มันคงเป็นเรื่องของเบื้องบนเพราะแค่คนแปลกหน้าที่อาจเพียงผ่านมาเพื่อพบกันแต่กลับปัดเป่าความเหงาในใจใครบางคนได้มากมาย
ฝนตกยิ่งนึกถึงทีไร
ก็ยังชุ่มช่ำอุ่นในหัวใจ
ผมนั่งอยู่บนรถทัวร์กำลังเดินทางกลับบ้านเกิดที่ไม่ได้กลับมาหลายเดือนหรือ...อาจจะเกือบปี
อกหัก
จะเรียกว่าเป็นสาเหตุของการกลับบ้านครั้งนี้ของผมก็ได้
จากผู้ชาย
ใช่ ในสายตาของใครๆคงจะมองว่าผมเป็นเกย์หรืออะไรก็ได้แล้วแต่คนเหล่านั้นจะเรียกขานแต่ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าจะถูกเรียกความรักที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนที่เป็นเพศชายเหมือนกันว่าอะไร ผมมองว่าคำเรียกนั้นก็แค่คำจำกัดความที่ใช้เรียกความรักของเรา
ท้องฟ้าด้านนอกกระจกรถทัวร์ทาสีดำมืด ส่อเค้าว่าฝนกำลังจะตกเข้ากันไปไหมกับเพลงที่ผมกำลังฟังอยู่
ฤดูที่ฉันเหงา
ผมว่าเพลงนี้ก็เพราะดี มันเป็นเพลงที่ใครคนนั้นที่พึ่งบอกเลิกผมไปร้องเพื่อใช้จีบผม คงเคยเป็นกันนะครับเพลงที่แม้ว่าเนื้อหาจะไม่ได้ซึ้งมากมายหากแต่มาจากคนที่เรารักร้องมันก็เรียกว่าเพลงรักดีๆนี่เองแหละ
ตอนนั้นเพลงนี้เป็นเหมือนกับเพลงรัก “สำหรับเรา”
แต่ตอนนี้
เพลงรักในวันวานกลับกลายเป็น เพลงอกหัก
“สำหรับผมคนเดียว”
อากาศในรถเริ่มเย็นลงเหมือนเพลงเพลงเดียวที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้ที่ค่อยๆเคลือบหัวใจของผมให้ด้านชา
เพราะเม็ดฝนที่ตกลงมาทำให้กระจกรถขึ้นฝ้าและมีหยดน้ำเกาะอยู่พร่ามัวทัศนียภาพภายนอกรถเสียจนเลือนลาง
เคยได้ยินหลายต่อๆคนหลายต่อหลายข้อความที่ผ่านตาว่าถ้าไม่อยากเศร้าให้เลิกทำตัวงี่เง่าแบบนี้
เลิกดูรูปเก่าๆ
เลิกไปสถานที่เก่าๆ
เลิกทำกิจกรรมอย่างเดิมที่เคยทำร่วมกัน
เลิก
.
.
.
.
.
.
.
.
คิดถึง
ผมทำได้นะทำได้แน่ๆเพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่อยากจะทำ
ขอให้ผมได้จดจำวันเวลาความทรงจำเก่าๆก่อนได้ไหมครั้งที่ยังหวานครั้งที่เรามีรอยยิ้มกว้างๆให้กันและกันครั้งที่แม้แต่เพลงเหงาก็กลายเป็นเพลงรักยังไม่อยากเลิกคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นเลย
ความทรงจำที่แสนหวาน
การจราจรติดขัดก็เหมือนทุกๆครั้งที่มีฝนพรำ หลายคนอาจจะอารมณ์เสียกับสภาพอากาศแบบนี้และทำให้ระยะเวลาของการเดินทางต้องยืดออกไป แต่ผมไม่
เหตุผลที่ทำให้ผมนั่งรถทัวร์และชอบฝนตกเพราะมันทำให้เวลาเดินทางของผมช้าออกไป ผมกลับบ้านเพราะไม่อยากอยู่คนเดียวแต่ในขณะเดียวกันก็อยากอยู่คนเดียวให้นานกว่านี้สักหน่อยก่อนที่จะกลับไปพบกับคนที่ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไรรอยยิ้มก็ยังคงมอบให้เราเสมอรวมถึงเวลาที่เราอ่อนล้าเหลือเกินอย่างเช่นผมตอนนี้
