองมาตลอดแต่อย่างไรก็มีนิสัยเหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
ยามนี้เด็กชายวัยสิบหกปีไม่จำเป็นต้องอยู่ในสายตาของมารดาที่เพียรจับตนแต่งตัวน่ารัก ๆแล้ว
ยามนี้เด็กชายผู้คลั่งบู๊และบุ๋นสามารถหยิบตำราพิชัยยุทธมาอ่านเมื่อใดก็ได้
และคุณชายน้อยของนางตั้งใจว่าจะเอาวังชินอ๋องแห่งนี้เป็นสมรภูมิแรกสำหรับทดสอบทักษาการวางกลยุทธ์ของตน!
นางยังจำคำของซูฮวาก่อนลงจากเกี้ยวได้แม่น นางยังรับรู้อีกว่าคุณชายน้อยผู้นี้กำลังสวมบทบาทเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินที่มาเยือนอำเภอที่ห่างไกลเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยและกำจัดผู้ที่อาจเป็นภัยต่อโอรสสวรรค์
“หลี่หมิง พวกเรามากำจัดขุนนางที่ไม่พักดีกันเถอะ!”
มันช่าง...เล่นเป็นเด็กเสียจริง
ขุนนางไม่ภักดีอันใดเล่า ก็แค่ฮูหยินที่คิดต่อต้านพระชายาเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ!?
หลังจากรับความเคารพจากเหล่าอนุเสร็จซูฮวาก็มอบเครื่องประดับหยกให้พวกนางคนละชิ้นแทนสินน้ำใจ หลังจากนั้นค่อยให้พ่อบ้านนำทางไปยังห้องพักและแนะนำพื้นที่ต่าง ๆภายในวังอ๋องแห่งนี้
“พาข้าไปห้องหนังสือหน่อย”ซูฮวากล่าว
พ่อบ้านย่อมทำตาม แม้ว่าตามธรรมเนียมแล้วภรรยาไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามในห้องหนังสือของสามีโดยไม่ได้รับอนุญาตทว่าตั้งแต่สร้างวังอ๋องแห่งนี้ขึ้นมาเมื่อห้าปีก่อนหานชินอ๋องก็ไม่เคยย่างเท้าเข้ามาเลยสักครั้งดังนั้นห้องหนังสือจึงไม่มีของส่วนตัวหรือความลับอันใดของชินอ๋องอยู่เลย
พ่อบ้านพาซูฮวากับผู้ติดตามทั้งสองมายังห้องหนังสือ ซูฮวาโบกมือไล่ให้เสี่ยวซุนตามพ่อบ้านไปทำความรู้จักกับองครักษ์คนอื่น ๆส่วนตนกับหลี่หมิงก็เดินเข้ามาด้านใน
“โอ้ สมแล้วที่เป็นห้องหนังสือของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าดูสิ!”ซูฮวาวิ่งระริกระรี้ไปยังแผนที่ชัยภูมิการรบผืนใหญ่ที่แขวนอยู่กลังที่โต๊ะอ่านหนังสือ ก่อนจะเดินวนไปวนมารอบหนึ่ง
ในที่สุดมือบางก็หยิบกระดานหมากรุกออกมาและกวักมือเรียกหลี่หมิงให้มานั่งฝั่งตรงกันข้าม
“ข้าเล่นหมากรุกไม่เป็นหรอกนะเพคะ”สาวใช้รีบออกตัว
“ข้าก็เล่นไม่เป็นเช่นกัน”ซูฮวาตอบหน้าซื่อ
หลี่หมิงใบ้กินอีกครั้งหนึ่งก่อนซูฮวาจะเฉลยวัตถุประสงค์ในการหยิบกระดานหมากรุกออกมา ร่างบางหยิบหมากขุน เรือและม้าฝ่ายขาวออกมาวางแหมะลงบนช่องตารางฝั่งหนึ่ง
“นี่คือข้า เจ้า แล้วก็เสี่ยวซุน”
“...”
”นี่คือฮูหยิน กับฮูหยินรอง”ซูฮวาหยิบขุนและเม็ดของฝ่ายดำออกมาก่อนจะหยิบโคน ม้า เรืออีกอย่างละหนึ่งออกมาวาง”ส่วนสามตัวนี้คือพวกอนุทั้งสาม”
หลี่หมิงหาคำพูดไม่เจอแล้ว
ซูฮวายังหยิบเบี้ยออกมาอีกจำนวนหนึ่งวางไว้มั่ว ๆทางฝั่งของพวกฮูหยิน”นี่คือพวกบ่าวในเรือน พวกเขาอยู่รับใช้ในวังอ๋องมานานดังนั้นน่าจะโดนพวก ฮูหยินดึงไปเป็นพวกหมดแล้ว”
“เพคะ...”
“หากมองด้วยตาแล้วพวกนางมีจำนวนมากกว่า แต่น่าสงสารพวกนางแล้วเพราะข้ามีอำนาจมากกว่าพวกนางทั้งหมด มีสิทธิ์กวาดพวกนางออกจากกระดานในรวดเดียว”พูดจบซูฮวาก็ใช้มือกวาดหมากดำที่เสียเวลาวางอยู่เกือบหนึ่งเค่อออกไปจริง ๆ หลี่หมิงได้แต่ตั้งคำถามในใจว่าพระชายาทำเพื่อ?
“พระชายามีสิทธิ์จัดการเรื่องภายในวังอ๋องก็จริง แต่การขับไล่ฮูหยินกับ อนุออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหานชินอ๋องก่อนหม่อมฉันเกรงว่าจะโดน หานชินอ๋องโกรธเอานะเพคะ”หลี่หมิงชี้แจงให้เด็กน้อยฟังอย่างใจเย็น
สกุลมู่ของคุณชายน้อยไม่มีอนุหรือฮูหยินรอง นางจึงคิดว่าซูฮวาอาจจะไม่รู้เรื่องที่ว่าในหลาย ๆบ้านนั้นเมียน้อยมักจะได้รับความโปรดปรานมากกว่าเมียหลวง โดยเฉพาะซูฮวาซึ่งโดนหานชินอ๋องปฏิบัติอย่างไม่เห็นหัว เกิดซูฮวาไปไล่อนุคนโปรดของหานชินอ๋องออกไปเผลอ ๆซูฮวาจะถูกสั่งโบยจนหลังหัก
“เจ้าช่างโง่นักหลี่หมิง”ร่างบางส่ายหน้าไปมาพลางส่งเสียงจุ๊ ๆ
ท่านนั่นแหละที่โง่! หลี่หมิงอยากเถียงแทบขาดใจ
“หานชินอ๋องเป็นแม่ทัพออกศึกครั้งแรกตอนอายุสิบหก เขาใช้เวลาสองปีในการพิชิตกลุ่มกบฏทางทิศตะวันออก หลังจากกลับเมืองหลวงเขาได้รับพระราชวังอ๋องแห่งนี้ แต่วังยังไม่ทันสร้างเสร็จเขาก็ถูกส่งออกไปปราบโจรที่ออก อาลวาดทางใต้ ปราบโจรยังไม่ทันเสร็จเขาก็โดนส่งไปกำราบชาวต๋าต้าที่คิดจะตั้งตนเป็นอิสระทางเหนือต่อทันที นั่นแปลว่าอะไรเจ้ารู้ไหม”
หลี่หมิงส่ายหน้าไปมา บอกตามตรงตอนนี้นางสับสนไปหมดแล้ว
“ตั้งแต่ฮูหยินยันพ่อบ้าน ไม่ว่าหน้าไหนในวังแห่งนี้ก็ไม่เคยพบหานชินอ๋องมาก่อน!”ซูฮวาเฉลยความจริงอันน่าตื่นตะลึงออกมา
หลี่หมิงอ้าปากค้าง จะว่าไปแล้วมันก็จริง ตั้งแต่อายุสิบหกจนบัดนี้อายุยี่สิบสามแล้วหานชินอ๋องต้องใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมาตลอดบ้านช่องไม่ได้กลับจะเอาเวลาที่ไหนมาโปรดอนุในวัง
“พูดไปแล้วหานชินอ๋องก็น่าสงสารอยู่นะ”ซูฮวาเป็นคุณชายน้อยที่มีจิตใจอ่อนโยนเหมือนทุกคนในสกุลมู่
แม้โดนหานชินอ๋องปฏิบัติอย่างไม่ให้เกียรติแต่ซูฮวาก็รู้สึกเห็นใจอีกฝ่าย
“ดูก็รู้ว่าแรกเริ่มเดิมทีเขาโดนพระมเหสีจางเฉดหัวออกไปหวังให้ตายกลางสนามรบ แต่เขาดันไม่ตายแถมสร้างผลงานพระนางเลยถือโอกาสเป่าหูโอรสสวรรค์ให้จิกหัวใช้เขาวิ่งรอกไปทั่วทิศ”คนงามส่ายหน้าไปมา ระหว่างเขากับ หานชินอ๋องไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน หากลบความหวาดกลัวต่อข่าวลือสารพัดออกไปแล้วมองอย่างเป็นธรรมแล้วหานชินอ๋องเป็นผู้ชายที่มีชะตากรรมเลวร้ายคนหนึ่ง
“เราเริ่มจากสืบประวัติของพวกนางทั้งห้าก่อนแล้วกัน ตรวจสอบให้ละเอียดว่ามีคนไหนที่เป็นคนที่พระมเหสีพระราชทานมาหรือมีความเกี่ยวข้องกับสกุลจางบ้าง หากมีก็เริ่มลงมือไล่นางก่อนหานชินอ๋องจะได้ไม่โกรธข้า”ซูฮวาไม่ได้กะจะกวาดทีเดียวทั้งกระดานอยู่แล้ว
หากทำแบบนั้นได้โดนพวกชาวบ้านนินทายับแน่ ๆ
“ข้าต้องเล่นบทน่าสงสาร ถูกสามีทอดทิ้ง แม่สามีรังแก เมียน้อยรวมหัวกันกลั่นแกล้ง หลังจากสร้างความเห็นใจจากคนรอบข้างได้เราจะค่อย ๆเริ่มแผนการยึดครองวังอ๋องแห่งนี้กัน”
ทำไมกล่าวไปกล่าวมาจึงได้กลายเป็นแผนการร้ายยึดวังอ๋องไปแล้วเล่า หลี่หมิงไม่เข้าใจ
-------------------------------------
ยัยหนูจะไปสู้ใครเขาไหว ไม่รอดแน่ๆ 55555555
#มาลาสุราลัย
-
ชอบๆ กล้าดี มีความเป็นไปได้ๆ
เราว่า ยัยหนูลึกๆ ฉลาด
รอดูต่อไป เอาใจช่วย
-
โอ้โห งานใหญ่นะเนี่ย
-
:pig4:
o13
ดีค่ะเจ้าของบ้านอยากไม่อยู่บ้านดีนัก ยึดบ้านเลย
:katai2-1:
-
ท่านอ๋องหาตัวยากเนอะ รีบๆมาเถอะเดี๋ยววังโดนยึดนะ
-
พพระเอกค่าตัวแพงจังฮับ
-
ุถึงขั้นจะยึดวังอ๋องเลยเหรอ เจ้าของหวังเขาจะรู้ตัวไหมเนี้ยะ :laugh:
-
ตัวเล็กคิดการใหญ่ ไม่ทันไรจะยึดวังอ๋อง ถามเจ้าของวังเขาหรือยัง ยัยหนูววววว
-
ชอบๆๆๆ ป่วนดีมาก
-
บทที่๔
ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วอนุภรรยาจะต้องมาแสดงความเคารพต่อ ฮูหยินทุกเช้า ซึ่งในที่นี้พวกนางต้องมาทำความเคารพซูฮวาซึ่งเป็นพระชายา ด้วยเหตุนี้ซูฮวาจึงตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อแต่งองค์ทรงเครื่อง แม้ว่าจะไม่ค่อยอยากใส่พวกเครื่องประดับเท่าไร แต่นี่มันก็เป็นตัวเสริมอำนาจบารมีให้เขา ดังนั้นวันนี้ชายาน้อยจึงสวยสดงดงามเป็นพิเศษ
ในเมื่อสามีหายหัว พ่อแม่สามีก็อยู่ในวัง ซูฮวาจึงกลายเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในบ้าน
ร่างบางออกมาเดินเล่นชมสวนซึ่งพอมีดอกไม้หลงเหลืออยู่บ้างเพราะเพิ่งผ่านพ้นฤดูใบไม้ผลิมาได้ไม่นาน
พ่อบ้านใหญ่เจียงแอบคิดอย่างปวดใจว่าสวนที่เขาบรรจงตบแต่งเสียอย่างดีเลือกแต่ไม้ประดับมีราคา ขนาดมีดอกไม้ผลิบานให้เห็นแล้วกลับสู้ความงามของพระชายาผู้นี้ไม่ได้
“สวนนี้ท่านเป็นคนจัดหรือ” เดินอยู่ดีๆ พระชายาน้อยก็หันมาถาม ใบหน้าหวานประดับด้วยยิ้มมีเมตตาทำเอาพ่อบ้านใจอ่อนยวบไปหมด
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านมีฝีมือจริงๆ ข้าชอบที่นี่ เช้านี้ข้าทานอาหารในศาลาหลังนั้นได้ไหม” นิ้วเรียวชี้ไปยังศาลากลางสวน
“ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะให้คนจัดเตรียมมาให้เดี๋ยวนี้ ว่าแต่พระองค์ไม่ทรงรอพวกฮูหยินมาถวายความเคารพก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านหันไปสั่งงานสาวใช้ที่ทำงานในบ้านนี้มานานด้านหลังก่อนหันกลับมาเอ่ยถามซูฮวาอย่างแปลกใจ
“หากต้องรอฮูหยินมาถึงจะได้กิน เกรงว่าทั้งวันคงไม่มีอะไรตกถึงท้องข้าแล้ว” เสียงหวานเอ่ยตัดพ้อ
ท่านพ่อบ้านนั้นเป็นชายมีอายุแล้วดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีจิตพิศวาส พระชายาน้อย กลับกัน เขาเห็นซูฮวาเป็นเหมือนลูกเหมือนหลาน ได้ยินพระชายาตัวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงสร้อยเศร้าใบหน้าหวานก้มมองปลายเท้าอย่างน่าสงสารแล้วพ่อบ้านเจียงรู้ศึกปวดหนึบในใจ
“ฮูหยินอาจจะไม่สบายอยู่ ขอพระชายาโปรดเข้าใจด้วย” แต่ถึงอย่างไรพ่อบ้านเจียงก็ทำงานรับใช้ฮูหยินมาตั้งแต่ฮูหยินเข้าวังอ๋องเมื่อสี่ปีที่แล้วดังนั้นจึงยังมีใจเอนเอียงไปทางด้านฮูหยินมากกว่า
“นางป่วยเป็นอะไรหรือ” ทว่าซูฮวากลับนำคำแก้ตัวของพ่อบ้านเจียงมาถือเป็นเรื่องสำคัญ
คนถูกถามอ้ำอึ้งพูดไม่ออก เห็นท่าทางแบบนั้นของพ่อบ้านแล้วซูฮวาก็รีบคลี่พัดออกมาบดบังใบหน้าครึ่งล่างเพื่อซ่อนรอยยิ้มสุดแสบ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครเห็นใบหน้าอันชั่วร้ายของตนซูฮวาก็กล่าวสมทบด้วยน้ำเสียงหวานละมุนประดุจน้ำผึ้งว่า “เห็นพ่อบ้านมีสีหน้าลำบากใจเช่นนี้ข้ารู้สึกไม่ดีเลย ขอไปเยี่ยมนางหน่อยได้หรือไม่”
“คือ...อาหารเช้ามาพอดี เชิญพระชายาเสวยก่อนดีหรือไม่” พ่อบ้านเจียงรีบคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้
ฮูหยินไม่ได้ป่วยตามที่เขากล่าว เมื่อวานนางกับฮูหยินรองยังหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่สองคนเพราะได้แสดงออกว่าเป็นปฏิปักษ์กับพระชายาสำเร็จ มิหนำซ้ำยังสมน้ำหน้าพระชายาน้อยที่โดนหานชินอ๋องรังเกียจกันอีกยกใหญ่
“ไม่ดีกว่า ข้าเป็นห่วงนาง ขอไปดูอาการหน่อย” ร่างบางไม่สนใจคำ ทัดทานของพ่อบ้าน เดินออกจากสวนไปยังส่วนหลังของวังอ๋องเพื่อไปหาฮูหยินแซ่เฉินด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวลทันที
เสี่ยวซุนที่เดิมตามมานั้นดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความเลื่อมใส เขาไม่คิดเลยว่าคุณชายสามแห่งสกุลมู่จะมีจิตใจเมตตากระทั่งนางอสรพิษเฉินซื่อนั่น ในขณะที่หลี่หมิงได้แต่เดินก้มหน้าราวกับไม่กล้าสู้หน้าใครอีกแล้ว
และแล้วซูฮวากับข้ารับใช้ที่เดิมตามกันมาเป็นพรวนก็มาหยุดอยู่หน้าห้องของฮูหยิน สาวใช้ของนางออกมารับหน้า แน่นอนว่านางพยายามขับไล่ซูฮวาออกไป “ถวายบังคมพระชายาเพคะ ยามนี้ฮูหยินอาการไม่สู้ดี ต้องการพักผ่อน---”
“ให้ข้าเข้าไปเยี่ยมนางหน่อยเถิด ขาดเหลือสิ่งใดจะได้จัดหายามาให้” ร่างบางตอบเสียงอ่อนโยน
หลังจากยื้อยุดกันอยู่นานพระชายาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนใจ สุดท้ายสาวใช้คนนั้นจึงเดินเข้าไปด้านในเพื่อขอคำปรึกษาจากเฉินซื่อ
ฮูหยินเฉินเตี้ยนเป็นสตรีรูปร่างหน้าตาจัดว่าดี แต่เมื่อเทียบกับซูฮวาแล้วก็มีค่าแค่เศษเล็บ สาวใช้รู้ดีว่าหากปล่อยให้พระชายาเข้ามาทาบรัศมีกับนายหญิงของตนละก็นายหญิงจะต้องรับไม่ได้แน่ๆ แต่เฉินเตี้ยนกลับไม่คิดเช่นนั้น
“ในเมื่ออยากจะเข้ามาให้ได้ก็ปล่อยให้เข้ามา” เฉินเตี้ยนตอบเสียงเย็น ดวงตาฉายประกายร้ายกาจน่ากลัว สาวใช้ผู้น่าสงสารได้แต่กุลีกุจอออกเดินออกจากห้องเพื่อเชิญพระชายาเข้ามา
“เชิญพระชายาด้านในเพคะ เอ้อ แต่ฮูหยินต้องการความสงบนางจึงไม่อยากให้มีคนอื่นเข้าไปยุ่งวุ่นวาย”
ฟังมาถึงตรงนี้ใบหน้าของซูฮวาก็ยังไม่เปลี่ยน เจ้าตัวยังคงฉีกยิ้มอย่างใสซื่อต่อไป ตรงข้ามกับเสี่ยวซุนที่ทนไม่ไหว “บังอาจ! นายหญิงของเจ้าเป็นแค่ฮูหยินเท่านั้นกล้าดีอย่างไรถึงกับออกคำสั่งพระชายา!”
“ช้าก่อนเสี่ยวซุน นางกำลังพักผ่อน เจ้าอย่าส่งเสียงดัง” ซูฮวาเอ่ยปรามคนของตน
เสี่ยวซุนอยากตะโกนเตือนนายของตนเหลือเกินว่าท่านโดนหลอกแล้ว ข้างในนั้นมีกับดัก! ในขณะที่หลี่หมิงเองก็อยากตะโกนบอกเสี่ยวซุนเหมือนกันว่าเจ้านั่นแหละที่โดนพระชายาหลอกแล้ว!
หลังจากบ่าวรับใช้ส่งเสียงทัดทานเสร็จร่างบางก็เดินเข้าไปในห้องของเฉินเตี้ยนอย่างสง่าผ่าเผย ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานนุ่มนวล และเมื่อประตูห้องปิดลง ภายในห้องมีเพียงสาวใช้ที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลัง ซูฮวาที่ยังคงยืนอยู่กลางห้อง และเฉินฮูหยินที่นั่งเอนกายอยู่บนเตียงโดยไม่คิดจะลุกขึ้นมาแสดงความเคารพ
“เฉินซื่อ” ซูฮวาลองเรียกอีกฝ่าย
เฉินซื่อเพียงแค่ปรายตากลับมาเล็กน้อยราวกับไม่แยแส นางต้องการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เคารพพระชายาผู้นี้
นางผู้นี้ตบแต่งเข้าวังอ๋องมาสี่ปีในขณะที่หานชินอ๋องสู้รบอยู่ที่ชายแดน ตลอดสี่ปีที่ผ่านมานางไม่ต่างอะไรกับหญิงหม้าย สิ่งเดียวที่ช่วยเติมเต็มนางได้ก็คืออำนาจสูงสุดในวังของนาง คราวได้ยินว่าหานชินอ๋องจะกลับมานางย่อมดีใจ หวังว่าจะให้กำเนิดบุตรชายและได้เลื่อนขั้นเป็นพระชายาหรืออย่างน้อยก็อนุชายา
แต่ที่ไหนได้ หานชินอ๋องผู้นั้นกลับหมั้นหมายกับคุณชายสามแห่งแคว้นอันผิงไว้แล้ว
ยังดีที่คุณชายสามไม่อาจมีบุตร นางยังคิดเข้าข้างตนเองว่าหากนางให้กำเนิดบุตรชายได้ละก็ ไม่ช้าก็เร็วหานชินอ๋องจะต้องเขี่ยพระชายาชายคนนั้นออกไปและเลื่อนขั้นให้นางแน่
ที่ไหนได้! จนถึงบัดเดี๋ยวนี้แม้แต่ชายเสื้อของชินอ๋องนางก็ไม่เคยเห็น
ทั้งหมดเป็นเพราะพระชายาชายผู้นี้ เฉินซื่อมั่นใจว่าหากไม่มีพระชายาชายผู้นี้ละก็หานชินอ๋องจะต้องกลับมาแน่ นางกับฮูหยินรองจึงวางแผนเพื่อขับไล่พระชายาออกไป หากไล่แล้วไม่ไปก็คงต้องฆ่า
ยังไงมู่ซูฮวาผู้นี้ก็เป็นเพียงชายาที่สามีไม่สนใจ ดูเหมือนพระเหมสีเองก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเท่าไร ประกอบกับบ้านเกิดเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกล พระชายาผู้นี้จึงนับว่าไร้ญาติขาดมิตรโดยสิ้นเชิง ต่อให้ตายไปก็ไม่มีใครยินดียินร้าย!
ยิ่งความคิดดำมืดเท่าไรแววตาของเฉินเตี้ยนก็ยิ่งชั่วร้ายมากขึ้นเท่านั้น แววตาของนางน่ากลัวเสียจนซูฮวาที่เตรียมมาสู้รบปรบมือกับนางถึงกับกลัวจนต้องเซถอยหลังครึ่งก้าว
“เจ้า...เจ้าไม่สบายหนักมากเลยหรือ” กว่าคนตัวเล็กจะนึกได้ว่าควรกล่าวอะไรสักอย่างก็ปล่อยให้ความกลัวครอบงำจิตใจไปแล้วหลายส่วน
เดิมทีซูฮวาเตรียมมาแค่ถ้อยคำสำหรับสงครามน้ำลายเท่านั้น เขาไม่ได้เตรียมใจมารับสายตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารเช่นนี้ ร่างบางคลี่พัดขึ้นมาซ่อนใบหน้าครึ่งล่างอีกครั้งแต่คราวนี้ทำเพื่อลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ
แม่เจ้า! สตรีในต้าจินทำไมถึงมีดวงตาน่ากลัวเพียงนี้!?
“เฉินซื่อ! ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ” ซูฮวาไปต่อไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะเล่นสงครามน้ำลายด้วยแถมยังไม่มีความเคารพยำเกรงกันสักนิด
“พ่อของข้าเป็นถึงเสนาบดีกรมอาญา หากข้าเจ็บป่วยเขาย่อมส่งยามาให้ พระชายาไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง” เฉินซื่อพูดพลางทำท่าเหมือนจะลุกขึ้น ร่างของนางซวนเซเล็กน้อยเพื่อให้สมบทบาทคนแกล้งป่วย สาวใช้ทำท่าจะเข้าไปประคองแต่นางปรายตาปรามเอาไว้
“โอ๊ะ...” เฉินซื่อที่แกล้งยืนไม่ไหวเซมาทางร่างบางที่ยืนถือพัดครุ่นคิดว่าจะทำอะไรต่อไปดี เพราะกำลังเหม่อซูฮวาเลยไม่ทันตั้งตัวโดนนางล้มใส่เต็มๆ โชคดีที่ซูฮวาไม่เสียหลักล้มลง
“พระชายาจะทำอะไรหม่อมฉันเพคะ ปล่อยนะ ว๊าย!” เฉินเตี้ยนร้องตะโกน
“ฮะ...” ในขณะที่ซูฮวากำลังจับต้นชนปลายไม่ถูกสตรีที่แกล้งป่วยก็เริ่มใช้เล็บยาวๆ ของนางจิกข่วนร่างบางไปทั่วพลางป้องปากร้องตะโกนไปด้วย
“ใครอยู่ข้างนอกรีบเข้ามาเร็ว พระชายาลวนลามข้า!!”
“ฮะ...”
หลังจากได้ยินเฉินซื่อตะโกนออกไปแบบนั้นซูฮวาก็ตระหนักได้ในทันทีว่าการต่อสู้คราวนี้ตนเป็นฝ่ายแพ้แล้ว นอกจากแขนกับคอจะโดนเล็บของนางข่วนเป็นรอย บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่นอกห้องก็รีบกรูกันเข้ามาพบว่าพวกเขาสองคนยืนอยู่เกือบแนบชิดกัน
สายตาทุกคู่มองมายังซูฮวาด้วยความตกใจ
พวกเขาวางใจปล่อยให้ซูฮวาซึ่งเป็นบุรุษเข้ามาในห้องนอนของเฉินซื่อก็เพราะคิดว่าซูฮวางามกว่าเฉินซื่อหมื่นเท่าพันเท่าไม่น่าเกิดอารมณ์พิศวาสกับนางได้ แม้แต่พ่อบ้านเจียงยังอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก กว่าเขาจะได้สติพระชายาน้อยก็โดนเฉินซื่อข่วนไปหลายแผล
“เหอะๆ” ซูฮวาสติหลุดไปแล้ว
ร่างบางเดินเตาะแตะไปหาหลี่หมิงกับเสี่ยวซุนที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้อง ในขณะที่บ่าวไพร่คนอื่นกรูกันเข้าไปหาเฉินซื่อ
“แพ้ซะแล้ว” ร่างบางพูดเสียงจ๋อยก้มหน้างุด
หลี่หมิงอยากจะร้องไห้ผสมอยากจะจับเจ้านายมาตีเสียให้เข็ด เป็นอย่างไรล่ะ กะจะมาหาเรื่องเขาแต่ตัวเองดันโดนเข้าเต็มๆ แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้านผอมกะหร่องพยายามท้าสู้กับพี่หูโปร่างยักษ์เลยสักนิด ไม่รู้จักเจียมกะลาหัว! นางถอนหายใจเบาๆ ก่อนดึงร่างของพระชายาที่วันนี้แต่งตัวอลังการเป็นพิเศษเข้ามากอดปลอบ
เสี่ยวซุนเห็นนายของตนเหี่ยวเฉาเช่นนั้นก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเฉินซื่อต้องใส่ร้ายพระชายาแน่ๆ จึงฮึดฮัดออกหน้า
“นางมารร้าย! เจ้ากล้าใส่ความพระชายาเหรอ! ยังมัวยืนบื้อกันอยู่อีก รีบลากตัวนางออกมารับโทษเร็ว!!” สิ้นเสียงของเขาพวกที่ยืนบื้อก็ยังคงยืนบื้อ ส่วนพวกที่เข้าไปปลอบเฉินซื่อก็ยังคงปลอบต่อไป
สายสัมพันธ์สี่ปีที่เฉินเตี้ยนอยู่ในวังแห่งนี้มาไม่อาจลบล้างได้ในคืนเดียว เสี่ยวซุนโกรธจนหน้าแดงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในขณะที่บ่าวหลายคนซึ่งยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเฉินซื่อก็ไม่ได้มีอำนาจอะไรมาลงโทษพระชายาที่พยายามลวนลามฮูหยินเช่นกัน
สุดท้ายเรื่องก็จบลงตรงที่พวกซูฮวาสามคนเดินคอตกกลับมาที่ห้องบรรทมของพระชายา
“เฉินซื่อฝีมือร้ายกาจนัก” คนตัวเล็กกล่าวเสียงหงอย
“ท่านอ่อนหัดเกินไปต่างหาก...” หลี่หมิงรู้สึกเครียด
เสี่ยวซุนนั้นเป็นบุรุษที่ไม่สันทัดกับมารยาของสตรี เขาเกลียดผู้หญิงอย่างเฉินซื่อที่สุดยิ่งมาทำกับเจ้านายของเขาแบบนี้ชายหนุ่มก็ได้แต่เดินหัวเสียไปมา รอบๆ
“เสวยอาหารเช้าดีกว่าเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันไปอุ่นให้” หลี่หมิงเอาเรื่องกินมาล่อ
ทว่ามู่ซูฮวาผู้พ่ายแพ้กลับส่ายหน้าอืดๆ ไปมา “ไม่หิว”
“งั้นออกไปเดินเล่นข้างนอกกันดีไหมเพคะ” ในเมื่อของกินล่อไม่สำเร็จก็ต้องยกการเที่ยวเล่นมา
ร่างบางยังคงส่ายหน้าไปมา เลื้อยตัวลงกับเก้าอี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก “ไม่ไป”
“ได้ยินว่าสวนไผ่ริมแม่น้ำของเมืองเงียบสงบและงดงามมาก บรรยากาศเหมาะแก่การอ่านตำรา พระชายาไม่ลองไปดูล่ะเพคะ เผื่อว่าจะใช้เป็นที่สำหรับอ่านหนังสือ”
“สถานที่ดีๆ แบบนี้เหตุใดถึงเงียบสงบได้เล่า ผู้คนไม่แห่ไปกันเต็มหรือ” พระชายาช่างใฝ่รู้ใฝ่เรียนยิ่งนัก เรื่องกินเรื่องเที่ยวไม่สน แต่พอพูดถึงเรื่องเรียนก็ตาเป็นประกายทันที
“เห็นว่าเป็นที่ดินของเทียนชินอ๋อง สามัญชนจึงไม่สามารถเข้าไปได้เพคะ” หลี่หมิงตอบ
“เทียนชินอ๋อง...” ซูฮวานิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนร้องอ้อออกมา “น้องชายร่วมอุทรของหานชินอ๋องงั้นหรือ”
“เพคะ”
“งั้นเจ้าส่งคนไปขออนุญาตจากเขาก่อน ช่วงบ่ายเราค่อยไปกัน”
เทียนชินอ๋องเป็นน้องชายแท้ๆ ของหานชินอ๋องซึ่งเกิดจากอดีตพระมเหสีหาน
ได้ยินมาว่าอดีตพระมเหสีสิ้นพระชมน์ก็เพราะว่าพระนางเสียเลือดจากการคลอดเทียนชินอ๋องมากเกินไป หากมารดาของเขาเป็นสตรีชาวบ้านธรรมดาก็แล้วไป แต่พระนางเป็นถึงมารดาของแผ่นดินทำให้ชีวิตของเทียนชินอ๋องตกระกำลำบาก กล่าวโดยสรุปก็คือเทียนชินอ๋องผู้นี้โดนประชาชนทั้งต้าจินตราหน้าว่าเป็นตัวกาลกิณีนั่นเอง
“สองพี่น้องช่างน่าสงสาร...” คิดมาถึงจุดนี้ซูฮวาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา
ในขณะที่หลี่หมิงได้แต่เถียงในใจว่า ท่านนั่นแหละน่าสงสารที่สุด! ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ!?
-------------------------------------
#มาลาสุราลัย
ใครบางคนก็ค่าตัวแพงจั๊งงง
-
โอ๋ๆนะ
-
ชอบมากมาลงอีก :hao5:
-
พระเอก ทาชะทีเหอะ สงสาร พระชายา
-
ทำไงดี ต้องระวังตัวมากๆ มีสติ อย่าตกเป็นเหยื่อ
ต้องสวยต้องงามแบบมีสมองและรอบคอบ
จะปล่อยให้ใครมากระทำหรือใหญ่กว่ามิได้
ฉุนแทน ต้องเอาคืนให้ได้นะเพคะพระชายา
-
:pig4:
น่าสงสารอ่ะ
:เฮ้อ:
-
เหมือนจะเจอนิยายสนุกรอติดตามจ้า :hao7:
-
บทที่๕
“โอ๊ย เสี่ยวซุนไม่ได้เรื่องเลย!” มู่ซูฮวากระแทกเสียงอย่างขัดใจ ร่างบางโยนกระบี่ในมือทิ้งก่อนจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น มือเรียวปัดเศษดินและใบไม้ที่เปื้อนเสื้อไปหมดอย่างอารมณ์เสีย
สามวันแล้วที่ซูฮวาและพวกมาใช้เวลาอยู่ในสวนไผ่ของเทียนชินอ๋อง แรกเริ่มเดิมทีพระชายาน้อยมาที่นี่เพื่ออ่านตำราแต่พอมาเห็นพื้นที่จริงก็พบว่ามันเหมาะแก่การฝึกวิชาบู๊เป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นคนงามจึงสั่งให้เสี่ยวซุนกลับไปหอบกระบี่มาจากวังอ๋องเพื่อใช้ฝึกจริง
โดยพื้นฐานแล้วซูฮวาเป็นคุณชายที่บุ๋นไม่เอาไหนบู๊ห่วยแตกแต่หลี่หมิงไม่คิดว่าซูฮวาจะไม่ได้เรื่องถึงขนาดเจอเสี่ยวซุนฟาดคมดาบใส่ทีหนึ่งก็ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่าแล้ว เธอกับเสี่ยวซุนพยายามโน้มน้าวให้ผู้เป็นนายหันมาอ่านตำราตามความตั้งใจแรกเริ่มแต่ซูฮวากลับดื้อนัก
“ขอประทานอภัยอย่างสูงพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไม่มีฝีมือจึงไม่สามารถสอนพระชายาได้ ถ้ายังไงพระชายาเปลี่ยนไปอ่านตำราแทนดีไหมพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวซุนไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือรีบเข้ามาคุกเข่ายื่นหนังสือที่หอบมาจากวังอ๋องให้ร่างบาง
ดวงตาคู่กลมมองหนังสือสลับกับกระบี่ในมือไปมา
“ข้าอยากฝึกวรยุทธนี่...” พระชายาน้อยกล่าวเสียงอ่อย
“แต่ว่า---“หลี่หมิงกำลังจะเดินเข้ามาช่วยเสี่ยวซุนไกล่เกลี่ยทว่าซูฮวากลับเอ่ยขัดขึ้นก่อน
“ความจริงข้าเคยฝึกกระบี่มาบ้างเพราะท่านพ่อต้องการให้ข้ามีวิชาติดตัวไว้ป้องกันตัว แต่เพราะไม่ใช้นานประกอบกับมีคนจ้องมองทำให้ข้าตื่นเต้น เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้าถอยไปก่อน ข้าขอฝึกวิชาคนเดียว” กล่าวจบก็พเยิดหน้าไปทางศาลาไม้หลังใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง
“มัวยืนอยู่อีก ข้าบอกให้พวกเจ้าไปนั่งรอในศาลาไง”
“กระหม่อมต้องถวายการอารักขาพระชายา” เสี่ยวซุนแย้ง
“ข้าจะไปฝึกอยู่ริมแม่น้ำตรงโน้น ใกล้นิดเดียวหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะส่งเสียงเรียกพวกเจ้าเอง ที่สำคัญนี่คือที่ดินส่วนตัวของชินอ๋องจะมีใครกล้าเข้ามาทำร้ายข้ากัน” ศีรษะที่วันนี้ไม่ได้ประดับเครื่องตกแต่งมาส่ายเบาๆ ก่อนรอยยิ้มหวานจะปรากฏตรงมุมปากของคนงามอย่างประจบประแจง
“นี่เป็นความฝันของข้าแต่เด็กแล้ว พวกเจ้าอย่าห้ามเลย นะๆๆ” เจอสีหน้าแววตาแสนสุดจะออดอ้อนเข้าไปสองบ่าวก็ได้แต่ยกธงขาวยอมแพ้
ร่างบางร้องเย้ออกมาไม่เบาไม่ดังก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ไปยังริมแม่น้ำซึ่งแอบเล็งเอาไว้นานแล้วว่าจะไปฝึกตรงนั้น ปล่อยให้หลี่หมิงกับเสี่ยวซุนชะเง้อคอมองตามอย่างเป็นห่วง ในขณะที่คนที่ทำให้ชาวบ้านเขาเป็นห่วงพอพ้นสายตาคนปุ๊บก็เริ่มวาดกระบี่ในมือออกกระบวนท่าตามที่เคยร่ำเรียนมาสมัยเด็กๆ
มู่ซูฮวาจำเป็นต้องฝึกออกกระบวนท่าเดิมๆ ซ้ำไปมาอยู่ครึ่งชั่วยามกว่าร่างกายจะรื้อฟื้นความทรงจำ สืบเนื่องมาจากร่างกายของเจ้าตัวอ่อนกะปวกกะเปียกไม่ค่อยมีกำลังวังชาเป็นทุนเดิมหลังจากฝึกกระบวนท่าแรกเสร็จก็ลงไปนั่งหอบแฮกๆ อยู่กับพื้น
“หิวแล้ว” แถมยังใช้พลังงานไปจนหมด กระเพาะของพระชายาน้อยว่างแล้ว
แต่จะให้เดินกลับไปหาพวกหลี่หมิงตอนนี้ก็ใช้ที่ ร่างบางเหลียวมองไปยังทิศที่มีศาลาไม้อยู่ หากเขากลับไปตอนนี้ละก็เจ้าสองคนนั้นต้องตื๊อขอให้เลิกฝึก วรยุทธแล้วหันมาอ่านหนังสือแทนแน่ๆ
“ข้าอยากพิชิตใต้หล้านี่นา” สมัยเด็กตอนที่โดนท่านแม่จับอ่านหลักคุณธรรมของผู้เป็นภรรยาอยู่ในจวนคนเดียวนั้นซูฮวามักจะแอบเอานิยายประโลมโลกมาสอดไส้ แสร้งทำเป็นอ่านตำราแต่ความจริงแล้วอ่านเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นของโลกภายนอกอยู่
ตัวเอกในนิยายประโลมโลกพวกนั้นล้วนมีวรยุทธแก่กล้ากันทั้งนั้น ซูฮวาเองก็อยากเป็นบ้าง
แกร่บ
ในระหว่างที่กำลังนอนผึ่งอย่างหมดสภาพอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าปริศนาดังมาจากด้านหลัง
ทีแรกซูฮวาคิดว่าพวกหลี่หมิงมาหาก็เลยนอนแอ้งแม้งต่อไปเช่นนั้น ทว่าผู้มาใหม่กับมีน้ำเสียงทุ้มเข้มฟังดูไม่คุ้นหู
“ช่างไม่ระวังตัวเอาเสียเลยนะ”
“!?” ร่างบางรีบคว้ากระบี่ข้างตัวและลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็ว แต่พอเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ซูฮวาก็ลดกระบี่ในมือลง
“ท่านคือสหายของพี่หูโปกับพี่ถังเฟยนี่” คนตัวเล็กฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายวาววับยามจับจ้องใบหน้าคมคายของบุรุษตรงหน้า คราวก่อนชายผู้นี้จ่ายเงินค่าเสียหายให้พี่หูโปที่พังร้านซะเละเทะเสร็จก็เดินจากไปจึงยังไม่ได้ทำความรู้จักกันเลย มาวันนี้ยังมีโอกาสได้พบกันอีกซูฮวาจึงคิดว่าพวกตนน่าจะมีชะตาต้องกัน
“ข้ามู่ซูฮวา ขอทราบนามของท่านได้ไหม” ร่างบางทำท่าคารวะตามแบบฉบับของเหล่าจอมยุทธ
เห็นคนงามทำท่าทางเช่นนั้นแล้วคนมองก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ หลังจากที่บุรุษหน้าดุยืนพินิจร่างกายของพระชายาน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่นานจนคนโดนมองเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนเขาก็กล่าวออกมาเพียงสองคำสั้นๆ ว่า “หยางจิน”
“โอ้ ชื่อสกุลของท่านช่างมีความหมายยิ่งใหญ่นัก ไม่ทราบว่าหยางในที่นี้มาจากพระอาทิตย์ ส่วนจินมาจากชื่อของแคว้นต้าจินใช่หรือไม่” เดิมทีซูฮวาก็คิดว่าคุณชายท่านนี้มีกลิ่นอายของผู้มีอำนาจบารมีอยู่แล้ว เมื่อได้ยินชื่อสกุลของอีกฝ่ายก็อดกล่าวชื่นชมบิดามารดาผู้ตั้งชื่อให้เขาในใจไม่ได้
หยางจินแปลว่าผู้นำพาแสงสว่างมาสู่ต้าจิน
ช่างเป็นนามที่ยิ่งใหญ่ขนาดโอรสสวรรค์ฟังแล้วยังต้องอาย!
มู่ซูฮวามีสีหน้าตื่นเต้นยามนึกถึงความหมายของชื่ออีกฝ่าย แต่ตัวเจ้าของชื่อกลับขมวดคิ้วมุ่น บรรยากาศรอบตัวชวนอึดอัดขึ้นหลายระดับจนกระทั่งซูฮวาสังเกตเห็นจึงรีบเอ่ยแก้ “ขออภัยที่เสียมารยาท ความจริงแล้วท่านแซ่หยางชื่อจินดังนั้นความหมายของชื่อจึงไม่ได้เป็นดั่งที่ข้าเข้าใจสินะ”
“หึ”
“...”
คราวนี้เป็นฝ่ายคนงามบ้างแล้วที่ต้องขมวดคิ้ว เห็นผู้ชายคนนี้ทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ซูฮวาเลยรีบขอโทษ แต่พอขอโทษเสร็จอีกฝ่ายกลับแค่นเสียงหัวเราะใส่ราวกับกำลังเย้ยหยัน
“คุณชายจิน ท่านมีปัญหาอะไรกับข้าหรือเปล่า ข้าเข้ามารบกวนท่านหรือเปล่า” การที่อีกฝ่ายสามารถเดินล่อนในที่ดินส่วนตัวของเทียนชินอ๋องได้ก็แปลว่าเขาน่าจะเป็นคนรู้จักของเทียนชินอ๋องและอาจจะกำลังไม่พอใจที่ซูฮวามาฝึกกระบี่ต๊อกๆ อยู่ในที่ของเขา
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”
“คุณชายจิน” ร่างบางเหยียดหลังตรง ไม่รู้ทำไมยามสนทนากับคุณชายท่านนี้ตนจึงรู้สึกเกร็งราวกับกำลังถูกฝึกทหารอยู่
น่ากลัวมาก เป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่ทำความหล่อเสียของแท้ๆ หากไม่เอาแต่แผ่ไอสังหารอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ละก็ซูฮวามั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องติดทำเนียบอันดับบุรุษเมืองหลวงหน้าตาดีสามปีซ้อนแน่ๆ
“ข้าเรียกคุณชายจินไม่ได้หรือ แล้วจะให้ข้าเรียกว่าอะไร” ซูฮวาช้อนตามองคนตัวสูงกว่า ตามปกติแล้วไม่ว่าจะเก่งกล้ามาจากไหน ลองเจอสายตาละห้อยของเขาเข้าไปเช่นนี้ก็จอดไม่ต้องแจวกันแล้ว แต่ตรรกะทั้งหลายล้วนไม่สามารถนำมาใช้กับคุณชายที่กำลังจ้องร่างบางด้วยแววตาเย็นชาผู้นี้ได้
“เพ้ย! ท่านไม่คิดว่าตัวเองน่ากลัวเกินไปเหรอ เคยส่องกระจกแล้วสะดุ้งบ้างไหมเนี่ย” ในที่สุดพระชายาน้อยก็หมดความอดทน
คนโดนทักหรี่ตาก่อนจะร้องโอ้ออกมาเบาๆ ราวกับชื่นชมในความกล้าหาญของคนตัวเล็กที่บังอาจมายอกย้อนตนเช่นนี้
หยางจินก้มลงมองกระบี่ในมือบางก่อนจะชักกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอวของตนออกมาบ้าง การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ร่างบางกระโดดผล็อยถอยหลังไปไกลด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแค่ชักอาวุธออกมาเฉยๆ ดูไม่เหมือนจะมาทำร้ายกันก็เลยเดินเตาะแตะกลับมา
“ท่านจะท้าประลองกับข้าหรือ” ดวงตาคู่โตทอประกายแพรวพราว “ท่านเก่งไหม”
พอได้ยินซูฮวากล่าวถามด้วยความใส่ซื่อหยางจินผู้เคร่งขรึมถึงกับเสียอาการไปชั่วขณะ หางคิ้วของชายหนุ่มกระตุกเบาๆ คล้ายเกิดมาไม่เคยมีผู้ใดหาญกล้าถามเขาว่าท่านเก่งไหมมาก่อน
“ตั้งท่าซะ” ตอนที่หยางจินมาถึงก็เห็นว่าร่างบางนอนหอบแฮกอยู่บนพื้นแล้วเขาจึงไม่ทันเห็นฝีมือของคนตัวเล็ก แต่ถ้าจะให้ประเมินละก็หยางจินไม่ได้คาดหวังกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
เห็นคนอายุน้อยกว่าตั้งแต่อย่างกระตือรือร้นแล้วก็ได้แต่บอกให้อีกฝ่ายเริ่มโจมตีมาก่อน
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากหยางจินแล้วซูฮวาก็เปิดฉากบุกทันที ทั้งนี้กระบวนท่าที่พระชายาน้อยฝึกปรือจนเชี่ยวชาญนั้นมีเพียงกระบวนท่ารุกหนึ่งท่าและรับอีกหนึ่งท่าเท่านั้น ดังนั้นการต่อสู้กับหยางจินในครั้งนี้ร่างบางจึงหยิบเอาสองกระบวนท่านี้มาใช้วนไปเวียนมา
เรี่ยวแรงที่ฟาดฟันมานั้นช่างเบาหวิว ท่วงท่าก็เดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา แต่ในดวงตาคู่งามกลับฉายประกายแห่งความมุ่งมั่นอันแรงกล้า หยางจินใช้มือเพียงข้างเดียวในการปัดป้องและโจมตีกลับเล็กน้อยๆ ราวกับหมาหยอกแมว คู่ต่อสู้ที่ฝีมือห่างกันขนาดนี้เขาไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงอะไรเลย
ทั้งๆ ที่เห็นความต่างขนาดนี้แต่เจ้าคู่ต่อสู้ตัวน้อยกลับทำสีหน้าเหมือนกำลังมองหาวิธีเอาชนะเขาอยู่
“ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย เด็กน้อยเอ๋ย” หยางจินกล่าวด้วยรอยยิ้ม คล้ายกำลังเย้ยหยันแต่ในนั้นกลับเจือแววชอบใจ
สุดท้ายชายหนุ่มก็ปัดกระบี่จนหลุดจากมือของซูฮวา
ร่างบางมองไปยังทิศที่กระบี่ของตนกระเด็นไป มองเช่นนั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉยสักพักก่อนจะฉีกยิ้มออกมา “ข้าช่างเก่งกาจเหลือเกิน! แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าพรสวรรค์”
“หะ...” หยางจินเสียมาดอีกครั้ง ชายหนุ่มถึงกับหลุดคำอุทานออกมาเบาๆ แต่เสียงตกใจของเขาคงเบาเกินไปคนที่กำลังหัวเราะคิกคักกล่าวชื่นชมตัวเองไม่หยุดปากจึงไม่ได้ยิน
“ข้าเก่งใช่ไหม” กล่าวชมตัวเองอย่างเดียวไม่พอ พระชายาน้อยยังหันมาหาแนวร่วมอีกด้วย
หยางจินคร้านจะต่อปากต่อคำกับคนตัวเล็กกว่าแล้ว ชายหนุ่มเก็บกระบี่เข้าฝักและทำท่าเหมือนจะเดินจากไป ทว่าเขากลับโดนคนตัวเล็กกระโจนมาขวางหน้าไว้ก่อน “เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนข้าประลองกับเสี่ยวซุนข้ายังไม่ทันได้เหวี่ยงดาบก็ล้มกลิ้งไม่เป็นท่าเพราะว่าเขาเป็นแต่บุกเข้ามา ไม่เหมือนกับท่านที่เว้นจังหวะให้ข้าตั้งหลักอยู่เสมอ ที่ข้าสามารถสู้ได้ขนาดนี้ก็เพราะท่านมองฝีมือของข้าออกและปรับลดกำลังของตนลงมาให้ไม่กดข่มข้าจนหน้าหงาย”
ร่างบางลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นดังตุบ
“ท่านช่างเป็นยอดคนในยอดคน! ได้ประมือกันก็รู้ว่าแท้จริงแล้วท่านมี วรยุทธลึกล้ำราวกับก้นสมุทรที่ไม่มีสิ้นสุด!” เสียงหวานกล่าวคำเยินยอออกไปหนึ่งชุด “ดังนั้นท่านช่วยรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด!”
“...”
ชายหนุ่มที่ถูกคุกเข่าขอคารวะเป็นอาจารย์แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเคร่งขรึมเหมือนเดิม การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของมู่ซูฮวา ร่างบางเห็นว่าคนเด็ดขาดอย่างเขาไม่กล่าววาจาตัดรอนออกมาในทันทีก็แปลว่าตนมีโอกาสอยู่บ้าง
“นะ ท่านอาจารย์จิน นะๆๆๆ” ไม้ตายเด็ดก้นหีบของพระชายาน้อยนามว่ากระบวนท่าส่งสายตาออดอ้อนและเสียงนะๆ ในตำนานถูกงัดออกมาใช้อีกครั้ง บอกตามตรงว่ากระบวนท่านี้เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าวิชาดาบของสำนักไหนในใต้หล้า โอกาสโจมตีสำเร็จคือสิบเต็มสิบ แต่อนิจจาร่างสูงเจ้าของใบหน้าดุดันกลับไม่รวมอยู่ในสิบเต็มสิบที่ว่า
“เจ้าจะฝึกวิชาบู๊ไปเพื่ออะไร” เสียงทุ้มกล่าวถามเรียบๆ
“แต่เล็กจนโตข้าถูกท่านแม่เลี้ยงดูมาเยี่ยงสตรี ได้แต่เฝ้ามองเด็กชายคนอื่นวิ่งเล่นปีนป่ายต้นไม้ในขณะที่ตนเองต้องมานั่งท่องหลักสี่คุณธรรม อ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักผิดชอบชั่วดี เชื่อฟังผู้อื่นเป็นสำคัญ ใช้ชีวิตเพื่อบุรุษเมื่อออกเรือนชีวิตของข้าก็เหมือนตกเป็นของสามี...” กล่าวไปกล่าวมาจากใบหน้าสดใสยามพบอาจารย์ยอดฝีมือบัดนี้พระชายาคนงามเบะปากคล้ายจะร้องไห้
“ข้าอยากเป็นอย่างพี่รองที่เก่งบู๊และบุ๋นแต่ข้าไม่มีโอกาสได้เรียนอะไร สักอย่าง มาวันนี้ข้าได้รับอิสระแล้วข้าอยากทำตามความปรารถนาของตนเอง สักตั้ง กลางวันเรียนวิทยายุทธกับท่าน ตกกลางคืนอ่านตำราเพื่อสอบเป็นบัณฑิต!” ข่าวดีอีกข้อสำหรับซูฮวาก็คือภรรยาชายในแคว้นต้าจินสามารถสอบเป็นขุนนางได้เหมือนบุรุษทั่วไป
“นะ...” ขอร้องขนาดนี้แล้วอีกฝ่ายยังคงใจแข็งอยู่เลย เสียงหวานอ่อยลงเรื่อยๆ แล้ว
“ข้ามีงานต้องทำ”
“ไม่ต้องทุกวันก็ได้ วันเว้นวัน...ไม่สิ วันเว้นสองวันก็ได้!”
“เจ้าจงมาที่นี่ทุกวัน หากข้ามีเวลาว่างเมื่อใดจะแวะเวียนมาชี้แนะ” หยางจินกล่าวออกมาในที่สุด
คำตอบของชายหนุ่มร่างสูงสร้างความพึงพอใจแก่พระชายาน้อยเป็นอย่างยิ่ง
“ซูฮวาขอคารวะท่านอาจารย์!!” ร่างบางก้มหัวคารวะอาจารย์งกๆ
ความไม่ถือตนแม้แต่น้อยของซูฮวาอยู่ในสายตาของผู้มองอยู่ตลอด หยางจินบอกให้ซูฮวาลุกขึ้นยืน
“เจ้ามาที่นี่ลำพังหรือ”
“ข้ามากับหลี่หมิงแล้วก็เสี่ยวซุน พวกเขารออยู่ที่ศาลา ท่านจะไปนั่งพักด้วยกันหน่อยไหม” ร่างบางไม่รอช้า เดินกระโดดอย่างมีความสุขไปยังทิศที่ทิ้งบ่าวทั้งสองเอาไว้ และเมื่อกลับมาถึงศาลาซูฮวาก็พบว่าพวกเสี่ยวหมิงกำลังนั่งกินขนมกันอยู่อย่างเอร็ดอร่อย
ผู้ที่นำขนมมาให้ก็ไม่ใช่ใครอื่น พี่ถังเฟยคนนั้นนั่นเอง
“เสร็จแล้วหรือ” พอถังเฟยเห็นพวกเขาเดินกลับมาก็เอ่ยทักท่านอาจารย์ของซูฮวาทันที
คนตัวสูงพยักหน้าแทนคำตอบ
“กลับเลยหรือว่าจะอยู่ต่อ” น้ำเสียงของถังเฟยคราวนี้เปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายเจือความหยอกล้ออยู่หลายส่วน
“กลับ”
พอได้ยินหยางจินตอบเช่นนั้นบุรุษที่มีนิสัยขี้เล่นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง เขาหันมากล่าวทักทายซูฮวาสองสามประโยคก่อนจะเดินตามหยางจินไป
ยังไม่ทันคล้อยหลังออกมาถังเฟยก็ได้ยินเสียงหวานตะโกนไล่หลังมาว่า “ท่านอาจารย์จิน โปรดรักษาสุขภาพด้วย”
“อาจารย์จิน?” ถังเฟยหันไปแสดงความสงสัยใส่หยางจินทันที
“เด็กคนนั้นคารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว”
“ถึงเรื่องที่พระชายาน้อยคารวะท่านเป็นอาจารย์จะน่าตกใจก็เถอะ แต่ข้าติดใจว่าทำไมท่านซูฮวาถึงเรียกท่านว่าจินเฉยๆ อย่าบอกนะว่าท่านหลอก พระชายาน้อยว่านามของท่านคือจิน?”
คนโดนซักไซ้ส่ายหน้าอย่างรำคาญใจ “ข้าแนะนำตัวว่าหยางจิน”
หยางจินไม่ได้หลอก แค่พูดไม่หมด
“ฮะๆๆ คนงามของท่านจะเข้าใจผิดคิดว่าท่านแซ่หยาง นามจินก็ไม่แปลกแล้ว ทำไมท่านไม่บอกพระชายาน้อยไปตรงๆ เล่าว่าท่านคือหานชินอ๋อง ไท่ติงหยางจิน “ในแผ่นดินต้าจินแห่งนี้มีคนต่างตระกูลที่ใช้แซ่ซ้ำกันมากมาย อย่างแซ่หลี่ จาง หรือหวังนี่มองไปทางไหนก็เจอ แต่ไท่ติงนั้นเป็นแซ่ที่ต่างออกไป มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่ใช้ได้ หากเอ่ยออกไปว่ามีแซ่ไท่ติงต่อให้เป็นคนป่าหลังเขามาจากไหนก็รู้จัก
กล่าวจบถังเฟยก็หัวเราะออกมาจนตัวคดตัวงอ เรียกสายตาอำมหิตจากบุรุษที่เดินอยู่ข้างๆ ได้เป็นอย่างดีแต่ทว่าถังเฟยติดตามชายคนนี้มานานจนหนังหนาหน้าทนไม่กริ่งเกรงต่อสายตาที่เหมือนจะไม่พอใจแต่ดันมีความประหม่าเจือมาด้วยจางๆ เช่นนี้หรอก
ตอนจ่ายเงินชดใช้ให้หูโปที่ร้านเมื่อวันก่อนหยางจินน่ากลัวกว่านี้นัก
“ท่านคิดเปลี่ยนใจจะกลับบ้านสักหน่อยไหม” ถังเฟยถามเข้าประเด็น
-------------------------------
จิตใจของพี่หานช่างซับซ้อนแปดตลบ แม้แต่นิคโค่ก็ไม่เข้าใจ เป็นผัวดีๆไม่ชอบ ชอบเป็นอาจารย์สอนวรยุทธมากกว่า 5555
#มาลาสุราลัย
-
น่ารัก น่ารัก อ่านแล้วอดยิ้มไม่ได้
หยางจินก็หยางจินเหอะ
ไม่นาน ไม่นาน
ท่านจะต้องตกหลุมรักพระชายาของท่านเอง
สนุกมาก มาต่อไวๆ นะคะ
-
:เดี๋ยวก็หลงเสน่ห์ความน่ารัก
-
พระเอกเก๊กจังค่ะ :hao7:
-
อยากรู้ว่าจะตกหลุมรักพระชายายังไง อิอิ
-
:pig4:
ท่านอาจารย์จิน ท่านอย่าลืมสุภาษิต สมภารไม่กินไก่วัดนะท่าน
ทำมาเมี่ยงๆมองๆ
:hao3:
:3123:
-
เอ็นดูวว พระชายาน้อย 555555
ลูกศิษย์เด๋อๆ น่ารัก ท่านอาจารย์หวั่นไหวมั้ยย :hao3:
-
ฮ่วยพระเอกค่าตัวแพงจังออกมาแป๊บเดียว แต่นายเอกนี่เกินเยียวยาละสมงสมอง
-
คำเตือน 1.นายเอกเรื่องนี้สวยเกินความจำเป็นไปมาก สวยเหลือเฟือ สวยใสและไม่ค่อยมีสมองเท่าไหร่
2.นิยายเรื่องนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของยุคโบราณ ไม่สามารถนำตรรกะ สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ชนชั้นในศตวรรษที่21มาตัดสินการกระทำและแนวคิดของตัวละครได้
.......................................................
บทที่๖
“ท่านอาจารย์ไม่มาเลยน้อ” นับตั้งแต่วันที่คารวะฝากตัวเป็นศิษย์กับอีกฝ่ายก็ผ่านมาเจ็ดวันแล้วแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของหยางจินเลย
ยังไงซูฮวาก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วเจ้าตัวจึงออกจากวังอ๋องเพื่อมานั่งอ่านตำรารออีกฝ่ายทุกวัน ตั้งใจว่าจะเข้าสอบการสอบถงชื่อที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า แต่อย่างไรก็ตามซูฮวาก็ยังคงชะเง้อคอมองหาท่านอาจารย์ผู้สัญญาว่าจะแวะเวียนมาเมื่อมีโอกาส
“หลี่หมิง ทำไมท่านอาจารย์จินจึงไม่มาเสียที” หลังจากนั่งอ่านต่อได้อีกสักพักเสียงหวานก็ครวญครางออกมาอีกครั้ง ชักกระบี่ประจำกายออกจากฝักและใช้มันเขี่ยพื้นไปมาจนได้อักษรคำว่าอาจารย์ออกมาหนึ่งตัว
หลี่หมิงได้แต่ยิ้มแห้ง นางจะไปทราบได้อย่างไรว่าอาจารย์จินทำไมถึงไม่ยอมมา ความจริงนางยังแทบไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าบุรุษผู้นั้นจะยอมรับ พระชายาที่ไม่ได้เรื่องผู้นี้เป็นศิษย์
“พระชายาไม่ทราบจริงๆ หรือเพคะว่าเขาเป็นใคร” หากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครอยู่ที่ไหนก็ยังพอไปตามตัวได้
“ข้ารู้แค่ว่าเขาคือหยางจินที่มีวรยุทธสูงส่ง” คนงามก้มหน้าเบะปาก วันนี้ซูฮวาคิดว่าท่านอาจารย์ของตนก็ไม่น่ามาอีกจึงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ารุ่มร่ามสีขาวสลับฟ้า ติดเครื่องประดับสีทองมีมุกสีขาวแซมดูสง่าสูงส่งเกินกว่าจะมานั่งเขี่ยกระบี่เป็นคำว่าอาจารย์อยู่ในป่าไผ่อย่างหงอยเหงา
“เราเข้าไปเที่ยวในเมืองกันดีไหม” ในที่สุดเส้นความอดทนของพระชายาน้อยก็ขาดผึง
หลี่หมิงกับเสี่ยวซุนที่เบื่อตั้งแต่วันที่สามแล้วฉีกยิ้มกว้างรีบช่วยกันเก็บของทันที แล้วหลังจากนั้นทั้งสามคนก็เดินออกจากสวนไผ่ เที่ยวเล่นซื้อขนมเข้าร้านน้ำชาฟังการแสดงกู่ฉินกันอย่างแสนสำราญ กระทั่งเสี่ยวซุนจอมทึ่มนึกอะไรบางอย่างออก “ตายละ ข้าลืมเก็บพัดของพระชายามาด้วย”
สิ้นคำเขาก็โดนหลี่หมิงเขกหัวไปหนึ่งครั้ง “เจ้าโง่เอ๊ย กลับไปเอามาเลย”
เสี่ยวซุนทำท่าจะวิ่งกลับไปยังป่าไผ่คนเดียวถูกซูฮวาเรียกไว้ก่อน “เจ้าจะวิ่งกลับไปหรือ มันไม่ใช่ใกล้ๆ เลยนะ เอาม้าไปสิ” ซูฮวาชี้ไปยังม้าที่ใช้เทียมเกี้ยวอยู่ คนขับเกี้ยวเห็นพระชายาชี้นิ้วไปก็เลยรีบดึงม้าออกมาเพราะคิดว่าพวกซูฮวาจะกลับวังอ๋องแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยแข็งแรง ระยะทางเท่านี้สามารถวิ่งไปได้”
ได้ยินเสี่ยวซุนอวดอ้างว่าตนแข็งแรงแล้วซูฮวากับหลี่หมิงก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อถือ เสี่ยวซุนถูกดูหมิ่นจึงหน้าแดงแต่ยังไม่ทันกล่าวอะไรซูฮวาก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “งั้นก็กลับไปเอาพัดกันทั้งสามคนนี่แหละ ยังไงนั่นก็พัดของข้า ข้าย่อมมีส่วนผิดด้วย”
เสี่ยวซุนน้ำตาแทบกระเด็น เขาไม่คิดเลยว่าเจ้านายของตนจะเมตตาต่อบ่าวไพร่ถึงเพียงนี้
และแล้วซูฮวากับหลี่หมิงก็ปีนขึ้นไปบนรถม้า เสี่ยวซุนขึ้นไปนั่งด้านหน้าข้างคนขับเขาบอกคนขับว่าให้กลับไปทางป่าไผ่นั่นอีกครั้ง กว่าคณะเดินทางของพระชายาจะเดินทางกลับมาถึงป่าไผ่พระอาทิตย์ก็ใกล้ตกดินแล้วทั้งสามคนจึงรีบวิ่งเข้าไปกะว่าจะรีบกลับออกมาก่อนที่ฟ้าจะมืด
แต่ปรากฏว่าที่ศาลาไม้หลังนั้นกลับมีร่างสูงของชายคนหนึ่งนั่งรออยู่
บรรยากาศรอบตัวของชายคนนั้นช่างมาคุเนื่องจากเจ้าตัวกำลังอารมณ์ไม่ดี และเมื่อเขาได้ยินเสียงของต้นเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีหยางจินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“ท่านอาจารย์จิน!!” ร่างบางวิ่งฮั่กๆ เข้าไปหาบุรุษที่ตนเฝ้ารออยู่หลายวันกลับไม่เห็นแม้แต่เงา พอวันที่ตนไม่ได้อยู่รออีกฝ่ายกลับโผล่มา “ท่านอาจารย์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าขอโทษ!”
นัยน์ตาคู่คมประดุจเหยี่ยวตวัดมองร่างบางในชุดอันฟูฟ่อง ดูอย่างไรก็ไม่ใช่การแต่งกายของคนที่ตั้งใจมาฝึกดาบ
“เจ้าดูไม่เหมือนคนที่ไม่พอใจมารดาที่เลี้ยงดูเจ้ามาเยี่ยงสตรีเลยนะ” เปิดปากคำแรกก็ตำหนิกันทันที
ร่างบางทรุดเข่านั่งแหมะลงกับพื้นท่าทางน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง “ก็ข้าใส่แบบนี้จนชินแล้วนี่”
ได้ยินเสียงหงิงๆ ของผู้เป็นนายแล้วเสี่ยวซุนกับหลี่หมิงก็ได้แต่เบือนหน้าไปทางอื่น แม้จะไม่ทราบว่าคุณชายหยางจินผู้นี้เป็นใครมาจากไหนแต่ในเมื่อซูฮวาตัดสินใจฝากตัวเป็นศิษย์กับอีกฝ่ายแล้วก็แปลว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่บ่าวอย่างพวกเขาจะสามารถสอดมือเข้าไปยุ่งได้
“เจ้าไปไหนมา” หยางจินถาม
“ไปกินเกี๊ยว ดื่มชากับขนมเปี๊ยะ แล้วก็ประชันกลอนกับบัณฑิตฝีมืออ่อนในร้านน้ำชา” ซูฮวาก้มหน้าตอบ ความภาคภูมิใจที่ตนเองสามารถโต้กลอนชนะเจ้าหน้าอ่อนที่ร้านน้ำชานั่นได้มลายหายไปสิ้น
“ดูเหมือนเจ้าจะเหมาะกับการเป็นบัณฑิตมากกว่านะ จะมัวมาเสียเวลาฝึกวิชาต่อสู้กับข้าไปทำไม” มองจากแคว้นอันผิงมายังรู้ว่าผู้พูดกำลังไม่พอใจอย่างแรง
ซูฮวาทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้าเจื่อน “หากท่านคิดว่าข้าเหมาะกับบุ๋นมากกว่าท่านจะสอนตำราข้าเป็นหลักแทนก็ได้ เอาไว้ยามว่างพวกเราค่อยประลองยุทธกันเล็กๆ น้อยๆ”
หยางจินไม่เข้าใจว่าเขาสื่อสารไม่ชัดเจนตรงไหน เหตุใดเจ้าเด็กตรงหน้าถึงได้เหมารวมให้เขาเป็นอาจารย์สอนทั้งวิชาบู๊และบุ๋นไปได้ ที่ตกลงกันไว้ตอนแรกคือให้สอนแค่วิชาต่อสู้ไม่ใช่เรอะ!?
“ซูฮวา...”
“ขอรับท่านอาจารย์”
พอเห็นว่าคนตัวเล็กที่กำลังนั่งคุกเข่าอย่างสำนึกผิดอยู่บนพื้นช้อนตาขึ้นมามองด้วยแววตาแสนจะน่าสงสารหยางจินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าประสาทสัมผัสอันฉับไวของเขากลับสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มหนึ่งเข้า
มือหนารีบฉุดให้ร่างบางลุกขึ้นยืนและเอามาซ่อนไว้ข้างหลังตน
เมื่อเห็นว่าหยางจินชักกระบี่ออกมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมแม้จะยังปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ได้เลยแต่เสี่ยวซุนก็รีบทำตามบ้างโดยเขาเอาตัวเองไปบังหลี่หมิงเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้น” สตรีเพียงคนเดียวในที่นี้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น และแล้วคำตอบก็ปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้านาง
พวกซูฮวาถูกกลุ่มชายชุดดำปิดหน้าปิดตาในมือมีอาวุธล้อมเอาไว้ นับหัวดูแล้วน่าจะมีประมาณห้าคน แม้คนจำนวนนี้จะไม่มากแต่ยังไงก็มากกว่าพวกซูฮวาอยู่ดี ยิ่งทางฝั่งนี้มีผู้หญิงกับพระชายาน้อยที่ใช้การไม่ได้รวมไปถึงนายทหารต๊อกต๋อย กล่าวไปกล่าวมาสรุปก็คือคนที่ดูพึ่งพาได้มีแค่หยางจินคนเดียวเท่านั้น
“ท่านไปสร้างความแค้นไว้ให้ใครงั้นหรือ” สิ่งแรกที่ซูฮวาทำก็คือหันไปถามผู้เป็นอาจารย์เนื่องจากเจ้าตัวมั่นใจว่าไม่เคยไปสร้างศัตรูไว้ที่ไหน
“ความแค้น? เหอะ”
ท่านอาจารย์แค่นหัวเราะแบบนี้แปลว่าต้องไม่เคยสร้างความแค้นหรือศัตรูที่ไหนเอาไว้แน่ๆ เลย
“มากมายนับไม่ถ้วน!”
“เอ๊า!” พอหยางจินพูดต่อจนครบประโยคซูฮวาก็หัวแทบทิ่มพื้น เขารึหลงนึกว่าท่านอาจารย์เป็นจอมยุทธผู้เงียบขรึมรักสงบ ที่ไหนได้เที่ยวก่อศัตรูเอาไว้ทั่วบ้านทั่วเมืองเลยหรอกเรอะ
ในขณะที่หยางจินหันมาตอบซูฮวา หนึ่งในกลุ่มชายชุดดำก็กระโจนเข้ามา แต่อนิจจา พอกระโจนเข้ามาเสร็จเขาก็โดนซัดกระเด็นออกไปติดต้นไปกระอักเลือดออกมากองใหญ่ เสี่ยวซุนที่ยังไม่ทันขยับหันไปมองหยางจินด้วยใบหน้าอึ้งทึ่ง การโจมตีของหยางจินเมื่อครู่เขามองตามไม่ทันสักนิด และไม่ใช่แค่เสี่ยวซุนเท่านั้น พวกชุดดำที่เหลือก็กำลังแตกตื่นเช่นกัน
อาการแตกตื่นของเหล่านักฆ่าสร้างความประหลาดใจแก่หยางจินเล็กน้อย
หยางจินหันกลับไปมองคนตัวเล็กที่หลบอยู่ด้านหลังตนอย่างพิจารณาก่อนจะย้อนถามด้วยคำถามเดียวกัน “เจ้าไปสร้างความแค้นไว้กับใครที่ไหน หรือเปล่า”
หยางจินนั้นโดนนักฆ่าพยายามลอบสังหารมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ละครั้งอีกฝ่ายจะบุกมาไม่ต่ำกว่าสิบคนเพราะหากต่ำกว่านั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะล้มเขาลงได้ ทีแรกเห็นว่านักฆ่ากลุ่มนี้มากันห้าคนเขายังคิดว่ายังมีพวกมันหลบซ่อนอยู่แต่เขาจับกลิ่นอายอะไรไม่ได้เลย
มิหนำซ้ำคนห้าคนนี้ยังตกใจเหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเป้าหมายคราวนี้มีฝีมือสูงส่ง
หยางจินใช้เวลาจัดการเหล่านักฆ่าด้วยเวลาอันรวดเร็วพอๆ กับที่หูโป ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในร้านอาหารเพียงแต่แตกต่างกันตรงที่คู่ต่อสู้ของหูโปเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีวรยุทธในขณะที่กลุ่มนักฆ่าเหล่านี้ได้รับการฝึกปรือมาไม่มากก็น้อย
“ข้าจะพาซูฮวาไปพักที่วังของเทียนชินอ๋อง ส่วนเจ้าจงไปตามองครักษ์เสื้อแพรมาจับกุมคนกลุ่มนี้” หยางจินที่ลงมือจัดการเพียงคนเดียวทั้งหมดหันไปออกคำสั่งกับองครักษ์ประจำกายพระชายาที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น
สิ้นคำเขาก็คว้ามือร่างบางจูงไปยังทิศทางที่เป็นที่ตั้งของวังเทียนชินอ๋อง
ทีแรกซูฮวาไม่ทันคิดอะไรแต่พอเดินไปสักพักจึงรู้ตัวว่าตนเองถูกบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีแตะเนื้อต้องตัวก็เลยรีบสะบัดมือออกราวกับต้องของร้อน พอเห็นว่า หยางจินหันมามองด้วยสายตาสงสัยเสียงหวานจึงเอ่ยตอบ “ข้ายังไม่ได้บอกท่าน แต่ว่าข้าแต่งงานแล้ว พวกเราไม่ควรใกล้ชิดกันเกินไป”
“อ้อ...” คนตัวสูงเพียงแค่ร้องอ้อเบาๆ แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้จับมือของซูฮวาอีก เพียงแค่เดินไปตามทางของป่าไผ่แห่งนี้เรื่อยๆ อย่างชำนาญทาง
“ท่านมาหาเทียนชินอ๋องบ่อยหรือ” ร่างบางปรับความเร็วขึ้นมาเดินตีเสมออีกฝ่ายโดยไม่ลืมเหลียวมองหลี่หมิงที่ตามอยู่ด้านหลังว่านางเดินตามมาทันหรือไม่
“ไม่หรอก เขาเพิ่งได้รับพระราชทานวังเป็นของตนเองเมื่อปีก่อนนี่เอง ข้าเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกในวันที่พบเจ้าที่หอหยุนเซียน” นี่อาจจะเป็นคำตอบที่ยาวที่สุดนับตั้งแต่ซูฮวาสนทนากับท่านอาจารย์มา
ร่างบางลอบสังเกตแววตาที่มักเย็นชาตลอดเวลาของอีกฝ่าย ยามที่ หยางจินกล่าวถึงเทียนชินอ๋องเขากลับแสดงแววตาอันอ่อนโยนออกมาชั่วขณะสร้างความอิจฉาตาร้อนแก่ศิษย์ตัวน้อยที่ไม่ได้รับความเมตตาจากอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างที่ซูฮวากำลังครุ่นคิดว่าหยางจินเป็นอะไรกับเทียนชินอ๋อง เหตุใดจึงดูรักใคร่ท่านอ๋องผู้ถูกตราหน้าว่าเป็นตัวกาลกิณีผู้นี้นักพวกเขาก็เดินมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซูฮวาทราบดีว่าที่แห่งนี้คือวังชินอ๋องแต่มันดูเล็กเกินไปและเงียบเหงาเกินไป ประกอบกับทำเลที่ตั้งกลางป่าไผ่เช่นนี้ทำให้วังของเทียนชินอ๋องดู อเนจอนาถกว่าวังอ๋องใดๆ
สมแล้วที่ถูกกล่าวหาว่าดวงกินพระมารดา
ซูฮวาถอดถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งอย่างสงสาร
“ข้าพาเขาไปอยู่ที่วังด้วยดีไหมนะ” เมื่อก้าวเข้ามาในวังของเทียนชินอ๋องแล้วซูฮวายิ่งรู้สึกเวทนาหนักกว่าเก่า
ไม่มีวี่แววของทหารเฝ้ายามหน้าประตูยังพอว่า แต่นี่ดูเหมือนจะไม่มีกระทั่งข้ารับใช้
“วัง?” หยางจินหยุดเดินและหันมาถาม
“อ้อ ข้าลืมบอกท่านอาจารย์อีกแล้ว ความจริงข้าคือพระชายาของ หานชินอ๋องพี่ชายร่วมอุทรของเทียนชินอ๋องเอง เห็นความเป็นอยู่ของเทียนชินอ๋องไม่สู้ดีนักจึงเกิดความคิดว่าจะพาเขาไปอยู่ในวังของพระเชษฐาดีหรือไม่” แม้ซูฮวาจะเกิดในแคว้นอันผิงซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขาและธรรมชาติ แต่ในแคว้นอันผิงก็ยังมีผู้คน ไม่เหมือนวังอ๋องแห่งนี้ที่ไม่มีอะไรเลยราวกับบ้านร้าง
“โอ๊ะ จะว่าไปท่านเป็นอะไรกับเทียนชินอ๋องงั้นหรือ” ซูฮวาถือวิสาสะถามสิ่งที่ค้างคาใจมานาน
คนร่างสูงกำลังจะขยับปากตอบ ทว่าเสียงขลุกขลักกลับดังขึ้นมาจากประตูห้องหนึ่งก่อนที่ร่างของหญิงเฒ่าจะโผล่หัวออกมา ในมือของนางถือไม้เท้าง้างขึ้นราวกับกำลังเตรียมฟาดผู้บุกรุกที่เข้ามาในวังของเทียนชินอ๋องยามวิกาลแต่พอนางเห็นหน้าของบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายซูฮวาไม้ในมือก็ลดลง
หญิงเฒ่าทำความเคารพหยางจิน นางส่งเสียงอ้อๆ แอ้ๆ ฟังไม่ได้ศัพท์พลางพเยิดหน้ามาทางซูฮวา
ร่างบางเอียงคอหญิงเฒ่าที่จะพูดก็ไม่ยอมพูดสักพักก่อนจะเข้าใจว่าหญิงเฒ่าผู้นี้เป็นใบ้จึงเอ่ยแนะนำตัวออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ามีนามว่าซูฮวา เป็นพระชายาในหานชินอ๋อง”
“อออ อออ” ดวงตาของหญิงเฒ่าเป็นประกายระยับ รอยยิ้มอันหาได้ยากยิ่งปรากฏบนหน้านาง หญิงเฒ่าชี้นิ้วไปทางร่างสูงที่ยังคงยืนนิ่งอยู่
“นางเป็นหัวหน้าแม่บ้านประจำวังของเทียนชินอ๋อง” คนโดนชี้นิ้วไม่ถือสากิริยาอันเสียมารยาทของหญิงใบ้ เขาหันมากล่าวแนะนำตัวแทนนางสั้นๆ ให้ซูฮวาทราบ ก่อนจะหันไปทางหญิงเฒ่าและถามถึงคนที่เป็นเจ้าของวังแห่งนี้ “จินเยว่ไม่อยู่หรือ”
จินเยว่
ซูฮวาใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานสองนานก็ไม่ทราบจริงๆ ว่าจินเยว่คือใครสุดท้ายจึงหันไปพึ่งพาสาวใช้ที่ยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลัง ผลปรากฏว่า หลี่หมิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจินเยว่คือใคร สุดท้ายสองนายบ่าวก็เลยได้แต่ยืนทำหน้ามึน
“แอ้ แอ้” หญิงเฒ่ากระตือรือร้นในการเชิญนายท่านทั้งสองเข้าไปนั่งรอด้านในก่อน เมื่อเห็นว่าหยางจินกับซูฮวานั่งในโถงรับรองของวังแห่งนี้เรียบร้อยแล้วนางก็ผลุบหายไป สักพักก็กลับมาพร้อมกาน้ำชาและจดหมายฉบับหนึ่ง
หยางจินรับจดหมายมาจากนาง เขากวาดสายตาอ่านสักพักก็หันมากล่าวกับซูฮวาที่นั่งตาใสอยู่ข้างๆ “ดูเหมือนจินเยว่จะเข้าไปในเมืองนะ คืนนี้คงค้างบ้านเพื่อนที่เป็นบัณฑิต”
“เอิ่ม จินเยว่คือใครหรือ” ซูฮวาอ้อมแอ้มถาม
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นหยางจินก็ยกมือขึ้นมาบีบขมับเบาๆ ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจว่า “เทียนชินอ๋อง ไท่ติงจินเยว่”
ซูฮวาร้องโอ้เบาๆ “ชื่อของเทียนชินอ๋องช่างมีความหมายดีนัก จินที่แปลว่าทองคำ เยว่ที่แปลว่าพระจันทร์”
“จินในชื่อของเขามาจากชื่ออาณาจักรต้าจิน ผู้ตั้งชื่อนี้เจตนาสอดแทรกความนัยว่าจินเยว่คือผู้นำพาความมืดมาสู่แผ่นดินเพราะเพื่อให้กำเนิดเขา พระมเหสีผู้งดงามจึงสิ้นพระชมน์” เสียงทุ้มกล่าวแย้ง ถ้อยคำและสีหน้าของเขาแม้จะยังคงเรียบเฉยเย็นชา ทว่าแววตากลับเจือด้วยความขุ่นเคือง
ซูฮวาที่พูดอะไรก็ดูจะผิดไปเสียหมดเลือกที่จะหดคอแล้วนั่งเงียบๆ
“เจ้าจะรอบ่าวของเจ้าที่ไปติดต่อองครักษ์เสื้อแพรกลับมาก่อนหรือจะให้ข้าไปส่งเจ้าที่วังอ๋องก่อน” หยางจินเห็นคนตัวเล็กเอาแต่นั่งก้มหน้างุดๆ เดี๋ยวมองออกไปนอกประตู เดี๋ยวก็แอบหันมามองหน้าเขาราวกับมีอะไรอยากจะกล่าวแต่ไม่กล้ากล่าว
“ข้าคงอยู่รอเสี่ยวซุนที่นี่ก่อน เห็นแบบนั้นแต่เขาทั้งไม่ได้เรื่องแล้วก็พึ่งพาไม่ได้เลย ข้ากลัวว่าเขาเทียวไปเทียวมาในป่าไผ่ลำพังจะโดนลอบทำร้ายเอา” พระชายาน้อยยังคงให้ความสำคัญกับบ่าวไพร่เสมอ
“งั้นคืนนี้เจ้าก็ค้างที่นี่นั่นแหละ รออยู่ตรงนี้ ข้าจะให้คนไปเตรียมห้องให้เจ้า” พูดจบร่างสูงก็ลุกออกไป
คล้อยหลังชายที่มีใบหน้าดุดันผู้นั้นหลี่หมิงก็รีบปราดเข้ามาหาร่างบางที่นั่งแกว่งขาเล่นตาแป๋วไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรทันที “พระชายาเพคะ หม่อมฉันคิดว่าการที่พระองค์จะค้างคืนที่นี่เป็นเรื่องไม่เหมาะสมนะเพคะ”
ซูฮวาเอียงคออย่างไม่เข้าใจ เวลาทำหน้าแบบนี้แล้วช่างน่ารักจนคนมองอยากเอื้อมมือไปหยิกแก้มนัก
“พระองค์เป็นถึงพระชายาในหานชินอ๋อง จะเที่ยวไปค้างบ้านของบุรุษอื่นไปทั่วไม่ได้นะเจ้าคะ” หลี่หมิงกำลังจะพูดต่อว่าเป็นสตรีที่ดีต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน สตรีที่เที่ยวไปทางนู้นทางนี้จะโดนมองเป็นหญิงมั่ว แต่นางนึกขึ้นได้ว่านายของตนไม่ใช่สตรี
แต่สถานะของซูฮวาก็สมควรอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนจริงๆ
“บุรุษอื่นที่ไหนกัน ที่นี่คือวังของเทียนชินอ๋องน้องชายร่วมอุทรของ พระสวามีข้า” เสียงหวานเถียง ริมฝีปากบางเชิดรั้นขึ้นอย่างดื้อดึง
พระชายาน้อยไม่อยากกลับไปยังวังอ๋องของตนสักนิด ที่นั่นมีฮูหยินกับรองฮูหยินที่จ้องแต่จะทำร้าย มีพวกอนุที่หน้าไหว้หลังหลอก ไหนจะบ่าวไพร่ที่เป็นคนของฮูหยินเฉินซื่อนั่น แม้ว่าในวังหานชินอ๋องจะมีคนอยู่เยอะแต่ทุกคนล้วนเป็นศัตรู ต่างจากที่นี่ แม้จะเงียบเหงาแต่กลับอยู่แล้วสบายใจกว่า
“ยามนี้เทียนชินอ๋องไม่อยู่ มีเพียงท่านหยางจินซึ่งเป็นใครมาจากไหนก็ไม่ทราบ ไม่ว่าจะมองมุมไหนการค้างคืนที่นี่กับเขาก็เป็นเรื่องไม่เหมาะสมเพคะ” หลี่หมิงก้มหน้ากล่าว
ซูฮวาได้ยินคนกล่าวว่าร้ายท่านอาจารย์ของตนก็เริ่มไม่พอใจบ้างแล้ว
“เขาเป็นท่านอาจารย์ของข้า! ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ไม่รู้” น้ำเสียงหวานแสน แง่งอน
ใบหน้างามสะบัดไปอีกทางหนึ่งอย่างอารมณ์เสีย ภาพยามเส้นผมยาวสลวยส่ายไหวตามศีรษะที่หันหน้าไปทางอื่นช่างงดงามน่ามองเสียจนสามารถเอาไปประพันธ์เป็นบทกวีพรรณนาความงามได้หลายบท แม้กระทั่งหยางจินที่มักจะเพิกเฉยต่อความสุนทรีย์เหล่านี้ยังเผลอมองใบหน้าบึ้งตึงแต่แสนน่ารักนั่นอย่างลืมตัว
เขาเพิ่งกลับมาจากการสั่งแม่บ้านเฒ่าให้ช่วยเตรียมห้องกับอาหารค่ำให้พระชายาตัวน้อย บังเอิญได้ยินบทสนทนาของสองนายบ่าวเข้าพอดีแต่กลับไม่ได้กล่าวอะไร
การได้แกล้งหยอกคนก็เป็นเรื่องสนุกสนานไม่เบา
ที่ผ่านมานั้นหยางจินเป็นบุรุษที่จริงจังไปเสียทุกเรื่อง แต่คราวนี้กลับไม่ใช่
เขาคิดว่าการได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับพระชายาของตนในสถานะศิษย์อาจารย์เช่นนี้ก็ไม่เลวเลย มู่ซูฮวาสามารถแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติยามอยู่กับท่านอาจารย์จิน แต่มู่ซูฮวาไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมเมื่ออยู่กับหานชินอ๋อง
“ซูฮวา” เสียงทุ้มขานเรียกนามของพระชายาตัวน้อย
ร่างบางที่กำลังงอนสาวใช้คนสนิทอยู่รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งดุ๊กๆ มาหาร่างสูงตามเสียงเรียกอย่างว่าง่าย ภาพที่เหมือนลูกแมวถูกของเล่นแมวล่อเลยวิ่งเข้าใส่ด้วยใบหน้าแช่มชื่นนั่นทำเอาหลี่หมิงแทบจะกระอักเลือดออกมา
“ท่านอาจารย์ คืนนี้ท่านช่วยสอนตำราเล่มนี้ให้ข้าได้ไหม” มีบางหยิบตำราพิชัยสงครามเล่มแรกที่อ่านไม่จบเสียทีแต่กลับพกไปไหนมาไหนด้วยราวกับมันเป็นเครื่องลางออกมาจากอก “แน่นอนว่าพวกเราจะอ่านด้วยกันในศาลาริมบ่อน้ำตรงนั้นโดยมีหลี่หมิงอยู่ด้วย หากเสี่ยวซุนกลับมาก็ให้เขาอยู่ด้วยอีกคน”
ดวงตาคมมองหนังสือที่เขาอ่านจนปรุโปร่งมาตั้งแต่เด็กด้วยความรู้สึกประหลาด
“เจ้าชอบสงครามหรือ” เสียงทุ้มของผู้เป็นอาจารย์กล่าวถาม
ร่างบางส่ายหน้าไปมา “ข้าชอบฝึกกระบี่มากกว่าอ่านตำรา แต่ตำราเล่มนี้ข้าสมควรรู้ไว้บ้างเพราะพระสวามีของข้าเป็นถึงแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ แม้ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีวาสนาได้พบหน้าเขาหรือไม่แต่พระชายาอย่างข้าจะไม่รู้อะไรก็ไม่ได้ใช่ไหม ฮะๆๆ”
แล้วในคืนนั้นหยางจินก็อยู่สอนศาสตร์การวางแผนการรบให้แก่ซูฮวาจนเกือบรุ่งสาง
เสี่ยวซุนที่กลับมาตอนกลางดึกบอกว่าส่งเรื่องให้องครักษ์เสื้อแพรเร่งตรวจสอบแล้วหากมีอะไรคืบหน้าพวกเขาจะไปแจ้งที่วังอ๋องเอง แล้วหลังจากนั้นเสี่ยวซุนก็นั่งสัปหงกขณะอยู่ยามเฝ้าผู้เป็นนายร่ำเรียนกับท่านอาจารย์หยางจิน หลี่หมิงเห็นความพึ่งพาไม่ได้ของเสี่ยวซุนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
สุดท้ายร่างบางก็ได้ท่านอาจารย์ฝีมือดีช่วยถ่ายทอดความรู้ในหนังสือที่เจ้าตัวแอบบิดาอ่านมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่อาจอ่านจนจบได้เสียที แต่หยางจินกลับสอนทั้งหมดให้ซูฮวาได้เพียงชั่วข้ามคืน
-------------------------------
-
เริ่มอ่อนแล้วนะ
-
เรื่องนี้ตลกดี อิอิ
:mew1:
-
ค่อยๆเรียนรู้กันเเละกันเนาะ :mew1:
-
o13
:mew1:
:pig4:
-
พระชายานางน่ารักดี พระสวามีต้องหลงรักในอีกไม่นาน
ขอให้นางเอาศาสตร์การวางแผนการรบไปปรับใช้กับพวกฮูหยินเลย ปราบให้ราบคาบ เอาใจช่วย
สนุกดี ชอบ
-
หลงรักแล้วละสิท่านอ๋อง
-
โอ้ยยย เอ็นดูววว วิ่งดุ๊กๆไปหา เหมือนลูกแมวโดนหลอกล่อ :impress3:
ดูงุ้งงิ้ง แต่ก็ใฝ่รู้น่ารักใช่มั้ยล่ะท่านอ๋อง
-
คำเตือน 1.นายเอกเรื่องนี้สวยเกินความจำเป็นไปมาก สวยเหลือเฟือ สวยใสและไม่ค่อยมีสมองเท่าไหร่
2.นิยายเรื่องนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของยุคโบราณ ไม่สามารถนำตรรกะ สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ชนชั้นในศตวรรษที่21มาตัดสินการกระทำและแนวคิดของตัวละครได้
.......................................................
บทที่๗
หลังจากท่านอาจารย์จินเริ่มมีใจจะสอนทั้งหนังสือและเพลงดาบให้กับซูฮวา หยางจินก็บอกว่าตอนกลางวันเขาต้องทำงาน ให้ซูฮวามาหาตนตอนเย็นที่ศาลาในป่าไผ่แห่งนั้น ทุกๆ วันเขาจะใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้
เขาทำเช่นนี้มาหนึ่งเดือนเต็มแล้ว เจ้าลูกศิษย์ตัวน้อยก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ด้านวิชาบุ๋นนั้นซูฮวาสามารถเข้าร่วมการสอบบัณฑิตที่กำลังจะจัดขึ้นได้อย่างสมภาคภูมิแล้วทั้งนี้เป็นเพราะเจ้าตัวได้รับการสอนพื้นฐานการอ่านเขียนมาแล้วจากจวนสกุลมู่ผนวกกับมู่ซูฮวาเป็นเด็กที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
แต่ในส่วนของวิชาบู๊นั้นบอกตามตรงว่าหยางจินยังจนปัญญา
ร่างกายของซูฮวาอ่อนปวกเปียกเกินไป เมื่อไม่มีกำลังก็ไม่อาจไปสู้รบปรบมือกับใครเขาได้และด้วยเหตุผลบางอย่างเขาจึงไม่อยากฝึกหนักจนซูฮวาเป็นมนุษย์กล้ามไปสุดท้ายหยางจินจึงเลือกที่จะสอนแต่ศาสตร์ป้องกันตัวและการเอาตัวรอดยามฉุกเฉินเท่านั้น แม้ไม่รุดหน้าไปไกลเท่าการแต่งกาพย์กลอนแต่วรยุทธของซูฮวายามนี้ก็ไม่ขี้เหร่แล้ว
หากถามว่าวรยุทธของซูฮวาตอนนี้อยู่ในระดับไหนน่ะหรือ
ก็อยู่ในระดับที่ประมือกับเฉินซื่อได้แล้วยังไงล่ะ
“หึ!” พระชายาน้อยแค่นเสียงหัวเราะใส่ฮูหยินแห่งตำหนักหานชินอ๋องที่พยายามจะสาดน้ำแกงร้อนๆ มาทางตนแต่อย่าหวังว่าจะสำเร็จผลเพราะซูฮวาสามารถปัดมือของนางออกทัน
ร่างบางยิ้มจนแก้มแทบแตก หากท่านอาจารย์อยู่ใกล้ๆ นี่ละก็เขาคงวิ่งเข้าไปรอรับคำชมแล้ว!
ในเมื่อท่านอาจารย์ไม่อยู่สาวใช้อย่างหลี่หมิงจึงต้องรับหน้าที่นี้ไป “วรยุทธของคุณชายรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วมากเลยเพคะ หากเป็นเมื่อก่อนพระชายาต้องหลบน้ำแกงชามนี้ไม่พ้นแน่ๆ”
“ฮ่าๆๆ หลี่หมิง เจ้ากล่าวเกินจริงไปแล้ว!” คนโดนยอยิ้มหน้าบาน
หลี่หมิงได้แต่ยิ้มแห้ง แน่นอนว่านางกล่าวเกินจริงไปมาก!
มีอย่างที่ไหนได้อาจารย์ฝีมือดีขนาดนั้นกลับมีปัญญาแค่ปัดน้ำแกงที่เมียน้อยจงใจสาดใส่กัน! หลี่หมิงเชื่อว่าหากเปลี่ยนให้นางไปฝึกวิชากับท่านหยางจินแทนละก็ป่านนี้นางคงล้มผู้ชายไม่เป็นวรยุทธสองสามคนลงด้วยตัวคนเดียวแล้ว!
ท่าทางจองหองเกินกว่าเหตุของซูฮวาอยู่ในสายตาของเฉินซื่อตลอด นางฮึดฮัดอย่างขัดใจที่แผนการทำลายโฉมงามไม่ได้ผลก่อนจะเดินจากไปนางส่งสายตาอาฆาตมาให้เจ้าคนที่กำลังนั่งซู้ดบะหมี่เข้าปากอยู่ตรงโต๊ะอาหารอย่างมีความสุข
ทีแรกนางคิดว่าจะไม่บอกแล้ว แต่เห็นท่าทางไร้เดียงสานั่นแล้วช่างรกหูรกตานางนักสุดท้ายเฉินซื่อจึงหันมาเปล่งวาจาอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่าว่า “หม่อมฉันลืมกราบทูลเรื่องสำคัญไป พรุ่งนี้ยามเว่ยพระมเหสีจะเสด็จมีที่วังหาน-ชินอ๋องเพื่อร่วมงานเลี้ยงน้ำชาเพคะ!”
“อะไรนะ!?” ร่างบางเบิกตาโพลง ตะเกียบในมือร่วงแหมะลงกับโต๊ะด้วยความตกใจ ซูฮวารีบเดินปรี่มาหาเฉินซื่อที่ยกยิ้มมุมปากอย่างสะใจอยู่หน้าประตูห้องอาหาร “ทำไมข้าไม่รู้มาก่อนเลย”
พระมเหสีจะเสด็จมายังวังอ๋องไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่บ่าวในเรือนกลับไม่มีใครบอกซูฮวาให้รับรู้เลยสักคน มองยังไงก็ต้องเป็นเจตนาร้ายของฮูหยินผู้นี้เป็นแน่ ร่างบางคิดอย่างเดือดจัด
เห็นใบหน้างามเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดงแล้วเฉินซื่อถึงกับหลุดหัวเราะออกมา นางยกชายเสื้อขึ้นมาป้องปากพลางกล่าววาจาว่าร้ายว่า “เมื่อสิบวันก่อนมีขันทีจากราชสำนักเดินทางมายังวังอ๋องแต่พระชายาไม่อยู่หม่อมฉันเลยออกหน้าแทน ขออภัยที่ฮูหยินอย่างหม่อมฉันก้าวก่ายอำนาจของพระชายาที่เอาแต่วิ่งโร่ออกจากวังเพื่อไปแอบพบบุรุษในป่าไผ่นะเพคะ”
สิ้นคำเฉินซื่อก็หมุนกายจากไปอย่างผู้ชนะ
ซูฮวาเข่าอ่อนจนทรุดกายแหมะลงกับพื้นอย่างหมดแรง พระชายาน้อยรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าทั้งๆ ที่ข้างนอกไม่มีเมฆฝน
“พระชายาเพคะ...” ขนาดหลี่หมิงยังหน้าซีดตัวสั่น
นี่เป็นเรื่องใหญ่ระดับไหนกัน!
พระมเหสีผู้เกลียดขี้หน้าซูฮวาเป็นทุนเดิมทรงทราบเรื่องที่ซูฮวามักออกจากวังอ๋องยามเย็นแล้ว และซูฮวามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้เฉินซื่อจะต้องกราบทูลพระมเหสีว่าพระชายาอย่างตนแอบไปพบบุรุษลับๆ ในป่าไผ่!!
คราวนี้บรรลัยเป็นแน่แล้ว
แม้ความจริงจะไม่มีอะไรในกอไผ่เลยก็ตาม เรื่องนี้หลี่หมิง เสี่ยวซุน และคนรับใช้ของวันอ๋องที่ซูฮวาสั่งให้ติดตามไปด้วยย่อมเป็นพยานได้ แต่คนรับใช้พวกนั้นยืนอยู่ข้างเฉินซื่อหากคิดจะโกหกเพื่อใส่ร้ายป้ายสีกันละก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ส่วนพวกหลี่หมิงนั้นติดตามซูฮวามาจากอันผิงเสียงของพวกนางจึงขาดความน่าเชื่อถือ
“ทำไงดี เทียนชินอ๋องจะช่วยเป็นพยานให้พวกเราได้ไหม” ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเทียนชินอ๋องเคยมาเยี่ยมซูฮวาที่ศาลากลางป่าไผ่อยู่หลายครั้ง และมีหลายครั้งที่เขานำขนมมาให้ด้วย ด้วยความที่ทั้งสองคนมีอายุไล่เลี่ยกันจึงถือว่าสนิทกันเร็ว
และเพราะมีเทียนชินอ๋องที่เป็นถึงน้องชายของพระสวามีช่วยสอดส่องดูแลอยู่ตลอดซูฮวาจึงไม่คิดว่าการร่ำเรียนวิชาจากหยางจินเป็นเรื่องไม่เหมาะสม
“เกรงว่าเทียนชินอ๋องจะไม่อยู่ในสถานะที่ปกป้องใครได้เพคะ”
ได้ยินหลี่หมิงกล่าวเช่นนี้ซูฮวาก็ยิ่งหมดแรง
คบชู้สู่ชายมีโทษถึงขั้นประหาร...
“ข้าจะตายเหรอ” ใบหน้าหวานซีดเผือด “อาจารย์จะพลอยโดนไปด้วยไหม”
ตัวเองจะตายยังไปห่วงชาวบ้านเขาอีก มู่ซูฮวาก็เป็นเสียแบบนี้
หลังจากนั่งเครียดอยู่ครู่ใหญ่ร่างบางก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนปัดฝุ่น “พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องมาร่วมงานเลี้ยง จงไปรอท่านอาจารย์ที่ศาลาหลังนั่นและบอกให้เขาหนีออกจากเมืองหลวงเสีย ฝากเจ้าขอโทษเขาแทนข้าด้วย”
ใบหน้าหวานฉายแววรู้สึกผิด เขาทำลายชีวิตดีๆ ของผู้ชายคนหนึ่งเสียแล้ว
ยิ่งคิดยิ่งเศร้าร่างบางจึงเดินไปยังห้องหนังสือ สั่งให้เสี่ยวซุนช่วยฝนหมึกให้และจรดพู่กันเริ่มเขียนกลอนแสดงความเสียใจและความขอบคุณที่มีต่อหยางจิน เมื่อแต่งกลอนสั้นๆ จบแล้วร่างบางก็วาดต้นไผ่กำกับลงไปด้วยแทนภาพความทรงจำแห่งสถานที่ที่พวกเขาพบกัน
“เจ้าเก็บไว้นะ เมื่อเข้ายามห้ายให้เตรียมตัวออกเดินทาง ข้าจะลองไปขอความช่วยเหลือจากเทียนชินอ๋องดูก่อน”
หลี่หมิงรับจดหมายมาจากมือของผู้เป็นนายด้วยสีหน้าเศร้าโศก แม้จะติดตามรับใช้มู่ซูฮวามาได้ไม่นานแต่นางก็ได้รับความเมตตาจากพระชายาน้อยมามากมาย เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะโดนนางอสรพิษเฉินซื่อใส่ร้ายจนต้องตายหลี่หมิงก็น้ำตาร่วงกราว
เมื่อยามห้ายมาถึง หลี่หมิงก็ออกจากห้องของพระชายาอย่างเงียบเชียบเพื่อตามเสี่ยวซุนให้เตรียมม้า เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยทั้งสามคนก็ควบม้าออกจากวังอ๋องยามวิกาล จุดหมายปลายทางก็คือป่าไผ่แห่งนั้น
ใช้เวลาเพียงสองเค่อทั้งสามคนก็เดินทางมาถึง พวกเขารีบวิ่งหน้าตั้งเข้าไปข้างในเพื่อพึ่งใบบุญของเทียนชินอ๋องผู้ไม่น่ามีบุญบารมีอะไรคนนั้น หลังจากวิ่งมากันจนหอบแฮกพวกซูฮวาก็มาถึงที่หมาย ร่างบางเดินเข้าไปด้านในด้วยความ คุ้นชิน
วังอ๋องแห่งนี้มีทหารยามอยู่สองนายและบังเอิญว่ายามนี้ทั้งสองนายนั้นกำลังเดินตรวจตราอยู่รอบๆ แขกทั้งสามจึงเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาด้านในแบบงงๆ
“การรักษาความปลอดภัยของที่นี่หละหลวมมาก” ซูฮวากล่าวก่อนจะเดินนำไปยังห้องซึ่งมีแสงไฟลอดออกมา
“แอ้ๆ” หญิงเฒ่าที่เดินออกมาจากห้องพอดีส่งเสียงทักทายพวกซูฮวา
“คารวะแม่เฒ่า ข้ามีเรื่องสำคัญ ขอพบเทียนชินอ๋องได้หรือไม่” ซูฮวาค้อมหัวเล็กน้อย ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน แม้มีฐานะต่ำต้อยแต่การแสดงความเคารพเช่นนี้ก็ไม่ผิดอะไร
“แอ้ๆ” นางฉีกยิ้มให้ซูฮวาก่อนเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง สักพักหนึ่งจึงกลับออกมาเชิญพวกซูฮวา
เทียนชินอ๋อง ไท่ติงจินเยว่นั้นมีอายุน้อยกว่าซูฮวาหนึ่งปี ด้วยวัยเพียง สิบห้าปีอีกฝ่ายกลับมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว ท่าทีองอาจสง่าผ่าเผยราวกับ มหาเสนาบดีมาเอง วรยุทธก็จัดว่าสูงส่งชนิดที่เสี่ยวซุนห้าคนก็ล้มท่านอ๋องผู้นี้ไม่ได้ แต่ท่ามกลางความแข็งแกร่งนั้นกลับอัดแน่นไว้ด้วยความงามอย่างเต็มเปี่ยม
คงเพราะขณะตั้งครรภ์อดีตพระมเหสีมีสุขภาพไม่สู้ดีนักทำให้เทียนชินอ๋องที่คลอดออกมามีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก และด้วยเหตุนี้เองทำให้เจ้าตัวมีรูปร่างเล็ก ผิวก็ขาวสะอาดเพราะไม่ค่อยออกแดด ดวงตาสีดำขลับทอประกายลึกลับอยู่เสมอเมื่อประสานเข้ากับริมฝีปากที่มีรอยยิ้มแสนเดายากอยู่เสมอ ส่งผลให้เทียนชินอ๋องกลายเป็นท่านอ๋องน้อยผู้มีกลิ่นอายลี้ลับเย้ายวนราวกับฟากฟ้ายามราตรี
และในขณะนี้ข้างกายของเทียนชินอ๋องก็มีบุรุษอีกท่านหนึ่งนั่งอยู่ นั่นก็คือท่านอาจารย์หยางจินนั่นเอง
ซูฮวาเคยถามท่านอาจารย์ว่าเขามีความสัมพันธ์อะไรกับเทียนชินอ๋อง เหตุใดเขาจึงสามารถเข้าออกที่ดินส่วนตัวของเทียนชินอ๋องได้ หยางจินก็ตอบเพียงแค่พวกเขาเป็นญาติสนิทกัน แต่ไม่เคยบอกว่าเป็นญาติฝ่ายไหน
ดูเหมือนทั้งสองคนกำลังปรึกษาหารืออะไรบางอย่างกันอยู่แต่คงไม่ใช่เรื่องสำคัญนักหยางจินถึงถามออกมาด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “ซูฮวา เจ้ามาทำอะไรในที่แบบนี้ยามวิกาลกัน?”
“ท่านอาจารย์” เมื่อเห็นหน้าคนที่เดือดร้อนเพราะตนริมฝีปากบางก็เริ่มเบะ “แย่แล้วท่านอาจารย์! ฮูหยินของหานชินอ๋องเล่นงานข้าแล้ว! พรุ่งนี้พระมเหสีจะเสด็จมาแต่นางกลับไม่บอกกล่าวข้าสักคำแถมยังยกเรื่องของท่านมาข่มขู่ กล่าวหาว่าพวกเราเป็นชู้รักกัน! ข้ามาที่นี่ก็เพื่อขอให้เทียนชินอ๋องช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ให้พวกเรา”
ร่างบางเดินเตาะแตะเข้าไปเกาะแขนคนที่ตัวเล็กพอๆ กันก่อนจะเขย่าไปมา
“ฮะๆๆ” เทียนชินอ๋องเมื่อได้ฟังต้นสายปลายเหตุของสีหน้าเหมือนคนกำลังแบกโลกของซูฮวาก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เทียนชินอ๋อง พวกเราเป็นสหายกันใช่ไหม” พระชายาน้อยเห็นสหายของตนมีท่าทีไม่ทุกข์ร้อนมิหนำซ้ำยังหันไปหยิบขนมเข้าปากเคี้ยวหนุบหนับอย่างสบายใจเฉิบอีกจึงต้องรีบทวงถามไมตรี “เจ้าพอจะมีทางช่วยข้ากับท่านอาจารย์ไหม”
“มีสิ! มีหลายทางเลยละ” เทียนชินอ๋องเลียปลายนิ้วที่เลอะคราบแป้งของขนมก่อนจะหันมาฉีกยิ้มให้ซูฮวาด้วยท่าทางเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะเต็มแก่ แม้ซูฮวาจะไม่เข้าใจสีหน้าของสหายนักแต่เมื่อจินเยว่บอกว่าไม่เป็นไรก็คงไม่เป็นไรจริงๆ ละมั้ง... “งานเลี้ยงน้ำชาพรุ่งนี้มีแค่พระมเหสีกับเจ้าหรือ”
“เห็นว่าพระนางเชิญพวกขุนนางมาด้วย บิดาของเฉินซื่อที่เป็นเจ้ากรมอาญาก็น่าจะมานะ” เมื่อกล่าวถึงศัตรูตัวร้ายร่างบางก็เบ้ปากเหม็นเบื่อทันที
“งั้นให้พวกข้าไปร่วมงานด้วยได้ไหม” จินเยว่ชี้ไปที่ร่างสูงซึ่งเอาแต่นั่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้
“เจ้ามีวิธีหรือ...” ซูฮวาไม่ค่อยอยากให้ท่านอาจารย์เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เท่าไร กลัวว่าอีกฝ่ายจะโดนจับไปประหารด้วย
จินเยว่เห็นท่าทางของซูฮวาที่มองพี่ชายของตนเองอย่างเป็นห่วงนั่นแล้วก็อดหัวเราะออกมาอีกครั้งไม่ได้ ท่านอ๋องน้อยพยายามหยิบขนมมากินเพื่อหาอะไรปิดปากเอาไว้แต่พอเห็นว่าพี่ชายของตนก็กำลังทำสีหน้าตลกๆ อยู่จินเยว่ก็สุดจะทนแล้ว!
“ข้าขอตัวสักเดี๋ยว! จะไปทำซุปมาให้ เจ้าก็ตามมาช่วยข้าด้วยสิ” จินเยว่ผลุนผลันลุกขึ้นยืน เขาหันมากวักมือเรียกหลี่หมิงให้ไปช่วยหน่อย มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะในวังของเขามีแค่ยายเฒ่าคนเดียวที่เป็นคนรับใช้ มืดค่ำเช่นนี้ จินเยว่ก็ไม่อยากไปรบกวนแล้ว
เมื่อจินเยว่กับหลี่หมิงจากไปในห้องก็เหลือเพียงแค่ซูฮวากับหยางจิน
“ท่านอาจารย์ พรุ่งนี้ท่านหนีไปเถิด!” กล่าวจบก็ยืนจดหมายฉบับหนึ่งให้
หยางจินรับจดหมายที่ถูกพับอย่างดีมาคลี่อ่าน มันคือจดหมายที่เขียนกลอนแสดงความขอโทษจากซูฮวานั่นเอง เมื่อสักครู่หลี่หมิงแอบส่งคืนให้ซูฮวาเพราะนางคิดว่าเจ้านายของนางอาจจะอยากมอบให้ท่านอาจารย์ด้วยมือของตนเองมากกว่า
“แต่เล็กจนโตไม่เคยมีอาจารย์สอนหนังสือข้าอย่างจริงจังมาก่อน พวกเขาทุกคนล้วนมาสอนแค่ให้ข้าพอรู้ไว้อย่างนั้นเอง มีเพียงท่านที่อดทนกับคนโง่เขลาเช่นข้ามาตลอดหนึ่งเดือน! บุญคุณนี้ซูฮวาจะไม่ลืมเลย ขอท่านอาจารย์ได้โปรดหนีออกจากเมืองหลวงไปก่อนเถิด!” ยิ่งพูดความเศร้ายิ่งกัดกินหัวใจ ซูฮวาทั้งกลัวตายแล้วก็กลัวลากผู้อื่นไปตายด้วย
ร่างบางคุกเข่าลงกับพื้นโขกหัวโป๊กๆ สามครั้งเพื่อแสดงความเคารพท่านอาจารย์จินเป็นครั้งสุดท้าย
ทว่าท่านอาจารย์จินกลับเอ่ยในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อออกมา
“ทำไมเราไม่หนีไปด้วยกันล่ะ”
“เอ๋...” ร่างบางเงยหน้าขึ้นมามอง แววตางุนงงสับสน
หยางจินคลี่ยิ้มที่นานๆ ครั้งจะได้เห็น “เจ้ากับข้า หนีออกจากเมืองหลวงด้วยกันตั้งแต่คืนนี้ ท่องยุทธพบอย่างอิสระเสรี ชั่วชีวิตไม่แยกจาก”
“ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรออกมาน่ะ” ซูฮวาลุกขึ้นยืนอย่างเงอะงะ ก้อนเนื้อในอกซ้ายบีบตัวอย่างเจ็บปวด ความผิดหวังสะท้อนออกมาจากดวงตาคู่งามอย่างแจ่มชัด” ทำไมท่านถึงกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา ท่านเข้าใจความหมายของมันหรือไม่”
“ซูฮวา คำตอบล่ะ” นัยน์ตาของหยางจินนั้นหนักแน่นไม่ไหวติง
หัวใจของซูฮวาก็เช่นกัน
“ซูฮวานับถือท่านเป็นอาจารย์ ไม่เคยมีใจคิดเป็นอย่างอื่น แม้จะเข้าพิธีเพียงลำพังแต่ข้าก็ได้กราบไหว้คำนับฟ้าดินและบรรพบุรุษเอาไว้แล้วว่าชั่วชีวิตนี้จะเป็นคนของหานชินอ๋องเพียงผู้เดียว” ใบหน้าหวานหม่นหมอง ไหล่เล็กๆ นั่นก็ ห่อเหี่ยวจนน่าสงสาร “ซูฮวาขอโทษที่ไม่อาจตอบรับความรู้สึกของท่านอาจารย์ได้”
ยามนี้ความรู้สึกผิดที่มีต่อท่านอาจารย์เพิ่มขึ้นร้อยเท่าพันเท่าแล้ว ที่ผ่านมาซูฮวาคิดว่าท่านอาจารย์ไม่เคยแสดงออกเชิงชู้สาวกับตนมาก่อนออกจะแปลกใจแต่ซูฮวาก็ดีใจที่สุด ในที่สุดก็มีคนที่ไม่มองเพียงรูปโฉมของตนแล้ว แต่พอท่านอาจารย์สารภาพความในใจออกมาซูฮวาก็ต้องผิดหวัง
“ที่ผ่านมา...ที่ท่านอาจารย์ยอมรับข้าเป็นศิษย์ก็เพราะหลงรูปลักษณ์ภายนอกของข้างั้นหรือ”
คราวนี้ฝ่ายที่ต้องอึ้งเปลี่ยนเป็นหยางจินบ้างแล้ว
ชายหนุ่มทอดสายตามองใบหน้าที่งดงามล่มเมืองของผู้ที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตน
หยางจินไม่เคยหวั่นไหวกับใบหน้าอันไร้ที่ติของซูฮวาแม้แต่น้อย ทว่าแทนที่เขาจะรีบกล่าวปฏิเสธแก้ไขความเข้าใจผิด เขากลับเลือกที่จะลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
หยางจินไม่ได้เดินไปยังห้องของตนที่น้องชายเตรียมไว้ให้ เขาเพียงเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ในวังของเทียนชินอ๋องที่เงียบเหงาก่อนจะหยุดเดินเมื่อมาถึงริมสระบัว “จินเยว่ เจ้าแอบตามข้ามาทำไม”
ร่างเล็กที่แอบสะกดรอยมาเดินออกจากที่ซ่อน “มองวิชาตัวเบาของข้าออกเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นท่านพี่”
“เจ้ามีวาจาอันใดจะกล่าวก็รีบกล่าวมาเถิด” ผู้เป็นพี่กลับไม่อยู่ในอารมณ์พูดเล่น
จินเยว่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะพุ่งเข้าประเด็น “ทำไมท่านถึงใจร้ายกับซูฮวานักเล่า แทนที่จะบอกให้เขาสบายใจว่าท่านไม่ใช่ชายชู้แต่เป็นสามีตัวจริง มิหนำซ้ำยังหลอกลองใจซูฮวาอีก ท่านพี่ที่ข้ารู้จักไม่น่าใช่บุรุษที่ทำเรื่องพรรค์นี้นะ”
คนที่ไม่ใช่บุรุษอ้อมค้อมผ่อนลมหายใจอันหนักอึ้งออกมา “ใบหน้าซูฮวามีบางส่วนที่คล้ายกับพระมารดานัก”
อดีตพระมเหสี มารดาแห่งแผ่นดินนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีผู้เลอโฉม ความงามของนางเป็นที่กล่าวขานว่างดงามเป็นหนึ่งไม่มีสอง แม้จะไม่เหมือนถึงขั้นถอดแบบกันมาแต่คนงามย่อมมีจุดร่วมในความงามดังนั้นซูฮวาจึงมีส่วนคล้ายกับอดีตพระมเหสีมากกว่าหยางจินและจินเยว่ที่เป็นสายเลือดแท้ๆ เสียอีก
“ข้าไม่เคยเห็นหน้าพระมารดามาก่อน หากท่านพี่คิดว่าเหมือนก็คงจะเหมือนจริงๆ แต่นั่นมันเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านไปลองใจซูฮวาด้วยหรือ ถ้าหากซูฮวา ตกลงหนีตามท่านไปจริงๆ จะทำอย่างไร” จินเยว่ถอนหายใจ “บอกตามตรงนะ ถ้าข้าเป็นซูฮวาละก็ข้าตกลงหนีตามท่านไปแล้ว ท่านลองมองดูสิ หานชินอ๋องเป็นตายก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นในขณะที่อาจารย์จินกลับดีกับพระชายานัก!”
“หากซูฮวาตกลงไปกับข้า ข้าจะทูลขอเสด็จพ่อยกเลิกการอภิเษกและส่งซูฮวากับอันผิง ปล่อยเจ้าตัวเป็นอิสระดังใจปรารถนา” เสียงทุ้มกล่าว
“แล้วถ้าหากว่าซูฮวาเลือกที่จะอยู่ล่ะ” จินเยว่ย้อนถาม
“ข้าก็จะกลับบ้าน”
-------------------------------
พี่หานไม่ใช่คนใจร้าย แต่ก็ไม่ใช่คนใจดี ที่แน่ๆที่ทำลงไปทั้งหมดไม่ใช่เพื่อลองใจยัยน้องหรอกนะ บรรยายไม่ถูกเหมือนกัน 555
#มาลาสุราลัย
-
:fire:
-
นิยายสนุกดีค่ะ
รอตอนต่อไปนะคะ
-
นายเอกเราจะดราม่ามั้ยถ้ารู้ความจริง :ruready
-
ท่านอ๋องไม่ใจร้ายค่ะ แต่ไม่ใจดีมากนัก
ก็ยังดี มีแววเอ็นดูน้องบ้าง ไม่มากไม่น้อย
มีแอบมองด้วยนะคนเรา
ปลื้มใจคำตอบซูฮวา ถึงจะบ้าบอไปบ้าง
แต่พระชายาก็ภักดีและซื่อสัตย์นะคะ
คำตอบนี้จะช่วยชีวิตพระชายาได้แน่นอนค่ะ
หยางจินได้ฤกษ์จะเปิดตัวสักทีนะคะ รอเลยค่ะ
-
ท่านอ๋องไม่ใจร้าย ออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำ
ซูฮวา เด๋อด๋า บ้าบอ แต่ซื่อสัตย์และหนักแน่นไม่แพ้ท่านอ๋องเลย
เชื่อว่าพระชายาน้อยจะเลือกคำตอบที่ท่านอ๋องพึงพอใจ
-
:katai2-1: :katai2-1:
-
อยากหอมหัวน้อง
-
ต้องตามมมม
-
คำเตือน 1.นายเอกเรื่องนี้สวยเกินความจำเป็นไปมาก สวยเหลือเฟือ สวยใสและไม่ค่อยมีสมองเท่าไหร่
2.นิยายเรื่องนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของยุคโบราณ ไม่สามารถนำตรรกะ สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ชนชั้นในศตวรรษที่21มาตัดสินการกระทำและแนวคิดของตัวละครได้
.......................................................
บทที่๘
ก่อนที่ชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่จะกลับบ้านนั้นพระชายาของเขาก็ต้องกลับบ้านก่อน
คืนนั้นซูฮวาไม่ได้ค้างที่วังของจินเยว่ หลังจากทำใจเรื่องท่านอาจารย์รับตนเป็นศิษย์เพราะหลงใหลความงามของตนแบบคิดเองเออเองเสร็จแล้วซูฮวาก็ออกมากล่าวลาเจ้าของบ้านและจากไปโดยไม่ได้มองหน้าหยางจินอีกเลย
คนงามก็มีความเจ็บปวดของคนงาม
ในคืนวันนั้นซูฮวานอนไม่ค่อยหลับ แม้ว่าจะวางใจไปได้เปลาะหนึ่งเพราะจินเยว่บอกว่าจะช่วยแถมดูสบายใจจนซูฮวาเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายต้องช่วยตนได้แน่ๆ แต่พระชายาน้อยก็ยังคงวนเวียนความคิดอยู่ที่ท่านอาจารย์
“ข้าอยากให้ท่านเป็นอาจารย์ของข้าจริงๆ นะ” ตั้งแต่ลืมตาดูโลกใบนี้มาสิบหกปีซูฮวาไม่เคยมีใครที่สามารถนับถือเป็นอาจารย์มาก่อน มีเพียงหยางจินเท่านั้นที่ไม่มัวพะวงว่าตนเป็นถึงลูกเจ้าเมืองหรือพระชายา มีแค่หยางจินที่สอนวิชาดาบให้โดยไม่แบ่งแยกหรือดูแคลนตน
“ท่านอาจารย์... ท่านก็ดูไม่เหมือนคิดเกินเลยกับข้าเลย แล้วทำไมท่านถึงกล่าวเช่นนั้น” เพราะค้างคาใจเช่นนี้ทำให้ร่างบางนอนคิดวนไปวนมาอยู่ตลอดคืน
กระทั่งพระอาทิตย์จวนจะขึ้นมู่ซูฮวาถึงนอนหลับ แต่ก็นอนหลับได้เพียงแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้นหลี่หมิงก็เข้ามาปลุกให้ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้ว ความจริงเธออยากให้ซูฮวานอนพักผ่อนมากกว่า แต่เธอกลัวว่าพระมเหสีจะเสด็จมาก่อนเวลาทางที่ดีพระชายาน้อยควรเตรียมตัวให้พร้อม
“จะว่าไปตั้งแต่แต่งกับชินอ๋องมาข้าก็ไม่ได้เข้าไปถวายพระพรพระมเหสีอีกเลย พระนางต้องโกรธแน่ๆ” เพราะเคยเข้าไปแล้วโดนแกล้งจนต้องแสร้งเป็นลมซูฮวาเลยเข็ดจนไม่ย่างกรายเข้าไปในวังอีกเลย
หลี่หมิงที่ช่วยจัดแต่งทรงผมให้เจ้านายอยู่ด้านหลังเองก็มีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน นางสุดแสนจะเป็นห่วงพระชายาผู้ไม่ได้เรื่องของนางอย่างยิ่ง วันนี้นอกจากพระมเหสีจางแล้วก็ยังมีบรรดาขุนนาง ฮูหยินของเหล่าขุนนาง รวมไปถึงพวก เฉินซื่อเข้าร่วมงานด้วย เรียกว่ามีแต่ศัตรูไม่มีมิตร
“ไม่รู้ว่าเทียนชินอ๋องจะมากี่ยามนะเพคะ” จินเยว่นับเป็นมิตรเพียงคนเดียวในงานแล้ว
“ความจริงพระชายาไม่ควรต้องมานั่งรับมือเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ขอเพียงมีหานชินอ๋องอยู่ด้วยเรื่องทุกอย่างก็จบแล้ว” นี่นับเป็นครั้งแรกที่ หลี่หมิงพาดพิงถึงพระสวามีของผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เจ้าอย่าลืมความยินดีของพวกเราตอนข้าเข้าเรือนหอคืนแรกไปเสียสิ ตอนนั้นพวกเรากล่าวขอบคุณฟ้าดินที่เขาไม่ยอมกลับวังอ๋อง ยามนี้เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิม พวกเราเองก็จะเอาแต่ได้ไม่ได้” ซูฮวากล่าวสั่งสอนบ่าว
หลี่หมิงขานรับด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย
และทันใดนั้นเองที่หน้าประตูห้องนอนของซูฮวาก็ปรากฏร่างของแขกไม่ได้รับเชิญ เฉินซื่อในชุดสีชมพูแจ่มสดสวมเครื่องประดับมากมายจนมองแล้วตาลาย ใบหน้าประโคมด้วยเครื่องสำอางจนซูฮวาแอบคิดว่ามากเกินไปหน่อย กรีดกรายเดินเข้ามาในห้อง
เห็นนางวางมาดประหนึ่งว่าวันนี้นางจะได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายาแล้วซูฮวาก็ได้แต่กลอกสายตา
สตรีนางนี้โลกแคบเกินไป วางเป้าหมายชีวิตไว้เพียงแค่ตำแหน่งเมียเอกราวกับว่านั่นคือตำแหน่งที่สูงส่งล้ำค่า
“หม่อมฉันถวายพระพรพระชายาเพคะ” เฉินซื่อย่อกายอย่างมีจริต
“เจ้าแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นนกยูงเลยนะ ฮะๆๆ” ซูฮวาตอบเสียงเจื้อยแจ้ว
“แหม พระชายากล่าวชมหม่อมฉันเกินไปแล้ว ไม่ว่าหม่อมฉันจะพยายามขนาดไหนก็สู้พระชายาที่สวมชุดธรรมดา มัดรวบผมขึ้นไปอย่างธรรมดาไม่ได้หรอกเพคะ” ฟังครั้งแรกเหมือนเฉินซื่อกำลังกล่าวชมแต่ความจริงแล้วนางกำลังจิกกัดซูฮวาที่เลือกแต่งชุดสีขาวฟ้าพื้นๆ ส่วนทรงผมก็แค่ถักเปียเส้นเล็กสองเส้นแล้วมัดม้วนเป็นรูปดอกไม้ดอกเล็กๆ ส่วนผมที่เหลือก็ปล่อยยาวสยาย
“เมื่อคืนหม่อมฉันไต่สวนบ่าวรับใช้ที่ติดตามพระชายาออกไปยังป่าไผ่ได้ความว่าท่านกับชายแซ่หยางมีความสัมพันธ์อันไม่บริสุทธิ์จริง เห็นทีวันนี้หม่อมฉันคงต้องถือโอกาสกราบทูลพระมเหสีแล้ว” สิ้นคำของเฉินซื่อใบหน้าของซูฮวาก็ฉาบด้วยความหมองคล้ำทันที
ไม่พูดถึงก็แล้วไปแต่พอพูดถึงซูฮวาก็แอบเครียดเล็กๆ
เฉินซื่อจากไปแล้วร่างบางก็ทำผมเสร็จพอดี ซูฮวานำหลี่หมิงมาที่หน้าวัง ร่างบางเดินกระสับกระส่ายชะเง้อคอมองออกไปนอกประตูเพื่อดูว่าเทียนชินอ๋องสหายรักมาหรือยัง “เจ้าคิดว่าจินเยว่จะช่วยข้าได้จริงหรือ”
“หม่อมฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเพคะ” บอกตามตรงว่าหลี่หมิงมองไม่เห็นทางที่จินเยว่จะช่วยซูฮวาได้เลย ท่านอ๋องน้อยผู้นี้ดูเหมือนจะยังเอาตัวเองแทบไม่รอดด้วยซ้ำ แต่กลับมั่นอกมั่นใจว่าตนสามารถแก้ปัญหาให้ซูฮวาได้แน่ๆ
“โอ๊ะ...” ร่างบางร้องโอ๊ะออกมาเมื่อเห็นเกี้ยวตัวเข้ามาใกล้ประตูวัง แต่เมื่อรถม้าจอดเทียบท่าซูฮวาก็ต้องหุบยิ้มเพราะคนที่ลงมาไม่ใช่จินเยว่แต่เป็นใต้เท้าเฉิน บิดาของเฉินซื่อ!
ใต้เท้าเฉินทำความเคารพพระชายาตามพิธี ท่าทางขอไปทีของเขานั้นแม้ดูขัดตาแต่ซูฮวาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเรื่องที่ซูฮวาแอบออกไปพบชายชู้คงไปถึงหูของอีกฝ่ายแล้ว
แล้วหลังจากนั้นเกี้ยวอีกหลายคันก็ทยอยเข้ามาจอด สร้างความแปลกใจแก่ซูฮวานิดหน่อยเพราะดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจมากันก่อนเวลา เรื่องเวลาเริ่มงานไม่น่าจะโกหกเพราะบ่าวในวังตอนนี้วิ่งเตรียมการกันหัวหมุนแสดงให้เห็นว่าเตรียมอาหารไม่ทัน
งานดื่มชาชมดอกไม้ย่อมต้องจัดขึ้นในสวน หากจัดในเรือนก็คงไม่รู้จะชมดอกไม้กันอย่างไร แม้ว่าฤดูนี้จะไม่ใช่ฤดูที่ดอกไม้บานแต่คนของวังชินอ๋องก็มานะพากเพียรในการหาซื้อพันธุ์ไม้ที่ออกดอกในช่วงนี้มาประดับไว้จนในสวนเริ่มมีสีสัน
งานเลี้ยงในครานี้จะปูเสื่อและตั้งโต๊ะเล็กๆ สำหรับวางสำรับอาหารส่วนตัวของใครของมันเอาไว้ ทุกคนที่มาร่วมงานจึงต้องนั่งกับพื้นโดยที่นั่งตำแหน่งประธานตกเป็นของพระมเหสี และซูฮวาที่มียศรองลงมาได้นั่งทางด้านขวามือของพระนาง
เมื่อเห็นว่าแขกเริ่มมากันเยอะแล้วในฐานะที่มีศักดิ์สูงสุดในวังแห่งนี้ซูฮวาจึงไม่อาจรั้งรออยู่ที่หน้าประตูได้อีกต่อไป ร่างบางเดินหน้าซึมไปยังสวนซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงเล็กๆ แห่งนี้ แล้วพอซูฮวาปรากฏตัวในงานเท่านั้นแหละ บรรดาใต้เท้าก็ผละจากฮูหยินที่พามาด้วยเข้ามารุมล้อมซูฮวาเป็นทิวแถว
“เมื่อครู่เจอพระชายาที่หน้าประตูไม่มีโอกาสได้มองหน้าชัดๆ กระหม่อมได้ยินคำร่ำลือมานานไม่คิดว่าจะงามถึงเพียงนี้” ขุนนางร่างอ้วนคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยแววตากะลิ้มกะเหลี่ย
ร่างบางสืบเท้าถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะห่าง “ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว”
“ไม่เกินแม้แต่น้อย” ขุนนางทหารอีกท่านหนึ่งรีบเสนอหน้าออกมา “หากไม่ติดว่าพระองค์ทรงเป็นพระชายาในหานชินอ๋องป่านนี้กระหม่อมคงมาสู่ขอพระองค์แล้ว”
“ฮ่าๆๆ พอท่านพูดถึงหานชินอ๋องข้าก็นึกขึ้นได้ ข่าวลือที่เขาไม่ยอมรับท่านและไม่ยอมกลับวังเลยเป็นจริงหรือไม่” คราวนี้คนที่อยู่รอบๆ ต่างพากันพูดถึงเรื่องที่ซูฮวาโดนพระสวามีรังเกียจกันยกใหญ่
“อยู่ที่นี่คนเดียวพระชายาคงเหงาน่าดู” ใต้เท้าท่านหนึ่งกล่าว
“แต่งได้ก็หย่าได้ เหตุใดท่านถึงยังทนอยู่ที่นี่อีกเล่า” ใต้เท้าอีกคนหนึ่งเสริม
“แม้ท่านจะเคยแต่งงานมาก่อนแต่ข้าเชื่อว่าบุรุษทั้งแผ่นดินยังยินดีรับท่านเป็นภรรยา พระชายาไม่ลองมองหาจวนใหม่เป็นที่พักใจเล่า” ใต้เท้าอีกท่านพูดออกมาอย่างไม่กลัวตาย
“พวกท่านจะมากไปแล้วนะ...” เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีพวกมากส่วนตนเองหัวเดียวกระเทียมลีบร่างบางจึงยอมทนฟังอยู่ได้ตั้งนานแต่พูดไปพูดมา ใต้เท้าพวกนี้กลับยิ่งจาบจ้วงไร้มารยาทขึ้นเรื่อยๆ
“จะชั่วดียังไงข้าก็เป็นถึงพระชายาของหานชินอ๋อง พวกท่าน...จะกล่าววาจาอันใดก็ควรให้เกียรติกันด้วย!”
“คนที่ไม่ให้เกียรติหานชินอ๋องก่อนก็คือท่านไม่ใช่หรือ ข้าเตือนท่านเรื่องที่ท่านแอบคบหากับชายชู้แล้วแต่ท่านกลับหนังหนาหน้าด้านปฏิบัติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น!” ถึงคราวเฉินซื่อออกโรง นางเดินอาดๆ เข้ามานำทัพเหล่าใต้เท้า
ซูฮวาก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ใต้เท้าพวกนี้ล้วนเป็นสหายของใต้เท้าเฉินบิดาของเฉินซื่อนี่เอง ส่วนใต้เท้าคนอื่นที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับใต้เท้าเฉินตอนนี้ต่างพากันมองมายังกลุ่มของพระชายาที่กำลังมีข้อพิพาทกันอยู่
ทันทีที่คำว่าชายชู้ถูกโยนเข้ามาในบทสนทนาทุกคนในที่นี้ก็พากันแตกตื่น ความโกลาหลขนาดย่อมมาในรูปแบบของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ บางคนก็ไม่เชื่อแต่มีอีกหลายคนที่เห็นว่าเป็นไปได้เพราะตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพระชายาไม่มีโอกาสปรนนิบัติหานชินอ๋องเลย
แล้วซูฮวาก็ต้องตกใจจนหน้าถอดสีอีกครั้งเพราะคราวนี้ไม่ได้มีเพียงบรรดาใต้เท้าและฮูหยินเท่านั้นที่มาก่อนเวลาเริ่มงาน “พระมเหสีเสด็จ!!”
“โอ๊ย จะรีบมาทำไมขนาดนี้นะ!” มือเรียวยกขึ้นกุมหัวตนเอง
ดูก็รู้ว่าที่พวกใต้เท้าทั้งหลายเพื่อนของใต้เท้าเฉินแห่มาก่อนเวลาก็เพราะอยากรุมโจมตีใส่ไข่ซูฮวาล่วงหน้า หลอกชักจูงใต้เท้าคนอื่นๆ ที่บังเอิญมาก่อนเวลาให้คล้อยตาม เมื่อพระมเหสีเสด็จมาใต้เท้าเฉินก็จะมีขุมกำลังมหาศาลบีบบี้ขยี้ขยำซูฮวาจนเละในพริบตา
“ถวายพระพรพระมเหสี ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพจิตใจไหนทุกคนก็รีบหันมาถวายบังคมมารดาแห่งแผ่นดิน ผู้นานๆ ครั้งจะเสด็จออกจากวัง
พระมเหสีจางนั้นเป็นสตรีวัยสี่สิบกลางๆ แม้จะมีริ้วรอยให้เห็น รูปร่างเองก็เริ่มอวบแล้วแต่ทว่าพระนางก็ยังมีเค้าลางแห่งความงามเหลือให้เห็น
พระนางยกมือให้ทุกคนลุกขึ้นก่อนจะตวัดสายตาเย็นชามามองซูฮวาที่ก้มหน้ายืนตัวลีบอยู่
มารดาแห่งแผ่นดินแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจสะใภ้คนนี้ แม้ว่าซูฮวาจะพยายามเข้าไปชวนคุย ทว่าพระนางกลับเพิกเฉยไม่ตอบรับใดๆ สุดท้ายซูฮวาจึงได้แต่เดินนำพระนางไปประทับยังที่นั่งที่คนของวังชินอ๋องจัดเตรียมเอาไว้
“พระชายา” หลังจากพระมเหสีจางนั่งที่แล้วพระนางก็หันมาหาซูฮวาซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านขวามือของพระนาง
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ามีของให้เจ้า” ทีแรกพระนางแสดงออกอย่างเย็นชาแต่ยามนี้กลับจะพระราชทานของขวัญ
ใจดวงน้อยของพระชายาฟูฟ่องราวกับลิงโลด หลงนึกดีใจว่าแม่สามีผู้นี้ไม่ได้ใจร้ายกับตนนัก แต่เมื่อนางกำนัลส่วนพระองค์นำของขวัญที่พระนางเตรียมมามอบให้แก่ซูฮวา ทั่วทั้งสวนดอกไม้ก็ถูกความเงียบเข้าปกคลุม
ของในมือของซูฮวาคือหน้ากากสีขาวปราศจากลวดลาย มีช่องสายตาสองช่องพอให้มองลอดออกมา
“ขอบพระทัยเสด็จแม่ นี่คือ...” ร่างบางเสียงสั่น
“ตลอดงานเลี้ยงขอให้เจ้าใส่ไว้ ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้า” พระมเหสีกล่าว
ทั่วทั้งร่างของซูฮวาชาราวกับโดนฟ้าผ่าใส่ชุดใหญ่ ร่างบางค่อยๆ ยกเจ้าหน้ากากไร้ลวดลายขึ้นมาใส่อย่างไม่อาจขัดขืน พระชายาน้อยได้แต่ถามกับตัวเองในใจว่าในเมื่อไม่อยากเห็นหน้าข้าแล้วท่านจะมาบ้านข้าเพื่ออะไร
“เชิญใต้เท้าทุกท่านตามสบาย งานเลี้ยงในวันนี้ข้าจัดขึ้นเพื่อฉลองให้ หานชินอ๋องและพระชายา แทนคำอวยพรให้พวกเขาครองรักกันตราบชั่วนิรันดร์” น้ำเสียงของสตรีผู้สูงศักดิ์ท่านนี้เคลือบแฝงด้วยแววจิกกัดไม่แพ้ยามเฉินซื่อสนทนากับซูฮวา
ใต้เท้าทุกท่านรีบยกจอกเหล้าขึ้นดื่มเพื่อเอาใจพระมเหสี จากนั้นงานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างดื่มกินและสนทนาเรื่องสัพเพเหระขณะฟังคณะนักดนตรีบรรเลงบทเพลงกันอย่างมีความสุข เหลือเพียงแค่ซูฮวาที่ไม่อาจดื่มกินอะไรได้เนื่องจากสวมหน้ากากอยู่
ร่างบางทำได้เพียงนั่งตัวตรงอยู่กับที่
ไม่มีใครเข้ามาชวนคุย และไม่อาจกินอะไรได้
งานเลี้ยงแบบนี้จะเรียกว่างานเลี้ยงได้ยังไง
คุณชายน้อยแห่งสกุลมู่ที่เกิดมาท่ามกลางความรักของบิดามารดา ได้รับความเอ็นดูจากพี่ชายทั้งสอง และมีชาวเมืองคอยให้ท้ายมาตลอดนับตั้งแต่ลืมตาดูโลกเพิ่งเคยประสบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
และสถานการณ์ที่ว่าเลวร้ายแล้วกลับยิ่งเลวร้ายลงกว่าเก่าเมื่อเฉินซื่อกับบิดาเดินออกมาข้างหน้า นางสั่งคนให้ไปรวบรวมบ่าวไพร่ทั้งหมดในวังชินอ๋องมารวมกันเพื่อเตรียมการแฉพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของพระชายา
“กราบทูลพระมเหสี ธิดาของกระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะกราบทูล พ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าเฉินเปิดประเด็น
“เรื่องสำคัญอันใดที่ทำให้เจ้าลุกออกมาขัดงานเลี้ยงอันรื่นเริงเช่นนี้กัน หืม?” พระมเหสีถาม
ฝ่ามือของซูฮวาชื้นเหงื่อทันที มือบางจิกเล็บลงกับต้นขา ร่างกายตื่นเกร็งจนสติแทบแตก
“หลังจากแต่งเข้าวังหานชินอ๋องแล้วพระชายามู่กลับไม่รู้จักพอ แอบออกไปพานพบชายชู้ในป่าไผ่ทุกวันพ่ะย่ะค่ะ!”
ได้ฟังดังนั้นพระมเหสีก็มีสีหน้าตกใจถึงขีดสุด ดวงตาของนางวาวโรจน์ขณะหันกลับมามองซูฮวาซึ่งนั่งเหงื่อแตกอยู่เงียบๆ พระนางทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นมาจิกหัวซูฮวาตบโดยที่เฉินซื่อไม่ต้องเรียกข้ารับใช้ออกมาเป็นพยานด้วยซ้ำ
“บังอาจนัก! กล้าดียังไง” พระมเหสีตวาดเสียงดัง ซูฮวาได้แต่หดคอลงด้วยความหวาดกลัว
“กระหม่อมถูกใส่ร้าย” สิ่งเดียวที่ซูฮวาสามารถทำได้ก็คือปฏิเสธข้อกล่าวหา
แต่พระมเหสีไม่สนใจฟังอะไรแล้ว พระนางลุกขึ้นมากระชากแขนของ พระชายาน้อยซึ่งถูกบังคับให้สวมหน้ากากอยู่ลุกขึ้นยืน
ซูฮวาตัวสั่นเป็นลูกหมาตกน้ำ ใบหน้าที่ถูกหน้ากากสีขาวปิดซ่อนเอาไว้อาบไปด้วยน้ำตา “กระหม่อมถูกใส่ร้าย! เฉินซื่ออิจฉากระหม่อมนางเลยพยายามปรักปรำกระหม่อม! เรื่องนี้เทียนชินอ๋องเป็นพยานได้”
ซูฮวาแทบจะกรีดร้องออกมาเมื่อพูดถึงเทียนชินอ๋อง
ทุกคนมาก่อนเวลานัดได้แล้วทำไมเทียนชินอ๋องมาก่อนเวลาบ้างไม่ได้ เหลือเวลาอีกสองเค่อกว่าจะถึงเวลาเริ่มงานจริงๆ ไม่ใช่ว่าเทียนชินอ๋องจะมาเอาตอนนั้นเลยล่ะ ป่านนั้นซูฮวาได้โดนโบยจนขาดใจไปแล้วแน่ๆ
แต่พอได้ยินซูฮวาแก้ตัวพระมเหสีก็สงบลง นางปล่อยมือที่บีบแขนของร่างบางเอาไว้ก่อนหันไปหาสองพ่อลูก เฉินซื่อสบโอกาสรีบเสนอหน้าออกมาทันควัน “เรื่องนี้บ่าวรับใช้ในวังสามารถเป็นพยานได้เพคะ พวกเขาล้วนเคยติดตามพระชายาออกไปพบชายชู้มาแล้วคนละครั้งถึงสองครั้ง”
คราวนี้พระมเหสีตวัดสายตาทิ่มแทงใส่ซูฮวาอีกครั้ง
“รอเทียนชินอ๋องมาก่อน” ซูฮวาได้แต่ยกชื่อท่านอ๋องน้อยผู้มีอำนาจเบาหวิวขึ้นมาคุ้มกะลาหัว
“ชายชู้ของเขาเป็นใครมาจากไหน” พระมเหสีจางหันไปถามเฉินซื่อ ดูเหมือนนางจะให้ความเชื่อถือฮูหยินมากกว่าพระชายาแล้วด้วยความที่ชังน้ำหน้าซูฮวาเป็นทุนเดิม
“พวกบ่าวรับใช้ต่างไม่ทราบว่าเขาเป็นใครแต่ได้ยินมาว่ามีใบหน้าหล่อเหลาคมคายมากเพคะ คาดว่าพระชายาคงหวั่นไหวไปกับรูปลักษณ์ของเขา” เฉินซื่อตอบ
“หึ ข้าชักจะอยากเห็นแล้วสิว่าบุรุษผู้นั้นจะหล่อเหลาปานใดถึงได้ทำให้ภรรยาคนหนึ่งอาจหาญนอกใจสามีคบชู้สู่ชายอย่างไร้ยางอาย!” พระมเหสีตวาดพลางผลักซูฮวาที่ยืนหน้าสั่นอยู่ด้านข้าง
ร่างบางแทบหน้าทิ่ม โชคดีที่พวกหลี่หมิงวิ่งเข้ามารับไว้ทัน ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองกอดเจ้านายของตนเองเอาไว้แน่น พยายามคุกเข่าขอความเป็นธรรมจากพระมเหสีแต่ดูเหมือนความอาฆาตจะครอบงำจิตใจของพระนางไปแล้ว
“เอาตัวพระชายาไปโบยที่หน้าประตูวังอ๋องจนกว่าข้าจะสั่งให้หยุด!”
“ได้โปรดรอจนกว่าเทียนชินอ๋องจะมาเถอะ!” ซูฮวาร้องลั่น กอดหลี่หมิงเอาไว้แน่นขณะที่คนของพระมเหสีเข้ามาฉุดกระชากร่างบาง “ข้าไม่ได้คบชู้จริงๆ! ข้าไม่เคยนอกใจหานชินอ๋องสักครั้ง แม้แต่ในฝันก็ไม่เคย!”
ทว่าเสียงของซูฮวากลับส่งไปไม่ถึงใครทั้งสิ้น พระนางหันมาซักเฉินซื่ออีกว่า “เจ้าสามารถลากคอชายชู้คนนั้นมาให้ข้าดูน้ำหน้าได้หรือไม่”
“เพคะ” เฉินซื่อรีบเอาใจมารดาแห่งแผ่นดินโดยไม่ต้องคิด นางมั่นใจอย่างยิ่งว่าหากนางทำงานชิ้นนี้สำเร็จละก็ นางต้องได้เป็นพระชายาคนใหม่ของ หานชินอ๋องแน่นอน
“ไม่ต้องถึงมือนางหรอก ข้าพาชายคนที่พวกท่านว่ามาแล้ว ฮะๆๆ” และท่ามกลางความโกลาหลนั่นเองเสียงของจินเยว่ก็ดังขึ้น
-----------------------------
ตอนนี้ไม่รู้จะเครียดหรือจะฮาดีนะคะ แต่ละคน ไม่ดูตามาตาเรืออะไรทิ้งสิ้น 5555
#มาลาสุราลัย
-
จบลงแบบค้างๆ :o12:
-
เรื้องนี้ต้องมีคนโดนจัดการบ้างละ
-
ตัดฉับ แง๊
-
อย่างลุ้น อย่างสงสาร
-
ตอนนี้นอกจากจะสงสารซูฮวา สงสารตัวเองอีกนิดค่ะ กำลังอินเลย
ทำไมพอดีแบบนี้เนาะ แห่กันมา เพื่อมาประจานกันใหญ่โต
แถมมเหสีก็ดูบ้าบอ ไม่ฟังความใด ลำเอียงออกนอกหน้ามาก
มาสักทีนะคะหยางจิน มาช่วยน้องด้วย และไล่คนพวกนั้นออกไปด้วย
-
พระชายาน้อยรอดแล้วว ท่านอ่องน้อยพาพระสวามีมาช่วยแล้วว
รอขำพวกหน้าแหกล่วงหน้าเลย :hao7:
-
ชั่ง ค้างงงงงงงงงงงง คาาาาาาาาา -_-"
-
กว่าจะมาได้นะ ปล่อยให้พระชายาใจเสียเลย
-
ค้างงงง
-
คำเตือน 1.นายเอกเรื่องนี้สวยเกินความจำเป็นไปมาก สวยเหลือเฟือ สวยใสและไม่ค่อยมีสมองเท่าไหร่
2.นิยายเรื่องนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของยุคโบราณ ไม่สามารถนำตรรกะ สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ชนชั้นในศตวรรษที่21มาตัดสินการกระทำและแนวคิดของตัวละครได้
.......................................................
บทที่๙
เมื่อได้ยินผู้มาใหม่กล้าหาญชาญชัยกล่าวแทรกคำพูดของมารดาแห่งแผ่นดินเหล่าขุนนางและบ่าวรับใช้ต่างก็พากันหันหน้าไปมอง และเมื่อพบว่าคนมาใหม่นั้นคือใครทุกคนก็ร้องอ้อเบาๆ ที่แท้ก็เทียนชินอ๋องตัวกาลกิณีผู้นั้นนี่เอง
เทียนชินอ๋องบอกว่าตนพาชายชู้มาด้วยทุกคนจึงพากันชะเง้อคอมองหาหวังว่าจะได้เจอเรื่องสนุกแต่ทุกคนกลับพบเรื่องสนุกยิ่งกว่านั้นก็คือเทียนชินอ๋องไม่ได้มาลำพัง เขาพาพี่ชายของเขา หานชินอ๋องมาด้วย
ขุนนางที่ได้รับเชิญมายังงานเลี้ยงดวงตาเป็นประกายทันที ชื่อเสียงของหานชินอ๋องนั้นเป็นที่ประจักษ์ในความโหดเหี้ยมเด็ดขาด พวกเขาต่างมั่นใจว่า พระชายาต้องถูกปลดเป็นแน่ เพียงแต่หลังจากถูกปลดแล้วจะโดนโทษถึงขั้นประหารเลยหรือไม่
ในขณะที่หลายคนกำลังประเมินโทษที่พระชายาผู้นี้กำลังจะได้รับ ขุนนางมักมากหลายคนก็แอบดีดลูกคิดรางแก้วในใจว่าตนมีหนทางดึงตัวมู่ซูฮวาผู้งดงามมาเป็นอนุในเรือนได้หรือไม่ บอกตามตรงแม้เป็นของมีตำหนิแต่มู่ซูฮวาก็งดงามเกินกว่าจะพลาดโอกาสรับตัวมาง่ายๆ
“เทียนชินอ๋อง ชายชู้ที่เจ้ากล่าวถึงอยู่ที่ใด” พระมเหสีคงเป็นผู้เดียวที่มุ่งมั่นจะจับตัวชายชู้ให้ได้
ในขณะที่ต่างคนต่างความคิด คนที่ตกใจยามเห็นหน้าหยางจินที่สุดก็คือซูฮวานั่นเอง
ร่างบางอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังเผลอรีบวิ่งดุ๊กๆ เข้าไปหาร่างสูงที่ยืนกอดอกพิงเสาอยู่ห่างๆ คนนั้นด้วยความเป็นห่วงทันที
“ท่านมาที่นี่ทำไม แถมยังยืนวางมาดอย่างสบายใจอีก ดูสถานการณ์หน่อยสิ โธ่” มือขาวพยายามแงะตัวของหยิงจินให้เลิกพิงเสาอย่างสบายใจเฉิบ เสียที ท่านอาจารย์ไม่รู้หรือไงว่าพระมเหสีกำลังพิโรธขนาดไหน อยากไม่มีเงาหัวนักหรือ
“ไหนล่ะชายชู้” ในขณะที่ทุกคนกำลังมึนงงเพราะการมาเยือนของ หานชินอ๋องนั้นเอง ใต้เท้าเฉินก็หันไปถามธิดาของตน
เฉินซื่อผู้น่าสงสาร ตั้งแต่ตบแต่งเป็นคนของหานชินอ๋องมานางก็ไม่เคยเห็นหน้าสามีมาก่อน พอหันไปสบตากับบ่าวไพร่ด้านหลังแล้วนางก็รีบชี้นิ้วไปยังร่างสูงของหานชินอ๋องที่กำลังยืนกอดอกมองงานเลี้ยงอันโกลาหลอยู่ด้วยสายตาเย็นชา
“ชายคนนั้นแหละเพคะ ชู้รักของพระชายา!”
สิ้นคำของเฉินซื่อหัวใจของซูฮวาก็เกือบหยุดเต้น ในหัวตอนนี้คิดแค่ว่าต้องหาทางช่วยท่านอาจารย์ให้ได้จึงลืมสังเกตสีหน้าของคนรอบตัว
แม้แต่พระมเหสีจางยังอึ้งไม่ได้ยินคำให้การของเฉินซื่อ
“หยางจิน เป็นความจริงหรือ” พระนางถามออกมาในที่สุด
“ซูฮวาต้องการเรียนเพลงดาบกับตำราพิชัยสงครามจึงขอให้ลูกช่วยสอน ทุกวันหลังเลิกงานพวกเราเลยนัดพบกันในที่ดินของจินเยว่” ไท่ติงหยางจินตอบมารดาแห่งแผ่นดินด้วยน้ำเสียงไม่เดือดร้อนเป็นทุกข์
ตรงกันข้ามกับเฉินซื่อที่สะดุดใจกับคำแทนตัวของเขาที่กล้าแทนตนเองว่าลูกกับพระมเหสี อย่างน้อยก็นับว่าเฉินซื่อยังมีสติเหลืออยู่ ผิดกับซูฮวาที่ขวัญกระเจิงไปถึงไหนต่อไหน ร่างบางหูอื้อตาพร่าไปหมด ไม่รับรู้อะไรแล้วได้แต่ยืนเกาะแขนเสื้อหยางจินตัวสั่นงันงก
“ท่านอาจารย์ ข้าตายคนเดียวก็พอ ด้วยวรยุทธของท่านตอนนี้ยังพอหนีไปได้” เสียงหวานกล่าวอย่างสั่นเครือ
เนื่องจากพวกเขาสองคนยืนอยู่ค่อนข้างห่างจากผู้คนแถมซูฮวายังสวมหน้ากากอยู่ทำให้มีเพียงหยางจินเท่าได้ที่ได้ยินพระชายาน้อยของตนกล่าวว่าจาโง่เขลาออกมา
“ซูฮวาน้อย ไหนเจ้าลองพูดชื่อสามีของเจ้าให้ข้าฟังที” เสียงทุ้มกล่าวแผ่วเบาให้ได้ยินกันสองคนขณะยกมือขึ้นลูบหัวเพื่อปลอบขวัญคนตัวเล็กอย่างอ่อนโยน
“หานชินอ๋อง ฮึก...” ซูฮวาสะอึกสะอื้นพูดชื่อสามีใจดำออกมา
“หานชินอ๋องคือชื่อตำแหน่ง ข้าถามชื่อจริงของเขา”
“เอ่อ”
“ซูฮวา”
“...”
“ซูฮวา...”
“...”
“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ชื่อของสามีตนเอง”
“ท่านแม่เคยบอกข้าตอนเด็กๆ แต่ข้าลืมไปแล้ว ทุกคนล้วนเรียกเขาว่าหานชินอ๋องข้าเลยจำได้แค่หานชินอ๋อง” ซูฮวาตอบอย่างใสซื่อ คราวนี้เจ้าตัวเริ่มรู้สึกแปลกๆ แล้ว สภาพวุ่นวายเมื่อครู่ดูเหมือนจะสงบลงตั้งแต่พวกจินเยว่มา
ขณะที่กำลังหันไปชะเง้อชะแง้ดูว่าทุกคนกำลังทำอะไรกันอยู่ท่านอาจารย์ที่เคารพก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะเหนื่อยใจว่า “หานชินอ๋อง ไท่ติง หยางจิน”
ซูฮวาหันขวับมามองใบหน้าของท่านอาจารย์จินที่เคารพอีกครั้งก่อนจะหันไปทางงานเลี้ยงที่ทุกคนกำลังมองเฉินซื่อด้วยสายตาว่างเปล่า และแล้ว พระมเหสีก็ช่วยตอกย้ำความเป็นจริงที่ว่าท่านอาจารย์จินกับหานชินอ๋องเป็นคนเดียวกันด้วยการเดินไปตบหน้าเฉินซื่อ
“บังอาจหลอกลวงเบื้องสูงมีโทษถึงตาย!”
“พระมเหสีโปรดเมตตาด้วย บุตรีของกระหม่อมอยู่แต่เหย้าเฝ้ากับเรือน นางไม่ได้มีเจตนาร้าย! เพียงแค่เห็นพระชายาแอบออกจากบ้านทุกวันจึงเกิดความสงสัย ไม่ได้มีเจตนาร้าย!” ใต้เท้าเฉินโขกหัวกับพื้นโป๊กๆ สองพ่อลูกร้องห่มร้องไห้ขอความเมตตากันตัวสั่น
กรรมตามสนองเขาแล้ว เมื่อครู่ซูฮวาร้องขอความเป็นธรรมคอแทบแตกผลคือเกือบโดนลากไปโบยประจานหน้าบ้าน คราวนี้เป็นตาของสองพ่อลูกนั่นแล้ว
“บ่าวรับใช้ที่ติดตามซูฮวาไปด้วยย่อมรู้ว่าลูกกับเขาเพียงแค่ฝึกเพลงดาบและอ่านตำรากันเท่านั้น หาได้มีอะไรเกินเลย เหตุที่เรื่องมันบานปลายขนาดนี้เกรงว่าต้องมีคนจงใจบิดเบือนความจริงแล้ว” หานชินอ๋องที่ปกติจะสงวนคำพูดกล่าววาจาออกมายาวเหยียด
แต่ในถ้อยคำนั้นมีข้อเท็จจริงอัดแน่นอยู่
เฉินซื่อร้องไห้โฮ นางรู้ตัวแล้วว่าคราวนี้ไม่รอดแน่จึงพยายามลากคนอื่นตายตามไปด้วย “ลู่ซื่อ ตงซื่อ ถังซื่อ! นางอนุทั้งสามคนนี้เป็นคนเป่าหูหม่อมฉัน เพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ได้ยินพวกนางพูดกันว่าพระชายามู่ลอบคบชู้ ด้วยความที่หม่อมฉันมีอำนาจสูงสุดในวังอ๋องรองจากพระชายาหม่อมฉันจึงจำเป็นหน้าออกหน้าจัดการเพคะ!”
นางอนุทั้งสามเมื่อได้ยินคนสาดโคลนใส่ก็รีบเรียงหน้าออกมาร้องขอความเป็นธรรมกันยกใหญ่
“ลากพวกนางทั้งหมดออกไปไต่สวน!” พระมเหสีที่ถูกทำให้หงุดหงิดหันไปสั่งคนให้ลากตัวเหล่าเมียอ๋องพวกนี้ออกไป พระนางยกมือนวดขมับก่อนจะหันมากล่าวกับแขกในงานด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ขออภัยใต้เท้าทั้งหลาย งานเลี้ยงที่ข้าตั้งใจจัดขึ้นกลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้”
เมื่อเห็นพระมเหสีลงทุนกล่าวคำขอโทษ เหล่าใต้เท้าขี้ประจบที่เหลือก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อนแสร้งทำเป็นสนุกสนานรื่นเริงกับงานเลี้ยงต่อทันที
ในขณะที่ทุกคนดูเหมือนจะลืมคนที่น่าสงสารที่สุดในงานไปแล้วมือหนาก็ปลดเชือกหน้ากากขาวออกจากใบหน้าของซูฮวา หยางจินแกว่งของขวัญจากมารดาแห่งแผ่นดินในมือไปมาพลางกล่าวเสียงเรียบ “ของสิ่งนี้ท่านแม่เป็นคนให้ซูฮวาสวมไว้หรือ”
คำถามนี้ของเขาดูเหมือนจะทิ่มแทงบางส่วนในจิตใจของพระมเหสีเข้าเต็มๆ
“ใช่” พระนางตอบกลับเสียงแกน เชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโสราวกับจะสื่อว่าข้าเป็นคนให้ซูฮวาสวมหน้ากากเอาไว้เอง เจ้ามีปัญหาอะไรหรือ
หยางจินก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เขาแค่ถาม ถามเสร็จก็โยนหน้ากากทิ้งไปอีกทางหนึ่ง
ซูฮวาถึงกับร้องโอ้ออกมาเบาๆ ดวงตาเต็มเปี่ยมด้วยความเลื่อมใสศรัทธา “สมแล้วที่เป็นท่านอาจารย์”
บอกตามตรงว่าร่างบางยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก รู้แค่ว่าแท้จริงแล้วอาจารย์กับพระสวามีเป็นคนคนเดียวกันแต่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปจนไม่อาจปะติดปะต่อความรู้สึกได้ พระชายาน้อยตอนนี้เลยตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างช้าไปหนึ่งจังหวะตลอด
หลังจากหน้ากากถูกถอดออกไปได้สักพักถึงได้รู้ตัวรีบหันหลังให้งานเลี้ยงเพื่อเช็ดคราบน้ำตา
“ท่านอาจารย์” เสียงหวานงึมงำเรียกคนตัวสูงกว่า
“ต่อไปนี้เวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่นห้ามเรียกข้าว่าอาจารย์” หยางจินกล่าว
“แต่ท่านเป็นอาจารย์ของข้า ไม่ให้ข้าเรียกท่านว่าอาจารย์แล้วจะให้เรียกว่าอะไร” ซูฮวาเอียงคอถาม ดวงตาใสซื่อฉายแววงุนงง เห็นแล้วช่างน่ารัก น่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง
หยางจินกระตุกรอยยิ้มจางๆ มุมปาก ดูแล้วร้ายกาจนัก “ข้าไม่ได้เป็นเพียงอาจารย์ อย่าลืมว่าข้าคือหานชินอ๋อง”
เมื่อกล่าวทวงสถานะของตนเองเสร็จสรรพดวงตาคู่คมก็ฉายประกาย พึงพอใจออกมาเมื่อพวงแก้มทั้งสองข้างผู้เป็นชายาของเขาขึ้นสีชมพูระเรื่ออย่างเขินอาย ก่อนที่สีแห่งความขวยเขินจะมลายหายไปเมื่อมู่ซูฮวาค้นพบความจริงบางข้อ “ท่านหมายถึงหานชินอ๋องที่ทอดทิ้งให้ข้าเคารพฟ้าดินและเข้าเรือนหอเพียงลำพังน่ะหรือ”
เจอการยอกย้อนครั้งนี้เข้าไปหานชินอ๋องถึงกับเบือนหน้าไปทางอื่น “ข้ามีเหตุผลของข้า”
“ข้าเข้าใจ” แม้ว่าจนถึงบัดนี้อีกฝ่ายจะไม่ได้กล่าวคำขอโทษออกมาแม้ สักครั้ง ทว่าซูฮวาก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคือง เพราะในวันนั้นซูฮวาเองก็มีความสุขดีหาได้เดือดร้อนอะไร
กลับเป็นหยางจินเองที่แปลกใจ เขาคิดว่าอย่างน้อยพระชายาของตนก็ควรมีอาการแง่งอนให้เห็น “เจ้าไม่โกรธหรือ”
“ฮะๆๆ ท่านคิดว่าข้าอยากแต่งงานกับหานชินอ๋องนักหรือ” เมื่อเห็นภรรยาของตนกล่าวราวกับว่าสามีอย่างเขามีค่ากระจ้อยร่อยในจิตใจหยางจินพลันแสดงสีหน้าถูกใจราวกับเขาค้นพบของเล่นใหม่เข้าแล้ว
“พวกท่านจะเกี้ยวกันอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม เห็นใจคนไร้คู่ทางนี้บ้าง” แล้วจู่ๆ เสียงของบุคคลที่สามก็ดังแทรกขึ้น สองสามีภรรยาที่กำลังคุยกันเรื่อยเปื่อยเหลียวหลังหันมามองจึงพบว่าบรรดาขุนนางและเหล่าฮูหยินทั้งหลายกำลังจับจ้องมายังพวกเขาทั้งคู่ และคนที่เดินเข้ามาขัดจังหวะก็ไม่ใช่ใครอื่น จินเยว่นั่นเอง
“จินเยว่ วันนี้ขอบคุณเจ้ามาก” ร่างบางเดินเตาะแตะไปเกาะแขนคนที่ตัวเล็กพอๆ กัน
แม้ว่าจินเยว่จะมีรูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนแอแต่นิสัยภายในกลับดื้อรั้นและเย่อหยิ่ง เห็นเพื่อนผู้แสนนุ่มนิ่มของตนเดินมาเกาะแกะท่าทางน่ารักแล้วก็อดเลื่อนมือมาหยิกแก้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ หลังจากบีบจนแก้มขาวเป็นรอยแดงแล้วเทียนชินอ๋องก็กล่าวด้วยน้ำเสียงผยองว่า “เหอะ เรื่องแค่นี้เอง ข้าบอกแล้วว่าจัดการได้เจ้าก็ไม่เชื่อ!”
“ก็เจ้า...” ซูฮวาทำท่าจะเถียง
จินเยว่ไม่เปิดโอกาสให้สหายของตนพูดคำว่าก็เจ้าไม่น่าเชื่อถือจริงๆ นี่ออกมาจนจบประโยค มือเรียวรีบยกพักในมือของตนขึ้นเพื่อเคาะลงบนศีรษะของซูฮวา
ทว่าซูฮวาว่องไวสมแล้วที่ฝึกวรยุทธมาจากหานชินอ๋องถึงหนึ่งเดือนเต็ม ในมือของซูฮวาก็มีพัดอยู่เหมือนกันเขาจึงยกมันขึ้นมาตั้งรับ เสียงพัดกระทบกันแม้ไม่ดังนักแต่ดูจากการตั้งท่าของทั้งสองคนแล้วราวกับยอดฝีมือกำลังดวลดาบก็ไม่ปาน
“โฮ่ ฝีมือไม่เลวนี่!” จินเยว่ว่าก่อนจะตวัดพัดโจมตีทางด้านข้างแทน
ซูฮวาหัวเราะคิกคักปัดป้องพัดของเพื่อนรักอย่างสนุกสนาน นี่เป็นหนึ่งในความใฝ่ฝันตั้งแต่วัยเยาว์ของเจ้าตัวแล้ว ที่ผ่านมาได้แต่ดูท่านพี่กับเด็กผู้ชายคนอื่นๆ ดวลดาบกัน ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาถึง! ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การดวลพัดแต่ พระชายาน้อยก็ทุ่มเทตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง
ด้านจินเยว่เองก็เหมือนจะเก็บกดมานาน ยิ่งเล่นยิ่งสนุก เสียงป๊อกๆ แป๊ะๆ ดังขึ้นไม่ขาดสาย
หากการดวลในครั้งนี้ใช้กระบี่แทนก็คงน่าดูชมอยู่หรอก แต่อาวุธในมือของภรรยากับน้องชายนั้นเป็นแค่พัดด้ามจิ๋ว เห็นแล้วหยางจินก็รู้สึกอับอายรับไม่ได้จนต้องหันหน้าหนี
“ฮะๆๆ” โชคดีที่ทั้งสองคนเล่นกันได้สักพักก็เหนื่อยเลยหยุดเล่น
“จินเยว่ เจ้ามาตามพวกเราไปร่วมงานเลี้ยงหรือมาเล่นสนุก” พอสบโอกาสหานชินอ๋องก็รีบตำหนิผู้เป็นน้องเสียงเข้ม
ทว่าคนที่ทำหน้าสำนึกผิดกลับเป็นซูฮวา ร่างบางก้มหัวน้อยๆ ก่อนกล่าวเสียงอ่อย “ขอโทษนะท่านอาจารย์”
หยางจินอยากจับเด็กโง่มาตีก้น ตนเพิ่งบอกไปเมื่อครู่ว่าอย่าเรียกว่าอาจารย์ต่อหน้าคนอื่นอีก “หลังจากนี้ให้เจ้าเรียกข้าว่าสามี” กล่าวจบหานชินอ๋องก็เดินไปนั่งยังโต๊ะเตี้ยที่อยู่ด้านขวามือของพระมเหสี
เมื่อเหลือกันแค่สองคนจินเยว่ก็หัวเราะคิกคักชอบใจที่ได้เห็นสหายของตนหน้าขึ้นสี
“พี่ชายของเจ้าเป็นอะไรไปแล้ว ปกติมีใครที่ไหนเรียกสามีว่าสามีกันบ้าง” ซูฮวาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
“เขาคงกลัวเจ้าลืมสถานะของเขาละมั้ง” จินเยว่ตบไหล่บางแปะๆ ก่อนทั้งคู่จะเดินจูงมือกันมานั่งประจำตำแหน่งของตน
และในที่สุดงานชมดอกไม้ที่เริ่มต้นอย่างอึดอัดและเกือบพังไม่เป็นท่าก็เข้ารูปเข้ารอย เมื่อหานชินอ๋องปรากฏตัวพระมเหสีก็ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจซูฮวาอีกเลย แต่ว่าพระนางก็ยังคงไม่มองหน้าของซูฮวาแม้แต่ครั้งเดียว
-----------------------------------------
ประกาศสำคัญ!!
*ตอนหน้ามี NC นะคะ*
#มาลาสุราลัย
-
-----------------------------------------
ประกาศสำคัญ!!
*ตอนหน้ามี NC นะคะ*
#มาลาสุราลัย
เห้ย!!! เห้ย!!! เห้ยยยยยยยยย อะไรนะ!!! ตอนหน้ามี NC !!!!! ตาฝาดแน่ๆ :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
-
เย้ๆ มาแล้วๆ อยากไห้มาบ่อยๆ ขอบคุณๆ รอยุตลอด เมิ่อไหร่ จะหวากันสักที ลุ้นๆ ^^
-
กดskipไปฉากนั้นเลยได้ไหม555
-
รอ NC 555
รอเหตุแห่งการเกิด NC
พระมเหสีไม่มองหน้าซูฮวา เพราะหน้าเหมือนพระมารดาของสองอ๋องหยางจินและจินเยว่ชิมิเพคะ
-
:fire: ต้องเช็คบิลนะ
-
จ้าาาร รอดไปนะ
-
ชอบๆ คะ นายเอกออกแนวใสซื่อ พระเอกพอชอบนายเอกแล้วต้องเจ้าเล่ห์มากๆแน่เลย รอตอนต่อไปคะ
-
:katai1:
:katai2-1:
-
คำเตือน 1.นายเอกเรื่องนี้สวยเกินความจำเป็นไปมาก สวยเหลือเฟือ สวยใสและไม่ค่อยมีสมองเท่าไหร่
2.นิยายเรื่องนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของยุคโบราณ ไม่สามารถนำตรรกะ สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ชนชั้นในศตวรรษที่21มาตัดสินการกระทำและแนวคิดของตัวละครได้
.......................................................
บทที่๑๐
ยามราตรีมาเยือน วังหานชินอ๋องที่ครื้นเครงและวุ่นวายเพราะงานชมดอกไม้ได้ความเงียบสงบมาเยือนอีกครั้ง พระมเหสี เหล่าขุนนาง และจินเยว่กลับไปแล้ว ร่างบางของผู้เป็นพระชายากำลังยืนทอดสายตามองบ่าวไพร่ในเรือนซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดทำความสะอาดสวนด้วยแววตาอ่านยาก
“ซูฮวา” พลันเสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง ร่างสูงของผู้เป็นถึงแม่ทัพองอาจเดินเข้ามาใกล้ก่อนหยุดยืนข้างพระชายาน้อย
คนถูกเรียกรีบหันไปส่งยิ้มหวานให้อีกฝ่ายทันที “ท่านยังไม่กลับหรือ”
หากคนอื่นมาได้ยินเข้าซูฮวาคงโดนด่าว่าบ้าไปแล้ว ที่นี่คือวังของหานชิน-อ๋องแล้วเจ้าเป็นใครถึงถามออกมาว่าทำไมเจ้าของบ้านยังไม่กลับออกไปจากบ้านของตนเองอีก แต่หยางจินเข้าใจว่าเพราะอะไรชายาของตนจึงถามเช่นนี้
“คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่”
คนตัวเล็กเพียงแค่ร้องอ้อออกมาแล้วก็หันไปมองพวกบ่าวไพร่ที่กำลังเก็บสวนอยู่คล้ายไม่ยินดียินร้ายต่อผู้เป็นสามีนัก
เด็กคนนี้ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเอาแต่เรียกหยางจินว่าอาจารย์อย่างงู้น อาจารย์อย่างงี้ แต่พอหยางจินสั่งให้เรียกตนเองว่าสามีเจ้าของใบหน้าน่ารักก็แทบไม่กล่าววาจาอะไรกับเขาอีกเลย แถมยังหลบเลี่ยงการสบตาอีกด้วย
“เจ้ากำลังดูอะไรอยู่” สุดท้ายคนที่ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายเปิดปากเริ่มต้นบทสนทนาก่อนก็ถามออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“พวกเขา...ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปก็ต้องโดนไล่ออกทั้งหมดแล้ว ข้าก็เลยมายืนดูเสียหน่อย” เพราะบ่าวรับใช้ในเรือนทั้งหลายยืนหยัดอยู่ข้างเฉินซื่อ ร่วมมือกับนางปรักปรำพระชายาและหลอกลวงเบื้องสูง ตัวการที่สนับสนุนเฉินซื่ออย่างออกนอกหน้าในงานเลี้ยงน้ำชาโดนโยนเข้าคุกไปหมดแล้ว พวกที่เหลืออยู่คือพวกที่สงบเสงี่ยมแต่ก็ไม่คิดแก้ต่างให้ซูฮวา
ทีแรกหยางจินจะให้ลากคนรับใช้ทั้งหมดในวังออกไปรับโทษพร้อมกันทั้งหมดแต่ซูฮวาคิดว่ามันโหดร้ายเกินไป สุดท้ายจินเยว่เลยเสนอให้ขับไล่คนพวกนี้ออกจากวังอ๋องและห้ามกลับเมืองหลวงตลอดชีวิต
“แต่พวกเขาใจร้ายกับข้าก่อน ข้าไม่เห็นใจหรอกนะ” ซูฮวาที่ออกหน้าขอให้ลดโทษคนเหล่านี้เมื่อเย็นเฉไฉทำเป็นเจ้าบ้านผู้ใจแข็ง
หยางจินรู้ดีว่าคนตัวเล็กเป็นประเภทใจอ่อนง่ายมากจึงไม่อยากให้ยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป “พวกเรากลับห้องกันเถอะ”
ร่างบางพยักหน้าเห็นด้วยจึงหันหลังกลับและเดินตรงไปยังห้องนอนของตนซึ่งอยู่ฝั่งที่ติดกับบ่อน้ำ เมื่อมองจากห้องนอนจะเห็นสระบัวสะท้อนแสงจันทร์ เวลาเข้านอนลำพังซูฮวามักเปิดหน้าต่างออกมาชื่นชมทัศนียภาพอันแสนสงบสุขและงดงามนี้
ทว่าเมื่อซูฮวาเดินมาถึงหน้าห้องนอนของตน มือเรียวยังไม่ทันผลักประตูเข้าไปก็หันมามองหน้าบุรุษร่างสูงที่เดินตามตนมาถึงตรงนี้ด้วยสายตาไม่เข้าใจ “ท่านตามข้ามาทำไม”
ใบหน้าของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ยังคงเรียบเฉย ทว่าดวงตากลับแฝงประกายลึกล้ำ
“ข้าเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก ไม่รู้หรอกว่าห้องของข้าอยู่ทางไหน ได้แต่เดินตามเจ้ามา”
“งั้น...” ใบหน้าหวานขึ้นสีชมพูระเรื่อ ความรู้สึกขวยเขินพุ่งปะทุเต็มอกซ้าย ซูฮวาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ร่างบางไม่สามารถสบตากับหานชินอ๋องได้อีกต่อไปแล้ว “งั้น ข้าจะพาท่านไปส่งที่ห้องนะ...”
พระชายาน้อยกล่าวตะกุกตะกัก มือไม้เก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะวางไว้ตำแหน่งใดดี
หยางจินทอดมองอากัปกิริยาน่าขย้ำของเจ้าลูกกวางน้อยตรงหน้าแล้วก็เผลอลอบกลืนน้ำลายด้วยความกระหาย
“ไม่ต้อง ข้าขี้เกียจเดินไปเดินมา คืนนี้ค้างที่ห้องเจ้านี่แหละ”
สิ้นคำคนฟังก็หน้าแดงจัด ซูฮวารีบก้มหน้างุดๆ ไม่ว่าจะฟังอย่างไรคำพูดของพระสวามีก็ชวนให้คิดดีไม่ได้เลย คิดดีไม่ได้เลย แย่แล้ว! หัวใจดวงน้อยเต้นตุบๆ จนแทบระเบิดแล้ว
เจ้าบ้านจะมีห้องนอนส่วนตัวห้องหนึ่ง และห้องนอนของภรรยาตั้งแต่ ฮูหยินยันอนุตามจำนวน หากคืนไหนประสงค์อยากร่วมราตรีกับใครก็แค่เดินไปเคาะห้องภรรยาคนนั้น แต่หากคืนไหนไม่ต้องการก็แค่นอนอยู่ในห้องของตนเอง เป็นธรรมดาของบุรุษที่มีภรรยาหลายคน
ชินอ๋องก็เช่นเดียวกัน
เพียงแต่ชินอ๋องนั้นจะมีตำแหน่งภรรยาที่สูงกว่าฮูหยินขึ้นไปนั่งก็คือ อนุชายา กับพระชายา แต่ทั้งสองตำแหน่งนี้ก็หาได้มีความพิเศษไม่ พระชายาเองก็มีห้องนอนเป็นของตนเองเพียงแต่ใหญ่โตและหรูหรากว่าภรรยาคนอื่นหน่อย วันปกติที่ชินอ๋องไม่ได้มาเยือนก็นอนหลับอย่างมีความสุขไป แต่ถ้าหากชินอ๋องมานอนค้างด้วยก็ต้องปรนนิบัติรับใช้อย่างเต็มที่
เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ใบหน้าที่แดงจนไม่รู้จะแดงอย่างไรแล้วก็รู้สึกร้อนจนแทบไหม้
มือเรียวยกขึ้นปิดใบหน้าของตนเองขณะที่ร่างบางเริ่มบิดไปบิดบางอย่างเหนียมอาย
“ถ้าท่านขี้เกียจเดินกลับห้องของตนเองแล้ว ท่านพักที่นี่ก็ได้...”
หยางจินกำลังนึกชื่นชมความใจกล้าทั้งๆ ที่กำลังเขินอายของภรรยาตน ทว่าเมื่อได้ฟังคำถัดมาหยางจินก็รีบถอนคำชมแทบไม่ทัน
“ข้าจะไปนอนที่ห้องของท่านเอง”
นั่นมันผิดธรรมเนียมเกินไปแล้ว!
ในที่สุดหานชินอ๋องก็หมดความอดทน เขาออกแรงผลักดันให้พระชายาน้อยถลาเข้าไปในห้องอย่างไม่เบามือนัก
ซูฮวาที่ไม่ทันตั้งหลักเกือบล้มคะมำหน้าทิ่ม โชคดีที่หานชินอ๋องปราดเปรียวว่องไว เขาคว้าเอวบางมารวบไว้ได้ทันก่อนหันไปปิดประตูห้อง
ใบหน้างามยังคงก้มมองปลายเท้าของตนเองอย่างต่อเนื่อง เมื่อครู่ยืนสนทนากันหน้าห้องซูฮวาก็แย่แล้ว บัดนี้พวกเขาทั้งสองกำลังยืดโอบกันอยู่ในห้อง พระชายาน้อยรู้สึกหูอื้อตาลายไปหมด แต่พระสวามีดูเหมือนจะไม่เข้าใจ หยางจินเห็นว่าภรรยาของตนตัวเล็กกระจ้อยร่อยแขนแกร่งออกแรงนิดเดียวก็อุ้มร่างบางขึ้นมาได้แล้ว
“เหวอ...” ซูฮวาที่ถูกยกจนตัวลอยร้องเสียงหลง รีบใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบคอคนตัวสูงกว่าไว้
แต่การทำเช่นนี้รังแต่จะลดระยะห่างระหว่างพวกเขาลง
พระชายาน้อยเม้มปากแน่นเมื่อเห็นว่าหานชินอ๋องกำลังอุ้มตนไปที่เตียง
“ท่านอาจารย์...” ซูฮวาลองเปล่งเสียงคล้ายอ้อนวอนขอชีวิตกับอีกฝ่ายยามที่โดนวางให้นอนลงบนเตียง
แต่การเรียกหยางจินออกมาว่าท่านอาจารย์กลับทำให้ผู้ฟังมีอารมณ์ขุ่นเคือง
“ซูฮวา ข้าให้เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไร” เสียงทุ้มตำหนิเด็กไม่รู้จักจำ
“ท่านให้ข้าเรียกว่าสามีตอนอยู่ต่อหน้าผู้อื่น แต่ยามนี้มีแค่เรา ดังนั้นท่านจึงเป็นท่านอาจารย์” ซูฮวาดึงผ้าห่มมาคลุมโปงตัวเอง คิดตามประสาเด็กน้อยว่า ผ้าห่มผืนแค่นี้จะปกป้องตนเองจากอะไรได้
“ซูฮวา เปิดผ้าออก” ยิ่งพูดมือขาวยิ่งกำชายผ้าห่มแน่นราวกับให้ตายชาตินี้ก็ไม่ปล่อย “นี่คือคำสั่ง”
สิ้นคำร่างบางก็โยนผ้าห่มปลิวไปอีกทาง น้ำเสียงของท่านอาจารย์เมื่อครู่ฟังแล้วน่ากลัวยังกับกำลังคุยกับเชลยศึก ซูฮวาดีดตัวลุกขึ้นนั่งหลังตรงประดุจนักโทษเจอผู้คุม ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงเมื่อหยางจินเอื้อมมือเข้ามา
หานชินอ๋องเพียงแค่ช่วยถอดเครื่องประดับบนศีรษะให้ซูฮวาจึง ถอนหายใจโล่งอก
“ข้าไม่ชอบพวกมันเลย แต่ท่านแม่มักให้ข้าใส่ไว้เสมอ ก่อนเริ่มงานเลี้ยงข้าตั้งใจว่าจะแต่งตัวเรียบๆ แต่พอเฉินซื่อเข้ามาพูดจาถากถางหลี่หมิงก็ขอร้องให้ข้าประดับอะไรไปหน่อย เห้อ” พูดแล้วคนตัวเล็กก็เบะปาก กวาดสายตามอง พระสวามีของตนตั้งแต่หัวจรดเท้าดูแข็งแกร่งองอาจสมชายชาตรีแล้วก็ได้แต่อิจฉา
“อยากฝึกเพลงดาบจัง คืนนี้ท่านช่วยสอนกระบวนท่าใหม่ให้ข้าหน่อย ได้ไหม” ซูฮวาเห็นว่าไหนๆ ท่านอาจารย์ก็มาค้างที่บ้านแล้วเลยลองขอดู
“ได้”
“เห” ร่างบางยิ้มกว้างด้วยความดีใจทันที ทีแรกซูฮวาคิดว่าหานชินอ๋องคงจะปฏิเสธเพราะเมื่ออีกฝ่ายถอดเครื่องประดับน้อยชิ้นของซูฮวาออกแล้วก็เริ่มหันมาถอดเสื้อคลุมตัวนอกของร่างบางออก
แต่พระชายาก็ดีใจได้ไม่นานนักหรอก หยางจินกล่าวว่าจะสอนกระบวนท่าใหม่ให้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะสอนเพลงดาบ ร่างบางดันไหล่บางให้ล้มลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ใบหน้างามของพระชายาน้อยก็ขึ้นสีทันทีที่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
“ขี้ผึ้งหอม!! ถ้าไม่ใช้มันข้าจะเจ็บนะ ไม่เอา ข้ากลัว” เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้าย ร่างบางดิ้นแพร่ดๆ พยายามดันร่างของคนที่กำลังคร่อมอยู่ด้านบนออกหมายจะวิ่งหนีออกไปหาหลี่หมิงข้างนอก
ตั้งแต่วันเข้าหอซูฮวาก็ไม่เคยร้องหาขี้ผึ้งหอมอีกเลยเพราะคิดว่าชาตินี้ไม่ต้องใช้แล้ว ที่ไหนได้! ที่ไหนได้!
“ข้ามี”
“ฮื๊อออ ไม่เอา ท่าน หยะ อย่า...” ร่างบางพยายามหันหน้าหนีเมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้าลงมา สุดท้ายหยางจินจึงต้องใช้ฝ่ามือแกร่งของตนออกแรงบีบให้ใบหน้าหวานอยู่นิ่งๆ เพื่อให้เขาลิ้มรสความหอมหวานของริมฝีปากอิ่มตรงหน้า
“อือ...” ซูฮวาครวญครางในลำคอเมื่อถูกอีกฝ่ายประกบจูบ
สมแล้วที่เขาล่ำลือกันว่าชายคนนี้ดุดันไร้ความปรานี รสจูบของหานชิน-อ๋องนั้นปราศจากความนุ่มนวล มันทั้งจาบจ้วงแล้วก็รุนแรงจนผู้ถูกกระทำเริ่มใจเสีย
“ฮือ” ซูฮวาพยายามส่งเสียงทัดท้านในลำคอทว่าเสียงของพระชายากลับแผ่วเบาจนไม่เหลือเค้าลางแห่งการต่อต้าน กลับกลายเป็นเร่งเร้าสัญชาตญาณดิบของผู้ฟังให้ทวีความคุกรุ่งยิ่งขึ้นไปอีก
ฝ่ามือหยาบกร้านสอดล้วงเข้าไปในเสื้อผ้าสีฟ้าตัดขาวอันแสนงามประณีตของพระชายาตัวน้อย ซูฮวาสะท้านเฮือกเมื่อหานชินอ๋องสะกิดยอดเม็ดสีชมพูภายใต้สาบเสื้อของตน ทว่าในสภาพที่ริมฝีปากถูกครอบครองเอาไว้บวกกับร่างกายกำยำที่คร่อมอยู่ด้านบนกักขังไม่ให้หนีไปไหน ซูฮวาจึงทำได้เพียงร้องเสียงแผ่วในลำคอ
“ฮ่า” เมื่อเห็นว่าพระชายาน้อยหายใจไม่ทันแล้วหยางจินจึงยอมปล่อย ริมฝีปากที่บวมช้ำด้วยน้ำมือของเขาเป็นอิสระ
ซูฮวารีบตักตวงลมหายใจทันทีด้วยกลัวว่าหยางจินจะมอบจุมพิตอันรุนแรงให้อีกครั้ง แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้หยางจินหันไปสนใจสิ่งอื่นแทนแล้ว ฝ่ามือหนาดึงอาภรณ์ของคนตัวเล็กซึ่งเกะกะขวางทางอยู่ออกไปให้พ้นทาง ความรู้สึกแรกของซูฮวาคือเย็น แต่ต่อมาก็ต้องร้อนราวกับถูกไฟเผาเมื่อคนด้านบนก้มลงมาซุกไซ้บริเวณหน้าอก
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาซูฮวามีโอกาสออกเรี่ยวแรงพอสมควรร่างกายก็เลยไม่ได้ผอมแห้งจนเห็นแต่โครงกระดูก แม้ไม่มีกล้ามเนื้อให้เห็นแต่เรือนร่างของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมสะคราญสะท้านแผ่นดินกลับดูมีน้ำมีนวลน่าสัมผัสเสียจน หานชินอ๋องอนรนทนไม่ได้ ชายหนุ่มขบเม้มเพื่อสร้างรอยรักสีชมพูเข้มไปทั่วผิวกายขาวละเอียดของร่างด้านใต้อย่างกระหายอยาก
เห็นพระสวามีตักตวงความหวาน ลิ้มชิมรสไปทั่วเรือนร่างของตนเองแล้วซูฮวาก็เกิดกลัวจับใจ
นี่เป็นครั้งแรกของซูฮวา แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งแรกของผู้กระทำ มิเช่นนั้นหานชินอ๋องคงไม่ลงมืออย่างช่ำชองและไม่มีความอ่อนโยนเช่นนี้หรอก
“ท่าน อา...สามี พอก่อน อื๊อ พอก่อน ไม่เอาแล้ว...ข้ากลัว ฮึก...” แค่จินตนาการว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ตนจะต้องโดนอีกฝ่ายจาบจ้วงรุนแรงใส่ขนาดไหนพระชายาน้อยก็หวาดวิตกจนน้ำตาไหลเผาะๆ ออกมาเป็นสาย
เห็นหยางจินหยุดการกระทำและเงยหน้าขึ้นมามองชั่วครู่หนึ่งซูฮวาก็รู้สึกดีใจ หลงคิดไปว่าท่านอาจารย์จะยอมวางมือแต่เพียงเท่านี้ ทว่าบุรุษเจ้าของใบหน้าดุดันกลับกล่าวอย่างเย็นชาออกมา ส่งผลให้ร่างบางสะท้านไปทั้งร่าง
“ยามอยู่ในป่าไผ่ข้าสั่งสอนเจ้าในฐานะอาจารย์ ยามอยู่บนเตียงเจ้าก็จงปรนนิบัติข้าในฐานะภรรยา เจ้าไร้ประสบการณ์ข้าไม่ถือสาความอ่อนเดียงสาของเจ้า แต่เจ้าอย่าได้บังอาจกล่าววาจาขัดอารมณ์ข้า”
“...”
มู่ซูฮวาเบิกตากว้าง น้ำตายังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย หากพิจารณาดูดีๆ จะพบว่าซูฮวาร้องไห้หนักกว่าเมื่อครู่เสียอีก
จะไม่ให้ซูฮวาตระหนกได้อย่างไร ในเมื่อชายที่กำลังฉุดดึงอาภรณ์ของตนออกไปจนเผยให้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าผู้นี้ ขณะที่กำลังจะร่วมรักกันเขากลับมีน้ำเสียงเย็นชาไร้เยื่อใย แววตาที่จับจ้องซูฮวาเมื่อครู่นั้นก็ไม่ได้สื่อให้เห็นถึงความอาทรใดๆ
“มันคือหน้าที่ของภรรยาหรือ” ใบหน้างามฉายแววเศร้าหมอง
นึกย้อนไปถึงสมัยเด็กที่ท่านแม่มักจะสอนสั่งให้ตนยึดถือหลักคุณธรรมภรรยา ซูฮวาจำได้แม่นแม้จะไม่อยากจำว่าภรรยานั้นต้องเชื่อฟังสามี หน้าที่ของภรรยาคือเชื่อฟังคำสั่ง
ตอนที่รู้ว่าท่านอาจารย์คือหานชินอ๋องซูฮวารู้สึกดีใจอย่างมาก เพราะคิดว่าสถานะของศิษย์อาจารย์ของเราสองคนจะช่วยเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่ว่าซูฮวาเป็นชายาของอีกฝ่าย ชายาที่มีหน้าที่แค่นอนรอในห้อง คืนไหนสามีนึกอยากก็เปิดประตูต้อนรับด้วยรอยยิ้มห้ามบิดพลิ้ว
แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าซูฮวาแค่เพ้อเจ้อไปเอง
“ใช่”
ทันทีที่หานชินอ๋องกล่าวออกมาว่าใช่ซูฮวาก็เลิกร้องไห้เพราะร้องไปก็ไม่มีประโยชน์
ท่านแม่เคยสอนมาอย่างไรซูฮวานึกออกหมดแล้ว
ร่างบางค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มหวาน แขนเรียวโอบคล้องคอคนที่อยู่ด้านบน “ซูฮวาผิดไปแล้ว เชิญสามีทำตามใจชอบเถิด”
-----------------------------------
บทที่10จบเท่านี้ ยังไม่ต้องตามหาวาร์ปนะคะ เราเห็นว่ามันยังไม่เรทมากเลยเอาทั้งหมดมาโพสต์ลงเด็กดีเลย ระดับนี้คงไม่โดนแบนเนอะ แต่ตอนหน้านี่โดนแน่ๆ ท่านหยางจินสะกดคำว่าอ่อนโยนไม่เป็น 555
พบกันใหม่วันศุกร์ค่ะ!!
ปล.ตอนนี้ใครจะโดนด่ามากกว่ากันคะระหว่างหยางจินกับอิไรต์เอง #คลานหลบเกิบ T^T
#มาลาสุราลัย
-
อยากตบปากท่านอ๋อง เข้าหอคืนแรกก็ทำซูฮวาน้อยต้องเจ็บช้ำน้ำใจ! :beat:
-
แอร๊ย!!!!
-
จ้ะ
-
:pig4:
:katai2-1:
-
:katai1:
-
:-[
สนุก น่ารักมว้ากกกกก ไม่น่าเชื่อว่าจะแต่งเรื่องแรก
รออ่านตอนต่อๆไปนะฮะ สนุกดี
-
บทที่๑๑
ก่อนแต่งให้เชื่อฟังบิดา หลังแต่งให้เชื่อฟังสามี และเมื่อสามีตายจากก็ให้เชื่อฟังลูกชาย ทั้งชีวิตทำเพื่อคนอื่นและอยู่เพื่อคนอื่น ซูฮวาไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ดังนั้นชั่วชีวิตที่เหลือนี้ตนต้องเชื่อฟังแต่เพียงหานชินอ๋องตราบจนวาระสุดท้าย
ความขุ่นเคืองทั้งหลายค่อยๆ มลายหายไปแปรเปลี่ยนเป็นการปลงตก
ร่างบางโอนอ่อนว่าง่าย ยามร่างสูงหยิบกระปุกขี้ผึ้งหอมออกมาก็ทำเพียงทอดสายตามองอย่างไร้อารมณ์ แม้กระทั่งขณะที่ปลายนิ้วเรียวยาวปาดยาที่มีลักษณะเหนียวออกมาจากกระปุกและเลื่อนนิ้วของเขาไปจรดปากช่องทางเบื้องหลังซูฮวาก็ไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ ออกมา
ในใจของซูฮวาหวาดกลัวนัก ร่างกายก็สั่นเทิ่มอย่างน่าสงสาร แต่ก็อดกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
แต่ก็ถึงขีดจำกัดเมื่อนิ้วชี้ของหยางจินค่อยๆ แทรกผ่านเข้ามาในร่าง
ซูฮวาเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นไม่ให้เผลอหลุดเสียงร้องน่าละอายออกมา แต่สมแล้วที่อีกฝ่ายมีศักดิ์เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ จังหวะการบุกนั้นต่อเนื่องไม่ปล่อยให้หยุดพักเลย ร่างบางสะท้านเฮือกเมื่อหานชินอ๋องส่งนิ้วที่สองและสามเข้ามา
“จะ...” ปากที่กำลังจะร้องท้วงว่าเจ็บรีบหุบลงแทบไม่ทัน ใบหน้าหวานผินไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาไม่พอใจของหานชินอ๋องที่ตวัดมามอง
พระชายาน้อยกัดริมฝีปากของตนเองเพื่อกลั้นเสียงร้องหรือคำพูดใดก็ตามของตนที่อาจไปขัดอารมณ์ของอีกฝ่ายเข้าอย่างสุดความสามารถจนริมฝีปากแดงช้ำเริ่มมีเลือดไหลซิบออกมา
“อือ...” ร้องเพราะเจ็บไม่ได้แต่ซูฮวาคิดว่าตนเองสามารถเปล่งเสียงกระเส่าเช่นนี้ออกมาได้
หลังจากรู้สึกเจ็บในทีแรกเจ้าขี้ผึ้งหอมก็ทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ของมีราคาช่วยหล่อลื่นจนกระทั่งช่องทางของซูฮวาสามารถรองรับนิ้วยาวของ หยางจินได้
ในส่วนนี้ซูฮวาต้องขอบคุณพระสวามีแล้ว แม้ว่าเขาจะสั่งให้ซูฮวาเลิกขัดขืนแต่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดมาถึงก็สอดความใหญ่โตของตนเองเข้ามาเลยแต่กลับใช้เวลาเกือบหนึ่งเค่อในการปรับสภาพร่างกายให้พระชายาตัวน้อย
และในพริบตาที่ร่างกายของซูฮวาเริ่มตอดรัดปลายนิ้วของหานชินอ๋อง ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ดึงนิ้วของตนเองออกมา จากประสบการณ์ของเขาทำให้เขารู้ว่าบัดนี้ร่างบางพร้อมแล้ว
ซูฮวาน้อยกลืนน้ำลายลงคอ พยายามอย่างยิ่งที่จะทำใจให้สงบ แต่มันช่างยากเย็นนักเมื่อดวงตาคู่งามมองเห็นหานชินอ๋องกำลังปลดเชือกรัดกางเกง ก่อนที่ความใหญ่โตของเขาจะปรากฏออกมา
เห็นสีหน้าตกตะลึงของพระชายาน้อยยามมองความเป็นชายของตน หยางจินก็อดเผยรอยยิ้มออกมาอย่างย่ามใจไม่ได้
เพื่อเป็นรางวัลแก่การว่าง่ายหยางจินจึงโน้มกายลงไปประทับจูบอย่างอ่อนโยนที่ริมฝีปากอันบวมช้ำของร่างบางข้างใต้ การจูบนี้
เป็นการดึงความสนใจของซูฮวาให้ผละออกมาจากช่องทางเบื้องล่าง หยางจินทราบดีว่าความเป็นชายของตนมีขนาดไม่ธรรมดาส่วนพระชายาของเขานั้นช่างบอบบางราวกับดอกไม้แก้ว
เขาไม่อยากทำแค่ครั้งเดียวก็ทำให้ภรรยาของตนต้องแตกสลาย
หยางจินค่อยๆ ดุนดันส่วนหัวของเจ้ามังกรซึ่งกำลังผงกเศียรด้วยความกระหายเข้าไปในร่าง
“ฮื้อ...” ทันทีที่ความคับแคบถูกรุกรานลูกกวางน้อยของเขาก็เกร็งร่างเขม็ง
หยางจินถอนจูบออกมาก่อนจะเห็นว่าฝ่ามือทั้งสองข้างของซูฮวากำลังจิกผ้าปูที่นอนอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์ เขาไม่ได้เสือกความใหญ่โตของตนเข้าไปลึกขึ้นแต่กลับจับมือของพระชายาน้อยให้มาเกาะแผ่นหลังของตนเอาไว้แทน
“เดี๋ยวท่านจะเจ็บเอา” ซูฮวากลัวว่าตัวเองจะกรีดข่วนแผ่นหลังของสามีจึงพยายามดึงมือออก
แต่หยางจินกลับห้ามไว้ เขาเพียงแค่ส่งสายตาดุๆ และกล่าวคำว่า “อย่าดื้อ” ออกมาเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเลิกขยับแล้วแต่ร่างกายยังคงสั่นเทาอย่างน่าสงสารหยางจินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความรำคาญน้อยๆ แม้อยู่ในสนามรบแต่เขาเป็นผู้สูงศักดิ์ ดังนั้นจึงมีคนจัดเตรียมสตรีมาคอยปรนนิบัติบ้าง ที่ผ่านมาเขาไม่เคยใจดีกับใครเท่าซูฮวามาก่อน เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นภรรยาเอกที่ถูกต้องตามกฎหมายจึงพยายามใจเย็น
พอเห็นอาการหวาดเกรงไม่เลิกราของมู่ซูฮวาแล้วไท่ติงหยางจินก็คร้านจะปลอบประโลมอีกฝ่ายอีกต่อไป
การร่วมราตรีคืนนี้เขาอดทนมามากเกินพอแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าร่างกายเย้ายวนเขาต้องสะกดกลั้นอารมณ์และสัญชาตญาณของตนเองอย่างหนัก แต่นับจากนี้หยางจินได้เลิกสนใจแล้ว เขาถลำแก่นแกนของตนเข้ามาจนสุดในรวดเดียว
“อึก!” ในขณะที่ซูฮวาร้องเฮือกออกมาอย่างเจ็บปวดเสียงทุ้มกลับส่งเสียงทุ้มต่ำในลำคอด้วยความพึงพอใจ
ร่างกายที่ไม่เคยผ่านมือใครมาก่อนนั้นช่างไร้เดียงสา ซูฮวาไม่อาจไม่ยอมรับว่านอกจากความรู้สึกเจ็บในทีแรกแล้วมันยังมีความรู้สึกวาบหวามกำลังแทรกซึมและแผ่กระจายไปทั่วร่าง
มือขาวจิกแผ่นหลังของท่านแม่ทัพเอาไว้แน่น โชคดีที่หยางจินไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดไม่เช่นนั้นแผ่นหลังเขาคงได้ไปหลายแผล
ขาเรียวยกชันขึ้นมาเพราะเห็นว่าหยางจินขยับตัวไม่ถนัด แล้วพอซูฮวาให้ความร่วมมืออย่างว่าง่ายสะโพกสอบก็เริ่มโถมกระหน่ำเปลวเพลิงแห่งราคะเข้าใส่ร่างบางอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ
“อื๊อ อะ...” ใบหน้างามสั่นคลอดตามแรงกระแทก ศีรษะเชิดขึ้นเพราะแรงปรารถนาภายในร่าง
พระชายาน้อยรู้สึกว่าสิ่งที่ตนกำลังเป็นมันน่าอายเกินไปจึงพยายามยกมือขึ้นมาปกปิดใบหน้า ทว่าหยางจินกลับไม่ปล่อยให้มีอะไรมาบดบังภาพอันแสนงดงามรวมกับได้รับพรมาจากฟากฟ้าแดนสวรรค์ มือหยาบปัดข้อมือของซูฮวาออก ร่างบางที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีสุดท้ายจึงเลื่อนมือกลับไปกำชายเสื้อด้านหลังของอีกฝ่ายเหมือนเดิม
“ซูฮวา ดีมาก เด็กดีของข้า” หานชินอ๋องรู้สึกพึงพอใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ใช่ว่าเขาไม่เคยสอดใส่ทางด้านหลัง แต่ไม่ว่าจะหญิงหรือชายคนใดก็ไม่เคยนวดคลึงความใหญ่โตของเขาได้กำลังพอดีเช่นนี้มาก่อน
เพราะว่านี่เป็นครั้งแรก หรือเพราะอีกฝ่ายคือมู่ซูฮวาผู้เป็นที่รักของเทพเซียนก็ไม่ทราบ
ดูเหมือนพระผู้เป็นเจ้าจะประทานความไร้ที่ติมาให้ร่างกายนี้ แม้กระทั่งภายในยังสามารถตอดรัดบุรุษได้อย่างเลิศล้ำ
หยางจินจับร่างกายที่เขาคิดว่าได้รับความรักจากเทพเซียนอย่างเปี่ยมล้นพลิกไปมา โถมกระหน่ำความปรารถนาของตนอย่างจาบจ้วงโดยไม่คิดจะเหลียวแลซูฮวาน้อยที่ผงกหัวงึกๆ อย่างน่าสงสาร
สุดท้ายซูฮวาก็ทนไม่ไหวจึงต้องเลื่อนมือไปกำซูฮวาน้อยที่น่าสงสารอย่างเงอะงะ แต่พอพยายามจะรูดรั้งเพื่อทุเลาความปวดหนึบคนที่ละเลงรักอยู่กับช่องทางเบื้องหลังกลับปัดมือของซูฮวาออก
“ฮื่อ” เสียงหวานครางประท้วงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อสามีไม่อยากให้ซูฮวาช่วยตัวเองซูฮวาก็ต้องเชื่อฟัง
ร่างบางถูกจับให้คว่ำหน้าลงกับหมอน สะโพกมนถูกยกให้ลอยเด่น หยางจินลอบมองก้นขาวที่มีสีชมพูระเรื่อราวกับลูกท้ออย่างมันเขี้ยว เขาใช้มือทั้งสองข้างบีบเค้นบั้นท้ายของพระชายาน้อยในขณะที่เอวหนายังคงกระแทกเข้ามาไม่หยุดหย่อน
“ฮึก อ๊า...” มู่ซูฮวาเจียนจะถึงแล้วแต่ก็ไม่อาจถึงได้เพราะผู้เป็นสามีไม่ยินยอม
ร่างบางทำได้เพียงหยัดสะโพกให้งอนขึ้นเพื่อรองรับแรงกระทั้น
“อ๊า อ๊า...” เสียงเนื้อกระทบกันกับเสียงครางแผ่วหวานดังไม่ขาดสาย ซูฮวาไม่รู้ว่าตนเองถูกกระทำเช่นนี้เนิ่นนานเท่าใดแล้ว จวบจนกระทั่งส่วนปลายของเจ้ามังกรยักษ์เริ่มมีของเหลวไหลปริ่มออกมา ร่างบางลอบโล่งอกเพราะในที่สุดบทรักที่ปราศจากความรักอันยาวนานนี้ก็จะสิ้นสุดลงแล้ว
หยางจินละมือจากลูกท้อน้อย เขาจับใบหน้างามให้หันมาเพื่อประทับจูบอันร้อนแรง มู่ซูฮวาเผยอปากเพื่อเอาใจคนที่แทรกลิ้นหนาเข้ามากวาดชิมความหวานไปทั่วโพรงปาก แล้วในขณะที่จูบกันร่างกายของซูฮวาก็ตอดรัดอีกฝ่ายแน่นขึ้นหยางจินจึงหยุดการกระแทก เขาเสือกมังกรใหญ่เข้ามาจนลึกที่สุดและปล่อยหน้าที่นวดคลึงให้เป็นของคนตัวเล็กแทน
แน่นอนว่าคนอย่างหยางจินไม่ปลดปล่อยเพียงเพราะเหตุนี้ แต่ซูฮวาไม่ เมื่อถูกรุกล้ำเข้ามาลึกมากร่างกายบอบบางก็สั่นกระตุก สะโพกมนออกแรงนวดถี่ๆ ก่อนที่ซูฮวาน้อยจะพ่นน้ำออกมา
“อะ อือ” พระชายาน้อยรู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดิน ทว่าเมื่อซูฮวาปลดปล่อยออกมาหยางจินก็ถอนจูบ
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เขาชอบเวลาคู่นอนถึงจุดสุดยอดเพราะช่องทางที่เขารุกรานจะบีบรัดแน่นยิ่งกว่าปกติ และยิ่งเป็นช่องทางของซูฮวาซึ่งฟากฟ้าแดนสวรรค์เนรมิตสร้างมาอย่างประณีตยิ่งทวีความพึงพอใจให้ชายหนุ่มจนหยางจินเผลอคิดว่าเขาสามารถขึ้นสวรรค์ไปคารวะขอบคุณเง๊กเซียนโอรสสวรรค์ได้เดี๋ยวนี้เลย
ร่างสูงกระแทกกระทั้นความโอฬารของตนเข้าออกความคับแคบที่ตอดรัดแน่นอีกร่วมสิบครั้งก่อนจะปลดปล่อยของเหลวสีขุ่นเข้ามาเต็มร่างของพระชายาน้อย
“ฮืม” ซูฮวาเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งอุ่นร้อนที่ทะลักเข้ามาเบื้องหลังของตน
“อ๊ะ อ๊า” สะโพกมนสั่นสะท้านเบาๆ เมื่อหานชินอ๋องถอนแก่นกายออก ช่องทางที่เพิ่งเคยมีผู้อื่นล่วงล้ำเป็นครั้งแรกบีบตัวเข้าหากันอย่างน่าสงสาร หานชิน-อ๋องจดจ้องเบื้องหลังของซูฮวาที่ตอดรัดอากาศยิบเพราะความใหญ่โตที่หายไปแทนที่ด้วยความว่างเปล่า
“ซูฮวา” เสียงทุ้มเอ่ย “ลุกขึ้นมา นั่งตักข้า”
“หือ อือ...” พระชายาน้อยครวญครางอย่างไร้เรี่ยวแรง
ร่วมบรรเลงบทกลอนแห่งรักอันร้อนแรงกับหานชินอ๋องเพียงครั้งเดียว มู่ซูฮวาก็รู้สึกเหนื่อยราวกับฝึกวิทยายุทธมาแล้วสามชั่วยาม พอได้ยินสามีออกคำสั่งให้ลุกขึ้นไปนั่งตักคราแรกซูฮวาตั้งใจจะงอแง แต่เมื่อตระหนักได้ถึงสถานะที่ไม่อาจเรียกร้องอะไรได้ของตนเอง ร่างบางก็จำต้องตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง
หานชินอ๋องก็ช่างโหดร้าย เขาเห็นอยู่ตำตาว่าพระชายาน้อยหมดแรงแล้วแต่กลับไม่ช่วยประคอง ร่างสูงนั่งพิงเสาตรงปลายเตียงขณะใช้สายตาโลมเลียเรือนร่างเปลือยเปล่าของผู้เป็นภรรยา
เมื่อโดนจับจ้องด้วยสายตาเช่นนั้นซูฮวาก็หน้าร้อนจนต้องก้มหน้างุดๆ
“ซูฮวา ข้าสั่งเจ้าว่าอย่างไร”
“ฮื่อ” ร่างบางเปล่งเสียงในลำคอว่ารู้แล้วน่า แค่ขอก้มหน้าเดี๋ยวเดียวท่านก็อย่าใจร้อนนักสิ
เมื่อรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดได้ร่างบางก็คลานขึ้นไปนั่งบนตักของอีกฝ่าย พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ต้นขาสัมผัสโดนเจ้ามังกรร้ายที่ยามนี้กำลังจำศีลอยู่เพราะกลัวว่าจะไปปลุกมันตื่นเข้า
ทว่าผู้เป็นสามีกลับถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์
หยางจินส่ายหน้าพลางกล่าวว่าสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แบบนี้ “ลุกขึ้นมาครอบของข้าไว้”
ลุกขึ้นมาครอบของข้าไว้?
ซูฮวาต้องใช้เวลากว่าจะประมวลผลความหมายของพระสวามีได้ พลันใบหน้าหวานร้อนฉ่าขึ้นมาอีกครั้ง
มือเรียวเลื่อนไปเกาะไหล่กว้างเอาไว้อย่างเก้อเขิน ซบใบหน้ากับอกของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆ ยกสะโพกขาวขึ้น หยางจินก็ให้ความร่วมมือด้วยการจับส่วนหัวของเจ้ามังกรที่หลับใหลของตนให้ชูขึ้น พระชายาน้อยจะได้กดสะโพกลงมาครอบมันเอาไว้ได้สะดวก
“อี๊อ!” ซูฮวารู้สึกอับอายยิ่งนัก ขณะที่แก่นแกนของหยางจินค่อยๆ สอดแทรกเข้ามาในร่าง รูรักของซูฮวาก็ตอดรัดราวกับดีใจที่เจ้ามังกรกลับเข้ามาในถ้ำอีกครั้ง พระชายาฝังหน้าของตนเข้ากับแผงอกกว้างแน่น ตั้งใจว่าจะไม่โงหัวขึ้นมาจากอกของหานชินอ๋องแล้ว
และด้วยแรงนวดคลึงนี้เอง ส่งผลให้เจ้ามังกรสุดอันตรายตื่นตัวขึ้นมาอีกครา
ไม่รู้ว่าพระสวามีของตนไปอดอยากปากแห้งมาจากชายแดนที่ไหน ซูฮวาน้ำตาแทบร่วงเมื่อครั้งแล้วครั้งเล่าหานชินอ๋องก็ไม่ยอมปล่อยให้ตนเองพักผ่อนเสียที ตลอดคืนนั้นทั้งสองคนได้แนบชิดกันอย่างที่ไม่เคยมาก่อนในชีวิต กระทั่งปิดไฟเข้านอนหานชินอ๋องก็ยังประคองกอดคนตัวเล็กเอาไว้แนบอก
-
หานชินอ๋อง ท่านต้องทะนุถนอมพระชายาของท่านมากๆ นะ ท่านดูเอาแต่ใจน่าดู สั่งๆๆ น่าเป็นห่วงพระชายามู่ซูฮวาจริงๆ
-
โอ้ยย สงสารน้อง
-
พระสวามีท่านช่างไร้ใจและไร้ความอ่อนโยนยิ่งนัก
-
สงสารซูฮวา โถๆๆๆๆ
-
:3123:
:pig4:
-
ซูฮวาว่าง่ายจนน่าสงสารเลย หานชินอ๋องทำดีๆนะ เดี๋ยวจะโดนเกลียดไม่รู้ตัว สั่งจังเลย ฮึย!
-
คือไม่เคยมา หลอกเป็นอาจารย์ตั้งนาน พอเฉลยว่าเป็นสามีก็เรียกสิทธิเต็มที่ นี่สงสารน้องนะ
-
เอ็นดูซูฮวา คือเด๋อไปเลยน่ะ ตอนที่รู้ว่าหยางจินคือท่านอ๋อง
แล้วอะไรคือขัดขืน พอคิดคำแม่สอน แล้วสมยอมโดยดี
รักไม่รัก ไม่เป็นไร แต่น้อยใจที่ท่านสามีไม่อ่อนโยนเอาซะเลย
ท่านอ๋องก็ทำตัวเยี่ยงชายชาติทหารเกิน ลืมหรอว่านี่พระชายา
ไม่ใช่ใครที่ไปเจอระหว่างรบ ใจร้ายกับน้องเหลือเกินนะคนเรา
ให้ซูฮวางอนน่าจะดีเนาะ จะได้เอ็นดูน้องกว่านี้
มาได้จังหวะกันมากค่ะ และดีที่ทุกคนรู้จักท่านอ๋อง
ยกเว้นบรรดาคนที่บ้านทั้งหลายที่ไม่เคยเห็นหน้าเจ้าบ้าน
ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ ตอนทำซูฮวาไม่เห็นสงสารน้องเลย
-
ร้ายยยย
-
พระสวามีดุดันยิ่งนัก :jul1: พระชายาน้อยชอกช้ำหมดแล้วว
-
รออยู่นะ หายไปซะนานเลย
-
ครั้งแรกสามีก็เบรคไม่อยู่ซะแล้ว
-
:haun4: :haun4:
-
บทที่๑๒
เมื่อรุ่งสางมาเยือนซูฮวาพบว่าตนเองป่วยเป็นไข้ ร่างกายหนักอึ้งราวกับโดนก้อนหินทับถ่วง หลี่หมิงเข้ามาป้อนยาและเช็ดตัวให้ร่างบางที่ช้ำไปทั่วตัว สาวใช้คนสนิทรู้สึกแย่จนอยากจะร้องไห้แต่ก็ต้องกลั้นไว้เพราะถ้าเห็นเธอร้องละก็ซูฮวาน้อยต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แน่ๆ
สาเหตุก็เพราะชายผู้ฝากร่องรอยเอาไว้ทั่วร่างของซูฮวา หลังจากผ่านพ้นราตรีแรกไปเขาก็ออกจากวังอ๋อง และไม่กลับมาอีกเลย
ซูฮวานอนซมอยู่บนเตียงอยู่นาน จนล่วงเข้าวันที่สิบจึงลุกขึ้นมาเดินเหินได้ เนื่องจากไม่ได้ออกจากห้องเลยตลอดสิบวันซูฮวาจึงต้องตกใจกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวังอ๋อง
ฮูหยินเฉินซื่อและอนุทั้งสามมีความผิดฐานใส่ร้ายพระชายาและหลอกลวงพระมเหสีทำให้พวกนางโดนลงโทษสถานหนักไม่ตายก็พิการ พวกบ่าวไพร่ที่ออกหน้าสนับสนุนนางในงานเลี้ยงก็เช่นกัน ผู้ที่เหลือรอดอย่างบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็โดนขับออกจากวังไปจนหมด
บ่าวไพร่ในวังอ๋องยามนี้จึงดูบางตา ทุกคนล้วนเป็นหน้าใหม่ที่ซูฮวาไม่เคยพบมาก่อน แต่ได้ยินจากหลี่หมิงมาว่าทุกคนเป็นคนที่หานชินอ๋องส่งมาให้จึงวางใจไปเปลาะหนึ่ง
แต่ซูฮวากลับมีปัญหาอยู่อีกหนึ่งอย่าง...
ร่างบางออกมาเดินเล่นในสวนเพียงลำพัง และบังเอิญเจอเข้ากับฮูหยิน รองเจียงปิง นางเป็นผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวในวังอ๋องแห่งนี้ และนับเป็นสตรีที่อันตรายที่สุดด้วย แม้ซูฮวาจะบ้าๆ บอๆ แต่ก็ไม่ได้เลอะเลือนจนลืมไปว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาแม่นางผู้นี้จับมือกับเฉินซื่อแน่นขนาดไหน
“ถวายบังคมพระชายาเพคะ” เจียงซื่อฉีกยิ้มกว้างขณะย่อกายทำความเคารพพระชายาเอก
ซูฮวาหรี่ตามองนางเพื่อประเมินสถานการณ์
ที่ผ่านมานางจำยอมร่วมมือกับเฉินซื่อเพราะนางเป็นเพียงฮูหยินรอง
ที่ผ่านมานางคิดร้ายกับซูฮวาจริงแต่พอเห็นจุดจบของเฉินซื่อแล้วนางก็คิดได้และกลับใจทัน
หรือที่ผ่านมาจวบกระทั่งบัดนี้เจียงปิงก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะขจัดซูฮวาออกไปให้พ้นทาง
พระชายาน้อยคิดหนัก ขณะกำลังชั่งใจว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรกับเฉินซื่อดีหลี่หมิงกับเสี่ยวซุนก็วิ่งเข้ามากันซูฮวาเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง
“นางมารร้าย! คิดจะทำอะไรท่านซูฮวากัน ห๊า!?” เสี่ยวซุนผู้เก่งกับเด็ก สตรีและคนชราตวาดเสียงเข้ม ทว่าการขู่ฟ่อๆ เป็นลูกงูหัดแผ่แม่เบี้ยของเสี่ยวซุนนั้นไม่ได้สร้างความสะทกสะท้านใดๆ ให้แก่เจียงซื่อเลย นางปิดปากหัวเราะอย่างมีจริตก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ได้กล่าวอะไร
“นางไม่ได้ทำอะไรท่านใช่ไหมเพคะ” หลี่หมิงรีบพลิกซ้ายพลิกขวาเพื่อตรวจสอบร่างกายของผู้เป็นนายทันที
แต่หลี่หมิงก็พบไม่สิ่งผิดปกติอะไร จะมีก็แต่รอยจุมพิตจางๆ ตรงซอกคอที่หานชินอ๋องชายใจทรามฝากฝังเอาไว บัดนี้แม้มันจะจางไปมาก แต่ทุกครั้งที่นางช่วยซูฮวาเปลี่ยนเสื้อนางกลับรู้สึกเจ็บปวดราวกับตนเองโดนเอง
นางผูกใจอาฆาตแค้นหานชินอ๋องไปแล้ว แต่ผู้เป็นนายกับกล่าวถึงเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เจ้าคิดว่าท่านอาจารย์จะรอข้าอยู่ที่ป่าไผ่แห่งนั้นไหม”
คำถามนี้ของซูฮวาส่งผลต่อหลี่หมิงอย่างมาก สาวใช้นางนี้อยากจะปาดคอรีดเลือดของหานชินอ๋องออกมาให้หมดตัว มีอย่างที่ไหน พระชายางดงามถึงเพียงนี้แต่ชินอ๋องอย่างเขากลับไม่ยอมกลับวัง! หลังจากย่ำยีนายท่านน้อยของเธอเสร็จก็จากไปไม่หวนกลับ
“พระชายา ฮือ...”
“หลี่หมิง เจ้าร้องไห้ทำไม! ข้าแค่ถามถึงท่านอาจารย์เอง หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา” ยิ่งซูฮวาแสดงความเป็นห่วงหานชินอ๋องหลี่หมิงยิ่งเจ็บแค้นจนแทบกระอักเลือด
พอเห็นหลี่หมิงสะอื้นจนตอบอะไรไม่รู้เรื่องแล้วซูฮวาเลยหันไปส่งสายตาถามเสี่ยวซุนแทนว่าเกิดอะไรขึ้น นายทหารองครักษ์ผู้ใส่ซื่อรีบประสานมือตอบตามความจริง “หลังจากทราบว่าท่านอาจารย์คือหานชินอ๋องข้าก็แอบตามสืบอย่างลับๆ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่กลับวังแล้วไปพักอยู่ที่ใด”
“ยอดเยี่ยม” ซูฮวากล่าวชมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นานๆ ทีนายคนนี้จะทำอะไรฉลาดๆ เป็นบ้าง
“กระหม่อมพบว่าหานชินอ๋องอาศัยอยู่ในวังของเทียนชินอ๋องที่ป่าไผ่แห่งนั้นนั่นเอง กระหม่อมเชื่อว่าหากเราไปยังป่าไผ่พระชายาจะได้พบกับหานชินอ๋อง พ่ะย่ะค่ะ” หลี่หมิงแทบจะกรี๊ดออกมา ตอนนี้นางอยากรีดเลือดออกจากหัวเสี่ยวซุนแทนแล้ว
“เจ้า!” นิ้วเรียวของสาวใช้จิ้มหน้าผากองครักษ์โง่จึกๆ ดวงตาคู่กลมของนางเดือดดาลราวกับมีไฟสุม!
จะบอกวิธีพบหานชินอ๋องให้พระชายาทราบทำไม!? เจ้าอยากเห็นเจ้านายน้อยของเจ้าต้องเสียน้ำตาเพราะถูกชายชั่วข่มเหงรังแกอีกงั้นหรือ! ภายในใจของหลี่หมิงมีคำก่นด่าอยู่นับพันหมื่นทว่านางยังไม่ทันได้สั่งสอนเจ้าโง่เสี่ยวซุนให้สาสมซูฮวากลับกล่าวแทรกขึ้นมาก่อนว่า
“เสี่ยวซุน เจ้าไปเตรียมกระบี่ให้ข้าที ไม่ได้ฝึกนานแล้วกลัวร่างกายจะทื่อ ส่วนหลี่หมิง เจ้าไปบอกให้คนเตรียมรถม้าให้ทีนะ” ซูฮวากล่าวพลางเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนชุด
ซูฮวามักจะเลือกใส่เสื้อผ้าสีเรียบๆ ที่ดูทะมัดทะแมง เส้นผมยาวสลวยก็รวบมัดเอาไว้เป็นก้อนไม่ปล่อยให้มันรุงรังเกะกะการฝึก หลังจากสลัดคราบ พระชายาผู้สูงศักดิ์กลายเป็นคุณชายน้อยเสร็จแล้วคุณชายสามแห่งสกุลมู่ก็เดินออกมาขึ้นรถม้า
ซูฮวา หลี่หมิง เสี่ยวซุน และคนขับรถม้าเดินทางออกจากวังอ๋องมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่
นานแล้วที่ซูฮวาไม่ได้มาเยือนที่แห่งนี้ ก็นับตั้งแต่งานเลี้ยงน้ำชานั่นแหละ เมื่อเห็นศาลาหลังคุ้นตาตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลร่างบางก็วิ่งดุ๊กๆ เข้าไปด้วยความ ดีใจ คงเพราะเอาแต่นอนมาหลายวันพระชายาน้อยจึงรู้สึกคึกคักเป็นพิเศษ ชักกระบี่ที่เหน็บออกมาเริ่มตวัดเป็นท่วงท่าตามที่ท่านอาจารย์เคยสอน
หลี่หมิงทอดมองคนตัวเล็กซุกซนร่าเริงด้วยความสงสาร
นางไม่อยากจินตนาการเลยยามที่หานชินอ๋องปรากฏกายเขาจะปฏิบัติกับพระชายาของเขาอย่างไร
แต่ถึงแม้ว่านางจะแช่งให้หานชินอ๋องหลงทางหรือหาทางกลับวังของเทียนชินอ๋องไม่เจออย่างหนักหน่วงเพียงใดก็ตาม ทว่าเมื่อถึงเวลาเลิกงาน บุรุษร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาทว่าดุดันจนชวนหลบตาก็เดินเข้ามาใกล้
คิ้วคมเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นว่าใครกำลังนั่งเอากระบี่เขียนพื้นเป็นอักษรคำว่าอาจารย์อยู่
ซูฮวาที่เล่นคนเดียว เอ้ย ฝึกคนเดียวจนเหนื่อยเงยหน้าขึ้นมาเมื่อสัมผัสการเคลื่อนไหวของผู้มาเยือน ในวินาทีแรกที่ทั้งสองสบตากันพระชายาน้อยก็พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่กลมใสเสมองไปทางอื่น ราวกับทำใจอยู่ไม่นานซูฮวาก็ลุกขึ้นและเดินตรงมาหาหยางจิน
หยางจินขมวดคิ้วมองชายาของตนที่มาดักรออยู่คล้ายไม่พอใจ
แต่เมื่อได้ยินคำทักทายแรกจากซูฮวาสีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป
“คารวะท่านอาจารย์ งานวันนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ เหนื่อยไหม เข้ามานั่งพักในศาลาก่อนสิ” กล่าวจบก็ผายมือไม่ทางศาลาที่มีพวกหลี่หมิงนั่งรออยู่
“เจ้ามาที่นี่มีจุดประสงค์อะไร” หยางจินคิดว่าตนรู้คำตอบอยู่แล้วแต่ก็อดถามออกมาไม่ได้
“ข้าอยากฝึกวิชากับท่าน วันนี้ท่านอาจารย์สะดวกหรือไม่” มู่ซูฮวาในคราบคุณชายน้อยประสานมืออย่างเรียบร้อย ท่าทีสุภาพนอบน้อมราวกับศิษย์สนทนากับอาจารย์จริงๆ มิใช่ภรรยากำลังพูดคุยกับสามี
น่าแปลกที่อาการไม่พอใจในทีแรกของหยางจินมลายหายไปจนสิ้น
“ตามข้ามาสิ” เสียงทุ้มกล่าวพลางชี้ไปทางริมแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลจากศาลานัก
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาหยางจินไม่ได้สอนซูฮวาอยู่ข้างศาลาอย่างเดียวแต่เขามักหาโอกาสพาซูฮวาไปประลองกับตนที่ริมแม่น้ำเพราะอยากให้เจ้าลูกศิษย์น้อยคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศหลากหลายรูปแบบ แม้ว่าซูฮวาจะอ่อนแอเป็นทุนเดิมแต่หลังจากได้อาจารย์ฝีมือดียามนี้ระดับฝีมือไม่นับเป็นพวกปลายแถวแล้ว
“ศิษย์ขอบคุณอาจารย์”
หลี่หมิงได้แต่มองร่างเล็กของผู้เป็นนายเดินตามชายใจร้ายไปต้อยๆ
ในทางกลับกัน เมื่อหยางจินพาซูฮวามาถึงริมแม่น้ำเขากลับไม่ได้เริ่มทดสอบฝีมือของลูกศิษย์แต่กลับเอ่ยถามในสิ่งที่ค้างคาใจ “เจ้ามีอะไรอยากจะกล่าวกับข้าหรือไม่”
“หืม อะไรหรือ” คนงามเอียงคองุนงง
หน้าตายามสงสัยของพระชายานั้นน่ารักจนคนมองอยากกระโจนเข้าไปขย้ำ
“ตอนนี้เหลือเพียงแค่เราสองคนสามีภรรยา เจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดได้ไม่ต้องเกรงใจ” ส่วนหนึ่งหยางจินยังคงปักใจเชื่อว่าซูฮวามาดักพบตนที่ป่าไผ่แห่งนี้เพราะต้องการขอให้เขากลับวังหรือไม่ก็มาหาเพราะความคิดถึง
“สามีภรรยาอะไรกัน ที่นี่มีแค่อาจารย์กับศิษย์ ไม่ใช่หรือ” มู่ซูฮวาตอบด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
ร่างสูงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มเลือกที่จะเงียบและพิจารณาดวงตาของพระชายาตน ว่ากันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ยามนี้ พระชายาน้อยมีแววตาตัดพ้อก็จริงแต่หาได้ตัดพ้อเรื่องที่เขาร่วมราตรีเสร็จก็จากมาโดยไม่บอกกล่าว
ซูฮวากำลังเสียใจที่หยางจินหยิบยกสถานะสามีภรรยามาพูด ณ สถานที่แห่งนี้
“ซูฮวายอมรับว่าซูฮวาคือชายาของท่าน ความจริงข้อนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเมื่อใดก็ไม่อาจแปรเปลี่ยน แต่ซูฮวาเคยบอกท่านอาจารย์ไปแล้วว่าซูฮวาไม่อยากยึดถือหลักคุณธรรมของภรรยา ความฝันชั่วชีวิตของซูฮวาก็คือการได้ฝึก วรยุทธ ร่ำเรียนวิชาความรู้ ใช้ชีวิตเฉกเช่นบุรุษ
แต่เล็กจนโตซูฮวาไม่ได้ทำในสิ่งที่ซูฮวาต้องการเลย กระทั่งได้มาเจอท่าน ณ ที่ตรงนี้ท่านยอมรับข้าเป็นศิษย์และสั่งสอนข้าอย่างไม่เคยแบ่งแยก ดังนั้นซูฮวาขอร้องท่านอาจารย์ นอกจากสถานที่นี้ซูฮวาคือภรรยาของท่าน แต่ตรงนี้ซูฮวาขอเป็นศิษย์ของท่านได้ไหม”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูฮวาใช้คำแทนตัวเองว่าซูฮวา
หยางจินยังคงเงียบ ทว่าเขาไม่ได้ประเมินอะไรชายาของตนอีกแล้ว เพียงแต่หยิบเอาสตรีนางหนึ่งในความทรงจำอันแสนห่างไกลขึ้นมาทาบเทียบชายาตัวน้อยของตน
หยางจินถอนหายใจ
ไม่ว่าจะมองอย่างไรซูฮวาก็ไม่มีส่วนใดคล้ายนางคนนั้นแม้แต่น้อย ทว่า หยางจินก็ยังคงหวาดหวั่น
ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาเบาๆ เพื่อไล่ความคิดสัพเพเหระออกจากหัว
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เลิกทำหน้างอแงเป็นสตรีได้แล้ว! จับอาวุธขึ้นมาซะ อย่าปล่อยให้อาจารย์ของเจ้าต้องรอนาน”
ได้ยินดังนั้นคนตัวเล็กก็รีบเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มกว้าง รอยยิ้มของคนงามย่อมมีพลังทำลายล้างไม่ธรรมดา หานชินอ๋องผู้เก่งกาจถึงกับต้องหลบสายตาไปทางอื่นเพราะเขาตั้งปณิธานเอาไว้แล้วว่ายามอยู่ในป่าไผ่แห่งนี้จะเป็นอาจารย์จินให้เจ้าลูกศิษย์ตัวน้อยผู้นี้
อาจารย์น่ะ เขาไม่เกิดอารมณ์กับรอยยิ้มของลูกศิษย์หรอกนะ
เพราะหยางจินกำลังเผลอศิษย์ตัวน้อยเลยถือโอกาสลอบโจมตี แต่ถ้าคนระดับซูฮวาก็ลอบโจมตีสำเร็จหานชินอ๋องคงไม่มีฉายาเด็ดหัวม้าด้วยมือข้างเดียวหรอก มือหนาตวัดดาบปัดป้องการโจมตีของเด็กน้อย
และแล้วทั้งสองคนก็เริ่มฝึกวิชากันอย่างจริงจัง
ซูฮวาสัมผัสได้ดี แม้ว่าท่านอาจารย์จะออมกำลังเอาไว้มากแบบมากๆ แต่เป็นการออมกำลังเพราะกำลังสั่งสอนผู้ที่มีวรยุทธด้อยกว่า ทุกการเคลื่อนไหวล้วนแฝงไปด้วยการชี้แนะถึงจุดอ่อนที่ซูฮวาควรรีบอุด หาใช่การต่อสู้เชิงหยอกล้อหรือดูแคลน
ท่านอาจารย์จินก็เป็นเสียแบบนี้
ไม่เคยดูแคลนความปวกเปียกของซูฮวา พร้อมสอนอย่างใจเย็น
ซูฮวาจึงชอบอาจารย์จินมากกว่าหานชินอ๋อง ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นคนเดียวกันแท้ๆ
-----------------------------------------------
พิหานไม่ได้มีฝาแฝด แล้วก็ไม่ได้เป็นไบโพลาร์นะคะ 5555555555555555555
เวลาเราปฏิบัติกับคนอื่น เราก็จะแบ่งแยกว่าเขาเป็นใคร ในที่นี้พิหานแกแยกระหว่างเมียกับศิษย์ออกจากกัน ซึ่ง... ไม่รู้ว่ามันเป็นข้อดีมั้ย อารมณ์คล้ายๆคนที่ไม่เอาเรื่องงานมาปนกับเรื่องส่วนตัวอะค่ะ
#มาลาสุราลัย
-
ต้องกลับไปที่วัง เพื่อทำหน้าที่สามีบ้างนะท่านอ๋อง
อย่าเอาแต่เป็นพระอาจารย์อย่างเดียว
แต่จริงๆ แล้วต่างอย่าลืมว่า ก็คือคนๆ เดียวกัน
ยัยผู้หญืงที่เหลืออยู่ จะเป็นภัยไหมหนอ
-
ซูฮวาฝึกยุทธ์ เยอะๆนะ เวลาชินอ๋องหลับ จับตัดเลย
5555
-
:pig4:
-
หานชินอ๋องนายมันน่า :beat:
-
เฮ้อออ รอลุ้น ต่อ จ้า^^
-
จ้ะ
-
สามีใจร้ายไม่เป็นที่สนใจ เฝ้าคะนึงหาแต่อาจารย์
คิดสิ ท่านอ๋องคิด! ท่านเป็นสามีที่แย่แค่ไหน
-
ท่านอ๋องคงเคยผิดหวังจากรักกับสตรีอื่น(แฟนเก่า)
แล้วก็มาเหมารวมทำร้ายจิตใจของซูฮรา
รอให้หลงรักน้องก่อนเหอะ จะสมน้ำหน้าให้
-
บทที่๑๓
หลังจากวันนั้นซูฮวาก็มารอหยางจินที่ศาลาซึ่งรายล้อมด้วยต้นไผ่เสมอ จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วว่าถ้าหากกลับจากกองทัพเขาจะเห็นรอยยิ้มของคนงามที่เฝ้านับถอยหลังรอตนอยู่
“ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมท่านแม่ทัพถึงไม่อยู่ชี้แนะเหล่าทหารต่อหลังเลิกงาน ที่แท้ท่านแม่ทัพก็แอบรับลูกศิษย์ตัวน้อยไว้เลี้ยงดูในป่าไผ่นี่เอง” ถังเฟยเดิน ออกมาจากที่ซ่อน
ถังเฟยผู้นี้เป็นนักสอดรู้สอดเห็นที่มีความพยายามมากทีเดียว
หลังจากเขาได้ยินข่าวลือจากเหล่าชาวบ้านว่าหานชินอ๋องกลับจวนเพื่อช่วยพระชายาจากการถูกใส่ร้ายถังเฟยก็เห็นว่าหานชินอ๋องมักจะเลิกงานตรงเวลาซึ่งมันผิดวิสัย
ทีแรกถังเฟยคิดว่าหัวหน้าของตนติดใจพระชายาคนงามจึงรีบกลับบ้านไปนอนกอดเลยแอบไปดักรอที่หน้าวังอ๋องแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของหานชินอ๋อง เขาเลยหันมาใช้กลยุทธ์สะกดรอยตามแทนว่าหลังเลิกงานแล้วหานชินอ๋องไปไหน
แต่การสะกดรอยยอดฝีมืออย่างหยางจินไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถังเฟยใช้เวลาอยู่หลายวันกว่าจะทำสำเร็จ และเมื่อเขาแอบตามท่านแม่ทัพเข้ามาในป่าไผ่เขาก็ค้นพบความจริงว่าหานชินอ๋องนั้นไม่ได้กลับไปนอนกอดภรรยาคนงามที่บ้าน แต่มาวิ่งเอาดาบฟาดกะบาลภรรยาคนงามอยู่กลางป่าไผ่
ถังเฟยเครียดจนหน้าหมองเพราะคิดว่าหานชินอ๋องผู้บ้าเลือดกำลังจะเปลี่ยนดอกไม้งามเป็นอาวุธสังหาร แต่เมื่อเขาลอบสังเกตดูดีๆ จึงทราบว่า หานชินอ๋องกำลังฝึกวิธีป้องกันตัว การหนีเอาตัวรอด อุดช่องโหว่ให้พระชายาตัวน้อยอยู่
ฝึกฆ่าคนกับฝึกป้องกันตัวนั้นนับเป็นคนละโลกกันเลย ถังเฟยยอมรับกรณีหลังได้มากกว่า อย่างไรหานชินอ๋องก็มีศัตรูเยอะแยะแถมพระชายาน้อยยังงดงามเสียจนน่าฉุด ทหารองครักษ์ของซูฮวาก็ดูไม่ได้ความเท่าไร คิดไปคิดมาถังเฟยก็นั่งแอบอยู่จนกระทั่งสองศิษย์อาจารย์ฝึกวิชาเสร็จ
คล้อยหลังร่างบางถังเฟยก็ออกมาจากที่ซ่อน
“ข้าก็กำลังคิดอยู่ว่าเจ้าจะยอมออกมาเองดีๆ หรือจะให้ข้าลากคอออกมา” เสียงทุ้มกล่าว
คนฟังหัวเราะร่วน เขารู้ดีว่าหานชินอ๋องจับได้นานแล้วว่าตนแอบซุ่มดูอยู่
“ท่านไม่ตามพระชายาน้อยกลับวังล่ะ” ในเมื่อถือความลับของคนเย็นชาเสียจนน่าสยองผู้นี้เอาไว้ได้ถังเฟยก็ขอหยิบยกขึ้นมาหยอกล้อเสียหน่อย
“พวกชาวบ้านลือกันว่าท่านนอนค้างที่วังคืนหนึ่งแล้ว อยากรู้จริงๆ ว่าค่ำคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ถังเฟยผู้ยึดหลักสอดรู้สอดเห็นเป็นที่หนึ่งดวงตาเป็นประกายพราวระยับ
ทว่าในขณะที่กำลังหัวเราะคิกคักชอบใจอยู่คมดาบของบุรุษที่ไม่ใช่เพื่อนเล่นของถังเฟยก็ฟาดเข้ามา เจ้าตัวรีบกระโจนหลบจนตาเหลือก “ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว!”
เมื่อเห็นลูกน้องคนสนิทหกล้มคลุกคลานมีสภาพอเนจอนาถแล้ว หยางจินจึงยอมหยุดดาบในมือ
เห็นถังเฟยไร้สาระแบบนี้ก็เป็นถึงรองแม่ทัพ แถมตระกูลถังของเขาก็ไม่ธรรมดาเลย ถังฟ่าน บิดาของเขาเป็นถึงอดีตแม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดินแต่เพราะประสบเข้ากับชะตากรรมบางอย่างจึงถูกประหารและตระกูลถังก็ตกต่ำลงจนกระทั่งหยางจินยอมรับถังเฟยเป็นมือขวา ตระกูลถังจึงฟื้นฟูกลับมาได้อีกครั้ง
“ท่านอย่างโกรธเลยน่า! ยามท่านโกรธจะน่ากลัวเหมือนมารร้ายเลยนะ สาวๆ พาลหนีกันหมด” เพราะท่านเป็นคนน่ากลัว ไม่พูดพร่ำทำเพลงคิดจะลงมือก็ลงมือเลยแบบนี้ไงชาวบ้านถึงได้เข้าใจผิดเห็นเจ้าหูโปชายร่างยักษ์ที่มักติดสอยห้อยตามหานชินอ๋องไปทุกที่เป็นหานชินอ๋องแทน
ภายนอกของชายร่างยักษ์ดูบึกบึนน่าเกรงขามก็จริงอยู่ แต่หารู้ไม่ว่าหัวใจของพี่หูโปนั้นบอบบางราวกับกระดาษแก้ว
คนที่น่ากลัวทั้งร่างกายและจิตใจแท้ที่จริงแล้วคือหยางจินผู้นี้ต่างหาก! ถังเฟยซึ่งติดตามหานชินอ๋องมานานร่ำร้องในใจ
“ข้าว่าข้าควรพาท่านไปเปลี่ยนบรรยากาศเสียหน่อย พวกเราไปทานมื้อเย็นกันที่หอหยุนเซียวเถอะ!” ครั้งสุดท้ายที่หยางจินยอมไปทานอาหารเย็นร่วมกับลูกน้องก็คือคราวที่พบซูฮวาครั้งแรกนั่นเอง
แต่วันนั้นเกิดเรื่องหลายอย่างขึ้นสุดท้ายหยางจินจึงได้เปลี่ยนบรรยากาศจริงแต่เปลี่ยนจากบรรยากาศมาคุเป็นบรรยากาศมาคุกว่า ถังเฟยรีบเดินนำผู้เป็นนายออกจากป่าไผ่ หยางจินถอนหายใจแต่ก็ยอมเดินตามไปด้วยเพราะช่วงนี้เขาอารมณ์ดี
แต่จากอารมณ์ดีๆ ถังเฟยก็สามารถทำให้หยางจินอารมณ์เสียได้
หลังจากที่ทั้งสองคนทานมื้อค่ำในหอหยุนเซียวเสร็จมือขวาของแม่ทัพใหญ่ก็เอ่ยเชื้อชวนหานชินอ๋องไปยังย่านโคมแดง
ย่านโคมแดงคือแหล่งรวมหอนางโลมราคาแพงแห่งเมืองหลวงต้าจินเอาไว้
“เจ้าเป็นสุนัขหรือไรถึงได้เทียวปัสสาวะเรี่ยราดไปเรื่อย” หยางจินตำหนิลูกน้องที่หลอกพาตนมาย่านโคมแดงเพราะท่านแม่ทัพไม่ใช่ชายที่นิยมเด็ดดอกไม้ริมทาง
เหล่าสตรีเมื่อเห็นบุรุษรูปร่างหน้าตาดีแต่งกายมีฐานะสองคนเดินผ่านร้านก็รีบกุลีกุจอเข้ามาเชิญชวนเข้าร้าน พวกนางล้วนเป็นนางคณิกาที่ปรนเปรอความใคร่ของเพศชายมาหลายสิบหลายร้อยคนแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะมีแต่ตาแก่มักมาก การเจอชายหนุ่มหล่อเหลาอย่างพวกหยางจินจึงเป็นเรื่องโชคดีในรอบสิบปีเลยทีเดียว
ถังเฟยหัวเราะชอบใจ “ข้ามีร้านที่มากับพี่หูโปประจำ ท่านสนใจไหม นางอันดับหนึ่งของหอนี้งดงามล่มเมือง”
พอได้ยินคำว่างามล่มเมืองหยางจินก็ถอนหายใจ
พระมารดาของเขาถูกยกย่องว่างดงามล่มเมือง หลังจากสิ้นพระมารดาซูฮวาก็ได้รับตำแหน่งคนงามอันดับหนึ่งไม่มีสองนี้ไปแทน บัดนี้แม้แต่นางคณิกาแห่งหอนางโลมก็ถูกชื่นชมว่างามล่มเมือง
เมืองอะไรทำไมล่มง่ายปานนั้น? เอะอะล่ม เอะอะล่ม หากเป็นเมืองของข้าศึกก็คงดีแม่ทัพอย่างเขาจะได้ไม่เสียเวลาตีชิงมากนัก
“ท่านทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ไม่ลองไปดูด้วยตาตนเองหน่อยล่ะว่านางคณิกาผู้นี้พอมีค่าในสายตาของท่านหรือไม่” ถังเฟยกล่าว แต่พอเห็นสีหน้าที่เริ่มขุ่นมัวขึ้นเรื่อยๆ ของผู้เป็นนายเจ้าตัวก็ได้แต่หัวเราะเสียงแห้ง
“ข้าขอโทษ ความจริงแล้วนางก็แค่งามธรรมดา ที่กล่าวกันว่าล่มเมืองก็แค่ข่าวลือที่เจ้าของหอปล่อยออกไปเพื่อเรียกแขกเท่านั้น” ถังเฟยเลิกพูดปด ตัวเขาเคยพบทั้งอดีตพระมเหสีหานและพระชายาน้อยซูฮวามาแล้ว เขาย่อมแบ่งแยกฟ้าสูงแผ่นดินต่ำได้ อะไรคือความเลอค่าที่แท้จริงถังเฟยเข้าใจดี
“อย่างน้อยก็เดินวนรอบหนึ่งก่อนเถอะ! ถือว่าเปิดหูเปิดตา!” ถังเฟยไม่คาดหวังอะไรตั้งแต่แรกแล้ว เขาก็แค่อยากเห็นปฏิกิริยาของหานชินอ๋องยามถูกเหล่านางโลมแห่แหนออกมาล้อมหน้าล้อมหลังเท่านั้น
และถังเฟยก็ได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น
หยางจินเกลียดสตรีที่พะเน้าพะนออ้อนวอนขอให้บุรุษมาร่วมหลับนอนด้วยเป็นที่สุด ทุกครั้งที่เจอสตรีหรือบุรุษประเภทอ้าขาให้ง่ายๆ หยางจินมักจะทำหน้าเหมือนอยากจะฆ่าคนขึ้นมา และถ้ายังตอแยไม่เลิกหยางจินก็จะจับโยนออกไป ซึ่งคำว่าโยน ย่อมไม่ได้ปลิวไปแค่ใกล้ๆ หยางจินจะโยนทั้งทีย่อมโยนไปให้พ้นสายตา คนโดนโยนก็บาดเจ็บกระอักเลือกไปตามระเบียบ
“สมน้ำหน้าท่านแล้ว แล้วก็ขอบคุณท่านมากที่ยอมอดทนให้ข้าแกล้ง” หลังจากเดินวนรอบย่านโคมแดงรอบหนึ่งคุณชายรูปงามทั้งสองท่านก็เดินออกมาโดยที่ไม่ได้เสียน้ำสักหยด
หยางจินถอนหายใจ
“ถ้าบิดาของข้าใจแข็งอย่างท่านก็คงดี!” แล้วก่อนจะแยกทางกันถังเฟยก็ กล่าวออกมาเช่นนี้
บุรุษหนุ่มมาดบัณฑิตทว่าเป็นถึงรองแม่ทัพก้มหัวคารวะหานชินอ๋องก่อนจะหมุนกายเดินจากไปอีกทางหนึ่ง
หลังสิ้นบิดาตระกูลถังตกต่ำจนน่าเศร้า ยิ่งโตพอจะรู้ว่าบิดาโดนประหารด้วยโทษอะไรถังเฟยก็ยิ่งโกรธเคืองบิดาของตนเป็นเท่าทวี แต่นั่นก็เป็นเรื่องของถังเฟย
เมื่อเหลือตัวคนเดียวแล้วหยางจินก็เกิดนึกถึงใครบางคนเข้า
คงเพราะเดินร่อนไปทั่วย่านโคมแดงจึงเกิดอารมณ์ขึ้นมาบ้าง
ในที่สุดหานชินอ๋องก็ตัดสินใจกลับบ้าน เมื่อเจ้าบ้านมาเยือนเหล่าบ่าวไพร่ซึ่งเป็นคนที่เขาหามาเองก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ แต่สิ่งแรกที่เขาถามหากลับเป็นพระชายา “ซูฮวาเล่า”
ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้คิ้วหนาขมวดเป็นปม
“พระชายาอยู่ในสวนพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าพ่อบ้านคนใหม่กล่าว เขามีแซ่หลี่ทุกคนจึงเรียกเขาว่าเหล่าหลี่
เหล่าหลี่เคยติดตามถวายการรับใช้หยางจินในชายแดนมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนจะกราบทูลขอกลับมาดูแลเมียที่ป่วยในเมืองหลวง บัดนี้หานชินอ๋องไหว้วานให้ตนกลับมาดูแลจัดการเรื่องในวังอ๋องเหล่าหลี่ผู้ภักดีจึงรีบมาทันที
“ปกติก็นอนดึกแบบนี้หรือ” หยางจินถาม ทว่าชายหนุ่มไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังนัก เขาเพียงแค่บ่นกับตัวเองก่อนจะเดินไปทางสวนดอกไม้ในวังของตนโดยไม่ให้เหล่าหลี่และข้ารับใช้ทั้งหลายตามมาด้วย
ร่างสูงเดินเข้ามาสวนดอกไม้ซึ่งบัดนี้นอกจากจะไม่มีดอกไม้แล้วแม้กระทั่งใบไม้ยังเริ่มเปลี่ยนสีและร่วงโรย เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสารทฤดูกำลังจะมาเยือน อากาศในต้าจินเองก็เริ่มเย็นลงนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หยางจินต้องขมวดคิ้วเมื่อเขาเห็นร่างบางในชุดผ้าบางกำลังนั่งแกว่งขาเล่นอยู่ในศาลาริมน้ำ
ซูฮวากัดขนมน้ำตาลปั้นที่แวะซื้อมาจากย่านการค้าหลังจากฝึกวิชากับท่านอาจารย์เสร็จ ใบหน้าหวานดูมีความสุขยิ่งนักยามได้ลิ้มรสของหวานเป็นเด็กๆ หยางจินหยุดพินิจใบหน้างามที่ดูไม่มีแววฉลาดเฉลียวและดวงตาคู่โตที่จับจ้องไปข้างหน้าแบบเหม่อลอย
ช่างไม่ระแวดระวังเอาเสียเลย ถึงจะอยู่ในวังอ๋องแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย
ดวงตาคู่คมตวัดมองไปยังทิศเรือนหลัง ที่ตรงนั้นมีร่างบอบบางของสตรีที่เขาจำได้ลางๆ ว่าเป็นรองฮูหยินของตน นางกำลังจับจ้องมายังพระชายาน้อยด้วยแววตาอ่านยาก
หยางจินถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในศาลาส่งผลให้คนที่กำลังแทะน้ำตาลปั้นอย่างมีความสุขมีสีหน้ากระอักกระอ่วนในฉับพลัน
“เหตุใดจึงมานั่งคนเดียว พวกหลี่หมิงเล่า” หยางจินเพิกเฉยต่อสีหน้าราวกับผิดหวังของซูฮวา
ทว่าแม้ภายนอกจะทำเป็นไม่สนใจแต่ลึกๆ แล้วหยางจินก็อดรู้สึกแปลกแปร่งมิได้
ใครใช้ให้ทุกครั้งที่เขากลับจากทำงานและเดินเข้าไปในศาลากลางป่าไผ่แห่งนั้นแล้วจะต้องได้รับรอยยิ้มหวานที่งดงามยิ่งกว่าสิ่งใดด้วยเล่า คราวนี้เขาก็เดินเข้ามาในศาลาเหมือนกันแท้ๆ แค่ไม่ได้มาในฐานะของอาจารย์จินก็เท่านั้นเอง มู่ซูฮวากลับทำหน้าเหมือนโดนบังคับให้กินยาขมซะอย่างนั้น
“พวกหลี่หมิงนอนแล้ว แต่ข้าเห็นว่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงงดงามดีก็เลยออกมานั่งดู” ซูฮวาเบือนหน้าไปทางอื่นคล้ายไม่อยากสบตากับพระสวามี
“กินของหวานยามนี้เจ้าไม่กลัวอ้วนหรือ” หยางจินมองไปยังขนมน้ำตาลปั้นก้อนใหญ่ในมือเรียวที่พร่องไปกว่าครึ่งแล้ว
“อ้วนก็ยอม! น้ำตาลปั้นเจ้านี้หวานล้ำไม่ธรรมดาเลย” พอพูดถึงเรื่องของกินบนใบหน้าของพระชายาก็ปรากฏรอยยิ้มอีกครั้ง
หานชินอ๋องมองภาพอันมีพลังดึงดูดสูงส่งตรงหน้าก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปหาเจ้าของรอยยิ้ม
“ข้าขอชิมหน่อยได้ไหม” รอยยิ้มประดับตรงมุมปากของคนยิ้มยาก
“อื้ม!” พระชายาน้อยเป็นเด็กมีน้ำใจอยู่แล้ว เมื่อพระสวามีอยากกินขนมซูฮวาก็ไม่คิดหวง ยกไม้เสียบน้ำตาลปั้นขึ้นมาหมายจะยื่นให้หยางจินทว่าคนตัวสูงกว่ากลับเพิกเฉยต่อน้ำตาลปั้นรสเลิศ
เสี้ยววินาทีที่ซูฮวากำลังจะถามว่าท่านไม่ชิมน้ำตาลปั้นแล้วหรือริมฝีปากอุ่นร้อนก็ทาบทับลงมา
ร่างบางตกใจจนเกือบทำของหวานในมือร่วง อยู่ดีๆ ท่านก็ก้มลงมาจูบกลางสวนเช่นนี้ท่านไม่อายฟ้าดินบ้างหรือ! แต่ซูฮวาก็ทำได้เพียงร้องท้วงในใจเท่านั้นเพราะยามนี้ริมฝีปากยังถูกอีกฝ่ายครอบครองอยู่
อีกด้านหนึ่ง ชายผู้ขอชิมของหวานก็กำลังตักตวงความหวานที่ไม่อาจหาได้จากที่ไหนอีกแล้วอย่างกระหายอยาก หยางจินคิดว่าตัวเขาค่อนข้างจะเสียอาการมากไปหน่อยแล้ว แม้ว่าในสวนจะมีเพียงแค่พวกเขาแต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกบ่าวหรือทหารยามจะไม่เดินผ่านมาทางนี้
หากใครมาเห็นใบหน้าขวยเขินยามถูกขโมยจูบของคนในอ้อมแขนเขาเข้าจะทำอย่างไรเล่า
แม้จะเกิดอาการหวงของแต่หานชินอ๋องก็หยุดไม่ได้แล้ว
ยิ่งชิมยิ่งติดใจ มือหน้ารั้งท้ายทอยของคนในอ้อมแขนให้เงยหน้าจนได้มุมที่แนบจูบได้ถนัดขึ้น ลิ้นร้อนของชายหนุ่มไล้เลียหยอกเอินกับปลายลิ้นน้อยๆ ที่พยายามหดหนีเหมือนกลัวกันอยู่
ช่างน่ารังแกยิ่งนัก
“อื๊อ...” ซูฮวาที่ถูกจู่โจมมานานแล้วเริ่มหายใจไม่ทัน มือเรียวข้างที่ไม่ได้ถือน้ำตาลปั้นเอาไว้เริ่มตบแปะๆ บนแผ่นหลังกว้างเพื่อร้องขอให้อีกฝ่ายปล่อยตนเป็นอิสระเสียที
หานชินอ๋องไม่ใจร้ายกับภรรยาของตน แต่ก็ไม่ได้ใจดีเช่นกัน
ชายหนุ่มไม่ได้หยุดการกระทำของตนเพียงแต่เลิกรุกล้ำอย่างเร่าร้อน หยางจินหันมาขบเม้มกลีบปากสีสดของซูฮวาเบาๆ จุมพิตเน้นๆ หลายต่อหลายครั้งอย่างอ่อนโยนจนคนโดนจูบหน้าแดงไปหมดแล้ว กระทั่งซูฮวาเริ่มปรับลมหายใจกลับมาเป็นปกติหยางจินก็สอดลิ้นเข้ามาตักตวงความหวานอีกครั้ง
ในขณะที่ซูฮวาตั้งคำถามในใจว่าพระสวามีจะจูบตนเช่นนี้จนเช้าเลยหรือร่างสูงก็ผละตัวออก
“ฮือ...” ซูฮวาครางงึมงำในลำคอ ใบหน้าหวานฉายแววแง่งอนปนเขินอาย ช่างน่ารักจนคนมองอยากจะรักแรงๆ จะแย่แล้ว
หยางจินยกยิ้มมุมปาก ทั้งสีหน้าทั้งแววตาดูมีความสุขมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ข้าเชื่อแล้วว่าหวานล้ำไม่ธรรมดาจริงๆ”
เมื่อได้ยินเสียงทุ้มกล่าวหยอกเย้ายอกย้อนประโยคที่ตนเคยโอ้อวดสรรพคุณของเจ้าขนมในมือมู่ซูฮวาก็หน้าแดงแปร๊ด นึกอยากโยนเจ้าน้ำตาลปั้นออกไปให้พ้นสายตาแต่ก็ไม่กล้าทำเพราะเสียดายของ
“ฮึ่ย” ในเมื่อทำอะไรไม่ได้เลยพระชายาน้อยก็ได้แต่นั่งฮึดฮัด
หยางจินเหลือบมองกลุ่มทหารประจำวังอ๋องที่กำลังจะเดินลาดตระเวนผ่านมาทางนี้ก่อนจะรั้งศีรษะของพระชายาน้อยมาแนบอก เขาคิดว่าสีหน้าของซูฮวายามนี้มีเพียงตนเท่านั้นที่มีสิทธิ์มอง ความจริงเมื่อครู่เขายังชิมของหวานไม่หนำใจเลย ที่หยุดก็เพราะสัมผัสได้ว่าเจ้าทหารพวกนี้กำลังจะเดินผ่านมานี่แหละ
“ซูฮวา เข้าห้องกันเถอะ”
----------------------------------------
ด่าพิหานได้เต็มที่เลย แต่อย่าด่าเรา #คลานหนี
-
ตอนนี้ยังไม่รักยังไม่หลงยังหวงขนาดนี้
ถ้ารักขึ้นมา คงหวงหนักมาก
และหวังว่าจะแค่พระชายาคนเดียวนะ
-
ซูฮวาอย่าลูกอย่าตามปายยย จะมาชวนเข้าห่งเข้าห้องอะไร นี่ขนาดยังไม่รู้ตัวว่าหลงเมียนะ อยากจะแหมมมมมมมมม ให้ถึงจวนท่านอ่อง
-
เข้าห้อง เข้าห้อง เข้าห้อง ... จัดไป
ยัยรองฮูหยิยไรนั่น แอบน่ากลัว น่าจะมีแผนบางอย่าง
-
:serius2:
-
หลงเมียที่แท้ทรู
-
:mew1: :mew1:
-
หลงเมียที่แท้ทรู
-
:o8: :ling2: น่ารักดี
-
รองฮูหยินนางคือตัวร้ายที่แท้จิงแน่นอน
-
บทที่๑๔
พวงแก้มขาวขึ้นสีชมพูระเรื่อยามได้ยินเสียงกระซิบของพระสวามี
เข้าห้องนอนงั้นหรือ...
ทันทีที่หยางจินคลายอ้อมแขนซูฮวาก็ยกมือทั้งสองข้างมาปิดหน้าทันที แค่คิดว่าหลังจากเข้าห้องแล้วจะเกิดอะไรขึ้นซูฮวาก็รู้สึกหน้าร้อนจนแทบบ้าแล้ว!
“ซูฮวา” หยางจินแกล้งเรียกคนตัวเล็กด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เล่นเอาคนฟังขนลุกเกรียว
“ฮื่อ” ร่างบางบิดกายไปมาเพื่อสะบัดไล่ฝ่ามือหนาซึ่งเอื้อมมาลูบไล้พวงแก้มของตน
หยางจินใจเย็นพอที่จะนั่งรอเฉยๆ ให้พระชายาของตนเขินอายจนเลิกเขินไปเอง ผ่านไปสักพักซูฮวาก็เอามือลง เงยหน้ามองหยางจินตาปริบๆ ในดวงตาคู่ใสคล้ายมีแววออดอ้อนอยู่ ท่านอาจารย์! ได้โปรดอย่าทำเรื่องแบบนั้นกับข้าเลย! หยางจินคิดว่าสายตาของมู่ซูฮวาสื่อความหมายประมาณนี้
หลังจากเห็นสายตาวิงวอนของผู้เป็นศิษย์หยางจินก็ตอบสนองด้วยการจูงมือบางให้เดินตามตนออกมาจากสวน
“ท่านอาจา— สามี...ท่านจะพาข้าเข้าห้องจริงหรือ” ร่างบางก้มหน้างุด ส่งเสียงอ่อยๆ อย่างคาดหวังว่าอีกคนจะยอมเลิกรา หารู้ไม่ว่าการเรียกสามีว่าสามีมันทำให้สามีเสียอาการขนาดไหน
หยางจินหันกลับมามองคนตัวเล็ก เขายกยิ้มอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมที่ปล่อยยาวสยายของพระชายาน้อย “ตั้งแต่ได้รับพระราชทานวังแห่งนี้มาข้าก็ไม่เคยนอนในห้องของตนเองเลย คืนนี้เจ้าไปนอนที่ห้องของข้าแล้วกัน ตกลงไหม”
ชายหนุ่มคิดว่าเตียงในห้องของตนน่าจะกว้างขวางกว่าเตียงในห้องของ พระชายา
ซูฮวาปฏิเสธความต้องการของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่แล้วเลยไม่ได้ตอบอะไร คนเขาลากให้เดินไปทางไหนก็แค่เดินตามไปด้วยใจที่เต้นระส่ำ พอเดินเข้ามาในห้องส่วนพระองค์ของชินอ๋องแล้วร่างบางก็เริ่มสั่นเป็นลูกกวางตกน้ำ
มือของพระชายาน้อยกำลังสั่น
หยางจินก้มลงมองมือเล็กที่เขากอบกุมเอาไว้ด้วยสายตาอ่านยากราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็พาซูฮวาไปที่เตียง ทันทีที่ก้นแตะฟูกร่างบางก็นั่งหลังตรงแน่วยังกับอยู่ในค่ายทหารทันที ดวงตาคู่ใสมองตรงไปข้างหน้าแต่คล้ายไม่ได้จับจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษ
“ซูฮวา อย่าเกร็ง” หยางจินกล่าวพลางถอดเสื้อตัวนอกของตนเองออก
ได้ยินสามีสั่งแล้วซูฮวาก็พยายามหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เกร็งแต่พออีกคนถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแค่กางเกงใบหน้างามก็ขึ้นสีแดงจัดอีกครั้ง
คราวก่อนที่ร่วมราตรีกันหยางจินไม่ได้ถอดเสื้อเลย หลังจากแก้ผ้าซูฮวาเสร็จร่างสูงก็แค่ปลดกางเกงแล้วก็ใส่เอาๆ แต่คราวนี้พอมาถึงกลับถอดเสื้อของตนเองออกก่อนเป็นอย่างแรก พระชายาน้อยมองร่างกายกำยำอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อของท่านแม่ทัพอย่างเผลอไผล
สมบูรณ์แบบมาก
หยางจินเป็นคนหล่ออยู่แล้ว ร่างกายของเขายังหล่อกว่าอีก
ร่างบางจับจ้องกล้ามท้องของพระสวามีอย่างลืมอาย คนถูกมองเองก็ไม่ได้อายอะไรเช่นกันเขาออกจะภาคภูมิใจด้วยซ้ำ หยางจินเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะคว้ามือบางขึ้นมาแตะกล้ามท้องของตนพลางถามเสียงทุ้มว่า “ชอบหรือ”
เพียงเท่านั้นแหละซูฮวาก็ดิ้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวก
“ย๊า!” ร่างบางคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงอีกครั้งทั้งๆ ที่คราวที่แล้วก็ทำแบบนี้และมันก็ช่วยคุ้มกะลาหัวให้ไม่ได้เลยก็ตาม
เห็นลูกกวางน้อยกระโดดผล็อยหายเข้าไปในกองผ้าห่มแล้วหยางจินก็ได้แต่ยืนกลั้นยิ้ม ช่างน่าขย้ำอะไรเช่นนี้! แล้วร่างสูงก็ไม่รอช้า เขาคลานตามขึ้นไปบนเตียง ไม่ได้กระชากผ้าห่มออกให้คนตัวเล็กขวัญเสียแต่กลับสอดมือเข้าไปในผ้าห่ม ฝ่ามือหยาบกร้านสัมผัสโดนส่วนไหนซูฮวาก็สะดุ้งจนน่าสงสาร
“ฮื่อ” เสียงหวานร้องประท้วง
“ภรรยา เจ้าจะขัดขืนสามีหรือ” พอหยางจินถามคำนี้ออกมาร่างบางก็ชะงักกึก
หลักคุณธรรมภรรยาไหลบ่าเข้ามาในหัว ใบหน้างามภายใต้ผ้าห่ม ฉายแววหม่นหมองเศร้าสร้อย หยางจินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ พระชายาน้อยก็หยุดขัดขืน ร่างบางค่อยๆ กระดึ๊บออกมาจากผ้าห่ม
ซูฮวาพลิกตัวนอนบนเตียง ประสานมือบนหน้าท้องอย่างสงบ ใบหน้าเหมือนคนกำลังปล่อยวางโลกใบนี้ก็ไม่ปาน
“เชิญสามีทำตามใจชอบเลย” น้ำเสียงหวานที่เคยอัดแน่นด้วยความร่าเริง คึกคักและขวยเขินเป็นนิจกลับจืดจางจนคนได้ยินรู้สึกใจหาย หยางจินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าอยู่ดีๆ เกิดอะไรขึ้นกับภรรยาตัวน้อยของตน
ใช่ หยางจินไม่รู้ว่าคำว่าภรรยาที่เขาเอ่ยออกมามันมีผลกระทบอย่างไรต่อจิตใจผู้ฟัง
เห็นซูฮวาทำหน้าปลงสังขารแล้วหยางจินก็เกิดความลังเลขึ้นชั่วขณะ
“สามี” ซูฮวากะพริบตาปริบๆ ร่างบางอุตส่าห์นอนทำใจเป็นหมูขึ้นเขียงอยู่นานสองนานแต่อีกคนกลับนั่งจ้องตนด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งอยู่อย่างนั้นมันน่ากลัวนะเหวย! ซูฮวาเดาไม่ออกจริงๆ ว่าพระสวามีกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เสียงเรียกของซูฮวาก็เหมือนไปสับรางอะไรบางอย่างภายในหัวของหยางจินเข้า
ร่างสูงปัดเรื่องไร้สาระออกจากหัว เขาหันกลับมามองหน้าซูฮวาอีกครั้งก่อนเขาจะต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อพบว่าในมือของพระชายาน้อยนั้นยังถือน้ำตาลปั้นอยู่!
ซูฮวามองตามสายตาของอีกฝ่ายก่อนจะร้องโอ๊ะออกมา ร่างบางรีบลุกขึ้นมาหันรีหันขวาง พยายามมองหาอะไรมาห่อขนมในมือเอาไว้แต่เนื่องจากที่นี่ไม่ใช่ห้องของซูฮวาเจ้าตัวก็เลยไม่รู้ว่าอะไรวางไว้ตรงไหนบ้าง
เห็นพระชายาตัวน้อยเดินเตาะแตะไปยังห้องทำงานขนาดเล็กที่เชื่อมติดอยู่กับห้องนอนแล้วหานชินอ๋องก็ได้แต่เดินตามไป ชายหนุ่มแย่งน้ำตาลปั้นมาจากมือบางส่งผลให้ริมฝีปากบางที่เริ่มบวมนิดๆ เบะออกอย่างงอแง
“น้ำตาลปั้นของข้า”
หยางจินต้องทำใจแข็งก่อนจะโยนมันทิ้งไปส่งๆ
“เดี๋ยวข้าซื้อให้ใหม่”
“หลี่หมิงไม่อนุญาตให้ข้ากินน้ำตาลปั้นสองไม้ติดๆ กันหรอก” ซูฮวายืนบิดไปบิดมามองเจ้าน้ำตาลปั้นอย่างอาลัยอาวรณ์
“ข้าจะตีนางถ้านางกล้ามาห้ามเจ้า”
“ท่านจะตีนางไม่ได้นะ! ที่นางทำถูกต้องแล้ว ท่านแม่เองก็ห้ามข้ากินน้ำตาลปั้นมาตั้งแต่เล็กเพราะว่ามันไม่มีประโยชน์ พอโตมาข้าถึงได้เก็บกดอยากกินมันนัก เป็นข้าเองที่ไม่รู้จักโต” ซูฮวายอมรับว่าตัวเองผิดเพื่อปกป้องหลี่หมิง
นอกจากหลักคุณธรรมภรรยาแล้วฮูหยินมู่ผู้เป็นมารดาก็มักจะสอนซูฮวาให้มีจิตใจโอบเอื้ออารี ไม่ถือตน ไม่กดขี่ข่มเหงผู้น้อย และไม่ได้เพียงแค่สอน แต่ทุกคนในสกุลมู่ต่างยึดถือปฏิบัติตาม พวกเขาสร้างโรงทาน ตั้งโต๊ะแจกโจ๊กและอื่นๆ อีกมากมาย
ซูฮวาผู้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมอันอัดแน่นด้วยความรักใคร่กลมเกลียวเช่นนี้จึงได้มีหัวใจอันเมตตา
แต่ก็ไม่ต้องถึงขั้นยอมรับโทษแทนสาวใช้ก็ได้กระมัง
หยางจินรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “งั้นให้ข้าตีก้นเจ้าแทนแล้วพรุ่งนี้ข้าจะซื้อน้ำตาลปั้นชดใช้ให้เจ้าเอง”
“ตีเหรอ...” พระชายาน้อยรู้สึกกลัวเจ็บ
“ไม่เจ็บหรอก”
“ตีอย่างไรให้ไม่เจ็บ” ซูฮวาขมวดคิ้วอย่างเคลือบแคลง
“หันก้นของเจ้ามาสิ”
“...”
“...”
“...” ซูฮวามองรอยยิ้มของพระสวามีที่ทอประกายยิ่งกว่าดวงดาวบนฟ้ายามราตรีด้วยใบหน้านิ่งอึ้ง ร่างบางอ้าปากพะงาบๆ หมายจะด่าคนที่กล่าววาจาบัดสีบัดเถลิงออกมาแต่อีกฝ่ายกลับไม่เปิดโอกาส มือหนาจับพลิกร่างบางให้หันหน้ากลับไปทางโต๊ะทำงาน
“เจ้าเอาแขนเท้าโต๊ะไว้นะ” หยางจินใจเย็นถึงขั้นอธิบายทีละลำดับขั้น เขาจับมือบางไปวางเท้าไว้กับโต๊ะก่อนจะจับแผ่นหลังเรียวให้ก้มลงไปอีกหน่อย
ซูฮวาหน้าแดงจนไม่อาจแดงมากไปกว่านี้ได้แล้ว แต่หยางจินเห็นแค่เพียงใบหูเล็กที่ขึ้นสี เขาแอบนึกเสียดายในใจแต่หากอยากทำในห้องแบบนี้ละก็ท่านี้จะเป็นท่าที่สบายที่สุดสำหรับพระชายาของเขาแล้ว แม้จะเสียดายที่ไม่ได้เห็นหน้าใบหน้าสุขสมยามร่วมรักกันแต่หยางจินก็ตัดใจได้
เขาเดินไปหยิบขี้ผึ้งหอมมาถือไว้ แอบมองคนตัวเล็กที่โค้งตัวเท้าโต๊ะหลับตาปี๋อย่างเอ็นดู
หยางจินยิ้มเป็นรอบที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้ เขาเดินกลับไปซ้อนหลังร่างบางส่งผลให้คนตัวเล็กสะดุ้งอย่างแตกตื่น ดวงตาคู่คมมองแผ่นหลังบางที่สั่นเทาเพราะอาการประหม่าอย่างย่ามใจก่อนที่เขาจะลงมือปลดอาภรณ์ของคนตรงหน้าอย่างเร่งรีบ
เพราะเสียเวลามานานแล้วหยางจินจึงไม่รอช้า เมื่อจับซูฮวาเปลื้องผ้าเรียบร้อยเขาก็ปาดเอาขี้ผึ้งหอมตลับใหม่มาเต็มนิ้วก่อนจะสอดนิ้วแรกเข้าไปในช่องทางสีหวาน
“อื๊อ” ร่างบางกระตุกเฮือก คนงามพยายามกัดปากเพื่อกลั้นเสียงร้องเอาไว้
หานชินอ๋องไม่ได้ถือสา เขาคิดว่าการเฝ้ารอฟังเสียงแผ่วเบาที่เล็ดลอดจากการสะกดกลั้นอย่างสุดความสามารถของคนตัวเล็กก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
หยางจินค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายของคนตัวเล็กอย่างใจเย็น ระหว่างนั้นเขาก็ก้มลงไปขบเม้าคลอเคลียใบหน้าสีชมพูนั่นก่อนจะฝากรอยรักเอาไว้เต็มซอกคอและแผ่นหลังขาวนวล
“ผิวกายของเจ้าเองก็หวานล้ำไม่แพ้ริมฝีปากของเจ้าเลย”
ซูฮวาแทบคลั่งเมื่อได้ยินบุรุษที่กำลังเล้าโลมตนอย่างเร่าร้อนกล่าววาจาเกี้ยวกันออกมาโต้งๆ
“ฮื่อ อื๊อ...” สะโพกมนสั่นระริกเพราะถูกพระสวามีเล่นทีเผลอ
เนื่องจากซูฮวาหันหลังให้ร่างสูงแถมยังหลับตาปี๊ร่างบางเลยไม่รู้เลยว่า หยางจินกำลังทำอะไรอยู่ ได้ยินแค่อีกฝ่ายพูดจาเกี้ยวกันก็เลยเก้อเขิน ใครเล่าจะคิดว่าคำพูดนั่นเป็นกับดักเบี่ยงเบนความสนใจ!
มือหยาบกร้านของแม่ทัพใหญ่บีบก้นสีลูกท้อของภรรยาตนอย่างมันเขี้ยวก่อนจะแยกเจ้าลูกท้อน้อยออกและสอดใส่แก่นแกนของตนเองเข้าไปอย่างเชื่องช้า
ซูฮวาเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาเอ่อคลอท่วมดวงตา
หยางจินเห็นน้ำตาที่เริ่มหยดแหมะๆ ลงบนโต๊ะก็เลยถาม “เจ็บหรือ”
คำถามนี้ซูฮวาลำบากใจที่จะตอบ ซูฮวาไม่ได้เจ็บ แต่ถ้าหากตอบว่าเจ็บแล้วหยางจินถามว่าเจ้าร้องไห้ทำไมแล้วซูฮวาจะตอบว่าอะไรได้อีก จะให้ตอบไปตามตรงหรือว่ารู้สึกดีจนน้ำตาไหล บ้าไปแล้ว หัวเด็ดตีนขาดซูฮวาก็ไม่พูดออกไปหรอก
“ฮื่อ” ซูฮวาเลือกที่จะตอบไม่เป็นภาษาแทน
“ซูฮวา” หยางจินเรียกขณะพยายามแทรกกายเข้าไปให้ช้าที่สุด
สุดท้ายใบหน้างามก็เหลียวมามองพระสวามีของตน ซูฮวาเม้มปากแน่น สองแก้มขึ้นสีชมพูปลั่ง “ท่าน จะ จูบข้า...ที”
คำว่าทีนั้นแผ่วเบาจนแทบกลืนหายไปกับสายลมแต่น้ำเสียงอันแผ่วเบานี้กลับมีอิทธิพลต่อคนฟังอย่างยิ่ง หยางจินแทบจะก้มลงไปมอบรสจูบให้ภรรยาตนทันทีที่สิ้นคำขอ แต่เพราะรีบร้อนก้มลงมาเร็วเกินไปหน่อยร่างกายของเขาก็เลยสอดลึกเข้าไปในร่างกายของร่างบางลึกขึ้นมาก
“อึก...” ซูฮวาเปล่งเสียงครางในลำคอเนื่องจากถูกครอบครองริมฝีปากเอาไว้
หยางจินกอบกุมมือเรียวที่เขาสั่งให้เท้าโต๊ะเอาไว้เมื่อรู้สึกได้ว่าแข้งขาของพระชายาน้อยเริ่มสั่นจะน่ากลัวว่าจะทรุดลงไป
“อ๊า อ๊ะ อื๊อ...อะ อือ...” ร่างสูงตัดสินใจกระแทกสะโพกเข้าไปจนสุดในจังหวะเดียวกับที่เขาผละริมฝีปากออกมา นั่นทำให้ซูฮวาเผลอเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่อาจหักห้าม
“ซูฮวา เด็กดีของข้า ยกสะโพกขึ้นมาสูงอีกหน่อยไหวไหม”
“อือ” ซูฮวาขานรับไม่เป็นภาษา
ร่างบางรู้สึกเหมือนสติของตนกำลังล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ไปแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงยอมปฏิบัติตามคำสั่งของหานชินอ๋องอย่างว่าง่ายปานนี้ สะโพกขาวที่ สั่นเทาค่อยๆ แอ่นขึ้นตามความต้องการของคนเบื้องหลัง
“เก่งมาก” หานชินอ๋องส่งเสียงทุ้มต่ำในลำคออย่างพึงพอใจ ร่างกายของภรรยาตัวน้อยช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ขนาดเขาเคยรุกอย่างหนักหน่วงมาแล้วตลอดคืนแต่กลับยังคับแน่นเหมือนใหม่
“ฮ๊า...” ใบหน้างามเชิดขึ้นเมื่อหานชินอ๋องเริ่มขยับกายกระแทกกระทั้น
เสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นท่ามกลางห้องทำงานส่วนตัวของหานชินอ๋อง ผสานกับเสียงลมหายใจและเสียงหวานครางกระเส่า ซูฮวาไม่เหลือสติมากพอจะสะกดกลั้นเสียงน่าอายของตนอีกต่อไปแล้วนั่นทำให้หานชินอ๋องรู้สึกอิ่มเอมจนไม่รู้จะอิ่มอย่างไรแล้ว
“ซูฮวาของข้า...”
“อ๊า ฮ๊ะ อึก”
“สะ มี” มือบางกำปลายนิ้วของหานชินอ๋องไว้แน่น
พอได้ยินภรรยาของตนกล่าวเรียงตนเสียงกระเส่าเช่นนั้นแล้วหานชินอ๋องก็รู้สึกราวกับพายุเพลิงขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นในใจ “เรียกข้าอีกสิ”
“สามี ฮึก...” ซูฮวาน้ำตาร่วงเผาะๆ นึกน้อยใจว่าหานชินอ๋องผู้นี้ทำไมเรื่องมากนัก เดี๋ยวก็ให้เท้าแขนกับโต๊ะบ้างละ ให้ยกก้นขึ้นอีกบ้างละ คราวนี้มาขอให้เรียกชื่อ แต่ละอย่างที่สั่งให้ทำช่างยากเย็นเหลือเกิน
“หยางจิน เรียกข้าว่าหยางจิน” ร่างสูงอยากตีก้นเจ้าเด็กโง่เสียให้เข็ด ทำไมถึงไร้เดียงสาจนน่าลงโทษขนาดนี้นะ
“อือ” ซูฮวาเม้มปากแน่น รู้สึกลังเลว่าควรเรียกคนยศใหญ่กว่าแถมยังอายุมากกว่าตั้งเจ็ดปีด้วยชื่อห้วนๆ ดีหรือไม่ แต่เพราะช่องทางรักเบื้องหลังยังถูกอีกฝ่ายกระแทกกระทั้นไม่ได้หยุดพระชายาน้อยก็เลยไม่เหลือสติสำหรับไตร่ตรองอะไรแล้ว
“พะ พี่หยางจิน”
!!
เรียกเสร็จแล้วก็ก้มหน้างุดๆ ซูฮวาอับอายอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าตนกล้าดีอย่างไรถึงเรียกหานชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ออกไปอย่างนั้น ตรงกันข้ามกับผู้ฟังที่รู้สึกคล้ายหัวใจจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ
คนโดนเรียกว่าพี่หยางจินคิดว่าตนต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เพราะตั้งแต่เกิดมายี่สิบสามปีเขาไม่เคยยิ้มกว้างขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยเลยจริงๆ
คงเพราะถูกเติมเต็มจนแทบล้นแล้ว คราวนี้หานชินอ๋องจึงเสร็จเร็วเป็นพิเศษ ชายหนุ่มไปถึงฝั่งฝันหลังจากพระชายาตัวน้อยไม่นานนัก เขาพ่นของเหลวสีขุ่นเข้าไปในช่องทางอันคับแน่นที่จนถึงขณะนี้ก็ยังคงบีบรัดเขาไม่หยุดหย่อนจนหยดสุดท้ายจึงก้มลงไปประทับจูบแผ่นหลังขาวผ่องและค่อยๆ ถอนตัวออกมา
“ยืนไหวไหม” เสียงทุ้มถาม โดยไม่รอคำตอบเขาก็อุ้มคนตัวน้อยไปวางไว้บนเตียง
ซูฮวาคิดว่าเขาจะต่ออีกรอบและอีกหลายๆ รอบอย่างแน่นอนเลยไม่ได้ดึงผ้าห่มขึ้นมา แต่ผิดคาดที่หานชินอ๋องกลับทิ้งตัวลงนอนข้างๆ กันก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของพวกเขาทั้งคู่เอาไว้
ซูฮวาทำหน้าตกใจสุดขีด ช่างน่าเอ็นดูจนคนที่มองอยู่ข้างๆ ต้องเลื่อนหน้าเข้ามาจูบหน้าผาก
คราวก่อนเพราะโดนกระทำอย่างต่อเนื่องซูฮวาก็เลยผล็อยหลับไปก่อน ไม่มีโอกาสได้เข้านอนพร้อมกันแบบนี้
ร่างบางกะพริบตามองหานชินอ๋องตาปริบๆ “สามี?”
หยางจินรู้สึกขัดใจกับคำเรียกของซูฮวานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา เขาเลือกที่จะรั้งร่างบางเข้ามากอดแทน เพราะขืนให้ซูฮวาพูดคำว่าพี่หยางจินออกมาอีกรอบพี่หยางจินผู้นี้คงตบะแตกโยนผ้าห่มทิ้งแล้วขึ้นไปขย่มร่างบางอีกหลายๆ รอบแน่ๆ
“พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นในเมืองนะ”
“ท่านไม่ต้องไปกองทัพหรือ” แม้จะยังแปลกใจที่อีกฝ่ายทำแค่รอบเดียวแต่ซูฮวาก็ยิ้มจนแก้มแทบแตก
หยางจินจับจ้องรอยยิ้มของซูฮวาของเผลอไผล รอยยิ้มนี้สิรอยยิ้มที่แท้จริงของมู่ซูฮวา ไม่ใช่รอยยิ้มแสนฝืนตอนที่เขาสั่งให้ร่วมหลับนอนด้วย
“ข้าหยุดได้” อันที่จริงแล้วเขาเป็นถึงชินอ๋อง ไม่จำเป็นต้องเข้าทำงานทุกห้าวันหยุดสองวันเหมือนพวกขุนนางทั่วไปเลยก็ได้ ท่านอ๋องหลายคนก็แค่นอนกินเงินประจำตำแหน่งอยู่บ้าน แต่ด้วยความรับผิดชอบอันสูงส่งทำให้เขาเข้ากองทัพไปฝึกฝีมือทหารทุกวัน
“จะดีหรือ”
“จากวังอ๋องไปกองทัพ หากขี่ม้าก็ต้องใช้เวลาราวๆ หนึ่งชั่วยาม ถ้าเจ้าให้ข้าไปทำงานข้าก็ต้องออกไปก่อนรุ่งสาง”
ในที่สุดซูฮวาก็รู้เสียทีว่าทำไมคืนนั้นตนถึงตื่นมาไม่เจอหานชินอ๋อง ที่แท้เขาก็ต้องออกจะบ้านเร็วเพื่อไปเข้างานให้ทัน!
“ฮะๆๆ ท่านช่างสมเป็นหานชินอ๋องจริงๆ!” หากเป็นคนอื่นคงตัดพ้อจนแทบขาดใจไปแล้วที่สามีเห็นงานดีกว่าภรรยาที่เพิ่งร่วมหอกันคืนแรก แต่มู่ซูฮวากลับหัวเราะคิกคักอยู่ในอ้อมแขนของหานชินอ๋อง
“ข้าอยากเป็นขุนนางบ้าง! การสอบถังชื่อเดือนหน้าจะพยายามให้เต็มที่เลย” ซูฮวาคิดว่าผู้ชายที่ทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานน่าชื่นชมนักเจ้าตัวน้อยก็เลยอยากเป็นให้ได้แบบหานชินอ๋องบ้าง
ได้ยินแล้วหยางจินก็เผลอกระชับอ้อมแขนของตนแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เจ้า...ช่างน่ารักเหลือเกิน”
-
แหมๆๆหลงเมียขึ้นมาทันที
-
สงสารเด็กน้อยเหมือนโดนหลอกยังไงยังงั้นเลย แต่สามีก็ใจดีมาระดับนึงละ
-
น่ารักแล้วก็ถนอมน้องหน่อยนะท่าน
-
ดีแล้วหลงน้องน้อยเยอะๆนะ
-
:katai2-1:
:pig4:
-
ความพยามซูฮวาเอาไปเต็มสิบเลยจ้าาาา o13
-
จ้าาาท
-
5555 เอ็นดู พอคิดว่าต้องทำหน้าที่ภรรยาที่ดี ตามที่แม่สอน
เปลี่ยนโหมดทันทีเลยจ้า คือไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นไหม โธ่เอ้ย
ซูฮวาก็ยังเด็กน้อยมากเลยอะเนาะ สิบกว่าเอง
ถ้าจะงอแงบ้าง ใสซื่อบ้าง ก็ไม่แปลก ก็ถูกเลี้ยงมาแบบนี้
ว้ายยย ท่านอ๋องร้ายนะคะ ไปเดินเที่ยวมาแล้วอิน ถึงขั้นต้องรีบกลับมาหาน้อง
ชอบความเอ็นดูของท่านอ๋อง ทำไรก็น่ารักไปหมดอะเนาะ น่าจับบีบ
-
ท่านอ๋องอ่อนโยน ทะนุถนอม ใจเย็นและเอ็นดู ซูฮวาน้อยเหลือเกิน ฮือออ ท่านอ๋องคนหลงเมีย
-
บทที่๑๕
เช้าวันถัดมาซูฮวาตื่นมาก็พบว่าหยางจินยังคงนอนกอดตนอยู่ เพียงแต่ หยางจินตื่นก่อนแล้วยังไม่ได้ลุกไปไหน พอเห็นคนตัวเล็กขยับตัวอย่างงัวเงียมือหนาก็ลูบเส้นผมนุ่มอย่างเอ็นดู
“จะนอนต่อก็ได้นะ” เสียงทุ้มกล่าวอย่างตามใจ เพราะเขารู้ดีว่าเมื่อคืนนี้คนตัวเล็กแทบนอนไม่หลับเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขินคำชมว่าน่ารักของชายหนุ่มหรืออายที่มีบุรุษมานอนกอดกันแน่ แต่หยางจินคิดว่าเกิดจากสองข้อรวมกันเพราะเมื่อซูฮวาบังเอิญเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา ซูฮวาก็รีบหลบตา ก้มหน้างุด
ช่างน่ารักเสียจนหยางจินต้องก้มลงไปกัดติ่งหู
“ฮื่อ” ริมฝีปากบางเชิดรั้นอย่างงอแง สายตาเกเรพยายามขับไล่หยางจิน ออกไป แต่หยางจินหรือจะไป คนอย่างหานชินอ๋องต้องเชื่อฟังคำสั่งคนอย่างมู่ซูฮวาด้วยงั้นหรือ
“ท่าน อย่าแกล้งข้า” พระชายางึมงำขณะดึงผ้าห่มมาคลุมหัวเนื่องจากทนต่อสายตาอันร้อนแรงของหยางจินไม่ไหวแล้ว
“เรียกข้าว่าพี่หยางจินก่อน แล้วข้าจะยอมลุกออกไป”
“ย๊า! น่าอายออก” เจ้าก้อนผ้าห่มเริ่มดิ้นไปมา
“ซูฮวา” จนหยางจินก็เอ่ยเร่ง
“พี่...หยางจิน” เสียงหวานช่างแผ่วเบานัก แต่คนหูดีอย่างหยางจินย่อมได้ยินชัดแจ๋ว เขายกยิ้มมุมปากอย่างพอใจก่อนจะยอมเดินออกจากห้องนอนของตนอย่างตามใจภรรยา เมื่อเดินออกมาเขาก็รีบมองหาสาวใช้ที่ยืนอยู่บนทางเดินถัดออกไปเนื่องจากไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของผู้เป็นนาย
“ถ้าพระชายาแต่งตัวเสร็จแล้วให้รีบไปตามข้า และยกอาหารเช้ามาได้เลย ข้าจะกินในห้องนอน” ผู้เป็นเจ้าของวังอ๋องแห่งนี้ออกคำสั่งก่อนจะเดินออกไปตามหาเหล่าหลี่
แต่ระหว่างทางเขากลับพบหลี่หมิงและเสี่ยวซุนซึ่งยืนยักแย่ยักยันอยู่ไม่ไกลจากห้องนอนของซูฮวามากนัก
หลี่หมิงกับเสี่ยวซุนแค่เป็นห่วงนายของตน เมื่อคราวก่อนที่หานชินอ๋องมาค้างพระชายาน้อยก็นอนซมไปหลายวัน คราวนี้ข้ารับใช้ทั้งสองเลยแสดงความเคารพหานชินอ๋องด้วยใบหน้าชืดๆ แต่หยางจินอารมณ์ดีเกินกว่าจะถือสาหาความพวกนาง เขาเพียงแค่พยักหน้าและเดินจากไป
เหล่าหลี่ที่กำลังกำกับงานนายทหารรักษาการอยู่รีบหันมาทำความเคารพชินอ๋องทันควัน
“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าส่งคนไปบอกที่กองทัพทีว่าวันนี้ข้าลา” คนที่ติดตามหยางจินออกรบมานานปีถึงกับอุทานคำว่าโอ้ออกมาอย่างลืมสำรวม เหล่าหลี่แอบอมยิ้มขณะหันไปสั่งทหารด้านหลัง ชายแก่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ติดตามหานชินอ๋องมาก็ไม่ใช่เวลาน้อยๆ เขารู้จักนิสัยของชายหนุ่มผู้นี้ดี รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกบ้างานขนาดไหน
สิ่งใดที่ทำให้หานชินอ๋องผู้นี้ถึงกับลางานกันนะ
เหล่าหลี่หารู้ไม่ว่าตลอดสองเดือนที่ผ่านมานี้หานชินอ๋องที่เคยอยู่ซ้อมมือให้พวกทหารในกองทัพยันดึกยันดื่นกลับเลิกงานตรงเวลาเพียงเพื่อไปสอนวิชาดาบให้กับศิษย์ตัวน้อยในป่าไผ่
กล่าวไปกล่าวมาก็สรุปได้อย่างเดียวเลยว่ามู่ซูฮวาทำให้หานชินอ๋องเสียคนแล้ว...
ทางด้านชายผู้ถูกทำให้เหลวไหลโดยไม่รู้ตัวกำลังจะหันกายกลับไปยังห้องของตนที่มีคนงามรออยู่แขนของเขากลับถูกรั้งไว้ด้วยมือของสตรีนางหนึ่ง
ไม่ใช่ใครอื่น ฮูหยินรองนามเจียงปิงนั่นเอง
นางอมยิ้มมุมปากอย่างคนมีจริต ค่อยๆ ย่อกายคำนับชินอ๋องอย่าง แช่มช้า ดูแล้วงามหยดย้อยจนนายทหารด้านหลังถึงกับมองกันตาค้างน้ำลายยืด แต่คนถูกอ่อยกลับมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย อารมณ์ที่ดีมาตั้งแต่เมื่อวานถูกสลายลงไปในพริบตา
“หม่อมฉันเจียงปิงถวายบังคมท่านอ๋อง” นางคงกลัวสามีจะจำชื่อนางไม่ได้ก็เลยรีบพูดชื่อตัวเองออกมา
เหล่าหลี่รู้จักหานชินอ๋องมานานย่อมรู้ดีว่าหานชินอ๋องเป็นบุรุษที่ไม่ชอบให้สตรีมาเสนอตัว และเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะไปเกี้ยวใครก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาในสนามรบหานชินอ๋องจะปฏิเสธนางบำเรอที่ดูแล้วน่ารำคาญ และเขาเป็นผู้ชายที่มีมาตรฐานสูงจนขันทีที่ทำหน้าที่จัดหานางบำเรอแทบจะร้องไห้
หานชินอ๋องเรื่องมากชนิดที่ว่าขันทีน้อยหาสตรีมาร้อยคนเขาก็ไล่ทั้งร้อยคนกลับไปมาแล้ว
และสตรีเช่นเจียงปิงจะเป็นคนแรกที่โดนไล่ออกมา
เหล่าหลี่ส่ายหน้าไปมา ตามปกติบุรุษที่เกิดในตระกูลชั้นสูงจะสนใจแต่เรื่องหน้าตา ขอแค่ทำให้เสร็จสมมีความสุขได้เป็นพอ แต่หานชินอ๋องกลับดูแม้กระทั่งนิสัยใจคอ สติปัญญา มารยาท การวางตัว วิธีการพูดจนแม้แต่เหล่าหลี่เองยังอยากตะโกนถามออกมาว่าท่านไม่มีวันหาคนสมบูรณ์แบบแบบนั้นเจอหรอก! กับอีแค่นางบำเรอที่น้ำแตกก็แยกทางท่านจะคัดกรองอะไรปานนั้น!
แต่เหล่าหลี่ก็ต้องเก็บงำความคิดทั้งหลายไว้แค่ในหัวเพราะขืนตะโกนออกไปจริงๆ ตนมีหวังได้โดนโยนออกมาพร้อมพวกนางคณิกาแน่นอน ถึงแม้ว่าหานชินอ๋องไม่ใช่คนป่าเถื่อนชอบวางอำนาจ แต่ก็ไม่ใช่ชายที่มีเมตตาอะไร
หยางจินจะให้เกียรติคนที่มีศักดิ์ศรี และดูแคลนคนที่ทำตัวไม่มีราคา
“เจียงปิงเย็บเครื่องลางเอาไว้หลายชิ้นเพื่อภาวนาขอพรให้ท่านอ๋องกำชัยชนะในการศึกที่ชายแดนแล้วกลับมาหาเจียงปิงเร็ววัน แล้วในที่สุดท่านอ๋องก็กลับมาแล้ว เจียงปิงดีใจยิ่งนักที่เทพเซียนบนสวรรค์รับฟังคำขอของหม่องฉัน” เหล่าหลี่มัวแต่บ่นในความคิดอยู่นาน รู้ตัวอีกทีแม่นางเจียงปิงผู้ไม่รู้จักสังเกตสีหน้าท่าทีของสามีก็เดินเข้ามากอดแขนของหานชินอ๋องแน่น
แขนที่อุดมด้วยมัดกล้ามของท่านแม่ทัพสัมผัสโดนหน้าอกอวบอิ่มของ ฮูหยินรอง เจ้าของเรือนร่างอรชรแสร้งทำเป็นเหนียมอายแต่ถ้าหากมีโอกาสนางก็คงฉุดหานชินอ๋องเข้าห้องไปแล้ว
ตัวนางนั้นเป็นแค่บุตรีของพ่อค้าวาณิช แม้จะเป็นลูกของฮูหยินใหญ่แต่เพราะพ่อค้ามีสถานะต่ำต้อยกว่าขุนนาง เมื่อได้รับการคัดเลือกให้ตบแต่งกับ เชื้อพระวงศ์นางจึงเป็นได้แค่ฮูหยินรองของชินอ๋องเท่านั้น ที่ผ่านมาอยู่ใต้อำนาจของเฉินซื่อขั้นหนึ่ง รู้สึกเก็บกดอย่างยิ่ง กระทั่งซูฮวาได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายา เฉินซื่อย่อมไม่พอใจที่มีคนอยู่เหนือกว่านาง เจียงปิงจึงสบโอกาสเป่าหูนางสารพัด
หากเฉินซื่อกำจัดพระชายาออกไปได้ก็ดีกับนาง หากเฉินซื่อทำพลาดและโดนจับเสียเองก็ยังคงดีกับนางอยู่ดี
บอกตามตรงว่าตอนเฉินซื่อโดนลากตัวออกไปเจียงปิงรู้สึกดีใจราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก นางชั่งน้ำหนักดูแล้วพบว่าเฉินซื่อน่ากลัวกว่าพระชายาหลายขั้น
“ท่านอ๋องไม่ต้องเกรงใจเพคะ หม่อมฉันจะนำทางท่านไปยังห้องนอนของหม่อมฉัน ท่านอ๋องสามารถนำถุงเครื่องลางที่หม่อมฉันตั้งใจเย็บกับมือไปได้ตามใจชอบเลย ยามออกรบทำศึกอีกมันจะช่วยท่านอ๋องปัดเป่าเพศภัยและนำชัยชนะมาให้ต้าจินเพคะ”
“เจ้ากำลังจะกล่าวว่าที่ข้าพิชิตศึกที่ชายแดนทางเหนือได้เป็นเพราะเครื่องลางของเจ้า ไม่ใช้เพราะน้ำพักน้ำแรงของเหล่าทหารกล้าใต้บังคับบัญชาของข้างั้นหรือ”
ได้ยินท่านอ๋องกล่าวเช่นนั้นเจียงปิงก็ตระหนักแล้วว่านางเดินหมากผิดพลาด ก่อนที่นางจะรีบร้อนแก้ตัวหานชินอ๋องก็เป็นฝ่ายเอ่ยประโยคคำถามออกมาก่อน “บ้านเกิดของเจ้าอยู่ที่ใด”
“มณฑลลั่วหนานเพคะ” นางรีบตอบด้วยความยินดี ในที่สุดหานชินอ๋องก็ให้ความสนใจนาง
แขนที่กอดอ้อมแขนแกร่งยิ่งกระชับแน่นขึ้นอย่างยินดี
“เหล่าหลี่ เจ้าจำใต้เท้าเฮ่อได้ไหม” กลับเป็นหานชินอ๋องที่หันไปคุยกับผู้ติดตามคนสนิท
เหล่าหลี่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ใต้เท้าเฮ่อผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาในกองทัพให้ท่านอ๋องก็จริงแต่มีนิสัยเกียจคร้านและชอบโยนความผิดของตนไปให้ลูกน้องรับหานชินอ๋องจึงเตะส่งท่านเฮ่อกลับบ้านเกิด
“ปัจจุบันอดีตเสนาธิการเฮ่อเป็นใต้เท้าหัวหน้าศาลแห่งหนึ่งในมณฑล ลั่วหนานพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของเหล่าหลี่คิ้วของเจียงปิงก็กระตุก ใต้เท้าผู้นี้รับราชการอยู่ที่บ้านเกิดของนาง
ท่านอ๋องจะถามถึงเขาทำไมนะ
และเมื่อได้ยินคำพูดถัดมาของหานชินอ๋องนางก็แทบกระอักเลือดออกมา!
“ใต้เท้าเฮ่อทำคุณงามความชอบไว้ให้ข้ามากมายข้ายังไม่มีโอกาสได้ตอบแทน คราวนี้นึกขึ้นมาได้ งั้นข้าจะส่งฮูหยินรองของข้าให้ไปเป็นฮูหยินใหญ่เขาก็แล้วกัน”
เจียงปิงจะร้องไห้แล้ว! มีอย่างที่ไหนส่งฮูหยินรองของตัวเองไปเป็นเมียของขุนนางต่ำต้อย! นางมองใบหน้าอันหล่อเหลาของหานชินอ๋องที่จนกระทั่งบัดนี้ยังคงมีแต่ความเฉยชาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“จะให้ข้าส่งคนไปแจ้งข่าวใต้เท้าเฮ่อก่อนหรือจะให้ฮูหยินรองเดินทางไปด้วยเลยดีพ่ะย่ะค่ะ” บัดนี้เหล่าหลี่เข้าใจความคิดของผู้เป็นนายแล้ว ที่แท้ก็ต้องการโยนสตรีนางนี้ออกไปไกลๆ นี่เอง
“นางเก็บของเสร็จก็ออกเดินทางได้เลย ข้าจะให้ซูฮวาจัดการเรื่องเงินถุงขวัญที่จะมอบให้นาง” หยางจินกล่าวจบก็สะบัดแขนออกด้วยท่าทางรำคาญอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะที่หานชินอ๋องทำการเตะก้นเจียงปิงออกจากบ้าน ซูฮวาที่ล้างหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วก็กำลังนั่งแกร่วอยู่ในห้องของสามีอย่างว่างงาน ก่อนที่ดวงตาคู่โตจะไปสะดุดเข้ากับเสื้อของหานชินอ๋องที่ถูกโยนทิ้งไว้บนพื้นตั้งแต่เมื่อคืน
ร่างบางเดินไปเก็บ ตั้งใจว่าจะเอาไปใส่ตะกร้าสำหรับส่งซักทว่าร่างบางกลับได้กลิ่นบางอย่างจากเสื้อผ้าของพระสวามี มันคือกลิ่นน้ำหอมไม่ผิดแน่ ซูฮวาขมวดคิ้วพลางยกเสื้อของหานชินอ๋องขึ้นมาดม
“เขาไม่น่าใช้น้ำหอมกลิ่นแบบนี้นะ...” ขนาดซูฮวายังใช้บ้างไม่ใช้บ้างแล้วแต่อารมณ์เลย คนอย่างหานชินอ๋องไม่น่าสนใจประโคมกลิ่นกายให้หอมจนฉุนแบบนี้แน่
แถมกลิ่นของน้ำหอมยังมั่วๆ ปนๆ กันราวกับมีหลายสูตรผสมกันมั่ว
แล้วพระชายาน้อยก็เข้าใจว่ากลิ่นน้ำหอมพวกนี้คงมาจากสตรีหลายคน
“สตรีรายคนรึ...” วิเคราะห์มาถึงจุดนี้สีหน้าของพระชายาน้อยก็หมองคล้ำลง
ซูฮวาเข้าใจธรรมเนียมอันแสนโหดร้ายของโลกใบนี้ดีว่าผู้เป็นสามีนั้นจะมีภรรยากี่คน หลับนอนเที่ยวหอนางโลมเท่าไรก็ได้ตามใจอยาก แต่ผู้เป็นภรรยานั้นกลับต้องมีสามีเท่านั้น ขนาดหย่าแล้วแต่งงานใหม่กับบุรุษอื่นยังโดนสังคมตราหน้าเลย
ซูฮวาไม่เคยคาดหวังว่าหานชินอ๋องจะมีแค่ตนคนเดียวอยู่แล้ว
แต่แบบนี้ก็ออกจะเกินไปหน่อย
“มิน่า...เมื่อคืนถึงทำแค่ครั้งเดียว” ที่แท้หานชินอ๋องก็ไปเที่ยวผู้หญิงมาก่อนแล้ว แต่คงยังไม่หนำใจก็เลยตัดสินใจกลับบ้านมารีดน้ำหยดสุดท้ายกับภรรยาที่บ้าน
พระชายาน้อยรู้สึกเสียศักดิ์ศรีจนหน้าซีด แบบนี้ตนก็ไม่ต่างอะไรกับนางคณิกาเลยน่ะสิ
และในระหว่างที่ร่างบางกำลังจ๋อยอยู่นั้นเองหยางจินก็เดินเข้ามาในห้องพอดี เขาเข้ามาทันภาพที่พระชายาตัวน้อยกำลังยกเสื้อของเขาขึ้นมาดม ทีแรกยังนึกแปลกใจว่าซูฮวาเกิดพิศวาสตนเข้าแล้วหรือไรแต่พอเห็นใบหน้างามที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ หยางจินก็เกิดเอะใจ
“ซูฮวา”
ได้ยินเสียงเรียกจากผู้มาใหม่ทำให้คนตัวเล็กรีบโยนเสื้อตัวใหญ่ไปอีกทางหนึ่ง ดวงตาเลิ่กลั่ก สีหน้ามีพิรุธสุดๆ
หยางจินขมวดคิ้วพลางสืบเท้าเข้าไปหาคนที่กำลังนั่งหลังตรงแน่วอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง จังหวะนั้นเองพวกสาวใช้ก็ยกอาหารเข้ามาถวายอย่างรู้งาน
“เมื่อวานข้าไปย่านโคมแดงกับถังเฟยมา” คำกล่าวของผู้เป็นสามีส่งผลให้มือบางที่กำลังจะเอื้อมไปจับตะเกียบชะงักค้างกลางอากาศ หยางจินลอบสังเกตอาการของซูฮวาเงียบๆ
คนโดนจ้องรีบปรับสีหน้าเป็นปกติ ใบหน้างามเชิดรั้นขึ้นอย่างถือตัว “ท่านจะไปที่ไหนมาก็แล้วแต่ท่านเถิด! แต่อย่าลืมว่าที่นี่คือวังอ๋องไม่ใช่หอนางโลม” ข้าคือพระชายาไม่ใช่นางคณิกา ซูฮวาลอบต่อคำในใจ
ได้ยินคำตอบของซูฮวาแล้วคนฟังก็แอบอมยิ้ม พระชายาตัวน้อยของเขาช่างน่ารักเสียเหลือเกิน!
หยางจินหยิบชามข้าวกับตะเกียบของตนเองก่อนย้ายที่ไปนั่งข้างกาย พระชายาน้อยโดยไม่ลืมลากเก้าอี้ให้ชิดขึ้นอีกจนไหล่ชนกัน คนโดนประชิดตัวทำหน้าเลิ่กลั่ก ซูฮวาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ หานชินอ๋องที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ย้ายก้นมานั่งโอบไหล่ตน
“สามี ท่านทำแบบนี้ก็กินข้าวเช้าไม่ได้น่ะสิ” ร่างบางกล่าวอึกอัก ไม่รู้ว่ายังต้องแทนตัวอีกฝ่ายว่าสามีอยู่หรือต้องเรียกว่าพี่หยางจิน ซูฮวาเอาใจไม่ถูกแล้ว
แต่พอเห็นใบหน้าคมคายฉายความไม่พอใจออกมาซูฮวาก็เลยอ้อมแอ้มแก้คำใหม่ “พี่หยางจิน ปล่อยข้าเถิด”
หยางจินยกยิ้มมุมปาก ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ อย่างอารมณ์ดีก่อนจะยอมปล่อยมือตามคำขอ
หลังจากนั่งกินข้าวเช้ากันไปได้สักพักเขาก็หยิบเรื่องหอโคมแดงขึ้นมา “เมื่อวานถังเฟยรบเร้าให้ข้าไปเป็นเพื่อนให้ได้ข้าเลยยอมไปดูสักครั้ง”
“ท่านไม่เคยไปมาก่อนหรือ” ซูฮวาแปลกใจ ซูฮวาน่ะก็ไม่เคยไปหรอกนะ แต่หานชินอ๋องไม่เคยไปหอนางโลมมันน่าตกใจกว่าเป็นไหนๆ
“ไม่เคยไปมาก่อน แล้วก็จะไม่ไปอีกแล้ว พวกนางน่ารำคาญมาก พอเห็นข้าก็พากันวิ่งเข้าใส่ราวกับสุนัขหิวโหย” ชายหนุ่มกล่าวพลางส่ายศีรษะไปมา แววตาบ่งชัดว่าไม่ชอบใจ “ยิ่งเดินข้าก็ยิ่งโมโหสุดท้ายเลยไม่ได้แวะที่ไหนเลย”
ซูฮวาเบิกตาอย่างตกใจ ก่อนจะถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “จริงเหรอ”
หยางจินพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี ไม่เหลือคราบของคนที่ขับไล่ฮูหยินรองออกจากบ้านเมื่อครู่แม้แต่น้อย
“ข้าลืมบอกเจ้าอีกเรื่อง”
“อะไรหรือ”
“ข้าจะส่งเจียงปิงให้อดีตลูกน้องของข้า เจ้าช่วยจัดการเรื่องเงินขวัญถุงให้นางด้วย” เรื่องภายในเรือนนั้นเป็นอำนาจดูแลของเมียหลวงอยู่แล้ว ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาซูฮวาก็จัดการเรื่องเงินเดือนของทุกคนได้อย่างดี แต่ซูฮวาไม่คิดเลยว่าตนจะมีโอกาสให้เงินก้อนใหญ่เพื่อส่งเจียงปิงออกจากบ้าน
พระชายาตัวน้อยร้องโอ้ออกมา สีหน้าแววตาตื่นเต้นเหมือนเจอเรื่องสนุก ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา
“ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่หลังจากส่งนางออกไปแล้วข้าก็จะกลายเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของท่านสินะ” ตนเพิ่งคิดเมื่อสักครู่นี่เองว่าทำใจเรื่องสามีมีเมียหลายคนไว้แล้ว แต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายจะเหลือแค่ตนคนเดียวในช่วงระยะเวลาหนึ่งซูฮวาก็อดมองโลกในแง่ดีไม่ได้
เห็นซูฮวายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ท่าทางน่ารักน่าหยิกหานชินอ๋องก็ทนไม่ไหว ร่างสูงขยับมือลูบเส้นผมของพระชายาน้อยอย่างเอ็นดู
----------------------------------------
พี่หยางจินไม่ได้เป็นสามีดีเด่นอะไรเบอร์นั้น แต่ฮีก็เป็นผู้ชายที่ไม่แย่เท่าไหร่นะคะ!
#มาลาสุราลัย
-
:pig4:
:3123:
o13
-
เอ็นดูน้องมากเลยค่ะ ซูฮวาเป็นเด็กน้อยที่เป็นคุณภรรยาแล้วนะ
และคุณสามีก็ดูแล้ว น่าจะทั้งรักทั้งหลงมากเลย
ต้องเรียกพี่หยางจินนะ อย่าเผลออีกล่ะ
แล้วอะไรคืออ้อนน้อง แหย่น้อง มีโมเมนท์แบบนี้ได้ด้วย
ในที่สุดซูฮวาก็มีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ น่ารักมากเลยค่ะ
อะไรจะพอดีแบบนี้เนาะ ได้จังหวะไล่รองๆ ทั้งหลายออกจากบ้านไปเฉย
-
:hao3: คนหลงเมีย
-
จ้าาา ทำดี
-
เอ็นดูคู่นี้ :o8:
-
ท่านอ๋องคนหลงเมียยยย :laugh:
เอ็นดูซูฮวา ได้เป็นเมียเดียวหัวเราะคิกคัก โอ้ยยรู๊กก
-
ท่านอ๋องได้กลายเป็นคนหลงเมียซะแล้วซินะ
-
รอตอนไปเดินตลาด หยางจินน่าจะต้องปวดหัวหัวกับภรรยาน้อยน่าดู
-
บทที่๑๖
หยางจินทำตามสัญญาที่ให้ไว้ หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเขาก็พา พระชายาของตนไปซื้อน้ำตาลปั้น และเพื่อไม่ให้ซูฮวาโดนสาวใช้คนสนิทดุเรื่องกินแต่ขนมหยางจินก็เลยสั่งให้เสี่ยวซุนกับหลี่หมิงรอที่บ้านและออกมากับซูฮวาแค่สองคน
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูฮวาออกมาเที่ยวโดยไม่มีหลี่หมิงและเสี่ยวซุนติดสอยห้อยตามมาด้วย
ตามปกติซูฮวาจะนั่งเกี้ยวออกมา แต่คราวนี้ร่างบางได้นั่งซ้อนท้ายอาชาสีดำตัวใหญ่ของหานชินอ๋อง ด้วยม้าพันธุ์ดีแถมยังไม่มีเกี้ยวมาถ่วงน้ำหนักทำให้ทั้งสองคนเดินทางมาถึงย่านชุมชนที่มีร้านรวงต่างๆ มากมายในเวลาอันสั้น
หยางจินกระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะอ้าแขนออกรอรับร่างของ พระชายาน้อย แต่ซูฮวากลับกระโดดลงไปเองเพราะซูฮวาก็ขี่ม้าเป็น เรื่องปีนขึ้นปีนลงหลังมานั้นไม่ได้อยากอะไรเลย ซูฮวาไม่เข้าใจว่าหยางจินจะอ้าแขนรอรับตนทำไม และก็ไม่เข้าใจด้วยว่าพระสวามีจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทำไม
“จากตรงนี้เอาม้าเข้าไปไม่ได้แล้ว” เพราะถนนหนทางข้างหน้ามีเหล่าชาวบ้านเดินกันขวักไขว่หยางจินก็เลยเอาม้าไปฝากไว้และเดินกลับมาหาซูฮวา
ร่างบางฉีกยิ้มกว้าง “พวกเขามองท่านใหญ่เลย ฮะๆ ๆ”
นัยน์ตาคมกริบของท่านแม่ทัพเลื่องชื่อตวัดมองหน้าชาวบ้านที่บังอาจมองมายังพวกเขาสองคนอย่างไม่พอใจแต่ซูฮวากลับห้ามปรามเอาไว้ “เพราะท่านชอบทำหน้าตาน่ากลัวแบบนี้ไงพวกชาวบ้านถึงได้ลือว่าท่านตัวใหญ่เหมือนยักษ์ ฆ่าม้าด้วยมือข้างเดียวได้”
พูดถึงเรื่องข่าวลือหยางจินก็รู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิม
“ป่านนี้พวกชาวบ้านคงคิดว่าเจ้าพาชู้รักมาเที่ยวในเมืองกลางวันแสกๆ แล้ว” หยางจินรู้ดีว่าภาพจำของหานชินอ๋องในใจของชาวบ้านไม่ใช่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ร่างกายสูงกำยำดูสูงส่งมีอารยะอย่างที่ควรจะเป็น
ข่าวลือเรื่องพระชายาของหานชินอ๋องงดงามราวกับภาพวาดจากแดนเซียนกระจายออกไปเป็นวงกว้างพอๆ กับข่าวลือว่าหานชินอ๋องหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ดังนั้นการที่คนงามดุจดอกไม้จากสรวงสวรรค์มาเดินจูงมือกับหนุ่มหล่อไม่รู้หัวนอนปลายเท้าย่อมเป็นที่สะดุดตา
แม้ซูฮวาจะไม่เคยแนะนำตัวต่อหน้าธารกำนัลว่าตนคือพระชายาของ หานชินอ๋องแต่ชาวบ้านที่ตาไม่บอดจะต้องเข้าใจได้ว่าคนงามล่มเมืองผู้นี้เป็นภรรยาของใคร แม้จะไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องหรูหราฟูฟ่าทว่ามู่ซูฮวาในชุดสีพื้นกลับดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่วงท่าและกิริยาล้วนสุภาพนุ่มนวล สูงส่งเลอค่าปานนี้หากไม่ใช่พระชายาคนงามที่เขาเล่าขานกันก็คงเป็นนางฟ้านางสวรรค์แล้ว
ทันทีที่เห็นหยางจินเดินจูงมือกับซูฮวาผ่านร้านรวงต่างๆ พ่อค้าแม่ขายและพวกชาวบ้านปากสว่างก็หันไปซุบซิบนินทากันอย่างออกรส
“เขาคือหานชินอ๋อง” ซูฮวาทนไม่ไหวอีกต่อไป หลังจากเดินกันมาได้ไม่กี่ก้าวร่างบางก็สะกิดเรียกสตรีนางหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาพอดีเพื่อแถลงไขความจริง แล้วหลังจากนั้นกลีบปากบางก็เอ่ยคำว่าเขาคือหานชินอ๋องวนไปเวียนมาจนน้ำลายแห้ง ทว่าทุกคนที่ฟังต่างทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ความจริงเจ้าไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้นะ ข้าไม่ได้เดือดร้อนอะไร” หยางจินไม่ได้สนใจเรื่องที่ชาวบ้านล่ำลือกันว่าตนน่าเกลียดน่ากลัวอยู่แล้ว แต่เขาหารู้ไม่ว่าซูฮวาไม่ได้กำลังทำเพื่อเขาสักนิด
“ท่านไม่เดือดร้อนแต่ข้าเดือดร้อน! ขืนไม่รีบบอกออกไปพวกเขาก็จะคิดว่าข้าแอบมีชายชู้อีก! คนของต้าจินดูเหมือนจะจ้องจับผิดและพร้อมจะเข้าใจข้าผิดอยู่แล้วนี่!” หยางจินรู้สึกน้อยใจนิดหน่อยแต่ก็สามารถยอมรับเหตุผลของซูฮวาได้
“ร้านน้ำตาลปั้นของเจ้าไปทางไหน” หยางจินไม่ค่อยได้มาเที่ยวเล่นเท่าไรก็เลยไม่ชำนาญทาง
“ตามข้ามาได้เล้ย พี่หยางจิน!” ร่างบางยิ้มหน้าแป้นแล้น รีบจูงมือคนตัวสูงกว่าไปตามทางที่มีร้านน้ำตาลปั้นเจ้าดังทันที ตาเฒ่าเจ้าของร้านทำหน้าดีใจทันทีที่เห็นลูกค้าคนงามคนเดียวกับเมื่อวานกลับมาอุดหนุนร้านของตนอีกครั้ง
“วันนี้คุณชายน้อยพาคนรักมาด้วยหรือ” สงสัยตาแก่คนนี้คงมาจากต่างเมืองจึงไม่รู้ว่าซูฮวาเป็นใคร
ซูฮวาส่ายหน้าไปมา “เขาไม่ใช่คนรัก แต่เขาเป็นสามีของข้าเอง หล่อไหม”
พระชายาน้อยโอ้อวดสามีของตนอย่างภาคภูมิใจ ชายแก่เองก็รีบกล่าวเยินยอความหล่อเหลาสะท้านภพของชายหนุ่มอย่างเอาอกเอาใจ ซูฮวายิ้มอย่างมีความสุขขณะรับไม้เสียบน้ำตาลมาจากชายเจ้าของร้าน ทว่าหยางจินกลับรู้สึกขัดอกขัดใจอะไรบางอย่างซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหงุดหงิดอะไร
หลังจากเดินออกมาจากร้านน้ำตาลปั้นแล้วซูฮวาก็หันมาถามคนที่มาด้วยกัน “ท่านจะกลับเลยหรือไปไหนต่อ”
“เจ้ามีที่ใดอยากแวะอีกหรือไม่” หยางจินถาม
ซูฮวาส่ายหน้าไปมา “ที่จริงข้าอยากเที่ยวเล่นต่ออีกสักหน่อย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้มากับท่าน แต่ว่าการสอบถังชื่อใกล้เข้ามาแล้วข้าคิดว่ากลับเลยดีกว่า แต่ก็อยากเที่ยวต่ออีกสักหน่อยจัง”
เห็นคนตัวเล็กยืนลังเล ใบหน้างามฉายแววหนักอกหนักใจแล้วหยางจินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา “หลังการสอบถังชื่อที่เมืองหลวงจะมีงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ เอาไว้ข้าจะพาเจ้ามาก็แล้วกัน”
“จริงหรือ! เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นอย่างไรหรือ” ที่แคว้นอันผิงไม่ค่อยมีงานเทศกาลรื่นเริงเท่าไรเพราะเป็นแคว้นเล็กๆ ที่ไม่ร่ำรวยนัก อดีตคุณชายสามแห่งตระกูลมู่จึงตาเป็นประกาย รอยยิ้มกว้างแต่งแต้มบนใบหน้างดงามชวนหลงใหล
“ในช่วงเวลานั้นจะมีขนมไหว้พระจันทร์มากมายหลายรสออกมาวางขาย”
“ดีจัง! ต้าจินดีจัง ข้าเคยได้ยินจากหลี่หมิงว่านอกจากนี้ยังมีเทศกาลโคมไฟ เทศกาลซีซี แล้วก็เทศกาลไหว้เจ้าอีก นอกเหนือจากนี้ยังมีเทศกาลอะไรอีก รึเปล่า” มือบางดึงชายเสื้อของคนตัวสูงกว่าอย่างตื่นเต้น
หานชินอ๋องมีสีหน้าผ่อนคลายแตกต่างจากท่านแม่ทัพผู้มีปราณดำรอบตัวเสมอผู้นั้นยิ่งนัก เขาเลื่อนมือไปจับมือเรียวที่ดึงๆ แขนเสื้อของเขาอย่างซุกซนเอาไว้ คล้ายดึงออกเพราะรำคาญแต่แท้จริงแล้วแค่อยากจับมือซูฮวาเดินทอดน่องก็เท่านั้นแหละ
“ความจริงแล้วต้นฤดูใบไม้ผลิยังมีเทศกาลชมดอกเหมยอีก” ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเดินผ่านต้นเหมยซึ่งยามนี้ยังไม่มีดอกแถมใบยังร่วงโรยไปแล้วเกือบหมดต้นหยางจินก็หยุดยืนและทอดมองมันอย่างอาลัย
“ข้าชอบดอกเหมย” เสียงใสเจื้อยแจ้ว
“แต่ข้าไม่ชอบ” แทบจะทันทีที่ซูฮวาพูดว่าชอบดอกเหมยหยางจินก็รีบ กล่าวขัด
ร่างบางรีบงับปากที่กำลังจะกล่าวถึงเทศกาลชมดอกเหมยอย่างตื่นเต้นแทบไม่ทัน
“แต่เดิมเทศกาลชมดอกเหมยก็มีแค่การชมดอกเหมยตามชื่อ ประชาชนจะนำเสื่อมาปูใต้ต้นเหมย จัดเตรียมสำรับอาหารมาดื่มกินกันเพื่อชมความงามของดอกไม้ที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดในต้าจิน แต่...”
พอกล่าวคำว่าแต่หยางจินก็หยุดเพื่อถอนหายใจ
“พระมารดาของข้ามีพระนามเดิมว่าหานเหมยเหม่ย ในชื่อของนางมีดอกเหมย แถมนางยังเกิดในฤดูใบไม้ผลิช่วงเวลาเดียวกับที่ดอกเหมยผลิบาน ดังนั้นโอรสสวรรค์จึงมีราชโองการมอบหมายให้เจ้ากรมพิธีการเพิ่มเติมประเพณีดั้งเดิม โดยโอรสสวรรค์จะพระราชทานรางวัลแก่ภรรยาที่ทำคุณแก่แผ่นดินในทุกปี โดนพระราชทานนามว่าซูเหมย”
“ภรรยาที่ว่าหมายถึงสตรีหรือ” ซูฮวาถาม ตอนนี้ทั้งสองคนเดินใกล้ถึงม้าที่ฝากไว้แล้ว
หยางจินส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่สตรี ขอเพียงมีฐานะเป็นภรรยา จะชายหรือหญิงก็มีสิทธิ์ในรางวัลนี้ทั้งนั้น”
“โอรสสวรรค์ทรงรักพระมารดาของท่านมากเลยนะ” ซูฮวาระบายยิ้มมุมปาก น้อยครั้งนักที่จะมีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ไหนทรงทำเพื่อภรรยาขนาดนี้
เทศกาลชมดอกไม้ที่มีชื่อเหมือนภรรยา เพิ่มพิธีมอบรางวัลแก่ภรรยาที่ทำคุณให้ต้าจิน แค่ดูก็รู้สึกถึงความรักอันล้นพ้นของโอรสสวรรค์ที่มีต่ออดีตพระมเหสีหาน
หยางจินเพียงแค่พยักหน้า ซูฮวาคิดว่าชายหนุ่มอาจจะรู้สึกโศกเศร้ายามกล่าวถึงพระมารดาผู้ล่วงลับจึงไม่ได้กล่าวถึงเทศกาลชมดอกเหมยอีก เพียงแต่แอบคิดเล่นๆ ในใจว่าตนเองก็มีสิทธิ์ในรางวัลดังกล่าวด้วย
แต่คิดก็ส่วนคิด ในความเป็นจริงซูฮวายังต้องอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อเตรียมสอบ
หยางจินไม่ได้นอนค้างที่วังของตนเองและยังคงไปนอนกับน้องชายผู้ถูกสังคมรังเกียจในป่าไผ่ตามปกติ เพียงแต่จะมีบางวันที่เขากลับออกมาจากกองทัพก่อนเวลาเลิกงานประมาณสามเค่อเพื่อควบม้ากลับมายังวังของตน แน่นอนว่าเพื่อถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ตัวน้อยนั่นเอง
และแล้วการสอบถังชื่อก็เวียนมาบรรจบ
“หลี่หมิง ข้าต้องไปทำอะไรอย่างนั้นด้วยหรือ! ?” มือเรียวเกาะกุมชายเสื้อของสาวใช้ของตนไว้แน่น
ขณะนี้ทั้งสองคนเดินทางมาถึงสนามสอบแล้วแต่ยังไม่ได้เข้าไป หลี่หมิง มองไปทางเข้าสนามสอบด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอเป็นสตรีจากแคว้นเล็กๆ จึงไม่รู้ว่าในต้าจินมีระบบตรวจค้นร่างกายของผู้เข้าสอบที่เข้มงวดถึงขนาดปลดเปลื้องอาภรณ์และล้วงลึกเข้าไปในกางเกงเพื่อค้นว่าแอบจดโพยเข้าไปหรือไม่
“หม่อมฉันว่าพระชายาอย่าไปเลยเพคะ” หลี่หมิงหวงแหนเรือนร่างเจ้านายน้อยของนางอย่างยิ่งยวด
ดูหน้าผู้คุ้มสอบพวกนั้นสิ! ทุกคนล้วนเป็นชายฉกรรจ์หน้าตาไม่เป็นมิตรทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าถ้าพระชายาน้อยเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปจะโดนลวนลามหรือกลั่นแกล้งอย่างไรบ้าง!
นางทำท่าจะดึงมือซูฮวากลับไปหาเสี่ยวซุนที่รถม้า แต่ซูฮวายังไม่อยากกลับไปทั้งอย่างนี้ ร่างบางทอดมองประตูทางเข้าสนามสอบตาละห้อย รู้สึกเสียดายความพากเพียรตลอดเวลาที่ผ่านมาจนน้ำตาจะไหลแต่ก็ไม่อยากไปเปลื้องผ้าให้ผู้ชายคนอื่นจับๆ มองๆ
ซูฮวาไม่ได้อายหรือรักนวลสงวนตัวหรอก แต่ด้วยสถานะของซูฮวา ซูฮวาต้องวางตัวให้งามสง่าไม่ด่างพร้อย
เป็นพระชายาของชินอ๋องวางตัวลำบากแท้!
“หลี่หมิง” ร่างบางครางหงิงๆ หน้าตาน่าสงสารจนหลี่หมิงเกิดความคิดประมาณว่าให้นางไปแก้ผ้าแทนนางก็ยอม
แต่ทั้งหลี่หมิงแล้วก็ซูฮวาไม่จำเป็นต้องแก้ผ้าทั้งนั้นเพราะถังเฟยเดินเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “ถวายบังคมพระชายา”
“พี่ถังเฟย” ซูฮวาโค้งตัวรับการคารวะจากอีกฝ่าย เตรียมจะออกปากขอร้องให้มือขวาของแม่ทัพใหญ่ช่วยใช้เส้นสายพาตนเข้าสนามสอบโดยไม่ต้องตรวจค้นร่างกายที แต่มือขวาของแม่ทัพใหญ่กลับผายไปยังทางเข้าอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางเข้าของเจ้าพนักงาน
“หานชินอ๋องให้ข้าช่วยนำทางพระชายาเข้าสนามสอบ”
ซูฮวาน้ำตาแทบพุ่ง แววตาคู่งามเต็มเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาต่อท่านอาจารย์
“พี่หยางจินช่างรอบคอบเหลือเกิน!”
ถังเฟยค่อนข้างสะดุดหูกับคำที่พระชายาใช้เรียกชินอ๋องจึงถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านแม่ทัพให้พระชายาเรียกเช่นนั้นหรือ”
“อื้ม” ซูฮวาก็ตอบแบบซื่อๆ
รองแม่ทัพอย่างถังเฟยถึงกับตกตะลึงตาค้าง เขาเองก็แอบสนทนากับพี่ หูโปบ่อยๆ ว่าหมู่นี้ท่านแม่ทัพผู้ดุร้ายของพวกเขาค่อนข้างอารมณ์สดชื่นเบิกบานไม่รู้ว่าไปอารมณ์ดีมาจากไหนแต่ตอนนี้ถังเฟยเข้าใจแล้ว และรู้แล้วว่าทำไมคนที่ไม่ชอบอะไรหยุมหยิมน่ารำคาญอย่างหยางจินถึงได้สั่งให้เขาเตรียมโต๊ะน้อยซึ่งเป็นที่นั่งประจำตำแหน่งของขุนนางระดับเจ็ดเล็กๆ ที่มีหน้าที่เหมือนเลขาธิการประจำตัวแม่ทัพไว้ในห้องทำงานส่วนตัว
สมัยก่อนใช่ว่าตำแหน่งนี้ไม่เคยมี แต่หยางจินคิดว่าไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร เขาสามารถจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเองได้ก็เลยสั่งให้ยกเลิกไป แต่ตอนนี้กลับสั่งให้เตรียมโต๊ะประจำตำแหน่งเข้ามาวาง ประจวบเหมาะกับพระชายาน้อยที่เตรียมสอบเข้ารับราชการ
ถังเฟยมั่นใจว่าโต๊ะดังกล่าวจะต้องเป็นของที่หยางจินเตรียมให้พระชายาน้อยแน่
รองแม่ทัพหนุ่มอมยิ้ม ไม่คิดเลยว่าหานชินอ๋องผู้นั้นจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ มันน่าแปลกออกจริงไหม พระชายาน้อยเข้าสอบอย่างยุติธรรมไม่ได้มีการใช้เส้นสายกลโกงอะไร ทว่าหานชินอ๋องกลับเตรียมตำแหน่งไว้รอแล้ว
นี่ท่านแม่ทัพเชื่อมั่นในตัวพระชายาที่ดูไม่ค่อยเฉลียวฉลาดผู้นี้ปานนั้นเลยหรือ
คิดแล้วก็ขอหยั่งเชิงดูหน่อย
“หากสอบติดพระชายาคิดไว้หรือยังว่าจะเข้าทำงานในหน่วยงานใด” ตามปกติบัณฑิตสามัญไม่มีสิทธิ์ในการเลือกหรอก แต่ซูฮวาเป็นถึงพระชายา ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องผ่านการสอบด้วยซ้ำ แค่อ้อนพระสวามีนิดหน่อยถังเฟยก็เชื่อว่าหานชินอ๋องมีอำนาจเส้นสายเหลือเฟือ แถมมีอิทธิพลมากถึงขนาดพวกขุนนางไม่กล้าสอดปากวิพากษ์วิจารณ์ด้วย
ซูฮวานิ่งคิดครู่หนึ่ง “ข้าอยากอยู่กรมโยธา”
“ไม่อยากเข้ากองทัพหรือ”
“ไม่อยากเลย” ซูฮวาส่ายหน้าไปมา
“แค่ก!” รองแม่ทัพถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง
ถังเฟยไม่รู้ว่าจะสงสารใครดีสุดท้ายเขาก็ได้แต่อวยพรขอให้ซูฮวาสอบผ่านขณะเดินนำร่างบางผ่านประตูพิเศษไป
-------------------------------------------------
ความหลงเมียมันก็เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แบบนี้แหละค่ะ (หรือนี่ไม่เล็กแล้ว) 55555555555555
#มาลาสุราลัย
-
งานนี้มีงอนกันแน่นอน คนนึงอยากให้มาอยู่ใกล้
อีกคนอยากทำงานอีกที่ 555
-
งือออออ น่ารักไปอีกพี่หยาง น้องซูฮวา
-
แหมมมมมมม พี่หยางจิน
-
แต่พระสวามีเตรียมตำแหน่งรอแล้วนะพระชายา :hao6:
-
เอ้าๆ ติดเมีย
-
ตอนนี้เอ็นดูซูฮวา แต่สงสารหยางจิน
ซูฮวาไม่มีโมเมนท์คนรักให้ได้อินเลยจ้า
ต้องค่อยๆ ให้น้องเรียนรู้นะ ยังเด็กน้อยอยู่
แล้วต้องแต่งงานเลย ยังไม่ทันได้รักได้ชอบแบบคนรัก
สามีมีน้อยใจนะคะ แต่ก็ทั้งห่วง ทั้งเอ็นดูน้องน้อยเหลือเกิน
-
งานนี้คงมีคนน้อยใจแน่
-
“เขาไม่ใช่คนรัก แต่เขาเป็นสามีของข้าเอง หล่อไหม”
น้อนนนนนนนนลู๊กก อวดสามีเต็มปากเต็มคำ สามีหลงไปอีี๊ก
-
:3123: :3123: :3123:
-
บทที่๑๗
“ตื่นเต้นๆ”
วันนี้เป็นวันประกาศผลสอบแล้ว หลังจากที่นั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในวังอ๋องอย่างเกียจคร้านมาหลายวัน ในที่สุดพระชายาน้อยก็กลับมารู้สึกคึกคักตื่นเต้นอีกครั้ง ซูฮวาคิดว่าตนทำข้อสอบได้ไม่เลวเลยจริงๆ หากไม่มีอะไรผิดพลาดก็ไม่น่าจะสอบตกนะ!
“พี่หยางจิน!” วันนี้เป็นวันหยุดของหานชินอ๋องพอดีเขาก็เลยขี่ม้ามารอรับซูฮวาตั้งแต่เช้าตรู่
แม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์แต่ในเมื่อเลือกเข้าสอบอย่างถูกต้องตามประสาสามัญชนคนหนึ่งก็ไม่มีสิทธิ์รู้ผลการสอบก่อน พวกซูฮวาต้องเข้าไปดูในเมืองพร้อมกับผู้เข้าสอบคนอื่นๆ
ร่างบางวิ่งเข้าไปหาร่างสูงที่นั่งอยู่บนหลังอาชาสีดำตัวใหญ่ หานชินอ๋องยื่นมือมาให้ซูฮวาจับแต่ปรากฏว่าคนตัวเล็กอยู่ในอารมณ์คึกคักมากเกินไปก็เลยลืมสังเกตมือของอีกฝ่าย ร่างบางปีนขึ้นไปบนหลังม้าด้วยตัวเองและเอ่ยเร่งพระสวามียิกๆ “ออกเดินทางได้!”
อย่างน้อยซูฮวาก็เกาะเอวของหยางจินเอาไว้ทำให้ชายหนุ่มไม่ถือสาที่ถูกเมิน
ทั้งสองคนใช้เวลาประมาณสองเค่อจึงมาถึงจุดประกาศรายชื่อ หยางจินยังไม่ทันหยุดม้าซูฮวาก็โดดลงไปแล้ว ร่างบางพยายามแทรกตัวผ่านกลุ่มบัณฑิตที่ยืนออกันอยู่หน้าจุดแขวนป้ายประกาศ ตัวคนตัวเล็กกลับโดนเบียดจนแทบบี้แบน
หยางจินเห็นพระชายาของตนกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ร่างบางกลืนหายไปในกลุ่มคนแต่ก็พอเห็นหัวทุยๆ ผลุบขึ้นผลุบลงอย่างกระเสือกกระสน ชายหนุ่มทนดูไม่ได้ก็เลยเดินเบียดตัวเข้าไปหา ผลปรากฏว่าเหล่าบัณฑิตที่ดูตัวใหญ่เมื่อเทียบกับซูฮวากลับโดนท่านแม่ทัพร่างสูงแหวกออกอย่างง่ายดาย
บัณฑิตจะสู้แรงนักรบได้อย่างไรเล่า
“แอ่ก พี่หยางจิน” ซูฮวาเห็นว่าท่านอาจารย์เข้ามาช่วยตนแล้วก็รีบตะเกียกตะกายเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที
หยางจินอ้าแขนออกเพื่อโอบเอวรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมแขน เขาไม่ชอบใจเวลาเห็นซูฮวาโดนคนโน้นคนนี้เบียดเสียดใกล้ชิด ใบหน้าคมเลยแสดงออกอย่างบึ้งตึง และด้วยบรรยากาศมาคุรอบกายของหยางจินนี่เองที่ทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้ ทุกคนพยายามเว้นระยะห่างจากชายคนนี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งช่วงศอก
ซูฮวาร้องว้าว ดวงตาเป็นประกายสดใส
“พี่หยางจินสุดยอด!” ซูฮวาคิดว่าการขมวดคิ้วแค่นิดเดียวก็ทำให้คนกลัวจนตัวสั่นได้เป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งซึ่งทั้งชีวิตซูฮวาก็ไม่อาจลอกเลียนแบบได้
ร่างบางหัวเราะคิกคักชอบใจ รอบๆ กายโล่งขึ้นเยอะ อากาศก็ถ่ายเท เหลือแค่ยังไม่มีคนยกเก้าอี้มาให้นั่งเท่านั้นแหละ อำนาจบารมีทะลักทลายโดยไม่ต้องประกาศสักคำว่าตนยิ่งใหญ่มาจากไหน แบบนี้ซูฮวาที่อยู่ในอ้อมแขนของ หยางจินก็เลยพลอยรู้สึกว่าตนนั้นมีบารมีไปด้วย
แม้จะเห็นว่ารอบกายไม่มีใครกล้าเข้ามาเบียดแล้วแต่หยางจินก็ยังไม่คลายอ้อมกอด เขายืนซ้อนหลังซูฮวาเอาไว้และใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบเอวบางเอาไว้หลวมๆ คางก็วางบนหัวของซูฮวาได้พอดี แต่หยางจินก็รู้สึกขัดใจเหล่าเครื่องประดับน่ารำคาญบนศีรษะของพระชายาน้อยอยู่บ้าง
“เจ้าชอบติดของพวกนี้หรือ” หยางจินเอานิ้วจิ้มๆ ไปยังหวีเสียบประดับไข่มุกเป็นรูปดอกไม้
“ข้าเกลียดพวกมันมาก!” ซูฮวาสบโอกาสรีบระบายทันที
“แล้วเจ้าจะติดทำไม” หยางจินไม่เข้าใจ
“ท่านแม่สอนไว้ว่าให้ติด หลี่หมิงกับเสี่ยวซุนก็ชอบให้ข้าติดมากกว่ามัดรวบเป็นทรงแบบบัณฑิตพวกนั้น” ซูฮวาพเยิดหน้าไปยังเหล่าบัณฑิตที่อยู่รอบกาย พวกเขาทุกคนสวมชุดแตกต่างกันทว่าทำผมทรงเดียวกันก็คือมัดเป็นก้อนกลมๆ เรียบตึงเอาไว้ด้านหลัง ซูฮวาก็คิดว่าทำทรงนั้นแล้วหน้าบานก็เลยไม่ชอบ
“หลี่หมิงบอกว่าข้าจะปล่อยผมเฉยๆ ไม่ได้ต้องหาอะไรติดไว้หน่อย ถ้าไม่อยากติดก็ต้องมัดเป็นก้อนกลมๆ เอาไว้” พูดแล้วซูฮวาก็อดมองทรงผมของ พระสวามีอย่างอิจฉาไม่ได้ หยางจินนั้นรวบผมเป็นทรงหางม้าไว้ด้านหลังและผูกด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เท่านั้น นี่เป็นทรงผมยอดนิยมของจอมยุทธพเนจรสมัยนี้
“ท่านมัดผมไว้แบบนั้นแล้วดูดีมากเลยนะ” ซูฮวาถอนหายใจพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอิจฉา “แต่ต่อให้ข้ามัดหางม้าแบบท่านหลี่หมิงก็ต้องยัดเยียดเครื่องประดับมาให้ข้าอยู่ดี”
“นางเป็นบ่าว มีสิทธิ์อะไรมาบังคับเจ้า” หยางจินกล่าวเสียงขุ่น เขารำคาญเครื่องประดับพวกนี้ก็เลยไม่สนับสนุนแนวคิดของหลี่หมิง
“นางเป็นทั้งบ่าวทั้งพี่สาว ถ้าไม่นับญาติกับนางกับเสี่ยวซุนข้าก็เหลือตัวคนเดียวในต้าจินแล้ว ที่สำคัญนางก็ดีกับข้ามากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำแล้วนางมีความสุขข้าก็ยินดีทำ” ซูฮวายังไม่ลืมว่าหลี่หมิงพลอยซวยต้องติดตามมารับใช้ตนใกล้บ้านเกิดหลายพันลี้ เรื่องแค่นี้ซูฮวาทำเพื่อหลี่หมิงได้อยู่แล้ว
หานชินอ๋องฟังคำตอบของพระชายาน้อยแล้วก็เงียบไป
ทันใดนั้นเองคนของกองการสอบก็ถือแผ่นป้ายรายชื่อขนาดใหญ่ออกมา ซูฮวาจึงหยุดพูดคุยแล้วก็รีบชะเง้อคอทันที ร่างบางกวาดสายตามองหารายชื่อของตนเองจากล่างขึ้นบน ทีแรกเริ่มใจเสียเพราะไม่เจอคำว่ามู่ซูฮวาเสียที แต่พอขยับสายตาขึ้นไปยังตำแหน่งบนสุดเท่านั้นแหละ
“ข้า ท่านเห็นชื่อข้าไหม” นิ้วเรียวชี้พลางกระโดดเหยงๆ
หยางจินเพียงแค่ยิ้มจางๆ แล้วก็พยักหน้า “ทำได้ดีมากซูฮวาของข้า”
หลังจากปล่อยให้คนตัวเล็กยืนชื่นชมรายชื่อของตนเองบนแผ่นป้ายประกาศเกือบหนึ่งเค่อ หยางจินก็จูงมือซูฮวาออกมา เขาตั้งใจจะพาซูฮวาไปดื่มชาในร้านชาชื่อดังของเมืองหลวง แต่ปรากฏว่ายังเดินไปได้ไม่ถึงไหนซูฮวาก็โดนดึงดูดโดยร้านขนมเทียนเอ๋อต้านเสียแล้ว
ร่างบางกระตุกมือของหยางจินเบาๆ สายตาชมดชม้อยมองไปยังร้านเทียนเอ๋อต้านตาละห้อย
ไม่มีใครในแผ่นดินนี้ที่สามารถต่อต้านสายตาของซูฮวาได้ ยามนี้แม้แต่ หยางจินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเรียบเฉยเดินจูงมือภรรยาที่ไม่รู้จักโตเสียทีของตนเข้าไปยังแผงขายขนม
“พี่หยางจินเอากี่ไม้” ซูฮวาเป็นเด็กมีน้ำใจนัก
แต่คนฟังกลับปฏิเสธน้ำใจ “เจ้ากินเถอะ”
“งั้นข้าเอาสามไม้”
“เยอะขนาดนั้นเชียว เดี๋ยวก็อิ่มจนกินอย่างอื่นไม่ลงหรอก” คนอายุมากกว่าถึงเจ็ดปีกล่าวเตือน
ซูฮวาเบะปาก ตอนนี้พระชายาน้อยอารมณ์ดีจัด เห็นอะไรก็น่ากินไปหมดและรู้สึกมีพลังงานเปี่ยมล้น ซูฮวาจึงคิดว่าตนสามารถจัดการกับเทียนเอ๋อต้านสามไม้ได้และยังไปกินอย่างอื่นต่อได้อีกด้วย
“ข้าจะเอาสามไม้” เสียงหวานปนงอแงเอ่ย
สุดท้ายหยางจินก็ไม่ได้คัดค้าน ชายหนุ่มหยิบเงินออกมาจ่ายให้พ่อค้าขณะที่ซูฮวารับขนมมาสามไม้
ทั้งสองคนเดินทอดน่องไปตามทาง แรกๆ พระชายาน้อยก็เคี้ยวเทียนเอ๋อ-ต้านแก้มตุ่ย หน้าชะแล่มดูมีความสุข แต่พอกินหมดไม้แรกซูฮวาก็รู้สึกว่าเจ้าเทียนเอ๋อต้านนี้หวานเลี่ยนเกินไปไม่อร่อยเลย แถมอิ่มแล้วด้วย แต่เพราะบอกใครบางคนไปว่าแค่สามไม้กินหมดแน่สบายมากพระชายาน้อยก็กัดฟันกินจนไม้ที่สองหมด
ซูฮวาคิดว่าหานชินอ๋องไม่ใช่ท่านอ๋องประเภทกินทิ้งกินขว้าง หากซูฮวากินเหลือล่ะก็อาจจะโดนดุเอาได้
หยางจินลอบสังเกตซูฮวาอยู่ตลอด เขาเห็นนานแล้วว่าซูฮวาอิ่มแต่ก็อยากสั่งสอนให้เด็กน้อยรู้จักประมาณตนก็เลยไม่ยอมออกโรงช่วยเหลือ พอเห็นว่าซูฮวาพยายามได้ดีมาก ในที่สุดไม้ที่สองก็หมดแล้วหยางจินจึงกล่าวออกมาเรียบๆ ว่า “ไม้สุดท้ายนั่นเจ้าแบ่งให้ข้าได้ไหม”
ร่างบางที่กำลังมองเลิ่กลั่กหาทางกำจัดเจ้าเทียนเอ๋อต้านไม้สุดท้ายโดยไม่ให้พระสวามีจับได้รีบเงยหน้าขึ้นมามองด้วยดวงตาเป็นประกายทันที
“ท่านไม่ชอบไม่ใช่หรือ” แม้ปากจะกล่าวตามมารยาทแต่ในใจตอนนี้อยากยัดขนมใส่มือหยางจินเต็มแก่แล้ว
หยางจินไม่ตอบ เขายื่นมือออกมา ซูฮวาเห็นดังนั้นจึงรีบส่งขนมหวานให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าโล่งอก
“ข้าจะแบ่งให้ท่านก็ได้!” โชคดีจริงๆ ที่พี่หยางจินเกิดอยากกินขึ้นมา พระชายาน้อยลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ไม่ชอบกินของหวานแต่กลับต้องเดินแทะเทียนเอ๋อต้านอยู่นั้นจะรู้สึกเซ็งขนาดไหน
กระทั่งจัดการกับของเหลือจากพระชายาเสร็จหยางจินก็สะดุดตาเข้ากับร้านค้าร้านหนึ่งเข้า มันเป็นร้านที่เมื่อก่อนคนอย่างหานชินอ๋องไม่มีวันเฉียดกายเข้าใกล้เด็ดขาด
“ร้านขายผ้า? ท่านจะตัดชุดใหม่หรือ” ซูฮวาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็น หยางจินเดินนำตนเข้าไปในร้าน
หยางจินไม่ตอบ พอเข้ามาในร้านก็มองซ้ายมองขวาเหมือนหาอะไรบางอย่างอยู่ พนักงานของร้านเห็นคุณชายสองท่านแต่งกายดูดีเดินเข้ามาก็รีบให้การต้อบรับอย่างกระตือรือร้น แม้ว่าร้านขายผ้าร้านนี้จะขายแต่ผ้าทอชั้นเลิศทำให้ลูกค้าที่เข้ามามีแต่พวกผู้ดีมีอันจะกินอยู่แล้วแต่พนักงานร้านกลับคิดว่าคุณชายสองท่านนี้มีสถานะสูงกว่าคำว่าผู้ดีหลายขั้น
“ยินดีต้อนรับคุณชายทั้งสองขอรับ” เด็กรับใช้ถูมือทั้งสองข้างอย่างตื่นเต้น
คุณชายสองท่านนี้ใบหน้างามสง่าไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเฉพาะคุณชายตัวเล็กที่โดดเด่นจนลูกค้าท่านอื่นต้องแอบเหลียวมองจนคอแทบเคล็ด พนักงานร้านเพ้อเจ้อไปไกลว่าทั้งสองคนต้องเป็นคู่รักกันและเข้ามาในร้านเพื่อตัดชุดให้กับคุณชายรูปงามแน่ และต้องทุ่มเงินซื้อผ้าราคาแพงที่สุดของร้านแน่ๆ
แต่ทุกอย่างก็เหนือความคาดหมายของพนักงานร้านทั้งหมด
หยางจินไม่ได้จะตัดชุดใหม่ให้ซูฮวา เขาก็แค่ “ที่นี่รับตัดผ้าผูกผมไหม”
“แค่ก!” แม้แต่ซูฮวาที่มาด้วยกันยังเผลอสำลักน้ำลาย ส่วนพนักงานร้านนั้นอึ้งไปแล้ว
“ท่านจะมาหาผ้าผูกผมในร้านขายผ้าตัดชุดแบบนี้ไม่ได้นะ” ซูฮวารีบกระซิบเตือน
หยางจินไม่รู้มาก่อนจริงๆ ว่าร้านตัดชุดไม่สามารถตัดผ้าผูกผมได้เพราะเขาไม่เคยสนใจอะไรแบบนี้มาก่อน พอได้ยินพระชายาน้อยกระซิบเตือนท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งถึงกับขมวดคิ้วมุ่น “หากข้าต้องการผ้าผูกผม ข้าจะหาซื้อได้ที่ไหน”
“ก็...” ทีแรกซูฮวาจะตอบว่าซื้อตามร้านเครื่องประดับ แต่ดูเหมือนในร้านเครื่องประดับจะมีแต่ของจำพวกปิ่น หวีเสียบขนาดต่างๆ สร้อยคอ แหวนและกำไลมากกว่า ส่วนที่ผูกผมก็จะมีเป็นพวกเชือกป่านหรืออะไรก็ว่าไป “ข้าคิดว่าตามร้านขายเครื่องประดับน่าจะมีผ้าผูกผมลายเรียบๆ ขายนะ”
“มันมีราคาพอจะเอามาผูกผมเจ้าหรือเปล่า”
พระชายาน้อยตกใจจนผงะ เพราะไม่คิดว่าพระสวามีกำลังตามหาผ้าผูกผมเพื่อมาใช้แทนเครื่องประดับที่ตนไม่ชอบ ใบหน้างามแลปลื้มปริ่มจนปิดไม่มิด
“ข้าใช้ผ้าเส้นเล็กๆ ลายเรียบๆ ก็ได้” ถ้าลายเรียบๆ ล่ะก็ซูฮวาเคยเห็นวางขายอยู่ ถึงส่วนใหญ่จะเป็นของสำหรับเด็กผู้หญิงตัวน้อยก็เถอะ
“ไม่ ข้าฟังแล้วมันไม่น่ารักพอสำหรับเจ้า” หยางจินส่ายหน้าไปมา
เห็นคุณชายสองคนยืนคิดหนักกันอยู่พนักงานร้านจึงรีบสอดปาก “ทางร้านเราไม่รับตัดผ้าผูกผมก็จริง แต่ถ้าหากคุณชายซื้อผ้าและสั่งตัดชุดล่ะก็ทางเรายินดีนำผ้าส่วนที่เหลือมาทำเป็นที่ผูกผมให้ขอรับ”
“ข้าตกลง เจ้าเดินเลือกผ้าแบบที่ชอบได้เลย” หยางจินแตะแผ่นหลังบางก่อนออกแรงดันเบาๆ กึ่งบังคับให้ซูฮวาไปเลือกผ้าสีที่ชอบ
บอกตามตรงว่าเป็นเพราะหยางจินไม่ค่อยให้ความสนใจไยดีพระชายาของตนในช่วงแต่งงานใหม่ๆ จนถึงบัดนี้ซูฮวาก็เลยสวมชุดตัวเก่าที่ขนมาจากแคว้นอันผิงอยู่ให้เห็น ส่วนชุดที่สังตัดใหม่ในต้าจินก็มีแต่เสื้อของบุรุษเรียบๆ สำหรับสวมใส่เพื่อฝึกวิทยายุทธ
เดินวนรอบร้านรอบหนึ่งในที่สุดซูฮวาก็เลือกผ้าสีฟ้าเดียวกับท้องฟ้าและสีขาวอย่างละผืน ดูจากสีแล้วจืดชืดสิ้นดี แต่ซูฮวากลับชอบสีเรียบๆ แบบนี้เพราะเป็นสีที่บุรุษในต้าจินนิยมใส่
หานชินอ๋องเข้าใจวัตถุประสงค์ของพระชายาน้อยดีเขาจึงหันไปสั่งกับพนักงานคนเดิมว่า “ตัดเสื้อเรียบๆ แต่ดูแล้วคู่ควรกับชายาของข้าหนึ่งตัวและห้ามลืมผ้าผูกผมเป็นอันขาด เสร็จแล้วให้ส่งไปที่วังของหานชินอ๋อง”
ซูฮวายิ้มจนแก้มแทบแตก ตอนเลือกสีซูฮวายังคิดอยู่เลยว่าหยางจินจะยอมไหม พอได้ยินเขาสั่งพนักงานร้านออกไปแบบนั้นคนที่ถูกแต่งตัวรกรุงรังเพื่อให้ดูน่ารักมาตั้งแต่เล็กก็ดีใจจนแทบจะกระโดดกอดคอร่างสูง แต่เนื่องจากอยู่ต่อหน้าธารกำนัลร่างบางเลยสงวนท่าทีด้วยการเขยิบเข้ามาคล้องแขนแกร่งเอาไว้แทน
“พี่หยางจินคนดีที่หนึ่งเลย” พระชายาน้อยไม่ลืมที่จะกล่าววาจาเอาอกเอาใจ
หานชินอ๋องจ่ายเงินเต็มจำนวนกับพนักงานร้านที่พอรู้ว่าลูกค้าท่านนี้คือหานชินอ๋องก็แสดงอาการหวาดกลัวปนตื่นตะลึง หานชินอ๋องต้องเป็นบุรุษร่างยักษ์ที่ฆ่าม้าด้วยมือข้างเดียวและไม่ค่อยสนใจพระชายาคนงามไม่ใช่หรือ ทุกคนในร้านต่างคิดเป็นเสียงเดียวกัน
หยางจินก้มมองมือที่เกาะแขนของตนไว้หลวมๆ ก่อนเดินออกจากร้านอย่างอารมณ์ดี
“อยากได้อะไรอีกไหม” เสียงทุ้มกล่าวถามขณะเดินผ่านร้านรวงต่างๆ มากมาย
“ฮื่อ” คนตัวเล็กส่ายหัวไปมา ใบหน้ายังเต็มเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
ช่างน่ารักจนคนมองอดใจไม่ไหว หยางจินยกมือข้างที่ว่างขึ้นมาหยิกแก้มขาวอย่างเอ็นดู จากนั้นทั้งสองคนจึงเดินไปยังร้านน้ำชาตามแผนที่วางเอาไว้แต่แรก ซูฮวาไม่ค่อยได้เข้าร้านแบบนี้เท่าไร เห็นว่าในร้านมีบัณฑิตนั่งอยู่หลายโต๊ะจึงวิ่งเข้าไปท้าแข่งประชันกลอนอย่างกระตือรือร้น
แม้ในการใช้ชีวิตประจำวันซูฮวาจะดูโง่เขลาจนน่าอนาถ แต่เรื่องตำราวิชาการนั้นพระชายาน้อยกลับเรียนรู้ได้ไวจนผู้เป็นอาจารย์อย่างหยางจินยังรู้สึกภูมิใจ
การสอบในคราวนี้ซูฮวาสอบผ่านด้วยความสามารถของตนเอง นอกจากติดสินบนกรรมการคุมสอบให้พระชายาน้อยเข้าสอบโดยไม่ต้องตรวจค้นร่างกายแล้วหยางจินก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไรอีก เขามั่นใจว่าลูกศิษย์ตัวน้อยจะต้องสอบผ่านแต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ถึงที่หนึ่ง
“ข้าช่างเก่งจริงๆ” หลังจากโค่นเหล่าบัณฑิตในร้านชาจนเรียบแล้วพระชายาน้อยก็เดินหน้าบานออกมา
ท่าทางมีความสุขเหลือเกิน หยางจินลอบคิดในใจขณะตีเนียนเดินเข้าไปโอบไหล่บาง ซูฮวาซึ่งกำลังคึกคักอารมณ์ดีจึงไม่ได้ใส่ใจการกระทำของพระสวามีนัก ยังคงคุยโม้เรื่องการดวลกลอนเมื่อครู่ไม่เลิก
“หากได้ทำงานในกรมโยธาฯ ก็คงดีเนอะ” ซูฮวายิ้มกรุ้มกริ่ม
ร่างบางรู้ดีว่าท่านหานชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจบารมีเพียงใด แน่นอนว่าพระชายาน้อยจงใจเปรยว่าอยากทำงานในกรมโยธาฯ เพื่อให้พระสวามีช่วยใช้เส้นสายหาตำแหน่งงานที่ว่างให้
แม้จะสอบได้ที่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้มีสิทธิ์เลือกหน่วยงานมากนัก บางปีตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวงไม่ว่างผู้ได้อันดับหนึ่งก็ต้องโดนส่งตัวไปทำงานที่บ้านนอก แต่ซูฮวามีภาระแต่งงานอยู่จะให้ไปเป็นนายอำเภอที่มณฑลอื่นก็คงไม่ได้
หยางจินได้ยินซูฮวาขอร้องว่าอยากทำงานในกรมโยธาฯ ก็หุบยิ้ม
“ข้าจะให้เจ้าทำงานในกองทัพ” เสียงทุ้มประกาศเจตนารมณ์
ซูฮวาถึงกับอึ้ง!
ซูฮวาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหานชินอ๋องจะดึงตนเข้าไปทำงานในกองทัพ เพราะตั้งแต่แรกหานชินอ๋องก็ดูไม่ชอบขี้หน้าตนเท่าไร แต่เมื่อทบทวนดูดีๆ จะพบว่าหมู่นี้หานชินอ๋องทำดีกับภรรยาคนนี้มากมายนัก อุตส่าห์เดินทางไกลจากกองทัพกลับมาสอนตำราให้ที่บ้าน ไหนจะท่าทีและน้ำเสียงที่อ่อนลงมากอีก
ดวงตาคู่ใสเสมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพระสวามีอย่างแปลกใจ
“ท่านอยากให้ข้าทำตำแหน่งอะไรหรือ”
“พนักงานคัดย่อรายงานส่วนตัวของแม่ทัพ”
ให้ไปทำงานที่เดียวกันไม่พอ พี่หยางจินยังจะให้ซูฮวาไปทำงานในห้องเดียวกันอีก
“พี่หยางจินไม่เบื่อขี้หน้าข้าแย่หรือ” เท่ากับว่าต้องเจอกันทั้งที่ทำงานและที่บ้านเลยนะ
หยางจินไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ซูฮวาก็ไม่อาจคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้จึงได้แต่มองใบหน้าด้านข้างของพระสวามีอย่างเผลอไผล
จะว่าไปแล้วข้าก็ไม่เคยมองหน้าเขาชัดๆ แบบนี้มาก่อนเลยนะ
ช่วงแรกที่เจอกันในป่าไผ่ก็มัวตั้งใจฝึกเพลงดาบอ่านตำรา ต่อมาหยางจินมาหาและร่วมหลับนอนด้วยก็รู้สึกเขินจนมองหน้าแทบไม่ติด ไม่บ่อยเลยจริงๆ ที่พระชายาน้อยจะมีโอกาสมองใบหน้าของหานชินอ๋องอย่าใกล้ชิดและเนิ่นนานขนาดนี้
และด้วยความลืมตัว มือเรียวก็ค่อยๆ เลื่อนไปแตะสันกรามของคนตัวสูงกว่า
หยางจินผงะไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้หันหน้าหนี เขาหลุบตาลงมามองว่าพระชายาตัวน้อยอยู่ในอารมณ์ไหนแต่พอเห็นแววตาคู่งามที่กำลังมองตนอย่างหลงใหลแล้วหานชินอ๋องผู้ห้าวหาญก็เผลอใจเต้นผิดจังหวะ
“ซูฮวา กลับวังแล้วข้าจะให้เจ้าลูบต่อตามใจชอบเลย อดใจรอสักนิดนะ” ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้หยางจินคงต้องคว้าท้ายทอยของคนงามเข้ามาบดจูบแน่ๆ จึงรีบคว้ามือเล็กเอาไว้
ดูเหมือนซูฮวาจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่ตนทำอะไรลงไปเลยรีบชักมือกลับราวกับโดนน้ำร้อนลวก
“ข้าก็แค่...คิดว่าสามีของข้าหล่อเหลาจังเลยน้า อะไรทำนองนั้น” พระชายาน้อยพยายามแก้ตัวเสียงแผ่ว ทว่ายิ่งพูดกลับยิ่งรู้สึกหน้าร้อน
หยางจินอยากคว้าตัวคนตัวเล็กมาทำมิดีมิร้ายแทบขาดใจ โชคดีที่ทั้งคู่เดินมาถึงจุดฝากม้าพอดีหยางจินก็เลยช้อนร่างของพระชายาน้อยไว้ในอ้อมแขนก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าทั้งอย่างนั้น
หลังจากส่งมือก็แล้ว อ้าแขนก็แล้ว ในที่สุดหานชินอ๋องก็ประสบความสำเร็จในการอุ้มพระชายาขึ้นหลังม้าเสียที
“ท่าน!” เสียงหวานดังอยู่ข้างหู
ตอนนี้ซูฮวานั่งอยู่บนหลังม้าโดยมีหานชินอ๋องซ้อนอยู่ด้านหลังและหานชินอ๋องผู้นี้ก็กระตุกบังเหียนเบาๆ เร่งฝีเท้าของอาชาสีดำให้เริ่มเคลื่อนที่
ซูฮวาคิดว่านั่งท่านี้ช่างน่าอายนัก มีอย่างที่ไหนคนกุมบังเหียนนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
“สลับที่กันเร็ว” ซูฮวาคิดว่าหยางจินต้องไม่ยอมให้ตนเป็นคนบังคับม้าแทนแน่ๆ ทางเลือกเดียวในมือก็คือขอให้หยางจินหยุดม้าแล้วก็ปล่อยตนให้ไปนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
แต่คนอย่างมู่ซูฮวาไม่มีวันออกคำสั่งหานชินอ๋องได้หรอก ร่างสูงปล่อยมือข้างหนึ่งจากบังเหียนม้าและโอบรอบเอวของพระชายาน้อยเอาไว้เอง แถมยังเอาคางมาวางเกยไหล่กันอย่างเกียจคร้านอีกด้วย
ซูฮวาต้องนั่งหลังตรงเพราะรู้สึกสยิวกับลมหายใจที่เป่ารดต้นคอ ไหนจะเสียงทุ้มที่หัวเราะอย่างชอบใจอยู่ข้างหูอีก
“โธ่!” เสียงหวานตัดพ้ออย่างคนจนตรอก
“ซูฮวา ตกลงเจ้าจะยอมทำงานในกองทัพกับข้าไหม”
“ข้าไม่อยากทำงานที่เดียวกับท่าน!”
“ทำไมเล่า” ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่เข้าใจ ต่อให้ซูฮวาเป็นถึงพระชายาแต่ในที่ทำงานก็ยังเป็นแค่ขุนนางระดับล่าง ต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาหลายทอดนัก หยางจินเป็นห่วงเรื่องการกลั่นแกล้งรับน้องใหม่และพวกที่กล้าลองดีเกี้ยวคนงาม ไม่สู้มาทำงานในกองทัพซึ่งมีแม่ทัพอย่างเขาคอยดูแลไม่ดีกว่าหรือ
“ก็ ท่าน...อยู่ด้วยกันก็ไม่เป็นอันทำงานพอดี” เสียงหวานอ้อมแอ้มตอบ
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ลวนลามเจ้าในเวลางานหรอก” หยางจินพูดให้ซูฮวาสบายใจ
“ไปไกลๆ เลย!” ร่างบางพยายามสะบัดตัวไล่คนข้างหลังออก
หานชินอ๋องเลิกวางคางไว้บนไหล่ของภรรยา เขายืนหลังตรงและกล่าวเสียงเข้มว่า “บังอาจไล่ข้าหรือ”
คนตัวเล็กชะงักกึก ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างคิดหนัก เมื่อครู่ซูฮวาเผลอลืมตัวไป เห็นอีกฝ่ายใจดีด้วยก็เลยย่ามใจ ไม่ทันตระหนักถึงสถานะของตนที่เป็นเพียงแค่ภรรยาของอีกฝ่าย
“ข้าขอโทษ” ซูฮวาก้มหน้าเศร้า ยอมทำตามความปรารถนาของอีกฝ่ายโดยดุษฎี “ข้าทำงานในกองทัพกับท่านก็ได้”
แต่หานชินอ๋องไม่ได้สนใจ เขาแค่ได้ในที่สิ่งต้องการแล้วก็ควบม้าให้เร็วขึ้นเพื่อกลับวัง แน่นอนว่าเพื่อสานต่อความต้องการบนเตียง แม้ตอนนี้จะเลยเวลาอาหารกลางวันมาได้ไม่เท่าไร แต่พอกลับถึงวังอ๋องแล้วผู้เป็นเจ้าของวังก็จูงมือพระชายาน้อยเข้าไปในห้องนอนทันที
หลี่หมิงกับเสี่ยวซุนที่ตั้งใจจะถามผลการสอบได้แต่ยืนมองประตูห้องนอนที่ปิดลงอย่างประดักประเดิด
เมื่อครู่ก่อนเข้าห้องบ่าวทั้งสองเห็นว่าสีหน้าของพระชายาดูไม่เต็มใจนัก แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อแผ่นดินต้าจินแห่งนี้สามีเป็นใหญ่ ยิ่งสามีเป็นถึงท่านอ๋องยิ่งต้องเชื่อฟัง
ตกค่ำของวัน หลังจากหานชินอ๋องจากไปแล้วเหมือนทุกทีหลี่หมิงกับเสี่ยวซุนตัดสินใจกล่าวเตือนพระชายาถึงเรื่องนี้
เรื่องที่ว่าหานชินอ๋องก็แค่ลุ่มหลงเพียงชั่วขณะ
ยามนี้เขาแสดงเหมือนดูแลอย่างดีแต่ไม่ได้แปลว่าเขาจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
หลี่หมิงพูดสิ่งที่นางคิดให้ซูฮวาฟังหมดเปลือก แม้จะดูใจร้ายแต่เจ็บครั้งเดียวสั้นๆ ก็ดีกว่าต้องทุกข์ทรมานยาวนาน
ตลอดเวลาซูฮวาเพียงแค่รับฟังแต่ใบหน้างามกลับไม่แสดงออกถึงความรู้สึกในใจ ดูเพิกเฉยราวกับไม่แยแส หรือไม่ก็ทำใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแต่แรกพวกหลี่หมิงก็ไม่อาจทราบได้
--------------------------------------
-
ชอบๆ
ช่างแสดงออกโดยเฉพาะท่านอ๋อง ใส่ใจ หวานละมุนมากๆ ส่วนซูฉวา น่าจะเริ่มพึงใจแล้ว
รอวันรู้ใจตนเอง และรักกัน
ว่าแต่ตอนจบ แลอึมครึม
-
ให้เวลาพี่หยางจินหน่อยนะ
เพิ่งรักครั้งแรกเลยเข้าใจช้าไปนิด
-
หยางจินเขาคงรักซูฮวาแล้วแหละ ปล่อยเค้าบ้าง
-
ท่านอ๋องไม่เคยมีความรัก เลยยังไม่ชิน ไม่เป็นไรแค่นี้ก็เอาอกเอาใจ ตามใจจนน่าเอ็นดูแล้ว
ความน่ารักของซูฮวาใครจะไม่อดใจไม่รักไหววว :-[
-
กำลังหวานอยู่แล้วเชียว
-
:pig4:
:L2: :L1:
-
หึหึ
-
บทที่๑๘
คืนวันแรกของเทศกาลไหว้พระจันทร์มาถึงแล้ว
หานชินอ๋องมารับซูฮวาที่วัง วันนี้เขาเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างในไม่ได้นั่งรอบนม้าเหมือนทุกครั้ง เพราะว่าในงานเทศกาลสำคัญงานนี้เหล่าเชื้อพระวงศ์แห่งต้าจินจะต้องเข้าร่วมพระราชพิธี ชายหนุ่มเคยสัญญาว่าจะพาซูฮวาไปเที่ยวเล่นในงานเทศกาลแต่ต้องเป็นคืนวันพรุ่งนี้
ร่างสูงของแม่ทัพใหญ่นั่งมองพระชายาคนงามของตนแต่งกายด้วยชุดประจำตำแหน่ง จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หยางจินเห็นซูฮวาในชุดเต็มยศอย่างนี้ แต่จะโทษใครก็ไม่ได้ คนผิดก็คือเขาเองที่ปฏิเสธเข้าร่วมพิธีอภิเษก
มู่ซูฮวาในชุดประจำตำแหน่งพระชายาของชินอ๋องดูสง่างามราวกับมีแสงพุ่งออกมาจากร่าง แต่ใบหน้าหวานกลับดูอมทุกข์ประหนึ่งกำลังจะไปรับโทษในวังไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเทศกาล
“เจ้าไม่อยากเข้าวังหรือ” หยางจินถามเมื่อหลี่หมิงช่วยแต่งตัวเสร็จและเดินออกไปแล้ว
ทั้งห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน หยางจินจึงเดินไปโอบคนหน้ามุ่ยจากด้านหลัง
ซูฮวาพยักหน้าเศร้าๆ “ข้ากลัวพระมเหสี”
“นางใจดีจะตาย” เพราะหยางจินอยู่ข้างหลังซูฮวาก็เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกล่าวคำนี้ด้วยสีหน้าแบบไหน
“นางไม่ชอบข้า ตอนข้าเข้าวังไปถวายความเคารพนางก็ให้ข้าคุกเข่าอยู่ร่วมสองชั่วยาม” ซูฮวาถอนหายใจ
หยางจินไม่ได้ตอบเพื่อแบ่งรับแบ่งสู้อะไร ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเดินจูงมือคนตัวเล็กกว่าออกมาขึ้นรถม้าที่จอดรอไว้พร้อมแล้ว
ขึ้นชื่อว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ย่อมต้องจัดงานตอนกลางคืน วันนี้ท้องถนนยามราตรีคึกคักมากเป็นพิเศษ เหล่าประชาชนต่างออกมาเที่ยวเล่นในงานเทศกาล รถม้าของพวกซูฮวาจึงต้องใช้เส้นทางอ้อม กว่าจะมาถึงพระราชวังก็ใช้เวลาพอสมควรแต่ซูฮวากลับโปรดการนั่งรถม้ามากกว่าการอยู่ในวัง
ตลอดทางแม้หยางจินจะไม่ปล่อยมือจากซูฮวาเลยแต่ร่างบางก็ไม่ได้รู้สึกอุ่นใจมากนัก
กระทั่งเข้ามาถึงท้องพระโรง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ซูฮวาเห็นพระพักตร์ของฝ่าบาท
ร่างบางอดแปลกใจไม่ได้ที่โอรสสวรรค์ยังคงมีใบหน้าหล่อเหลาแม้จะเริ่มมีริ้วรอยแห่งกาลเวลาและเส้นผมบางเส้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว ขณะย่อกายทำความเคารพพระองค์ซูฮวาก็เผลอไปสบตากับฝ่าบาทเข้า
และพระองค์ก็กล่าวในสิ่งที่ซูฮวาไม่เคยรู้มาก่อนออกมา “เจ้ามีส่วนคล้ายเสี่ยวเหมยตามคำร่ำลือจริงๆ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซูฮวาไม่แน่ใจนักว่ามันคือคำชมหรือเปล่าจึงขอบคุณไว้ก่อน
เสี่ยวเหมยที่ว่าน่าจะเป็นหานเหมยเหม่ย พระมารดาของหานชินอ๋อง
ร่างบางเหลือบมองหยางจินเล็กน้อยแต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าเหมือนเคย หลังจากถวายบังคมเสด็จพ่อเสร็จหยางจินก็จูงมือซูฮวามานั่งที่โต๊ะ ที่โต๊ะตัวข้างๆ มีจินเยว่นั่งรออยู่ก่อนแล้วอย่างเงียบเหงา ซูฮวามองไปทั่วงานเลี้ยงก็พบว่าท่านอ๋องและเหล่าขุนนางทุกคนต่างสนทนากันอย่างสนุกสนาน
มีแค่จินเยว่ที่ถูกทิ้งไว้คนเดียว
และพี่ชายของจินเยว่ก็ตัดสินใจไม่ลุกไปรื่นเริงกับทุกคน ไม่รู้ว่าเพราะเป็นห่วงน้องหรือเป็นคนไม่ชอบสนทนาพาทีกับใครอยู่แล้วกันแน่
“จินเยว่ สบายดีไหม” ซูฮวาเห็นว่าสองพี่น้องเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาก็เลยลองชวนคุยดู
“อื้ม เจ้านั่นแหละ ได้ข่าวว่าตอนนี้กลายเป็นภรรยาคนเดียวในวังของเสด็จพี่แล้วหรือ คิกๆ ร้ายไม่เบาเลยนี่” คนที่ตัวพอๆ กับซูฮวาขยับโต๊ะเตี้ยของตนเองเข้ามาใกล้พระชายาน้อยอีกนิด
ดวงตาสีดำขลับของจินเยว่ทอประกายราวกับดีใจที่ในที่สุดก็มีเพื่อนคุยเสียที เห็นแล้วซูฮวาที่อายุมากกว่าปีหนึ่งก็อดเอื้อมมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูไม่ได้ ทว่ายังไม่ทันจะเอื้อมมือไปถึงจินเยว่ก็ยกพัดขึ้นมาตีมือขาวจนเกิดรอยแดงเสียก่อน
“คิดจะลูบหัวข้ายังเร็วไปร้อยปี!” ท่านอ๋องที่ถูกตราหน้าว่าเป็นตัวกาลกิณีหัวเราะอย่างหยิ่งผยอง
หลังจากที่ทั้งสองเริ่มคุยเล่นกันคิกคักได้ไม่นานก็มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเลื่อนรถเข็นเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าสะอาดสะอ้าน ดูทรงภูมิอย่างปัญญาชนและดูอ่อนโยนเป็นมิตร “พระชายามู่”
อีกฝ่ายกล่าวทักทายซูฮวาก็เลยจะทักทายกลับแต่ดันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใครเสียนี่
“เสด็จพี่ใหญ่” เป็นจินเยว่ที่ทักขึ้นมาก่อน
คนผู้นี้คือองค์ชายใหญ่อย่างนั้นหรือ
ซูฮวาแอบสังเกตผู้มาใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ชายผู้นี้นั่งอยู่บนรถเข็นซึ่งทำจากไม้อยู่ตลอดเวลา ขาทั้งสองข้างดูเล็กลีบเมื่อเทียบกับลำตัวซูฮวาจึงคิดว่าขาของอีกฝ่ายน่าจะมีปัญหาจนเดินไม่ได้และต้องนั่งอยู่บนรถเข็นมานานปีแล้ว
องค์ชายใหญ่เกิดจากนางกำนัลสถานะต่ำต้อยจึงไม่มีสิทธิ์ในบัลลังก์แม้จะเป็นลูกชายคนโต แต่ถึงกระนั้นยามที่เขาหันไปกล่าวคำทักทายกับหยางจินผู้เป็นถึงอดีตองค์รัชทายาทและพระโอรสที่ฝ่าบาททรงรักมากที่สุดกลับไม่มีแววริษยาเจือปนอยู่เลย
“น้องห้า ไม่ได้เจอหน้าเจ้าเสียนาน กลับเมืองหลวงก็ไม่ยอมมาทักทายกันเลย หรือเจ้าจะลืมพี่ชายผู้นี้ไปเสียแล้ว”
“ข้าจะลืมได้อย่างไรว่าใครเป็นคนสอนศาสตร์ความรู้มากมายให้ข้า” หยางจินก็ดูเหมือนจะให้ความเคารพองค์ชายใหญ่ไม่น้อย หลังจากทักทายกันเสร็จทั้งสองคนก็เริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน
ซูฮวากับจินเยว่เลือกที่จะเลี่ยงบทสนทนาขององค์ชายทั้งสองออกมาอีกทางหนึ่ง จินเยว่ที่เดินไปทางไหนก็มีแต่คนหลีกทางหรือหลบหน้าจูงมือซูฮวามาที่สวน ในสวนเองก็คึกคักไปด้วยเหล่าขุนนางชั้นสูงหลายท่านที่กำลังนั่งดื่มสุรา ต่อกลอนและชมจันทร์กันอยู่แต่คนงามทั้งสองไม่ได้สนใจนัก
“ขอพรสิ” จินเยว่ชี้ไปยังพระจันทร์และทำท่าประสานมือให้ซูฮวาดู
“ขออะไรดี” พระชายาน้อยไม่มีสิ่งที่ต้องการเป็นพิเศษ ความฝันที่อยากรับราชการบัดนี้ก็เป็นจริงแล้วแม้จะถูกบังคับให้ทำงานในกองทัพก็เถอะแต่คนมักน้อยอย่างซูฮวาก็รู้สึกว่าทุกอย่างตอนนี้ดีพอแล้ว
“ข้าไม่มีอะไรอยากได้เป็นพิเศษเลย งั้นข้าขอให้เจ้าแล้วกัน ปีนี้เจ้าจะได้พรถึงสองข้อ”
ได้ยินแล้วจินเยว่ก็หัวเราะออกมา “เจ้าช่างเหมือนท่านพี่เหลือเกิน เขาน่ะนะ ทุกปีไม่เคยขอพรให้ตัวเองเลยแต่กลับขอให้ข้าตลอด เขาขอให้ข้ามีความสุขน่ะ!”
“อ้า อืมมม” ซูฮวาไม่รู้จะตอบอะไรดีเลยอือๆ ออๆ
สถานะของจินเยว่เป็นอย่างไรคนทั้งต้าจินรู้ดี เป็นถึงอ๋องแต่กลับมีชะตากรรมน่าเศร้า ต้องหลบอยู่ในป่าไผ่กับสาวใช้ที่เป็นใบ้ลำพัง จะมีก็แต่หยางจินที่ไปค้างคืนด้วย
คิดมาถึงตรงนี้ซูฮวาก็เบิกตาขึ้นน้อยๆ
ที่แท้หานชินอ๋องก็เป็นพี่ชายที่ดีมากนี่เอง ความจริงถ้าขี้เกียจเดินทางไกลเขาจะค้างคืนที่กองทัพหรือซื้อบ้านหลังเล็กๆ อยู่แถวนั้นเลยก็ได้แต่กลับเลือกที่จะอยู่ในวังของเทียนชินอ๋องที่ทุรกันดาร ที่แท้ก็เพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนน้องชายนี่เอง
“เขาเป็นพี่ชายที่ดีนะ” ซูฮวากล่าว
“เขายังเป็นลูกที่ดีอีกด้วย พระมเหสีจางก็รักเขา เสด็จพ่อก็รักเขา” จินเยว่โอ้อวด
“พระมเหสีจางด้วยหรือ” ซูฮวาแปลกใจมาก
“พระมเหสีจางน่ะใจดีนะ นางให้องค์ชายทุกคนเรียกนางว่าเสด็จแม่ได้ แม้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ โดยเฉพาะข้า ตอนเด็กๆ ข้าก็ได้นางเลี้ยงดูมากับมือ” จินเยว่ยิ้มอย่างมีความสุขยามกล่าวถึงมารดาของแผ่นดินคนใหม่
และแล้วคนที่เทียนชินอ๋องกล่าวถึงก็เดินเข้ามาในบทสนทนา พระนางยังคงเพิกเฉยต่อพระชายาน้อยแต่กลับยกมือขึ้นลูบหัวจินเยว่อย่างรักใคร่เอ็นดู
“จินเยว่ ไปกับแม่ทางนี้หน่อย”
“แต่ซูฮวา...” เทียนชินอ๋องทำท่าจะไม่ไปแต่พระมเหสีจางกลับดึงมือเขาไปทั้งอย่างนั้น
เมื่อเหลือตัวคนเดียวแล้วซูฮวาก็เดินกลับเข้าไปภายในงานเลี้ยง ร่างบางกวาดตามองหาพระสวามีแต่กลับพบองค์ชายใหญ่เท่านั้น
“หานชินอ๋องเล่า” ร่างบางเดินเข้าไปถามหาพระสวามีจากคนที่อยู่สนทนากับพระสวามีเป็นคนสุดท้าย
“ฝ่าบาทเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัวน่ะ” องค์ชายใหญ่ตอบ เขาเลื่อนรถเข็นหลีกทางให้ซูฮวากลับเข้าไปนั่งที่
ชายหนุ่มผู้มีขาพิการถอนหายใจออกมายามจับจ้องใบหน้างาม “กระทั่งบัดนี้ความลุ่มหลงที่มีต่ออดีตพระมเหสีหานก็ไม่เคยลดทอนลงเลย แต่เพราะสมัยนั้นมีกระแสทัดทานมากมายจากเหล่าขุนนางเสด็จพ่อเลยจำใจปลดหยางจินออกจากตำแหน่งรัชทายาท”
“...”
“หากอดีตพระมเหสีเป็นภรรยาที่ฝ่าบาทรักที่สุดโดยไม่มีใครอาจโค่นได้แล้วล่ะก็หยางจินก็ยังคงเป็นโอรสอันดับหนึ่งในพระทัยของพระองค์จนถึงบัดนี้” องค์ชายใหญ่กล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ
“หากยังได้รับความโปรดปราณอยู่แล้วทำไมพระองค์จึงส่งหยางจินไปรบตลอดเจ็ดปีเล่า” ทีแรกซูฮวาคิดว่าหยางจินโดนพระมเหสีจางกลั่นแกล้งจึงเฉดหัวเขาออกไปแต่ดูเหมือนพระชายาน้อยจะคิดผิดไปไกลโพ้น
“หยางจินมีพรสวรรค์ ยิ่งเขาทำสงครามพิชิตข้าศึกมามากเท่าไร อำนาจบารมีของเขายิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อโอกาสเหมาะมาถึง ข้า...คิดว่า” พูดมาถึงตรงนี้องค์ชายใหญ่ก็หยุด
หยุดพูดยังไม่ทันไรเสียงของบุคคลที่สามก็ดังแทรกเข้ามา
“เมื่อโอกาสอันสมควรมาถึง เสด็จพ่อก็จะปลดข้าออกจากตำแหน่ง รัชทายาทแล้วก็คืนตำแหน่งให้พี่ห้าผู้เป็นลูกชายของนางอันเป็นที่รัก” ผู้มาใหม่เป็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับซูฮวา แต่ถึงจะอายุเท่ากันแต่อีกฝ่ายก็สูงกว่าซูฮวานัก สมแล้วที่สืบสายเลือดของราชวงศ์ไท่ติงมา
และฟังจากคำพูดคำจาแล้ว อีกฝ่ายก็น่าจะเป็น...
“รัชทายาท” ซูฮวากับองค์ชายใหญ่รีบทำความเคารพอีกฝ่าย
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาสดใสสมวัยยกยิ้มกว้างก่อนจะกล่าวอย่างไม่ถือสาว่า “พวกท่านอย่ามากพิธีไปเลย ข้าก็แค่รัชทายาทตัวสำรองเท่านั้น” พูดจบแล้วก็หัวเราะคิกคักเหมือนอยากโดนปลดออกจากตำแหน่งเต็มแก่
ซูฮวาแปลกใจเป็นรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวัน คงเพราะเจอพระมเหสีจางทำเรื่องเจ็บแสบเอาไว้มากจึงไม่คิดว่าโอรสของนางจะมีอุปนิสัยเป็นมิตรถึงเพียงนี้
แล้วหลังจากนั้นทั้งสามคนก็กล่าววาจากันอีกเล็กน้อยตามมารยาท องค์รัชทายาทกล่าวชมความงามของซูฮวาไม่ขาดปาก เขามีแผนว่าจะทูลขอหญิงที่งามกว่าซูฮวาจากเสด็จแม่ แต่องค์ชายใหญ่บอกว่าพระมเหสีคงหาให้ไม่ได้หรอก คนแบบมู่ซูฮวาต่อให้พลิกแผ่นดินก็ใช่ว่าจะพานพบ
หลังจากนั่งคนเดียวอีกสักพักจินเยว่ก็กลับมาพร้อมขนมไหว้พระจันทร์หอบใหญ่ แถมยังยื่นขนมไหว้พระจันทร์ก้อนที่เล็กที่สุดในมือมาให้ซูฮวาพร้อมบอกว่าชิ้นนี้พระมเหสีจางอยากให้ซูฮวาลองชิมดู “เสด็จแม่ฝากให้เจ้า ลองชิมดูสิ”
พระชายาน้อยน้ำตาแทบกระเด็น ไม่รู้ว่าจินเยว่ไปช่วยพูดอะไรหรือเปล่าพระนางจึงยอมมอบขนมให้ตั้งหนึ่งชิ้น ถึงจะเป็นชิ้นเล็กๆ ก็เถอะแต่ซูฮวาก็ตั้งใจว่าจะเอากลับไปตั้งไว้ที่ข้างหัวเตียง
และในขณะเดียวกันหยางจินที่โดนเรียกตัวไปคุยก็เดินกลับมาด้วยใบหน้าหงุดหงิด ก่อนที่เขาจะเดินกลับมาที่โต๊ะก็มีเสนาบดีท่านหนึ่งเดินเข้าไปขวางทางเขาไว้พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อมว่า “ได้ยินว่าบัดนี้ในวังของท่านอ๋องไม่เหลือภรรยาคนอื่นนอกจากพระชายามู่แล้ว บุตรีของกระหม่อมอายุย่างเข้าสิบแปดปีพอดี กระหม่อมคิดว่าท่านอ๋องน่าจะ---”
“ไสหัวไปซะ!”
แม้จะอยู่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ได้ไกลจนไม่ได้ยินบทสนทนา
ตอนที่เห็นว่ามีขุนนางตรงปรี่เข้ามาเสนอบุตรีกับหยางจิน พระชายาน้อยก็เกิดอาการหัวใจตีบไปแล้ว แต่พอได้ยินพระสวามีไล่ขุนนางท่านนั้นอย่างไม่ไยดีหัวใจก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมอย่างน่าอัศจรรย์
“ฮ่าๆ ใครอยากให้ลูกสาวเป็นพระสนมในอนาคตก็ต้องรีบมาเสนอขายตั้งแต่ตอนนี้ เผลอๆ ก่อนจบงานเลี้ยงเสด็จพ่ออาจจะถือโอกาสประกาศปลด รัชทายาทก็ได้” ขนาดจินเยว่ที่อยู่ในป่าไผ่ยังรู้เรื่องที่โอรสสวรรค์ต้องการให้พี่ชายของตนกลับมาเป็นรัชทายาทเลย แสดงว่าเรื่องนี้คงไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น
เมื่อใดที่หยางจินขึ้นครองราชย์เขาก็จะมีสนมมากมายเป็นร้อยเป็นพัน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วพระชายาน้อยก็เกิดอาการไหล่ตก ใจบางไปหมด
“กลับกันเถอะ” พอกลับมาที่โต๊ะหยางจินก็ดึงมือซูฮวาให้ลุกขึ้นยืนก่อนที่เขาจะเดินอ้อมไปดึงตัวน้องชายขึ้น “เจ้าเองก็กลับได้แล้ว”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” จินเยว่ถาม
หยางจินส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ทุกอย่างเหมือนเดิม”
“อ้อ” พออ้อเสร็จ จินเยว่ก็หันมาร่ำลาสหายรัก
ยามนี้พระชายามู่กับหานชินอ๋องเดินขึ้นมาบนรถม้าแล้ว เนื่องจากเป็นงานใหญ่ซูฮวาจึงพาพวกหลี่หมิงมาด้วยไม่ได้ พอรถม้าเริ่มเคลื่อนตัวร่างบางก็เริ่มขยุกขยิกนั่งไม่ติด อยากถามใจจะขาดว่าเกิดอะไรขึ้น ฝ่าบาทเรียกท่านไปพูดเรื่องอะไร แล้วเรื่องที่ว่าท่านจะได้เป็นรัชทายาทนั้นเป็นเรื่องจริงไหม
แต่ซูฮวายังไม่ทันลำดับความคิดเสร็จหยางจินก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“เจ้าอยากเป็นพระมเหสีไหม”
“พะ พูดอะไรของท่านน่ะ” ร่างบางรีบกระซิบกระซาบถามกลับ
หยางจินถามออกมาแบบนี้เป็นเรื่องไม่สมควรเลย เป็นคนธรรมดาล่ะก็มีโทษถึงประหารเลยนะ เล่นข้อหาสาปแช่งพระมเหสีองค์ปัจจุบันแบบนี้ ที่สำคัญก็คือ... “ถึงข้าจะมีใบหน้าเหมือนอดีตพระมเหสีหานก็เถอะ แต่ท่านจะยกข้าให้เสด็จพ่อของท่านไม่ได้นะ”
ซูฮวาคิดว่าฝ่าบาทเรียกหยางจินไปคุยเรื่องขอรับตัวซูฮวาเข้าวัง ก็ตอนถวายบังคมซูฮวาเผลอสบตาฝ่าบาทเข้าด้วยนี่สิ
“เจ้าไม่ได้เหมือนพระมารดาขนาดนั้น สิ่งเดียวที่เหมือนก็คืองดงามล่มเมืองเหมือนกัน” หยางจินรู้สึกหนักใจนิดๆ ทำไมพระชายาของเขาถึงตีความคำถามของเขาไปทางนั้นได้เล่า!
“ฟังคำถามของข้าใหม่นะ”
“อ้อ อื้ม” ซูฮวาหัวเราะแหะๆ
“เจ้าอยากเป็นพระมเหสีไหม”
“ในกรณีที่ท่านขึ้นครองราชย์หรือ” ซูฮวาย้อนถาม
หยางจินพยักหน้าร่างบางจึงนั่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
พี่หยางจินเป็นจักรพรรดิ ตนเป็นพระมเหสี มีอำนาจล้นฟ้าคับแผ่นดิน แต่ก็ต้องแบ่งปันพี่หยางจินกับสตรีนางอื่นอีกนับร้อยและราชกิจต่างๆ มากมาย ชั่งน้ำหนักดูแล้วซูฮวาคิดว่าถ้าหยางจินครองราชย์เมื่อใดทุกอย่างในปัจจุบันก็คงมลายหายไป
“ข้าคิดว่าข้าคงไม่เหมาะกับวังหลังเท่าไร หากท่านอยากครองราชย์จริงๆ ก็หย่าขาดกับข้าเถิด ไม่ต้องห่วง หลังจากหย่ากับท่านแล้วข้าจะออกบวชละซึ่งทางโลก” ซูฮวาตอบได้แค่นี้ บอกตรงๆ ว่าทำใจไม่ได้
ทั้งๆ ที่ทำใจไว้นานแล้วแท้ๆ ต่อให้ไม่ครองราชย์แต่สักวันหยางจินก็ต้องตบแต่งอนุคนใหม่เข้ามาอยู่ดี
“ข้า...ไม่เคยอยากเป็นภรรยาอยู่แล้ว ข้าอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระ เป็นขุนนาง เป็นจอมยุทธ เป็นคนที่เข้มแข็ง ฮึก...เรื่องแค่นี้ทำข้าร้องไห้ไม่ได้หรอกนะ ฮือ” ปากพูดว่าไม่ แต่น้ำตานี่ไหลแหมะๆ
หยางจินตามซูฮวาไม่ทันอีกแล้ว เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าประโยคคำถาม สั้นๆ ของเขาทำให้พระชายาน้อยจินตนาการไปไกลถึงไหนแล้ว ร่างสูงรีบลากคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอดปลอบ ทีนี้คนที่ร้องอยู่ก็ยิ่งร้องหนักขึ้นไปอีก
ซูฮวาใช้แขนทั้งสองข้างกอดพระสวามีเอาไว้แน่นอย่างหวงแหน
ใครใช้ให้พี่หยางจินใจดีกับซูฮวานัก ใครใช้ให้เขาเป็นท่านอาจารย์จินที่สอนตนอย่างทุ่มเท แล้วใครใช้ให้เขาเป็นหานชินอ๋องสามีของมู่ซูฮวากัน! ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของชายคนนี้! ถ้าไม่ใช่ชายคนนี้ล่ะก็ซูฮวากล้าสาบานได้เลยว่าจะไม่มีวันเกิดความรู้สึกรักขึ้นมาหรอก
ใช่แล้ว ซูฮวาหลงรักหยางจินเข้าแล้ว
รักทั้งๆ ที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายแค่ลุ่มหลงนั่นแหละ
“ข้าปฏิเสธเสด็จพ่อไปแล้ว แต่พระองค์บอกว่าให้ข้ากลับมาคิดดูอีกทีหนึ่งข้าก็เลยลองถามเจ้าดูว่าเจ้าอยากเป็นพระมเหสีไหม หากเจ้าอยากเป็นข้าก็จะยอมเป็นโอรสสวรรค์ให้เจ้า...”
“ฮึก หือ เห...” คนงามเงยหน้าขึ้นมากะพริบตาปริบๆ “ท่านปฏิเสธไปหรือ!”
ซูฮวาตกใจมาก เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแต่หยางจินก็ยังคงยืนยันคำเดิม “ข้าไม่เคยปรารถนาในเรื่องนี้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่สิ ข้าน่ะ ไม่เคยมีสิ่งที่ต้องการเป็นพิเศษเลยดังนั้นทุกๆ ปีข้าจึงขอพรจากพระจันทร์ให้จินเยว่ แต่ว่าปีนี้ข้าไม่ขอพรให้คนอื่นแล้ว”
“ท่านมีสิ่งใดที่ปรารถนาหรือ”
“เจ้า”
“...”
“ข้าปรารถนาในตัวเจ้า”
“...”
“ดังนั้นถ้าเจ้ากล้าพูดว่าจะออกบวชอีกข้าจะตีเจ้าให้เจ้าเดินไม่ได้ไปเดือนนึงเลย”
ซูฮวาเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ
“เจ้าก็น่าจะรู้จักคำว่าตีก้นของข้าดี”
พระชายาน้อยหน้าแดงไปหมด แต่ก็ยังคงพยายามเก็บซ่อนรอยยิ้มและความในใจของตนต่อไปอย่างสุดความสามารถ
หลี่หมิงสอนว่าเจ็บใหญ่ครั้งเดียวไปเลยดีกว่าเจ็บน้อยๆ แต่เจ็บนานๆ
แต่ซูฮวาคิดว่าได้รับความหลงใหลจากหานชินอ๋องแม้เพียงชั่วขณะ แต่ชาตินี้ก็นับว่าเกิดมาคุ้มค่าแล้ว
ร่างบางขยับตัวเข้าไปกอดซบอีกฝ่าย นี่เป็นครั้งแรกที่ซูฮวาเป็นฝ่ายเข้ามาออดอ้อนหยางจินจึงรู้สึกแปลกใจแต่ก็สวมกอดเอวเล็กเอาไว้แน่น ใบหน้าคมคายก้มลงซุกไซ้บริเวณซอกคอขาวอย่างเผลอไผล หลังจากสูดดมกลิ่นกายหอมหวานของคนงามจนหนำใจแล้วก็ผละตัวออกมาก่อน เพราะขืนกอดต่อไปล่ะก็คงยาวแน่
-------------------------------------
พี่หยางจินนนนนนนนนนนนนน โดนน้องเรียกว่าพี่หยางจินหน่อยเดียวก็สูญเสียมาดเย็นชาไปหมดดดดดดดด
#มาลาสุราลัย
-
น้องน่าเอ็นดูจริง ๆ
-
รักกัน รักกัน น่ารักดี
เรื่องในวังดูซับซ้อนเหมือนกันนะเนี่ย
ต้องติดตาม
สนุกค่ะ ขอบคุณนะคะ
-
ซูฮวาลู๊กก ออดอ้อนเก่งงงง น่ารักน่าบีบล่ะเกิ้นน :hao5:
-
แอร๊ยยยย พี่หยางจิน :hao3:
-
โอยยย รักพี่หยางจินเข้าแล้ว พระชายาไม่ธรรมดานะคะ
ทำพี่หยางจินทั้งรักทั้งหลงขนาดนี้ อย่าได้แคร์ใครอื่นจ้า
เอ็นดูซูฮวานะ คิดว่าพี่แค่หลง ไม่ได้รักกัน
แต่น้องก็ยอมให้ตัวเองมีความสุข ถึงจะแค่ตอนนี้
ซูฮวาสอบได้ที่หนึ่งจ้า เก่งจริงเลย พี่แค่อยากให้อยู่ใกล้นะ
ไม่ได้คิดเป็นอื่น หรือควบคุมอะไร น้องอย่านอยด์มากนัก
ขนมที่ได้มา คงไม่มีอะไรแปลกใส่มาด้วยนะคะ
-
โถๆๆๆ ตอนนี้อาจแค่หลง แต่ไม่นานจะทั้งรักทั้งหลงเลยแหล่ะ
-
:กอด1: :กอด1:
-
อ่อยจ้าาาทา
-
บทที่๑๙
วันนี้เป็นวันแรกที่ซูฮวาจะได้ทำงานในกองทัพ ร่างบางตื่นแต่เช้าเพื่อมาสวมชุดประจำตำแหน่งขุนนางฝ่ายบุ๋นและออกมานั่งแกว่งขารออยู่ตรงริมสระบัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันจะสว่าง เดือดร้อนข้ารับใช้ทั้งสองที่ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพื่อมาดูแลเจ้านายตัวน้อยซึ่งดูจะคึกคักมากเป็นพิเศษ
“พี่หยางจินมาหรือยัง” เสียงหวานเอ่ยถามคำถามนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้
“ท่านอ๋องยังมาไม่ถึงเพคะ” หลี่หมิงตอบเสียงอ่อน
ซูฮวาเบะปากอย่างงอแง ความจริงแล้วซูฮวาอยากเดินทางไปที่กองทัพด้วยตัวเองมากกว่า แต่หานชินอ๋องกลับสั่งเอาไว้ว่าอย่าทะเล่อทะล่าเข้าไปเองคนเดียวให้มาพร้อมกับเขาแทน แต่เพราะเมื่อวานท่านแม่ทัพใหญ่เลิกงานดึกเขาจึงต้องนอนค้างที่วังของเทียนชินอ๋อง
“พวกเราไปกันก่อนดีไหม” ท่านขุนนางหน้าใหม่ไฟแรงนั่งไม่ติดอีกต่อไป
ร่างบางลุกขึ้นมาเดินไปมาด้วยความตื่นเต้น “ข้าจะได้เป็นขุนนางแล้วนะ ข้าเก่งไหม!”
ซูฮวาคิดว่าตนเองเก่งมากจริงๆ อยากนำข่าวนี้ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ที่บ้านเกิดเหลือเกิน พวกท่านต้องตกใจมากแน่ๆ “ท่านแม่ที่เลี้ยงข้ามาเหมือนลูกสาวมาตลอดจะต้องไม่อยากจะเชื่อแน่ว่าข้ากลายเป็นขุนนางแล้ว! หากนางรู้ว่าฝีมือกระบี่ของข้าก็รุดหน้าไปไกลนางจะต้องยิ่งอึ้ง! ทั้งหมดนี้เพราะพี่หยางจินช่วยสอนให้แท้ๆ”
ร่างบางหัวเราะคิกคักมีความสุข
ในขณะที่เจ้าของใบหน้างดงามดูจะมีชีวิตชีวากว่าปกติหลายเท่า หลี่หมิงสาวใช้คนสนิทกลับมีสีหน้าหมองคล้ำลงหลายส่วนเมื่อเจ้านายของนางพูดถึง หานชินอ๋องด้วยรอยยิ้มคล้ายหลงใหลได้ปลื้มนั่น
นางไม่อยากให้เจ้านายผู้น่ารักของนางต้องเจ็บปวดให้ความรักเลย
“พระชายาเพคะ หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์จนถึงบัดนี้ หม่อมฉัน ได้ยินพวกสาวใช้คนอื่นพูดกันว่ามีขุนนางราชสำนักหลายคนติดต่อหานชินอ๋องเพื่อส่งบุตรีให้เขา ถึงขนาดได้เป็นแค่อนุก็ยอมเพคะ” พูดไปแล้วหลี่หมิงก็อยากจะตบปากตัวเอง
ดูเข้าสิว่านางทำอะไรลงไป ท่านซูฮวาผู้มีรอยยิ้มสว่างไสวคนเมื่อครู่หายไปแล้ว เหลือแต่คนงามหน้าเศร้า!
“ตะ แต่ก็ได้ยินมาอีกว่าหานชินอ๋องปฏิเสธไปหมดเลยเพคะ น่าแปลก นะเพคะ ทำไมขุนนางเหล่านั้นจึงต้องการเกี่ยวดองกับหานชินอ๋องแทนที่จะเข้าหาองค์รัชทายาทกัน” หลี่หมิงรีบปลอบใจคนตัวเล็กพัลวัน
ซูฮวาหัวเราะเสียงอ่อน “เจ้าอย่าไปสนใจเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของเจ้าเลย”
พระชายากล่าวถึงขนาดนี้แล้วนางก็ได้แต่ก้มหน้ามองปลายเท้าของตนอย่างรู้สึกผิด จังหวะนั้นเองคนที่พระชายาเฝ้ารอก็มาถึง ดวงตาคู่โตทอประกายสดใสทันทีที่เห็นใบหน้าของหานชินอ๋อง
ร่างบางวิ่งตรงไปยังร่างสูงซึ่งกำลังขี่อาชาสีดำตัวเดิมรออยู่หน้าวัง พอไปถึงแล้วก็เห็นว่าฝ่ามือหนาของอีกคนยื่นส่งมาให้ ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าซูฮวาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากประคองตนขึ้นม้า เพียงแต่ไม่อยากทำตัวฉอเลาะเปราะบางมากจนเกินไปจึงแสร้งเมินมาตลอด
แต่คราวนี้ซูฮวากลับละเมิดกฎเดิมของตน ร่างบางส่งมือไปวางบนมือของหยางจิน ปล่อยให้อีกคนช่วยประคองขึ้นไปบนหลังม้าอย่างว่าง่าย พอขึ้นมาซ้อนท้ายเขาแล้วก็ลอบกอดเอวของคนข้างหน้าให้แน่นขึ้นอีกนิด
หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ซูฮวาก็ชัดเจนในความรู้สึกของตนมากขึ้น
ซูฮวาหลงรักหานชินอ๋องเข้าให้แล้ว แม้ว่าการอยู่ในตำแหน่งภรรยาของอีกฝ่ายอย่างหน้าชื่นตาบานจะเป็นการกลืนน้ำลายตนเองก็เถอะ แต่คนมันรักไปแล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า! แต่ถึงจะเป็นภรรยาแต่ซูฮวาก็ได้เป็นขุนนางแล้วนะ ได้เป็นตั้งขุนนางขั้นเจ็ดเชียวนะ!
“รบกวนพี่หยางจินแล้ว” ขณะที่หานชินอ๋องเริ่มกระตุกบังเหียนบังคับให้ม้าเคลื่อนตัวช้าๆ ไปข้างหน้าซูฮวาก็กล่าวออกมาอย่างเกรงใจ
ระยะทางจากวังหานชินอ๋องไปยังกองทัพว่าไกลแล้ว แต่นี่อีกฝ่ายกลับต้องเดินทางมาจากวังของเทียนชินอ๋องเพื่อรับตนก่อนซูฮวาจึงอดรู้สึกตื้นตันใจไม่ได้
“ความจริงท่านให้ข้าเดินทางไปเองก็ได้นะ ข้าขี่ม้าได้” ซูฮวาคิดว่าท่านแม่ทัพน่าจะไม่อยากให้ตนซึ่งเป็นแค่ขุนนางชั้นผู้น้อยนั่งเกี้ยวไปเข้างานอย่างเอิกเกริกก็เลยลงทุนมารับด้วยตนเอง
“ในกองทัพมีแต่ชายฉกรรจ์ทั้งนั้น วันแรกอาจมีหลายคนเข้ามาเกี้ยวเจ้าเพราะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร”
ซูฮวารู้สึกว่าเจ้าก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นแรงจะแย่แล้ว ใบหน้างามแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่ออย่างเขินอาย โชคดีที่หานชินอ๋องขี่ม้าอยู่ข้างหน้าจึงไม่เห็นสีหน้าของพระชายาน้อย
ร่างบางลอบถอนหายใจก่อนจะค่อยๆ เอนหน้าลงไปซบกับแผ่นหลังกว้างอย่างปลื้มปริ่ม
ทัพหลวงซึ่งหยางจินบัญชาการอยู่นั้นมีจำนวนทหารทั้งสิ้นสามแสนนาย แต่จะให้ทางการจ่ายเงินค่างจ้างคนสามแสนคนให้มาฝึกขี่ม้าฟันดาบเปล่าๆ ในยามบ้านเมืองสงบสุขก็คงไม่ได้ ดังนั้นทหารกว่าเก้าในสิบส่วนจึงเป็นทหารเกณฑ์ที่จะระดมพลเมื่อบ้านเมืองเกิดศึกสงครามเท่านั้น
ภายในกองทัพหลวงซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอแถบชานเมืองหลวงจึงประกอบไปด้วยทหารม้าและพลธนูซึ่งเป็นหน่วยรบที่มีความสำคัญ และต้องใช้ความชำนาญการสูง รวมไปถึงนายพลทหารราบฝีมือดีอีกจำนวนหนึ่ง
ตอนที่ซูฮวาเข้ามาในเขตของกองทัพ สิ่งแรกที่ซูฮวาคิดก็คือ...ไกลมาก
ถ้าซูฮวาเป็นหยางจินล่ะก็ซูฮวาจะนอนในกองทัพไปเลย เหมือนกับพวกทหารทั้งหมดที่อยู่กินในกองทัพ
และความรู้สึกที่สองที่แล่นเข้ามาปรี่อกก็คือตื่นเต้น เนื่องจากต้องเสียเวลาเดินทางไปมากทำให้พวกเขาทั้งสองมาถึงค่ายตอนที่เริ่มการฝึกซ้อมเช้าไปได้สักพักแล้ว
ผ่านตรงไหนหยางจินก็ชี้นิ้วแนะนำซูฮวาว่าที่นี่มีไว้เพื่ออะไร ลานฝึก ลานประลอง โรงครัว ห้องทำงานของพนักงานตรวจบัญชี ห้องของเสนาธิการ รองแม่ทัพและขุนศึกทั้งหลาย จวบจนกระทั่งมาถึงห้องทำงานของแม่ทัพ
“ห้องทำงานของเจ้าก็คือที่นี่” เสียงทุ้มกล่าวก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน
อีกสิ่งหนึ่งที่ซูฮวารู้สึกดีก็คือหานชินอ๋องวางตัวดีมาก
อยู่ที่นี่หยางจินคือแม่ทัพและซูฮวาคือขุนนางเล็กๆ ท่านแม่ทัพไม่ได้ปฏิบัติกับซูฮวาเหมือนกับพระชายาของตน ไม่มีการเดินจูงมือหรือมองด้วยสายตาหวานเชื่อมทั้งสิ้น
ทีแรกซูฮวาแอบกังวลว่าการทำงานกับพระสวามีจะกลายเป็นว่าตนต้องอยู่ในสถานะภรรยาตั้งแต่เช้าจรดเช้าของอีกวันไม่สิ้นสุด แต่การกระทำของ ท่านแม่ทัพทำให้ซูฮวามั่นใจแล้วว่าอยู่ที่นี่ซูฮวาจะเป็นขุนนางคนหนึ่งจริงๆ
“ในทุกวันข้าจะต้องตรวจสอบบัญชีที่ฝ่ายบัญชีทำ ในนี้จะมีตั้งแต่เรื่องเงินเดือน ค่าเสบียง รายชื่อทหารกองเกินและทหารเกณฑ์ที่รอเรียกตัว รวมไปถึงจำนวนอาวุธที่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและส่วนที่ต้องสั่งทำเพิ่ม เบื้องต้นเจ้าลองอ่านรายงานย้อนหลังตรงนี้ก่อน” หยางจินหยิบหนังสือเกี่ยวกับบัญชีที่เขารวบรวมเอาไว้เมื่อวานมาให้ซูฮวา
และสาเหตุที่เขาเลิกงานดึกดื่นเมื่อวานก็เพราะมัวแต่เตรียมของพวกนี้นี่เอง
ถึงจะเป็นขุนนางก็เถอะ แต่ก็เป็นขุนนางที่เป็นภรรยาของเขาด้วย ดังนั้นท่านแม่ทัพจึงดูแลดีเป็นพิเศษ ปกติน่ะหรือ เจ้าอยากรู้สิ่งใดก็หาคำตอบเอาเองสิ ข้าเป็นถึงแม่ทัพเหตุใดต้องเสียเวลามาสอนงานเจ้าด้วย
“อ้อ อื้ม!” ร่างบางยิ้มกว้างพลางเอื้อมมือไปรับสมุดบันทึกบัญชีย้อนหลังมาแนบอก
“พอเข้าใจบัญชีแล้วให้บอกข้า ข้าจะได้บอกว่าเจ้าต้องทำอะไรต่อ”
แล้วทั้งสองคนก็แยกย้ายกันนั่งทำงาน ในห้องทำงานของท่านแม่ทัพที่แต่ก่อนเคยมีแค่โต๊ะทำงานตัวเดียวกับคนหนึ่งคนนั่งทำงานอยู่บัดนี้ได้มีใครอีกคนเพิ่มขึ้นมา มู่ซูฮวาผู้เป็นขุนนางน้องใหม่ไฟแรงนั่งพลิกสมุดบัญชีอยู่ที่มุมห้องซึ่งมีฉากกั้นเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวอย่างกระตือรือร้น
การเริ่มงานวันแรกของซูฮวาก็เป็นเช่นนี้ วันต่อมาก็เป็นเช่นนี้ กระทั่ง วันที่สามซูฮวาก็ลองทำสรุปไปส่งท่านแม่ทัพเพื่อให้ชายหนุ่มลองดูว่าตน จับใจความมาเพียงเท่านี้เพียงพอหรือไม่
ร่างบางยืนลุ้นจนตัวโก่งขณะที่รอหานชินอ๋องตรวจสรุปบัญชี
“ซูฮวา” ในที่สุดหยางจินก็ปิดสมุดและเงยหน้าขึ้นมา
“อื้ม!” ร่างบางสะดุ้งน้อยๆ
“ต่อไปให้เจ้าเริ่มอ่านบันทึกเกี่ยวกับเชลยศึกที่จับตัวมายังต้าจินนะ ข้าวางส่วนที่จำเป็นต้องรู้ไว้บนชั้นตรงนั้นแล้ว” ท่านแม่ทัพพเยิดหน้าไปยังหนังสือ กองหนึ่ง
“แล้วสรุปบัญชีที่ข้าทำ ท่านอ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรบ้าง” มองจากชายแดนก็รู้ว่าขุนนางน้อยคนนี้กำลังเฝ้ารอคำชมจากท่านแม่ทัพ สีหน้าแววตาน่ารักน่าเอ็นดูจนคนที่แสร้งทำเป็นเคร่งขรึมมาร่วมสามวันอดรนทนไม่ได้ต้องเอื้อมมือไปลูบศีรษะของคนตัวเล็กกว่า
“เก่งมาก”
พอได้ยินคำชมแล้วร่างบางก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นอีก ตาคู่โตเป็นประกายสดใสก่อนที่ร่างบางจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหยิบงานชิ้นใหม่มาอ่านอย่างกระตือรือร้น
เพราะเจ้าน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ไงข้าจึงให้ไปทำงานใต้บังคับบัญชาของคนอื่นไม่ได้ ท่านแม่ทัพคิดในใจ เขาเดินกลับมาที่โต๊ะพลางพลิกดูสรุปบัญชีที่ซูฮวาทดลองทำมาให้ดูเมื่อครู่อีกครั้งด้วยรอยยิ้มเล็กๆ มุมปาก
บอกตรงๆ ว่าทีแรกเขาไม่ได้คาดหวังในตัวซูฮวามากนัก ที่ให้มาทำงานด้วยก็เพราะว่าหวงล้วนๆ แล้วก็กลัวพระชายาน้อยจะผิดหวังกับระบบการทำงานของขุนนางในหกกรมที่เน้นหนักไปทางประจบสอพลอเสียมากกว่า เขาก็เลยดึงตัวซูฮวามาทำงานด้วยกัน
แต่ดูเหมือนพระชายาน้อยจะไม่ได้มีค่าแค่ดอกไม้ประดับห้องทำงานท่านแม่ทัพเท่านั้น
ระดับความภาคภูมิใจในตัวพระชายาน้อยของหยางจินพุ่งสูงจนแทบทะลุเพดาน เขาเปิดอ่านอีกรอบก็ไม่พบข้อบกพร่องในสรุปที่ซูฮวาทำมาให้เลย แบบนี้งานของเขาก็จะได้เบาลงหน่อย
“ไม่ทราบว่าสมุดบัญชีมันมีข้อความอะไรอยู่งั้นหรือ ท่านแม่ทัพของเราถึงได้ทำหน้ามีความสุขขนาดนี้” และในขณะนั้นเองเสียงของผู้มาเยือนก็ได้ทำลายความสงบสุขภายในห้องทำงานส่วนตัว
ซูฮวาที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องแถมยังมีฉากกั้นอยู่ต้องชะโงกหน้าออกมาเพื่อดูว่าใครมา เมื่อเห็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาปานบัณฑิตผู้สูงส่งอย่างถังเฟยแล้วซูฮวาก็แค่กล่าวคำทักทายสั้นๆ ก่อนจะหดคอกลับไป
“คารวะท่านรองแม่ทัพ”
“ทำงานกับแม่ทัพผู้โหดร้ายคนนี้หนักไปหรือไม่ ความจริงรองแม่ทัพอย่างข้าก็ต้องการลูกมือเหมือนกันนะ เจ้าอยากย้ายมาทำงานกับข้าไหมล่ะ” แต่ไรมาถังเฟยก็เป็นคนง่ายๆ สบายๆ อยู่แล้ว ยามนี้ซูฮวาเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ดแต่ก็ควบตำแหน่งพระชายาด้วย แต่ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะใช้ถ้อยคำภาษาชาวบ้านกับซูฮวาอย่างเป็นกันเอง
“พี่หยาง— ท่านแม่ทัพไม่ได้โหดร้ายเลย ใจดีมาก” เมื่อหลบฉากเข้าไปแล้วแต่ก็ยังโดนชวนคุยซูฮวาก็เลยเดินออกมาสนทนาด้วยเสียเลย
ดูเหมือนทั้งสองคนจะมัวแต่คุยกันจนลืมเจ้าของห้องที่แท้จริงไปแล้ว หานชินอ๋องเลยจำเป็นต้องกระแอมไอเพื่อดึงสติของคนทั้งคู่ “ถังเฟย เจ้ามาถึงที่นี่คงไม่ได้แวะมาเที่ยวเล่นหรอกจริงไหม”
“ฮ่าๆ ๆ ท่านช่างขี้หวงเหลือเกินนะ ข้าก็แค่เห็นน้องใหม่คนงามโดน ท่านแม่ทัพใหญ่เก็บซุกเอาไว้ในห้องทำงานอย่างเดียวแลดูน่าสงสาร ข้ากลัวจะอับเฉาไปเสียก่อนก็เลยแวะมาทักทาย” ถังเฟยกล่าว
หยางจินถอนหายใจ “เวลางานก็ต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานถูกต้องแล้ว เจ้าเองก็สมควรกลับไปยังห้องทำงานของเจ้า”
“เพราะข้ากลัวว่าพระชายาน้อยจะติดโรคเคร่งเครียดกับทุกสรรพสิ่งมาจากท่านนี่ไงเล่า!” ถังเฟยเถียง
“อยู่ที่นี่เขาคือขุนนางไม่ใช่พระชายา” หยางจินกดหัวคิ้วลง บ่งบอกว่าเขาเริ่มไม่พอใจแล้ว
ถังเฟยรีบพลิกลิ้นแทบไม่ทัน “พวกทหารอยากยลโฉมท่านขุนนางน้อยจะแย่แล้ว ข้าอยากพาออกไปอวดหน่อย ถือว่าพาไปเดินดูรอบๆ ด้วยเพราะเท่าที่ข้ารู้ตั้งแต่ท่านขุนนางน้อยมาทำงานที่นี่ท่านยังไม่เคยพาเขาไปทำความเข้าใจระบบการฝึกซ้อมของกองทัพเราหน้างานเลย”
“ข้าไม่อนุญาต”
“ข้าไม่ได้ขออนุญาตจากท่าน! ท่านเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาห้ามไม่ให้ขุนนางน้อยเดินไปไหนมาไหน!” ถังเฟยเถียงหน้าซื่อตาใส แต่ภายในใจนั้นกลับมีแต่ความคิดชั่วร้าย!
หานชินอ๋อง เมื่อครู่ท่านพูดออกมาเองนะว่าอยู่ที่นี่พระชายาไม่ใช่ พระชายาแต่เป็นขุนนางน้อย เป็นขุนนางในกองทัพจะไม่เคยโผล่หัวออกมาดูการฝึกซ้อมเลยก็คงไม่ได้!
เส้นเลือดตรงขมับของท่านแม่ทัพกระตุกคล้ายกำลังจะแตก เพราะไฟโทสะที่สุมทรวง เขากำลังจะออกปากไล่เจ้ารองแม่ทัพผู้ชอบแส่เรื่องชาวบ้านออกไป แต่พอหันไปเห็นใบหน้าของคนตัวเล็กแล้วหยางจินก็รีบเก็บคำพูดของตนแทบไม่ทัน
ใบหน้างามยามได้ยินว่าจะมีคนพาออกไปดูรอบๆ ดูดีใจราวกับเด็กน้อยกำลังจะได้ไปเที่ยวงานเทศกาล
หยางจินประเมินความบ้างานของภรรยาตนต่ำเกินไปนัก เขาคิดว่าแค่ชี้ให้ดูด้วยตาตอนขี่ม้าเข้ามาทำงานยามรุ่งสางก็น่าจะพอแล้วแต่ขุนนางน้อยกลับอยากเห็นว่าเวลาจริงๆ เหล่าทหารปฏิบัติงานอย่างไรมากกว่า
สุดท้ายท่านแม่ทัพผู้เกรียงไกรก็ทนทานต่อสายตาคู่นั้นไม่ไหว “เอาไว้พรุ่งนี้ข้าจะพาซูฮวาไปเอง”
“เห็นไหมว่าพี่หยางจินใจดีจะตาย” คนตัวเล็กไม่ได้รู้เลยว่ากว่าคำอนุญาตจะหลุดออกมาได้นั้นหยางจินจะต้องคิดหนักกี่ตลบ
“แต่พรุ่งนี้จินเยว่บอกว่าจะมาเยี่ยมเจ้านะ” ถังเฟยเอ่ยขัด
“จินเยว่จะมาที่กองทัพหรือ” หยางจินเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
ซูฮวาที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ถึงกับขมวดคิ้วงง ร่างบางเข้าใจว่าหยางจินไม่รู้เรื่องจินเยว่จะมาหานั้นไม่แปลก เพราะว่าตลอดสามวันที่ผ่านมาหยางจินกลับมานอนค้างที่วังอ๋องกับซูฮวาตลอดและไม่ได้เจอน้องชายของตนเลย แต่แล้วถังเฟยเล่า? หมอนี่ก็เป็นแค่รองแม่ทัพคนหนึ่งไม่ใช่หรือ แล้วไปคบค้าสมาคมกับจินเยว่ ชินอ๋องผู้ถูกต้าจินรังเกียจได้อย่างไร
และพอกล่าวถึงนามของท่านอ๋องน้อยแล้วเหตุใดรอยยิ้มจึงได้หายไปจากใบหน้าของถังเฟยผู้นั้นกันเล่า
--------------------------------
ถังเฟยกับจินเยว่เป็นอะไรกัน ใครทายถูกให้ห้าบาท (ล้อเล่น) 5555
#มาลาสุราลัย
-
:pig4:
:กอด1:
-
คู่หลักค่อยกลับมาลุ้นใหม่
ตอนนี้แอบเทใจไปลุ้นคู่ใหม่ดีกว่า
หวังว่าจะมีนะ ถังเฟยจินเย่ว
-
ซูฮวา จริงใจกับความคิดของตัวเองดี
รักษาอาการได้พอควรหากเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร
ชอบความตั้งใจใฝ่รู้มาก น่ารัก น่ารัก
พี่หยางจินจะไม่รักน้องได้อย่างไร หวงปานนี้
ดูแลน้องดีๆ นะ
ขอบคุณนะคะ สนุกค่ะ
-
:pig4:
-
หวงภรรยาเหลือเกิน5555
-
ซูฮวาน่ารักมาก
-
เอ็นดูความอยากไปทำงาน ถึงกับตื่นเช้า แต่งตัวรอพี่มารับ
เอ็นดูในความนั่งแกว่งขารอพี่ คงน่ารัก น่าอุ้มมากน่ะ 5555
ซูฮวาเรียนรู้ไว รู้งานเยอะเลย แต่ก็ยังมีความเด๋ออยู่
น้องรู้นะว่าพี่หยางจินอยากให้จับมือขึ้นหลังม้า
แต่น้องทำเมินเพราะไม่อยากอ่อนแอ เป็นไงล่ะ
ตอนนี้ทั้งอยากอ่อนแอ ทั้งรักพี่เข้าแล้ว จับหมดค่ะ
หยางจินไม่ค่อยหวงเนาะ แค่ให้มาอยู่ในห้องด้วย
แค่พาขี่ม้าชมงานก็เข้าใจว่า แค่นั้นพอ จบ
สุดท้ายก็ต้องพาน้องไปอีกอยู่ดี เพราะความตาวาวของน้อง
นั่น ยังไงคะ ถังเฟยจินเยว่ รอเลยจ้าว่ามีอะไรให้ติดตาม
-
มีพิรุจๆ
-
เอ็นความขยันทำงานของซูฮวาตัวน้อยยย
พี่หยางจิน ไม่หวงเลย ไม่เลยสัดนิ๊ด อุตส่าห์พาเก็บซุกไว้ในห้องทำงานเดียวกัน เจอตาวิ๊บวาวเข้าเท่านั้น จบ!555555
คู่รองมาแล้ววว
-
พอรักแล้วก็หวงและรักมากจนหยุดไม่ได้เลยนะคะที่จะแสดงความเป็นเจ้าของ ท่านอ๋อง
-
บทที่๒๐
“ยังไม่นอนอีกหรือ” หยางจินเดินเข้ามาพบว่าพระชายาของตนยังเอาแต่นั่งอ่านสมุดบันทึกเกี่ยวกับเชลยศึกอยู่เลย เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับถังเฟยท่านแม่ทัพจึงไม่ทันสังเกตว่าขุนนางน้อยของเขาแอบหยิบสมุดบันทึกสำคัญติดมือมาอ่านที่บ้านด้วย
“ข้าเห็นว่าพรุ่งนี้จะต้องเดินดูรอบๆ กองทัพ อาจจะไม่ได้งานทั้งวันก็เลยอยากอ่านตรงนี้อีกหน่อยน่ะ” ร่างบางที่นั่งพิงหลังอยู่ตรงหัวเตียงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เปลวไฟแห่งขุนนางผู้ขยันขันแข็งลุกโชติช่วง
แม้จะดูใจร้ายแต่หยางจินก็ต้องดับไฟนั่น
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กกว่าซึ่งเพ่งสมาธิจดจ่อกับหนังสือในมือ เขาลูบหัวซูฮวาเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “ความจริงของพวกนี้ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนเจ้าก็ไม่ควรนำมันออกมา”
“โอ๊ะ” ใบหน้างามซีดเผือด ซูฮวาเงยหน้าขึ้นมามองหยางจินอย่างรู้สึกผิด “ข้าลืมคิดไปเลย”
คนตัวเล็กดูเหมือนจะตัวหดลงอีกหลายส่วนหยางจินก็เลยดุอะไรไม่ออกแล้ว เขาหยิบสมุดออกมาจากมือบางและนำมันไปวางไว้ใต้หมอนก่อนกวักมือเรียกให้ภรรยามาเข้านอนได้แล้ว
ซูฮวาผู้มีความผิดติดตัวไม่กล้าพิรี้พิไร รีบเดินตามคำเรียกของอีกฝ่ายไปที่เตียงทันที “ข้าขอโทษ”
ร่างบางนั่งพับเพียบบนเตียง ก้มหน้าขอขมาอย่างรู้สึกผิด ซูฮวาสำเหนียกตนเองเสมอว่าตนเป็นแค่ขุนนางขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง ยามนี้โดนท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดินจับได้แล้วว่าแอบเอาเอกสารสำคัญออกมาจากกองทัพ คาดว่าพรุ่งนี้ต้องโดนโทษหนักแน่ๆ
“กลัวโดนลงโทษหรือ” หยางจินกล่าวกลั้วหัวเราะ เห็นท่าทางเหมือนลูกกวางน้อยโดนนายพรานล่าแล้วเขาอดแกล้งไม่ได้จริงๆ
ร่างสูงรั้งท้ายทอยของพระชายาน้อยเข้ามาใกล้ก่อนจะแนบริมฝีปากมอบจุมพิตแผ่วเบาให้คนที่เสียขวัญไปแล้ว
เมื่อผละออกซูฮวาก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากหน้าแดงก่ำ เพราะโดน เล่นงานแบบไม่ทันตั้งตัว พอสบสายตาของพระสวามีที่มองมาอย่างแพรวพราวแล้วร่างบางก็ต้องรีบเบือนหน้าไปทางอื่น “ข้า...ข้าทำผิดก็สมควรโดนลงโทษแล้ว”
“ตะ แต่...เห็นแก่ความเป็นสามีภรรยา พี่หยางจินอย่าลงโทษข้ารุนแรงเลยนะ”
ได้ยินคำว่าสามีภรรยาแล้วเส้นความอดกลั้นของคนฟังคล้ายขาดผึง
หานชินอ๋องจับร่างบางกดลงกับเตียง ท่ามกลางความตื่นตกใจของคนโดนกด เพราะนับตั้งแต่เทศกาลไหว้พระจันทร์หานชินอ๋องก็ไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้กับตนเลย
“ทะ ท่าน...จะทำอะไร”
“ลงโทษเจ้าไง” หยางจินตอบพลางกระตุกยิ้มร้ายมุมปาก
ซูฮวาหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก ยามนี้รู้สึกเขินอายจนไม่กล้าสู้หน้าพระสวามีแล้ว ก้อนเนื้อในอกซ้ายร้องระงม ศักดิ์ศรีในใจพยายามตะโกนคัดค้านว่าไม่มีแม่ทัพบ้านเมืองไหนลงโทษขุนนางใต้บังคับบัญชาด้วยวิธีดังต่อไปนี้ แต่ความคิดไร้ยางอายก็บังเกิดขึ้นมาต่อต้าน
อยากโดนกอด
อยากให้พี่หยางจินกอด
ซูฮวารู้สึกละอายอย่างยิ่ง แต่หานชินอ๋องกลับไม่ได้สังเกตใบหน้าวุ่นวายสับสนของพระชายาน้อยเลย เพราะชายหนุ่มกำลังง่วนอยู่กับการปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนใต้ร่าง
ผิวกายของมู่ซูฮวาขาวสว่างจนเหมือนเปล่งแสงได้ มองดูแล้วช่างลงตัวกับติ่งสีชมพูหวานตรงหน้าอก ไม่รอช้า หยางจินรีบก้มลงไปดื่มดำความหอมหวานบนยอดอกของคนตัวเล็กอย่างจาบจ้วง ชายชาติทหารอย่างเขาคงทิ้งคำว่าอ่อนโยนไว้ที่สนามรบนานแล้ว หลังจากละเลงจนผิวกายสีขาวปรากฏรอยจ้ำแดงแล้ว หยางจินก็เลื่อนหน้าขึ้นมาซุกไซ้ตรงซอกคอของซูฮวา
ในขณะที่หานชินอ๋องกำลังเริ่มต้นบทรักเหมือนทุกคืน ฝ่ายที่ถูกกระทำกลับรู้สึกแตกต่างออกไปจากที่แล้วมา
ก็ทุกครั้งน่ะพระชายาน้อยเอาแต่นอนแห้งเหมือนคนปลงสังขาร แต่คราวนี้ไม่เหมือน ไม่เหมือน ไม่เหมือนเลย ซูฮวาไม่ได้ทำตามหน้าที่ของภรรยาที่ดีต้องปรนนิบัติสามี แต่ซูฮวากำลังจะร่วมราตรีกับหานชินอ๋องอย่างเต็มใจ
“อื้อ” ร่างกายบอบบางเริ่มบิดเร่าเมื่อกำลังคิดหนักอยู่ดีๆ มือหยาบกร้านก็เริ่มล้วงเข้ามาในกางเกงแล้ว
คนตัวเล็กรู้สึกเขินจนตาพร่าไปหมดแล้ว พอรู้ว่าพี่หยางจินอยากสอดใส่เข้ามาข้าก็พลิกตัวหันหลังให้เขาอย่างว่าง่าย ไม่รู้ว่าตอนที่ข้าหันหลังมาแล้วพี่ หยางจินจะมองข้าด้วยสายตาเช่นไร
ร่างบางรู้สึกว่าแค่เอาหน้าซุกหมอนคงไม่พอเลยคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมเฉพาะส่วนหัวเพื่อหลีกหนีความเป็นจริง
ความเป็นจริงที่ว่ามู่ซูฮวานอนคว่ำและยกสะโพกขึ้นมาให้หานชินอ๋องป้ายขี้ผึ้งหอมถนัดมือ
ถ้าหลี่หมิงรู้ว่าข้าปล่อยตัวให้พี่หยางจินขนาดนี้ล่ะก็นางต้องดุข้าเละเทะแน่ๆ ยิ่งคิดพระชายาน้อยก็ยิ่งหน้าแดง แต่ก็เขินกับความคิดของตนเองได้ไม่นานก็ถูกคนเบื้องหลังดึงกลับเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
นิ้วชี้หยาบกร้านเต็มไปด้วยไตแข็งของคนที่จับทวนจับอาวุธสู้ศึกมานานปีสอดเข้ามาในร่างของคนงามแล้ว ซูฮวาจิกเล็บกับหมอนแน่น หมายใช้มันเป็นที่ระบายความรู้สึกอันท่วมท้น แต่แล้วหยางจินก็ทำเรื่องโหดร้ายเมื่อเขาสอดนิ้วเพิ่มเข้ามาทีเดียวอีกสอง กลายเป็นสามนิ้วกำลังเขยื้อนอยู่ในช่องทางสีหวาน
“อึก อ้า...” เสียงหวานปนหอบร้องระงม
“เจ้าเนี่ยเป็นที่รักของสวรรค์จริงๆ นะ” ซูฮวาซ่อนหัวอยู่ใต้ผ้าห่มก็เลยไม่รู้ว่าคนข้างหลังกำลังพูดด้วยสีหน้าแบบใด
“อะไรหรือ” ดวงตาใสโผล่ออกมาจากผ้าห่มนิดหน่อย ซูฮวาอยากรู้จริงๆ นะว่าพระสวามีกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่พอสบเข้ากับดวงตาสุดร้อนแรงของอีกฝ่ายเข้าให้ซูฮวาก็รีบคลุมโปงอีกรอบแทบไม่ทัน
เกือบโดนแผดเผาทางสายตาเสียแล้ว
ซูฮวาไม่ได้คิดเลยว่าที่ผ่านมาหานชินอ๋องก็มองตนด้วยสายตาแบบนี้เสมอยามร่วมราตรีกัน มาคราวนี้ซูฮวาเริ่มมีใจให้อีกฝ่ายก็เลยเพิ่งจะตาสว่างมองเห็นความเป็นจริง
และในขณะที่กำลังใจเต้นแรงเพราะสายตาของพระสวามีอยู่นั่นเอง พระสวามีที่เคารพก็กดส่วนปลายเข้ามาอย่างไม่ให้ตั้งตัว ร่างบางสะดุ้งเฮือกแต่ก็พยายามยกสะโพกของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ทรุดลงมา ซึ่งตามปกติหยางจินจะต้องช่วยประคองเอาไว้อีกทีหนึ่ง
คืนนี้พระชายาน้อยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เปลวไฟในใจของ หานชินอ๋องเลยยิ่งลุกลามใหญ่โต
ชายหนุ่มไม่รั้งรออะไรอีกแล้ว จับก้อนซาลาเปาสีขาวผ่องให้แบะออกแล้วก็ถลำแก่นกายของตนเข้าไปในรวดเดียว
“อ๊ะ อ้า...” มู่ซูฮวาแผดร้องเสียงหลง
แน่นอนว่าซูฮวาไม่ได้เจ็บ ทว่าดวงตาทั้งสองข้างก็รื้นไปด้วยหยาดน้ำตา
แล้วหานชินอ๋องก็ดึงผ้าห่มที่ลูกกวางน้อยใช้เป็นที่ซุกซ่อนออก เมื่อสัมผัสกับความเย็นของอากาศผิวแก้มทั้งสองข้างของซูฮวาก็กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ ดูแล้วน่ารักขนาดคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังยังรู้สึกว่าน่ารักจนอดรนทนไม่ได้
หานชินอ๋องตัดสินใจรักซูฮวาแรงๆ สะโพกสอบที่เคยทำอย่างออมแรง มาตลอดกระแทกเข้าไปในช่องทางที่ตอดรัดอย่างถี่ยิบ
เสียงเนื้อกระทบกันผสานกับเสียงเหนอะหนะของขี้ผึ้งหอม
“อ๊ะ พี่ ฮึก พี่หยางจิน” ร่างบางที่เป็นฝ่ายหันหลังด้วยตัวเองแท้ๆ ยามนี้กลับทำหน้ากระเง้ากระงอดราวกับอยากหันหน้ากลับมาเสียอย่างนั้น
ชายหนุ่มขบฟันอย่างขัดใจแต่ก็ยอมจับร่างกายบอบบางให้พลิกกลับมานอนหงาย แต่เพราะหยางจินไม่ได้จับซูฮวาหมุนแบบค่อยเป็นค่อยไปแต่จับหมุนมาดื้อๆ โดยที่ร่างกายยังเชื่อมประสานกันอยู่ทำให้ซูฮวาร้องเสียงหลง สะโพกมน สั่นระริกอย่างน่าสงสาร น้ำตาไหลเผาะๆ ออกมาจากหางตาตามความรู้สึกเสียวสะท้านที่แล่นลามไปทั่วทั้งร่าง
เพราะช่องทางของซูฮวาถูกการจับพลิกตัวครั้งนี้กระตุ้นจุดกระสันเข้าก็เลยยิ่งรัดตัวแน่นเข้าไปใหญ่
หยางจินต้องกัดฟันพลางเปล่งเสียงทุ้มต่ำออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก
“อ๊ะ พี่หยางจิน อา อย่า เพิ่ง อื้อ” เจ้าของสะโพกที่กระตุกรัวๆ พูดไม่เป็นภาษา
มือเรียวพยายามเลื่อนมาจับเอวสอบเอาไว้เพื่อกันไม่ให้พระสวามีเริ่มขยับตัวกระแทกอีกครั้ง ซูฮวารู้สึกว่าตัวเองถูกกระตุ้นจนน่าอับอายมากเกินไปแล้วและไม่อยากอายมากไปกว่านี้ก็เลยพยายามห้ามร่างแกร่งเอาไว้ แต่หยางจินกลับคิดต่าง ร่วมราตรีกันมาหลายครั้ง ตัวเขาก็เคยกระแทกโดนจุดกระสันของภรรยา มาหลายรอบ แต่ไม่มีจุดไหนเลยที่ทำให้ซูฮวาเสียอาการมากขนาดนี้
ไวเท่าความคิด หานชินอ๋องค่อยๆ กดย้ำตรงจุดเดิมเบาๆ
เมื่อหัวมังกรสัมผัสโดนผนังส่วนอ่อนไหวร่างบางก็สะดุ้งเฮือก
ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาตวัดมองคนที่กำลังคร่อมร่างอยู่อย่าง แง่งอน
เป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน หยางจินรีบก้มลงไปจูบอย่างดูดดื่ม ส่งลิ้นเข้ามากวาดต้อนตักตวงความหวานอย่างอิ่มเอม ในขณะเดียวกันก็ขยับเบาๆ เอวดุนดันจุดกระสันของพระชายาน้อยอย่างโหดเหี้ยม
“อื้อ” พระชายาน้อยน้ำตาร่วงไม่ขาดสาย
รู้สึกไม่พอใจพระสวามีที่ไม่ยอมฟังคำขอร้องกันบ้างเลย แต่ก็รู้สึกดีจนต้องแอ่นสะโพกให้สูงขึ้น
หยางจินสัมผัสได้ถึงการขยับตัวของคนใต้ร่างจึงถอนริมฝีปากออก ชายหนุ่มใช้ลิ้นตวัดเลียคราบน้ำลายตรงมุมปากของซูฮวาให้ก่อนจะเริ่มขยับเอวแกล้งกดหนักๆ ไปตรงจุดนั้นของพระชายาน้อยอีกสามสี่ครั้งแล้วก็หยุด
คราวนี้ซูฮวารู้แล้วว่าตนโมโหอะไร ไม่ใช่เพราะพระสวามีไม่ยอมปล่อยให้พักหรอก ก็แค่ไม่ได้ดั่งใจนิดหน่อย
ท่านรังแกข้าเกินไปแล้ว จะกระทำอันใดก็เร่งกระทำไปสิ มาทำๆ หยุดๆ หลอกให้ข้าสั่นสะท้านแล้วก็เงียบหายไปแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน
ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่น ขณะช้อนตาขึ้นมาสบตาคนตัวสูงกว่าก็พลั้งปากเอ่ยความต้องการในใจออกมา
“ขยับต่อสิ”
มู่ซูฮวารู้ตัวในเวลาต่อมาว่าคำกล่าวของตนเมื่อสักครู่น่าอับอายเพียงใด! ร่างบางอยากกลายร่างเป็นเต้าหู้แล้วก็ละลายหายไปเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่หานชินอ๋องกลับไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น คำว่าขยับต่อสิช่างมีอิทธิพลมากมาย ทีแรกเขาก็แค่อยากแกล้งให้คนใต้ร่างบิดตัวเร่าๆ อย่างอึดอัดเล่นๆ เท่านั้น
หยางจินรู้ว่าซูฮวาต้องการอะไร แต่ไม่คิดว่าซูฮวาจะถึงกับเอ่ยปากออกมา
คราวนี้ซูฮวาร้องไห้จริงๆ แล้ว
“ฮึก อะ อา...” พระชายาน้อยรู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นบุรุษที่ตนพยายามไขว่คว้ามาตลอดชีวิตกำลังลอยห่างไกลออกไปอีก
“ซูฮวาของข้า ไม่ต้องร้อง มันไม่มีอะไรน่าอาย” หยางจินประคองร่างบางขึ้นมากอดแนบอก
หลังจากจับสะโพกมนให้นั่งบนตักของตนเรียบร้อยแล้วเขาก็เริ่มขยับเอวกระแทกสวนขึ้นลงหลายครั้ง
“ฮึก” ซูฮวากอดรอบคอของคนตัวสูงกว่า ฝังหน้าลงบนไหล่กว้างในขณะที่น้ำตายังร่วงไม่หยุด
“ฮ้า อ๊ะ” เสียงอันเกิดจากการสะอื้นปนครางกระเส่าดังคลอเคลียอยู่ข้างหูกระตุ้นความต้องการของบุรุษเพศ หยางจินไม่อาจตอบได้ว่าตนควรจะหยุดเพื่อปลอบขวัญพระชายาตัวน้อยก่อนดีหรือจะเร่งทำให้เสร็จก่อนดี เมื่อเลือกไม่ได้ ชายหนุ่มจึงทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน
เขากระแทกเอวแรงๆ คล้ายไม่ตั้งใจแต่ในสี่ครั้งจะต้องสะกิดโดนจุดนั้นของคนในอ้อมแขนเล่นงานให้ร่างเล็กสะท้านเบาๆ เสมอ และหนึ่งในสิบครั้งจะต้องกระแทกโดนจุดดังกล่าวเต็มๆ
“ซูฮวาของข้า ไม่ต้องกลัว ระหว่างเราสองคนไม่มีอะไรต้องกลัว” เขาไม่ลืมหน้าที่ของสามีที่ดี ตลอดเวลามือหยาบกร้านของเขาไม่ได้หยุดลูบเส้นผม นุ่มสลวยของคนในอ้อมแขน
“ฮื่อ” ซูฮวาพยักหน้าหงึกหงัก ความอายเริ่มทุเลาลงแล้ว
“เจ้าพูดแบบเมื่อครู่อีกสักครั้งได้ไหม” เมื่อเห็นว่าเสียงสะอื้นหายไปแล้ว หยางจินก็เอ่ยปากขอ
“ไม่” เสียงหวานงุบงิบตอบ ให้ตายซูฮวาก็ไม่เอ่ยคำพูดน่าละอายเช่นนั้นออกมาอีกแล้ว แค่ช่วยยกสะโพกตอบรับแรงกระทุ้งของร่างสูงอยู่นี่ซูฮวาก็เขินจนแทบขาดใจแล้ว
แต่เพราะซูฮวาขยับสะโพกตามจังหวะเบามาก เบาจนหานชินอ๋องไม่รู้ ชายหนุ่มก็แค่คิดว่าเอวบางแค่สั่นเทา เพราะช่องทางสีหวานถูกรุกล้ำเหมือนทุกทีก็เท่านั้น
แต่ขนาดไม่รู้ว่าตนได้เปรียบกว่าขนาดไหนหานชินอ๋องยังแกล้งหยุด การกระทำของตน
พายุเพิ่งซัดกระหน่ำอยู่เมื่อประเดี๋ยวนี้หยุดลงกะทันหัน ปุบปับเสียจนพระชายาน้อยตามไม่ทัน
ร่างบางเงยหน้าขึ้นมาจากไหล่แกร่ง คล้ายอยากกล่าวพูดอะไรบางอย่างแต่หยางจินกลับกดใบหน้างามให้ซบกลับไปดังเดิม สืบเนื่องมาจากเขาต้องการแกล้งหยุดเพื่อบีบให้ซูฮวาพูดจาน่ารักเหมือนก่อนหน้านี้ออกมาอีกครั้ง ขืนเห็นใบหน้างามที่เต็มไปด้วยอารมณ์ราคะฉายแวววิงวอนร้องขอเข้าชายหนุ่มคงได้ตบะแตกก่อนแผนสำเร็จแน่ๆ
“ถือว่าข้าขอร้องก็ได้ พูดเถอะ ข้าอยากฟัง” แผนการครั้งนี้นับว่าเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย
เมื่อเจ้ามังกรยักษ์ที่บุกทะลวงกระหน่ำเข้ามาจู่ๆ ก็แน่นิ่งแช่ค้างอยู่ข้างในเฉยๆ ผนังรอบด้านของช่องทางรักก็บีบรัดคล้ายกำลังร้องขอแทนคำพูดว่าได้โปรดสอดใส่ข้าอีกเถิด ข้าอยากนวดท่านจะแย่แล้ว หยางจินเองก็ต้องกัดฟันข่มความรู้สึกแทบแย่
“ซูฮวา” เสียงทุ้มเร่งเร้า
สะโพกสอบเจตนากระแทกกายเข้าไปตรงจุดอ่อนไหวของร่างบางแทนการลงโทษที่มัวแต่ชักช้า
ซูฮวาเปล่งเสียงร้อง อ๊ะ อ้า ออกมาตามจำนวนครั้งที่ถูกกระแทก แต่พอ หยางจินหยุดซูฮวาก็หยุด!
กลายเป็นสงครามประสาทไปแล้ว!
ซูฮวาก็ไม่ใช่คนที่ท่านจะรังแกเท่าไรก็ได้โดยไม่ตอบโต้หรอกนะ!
พระชายาน้อยตัดสินใจดำเนินการขั้นเด็ดขาด ให้ตายก็ไม่พูดออกมาหรอก...หึ
“เชอะ” เสียงหวานเปล่งออกมาอย่างแง่งอน แน่นอนว่าหยางจินได้ยินเต็มๆ สำหรับชายหนุ่มแล้วมันช่างน่ารักจนแทบอดใจไม่ไหวแต่ เพราะเขาเริ่มเข้าใจเจตนาอันดื้อรั้นของซูฮวาแล้วเขาก็เลยไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน
“เด็กน้อย ริอาจขัดขืนข้าหรือ” เทียบกับพระชายาที่นอนให้ทำเฉยๆ อย่างเรียบร้อยมาตลอดแบบนี้ดีกว่ากันมาก หยางจินกลั้นยิ้มจนแทบเป็นบ้า
ร่างสูงขยับตัวไปนั่งพิงหัวเตียง ทุกการขยับจะจงใจสอดกายเข้าออกช่องทางน้อยที่แสนคับแน่นเบาๆ ส่งผลให้ซูฮวาได้แต่ครวญครางเสียงแผ่วและมองเขาตาเขียวปั๊ด
หยางจินคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข เขาใช้แขนอันแข็งแรงของเขาจับเอวของซูฮวาเอาไว้มั่นและเริ่มยกร่างบางขึ้นลงช้าๆ
ซูฮวาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ทีแรกที่โดนหยางจินยกตัวขึ้นซูฮวาคิดว่าอีกฝ่ายจะถอนกายออกไป แต่พอโดนดึงกลับลงมาร่างบางก็แอบมีสีหน้าโล่งอก
“เจ้าต้องการหรือ” เพราะหยางจินมองอยู่ตลอด ใบหน้างามเปลี่ยนแปลงอย่างไรเขาย่อมสังเกตเห็น
ซูฮวารู้สึกเหมือนศักดิ์ศรีของตนโดนทุบรัวๆ เจ้าต้องการหรือ แม้ในประโยคจะไม่ได้บอกว่าต้องการสิ่งใดแต่ซูฮวากลับเข้าใจดีว่าหยางจินหมายถึง เจ้าต้องการความเป็นชายของข้าหรือ
“ฮื่อ” ร่างบางร้องประท้วง เพราะโกรธแทบแย่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้คนตัวใหญ่กว่าจับเอวของตนยกขึ้นยกลง ก้นนุ่มถูกทำให้ถูครูดไปกับแก่นกายแกร่งที่ชูชันอยู่อย่างเชื่องช้า ซูฮวารู้สึกทรมานจนแทบเป็นบ้าแล้ว
และพระชายาน้อยก็ทนไม่ไหวเสียเอง ก้นลูกท้อที่สั่นระริกเริ่มขยับ บดเบียดหน้าขาของแม่ทัพใหญ่
คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างแปลกใจแต่ก็กัดฟันอดทนมองการกระทำต่อไปของพระชายาน้อยอย่างใจเย็น
มู่ซูฮวาโยนสติทิ้งไปอีกด้านหนึ่ง มือเล็กทั้งสองข้างจับไหล่กว้างเอาไว้เป็นหลักยึดก่อนจะค่อยๆ หลับตาปี๋และขยับสะโพกของตนเองขึ้นลงอย่างเร็วขึ้น อาจจะไม่เร็วมากเมื่อเทียบกับจังหวะยามปกติของหยางจิน แต่อย่างน้อยก็เร็วกว่าการยกขึ้นยกลงอย่างน่าทรมานใจเมื่อครู่
“ฮะ อ้า...” ร่างบางลงมือเอง ครางกระเส่าเอง
หยางจินขบฟันแน่น
เขาอยากกระแทกกระทั้นภรรยาน้อยในอ้อมแขนให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็อยากเห็นลูกกวางน้อยลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองต่ออีกสักนิด
สุดท้ายหานชินอ๋องก็นั่งพิงหัวเตียงเฉยๆ จับจ้องร่างบางที่หลับตาแน่นอย่างหลงใหล
มู่ซูฮวายามนี้งดงามเหลือเกิน เกินกว่าบุรุษคนหนึ่งจะต้านทานไหว เขาค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบแก้มนุ่มของคนที่พยายามขยับเอวอยู่อย่างยากลำบาก ร่างบางสะดุ้งเบาๆ เมื่อโดนแตะแต่ก็ไม่ได้หยุดการขยับช่องทางเบื้องล่างให้ดูดกลื่นความเป็นชายของพระสวามี
“อื้อ” ซูฮวาเด็กโง่เผลอขยับจนไปโดนจุดกระสันของตนเข้าให้
“แฮ่ก” และแล้วร่างบางก็หยุด ร่างกายสั่นเทาจนน่าเห็นใจ
หานชินอ๋องยกยิ้มมุมปาก ได้เท่านี้ก็เก่งมากแล้ว เขาลูบหัวซูฮวา อย่างเอ็นดูขณะเริ่มขยับสะโพกสอบกระทุ้งขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง
“ฮะ ฮ้า” ซูฮวายังคงหลับตาปี๋ เพียงแต่เปลี่ยนมาซบหน้ากับไหล่กว้างเหมือนเดิมแล้ว
หยางจินหัวใจพองโตจนอกแทบระเบิด เขาก้มลงไปจูบขมับของคนในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ ลูบมือไปทั่วแผ่นหลังบางอย่างหลงใหล และขยับมังกร ไม่ขาดสาย
“พี่หยางจิน อื้อ จะ จูบ” ในที่สุดพระชายาน้อยก็ยอมลืมตาขึ้นมา
ดวงตาฉ่ำเยิ้ม ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้นนิดๆ เพื่อหอบหายใจ ดูแล้วเกิดความรัญจวนเหมือนแมวข่วนหัวใจ นี่นับว่าเป็นการยั่วยวนโดยไม่รู้ตัวทว่าได้ผล ชะงัด
ร่างบางร้องขอให้จูบแต่ทว่ากลับเป็นฝ่ายเลื่อนหน้าเข้ามาแตะริมฝีปากคนตัวสูงกว่าแทน ลิ้นเล็กๆ ค่อยๆ สอดเข้ามาก่อนอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วหลังจากนั้นริมฝีปากอวบอิ่มก็โดนหานชินอ๋องละเลงจนบวมช้ำ
แต่ซูฮวากลับรู้สึกพึงพอใจมาก ปล่อยกายไปตามสัญชาตญาณ ยามพระสวามีโน้มลงมาขบเม้มติ่งไตสีชมพูก็ยอมแอ่นอกให้โดยดุษฎีและเริ่มขยับสะโพกตอบสนองบทรักมากขึ้นอีกนิด อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ แต่ในที่สุดหานชินอ๋องก็รับรู้แล้ว
หยางจินบดจูบคลอเคลียริมฝีปากที่โดนเขารังแกจนช้ำไปหมดอย่างคลั่งไคล้
เขารู้สึกว่าตนกำลังจะเป็นบ้า เหตุใดภรรยาของเขาถึงได้น่ารักเพียงนี้กันนะ
หยางจินตั้งคำถามในขณะที่สติของมู่ซูฮวาหลุดลอยไปแล้ว ร่างบางกระตุกถี่ยิบ ซูฮวาน้อยที่ไม่เคยได้ใช้งานผงกหัวหงึกๆ ก่อนจะพ่นของเหลวสีขุ่นออกมาเต็มหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของหยางจิน
“แฮ่กๆ” ร่างกายบอบบางหมดเรี่ยวแรง
การร่วมรักครั้งนี้หนักกว่าครั้งไหนๆ เพราะซูฮวาไม่เคยต้องขยับเอวตอบสนองพระสวามีมากมายเท่านี้มาก่อน
แล้วหยางจินก็จับร่างบางกดลงนอนบนเตียง เขาบดจูบคนที่กล้าดีไปถึงจุดสูงสุดก่อนย้ำๆ หลายครั้งในขณะเอวสอบก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเลย ซูฮวารู้สึกว่าร่างกายของตนกำลังสั่นคลอน เตียงไม้หลังใหญ่เองก็ส่งเสียงลั่นจนน่าสงสาร
ค่ำคืนนี้หานชินอ๋องรุนแรงมากจริงๆ แต่เขาคิดว่าตนยังสามารถแรงได้มากกว่านี้จึงกระหน่ำเข้าอีกระรอกใหญ่
“อ๊ะ อ้า อ้า...” ขนาดซูฮวาเพิ่งถึงจุดสูงสุดไปหมาดๆ ยังโดนทำให้รู้สึกเสียวซ่านขนาดนี้
และแล้วน้ำรักจำนวนมากก็ทะลักทลายเข้ามาในร่างกายของพระชายาน้อย ก้นลูกท้อสั่นเทาและกระตุกอีกครั้งราวกับดีใจที่ได้ดื่มกินของเหลวสีขุ่นข้นพวกนี้
“พี่หยางจิน อา อื้อ” หยางจินไม่ได้ถอนกายออกแต่กลับก้มลงมาประทับริมฝีปากจุมพิตพระชายาของตนอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ได้อุกอาจรุนแรง หานชินอ๋องลูบไล้แก้มเนียนของผู้เป็นภรรยาอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“พี่หยางจิน อะ อืม กอดข้าทีสิ” ร่างบางกลับรั้งไหล่ของเขาไว้
หยางจินเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร เขายังคงไม่ได้ถอนกายออกมาแต่เปลี่ยนท่าลงไปนอนข้างๆ ร่างบางแทน ดูลำบากนิดหน่อยเพราะ พระชายาน้อยต้องยกขาขึ้นมาก่ายเอวหนาเอาไว้ แต่พอกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นก็ไม่มีอะไรลำบากแล้ว
“เหตุใดวันนี้เจ้าถึงได้แสนอ้อนนัก”
ซูฮวาหน้าขึ้นสี ไม่รู้จะตอบพระสวามีอย่างไรจึงได้แต่เงียบไว้
ก็จะให้บอกได้อย่างไรเล่าว่าข้าหลงรักท่านแล้ว และข้าไม่รู้ว่าข้าจะเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของท่านไปอีกนานแค่ไหน หากวันหน้าท่านรับอนุคนงามหรือ ฮูหยินบุตรีขุนนางนางใหม่เข้ามาในวังแล้วข้าจะยังได้รับความโปรดปรานจากท่านมากมายเช่นนี้อีกหรือ
สายตาที่มองมาอย่างรักใคร่นั้นจะถูกใช้เพื่อมองภรรยานางอื่น แค่คิด ข้าก็ปวดใจแล้ว ข้าจึงอยากเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ท่านเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวนี้เอาไว้ แม้ว่าในความจริงแล้วข้าอยากครอบครองท่านเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวก็ตาม
----------------------------------------
ตายแร้ววว เขินนนน นิคโค่อยู่ในโหมดหื่น 5555
#มาลาสุราลัย
-
:pig4:
:3123:
:กอด1:
-
:jul1:
-
อยากจะกรีดร้องดังๆๆ :katai1:
-
กรีีดร้องงงงงงงง ซูฮวาาาาาา ยัยน้องงงงงง :jul1: :jul1: :jul1:
-
อมกกกกกก ซูฮวารู้กแม่ แสนจะน่ารักเลย กรี๊ดดดดดด
-
สุดยอดมาดซูฮวา
-
จ้าาาา
-
เอ็นดูซูฮวามากค่ะ น้องเป็นเด็กน้อยของพี่หยางจินไปเลย
พอรู้ตัว ก็นอยด์กลัวพี่มีอนุมาเพิ่มให้ช้ำใจ
แต่อาการแบบนี้ พี่หยางจินคงไม่ชายตามองใคร
หรือรับใครมาเป็นอนุได้อีกหรอก ทั้งรักทั้งหวงน่าดู
แล้วอะไรคือแหย่น้องให้กลัวโทษ ทำเนียนหลอกให้นอนล่ะสิ
-
เดี๋ยวหยางจินหลงแย่
-
น้องงงงง
-
บทที่๒๑
“ข้าคิดว่าพรุ่งนี้ต้องมาใหม่เสียแล้ว”
เพราะว่าเมื่อคืนนี้กว่าจะได้นอนก็เหนื่อยมากๆ แล้ว วันรุ่งขึ้นซูฮวาก็เลยไม่ตื่น หยางจินต้องส่งคนมาบอกที่กองทัพว่าจะเข้างานช้าหน่อย จินเยว่ที่ตั้งใจว่าจะมาหาซูฮวาก็เลยต้องนั่งรออย่างว่างงานอยู่ในห้องรับรองโดยมีถังเฟยให้การต้อนรับอย่างใกล้ชิด
ตอนที่ซูฮวาเดินเข้ามากับหยางจินซูฮวาเห็นเต็มสองลูกตาว่าจินเยว่กำลังนั่งพิงไหล่ของถังเฟยอยู่!
ร่างบางเบิกตากว้าง แอบดีดลูกคิดรางแก้วในใจถึงความเป็นไปได้ที่ทั้งสองคนจะเป็นคู่รักกัน
คิดไปคิดมาก็ต้องแอบมองหน้าของหานชินอ๋องผู้เป็นพระเชษฐาของเทียนชินอ๋องคนงาม
ความจริงแล้วจินเยว่ก็เป็นบุรุษที่งดงามมาก แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยันต่อโลกใบนี้ คงเพราะถูกปฏิบัติอย่างไม่ไยดีมาตั้งแต่เล็กนิสัยก็เลยไม่ค่อยอ่อนโยนเท่าไร ดูสิ พอเห็นหน้าข้าจินเยว่เพื่อนรักก็เดินเอาพัดมาเคาะหัวข้าแล้ว
“เจ้ามัวแต่นอนก้นโด่งอยู่ล่ะสิ!”
ข้ายอมรับว่าข้ามัวแต่นอนก้นโด่ง ท่านพี่ของเจ้าก็เลยมาทำงานสาย แต่สาเหตุที่ทำให้ข้านอนก้นโด่งก็คือพี่ของเจ้านั่นแหละ! ดูข้าสิ ขนาดทายาไปแล้วยังเดินขัดๆ อยู่เลย
คนงามเบะปากงอแง เจ้าเอาแต่ใจได้ข้าก็เอาแต่ใจได้เหมือนกัน
“วันนี้ข้าเดินไปรอบๆ ไม่ไหวแล้ว” ความจริงหยางจินจะให้ซูฮวาลาหยุดด้วยซ้ำ แต่ร่างบางกลัวจินเยว่จะโกรธก็เลยฝืนสังขารมาด้วย
“เจ้าจะปล่อยให้ข้ามานั่งเหงือกแห้งรอเจ้าทั้งวันเปล่าๆ น่ะหรือ!” จินเยว่กอดอกเชิดหน้าขึ้นอย่างวางมาด
“ก็เพราะพี่ของเจ้า... ไม่รู้ล่ะ วันนี้ข้าเดินเยอะๆ ไม่ได้”
ทั้งสองคนจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ถังเฟยที่นั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่ถอนหายใจก่อนจะเดินเข้ามากระทุ้งกล้ามท้องของท่านแม่ทัพใหญ่ เพื่อให้ชายหนุ่มเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยการทะเลาะกันของลูกแมวน้อยทั้งสองที แต่ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่กลับทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องเข้าไปห้าม
“คนหนึ่งก็เมีย คนหนึ่งก็น้อง ผู้ที่จะห้ามศึกนี้ได้มีแต่ท่านเท่านั้นนะ” ถังเฟยกระซิบกระซาบ
หยางจินถอนหายใจ เขาคิดว่าภาพยามซูฮวากำลังใช้พัดต่อสู้ตีแปะๆ กับจินเยว่นั้นน่ารักดีเลยอยากชมต่ออีกสักหน่อย แต่เจ้ารองแม่ทัพน่ารำคาญกลับ สอดมือเข้ามายุ่งไม่ดูกาลเทศะ
แต่ก่อนที่หยางจินจะออกหน้า เทียนชินอ๋องก็กล่าวขึ้นอย่างเอาแต่ใจว่า “ไม่รู้ล่ะ! วันนี้ข้ามาเยือนกองทัพก็เพราะได้ยินว่ากองทัพจะเบิกตัวเชลยศึกฝีมือดีของเผ่าต๋าต้ามาใช้สำหรับซ้อมรบ! เจ้าเดินไม่ไหวก็เรื่องของเจ้า! ข้าไปกับรองแม่ทัพก็ได้”
พอเห็นจินเยว่เดินไปคล้องแขนถังเฟยแถมยังเชิดปลายคางขึ้นอย่างดื้อรั้นดวงตาของซูฮวาก็เป็นประกาย
สองคนนี้เป็นอะไรกัน และด้วยความอยากรู้อยากเห็นนี้เองทำให้ร่างบางหันไปส่งสายตาออดอ้อนแก่ท่านแม่ทัพ “พี่หยางจิน ข้าไปกับจินเยว่ด้วยได้ไหม”
และแล้วซูฮวา จินเยว่ แม่ทัพและรองแม่ทัพก็เดินออกมาจากห้องรับรองด้วยกัน ก่อนออกมาหยางจินสั่งให้คนไปเอาหมวกที่มีผ้าคลุมหน้าติดอยู่มามอบให้แก่ภรรยาและน้องชายของตน
“ท่านช่างขี้หวงอะไรเช่นนี้” ถังเฟยที่เห็นคนงามสองคนถูกจับสวมหมวกซึ่งมีผ้าคลุมทึบแล้วอดสงสารไม่ได้ ท่าจะร้อนน่าดู
ทีแรกจินเยว่ดื้อรั้นไม่ยอมใส่ แถมยังประณามหยามเหยียดซูฮวาที่ยอมสวมหมวกอย่างว่าง่ายว่าเจ้ากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของหานชินอ๋องไปแล้วหรือ เขาสั่งอะไรเจ้าก็ทำตามไปหมด แต่พอว่าไปขนาดนั้นแล้วซูฮวายังไม่ถอดแถมยัง เถียงกลับว่าพี่หยางจินให้ใส่ เพราะหวังดีจินเยว่ก็น้ำลายท่วมปากและยอมใส่บ้างอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งสี่คนเดินมายังลานฝึกซึ่งเป็นลานประลองขนาดใหญ่
ซูฮวาต้องมองผ่านผ้าโปร่งสีขาวที่ใช้คลุมหน้าอยู่ก็เลยไม่สามารถมองอะไรได้ไกลเท่าไร ร่างบางจึงไม่ทันรู้ว่าเจ้าพวกทหารเดนตายทั้งหลายมีสีหน้าผิดหวังอย่างยิ่ง
กระทั่งใครคนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างเหลืออด “ท่านแม่ทัพ! ได้โปรดให้พวกเรามองหน้าภรรยาของท่านใกล้ๆ สักครั้งเถิด! ยามปกติท่านก็เก็บไว้ในห้องทำงานแถมยังเอาฉากมาวางกั้นไว้ คราวนี้พาออกมาข้างนอกท่านยังให้สวมหมวกปิดบังใบหน้าไว้อีก”
“เจ้าไปฝึกหวดลมพันครั้ง”
“ท่าน!” นายทหารใจกล้าคนนั้นแทบกระอักเลือดออกมาทันทีที่โดนสั่งลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม
พวกเพื่อนที่เหลือต่างก็อยากเห็นหน้าพระชายาที่ได้รับการกล่าวขานว่างามล่มเมืองตอนแรกก็พยักหน้าสนับสนุนให้ซูฮวาเปิดผ้า แต่พอเห็นจุดจบ อันน่าอนาถของผู้กล้าแล้วก็รีบหดคอเข้ากระดองกันแทบไม่ทัน
ท่านแม่ทัพขี้หวงเกินไปแล้ว!
“เชลยของเผ่าต๋าต้าที่ว่ามีชินอ๋องของทางนั้นด้วยไหม” ซูฮวาที่แสร้งทำเป็นไม่สนใจเสียงโอดครวญของเหล่าชายฉกรรจ์หันหน้าไปถามท่านแม่ทัพ
หยางจินพยักหน้าก่อนจะพาซูฮวากับจินเยว่ไปนั่งตรงเก้าอี้พิเศษซึ่งให้คนจัดเตรียมไว้ให้ ส่วนตนกับถังเฟยซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจกองทัพเอาไว้จะทำตัวเหลาะแหละไม่ได้จึงเดินเลี่ยงออกมาหลายช่วงตัว พวกเขาสองคนเริ่มสั่งให้พวกทหารจัดระเบียบ
ซูฮวาเท้าคางมองอย่างตื่นเต้น
ถึงอย่างไรคนตัวเล็กก็ชื่นชอบวิชาบู๊มากจริงๆ
“พวกเราจะขอประลองด้วยได้ไหมนะ” ซูฮวาหันไปถามจินเยว่
เทียนชินอ๋องแค่นเสียงเหอะในลำคอก่อนจะหันหน้ามาเตรียมจะกล่าวค่อนแคะซูฮวา แต่ดันลืมไปว่าต่างคนต่างสวมหมวกปีกกว้างสุดท้ายผลลัพธ์ก็คือปีกหมวกชนกันอย่างแรงจนหน้าหัน
เทียนชินอ๋องผู้เย่อหยิ่งรีบปรับท่านั่งเพื่อคงความสง่าเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ผิดกับพระชายาน้อยที่เสียมาดจนแทบหงายหลัง
“คิกๆ” ได้ยินเสียงคนข้างๆ หัวเราะเยาะแล้วซูฮวาก็ได้แต่เบะปากเงียบๆ
“เจ้าปวกเปียกขนาดนี้จะไปสู้กับใครได้เล่า ขนาดท่านพี่สอนวรยุทธเจ้าไปตั้งมากมาย เสียเวลาท่านพี่แท้ๆ กระบี่นี้ก็เสียเงินซื้อมาเปล่าๆ” เทียนชินอ๋องแกล้งเอานิ้วไปจิ้มๆ บนกระบี่ของซูฮวา
เพราะได้ยินว่าวันนี้จะมีการประลองยุทธซูฮวาก็เลยพกดาบมาด้วยเผื่อมีโอกาสแสดงฝีมือ
“เมื่อวานนี้ข้าอ่านสมุดบันทึกเกี่ยวกับเชลยศึกมานิดหน่อย ดูเหมือนว่าหนึ่งในนักโทษจะมีชินอ๋องของเผ่าต๋าต้าอยู่ด้วย เห็นว่าชื่อเหวินหลาง และถ้าจำไม่ผิดระหว่างที่พี่หยางจินรบอยู่ที่ชายแดนทางเหนือชินอ๋องเหวินหลางผู้นี้เป็นแม่ทัพของฝ่ายศัตรูเพียงคนเดียวที่มีวรยุทธทัดเทียมกับพี่หยางจิน”
เนื่องจากต้องหมั้นหมายกับหานชินอ๋องมาแต่เล็กทำให้ซูฮวามีความรอบรู้เกี่ยวกับอัตชีวประวัติของหานชินอ๋องอย่างแม่นยำ
“ข่าวลือว่าท่านพี่ตัวใหญ่ราวกับยักษ์ก็มาจากช่วงที่ประมือกับชายที่ชื่อว่าเหวินหลางนี่แหละ” จินเยว่นั่งไขว่ห้างเท้าคางอย่างเบื่อหน่าย ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมทอดมองไปยังทิศทางที่พี่ชายของตนกำลังยืนอยู่
การประลองเริ่มต้นขึ้นพอดี เริ่มจากการคัดหายอดฝีมือของกองทัพออกมาสิบคน การประลองนี้เป็นการประลองรอบละร้อยคนต่อสู้เป็นกลุ่มพร้อมกันทีเดียว ใครเหลือคนสุดท้ายก็คือผู้ชนะทำให้การประลองดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งครบสิบครั้งได้ผู้ชนะมาสิบคน
ได้เวลาเบิกตัวเชลยศึกออกมาแล้ว
ซูฮวาชูคอขึ้นมองอย่างตื่นเต้น นักโทษทั้งสิบคนที่ถูกเรียกตัวออกมามีร่างกายกำยำแม้จะโดนกักขังขาดอิสระอยู่ร่วมสี่เดือนแล้ว แววตาของพวกเขามองมายังชาวต้าจินอย่างอาฆาตแค้น และเมื่อนักโทษสิบคนเดินขึ้นเวทีไปแล้วโซ่ตรวนของพวกเขาก็ถูกปลดออก
กลองสัญญาณเริ่มต่อสู้ดังขึ้น
การต่อสู้ในครานี้เป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าดังนั้นจึงไม่มีทางที่ใครจะเป็นอะไรถึงชีวิต
ซูฮวาก้มลงมองกระบี่ในมือย่างเสียดาย หากสู้ด้วยมือเปล่าล่ะก็ซูฮวาไม่ไหวหรอก
และในขณะที่กำลังเหม่ออยู่นั้นเองร่างของใครบางคนก็กระเด็นออกมาจากสนาม ด้วยความที่มันเกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีใครตั้งตัวทันเชลยชาวต๋าต้าคนนั้นก็ชักดาบออกมาจากเอวของนายทหารที่ยืนอยู่ใกล้มือก่อนจะกระโจนเข้ามายังพวกซูฮวาที่นั่งอยู่
เชลยผู้นี้เคยเป็นถึงขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้ถูกทำลายศักดิ์ศรีจนย่อยยับ เขาไม่คิดจะมีชีวิตอย่างอัปยศเช่นนี้อีกแล้วแต่ก็ไม่อยากฆ่าตัวตายอย่างไร้ค่าในคุก
วันนี้คล้ายสวรรค์เห็นใจเขาแล้ว ได้รับการคัดเลือกออกมาประลองยุทธกับชาวต้าจิน แถมข้างสนามยังมีขุนนางน้อยท่าทางอ่อนแอนั่งอยู่ข้างๆ คุณชายท่านหนึ่งที่แต่งกายสูงศักดิ์ แม้จะเป็นชาวต่างเผ่าแต่ก็เดาสถานะของคุณชายท่านนี้ได้ไม่อยาก
อย่างน้อยก่อนตายอดีตขุนพลอย่างเขาก็ขอรีดเลือดออกจากหัวของ ท่านอ๋องน้อยแห่งต้าจินเสียหน่อยเถิด!
อดีตขุนพลร่างใหญ่กระโจนเพียงก้าวเดียวก็มาถึงตรงหน้าของพวก จินเยว่ ท่านอ๋องน้อยเงยหน้ามองคมดาบที่กำลังจะฟาดลงมากลางหัวของตนด้วยความตื่นตะลึง!
เคร้ง!
แต่ก่อนที่ชีวิตอันไร้ค่าของเทียนชินอ๋องจะหลุดลอยหายไปซูฮวาก็รีบใช้กระบี่ในมือของตนช่วยกันไว้ได้สำเร็จ
ทว่าเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของซูฮวาก็ยันเอาไว้เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ร่างบางหงายหลังล้มกลิ้งตามแรงผลักแต่ก็อุตส่าห์มีสติเหลือพอจึงคว้าแขนของ เพื่อนรักที่เป็นเป้าหมายของการสังหารโหดให้กลิ้งไปด้านหลังกับตนด้วย
คนตัวเล็กทั้งสองกลิ้งหลุนๆ ออกไปไม่ไกลนัก ขุนพลยักษ์รีบร้อนเตรียมจะเข้าไปซ้ำทว่าร่างกายอุดมไปด้วยมัดกล้ามของเขาก็ถูกแม่ทัพใหญ่แห่งต้าจิน อย่างหานชินอ๋องเตะเสยเข้าที่ปลายคางเต็มๆ
ขุนพลยักษ์โงนเงนจะล้มลง แต่ก่อนที่แผ่นหลังของเขาจะสัมผัสพื้น คมดาบในมือของหานชินอ๋องก็ปาดคอหอยปลิดชีวิตของเจ้าเชลยศึกชั้นต่ำผู้นี้ในพริบตา สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าหานชินอ๋องนั้นฆ่าขุนศึกฝีมือดีได้ในเวลาที่รวดเร็วกว่าการล้มลงของขุนศึกเสียอีก
ไม่รู้ว่าขุนศึกหงายหลังล้มลงช้าเกินไปหรือหยางจินสังหารคนว่องไวเกินไป พอแผ่นหลังของอดีตขุนศึกผู้นั้นสัมผัสพื้นลมหายใจของเจ้าตัวก็ดับสูญไปแล้ว
ความเงียบเกิดขึ้นทั่วบริเวณ ทหารทุกคนต่างตกใจเพราะเหตุการณ์ตั้งแต่เจ้าเชลยแย่งดาบจากเอวทหารจนกระทั่งมันตายนั้นเกิดขึ้นในชั่วอึดใจเท่านั้น บางคนที่อยู่ไกลออกไปยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
“แค่กๆ” จะมีก็แต่เสียงไอของคนที่ลงไปคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นนั่นแหละที่ช่วยทำลายความเงียบให้
ซูฮวาดูจะอาการหนักกว่าจินเยว่มาก ร่างบางไอไม่หยุด ดวงตาที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมมีน้ำตาไหลพราก ที่ดินในกองทัพส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทรายฝุ่นควันช่างมากมายนัก
“เจ้าโง่” จินเยว่ที่รอดตายหวุดหวิดคว้าตัวสหายรักเข้ามากอดอย่างเสียขวัญด้วยกลัวว่าตนจะตายแล้วลากเพื่อนไปตายด้วยอีกต่างหาก แต่ก็ยังคงปากแข็ง เขินจนไม่กล้ากล่าวคำขอบคุณ “ทำไมถึงโง่นัก แขนเจ้าจะเล็กกว่านิ้วโป้งของเชลยคนนั้นอยู่แล้ว”
จินเยว่กล่าวจบหยางจินก็เดินมาถึงทั้งสองคนพอดี
ทางซ้ายเป็นน้องชาย ทางขวาเป็นภรรยา ท่านแม่ทัพใหญ่เลือกไม่ได้อีกแล้วว่าควรปลอบขวัญใครก่อน ร่างสูงจึงตัดสินใจรวบทั้งสองคนเข้ามาในอ้อมแขนและหันไปสั่งรองแม่ทัพที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ จินเยว่ด้วยใบหน้าเป็นห่วงแต่ไม่กล้าเข้ามาแตะเนื้อต้องตัว
“เจ้าพาเชลยที่เหลือกลับไปรับโทษซะ”
สิ้นเสียงของหยางจินก็มีชายผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มเชลยที่กำลังจะโดนจับ ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคืออ๋องแห่งเผ่าต๋าต้า เหวินหลางนั่นเอง ชายหนุ่ม ผู้นี้แรกเริ่มเดิมทีมีร่างกายกำยำอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อเฉกเช่นหานชินอ๋อง ใน ยุคสมัยหนึ่งพวกเขาทั้งสองเคยประลองฝีมืออย่างสูสี แต่เหวินหลางที่ยืนอยู่ตรงหน้ายามนี้ไม่หลงเหลือเค้าลางแห่งอดีตแม่ทัพเผ่าต๋าต้าอีกแล้ว
ก่อนที่เผ่าต๋าต้าจะพ่ายแพ้ แม่ทัพอย่างเขาบาดเจ็บสาหัส เส้นยุทธทั่วร่างพากันอ่อนแอลง ฝีมือถดถอยลงครึ่งหนึ่ง
ยามนี้เขาไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรแล้ว แต่บนบ่าก็ยังแบกรับชีวิตของลูกน้องนับหมื่นชีวิตที่ถูกจับเป็นเชลยศึกมาพร้อมตนอยู่ เหวินหลางตัดสินใจคุกเข่าและก้มศีรษะลงแนบพื้นเพื่อขอร้องอดีตคู่ปรับอย่างหานชินอ๋อง
“ท่านแม่ทัพแห่งต้าจินได้โปรดเมตตาด้วย เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เหล่าสหายที่เหลืออีกหมื่นชีวิตล้วนไม่ล่วงรู้ว่าขุนพลตี้จะเสียสติลงมืออุกอาจ หากจะลงโทษเพื่อให้หลาบจำล่ะก็เชิญลงโทษข้าแต่เพียงผู้เดียวเถิด”
หยางจินมีสีหน้าเรียบเฉย
พลันรอบสนามประลองบังเกิดความเงียบก้อนใหญ่เข้าครอบงำ
กระทั่งแม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดินผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ชายหนุ่มหันไปมองใบหน้าของพระชายาที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้า เมื่อสบตากันแล้วหยางจินก็มองเห็น ความใจอ่อนอยู่ในนั้นเต็มไปหมด
มู่ซูฮวาเป็นบุตรชายของเจ้าผู้ครองแคว้นเล็กๆ มองเหวินหลางยามนี้ก็คล้ายมองเห็นคนในครอบครัว
อันผิงน่ะไม่เคยรบชนะใครหรอก เป็นแคว้นอ่อนแอของอ่อนแออีกทีหนึ่ง หน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานก็มีแต่จารึกไว้ว่าเคยเป็นเมืองขึ้นของใครนานเท่าไร แต่ละปีต้องจ่ายเครื่องบรรณาการอย่างไร กระนั้นบรรพบุรุษสกุลมู่ก็ไม่เคยขายประชาชนไปเป็นทาส
คนสกุลมู่ยอมลดศักดิ์ศรีของตนเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีให้แก่ชาวเมืองเสมอมา
การส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาเป็นเครื่องบรรณาการแห่งต้าจินคือการกล้ำกลืนทั้งน้ำตา
“ข้าไม่เป็นไร ท่านอย่าโกรธเลยนะ” ซูฮวากล่าวเสียงแผ่ว
น้ำเสียงของพระชายาน้อยดูไร้เรี่ยวแรงจนหยางจินใจหาย แต่ในเมื่อซูฮวาออกปากอ้อนวอนขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่อาจลากคอใครมาประหารได้ลง
“โบยเชลยศึกเหวินหลางสองร้อยไม้ ส่วนเชลยที่เหลืออีกหมื่นนายที่ถูกใช้แรงงานอยู่ทั่วต้าจินให้งดอาหารสามมื้อ!” หยางจินออกคำสั่งขั้นเด็ดขาด นี่นับว่าเป็นการลงโทษสถานเบาที่สุดเท่าที่เขามอบให้อดีตคู่ปรับผู้ตกต่ำของตนได้แล้ว
“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพ!” เหวินหลางละทิ้งความภาคภูมิใจ ชายหนุ่มก้มหัวจรดพื้นเพื่อทำแสดงความเคารพสูงสุดแก่หานชินอ๋อง
หยางจินเลิกสนใจความชุลมุนตรงหน้า เขาพาจินเยว่กับซูฮวากลับไปพักผ่อนที่วังของเทียนชินอ๋องในป่าไผ่
“เจ้าไปอยู่กับจินเยว่เถิด” เมื่อย่างเท้าเข้ามาในวังของผู้เป็นน้องหยางจินก็หันไปพูดกับถังเฟย
รองแม่ทัพหนุ่มมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “จะดีหรือ”
“ที่นี่มีแค่เรากับแม่เฒ่าใบ้ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง” หยางจินพเยิดหน้าไปยังร่างเล็กของเทียนชินอ๋องที่กำลังถอดหมวดออก เผยให้เห็นใบหน้างามที่เศร้าหมอง
“ท่านพี่ ข้าขอโทษด้วย เพราะความอับโชคของข้าซูฮวาก็เลยพลอยบาดเจ็บไปด้วย” จินเยว่ที่ถือตัวเชิดหยิ่งมาตลอดทางพอถอดหมวกออกแล้วก็ไม่สามารถปิดซ่อนใบหน้าอมทุกข์ได้ จึงตัดสินใจกล่าวออกมาตามตรงว่ารู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้คล้ายชนวนจุดระเบิด
ภายในใจของเทียนชินอ๋องมีก้อนกระจุกแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจก่อตัวขึ้น
หยางจินต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการปลอบขวัญน้องชายของเขา ซูฮวาเองก็อยากให้หยางจินปลอบจินเยว่ต่ออีกสักนิดแต่แม่ทัพหนุ่มกลับส่งต่อจินเยว่ให้ถังเฟยอย่างมีน้ำใจและพาพระชายาของตนเข้ามาในห้องนอนที่เขาใช้เสมอยามมาค้างบ้านน้อง
“ท่านไม่อยู่กับจินเยว่จะดีหรือ” ซูฮวารีบถามทันทีที่เดินเข้ามาข้างใน
หยางจินส่ายหน้า “จินเยว่มีถังเฟยอยู่แล้ว”
“แต่ท่านเป็นพี่” ซูฮวาแย้ง
“ถังเฟยก็เป็นพี่” หยางจินกล่าว
ซูฮวาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ หมายจะซักถามต่อแต่ร่างสูงกลับพาเขาไปที่เตียงก่อนจะยกมือบางที่มีผ้าพันไว้ขึ้นมา
ครั้งแรกที่หยางจินเห็นมือทั้งสองข้างของซูฮวาเขาตกใจและโกรธจนแทบจะหันไปตัดคอขุนพลหน้าโง่นั่นมาเสียบประจานหน้ากองทัพให้รู้แล้วรู้รอด! มันกล้าดีอย่างไรมาทำให้กระดูกบนฝ่ามือของพระชายาของเขาหักจนแทงทะลุเนื้อออกมาเช่นนี้!
ในความจริงขุนพลยักษ์ก็แค่ฟาดดาบลงมาเต็มแรงตามปกติ เขาหมายเอาชีวิตจินเยว่แต่ซูฮวายื่นกระบี่เข้ามาขวางไว้
แต่อนิจจา เรี่ยวแรงของขุนพลยักษ์มหาศาลเกินไป ส่งผลให้มือของคนที่สอดกระบี่เข้ามาขวางโดนฟาดอย่างแรง ไม่แขนหักก็นับว่าโชคดีแล้ว แต่ถึงกับกระดูกนิ้วแตกนี่หยางจินรับไม่ได้ เขาเห็นพระชายาน้อยน้ำตาไหลพรากๆ ขณะให้แพทย์ประจำกองทัพมาทำแผล
หยางจินลูบหลังมือบริเวณที่ไม่มีแผลอย่างปลอบประโลม
“ความเลินเล่อของข้าทำให้เจ้าต้องเจ็บตัว”
พระชายาน้อยส่ายหน้าไปมา “แค่ได้รับความเป็นห่วงจากท่านข้าก็เหมือนหายเจ็บไปหลายส่วนแล้ว”
ผู้ฟังชะงักไปชั่วขณะ หานชินอ๋องทอดมองรอยยิ้มหวานบนใบหน้าอันงดงามของคนตัวเล็กตรงหน้า คล้ายว่าเป็นพรจากสวรรค์ ด้วยรอยยิ้มจางๆ มุมปากของมู่ซูฮวา เปลวเพลิงที่คุกรุ่นในใจของไท่ติงหยางจินก็มลายหายไป
หยางจินเริ่มคิดจริงๆ แล้วว่าพระชายาของตนเป็นเทพเซียนลงมาเกิดบนโลกมนุษย์หรือไม่ก็เป็นดอกไม้วิเศษที่ได้รับพรจนกลายเป็นมนุษย์หรือไม่ เพราะถ้าไม่ใช่อย่างนั้น หยางจินก็ไม่รู้จะหาเหตุผลใดมารองรับแล้วว่าเพราะเหตุใดมู่ซูฮวาจึงครอบครองรอยยิ้มที่งดงามขนาดนี้
--------------------------------------
อะไรเอ่ยหลงเมียจัง 5555
#มาลาสุราลัย
-
:man1:
-
อะไรเอ่ยหลงเมียจัง
ตอบ ก็หยางจินยังไงล่ะ 555
-
มีอาการหลงเมียสุดๆ
-
:pig4:
แหมๆๆๆๆๆ หลงเมียจริงๆ 555
:katai2-1:
-
หวงเมียเว่อร์5555
-
ยอมคนรักเมีย
-
อ๋องผู้หลงเมีย
-
ไม่หลงน้องเท่าไหร่เล๊ยยย :m12: :m12:
-
จ้าา พี่หยางจินคนหลงเมีย :hao3:
-
บทที่๒๒
“ได้ยินว่ายามนี้เชลยศึกจากเผ่าต๋าต้าต้องทำงานใช้แรงอยู่ทั่วต้าจินงั้นหรือ” หลังจากพักผ่อนอยู่ในวังของเทียนชินอ๋องมาร่วมสิบวัน ในที่สุด เจ้าขุนนางน้อยที่ขยันขันแข็งก็ทนนอนต่อไปเฉยๆ ไม่ไหว ร่างบางตัดสินใจ ออดอ้อนพระสวามีให้พาตนมาทำงานด้วย
หยางจินยอมให้ซูฮวามาด้วยแต่ไม่ยอมให้ทำงาน ชายหนุ่มสั่งคนให้ยกโต๊ะกับเก้าอี้ของขุนนางน้อยมาวางไว้ติดกับโต๊ะของแม่ทัพใหญ่ของเขาเพื่อจับตาดูอย่างใกล้ชิดชนิดไหล่ชนไหล่
มู่ซูฮวาที่นั่งง่อยมาตั้งแต่เช้าเริ่มชะโงกหน้าเข้ามาหมายอ่านรายงานในมือของท่านแม่ทัพ
หยางจินเห็นใบหน้ากระตือรือร้นของคนตัวเล็กแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาใจอ่อนและเลื่อนสมุดรายงานในมือแบ่งให้ซูฮวาอ่านไปพร้อมๆ กันพลางอธิบายเสริม “เชลยจากเผ่าต๋าต้าเหล่านี้เป็นทหารแนวหน้า หลังแพ้สงครามก็ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการแก่โอรสสวรรค์ของต้าจิน”
“อ้อ” ซูฮวาพยักหน้าหงึกหงัก “แปลว่าพวกเขาต้องทำงานหนักโดยไม่ได้ค่าแรงและไม่มีอิสรภาพงั้นหรือ ข้าหมายถึงท่านอ๋องคนนั้นด้วย”
“เหวินหลางที่เป็นแม่ทัพกับขุนพลทั้งหมดล้วนถูกปฏิบัติดีกว่าพลทหารนายอื่น ข้ากักบริเวณพวกเขาไว้ในเรือนหลังหนึ่ง แม้ไม่มีอิสระแต่ก็ไม่ลำบากเท่าในคุก งานของพวกเขาก็คือช่วยประลองฝีมือกับทหารในกองทัพของข้าแลกกับอาหารที่ดีกว่าพวกใช้แรงงาน” หยางจินกล่าว
“เชลยที่ถูกใช้แรงงานได้กินอาหารไม่ดีหรือ” ซูฮวาแสดงสีหน้าเห็นใจออกมา
หยางจินพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ต้าจินไม่ได้มีงบประมาณเหลือเฟือจนสามารถนำไปใช้จ่ายให้เชลยศึกได้หรอกนะ”
“แล้วงานของพวกเขาคืออะไรหรือ” ซูฮวาถามต่อ
“สร้างกำแพงหิน ซ่อมทาง สารพัดงานหนักที่ชาวต้าจินไม่อยากจะทำ”
“แล้วต้องทำไปถึงเมื่อใดหรือ”
คำตอบนี้หยางจินค่อนข้างหนักใจที่จะตอบ ชายหนุ่มรู้ดีนิสัยของซูฮวาดี คนตัวเล็กเป็นเด็กหนุ่มที่เกิดมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี ทำให้จิตใจถูก หล่อหลอมให้อ่อนโยนไปด้วย
“พวกเขาต้องเป็นทาสให้ชาวต้าจินจนวาระสุดท้ายของชีวิต”
เหล่าเชลยศึกจะไม่มีโอกาสนอนหลับบนเตียงดีๆ ไม่ได้เจอหน้าครอบครัวและคนรัก ไม่ได้กลับไปเหยียบแผ่นดินเกิด และไม่ได้ทานอาหารอร่อยๆ หัวเราะและมีความสุขในฐานะมนุษย์คนหนึ่งอีกแล้ว
พระชายาน้อยหน้าเจื่อนไปทันที
“ถ้าหากว่าเมื่อสี่เดือนก่อนคนที่แพ้คือท่าน ท่านจะมีสภาพเดียวกับอ๋อง เหวินหลางหรือไม่” ซูฮวาถาม
“ใช่” ร่างสูงเบือนหน้าไปทางอื่น สายตาของซูฮวายามนี้เห็นแล้ว น่าสงสารกว่าตอนที่เจ้าตัวร้องไห้โฮๆ เพราะกระดูกนิ้วหักเสียอีก
“ข้าขออ่านเอกสารเกี่ยวกับเชลยพวกนี้หน่อยได้ไหม ข้า...พอจะมีความคิดบางอย่าง”
“เจ้าจะทำอะไร” เพราะนี่เป็นเรื่องใหญ่หยางจินจึงตามใจพระชายาน้อยสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้
“ข้าเคยบอกพี่หยางจินไปแล้วใช่ไหมว่าข้าอยากทำงานในกรมโยธาฯ” ซูฮวาเว้นจังหวะเพื่อลอบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย เมื่อพบว่าพี่หยางจินพร้อมรับฟังจึงรีบกล่าวต่อ “ข้าสนใจเรื่องเกี่ยวกับชลประทานมาตั้งแต่เล็ก เพราะว่าอันผิงของข้าถูกล้อมรอบด้วยเทือกเขาทั้งแปดทิศ มีเพียงถนนสองสายและลำคลองเล็กๆ ที่สามารถใช้เป็นเส้นทางออกมานอกแคว้นได้”
“เจ้าจะให้พวกเขาขุดคลองงั้นหรือ” หยางจินถาม
คลองในเมืองหลวงและหัวเมืองต่างๆ มีมากมายอยู่แล้วแต่ที่มีไม่พอคือฝายเก็บกักน้ำต่างหาก ดังนั้นเหล่าเชลยศึกจึงถูกส่งตัวไปสร้างฝายมากกว่าขุดคลอง
ซูฮวายกยิ้ม “ดินแดนต้าจินยิ่งใหญ่ แต่ความเจริญต่างๆ ล้วนกระจุกตัวอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นเพราะทางทิศตะวันออกติดกับทะเล แถมยังมีแม่น้ำสายใหญ่อย่างตงเหอพาดผ่านตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตรงกันข้ามกับทิศตะวันตกที่เต็มไปด้วยภูเขาและแม่น้ำสายสั้นๆ ที่เกิดจากเทือกเขาทั้งหลายรวมไปถึงทะเลทรายขนาดเล็ก ทิศตะวันออกของต้าจินรุ่งเรืองเพราะการค้า เมืองหลวงเองก็ตั้งอยู่ทางตะวันออกติดกับแม่น้ำตงเหอ แต่สินค้าส่วนใหญ่กลับเน้นหนักไปทางข้าวของเครื่องใช้เป็นหลัก พืชผักผลไม้เป็นรอง ทั้งนี้เป็นเพราะดินของฝั่งตะวันออกเป็นดินปนทรายไม่เหมาะในการเพาะปลูก ตรงกันข้ามกับทิศตะวันตกที่มีดินอุดมสมบูรณ์”
“...”
“ถ้าหากเราเชื่อมต่อทิศตะวันตกและทิศตะวันออกเข้าได้กันได้ ต้าจินจะยิ่งใหญ่กว่าเดิมมากมาย แต่จะให้ขุดลอกคูคลองจากตะวันตกมาทางตะวันออกดื้อๆ เลยก็คงไม่ได้ ข้าคิดว่าต้องให้คนของกรมโยธาฯ ช่วยศึกษาเส้นทางน้ำและความสูงต่ำของพื้นที่” ซูฮวาไม่ได้คิดจะให้ขุดคลองยาวขนาดนั้นอยู่แล้ว ก็แค่คิดจะเชื่อมคลองบางสายที่มีอยู่แล้วเข้าด้วยกันเพื่อร่นระยะทางเดินเท้าลงบ้าง อาจจะไม่ได้เดินทางด้วยเรือตลอดแต่การเดินเรือสลับกับรถม้าจะช่วยร่นระยะเวลาขนส่งลง
“แน่นอนว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยคต่ออันผิงของข้าด้วย ท่านอย่าเอาความลับนี้ไปบอกใครนะ”
พูดไปพูดมาที่แท้พระชายาน้อยก็แค่ต้องการตักตวงผลประโยชน์ให้บ้านเกิดของตนเท่านั้นเอง เพราะว่าอันผิงอยู่ติดกับชายแดนทิศตะวันตกของต้าจินและอันผิงก็มีพืชพรรณหายากหลายชนิด
“แล้วเจ้าคิดจะใช้เชลยศึกทั้งหมดเพื่อทำงานนี้งั้นหรือ” หยางจินย้อนถาม เรื่องการจัดการเชลยศึกเป็นอำนาจของเขากึ่งหนึ่งอยู่แล้ว
ร่างบางพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าดูแล้วว่าเหวินหลางเป็นคนมีคุณธรรมและรักลูกน้องมาก หากเรายื่นข้อเสนอให้เขาช่วยเจรจากับเหล่าเชลยศึกล่ะก็เชลยศึกทั้งหลายน่าจะเชื่อฟังเขา แน่นอนว่าถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากให้ต้าจินเสนอเงื่อนไข ‘ขุดทางเชื่อมคลองตามแผนแล้วเสร็จเมื่อไหร่พวกเจ้าจะได้กลับบ้าน’ ขึ้นมาด้วย”
“เกรงว่าคำขอข้อนี้อาจจะมากไป ข้าไม่คิดว่าเสด็จพ่อจะยอมปล่อยทหารของศัตรูคืนถิ่น”
“ท่านคิดว่าการขุดคลองครั้งนี้ใช้เวลาแค่วันสองวันงั้นหรือ ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะต่ำกว่าห้าปี ด้วยเวลานานขนาดนั้นทหารพวกนี้ก็แก่กันหมดแล้ว เก็บไว้ใน ต้าจินต่อไปก็ไม่มีเรี่ยวแรงให้พวกท่านใช้ ปล่อยกลับไปก็ทำอะไรไม่ได้มากหรอก”
หลังจากเผื่อแผ่ความเจริญไปยังบ้านเกิดแล้วซูฮวาก็เผื่อแผ่ความหวังมาให้เหล่าเชลยศึกเผ่าต๋าต้าอีกด้วย
หยางจินเงียบไป
เขากำลังครุ่นคิด แม้ข้อเสนอของซูฮวาจะดูหลักลอยแต่ก็ไม่ถึงขนาดนำมาปฏิบัติจริงไม่ได้ หากเขายื่นข้อเสนอนี้เข้าที่ประชุมเช้าล่ะก็ต้องมีหลายเสียงสนับสนุนแน่นอน และเมื่อส่งต่อหน้าที่ไปยังกรมโยธาฯ ที่อยู่ใต้การปกครองของพี่ใหญ่ หยางจินเชื่อว่าองค์ชายใหญ่จะต้องจัดการให้เข้ารูปเข้ารอยได้แน่
เพียงแต่...
“ข้าจะยอมยกเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเช้าในวันพรุ่งนี้ถ้าหากเจ้ายอมตอบคำถามข้ามาข้อหนึ่ง”
คำถามที่หยางจินกำลังจะถามซูฮวาต่อไปนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องเชลยศึกหรือความเป็นไปของต้าจินแม้แต่น้อย แต่มันกลับเป็นคำถามที่ผูกโยงชั่วชีวิตที่ผ่านมาของชายหนุ่มเอาไว้
“ระหว่างความงาม สติปัญญา และพละกำลัง เจ้าคิดว่าสิ่งใดที่ไร้ค่า”
พอได้ยินคำถามพระชายาคนงามก็เลิกคิ้วขึ้นมาอย่างแปลกใจ
ร่างบางก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อครุ่นคิดหาคำตอบ การกระทำดังกล่าวทำให้คนถามนึกแปลกใจ เพราะในสามสิ่งที่เขาให้เลือกมีเพียงความงามเท่านั้นที่ทุกคนเลือกตอบ ไม่ว่าจะถามใคร ถามผู้ใดก็พร้อมใจกันกล่าวว่าความงามเป็นเรื่อง ไร้สาระ
นิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจมู่ซูฮวาก็เงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยดวงตาใสซื่อ “ทั้งสามสิ่งล้วนไม่ไร้ค่า แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิตของมนุษย์”
-------------------------------------
-
ซูฮวามีโปรเจคใหญ่แล้ว ต้องรอดู
-
ซูหวาน่ารักจริงๆนะ
-
o13 :กอด1:
-
พระชายาสุดยอด
-
จิตใจที่บริสุทธิ์ของซูฮวา นี่ล่ะคือสิ่งที่มีค่าสุดแล้วท่านอ๋อง
-
จ้าาา ชั่วโมงตอบคำถามมม
-
ทั้งรักทั้งหลงมากกว่าเดิมอีก
-
น้องน่ารักกกก :m3: :m1:
-
ซูฮวาจิตใจดีจริง ๆ
-
รอนะคับ คิดถึงแล้ววว
-
รอนะคะ คิดถึงแน้วววววววว :mew2:
-
รอๆ :mew2: :mew2: :mew2:
-
พบคนหลงเมียหนึ่งอัตรา
-
:hao5: :hao5: :hao5:รอๆ