ผมอยากให้ตอนที่เราคบกันฝนตกอย่างนี้ทุกวัน อยากยืดเวลาออกไปนานๆ ไม่อยากให้เวลาของเราสองคนจบลงแค่นี้
ก็แค่คิด
ผมรู้กฎของวันเวลาดีไม่ว่าจะทำอย่างไรอ้อนวอนเพียงไหนเราก็ไม่สามารถย้อนวันเวลาให้หมุนกลับ มีแต่ต้องก้าวเดินไปข้างหน้าเท่านั้น
ผมเหลือบมองคนข้างๆที่เอาแต่มองท้องฟ้าสีดำกับเม็ดฝนที่จับตัวอยู่บนกระจกสลับกับมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองสำหรับผมการทำแบบนั้นไม่ช่วยเร่งเวลาให้เร็วขึ้นแม้แต่ในความรู้สึกกลับกันกลับยิ่งเร่งให้ความร้อนใจเพิ่มขึ้นแต่สำหรับเขาคงต่างการกระทำเช่นนี้คงช่วยให้เขาสบายใจขึ้นมาได้นอกจากการนั่งยอมรับความจริงเฉยๆ
หลบสายตาไม่ทันตอนที่เขามองมา
“มีอะไรหรือครับ” เขาเป็นฝ่ายพูดก่อนหลังจากเรามองหน้ากันหลายนาที
“ขอโทษครับที่เสียมารยาท” ผมตอบกลับไป เขาพูดอะไรกลับมาไม่รู้อีกหลายประโยคแต่เพราะเสียงฝนภายนอกที่ตกแรงขึ้นทำให้ผมเร่งเสียงเพลงแข่งกับสายฝนจนไม่ได้ยินเสียงของเขาเมื่อเห็นว่าผมไม่มีทีท่าจะเข้าใจหรือตอบโต้ตอบในสิ่งที่เขาสื่อสารมามือหนาจึงถือวิสาสะเอื้อมมาดึงหูฟังข้างซ้ายออกจากหูชั่ววินาทีที่มือของเขาสัมผัสโดนใบหูผมเล็กน้อย ไม่รู้ทำไม
อุณหภูมิในร่างกายของผมดูเหมือนจะสูงขึ้น
“ไม่เป็นไร” เขาพูดมาแค่นั้นพร้อมรอยยิ้มให้ผมได้ยินทั้งที่ก่อนหน้านี้พูดอะไรไม่รู้มาเสียหลายประโยคก่อนที่จะยื่นมือคืนหูฟังกลับมาให้ไม่รู้ทำไมอีกเหมือนกันที่แวบหนึ่งในความรู้สึกถึงได้นึกเสียดายที่มือหนานั่นไม่ได้เอาหูฟังมาเสียบหูให้อย่างเช่นตอนที่ถอดออกไป
.
.
.
เวลาล่วงเลยมาจนเที่ยงคืนบรรยากาศภายนอกก็เบาบางลงแล้วเหลือเพียงสายฝนโปรยปรายแต่ผมยังตาสว่างและเขาก็เช่นกันทั้งรถตอนนี้คงเหลือแต่ผมกับเขาล่ะมั้ง
“กลับบ้าน” ถ้อยคำประหยัดคำพูดส่งมาจากคนตัวโตข้างกายท่ามกลางความเงียบ นั่นคงเป็นประโยคคำถามที่กระชับที่สุดกระมัง
“อืม”
“เหมือนกัน”
เขาตอบคำว่าอืมของผมมาสองพยางค์แล้วเราก็เงียบกันไปอีก เพราะว่าฝนซาเสียงเพลงที่ก่อนหน้าเร่งแข่งกับเสียงฝนก็ลดระดับลงมาจนสามารถได้ยินเสียงของคนข้างๆถ้าหากจะพูดคุยกัน
“เรียนหรือทำงานแล้ว” เป็นผมที่เอ่ยถามออกไปบ้างแค่รู้สึกอยากพูดคุยเพราะน้ำเสียงทุ้มที่ได้ยินก่อนหน้าเหมือนจะช่วยให้ลืมเลือนความเหงา
“หน้าแก่ขนาดนั้น” คนตัวโตส่งเสียงถามกลับน้ำเสียงปกติเสมือนไม่ได้ไม่พอใจกับคำถาม เปล่า...ผมตอบเขาอยู่ในใจ
“ก็...นะ” คำที่ตอบออกไปก็แค่อยากจะล้อเล่นเฉยไม่ได้กลัวว่าคนข้างกายจะโกรธแม้แต่น้อยคงเพราะเราเป็นแค่คนแปลกหน้าหรืออาจจะเพราะน้ำเสียงที่ได้ยินก่อนหน้านี้
“เรียน คุณล่ะ”
“เหมือนกัน”
“หนักไหม” ผมชะงักกับคำถามนี้ไปชั่วขณะ รู้ว่าเขาถามเรื่องการเรียนแต่ในความรู้สึกผมราวกับน้ำเสี้ยงทุ้มนั้นเอ่ยถามถึงความเศร้าที่ผมแบกอยู่ คิดแบบนี้หัวใจก็เอ่อล้นไปด้วยความอบอุ่น
“หนัก” ชั่วโมงคำถามคุณคิดว่าผมตอบคำถามตามเจตนาของใครของเขาหรือของผม
“อ่อ...อดทนหน่อยนะเดี๋ยวมันก็ผ่าน” แปลกนะที่ประโยคนี้และรอยยิ้มที่ส่งมาทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้ราวกับว่าคนข้างๆสัมผัสถึงความเศร้าในใจแล้วเอ่ยมันออกมาเพื่อให้กำลังใจในวันที่เราล้า
“ขอบคุณนะ” ผมบอกจากใจจริง
ฝนตกแรงขึ้นอีกแล้วตามสภาพอากาศที่เราเอาแน่เอานอนไม่ได้แอร์ในรถหนาวและยิ่งหนาวเมื่อฝนตกผมใส่แค่เสื้อยืดตัวบางไม่ได้เผื่อกันหนาวมา หนาวจนต้องยกมือลูบแขน
“หนาวหรือ” ผมพยักหน้า
แปลกนะทั้งที่เป็นคนแปลกหน้าแต่คนข้างๆก็หยิบยื่นความอ่อนโยนและน้ำใจเล็กๆน้อยๆมาให้ผมอีกแล้วด้วยการถอดเสื้อกันหนาวที่เขาใส่ส่งมาให้
ผมสั่นหัวเดี๋ยวเขาหนาว
“เถอะผมทนได้” เขาคงไม่ได้อ่านใจคนออกหรอกมั้งคำตอบที่กลับมาถึงได้ตรงกับความคิดผม สุดท้ายก็ยอมรับเสื้อเขามาใส่คลุมเพราะทนไม่ไหวจริงๆ พอใส่เสื้อของเขาถึงทำให้รู้ว่าจริงๆแล้วเขาตัวใหญ่กว่าที่คิด
“ไม่ง่วงหรือ” คำถามนี้เราถามขึ้นพร้อมกัน แล้วก็ต้องอมยิ้มเมื่อทั้งผมและเขาต่างก็ส่ายหัว
“ปกติก็นอนดึก” ผมบอก
“ทำไม” เขาถาม
“งานพิเศษร้องเพลงที่ร้านเหล้า คุณหล่ะ”
“เปิดร้านเหล้า” ทั้งๆที่ผมไม่ใช่คนเชื่อความบังเอิญหรือพรหมลิขิตแท้ๆ
“บังเอิญเนอะ” เสียงทุ้มเอ่ย ผมพยักหน้ารับ ใช่บังเอิญมาก
“ฟังไหม” ถอดหูฟังข้างขวาส่งให้อีกชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานอนคิดเสียว่าฟังเพลงแก้เบื่อมือหนายื่นมารับหูฟังไปโดยไม่พูดอะไรแต่มุมปากนั่นก็ส่งยิ้มมา
เพลงเดียวที่วนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นชั่วโมง
.
.
.
“มีแค่เพลงเดียวหรือ”
“ใช่”
“เศร้า...แต่เพราะดี” เขาบอก “ง่วงยัง” ถามต่อ
มองนาฬิกาจากไอพอดเกือบตีสองแล้ว ฟังเพลงเดิมมาหนึ่งชั่วโมงไม่รู้จะเบื่อไหม แต่ตลอดชั่วโมงเขาก็ไม่มีทีท่าจะถอดหูฟังออกหรือแสดงสีหน้ารำคาญ
ผมพยักหน้าเกือบถึงเวลานอนเริ่มง่วงเพราะนอนตีสองประจำ
“นอนเถอะ ผมก็ง่วง”
รอคอยเธอกลับมาหา
เฝ้ารอจนฝนซา
สุดท้าย...ก็ว่างเปล่า
เราผล๊อยหลับไปพร้อมกัน
ในขณะที่ฝนยังตก
รถทัวร์ยังวิ่งช้าๆตามสภาพการจราจรและฝนฟ้า
ผมใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ของเขา
และเขา...ฟังเพลงจากไอพอดของผม
จบ
Talk : ทำไมจัดหน้ามันยากอย่างเนนนนนน้ :z3: :z3: :z3: