พิมพ์หน้านี้ - บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ZIar ที่ 13-02-2011 15:59:02

หัวข้อ: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 13-02-2011 15:59:02
****************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


****************************************************


สวัสดีค่ะทุกท่าน วันนี้เซียร์ก็มาขอใช้พื้นที่บอร์ดอีกแล้ว
ครั้งนี้เปิดจองสองเรื่องนะคะ เนื่องจาก สัตยาธิษฐาน ยังคงมีคนถามหาอยู่เป็นระยะ เลยตัดสินใจอย่างหนักแน่นว่า จะรีปรินท์รอบสุดท้ายแล้วค่ะ ใครพลาดครั้งนี้ก็พลาดไปเลยนะคะ

งั้นมาดูรายละเอียดกันนะคะ ^ ^


บัลลังก์ปีกหงส์

ภาพปก

(http://i.imgur.com/0p8d7.jpg)

(http://i.imgur.com/iPkjJ.jpg)

ของแถม (ที่คั่น)

(http://i.imgur.com/hrOwM.jpg)


เรื่องย่อ

เมื่อพญาหงส์แห่งฮ่องกงทิ้งบัลลังก์ไว้เบื้องหลังแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ถูกเลือกขึ้นมาแทนที่ท่ามกลางการคัดค้านของคนในและการต่อต้านจากคนนอก ชายผู้หนึ่งได้ถูกส่งมาเพื่อให้ความช่วยเหลือโดยคนที่ไม่น่าไว้ใจมากที่สุดและชายคนนั้นก็มีเลศนัยในทุกย่างก้าว แล้วเซินเฟยจะเชื่อใจใครได้ในโลกที่ทุกสิ่งต้องแลกมาด้วยผลประโยชน์เช่นนี้

สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1316922#msg1316922)<<<


ข้อมูลหนังสือ

ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar
ราคา : 550 บาท (รวมค่าส่งแล้ว)/ชุด (ชุดละ2เล่ม)
ระยะเวลาการจอง : 1 พฤษภาคม 2554 - 30 มิถุนายน 2554
หมายเหตุ : ขอสงวนวิธีการส่งไปรษณีย์เป็นการส่งแบบลงทะเบียนเท่านั้นนะคะ


=================================



สัตยาธิษฐาน

ภาพปก

(http://i.imgur.com/G62Ya.jpg)

ของแถม (ที่คั่น)

(http://h.imagehost.org/0461/NovSat-Bookmark.jpg)


เรื่องย่อ
เมื่อนาคตนหนึ่งหนีจากการล่าสังหารของครุฑมาได้ เขาก็จำศีลในถ้ำของตัวเองและเฝ้ารอจนกระทั่งวันหนึ่งจึงคืบคลานขึ้นมาบนบกแล้วจำแลงร่างเข้าสู่ครรภ์ของหญิงสาว ก่อนจะเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเ้ป็นเวลาเดียวกับที่ครุฑมาจุติเช่นเดียวกัน เป้าหมายของนาคคือการแก้แค้นครุฑ แต่เป้าหมายของครุฑกลับเป็นการไถ่โทษแก่นาค เป้าหมายที่คู่ขนานนี้จะบรรจบอย่างไร ติดตามได้ภายในเล่มค่ะ

สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21637.0)<<<


ข้อมูลหนังสือ

ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar
ราคา : 250 บาท (รวมค่าส่งแล้ว)/เล่ม
ระยะเวลาการจอง : 1 พฤษภาคม 2554 - 30 มิถุนายน 2554
หมายเหตุ : ขอสงวนวิธีการส่งไปรษณีย์เป็นการส่งแบบลงทะเบียนเท่านั้นนะคะ




พิเศษ: สำหรับใครที่จองทั้งสองเรื่อง จะมีส่วนลดให้ 50 บาท จาก 800 บาทเหลือ 750 บาทนะคะ (อย่าโอนเกินมานะคะ XD)



สำหรับผู้ที่ตัดสินใจจะสั่งจองแน่แล้ว ขอให้เลื่อนลงไปดูรายละเอียดการโอนเงินและสั่งจองได้เลยค่ะ


อ้างถึง
รายละเอียดการโอนเงิน

บัญชีออมทรัพย์
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาซอยประชาสงเคราะห์ 30
ชื่อบัญชี นางสาว อลิสา เทพนะ
เลขบัญชี 102-234896-9

หลังจากโอนเงินแล้ว ขอให้ส่งรายละเอียดการจองมาที่ tsuki_himeแอทhotmail.com โดยระบุข้อมูลตามนี้นะคะ

หัวข้อ : [สั่งจอง] บัลลังก์ปีกหงส์ / สัตยาธิษฐาน (สั่งเรื่องไหนก็พิมพ์ชื่อเรื่องนั้นนะคะ)

รายละเอียด
ชื่อ-นามสกุล(ผู้สั่ง) :
ที่อยู่ :
หลักฐานการโอน : (สแกนมาจะดีที่สุดค่ะ หรือถ้าสแกนไม่ได้ก็ขอเลขที่สลิปค่ะ)
วัน+เวลาโอนตามสลิป :


สำคัญ! ผู้ที่แจ้งทางเมลล์แล้ว เซียร์จะมีการแจ้งตอบกลับไป ดังนั้นใครที่เซียร์ำไม่ตอบกลับภายใน 1 อาทิตย์อย่าชะล่าใจ เพราะมันหมายความว่าเซียร์ไม่ได้รับเมลล์ของท่านนะคะ



**********************************************************



สารบัญ

ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1316922#msg1316922) ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1318348#msg1318348) ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1320405#msg1320405) ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1322631#msg1322631) ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1324011#msg1324011) ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1325232#msg1325232) ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1326725#msg1326725) ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1327463#msg1327463) ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1330047#msg1330047) ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1331757#msg1331757)
ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1332756#msg1332756) ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1333932#msg1333932) ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1335166#msg1335166) ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1337360#msg1337360) ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1338007#msg1338007) ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1338725#msg1338725) ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1339261#msg1339261) ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1340761#msg1340761) ตอนที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1342294#msg1342294) ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1343194#msg1343194)
ตอนที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1365482#msg1365482) ตอนที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1366625#msg1366625) ตอนที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1368030#msg1368030) ตอนที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1370137#msg1370137) ตอนที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1371603#msg1371603) ตอนที่ 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1373227#msg1373227) ตอนที่ 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1375571#msg1375571) ตอนที่ 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1376968#msg1376968) ตอนที่ 29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1398989#msg1398989) ตอนที่ 30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1400436#msg1400436)
ตอนที่ 31 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1401858#msg1401858) ตอนที่ 32 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1402826#msg1402826) ตอนที่ 33 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1405029#msg1405029) ตอนที่ 34 จบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1430284#msg1430284)

-------------------------------------------
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 13-02-2011 16:00:41
-1-



ในฮ่องกง อำนาจมืดถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนนับแต่มีการก่อตั้งสมาคมขึ้นมาภายในเกาะเล็ก ๆ ที่เป็นหนึ่งในรากฐานเศรษฐกิจของโลก เพื่อคานอำนาจของผู้หิวกระหายจึงต้องมีผู้กุมอำนาจสูงสุด ชิงหลง จูเชว่ ไป๋หู่ และเสวียนอู่ คือตำแหน่งของตระกูลใหญ่สี่ตระกูลซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักสี่ต้นค้ำอำนาจฟ้าให้ยังคงตั้งตระหง่านเหนือผืนดิน หากเพียงเสาหลักทั้งสี่ยังคงแข็งแกร่ง อำนาจมืดทั้งหมดในฮ่องกงจะอยู่ในกำมืออย่างไม่มีวันสั่นคลอน เช่นนั้นแล้วหากจะเปรียบเสาหลักทั้งสี่เป็นดังผู้อยู่เหนือบัลลังก์ราชาก็คงไม่ผิด

โดยปกติแล้ว เพื่อการสืบทอดตำแหน่งอย่างไร้ข้อกังขา ผู้มีสายเลือดตรงเท่านั้นจึงจะมีสิทธิสืบทอดตำแหน่ง สายรองของตระกูลแทบจะไม่มีสิทธิใด ๆ กับการปกครอง แต่แล้ว....กลับมีเสาหลักต้นหนึ่งล้มข้อปฏิบัตินั้น จูเชว่คนล่าสุดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไร้ทายาท ทิ้งไว้เพียงมรณบัตรและงานศพที่ไร้ร่างกลบฝัง

ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายที่ไม่อาจหาผู้สืบทอดได้นั้น พินัยกรรมลับที่จูเชว่มอบให้กับภรรยาชาวญี่ปุ่นที่สมรสกันทางกฏหมายก็ถูกเปิดออก

ในพินัยกรรมนั้นระบุให้ผู้เป็นภรรยารับหลานชายสายรองคนหนึ่งเป็นลูกบุญธรรม และให้เป็นผู้รับช่วงต่ออย่างถูกต้อง

แน่นอนว่ากระแสคัดค้านย่อมเกิดขึ้นจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหมู่ญาติพี่น้องที่จ้องจะขึ้นมาเป็นสายหลักของตระกูลแทน เพราะการที่จูเชว่รับคนในสายรองมาเป็นบุตรบุญธรรมนั้นแสดงว่าแม้แต่พ่อแม่ที่แท้จริงของเจ้าตัวก็จะไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ จากตำแหน่งที่ถูกมอบให้บุตรชายของตนเอง

ส่วนทางด้านชิงหลง ไป๋หู่ และเสวียนอู่เมื่อได้รับรู้เรื่องนี้กลับไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร พวกเขาเพียงแต่เฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ว่าเด็กอายุ 12 ปีที่ไม่รู้เรื่องราวในโลกมืดเลยจะสามารถไปได้ไกลสักแค่ไหน หากพลาดพลั้งจนทำให้ฐานอำนาจสั่นคลอน พวกเขาก็พร้อมจะเข้าควบคุมการมอบอำนาจของจูเชว่ได้ในทันที

นับแต่วันนั้น เซินเฟย ก็ถูกนำตัวเข้าบ้านใหญ่และห้ามพบกับครอบครัวที่แท้จริงโดยสิ้นเชิง เขาได้รับการดูแลโดยภรรยาของจูเชว่คนเก่าที่เป็นทั้งแม่บุญธรรมและผู้แทนอำนาจจนกว่าเขาจะอายุครบ 18 ปี

------------------>

เวลา 6 ปีผ่านไปอย่างรวดเร็วกว่าที่ใครจะทันคาดคิดแม้แต่เซินเฟย พอรู้ตัวอีกครั้ง เขาก็ผ่านพิธีมอบอำนาจและกลายเป็นจูเชว่ไปเสียแล้ว

และตอนนี้....เขาก็กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของจูเชว่ มีกล้องโทรศัพท์จ่อหน้า ไมค์ตัวหนี่งติดอยู่ที่ปกเสื้อสูท และมีนักข่าวสาวสวยกำลังป้อนคำถามให้เขาราวกับเขาเป็นดาราชื่อดัง

“....ตอนนี้คุณเซินรู้สึกอย่างไรบ้างคะ?”

ดูเหมือนก่อนคำถามนี้จะมีอารัมภบทร่ายยาวมาก่อนแต่เขาไม่ทันได้ฟังเพราะมัวแต่นึกกังวลกับชายคนหนึ่งที่ยืนรออยู่หน้าประตู

วันนี้มีคนของไป๋หู่มาหาเขาแต่เช้า แจ้งว่าไป๋หู่จะมาเยี่ยมในตอนบ่าย

โดยปกติแล้วชิงหลง ไป๋หู่ และเสวียนอู่ แทบจะไม่เคยติดต่อกันมากเกินความจำเป็น แม้แต่กับเขาก็ได้พบกันเพียงตอนงานศพของเสวียนอู่คนก่อนเมื่อ 3 ปีที่แล้วเท่านั้น การมาหาถึงที่เช่นนี้ อาจมองได้ว่าเป็นความห่วงใย หรือท้าทายก็ได้ทั้งนั้น เซินเฟยรู้ได้ว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาเป็นแน่

“คุณเซินคะ?” นักข่าวสาวเอ่ยเรียกเมื่อนักธุรกิจหนุ่มที่เธอให้สัมภาษณ์ยังคงนั่งเงียบไม่หือไม่อือ

“ครับ หากจะถามว่าผมรู้สึกยังไงผมก็คงตอบได้ยาก แต่ผมก็ตั้งใจว่าจะสืบทอดสิ่งที่คุณอา....พ่อบุญธรรมของผมคาดหวังเอาไว้” เซินเฟยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบลื่นไม่ได้แสดงอาการตระหนกหรือประหม่าแม้สักน้อย

“เอ่อ....ถ้าอย่างนั้น...คุณพอจะบอกได้ไหมคะว่าอะไรคือสิ่งที่พ่อบุญธรรมของคุณคาดหวัง?”

“เรื่องอย่างนี้คอยดูเอาเองจะไม่สนุกกว่าหรือครับ?”

แน่นอนว่าสิ่งที่ตอบออกไปเป็นเพียงการพูดสร้างภาพเท่านั้น เซินเฟยไม่เคยได้สนทนากับพ่อบุญธรรมของตัวเองเลยแม้สักครั้งจะรู้ได้อย่างไรว่าฝ่ายนั้นคาดหวังอะไรเอาไว้ แม้แต่เหตุผลที่รับคนสายรองอย่างเขาเข้ามาอยู่ในสายหลัก เขาก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้ ดังนั้น การพูดเลี่ยงด้วยการบอกให้รอลุ้นหรือรอเฝ้าดูถือเป็นกลยุทธิ์อย่างหนึ่งสำหรับการหลีกหนีคำถามเจาะลึกของพวกชอบสอดรู้สอดเห็น

“แหม ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องดูต่อไปสินะคะ” นักข่าวสาวฝืนหัวเราะตามหน้าที่ “แล้วคุณคิดอย่างไรคะที่คนอื่น ๆ จะมองว่าคุณเป็นลูกบุญธรรม แต่กลับได้ทุกอย่างมาครอง”

มุมปากของเซินเฟยกระตุกน้อย ๆ ด้วยอารมณ์ที่เริ่มกรุ่นขึ้นมา

ความจริงแล้วผู้หญิงคนนี้คงอยากจะถามเขาว่า ‘คุณคิดยังไงที่คนอื่น ๆ มองว่าคุณเป็นแค่ลูกบุญธรรมเท่านั้น แต่กลับได้ทุกอย่างมาครอง’ เสียมากกว่า

“เรื่องเล็กน้อยแบบนั้นผมไม่ใส่ใจหรอกครับ” เซินเฟยตอบด้วยคำพูดสร้างภาพตามแบบฉบับนักธุกิจต่อไป

เรื่องที่เขาเป็นแค่ลูกบุญธรรมนี้ เขาก็ถูกเสียดสีลับหลังอยู่ตลอดเวลานับแต่ก้าวเข้าบ้านใหญ่ ทั้งจากคนในเองและจากสายรองทั้งหลายที่ไม่พอใจ แม้แต่พ่อแม่ของเขาที่ภายนอกเหมือนห่วงใยแต่ทุกครั้งที่โทรมาก็ชอบย้ำว่า ‘อย่าลืมพ่อกับแม่นะ’ ก็บอกให้เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขา บางทีมันก็จริงอย่างที่คนอื่นว่ากัน ยิ่งอยู่สูงขึ้นเท่านั้นก็ยิ่งมองเห็นรอบข้างชัดเจนขึ้นเท่านั้น ญาติ ๆ ที่เขาเคยมองว่าดีแสนดี ตอนนี้ยังต้องคอยระวังคมเขี้ยวที่พร้อมจะขย้ำคอเขาแทบทุกเวลา

แม่บุญธรรมของเขาก็ใช่จะปกป้องเขาได้ตลอดไป เพราะในสายตาคนในบ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าเธอเพียงแค่แต่งงานตามกฏหมาย ที่ยังสงบอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะทุกคนยังยำเกรงต่อจูเชว่ที่หายตัวไปเท่านั้น

หลังจากสัมภาษณ์มาได้ 1 ชั่วโมงเต็ม เซินเฟยก็สังเกตเห็นคนในทีมข่าวเริ่มให้สัญญาณว่าหมดเวลา

“ตายจริง เวลาผ่านมาขนาดนี้แล้วหรือคะเนี่ย” หญิงสาวทำเสียงตกอกตกใจอย่างมีจริตจะก้าน “ยังไงก็ขอขอบคุณคุณเซินมากนะคะที่เสียสละเวลาให้สัมภาษณ์”

หลังจากนั้นนักข่าวสาวก็สาธยายรายการข่าวและโฆษณาก่อนที่กล้องจะตัดไป

เซินเฟยลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วดึงไมค์ออกจากปกเสื้อก่อนเดินไปที่ประตู ทันใดนั้นหัวหน้าทีมข่าวก็เดินนอบเข้ามาหา

“ต้องขอขอบคุณคุณเซินมากนะครับ” ฝ่ายนั้นดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ศีรษะที่ล้านไปเสียครึ่งปรากฏเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ซึมออกมา

เซินเฟยไม่นึกแปลกใจในท่าทีของอีกฝ่าย หากเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการใดวงการหนึ่งย่อมรู้จักผู้มีอิทธิพลเป็นอย่างดี หัวหน้าทีมคนนี้คงจะถูกสั่งมาให้คุมทีมเป็นพิเศษเป็นแน่

“หลังจากนี้ผมมีธุระต่อ มีอะไรก็ฝากไว้ที่เลขาของผมก็แล้วกัน” เซินเฟยกล่าวแล้วเดินออกมา หน้าประตูนั้นมีคนรอเขาอยู่นานแล้ว “ไป๋หู่มาถึงหรือยัง?”

“ท่านไป๋หู่รออยู่ในห้องรับแขกครับ” ผู้ชายท่าทางขึงขังกล่าวตอบ

เซินเฟยไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเดินนำบอดี้การ์ดส่วนตัวของไป๋หู่ที่มารอเฝ้าเขาแต่เช้าไปยังห้องรับแขกของอาคารหลักในบริษัท

เพียงแค่มายืนอยู่หน้าห้อง เซินเฟยก็รู้สึกได้ว่าหัวใจตนเองกำลังเต้นเป็นรัวกลอง อาจเพราะไป๋หู่ที่เขาได้พบเมื่อ 3 ปีก่อนนั้นแสดงท่าทางไม่แยแสไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ต่างจากชิงหลงที่ดูจะให้ความสนใจเขามากกว่าคนอื่นอยู่เล็กน้อย การที่ไป๋หู่มาพบจะอนุมานเป็นอะไรได้บ้างก็ยากจะคาดเดา

ชายที่ตามหลังเขามาเปิดประตูอย่างรู้หน้าที่

ห้องรับแขก VIP ของบริษัทมีชายคนหนึ่งจับจองโซฟาตัวยาวอยู่ เยื้องไปด้านหลังมีบอดี้การ์ดชุดดำยืนคุมเชิงด้วยสีหน้านิ่งสนิท เซินเฟยเดินเข้าไปนั่งที่โซฟายาวฝั่งตรงข้ามโดยไม่แสดงอาการประหม่าออกมาให้เห็น

“แปลกจังนะครับที่คนอย่างคุณมาเยี่ยมผมถึงที่นี่” น้ำเสียงของเซินเฟยค่อนจะกระด้างอยู่เล็กน้อย มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าไป๋หู่และจูเชว่มีความขัดแย้งส่วนตัวกันในสมัยก่อน แม้เรื่องนั้นจะไม่ได้เกี่ยวพันกับเซินเฟยเลยแม้สักนิด แต่เมื่อมาอยู่ในฐานะจูเชว่จะว่าไม่เกี่ยวก็คงไม่ได้ กระนั้นด้วยความรู้สึกส่วนตัว เซินเฟยก็ยังไม่ค่อยชอบผู้ชายคนนี้อยู่ดี

“เธอเป็นน้องใหม่ของวงการ มันก็ต้องดูแลกันหน่อยจริงไหม?” ไป๋หู่ว่าพลางเสยผมที่หงอกตั้งแต่เด็กด้วยผลจากพันธุกรรมของตนเอง

ดูแล?

ความหมายที่แท้จริงน่าจะเป็น....จับตาดู....

“คุณคิดดีแล้วหรือครับที่จะเข้ามาแทรกแซงฐานะจูเชว่ของผม” เซินเฟยหรี่ตาลงอย่างคลางแคลง

“อย่ามองแบบนั้นสิ ฉันก็แค่คิดเหมือนกับคนอื่น ๆ ก็เท่านั้น”

“คนอื่น ๆ ?”

“ก็ชิงหลงกับเสวียนอู่ไง” ไป๋หู่ว่าแล้วหัวเราะในคอ “พวกเขาก็คิดว่าเธอควรจะมีคนดูแล แต่ก็แค่ไม่พูดออกมา ส่วนฉันมันพวกไม่ชอบคิดเฉย ๆ แต่ชอบลงมือทำ”

เซินเฟยเม้มปากจนเป็นเส้นตรง แน่นอนเขารู้ว่าสำหรับทั้งสามคนนั้นแล้ว เขาเป็นเพียงเด็กอมมือที่ไร้ประสบการณ์ จะเรียกว่าผู้สืบทอดโดยชอบธรรมก็เรียกไม่เต็มปาก มันก็สมควรอยู่หรอกที่จะนึกระแวง แต่มาพูดกันตรง ๆ เช่นนี้นอกจากจะไม่ใช่การรักษามารยาทแล้ว ยังเป็นการตอกกันซึ่ง ๆ หน้าว่าในสายตาของผู้ชายคนนี้แล้ว เขาเป็นเสาหลักที่มีรอยร้าวพร้อมจะล้มได้ทุกเมื่อหากไร้คานพยุง

จะดูถูกกันก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ!

แม้จะคิดในใจเช่นนั้นแต่ก็พูดออกมาไม่ได้ เซินเฟยเก็บอารมณ์ไว้หลังใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะพูดต่อ

“แล้วคุณคิดว่าควรจะทำยังไง?”

“คิดอยู่แล้วว่าเธอต้องเป็นเด็กดี” ไป๋หู่ยิ้มกว้าง แต่ฟังอย่างไรก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่านั่นคือคำชม “ฉันจะให้คนของฉันกับเธอคนหนึ่ง เขาเป็นคนมีความสามารถ ทำงานกับฉันมานานจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาจะเป็นผู้ช่วยที่ดีได้แน่นอนฉันขอรับรอง”

คิดจะแทรกแซงจริง ๆ งั้นสินะ.....

“คนของผมมีความสามารถพออยู่แล้ว หรือคุณไม่ไว้ใจกระทั่งคนของจูเชว่รุ่นก่อน” เซินเฟยไม่ยอมให้อีกฝ่ายกินง่ายนัก เขาเองก็ใช่จะต่อรองเจรจาไม่เป็น การใส่หน้ากากเข้าหากันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ปุถุชนและปกติยิ่งกว่าสำหรับคนที่เป็นทั้งมาเฟียและนักธุกิจอย่างพวกเขา

“แน่นอน ฉันไว้ใจ แต่ยังไงฉัน....กับอีกสองคนก็ต้องการความแน่นอน บอกตามตรงว่าเธอยังไม่ได้แสดงอะไรให้พวกเราเห็นเลยแม้แต่นิดเดียวว่าเธอเหมาะสมและพร้อมจะทำหน้าที่ด้วยตัวเอง มันก็ไม่แปลกเพราะเธอเพิ่งดำรงตำแหน่ง แต่ก็ถือซะว่าเป็นหลักประกันความไว้ใจ ว่าไงล่ะ?” ดูเหมือนการพูดอ้อมค้อมไปมาจะทำให้ไป๋หู่รู้สึกรำคาญไม่น้อยที่ต้องมาต่อปากต่อคำกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จึงเลือกที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็ยังมีการรักษาน้ำใจตามมารยาทอยู่บ้าง

“หลักประกันความไว้ใจ? นั่นคือคำพูดที่คุณใช้กับผมซึ่งเป็นจูเชว่หรือครับ?” น้ำเสียงของเซินเฟยกดต่ำลงตามอารมณ์ที่คุกรุ่น “เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ผมมีข้อแม้”

“ว่ามาเลย”

“คนของคุณไม่มีสิทธิยุ่งกับสิ่งที่ผมไม่ได้สั่ง และระหว่างที่ทำงานกับผม คำสั่งของคุณต้องไม่มีผลกับเขา”

รอบคอบดี...

ไป๋หู่นึกชมในใจ แต่ก็นึกขันกับความระแวดระวังเกินเหตุนั่นด้วยเช่นกัน

“ฉันจะบอกกับเขาตามนั้น อีกสามวันฉันจะให้เขามาแนะนำตัวกับเธอด้วยตัวเอง” ไป๋หู่ว่าพลางโคลงศีรษะเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “พอดีฉันมีธุระต้องไปทำต่อ เธอคงไม่ว่าอะไรถ้าฉันจะขอตัวกลับก่อน”

“ไม่ครับ ผมจะให้คนไปส่งที่รถ” เซินเฟยพูดแล้วลุกขึ้นแต่แล้วอีกฝ่ายกลับยกมือปราม

“ช่างเถอะ ๆ ฉันลงไปเอง แล้วเจอกันใหม่นะ ขอให้สนุกกับตำแหน่งจูเชว่นะ” หลังกล่าวจบ ไป๋หู่ก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เซินเฟยนั่งอยู่เพียงลำพัง

เขาลุกขึ้นจากโซฟา เอามือไพล่หลังแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองลงไปและรออยู่ไม่นานร่างสูงใหญ่ของผู้ดำรงตำแหน่งไป๋หู่คนปัจจุบันก็ปรากฏขึ้นก่อนที่จะหายไปใต้หลังคารถสีดำสนิท เซินเฟยหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก การมาเยือนของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อยดังที่คาดไว้

ในความคิดของเขา มันออกจะไม่ยุติธรรมอยู่มาก ทั้งที่เสวียนอู่คนปัจจุบันอายุมากกว่าเขาไม่เท่าไหร่ซ้ำยังเป็นผู้หญิง แต่กลับได้รับความไว้วางใจและความเคารพมากกว่าอย่างเทียบไม่ติด

แต่จะแปลกอะไร ข่าวลือหลายสายต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์ร้ายกาจราวกับงูพิษ ในตอนอายุยังน้อยถึงกับขายพี่ชายฝาแฝดตัวเองให้เป็นคนรักลับ ๆ ของไป๋หู่และขึ้นเป็นทายาทแทนเมื่อพี่ชายฝาแฝดตัดสินใจออกจากตระกูล แม้จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนยำเกรง ส่วนเขาที่เพิ่งจะเข้าตระกูลหลักตอนอายุ 12 จะเทียบอะไรได้กับคนสายตรงที่ถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเป็นนายเหนือคน

ทุกวันนี้ก็มีเรื่องยุ่งยากใจมากพออยู่แล้ว ไป๋หู่กลับมาสร้างปัญหาให้เขามากยิ่งขึ้น

คนในควบคุมยากก็จริง แต่ยังใช้อำนาจสยบได้ คนนอกที่ถูกหยิบยื่นให้จะใช้สิ่งใดมาสยบกัน?

“คุณเซิน” เสียงเลขาหนุ่มซึ่งเป็นคนในตระกูลคนรับใช้บ้านตระกูลเซินกล่าวเรีย ทำให้เซินเฟยหลุดจากภวังค์

“นักข่าวไปหมดแล้วใช่ไหม?”

“ครับ”

“อืม” เซินเฟยเพียงรับในคอแล้วหมุนตัวกลับมา “แล้วมีอะไรอีกหรือเปล่า?”

“พวกบอร์ดบริหารบอกว่าการประชุมเช้าวันพรุ่งนี้ พวกเขาต้องการฟังความเห็นของคุณเซินในที่ประชุมเกี่ยวกับนโยบายของบริษัท” เลขาแซ่หวางตอบกลับด้วยท่าทางเหมือนไม่อยากจะพูด ตัวเขานั้นไม่ได้อคติอะไรกับเซินเฟย พ่อและปู่ของเขามักเสี้ยมสอนจนจำขึ้นใจว่าให้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดก็พอ เรื่องนอกเหนือจากนั้นเป็นเรื่องของนาย บ่าวเช่นพวกเขาไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยว

เซินเฟยได้ฟังแล้วก็อดจะถอนใจไม่ได้

พวกผู้อาวุโสในบริษัทก็จ้องจะขย้ำเขาอยู่เช่นกัน การอยู่ท่ามกลางเสือ สิงห์พวกนี้ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายใจเป็นที่สุด

“เรื่องที่ผมสั่งให้พวกหัวหน้าแผนกไปจัดการเรียบร้อยหรือยัง?” เซินเฟยเอ่ยถามต่อขณะเดินกลับห้องทำงาน

“พวกเขาขอเวลาอีก 2-3 วันครับ”

“แล้วเรื่องแก๊งค์ที่มาก่อความวุ่นวายในระยะนี้ล่ะ?”

“ผมสั่งให้คนลงไปจัดการแล้วครับ คิดว่าอีกไม่นานคงจะสงบเหมือนเดิม”

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 13-02-2011 16:00:59
การเป็นคนควบคุมธุรกิจทั้งด้านหน้าและหลังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เซินเฟยต้องแบ่งแยกทั้งสองอย่างออกจากกันและดูแลทั้งคู่พร้อม ๆ กัน มันอาจจะง่ายกว่าถ้ามีคนน่าไว้ใจช่วยดูแลฝั่งหนึ่ง ทว่าด้วยอำนาจล้นเหลือที่มีในมือแล้วยากนักจะหาคนที่ไว้ใจมาทำงานแทนได้ ยิ่งอำนาจยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งเย้ายวนมากเท่านั้น แม้แต่สุนัขที่สัตย์ซื่อที่สุดก็อาจกลายเป็นจิ้งจอกได้ในพริบตา

ที่วุ่นวายที่สุดเห็นจะเป็นธุรกิจเบื้องหลัง เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการผลัดเปลี่ยนมือ ก็จะต้องมีพวกไม่กลัวตายออกมาก่อกวนอยู่ร่ำไป

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ?” เลขาหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นจ้านายของตนยังคงขึงหน้าตึง เขาเดาว่าไป๋หู่จะต้องพูดอะไรไม่ถูกหูเข้าแน่ ๆ

“อีกเดี๋ยวคุณจะมีผู้ช่วยเพิ่ม” เซินเฟยว่าพลางเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะอย่างครุ่นคิด

“ผู้ช่วย? ผมทำหน้าที่บกพร่องหรือครับ!?” ชายหนุ่มผู้เป็นเลขาเบิกตากว้าง แม้แต่สวรรค์ยังรู้ว่าเขาเป็นเลขาที่ยอดเยี่ยมไร้ข้อบกพร่อง จูเชว่รุ่นก่อนเอ่ยชมเขาแทบไม่เว้นแต่ละวัน แล้วทำไมจูเชว่คนนี้ถึงได้จะหาคนมาช่วยเขา หากเรื่องนี้ถึงหูปู่ของเขาที่เป็นหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลเซินอยู่ ท่านคงจะลมจับเป็นแน่!

“คิดมากไปแล้วอาซิง” มีหรือที่เซินเฟยจะมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นตูมขนาดไหน ก็มันบ่งบอกทางสีหน้าถึงขนาดนั้น

“แล้ว...แล้วทำไม....”

“ไป๋หู่เสนอมาผมก็ต้องรับ” เขาว่าพลางประสานมือบนโต๊ะ

“ไป๋หู่หรือครับ?” หวางซิงมุ่นคิ้ว ผู้ชายคนนั้นดูไม่ใช่คนที่จะห่วงใยคนอื่นถึงขนาดยอมสละคนมาช่วยเหลือสักนิด

“อืม” เซินเฟยรับในคอโดยไม่ได้อธิบายอะไรต่อ หวางซิงซึ่งรู้ขอบเขตหน้าที่ตนเองดีจึงปิดปาดเงียบเช่นกัน เมื่อผู้เป็นนายไม่ได้สั่งการอะไรต่อ เขาก็เดินจึงถอยออกไปยืนห่าง ๆ และปล่อยให้เซินเฟยได้สำรวจเอกสารที่กำลังกองรอลายเซ็นอนุมัติบนโต๊ะ

-------------------->

เสียงรถแล่นเข้ามาในบริเวณบ้านใหญ่ของตระกูลเซิน คนรับใช้ที่มีหน้าที่เปิดประตูรีบวิ่งออกมารับอย่างนอบน้อม เมื่อประตูรถเปิดออก เรือนร่างสูงโปร่งของเจ้าบ้านคนปัจจุบันก้าวออกมาพร้อมกับเลขาหนุ่มที่ถือกระเป๋าเอกสารอยู่ในมือ

“ทำไมวันนี้ถึงกลับค่ำขนาดนี้ล่ะเสี่ยวเฟย” หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านแล้วดึงเสื้อสูทจากแขนเจ้าของไปถือเสียเอง

“งานยุ่งนิดหน่อยครับ ว่าแต่...วันนี้พวกญาติ ๆ มาวุ่นวายที่บ้านหรือครับ?” เซินเฟยดึงเสื้อกลับไม่ทันจึงได้แต่ปล่อยให้แม่บุญธรรมทำตามใจต้องการแม้จะนึกเหนื่อยใจอยู่เล็กน้อยที่อีกฝ่ายยังเห็นเขาเป็นเด็กอยู่ร่ำไป

“จะกล้ามาวุ่นวายอะไรมากมายกันล่ะ ก็มาอย่างเคยนั่นแหละ บอกว่าลำบากอย่างนั้นอย่างนี้ อาก็เคยส่งคนไปดูอยู่นะ ก็เห็นสุขสบายกันดีจะตายไป” หญิงสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกาตอบ เธอเป็นถึงลูกสาวของนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น แม้จะไม่ใช่ลูกในไส้แต่เป็นลูกของภรรยากับชู้ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาวคนเดียวที่เป็นทายาท ดังนั้นเรื่องทำนองนี้เธอจึงคุ้นชินกับมันตั้งแต่ก่อนแต่งงานกับจูเชว่คนก่อนเสียอีก

“งั้นหรือครับ....” เซินเฟยได้แต่ทอดถอนใจ นึกสมเพชคนพวกนั้นอย่างอดไม่ได้ เห็นแม่บุญธรรมของเขาเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวก็มาเลียแข้งเลียขาให้ใจอ่อน นี่ถือว่ายังน้อย เคยถึงขั้นยุให้แต่งงานใหม่กับคนในตระกูลสักคนหนึ่งเสียด้วยซ้ำ

“วันนี้มีเรื่องเหนื่อยใจล่ะสิ?” หญิงสาวมีสามารถมองคนออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งนับประสาอะไรกับเด็กที่ตนเองเลี้ยงมากับมือ เธอคาดเดาอารมณ์ของเซินเฟยได้ไม่ยากเลยสักนิด

“เปล่านี่ครับ”

“อาซิง”

“ครับนายหญิง?”

เมื่อเห็นว่าหลานชายไม่ยอมตอบ หญิงสาวจึงหันไปหาเลขาผู้ใกล้ชิดแทน

“วันนี้ที่บริษัทเป็นยังไงบ้าง?”

“เอ่อ.....” เมื่อถูกถามเช่นนี้หวางซิงก็รู้ได้ทันทีว่านายหญิงของเขาต้องการถามอะไร แต่เมื่อมองหน้าเซินเฟยเขาก็ได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้ว่าควรจะตอบหรือไม่

“คุณอาครับ เรื่องของบริษัทผมจัดการเองได้ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” เซินเฟยตัดบทแล้วพาหญิงสาวผู้เป็นอาสะใภ้เดินเข้าไปในห้องอาหารซึ่งพ่อบ้านหวางผู้ชรากำลังทำหน้าที่อย่างขันแข็ง

“เคยบอกให้เรียกว่าแม่ตั้งหลายหนแล้วนะ” เธออดจะงอนเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงเซินเฟยก็ไม่ยอมเรียกเธอเป็นแม่เสียที

“นายหญิงซากุระ นายน้อย” พ่อบ้านหวางเอ่ยพลางโค้มให้ทั้งสอง “โต๊ะอาหารเตรียมกำลังจะเสร็จแล้วล่ะครับ วันนี้ผมทำไก่ตุ๋นที่นายน้อยชอบเอาไว้ด้วย เดี๋ยวผมไปยกมาให้นะครับ” พ่อบ้านหวางกล่าวก่อนจะกวักมือเรียกให้หวางซิงผู้เป็นหลานเข้าไปช่วยงานในครัว

เมื่อพ่อบ้านกับเลขาลับหลังไปแล้ว ซากุระจึงหันมาหาหลานชายแล้วกุมมืออีกฝ่ายอย่างห่วงใย

“บอกอาไม่ได้หรือ?”

เซินเฟยถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงชอบใช้ความใจอ่อนของเขาให้เป็นประโยชน์ในสถานการณ์อย่างนี้เสมอนะ

“ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรหรอกครับ”

เมื่อเซินเฟยยืนยันเช่นนั้น ซากุระก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ เธอรู้ว่าจะต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นแต่ในเมื่อเซินเฟยไม่ยอมบอกเธอก็ไม่อยากจะคาดคั้นให้มากเกินไป ในตอนนี้ลูกบุญธรรมของเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เริ่มมีความคิดอ่านอยากพึ่งพาตนเอง ซึ่งนั่นก็เป็นข้อดีสำหรับคนที่ดำรงตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ ซึ่งทำให้ซากุระอดไม่ได้ที่จะเปรียบเซินเฟยกับสามีของเธอ เซินหมิงเฟิ่ง นิสัยชอบเก็บเรื่องยุ่งยากไว้ในใจนั้น สองคนนี้เหมือนกันราวกับแกะเลยทีเดียว

หลังมื้ออาหารผ่านไปอย่างเงียบ ๆ พวกเขาก็ย้ายมานั่งด้วยกันในห้องหนังสือ

เซินเฟิงมองดูรูปพ่อบุญธรรมที่ประดับอยู่บนกำแพง เขาไม่เคยเจอหน้าอีกฝ่าย แต่พวกเขาสองคนดูไม่ค่อยจะเหมือนกันสักเท่าไหร่ ก็ไม่น่าแปลก พวกเขาแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดเสียด้วยซ้ำ พ่อบุญธรรมของเขาผมสีน้ำตาล ตากลมโต แม่บุญธรรมก็ผมสีน้ำตาลม้วนเป็นลอน ส่วนเขานั้นผมสีดำสนิทยืดตรง ซ้ำรูปตายังเรียวรี หางตาชี้ มองแล้วไม่ต่างกับคนจีนแผ่นดินใหญ่ อย่างนี้ก็ไม่น่าแปลกที่มองมุมไหนคนก็ดูออกว่าเขาเป็นลูกที่ถูกรับมาเลี้ยง

เขาเคยถามแม่บุญธรรมว่าอาของเขายังไม่ได้ตายไปจริง ๆ ใช่ไหม เธอก็เพียงยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไร เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าที่อาของเขาทิ้งตระกูลไปแล้วรับเขาเป็นลูกบุญธรรมนั้นเป็นเพราะอะไรและทำไม แต่ถึงอย่างนั้นนั่นก็เป็นเรื่องอดีต ตัวเขาในตอนนี้เลิกที่จะสงสัยอะไรที่ไร้สาระอย่างนั้น เพราะแต่ละวันก็มีเรื่องให้คิดมากเกินกว่าจะไปนึกสงสัยในสิ่งที่ไม่มีวันได้คำตอบ

“คุณอาไม่คิดจะแต่งงานใหม่จริง ๆ หรือครับ?” เซินเฟยเพียงถามขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย

“ไม่ล่ะ ชีวิตอาตอนนี้ก็มีความสุขดี เสี่ยวเฟยก็เป็นลูกที่ดี อาจะยังต้องการอะไรอีกล่ะ?” ซากุระตอบพลางหัวเราะ เรื่องของตระกูลเซินและเซินเฟยเป็นสิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งฝากฝังเอาไว้ก่อนที่จะจากไป แม้จะน่าปวดหัวแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ทุกข์ทรมานเธอจึงพึงพอใจและไม่หวังอะไรไปมากกว่านี้

เซินเฟยไม่ได้พูดอะไรต่อ บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าแม้ไม่ต้องพูดก็สามารถเข้าใจได้

เมื่อนาฬิกาบอกเวลา 4 ทุ่ม เซินเฟยจึงขอตัวขึ้นนอนเพราะตอนเช้ามีประชุมใหญ่ที่เขาต้องไปยืนให้บอร์ดบริหารหาเรื่องสับจนละเอียด ถ้าสมองไม่พร้อมเห็นจะต่อกรได้ยาก

-------------------------->

การประชุมดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี อาจเพราะผู้บริหารพวกนั้นยังจำได้ว่านอกจากตำแหน่งประธานเครือตระกูลเซินแล้ว เขายังพ่วงเครดิตจูเชว่มาด้วย จึงยังไม่กล้าแหย่หนวดเสือมากนัก ซึ่งเขาก็จำต้องปรามคนเหล่านั้นให้อยู่หมัด มิเช่นนั้นหากเขาอ่อนข้อให้ก็รังแต่จะทำให้เหลิงจนกลับมาเหยียบเขาได้ในภายหลัง

“จับตาคนพวกนั้นไว้ก็ดี” เซินเฟยเปรยกับหวางซิง ซึ่งเลขาหนุ่มก็รับคำทันควัน

“จริงสิครับคุณเซิน วันนี้หมอจือแจ้งว่าจะมาตรวจสุขภาพที่บ้านตอนเย็น”

“วันนี้?” เซินเฟยเลิกคิ้ว “ตามกำหนดต้องอีก 5 วันไม่ใช่หรือ?”

“ครับ คุณหมอบอกว่าวันนั้นอาจมีงานอื่นเข้ามาเลยขอเลื่อนวัน ไม่ทราบว่าคุณเซินจะว่ายังไงครับ”

“ตามนั้นก็แล้วกัน ยังไงเย็นนี้ผมก็พอจะกลับเร็วได้” เซินเฟยตอบ หวางซิงจึงรีบขอปลีกตัวไปทำตามคำสั่งที่ได้รับในทันที

เซินเฟยเดินกลับห้องคนเดียว ปากก็พึมพำ...

“หมอจือจะมางั้นหรือ....”

------------------------->

ในตอนที่เซินเฟยกลับถึงบ้าน เขาก็พบว่าหมอจือ หมอประจำตระกูลของเขากำลังนั่งคุยกับอาสะใภ้อย่างออกรส เมื่อเขาเดินเข้าไป หมอจือก็หันมายิ้มให้อย่างสุภาพ

“ยินดีที่ได้พบครับคุณเซิน” หมอหนุ่มกล่าวตามมารยาทแต่ก็เป็นคำที่ฟังดูห่างไกล

เซินเฟยกับจือหยินได้พบกันตั้งแต่ที่เซินเฟยเข้ามาเป็นคนในสายตระกูลหลัก ตอนนั้นซือหยินยังเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ตามพ่อมาเรียนรู้งานรับใช้ตระกูลเซินเดือนละครั้ง ความอ่อนโยนของจือหยินที่มีแต่เซินเฟิงซึ่งถูกพรากจากพ่อแม่มาอยู่ในสังคมที่ไม่รู้จักนั้นทำให้เกิดความรู้สึกพิเศษได้ไม่ยาก กระนั้นสำหรับจือหยินแล้ว เซินเฟยก็ยังเป็นจูเชว่ที่เขาต้องให้การปรนนิบัติรับใช้ไม่เปลี่ยนแปลง

“ช่วงนี้งานที่โรงพยาบาลยุ่งหรือครับ” เซินเฟยเดินไปนั่งที่เก้าอี้พลางทักทายตามมารยาทเช่นกัน เขาจำต้องปิดซ่อนความรู้สึกพิเศษที่มีต่ออีกฝ่ายทุกครั้งที่เจอหน้า ถึงจะรู้สึกไม่ดีนักแต่เขาก็ยังดีใจทุกครั้งที่ได้พบหน้าจือหยิน แม้จะแค่เดือนละครั้งก็ตามที

“นิดหน่อยครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องส่วนตัวด้วย” จือหยินตอบพลางหยิบอุปกรณ์ออกมาเตรียม “ช่วงนี้ไม่ได้รู้สึกผิดปกติใช่ไหมครับ?”

“แค่รู้สึกปวดหัวบ้างนิดหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นอาจเป็นเพราะความเครียด ไม่ได้ปวดมากใช่ไหมครับ?”

“อืม....”

การตรวจสุขภาพเป็นไปอย่างเรียบลื่น ทุกคำสนทนามีแต่เพียงการสอบถามเพื่อประกอบการวินิจฉัย ไม่ได้มากหรือน้อยไปกว่านั้น.....

จือหยินสรุปว่าระยะนี้เขาเครียดมากเกินไปจึงแนะนำให้ออกกำลังกายและหางานอดิเรกง่าย ๆ ทำ เช่น อ่านหนังสือ หรือฟังเพลง จากนั้นจือหยินก็ลากลับโดยไม่ได้พูดคุยอะไรไปมากกว่าเดิม ทั้งที่ก่อนเขาจะมายังคุยกับอาสะใภ้ของเขาอย่างสนุกสนานแท้ ๆ

เซินเฟยพอจะยอมรับได้ในเรื่องนี้ ยังไงก็ยังดีกว่าพวกคนที่เข้ามาประจบประแจงเพื่อเอาผลประโยชน์จากเขาเป็นไหน ๆ

ถึงตอนนี้เขาก็นึกถึงเรื่องคนของไป๋หู่ขึ้นมา คน ๆ นั้นจะเป็นคนประเภทไหนกัน?

ไป๋หู่เคยบอกว่าเป็นคนที่มีความสามารถและทำงานให้องค์กรมานาน คงจะเป็นคนฉลาดใช้ได้และน่าจะเหลี่ยมจัดทีเดียว ยังไงเขาก็คงไว้ใจคน ๆ นี้ไม่ได้มาก

ในขณะที่เซินเฟยคิดหาวิธีจัดการกับคนของไป๋หู่อย่างเหมาะสม เวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไปจนถึงวันที่กำหนดเอาไว้…


TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: zeen11 ที่ 13-02-2011 16:06:08
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด ตามมาเจิมเรื่องใหม่ติดๆ เลยค่ะ  :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 13-02-2011 16:18:02
ยังไมไ่ด้อ่านแต่เม้นต์ก่อนซื่อเรื่องเริ่ดมากกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: YELLOWSTAR ที่ 13-02-2011 16:43:50
กรี๊ดดดด  ชอบอ่านสไตล์นี้เป็นที่สุดด

ว่าแต่ไป๋หู่คือพระเอกรึปล่าว?? :z1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 13-02-2011 16:55:41
เริ่ด ๆแอบรักคณหมอประจำตละกลด้วย ว่าแต่คนที่จะมาเป็นผ้่วยนี้น่าจะเป็นค่กับ เซินเฟยแน่เลยเนอะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 13-02-2011 16:59:13
น่าติดตามครับโลกของมาเฟียอิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 13-02-2011 17:25:34



งาม  ภาษางามดีนะ  เลิศ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 13-02-2011 17:49:24
ตามมาเจิมเรื่องใหม่ด้วยคนค่า อิอิ
ว่าแต่เรื่องนี้ใครพระ ใครนายกันนะ ลุ้นจริง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 13-02-2011 18:31:33
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 13-02-2011 18:51:15
เชียร์ให้คู่กับคุณหมอไปเลยคุณเซิน


 :really2: :really2: :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: @StaR@ ที่ 13-02-2011 18:57:48
ชอบเรื่องแนวแบบนี้อยู่เหมือนกัน
แต่หาอ่านยากไปหน่อยเรื่องนี้ก็ยัง
คงความน่าติดตามเหมือนเดิมเลย
ภาษาก็สวยด้วยอ่านไปก็จินตนาการเพลินเลย
 :กอด1: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 13-02-2011 19:01:25
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 13-02-2011 19:56:32
ชอบแนวนี้มากเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: จันทร์ผา ที่ 14-02-2011 10:06:15
เรื่องใหม่เจิมๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 14-02-2011 12:23:03
-2-



ในตอนเช้าเมื่อมาถึงบริษัทเซินเฟยก็ได้รับแจ้งว่ามีคนมารอพบ เขามุ่นคิ้วพลางมองนาฬิกา ตอนนี้เพิ่งจะ 7 โมง ทำไมถึงได้มาเร็วนัก เขาเคยได้ยินว่าไป๋หู่เป็นคนไม่ชอบถูกกำหนดด้วยเวลาจึงคิดว่าลูกน้องก็คงจะเหมือน ๆ กัน แต่นี่มันยิ่งกว่าตรงต่อเวลาเสียอีก

“ไป๋หู่มาด้วยหรือเปล่า?” เขาถามกับพนักงานที่ทำหน้าที่ต้อนรับ

“เขามาคนเดียวค่ะ ดิฉันเพิ่งนำกาแฟไปให้เมื่อครู่นี้ แล้วก็ยังไม่มีใครมาเพิ่มเลยนะคะ” หญิงสาวผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกตอบ เซินเฟยเพียงพยักหน้ารับแล้วโบกมือให้อีกฝ่ายไปทำงานอื่นต่อได้

ไป๋หู่ไม่ได้มาด้วย....ออกจะผิดมารยาทไปสักหน่อย หรืออีกฝ่ายจงใจจะบอกว่าตัวเขาไม่มีค่าพอจะเสียเวลากันแน่?

“คุณเซิน....” หวางซิงพอมองออกว่าเจ้านายของตนกำลังรู้สึกไม่พอใจ

“ช่างเถอะ” เมื่อเซินเฟยว่าเช่นนั้นเลขาหนุ่มจึงถอนหายใจออกมา

เซินเฟยเดินนำหวางซิงตรงไปยังห้องรับรอง อย่างไรเสียคน ๆ นี้ก็ถูกเสนอตัวมาเพื่อรับใช้เขา ดังนั้นเขาก็ควรจะไปรับด้วยตัวเองจะได้มองผาด ๆ เสียก่อนว่าเป็นคนอย่างไร หากดูเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อล่ะก็ เขาจะเฉดหัวกลับไปซุกอกเจ้านายเก่าอย่างแน่นอน ถึงจะต้องมีปัญหากับไป๋หู่เขาก็ไม่สนใจ

เมื่อถึงห้อง หวางซิงก็รีบเปิดประตูให้จ้านายอย่างนอบน้อม เซินเฟยเดินเข้าไปในห้องก่อนที่หวางซิงจะปิดประตูตามหลังเมื่อตามเข้ามาแล้ว

แขกที่รออยู่ในห้องมีเพียงคนเดียวและคน ๆ นั้นก็รีบผุดลุกขึ้นทันทีที่เห็นว่าคนที่ตนรอมาถึงแล้ว

เซินเฟยพบว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนโครงร่างใหญ่พอดู เห็นได้จากความสูงที่อาจจะมากกว่าเขาถึงครึ่งฟุตและลาดไหล่กำยำที่เห็นชัดยิ่งขึ้นเมื่อสวมสูท โครงหน้าของฝ่ายนั้นมีเหลี่ยมมุมดูสมชายกระเดียดไปทางยุโรปแต่ก็ผสมผสานกับโครงหน้าแบบคนตะวันออก เรือนผมสีดำสนิทหยักศกตรงปลายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไม แต่เซินเฟยรู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายขึ้นมาในทันทีแม้จะยังไม่ทันได้พูดคุยเจรจา

“คุณคงเป็นคุณเซิน ผมชื่อฉู่เหวินจือ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ชายหนุ่มยื่นมือออกมาตรงหน้า แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับจากคู่สนทนาแม้แต่น้อย เซินเฟยมุ่นคิ้ว ยืนนิ่ง และเงียบอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งอีกฝ่ายชักมือกลับไปแนบข้างตัวเช่นเดิม

“คนของไป๋หู่งั้นหรือ?”

“ครับ” เจ้าของนามฉู่เหวินจือแย้มรอยยิ้ม เมื่อมองดี ๆ แล้ว เซินเฟยได้พบว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายดูไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก ทั้งยังนัยน์ตาเป็นประกายวาววับนั่นอีก มองอย่างไรก็ไม่น่าใจแม้แต่น้อย

“นี่หวางซิง เลขาของฉัน” เซินเฟยหันไปแนะนำเลขาของตัวเองและให้หวางซิงจับมือทักทายแทนตน

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” หวางซิงทักทายอย่างสุภาพ

“เช่นกันครับ ไหน ๆ ก็จะต้องทำงานด้วยกันแล้ว ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ” ฉู่เหวินจือเองก็ตอบกลับอย่างสุภาพไม่แพ้กัน ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นคำพูดพื้นฐานของการทักทาย แม้แต่คนต่างประเทศที่เรียนภาษาจีนเบื้องต้นยังพูดเป็น นับประสาอะไรกับคนฮ่องกง และด้วยเหตุนั้นเซินเฟยจึงยังคงท่าทางเย็นชาของตนไว้ ไม่ได้โอนอ่อนไปตามความสุภาพที่อีกฝ่ายบรรจงแสดงให้เห็น

“ไป๋หู่คงบอกนายแล้วเรื่องข้อแม้ของฉัน” เซินเฟยว่า

“บอกแล้วครับ และผมยินดีปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”

คำตอบนั้นทำให้เขารู้สึกพอใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็ฉลาดมากพอที่จะไม่พูดอวดดีต่อหน้าเขา แต่ถ้ามีลับหลัง....ก็ต้องพิจารณาพฤติกรรมกันอีกที....

“หวางซิงจะเป็นคนแนะนำว่านายควรจะทำอะไรและไม่ควรทำอะไร เมื่อฟังกฎในบริษัทเรียบร้อยค่อยไปหาฉันที่ห้อง” เซินเฟยตัดบทเพียงเท่านั้น เขาไม่อยากเสียเวลาพูดคุยอย่างเปล่าประโยชน์มากเกินไปนัก เรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นมีคนอื่นทำแทนเขาอยู่แล้ว ใครกันนะที่บอกเขาว่า เมื่อคนเราอยู่สูงขึ้นก็จะยิ่งทำอะไรเองน้อยลง เมื่อเขามายืนตรงจุดนี้ก็พบว่ามันเป็นความจริงอย่างไม่ผิดเพี้ยน แน่นอนว่ามันไม่ใช่นิสัยส่วนตัวของเขา แต่เป็นเพราะด้วยตำแหน่งแล้วเขา ไม่ควรจะลดตัวลงไปจัดการกับอะไรเองทั้งนั้น มิเช่นนั้นจะมีคนคิดว่าตีตัวเสมอได้ขึ้นมา

แม้จะเป็นคนของไป๋หู่....ก็ใช่จะตีตัวเสมอเขาได้

เซินเฟยเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก หวางซิงจึงหันมาหา ‘เด็กฝึกงาน’ ที่ยืนรออย่างใจเย็น

“คุณเซินอารมณ์ไม่ดีหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเจ้านายใหม่ของตนเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงและพูดคำตอบคำเหมือนคร้านจะเจรจา

“เปล่าหรอกครับ” หวางซิงหัวเราะฝืด ๆ “คุณเซินเขามีนิสัยอย่างนี้แหละครับ อีกหน่อยคุณจะชินไปเอง ตอนนี้เชิญนั่งก่อนเถอะครับ เราจะได้เริ่มคุยรายละเอียดกัน”

“อ้อ....ครับ เชิญ ๆ” ฉู่เหวินจือว่าพลางผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลงเช่นกัน

“ถ้าอย่างนั้นผมเริ่มเลยนะครับ”

------------------------>

เซินเฟยมาถึงห้องทำงานด้วยเวลาไม่นานนัก แต่เมื่อมาถึงก็พบว่ามีการ์ดฉบับหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะเหนือกองแฟ้มเอกสารทั้งหมดที่สุมรวมกันแสดงว่าผู้วางตั้งใจจะบอกเขาว่าการ์ดฉบับนี้สำคัญและต้องเปิดดูก่อนจะเริ่มทำงาน เซินเฟยนั่งลงบนเก้าอี้พนักสูง เอนพิงให้สบายแผ่นหลังและหยิบการ์ดมาเปิดดูพลางมุ่นคิ้ว

งานสังคม....

เขาคิดในใจแล้วมองดูหัวข้องาน สถานที่ และเวลา

การเป็นนักธุรกิจ นั่นหมายถึงต้องออกไปพบปะผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนหน้าใหม่ที่ทุกคนยังคลางแคลงในความสามารถเช่นเขา คนเชิญอาจเชิญด้วยมารยาท แต่แขกในงานคงไม่ได้คิดจะมีมารยาทกับเขาทุกคน แต่อย่างไรด้วยตำแหน่งจูเชว่ก็คุ้มหัวเขาได้มากพอแล้ว

เซินเฟยสอดการ์ดกลับเข้าซอง วางลงในลิ้นชักแล้วเริ่มเปิดแฟ้มเอกสารดูว่าในวันนี้มีอะไรบ้าง

เขาไม่ได้นึกแปลกใจว่าทำไมถึงมีแฟ้มมากองบนโต๊ะมากมายขนาดนี้ เพราะเขาเพิ่งจะสั่งให้แต่ละแผนกไปรวบรวมงามทั้งหมดที่ทำไปภายในสามเดือนมาให้ตรวจดู ตอนนี้ใกล้จะถึงช่วงปิดไตรมาสแล้ว เขาเพิ่งจะเข้ามาบริหารได้เพียงเดือนเดียวย่อมต้องศึกษางานอีกมากก่อนจะถึงช่วงปิดไตรมาสครั้งนี้ เพราะพวกบอร์ดบริหารคงไม่พ้นรอจี้เขาอยู่เป็นแน่หากผลงานออกมาไม่ดีนัก เขาเพียงแต่ต้องหาเหตุผลอธิบายเอาไว้ล่วงหน้าเท่านั้น

หลังจากอ่านผ่านไปได้เพียง 2 ชุด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“เข้ามาสิ” เขาเอ่ยอนุญาตโดยไม่ได้ละสายตาจากงานที่อ่านอยู่ หวางซิงจึงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับฉู่เหวินจือที่น่าจะเข้าใจอะไรได้ดีขึ้นจนไม่ต้องพูดให้มากความ

“ผมจัดการอธิบายให้คุณฉู่ฟังเรียบร้อยแล้ว คุณเซินมีอะไรจะใช้ผมอีกไหมครับ?” หวางซิงเอ่ยถามด้วยหน้าที่และความเต็มใจที่จะทำงานอย่างกะตือรือร้น เป็นสิ่งที่เซินเฟยอดจะชื่นชมเลขาของตนเองไม่ได้ อย่างที่อาสะใภ้เคยบอกเอาไว้ อาของเขามักเอ่ยชมหวางซิงว่าเป็นเลขาที่ยอดเยี่ยมและเขาเองก็ไม่มีความคิดเห็นที่ผิดไปจากนั้น

“ตอนนี้ยังไม่มี ถ้ามีใครมาหาผมก็ช่วยบอกด้วยว่าผมไม่ว่าง” เซินเฟยยังคงพูดโดยอ่านงานไปเรื่อย ๆ

“ครับ”

“อ้อ แล้วก็พอถึงตอนเที่ยงช่วยมาเรียกด้วยนะ”

“ทราบแล้วครับ” หวางซิงดูจะพึงพอใจเมื่อได้รับคำสั่ง เขาจึงได้ถอยออกไป แต่แล้วเมื่อประตูกำลังจะปิด ฉู่เหวินจือกลับแทรกตัวเข้ามาโดยที่หวางซิงเอ่ยห้ามไม่ทัน

เซินเฟยปรายสายตาขึ้นมองพลางมุ่นคิ้ว

“มีอะไรหรือเปล่า?”

“คุณเซินยังไม่ได้สั่งงานผม จะให้ผมออกไปได้ยังไงล่ะครับ?” ฉู่เหวินจือว่าทำให้หวางซิงหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เขารีบถลันเข้ามาคว้าแขนชายหนุ่มร่างสูง พยายามจะลากออกไปด้วยกัน

“ขออภัยด้วยครับคุณเซิน! ผมไม่ดีเองที่ไม่ได้อธิบายให้เขาเข้าใจชัดเจน”

“คุณอธิบายชัดเจนแล้วนะหวางซิง ก็คุณบอกผมว่าเลขามีหน้าที่ทำตามคำสั่งของเจ้านายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ว่าคุณเซินยังไม่ได้สั่งอะไรผมเลยจะให้ผมทำอะไรได้ล่ะครับ?” ฉู่เหวินจือเถียงด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง เซินเฟยเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมา เขานึกสงสัยครามครันว่าผู้ชายคนนี้สมองเท่าเม็ดถั่วจริง ๆ หรือว่าแกล้งหดสมองตัวเองจนเท่าเม็ดถั่วกันแน่จึงไม่เข้าใจคำพูดของเขา

“เลขาต้องทำตามคำสั่งของเจ้านายใช่ไหม?” เซินเฟยเอ่ยเสียงต่ำ หวางซิงยิ่งหน้าซีดกว่าเดิมเขารีบเขย่าแขนเตือนเพื่อนร่วมงานคนใหม่ด้วยความหวังดี แต่ฉู่เหวินจือก็เหมือนจะยังไม่รู้ตัวว่ากำลังเหยียบกับระเบิด

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปยืนกางแขนใต้น้ำพุในสวนนั่น จนกว่าฉันจะส่งคนลงไปเรียกตัวก็แล้วกัน” เซินเฟยว่าจบก็ก้มหน้าลงอ่านเอกสารต่อโดยไม่ได้นึกสนใจอะไรอีก

“คุณเซิน! คือ....คุณฉู่แค่....แค่.....” หวางซิงไม่รู้จะแก้ตัวแทนอย่างไร เขามักถูกสอนให้ทำตามหน้าที่อย่างไม่บิดพริ้วทำให้เขาไม่หาญกล้าขนาดจะหาเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ มาเถียงกับเจ้านายได้

“ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งหรือยังไง?” เซินเฟยเหลือบตาขึ้นมาอีกครั้ง “หรือจะกลับไปฟ้องไป๋หู่ฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ”

“เข้าใจแล้วครับ” ฉู่เหวินจือรับชะตากรรมอย่างง่ายดายเกินคาด เขาไม่ได้ร้องอุทธรณ์ให้ตัวเองแม้แต่คำเดียว แต่กลับเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ เซินเฟยลุกจากเก้าอี้และเดินไปยังบานกระจกใสที่มองออกไปเห็นสวนหย่อมของบริษัท รออยู่ไม่กี่อึดใจ ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทดำก็ปรากฏขึ้นและเดินไปยังน้ำพุในสวนอย่างไม่เกรงกลัว เซินเฟยเห็นฝ่ายนั้นก้าวเข้าไปในสระน้ำพุและยืนกางแขนใต้สายน้ำที่กระเซ็นลงมาจากเบื้องบน มีพนักงานหลายคนที่กำลังเดินเข้ามาทำงานและได้เห็นภาพนั้น พวกเขาต่างชี้ชวนกันหัวเราะด้วยนึกว่าฉู่เหวินจือสติไม่สมประกอบ ซึ่งเป็นเพราะพวกเขาต่างไม่เคยเห็นหน้าค่าตาผู้ชายคนนี้มาก่อน

“คุณเซิน.....นี่มันฤดูร้อนนะครับ แล้วตากแดดตากน้ำแบบนั้น....” หวางซิงยังคงรู้สึกเป็นห่วง เหตุหนึ่งเพราะเขาไม่อยากให้เจ้านายอารมณ์ไม่ดี แต่อีกเหตุหนึ่งก็เพราะคน ๆ นั้นเป็นคนที่ไป๋หู่ส่งมาให้ หากเกิดอะไรขึ้นอาจจะมีปัญหาระหว่างองค์กรก็เป็นได้

“ลงไปบอกหัวหน้ารปภ. ใครจะมาแจ้งอะไรก็ตาม ไม่ต้องลากตัวเขาออกไปจากตรงนั้น” แทนที่จะพิจารณาคำพูดของหวางซิง เซินเฟยกลับสำทับเจตนาของตนอย่างแน่วแน่

“คุณเซิน....”

“อาซิง คุณเป็นเลขาของผมอยู่ใช่ไหม?”

“.....ครับ....ผมเข้าใจแล้วครับ” เสียงของหวางซิงหงอยไปอย่างเห็นได้ชัด เขาเพิ่งจะเคยถูกเจ้านายดุใส่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ ประวัติเลขายอดเยี่ยมของเขามีราคีเสียแล้ว....

หวางซิงจำต้องเดินคอตกออกไปเพื่อทำตามคำสั่งที่ได้รับพลางนึกขอโทษฉู่เหวินจืออยู่ในใจ

เซินเฟยมองลงไปทางหน้าต่าง เห็นฝ่ายนั้นยืนนิ่งตามที่เขาบอกก็รู้สึกพอใจมากขึ้นแต่เขาก็ยังไม่อยากใจอ่อน อย่างไรเสีย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก นี่เพราะอยู่ตามลำพังจึงลงโทษเพียงเท่านี้ หากอยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาจะไม่กลายเป็นตัวตลกไปหรอกหรือ? ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ผู้ชายอวดดีคนนั้นหลาบจำเสียแต่ครั้งแรกเพื่อที่จะไม่มีครั้งต่อ ๆ ไป

เขาเลิกที่จะให้ความสนใจกับคนด้านล่าง และหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ

เมื่อใกล้จะถึงเวลาเที่ยง หวางซิงก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องอีกครั้งตามคำสั่ง แต่เพราะเพิ่งโดนดุไปเมื่อครู่นี้เจ้าตัวจึงยังดูประหม่าอยู่มาก เซินเฟยเหลือบตามองคนที่อายุมากกว่าตนถึงสิบปีแต่กลับทำตัวเหมือนเด็กโดนดุจนหงออย่างระอาใจ

“ช่วยไปตามฉู่เหวินจือขึ้นมาให้ผมที” เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรให้มากความ จึงเพียงไปสั่งให้นำตัวคที่เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าสั่งลงโทษเอาไว้ขึ้นมาพบ

หวางซิงหายตัวไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานนักเขาก็กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงที่เปียกม่อล่อกม่อแล่กตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่ผมที่เสยเรียบยังปรกลงมาแนบใบหน้า สภาพของฉู่เหวินจือตอนนี้น่าขันและน่าสมเพชไปพร้อมกัน เซินเฟยคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะได้บทเรียนแล้ว

“สมองโล่งขึ้นไหม?”

“ครับ” ฉู่เหวินจือเลือกจะสงวนคำพูด

“อยากจะนั่งพักหรือเปล่า?” เซินเฟยกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะถามเช่นนั้น

“ไม่เป็นไรครับ” เขาต้องยืนท้าแดดท้าลมอยู่นานเกือบ 5 ชั่วโมง แข้งขาจึงแข็งไปหมด หากนั่งตอนนี้คงไม่พ้นต้องทรุดลงไปกองเป็นแน่

“อีกเดี๋ยวฉันจะมีนัดกินข้าวเที่ยง ในเวลา 10 นาที ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้เรียบร้อย อาซิง คุณช่วยหาชุดใหม่ให้เขาด้วย แล้วก็บอกพวกการ์ดให้เตรียมรถไว้” สั่งจบ เซินเฟยก็หมุนเก้าอี้หันหลังให้ทั้งสอง หวางซิงโค้งรับคำสั่งแล้วรีบกึ่งลากกึ่งพยุงฉู่เหวินจือออกไปจากห้อง ถึงอย่างนั้นเซินเฟยก็ยังแว่วได้ยินเสียงบ่นของหวางซิงว่าฉู่เหวินจือไม่น่าหาเรื่องใส่ตัว

ดูไปแล้ว ผู้ชายคนนี้เหมือนจะไม่มีพิษสงมากมายนัก เซินเฟยอดจะสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะเก่งกล้าสามารถอย่างที่ไป๋หู่ให้เครดิตจริงหรือเปล่า

เรื่องความสามารถยังน่ากังขา เรื่องจุดประสงค์ยิ่งน่ากังขา ท่าทางเขาจะยังด่วนสรุปมากเกินไปไม่ได้

ระหว่างนี้คงต้องให้ฉู่เหวินจือทำงานข้างตัวไปก่อน เพราะจะปลอดภัยกว่าในการควบคุมพฤติกรรมและป้องกันการลักลอบสืบค้นเรื่องภายในโดยที่เขาไม่รู้ตัว อย่างไรก็มีหวางซิงช่วยอยู่อีกแรง แค่ผู้ชายคนเดียวคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงมากนัก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็แค่ส่งตัวกลับไปให้ไป๋หู่จัดการ ระหว่างเสาหลักทั้งสี่มีกฎคั่นกลางอยู่ข้อหนึ่ง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำอย่างไรต่อใครก็จะต้องรับสิ่งนั้นตอบแทน ไป๋หู่ยอมไม่อยู่เฉยเป็นแน่หากคนของตนเองทำให้เกิดความเสียหายกับทางจูเชว่ ตราบใดที่กฎข้อนี้ยังคงศักดิ์สิทธิ์ มันก็สามารถรับประกันความสัตย์ซื่อของฉู่เหวินจือ รวมทั้งความจริงใจของไป๋หู่ได้ในระดับหนึ่ง

เซินเฟยลุกขึ้นกระชับเสื้อที่เกิดรอยยับจากการนั่ง ก่อนจะมองนาฬิกาข้อมือราคาแพงระยับที่อาสะใภ้ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุ 18 ก่อนที่เขาจะเข้าพิธีรับตำแหน่ง เวลาผ่านไป 10 นาทีแล้ว ตอนนี้หวางซิงคงกระวนกระวายยืนไม่ติดแล้วกระมัง พอนึกถึงเลขาผู้ขยันขันแข็งและจริงจังต่อหน้าที่ของตนแล้ว เซินเฟยก็อดถอนหายใจไม่ได้ หากฉู่เหวินจือยังยืนยันที่จะทำตัวทีเล่นทีจริงแบบนั้นต่อไป หวางซิงอาจต้องเหนื่อยมากกว่าเดิมหลายเท่าทีเดียว

เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากเซินเฟยคิดในใจกับตนเองเสร็จ หวางซิงเดินเข้ามาพร้อมกับฉู่เหวินจือที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย

“รถพร้อมหรือยัง?”

“พร้อมแล้วครับ” หวางซิงตอบอย่างกะตือรือร้น เซินเฟยพยักหน้ารับแล้วเดินนำออกไป

ตอนเที่ยง เซินเฟยมีนัดเจรจาธุกิจเขาจึงจำต้องไปใช้บริการภัตตาคารในพื้นที่ดูแลของตนเอง อย่างไรเสียสำหรับการเจรจาครั้งนี้เขาเองก็มีเครดิตมากกว่า ดังนั้นคู่เจรจาต้องทำตามความต้องการของเขาด้านสถานที่เจรจาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ธุจกิจครั้งนี้เป็นเพียงการเจรจาเล็ก ๆ ที่ไม่สลักสำคัญมากนักหากมองในด้านของเครือตระกูลเซิน แต่กลับเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายสำหรับอีกฝ่าย เซินเฟยต้องนั่งฟังคู่เจรจาสาธยายถึงความจำเป็นในการได้รับการเกื้อหนุนจากเครือตระกูลเซินและการได้รับผลตอบแทนที่สำหรับเซินเฟยแล้วมันเทียบไม่ได้กับเศษเสี้ยวของรายได้ต่อปีที่เครือบริษัทได้รับ เมื่อฟังไปฟังมา เซินเฟยก็เริ่มหงุดหงิดใจขึ้นมาเมื่อฝ่ายนั้นเอาแต่พูดวกวนจับสาระไม่ได้ นี่อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นเด็กอมมือที่แค่หยิบยื่นลูกอมมาให้แล้วพูดหยอกเย้านิดหน่อยก็จะรีบวิ่งตามหรืออย่างไรกัน!?

“เรื่องนี้ทางเราจะขอรับไปพิจารณาก่อนแล้วค่อยแจ้งกลับไปอีกทีนะครับ” หวางซิงคาดเดาอารมณ์ผู้เป็นนายได้อย่างรวดเร็วตามเคย เขารีบเอ่ยตัดบทแทนโดยที่เซินเฟยไม่ต้องเอ่ยปากแม้แต่คำเดียวตลอดการเจรจาครั้งนี้

“ถ้าอย่างนั้น ทางเราต้องขอฝากเรื่องเอาไว้ด้วยนะครับ” ดูก็พอจะรู้ว่าคู่เจรจาไม่พึงพอใจที่ได้รับคำตอบเช่นนี้นัก แต่เอาข้อเสนอห่วย ๆ แบบนั้นมาให้ ใครโง่รับไว้ก็บ้าเต็มที ที่หวางซิงพูดว่าจะนำไปพิจารณาก็ถือว่าถนอมน้ำใจมากพอแล้วน่าจะสังวรณ์ตัวเองเสียบ้าง แต่อย่างไรคน ๆ นี้ก็ยังไม่ควรค่าที่เขาจะต้องออกปากด้วยตัวเอง อีกอย่าง บางทีอาจจะลองใช้ประโยชน์จากธุรกิจที่จะล้มมิล้มแหล่นั่นได้ ดังนั้นปล่อยให้เจ้าคนไม่สังวรณ์ตัวเหลิงไปหน่อยก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้ามันไร้ประโยชน์จริง ๆ ค่อยตัดหางปล่อยวัดก็แล้วกัน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 14-02-2011 12:23:20
ทางคู่เจรจาอาสาออกไปส่งให้ถึงรถ เซินเฟยที่เห็นว่าจบเรื่องเสียทีจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปยังรถ ทว่าในตอนที่เซินเฟยหันหลังไปนั้นเอง ชายวัยกลางคนผู้เป็นคู่เจรจาก็คว้ามือฉู่เหวินจือเอาไว้โดยไม่มีใครทันเห็น ก่อนจะยัดบางสิ่งใส่ฝ่ามือ

“ยังไงก็ฝากด้วยนะครับ” ฝ่ายนั้นพูดเสียงหวาด ๆ แต่ก็ยังพยายามฝืนรอยยิ้มกว้างไว้บนใบหน้า ฉู่เหวินจือเลิกคิ้ว เขาไม่จำเป็นต้องก้มลงมองก็รู้ว่าเป็นเช็คฉบับหนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะนึกขำในใจ พลางคาดเดาว่าธุรกิจที่จวนเจียนจะล่มของคน ๆ นี้จะติดสินบนเขาได้สักกี่หลักก่อนจะกางสิ่งที่อยู่ในมือดู

7 หลักเองหรือ?

ฉู่เหวินจือขำพรืดออกมา

“ม...มีอะไรน่าขำนักหนา!” เจ้าของเช็คทำเสียงฮึดฮัดราวกับเด็กที่โดนขัดใจ ฉู่เหวินจือจึงรีบหุบเสียงแล้วตบบ่าอีกฝ่าย

“เอาเป็นว่าผมจะช่วยให้เท่ากับราคาที่คุณจ่ายก็แล้วกัน” เขาทำพูดเสียงขึงขังแล้วเก็บเช็คฉบับนั้นใส่กระเป๋าก่อนจะเดินตามหลังกลุ่มการ์ดไปยังรถที่จอดรออยู่ด้านนอก แม้ฝ่ายคู่เจรจาจะไม่เข้าใจสิ่งที่ฉู่เหวินจือพูดออกมา แต่เขาก็ได้แต่หวังว่าคนที่เอาแต่นิ่งเงียบด้วยรอยยิ้มคนนี้จะไม่ทำให้เขาผิดหวัง แต่ถ้าหากไม่ได้ดังที่คิด....เขาคงต้องเก็บเจ้านั่นเสีย เพราะจูเชว่จะต้องไม่พอใจแน่หากรู้ว่าเขาติดสินบนเลขาและคนสนิทของตัวเอง

เขาไม่รู้เลยว่า....ฉู่เหวินจือไม่ได้เป็นกระทั่งเลขาเสียด้วยซ้ำ....

-------------------------->

เซินเฟยนั่งอยู่บนรถที่กำลังแล่นกลับบริษัทโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา บนตักของเขาคือเอกสารเกี่ยวกับบริษัทคู่เจรจา

ระหว่างที่ทุกอย่างสงบเงียบดีอยู่นั้น ฉู่เหวินจือก็หยิบเช็คขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วมองดูจำนวนเลขอย่างนึกตลกไม่หาย

“นี่หวางซิง คุณว่าไอ้เงิน 5 ล้านดอลล่าห์ฮ่องกงนี่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจะอยากได้ไหม?”

“อะไรนะ....เอ๋.....อ๊ะ! นั่นคุณเอามาจากไหนน่ะคุณฉู่!!!” หวางซิงไม่ทันได้ฟังในตอนแรกแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอเช็คเงินสด 5 ล้านดอลล่าห์ฮ่องกงก็เบิกตากว้างแล้วร้องโวยวายออกมาทันที “คุณบ้าไปแล้วหรือเปล่า! การรับสินบนแบบนี้มันเสียชื่อจูเชว่ขนาดไหน คุณ...คุณ......” หวางซิงทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะถล่ม ถึงกับพูดไม่ออกซ้ำยังทำหน้าราวกับว่าลมถูกตีจนจุกอก

“เขาอุตส่าห์ให้มาทั้งที ถ้าไม่รับก็เสียน้ำใจแย่น่ะสิ จริงไหมครับคุณเซิน?” นอกจากจะไม่รู้สำนึกผิด ฉู่เหวินจือยังหันมายิ้มให้กับผู้เป็นนายพลางโบกเช็คไปมา

“นายคิดว่าจะทำงานให้สมกับเงินที่ได้รับได้หรือยังไง?” เซินเฟยมุ่นคิ้วพลางนึกปรามาสในใจว่าผู้ชายคนนี้ถ้าไม่ใช่โง่ก็น่าจะบ้าจริง ๆ

“หึ ๆ ผมไม่ได้รับของแบบนี้มาแบบไม่ได้คิดหรอกนะ” ฉู่เหวินจือรีบแก้ตัวก่อนจะถูกเข้าใจผิด

“เอาเถอะ....บางทีตอนอยู่กับไป๋หู่เขาอาจจะเลี้ยงนายไม่ค่อยดีถึงได้เป็นคนหิวเงินนัก แต่ทีหน้าทีหลังจะรับสินบนก็ไม่ต้องบอกให้ฉันรู้หรอก” เซินเฟยคร้านจะว่ากล่าวกับคนที่ดูสติไม่ค่อยสมประกอบ แต่ขณะที่กำลังจะละความสนใจจากเรื่องน่าปวดหัว ฉู่เหวินจือก็ถือวิสาสะแย่งเอกสารไปจากหน้าตักของเขาแล้วเปิดหน้าหนึ่งให้ดู

“ดูนี่สิคุณเซิน ที่ดินตรงนี้น่ะไม่คิดว่าทำเลดีหรือครับ?”

เซินเฟยรู้สึกหงุดหงิดใจกับความไร้มารยาทเป็นอย่างยิ่งแต่ก็ยอมมองตามปลายนิ้วนั้นลงไปยังหน้าเอกสารที่เขียนแผ่นที่ประกอบกับภาพถ่ายบริเวณรอบ ๆ เมื่อมองคร่าว ๆ เขาก็รู้สึกสะดุดใจอย่างน่าประหลาด เพราะรอบข้างนั้นดูไม่น่าจะเป็นสถานที่บริษัทใดไปตั้งแล้วจะล่มจมได้ง่าย ๆ เลย นับว่าเป็นทำเลที่ดีต่อการประกอบกิจกรรมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกิจการโรงแรมที่เขากำลังอยากจะลองทำดู

ผู้ชายคนนี้รู้มาก่อนอย่างนั้นหรือ?

เซินเฟยอดจะแปลกใจกับความคิดตัวเองไม่ได้

“ถ้านายคิดแบบนั้น ฉันจะลองพิจารณาดูสักหน่อย” เขาต้องไว้เชิงก่อน เพราะยังไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้อย่างเต็มที่ “ถ้านายสามารถหาข้อมูลที่การคาดการณ์ที่น่าเชื่อถือมาส่งบนโต๊ะของฉันได้ภายในอาทิตย์หน้า”

“ภายในอาทิตย์หน้า ข้อมูลทั้งหมดจะวางบนโต๊ะคุณเซินครับ” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างพร้อมรับคำ

เมื่อสถานการณ์เริ่มมีแนวโน้มจะเป็นไปในทางที่ดี หวางซิงก็ลอบถอนหายใจออกมา เขาคิดว่าจะมีการระเบิดขนาดย่อมในรถเสียแล้ว

พวกเขากลับมาถึงบริษัทในตอนบ่ายแก่ การเจรจาที่ไร้สาระใช้เวลาไปมากกว่าที่คิดไว้ทำให้ไม่มีเวลาทำงานอย่างอื่นต่อมากนัก นับว่าโชคดีที่เซินเฟยไม่มีนัดอะไรต่อในช่วงบ่ายถึงได้พอจะยอมให้กินเวลาไปได้บ้าง

“จะกลับกันเลยไหมครับ?” หวางซิงเอ่ยถามเมื่อเห็นเซินเฟยเก็บเอกสารบนโต๊ะ

“อืม......อีกสักชั่วโมงก็แล้วกัน ตอนนี้คุณจะไปทำอะไรก็ทำเถอะ แต่คอยดูแลฉู่เหวินจือไว้ด้วย ผมยังไม่อยากให้เขาคิดว่าสามารถทำอะไรได้ตามใจมากเกินไป”

“คุณเซิน....ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยไว้ใจเขา คนเอาแต่อารมณ์แบบนั้นส่งคืนไป๋หู่ไปไม่ดีกว่าหรือครับ?”

“ผมก็ไม่ได้อยากจะรับแต่แรกอยู่แล้ว” เซินเฟยว่าก่อนจะนั่งลงแล้วเอนหลังพิงพนัก “แต่ในเมื่อไป๋หู่รับรองอย่างดีว่าเป็นคนมีความสามารถและรู้งานดี ผมก็อยากจะลองใช้งานดูเหมือนกัน เอกสารฉบับนั้นไม่ได้เปิดเลยสักครั้งตอนที่เจรจา เขาได้ยินแค่ชื่อบริษัทเท่านั้นก็รู้ได้ทันทีว่าตั้งอยู่ที่ไหนและน่าสนใจยังไง ผมคิดว่า บางทีคน ๆ นั้นอาจมีอะไรมากกว่าที่เห็น”

“หมายความว่า....คุณจะให้เขาทำงานนี้หรือครับ?” หวางซิงมุ่นคิ้ว เขาไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ คนในองค์กรนั้นมีอยู่มากมายที่ไว้ใจได้มากกว่าสำหรับโครงการนี้

“ไหน ๆ ผมก็ไม่ได้สนใจแต่แรก นึกอยากจะปฏิเสธด้วยซ้ำไป แต่เขากลับเห็นโอกาสก็ให้ลองดูสักหน่อย ถ้างานเสียมันก็ไม่กระทบกับองค์กรสักเท่าไหร่ แล้วผมยังมีข้ออ้างส่งตัวคืนให้ไป๋หู่ได้ง่ายขึ้นด้วย”

“แล้วถ้ามันประสบผลสำเร็จล่ะครับ?”

เมื่อฟังคำถาม เซินเฟยก็นิ่งเงียบไปนานก่อนจะตอบ

“ถ้าแบบนั้นก็หมายความว่าเขามีค่าพอที่จะใช้ประโยชน์”

หวางซิงอยากจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ แม้เซินเฟยจะทำราวกับว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่เขาก็รู้ว่าความจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะนี่ถือเป็นการวางเดินพันครั้งสำคัญทีเดียว เซินเฟยเพิ่งจะขึ้นมาบริหารด้วยตัวเองได้เพียงไม่ถึงเดือนดี ซ้ำยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากใครสักเท่าไหร่นัก หากล้มก็มีคนพร้อมซ้ำเติมได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ เซินเฟยยังแบกศักดิ์ศรีของจูเชว่ไว้บนแผ่นหลัง แม้ภายนอกทุกคนจะให้ความเคารพนับถือ แต่ภายในใจนั้นต่างก็รู้กันดีว่าตำแหน่งจูเชว่เป็นเครื่องป้องกันตัวหนึ่งเดียวที่เซินเฟยมี หากเพียงเสียบัลลังก์นี้ไปแล้ว เซินเฟยก็จะเป็นเพียงคนตัวเปล่าที่พร้อมจะถูกรุมขย้ำได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนั้น ทั้งด้วยหน้าที่หรือความรักตัวเอง เซินเฟยคือคนที่ไม่อาจล้มลงได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ

แต่นี่....กลับฝากโอกาสสร้างผลงานครั้งหนึ่งไว้กับคนไม่น่าไว้ใจเช่นฉู่เหวินจือ....

“ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วง แต่ไม่เป็นไรหรอก การที่ไป๋หู่ส่งเขามาก็ดีเหมือนกัน” เซินเฟยพูดต่อเพื่อให้หวางซิงสบายใจขึ้น “ผมไม่ใช่คนใสซื่อขนาดจะแบกรับความผิดด้วยตัวเองหรอก”

เซินเฟยหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ

การที่เขามอบหมายหน้าที่ให้ฉู่เหวินจือ นอกจากต้องการจะพิสูจน์ความภักดีและความสามารถแล้ว ยังเป็นหลักประกันสำหรับเขาด้วย เพราะหากเกิดสิ่งใดขึ้น เขาจะสามารถโยนความผิดให้กับคนของไป๋หู่ได้ในทันที ถึงตอนนั้นแม้ใครจะคิดเขี่ยเขาก็ทำได้ยาก ซ้ำไป๋หู่ยังต้องมาออกหน้าแทนเสียอีก เพราะการที่คนของตัวเองมาทำให้เกิดความเสียหายในเขตของผู้อื่นนับเป็นการกระทำที่ผิดอย่างมหันต์

หลักประกันความไว้ใจ....

ไป๋หู่เคยอ้างเช่นนั้นในตอนที่ยืนยันจะส่งคนมาจับตาดูเขา เช่นนั้นแล้วก็ทำให้มันเป็นดังที่อีกฝ่ายว่าเลยจะเป็นไร?

ให้ฉู่เหวินจือเป็นหลักประกันความไว้ใจดังที่อีกฝ่ายต้องการ...

หลักประกันว่า....ไป๋หู่จะไม่เล่นตุกติกกับเขา....

“เรื่องนี้ผมควรจะเรียนให้นายหญิงทราบไหมครับ?” หวางซิงคิดว่านายหญิงใหญ่ของบ้านคงจะสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในไม่ช้า และเป็นเขาอีกที่จะถูกคาดคั้นถามด้วยรอยยิ้มนางฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของนายหญิงใหญ่ซากุระเวลาที่ต้องการล้วงความจริงจากใคร

“ไม่ต้องหรอก อาสะใภ้วางมือจากวงการแล้ว อย่าให้เข้ามายุ่งอีกเลยจะดีกว่า” เซินเฟยตัดสินใจเช่นนั้น เพราะตลอดมาเขาเห็นหญิงสาวที่เลี้ยงดูเขาราวกับลูกในไส้ต้องลำบากตรากตรำกับการดูแลธุรกิจทั้งหมดแทนจูเชว่ที่หายตัวไป เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แต่กลับเข้มแข็งจนเขารู้สึกนับถือ เมื่อเขาได้มายืน ณ จุดนี้แล้วจึงไม่อยากให้อาสะใภ้ของตนต้องมาลำบากใจกับเรื่องนี้อีก

แค่การก่อกวนของคนในตระกูลก็น่ารำคาญมากพออยู่แล้ว...

“4 โมงแล้วหรือ? งั้นกลับกันเถอะอาซิง” ในตอนแรกเซินเฟยคิดจะนั่งพักแต่ก็ต้องมาไขความกระจ่างให้เลขาคนสนิท การพักผ่อนอย่างสบายจึงหลุดลอยไป พอรู้ตัวอีกครั้งก็ถึงเวลากลับเสียแล้ว

หวางซิงรับกระเป๋าเอกสารมาถือแล้วเดินตามผู้เป็นนายลงไป แต่เมื่อพวกเขามาถึงรถ ทั้งเซินเฟยและหวางซิงก็ต้องมุ่นคิ้ว

กระเป๋าเดินทางใบไม่ใหญ่นักวางอยู่ใกล้ ๆ กับรถส่วนตัวของเซินเฟย และสารถีก็กำลังจะนำมันขึ้นใส่กระโปรงหลังทั้งที่เขายังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าเป็นของใครและมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“เดี๋ยวก่อน” เซินเฟยเอ่ยปราม คนขับรถส่วนตัวจึงรีบวางกระเป๋าแล้วหันมาคำนับ “นี่ของใคร?”

“ของคุณฉู่ครับ”

“ฉู่เหวินจือ!?” เซินเฟยได้ยินคำตอบก็ยิ่งสนเท่ห์มากกว่าเดิม ทำไมกระเป๋าเดินทางของฉู่เหวินจือต้องมาอยู่กับรถของเขาด้วย?

“ครับ” คนขับรถเองก็ตอบได้เพียงเท่านั้นเพราะคิดว่าเจ้านายเพียงต้องการย้ำถามให้แน่ใจ

“ฉู่เหวินจืออยู่ที่ไหน!?”

มันชักจะมากเกินไปแล้ว!

เซินเฟยรู้สึกปวดขมับขึ้นมา เจ้าผู้ชายแซ่ฉู่นี่มันอะไรกัน กล้าดียังไงทำราวกับว่ารถของเขาเป็นของสาธารณะ นึกจะเอาของอะไรมาใส่ก็ทำได้โดยไม่ขออนุญาต เขานึกโทษตัวเองที่เผลอคิดไปว่าฝ่ายนั้นคงจะมีสมองขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ความจริงขนาดมันอาจจะไม่ได้ใหญ่ไปกว่าเมล็ดงาเสียด้วยซ้ำ

“เรียกผมหรือครับ คุณเซิน?” ตัวต้นเรื่องเดินยิ้มเผล่เข้ามาราวกับไม่รู้ความผิด หางคิ้วเซินเฟยกระตุกเบา ๆ อย่างไม่สบอารมณ์

“คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ฉู่เหวินจือ?” เซินเฟยกดเสียงต่ำอย่างเคร่งเครียด “น้ำพุในสวนนั่นมันเย็นไม่พอจะทำให้สมองนายทำงานได้อย่างคนปกติใช่ไหม?”

“อ้อ คุณคงหมายถึงเรื่องสัมภาระของผม ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอเวลาชี้แจงก่อนที่คุณจะเอาผมไปแช่น้ำพุต่อ” ฉู่เหวินจือรีบขอเวลานอกเพื่ออธิบายแต่เสียงของเขาก็ยังฟังดูเย็นใจจนเซินเฟยนึกหงุดหงิดแทน

“มีอะไรก็รีบว่ามา”

“ก่อนหน้านี้ผมเคยอยู่กับท่านไป๋หู่ ผมก็ทำงานข้างตัวตลอด กระทั่งบ้านของท่านไป๋หู่ยังเป็นที่ทำงานของผม ดังนั้นตอนนี้ผมเลยไม่มีที่อยู่เลย ผมคิดว่าท่านไป๋หู่ชี้แจงเรื่องนี้ให้คุณรู้แล้วเสียอีก?”

มุมปากเซินเฟยกระตุก เขานึกอยากจะแค่นยิ้มก็ยิ้มไม่ออก มันเป็นเรื่องตลกที่ร้ายกาจเกินไปสักหน่อยไหมที่จะให้คนเช่นนี้มาอยู่ร่วมบ้านกับเขา?

“เงิน 5 ล้านนั่นไม่พอเช่าห้องใหม่หรือยังไง?”

“มันก็มีเหตุผล แต่ว่าท่านไป๋หู่กำชับให้ผมคอยดูแลรับใช้คุณเซินอย่างใกล้ชิด ดังนั้นถึงจะต้องนอนในสวนบ้านตระกูลเซินผมก็ต้องทำ”

“อ้อ.....” เซินเฟยรับคำเท่านั้นก่อนจะหันไปหาคนขับรถ “เข้าใจล่ะ”

“คุณเซิน!” หวางซิงรีบปราม ทว่าเซินเฟยก็ยกมือห้ามไม่ให้พูดอะไรต่อแล้วมองกลับไปยังฉู่เหวินจือ

“นายว่าไป๋หู่กำชับมาอย่างนั้นสินะ และนายก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุคำสั่งนั้น?” เหมือนต้องการย้ำความมั่นใจ เซินเฟยจึงถามกลับไป

“ผมดีใจที่คุณเซินเข้าใจ” ฉู่เหวินจือยิ้มรับคำ แต่แล้วก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อเห็นเจ้านายคนใหม่คว้ากระเป๋าของเขาขึ้นมาแล้วยัดใส่อ้อมแขน

“งั้นนายคงต้องให้เวลาฉันจัดเตรียมที่ให้สักหน่อย ระหว่างที่ฉันกำลังคิดว่าจะให้นายนอนที่ไหนของสวน นายก็เดินตามมาก็แล้วกัน” ว่าแล้วเซินเฟยก็หมุนตัวขึ้นรถไปพร้อมออกคำสั่ง “กลับ”

บอดี้การ์ดที่พากันทยอยขึ้นรถต่างมองฉู่เหวินจือด้วยความเห็นอกเห็นใจ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นคนที่กล้าทำให้เซินเฟยหมดความอดทนได้เป็นครั้งแรก ขนาดว่าพวกชอบลอบกัดยังไม่เคยทำให้โมโหได้ถึงขนาดนี้ แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีใครกล้าโต้แย้งคำตัดสินแม้แต่หวางซิงที่เป็นเลขาคนสนิท แค่เรื่องเมื่อเช้านี้ก็เกือบจะทำให้เครียดจนผมร่วงหมดหัวอยู่แล้ว หวางซิงไม่กล้าเสี่ยงซ้ำสองภายในวันเดียวกัน

รถคันหรูสีดำสนิทเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณนั้น ทิ้งฉู่เหวินจือที่ยังคงยืนถือกระเป๋าเดินทางอยู่กลางลานกว้างอย่างอับจนใจไว้เพียงลำพัง


TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 14-02-2011 12:36:02
จิ้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :m20: :m20: :m20: :m20:แย่แน่ๆอาฉ่
 อิอิ ว่าที่ภรรยาโหดฃนาดนี้ ท่าจะสนกแล้วสิเนี้ย :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 14-02-2011 14:48:35
 o18เซินเฟยโหดได้ใจจริงๆ เดินกลับดีๆนะฉู่เหวินจือ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: pu4755 ที่ 14-02-2011 15:12:16
แค่ 2 ตอนยังมันส์ได้ขนาดนี้ แล้วตอนต่อไปจะขนาดไหนละเนี่ย  

รอ รอ รอ ^__^   :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: YELLOWSTAR ที่ 14-02-2011 15:33:14
555++
เดินกลับเฉยเลย
ร้ายจิงๆเลยน่ะเซินเฟย :impress2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: @StaR@ ที่ 14-02-2011 16:39:51
เป็นไงล่ะอาฉู่ชอบกวนดีนัก
เลยโดนเซินเฟยเอาคืนบ้างเลย
 :กอด1: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 14-02-2011 19:30:45
โหดจริงไรจริง สงสารคุณฉู่บ้างสิคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 14-02-2011 23:07:58
มาบวกให้เรื่องใหม่จ้า อิอิ
เชียร์อาฉู่ๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 14-02-2011 23:38:19
โอ้โหดได้ใจจริงๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 15-02-2011 00:24:46
จิ้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :m20: :m20: :m20: :m20:แย่แน่ๆอาฉ่
 อิอิ ว่าที่ภรรยาโหดฃนาดนี้ ท่าจะสนกแล้วสิเนี้ย :-[ :-[ :-[ :-[ :-[


เห็นด้วยอย่างที่สุด


ว่าแต่คุณฉู่นี่น่าสงสัยแฮะ 


แอบคิดนิดๆว่าคนที่ทุกคนเรียกว่าไป๋หู่อาจไม่ใช่ไป๋หู่จริงๆ

แต่อาจเป็นตัวแสดงหลอกแล้วไป๋หู่ตัวจริงก็คือคุณฉู่อ่ะ

สู้ๆ :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 15-02-2011 10:15:17
^
^
^
^
^
^

เหอๆ นั่นสิเนอะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 15-02-2011 13:40:25
-3-



เซินเฟยกลับมาถึงบ้านก็ทำราวกับว่าลืมเรื่องฉู่เหวินจือไปเสียสนิท เขาทำกิจวัตรประจำวันอย่างเป็นปกติเหมือนกับว่าวันนี้ก็เหมือนวันอื่น ๆ ซากุระจึงรู้สึกโล่งใจที่ลูกบุญธรรมของเธอดูจะทำตามที่หมอจือสั่งเอาไว้ว่าให้ปล่อยวางเรื่องเครียด ๆ ลงเสียบ้าง พวกเขาดูข่าวทางโทรทัศน์ด้วยกัน ทานอาหารเย็น และพูดคุยสนทนาสัพเพเหระตามประสาอาหลาน

ทั้งที่ทุกอย่างดูปกติสุขดี คนที่ทำตัวน่าสงสัยกลับเป็นหวางซิงเสียนี่....

ชายหนุ่มเอาแต่กระวนกระวายใจตลอดเวลาและคอยมองไปทางประตูบ่อยครั้งจนหากใครไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเลขาของมาเฟีย คงจะคิดว่าไปทำอะไรขัดแข้งขาผู้มีอิทธิพลและกำลังโดนตามฆ่าอยู่เป็นแน่

“ทำอะไรของแกน่ะอาซิง!” หวางซื่อ หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลเซินเดินเขยกเข้ามาถามหลานชายที่ดูจะกลายเป็นโรควิตกจริตกะทันหัน เพราะแค่ได้ยินเสียงเขาถาม เจ้าหลานขวัญอ่อนก็สะดุ้งโหยงจนตัวลอย

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร ว่าแต่คุณปู่เรียกผมทำไมหรือครับ?” หวางซิงรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ คิดในแง่ดีว่าฉู่เหวินจืออาจจะนึกยอมแพ้แล้วไปหาเช่าห้องอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นคงจะดี ทั้งไม่ต้องมีปัญหากับไป๋หู่และยังไม่ทำให้เซินเฟยโกรธอีกด้วย ทั้งที่หวางซิงคิดและภาวนาเช่นนั้นอย่างแน่วแน่ ทั้งบนบานในใจว่าจะกินเจไป 1 ปีเต็ม แต่สวรรค์ก็ไม่เข้าข้างเขาสักเท่าไหร่

เพียงไม่ทันจะได้พูดคุยต่อไป เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นจากหน้าประตูใหญ่

“เดี๋ยว! แกเป็นใครน่ะ!” เสียงตะโกนของคนรับใช้ดังลั่นไปจนถึงด้านใน เรียกให้ซากุระและเซินเฟยที่กำลังสนทนากับอย่างสงบสุขต้องโผล่หน้าออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พวกบอดี้การ์ดชุดสูทสีดำรีบวิ่งมารวมกันที่หน้าประตูอย่างรวดเร็วด้วยคิดว่าเป็นผู้บุกรุกคิดจะทำอันตรายกับจูเชว่ ทว่า....

“นี่นาย.....ฉู่เหวินจือ!?” การ์ดคนหนึ่งอุทานขึ้นมาเพราะจำหน้าอีกฝ่ายได้ เพียงแต่ว่าสภาพนั้น....

“ฉันว่าจะเดินมาช้า ๆ อยู่หรอก แต่ก็กลัวคุณเซินจะรอนานก็เลยเร่งฝีเท้าตอนถึงครึ่งทาง หวังว่าคงไม่ได้เร็วจนคุณเซินยังตัดสินใจเรื่องที่นอนของฉันไม่ได้หรอกนะ” ฉู่เหวินจือพูดเล่นลิ้นราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเล็ก ๆ

หวางซิงรีบวิ่งออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู เขามองสภาพของฉู่เหวินจือแบบไม่อยากจะเชื่อสายตา เสื้อสูทถูกถอดออกพาดแขน เสื้อเชิ้ตตัวในชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลจากไรผมลงมาจนแฉะไปครึ่งตัว ในมือยังถือกระเป๋าเดินทางใบย่อมมาอีกใบหนึ่ง ทั้งที่ตอนเช้าโดนลงโทษที่ยืนกลางแจ้งถึงเกือบ 5 ชั่วโมง ยังมีแรงเดินจากบริษัทมาถึงบ้านด้วยระยะทางร่วม 5 กิโลเมตรได้อีกหรือ!?

ไม่ใช่แต่เพียงหวางซิงที่ตกตะลึง การ์ดที่เห็นเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นก็ตกใจด้วยกันทั้งนั้น

“มีเรื่องอะไรกัน?” เซินเฟยรอดูอยู่เฉยไม่ไหวจึงเดินออกมาด้วยตนเองเพราะในเมื่อพวกการ์ดไม่ได้เคลื่อนไหวก็แสดงว่าไม่มีอันตราย เขาปะสายตาเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่ดูโทรมจนน่าขันแต่เขากลับขำไม่ออก

“คน ๆ นี้เป็นใครกันน่ะ? อาซิง?” ซากุระที่เดินตามออกมาติด ๆ หันไปถามหวางซิงด้วยความสงสัย เพราะดูท่าทุกคนจะรู้จักผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ เว้นแต่เพียงเธอและคนที่อยู่ในบ้านใหญ่ที่ไม่ได้ออกไปไหนเท่านั้น

“เอ่อ....คือ......” หวางซิงรู้สึกอยากจะเป็นใบ้ไปเสียจริง ๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบนายหญิงว่าอย่างไรให้ดูเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์อย่างนี้ แต่ก่อนที่ใครจะได้ไขความให้กระจ่าง ฉู่เหวินจือก็เดินเข้าประชิดตัวนายหญิงใหญ่ของบ้าน ด้วยสัญชาติญาณ บอดี้การ์ดทุกคนปลดล็อคปืนประจำกายทันที ทว่าสิ่งที่ฉู่เหวินจือทำนั้นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายจนไม่มีใครกล้าชักปืนออกมา

ฉู่เหวินจือก้มตัวลงแล้วจูบบนหลังมือหญิงสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นก่อนจะทำตากรุ้มกริ่มเป็นประกาย

“ผมชื่อฉู่เหวินจือ เป็นผู้ช่วยคนใหม่ของคุณเซิน ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณผู้หญิง”

เหมือนเวลาหยุดนิ่งชั่วขณะ....ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาหรือแม้แต่ขยับตัว แต่กลับมีแรงกระชากหลังคอเสื้อของผู้อุกอาจโดยแรงก่อนที่ฝ่ามือข้างหนึ่งจะฟาดเข้ากับใบหน้าคมคายที่ชุ่มชื้นด้วยหยาดเหงื่อนั้นอย่างแรงจนเหงื่อกระเซ็นจากไรผมเป็นเม็ด ฉู่เหวินจือหันกลับมามองผู้ประทุษร้ายด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะแย้มยิ้มเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนามเซินเฟยกำลังยืนคั่นกลางระหว่างตนและหญิงสาวผู้เป็นนายหญิงของบ้าน ฝ่ายนั้นโกรธจนหน้าแดง อกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยแรงโทสะ

แรงที่ตบลงไปนั้นไม่ได้น้อย ๆ เลย ฉู่เหวินจือหน้าชาไปเป็นแถบ ตอนนี้แก้มของเขาคงเริ่มขึ้นรอยแดงเป็นแน่

“เจ้าคนแซ่ฉู่! มันจะมากไปแล้วนะ!” เซินเฟยตะคอกเสียงกร้าว

“อะไรกันครับ? ผมเห็นท่านไป๋หู่ทักสุภาพสตรีอย่างนี้ออกบ่อยไป” ฉู่เหวินจือคลายริ้วความเครียดบนใบหน้าก่อนจะตอบโต้อย่างอารมณ์ดี

“ฉันสั่งสอนนายน้อยไปใช่ไหม!” เซินเฟยสติขาดผึงโดนสิ้นเชิง ท้าทายเขายังไม่ร้ายแรงเท่ากล้าล่วงเกินอาสะใภ้ของเขา เซินเฟยกระชากปืนจากมือการ์ดคนหนึ่งจ่อเข้ากับหน้าผากของฉู่เหวินจือคิดจะลั่นไกแล้วส่งศพกลับไปให้เจ้านายเก่าเสียเดี๋ยวนี้เลย

“เดี๋ยวก่อนเสี่ยวเฟย!” ซากุระรีบเอ่ยห้ามแล้วกดมือหลานชายลง “อย่าลืมกฎสิ ถ้าหลานฆ่าเขา หลานก็ต้องสังเวยชีวิตคนของตัวเองคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน อย่าให้คนตายโดยเปล่าประโยชน์เลยนะ”

การปรามของซากุระได้ผลกับเซินเฟยเสมอ เขายอมลดปืนลงแต่ยังไม่ราท่าทีต่อต้านอีกฝ่าย

“เอาล่ะ เข้าไปคุยด้านในเถอะ เหล่าซือ ช่วยพาคุณฉู่ไปอาบน้ำใหม่ด้วยนะ” เมื่อซากุระลงมือจัดการเอง ทุกอย่างจึงกลับสู่ความสงบอีกครั้ง คนที่ไม่เกี่ยวข้องต่างทยอยกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง พ่อบ้านหวางเชิญให้ฉู่เหวินจือเดินตามเข้าไปในบ้าน ส่วนซากุระ เซินเฟย และหวางซิงต่างพากันเดินเข้าไปรอในห้องรับแขก

อารมณ์ของเซินเฟยยังคงคุกรุ่นแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาทางใบหน้าทั้งหมดด้วยเกรงว่าซากุระจะรู้สึกไม่ดี ส่วนหวางซิงก็นั่งตัวตรงแด่วเหมือนคนมีชนักปักหลังไม่มีผิด

ซากุระเองก็มองออกว่าทั้งสองคนไม่อยากจะพูดเรื่องนี้เธอจึงไม่ได้พูดหรือถามอะไรและปล่อยเวลาล่วงเลยไปอย่างเงียบ ๆ เช่นนั้นจนกระทั่งหวางซือพาแขกที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วเข้ามาหา

ฉู่เหวินจือเลือกที่จะนั่งลงข้างหวางซิงอย่างเงียบเชียบ แก้มของชายหนุ่มปรากฏรอยแดงเป็นปื้นและดูเหมือนจะเริ่มบวมนิด ๆ แสดงให้เห็นว่าเซินเฟยไม่ได้ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย

“คุณฉู่ คุณบอกว่าเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของเซินเฟย แต่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจูเชว่รับผู้ช่วยใหม่ ทั้งยังมีหวางซิงอยู่แล้ว ฉันจึงเดาว่าคุณคงเป็นคนที่ถูกส่งตัวมาสินะคะ” ซากุระเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาก่อนเมื่อเห็นว่าบรรยากาศในห้องยังคงตึงเครียด เธอรู้สึกเหมือนตนเองเป็นด้ายเส้นบางหนึ่งเดียวที่ยังไม่ขาดสะบั้นและมีหน้าที่เหนี่ยวรั้งทั้งสองฝ่ายเข้าหากัน

“คุณเป็นผู้หญิงที่ฉลาดอย่างที่ท่านไป๋หู่ว่าไว้จริง ๆ ถูกต้องแล้วครับ ผมเป็นคนของท่านไป๋หู่ที่ถูกส่งตัวมาช่วยเหลือจูเชว่คนใหม่” ฉู่เหวินจือกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมาก่อนจะหัวเราะ “ผมเพิ่งจะมาเข้าทำงานวันนี้จึงยังไม่รู้อะไรมาก แต่ดูเหมือนผมจะทำให้คุณเซินเกลียดขี้หน้าเข้าเสียแล้ว”

เซินเฟยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันโดยไม่ได้พูดอะไร

“ฉันพอจะเข้าใจแล้วค่ะ คุณคงยังไม่มีที่พักสินะคะ ถ้าอย่างนั้นก็พักที่บ้านนี้ก่อนก็แล้วกัน จากนั้นค่อยว่ากันอีกที”

เมื่อนายหญิงใหญ่ของบ้านตัดสินเช่นนั้นจึงไม่มีใครคัดค้านอะไรอีก หวางซิงเป็นคนอาสานำทางฉู่เหวินจือไปยังห้องนอนสำหรับแขกที่ไม่ค่อยจะมีคนมาใช้บริการเท่าใดนัก กระนั้นมันก็ถูกดูแลทำความสะอาดอย่างดีไม่ต่างจากห้องอื่น ๆ ในบ้านหลังนี้

“เฮ้อ ทำไมนะ คุณถึงได้ชอบทำให้คุณเซินขัดใจอยู่เรื่อย” หวางซิงช่วยจัดของไปก็บ่นอุบ ตั้งแต่รับใช้ตระกูลเซินมาเขายังไม่เคยเห็นเซินเฟยโกรธใครเอาจริงเอาจังถึงขนาดนี้มาก่อนเลย “ไม่ตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว คุณนี่ท่าทางจะทำบุญมาดีกว่าผมเยอะ” บ่นไปแล้วหวางซิงก็อดค่อนขอดตนเองไม่ได้ ทั้งที่เขาจุดธูปกราบไหว้บรรพชนและเจ้าที่เจ้าทางสม่ำเสมอ ทำไมสวรรค์ถึงไม่ฟังคำขอของเขาเลยนะ

“จูเชว่ดูเป็นคนความอดทนต่ำนะ คุณว......” ไม่ทันไรฉู่เหวินจือก็หาเรื่องเข้าตัวอีกแล้ว หวางซิงรีบโผไปปิดปากแทบไม่ทัน

“อย่าพูดเรื่องแบบนั้นนะครับ!” หวางซิงทำเสียงเข้ม “ถึงแต่ก่อนคุณจะเป็นคนของไป๋หู่ แต่ตอนนี้คุณเป็นคนของจูเชว่แล้ว การนินทาเจ้านายไม่ใช่พฤติกรรมที่ดีหรอกนะครับ”

ฉู่เหวินจือเลิกคิ้วมองท่าทางเอาจริงเอาจังของเลขายอดเยี่ยมประจำตระกูลเซินก่อนจะยกมือยอมแพ้เมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากปากของเขา หวางซิงจึงยอมผละไปจัดของต่อแต่ปากก็ยังบ่นไปเรื่อยจนกระทั่งทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว

“คุณอย่าพยายามออกไปเดินท่อม ๆ ตอนกลางคืนก็แล้วกัน ผมคิดว่าคุณเซินคงไม่ชอบให้คุณยุ่มย่ามกับเรื่องในบ้าน” หวางซิงยังไม่วายทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป

ฉู่เหวินจือทิ้งตัวลงบนเตียง การทำโทษของเจ้านายใหม่ทำเอาเขาปวดร้าวไปหมดทั้งตัว ขาแข้งของเขาแทบจะหมดความรู้สึกทันทีที่ลอยขึ้นจากพื้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาขยันออกกำลังและฟิตร่างกายเป็นประจำคงจะหน้ามืดต้องโดนหามส่งโรงพยาบาลไปนานแล้ว

ทั้งที่ฉู่เหวินจือตั้งใจจะปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน เสียงเคาะประตูก็ยังดังขึ้นจนได้ หวางซิงคงลืมของไว้กระมัง เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะเดินไปเปิดประตู แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่คาดเดาเอาไว้

“น่าแปลกจังที่คุณมาหาผมถึงห้อง”

“ฉันก็ใช่อยากจะมา” เซินเฟยว่า “ฉันแค่จะมาเตือนเอาไว้ ถ้านายกล้ายุ่มย่ามล่วงเกินอาของฉันล่ะก็ ศพนายได้ไปนอนเป็นซากอารยธรรมที่ก้นทะเลแน่”

“ผมเข้าใจแล้ว มีอะไรอีกไหมครับ?”

“พรุ่งนี้ตื่นให้ทัน 6 โมงเช้า” ว่าแล้ว เซินเฟยก็เดินจากไปอีกทางหนึ่ง ฉู่เหวินจือมองตามแผ่นหลังนั้นจนกระทั่งลับตาก่อนแย้มยิ้มลึกลับ เขาปิดประตูลงแล้วเดินกลับไปนอนลงบนเตียง เพียงไม่นานนัก เขาก็หลับไปด้วยความเหนื่อยจากการโดนเด็กกลั่นแกล้งเสียทั้งวัน

---------------------->

นิสัยโดยส่วนตัวของเซินเฟยคือชอบไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาเริ่มงานทั้งที่หากเขาจะไปสายหรือไม่ไปเลยก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ แค่อ้างว่าติดต่อธุรกิจข้างนอกหรือทำงานที่บ้านก็ไม่มีใครกล้าเอาผิดแล้ว กระนั้นเซินเฟยก็ยังไปบริษัททุกวันก่อนเวลา 7 โมงครึ่ง ด้วยนิสัยนั้นแม้จะทำให้พนักงานรู้สึกเลื่อมใส แต่ก็ทำให้เดือดร้อนเช่นกัน เพราะการที่หัวหน้าไปเร็วหมายความว่าลูกน้องจะต้องเร็วกว่า ตอนนี้เวลาเฉลี่ยการเข้างานจึงอยู่ที่ 7 โมง 15 นาทีแม้ว่าเวลาจริงของการเริ่มงานจะเป็น 8 โมงเช้าก็ตามที

ภาพปกติที่คนทั่วไปเห็นในตอนเช้าคือภาพประธานบริษัทเดินเข้ามาพร้อมกับเลขาคนหนึ่ง แต่วันนี้กลับมีคนเพิ่มเข้ามาอีกคนหนึ่ง แม้ฮ่องกงจะมีลูกครึ่งยุโรปอยู่มาก แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังดูโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ อยู่ดี หากไม่นับแก้มที่บวมเขียวซีกหนึ่ง....

ห้องทำงานของเซินเฟยอยู่ชั้นบนสุดของอาคารหลัก ลิฟต์ที่ใช้ขึ้นลงมีตัวเดียวและต้องใช้รหัสเพื่อขึ้นมาถึงชั้นนี้ หน้าลิฟต์ยังมีการ์ดเฝ้าอยู่ 2 คน เรียกว่ามีการป้องกันจนเกินระดับนักธุรกิจธรรมดา ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว...ใครเคยบอกว่าจูเชว่เป็นนักธุรกิจธรรมดากัน คนหมายหัวจูเชว่รวมจำนวนทั้งธุรกิจเบื้องหน้าและเบื้องหลังก็มีจำนวนมากพอ ๆ กับคนหมายหัวนายกรัฐมนตรีของประเทศเล็ก ๆ แถบตะวันออกกลางก็ว่าได้

ไม่ใช่เพียงห้องทำงานของจูเชว่เท่านั้นที่อยู่ห้องนี้ แต่ทั้งที่เก็บเอกสารสำคัญต่าง ๆ ของเครือบริษัทก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เว้นแต่เอกสารของธุรกิจเบื้องหลังจะเก็บไว้ที่บ้านใหญ่ที่มีการคุ้มกันเข้มงวดกว่าหลายเท่า

กิจวัตรหลักตอนเช้าของเซินเฟยที่เขาทำใจให้ชินได้แล้วก็คือการนั่งฟังการบรรยายภารกิจของแต่ละวันโดยหวางซิง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากนัดเจรจาธุจกิจหรือไม่ก็รับเชิญไปงานสังคม มีบ้างที่มีคนมาขอพบ ส่วนเวลานอกจากนั้นก็ใช่ว่าว่างงาน เพราะบัญชีของบริษัทต้องตรวจสอบอยู่ตลอดว่ามีการยักยอกหรือไม่ มีส่วนไหนน่าสงสัยหรือไม่ การทำธุรกิจใหญ่ เรื่องเงินทองมันก็ต้องเข้มงวดเป็นธรรมดา ในเมื่อเงินหมุนเข้าออกเป็นหลักสิบล้านพันล้าน ตอนเสียหายก็เสียด้วยจำนวนหลักเท่ากัน ใครบ้างจะปล่อยวางเฉย ๆ ได้ นอกจาบัญชีแล้วก็ยังมีเรื่องพนักงาน เรื่องสินค้าและเครือธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจากธุรกิจหลัก

ใครเคยบอกว่าการเป็นหัวหน้าคนเป็นเรื่องง่ายกันนะ?

“วันนี้มีเท่านี้ครับ” หวางซิงจบการบรรยายช่วงเช้าด้วยคำพูดที่เหมือนกันทุก ๆ วัน

“แล้วเรื่องที่วุ่นวายอยู่ตอนนี้ ผมยังไม่เห็นใครจะรายงานความคืบหน้าเสียที แค่แก๊งค์อันธพาลแก๊งค์หนึ่งมันเสียเวลามากขนาดนั้นเลยหรือ?” เซินเฟยหวนกลับไปทวงงานที่ยังไม่คืบหน้า เขาไม่ชอบที่สั่งงานไปแล้วไม่มีการตอบสนองอย่างนี้แม้แต่น้อย “เขตนั้นใครเป็นคนดูแล?”

“เฉียนหยุนครับ”

“เหล่าเฉียน.....” เซินเฟยทวนพลางไล้ริมฝีปากตนเองอย่างครุ่นคิด สมองของเขาเริ่มปรากฏภาพชายสูงวัยที่มักทำท่าดูแคลนโลกขึ้นมา เขาเคยได้พบอีกฝ่ายตอนอาสะใภ้เรียกประชุมพวกแก๊งค์ใต้ปกครอง ผู้ชายคนนั้นให้ความรู้สึกชัดเจนว่าต่อต้านเขาอยู่

“ผมจะสั่งให้คนไปเร่ง....”

“ไม่ต้องหรอก” เซินเฟยเอ่ยปราม คนที่ไม่คิดจะทำตามคำสั่ง ถึงจะเร่งเร้าไปก็ไร้ประโยชน์ คน ๆ นั้นคงคิดว่าเขาไร้พิษสง ถึงจะไม่ทำตามก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะเขาไม่เคยแสดงความเด็ดขาดให้เห็นถึงได้เหลิงเสียขนาดนี้ บางที....ผู้ชายคนนั้น....อาจจะลองอยากท้าทายเขามากขึ้นหากเขาเองก็นิ่งเงียบเช่นกัน แบบนั้นมันก็น่าสนุกดีเหมือนกัน อาจจะใช้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีได้

“แล้วนายมีอะไรจะพูดไหม?” เขาหันไปถามฉู่เหวินจือบ้าง

“อ้อ...ผมกำลังสนใจคนชื่อเฉียนหยุน ตอนผมอยู่กับท่านไป๋หู่ได้ยินว่าเขาเป็นคนเก่าคนแก่ที่จูเชว่สองรุ่นก่อนหน้านี้ให้ความไว้ใจมาก ผมเลยรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย” ฉู่เหวินจือให้ความเห็น

“ไม่เห็นจะน่าแปลกตรงไหน” เซินเฟยทิ้งตัวพิงพนักแล้วประสานมือโดยเท้าศอกบนแท่นพักแขน “เหล่าเฉียนเป็นคนหัวโบราณเหมือนพวกผู้อาวุโสหลายคนในแก๊งค์ เขามักจะพูดเหยียดหยามพวกเด็กใหม่ที่เข้ามาพึ่งพิงอยู่บ่อย ๆ จนต้องย้ายไปสังกัดกับคนอื่นกันหมด จะแปลกอะไรที่กระทั่งหัวดำ ๆ ของฉันเขายังไม่แล”

“พอเถอะคุณฉู่ นี่เป็นเรื่องในองค์กร คุณไม่ต้องกังวลแทนหรอกครับ” หวางซิงเอ่ยขวางเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะอ้าปากถามต่อ

“เข้าใจแล้วครับ”

อย่างน้อยการทำโทษอย่างเบาะ ๆ เมื่อวานนี้ก็ทำให้ฉู่เหวินจือรู้จักสงบปากสงบคำมากขึ้น ขาของเขายังล้าไม่หาย ซ้ำแก้มที่ช้ำเขียวก็ยังปวดอยู่นิด ๆ ท่าทางเจ้านายของเขาจะเก่งกาจศิลปะป้องกันตัวอยู่หลายขั้นถึงได้สะบัดข้อมือและหัวไหล่จนเกิดแรงได้ขนาดนั้น

“จริงสิ วันนี้ผมขอออกจากบริษัทก่อนเวลานะ” ฉู่เหวินจือเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบขออนุญาตเสียแต่เนิ่น ๆ

“จะไปทำอะไรล่ะ?”

“คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คน่ะครับ ก่อนหน้านี้ที่ผมเคยใช้เป็นของที่ท่านไป๋หู่ให้โควต้าพนักงาน พอผมออกมาก็เลยต้องคืนเขาไป ตอนนี้ผมก็เลยไม่มีใช้ทำงาน” ชายหนุ่มร่างสูงไหวไหล่ อย่างน้อยเขาก็หาทางใช้เช็ค 5 ล้านดอลล่าห์ฮ่องกงนั่นได้ “ว่าแต่ บ้านของคุณต่ออินเทอร์เน็ตได้ใช่ไหม?”

“ต่อได้แต่เป็นอินทราเน็ตขององค์กร ถึงจะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตสาธารณะแต่ก็ติดตั้งไฟร์วอลล์เอาไว้ ถ้านายจะใช้ก็ต้องขอรหัสผ่าน” เซินเฟยว่าแล้วมองไปทางหวางซิง

“ผมจะจัดการให้เองครับ” เลขาผู้รู้งานยังคงอ่านสายตาเจ้านายได้อย่างแม่นยำ

“ก่อนออกไปก็บอกด้วยแล้วกัน” ว่าจบ เซินเฟยก็โบกมือให้คนทั้งสองออกไปจากห้องเพื่อที่เขาจะได้สะสางงานต่อ วันนี้ไม่มีประชุมหรือนัดเจรจางานใด ๆ เขาจึงวางแผนว่าจะกินข้าวในออฟฟิศพร้อมกับดูเอกสารพวกนี้ไปด้วย

ก่อนถึงเวลาเลิกงานครึ่งชั่วโมง ฉู่เหวินจือก็ขอตัวออกไปตามที่บอกเอาไว้ เซินเฟยจึงเรียกหวางซิงมาหาแล้วให้สั่งคนตามฉู่เหวินจือไปเงียบ ๆ ดูว่าอีกฝ่ายไปซื้อของจริง ๆ หรือมีการกระทำอื่นแอบแฝง

เซินเฟยกลับมาถึงบ้านก่อนที่ฉู่เหวินจือจะกลับมาที่บริษัท หวางซิงจึงโทรบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องย้อนกลับไปที่บริษัทอีก พวกเขารออยู่ไม่นานฉู่เหวินจือก็มาถึงบ้านพร้อมด้วยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเครื่องใหม่เอี่ยมและยังไม่ได้ลงกระทั่ง os แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับคอมพิวเตอร์ที่จะนำมาช้านในองค์กรเฉพาะด้าน ระบบปฏิบัติอการหรือกระทั่งโปรแกรมจะต้องลงโดยคนในที่มีหน้าที่ดูแล

หวางซาน พ่อของหวางซิงที่ทำหน้าที่เป็นคนประสานจัดการเรื่องภายในพ่วงหน้าที่นี้เข้าไปด้วย เขารับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของฉู่เหวินจือไปจัดการตามคำสั่งของเซินเฟย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 15-02-2011 13:40:58
ใช้เวลาเพียงไม่นาน ฉู่เหวินจือก็ได้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คส่วนตัวมาใช้รวมทั้งรหัสสำหรับเข้าถึงอินทราเน็ตขององค์กรตระกูลเซิน กระนั้นเพราะเป็นรหัสที่หวางซิงทำการขอเป็นมาพิเศษสำหรับคนนอก ซึ่งเป็นรหัสที่พนักงานบริษัททั่วไปใช้กัน มันจึงทำได้เพียงเชื่อมต่อกับภายนอกผ่านระบบป้องกันของอินทราเน็ต แต่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลภายในองค์กรได้ เซินเฟยจงใจให้เป็นเช่นนี้เพื่อไม่ให้ฉู่เหวินจือเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในมากเกินไปนัก เพราะอย่างไรเสีย อีกฝ่ายก็เป็นคนของไป๋หู่ เขายังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจถึงขนาดยอมรับเข้ามาเป็นคนของตนเอง

อย่าว่าแต่ฉู่เหวินจือเลย...กระทั่งในองค์กร คนที่มีรหัสเข้าถึงข้อมูลภายในจริง ๆ ก็มีแต่เขา อาสะใภ้ และผู้บริหารแก๊งค์ระดับรองลงไปเท่านั้น

ดูเหมือนงานที่เขามอบหมายให้ ฉู๋เหวินจือจะตั้งใจทำอย่างดี เขาเห็นอีกฝ่ายนั่งจ้องหน้าจอและเลื่อนดูข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่แถบที่มองเอาไว้อย่างเอาจริงเอาจัง

คนที่ขยันและเอาใจใส่งานก็นับว่ามีข้อดีในตัวเอง เซินเฟยจึงไม่ได้ยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องนี้ ด้านหนึ่งเพราะอยากเห็นฝีมือของฉู่เหวินจือ อีกด้านก็เพราะอย่างที่เคยบอกไป หากฉู่เหวินจือรับผิดชอบคนเดียว การโยนความผิดเมื่อเกิดความเสียหายก็ง่ายขึ้น....

“บัตรเชิญฉบับนี้อยู่ในกระเป๋าของคุณเซิน ไม่ทราบว่าจะให้ผมบันทึกไว้ไหมครับ?” หวางซิงถามเมื่อเขาเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบเอกสารให้เจ้านายแต่มันกลับตกลงมาที่ปลายเท้า

“บันทึกเอาไว้ด้วย”

ตามจริงแล้วเซินเฟยไม่อยากจะออกงานสังคมมากนัก เขาเกลียดการเป็นเป้าสายตาเกินจำเป็น แต่ด้วยฐานะของเขาทั้งฉากหน้าและหลังยังคงไม่มั่นคงนัก การจะหลีกเลี่ยงคงจะไม่ได้เป็นผลดีกับเขาและตระกูลเซินรวมถึงตำแหน่งจูเชว่ เขาที่ตอนนี้ยังเป็นแค่นกตัวเล็ก ๆ จะต่อกรกับคนอื่น ๆ จำต้องดึงความไว้ใจและความยำเกรงมาให้ได้ไม่ว่าจะในฐานะประธานเครือธุรกิจตระกูลเซินหรือจูเชว่ก็ตาม

--------------------->

ฉู่เหวินจือทำงานได้ดีจนน่าแปลกใจ อาทิตย์ต่อมาเอกสารเกี่ยวกับที่ดินผืนนั้นทั้งหมดก็มากองรวมกันบนโต๊ะทำงาน เซินเฟยกวาดสายตาผ่านข้อมูลและรายละเอียดยิบย่อยที่ดูไม่สลักสำคัญ แต่ไหนแต่ไรมา ประสาทตาและสมองของเขาทำงานสัมพันธ์กันได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อใดก็ตามที่พบสิ่งที่น่าสนใจสายตาจะหยุดการกวาดผ่านและอ่านข้อความเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว แต่ฉู่เหวินจือก็ยังมีน้ำใจไฮไลท์สีตรงจุดที่คิดว่าเขาควรจะอ่านเอาไว้ให้ด้วย

แต่มองอีกแง่....มันก็เหมือนทฤษฎีการชี้นำ การไฮไลท์หรือเน้นย้ำให้มอง ณ จุดใดจุดหนึ่งจะทำให้ผู้มองไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้างเพราะสายตาถูกชี้นำให้มองจุดที่เน้นย้ำเอาไว้ ดังนั้น เซินเฟยจึงไม่ได้สนใจจุดที่ถูกชี้นำให้อ่านเลยแม้แต่น้อย เขายังคงเชื่อสมองตัวเองมากกว่าการชี้นำของผู้อื่นอยู่ดี แต่อย่างไรเขาก็ต้องยอมรับว่าฉู่เหวินจือทำงานได้ดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้ มีกระทั่งรูปภาพที่ถ่ายจากสถานที่จริงและภาพถ่ายภายในตัวอาคารที่ตั้งทับพื้นที่เจ้าปัญหา ผู้ชายคนนี้พยายามเพื่อตอบแทนเงิน 5 ล้านดอลล่าห์ฮ่องกง หรือว่าเพื่อให้เขาเชื่อใจกันนะ?

อย่างไรก็ตาม ทำเลตรงนั้นก็น่าสนใจจริง ๆ ซ้ำรอบ ๆ ยังเกื้อหนุนต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก ทั้งห้างสรรพสินค้า แหล่งบันเทิง หากเขาจำไม่ผิด เลยจากนั้นไปอีก 2 บล็อกก็มีแหล่งเริงรมย์ใต้ดินในอาณัติของจูเชว่อยู่ เรียกได้ว่าเกื้อหนุนทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังทีเดียว

ฉู่เหวินจืออาจทำผลงานได้จริงก็เป็นได้....

“อาซิง ผมอยากคุยกับฉู่เหวินจือ ให้เขาขึ้นมาพบผมที่ห้องทำงานตามลำพัง” เซินเฟิงสั่งผ่านอินเตอร์โฟนของบริษัทที่นาน ๆ ครั้งจะได้หยิบใช้ เนื่องจากหวางซิงมักเข้ามาในเวลาที่เขาต้องการเสมอ

และในเวลานี้ ฉู่เหวินจือก็นั่งอยู่ต่อหน้าเซินเฟย ในมือของเด็กหนุ่มยังคงถือเอกสารที่ถูกนำมาให้พิจารณาอยู่ อีกข้างมีเอกสารที่คู่เจรจาให้มาในตอนแรกเปิดเทียบกัน

“ดูเหมือนคุณหวู่จะจงใจปกปิดหลายอย่าง” เขาเปรยขึ้นมาขณะพลิกเปิดเอกสารสองชุดควบคู่กัน เห็นได้ชัดว่าข้อมูลในเอกสารชุดแรกแทบจะไม่เอ่ยถึงทำเลข้างเคียง มีแต่กล่าวถึงสิ่งที่กิจการกำลังประสบและเหตุที่ต้องขอความช่วยเหลือรวมทั้งผลประโยชน์ที่ทางเครือธุรกิจจะได้รับ

“เท่าที่ผมลองลงพื้นที่และสืบจากคนใน ดูเหมือนคุณหวู่จะมีหนี้สินจากการลงทุนและเล่นหุ้น ยิ่งทำหนี้ก็ยิ่งบานปลาย ก็เลยหันมาพึ่งคุณเซินนี่แหละครับ”

เซินเฟยเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายราวกับคำพูดนั้นทำให้รู้สึกผิดหู

ดูเหมือนฉู่เหวินจือฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงพูดถึงเรื่องก่อนที่ฝ่ายนั้นจะหันมาพึ่งเขา แต่ไม่ต้องพูดเขาก็รู้อยู่ เจ้าคนแซ่หวู่นั่นเป็นหนี้จนแทบล้มละลายมานานแล้ว คงวิ่งวุ่นหัวปั่นหาคนพยุงแล้วก็ถูกตัดหางมาหลายต่อหลายครั้ง มาถึงตัวเขา คงจะคิดว่าเป็นเด็กมือใหม่ หยิบยื่นผลประโยชน์ให้ก็ตะครุบทันที

เจ้าคนแซ่หวู่นี้เขาได้ยินกิตติศัพท์มาบ้างนิดหน่อย ทำตัวเป็นปลิงดูดเลือด กินท่อน้ำเลี้ยงของคนที่ตัวเองไปเกาะจนอ้วนพี กว่าคนโดนเกาะจะรู้ตัวก็เสียหายไปหลายหลัก คงจะดูดเลือดปลาตัวเล็กมาเยอะแล้วกระมังจึงกล้ามาท้าทายปลาตัวใหญ่เช่นจูเชว่

หารู้ไม่....ก่อนเขาจะเข้ามาบริหารด้วยตัวเอง เขาก็ช่วยอาสะใภ้ดูแลเรื่องภายในมาตั้งแต่เข้าบ้านใหญ่เลยก็ว่าได้

กับคนที่บริหารกิจการเล็ก ๆ ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย ขืนยอมให้เกาะก็รังแต่จะทำให้ตัวเลขติดตัวแดงมากขึ้น ๆ เท่านั้น นั่นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับการที่เขาต้องถูกมองว่าเป็นเด็กไร้ความสามารถมองคนไม่เป็น ให้ลิงกังถือแก้วไว้มันก็แตกเสียเปล่า ๆ สู้เขาฮุบมาจะได้ประโยชน์มากกว่า

“นายว่ายังไง?” ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่เซินเฟยก็ยังถามความเห็นของฉู่เหวินจือเพราะไหน ๆ เขาก็ยกเรื่องนี้ให้จัดการแล้ว อยากจะดูผลงานจนถึงที่สุดเหมือนกัน

“ผมคิดว่า ถึงจะยื่นมือเข้าไปช่วย คุณหวู่ก็คงทำให้ขาดทุนอีกอยู่ดี อีกอย่าง ที่ตรงนั้นยังทำอะไรได้อีกเยอะ คุณเซินจะคิดยังไงถ้าเราเทคโอเวอร์มาเสียเลย?”

เซินเฟยเท้าคางฟังอีกฝ่ายพูด ในใจเขานึกเห็นด้วยตั้งแต่แรกแต่ก็ยังตีหน้าขึงขังเสมือนต้องการให้ฉู่เหวินจือคิดให้รอบคอบกว่านี้

“คุณเซินครับ ดูบริเวณรอบ ๆ ให้ดีสิ ซ้ำยังพื้นที่มีบริเวณขนาดนี้ ถ้าลองทำธุรกิจโรงแรมน่าจะรุ่งนะครับ” ฉู่เหวินจือยังคงอธิบายต่อไปแล้วพลิกหน้ากระดาษประกอบการอธิบาย “ใกล้ ๆ นั้นมีโรงแรมที่บริหารโดยคนต่างชาติอยู่ที่หนึ่ง ถ้าโรงแรมของเราล้มที่นั่นลงได้ ก็จะได้พื้นที่มาอยู่ในอาณัติเพิ่ม ยิงนัดเดียวได้นกสองตัวแบบนี้ คุณไม่คิดว่าคุ้มค่าที่จะลงมือทำหรือครับ?”

เด็กหนุ่มอดจะเลิกคิ้วไม่ได้ นี่มองการณ์ไกลถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?

จะว่าไป พื้นที่ที่โรงแรมนั้นตั้งอยู่มันก็ทำให้อำนาจของจูเชว่เข้าไปจัดการได้ยาก เขานึกอยากจะกำจัดออกไปอยู่แล้วแต่ไม่ได้รีบร้อนถึงขนาดนั้น อย่างไรก็แค่โรงแรมที่นักธุรกิจธรรมดาตั้งขึ้น ยังไงก็จัดการได้ง่ายกว่าโรงแรมของพวกมาเฟียต่างชาติอยู่หลายขุม

แต่ในเมื่อโอกาสมาถึง...จะทิ้งไปก็เสียเปล่า...

ถ้าฉู่เหวินจือทำได้อย่างว่าจริง พวกผู้บริหารน่ารำคาญพวกนั้นคงจะเงียบกันไปได้ระยะหนึ่ง

“ทำเรื่องแรกให้เสร็จก่อนก็แล้วกัน” เซินเฟยว่าเช่นนั้น เขาหมายถึงเรื่องการเทคโอเวอร์กิจการของคนแซ่หวู่ เมื่อได้พื้นที่มาแล้วค่อยคิดเรื่องขยายเขตก็ยังไม่สาย

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปดำเนินการเลยนะครับ” ฉู่เหวินจือว่าก่อนจะถอยออกไป

“เดี๋ยวก่อน ให้คนของฉันไปด้วยคนหนึ่ง” ว่าแล้ว เซินเฟยก็ใช้อินเทอร์โฟนลงไปสั่งให้จัดคนให้ฉู่เหวินจือ แม้ชายหนุ่มจะดูไม่ค่อยพอใจนักที่ต้องถูกจับตาดู แต่ก็ต้องทำใจเมื่อตัวเองยังไม่ใช่คนของทางนี้เต็มตัว

ฉู่เหวินจือเดินออกมาจากห้องของเซินเฟย เขาสวนทางกับหวางซิงที่กำลังจะนำอาหารเที่ยงไปให้พอดี

“เอ๋ จะออกไปข้างนอกหรือ? ไม่กินอะไรก่อนล่ะ?”

“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวผมว่าจะไปทานกับคุณหวู่ ป่านนี้เขาคงจะรออย่างใจจดใจจ่อแน่ ๆ” ฉู่เหวินจือพูดไปก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย หวางซิงได้แต่ยืนกระพริบตาปริบ ๆ นึกสงสัยว่าใครกันที่จะยินดีเมื่อพบว่ากิจการที่ตัวเองใช้เป็นข้ออ้างกินเงินธุรกิจที่เข้ามาช่วยเหลือกำลังจะสลายไปจนไม่เหลือแม้แต่เถ้า

หวางซิงไหวไหล่อย่างไม่นึกใส่ใจ เขารับใช้จูเชว่มาจนถึงตอนนี้ก็เห็นมานักต่อนักแล้ว พวกที่ไม่เจียมกะลาหัว แบกหน้ามาเสนอผลประโยชน์โดยไม่สำเหนียกถึงกำลังอันน้อยนิดของตัวเอง ปลาใหญ่กลืนปลาเล็กมันเป็นสัจธรรมของวงการ จะวงการธุรกิจหรือมาเฟียก็เหมือน ๆ กัน แล้วปลิงอย่างคนแซ่หวู่นั่นมีหรือจะรอดเมื่อกล้าเสนอหน้ามาต่อรองกับหนึ่งในปลาที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกง

------------------------>

ฉู่เหวินจือไม่ได้นัดคู่เจรจาออกไปพบกันข้างนอก แต่มาพบถึงที่เพราะเขาไม่อยากให้เรื่องบานปลายจนวุ่นวาย คนที่ติดตามเขามาดูจะไม่พอใจที่เขาลดเกียรติของจูเชว่ลงมาโดยยอมเข้าพบคนที่ฐานะต่ำกว่าด้วยตัวเอง กระนั้นผู้ติดตามก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาระหว่างที่พวกเขาเดินเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง

จนถึงตอนนี้ พวกเขาก็มานั่งอยู่ต่อหน้าคนแซ่หวู่ที่จัดการต้อนรับพวกเขาอย่างดีทั้งขนมนมเนยก็เตรียมมาวางพรักพร้อม มีเลขาสาวสวยเดินยั่วสายตาพร้อมบริการอยู่ไม่ห่าง เธอดูจะให้ความสนใจกับฉู่เหวินจือไม่น้อยจึงเอาแต่จับจ้องแทบไม่วางตาแม้ขณะที่เสิร์ฟกาแฟก็ยังจงใจก้มต่ำเสียจนเห็นทรวงอกเต็มตึงผ่านเสื้อคอที่คว้านจนลึก

“เอ่อ....ทางคุณพิจารณาแล้วว่ายังไงบ้างครับ?” ชายวัยกลางคนร่างท้วมพูดไปก็ยิ้มกว้าง เพราะเมื่อคนมาหาเป็นฉู่เหวินจือ แสดงว่าเงิน 5 ล้านดอลล่าห์ฮ่องกงคงไม่เสียเปล่า ได้อิงกับเครือธุรกิจใหญ่แบบนั้นคงจะดึงเงินมาใช้ได้สบายไปอีกพักใหญ่

“เจ้านายของผมสนใจที่นี่มากทีเดียว” ฉู่เหวินจือตอบอย่างหน้าชื่นตาบาน ทำให้ผู้ฟังพลอยดีใจไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้นทำสัญญากันเลยนะครับ!” คนแซ่หวู่ดูกะตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด เขารีบร้อนสั่งให้เลขานำสัญญาที่ทำเตรียมไว้ออกมาทันที

“เดี๋ยวก่อน ทางผมเตรียมหนังสือสัญญามาแล้ว” ฉู่เหวินจือว่าก่อนจะเปิดกระเป๋าเอกสารที่นำมาด้วย เขาหยิบซองสีน้ำตาลออกมาและยื่นให้ผู้ที่นั่งฝั่งตรงข้าม “กรุณาอ่านให้ละเอียดด้วยนะครับ”

แม้คู่เจรจาจะดีใจจนเนื้อเต้น แต่ก็ยอมทำตามคำเตือนที่แฝงความหวังดีนั้น

เงื่อนไขในหนังสือสัญญาไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ผู้อ่านกลับหน้าซีดลงทุกบรรทัดก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดและเขียวคล้ำเหมือนคนขาดอากาศ ดวงตาทั้งคู่เหลือกถลนอย่างไม่เชื่อสายตา สัญญานี้ไม่ใช่สัญญาร่วมธุรกิจ แต่เป็นสัญญาซื้อขายบริษัททั้งหมด

“น....นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!”

“ก็ช่วยเหลือกิจการของคุณยังไงล่ะครับ คุณบอกว่ากิจการของคุณกำลังย่ำแย่หนัก ผู้ถือหุ้นก็ถอนตัวไปหมดแล้ว แถมผลกำไรก็แทบไม่มี ผมกับท่านประธานปรึกษากันแล้วจึงได้ข้อสรุปว่า....” ฉู่เหวินจือทิ้งระยะคำเล็กน้อยแล้วฉีกรอยยิ้ม “.....จะซื้อกิจการ....ไม่สิ....ซื้อพื้นที่นี้ทั้งหมดมาทำอย่างอื่นที่ได้ประโยชน์มากกว่าแทน คุณว่าจะดีกว่าหรือเปล่าครับ คุณหวู่?”

“ก....กล้าดียังไง! แกรับเงินฉันไปแล้วนะ! คิดจะหักหลังฉันงั้นเรอะ!” ชายร่างท้วมขว้างหนังสือสัญญาลงบนโต๊ะด้วยโทสะ กิจการนี้เขาสู้อุตส่าห์ตั้งขึ้น ดึงคนมาร่วมธุรกิจเพื่อสูบเอาเงินพวกนั้นมาหมุน ถ้าขายมันไปตอนนี้เขาก็มีแต่จะขาดทุนยับเยินเท่านั้น

“ผมไม่ได้หักหลังเสียหน่อย แต่ผมบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะทำให้แค่สมกับราคาที่คุณจ่าย ผมทำให้คุณเซินสนใจพื้นที่ของคุณได้ถึงขนาดนี้ยังไม่คุ้มค่าอีกหรือ?” ฉู่เหวินจือไม่ได้ใส่ใจอารมณ์ของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เพราะจะด้วยความเต็มใจหรือจำใจ ผู้ชายคนนี้ก็ต้องยอมขายถ้ายังรักชีวิต คิดจะเล่นกับมาเฟียมันก็ต้องโดนอย่างนี้

“ฉันไม่ขาย! ให้ตายฉันก็ไม่ขาย! ออกไปจากตึกของฉันเดี๋ยวนี้!”

ฉู่เหวินจือกระตุกยิ้ม ความจริงก็น่าโกรธอยู่หรอก ก็จำนวนเงินที่เขาเสนอซื้อตึกและพื้นที่ทั้งหมดมันถูกแสนถูก ไม่ต่างจากราคาบ้านงามหลังหนึ่ง สำหรับกิจการที่ขาดทุนยับเยินแบบนี้ ลงทุนมากไปก็เสียดายเม็ดเงิน แต่เขาก็อยากรู้นักว่าถึงตายก็ไม่ขายจริงหรือเปล่า....

“คุณผู้หญิง คุณช่วยออกไปก่อนก็แล้วกันนะ ผมมีเรื่องต้องคุยกับหัวหน้าของคุณ” เขากันไปบอกกับเลขาสาวที่ยังรั้งอยู่ในห้อง เธอจึงรีบโค้งแล้วเดินออกไปเพราะเห็นท่าชักไม่ค่อยดี ฉู่เหวินจือหันกลับมายังตัวปัญหา ปล่อยตัวเองให้นั่งในท่าสบายก่อนจะแสยะยิ้มเยือก แม้แต่คนติดตามของเซินเฟยที่ไม่ได้หันมองยังรู้สึกขนลุกจนถึงต้นคอ

“เอาล่ะคุณหวู่....ไหนช่วยยืนยันความตั้งใจของคุณกับผมอีกสักทีสิ”


TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: @StaR@ ที่ 15-02-2011 15:00:57
ฮู้ยยยย...คุณฉู่ท่าทางจะไม่ง่ายซะแล้ว
คิดไว้แล้วว่าพี่ท่านน่าจะมีฝีมือแน่ๆ
แถมยังดูน่าค้นหาอีกด้วยยิ่งอ่านยิ่งลุ้น
 :กอด1: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 15-02-2011 15:40:12
เข้ามาอ่านเรื่องใหม่
สนุกมากเลยอ่ะ รุนแรงกันจริงคู่นี้
ริจะรักเด็กต้องอดทนนะจ๊ะ   :m26:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 15-02-2011 15:40:51
โหดจริงนะคุณฉู่ 55
อย่างนี้สิถึงจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 15-02-2011 16:43:15
ฟาดฟัดกันสุดฤทธิ์ ตื่นเต้นๆ ^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 15-02-2011 16:53:54
 o18คุณฉู่ก็ร้ายใช่เล่นนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 15-02-2011 18:18:07
ชอบคุณฉู่  โดนตบไปฉาดนึงเจ็บมั้ยล่ะนั่น :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 15-02-2011 18:39:38
ขอตามมาอ่านด้วยคนค่า^^
คุณเซินอารมณ์ร้ายจัง ส่วนคุณฉู่ก็ท่าทางร้ายลึกซ่อนเล่ห์
รอวันคุณเซินพลาดพลั้งกันดีกว่า(ซะงั้น?)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 15-02-2011 18:47:27
เนื้อเรื่องเข้มข้นมาก ท่าทางจะหักเหลี่ยม เฉือนคมกันน่าดู
จะมีฉากบู๊ ล้างผลาญด้วยไหมเนี่ย? ( ก็เรื่องเกี่ยวกับแก็งค์มาเฟียมักจะมีแบบนั้น )

โดยรวมแล้วน่าสนใจ และ น่าติดตามค่ะ ....
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 15-02-2011 20:00:26
เดาไม่ถูกว่าฉู่จะมาดี หรือจะตลบหลังเลยแฮะ :try2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: YELLOWSTAR ที่ 16-02-2011 00:40:14
โว้วววว  ดูน่ากลัวใช่ย่อยน่ะเนี่ย

เท่ห์อ่ะ :-[
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 16-02-2011 00:44:21
โอ้น่ากลัวจริงๆๆๆ


ท่าจะไม่รอดรีบขายเถอะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: pigg ที่ 16-02-2011 00:49:37
เพิ่งเห็นว่าพี่เซียร์ลงเรื่องใหม่...

เข้ามาแปะก่อนอ่าน :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 16-02-2011 01:05:16
ตัดฉับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: wichaiP ที่ 16-02-2011 01:15:02
งานนี้ น่าจะประเภท ความรักแบบมาเฟีย ที่ร้าย รัก โหด แต่เเฝงด้วยเสน่หาแน่ๆ
อูย อ่านไป ปวดตับ เครียด คนแต่ใช้ฝีมือมากในการเรียบเรียง ประโยค พล็อดก็น่าสนใจ แต่กลัวจะเหมือนหงส์เหนือมังกรอ่ะ
สาธุ อย่าเป็นแบบนั้นนะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: จันทร์ผา ที่ 16-02-2011 02:17:36
นี้มันหงส์เหนือมังกรแน่ๆ55
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: puppyluv ที่ 16-02-2011 08:21:48
อ่านไปลุ้นไป สนุกมาเฟีย ชอบ
แต่ทว่า คุณน้องราชินีจะแกล้งท่านผู้ติดตามอีกนานมั้ย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 16-02-2011 14:48:22
เข้ามารอคุณฉู่กับน้องเซินค่า 55
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 16-02-2011 19:42:10
-4-



“ใช้ทุนน้อยกว่าที่คิด” เซินเฟยเปรยเมื่อมองหนังสือสัญญา อย่างน้อยฉู่เหวินจือก็รู้ว่าจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ หนังสือสัญญาต้องเรียบร้อยไม่มีรอยเลือดกระเด็นมาเปรอะอย่างเด็ดขาด เรื่องลายเซ็นที่หางตวัดแบบสั่นนิด ๆ นั่นช่างมันเถอะ ให้ใช้ได้ในทางกฏหมายก็พอ

“ครับ คุณหวู่ยอมขายตึกและที่ดินให้แต่โดยดี เขาขอบคุณในความกรุณาของคุณเซินด้วย” ฉู่เหวินจือว่าด้วยรอยยิ้ม แต่อย่างไรเสีย เงินที่ได้ไปจาการขายกิจการตัวเองก็คงต้องเอาไปใช้ในโรงพยาบาลเสียกระมัง....

คนที่ตามไปดูแลฉู่เหวินจือถึงที่เองก็ไม่ได้พูดอะไร แสดงว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เซินเฟยจึงพยักหน้ารับแล้วยื่นหนังสือสัญญาให้หวางซิงเก็บเอาไว้

“แล้วนายจะทำยังไงต่อ?”

“ผมอยากจะขอบริหารทุนสักจำนวนหนึ่ง เพราะยังไงพื้นที่ตรงนั้นก็ต้องเอาตึกเก่าออกก่อนถึงจะทำอะไรต่อได้ ทั้งยังต้องวางแปลนโครงสร้าง และต้องเตรียมหาบุคลากร” ฉู่เหวินจือเริ่มแจกแจงให้ฟัง “แต่คุณเซินยังไม่ต้องรีบอนุมัติก็ได้ ผมจะเขียนรายงานไปยื่นขออนุมัติจากบอร์ดบริหารก่อนแล้วค่อยเอามาให้คุณเซ็น แล้วจะทำรายการบัญชีมาให้ตรวจสอบด้วย คุณคิดว่ายังไง?”

ตอนนี้เซินเฟยเริ่มจะเชื่อขึ้นมานิด ๆ แล้วว่า ผู้ชายคนนี้เป็นคนมีฝีมือจริงดังที่ไป๋หู่รับรองไว้ กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้ตอบรับทันที

“ต้องการคนสักเท่าไหร่?”

“ตอนนี้ผมขอแค่ที่ปรึกษาทางวิศวกรรมสักคนก็พอครับ”

เซินเฟยพยักหน้ารับอีกครั้ง หวางซิงจึงรีบค้อมรับแล้วหมุนตัวออกไปทันที เลขายอดเยี่ยมอย่างหวางซิงแทบจะไม่จำเป็นต้องสื่อสารด้วยคำพูดอีกแล้ว แค่เพียงเขาพยักหน้า สบตา หรือขยับปลายนิ้ว หวางซิงก็สามารถแปลความหมายและปฏิบัติตามได้อย่างดีและครบถ้วนกระบวนความ

“คุณเซิน ผมขอถามอะไรได้ไหม?” ฉู่เหวินจือเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือพวกเขาอยู่ในห้องเพียงสองคน

“ว่ามาสิ”

“ทำไมคุณถึงให้ผมทำงานนี้?”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะเพิ่มขนาดสมองตัวเองมาแล้วจึงได้ถามเรื่องแบบนี้ออกมาได้

“ไม่พอใจอะไรหรือ?”

“เปล่าหรอกครับ เพียงแต่....ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนคุณทดสอบอยู่เลย หรือว่าคุณอยากจะรู้ขีดความสามารถของผม? หรือว่าจะเป็นความภักดี?” ฉู่เหวินจือถามไปก็แย้มยิ้มไม่ได้แสดงท่าทีหวั่นเกรงเมื่อถามออกมาแม้แต่น้อย เซินเฟยมองรอยยิ้มของชายหนุ่มร่างสูงอย่างนึกหมั่นไส้ คน ๆ นี้บทจะโง่ก็โง่เง่าจนน่าฆ่าทิ้ง แต่พอฉลาดขึ้นมาก็ดูจะเห็นอะไรทะลุปรุโปร่งไปเสียหมด

“เข้าข้างตัวเองเกินไปหน่อยหรือเปล่า?” เซินเฟยว่าแล้วหมุนเก้าอี้เล็กน้อยให้นั่งสบายขึ้น “ฉันก็แค่อยากให้นายสร้างผลงานสักชิ้น เผื่อว่าฉันจะพิจารณาตำแหน่งของนายได้”

“ตำแหน่งของผม?” ฉู่เหวินจือทวนคำแล้วหัวเราะออกมา “คุณไม่ต้องกรุณาผมมากถึงขนาดนั้นหรอกครับ หน้าที่ของผมคือดูแลรับใช้ใกล้ชิดจูเชว่ ดังนั้นถึงคุณจะให้ตำแหน่งไหนกับผม ผมก็ต้องทำงานรองมือรองเท้าคุณอยู่ดี”

“ยังไงมีตำแหน่งค้ำเอาไว้ก็ดีกว่าไม่ใช่หรือยังไง” เด็กหนุ่มชักหงุดหงิดขึ้นมา คนอะไร พอหยิบยื่นตำแหน่งให้นอกจากจะไม่แสดงท่าทางกะตือรือร้นแล้วยังทำท่าราวกับไม่แยแส หากปล่อยให้ลอยชายไปมาอย่างนี้เขาจะควบคุมได้ยากและไม่อาจซื้อความภักดีได้ ตำแหน่งผู้ติดตามเขานั้น เป็นสิ่งที่ไป๋หู่หยิบยื่นให้ หากให้ดีควรจะพ่วงตำแหน่งที่เขาให้ไปด้วยจะได้เสมอกัน

ทว่า....ถึงจะไม่แสดงความกะตือรือร้น แต่พอกลับถึงบ้าน ฉู่เหวินจือก็ขอตัวเข้าห้องเพื่อร่างโครงการทันที เซินเฟยได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบไป เพราะโครงการพวกนี้ต้องผ่านตาผู้บริหารทั้งหมดก่อนจะถึงมือเขา อย่างไรเสีย หากมีอะไรผิดปกติเขาก็จะสามารถรู้ได้ก่อนจะเกิดขึ้น หากผู้ชายคนนี้คิดจะติดสินบนกับผู้บริหารด้วยก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้เขี่ยพวกหน้าไหว้หลังหลอกพวกนั้นออกไปเสียให้หมด

“ไม่เชิญคุณฉู่ลงมาทานข้าวด้วยกันหรือ?” ซากุระเอ่ยถามเมื่อเห็นเซินเฟยเดินลงมาจากทางห้องนอนสำหรับแขก

เพื่อให้เกียรติกับคนของไป๋หู่ ซากุระจึงให้ฉู่เหวินจือร่วมโต๊ะอาหารได้โดยไม่ต้องไปกินกับหวางซิงและคนรับใช้อื่น ๆ ในบ้าน ในตอนแรก เซินเฟยก็คัดค้านแต่ในเมื่อซากุระชี้แจงเหตุผลเขาจึงจำยอมในที่สุด

“เห็นว่ากำลังทำงานน่ะครับ”

“ได้ยังไงกัน ถึงเวลาทานก็ต้องทานนะ เดี๋ยวอาขึ้นไปเองแล้วกัน” ซากุระไม่ทันจะก้าวผ่านไป เซินเฟยก็รีบรั้งตัวไว้ทันที

“เดี๋ยวผมเรียกให้เอง คุณอาไปรอที่โต๊ะเถอะครับ” เซินเฟยคิดหลายตลบแล้ว มองยังไงเขาก็รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยที่จะให้ฉู่เหวินจืออยู่กับอาสะใภ้ของเขาตามลำพัง อาสะใภ้ของเขานั้นแม้จะหม้ายสามีแต่ก็ยังสาวยังแส้ อายุน่าจะน้อยกว่าฉู่เหวินจือเสียอีก การที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังนอกจากจะมองไม่ดีแล้วเขายังไม่อาจรับรองได้ว่าฝ่ามือของเขาจะทำให้ฉู่เหวินจือหลาบจำได้จริงไหม

เมื่อซากุระเดินลับหลังไป เซินเฟยก็เรียกให้คนรับใช้คนหนึ่งขึ้นไปตามตัวฉู่เหวินจือลงมา

“คุณฉู่บอกว่าจะทำงานก่อนครับ ให้ท่านหญิงกับนายน้อยทานกันไปได้เลยไม่ต้องรอ” คนรับใช้รายงานตามคำพูดของฉู่เหวินจือทำให้หางคิ้วเซินเฟยกระตุกปึก นี่อีกฝ่ายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน....

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปบอกคุณฉู่ว่าถ้าไม่ลงมาภายใน 5 นาที ผมจะส่งการ์ดขึ้นไปลากคอลงมา” เสียงของเซินเฟยกดต่ำจนคนรับใช้ไม่กล้าโต้แย้ง ได้แต่วิ่งกลับขึ้นไปรายงานตามคำพูดทุกคำอย่างไม่ผิดเพี้ยน รออยู่ไม่นานร่างของฉู่เหวินจือก็ปรากฏขึ้นเหนือบันไดขั้นบนสุดตามด้วยคนรับใช้ที่ถูกใช้ขึ้นไปตาม

เซินเฟยเห็นดังนั้นจึงพ่นลมหายใจออกไปแล้วเดินนำไปยังห้องอาหาร

ทำไมถึงต้องขัดใจอยู่เรื่อยนะ

เขานึกในใจอย่างหงุดหงิด วันนี้เห็นว่ามีผลงานก็คิดจะชมเชยอยู่ พอเห็นอาการขัดขืนแล้วก็อดไม่ได้อยากจะทำลืม ๆ ผลงานเหล่านั้นไปซะ

หลังมื้ออาหาร ฉู่เหวินจือก็กลับไปทำงานต่อในทันที เซินเฟยเริ่มจะคลางแคลงว่าโครงการครั้งนี้มีลูกเล่นอะไรหรือไม่ เจ้าตัวจึงดูตั้งอกตั้งใจทั้งที่ไม่ได้หวังตำแหน่งใด ๆ จากเขาเลย

ในขณะที่เซินเฟยกำลังนึกถึงความเป็นไปได้อยู่นั้น หวางซิงก็เดินเข้ามาด้วยทีท่าไม่ค่อยมั่นใจนัก

“มีอะไรหรือเปล่า?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เซินเฟยจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

“คือ...เรื่องของเฉียนหยุนน่ะครับ...” หวางซิงพูดไปก็เหงื่อตก “ไม่รู้ว่าใครคาบข่าวไปบอก แต่กิจการที่เทคโอเวอร์มาวันนี้อยู่ใกล้กับเขตของเฉียนหยุน เขาเลยบอกว่ายากจะขอที่ตรงนั้นเข้าไปรวมไว้ในเขตด้วยจะได้ควบคุมพวกที่เข้ามาก่อกวนได้ง่ายขึ้น”

เฉียนหยุนกล้าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?

เซินเฟยหรี่ตาลง ถึงเฉียนหยุนจะเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการนั่งตำแหน่งของเขา แต่ก็ควรจะให้เกียรติเขาในฐานะจูเชว่บ้างไม่ใช่หรือ? คนฉลาดอย่างเฉียนหยุนไม่น่าจะทะเยอทะยานออกนอกหน้าถึงขนาดนี้ได้ หากคิดตลบหลังเขายังสมเหตุสมผลเสียกว่า จะว่าไป เรื่องของคนแซ่หวู่นั่นก็เหมือนกัน โดยปกติเจ้าปลิงไร้ประโยชน์นั่นไม่น่าจะกล้าอาจเอื้อมถึงเขา แต่นี่ถึงขนาดกล้าต่อรองจนต้องบีบด้วยกำลัง นอกจากนี้ เฉียนหยุนยังรู้เรื่องการซื้อขายกิจการได้รวดเร็วอย่างหลือเชื่อ โครงการก็ยังเป็นแค่โครงการ ไม่ได้พิมพ์ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเสียด้วยซ้ำ

สองเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?

“แค่พวกก่อกวนกลุ่มเล็ก ๆ ยังจัดการไม่ได้ เอาพื้นที่ไปเพิ่มก็เสียเปล่าเท่านั้น” เซินเฟยว่าเช่นนั้นเมื่อเห็นหวางซิงยังรอฟังคำตอบ

“เฉียนหยุนบอกว่าคุณต้องพูดอย่างนี้แน่ ๆ เขาเลย....ฝากว่าจะเข้าไปพบที่บริษัทพรุ่งนี้น่ะครับ....”

“อืม....” เซินเฟยเพียงรับคำในคอโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ หวางซิงจึงขอตัวไปช่วยหวางซือและหวางซานทำงานต่อก่อนจะแยกย้ายไปนอน ตอนนี้ซากุระขึ้นนอนไปแล้วจึงไม่มีใครได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกัน เซินเฟยคิดเช่นนั้นโดยไม่รู้ว่าหลังกำแพงถัดไป ฉู่เหวินจือกำลังยืนกอดอกและยิ้มขันกับสิ่งที่ได้ยิน

---------------------->

เซินเฟยสั่งประชาสัมพันธ์ว่าหากคนชื่อเฉียนหยุนมาแล้วให้เชิญขึ้นห้องทำงานเขาได้เลย แม้ประชาสัมพันธ์นึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรด้วยคิดว่าคงจะเป็นแขกพิเศษของประธานเท่านั้น

“คุณเฉียนหยุนคนนี้สำคัญมากหรือครับ?” ฉู่เหวินจือกระซิบถามหวางซิง

“ก็อย่างที่คุณรู้แหละครับ เพราะเป็นคนเก่าคนแก่ก็เลยต้องให้เกียรติกันหน่อย” หวางซิงอธิบายสั้น ๆ แต่ฉู่เหวินจือก็พยักหน้ารับและไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาพอจะเข้าใจอยู่ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับธุรกิจทุกแบบอยู่แล้วที่ต้องเอาอกเอาใจผู้อาวุโสที่เป็นประโยชน์กับองค์กรมากกว่าพวกมือใหม่หัดบริหาร

เซินเฟยนั่งรอเฉียนหยุนในห้องอย่างใจเย็น ระหว่างนั้นก็ตรวจสอบงานไปด้วยเพื่อไม่ให้ตัวเองว่างจนเกินไปนัก

จนกระทั่งเกือบเที่ยงแล้ว เฉียนหยุนจึงเพิ่งปรากฏตัว เซินเฟยรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายจงใจจะท้าทายแต่เขาก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา

“นั่งลงก่อนสิ” เซินเฟยเชิญแขกของตนให้นั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ สายตาของเขาลอบสังเกตชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงแต่ยังดูภูมิฐานอยู่ทุกอากัปกิริยา

“ไม่ได้เข้ามาที่ห้องนี้ซะนานเลยนะ ไม่เปลี่ยนไปเลย” เฉียนหยุนว่าก่อนจะนั่งลง “แล้วว่ายังไงจูเชว่ ที่ตรงนั้นน่ะให้ผมไม่ได้งั้นหรือ? ยังไงคุณก็ซื้อมาด้วยราคาแสนจะถูก แล้วก็จงใจจะใช้ขยายเขตปกครองอยู่แล้ว ยังไงเขตนั้นมันก็ต้องเป็นผมดูแลอยู่ดี สู้ยกให้ผมจัดการแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่วุ่นวายถึงคุณยังไงล่ะ”

“ขอโทษด้วยนะเหล่าเฉียน แต่ที่ตรงนั้นผมยกให้คนอื่นไปแล้ว” เซินเฟยจงใจตอบอย่างตรงไปตรงมาเพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย และเขาก็เห็นได้ถึงการกระตุกมุมปากเบา ๆ กระนั้นเฉียนหยุนก็ยังคลี่ยิ้มเย้ยหยันออกมาตามแบบฉบับของตัวเอง

“ใครกันนะที่ได้ที่ตรงนั้นไป ผมล่ะอยากรู้จริง ๆ”

“เรื่องนั้นผมไม่จำเป็นต้องบอกให้คุณรู้ แต่เขาเป็นคนที่ได้ที่ตรงนั้นมาในขณะที่คุณปล่อยมันให้อยู่นอกสายตาตลอดหลายปีมานี้ ผมคิดว่าสมควรแล้วที่เขาจะได้เป็นคนจัดการ” เซินเฟยไม่ได้คิดจะบอกเรื่องของฉู่เหวินจือให้เฉียนหยุนรู้ เขาไม่อยากจะต้องมานั่งทนสายตาเหยียดหยันด้วยเหตุผลนั้น “อีกอย่าง ในขณะที่เขามีผลงานมาเสนอผม คุณกลับดูแลถิ่นของตัวเองไม่รอด ถ้ามันหนักเกินไปนักบางทีคุณน่าจะพักผ่อนได้แล้วนะเหล่าเฉียน”

ความหมายของเซินเฟยไม่ต้องแปลให้มากความเท่าใดนัก เขาจงใจจะบอกอีกฝ่ายว่า หากจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ในเร็ววัน ถึงจะเป็นเฉียนหยุนเขาก็ลดอำนาจลงได้เหมือนกัน

เซินเฟยปล่อยให้เฉียนหยุนเหลิงในอำนาจและความยำเกรงมานานแล้ว อาจจะถึงเวลาเสียทีที่เขาต้องแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดเสียบ้าง

“อย่าเพิ่งโมโหไปสิจูเชว่ ผมมันก็แก่แล้วอย่างที่คุณว่านั่นแหละนะ” อยู่ ๆ เสียงของเฉียนหยุนก็อ่อนลงจากตอนแรก “พออายุเริ่มมากขึ้นจะทำงานทำการอะไรมันก็ขัดไปหมด เด็กหนุ่ม ๆ สมัยนี้มันก็ขี้เกียจกันเหลือเกิน เอาแต่นั่งเก้าอี้ชี้นิ้วสั่งไม่ลงไปทำงานเสียบ้าง”

หัวคิ้วของเซินเฟยเริ่มจะขยับเข้าหากัน เขาใช่ว่าจะโง่ขนาดฟังคำเสียดสีนั้นไม่ออก

ผู้ชายคนนี้คิดจะท้าทายเขาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?

โง่จริง....

เซินเฟยคิดอย่างขุ่นใจ คนที่เหมือนจะใช้งานได้มากกว่าคนอื่นกลับมาทำเล่นตัวเป็นเด็ก ๆ เสียอย่างนั้น คิดจะให้เขาง้ออย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ คนอย่างจูเชว่ไม่มีวันก้มหัวให้ใคร ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีเชื้อสายโดยตรงแต่อย่างน้อยเขากับจูเชว่คนที่แล้วก็มีบรรพบุรุษคนเดียวกัน สายเลือดมันจะห่างกันสักแค่ไหนกัน

“หมายความว่า...คุณจัดการให้ผมไม่ได้?”

“ผมก็ไม่ได้พูดแบบนั้น แต่ถ้าจะให้ผมขยับตัวมันก็...ต้องรอเวลากันหน่อย” เฉียนหยุนหัวเราะเสียงขัดหู

“คุณพยายามจะบอกว่าอยากให้ผมลงไปจัดการเองสินะ” เซินเฟยหรี่ตาลง

“เหล่าเฉียนไม่กล้ารบกวนจูเชว่ถึงขนาดนั้นหรอก” เฉียนหยุนโบกมือปฏิเสธเหมือนว่าจะทำแค่พอเป็นพิธี เซินเฟยคร้านจะอ้อมค้อม เขาผ่อนคลายร่างกายที่เกร็งเครียดแล้วเอนหลังให้สบายที่สุดก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วหลับตานิ่งสักครู่

“ในเมื่อมันลำบากสำหรับคุณนัก ผมจะลงไปจัดการให้เพราะเห็นแก่เหล่าเฉียน” เซินเฟยพูดทั้งที่ยังหลับตาก่อนจะค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมามองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง “แต่ว่า ตอนที่ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว เหล่าเฉียนกับลูกน้องทั้งหมดก็ส่งใบลาออกให้ผมด้วยก็แล้ว”

“เห.....” เสียงเสียดหูไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ “จูเชว่จะไล่เหล่าเฉียนออกหรือ? ไม่เห็นใจคนแก่บ้างหรือไงกัน?”

“บอกตามตรงนะเหล่าเฉียน ผมตั้งใจไว้ว่าจะทำตามที่จูเชว่รุ่นก่อน ๆ ทำมา ใครที่ทำประโยชน์ให้องค์กรจนถึงที่สุด แม้จะชราหรือทุพพลภาพก็จะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีรวมไปถึงครอบครัวที่รออยู่ข้างหลังด้วย แต่สำหรับคนที่ยังทำประโยชน์ได้ไม่เท่าไหร่ เลี้ยงไปมันก็เปลืองข้าวสุกเสียเปล่า ๆ” ถึงตอนนี้ เซินเฟยไม่คิดจะไว้หน้าอีกฝ่าย เขาอยากแสดงให้เห็นว่าเขาไม่คิดจะทำตัวเป็นเด็กหัวอ่อนตลอดไป ที่เขายอมให้อีกฝ่ายลอยหน้าลอยตาจนถึงตอนนี้ก็มาถึงจุดที่สุดสิ้นความอดทนแล้ว ทั้งการเพิกเฉยต่อคำสั่งและการต่อรองอย่างอวดดีนั่นล้วนเป็นการแข็งข้ออย่างไม่น่าให้อภัย ถึงจะเสียดายคนเก่ง แต่คนเก่งที่มือเท้าไม่ทำงานนั้นมีค่าต่ำเสียยิ่งกว่าคนไร้ประโยชน์

เฉียนหยุนดูเหมือนจะไม่พอใจต่อคำตอบ เขากัดฟันกรอด

“หึ!”

เขาส่งเสียงออกมาเท่านั้นก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็วต่างจากท่าทางเหมือนคนแก่เมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง เฉียนหยุนเป็นคนฉลาด เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าตนเองไม่สามารถเสนอหน้ามาหาเซิยเฟยได้อีก ทำไม่ได้แม้แต่จะเป็นหัวหน้าแก๊งค์ต่อได้ด้วยซ้ำ

เสียงประตูกระแทกปิดดังจนสะเทือนประสาทเจ้าของห้อง เซินเฟยยกมือขึ้นนวดขมับที่เริ่มเกร็งเครียดจนปวดหนึบ

ทำไมอะไร ๆ มันถึงไม่ได้ดังใจเสียทีนะ

“ขออนุญาตครับ” หวางซิงนำเครื่องดื่มเย็น ๆ เข้ามาในห้องเมื่อเห็นเฉียนหยุนออกไปแล้ว ท่าทางของเซินเฟยดูไม่ค่อยดีนักทำให้เขานึกเป็นห่วง “คุณเซิน....”

“ไม่เป็นไร ไปส่งเหล่าเฉียนเถอะ” เซินเฟยโบกมือไล่ เขาอยากอยู่เงียบ ๆ สักครู่ให้อาการปวดหัวบรรเทาลง

สำหรับเซินเฟยแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาต้องเริ่มทำงานมาตั้งแต่อายุ 12 เผชิญกับความกดดันอยู่ตลอดเวลา พอนานวันเข้าอาการไมเกรนก็เริ่มปรากฏก็เท่านั้น

เซินเฟยหลับตาลงเพื่อให้สายตาพักผ่อน เส้นประสาทยังเต้นตุบ ๆ จนรู้สึกได้ หูของเขาแว่วเสียงประตูเปิดและปิดลงโดยเลขาประจำตัวและห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เมื่อประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ผ่อนคลายอาการปวดจึงเริ่มบรรเทาลง ตอนนั้นเอง เสียงประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เซินเฟยคิดว่าเป็นหวางซิงกลับมาเอาของหรือรายงานอะไรจึงไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง เขาเพียงแต่ส่งเสียงถาม

“มีอะไร?”

ไม่มีเสียงตอบรับ เซินเฟยเริ่มรู้สึกผิดสังเกต เท้าคู่นั้นยังคงสาวเข้ามาเรื่อย ๆ และเมื่อเขาลืมตาขึ้น เสียงฝีเท้าก็หยุดลง

“เข้ามาทำไม?” เซินเฟยมุ่นคิ้วพลางเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผู้ที่อยู่ในห้องคือฉู่เหวินจือ

“หวางซิงบอกว่าคุณอาการไม่ค่อยดีเลยวานให้เอายากับน้ำมาให้” ฉู่เหวินจือตอบก่อนจะวางแก้วน้ำกับเม็ดยาลงบนโต๊ะ

“เท่านี้หรือ?”

“คุณมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ?” ชายหนุ่มแย้มยิ้มด้วยท่าทางสบาย ๆ “เรื่องที่คุยกับเฉียนหยุนจะให้ผมจัดการแทนไหม?”

“สู่รู้เกินไปแล้ว” เซินเฟยไม่พึงพอใจต่อกริยาที่ทำราวกับว่ารู้ทุกเรื่องของอีกฝ่าย “นายอยู่เฉย ๆ แล้วทำงานของตัวเองไปเถอะ อย่าสอดรู้ให้มากนัก”

“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นจะทานยาเลยไหม? ผมจะได้เก็บแก้วออกไปด้วย”

เซินเฟยเหลือบตาลงมองยาแบบอัดเม็ดที่บรรจุอยู่ในบลิสเตอร์แพคอย่างดีไม่มีรอยฉีกขาด สีสันและลักษณะรวมทั้งแผ่นอลูมิเนียมที่ปิดด้านหลังบลิสเตอร์แพคก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต เขาแกะเม็ดยาออกแล้วโยนใส่ปาก ดื่มน้ำตามอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ทำให้ฉู่เหวินจือรับรู้ถึงอาการระแวดระวังตัวแม้แต่น้อย เซินเฟยทิ้งบลิสเตอร์แพคที่แกะแล้วลงในแก้วเปล่าก่อนจะส่งคืนให้โดยเลื่อนไปไว้ตรงมุมโต๊ะ

ฉู่เหวินจือเดินเข้ามารับแก้วไปโดยไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่กลับออกไปอย่างเงียบเชียบเหมือนตอนที่เข้ามา ถึงอย่างนั้น ชั่วแวบหนึ่งที่เซินเฟยแน่ใจว่าเขาเห็นรอยยิ้มในดวงตาอีกฝ่าย

ความเงียบโรยตัวลงปกคลุมห้องทำงาน มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่ง ๆ อยู่ไม่นานก็ตัดไปเมื่ออุณหภูมิห้องถึงที่กำหนด เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างมีมารยาท หวางซิงก้าวเข้ามาเพื่อรายงานว่าได้ส่งเฉียนหยุนขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว เซินเฟยเพียงพยักหน้ารับแล้วหันมองนาฬิกา

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 16-02-2011 19:42:52
“วันนี้มีใครนัดอะไรอีกไหม?”

“ไม่มีครับ แต่เย็นนี้มีงานเลี้ยงงานหนึ่ง จะให้เตรียมเลยไหมครับ?” ที่หวางซิงพูดหมายถึงเครื่องแต่งกายที่จะผลัดเปลี่ยนก่อนไปงาน

“ให้คนจัดการเลยก็แล้วกัน แล้วก็เตรียมให้ฉู่เหวินจือด้วย” หวางซิงไม่ได้ถามเหตุผลเพราะรู้กันอยู่ว่าฉู่เหวินจือถูกส่งมาเพื่อจับตาดูเซินเฟย ไม่ว่ายังไงก็ต้องอยู่ข้างกาย โดยเฉพาะงานสังคม หากบังเอิญเจอไป่หู่เข้า เจ้าตัวอาจไม่พอใจหากเห็นว่าคนของตนเองไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่กำชับไว้

----------------------->

งานสังคมครั้งนี้ก็ไม่ได้ต่างครั้งอื่นมากนัก เซินเฟยต้องยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของพวกสอดรู้สอดเห็นทั้งชายหญิง เพียงแต่ไม่กดดันเท่าครั้งก่อน ๆ เนื่องจากมีคนช่วยแบ่งเบาจำนวนสายตาอยู่สองคน หวางซิง ที่หากพูดจริง ๆ แล้ว แม้จะอายุถึงเลข 3 แต่ก็ยังหนุ่มแน่น ใบหน้าอ่อนกว่าอายุจริงหลายปี ท่าทางสุภาพของเจ้าตัวทำให้หญิงสาวหลายคนถึงกับมองตาเยิ้ม ส่วนฉู่เหวินจือ เมื่ออยู่ในชุดแบบทางการก็ยิ่งดึงดูดความสนใจ เจ้าตัวโปรยยิ้มให้กับทุกคนที่เดินผ่านจนเซินเฟยนึกสงสัยว่านิสัยเช่นนี้ติดมาจากไป๋หู่หรือเป็นนิสัยส่วนตัวกันแน่

“คุณเซินครับ นั่นคุณหลวน” หวางซิงก้มลงกระซิบข้างหูเจ้านาย เซินเฟยพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มให้กับชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาพลางเอ่ยทักทาย

“ยินดีที่ได้พบครับคุณหลวน”

การจดจำผู้คนมักจะทำให้เกิดความประทับใจอย่างยิ่งยวด ความทรงจำจึงมีความสำคัญมากในเชิงธุรกิจ กระนั้นสมองคนก็มีขีดจำกัด การติดต่อเจรจางานกับคนมากหน้าหลายตาไม่มีทางจำจดจำได้ทุกคน ด้วยเหตุนั้นนักธุรกิจใหญ่ทั้งหลายที่ต้องออกงานสังคมจึงมักใช้วิธีคล้าย ๆ กัน นั่นคือให้ผู้ติดตามช่วยจดจำหน้าแขกแต่ละคนที่อาจจะมาในงานเดียวกันและกระซิบบอกชื่อก่อนที่แขกจะเข้าถึงตัว

ที่เซินเฟยพาฉู่เหวินจือมาด้วยเพราะอยากให้อีกฝ่ายช่วยแบ่งเบางานของหวางซิงไปบ้าง งานนี้ไม่ใช่เล็ก ๆ คนเยอะขนาดนี้ให้หวางซิงจำคนเดียวคงไม่ไหว และจากที่เขาเคยประจักษ์ความช่างสังเกตสังกาของฉู่เหวินจือ จึงมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเหมาะกับงานนี้อย่างแน่นอน

เซินเฟยทักทายคนไปเรื่อย ๆ สายตาก็คอยดูว่าไป๋หู่มาด้วยหรือไม่ ทว่าเขากลับได้พบคนที่ไม่ได้คิดถึงแทน

“ยินดีที่ได้พบครับ เสวียนอู่”

หญิงสาวในชุดราตรีสีดำดูสง่าเลิกคิ้วหันมามองต้นเสียงก่อนจะแย้มยิ้มลึกลับเมื่อพบว่าผู้ทักตนเป็นใคร

“ไม่คิดว่าจะได้พบจูเชว่ที่นี่ ได้ยินว่าไม่ชอบออกงานไม่ใช่หรือ?” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ใบหน้าของหญิงสาวก็ไม่ได้แสดงความตระหนกหรือแปลกใจออกมาแม้แต่น้อย “ไม่ได้พบกันตั้งแต่งานศพของท่านตาสินะคะ คุณดูต่างจากตอนนั้นมากทีเดียว”

“คุณก็เช่นกัน” เซินเฟยพูดและหมายความตามนั้น เขาได้พบกับเสวียนอู่คนนี้เมื่อ 3 ปีก่อน เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ได้พบกัน ตอนนั้นเขายังเป็นเพียงเด็กอายุ 15 ที่ตามหลังอาสะใภ้ไปเรื่อย ๆ ส่วนหญิงสาวคนนี้ก็เป็นเหมือนเด็กสาวแรกรุ่นทั่วไป หากไม่นับว่าเธอคือทายาทของเสีวยนอู่ที่สิ้นลมไปใครจะเชื่อว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถกลั้นน้ำตาและความขมขื่นภายใต้ใบหน้าสุขุมลึกล้ำในขณะที่ญาติทุกคนต่างพากันร่ำไห้ได้ ในตอนนั้นเขาจำได้ว่าตัวเองนึกชื่นชมในความเข้มแข็งของเธอ

ถ้าไม่มีข่าวลือเรื่องขายพี่ชายตัวเองเพื่ออำนาจ....เขาอาจเต็มใจจะผูกมิตรกับเธอมากกว่านี้ แต่สำหรับผู้หญิงที่เสมือนงูพิษ หากเกี่ยวดองด้วยมากเกินไป รังแต่จะถูกคมเขี้ยวนั้นขย้ำคอเข้าสักวัน

“นั่นลูกน้องคนใหม่หรือ? ไม่เคยเห็นหน้าเลยนะ” เสวียนอู่ดูจะให้ความสนใจฉู่เหวินจือพอสมควร ด้วยสัญชาตญาณหญิงและสัญชาตญาณหนึ่งในผู้นำองค์กรมาเฟียฮ่องกง เธอรู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา ทำไมจูเชว่จึงยอมให้คนแบบนี้มาอยู่ข้างกายได้ทั้งที่ไม่เคยมีวี่แววว่าจะรู้จักหรือมีผลงานมาก่อน

“ก็ทำนองนั้น....”

การที่เสวียนอู่ไม่ได้เอ่ยถึงไป๋หู่ แสดงว่าไป๋หู่ไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องฉู่เหวินจือให้ใครรู้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีสำหรับเซินเฟย เพราะหากคนนอกรู้ว่าเขายอมให้คนของไป๋หู่มาจับตาดูใกล้ชิดอย่างนี้ ฐานะจูเชว่ของเขาคงยิ่งตกต่ำลงกว่าเดิม

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณผู้หญิง” ฉู่เหวินจือเอ่ยทักทายเสวียนอู่อย่างเป็นธรรมชาติ “ผมได้ยินข่าวลือมาว่าเสวียนอู่คนปัจจุบันเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมไปด้วยเสน่ห์ วันนี้ผมก็ได้เห็นกับตาแล้ว”

เซินเฟยกลอกตา.....ช่างเป็นคำพูดที่ชวนให้อาเจียนเสียจริง....

แต่เอาเถอะ ขอแค่กริยาเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นกับอาสะใภ้ของเขาก็พอแล้ว

“ตายจริง” เสวียนอู่หัวเราะคิก “เป็นคนปากหวานต่างจากเจ้านายเลยนะ ทำให้ฉันคิดถึงใครบางคนขึ้นมา.....ไป๋หู่เองก็ท่าทางเจ้าชู้กรุ้มกริมอย่างนี้เหมือนกัน”

เซินเฟยเกร็งตัวเมื่อเสวียนอู่ทักเช่นนั้น

“มีหลายคนบอกว่าผมเหมือนเขา แต่ผมยังไม่กล้าเทียบเทียมคนที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ฉู่เหวินจือแก้สถานการณ์ด้วยคำพูดพื้น ๆ ไม่ได้แสดงพิรุธอะไรออกมา

“จะว่าไปก็น่าเสียดายจริง ๆ ชิงหลงก็ไปติดต่องานที่ต่างประเทศ ส่วนไป๋หู่ก็ติดธุระด่วน อย่างน้อยได้มาเจอคุณก็ยังดีนะคะ จูเชว่” เสวียนอู่ว่า เธอดึงมือที่ฉู่เหวินจือดึงไปครอบครองกลับมาหลังจากฝ่ายนั้นจุมพิตจนพอใจ

อย่างนั้นเองหรือ.....

เซินเฟยนึกกับตนเองในใจ มิน่าเล่าจึงไม่เห็นคนอื่น ๆ เพราะไป๋หู่นั้นนับเป็นคนสังคมจัดคนหนึ่ง หากมีงานที่ใดต้องพบที่นั่น วันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา

“ดนตรีนี่....มีลีลาศด้วยหรือ? เหล่าเฉินช่างละเอียดอ่อนเสียจริง” หญิงสาวเอ่ยถึงเจ้าของงานพลางหัวเราะเบา ๆ แล้วหันมามองเซินเฟยอย่างมีความหมาย เด็กหนุ่มรู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิปฏิเสธคำเชิญชวนด้วยสายตา เขาส่งแก้วคอกเทลในมือให้หวางซิงถือก่อนจะโค้งคำนับอย่างสง่างาม

“กรุณาให้เกียรติเต้นรำกับผมได้ไหมครับ?”

“คำขอของจูเชว่ ฉันจะปฏิเสธได้ยังไงกัน” เสวียนอู่ตอบรับมือที่ยื่นขอก่อนที่ทั้งสองจะควงกันตรงไปยังฟลอร์เต้นรำ

เพลงแรกเป็นจังหวะวอลซ์ซึ่งเสมือนเป็นธรรมเนียมของการเต้นลีลาศก็ว่าได้ที่จะต้องอุ่นเครื่องด้วยจังหวะวอลซ์ก่อนจะเริ่มจังหวะอื่น ๆ

เสียงทุ้มสลับกับไวโอลินกรีดเสียงหวานพาให้ผู้เต้นรำพากันก้าวเดินตามจังหวะอันเนิบช้าทว่าแฝงไปด้วยเสน่ห์ละมุนละม่อม เซินเฟยขยับเท้าก้าวนำการประสานจังหวะอย่างชำนาญ การต้องออกงานสังคมบ่อยครั้งทำให้การเต้นรำเป็นงานอดิเรกที่จำเป็นต้องทำ เสวียนอู่เองก็ขยับตัวไปตามการนำอย่างสวยงามไม่แพ้กัน แม้ทั้งสองจะไม่ได้มีเทคนิคล้ำเลิศขนาดขันแข่งกับใครได้ แต่ก็สามารถตรึงสายตาคนทั้งฟลอร์ได้อย่างชะงัดงัน

ทั้งสองจบเพลงได้อย่างสวยงาม เซินเฟยพาเสวียนอู่ออกมาจากฟลอร์แล้วโค้งให้อีกครั้งเมื่อมาส่งถึงที่ก่อนหันไปรับแก้วคอกเทลคืนจากหวางซิง

“ไม่ได้เต้นเข้าคู่กับใครอย่างนี้มานานแล้ว คราวหน้าคราวหลังอาจต้องรบกวนบ่อย ๆ เสียแล้วสิคะ จูเชว่” เสวียนอู่เอ่ยเป็นนัยแต่เซินเฟิงก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกสนุกกับการได้เห็นเขาทำบางสิ่งบางอย่างในการควบคุมของเธอโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“ผมอาจไม่ว่างบ่อยเท่าไหร่” เซินเฟยเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพเป็นการบอกอย่างเป็นนัยว่าเขาไม่คิดจะทำตามความปรารถนาของเธอเสมอไป

“พ่อหนุ่มคนนี้ล่ะคะ จะมาแทนเมื่อคุณไม่ว่างไหม?” หญิงสาวว่าพลางปรายสายตาไปทางฉู่เหวินจือ

“ฉู่เหวินจือเพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน ยังต้องให้ฝึกอีกมากครับ” หวางซิงชิงตอบแทนด้วยเกรงว่าฉู่เหวินจือจะเผลอตกปากรับคำอะไรไปจะทำให้เซินเฟยเดือดร้อนได้

“งั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดาย” เสวียนอู่กล่าวได้เพียงเท่านั้นก็มีชายท่าทางภูมิฐานและสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบบางอย่างกับเธอ หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับมาหาเซินเฟย “ฉันมีธุระต้องไปต่อ คงต้องขอตัวกลับก่อน หวังว่าเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกนะคะ จูเชว่”

“ผมก็เช่นกัน” นั่นคือการตอบรับตามมารยาทซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ดี

เสวียนอู่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจก่อนจะเดินจากไปโดยเซินเฟยไม่ได้ละสายตาจากแผ่นหลังบางนั้นเลย

หญิงสาวไปร่ำลากับเจ้าของงานก่อนจะถูกส่งขึ้นรถโดยการ์ดของเธอเอง เสวียนอู่คลี่ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีเข้มพลางหัวเราะเบา ๆ

“สนใจเจ้าหนุ่มแซ่ฉู่คนนั้นหรือครับ?” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นเจ้านายของตนดูจะมีความสุขอย่างน่าประหลาด

“ใช่ เป็นคนน่าสนใจทีเดียว” เสวียนอู่ตอบตามตรง

“ถ้าอย่างนั้นผมจะจัดการ....”

“ไม่ต้อง”

โดยปกติแล้วหากมาเฟียคนหนึ่งต้องการคนของผู้อื่นอาจจะใช้หลายวิธีแย่งยื้อมาได้ อาจเสนอผลประโยชน์ให้หักหลังนายเก่าหรือเจรจาแลกเปลี่ยนอย่างสมน้ำสมเนื้อกับเจ้านายโดยตรง การใช้วิธีเหล่านี้จะไม่ต้องขัดแย้งกับกฎที่ค้ำคอพวกเขาอยู่ด้วย เสวียนอู่เองก็เคยใช้วิธีเหล่านี้กับคนเก่งกาจในวงการ แต่กับผู้ชายแซ่ฉู่คนนี้เธอกลับไม่ได้นึกอยากได้ไว้ข้างกายแม้แต่น้อย

“ผู้ชายคนนั้นภายนอกดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ฉันรู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นคนอันตราย การที่จูเชว่เอาคนอย่างนั้นมาอยู่ด้วยไม่รู้ว่าคิดดีแล้วหรือยัง แต่ฉันไม่ชอบเลี้ยงจิ้งจอกให้หันมาลอบกัดหรอกนะ” ตอนที่สบตากัน เสวียนอู่สามารถรู้ได้จากแววตาที่ปรากฏเพียงวูบเดียวว่าฉู่เหวินจือมีบางสิ่งที่น่าพรั่นพรึง เป็นคนที่ไม่น่าเป็นมิตรและไม่น่าเป็นศัตรู แน่นอนว่าลำพังตัวผู้ชายคนนั้นไม่อาจทำให้ผู้ครองอำนาจหนึ่งในสี่ของฮ่องกงอย่างเธอหวั่นไหวได้ แต่กับจูเชว่ที่เป็นมือใหม่ของวงการ เธอยังนึกสงสัยอยู่ว่าจะสามารถควบคุมคน ๆ นั้นได้จริงหรือไม่

“แล้วถ้าปล่อยไป....”

“ในตอนนี้ปล่อยไปก่อน” เสวียนอู่ว่า “ถ้าเริ่มจะขัดแข้งขาเมื่อไหร่ก็ค่อยกำจัดทิ้งแล้วกัน ออกรถเถอะ ป่านนี้พี่ชายของฉันคงรอนานแล้ว” หญิงสาวตัดบทแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้นุ่ม นาน ๆ เธอจะได้ไปเยี่ยมพี่ชายที่ย้ายไปอยู่กับไป๋หู่เสียที จะมาเสียเวลากับคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งนั้นจึงไม่ได้อยู่ในความคิดเลยแม้แต่น้อย

--------------------->

เซินเฟยอยู่ในงานต่อจนกระทั่งดึกพอสมควรเขาจึงขอลากลับด้วยเหตุผลว่าพรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำ เจ้าของงานทำท่าเสียดมเสียดายแต่เขาก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงการประจบประแจงเท่านั้น เท่าที่เขารู้ ตาแก่แซ่เฉินคนนี้ไม่เคยคิดจะมองเห็นเขาอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ เพราะธุรกิจของเจ้าตัวก็ขึ้นกับเสวียนอู่ไปมากกว่าครึ่ง กับจูเชว่ที่ไม่ได้มีผลได้เสียต่อกันจึงไม่เห็นความสำคัญแต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่ทำเรื่องขุ่นใจกับผู้มีอิทธิพล

“ดูเหมือนเสวียนอู่จะสนใจนายนะ” เซินเฟยเอ่ยทักขึ้นเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัว

“แต่ผมว่าเธอดูสนใจคุณมากกว่า” ฉู่เหวินจือทำซื่อโยนลูกกลับไปให้คนเริ่มเรื่อง

“ฉู่เหวินจือ ถ้านายคิดหักหลังฉันคงรู้ผลที่จะตามมาใช่ไหม?” โดยปกติ เซินเฟยไม่ใช่คนที่ชอบคิดอะไรในแง่ร้าย แต่ด้วยอิทธิพลจากการทำงานในวงการใต้ดินทำให้เขาต้องระแวดระวังคนรอบข้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งช่วงนี้เฉียนหยุนเกิดแข็งข้อขึ้นมา เขาก็ยิ่งไว้ใจใครยากขึ้น

แต่ฉู่เหวินจือกลับหัวเราะกับคำพูดนั้นราวกับมันเป็นแค่คำขู่ลอย ๆ

“คุณลืมไปแล้วหรือครับว่าผมถูกส่งมาเพื่ออะไร” เขาพูดพลางยิ้มกว้าง “ถ้าผมหักหลังคุณ คุณเซินไม่จำเป็นต้องลงมือให้เหนื่อยหรอกครับ เพราะไป๋หู่ก็คงไม่ปล่อยผมไว้เหมือนกัน”

“ให้มันจริงเถอะ” เซินเฟยเปรยเบา ๆ “ตอนนี้นายสนใจงานของตัวเองไปก่อนจะดีกว่า นายไม่มีตำแหน่งอะไรค้ำประกันแต่ได้มาอยู่ข้างฉันก็ถือว่าเกินหน้าคนอื่นไปมากแล้ว ทำผลงานอย่างให้ฉันผิดหวังล่ะ”

“รับทราบครับ” ฉู่เหวินจือรับคำอย่างว่าง่าย ทว่าในดวงตาคู่สวยนั้นกลับมีประกายแปลกประหลาดออกมาวูบหนึ่ง กระนั้นหวางซิงกับเซินเฟยก็ไม่ทันได้เห็น....


TBC


แอบมีศัพท์เฉพาะโผล่มาเล็กน้อยเลยขออธิบายเผื่อนึกภาพไม่ออกนะคะ

บลิสเตอร์แพค (Blister Pack) มีอีกชื่อว่าบรรจุภัณฑ์กดทะลุ ประกอบด้วยพลาสติกที่ผ่านกระบวนการขึ้นรูปตามผลิตภัณฑ์และแผ่นอลูมิเนียมปิดด้านหลัง ถ้าใครนึกภาพไม่ออกก็ดูตามรูปเลยค่ะ
ตามประวัติการวิจัยบรรจุภัณฑ์ บลิสเตอร์แพคเป็นบรรจุภัณฑ์ประเภทหนึ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อป้องกันการปลอมปนโดยเฉพาะ จึงถูกนำมาใช้กับยาเป็นส่วนใหญ่
(http://img97.imageshack.us/img97/4449/2334blisterpack.jpg)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: aekporamai2 ที่ 16-02-2011 21:11:17
ขอบคุณครับ
น่าค้นหามากครับ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: YELLOWSTAR ที่ 16-02-2011 21:35:36
ฉู่เหวินจือเป็นคนยังไงกันแน่อ่ะ??  งง

ว่าแต่ทำไมพี่ชายของเสวียนอู่ ถึงไปอยู่กับไป๋หู่ได้อ่ะ??

งง งงมากก หรือว่าไปอู่เป็นใบ ???? :m28: :m28: :m28: :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 16-02-2011 21:58:50
คุณฉู่จะทำอะไรอาเฟยอ่ะ

อย่านะๆๆๆๆๆๆๆ o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 16-02-2011 22:49:10
โอ้ขนาดเสวียอู่ยังคิดว่าอันตรายแล้วจูเชว่จะเอาอยู่หรือ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: NY_JK ที่ 16-02-2011 23:09:02
 :t3:อยากรู้จักพี่ชายของเสวียนอู่ที่ไปอยู่กับไป๋หู่จัง
คงจะมีบางช่วงที่เหมือนจะหักหลังเซินเฟยแต่ก็ไม่ใช่
ปล.เดาเอา รอติดตามดีกว่าน่าลุ้นดี
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: จันทร์ผา ที่ 17-02-2011 02:12:07
พี่ชายของเสวียนอู่คือใคร
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 17-02-2011 02:59:23
 o18ฉู่เหวินจือชักไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่แล้ว ขอให้เซินเฟยระวังเอาไว้ให้ดีนะคะ

อยากรู้เรื่องพี่ชายของเสวียนอู่ที่ไปอยู่กับไป๋หู่เหมือนกันค่ะ ว่าเรื่องเป็นมายังไงกันแน่ แล้วที่ว่าเสวียนอู่เป็นคนขายพี่ชายตัวเองไปเป็นเรื่องจริงรึเปล่า :really2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 4 (16/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 17-02-2011 09:37:08
เออนะ ลึกลับกันจริง หึหึ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 17-02-2011 17:45:49
-5-



ฝ้าขาวเกาะอยู่บนกระจกรถที่ติดฟิล์มกรองแสงจนมืดสนิท เซินเฟยมองผ่านออกไปด้านนอกแต่ภาพก็ดูลางเลือนเสียเหลือเกิน เริ่มจะสู่ฤดูหนาวแล้ว สำหรับเกาะเล็ก ๆ อย่างฮ่องกงที่มีทะเลล้อมรอบ การที่อุณหภูมิจะลดฮวบกะทันหันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยเหตุนั้น อากาศคืนนี้จึงหนาวเย็นเสียจนคนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างเซินเฟยรู้สึกหนาวเยือกและต้องสั่งให้คนนำเสื้อคลุมตัวหนามาสวมทับก่อนออกจากบ้าน

“คืนนี้อากาศหนาวนะครับ” หวางซิงออกความเห็นขณะขยับเสื้อให้ตัวเอง

“นั่นสินะ” เซินเฟยรับคำสั้น ๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องภายนอก เงาคนมากมายที่เห็นผ่านกระจกดูชุลมุนวุ่นวาย แต่ถึงอย่างนั้นความวุ่นวายก็อยู่ห่างไกลออกไปจากจุดที่รถจอดนิ่ง ซ้ำรอบรถยังมีบอดี้การ์ดคุมเชิงอย่างแข็งขันจึงไม่มีอะไรต้องห่วง

แสงไฟจากร้านรวงอยู่ถัดออกไปไม่มากนัก ณ จุดนี้เป็นที่ ๆ ไม่ค่อยจะมีคนผ่านไปมาจึงเหมาะสมอย่างยิ่ งที่จะใช้เป็นที่จัดการกับใครบางคนหรือบางกลุ่ม

“พวกเขาดูยังเด็กนะครับ” ฉู่เหวินจือว่า

“ก็เพราะอย่างนั้นน่ะสิถึงได้โง่นัก” เซินเฟยมุ่นคิ้วแล้วซุกมือเข้าไปในเสื้อ แม้แต่ตอนนี้เครื่องปรับอากาศของรถที่ดังหึ่ง ๆ อยู่ก็ทำให้เขารู้สึกเย็นขึ้นมา

“คุณน่าจะอายุพอ ๆ กับพวกเขาไม่ใช่หรือครับ?”

คำพูดของฉู่เหวินจือดูเหมือนจะไม่เข้าหูเซินเฟยอีกแล้ว เด็กหนุ่มตวัดสายตาเฉียบขาดปรามไม่ให้อีกฝ่ายพูดต่อ มิเช่นนั้นเขาอาจจะต้องหาวิธีลงโทษให้หลาบจำอีกครั้ง ในคืนที่ต้องออกมาทำงานเองก็หงุดหงิดใจมากพอแล้ว เขาไม่อยากเสียพลังงานที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายไปกับการคิดวิธีลงโทษคนไม่รู้จำคนนี้ ซึ่งฉู่เหวินจือก็อ่านสายตานั้นออกได้ในทันทีจึงเลือกที่จะไม่พูดวิจารณ์เรื่องอายุอีก

“ผมขอออกไปสูบบุหรี่หน่อยได้ไหม?”

“อย่าให้มีกลิ่นติดแรงนักแล้วกัน” เซินเฟยคร้านจะกำกับอีกฝ่ายทุกฝีก้าว เรื่องเล็กน้อยอย่างออกไปยืนสูบบุหรี่นั้นเขาจึงอนุญาตอย่างง่ายดาย กระนั้นเขาก็ไม่ใคร่ชอบกลิ่น อาจเป็นเพราะแม่เลี้ยงของจูเชว่คนก่อนมีอาการแพ้กลิ่นบุหรี่ทำให้ในบ้านใหญ่ไม่มีใครสูบบุหรี่สักคนจนกระทั่งถึงตอนนี้ และพาให้เซินเฟยเป็นคนไม่ชินกับกลิ่นบุหรี่ไปด้วย เมื่อใดที่ต้องไปติดต่องานกับคนสูบบุหรี่จัดครั้งใดก็ต้องรำคาญกลิ่นอยู่ร่ำไป

ฉู่เหวินจือเปิดประตูรถออกทำให้ความหนาวพัดเข้ามาวูบหนึ่งก่อนที่จะอบอุ่นเช่นเดิมเมื่อประตูปิดสนิท ชายหนุ่มขยับออกไปห่างตัวรถเล็กน้อยก่อนควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วจุดสูบ แสงจากไฟแช็คผ่านฝ้าบนกระจกเข้ามาถึงด้านในรถแวบหนึ่งก่อนที่มีจะถูกดับลงเมื่อหมดหน้าที่

เซินเฟยเบือนสายตากลับไปมองเงาคนจำนวนมากอีกครั้ง ดูเหมือนมันจะเริ่มสงบลงแล้ว เห็นได้จากมีหลายคนล้มลงไปกองบนพื้น และมีชายในชุดสูทดำคนหนึ่งหิ้วร่างที่อ่อนปวกเปียกเดินเข้ามาทางรถ เมื่อใกล้จะถึง การ์ดคนหนึ่งก็เคาะกระจก เซินเฟยจึงเลื่อนกระจกลงทำให้เห็นภายนอกชัดเจนมากขึ้น บอดี้การ์ดของเขาคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูรถในมือหิ้วคอของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ตอนนี้ใบหน้าบวมไปด้วยรอยช้ำและแผลแตก เลือดสีแดงไหลจากหน้าผากลงไปเปรอะคอเสื้อจนชุ่ม เรือนผมที่กัดและย้อมจนเป็นสีทองมีสีเลือดเปื้อนประปราย ถึงอย่างนั้นสภาพของคน ๆ นี้ก็ดูดีกว่าคนอื่น ๆ ที่ลงไปนอนหมดสติบนพื้นท่ามกลางคนชุดสูทดำที่คุมเชิงไม่ห่าง

“นี่เป็นหัวหน้าหรือ?” เขาเอ่ยถาม

“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นครับ” บอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่จัดการกล่าวตอบเพราะเขาเห็นว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่มจะชอบหันมาถามเด็กคนนี้ว่าจะทำยังไงต่อไป

“แสดงว่าอาจไม่ใช่” เซินเฟยสรุปแล้วกระชับเสื้อก่อนจะเดินลงจากรถแล้วยืนเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มวัยรุ่นอายุไล่เรี่ยกัน “เป็นยังไงบ้าง?” แน่นอนว่าคำถามนั้นไม่ได้พูดออกมาด้วยความห่วงใย ทว่าเขาอยากแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังพูดได้เท่านั้น

“.......” มีเสียงตอบรับออกมาตะกุกตะกักจับความได้ยากเซินเฟยจึงต้องเดินเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นเพื่อจะได้จับความคำพูดได้ แต่ว่า...

ถุด!

เลือดผสมกับน้ำลายหนึ่งกระเด็นใส่ใบหน้าของเซินเฟย เขาเหลือบตามองกลับไปเห็นรอยยิ้มสาแก่ใจปรากฏบนเรียวปากที่โดนชกจนเลือดแตกซิบ หวางซิงรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดออกให้ทันที

“ดูเหมือนจะยังมีแรงอยู่” เซินเฟยสรุปจากท่าทีตอบรับ ทันใดนั้นการ์ดที่จับตัวเอาไว้ก็กระแทกหมัดเข้าใส่ท้องอีกครั้ง เซินเฟยรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระดูกลั่นกร๊อบท่าทางกระดูกซี่โครงคงจะถูกอัดจนหักไปแล้ว การ์ดของเขาเบามือไม่เป็นเอาเสียจริง ๆ ถ้าหมดสติไปเสียก่อนก็ไม่ได้สอบสวนน่ะสิ

เสียงกรีดร้องโดนอุดโดยมือใหญ่ที่คว้าหมับเข้าที่ปากก่อนเสียงจะได้เล็ดรอดออกมา จนกระทั่งฝ่ายนั้นหยุดดิ้นรนการ์ดคนเดิมจึงปล่อยมือออกให้หายใจได้

ไม่มีเลือดประสมออกมากับการหายใจ แสดงว่าซี่โครงไม่ทิ่มปอด ก็ดีแล้ว เพราะเซินเฟยไม่อยากให้เกิดการตายขึ้น ไม่ใช่เพราะความเมตตา แต่การจัดการศพมันเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป

“รู้จักเฉียนหยุนหรือเปล่า?”

“ชื่อ...ม....ไม่เห็น....คุ้น...” เด็กหนุ่มผู้ถูกสอบสวนตอบเสียงสั่นพร่า ท้องของเขาเจ็บร้าวจนแทบจะขาดใจแต่ก็ยังโดนบังคับให้เงยหน้าขึ้นมองผู้ถามและจิกผมอย่างแรงให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา

“งั้นหรือ?” เซินเฟยไม่ได้แสดงความแปลกใจ “แล้วใครเป็นหัวหน้าของนายล่ะ?”

“....ไม่มี....”

“แสดงว่านายเป็นหัวหน้ากลุ่มนี้สินะ?”

ครั้งนี้ไม่มีเสียงตอบ เจ้าตัวเพียงพยักหน้าเบา ๆ เพราะไม่มีแรงเค้นเสียง เซินเฟยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเฉยเมย

“อ....ไอ้แก่นั่น.....ม........บ.......” เสียงของคนถูกสอบค่อย ๆ เบาลง กระนั้นคำพูดที่ไม่ได้ออกมาเพราะคำถามก็เรียกความสนใจของเซินเฟยได้ เขาเลิกคิ้วพลางยืนรอฟังแต่ฝ่ายนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก กระนั้นด้วยจังหวะการหายใจเขาก็รู้ว่ายังไม่หมดสติ

“ใครเป็นคนสั่งพวกนายมา?”

ทันทีที่เซินเฟยจบคำถาม ไม่ทันที่ผู้ถูกสอบจะได้อ้าปากตอบเสียงปืนนัดหนึ่งก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างปวกเปียกจะถูกแรงกระทบผลักให้ศีรษะกระเด็นไปด้านตรงข้ามกับเสียง เลือดจำนวนหนึ่งกระเซ็นออกมาสวนกับทิศของแรงผลัก ร่างนั้นกระตุกสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป

“นั่นใครนะ! ตามไปเร็ว!” เสียงตะโกนโวยวายดังขึ้น พวกการ์ดจำนวนหนึ่งวิ่งตามเงาตะคุ่มที่เห็นอยู่ไหว ๆ แต่เซินเฟยกลับไม่ได้แสดงความสนใจต่อคนที่กระทำอุกอาจแล้วหนีหายไปเลยแม้แต่น้อย เขาทรุดลงนั่งแล้วมองดูเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงศพเรียบร้อย

“ให้เตรียมที่สอบไว้ไหมครับ?” ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะสูบบุหรี่เสร็จแล้วจึงเดินเข้ามาถาม

“ไม่ต้องหรอก” เซินเฟยตอบแล้วลุกขึ้นยืน “กล้าทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ถ้าถูกจับได้ก็คงมีคนรอปิดปาก หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย เสียเวลาไปสอบสวนกับศพเสียเปล่า ๆ”

รอบตัวจูเชว่มีคนคุ้มกันมากมายรวมไปถึงบริเวณรอบ ๆ แม้จะเป็นกลางแจ้งก็ใช่จะมีใครเข้ามาง่าย ๆ ด้านข้างของเขาในจุดที่อาจถูกซุ่มยิงมีหวางซิงยืนขวางวิถีกระสุนรวมถึงการ์ดอีกจำนวนหนึ่ง การที่มีคนเข้ามาถึงจุดนี้และยิงคนตายไปต่อหน้าต่อตานับว่าใจกล้าไม่ใช่น้อย คนใจกล้าขนาดนั้นคงไม่เหลือชีวิตมาให้สืบสวนถึงคนจ้างวานหรือเจ้านายอย่างแน่นอน

สิ้นคำของเซินเฟยไม่กี่วินาที เสียงปืนอีกนัดก็ดังขึ้นจากจุดที่อยู่ไกลออกไป

“ถูกจับไวมากเลยนะครับ” หวางซิงออกความเห็น

“ถ้าชักช้าอืดอาดจะเป็นการ์ดไปทำไมกัน?” เซินเฟยกล่าวตอบก่อนจะสั่ง “อาซิง โทรหาสารวัตรหรงบอกให้ช่วยจัดการให้เรียบร้อย แล้วผมจะตอบแทนทีหลัง” ว่าจบ เซินเฟยก็เดินกลับขึ้นรถ หวางซิงรับคำแล้วหยิบมือถือขึ้นมาโทรไปยังเบอร์ที่คุ้นเคย คุยอยู่ไม่นานก็วางสายแล้วเดินขึ้นรถ

“เรียบร้อยแล้วครับ”

เซินเฟยพยักหน้ารับ และเมื่อฉู่เหวินจือกลับขึ้นรถรวมทั้งการ์ดกลับมากันแล้ว รถคันสีดำสนิทก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปจากบริเวณนั้น

------------------>

ใบลาออกของเฉียนหยุนและคนในกลุ่มถูกส่งมาที่บ้านในวันรุ่งขึ้น โดยผู้มาส่งเป็นหนึ่งในกลุ่มนั้นเอง เจ้าตัวทำสีหน้าไม่พอใจต่อการทำหน้าที่นี้แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา แน่นอน จะมีใครบ้างที่โง่พอจะพูดความในใจด้านลบต่อหน้าผู้มีอิทธิพลกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิทธิพลนั้นเกี่ยวพันได้ถึงชีวิตของตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้าง กระนั้นเซินเฟยก็มั่นใจว่าเฉียนหยุนคงจะเล่าความไม่ตรงกับเรื่องจริงมากนัก เพราะเท่าที่เขาลองเปิดสุ่มอ่านพบว่าเป็นคำพูดตัดพ้อเสียดสีเสียส่วนใหญ่ นั่นไม่ได้รวมถึงคที่เขียนหนังสือไม่เป็น แม้จะไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดแต่ก็ทำให้เขาได้รู้ว่าแท้จริงกลุ่มของเฉียนหยุนไม่ได้คิดจะอยู่ใต้อำนาจเขามานานแล้ว

ข่าวโทรทัศน์ในวันนั้นไม่มีเกี่ยวกับการทะเลาะวิวาทหรือการฆาตกรรมเลยสักข่าวเดียว เซินเฟยรู้ว่าสารวัตรหรงจัดการให้เรียบร้อยอย่างที่สั่งไปเขาจึงไม่นึกกังวล สารวัตรหรงอยู่ในกรมตำรวจมานาน ย่อมรู้ว่าควรจะจัดการยังไงเมื่อเขาบอกว่า “จัดการให้เรียบร้อย”

อย่างไรก็ตาม เซินเฟยก็รู้สึกโล่งขึ้นบ้างเมื่อยกปัญหาหนึ่งออกไปได้ การปราบอันธพาลกลุ่มเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง เพียงแต่เขารู้สึกไม่ค่อยคุ้มค่าที่ลดตัวลงไปจัดการเอง แต่หากไม่ทำเช่นนั้น เฉียนหยุนคงนำปัญหามาให้อีกมาก

กระนั้นสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนั้นพูดก่อนจะถูกยิงก็ทำให้เขานึกแคลงใจ

ไอ้แก่นั่น

ไอ้แก่ไหน?

เซินเฟยมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และเฉียนหยุนอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยปละละเลยเช่นนี้ แต่ก็อาจจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ได้เพราะเฉียนหยุนต่อต้านเขาอยู่แล้ว อาจจะแค่เห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้ทดสอบเขา

ในขณะที่กำลังคิดทบทวนเหตุผลอยู่นั้น เสียงโทรศัทพ์สำหรับต่อสายภายในก็ดังขึ้น

เซินเฟยรับสายโดยไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นเรื่องดีแม้สักนิด

“ได้ยินว่าคุณไล่เฉียนหยุนออก” เสียงฝ่ายนั้นดูเหมือนจะเป็นกรรมการบริหารที่ถือหางเฉียนหยุนมาตลอด เพราะเฉียนหยุนเป็นคนแนะนำเข้ามาอีกทั้งยังคอยจัดการปัญหาให้ แน่นอนว่าหากขาดเฉียนหยุนไปก็เหมือนขาดศีรษะเจ้าตัวจึงได้รีบร้อนโทรมาหาแต่หัววัน

“ใช่”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน! คุณบ้าไปแล้วหรือยังไงคุณเซิน!”

เสียงที่ตวาดเข้ามาในโทรศัพท์ทำให้รู้สึกปวดประสาทหู เซินเฟยมุ่นคิ้วแล้วดึงออกห่างก่อนจะแนบหูอีกครั้งเมื่อเสียงฝั่งนั้นเงียบไปแล้ว

“ธุรกิจของคุณกับเขาอยู่คนละส่วนกัน ทำไมคุณถึงต้องเดือดร้อนแทนด้วยล่ะครับ?” เซินเฟยกรอกเสียงลงไป เขานึกสงสัยจริง ๆ ว่าถ้าคนพวกนี้ไม่มีใครหนุนหลังแล้วจะทำอะไรเองไม่เป็นเลยหรือยังไง

“คุณเซิน!”

“คุณจะถอนหุ้นหรือครับ?” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังขึ้นเสียงไม่หยุด เซินเฟยจึงเริ่มจะเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง “ให้ผมช่วยซื้อไว้เองไหม?”

ปลายสายเงียบไปในทันที และเป็นความเงียบที่ยาวนานกระนั้นก็ไม่เกินรอ

“คุณก็รู้ว่าเฉียนหยุนดูแลบริเวณกว้างแค่ไหน คุณจะเอาใครไปแทนเขา” เสียงที่ตอบโต้กลับมาเบาลงกว่าตอนแรกมาก ทั้งยังหยิบยกเหตุผลอย่างน่าฟัง ทั้งที่หากคุยกันแบบนี้แต่แรกเขาก็ไม่ต้องตีบทโหดให้เสียพลังงานแล้ว

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องกังวล คนทำงานหาได้ง่ายกว่าไส้เดือนเสียอีก คุณมีธุระอย่างอื่นอีกไหม?” เซินเฟยว่าก่อนจะตัดบท เขาไม่อยากเสียอารมณ์กับเรื่องนี้อีก กับผู้บริการคนนี้ที่หัวอ่อนยอมตามเฉียนหยุนไปเสียทุกเรื่องบางทีก็มักเผลอยกตนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องไปถึงธุรกิจใต้ดินทั้งที่ความจริงแล้ว เจ้าตัวก็เป็นเพียงคนที่เฉียนหยุนเห็นว่ามีประโยชน์ต่อตนเองจึงคอยช่วยเหลือก็เท่านั้น และสำหรับเขา ผู้ชายคนนี้ก็เป็นแค่นักธุรกิจที่มีดีแต่เงินและชาติตระกูลไม่ต่างจากผู้บริการคนอื่น ๆ

“ไม่มีแล้วครับ” พอเห็นว่าเซินเฟยไม่ยอมลงให้ เจ้าตัวจึงเริ่มถอยกลับ

“ถ้าอย่างนั้นผมมี อีกเดี๋ยวฉู่เหวินจืออาจจะเข้าไปหาคุณเพื่อให้พิจารณาโครงการของเขา หวังว่าคุณจะทำตัวให้ว่างได้” ว่าจบ เซินเฟยก็วางสายไปโดยไม่รอคำตอบ ตอนนั้นเองที่หวางซิงเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาเพื่อนำสำเนาร่างโครงการของฉู่เหวิอจือมาให้ดู

“วันนี้ผมจะขอลางานช่วงเที่ยงสักหน่อยนะครับ” หวางซิงเอ่ยขออนุญาตขณะที่เซินเฟยรับสำเนามากางอ่าน เด็กหนุ่มจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ผมจะไปตัดแว่นน่ะครับ”

“ตัดแว่น?”

“ครับ ความจริงผมสายตาสั้นมานานแล้วแต่เห็นว่าไม่ได้มีอุปสรรคอะไรก็เลยไม่ได้ตัดแว่นแต่เนิ่น ๆ ตอนนี้มันก็เลยสั้นลงกว่าเดิมน่ะครับ”

เมื่อฟังเหตุผลจบเซินเฟยก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ หวางซิงเป็นคนที่ต้องทำงานเกี่ยวกับเอกสารอยู่ตลอด สายตาจะมีปัญหาก็ไม่แปลกอะไร จะว่าไประยะนี้เขาก็มักเห็นเลขาของตนต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้กระดาษหรือจอคอมพิวเตอร์เพื่ออ่านข้อความที่ปรากฏบนนั้น ตัดแว่นเสียทีก็ดีเหมือนกัน

หวางซิงขอตัวออกไปเมื่อได้รับคำอนุญาตแล้ว เซินเฟยวางสำเนาลงบนโต๊ะแล้วเริ่มผ่อนคลายร่างกายเพื่อกลับเข้าสู่ภวังค์ความคิดอีกครั้ง

เอาเถอะ....อีกไม่นานสารวัตรหรงคงมีคำตอบให้เขาอย่างแน่นอน

----------------->

“ระยะนี้ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ?”

“อืม”

“แล้วอาการปวดหัวที่กำเริบล่ะครับ?”

“อาซิงบอกหรือ?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว แม้เขาจะมีอาการไมเกรนกำเริบเป็นบางครั้งแต่มันก็ไม่ได้หนักหนาขนาดต้องรายงานหมอไม่ใช่หรือ

“เปล่าหรอกครับ แต่ผมขอดูยาที่เคยจ่ายให้ว่ายังเหลืออยู่ไหม” จือหยินตอบพลางยิ้มกว้าง “จริงสิครับ คุณหวางซิงสวมแว่นทำให้ดูแปลกตามากทีเดียว ตอนแรกผมเกือบจะจำไม่ได้”

เซินเฟยเลิกคิ้วอย่างแปลกใจทั้งในอกยังรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา นี่อาจเป็นครั้งแรกก็เป็นได้ที่จือหยินคุยกับเขานอกเหนือจากเรื่องของการป่วยไข้ บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าจือหยินกำลังกันตัวเองออกจากเขา กระนั้นการพูดคุยครั้งนี้ก็ทำให้เซินเฟยรู้สึกดีขึ้น สำหรับจือหยินแล้ว...เขาขอแค่ได้เจอหน้าเดือนละครั้ง ได้พูดคุยด้วยบ้างก็เพียงพอแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กสาวมีรักแรกไม่มีผิด

“สรุปว่าอาการเป็นยังไงบ้างครับ?” จือหยินยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการจึงถามซ้ำ

“ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว....” ถึงอยากจะดีใจกับความห่วงใย แต่เซินเฟยก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงความห่วงใยตามหน้าที่ของแพทย์เท่านั้น

“คุณไม่ควรเครียดมากเกินไปนะครับ คนอายุน้อยอย่างคุณเป็นโรคเครียดอย่างนี้จะมีผลกับร่างกายตอนอายุมากขึ้น ยังไงก็ควรรักษาสุขภาพบ้างนะครับ” จือหยินรู้ฐานะของคนตรงหน้าตนเองดีเขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องการงานออกมาตรง ๆ รุ่นพี่ของเขาที่ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกันเคยเตือนมาว่าการทำงานกับมาเฟียใหญ่ไม่ควรวิจารณ์ถึงเรื่องงานโดยเด็ดขาด และเขาก็ยึดถือคำสอนนั้นมาโดยตลอด

“ผมจะพยายาม” ทางเซินเฟยก็สงวนคำพูดกับจือหยินโดยที่ตนเองไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่เมื่อพบหน้ากันเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทุก ๆ ครั้งหากไม่ใช่เสียงตอบรับสั้น ๆ ในคอ ก็จะเป็นคำพูดบอกอาการหรือตอบรับคำที่อีกฝ่ายพูด เขาเองยังอดรู้สึกอึดอัดกับตัวเองไม่ได้

หวางซิงยกน้ำเข้ามาในห้อง เซินเฟยหันมองก่อนจะรู้สึกเห็นด้วยกับจือหยินก่อนหน้านี้

หวางซิงตอนสวมแว่นดูแปลกตาจากเดิมไปเล็กน้อย เป็นเพราะวันก่อนเขาไม่ได้สังเกตกระมังจึงเพิ่งรู้สึก และเมื่อเขาเอาแต่จ้องเช่นนั้นหวางซิงก็ดูประหม่าขึ้นมา เจ้าตัวขยับแว่นอย่างเก้อเขินเหมือนทำอะไรไม่ถูก

“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณเซิน”

“เปล่าหรอก” เซินเฟยปฏิเสธ เขาไม่อยากให้หวางซิงประหม่ามากเกินไป หากเจ้าตัวรู้ว่าการใส่แว่นทำให้มาดตัวเองดูแปลกตาคงจะกังวลจนต้องส่องกระจกทุกหนึ่งชั่วโมงเป็นแน่ เพราะกลัวว่าการสวมแว่นจะทำให้มาดเลขายอดเยี่ยมของตนถูกกระทบกระเทือน กระนั้นโดยส่วนตัวแล้ว เซินเฟยไม่คิดว่าแว่นกับการเป็นเลขามีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย

จือหยินรับน้ำจากหวางซิงพลางเอ่ยขอบคุณ เขามองซ้ายขวาอย่างนึกสงสัยก่อนจะหันมาถาม

“วันนี้นายหญิงไม่อยู่หรือครับ?”
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 17-02-2011 17:46:52
“คุณอาไปเยี่ยมเพื่อนตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ ถ้าคุณมีอะไรจะคุยด้วยฝากเรื่องไว้กับหวางซิงก็ได้” เซินเฟยว่าไปก็ตลบแขนเสื้อที่ถูกพับขึ้นไปถึงข้อศอกกลับมาอยู่ในทรงเดิม

“ไม่รบกวนหรอกครับ ผมแค่สงสัยเท่านั้น” จือหยินตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้เซินเฟยอุ่นวาบในอกทุกครั้งที่ได้เห็น

“จริงสิ ผมอยากให้คุณจัดยาเพิ่มให้ด้วย” เซินเฟยมีลางสังหรณ์ว่าตนเองอาจจะต้องมีเรื่องปวดหัวอีกมากในช่วงนี้ เขาควรเตรียมยาเอาไว้ดีกว่า ถึงจะถูกเตือนว่าไม่ควรกินมากเกินไป แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้อาการปวดหัวกำเริบยาวนานจนไม่เป็นอันทำงาน

“ทราบแล้วครับ ผมจะเบิกจากโรงพยาบาลให้ พรุ่งนี้ให้คนของคุณไปรับได้เลย” หมอหนุ่มรับคำโดยไม่ถามถึงเหตุผลก่อนจะมองนาฬิกา “ขอโทษด้วยนะครับแต่ผมต้องไปแล้ว”

“อ้อ....ผมจะให้คนไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจอดรถไว้ข้างหน้านี้เอง” จือหยินปฏิเสธความหวังดีอย่างสุภาพ เขาไม่ชอบรบกวนใครมากเกินไป ด้วยเหตุนั้นเซินเฟยจึงพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไร

จือหยินโค้งเป็นเชิงขอตัวก่อนจะเดินออกไปจากห้อง แต่เมื่อเขาเดินออกมาถึงด้านหน้าเขาก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่คุ้นตา ฝ่ายนั้นมองหน้าเขาแล้วแย้มยิ้มดูไม่น่าไว้ใจ ตามประสบการณ์ของแพทย์ที่คลุกคลีกับวงการใต้ดินอย่างเขา มองดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะเป็นมาเฟียธรรมดา แต่เขาก็รู้จักคนในอาณัติตระกูลเซินทั้งหมด น่าแปลกที่เขาไม่สามารถเค้นความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายตรงหน้าได้เลย

“เราเพิ่งเคยพบกันครั้งแรก ผมชื่อฉู่เหวินจือ” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าจือหยินกำลังนึกคลางแคลงใจกับตัวตนจึงเอ่ยแนะนำตัวแล้วเดินเข้ามาจับมืออย่างสนิทสนม

“อย่างนี้เอง ผมจือหยินครับ” จือหยินโดยนิสัยแล้วเป็นคนที่ไม่เคยคิดระแวงใครจึงตอบรับมือของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

“คุณดูไม่น่าจะเป็นหมอที่ทำงานกับมาเฟียได้เลย” ฉู่เหวินจือวิจารณ์พลางหัวเราะ

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“เอ...นั่นสินะ” เมื่อถูกถาม ชายหนุ่มก็หยุดคิดครู่หนึ่ง “ในวงการนี้ผมเจอแต่คนระแวดระวังตัวทุกฝีก้าว แต่คุณหมอน่ะไม่มีการป้องกันตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้ผมนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมคุณถึงมาทำงานกับตระกูลเซิน...ไม่สิ จูเชว่ได้”

“คุณพูดเรื่องอะไรกัน” จือหยินหัวเราะบ้าง “ผมแค่ทำหน้าที่เท่านั้น เรื่องจูเชว่หรืออะไรนั่นผมไม่เกี่ยวข้องด้วยหรอกครับ”

“เป็นคำพูดที่โหดร้ายจังเลยนะ” ฉู่เหวินจือถอนหายใจ

“เอ๋?” จือหยินเลิกคิ้วด้วยความสนเท่ห์ เขาพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ?

ฉู่เหวินจือเห็นท่าทางการตอบรับของจือหยินแล้วทำให้เขานึกสงสารเซินเฟยขึ้นมา แววตาเชื่อมแสงที่เซินเฟยมีให้กับจือหยินนั้น ใครเห็นก็น่าจะรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีความรู้สึกพิเศษให้กับหมอประจำตระกูล แม้จะเป็นสายตาที่มักจะเกิดเมื่อไม่มีใครเห็นแต่ก็น่าจะมีสักชั่ววินาทีหนึ่งที่สบเข้าโดยบังเอิญบ้าง กระนั้นจือหยินก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกพิเศษนั้นเลย เป็นหมอที่มีดีแต่สมองส่วนหน้าจริง ๆ

“ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ?” จือหยินนึกสงสัยจึงอดถามไม่ได้

“เปล่าหรอกครับ ไม่มีอะไร” มันไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะต้องเป็นพ่อสื่อ ฉู่เหวินจือจึงเลือกที่จะไม่ไขความสงสัยให้กระจ่างแต่อย่างใด

แต่ว่า....เรื่องที่จูเชว่มีความรู้สึกพิเศษกับแพทย์ประจำตระกูลนี่....มันช่างน่าสนุกจริง ๆ

เสียงสนทนาของพวกเขาไม่ได้ดังมากมายแต่กระนั้นมันก็ทำให้ใครบางคนได้ยินเข้าเพราะอยู่ไม่ห่างจากห้องมากนัก เซินเฟยไม่อยากจะทนฟังเรื่องพวกนี้ต่อจึงก้าวออกมาจากห้อง

“ฉู่เหวินจือ!”

“แย่ล่ะสิ” เจ้าของนามเปรยอย่างไม่ได้จริงจังมากนัก

“หมอจือกำลังรีบ นายถอยไปซะ” เซินเฟยออกคำสั่งเสียงเข้ม ฉู่เหวินจือจำต้องยกมือยอมแพ้เพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายโกรธมากเกินไปและเป็นการไว้หน้าฝ่ายนั้นต่อหน้าหมอจือด้วย

“ถ้าอย่างนั้น ไว้เราค่อยคุยกันใหม่คราวหน้านะครับ” จือหยินเอ่ยลาฉู่เหวินจือแล้วรีบเดินออกไปทันที

เมื่อจือหยินจากไปแล้ว เซินเฟยก็เดินมาหยุดยืนตรงหน้าฉู่เหวินจือ นัยน์ตาสีดำสนิทมีแววโกรธขึ้งปรากฏอยู่อย่างชัดเจนทำให้ตัวก่อปัญหารู้ว่าจะต้องเจ็บตัวอีกแล้ว กระนั้นการวิ่งหนีจะยิ่งทำให้เลวร้ายมากขึ่นจึงได้ยืนอยู่เฉย ๆ แล้วหลับตาลง

“คราวนี้ช่วยตบเบา ๆ หน่อยนะครับ”

เซินเฟยกระตุกยิ้มเย็น เขาง้างมือขึ้นหมายจะทำตามคำเรียกร้องนั้นแต่กระนั้นเขาก็ไม่ใช่คนใจดีถึงขนาดจะยอมให้ทุกอย่าง ในตอนแรกมือที่ง้างขึ้นยังเหยียดออกจนตรง ทว่าเมื่อถึงระยะได้ที่เซินเฟยกลับเปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่นก่อนเหวี่ยงเข้ากระแทกครึ่งปากครึ่งจมูกเต็มแรงเหนี่ยว เพราะแรงปะทะทแรงกว่าที่คาดไว้และความเจ็บที่แล่นจี๊ดจนถึงสมองส่วนหน้าทำให้คนถูกชกเกร็งตัวไม่อยู่และผงะถอยทรุดลงไปกองกับพื้น

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเสียหลัก เซินเฟยจึงชักมือกลับมากอดอกแล้วก้าวเท้าหนึ่งขึ้นไปเหยียบบนแผ่นอกตึงแน่น นัยน์ตาเยียบเย็นเลื่อนลงต่ำมองใบหน้าที่ลดความขี้เล่นลงไปกึ่งหนึ่งอย่างพึงพอใจ

ฉู่เหวินจือยกมือขึ้นกุมจุดที่โดนหมัดเข้าเต็ม ๆ เลือดกำเดาไหลออกมาเปื้อนมือเล็กน้อย

“ถึงนายจะทำผลงานให้ฉันพอใจได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายมีสิทธิมากกว่าคนอื่นหรอกนะ จำเอาไว้” ว่าจบ เซินเฟยก็เลื่อนเท้าขึ้นสูงไปถึงแนวบ่าแล้วกดส้นลงบนไหปลาร้า ความเจ็บเหมือนกำลังถูกหักกระดูกทำให้ฉู่เหวินจือเผลอคลายแรงพยุงที่แขนและลงไปนอนแผ่หลาบนพื้นโดยมีเท้าของเซินเฟยกดอยู่ด้านบน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพับพาบไม่เป็นท่าแล้วรอยยิ้มจึงจุดขึ้นบนมุมปากก่อนที่เจ้าตัวจะละฝ่าเท้าออกไป

“ไปให้อาซิงทำแผลซะ” ว่าจบ เซินเฟยก็เดินกลับเข้าไปในห้องก่อนกระแทกประตูปิด

ฉู่เหวินจือถอนหายใจออกมาพลางปาดเลือดกำเดา เขาลองจับกระดูกแนวบ่าตนเองแล้วขยับแขนพบว่ามันยังอยู่ดีไม่มีส่วนไหนรู้สึกเจ็บ

เจ้านายของเขาช่างอารมณ์รุนแรงได้อย่างน่ากลัวจริง ๆ กระนั้นเขาก็มักอดไม่ได้ที่จะทำให้ใบหน้าเย็นชานั่นเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธเกรี้ยว แม้เขาจะไม่ใช่พวกชอบความเจ็บปวด แต่การได้เห็นอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเซินเฟยมันก็น่าสนุกใช่เล่น

“ทำให้คุณเซินโกรธอีกแล้วหรือครับ?” หวางซิงเดินมาฉุดเขาให้ยืนขึ้นพลางทำสีหน้าอิดหนาระอาใจ

“ผมแค่คุยกับหมอจือเท่านั้นเองนะ ก็ผมเพิ่งเคยพบเขาก็ต้องสนทนาวิสาสะเป็นธรรมดาสิ” ฉู่เหวินจือเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง แม้จะรู้ว่าสำหรับที่นี่จูเชว่คือความยุติธรรมก็ตาม

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ มาให้ผมประคบน้ำแข็งให้ก่อนเลือดจะไหลจนทำให้คุณหายใจไม่ออกดีกว่า” หวางซิงคร้านจะฟังคำให้การ เขาเองก็ไม่ใช่ศาลเสียหน่อยแต่ทำไมฉู่เหวินจือชอบทำเหมือนเขาเป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ยเสมอเลยนะ

ฉู่เหวินจือถูกพาเดินไปยังห้องด้านในที่หวางซิงใช้ทำงานตอนอยู่ที่บ้าน ชายหนุ่มเอาน้ำแข็งใส่ห่อผ้าแล้วให้ฉู่เหวินจือถือโปะจมูกตนเองไว้ในขณะที่เจ้าตัวเช็ดทำความสะอาดเลือดที่ไหลออกมาเกรอะกรังบริเวณจมูกและริมฝีปาก อย่างน้อยเซินเฟยก็ไม่ใจร้ายขนาดทำให้กระดูกอ่อนเกิดความเสียหายหรือดั้งหัก มิเช่นนั้นคงต้องพาไปให้ศัลยแพทย์สักคนช่วยแต่งจมูกให้ใหม่ คงน่าเสียดายรูปจมูกสวย ๆ เอาการ

ในระหว่างที่หวางซิงกำลังขะมักเขม้นกับการทำแผล ฉู่เหวินจือก็เหลือบตามองใบหน้าที่ดูแปลกตามาตั้งแต่เมื่อวาน

“คุณใส่แว่นแล้วดูแปลกดีนะ”

“เอ๋?” หวางซิงหยุดมือแล้วเลิกคิ้ว “ยังไงหรือครับ?”

“ไม่รู้สิ ก็แปลกตาล่ะมั้ง ดูบุคลิกเปลี่ยนไปนิดหน่อย” ฉู่เหวินจือออกความเห็น ความจริงมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเราเวลาสวมแว่นกับถอดแว่นจะดูแตกต่างกัน กระนั้นใบหน้าของหวางซิงกลับปรากฏเค้าความกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ จนฉู่เหวินจือรู้สึกว่าตนเองควรจะเงียบไว้ดีกว่า

“เปลี่ยนไปหรือครับ? เปลี่ยนไปยังไง?” แล้วก็เป็นดังคาด ความวิตกจริตของหวางซิงเริ่มปรากฏเมื่อพบว่าตนเองดูเปลี่ยนไป สมองเขาเริ่มจินตนาการไปต่าง ๆ นานาว่าหากสวมแว่นไปทำงานจะโดนที่บริษัทมองอย่างแปลก ๆ หรือไม่ หรือว่าเวลาพบปะคู่เจรจาเขาอาจจะดูเป็นตัวตลกยืนอยู่ข้างหลังเซินเฟย ด้วยตำแหน่งเลขาที่น่าภาคภูมิใจ เขายอมไม่ได้เด็ดขาดที่จะเป็นเช่นนั้น!

“เอาเป็นว่า...ผมบอกไม่ได้หรอก ก็ผมเพิ่งรู้จักคุณได้เดือนเดียวเอง ทำไมคุณถึงไม่ไปถามคนที่รู้จักหน้าคุณดีกว่าผมล่ะ?” ฉู่เหวินจือจัดการตัดช่องน้อยแต่พอตัว เขารู้สึกว่าระหว่างคุยกัน เลือดกำเดาของเขาจะหยุดไหลแล้วจึงลดผ้าห่อน้ำแข็งลงวางในอ่างแล้วหยิบผ้าชุบน้ำขึ้นมาเช็ดหน้าให้เรียบร้อย จมูกและปากของเขาแดงช้ำเอาการคงต้องเอาแป้งทาทับตอนไปทำงานเสียกระมัง

“งั้นผมจะลองไปถามดู” ว่าแล้ว หวางซิงก็รีบวิ่งออกไป

ประตูห้องของเซินเฟยถูกเปิดออกอย่างกะทันหันทำให้เจ้าของห้องตกใจเล็กน้อยก่อนจะมุ่นคิ้วเมื่อเห็นคนอุกอาจ

“มีอะไรหรือเปล่า?” ความเป็นกังวลบนใบหน้าของหวางซิงทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ

“คุณเซินครับ...คือ...แว่นนี่....”

“ไม่พอดีสายตาหรือยังไง?”

“เปล่าครับ แต่ว่า....มันไม่เหมาะกับเลขาใช่ไหมครับ! ผมไม่ได้ดูแปลก ๆ ใช่ไหมครับ!” หวางซิงแทบจะตะโกนใส่เขาซ้ำยังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ผมควรจะตัดแว่นใหม่ไหม หรือว่าจะใส่คอนแทคดี”

แล้วหลังจากนั้นหวางซิงก็พร่ำบ่นทางเลือกออกมาอีกยาวเหยียดจนเซินเฟยรู้สึกว่าขมับกำลังเต้นตุบ ๆ ทั้งที่เขาพยายามเลี่ยงจะพูดถึงเรื่องนี้แล้วแต่ใครกันนะที่มันกล้าทำให้หวางซิงเกิดวิตกจริตขึ้นมา

“ใครบอกว่านายแปลกกันล่ะ?” เซินเฟยกลั้นใจถามก่อนที่อาการไมเกรนจะกลับมา

“คุณฉู่ครับ....”

เซินเฟยได้ยินคำตอบก็รู้สึกว่าตนเองไม่ควรจะถามเลย ขมับของเขากำลังรู้สึกปวดหนึบ ๆ พลางนึกด่าฉู่เหวินจืออยู่ในใจ

เจ้าบ้านั่นมันปากไม่มีหูรูดหรือยังไงกัน!

--------------------->

“ขอโทษที่มาช้าครับ” จือหยินที่ผละจากบ้านตระกูลเซินมาไม่ได้กลับไปที่โรงพยาบาลในทันที เขาจอดรถที่คอฟฟี่ชอปแห่งหนึ่งแล้วเดินเข้าไปด้านในก่อนเอ่ยทักทายบุคคลที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะในสุด

หญิงสาวท่าทางสุภาพอ่อนโยนเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือนิยายแล้วแย้มยิ้มให้กับหมอหนุ่ม

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็เพิ่งมาถึง”

จือหยินหัวเราะแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ตนเอง เขานั่งลงและกุมมือหญิงสาวอย่างรักใคร่ หญิงสาวเองก็ไม่ได้ปฏิเสธมือของเขา เธอหัวเราะคิกแล้ววางนิยายในมือลงก่อนจะกุมมือที่ว่างอยู่ตอบกลับไป ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างมีความหมายและสามารถรับรู้ได้โดยไม่ต้องสื่อสารผ่านวาจาใด ๆ....


TBC

------------------

มีคนถามเกี่ยวกับพี่ชายเสวียนอู่เยอะ แต่อย่างที่บอกในเรื่อง มันคือข่าวลือเท่านั้น ดังนั้นจะเป็นจริงอย่างไรเชิญจินตนาการเอาเองค่ะ XD
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: aekporamai2 ที่ 17-02-2011 18:46:48
ลึกลับๆๆๆๆๆ..
น่าติดตามสุดๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 17-02-2011 21:37:23
 :sad4: สงสารเซินเฟยอ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 17-02-2011 23:52:20
อ้าวคุณหมอมีแฟนแ้ล้วน่าสงสารเซินเฟย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 18-02-2011 01:44:41
นิยายของพี่เซียร์มันส์มาก

ตาฉู่นี่กวนได้ใจ 55
คุณเฟยจะทำยังไงต่อไปน้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 18-02-2011 10:04:20
อาหญิงแน่ๆ...รึเปล่า?? 55
คุณฉู่รีบทำคะแนนหน่อยเร้วว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 5 (17/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 18-02-2011 12:05:26
คุณหมอกับอาหญิงแอบมีซัมทิ่งกันป่ะเนี่ย
น่าสงสัยๆๆ
ตอนนี้อาซิงน่ารักกอ่ะ ขี้โวยวายจริงๆเลย :laugh:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 18-02-2011 12:56:59
-6-



“แน่ใจหรือ?” เซินเฟยเอ่ยผ่านโทรศัพท์มือถือ วันนี้สารวัตรหรงโทรหาเขาผ่านเบอร์ของหวางซิงแต่เช้า และสิ่งที่เซินเฟยรออยู่ก็ได้คำตอบ

“ไม่ผิดแน่คุณเซิน ผมจะสำเนาเอกสารทั้งหมดไปให้คุณดูอีกทีก็แล้วกัน” สารวัตรหรงกล่าวยืนยันในข้อสงสัยของตนเพราะเขาได้หลักฐานที่แน่นหนาพอจะหาขอโต้แย้งไม่ได้ กระนั้นเขาก็รู้ว่าคนอย่างเซินเฟยมักต้องการความมั่นใจอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่เพียงลมปากของนายตำรวจคนหนึ่ง ดังนั้นการส่งหลักฐานไปให้เห็นถึงที่จึงควรจะเป็นเรื่องที่สมควรแล้วและนั่นคงจะเป็นสิ่งที่เซินเฟยคิดจะเอ่ยปากอยู่

“ให้คนของผมไปรับที่กรมไหม?”

“อย่าเลย” สารวัตรวัยกลางคนหัวเราะร่า การที่คนของมาเฟียใหญ่มาเยือนถึงกรมตำรวจมันคงไม่ดีต่อฐานะการงานของเขามากนัก “ให้คนของผมนำไปส่งดีกว่า ผมอยากจะแนะนำเขาให้คุณรู้จักด้วยแต่ไม่มีเวลาได้พบกันเสียที ขอเอาโอกาสนี้เลยคุณคงไม่ถือสานะ”

“ไม่เป็นไร คุณเองก็ให้ ‘ความร่วมมือ’ กับทางเราอย่างดี เรื่องแค่นี้ผมไม่ถือสาหรอก” เซินเฟยจงใจใช้คำว่า ‘ความร่วมมือ’ เพราะคนเช่นจูเชว่ไม่มีทางใช้คำว่า ‘ความช่วยเหลือ’ กับใคร เขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากใคร แต่คนอื่นต่างหากที่ต้องร่วมมือกับเขา

“คุณนี่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ผมบ้างเลยนะ” สารวัตรหรงหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ใช่ด้วยความหยันเช่นคนอื่น ๆ เพียงแต่เป็นนิสัยอารมณ์ดีส่วนตัวเท่านั้น

“คนของคุณจะมาถึงกี่โมง?” การสนทนากับสารวัตรหรงไม่ได้ทำให้เซินเฟยอารมณ์เสียแต่อย่างใดแม้ฝ่ายนั้นจะขยันหัวเราะเสียเหลือเกินเพราะรู้จักนิสัยกันเป็นอย่างดี

“อืม....คิดว่าคงจะถึงบริษัทของคุณตอนประมาณ 10 โมง” สารวัตรหรงว่าขณะยกนาฬิกาขึ้นดู กรมตำรวจอยู่ไม่ห่างจากสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเครือตระกูลเซินมากนัก แต่หากออกไปตอนนี้รังแต่จะติดอยู่บนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยยวดยานพาหนะขันแข่งกันไปให้ถึงสถานที่ทำงานของแต่ละคน ดังนั้นให้ออกสาย ๆ หน่อยคงจะดีกว่า ไม่เปลืองเวลาและพลังงานโดยใช่เหตุ

“ผมจะแจ้งคนของผมไว้อย่างนั้น”

“ได้ครับ แล้วอย่าลืมเรื่องที่คุณจะตอบแทนผมเสียล่ะ” สารวัตรหรงยังไม่วายหยอดคำทวงถึงสัญญาก่อนหน้านี้

“ทบรวมกับเรื่องที่สืบคราวนี้เลยก็แล้วกัน” เซินเฟยเองก็ใช่จะชอบใช้งานใครฟรี ๆ เป็นคนของตนก็จะให้ความชอบไปตามโอกาสแต่หากเป็นคนนอกก็จะมีค่าตอบแทนให้เทียบได้กับแรงที่เสียไป

“ทราบแล้วครับ” หลังจบคำตอบรับ เซินเฟยก็ตัดสายแล้วส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้แก่เจ้าของ หวางซิงฟังคำสนทนาเหล่านั้นแล้วก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้อยู่

“ถ้าเป็นอย่างที่คิด คุณเซินจะทำยังไงต่อไปครับ?”

เซินเฟยนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหนักใจพอสมควรการจะคิดจัดการอะไรทันทีจึงเป็นเรื่องยาก หรือว่าเขาจะไม่เด็ดขาดพอกันนะ?

“ยังไงก็ปล่อยไว้ไม่ได้” เขาตัดสินใจในที่สุด

“จะบอกคนอื่น ๆ ไหมครับ?” หวางซิงนึกเป็นกังวลแทนเซินเฟยอย่างมาก เพราะเพียงไม่ได้ขยับตัวทำอะไรก็ถูกจับตามองทุกฝีก้าวอยู่แล้ว ในระยะนี้กลับมีเรื่องเข้ามาหาไม่หยุดหย่อนราวกับมีคนคอยป้อนปัญหาให้อย่างต่อเนื่อง พวกหัวหน้าแก๊งค์ใต้ปกครองคงจะกำลังมองูอยู่เป็นแน่ หากก้าวพลาดเพียงสักก้าวก็อาจจะโดนตลบหลังได้ทุกเมื่อ ต้องอยู่ท่ามกลางความกดดันจากคนในและคนนอกไม่พอ ยังมีเรื่องให้จัดการถาโถมใส่ราวกับคลื่นราวกับจงใจทดสอบความเหมาะสมต่อตำแหน่งจูเชว่ก็ไม่ปาน

เด็กอายุ 18 ที่ไหนบ้างที่ต้องรับภาระอย่างนี้?

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น?” เซินเฟยมุ่นคิ้วเมื่อเห็นหวางซิงกำลังทำท่ากระอักกระอ่วนพลางขยับแว่นเหมือนทำอะไรไม่ถูก “รำคาญแว่นหรือ?”

“ก็....เปล่าหรอกครับ” หวางซิงทำเป็นดึงแว่นออกมาเช็ดอย่างเก้อ ๆ กับเรื่องแว่นตานี่เขาก็เริ่มจะชินกับมันบ้างแล้ว ถึงจะโดนคนมองแปลก ๆ อยู่บ้างก็เถอะ

เซินเฟยไม่ได้ต่อคำ เขาเดินวนกลับไปที่โต๊ะทำงานพลางมองดูเอกสารอนุมัติโครงการของฉู่เหวินจือที่ส่งมาถึงเขาเมื่อวานนี้ ฝ่ายนั้นสามารถโน้มน้าวผู้บริหารให้พิจารณาโครงการด้วยแผนจำลองได้อย่างดีเยี่ยม มีหลายคนโทรมาหาเขาและเอ่ยชื่นชมจนออกหน้าออกตาและเซินเฟยเดาว่าหลายคนในกลุ่มนั้นคงอยากจะเสนอตัวเป็นคนหนุนหลังให้ฉู่เหวินจือเพื่อตักตวงส่วนแบ่งเสียด้วยซ้ำ กระนั้น คนเหล่านั้นก็ยังเกรงใจเขาอยู่บ้างที่ไม่พูดออกมาเพราะรู้ดีว่าฉู่เหวินจือเป็นคนติดตามของเขา

คนที่มีความสามารถย่อมคู่ควรต่อการให้โอกาส

เซินเฟยมองเห็นว่าตลอดเวลาที่ทำงานกับเขามา ฉู่เหวินจือแสดงให้เห็นแล้วว่าตนเองสามารถแบกภาระรับผิดชอบได้ ด้วยเหตุนั้นเซินเฟยจึงไม่คลางแคลงใจอีกต่อไปว่าฝ่ายนั้นจะทำให้โครงการล่มกลางครันหรือไม่ ทั้งในตอนนี้เขาก็ยกบริเวณที่เฉียนหยุนเคยดูแลให้คนที่เหมาะสมจัดการต่อแล้ว พื้นที่ที่หมายตาไว้ก็จะไม่มีอะไรให้ห่วงกังวล

เพียงแต่....สิ่งที่สารวัตรหรงบอกมาทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ

เซินเฟยหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นอนุมัติแล้วปิดแฟ้มลง

วันนี้ฉู่เหวินจือออกไปดูสถานที่จริงเพื่อวางแผนต่อ เขาคิดว่าจะสนับสนุนงบประมาณส่วนตัวเข้าไปให้อีกสักเล็กน้อยเพื่อจะได้ดำเนินการได้สะดวกขึ้น บริษัทก่อสร้างที่รู้จักกันในวงการก็ยินดีจะตอบรับงานนี้ หากทุกอย่างราบรื่นอย่างนี้หมดก็คงจะดีทีเดียว

“จริงสิ อาซิงช่วยลงไปบอกข้างล่างด้วยว่า ถ้ามีตำรวจมาหาฉันตอน 10 โมงให้เชิญไปรอที่ห้องรับแขกด้วย”

“ครับ” หวางซิงรับคำแข็งขัน คำสั่งของนายเปรียบเสมือนสวิตช์เปิดการทำงาน แม้จะอยู่ในอารมณ์ไหนเมื่อได้รับคำสั่ง หวางซิงก็จะรับและนำไปปฏิบัติตามอย่างรวดเร็วและกะตือรือร้นไม่เสียชื่อเลขายอดเยี่ยมที่ตนเองแสนภาคภูมิใจเลยแม้แต่น้อย

เซินเฟยผ่อนลมหายใจออกมา เขามองออกไปนอกกระจกใสเห็นตึกสูงมากมาย เป็นทิวทัศน์แสนธรรมดาของเขตเศรษฐกิจในฮ่องกงที่ไม่ว่าจะมองสักกี่ครั้งมันก็ไม่ได้แปลกตาไปจากเดิม อาจมีบางตึกหายไปและบางตึกงอกเงยขึ้นมาเป็นวัฏจักรแสนปกติ พื้นที่ตรงนั้นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อกิจการหนึ่งล้มไป อีกหนึ่งก็จะเข้าแทนที่ เขตเศรษฐกิจนี้คือรากฐานของเกาะเล็ก ๆ ที่มีอิทธิพลระดับสากล มันมีแต่จะขายตัวมากขึ้นทุกวันแต่ไม่มีทางเลยที่จะหดตัวลงนอกจากว่าธุรกิจการค้าขายและเงินตราจะหมดไปจากโลกใบนี้ ด้วยเหตุนั้น การปกครองของผู้มีอำนาจในเขตนั้น ๆ จึงต้องแผ่ขายตามไปด้วย

การที่คน ๆ เดียวจะดูแลทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะไม่ใช่เฉพาะพื้นที่แต่เป็นตัวบุคคลด้วย เซินเฟยรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ นึกถามตนเองว่าเขามายืนอยู่ในจุดนี้เพื่ออะไร เป็นหงส์บนบัลลังก์ทองที่แสนเยือกเย็นและเหน็บหนาว ไร้อิสรภาพโดยสิ้นเชิง

บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่อาของเขาละทิ้งทุกอย่างไป แม้แต่ตระกูลเซินก็ยังยอมละทิ้งไปพร้อมกับตำแหน่งที่เปรียบเสมือนโซ่ตรวนนี้

เซินเฟยพาตนเองออกจากภวังค์พลางมองนาฬิกา ยังเหลือเวลาอีกมากก่อนคนของสารวัตรหรงจะมาถึง ดังนั้นแทนที่จะปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปอย่างไร้ค่า เขาจึงเริ่มหยิบงานขึ้นมาทำต่อ

เวลาเซินเฟยทำงานมักจะหลงลืมเวลา เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อหวางซิงมาเคาะประตูเรียก

“คนของสารวัตรหรงมาแล้วครับ”

เซินเฟยยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เมื่อเห็นว่าเข็มสั้นบนหน้าปัดเลยเลข 10 ไปเล็กน้อยแล้วจึงยอมถอยออกมาจากงานที่ทำ ปกติแล้วนาฬิกาของเขาตั้งไว้เร็วกว่าปกติถึง 10 นาที ดังนั้นหากนับตามเวลาทั่วไป ตอนนี้จึงเป็นเวลา 10 โมงพอดี

“เป็นยังไงบ้าง?” เซินเฟยหมายถึงลักษณะท่าทางของคนที่มาขอพบ

“ดูรูปร่างเหมือนนักกีฬาแต่สวมเสื้อสูท คงจะเป็นตำรวจแผนกสืบสวนสอบสวนครับ”

ตามปกติแล้วตำรวจที่สังกัดแผนกสืบสวนสอบสวนจะไม่สวนเครื่องแบบ แต่จะสวมชุดสูทในการทำงานแต่ก็จะมีบัตรประจำตำแหน่งสำหรับแสดงตัวเวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในพื้นที่

“แต่ว่า ดูจะเป็นคนมุทะลุอยู่พอดู ผมดูหน้าตาเขาแล้วค่อนข้างบ่งบอกแบบนั้นนะครับ” หวางซิงมักพึ่งพาได้เรื่องการดูคน สายตาของคนเป็นเลขามักเฉียบคมกว่าคนอื่น ๆ ด้วยเหตุนั้นเซินฟยจึงเชื่อถือสายตาของหวางซิงมากและมักจะให้ดูลักษณะคนก่อนพบกันเสมอ

“อาวุธล่ะ?”

“ฝากเอาไว้ที่ประชาสัมพันธ์ครับ”

“ค้นตัวหรือยัง?”

“ค้นแล้วครับ ไม่มีอาวุธอย่างอื่นนอกจากปืนพก” หวางซิงยืนยันความมั่นใจ เพราะตอนค้นอาวุธเขาเป็นคนลงไปดูด้วยตัวเอง ในสมัยนี้จะไว้ใจคนเป็นเรื่องยาก ทั้งคนข้างตัวเขายังเป็นถึงจูเชว่ที่มีคนหมายหัวมากมาย การรักษาความปลอดภัยจึงต้องเข้มงวดกว่าปกติ

ห้องรับแขกที่ใช้รับรองนายตำรวจของสารวัตรหรงเป็นห้องขนาดเล็กสำหรับพบปะแขกที่ไม่เป็นทางการ ถึงอย่างนั้นการตกแต่งก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าห้องอื่น

“ขอโทษด้วยที่ให้รอ” เซินเฟยเอ่ยเมื่อเดินเข้าไปในห้อง เขาพบชายหนุ่มในชุดสูทดังที่หวางซิงกล่าวไว้กำลังนั่งอยู่บนโซฟารับแขก บนโต๊ะกระจกมีซองเอกสารวางอยู่ซองหนึ่ง ชายหนุ่มเจ้าของซองเอกสารลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาหาแต่ไม่ได้เข้าใกล้เกินไปจนต้องระแวง

“คุณคือคุณเซินที่สารวัตรหรงวานให้ผมมาหาสินะครับ?” ฝ่ายนั้นดูสุภาพเกินกว่าจะเป็นคนมุทะลุดังที่หวางซิงวิจารณ์ กระนั้นคนเราก็ไม่อาจมองกันเพียงภายนอกได้ เซินเฟยจึงยังไม่ไว้วางใจกับการแสดงออกที่เป็นมิตรนั้นในทันที

“ใช่ครับ” เซินเฟยตอบกลับแล้วพยักหน้าให้หวางซิงจัดการสนทนาต่อ

“ผมชื่อหวางซิง เป็นเลขาของคุณเซินครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” หวางซิงรู้หน้าที่ดี เขาก้าวขึ้นมาด้านหน้าและจับมือกับนายตำรวจหนุ่ม

“ผมชื่อมู่อี้จิง ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” ฝ่ายนั้นตอบรับมือของหวางซิงโดยไม่แสดงอาการตะขิดตะขวงใจทำให้เซินเฟยพึงพอใจต่อการรับรู้สถานะนั้น

“เชิญนั่งก่อนเถอะครับ เราจะได้คุยกัน” หวางซิงเชิญมู่อี้จิงให้นั่งลงก่อนจะหันมาเชิญให้เซินเฟยนั่งฝั่งตรงข้าม ส่วนเขาเดินไปยืนเยื้องหลังของเซินเฟยอีกที

“นี่คือเอกสารที่สารวัตรหรงฝากผมมา” มู่อี้จิงเลื่อนซองเอกสารไปตรงหน้าเซินเฟย เด็กหนุ่มเพียงเหลือบสายตาลงมองก่อนจะหยิบแล้วส่งให้หวางซิงรับเอาไว้

“สารวัตรหรงสบายดีหรือครับ?” เซินเฟยเลือกที่จะคุยถึงเรื่องสัพเพเหระก่อน ในเมื่อสารวัตรหรงบอกว่าต้องการจะแนะนำให้เขารู้จักแสดงว่าจะได้มีโอกาสได้ใช้บริการในเร็ว ๆ นี้ เขาควรจะรู้จักอีกฝ่ายให้มากไว้

“ครับ แต่ระยะนี้ชอบบ่นว่าปวดหลังบ่อย ๆ” มู่อี้จิงตอบแล้วหัวเราะ กระนั้นเสียงหัวเราะของนายตำรวจคนนี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งจริงใจเหมือนสารวัตรหรงเลยแม้แต่น้อย เซินเฟยมุ่นคิ้ว เขารู้สึกว่าคิดถูกที่เชื่อสายตาของหวางซิง

“งั้นหรือ....ผมเคยเตือนให้เขารักษาสุขภาพอยู่บ้าง” เซินเฟยตอบโต้กลับไปก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมองหน้า “ผมเคยแนะนำให้สารวัตรไปหาหมอคนหนึ่ง เขาได้ไปไหม?”

“อ้อ หมอจือ สารวัตรบอกว่าหมอจือแนะนำให้ไปลองฝังเข็มน่ะครับ”

ตอบได้อย่างนี้แสดงว่าเป็นคนของสารวัตรหรงจริง ๆ

เซินเฟยพยักหน้ารับอย่างสุขุม ตอนนั้นเอง พนักงานคนหนึ่งก็นำน้ำชาเข้ามาให้ก่อนจะเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ มู่อี้จิงจิบชาด้วยท่าทางสบายอารมณ์ไม่มีอาการเกร็งเครียด หากไม่ใช่คนที่อารมณ์ดีตลอดเวลาอย่างสารวัตรหรง หรือมั่นใจในตัวเองสูง ก็คงจะเป็นคนที่เก็บอาการประหม่าได้อย่างดีเยี่ยม เพราะแม้จะอยู่ต่อหน้านักธุรกิจใหญ่และหัวหน้าองค์กรมาเฟียฮ่องกง เจ้าตัวก็ยังทำตัวเหมือนกับอยู่ต่อหน้าเพื่อนสนิทมิตรสหาย

“ดูเหมือนสารวัตรจะชื่นชมคุณมากเลยนะครับ” หวางซิงเริ่มบทสนทนาใหม่

“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมว่าสารวัตรชื่นชมคุณมากกว่า”

“ผม?” คำตอบของมู่อี้จิงทำให้หวางซิงอึ้งไปครู่หนึ่งด้วยไม่คิดว่าจะได้รับกลับมาเช่นนี้

“แน่นอนครับ หวางซิงเป็นเลขาที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในฮ่องกง” เมื่อเห็นว่าเลขาตนเองสะดุดไปเสียแล้ว เซินเฟยจึงต้องแก้มือแทน

“ครับ ผมเข้าใจ” มู่อี้จิงหัวเราะ

มีคนที่ติดนิสัยหัวเราะกับการสนทนาไม่มากที่เซินเฟยจะรู้สึกดีด้วย และมู่อี้จิงก็ดูเหมือนจะไม่ใช่หนึ่งในนั้น เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายมีวิธีหัวเราะอย่างผู้ชนะได้เสมอ และนั่นทำให้อารมณ์ของเซินเฟยกรุ่น ๆ ขึ้นมา

“งานครั้งนี้เป็นฝีมือของคุณสินะครับ” เซินเฟยเริ่มหัวข้อใหม่อีกครั้ง

“หมายถึงเรื่องนั้นสินะครับ” มู่อี้จิงถามย้ำแล้วเบือนสายตาไปทางซองเอกสาร กระนั้นหวางซิงกลับรู้สึกเหมือนสายตาคู่นั้นกำลังจู่โจมเขามากกว่า

“สารวัตรหรงไม่ถนัดเรื่องงานสืบสวน มีคุณเป็นลูกมือคงจะสะดวกขึ้นมาก”

“ก็ทำนองนั้น คุณพูดถูกเรื่องสารวัตรหรง เขาชอบวิ่งไล่จับผู้ร้ายมากกว่านั่งตรวจเอกสาร” ชายหนุ่มผู้เป็นแขกไหวไหล่ “ความจริงผมก็ชอบแบบนั้นมากกว่า แต่ทำยังไงได้ล่ะครับ ผมถูกบรรจุเข้าแผนกนี้เพราะวิทยานิพนธ์ตอนจบจากวิทยาลัยตำรวจ ผมแค่พยายามจะตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมของอาชญากรเท่านั้นเอง”

“ถ้าอย่างนั้น นี่คงเป็นงานที่เหมาะกับคุณ และผมเป็นด้วยที่พวกเขาบรรจุคุณเข้ามาในแผนกนี้” เซินเฟยตอบกลับไปก่อนจะจิบชาอึกหนึ่ง

“แต่ว่า....” อยู่ ๆ มู่อี้จิงก็เปลี่ยนท่านั่งจากตัวตรงเป็นค้อมลงและจดจ้องใบหน้าของคู่สนทนา “ที่ผมสนใจจริง ๆ น่ะ คือพฤติกรรมของอาชญากรที่กระทำกันเป็นองค์กรระดับประเทศมากกว่า”

“อ้อ” เซินเฟยไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับคำกล่าวของมู่อี้จิงราวกับมันเป็นเพียงการบอกหัวข้อที่สนใจอย่างปกติธรรมดา

ในประเทศที่มีการพึ่งพาเศรษฐกิจสากลเป็นหลักใหญ่ ย่อมหลีกเลี่ยงการมีอยู่ขององค์กรใต้ดินไม่ได้ ในขณะที่ประเทศเจริญก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ องค์กรใต้ดินก็ขยายขนาดตามไป ตำรวจแม้จะเป็นผู้รักษากฏหมายแต่ก็มีสถานที่ที่ไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ ด้วยเหตุนั้นการปกครองขององค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญ ความสัมพันธ์ขององค์กรใต้ดินและตำรวจเป็นแบบพึ่งพาอาศัย ซึ่งหมายความว่าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 18-02-2011 12:57:30
โลกของเราแท้จริงก็เป็นเช่นนั้น แม้จะมีคนที่คิดว่าความยุติธรรมและความดีงามคือสิ่งที่จะทำให้เกิดความสงบสุขและมุ่งมั่นปราบอาชญากรอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทว่าแท้จริงแล้วคำพูดเหล่านั้นก็เป็นแค่การหลอกลวงตนเองของคนที่ไม่อาจยอมรับถึงด้านมืดของบางสิ่งบางอย่างได้

เหรียญมีสองด้าน กระจกสะท้อนเงา ทุก ๆ อย่างต้องมีด้านตรงข้ามจึงจะสมบูรณ์

และด้วยเหตุนั้น แม้ตำรวจและผู้รักษากฏหมายทุกคนจะรู้ดีถึงการมีอยู่ของพวกเขาอย่างเต็มอก แต่ก็ไม่อาจทำให้สูญสลายไปได้ ทำได้เพียงปรามปราบพวกกลุ่มเล็ก ๆ ที่คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้เพื่อยืนยันถึงการมีอยู่ของหน้ากากของความยุติธรรมเท่านั้น

สารวัตรหรงเป็นคนดี ครั้งหนึ่งเคยเป็นตำรวจที่มีอุดมการณ์สูงส่ง แต่ก็หลีกหนีวัฏจักรนี้ไม่พ้น

มู่อี้จิงเองก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่งทั้งยังเป็นคนที่สารวัตรหรงไว้วางใจย่อมรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นคำที่พูดออกมาแม้ไม่ต้องตีความก็รู้ว่าเป็นเพียงแค่คำขู่เท่านั้น

“สารวัตรบอกผมว่าคุณเป็นคนเก่งถึงจะอายุยังน้อย ผมว่าผมเชื่อเขา” มู่อี้จิงกล่าวเมื่อเห็นว่าเซินเฟยเงียบไป

“ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชม” เซินเฟยวางแก้วชาลงพลางมองดูควันกรุ่นที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย อากาศเย็นในฤดูนี้ทำให้ชาเย็นเร็วกว่าปกติ

“ก็ชมน่ะสิครับ” มู่อี้จิงรีบแก้ไขความเข้าใจผิดที่อีกฝ่ายอาจคิดว่าเขาประชด

“คุณเซิน จะถึงเวลานัดแล้วครับ” หวางซิงกระซิบกระซาบแต่จงใจให้มู่อี้จิงได้ยิน เซินเฟยพยักหน้ารับ หวางซิงรู้ช่วงจังหวะที่จะขัดอย่างพอเหมาะเสมอ และเที่ยงนี้เขาก็มีนัดอยู่จึงไม่อาจเสียเวลาพูดคุยกับมู่อี้จิงมากกว่านี้ได้ หลังจากนี้คงต้องปล่อยให้สารวัตรหรงจัดการต่อไป

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เซินเฟยเอ่ยลา มู่อี้จิงจึงลุกขึ้นตาม หวางซิงสั่งให้คนไปส่งนายตำรวจหนุ่มก่อนจะเดินตามเซินเฟยกลับไปยังห้องทำงาน

เอกสารในมือหวางซิงถูกเก็บไว้ในกระเป๋า เซินเฟยสั่งว่าเอกสารซองนี้ห้ามให้คลาดสายตาเด็ดขาดด้วยเขาไม่อยากให้ข่าวลือแพร่สะพัดออกไป เพราะข่าวลือจากปากคนนั้นนับเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่จะพึงนึกได้ มันสามารถทำให้เกิดผลสะท้อนได้หลายอย่างดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นจึงเป็นการดีที่สุด

------------------>

ในขณะที่เซินเฟยกำลังต่อกรกับนายตำรวจหน้าใหม่ ฉู่เหวินจือก็กำลังยืนอยู่หน้าสถานที่ซึ่งถูกเคลียร์จนโล่งไม่เหลือกระทั่งซากของอาคารที่เคยตั้งอยู่ ความจริงอาคารของคนแซ่หวู่ก็ค่อนข้างจะไม่ถูกรสนิยมของเขาอยู่แล้ว การที่มันถูกทุบทิ้งไปเสียได้จึงทำให้รู้สึกสบายตาสบายใจขึ้นไม่น้อย เมื่อเคลียร์อาคารและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากบริเวณ เขาก็พบว่าพื้นที่ตรงนี้กว้างขวางจนสามารถใช้สอยได้สารพัดอย่าง สถาปนิกที่มาด้วยกันกำลังยืนมองพื้นที่พลางคิดคำนวนถึงสิ่งปลูกสร้างใหม่ในหัว

“คุณคิดว่ายังไง?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามสถาปนิกที่มาด้วยกัน เจ้าตัวเป็นคนที่เซินเฟยแนะนำให้คงจะเคยทำงานเกี่ยวกับอาคารเพื่อการทำธุรกิจใหญ่ ๆ มามาก

“ผมคิดว่าคุณตาแหลมมากนะคุณฉู่ที่ได้พื้นที่ตรงนี้มา ดูทำเลรอบข้างแล้ว ผมคิดว่าเราน่าจะสร้างเป็นโรงแรมที่ออกไปทางโมเดิร์นเน้นโทนสีเรียบ ๆ ให้เข้ากับบุคคลระดับสูง” สถาปนิกผู้มากประสบการณ์ออกความเห็นโดยดูจากความเหมาะสมกับสถานที่และกลุ่มเป้าหมาย

“เรื่องนี้เราคงต้องไปคุยกันตอนที่โครงการผ่านด้วยดีล่ะนะ” เมื่อฉู่เหวินจือพูดเช่นนั้นคู่สนทนาก็มองเขาด้วยความแปลกใจ “มีอะไรหรือครับ?”

“ทำไมคุณถึงคิดว่ามันจะไม่ผ่านล่ะครับ?”

“อืม....ความจริงผมก็ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงหรอกนะ” ชายหนุ่มเกาหัวเก้อ ๆ “แต่คุณเซินไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่ ก่อนโครงการจะผ่านผมอาจจะรากเลือดก็ได้”

“คุณคิดมากเกินไปแล้ว” นายสถาปนิกโบกไม้โบกมือ “ถึงคุณเซินจะอายุน้อยดูใจร้อนไปหน่อย แต่เขาก็เป็นคนมีเหตุมีผล อีกอย่าง การที่คุณเซินระบุให้ผมมากับคุณให้ได้แสดงว่าเรื่องนี้น่ะเขาอนุมัติผ่านแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาจะให้หัวหน้าอย่างผมมาถึงที่ทำไมกัน”

“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นนะ” ฉู่เหวินจือล้วงมือกลับเข้าไปในกระเป๋าพลางหันกลับไปมองพื้นที่ว่างเปล่าที่ถูกติดป้ายแสดงความเป็นเจ้าของของเครือตระกูลเซินอย่างชัดเจน

พวกเขาให้ความสนใจกับพื้นที่ตรงหน้าเสียจนไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติรอบข้าง ห่างไกลออกไปฝั่งหนึ่งของถนนบนตึกสูงมีกล้องตัวหนึ่งกำลังจับจ้องมายังศีรษะของฉู่เหวินจือ สิ่งที่อยู่ใต้กล้องนั้นคือกระบอกปืนขนาดยาวที่สามารถสังหารเป้าหมายได้ภายในนัดเดียวหากยิงถูกจุดตาย มือที่สวมถุงมือหนังสีดำประคองปืนและเตรียมเหนี่ยวไก เขาต้องแน่ใจว่าเป้าหมายจะตายอย่างแน่นอน

แต่ทว่าขณะที่กำลังจะเหนี่ยวไกนั้นเอง เป้าหมายกลับเดินเคลื่อนที่ กล้องของเขามองเห็นได้เพียงศีรษะของสถาปนิกที่ยืนด้วยกันเพราะฉู่เหวินจือใช้อีกฝ่ายซ้อนตัวเองเอาไว้ เขาไม่อยากคิดว่าอีกฝ่ายรู้ตัว ได้แต่ปลอบว่ามันเป็นเพียงความบังเอิญแล้วกัดฟันกรอดอย่างนึกเจ็บใจก่อนจะถอนตัวไปอย่างน่าเสียดายเพราะเขารู้สึกว่าการ์ดจำนวนหนึ่งมองเห็นเขาเสียแล้ว การใช้ปืนตอนกลางวันแสก ๆ อย่างนี้มีความเสี่ยงที่การสะท้อนของแสงอาทิตย์จึงทำให้มองเห็นง่าย เขารีบเก็บของก่อนที่การ์ดชุดดำจะวิ่งมาถึงอาคาร

ทางด้านฉู่เหวินจือ ชายหนุ่มแย้มรอยยิ้มลึกลับเมื่อเห็นจุดที่อยู่ห่างไกลเกินความเคลื่อนไหว

“มีอะไรหรือครับ?” สถาปนิกคู่สนทนาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ความจริงอยู่ ๆ อีกฝ่ายก็เดินมาประชิดด้านหน้าเขาก็นับว่าประหลาดแล้ว ไม่ทันได้พูดอะไรก็ยิ้มแปลก ๆ ออกมายิ่งทำให้สงสัยกว่าเดิม

“เปล่าครับ ผมแค่นึกเรื่องตลกออกมาได้”

ผู้ฟังได้แต่พยักหน้ารับโดยไม่ได้ถามต่อ พวกเขากลับหลังและเดินคุยกันไปยังรถกำลังคิดว่าถึงเวลากลับไปรายงานผลกับเซินเฟยเสียที ทว่าอยู่ ๆ เสียงปืนนัดหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกลตัวนัก ร่างของฉู่เหวินจือทรุดฮวบลงเพราะความเจ็บที่แทงเข้ามาจากสีข้าง เสียงฝีเท้าของคนๆ หนึ่งวิ่งจากไปท่ามกลางกลุ่มคนที่คลาคล่ำเริ่มทยอยกันเข้ามาดูเหตุการณ์ด้วยความตระหนก
ฉู่เหวินจือกัดฟันกรอด ไม่นึกว่าจะมีมือปืนอีกคนรออยู่ด้านล่างรอเวลาที่พวกการ์ดตามอีกคนไปแล้วจึงปรากฏตัว

เสียงเซ็งแซ่ดังไม่ได้ศัพท์อยู่รอบตัว สติของเขายังครบถ้วนทั้งที่เลือดยังคงไหลออกมาจากจุดที่โดนยิง แต่ฉู่เหวินจือรู้ว่าฝ่ายนั้นพลาดจุดอันตรายไปอย่างหวุดหวิด คงเพราะมีสถาปนิกยืนกั้นตัวและมีการเคลื่อนไหวอยู่นั่นเอง ไม่อย่างนั้นปืนนัดนี้อาจพุ่งเข้าปอด หัวใจ หรือสมองของเขาก็ได้ การที่ไม่อาจยิงจุดสำคัญได้ทำให้มือปืนยิงจุดที่คาดหวังได้มากที่สุด สีข้างเป็นบริเวณที่มีอวัยวะภายในสำคัญอยู่มากมาย ดูจากจำนวนเลือดแล้วคงจะไม่ได้เข้าไปถึงกระเพาะ ตับ หรือลำไส้ แต่มันก็ไม่แน่เหมือนกันเพราะหัวกระสุนฝังอยู่ด้านในและเขาก็เจ็บร้าวไปหมดจนไม่อาจกำหนดได้แน่นอนว่าสิ่งแปลกปลอมอยู่ตรงจุดไหนของร่างกาย

ให้ตายสิ....

พอเวลาผ่านไป สติของเขาก็เริ่มจะลางเลือนอยู่เหมือนกัน เลือดที่ไหลออกมาเรื่อย ๆ ดูจะไม่มากมายในตอนแรก ตอนนี้กลับนองไปทั่วพื้นซีเมนต์ เสียงรถพยาบาลดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คงจะมีใครสักคนโทรเรียกกระมัง

“คุณฉู่! ทำใจดี ๆ ไว้!” เสียงของสถาปนิกดูจะเบาลงทั้งที่เขาเห็นอีกฝ่ายตะโกนสุดเสียง

ฉู่เหวินจือรู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะฝืนจึงค่อย ๆ หลับตาลง ในเมื่อรถพยาบาลมาถึงแล้วเขาไม่น่าจะต้องห่วงอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอและพยาบาลไปก็แล้วกัน เพียงแต่....เซินเฟยคงไม่พอใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เขาหวังว่าอีกฝ่ายคงไม่มาชกเขาถึงโรงพยาบาลก็เท่านั้น...

------------------>

“คุณเซิน!” ในระหว่างที่กำลังคุยงานอยู่นั้น หวางซิงก็พรวดพราดเข้ามาหลังจากขอตัวออกไปรับโทรศัพท์ “คุณฉู่โดนยิงครับ!”

ชั่ววินาทีหนึ่งที่ได้ยิน เซินเฟยทำหน้าราวกับว่าหวางซิงกำลังเล่นตลกร้ายก่อนจะนึกได้ในวินาทีต่อมาว่าเป็นเรื่องปกติที่คนของเขาจะถูกยิงจึงรีบดึงสติกลับมายังปัจจุบัน เขารีบเอ่ยลาคู่สนทนาก่อนรุดไปยังโรงพยาบาลในทันที

ระหว่างทาง หวางซิงก็รายงานตามที่ได้รับรู้จากบอดี้การ์ดที่ติดตามไปเป็นฉาก ๆ เซินเฟยได้แต่นึกหงุดหงิดที่การ์ดของตนหลงกล แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะแม้แต่เขาเองก็คงนึกไม่ถึงว่าจะมีคนแอบซุ่มอยู่ใกล้ถึงขนาดนั้นทั้งที่การ์ดยืนเฝ้าอยู่ทั่วบริเวณ แต่ว่า....นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วไม่ใช่หรือ? ที่มีมือปืนเข้ามาใกล้ถึงเกือบจะถึงตัวแต่การ์ดกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่า....

เซินเฟยกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ

ราวกับว่ามือปืนรู้จักสถานที่นั้นดีกว่าพวกเขา รู้ว่าตรงไหนที่สามารถซุกซ่อนตัวจากสายตาของบอดี้การ์ดจำนวนมากได้แนบเนียนที่สุด...

เมื่อรถจอดที่หน้าอาคารผู้ป่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาล เซินเฟยก็ก้าวลงไปในทันที

“ฉู่เหวินจืออยู่ที่ไหน?” เขาถามการ์ดที่ออกมารอรับ

“ตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัดครับ”

เซินเฟยได้ยินก็เดินจ้ำเข้าไปด้านในโดยไม่ฟังคำทัดทานของนางพญาบาล และแน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะถูกจับตัว เพราะทางที่เขาเดินผ่าน การ์ดรอบตัวก็กันคนอื่นออกห่างโดยอัตโนมัติ ทำให้เส้นทางของเซินเฟยเปิดโล่งมาจนถึงหน้าห้องผ่าตัด

ไฟหน้าห้องผ่าตัดบ่งบอกว่ากำลังใช้งานและห้ามคนนอกเข้าไปเด็ดขาด

หวางซิงขอให้เซินเฟยนั่งลงรอที่เก้าอี้ด้านหน้า

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ สำหรับการรอคอย ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเซินเฟยก็นิ่งเงียบจนดูน่ากลัวสำหรับการ์ดที่ทำงานพลาดด้วยไม่รู้ว่าเจ้านายจะลงโทษพวกเขาอย่างไร

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออกในที่สุด ร่างไร้สติเพราะฤทธิ์ยาสลบถูกเข็นออกมาจากห้องตามด้วยศัลยแพทย์ที่ทำหน้าที่ผ่าตัดเอาหัวกระสุนออก เคสนี้ถือว่าไม่ได้ยากนักสำหรับเขาเพราะผู้ชายคนนี้ดวงแข็งพอที่จะไม่ถูกจุดตายหรืออวัยวะสำคัญเลย

“คุณคงเป็นเจ้านายของเขา?” นายแพทย์หนุ่มเลิกผ้าคาดปากออก

“ครับ”

“คุณเซินใช่ไหม? ผมเคยได้ยินเรื่องของคุณจากจือหยิน” เซินเฟยมุ่นคิ้วไม่นึกว่าคน ๆ นี้จะรู้จักเขาถึงแม้ที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลที่จือหยินทำงานก็ตาม

“คุณรู้จักผมอย่างนั้นหรือ?” เซินเฟยหรี่ตาลงอย่างจับผิด

“ผมชื่อจ้าวผิวเหอ คุณคงเคยได้ยินมาบ้างซึ่งถ้าเคยก็ไม่น่าจะแปลกใจนะที่ผมจะรู้จักคุณกับ....คนอื่น ๆ” คำตอบของนายแพทย์ทำให้เซินเฟยนึกได้ถึงที่อาสะใภ้ของเขาบอกเอาไว้ เธอเคยบอกว่า โรงพยาบาลแห่งนี้มีหมอคนหนึ่งที่นอกจากจะเป็นศัลยแพทย์แล้วยังเป็นหมอที่ทำหน้าที่รักษาให้กับพวกคนป่วยที่ไม่สามารถเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเองได้อีกด้วย ทั้งยังมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับชิงหลง ซึ่งหากเรื่องเหล่านั้นเป็นจริงจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่หมอคนนี้จะรู้จักเขา อีกทั้งไม่ใช่ความบังเอิญที่ฉู่เหวินจือถูกส่งมาฝากชีวิตในมือหมอคนนี้

“ตอนนี้คนของคุณปลอดภัยดี พอแผลปิดก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ”

“งั้นหรือ” เซินเฟยรับคำก่อนจะมุ่นคิ้ว

“ยาสลบอีกสักพักจะหมดฤทธิ์ ถ้าคุณไปรอที่ห้อง อีกสัก 10 นาทีเขาน่าจะลืมตามาให้คุณสอบสวนได้” จ้าวผิงเหอกล่าวพลางดึงหมวดคลุมผมออกแล้วเสยผมชื้นเหงื่อของตน

เซินเฟยเพียงพยักหน้ารับแล้วรีบเดินตามรถเข็นเตียงไปโดยไม่ได้เอ่ยคำขอบคุณแม้แต่คำเดียว จ้าวผิงเหอเกาศีรษะแกรก ๆ นึกเชื่อคำพูดของจือหยินที่เคยกล่าวถึงอีกฝ่ายขึ้นมา ที่ว่าจูเชว่คนปัจจุบันเป็นเด็กที่เข้าถึงได้ยาก

หมอหนุ่มไหวไหล่

เอาเถอะ นิสัยส่วนตัวของพวกมาเฟียกับคนใหญ่คนโตเขาเองก็เจอที่แปลก ๆ มาเยอะแล้ว สำหรับเขา เซินเฟยก็แค่เป็นเด็กที่ดูจะพูดน้อยเกินไปหน่อยเท่านั้น

TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 18-02-2011 14:21:06
อ้าวๆ คุณฉู่พลาดเสียได้นะ อิอิ
จะเป็นไงต่อรอลุ้นต่อไป
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 18-02-2011 14:40:27
อ้าวพลาดเสียได้โดนยิงซะงั้นอ่ะ
หัวข้อ: Re: หนอนใบตอง by RakorN ตอนที่27: เปลี่ยนใจ หน้าที่ 68 [16.12.10]
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 18-02-2011 15:29:20
ลึกลับดีจัง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 18-02-2011 18:23:56
ตามทันแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 18-02-2011 19:18:03
 o18คุณฉู่ถูกยิงซะแล้ว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 18-02-2011 22:17:17
มีสายจากอีกฝั่งปลอมมาอยู่ในเครือเปล่าหว่า เลยรู้ที่ซ่อนดีๆ แถมหลบการ์ดได้ :m32:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: aekporamai2 ที่ 19-02-2011 10:58:05
แล้วเซินจะจัดการยังไงเน้ออออออออออ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 19-02-2011 11:02:59
เข้ามารอดูค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 6 (18/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: pigg ที่ 19-02-2011 11:11:55
คลานออกจากกองงานมานั่งอ่านแก้เครียด//;_;

น้องเซินช่างเป็นเคะราชินีมากมาย55
ว่าแต่ใครเป็นพระเอกกันหละเนี้ย ใช่ผู้ติดตามแสนกวนไหม!?
หรือว่าจะเป็นเลขาหนุ่มแว่น (เย้ย!?)

รออัพอยู่นะฮะวันนี้:):)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 19-02-2011 13:50:25
-7-



เพดานสีขาวลอยอยู่เบื้องหน้าเมื่อแรกลืมตาตื่น ฉู่เหวินจือไม่ได้นึกแปลกใจ เพราะก่อนหมดสติเขาก็ได้ยินเสียงรถโรงพยาบาลอยู่เต็มสองหู เพียงแต่เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่น่ามีอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ข้างตัวเขาและมันทำให้เสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก ฉู่เหวินจือค่อย ๆ หันหน้าไปยังทิศที่มีประตูอยู่ และเขาก็ได้รู้คำตอบชัดเจนว่าทำไมจึงได้เสียวสันหลังนัก

เซินเฟยกำลังนั่งไขว่ห้างกอดอกมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ ราวกับว่าหากเขาไม่ตื่นขึ้นมาในสองสามนาทีหลังจากนี้ เจ้าตัวจะจัดการส่งเขาไปนรกตลอดกาล

“มันไม่ใช่ความผิดของผมนะ” เขารีบแก้ตัว

เซินเฟยยังคงเงียบและเม้มปากนิ่งจนแทบจะเป็นเส้นตรง

“เฮ้อ....ผมไม่ตายก่อนทำงานให้คุณเสร็จหรอก” พอเขาพูดแบบนั้นออกไปสีหน้าของเซินเฟยก็คลายความตึงเครียดลงทำให้ฉู่เหวินจือนึกสมเพชตัวเอง นี่อีกฝ่ายถ่อมาหาเขาถึงโรงพยาบาลเพียงเพราะกลังเขาตายก่อนทำงานสำเร็จหรอกหรือ?

“เห็นหน้าคนยิงไหม?”

“ไม่ครับ”

“ไร้ประโยชน์จริง ๆ” เซินเฟยว่าแล้วกลับไปทำหน้าเคร่งเครียดเช่นเดิม

ในขณะที่บรรยากาศกำลังถูกปกคลุมด้วยความเงียบนั้น ฉู่เหวินจือก็เลื่อนมือมาแตะหัวเข่าของเซินเฟยที่อยู่ใกล้กับเตียง ความจริงแล้วมันน่าจะดูโรแมนติกเหมือนในละครน้ำเน่ามากกว่านี้ถ้าเซินเฟยไม่เอาแต่กอดอกหน้าบึ้ง อย่างน้อยก็น่าจะวางมือลงมาบนเตียงสักหน่อย ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ขัดอารมณ์ของฉู่เหวินจือแต่อย่างใด เขายิ้มกว้างเมื่อเซินเฟยมองแล้วเลิกคิ้ว

“คุณเป็นห่วงผมอย่างนี้น่าดีใจจัง”

เวลาผู้ชายตัวโต ๆ พูดออกมาอย่างนี้นอกจากจะฟังไม่น่าเอ็นดูแล้วกลับยิ่งทำให้ขนลุกเสียมากกว่า และทำให้ขนลุกมากขึ้นเมื่อมือนั้นเริ่มจะขยับลูบหัวเข่าที่ตนเองกุมไว้ เซินเฟยบิดริมฝีปากอย่างหงุดหงิดก่อนจะตัดสินใจเงื้อเท้าข้างที่โดนลูบนั้นถีบเข้าชายโครงเท่าที่แรงง้างจะทำได้

ฉู่เหวินจือร้องซี๊ด เพราะถึงข้างที่ถีบจะไม่ใช่ข้างเดียวกับที่โดนยิง แต่มันก็กระทบไปถึงเหมือนกัน

“สังวรณ์ตัวเองไว้ซะ ถ้านายไม่มีประโยชน์ฉันจะปล่อยให้ตายข้างถนนยังได้” เซินเฟยเสียงเย็นบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่มีอารมณ์จะเล่นลิ้น

“ขอโทษครับ” หวางซิงเข้ามาขัดโดยไม่รู้ว่าด้านในกำลังเกิดอะไรขึ้นจึงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเซินเฟยตวัดตามองเยียบเย็น พอเห็นท่าทางเหมือนเสียความมั่นใจของอีกฝ่าย เซินเฟยก็จำต้องลดดีกรีของอารมณ์ลงเล็กน้อย เขาลุกขึ้นขยับเสื้อสูทเล็กน้อยก่อนจะออกคำสั่ง

“ไปบอกหมอจ้าวว่าผมต้องหารให้เขากลับไปพักฟื้นที่บ้านในวันนี้”

“ได้ครับ” หวางซิงถอนหายใจพลางส่งสายตาแสดงความเห็นใจให้ฉู่เหวินจือ

“ผมขยับตัวตอนนี้ไม่ไหวหรอกครับ” คนเจ็บทำเสียงน่าเวทนาเซินเฟยจึงเหลือบตามองก่อนจะบิดรอยยิ้มให้จุดบนริมฝีปาก

“ถ้านายอยากนอนเป็นเป้านิ่งให้พวกนั้นมาตามเก็บให้เรียบร้อยก็ตามใจ”

คำพูดของเซินเฟยทำให้ฉู่เหวินจือเถียงไม่ออก พอทุกอย่างเงียบดังที่ควรจะเป็น เซินเฟยจึงกลับหลังหันและเดินออกไปจกาห้องพร้อมกับหวางซิง

ฉู่เหวินจือผ่อนลมหายใจแล้วลูบชายโครงตนเองก่อนยิ้มออกมา เจ้านายของเขาชักจะมือเท้าหนักขึ้นทุกวันแต่เอาเถอะ เขาคงจะไม่ช้ำในตายเสียก่อนหรอก สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือมือปืนพวกนั้น เขาไม่คิดว่าตนเองจะเป็นเป้าสังหารอย่างออกหน้าออกตาแต่เขาก็คิดผิดไปถนัด บางทีเรื่องกิจการของคนแซ่หวู่นั่นคงจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลเป็นแน่ แต่ว่า...คิดจะกำจัดเขามันก็ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก....

ฉู่เหวินจือหัวเราะกับตัวเอง ทิศทางของเรื่องนี้กำลังเดินไปอย่างที่เขาคาดไว้ อีกไม่นานเจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นต้องโดนลากหางออกมาอย่างแน่นอน

------------------>

เซินเฟยนั่งมองเอกสารที่เปิดอ่านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ถึงจะมองย่างไร ข้อมูลด้านในก็ไม่มีอะไรที่สามารถโต้แย้งได้เลยซึ่งเพราะเหตุนั้นเขาจึงยิ่งรู้สึกหนักใจมากขึ้น เซินเฟยกุมขมับก่อนวางเอกสารลงบนโต๊ะ แม้การที่ฉู่เหวินจือนอนลุกไปไหนไม่ได้จะทำให้เขารู้สึกสบายหูสบายตาขึ้น แต่การที่มีเรื่องน่าปวดหัววิ่งเข้ามาแทนทำให้เขารู้สึกว่าหากเอาเรื่องนี้ออกไปได้แล้วเอาฉู่เหวินจือมาแทนที่จะดีกว่า

“คุณเซิน” หวางซิงทำเสียงเป็นกังวลเมื่อเห็นเซินเฟยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “เป็นคนของเฉียนหยุนจริง ๆ หรือครับ? มือปืนที่ยิงเด็กตอนนั้น”

เรื่องการอาละวาดข้ามถิ่นของอันธพาลระดับปลายแถวก่อนหน้านี้ เซินเฟยโอนเรื่องไปให้สารวัตรหรงจัดการทั้งหมดรวมถึงศพของมือปืนที่ยิงตัวตายก่อนได้สอบสวนด้วย ซึ่งการสืบอย่างลับ ๆ ของตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมาเฟียทำให้ได้ข้อมูลมาในที่สุด ซึ่งข้อมูลนั้นได้บอกว่า มือปืนคนนั้นมีรูปพรรณสันฐานตรงกับลูกน้องคนหนึ่งในกลุ่มของเฉียนหยุนทุกประการ เพียงแต่เป็นลูกน้องระดับล่างที่เอาแต่วิ่งทำงานงก ๆ ไม่ได้ชูหน้าชูตามาให้คนด้านบนเห็นเลยจึงไม่น่าแปลกที่พวกเขาจะไม่รู้จัก

ส่วนเด็กหนุ่มที่ถูกยิงตายระหว่างการสอบปากคำก็มีหลักฐานเป็นสำเนาสมุดบัญชีว่ามีช่วงหนึ่งที่จำนวนเงินพุ่งพรวดผิดปกติ ไม่น่าจะเป็นจำนวนเงินที่เด็กข้างถนนกลุ่มหนึ่งจะสามารถหามาได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงสามารถตีความได้ว่าถูกว่าจ้างจากใครบางคน และประจวบเหมาะกับที่ช่วงเวลาที่เงินในบัญชีเพิ่มกะทันหันก็เป็นเวลาก่อนที่จะเกิดความวุ่นวายในเขตนั้นไม่นาน

“ตอนนี้เฉียนหยุนอยู่ที่ไหน?”

“ไม่ทราบครับ หลังจากลาออกจากแก๊งค์ เขากับลูกน้องที่ภักดีทั้งหมดก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างกับว่า....”

“มีคนช่วยปกปิด” เซินเฟยช่วยต่อคำที่ขาดหายไป “แล้วคนที่ยิงฉู่เหวินจือล่ะ?”

“เรื่องนี้ยังจับเค้าไม่ได้ครับเพราะทางนั้นไม่เหลือหลักฐานไว้เลย ส่วนกระสุนก็เป็นกระสุนของปืนพกธรรมดาที่หาได้ทั่วไป” หวางซิงถอนหายใจออกมา

“อย่างนั้นหรือ....” เซินเฟยปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมห้องทำงานและตกลงสู่ภวังค์ความคิด เขานึกสงสัยนักว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถให้ที่ซ่อนตัวกับเฉียนหยุนและพรรคพวกได้อย่างสนิทแนบเนียนขนาดนี้

อำนาจของเฉียนหยุนในองค์กรนั้นหมดไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากการส่งใบลาออก เซินเฟยก็จัดการโอนลูกน้องบางส่วนที่ไม่ได้ลาออกไปพร้อมกับเฉียนหยุนไปให้คนอื่นจัดการดูแลต่อเพราะถือว่ามีความภักดีพอที่จะไม่ลาออกไปพร้อมคนไร้ประโยชน์ จำนวนคนที่ไปพร้อมกับเฉียนหยุนนั้นมีราว ๆ 10-15 คน ล้วนแต่เป็นผู้ที่ช่วยเฉียนหยุนก่อตั้งแก๊งค์ขึ้นมาก่อนจะต้องตกอยู่ใต้อาณัติของจูเชว่สองรุ่นก่อนหน้านี้เมื่อมีการขยายอาณาเขต

จะอนุมานว่าเกลือเป็นหนอนได้ไหม?

มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเช่นนั้น ซึ่งหากคิดจะตรวจสอบคงจะเป็นเรื่องยากเพราะคนในปกครองมีจำนวนมากจนแทบจะจำไม่หวาดไม่ไหว หากจะโฟกัสเพียงคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมก็มีจำนวนน้อยลง ทว่าคนเหล่านั้นล้วนเป็นหัวหน้าระดับรอง ๆ เช่นเดียวกับเฉียนหยุนและเพิ่งจะมาประชุมกันที่บ้านเมื่อไม่กี่วันก่อนแต่เขาก็ไม่เห็นว่าใครจะมีท่าทางผิดปกติหรือมีพิรุธ

แล้วถ้าหากว่าผู้บริหารของเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอีกล่ะ?

ในกลุ่มผู้บริหารที่ถือหุ้นของเครือตระกูลเซินมีอยู่หลายคนที่เฉียนหยุนมีบุญคุณด้วย ผู้ชายแซ่เฉียนคนนั้นฉลาดมากพอที่จะหาที่พึ่งพิงตั้งแต่ตอนที่ตนเองยังไม่ต้องการแต่เผื่อไว้ในอนาคตด้วยการสร้างบุญคุณกับคนอื่น ๆ และกลายเป็นที่เคารพยำเกรง หลังจากเฉียนหยุนลาออกไปมีผู้บริหารหลายคนที่เริ่มแข็งข้อใส่เขาแต่นั่นเป็นเรื่องเล็กมากเมื่อเทียบกับการส่งมือปืนมาอย่างนี้

การแข็งข้อต่อหน้ายังสามารถควบคุมได้ แต่แข็งข้อลับหลังจะควบคุมได้อย่างไร? ความรู้สึกเหมือนถูกจับตามองและปองร้ายโดยไม่อาจรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครเป็นสิ่งที่เซินเฟยไม่ชอบเอาเสียเลย แต่ด้วยฐานะของเขาทำให้หลีกเลี่ยงสถานการณ์อย่างนี้ได้ยากยิ่ง

“คนที่ยิงฉู่เหวินจือได้ยินว่าสวมแว่นตาดำและบนใบหน้าไม่มีตำหนิ แต่ก็บอกชัดเจนไม่ได้เพราะตอนนั้นทุกคนอยู่ในภาวะตื่นตระหนก” หวางซิงรายงานต่อ

“แล้วสารวัตรหรงพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?” การมีเหตุยิงกันกลางเมืองตำรวจต้องเข้ามาเกี่ยวข้องได้อยู่แล้ว เรื่องคราวก่อนยังไม่ได้ตอบแทนก็มีเรื่องให้เข้ามาจัดการอีก เซินเฟยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่โดนรุมเร้าจนต้องวิ่งไปพึ่งผู้ใหญ่ไม่มีผิด

“ไม่ได้ติดต่อมาเลยครับ”

“แล้วที่ฉันสั่งให้ตรวจสอบ?”

“เอ่อ......” หวางซิงนิ่งไปก่อนจะกลั้นใจตอบคำถาม “ไม่มีเบาะแสเลยครับ”

“งั้นหรือ....” ขมับของเซินเฟยเริ่มปวดขึ้นมาอีกแล้วแต่ก็อยู่ในระดับที่พอจะทนได้เขาจึงไม่ได้บอกให้หวางซิงนะยาเข้ามาให้แต่อย่างใดเพียงแต่ยกมือขึ้นนวดให้อาการปวดค่อย ๆ หายไปเอง

“ประชุมวันนี้...เลื่อนไปก่อนดีไหมครับ?” ด้วยห่วงใยในสุขภาพของผู้เป็นนาย หวางซิงจึงไม่อยากให้เผชิญกับความเครียดไปมากกว่านี้

“ไม่ต้อง” เซินเฟยรู้ดีว่าเขาไม่มีโอกาสได้เลือกมากนัก หากเขาเลื่อนการประชุมการพิจารณาโครงการออกไปรังแต่จะทำให้เสียเรื่องเท่านั้น โครงการนี้ถึงฉู่เหวินจือจะเป็นคนคิดแต่ในเมื่อเขาเซ็นอนุมัติไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบกึ่งหนึ่ง อย่างน้อยการเข้าประชุมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นของผู้บริหารก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ประธาน เพียงแค่ที่ฉู่เหวินจือบาดเจ็บจนมาประชุมไม่ได้ก็เป็นประเด็นให้โดนขย้ำคอได้อยู่แล้ว

“แต่ว่า....”

“อาซิง ผมอยากได้น้ำสักแก้ว” เซินเฟยรู้ว่าหวางซิงคงจะไม่ยอมง่าย ๆ หากเอาแต่ยืนพะวงอย่างนี้จึงตัดบทไปเสีย

หวางซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมเดินออกไปเพื่อให้เซินเฟยได้พักสักครู่ เมื่อลับหลังเลขาไปแล้ว เซินเฟยกลับยกเอกสารขึ้นมาเปิดอ่านโดยละเอียดอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาไม่ได้คิดจะจับผิดหาจุดแย้ง ทว่าเป็นการมองหาความเป็นไปได้ในเหตุผลของเฉียนหยุนรวมถึงสถานที่ที่อาจไปกบดานอยู่

จะเกี่ยวข้องกับคนแซ่หวู่ไหมนะ?

นั่นเป็นคำถามที่น่าคิดอีกข้อหนึ่ง

เซินเฟยเสยผมพลางถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องของเฉียนหยุนจนแทบจะไม่มีที่ว่างให้การประชุมในวันนี้ เซินเฟยจำต้องปล่อยใจให้ว่างครู่หนึ่งเพื่อเอาเรื่องของเฉียนหยุนออกไปให้หมดสิ้นจากสมอง มิเช่นนั้นเขาคงจะตามเกมพวกผู้บริการเจ้าเล่ห์พวกนั้นไม่ทันเป็นแน่

ช่วงบ่าย เซินเฟนก็ข้าประชุมตามปกติ ใบหน้าของเขาไม่มีเค้าของความหนักใจก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย นับเป็นพรสวรรค์ของนักธุรกิจก็ว่าได้ที่จะเก็บอารมณ์ทุกอย่างไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเมื่อถึงคราวจำเป็น

การประชุมดำเนินไปด้วยดีเกินกว่าที่คาดเอาไว้ เซินเฟยไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายเกินไปนักแต่เมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นคนหล่านี้ตีหน้ายิ้มแย้มและให้ความร่วมมืออย่างดี เบื้องหลังมักมีลับลมคมในซ่อนอยู่ หนึ่งในคนเหล่านี้อาจจะมีคนหนึ่งหรือหลายคนก็เป็นได้ที่ร่วมมือกับเฉียนหยุน และอาจจะมีอีกหลายคนที่หวังจะใช้ฉู่เหวินจือผลักดันตัวเองเพราะคิดว่าเป็นคนโปรดของเขา

เซินเฟยนั่งอยู่ในห้องประชุมเย็นเฉียบพลางมองดูการปั้นหน้ายิ้มแย้มพูดคุยสนทนาวิสาสะของบอร์ดบริหาร

ทุก ๆ คนต่างมีสำเนาโครงการอยู่ในมือ มีบ้างที่เอ่ยวิจารณ์ถึงจุดบกพร่องที่ควรนำไปแก้ไขซึ่งหวางซิงก็คอยบันทึกอยู่ตลอดเวลา

ฉู่เหวินจือถูกถามถึงเป็นระยะ เขาก็ได้แต่บอกปัดไปว่าติดธุระสำคัญ

สถาปนิกที่ส่งไปดูสถานที่ส่งแปลนโครงสร้างคร่าว ๆ มาให้แล้ว เซินเฟยกำลังนั่งพิจารณาขณะฟังการประชุมอันน่าเบื่อหน่ายที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ

ในแปลนนั้นไม่ได้เขียนว่าโรงแรมจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงแต่วาดเป็นพื้นที่มุมสูงและวางกรอบว่าจะตั้งอะไรไว้จุดไหนเท่านั้น

ดูเหมือนทางสถาปนิกจะต้องการให้มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่กลางแจ้งตั้งอยู่บนพื้นดิน ในแนบระบุว่าเป็นจุดเด่นของโรมแรมที่มีพื้นที่ใช้สอยมากพอ เพราะโรงแรมส่วนใหญ่ต้องยกสระว่ายน้ำขึ้นไปอยู่ด้านบนเนื่องจากพื้นที่บนพื้นดินมีอยู่น้อยเกินกว่าจะใส่ทุกอย่างลงไปได้

อย่างไรก็ตาม เซินเฟยก็ทำได้เพียงแค่พิจารณาเท่านั้น เรื่องนี้ฉู่เหวินจือเป็นคนรับผิดชอบก็ต้องให้ฉู่เหวินจือเอาไปจัดการเองว่าตกลงใจจะเอาอย่างนี้หรือไม่

เมื่อการประชุมจบลง เวลาก็ผ่านไปจนเกือบจะเย็นแล้ว บันทึกการประชุมทั้งหมดในมือหวางซิงถูกโหลดเข้าเครื่องของเซินเฟยที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานในออฟฟิศ เซินเฟยกวาดตาดูอย่างคร่าว ๆ และใช้สมองประมวลผลไปพลาง อะไรที่ดูไม่สำคัญก็ตัดออกไปเสียก่อนจะบันทึกลงโปรแกรมที่เชื่อมต่อกับอีเมลล์และส่งเข้าบัญชีของฉู่เหวินจือ

ถึงจะเจ็บป่วยแต่สมองยังใช้งานได้ตามปกติ เซินเฟยก็ไม่คิดจะปล่อยให้นอนเฉย ๆ ให้เสียข้าวสุกไปเปล่า ๆ ระหว่างการพักรักษาตัวเซินเฟยจึงส่งงานไปให้ทำทางอีเมลล์ เรียกได้ว่า แม้จะใช้ร่างกายไม่ได้ก็ยังต้องใช้สมองทำงานแทนอยู่ดี

จดหมายอิเล็กทรอนิกส์เดินทางได้เร็วเท่าที่ความเร็วของอินเทอร์เน็ตจะทำได้ ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 นาที ข้อความทั้งหมดที่นำมาจากบันทึกของหวางซิงและผ่านการกลั่นกรองของเซินเฟยก็วิ่งตามสัญญาณเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ของฉู่เหวินจือเรียบร้อย

เซินเฟยปิดเครื่องของตนเองลงแล้วเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้ น้ำผลไม้เย็น ๆ ของหวางซิงช่วยให้คลายความเมื่อยล้าจากการใช้สมองมากกว่าปกติได้มาก

ในช่วงที่เซินเฟยกำลังพักผ่อนนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของหวางซิงที่ทำงานอยู่ใกล้ ๆ ก็ดังขึ้น เจ้าตัวเห็นเบอร์โทรก็กดรับทันที

“สวัสดีครับสารวัตรหรง”

คำทักทายนั้นทำให้เซินเฟยหันมองนึกแปลกใจว่าสารวัตรจะโทรมาทำไมในเวลานี้

“คุณเซิน สารวัตรหรงเชิญออกไปทานอาหารค่ำด้วยกันน่ะครับ” หวางซิงหันมาช่วยไขความกระจ่างโดยที่เซินเฟยไม่ต้องออกปากถาม

“แค่สารวัตรหรงหรือ?” ไม่บ่อยนักที่เซินเฟยจะมีโอกาสออกไปกินอาหารนอกบ้านโดยไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาเดาว่าสารวัตรหรงคงจะต้องการให้เขามีโอกาสพบปะสนทนากับนักสืบที่ชื่อมู่อี้จิงอีกครั้ง

“เอ่อ....มู่อี้จิงด้วยครับ”

คิดไม่ทันจบหวางซิงก็บอกความตามที่คิดออกมา

“เข้าใจแล้ว...ช่วยหาสถานที่ให้ด้วยก็แล้วกัน แล้วก็โทรบอกคุณอาด้วยว่าวันนี้ผมไม่กลับไปทานมื้อเย็น” เซินเฟยคร้านจะหาข้ออ้าง แม้เขาจะไม่ถูกใจคนอย่างมู่อี้จิงนักแต่อีกฝ่ายคงจะมีดีมากพอที่จะเสียเวลาด้วย หวางซิงถ่ายทอดการตอบรับของเซินเฟยให้สารวัตรรับรู้ก่อนจะจัดการโทรหาโรงแรมในเครือขอจองโต๊ะในภัตตาคารล่วงหน้า เมื่อได้สถานที่แล้วก็โทรกลับไปแจ้งที่บ้าน หวางซิงสามารถทำตามคำสั่งได้อย่างเรียบร้อยในเวลาไม่นานและไม่ต้องสั่งซ้ำ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็เก็บมือถือใส่กระเป๋าเช่นเดิม

“เรียบร้อยแล้วครับ”

เซินเฟยพยักหน้ารับเนือย ๆ

“กี่โมง?”

“1 ทุ่มครับ”

“ก็เหลือเวลาอีกนาน” เซินเฟยว่าพร้อมมองนาฬิกาที่เพิ่งบอกเวลา 5 โมงเย็น เวลา 2 ชั่วโมงที่เหลือเขาน่าจะใช้พักผ่อนได้ พร้อมกับที่คิดเช่นนั้นเซินเฟยก็หลับตาลง สัญญาณการกระทำทำให้หวางซิงรู้งานโดนทันที เขาจึงค่อย ๆ ถอยออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ และรอให้ใกล้เวลานัดจึงมาเรียกอีกครั้ง

------------------->

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 19-02-2011 13:51:27
ภัตตาคารหรูหราในโรงแรมระดับห้าดาวอาจเป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับคนหลาย ๆ คน แต่ไม่ใช่สำหรับเซินเฟยที่เทียวเข้าออกที่เช่นนี้บ่อยครั้งตั้งแต่ถูกรับตัวเข้าบ้านใหญ่ เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ก้าวเข้าไปในสถานที่เช่นนี้โดยเดินตามหลังอาสะใภ้ เขาเองก็เอาแต่จ้องมองรอบข้างอย่างตื่นเต้นราวกับว่าทุก ๆ อย่างเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ แต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มรู้สึกเฉย ๆ กับมัน และรู้สึกเหมือนสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

บริกรคนหนึ่งนำพวกเขาไปยังโต๊ะที่จองไว้ เป็นโต๊ะ v.i.p. ที่ตั้งอยู่ในมุมสงบมุมหนึ่ง ติดกับกระจกใสบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นทิวทัศน์ยามราตรีเบื้องนอก

สารวัตรหรงและมู่อี้จิงมาถึงก่อนแล้วไม่นาน พวกเขานั่งอยู่ที่โต๊ะและสั่งเพียงเครื่องดื่มคนละแก้วเพื่อรอเวลา เมื่อเซินเฟยและหวางซิงมาถึง ทั้งสองก็ลุกขึ้นและเอ่ยทักทาย

สารวัตรหรงเป็นนายตำรวจกลางคนรูปร่างท้วมเตี้ย หัวล้านไปเกือบครึ่งแต่ท่าทางอารมณ์ดี วันนี้เจ้าตัวสวมชุดสูทเนี้ยบสมสถานที่ เช่นเดียวกับมู่อี้จิงที่บรรจงแต่งผมแต่งตัวอย่างดี เซินเฟยเดาว่าอีกฝ่ายคงไม่ชินกับสถานที่เช่นนี้เท่าไหร่ ซึ่งหมายความว่าการสนทนาครั้งนี้เขาอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด

หวางซิงเลื่อนเก้าอี้ให้เจ้านายก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ และหันไปสั่งอาหารกับบริกรโดยที่เซินเฟยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ สารวัตรหรงสั่งสำทับไปอีก 2-3 อย่าง

“โชคดีจริง ๆ ที่คุณว่าง ผมคิดว่าจะแห้วเสียอีก” สารวัตรหรงว่าพลางยิ้มกว้าง แก้มอวบ ๆ ของเจ้าตัวเป่งใสจนแทบจะปริ เป็นวิธียิ้มที่มองแล้วไม่ขัดหูขัดตาเลย

“ผมเสร็จธุระพอดี” เซินเฟยตอบพลางพับผ้าเช็ดปากวางบนตักอย่างพิถีพิถันและชำนาญ

“น่าเสียดายนะครับ เรื่องฉู่เหวินจือ ผมอยากจะลองเจอเขาสักครั้งเหมือนกัน” ไม่น่าแปลกที่สารวัตรหรงจะได้ยินเรื่องของฉู่เหวินจือมาบ้าง แต่จะรู้ตื้นลึกหนาบางแค่ไหนก็ยังเป็นปริศนา กระนั้นสารวัตรหรงก็เป็นคนฉลาดพูดมากพอที่จะไม่พูดไปมากกว่านั้น และมู่อี้จิงก็ยังสงบปากสงบคำเช่นกัน หากเทียบกันแล้ว คนปากเปราะเช่นฉู่เหวินจือคงจะหาเรื่องพูดให้อารมณ์เสียเป็นแน่

“ผมเสียดายแค่เขามองไม่เห็นหน้าคนยิงเท่านั้น” เซินเฟยยกไวน์ขึ้นจิบ อาหารบางอย่างเริ่มถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะทั้งที่เวลาผ่านไปไม่นานนัก

โดยปกติแล้วถึงจะเป็นภัตตาคารใหญ่ ๆ แต่มีลูกค้ามากก็ต้องรอคิวตามออร์เดอร์ แต่เมื่อมีแขกพิเศษเช่นประธานเครือธุรกิจมา ออร์เดอร์มักจะถูกลัดคิวให้เป็นพิเศษ

“ได้ยินว่าต้องเข้าโรงพยาบาลแต่คุณก็พาเขาออกมาในวันนั้นเลยใช่ไหมครับ?” มู่อี้จิงเริ่มเปิดปากพูดบ้าง

“สำหรับผม คนที่มีชีวิตเท่านั้นถึงจะใช้ประโยชน์ได้ ในเมื่อเขายังทำงานได้ทำไมผมต้องปล่อยให้เขาเป็นเป้าปืนอยู่ในโรงพยาบาลด้วย” บางครั้งการตอบในรูปแบบของนักธุรกิจก็มักจะฟังเย็นชาไร้หัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักธุรกิจคนนั้นเป็นหัวหน้าองค์กรใต้ดินขนาดใหญ่ มู่อี้จิงแค่นยิ้มกับคำตอบที่ได้ยิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาเองก็ไม่ใคร่ชอบเซินเฟยอยู่เหมือนกัน

“การที่พวกคุณเรียกผมออกมาอย่างนี้ ผมหวังว่าจะมีธุระสำคัญพอใช่ไหม?” เซินเฟยเริ่มเข้าเรื่อง ตั้งแต่เขาเริ่มทำงานในฐานะจูเชว่ เวลาดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ผูกมัดเขามากที่สุด ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพยายามจะไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่ามากเกินไปนัก

“อืม....จะว่าอย่างนั้นก็ได้” สารวัตรหรงพยักหน้า “อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าผมอยากแนะนำมู่อี้จิงให้คุณเซินรู้จักเพราะต่อจากนี้ไปเขาคงจะเข้ามาทำงานส่วนนี้แทนผม”

คำว่า ‘ส่วนนี้’ ของสารวัตรหรง หมายถึง การทำงานให้กับจูเชว่

“ผมอายุเริ่มมากแล้วอีกไม่กี่ปีก็คงจะเกษียณ ถ้าไม่มีคนเข้ามาทำแทนผมก็ไม่ค่อยจะวางใจ” สารวัตรหรงเกริ่นขึ้นมาถึงอุปสรรคส่วนตัวที่มีผลต่อการทำงาน “มู่อี้จิงเป็นนายตำรวจที่มีความสามารถ ยังหนุ่มยังแน่น แถมยังเป็นตำรวจสายสืบ คงเหมาะจะทำงานให้คุณต่อจากนี้ไป”

“หมายความว่าคุณจะรามือหรือครับ?” หากจะว่าตามจริง เซินเฟยมีความเคารพยกย่องให้กับสารวัตรหรงอยู่มาก นายตำรวจวัยกลางคนคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถและอุดมการณ์ที่ชัดเจน แม้ความเป็นจริงของโลกจะทำให้อุดมการณ์นั้นไม่อาจเป็นจริงแต่ก็ยืดอกยอมรับโดยไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป แม้ตอนนี้จะต้องก้าวขาหนึ่งลงมาทำงานให้องค์กรใต้ดิน
แต่งานตามหน้าที่ก็ไม่มีความบกพร่อง นอกจากนี้ เพราะมีสารวัตรหรงอยู่เซินเฟยจึงวางใจที่จะปล่อยให้จัดการเรื่องที่ยื่นมือลงไปเองไม่ได้ การได้ยินว่าคนที่มีความสามารถอย่างสารวัตรหรงจะวางมือจากวงการก็ทำให้เซินเฟยใจหายอยู่ไม่น้อย

“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก” สารวัตรหรงกล่าวตอบ “ผมก็จะคอยดูแลอยู่แต่จะลงมือเองน้อยลง ต่อไปนี้ผมจะให้มู่อี้จิงทำงานแทนอย่างจริง ๆ จัง ๆ เพื่อเวลาผมเกษียณไป เขาจะได้เข้ามาแทนที่ได้ทันที”

“งั้นหรือ.....” เซินเฟยรับคำแล้วหันไปมองนายตำรวจคนใหม่ที่จะต้องเจอกันบ่อยครั้งขึ้นจากนี้ไป

“คุณกำลังมีปัญหาเรื่องเฉียนหยุนอยู่ใช่ไหม?” สารวัตรวัยกลางคนว่าต่อ

“ครับ”

“เขาบอกว่าจะขอลองงานนี้เป็นงานแรก คุณคิดยังไง?”

เซินเฟยเงียบไปช่วงหนึ่ง จะให้เขาตัดสินใจวางเรื่องนี้ให้มือใหม่จัดการออกจะเป็นเรื่องเสี่ยงอยู่มาก เพราะหากเฉียนหยุนรู้ตัวเสียก่อนก็จะยิ่งลำบากกว่าเดิม

เฉียนหยุนทำงานในวงการมานาน ย่อมรู้ว่าตำรวจเป็นส่วนหนึ่งที่มาเฟียจะใช้ประโยชน์ได้ มีหรือที่เฉียนหยุนจะไม่ระวังตัว
“เรื่องนี้ผมว่า....” หวางซิงเห็นสีหน้าของเจ้านายก็ตีความได้จึงตั้งใจจะบอกปฏิเสธ แต่ก็ถูกขัดขึ้นมา

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมรู้ว่าคุณจะต้องกังวล แต่ว่า...มือปืนของเฉียนหยุนก็เป็นฝีมือของมู่อี้จิงนี่แหละที่ช่วยสืบให้จนได้ข้อมูลเร็วขนาดนั้น” สารวัตรหรงช่วยยืนยันความมั่นใจ

“รบกวนคุณมากเกินไป” เซินเฟยตัดสินใจกล่าวตอบเองด้วยการบอกปัดอย่างสุภาพ “เรื่องคราวก่อนผมยังไม่ได้ตอบแทน คงเสียมารยาทถ้าหากผมจะโยนงานให้เพิ่ม”

“สำหรับผมแล้วแค่คุณเลี้ยงอาหารมื้อนี้ก็พอแล้วล่ะ” สารวัตรหรงตอบอย่างอารมณ์ดี “ส่วนของมู่อี้จิงคุณก็ลองพิจารณาคำขอของเขาดูก็แล้วกัน เพราะเขาก็ขอตามมาเพราะอยากคุยกับคุณพอดี”

“อ้อ...อย่างนั้นหรือ?” เซินเฟยหลุบตาลงมองอาหารในจานที่กำลังเถือมีดหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ

“ผมจะขอทบเรื่องมือปืนกับคราวนี้เข้าด้วยกันเลยคุณคงไม่ว่าใช่ไหม?” มู่อี้จิงเอ่ยถามหยั่งเชิงก่อน

“นั่นแปลว่าคุณจะขอค่าแรงล่วงหน้าทั้งที่ผมยังไม่เห็นผลงาน” คนอย่างเซินเฟยไม่เคยตอบรับอะไรในทันทีเมื่อนั่นเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และผลลัพธ์ที่จะตามมาไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก เขาไม่เคยหยิบยื่นอะไรให้ใครโดยไม่มีเหตุผล ดังนั้นการจะขอค่าตอบแทนล่วงหน้าจะต้องมีเหตุผลที่เขายอมรับได้ และหากทำงานได้ดีอาจจะมีโบนัสพิเศษเมื่องานสำเร็จให้อีกด้วย

“เรื่องที่ผมสืบให้คุณไม่ละเอียดพอหรือครับ?”

นั่นพอจะเป็นเหตุผลได้....

เซินเฟยพยักหน้ารับ เพราะในเอกสารสืบสวนนั้นเขามองไม่เห็นช่องว่างที่จะหาข้อโต้แย้งได้เลย เขาคิดว่าหากค่าตอบแทนที่ขอพอจะสมน้ำสมเนื้อก็น่าจะลองเสี่ยงดูกับคนที่สารวัตรหรงคิดจะมอบภาระต่อให้

“ผมจะลองพิจารณาดู” เขาไม่ได้ตอบรับในทันทีว่าจะให้ แต่จะลองฟังคำขอดูก่อน

“อืม....ถ้าอย่างนั้น” มู่อี้จิงนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ความจริงเขาคิดของที่จะขอมาตั้งแต่แรกแล้วแต่เขาอยากจะเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเซินเฟยและหวางซิงจึงได้ทอดเวลาออกไปสักเล็กน้อย “ผมขอเขาจะได้ไหม?”

เซินเฟยมุ่นคิ้ว มองตามปลายนิ้วของมู่อี้จิงที่ชี้ตรงไปยังหวางซิง

“เอ๋? ผ....ผม?” ว่าที่ค่าตอบแทนอ้าปากค้างแล้วชี้ตัวเองด้วยความตกตะลึง

“หมายความว่ายังไง?” เซินเฟยกดเสียงลงต่ำด้วยความไม่พอใจขณะหวางซิงรีบขยับแว่นตัวเองด้วยความประหม่า ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาอย่างนี้

“แหม ผมก็ไม่อยากจะบอกรสนิยมตัวเองหรอกนะครับ แต่ว่าผมรู้สึกถูกใจเลขาของคุณมากทีเดียว ถ้าได้นอนกับเขาสักคืนคงจะมีกำลังใจทำงานขึ้นอีกโข” คำพูดของมู่อี้จิงทำให้สารวัตรหรงรีบเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เขารู้สึกว่าตนเองอาจจะต้องผมร่วงหมดหัวเอาวันนี้ก็ได้ ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดเรื่องอย่างนี้ออกมาตรง ๆ ไม่ไว้หน้ากระทั่งเจ้านายตัวเองที่นั่งข้าง ๆ

“มู่อี้จิง เรื่องนี้มันพูดยากนะ....” สารวัตรหรงปราม

“ไม่ยากหรอกครับ” เซินเฟยตัดคำขึ้นมาแล้วนั่งเอนตัวเท้าศอกไว้บนที่พักแขน อีกมือหนึ่งยกนิ้วขึ้นมาเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ สายตาเฉียบคมจ้องมองใบหน้าคนอวดดีอย่างรังเกียจ “แต่ดูเหมือนว่า คุณมู่จะตีค่าตัวเองสูงเกินไปมันก็เท่านั้น”

“สูงตรงไหนกันครับ? ผมทำงานให้คุณแบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แค่ขอตัวเลขาคุณไปเสพสุขสักคืนไม่น่าจะมีปัญหานะ”

“คุณพูดผิดแล้ว” เซินเฟยกล่าว “หวางซิงเป็นเลขาที่ดีที่สุดของผม ถึงขนาดที่ถึงคุณจะค้นหาตลอดชาตินี้คุณก็ไม่มีทางหาได้ ผมบอกตามตรงว่าถึงคุณจะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจนพิการหรือเสียชีวิต ค่าการทำงานของคุณมันได้แค่ซื้อสุนัขที่ชนะการประกวดประเทศเท่านั้น ซื้อสุนัขที่ชนะการประกวดระดับโลกไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าคุณคิดว่าการเสียงชีวิตของคุณมีค่ามากพอจะได้เลขาของผมสักคืนล่ะก็ คุณคิดผิด”

หวางซิงหันมองเจ้านายตนเองอย่างไม่เชื่อหู ตามปกติแล้วพวกผู้นำองค์กรหรือกระทั่งมาเฟียระดับล่างลงไปมักพร้อมจะขายกระทั่งลูกเมียตัวเองเพื่อผลประโยชน์สูงสุด ในตอนแรกเขาคิดว่าเซินเฟยคงจะตอบรับ แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธเด็ดขาดโดยไม่ต้องคิดซ้ำอย่างนี้

“คุณเซิน....”

เขารู้ว่าไม่ใช่การดีเลยที่ตัดรอนความสัมพันธ์กับตำรวจที่จะเข้ามาทำงานให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีฝีมือดีหวังผลได้อย่างมู่อี้จิง

“เงียบซะ” หวางซิงได้ยินคำสั่งก็หุบปากสนิทไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
เซินเฟยเหลือบตาขึ้นมองฝั่งตรงข้ามก่อนจะเช็ดปากแล้วลุกขึ้นยืน

“เอาเป็นว่า ถ้าคุณสามารถตีค่าตัวเองอย่างเหมาะสมได้เมื่อไหร่ ผมจะลองพิจารณาอีกครั้ง” ว่าจบ เด็กหนุ่มก็มองเลขาตนเองแล้วสั่ง “กลับ”

ดูก็รู้ว่าเซินเฟยต้องไม่พอใจกับเรื่องนี้เอามาก ๆ สารวัตรหรงรีบลุกขึ้นมาขอโทษทั้งที่เซินเฟยเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง หวางซิงรีบวิ่งตามเจ้านายไป เขาไม่กล้าที่จะเหลือบมองมู่อี้จิงเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าตำรวจคนนี้คิดอะไรอยู่จึงหาญกล้าเอ่ยขอออกมาอย่างนั้น น่าจะรู้อยู่ว่าจูเชว่มีวิธีมากมายที่จะทำให้คนอวดดีหายไปจากโลกนี้ ทั้งทำให้หายไปด้วยตัวเอง หรือลงมือทำให้หายไป แต่ถึงอย่างนั้นแล้วมู่อี้จิงก็ยังกล้า หวางซิงไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าผู้ชายคนนี้คิดอะไรอยู่ในใจหรือเซินเฟยกำลังคิดอะไรจึงไม่ส่งเขาไปทำประโยชน์....

ทั้งสองกลับมาถึงรถก็สั่งให้คนขับพากลับบ้านทันที

เซินเฟยนั่งทำสีหน้าตึงเครียดแล้วมองออกไปนอกกระจก หวางซิงทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ และมองดูผู้เป็นนายอย่างนึกกังวล
“เรา...”

“คุณคิดจะตอบรับใช่ไหม?” ก่อนที่หวางซิงจะได้พูดอะไรออกมา เซินเฟยก็ชิงพูดก่อนทำให้เจ้าตัวสะดุ้งเฮือกเหมือนเด็กที่ถูกจับผิด

“เราจำเป็นต้องใช้เขานะครับ” หวางซิงแจกแจง “มู่อี้จิงเป็นคนมีฝีมือ เรื่องนั้นผมยืนยันได้ คุณก็เห็นว่า...”   

“คนมีฝีมือที่รู้จุดยืนของตัวเองหาไม่ยากนักหรอก”

ในชีวิตของมาเฟีย เขาใช้ประโยชน์จากคนจำนวนมากในกำมือ มีหรือจะไม่รู้ว่าในโลกนี้จะหาคนที่ใช้งานได้ตามใจง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย ขอเพียงแค่รู้วิธีที่จะใช้คนเหล่านั้นได้ก็พอ อย่างเช่น สำหรับคนโลภก็จ่ายเงิน สำหรับคนมักมากก็ให้ผู้หญิง เมื่อคนเราได้สิ่งที่พึงพอใจและเติมเต็มความปรารถนาก็จะยอมทำงานอย่างถวายหัวเพื่อไม่สูญเสียบำเน็จรางวัลเหล่านั้นไป

“คุณเซิน แบบนี้จะดีหรือครับ? เรื่องของเฉียนหยุน”

“ก็แค่ใช้เวลามากสักหน่อย ยังไงก็ต้องอยู่ใต้จมูกผมแน่ ๆ ผมมั่นใจ” เซินเฟยรู้จักเฉียนหยุนดีพอที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะท้าทายเขาอย่างถึงที่สุด ดังนั้นจะต้องหนีไปไม่ไกลอย่างแน่นอน ไม่แน่....ตอนนี้อีกฝ่ายอาจจะจับตาดูเขาอยู่จากที่ไหนสักแห่ง

“ยังไงก็ตาม ผมไม่อนุญาตให้คุณไปหามู่อี้จิง เข้าใจไหมอาซิง”

“...ครับ....” หวางซิงรับคำอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่เมื่อเห็นว่าการตอบรับของเขาทำให้สีหน้าของเซินเฟยดีขึ้นเขาจึงไม่พูดอะไรออกมาอีกตลอดทาง


TBC
หัวข้อ: Re: หนอนใบตอง by RakorN ตอนที่27: เปลี่ยนใจ หน้าที่ 68 [16.12.10]
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 19-02-2011 14:13:02
ลุ้นๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 19-02-2011 14:57:17
 :o8: เลขาจะโดนกินแล้ว แหมๆ เกือบไป เมื่อไหร่เจ้านายจะโดนบ้างเนี่ย ฮิๆ :impress2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 19-02-2011 15:58:16
เล่นเอ้าลุ้นจนเหนื่อย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 19-02-2011 16:15:53
ทางด้านเจ้านายนี่ท่าทางจะไม่ได้พัฒนาอะไรเลยนะเนี่ย
อิอิ ลดความโหดลงบ้างก้ได้นะคะคุณเซิน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: aekporamai2 ที่ 19-02-2011 18:21:57
ต่อๆๆ..^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 19-02-2011 18:46:43
ในที่สุดก็เห็นวี่แววคนมีคู่ในเรื่องสักที คุณตำรวจมุทะลุกับคุณเลขาแสนดี อ๊าย...โดนอ่ะ ~~
แต่เล่นมาขอโต้ง ๆ แบบคืนเดียวจบ เจ้านายเค้าก็วีนสิ ( เป็นเราก็วีน )
ลองมาขอใหม่ เอาแบบรับผิดชอบตลอดชีพ อาจจะได้รับการพิจารณาใหม่ เชื่อว่าคุณตำรวจมู่อี้จิิงไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่ !!!

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 19-02-2011 22:19:03
วันหลังถ้าจะขอ ก็หอบสินสอดมาด้วยสิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 7 (19/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 20-02-2011 05:35:59
เรื่องฃองเรื่อง คืออาซิงเสียดายซิมิหล้า อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 20-02-2011 12:17:25
-8-



หลังแยกย้ายกับเซินเฟย มู่อี้จิงก็โดนสารวัตรหรงเทศนายกใหญ่ แถมยังสำทับว่าหากเซินเฟยไม่ใช่เด็กที่ยังอ่อนต่อวงการแล้วอาจจะโดนเก็บเอาง่าย ๆ มู่อี้จิงเองก็รู้ดีว่าเขาทำเรื่องใหญ่ลงไป แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยหากพูดคุยกับคนระดับสามัญก็ตามที กระนั้นเขาก็ยังอยากจะลองดู ไหน ๆ เขาก็ต้องทำงานให้อยู่แล้ว จะขอลองทดสอบความคิดและอารมณ์ของเจ้านายสักหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ได้เจออีกฝ่ายครั้งแรก เขาค่อนข้างแน่ใจอยู่พอสมควรว่าเซินเฟยไม่ใช่คนโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดจะฆ่าใครได้ง่าย ๆ

ดังนั้น...โอกาสที่เขาจะถูกฆ่าเพียงเพราะเรื่องแค่นี้จึงเป็นไปได้น้อยมาก

อย่างไรก็ตาม เซินเฟยไม่พอใจการแสดงออกของเขาอยู่มาก หลังจากนี้อาจต้องเอาผลงานเข้าแลกเพื่อเอาใจเสียหน่อย มิเช่นนั้นคงถูกตัดหางปล่อยวัด

จริงอยู่ว่าตำรวจและมาเฟียจำต้องพึ่งพาอาศัยกันตามสัจธรรมของโลกในยุคปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นอำนาจมืดก็ง่ายต่อการถลำลึก ตำรวจที่จะประสานงานด้วยจึงควรจะเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งไม่หลงไปกับแรงยั่วยุของอิทธิพลเหล่านั้น มู่อี้จิงไม่สงสัยว่าทำไมจูเชว่จึงเลือกสารวัตรหรง ตำรวจที่ถูกชักจูงเข้าสู่องค์กรจะกลายเป็นแค่มาเฟียกระจอกที่ทำประโยชน์อะไรไม่ได้เลย สารวัตรหรงแม้จะทำงานกับจูเชว่มานานแต่ก็ไม่ละเลยต่อหน้าที่ประจำทำให้สามารถรักษาสมดุลของการปกครองได้ทั้งสองทาง

งานนี้ใช่ว่าใครก็ทำได้ ดังนั้นถึงจูเชว่จะไม่ต้องการให้เขาทำงานด้วยต่อ เขาก็ต้องดันทุรังทำต่อเองอยู่ดี

สารวัตรหรงบอกว่าจูเชว่คนนี้เป็นคนที่มีเหตุมีผล ดังนั้นหากเขาทำผลงานได้เข้าตา ถึงจะไม่พอใจหรือไม่ถูกชะตาก็ต้องยอมให้เขาทำงานด้วยอยู่ดี

มู่อี้จิงเริ่มคิดว่าเขาควรจะทำอะไรต่อ เริ่มจากการสืบเรื่องของเฉียนหยุนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

การสืบหาตัวคนแบบนั้นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง มู่อี้จิงเจองานอย่างนี้มาก็เยอะแล้ว ทั้งอีกฝ่ายยังเคยมีอิทธิพลดังนั้นจึงเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะซุกหัวอยู่กับคนที่ภักดีต่อตนเอง

ชายหนุ่มเปิดประตูห้องอพาร์ทเมนท์ที่เช่าอยู่แล้วเดินเข้าไปด้านใน ห้องดูสะอาดสะอ้านตามแบบที่ผู้ชายโสดคนเดียวจะทำได้

มู่อี้จิงเดินไปที่โต๊ะทำงานมุมห้องแล้วเปิดลิ้นชักค้นเอาข้อมูลที่สืบได้ก่อนหน้านี้ออกมา ความจริงแล้วระหว่างที่สืบเรื่องมือปืน เขาได้สืบเรื่องเฉียนหยุนไปด้วยทำให้ได้รายชื่อของคนที่น่าจะให้ที่ซุกซ่อนในเวลานี้มาอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก คิดแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็ช่างมองการณ์ได้ไกลจริง ๆ ราวกับรู้ว่าวันนี้จะมาถึงจึงโปรยบุญคุณไปทั่วราวกับหว่านเมล็ดในนาข้าว

หากจะสืบทั้งหมดนี้จูเชว่คงไม่มีทางทำได้ก่อนที่เฉียนหยุนจะรู้ตัว ดังนั้นตำรวจสายสืบอย่างเขาจึงมีความจำเป็น

มู่อี้จิงทิ้งปึกเอกสารกลับลงไปในลิ้นชักแล้วปิดล็อค ก่อนเดินไปที่โทรทัศน์

การเอาแต่ทำงานคร่ำเคร่งทั้งวันทั้งคืนไม่ใช่นิสัยของเรา สมองคนเรามีขีดจำกัดการทนต่อแรงกดดันได้ไม่เท่ากัน และทนต่อการทำงานหนักไม่เท่ากัน สำหรับเขา การรักษาสมองให้สามารถทำงานได้นาน ๆ ดีกว่าบีบคั้นให้ทำงานหนักจนลำบากตอนแก่เป็นไหน ๆ

ช่วงค่ำแบบนี้ถึงจะดูโทรทัศน์ไปก็ใช่จะมีอะไรให้ดูมากมายนัก มู่อี้จิงเพิ่งจะขอยืมแผ่นหนังจากเพื่อนตำรวจมาจำนวนหนึ่งจึงลองเปิดดูโดยไม่ได้สนใจหน้าแผ่น แต่ในเมื่อทุกคนพร้อมใจกันบอกว่าสนุกและยัดเยียดให้เขาก็คงต้องลองดูเสียหน่อย

ฉากในหนังดูเหมือนจะไม่ใช่ภาพยนตร์ระดับที่จะฉายในโรงได้ มองแสงสีแล้วก็คล้ายจะเป็นหนังเกรด C เสียมากกว่า กระนั้นมู่อี้จิงก็ยังนั่งดูต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นหนังประเภทไหนกัน แต่ว่า....พอเริ่มมีคนเดินเข้าฉาก อะไร ๆ มันก็คุ้นตาคุ้นใจขึ้น ทั้งการวางกล้องนิ่ง ๆ โดยไม่เล่นมุม การใช้แสงแบบตามมีตามเกิน อีกทั้งยังหน้าตาคนแสดงฝ่ายชายที่เห็นไม่ค่อยชัดเจนนัก...

ตัวแสดงฝ่ายหญิงเป็นนักเรียนม.หลาย มู่อี้จิงอนุมานว่าเช่นนั้น

เด็กนักเรียนหญิงม.ปลายเข้ามาในสถานที่แห่งหนึ่งที่ตัวละครฝ่ายชายนั่งอยู่ ทั้งสองคนทำความรู้จักกันเล็กน้อยก่อนที่ฝ่ายหญิงจะโดนวางยา

มู่อี้จิงพ่นลมหายใจออกมา นี่พวกเพื่อนร่วมงานเขาขาดคู่ถึงขนาดต้องดูของพรรค์นี้กันเลยหรือนี่?

แต่เอาเถอะ....เขาเองก็ดูบ้างเป็นงานอดิเรก ธรรมดาของผู้ชายที่จะชอบดูเรื่องแบบนี้ถึงจะมีแฟนแล้วก็เถอะ

เด็กสาวม.ปลายโดนหิ้วเข้าโรงแรมทั้งที่เวลาตั้งแต่เปิดเรื่องจนถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปเพียง 15 นาที เป็นเรื่องสามัญของหนังแนวนี้ที่รายละเอียดปลีกย่อยถูกลดทอนความสำคัญลงจนแทบไม่จำเป็นต้องมี

แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปอย่างที่หนังแนวนี้มักจะเป็น ฉากการร่วมเพศที่โจ่งแจ้งไม่มีการปิดบัง นึกสงสัยอยู่เหมือนกันที่เพื่อนของเขาหาฉบับ Non-censor มาได้ เสียงร้องครางของเด็กสาวม.ปลายดังออกมาจากลำโพง โชคดีที่อพาร์ทเมนท์นี้กำแพงหนาพอสมควร ดังนั้นถึงจะเปิดดังหน่อยก็ไม่ไปรบกวนห้องข้าง ๆ แต่อย่างใด กระนั้น....การดูเรื่องพวกนี้ก็ทำให้ผู้ชายหนุ่มแน่น โสด และร่างกายแข็งแรงอย่างเขาเกิดกลัดมันขึ้นมาได้เหมือนกัน ดูไปได้ไม่เท่าไหร่มู่อี้จิงก็รู้สึกได้ว่าตนเองกำลังรู้สึกอยากระบาย

นายตำรวจหนุ่มกดปิดหนังไปก่อนจะเก็บแผ่นเข้าถุงเพราะได้ยินเสียงออดจากประตู นึกสงสัยปนหงุดหงิดนิดหน่อยว่าใครกันจะมาเอาเวลาอย่างนี้ เขาจำต้องพยายามสงบจิตสงบใจขณะเดินไปเปิดประตู

“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ”

ผู้มาเยือนทำให้มู่อี้จิงอ้าปากค้างตอบกลับไปไม่ถูก ได้แต่ยืนอยู่ตรงประตูนิ่งอย่างนั้น

“คุณมู่?” ฝ่ายนั้นเรียกชื่อเขาซ้ำอีกครั้งทำให้สติหวนหลับเข้าร่าง

“คุณหวาง? ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?” มู่อี้จิงกลั้นใจยิ้มตอบแล้วถาม เขาหวังว่าคงจะไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่พูดออกไปก่อนหน้านี้ที่โต๊ะอาหาร

“ผมเข้าไปได้ไหม?” หวางซิงถามอย่างไม่แน่ใจ

“อ้อ ได้สิ เข้ามาเลย” ในเมื่ออีกฝ่ายมาถึงที่แล้ว มู่อี้จิงก็รู้สึกว่าจะเป็นการเสียมารยาทหากไม่เชิญเข้าห้อง เพียงแต่สภาพร่างกายของเขาตอนนี้อาจจะไม่อำนวยให้รับรองความปลอดภัยได้มากนัก

หวางซิงเพียงพยักหน้าเงียบ ๆ แล้วเดินเข้าไป เขามองดูรอบห้องอีกฝ่ายก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่หน้าโทรทัศน์ สายตาของเขาเหลือบไปเห็นหน้าซองหนังเรื่องหนึ่งไหลออกมาจากถุง ภาพที่เห็นค่อยข้างอนาจารทำให้หวางซิงหน้าร้อนวูบวาบรู้สึกว่าตนเองไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า

“น้ำครับ”

“ค...ครับ....” น้ำที่ยื่นมาให้ถูกรับไปด้วยมือที่ค่อนข้างจะสั่นเทาด้วยความประหม่า หวางซิงวางแก้วลงบนโต๊ะแล้วขยับแว่นให้เข้าที่เข้าทาง

“เอาล่ะ คุณมาหาผมทำไม?” มู่อี้จิงทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ มันช่วยไม่ได้ที่เขาไม่ได้ร่ำรวยนักจึงมีแค่โซฟาตัวเดียวซ้ำยังนั่งได้แค่สองคน

“เรื่องที่คุยกันวันนี้....ถ้าผมตอบรับคุณจะยอมช่วยคุณเซินใช่ไหม?”

มู่อี้จิงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

“เจ้านายคุณเปลี่ยนใจอย่างนั้นหรือ?”

“เปล่า...” หวางซิงปฏิเสธแล้วก้มหน้าลง “คุณเซินห้ามผมมาหาคุณเด็ดขาด”

“อืม....ถ้าอย่างนั้น คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่?”

“ผมถามจากสารวัตรหรงครับ”

มู่อี้จิงพยักหน้ารับ แสดงว่าเรื่องที่หวางซิงมาหาเขาสารวัตรหรงก็จะรู้เรื่องด้วย คนที่ต้องปกปิดเอาไว้คงมีแต่เซินเฟยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย ช่างเป็นเลขาที่จงรักภักดีอะไรอย่างนี้....

“นั่นจะทำอะไรน่ะ?” ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอดสูทออกแล้วกำลังจะปลดเนคไท

“ก็ทำตามข้อตกลงน่ะสิครับ ถ้าคุณได้ตัวผมคุณจะยอมช่วยไม่ใช่หรือ?” หวางซิงถามด้วยสีหน้าจริงจัง มู่อี้จิงจึงเกาหัวอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

ความจริงแล้วที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้เพราะอยากจะรู้เท่านั้นเองว่าคนอย่างจูเชว่จะขายกระทั่งลูกน้องคนสนิทหรือเปล่า ในเมื่อได้คำตอบที่น่าพึงพอใจเขาก็ไม่คิดจะจริงจังกับเรื่องนั้นอีกแล้ว ผิดกัน หวางซิงกลับถือเอาเป็นเรื่องจริงจังจนต้องแอบมาหาเขาถึงที่นี่ นี่เขาดูเหมือนคนที่มักมากถึงขนาดเห็นหน้ากันก็จะฟันดะเลยหรืออย่างไร? ถึงจะคิดอย่างนั้นก็น่าจะกระอักกระอ่วนกับการต้องนอนกับผู้ชายด้วยกันหน่อยไม่ใช่หรือ?

“คุณดูจะยอมทำตามที่เจ้านายต้องการทุกอย่างเลยจริง ๆ นะ”

“แน่นอนครับ” หวางซิงตอบอย่างไม่ต้องคิดซ้ำยังยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “ตระกูลของผมรับใช้จูเชว่มาหลายชั่วคนโดยไม่เคยทำให้เสื่อมเสีย ถึงในสายตาของคุณจะคิดว่าจูเชว่เป็นแค่มาเฟียและผู้นำองค์กรใต้ดิน แต่สำหรับผมและตระกูลของผมแล้วจูเชว่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง”

ตรรกะของคนพวกนี้ทำด้วยอะไรกันนะ?

มู่อี้จิงคิดพลางกลอกตา เขาไม่เคยเข้าใจพวกพ่อบ้านในหนังฝรั่งโบราณมากนักเมื่อพวกเขาพูดว่าจะยอมมอบกายถวายชีวิตให้นายท่าน หรืออัศวินที่ยอมตายเพื่อนายเหนือหัว คนเรารู้สึกดีใจมากนักหรือที่ต้องรับใช้คนอื่นถึงขนาดยอมละทิ้งชีวิตของตัวเองไปอย่างนั้น กระทั่งมาเจอคนประเภทนี้ตัวเป็น ๆ ตรงหน้าเขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้อยู่ดี

“คุณทำทุกอย่างได้จริง ๆ น่ะหรือ?” มู่อี้จิงยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนแทบประชิดทำให้หวางซิงที่ไม่ทันได้ตั้งตัวรีบผงะถอยแทบไม่ทัน

“ได้ครับ” ถึงอย่างนั้นในวินาทีต่อมา หวางซิงก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิมของตนอย่างมาดมั่น

“หืม.....มันจะดีหรือที่พูดแบบนั้น ความจริงคุณน่าจะฟังเจ้านายของคุณนะ เพราะดูเขาจะเอ็นดูคุณมากทีเดียว” ว่าไป มือของมู่อี้จิงก็เกี่ยวเนคไทให้เลื่อนลงจนเกือบหลุด

“คำว่าเอ็นดูคงไม่เหมาะสำหรับผมกับคุณเซินเท่าไหร่มั้งครับ” หวางซิงว่าพลางขยับแว่น กระทั่งในเวลาอย่างนี้ก็ยังจริงจังกับวิธีใช้คำสมกับที่เป็นเลขามานาน

“อ้อ.....” มู่อี้จิงขานพลางหัวเราะอย่างจงใจให้ดูชั่วร้ายก่อนจะกระตุกครั้งหนึ่งให้เนคไทหลุดจากกันแล้วรูดออกจากลำคอ การกระทำอันอุกอาจทำให้หวางซิงตกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ถึงขนาดเสียขวัญจนลุกหนี ท่าทางจะเตรียมตัวเตรียมใจมาดีแล้วจริง ๆ ไม่อย่างนั้นมู่อี้จิงคงโดนชกไปสักหมัดแล้ว

ตอนนี้ร่างกายของนายตำรวจหนุ่มก็พร้อมจะจู่โจมอยู่แล้วด้วยผลจากหนังเรท X เมื่อครู่นี้ เมื่อมีอาหารมาวางรอตรงหน้ามันก็ยั่วน้ำลายเสียจนแทบจะอดใจไม่ได้ ปกติมู่อี้จิงก็ไม่ได้คิดมากเรื่องชายหรือหญิงเป็นทุนเดิม ดังนั้นการจะลงมือตามใจอยากจึงเป็นเรื่องที่แสนยั่วใจจนแทบอดไม่ได้

เป็นเพราะมู่อี้จิงชักช้ารำไรหรืออย่างไรไม่ทราบได้ หวางซิงจึงกลั้นใจคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามาจูบเสียเอง การกระทำนั้นทำให้ผู้ถูกกระทำเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แต่คน ๆ นี้เอาจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

มู่อี้จิงกดร่างของหวางซิงให้ล้มลงบนโซฟาทั้งที่บดจูบให้ลึกล้ำยิ่งขึ้น เขาขบกัดพร้อมป้อนรสจุมพิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนใบหน้าดวงนั้นแดงซ่าน เมื่อไม่เห็นว่ามีการต่อต้าน มู่อี้จิงจึงเริ่มปลดเสื้ออีกฝ่ายแล้วขบไล้ไปตามลำคอ ตอนนั้นเองเสียงหายใจฮึกในคอจึงเล็ดรอดออกมา อีกทั้งร่างของหวางซิงยังสั่นเทาทำให้มู่อี้จิงอนุมานได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลยในชีวิต

ชายหนุ่มไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำขนากจะฝืนขืนใจโดยไม่ยินยอม อีกอย่างคือ....เรื่องอย่างนี้มันผิดกฎหมาย ซึ่งผู้รักษากฎหมายอย่างเขาไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง

มู่อี้จิงจำต้องผละออกมาทั้งที่อยากทำใจจะขาด อารมณ์ที่ถูกปลุกขึ้นไม่ใช่ดับกันง่ายๆ

“ทำไมหรือครับ?” หวางซิงลืมตาขึ้นถามด้วยความสงสัยก่อนจะขยับแว่นที่หลุดจากดั้งให้กลับเข้าที่

“คุณไม่ต้องจริงจังถึงขนาดนั้นก็ได้ ยังไงผมก็ต้องทำงานให้เจ้านายของคุณอยู่แล้ว” มู่อี้จิงอธิบายพลางเสยผมด้วยความหงุดหงิดใจ เขาคงต้องไล่อีกฝ่ายกลับไปให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัย

“แสดงว่าคุณจะไม่รับผมเป็นของตอบแทนแล้วอย่างนั้นหรือครับ?” คำถามของหวางซิงทำให้มู่อี้จิงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าบ่าวที่เลวถึงขนาดปฏิเสธเจ้าสาวที่ถูกส่งมาถึงห้องหอ

“จริง ๆ แล้วผมก็ไม่ได้อยากจะทำเรื่องแบบนี้แต่แรกแล้ว ผมแค่อยากจะเห็นปฏิกิริยาของจูเชว่เท่านั้นเอง” เขาจำต้องสารภาพตามตรงเพื่อให้จบเรื่องจบราวไปให้เร็วที่สุด

“คุณหมายความว่า...คุณทดสอบคุณเซินอย่างนั้นหรือครับ!” อยู่ ๆ หวางซิงก็ตะโกนขึ้นมาทำให้มู่อี้จิงที่ไม่ทันเตรียมใจรับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปถึงกับผงะ “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้กล้าดีทำเรื่องอย่างนี้! รู้ตัวหรือเปล่าว่าที่มีชีวิตอยู่นี่ก็เพราะบุญหนักขนาดไหน!” ไม่พูดเปล่า หวางซิงลุกขึ้นมากระชากคอเสื้อมู่อี้จิงอย่างเอาเรื่องเอาราว ไม่เหลือคราบของคนที่เตรียมใจมาถูกล่วงเกินอย่างเมื่อครู่แม้แต่น้อย

“ผมไม่ได้ตั้งใจ ช่วยปล่อยผมก่อนเถอะ” เขาจำยอมอ่อนข้อเพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลง ใครจะคิดว่าแค่เรื่องของจูเชว่จะทำให้หวางซิงโมโหถึงขนาดนี้

หวางซิงยอมปล่อยคอเสื้อมู่อี้จิงในที่สุด เขาจัดเสื้อตนเองให้เรียบร้อยแล้วผูกเนคไท สวมสูทกลับเข้าไปเช่นเดิม

“เรื่องนี้ผมจะไม่รายงานให้คุณเซินรู้” หวางซิงว่า เขาไม่ได้คิดห่วงอีกฝ่ายหรอกว่าจะเป็นจะตาย แต่เขาไม่อยากเพิ่มเรื่องเครียดให้เซินเฟยเท่านั้นเอง “ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้วผมต้องขอตัวก่อนนะครับ” ว่าจบ หวางซิงก็เดินออกไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเอ่ยคำร่ำลา เขาขอตัวออกมาทำธุระโดยไม่ได้บอกรายละเอียด ตอนนี้เซินเฟยคงรอเขาอยู่ ในเมื่ออยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วเขาจึงไม่อยากเสียเวลาอย่างไร้ค่า

มู่อี้จิงนั่งค้างอยู่กับที่อย่างนั้นจนประทั่งประตูปิดลง อารามตกใจเมื่อครู่ทำให้อารมณ์พิศวาสหายไปหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอ เขาควรจะขอบคุณหวางซิงเรื่องนี้ไหมนะ?

----------------------->

“อาซิง”

“ค...ครับ?” หวางซิงขานรับเมื่อถูกเรียกทั้งที่เขาเพิ่งจะเดินพ้นประตูบ้านเข้ามา นึกระแวงว่าจะมีคนรู้ไหมว่าตัวเขาไปไหน

“วันนี้โปสการ์ดจากอาซิ่วส่งมาตั้งแต่เช้าแล้ว ได้เปิดอ่านหรือยัง?” หวางซานผู้เป็นพ่อเอ่ยถามพลางยื่นโปสการ์ดที่ส่งมาจากอังกฤษให้แก่บุตรชาย

หวางซิ่ว น้องชายของหวางซิงไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษด้วยความกรุณาของจูเชว่คนก่อน ทำให้นาน ๆ ครั้งจึงจะได้กลับมาบ้านและมักจะส่งโปสการ์ดมาให้อย่างสม่ำเสมอแม้ว่าตอนนี้เทคโนโลยีจะก้าวไกลขนาดสามารถส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ได้แล้วก็ตาม

หวางซิงรับโปสการ์ดฉบับนั้นมาอ่านก่อนจะแย้มยิ้ม น้องชายของเขาท่าทางจะสุขสบายดีอยู่ที่นั่น

“จริงสิ แล้วคุณเซินล่ะครับ?” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามหวางซานเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะเดินไปทำงานอื่น

“เห็นเข้าไปในห้องทำงาน คงจะกำลังนั่งจี้คุณฉู่อยู่ล่ะมั้ง?” หวางซานกล่างตอบ ตอนที่เซินเฟยกลับมาถึงบ้านหวางซิงก็ขอตัวออกไปทำธุระอื่น หวางซานเห็นเซินเฟยลากตัวฉู่เหวินจือเข้าไปในห้องทำงานด้วยกันทั้งที่อีกฝ่ายยังเดินกะเผลกจากบาดแผลที่สีข้าง แม้เขาจะรู้สึกสงสารฉู่เหวินจือแต่ก็ไม่อาจเข้าไปให้ความช่วยเหลือได้เนื่องจากโดยหน้าที่ของเขานั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานนอกบ้านแต่อย่างใด

“อาการคุณฉู่ดีขึ้นแล้วหรือครับ?” หวางซิงถามต่อ

“เดินได้แล้วก็น่าจะดีแล้วล่ะ หมอจ้าวเองก็บอกว่ากระสุนเข้าไม่ลึกเลยไม่ค่อยมีผลมากกับการทำงาน” ชายวัยกลางคนไหวไหล่

“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ทั้งสองคนคงจะอยู่ด้วยกันในห้องทำงานสินะครับ”

หวางซานพยักหน้าให้กับคำถาม หวางซิงจึงขอตัวไปหาเซินเฟย เพราะเขาไม่แน่ใจว่าหากให้เซินเฟยกับฉู่เหวินจืออยู่ด้วยกันตามลำพังจะสามารถอยู่ด้วยกันได้นานนัก บางที ฉู่เหวินจืออาจจะมีแผลเพิ่มก็ได้ แบบนั้นคงยิ่งแย่เพราะต้องพักรักษาต่ออีกนาน

หวางซิงเคาะประตูตามมารยาทก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

ภาพที่เขาเห็นทำให้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ฉู่เหวินจือนั่งอยู่ที่โต๊ะโดยมีหมอนใบหนึ่งกั้นระหว่างแผ่นหลังกับพนักพิงทำให้ไม่ต้องเกร็งแผลมากนัก ด้านหน้าเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ซื้อมาตอนเข้างานซึ่งเจ้าตัวกำลังนั่งพิมพ์ไปฮัมเพลงไปอย่างอารมณ์ดี ข้างตัว เซินเฟยกำลังนั่งไขว่ห้างกอดอกควบคุมการทำงานด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่มีร่องรอยของความอารมณ์เสียปรากฏออกมาแม้ว่าอีกฝ่ายจะฮัมเพลงอยู่ก็ตาม

เซินเฟยหันมาทางประตูเมื่อหวางซิงเอาแต่ยืนเฉยอยู่ตรงนั้น

“กลับมาแล้วหรือ?”

“เอ่อ....ครับ.....” หวางซิงปิดประตูลงแล้วเดินเข้ามา “วันนี้อาซิ่วส่งโปสการ์ดมา”

“ผมเห็นแล้ว เขาส่งมาให้ผมแยกฉบับหนึ่ง” เซินเฟยตอบแล้วหันกลับมามองฉู่เหวินจือที่ทำท่าเหมือนจะอู้งาน “จะให้ฉันถองแผลนายสักทีไหม?”

“ไม่ล่ะครับ” ฉู่เหวินจือหัวเราะแล้วรีบหันกลับไปทำต่อ

“คุณฉู่ยังไม่หายดี ให้ทำงานอย่างนี้จะดีหรือครับ?”

“แค่แผลที่ท้องทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้” เซินเฟยไม่เคยมีการอะลุ่มอะล่วยให้คนที่ยังไม่เคยแสดงออกว่าสมควรอะลุ่มอะล่วย และในสายตาของเขา ฉู่เหวินจือยังไม่ได้แสดงว่ามีประโยชน์สักเท่าไหร่และบาดแผลก็ไม่ได้หนักหนาสาหัส ดังนั้นเรื่องจะให้หยุดงานก็ลืมไปได้เลย

“แผลที่ท้องแต่ผมก็เจ็บนะครับ” ฉู่เหวินจือทำออดอ้อน

“ว่าแต่....ทำอะไรอยู่น่ะครับ?” หวางซิงรีบเข้าห้ามทัพเมื่อเซินเฟยเริ่มทำท่าเหมือนพร้อมจะอัดคนป่วยได้ทุกเมื่อ

“หารายชื่อคน” เซินเฟยตอบก่อนจะลุกขึ้น “ใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฉียนหยุน ถึงมู่อี้จิงจะไม่ช่วยผมก็มีวิธีของผมเอง”

หวางซิงเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของเซินเฟยแล้วก็ยิ่งไม่กล้าสารภาพความจริง แต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ก่อนจะเป็นจูเชว่เสียอีก เซินเฟยมักจะคร่ำเคร่งกับงานเสมอจนแทบจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวเลย ยิ่งตอนนี้ เซินเฟยกำลังโกรธมู่อี้จิงเอามาก ๆ ถึงมู่อี้จิงจะยอมช่วยเหลือแต่เขาก็ไม่อาจเปิดเผยได้ หวางซิงรู้สึกหนักใจอย่างมากไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรให้เซินเฟยยอมรับความช่วยเหลือจากมู่อี้จิงอย่างละมุนละม่อม

“คุณเซิน....ผมคิดว่า....”

“อะไรหรือ?”

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 20-02-2011 12:17:55
“ผม....จะลองติดต่อคนที่ไว้ใจได้ให้ลองทำเรื่องนี้แทนดีไหมครับ?” หวางซิงต่อรอง โดยปกติแล้วเขามักทำหน้าที่ประสานงานแทนเซินเฟยอยู่เสมอ ดังนั้น....หากเพียงแค่ประสานงานโดยไม่เปิดเผยคนที่ทำงานให้ก็น่าจะไม่มีปัญหา เขาหวังว่าอย่างนั้น....

“เฉียนหยุนอาจจะรู้ตัวก่อนก็ได้” แต่เซินเฟยก็ดูจะยังไม่ยอมวางเรื่องนี้โดยง่าย เขากลับไปนั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้งและสั่งให้ฉู่เหวินจือค้นหาต่อไป

“ผมจะให้สารวัตรหรงหาคนให้ใหม่”

เมื่อยกชื่อสารวัตรหรงมาอ้าง เซินเฟยจึงนิ่งคิดไป

“ไม่ใช่คนแซ่มู่ใช่ไหม?” เด็กหนุ่มหันมองเลขาของตนพลางเอ่ยย้ำเพื่อความมั่นใจ ทำให้หวางซิงยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้นเมื่อพบว่าเซินเฟยคงไม่อภัยให้มู่อี้จิงโดยง่ายหากฝ่ายนั้นยังไม่แสดงความตั้งใจจะขอโทษออกมาอย่างเปิดเผย

“....ไม่ใช่....ครับ...” หวางซิงกลั้นใจตอบออกไป

เซินเฟยนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

“ถ้าคน ๆ นี้ทำงานได้ดี คุณก็พามาเสนอตัวกับผมแทนคนแซ่มู่นั่นก็แล้วกัน” เขาว่าก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ “งานแรกผมอยากให้เขาหาตัวเฉียนหยุนให้เจอ จะใช้วิธีไหนก็ได้แต่อย่าให้เฉียนหยุนไหวตัวทัน เข้าใจคำสั่งใช่ไหม อาซิง?”

“ครับ” หวางซิงรับคำสั่งแล้วจึงเดินออกไป

เซินเฟยไม่รู้ว่าตนเองคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าหวางซิงมีความลับปิดบังเพราะโดยปกติแล้วหวางซิงจะรับคำอย่างมั่นใจและมองตาของเขาเพื่ออ่านความคิดว่าต้องการอะไรอีกหรือไม่ แต่ครั้งนี้หวางซิงกลับก้มหน้าลงและไม่มองตาเขาเลย กระนั้นเพราะยังไม่คุ้นชินกับแว่น เซินเฟยจึงคิดว่าบางทีเงาของแว่นสายตาอาจทำให้เขามองผิดไป

“คนแซ่มู่? ใครหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามเรียกความคิดของเซินเฟยให้กลับมาจดจ่อกับตนเอง

“ก็แค่ตำรวจอวดดีคนหนึ่ง”

“แต่เขาทำให้คุณอารมณ์เสียใช่ไหม?”

คำถามของฉู่เหวินจือดูเหมือนจะทำให้เซินเฟยไม่พอใจนัก เขาตวัดสายตามองก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงไปหาสีข้างที่ใต้เสื้อเชิ้ตมีผ้าพันแผลทบอยู่หลายชั้น เพียงแค่สายตาก็ทำให้ฉู่เหวินจือรู้สึกเสียววูบที่แผลจนต้องร้องซี้ดออกมาเบา ๆ หากสายตาของเซินเฟยเป็นมีด เขาคงจะโดนแทงจนพรุนไปแล้ว

“งานของนายอยู่ตรงไหนก็ทำไป ไม่ต้องคิดมากเรื่อง” เซินเฟยกดเสียงต่ำแล้วนั่งลงท่าเดิมเหมือนก่อนที่หวางซิงจะเข้ามา

“งั้นแสดงว่าคิดเรื่องของคุณได้ใช่ไหม?”

คำถามนั้นทำให้เซินเฟยเลิกคิ้ว

“คิดไปทำไม?”

“ก็คิดว่า....คุณกับหมอที่ชื่อ...จือหยิน ไปด้วยกันถึงไหนแล้ว”

ตึง!

เก้าอี้ล้มลงเสียงดังจังหวะเดียวกับที่เซิยเฟยผุดลุกขึ้น มือข้างหนึ่งของเขาคว้าอยู่ที่คอเสื้อของคนปากดีซ้ำยังชอบสอดรู้ไปเสียทุกเรื่อง

“นี่คุณชอบเขาจริง ๆ หรือ?” ฉู่เหวินจือทำสีหน้าแปลกใจทำให้สีหน้าของเซินเฟยเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดด้วยความโกรธ

“สอดรู้เกินไปแล้ว” เซินเฟยคำรามในคอก่อนจะแสยะยิ้มเย็น “ลูกตานั่นนายคงไม่อยากใช้มันอีกแล้วใช่ไหม?”

“ไม่รู้สิ....ถ้าคุณยินดีจะควักของลูกน้องคุณด้วยเหมือนกัน” ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะหยิบกฎที่ค้ำคอมาเฟียใหญ่ทั้งสี่มาใช้ได้อย่างถูกจังหวะ เตือนให้เซินเฟยคิดได้ว่าอย่างไรฉู่เหวินจือก็เป็นคนของไป๋หู่ ไม่ใช่คนที่ตนเองจะทำอะไรได้ตามใจ

เซินเฟยเม้มปากตามนิสัยเมื่อไม่ได้อย่างใจ แต่ครั้งนี้มันแน่นจนสั่นระริก มือของเขากำคอเสื้อของฉู่เหวินจือแน่นขึ้น อยากจะชกแต่ก็รู้สึกว่ามันอาจจะไม่หนำใจพอ อยากจะถีบ เตะ หรือกระทั่งซ้อมให้น่วม แต่สมองของเซินเฟยก็ได้แต่ค้านตนเองว่านั่นยังไม่หนำใจ

เสียงเคาะประตูระรัวดังขึ้นทำให้เซินเฟยดึงสติตนเองกลับมาจากที่ด่ำดิ่งลงสู่ห้วงของโทสะ

“เสี่ยวเฟย เกิดอะไรขึ้น?” เสียงซากุระดังอยู่ด้านนอก เธอตกใจกับเสียงกระแทกของเก้าอี้และเกรงว่าจะมีเรื่องร้ายแรงจึงรีบวิ่งขึ้นมาพร้อมกับหวางซานและหวางซิง

เซินเฟยย้อนสายตากลับมามองคนตรงหน้าที่แย้มยิ้มยียวนเสมือนเป็นผู้คุมเกมก่อนจะตัดสินใจง้างหมัดแล้วชกหน้าอีกฝ่ายไปครั้งหนึ่งก่อนปล่อยมือ

ฉู่เหวินจือถูกทิ้งกะทันหันจึงล้มกระแทกพื้นทำให้สะเทือนถึงแผลและไม่สามารถลุกขึ้นได้ในทันที กระนั้นหน้าเขาก็ไม่เจ็บเท่ากับครั้งก่อนซึ่งเป็นเพราะเซินเฟยไม่มีเวลาง้างให้เต็มเหนี่ยว

หลังจากได้ลงแรงไปแล้วแม้จะยังไม่สมใจแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ความโกรธลดลงเล็กน้อย เซินเฟยสูดหายใจเข้าลึกเพื่อปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนเดินไปเปิดประตูให้กับบุคคลทั้งสาม

“เกิดอะไรขึ้น.....ทำไมคุณฉู่ถึงลงไปนอนอย่างนั้น?” ซากุระตกใจกับสภาพของคนในห้องพอสมควร

“เขา...ตกเก้าอี้ครับ” เซินเฟยตอบแล้วหันไปบังคับให้ฉู่เหวินจือตอบอย่างเดียวกันด้วยสายตา

“ครับ ผมตกเก้าอี้” เมื่ออยู่ในสภาพที่ต่อกรด้วยไม่ไหว ฉู่เหวินจือก็ต้องยอมอ่อนข้อตามไปด้วย “แบบว่า...ผมเผลอสัปหงกแล้วคุณเซินปลุก ผมก็เลยตกเก้าอี้น่ะครับ”

“งั้นหรือ.....” แม้เจ้าตัวจะว่าอย่างนั้น แต่ซากุระก็เห็นรอยช้ำบนแก้มอีกฝ่ายอยู่ดี “เสี่ยวเฟย หลานทำงานหนักเกินไปแล้วนะ ไปนอนพักก่อนเถอะ”

“ไม่เป็นไรครับ คุณอาไปนอนก่อนเถอะ” เซินเฟยดันหลังหญิงสาวออกไปจากห้องเมื่อปลายหางตาของเขาสังเกตเห็นแววกรุ้มกริ่มที่ฉู่เหวินจือมักแสดงออกเมื่อเห็นอาสะใภ้ของเขา แม้ซากุระจะไม่จำยอมแต่เธอก็ไม่อยากขัดใจหลานชายตนเองมากเกินไปด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายหวงเธอแค่ไหน เซินเฟยรีบปิดประตูตามหลังทันทีทำให้คนทั้งสามไม่อาจเข้าเข้ามารู้เห็นเรื่องในห้องได้อีก

“เลิกมองอาของฉันแบบนั้นเสียที” เซินเฟยเดินกลับมาหาฉู่เหวินจือแล้วขู่เสียงเข้ม “ไม่อย่างนั้นแผลนายจะขยายขึ้นอีกแน่”

“ผมไม่นิยมผู้หญิงที่แก่กว่าหรอกนะครับ” ฉู่เหวินจือตอบพลางพยุงตัวขึ้นด้วยขอบโต๊ะ ต้องใช้แรงมากพอสมควรจึงจะพาตนเองกลับมานั่งบนเก้าอี้ได้ เซินเฟยช่างไม่สงสารคนเจ็บเอาเสียเลย

“ผู้หญิงที่แก่กว่า?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว “นายอายุเท่าไหร่?”

“ปีนี้ก็.....25 ปีพอดี” ฉู่เหวินจือตอบก่อนจะชะงัก “เบญจเพศนี่เอง มิน่าล่ะ....”

“มิน่าอะไร!” บางครั้ง เซินเฟยก็เหมือนจะอ่านความคิดคนอื่นได้ คำพูดของอีกฝ่ายทำให้อนุมานได้ว่าเขากำลังโดนเหน็บแนม

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” เพราะยังรักชีวิตอยู่ฉู่เหวินจือจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำ

เซินเฟยยกเก้าอี้ที่ตนเองทำล้มลงไปขึ้นมาแล้วนั่งลงอีกครั้ง

“ทำงานไป” หลังออกคำสั่ง เซินเฟยก็เงียบไป

ฉู่เหวินจือมองอีกฝ่ายพลางยิ้ม เด็กหนุ่มคนนี้คาดเดาอารมณ์ได้ง่ายกว่าที่คิด จูเชว่เป็นคนแบบนี้ไม่น่าจะมีพิษสงอะไรให้นึกกลัวเลย ถึงอย่างนั้น คน ๆ นี้ก็เก่งกาจเรื่องการนำคนมาใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีคนอย่างหวางซิงอยู่ข้าง ๆ ทำให้เซินเฟยยิ่งใช้คนที่มีอยู่ในมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฉู่เหวินจือกดเปลี่ยนหน้าโปรแกรมโชว์เดสทอปใหม่ที่เขาเพิ่งเปลี่ยนเมื่อเร็ว ๆ นี้

“คุณเซิน ดูนี่สิ รูปนี้ผมเพิ่งถ่ายได้ก่อนที่ถูกยิง มุมสวยดีใช่ไหม?”

เซินเฟยเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ได้คิดอะไร ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นจัดราดลงมาตั้งแต่หัวจรดเท้าจนชาไปทั้งตัว

ภาพบนเดสทอปของฉู่เหวินจือเป็นภาพของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ฉากหลังเป็นร้านรวงในเมืองช่วงกลางวัน แสงสีและองค์ประกอบภาพดูเหมาะสมราวกับมืออาชีพ หนุ่มสาวคู่นั้นจูงมือกันและยิ้มให้กันอย่างมีความสุข เซินเฟยอาจจะรู้สึกถึงความสวยงามของภาพมากกว่านี้หากว่าชายหนุ่มในภาพไม่ใช่....

.....จือหยิน....

“นายตามเขา....” เซินเฟยกัดฟันกรอด

“เปล่า ผมแค่บังเอิญเจอระหว่างไปดูงาน”

“ถ้าอย่างนั้นนายเอากล้องมาจากไหน!” เซินเฟยกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง ถึงอย่างนั้นเมื่อถามไปแล้วเขาก็ไม่ได้รอฟังคำตอบ เขายกเท้ายันเก้าอี้ที่ฉู่เหวินจือนั่งหมายจะทำให้ล้มจุกเสียทีแต่อีกฝ่ายกลับรู้ทันและเกร็งขาขืนไว้ แม้มันจะอันตรายต่อแผลแต่ก็ดีกว่าล้มลงไปแล้วแผลสะเทือนจนรอยเย็บเปิดออก หากเซินเฟยยันแรงขึ้นเขาอาจจะล้มลงไปก็ได้ แต่การทำเช่นนั้นเซินเฟยก็จะเสียหลักล้มไปด้วย ทำให้เซินเฟยทำอะไรไม่ได้และยิ่งโกรธมากกว่าเดิม ระหว่างที่กำลังคิดว่าควรจะทำอะไรต่อไป ฉู่เหวินจือก็จับข้อเท้าเอาไว้แล้วเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้

“ถ้าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปจะเป็นยังไงนะ....จูเชว่หลงรักหมอของตัวเอง” ฉู่เหวินจือหัวเราะชั่วร้าย “ท่านไป๋หู่รู้เข้าคงจะสนุกแน่”

“นายคิดจะแบล็กเมล์ฉันหรือยังไง” เซินเฟยพยายามดึงเท้าตนเองกลับแต่เหวินจือกลับจับแน่นขึ้น

“ผมไม่มีหลักฐานเสียหน่อยจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน” รอยยิ้มของฉู่เหวินจือมักจะดูลึกลับเสมอ แต่ตอนนี้เซินเฟยกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มที่เห็นไม่ต่างกับหมาป่าเวลาจ้องเหยื่อ

เขา....เป็นเหยื่ออย่างนั้นหรือ?

เซินเฟยบีบที่พักแขนแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

ฉู่เหวินจือ....ชักจะมากเกินไปแล้ว....

“ปล่อยฉัน” เขาคำรามเสียงต่ำ นัยน์ตาสีดำแวววับไปด้วยความกรธราวกับมีไฟกำลังเต้นเร่าอยู่ภายใน ขมับของเขาเริ่มจะปวดหนึบ ๆ ขึ้นมาอีกแล้ว ระยะนี้เหมือนว่าอาการไมเกรนจะเริ่มถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอย่างนั้นเซินเฟยก็ไม่ได้คิดสนใจ เขาต้องแสดงให้ฉู่เหวินจือเห็นว่าเขาไม่ได้กลัว

ฉู่เหวินจือถอนหายใจออกมาก่อนจะปล่อยข้อเท้านั้นให้เป็นอิสระ เป็นจังหวะเดียวกับที่เซินเฟยคว้าหนังสือเล่มหนาหนักบนโต๊ะได้และกระแทกสันเข้ากับขมับเขาอย่างพอดิบพอดี

เซินเฟยลุกขึ้นและเดินกระแทกเท้าจากไปด้วยความโมโห ในใจกรุ่นโกรธไปด้วยเพลิงโทสะ อยากจะเลาะฟันแล้วตัดลิ้นผู้ชายคนนี้ให้พูดไม่ได้อีกต่อไป

เมื่อประตูถูกกระแทกปิดอย่างแรงฉู่เหวินจือก็เงยหน้าขึ้นมอง เขานวดขมับตัวเองให้คลายอาการมึน เซินเฟยเล่มฟาดมาเสียแรงเล่นเอาเขาเกือบลงไปนอนนับดาว ดีที่ไหวตัวทันจึงเบี่ยงศีรษะตามแรงได้ฉิวเฉียด ถึงอย่างนั้นก็ยังมึนตึบอยู่ดี

ฉู่เหวินจือมองกลับไปที่เดสทอป ความจริงภาพนี้เขาใช้แค่มือถือถ่ายเท่านั้นและได้มาโดยบังเอิญตอนเดินผ่านย่านนั้นพอดี กระนั้นกลับใช้ได้ผลมากกว่าที่คิด ชายหนุ่มหัวเราะกับตนเอง ระยะนี้เขาชักจะสนุกกับการตอบโต้ของเซินเฟยขึ้นมาบ้างแล้ว ยิ่งจับจุดอ่อนได้อย่างนี้คงสนุกยิ่งขึ้น ความเข้มแข็งของเซินเฟยกำลังพังทลายทีละน้อยจากการถูกกระทบของสิ่งรอบข้าง ถูกหักหลัง ถูกปั่นหัว ถูกทดสอบโดยคนอื่น คนที่มีใจให้ก็ไม่เหลียวแล เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าหากถูกกระทบแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยกำลังใจของเด็กอายุ 18 นั่น เซินเฟยจะสามารถหยัดยืนอย่างนี้ได้อีกนานแค่ไหน....


TBC
หัวข้อ: Re: หนอนใบตอง by RakorN ตอนที่27: เปลี่ยนใจ หน้าที่ 68 [16.12.10]
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 20-02-2011 13:25:07
ลุ้นดั้ยอีก
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 20-02-2011 15:18:47
เออนะ แกล้งกันเข้าไป
คนอ่านลุ้นจนหัวใจจะวาย
หมอจือเขาไปสน มองคนข้างๆบ้างก็ได้นะคุณเซิน หุหุ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 20-02-2011 16:32:46
อ๋อยยย เครียดแทนเซนเฟย :z10:
อายุแค่ 18 แต่ต้องเจอกับเรื่องชวนปวดหัวแบบนี้ มันกดดันมากเลยนะเนี่ย :z3:
แต่คุณฉู่นี่ไม่กลัวตายจริงๆ  :laugh:
ขอบคุณค่ะ รออ่านตอนต่อไปน้าาา :man1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 20-02-2011 16:53:22
 o18นี่คุณฉู่กำลังจะคิดทดสอบเซินเฟยอยู่ใช่ไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 20-02-2011 16:57:43
จะลงเอยกันนะคู่นี้ 
หวางซิงนี่น่ารักดีนะคะ  :o8:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 20-02-2011 18:33:15
ฉู่เหวินจือใจร้ายอ่ะ


ทำเซินเฟยได้น่าสงสารออก
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 20-02-2011 19:22:42
จนแล้วจนรอด คุณตำรวจกับคุณเลขา ก็(ยัง)ไม่มีอะไรในกอไผ่ หรือมันจะไม่ใช่อย่างที่เราคิด?
คุณฉู่ กับ เซินเฟย ก็เกินจะคาดเดา สรุป ต้องรอลุ้นกันต่อไป...
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 21-02-2011 11:40:31
ทันแล้ว

เนื้อหาเข้มข้นดีจริง

ชอบคุณเลขาจัง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 8 (20/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 21-02-2011 16:51:49
เข้ามารอตอนต่อไปค่ะ หุหุ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 9 (21/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 21-02-2011 17:50:50
-9-



“คน ๆ นี้เชื่อได้แค่ไหน?” เซินเฟยมองเอกสารที่ได้มาพลางพินิจพิเคราะห์ เรื่องนี้เขาเพิ่งสั่งไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วแต่ข้อมูลที่ส่งมาอย่างจำเพาะเจาะจงสถานที่แน่นอนอย่างนี้ไม่น่าจะหามาได้เร็วขนาดนี้ ขนาดคนของเขายังทำได้เพียงแค่รวบรวมรายชื่อทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เซินเฟยเริ่มจะสงสัยว่าสิ่งที่ได้มาเป็นข้อมูลจริงหรือเท็จ และเริ่มสงสัยเกี่ยวกับคนที่หวางซิงติดต่อด้วย

“สารวัตรหรงยืนยันว่าเชื่อถือได้ครับ” หวางซิงกล่าว “เอ่อ....เป็นเพราะคุณเซินไม่พอใจคุณมู่ สารวัตรหรงเลยโอนเรื่องนี้ไปให้อีกคนหนึ่ง แต่ว่าคุณมู่ได้หาข้อมูลเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาก็เลยโอนเรื่องทั้งหมดไปให้ด้วยน่ะครับ” ว่าไป หวางซิงก็ขยับแว่นเพื่อจะได้มองสายตาของอีกฝ่ายไม่ชัดนัก เวลาที่เขาต้องโกหกอย่างนี้หัวใจมักจะเต้นแรงด้วยเกรงว่าเซินเฟยจะจับได้

เซินเฟยไว้ใจเขามากและไม่เคยถามว่าเขาจะไปทำอะไรที่ไหน เรื่องดำเนินการในบริษัทเกือบทั้งหมดก็สั่งผ่านเขาและหลาย ๆ เรื่องก็วางใจให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง หวางซิงไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเซินเฟยรู้ว่าเขาแอบไปหามู่อี้จิงจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่นั้น....

หากรู้ว่ามู่อี้จิงทำลงไปเพื่อทดสอบการตัดสินใจ.....เซินเฟยคงโกรธมากแน่ ๆ

ระยะนี้ยาแก้อาการไมเกรนพร่องหายไปเร็วมาก หวางซิงที่ทำหน้าที่จัดยาให้รู้ได้โดยไม่ต้องนับเม็ดให้เสียเวลา

เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเฉพาะเรื่องของเฉียนหยุนก็มีผลกระทบถึงขนาดนี้ ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะคนในองค์กรและผู้บริหารหลายคนถือหางชายแก่คนนั้น และการที่เซินเฟยปลดเฉียนหยุนออกทำให้เกิดการแข็งข้อ เขาเคยได้ยินบางคนพูดกันว่าเซินเฟยเอาแต่ใจตัวเองเกินไป และที่ทำเพราะกลัวเฉียนหยุนจะเข้ามาควบคุมแทน ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นแต่เซินเฟยก็ไม่เคยออกหน้าแก้ต่างให้ตัวเอง สิ่งที่เซินเฟยทำคือการยืดอกรับคำครหาอย่างเยือกเย็นและพยายามหาหลักฐานมาล้มล้างความเข้าใจผิด

จูเชว่สองรุ่นก่อนก็เคยปลดผู้บริหารออกเป็นจำนวนมากเพื่อปรับโครงสร้างในองค์กร

จูเชว่รุ่นที่แล้วเองก็เคยลดขั้นพวกหัวหน้าที่ขัดขวางการแต่งงานกับนายหญิงคนปัจจุบัน

ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่ทั้งสองก็ไม่เคยถูกนินทาลับหลัง ทุก ๆ คนยังคงยำเกรงและเคารพยกย่องเสมือนนายเหนือชีวิต ทว่า...เมื่อเหตุการณ์เดียวกันถูกดำเนินการด้วยจูเชว่ที่เป็นเพียงลูกบุญธรรม ผลกระทบกลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

จะว่าไปแล้ว....ระยะนี้พวกสายรองตระกูลเซินก็ชอบเข้ามาเสนอหน้าในบริษัทมากขึ้น ทำอวดเบ่งบ้าง พูดจาอวดดีบ้าง ทำให้เครดิตของเซินเฟยยิ่งลดน้อยถอยลงเพราะไม่อาจควบคุมกระทั่งญาติของตนเองได้

ทางบอร์ดบริหารก็บีบคั้นเซินเฟยทุกทางเพียงแต่ตอนนี้ธุรกิจของเครือยังดำเนินไปด้วยดีและยอดกำไรก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ทางบอร์ดบริหารทำอะไรไม่ได้มากนัก กลับกัน พวกหัวหน้ามาเฟียที่ดูแลถิ่นต่าง ๆ เริ่มจะไม่ยอมทำตามคำสั่งอย่างออกหน้าออกตา จากแต่เดิมที่คิดจะเชือดเฉียนหยุนให้คนอื่นได้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง กลับถูกอิทธิพลและบารมีเก่าที่มากกว่าของเฉียนหยุนรัดคอเสียเอง

“เป็นอะไรไป?” เซินเฟยเอ่ยถามเมื่อเห็นหวางซิงนิ่งไป

“เอ่อ...ผมกำลังคิดว่า....คุณฉู่ทำไมถึงยังไม่มาทำงานน่ะครับ ทั้งที่แผลก็หายเกือบสนิทแล้ว” หวางซิงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง แต่ไหนแต่ไรมา เซินเฟยมักจะอ่านสีหน้าของผู้อื่นได้เก่ง เขาจำต้องพยายามกลบเกลื่อนความกังวลของตัวเองเสีย

“เพราะผมไม่อยากเห็นหน้า” เซินเฟยตอบตรงไปตรงมาแล้วก้มลงอ่านเอกสารต่อ

หลังจากวันที่หวางซิงไปหามู่อี้จิง ความสัมพันธ์ระหว่างเซินเฟยกับฉู่เหวินจือดูเหมือนจะแย่ลงกว่าเดิมทั้งที่ปกติก็แทบจะติดลบอยู่แล้ว ตอนนี้ทั้งสองคล้ายจะทำสงครามเย็น หรือถ้าพูดให้ถูก เซินเฟยกำลังจงใจทำสงครามเย็นกับฉู่เหวินจือ

เวลาอยู่ที่บ้าน เซินเฟยจะไม่ยอมอยู่ร่วมห้องเดียวกับฉู่เหวินจือเลย เวลามีอะไรก็จะสั่งให้คนรับใช้ไปบอกแทน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉู่เหวินจือทะเล่อทะล่าเข้ามาในห้องนั่งเล่นตอนที่เซินเฟยกำลังอ่านหนังสือ เจ้าตัวถึงกับสั่งให้ฉู่เหวินจือออกไปนอนตากน้ำค้างเสียค่อนคืน ตอนเช้าชายหนุ่มจึงเป็นหวัดอย่างช่วยไม่ได้

นอกจากนั้น ในเวลาทำงาน เซินเฟยจะไม่ให้ฉู่เหวินจือตามมาที่บริษัทอย่างเด็ดขาด แต่จะส่งงานไปให้ทำที่บ้านด้วยปริมาณที่เหมือนจงใจให้ทำจนหัวแตกตายไปข้างหนึ่ง

หวางซิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคน แต่สงครามเย็นของเซินเฟยทำให้คนทั้งบ้านอกสั่นขวัญแขวนไปกันหมด ปู่ของเขาถึงกับรำพันว่าตนเองทำหน้าที่ไม่ดี นายน้อยจึงอารมณ์เสีย

“มีอะไรก็พูดออกมาสิ” ราวกับเซินเฟยอ่านความคิดของเขาออก คำถามนั้นทำให้หวางซิงสะดุ้งเฮือก

“ผม...คิดว่าคุณเซินน่าจะพักผ่อนบ้างนะครับ นายหญิงก็เป็นห่วงคุณเซินมาก” หวางซิงหยิบเอาซากุระมาเป็นข้ออ้าง เพราะเรื่องใดที่มีชื่อหญิงสาวคนนี้เซินเฟยจะยินยอมรับฟังมากกว่าเรื่องอื่น ๆ

“งั้นหรือ....” เสียงของเซินเฟยอ่อนลงดังคาด

“ถ้ายังไงวันนี้กลับเร็วหน่อยดีไหมครับ?”

“ไม่ได้” ถึงอย่างนั้นคำตอบที่ได้กลับมาก็ยังเป็นการปฏิเสธ “ผมอยากตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ใจก่อน แล้วพรุ่งนี้จะได้ลงมือเลย”

“มันจะไม่กะทันหันไปหรือครับ?” หวางซิงนึกกังวลขึ้นมา

“ผมอยากจะจบเรื่องนี้เสียที” เซินเฟยตอบกลับ สีหน้าของเด็กหนุ่มมีความเหน็ดเหนื่อยแสดงออกมาแทบจะชัดเจน ในเวลาที่อยู่ตามลำพังอย่างนี้ หวางซิงจะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้าแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อก้าวออกไปอยู่ท่ามกลางผู้คน เซินเฟยกลับแสดงตัวเป็นนักธุรกิจที่สมบูรณ์พร้อมได้อย่างดีเยี่ยม เซินเฟยเป็นแค่เด็กอายุ 18 ปีเท่านั้น....และเขาเองก็ได้เลี้ยงดูมาพร้อมกับนายหญิงซากุระ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเขาก็ไม่อาจทำใจปล่อยมือและทิ้งคน ๆ นี้ให้ดิ้นรนต่อไปตามลำพังได้เลย

“คุณเซิน.....รับน้ำเย็น ๆ หน่อยไหมครับ?” หวางซิงคลายรอยยิ้มออกมา ในเมื่อห้ามปรามไม่ได้ผลก็คงทำได้แค่ตามไปให้ถึงที่สุดเท่านั้น หากเพียงแต่เรื่องนี้จบไปเสีย เซินเฟยคงจะสบายขึ้นอีกมากและพวกที่กดดันอยู่ในขณะนี้คงยอมรามือไปสักระยะหนึ่ง

“ถ้าได้ก็ดี ขอบคุณอาซิง”

หวางซิงโค้งคำนับก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เขาได้แต่หวังว่าเรื่องนี้คงจะผ่านไปได้โดยไว แต่ทำไมกันนะ....เขาถึงรู้สึกใจไม่ดีเอาเสียเลย....

--------------------->

อากาศยามค่ำในฤดูหนาวยังคงโหดร้ายทารุณสำหรับคนทั่วไป แม้ว่าฮ่องกงจะอยู่ในเขตอบอุ่นแต่เพราะเป็นเกาะขนาดเล็กจึงได้รับอิทธิพลจากลมทะเลที่พัดเข้ามาในเกาะ เซินเฟยนั่งอยู่ในรถคันสีดำสนิทกลืนไปกับความมืดยามราตรี ซุกตัวเองไว้ภายใต้เสื้อขนสัตว์หนานุ่มขณะมองออกไปข้างนอกผ่านฟ้าขาวบนกระจก รอบ ๆ ของเขามีรถสีดำสนิทอีกหลายคันจอดอยู่ ทุกคันดับเครื่องเงียบสนิท

ห่างออกไปเล็กน้อยเป็นคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงสูง ด้านหน้ามียามเฝ้า กล้องวงจรปิดส่ายไปมาเหนือกำแพงที่กั้นระหว่างภายในกับภายนอก

สมกับเป็นที่ซ่อนตัว....

การรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์หลังนี้เข้มงวดเกินกว่าจะพูดได้ว่าเป็นคฤหาสน์ของนักธุรกิจผู้ร่ำรวยทั่วไป เซินเฟยมองลอดผ่านรั้วประตูที่เป็นเหล็ดดัดลายสวยงามเข้าไป เขาเห็นเงาสุนัขสีดำตัวเขื่องหลายตัวเดินไปเดินมาโดยมีคนจูงเอาไว้

“กี่โมงแล้ว?”

“ตอนนี้ก็....”

“ฉันไม่ได้ถามนาย” เซินเฟยเอ่ยเสียงเย็นเมื่อฉู่เหวินจือเปิดปากตอบ “อาซิง กี่โมงแล้ว”

“ตอนนี้ก็จะ 2 ทุ่มแล้วครับ” หวางซิงตอบแล้วหันไปมองฉู่เหวินจือด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาไม่รู้ว่าทั้งสองมีปัญหาอะไรกัน แต่เซินเฟยดูเย็นชากับฉู่เหวินจืออย่างเห็นได้ชัด กระทั่งวันนี้ หากอีกฝ่ายไม่ออกปากขอมาด้วยแล้วรั้นดึงดันขึ้นมานั่งบนรถ เซินเฟยก็คงปล่อยให้อีกฝ่ายนอนแกร่วอยู่ที่บ้านเป็นแน่

“2 ทุ่ม....” เซินเฟยทวนคำเพ่งมองท้องฟ้า

ฤดูหนาวเป็นช่วงฤดูที่ฟ้าจะมืดเร็วกว่าปกติ ทั้งที่เวลาเพียง 2 ทุ่ม แต่ท้องฟ้ากลับมืดมิดและเต็มไปด้วยแสงดาว

ผู้ชายคนหนึ่งเคาะประตูรถ เซินเฟยจึงเลื่อนกระจกลงให้คน ๆ นั้นยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ ๆ

“ลงมือเลยไหมครับ?”

“แน่ใจหรือว่าจัดการได้?” เซินเฟยถามเพื่อความแน่ใจ ในตอนที่เขามั่นใจว่าใครซ่อนตัวเฉียนหยุนเอาไว้ เขาก็สั่งให้ค้นหาแปลนก่อสร้างของคฤหาสน์ที่เป็นเป้าหมายทันที ด้วยอำนาจมืด การจะได้โครงสร้างของอาคารหลังใดมาอยู่ในมือไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ทำให้ล่าช้าไปจากกำหนดการเดิมถึง 3 วัน เฉียนหยุนอาจจะเริ่มระแคะระคายแล้วก็เป็นได้จึงมีเวรยามหนาแน่นถึงเพียงนี้ แต่บางที....ด้วยนิสัยขี้ระแวงของเฉียนหยุน เวรยามพวกนี้อาจจะเข้มงวดแบบนี้มาแต่แรกแล้วก็เป็นไปได้เหมือนกัน

เขาอยากให้เป็นข้อหลังมากกว่า....

“แบบแปลนที่ท่านให้มาผมส่งคนเข้าไปตรวจสอบภายนอกแล้วไม่ผิดพลาดแน่นอนครับ”

“อย่าพลาดก็แล้วกัน” คำพูดนั้นแม้จะพูดออกมาด้วยเสียงเรียบเรื่อย แต่ผู้ฟังก็รู้ว่านั่นคือประกาศิต

“ไม่ต้องห่วงครับ ถึงจะต้องตายผมก็จะ...”

“เจ้าโง่” ไม่ทันที่ชายชุดดำจะพูดจบ เซินเฟยก็ขัดเสียก่อน “ฉันไม่อยากได้ผีไปรอรับใช้ในนรกหรอกนะ อีกอย่าง ซากศพมันใช้ทำงานไม่ได้ เข้าใจไหม?”

“....ครับ เข้าใจแล้วครับ”

“ลากคอมันออกมาแล้วไปเจอกันที่โกดังท่าเรือ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็จับเป็น ถ้าเอาไม่อยู่ก็จับตาย ใครขวางก็จัดการซะ ฉันคิดว่าในคฤหาสน์นั้นคงไม่มีเด็กกับผู้หญิงให้พะว้าพะวงหรอก” เซินเฟยกล่าว หากเขาคาดเดาไม่ผิด ในคฤหาสน์คงเต็มไปด้วยพลพรรคเก่าของเฉียนหยุนกับพวกบอดี้การ์ดที่จ้างมาเพื่อป้องกันตัวโดยเฉพาะ ถ้ามีเพียงแค่นั้นคนของเขาก็สบายมืออยู่ กระนั้นเขาก็ยังอยากจะให้ระวังเหตุไม่คาดฝันด้วย เพราะสุนัขที่ถูกต้อนให้จนตรอกนั้น....มันอาจจะทำอะไรก็ได้

“ท่านโปรดระวังตัวด้วยนะครับ แล้วพวกผมจะรีบตามไป”

เซินเฟยพยักหน้ารับความหวังดีตามหน้าที่นั้นก่อนจะสั่งให้คนขับออกรถ เครื่องยนต์ของรถกระหึ่มอย่างเงียบงันก่อนที่มันจะค่อย ๆ เคลื่อนหายไปในความมืดเพื่อล่วงหน้าไปรอฟังผล กลุ่มชายในชุดดำที่เหลือมองหน้ากัน พวกเขาเป็นมือสังหารที่ถูกฝึกฝนเพื่อรับใช้จูเชว่ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีคำว่าพลาด มิเช่นนั้นแม้ที่ซุกหัวก็อาจจะไม่เหลือให้คิดถึง

“ลงมือ”

-------------------->

อากาศเย็นมักส่งผลเสียต่อเซินเฟยอยู่เสมอ ประสาทสัมผัสของเขาด้านชา ปลายนิ้วเย็นเฉียบ กระทั่งสมองยังเหมือนจะโดยแช่แข็งจนทื่อ หวางซิงที่รู้ใจเจ้านายดีจึงสั่งให้คนรถลดระดับความแรงของเครื่องปรับอากาศลง เมื่อห้องโดยสารอุ่นขึ้น เซินเฟยจึงผ่อนลมหายใจออกมาแล้วซุกตัวเข้าไปในเสื้อขนสัตว์

“คือว่า....”

“ถ้านายพูดออกมาสักคำเดียว ฉันจะโยนนายออกไปข้างนอก” เซินเฟยขู่เสียงเรียบเรื่อย ตอนนี้เขากำลังอยู่ในภาวะกดดัน ดังนั้นอะไรที่ทำให้อารมณ์เสียจึงควรอยู่ห่าง ๆ เขาเสียหน่อย แต่ห้องโดยสารของรถส่วนตัวไม่ได้กว้างขวางนัก เซินเฟยจึงต้องทำเป็นว่ามองไม่เห็นฉู่เหวินจือไปเสีย แม้แต่เสียงก็ไม่อนุญาตให้เปล่งออกมา

ฉู่เหวินจือรู้สึกว่างอย่างมากเขาจึงเลือกที่จะมองออกไปนอกหน้าต่าง เวลาที่ทำให้เซินเฟยโกรธดูจะลดความสนุกลงไปโข เพราะเขาไม่อาจพูดอะไรให้อีกฝ่ายโมโหจนหน้าดำหน้าแดงได้เลย

ทิวทัศน์ภายนอกค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามระยะทาง ไม่นานนัก ภาพชุมชนแออัดและรถราที่คลาคล่ำก็เปลี่ยนเป็นสถานที่โล่งกว้างก่อนจะเข้าสู่เขตที่มีตู้คอนเทนเนอร์โลหะวางเรียงซ้อนกันเป็นจำนวนมาก สองข้างทางที่รถเคลื่อนผ่านมีรั้วเหล็กกั้นอยู่ มองเข้าไปข้างในเป็นลานสำหรับพักสินค้าที่จะส่งขึ้นเรือหรือนำลงจากเรือ ในลานมีเส้นแบ่งคั่นส่วนอยู่ บางส่วนก็มีตู้คอนเทนเนอร์วางเอาไว้และปิดเรียบร้อย บางส่วนก็มีตู้ที่เปิดรอสินค้าเติมเต็มอยู่ และบางตู้ก็ไม่ได้ใช้เก็บสินค้าแต่เป็นตู้นอนสำหรับคนงานที่ทำหน้าที่จัดการสินค้าเหล่านั้น

เลยจากลานพักสินค้าไปก็เข้าสู่เขตของท่าเรือ พื้นน้ำกว้างใหญ่ปรากฏตรงหน้าและเรือลำใหญ่ที่จอดเรียงรายเฝ้ารอการเดินทางข้ามผืนน้ำไปสู่อีกฟากฝั่งของทะเล เครนสำหรับยกของขึ้นเรือรวมถึงรถโฟล์คลิฟต์จอดนิ่งสนิทอยู่ในที่ของมัน

รถสีดำสนิทแล่นเข้าเทียบโกดังสินค้าหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากฝั่งมาเล็กน้อย บริเวณนั้นไม่มีใครผ่านไปมาในยามวิกาลทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมต่อการสำเร็จโทษใครสักคนโดยที่ไม่ทำให้ใครแตกตื่นตกใจ จริงอยู่ว่าตระกูลเซินมีสถานที่ลับสำหรับลงโทษหรือกระทั่งสำเร็จโทษอยู่มากมาย แต่เซินเฟยก็ไม่นิยมใช้งานสถานที่เหล่านั้นนักเพราะอยู่ในที่ชุมชน

ท่าเรือเป็นสถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากการรู้เห็นของผู้คน เมื่อจัดการเสร็จแล้วก็กำจัดศพได้ง่ายอีกด้วย แค่หล่อหินปูนแล้วถ่วงลงน้ำไปเสีย ไม่นานปลาก็จะมาตอดกินเนื้อจนเหลือแต่โครงกระดูกที่จะค่อย ๆ ผุพังไปตามกาลเวลา รอบเกาะฮ่องกงไม่มีโบราณสถานใต้น้ำใด ๆ ให้นักโบราณคดีสำรวจ ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวเลยว่าศพจะถูกพบตราบใดที่มันไม่ลอยขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรม

หวางซิงยกนาฬิกาขึ้นดู ตอนนี้เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง การจะบุกทะลวงเข้าไปในคฤหาสน์ที่รักษาความปลอดภัยอย่างดีและไม่รู้สถานที่อยู่ของเป้าหมายแน่ชัดย่อมต้องใช้เวลามากเป็นเรื่องปกติธรรมดา และเซินเฟยก็กำลังนั่งรออย่างใจเย็น

คนรถดับเครื่องเพื่อไม่ให้รถยนต์เป็นที่สังเกตของเวรยามท่าเรือ ความมืดของสถานที่ช่วยซ่อนการมีอยู่ของพวกเขาได้ดีในระดับหนึ่ง

เซินเฟยเลื่อนกระจกรถลง ลมเย็นของชายฝั่งพัดวูบเข้ามาในรถทำให้เขาต้องกระชับเสื้อขนสัตว์ให้แน่นหนาขึ้น เสียงคลื่นแว่วอยู่ไกล ๆ เป็นเพราะอากาศหนาวเสียงจึงเบากว่าที่ควรจะเป็นแต่มันก็ยังชัดเจนพอที่จะรู้ว่าชายฝั่งอยู่ไกลออกไปแค่ไหน

“จะพักก่อนไหมครับ?” หวางซิงช่วยกระชับเสื้อให้อีกชั้นหนึ่ง “คงอีกราว ๆ 2 ชั่วโมงพวกเขาถึงมากัน”

หลายคืนที่ผ่านมา เซินเฟยแทบจะไม่ได้หลับเต็มตาเลย ความเครียดทำให้ประสาทเกร็งกว่าปกติ แม้จะรู้สึกง่วงแค่ไหน แต่หลับไปได้ไม่เท่าไหร่ก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมา หรือไม่ก็ไม่ได้หลับเลยตลอดคืน เรื่องนี้ยังไม่ถึงหูหมอจือเพราะเซินเฟยห้ามหวางซิงรายงาน และเพราะยังไม่ถึงเวลาตรวจสุขภาพประจำเดือน จือหยินจึงไม่ได้แวะเวียนมาที่บ้านตระกูลเซินเลยสักครั้งเดียว

“2 ชั่วโมงเลยหรือ....” เซินเฟยพูดพลางหรี่ตาลง ลมหนาวทำให้เขารู้สึกง่วงและอยากจะหลับ หวางซิงจึงขยับให้เซินเฟยนั่งกึ่งนอน เลื่อนกระจกหน้าต่างขึ้นไปให้เหลือช่องเปิดเพียงเล็กน้อยสำหรับอากาศถ่ายเท เขาวางผ้าห่มหนานุ่มทับบนอกอีกชั้นหนึ่ง ไม่นานนักเซินเฟยจึงหลับตาลง

หวางซิงส่งสัญญาณให้ฉู่เหวินจือลงจากรถไปพร้อมกับเขา ตอนนี้ทั้งสองจึงกำลังยืนโต้ลมทะเลอยู่ด้วยกันโดยคนหนึ่งกำลังพิงรถจุดบุหรี่สูบ อีกคนถอดแว่นออกเช็ดฝ้าที่ทำให้มองข้างหน้าไม่ถนัด

“คุณอยากถามใช่ไหมว่าผมกับคุณเซินมีเรื่องอะไรกัน” ฉู่เหวินจือเอ่ยขึ้นเมื่ออัดบุหรี่เข้าปอดเฮือกหนึ่ง ควันสีขาวของละอองน้ำผสมกับควันสีเทาของบุหรี่ลอยขึ้นไปในอากาศตามจังหวะการพูด

“ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะถามไหม” หวางซิงตอบตามตรง เพราะในหน้าที่ของเลขาไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องรู้เรื่องของเจ้านายไปทุกเรื่อง

“อืม....ผมมีงานอดิเรกคือการถ่ายรูป” แม้หวางซิงจะไม่ได้ตอบชัดเจนแต่ฉู่เหวินจือก็เริ่มเล่าออกมา

“คุณเซินก็ไม่ได้เกลียดการถ่ายรูปนะครับ”

“เรื่องนั้นผมไม่รู้หรอก” ฉู่เหวินจือหัวเราะ “แต่ว่าบางทีที่ผมไม่ได้พกกล้องผมก็จะใช้มือถือถ่าย แล้ว....บังเอิญผมถ่ายรูปนี้ได้ตอนกำลังจะไปดูสถานที่สร้างโรงแรม” ว่าไป ฉู่เหวินจือก็กดหารูปในมือถือก่อนจะคาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วส่งให้หวางซิงดู

หวางซิงใช้เวลาเพ่งผ่านฝ้าขาวบนแว่นที่เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้างแล้วชี้ไปยังรูปบนจอโทรศัพท์มือถือ

“อย่าบอกนะว่า....คุณเอารูปนี้ให้คุณเซินดู”

“ก็ใช่น่ะสิครับ ก็นี่หมอจือไม่ใช่หรือ?” ฉู่เหวินจือยังทำหน้าพาซื่อ

“ก็ใช่อยู่หรอกครับ” หวางซิงกุมขมับ เขาไม่อาจเปิดเผยเรื่องที่เซินเฟยมีความรู้สึกดี ๆ ให้จือหยินได้จึงไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร “ว่าแต่....ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ นี่เป็นคนรักหรือครับ?”

“อาจจะเป็นน้องสาวก็ได้ใครจะรู้” ชายหนุ่มไหวไหล่แล้วเก็บมือถือกลับเข้ากระเป๋า “ว่าแต่.....วันนี้หนาวจริง ๆ เลยนะ”

“คงเพราะอยู่ใกล้ทะเลด้วยมั้งครับ” หวางซิงตอบกลับแล้วอดที่จะมองลอดเข้าไปในรถไม่ได้ เมื่อเห็นเซินเฟยยังหลับดีอยู่จึงคลี่ยิ้มออกมา “แต่บรรยากาศเงียบ ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินหวางซิงพูดอย่างนั้น ฉู่เหวินจือจึงเลิกคิ้วแล้วหันกลับมามองที่รถบ้าง จะว่าไปเขาก็ไม่เคยเห็นภาพตอนเซินเฟยหลับเลยสักครั้ง เพราะเขตที่ห้องนอนของเซินเฟยตั้งอยู่เขาถูกห้ามเข้าไปเด็ดขาด ทำได้เพียงอยู่ในห้องของตัวเองและลงมาเดินในสวนและห้องทำงานข้างล่างเท่านั้น

ฉู่เหวินจือเปิดประตูรถโดยไม่ฟังคำทัดทานของหวางซิงที่เกรงเซินเฟยจะรู้สึกตัว ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปแล้วเก็บเข้าที่อย่างรวดเร็ว ซ้ำยังไม่วายหันมาจุ๊ย์ปากให้หวางซิงช่วยเก็บเรื่องนี้เห็นความลับด้วย หวางซิงที่ตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดถึงกับกุมขมับ หากเซินเฟยรู้เข้าเขาต้องโดนด่าไปด้วยแน่ ๆ

-------------------->

ไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานเท่าไหร่ แต่มีใครคนหนึ่งเขย่าตัวปลุกจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา

“คุณเซิน พวกเขามาแล้วครับ ตอนนี้รออยู่ข้างใน” หวางซิงรายงานแล้วพยุงเซินเฟยออกมาจากรถ เด็กหนุ่มจำต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อสลัดความง่วงงุนออกไป ไม่นานนักเขาก็ตาสว่างพอที่จะจัดการเรื่องให้เรียบร้อย

“ไปกันเถอะ” คำสั่งสั้น ๆ ถ่ายทอดออกมาก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวนำเข้าไปในโกดังตรงหน้า

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 9 (21/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 21-02-2011 17:51:07
กลิ่นเกลือและสนิมปะปนกันทำให้รู้สึกไม่สบายจมูกนัก ในโกดังที่มืดสนิทมีคอนเมนเนอร์สินค้าเรียงรายอยู่จนเกือบจะถึงเพดาน ที่ถึงอย่างนั้นพื้นที่ตรงกลางกลับไม่มีตู้คอนเทนเนอร์แต่มีเก้าอี้วางอยู่ตัวหนึ่ง และผู้ชายคนหนึ่งถูกมัดไว้แน่นหนา มีคนในชุดดำรายล้อมอยู่ 4-5 คน

“เหล่าเฉียน สบายดีไหม?” เซินเฟยเอ่ยทักทายก่อนเรียกให้คนที่ถูกมัดเงยหน้าขึ้น

“ไม่ได้เจอกันเสียนานนะจูเชว่ ถ้ามีธุระกับเหล่าเฉียนแค่เรียกหาเหล่าเฉียนก็ไปหาอยู่แล้ว ทำไมต้องใช้กำลังด้วยล่ะ?” แม้จะอยู่ในภาวะเสียเปรียบ แต่เฉียนหยุนก็ยังคงเยือกเย็นไม่แสดงอาการโวยวายออกมาแม้แต่น้อย

“เหล่าเฉียน ที่ผ่านมาคุณหายไปอยู่ที่ไหน?” เซินเฟยไม่นำพาต่อคำประจบประแจงแกมเสียดสี “คงลำบากมากใช่ไหมครับหลังจากที่ออกจากแก๊งค์ไปแล้ว”

“จูเชว่คิดถึงเหล่าเฉียนหรือ? เป็นบุญของเหล่าเฉียนจริง ๆ ที่จูเชว่ถามสารทุกข์สุขดิบแบบนี้” เฉียนหยุนพูดพลางหัวเราะ “เหล่าเฉียนก็อยู่สุขสบายดี กำลังคิดจะเริ่มกิจการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ ๆ คนมันแก่แล้วก็อย่างนี้แหละนะ น่าอิจฉาคนหนุ่ม ๆ อย่างจูเชว่จริง ๆ ทำงานหามรุ่งหามค่ำใช้พลังงานในวัยเด็กอย่างเต็มที่อย่างนี้ระวังแก่ตัวแล้วจะลำบากนะ”

เซินเฟยหางคิ้วกระตุก พูดได้อย่างนี้แสดงว่าจับตาดูเขามาตลอดสินะ....

“กิจการค้าขาย.....” เซินเฟยทวนคำ “จะให้ผมช่วยอะไรไหม? ยังไงเหล่าเฉียนก็เป็นคนเก่าคนแก่ ถึงจะละเลยหน้าที่แต่ผมก็ไม่อยากจะให้เหล่าเฉียนฝืนสังขารมากเกินไป”

“หึ ๆ ไม่รบกวนจูเชว่หรอก เหล่าเฉียนก็ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้แหละดีแล้ว”

จนกระทั่งในสถานการณ์อย่างนี้ เฉียนหยุนก็ดูจะไม่ยอมรับง่าย ๆ ว่าตนเป็นตัวการของความวุ่นวายในตอนนี้ คำพูดสนทนาราวกับตั้งใจจะเบี่ยงออกนอกเรื่องไปเสียมาก เซินเฟยพยักหน้าให้คนนำเก้าอี้มาให้ ก่อนที่เขาจะนั่งลงแล้วไขว่ห้างด้วยความเคยชิน

“คฤหาสน์หลังนั้น....สวยดีนะ”

“ถ้าจูเชว่อยากได้จะสร้างสักกี่หลังก็ได้ไม่ใช่หรือ?”

“ผมก็แค่สงสัยว่าเป็นของใครกัน รสนิยมดูคล้าย ๆ ผมอยู่เลยอยากจะลองคุยด้วยสักครั้ง” เซินเฟยเหลือบสายตาขึ้นมองปฏิกิริยาตอบรับ แต่เฉียนหยุนก็ยังเยือกเย็นอยู่เช่นเดิม

อะไรกันนะที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ไม่เกรงกลัว....

“จูเชว่ ผมต้องยอมรับว่าคุณกับผมไม่ลงรอยกันหลายเรื่อง แต่เหล่าเฉียนมีเรื่องจะบอก”

“ว่ามา ผมกำลังฟัง” แม้จะพูดอย่างนั้น เซินเฟยกลับหันไปส่งสัญญาณให้มือสังหารคนหนึ่งด้วยสายตา คน ๆ นั้นเพียงพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปจากโกดังอย่างเงียบ ๆ

“คนเรามันต้องรู้จักที่ของตัวเอง จูเชว่รู้หรือเปล่าว่าคนเราน่ะเกิดมาก็มีหน้าที่เฉพาะทั้งนั้น แล้วมันก็ไม่ได้ขึ้นกับตัวเราเองหรอกนะ แต่มันขึ้นอยู่กับเชื้อสายชาติตระกูล จูเชว่คิดดูสิว่าถ้านกกาโตมาเป็นหงส์มันจะประหลาดพิกลขนาดไหนจริงไหม? โลกเรามันก็มีกฎเกณฑ์ เหมือนอย่างที่จูเชว่กับอีกสามคนนั่นมันกฎเกณฑ์เพื่อรักษาสมดุลอำนาจระหว่างกันนั่นแหละ” เฉียนหยุนพูดเรื่องราวที่ฟังผ่าน ๆ ก็จะเหมือนเรื่องสามัญธรรมดาประสาคนแก่หัวโบราณ แต่สำหรับเซินเฟยกลับรู้ถึงความนัยชัดเจน

ชัดเจนมากพอที่หัวใจจะเต้นแรงด้วยความโมโห....

“เหล่าเฉียนจะบอกว่า...นกกาก็ควรเป็นนกกาต่อไป”

“ใช่ จูเชว่เข้าใจถูกแล้ว” เฉียนหยุนตอบรับอย่างอารมณ์ดี

“ถ้าอย่างนั้น เหล่าเฉียนช่วยตอบหน่อยได้ไหม? หากหงส์ตายไปจนหมด เราจะทำอย่างไรจึงได้สมดุลกลับคืนมา” คำถามของเซินเฟยทำให้เฉียนหยุนเงียบไปครู่หนึ่ง

“ถึงหงส์จะสูญพันธุ์ แต่ก็ยังมีนกอีกหลายชนิดที่เหมือนหงส์มากกว่ากา เหล่าเฉียนคิดว่าควรให้นกเหล่านั้นเป็นหงส์เสียจะดีกว่ากา”

คำตอบนั้นทำให้เซินเฟยต้องเม้มปากด้วยความพยายามที่จะสะกดกลั้นอารมณ์ เฉียนหยุนคนนี้จะอวดดีเกินไปแล้ว คำตอบของเฉียนหยุนนั้นแปลความได้ไม่ยากเลย

โดยปกติแล้ว แม้จะเกี่ยวดองด้วยสายเลือดแต่จูเชว่ก็ไม่เคยดึงเอาตระกูลสายรองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในองค์กร สายรองนั้นหากคิดดี ๆ แล้วก็ไม่ต่างกับกาฝากที่เกาะกินสายตระกูลหลัก เพียงแค่อยู่เฉย ๆ และดื่มด่ำกับอำนาจบารมีของแซ่ที่นำหน้าชื่อ เพียงแค่บอกว่าเป็นคนแซ่เซิน ไม่ว่าใครในฮ่องกงก็พร้อมยอมก้มหัวให้ กลับกัน พวกหัวหน้าแก๊งค์ที่ทำหน้าที่บริการในองค์กรกลับใกล้ชิดจูเชว่ยิ่งกว่า สำหรับหลาย ๆ องค์กร เมื่อผู้นำสิ้นทายาท คนที่ใกล้ชิดและรู้งานที่สุดมักจะได้รับทุกอย่างไป

เซินเฟยรู้ได้โดยทันทีว่าเฉียนหยุนไม่ได้หวังดีกับตระกูลเซินมาแต่แรกแล้ว เจ้าตัวเพียงแต่เฝ้ารอโอกาสอันเหมาะสมที่ตนเองควรจะได้เท่านั้น และบังเอิญอาของเขาหายตัวไปโดยไม่มีลูกเลยแม้แต่คนเดียวทำให้เฉียนหยุนไขว่คว้าโอกาสนี้อย่างเต็มความสามารถ แต่แล้ว...มันกลับตกลงมาที่เขาซึ่งไม่มีอะไรเลย...

เหมือนวิมานทองสลายไปต่อหน้า เฉียนหยุนถึงได้พยายามเขี่ยเขาออกไป

เฉียนหยุนอยากเป็นจูเชว่เสียเอง...

ช่างโง่เขลาเสียจริง....จริงอยู่ว่าหากเฉียนหยุนเป็นจูเชว่ก็อาจได้รับการยอมรับจากคนอื่น ๆ แต่มันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้....เหตุผลเดียวที่ตำแหน่งสูงสุดมีเพียง 4 คนและไม่เคยเปลี่ยนแปลงนั่นเพราะต้นตระกูลทั้งสี่เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรขึ้นมา ตราบใดที่เฉียนหยุนยังคงแซ่เฉียนก็จะไม่มีวันได้เป็นจูเชว่สมใจ แต่ดูเหมือนว่า ถึงเจ้าตัวจะรู้เรื่องนี้ดีแต่ก็พยายามจะทำให้เข้าทางตนเองให้ได้ด้วยการสั่งสมบารมีขันแข่งกับอำนาจของจูเชว่

อย่างนี้ใครจะโง่กว่ากันนะ...ระหว่างกาที่ถูกบังคับให้นั่งบัลลังก์หงส์ หรือห่านที่ตะเกียกตะกายหมายจะเป็นหงส์

โกดังเงียบไปอึดใจหนึ่ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาระหว่างนั้น แต่แล้วกลับมีใครคนหนึ่งทำลายความเงียบนั้นลง ชายชุดดำที่ออกไปก่อนหน้านี้กลับเข้ามายืนตรงข้างเซินเฟยก่อนจะเอ่ยรายงาน

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“งั้นหรือ....ถ้าอย่างนั้นก็ได้เวลาเสียที” เซินเฟยลุกขึ้นจากเก้าอี้เสมือนการรอคอยได้สิ้นสุดลง เขาเดินเข้าไปใกล้เฉียนหยุนแล้วหยุดยืนตรงหน้า “มีอะไรอยากจะพูดกับผมอีกไหม?”

ทั้งที่เซินเฟยไม่ได้ทำเสียงที่ดุดันน่ากลัวขึ้น ที่สีหน้าของเฉียนหยุนกลับซีดเผือดราวกับรู้ว่าอะไรที่ ‘เรียบร้อย’ ไปแล้ว

“นึกไม่ถึงหรือครับ? เป็นผมเองก็คงนึกไม่ถึงว่าคนของคุณ อืม....” เซินเฟยเว้นจังหวะไปเล็กน้อย

“11 คนครับ”

“ใช่ 11 คนจะดั้นด้นตามมาเอาตัวคุณคืน แต่เพราะคุณแสดงไม่สมจริงผมก็เลยสั่งให้คนของผมออกไปดู” บรรยากาศที่ถูกกดดันเมื่อครู่ถูกสลายไปสิ้น เซินเฟยกลับมายืดตัวเชิดหน้าอย่างสง่าผ่าเผยอีกครั้ง “เหล่าเฉียน แล้วผมแสดงท่าทางของคนที่ถูกคุณปั่นหัวจนสับสนเหมือนหรือเปล่า?”

“เหล่าเฉียนไม่กล้าขนาดนั้นหรอก” แม้จะอับจนหนทาง แต่เฉียนหยุนก็ยังปากแข็ง เซินเฟยจึงเลิกล้มความตั้งใจที่จะใช้วิธีละมุนละม่อม

“นิ้วเดียวก่อนก็แล้วกัน”

สิ้นคำพูดนั้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับเสียงลั่นของกระดูกก็ดังขึ้น นิ้วชี้ข้างขวาของเฉียนหยุนบิดงอผิดรูปไปจากเดิม และเมื่อเซินเฟยมุ่นหัวคิ้วเพียงเล็กน้อยด้วยความรำคาญ ผ้าที่มัดปมตรงกลางจนแน่นผืนหนึ่งก็คาดเข้ากับปากของเฉียนหยุนทำให้เสียงเล็ดรอดออกมาได้เพียงเล็กน้อยและไม่อาจสร้างความรำคาญให้กับเซินเฟยได้อีก และแน่นอน....ตอนนี้เขาไม่ได้อยากจะฟังอะไรอีกแล้ว เพียงแต่การฆ่าโดยทันทีนั้นจะไม่สามารถทำให้ใครรู้สึกหวาดกลัวจนถึงขีดสุดได้ ในเมื่อเขาต้องการจะใช้เฉียนหยุนเป็นตัวอย่างของการคิดทรยศ ก็ต้องทำให้น่าพรั่นพรึงเสียหน่อย พวกที่เหลือจะได้เรียนรู้ถึงการยำเกรงมากขึ้น

“ลูกสาวของเหล่าเฉียนสุขสบายดีใช่ไหม?”

เสียงอึกอักด้วยความโกรธแค้นดังขึ้นทันทีด้วยรู้ความหมายในคำพูดที่เซินเฟยจงใจเอ่ยออกมาก่อนจะแทนด้วยเสียงกระดูกและการกรีดร้องที่อู้อี้ในลำคอ

“เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศได้ไม่นานด้วย” เซินเฟยยังคงพูดต่อไปราวกับไม่เห็นประกายของความเกลียดชังในดวงตาของคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้า “ดูเหมือนเธอจะไม่รู้เลยว่าพ่อของเธอทำงานอะไร ว่าที่ทนายความ....แต่มีพ่อเป็นอาชญากรงั้นหรือ? โลกเรามีความขัดแย้งอย่างที่คุณว่าไว้จริง ๆ”

เสียงในคอของเฉียนหยุนเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เป็นอย่างที่เซินเฟยคาดไว้ ถึงเฉียนหยุนจะเลือดเย็นอย่างไรก็ยังรักครอบครัวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกสาวคนเดียวของตนเอง เขาจึงจงใจหยิบเอาเรื่องนี้มาขู่แม้ไม่คิดจะทำอะไรกับครอบครัวของเฉียนหยุนอย่างจริงจัง ซึ่งนั่นก็จนกว่าจะถึงวันที่คนพวกนั้นเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา

“ตอนนี้คุณก็เข้าใจแล้วใช่ไหม? ความรู้สึกที่หงส์ตัวหนึ่งมีให้ลูกกาที่เลี้ยงดูมาและทำให้กาตัวนั้นกลายเป็นหงส์”

กร๊อบ!

ครั้งนี้หัวไหล่ซ้ายของเฉียนหยุนถูกดึงจนหลุด เขาดิ้นพร่านไม่ต่างกับถูกโยนลงไปในน้ำมันเดือด

“ตอนนี้มันก็เหมือนว่าคุณเป็นห่านที่ได้แต่คลุกดินคลุกเลน ส่วนลูกสาวคุณเป็นนกพิราบที่เลือกบินไปบนฟ้านั่นแหละ” ว่าไป เซินเฟยก็เดินกลับไปที่เก้าอี้อีกครั้งแล้วนั่งลง “ถ้าลูกสาวคุณรู้ว่าคุณเป็นยังไง เธอก็คงพยายามพาคุณกลับขึ้นไปบนฟ้า มันก็เหมือนกับที่จูเชว่คนก่อนทำให้ผมยืนอยู่ตรงนี้ เมื่อถึงเวลานั้นคุณจะยังดูถูกว่าลูกสาวคุณโง่เขลาหรือเปล่า เหล่าเฉียน?”

ระหว่างที่เซินเฟยอธิบาย นิ้วก็ถูกหักไปทีละนิ้ว ๆ เสียงเก้าอี้ไม่กระทบพื้นกึกกักทำให้เซินเฟยนึกรำคาญ เพียงแค่สีหน้า ชายชุดดำสองคนก็เข้าไปกดเก้าอี้ของเฉียนหยุนให้นิ่งไม่ขยับอีก

แต่ว่า.....แม้จะเสียเวลาพูดไปถึงขนาดนี้ แววตาเกลียดชังระคนเย้ยหยันของเฉียนหยุนก็ยังไม่หมดไป ทำให้เซินเฟยรู้สึกว่า บางครั้งคนบางคนก็ยากเกินจะเยียวยาจริง ๆ แต่เขาเองก็เหนื่อยกับเรื่องนี้มามากแล้ว ให้มันจบ ๆ ไปเสียก็ดีเหมือนกัน

“แกะผ้านั่นออก ฉันอยากให้เขาพูดอะไรทิ้งท้ายเสียหน่อยจะได้ไม่ค้างคาใจ”

สิ้นคำสั่ง ผ้าผูกปากก็ถูกคลายให้หลวมขึ้น เฉียนหยุนหอบหายใจพยายามอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่รุมเร้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วแสยะยิ้มอย่างน่ารังเกียจ

“ไอ้เด็กนอกคอก อย่างแกน่ะอยู่ได้ไม่นานนักหรอก!”

ผลั่ก!

การ์ดคนหนึ่งเหวี่ยงหมัดใส่โหนกแก้มของเฉียนหยุนทันที จุดที่โดนชกมีเลือดแตกซิบซ้ำเลือดยังทะลักออกจากปากเล็กน้อยเพราะฟันบางซี่ถูกแรงกระแทกจนหลุด กระนั้นเฉียนหยุนก็ยังไม่หมดสติในทันที และเมื่อเขาคิดจะลุกขึ้นมาพูดต่อการ์ดคนเดิมก็คว้าหมับเข้าที่สันกรามแล้วออกแรงบีบจนกระดูกกรามแตกทำให้ในตอนนี้แม้เฉียนหยุนอยากจะพูดอะไรก็พูดไม่ได้ ทำได้เพียงร้องด้วยความเจ็บปวดเหลือประมาณ

เซินเฟยลุกขึ้นและผินหลังให้ เป็นสัญญาณว่าจบเรื่องได้เลย แต่แล้ว ขณะที่เซินเฟยกำลังจะเดินออกไปฉู่เหวินจือกลับเข้ามาขวางหน้า

“มีอะไร?” เพราะอารมณ์ยังไม่ค่อยดีนักเสียงของเซินเฟยจังดูแข็งกระด้างกว่าเก่า

“ผมขอคุยกับเฉียนหยุนครู่หนึ่งได้ไหม?”

เซินเฟยหันไปมองเฉียนหยุนแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับมา

“ระวังมันจะหมดสติก่อนก็แล้วกัน” เมื่อเซินเฟยอนุญาต คนอื่น ๆ จึงถอยออกไปยืนห่าง ๆ ขณะที่ฉู่เหวินจือสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วฉีกยิ้มให้คนที่อยู่ในสภาพปางตาย

“จำผมได้ไหม?” คำถามนั้นทำให้เฉียนหยุนมุ่นคิ้ว ฉู่เหวินจือจึงกระแอมเบา ๆ สองสามครั้งแล้วกดเสียงต่ำอีกนิด “แล้วอย่างนี้ล่ะเหล่าเฉียน?”

ทันใดนั้นเฉียนหยุนก็เบิกตากว้างก่อนจะดิ้นทุรนทุรายราวกับโกรธแค้นฉู่เหวินจือมาเสียหลายชาติแต่เพิ่งรู้ตัว กระนั้นเสียงก็ดังอยู่ไม่นาน ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างแล้วชักปืนออกมาก่อนเล็งไปที่ศีรษะ

“ให้ผมช่วยก็แล้วกัน”

แล้ว....ร่างของเฉียนหยุนก็แน่นิ่งไป ชายหนุ่มเก็บปืนแล้วเดินมาสมทบกับคนอื่น ๆ ที่รั้งรออยู่ในโกดังด้วยอารมณ์ชื่นบาน แต่แล้วทันใดนั้นเองที่เสียงปืนดังขึ้นจากอีกที่ ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกใจก่อนจะรีบพากันวิ่งออกไปข้างนอกซึ่งเซินเฟยกับหวางซิงพาการ์ดส่วนมากออกไปรออยู่ แต่เมื่อพวกเขาออกไปถึงก็พบว่าสถานการณ์สงบลงแล้ว การ์ดส่วนใหญ่ยืนถือปืนเฝ้าระวัง แต่ก็มีคนโดนยิงบ้างเหมือนกัน กระนั้นกลับมีบางส่วนออกันเข้าไปที่รถพวกเขาจึงรีบตามเข้าไปดู

“เกิดอะไรขึ้น!?” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนถามผ่านความชุลมุนวุ่นวาย

“ดูเหมือนว่าจะมีคนซุ่มรออยู่ข้างนอก” หวางซิงตอบ ตัวเขาเองโดนยิงเฉียดที่ไหล่ขวานัดหนึ่ง แต่ในอ้อมแขนของเขาคือเซินเฟยที่กำลังกัดฟันด้วยความเจ็บปวด ที่ขาข้างซ้ายมีรอยถูกกระสุนเจาะเข้าไปและฝังอยู่ข้างใน ลิ่มเลือดไหลทะลักออกมาเมื่อเจ้าตัวพยายามกดแผลเอาไว้

“พาท่านจูเชว่ขึ้นรถ! รีบไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!” เสียงของหัวหน้าการ์ดเอ่ยสั่งลูกน้องที่เฝ้าระวังรอบด้าน “แก! โทรหาหมอจ้าว บอกว่าจูเชว่โดนยิง!”

ขบวนรถสีดำมันปราบเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณโกดังหลังความชุลมันผ่านพ้นและมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ห่างออกไปนับ 10 กิโลเมตร


TBC



ทอล์ค

เพิ่งรู้วันนี้เองว่าการที่อ.พาไปทัวร์ท่าเรือมันมีประโยชน์! (แต่อ.คงไม่ได้คิดจะให้เป็นประโยชน์ด้านนี้หรอก....)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 9 (21/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 21-02-2011 18:26:41
จิ้มๆๆๆ


กรี๊ดดดดดดดดดด  ใครหักหลังจูเชว่
คุณฉู่รึป่าวววว

ไม่น๊าๆๆๆ
ตอนนี้ชอบอ่ะ จิตดี 555

เนื้อเรื่องเข้มข้นมาก

ป.ล. ญ่าอยากบอกว่าญ่าเป้นแฟนคลับของคนเขียนมา2เรื่องแล้ว  สนุกทั้ง2เรื่องเลยยย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 9 (21/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 21-02-2011 19:16:17
ลุ้น จนเกร็งไปหมดแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 9 (21/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 21-02-2011 19:24:39
โอ้วว จูเชว่ถูกยิงงง
ใครทำกันนะ บังอาจจริงๆ
ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 22-02-2011 13:44:12
-10-



ตั้งแต่เกิดมา เซินเฟยไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องมานอนแซ่วอยู่ในโรงพยาบาลเพราะถูกยิง ซ้ำยังโดนยิงที่ต้นขาทำให้เวลาหมอมาดูแผลครั้งหนึ่งก็ต้องร่นกางเกงลงจนเกือบพ้นหัวเข่า ในชีวิตเขาจะมีเรื่องอัปยศมากกว่านี้รออยู่อีกไหมนะ?

ตอนนี้หวางซิงกำลังไปเจรจากับจ้าวผิงเหอเพื่อขอรับตัวเซินเฟยกลับบ้าน ทำให้เจ้าตัวต้องนอนรออยู่บนเตียงเพียงลำพัง แต่อย่างน้อยหน้าประตูก็ยังมีบอดี้การ์ดยืนเฝ้าอยู่จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีอันตรายใด ๆ มากร้ำกรายเขาได้ในเวลานี้

เซินเฟยจ้องมองเพดานแล้วพรูลมหายใจออกมา

เป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างวุ่นวายหรืออย่างไรกันนะ พอได้อยู่อย่างสงบ ๆ แล้วจึงได้รู้สึกว่างเปล่าถึงขนาดนี้

เสียงประตูเปิดไม่ได้ทำให้เซินเฟยละความสนใจไปจากเพดานห้อง เพราะคนที่จะเข้ามาในเวลานี้ได้ก็คงมีอยู่ไม่มากนัก

ผู้มาเยือนลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาข้างเตียงแล้วนั่งลง

“แผลเป็นยังไงบ้างครับ?”

เซินเฟยมุ่นคิ้ว ทำไมคนที่มาหาในเวลาที่เขากำลังอยู่ตามลำพังอย่างสงบต้องเป็นหมอนี่ด้วยนะ

“นายเอกก็เคยถูกยิง ไม่รู้หรือว่าแผลมันรูปร่างแบบไหน” เขาว่าเสียงขุ่น

“ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นเสียหน่อย” ฉู่เหวินจือหัวเราะ “ผมหมายความว่าคุณยังเจ็บอยู่หรือเปล่า หวางซิงกำลังทำเรื่องขอให้คุณกลับไปพักที่บ้าน ผมคิดว่าหมอจ้าวคงอยากแน่ใจว่าแผลของคุณจะไม่อักเสบจากการเคลื่อนย้ายและคนที่บ้านจะดูแลแผลได้อย่างถูกต้อง”

“เหล่าซือดูแลแผลนายได้ก็ต้องดูแลแผลฉันได้เหมือนกัน” เซินเฟยเริ่มมุ่นคิ้ว ทั้งที่เขาอยากจะพักผ่อนอย่างสงบ แต่ผู้ชายคนนี้นอกจากจะไม่รู้กาลเทศะแล้วยังไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจอีก

“นั่นสินะครับ....” ฉู่เหวินจือทอดเสียงก่อนจะยิ้มที่มุมปากแล้วตลบผ้าห่มออก

“จะทำอะ......” เสียงของเซินเฟยกลืนหายไปในลำคอเมื่อฝ่ายนั้นลูบปลายนิ้วลงไปที่ต้นขาซึ่งมีแผลเย็บประดับอยู่ ฉู่เหวินจือไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บ เพียงแต่เซินเฟยรู้สึกตกใจที่อีกฝ่ายหาญกล้าถือวิสาสะแตะเนื้อต้องตัวเขาตามใจชอบเท่านั้น

“คุณเซิน คุณน่ะคิดจะใช้ผมแค่นี้จนถึงเมื่อไหร่?”

คำถามของฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย

“หมายความว่ายังไง?”

“ก็....หมายความตามนั้น” ชายหนุ่มยิ้มออกมาแล้วทอดสายตาอ่านยากสบกับความสงสัยบนใบหน้าของคนป่วย “คุณไม่คิดจะใช้ผมให้มากกว่านี้หรือ? ใช้ประโยชน์จากผมมากกว่านี้น่ะ”

“ตอนนี้ฉันมีคนให้ใช้เยอะพออยู่แล้ว” เซินเฟยตอบแล้วปัดมืออีกฝ่ายออกจากต้นขา ทันใดนั้น ฉู่เหวินจือก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือแล้วรั้งให้ขยับเข้ามาใกล้ทั้งยังเลื่อนใบหน้าเข้าหาจนแทบชิด เจ้าตัวเท้าแขนข้างที่เหลือกับหัวเตียงแล้วโน้มใบหน้าลงจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดบนปลายจมูก เซินเฟยตกตะลึงกับการกระทำอันอุกอาจจนไม่ทันได้คิดต่อต้านขัดขืน

“ผมทำอะไรได้มากกว่านี้นะ....”

เซินเฟยเบิกตากว้างเมื่อฉู่เหวินจือยังคงเข้ามาใกล้มากขึ้น แต่เพราะขาเจ็บอยู่ข้างหนึ่งจึงไม่สามารถขยับตัวดังใจคิด ซ้ำมือที่รั้งข้อมืออยู่เมื่อครู่ ตอนนี้ยังเลื่อนขึ้นมาบีบบังคับให้แหงนลำคอขึ้น

ก๊อก ๆ

เสียงเคาะประตูทำให้การกระทำทั้งหมดชะงักลง ฉู่เหวินจือผละออกมาอย่างนึกเสียดาย

“มีคนมาขัดจังหวะซะแล้วสิ” เจ้าตัวพูดทีเล่นทีจริงทำให้เซินเฟยนึกสะท้านขึ้นมา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ในใจ สำหรับเซินเฟยแล้ว คนที่อ่านไม่ออกอย่างฉู่เหวินจืออาจจะเป็นคนที่น่าพรั่นพรึงที่สุด

ฉู่เหวินจือเดินไปเปิดประตูและเลี่ยงทางให้โดยเพียงแค่ยิ้มทักทายกับคนที่เดินสวนเข้ามาเท่านั้น

“รอบตัวคุณมีแต่คนแบบนั้นอยู่หรือไงกันนะ?” ผู้มาเยือนรายที่สองเอ่ยถามพลางไหวไหล่แล้วเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ที่ฉู่เหวินจือไม่ได้ลากไปเก็บ

“มู่อี้จิง?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว ไม่นึกว่าผู้ชายอวดดีคนนี้ยังกล้ากลับมาให้เห็นหน้าอีก “มีธุระอะไร”

“ก็หลายอย่าง...” มู่อี้จิงวางช่อดอกไม้ช่อใหญ่ที่อุตส่าห์ไปซื้อมาเยี่ยมลงบนโต๊ะก่อนจะขยับเนคไทให้เข้าที่ “เรื่องแรก ผมกับสารวัตรหรงช่วยเคลียร์เรื่องที่โกดังให้แล้ว ศพของเฉียนหยุนถูกหล่อปูนถ่วงน้ำไปตามระเบียบ ไม่มีใครรู้ใครเห็นและไม่มีข่าวออกมาอย่างแน่นอน แต่ว่าคุณนี่ทารุณอยู่นะ หักนิ้วเขาเสียหมดแบบนั้นทั้งที่ไม่ได้พยายามจะบังคับให้สารภาพอะไรเลยแท้ ๆ”

“คุณมีสิทธิมาวิจารณ์การลงโทษคนของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ” เซินเฟยพูดเสียงเข้ม “แล้วเรื่องอื่นล่ะ? มีอะไรก็รีบบอกมาให้ครบแล้วก็กลับไปทำงานของคุณได้แล้ว”

“อย่าเพิ่งไล่กันแบบนั้นสิครับ ผมไม่ได้คิดจะทำให้คุณโกรธหรอกนะ ดังนั้นช่วยนั่งดี ๆ อย่าทำท่าเหมือนพร้อมจะขย้ำคอผมแบบนั้นได้ไหม?” มู่อี้จิงจำต้องยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่ายเพราะอย่างไรเซินเฟยก็เป็นนายจ้างของเขาและเจ้านายของเขา และเขาเองก็ไม่คิดจะตัดรอนความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายแม้จะรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตานัก ที่เขามาครั้งนี้ก็ตั้งใจจะมาผูกมิตรเพื่อที่ต่อไปจะได้ทำงานด้วยกันอย่างราบรื่นเท่านั้น

เซินเฟยชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะขยับท่านั่งอย่างยากลำบากเล็กน้อย แต่ในที่สุดเขาก็สามารถพยุงตัวเองให้นั่งกึ่งเอนโดยมีหมอนรองแผ่นหลังอยู่สำเร็จ

“ก่อนอื่น ช่วยปิดผ้าม่านให้ผมที” เขาเอ่ยสั่ง ไม่รู้ว่าเพราะพักผ่อนน้อยเกินไปหรืออย่างไร แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาจึงทำให้รู้สึกแสบตาและเวียนหัวอย่างบอกไม่ถูก ตอนนอนราบอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอขยับตัวเร็ว ๆ เพราะฉู่เหวินจือเข้ามาก็ทำให้สมองโคลงเคลง ตอนนี้แค่นั่งตัวตรงอยู่ได้ก็นับว่าดีแล้ว หากไม่มีคนเข้ามากวนเขาคงจะหลับสักงีบระหว่างที่หวางซิงกำลังดำเนินเรื่องกับหมอจ้าวอยู่ แต่ดูเหมือนคนรอบตัวเขาจะไม่นิยมชมชอบให้เขาได้พักอย่างสบายนักจึงหาจังหวะเข้ามาพูดคุยได้เหมาะเจาะทุกคนไป

มู่อี้จิงเดินไปปิดม่านลง ทำให้ในห้องค่อนข้างสลัวแต่เซินเฟยกลับไม่ได้บอกให้เปิดไฟแต่อย่างใด

นายตำรวจหนุ่มยืนรออยู่นานแต่ไม่เห็นว่ามีคำสั่งใดอีก และเซินเฟยก็เอาแต่นั่งยืดหลังเงียบ ๆ เขาจึงเดินวนกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม

“ผมเคยบอกคุณเอาไว้ ถ้าคุณตีค่าของตนเองได้อย่างถูกต้องเมื่อไหร่แล้วค่อยกลับมา ตอนนี้คุณทำได้หรือยัง?”

มู่อี้จิงรู้ว่าจะพูดอะไรออกไปให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียคงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด อย่างไรเสีย สารวัตรหรงก็ย้ำเขาอยู่บ่อย ๆ ว่าเซินเฟยเป็นคนที่พูดคุยด้วยเหตุและผลได้เสมอตราบใดที่ไม่ทำให้เกลียดขี้หน้าไปเสียก่อน ดังนั้นเขาก็ควรยอมสงบศึกเพื่อความสงบในการสนทนาหลังจากนี้

“ครับ ผมคิดได้แล้ว”

“อย่างไรก็ตาม งานที่ผมอยากให้คุณทำก็มีคนทำแทนแล้ว ดังนั้นหากจะให้ผมพิจารณาเกี่ยวกับฝีมือของคุณคงต้องเอาไว้คราวหน้า” เซินเฟยกล่าวเสียงเรียบ เขารู้สึกถูกใจคนที่หาข้อมูลเรื่องเฉียนหยุนให้ไม่น้อย คนที่ทำงานได้รวดเร็วเที่ยงตรงขนาดนั้นหาได้ยากเต็มที

“มีคนทำแทนผม?” มู่อี้จิงมุ่นคิ้ว “งานไหนกัน?”

“สารวัตรหรงไม่ได้บอกคุณหรือว่าเรื่องของเฉียนหยุนได้โอนไปให้คนอื่นทำแล้ว?”

“เฉียนหยุน?” มู่อี้จิงยิ่งงงงันหนักกว่าเก่า “คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ? เรื่องของเฉียนหยุนมันเป็นงานที่ผมทำทั้งหมดแล้วก็เป็นคนส่งข้อมูลให้เลขาของคุณกับมือ”

เซินเฟยได้ยินก็นิ่งไปเล็กน้อย

“อะไรนะ?”

“เลขาของคุณมาบอกกับผมว่า คุณจะให้โอกาสผมแก้ตัวด้วยการทำงานนี้ ถ้าผลงานออกมาดีคุณอาจจะยกโทษให้”

“พูดบ้าอะไรกัน ก็อาซิงบอกว่า....” เซินเฟยชะงักไป งานนี้หวางซิงเป็นคติดต่อโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าปลายทางที่รับคำสั่งเป็นใคร รู้เพียงว่าเป็นคนในสารวัตรหรงและระยะนี้เขาก็วุ่นวายจนไม่ได้ติดต่อไปหาอีกฝ่ายเลยทำให้ไม่มีโอกาสได้ถามว่าคน ๆ นั้นที่สารวัตรหรงแนะนำให้ทำแทนมู่อี้จิงเป็นใคร

“คุณ.....เป็นคนทำทั้งหมดอย่างนั้นหรือ?”

“ก็ใช่น่ะสิครับ ผมยังเก็บสำเนาเอาไว้ด้วยนะถ้าคุณไม่เชื่อ” มู่อี้จิงทำหน้าเครียดไม่แพ้กัน

“แล้วแปลนคฤหาสน์....”

“นั่นผมก็เป็นคนติดต่อ”

“คุณรับงานผ่านเลขาของผมมานานหรือยัง?”

“ก็ราว ๆ สองอาทิตย์กว่า ๆ พูดง่าย ๆ คือตั้งแต่คุณเริ่มงานผมก็เป็นคนทำมาตลอด” คำตอบของมู่อี้จิงทำให้เซินเฟยรู้สึกปวดขมับขึ้นมา ความง่วงที่มีเมื่อครู่หายไปจนหมดสิ้น เขาเริ่มยกมือขึ้นนวดขมับให้เส้นประสาทที่เกร็งเต้นตุบ ๆ คลายตัวออกแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล

“ดูเหมือนว่าจะออกได้เช้าวันพรุ่งนี้ครับ......” หวางซิงที่ไม่ได้รู้เรื่องราวการสนทนาเดินเข้ามารายงานตามปกติ แต่กลับพบว่าบรรยากาศในห้องดูตึงเครียดอย่างบอกไม่ถูก และเพื่อมองหาสาเหตุของความตึงเครียดนั้น หวางซิงเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงท่ามกลางแสงสลัวที่ลอดผ่านผ้าม่านบางเข้ามาในห้อง “คุณ....มู่.....”

หวางซิงรู้สึกว่าตนเองทำพลาดไปถนัด เขาควรจะบอกการ์ดหน้าห้องว่าถ้ามู่อี้จิงมาอย่าให้เข้ามาในห้องเด็ดขาด กระนั้นมันก็ไม่ทันเสียแล้ว ใครเล่าจะไปคิดว่าข่าวของเซินเฟยจะแพร่ไปถึงอีกฝ่ายเร็วขนาดนี้

“คุณเซิน....คือว่า.....”

“ที่มู่อี้จิงพูดออกมาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?” ก่อนที่หวางซิงจะได้แก้ต่างให้ตัวเอง เซินเฟยก็ชิงถามขึ้นมาพร้อมตวัดสายตาคาดคั้น

“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณไปรายงานจูเชว่ว่ายังไง?” มู่อี้จิงวางตัวเป็นโจทก์อีกคน เพราะเขาได้กลายเป็นคนโง่ที่ทำงานงก ๆ โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ติดต่อโยนความดีความชอบของเขาไปให้คนที่ไม่มีตัวตน

“......ครับ.....” หวางซิงจำต้องยอมรับ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วและเฉียนหยุนก็ตายไปแล้ว คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกต่อไป “ผมเป็นคนติดต่อกับคุณมู่ให้ทำงานนี้ต่อ แต่ว่า...ผมไม่อยากให้คุณเซินรู้สึกเสียหน้าก็เลย....”

“ก็เลยบอกว่าคนอื่นทำ?” มู่อี้จิงต่อให้ “ทำไมคุณต....”

“เงียบซะ!” เซินเฟยตะคอก ตอนนี้หัวของเขาปวดจี๊ด ๆ จนน้ำตาแทบเล็ด พอได้ยินเสียงมู่อี้จิงก็ยิ่งปวดทำให้ตัดสินใจตะโกนขัด

เซินเฟยพยุงตัวเองให้ลุกจากเตียง แต่เพราะขาข้างที่ถูกยิงยังไม่สามารถหยั่งได้เต็มแรงนักจึงเซถลาไปเล็กน้อย หวางซิงรีบเข้ามาพยุงเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงทันที

“อาซิง....ข้อตกลงนั่น...กล้าดียังไงถึงรับด้วยตัวเอง”

“เอ๋?”

เพี๊ยะ!

ยังไม่ทันที่หวางซิงจะกระจ่างในคำพูดนั้น แรงกระทบจากฝ่ามือก็ทำให้หน้าของเขาสะบัดไปทางหนึ่ง ปรากฏรอยแดงขึ้นบนผิวแก้วสีซีดในขณะที่เจ้าของกำลังเบิกตาด้วยความงงงันในความผิดของตนเอง เขาย้อยกลับมามองผู้เป็นนายและในดวงตาคู่สวย เขาได้พบกับความผิดหวังอย่างรุนแรง

หรือเซินเฟยจะคิดว่า....เขายอมนอนกับมู่อี้จิงไปแล้ว!?

ความรู้สึกเหมือนถูกฉีกหน้าโดยคนที่ไว้ใจยิ่งกว่าใคร ๆ ทำให้เซินเฟยผิดหวังและเสียใจอย่างที่สุด

“ออกไปซะ....”

“เดี๋ยวก่อนสิครับ! ผมขออธิบาย....”

“ออกไป!” เซินเฟยไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น แต่พอตะโกนออกไปแล้วอาการปวดหัวก็ยิ่งรุนแรง ตอนนี้ตาของเขาพร่าจนแทบมองข้างหน้าไม่เห็นราวกับเส้นเลือดที่โป่งพองจากความเครียดกำลังกดทับประสาทตากระนั้น ร่างของเขาจึงเซถลาไม่มั่นคง

“คุณเซิน!”

“พอเถอะครับ เจ้านายของคุณดูเหมือนจะอยากพักผ่อน ส่วนคุณยังมีเรื่องต้องอธิบายให้ผมฟัง” มู่อี้จิงจับไหล่รั้งหวางซิงที่คิดจะเข้าไปหาเซินเฟยเอาไว้ แต่ถึงมู่อี้จิงจะพูดแบบนั้น คนที่รู้จักเซินเฟยอย่างหวางซิงก็รู้ว่านั่นไม่ใช่อาการของคนที่อยากพักผ่อนธรรมดา ดังนั้น ถึงอีกฝ่ายจะพยายามดึงตัวเขาออกไปแค่ไหน หวางซิงก็ยังดึงดันที่จะเข้าไปหาเจ้านายของตนให้ได้

“คุณมู่! ผมไม่มีเวลาอธิบายกับคุณหรอกนะ!”

คำพูดของหวางซิงทำให้ตำรวจหนุ่มรู้สึกฉุนขึ้นมาบ้าง หลอกให้เขาทำงานให้แล้วยังบอกว่าไม่มีเวลาอย่างนั้นหรือ!?

“เกิดอะไรขึ้นครับ พวกเราได้ยินเสียงตะโกน....” การ์ดที่อยู่ข้างนอกพากันเข้ามาเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอมีคนเข้ามามากเข้าห้องก็กลายเป็นแออัด ซ้ำเสียงยังก้องดังไปมา เซินเฟยรู้สึกอึดอัดจนหายใจลำบาก ขาก็เริ่มจะไม่ติดพื้น เขาไม่รู้ว่าโลกหมุนวูบกี่ตลบ แต่สุดท้ายแล้วความมืดก็เข้าครอบคลุมสติสัมปปัชชัญญะและเสียงทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้เส้นประสาทกระตุกก็ค่อย ๆ เงียบหายไป

--------------------->

“เครียดแล้วก็....นอนไม่พอ....หรือครับ?” หวางซิงฟังผลการวินิจฉัยจากจ้าวผิงเหอด้วยใบหน้าซีดเผือด ตอนเห็นเซินเฟยล้มลงไปต่อหน้าเขารู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะตกวูบไปได้

“ก็...ประกอบกับเสียเลือดมากด้วย ผมให้ยานอนหลับไปแล้วคิดว่ากว่าจะตื่นก็คงพรุ่งนี้ที่กลับถึงบ้านพอดี” จ้าวผิงเหอเจอกับกรณีที่คนไข้มีความเครียดสูงอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ เพราะในจำนวนคนไข้ของเขาก็มีพวกนักธุรกิจใหญ่กับพวกวงการใต้ดินอยู่มากกว่าครึ่ง เขาจึงรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรโดยไม่รู้สึกตื่นตกใจ กระนั้น การมีความเครียดสะสมตั้งแต่ยังไม่พ้นช่วงวัยรุ่นอย่างนี้ก็น่ากังวลถึงชีวิตตอนอายุมากขึ้นอยู่เหมือนกัน

“แล้วอาการอย่างอื่นล่ะครับ?”

“ก็อย่าพยายามให้เดินเองมากในช่วงนี้ ทางที่ดีผมว่าควรให้เขาพักอยู่ที่บ้านเฉย ๆ สักระยะจนกว่าแผลจะหายสนิท แล้วก็ให้อยู่ห่างจากสภาวะที่ต้องเผชิญความกดดันทางอารมณ์ด้วย” จ้าวผิวเหอแนะนำก่อนจะยื่นใบจ่ายยาให้ “นี่เป็นรายการยาที่ผมสั่งจ่าย บางอย่างมันก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของผมหรอกนะ อย่างพวกยาคลายเครียดกับยาระงับประสาท แต่อย่างน้อยเส้นสายตระกูลเซินก็ช่วยให้ผมเจรจากับทางเภสัชกรได้ง่ายขึ้นเยอะ”

“ยาคลายเครียด....ยาระงับประสาท?” หวางซิงทวนคำพลางก้มลงมองรายการยาที่เขียนตวัดเสียจนเขาแทบจะอ่านไม่ออก

ยาคลายเครียดมันก็อย่างหนึ่ง แต่ยาระงับประสาทนี่มัน...

“เผื่อไว้ในกรณีเลวร้ายน่ะ” จ้าวผิวเหอไหวไหล่

“งั้นหรือครับ....ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่เป็นธุระให้” หวางซิงกล่าวก่อนจะเดินออกมาจากห้องของจ้าวผิวเหอ แล้วเขาก็พบมู่อี้จิงกำลังรออยู่ด้านนอก อีกฝ่ายดูท่าทางหัวเสียเอาเรื่องทีเดียว

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 22-02-2011 13:44:41
“สรุปว่าคุณหลอกใช้ผมจริง ๆ สินะ”

“ผมทำทุกอย่างเพื่อให้คุณเซินสบายใจเท่านั้นเอง แต่ผมไม่คิดว่าผลจะออกมาอย่างนี้” ชายหนุ่มสารภาพตามจริงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ มู่อี้จิง

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะ แต่คุณโกหกผมด้วย ทำไมกระทั่งผมคุณก็ยัง....ฮึ่ย! ถามไปคุณก็คงจะตอบว่า ‘เพื่อจูเชว่แล้ว ผมทำได้ทุกอย่าง’ อีกล่ะสิ” มู่อี้จิงขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด ยิ่งเห็นอีกฝ่ายไม่เถียงอะไรก็ยิ่งโมโห ให้ตายสิ ตรรกะของคนพวกนี้มันบกพร่องหรือยังไงกันนะ!

“เด็กหนุ่ม ๆ อย่างคุณไม่น่าจะขี้งอนได้เลยนะครับ”

เด็กหนุ่ม ๆ ?

“คุณเองแก่นักหรือยังไง?” มู่อี้จิงทำหน้าบูด

“อืม....ตอนนี้ก็ 30 พอดีครับ” หวางซิงตอบหน้าตาย แต่ผู้ฟังกลับอ้าปากค้าง เพราะดูมุมไหนหวางซิงก็ไม่น่าจะอายุขนาดนั้นได้เลย

“แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ ผมน่ะถึงจะถูกหลอกใช้แต่ขอแค่ได้ความดีความชอบคืนก็พอแล้ว ส่วนคุณน่ะ จูเชว่ท่าทางโกรธเอาเรื่องเลยไม่ใช่หรือ?” พอมู่อี้จิงพูดอย่างนั้นออกมา หวางซิงก็ทำหน้าสลดในทันที

“ถึงยังไงผมก็จะรับใช้คุณเซินต่อไปครับ”

มู่อี้จิงกลอกตาขึ้นด้านบนก่อนจะเอนคอพิงพนักเก้าอี้แล้วยกมือกุมขมับ นึกอยากขอแบ่งยาคลายเครียดของเซินเฟยมากินสักเม็ด

“อา.....อยู่กับคุณแล้วผมเหนื่อยชะมัด”

------------------------->

เซินเฟยลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่าถูกปลุกขึ้นมากินยาอะไรบางอย่าง ถึงจะไม่รู้ว่าอะไรแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเบลอจนกระทั่งตื่นขึ้นมา ร่างกายของเขารู้สึกราวกับถูกบางอย่างรั้งเอาไว้ทำให้ไม่อาจขยับได้ตามใจชอบ เซินเฟยจ้องมองเพดานห้องที่คุ้นเคยทำให้รู้ว่าตนเองอยู่ที่บ้านแล้ว และแผ่นหลังของเขาก็กำลังแนบเตียงนุ่มของตนเองจึงรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

“.....”

พอคิดจะออกเสียงเรียกใครให้เข้ามา เสียงที่เปล่งก็แหบแห้งจนแทบจะไม่เป็นคำ

นี่เขาหลับไปนานแค่ไหนนะ?

เซินเฟยเอี้ยวคอไปทางผนังด้านหนึ่งอย่างยากลำบาก สายตาของเขาโฟกัสไม่ชัดเจนนักแต่พอจะเห็นภาพราง ๆ ของนาฬิกาติดผนังที่บอกเวลา 6 โมง แต่....เช้าหรือเย็นล่ะ? มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นเวลาเย็น เพราะโรงพยาบาลคงไม่อนุญาตให้พาคนไข้กลับตั้งแต่เช้ามืด

ห้องของเขามีหน้าต่างแต่ตอนนี้มันถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าม่าน ห้องของเขาก็ปิดไฟเอาไว้ทำให้มืดสนิทไปหมด

มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง แต่เซินเฟยก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะหันกลับไปมองยังปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้และยืนอยู่อย่างนั้น

“ผมไม่เคยเข้ามาในห้องนี้เลยสินะ”

ฉู่เหวินจือ?

“มีธุระอะไร?” เซินเฟยกลั้นใจเปล่งเสียงออกมา แต่เสียงนั้นกลับเบาหวิวจนแทบจะไม่ได้ยิน

“ผมเอายามาให้ ก็แบบว่า....หวางซิงเห็นว่าคุณยังโกรธเขาไม่หาย ก็เลยวานผมเอายาขึ้นมาให้แทน” ฉู่เหวินจือว่าจบก็วางยากับแก้วน้ำลงที่โต๊ะใกล้ ๆ ก่อนพยุงเซินเฟยให้ลุกขึ้นนั่งอิงหมอน “แค่ยาแก้อักเสบน่ะ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะวางยาพิษหรอก” ฉู่เหวินจือพูดเสียงทีเล่นทีจริงก่อนจะหัวเราะแล้วยื่นยาให้ เซินเฟยมุ่นคิ้วด้วยความหงุดหงิดใจ ทำไมเขาถึงต้องตื่นมาเจอคนที่ไม่อยากจะเห็นหน้าด้วยนะ

“เรื่องของนายฉันก็ยังไม่ได้อภัยให้”

“อ้อ เรื่องหมอจือ” ฉู่เหวินจือพยักหน้าขณะมองเซินเฟยกลืนยาลงคอ อีกฝ่ายยื่นมือมาขอแก้วน้ำ ทว่า....ฉู่เหวินจือกลับไม่ได้ยื่นให้ เขากระดกน้ำแก้วนั้นดื่มเสียเองก่อนจะคว้าตัวเซินเฟยเข้ามาแล้วประกบริมฝีปากป้อนน้ำให้ล่วงลงคอทั้งอย่างนั้น

เซินเฟยเบิกตากว้างพยายามดิ้นรนด้วยความตกใจ ทว่าเรี่ยวแรงของเขากลับไม่อำนวย สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงส่งเสียงอึกอักจนสำลักน้ำหน้าแดง

“แค่ก....น....นายทำบ้าอะไร...” อย่างน้อยการได้ดื่มน้ำก็ทำให้เสียงของเขาดีขึ้นเล็กน้อย

ฉู่เหวินจือพาตัวเองขึ้นนั่งบนเตียงอย่างถือวิสาสะแล้วกดร่างของเซินเฟยให้จมลงไปในเตียงนุ่ม ด้วยแรงที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดทำให้เซินเฟยไม่สามารถขัดขืนได้ คิดจะชกยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ...

“ยาคลายเครียดทำให้อ่อนแรงใช่ไหมครับ?”

ยาคลายเครียด....

เซินเฟยทวนคำในหัว สมองของเขาดูเฉื่อยชาลงชอบกล

“งั้นเอาแค่ฟังที่ผมพูดก็แล้วกัน” ฉู่เหวินจือสรุป “อย่างที่ผมบอกไปแล้วที่โรงพยาบาล ผมทำอะไรได้มากกว่าที่คุณรู้แต่ดูเหมือนคุณจะไม่ได้คิดจะให้ผมแสดงความสามารถเลย การทำตามคำสั่งมันก็สนุกอยู่หรอกนะ แต่ว่า ผมเองก็อยากลองสนุกกับการทำตามใจด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจะทำให้คุณเห็นก็แล้วกันว่าผมทำอะไรได้บ้าง และทำได้ดีกว่าหมอจือของคุณด้วย”

ว่าจบ ฉู่เหวินจือก็ละมือออกไป แต่เซินเฟยก็ได้จังหวะหายใจไม่นานนักเมื่ออีกฝ่ายล้วงมือเข้าไปในกางเกงของเขา

“จะทำอะไร!” เซินเฟยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตระหนก เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องตกอยู่ในสภาพที่ควบคุมอะไรไม่ได้อย่างนี้

“ก็....หมอบอกว่าคุณมีระดับความเครียดสูงมาก ดังนั้น...ผมก็จะช่วยคลายเครียดยังไงล่ะ ไม่ต้องใช้ยาด้วย ดีใช่ไหมครับ?” ถึงคำพูดจะเหมือนเรื่องดี แต่การกระทำไม่ได้ชวนให้คิดเช่นนั้นเลย ฉู่เหวินจือดึงเซินเฟยให้ขึ้นมาเอนบนตักก่อนจะขยับมือสัมผัสสิ่งที่ซุกซ่อนภายใต้กางเกงนอนตัวบางและไม่มีกระทั่งชั้นใน “เวลาคุณอ่อนแออย่างนี้ก็น่ารักไปอีกแบบนะ”

“ย....หยุดนะ......อึก.....” ความอับอายถาโถมใส่เซินเฟยเป็นระลอก ตั้งแต่เกิดมากระทั่งช่วยตัวเองก็ยังไม่เคย ผู้ชายคนนี้กล้าดียังไงถึงได้....

“คุณรู้ไหม เซ็กส์เป็นวิธีคลายเครียดอย่างหนึ่งนะ แพทย์ยังรับรอง ดังนั้นไม่เป็นอันตรายหรอก” ฉู่เหวินจือยังคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้า คำพูดหว่านล้อมนั้นไม่ได้ทำให้เซินเฟยรู้สึกดีขึ้นสักนิด ซ้ำยังรู้สึกอับอายยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาจึงกัดริมฝีปากแน่นิ่งและหลับตากลั้นลมหายใจ

“ทำแบบนั้นเดี๋ยวก็ขาดใจหรอก” ว่าจบ ฉู่เหวินจือก็จ้วงริมฝีปากลงมาบังคับให้เซินเฟยอ้าปากและสอดปลายลิ้นเข้าไปเก็บเกี่ยวความหอมหวานอย่างชำนิชำนาญทั้งยังกระตุ้นเร้าให้มีอารมณ์ร่วมอีกทางหนึ่ง

เพราะฤทธิ์ยาที่ยังตกค้างหรืออย่างไรไม่ทราบ เซินเฟยจึงรู้สึกเหมือนร่างกายลอยคว้างอยู่กลางอากาศท่ามกลางคลื่นลมที่โถมซัดเข้ามา

“อ๊ะ!” เขาเผลอร้องออกมาครั้งหนึ่งเมื่อความเสียวซ่านถูกปลดปล่อยออกไปจากร่างกาย
ฤทธิ์ยาผสมกับความหวาบหวามทำให้เซินเฟยไม่อาจดึงสติคืนมาได้ในทันที เขามองเพดานห้องอย่างเลื่อนลอยก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงกระซิบข้างหู

“ผมทำได้ดีกว่าหมอจืออีกจริงไหม?”

“หมอจือ...” เซินเฟยทวนคำ “ฉันกับเขาไม่ได้....อ๊ะ!” ไม่ทันที่เซินเฟยจะได้ตั้งตัว ฉู่เหวินจือก็รูดกางเกงผ้าเนื้อบางออกไปจากสะโพก ทำให้ความชื้นแฉะสัมผัสกับอากาศให้รู้สึกหนาวสะท้านที่หว่างขา เซินเฟยหนีบขาลงตามสัญชาตญาณขณะที่ฉู่เหวินจือแตะปลายนิ้วลงบนบาดแผลที่ตอนนี้เหลือแต่รอยเย็บขนาดเล็ก

“น่าเสียดายจริง....” ว่าแล้ว ฉู่เหวินจือก็ยกขาซ้ายที่มีแผลนั้นขึ้นมาจูบเบา ๆ เขาเลียผิวเนื้อสวยราวกับกำลังลิ้มรสอาหารแล้วยิ้มออกมา “ผิวของคุณสวยออกอย่างนี้ มีแผลเสียแล้วสิ”

ความมึนงงจากฤทธิ์ของยาทำให้เซินเฟยไม่อาจคิดคำนวนได้ว่าตนเองควรจะเรียกการ์ดข้างนอกมาหิ้วผู้ชายอวดดีคนนี้ไปลงโทษเสียให้เข็ดหลาบ ด้วยสมองของคนปกติที่ทื่อสนิทย่อมคำนวนได้แต่สถานการณ์เฉพาะหน้าที่กำลังเผชิญเท่านั้นและเซินเฟยเองก็เช่นกัน ตอนนี้เขาจึงได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยแววตาสับสนไม่อาจตีความคำพูดที่ได้ยินผ่านหูได้ชัดเจนนัก

“ทำหน้าแบบนั้นผมจะอดใจไม่ไหวเอานะ” ชายหนุ่มกล่าว “ผมรอมาตลอดเลยรู้ไหมจูเชว่ เวลาที่คุณจะไม่สามารถต่อกรกับใครได้อย่างนี้น่ะ และโชคดีจริง ๆ ที่คุณเป็นแบบนี้จนได้ ถึงจะเร็วกว่าที่ผมคำนวนไว้ก็เถอะ”

“คำนวน....อะไร?”

“ก็คำนวนว่าคุณจะล้มลงมาหาผมเมื่อไหร่น่ะสิ” คำตอบที่ได้ยังไม่แจ่มชัด ฉู่เหวินจือหัวเราะเสียงลึกในคอ “ยิ่งหวางซิงกลัวการเข้าใกล้คุณแบบนี้ก็ยิ่งเข้าทาง” เขากล่าวพร้อมกับพาร่างที่อ่อนแรงของเซินเฟยนอนราบลงบนเตียง เวลาที่หาได้ยากแบบนี้มันก็ต้องคว้าเอาไว้ ฉู่เหวินจือคิดกับตัวเองขณะมองร่างกึ่งเปลือยที่ตอบสนองเขาได้เชื่องช้าเกินคาด ไม่อยากจะเชื่อว่าแค่ยาคลายเครียดตัวเดียวที่แอบป้อนให้ตอนหลับจะมีผลได้ถึงขนาดนี้

“จ....จะทำอะไร?” เซินเฟยเริ่มรู้สึกไม่ดีกับแววตาของอีกฝ่าย เขาจึงพยายามขยับหนี

“ทำสิ่งที่ผมทำได้ยังไงล่ะ” คำพูดของฉู่เหวินจือเหมือนวกวนยอกย้อนไปมาทำให้เซินเฟยงุนงงจับใจความไม่ได้ เขาจับข้อเท้าของเซินเฟยไว้ไม่ให้หนีพ้นก่อนดึงกางเกงให้หลุดออกจากปลายเท้า

ชายหนุ่มพาตนเองขึ้นคร่อมเหนือร่างที่ไร้เรี่ยวแรงต่อกร ถอดเสื้อตัวบางออกและกดข้อมือทั้งสองไว้เหนือหัว

“อ....เดี๋ยว....อือ...” เสียงครางพ้นริมฝีปากออกมาเมื่อฉู่เหวินจือใช้เพียงขากระตุ้นความปรารถนาที่อ่อนตัวอยู่แต่เดิม ด้วยความอ่อนเดียงสา แค่กระตุ้นไม่นานก็ตื่นตัวอย่างง่ายดาย แม้เซินเฟยจะพยายามผลักไสอย่างไรก็ไร้ผล ด้วยกำลังของคนที่มึนเมากับฤทธิ์ยา กอปรกับยาแก้อักเสบที่เพิ่งกินเข้าไปก็เริ่มออกฤทธิ์ตามหน้าที่ทำให้เขาไม่อาจต่อต้านการกระทำอันอุกอาจได้เลย

เซินเฟยบิดกายเร่าภายใต้การเกาะกุมของฉู่เหวินจือที่มองดูด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างเมื่อความร้อนรุ่มสัมผัสอยู่ที่หว่างขา

ฉู่เหวินจือเปลี่ยนมาใช้มือข้างเดียวยึดข้อมือของเซินเฟยไว้ มืออีกข้างลดลงไปปลดเข็มขัดก่อนจะใช้เข็มขัดหนังนั้นรัดรวบข้อมือทั้งสองไว้ด้วยกัน เซินเฟยยิ่งตื่นตกใจยิ่งกว่าเดิม แต่ก่อนจะได้ตะโกนเรียกใคร ฉู่เหวินจือก็บดขยี้จูบลงมาอย่างหนักหน่วงจนเซินเฟยเกือบลืมหายใจ

เมื่อมือทั้งสองข้างไม่มีภาระผูกพัน ฉู่เหวินจือจึงปลดเสื้อและกางเกงตัวเองก่อนแนบเข้ากับปากทางเล็กแคบที่ไม่เคยรองรับกามารมณ์ของใคร

เซินเฟยตีความหมายของการกระทำได้ไม่ยาก เขาพยายามขัดขืนเต็มกำลังทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่การส่งขาของตัวเองไปไว้ในวงแขนของอีกฝ่ายเท่านั้น และนั่นยิ่งทำให้ขั้นตอนเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น รอยยิ้มของฉู่เหวินจือลอยเด่นตรงหน้าขณะที่ริมฝีปากเริ่มขยับเป็นคำพูด

“ไม่ต้องห่วง ผมจะทำให้คุณรู้สึกดีจนลืมไม่ลงเลย”


TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 22-02-2011 14:07:33
ญ่าจิ้มไรเตอร์อีกแว้วววววววววว  5555


โอ้ย!ๆๆๆๆ
ตอนหน้าNCครบเซ็ทใช่ไหม  อิอิ

คุณฉู่โดนใจมากเลยอ่ะ
เซินเฟยน่ารักอ่ะเวลาไม่สบาย  อิอิ

อยากอ่านตอนต่อไปไวไวแล้วววว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 22-02-2011 14:58:24
 o18รอตอนหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 22-02-2011 16:37:26
กรี๊ดดด ดังๆ
อย่าตัดฉับเหมือนเรื่องที่แล้วนะคุณเซียร์ อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 22-02-2011 16:55:25
me too. คริๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: mete ที่ 22-02-2011 17:36:36
เย้ :mc4:

มีเรื่องใหม่มาให้อ่านอีกแล้ว

สนุกมากคับ o13 เพิ่งจะมาอ่านก็ติดซะแล้ว

อ่านตอนนี้แล้วค้างจัง

จะรอตอนต่อไปนะคับ :bye2:(อัพทุกเลยเหรอคับ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดีไปลยคับ )
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 22-02-2011 18:02:00
กรี้ด!!!!!!!!!!! อีตาฉู่
ทำแบบนี้ เซินเฟย ก็ยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่
นิสัยไม่ดี
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 22-02-2011 18:11:34
เฮือก... อยู่ ๆ ก็มี "เลิฟซีน" มาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียง !!!

นึกไม่ถึงว่าตาคุณฉู่จะกล้าถึงเพียงนี้ (จับกดเจ้าพ่อ) แต่จะทำการสำเร็จรึเปล่า? ต้องรอลุ้น
เรื่องนี้คาดเดาอะไรไม่ได้จริง ๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Mirena ที่ 22-02-2011 18:31:01
*แวะเข้ามาเยี่ยม*

แมวจ๋าาาาาา คิดถึงนะตัว มามะมากอดที  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 22-02-2011 23:00:18
-11-



ปวด....ปวดตัวอะไรอย่างนี้....

นั่นคือความรู้สึกแรกหลังจากที่เซินเฟยลืมตาตื่นขึ้นมา เขารู้สึกปวดร้าวไปทั้งสันหลังราวกับออกกำลังกายอย่างหนักมาก็ไม่ปาน กระนั้นเซินเฟยก็รู้ว่าตนไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลย และเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมาก็แจ่มชัดในความทรงจำเกินกว่าจะปฏิเสธได้

หลังการพักผ่อนคืนหนึ่ง สติของเซินเฟยก็เจ่มใสสมบูรณ์ เขากัดฟันพาตนเองลุกขึ้น ร่างกายของเขายังคงเปลือยเปล่าปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่ตัวการกลับไม่อยู่ในห้องแล้ว

เซินเฟยฝืนแรงลุกขึ้นสวมเสื้อที่ถูกถอดลงไปนอนอยู่บนพื้น แล้วปัดกางเกงเข้าไปซ่อนใต้เตียงก่อนขึ้นนั่งบนเตียงแล้วห่มผ้าขึ้นมาถึงเอว

“ใครอยู่ข้างนอกนั่นบ้าง” เขาออกเสียงเพียงพ้นบานประตูไปเท่านั้น การ์ดคนหนึ่งก็เดินเข้ามาราวกับยืนอยู่ข้างนอกตลอด แน่นอน ช่วงนี้เขาขยับตัวเองไม่สะดวกนักจึงต้องมีคนคอยรอดูว่าเขาจะใช้อะไรหรือไม่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วงที่ฉู่เหวินจือกระทำการอุกอาจคงจะหลอกล่อคนเฝ้าให้ไปทำธุระที่อื่นเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นมีหรือจะทำเรื่องแบบนั้นได้โดยที่การ์ดไม่รู้

“มีอะไรหรือครับ?”

“ฉู่เหวินจืออยู่ไหม?” เซินเฟยพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด เขาไม่อยากอธิบายอะไรให้มากความ

“อยู่ข้างล่างครับ จะให้ผมเรียกขึ้นมาให้ไหม?”

ยังอยู่อย่างนั้นหรือ?

คำตอบนั้นนอกจากจะไม่ได้ทำให้อารมณ์ดีขึ้นแล้วกลับทำให้เซินเฟยโกรธมากกว่าเดิม เพราะนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้นึกกลัวเกรงเขาเลยสักนิด

“ไม่ต้อง” ว่าแล้ว เซินเฟยก็นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะสั่ง “เข้ามานี่”

บอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่เฝ้าหน้าห้องในกะนี้เดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นนายก่อนจะค้อมตัวลงจนกระทั่งใบหูอยู่ใกล้กับริมฝีปากมากพอที่จะได้ยินเสียงกระซิบคำสั่ง เจ้าตัวดูจะสงสัยต่อคำสั่งนั้นเล็กน้อย แต่ด้วยหน้าที่ของเขาไม่มีข้อไหนที่บอกให้ถามได้ ดังนั้น การ์ดคนนั้นจึงเพียงแค่โค้งตัวเพื่อน้อมรับคำสั่งที่ได้มา

“อย่าให้นายหญิงรู้เด็ดขาด”

“รับทราบครับ”

หลังประตูปิดลง เซินเฟยจึงค่อย ๆ ผ่อนร่างกายที่เอนลง การนั่งเกร็งตัวเอาไว้ทำให้สะโพกของเขาปวดระบม แต่ว่า....ในเมื่อสั่งการไปแล้วเขาก็ไม่อยากจะทิ้งช่วงให้อารมณ์เย็นเหมือนกัน ตอนกำลังเดือดอย่างนี้แหละถึงจะดี เซินเฟยคิดเช่นนั้นจึงกัดฟันฝืนกลั้นความปวดร้าวที่กัดกินร่างรวมไปถึงความเจ็บจากบาดแผลบนขาแล้วเดินลากสังขารไปยังห้องน้ำส่วนตัวที่มีประตูเชื่อมกับห้องนอน

เซินเฟยปิดประตูก่อนนั่งลงบนขอบอ่างอาบน้ำ ขาของเขาสั่นเทาจนแทบจะหงายตกลงไปในอ่าง แต่จะเรียกคนอื่นมาช่วยในสภาพอย่างนี้....ฝันไปเถอะ....

เขาจำต้องอาบน้ำด้วยฝักบัวเสียกระมัง....เพราะหากลงไปแช่ในอ่างแผลอาจจะเปื่อยเน่าได้ เซินเฟยตัดสินใจลากเก้าอี้ที่อยู่ในห้องน้ำมานั่งแล้วดึงฝักบัวลงมาจากที่พักก่อนจะเปิดน้ำให้อยู่ห่าง ๆ ตัวก่อนแล้วจึงค่อยราดที่ขาขวาเป็นที่แรกตามด้วยส่วนอื่น ๆ ของร่างกายก่อนจะวนมาที่ขาซ้ายโดยเว้นจุดที่เป็นแผล กระนั้นส่วนที่มีปัญหาที่สุดกลับไม่ใช่เรือนร่างภายนอก ทว่าเป็นสิ่งที่ฉู่เหวินจือทิ้งเอาไว้ข้างใน....

การอาบน้ำที่ทุลักทุเลผ่านไปด้วยเวลาราว ๆ ครึ่งชั่วโมง เซินเฟยพาตัวเองออกมาจากห้องน้ำแล้วค้นตู้เสื้อผ้าฉวยเอาเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแลคที่ใกล้มือที่สุดออกมา โชคดีที่เป็นเชิ้ตขาวและกางเกงดำจึงไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องความเข้ากันของสีเวลาสวมใส่

เสียงเคาะประตูดังขึ้นในจังหวะที่เซินเฟยแต่งตัวเสร็จพอดี

“เรียบร้อยแล้วครับ”

เซินเฟยเงยหน้ามองนาฬิกา ใช้เวลาไป 45 นาทีเชียวหรือ? แสดงว่าฉู่เหวินจือระวังตัวอยู่สินะถึงได้หาจังหวะยากขนาดนี้

“เดี๋ยวฉันลงไป บอกทุกคนว่าให้ทำตัวเป็นปกติซะด้วย”

“ครับ”

เซินเฟยสูดหายใจเข้าลึก เขาเองก็ต้องทำตัวเป็นปกติเหมือนกัน เรื่องนี้จะให้เผยแพร่ออกไปไม่ได้เด็ดขาด มีแค่เขากับฉู่เหวินจือเท่านั้นที่รู้ความอัปยศครั้งนี้ ส่วนการ์ดของเขานั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว คนเหล่านั้นถูกฝึกมาไม่ให้อยากรู้อยากเห็น ไม่ถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม และจะรับรู้เฉพาะสิ่งที่มีอยู่ในหน้าที่เท่านั้น ที่ต้องห่วงคงจะเป็น.....อาสะใภ้ของเขา เธอจะรับเรื่องอย่างนี้ได้แค่ไหน....จะรังเกียจเขาหรือเปล่า....และเธอจะรู้สึกอับอายมากเพียงใด

เซินเฟยพยายามเดินช้า ๆ ให้ไม่กระทบกับบาดแผลและอาการปวดร้าวมากนัก เมื่อออกมาถึงนอกห้อง การ์ดที่รับคำสั่งไปก็โค้งให้แล้วเดินนำทาง

“ขออภัยที่ช้าครับ” เขากล่าว

“ไม่เป็นไร แค่จับได้ก็พอ” เด็กหนุ่มไม่คิดมากกับเวลา เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็ทำงานได้ดีเสมอ “นายหญิงรู้หรือเปล่า?”

“วันนี้นายหญิงออกไปข้างนอกครับ”

“งั้นหรือ....”

ช่วงนี้ซากุระดูจะวุ่นวายกับบางเรื่องอยู่ เธอออกไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้งและบางครั้งก็สีหน้าไม่ค่อยดีนัก เซินเฟยคิดว่าบางทีอาของเขาอาจจะเหนื่อยใจกับญาติ ๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เสียทีเดียว เขาสังหรณ์เช่นนั้น

การ์ดในชุดสูทสีดำเดินนำเซินเฟยไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงส่วนหนึ่งของบ้านที่ไม่ค่อยมีคนเดินมาเท่าใดนัก ประตูบานหนึ่งปิดสนิทอยู่ เขาดึงให้เปิดออกเซินเฟยจึงเห็นบันไดทอดลงไปด้านล่าง

“รอตรงนี้แหละ แล้วของที่ฉันสั่งล่ะ?”

“อยู่ข้างล่างครับ”

“ดีมาก” เซินเฟยกล่าวแล้วจึงเดินลงไป บอดี้การ์ดจึงปิดประตูลงเช่นเดิมและยืนเฝ้าไม่ให้คนลงไปด้านล่างตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

ห้องใต้ดิน...สถานที่ที่เหมาะสมอย่างที่สุดที่จะกักขังใครบางคนไว้ทรมาน เพราะไม่ว่าเสียงใด ๆ ก็จะไม่เล็ดรอดออกไปให้คนอื่นได้ยิน แต่เดิมทีห้องนี้เป็นห้องเก็บของเท่านั้น แต่จูเชว่สองรุ่นที่แล้วเกรงว่าความชื้นจะทำให้ของเสียหายจึงโละออกและไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม ตอนนี้มันจึงเป็นห้องโล่งกว้างที่มีเก้าอี้กับโต๊ะอยู่ชุดหนึ่งซึ่งจูเชว่รุ่นที่แล้วมักจะใช้เก็บตัวเพื่อคิดอะไรบางอย่างเพียงลำพัง ตอนนี้เซินเฟยจึงเติมของเข้าไปอีกชิ้น เป็นคานที่ยึดกันเป็นสี่เหลียม สูงกว่าส่วนสูงของผู้ชายโตเต็มวัย มีฐานมั่นคงเพื่อไม่ให้ล้มเมื่อมีการดิ้นรน

เซินเฟยกดเปิดสวิตช์ไฟทำให้ห้องโล่งกว้างนั้นสว่างไสวขึ้น

ที่กลางห้อง จุดที่วางเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ของเซินเฟย มีชายหนุ่มคนหนึ่งถูกแขวนขึงอยู่ตรงกลางโครงสี่เหลียมนั้น ชายคนนั้นเปลือยท่อนบนและหันหลังให้กับเขา ขาสองข้างถูกล็อคไว้กับคานด้านล่าง แขนสองข้างตรึงไว้ด้วยเชือกเส้นหนากับคานด้านบน

“สบายดีไหม?” เขาเอ่ยถาม

“นั่นผมควรจะถามคุณนะ” ฉู่เหวินจือหัวเราะ แม้จะถูกจับมาอย่างนี้เขาก็ยังไม่แสดงความหวาดกลัว วันนี้เขาไม่ได้สงสัยเลยว่าทำไมอยู่ ๆ จึงมีการ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเขา ซ้ำยังถูกตามอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมงเพื่อรอจังหวะที่เขาอยู่ห่างจากคนอื่น ๆ แล้วชกเขาจนสลบก่อนพามาที่นี่ พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะแรงหมัดเขาก็พบว่าตนเองโดนขึงไว้เสียแล้ว พูดตามตรงว่าเขารู้สึกตกใจกับรสนิยมของเซินเฟยนิดหน่อย

“นายนี่ไม่เคยกลัวตายเลยใช่ไหม? หรือว่าฉันใจดีกับนายเกินไปนะ?” แม้น้ำเสียงของเซินเฟยจะดูเรียบนิ่งเสมือนไม่ได้นึกถือสา ทว่าในความเป็นจริงเขากำลังโกรธจนแทบคลั่ง เพียงแต่เก็บกักอารมณ์นั้นไว้ภายในไม่ให้แสดงออกมาเป็นเครื่องมือให้อีกฝ่ายปั่นหัวเท่านั้น

“คุณฆ่าผมไม่ได้หรอก” ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้ฟังมุ่นคิ้ว

“หมายความว่ายังไง?”

“หึ ๆ นี่คุณไม่รู้จริง ๆ หรือ จำกฎของพวกคุณไม่ได้หรือครับ ที่ว่า...ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คุณคิดว่าทำไมท่านไป๋หู่ถึงต้องอุตส่าห์ส่งผมมารับใช้คุณด้วย แค่เพื่อจับตาดูเท่านั้นจริง ๆ น่ะหรือ? คุณช่างเดียงสาเสียจริง” ว่าไป ฉู่เหวินจือก็ทำเสียงเหมือนกำลังล้อกับเด็ก ๆ

เซินเฟยรู้สึกหน้าตึงขึ้นมาเมื่อได้ยิน

“ไป๋หู่....” เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มเย็น “เขาไม่ได้ฆ่าคนของจูเชว่ที่ไปข่มขืนเขาก่อนหรือยังไงฉันถึงฆ่านายไม่ได้”

“เขาบอกผมว่าเขาแค่ลงโทษนิดหน่อย”

“อ้อ....” เซินเฟยส่งเสียงตอบรับในคอก่อนจะเดินไปที่โต๊ะซึ่งตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องก่อนหยิบของที่สั่งให้คนเตรียมไว้ขึ้นมา เขาสะบัดมันครั้งหนึ่ง เสียงของเส้นหนังหวดแหวกอากาศกระทบกับพื้นก็ดังขึ้น “แปลว่าฉันลงโทษนายได้ งั้นก็ดี....ฉันจะได้สอนให้นายรู้สำนึกเสียบ้าง” สิ้นคำ เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ปลายเส้นหนังไม่ได้กระทบกับพื้น สิ่งที่ถูกกระทบคือแผ่นหลังเปลือยเปล่าของฉู่เหวินจือที่เกิดรอยถากสีแดงเข้มทันทีที่เส้นหนังสะกิดผ่าน ชายหนุ่มสะดุ้งเกร็งเพราะไม่ทันเตรียมใจรับ ทว่าไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมา

“รสนิยมคุณน่าสนใจดี...อึก!” โดยไม่สนใจคำพูด เซินเฟยก็หวดแส้ลงไปอีกครั้งและอีกครั้งบนแผ่นหลังที่ตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ

เสียงหวดดังหวีดหวิวถี่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เปลวเพลิงในดวงตาของเซินเฟยไม่ได้ลดลงตามจำนวนครั้งการหวดเลย กลับยิ่งลุกโหมมากขึ้นเมื่อีอกฝ่ายไม่แสดงอาการเจ็บปวดตอบรับการลงโทษของเขาแม้สักนิด

“อา....หึ ๆ คุณโกรธที่ผมรุนแรงกับครั้งแรกของคุณหรือครับ?” แม้จะถูกฟาดจนหลังยับ ทั้งบางแผลยังแตกจนเลือดไหลซิบ แต่ฉู่เหวินจือก็ไม่อนาทรร้อนใจต่อบาดแผลของตน เขายังคงยิ้มและพูดจาอ้อล้อเสมือนไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ถูกลงโทษเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เซินเฟยเดือดยิ่งขึ้น หลังจากพักยกเพราะรู้สึกเหนื่อยและเจ็บแผลที่ขาเนื่องจากการหยั่งรับน้ำหนักตัวเป็นเวลานาน เขาก็กระหน่ำแส้ลงไปบนแผ่นหลังนั้นอีกครั้งโดยไม่คิดยั้งมือ

ร่างที่ถูกขึงรับอารมณ์กระตุกตามแรงหวดที่กระทบกับผิวเนื้อ ทว่าถึงขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่มีเสียงร้องออกมาทำให้เซินเฟนโกรธจัดจนหน้าแดง เขากัดฟันแน่นจนขมับเริ่มปวดและรู้สึกว่าสันประสาทกำลังเต้นตุบ ๆ อยู่ในหัว นึกอยากจะเชือดเนื้อออกมาทีละชิ้น ๆ ให้ทรมานจนตายแต่ก็ไม่อาจทำได้เนื่องจากกฎที่ค้ำคออยู่

“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน...ว่านายจนทนได้แค่ไหน”

เซินเฟยว่าแล้วเดินเข้าไปแตะปลายนิ้วบนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยแตก เหงื่อจากฝ่ามือสะกิดโดยแผลทำให้ฉู่เหวินจือสะดุ้งเฮือกและส่งเสียงออกมาเล็กน้อย เพียงเท่านั้นเซินเฟยก็ยิ้มออกมา

ทำไมเขาถึงลืมคิดไปได้นะ...

เมื่อผิวหนังถูกกระทบมากเข้าก็จะเริ่มเจ็บจนชา เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ย่อมไม่แปลกที่อีกฝ่ายสามารถทนทานกับแส้หนังได้ ทว่า.....

“ใครอยู่ข้างบนบ้าง” เขาตะโกนขึ้นไป แล้วการ์ดที่เฝ้าอยู่ก็เปิดประตูออกเพื่อรับคำสั่งทันที “เอาน้ำเกลือมา สั่งให้คนในครัวเอาเกลือละลายน้ำเข้ม ๆ ล่ะ”

“ครับ”

เสียงรับคำดังขึ้นพร้อมเสียงปิดประตู เซินเฟยค่อย ๆ นั่งลงบนขั้นบันไดเพราะแผลที่ขาของเขาเริ่มจะปวดขึ้นมา ซ้ำสมองของเขายังเหมือนถูกบีบคั้น เวลาที่อารมณ์เสียอย่างนี้อาการปวดไมเกรนมักจะย้อนมาเล่นงานเสมอ แต่ว่า....ขอลงโทษฉู่เหวินจือให้หนำใจ เส้นเลือดจะโป่งพองจนแตกก็ช่างหัวมันปะไร!

ใช้เวลาไม่นานเกินรอ การ์ดในชุดสูทดำก็นำน้ำเกลือที่บรรจุในขวดพลาสติกลงมาส่งให้ก่อนเดินกลับขึ้นไปเฝ้าประตูเช่นเดิม

เซินเฟยจ้องมองน้ำที่มองดูภายนอกคงไม่รู้ว่าเป็นอะไร มองผาด ๆ แล้วก็เหมือนน้ำเปล่าธรรมดา แต่สำหรับฉู่เหวินจือมันจะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่านะ?

หลังจากนั่งจนแผลเริ่มหายระบม เซินเฟยก็ลุกขึ้นอีกครั้งแล้วเดินอ้อมไปตบหน้าฉู่เหวินจือครั้งหนึ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายหลับไปแล้ว แรงตบที่มากพอจะปลุกให้ได้สติคืนมาเรียกให้ฉู่เหวินจือมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะเลื่อนมองขวดน้ำที่อยู่ในมือ

“คุณกลัวผมคอแห้งหรือ?” เสียงของฉู่เหวินจือแหบแห้งลง อาจเพราะการได้พักแส้ทำให้หลังของเขาเริ่มปวดร้าวขึ้นมาจริง ๆ และอาการชาก็เริ่มหายไปเรื่อย ๆ

“เปล่า” เซินเฟยคว้าคออีกฝ่ายแล้วบีบโดยแรง “ฉันจะช่วยล้างแผลให้ต่างหาก” หลังกล่าวจบ เซินเฟยก็ผละออกแล้วเดินอ้อมไปด้านหลัง เขาเปิดฝาเกลียวแล้วเดินทิ้งระยะออกมาก่อนจะสาดน้ำในขวดนั้นลงไปบนบาดแผลทั้งแผ่นหลัง ทันใดนั้นเองร่างของฉู่เหวินจือก็ดิ้นพลาดราวกับโดนทอดในน้ำมันเดือด เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องสะท้อนในห้องสร้างความพึงพอใจอย่างยิ่งยวดให้เด็กหนุ่มที่ได้สิ่งที่ตนเองต้องการในที่สุด

เซินเฟยเฝ้าดูอาการทุนรทุรายจนกระทั่งฉู่เหวินจือสงบลงก่อนจะสาดน้ำเกลือที่เหลืออีกครึ่งขวดลงไปอีกครั้ง เสียงของฉู่เหวินจือแม้จะสร้างความพึงพอใจได้แต่ก็สร้างภาระให้ประสาทหูเช่นกัน เซินเฟยรู้สึกปวดหัวหนักขึ้นจนไม่อาจทนฟังได้จนจบ เขาพาตนเองเดินกะเผลกขึ้นมาข้างบนแล้วส่งขวดเปล่าคืนแก่การ์ดที่มีสีหน้าซีดเซียวเมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความทรมานดังลอดขึ้นมา

“บอกทุกคน ห้ามเข้าไปในห้องนี้ถ้าฉันไม่อนุญาต” เขาออกคำสั่งก่อนจะค่อย ๆ เดินลากขาจากไป และตอนนั้นเองที่เขาเห็นหวางซิงเดินสวนมา

“คุณเซิน....ทำไมถึงออกมาเดินอย่างนี้ล่ะครับ?” เสียงของหวางซิงดูประหวั่นพรั่นพรึงอย่างเห็นได้ชัด

“เอายาไปทาให้ฉู่เหวินจือซะ ถ้ามันตายขึ้นมาฉันจะลำบาก แล้วก็หาข้าวหาน้ำไปให้สามเวลา แต่อย่าปล่อยเด็ดขาด เข้าใจไหม?” เซินเฟยสั่งโดยไม่มองหน้าเลขาส่วนตัว เขาใช้กำแพงพยุงให้เดินต่อไปก่อนจะหันมาถาม “ยาของฉันอยู่ที่ไหน?”

“ในห้องนอนผมครับ” หวางซิงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงได้แต่ส่งคำถามด้วยสายตาว่าทำไมจึงต้องให้เขาไปดูแลฉู่เหวินจือ กระนั้นเซินเฟยก็ไม่ตอบอะไร

เด็กหนุ่มพยุงตัวให้เดินต่อไป อาการของเขาดูท่าจะหนักหนาสาหัสกว่าก่อนหน้านี้ เพียงแค่อาละวาดหน่อยเดียวกลับปวดหัวจนตาลายซ้ำมือยังสั่นราวกับคนติดยา เซินเฟยพาตนเองไปยังห้องของหวางซิงได้ในที่สุด เขาเปิดเข้าไปแล้วค้นลิ้นชักที่อยู่ใกล้โต๊ะอ่านหนังสือเนื่องจากหวางซิงมักเก็บของสำคัญไว้ในนั้น แต่เพราะไม่มีแรงที่จะพยุงให้ยืนต่อไปไหว และอาการปวดชักจะรุมเร้ามากขึ้น เซินเฟยจึงกระชากลิ้นชักให้หลุดลงมากองบนพื้นก่อนจะหยิบยาสารพัดขึ้นมาพยายามอ่านฉลากที่หวางซิงเขียนใหม่เป็นภาษาที่คนธรรมดาสามารถเข้าใจได้

อะไรน่ะ....ยาระงับประสาท....

สายตาของเซินเฟยกวาดไปบนฉลากของแผงยาที่ไม่คุ้นตาก่อนจะหัวเราะออกมา

นี่เขาต้องใช้ของพรรค์นี้เสียแล้วหรือ?

ทั้งที่ความจริงแล้วอาการของเซินเฟยยังไม่ถึงขั้นต้องใช้ยาระงับประสาทและจ้าวผิงเหอก็เพียงสั่งมาในกรณีที่เลวร้ายที่สุด แต่เพราะไม่เคยจัดยาด้วยตนเองเขาจึงไม่เคยรู้ว่ายาตัวไหนต้องใช้ในภาวะใด เซินเฟยจึงเปิดยาทุกอย่างอย่างละเม็ดและกลืนทั้งหมดลงคอไปรวดเดียวโดยไม่รู้ว่ามันมียาอะไรบ้าง เพียงแต่เขาอยากจะหยุดความทรมานจากความปวดร้าวที่กดทับสมองเขาไว้เท่านั้น

ห้องของหวางซิงไม่มีตู้เย็นหรือกระติกน้ำร้อน เซินเฟยที่ฝืนกลืนยาเป็นกำมือจึงสำลักเป็นการใหญ่เพราะหลอดอาหารบีบตัว

เซินเฟยผลักลิ้นชักไปใต้โต๊ะแล้วพลิกตัวนั่งพิงกำแพง ยาที่กินเข้าไปออกฤทธิ์เร็วเกินคาด เพียงไม่นานนักสมองก็เริ่มทื่อชา หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยทำให้รู้สึกเครียดจนแทบบ้ากลับกลายเป็นสิ่งที่ล่องลอยไปมาไม่ต่างกับปุยนุ่นบางเบาในอากาศ

ดูเหมือนในตัวยาบางตัวหรืออาจจะทั้งหมดมียานอนหลับผสมอยู่ เขาจึงรู้สึกง่วงจนเกินจะฝืนไหว ในที่สุดเซินเฟยจึงนั่งหลับไปทั้งอย่างนั้น

--------------------->
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 22-02-2011 23:01:15
“คุณเซิน....คุณเซิน...”

เซินเฟยรู้สึกเหมือนตนเองหลับไปนานจนเกือบจะลืมวิธีตื่นเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขาค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมาแต่ภาพเบื้องหน้าก็ยังพร่าเบลอจนจับโฟกัสสิ่งใดไม่ได้

“คุณเซิน! ตื่นสิครับ ได้โปรดเถอะ!” หวางซิงทั้งเขย่าทั้งตบหน้าเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายมีสติ

ก่อนหน้านี้หลังจากได้รับคำสั่ง เขาก็เดินตรงไปยังจุดที่คาดว่าเซินเฟยจากมาพร้อมกับยาทาสารพัดชนิดเนื่องจากไม่รู้ว่าฉู่เหวินจือไปโดยอะไรมา แต่ถึงกับบอกว่า ‘อย่าให้ตาย’ แสดงว่าแผลน่าจะร้ายแรง เขาจึงเตรียมผ้าพันแผลและแอลกอฮอล์มาด้วย แต่พอถึงหน้าห้องเขากลับพบการ์ดคนหนึ่งที่ห้ามเขาเข้าไป แต่เมื่อเขาบอกว่าได้รับคำสั่งมาอีกฝ่ายก็เปิดทางอย่างง่ายดาย

ตอนที่เขาลงไปก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่ไฟนีออนของห้องใต้ดินถูกเปิดทิ้งไว้ และยิ่งตกใจมากขึ้นจนถึงขั้นตกตะลึงเมื่อเห็นร่างหนึ่งถูกแขวนไว้กับกรอบคานสี่เหลียม แผ่นหลังที่คุ้นตาแตกยับและเปียกชื้นด้วยน้ำบางอย่างที่ไหลซึมจนถึงกางเกงที่สวมใส่ บนพื้นก็มีหยดน้ำกระจายวงกว้างและแส้หนังเส้นหนึ่งนอนนิ่งอยู่ เซินเฟยเดินเข้าไปใกล้และลองแตะน้ำบนพื้นดูแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ทว่าจมูกเขากลับกระสากลิ่นเกลือจาง ๆ

ฉู่เหวินจือหมดสติไปแล้วตอนที่เขาลงมาถึง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ครั้งนี้เป็นการลงโทษที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาหากไม่นับที่ทำกับเฉียนหยุนก่อนหน้านี้

มองไปแล้วยังไงก็เป็นรอยแผลจากแส้ไม่ผิดแน่ หวางซิงถอนหายใจออกมาก่อนจะลากเก้าอี้มาวางกล่องยาแล้วเปิดขวดแอลกอฮอล์และใช้สำลีค่อย ๆ เช็ดแผล หลังจากนั้นจึงใส่ยาแล้วพันผ้าพันแผลจนเรียบร้อย

เมื่อหมดธุระตามคำสั่ง หวางซิงจึงเดินขึ้นมาแต่ไม่ได้กลับไปที่ห้องของตัวเองในทันที เขาถูกหวางซานเรียกตัวไปช่วยงานบ้านเล็กน้อยเพราะหวางซือแก่แล้วสุขภาพจึงไม่ค่อยดีนัก จากนั้นเวลาเที่ยงเขาก็นำอาหารลงไปให้ฉู่เหวินจือทีได้สติแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟัง เพียงแต่กินข้าวกินน้ำจนอิ่มแล้วหลับไปอีก หวางซิงกลับขึ้นมาและหาหนังสืออ่านเล่น กระนั้นเขาก็รู้สึกผิดสังเกตเมื่อรอจนเย็นแล้วเซินเฟยก็ยังไม่ลงมา ทั้งที่ปกติเซินเฟยจะชอบมานั่งอยู่ในห้องทำงานมากกว่านอนอยู่ในห้องเวลาที่ป่วยไข้

ตอนที่หวางซิงขึ้นมาถึงบนห้องเขาแทบจะลมจับเมื่อเห็นลิ้นชักตนเองถูกค้นยาออกมาจนกระจัดกระจาย ซ้ำยาทุกชนิดยังมีร่อยรองการถูกแกะออกไปอย่างละเม็ด ข้าง ๆ โต๊ะ เซินเฟยนั่งพิงกำแพงหลับอยู่อย่างสงบจนเขาใจหายวาบรีบปราดเข้าไปเขย่าตัวทันทีแต่เซินเฟยก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา

“คุณเซินได้ยินผมไหม!” หลังจากปลุกอยู่นานสองนาน หวางซิงเริ่มจะใจไม่ดี แต่แล้วเซินเฟยก็ปรือตามองเขาอย่างเลื่อนลอยราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ก็กินเข้าไปทั้งยาคลายเครียดกับยาระงับประสาทแบบนั้น มันก็น่าจะลอยอยู่หรอก....

“คุณเซิน มองผมสิ ได้ยินผมหรือเปล่า?” หวางซิงประคองเซินเฟยเข้ามาพิงอกแล้วบีบมือโดยแรง

“อา....หึ ๆ.....” อยู่ ๆ เซินเฟยก็หัวเราะออกมาโดยไม่มีเหตุผลแล้วคอพับคออ่อนเอนพิงหวางซิงทำท่าเหมือนจะหลับไม่หลับแหล่ ซ้ำยังยกแขนขึ้นพาดบ่าหวางซิงเสมือนต้องการที่พึ่งพิง

หวางซิงเบาใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายตื่นแล้ว จึงอุ้มขึ้นแล้ววางให้นอนบนเตียงในท่าสบาย ปลดกระดุมเสื้อและตะขอกางเกง ก่อนเดินออกไปและกลับมาพร้อมอ่างน้ำ เขานั่งลง เอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้เซินเฟยรู้สึกดีขึ้นก่อนจะเลื่อนลงมาเช็ดแขนขา

น้ำเย็น ๆ กับการเอาใจใส่ทำให้เซินเฟยรู้สึกตัวมากขึ้นกว่าเดิม เขากวาดตามองรอบตัวด้วยสมองที่ยังไม่เป็นปกตินัก

“....อาซิง....”

“ครับ ผมอยู่ตรงนี้”

“ฉัน...หลับไปงั้นหรือ?”

“ครับ...คุณเซินทานยาผิดก็เลยหลับไปเพราะฤทธิ์ยาน่ะครับ” หวางซิงรายงานตามจริงเพื่อให้อีกฝ่ายระวังตัวมากขึ้นเวลาหยิบยากินเอง ถ้ากินยาผิดชุดโดยกวาดหมดแบบนี้บ่อย ๆ เขาคงได้หัวใจวายเข้าสักวันหนึ่ง แค่วันนี้หัวใจเขาก็เกือบหยุดเต้นไปแล้ว

“....กินยาผิด...” สมองของเซินเฟยยังตีความได้ไม่ดีนักจึงต้องทวนคำซ้ำแล้วมุ่นคิ้ว “บ้าจริง....” เขาสบถเพราะรู้สึกหงุดหงิดตัวเองขึ้นมา ยาพวกนี้ทำให้สมองของเขาเฉื่อยชาไปหมด

หวางซิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเป็นคนเลี้ยงดูเซินเฟยมาจึงรู้ว่าเมื่ออีกฝ่ายกำลังโกรธก็ไม่ควรพูดให้มากนัก เมื่อปล่อยไปสักพักเดี๋ยวก็จะหายโกรธไปเอง แต่น่าเสียดายที่ฉู่เหวินจือดูจะไม่เข้าใจนิสัยเช่นนี้จึงขยันทำให้โกรธจนความเครียดพุ่งทะลุปรอททุกทีไป

“อาซิง....เรื่องของมู่อี้จิง....”

อย่างเช่นตอนนี้ที่เซินเฟยเริ่มจะอารมณ์เย็นลงจึงเปิดโอกาสให้อธิบาย

หวางซิงยิ้มกว้าง เจ้านายของเขาเหมือนจะเอาใจยากแต่ความจริงแล้วสามารถมองอารมณ์ได้ง่ายมาก ตราบใดที่ไม่ได้อยู่ในเวลางานและอยู่ในหมู่คนสนิทเท่านั้น เซินเฟยก็จะแสดงความรู้สึกออกมาตรง ๆ ไม่ปิดบัง

“ผมเจรจากับเขาแล้วครับ เขาไม่ได้เรียกร้องผมเป็นค่าตอบแทนแล้ว คุณเซินไม่ต้องห่วงครับ”

“อือ.......” เสียงครางในคอเสมือนเสียงตอบรับกลาย ๆ “หน้ายังเจ็บอยู่ไหม?”

“ไม่แล้วครับ”

“งั้นหรือ” เซินเฟยกล่าวออกมาแค่นั้นก่อนจะเงียบไปอีก ดูก็รู้ว่าสติสตังยังกลับมาไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี อาจจะต้องรอให้ทิ้งระยะอีกสักพัก

“คุณเซินหิวไหมครับ?” หวางซิงถามขึ้นเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลา 6 โมงเย็น

“นิดหน่อย....”

“ถ้าอย่างนั้นผม....”

“พยุงฉันลงไปที” โดยไม่รอให้หวางซิงเสนอบริการ เซินเฟยก็สั่งพร้อมพยุงตัวเองขึ้นนั่งทำให้หวางซิงต้องรีบทิ้งผ้าในมือแล้วช่วยออกแรงพยุง เซินเฟยรู้สึกเหมือนโลกหมุนกลับไปมาแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นยืน ด้วยไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไรหวางซิงจึงจำต้องช่วยพาเดินไปโดยคิดเสียว่าตนเองเป็นขาสำรอง

ตอนแรกทั้งสองคิดว่าจะไม่มีใครอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่เมื่อพวกเขาลงมาถึงกลับพบว่าซากุระกลับมาถึงบ้านแล้วแต่เธอดูผิดไปจากปกติ

หญิงสาวดูโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เธอนั่งกุมหน้าอยู่บนโซฟา โต๊ะกาแฟด้านหน้าเต็มไปด้วยกระดาษที่แผ่เกลื่อนจนเกือบตกลงมาบนพื้น หญิงสาวยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแสดงว่าเพิ่งจะกลับมาถึง

เสียงบันไดลั่นทำให้ซากุระเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางค์อ่อน ๆ เลอะไปด้วยคราบน้ำตา

“อา...เสี่ยวเฟย อาการเป็นยังไงบ้าง?” หญิงสาวหยิบทิชชู่มาซับน้ำตาแล้วแย้มยิ้มสอบถามอาการผู้เป็นหลานด้วยความเป็นห่วง หวางซิงจึงพยุงเซินเฟยให้นั่งลงข้าง ๆ แล้วขอตัวออกไปอย่างเงียบ ๆ

“ดีขึ้นแล้วครับ แต่ยังมึนอยู่นิดหน่อย” เซินเฟยตอบ แต่ข้อหลังนั้นเขาไม่ได้บอกเหตุผลว่าเป็นเพราะเขาหยิบยากินเองโดยไม่อ่านฉลากให้ดี

“งั้นหรือ? แล้วมื้อเย็นกินหรือยัง จะได้กินยาอีกรอบ”

เด็กหนุ่มแค่นยิ้มกับความเป็นห่วงนั้น เขาคิดว่าคืนนี้คงไม่ต้องกินยาตัวไหนเสริมอแกแล้วเพราะเท่าที่กินเข้าไปก็น่าจะมีผลจนถึงเช้า เพราะตอนนี้เขายังมึนงงไม่หาย

“คุณอาไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ แล้วคุณอาทานมาหรือยัง? ผมจะไปเร่งห้องครัวให้ดีไหม?”

“ไม่ต้องหรอก อาทานมาแล้วล่ะ” หญิงสาวยังคงซับน้ำตาเป็นระยะ แม้เธอจะไม่ตั้งใจร้องไห้ให้เด็กหนุ่มเห็น ทว่าเธอก็ไม่อาจห้ามน้ำตาที่ไหลหยดลงมาอย่างต่อเนื่องได้

“แล้ว....ใครทำอะไรคุณอาหรือครับ? หรือว่าพวกญาติ...” เซินเฟยจำต้องเอ่ยถามด้วยความห่วงใย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่บ้านใหญ่ เขายังไม่เคยเห็นอาสะใภ้ของเขาร้องไห้เลยแม้แต่ครั้งเดียว สำหรับเขา ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมาหากไม่นับรวมเสวียนอู่ที่เขาได้พบเพียงไม่กี่ครั้ง

“เปล่าหรอก” ซากุระโบกไม้โบกมือ “พอดี....มีเรื่องทางญี่ปุ่นนิดหน่อย”

“บอกผมได้หรือเปล่าครับ?”

หญิงสาวชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยิ้มเศร้า

“เสี่ยวเฟย หลานเองก็โตแล้วนะ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หลานแสดงให้อาเห็นแล้วว่าหลานสามารถจัดการอะไรด้วยตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีอาคอยหนุนหลังอีกแล้ว” ซากุระเกริ่นนำ “ต่อจากนี้ไปมันคงจะกลายเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เสี่ยวเฟยก็อย่ายอมแพ้นะ ก็หลานของอาน่ะ เข้มแข็งถึงขนาดนี้ ถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็จะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี อาเชื่ออย่างนั้น” กล่าวไป ซากุระก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเซินเฟยอย่างเอ็นดูระคนโหยหา เป็นเพราะสามีของเธอที่เคารพกันเป็นเพื่อนที่ดีไม่เคยคิดต่อกันฉันท์ชู้สาวทั้งสองจึงไม่มีลูกด้วยกันแม้สักคนเดียว สำหรับซากุระแล้วแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเซินเฟยด้วยสายเลือด ทว่าเธอก็เอ็นดูเด็กหนุ่มไม่ต่างจากลูกในไส้

“คุณอา...หมายความว่ายังไงครับ?” เซินเฟยรู้สึกเหมือนฤทธิ์ยายังไม่คลายตัว เขาไม่สามารถตีความคำพูดของซากุระได้ชัดเจนนัก เขารู้แต่เพียงว่าเวลาที่เธอพูดน้ำตาก็ไหลหยดลงมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้กระโปรงของเธอยังเปรอะด้วยเม็ดน้ำตาที่หยาดหยดลงไป

“พ่อของอา....เสียแล้วล่ะ เสี่ยวเฟย” ซากุระตอบแล้วบีบมือเซินเฟยแน่นขึ้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่านั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวของความทุกข์ใจ

ทำไมเวลาอย่างนี้สมองของเขาถึงได้เชื่องช้านักนะ...

เซินเฟยคิดกับตนเองอย่างขัดใจ ทั้งที่ก่อนหน้าแค่คำพูดพวกนี้เขาก็ตีความได้ถึงไหนต่อไหนแต่เวลานี้เขากลับไม่อาจคิดอะไรได้เลย เสมือนมีเมฆหมอกบดบังสติอยู่ตลอดเวลา

“ถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่อาก็เป็นลูกคนเดียวตามกฏหมายที่มีสิทธิในมรดก....อาต้อง....กลับไปดูแลกิจการทางนั้น.....” ถ้อยคำหลัง ๆ เจือด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา เซินเฟยนิ่งอยู่นานเพื่อตีความคำพูดเหล่านั้นด้วยความตกตะลึงก่อนที่ปากของเขาจะเผลอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

“เมื่อไหร่ครับ....”

“....อาทิตย์หน้า.....”

TBC

-------------------------

ขออภัยสำหรับคนขอ NC นะคะ~ แต่แบบว่า....เซียร์ทำใจทำร้ายน้องเฟยเฟยไม่ได้~ (เพราะหลังจากนี้จะทำร้ายอีกเยอะ /เผ่น)

/กอดเรย์จังจ้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 10 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 22-02-2011 23:35:34
อ้ากกกกกกเซินเฟยพลาดเสียแล้ว


ง่ะโดนซะขนาดนั้นเลยอู้ยเซินเฟยแก้แค้นอย่างไวอ่ะ



ค้างอ่ะรออ่านตอนต่อไปค้าบบบ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 22-02-2011 23:49:31
เฮ่ยยยยยยย
แล้วถ้ายาหมดฤทธิ์ ฉู่เหวินจือตายแน่เลย
หัวข้อ: Re: หนอนใบตอง by RakorN ตอนที่27: เปลี่ยนใจ หน้าที่ 68 [16.12.10]
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 23-02-2011 01:43:33
SM ชัดๆ  555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 23-02-2011 13:10:55
เป็นการเอาคืนที่รวดเร็ว และสะใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่คุณน้องจะอายุถึง 30 ไหมค่ะเนี่ย 
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 23-02-2011 13:45:32
 o18ฉู่เหวินจือจะตายก่อนไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 23-02-2011 14:59:11
คุณฉู่นี่เป็นตัวละครที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทั้งที่มาที่ไป พฤติกรรม ความนึกคิด และจุดประสงค์
แต่มั่นใจว่ามีแผน(ชั่วรึเปล่าไม่รู้?) ว่าแต่คุณเซินจะเส้นโลหิตในสมองแตกก่อนจบเรื่องรึเปล่าเนี่ย???
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 11 (22/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 23-02-2011 15:26:18
โหดจังนะคุณเซิน
สงสารคุณฉู่ หุหุ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 23-02-2011 18:04:14
-12-



ก่อนจะจากไป ซากุระจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ในบ้านใหญ่โดยเชิญหัวหน้าแก๊งค์ใต้ปกครองมาร่วมด้วย เธอเอ่ยอำลาพร้อมทั้งบอกฝากเซินเฟยกับทุก ๆ คน แม้จะไม่มีใครร้องไห้ออกมา แต่บรรยากาศของการลาจากก็วนเวียนและกดทับลงมาจนไม่มีใครสามารถทำใจให้สนุกสนานกับงานเลี้ยงได้แม้เจ้าของงานจะยิ้มแย้มแจ่มใสและบอกให้ทุกคนทำใจสบายและสนุกรื่นเริงด้วยกันก็ตามที

ในวันที่ซากุระต้องเดินทาง เธอจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้บอกเวลากับใครแน่ชัดเพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อนมาส่ง กระนั้นเซินเฟยก็รู้สึกว่าเขาเห็นชิงหลงกับใครบางคนที่คุ้นหน้ามองดูอยู่ไกล ๆ โดยไม่ได้เข้ามาเอ่ยอำลากับหญิงสาวแต่อย่างใด

เมื่อซากุระจากไปแล้ว เซินเฟยก็รู้สึกว่าบ้านที่เคยอยู่ดูไม่เหมือนเดิม เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับมาวางในสถานที่ที่เหมือนบ้านแต่ไม่ใช่บ้านกระนั้น

บ้านทั้งหลังว่างเปล่า....เงียบเหงา....ไม่ว่าที่ไหนของบ้านก็เป็นเช่นนี้ไปเสียหมด แม้จะมีคนรับใช้และบอดี้การ์ดอยู่รายล้อม แต่เซินเฟยก็ยังเปล่าเปลี่ยว

แม้ต่อหน้าคนอื่น ๆ เขาจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ในความเป็นจริงตัวเขาก็ยังรู้ดี....ว่าความมั่นคงในใจกำลังคลอนแคลนและพังทลายลงอย่างช้า ๆ พร้อมการจากไปของหญิงสาวที่ค้ำจุนเขาเสมอมา

เซินเฟยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อจัดการความรู้สึกนี้

ตกเย็นในวันที่ซากุระจากไป หลังจากกินอาหารค่ำแล้วเซินเฟยก็กลับห้องนอนทันที เขารู้สึกอยากอยู่เงียบ ๆ แต่เมื่อได้อยู่เงียบ ๆ จริง ๆ กลับยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม เซินเฟยรู้สึกเหงาจนแทบทนไม่ไหวอยากจะมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนแต่ก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพน่าสมเพช จึงได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง หยิบหนังสือมาอ่าน และพยายามดูว่ามีงานต้องทำหรือไม่ กระทั่งพยายามข่มตาหลับ แต่เวลา 2 ทุ่มแล้วเขาก็ยังไม่สามารถสลัดความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยที่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังได้

เซินเฟยผุดลุกขึ้นจากเตียง คว้าขวดเหล้าที่เก็บไว้บนบาร์กับแก้วใบสวยเดินออกไปจากห้อง

โดยไม่ทันได้คิดว่าจะไปนั่งดื่มที่ไหน ขาก็พาเขามาจนถึงประตูห้องใต้ดินเสียแล้ว บอดี้การ์ดที่เฝ้าหน้าห้องดูจะแปลกใจที่เขามาที่นี่ทั้งที่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเฉียดผ่านเลย มีเพียงหวางซิงเท่านั้นที่เข้าออกเพื่อมาเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าพันแผล ป้อนข้าวป้อนน้ำ และช่วยทำธุระส่วนตัวให้ฉู่เหวินจือที่ถูกขังเอาไว้

ตอนที่เซินเฟยลงไป เขาพบว่าฉู่เหวินจือกำลังหลับอยู่ อีกฝ่ายยังคงถูกขึงเอาไว้ในท่าเดิมอย่างที่เป็นมาตลอดอาทิตย์ บริเวณลำตัวถูกพันทบด้วยผ้าพันแผลผืนใหม่ที่หวางซิงเพิ่งเปลี่ยนให้

เซินเฟยลากเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างหน้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ตอนนี้เขาอยากเห็นใบหน้าใครบางคน จะใครก็ได้ที่อยู่ต่อหน้าและไม่อาจหนีไปไหนได้

ขวดเหล้าถูกเปิดออก น้ำสีอำพันไหลลงแก้วก่อนที่เซินเฟยจะวางขวดเหล้าลงบนพื้นและกระดกเหล้ารสแรงลงคอ โดยปกติแล้วเซินเฟยไม่ค่อยได้ดื่มเหล้ามากนักนอกจากเพื่องานสังคม นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ได้ที่เขาอยากจะดื่มให้เมามาย

“คุณดูไม่น่าจะเป็นคนติดเหล้าได้เลยนะ”

เสียงทักที่ดังขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้เซินเฟยเกือบสำลักเหล้า เขาลดแก้วลงแล้วมองดูฉู่เหวินจือที่กำลังยิ้มให้
“ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยกับนายหรอกนะ” เขาว่า เพราะตอนนี้เขาต้องการความเงียบอย่างมาก ไม่อยากจะพูดคุยกับใครเลยแม้แต่คนเดียว

“ถ้าอย่างนั้นคุณจะลงมาหาผมทำไม?”

“......”

เซินเฟยไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้น เขาเงียบไปและรินเหล้าให้ตัวเองอีกครั้ง ในห้องที่มืดสนิทไม่อาจมองเห็นอะไรได้ชัดเจนนักทำให้สีของเหล้าไม่ได้สะท้อนแสงเป็นสีอำพันสวยงามและเซินเฟยก็ไม่ได้คิดจะเชยชมความสวยงามด้วยอารมณ์สุนทรีย์ เขาเพียงแค่อยากจะเมาก็เท่านั้น แต่ว่าทางฉู่เหวินจือกลับตรงข้าม เขาโดนขังอยู่ในห้องมืด ๆ มีเพียงเวลาที่หวางซิงลงมาเท่านั้นจึงจะได้เห็นแสงสว่าง สายตาของเขาจึงคุ้นชินกับความมืดมิดดี และตอนนี้เขาก็เห็นความเหงาหงอยระคนปวดร้าวบนใบหน้าของเด็กหนุ่มที่นั่งตรงหน้าตน

“พวกข้างบนนั่นรังแกคุณงั้นหรือ?”

“เงียบซะ” เซินเฟยไม่นำพาต่อคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น

“ผมไม่ได้พูดคุยกับใครมาทั้งอาทิตย์จนจะพูดไม่เป็นอยู่แล้ว หวางซิงก็ไม่ยอมพูดอะไรกับผมเลย คุณนี่นอกจากจะทรมานผม กักขังผม แล้วจะทำให้ผมเป็นใบ้ด้วยหรือ?” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบสนอง ฉู่เหวินจือก็เริ่มร่ายยาวเป็นการบ่นทดแทนช่วงเวลาที่อีกฝ่ายขังเขาเอาไว้ตามลำพัง

“อย่าให้ฉันเลาะฟันนายออกมานะ” เซินเฟยขู่ ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกมึนนิดหน่อยหลังกระดกเพียว ๆ สามแก้วรวดจึงไม่รู้สึกอารมณ์เสียมากนักแม้จะถูกก่อกวนในเวลาอย่างนี้

ฉู่เหวินจือรู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่น่าแปลกใจ จะมีอะไรบางนะที่ทำให้เซินเฟยผู้เข้มแข็งดูอ่อนแอลงถึงขนาดนี้ แม้แต่ตอนที่ถูกเขาข่มขืนก็ยังไม่แสดงอาการอย่างนี้เลยไม่ใช่หรือ?

ราวกับว่า....เหตุผลของความเข้มแข็งนั้นได้จากลาไปเสียแล้ว....

ฉู่เหวินจือนิ่งเงียบไป ไม่ใช่เพราะกลัวคำขู่ แต่เขากำลังคิดทบทวนว่ามีอะไรบ้างที่สามารถทำให้เซินเฟยหวั่นไหวได้ อะไรบ้างที่ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้สั่นคลอน และทำไมอีกฝ่ายถึงเลือกที่จะลงมาหาเขา....คนที่เคยทำให้โกรธจนแทบบ้าและตอนนี้ไม่มีปัญญาต่อกร เขาดูจะไม่ใช่หนึ่งในเงื่อนไขที่มีผลต่ออารมณ์ของเซินเฟยในเวลานี้ หวางซิงก็ไม่น่าจะใช่เพราะฝ่ายนั้นยังคงทำงานอย่างซื่อสัตย์ไม่ได้จากไปไหน คนรับใช้ในบ้านก็ไม่มีใครมีความสัมพันธ์พิเศษกับนายน้อยคนนี้อีก หรือว่าจะเป็น....

ฉู่เหวินจือยิ้มออกมา เขาลืมไปได้อย่างไรนะ

คน ๆ เดียวที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้อง ห้ามกระทั่งมองดู...

“อาสะใภ้....นายหญิงสบายดีหรือเปล่า?”

คำถามของฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยชะงักก่อนจะกระดกแก้วที่ห้าลงคอไปรวดเดียว ความเงียบปกคลุมลงมาอีกครั้งเมื่อเซินเฟยไม่ตอบคำ

เด็กหนุ่มรินเหล้าให้ตัวเองอีกหลายแก้วจนเริ่มรู้สึกมึนเมาได้ที่ ทิ้งช่วงความเงียบให้ยาวนานจนฉู่เหวินจือเกือบจะหลับไปอีกครั้ง ความมืดและความเงียบช่างเหมาะกับการนอนเสียจริง ถ้าไม่รวมกับที่แขนของเขาถูกขึงเอาไว้ในท่าเดิมจนกระดูกไหล่แทบจะหลุดคงจะนอนหลับอย่างสบายกว่านี้ ไม่ใช่เผลอสัปหงกทีนึงก็ปวดไหล่จนต้องตื่นขึ้นมา บางทีเขาก็รู้สึกชื่นชมการสรรหาวิธีลงโทษของเซินเฟยอยู่เหมือนกัน

“อยากกลับไปหาไป๋หู่หรือเปล่า?”

ฉู่เหวินจือเลิกคิ้วกับคำถาม ไม่คิดว่าเซินเฟยจะใจดีขนาดยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ อย่างนั้น ตอนแรกทำใจไว้ว่าอาจต้องโดนแขวนไว้อย่างนี้ต่ออีกสักอาทิตย์

“คุณจะส่งผมกลับหรือครับ?” เขาถามหยั่งเชิง

“นายทำงานเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่าไป๋หู่มีคำสั่งอื่นอีก?” เสียงของเซินเฟยฟังดูอู้อี้เล็กน้อยเพราะความมึนเมาเข้าครอบงำสติ

“ท่านไป๋หู่สั่งว่าหลังจากเสร็จงานแล้วจะให้ผมทำอะไรก็ได้ตามใจ” ฉู่เหวินจือหัวเราะ “ดูท่าทางเขาจะคิดว่าผมอาจโดนฆ่าตายทันทีเลยไม่คาดหวังให้ผมกลับไปรับใช้ต่อ”

“แสดงว่า....หลังจากนี้นายจะทำอะไรก็ได้สินะ”

ฉู่เหวินจือได้ยินเสียงเก้าอี้ขยับ และเงาร่างของเซินเฟยที่ลุกยืนก่อนจะเดินมาทางเขา ฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้ในระยะประชิดและยกมือข้างที่ไม่ได้ถือแก้วขึ้นจับคานด้านบนทำให้ตอนนี้ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองเกือบจะสัมผัสกัน กลิ่นแอลกอฮอล์อวนคลุ้งอยู่ตรงจมูกเมื่อเซินเฟยปล่อยลมหายใจออกมา

“คุณเมาแล้วนะ”

“นายคิดที่จะมาทำงานกับฉันหรือเปล่า?” เซินเฟยไม่ได้นำพาต่อคำพูดของอีกฝ่าย เขายิงคำถามที่ฉู่เหวินจือไม่ได้คาดคิดออกมา

“แปลว่าคุณกำลังจะมีข้อเสนอให้ผมพิจารณา” ฉู่เหวินจือพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากแตะกันเล็กน้อย เซินเฟยสะดุ้งแต่ไม่ได้ถอยหนี หากสว่างกว่านี้เขาอาจจะเห็นแววตาสับสนของอีกฝ่าย แต่เพราะความมืดทำให้ฉู่เหวินจือเห็นเพียงเงาหน้าราง ๆ

“ฉันไม่ใช้งานนายฟรี ๆ หรอก” เซินเฟยกล่าวโดยไม่ได้หลบตา “มาอยู่กับฉันสิ เป็นสุนัขของฉัน แล้วฉันจะจ่ายค่าตอบแทนให้”

“ค่าตอบแทน?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยถาม “คุณจะจ่ายผมด้วยอะไรล่ะ? ถ้าคุณให้ราคางามกว่าไป๋หู่ผมก็จะลองพิจารณา” เขากระซิบประชิดริมฝีปากของเซินเฟย กลิ่นเหล้าลอยอวลเชิญชวนให้ลิ้มรสด้วยสิเน่หา

“ถ้านายยังสนใจสิ่งที่นายได้ไปแล้วล่ะก็.....” ว่าแล้ว เซินเฟยก็ก้มลงวางแก้วเหล้าก่อนจะลุกขึ้นมาอีกครั้งและปลดกระดุมทีละเม็ด

ใจกล้าดีนี่....

ฉู่เหวินจือยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกปรารถนาที่พึ่งพิงถึงขนาดนี้ แต่ว่าในเมื่อมันทำให้เขาได้ประโยชน์เขาก็คงต้องขอบคุณสิ่งนั้นสินะ....ทั้งที่ในใจคิดอย่างนั้น ทว่าฉู่เหวินจือก็ไม่ได้ตอบทันที เขาทำท่าลังเลอยู่เล็กน้อย

“ถ้าถูกมัดอยู่แบบนี้ผมคงตัดสินใจยากหน่อย แบบว่า....ผมปวดแขนน่ะ”

เซินเฟยต้องตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่สมองซึ่งถูกแอลกอฮอล์กดทับจะตีความหมายได้ เขาจึงแกะเชือกที่พันข้อมืออยู่ออก บริเวณนั้นสัมผัสได้ว่าผิวหนังที่ถูกมัดมีรอยถลอกซึ่งหากสัมผัสคงจะแสบน่าดู ฉู่เหวินจือลูบข้อมือตนเองขณะที่เซินเฟยถอยห่าง ชายหนุ่มก้มลงปลดล็อคข้อเท้า ยืนหยั่งขาบนพื้นและยืดแขนขาให้คลายอาการเมื่อยขบ ไม่รู้เลยว่าหลังจากถูกขึงมานานพอได้เป็นอิสระอีกครั้งจะรู้สึกดีอย่างนี้

“ถ้านายอยากได้เวลาฉันจะ.....อ๊ะ!” ไม่ทันที่เซินเฟยจะผละออกไป ฉู่เหวินจือก็กระชากร่างฝ่ายตรงข้ามเข้าหาโดยแรงก่อนจะโถมตัวลงจนล้มลงไปบนพื้นทั้งคู่ เซินเฟยสมองเขย่าจนโลกหมุนคว้างต้องใช้เวลานานกว่าที่จะผงกศีรษะขึ้นมาจากพื้นและได้เห็นฉู่เหวินจือคร่อมทับอยู่ด้านบน

“ผมรับข้อเสนอ”

ฉู่เหวินจือกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายก่อนจะแหวกเสื้อเซินเฟยออก แม้ในความมืดเขาจะมองไม่เห็นอะไรชัดเจนนักแต่ก็สามารถจินตนาการได้จากที่เคยเห็นมาก่อนแล้ว ตอนนี้เซินเฟยคงจะกำลังทำหน้าแดงอย่างรั้น ๆ อยู่แน่ ๆ เพียงแค่คิดก็ตื่นเต้นอยากจะเผด็จศึกจนแทบทนไม่ไหว

แม้จะเมามายแต่เซินเฟยก็มีสติพอจะรู้ตัว เขาสามารถห้ามปรามฉู่เหวินจือได้แต่ก็ไม่ทำ...

เซินเฟยปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ การปลุกเร้าและรุกไล่ของชายหนุ่มนอกจากจะไม่ได้ทำให้รู้สึกรังเกียจแล้วเซินเฟยยังรู้สึกดีไปด้วยเสียอีก เพราะความเหงาหรืออย่างไรไม่อาจทราบ เพียงแต่เซินเฟยรู้ว่าเวลานี้ตัวเขาสูญเสียความมั่นใจที่จะยืดหยัดตามลำพังไปเสียแล้ว หากไร้หลักพึ่งพิงในที่สุดก็คงจะโค่นล้มลง ซึ่ง....เขายอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้...

ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรไป เขาจะล้มลงไม่ได้อย่างเด็ดขาด....

เพราะบนบ่าของเขายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องค้ำยันเอาไว้....

----------------->

จือหยินมาตรวจร่างกายช้ากว่ากำหนดถึง 1 อาทิตย์ เพราะช่วงที่ซากุระกำลังจะเดินทางนั้นเธอได้ขอให้จือหยินเลื่อนกำหนดออกไปก่อนเพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่กับเซินเฟยอย่างเต็มที่ไม่สูญเสียไปสักวินาที

ช่วงนี้ร่างกายของเซินเฟยดูจะยังไม่ปกติดีจึงยังไม่ได้ไปทำงาน จือหยินที่มาตรวจร่างกายให้ตามปกติจึงต้องระมัดระวังอย่างมากที่จะจ่ายยาให้อีกฝ่ายเพราะได้ยินจากหวางซิงว่าเซินเฟยกินยาผิดไปครั้งหนึ่งทำเอาเบลอไม่รู้เรื่องเสียข้ามวัน

“หมอจ้าวฝีมือดีนะครับ แผลสวยทีเดียว” จือหยินกล่าวขณะตรวจบาดแผลบนหน้าขา แม้เซินเฟยจะรู้สึกกระดากที่ต้องมาถอดกางเกงต่อหน้าคนอื่น แต่เพราะไม่อยากรู้สึกสมเพชตัวเองจึงพยายามตีสีหน้าให้เป็นปกติ

“อีกนานไหมกว่าจะหาย”

“ไม่นานหรอกครับ แผลใกล้จะปิดสนิทแล้ว ถ้าไม่ออกกำลังมากเกินไปแผลก็ไม่เปิดอีกหรอกครับ” จือหยินตอบพลางเช็ดแผลด้วยแอกอฮอล์ทำให้เซินเฟยรู้สึกเย็นวาบ เวลาถูกสัมผัสขาอ่อนอย่างนี้ถึงจะเป็นเพียงสำลีแต่ก็ทำให้รู้สึกสะเทิ้นอายขึ้นมาเหมือนกัน

เซินเฟยจ้องมองมือของจือหยินขณะปิดสำลีเหนือรอยเย็บ ก่อนจะไล่ไปตามแขนจนถึงใบหน้า อีกฝ่ายยังคงดูอ่อนโยนเหมือนเคยทั้งยังหน้าตาอยู่ในขั้นน่ามอง ไม่แปลกที่จะมีหญิงสาวเข้ามาติดพันแม้โดยส่วนตัวจะไม่ค่อยมีเวลาก็ตาม เมื่อคิดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร เซินเฟยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดแปลบในอก เขารู้ว่าความรู้สึกพิเศษที่มีให้อีกฝ่ายนั้นเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ต้น ผู้ชายปกติที่ไหนที่จะสนใจผู้ชายด้วยกัน ซ้ำยังเป็นคนที่มีตำแหน่งฐานะที่ยากจะจินตนาการถึงอย่างเขา แม้แต่คิดจะเป็นเพื่อนยังยากจะเป็นไปได้....

ทำไมถึงรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาอีกแล้วนะ....

เซินเฟยรู้สึกเหมือนในอกตนเองมีโพรงมืดกำลังขยายตัวอยู่ ตั้งแต่ซากุระจากไปมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เสียจนเขายังรู้สึกกลัวว่าวันหนึ่งจะถูกกลืนกินเข้าไป

“แล้วคุณรู้สึกผิดปกติบ้างไหมครับในระยะนี้?” ในห้วงภวังค์ความคิด เซินเฟยได้ยินเสียงของจือหยินแทรกเข้ามาจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่กำลังส่งยิ้มให้แล้วถามย้ำ “รู้สึกผิดปกติไหมครับ?”

“เช่นอะไรบ้าง?”

“ก็....อืม....อย่างมึนหัว ปวดกล้ามเนื้อ ระยะนี้คุณไม่ได้ออกกำลังกายเลย ต้องนั่ง ๆ นอน ๆ ตลอดคงจะรู้สึกติดขัดบ้างใช่ไหมครับ?”

“ก็นิดหน่อย...ผมรู้สึกเบื่อหน่ายมากกว่า” เซินเฟยตอบ เขาอยากจะหลุดพ้นจากวิถีชีวิตอันเงียบเหงานี้เสียที

“เสียดายจังนะครับ” อยู่ ๆ จือหยินก็ว่าออกมาอย่างนั้น “คุณเซินมีสุขภาพผิวที่ดีมาก มีแผลแบบนี้น่าเสียดายแย่เลยจริงไหมครับ?”

เซินเฟยรู้สึกร้อบวูบขึ้นมาที่ใบหน้า เพราะก่อนหน้านี้ที่มีคนวิจารณ์ผิวของเขา เขากลับโดนคน ๆ นั้นทำเรื่องน่าอายขณะวิจารณ์

“แต่หมอจ้าวเป็นหมอที่เก่งมาก ผมคิดว่าคงไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็นด้วยซ้ำไป”

“.....งั้นหรือ....” เซินเฟยปรับระดับเสียงให้เป็นปกติ ทำไมกันนะ ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายมีคนรักแล้วเขาก็ยังอดใจเต้นแรงกับถ้อยคำแสดงความห่วงใยไม่ได้ แม้จะเป็นคำพูดตามหน้าที่ก็ตาม

“แล้วก็อย่าหยิบยากินเองอีกนะครับ ให้คุณหวางจัดการให้เหมือนเดิมดีกว่า”

เซินเฟยนึกอยากเอาหน้าซุกดิน กระทั่งเรื่องนี้ทำไมหวางซิงต้องรายงานด้วยนะ

จือหยินหลีกเลี่ยงการพูดถึงซากุระอย่างฉลาดด้วยรู้ว่าการจากไปของญาติผู้ใหญ่ที่สนิทที่สุดย่อมมีผลกระทบต่อภาวะทางอารมณ์อย่างมาก โดนมารยาทเขาอาจควรเอ่ยถามถึง แต่ด้วยจรรยาบรรณ จือหยินตัดสินใจว่าเขาควรจะเงียบเอาไว้

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ” จือหยินกล่าวอำลาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูปกติดี แค่มีอาการเบื่ออาหารเล็กน้อยตามภาวะของคนที่กำลังเข้าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร แต่ตอนที่หวางซิงรายงานให้เขาฟังกลับทำท่าราวกับว่าเจ้านายของตัวเองเผลอกินยาพิษเข้าไปทั้งขวดกระนั้น

จือหยินจากไปแล้ว แต่เซินเฟยก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม เขาผ่อนคลายร่างกายให้สบายแล้วสงบจิตใจที่เหมือนจะหวั่นไหวได้ทุกครั้งเมื่อพบหน้าอีกฝ่าย

“ทำหน้าแบบนั้นผมหึงนะครับ” ฉู่เหวินจือเข้ามายืนหลังเก้าอี้เมื่อใดไม่ทราบได้ ชายหนุ่มคร่อมตัวลงมาจนใบหน้าเกือบจะชิดอีกฝ่าย เซินเฟยลืมตาขึ้นพลางมุ่นคิ้ว นึกขุ่นใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องโผล่มาให้เห็นหน้าขัดจังหวะการรำลึกถึงหน้าจือหยินที่ติดอยู่ในความทรงจำด้วย

ฉู่เหวินจือยืดตัวขึ้นแล้วเดินอ้อมเก้าอี้มานั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าก่อนลูบไล้ท่อนขาเปลือยเปล่าลื่นมืออย่างถือวิสาสะ
“ทำไมคุณถึงไม่บอกเขาด้วยล่ะครับว่ารู้สึกผิดปกติที่ข้างหลังนิดหน่อย คุณปวดสะโพกบ่อย ๆ ไม่ใช่หรือครับหลังจากที่เราทำกับเสร็จ” ชายหนุ่มหยอกล้อถึงเรื่องบัดสีได้อย่างหน้าตาเฉย แต่แน่นอน ใครจะไปกล้าพูดเรื่องแบบนั้นกับหมอ ยิ่งกับคนหน้าบางอย่างเซินเฟยถ้าจะให้พูดคงจะขอกัดลิ้นตายดีกว่า

“ถ้ารู้ก็อย่าทำสิ” เซินเฟยทำหน้าขัดใจ ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนที่พวกเขาตกลงกัน ฉู่เหวินจือก็เข้ามารบกวนเขาได้ทุกคืน พอเขาเอ่ยปากห้ามก็ทวงสัญญาทำให้พูดไม่ออก นอกจากนั้นแล้วยังฉวยโอกาสแตะต้องเนื้อตัวเขาได้เกือบทุกเวลา แม้แต่ตอนนี้ที่เจ้าตัวเอาแต่ลูบไล้ขาของเขาราวกับขาผู้หญิง ขาผู้ชายมันดูน่าพิศมัยน่าลูบน่าไล้ตรงไหนกันนะ เซินเฟยไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด

“คนเราเวลามีอาหารเลิศรสวางตรงหน้าแล้วบอกว่าจะกินก็กินได้นะ คุณคิดว่าจะมีใครกล้าปฏิเสธหรือครับ” ฉู่เหวินจือพูดไปก็ก้มหน้าลงจุมพิตเหนือสำลีที่ปิดแผลก่อนจะเลื่อนไปบนผิวเนื้อโดยรอบ ส่วนมือที่ว่างข้างหนึ่งก็ลูบอยู่บนขาอีกข้าง เซินเฟยรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ไม่สวมกางเกงทันทีที่จือหยินออกไป

“พอแล้ว ถ้ามีคนอื่นเข้ามา...”

“ตอนนี้? ไม่หรอกครับ” ฉู่เหวินจือหัวเราะ “ในห้องทำงานของคุณนอกจากหวางซิงแล้วไม่มีใครกล้าเข้ามาหรอกครับ ส่วนหวางซิงตอนนี้ก็ไปที่บริษัทเพื่อดูว่าระหว่างที่คุณกำลังอู้งานมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”

“ฉันไม่ได้อู้งาน ถ้านายขยันนักก็ออกไปช่วยอาซิงสิ” เซินเฟยเริ่มนึกรำคาญ สิ่งเดียวที่เขาทำใจให้เคยชินกับอีกฝ่ายไม่ได้คือปากที่พาลจะหาเรื่องอยู่ตลอด

“ผมกำลังทำงานอื่นอยู่” ฉู่เหวินจือขยับมือขึ้นเกี่ยวชั้นใน ทันใดนั้นเซินเฟยก็หน้าแดงวาบรีบตะปบมืออีกฝ่ายทันที

“นี่มันตอนกลางวันนะ!”

“ก็ใช่ แต่เราก็อยู่ตามลำพัง อีกอย่าง ผมบอกแล้วว่าผมกำลังหึง” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างแล้วดึงชั้นในอีกฝ่ายออกโดยไม่สนใจการห้ามปราม “ให้หมอจือสัมผัสแบบนั้นคงจะใจเต้นน่าดูเลยสินะครับ”

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 23-02-2011 18:04:33
“นายมีสิทธิมาหึงฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ออกไปได้แล้ว!” เซินเฟยดันศีรษะอีกฝ่าย ทว่าในวินาทีต่อมากลับถูกรวบข้อมือเข้าหากัน ฉู่เหวินจือขยับศีรษะเข้าใกล้สัดส่วนสำคัญก่อนจะขบเม้มที่เนื้ออ่อนตรงขาด้านใน เซินเฟยสะดุ้งเฮือกใบหน้าแดงวาบราวกับลูกตำลึง นึกอยากจะหนีบขา ศีรษะอีกฝ่ายก็กั้นอยู่ตรงกลางทำให้ไม่อาจทำได้ตามใจคิด ได้แต่กัดฟันกรอด ๆ พยายามหักห้ามอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่น

ฉู่เหวินจือแตะปลายลิ้นที่สัดส่วนสำคัญ เขารู้สึกถึงแรงสะท้านจึงยิ้มออกมา ไม่ว่าตอนไหนเซินเฟยก็รู้สึกไวกับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายเสมอ กับร่างกายของเด็กหนุ่มอย่างนี้เขาชักเริ่มจะสนุกขึ้นเรื่อย ๆ เสียแล้วสิ

“นี่....หยุดนะ.....” คำสั่งไม่ได้ดูดุดันเลยแม้แต่น้อยเมื่อเจ้าของเสียงกำลังสั่นสะท้านจากการถูกเล้าโลมอย่างมีชั้นเชิง แต่มีหรือที่ฉู่เหวินจือจะยอมฟังและรับว่า ‘ครับ’ อย่างง่าย ๆ เหมือนคนอื่น เขาครอบครองความอ่อนไหวด้วยริมฝีปากทำให้เซินเฟยต้องกลั้นหายใจก่อนที่จะเผลอร้องออกมา เขากดส้นเท้าลงบนแผ่นหลังฉู่เหวินจือ ทว่าการกระทำเช่นนั้นใช้ได้เพียงตอนที่อีกฝ่ายยังระบมกับแผลของแส้อยู่ ซึ่งตอนนี้ที่หายดีแล้วจึงไม่มีอาการสะทกสะท้านแม้แต่น้อย เซินเฟยนึกอยากเอาแส้มาเฆี่ยนให้ระบมอีกสักรอบจริง ๆ

เด็กหนุ่มแหงนเงยใบหน้าขึ้นเพื่อระบายลมหายใจร้อนผ่าว จากที่กดส้นเท้าหวังให้อีกฝ่ายเจ็บ ตอนนี้กลับกลายเป็นจิกปลายเท้าด้วยความเสียวซ่าน

ความช่ำชองฉู่เหวินจือมักทำให้เซินเฟยนึกสงสัยว่าผู้ชายคนนี้ผ่านชีวิตแบบไหนมา หรือมันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายโตเต็มวัยที่มักจะเคยผ่านเรื่องอย่างนี้มาแล้ว?

ฉู่เหวินจือผละออกมาเมื่อมีของเหลวข้นหลั่งเข้ามาในปาก ชายหนุ่มเด็ดทิชชู่มาเช็ดแล้วโยนทิ้งถังขยะก่อนเงยหน้ามองใบหน้าที่แดงซ่านด้วยความอับอายระคนสุขสม

“รู้สึกดีไหมครับ?”

“อย่ามา....ถามบ้า ๆ นะ....” เซินเฟยดันอีกฝ่ายออกห่างแต่ฉู่เหวินจือกลับลุกขึ้นพร้อมยกขาของเขาขึ้นตาม

“หมอจือทำให้คุณไม่ได้อย่างนี้หรอกจริงไหม?” พร้อมกับคำพูดนั้น ชายหนุ่มก็รุกเข้าประชิด

“เลิกพูดถึงหมอจือตอนที่นายกำลัง....อึก....” ฉู่เหวินจือพาตนเองแนบชิดทันทีทำให้เซินเฟยชะงักคำพูดด้วยความตกใจ เพราะแม้จะยังไม่ได้ปลดกางเกง แต่ความร้อนที่อัดแน่นก็สัมผัสสะโพกจนรู้สึกได้ชัดเจน เซินเฟยนึกอยากจะซุกลงไปในดินจริง ๆ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้มักมากอย่างนี้นะ!

ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมเสียงโครมที่ดังสนั่นจนคนด้านนอกยังตกใจ

ฉู่เหวินจือลูบใบหน้าตนเอง พลางเงยมองเซินเฟยที่ยกเท้าค้างกลางอากาศ

วินาทีที่แล้วเขากำลังรุกอีกฝ่ายอยู่แท้ ๆ แต่เมื่อมีเสียงเคาะประตู เซินเฟยก็มีปฏิกิริยาตอบรับทันทีด้วยการยกเท้ายันหน้าเขาโดยแรงจนล้มกระแทกโต๊ะกาแฟ เจ็บหน้าไม่พอยังปวดหลังด้วย ทีหน้าทีหลังเขาคงต้องเคลียร์พื้นที่ด้านหลังตนเองก่อนเสียแล้ว

“เอ่อ....ด้านในมีอะไรหรือเปล่าครับ?” เสียงคนด้านนอกถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่! ไม่มี มีอะไรก็รีบว่ามา!” เซินเฟยลุกพรวดรีบรนสวมชั้นในและกางเกงในช่วงที่ฉู่เหวินจือเจ็บหลังลุกไม่ขึ้น

“มีคนมาขอพบครับ”

“ใคร?” เซินเฟยเปิดประตูออกมาถาม เวลาอย่างนี้ใครกันนะที่มาขอพบเขา

“เอ่อ.....คุณเซินหยู่ กับ คุณหลี่จวี๋เหม่ย ครับ”

เซินเฟยมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินชื่อของคนที่มาขอพบ ชื่อสองชื่อนี้เขาไม่ได้ยินว่าเคยมาเป็นแขกของบ้านหลังนี้เลยนับแต่ถูกนำตัวเข้ามา และเขาก็ไม่ได้ยินสองชื่อนี้มานานแล้ว เพราะว่า....

“พ่อกับแม่?”

“ครับ”

น่าแปลก....

เซินเฟยเริ่มคิดหนักที่จะออกไปพบ พ่อกับแม่ของเขาถูกห้ามติดต่อกับเขาโดยตรงอย่างเด็ดขาด ตั้งแต่ 6 ปีก่อนเขาก็ไม่เคยได้พบหน้าทั้งสองคนเลยแม้สักครั้ง จะติดต่อกันก็เพียงโทรศัพท์ที่นาน ๆ ทีจะโทรหาเพื่อย้ำกับเขาว่าตนเองมีพ่อแม่อยู่เท่านั้น

หากจะว่าตามจริง เขากับพ่อแม่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่น่าจดจำสักเท่าไหร่ พ่อของเขามักจะคาดหวังกับแซ่ของตัวเองอยู่มาก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เอาแซ่มาอ้างอยู่เสมอ ขนาดตอนเขาสมัครเข้าเรียนยังอวดอ้างและบีบคั้นครูให้เกรดเขาดี ๆ ด้วยแซ่เซิน ทำให้ชีวิตในวัยเด็กของเขาเป็นอะไรที่เขาไม่อยากจะคิดถึง เขามักจะโดนครูเขม่นอยู่บ่อย ๆ เพื่อนในห้องก็ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ทำให้เขาไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว

ส่วนแม่ของเขาก็เป็นผู้หญิงที่แต่งมาเพื่อช่วยฐานะของครอบครัว ซ้ำยังเป็นผู้หญิงช้างเท้าหลังที่ตามใจพ่อตลอดไม่กล้าโต้แย้งอะไร

เซินเฟยรู้ว่าตนเองไม่มีทางเลือกมากนักในวัยเด็ก แต่เมื่อเขาอายุ 12 ก็ถูกนำตัวเข้าตระกูลหลักทำให้ชีวิตของเขาเริ่มเป็นชีวิตมากขึ้น สำหรับคนอื่นเขาอาจจะดูเหมือนคนอกตัญญูก็ได้ที่ไม่เคยรู้สึกอยากกลับไปหาพ่อกับแม่ของตัวเองเลยตลอดเวลาที่มาอยู่ที่นี่ กลับกัน พ่อกับแม่ที่ไม่ใยดีเขานักกลับพยายามดั้นด้นอยากพบเขาทั้งพยายามติดสินบนคนดูแลและอื่น ๆ ในที่สุดซากุระจึงยอมให้โทรศัพท์คุยกันแต่ห้ามพบหน้า ซึ่งพ่อของเขาทำท่าจะไม่ยอมในตอนแรกแต่เมื่อซากุระเซ็นเช็คให้ใบหนึ่งอีกฝ่ายก็ยอมปิดปากเงียบ

เขาไม่อยากคิดในแง่ร้ายนักแต่ต้องยอมรับว่าเขาไม่อาจเข้าใจความรักของพ่อแม่ได้เลย

ในที่สุดเซินเฟยก็ถอนหายใจออกมา ในเมื่ออีกฝ่ายมาถึงที่ก็ต้องออกไปต้อนรับตามมารยาท ตอนนี้ซากุระไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนอีก

เด็กหนุ่มสั่งให้คนนำชาและขนมไปเสิร์ฟขณะที่เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยขึ้นก่อนจะไปพบที่ห้องรับแขก

ในห้องรับแขกที่จัดแต่งอย่างสวยงามตามรสนิยมผสมผสานของซากุระ มีชายหญิงสองคนนั่งรออยู่ เมื่อทั้งสองเงยหน้าขึ้นมาเห็นเซินเฟยก็ยิ้มแก้วปริ ฝ่ายชายรีบเดินเข้ามาหาแล้วลูบแขนลูบหัวราวกับอยากสัมผัสลูกรักที่จากกันไปแสนนาน

“โตขึ้นเยอะเลยนะ พ่อคิดถึงแทบแย่ ทำไมถึงไม่โทรกลับมาที่บ้านบ้างเลยล่ะ?” เซินหยู่ถามบุตรชายพลางยิ้มอ่อนโยนแล้วดึงให้เซินเฟยนั่งลงข้าง ๆ

“ระยะนี้งานยุ่งครับ” เซินเฟยตอบสั้น ๆ “แล้วพ่อกับแม่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ไม่มีธุระแล้วมาหาไม่ได้หรือยังไงกัน พ่อเป็นพ่อนะ!” เซินหยู่ชักจะอารมณ์ขึ้นด้วยไม่คิดว่าลูกชายจะเย็นชาใส่

“ใจเย็นสิคะ เสี่ยวเฟยคงแค่ตื่นเต้นที่ไม่ได้พบหน้าพวกเรานานน่ะค่ะ” หลี่จวี๋เหม่ยรีบออกหน้าแทนด้วยไม่อยากให้สามีอารมณ์เสีย เธอจับมือเซินเฟยแล้วบีบเบา ๆ “บอกพ่อเขาหน่อยสิจ๊ะว่าลูกไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นน่ะ พ่อจะได้ดีใจไงจ๊ะ”

เซินเฟยแค่นยิ้ม....แม่ของเขายังชอบบังคับให้เขาทำอะไรบางอย่างด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม

“ครับ...ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”

“ก็ดีแล้ว พ่อคิดว่านายหญิงนอกคอกนั่นจะล้างสมองลูกไปแล้วเสียอีก” แม้เซินหยู่จะอารมณ์ดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังอดกระแนะกระแหนซากุระไม่ได้ ยิ่งอีกฝ่ายไม่อยู่อย่างนี้ยิ่งพูดสะดวกปากขึ้นเยอะ

“คุณอาไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นหรอกครับ” เซินเฟยกล่าว

“ยังไปเรียกว่าคุณอาอีก! คนดี ๆ ที่ไหนจะพรากลูกคนอื่นไปแบบนี้แล้วยังไม่ให้พบหน้า ถ้าไม่ติดว่าต้องกลับญี่ปุ่น พ่อกับแม่คงไม่ต้องเจอลูกไปตลอดชีวิตเลยล่ะมั้ง!”

เซินเฟยจำต้องเงียบเมื่อไม่อยากจะให้เรื่องยืดยาว เขารู้แก่ใจดีกว่าพ่อของเขาไม่ใช่คนจำพวกที่จะพูดว่าลูกคือทุกสิ่งทุกอย่าง อีกฝ่ายมองทุกอย่างเป็นธุรกิจเท่านั้น แม้แต่เขาเองก็เป็นหนึ่งในธุรกิจเช่นกัน เป็นสิ่งที่ลงทุนไปด้วยการยอมหยิบยื่นให้แก่สายหลักเพื่อได้กำไรคือผลประโยชน์จากตำแหน่งจูเชว่กลับคืนมา

“ว่าแต่ ลูกสบายดีไหม ได้ยินว่าโดนยิงนี่ ได้จัดการมันไปหรือยัง?”

“ครับ....มือปืนหนีไปได้แต่คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว”

“นายหญิงไปแล้วลูกอยู่บ้านนี้คนเดียวคงเหงาสินะ” หลี่จวี๋เหม่ยลูบมือบุตรชายก่อนจะบีบไหล่เบา ๆ ตามที่เธอชอบทำเวลาที่คิดจะขอร้องอะไรบางอย่าง

“ก็ยังมีพวกคนรับใช้อยู่ครับ ไม่ได้เหงาอะไรมากมาย เหล่าซือกับเหล่าซานก็ทำงานดีไม่บกพร่อง อาซิงอยู่กับผมตลอดเวลาแต่วันนี้ไปดูงานที่บริษัทแทนน่ะครับ” เซินเฟยกล่าวตอบตามความจริง เพราะในบ้านหลังนี้ขาดซากุระไปก็ใช่จะร้างไร้ผู้คนเสียทีเดียว เพียงแต่ในความรู้สึกของเขาเหมือนถูกกระชากเอาบางสิ่งที่ทำให้อุ่นใจไปเท่านั้นจึงได้รู้สึกเหงา แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาพูดให้ใครเข้าใจได้

“แต่ก็ไม่เหมือนเวลาอยู่กับครอบครัวหรอก ใช่ไหม อาเฟย” เซินหยู่เสริม

คำพูดของทั้งสองทำให้เซินเฟยเข้าใจขึ้นมาราง ๆ ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วกระมังที่ทั้งสองคิดว่าควรจะทวงกำไรจากสิ่งที่ลงทุนไป ใช้ตำแหน่งจูเชว่พาครอบครัวเข้ามาอยู่ในสายหลักแทนสายเก่าที่ขาดสะบั้นไปแล้ว...

“นี่....เสี่ยวเฟย ไม่คิดจะอยู่กันพร้อมหน้าอย่างเมื่อก่อนหรือ?” ผู้เป็นแม่ช่วยตะล่อมอีกแรง

“เรื่องนี้ผมต้องปรึกษากับคนอื่น ๆ ก่อนนะครับ”

“เป็นจูเชว่แล้วจะต้องปรึกษาใครอีก! หรือต้องโทรไปถามนายหญิงที่หนีกลับประเทศไปแล้วนั่น!” เสียงตะคอกของเซินหยู่ทำให้เซินเฟยรู้สึกปวดหัวจี๊ด เป็นเพราะเขากินยาไปเยอะตอนนอนป่วยทำให้หวางซิงสั่งงดยาเขาระยะหนึ่งเพื่อป้องกันอาการเสพติด ระยะนี้เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงความเครียด ทว่า....เหมือนความเครียดจะไม่ยอมให้เขาหนีสักเท่าไหร่

“พวกผู้บริหารองค์กรน่าจะมีสิทธิตัดสินใจในเรื่องนี้นะครับ เพราะการอยู่ในสายตระกูลหลักหมายความว่ามีสิทธิในการบริหารองค์กรด้วย พวกเขาคงไม่ยอมง่าย ๆ” เซินเฟยพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจด้วยเหตุผล แม้เขาจะรู้ว่ามันใช้ไม่ได้ผลก็ตามที

“ใครมันไม่เห็นด้วยก็ยิงทิ้งไปซะเลยสิ!”

เซินเฟยกุมขมับ ก็เพราะอย่างนี้เขาถึงไม่สามารถเอาครอบครัวตัวเองเข้าสายหลักได้ ขืนให้อำนาจปกครองรังแต่จะทำให้เละเทะเท่านั้น พ่อของเขาบริหารแค่กิจการย่อย ๆ ยังเกือบจะล้มแหล่มิล้มแหล่เพราะความใจร้อนเอาแต่ได้ ต้องให้ทางเครือยื่นมือเข้าช่วยอยู่เสมอจนเกือบจะถูกตัดทุนเกื้อหนุนก็หลายครั้ง แม้แต่เวลานี้ บัญชีค่าใช้จ่ายกิจการที่เซินหยู่ดูแลก็วางอยู่ในลิ้นชักของเขา ทางผู้บริหารกำลังประชุมกันว่าจะเปลี่ยนผู้ดูแลดีหรือไม่ เขายังคิดหนักอยู่ว่าจะช่วยอย่างไรเพราะหากใช้เส้นสายก็จะทำให้ถูกลดเครดิตที่สู้อุตส่าห์บากบั่นอดทนดิ้นรนมาตลอด

“อย่าบอกนะว่าแกคิดจะเสพสุขอยู่คนเดียว ไม่มีนังนั่นอยู่แล้วแกก็ได้ครองอำนาจเบ็ดเสร็จแล้วนี่!” เซินหยู่เริ่มใช้วาจาหยาบคายตามอารมณ์ “หึ! ลูกอกตัญญู เป็นใหญ่แล้วลืมพ่อลืมแม่หมดเลยนะ!”

เซินเฟยผงะไปเล็กน้อย นานแล้วที่เขาไม่ได้โดนพ่อตวาดใส่ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ที่แย่กว่าคือฝ่ายนั้นเรียกอาที่เคารพของเขาได้อย่างไร้มารยาทที่สุด

“พ่อจะด่าผมยังไงก็ได้ แต่คุณอาเป็นคนเลี้ยงผมมาจนถึงตอนนี้ กรุณาให้เกียรติเธอด้วยนะครับ” เซินเฟยลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจอย่างที่เขาไม่ค่อยชอบใช้บ่อยนัก กระนั้นมันก็ทำให้เซินหยู่ชะงักไปก่อนจะยกนิ้วที่สั่นเทาด้วยความโกรธขึ้นชี้หน้าลูกชายตัวเอง

“แก.....แก! ไอ้ลูกไม่รักดี!”

“ขออภัยครับ” ก่อนที่เหตุการณ์จะรุนแรงไปกว่านั้น คน ๆ หนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้องทำให้ความสนใจทั้งหมดถูกเบี่ยงไปยังผู้มาใหม่ ฉู่เหวินจือยืนอยู่ที่ประตูด้วยท่าทางเคร่งขรึมเอาการเอางาน “จูเชว่ ท่านไป๋หู่ให้ผมมาเรียนว่าอยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวตอนนี้ ไม่ทราบว่าว่างไหมครับ?”

“บอกให้เขารอสักครู่” เซินเฟยกล่าว ฉู่เหวินจือจึงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นแล้วพูดไปตามนั้น เด็กหนุ่มหันกลับมาหาครอบครัวของตนเองอีกครั้ง “อย่างที่ได้ยิน ตอนนี้ผมไม่ว่างเท่าไหร่ ดังนั้นเราค่อยคุยกันวันหลังนะครับ ผมจะให้คนไปส่ง” เป็นการเชิญที่เหมือนไล่อยู่กลาย ๆ การ์ดสองคนเดินเข้ามาแล้วล้มทั้งสองไว้ก่อนต้อนให้เดินออกไปด้วยท่าทางเคร่งครัดไม่ยอมให้เกิดการขัดขืนอย่างเด็ดขาด

ฉู่เหวินจือเดินเข้ามาเมื่อเซินหยู่และหลี่จวี๋เหม่ยจากไปแล้ว

“หลอกได้เก่งนี่” เซินเฟยกล่าวชมด้วยสีหน้าเรียบเฉย สีหน้าเคร่งขรึมของฉู่เหวินจือจึงเปลี่ยนกลับเป็นรอยยิ้มอ่านยากเช่นเดิม

“ไม่คิดว่าคุณจะจับได้” เขารวบตัวเซินเฟยเข้ามากอด “แล้วจะให้รางวัลผมไหม? สุนัขเวลาทำงานได้ดีมักจะอยากได้รางวัลนะครับ เจ้านาย”

เซินเฟยมุ่นคิ้วก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมอีกฝ่ายเหมือนเวลาลูบขนสุนัข

“เอาไปแค่นี้แล้วกันกับการแสดงที่สมบทบาทนั่น ถ้าได้รางวัลตุ๊กตาทองเมื่อไหร่นายค่อยมาทวงใหม่” เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนแล้วเดินจากไป ฉู่เหวินจือรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีอารมณ์ให้เจ้าหยอกล้อจึงไม่ได้เดินตามไปแต่อย่างใด เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วไล้ริมฝีปากอย่างครุ่นคิด เขารู้ว่าสองคนนั้นไม่รามือง่าย ๆ แน่นอน กับอำนาจที่หอมหวานยั่วยวนมีหรือจะยอมปล่อยมือ ชายหนุ่มแย้มยิ้ม...

ลองจับตาดูสักหน่อยดีไหมนะ....


TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZooS ที่ 23-02-2011 18:09:31
เย้ ^^ จิ้มก่อน

เด่วไปอ่านต่อ

ตื่นเต้นๆ

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: yakusa ที่ 23-02-2011 18:34:37
ตกลงฉู่เหวินจือเป็นพระเอกช่ายปะ

แล้วก็ต้องช่วยนายเอกของเรานะ :serius2:

ชอบอะ อ่านแล้วเครียดดี   :a5:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 23-02-2011 18:54:47
ง่ะแล้วเซินเฟยจะตัดใจจากหมอจือได้เมื่อไหร่อ่ะ


เง้อแล้วเมื่อไหร่จะรักกันล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 23-02-2011 19:16:21
ถูกต้องนะคราบ
อ่านเอาเครียด
แต่มันก็สนุก 555
หัวข้อ: Re: หนอนใบตอง by RakorN ตอนที่27: เปลี่ยนใจ หน้าที่ 68 [16.12.10]
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 23-02-2011 19:21:01
ครบรสตอนนี้
หนุกๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 23-02-2011 19:23:15
เนื้อเรื่องนับวันยิ่งเข้มข้น สถานการณ์พลิกไป พลิกมา ยังกะดู Series เกาหลี
แถมคุณเจ้าของเรื่องยังขยันลง รู้สึกเหมือนดูละคร Exact (ก็ฉายอาทิตย์ละหลายวันไง...)

ที่คุณน้องเซินยื่นข้อเสนอกับตาฉู่ ที่แรกคิดว่าเป็นแค่ชั่ววูบนึงในความเหงา
แต่ดูไปดูมา คู่นี้เค้าก็ท่าทางจะเข้ากันได้ดี ( sm นิด ๆ เจ็บตัวหน่อย ๆ )
เพราะ อย่างน้อยเจ้าพ่อก็ไม่ค่อยออกอาการเหงา แต่จะหงุดหงิดทางอารมณ์มากกว่า...
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 23-02-2011 20:08:07
คุณฉู่จะทำยังไงให้พ่อแม่ของอาเฟยรามือได้น้อ

คุณฉู่ต้องช่วยอาเฟยน้า :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 23-02-2011 20:10:55
 :serius2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 23-02-2011 20:16:47
ยิ่งอ่านยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อย
เฮ้อ..ถึงจะไม่ได้เลี้ยง ยังไงก็พ่อแม่ละนะ


คุณฉู่ช่วยหนูเซินได้ดีจริงๆ
แต่ก็ยังลึกลับเหมือนเดิม
หวังว่าคงไม่ทำให้หนูเซินเจ็บปวดใจนะ
สงสารหนูเซิน

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 23-02-2011 22:03:17
กริ๊ดดด คุณฉู่เริ่มแล้ววว :oni2:

เซินเฟยมีพ่อแม่อย่างนี้ ซวยจริงๆ :m31:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 12 (23/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 24-02-2011 02:47:11
 o18คุณฉู่นี่เจ้าเล่ห์ได้ใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 24-02-2011 11:56:00
-13-



เสียงนาฬิกาปลุกฟังดูน่ารำคาญพอสมควรสำหรับคนที่ถูกบังคับให้ใช้กำลังยามค่ำคืน เซินเฟยป่ายมือไปยังโต๊ะพยายามหานาฬิกาปลุกที่ส่งเสียงนารำคาญ ทว่าวินาทีที่มือเขาแตะโดนก็กลับถูกดึงออกไปโดยใครอีกคน ฝ่ายนั้นเองก็คงจะรำคาญเสียงใช่ย่อยจึงกดสวิชต์ปิดแล้ววางลงที่เดิมก่อนจะก่ายแขนกอดเขาเข้าไปแนบแผ่นอกเปลือยเปล่า เซินเฟยดิ้นรนเมื่ออีกฝ่ายเริ่มจะซุกไซ้ลามปาม แต่เมื่อดิ้นแล้วไม่หยุด เซินเฟยจึงวาดมือไปข้างหลังแบบไม่ได้หวังผลมากนัก แต่มันกลับปะทะเข้ากับใบหน้ากร้านคมอย่างพอดีจนเกิดเสียงเพี๊ยะเบา ๆ

“ต้องทำร้ายร่างกายแต่เช้าด้วยหรือครับ?” ฉู่เหวินจือลูบแก้มตัวเอง

“ใครใช้ให้นายทำเรื่องบ้า ๆ แต่เช้า ลุกไปได้แล้ว” เซินเฟยเอ่ยไล่

“เรื่องบ้า ๆ ที่ไหน คุณยกร่างกายของคุณให้ผมเองนะ” ชายหนุ่มแกล้งขบที่หัวไหล่อีกครั้งก่อนจะรีบผละออกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงื้อหมัด

ฉู่เหวินจือกับเซินเฟยใช้ห้องนอนร่วมกันตั้งแต่วันที่เกิดการตกลงผลประโยชน์ซึ่งมันก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้ว เซินเฟยยังคงไม่คุ้นชินกับการร่วมห้องกับผู้อื่น หรือการตื่นขึ้นมาและพบว่ามีใครบางคนนอนอยู่ข้าง ๆ และมันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจได้ทุกครั้งเมื่อตื่นมาเห็นหน้าฉู่เหวินจือเป็นสิ่งแรกของวัน

แรกทีเดียวที่หวางซิงรู้เรื่องนี้ เจ้าตัวทำท่าเหมือนจะลมจับยกยาดมขึ้นมาป้ายราวกับคนแก่ ซ้ำยังดูเขม่นฉู่เหวินจือขึ้นมาทันทีทันใด กระนั้นหวางซิงก็รู้จักวางตัวมากพอที่จะไม่แสดงอารมณ์เลยเถิด เพียงแต่พยายามกีดกันไม่ให้ฉู่เหวินจืออยู่ใกล้เซินเฟยมากเกินไปเท่านั้น

“ทำไมวันนี้ถึงต้องตั้งนาฬิกาปลุกด้วยล่ะครับ” ฉู่เหวินจือลุกขึ้นก่อนแล้วอุ้มอีกฝ่ายขึ้นตาม

“เพราะฉันจะเริ่มไปทำงานตามปกติน่ะสิ วางฉันลง!” ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน ฉู่เหวินจือจะชอบปฏิบัติราวกับเขาเป็นผู้หญิงที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เซินเฟยปลาบปลื้มสักเท่าไหร่เลย

ฉู่เหวินจือยังไม่อยากหน้าบวมแต่เช้าจึงทำตามคำสั่ง แต่เซินเฟยก็ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงจะสามารถยืนด้วยตัวเองได้ ฉู่เหวินจือมักจะไม่ออมแรงเวลาร่วมรักกันทำให้เซินเฟยรู้สึกปวดตัวทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา เด็กหนุ่มพาตนเองเข้าห้องน้ำด้วยท่าเดินที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าฉู่เหวินจือที่ทำท่าจะตามเข้ามา

“กลับไปใช้ห้องน้ำตัวเองไป”

แม้จะร่วมห้องกัน แต่ก็ด้วยการแลกเปลี่ยนไม่ใช่ความรู้สึก ดังนั้นเซินเฟยจึงไม่ยินยอมให้ฉู่เหวินจือเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตส่วนตัวของเขามากเกินจำเป็น กระทั่งห้องน้ำอีกฝ่ายก็ต้องกลับไปใช้ที่ห้องตัวเอง เสื้อผ้าก็ห้ามนำมาไว้ที่ห้อง ห้ามนำของใด ๆ เข้ามาวางประดับเพิ่มเติม ระหว่างร่วมรักจะไม่มีการพูดคุยเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องสัพเพเหระใด ๆ ทั้งสิ้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงหยุดนิ่งเพียงแค่คู่นอนเท่านั้น ซึ่งเซินเฟยก็ยืนยันที่จะให้เป็นเช่นนั้นต่อไป ทางฉู่เหวินจือจะคิดอย่างไรเขาไม่นึกใส่ใจ เพราะสิ่งที่เขาแลกเปลี่ยนกับการได้แรงงานจากอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ร่างกายของเขาเท่านั้น ไม่ใช่หัวใจ

เซินเฟยเปิดฝักบัวให้น้ำไหลผ่านตัว แผลเย็บของเขาเริ่มปิดสนิทแล้วจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าน้ำจะเข้าอีก และหลังการร่วมรักหลายครั้งเซินเฟยก็ไม่รู้สึกติดขัดกับการทำความสะอาดร่างกายอีกต่อไป

หวางซิงมาเคาะประตูเรียกตามหน้าที่ตอนเซินเฟยสวมเสื้อผ้าเสร็จพอดี

“เนคไทเบี้ยวนะครับ” เลขาคนสนิทเอ่ยพลางยิ้มแล้วเข้าไปช่วยขยับให้ “รู้สึกยังไงครับที่ได้กลับไปทำงานเหมือนเดิม”

“ต้องเหนื่อยแน่ ๆ น่ะสิ” เซินเฟยถอนหายใจ ระหว่างที่เขาหยุดไปไม่รู้ว่าพวกญาติพี่น้องที่ได้ข่าวเรื่องซากุระจะเข้ามาก่อกวนอะไรบ้าง

“มีผมอยู่ คุณเซินไม่ต้องห่วงหรอกครับ” หวางซิงให้กำลังใจ

“แล้วมู่อี้จิงล่ะ? ปรับความเข้าใจไปหรือยัง?”

หลังจากเซินเฟยรับรู้ตอนกำลังเบลอเพราะฤทธิ์ยาระงับประสาทว่าหวางซิงไม่ได้ใช้ร่างกายเข้าแลกเช่นที่เขาเข้าใจ จึงได้ให้หวางซิงไปเจรจากับมู่อี้จิงว่างานที่ทำไปต้องการสิ่งใดเป็นสิ่งตอบแทน แต่จนกระทั่งบัดนี้หวางซิงก็ยังไม่ได้นำความมารายงานเขา

“คุณมู่เรียนว่าจะบอกด้วยตัวเองเมื่อคุณเซินกลับไปทำงานได้แล้วครับ เขาบอกว่าไม่อยากเสียมารยาทรบกวนตอนที่กำลังป่วยอยู่”

คำตอบของหวางซิงทำให้เซินเฟยรู้สึกดีกับคนแซ่มู่ขึ้นมาเล็กน้อย และเรื่องเก่าที่อีกฝ่ายจองหองต่อหน้าเขาเขาก็ไม่ได้เก็บมาคิดมากแล้ว อย่างไรการทำงานด้วยกันก็ต้องอาศัยการยอมรับซึ่งกันและกัน ด้วยฐานะของเขาจำเป็นต้องรักษาคนทำงานที่มีความสามารถไว้ข้างกาย ดังนั้นจะให้โกรธแค้นมู่อี้จิงกับความผิดพลาดครั้งเดียวก็ใช่ที่ ซ้ำครั้งต่อมาเขายังเข้าใจผิดเสียใหญ่โต คิดเสียว่าเลิกแล้วต่อกันก็แล้วกัน

“ว่าแต่....เมื่อคืนนี้คุณฉู่ทำให้คุณเซินเจ็บหรือเปล่าครับ?”

ดูเหมือนจะเป็นความเคยชินเสียแล้วที่หวางซิงมักจะถามเช่นนี้ทุกครั้งที่เจอหน้ากันตอนเช้า หวางซิงมักนึกเป็นห่วงสุขภาพของเซินเฟยอยู่เสมอ ยิ่งเพิ่งหายป่วยอย่างนี้จึงไม่อยากให้ร่างกายรับภาระหนัก แต่ฉู่เหวินจือกลับเข้าไปรบกวนถึงในห้องนอนทุกคืนไม่มีเกรงอกเกรงใจ แม้เซินเฟยจะบอกให้หวางซิงทำเป็นไม่รู้ไม่เป็นเสียบ้าง แต่ใครเล่าจะทำเช่นนั้นได้ในเมื่อเจ้านายของตนถูกกระทำชำเราอย่างนี้!

“ผมเริ่มชินแล้วล่ะ” เซินเฟยตอบพลางดึงแขนเสื้อให้เรียบร้อย

“ยังไงก็ต้องถนอมร่างกายนะครับ” หวางซิงยังอดเตือนไม่ได้ “ถ้าเขาทำให้คุณเซินเจ็บก็ตะโกนเรียกได้เลยนะครับ ผมจะลากตัวเขาออกไปให้เอง” เรื่องนี้ดูหวางซิงจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขาอยู่มาก เซินเฟยถอนหายใจพลางตบแขนอีกฝ่ายเบา ๆ

“ถ้าเขาทำผมเจ็บมีหรือผมจะปล่อยให้อยู่ต่อสบาย ๆ” เซินเฟยเองก็ไม่ใช่คนที่จะก้มหน้าก้มตาปล่อยให้โดนรังแก ในข้อตกลงของเขากับฉู่เหวินจือไม่ได้ระบุว่าอนุญาตให้ทำร้ายร่างกายเขา ดังนั้นหากฉู่เหวินจือกล้าทำให้เขาเจ็บหรือเลือดตกยางออก ก็ต้องโดนลงโทษไปตามระเบียบ ซึ่งฉู่เหวินจือก็เหมือนจะรู้เรื่องนี้ดีจึงได้ระมัดระวังขณะร่วมรักอย่างมาก ไม่ฝืนสอดใส่ทั้งที่ยังไม่ขยายเต็มที่ ใช้เจลหล่อลื่นเข้าช่วยทุกครั้ง และเวลาที่เขากัดฟันหรือมุ่นคิ้วก็จะเบามือลงเล็กน้อยจนแน่ใจว่าเขาไม่ได้ทำอาการเหล่านั้นเพราะรู้สึกเจ็บ แต่โดยรวมแล้วก็นับว่าฉู่เหวินจือเอาแต่ใจอยู่มากเพราะมักจะโถมแรงจนถึงเฮือกสุดท้ายเสียทุกคืน แม้เขาจะกำชับให้ทำได้เพียงคืนละรอบก็ตาม

“แต่ว่า....ทำอย่างนี้....ดีจริง ๆ หรือครับ” จะอย่างไร หวางซิงก็ไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้โดยง่าย เขาเลี้ยงดูเซินเฟยมาตลอด 6 ปี คอยอยู่เคียงข้างไม่ปล่อยให้ใครมารังแกได้ แต่ตอนนี้เซินเฟยที่ไม่ยอมยกเขาให้ใช้ร่างกายแลกผลประโยชน์กลับต้องลดเกียรติลงไปทำเช่นนั้นเสียเอง เขาไม่ไว้ใจฉู่เหวินจือ หากว่าอีกฝ่ายคิดหักหลังเล่าจะทำเช่นไร? หากว่าฉู่เหวินจือจงใจทำให้เรื่องนี้เผยแพร่ออกไปเพื่อดิสเครดิตเซินเฟยล่ะจะทำอย่างไร? หวางซิงไม่อาจหยุดความคิดด้านลบเหล่านี้ได้เลย ได้แต่โทษตัวเองว่าน่าจะอยู่เคียงข้างในตอนที่เซินเฟยกำลังโศกเศร้า เขาไม่น่าปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่คนเดียวเพราะคิดว่านั่นคือสิ่งที่เซินเฟยต้องการที่สุดเลยจริง ๆ

“....ในเมื่อตัดสินใจทำไปแล้วก็คงได้แต่มองดูผลเท่านั้น” เซินเฟยหลุบตาลง เขาเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ดีกับตัวเองจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่ลงมือทำและพูดออกไปแล้วไม่อาจเรียกคืนได้ ได้แต่ทำใจรับผลที่จะตามมาและหาหนทางแก้ไขล่วงหน้าเท่านั้นเอง

“กำลังพูดถึงผมกันอยู่ใช่ไหมเอ่ย?” พร้อมกับคำถามจากแขกไม่ได้รับเชิญของวงสนทนา เจ้าของคำถามก็ฉวยโอกาสเชยชมแก้มนิ่มของเซินเฟยไปครั้งหนึ่ง

“อย่าให้มันมากไปนักนะ” เซินเฟยกดเสียงต่ำแล้วตวัดตามองปรามการกระทำ ในบ้านก็ยังว่าไปอย่าง แต่หากออกไปทำเฃ่นนี้ต่อหน้าคนนอกตอนทำงานเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน

“อะไรกัน ผมแค่กำลังตักตวงพลังงานยามเช้า.....” ในขณะที่ฉู่เหวินจือคิดจะฉวยโอกาสอีกครั้ง มือข้างหนึ่งกลับถูกยื่นมาปิดปากเขาและดันให้ออกห่างจากเป้าหมาย หวางซิงก้าวขึ้นมาขวางหน้าด้วยรอยยิ้มที่ฉู่เหวินจือรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าอันตรายใช่เล่น

“ถึงเวลาไปทำงานแล้วล่ะครับ” หวางซิงพูดแค่นั้นก่อนจะลดมือลงก่อนเดินตามเซินเฟยที่ทิ้งระยะไปแล้ว 2-3 ก้าว

ฉู่เหวินจือไหวไหล่ เขาเริ่มชินแล้วกับปฏิกิริยากีดกันอย่างออกนอกหน้าของหวางซิง มันช่วยไม่ได้ที่เซินเฟยมีไม้กันหมาที่ตามหลังก้าวต่อก้าวทำให้เขาไม่ค่อยมีโอกาสได้ตักตวงเท่าใดนักเมื่อหวางซิงอยู่ด้วย แต่ตอนกลางคืนเขาก็เก็บกำไรทุกเม็ดทุกดอกจนพอใจโดยไม่มีใครมาขวางได้อยู่ดี

ฉู่เหวินจือเดินตามทั้งสองไปจนถึงรถ และพบว่ากระทั่งที่นั่งซึ่งปกติหวางซิงจะนั่งฝั่งตรงข้ามตอนนี้หวางซิงก็ย้ายมานั่งตรงกลางระหว่างเขากับเซินเฟยเสียนี่ เขารู้สึกขบขันกับความหวงของอีกฝ่ายเล็กน้อย แม้กระทั่งช่วงเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ บนท้องถนนก็ยังไม่ยอมละเว้น เป็นเลขายอดเยี่ยมที่ทุ่มเทสุดกายใจจริง ๆ

--------------------->

ช่วงที่เซินเฟยหายหน้าหายตาไป ดูเหมือนที่บริษัทจะวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย เพราะพวกสายรองในตระกูลเข้ามาเบ่งอำนาจในบริษัทแทบไม่เว้นวัน ส่วนมากจะเป็นพวกที่ต้องการเรียกร้องผลประโยชน์เข้าตัวเพราะเห็นว่าสายหลักคนสุดท้ายไปจากตระกูลแล้ว และสายรองน่าจะมีโอกาสได้เข้ามามีส่วนร่วมในผลประโยชน์ด้วยเช่นเดียวกับเซินเฟย ก้าวแรกที่เข้ามาในบริษัท ผู้บริหารก็ดาหน้าโทรสายตรงเข้ามาฟ้องกันเป็นทิวแถวจนทำให้เซินเฟยหัวปั่นเสียตั้งแต่วันแรกของการกลับมาทำงาน

อย่างไรก็ดี การกลับมาของเซินเฟยก็ทำให้พวกที่มาป่วนก่อนหน้านี้ยอมรามือไปเห็นได้จากที่ในวันนี้ไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายเลยสักคน ซึ่งอาจเป็นผลจากที่เขาจัดการเฉียนหยุนไป ทำให้ไม่มีใครกล้าประมือกับเขาตรง ๆ ด้วยเกรงจะมีจุดจบเช่นเดียวกัน คนพวกนั้นเพิ่งคิดออกหรืออย่างไรกันนะว่าตำแหน่งจูเชว่เป็นตำแหน่งผู้นำองค์กรใต้ดิน ไม่ใช่ตำแหน่งประธานเครือตระกูล

ถึงอย่างนั้น พวกญาติของเขาชักจะติดนิสัยเหิมเกริมเล่นทีเผลอเข้าไปทุกที พอต่อหน้าตรง ๆ ไม่ได้ ลับหลังจึงยิ่งไม่อาจไว้ใจ

“ตารางวันนี้มีเท่านี้ครับ” หวางซิงจบประโยคเดิม ๆ ที่ไม่ได้พูดมาหลายวันเขารู้สึกคิดถึงมันอย่างบอกไม่ถูก

“วันนี้มีใครเสนอหน้าเข้ามาหรือยัง?” เพราะเป็นเวลาเช้าเซินเฟยจึงยังไม่แน่ใจนักว่าจะสงบอย่างนี้ไปทั้งวัน

“ยังครับ แต่ผมสั่งให้คนที่ดูแลล็อบบี้รายงานทันทีที่พบครับ” เซินเฟยพยักหน้ารับแล้วเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะอย่างเคยชิน

“ระหว่างที่ผมไม่อยู่มีใครเข้ามาในห้องนี้หรือเปล่า?”

“มีบ้างครับ ส่วนมากจะถูกกักตัวไว้ที่ชั้นล่างแต่คุณเซินหยู่เคยขึ้นมานั่งในห้องแล้วถูกเชิญออกไป”

พ่องั้นหรือ....แสดงออกชัดเจนถึงขนาดนั้นแสดงว่ายังไงก็จะเข้ามาในสายหลักด้วยฐานะของเขาให้ได้สินะ....

“ฉู่เหวินจือไปไหน?” เซินเฟยเพิ่งรู้สึกตัวว่าฉู่เหวินจือไม่ได้อยู่ในห้อง แต่ไม่รู้ว่าออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะตอนที่เขากำลังวุ่นวายกับการรับโทรศัพท์ก็เป็นได้

“เห็นว่าขอตัวออกไปสูบบุหรี่น่ะครับ”

“งั้นหรือ?” เด็กหนุ่มรับคำสั้น ๆ ตอนที่อยู่ในบ้าน เป็นเพราะวนเวียนรอบตัวเขาตลอดจึงไม่ได้สูบบุหรี่ แต่ถึงจะมาสูบที่บริษัทเขาก็ไม่ชอบให้ติดกลิ่นเข้ามาอยู่ดี สั่งให้เลิกเสียดีไหมนะ?

อย่างไรก็นับว่าโชคดีที่ฉู่เหวินจือเป็นคนค่อนข้างมีระดับเรื่องบุหรี่ อีกฝ่ายจะสูบแบบที่มียี่ห้อและรสไม่แรงนักกลิ่นจึงไม่ระคายจมูกเหมือนพวกที่สูบยาราคาถูก และฉู่เหวินจือก็พกหมากฝรั่งสำหรับดับกลิ่นอยู่ตลอดเขาจึงไม่ต้องห่วงอะไรมากนักเวลาที่จะพาอีกฝ่ายออกไปพบปะเจรจาธุรกิจ

ในตอนที่กำลังคิดถึงอยู่นั้น ฉู่เหวินจือก็เปิดประตูเข้ามา

“ตอนที่ผมออกไปสูบบุหรี่ในสวน ผมเจอแม่ของคุณด้วยแน่ะ”

“แม่ฉัน?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว เขาคิดว่าคนที่จะมาควรเป็นพ่อของเขามากกว่า ปกติแม่ของเขาไม่เคยออกมานอกบ้านด้วยตัวคนเดียวเลยสักครั้ง เธอขี้ขลาดเกินกว่าจะทำเช่นนั้น แล้วทำไมครั้งนี้จึงมาหาเขาถึงบริษัทกันนะ? หรือว่าพ่อจะสั่งมา?

ฉู่เหวินจือบอกว่าเธอปฏิเสธที่จะเข้ามาด้านในและนั่งรออยู่ในสวน เซินเฟยจึงต้องลงไปพบด้วยตัวเอง

สวนของบริษัทเป็นสวนขนาดกว้างที่มีพันธุ์ไม้ร่มรื่นสำหรับพนักงานลงมาพักผ่อนหย่อนใจเมื่อว่างงาน และยังมีการออกกำลังกายอาทิตย์ละครั้งในตอนเย็นเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ กลางสวนมีน้ำพุขนาดใหญ่อยู่ เป็นน้ำพุเดียวกับที่ฉู่เหวินจือเคยลงไปแช่ตอนมาถึงที่นี่ครั้งแรก รอบบ่อน้ำพุเป็นหินยื่นออกมาสำหรับนั่งพัก และที่ตรงนั้นเองที่มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าด้วยความประหม่า เธอดูไม่คุ้นเคยกับการอยู่คนเดียวในที่สาธารณะสักเท่าไหร่จึงหลุกหลิกหันรีหันขวางแทบจะตลอดเวลาจนกระทั่งพบใครคนหนึ่งมายืนใกล้ ๆ อาการนั่นจึงสงบลง

“เสี่ยวเฟย” น้ำเสียงของเธอตอนที่เอ่ยชื่อบุตรชายไม่ต่างกับเด็กที่หลงทางและได้เจอผู้ปกครอง เซินเฟยนั่งลงข้าง ๆ แล้วยิ้มให้เธอ

“ทำไมถึงออกมาข้างนอกคนเดียวล่ะครับ?”

“ความจริงแล้ว.....แม่ก็ลำบากใจอยู่นะที่จะมาหาลูกที่นี่ แต่ว่า....ลูกอย่าบอกพ่อนะว่าแม่มา” หลี่จวี๋เหม่ยดูหวาดกลัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพูดถึงสามีตัวเอง เซินเฟยไม่รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่ พ่อของเขาเป็นคนอารมณ์ร้ายมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าขัดใจก็มักจะถูกตวาดหรือกระทั่งทำร้ายร่างกาย คนรับใช้ในบ้านยังขยาดไม่ค่อยอยากเข้าใกล้นับประสาอะไรกับคนใกล้ชิด

“วันก่อนที่พ่อกับแม่ไปหา คงทำให้เสี่ยวเฟยรู้สึกลำบากใจใช่ไหมจ๊ะ?” เธอเอ่ยถามแล้วบีบมือลูกชาย

“ทำไมแม่ถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ?”

“เพราะแม่เป็นแม่นี่นา” หลี่จวี๋เหม่ยยิ้มออกมา “ยังไงก็อย่าถือสาพ่อเลยนะ พ่อของเสี่ยวเฟยน่ะก็รักเสี่ยวเฟยมากรู้ไหม พ่ออาจจะ.....อารมณ์ร้ายไปหน่อย แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนนี้มาก ตอนนี้ก็ขยันทำงานเพื่อที่จะให้เสี่ยวเฟยไม่เสียชื่อ พ่อเองก็พยายามอยู่นะจ๊ะ ดังนั้น.....”

“แม่อย่าฝืนโกหกเลยครับ” คำพูดของเซินเฟยทำให้หลี่จวี๋เหม่ยชะงัก แต่ไหนแต่ไรมาเมื่อเซินเฟยรู้สึกว่าโดนพ่อทำร้าย หลี่จวี๋เหม่ยก็มักจะเข้ามาปลอบเช่นนี้ ราวกับว่าการพูดย้ำเช่นนั้นบ่อย ๆ อาจจะทำให้มันเป็นจริง สำหรับหญิงสาวที่ขลาดกลัวไปเสียทุกอย่างเช่นหลี่จวี๋เหม่ย การหลอกลวงตัวเองด้วยคำพูดซ้ำไปซ้ำมาอาจเป็นสิ่งเดียวที่เธอทำได้หรือเคยชินที่จะทำจนไม่อาจเผชิญกับความจริงทั้งหมดได้

“เอ่อ....เสี่ยวเฟย....แม่.....” หลี่จวี๋เหม่ยอึก ๆ อัก ๆ

“แม่ครับ เรื่องกิจการของพ่อผมคงช่วยอะไรไม่ได้ ผู้บริหารบอกกับผมว่าที่ประชุมตัดสินใจแล้ว ทุนช่วยเหลือครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ายังไม่สามารถทำให้มีผลกำไรที่ชัดเจนได้อาจจะต้องปิดกิจการตรงส่วนนั้นหรือเปลี่ยนผู้จัดการคนใหม่” เซินเฟยรู้ดีว่าเรื่องนี้จะต้องทำให้พ่อของเขาคลุ้มคลั่งแน่ แต่บอกให้รู้เสียแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่ารู้ตอนที่มีผลการประชุมแจ้งไปถึง อย่างไรเสีย โอกาสครั้งนี้ก็ได้มาเพราะหวางซิงช่วยโน้มน้าวที่ประชุมแทนเขาที่ลางานไป เขาหวังว่าพ่อของเขาจะใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ได้รับอย่างเต็มความสามารถดูสักครั้ง

“เรื่องนั้นแม่ก็เดาไว้แล้วล่ะ” หลี่จวี๋เหม่ยกล่าว “ยังไงลูกก็ช่วยเรื่องนี้มาเยอะแล้ว จะรบกวนต่อไปแม่ก็คงเกรงใจ....”

“แล้วที่บ้านเป็นยังไงบ้างครับ ผมไม่ได้กลับไปนานแล้วคงไม่เหมือนเดิมใช่ไหม?”

“ก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย...ห้องนอนของลูกพ่อบอกว่าคงไม่มีใครใช้แล้วก็เลยเปลี่ยนให้เป็นห้องเก็บของ ส่วนพวกของใช้ส่วนตัวที่ลูกไม่ได้เอาไปด้วยก็ทิ้งไปหมดแล้ว....” หญิงสาวดูไม่เต็มใจที่จะพูดเรื่องนี้นัก อย่างไรเซินเฟยก็เป็นลูกคนเดียวของเธอ แม้จะไม่อาจพบหน้ากันได้อีกเธอก็ยังอยากจะมีอะไรไว้ให้รำลึกถึง ทว่าสามีของเธอกลับโกรธจัด เขาไม่อาจยอมรับการตัดสินใจของสายหลักและพาลทำลายห้องของเซินเฟยจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมก่อนจะเปลี่ยนเป็นห้องเก็บของไปเสีย

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 24-02-2011 11:57:09
“งั้นหรือครับ....” โดยส่วนตัวแล้วเซินเฟยรู้สึกเสียดายห้องเก่าของเขานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับอาลัยอาวรณ์ ผิดกับหลี่จวี๋เหม่ยที่ไม่เหลืออะไรให้ดูต่างหน้าลูกชายจึงมักรู้สึกเศร้ากับเรื่องนี้ทุกครั้งที่เอ่ยถึง

เซินเฟยรู้สึกสงสารแม่ของตัวเองขึ้นมา ตั้งแต่เขาจำความได้ แม่ของเขาไม่เคยได้ทำอะไรตามใจตัวเองเลยแม้สักอย่างเดียวเหมือนกับเขา ทุกอย่างอยู่ในการกำกับของพ่อทั้งหมด ราวกับว่าทั้งบ้าน ทุก ๆ คนเป็นเพียงตุ๊กตาที่เต้นไปตามคำสั่งเท่านั้น

“ได้มานั่งคุยกับลูกแบบนี้ก็ทำให้นึกถึงวันเก่า ๆ เหมือนกันนะ” หญิงสาวยิ้มบาง เธอยังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เซินเฟยกลัวพ่อตัวเองขนาดไหน และมักจะมาอยู่ข้าง ๆ เธอเสมอ และพวกเขาจะคุยสัพเพเหระกันเมื่อเซินหยู่ออกไปนอกบ้าน

หลี่จวี๋เหม่ยลุกขึ้นยืนก่อนจะหมุนตัวกลับมา

“แม่ว่าแม่กลับก่อนดีกว่า มารบกวนลูกนานคงไม่ดี”

“ไม่หรอกครับ วันนี้ผมไม่มีธุระอะไร”

“งั้นก็ให้ลูกได้พักดีกว่า” หญิงสาวกล่าวก่อนจะลูบผมบุตรชาย “แล้วถ้าแม่หาเวลาได้ แม่จะมาเยี่ยมอีกได้ไหม?”

“.....ได้สิครับ.....” อยู่ ๆ เซินเฟยก็รู้สึกอุ่นซ่านในอกขึ้นมา ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นกันนะ? หรือว่า...เพราะเขาไม่ได้รับสัมผัสอย่างคนในครอบครัวมานานแล้ว เพราะตลอด 6 ปีที่ผ่านมา นอกจากซากุระก็ไม่มีใครกล้าปฏิบัติกับเขาเช่นนี้อีกเลยแม้แต่หวางซิงที่ดูแลมาตลอดก็ตาม

หลังหลี่จวี๋เหม่ยกลับไป เซินเฟยก็ขึ้นห้อง สัมผัสจากฝ่ามือนุ่มยังตกค้างอยู่บนเส้นผม

“คุณหลี่กลับไปแล้วหรือครับ?” หวางซิงเปิดประตูเข้ามาถามเมื่อมีคนไปบอกเขาว่าเซินเฟยกลับขึ้นมาแล้ว

“อา....”

“แล้วคุณหลี่มาเรื่องอะไรหรือครับ?”

“เรื่องกิจการของพ่อน่ะ” เซินเฟยตอบแค่เพียงส่วนเดียว เพราะส่วนที่เหลือเขาไม่อาจตีความธุระของอีกฝ่ายได้ชัดเจนนัก

“เฮ้อ....ติดตัวแดงตลอดปีแบบนั้นช่วยยังไงก็ช่วยไม่ไหวหรอกครับ” หวางซิงบ่นอุบ ตอนเขาเข้าประชุมเมื่ออาทิตย์ก่อนและพยายามโน้มน้าวผู้บริหาร เขาแทบจะโดนสับเละจนเป็นชิ้นเนื้อ เรื่องเส้นสายกับอิทธิพลถูกยกมาอ้างจนเขาแทบจะหัวระเบิด ต้องยกเอาผลประโยชน์มาอ้างเสียตั้งนานกว่าที่ประชุมจะยอมเซ็นอนุมัติงบช่วยเหลือก้อนใหม่ให้ แต่อย่างไรก็ยืนยันว่าเงินนี้เป็นก้อนสุดท้ายแล้วจริง ๆ

“ดีแล้วล่ะ ถ้าจนมุมแล้วอาจจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีก็ได้”

ตลอดเวลาที่ทำงานนี้มา เซินเฟยต้องทำใจแข็งกับคนหลายคน แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งต้องมาใจแข็งกับพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง ซ้ำผู้ชายคนนั้นยังแทบจะเป็นตัวปัญหาอันดับหนึ่งของตระกูลด้วยนิสัยผีเข้าผีออก เวลาดีก็เหมือนจะพูดภาษาคนรู้เรื่อง แต่ยามร้ายขึ้นมาจะเอาภาษาเทพเทวดามาร่ายยังไงก็คงไม่ฟัง

“แต่ก็ไม่แน่ไม่ใช่หรือครับ?” ฉู่เหวินจือแทรกขึ้นมา “บอกตามตรงว่าในสายตาผม ผู้ชายคนนั้น....พ่อของคุณน่ะเป็นคนที่เข้าข้างตัวเองอย่างสุดขั้ว เหมือนคิดว่าโลกทั้งใบหมุนรอบตัวเขาคนเดียว”

“ระวังปากหน่อยนะ” เซินเฟยเสียงเรียบ อย่างไรนั่นก็พ่อของเขา แม้สิ่งที่พูดออกมาจะเป็นความจริงที่ยากจะแก้ตัว แต่ว่าอย่างไรก็ควรเกรงใจกันบ้าง

ฉู่เหวินจือไหวไหล่ก่อนเดินอ้อมโต๊ะมาสัมผัสเส้นผมของเขาแล้วยิ้ม

“ผมไม่คิดว่าแม่ของคุณจะมาด้วยเรื่องกิจการของพ่ออย่างเดียวหรอกนะ คุณเองก็รู้ใช่ไหม สมองคุณเฉียบแหลมออกจะตายไป”

เซินเฟยขมวดคิ้วแล้วปัดมืออีกฝ่ายออก ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะชอบทำตัวเหมือนรู้อะไรไปเสียทุกอย่าง เมื่อครู่คงไม่พ้นแอบดูตอนที่เขากับหลี่จวี๋เหม่ยคุยกัน บางครั้งเซินเฟยก็อุปทานว่ามีเครื่องดักฟังติดอยู่บนตัวพราะรอยยิ้มของอีกฝ่ายราวกับรู้เห็นทุกสิ่งที่เขากระทำ หรือรู้ไปถึงความคิดของเขาด้วย

“ผมคุณนุ่มดีจัง แต่ก็เส้นใหญ่มีน้ำหนัก เป็นพันธุกรรมหรือยังไงนะเพราะแม่ของคุณก็มีลักษณะเส้นผมแบบนี้เหมือนกัน” อยู่ ๆ ฉู่เหวินจือก็หันมาวิจารณ์เส้นผมราวกับเป็นช่างผมจากเมืองนอกกำลังอวดโอ้ความรู้กระนั้น ซ้ำยังโน้มใบหน้าลงมาคล้ายจะสัมผัสเส้นผมของเขาด้วยริมฝีปาก ทำให้หวางซิงต้องกระแอมขัดจังหวะขึ้นมาแล้วปรายตาปรามฉู่เหวินจือไม่ให้ลามปามมากเกินไป

“ผมหวังว่าคุณหลี่จะเป็นรายเดียวที่มาในวันนี้นะครับ” หวางซิงว่า สำหรับเขาแล้ว หลี่จวี๋เหม่ยรับมือง่ายกว่าพวกที่มาก่อนหน้านี้มากนัก

“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยเหล่าเฉียนก็ทำประโยชน์ได้” เซินเฟยว่าแล้วผลักหน้าฉู่เหวินจือออกไปห่าง ๆ “จะได้รู้จักเกรงอกเกรงใจและรู้ฐานะของตัวเองกันบ้าง”

“ความจริงแล้วมันจะได้ผลกว่านี้ถ้าวันรุ่งขึ้นคุณมาทำงานทันที” ฉู่เหวินจือออกความเห็นบ้าง “ตามหลักจิตวิทยาเบื้องต้นแล้ว เมื่อคนเราได้รับผลกระทบซ้อนกันในทันทีมักจะทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ต่อผลกระทบอย่างรุนแรง ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นหน้าคุณในบริษัทหลังจากได้ข่าวเฉียนหยุน พวกเขาจะรู้สึกหวาดกลัวคุณขึ้นมาในทันที แต่ว่าน่าเสียดายที่เฉียนหยุนกลับจ้างมือปืนให้มาเฝ้าอยู่ด้านนอกในจุดที่มือสังหารของคุณไม่เห็น พอคุณเข้าโรงพยาบาล ก็เลยไม่มีการอาฟเตอร์ช็อค ตอนนี้พวกเขาก็เลยแค่เกรง ๆ เท่านั้น ไม่ถึงกลับหวาดกลัว”

“ฉันเข้าใจที่นายพูด” เซินเฟยกล่าว “ฉันก็กำลังคิดแบบนั้นเหมือนกัน หวังแต่ว่าจะไม่ต้องเชือดใครเป็นตัวอย่างเพื่อให้เกิดอาฟเตอร์ช็อคอีกก็เท่านั้น”

ระหว่างการสนทนา โทรศัพท์ของหวางซิงก็ดังขึ้น เลขาหนุ่มรีบกดรับทันทีก่อนจะหันมารายงาน

“สารวัตรหรงบอกว่าคุณมู่จะเข้ามาหาครับ ตอนนี้ถึงหน้าบริษัทแล้ว”

“ก็คงเป็นเรื่องค่าตอบแทนจากงานสองครั้งก่อน ถ้ามาแล้วก็ให้ไปรอที่ห้องรับแขกก็แล้วกัน”

“ครับ” หวางซิงรับคำแต่เซินเฟยกลับยกมือปราม

“ฉู่เหวินจือ นายไปรับแขก”

“ผม?” ฉู่เหวินจือเลิกคิ้ว ปกติเซินเฟยไม่เคยให้เขารับแขกของบริษัทแทนหวางซิงเลยสักครั้ง

“นายมาทำงานกับอาซิงนานแล้ว ไม่คิดว่าควรลงมือทำเองบ้างหรือ? หรือว่านายจะเอาแต่ดูอาซิงทำไปตลอด ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะได้หักค่าตอบแทนส่วนของนาย” เซินเฟยหมายถึงเรื่องที่พวกเขาตกลงกันด้วยร่างกายของเขา ซึ่งเซินเฟยค้นพบเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่าสามารถนำมามันมาอ้างเพื่อจิกหัวใช้ฉู่เหวินจือได้ คนอย่างเซินเฟยเมื่อค้นพบวิธีการใช้ประโยชน์จากผู้อื่นแล้วมีหรือจะปล่อยปละไม่ใช้งาน

“เข้าใจแล้วครับนายน้อย” ฉู่เหวินจือแกล้งล้อเรียนโดยเรียกแบบเดียวกับที่คนรับใช้ในบ้านเรียกกันก่อนจะรีบออกไป
หวางซิงหันมาหาเซินเฟยด้วยแววตาแสดงคำถาม

“คุณเซินยังโกรธคุณมู่เรื่องนั้นอยู่อีกหรือครับ?”

“เปล่า ผมแค่ไม่อยากให้เกิดเหตุไม่พึงประสงค์”

-------------------->

หลี่จวี๋เหม่ยอาศัยรถแท็กซี่กลับมาจนถึงบ้าน บ้านของเซินหยู่อยู่ห่างจากบ้านใหญ่และบริษัทค่อนข้างมากจึงใช้เวลานานในการเดินทาง หญิงสาวรีบเข้าบ้านแล้วเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาเหมือนชุดอยู่บ้านทั่วไป เก็บกระเป๋าถือที่แทบจะไม่ได้หยิบออกมาใช้ยัดกลับเข้าตู้เช่นเดิม ก่อนจะรีบเดินลงไปในครัวเพื่อตระเตรียมอาหารเที่ยงโดยไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาในห้องครัวด้วย

“จวี๋เหม่ย ไปไหนมา?”

หญิงสาวสะดุ้งเฮือก หันกลับมาเผชิญหน้ากับสามีตนเองที่เธอคิดว่าอีกฝ่ายออกไปทำงานนอกอยู่ หลี่จวี๋เหม่ยยกมือลูบผมทัดหูเตือนสติให้ตัวเองใจเย็น ๆ

“เอ่อ....คือ.....ฉันออกไปคุยกับคุณนายบ้านข้าง ๆ มาน่ะค่ะ เธออยู่คนเดียวก็เลย....”

“หืม?” เซินหยู่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะช่วยปัดปอยผมขึ้นไปทัดหู “แต่ฉันเห็นแท็กซี่มาส่งนะ แน่ใจหรือว่าไปแค่ข้างบ้าน?”

หลี่จวี๋เหม่ยเม้มปาก เธอโกหกไม่เก่ง ดังนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปอีกฝ่ายคงหาเรื่องมาหักล้างได้ทุกครั้งไป

“ไปบริษัทมาใช่ไหม?”

“.....ค่ะ.....” หลี่จวี๋เหม่ยยอมจำนนในที่สุด

“อาเฟยเป็นยังไงบ้าง?”

หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่คิดว่านั่นจะเป็นคำถามที่เซินหยู่จะถามออกมา เธอเตรียมใจรับคำถามจำพวก ‘ไอ้ลูกไม่รักดีนั่นมันเห็นหัวเธอหรือเปล่าล่ะ!?’ ดังนั้นพอเจอคำที่ละมุนละม่อมจึงถึงกับค้างไป ไม่สามารถตอบได้ในทันที

“เสี่ยวเฟยบอกว่า.....เอ่อ.....กิจการของเรา....ได้เงินมาหมุนเพิ่มแล้วค่ะ”

“จริงหรือ!?” เซินหยู่ดูดีอกดีใจเป็นการใหญ่ “ดีมาก ๆ ต่อไปนี้ฉันจะให้เธอไปพบอาเฟยบ่อย ๆ อีกไม่นานเขาจะต้องนึกได้ว่าเธอรักเขามากขนาดนไหน ถึงตอนนั้นเราคงจะได้ขึ้นไปอยู่ข้างบนกับคนอื่นเขาบ้าง”

หลี่จวี๋เหม่ยฝืนยิ้มตอบ เธอไม่กล้าพูดว่านี่เป็นงวดสุดท้ายด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะอารมณ์เสีย

เซินหยู่เองก็เหมือนจะรู้สภาวะทางจิตใจของเซินเฟยดี การที่เซินเฟยขาดคนที่ให้การดูแลไปอาจจะทำให้จิตใจสั่นคลอนบ้างไม่มากก็น้อย การที่หลี่จวี๋เหม่ยเกิดอยากพบลูกขึ้นมาเป็นการดีต่อเขา เพราะหากเซินเฟยสำนึกรู้ถึงความรักของแม่ขึ้นมาก็จะไม่สามารถถอนตัวไปจากความคาดหวังของผู้เป็นแม่ได้ แต่ก่อนนี้เซินเฟยเองก็เป็นเช่นนั้นและในตอนนี้ก็น่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลง

ความรักของพ่อแม่....เป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับลูกเช่นนี้เสมอ....

เพราะไม่ว่าใคร...ก็ไม่อาจทรยศต่อความคาดหวังของคนที่มอบความรักให้ได้....

TBC



แอบแปะภาพคาแรกเตอร์ค่ะ

(http://www.freeimagehosting.net/uploads/d29912050e.jpg)


จากซ้าย เฟยเฟย อาซิง
ลงมาข้างล่าง ตาฉู่ กับนักสืบมู่ ค่า~

เชิญติชมตามสบายค่า XD
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 24-02-2011 14:15:58
จิ้มไว้ก่อน
-------
หุหุ ลุ้นกันต่อปาย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 24-02-2011 15:33:52
ปัญหารุมเร้าจริงๆเลยเสี่ยวเฟย

รูปสวยมากๆ รูปอาซิงเห็นแล้วใช่เลยอ่ะ ชอบคุณเลขามากๆ

เสี่ยวเฟย ตาเศร้าได้อีก
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 24-02-2011 17:02:44
จะมีไรเข้ามาอีกรึป่าว

แต่เซินเฟยกะอาฉู่มีอะไรแค่ร่างกายไม่ผูกพันธ์บ้างหรอ 555

รูปสวยมากคับ
เซินเฟยตาเศร้ามากๆๆ
อาซิงดูเข้ากับลุคเลขามากกกกก
คุณฉู่นี่เจ้าเล่ห์โครตๆเลย 555
มู้อี้จวก็เท่ห์ๆดี 555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 24-02-2011 19:22:40
รูปสวยๆๆๆๆๆๆๆๆ o13 o13 o13

คุณพ่อของเสี่ยวเฟยร้ายกาจอ่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 24-02-2011 21:54:15
รูปสวย เรื่องสนุก o13
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 24-02-2011 22:39:29
ภาพประกอบ Character โดนใจ สื่อออกมาได้ดี ตรงกับ image ในจินตนาการเวลาอ่านเลยค่ะ...
โดยเฉพาะ อาซิง ~ :กอด1: (คือ ชอบผู้ชายสไตล์นี้เป็นกรณีพิเศษ )
แต่คุณฉู่ ดูเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจและลึกลับมากกว่าที่คิดนะเนี่ย ~
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 24-02-2011 22:44:07
น่ากลัวจริงๆพ่อแม่ที่คิดจะใช้ความรักของลูกให้เป็นประโยชน์ น่าสงสารอาเฟย :m15:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: pu4755 ที่ 25-02-2011 11:05:04
มาลุ้นตอนต่อไป  อยากอ่านต่อไว ๆ จัง

เป็นกำลังใจให้ไรท์เตอร์นะค๊าฟ ^_^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: mete ที่ 25-02-2011 12:58:05
ชอบเซินเฟย มากกกกกกกกกก

มาต่อไวๆนะคับ

แบบว่าติดเรื่องนี้มากกกก

อ่านแล้วไม่มีสะดุดเลย ชอบมาก

แต่ว่า ฉู่เหวินจือ เหมือนจะเป็นเด็กเลย เอาแต่ใจ ไม่ฟังคำสั่ง ดือจริงๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 13 (24/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 25-02-2011 17:23:56
ตอนนี้อยู่ลาวก็ตามอ่านอิอิ


โหพ่ออะไรเนี่ยไม่รักลูกเลยห่วงแต่ตัวเองเหรอเนี่ย



ภาพสวยมากอ่ะรออ่านตอนต่อไปค้าบบบบ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 25-02-2011 21:06:24
-14-



วันนี้นับเป็นวันที่น่าแปลกวันหนึ่งในชีวิตของเซินเฟย เป็นเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่เซินเฟยได้พักผ่อนเต็มที่หรือเปล่านะ เพราะวันที่เซินเฟยได้พักอย่างสบายก็ถือว่าเป็นวันที่แปลกประหลาดเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอาทิตย์ไหนที่แปลกเท่าอาทิตย์นี้ หรือว่า....มันจะเป็นวันที่มีคนที่ไม่คาดคิดมาขอเข้าพบถึงสองคนในวันเดียวกันนะ....

เริ่มจากตอนเช้า หลี่จวี๋เหม่ยก็มาหาพร้อมขนมเค้กอบใหม่ ๆ เซินเฟยเกือบจะลืมไปแล้วว่าแม่ของตัวเองรักการทำอาหารหวานขนาดไหน แต่ถึงอย่างไรหวางซิงก็ยืนยันว่าไม่ควรกินของหวานแต่เช้าจึงนำไปเก็บในตู้เย็นแล้วเชิญให้หลี่จวี๋เหม่ยทานอาหารเช้าด้วยกัน ซึ่งหลังจากมื้ออาหารเช้าผ่านไป หลี่จวี๋เหม่ยก็ขอตัวกลับเพราะไม่อยากทิ้งบ้านไว้นานเกินไป

ตอนเที่ยงไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ทว่าในตอนบ่ายกลับมีบุคคลที่ไม่คาดฝันปรากฏตัวขึ้น

เซินเฟยนั่งอยู่ในห้องรับแขก ต่อหน้าผู้มาเยือนที่แม้แต่เขาเองยังคิดไม่ถึงว่าจะได้พบในเวลาอย่างนี้

จือหยิน....

ตามปกติแล้วจือหยินไม่เคยแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้เลยหากไม่ใช่วันตรวจสุขภาพ จือหยินมักจะรักษาระยะห่างกับเซินเฟยอย่างพอดิบพอดี ไม่ใกล้เกินไปและไม่เหินห่างจนเกินไป แม้กระทั่งการพูดคุยนอกเหนือจากเรื่องสุขภาพยังแทบนับครั้งได้ ทว่าในวันนี้....จือหยินกลับเดินทางมาถึงบ้านหลังนี้ด้วยตัวเอง

ควันกาแฟลอยกรุ่นตัดกับอากาศที่เริ่มจะอบอุ่นหลังผ่านพ้นช่วงฤดูหนาวไป เซินเฟยนั่งเงียบและเฝ้ารออย่างอดทนว่าอีกฝ่ายต้องการพูดเรื่องอะไรกับเขา แต่จือหยินก็เอาแต่เงียบเช่นเดียวกัน ฝ่ายนั้นทำท่าเหมือนลำบากใจที่จะพูดออกมา

ถึงอย่างนั้น....การมาเยือนของอีกฝ่ายก็ทำให้เซินเฟยรู้สึกราวกับมีความหวังอันริบหรี่....

“หมอจือ คุณมาหาผมมีธุระอะไรหรือเปล่า?” เซินเฟยจำต้องเป็นผู้เริ่มเปิดบทสนทนาเมื่อเห็นว่ากาแฟเริ่มจะเย็น

“เอ่อ....คือ....ดูเหมือนร่างกายจะหายดีแล้วสินะครับ” จือหยินเริ่มทักเรื่องสุขภาพก่อนตามความเคยชินจากที่มาตรวจร่างกายให้บ่อย ๆ

“ถ้านับจากวันที่หมอจือมาครั้งล่าสุด ตอนนี้ก็ดีกว่ามากแล้วครับ แต่เวลาที่อากาศเย็นก็ยังรู้สึกตึง ๆ ที่แผลอยู่นิดหน่อย” เซินเฟยตอบ ความจริงรอยเย็บของเขาเริ่มจะจางลงแล้วแต่อีกนานกว่าที่มันจะหายไปจนสนิท ฉู่เหวินจือมักจะบ่นทุกครั้งที่ร่วมรักกันว่าเสียดายขาของเขา

เซินเฟยชะงักไปชั่วครู่....

ทำไมเขาต้องเผลอนึกถึงฉู่เหวินจือขึ้นมาเอาเวลาอย่างนี้นะ

“ถ้าทาโลชั่นก็จะช่วยได้มากครับ” จือหยินกล่าวพลางยิ้มชืด ๆ

“วันนี้คุณไม่ได้จะมาเพื่อถามอาการผมอย่างเดียวไม่ใช่หรือครับ?” เด็กหนุ่มรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าจือหยินดูกำลังเป็นทุกข์อย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างรบกวนจิตใจและกำลังต้องการความช่วยเหลือ ทว่า มันเป็นเรื่องอะไรกันนะ?

“.....ครับ.....”

“หมอจือบอกมาเถอะครับว่ามีเรื่องอะไร คุณเองก็ทำหน้าที่อย่างดีมานาน ทางเรายังไม่เคยให้คุณเลยนอกจากตัวเงินที่เป็นค่าตอบแทน” เซินเฟยประสานมือบนหน้าตัก หางตาของเขาเหลือบไปเห็นฉู่เหวินจือยืนพิงอยู่ข้างประตูจึงขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ ทั้งที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขามีใจให้จือหยิน แต่ก็ชอบทำตัวเป็นก้างเสียจริง

“ความจริงแล้ว....คนรักของผมประสบอุบัติเหตุ....”

คนรัก....

เซินเฟยเผลอสะดุดลมหายใจตัวเอง ทั้งที่รู้มาก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายมีคนรัก ทว่าพอมาได้ยินกับหูอย่างนี้เขาก็ยังอดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้อยู่ดี

“ผมเสียใจด้วย เธอเป็นยังไงบ้าง” เซินเฟยบังคับให้ตัวเองพูดออกมาในที่สุด

“ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล....เธอต้อง...เข้ารับการผ่าตัด แต่ว่าผม....”

“หมอจือลำบากเรื่องเงินสินะ”

คำถามที่ตรงไปตรงมาของเซินเฟยทำให้จือหยินชะงักไป ถึงเขาจะมีความใกล้ชิดกับคนในบ้านหลังนี้ดีแต่ก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเอ่ยขอได้ในทุกเรื่อง ยิ่งเป็นเรื่องเงินทองอย่างนี้ด้วยแล้ว

ฮ่องกงเป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงเมืองหนึ่งในโลก จือหยินเองก็ไม่ใช่หมอที่มีค่าตัวสูงอะไรนักเพราะเพิ่งเข้าทำงานได้ไม่กี่ปี ทั้งฝ่ายหญิงก็เป็นคนธรรมดาไม่ได้มีอันจะกินอะไรมากมาย เซินเฟยที่เคยอยู่ในครอบครัวฐานะปานกลางมาก่อนก็พอเข้าใจความรู้สึกดี แม้ในวันนี้เขาจะนั่งบนกองเงินกองทองก็ใช่ว่าจะมองกลับหลังไม่เป็น ตัวเขาจึงไม่ได้นึกแปลกใจนักที่จือหยินจะต้องแบกหน้ามาจนถึงที่นี่

เซินเฟยหันไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบสมุดเช็คออกมา เขาเขียนตวัด ๆ อยู่ไม่นานก็ฉีกใบหนึ่งยื่นให้จือหยิน

หมอหนุ่มรับมาอย่างไม่แน่ใจก่ออ้าปากค้างกับจำนวนเงิน

“ผ....ผมรับไม่ได้หรอกครับ”

“ทำไมล่ะ?”

“มันมากเกินไป....ผมคงจะใช้คืนไม่ไหว” จือหยินทำท่าทางลำบากใจและจะยื่นเช็คคืน ทว่าเซินเฟยก็เลื่อนเช็คกลับไปตรงหน้า

“รับไปเถอะ คิดเสียว่าเป็นค่าตอบแทนการทำงานของคุณนอกเหนือจากค่าแรงปกติ”

แม้จือหยินจะลำบากใจที่ต้องรับเงินจำนวนมากมาโดยไม่อาจตอบแทนได้ แต่เซินเฟยที่ไม่ยอมรับเงินคืนก็ยืนยันคำเดิมเช่นกัน หมอหนุ่มจึงต้องรับเช็คไปอย่างช่วยไม่ได้ จือหยินกล่าวขอบคุณหลายต่อหลายครั้งก่อนจะขอตัวกลับโดยปฏิเสธคำเชิญร่วมทานอาหารเย็น เขาให้เหตุผลว่าอยากจะรีบกลับไปบอกข่าวดีนี้กับคนรักที่กำลังนอนรออยู่บนเตียงโรงพยาบาล

หวางซิงออกไปส่งจือหยินถึงหน้าบ้าน ส่วนเซินเฟยยังคงนั่งอยู่ในห้องรับแขก

โดยส่วนตัวแล้วเซินเฟยไม่เคยคิดจะสนใจละครโทรทัศน์หรือนิยายประโลมโลก ทว่าเขากลับรู้สึกว่าชีวิตตัวเองในตอนนี้ไม่ต่างกับบทละครสักเท่าไหร่นัก

แต่ช่างเป็นบทละครที่โหดร้ายเสียจริง ไม่รู้ว่าคนเขียนบทละครนี้เกลียดชังอะไรเขาหนักหนา จึงได้วางหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามและปลายทางอันมืดมิดให้เขาอยู่เสมอ กระทั่งเรื่องความรักก็ไม่ละเว้น เซินเฟยเคยหวังว่าหลังจบเรื่องเฉียนหยุนแล้วคงจะไม่ต้องรู้สึกสมเพชตัวเองไปมากกว่านี้ แต่ในเวลานี้เขากลับรู้สึกสมเพชตัวเองยิ่งกว่าตอนนั้นเสียอีก

ผู้นำองค์กรมืด....อกหักจากหมอที่เป็นผู้ชายด้วยกัน

น่าขำจริง ๆ

เซินเฟยปล่อยให้ตัวเองนั่งเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น ไม่ได้แสดงความเจ็บปวดออกมาทางสีหน้าและไม่ได้ปล่อยร่างกายให้ไหลไปกับโซฟาอย่างคนตายอดตายอยาก ไม่ว่าในเวลาไหนจูเชว่ก็ต้องมีศักดิ์ศรีในตัวเอง ไม่อาจแสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้อื่นเห็นได้

ฉู่เหวินจือเดินเข้ามาในห้อง เขาปล่อยให้เซินเฟยอยู่คนเดียวได้เพียง 15 นาทีเท่านั้นก็หมดความอดทนที่จะยืนมองเฉย ๆ ต่อไป ชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ โดยที่เซินเฟยยังคงทำเป็นไม่รู้สึกถึงเขาก่อนจะโอบอีกฝ่ายให้เอนมาพิงบนอกแล้วบีบหัวไหล่เบา ๆ ด้วยท่าทางก็เสมือนปลอบโยน ทว่ารอยยิ้มนึกสนุกบนเรียวปากไม่อาจทำให้เซินเฟยนึกวางใจในตัวผู้ชายคนนี้ได้เลย

“อยากร้องไห้ไหม?”

“ไม่”

บทสนทนาเริ่มและจบลงอย่างรวดเร็ว แต่เซินเฟยก็ไม่ได้สะบัดตัวออก ฉู่เหวินจือก็ไม่ได้ระรานไปมากกว่านั้น บางครั้งเซินเฟยก็นึกขอบคุณความช่างรู้ของอีกฝ่าย เพราะในอารมณ์ที่ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียง ฉู่เหวินจือก็จะทำตัวให้เข้ากับสภาวะนั้นได้ นอกจากนี้....การที่มีใครสักคนโอบกอดเมื่อหัวใจไม่อยู่ในอารมณ์ปกติ มันก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นได้เหลือคณา เซินเฟยกลัวว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะไม่อาจอยู่ตัวคนเดียวได้อีก แต่ว่า....เขาก็ยังไม่กล้าพาตัวเองออกจากความหลอกลวงและการแลกเปลี่ยนนี้

“คุณรู้หรือเปล่าว่าหมอจือโกหก” ฉู่เหวินจือเอ่ยขึ้นเมื่อความเงียบปกคลุมนานเกินไป

“ฉันดูโง่นักหรือไง?”

“แต่คุณก็ยอมเชื่อ” ชายหนุ่มหัวเราะ

เซินเฟยหลุบตาลง เขาเองก็มีนิสัยบางส่วนที่เหลือแม่ ในบางสถานการณ์ก็อยากลองหลอกตัวเองดูบ้างเพื่อความสบายใจ

ตอนที่จือหยินพูดออกมา เขาจับได้ถึงกระแสเสียงที่ผิดปกติ ด้วยตำแหน่งฐานะของเขาที่ต้องสังเกตสังกาคนรอบตัวตลอดเวลา ทำให้เซินเฟยสามารถจับโกหกได้ด้วยการฟังหรือแค่มองดูปฏิกิริยาเวลาตอบคำถาม จือหยินที่โดยปกติแล้วเป็นคนซื่อ เมื่อต้องมาพูดโกหกก็ยิ่งจับได้ง่าย แต่ถึงอย่างนั้นอีกใจหนึ่งเซินเฟยก็ยังพยายามแก้ต่างว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ประหม่าเท่านั้น

“แต่เรื่องคนรักก็เป็นความจริง” บางครั้งเซินเฟยก็นึกรำคาญเวลาที่อีกฝ่ายพูดไม่ดูอารมณ์เหมือนกัน เขาชักสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นยังไงกันแน่ เป็นคนที่มองสถานการณ์ทะลุปรุโปร่ง หรือคนที่ไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลยกันแน่ เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างขยันพูดกวนใจเขาอยู่บ่อยครั้ง

ดูเหมือนความเงียบของเซินเฟนจะทำให้ฉู่เหวินจือรู้ว่าอีกฝ่ายรำคาญตนเองจึงยิ้มออกมา

“อยากให้ผมจูบไหม?”

“เพื่ออะไร?”

“ปลอบใจไง” ฉู่เหวินจือพูดพลางโน้มใบหน้าเข้าใกล้แล้วดึงเซินเฟยขึ้นมานั่งบนตักก่อนจะจูบเบา ๆ ทั้งที่ยังไม่ได้รับคำอนุญาต เพียงครู่เดียวที่เป็นเช่นนั้น เพราะนาทีต่อมาเซินเฟยก็ตอบรับจูบอย่างว่าง่าย เขาไม่ได้ปีนขึ้นไปบนตัวฉู่เหวินจือหรือแสดงท่าทางกระหายเรียกร้องเหมือนโสเภณี เพียงดุนลิ้นตอบกลับไปเท่านั้นแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ฉู่เหวินจือรู้ว่ามีการตอบรับ

ชายหนุ่มกดร่างเซินเฟยลงบนโซฟาพร้อมกดรอยจูบให้ลึกล้ำยิ่งขึ้น โซฟาไม่ได้กว้างขวางนัก การที่ผู้ชายสองคนมากกกอดกันจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ฉู่เหวินจือหยั่งขาข้างหนึ่งไว้บนพื้น แขนข้างหนึ่งก่ายบนพนักพิง แม้จะอยู่ในท่าที่ง่ายต่อการปฏิเสธ แต่เซินเฟยก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด เขาปล่อยให้ฉู่เหวินจือทำตามใจชอบตราบใดที่ยังไม่เกินเลยไปมากกว่านั้น

หลังได้จูบจนพอใจ ฉู่เหวินจือก็ผละออกก่อนจะแถบด้วยการซุกไซ้กับซอกคอ

“ทำอะไรน่ะ?” เซินเฟยไม่ค่อยเข้าใจภาษากายมากนัก แต่เขาค่อนข้างจะเชื่อว่าคงไม่ต่างจากภาษาของสัตว์ ดังนั้นการซุกไซ้ก็คงจะเหมือนเวลาสุนัขต้องการความรักกระมัง?

“ทำให้คุณลืมหมอจือชั่วครู่ไง”

เซินเฟยมุ่นคิ้ว แค่การกอดจูบจะทำให้ลืมใครบางคนได้อย่างไร? กระนั้นมันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้ เพราะเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้คิดถึงจือหยินเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้คิดถึงฉู่หวินจือเหมือนกัน เหมือนกับว่าสมองของเขาว่างเปล่าไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง

“ไร้สาระ” แม้จะคิดในใจอย่างนั้นแต่ปากเซินเฟยก็ยังปฏิเสธผลการทดลองของอีกฝ่ายอยู่ดี “ลุกไปได้แล้ว นายทับขาฉันอยู่นะ”

เมื่อเซินเฟยว่าเช่นนั้น ฉู่เหวินจือจึงลุกขึ้นเพื่อให้เซินเฟยขยับออกไป

“อะแฮ่ม” หวางซิงที่เพิ่งเดินเข้ามากระแอมไอเบา ๆ แต่โชคดีที่ฉู่เหวินจือถอยออกมาแล้วจึงรอดจากการโดนถีบในกรณีที่เซินเฟยตกใจขึ้นมาได้

“มีอะไรหรือ อาซิง?”

“วันนี้นัดคุณมู่ไว้หัวค่ำไม่ใช่หรือครับ?” หวางซิงบอกพลางมองนาฬิกา “ตอนนี้ 4 โมงแล้ว ผมคิดว่าเราน่าจะไปเตรียมตัวได้แล้ว” ว่าไป สายตาก็ปรายมองฉู่เหวินจืออย่างรู้ทัน

เซินเฟยพยักหน้ารับ เมื่อสองวันก่อนมู่อี้จิงมาหาเขาถึงที่บริษัทและฝากเรื่องไว้กับฉู่เหวินจือก่อนรีบผละไปทำงาน อีกฝ่ายต้องการแค่ให้เขาเลี้ยงอาหารมื้อหรู ๆ สักมื้อ ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งเขากระดิกเลยเซินเฟยจึงตอบตกลงโดยทันทีผ่านสารวัตรหรง และเพราะผลการทำงานที่น่าพึงพอใจ เซินเฟยจึงสั่งจองโต๊ะที่ภัตตาคารหรูซึ่งเสิร์ฟอาหารนานาชาติชั้นเลิศ เป็นภัตตาคารที่หากไม่ใช่ระดับเศรษฐีก็ไม่มีทางได้ก้าวย่างเข้าไปอย่างเด็ดขาด เขาคิดว่าเพียงเท่านี้ก็น่าจะทำให้ลิ้นของมู่อี้จิงเปลี่ยนเป็นทองได้แล้ว

เด็กหนุ่มลุกจากไปเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หวางซิงจึงเดินเข้ามาในห้องรับแขกแทน

“ผมทราบเรื่องที่คุณกับคุณเซินตกลงกันก็จริงอยู่ แต่ผมอยากเตือนว่าอย่างน้อยขอให้คุณคำนึงถึงฐานะของคุณเซินเอาไว้ด้วย”

“ครับ ผมเข้าใจ” ฉู่เหวินจือตอบกลับแล้วเสยผมที่ปรกลงมาบนหน้าเพราะก้มต่ำเมื่อครู่

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปเตรียมตัวก่อนนะครับ”

“จริงสิหวางซิง ผมฝากบอกคุณเซินด้วยได้ไหมว่าคืนนี้ผมจะออกไปข้างนอกนิดหน่อย”

“ได้สิครับ” แม้หวางซิงจะสงสัยว่าอีกฝ่ายมีธุระอะไร และยังไม่ไว้ใจอีกฝ่ายมากนัก ทว่าก่อนหน้านี้เซินเฟยเคยบอกเขาว่าหากฉู่เหวินจือจะไปไหนหรือทำอะไรก็ให้ทำไปไม่ต้องส่งคนตามดู หวางซิงไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเซินเฟยแต่หน้าที่เขาคือการทำตามคำสั่งเท่านั้น

--------------------->

เซินเฟยและหวางซิงมาถึงที่ก่อนเวลานัดเล็กน้อย กระนั้นเมื่อถูกบริกรนำมาที่โต๊ะพวกเขาก็พบว่ามู่อี้จิงมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว จะเป็นเพราะที่นี่หรูหราเกินไปหรืออย่างไรไม่ทราบได้ มู่อี้จิงจึงแต่งเนื้อแต่งตัวเต็มที่ สวมสูทดำ เสื้อเชิ้ตเรียบกริบ กางเกงสแลคเข้าชุด ทรงผมก็เสยอย่างมีสไตล์จนรู้สึกเหมือนมีเสน่ห์แบบคนหนุ่มวัยฉกรรจ์แผ่ออกมาจาง ๆ แม้จะมองผ่าน ๆ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามู่อี้จองเป็นผู้ชายที่ดูดีจนน่าสะดุดตา เมื่อนั่งโต๊ะฝั่งตรงข้ามก็พบว่าอีกฝ่ายใส่น้ำหอมกลิ่นนุ่มมาเสียด้วย นับว่ารสนิยมใช้ได้ เซินเฟยวิจารณ์เช่นนั้นขณะกวาดตามองรอบ ๆ

ฟีโรโมนของผู้ชายคนนี้ทำงานเหมือนแมลงหรืออย่างไรกันนะ พวกสาวแก่แม่ม่ายที่มานั่งจับกลุ่มกันบางโต๊ะถึงได้ลอบมองมาทางนี้เป็นระยะ ๆ ขนาดว่าโต๊ะอยู่ในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวแล้วก็ยังหนีสายตาสอดรู้สอดเห็นของพวกสาวสังคมสูงไม่พ้น

“คุณเซิน ผมขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญของผมนะครับ” ถึงแม้เซินเฟยจะเป็นเจ้ามือ แต่มู่อี้จิงก็ยังทักทายตามมารยาท

“ผมยินดีอยู่แล้ว” เซินเฟยกล่าวพร้อมพับผ้ากันเปื้อนรองบนตัก

“เรื่องคราวก่อนผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณโมโห ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอกนะครับ แต่ว่า....” มู่อี้จิงพูดไปก็ไม่รู้ว่าควรจะจบประโยคเช่นไรให้อีกฝ่ายไม่ขุ่นเคืองจึงได้เว้นวรรคเพื่อทิ้งช่วงคิด

“คุณแค่คิดจะทดสอบผมใช่ไหม?” เซินเฟยช่วยต่อให้จนจบประโยค “ช่างเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก ผมเองก็เริ่มชินกับเรื่องนี้บ้างแล้ว แต่ยังไงก็อย่าให้มากเกินไปนักก็พอ”

นายตำรวจหนุ่มอดเบ้หน้าไม่ได้ พอทิ้งจังหวะหน่อยก็โดนกัดเข้าแผลหนึ่งจนได้

“ผมได้อธิบายให้เลขาของคุณเข้าใจไปแล้ว ดังนั้นผมหวังว่าเรื่องคราวนี้คุณจะทำเป็นลืม ๆ ไปได้นะครับ” เป็นเพราะอย่างไรเซินเฟยก็อยู่ในฐานะที่เหนือกว่า มู่อี้จิงจึงจำต้องนอบน้อมให้แม้เซินเฟยจะอายุน้อยกว่าเขาอยู่หลายปีก็ตามที

“ผมพิจารณาคนจากงานเป็นหลัก และคุณก็ทำงานได้ดี และเรื่องเข้าใจผิดเป็นเพราะผมเองก็ไม่รอบคอบสืบสวนให้ดีเสียก่อน ดังนั้นเรื่องครั้งนี้นอกจากผมจะไม่ถือสาหาความแล้วยังจะตอบแทนคุณอย่างเหมาะสมด้วย อยากทานอะไรก็เชิญสั่งเถอะ” เซินเฟยตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉย บางครั้งการยอมรับความผิดโดยไม่ต้องให้ใครมาชี้ให้เห็นก็เป็นเสน่ห์ที่ดีของผู้นำ และเซินเฟยก็มีสิ่งนั้นอยู่ มู่อี้จิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีกับเซินเฟยขึ้นมาก แม้อีกฝ่ายจะวางมาดข่มอย่างไรก็ถือเสียว่าเป็นไปตามสถานะ แต่สิ่งที่อยู่ในคำพูดต่างหากที่สำคัญ

หวางซิงสั่งอาหารกับบริกรแทนเซินเฟยเหมือนครั้งก่อน เขาอยู่ใกล้ชิดเซินเฟยจนรู้ดีว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบอะไร อะไรกินได้และอะไรที่แพ้ ส่วนมู่อี้จิงก็สั่งอาหารที่ตนเองพอจะคุ้นหูไปสองสามอย่าง สิ่งที่เขาไม่รู้จักก็ละเว้นไว้ปล่อยให้อีกฝ่ายสั่งไป

เครื่องดื่มสำหรับวันนี้เป็นไวน์แดงที่หมักบ่มราว ๆ 20 ปี นับว่าอายุไม่น้อยและราคาก็แพงหูฉี่ แต่เซินเฟยก็ยังสั่งมาจิบอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อน มู่อี้จิงรู้สึกว่าวันนี้นอกจากลิ้นของเขาอาจจะกลายเป็นทองแล้ว ทั้งทางเดินอาหารของเขาอาจกลายเป็นทองไปจริง ๆ เมื่อได้ลิ้มลองอาหารจานละ 4 หลักเหล่านี้

โลกช่างผิดกันไกลจริง ๆ

มู่อี้จิงคิดขึ้นมาในใจ กับตำรวจธรรมดาอย่างเขาแค่มีข้าวกินสามมื้อก็พอแล้ว แต่ก็ยังมีพวกคนรวยที่ถึงจะกิน ๆ นอน ๆ ก็มีใช้เหลือเฟืออยู่ ถึงอย่างนั้น....จะคิดว่าเซินเฟยเป็นแบบนั้นไปด้วยก็เห็นจะไม่ถูกต้อง เพราะสารวัตรหรงบอกเขามาว่าเซินเฟยเคยเป็นแค่เด็กธรรมดาแต่อยู่ ๆ ก็ถูกดึงเข้ามาในเส้นทางสายนี้ ซ้ำยังต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัวเพื่อพยุงอำนาจเอาไว้ให้ได้

มู่อี้จิงยิ้มกับตัวเอง...

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 25-02-2011 21:06:49
ในโลกนี้ก็มีคนรวยที่ทำงานหนักกว่าคนธรรมดาอย่างพวกเขาอยู่เหมือนกัน....แถมยังหาโอกาสมีความสุขได้น้อยกว่าด้วย

เขาเคยนึกอิจฉาพวกคนร่ำคนรวยที่ชอบซื้อของมาอวดกันหรือไม่ก็จับกลุ่มนินทาในงานสังคม แต่เมื่อเขาได้รู้จักสังคมของผู้มีอันจะกินมากขึ้นเขาก็ได้พบว่ามันมีอะไรมากกว่าเงินทองที่กองแทบเท้า เพราะยิ่งมีสิ่งที่อยู่ใต้การครอบครองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีภาระที่ต้องแบกมากเท่านั้น ดังนั้นมู่อี้จิงจึงรู้สึกพอใจแล้วกับสถานะของตนเองในปัจจุบัน แค่ได้กินอาหารธรรมดาสามมื้อ ส่วนมื้อพิเศษอย่างนี้ก็ถือเสียว่าเป็นกำไรชีวิตที่สวรรค์ประทานก็แล้วกัน

แน่นอนว่าคนรวยทั้งหลายไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเขาหรอก คนที่ได้ทุกอย่างที่ต้องการย่อมไม่รู้ความรู้สึกสุขใจเมื่อได้รับสิ่งพิเศษ เหมือนกับคนที่ไม่รู้ว่าความอิ่มเป็นอย่างไรเมื่อไม่รู้จักความหิวนั่นแหละ

เซินเฟยมุ่นคิ้วเมื่อมองไปเห็นมู่อี้จิงนั่งยิ้มกับตัวเองคนเดียวพลางมองแก้วไวน์ในมือ เขาหันมองหวางซิงด้วยความสงสัยว่าวันนี้อีกฝ่ายไปกินยาอะไรมาผิดหรือไม่ หวางซิงก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะว่าไม่รู้เช่นกัน

“เอ่อ...คุณมู่ ถ้าไม่รีบทานตอนร้อน ๆ จะไม่อร่อยนะครับ” หวางซิงเตือนสติทำให้ตำรวจหนุ่มตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง

“อ้อ ใช่ ขอบคุณครับ” มู่อี้จิงรีบสลัดความขบขันออกจากใบหน้าแล้วลงมือกินอาหาร

“สารวัตรหรงเป็นยังไงบ้าง?”

เป็นธรรมดาสำหรับมื้ออาหารของเซินเฟยที่ต้องมีการสนทนาเรื่องธุรกิจ เขาจึงเคยชินกับการพูดคุยระหว่างมื้ออาหารเมื่อต้องออกมากินอาหารนอกบ้าน

“สำหรับตอนนี้ก็ดูเหมือนจะสบายดีนะครับ แต่ก็เอาแต่บ่นเรื่องอายุตัวเองให้ผมฟังอยู่บ่อย ๆ หัวหน้าของแผนกผมก็เลยพลอยบ่นติดเชื้อคนแก่บ่นตามไปด้วย” มู่อี้จิงกล่าวตอบหลังจากกลืนชิ้นเนื้อลงไปในคอสำเร็จ ชิ้นเนื้อที่คล้ายจะละลายไปกับปลายลิ้นทำให้เขาเกือบลืมกลืนไปเสียสนิท “พอใกล้จะเกษียณก็คงจะเป็นแบบนี้ทุกคน พ่อของผมเองก็บ่นแบบนั้นอยู่เหมือนกัน”

“พ่อของคุณก็เป็นตำรวจหรือครับ?” หวางซิงเอ่ยถาม

“ครับ เป็นตำรวจที่เคร่งครัดมากด้วย” ตำรวจหนุ่มตอบพลางถอนหายใจ “และเพราะเขานั่นแหละที่ทำให้ผมเป็นตำรวจ เขาไม่ยอมให้ผมหันไปหาหนทางอื่นเลย”

“ซึ่งผมก็คิดว่าเหมาะดีแล้ว” เซินเฟยเสริมขึ้นมา

“เหมือนที่คุณเหมาะจะเป็นมาเฟียไง”

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วทันที การยอกย้อนของมู่อี้จิงไม่ค่อยเข้าหูเขาสักเท่าไหร่

“แล้วก่อนหน้านี้คุณคิดอยากจะเป็นอะไรงั้นหรือครับ? เอ่อ ผมหมายถึงว่าถ้าคุณไม่ได้เป็นตำรวจ คุณคิดจะทำอาชีพอะไร?” หวางซิงรีบกลับไปหาหัวข้อเดิมเพื่อคลายสถานการณ์ นั่นเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่หวางซิงมักต้องปฏิบัติเมื่อพบกับคนที่ไม่ค่อยรู้จักวิธีพูดเพื่อทำให้คนอารมณ์ดี เพราะเซินเฟยเป็นคนที่ค่อนข้างถือกับคำพูดอยู่มาก สำหรับมู่อี้จิงที่ชอบพูดแบบเป็นกันเองคงลำบากหน่อยที่จะคุยกันได้นานโดยไม่ทะเลาะกันเสียก่อน การมีหวางซิงร่วมโต๊ะด้วยจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นไป

“ผมไม่เคยคิดหรอก ก็พ่อผมกำกับให้ผมเป็นตำรวจแต่แรกอยู่แล้ว อีกอย่างผมก็ไม่ได้เกลียดอาชีพนี้ด้วย”

โดยนิสัยแล้ว มู่อี้จิงไม่ใช่คนที่เคร่งครัดกับตนเองสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคาดหวังอะไรให้มากเกินตัว ให้พ่อวางหนทางให้มันก็สบายไปอีกแบบ แต่ถึงอย่างนั้นก็โชคดีที่เขามีดีเรื่องสมองจึงสามารถเดินตามทางที่พ่อวางไว้ให้แต่กลับไม่ยื่นมือเข้าช่วยได้

“แล้วคุณล่ะ ถ้าไม่ได้เป็นเลขาคุณจะทำอะไร?” มู่อี้จิงถามหวางซิงกลับบ้าง

“เอ๋ ผม.....” หวางซิงนิ่งคิดไปเล็กน้อย “ผมก็คงจะเป็นเลขาอยู่ดีแหละครับ” คำตอบของหวางซิงค่อนข้างจะเป็นกำปั้นทุบดินไปเล็กน้อย แต่ก็เป็นความคิดของเขาจริง ๆ ตั้งแต่เด็กมาเขาถูกเลี้ยงดูมาเพื่อให้รับใช้ตระกูลเซิน ปู่ของเขาเป็นหัวหน้าพ่อบ้าน พ่อของเขาเป็นคนดูแลเรื่องจิปาถะพูดง่าย ๆ คือผู้ช่วยของปู่ เขาถูกส่งให้เรียนสูง ๆ เพื่อจะได้ช่วยด้านการบริหาร ซึ่งเมื่อเขาเรียนจบก็ได้กลายเป็นเลขาของจูเชว่รุ่นก่อนทันที พูดตามตรงแล้วเขารู้สึกภาคภูมิใจกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง จะหน้าที่ไหนก็แล้วแต่ขอเพียงทำประโยชน์ให้จูเชว่ได้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจทั้งสิ้น และสำหรับเขา หน้าที่เลขาก็เป็นหน้าที่ที่แบ่งเบาภาระของจูเชว่ได้มากที่สุดในหน้าที่ทั้งหมด ทำไมเขาถึงต้องอยากทำงานอื่นอีกล่ะ?

“อาซิงเป็นเลขาที่ดีและผมก็พอใจ” เซินเฟยกล่าวพลางจิบไวน์

“ใช่ เรื่องนั้นคุณเคยบอกผม และเท่าที่ผมเห็นก็ต้องยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น แต่....คุณไม่เคยคิดจะทำอย่างอื่นบ้างเลยหรือ?” มู่อี้จิงเลิกคิ้ว คนเราทุกคนล้วนแต่มีความฝันหลากหลายต่างกันไปในวัยเด็ก แม้แต่เขาเองก็เคยฝันเพียงแต่ไม่ได้จริงจังกับมันก็เท่านั้น

“จริงสิ จะว่าไปก็มีอย่างหนึ่งนะครับที่ผมอยากทำ” หวางซิงเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชายหนุ่มยิ้มกว้างตาเป็นประกาย

เซินเฟยเลิกคิ้ว นึกสงสัยว่าเลขาตนเองอยากลองทำอะไรถึงขนาดนั้น

“ผมอยากขับรถครับ”

แม้จะเป็นคำตอบที่แสนปกติธรรมดาในสายตาคนอื่น ๆ แม้แต่มู่อี้จิง ทว่าเซินเฟยกลับเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงพลางทำสีหน้าขยาดอย่างบอกไม่ถูก

“ก็ดีนี่ครับ” มู่อี้จิงว่าเช่นนั้นเพราะไม่ทันสังเกตสีหน้าของเซินเฟย

“แต่ว่าคุณเซินไม่ยอมให้ผมขับเลย” หวางซิงถอดถอนใจ “ทั้งคุณเซินและจูเชว่รุ่นก่อนต่างก็บอกว่าผมควรเป็นเลขามากกว่าคนขับรถ”

“อย่างที่ผมเคยบอกและผมก็ยังยืนยันเหมือนเดิม” เซินเฟยแทรกโดยไม่บอกเหตุผลใด ๆ ไปมากกว่านั้น

“มันคงเป็นเรื่องปกติล่ะมั้งครับ ก็รถของคุณเซินราคาแพงขนาดนั้นคงไม่ยอมให้เอาไปลองขับง่าย ๆ” มู่อี้จิงหัวเราะ เขาเคยเห็นรถของเซินเฟยมาแล้ว รถยุโรปนำเข้ายี่ห้อดังสีดำมันปราบ ไม่มีรอยขูดขีดเปรอะเปื้อน ได้รับปารดูแลอย่างดีจนเรียบร้อยดูสง่าไม่ต่างจากเจ้าของสักนิด นี่สินะที่เขาว่าเจ้าของกับรถจะเหมือน ๆ กัน เจ้าของเป็นอย่างไรรถก็เป็นแบบนั้น

“คงใช่ครับ ดังนั้นผมก็เลยเลิกล้มความคิดไป” หวางซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรนักกับแค่การไม่ได้ขับรถ แต่ว่ามู่อี้จิงกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง

“ถ้าเป็นรถผมคงไม่เป็นไร”

“อะไรนะครับ?”

“คือ...วันนี้ผมเอารถมาด้วย รถตำรวจน่ะ ถ้าคุณจะลองขับผมก็ยินดี” ความใจดีของมู่อี้จิงทำให้หวางซิงยิ้มกว้างจนตาเป็นประกายระริกด้วยความดีใจ ทว่าเซินเฟยกลับนั่งตีหน้านิ่ง เขาไม่ได้คิดห้ามปรามและไม่สนับสนุนด้วย เพราะไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นเขาจะถือว่าไม่ได้เกี่ยวกับเขา

หลังมื้ออาหาร ทั้งสามก็เดินลงไปข้างล่าง มู่อี้จิงขับรถเข้ามาเทียบแล้วเชิญให้หวางซิงนั่งที่คนขับส่วนเขาขึ้นนั่งข้าง ๆ เพื่อคอยแนะนำ

เซินเฟยมองรถที่แล่นจากไปอย่างตะกุกตะกัก ก่อนจะขึ้นรถของตัวเอง

“แล้วเลขาหวางล่ะครับ?” คนขับรถเอ่ยถาม

“เขามีธุระกับคนรู้จัก” เซินเฟยเลือกจะอธิบายเพียงแค่นั้น “ฉันบอกให้กลับไปเจอกันที่บ้าน”

คนขับรถรับคำสั้น ๆ ตามหน้าที่ก่อนจะออกรถ ใช้เวลาเพียงไม่นานเซินเฟยก็กลับมาถึงบ้านโดยมีหวางซือยืนรอรับอยู่
“ยังไม่ขึ้นนอนหรือเหล่าซือ?”

“นายน้อยออกไปข้างนอกจะให้เหล่าซือขึ้นนอนก่อนได้ยังไงกัน?” หวางซือเดินขโยกเขยกเข้ามารับเสื้อสูท เพราะอายุเริ่มมากขึ้นจึงไม่สามารถขยับได้ทันทั่นใดเหมือนสมัยก่อน เซินเฟยเองก็นึกอยากให้หวางซือวางมือเหมือนกัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่าย ๆ กระทั่งเรื่องการดูแลปรนนิบัติยังไม่ยอมให้ขาดตกบกพร่องแม้สักกระเบียด หวางซานเองก็สุดจะทัดทานเหมือนกัน

“แล้วที่บอกว่าปวดหัวเข่าเมื่อวันก่อนล่ะ?” เซินเฟยเลิกคิ้วพลางมองท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ นั้น

“อาซานนี่ปากสว่างจริง ๆ” แทนที่จะตอบคำถาม หวางซือกลับไพล่ไปโทษลูกชายที่เอาเรื่องอย่างนี้มาบอกเซินเฟยเสียอย่างนั้น “ว่าแต่นายน้อย อาซิงหายหัวไปไหนกัน? ทำไมถึงไม่คอยรับใช้นายน้อย หลานคนนี้ชักจะเหลวไหล เหล่าซือต้องขอโทษนายน้อยด้วยที่อบรมไม่ดี”

ทั้ง ๆ ที่เซินเฟยยังไม่ได้ว่ากล่าวอะไร หวางซือกลับตีโพยตีพายไปเสียเอง เซินเฟยก็ชินกับความวิตกกังวลที่บางครั้งก็เกินเหตุเกินผลอันแทบจะเป็นลักษณะเฉพาะของคนตระกูลหวางแล้วจึงไม่รู้สึกแปลกใจ เขาเพียงยิ้มออกมาน้อย ๆ ด้วยรู้สึกขบขันกับความลุกลี้ลุกลนว่าจะบกพร่องในหน้าที่เท่านั้น

“อาซิงไปขับรถ”

“อ....อะไรนะครับ” หวางซือเบิกตากว้างพลางถามซ้ำ เขาเกรงว่าความแก่ของตนจะทำให้หูฝาดไป

“อาซิงไปขับรถ นักสืบมู่บอกว่าจะสอนให้ อาซิงก็เลยขออนุญาตผม” เซินเฟยแจกแจงให้หวางซือฟัง ซึ่งชายชราก็ได้แต่ยืนอึ้งและเปลี่ยนสีหน้าไปเรื่อย ๆ ตามลำดับของเรื่อง จนกระทั่งถึงสุดท้ายก็กลายเป็นขาวซีด

“นักสืบมู่....งั้นหรือครับ....” หวางซือพูดตะกุกตะกัก ทำท่าคล้ายจะลมจับ “เหล่าซือขออนุญาตนายน้อยไปจุดธูปไหว้พระไหว้เจ้าสักกำมือหนึ่งก่อนนะครับ”

“ตามสบายเถอะ แต่ผมคิดว่าพระหรือเจ้าก็อาจจะช่วยไม่ได้”

ถึงเซินเฟยจะพูดแบบนั้น แต่หวางซือก็ยังรีบผลุนผลันไปจุดธูปไว้เจ้าและบรรพบุรุษอยู่ดี

พวกเขารออยู่นานพอสมควรกว่าที่เสียงรถคันหนึ่งจะแล่นมาจอดที่หน้าบ้านและกดแตรเรียกคนด้านใน หวางซือและหวางซานรีบวิ่งออกไปดูด้วยความเป็นห่วง ส่วนเซินเฟยกลับเดินช้า ๆ ตามไป

เมื่อเปิดประตู หวางซือแทบจะล้มพับเพราะรถตำรวจหรือเคยเรียกได้ว่าเป็นรถตำรวจตอนนี้อนู่ในสภาพบุบบี้ไปทั้งคัน บางส่วนของรถมีรอยสีถลอก ซ้ำกระโปรงหน้าหลังยังถูกชนจนเปิดอ้า หวางซิงเดินลงมาจากรถด้วยสีหน้าสำนึกผิดส่วนมู่อี้จิงกลับแทบจะต้องคลานลงมา เซินเฟยเดาว่าอีกฝ่ายคงจะลุ้นตัวโก่งพร้อมสวดภาวนาขอให้สวรรค์เมตตาไปตลอดทางอย่างแน่นอน

ทุกคนในบ้านหลังนี้ต่างรู้ฝีมือการขับรถของหวางซิงเป็นอย่างดี ชายหนุ่มเป็นเลขาที่ยอดเยี่ยมก็จริงแต่เป็นคนขับรถที่ยอดแย่ หวางซิงมีพรสวรรค์อย่างยิ่งยวดด้านการพารถเสยขอบถนน ชนเสาไฟฟ้า หักเลี้ยวเฉียดรถคันอื่นรวมถึงการพุ่งเข้าใส่เหล็กกั้นถนน และที่เยี่ยมไปมากกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเจ้าตัวกลับไม่เคยได้รับบาดเจ็บจากการขับรถท้านรกของตนเองสักครั้ง ซึ่งหากนับจริง ๆ หวางซิงก็เคยมีโอกาสขับรถแค่ 2 ครั้งในชีวิตคือตอนที่เข้ามารับใช้จูเชว่รุ่นก่อนเป็นวันแรก และหลังจากดูแลเซินเฟยได้ระยะหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์สองครั้งนั้นทำให้ไม่มีใครกล้าให้หวางซิงแตะพวงมาลัยอีกเลย

มู่อี้จิงเองก็ดูจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ที่เสียหายสุด ๆ ก็คือตัวรถที่น่าพาเข้าอู่เพื่อเปลี่ยนอะไหล่บางส่วนหรืออาจจะทั้งหมด

“ไม่เป็นอะไรสินะอาซิง?” เซินเฟยเอ่ยถามพลางมองมู่อี้จิงที่ยืนพิงรั้วบ้านด้วยหน้าตาซีดเซียว “ผมอนุญาตให้คุณใช้ห้องน้ำได้ถ้าคุณอยาก”

ทันทีที่ได้รับคำอนุญาต มู่อี้จิงก็อุดปากแล้วรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที

“ผมขอโทษด้วยครับ” หวางซิงพูดออกมาด้วยสีหน้าสลด

“เอาเถอะ ผมก็แค่ต้องจ่ายเงินให้ทางรัฐบาลเพื่อซ่อมเสาไฟฟ้า ราวกั้นถนน ต้นไม้ และจ่ายค่าซ่อมรถให้นักสืบมู่เท่านั้นเอง” เซินเฟยตอบอย่างไม่นึกยี่หระ เงินพวกนั้นไม่ได้ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนอยู่แล้ว ขอเพียงแค่ยังไม่ต้องออกเงินค่าทำศพให้ใครก็พอ ส่วนรถที่โดยเฉี่ยวชนไปคิดว่าคงไปโวยที่กรมทีหลัง ดังนั้นเขาจึงคิดว่าจะโอนเงินไปให้สารวัตรหรงก่อนเพื่อจ่ายค่าเสียหายให้เจ้าของรถเหล่านั้น

หวางซิงเดินเข้าไปในบ้านพอดีจังหวะเดียวกับที่มู่อี้จิงเดินออกมาจากห้องน้ำ เขาขอโทษขอโพยอีกฝ่ายเป็นการใหญ่ คืนนั้นหวางซิงจึงขอให้นายตำรวจหนุ่มพักที่บ้านก่อนแล้วเอารถไปซ่อมให้โดยเซินเฟยเป็นคนออกค่าเสียหายทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น....ทุกคนก็เชื่อว่าหวางซิงคงจะยังไม่เข็ดกับการขับรถหรอก....

TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Miyabi ที่ 25-02-2011 21:53:24
เนื้อเรี่องสนุกน่าติดตามมากๆ  o13
รอตอนต่อไปจ้า
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 25-02-2011 22:14:14
ฮากับตอนกลับจากการขับรถนี่แหละ 555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 25-02-2011 22:44:47
 :laugh:ฮากับพรสวรรค์ในการขับรถของอาซิง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: yakusa ที่ 25-02-2011 23:40:32
อาซิง นี่สุดอะ  :m20:  น่าส่งไปขับรถวิบาก

คุณตำรวจคงเข็ดไปอีกคน 
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 26-02-2011 00:07:42
 o21อาซิงเป็นมนุษย์ที่มีพรสวรรค์น่ากลัวจริงๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: mete ที่ 26-02-2011 10:32:01
เย้ๆๆๆ :mc4:

ตอนใหม่มาอีกแล้ว

ตอนนี้อ่านแล้วก็อมยิ้มนะคับ

น่ารักดีนะคับ o13

จะรออ่านอีกนะคับพุร่งนี้ :bye2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 26-02-2011 10:47:47
เป็นเลขาอย่างเดิมก็ดีแล้วล่ะอาซิง
อย่าเป็นมันเลยคนขับรถน่ะ 55
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 26-02-2011 11:39:29
-15-



นับแต่วันที่จือหยินมาขอความช่วยเหลือเวลาก็ผ่านไปถึงหนึ่งสัปดาห์แล้ว หลี่จวี๋เหม่ยยังคงมาเยี่ยมในตอนเช้าเพื่อสนทนาเล็กน้อย นำขนมมาให้และเดินทางกลับเช่นเดิม หญิงสาวไม่ได้มีท่าทีว่าต้องการเรียกร้องอะไรจากเซินเฟยเลยแม้แต่น้อย ทำให้การมาเยือนของเธอเป็นที่ต้อนรับของคนในบ้านใหญ่มากขึ้น และเซินเฟยก็ไม่ต้องรู้สึกปวดหัวกับเรื่องพ่อแม่ของตัวเองด้วย

หลี่จวี๋เหม่ยเดินทางกลับไปราว ๆ 10 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาก่อนมื้อเที่ยงเนื่องจากเธอต้องรีบกลับไปเตรียมมื้อเที่ยงให้สามี เซินเฟยจึงไม่มีโอกาสเชิญเธอให้อยู่กินมื้อเที่ยงด้วยกัน

การปรากฏตัวของหลี่จวี๋เหม่ยนำความเปลี่ยนแปลงมายังตัวของเซินเฟยเล็กน้อยโดยที่เขาไม่รู้ตัว จากเดิมที่ไม่เคยรู้สึกต้อนรับครอบครัวของตนเอง ตอนนี้เขากลับยอมรับหญิงสาวที่เป็นแม่ให้เข้ามาในชีวิตอีกครั้ง

“คุณหลี่เองก็ดูไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรนะครับ” หวางซิงออกความเห็นพลางวางแก้วขาให้เจ้านาย “แต่ผมยังไม่ไว้ใจทางคุณเซินหยู่ เขาอาจจะคิดอะไรอยู่ก็ได้”

“เรื่องนั้นผมเองก็ยังสงสัย” เซินเฟยเห็นด้วย ถึงใจของเขาจะยอมรับหลี่จวี๋เหม่ยได้เกือบเท่ากับสมัยเด็ก แต่สำหรับเซินหยู่นั้นเป็นอีกกรณีหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ต้องการ เซินเฟยรู้จักพ่อตัวเองดีเกินกว่าจะกล้าวางใจ

“แต่ว่า...ทำไมคุณถึงได้ดูมีความสุขนักล่ะครับคุณฉู่?” เลขาหนุ่มหันไปมองฉู่เหวินจือที่นั่งยิ้มอยู่ที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่ง เวลาที่หวางซิงอยู่ด้วย ฉู่เหวินจือแทบไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้เซินเฟย กระนั้นเจ้าตัวก็ดูจะไม่ได้ทุกข์ร้อนสักเท่าไหร่เพราะในเวลาที่ลับหลังหวางซิง เขาก็ตักตวงกำไรอย่างเต็มที่หมือนกัน

“ผมหรือ? ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น” ฉู่เหวินจือถามกลับ

“ก็คุณนั่งยิ้มแบบนั้นทีไร ผมก็ต้องสังหรณ์ว่าคุณกำลังคิดเรื่องไม่ดีทุกที” หวางซิงตอบก่อนจะถอนหายใจ

“ผมน่ะหรือคิดเรื่องไม่ดี เปล่าเลย ผมกำลังคิดเรื่องที่ดีมาก ๆ เลยล่ะ” ฉู่เหวินจือกล่าวแล้วหันไปหาเซินเฟยด้วยดวงตาเป็นประกาย “ผมกำลังคิดว่าเมื่อคืนนี้คุณเซินตอบรับผมดีแค่ไหน รู้สึกว่านับวันคุณก็ยิ่งพัฒน.....หวา!”

ยังไม่ทันที่ฉู่เหวินจือจะพูดจบ เซินเฟยก็ยกน้ำชาทั้งกาสาดใส่จนชุ่ม โชคดีที่น้ำชากานั่นแค่อุ่น ๆ ไม่ได้ร้อนมากนัก ฉู่เหวินจือจึงเพียงร้องออกมาแล้วกระโดดหนีไปเล็กน้อย เขาแย้มยิ้มเมื่อเห็นเซินเฟยกำลังหน้าแดงด้วยความอับอายทั้งยังกัดฟันกรอด ถ้าให้เดา เซินเฟยคงกำลังคิดหาวิธีลงโทษเขาอยู่ในหัวแน่ ๆ ดังนั้น ก่อนที่เซินเฟยจะคิดเสร็จเขาก็ต้องฉวยโอกาสก่อน

ฉู่เหวินจือถลันเข้าไปคว้าตัวเซินเฟยมาจูบแนบแน่นก่อนรีบเผ่นออกไปทางประตูเมื่อทั้งเซินเฟยและหวางซิงกำลังตกตะลึงตาค้าง

“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็สาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว

“ฉู่เหวินจือ!” แม้เซินเฟยจะตะคอกสวนกลับไปก็ไม่ทันเสียแล้ว

“คุณเซิน ยิ่งวันฉู่เหวินจือก็ยิ่งเอาแต่ใจมากขึ้นแล้วนะครับ” หวางซิงเตือนด้วยความหวังดี ระยะนี้เห็นได้ชัดว่าฉู่เหวินจือไม่ได้เกรงกลัวเซินเฟยเลย ทั้งยังคิดจะทำอะไรก็ทำตามอารมณ์จนเขายังตามไม่ทัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยจะทำตัวดีอยู่แล้ว ตอนนี้กลับอาการหนักยิ่งกว่าเก่า

เซินเฟยทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวด้วยความหงุดหงิดใจ ผู้ชายคนนั้นช่างขยันทำให้เขาโมโหเสียจริง กลัวว่าความดันของเขาจะต่ำเกินไปหรือยังไงกันนะ

“เอ่อ....ขอโทษครับ” คนรับใช้คนหนึ่งย่องเข้ามาด้วยความหวั่นวิตกเพราะได้ยินเสียงตะคอก ซ้ำบรรยากาศในห้องยังดูเคร่งเครียด

“มีอะไร?” เซินเฟยเอ่ยถามเสียงนิ่งราวกับเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

“หมอจือมาขอพบครับ”

จือหยิน?

เซินเฟยมุ่นคิ้วพลางมองหน้าหวางซิง อาทิตย์ก่อนนี้อีกฝ่ายมาขอยืมเงินของเขาไปจำนวนหนึ่งเพื่อรักษาคนรักที่ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเซินเฟยก็จับกระแสเสียงของความผิดปกติได้ ทว่าเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาอีกครั้งรวดเร็วถึงขนาดนี้ เอาเงินมาคืนหรือ? ไม่น่าเป็นไปได้ หมอธรรมดาอย่างจือหยินจะหาเงินจำนวนมากมายแบบนั้นมาในเวลา 1 อาทิตย์ได้อย่างไร?

“พาไปที่ห้องรับแขก” เซินเฟยหันไปสั่งคนรับใช้ “แล้วก็ให้คนมาทำความสะอาดพรมกับโซฟาในห้องนี้ให้ด้วย ฉู่เหวินจือพลั้งมือทำชาหกลงไปทั้งกาเลยเปียกไปหมด”

“ครับ” คนรับใช้รีบรับคำแล้วไปทำตามคำสั่งทันที

เซินเฟยทำสีหน้าครุ่นคิด เขายังไม่อาจไขข้อสงสัยได้ว่าจือหยินโกหกเขาเรื่องอะไรและทำไม กระนั้นอีกฝ่ายอุตส่าห์มาถึงที่นี่อีก หรือจะมาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจกันนะ?

ตอนที่เซินเฟยและหวางซิงไปถึงห้องรับแขก จือหยินก็ถูกเชิญเข้ามานั่งรอเรียบร้อยแล้ว ทั้งน้ำชาและขนมก็ยังถูกนำมาวางไว้พร้อม หวางซือไม่เคยละเลยหน้าที่เลยจริง ๆ

“คุณเซิน ขอโทษที่มารบกวนในวันหยุดอีกนะครับ” จือหยินรีบลุกขึ้นแล้วยิ้มกว้างทำให้เซินเฟยสะดุดไปเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยได้รับรอยยิ้มเช่นนั้นจากอีกฝ่ายเลย แต่วินาทีต่อมาเขาก็ตั้งสติได้จึงรีบเดินไปที่ก้าอี้รับแขกอีกตัวหนึ่งแล้วผายมือเชิญที่จือหยินนั่งลง

“ที่ผมให้ไปไม่พอหรือ?”

“ไม่ใช่ครับ! นั่นเกินพอเสียด้วยซ้ำ ผมยังอดสำนึกในความกรุณาของคุณเซินไม่ได้” จือหยินรีบตอบแล้วก้มหน้าลง หวางซิงอดรู้สึกประหลาดไม่ได้ ใบหน้าของจือหยินดูมีความสุขและวิตกกังวลไปในเวลาเดียวกัน คนที่ทำสีหน้าขัดแย้งในตัวเองแบบนี้ได้จะอยู่ในอารมณ์แบบไหนนั้นเขาก็สุดจะคาดเดา

“ถ้าอย่างนั้นหมอจือมีธุระอะไรให้ช่วยอีกหรือเปล่า?” เซินเฟยถามไปก็อดกลั้นหายใจไม่ได้ เสี้ยวเล็ก ๆ ในใจของเขาคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่เพื่อพบปะกับเขาโดยไม่ต้องมีเหตุผลหรือธุระมารองรับบ้าง แต่เซินเฟยก็รู้ดีว่ามันเป็นไปได้เพียงแค่ความคาดหวังเท่านั้น บางครั้งเซินเฟยก็สงสัยตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่าจือหยินไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของเขาทั้งยังมีคนรักเป็นตัวเป็นตนแล้ว ทำไมเขาถึงยังอยากจะหวังอยู่อีกนะ....

“คือ....คนรักของผมผ่านการผ่าตัดไปได้ด้วยดี ตอนนี้กำลังกายภาพบำบัดอยู่ ต้องรออีกเดือนจึงสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ว่า....เธออยากจะขอบคุณคุณเซินด้วยตัวเองไว ๆ ผมก็เลย....”

บางครั้งจือหยินก็ชอบพูดจาอ้อมค้อมด้วยความเกรงอกเกรงใจ

“ผมเข้าใจความรู้สึกของหมอจือกับคนรักของหมอนะครับ แต่ว่าวันนี้คุณเซิน.....”

“ผมกำลังว่างพอดี” ไม่ทันที่หวางซิงจะปฏิเสธให้อย่างเคย เซินเฟยที่นั่งทำท่าครุ่นคิดจนถึงเมื่อครู่ก็ตอบรับออกมาเสียก่อน สร้างความประหลาดใจให้แก่หวางซิงและจือหยินเป็นอย่างมาก “อาซิง ให้คนเตรียมรถ และไปเรียกฉู่เหวินจือให้ผมด้วย”

“.....ครับ” ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่หวางซิงจะตอบรับออกมาแล้วเดินออกไปจากห้อง

“จะไม่เป็นการรบกวนเกินไปหรือครับ ความจริงรออีกสักเดือนเธอก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ตอนนั้นผมค่อย...”

“หมอจืออุตส่าห์มาหาผมถึงที่นี่เพราะคาดหวังให้ผมตอบรับไม่ใช่หรือ?” คำกล่าวของเซินเฟยทำให้จือหยินชะงัก เขายิ้มออกมาน้อย ๆ ซึ่งก็พาเซินเฟยรู้สึกถึงความสุขเล็ก ๆ ในใจตามไปด้วย ทำไมเขาถึงได้หวั่นไหวกับรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้นักนะ....

-------------->

คนขับรถเทียบให้ผู้โดยสารลงที่หน้าอาคารก่อนจะขับจากไปเพื่อนำรถไปจอด ตอนนี้หน้าอาคารจึงมีเซินเฟย หวางซิง จือหยิน และฉู่เหวินจือที่โดนพามาเป็นตัวแถม ทั้งสี่พากันเดินเข้าไปในอาคารท่ามกลางสายตาสงสัยของนางพยาบาลและหมอคนอื่น ๆ เนื่องจากสามในสี่คนสวมชุดสูทราวกับนักธุรกิจใหญ่ แม้โรงพยาบาลนี้จะเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงและมีคนใหญ่คนมารักษาบ่อย ๆ แต่ก็หาได้ยากที่จะได้พบแขกลักษณะนี้มาเยี่ยมผู้ป่วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นญาติ ๆ ที่แต่งตัวธรรมดา ๆ เสียมากกว่า

ระหว่างที่เดินไป จือหยินก็อธิบายว่าคนรักของตนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้กระดูกท่อนขาด้านบนจนถึงสะโพกแตกต้องผ่าตัดเพื่อใส่กระดูกเทียมแทน ตอนนี้ถึงจะผ่าตัดไปแล้วแต่ก็ต้องฝึกกายภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ร่างกายชินกับการเดินด้วยสิ่งที่เป็นของเทียม

แผนกออโธปิดิกส์อยู่ชั้น 6 ของอาคาร เซินเฟยไม่ค่อยได้เข้าออกโรงพยาบาลนี้บ่อยนักจึงต้องให้จือหยินนำทาง ตัวเซินเฟยเองเคยมาเพียง 2 ครั้งเท่านั้นคือตอนที่ฉู่เหวินจือโดนยิง และอีกครั้งคือตอนที่ตนเองโดนยิงเสียเอง

จือหยินมองนาฬิกาเล็กน้อยเมื่อขึ้นมาถึง

“น่าจะกายภาพเสร็จแล้ว ผมจะพาไปที่ห้องเลยก็แล้วกันนะครับ” จือหยินสรุปเช่นนั้นก่อนจะเดินนำทั้งสามไปยังห้องหนึ่งซึ่งชื่อหน้าห้องติดชื่อเอาไว้ว่า…

‘หลิงหลิง’

ตั้งชื่อได้แปลกจริง....

เซินเฟยคิดเพราะเขาไม่ค่อยได้เจอคนที่ชื่อและแซ่ออกเสียงเหมือนกันมากนัก และเขาก็เชื่อว่าหวางซิงกับฉู่เหวินจือก็คิดเหมือนเขาเพราะทั้งสองจ้องป้ายชื่อด้วยความประหลาดใจเล็ก ๆ แต่ฉู่เหวินจือกลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาที่มุมปาก เซินเฟยมุ่นคิ้วทันที หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้คิดมิดีมิร้ายกระทั่งผู้หญิงที่มีเจ้าของแล้วหรอกนะ

จือหยินเปิดประตูเข้าไปในห้อง ภาพที่เซินเฟยเห็นไม่ต่างจากภาพที่เคยเห็นตอนมาเยี่ยมฉู่เหวินจือมากนักเพราะห้องพักผื้นในโรงพยาบาลไม่ว่าแผนกไหนก็ดูจะเหมือน ๆ กันไปหมด แต่ว่าเธอคนนี้ได้อยู่ห้องเดี่ยวพิเศษเชียวหรือ? อาจเป็นเพราะเงินของเขาที่เกินจำนวนไปช่วยให้จือหยินจัดห้องนี้ให้คนรักได้ก็เป็นได้

เมื่อประตูเปิดออกจนสุด เซินเฟยจึงได้เห็นร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งห้อยขาหันหลังให้พวกเขาและหันหน้าไปทางหน้าต่างทำให้เซินเฟยไม่รู้ว่าหน้าตาอีกฝ่ายเป็นเช่นไร แต่เธอคนนี้มีสีผมสีน้ำตาลเช่นเดียวกับซากุระทั้งยังม้วนเป็นลอนนิด ๆ เหมือนกัน เพียงแต่ไว้ยาวจนถึงเอวในขณะที่ซากุระไว้ถึงแค่บ่าเท่านั้น กระนั้นเมื่อมองดี ๆ เขาก็พบสีผมนั้นเป็นสีย้อมหาใช่สีธรรมชาติ ข้างเตียงมีวอล์คเกอร์สำหรับคนที่ไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเองวางอยู่อีกตัวหนึ่ง และรถเข็นอีกตัววางอยู่ตรงมุมห้อง

เซินเฟยนึกย้อนไปถึงภาพถ่ายของฉู่เหวินจือ เขามองเพียงครู่เดียวและโฟกัสไปที่จือหยินเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ทันสังเกตฝ่ายหญิงแม้แต่น้อย

แต่ว่า....ทำไมถึงมีผู้หญิงที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดอยู่จริง ๆ นะ....หรือว่าทั้งเขาและฉู่เหวินจือจะคิดมากไปเองเรื่องที่จือหยินโกหกเพื่อยืมเงิน

“เสี่ยวหลิง” จือหยินเรียกหญิงสาวอย่างสนิทสนมทำให้เซินเฟยรู้สึกแปลบในอกขึ้นมา

“จือหยิน” อีกฝ่ายตอบกลับแล้วหันกลับมา

เซินเฟยเห็นใบหน้านั้นแล้วจึงจำได้ว่าใบหน้าในรูปถ่ายเป็นเช่นไร หลิงหลิงเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้ดูสวยสะดุดตาอะไรเลย แต่ในทางกลับกัน เธอกลับดูน่ารักน่าเอ็นดู เห็นครั้งแรกอาจไม่ได้รู้สึกประทับใจ แต่เมื่อมองนาน ๆ ก็จะยิ่งรู้สึกว่าน่ารักน่ามอง เป็นผู้หญิงคนละแบบกับอาสะใภ้ของเขาที่เพียงมองครั้งแรกก็แทบถอนหายตาไม่ได้ แม้ตอนนี้อายุใกล้ 30 แล้วแต่ก็ยังมีชายหนุ่มมาติดพันอยู่บ่อย ๆ

เซินเฟยรีบสลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง เขารู้ว่าเป็นการเสียมารยาทเมื่อนำผู้หญิงสองคนมาเปรียบเทียบกัน แต่ว่าเขาก็อดนึกถึงอาสะใภ้ของตนเองไม่ได้เมื่อเห็นคนที่ดูคล้ายคลึงกัน

“เสี่ยวหลิง นี่คือคุณเซินที่ช่วยออกเงินให้เราไง” จือหยินเข้าไปพยุงคนรักให้เปลี่ยนจุดนั่งจะได้หันมาคุยกันได้สะดวก

“คุณเองหรือคะคือคุณเซิน” หลิงหลิงเอ่ยด้วยความประหลาดใจแล้วมองไปทางฉู่เหวินจือก่อนกระซิบกับจือหยิน “คุณบอกฉันว่าเขาเป็นเด็กอายุ 18 นี่นา”

“ไม่ใช่ผมหรอก ทางนี้ต่างหาก” ฉู่เหวินจือรีบปฏิเสธพร้อมหัวเราะเบา ๆ ก่อนผายมือไปทางเซินเฟย

“ตายจริง คุณเองหรือคะ ขอโทษด้วยค่ะ” หลิงหลิงรีบเอ่ยขอโทษพลางหน้าแดงด้วยความสะเทิ้นอาย

“ไม่เป็นไร” เซินเฟยตอบเสียงเรียบ “เห็นคุณสบายดีอย่างนี้หมอจือคงดีใจนะครับ”

“เรื่องนั้น.....” หญิงสาวหันไปมองคนรักของตนเองแล้วยิ้มเขิน ๆ “จือหยินน่ะบางครั้งก็ตกใจจนเว่อร์ไปหน่อยน่ะค่ะ ทั้งที่ฉันแค่กระดูกแตกแท้ ๆ”

“เรื่องนี้ไม่ใช่แค่นะเสี่ยวหลิง!” จือหยินค้านด้วยท่าทางเป็นจริงเป็นจัง

“ค่ะ ๆ ทราบแล้วค่ะคุณหมอ” หลิงหลิงหัวเราะคิก

ท่าทางที่ดูมีความสุขของคนทั้งสองราวกับอยู่ในโลกส่วนตัวทำให้เซินเฟยรู้สึกสะท้านจนเยือก เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากแล้วหลบตาด้วยไม่อยากจะทรมานใจตนเอง เขารู้ดีว่าควรจะตัดใจได้แล้ว แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะทำใจตัดคนที่อยู่ในใจตนเองออกไปในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนหน้านี้ซากุระก็เพิ่งจะจากเขาไป เขาเพิ่งจะเริ่มรู้สึกทำใจได้ ครั้นจะให้ตัดจือหยินออกไปโดยทันทีจึงเป็นไปได้ยากยิ่ง

“คุณเซินสีหน้าไม่ดีเลยนะครับ” อยู่ ๆ ฉู่เหวินจือก็ทำลายบรรยากาศหวาน ๆ ระหว่างจือหยินและหลิงหลิงลง

“คุณเซินเป็นอะไรไปหรือครับ?” จือหยินหันกลับมาถาม ด้วยความเป็นหมอประจำตัวทำให้เขาต้องคอยสังเกตอาการอีกฝ่ายเสมอ แต่ว่าก่อนจะออกมาจากบ้านก็ยังไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ “หรือว่าไม่ชินกับกลิ่นในโรงพยาบาล? ถ้าอย่างนั้นผม....”

“เดี๋ยวผมพาคุณเซินออกไปสูดอากาศหน่อยแล้วกันนะครับ” ฉู่เหวินจือแทรกโดยไม่ปล่อยให้จือหยินเสนอตัว

“.....ก็ดี.....” เซินเฟยไม่ได้ปฏิเสธ เขาหมุนตัวเดินออกไป “อาซิง รออยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวผมกลับมา”

“ทราบแล้วครับ” หวางซิงรับคำ เขาไม่ได้กีดกันฉู่เหวินจือด้วยรู้ว่าตอนนี้เซินเฟยต้องการความเป็นส่วนตัว ในขณะเดียวกันก็อยากจะให้มีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ เหมือนกับตอนที่เสียซากุระไปเขาก็พลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้จึงต้องปล่อยให้ฉู่เหวินจือจัดการ และอีกอย่างหนึ่ง ที่นี่เป็นโรงพยาบาล ฉู่เหวืนจือคงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่ามเกินเหตุเกินควร

เซินเฟยและฉู่เหวินจือเดินออกมาด้วยกัน เมื่อประตูปิดตามหลัง อ้อมแขนข้างหนึ่งก็โอบเข้ากับเอวของเด็กหนุ่ม เซินเฟยรีบผละออกทันทีด้วยเกรงจะมีคนเห็น

“ฉันเดินเองได้”

“ผมรู้ แต่คุณอยากให้ผมกอดไม่ใช่หรือครับ?” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้าง “หมายถึงกอดปลอบน่ะครับ ไม่ใช่กอดแบบนั้น คุณนี่ลามกจริง ๆ” ชายหนุ่มเสริมเมื่อเห็นเซินเฟยตวัดสายตามองเป็นประกายวาบวับอย่างโกรธเคือง เมื่อพบว่าตนเองพลาดท่า เซินเฟยจึงทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วหันหน้ากลับไปมองทาง

เมื่อออกมาจากห้องนั้นแล้ว เซินเฟยก็สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกหายใจสะดวกขึ้นมาก

“ผมสงสัยมานานแล้ว ทำไมคุณถึงไม่ใช้อำนาจของคุณล่ะ?”

“นายพูดถึงอะไร?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว

“ผมพูดถึงหมอจือน่ะสิ ทำไมคุณถึงไม่ใช้อำนาจของคุณเอาตัวเขามา คุณชอบเขามากไม่ใช่หรือ?” ฉู่เหวินจือถามกึ่งเสนอแนะ

เซินเฟยนิ่งไป...

จริงอยู่ว่าหากใช้อำนาจของเขา ทุกสิ่งที่ต้องการก็จะได้มาอยู่ในกำมือ ทว่า....จะได้ประโยชน์อะไรในการกระทำเช่นนั้น?

การได้จือหยินมาอยู่ข้างกายอาจทำให้เขาอบอุ่นได้ ทำให้คลายจากความเปลี่ยวเหงา ทว่า....ความสุขเล่าจะได้มาอย่างไร? เช่นนั้นแล้วจือหยินก็คงจะมีสถานะไม่ต่างจากฉู่เหวินจือ เป็นเพียงสุนัขรับใช้ที่เคล้าแข้งขาเขาตามหน้าที่เท่านั้น

ฉู่เหวินจือเห็นคู่สนทนาเงียบไปก็คาดเดาความคิดได้ไม่ยาก แม้ภายนอกเซินเฟยจะดูเข้มแข็งเด็ดขาด ทว่าก็ยังไม่อาจทำใจให้โหดเหี้ยมได้กระทั่งคนใกล้ชิด ระหว่างที่คิดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ฉู่เหวินจือยิ้มออกมา

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 26-02-2011 11:39:49
เซินเฟยเดินนำหน้า เขากำลังจะเดินพ้นประตูบ้านหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนถูกใครบางคนฉูดจากด้านหลังแล้วเหวี่ยงเข้าไปในประตูที่อยู่ด้านข้าง เสียงประตูปิดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีที่เซินเฟยไม่อาจป้องกันตัวได้ และในตอนนี้เขาก็ถูกดันจนติดผนังในห้องที่มืดมิดจนมองไม่เห็นอะไร แต่เขาก็รู้ว่ามีคน ๆ หนึ่งอยู่ด้านกันในห้องอันคับแคบและเต็มไปด้วยของระเกะระกะนี้

“ฉู่เหวินจือ คิดจะทำอะไร?” เขากันฟันถามเพื่อไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกไป

“ทำหน้าที่ของสุนัขครับ เจ้านาย” ฉู่เหวินจือตอบแล้วไล้ปลายนิ้วบนริมฝีปากของเซินเฟยก่อนจะทาบจูบร้อนฉ่าลงบนเรียวปาก เซินเฟยสะดุ้งเบิกตากว้าง เขารีบผลักอีกฝ่ายออกจากตัวทว่าด้วยน้ำหนักที่ทาบทับลงมาทำให้เซินเฟยไม่อาจขยับท่อนบนของลำตัวได้ นอกจากนี้มือของเขาทั้งสองข้างยังถูกพันธนาการด้วยมือกร้านใหญ่ ขาของเขาแม้จะเป็นอิสระแต่ก็ต้องทำหน้าที่รับน้ำหนักตัวที่ไม่อาจยืนได้เต็มเท้า ลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาในปากไล่เก็บกวาดความหอมหวานอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัว

ฉู่เหวินจือดันตัวเซินเฟยให้แนบติดผนังเย็นเฉียบ รุกไล่ไม่ยอมหยุดจนกระทั่งได้ยินเสียงหอบหายใจและเรี่ยวแรงที่อ่อนลงหลังจากความพยายามขัดขืน

“อย่าทำ...บ้า ๆ นะ....” เซินเฟยปรามเสียงแผ่ว

“คุณกำลังรู้สึกไม่ดีไม่ใช่หรือ? หน้าที่ของผมคือทำให้คุณลืมเรื่องพวกนั้น ทำให้คุณหายเหงา ไม่ใช่หรือครับเจ้านาย?” ฉู่เหวินจือหัวเราะในลำคอ

“แต่ว่าที่นี่....”

“เป็นห้องเก็บของ” ฉู่เหวินจือช่วยตอบให้เมื่อรู้สึกว่าเซินเฟยกำลังพยายามมองฝ่าความมืดไปรอบ ๆ

“ถ้ามีคนเข้ามา.....”

“ไม่มีแน่นอนครับ ไม่ต้องห่วง” เขาเริ่มไล่ลงมาขบกัดที่ลำคอ จะมีรอยหรือไม่เขาไม่นึกสนใจ ก่อนจะปลดเข็มขัดของเซินเฟยออก

“หยุดนะ! นายจะรู้ได้ยังไงว่าใครจะไม่เข้ามา!” เซินเฟยตะคอกเสียงเบา เขารู้สึกเหมือนหูแว่วเสียงรองเท้าคนเดินผ่านไป แต่ฉู่เหวินจือก็ไม่หยุดการกระทำ เขาดึงเข็มขัดเส้นยาวออกแล้วทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่นึกใยดี นอกจากนี้ยังพยายามปลดกางเกงต่อ เซินเฟยไม่อาจใช้กำลังขัดขืนได้เพราะพื้นที่แคบจึงขยับตัวไม่สะดวก แค่ง้างมือออกก็ชนเข้ากับชั้นเก็บของได้แล้ว

“เพราะหน้าห้องมีตารางทำความสะอาดอยู่น่ะสิครับ” ฉู่เหวินจือกระซิบก่อนจะขบใบหูนิ่มบาง

“อ....ฉู่.....อือ....” เพียงแค่ได้รับสัมผัสที่คุ้นเคยทุกค่ำคืน เซินเฟยก็อ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งลนไฟ สมองของเขาเริ่มว่างเปล่าเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ถูกปรนเปรอ

เซินเฟยรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมา ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้ แค่ถูกสัมผัสเท่านั้นก็โอนอ่อนตามไปเสียแล้ว

“จะว่าไป...หมอจือเรียกคนรักแบบสนิทสนมแบบนั้นก็ดูน่ารักไม่หยอก” ทั้งที่กำลังรู้สึกดีแท้ ๆ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงต้องขัดอารมณ์ขึ้นมาทุกทีนะ ด้วยความโมโห เซินเฟยจึงกัดลงไปบนคอครั้งหนึ่งเพราะไม่อาจใช้มือเท้าต่อกรได้ และเมื่อรู้สึกถึงแรงสะดุ้งกับคำอุทานที่ข้างหู เซินเฟยก็อารมณ์ดีขึ้น

“อย่าเพิ่งโมโหสิครับ” ฉู่เหวินจือหัวเราะไม่ได้นึกถือสาการลงโทษที่ทำให้วูบวาบนั้น “ผมแค่จะบอกว่า เราน่าจะลองหาชื่อเรียกแบบน่ารัก ๆ ให้คุณตอนเรากำลังร่วมรักกันบ้าง”

“ฝันไป...เถอะ....อ๊ะ....” ความร้อนที่แทรกผ่านเข้ามาในร่างทำให้สติของเซินเฟยแทบกระเจิดกระเจิงอีกครั้ง

“งั้นเสี่ยวเฟยดีไหม?” ฉู่เหวินจือยังเสนอต่อพลางหัวเราะเมื่อเซินเฟยทุบหลังด้วยความรำคาญ

“บอกว่า...ไม่.....อือ......”

“จริงสิ อาของคุณเรียกคุณแบบนั้น มันคงฟังดูไม่ดี” ชายหนุ่มพูดไปก็แทรกกายเข้าลึก เสียงหอบครางข้างหูเริ่มกระชั้นขึ้นแสดงว่าเซินเฟยมีอารมณ์ร่วมขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ดังนั้นเรื่องหลังจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่แล้วเขาก็ปิ๊งความคิดหนึ่งขึ้นมา ฉู่เหวินจือแย้มยิ้มในความมืด ตาเป็นประกายวาววาม เขาถอนกายออกก่อนจับเซินเฟยหันด้านหน้าแนบผนังก่อนซ้อนเข้าด้านหลังแล้วจึงแทรกกายเข้าไปอีกครั้ง

“อื...อึก....มีอะไร......” เพราะการเปลี่ยนท่าทำให้อารมณ์ขาดช่วง เซินเฟยจึงมุ่นคิ้วถาม

“เฟยเฟยล่ะเป็นยังไง?”

“.....อะไรน.......อ....อ๊า.....” เซินเฟยถามย้ำทว่าฉู่เหวินจือกลับเริ่มขยับตัวทำให้ตำถามกลืนหายไปในคอและแทนที่ด้วยเสียงครางแผ่วเบาในความมืด

“เฟยเฟย....น่ารักใช่ไหมครับ? เฟยเฟยของผม....”

“ย....อย่าพูดบ้า ๆ นะ.....อ.....” ไม่รู้ว่าทำไม แต่การเรียกชื่อเขาอย่างพิเศษด้วยเสียงทุ้มพร่าเช่นนั้นกลับทำให้ใจเต้นแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่เห็นรอยยิ้มของจือหยินเสียอีก นอกจากนี้ ร่างกายของเขากลับตอบรับฉู่เหวินจือมากขึ้นจนรู้สึกละลายเกินกว่าจะทนไหว เซินเฟยซุกใบหน้าลงกับผนังห้อง กลั้นเสียงไว้ในลำคอทุกครั้งที่ฉู่เหวินจือนำพาความร้อนรุ่มเข้ามาจนลึกสุดจะคาดคิดถึง

“เฟยเฟย.....เฟยเฟย....”

เสียงเรียกนั้นดังอยู่ข้างหูตลอดเวลาจนเซินเฟยรู้สึกเหมือนในสมองของเขาห้องสะท้อนแต่เพียงเสียงนั้น ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของตนเอง

“ไม่....ไม่เอา.....” เซินเฟยครางออกมาเป็นคำปฏิเสธ ชื่อเรียกนั้นทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวสั่นคลอน ร่างกายวูบวาบตามเสียงของฉู่เหวินจือที่กระซิบพร่าด้วยแรงปรารถนา

ทิชชู่ถูกยื่นมารองรับการปลดปล่อยของเซินเฟยก่อนที่ฉู่เหวินจือจะถอนหายออกไป ร่างของเขาอ่อนระทวยจนแทบทรุดลงกับพื้น ทว่าเซินเฟยก็ยังหยัดกายไว้ด้วยความช่วยเหลือจากชั้นวางของข้างตัว ฉู่เหวินจือผละออกไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย เขาไม่อาจปล่อยเข้าไปข้างในได้ด้วยตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บ้านและไม่รู้จะพาเซินเฟยไปล้างตัวที่ไหน เซินเฟยคงไม่อยากเดินไปไหนพร้อมกางเกงที่เลอะเป็นคราบแน่ ๆ

“รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับเจ้านาย?” ฉู่เหวินจือเลียที่ปากอีกฝ่ายเหมือนสุนัขเวลาออดอ้อนเจ้าของ

“อย่าพูดมาก” เซินเฟยกัดฟันสวมกางเกงให้ตัวเองแล้วรับเข็มขัดคืนจากฉู่เหวินจือ ขาของเขายังสั่นเทาจไม่สามารถเดินได้โดยไม่มีใครสังเกตถึงความผิดปกติ ดังนั้นจึงต้องอยู่ในห้องเก็บของกับฉู่เหวินจือต่ออีกครู่หนึ่งเพื่อให้อารมณ์ที่ตกค้างค่อย ๆ หายไปพร้อมกำลังกายที่กลับคืนมา

พวกเขาเดินกลับไปที่ห้องพักฟื้นของหลิงหลิงด้วยกันเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“กลับมาแล้วหรือครับ.......” หวางซิงรีบหันมาทัก ทว่ารอยแดงที่พ้นคอเสื้อออกมาทำให้ชะงักกึก “ปกเสื้อไม่เรียบร้อยแน่ะครับ” ว่าแล้ว หวางซิงก็เดินเข้าไปจัดปกเสื้อให้ปิดรอยนั้นอย่างแนบเนียนโดยไม่วายหันไปส่งสายตารู้ทันระคนตำหนิให้ฉู่เหวินจือที่ทำหน้าพออกพอใจเสียเต็มประดา

“คุณเซินยังรู้สึกไม่ดีอยู่ไหมครับ?” จือหยินเอ่ยถามทั้งที่ยังจับมือคนรักอยู่ แต่ตอนนี้หญิงสาวย้ายจากเตียงลงมาพยุงตัวด้วยวอล์คเกอร์เพราะถึงเวลาฝึกเดินด้วยตัวเองแล้ว

“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว แต่เพิ่งผ่าตัด ลุกขึ้นมาเดินอย่างนั้นจะดีหรือ?” เซินเฟยมุ่นคิ้วและสังเกตการเดินของหญิงสาวว่าดูผิดปกติหรือไม่ ทว่าเขาก็รู้สึกรากวับไม่มีอะไรผิดแปลกเลย ท่าเดินของเธอดูตะกุกตะกักงก ๆ เงิ่น ๆ เหมือนคนที่ขาไม่มีเรี่ยวแรง ทั้งแต่ละก้าวยังดูลำบากลำบน หลิงหลิงกัดริมฝีปากและพยายามก้าวเดินอย่างช้า ๆ บนวอล์คเกอร์ที่ช่วยพยุงตัว

“การเดินบ่อย ๆ จะช่วยให้กระดูกเทียมเข้าที่ได้เร็วขึ้นครับ” จือหยินกล่าว “แต่ว่าแรก ๆ ต้องอยู่ในความดูแลของหมอและพยาบาลเพื่อไม่ให้เกิดล้มระหว่างฝึกเดิน”

“อ้อ....” เซินเฟยรับคำ

“หมอจือบอกว่าแรก ๆ การเดินจะรู้สึกเจ็บมากเพราะกระดูกเทียมแทงเข้าไปในกระดูกจริงที่ยังมีอยู่ ดังนั้นเลยต้องเดินบ่อย ๆ ให้ชินน่ะครับ แล้วจะค่อย ๆ หายเจ็บไปเอง” หวางซิงช่วยอธิบายเสริม เซินเฟยจึงพยักหน้ารับโดยสายตายังจับจ้องที่การเดินของหลิงหลิง อย่างน้อย....ตอนนี้เขาก็รู้สึกเสียวแปลบในอกน้อยลงกว่าเดิมแล้วเวลาที่ได้เห็นจือหยินและหลิงหลิงอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด บางทีฉู่เหวินจืออาจจะมีวิธีบำบัดที่ดีก็ได้ หรือไม่....เขาก็คงกำลังถูกดึงให้ถลำลึกลงไปในอีกทางหนึ่งที่ห่างไกลจากจือหยิน

----------------->

หลังจากได้พบกับหลิงหลิงแล้ว เซินเฟยก็พอจะเข้าใจจือหยินขึ้นมาบ้าง หลิงหลิงเป็นผู้หญิงที่ดูบอบบางน่าทนุถนอม และจือหยินเองก็เป็นคนอ่อนโยนชอบปกป้องคนอื่น ดังนั้นทั้งสองคนจึงดูเหมาะสมกันอย่างยิ่ง ทั้งยังดูเหมือนว่าน่าจะไปด้วยกันได้ดี...

เซินเฟยเดาว่าจือหยินคงไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของเขาให้หลิงหลิงรับรู้ หญิงสาวจึงไม่ได้แสดงท่าที่ผิดแปลกกับเขาเลยตอนที่พบหน้ากัน

แต่ว่าหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลอีกเพราะงานเริ่มเข้ามาสุมจนปลีกตัวไม่ได้ ปกติแล้วในเวลาอย่างนี้ซากุระจะช่วยแบ่งงานไปบ้าง แต่เมื่อหญิงสาวจากไปแล้วเขาจึงต้องดูแลทั้งหมดคนเดียวเพียงลำพัง

ทางจือหยินก็ไม่ได้ติดต่อมาเช่นกัน มีบางครั้งที่อีกฝ่ายโทรมาหาแต่หวางซิงก็เป็นคนรับฝากข้อความไว้เนื่องจากกำลังประชุม

“ช่วยเอาเอกสารชุดนี้ส่งกลับไปที่แผนกจัดซื้อด้วย ผมคิดว่าตัวเลขดูแปลก ๆ” เซินเฟยกล่าวก่อนจะส่งแฟ้มเกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องจักรตัวใหม่ให้หวางซิง ช่วงนี้ทางโรงงานบางแห่งต้องการเครื่องจักรรุ่นใหม่มาผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพสูงขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และต้นทุนต่ำลง จึงยื่นขอมาทางเครือเพื่อให้อนุมัติงบประมาณสำหรับการจัดซื้อซึ่งฝ่ายจัดซื้อจะต้องเป็นผู้สรุปงบประมาณมาให้ กระนั้นเซินเฟยก็มักจะดูแคตตาล็อกสินค้าเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจพร้อมทั้งคำนวนเองคร่าว ๆ ไปด้วย

บริษัทในยุโรปมีหลายบริษัทที่ผลิตเครื่องจักรที่มีศักยภาพคล้าย ๆ กัน ราคาแต่ละบริษัทก็ต่างกันไป เขาจำต้องแน่ใจว่ารุ่นของเครื่องจักรกับราคาสัมพันธ์กันและเหมาะสมกับการนำไปติดตั้งในโรงงาน ทางโรงงานได้ส่งผังการวางเครื่องจักรมาให้ ขนาดของเครื่องจักรรุ่นใหม่จะเล็กกว่าของเก่า ดังนั้นจึงสามารถขยับขยายพื้นที่ในโรงงานได้และยังอาจสามารถติดตั้งเครื่องมืออำนวยความสะดวกเข้าไปได้อีก

ส่วนเรื่องโรงแรมตอนนี้แปลนก่อสร้างก็เรียบร้อยดีแล้ว ใกล้ ๆ นี้ทางเครือตกลงใจว่าจะเปิดประมูลผู้รับเหมาซึ่งแน่นอนว่าผู้บริหารคงจะได้เวลารับทรัพย์ เพราะใครที่อยากได้งานนี้ต้องยัดใต้โต๊ะกันอยู่แล้ว ซองประมูลนั้นไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินแต่เป็นเงินที่จ่ายให้กับกรรมการต่างหากที่บอกว่าใครจะได้

เรื่องพวกนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีอยู่ทุกที ดังนั้นเซินเฟยจึงไม่ได้คิดเป็นเดือดเป็นร้อนกับมัน เพียงแต่เขาต้องแน่ใจว่าบริษัทผู้รับเหมาที่ได้จะสามารถจัดการทุกอย่างตามสเปคที่วิศวกรกำหนดไว้ จะโกงกันเข้ามาหรืออะไรก็ได้ เมื่อทำงานต้องทำให้ดีเท่าที่เขาคาดหวังหรือมากกว่า

ฉู่เหวินจือที่รับผิดชอบเรื่องโรงแรมตอนนี้ก็ยังทำงานนั้นอยู่ เพราะฉู่เหวินจือเป็นคนวิ่งเต้นเรื่องทั้งหมด แต่ถึงจะยุ่งขนาดนั้นเจ้าตัวก็ยังชอบมาวุ่นวายรอบตัวเขา

ที่ระยะนี้เขาปล่อยให้ฉู่เหวินจือไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบก็เพื่อความคล่องตัวในการติดต่อประสานงาน

“น้ำเย็นครับ” หวางซิงเดินออกไปส่งเอกสารแล้วนำน้ำผลไม้กลับเข้ามาด้วย น้ำหวาน มีปริมาณน้ำตาลสูงจะช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น และน้ำตาลจากผลไม้ก็มีประโยชน์กับร่างกายมากกว่ากาแฟหรือชา

“ขอบคุณนะ” เซินเฟยกล่าวตอบ

ช่วงนี้ชีวิตของเขาเริ่มเข้าสู่ช่วงปกติเหมือนที่ผ่านมาอีกครั้ง แม้จะรู้สึกเหนื่อยหน่ายแต่ก็ดีกว่าต้องเครียดกับเรื่องที่หนักหน่วงจนเกินจะรับเป็นเวลายาวนาน เซินเฟยคาดหวังว่าชีวิตอันเงียบสงบและแสนปกติจะอยู่กับเขาอย่างนี้ไปอีกสักระยะหนึ่ง.....


TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 26-02-2011 12:47:11
เค้าปลอบกันแบบนี้เลยเหรอคะ คิๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 26-02-2011 13:00:00
กรี๊ดด อีตาฉู่นี่ก็หื่นได้ไม่เลือกที่จริงๆ
หุหุ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 26-02-2011 13:48:49
ลมนิ่ง  ก่อนพายุใหญ่จะมาหรือเปล่า เฟยเฟย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 26-02-2011 16:14:16
อ่านเรื่องนี้แล้วเกร็งชะมัด  ตอนนี้เหนื่อย  เหนื่อยเพราะลุ้นไปด้วยตลอด
ใครจะมาดีใครจะมาร้าย  เดาไปเรื่อยเปื่อย 
+1
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 26-02-2011 17:10:24
ตามมาเก็บจนทันแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 26-02-2011 17:55:30
การบำบัดของคุณฉู่นี่มันช่าง :jul1: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 26-02-2011 18:11:10
ฉู่เหวินจือ ทำหน้าที่ (พิเศษ) แบบนี้กับ เฟยเฟย ทุกคืนเลยเหรอ? น้ำแข็งไม่ละลายให้มันรู้ไป
ถึงตอนนี้เค้าจะหวานกันแบบปะแล่ม ๆ แต่ก็ยังไม่ไว้วางใจตาคุณฉู่อยู่ดี ลุ้นกันต่อไป...
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: mete ที่ 27-02-2011 01:24:47
ฉู่เหวินจือ นี่เด็กเข้าไปทุกตอนเลยนะ 555+
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 27-02-2011 01:47:27
-16-



บางครั้งวันเวลาก็ผันเปลี่ยนไปเร็วเกินใครจะคาดคิด เซินเฟยพักหายใจเพียงเฮือกหนึ่งพอรู้ตัวอีกครั้งซากุระก็จากไปได้หนึ่งเดือนแล้ว แน่นอนว่า ฉู่เหวินจือก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาได้หนึ่งเดือนแล้วเช่นกัน กระนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังคงที่ หรืออย่างน้อยเซินเฟยก็เป็นคนหนึ่งที่ยืนยันเช่นนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะเกาะแกะรุ่มร่ามกับเขาบ่อยขึ้นทีละน้อยอย่างแนบเนียนก็ตาม

เวลาหนึ่งเดือนไม่ใช่เพียงช่วงเวลาที่ซากุระจากไปเท่านั้น แต่หมายถึงการนัดตรวจร่างกายกับจือหยินได้วนกลับมาอีกครั้ง

เซินเฟยกลับจากบริษัทเร็วกว่าเวลาปกติดังที่ทำทุกเดือนหากถึงเวลากำหนด

จะว่าไปแล้ว จือหยินเคยบอกเขาว่าหลิงหลิงจะออกจากโรงพยาบาลได้ก็เดือนหนึ่งหลังจากผ่าตัด ตอนนี้ก็ครบกำหนดเวลาแล้ว เขาหวังว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้คิดจะพาคนรักมาถึงที่นี่หรอกนะ?

ทันทีที่เซินเฟยคิดอย่างนั้น เขาก็พบว่าตนเองคิดผิด....

“บ้านของคุณเซินใหญ่โตจังเลยนะคะ ตกแต่งสวยด้วย” หลิงหลิงพูดพลางสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้น เธอเอาแต่ทำกิริยาเช่นนี้ไม่หยุดตั้งแต่มาถึง กระนั้นมันกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกรำคาญตาแม้แต่น้อย ทว่า...ในบางมุมเซินเฟยกลับรู้สึกว่าหลิงหลิงดูคุ้นตาอย่างประหลาด ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลเขาไม่ทันได้สังเกตใบหน้าอีกฝ่ายชัดนัก หรือว่าเขาจะคิดไปเองอีกนะ....ระยะนี้สังหรณ์ของเขาชักจะทื่อลงจริง ๆ หรือนี่?

“ความจริงแล้ว เป็นบ้านของคุณอาผมน่ะครับ” เซินเฟยกล่าวตอบแล้วหันไปทางจือหยินที่กำลังหยิบของออกมาเตรียมก่อนจะหวนกลับมายังวอล์คเกอร์ที่วางข้างโซฟาตัวยาวสำหรับรับแขก “แต่ยังเดินไม่สะดวกอย่างนี้ ทำไมถึงมาหาผมที่นี่ล่ะครับ?”

“ก็วันนั้นตั้งใจจะขอบคุณคุณเซินแท้ ๆ แต่ว่ากลับเสียมารยาทให้คุณเซินไปพบถึงที่แบบนั้น ฉันมาคิดดูแล้ว ฉันควรจะมาขอบคุณถึงที่ดีกว่า จริงสิคะ ฉันทำเค้กมาฝากด้วย ถึงจะดูไม่ค่อยสวยแต่ก็ช่วยรับไว้แทนคำขอบคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยนะคะ” หลิงหลิงว่าไปก็หันไปคว้าถุงกระดาษข้างตัวขึ้นมา เซินเฟยก็สงสัยอยู่นานแล้วว่าอีกฝ่ายหอบอะไรมาถึงที่นี่ แต่เมื่อได้ยินว่าเค้ก แทนที่เซินเฟยจะรู้สึกดีใจ ความรู้สึกเลี่ยนจากในกระเพาะกลับเอ่อล้นขึ้นมาจนถึงคอ จะไม่เลี่ยนยังไงไหว ก็แม่ของเขา หลี่จวี๋เหม่ย หลังจากที่เขายอมให้มาที่บ้านได้ทุกวันอาทิตย์ เธอก็มาทุกอาทิตย์จริง ๆ พร้อมกับเค้กที่ทำเองอีกก้อนหนึ่ง ขนาดราว ๆ 2 ปอนด์ ซ้ำยังเป็นชีสเค้กเสียมากกว่าครึ่งของจำนวนเค้กที่เอามาฝากทั้งหมด แบ่งให้คนทั้งบ้านช่วยกินก็แล้ว เขายังน้ำหนักขึ้นมาสองกิโลภายในเวลาแค่ 4 สัปดาห์

อายุของเขาเองก็ใกล้จะถึงวัยหยุดสูงแล้ว ถึงเขาจะรูปร่างค่อนข้างผอมแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าควรปล่อยให้น้ำหนักขึ้นด้วยปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่มากกินกว่าร่างกายต้องการต่อวัน กระนั้นเมื่อมีคนมาให้ถึงที่จะปฏิเสธได้อย่างไรกันล่ะ.....

“ขอบคุณมากครับ อาซิง ช่วยเอาไปไว้ในครัวด้วยนะ” ในที่สุดเซินเฟยก็ต้องยอมรับน้ำใจ เขาไม่อาจทำตัวเสียมารยาทได้นอกจากอีกฝ่ายจะเสียมารยาทกับเขาก่อน ซึ่งหลิงหลิงก็ไม่ได้ทำตัวให้มีข้อตำหนิเลยสักนิด เซินเฟยจึงหมดสิทธิปฏิเสธน้ำใจไปโดยปริยาย

“ถ้ารสชาติไม่ถูกใจก็ติได้นะคะ ฉันจะได้พัฒนาฝีมือขึ้นอีก” หลิงหลิงทำท่าดีอกดีใจเมื่อเซินเฟยยอมรับของโดยไม่ได้ทำท่าลำบากใจออกมาให้เห็น

“เดินก็ไม่สะดวกอย่างนั้น ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมาทำแต่เช้า ยังไงก็ช่วยชิมหน่อยนะครับ” จือหยินช่วยเชียร์อีกแรงหนึ่งพร้อมเดินเข้ามาหาแล้วคุกเข่าลงตรวจดูบาดแผลก่อน วันนี้เซินเฟยคาดเดาไว้แล้วว่าจะต้องนั่งตรวจในห้องรับแขกจึงสวมกางเกงขาสั้นไว้ซึ่งก็ไม่เสียเปล่า

ยังไงก็ดีกว่าต้องถอดกางเกงต่อหน้าผู้หญิงนั่นแหละ....

“ระยะนี้ดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมานิดหน่อยหรือเปล่าครับ?” คำถามของจือหยินทำให้เซินเฟยมุ่นคิ้ว ไม่อยากจะตอบออกไปตามความจริงเลยว่าเพราะประดาเค้กที่เรียงหน้ามาทุกอาทิตย์นั่นแหละเขาถึงได้มีเนื้อมีหนังขึ้นแบบนี้

“ก็คงแบบนั้น”

“แต่ว่าช่วงนี้คุณเซินไม่ค่อยต้องใช้ยาแก้อาการไมเกรนแล้วใช่ไหมครับ?”

เป็นแบบนั้นหรือ?

เซินเฟยนึกแปลกใจ จะว่าไประยะนี้เขาก็ไม่ค่อยได้กินยาแล้ว อาจเป็นเพราะช่วงนี้ไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไรมากนักทั้งเรื่องที่ยุ่งยากก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะผ่านไปด้วยดี แต่หากจะคิดจริง ๆ เขาเองก็โหมงานทุกวันเหมือนเดิมแต่กลับไม่รู้สึกปวดหัวสักเท่าไหร่

“เพราะกินของหวานบ่อย ๆ ล่ะมั้ง” เขาตอบจือหยิน เพราะหวางซิงมักจะคอบเสิร์ฟน้ำหวานให้ตลอด...หรือว่านี่จะเป็นอีกสาเหตุที่เขาอ้วนขึ้น? คนพวกนี้คิดจะขุนให้เขากลายเป็นหมูหรือยังไง?

“ช่วงนี้ไม่ควรทานของหวานมากนะครับ เพราะคุณเซินเพิ่งจะแผลหายเริ่มออกกำลังกายได้นิดหน่อยเท่านั้น ถ้าใช้พลังงานไม่หมดมันจะสะสมนะครับ” จือหยินเอ่ยเตือนซึ่งเซินเฟยเองก็รู้ดีว่าเขาไม่ควรกินขอหวานมากเกินไปนัก แต่จะให้ปฏิเสธยังไงไหว อีกคนก็แม่ อีกคนก็เลขา ซ้ำตอนนี้ยังมีหลิงหลิงพ่วงเข้ามาอีกคน อีกไม่นานเขาอาจจะต้องใช้เวลาวันอาทิตย์เข้าฟิตเนสเสียแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่น่าทำเค้กมาเลยน่ะสิคะ” หลิงหลิงได้ยินจือหยินกล่าวเช่นนั้นก็ตกอกตกใจ

“เค้กก้อนเดียวถ้าแบ่งให้คนทั้งบ้านช่วยกันก็ไม่เป็นปัญหาหรอกเสี่ยวหลิง” จือหยินหันไปปลอบคนรักโดยไม่ทันได้หันมองสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนกิน

ถ้าก้อนเดียว....มันก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก.....

แต่เมื่อสามวันก่อนเพิ่งจะได้มาก้อนหนึ่งจากหลี่จวี๋เหม่ย และเพิ่งจะกินหมดไปเมื่อวานนี้เอง....

เซินเฟยแทบจะเดาสีหน้าของหวางซือได้เลยว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเห็นเค้กก้อนใหม่ และคงจะคำนวนอย่างรวดเร็วว่าควรจะแบ่งสักกี่ส่วนให้คนทั้งบ้านช่วยกันกำจัดไปโดยเร็วไว

บางทีเขาน่าจะลองบอกแม่ให้เปลี่ยนเมนูบ้างเสียแล้ว...

หลังจากนั้นจือหยินก็ถามคำถามและตรวจร่างกายไปเรื่อย ๆ ตามหน้าที่โดยมีหลิงหลิงคอยมองคอยถามอยู่ตลอด หญิงสาวดูเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นไปเสยหมดทุกอย่าง แม้เซินเฟยจะรู้สึกรำคาญอยู่บ้างที่มีเสียงคนพูดอยู่ตลอดเวลา กระนั้นเขากลับถูกความรู้สึกอื่นบดบังความรำคาญไปเสียกว่าครึ่ง

ในวันนี้....เขาไม่อาจมองใบหน้าของจือหยินได้อย่างมีความสุขเลย

เซินเฟยมักจะต้องคอยมองเข้าไปผนังหรือโต๊ะรับแขกเพื่อหลบเลี่ยงการทอดสายตาไปยังเสี้ยวหน้าอันอ่อนโยนของจือหยิน เพราเขาเกรงว่าสายตาของเขาจะสื่ออะไรบางอย่างออกไปให้หลิงหลิงไม่สบายใจ แน่นอนว่าโดยนิสัยเซินเฟยไม่ใช่คนดีหรือเสียสละอะไรขนาดนางเอกหรือพระเอกนิยาย เขาเพียงแต่ถูกสอนมาให้รู้จักวางตัวอย่างเหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ และการแสดงตัวให้คนอื่นรู้ว่ารู้สึกอย่างไรนั้นไม่ใช่การวางตัวที่ดีของคนที่มีตำแหน่งเช่นเขา ซึ่งบางครั้ง เซินเฟยก็อดจะรู้สึกขมขื่นไม่ได้

จือหยินร่ำลาเมื่อตรวจสุขภาพตาหน้าที่เรียบร้อย แม้จะใช้เวลานานกว่าปกติแต่หมอหนุ่มก็ดูไม่ค่อยเร่งรีบเหมือนเก่า อาจเพราะหลิงหลิงไม่สามารถขยับตัวได้อย่างรวดเร็วนักก็เป็นได้ เซินเฟยมองแผ่นหลังของจือหยินที่ค่อย ๆ พยุงหลิงหลิงเดินออกไปด้วยสายตาหลากหลายอารมณ์ เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากก่อนเลือกที่จะไม่มองต่อ เขาเดินกลับเข้ามาในบ้านแล้วให้เป็นหน้าที่หวางซิงส่งแขกแทน

เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวเพื่อจะอยู่ตามลำพัง เขากลับพบว่าฉู่เหวินจือรอเขาอยู่แล้ว

“หมอจือไปแล้วหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเงยหน้าจากหนังสืออ่านเล่นขึ้นมาทักทาย

“ไปแล้ว นายก็ออกไปซะ ฉันอยากพัก” เซินเฟยออกปากไล่แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรด

“แน่ใจหรือว่าไม่อยากให้ผมอยู่ด้วย?” ชายหนุ่มวางหนังสือลงแล้วลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาหา เขาคร่อมตัวลงแล้วยันแขนกับพนักที่เซินเฟยใช้พิงหลังทำให้เงาของเขาตกทอดลงบนตัวของเซินเฟยพอดี คนถูกคร่อมเหลือบตาขึ้นมองผู้ที่อยู่เบื้องบนพลางมุ่นคิ้ว

“ทำไมฉันต้องอยากให้นายอยู่ด้วย”

ก็จริงอยู่ที่ระยะนี้เขากับฉู่เหวินจือแทบตัวติดกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ใช่หรือ?

“ก็คุณเพิ่งจะเจอหมอจือมา” ฉู่เหวินจือก้มลงกระซิบ “ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยดีไม่ใช่หรือครับ....เฟยเฟย...อุ่ก!”

ทันทีที่ชื่อเรียกไม่เข้าหูถูกเอ่ย เซินเฟยก็ยกเท้าถีบใส่ท้องฉู่เหวินจือเต็มแรงจนอีกฝ่ายลงไปนั่งกุมท้อง เซินเฟยเท้าคางเหลืบตาลงมองฉู่เหวินจือด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นนิด ๆ แต่ว่าในขณะที่คิดแบบนั้น ฉู่เหวินจือกลับยื่นมือมาจับข้อเท้าของเขาแล้วลูบไล้แผ่วเบา เซินเฟยไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกเล้าโลมจึงสะบัดข้อเท้าออกแต่ฉู่เหวินจือก็ยิ่งจับแน่นขึ้นแล้วใช้อีกมือนวดเบา ๆ ที่ปลายเท้า

“อืม.....” เท้ามีปมประสาทอยู่มากมาย เซินเฟยเผลอส่งเสียงออกมาเมื่อฝ่ามือกร้านลูบไปที่ข้อเท้าด้านหน้าแล้วกดลงระหว่างช่องกระดูก ทันใดนั้นฉู่เหวินจือก็ยิ้มออกมาแล้วค่อย ๆ ก้มลงจูบตรงจุดนั้นก่อนจะแลบลิ้นเลีย เซินเฟยที่มองอยู่ด้านบนรู้สึกว่าภาพที่เห็นให้อารมณ์อิโรติกอย่างบอกไม่ถูก

เซินเฟยเคยอ่านเจอในหนังสือว่าข้อเท้าเป็นจุดหนึ่งที่มีปมอารมณ์ทางเพศอยู่แต่เขาก็ไม่เคยทดลองสักที ทว่ามันอาจจะเป็นจริงก็ได้เพราะเพียงแค่ฉู่เหวินจือกระตุ้นที่ร่องระหว่างกระดูกข้อเท้าด้านหน้า เขาก็รู้สึกเสียววูบ ๆ ขึ้นมาตามเรียวขา

“นี่ พอแล้ว” เซินเฟยปราม เขาไม่ใช่คนมักมากและไม่ได้มีความสนใจด้านกามารมณ์เป็นพิเศษ การมีเซ็กส์ในตอนกลางวันแสก ๆ จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างกระดากอยู่มาก เพียงแค่มีอะไรกันแทบทุกคืนเขาก็รู้สึกว่ามันมากเกินไปสำหรับคนอายุ 18 เช่นเขาแล้ว

“หมอจือบอกว่าระยะนี้คุณเซินไม่ค่อยกินยาแล้ว” อยู่ ๆ ฉู่เหวินจือก็พึมพำออกมาอย่างนั้นโดยยังสาละวนกับข้อเท้าของเขาอยู่

“แล้วยังไง? ก็แค่มีปริมาณน้ำตาลมากพอ”

“คุณคิดแบบนั้นหรือ?” ชายหนุ่มหัวเราะในคอ เซินเฟยไม่ชอบเอาเสียเลยเวลาที่ฉู่เหวินจือหัวเราะแบบนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นกระต่ายที่กำลังถูกหมาป่าแสยะเขี้ยวใส่ชอบกล

“น้ำตาลแค่ช่วยเพิ่มพลังงานให้สมองแต่ไม่ได้ช่วยคลายเครียดนะครับ” ฉู่เหวินจือขยับขึ้นมาจูบที่ขาอ่อน การที่เซินเฟยใส่กางเกงขาสั้นแบบนี้ก็เป็นอาหารตาอยู่เหมือนกัน “ถ้าน้ำตาลช่วยให้หายเครียดได้ คนอ้วนคงไม่รู้สึกเครียดหรอกครับ”

“แล้วนายมีความเห็นว่ายังไง?” เซินเฟยเหยียบบ่าฉู่เหวินจือไว้ไม่ให้ขยับไปมากกว่านั้น

“แล้วคุณล่ะ คิดยังไง?” รอยยิ้มของฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยมุ่นคิ้ว ก่อนที่ความคิดปากอย่างจะผุดขึ้นมาในสมอง ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แดงวาบ สีหน้าเช่นนั้นทำให้ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างขึ้น

“เฟยเฟยของผมช่างลามกจริง ๆ” ฉู่เหวินจือลุกขึ้นจากพื้นแล้วกดเซินเฟยจนแนบเก้าอี้ เซินเฟยตั้งใจจะถีบออกไปอีกครั้งทว่ามือข้างหนึ่งของฉู่เหวินจือกดขาของเขาเอาไว้ อีกข้างถูกทับด้วยขาของฉู่เหวินจือเช่นกัน เซินเฟยตวัดตามองคนที่ได้ใจขึ้นทุกวันด้วยความโมโห

“อย่าได้ใจนักนะ”

“แต่คุณก็ชอบไม่ใช่หรือ?”

“ฉันไม่ได้....อื้อ....” โดยไม่ให้จังหวะพูดไปมากกว่านั้น ฉู่เหวินจือก็บดจูบลงบนริมฝีปากที่กำลังปฏิเสธ “บอกว่า...หยุด.....ฮึก....” แม้เซินเฟยจะใช้มือยันหน้าฉู่เหวินจือออกไปได้ ทว่าวินาทีต่อมาแม้แต่มือของเขาเองก็ถูกเรียวลิ้นอุ่นกวาดชิมจนเสียววาบ และทันทีที่ดึงมือกลับฉู่เหวินจือก็ได้โอกาสรุกต่อทันที

“ดูเหมือนจือหยินจะไม่ได้สนใจขาของคุณเลยนะ” ฉู่เหวินจือลูบไล้หน้าขาเนียนมืออย่างย่ามใจ

“ใครจะไป....เหมือนนาย....อย่า.....”

ฉู่เหวินจือไม่ฟังเสียงห้าม กลับสอดมือเข้าไปทางขากางเกงและกอบกุมสัดส่วนอันอ่อนไหวไว้ในมือ เขามองเซินเฟยที่กัดฟันด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างสนุก เพียงแค่ขยับมือไม่กี่ครั้ง ความอ่อนนุ่มก็ค่อย ๆ เหยียดสู้มือทำให้เซินเฟยรู้สึกอับอายจนอยากจะเอาหน้าซุกดินเสียให้ได้ แต่แม้จะไม่เต็มใจ แต่ฉู่เหวินจือก็บังคับให้เซินเฟยปล่อยออกมาในมือของตนด้วยการปลุกเร้าอันเชี่ยวชาญและสัมผัสที่เซินเฟยเริ่มคุ้นเคย

เมื่อปล่อยออกไปครั้งหนึ่ง ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์จะเกิดความอ่อนล้าไปเสี้ยววินาทีก่อนจะรวบรวมกำลังได้อีกครั้ง ซึ่งช่วงเวลานั้นเองที่ฉู่เหวินจือรูดกางเกงและชั้นในของเซินเฟยลงมาถึงข้อเท้า ไม่ทันที่เซินเฟยจะขัดขืน ฉู่เหวินจือก็ขยับเข้าประชิดเสียแล้ว

“ตรงนี้ของคุณยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ” ฉู่เหวินจือวิจารณ์แล้วแตะส่วนสำคัญที่เพิ่งอ่อนตัวไปให้เซินเฟยสะดุ้งเล่น “ทั้งที่ตอนเรามีอะไรกันครั้งแรก หนังหุ้มปลายของคุณยังไม่เปิดเสียด้วยซ้ำ”

“....หุบปาก”

“โกรธหรือครับ เฟยเฟย....” ชื่อเรียกที่เซินเฟยไม่เคยรู้สึกชื่นชอบดังเข้าโสตประสาทอีกครั้งพร้อมกับการรุกรานของปลายนิ้วกร้าน นึกจะด่าก็ด่าไม่ออก อยากจะชกอีกฝ่ายสักหมัดก็ขยับตัวไม่สะดวก เพราะตอนนี้ฉู่เหวินจือดึงให้เซินเฟยรับน้ำหนักตนเองด้วยแผ่นหลัง ส่วนสะโพกยกสูงขึ้นเล็กน้อย หากไม่ใช่แขนช่วยพยุงตัวไว้คงจะต้องรู้สึกปวดหลังมากเป็นแน่

“เฟยเฟย อย่าจับผมแน่นแบบนั้นสิครับ” ฉู่เหวินจือล้อเมื่อนิ้วของเขาถูกภายในตอดรัดตามธรรมชาติของร่างกายเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไป

“หยุดนะ....”

“หยุดตอนนี้ก็ค้างน่ะสิครับ”

“ฉัน....ไม่สน.....”

“ก็คุณเพิ่งเสร็จไปรอบนึง แต่ผมยังเลยนะครับ” ฉู่เหวินจือประท้วงพร้อมพาตนเองเข้าไปในร่างของเซินเฟยที่ถูกบังคับกึ่งเล้าโลมจนพร้อมจะรองรับการรุกรานได้

เซินเฟยกลั้นหายใจเฮือก กัดฟันแน่น แม้เขาจะเคยถูกฉู่เหวินจือรุกรานหลายต่อหลายครั้ง ทว่าก็ยังยากจะทำใจยอมรับว่าในอีกมุมหนึ่ง นอกจากฉู่เหวินจือจะเป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้แก้เหงาแล้ว เขายังถูกใช้เป็นเครื่องระบายความต้องการของอีกฝ่ายด้วย แม้ว่านั่นจะเป็นข้อตกลง แต่เซินเฟยก็ยังไม่อาจจะทำใจยอมรับได้ทั้งหมดอยู่ดี ซึ่งฉู่เหวินจือก็เหมือนจงใจจะตอกย้ำให้เขานึกถึงจึงได้เข้ามากอดคลอเคลียทั้งยังถือโอกาสแตะเนื้อต้องตัวเขาจนเกินควรอยู่บ่อย ๆ ตอนอยู่ข้างนอก หวางซิงจะคอยกันท่าให้ก็จริง แต่เมื่ออยู่ตามลำพังเขากลับต่อต้านไม่ได้ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เซินเฟยรู้สึกขึ้นมาลึก ๆ ว่า ความจริงฉู่เหวินจืออาจจะรู้จักตัวเขามากกว่าที่ตนเองรู้จักเสียอีก

ความคิดนั้นทำให้เซินเฟยอดสะท้านในอกไม่ได้ ถ้านั่นเป็นความจริง....ฉู่เหวินจือก็เป็นคนที่น่ากลัวเกินไปแล้ว....

เซินเฟยปรือตามองคนที่กระซิบเรียกชื่อเขาอยู่ข้างหูด้วยความสงสัยที่หลากหลายเกินกว่าจะเอ่ยถามออกมาได้ในคำถามเดียว

เฟยเฟย.....เฟยเฟย....

เสียงเรียกที่คอยกระซิบอยู่ไม่หยุดทำให้สติของเขาเริ่มพร่าเลือนไม่อาจนึกคิดอะไรได้อย่างสมบูรณ์

เฟยเฟย....เฟยเฟย....

เสียงกระซิบที่ก้องในหูจนเข้าไปถึงสมอง

นับแต่วันที่ไปเยี่ยมหลิงหลิงที่โรงพยาบาล ฉู่เหวินจือก็มักจะใช้ชื่อนี้กับเขาเมื่อร่วมรักกันบนเตียงจนกระทั่งเขาหลับไป จนเดี๋ยวนี้.....เมื่อเขาได้ยินชื่อนี้ขึ้นมาทีไรก็มักจะรู้สึกวูบวาบเหมือนกำลังถูกเล้าโลมด้วยลมหายใจและเสียงกระซิบเสียทุกที

เซินเฟยถูกชักจูงให้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอารมณ์ใคร่โดยไม่ได้รู้เลยว่าที่หน้าประตูนั้น หวางซิงกำลังยืนเฝ้าดูสถานการณ์ด้วยความกังวลใจ

------------------->

“ผมใจอ่อนกับฉู่เหวินจือมากเกินไป?” เซินเฟยทวนคำที่หวางซิงพูดกับเขาก่อนจะตีหน้าเครียด

“ผมไม่ได้คิดจะก้าวก่ายคุณเซินหรอกนะครับ แต่ว่าระยะนี้คุณฉู่เริ่มจะรุ่มร่ามกับคุณเซินหนักขึ้น ผมเกรงว่า...” หวางซิงเว้นช่วงไป “ถ้าคุณเซินถลำลึกเกินไป...”

“เป็นห่วงมากเกินไปแล้วนะอาซิง” ที่เซินเฟยพูดออกไปแบบนั้นไม่ได้แฝงด้วยเจตนาต่อว่าการละลาบละล้วงเหมือนเวลาพูดกับคนอื่น เขาชินแล้วที่หวางซิงมักจะคอยมองดูทุกอย่างแทนเขาซึ่งรวมไปถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว และหวางซิงมักจะพูดอย่างตรงไปตรงมาเมื่อคิดว่าสถานการณ์นั้น ๆ กำลังจะถึงขั้นวิกฤต หรือว่าในสายตาของหวางซิง เรื่องของเขากับฉู่เหวินจือถึงขั้นวิกฤตแล้วกันนะ? คงไม่หรอก.....พอเป็นเรื่องของเขา หวางซิงมักจะกังวลมากเกินกว่าเหตุทุกครั้งไปอยู่แล้ว

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 27-02-2011 01:47:56
“คุณเซิน....ถึงยังไงคุณฉู่ก็ยังไว้ใจไม่ได้นะครับ” หวางซิงทำหน้ากระวนกระวาย “ระยะนี้คุณเซินให้คุณฉู่รับผิดชอบงานสำคัญ ทั้งยังให้ไปไหนมาไหนได้ตามใจ เพียงแค่นั้นก็น่ากังวลพออยู่แล้ว ถ้าเกิดถูกตลบหลังขึ้นมาจะทำยังไงล่ะครับ?”

“เพราะแบบนั้นผมถึงควรเก็บฉู่เหวินจือให้อยู่ใกล้ที่สุดไม่ใช่หรือ?”

“ก...ก็ใช่ครับ แต่ว่า....”

“อาซิง เรื่องของฉู่เหวินจือไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมคิดว่าผมยังควบคุมได้” เซินเฟยตัดบทแล้วหันไปรวบเอกสารปึกหนึ่งส่งให้ “นี่เป็นบัญชีที่ฝ่ายจัดซื้อทำมาใหม่”

“เรื่องที่ครั้งก่อนสั่งให้กลับไปแก้น่ะหรือครับ?”

“ใช่ ฉบับนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดสังเกตแล้ว แต่ว่าก็ยังวางใจไม่ได้เพราะความผิดพลาดครั้งก่อนดูจงใจเกินกว่าจะเป็นการระบุจำนวนผิดธรรมดา” เซินเฟยกล่าวต่อ “ผมเซ็นอนุมัติเรียบร้อย วานคุณเอาไปส่งให้ฝ่ายจัดซื้อจัดการต่อได้เลย”

“ได้ครับ” หวางซิงรับเอกสารแล้วออกไปจากห้อง

เซินเฟยเอนหลังพิงพนักแล้วถอนหายใจออกมา ครุ่นคิดถึงสิ่งที่หวางซิงสะกิด

เขาใจอ่อนกับฉู่เหวินจือมากเกินไปอย่างนั้นหรือ?

จะว่าไป ช่วงก่อนนี้ที่ฉู่เหวินจือมาใหม่ ๆ เขาก็ลงโทษอีกฝ่ายโดยไม่ได้พูดขู่ก่อนเหมือนตอนนี้ คิดจะลงโทษก็ลงมือเลยทุกครั้ง แต่ตอนนี้เขากลับติดที่จะขู่อีกฝ่ายก่อนเสมอ เป็นเสมือนการให้โอกาสอีกครั้งก่อนที่เขาจะอารมณ์เสียจริง ๆ ซึ่งทำให้ฐานะของฉู่เหวินจือสูงขึ้นจากเดิม จากคนนอกกลายเป็นอยู่ฐานะเดียวกับคนในบ้านที่เขามักจะขู่ให้กลัวเมื่อทำความผิดแต่ลงมือจริงก็นับครั้งได้

หรือว่าจะใจอ่อนเกินไปจริง ๆ นะ...

เซินเฟยส่ายศีรษะกับตนเอง

จริงอยู่ว่าระยะนี้เขาปล่อยให้ฉู่เหวินจือกระทำตามใจมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไว้ใจอีกฝ่าย เหตุที่ยอมให้มีอิสระก็เพราะว่าเวลาส่วนมากฉู่เหวินจือต้องอยู่ข้างกายเขาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรผิดปกติเขาจะต้องรู้ตักก่อนนอกจากว่าฉู่เหวินจือจะมีทักษะการแสดงยิ่งกว่าพวกดาราฮอลิวูดนั่นแหละจึงจะสามารถตบตาเขาได้

“กลับมาแล้วครับ” กำลังคิดถึงอยู่หลัด ๆ ฉู่เหวินจือก็ส่งเสียงแทรกเข้ามาในโสตประสาทพร้อมเปิดเข้ามาในห้องโดยไม่เคาะประตู

“ฉันบอกให้เคาะประตูก่อนไม่ใช่หรือไง?” เซินเฟยมุ่นคิ้วแล้วยืดตัวตรง “ของล่ะ?”

“นี่ครับ” ฉู่เหวินจือวางกระเป๋าเอกสารลงตรงหน้าก่อนจะเปิดออก ข้างในนั้นเป็นเอกสารเกี่ยวกับการซื้อขายยาเสพติดตัวใหม่ที่จะกระจายลงไปที่ประเทศแถบอินโดจีน มันช่วยไม่ได้ที่ระยะนี้เขาต้องรับผิดชอบงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังด้วยตัวคนเดียว จึงไม่มีเวลาให้แยกแยะมากนักว่างานไหนควรจัดการที่บ้านหรือที่บริษัท งานนี้เร่งด่วนมากเพราะทางแผ่นดินใหญ่ต้องการคำตอบโดยเร็วว่าเขาจะยอมตกลงขายให้หรือไม่

จีนแผ่นดินใหญ่เป็นเส้นทางขนย้ายยาเสพติดลงไปยังประเทศทางตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียได้ดีที่สุดเพราะมีแผ่นดินติดกันยาวลงไปตลอดแนว ถ้าทางแผ่นดินใหญ่ยินดีเป็นเอเย่นให้ ทั้งพม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย ลงไปถึงอินโดนีเซียก็คงจะเป็นตลาดที่ดีเหมือนสินค้าตัวก่อน ๆ

“แสดงว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

การที่มีเอกสารมาถึงมือเขาแสดงว่าสินค้าตัวอย่างพร้อมจะทำสัญญาซื้อขายแล้ว

ก่อนหน้านี้สินค้าตัวอย่างมีปัญหาเรื่องโดส ทำให้โดนส่งกลับไปแก้ใหม่ทั้งล็อต ยาเสพติดแต่ละชนิดต้องมีโดสที่เหมาะสม หากโดสสูงเกินไปอาจทำให้ผู้เสพช็อคตายได้ในทันทีหรือเกิดอาการประสาทหลอน วัตถุประสงค์ของยาเสพติดคือการมีผู้ซื้อในระยะยาว ไม่ใช่ซื้อไปแล้วหมดศักยภาพที่จะซื้อในทันที นอกจากนี้ หากมีคนตายหรือเสียสติเพราะตัวยามากเกินไปทางตำรวจจะจับทางได้เร็ว เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ยินว่าประเทศปลายทางถูกตรวจจับสายได้จึงต้องยกเลิกการซื้อขายกับทางนั้นไปชั่วคราว โชคดีที่เป็นประเทศเล็ก ๆ กำลังซื้อไม่มากนักอยู่แล้วจึงไม่ได้สร้างความเสียหายให้องค์กรมากจนรับไม่ไหว

“เหล่าโหวบอกว่าตรวจสอบแล้วเรียบร้อยทุกอย่างครับ”

เซินเฟยพยักหน้ารับ

“แล้วของตัวอย่าง?”

“จะส่งไปที่บ้านครับ”

เซินเฟยยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ ฉู่เหวินจือฉลาดพอที่จะรู้ว่าไม่ควรหิ้วของเถื่อนเดินไปเดินมากลางวันแสก ๆ ตอนแรกเขาคิดว่าหากฉู่เหวินจือหิ้วของตัวอย่างมาให้ที่บริษัทด้วยจะจับลงโทษเสียหน่อย แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะจะวางใจว่าใช้งานได้สะดวกมือ

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ฉันจะกลับไปดู โทรบอกเหล่าซานให้รับของด้วย” เซินเฟยตรวจสอบเอกสารแล้วยื่นคืนให้ฉู่เหวินจือ “เก็บเอกสารให้ดีล่ะ”

“ทราบแล้วครับ” ฉู่เหวินจือรับคำแล้วยืนยิ้มอยู่หน้าโต๊ะ ไม่ยอมถอยออกไป

“มีอะไร?”

“เรื่องปืนเถื่อนเหล่าโหวก็บอกว่าไปได้สวยครับ”

“งั้นหรือ” ทั้งที่เซินเฟยตอบรับไปอีกครั้ง ฉู่เหวินจือก็ยังยืนอยู่ที่เดิม “แล้วมีอะไรอีกไหม?”

“พื้นที่ที่เหล่าเฉียนเคยดูแลผมแวะไปดูมา เห็นว่าระยะนี้พวกตำรวจเข้ามายุ่งนิดหน่อยก็เลยขอให้หวางซิงช่วยติดต่อสารวัตรหรงให้แล้ว” บางครั้งฉู่เหวินจือก็ชอบทำเกินคำสั่ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเหมือนว่าแค่ผ่านไปแล้วเห็นเหตุการณ์จึงมาเล่าให้ฟังเท่านั้น เซินเฟยจึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไร แต่ฉู่เหวินจือก็ยังรายงานต่อไป “ส่วนพื้นที่โรงแรมตอนนี้มีผู้รับเหมาส่งซองประมูลเข้ามาแล้ว”

“เรื่องนั้นทางบอร์ดบริหารแจ้งมาแล้ว” เซินเฟยเริ่มมุ่นคิ้วเมื่อฉู่เหวินจือยังยืนนิ่งกับที่ ไม่ยอมถอยออกไปเสียที “นายจะเอาอะไรกันแน่”

“ไม่รู้จริง ๆ หรือครับ” ฉู่เหวินจือเดินอ้อมโต๊ะแล้วจับเก้าอี้เซินเฟยหมุนมาเผชิญหน้าก่อนจะโน้มเข้าไปใกล้    เซินเฟยสามารถเข้าในภาษาท่าทางนั้นได้โดยทันที เขาหน้าแดงวาบรีบยกมือขึ้นดันหน้าฉู่เหวินจือออกห่าง

“นี่มันบริษัทนะ” เซินเฟยเตือนด้วยเสียงกดต่ำเหมือนแสดงความไม่พอใจ

“แต่ก็ห้องส่วนตัวไม่ใช่หรือครับ?”

“นายไม่เห็นหรือยังไงว่าข้างหลังฉันมันเป็นกระจกใสทั้งบาน หัดอายฟ้าอายดินเสียบ้าง” เซินเฟยผลักหน้าฉู่เหวินจือออกไปแล้วตีสีหน้าปฏิเสธอย่างจริงจัง เขาไม่ควรโอนอ่อนตามอีกฝ่ายไปทุกเวลา กับฉู่เหวินจือเขาคงจะใจอ่อนให้มากเกินไปจริง ๆ ถึงกล้าเกินเลยถึงขนาดนี้

“แค่จูบคงจะไม่โดนฟ้าผ่าหรอกครับ” ฉู่เหวินจือปั้นหน้ายิ้มแย้ม

“....จูบงั้นหรือ.....” เซินเฟยทวนคำ

“ครับ เอ.....หรือคุณเซินคิดอะไรเกินเลย คุณนี่ช่าง...”

“หุบปาก!” เด็กหนุ่มตะคอกหน้าดำหน้าแดง ไม่ต้องให้อ้าปากพูดก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงจะบอกว่าเขาลามกเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ชอบทำกิริยาให้เขาเข้าใจผิดแล้วมาต่อว่าเขาเอาทีหลัง ใครจะไปควบคุมความคิดได้กันในเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ทำเรื่องลามกกับเขาแทบทุกคืน!

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องขอค่าปิดปากเพิ่มด้วยนะ” แล้วฉู่เหวินจือก็รุกประชิดตัวอีกครั้ง เขาตรึงแขนของเซินเฟยไว้กับที่พักแขนก่อนจะโน้มลงจนริมฝีปากแนบชิดก่อนเคล้าคลออยู่เช่นนั้นจนเซินเฟยรู้สึกหวามซ่านไปทั้งใบหน้า

“ขออนุญาตครับ” หวางซิงเคาะประตูพร้อมเอ่ยขอ ทว่าไม่ทันที่เซินเฟยจะหันไปห้ามฉู่เหวินจือก็ดึงดันบดจูบปิดกั้นเสียงทันที ทำให้หวางซิงเข้ามาเห็นฉากจูบอย่างเต็มสองลูกตาและถึงแก่อึ้งค้างไปชั่วครู่ก่อนจะหน้าแดงสลับขาวซีดแล้วรีบเผ่นออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงขอโทษขอโพย

เซินเฟยดิ้นรนอยู่ชั่วครู่ฉู่เหวินจือก็ยอมปล่อย และเมื่อได้โอกาส เซินเฟยก็รวบรวมแรงทั้งหมดดีดขาขึ้นกระแทกจุดยุทธศาสตร์ทำให้ฉู่เหวินจือถึงกับจุกพูดไม่ออก ก่อนจะทรุดลงไปกุมส่วนสำคัญด้วยท่าทางอันน่าสมเพช เซินเฟยพ่นลมหายใจออกมาอย่างเดือดดาล เขาขยับเสื้อนอกแล้วลุกออกไปจากห้อง

“เอามันไปโยนไว้ข้างนอก! อย่าให้เข้ามาถ้าฉันไม่ได้สั่ง!”

เสียงตะโกนสั่งของเซินเฟยทำให้การ์ดสองคนวิ่งเข้ามาในห้องแล้วรีบหอบฉู่เหวินจือออกไปก่อนโทสะของเจ้านายจะมาลงที่พวกเขา

ฉู่เหวินจือที่ถูกหิ้วออกมาถึงข้างนอกรู้สึกหายจุกเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงขยับลุกขึ้นแล้วนั่งพิงกระถางต้นไม้ที่หน้าอาคารหลักนั้นเอง เซินเฟยช่างหน้าบางเสียจนเขาต้องเจ็บตัวทุกครั้งที่มีใครเข้ามาเห็นหรือส่งเสียงทักขณะกำลังชักชวนให้มีอารมณ์ร่วม กระนั้นมันก็น่าสนุกที่ได้เห็นอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ นั้น ฉู่เหวินจือจงใจทำให้ตนเองซึมซาบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเซินเฟยอย่างแนบเนียน กระทั่งเซินเฟยก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว และไม่รู้ตัวเลยว่าช่วงนี้ตนเองเบามือกับเขาลงมากกว่าเดิมแค่ไหน

ทีละเล็กทีละน้อย....เซินเฟยกำลังถลำลงไปในกับดักอันหอมหวานที่เขาจงใจขุดไว้

ทีละเล็กทีละน้อย....เซินเฟยจะไม่อาจดิ้นหนีไปจากเขาได้

ฉู่เหวินจือคลี่ยิ้มมองท้องฟ้าอย่างอารมณ์ดี วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใสเสียจริง ๆ

“ยิ้มอะไรน่ะครับ?” หวางซิงที่ยืนมองอีกฝ่ายอยู่นานแล้วเอ่ยทักขึ้น ทำให้ฉู่เหวินจือเบือนหน้ากลับมายิ้มให้ก่อนจะไหวไหล่

“ผมกำลังขำท่าทางของคุณเมื่อกี้นี้”

หวางซิงหน้าแดงทันที ฉู่เหวินจือเห็นดังนั้นก็สรุปในใจว่านิสัยหน้าบางนี้เซินเฟยอาจติดมาจากหวางซิงก็ได้

“น่าตลกตรงไหนกัน เพราะคุณทำเรื่องแบบนั้นทั้งที่ผมเตือนแล้วว่าเวลาอยู่นอกบ้านควรจะสำรวจเสียบ้าง” ทั้งที่เขารู้สึกสงสารที่อีกฝ่ายโดนทำร้ายร่างกายเพราะเขา ทว่าพอมาได้ยินอย่างนี้ ความสงสารในใจก็หายวับไปกับตา แทนที่ด้วยความขุ่นเคืองใจที่ลวนลามเจ้านายของเขาแทน

“คุณหน้าแดงเพราะผมจูบคุณเซินหรือเพราะผมจูบผิดที่ผิดทาง?” ฉู่เหวินจือถามพลางเลิกคิ้วยียวน

“เรื่องนั้น......” หวางซิงชะงักไป “ก็ทั้งสองเรื่องแน่ ๆ สิครับ”

“ทั้งที่คุณเคยเห็นมากกว่านั้นมาแล้วน่ะหรือครับ?”

“อะไรนะ?” หวางซิงมุ่นคิ้วก่อนจะมองหน้าฉู่เหวินจือที่เริ่มคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำไมกันนะ เขาถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นไม่น่าไว้ใจเลยแม้แต่น้อย

“เมื่อวานนี้คุณอยู่หน้าประตูตลอดเลยไม่ใช่หรือครับ?”

ใบหน้าของหวางซิงขาวซีดทันควัน

“คุณ.....”

“ผมเดาถูกสินะ” ฉู่เหวินจือหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เดาไม่ยากหรอก ก็คุณหวงเจ้านายตัวเองเสียขนาดนั้น คุณรู้ว่าผมรออยู่ที่ห้องทำงาน และคุณเซินก็ชอบเข้าไปนั่งในห้องทำงานเวลาที่ต้องการอยู่เพียงลำพัง พอคุณส่งหมอจือเสร็จคงจะรีบกลับมาให้ทันก่อนที่ผมจะลงมือทำตาใจชอบ แต่ก็ไม่ทัน ตอนคุณมาถึงผมก็กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี ผมเดาถูกใช่ไหม?”

หวางซิงพูดอะไรไม่ออก เขาเงียบไปแล้วกัดริมฝีปาก ความจริงเขาพยายามแล้วที่จะเข้าไปปราม ทว่าขาของเขากลับไม่ยอมก้าวเดิน เซินเฟยแม้จะดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมเผชิญโลกแต่เนื้อแท้ก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่งที่มีจุดที่ไม่อยากให้ใครแตะต้อง หากว่าเขาเข้าไปห้าม หรือเซินเฟยรู้ว่าเขายืนอยู่ข้างนอกนั่น เซินเฟยจะต้องรู้สึกอับอายมากเป็นแน่ ไม่ใช่แค่อับอาย....แต่คงจะรู้สึกเหมือนถูกทำลายศักดิ์ศรีด้วย เพราะรู้อย่างนั้น.....เพราะรู้อยู่เต็มอก ถึงแม้เขาอยากจะปกป้องเซินเฟยมากแค่ไหนก็ยังมีขีดจำกัดที่จะเข้าไปขวางกั้นได้อยู่ดี

“คุณน่ะ ปกป้องเจ้านายของคุณไปตลอดไม่ได้หรอก” ฉู่เหวินจือยื่นหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ “สู้ยกให้ผมดูแลแทนเป็นไง?”

“คุณ.....คิดจะทำอะไรกับคุณเซิน....” หวางซิงจ้องตอบสายตาเจ้าเล่ห์ หากเป็นเรื่องของเซินเฟยแล้วเขาจะไม่ยอมหลบตาเป็นอันขาด จะต้องอ่านอีกฝ่ายให้ออกเสมอก่อนที่อีกฝ่ายจะทำอันตรายใด ๆ กับเจ้านายของเขา หวางซิงเป็นที่เชื่อใจของเซินเฟยและจูเชว่รุ่นก่อนเพราะนิสัยเช่นนี้เอง

ฉู่เหวินจือหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง

“ผมล้อเล่นน่า ผมไม่กล้าแย่งตำแหน่งเลขายอดเยี่ยมของคุณหรอก” ชายหนุ่มว่าแล้วเดินลงบันไดยกพื้นของอาคาร “ไหน ๆ คุณเซินก็โกรธผมซะแล้วเพราะคุณเข้ามาเห็นพอดี ดังนั้นวันนี้ผมจะโดดงานก็แล้วกัน ถ้าคุณเซินให้ผมเข้าบริษัทได้เมื่อไหร่ก็ช่วยโทรเรียกด้วยนะ”

“เดี๋ยวสิ! นั่นคุณจะไปไหนน่ะ!”

ฉู่เหวินจือไม่ได้ตอบคำถาม เขาเพียงโบกมือให้แล้วเดินจากไปด้วยรอยยิ้มอันลึกลับยากจะคาดเดาความคิดหรืออารมณ์ที่แฝงอยู่ภายใต้รอยยิ้มนั้น

TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 27-02-2011 03:09:39
 :m16:ชักจะไม่ชอบคุณฉู่มากขึ้นทุกทีแหละ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 27-02-2011 03:47:36
คุณฉู่ลึกลับไม่เปลี่ยนจริงๆ
หลิงหลิงก็น่าสงสัย..
..เป็นลูกสาวใครจะมาแก้แคนเฟยเฟยรึเปล่าหว่า



รอติดตามตอนต่อไปจ้า :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 27-02-2011 10:48:23
คุณฉู่นี่มันน่าโดน :beat: :beat: :beat: :z6: :z6: :z6:

หรือว่าหลิงๆจะเป็นลูกเหล่าเฉียน :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 27-02-2011 11:29:41
มันจะมีอะไรร้ายแรงมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 27-02-2011 12:14:58
โอ้ คุณฉู่นี่ก็ตลอดดดด
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 27-02-2011 13:02:09
-17-



“ช่วงนี้พ่อเขาดูตั้งใจทำงานมากเลยนะ คงจะดีใจที่เสี่ยวเฟยช่วยไว้แน่ ๆ” หลี่จวี๋เหม่ยยังคงกิจวัตรเดิม ๆ คือการมาหาเซินเฟยทุกอาทิตย์ แต่ว่าหลังจากหวางซิงรายงานไปตามตรงว่าเซินเฟยกับคนในบ้านน้ำหนักขึ้นเพราะเค้ก หลี่จวี๋เหม่ยจึงเปลี่ยนเป็นทาร์ตผลไม้แทนและลดปริมาณลง ทำให้เซินเฟยรู้สึกโล่งท้องไปได้มาก เขาคิดว่าตนเองจะกลายเป็นหมูรอขึ้นโต๊ะตอนตรุษจีนเสียแล้ว

“ถ้าพ่อเป็นอย่างนั้นจริงก็ดีครับ” เซินเฟยตอบกลับไปพลางกินทาร์ตผลไม้รสเปรี้ยวแล้วจิบชาตาม

“ลูกเองก็ดูสบายดีแล้วนะ ช่วงนี้คงไม่มีเรื่องเครียดใช่ไหม?” หลี่จวี๋เหม่ยถามด้วยความเป็นห่วง บางครั้งเวลามาเยี่ยมเซินเฟยมักจะทำสีหน้าเคร่งเครียด เธอเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

“ไม่มีแล้วล่ะครับ” ถึงจะตอบไปแบบนั้น แต่วันก่อนนี้ก็เพิ่งจะจับหางคนยักยอกเงินบริษัทได้และไล่ออกไปเรียบร้อย คิดจะยักยอกเงินที่ต้องให้บัญชีผ่านตาเขาน่ะฝันไปเสียเถอะ....

“ดีแล้ว ๆ จริงสิ พ่อเขาบอกว่าคิดโครงการใหม่ได้จะลองส่งมาให้พิจารณา ยังไงลูกช่วย....”

“ผมจะนำเข้าที่ประชุมให้ครับ” เซินเฟยขัดขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะได้พูดอะไร ไม่ต้องคาดเดาเลยว่าแม่ของเขาคอยากจะขอให้เขาช่วยดันโครงการให้พ่อหน่อย แต่เขาคงไม่สามารถรับปากถึงขนาดนั้นได้ ตอนนี้มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากระทบหูเขาว่าเซินหยู่มีโอกาสที่จะได้เข้าตระกูลหลัก ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวออกไป แต่เรื่องนี้ทำให้คนในตระกูลเริ่มแข็งข้อขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ด้วยมองว่าเขาเป็นคนลำเอียงเอาแต่คนของตนเองไปเสียอย่างนั้น หากเขาตกปากรับคำช่วยกระทั่งดันร่างโครงการพวกผู้บริหารอาจจะไม่พอใจ นอกจากนี้เขายังมีคนใต้ปกครองต้องกำราบ หากคนเหล่านั้นนึกจะแข็งข้อขึ้นมาพร้อมกันจะลำบาก

อย่างไรเสีย ในวงการนี้ เรื่องความเย้ายวนของอำนาจก็เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลมากที่สุดและอ่อนไหวมากที่สุด เซินเฟยไม่อาจใช้ตามใจชอบได้อย่างที่ใคร ๆ คิดกัน

“เท่านั้นก็ยังดีนะ”หลี่จวี๋เหม่ยยิ้ม เซินเฟยมองแม่ตนเองพลางคิดในใจว่าหญิงสาวคงจะไม่ได้รู้เรื่องงานของพ่อและเขามากนัก ซึ่งก็ควรจะเป็นแบบนั้น หลี่จวี๋เหม่ยเป็นผู้หญิงที่อยู่แต่ในบ้าน พ่อเองเมื่อเข้าบ้านก็จะไม่พูดถึงเรื่องงานเช่นกัน แต่ทำไมช่วงนี้อีกฝ่ายถึงได้ชอบมาหาเขาแล้วพูดราวกับว่าพ่อตั้งอกตั้งใจทำงานจริง ๆ การพูดเรื่องงานให้ภรรยาฟังไม่ใช่นิสัยของพ่อเลยสักนิด

หรือว่าพ่อของเขากำลังวางแผนอะไรโดยใช้แม่เป็นทางผ่าน?

หากเป็นเช่นนั้นจริง หลี่จวี๋เหม่ยย่อมไม่มีทางรู้อยู่แล้ว หญิงสาวเป็นคนประเภทที่เรียกได้ว่าภรรยาแบบฉบับจีนดั้งเดิม อยู่แต่ในบ้าน ไม่พูดจากับคนแปลกหน้า ไม่ออกนอกบ้านถ้าไม่จำเป็น เชื่อฟังสามีและพ่อแม่ของสามี ไม่มีปากเสียงกับใคร และหัวอ่อน

“ผมคิดว่า แม่อย่ายุ่งกับเรื่องงานของพ่อเลยจะดีกว่านะครับ” เซินเฟยเอ่ยเตือน

“ทำไมล่ะเสี่ยวเฟย?”

“.....เพราะว่า......” เซินเฟยเม้มปาก เขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพื่อให้แม่ของเขาไม่รู้สึกแย่กับพ่อมากเกินไป “เพราะว่าอาจจะมีหลายอย่างที่แม่ยังไม่เข้าใจ”

“นั่นสินะ แม่ก็ไม่ใช่คนฉลาดสักเท่าไหร่”

“ผมไม่ได้....”

“ฟังแม่ก่อนสิเสี่ยวเฟย” หลี่จวี๋เหม่ยขัดด้วยรอยยิ้ม “แม่น่ะก็พอรู้ตัวเองอยู่หรอกว่าไม่ใช่คนฉลาดที่จะตามเกมคนอื่นทันเลย แต่ว่า....อย่างน้อยแม่ก็คิดว่า ถ้าช่วยแบ่งเบาภาระคนในครอบครัวได้ก็คงจะดี ตอนนี้พ่อของลูกก็ยอมปรึกษาเรื่องงานกับแม่บ้างแล้ว เท่านี้แม่ก็ดีใจแล้วล่ะ ถ้าลูกไม่อยากให้แม่พูดเรื่องนี้ให้ฟังแม่ก็จะไม่พูดอีก เท่านี้ลูกเองก็มีเรื่องเครียดพอแล้วล่ะนะ”

เซินเฟยนิ่งเงียบไป จริงอยู่ว่าเขาเดาอยู่แล้วว่าแม่ของเขาจะพูดอย่างไร กระนั้นเขาก็ไม่อาจทำตัวใจร้ายถึงขนาดจะพูดกลับไปว่าพ่ออาจจะหลอกแม่อยู่ได้ลงคอ

“ผมเข้าใจแล้วครับ”

“ดีแล้วล่ะ” หลี่จวี๋เหม่ยยิ้มแย้ม “ถ้าวันไหนลูกว่าง ๆ ก็ไปเยี่ยมพ่อเขาบ้างนะ พ่อเขาก็อยากเห็นหน้าลูกเหมือนกันแต่ก็ยังเสียหน้าไม่หาย คนทิฐิแรงก็อย่างนี้”

เสียหน้าไม่หาย....หรือไม่มีหน้าจะโผล่มากันแน่....

ครั้งสุดท้ายที่เซินหยู่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ อีกฝ่ายได้สบประมาทอดีตนายหญิงไว้อย่างรุนแรง แม้จะพูดคุยกันในห้องรับแขกแต่เสียงก็ได้ยินออกไปถึงข้างนอก ผ่านไปไม่ถึงวันพวกคนรับใช้ต่างก็รู้เรื่องนี้กันไปทั่ว ซากุระเป็นนายหญิงที่ทุกคนต่างรักใคร่ เมื่อถูกว่ากล่าวเช่นนั้นมีหรือจะไม่โกรธแค้น เซินหยู่ก็เหมือนจะรู้ตัวดีจึงไม่กล้าโผล่มาที่บ้านหลังนี้อีกเลย แต่กลับจงใจปล่อยให้หลี่จวี๋เหม่ยมาหาได้ทุกอาทิตย์ เซินเฟยจึงไม่อาจทำใจปล่อยวางเรื่องพ่อตนเองได้เลย เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรอีก

หลี่จวี๋เหม่ยนั่งคุยสัพเพเหระจนถึงเวลาประมาณ 10 โมงก็กลับไปเหมือนทุก ๆ ครั้ง เซินเฟยถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ ในห้องที่เหลือเขาอยู่เพียงลำพัง

แปลกจริง....

ทำไมเขาถึงอยู่ตามลำพังได้ล่ะ?

เซินเฟยมุ่นคิ้ว วันนี้มีอะไรบางอย่างแปลกไปหรือเปล่านะ ทำไมเขาถึงคลับคล้ายคลับคลาว่าทุกครัง้ที่อยู่คนเดียวจะต้องมีใครบางคนเข้ามาเกาะแกะจนหมดความสงบทุกทีไป

“อาซิง”

“ครับ?” หวางซิงได้ยินเสียงเรียกก็รีบเข้ามาในห้องเพราะคิดว่าเซินเฟยต้องการเรียกใช้อะไร

“ฉู่เหวินจือไปไหน?” เซินเฟยเอ่ยถาม วันนนี้ตั้งแต่เช้าพอเขาตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นฉู่เหวินจือแล้ว นับเป็นครั้งแรกเลยก็เป็นได้นับแต่ที่ฉู่เหวินจือได้ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตส่วนตัวของเขาแล้วเขากลับต้องตื่นขึ้นมาเพียงลำพังบนเตียงกว้าง พอคิดไปแล้วก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ว่าเพราะหลี่จวี๋เหม่ยมาหาแต่เช้า เขาจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทใจ พออยู่คนเดียวก็พลันนึกขึ้นมาได้อีกครั้ง

“ออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้วครับ แต่ไม่ยอมบอกว่าไปไหน” หวางซิงรายงานก่อนจะทำสีหน้ากังวล เขาคิดถึงเรื่องที่ฉู่เหวินจือพูดเมื่อวันก่อนขึ้นมา...ฝ่ายนั้นแสดงสีหน้าเอาจริงจนน่ากลัว เขาเริ่มรู้สึกพรั่นพรึงอย่างไม่ทราบสาเหตุด้วยไม่อาจอ่านผู้ชายคนนั้นได้ขาดดังที่เคยทำได้กับคนอื่น ๆ

“งั้นหรือ.....” เซินเฟยรับคำโดยไม่ได้ว่าอะไรต่อ

“คุณเซิน.....ผมคิดว่าอย่าไว้ใจคุณฉู่มากเลยจะดีกว่านะครับ” หวางซิงว่าต่ออย่างกลัว ๆ เกรง ๆ

“ผมคิดว่าเราพูดเรื่องนี้จบไปแล้วเสียอีก”

“แต่ว่า.....” เลขาหนุ่มกัดริมฝีปาก ความกังวลใจอัดแน่นอยู่ในอกไม่อาจหาทางระบายออกมาได้ ระยะหลังมานี้เขารู้สึกว่าเซินเฟยค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งเป็นอิทธิพลจากฉู่เหวินจือไม่ผิดแน่ ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันสังเกตและไม่ได้รู้สึกตัวเลย แต่เมื่อถูกฉู่เหวินจือพูดใส่อย่างมีลับลมคมในเช่นนั้น เขาก็เริ่มสังเกตสังกามากขึ้นทำให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้านายของเขามีอะไรบางอย่างผิดแปลกไปจากที่เคยเป็น ทั้งที่หากเป็นก่อนหน้านี้ เซินเฟยคงฉุกใจไตร่ตรองว่าฉู่เหวินจือชอบหายตัวไปทำอะไรที่ไหน และยังพฤติกรรมอันแปลกประหลาดที่หาคำตอบไม่ได้ สมัยก่อนนี้เซินเฟยไม่เคยปล่อยวางหรือไว้ใจใครเลย เมื่อมีอะไรผิดสังเกตจะต้องจับตามองทันที ทว่า....ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นสักนิด ฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยสูญเสียความเฉียบแหลมไปจนสิ้น เหมือนสัตว์ที่ถูกลิดเขี้ยวเล็บก็ไม่ปาน

“อาซิง กำลังผิดหวังอะไรในตัวผมหรือเปล่า?” เซินเฟยคาดเดาจากสีหน้าอมทุกข์ที่น้อยครั้งนักที่หวางซิงจะแสดงออกมาให้เห็น และทันใดที่คำถามเดินทางเข้าสู่โสตประสาท หวางซิงก็สะดุ้งเฮือกเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิดก่อนจะรีบปฏิเสธ

“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่กล้าคิดถึงขนาดนั้น”

“อยากพูดอะไรก็พูดตรง ๆ เถอะ ถ้าอาซิงเป็นคนพูดผมก็ไม่เคยถือสาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” เสียงของเซินเฟยดูผ่อนคลายลงเพื่อให้เลขาของตนไม่เครียดเกินไปนัก กระนั้นหวางซิงก็ยังเม้มปากเงียบไม่กล้าพูดอะไรออกมามากเกินไป อาจเป็นเพราะเขารู้พื้นฐานอารมณ์ของเซินเฟยดีก็เป็นได้ เพราะอย่างนั้นถึงบางครั้งจะเห็นว่าเจ้านายของตนกำลังถลำลึกลงไปในบางสิ่ง ก็ไม่กล้าที่จะรั้งด้วยเข้าใจดีว่ารู้สึกอย่างไร

หวางซิงก้าวเข้าไปใกล้ผู้เป็นนาย ก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าแล้วจับมือที่พาดอยู่กับที่พักแขน

“คุณเซิน.....” เขาพูดออกมาได้แค่นั้นก็เงียบไปอีก ไม่รู้ว่าควรจะใช้คำไหน สื่อสารอย่างไร เซินเฟยจึงจะเข้าใจถึงสิ่งที่เขากังวลอยู่ หัวใจของเขาเต้นรัวแรงเมื่อคิดถึงรอยยิ้มของฉู่เหวินจือในตอนนั้น ไม่ต่างจากรอยยิ้มของสัตว์ร้ายที่หมายตาเหยื่อสักนิด

ในที่สุดหวางซิงก็ทำได้เพียงแนบหน้าผากลงกับหลังมือของเซินเฟยอย่างเงียบ ๆ หากเพียงกระแสของความคิดสามารถไหลผ่านผิวหนังได้ก็คงจะดี

เนิ่นนานที่ความเงียบไหลผ่านไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เสียงนาฬิกาค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ ตามหน้าที่ของมันอย่างเที่ยงตรง กระแสเสียงอันเบาบางแหวกผ่านม่านอากาศโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคำพูด เซินเฟยหลับตาลง ปล่อยให้หวางซิงจับมือตนเองอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้แสดงอาการขัดใจ

การที่เขาไม่รับฟังหวางซิงไม่ได้หมายความว่าเขาดื้อดึงเอาแต่ใจตัวโดยไร้เหตุผล แต่เป็นเพราะว่าเขารู้ตัวดีอยู่แล้วจึงไม่อยากให้คนอื่นมาวุ่นวายใจเพิ่มขึ้น

เซินเฟยรู้ตัวดีว่าตอนนี้ความเฉียบคมของเขาลดเลือนหายไปกว่าครึ่ง ความเป็นตัวเขาในอดีตกำลังค่อย ๆ พังทลายอย่างช้า ๆ แม้จะพยายามหลอกตัวเองว่าสามารถดำรงอยู่เพียงลำพังบนบัลลังก์อันหนาวเหน็บได้ แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับไม่อาจเป็นดังใจคิด เขาตัดสินใจดึงฉู่เหวินจือเข้ามาเป็นหลักพยุงเพราะฉู่เหวินจือเป็นคนมากเล่ห์และยากจะไว้ใจ การเก็บไว้ข้างกายจะทำให้เขารู้สึกตื่นตัวระแวดระวังตลอดเวลา แต่ว่า....มันกลับให้ผลตรงกันข้าม ฉู่เหวินจือทำให้เขาโอนอ่อนผ่อนตามโดยไม่รู้ตัว จากที่คิดจะใช้ฝ่ายนั้นเป็นตัวกระตุ้น เขากลับโดนฉุดรั้งให้ด่ำดิ่งลงไปเสียเอง แต่ว่า....แม้จะรู้อยู่เต็มอก แต่เขาก็ยังไม่อาจทำใจปล่อยมือฉู่เหวินจือและยืนหยัดเพียงลำพังได้ แม้จะรู้ว่าเป็นกับดัก ก็มีแต่จะต้องก้าวผ่านไป หรือไม่ก็ตายอยู่ตรงนั้น

ความอ้างว้างเดียวดายบนยอดเขาอันสูงชันยากจะมีใครเข้าใจได้ หากพลาดพลั้งแม้เพียงนิดก็พร้อมจะตกลงสู่เบื้องลึกของห้วงอเวจีได้ทุกเมื่อ ตอนนี้เท้าของเขาไม่อาจเหยียบลงไปได้อย่างมั่นคง ยังคงต้องการหลักพึ่งพิงที่ชื่อฉู่เหวินจืออยู่นั่นเอง....

-------------------------->

โรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเขตนี้มักจะได้ต้อนรับแขกมากหน้าหลายตาต่างฐานะ บางคนก็ประสงค์จะเก็บทุกอย่างเป็นความลับ บางคนก็เปิดเผยตัวตนได้ ซึ่งฉู่เหวินจือถือว่าตนเองเป็นคนประเภทที่อยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสองอย่าง เขาไม่ได้ปิดบังตัวตน แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยทั้งหมด กระนั้นเขาก็สามารถเข้าออกโรงพยาบาลได้อย่างอิสระด้วยเป็นคนของจูเชว่ ซึ่งเขาก็รู้สึกขอบคุณบารมีของเซินเฟยในหลาย ๆ ด้าน

วันนี้ฉู่เหวินจือแต่งกายให้ดูดีที่สุดซ้ำยังถือช่อดอกไม้มาช่อใหญ่ ส่งยิ้มรายทางให้นางพยาบาลที่เหลือบมองพลางยิ้มหน้าแดงก่อนจะพาตัวเองเดินผิวปากไปยังห้องกายภาพบำบัด

หญิงสาวผมหยักศกสีน้ำตาลกำลังฝึกเดินอยู่ในห้อง เธอทำท่างก ๆ เงิ่น ๆ เหมือนก้าวเดินไม่ค่อยสะดวกนักแต่ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสไม่แสดงความหวาดกลัวในขณะก้าวเดินทีละก้าว ราวกับว่าการเดินสำหรับเธอนั้นไม่ใช่เรื่องยากลำบากเลย แต่เป็นการท้าทายใหม่ ๆ อันแสนสนุก

ฉู่เหวินจือยืนมองอยู่นานด้วยรอยยิ้มในดวงตา จนกระทั่งหญิงสาวได้นั่งพักบนรถเข็นและมีคนช่วยเข็นออกมานั้นเองเขาจึงเอ่ยทัก
“สวัสดีครับ คุณหลิงหลิง”

“ตายจริง คุณฉู่ที่อยู่กับคุณเซินสินะคะ” หลิงหลิงทำท่าตกอกตกใจที่ได้พบอีกฝ่าย “วันนี้มาเยี่ยมใครหรือคะ? ช่อดอกไม้ช่อใหญ่เชียว หรือว่าคุณฉู่กำลังจีบพยาบาลคนไหนอยู่เอ่ย?”

“ไม่ลองเดาว่าผมจะมาหาคุณบ้างหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเดินตามรถเข็นไปเรื่อย ๆ

“เอ๋? มาหาฉันหรือคะ?” หลิงหลิงแปลกใจไม่น้อย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมาหาเธอกันนะ กระนั้นฉู่เหวินจือก็เอาแต่ยิ้มเงียบ ๆ จนกระทั่งรถเข็นถูกเข็นออกมาถึงสวนด้านนอก

“คุณหมอจือบอกว่าให้พาคุณหลิงหลิงมาพักแถวนี้ พอตอนเที่ยงจะมารับนะคะ” นางพยาบาลร่างท้วมกล่าวก่อนจะเดินจากไปเมื่อหลิงหลิงเอ่ยขอบคุณอย่างเป็นกันเอง หญิงสาวหันกลับมามองฉู่เหวินจืออีกครั้งด้วยดวงตาแสดงความสนเท่ห์อย่างไม่ปิดบัง ฉู่เหวินจือเห็นดังนั้นจึงวางช่อดอกไม้ลงบนตักของหลิงหลิงก่อนจะพาตนเองนั่งลงบนพื้นหญ้าข้าง ๆ รถเข็นแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า

“พอดีผมได้ยินมาว่าวันนี้คุณมีนัดกายภาพบำบัดก็เลยมาดักรอ” ฉู่เหวินจือกล่าว

“แสดงว่ามีอะไรอยากจะพูดกับฉันหรือคะ? หรือว่าจะเป็นจือหยิน?” หลิงหลิงลองเดาตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น

“ผมมาหาคุณนั่นแหละครับ” ชายหนุ่มหัวเราะ “ตอนนี้เดินเป็นยังไงบ้างครับ?”

“ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ จือหยินบอกว่าอีกไม่นานคงเปลี่ยนไปใช้ไม้เท้าแทนได้จะได้เทอะทะน้อยลง”

“เห....งั้นหรือครับ” เสียงหัวเราะของฉู่เหวินจือดังอยู่ในลำคอ ให้ความรู้สึกเสียดหูแปลก ๆ “คุณเซินเป็นคนใจดีนะคุณว่าไหม?”

“ฉันไม่ค่อยรู้จักคุณเซินเท่าไหร่ แต่การที่คุณเซินช่วยเหลือฉันขนาดนี้ฉันก็คิดว่าคุณเซินต้องเป็นคนดีแน่ ๆ เลยค่ะ” หลิงหลิงยิ้มกว้างอย่างสดใสทำให้ฉู่เหวินจือเลิกคิ้ว

“คุณคิดแบบนั้นจริง ๆ หรือ?”

“อะไรนะคะ?”

“คุณหลิงหลิง....คุณรู้อยู่เต็มอกไม่ใช่หรือครับว่าคุณเซินมีความรู้สึกพิเศษกับหมอจือของคุณ” สายตาของฉู่เหวินจือที่เหลือบกลับมามองทำให้หลิงหลิงสะดุดลมหายใจตัวเอง ราวกับว่าเขากำลังมองทะลุลงไปถึงในจิตใจของเธอและคว้านมันออกมาทั้งทรวง หญิงสาวเผลอหลบตาทันควัน

“พูดอะไรกัน คุณเซินเป็นผู้ชายนะคะ” เธอกล่าวโต้

“คุณหลิงหลิง คุณกำลังคิดจะทำอะไร” คำถามที่ตรงไปตรงมาทำให้หลิงหลิงมองตอบโต้ผู้ถามด้วยใบหน้าซีดเผิดไปวูบหนึ่ง

“คุณพูดเรื่องอะไรกันคะ?”

“หึ ๆ” ฉู่เหวินจือหัวเราะออกมาแล้วลุกขึ้นพลางปัดเศษหญ้าบนหน้าขา เขาเดินอ้อมไปหลังรถเข็นแล้วจับไหล่บางเอาไว้จนแน่น “คุณคิดว่า....ถ้าผมปลดล็อคล้อรถเข็น มันจะเป็นยังไงนะ?”

หลิงหลิงกัดริมฝีปากด้วยความตระหนก ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ผู้ชายคนนี้เกิดเป็นอะไรขึ้นมาแต่ดูเหมือนว่าจะจงใจประทุษร้ายเธอ เพราะตรงจุดนี้เป็นเนินลาดลงไปเล็กน้อย ด้านล่างเป็นต้นไม้พุ่มไม้ หากปลดล้อคล้อรถเข็นมันก็จะไหลลงไปและชนเข้ากับต้นไม้หรือพุ่มไม่เป็นแน่ จริงอยู่ว่ามันไม่ได้ทำให้บาดเจ็บมากมาย แต่ด้วยสัญชาตญาณมนุษย์ ในใจก็เกิดประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาจนเผลอจับล้อรถเข็นไว้แน่น

เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งทางด้านหลัง ลมหายใจอุ่นเป่าตรงใบหู

“คุณจะร้องให้คนช่วยหรือเปล่า?”

“คุณ...คิดจะทำอะไร.....”

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 27-02-2011 13:02:25
“นั่นคือคำถามที่ผมถามคุณก่อนใช่ไหม?” ฉู่เหวินจือย้อนคำก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องห่วงผมไม่ปลดล้อครถเข็นนี่หรอก เพราะคุณคงจะดีดตัวหนีก่อนมันไถลลงไปแน่ หรือคุณอาจจะดีดตัวไม่ทันแต่ถึงจะลงไปข้างล่างนั่นอย่างมากก็แค่รถเข็นพลิกทำให้คุณเจ็บตัวนิดหน่อย ผมไม่ชอบทำเรื่องหยุมหยิมแบบนั้น”

หลังกล่าวจบ ฉู่เหวินจือก็ปล่อยมือจากบ่าเล็กบาง หลิงหลิงรู้สึกได้ว่าบ่าของตนเองชาวาบและรู้สึกเจ็บเล็กน้อยราวกับว่าถูกขยุ้มอย่างแรงด้วยความจงใจ

“คุณหลิงหลิง ผมสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ถ้าคุณอยากรู้” ฉู่เหวินจือแสยะยิ้ม แม้หลิงหลิงจะหันหลังให้แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของเธอกำลังถูกทิ่มแทงด้วยสายตาอันน่ากลัว

“คุณเซิน....สั่งมาหรือคะ.....”

“เปล่าเลย ผมแค่อยากจะบอกให้คุณรู้ไว้ก่อนก็เท่านั้น” ฉู่เหวินจือเว้นจังหวะไปเล็กน้อย “สิ่งที่คุณคิดจะทำ ถ้าลงมือไปแล้วล่ะก็ คุณจะได้รับผลของมันคืนอย่างสาสมแน่นอน”

หลิงหลิงรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น ผู้ชายแซ่ฉู่คนนี้ดูน่ากลัวผิดกับที่เคยพบกัน เธอทำแข็งใจและเอี้ยวคอหันกลับมามอง ทว่า....ตรงนั้นก็ไม่มีใครอยู่เสียแล้ว

--------------------------->

ฉู่เหวินจือกลับมาถึงบ้านใหญ่ตอนเลยเที่ยงไปเล็กน้อย โชคดีที่เขาแวะกินอาหารข้างนอกแล้วเพราะบ้านนี้มีเวลามื้ออาหารชัดเจนเที่ยงตรง หากมาช้าก็จะอดไปตามระเบียบ ฉู่เหวินจือจึงเลือกที่จะเติมเต็มกระเพาะตนเองให้เรียบร้อยก่อนจะกลับ

เขาเดินตรงไปห้องทำงานด้วยความเคยชิน เพราะเซินเฟยมักจะอยู่ที่นั่นซึ่งเขาก็เดาถูก

เซินเฟยนั่งหลับอยู่บนโซฟา อากาศในฤดูนี้ช่างชวนให้ง่วงหงาวหาวนอน จึงไม่น่าแปลกที่จะได้เห็นภาพนี้หากบ้านใหญ่อยู่ในภาวะสงบเงียบไร้เสียงรบกวน ฉู่เหวินจือเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ แล้วจ้องมองใบหน้ายามหลับใหลก่อนจะคลี่ยิ้มลุ่มลึกออกมา ปลายนิ้วกร้านยกขึ้นเกลี่ยปอยผมออกจากใบหน้าก่อนจะไล่ลงมาที่ริมฝีปากซึ่งเผยอขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว เซินเฟยไม่ได้ขยับตัวหนี เพียงแต่มีอาการกระตุกที่เปลือกตาเล็กน้อยเท่านั้น แพขนตายาวงอนทาบสนิทกับผิวแก้มสีขาวใส ฉู่เหวินจือรู้สึกว่าหากมีกล้องในมือคงไม่พลาดโอกาสเก็บภาพนี้ไว้เป็นแน่

เสียงประตูเปิดดังจากด้านหลังเรียกให้ฉู่เหวินจือหันไปมอง และเมื่อพบว่าเป็นหวางซิงเขาก็ยิ้มออกมาในขณะที่หวางซิงขึงหน้าตึง มือที่ถือน้ำผลไม้อยู่เกือบจะเผลอปล่อยถาดลงพื้นแต่ก็ตั้งสติได้ทัน น้ำจึงเพียงกระฉอกออกมาเล็กน้อยจนเปื้อนถาดเท่านั้น

ทั้งสองคนยืนจ้องตากันนิ่งโดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา หวางซิงไม่ยอมถอยออกไป ฉู่เหวินจือก็ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ราวกับหยั่งเชิงซึ่งกันและกันว่าใครจะยอมใครก่อน

แต่แล้ว ฉู่เหวินจือก็เริ่มขยับ เขาหันกลับไปสัมผัสท่อนแขนเปล่าเปลือยของเซินเฟยอย่างถือสิทธิก่อนจะโน้มหน้าลงไปหมายจะจุมพิต หวางซิงทนดูต่อไม่ได้จึงรีบผลุนพลันออกไปแล้วปิดประตูเสียงดังจนเซินเฟยสะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่หวางซิงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะวิ่งกลับไปขอโทษที่รบกวนการนอนแล้ว

เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถ หวางซิงจึงเพียงแค่คว้าเสื้อนอกแล้ววิ่งออกไปเรียกรถแท็กซี่ เขาบอกจุดหมายปลายทางจบก็นั่งสงบจิตใจในขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ตามท้องถนนที่ค่อนข้างคลาคล่ำด้วยรถราแม้จะเป็นวันหยุด

ปลายทางที่บอกไปนั้นเขาเพิ่งเคมาเพียงครั้งเดียวแต่กลับจดจำได้แม่นยำ เป็นคุณสมบัติพิเศษของคนที่จะเป็นเลขาที่ความทรงจำต้องแม่นยำเหนือกว่าคนทั่วไปอยู่เล็กน้อย

หวางซิงรีบจ่ายเงินให้แท็กซี่แล้วเดินดุ่ม ๆ ขึ้นไปบนอพาร์ทเมนท์ก่อนจะกดกริ่งห้องหนึ่งซึ่งอยู่ริมสุดชั้นสาม

“ครับ ๆ” เจ้าของห้องทำเสียงงัวเงีย เพราเป็นวันหยุดเขาจึงคิดจะนอนยาว ๆ และเพิ่งตื่นเมื่อเที่ยงนี้เองกระนั้นเพาะนอนมากเกินไปก็เลยเมื่อยขบไปหมดซ้ำยังง่วงไม่หาย แต่เมื่อมีแขกมาหาเขาก็ต้องลุกไปเปิดถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใครก็ตามที ทว่า...เมื่อเขาเห็นผู้มาเยือนก็ต้องมุ่นคิ้ว

“คุณหวาง?”

“ผมขอเข้าไปได้ไหมครับ?” หวางซิงช้อนตามองเข้าของห้อง ซึ่งแววตัดพ้อระคนสับสนปรากฏในดวงตาที่อยู่หลังเลนส์แว่นคู่นั้น

“.....ด...ได้ครับ” มู่อี้จิงรีบหลีกทางให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง หวางซิงเดินไปนั่งที่โซฟารับแขกที่ตนเองเคยเกือบจะถูกปลุกปล้ำโดยไม่ได้รู้สึกกระดากอายอะไรราวกับลืมเรื่องตอนนั้นไปจนหมดลิ้นแล้วหรือไม่ก็ไม่ได้นำกลับมาคิดให้เสียเวลา มู่อี้จิงหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ หลังจากที่เขาได้นั่งรถที่หวางซิงขับ เขาก็ไม่เคยได้พบเจ้าตัวโดยตรงอีกเลยเพราะเรื่องงาน

“คุณมู่....ผมมารบกวนหรือเปล่าครับ?” หวางซิงกระซิบถามพลางก้มหน้าแล้วยกขาขึ้นมานั่งคุดคู้

“ไม่หรอก ยังไงวันนี้ก็วันหยุดผมอยู่แล้ว” มู่อี้จิงถอนหายใจ “อีกอย่าง เรียกผมว่ามู่อี้จิงก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณมู่ ๆ หรอก มันสุภาพเกินไปสำหรับคนแบบผมน่ะ แล้วคุณก็แก่กว่าผมด้วย”

หวางซิงเงียบไปไม่ได้ตอบคำ มู่อี้จิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงไม่รู้จะปลอบโยนอย่างไรเช่นกัน เขาได้แต่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างนั้นจนกระทั่งหวางซิงถอดแว่นออกวางบนโต๊ะแล้วซุกหน้าลงกับแขนตัวเองอีกครั้ง มู่อี้จิงถอนหายใจหนักหน่วงก่อนตัดสินใจตบบ่าเบา ๆ เหมือนเวลาที่เขาปลอบเพื่อนตัวเอง

“ถ้าให้ผมเดา.....จะต้องเป็นเรื่องจูเชว่แน่ ๆ” เขาว่าเช่นนั้น มือของเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงสะท้านแทนการตอบรับ

หวางซิงยังคงไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่มาที่นี่เพราะไม่อยากจะเห็นภาพบาดตาเท่านั้น แต่ไม่ได้คิดจะขายเรื่องลับของเจ้านายตัวเองเลย สุดท้ายจึงทำได้เพียงแค่นั่งซุกเข่าตนเองอยู่เช่นนั้นจนมู่อี้จิงเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรและเริ่มกระสับกระส่าย

มู่อี้จิงไม่ใช่คนที่จะอยู่นิ่งได้นานนัก เขาจึงตั้งใจจะลุกขึ้นไปรินน้ำระหว่างที่หวางซิงยังเอาแต่เงียบอย่างนี้ ทว่าวินาทีที่เขาลุกขึ้น เลขาหนุ่มกลับดึงชายเสื้อเอาไว้แล้วค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา

“คุณมู่....”

“มู่อี้จิง ได้โปรดเถอะ ผมไม่อยากผมหงอกในเร็ววันนี้หรอกนะ” มู่อี้จิงรีบขอให้แก้คำ เขาไม่ชอบเลยสักนิดที่ถูกคนแก่กว่าเรียกอย่างให้เกียรติอย่างนี้ แต่บางทีจูเชว่อาจจะชอบก็ได้ เห็นไปไหนมาไหนก็มีแต่คนก้มหัวให้แล้วเรียก คุณเซิน ๆ ไม่ขาดปาก

“มู่อี้จิง.....คุณเคย.........” หวางซิงเม้มปากแล้วชั่งใจอีกครู่หนึ่ง “คุณเคย.....มี.....อะไรแบบนั้นหรือยังครับ?”

“อะไรแบบนั้น?” มู่อี้จิงมุ่นคิ้ว นึกแปลกใจว่าอยู่ ๆ อีกฝ่ายคิดจะตั้งกระทู้อะไร

“ผมหมายถึง เอ่อ....” เหมือนว่าสิ่งที่พูดนั้นแสนจะลำบากใจ หวางซิงจึงต้องตัดสินใจนานกว่าที่จะกลั่นกรองออกมาเป็นคำได้ “คือ.....ที่คุณเคยพยายามทำกับผม คุณเคย...นอนกับใครหรือเปล่า?” ในที่สุดหวางซิงก็เลือกคำพูดที่เหมาะสมได้

“หา?” มู่อี้จิงกระพริบตาถี่ ๆ “ก็ต้องเคยสิครับ”

เขานึกสงสัย อีกฝ่ายจะตะล่อมถามทำไมกันนะ ก็เรื่องปกติของผู้ชายไม่ใช่หรือที่เคย ๆ กับเรื่องแบบนี้

“คุณว่าการที่ผู้ชายสองคน.....”

“หือ? คุณกังวลใจเรื่องนี้เองหรือ?” มู่อี้จิงหัวเราะออกมาก่อนจะรีบหุบปากเมื่ออีกฝ่ายมองกลับมาอย่างตัดพ้อราวกับเขาไปหัวเราะเยาะ ชายหนุ่มกระแอมเล็กน้อยแล้วจึงอธิบาย “ผมไม่ได้หมายถึงว่าคุณพูดอะไรผิดแปลกหรอกนะ แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะคิดมากเรื่องนี้ คือว่า สำหรับบางคนอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับความคิดเห็นของผม ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกตินะครับ”

นาน ๆ ครั้งที่มู่อี้จิงจะพูดอะไรเป็นงานเป็นการแบบจริงจัง เขาจึงรู้สึกกระดากตัวเองอยู่นิดหน่อย

“คุณคิดว่าการที่คนเราทำแบบนั้น จะทำไปเพื่ออะไรหรือครับ?”

คำถามต่อมายิ่งทำให้มู่อี้จิงคิดหนัก ใครจะไปรู้วัตถุประสงค์ของทุกคนเวลามีเซ็กส์กัน ต่างหากเป็นจุดประสงค์ร่วมที่ทุกคนมีเวลามีเซ็กส์ก็.....

“เพื่อระบายความใคร่ล่ะมั้งครับ”

ทันใดนั้นหวางซิงก็ลุกพรวดขึ้นจากโซฟา ทำเอามู่อี้จิงสะดุ้งโหยง ไม่ทันจะผงะถอย มือของเลขาหนุ่มก็คว้าเอาคอเสื้อเขาเข้าไปกำแน่น ใบหน้าดูเดือดดาลด้วยโทสะจนเขาเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่รู้ว่าตัวเองไปพูดอะไรผิดหูเข้า เขายังไม่ทันพูดถึงจูเชว่สักคำเลยไม่ใช่หรือ!

“ต....แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว แบบว่า.....ตอนคุณมาหาผมคุณก็ไม่ได้อยากจะระบายอะไรไม่ใช่หรือครับ?” มู่อี้จิงรีบแก้คำ ทำให้สีหน้าของหวางซิงอ่อนลงก่อนที่จะปล่อยมือแล้วกลับไปนั่งคู้เช่นเดิม มู่อี้จิงขยับคอเสื้อให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะถอนหายใจออกมา “ความจริงแล้วนะ.....คุณไม่น่าจะมาปรึกษากับผมเรื่องนี้เลย จำไม่ได้หรือยังไงว่าผมเองก็เคยเกือบจะปล้ำคุณเหมือนกันน่ะ”

“นั่นไม่เหมือนกันเสียหน่อย” หวางซิงว่า “ที่คุณทำตอนนั้นก็แค่อยากจะทดสอบคุณเซินเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำอะไรผมจริง ๆ ไม่ใช่หรือครับ”

มู่อี้จิงสะอึกไปก่อนยิ้มเจื่อน ความจริงแล้วตอนนั้นอารมณ์เขากำลังขึ้นเต็มที่ หากไม่ใช่เพราะหวางซิงทำท่าเดือดร้อนแทนเจ้านายถึงขนาดจะฆ่าจะแกงเขา ก็คงโดนปลุกปล้ำจริง ๆ ไปแล้ว

“แล้วคุณอยากจะปรึกษาอะไรผมกันแน่?” เขาเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิดมากนักกับเรื่องเก่า ๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้เก็บเป็นอารมณ์สักนิด

“......คุณคิดว่าผู้ชายทำเรื่องแบบนั้นกันเป็นเรื่องปกติสินะครับ” หวางซิงเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

“ครับ มันเป็นเรื่องของร่างกาย อีกอย่าง....ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่คิดมากก็ไม่มีปัญหา” มู่อี้จิงสรุปด้วยประสบการณ์และความเป็นตำรวจ อย่างไรก็ควรเป็นการยินยอมพร้อมใจไม่ใช่การถือเอาด้วยกำลัง ไม่ว่าจะต่างเพศหรือเพศเดียวกัน การข่มขืนก็ถือเป็นโทษร้ายแรงอยู่ดี

“ไม่จำเป็น.....ต้องเฉพาะความใคร่ก็ได้สินะครับ....”

ตำรวจหนุ่มเลิกคิ้ว ทำไมวันนี้หวางซิงถึงดูย้ำคิดย้ำทำราวกับคิดอะไรบางอย่างไม่ตกถึงขนาดนี้นะ เลขายอดเยี่ยมอย่างผู้ชายคนนี้ยังมีเรื่องอะไรต้องกังวลใจด้วยหรือ?

“ความจริงก็มีหลายสาเหตุน่ะนะครับ.....อย่างเช่นในกรณีสามีภรรยา บางทีอาจจะไม่ได้มีอารมณ์อะไรมากมายแต่ทำโดยหน้าที่ นั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะมีเซ็กส์ได้”

“หน้าที่.....” หวางซิงทวนคำอย่างเลื่อนลอยก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบแว่นมาสวมก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูหลังจากกดเบอร์โทรของใครบางคนด้วยความทรงจำในสมอง “คืนนี้มีงานที่ไหนหรือเปล่าครับ อา....งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นจะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมจะฝากคนไปฝึกงานด้วยสักคืนหนึ่ง”

มู่อี้จิงมองอีกฝ่ายที่กำลังเจรจากับใครบางคนที่ปลายสายด้วยสายตาเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว เขารู้สึกผวาโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาหาเขาทำไม และเหตุใดจึงต้องถามเรื่องใต้ผ้าห่มกับเขาอย่างเอาจริงเอาจังถึงขนาดนั้น ซ้ำยังทำสีหน้าสับสนเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แต่กระนั้น มู่อี้จิงก็ไม่ได้เอ่ยถาม เขารอจนกระทั่งอีกฝ่ายคุยจนเสร็จ และคำสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่หวางซิงจะวางสายคือ

“ครับ....ฉู่เหวินจือ”

TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 27-02-2011 13:18:04
โดนคนรักทรยศมันคงจะเจ็บปวดที่สุดอ่ะนะ  :เฮ้อ: คุณฉู่วางแผนไรกันแน่อ่ะ อยากรู้
แต่ว่าอยากให้คุณฉู่หึงบ้างนี่นา นะๆไรเตอร์จ๋า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 27-02-2011 13:35:42
มาไวดีแฮะ 555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 27-02-2011 13:42:56
แม่หลิงหลิง นั่นก็เหมือนจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกินจะเดา การเข้ามาทางหมอจือต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่าง?
ตาฉู่ ยิ่งแล้วใหญ่ บางทีเหมือนจะปกป้อง แต่เจตนาประหนึ่งอยากจะทำลาย เฟยเฟย
เสี่ยวเฟย ตอนนี้คงกำลังสับสนเรื่องตาฉู่ รู้ทั้งรู้ว่าไม่น่าไว้ใจ แต่กลับห้ามความรู้สึกลึก ๆ ไม่ได้
อาซิง เหมือนจะน้อยใจในขีดจำกัดของตัวเอง อยากปกป้องเสี่ยวเฟยแต่เป็นแค่เลขาคนสนิท เลยไม่อาจ
ทำอะไรเกินขอบเขตหน้าที่ แต่ขำที่เอา "เรื่องอย่างว่า" ไปปรึกษาตามู่ ได้feelเด็กน้อยกับเรื่องของผู้ใหญ่มาก ๆ

อา...ตอนนี้มันดราม่าทางอารมณ์และความนึกคิดชัด ๆ เลย ( หรือเราจะอินเกินไปหน่อย :z3: )

เดี๋ยว ๆ ก่อนจบตอน อาซิงโทรหาตาฉู่ "ฝึกงาน" "คืนนี้" แล้วงานอะไรที่ตาฉู่ทำตอนกลางคืน???
อ๊าย....ไม่นะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 27-02-2011 14:40:08
อาหลิงมีพิรุธมากมาย  อาฉู่ท่าทางจะรู้เรื่องนี้ดีมาก ๆ และดูเหมือนจะรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวอาเซินเป็นอย่างดี
คนเขียน  เขียนออกมาทำให้รู้สึกไม่วางใจในตัวอาฉู่อยู่หลายครั้งเหมือนกัน
ทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้อาจไม่จบลงอย่างสุขสมหวัง  ไม่รู้ว่าคนรอบกายของอาเซินแต่ละคนมีนัยอะไรซ่อนอยู่
เพราะอะไรไป่หูวถึงส่งอาฉู่มาอยู่กับอาเซิน  เพราะอะไร  ทำเพื่ออะไร
อ่านแล้วก็สงสารอาเซิน  รู้สึกได้ว่าหวางซิงเท่านั้นที่จริงใจต่ออาเซินอย่างไม่มีเงื่อนไขจริง ๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: daizodiac ที่ 27-02-2011 14:54:17
มีปมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่คุณฉู่ ก็แอบห่วงเฟยเฟยอยู่นะ ไม่งั้นไม่ไปเตือนหลิงหลิงหรอก

แต่ยังไง หวางซิง ก็เป็นเลขาที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริงจริง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 27-02-2011 14:54:50
 :m16:ไม่รู้คูณฉู่หวังดี หรืออะไร
ไม่ค่อยชอบที่เหมือนจะมาหลอกเซินเฟยเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 27-02-2011 15:38:13
โดนคนรักทรยศมันคงจะเจ็บปวดที่สุดอ่ะนะ  :เฮ้อ: คุณฉู่วางแผนไรกันแน่อ่ะ อยากรู้
แต่ว่าอยากให้คุณฉู่หึงบ้างนี่นา นะๆไรเตอร์จ๋า
คิดเหมือนกันเลย
อยากให้คุณฉู่หึงบ้างอะไรบ้าง  :impress2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 27-02-2011 17:57:18
 :m16:หลิงหลิงคิดจะทำอะไรกันแน่  o18อยากรู้จริงๆ

ส่วนอาซิงขอยกให้เป็นเลขายอดเยี่ยมแห่งปีไปเลย o13

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: yakusa ที่ 27-02-2011 18:23:18
มอบโล่ เลขายอดเยี่ยม ให้หวางซิง  :a5:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Little_Devil ที่ 27-02-2011 18:56:52

สงสัยมานานแระ  อาฉู่เป็นไป๋หู่ตัวจริงปะเนี่ย เจ้าเล่ห์เกิน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Miyabi ที่ 27-02-2011 23:47:59
ไม่ค่อยเข้าใจอาฉู่เลย แต่อย่าทรยศเซินเฟยเป็นพอ
อาซิงนี่เลขาดีเด่นสุดๆ  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 28-02-2011 10:09:30
อาซิงจะทำอะไรน่ะ
แล้วยัยหลิงๆอีก
เรื่องมันแลจะยุ่งจริงไรจริง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 28-02-2011 10:45:32
 :beat: :beat: :beat: :beat:นังหลิงๆ

หวางซิงจะทำอะหยัง :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 28-02-2011 13:08:45
-18-



เซินเฟยค่อนข้างรู้สึกแปลกใจที่อยู่ ๆ ในช่วงเย็นก็มีคนของเหล่าโหวมาขอยืมตัวฉู่เหวินจือออกไปช่วยทำงาน แต่เขาก็คิดว่าการที่ให้ฉู่เหวินจือไปทำงานข้างนอกบ้างจะได้รู้จักเปิดหูเปิดตา ต่อไปในอนาคตจะได้ให้ทำงานใหญ่ ๆ ได้สะดวกมือขึ้น ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเอ่ยอนุญาตแล้วสั่งให้ฉู่เหวินจือไปกับคนของเหล่าโหว ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะอิดออด ไม่คิดว่าพอสั่งปุ๊บ ฉู่เหวินจือก็ตอบรับแล้วออกไปทำงานอย่างกะตือรือร้น

ความจริงการที่ฉู่เหวินจือออกไปทำงานข้างนอกก็ดีต่อเขาเหมือนกัน ทุก ๆ คืนเขามักถูกฉู่เหวินจือรบเร้าให้มีสัมพันธ์ทางกาย ยกเว้นคืนที่เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนักฉู่เหวินจือจึงยอมถอย ซึ่งในบางครั้ง เขาเองก็อยากจะนอนหลับสบาย ๆ ไม่ต้องมีใครรบกวน ดังนั้นการที่ฉู่เหวินจือออกไปทำงานอย่างนี้นับเป็นโอกาสดีที่ร่างกายและสมองของเขาจะได้พักผ่อนพร้อมกัน น่าเสียดายก็แต่คืนนี้เป็นคืนวันอาทิตย์ ถึงจะนอนสบายอย่างไร พรุ่งนี้เช้าเขาก็ต้องลุกขึ้นแล้วไปทำงานตามปกติอยู่ดี

ระยะนี้เพราะเซินเฟยใช้พลังงานในตอนกลางคืนไปมาก หวางซือที่รู้สถานการณ์ดีจึงจัดการทุกอย่างโดยไม่พูดอะไร เขาจะสั่งให้คนต้มชาซึ่งเป็นยาบำรุงไปให้เซินเฟยดื่มก่อนนอนทุกคืน หรือหากคืนไหนเซินเฟยบ่นว่าเบื่อยา เขาก็จะจัดการต้มเม็ดบัวหรือสมุนไพรอื่น ๆ ที่ทำเป็นขนมได้ไปให้แทน

หลังจากดื่มชาที่เจือจางแล้วและกำลังอุ่น ๆ เสร็จ เซินเฟยก็เตรียมตัวเข้านอนตามปกติ แม้จะรู้สึกอ้างว้างอยู่บ้างที่ต้องนอนคนเดียวหลังจากมีคนนอนด้วยมานาน แต่เขาก็ทำไม่ใส่ใจไปเสีย อย่างไรการที่ฉู่เหวินจือกับเขาได้ร่วมเตียงกันก็เป็นไปด้วยผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งเข้ามาพัวพัน ดังนั้นแค่นอนคนเดียวคืนหนึ่งก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร

เครื่องปรับอากาศส่งเสียงหึ่ง ๆ ในมุมของมัน นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้ยินเสียงที่จะดังต่อเมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบ ทั้งเสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศ เสียงเดินของเข็มนาฬิกา เสียงผ้าเสียดสีสวบสาบเมื่อขยับตัว และเสียงลมหายใจของตัวเอง

เซินเฟยปรือตาลงท่ามกลางความมืด ทว่าเพิ่งจะคล้อย ๆ เคลิ้ม ๆ ไปได้นิดเดียวเท่านั้น เสียงประตูห้องก็ดังขึ้นในความเงียบ เซินเฟยไม่ได้สนใจจะหันไปดูเพราะคนที่เข้ามาต้องเป็นคนในอยู่แล้ว การที่ไม่เคาะประตูอย่างนี้คงจะเป็นฉู่เหวินจือ เขาไม่ได้คำนวนว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเร็วขนาดนี้ แต่เพราะรู้สึกเสียดายการพักผ่อนอันหาได้ยากเขาจึงแสร้งทำเป็นหลับลึกต่อไป อย่างน้อยฉู่เหวินจือก็ยังมีมารยาทพอที่จะรู้ว่าไม่ควรปลุกเขาตอนหลับ

เซินเฟยเป็นคนขี้หนาว เวลานอนจึงมักจะซุกตัวอยู่ในผ้าตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนถึงคอ ผู้ที่เข้ามาในห้องนั่งลงตรงปลายเท้าที่ถูกคลุมด้วยผ้าจนมิดก่อนจะแตะมือลงไปอย่างแผ่วเบาแล้วนวดคลึงจนเซินเฟยรู้สึกสบายตัว แม้จะอยู่ใต้ผ้าห่มแต่ความอุ่นของมือก็ส่งผ่านลงไปจนถึงผิวเนื้อได้

“อืม.....” เสียงครางจากลำคอทำให้ฝ่ามือนั้นชะงักไปเล็กน้อยเหมือนไม่แน่ใจก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วถลกขึ้นทีละน้อย

เซินเฟยมุ่นคิ้ว วันนี้ฉู่เหวินจือคึกอะไรนักนะ เห็นอยู่ว่าเขากำลังหลับยังไม่วายรบเร้าอยู่ได้

เด็กหนุ่มชักเท้าหนีทำให้ผู้กระทำหยุดมือไป แต่ก็ไม่ได้ขยับไปจากที่เดิม เจ้าตัวนั่งนิ่งไม่ไหวติงรอจนกระทั่งเซินเฟยสงบลงเช่นเดิมจึงค่อย ๆ โน้มตัวลงอย่างระมัดระวังจนแขนคร่อมอยู่เหนือร่างของผู้ที่แสร้งทำหลับใหล เซินเฟยรู้สึกได้ว่าที่นอนข้างตัวยุบลงไปด้วยแรงกดจึงขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่ทันที่จะลืมตาขึ้นมอง พลันร่างเบื้องบนก็โน้มลงมาเสียก่อน ฝ่ายนั้นไถสันจมูกไปกับรอยโค้งเว้าของร่างกายผ่านเนื้อผ้าตั้งแต่บริเวณสะโพกขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ เส้นผมที่ละลงมาบนคอทำให้รู้สึกจั๊กจี้แต่ก็ให้ความรู้สึกแตกต่าง เพราะฉู่เหวินจือเป็นคนผมแข็งและเส้นใหญ่ แต่ผมที่ละผิวเนื้อของเขาอยู่นั้นอ่อนนุ่มซ้ำยังเส้นเล็กละเอียด เซินเฟยที่รู้สึกผิดสังเกตจึงรีบลืมตาขึ้นทันที

เงาร่างที่คร่อมอยู่ด้านบนไม่ได้สูงใหญ่กว่าเขามากนัก เพราะสายตายังไม่ชินกับความมืดเซินเฟยจึงเพิ่งมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อฝ่ายนั้นรุกเข้าหาแล้วกดเขาลงกับเตียงอย่างเบามือ

“อ....อาซิง....” เขาจำโครงร่างและวิธีการสัมผัสได้ในทันที หวางซิงมักจะสัมผัสเขาด้วยความรักและเทิดทูนเสมอไม่ว่าเวลาใด

“คุณเซิน....” หวางซิงขานชื่ออีกฝ่ายอย่างระมัดระวังก่อนจะก้มลงจูบปรนเปรออย่างแผ่วเบา ไม่กล้ารุกล้ำรุนแรง

“เดี๋ยว....!” เซินเฟยตื่นตระหนกด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่วันนี้หวางซิงดูผิดแปลกไปจากปกติ ทว่าเมื่อยันมือผลักออก หวางซิงกลับตรึงแขนของเขาลงบนเตียงแล้วบดจูบแรงขึ้นราวกับจงใจยัดเยียดให้เขายอมรับ หวางซิงไม่เคยดื้อดึงอย่างนี้มาก่อนยิ่งทำให้เซินเฟยสับสนยิ่งกว่าเดิม สมองของเขายังไม่แจ่มชัดนักจากความเบลอเพราะถูกปลุกจากอารมณ์กึ่งหลับกึ่งตื่น

หลังจากตรึงมืออยู่ได้ไม่นาน หวางซิงก็เริ่มลดมือลงอีกครั้ง เขาปลดกระดุมเซินเฟยออกทีละเม็ดอย่างใจเย็นที่สุด ไม่เหมือนคนที่กำลังทำไปด้วยแรงอารมณ์แม้แต่น้อย ทุกกระบวนการล้วนแต่คำนึงถึงการตอบรับของเจ้าของร่างจนไม่น่าจะเป็นไปเพราะขาดสติ

“อาซิง....เกิดอะไรขึ้น?” เซินเฟยจับใบหน้าอีกฝ่ายแล้วพยายามจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่ถูกบดบังด้วยความมืด หวางซิงถอดแว่นออกด้วยรู้สึกเกะกะและเกรงว่าแว่นจะบาดโดนใบหน้าของผู้เป็นนายก่อนดึงมือของเซินเฟยมาจูบทีละนิ้ว ๆ ด้วยความทนุถนอม เซินเฟยรีบชักมือกลับและตะเกียกตะกายออกจากจุดที่ตนเองถูกตรึงไว้ แม้หวางซิงจะไมได้สูงใหญ่กว่าเขามาก แต่ท่าที่คร่อมทับกันก็ทำให้เขาเสียเปรียบ แต่ขยับได้ไม่เท่าไหร่เขากลับถูกโถมทับลงบนแผ่นหลัง ริมฝีปากอุ่นร้อนทาบลงบนหลังคอและเลื่อนไล้เข้าไปใต้เสื้อที่ถูกเลื่อนลงทีละน้อย

“เดี๋ยว....อ...อาซิง....ทำอะไร.....”

“เป็นผมไม่ได้หรือครับ?” หวางซิงที่เงียบไปนานถามขึ้นมาทำให้เซินเฟยชะงักจะมุ่นคิ้ว การชะงักท่าทีของทั้งสองทำให้เซินเฟยพอจะได้สติกลับคืนมาบ้าง

“หมายถึงเรื่องฉู่เหวืนจือหรือ?” เซินเฟยลองถามกลับไป

“....ครับ....” หวางซิงตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบาแล้วจูบเบา ๆ ที่ลาดไหล่ กริยาเหล่านั้นไม่ได้แสดงถึงความพิศวาสดังที่ฉู่เหวินจือกระทำ กลับเต็มไปด้วยความนอบน้อมและกริ่งเกรง
“ลุกออกไปซะอาซิง” เซินเฟยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ตอนนี้เขาต้องกำกับการกระทำของอีกฝ่ายให้ได้เสียก่อน มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันจะดีกว่า

“สิ่งที่ฉู่เหวินจือทำผมก็ทำได้ แค่คุณเซินสั่ง ถึงจะต้องไปตายแทนผมก็ยินดี” นอกจากจะไม่ยอมทำตามคำสั่งแล้ว หวางซิงยังโอบกอดเซินเฟยจนแน่น ตัวเขานั้นเลี้ยงดูเซินเฟยมาตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย เขาที่เห็นเซินเฟยตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นผ้าขาวแสนบริสุทธิ์และค่อย ๆ ถูกอาบย้อมด่ำดิ่งลงสู่อ่างหมึกสีดำใบใหญ่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงอยู่เคียงข้างและปกป้องจากสิ่งแปดเปื้อนทั้งมวล สำหรับเขาแล้วเซินเฟยไม่ได้เป็นเจ้านายแต่ยังเป็นสิ่งล้ำค่าเทียบได้กับชีวิตตนเอง ความผูกพันที่ก่อเกิดทำให้หวางซิงมองว่าการปกป้องเซินเฟยเป็นหน้าที่ของตนไปเสียแล้ว

สิ่งที่เขารู้สึกกับเซินเฟยไม่ใช่ความรักฉันท์ชู้สาว...เรื่องนั้นหวางซิงรู้อยู่เต็มอก

ทว่า....ฉู่เหวินจือก็เช่นกันไม่ใช่หรือ? ทั้งอย่างนั้นกลับกกกอดเซินเฟยได้โดยไม่รู้สึกผิดสักนิด

หวางซิงไม่อาจทนให้ความสัมพันธ์นั้นดำเนินต่อไปได้อีก เขารู้ว่าฉู่เหวินจือจะฉุดให้เซินเฟยตกต่ำลงไป ดังนั้นแม้อาจสายเกินไป แต่เขาก็จะต้องปลุกเซินเฟยให้ตื่นขึ้นเผชิญกับความจริง แม้ว่าจะต้องถูกเกลียดชังเขาก็ไม่นึกสนใจ ขอเพียงแค่เซินเฟยเข้มแข็งขึ้นอีกสักนิดเท่านั้นก็พอ เข้มแข็งพอที่จะต้านทานการเย้ายวนของฉู่เหวินจือที่กำลังค่อย ๆ ชักนำได้

“อาซิง!” เซินเฟยตะคอกเสียงเข้มเมื่อเห็นว่าหวางซิงเริ่มถอดเสื้อของเขาออกอีกครั้ง เพราะหวางซิงเป็นคนสนิทที่เขาให้ความรักและเคารพกว่าใคร ๆ รองแต่เพียงซากุระเท่านั้น จึงไม่กล้าที่จะลงไม้ลงมือด้วยกำลัง ทำได้เพียงขู่ด้วยเสียงเท่านั้น

แต่หวางซิงกลับไม่ฟังเสียง เขาข่มกลั้นความจงรักในหัวใจและกลั้นใจดึงเสื้อของเซินเฟยออกจนพ้นตัวก่อนจะเลื่อนมือลงไปดึงกางเกงยางยืดจนพ้นสะโพก

“อาซิง! หยุดนะ!” เซินเฟยดิ้นรนด้วยการผลักอีกฝ่ายออก ทว่าเพราะหวางซิงเป็นคนทับอยู่ด้านบน ด้วยน้ำหนักตัวจึงไม่อาจสู้ได้อยู่แล้ว

“ได้โปรด...อยู่เฉย ๆ เถอะครับ” หวางซิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนเซินเฟยใจหาย แต่ไหนแต่ไรมา เสียงที่หวางซิงใช้กับเขาจะแฝงไว้ด้วยความเทิดทูนสุดหัวใจ และต่อเมื่อหวางซิงกำลังหลดกางเกงตนเองลงเพื่อปลุกเร้าให้ตัวเองนั้น เซินเฟยก็มาถึงจุดสิ้นสุดของความอดทน เขาตวัดมือตบหน้าหวางซิงฉาดใหญ่จนใบหน้านั้นสะบัดไปอีกทางตามแรงกระทบ การกระทำของเซินเฟยทำให้ทุกอย่างนิ่งสงบไปชั่ววินาที

“ได้สติหรือยัง? ลุกออกไปซะ ผมไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์” เซินเฟยพูดจบก็ขยับตัวถอยหมายจะสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ทว่า หวางซิงที่หันกลับมาไม่แม้แต่จะคลำแก้มตนเองที่คงจะแดงเป็นปื้น กลับคว้าเอาตัวเซินเฟยลงมานอนราบแล้วกัดฟันดึงดันแทรกตัวเข้าไปในช่องทางที่ยังไม่ทันถูกตระเตรียม ความเจ็บจากการถูกขยายกะทันหันทำให้เซินเฟยขบกรามจนแน่นและเบิกตากว้างพยายามกลั้นลมหายใจตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

การร่วมรักที่ทุลักทุเลเพราะคนรุกไร้ประสบการณ์ คนรับก็ไม่ได้เต็มใจทำให้เซินเฟยแทบจะกัดลิ้นตัวเองหลายครั้ง ทั้งเจ็บปวดทรมานไม่ต่างจากตอนที่โดนฉู่เหวินจือข่มขืนสักนิด เพียงแต่ว่าตอนนั้นสติของเขาพร่าเลือนเต็มที ตอนนี้สติของเขากลับแจ่มชัดเสียจนอยากจะเอาหัวโขกผนังให้สลบไปเสียเลย

ใช้เวลายื้อยุดอยู่นานกว่าที่การร่วมรักที่เหมือนจะเป็นการลงทัณฑ์จบสิ้นลง ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครที่ได้ปลดเปลื้องสมใจ แต่หว่างขาเซิยเฟยกลับเกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดที่ไหลซึมออกมาตามรอยปริแยก เขาแทบไม่มีแรงขยับตัวเพราะแค่คิดจะลุกขึ้นท่องล่างก็ปวดระบมขึ้นมาเป็นริ้ว

หวางซิงลุกขึ้นเงียบ ๆ แล้วเดินหายไป สักครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมอ่างที่บรรจุน้ำจนเต็มและผ้าขนหนู

ไฟดวงสีเหลืองอ่อนถูกเปิดขึ้นเพื่อให้หวางซิงเห็นอะไรได้ชัดเจน ทว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นบนร่างของเซินเฟยทำให้หวางซิงคิดว่าไม่เปิดเสียยังจะดีกว่า

บนผิวซีดขาวมีรอยฟกช้ำจากการยื้ดยุดต่อสู้ปรากฏเป็นจ้ำหลายจุด ริมฝีปากเซินเฟยถูกขบด้วยฟันคมของตนเองจนแตกเลือดซิบ นัยน์ตาของเซินเฟยเหลือบขึ้นด้านบนอย่างคั่งแค้นแต่ไม่มีน้ำตาออกมาแม้สักหยด หวางซิงกลั้นใจก้มลงมองจุดที่เกิดความเสียหายมากที่สุด ช่องทางที่รองรับอารมณ์บวมแดงและเปรอะไปด้วยหยาดเลือดสีแดงสดที่ไหลหยดลงบนผืนผ้าสีขาวไม่ต่างกับเลือดแรกของหญิงพรหมจรรย์ เพียงแต่....ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นต่างกันมากนัก ต่างกันมากทั้งทางร่ายกายและจิตใจ

เซินเฟยหายใจแรงจนได้ยินเสียงชัดเจนท่ามกลางบรรยากาศที่กดดันพาให้อึดอัดหายใจแทบไม่ออก

หวางซิงใช้ผ้าสะอาดค่อย ๆ ชุบน้ำหมาด ๆ แล้วเช็ดบาดแผลอย่างเอาใจใส่ แค่เพียงกล้ามเนื้อกระตุกเกร็งสักน้อยก็ไม่มี

การที่เซินเฟยต้องเจ็บถึงอย่างนี้ใช้ว่าหวางซิงจะไม่รู้สึกอะไร หัวใจของเขาปวดร้าวยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ได้แต่คิดในใจว่าไม่ว่าจะถูกลงโทษเช่นไรก็เต็มใจจะก้มหน้ารับด้วยความเต็มใจ เพราะหากเซินเฟยสามารถออกปากลงโทษเขาได้ก็หมายความว่าจูเชว่ผู้เฉียบขาดคนเดิมได้กลับมาแล้ว

หลังจากทำความสะอาดเสร็จ หวางซิงก็ออกไปจากห้องแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกล่องยา เขาบรรจงชะโลมยาลงบนแผลอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยจึงเก็บของทั้งหมดออกไปแล้วเดินเข้ามาคุกเข่าข้างเตียงอย่างเงียบ ๆ ในมือของเขามีแก้วน้ำอยู่ใบหนึ่งกับยาอีกเม็ด

“ออก.....ไป.....” เซินเฟยเค้นเสียงลอดไรฟัน

“ยาแก้อักเสบครับ” หวางซิงกล่าวเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“หูหนวกหรือยังไง!” เซินเฟยคำรามออกมาก่อนจะหายใจแรงเมื่อการตะคอกทำให้กระทบลงไปถึงท้องน้อย

“ได้โปรดทานยาก่อนเถอะครับ” หวางซิงอ่อนวอนก่อนจะพยุงตัวเซินเฟยขึ้นมา ทว่าเซินเฟยกลับเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม เขายกมือปัดแก้วตกพื้นแตกกระจายแล้วลงไปนอนหอบแรง นึกโมโหร่างกายตัวเองที่บอบบางแค่โดนใช้กำลังก็ลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว

หวางซิงก้มลงเก็บเศษแก้วที่แตกกระจายโดยไม่พูดอะไร แม้จะโดนเศษแก้วบาดนิ้วก็ไม่ปริปากอุทธรณ์ให้เซินเฟยระคายหู

จากนั้นเซินเฟยก็นำผ้ามาเช็ดน้ำที่นองพื้น แต่เสียดายที่เป็นพื้นพรมจึงไม่อาจซับให้แห้งได้ ต้องปล่อยให้น้ำระเหยไปเอง หากเหลือคราบจึงค่อยมากำจัดคราบอีกทีหนึ่ง ที่น่ากลัวกว่าคือเศษแก้วที่อาจฝังอยู่กับพรม หวางซิงจึงใช้มือกวาดไปตามผิวพรมเพื่อดึงเอาเศษแก้วออกมาให้หมดเพราะหากใช้เครื่องดูดอาจทำให้เซินเฟยอารมณ์เสียขึ้นมาได้ ดังนั้นกว่าจะเก็บจนแน่ใจว่าไม่เหลือเศษแก้วแล้ว มือของหวางซิงก็เต็มไปด้วยรอยขูดขีดและเลือดที่ไหลซิบจากบางบาดแผล เลขาหนุ่มลุกขึ้นนำเศษแก้วไปทิ้งถังขยะ แต่เขาก็พบว่าเซินเฟยยังนอนเบิกตาโพลงจ้องมองเพดานอยู่อย่างนั้น ไม่ได้หลับไปดังคาด

หวางซิงเดินไปคุกเข่าลงตรงปลายเตียงแล้วประคองเท้าของเซินเผยขึ้นมาอย่างเบามือก่อนจะจูบเบา ๆ แสดงถึงความเคารพเทิดทูนอย่างสูงสุด

เซินเฟยกัดฟันพยุงตัวเองขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนก่อนจะออกแรงถีบหวางซิงออกไปให้พ้นตัว

“กล้าดีนักนะ......” เขาพูดพลางหอบก่อนจะยิ่งเดือดมากขึ้นเมื่อเห็นหวางซิงก้มหน้าลงรอรับโทษแต่โดยดี ไม่มีคำแก้ตัวแม้สักคำ “ก็ดี....ดีมาก.......” เซินเฟยขบฟันแรงจนกรามแทบแตก

ตอนนี้ความโกรธบดบังความนับถือที่เซินเฟยเคยมีแทบหมดสิ้น คนสุดท้ายที่เขาเคยคิดว่าจะทำร้ายเขาก็คือหวางซิง แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครหน้าไหนมันก็เหมือนกันไปหมด!

“นักสืบมู่.....ทำงานได้ดีเกินคาด คำขอนั่น....เขาสมควรจะได้รับ.....” เซินเฟยพูดพลางหอบหนัก พอขยับตัวก็รู้สึกเจ็บจี๊ดจนถึงก้านสมองแต่ก็ยังฝืนพูดต่อไป “ใช่ไหม.....อาซิง?”

“เข้าใจแล้วครับ” หวางซิงรับเรียบ ๆ ก่อนจะถอยออกไปจากห้องโดยไม่ต้องให้สั่งซ้ำสอง กระนั้นก็ยังไม่ลืมปิดไฟแล้วกล่าว “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

เซินเฟยทิ้งตัวลงนอนอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ความเหนื่อยล้าที่คิดว่าหายไปแล้วโถมทับเข้ามาในหัวใจราวกับว่าเขื่อนกั้นได้พังทลายลงและปล่อยให้สิ่งที่ปิดกั้นไว้ไหลทะลักออกมาจนท้นท่วม หยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลลงจากหางตา ทั้งที่เขาพยายามเก็บกลั้นเอาไว้แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำให้มันแห้งเหือด ทำได้เพียงแค่ชะลอการหยาดไหลของมันเท่านั้น

เหมือนกับถูกกระชากออกมาจากความฝันไม่มีผิด....

“ปลุกกันรุนแรงเกินไปแล้ว.....” เซินเฟยพึมพำในลำคอแล้วหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาหยาดไหลหยดแล้วหยดเล่าโดยไม่สนใจจะเช็ดมันออกจากแก้มแต่อย่างใด

----------------------->

มู่อี้จิงยืนค้างอยู่หน้าประตูเมื่อพบว่าคนที่เพิ่งกลับไปเมื่อตอนเย็นมาหาเขาที่ห้องอีกครั้ง ซ้ำยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะมาเยี่ยมใคร เรื่องนี้อีกฝ่ายน่าจะรู้ดี มู่อี้จิงจึงได้รู้สึกแปลกที่คนเคร่งครัดอย่างหวางซิงมากดออดเอาดึกดื่นป่านนี้ ซ้ำท่าทางก็ดูไม่สู้ดีนัก เสื้อผ้ายังไม่เรียบร้อย ชายเสื้อบางส่วนหลุดออกมานอกกางเกงแสดงถึงความเร่งรีบรวบรัดในการสวมใส่ เข็มขัดไม่ได้สวม ทั้งกระดุมยังกลัดเพียงไม่กี่เม็ด บางเม็ดก็หลุดออกไปเสียด้วยซ้ำ หากไม่นับรวมแว่นตาที่อยู่ในสภาพดี มู่อี้จิงก็นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายไปฟัดกับใครหรืออะไรมา

สีหน้าของหวางซิงดูไม่ได้นิ่งขรึมอย่างปกติ อีกฝ่ายทำหน้าราวกับว่าโลกแตกสลายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันนิ่งสนิท เบ้าตามีน้ำคลออยู่แต่ไม่ได้ไหลออกมา แก้มข้างหนึ่งมีรอยแดงช้ำและบางจุดมีรอยถูกเล็บเกี่ยว

มู่อี้จิงเชิญอีกฝ่ายเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู เขาไม่กล้าถามให้มากความ แต่ว่าเมื่อหวางซิงเข้ามาแล้ว เจ้าตัวกลับถอดเสื้อออกเสียอย่างนั้น

“เดี๋ยว! นี่คุณจะทำอะไรน่ะ!” มู่อี้จิงดึงเสื้อกลับเข้าที่ ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากจะคิดลึกเกินเหตุ ผู้ชายแก้ผ้าต่อหน้ากันเป็นเรื่องที่เรียกได้ว่าปกติที่สุดในโลก แต่พอเป็นหวางซิงที่แต่งตัวเนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว แม้แต่เสื้อยืดก็ไม่เคยสวมใส่ ซ้ำตอนกลางวันยังมาถามเรื่องแบบนั้นกับเขา แม้จะเป็นผู้ชายที่ซื่อบริสุทธิ์ก็คงจะรู้สึกขึ้นมาได้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติ

“คุณเซินบอกว่า....พิจารณาคำขอของคุณแล้วครับ” หวางซิงพูดเสียงเรียบ ๆ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“คำขอ?” มู่อี้จิงทวนคำแล้วมุ่นคิ้วก่อนจะก้มลงมองมือของหวางซิงที่เลื่อนขึ้นมาบนแผ่นอก ทันใดนั้นเขาก็รีบจับมือทั้งสองข้างขึ้นมามองให้ชัด ๆ “แผลพวกนี้มาจากไหนน่ะครับ?”

ทั้งที่ตอนออกไปยังไม่มีแท้ ๆ แต่ตอนกลับมานิ้วกลับมีแต่รอยขีดข่วน บางแผลก็เลือดซึม และบางนิ้วมีปลาสเตอร์ปิดไว้

“เอ่อ...ผม.....” หวางซิงอึกอักแล้วดึงมือกลับ “ผมทำแก้วแตก”

มู่อี้จิงไม่ใคร่เชื่อนัก เขารุนหลังให้หวางซิงไปนั่งบนเก้าอี้แล้วหยิบกล่องปฐมพยาบาลฉุกเฉินออกมา แน่นอนว่าความพรักพร้อมของอุปกรณ์ไม่อาจเทียบกระเป๋ายาส่วนตัวของหวางซิงได้ แต่เทียบกับคนปกติก็ถือว่าเป็นกระเป๋าปฐมพยาบาลที่พร้อมสรรพแล้ว

มู่อี้จิงจัดการใส่ยาฆ่าเชื้อให้บนแผล รวมถึงแผลที่เจ้าตัวปิดปลาสเตอร์ไว้ด้วย มองไปก็เห็นว่าเป็นรอยถูกแก้วบาดจริง ๆ แต่หวางซิงไม่น่าจะเป็นคนซุ่มซ่ามถึงขนาดนั้น

เขาปิดปลาสเตอร์ให้ใหม่อย่างเรียบร้อยก่อนจะนั่งเอนตัวบนโซฟา ความจริงแล้วเขากำลังจะนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำงาน ไม่คิดว่าจะถูกรบกวนกลางดึกจึงรู้สึกง่วงอยู่นิด ๆ

“ว่าแต่ จูเชว่ฟังคำขอไหนของผมล่ะ?” ช่วงนี้สถานการณ์ทางนั้นดูปกติดีจึงไม่มีงานให้เขาเข้าไปแทรกแซงมากนัก อยู่ ๆ เซินเฟยคิดจะใจดีอะไรขึ้นมาถึงให้รางวัลคนที่ไม่ได้ทำงานอย่างเขา

“คุณเคยบอกว่า อยากจะนอนกับผมไม่ใช่หรือครับ?” หวางซิงพูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่

“เรื่องนั้นผมก็บอกแล้วว่า....”

“กรุณานอนกับผมเถอะครับ” โดยไม่รอให้ปฏิเสธ หวางซิงก็โผเข้าใส่มู่อี้จิง แต่ว่าเพราะขนาดตัวที่ต่างกันรวมถึงแรงกาย สิ่งที่หวางซิงทำจึงเป็นเพียงการโผเข้าไปซบอยู่บนอกของมู่อี้จิงที่ขืนตัวไว้ทัน “ได้โปรด....นอนกับผมเถะครับ” หวางซิงอ้อนวอนจนมู่อี้จิงใจอ่อนยวบ กระนั้นเขาก็ไม่คิดว่าการทำตามคำขอนั้นจะเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อีกฝ่ายกำลังสั่นเป็นลูกนกแบบนี้ใครจะไปทำลง

“คุณทะเลาะกับจูเชว่มาหรือครับ?” ทันทีที่มู่อี้จิงถามออกไป เสียงสะอื้นฮักก็เล็ดรอดออกมาให้ได้ยิน ของเหลวอุ่นหยดใส่แผ่นอกเปล่าเปลือยของเขา ชายหนุ่มลนลานตกใจทำอะไรไม่ถูก เขารีบดึงหวางซิงขึ้นนั่งแล้วโอบกอดเอาไว้หลวม ๆ “นี่เดี๋ยวสิ! ทำไมอยู่ ๆ ก็ร้องไห้ได้ล่ะ!”

หวางซิงยังคงร้องไห้ต่อไปโดยไม่พูดอะไร เขายกแขนเสื้อขึ้นป้ายน้ำตาแล้วถอดแว่นออก มู่อี้จิงถอนหายใจเฮือก ลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะพูดอะไรดี เกรงว่าหากพูดอะไรผิดหูเข้าอีกหวางซิงคงร้องไห้หนักกว่าเดิม ถึงตอนนั้นคืนนี้เขาคงหมดหวังจะได้นอนเป็นแน่

ชายหนุ่มถอนหายใจอีกเฮือก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 28-02-2011 13:10:26
ความจริงแล้วก่อนที่หวางซิงจะมาแค่แปบเดียว ก็มีคนโทรเข้ามาหาเขา เบอร์โทรดูไม่คุ้นตาเขาก็ลองกดรับดู ก่อนจะจำเสียงต้นสายได้ในทันที เป็นเสียงของจูเชว่ไม่ผิดแน่ อีกฝ่ายบอกเขาแค่ว่าอีกเดี๋ยวหวางซิงจะมาหาและบอกให้ดูแลให้ด้วย ซ้ำยังกำชับว่าอย่าบอกหวางซิงเด็ดขาดว่าตนเองโทรมา ก่อนจะวางสายไปโดยไม่รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธ มู่อี้จิงรู้สึกว่าโทนเสียงของจูเชว่ฟังผิดหูไปคล้ายกับว่าเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ

จูเชว่น่ะหรือจะร้องไห้?

ตอนนั้นเขาคิดแบบนั้นจริง ๆ ถึงแม้จะรู้เต็มอกว่ามาเฟียก็เป็นคนที่มีหัวใจ แต่เขาก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงที่เพิ่งผ่านการร้องไห้ของคนที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้น

แต่พอมาเห็นหวางซิง เขาก็เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่อาจรู้เหตุผล สำหรับจูเชว่คนนั้น หวางซิงเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่น ๆ ถ้าหวางซิงถึงกับหลั่งน้ำตาแบบนี้คงจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่

“ให้ตายสิ....คุณแก่กว่าผมอีกนะ มาร้องไห้ซบอกแบบนี้ไม่รู้สึกอายหรือ?” เพราะไม่รู้จะพูดอะไรให้บรรยากาศตึงเครียดคลายลง เขาจึงเลือกจะลองหยอดดู แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว หวางซิงกลับซุกหน้าฝังกับบ่าเขาแน่นขึ้นแล้วสะอื้นฮักออกมาอีกครั้ง มู่อี้จิงจึงตัดสินใจว่าปิดปากเงียบเสียจะดีกว่า

นายบ่าวคู่นี้นี่....ช่างขยันนำเรื่องปวดหัวมาให้คนอื่นเสียจริง....

มู่อี้จิงบ่นอุบอยู่ในใจ

“คืนนี้คุณจะนอนที่นี่หรือเปล่า?” จริงอยู่ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยเหมาะที่จะถาม แต่มู่อี้จิงเองก็เป็นมนุษย์ปุถุชนที่ต้องกินต้องนอน และตอนนี้มันก็เลยเวลานอนปกติของเขาไปมากแล้ว

หวางซิงพยักหน้ารับเงียบ ๆ

“ถ้าอย่างนั้นคุณนอนบนเตียงก็แล้วกัน” มู่อี้จิงกล่าวพร้อมกับดึงอีกฝ่ายให้ลุกตามก่อนพาเดินไปยังเตียงนอนที่อยู่ในห้องเล็ก ๆ มีประตูเชื่อมกับห้องนั่งเล่น หวางซิงยอมขึ้นนอนแต่โดยดีเมื่อเห็นว่าในห้องนอนมืดพอที่อีกฝ่ายจะไม่เห็นใบหน้าที่น่าสมเพชของตัวเอง มู่อี้จิงหยิบแว่นที่เจ้าของถอดทิ้งไว้เข้ามาด้วย เขาวางมันไว้บนตู้เล็กที่เขาใช้เก็บของจิปาถะก่อนเดินเข้ามาห่มผ้าให้แขกยามวิกาล

“แล้วคุณจะนอนที่ไหน?” หวางซิงกลั้นสะอื้นแล้วเอ่ยถาม เตียงของมู่อี้จิงไม่ได้กว้างใหญ่นัก ขนาดเพียงผู้ชายตัวโต ๆ นอนได้คนเดียว ซึ่งปกติมู่อี้จิงก็นอนคนเดียวเป็นประจำ

“ผมจะไปนอนที่โซฟา” ชายหนุ่มกล่าวตอบแต่กลับโดนหวางซิงดึงมือไว้

“ผมไปเองดีกว่า ยังไงที่นี่ก็ห้องของคุณ” หวางซิงลุกขึ้น

“แต่คุณเป็นแขกนะ” มู่อี้จิงมุ่นคิ้ว สถานการณ์ที่แขกกับเจ้าบ้านแย่งกันนอนโซฟานี้มีให้เห็นในหนังแทบทุกเรื่อง แต่เขาไม่คิดว่าจะมาเกิดเอากับตัวเองจึงไม่เคยคิดล่วงหน้าว่าหากเกิดขึ้นเขาจะเลือกนอนที่ไหน

“แต่ว่า.....”

“งั้นนอนด้วยกันนี่แหละ” มู่อี้จิงหมดอารมณ์เล่นแง่ เขาง่วงจนตาแทบปิดจึงเลือกทางที่สามอย่างที่หนังหลายเรื่องมักจะเลือก ก่อนจะเบียดตัวขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วดึงหวางซิงให้เข้ามานอนชิดกันจะได้ไม่ถูกเบียดตกลงไปกองข้างล่าง อาจจะนอนไม่สบายตัวอยู่สักหน่อยแต่ก็ดีกว่าเอาแต่ถกเถียงกันจนไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะหวางซิงเองก็หัวแข็งใช่ย่อยคงไม่ยอมง่าย ๆ เหมือนกัน

หวางซิงเป็นคนนอนตรงเวลาเสมอจึงหลับไปอย่างรวดเร็วในขณะที่มู่อี้จิงนั้นปกติเป็นคนประสาทแข็งหลับยากอยู่ล้วกลับโดนปลุกขึ้นมาฟังคนร้องไห้กลางดึกจึงต้องกระสับกระส่ายด้วยความไม่สบายตัวอยู่นานกว่าจะหลับไปได้โดยกอดหวางซิงเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยเกรงว่าเขาอาจเผลอถีบอีกฝ่ายตกเตียงตอนพลิกตัว

ในตอนเช้า หวางซิงซึ่งไม่มีเสื้อผ้าจะเปลี่ยนจำต้องขอยืมเสื้อผ้าของมู่อี้จิงที่ค่อนจะหลวมไปสักเล็กน้อยมาสวมใส่ก่อนเพื่อกลับไปเอาชุดที่บ้าน หวางซิงขอให้มู่อี้จิงไปหลัง 7 โมงเพราะเวลานั้นเซินเฟยน่าจะออกจากบ้านแล้วทำให้มู่อี้จิงต้องยอมไปทำงานสายสักวันหนึ่ง หลังจากหวางซิงกลับไปเปลี่ยนชุดเรียบร้อย มู่อี้จิงก็ขับมาส่งถึงที่ทำงานซึ่งก็สายกว่าเวลาเริ่มงานไปเล็กน้อย หวางซิงเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ

“ถ้าคุณมีอะไรที่ผมตอบแทนได้ก็บอกได้เลยนะครับ” เขากล่าวขณะยืนอยู่ข้างรถของมู่อี้จิง

“ถ้าอย่างนั้น คราวหลังเวลาคุณจะมาร้องไห้ก็ช่วยมาตอนหัวค่ำหน่อยก็แล้วกัน” มู่อี้จิงเย้าทำให้หวางซิงหน้าแดงวูบด้วยความขัดเขิน

หลังจากนั้นมู่อี้จิงก็รีบขับรถไปทำงานทันที ส่วนหวางซิง....เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ที่หน้าบริษัท ไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าอย่างไรตอนที่พบเซินเฟยอีกครั้ง แต่ว่า....เซินเฟยจะยอมให้เขาพบอีกน่ะหรือ? เมื่อคืนนี้ไม่ถูกทำโทษรุนแรงก็นับว่าโชคดีอย่างเหลือแสนแล้ว ก่อนหน้านี้ฉู่เหวินจือก็ถูกนำไปล่ามไว้ที่ห้องใต้ดินแล้วเฆี่ยนเสียจนหลังยับ สำหรับเขา...ถือว่าเซินเฟยอ่อนข้อให้มากจริง ๆ

หวางซิงสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ แล้วฝืนใจลากเท้าที่หนักอึ้งเดินเข้าไปในบริษัทที่เขาเคยคิดว่าคุ้นชิน แต่ตอนนี้แค่ทางเดินหน้าล็อบบี้ยังดูห่างไกลจนแทบจะไร้ที่สิ้นสุด ลิฟต์พิเศษที่ใช้ขึ้นไปยังห้องประธานก็รู้สึกอึดอัดทั้งที่กว้างขวางดี

สุดท้ายการเดินทางก็สิ้นสุดลง หวางซิงมายืนอยู่หน้าห้องของประธานเครือตระกูลเซินจนได้ ประตูไม้ขัดเงาเบื้องหน้าดูสูงใหญ่ทะมึนและแผ่รังสีกดดันออกมาอย่างน่ากลัว แม้จะรู้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงอุปทานของตัวเองแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงความโกรธเคืองของเซินเฟยเมื่อพบหน้ากัน แต่ว่า....ให้โกรธเสียก็ยังดีกว่าเย็นชากระมัง หากว่าเซินเฟยทำเป็นเหมือนว่าไม่มีเขาอยู่ในโลกอีกแล้วเขาจะทำยังไงดี....

คิดไปก็ทำอะไรไม่ได้....หวางซิงตัดสินใจเคาะประตู

“ใคร”

เสียงที่ผ่านบานประตูออกมาเยียบเย็นจนน่าใจหาย

หวางซิงกัดริมฝีปากก่อนจะเอ่ยตอบ

“หวางซิงครับ”

เสียงในห้องเงียบไปนาน ทำให้หวางซิงที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ถึบกับกลั้นหายใจตามไปด้วย ใจหนึ่งก็กลัวว่าเซินเฟยจะเงียบไปอย่างนั้นเลย แต่อีกใจก็กลัวจะถูกขับไล่ไสส่ง

“เข้ามา” ในที่สุดเซินเฟยก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง หวางซิงสะดุ้งจนตัวลอยก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้วยความสำรวมอย่างถึงที่สุด ทว่าก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเซินเฟยพูดต่อ “ทำไมถึงมาสาย เดี๋ยวนี้เริ่มจะหัดเถลไถลแล้วหรือ อาซิง?”

“ขอโทษครับ....” หวางซิงตอบก่อนจะปิดประตูแล้วค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองบุคคลเบื้องหน้า แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางกระจกผนังทำให้ใบหน้าของเซินเฟยถูกบดบังด้วยแสงสลัวราง เพิ่มบรรยากาศกดดันให้กับคนที่มีชนักติดหลังเช่นเขาจนเผลอกำมือแน่น เซินเฟยนั่งไขว่ห้าง ประสานมือโดนยันศอกกับโต๊ะแล้ววางปลายคางลงบนหลังมือที่ประสานเข้าหากัน นัยน์ตาเฉียมคมประดุจตาพญาหงส์จับจ้องเลขาของตนนิ่งงันจนหวางซิงรู้สึกเหมือนถูกมองทะลุไปถึงไขสันหลัง เขาอดไม่ได้ที่จะสะท้านขึ้นมา

“เรื่องที่สั่งไป ได้ทำหรือยัง?” ริมฝีปากของเซินเฟยเปล่งเสียงทรงอำนาจออกมา น้ำเสียงที่น้อยครั้งจะใช้กับคนสนิทชิดเชื้อ

“คุณมู่ปฏิเสธครับ.....” เมื่อตอบออกไปแล้วหวางซิงก็ได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ เตรียมใจรับบทลงโทษต่อไปที่เซินเฟยจะมอบให้

“อ้อ” เซินเฟยรับคำในคอแล้วเอนตัวพิงพนักสูง “แล้ววันนี้มีอะไรบ้าง?” เสียงของเซินเฟยผ่อนคลายลงทั้งยังไม่ซักถามเรื่องเมื่อคืนแม้สักนิด หวางซิงยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระวีกระวาดหยิบสมุดบันทึกขึ้นมากวาดมองกำหนดการณ์ของวันนี้

เวลาในการรายงานกำหนดการณ์ประจำวันใช้ไปไม่มากนัก หวางซิงพูดจบก็ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ว่าเซินเฟยจะสั่งการอะไรต่อไป

“ออกไปได้แล้ว”

“....ครับ...” หวางซิงรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าเซินเฟยไม่คิดคาดโทษอะไรต่อ แต่ว่าแค่เปิดประตูออกไปเท่านั้น ร่างสูงของฉู่เหวินจือก็สวนเข้ามา ชายหนุ่มแย้มยิ้มให้หวางซิงเล็กน้อยก่อนจะปิดประตูลงเมื่อหวางซิงพ้นกรอบออกไป

ฉู่เหวินจือเดินตรงเข้าไปหาเซินเฟยที่กำลังอ่านเอกสารบนโต๊ะอยู่

“มีอะไร?” เซินเฟยถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง

“เหล่าโหวให้ผมมารายงานว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เรียบร้อยแล้วครับ” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างแล้วเดินอ้อมโต๊ะไปยืนข้างๆ ก่อนจะโน้มศีรษะลงจนแนบใบหู “แล้วผมจะขอรางวัลได้ไหม?”

เซินเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อย

“รางวัลแบบไหนกันล่ะ?” เขาหมุนเก้าอี้มาเผชิญหน้ากับฉู่เหวินจือแล้วเหลือบตาขึ้นมอง พฤติกรรมที่แปลกไปให้ความรู้สึกสงสัยกับชายหนุ่มว่าคืนที่เขาออกไปทำงานข้างนอก เกิดอะไรขึ้นกับเซินเฟยกันแน่ ทั้งที่หากเป็นปกติ เซินเฟยคงขมวดคิ้วแล้วหาข้ออ้างไปแล้ว

“คุณคิดว่าแบบไหนดีล่ะครับ?” ถึงจะเป็บแบบนั้น ฉู่เหวินจือก็ไม่ได้นึกใส่ใจมากมาย เขาโน้มใบหน้าลงอีกนิดหนึ่งแล้วสัมผัสริมฝีปากกับปลายจมูกของผู้เป็นเจ้านาย เหมือนกับเวลาที่สุนัขออดอ้อนขอความรักและรางวัลที่สามารถทำงานได้ตามสั่ง

“ฉู่เหวินจือ นายเป็นสุนัขของฉันใช่ไหม?”

“ครับ” ฉู่เหวินจือรับพลางเลิกคิ้ว

“ถ้าอย่างนั้น นายกล้าดียังไงถึงยืนค้ำหัวฉัน ฉันไม่เคยฝึกสุนัขให้คร่อมเหนือหัวเจ้านาย เข้าใจไหม?” เซินเฟยเพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดออกมาเช่นนั้น ปลายเท้าของเขาสะกิดขาฉู่เหวินจือเป็นสัญญาณทางกายให้กระทำตามคำสั่ง ฉู่เหวินจือจึงคุกเข่าลงแล้วเงยหน้ามองเซินเฟยที่กำลังจ้องมองตอบด้วยท่าทางที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ฉู่เหวินจือคุกเข่าเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เซินเฟยก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง เขายกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงไปที่หว่างขาของชายหนุ่ม แม้ไม่ได้แรงนักแต่ก็ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งพลางเบ้หน้า

“พอจะรู้สถานะตัวเองแล้วหรือยัง?” เซินเฟยเอ่ยถามเสียงเรียบ

“ครับ”

ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเซินเฟยทำให้ฉู่เหวินจือจำต้องใช้สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วว่ามีเหตุผลใดบ้างที่ทำให้คน ๆ นี้เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ แตกต่างจากเซินเฟยทั้งตอนเจอกันครั้งแรกและเมื่อเร็ว ๆ นี้ ราวกับว่า.....ฉู่เหวินจือยิ้มกับตัวเอง

เหมือนนกที่ผลัดขนกระมัง....

ที่เขาคำนวนไว้ เซินเฟยน่าจะเติบโตได้ช้ากว่านี้พอสมควร ไม่คิดว่าคืนเดียวที่เขาหายไปจะเกิดอะไรรอดหูรอดตาเขาขึ้นมาได้ซ้ำยังมีอิทธิพลต่อเซินเฟยมากถึงขนาดนี้

“ถึงนายจะเป็นสุนัขของฉันก็อย่าเหลิงเกินไปนัก”

“ครับ”

“ดี” เซินเฟยโน้มตัวลงแล้วเชยคางฉู่เหวินจือขึ้น “งั้นฉันจะให้รางวัลที่นายต้องการ” ว่าแล้ว เซินเฟยก็ทาบจูบลงบนริมฝีปากอุ่นที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายรุกเร้าเขามาตลอด เพียงครู่เดียวเซินเฟยก็ผละออกแล้วยืดตัวตรง

“ไปได้แล้ว”

ฉู่เหวินจือรับคำด้วยรอยยิ้มก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปตามคำสั่ง ที่หน้าห้องนั้นเขาเห็นหวางซิงกำลังยืนอิงผนังคล้ายว่าฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องอยู่ตลอด ฉู่เหวินจือแย้มรอยยิ้มให้กับหวางซิงโดยไม่แสดงท่าทีว่าเดือดร้อนกับการเปลี่ยนแปลงของเซินเฟยแม้แต่น้อย

“คงเป็นคุณล่ะมั้ง” เขาเปรยออกมา คนที่มีอิทธิพลกับเซินเฟยถึงขนาดนั้นคงไม่พ้นเลขาที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้ปกครองคนนี้ ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างขึ้น “ผมจะดูต่อไปว่าคุณทำอะไรได้อีก” ว่าจบ ฉู่เหวินจือก็หัวเราะเสียงต่ำในคอแล้วเดินจากไป หวางซิงถอนหายใจเฮือกแล้วยิ้มบาง...

อย่างน้อยความเย็นชาที่เขาได้รับกลับมาก็ไม่เสียเปล่าเสียทีเดียว....

TBC


-----------------------

เอิ่ม ฉู่หึง....ไม่ดีมั้งคะ คนอย่างฉู่คงหึงเงียบได้น่ากลัว 555+
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 28-02-2011 14:56:58
อาซิงทำอารายลงปายยยยยยยยยยย
กรี๊ดดด มีอะไรก็เคลียร์ด่วนน!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: daizodiac ที่ 28-02-2011 15:09:06
เฮ้ออ สงสารเซินเฟย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 28-02-2011 15:24:01
 :a5: อาซิง ทำไมไม่ศึกษาวิธีรุกมาให้ดีก๊อนนนน

ต่อไปคุณเซินจะเป็นนางพญาแล้วใช่มั้ย คุณฉู่เสร็จแน่ๆ(รึป่าว)

 :3123:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงŪ
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 28-02-2011 15:47:11
อาซิงเป็นคนสุดท้ายในโลกที่เราคิดว่าจะทำร้ายอาเซินได้  แต่ตอนนี้ก็เป็นไปแล้ว
อาฉู่นึกรู้  แต่ก็คงนึกไม่ถึงว่าอาซิงจะใช้วิธีการนี้เรียกสติจากอาเซิน
หากอาฉู่รู้  อาซิงจะเป็นยังงัย  ตกลงใครเป็นพระเอกแน่วะ 
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 28-02-2011 16:09:47
อยากอ่านอีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: yakusa ที่ 28-02-2011 17:25:39
วันนี้อ่านแล้วปวดตับ  :เฮ้อ: ขอน้ำหวานกินแก้มาม่าบ้างได้ปะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Miyabi ที่ 28-02-2011 17:40:39
ปวดตับด้วยคน สงสารเซินเฟย  :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: IRIS ที่ 28-02-2011 17:58:02
ขอบคุณค่า..

อ่านตอนนี้แล้วเกลียดอาซิงมากอ่ะ..ถึงหวังดีแต่ก็ไม่ควรทำแบบนี้..อาเซินไม่ใช่วันทองนะถึงได้มีสองผัวในเวลาเดียวTT

อาฉู่หึงแล้วน่ากลัวขนาดไหนน๊า..อยากเห็นจัง..
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 28-02-2011 19:32:57
 :sad3: :sad3: :sad3:อาซิงงงงงงงงงงงงงง  ไหงทำงี้

แต่อีตาฉู่โคตรน่าสงสัย

เปลี่ยนพระเอกเลยเอาอาซิงเป็นแทน

ปล.ล้อเล่นจ้าเค้าว่าเป็นคุณฉู่ก็เหมาะและ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 28-02-2011 20:51:21
 :a5:

:angry2:ทำไมอาซิงถึงทำอย่างนี้ ถึงจะทำไปเพราะความหวังดีก็เถอะ แต่มันเป็นความหวังดีที่โหดร้ายมากอ่ะ :z3:

 :o12:

 :m16:อยากเห็นฉู่เหวินจือหึงโหดซะแล้วซิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 28-02-2011 22:16:57
อาซิง~ทำไมไม่เป็นรับ เอ่อ...ไม่ใช่แล้ว ทำไมถึงทำแบบนั้น !?
ถึงจะประสงค์ดีแต่การกระทำไม่ต่างจากการทรยศต่อความเชื่อใจ
เสี่ยวเฟยเจ็บใจ อาซิงเสียใจ ปวดร้าวกันทั้งคู่ งานนี้ต้องโทษตาฉู่ใช่ไหมเนี่ย?

ถึงตอนนี้จะดราม่าสะเทือนอารมณ์ แต่ซีนของน้องมู่กับอาซิง ทำเรายิ้มได้ซะงั้น ยังไง ๆ ก็เชียร์คู่นี้อ่ะ !!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: erascal ที่ 01-03-2011 03:23:36
ปกติเป็นผีบอร์ดเฉยๆ แต่อ่านตอนล่าสุดแล้วอดมาให้ความเห็นไม่ได้

คนอื่นๆอาจจะเห็นว่าเซินเฟยน่าสงสาร ด่าหวางซิงที่ทำร้ายคนสำคัญของตัวเองได้ลงคอ
เราเองก็ไม่ชอบวิธีการของหวางซิง แต่เรื่องที่เกิดขึ้น เราว่าหวางซิงน่าสงสารสุด
เซินเฟยเจ็บปวด เซินเฟยโทษหวางซิงได้ ส่วนหวางซิงได้แต่โทษตัวเอง

ทำร้ายคนสำคัญด้วยมือตัวเองมันเจ็บนะคะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 18 (28/02/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 01-03-2011 12:27:39
ปกติเป็นผีบอร์ดเฉยๆ แต่อ่านตอนล่าสุดแล้วอดมาให้ความเห็นไม่ได้

คนอื่นๆอาจจะเห็นว่าเซินเฟยน่าสงสาร ด่าหวางซิงที่ทำร้ายคนสำคัญของตัวเองได้ลงคอ
เราเองก็ไม่ชอบวิธีการของหวางซิง แต่เรื่องที่เกิดขึ้น เราว่าหวางซิงน่าสงสารสุด
เซินเฟยเจ็บปวด เซินเฟยโทษหวางซิงได้ ส่วนหวางซิงได้แต่โทษตัวเอง

ทำร้ายคนสำคัญด้วยมือตัวเองมันเจ็บนะคะ


+1 ให้รีนี้
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
จริงๆก็นึกไม่ถึง และ ก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่อาซิงใช้  แต่เข้าใจว่าอาซิงคงสับสนและหาวิธีการที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว ณ.ช่วงเวลานั้น เข้าใจว่าเซินเฟยรับรู้และเข้าใจว่าอาซิงทำไปด้วยความหวังดีและเคารพนบไว้เหนือเกล้าแน่นอน  แต่ความเจ็บปวดมันก็ยังคงมีกับวิธีการแปลกๆของอาซิง แต่มันก็ได้ผลชะงักไม่ใช่หรือ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 01-03-2011 13:26:55
-19-




“หมั้น.....” เซินเฟยทวนคำลอย ๆ

“ครับ....เราสองคนคิดมานานแล้วว่าพอหลิงหลิงเรียนจบก็จะแต่งงานกัน แต่ว่า.....ก็เกิดอะไรขึ้นหลาย ๆ อย่างก็เลยชะลอไป” จือหยินตอบพลางมองรอบตัวด้วยความประหม่า เขารู้สึกไปเองหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่บรรยากาศของเซินเฟยดูแปลก ๆ ไปเล็กน้อย ไม่เหมือนเซินเฟยที่เขาเคยเจอเมื่อไม่กี่วันก่อนเลย

“ตอนนี้เราก็เลยหมั้นกันไว้ก่อน พอจัดการเรื่องวุ่นวายเสร็จก็จะแต่งงานกันค่ะ” หลิงหลิงพูดต่อด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจ เซินเฟยจึงหลุบตาลง เขารู้สึกอิจฉาหญิงสาวเล็ก ๆ ที่ได้ตัวจือหยินไปแต่กลับไม่ได้รู้สึกเสียวแปลบในอกเหมือนครั้งก่อน ๆ อีกต่อไป แค่รู้สึกอาลัยก็เท่านั้น....เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ไม่อาจจะได้มา ใช้เวลาอีกนิดหน่อยเขาก็คงจะเลิกรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ไปเอง

วันนี้จือหยินกับหลิงหลิงมาหาที่บ้านทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาตรวจสุขภาพตามปกติเพื่อแจ้งข่าวกับเขาว่ากำลังจะหมั้นกันในเร็ว ๆ นี้

อาการของหลิงหลิงดีขึ้นมา ตอนนี้เธอไม่ต้องไปกายภาพบำบัดแล้วและเปลี่ยนจากวอล์คเกอร์มาเป็นไม้เท้าสำหรับพยุงเดิน อีกไม่นานคงสามารถเดินได้ตามปกติ ซึ่งตอนนั้นคงจะเป็นช่วงที่จือหยินและหลิงหลิงตั้งใจจะจัดงานแต่งงาน

“วันนั้นผมคงไปไม่ได้” เซินเฟยตอบกลับ

“งั้นหรือคะ....” หลิงหลิงทำสีหน้าเสียดาย

“วันนั้นผมมีธุระนิดหน่อย แต่วันหลังผมจะทดแทนให้ก็แล้วกัน”

“ม...ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ” จือหยินรีบปฏิเสธเสียงตะกุกตะกัก “ผมไม่กล้ารบกวนคุณเซินถึงขนาดนั้นหรอกครับ”

“ตระกูลของคุณเป็นหมอประจำบ้านนี้มานานแค่ไหนแล้ว?” คำถามของเซินเฟยทำให้จือหยินชะงักไปเล็กน้อยแล้วเริ่มนับนิ้ว ตระกูลจือของเขาเริ่มทำงานให้ตระกูลเซินมาราว ๆ 3-4 รุ่นได้แล้วเท่าที่ปู่ของเขาเล่าให้ฟัง คนในบ้านของเขามีพี่น้องหลายคนทุกคนเป็นหมอกันหมด บอกว่าเป็นตระกูลผลิตแพทย์ก็ไม่ผิด และจะต้องมีสักคนหนึ่งที่ได้รับหน้าที่เป็นหมอประจำบ้านตระกูลเซินด้วย เขาเองก็ได้รับหน้าที่นี้ต่อจากพ่อซึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน นับ ๆ ดูแล้วก็หลายปีดีดักทีเดียวที่ตระกูลของเขาดูแลหัวหน้าตระกูลเซินมา

เซินเฟยเห็นจือหยินนับนิ้วอย่างเอาจริงเอาจังเช่นนั้นก็พรูลมหายใจออกมา เขาถามออกไปไม่ได้อยากได้ตัวเลขที่ชัดเจนมากมาย เพียงแค่อยากจะรู้ว่านานแล้วหรือยังเท่านั้น

“หลายรุ่นแล้วใช่ไหม?” เมื่อเห็นว่าจือหยินยังนับปีไม่หยุดเขาจึงแทรกขึ้น

“ครับ ใช่ครับ” จือหยินรีบตอบรับ

“สนิทสนมกันมานานขนาดนี้ คุณหมั้นทั้งทีจะไม่ให้ผมแสดงความยินดีเลยหรือ?” เซินเฟยเอ่ยถามเสียงนิ่งเป็นการบอกกล่าวแกมบังคับว่าเขาจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจแม้จือหยินกับหลิงหลิงจะปฏิเสธก็ตามที ทำให้หมอหนุ่มรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย เขาเองก็รู้ว่าได้รับความเอ็นดูจากจูเชว่รุ่นนี้อยู่มาก แต่ไม่เคยคาดหวังถึงขั้นว่าจะต้องมีการแสดงความยินดีทดแทนเลยสักนิด

“ขอบคุณมากครับ” จือหยินตอบอะไรไม่ออก จำต้องยอมรับคำแต่โดยดี

“ฉันก็ขอขอบคุณคุณเซินด้วยค่ะ” หลิงหลิงรีบกล่าว “เพราะคุณเซินดีกับฉันมากจริง ๆ ทั้งที่ฉันไม่เคยทำอะไรให้คุณเซินเลย”

เซินเฟยนิ่งเงียบไป ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้เป็นคนใจดีมากมายอะไรขนาดนั้น เพียงแค่จือหยินมาขอความช่วยเหลือจึงยอมให้ไปก็เท่านั้น กระนั้นเซินเฟยก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ทั้งที่ตอนนั้นเขารู้สึกค่อนข้างชัดเจนว่าจือหยินโกหกอย่างแน่นอน ไม่คิดว่าหลิงหลิงซึ่งเป็นคนรักจะบาดเจ็บจริง ๆ เขาส่งคนไปแอบดูถึงโรงพยาบาลก็พบว่าอีกฝ่ายมากายภาพตามหมอนัดทุกอย่าง

แต่ถึงจะแปลกใจอย่างไร เขาก็ไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องแบบนี้มาอ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงความยินดีกับคนที่สมควรได้รับ จือหยินทำงานของตนเองได้อย่างดีมาโดยตลอด ซึ่งเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายสมควรจะได้รับรางวัลและการเอ็นดูอย่างเหมาะสม

“ผมจะโทรบอกอีกทีก็แล้วกัน” เซินเฟยตัดบทเพราะขี้เกียจฟังคำขอบคุณซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งเวลาเขาให้อะไรใครก็นึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายต้องขอบคุณจนเกินเหตุ ทั้งที่สิ่งที่เขาให้นั้นไม่ได้เท่ากับเสี้ยวหนึ่งของจำนวนเงินในบัญชีส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ

“ขอบคุณมากครับ” ถึงอย่างนั้นจือหยินก็ยังเอ่ยขอบคุณออกมาอยู่ดีก่อนที่จะบอกลาอย่างนอบน้อมพร้อมพยุงตัวหลิงหลิงที่เริ่มเดินเองได้สะดวกขึ้นพากันเดินออกไป หวางซิงรีบตามหลังไปส่งอย่างรู้หน้าที่ก่อนจะเดินกลับเข้ามายืนรอคำสั่งอย่างสงบเสงี่ยมในห้องเดิม ทันใดนั้นเซินเฟยก็นิ่วหน้าพลางจับลำคอ หวางซิงรู้สัญญาณได้จากการมองจึงรีบกระวีกระวาดไปนำน้ำมาเสิร์ฟให้ทันที

ปกติเซินเฟยกับหวางซิงก็ไม่ค่อยสื่อสารกันด้วยคำพูดเป็นทุนเดิม เพราะแค่หางคิ้วเซินเฟยกระดิก หวางซิงก็รู้ได้ทันทีว่าผู้เป็นนายต้องการอะไร แต่ว่าระยะนี้ เซินเฟยกลับเฉยชากับเลขาของตัวเองจนใคร ๆ ก็สังเกตได้ เจ้าตัวแทบจะไม่เอ่ยคำพูดออกมาทำให้หวางซิงต้องคาดเดาพฤติกรรมของเจ้านายให้ละเอียดขึ้น แค่ปฏิกิริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ต้องตอบรับให้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร นาน ๆ ครั้งเซินเฟยจึงจะพูดออกมาเป็นประโยคยาว ๆ เพราะส่วนมากเมื่อหวางซิงรายงานอะไรเจ้าตัวก็จะตอบแค่ ‘อืม’ เพื่อให้รู้ว่าฟังอยู่เท่านั้น

หวางซือและหวางซานต่างรู้สึกเป็นกังวล ไม่รู้ว่าคนของตัวเองไปทำอะไรให้จูเชว่ไม่พอใจถึงเพียงนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเซินเฟยไม่เคยมีนโยบายลงโทษคนสนิทด้วยความเงียบงันมาก่อน หวางซิงนับเป็นคนแรกก็ว่าได้

“ฉู่เหวินจือไปไหน?” เมื่อดื่มน้ำเสร็จเซินเฟยก็เอ่ยถามโดยไม่ได้เหลือบตาขึ้นมองหน้า

“เหล่าโหวขอยืมตัวไปอีกแล้วครับ” หวางซิงรีบตอบก่อนที่เซินเฟยจะทันได้มุ่นคิ้วเสียอีก แต่กระนั้นหัวคิ้วเซินเฟยก็ยังขมวดเข้าหากันอยู่ดี

ฉู่เหวินจือที่เข้ามาทำงานรับใช้ได้หลายเดือนแล้วได้สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับเหล่าสมาชิกอาวุโสขององค์กรจนใคร ๆ ก็อยากขอยืมตัวไปทำงาน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะให้ความสนใจธุรกิจส่งออกและนำเข้าสินค้าผิดกฏหมายที่เหล่าโหวดูแลอยู่เสียมากกว่างานคุมแก๊งค์ประจำพื้นที่ อาจเป็นเพราะงานนี้จะได้พบปะบุคคลมากหน้าหลายตาจากองค์กรอื่น ๆ ซึ่งก็ไม่น่าแปลก ดูภายนอก ฉู่เหวินจือก็น่าจะเป็นคนสังคมจัดอยู่แล้ว

เซินเฟยไม่ได้เอ่ยถามต่อ เขาลดแก้วน้ำในมือลงบนโต๊ะแล้วประสานมือเข้าหากันเงียบ ๆ เป็นสัญญาณบอกให้หวางซิงอธิบายต่อ

“ช่วงนี้คุณฉู่ออกไปเรียนรู้งานกับเหล่าโหวอยู่บ่อย ๆ ทางนั้นเองก็บอกว่าพึงพอใจกับผลงานของฉู่เหวินจือมากโดยเฉพาะเวลาเจรจาแลกเปลี่ยน แล้ววันนี้ก็เป็นวันนัดทำสัญญากับทางกลุ่มตงไห่ เหล่าโหวจึงขอยืมตัวคุณฉู่ไปทำงานด้วยครับ”

“อ้อ” เซินเฟยส่งเสียงแสดงการรับรู้

ฉู่เหวินจือเองช่วงนี้สถานะก็ไม่ได้ดีไปกว่าหวางซิงมากนัก เจ้าตัวถูกจำกัดอภิสิทธิ์ที่เคยหลงระเริงจนลืมตัว ทั้งการแตะต้องร่างกายก่อนได้รับอนุญาตและการร่วมเตียง หากไม่มีผลงานให้เป็นเป็นรูปธรรม เซินเฟยก็แทบจะไม่ให้แตะเนื้อต้องตัวเลย หรือกระทั่งเรื่องบนเตียงเองก็เช่นกัน พวกเขาไม่ได้มีอะไรกันมาเกือบเดือนแล้วโดยฉู่เหวินจือก็เพียรจะเอาผลงานมาให้เห็น แต่สุดท้ายก็ได้เพียงนอนร่วมเตียงกันเท่านั้น ทั้งที่ผลงานบางชิ้นสมควรจะได้รับรางวัลมากกว่านั้น แต่เซินเฟยก็ยังติดปัญหาเรื่องบาดแผลเก่าที่หวางซิงทำเอาไว้ ไม่ใช่ว่ายังเจ็บ แต่ควรจะบอกว่ายังรู้สึกไม่ดีกับการร่วมรักเสียมากกว่า

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนทำกับฉู่เหวินจือก็รู้สึกไปตามธรรมชาติ ทว่าหลังจากถูกหวางซิงใช้กำลัง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกขัดแย้งขึ้นมา เซินเฟยคาดเดาเอาว่าคงจะเป็นอาการช็อคประเภทหนึ่งทำให้ความรู้สึกแย่ ๆ ยังติดตรึงในสมองไม่อาจลบล้างออกไปได้ และเขาก็ไม่อยากจะฝืนใจตัวเอง

ฉู่เหวินจือก็เหมือนรู้ว่าถึงจะอยู่ใกล้เขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา จึงเริ่มออกไปช่วยงานในแก๊งค์ของเหล่าโหวเสียมาก จะกลับมาที่บริษัทต่อเมื่อรายงานผล หรือไม่ก็ได้เจอกันตอนมื้อเย็นที่บ้านตระกูลเซินเลย ถึงอย่างนั้นผลงานที่ฉู่เหวินจือทำในช่วงนี้ก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจเสียมากกว่าการคอยเลียแข้งเลียขาเหมือนพวกไร้สมองคนอื่น ๆ เสียอีก

เซินเฟนเหลือบตาขึ้นมองปฏิทินตั้งโต๊ะ

อีกสองอาทิตย์จะถึงงานหมั้นของจือหยินและหลิงหลิง....

เด็กหน่มหลุบตาลง นึกแปลกใจตัวเองที่กระทั่งความรู้สึกที่มีต่อจือหยินก็ชืดชาไปแล้วเช่นกัน ซึ่งอาจจะเป็นการดีก็เป็นได้ เมื่อต้องพบทั้งสองหลังจากนี้เขาจะได้ไม่ต้องอึดอัดมากนัก

“ผมจะจัดตารางให้ครับ” หวางซิงรับรู้ปฏิกิริยาของเซินเฟยได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกคำสั่ง เซินเฟยกำลังต้องการจะให้หวางซิงดูให้ว่าวันไหนที่พอจะมีเวลาว่างเพื่อจัดงานแสดงความยินดีให้ทั้งสองเป็นการส่วนตัว เซินเฟยพยักหน้ารับเงียบ ๆ

ดูเหมือนว่าหวางซิงจะหมดเรื่องรายงานโดยสมบูรณ์เจ้าตัวจึงยืนนิ่งรอคำสั่งอยู่อย่างนั้น

“ถ้าไม่มีอะไรก็ออกไปได้แล้ว”

คำสั่งของเซินเฟยไม่ต่างกับประกาศิต หวางซิงก้มหน้ารับคำก่อนจะล่าถอยออกมา แม้ใจจะรู้สึกหนักอึ้งที่ถูกหมางเหมิน แต่เมื่อได้เห็นเซินเฟยสามารถยืนหยัดได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงกับใครเขาก็รู้สึกเบาใจ

เซินเฟยพรูลมหายใจออกมาเหยียดยาว การทำตัวให้เข้มแข็งเฉียบขาดนั้นเป็นเรื่องที่เหนื่อยแสนเหนื่อย เหนื่อยเสียยิ่งกว่าเวลาที่คอยปวดหัวกับคนรอบตัวเสียอีก

หลังจากเขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไป หลาย ๆ คนเริ่มแสดงอาการหวาดกลัวหรือกริ่งเกรงออกมาให้เห็น ผลของมันถือว่าเป็นไปในทางที่ดีแต่กลับส่งผลร้ายต่อเจ้าของจิตใจอย่างมาก ก่อนหน้านี้เซินเฟยเคยรู้สึกอ้างว้างแต่เมื่อมองไปข้างกายก็ยังมีคนให้พักพิงยามเหนื่อยล้า ทว่าในเวลานี้ แม้มองไปทางไหนก็ไม่รู้ว่าจะพึ่งพิงใคร จะรบกวนหวางซิงอย่างสมัยก่อนนี้ก็ไม่อาจทำได้ แต่จะให้ฉู่เหวินจือมาคอยทำงานอยู่ข้างกายตลอดก็ดูจะไม่ดีนัก เพราะอีกฝ่ายเพิ่งจะเริ่มทำงานเป็นชิ้นเป็นอันได้บ้าง การได้ทำงานข้างกายเขาถือเป็นรางวัลสำหรับคนที่ทุ่มเทความภักดีให้กับองค์กร หรือไม่ก็เป็นคนที่รู้ใจไปทุกกระเบียดอย่างหวางซิง หากเลื่อนขั้นให้ฉู่เหวินจือเร็วเกินไปจะเกิดคำครหาได้ง่าย ถึงในตอนนี้จะไม่ค่อยมีใครกล้าครหาเขาแล้วก็ตาม

อยู่ ๆ เซินเฟยก็รู้สึกสะท้านเยือกไปทั้งตัวเมื่อรู้สึกว่าตนเองอยู่ตามลำพัง ความเหงาค่อย ๆ จู่โจมเข้ามาในจิตใจทีละน้อย เซินเฟยฝืนใจกล้ำกลืนความรู้สึกเหล่านั้นลงไปและลุกขึ้นยืน ตลอดช่วงที่ผ่านมาเขามักจะรู้สึกแบบนี้อยู่เสมอ ทั้งอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว

เซินเฟยเลือกที่จะเดินออกจากห้องรับแขกที่เงียบงัน กลับไปหมกตัวในห้องทำงาน อ่านหนังสือสักเล่มสองเล่ม รอเวลาอาหารที่....มีเขาคนเดียวที่ร่วมโต๊ะกับตัวเอง

------------------------>

ช่วงอาทิตย์ก่อนถึงงานหมั้นของจือหยินและหลิงหลิงเป็นช่วงที่ค่อนข้างยุ่งดังคาด งานทั้งในเครือและงานขององค์กรประเดประดังไม่หยุดหย่อน ไม่ใช่แต่เพียงฉู่เหวินจือแต่ลูกน้องคนสนิททั้งหลายถูกกระจายตัวออกไปช่วยกันทำงานหมด แม้แต่เซินเฟยเองกว่าจะได้กลับบ้านก็ดึกดื่น โชคดีที่เซินเฟยคาดคะเนไว้ถูกจึงไม่ต้องห่วงพะวงเรื่องงานหมั้นของจือหยินและสามารถทำงานได้เต็มที่เต็มเวลา

จริงอยู่ว่างานบางจุดหัวหน้าอย่างเขาไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยว แต่ว่า ฐานะของเขาเพียงเริ่มจะมั่นคง การสร้างความยำเกรงและเชื่อถือให้คนในองค์กรนับเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นหลาย ๆ ครั้ง เซินเฟยจึงต้องยื่นมือลงไปจัดการปัญหาบางอย่าง แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครคิดจะลองภูมิเขาเช่นเฉียนหยุนอีก

ในช่วงนี้คนในไม่ค่อยเป็นปัญหา ปัญหาหนักอกเห็นจะเป็นเรื่องภายนอกเสียมากกว่า

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีคนของแก๊งค์บนแผ่นดินใหญ่ไปทำเอิกเกริกหักหน้าตำรวจสากลเข้าที่ยุโรป แม้สถานที่เกิดเหตุจะอยู่ไกลออกไปค่อนโลก ทว่าตำรวจสากลก็ตามแกะร้อยมาจนถึงตะวันตกของประเทศจีน แก็งค์ที่คุมแถวนั้นขึ้นชื่อด้านความหยิ่งผยองไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา เมื่อตำรวจสากลยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวก็จับมือกับมาฟียรัสเซียสกัดสายตำรวจเอาไว้ ทำให้ทางตำรวจสากลยิ่งผูกใจเจ็บ ตอนนี้สถานการณ์ทางแผ่นดินใหญ่จึงไม่ค่อยดีนัก ทุกฝีก้าวแทบจะถูกจับตามองและส่งผลให้ฮ่องกงที่เป็นเกาะเล็ก ๆ โดยเหมารวมไปด้วย

เซินเฟยได้ยินว่าองค์กรของเสวียนอู่ที่ดูแลทางเหนือของเกาะฮ่องกงกำลังกบดานอย่างเงียบ ๆ เพราะอยู่ใกล้จีนมากเกินไปจึงมีโอกาสถูกจับสังเกตได้ง่าย อีกทั้งเสวียนอู่ยังมีเส้นสายกับทางจีนอยู่มาก จำต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการระงับการติดต่อกับพวกแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ค่อนไปทางตะวันตกชั่วคราว การกระทำเช่นนั้นนำความเสียหายทางมูลค่ามาให้องค์กรอย่างใหญ่หลวง แต่กิจการที่เกาลูนก็ยังไม่ได้รับผลกระทบ เสวียนอู่จึงสามารถพยุงสถานการณ์ไปได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่ไม่มีคนกระโตกกระตาก

อาณาเขตของจูเชว่อยู่ทางใต้ของเกาะฮ่องกงที่เป็นแหลมยื่นเข้าไปในทะเล เกาะน้อยใหญ่ที่อยู่รอบ ๆ อ่าวก็เป็นเขตปกครองเช่นกัน และด้วยภูมิประเทศเช่นนั้นทำให้เซินเฟยไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง กระนั้นเขตปกครองของเขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้แผ่นดินใดเป็นพิเศษ จึงไม่ต้องหวั่นกลัวว่าผลกระทบจากแผ่นดินใหญ่จะส่งผลไปถึงเกาะเล็กเกาะน้อยที่เขาใช้เป็นคลังเก็บสินค้าเถื่อนทั้งหลาย

แม้ว่าจะไม่น่าห่วงแต่ก็ต้องระวังตัว ยาเสพติดที่จะส่งขึ้นไปบนแผ่นดินใหญ่ต้องหยุดชะงักชั่วคราว ทางกลุ่มตงไห่ดูไม่ค่อยพอใจนักจึงต้องส่งคนไปเจรจาอยู่หลายครั้งกว่าฝ่ายนั้นจะยอมล่าถอยด้วยเหตุผล

ราวกับสวรรค์จงใจกลั่นแกล้ง เมื่อพ้นงานหมั้นของจือหยินไปแล้วงานรอบตัวจึงค่อย ๆ ซาลง สถานการณ์กดดันบนแผ่นดินใหญ่ที่ล้ำมาทางตะวันออกก็ลดน้อยลง กลายเป็นว่าถูกจับตามองเพียงฝั่งตะวันตกเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายเสียงแว่วว่าต้องขอบคุณชิงหลงที่มีเส้นสายกับมาเฟียอิตาลี การกดดันจากทางยุโรปทำให้ตำรวจสากลต้องเบี่ยงสายตากลับไปมองทางนั้นและหันเหความสนใจไปจากฮ่องกง

เมื่ออะไร ๆ ผ่านไปด้วยดีแล้ว เซินเฟยจึงได้กลับบ้านเร็วกว่าปกติในรอบหลายวัน เขารู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจ อาจเป็นเพราะไม่สามารถปรึกษาหวางซิงและซากุระได้อย่างแต่ก่อนนี้ ทุกเรื่องจึงต้องขบคิดอยู่คนเดียวและเหนื่อยง่ายกว่าปกติ

ด้วยความเป็นห่วงสุขภาพของเจ้านาย หวางซือมักจะสั่งให้คนรับใช้ต้มเครื่องยาจีนเอาไว้ให้เซินเฟยดื่มก่อนนอนทุกคืนนอกเหนือจากชาสมุนไพรที่ดื่มประจำ จนบางครั้งเวลากินยาต้มเซินเฟยก็จะรู้สึกว่าตัวเองคงจะแก่เกินอายุจริงไปเสีย 10 ปี เพราะไม่มีคนวัยเท่าเขาคนไหนกินยาพวกนี้บำรุงสุขภาพกันเลย

เป็นเพราะตรากตรำมาหลายวันหรืออย่างไรไม่ทราบ เมื่อเวลาเพียง 2 ทุ่มเซินเฟยก็เริ่มง่วงจึงเข้านอนเร็วกว่าวันอื่น ๆ

แต่ว่า....การนอนอย่างสบายเสมือนเรื่องต้องห้ามของเซินเฟย เพราะคืนใดก็ตามที่เขาควรจะได้พัก มักจะมีเรื่องมากวนใจเสมอเช่นคืนนี้ที่ฉู่เหวินจือกลับมาบ้านเร็วเช่นกัน ชายหนุ่มเข้าไปในห้องและเห็นเซินเฟยหลับอยู่จึงพาตนเองขึ้นมานอนบนเตียงแล้วรวบเอาเซินเฟยเข้ามากอด

“มีอะไร?” เซินเฟยปรือมามองด้วยความหงุดหงิด

“คิดถึงครับ” ฉู่เหวินจือตอบหน้าเป็น “ช่วงนี้ยุ่งกันทั้งคู่ ผมไม่ได้กอดคุณเซินมาตั้งนานแล้วนะครับ”

เซินเฟยมุ่นคิ้ว

“นอนเฉย ๆ ไปซะ” เขาตัดบทแล้วล้มตัวลงนอนต่อ ฉู่เหวินจือเข้ามานอนในห้องของเขาจนเริ่มจะชินเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ว่าอะไรหากอีกฝ่ายจะนอน แต่อย่ารุ่มร่ามจนน่ารำคาญก็พอ

ทั้งที่พูดตัดบทอย่างนั้น เซินเฟยก็นอนอย่างสงบได้แค่ประเดี๋ยวเดียว ผ่านไปไม่ทันจะถึง 5 นาที มือใหญ่ก็ล้วงเข้ามาใต้ผ้าห่มก่อนจะสัมผัสเข้าไปใต้เสื้อของเขาก่อนลูบไล้อย่างออดอ้อนเอาใจ เซินเฟยขมวดคิ้วนึกอยากจะทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ฉู่เหวินจือก็มักจะปลุกเร้าเขาจนสมยอมทุกครั้งไป

เซินเฟยผุดลุกขึ้น จ้องมองใบหน้าของฉู่เหวินจือก่อนจะสั่งเสียงเฉียบขาด

“ลงไปนอนบนพื้น”

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 01-03-2011 13:27:44
ฉู่เหวินจือไม่ได้ทุ่มเถียง ไม่แม้แต่จะอ้าปาก เขาเพียงแต่จ้องตอบเซินเฟยในความมืดอยู่นิ่งนาน ทั้งสองประสานสายตากันราวกับแข่งขันความอดทน เพียงแต่สายตาของฉู่เหวินจือนั้นไม่ได้แสดงความต่อต้านแต่ก็ไม่ได้แสดงความสงสัย เขาเพียงจ้องมองด้วยสายตาอันลุ่มลึกยากจะอ่านออกเหมือนทุกครั้ง ท่ามกลางความมืดสลัวของคนที่ปรับสายตากับความมืดได้แล้ว เซินเฟยมองเห็นประกายในดวงตาอีกฝ่ายทั้งที่ไม่มีแสงให้สะท้อนจากส่วนไหนของห้อง ประกายที่เห็นนั้นราวกับเป็นประกายยิ้มโดยไม่ได้ปรากฏอารมณ์บนเรียวปาก

“ฉันต้องสั่งซ้ำไหม?” หลังจากรออยู่นาน ฉู่เหวินจือก็เอาแต่จ้องอยู่อย่างนั้นไม่ยอมขยับตัว เขาจึงต้องส่งเสียงออกมาอีกเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าไม่ควรชักช้าไปกว่านี้

ฉู่เหวินจือค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงแล้วเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องก่อนล้มตัวลงนอนโดยไม่ร้องอุทธรณ์

เซินเฟยฝ่าสายตาเข้าไปยังมุมที่ฉู่เหวินจือทิ้งตัวลง เห็นแผ่นหลังอีกฝ่ายขยับเล็กน้อยก่อนนิ่งไปก็เลิกให้ความสนใจแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ความเงียบแทรกผ่านเข้ามาในบรรยากาศ เซินเฟยหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน นึกอ่อนใจกับงานที่ผ่านไป แต่อย่างน้อยก็ดีที่ทำให้ฉู่เหวินจือเหนื่อยเหมือนกัน จึงไม่ต้องลงแรงหรือเปลืองสมองหาวิธีลงโทษให้หลาบจำเหมือนครั้งแรก ๆ

เขาเองก็รู้ว่าผู้ชายที่เคยปลดปล่อยตามใจ พอถูกจำกัดสิทธิอย่างนี้ย่อมงุ่นง่านเป็นธรรมดา แต่เมื่อตัดสินใจจะเด็ดขาดแล้วก็ต้องเอาจริง ไม่อย่างนั้นจะถูกมองว่าโลเลเอาได้

ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็หลับสนิทเพราะเหนื่อยมาหลายวัน

ราว ๆ เที่ยงคืน หวางซิงก็เข้ามาในห้องอย่างเงียบกริบ เขาเดินเข้ามาใกล้เตียงแล้วค่อย ๆ จับผ้าห่มคลุมให้ถึงปลายเท้า หากเป็นก่อนหน้านี้ หวางซิงมักจะเข้ามาหลังจากเซินเฟยขึ้นนอนไม่นานเพื่อตรวจดูว่าเจ้านายนอนหลับดีหรือไม่ แต่หลังจากฉู่เหวินจือได้รับสิทธิพิเศษจากข้อตกลงเขาก็ไม่สามารถเข้ามาในห้องตอนกลางคืนได้อีก ทำได้เพียงเฝ้าอยู่นอกประตูจนกระทั่งเสียงเงียบไปเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้ แม้จะเฝ้ารออยู่นอกประตูก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ ซ้ำร่องรอยบนร่างกายของเซินเฟยที่เคยแอบเห็นตามต้นคอก็ไม่มีแล้ว เขาจึงสามารถแอบเข้ามาปรนนิบัติได้ในตอนที่อีกฝ่ายหลับสนิท

หวางซิงขยับผ้าห่ม ขยับหมอนให้เซินเฟยนอนในท่าสบาย เซินเฟยมักติดนิสัยนอนขดตัวแล้วทิ้งหัวลงจากหมอนอยู่เสมอ หากไม่จัดท่าให้ใหม่ก็อาจปวดคอได้ แต่ว่า หลังจากขยับท่าให้เซินเฟยแล้วเขาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังนอนตะแคงอยู่มุมห้อง โดยปกติเซินเฟยจะลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้พอดีนอนสบายเวลาห่มผ้า แต่คน ๆ นั้นกลับนอนโดยไม่มีหมอนและผ้าห่ม

แม้จะรู้ว่านั่นคือฉู่เหวินจือ หวางซิงก็ไม่อาจทำใจร้ายปล่อยให้นอนหนาวได้

เลขาหนุ่มเดินไปยังตู้เก็บผ้าในห้องนั้นแล้วดึงเอาผ้าห่มกับหมอนออกมาชุดหนึ่ง ปกติแล้วของเหล่านี้จะเตรียมไว้เพื่อผลัดเปลี่ยนให้เซินเฟยเวลานำของเก่าไปซักทุก ๆ เช้า แต่แม่บ้านที่นี่ทำงานดีกันทุกคน ชุดเครื่องนอนจึงไม่เคยพร่องไปกว่าครึ่งของที่มีอยู่ บางครั้งเซินเฟยยังบ่นว่ามีมากจนนอนไม่หมดเสียด้วยซ้ำ

หวางซิงขยับหมอนเข้าไปรองใต้ศีรษะก่อน แต่เพียงแตะปลายผม ฉู่เหวินจือก็พลิกตัวกลับมาหาทำให้หวางซิงสะดุ้งเฮือกเพราะไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายจะยังตื่นอยู่

หวางซิงทำเป็นไม่สนใจ รีบ ๆ รุนหมอนเข้าไปสอดใต้ศีรษะแล้วสะบัดผ้ากางคลุมตัวให้

“ผมนึกว่าคุณจะนิ่งดูดายเสียอีก” ฉู่เหวินจือสัพยอกยิ้ม ๆ

“ผมไม่ใจจืดใจดำขนาดนั้นหรอกครับ” หวางซิงโต้กลับด้วยเสียงเย็นชา เขาพยายามรักษาระยะห่างของตนเองกับผู้ชายคนนี้มาตั้งแต่ตอนที่รู้สึกถึงพฤติกรรมแปลก ๆ จึงเป็นเรื่องเคยชินไปเสียแล้วที่จะทำเป็นไม่สนอกสนใจโทนเสียงเวลาสนทนา ทั้งที่ปกติเขาจะพูดด้วยโทนเสียงรอมชอมเสมอ

“ดึกขนาดนี้ทำไมคุณถึงยังไม่นอนอีก.....อ้อ....หึ ๆ” ทั้งที่ถามเหมือนต้องการคำตอบ แต่วินาทีต่อมาฉู่เหวินจือก็ตอบเองเสร็จสรรพ “จะว่าไปช่วงนี้ผมรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้องนี้ตอนกลางดึกบ่อย ๆ คุณนี่ดูแลเจ้านายดีจริง ๆ นะครับหวางซิง ทั้งที่ถูกเย็นชาใส่ขนาดนั้น”

คำพูดของฉู่เหวินจือทำให้หวางซิงขึงหน้าตึง เขาเม้มปากจนแทบจะเป็นเส้นตรง

“ยังไงผมก็จะยังรับใช้คุณเซินครับ”

คำยืนยันหนักแน่นทำให้ฉู่เหวินจือหัวเราะออกมาอีกครั้ง เพียงแต่ไม่ได้มีแววเย้ยหยันเจืออยู่ หวางซิงจึงไม่รู้สึกโกรธอะไร เพียงแต่สงสัยเท่านั้นว่าอีกฝ่ายหัวเราะทำไม

“คุณเป็นคนที่น่ายกย่องนะ” คำชื่นชมนั้นทำให้หวางซิงผงะไปด้วยไม่คิดว่าจะได้รับเอาเวลาอย่างนี้จากคน ๆ นี้

“อย่ามาทำพูดดีกับผมเลยครับ ยังไงผมก็ไม่ยกโทษให้คุณหรอก” หวางซิงเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วเตรียมจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกฉู่เหวินจือฉุดให้ก้มลงก่อนจะกระซิบใกล้ใบหู

“ผมไม่ขอให้คุณยกโทษหรอก....” เขาว่าก่อนจะยิ้มกว้างขึ้น “ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าจะดูแลคุณเซินแทนคุณน่ะ ผมไม่เลิกล้มความตั้งใจนั้นหรอกนะ”

หวางซิงเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว เขารีบตัวตนเองออกมาจากการฉุดรั้งของอีกฝ่ายแล้วยืนห่างออกไปไกลพลางสังเกตปฏิกิริยาของฉู่เหวินจือผ่านเลนส์แว่น แต่ฉู่เหวินจือกลับไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น เจ้าตัวพลิกตะแคงไปอีกทางแล้วยกมือขึ้นโบก

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”

หวางซิงรอจนกระทั่งฉู่เหวินจือนอนนิ่งจึงถอนหายใจเฮือกแล้วหันไปมองทางเซินเฟย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลอย่างล้นเหลือ ทั้งยังความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียเจ้านายคนนี้ไปให้กับคนอื่น ในฐานะคนที่เลี้ยงดูกันมา เขาทำใจไม่ได้เลยหากวันหนึ่งจะมีคนมายืนแทนที่ตนเอง แม้จะต้องถูกรังเกียจ ถูกเย็นชาใส่สักเท่าไหร่ เขาก็อยากจะอยู่เคียงข้างเซินเฟยไปให้ถึงที่สุด ทั้งจูเชว่รุ่นก่อนและนายหญิงซากุระก็เอ่ยฝากฝังเซินเฟยกับปาก มีหรือที่เขาจะทำเพิกเฉยต่อคำขอเหล่านั้นได้

หวางซิงเดินย้อนกลับไปยังเตียงอีกครั้ง ดูเหมือนเซินเฟยจะเหนื่อยมากจริง ๆ จึงไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อยทั้งที่พวกเขาคุยกันอยู่ใกล้ ๆ

ชายหนุ่มคุกเข่าลงข้างเตียงในด้านที่ฉู่เหวินจือมองไม่เห็นและเป็นด้านที่เซินเฟยหันหน้าอยู่ เขาจับมืออีกฝ่ายด้วยความขมขื่นอยู่ลึก ๆ แม้จะเตรียมใจไว้ดีแล้วแต่เมื่อถูกเย็นชาใส่จริง ๆ กลับรู้สึกโศกเศร้าและปวดร้าวเสียจนไม่อาจทนอยู่เฉย ๆ ได้ จึงต้องใช้เวลาที่อีกฝ่ายหลับใหลอย่างนี้เข้ามาอยู่ใกล้ชิดเหมือนเช่นที่แต่ก่อนเคยกระทำ เขาพยายามเตือนให้ตัวเองทำใจเงียบ ๆ ทว่าคำพูดของฉู่เหวินจือกลับมีอิทธิพลมากเหลือเกิน เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้เขารู้สึกปวดหยอกในอก นึกอย่างจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก

มือของเซินเฟยที่ถูกดึงออกมานอกผ้าห่มสัมผัสอากาศหนาวถายนอกไม่นานก็เริ่มเย็นเฉียบ แม้หวางซิงจะกุมเอาไว้ก็ไม่อาจขับไล่ความหนาวไปได้หมด ในที่สุดหวางซิงก็จำต้องปล่อยมือข้างนั้นแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมจนมิด ก่อนสูดหายใจเข้าลึกและค่อย ๆ ถอยออกไปอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกันตอนที่เข้ามา

ยามค่ำคืนคล้อยผ่านไปอย่างช้า ๆ ในที่สุดรุ่งอรุณก็มาเยือน

เซินเฟยตื่นเช้าตามปกติวิสัยของตนเอง เขาปรายตามองไปยังมุมที่ฉู่เหวินจือจับจองอยู่เมื่อคืนก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายมีผ้าห่มและหมอนอยู่กับตัวชุดหนึ่ง กระนั้นเซินเฟยก็ไม่ได้นึกแปลกใจ เพราะห้องหับของเขาฉู่เหวินจือเคยเข้ามาไม่รู้กี่ครั้ง จะรู้ที่เก็บเครื่องนอนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าแล้วกอดอก

“ตื่นได้แล้ว” เขากล่าวเสียงเรียบนิ่งและไม่ได้ดังมากนัก แต่ฉู่เหวินจือก็รู้สึกตัวก่อนจะพลิกมาแล้วยิ้มให้เจ้าของห้อง แทนที่จะกล่าวอรุณสวัสดิ์แบบคนปกติสามัญ ฉู่เหวินจือกลับเอี้ยวมาจับข้อเท้าเซินเฟยโดยไม่ได้ออกแรงดึง เขาขยับเข้ามาใกล้แล้วลูบไล้ปลายเท้าเนียนสวยรวมถึงข้อเท้าเล็กขนาดกำมิดด้วยกำมือเดียว เซินเฟยรู้สึกจั๊กจี้นิด ๆ เมื่อฉู่เหวินจือจูบเบา ๆ ที่หลังเท้าแล้วไล่ขึ้นมาที่ร่องกระดูกตรงหน้าข้อเท้า ดวงตาเรียวเช่นตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อยด้วยรู้เจตนาว่าอีกฝ่ายคิดจะปลุกเร้า

เซินเฟยดึงเท้าที่ถูกเล้าโลมออกจากการเกาะกุม และเหยียบขึ้นไปบนบ่าของชายหนุ่มตรงหน้าก่อนลงน้ำหนักส้นลงไปอย่างจงใจ

“โกรธอะไรหรือครับ?” ฉู่เหวินจือถามราวกับไม่รู้ความผิดของตัวเอง

“นายเป็นอะไรของฉัน?” แทนที่จะตอบ เซินเฟยกลับถามด้วยคำถามใหม่

“ผมเป็นสุนัขของคุณครับ” ฉู่เหวินจือตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด

“หน้าที่ของนายคืออะไร?”

“ทำตามคำสั่งคุณเซินครับ”

“แล้วเมื่อกี้ฉันอนุญาตให้นายแตะหรือยัง?”

“ยังครับ” ฉู่เหวินจือว่าก่อนจะพูดต่อ “ขออภัยด้วย”

เซินเฟยยกเท้าออกจากแนวบ่ากว้างซึ่งตอนนี้คงมีรอยช้ำปรากฏอยู่เล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาถอยออกมาให้ฉู่เหวินจือลุกขึ้นคุกเข่าอย่างรู้งาน

“อย่าให้ฉันย้ำบ่อย”

“เข้าใจแล้วครับ”

หลังจากฉู่เหวินจือตอบรับพลางก้มหน้าเหมือนสำนึกผิด เซินเฟยก็เดินเข้าห้องน้ำไป เสียงน้ำกระทบพื้นดังออกมาให้ได้ยินอยู่นานพอสมควรกว่าที่เซินเฟยจะเดินออกมาพร้อมเสื้อคลุม หลังจากฉู่เหวินจือเข้ามายึดอภิสิทธิ์ในห้องนอน เซินเฟยก็เลิกใช้ผ้าขนหนูพันเอว แต่เปลี่ยนเป็นผ้าคลุมอาบน้ำแทนเพราะเขาไม่ชอบเปลือยกายล่อนจ้อนถึงจะเป็นแค่ท่อนบนก็ตาม

“ไปอาบน้ำแต่งตัวซะ ถ้าฉันสายจะคาดโทษนายแน่”

ฉู่เหวินจือได้ยินคำสั่งก็รีบลุกแล้วเดินออกไปตามคำสั่งทันที เขาสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าควรรับมือยังไงกับเซินเฟยในอารมณ์ต่าง ๆ แม้พฤติกรรมโดยรวมจะเปลี่ยนแปลงไปมากอย่างกะทันหันก็ตาม

เซินเฟยเดินลงไปรอฉู่เหวินจือเตรียมตัวด้านล่าง เมื่อลงไปถึงห้องโถง หวางซิงก็เดินเข้ามาหาด้วยท่าทางเหมือนมีเรื่องจะรายงานก่อนเข้าบริษัท เซินเฟยพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตโดยไม่ต้องรออีกฝ่ายพูดอะไรออกมา หวางซิงจึงกางสมุดบันทึกออก

“ได้วันที่จะจัดงานฉลองให้หมอจือแล้วครับ”

“สถานที่เรียบร้อยไหม?”

“ครับ” แม้จะถูกเฉยชา แต่หวางซิงก็ยังสามารถทำงานได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่องอย่างเก่า เซินเฟยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“โทรแจ้งหมอจือให้เรียบร้อย”

“ครับ”

TBC

------------------------

ฉู่หึงคงจะยังไม่มีในเร็วๆนี้่อ่าค่ะ ยัดมาม่าเข้าไปเต็มเหยียด ดำเนินเรื่องแบบแทบกระโดดข้ามผา แต่เนื้อก็ยังยาวอยู่ดี=[]=!!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 01-03-2011 23:01:25
โอ เรื่องราวมันช่างตรึงเครียดด
คนอ่านจะเป็นลมม 55
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 01-03-2011 23:09:05
อ่านแล้วปวดตับพิกล :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Miyabi ที่ 01-03-2011 23:49:53
กรี๊ด  o9  เครียดจัง
ขอน้ำตาลแทรกมาบ้างเป็นระยะๆได้มั๊ย
หัวข้อ: Re: หนอนใบตอง by RakorN ตอนที่27: เปลี่ยนใจ หน้าที่ 68 [16.12.10]
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 02-03-2011 00:25:40
ปวดตับๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 02-03-2011 00:27:44
อาซิงนาสงสารอ่าส์
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 02-03-2011 01:27:11
เง้อ..ไม่ไหวจะซดมาม่าแล้วนะ
อ่านไปปวดตับไป :serius2: :sad4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 02-03-2011 01:55:44
เฮ้อ...ปวดใจแทนอาซิง แต่ทำไงได้ เพราะ เสี่ยวเฟยอยู่ในฐานะจูเชว่ ถ้าเจ้าตัวไม่แกร่ง คงอยู่รอดไม่ได้~

คิดขำ ๆ ถ้าคืนนั้น อาซิงรุกเป็น ลีลาดี เทคนิคได้ ( ? ) ฉู่เหวินจือจะตกกระป๋องไหม? ย้ำว่าแค่คิดขำ ๆ อ่ะนะ o18
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 02-03-2011 03:29:25
 :sad4:เค้าไม่อยากกินมาม่าอ่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 19 (1/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 02-03-2011 09:56:43
ยิ่งสูง ยิ่งหนาวของแท้เลยนะเซินเฟย

อาซิงสู้ๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 02-03-2011 12:48:05
-20-



เซินเฟนยืนมองเรือสำราญลำหรูซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวด้วยดวงตาเฉยเมย เรือลำนี้เป็นของขวัญจากซากุระให้กับเขาซึ่งเขาก็ไม่เคยได้ใช้งานจริงสักครั้ง ได้แต่ให้คนบำรุงรักษาเอาไว้ไม่ให้เสื่อมสภาพเท่านั้น

ท้องฟ้ายามราตรีพร่างพรายไปด้วยแสงดาวและเดือนกลับโดนข่มด้วยความสว่างไสวของดวงไฟจากลำเรือ เซินเฟยได้สั่งให้คนขึ้นไปตระเตรียมงานให้พรักพร้อม ทั้งพ่อครัว บริกร และการ์ดสำหรับดูแลความปลอดภัย แผนสำหรับคืนนี้ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก เพียงแค่รอผู้ที่ได้รับเชิญมากับพร้อมและออกเรือไปรอบ ๆ อ่าวราว ๆ ค่อนคืนจึงกลับฝั่ง ท้องทะเลแถบนี้เป็นอาณาเขตของจูเชว่ทั้งยังเป็นเวลากลางคืนจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเรือประมงหรือเรือสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ที่จะมาพักของที่โกดังท่าเรือ

เขาคาดเดาไม่ออกว่าจือหยินและหลิงหลิงจะทำสีหน้าอย่างไรหากรู้ว่าตนเองจะต้องมาฉลองงานหมั้นเป็นการส่วนตัวกับจูเชว่บนเรือสำราญลำหรูซึ่งเป็นโอกาสอันหายากยิ่งสำหรับปุถุชนทั่วไป อาจจะทำสีหน้าตกอกตกใจ ตื่นเต้น หรือว่าเอาแต่เอ่ยขอบคุณไม่ขาดปากก็ได้ทั้งนั้น

เซินเฟยก้มลงมองนาฬิกา เหลือเวลาอีกนานกว่าที่จะถึงเวลานัด เขารู้สึกเสียอารมณ์เล็กน้อยที่คาดการณ์สภาพการจราจรบนท้องถนนผิดไป จึงมาถึงก่อนเวลาเสียนาน บนเรือมีคนวิ่งวุ่นไปมาอย่างอลหม่านเพาะยังจัดเตรียมข้าวของไม่เรียบร้อย คงจะมีใครสักคนขึ้นไปบอกกระมังว่าเขามาแล้ว คนที่ทำงานอยู่บนนั้นถึงได้ลนลานกันไปหมด หากงานออกมาไม่ดีคงต้องโทษคนปากสว่างที่หวังดีเกินเหตุ

“คุณเซินจะขึ้นไปรอบนเรือก่อนไหมครับ?”

เพราะบนท่าเรือไม่มีที่นั่ง หากยืนอยู่นาน ๆ ก็เกรงเจ้านายหงุดหงิด การ์ดคนหนึ่งจึงพินอบพิเทาเข้ามากระซิบถาม

“เดี๋ยวค่อยขึ้นก็แล้วกัน ฉันไม่อยากจะไปขัดแข้งขาพวกคนงาน” เซินเฟยโบกมือพลางปฏิเสธ

ลมทะเลพัดเข้าหาฝั่งเป็นระลอก แม้จะผ่านพ้นฤดูหนาวไปแล้วแต่เกาะเล็ก ๆ อย่างฮ่องกงก็ได้รับอิทธิพลจากลมทะเลทำให้กระทั่งในตอนนี้ เซินเฟยก็ยังรู้สึกสะท้านกายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้แม้จะสวมสูทเต็มยศอยู่ก็ตามที ผู้ติดตามคนหนึ่งสังเกตเห็นอากัปกิริยานั้นได้อย่างว่องไว เจ้าตัวจึงนำเสื้อโค้ทตัวยาวที่เซินเฟยให้ถือไว้มาสวมคลุมทับบนไหล่ ทำให้เซินเฟยรู้สึกอุ่นขึ้นกว่าเดิม

“อาซิงไปไหน?” เพราะตั้งแต่ออกมาเขายังไม่เห็นอีกฝ่าย ตอนแรกคิดว่าจะมารอที่ท่าเรือแต่ก็ไม่เห็นเงาจนกระทั่งเวลานี้

“เลขาหวางขึ้นไปคุมงานบนเรือด้วยตัวเองครับ”

เซินเฟยพนักหน้ารับ

“ฉู่เหวินจือล่ะ?”

“จะตามมาตอนงานใกล้เริ่มครับ”

“เหลวไหลจริง ๆ” เซินเฟนเอ่ยตำหนิ ทั้งที่เป็นงานฉลองส่วนตัวที่เขาจัดขึ้นเองแท้ ๆ ฉู่เหวินจือยังกล้ารับงานกับเหล่าโหวแล้วยังมีหน้าบอกว่าจะตามมาสมทบทีหลังอีก

เด็กหนุ่มพรูลมหายใจออกมาแล้วมองไปรอบตัว การ์ดในชุดสูทสีดำยืนล้อมเขาเป็นกระจุก และกระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของท่าเรืออีกหลายสิบคน บนเรือก็มีการ์ดประจำอยู่ที่ต่าง ๆ เพื่อดูแลความเรียบร้อยทั้งบนท่า บนเรือ และในน่านน้ำ เซินเฟยไม่ใคร่ชอบการออกมาข้างนอกเพราะอย่างนี้ ไปไหนมาไหนครั้งหนึ่งก็ต้องพกขบวนบอดี้การ์ดไปด้วย กระทั่งตอนไปบริษัทเองก็มีรถวิ่งนำหน้าและตามหลังราว ๆ 5-6 คัน เพราะเป็นระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก และเขาก็ขึ้นรถจากบ้าน ลงรถที่บริษัท ไม่ได้ออกจากบริเวณปลอดภัยเลยสักก้าวเดียว แต่สำหรับการออกมางานเลี้ยงหรือธุระส่วนตัวนั้นเป็นคนละเรื่องกัน เพราะทั้งเส้นทางและบริเวณที่ทำธุระไม่ได้เป็นเส้นทางประจำที่มีการระแวดระวังสม่ำเสมอ จึงอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ การ์ดในวันนี้จึงมีจำนวนมากกว่าปกติประมาณ 3 เท่าตัว ทั้งนี้ทังนั้น เพราะพวกเขาเคยพลาดที่โกดังท่าเรือมาแล้วตอนเรื่องของเฉียนหยุน หัวหน้าการ์ดที่ทำหน้าที่ในวันนั้นถูกลดขั้นไปทำงานเล็ก ๆ ในแก๊งค์เพราะทำให้เขาบาดเจ็บแม้จะไม่ถึงขั้นอันตรายก็ตาม

เซินเฟยรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่ไม่ได้ไปงานหมั้นตามคำเชิญ เพราะแค่จำนวนการ์ดของเขาคงเทียบได้ครึ่งต่อครึ่งกับจำนวนผู้ร่วมงานเลยทีเดียว

หลังจากยืนนิ่งอยู่นาน เซินเฟยก็เริ่มรู้สึกเมื่อยขึ้นมาจริง ๆ แม้เขาจะเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอเมื่อมีโอกาส แต่เมื่อยืนนานเข้าก็ต้องเมื่อยขาบ้างเป็นธรรมดา กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า เขาเพียงหันกลับมาทางผู้ติดตามแล้วกล่าว

“ฉันจะกลับไปรอที่รถ”

“ครับ” ผู้ติดตามที่ทำหน้านี่รับคำสั่งข้างตัวเอ่ยรับคำแล้วโบกมือส่งสัญญาณบอกการ์ดรอบ ๆ ว่าเจ้านายจะกลับไปที่รถ กลุ่มคนที่ยืนนิ่งจึงเริ่มเคลื่อนไหวเดินเข้ามาโอบล้อมผู้เป็นนายแล้วเดินกันเป็นกลุ่มไปยังที่พวกเขาที่จอดรถเอาไว้

เซินเฟยขึ้นนั่งบนรถก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอีกครั้ง เขาเปิดกระจกเอาไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเทด้วยขี้เกียจให้คนสตาร์ทเครื่องยนต์ กระนั้นร่างสูงใหญ่ของการ์ดที่เฝ้ารอบรถก็ทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวกมากนัก แต่เขาก็ต้องจำทนเพราะยังดีกว่าโดนปืนส่องหัวโดยไม่รู้ตัวเป็นไหน ๆ

ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความเรียบร้อยบนเรือ เพราะเมื่อหวางซิงลงมือคุมงานด้วยตัวเอง ทุกอย่างก็ต้องออกมาเรียบร้อยไร้ที่ติไม่ต้องสงสัย

หลังจากนั่งรออยู่นานพอสมควร เซินเฟยเกือบจะเผลอสัปหงกไปอยู่แล้ว ก็มีการ์ดคนหนึ่งเคาะบานกระตูรถเบา ๆ เซินเฟยเหลือบตาขึ้นมอง

“คุณฉู่มาแล้วครับ”

“ให้เข้ามา” เซินเฟยสั่งสั้น ๆ ครู่เดียวฉู่เหวินจือก็เปิดประตูรถเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและกลิ่นสบู่หอมฟุ้งแสดงว่าอีกฝ่ายกลับไปอาบน้ำใหม่แล้วจึงตามมาที่ท่าเรือ

“ขอโทษที่มาช้าครับ”

“ไปอาบน้ำใหม่ด้วยหรือ?”

“ครับ พอดีเหงื่อออกเยอะไปหน่อยผมก็เลยคิดว่าอาบน้ำใหม่ดีกว่า” ฉู่เหวินจือแจกแจงเหตุผล แม้ว่ามันจะทำให้เขามาช้าไปสักหน่อยแต่ก็ดีกว่ามีกลิ่นตัว เซินเฟยเป็นคนจมูกค่อนข้างไวอยู่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่เขาตัวเปียกเหงื่อเข้ามาในรถ เขาก็โดนไล่ออกไปนั่งรถการ์ดแทนในทันที

“ทำงานกับเหล่าโหวสนุกหรือเปล่า?” เซินเฟยถามเพื่อฆ่าเวลาโดยไม่ได้คาดหวังคำตอบอะไรมากมาย

“สนุกดีครับ”

“ว่าไปสิ”

“ครับ วันนี้เหล่าโหวบอกว่าโรงงานผลิตยามีปัญหานิดหน่อยก็เลยไปดูด้วยกัน เห็นว่ามีปัญหาเรื่องการจัดเก็บและขนส่งยาบางล็อตทำให้ไม่ทันที่ลูกค้าต้องการน่ะครับ ทางโรงงานเองก็บอกว่ามีปัญหานี้มานานแล้ว ถึงจะผลิตเพิ่มล่วงหน้าแต่ก็เจอปัญหาเรื่องยาเสื่อมสภาพเพราะความชื้นเข้าอีก” ฉู่เหวินจือรายงานไปก็เห็นเรียวคิ้วของเซินเฟยค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน

เรื่องโรงงานนี้เขาเคยได้รับรายงานแล้วและส่งคนไปดูหลายครั้ง ปัญหากลับไม่หายไปเสียที เฉพาะเรื่องนี้ก็ทำให้ทางองค์กนเสียเครดิตพอสมควรแม้จะเป็นเพียงโรงงานเล็ก ๆ ก็ตาม

“แล้วยังไงอีก”

“ผมก็เลยขอแปลนโรงงานกับรูปแบบการจัดเก็บมาครับ”

“นายมีความรู้เรื่อง storage & logistic หรือเปล่า?” เซินเฟยถามขึ้นโดยมองออกไปนอกหน้าต่างและเคาะปลายนิ้วกับที่พักแขนติดประตูรถ “โรงงานนี้เป็นโรงงานขนาดเล็ก จัดการเรื่องคลังสินค้าค่อนข้างลำบากเพราะไม่มีพื้นที่ให้ขยับขยาย แล้วยังตั้งอยู่ติดทะเล แต่เพราะเป็นโรงงานที่ตั้งมานานแล้วก็เลยจัดการอะไรไม่ได้มากกว่านั้น ก่อนหน้านี้ฉันเคยให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าไปดูให้ ก็แก้ปัญหาได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น”

“ผมคิดว่าควรลดกำลังการผลิตและลดปริมาณการขายครับ” ฉู่เหวินจือเอ่ยแนะนำ “โรงงานนี้เท่าที่ผมดูคงจะขยับขยายไม่ได้มากกว่านี้อย่างที่คุณเซินว่า จะเพิ่มเติมเครื่องจักรเข้าไปก็ทำไม่ได้ แล้วยังต้องเสริมเรื่องอุปกรณ์กันความชื้นจากทะเล ผมเลยคิดว่าถ้าลดกำลังการผลิตจะดีกว่า อีกอย่าง ตัวยานี้ก็ไม่ได้ขายดีมากมายอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ?”

“ก็ใช่” เซินเฟยเปลี่ยนท่ามาเท้าคาง “ฉันกำลังคิดจะปิดโรงงานเสียด้วยซ้ำไป”

“เรื่องนี้เหล่าโหวไม่ค่อยเห็นด้วยนะครับ”

“ใช่ เหล่าโหวบอกว่าถึงตัวยานี้จะมีคนสั่งลดลงเรื่อย ๆ แต่ก็ใช้โรงงานทำอย่างอื่นได้อีก ถึงอย่างนั้นฉันกลับเห็นว่าดึงดันต่อไปมีแต่จะทำให้เสียเปล่า เรื่องนี้ฉันจะคุยกับเหล่าโหวอีกที” เด็กหนุ่มตัดบท เรื่องโรงงานนี้เขาคร้านจะเข้าไปปรับปรุงแล้ว ในเมื่อไม่อาจทำประโยชน์ได้ทั้งยังสร้างแต่ปัญหา เขาก็คิดว่าปิดไปเสียจะดีกว่า เพราะพื้นที่ตรงนั้นยังสามารถทำอย่างอื่นได้อีกนอกจากเป็นโรงงาน

“ผมจะบอกเหล่าโหวตามนั้นครับ” ฉู่เหวินจือไม่ได้ทุ่มเถียงต่อ เพราะลึก ๆ เขาก็คิดเช่นเดียวกัน เพียงแต่โรงงานนั้นเหล่าโหวเป็นตัวตั้งตัวตีในการตั้งขึ้นเจ้าตัวจึงรู้สึกเสียดายหากจะต้องปิดไป

เซินเฟยก้มลงมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง ใกล้จะได้เวลาแล้วทางบนเรือก็น่าจะเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

เด็กหนุ่มกวักมือให้การ์ดคนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ

“ไปถามข้างบนว่าเรียบร้อยหรือยัง ถ้ายังก็เร่งมือหน่อยแต่อย่าให้เกิดเรื่องผิดพลาด” ว่าจบก็โบกมือให้ผู้รับคำสั่งไปแจ้งตามนั้น ไม่นานเจ้าตัวก็เดินกลับมา

“เลขาหวางบอกว่าเรียบร้อยแล้วครับ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะขึ้นไปรอข้างบน” เซินเฟยว่าจบ ผู้ติดตามคนหนึ่งก็เข้ามาเปิดประตูให้ เด็กหนุ่มก้าวลงโดยมีฉู่เหวินจือตามหลังไม่ห่าง

เรือสำราญลำหรูยังคงจอดเทียบอยู่ที่ท่าอย่างสงบนิ่ง แต่ตอนนี้แสงไฟบนเรือสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม บ่งบอกว่าเตรียมพร้อมสำหรับการรับรองผู้มาเยือน เซินเฟยก้าวเดินขึ้นไปตามบันไดที่ถูกส่งลงมาจากด้านบน การ์ดที่ทำหน้าที่ดูแลเรือบางส่วนเข้ามารุมล้อมทันทีที่เขาขึ้นมาถึง หวางซิงยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกล ส่วนพ่อครัว แม่ครัว และบริกรชายหญิงก็ยืนเรียงหน้าอย่างเรียบร้อย

เซินเฟยเดินเข้าไปดูในห้องที่จะใช้รับรองจือหยินและหลิงหลิง

จาน ช้อน ส้อม แก้ว และภาชนะทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บนโต๊ะมีเชิงเทียนซึ่งจุดเทียนว่างไสวตั้งอยู่ เปิดแสงไฟเพียงสลัวราง ทำให้บรรยากาศดูนุ่มละมุ่นตาและสงบ เป็นบรรยากาศแบบที่เซินเฟยชอบ ไม่ต้องสงสัยว่าหวางซิงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดแต่งอย่างแน่นอน

วงดนตรีเครื่องสายจำพวก ไวโอลิน เชลโล และวิโอลาตั้งอยู่มุมหนึ่ง นักดนตรียืนขึ้นทันทีที่เขาก้าวเข้ามา เซินเฟยจึงทำมือเป็นสัญญาณให้นั่งลงก่อนจะเดินออกมา

“หมอจือกับคุณหลิงมาหรือยัง?”

“ยังเลยครับ แต่ส่งคนไปรับแล้ว” หวางซิงกล่าว เขาเพิ่งจะให้คนออกรถไปเมื่อครู่นี้โดยกำหนดระยะเวลาว่าจะมาถึงภายในครึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่นัดเอาไว้พอดี

“ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลให้ดีก่อนจะถึงเวลาแล้วกัน” เซินเฟยเอ่ยสั่งหวางซิงก่อนจะเดินเลยไปทางกาบเรืออีกด้านหนึ่งซึ่งมองไปเห็นทะเล ลมทะเลพัดเรือนผมจนปลิวไสวขณะที่เซินเฟยต้องหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งเพื่อไม่ให้ลมพัดต้องดวงตามากเกินไป

หลาย ๆ ครั้ง เซินเฟยก็เคยคิดอยากยืนตากลมทะเลอย่างนี้เงียบ ๆ เสียงคลื่นกระทบกาบเรือเป็นจังหวะทำให้ใจรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะช่วงนี้มีแต่เรื่องเหนื่อยใจหรืออย่างไรนะ เขาถึงได้รู้สึกล้าราวกับเป็นคนแก่อย่างนี้ ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยรู้สึกเหนื่อยจนอยากหนีความวุ่นวายขนาดนี้มาก่อนเลย

หวางซิงได้แต่ยืนมองผู้เป็นนายอยู่ห่าง ๆ เขาไม่อาจเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ ได้ดังแต่ก่อนอีกแล้ว จึงทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้น

“จะไม่เข้าไปหรือครับ?”

ราวกับถูกอ่านใจ หวางซิงสะดุ้งตัวโยนหันมองเจ้าของเสียง

“คุณฉู่ ทีหลังอย่าเข้ามาเงียบ ๆ อย่างนี้อีกนะครับ” เลขาหนุ่มว่าแล้วทำหน้าดุ แม้มันจะดูไม่ได้ดุอย่างที่อยากแสดงออกเลยก็ตามที

“ช่วงนี้คุณเซินดูเหงา ๆ นะ เอ....แต่เพราะอะไรคุณถึงไม่กล้าเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ เหมือนเดิมนะ” ฉู่เหวินจือกลอกตาเหมือนพยายามคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้น หวางซิงรู้สุกเหมือนเป็นคนมีชนักปักหลัง เขากระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสบเข้ากับดวงตาทอยิ้มของฉู่เหวินจือ จึงรู้ว่าถูกกลั่นแกล้งเข้าแล้ว

“ผมจะลงไปรอหมอจือด้านล่าง” หวางซิงไม่อยากจะกลายเป็นตัวตลก และไม่อยากจะให้อีกฝ่ายคาดเดาอะไรได้มากเกินไปจึงรีบปลีกตัวหนีไป

“ทิ้งผมไว้กับคุณเซินจะดีหรือ?” เสียงของฉู่เหวินจือเรียกให้หวางซิงหันกลับมา

“....ถ้าคุณทำอะไรคุณเซินแม้แต่รอยขีดข่วน ผมไม่เอาคุณไว้แน่” เลขาหนุ่มขู่เสียงเข้มก่อนจะรีบเดินจากไป ฉู่หวินจือหัวเราะออกมา

“อย่างนี้สิถึงจะดูน่ากลัวจริง” เขาว่าเช่นนั้น

ฉู่เหวินจือเห็นมานานแล้วว่า หากเป็นเรื่องของเซินเฟยไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่หวางซิงจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนแทบทั้งหมด ทั้งยังเป็นเรื่องที่ทำให้อารมณ์ของหวางซิงหวั่นไหวปรวนแปรได้มากกว่าเรื่องอื่น ๆ ที่เจ้าตัวมักสุขุมใจเย็นอยู่เสมอ

เป้าหมายของฉู่เหวินจือนั้นไม่ได้มีความต้องการที่จะแยกหวางซิงกับเซินเฟยออกจากกัน กระนั้นผลที่เกิดขึ้นก็เหนือความคาดหมายอยู่มาก แม้ไม่อาจรู้ได้ชัดเจนแต่เขาก็คิดว่าคาดเดาได้ไม่ยากเย็นอะไรนัก จะมีสักกี่เรื่องที่ทำให้เซินเฟยโกรธจัดเสียขนาดนั้น ซ้ำยังฝืนเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตัวเองให้เติบโตขึ้นจากเดิม ทั้งที่การกระทำเช่นนั้นทำให้จิตใจต้องแบกภาระขึ้นอีกเท่าตัว

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นผลดีกับฉู่เหวินจือ ชายหนุ่มแย้มยิ้ม ดวงตาพราวระยับอย่างนึกถูกใจ

หน้าที่ของเขายังไม่จบลงง่าย ๆ…..

ฉู่เหวินจือเอามือล้วงกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างหลังเซินเฟยอย่างเงียบ ๆ เขาจ้องมองแผ่นหลังเหยียดตรงนั้นอยู่เนิ่นนานโดยเจ้าของไม่ได้รู้สึกถึงการมาของเขา เวลาที่อยู่ตามลำพังอย่างนี้เซินเฟยมักจะลดการป้องกันตัวลงแทบทั้งหมด ง่ายดายยิ่งนักต่อการปองร้าย แค่เพียงยื่นมือออกไปก็สามารถสังหารผู้ยืนอยู่เหนือบัลลังก์หงส์แห่งฮ่องกงได้โดยไม่มีใครทันรู้ตัว

ฉู่เหวินจือก้าวเท้าเข้าไปโดยไร้สุ้มเสียง ก่อนยื่นมือออกไปข้างหน้า อีกเพียงนิดเดียวก็จะสัมผัสแผ่นหลัง....

ชายหนุ่มแย้มยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะก้าวเข้าใกล้ขึ้นและวางมือลงไปบนกาบเรือโดยคร่อมร่างของเซินเฟยไว้ตรงกลางและไม่มีส่วนใดของร่างกายสัมผัสกันเลย

“มีอะไร?” เซินเฟยสามารถรู้ได้ว่าใครกันที่กล้ากระทำอุกอาจโดยไม่ต้องหันไปมอง

“ยืนแบบนี้ไม่หนาวหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามประชิดใบหู

เซินเฟยเหลือบมองอีกฝ่าย การที่ถามเช่นนี้ด้วยท่าทางแบบนี้มีเป้าประสงค์ให้เดาไม่มากนัก จริงอยู่ว่าการที่ฉู่เหวินจือมาคร่อมอยู่จะสามารถให้ความอบอุ่นได้ แต่เขาเองก็มีเสื้อโค้ทอยู่บนตัวแล้ว ซ้ำหากใครมาเห็นภาพนี้เข้าคงจะไม่ดีเป็นแน่

“ถอยออกไป”

ฉู่เหวินจือหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ถือสาคำสั่งอันเย็นชาก่อนจะถอยออกไปโดยดี

“ไม่มีธุระอะไรก็อย่ารบกวนฉันบ่อยนัก” เซินเฟยกระชับเสื้อโค้ทบนไหล่ด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจที่ถูกทำลายความสงบอันหาได้ยากยิ่ง

“ผมแค่กังวลว่าคุณเซินอาจโดยปองร้าย” คำพูดของฉู่เหวินจือเป็นคำที่ฟังมีเหตุผลเซินเฟยจึงไม่ได้ต่อว่าอะไร เขาเขม่นมองไปยังผืนน้ำสีดำสนิท

“ไม่มีเรือรอบ ๆ นี้ การ์ดของฉันคอยดูแลท่าเรือกับชายฝั่งอยู่”

“ถึงอย่างนั้นก็วางใจไม่ได้ไม่ใช่หรือครับ?”

เซินเฟยพยักหน้ารับ

“งั้นนายก็มายืนข้าง ๆ ฉันแล้วกัน”

ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างทันที ก่อนก้าวเข้าไปยืนเท้ากาบเรืออยู่ด้วยกันและทอดสายตาไปยังท้องน้ำสีดำเบื้องหน้า

ความเป็นจริงแล้ว แม้การ์ดจะไม่อยากรบกวนความสงบของเจ้านายก็จะคอยสังเกตอยู่ใกล้ ๆ ตลอด ถึงจะมีเรือมือสังหารเข้ามาใกล้ก็จะต้องมองเห็นก่อนถึงตัวแน่นอน กระนั้นเซินเฟยก็คร้านจะไสส่งฉู่เหวินจือไปไกล ๆ ตราบใดที่มือยังไม่ระราน เซินเฟยก็ไม่นึกเดือดร้อนมากนัก

------------------------->

หวางซิงเดินลงมาข้างล่างด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก คอยพะว้าพะวงอยู่ตลอดว่าเซินเฟยจะโดนฉู่เหวินจือทำอะไรหรือไม่ แต่เวลานี้การ์ดบนเรือมีจำนวนมากกว่าการ์ดด้านล่าง น่าจะกระจายกันทั่วมากพอที่จะเห็นเซินเฟยอยู่ในสายตาตลอดเวลา และฉู่เหวินจือคงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่ามเป็นแน่ ถึงแม้จะคิดแบบนั้น หวางซิงก็ยังอดรู้สึกเป็นกังวลตามวิสัยไม่ได้อยู่ดี
เมื่อหวางซิงเดินไปถึงจุดที่จอดรถ เขาก็พบว่ารถคันหนึ่งกำลังแล่นเข้ามา เขม่นมองแล้วก็พบว่าเป็นรถของการ์ดจึงเดินเข้าไปใกล้

“ขอโทษที่มาช้าครับ” จือหยินรีบเดินลงมาเมื่อรถจอดสนิทดีแล้วและพยุงหลิงหลิงที่เลิกใช้ไม้เท้าแล้วลงจากรถ

“คุณหลิงหลิงเดินเองได้แล้วหรือครับ?” หวางซิงเอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวลงมายืนโดยไม่มีไม้เท้าพยุงตัว

“เดินพอได้แล้วค่ะ แค่ต้องระวังเวลาสะดุดเท่านั้นเอง” หลิงหลิงตอบพลางยิ้มหวานเกาะแขนจือหยิน บนนิ้วนางของเธอมีแหวนสวมอยู่วงหนึ่ง ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ว่าเป็นแหวนหมั้นอย่างแน่นอน และบนนิ้วของจือหยินก็คงจะมีวงที่เหมือนกันอยู่

“ยินดีด้วยนะครับ” หวางซิงเอ่ยตามมารยาท “คุณเซินกำลังรออยู่ เชิญทางนี้ครับ”

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 02-03-2011 12:48:42
จือหยินและหลิงหลิงมองหน้ากันเล็กน้อยแล้วยิ้มให้กันก่อนเดินตามหลังหวางซิงไป

“จัดบนเรือสำราญอย่างนี้น่าตื่นเต้นจังนะคะ ฉันยังไม่เคยขึ้นเรือสำราญเลยสักครั้ง” หลิงหลิงทำเสียงตื่นเต้นตามคำพูดอย่างไม่ปิดบัง ด้วยนิสัยเปิดเผยเช่นนี้ทำให้หวางซิงนึกเอ็นดูอยู่ในใจพลางนึกเสียดายที่รอบตัวเซินเฟยไม่อาจหาคนเปิดเผยจริงใจอย่างนี้ได้เลย

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงท่าเรือ จือหยินและหลิงหลิงก็ทำตาโตเมื่อเห็นเรือสำราญขนาดย่อมจอดอยู่ตรงหน้า แม้จะไมได้ใหญ่โตหรูหราแบบที่เห็นในโทรทัศน์เพราะเป็นเพียงเรือสำราญส่วนตัว ไม่ใช่เรือสำราญสำหรับโดยสาร แต่ในสายตาคนธรรมดาอย่างทั้งสองก็นับว่าตระการตามากแล้ว หัวใจในอกเต้นรัวแรงอย่างตื่นเต้นระคนปลาบปลื้มใจ โอกาสที่จะได้สัมผัสความหรูหราใอย่างนี้คงหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิต จือหยินเอง เมื่อเห็นว่าคนรักดูมีความสุขก็หัวใจพองโตไปอีกเท่าตัวหนึ่ง

หมอหนุ่มบีบมือคนรักเบา ๆ แล้วยิ้มให้ หลิงหลิงเองก็ยิ้มให้คู่หมั้นอย่างมีความหมาย

บุคคลทั้งสองเดินตามหวางซิงไปทีละก้าว รู้สึกราวกับอยู่ในฉากหนังใหญ่ที่คู่รักกำลังเข้าสู่ฉากซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความหอมหวาน ทว่า...ในวินาทีแห่งความปิติและตื่นเต้นนั้นเอง สิ่งที่ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาโดยไม่มีใครทันคาดคิด

เสียงตูมดังก้องจากเบื้องหน้าสะเทือนไหวไปถึงแผ่นฟ้า

ทุกคนที่อยู่บนท่าได้รับผลจากแรงสะเทือนนั้นจนกระเด็นถอยไปหลายก้าว จือหยินและหลิงหลิงที่อยู่ห่างไปมากยังถูกผลักไปไกล

จือหยินลืมตาขึ้นมองว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สะท้อนภาพเบื้องหน้าที่แตกต่างจากวินาทีก่อนห้านี้โดยสิ้นเชิง

เรือสำราญที่จอดสงบนิ่งอยู่ริมท่าบัดนี้ลุกไหม้ไปด้วยกองเพลิงโชติช่วง เศษเหล็กถูกแรงระเบิดผลักให้กระจายอกเป็นชิ้น ๆ ร่วงลงไปในน้ำ สีแดงฉานของไฟพวยพุ่งขึ้นสู่เบื้องบนทำให้รอบด้านมีแต่สีแดงส้มแผ่ไปทั่วราวกับรัศมีของห้วงนรก

จือหยินเผลอกลั้นหายใจ หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ สมองไม่อาจรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ว่ายังมีคนที่ตกใจยิ่งกว่า

ทันทีที่หวางซิงตั้งสติได้ เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหาลำเรือที่อยู่ท่ามกลางกองไฟ การ์ดที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวรีบขวางเขาเอาไว้ทันที

“คุณเซิน! ปล่อยฉันนะ! รีบไปช่วยคุณเซินสิ!” หวางซิงตะโกนร้องและพยายามดิ้นรนจากวงบอดี้การืดที่เข้ามากรุ้มรุมไม่ยอมปล่อยให้หวางซิงวิ่งเข้าไปหาความตาย

เสียงร้องเรียกชื่อผู้เป็นนายดังก้องบาดลึกลงไปในใจของทุกผู้ที่ได้ยิน ทว่า....ไม่มีใครแม้สักคนจะกล้าท้าความตายเข้าไปดูว่าเจ้าของนามนั้นอยู่ที่ใดในกองเพลิง....

หวางซิงถูกลากตัวออกมาโดยไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ การ์ดจำนวนหนึ่งต้องล็อคตัวเขาเอาไว้จนแน่นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดสั้นตามเจ้านายไปด้วย ในที่สุดเมื่อสิ้นไร้หนทาง หวางซิงก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งรากวับว่าวิญญาณในร่างของเขาได้หลุดลอยออกไปพร้อมเสียงระเบิดนั้นแล้ว....

------------------------->

ชั่วโมงต่อมา รถตำรวจและรถดับเพลิงก็มาถึง เนื่องจากเรือยังจอดเทียบท่าจึงต้องทำการควบคุมเพลิงอย่างเร่งด่วน โชคดีที่รอบ ๆ นั้นไม่มีอะไรที่สามารถลุกติดไฟได้ จึงไม่มีใครเป็นอันตราย

หลังจากไฟบนเรือดับลงแล้ว หน่วยกู้ภัยก็ทำการช่วยเหลือผู้ที่อยู่รอบ ๆ และลงไปกู้ศพ

มีคนรอดมาไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นคนที่อยู่ห่างจากหัวเรือซึ่งเกิดการระเบิด ซากศพบางส่วนร่างกายฉีกขากระจัดกระจาย หากว่าไม่เป็นเวลากลางคืน บัดนี้ผืนน้ำอาจแดงฉานไปด้วยสีเลือด

มู่อี้จิงและสารวัตรหรงมาถึงที่เกิดเหตุช้ากว่าที่คิดเพราะเหตุการณ์ที่เกิดชึ้นส่งผลต่อการจราจร ทั้งสองยืนมองซากเรือด้วยสีหน้าเคร่งเครียดถมึงทึง พวกเขาต่างรับรู้ได้โดยไม่ต้องสื่อสารกันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อีกแล้ว

จูเชว่โดนลอบฆ่าด้วยการระเบิดเรือ!

มู่อี้จิงเผลอกำมือแน่น ไม่คาดคิดว่าคนรอบคอบอย่างเซินเฟยจะถูกลอบกัดเอาอย่างนี้ ก่อนหน้าที่ถูกลอบยิงถือว่าสะเพร่าแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ใช่สะเพร่าธรรมดา เขาสามารถคาดเดาได้ด้วยประสบการณ์ เรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังและลงมือโดยคนในอย่างแน่นอน

หลังจากกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็คว้าตัวพยาบาลที่กำลังวิ่งผ่านคนหนึ่งไว้

“เจอศพเด็กผู้ชายไหม?”

“เด็กผู้ชายอะไรครับ?” บุรุษพยาบาลถามหน้าตื่น ทำท่าเหมือนอยากรีบจบบทสนทนาเพราะยังมีคนบาดเจ็บอีกมากรอการเยียวยาปฐมพยาบาลก่อนส่งให้หมอ

“เด็กอายุ 18 มีใครที่ดูเหมือนเด็กอายุ 18 หรือเปล่า!?” มู่อี้จิงกระชากคอเสื้อแล้วตะคอกจนแทบจะเป็นการตะโกน

“ไม่มีเลยครับ” บุรุษพยาบาลตอบก่อนรีบวิ่งจากไปเมื่อถูกปล่อยตัว

สารวัตรหรงตบบ่ามู่อี้จิงหนัก ๆ

“ใจเย็นไว้ เราไปดูคนที่รอดกันก่อนเถอะ จูเชว่อาจจะยังไม่ได้ขึ้นเรือก็ได้”

“ครับ” มู่อี้จิงสูดลมหายใจเข้าลึก ความจริงเขาอยากจะถามถึงหวางซิงด้วย แต่หากสารวัตรหรงบอกว่าจูเชว่อาจจะยังไม่ขึ้นเรือ หวางซิงก็น่าจะยังอยู่บนท่าเช่นกัน

ทั้งสองเดินไปยังจุดที่ปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ กวาดตามองอยู่นานก็ไม่เห็นเซินเฟยหรือหวางซิงเลย

“นี่ นายน่ะ” มู่อี้จิงเดินไปหาการ์ดคนหนึ่งที่บาดเจ็บเล็กน้อยจากสะเก็ดระเบิด “จูเชว่กับเลขาหวางอยู่ที่ไหน?”

ทันทีที่โดนถาม ใบหน้าของการ์ดก็ซีดเผือดและพลันเปลี่ยนเป็นคล้ำเครียด

“ท่านจูเชว่......อยู่บนเรือครับ”

มู่อี้จิงเผลอกลั้นหายใจ เขาแข็งค้างไป รู้สึกได้ว่าปลายมือปลายเท้าเย็นเฉียบเหมือนถูกแช่แข็ง

“แน่ใจนะว่าตอนนั้นจูเชว่อยู่บนเรือ?” สารวัตรหรงที่ใจเย็นกว่านั่งลงถามเพื่อความแน่ใจ อีกฝ่ายพยักหน้าเอาจริงเอาจัง “แล้วมีใครอยู่อีกบ้าง?”

“การ์ดประมาณ 70 % ครับ ส่วนเลขาหวางกับหมอจือและคู่หมั้นอยู่ข้างล่าง”

สารวัตรหรงพยักหน้ารับ ส่วนมู่อี้จิงเมื่อได้ยินว่าหวางซิงไม่ได้อยู่บนเรือก็รีบกระชากคอเสื้อรบเร้าทันที

“เลขาหวางอยู่ไหน! ตอนนี้อยู่ที่ไหน!” ความร้อนรนของมู่อี้จิงทำให้สารวัตรหรงต้องรีบเข้าปรามแล้วดึงอีกฝ่ายออกมาจากคนเจ็บ การ์ดหนุ่มผู้ทำหน้าที่ดูแลชายฝั่งไอออกมาสองสามครั้งก่อนจะรวบรวมสติตอบ

“ผมเห็นเลขาหวางเดินไปทางนั้น”

มู่อี้จิงไม่รอช้า เขารีบวิ่งไปตามที่อีกฝ่ายชี้ทันที ส่วนสารวัตรหรงกลับสะดุดใจกับชื่อของคนที่ไม่น่าอยู่ที่แบบนี้เสียมากกว่า เขานั่งลงตรงหน้าคนเจ็บอีกครั้ง

“หมอจือกับคู่หมั้นหรือ? พวกเขามาที่นี่ทำไม?”

“ผมได้ยินว่า ท่านจูเชว่ต้องการจัดงานฉลองให้ทั้งสองคนเป็นการส่วนตัวเพราะหมอจือทำงานให้กับตระกูลเซินมาหลายปีครับ” การ์ดหนุ่มตอบตามตรงเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร อีกทั้งสารวัตรหรงก็รู้จักมักจี่กับเซินเฟยอย่างดี ถึงจะเล่าหมดเปลือกเท่าที่การ์ดปลายแถวอย่างเขารู้ก็ไม่ส่งผลเสียหายอะไรกับจูเชว่หรือตระกูลเซินอยู่ดี กระนั้นสารวัตรหรงกลับลูบปลายคางอย่างครุ่นคิด

“มีคนรู้เรื่องนี้มากแค่ไหน?”

“ไม่มากครับ แค่คนในบ้านกับพวกผม แล้วก็....”

“หมอจือกับคู่หมั้น” สารวัตรหรงเสริมแล้วพยักหน้าก่อนเอ่ยขอบคุณแล้วลุกขึ้นยืน เขารู้สึกทะแม่งกับเรื่องนี้ ไม่ใช่โอกาสจะมีง่ายนักที่จูเชว่คนนี้จะจัดงานส่วนตัวให้ใครบางคน ซ้ำยังให้รู้กันเฉพาะคนใน แต่กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นทั้งที่มีการตรวจตราอย่างดี มันจะบังเอิญถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

--------------------------->

หวางซิงยืนมองซากเรือเหมือนคนไร้วิญญาณ สายตาอันว่างเปล่าทอดออกไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าตนเองยืนอยู่ตรงนี้นานเท่าใดแล้ว เขาเห็นมีการกู้ซากศพและคนเจ็บขึ้นมาจากน้ำคนแล้วคนเล่า แต่ไม่ว่าจะมองหาอย่างไรก็ไม่ปรากฏเงาของเซินเฟยให้เห็น ซึ่งใจหนึ่งก็ดีใจที่หวังได้ว่าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อกู้คนเจ็บขึ้นมาหมดแล้วก็ยังคงไม่พบทำให้ใจของหวางซิงยิ่งฝ่อลงกว่าเดิม จนตอนนี้สิ่งที่กวาดขึ้นมาได้เหลือแต่เศษเนื้อ กระดูก และซากเรือ หวางซิงก็ยังยืนรอคอยด้วยความหวัง

สัมผัสอุ่นวางทาบลงบนไหล่ หวางซิงไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ข้างหลัง

“คุณหวาง” มู่อี้จิงเอ่ยเรียกอย่างระมัดระวัง หวางซิงจึงเพิ่งจะรู้สึกตัวและค่อย ๆ หันมามองผู้มาเยือนอย่างเลื่อนลอยไร้จิตวิญญาณ มู่อี้จิงใจหายวาบเมื่อเห็นดวงตาที่ว่างเปล่า เขาจับต้นแขนของหวางซิงด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะบีบหนัก ๆ ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ทว่า ทันใดนั้นหวางซิงกลับเบ้หน้ารากวับเจ็บปวด

มู่อี้จิงชักมือกลับด้วยความตกใจ มือของเขาเปื้อนเลือดสีแดงฉานและแขนเสื้อของหวางซิงก็เช่นกัน

“คุณบาดเจ็บ....”

“ผมหรือ.....ผมไม่ได้......” หวางซิงตอบกลับเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“คุณหวาง มองผมสิ” มู่อี้จิงเขย่าอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อเรียกสติ หวางซิงปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบขึ้นมองใบหน้าอีกฝ่ายและน้ำก็ค่อย ๆ ไหลกลิ้งลงมาจนอาบแก้ม อกของมู่อี้จิงหนาววูบในทันที เขารีบดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดจนแน่นโดยระวังต้นแขนที่บาดเจ็บและลูบไหล่ลูบหลังปลอบจนกระทั่งได้ยินเสียงสะอื้อฮักดังออกมา เสื้อของเขาถูกขยุ้มจนแน่นด้วยมือของหวางซิงก่อนที่จะซุกหน้าเข้ากับบ่าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างไม่นึกอายใคร

“ผมน่าจะอยู่บนเรือด้วย....ทำไมผมถึงไม่อยู่ตรงนั้น....” หวางซิงพูดเจือเสียงสะอื้น

“อย่าพูดบ้า ๆ น่า ถึงคุณจะอยู่ตรงนั้นก็ทำอะไรไม่ได้หรอก” มู่อี้จิงไม่รู้จะปลอบอย่างไรจึงได้แต่พูดออกมาอย่างนี้ “ผมถามดูแล้ว ไม่มีใครเจอศพของจูเชว่ แสดงว่าเขายังมีโอกาสรอด”

“แต่ว่า......” หวางซิงยิ่งสั่นสะท้านมากขึ้น เขารู้สึกเหมือนหลอดลมตีบตันไปชั่วครู่ทำให้พูดอะไรไม่ออก สมองของเขาคอยแต่จินตนาการถึงร่างอันแหลกเหลวนับชิ้นไม่ได้ของเซินเฟย ทันใดนั้นก็รู้สึกคลื่นไส้จนอยากอาเจียน เขาอยากจะควักสมองเจ้ากรรมออกมาคั้นความคิดชั่ว ๆ นั่นจริง ๆ

“เรื่องนี้ผมจะต้องสืบให้กระจ่างให้ได้ จะตามตัวเจ้านายของคุณให้เจอด้วย” มู่อี้จิงให้คำสัญญา หวางซิงเงยขึ้นมองด้วยน้ำตานองหน้า เขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นิ่งอยู่เช่นนั้นด้วยร่างอันสั่นเทา มู่อี้จิงเห็นว่าอีกฝ่ายยอมผ่อนตามแล้วจึงฉวยโอกาสรั้งให้ตามไปยังจุดปฐมพยาบาลเพื่อทำแผลที่ต้นแขน แต่สายตาของเขากลับยังคงสะท้อนภาพซากเรือที่ถูกระเบิด คนที่กล้าทำเรื่องนี้ลงไปคงไม่ได้คำนึงถึงผลร้ายแรงที่จะตามมาเลย หากจูเชว่ตายไปอย่างนี้ฮ่องกงต้องระส่ำระสายแน่

มู่อี้จิงเม้มปาก เขาคาดเดาถึงความวุ่นวายหลังจากนี้ได้ไม่ยากสักนิด การแก่งแย่งอำนาจในองค์กรจะทำให้คนตายอีกมาก ดังนั้นก่อนที่จะเกิดเรื่องพวกนั้นขึ้น เขาจะต้องลากตัวคนที่ทำเรื่องนี้ออกมาสำเร็จโทษและหาตัวจูเชว่ให้เจอแม้จะต้องควานขึ้นมาจากนรกก็ตาม

TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 02-03-2011 13:09:25
เค้าหายไปไหนกันหละสองคน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 02-03-2011 13:10:08
เอาแล้วไง
คุณเซินหายตัวไปไหนกันนะ
คิดว่าฉุ่เหวินจือน่าจะช่วยไว้ได้นะ คิดว่าแบบนั้น...
หัวข้อ: Re: หนอนใบตอง by RakorN ตอนที่27: เปลี่ยนใจ หน้าที่ 68 [16.12.10]
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 02-03-2011 13:37:49
ลุ้นๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 02-03-2011 19:07:37
งานนี้ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง คือ แม่นางหลิงหลิง แต่ตำรวจจะจับไต๋ได้รึเปล่า?
เสี่ยวเฟยกับตาฉู่คงไม่ตายหรอก ( ก็ตัวเอกนี่ ) แต่ปลอดภัยแค่ไหน? กลับได้เมื่อไร? ต้องรอลุ้นอีกแล้ว
สงสารอาซิง แต่เจอฉากปลอบใจของมู่อี้จิงแล้วอยากจะกรี๊ด อบอุ่นแต่แมนโคตร ๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 02-03-2011 19:23:59
 o18อย่าบอกนะว่าหลิงหลิงเป็นคนทำน่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 02-03-2011 19:57:47
กอดปลอบใจหวางซิงแน่นๆเลยนะคุณมู่ :z1:

ลุ้นๆ ว่าใครเป็นคนลอบวางระเบิด
ลุ้นๆ ว่าเค้าาหายไปด้วยกันแล้วจะสวีทหวานกันรึป่าว

ลุ้นๆๆๆๆ :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 03-03-2011 10:03:46
แม่นางหลิงหลิง น่าจะเป็นลูกสาวของเฉียนหยุน หรือเปล่านะ ที่เรียนที่เมืองนอกอ่ะ
เธอมาแก้แค้นให้พ่อเธอแน่ๆ อิตาฉู่น่าจะรู้จักถึงตามไปดูเชิงที่โรงพยาบาลอย่างนั้น

หวังว่าอิตาฉู่จะช่วยเฟยเฟยไว้ได้นะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 03-03-2011 13:32:34
ขณะนี้คอมผู้เขียนไปสวรรค์เรียบร้อยเพราะไฟกระชากซะแรมเจ๊ง= ="
ดังนั้นวันนี้งดอัพนะคะ หวังว่าพรุ่งนี้ช่างจะเอาแรมที่ไปเคลมมาเปลี่ยนให้......
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 03-03-2011 14:37:22
อ่า เสียดายจัง
แต่ก้รอค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 03-03-2011 18:13:46
ภาวนาให้ได้ RAM ตัวใหม่โดยเร็วนะค่ะ~:a11:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: yakusa ที่ 04-03-2011 01:24:28
^
^

  กด  like 100 ที  RAM จงมา
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 04-03-2011 10:16:39
แรมมาเร็วๆนะ  ใจจะขาดแล้ว อยากอ่านต่อเร็วๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: mete ที่ 05-03-2011 09:44:14
อ๊ากกกกกกกกก

ค้างมาก

หวังว่าคนแต่งคงไม่อยู่บนเรือด้วยนะคับ(ล่อเล่นคับ อย่าโกรธกันน่า)

มารอลุ้นคับ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-03-2011 09:46:00
อาหลิงต้องเป็นหล่อนแน่
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 05-03-2011 11:43:01
เข้ามารอค่ะ
Ram มาด่วนนน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 05-03-2011 16:50:06
คิดถึงเฟยเฟย กะอาซิงแล้ว
มาเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 06-03-2011 18:17:51
 :m31: :m31:หลิงหลิงแน่เลยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 06-03-2011 18:33:57
 :z2:

คนเขียนหายไปไหนนน

เต้นรอ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: pu4755 ที่ 07-03-2011 15:04:35
เฟย เฟย หายไปหนาย  มาด่วน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 07-03-2011 18:34:56
เข้ามารอเฟยๆ ด้วยความคิดถึง :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 07-03-2011 23:21:45
อ่านแล้วลุ้นเหมือนดูหนังมาเฟียฮ่องกงอะไรอย่างนั้นทีเดียวครับ

ชอบมากๆเลย รออ่านตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 08-03-2011 00:24:53
แย่แน่ๆๆใครมันช่างกล้าลอบวางระเบิด


เซินเฟยจะเป็นไงบ้างเนี่ย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 08-03-2011 10:15:39
เข้ามานั่งรอค่า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 08-03-2011 11:51:51
รอ.............................................................
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: pu4755 ที่ 08-03-2011 14:33:01
รอ.............



ต่อ.......................




ไป.................................





เฟย เฟย   
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: pu4755 ที่ 09-03-2011 11:07:51
โอม แรม จงลง จงลง  เอ้ย

จงมา จงมา   มารอนะเฟย เฟย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 09-03-2011 12:18:42
เข้ามารอด้วยคนค่า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 11-03-2011 22:00:30
ขออภัยที่ต้องมาแจ้งข่าวร้ายค่ะ= ='
หลังจากเปลี่ยนแรมแล้ว คอมก็ยังดับอยู่ดี ช่างจึงเอาไปเช็คที่พันทิปและปรากฏว่า.....การ์ดจอละลาย!!
พระเจ้า เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอกรณีนี้ การ์ดจอละลาย=[]=! พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้ง!

และด้วยเหตุฉะนี้เอง จึงต้องรอคอยกันต่อไป เพราะ....ต้องรอเคลมการ์ดจอกับทางศูนย์ใหญ่ - -**

จึงแจ้งมาเพื่อทราบด้วยประการละฉะนี้ล่ะค่า....
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: justlove ที่ 11-03-2011 23:30:08
ขอบคุณค่ะที่มาบอกข่าวนะ 

ขอให้เคลมได้ไม่มีปัญหา

เรื่องฟิตรอได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: kny ที่ 13-03-2011 17:55:51
+1(^_^)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 20 (2/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 14-03-2011 20:42:21
ยังคงรอต่อไป
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 16-03-2011 19:14:41
-21-



เป็นดังที่มู่อี้จิงคาดไว้ เขายังไม่ทันจะได้ลงมืออะไร เค้าลางแห่งความวุ่นวายแรกก็ปรากฏขึ้น ณ บ้านตระกูลเซินนี้เอง

เช้าวันถัดจากคืนแห่งโศกนาฏกรรม บ้านตระกูลเซินที่ยังตกในความโศกเศร้าต้องเผชิญกับการเหยียบย่ำจิตใจอย่างเหลือแสนโดยบุคคลที่ได้ชื่อว่าบิดาของจูเชว่ที่ไม่อาจรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เซินหยู่มาเยือนบ้านใหญ่แต่เช้าตรู่ ทุกคนในบ้านต่างไม่ได้ขวางกั้นเมื่อเขาต้องการเข้ามาด้วยคิดว่าใจของพ่ออาจต้องการไว้ทุกข์ให้บุตรชายหรืออาจจะอยากสัมผัสความเป็นอยู่ของลูกชายด้วยความอาลัย ทว่า ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่เช่นนั้น เซินหยู่เข้ามาถึงด้านในได้ก็วางกร่างไม่เกรงใคร และออกคำสั่งให้หวางซือเรียกข้าทาสบริวารในบ้านออกมาให้หมด ใครนอนอยู่ก็ต้องปลุกให้ตื่นขึ้นมารวมกันที่ห้องโถง

หวางซิงเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกเรียกตัวออกมาเช่นกัน เขานอนร้องไห้จนตาบวมจึงฝืนลืมตาแทบไม่ไหว กระนั้นก็ยังต้องลากสังขารตนเองออกมารวมอยู่ในห้องโถงกับคนอื่น ๆ ตอนที่เขาลงมาถึงนั้น ห้องโถงเต็มแน่นไปด้วยคนรับใช้และการ์ดที่มีตำแหน่งสำคัญในบ้าน ส่วนการ์ดคนอื่น ๆ ที่เหลือยืนอยู่รอบ ๆ สวนด้านนอก ไม่ได้เข้ามาอัดรวมกับคนข้างในแต่อย่างใด

หวางซือซึ่งเป็นหัวหน้าพ่อบ้าน และมีอำนาจการสั่งการคนรับใช้ในบ้านรองจากจูเชว่ ถูกเซินหยู่เรียกตัวไปยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อให้คอยถ่ายทอดคำสั่ง หวางซิงเพิ่งตื่นจึงยังคิดอะไรไม่ทันนัก แต่เขาได้ยินคนรับใช้ซุบซิบกันว่าเซินหยู่อาจฉวยโอกาสนี้ก็เป็นได้

“สั่งให้พวกมันเงียบเสียที” เซินหยู่เริ่มรำคาญเมื่อยืนอยู่นานแล้วยังไม่เห็นใครในบ้านยอมเงียบ

“เอาล่ะทุกคน เงียบหน่อย คุณเซินหยู่มีเรื่องจะพูดกับพวกเรา” หวางซือสั่งการเสียงเรียบและไม่ได้ดังอะไรนัก แต่ทุกสรรพเสียงก็พลันเงียบสนิทในทันที

เซินหยู่รู้สึกพออกพอใจ เขาเดินวนรอบพื้นที่โถงที่เหลืออยู่เล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ฉลุลายหงส์ทาสีชาดตัวหนึ่ง ทำให้ทุกคนกลั้นหายใจเฮือก บางคนถึงกับกัดฟันด้วยความขึ้งโกรธ เพราะเก้าอี้ที่เซินหยู่นั่งนั้น คือเก้าอี้ที่แสดงถึงศักดิ์เจ้าบ้าน เรื่องนี้ใคร ๆ ในตระกูลต่างรู้ดี เมื่อมีการประชุมแก๊งค์ จูเชว่จะนั่งบนเก้าอี้สีชาดกลางห้องโถงใหญ่ และตั้งเก้าอี้ให้หัวหน้าคนอื่น ๆ นั่งถัดออกไปตามตำแหน่งจนถึงประตู เรื่องสำคัญแบบนี้มีหรือเซินหยู่จะทำลงไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

“อืม เก้าอี้ตัวนี้นั่งแล้วสบายดีจริง” เซินหยู่ขยับตัวบนเก้าอี้

“คุณเซิน กรุณาลุกขึ้นด้วยครับ” หวางซือเอ่ยพลางมองด้วยสายตาตำหนิไม่ปิดบัง “ที่ตรงนั้นมีเพียงจูเชว่ที่จะนั่งได้ ถึงคุณจะเป็นพ่อของจูเชว่ก็ไม่มีสิทธิครับ”

“เหอะ อย่ามาพูดโง่ ๆ หน่อยเลย” เซินหยู่ไม่ได้แสดงอาการโกรธเคือง ตอนนี้ความปรีดาล้นอยู่ในอกจนไม่รู้สึกหงุดหงิดใจเลยแม้แต่น้อย “จูเชว่ก็ตายไปแล้ว จะหวงตำแหน่งไว้ทำไมกัน ตำแหน่งนี้นับลำดับตามสายเลือดสินะ ในเมื่ออาเฟยไม่มีลูกฉันที่เป็นพ่อก็ควรได้รับสิทธิต่อ”

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติองค์กรเลยที่พ่อขึ้นตำแหน่งต่อจากลูก เพราะตำแหน่งนี้จะสละได้ก็ต่อเมื่อเสียชีวิตแล้วเท่านั้น และเพราะเหตุผลนี้ จูเชว่รุ่นก่อนที่เป็นพ่อบุญธรรมของเซินเฟยจึงออกใบมรณะบัตรให้ตัวเองแล้วหายตัวไปเพื่อให้ตนเองเป็นคนตายตามกฎหมายและไม่มีใครออกตามหาอีก ถึงอย่างนั้นจูเชว่รุ่นก่อนก็รอบคอบพอที่จะหาคนขึ้นมานั่งแทนตำแหน่งเพื่อป้องกันการแย่งชิงจนนองเลือดของคนในตระกูล ทว่าในกรณีของเซินเฟยนั้น เจ้าตัวยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ตำแหน่งเพิ่งจะเริ่มมั่นคงได้ไม่นาน ในหัวของเซินเฟยจึงมีแต่เรื่องที่จะทำอย่างไรให้องค์กรเดินหน้าต่อไปได้ภายใต้การปกครองของตนเอง

อย่าว่าแต่พินัยกรรม.....กระทั่งคำบอกปากเปล่าก็ไม่มีไว้ให้

“ยืนบื้อทำไมล่ะ! ยังไม่แสดงความเคารพฉันอีก!” เซินหยู่ขึ้นเสียงเมื่อเห็นคนรับใช้ทั้งหลายยังยืนหัวโด่เด่ไม่มีก้มลงแม้สักคนทั้งที่เขาประกาศเจตนารมย์แน่ชัดว่าต้องการขึ้นตำแหน่งแทนลูกชายที่ตายไป ก่อนหน้านี้ที่เขาเข้ามา ตอนเซินเฟยเดินผ่าน ไม่ใช่แค่คนรับใช้รอบ ๆ กระทั่งคนที่ยืนอยู่ไกล ๆ เห็นในระยะสายตายังก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อมราวกับเซินเฟยเป็นเจ้าเหนือหัวก็ไม่ปาน

คนรับใช้และการ์ดทุกคนมองหน้ากันไปมา ต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ในที่สุดจึงหันกลับมามองทางหวางซือที่ผ่านร้อนหนาวมามากมาย ย่อมรู้ว่าควรจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ ซึ่งหวางซือก็รู้ว่าตนเองถูกฝากความคาดหวังจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“คุณเซิน ตอนนี้ทุกคนกำลังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้า ไม่มีจิตใจจะเคารพนบนอบใครหรอกครับ”

“ไร้มารยาทจริง ๆ อาเฟยเสี้ยมสอนยังไง....อ้อ ไม่ใช่สิ รุ่นก่อนนั้นเสี้ยมสอนยังไง พวกขี้ข้ามันถึงได้ผยองกันไปหมด” เซินหยู่พูดอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งยังพาดพิงไปถึงจูเชว่รุ่นก่อนที่หายตัวไปด้วย ทำให้คนรับใช้ทั้งหลายเริ่มไม่พอใจมากขึ้นแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเมื่อหวางซือส่งสายตาปรามอยู่เงียบ ๆ

“คุณเซินทราบกฎเกณฑ์การประกาศแต่งตั้งจูเชว่อย่างเป็นทางการหรือเปล่าครับ?” ชายชราเอ่ยถามอย่างนอบน้อมทำให้ผู้ถูกถามอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย

“ไม่ต้องมาอ้อมค้อมหรอก ว่ามาสิ”

“การประกาศแต่งตั้งจะมีขึ้นเมื่อมีหลักฐานว่าจูเชว่คนปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว หรือ 100 วันหลังจากจูเชว่ได้หายตัวไป” หวางซืออธิบายอย่างใจเย็น “ตอนนี้เราไม่มีหลักฐานว่าท่านจูเชว่เสียชีวิตหรือยัง ดังนั้นอย่างช้าที่สุดก็ 100 วันหลังจากนี้จะมีการประชุมหัวหน้าแก๊งค์ต่าง ๆ เพื่อประกาศแต่งตั้งจูเชว่คนใหม่”

ใบหน้าของเซินหยู่บึ้งตึง

“โดนระเบิดแบบนั้นจะรอดอยู่ได้ยังไงกันเล่า ไอ้พวกไร้สมอง!”

“หยุดพูดเรื่องแบบนั้นเสียทีเถอะครับ!” หวางซิงอดทนฟังต่อไปไม่ไหว ถึงเขาจะรู้ว่าวงการมืดแทบจะหาความจริงใจจากใครไม่ได้ แต่เขาไม่เคยนึกเลยว่ากระทั่งพ่อยังไม่เห็นแก่ความตายของลูกและมองว่าเป็นแค่หนทางไปสู่ผลประโยชน์เท่านั้น

“อ้อ อาซิงสินะ” เซินหยู่สามารถจดจำอีกฝ่ายได้ทันที เพราะหวางซิงเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเซินเฟยตลอดเวลาที่ออกไปนอกบ้าน ไม่ว่าใครก็จะเห็นเซินเฟยอยู่กับหวางซิงอย่างเจนตา

“คุณเซินหยู่ ยังไงก็ขอให้ไว้หน้าคุณเซินบ้างเถอะครับ” หวางซิงไม่ตอบคำ เขาพูดออกมาด้วยใจเต้นระส่ำอย่างโกรธเคือง ไม่สนใจกระทั่งใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยน้ำตาของตัวเอง

“พูดจาสมเป็นเลขายอดเยี่ยมจริง ๆ” เซินหยู่ขำขันก่อนจะยอมลุกจากเก้าอี้ “เอาเถอะ ฉันก็ไม่ใช่ใจไม้ไส้ระกำขนาดจะรังแกคนที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ ดังนั้นวันนี้ฉันจะกลับไปก่อนก็แล้วกัน ยังไงก็รอแค่ 3 เดือนฉันก็จะได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อยู่แล้วนี่” ว่าแล้ว เซินหยู่ก็หัวเราะร่าเดินจากไปท่ามกลางประกายตาโกรธขึ้งของคนรับใช้ทุกคนในบ้าน แม้แต่หวางซือที่สุขุมเยือกเย็นที่สุกยังปิดบังสีหน้าดูแคลนไม่มิด

หวางซานเดินเข้ามาตบบนบ่าลูกชายเบา ๆ เขารู้ว่าหวางซิงทรมานใจกับเรื่องนี้อย่างมากเพราะมีความใกล้ชิดกับเซินเฟยมากกว่าใคร ๆ

“ผมไม่เชื่อหรอกครับ...ว่าคุณเซินตายไปแล้ว” หวางซิงกำมือแน่นแล้วกัดริมฝีปากอย่างขมขื่น

“อาซิง ชีวิตคนในวงการนี้มันไม่เที่ยงหรอกนะ” หวางซานไม่อยากให้ความหวังกับลูกชายมากเกินไป แต่พอเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจแล้วเขาก็ใจอ่อนยวบ “แต่ว่า....เราก็ยังไม่รู้แน่ชัด นายน้อยอาจจะถูกแรงระเบิดดีดไปไกลแล้วมีคนช่วยไว้ก็ได้”

“ผมก็หวังแบบนั้นครับ” หวางซิงตอบกลับก่อนจะก้มหน้าลงมองปลายเท้าตัวเอง แม้อยากจะเชื่อให้ถึงที่สุดว่าเซินเฟยยังไม่ตาย แต่ลึก ๆ ในใจเขาก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ เขาเพิ่งจะอายุเพียง 30 ปี แต่เพราะเกิดและโตในวงการนี้จึงสัมผัสชีวิตของคนที่อยู่ในวงการเดียวกันมามาก บางคนเพิ่งจะรู้จักกันไม่ข้ามวันก็เสียชีวิตแล้วก็มี ในกรณีของเซินเฟยนั้น....เขาได้แต่คาดหวังเท่านั้นเอง

“เฮ้อ....ไป ๆ ทุกคนแยกย้ายไปทำงานได้แล้ว นายน้อยเป็นคนมีระเบียบ ถ้าเห็นบ้านรกตอนกลับมามิถูกทำโทษหมดหรือไง” หวางซือคลายบรรยากาศตึงเครียดด้วยการสั่งแยกย้าย คนรัใช้ทั้งหมดจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตากลับไปทำงานในส่วนของตนโดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

“ฉันไปจุดธูปไว้พระเสียหน่อยดีกว่า” ว่าแล้ว หวางซือก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ จากไป หวางซานจึงรีบเข้าไปพยุงแล้วเดินไปด้วยกัน

ตอนนี้เหลือหวางซิงเพียงคนเดียวในห้องโถง เขาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาพบว่าเลยเวลาทำงานไปแล้ว และเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปบริษัทเอาเสียเลย

เขาเกิดคิดถึงภาพเก่า ๆ ขึ้นมา ตอนที่เซินเฟยเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง มีครั้งหนึ่งเขาเกิดไม่สบายเอากลางดึก ตอนเช้าต้องไปทำงานเขาก็ลุกไม่ไหวแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาป่วย พอสาย ๆ หน่อยถึงพอโงหัวได้บ้าง เขาจึงเดินลงมาข้างล่างนึกอยากหาอะไรกินรองท้องเพื่อกินยาและนอนพัก ทว่าเขากลับพบเซินเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้สีชาดลายหงส์ตัวนี้ด้วยท่าทางนิ่งสงบราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

เซินเฟยหันมามองทางเขาแล้วมุ่นคิ้ว สภาพเขาตอนนั้นคงแย่เอาการทีเดียว

ตอนนั้นหวางซิงจำได้ว่าตัวเองมองนาฬิกาแล้วตกอกตกใจเนื่องจากสายกว่าเวลาทำงานไปมากแต่เซินเฟยกลับยังนั่งอยู่ที่บ้าน โดยไม่มีใครต้องพูดอะไรออกมา หวางซิงก็รู้ได้ว่าเซินเฟยนั่งรอเขาอยู่จนถึงเวลานี้โดยไม่ได้สั่งให้คนไปปลุกแต่อย่างใด และเมื่อได้เห็นสภาพของเขา เซินเฟยก็เพียงเอ่ยสั่งให้นอนพักกับบ้านก่อนจะออกไปทำงานตามปกติเหมือนทุก ๆ วัน

วันนั้นเป็นวันเดียวที่เขากล้านอนตื่นสาย หลังจากนั้นเขาก็ดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้นและวันไหนเกิดรู้สึกไม่สบายจะให้คนไปแจ้งเซินเฟยก่อนเสมอและจะโงหัวขึ้นมาตอนเช้าเพื่อส่งเซินเฟยไปทำงานถึงจะกลับไปนอนพัก

เรื่องเพียงเล็กน้อยแต่แสดงถึงความเอาใจใส่ของเซินเฟยทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจจนถึงเดี๋ยวนี้

ในวงการนี้มีคนหลากหลายประเภท คนส่วนมากเมื่อเป็นใหญ่จะไม่เห็นหัวผู้น้อย แต่เซินเฟยกลับไม่เป็นเช่นนั้น ถึงจะมีฐานะเป็นเจ้าบ้านแต่ก็ไม่เคยใช้อำนาจไปในทางที่ผิด เพียงแต่บางครั้งจำต้องแสดงอำนาจที่เหนือกว่าเพื่อข่มคนที่คิดต่อกรเท่านั้น

หวางซิงยืนนิ่งอยู่หน้าเก้าอี้ลายหงส์อยู่นาน เขารู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อมีของเหลวหยดหนึ่งหยาดไหลลงมาถึงปลายคางก่อนจะหยดลงไปบนปลายเท้าเปล่าเปลือย

ชายหนุ่มฝืนใจปาดน้ำตาออกแล้วกัดริมฝีปากก่อนจะเดินออกไปนอกบ้าน

“เลขาหวางจะไปไหนหรือครับ?” การ์ดที่เฝ้าอยู่ข้างหน้าเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางรีบร้อน

“ผมจะออกไปข้างนอกหน่อย ไม่ต้องขับรถไปส่งหรอกเดี๋ยวผมจะเรียกแท๊กซี่เอง” หวางซิงกล่าวรวบรัดแล้วเดินต่อทว่ากลับมีมือข้างหนึ่งยื่นมากันไว้ เจ้าของมือทำสีหน้ากระอักกระอ่วนไม่รู้จะพูดอย่างไร

“ผมไม่ว่าหรอกนะครับถ้าเลขาหวางจะออกไป แต่ยังไงก็กรุณาเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาแล้วก็สวมรองเท้าก่อนดีกว่านะครับ”

ได้ยินดังนั้น หวางซิงก็ก้มลงมองตัวเอง เขาเพิ่งจะนึกออกมาโดนลากลงมาจากที่นอนโดยยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย ซ้ำหน้าตายังดูไม่ได้ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เพียงแค่เจ้านายไม่อยู่เขาถึงกับปล่อยปละละเลยตัวเองถึงขนาดนี้เชียวหรือ! อย่างนี้หากเซินเฟยอยู่คงไม่วายโดนดุเป็นแน่ เลขายอดเยี่ยมอย่างเขาจะทำให้เจ้านายขายหน้าไม่ได้เป็นอันขาดแม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้อยู่ต่อหน้าก็ตาม

หวางซิงรีบกลับไปเปลี่ยนชุด ล้างหน้าตาใหม่จนเรียบร้อย จึงออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครขวางเขาเอาไว้ หวางซิงจึงออกไปเรียกแท๊กซี่ที่หน้าบ้านแล้วบอกจุดหมายทันที

ไม่นานนัก รถแท๊กซี่ก็พาเขามาถึงจนกรมตำรวจประจำเขต หวางซิงจ่ายเงินแล้วเอ่ยขอบคุณก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน

การมาเยือนของเขาไม่ได้สร้างความแปลกใจงุนงงกับนายตำรวจที่ทำหน้าที่ในกรม เพราะไม่มีใครรู้จักเขา เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกอะไรเพราะเลขามาเฟียไม่ใช่คนที่จะต้องเปิดเผยหน้าตาต่อสาธารณะชน หากเป็นเซินเฟยมาอาจจะมีคนตื่นเต้นมากกว่าเพราะเบื้องหน้าเจ้าตัวเป็นนักธุรกิจใหญ่อายุน้อย และได้ออกสื่อโทรทัศน์รวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์หลายครั้งจนมีคนคุ้นหน้า

“ขอโทษครับ ผมมาพบนักสืบมู่” เขาเดินเข้าไปหานายตำรวจที่ประจำอยู่โต๊ะตัวหน้าสำหรับรับรองผู้มาแจ้งความหรือติดต่อธุระ

“นักสืบมู่หรือครับ? รู้สึกว่าเขาจะอยู่ในห้อง จะให้แจ้งว่าใครมาพบครับ?”

“เอ่อ....หวางซิงครับ” หวางซิงคิดว่าการเปิดเผยชื่อตนเองคงไม่ใช่เรื่องใหญ่จึงบอกออกไปหลังจากลองคิดทบทวนครู่หนึ่ง

ตำรวจนายนั้นได้วานคนหนึ่งในกรมให้ไปตามมู่อี้จิงออกมา ชายหนุ่มพอได้ยินชื่อคนมาหาก็ผลุนผลันลุกพรวดขึ้นแล้วจ้ำออกมาอย่างรวดเร็ว หวางซิงไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร มู่อี้จิงก็ค้วาแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของอีกฝ่ายลากออกไปข้างนอกด้วยกันทันที

ตอนนี้ทั้งสองคนจึงออกมาอยู่ที่ลานจอดรถของตำรวจ มู่อี้จิงทิ้งตัวลงนั่งบนกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่

“ผมบอกว่าให้คุณอยู่ในบ้านก่อนไม่ใช่หรือครับ?” มู่อี้จิงทำเสียงดุ เขาได้เตือนหวางซิงว่าคนร้ายอาจไม่หยุดเพียงแค่นี้ คนใกล้ชิดของเซินเฟยจึงควรระวังตัว เขาบอกให้หวางซิงเก็บตัวอยู่ในบ้านสักระยะ กระนั้นเจ้าตัวกลับออกมาในที่สาธารณะเสียเอง

“ขอโทษครับ แต่ผมร้อนใจจนทนไม่ไหว คุณมู่ได้ข่าวอะไรบ้างไหมครับ?”

“นี่มันเพิ่งผ่านมาคืนเดียวเองนะครับ แค่รวบรวมพยานหลักฐานยังไม่ถึงไหนเลย” มู่อี้จิงถอนหายใจเฮือก “อีกอย่าง ผมบอกแล้วนี่ว่าให้เรียกผมว่ามู่อี้จิงก็พอ”

“ผมคิดว่าเรียกคุณมู่จะเหมาะสมกว่า ยังไงคุณกับผมก็ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันขนาดจะเรียกชื่อได้ไม่ใช่หรือ?”

มู่อี้จิงเบ้หน้า ถึงขนาดเกือบจะมีอะไรกันถึงสองครั้ง เคยนอนร่วมเตียงกันเฉย ๆ ก็ครั้งหนึ่ง ยังไม่เรียกรู้จักไม่คุ้นจะเรียกอะไรได้เล่า?

“ผมบอกให้เรียกก็เรียกเถอะ” ชายหนุ่มตัดบทแล้วเริ่มถามเรื่องอื่นต่อ “ว่าแต่....คุณมีเรื่องอะไรหรือครับ?”

“....วันนี้.....คุณเซินหยู่มาที่บ้านครับ”

“เซินหยู่?” มู่อี้จิงทบทวนความทรงจำ เพราะเขาเคยได้ยินชื่อนี้จากประวัติของเซินเฟยอยู่ “พ่อของจูเชว่น่ะหรือครับ?”

หวางซิงพยักหน้ารับ

“พ่อมาที่บ้านลูกมันมีอะไรแปลกกัน?”

“ถ้าแค่มาเพื่อถามสถานการณ์ผมคงไม่คิดแปลกหรอกครับ แต่ว่า...คุณเซินหยู่มาถึงก็สั่งให้ประชุมคนในบ้าน แล้วเขาก็....” พอนึกถึงภาพเซินหยู่ที่เดินไปนั่งบนเก้าอี้เจ้าบ้านแล้วหวางซิงก็เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวทุกครั้ง เจตนาของผู้ชายคนนั้นชัดแจ้งมากเกินไปจนเขาอดกังวลไม่ได้

“แล้วเขาก็?”

“เขา.....ประกาศตัวว่าจะดำรงตำแหน่งต่อจากคุณเซินครับ”

ใบหน้าของมู่อี้จิงคล้ำเครียดในทันที เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เสียแล้ว ความวุ่นวายที่เขาคาดคิดไว้จะเริ่มบังเกิดขึ้นจากคนในจริง ๆ แบบนี้ต้องวุ่นวายใหญ่โตแน่หากว่าเซินหยู่ไม่เป็นที่ต้อนรับของหัวหน้าแก๊งค์ ในกรณีของเซินเฟยนั้นมีพินัยกรรมรองรับฐานะ เติบโตภายใต้การดูแลของภรรยาตามกฎหมายของจูเชว่รุ่นก่อน ทั้งยังต้องกัดฟันทนทำงานจนคนอื่น ๆ เริ่มยอมรับได้แม้จะไม่ใช่สายเลือดโดยตรง แต่สำหรับเซินหยู่ที่ฉวยโอกาสที่ตำแหน่งว่างอ้างความสัมพันธ์ทางสายเลือดนั้น เขาไม่คิดว่าจะมีคนยอมรับง่ายขนาดนั้น

“แล้วการประกาศแต่งตั้งล่ะครับ” มู่อี้จิเอ่ยถาม วงการนี้ซับซ้อน ไม่ใช่แค่มาเฟียเล็ก ๆ ตามประเทศด้อยพัฒนา แต่มีการปกครองเป็นองค์กรใหญ่ ดังนั้นเมื่อผลัดเปลี่ยนผู้นำก็จะต้องมีการประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเพื่อให้คนในองค์กรรับรู้โดยทั่วกัน ไม่ใช่แค่มาประกาศตัวว่าจะเป็นแล้วเป็นได้

“ผมเองก็ไม่เคยเจอกรณีแบบนี้มาก่อนเลยไม่รู้อะไรมากนัก แต่ปู่ของผมบอกว่า ถ้าไม่แน่ชัดในการตายของจูเชว่ จะต้องรอให้พ้น 100 วันถึงมีการแต่งตั้งคนใหม่ได้ครับ”

“100 วัน” มู่อี้จิงทวนคำ “มีเวลาแค่ 3 เดือนเท่านั้น”

“ครับ.....” หวางซิงทอดเสียงอย่างเป็นกังวล แต่ว่าตอนที่เขากำลังก้มหน้าลงอย่างอับจนหนทางนั้น มือข้างหนึ่งกลับกุมมือของเขาเอาไว้ หวางซิงมองไปที่มือตนเองก่อนไล่ตามแขนขึ้นไปสบกับดวงตาสีดำสนิทแต่ใสกระจ่างเหมือนลูกแก้ว

“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณหวาง ผมจะสืบหาให้ได้ว่าจูเชว่หายไปไหน”

หวางซิงเผลอยิ้มออกมาทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งจะอยากร้องไห้
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 16-03-2011 19:15:52
“แล้ว.....พอจะรู้อะไรมากขึ้นไหมครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วย......”

“ถ้าอย่างนั้น ผมอยากให้คุณอยู่ที่บ้านเฉย ๆ อย่างที่ผมบอกไป คุณเองอาจเป็นอันตรายก็ได้” มู่อี้จิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แต่ผมต้องไปทำงานนะครับ ตอนนี้คุณเซินไม่อยู่ ถ้าขาดผมไปอีกคน ที่บริษัทต้องวุ่นวายแน่ อย่างน้อยผมอยากประคองสถานการณ์ทางนั้น ถึงจะทำได้แค่เล็กน้อยแต่ผมก็อยากจะทำอะไรบ้าง” หวางซิงกำมือแน่นพลางทำสีหน้าเจ็บปวดในความไร้ความสามารถของตัวเอง เขารู้สึกกลัวมากจริง ๆ ถ้าหากเขามีความเข้มแข็ง กล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาทุกอย่างตามลำพังเหมือนอย่างเซินเฟยจะดีสักแค่ไหน

“ถ้าอย่างนั้นคุณควรให้การ์ดที่ไว้ใจได้อยู่ข้าง ๆ ตลอด สัญญากับผมแค่นี้ได้ไหม?”

หวางซิงมองเข้าไปในดวงตาของมู่อี้จิง ความห่วงใยของชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตนเองทำให้รู้สึกอุ่นซ่านในใจอย่างประหลาด เขาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

“ผมขอดูแผลเมื่อวานหน่อยนะ” มู่อี้จิงเห็นหวางซิงยอมอ่อนลงแล้วจึงดึงแขนมาถลกแขนเสื้อขึ้น

ต้นแขนของหวางซิงปรากฏรอยแผลยาวแผลหนึ่งที่ถูกเย็บไว้ และรอยแผลถูกถากเล็ก ๆ กระจายมาจนถึงข้อศอก ซึ่งเป็นรอยที่เกิดจากเศษกระจกที่กระเด็นมาเพราะแรงระเบิด มีชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งปักเข้าไปในแขนจนเลือดอาบ แต่เจ้าตัวกลับเอาแต่ยืนมองซากเรืออย่างไม่รู้สึกรู้สา กว่าจะรู้ว่าเจ็บ ก็ตอนที่เขาเข้าไปจับตัว

มู่อี้จิงถอนหายใจหนักหน่วงเมื่อเห็นรอยแผล

“บางทีคุณน่าจะเอาความเป็นห่วงที่มีต่อจูเชว่ มาใส่ใจตัวเองสักครึ่งหนึ่งนะ”

“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่แผลบนแขนเท่านั้นเอง” หวางซิงค่อนข้างชินกับบาดแผลบนร่างกายคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว ชีวิตมาเฟียมักหลีกเลี่ยงการมีรอยตำหนิบนร่างกายไม่ได้ ปู่ของเขามีรอยถูกกระสุนยิงหลายจุดและยังรอยมีดดาบอีก สำหรับเขาที่เพิ่งจะมีเพียงแผลถากของกระสุนที่จางไปบ้างแล้วกับแผลจากเศษกระจกเหล่านี้ ยังเทียบไม่ได้กับเศษเสี้ยวที่มีบนร่างกายปู่ของเขาด้วยซ้ำ

“ตำรวจอย่างผมยังไม่เคยมีแผลสาหัสขนาดนี้เลยนะ” มู่อี้จิงบ่นแล้วดึงแขนเสื้อกลับ “จริงสิ ผมมีเรื่องอยากไหว้วานคุณด้วย”

“อะไรหรือครับ?”

“ตอนที่เกิดเหตุ คุณบอกว่านอกจากคนของจูเชว่แล้ว ยังมีหมอคนหนึ่งกับคู่หมั้นอยู่ด้วย”

“ครับ หมอจือกับคู่หมั้นชื่อหลิงหลิงครับ” หวางซิงนึกออกทันที เพราะสองคนนั้นเป็นเจ้าของงานที่จะจัดเมื่อวานนี้ ทว่ากลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันถึงเสียก่อน ทั้งสองดูขวัญดีหนีฝ่อต้องให้คนปลอบอยู่นานหลิงหลิงจึงหายจากอาการช็อคแล้วเริ่มร้องไห้ออกมา

คืนนั้นทั้งสองคนถูกส่งกลับบ้านซึ่งเขาก็ไม่ได้ติดตามอะไรมากกว่านั้น

“มีรูปถ่ายของพวกเขาหรือเปล่า?”

“เอ๋? รูปถ่ายหรือครับ.....ผมคิดว่าคงใช้เส้นสายหามาได้” หวางซิงแม้จะไม่เข้าใจนัก แต่ก็รู้ว่ามู่อี้จิงต้องการรวบรวมพยานหลักฐานให้มากที่สุด ดังนั้นใครก็ตามที่อยู่ในเหตุการณ์จึงต้องนับเป็นผู้ต้องสงสัย

“แล้วก็รายชื่อการ์ดทุกคนด้วย แบ่งเป็นคนที่เสียชีวิต คนที่บาดเจ็บ และคนบนท่าให้ผมด้วยจได้ไหม?”

หวางซิงมุ่นคิ้ว การ์ดในวันนั้นมีอยู่ราว ๆ 150 คน จะรวบรวมรายชื่อก็นับว่ายุ่งยากแล้ว ยังต้องคัดหมวดหมู่อีก จริงอยู่ว่าทำได้ แต่...

“ต้องใช้เวลานะครับ”

“ผมรอได้” มู่อี้จิงยืนยันเช่นนั้นหวางซิงจึงตระหนักว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

“คุณคิดว่าเป็นฝีมือคนในหรือครับ?”

“ผมแค่สงสัยเท่านั้นแต่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน” มู่อี้จิงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง นับแต่เมื่อคืนนี้เขาถอนหายใจไปแล้วกี่ครั้งก็ไม่ได้นับ บางทีมันอาจจะเท่าจำนวนอายุเขาแล้วก็เป็นได้

“ว่าแต่....” เสียงของหวางซิงเรียกให้มู่อี้จิงมองกลับมาอีกครั้ง

“ครับ?” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางประดักประเดิด

“ช่วยปล่อยมือผมได้หรือยังครับ?” เมื่อหวางซิงถามออกมา มู่อี้จิงจึงเพิ่มก้มลงมองและพบว่าเขาเอาแต่จับมือฝ่ายนั้นอยู่ตลอดเวลาจนเหงื่อเริ่มชุ่มมือของทั้งสองฝ่าย นายตำรวจหนุ่มปั่นยิ้มเก้อเขิน ก่อนจะปล่อยมือหวางซิงให้เป็นอิสระ

หวางซิงเหมือนจะอับจนคำพูดไปชั่วขณะ เขามองซ้ายขวาอย่างตกประหม่าเมื่อมู่อี้จิงก็เงียบไปเช่นกัน

“งั้น.....ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมจะพาคุณไปส่งที่บ้านนะครับ” มู่อี้จิงอาสาก่อนจะควักกุญแจรถส่วนตัวออกมาจากกระเป๋าแล้วยิงไปยังรถคันหนึ่ง เสียงปิ๊บดังขึ้นเบา ๆ

“จะรบกวนไปหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมกลับเองจะดีกว่า” หวางซิงรีบปฏิเสธอย่างสุภาพ

“นี่ไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยหรือยังไงนะ” มู่อี้จิงว่าแล้วก้าวเข้ามาใกล้ก่อนยื่นเข้าจนแทบประชิดทำให้หวางซิงผงะถอยหลังไปติดลูกกรงที่กั้นเขตกรมตำรวจด้านหลัง มู่อี้จิงยกมือขึ้นจับลูกกรงเหนือศีรษะหวางซิงแล้วเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง “คุณห้ามไปไหนมาไหนคนเดียวเด็ดขาด ถ้าคุณยังยืนยันจะเดินทางคนเดียวอยู่ ผมจะจับคุณล็อคกุญแจมือแล้วล่ามติดกับผมไปทุกที่เสียเลย”

“ข....เข้าใจแล้วครับ....” หวางซิงทำหน้าสลด เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้มู่อี้จิงโกรธ แต่เขาเคยชินกับการปฏิเสธความหวังดีของคนอื่นจนเป็นนิสัยไปเสียแล้ว

“เอาล่ะ ขึ้นรถเถอะ” ว่าจบ มู่อี้จิงก็กึ่งลากกึ่งจูงเลขาประจำตัวจูเชว่ไปที่รถแล้วเปิดประตูดันิอีกฝ่ายเข้าไปนั่งข้างคนขับ ส่วนตนเองเดินอ้อมรถไปอีกด้าน แล้วนั่งประจำที่คนขับเรียบร้อย เขาสตาร์ทเครื่องพลางเหบียบคันเร่งให้รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างระมัดระวัง

เป็นเพราะเรื่องคราวก่อนที่ให้หวางซิงขับรถ เขาจึงโดนคาดโทษจากหัวหน้าว่าหากทำรถในกรมเสียหายอีกจะโดนหักเงินเดือน แม้ครั้งนั้นจูเชว่จะออกหน้าให้ แต่เขาก็ยังเป็นคนโดนคาดโทษแทนคนผิดตัวจริงอยู่ดี

หวางซิงเอี้ยวมองเสี้ยวหน้าของมู่อี้จิงก่อนจะยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขารู้สึกว่ามู่อี้จิงเป็นคนหนักแน่นดันทุรัง หากอยากทำอะไรแล้วจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน ดังนั้น เขาจึงคิดว่าตัวเองสามารถไว้วางใจในตัวมู่อี้จิงได้อย่างแน่นอน

กรมตำรวจกับบ้านตระกูลเซินไม่ได้อยู่ห่างไกลกันมากมาย ด้วยเวลาเท่ากับที่หวางซิงนั่งแท๊กซี่ไป มู่อี้จิงก็มาส่งอีกฝ่ายถึงหน้าบ้าน

“ถ้าอย่างนั้นผม....”

“ไม่เชิญผมเข้าไปดื่มชาสักแก้วหรือครับ?” มู่อี้จิงทำให้หวางซิงชะงักไป หลังจากละล้าละลังเหมือนทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยชวนแบบอึกอัก

“เข้ามา....ดื่มชาก่อนสิครับ...”

มู่อี้จิงแย้มยิ้มแล้ววนรถเข้าไปจอดในสวนบ้านตระกูลเซินเมื่อคนเฝ้าหน้าประตูเปิดให้ตามคำสั่งของหวางซิง เลขาหนุ่มได้แต่นึกสงสัยว่าตนเองทำถูกต้องหรือไม่ที่เชิญอีกฝ่ายเข้ามาในบ้านทั้งที่เจ้าของไม่อยู่อย่างนี้ ทำไมพอเซินเฟยไม่อยู่แค่วันเดียวเขาถึงได้รู้สึกเหมือนเสียการควบคุมตัวเองขนาดนี้นะ ความประหม่าเหมือนทำอะไรไม่ถูกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยแท้ ๆ

เมื่อมู่อี้จิงเดินลงจากรถ เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาแสดงความหวาดระแวงจากทุกมุมของบ้านทันที ไม่น่าแปลกเลยในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ ทุกคในบ้านใหญ่คงจะกำลังเตรียมตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยความหวังอันริบหรี่

หวางซิงสะกิดให้มู่อี้จิงเดินตามเข้าไปด้านหลัง

“ปู่ครับ นี่นักสืบมู่ เป็นคนของสารวัตรหรงที่มาทำงานให้ในช่วงนี้ครับ” เขาเอ่ยแนะนำมู่อี้จิงให้กับหวางซือที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ดูงานในครัว

“คุณนี่เองคือนักสืบมู่ ผมต้องขอบคุณมากที่คอยดูแลหลานผมให้เสมอ” หวางซือหันมาทักทายด้วยท่าทีเรียบนิ่งตามนิสัย แต่ถ้อยคำที่อีกฝ่ายใช้ดูเหมือนจะรู้อะไร ๆ มากกว่าที่คิด หวางซิงหน้าแดงขึ้นมาด้วยความกระเทิ้นอาย เรื่องไหนก็คงไม่มีทางเล็ดรอดหูปู่เขาไปได้....

“นักสืบมู่กรุณามาส่งผมถึงที่บ้าน ผมเลยเชิญเข้ามาดื่มชาครับ” หวางซิงรีบตัดบทสนทนาก่อนที่ปู่ของเขาจะสาวไส้

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญตามสบายนะ เข้าไปรอในห้องรับแขกแล้วกัน” หวางซือว่าก่อนจะหันไปสั่งพวกเด็ก ๆ ให้ยกน้ำชาตามไปเสิร์ฟ มู่อี้จิงยิ้มให้กับสีหน้ากระอักกระอ่วนของหวางซิงอย่างนึกเอ็นดู เขาเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าผู้ชายคนนี้แก่กว่าเขาจริง ๆ หรือ?

--------------------------->

นอกจากความตื่นตระหนกในบ้านตระกูลเซินแล้ว ตอนนี้จือหยินและหลิงหลิงก็กำลังถูกควบคุมให้อยู่ในการดูแลของตำรวจเช่นนั้น ทั้งสองพักอยู่ในห้องของจือหยินโดยมีตำรวจคอยแวะเวียนไปดูแลความปลอดภัยเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ

“ทุกอย่างต้องเรียบร้อย ไม่ต้องห่วงนะเสี่ยวหลิง” จือหยินปลอบใจคนรักแล้วโอบกอดอีกฝ่าย มือข้างที่สวมแหวนหมั้นลูบไล้บนหลังมือหญิงสาวเบา ๆ อย่างทนุถนอม

“ค่ะ.....ทุกอย่างต้องเรียบร้อย...” หลิงหลิงยิ้มบางพลางซุกซนบ่าของคนรัก

ทั้งสองกอดกันอยู่อย่างนั้น ต่างปลอบโยนกันและกันด้วยหัวใจอบอุ่นแต่ก็ยังมีความหวาดหวั่นฝังอยู่ลึก ๆ ในใจ....


TBC

---------------------
เอาการ์ดจอช่างมาใช้ชั่วคราว อาจจะมีเว้นช่วงบ้างเพราะช่างให้ยืมแค่ 2 วันมาทำงาน= ="
ส่วนการ์ดจอ....อีกสักวันสองวันคงได้แล้วมั้งคะ....
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 16-03-2011 19:45:46
 :z13: :z13: :z13:เย้ๆมาแล้วๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 16-03-2011 19:58:30
 ดีใจเหมือนถูกหวย เปิดมาแล้วเจอตอนใหม่

เฟยเฟยเป็นตายร้ายดียังไงเนี่ย

เอ็นดูอาซิงอ่ะ นักสืบมู่ชอบอาซิ่งแล้วละซี อิอิ

หลิงหลิง หล่อนเป็นคนทำใช่ไหม
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 16-03-2011 20:08:08
อา...ในที่สุดก็มา ~ o7
คิดถึงเรื่องนี้จะแย่ ภาวนาให้ได้การ์ดจออันใหม่ไว ๆ นะค่ะ !!!

แม้จะไม่รู้ว่าเสี่ยวเฟยเป็นตายร้ายดีอย่างไง? ( ยังเชื่อว่า ตัวเอกยังไงก็ไม่ตาย )
แต่คู่อาซิงกับมู่อี้จิงทำให้ feel ของตอนนี้ ออกมา หวาน ละมุน อบอุ่นหัวใจ ( อ่านแล้วมัน...อ๊าย ~ :-[ )
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 16-03-2011 20:37:57
อาหลิงกับพ่อของอาเซินนี่ต้องมีซัมติงบางอย่างร่วมกันแน่นอน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 16-03-2011 20:38:12
อาเฟยยยย :monkeysad:
การ์ดจออออ o11
คุณ ZIar :กอด1:
+1 ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 16-03-2011 21:00:06
วิ้วววว มาแล้วๆ
คิดถึงเรื่องนี้มากมาย อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Ayame ที่ 16-03-2011 21:03:25
ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ คิดถึงหนูเฟยเฟยมากมาย   :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 21 (16/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 16-03-2011 22:59:18
ง่ะก็ยังไม่เจอเซินเฟยอยู่ดี


ใช่คนที่เป็นพ่อจริงๆอ่ะเหรอ



ความห่วงลูกชายตัวเองไม่มีเลยเหรอ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงŪ
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 17-03-2011 03:27:28
คุณมู่ - อาซิง  :-[

ไม่ไหวจะทนกับพ่อเฟยเฟยจริงๆ :z6:

ตากล้องช่วยแพนกล้องไปหาเฟยเฟยกับคุณฉู่ทีเถ๊อะ
อยากรู้ว่าเจ็บตัวปางตายกันมากรึป่าว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 17-03-2011 13:42:56
-22-


ความรู้สึกปวดร้าวไปทั้งร่างกายคือสิ่งแรกที่เขารู้สึกก่อนจะลืมตาขึ้นมา แสงสว่างลอดผ่านต่างหากส่องกระทบนัยน์ตาเข้าอย่างจังทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้งแล้วจังกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับให้ม่านตาสามารถรับแสงได้ เมื่อคิดจะหันซ้ายขวาดูรอบตัวเขาก็พบว่าแม้แต่คอของเขาก็ยังปวดจนไม่อาจขยับได้โดยง่าย สุดท้ายสิ่งที่ทำได้กลับเป็นการทอดสายตาขึ้นมองเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย กระนั้น แท่งโลหะที่วางเป็นกรอบอยู่ด้านบนและมีม่านห้อยตกลงมานั้นก็ทำให้พออนุมานได้ว่าที่คือที่ไหน

“.....” เขาพยายามจะเปล่งเสียง ทว่าสิ่งที่ออกมามีแต่ลมและเสียงที่หวีดหวิวราวกับเสียงยุง

ดวงตาสีดำกลอกไปมาอยู่ระยะหนึ่ง นอกจากเพดานและหน้าต่างแล้ว ส่วนอื่น ๆ ของห้องนี้ถูกบังจากสายตาเขาด้วยผ้าม่านบังเตียงผู้ป่วย

เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเลื่อนมือไปด้านข้างและจับเหล็กกั้นเตียงแล้วจนแน่น ก่อนกัดฟันแล้วออกแรงเขย่าเหล็กกั้นเตียงให้เกิดเสียง

เสียงกึก ๆ เรียกความสนใจใครบางคนในห้องได้ ไม่นานนักผ้าม่านก็ถูกเลื่อนออก

“ตื่นแล้วหรือครับคุณเซิน”

เสียงนั้นคุ้นหูมากเสียจนอยากจะผงกหัวขึ้นมอง แต่เขากลับปวดร้าวไปทั้งแผ่นหลังจนแค่ขยับหัวยังลำบาก และดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะเข้าใจสถานการณ์จึงเดินเข้ามาทางข้างเตียงแล้วยื่นใบหน้ามาเหนือร่าง ดวงตาของเซินเฟยจึงสะท้อนภาพชายหนุ่มที่พาให้ความทรงจำไหลย้อนกลับมา

ตอนนั้นเขายืนอยู่ที่กาบเรือเพื่อรอจือหยินกับหลิงหลิง แต่ว่าอยู่ ๆ ก็เกิดระเบิดขึ้น เขาจำได้ว่าถูกเหวี่ยงตกจากเรือเพราะแรงระเบิด และ.....คน ๆ นี้ก็กระโดดตามเขาลงมา

“ฉู่....เหวินจือ....” เซินเฟยเค้นเสียงอย่างยากลำบาก

“ตื่นแล้วจริง ๆ สินะครับ” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างด้วยสีหน้าโล่งใจ เป็นครั้งแรกที่เซินเฟยเห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้าอย่างนี้ออกมา แสดงว่าอาการของเขาแย่มากอย่างนั้นเลยหรือ?

“....ฉ.....ขย......” แม้จะพยายามเค้นเสียงออกมาสักกี่คำ เซินเฟยก็ไม่อาจได้ยินเสียงตัวเองเลย ฉู่เหวินจือมุ่นคิ้วแล้วเอียงหน้าตนเองเข้ามาใกล้ ตอนนั้นเองที่เขาเห็นแขนอีกฝ่ายสวมเฝือกเอาไว้

“ขยับไม่ได้ใช่ไหมครับ?” คำถามนั้นแม้เซินเฟยจะอยากพยักหน้าก็ทำไม่ได้จึงกระพริบตาแทนคำตอบ ฉู่เหวินจือเงียบไปครู่หนึ่งทำให้เซินเฟยใจหายวาบ หรือว่าร่างกายของเขาจะผิดปกติจากแรงระเบิด เขาจะต้องนอนอย่างนี้ไปทั้งชีวิตหรือเปล่า?

แม้ใจจะคิดแบบนั้นเซินเฟยก็ไม่ได้แสดงความตระหนกออกมาทางใบหน้า เขาเฝ้ารอคำตอบของฉู่เหวินจืออย่างใจเย็น

“ดูเหมือนว่า....ตอนตกลงจากเรือ กระดูกสันหลังของคุณจะกระแทกเข้ากับหิน หมอเอาฟิล์มเอ็กซ์เรย์มาให้ผมดูแล้วแต่ไม่มีอะไรผิดปกติ คุณแค่ปวดตัวเฉย ๆ หรือไม่รู้สึกอะไรเลย?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ

“...ปว.....”

“ปวดสินะครับ” ฉู่เหวินจือทวนคำ เซินเฟยจึงกระพริบตาอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นคงไม่มีปัญหา หมอบอกผมว่าถ้าร่างกายท่อนล่างของคุณยังรู้สึกอยู่แสดงว่ากระดูกสันหลังไม่ได้รับการกระทบกระเทือนถึงกับเกิดความเสียหาย เพียงแต่แรงกระแทกทำให้ร่างกายปวดร้าวเท่านั้น”

คำพูดนั้นทำให้เซินเฟยรู้สึกคลายใจไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็จะไม่พิการ

“คุณรู้ไหมว่าคุณหลับไปสามวันเต็ม ๆ”

เซินเฟยมุ่นหัวคิ้ว

สามวันเชียวหรือ?

“เหตุผลที่คุณออกเสียงไม่ถนัดคงเพราะแบบนั้นด้วย จริงสิ ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ” ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะเพิ่งนึกขึ้นได้จึงรีบลุกไปรินน้ำมาแก้วหนึ่ง และสอดหลอดยาวเข้าไป ก่อนหักข้อหลอดให้ปลายหลอดต่ำลงมากพอที่เซินเฟยจะสามารถดื่มได้โดยที่น้ำไม่หก เขาบรรจงแนบแก้วลงไปและขยับหลอดให้ตรงกับปาก เซินเฟยใช้ปลายลิ้นเขี่ยปลายหลอดเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ดูดน้ำผ่านหลอดนั้นอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอสำลัก เพราะปวดตัวแบบนี้ หากสำลักขึ้นมาคงได้กระอักไอจนปวดเพิ่มอีกเท่าตัวเป็นแน่

หลังจากน้ำเย็นฉ่ำล่วงผ่านลำคอ เซินเฟยก็รู้สึกเหมือนก้อนความแห้งแล้งที่จุดในคอได้ละลายหายไป เขาใช้ปลายลิ้นขยับหลอดเพื่อให้ฉู่เหวินจือรู้ว่าพอแล้ว ชายหนุ่มจึงดึงหลอดออกไปและวางแก้วไว้บนชั้น เซินเฟยใช้เวลานั้นพยายามลองออกเสียงอีกครั้งอย่างทุลักทุเล

“ท...นี่....ที่ไห....” เสียงของเขายังขาดเป็นช่วง ๆ แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่นี้มาก

“โรงพยาบาลบนเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากจุดระเบิดราว ๆ กิโลเมตรหนึ่งครับ” เมื่อเซินเฟยพอจะพูดรู้เรื่อง ฉู่เหวินจือจึงไม่ต้องคาดเดาความคิดให้ปวดสมองอีก แล้วยิ้มแล้วตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เช่นเดิม “ผมเองก็หมดสติไปหลังจากพยายามดึงคุณเซินขึ้นมาจากน้ำ แต่ดูเหมือนแรงระเบิดกับคลื่นน้ำจะส่งเราสองคนออกมาไกลเอาการ พยาบาลที่นี่บอกผมว่าเรือประมงที่แอบออกหาปลาตอนกลางคืนช่วยเราขึ้นมาได้ก็เลยพามาส่ง”

เซินเฟยรู้สึกไม่ค่อยเชื่อที่ฉู่เหวินจือพูดสักเท่าไหร่ หากเขาถูกแรงระเบิดส่งออกมาไกลจริงทำไมหลังเขาถึงยังกระแทกหินได้อีก อีกทั้งเกาะนี้อยู่ห่างจากฝั่งฮ่องกงถึงหนึ่งกิโลเมตร หากฉู่เหวินจือหมดสติก่อนจะเห็นฝั่งย่อมหมายความว่าพวกเขาควรจะกลายเป็นอาหารปลาไปแล้ว ซ้ำเรื่องเรือประมงที่แอบออกหาปลาอีก เซินเฟยรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนโชคดีอะไรมากมาย และไม่ใช่คนดีของสังคมด้วย สวรรค์ไหนเลยจะเมตตาเขาถึงขนาดส่งผู้ช่วยมาให้ในเวลาที่ยากลำบากและมีอันตรายถึงชีวิต

แม้จะรู้สึกว่าเรื่องเล่าสารพัดความบังเอิญจากปากของฉู่เหวินจือไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด แต่เขาก็ไม่มีแรงจะไปเค้นคอจึงได้แต่นอนหายใจทิ้งไปเปล่า ๆ เพื่อรอว่าฉู่เหวินจือจะพูดอะไรต่อ

“ผมจะไปแจ้งนางพยาบาลก่อนนะครับ ว่าคุณเซินฟื้นแล้ว”

เซินเฟยได้ยินดังนั้นก็ไม่รู้จะพยักหน้ารับอย่างไร จึงส่งเสียงในคอว่า ‘อืม’ ไปแทน

ฉู่เหวินจือลุกขึ้นจากข้างเตียงแล้วเดินออกไปจากห้อง ตอนนั้นเองเซินเฟยจึงเพิ่งเหลือบตาไปข้าง ๆ และเห็นว่ามีโครงโลหะอยู่ถัดออกไปจากเตียงเขาเล็กน้อย แสดงว่ามีเตียงอีกหลังหนึ่งตั้งอยู่ข้าง ๆ กัน เดาได้ไม่ยากสักนิดว่าเป็นเตียงของฉู่เหวินจืออย่างแน่นอน แต่ทำไมเขากับฉู่เหวินจือถึงมาอยู่ห้องคู่ได้นะ?

หลังจากถูกทิ้งให้นอนอย่างโดดเดี่ยวในห้องอยู่นาน ประตูก็เปิดออก เซินเฟยเดาจากเสียงฝีเท้า มีคนเข้ามาสองคนเป็นหญิงคนหนึ่งเพราะสวมรองเท้าส้นสูง น่าจะเป็นนางพยาบาล ส่วนอีกคนคงจะเป็นฉู่เหวินจือ เพราะเมื่อครู่เจ้าตัวบอกว่าจะออกไปบอกนางพยาบาลเรื่องที่เขาตื่นแล้ว

เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นกระเบื้องเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จวบจนยืนอยู่ข้างเตียง เซินเฟยเหลือบตาขึ้นมองโดยม่ได้ขยับศีรษะ

“คุณหวาง! คุณตื่นแล้วจริง ๆ ด้วย!” นางพยาบาลทำเสียงดีใจอย่างสุดซึ้ง

คุณ....หวาง!?

เซินเฟยทวนคำในใจก่อนที่หัวคิ้วจะค่อย ๆ ขยับเข้าหากันแล้วมองไปทางฉู่เหวินจือที่เอาแต่ยืนยิ้มไม่พูดไม่จามองนางพยาบาลวิ่งออกไปแจ้งหมอ

ฉู่เหวินจือรู้สึกถึงสายตาของเขาจึงหันกลับมาหาแล้วเลิกคิ้วสูง

“มีอะไรหรือครับ? อ้อ แซ่ของคุณสินะ ผมลืมบอกไป ตอนผมตื่นมามีคนเข้ามาถามว่าคุณชื่ออะไร ผมก็เลยบอกพวกเขาว่า คุณชื่อหวางซิง”

เซินเฟยถึงแก่อ้าปากค้าง ผู้ชายคนนี้บ้าไปแล้วหรือยังไงถึงเอาชื่อหวางซิงมาให้เขาใช้โดยพละการ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ตอนนี้ทั้งผมทั้งคุณบาดเจ็บสาหัส แถมคนของคุณก็ไม่รู้จะติดต่อยังไง ถ้าเอาแซ่เซินไปแจ้งมิกลายเป็นเป้านิ่งให้คนเข้ามาซ้ำหรือครับ?” เหตุผลของฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยเถียงไม่ออก หรืออยากเถียง ตอนนี้ร่างกายของเขาก็ไม่อำนวยต่อการพูดสักเท่าไหร่ เซินเฟยเม้มปากนิ่งแล้วย่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ฉู่เหวินจือเดาได้ไม่ยากว่าเซินเฟยไม่ชอบชื่อปลอมสักเท่าไหร่ ซึ่งเหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะเจ้าตัวกับเจ้าของชื่อกำลังมีปัญหากันลึก ๆ ก็เป็นได้

ก่อนที่ฉู่เหวินจือจะพูดอะไรออกมาอีก หมอคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง เซินเฟยเห็นอีกฝ่ายเป็นหมอสูงวัยท่าทางใจดีจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“คุณหวาง รู้สึกยังไงบ้างครับ?” นายแพทย์สูงวัยยืนถามอยู่ข้างเตียง ถัดไปมีนางพยาบาลคนหนึ่งถือชาร์ตรอจด

“..ปวด.....” เพราะยังพูดได้ไม่มากเขาจึงเค้นเสียงออกมาได้เพียงแค่นั้น

นายแพทย์สูงวัยพยักหน้ารับเนือย ๆ

“คุณหวาง หมอชื่อถงซื่อ เป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณกับคุณฉู่” นายแพทย์คนนั้นแนะนำตนเองช้า ๆ ด้วยเกรงว่าสมองของเซินเฟยอาจต้องการเวลาในการเรียบเรียงคำพูด “คุณหลับไปถึงสามวัน ร่างกายอาจจะขยับไม่สะดวก แม้แต่การพูดก็ต้องอาศัยเวลา แต่หมอตรวจฟิล์มเอ็กซเรย์แล้วร่างกายของคุณไม่มีอะไรเสียหาย เพียงแต่มีรอยช้ำบนหลังเพราะกระแทกถูกหินเท่านั้น อีกไม่กี่วันคุณก็จะขยับได้สะดวกเหมือนเดิม คุณเข้าใจที่หมอพูดไหม?”

เซินเฟยฝืนกัดฟันพยักหน้าช้า ๆ

“คุณจะถือสาไหมถ้าพยาบาลของหมอจะเข้ามาเช็ดตัวคุณในตอนเช้าและเย็น และป้อนอาหารคุณสามมื้อในช่วงที่คุณขยับไม่สะดวก”

เช็ดตัว?

ป้อนอาหาร?

เซินเฟยทำสีหน้ากระอักกระอ่วนทันที ตั้งแต่เขาจำความได้ยังไม่เคยอยู่ในสภาพน่าสมเพชขนาดต้องให้คนอื่นมาเห็นเรือนร่างหรือบริการใกล้ชิดขนาดนั้นมาก่อน กระทั่งฉู่เหวินจือถึงจะเคยเป็นคู่นอนอยู่ช่วงหนึ่งก็ยังไม่เคยได้รับสิทธิอาบน้ำให้เขาเลยสักครั้ง

“คุณหวางอาจลำบากใจ ถ้ายังไงให้ผม....”

“....ย...บาล....” ก่อนที่ฉู่เหวินจือจะเสนอตัว เซินเฟยก็เค้นเสียงขัดอย่างยากลำบาก

“อะไรนะครับ?” โชคดีที่หมอชื่อถงซื่อเป็นคนที่ฟังคนอื่น เซินเฟยจึงไม่ต้องถลึงตามองฉู่เหวินจือให้เหนื่อย เขากระซิบบอกหมอช้า ๆ

“ผมจะให้....พยาบาลทำ....” อย่างที่หมอถงบอกไปก่อนหน้านี้ การพูดต้องอาศัยเวลา เมื่อพูดทีละคำช้า ๆ เซินเฟยก็รู้สึกว่าการหายใจไม่ได้ติดขัดเช่นตอนแรก

“ถ้าอย่างนั้นผมจะบอกให้นางพยาบาลมาดูแลคุณเหมือนเดิมนะครับ”

เหมือนเดิม!?

แปลว่าตลอดสามวันที่เขาหมดสติ เขาถูกปฏิบัติเหมือนเด็กทารกอย่างนั้นมาตลอดเลยหรือ!

ท่าทางตกอกตกใจของเซินเฟยไม่ได้เล็ดรอดสายตาของฉู่เหวินจือ เจ้าตัวยืนกลั้นยิ้มอยู่ห่าง ๆ ด้วยเกรงว่าเซินเฟยจะฝืนสังขารลุกขึ้นมาเตะเขาจนกลิ้งหากเผลอหัวเราะออกไป

เซินเฟยกลั้นใจพยักหน้าตอบกลับไป ไหน ๆ ก็ถูกเห็นมาตลอดสามวันแล้ว ให้เห็นอีกสักสองสามวันจะเป็นอะไรไป อย่างน้อยก่อนหน้าหรือหลังจากนี้ก็คงไม่มีส่วนไหนของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

“ถ้าอย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ ตอนนี้เพิ่งจะสาย พอตอนเที่ยงจะมีคนนำอาหารเข้ามาให้ คุณคงไม่รังเกียจอาหารเหลวสำหรับคนป่วยใช่ไหม?”

เซินเฟยจำต้องพยักหน้าตอบอีกครั้ง ยังไงก็เป็นอาหารชนิดเดียวที่เขากินได้ในตอนนี้ จะรังเกียจหรือไม่รังเกียจแล้วต่างกันตรงไหน ยังไงเขาก็ต้องจำใจกล้ำกลืนมันลงคอไปทั้งหมดอยู่ดี หมอถงซื่อเองก็ดูจะถึงพอใจที่คนป่วยของเขาไม่งอแงอาละวาด เห็นเป็นวัยรุ่นอายุแค่ 18 เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายจะเอาแต่ใจมากกว่านี้ ในเมื่อดูมีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่ดีเขาก็หายห่วงเรื่องการดูแล

นายแพทย์สูงวัยขยับตัวถอยออกไปพร้อมนางพยาบาลที่ทำหน้าที่จดบันทึก ฉู่เหวินจือจึงเดินเข้ามานั่งข้างเตียงอีกครั้ง

“ไม่ให้ผมเช็ดตัวให้จะดีหรือครับ?” เขาเอ่ยถามพลางยิ้มเมื่อเห็นเซินเฟยกัดฟันหน้าแดงไปถึงใบหู

“หุบ...ปาก...” เซินเฟยเค้นเสียงลอดไรฟันทำให้ฉู่เหวินจือรีบทำตามในทันที

หลังจากความเงียบเข้าครอบคลุม เซินเฟยก็เริ่มนึกทบทวนความทรงจำของตนเองก่อนที่จะหมดสติไป ตอนนั้นเขาจำได้แม่นยำว่าตนเองอยู่บนเรือกับฉู่เหวินจือและการ์ดเกือบ 100 นาย ประจำอยู่ทุกที่บนเรือ นอกจากนั้นยังมีพ่อครัว บริกร และนักดนตรี เขาแน่ใจว่าการ์ดของตนเองในวันนั้นเป็นมืออาชีพพอที่จะไม่ปล่อยให้วัตถุอันตรายอย่างระเบิดขึ้นมาอยู่บนเรือได้ อย่าว่าแต่ระเบิดเลย มีดของพ่อครัวยังถูกตรวจสอบและนับจำนวนอยู่ตลอดตั้งแต่ก่อนขึ้นเรือจนถึงเสร็จสิ้นการทำงาน

หวางซิงเป็นคนคุมการทำงานครั้งนี้ด้วยตัวเอง จริงอยู่ว่าเขากับหวางซิงค่อนข้างหมางเมินกันในช่วงนี้แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางคิดแค้นถึงขนาดอยากระเบิดเขาให้ตายแน่นอน ดังนั้น เขาอาจจะต้องลองคิดในมุมของคนวางระเบิดว่าหากต้องการเล็ดรอดสายตาหวางซิง เขาจะทำอย่างไร?

ตอนนั้นเขายืนค่อนไปทางหัวเรือเพราะมีพื้นที่ดาดฟ้ากว้าง และแรงระเบิดก็น่าจะมาจากทางหัวเรือ คนวางระเบิดคงเดาได้อยู่แล้วว่าหากเขาคิดจะยืนเขาคงจะยืนเยื้องมาทางหัวเรือ เพียงแต่แรงระเบิดนั้นเหวี่ยงเขาตกจากเรือเสียก่อนที่เขาจะโดนอานุภาพแท้จริงของมันฉีกกระชากร่างกายเป็นชิ้น ๆ เสียแต่ว่าเขาไม่ใช่คนโชคดีสักเท่าไหร่ถึงตกลงมาเอาหลังกระแทกหิน เรื่องนั้นเขาคงได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่ายังดีกว่าเอาหัวกระแทก

หรือว่าระเบิดนั้นจะถูกวางก่อนใครขึ้นมาตรวจสอบเรือ

ไม่น่าเป็นไปได้....เพราะการ์ดของเขาต้องตรวจสอบทุกซอกมุมก่อนเขาจะมาถึงอยู่แล้ว กระทั่งหนูสักตัวยังไม่ให้เหลือวิ่ง แล้วระเบิดจะรอดสายตาได้อย่างไร?

คนในมีส่วนอย่างแน่นอน....เรื่องนี้เซินเฟยไม่นึกสงสัยเลย การ์ดวันนั้นมีจำนวนมาก ถึงอย่างนั้นทุกคนก็คุ้นหน้าตากันดี เป็นไปได้ยากที่จะมีคนปะปนเข้ามา หากไม่เป็นเช่นนั้น...ก็คงจะเป็นการ์ดของเขาเองที่โดนซื้อตัว

หากเป็นกระเด็นแรกเขาคงไม่กังวลนัก แต่ประเด็นหลังนี้เป็นเรื่องน่าหนักใจ เขามานอนเป็นคนกึ่งพิการแบบนี้แล้วจะตรวจสอบได้อย่างไรว่าเกลือตัวไหนกลายเป็นหนอน จะติดต่อคนของตัวเองก็ไม่ได้ โดยเฉพาะฉู่เหวินจือใช้ชื่อปลอมกับเขาอย่างนี้ จริงอยู่ว่าปกป้องเขาจากคนที่คิดฉวยโอกาสได้ แต่ก็กลายเป็นการซุกซ่อนตัวเขาจากการตามหาของคนของเขาด้วยเช่นกัน

เซินเฟยขมวดคิ้วแล้วเม้มปาก นึกโมโหที่อะไร ๆ ก็ดูจะไม่ได้ดั่งใจไปเสียหมด

เขาเริ่มนึกเป็นห่วงสถานการณ์ที่บ้านขึ้นมา จริงอยู่ที่ตอนนี้สถานะของเขาค่อนข้างมั่นคงแล้ว แต่คนในเองก็ยังคอยจะหาโอกาสเลื่อยขาเก้าอี้อยู่ การที่เขาหายตัวไปอย่างนี้มีหรือที่คนพวกนั้นจะยอมทิ้งโอกาส หวังแต่ว่าหวางซือจะยื้อสถานการณ์ไว้ได้จนกว่าเขาจะกลับไปเท่านั้น

ในขณะที่เซินเฟยจมอยู่กับความคิดสรตะ ฉู่เหวินจือก็ได้แต่นั่งมองอยู่เฉย ๆ ไม่นานเขาก็รู้สึกเบื่อ

“คุณเซิน”

เสียงเรียกทำให้เซินเฟยเหลือบสายตากลับมามองคนตรงหน้าแล้วเลิกคิ้วเป็นคำถาม

“คุณจะอนุญาตไหมถ้าผมจะออกไปสืบอะไรสักหน่อย?”
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 17-03-2011 13:43:31
เซินเฟยมุ่นคิ้วแสดงความสงสัย ในโรงพยาบาลห่างไกลอย่างนี้จะสืบอะไรได้อีก ถึงจะสืบในโรงพยาบาลได้ สามวันที่เขาหลับไปอีกฝ่ายไม่ได้สืบอะไรบ้างเลยหรือยังไง? คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาทางแววตาซึ่งฉู่เหวินจือสามารถตีความได้ไม่ยาก

“ผมมีหนทางได้ข่าวความคืบหน้าให้คุณแน่นอนครับ อย่าว่าแต่เรื่องรอบ ๆ ตัวตอนนี้เลย” ฉู่เหวินจือเว้นจังหวะแล้วหัวเราะ “กระทั่งเรื่องบนเกาะฮ่องกงผมยังสืบให้ได้”

คำโอ้อวดเกินจริงทำให้เซินเฟยรู้สึกตะหงิดอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ แม้แต่ตัวเขาตอนนี้ยังติดต่อกับคนของตัวเองไม่ได้ แล้วลิ่วล้ออย่างฉู่เหวินจือจะทำอะไรได้?

ไม่สิ....ฉู่เหวินจือแต่เดิมเป็นคนของไป๋หู่ หรือว่ามีคนของไป๋หู่อยู่บนเกาะนี้...

ไม่น่าเป็นไปได้ ฉู่เหวินจือบอกเขาเองว่าเกาะนี้เป็นเกาะในอ่าวในอยู่ห่างจากท่าที่พวกเขาโดนระเบิดเพียง 1 กิโลเมตร นั่นหมายความว่าเกาะนี้ยังอยู่ในเขตการปกครองของเขา ระหว่างผู้นำทั้งสี่มีกฏเกณฑ์วางไว้อย่างชัดเจนว่าจะไม่ก้าวก่ายอาณาเขตการปกครองของกันและกันหากไม่จำเป็น เกาะเล็กเกาะน้อยรอบฮ่องกงเป็นสถานที่ตั้งคลังสินค้าผิดกฏหมาย ไม่ได้มีสถานที่สำคัญที่จะเป็นชนวนเหตุให้เกิดการแทรกแซงเลยสักนิด แล้วคนของไป๋หู่จะขึ้นมาอยู่บนเกาะอย่างนี้ได้อย่างไร?

“ไม่ไว้ใจฝีมือผมหรือครับ?”

“.....เปล่า......” เซินเฟยกล่าวเสียงดังเท่าที่หลอดลมตัวเองจะอำนวย ซึ่งก็ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงหึ่ง ๆ ของยุงสักเท่าไหร่

พูดตามจริงแล้ว เซินเฟยไม่ได้คลางแคลงในฝีมือของฉู่เหวินจือเลยแม้แต่น้อย แต่เขารู้สึกว่าฉู่เหวินจือมีเรื่องปิดบังเขามากเกินกว่าจะไว้ใจในความสัตย์ซื่อได้ แม้ตอนนี้ฉู่เหวินจือจะอยู่ในอาณัติของเขา แต่ก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายเป็นคนของไป๋หู่จะเคยมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรบ้างก็ไม่รู้

เขารู้สึกราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง

ทั้งที่เขาอยู่ในสภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำไมคนสุดท้ายที่เหลือไว้ข้างกายถึงต้องเป็นคนที่เก่งกล้าไม่กลัวตายถึงขนาดบังอาจวางยาข่มขืนเขาด้วยนะ!? ทั้งที่เขาจงใจเก็บฉู่เหวินจือไว้ใกล้ ๆ ก็เพื่อจับตาดูพฤติกรรมเท่านั้น ใครจะคิดว่าชะตาจะต้องกันถึงขนาดต้องมาร่วมหัวจมท้ายในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

“คุณเซิน สรุปว่าคุณจะอนุญาตไหม?” ฉู่เหวินจือยื่นหน้าเข้ามาจนเกือบประชิดด้วยเห็นว่าคู่สนทนาของตนเองเงียบไปนาน เซินเฟยเบิกตาโพลงด้วยความตกใจก่อนจะหรี่ลงอย่างตำหนิ ฉู่เหวินจือจึงยอมถอยออกไปด้วยเกรงว่าเจ้านายจะเกิดไม่พอใจแล้วพาลเย็นขาใส่เหมือนหวางซิง

เซินเฟยทิ้งจังหวะให้ทุกอย่างเงียบสงบอยู่สักพักก็ยกมือขึ้นช้า ๆ ก่อนกระดิกปลายนิ้วให้ฉู่เหวินจือขยับหูเข้ามาใกล้ ๆ
ฉู่เหวินจือโน้มศีรษะลงไปจนหูเกือบจะแนบกับริมฝีปากของผู้สั่ง

“...ถ้านายกล้า....หักหลังฉัน....” เซินเฟยเค้นเสียงออกมาเป็นคำยาว ๆ แต่เชื่องช้าและแผ่วเบาจนเกือบไม่ได้ยิน กระนั้นฉู่เหวินจือก็จับอารมณ์ในน้ำเสียงได้ เขายิ้มให้แก่เซินเฟยแล้วใช้แขนข้างที่ยังปกติดีจับมือที่อ่อนแรงของฝ่ายนั้นพลางยกขึ้นจุมพิต

“ผมคือสุนัขของคุณ”

ระยะนี้เวลาเขาไม่พอใจหรือขู่เข็ญอะไรขึ้นมา ฉู่เหวินจือก็มักจะตอบเช่นนี้จนเขารู้สึกว่ามันกลายเป็นประโยคประจำตัวของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว เซินเฟยคร้านจะต่อปากต่อคำ เขาเองก็ไม่ได้อยู่สภาพจะพูดอะไรได้มาก ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันหนักแน่นอย่างนั้นเขาก็อยากจะลองดูเหมือนกันว่าในสภาพอย่างนี้จะทำอะไรได้ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นโบกเบา ๆ แล้ววางลงที่เดิม นึกสมเพชตัวเองที่แค่ยกแขนก็เหนื่อยเสียแล้ว

ทางฉู่เหวินจือ พอได้รับอนุญาตก็รีบเดินออกไปจากห้อง เซินเฟยนึกสงสัยในจังหวะการเดินของอีกฝ่ายอยู่นานแล้วแต่เพราะคอยังเอี้ยวไม่ถนัดทั้งเสียงก็เปล่งออกมาได้ยากจึงเลือกที่จะเงียบอยู่อย่างนั้นและรอให้ฉู่เหวินจือนึกอยากเล่าเอง

เมื่อประตูปิดลง เซินเฟยก็พรูลมหายใจออกมาก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้า ๆ คิดว่าหากหลับต่ออีกสักตื่นอะไร ๆ อาจจะดีขึ้นก็เป็นได้

----------------------->

“นี่เป็นรายชื่อการ์ดทั้งหมดที่มีหน้าที่คุ้มครองคุณเซินกับรักษาความปลอดภัยบนเรือและชายฝั่งวันนั้นครับ” หวางซิงวางกระดาษหลายแผ่นลงตรงหน้ามู่อี้จิงที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้านตระกูลเซิน เหตุผลที่ชายหนุ่มต้องมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะเจ้าตัวเป็นคนออกปากบอกเองว่าให้หวางซิงเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหรือไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนคุ้มครอง ดังนั้นเมื่อต้องการจะติดต่อกัน หวางซิงจึงต้องโทรศัพท์ไปเชิญอีกฝ่ายมาสนทนาที่บ้านของตระกูลเซิน

มู่อี้จิงหยิบกระดาษแต่ละแผ่นมากางดู รายชื่อของแต่ละคนไม่ได้คุ้นหูเขาสักเท่าไหร่ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเขาเพิ่งจะเข้ามาทำงานแทนสารวัตรหรงได้ไม่นาน ถึงอย่างนั้นหวางซิงรอบคอบพอจะเอารูปถ่ายของทุกคนใส่ซองเอกสารแนบมาด้วย โดยรูปจะถูกเย็บติดกับชื่อเรียงตามขีดแบบในพจนานุกรม

“แล้วอีกอย่างที่ผมขอไว้ล่ะ?” มู่อี้จิงเอ่ยทวง

“นี่สินะครับ” หวางซิงหยิบรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าเอกสารอีกสองใบ เป็นรูปถ่ายเดี่ยวของจือหยินและหลิงหลิง “แล้วก็....ผมนึกได้ว่าฉู่เหวินจือเคยบังเอิญเก็บภาพสองคนนี้ไว้ได้เหมือนกัน” เขาว่าก่อนจะหยิบภาพอีกใบที่มีขนาดราว ๆ a4 ออกมาวางข้าง ๆ เป็นภาพจือหยินและหลิงหลิงกำลังเดินควงกันอยู่ในย่านร้านค้าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากนี้มากนัก ซึ่งหวางซิงจำได้ว่าเจ้าของภาพเคยเอาขึ้นเดสทอปและยังให้เขาดูในมือถือด้วย

โชคดีที่โน้ตบุ๊คของฉู่เหวินจือถูกทิ้งไว้ที่บ้าน ถึงจะต้องใช้เวลาหาสักหน่อยว่าภาพถูกเซฟไว้ที่ไหน แต่ฉู่เหวินจือก็เป็นคนค่อนข้างมีระเบียบกับการจัดไฟล์เอกสาร เขาจึงหาได้ไม่ยาก

มู่อี้จิงหยิบรูปขึ้นมาพิจารณาทีละใบอย่างใจเย็นราวกับว่าเขามีเวลากับเรื่องนี้ทั้งวัน

“มีอะไรให้ผมช่วยอีกไหมครับ?” หวางซิงเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปจึงเอ่ยถาม พลันนั้นสายตาของเขาเหลือบไปเห็นน้ำชาที่พร่องไปเกือบหมดจึงรีบรินให้โดยไม่ถามว่าจะรับเพิ่มไหม มู่อี้จิงที่เคยชินกับการบริการตนเองจึงเงยหน้าขึ้นมาจากรูปถ่ายแล้วยิ้มเย้า

“ดูคุณจะเคยชินกับการบริการจูเชว่มากเกินไปแล้วนะครับ”

“ไม่เชิงหรอกครับ ยังไงคุณก็เป็นแขก คุณเซินไม่ชอบให้แก้วน้ำชาของแขกพร่องไปมากกว่าครึ่ง เพราะเดี๊ยวจะเป็นการเสียมารยาทน่ะครับ” หวางซิงอธิบายก่อนจะเว้นช่วงนึกอะไรบางอย่าง “ปู่ของผมเองก็บอกว่าจูเชว่สองรุ่นที่แล้วก็เคร่งครัดอย่างนี้เหมือนกัน คนรับใช้ทุกคนในบ้านนี้ส่วนมากเลยถูกสั่งสอนให้ดูแลเจ้าบ้านและแขกอย่างดีห้ามมีการบกพร่องให้ตำหนิได้อย่างเด็ดขาด”

“ตามรับใช้ทุกอย่างอย่างนี้ ไม่กลัวจูเชว่จะกลายเป็นเด็กที่ทำอะไรเองไม่เป็นหรือครับ?” มู่อี้จิงถามพลางก้มลงมองรูปถ่ายอีกครั้ง

“แล้วคุณเห็นคุณเซินเป็นแบบนั้นหรือครับ?” คำถามที่ย้อนกลับมาทำให้มู้อี้จิงพูดอะไรไม่ออก หากเขาตอบรับเดี๋ยวอีกฝ่ายจะโกรธ ครั้นจะปฏิเสธ เขาก็ยังไม่อยากจะขัดความรู้สึกตัวเองที่ว่าเซินเฟยต้องมีคนคอยช่วยเหลือข้าง ๆ ทุกฝีก้าว

“จือหยินคนนี้กับคู่หมั้นรู้จักมักจี่กับจูเชว่เป็นการส่วนตัวหรือครับ?” เมื่อตอบไม่ได้ ตำรวจหนุ่มจึงเปลี่ยนเรื่องเสียดื้อ ๆ

“หมอจือเป็นหมอประจำบ้านครับ ความจริงแล้วตระกูลจือเป็นตระกูลที่รับใช้ตระกูลเซินมาหลายชั่วคนแล้วเหมือนตระกูลหวางของผมนี่แหละครับ เพียงแต่ตระกูลจือไม่ได้เข้ามาสวามิภักดิ์อยู่เป็นคนใน แต่เป็นหมอที่คอยดูแลคนในตระกูลหลักเท่านั้น หมอจือคนนี้เองก็เหมือนกันครับ ปกติจะหาที่บ้านหลังนี้เดือนละครั้งเพื่อตรวจสุขภาพคุณเซินกับนายหญิง” หวางซิงเล่าเท่าที่ตนเองจะรู้เรื่องราว หากต้องการรู้ละเอียดถึงว่าเข้ามาทำงานตั้งแต่สมัยไหนหรือทำไมจึงไม่อยู่เป็นคนในรับใช้อย่างตระกูลหวางคงต้องไปถามปู่ของเขาที่รู้เรื่องนี้ดีกว่า

มู่อี้จิงพยักหน้ารับ เขาไม่ได้อยากรู้ลึกซึ้งอย่างที่หวางซิงกังวล เรื่องในอดีตนั้นเขาไม่คิดว่าจะเกี่ยวกับคดีนี้ เพราะหากมีความเคียดแค้นกันมาหลายรุ่นแล้ว ก่อนหน้านี้น่าจะมีการลงมือบ้าง ไม่ใช่มาลงเอากับจูเชว่คนปัจจุบันที่อยู่ในสายรองมาก่อน เรื่องความแค้นในอดีตจะมีหรือไม่จึงไม่ได้อยู่ในข้อสันนิษฐานหรือความสนใจของมู่อี้จิงเลย

“ถ้าไม่ได้ทำงานรับใช้แบบตระกูลหวาง แสดงว่าทางตระกูลเซินเองก็ไม่ได้ให้เงินเลี้ยงดูสินะครับ แสดงว่าเขาก็น่าจะมีงานทำของตัวเอง”

“ไม่หรอกครับ ถึงจะไม่ได้เข้ามาเป็นคนใน แต่ตระกูลเซินก็ให้ความช่วยเหลือตระกูลบริวารเสมอ ถึงจะไม่ได้ให้เงินเลี้ยงดูแต่ก็เป็นเส้นเป็นสายให้เวลาเข้าเรียน ทำงาน หรือช่วยเหลือยามตกยาก แต่ก็อย่างที่คุณมู่บอกนั่นแหละครับ ยังไงตระกูลบริวารก็ต้องมีงานของตัวเองเพราะไม่เข้ามารับใช้อย่างตระกูลของผม โดยปกติแล้วหมอจือจะทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนที่เดียวกับหมอจ้าวครับ”

หากพูดถึงหมอจ้าว ใครในวงการนี้ก็ต้องรู้จักกันทั้งนั้น ซึ่งโรงพยาบาลนี้มู่อี้จิงก็เคยไปเมื่อครั้งที่เซินเฟยถูกยิง เขาจึงนึกออกในทันที

“ใช้เส้นตระกูลเซินหรือครับ?” ที่มู่อี้จิงถามเช่นนี้ไมได้ตั้งใจจะดูถูกความสามารถของจือหยิน แต่โรงพยาบาลนั้นเป็นโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ใช่ว่าหมอจบใหม่ที่ไหนก็เข้าได้

“ส่วนหนึ่งก็เป็นอย่างนั้นครับ เพราะนอกจากนี้หมอจือยังมีความสนิทสนมกับหมอจ้าวเพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องจากวิทยาลัยเดียวกัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่าหมอจือเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนอยู่แล้วครับ” หวางซิงช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยเกรงว่ามู่อี้จิงจะเข้าใจผิดว่าเจ้าบ้านตระกูลเซินหลับหูหลับตาสนับสนุนแต่คนของตัวเองโดยไม่ดูความสามารถ

มู่อี้จิงพยักหน้ารับ เขาคิดว่าจือหยินคนนี้เป็นคนที่ดวงคนอุปถัมป์จริง ๆ เพราะนอกจากจะเป็นคนในตระกูลบริวารของตระกูลเซินแล้ว ยังมีความสนิทสนมกับหมอจ้าวซึ่งไม่ใช่แค่หมอธรรมดา แต่เป็นหมอที่มีอิทธิพลในวงการใต้ดินของฮ่องกงเพราะฐานะที่ใกล้ชิดกับคนใหญ่คนโตของเจ้าตัวและยังมีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับตลาดมืดที่ค้าอวัยวะมนุษย์อีกด้วย

“ตัวหมอจือเองมีนิสัยยังไงครับ?”

“เท่าที่ผมสังเกต หมอจือเป็นคนใจดีและอ่อนโยนนะครับ เพียงแต่ว่านิสัยเหล่านั้นมักถูกปลูกฝังด้วยจรรยาบรรณการแพทย์อยู่แล้ว โดยส่วนตัวผมคิดว่านิสัยจริง ๆ ของหมอจือออกจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจและตกประหม่าง่าย เพราะอย่างนั้นถึงมักจะเข้าหาคนที่ดูคุยง่ายและมักหลีกเลี่ยงคุณเซินที่เป็นคนเคร่งครัดเจ้าระเบียบโดยไม่รู้ตัวน่ะครับ” หวางซิงตั้งข้อสังเกตเท่าที่ตัวเองรู้ เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกับจือหยินมากนัก

“แล้วคู่หมั้นล่ะครับ?” มู่อี้จิงถามต่อพลางทวนนิสัยของจือหยินอยู่ในใจประกอบกับคำให้การที่ตำรวจได้มา

“คุณหลิงหลิงหรือครับ?” หวางซิงทวนก่อนจะมุ่นคิ้ว “ภายนอกแล้วเธอดูเป็นคนร่าเริงดีนะครับ ช่างพูดช่างเจรจา ยิ่มแย้มแจ่มใส แต่ผมคิดว่าคนแบบนี้ลึก ๆ แล้วน่าจะมีอะไรอยู่ในใจ”

“นั่นคือการวิเคราะห์ของคุณสินะ”

“ทำไมหรือครับ?” หวางซิงเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาเมื่อได้ยินคำพูดแปลกหู

“เปล่าครับ” มู่อี้จิงตอบก่อนจะรวบกระดาษและรูปถ่ายทั้งหมดเข้าไปในซองเอกสาร “วันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน ข้อมูลที่คุณให้มาต้องไม่เสียเปล่าแน่นอน”

“ถ้าหากว่าสามารถหาตัวคุณเซินได้พบเร็ว ๆ ก็คงดีนะครับ” เลขาหนุ่มถอนหายใจเฮือก มู่อี้จิงเห็นท่าทางเป็นห่วงเจ้านายอย่างนั้นก็อดสงสารไม่ได้ เขาจึงส่งยิ้มแทนกำลังใจกลับไป หวางซิงจึงพอจะยิ้มออกได้บ้าง เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปส่งมู่อี้จิงถึงหน้าประตู เมื่อนายตำรวจหนุ่มจากไปแล้วเขาก็ได้แค่ทอดถอนใจอยู่คนเดียว

ขอให้คุณเซินปลอดภัยดีด้วยเถอะ....


TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 17-03-2011 14:01:20
 :z13: :z13: :z13:ตอนใหม่มาแล้วๆ :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 17-03-2011 14:09:57
ลึกลับ  ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน  โอ๊ยยย  ไม่อยากคาดเดาอะไรทั้งนั้น  รอ ๆ ๆ และรออ่านตอนต่อไปดีกว่า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 17-03-2011 14:19:32
ว้าวๆๆๆๆในที่สุดเซินเฟยก็ปลอดภัยแล้ว


เรื่องราวมันซับซ้อนจริงๆหลิงหลิงน่าสงสัยจังอ่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: casper75 ที่ 17-03-2011 15:46:47
หลิงหลิงน่าสงสัยนะเนี่ย แปลกๆ

เซินเฟยปลอดภัยแล้ว อย่าให้มีคนมาทำร้ายอีกนะ ยิ่งขยับไม่ได้อยู่


รอค่ะ >o<
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 17-03-2011 18:01:44
เริ่มจะเข้มข้นขึ้นมาแล้วสิ อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 17-03-2011 19:02:16
เย้ เจอเฟยเฟยแล้ว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 17-03-2011 19:17:39
 o18

ลุ้นๆๆๆ

เข้มข้นเรื่อยๆแล้ววว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 17-03-2011 20:02:43
ตัวเอกต้องไม่เป็นอะไรจริง ๆ ด้วย ( แค่ตอนนี้ เสี่ยวเฟย ขยับไม่ได้เท่านั้นเอง )
เนื้อเรื่องลึกลับซ่อนเงื่อนเกินจะคาดเดา ฉนั้นขอรอลุ้นอย่างเดียวล่ะกัน ~ :z2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 18-03-2011 02:10:01
+1 ไปเลยค่ะ
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
อ่านรวดทีเดียวเลยค่ะ

ถ้าเป็นหนังสือก็คงบอกว่าวางไม่ลง มีอะไรให้ต้องลุ้นตลอดเรื่อง และก็แอบเครียดตามตัวละครไปด้วย เหอๆ (อ่านจบนี่บอกตามตรง มึนหัวค่ะ ท่าทางจะติดไมเกรนมาจากเฟยเฟย)

นายฉู่พระเอก(สินะคะ?)ของเรานี่ เดาทางยากจัง แบบว่าไม่รู้ว่ามาดีรึมาร้ายกันแน่ ชอบทำตัวลึกลับ แบบว่าพอกำลังคิดว่ามันจุดประสงค์ร้ายแน่ๆ แต่กลับทำตัวดีซะงั้น แต่พอกำลังคิดว่ามาดี กลายเป็นเจ้าตัวดูร้าย เรื่องหักมุมตลอด ต้องลุ้นต้องเชียร์ตลอดเลยค่ะ

แอบเซ็งนิดๆ นายฉู่นี่่น้า จะดีก็ดีไม่ตลอดรอดฝั่ง แล้วก็แอบหวังตามประสาคนอ่านผู้อินนิยายสุดๆแหละค่ะ ว่าหมอนี่น่าจะรู้สึกอะไรพิเศษกะเฟยเฟยของเราบ้าง แต่แหมพี่ท่านก็ช่างไร้ความสนใจอย่างสิ้นเชิงกะเรื่องรักๆใคร่ๆซะอย่างนั้น(รึป่าว?) ถ้าไม่งั้นก็เป็นคนแสดงออกได้ไร้ความรู้สึกสุดๆ

เลยทำให้...หมั่นไส้นายฉู่สุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เลยคร่า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 22 (17/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Isuru ที่ 18-03-2011 12:40:31
อ๊ากกกกกกก  ค้างอย่างรุนแรง
เงื่อนงำเยอะไปไหนคะเนี่ย
ลุ้นๆทุกตอนเลยค่ะ แต่งสนุกมาก
สำนวนการแต่งอ่านแล้วลื่นไหลไม่สะดุด
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 18-03-2011 16:09:16
-23-


เมื่อเซินเฟยหายตัวไป ตำแหน่งที่ว่างลงไม่ใช่พียงตำแหน่งจูเชว่เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงตำแหน่งประธานเครือธุรกิจตระกูลเซินด้วย ภายในองค์กร เมื่อผู้นำหายไป เพียงรอเวลาแต่งตั้งผู้นำใหม่ก็ไม่มีปัญหาเพราะแต่เดิมองค์กรเหล่านี้ก็จัดแบ่งหน้าที่กันเป็นสัดส่วนอยู่แล้ว ผู้นำองค์กรมีหน้าที่เพียงคอยดูแลความเรียบร้อยและกำราบคนที่คิดกำแหงเท่านั้น ต่สำหรับธุรกิจบริษัทนั้นไม่เหมือนกัน ประธานมีหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับทุก ๆ เรื่องภายในบริษัท ซึ่งหากขาดประธษนไปเสียแล้ว งานในบริษัทที่นอกเหนือจากงานประจำของพนักงานและโครงการที่ผ่านการอนุมติแล้วจะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้เลย

ทันทีที่ข่าวการระเบิดแพร่สะพัดออกไปในหมู่นักธุรกิจ เครือตระกูลเซินก็ถึงคราต้องระส่ำระสาย ผู้บริหารแต่ละคนต้องถูกนักข่าวตามตื้อแทบไม่เป็นอันทำงาน คำถามที่พวกเขาพบบ่อย ๆ คือ จะจัดการอย่างไรกับเครือธุรกิจนี้ต่อไป ใครจะขึ้นเป็นประธานแทน และพวกเขาจะถอนหุ้นหรือไม่

คำถามที่ตอบยากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่ว่า ใครจะเป็นประธานคนต่อไป

สำหรับเครือธุรกิจหรือบริษัททั่วไป เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่เสียชีวิตจะต้องมีทายาทรับมรดก หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น ผู้ที่สามารถช้อนซื้อหุ้นได้จำนวนมากจะจะได้เป็นประธาน ทว่าสำหรับเครือธุรกิจของตระกูลเซินนั้นต่างออกไป เนื่องจากเป็นเครือธุรกิจที่ผูกขาดให้คนในตระกูลเท่านั้นจึงจะเป็นประธานได้ ด้วยเหตุนั้น หุ้นทั้งหมดในเครือจึงอยู่ในชื่อของตระกูลเซิน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง ผู้ที่มีสิทธิจัดการกับหุ้นจำนวนมากนี้ถูกระบุให้เป็นเจ้าบ้านตระกูลเซินเพียงผู้เดียว ซึ่งตอนนี้ทางตระกูลยังไม่ได้ตกลงใจจะให้ใครเข้ามาแทนที่ เพราะเซินเฟยไม่มีทายาท

คำถามนี้ได้ถูกส่งต่อไปยังบ้านใหญ่ของตระกูลเซินด้วยเช่นกัน นักข่าวก็มารอสืบถามข้อมูลหน้าบ้านแทบทุกวันจนต้องเพิ่มจำนวนการ์ดประจำหน้าประตู ส่วนหวางซิงได้ใช้อำนาจที่ตนมีอยู่กดดันไปทางเจ้าของสำนักหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ต่าง ๆ ให้จัดการปิดข่าวนี้โดยไว ด้วยความที่หวางซิงเป็นเลขาคนสนิท และก่อนเกิดอะไรขึ้นเซินเฟยเคยเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งให้หวางซิงจัดการความเรียบร้อยทุกอย่างได้เมื่อตัวเขาไม่อยู่ ดังนั้นสำนักข่าวทั้งหลายจึงไม่กล้าใส่สีตีข่าวนี้มากนัก ทั้งยังปรามคนของตนเองไม่ให้ก่อความวุ่นวายด้วย

ความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หวางซิงตัดสินใจว่าจะอยู่ในบ้านเฉย ๆ ไม่ได้ เขาควรจะเข้าบริษัทเพื่อให้ความมั่นใจกับผู้บริหาร มิเช่นนั้นคงได้ถอนหุ้นกันหมดเป็นแน่

หวางซิงยังจำได้ถึงคำเตือนของมู่อี้จิง เขาจึงจัดจำนวนการ์ดราว 10 คนให้ทำหน้าที่คุ้มกัน

เส้นทางที่ใช้เดินทางไปยังบริษัทยังคงถูกจับตาดูอย่างเคร่งครัดเหมือนตอนที่เซินเฟยยังอยู่ เพราะอย่างไรเสีย แม้เซินเฟยจะไม่กลับมาแต่เจ้าบ้านคนใหม่ก็ยังต้องใช้เส้นทางนี้เดินทางไปบริษัทอยู่ดี

สำนักงานหลักของเครือธุรกิจตระกูลเซินเป็นตึกหลังใหญ่บนพื้นที่กว้างและมีอาคารย่อยอยู่รอบ ๆ อาคารหลักคืออาคารที่สูงที่สุดโดยมีห้องของประธานอยู่ชั้นบนทำให้สามารถมองจากหน้าต่างลงมาเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องล่างตั้งแต่หน้าประตูบริษัทไปจนถึงสวนด้านหน้า

เหนือประตูใหญ่ของอาคารหลักมีตราสัญลักษณ์รูปหงส์ซึ่งเป็นตราของตระกูลเซินประดับอยู่

หวางซิงเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่เขาก็อดที่จะเงยหน้าขึ้นมองตราหงส์สีแดงเหนือประตูไม่ได้ ตรานั้นมักให้ความรู้สึกกดดันเวลาจ้องมองเสมอ เพราะนอกจากจะเป็นตราประจำตระกูลเซินแล้ว ยังเป็นตราสัญลักษณ์ของตำแหน่งจูเชว่ด้วย

เมื่อเดินเข้าไป พนักงานทุกคนก็มองเขาด้วยสายตาคาดหวัง ทว่าก็ต้องผิดหวังในเวลาต่อมาเมื่อไม่ปรากฏร่างของประธานบริษัท

หวางซิงใช้ลิฟต์พิเศษขึ้นไปชั้นบน เขามักจะต่องใช้ลิฟต์นี้บ่อยครั้ง บ่อยยิ่งกว่าที่เจ้าของตัวจริงใช้เสียอีก เพราะเขามักจะเป็นคนประสานงานแทนตัวประธานดังนั้นจึงต้องขึ้นและลงระหว่างชั้นเป็นประจำ

การ์ดที่ทำหน้าที่เฝ้าด้านบนต่างทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใจเมื่อเขาขึ้นมาถึง หวางซิงรู้สึกได้ทันทีว่าต้องมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลจึงรีบสาวเท้าไปยังห้องประธานอย่างว่องไว

เพราะเซินเฟยไม่อยู่ หวางซิงจึงไม่มีความจำเป็นต้องเคาะประตูและเปิดเข้าไปได้โดยไม่ต้องรอคำขออนุญาต ทว่า ในห้องที่ควรจะไร้ผู้คนจับจอง กลับมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะประธานด้วยท่าทางวางเขื่องไม่เกรงใจใคร เจ้าตัวนั่งเอนหลังบนเก้าอี้สูง ยกเท้าวางไขว้บนโต๊ะและดื่มชาในถ้วยที่เซินเฟยมักใช้เป็นประจำ

หวางซิงเบิกตากว้างและยืนค้างอยู่ตรงหน้าประตู การ์ดคนอื่น ๆ ได้แต่รอรับคำสั่งอยู่ด้านหลังด้วยไม่มีอำนาจลงมือทำอะไรโดยพลการ

“มาช้านะอาซิง ฉันรอตั้งนานแน่ะ อาเฟยช่างเลิ่นเล่อกับการอบรมเลขาจริง ๆ” ชายคนนั้นกล่าวตำหนิพลางยกแก้วชาขึ้นซด

“ขออภัยด้วยครับ แต่ผมไม่ใช่เลขาของคุณ” หวางซิงจ้องตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยท่าทีไม่ต้อนรับ

“ไม่ใช่เลขาของฉัน? แล้วทำไมถึงขึ้นมาบนนี้ได้ล่ะ ชั้นนี้มันชั้นอภิสิทธิ์ของประธานกับเลขาเท่านั้นไม่ใช่หรือ?” เซินหยู่แสยะยิ้มแล้วตวัดขาลงจากโต๊ะ “ในเมื่อไม่ใช่เลขาก็รีบไปซะก่อนที่ฉันจะเอาเรื่อง เด็ก ๆ ลากตัวหวางซิงออกไป” เขาออกคำสั่งกับพวกการ์ดที่รอด้านนอก ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครกล้าขยับตัว เพราะเซินหยู่ไม่ใช่เจ้านายของพวกเขาและหวางซิงก็มีอำนาจสั่งการแทนเซินเฟยอยู่ ณ เวลานี้

“ครับ ชั้นนี้มีแต่ประธานกับเลขาเท่านั้นที่ขึ้นมาได้ แต่คนที่ควรถูกลากออกไปไม่ใช่ผม แต่เป็นคุณต่างหากคุณเซินหยู่” หวางซิงตอบโต้ “ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าคุณเอารหัสลิฟต์มาจากไหน แต่ถึงยังไงคุณก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าบ้านตระกูลเซินจึงไม่มีสิทธิจะเข้ามาในห้องนี้ได้”

ก่อนหน้านี้ เซินหยู่เคยขึ้นมานั่งในห้องนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นหวางซิงก็ยังติดใจว่าอีกฝ่ายได้รหัสลิฟต์มาอย่างไร แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจึงทำการเปลี่ยนรหัส แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังขึ้นมาได้ แสดงว่าต้องซื้อรหัสจากการ์ดสักคนหนึ่งอย่างแน่นอน

“ก็ไม่เชิงแบบนั้นหรอกนะอาซิง” เซินหยู่ยังคงไม่ยอมลุกออกไป เจ้าตัวจิบชาอีกอึกหนึ่งเสมือนว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ใจเย็นลงพอที่จะไม่อารมณ์เสียใส่เลขาขอลูกชายเสียก่อน “แต่ว่า ถ้าเป็นผู้รักษาการณ์แทน มันก็น่าจะพอทดแทนกันได้จริงไหม?”

“ผู้รักษาการณ์แทน?” หวางซิงมุ่นคิ้ว

“ใช่ นี่ไง” เซินหยู่หยิบหนังสือลงนามฉบับหนึ่งร่อนไปในอากาศแล้วทิ้งตัวลงที่ปลายเท้าหวางซิง เลขาหนุ่มก้มลงหยิบขึ้นมาอ่านก่อนจะเบิกตากว้าง

รายชื่อที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระดาษคือรายชื่อของผู้บริหารทั้งหมดในเครือธุรกิจตระกูลเซิน ซึ่งลงนามรับรองให้เซินหยู่เป็นผู้รักษาการณ์แทนตำแหน่งประธาน มีอำนาจตัดสินใจแทนประธานกึ่งหนึ่งซึ่งถือว่าเทียบเท่ากับอำนาจของหวางซิงที่สามารถจัดการความเรียบร้อยทุกอย่างในบริษัทได้ เพียงแต่อำนาจของหวางซิงนั้นครอบคลุมไปถึงองค์กรใต้ดินด้วยเท่านั้น

“ของแบบนี้มัน.....” หวางซิงกัดริมฝีปากและเกร็งปลายนิ้วจนกระดาษยับย่น

“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ! ยังไงเลขาหวางก็ได้รับการมอบอำนาจโดยตรงจากท่านจูเชว่” การ์ดคนหนึ่งก้าวออกมาแก้ต่างด้วยความอดรนทนไม่ไหว

“ก็ใช่ แต่ยังไงก็ด้วยตำแหน่งเลขา ส่วนฉันน่ะ เป็นตำแหน่งผู้รักษาการณ์แทนประธานย่อมมีอำนาจเหนือกว่าเลขาอยู่ขั้นหนึ่ง จริงไหม?” เซินหยู่ไหวไหล่ “เอาเถอะ ยังไงฉันก็ไม่มีอำนาจไล่เลขายอดเยี่ยมที่ได้รับการมอบอำนาจโดยตรงออก ดังนั้นถึงจะไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ นายก็ต้องทำงานให้ฉัน”

ความเงียบกดทับลงมาบนไหล่จนรู้สึกหนักอึ้ง หวางซิงสูดหายใจเข้าลึกหลายครั้งเพื่อควบคุมสติและอารมณ์ก่อนจะเงยหน้าขึ้น

“ทราบแล้วครับ” การตอบรับของหวางซิงทำให้การ์ดทุกคนในที่นั้นหันมองด้วยความตกใจ

“เดี๋ยวก่อนสิครับเลขาหวาง!”

“แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะครับ!”

เสียงคัดค้านเอ็ดตะโรจนลั่นทางเดิน หวางซิงยกมือปรามเงียบ ๆ ก่อนจะมองตรงไปยังเซินหยู่อย่างแน่วแน่

“แต่โปรดเข้าใจด้วยนะครับคุณเซินหยู่ ด้วยตำแหน่งของผมขณะนี้ผมมีสิทธิตัดสินใจได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของคุณ คุณสามารถสั่งการผมได้ในหน้าที่ของเลขาเท่านั้น”

เซินหยู่ชะงักไปก่อนจะฝืนแสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง ตอนแรกเขาคิดว่าจะทำให้เลขาผู้จองหองของลูกชายยอมสยบได้ ทว่าผู้ชายคนนี้กลับมีเขี้ยวเล็บมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ จนถึงเวลานี้ยังยืนตัวตรงไม่คิดอ่อนข้อลงเลยแม้แต่น้อย มันช่างน่าหงุดหงิดจริง ๆ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ” หวางซิงทำท่าจะเดินออกไป ทว่ากลับมีเสียงเรียกเสียก่อน

“เดี๋ยว ฉันมีสิ เป็นเลขาที่ชอบพูดเองเออเองซะจริงนะเรานี่” เซินหยู่ว่าและรอจนกระทั่งหวางซิงหมุนตัวกลับมายืนตรงจึงพูดต่อ “ช่วยต่อสายโทรศัพท์หาสารวัตรหรงให้ด้วย”

“เพื่ออะไรครับ?”

“ปกติตอนอาเฟยสั่ง นายต้องถามเหตุผลทุกครั้งหรือไง?”

“......” หวางซิงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายโดยดี แต่พอจะกดโทรออก โทรศัพท์เครื่องนั้นกลับถูกฉวยไปจากมือ เซินหยู่กดโทรออกเสียเองแล้วยกแนบหู หวางซิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรจึงได้แต่ยืนรอจนกระทั่งได้ยินเสียงตอบโต้

“สารวัตรหรง ผมเซินหยู่พ่อของจูเชว่นะครับ” เซินหยู่กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ก่อนหันมามองหวางซิงแล้วแสยะยิ้มชั่วร้าย “ผมต้องการยกเลิกการตามหาตัวจูเชว่”

คำพูดนั้นเหมือนตุ้มน้ำหนักกดลงมาบนสมองของหวางซิง ปลายมือหลายเท้าชาวูบไร้ความรู้สึกทันที

“อะไรนะ!” ก่อนที่หวางซิงจะได้อ้าปากคัดค้าน เสียงคำรามของเซินหยู่ก็ดังขึ้นเสียก่อน เจ้าตัวตบมือลงบนโต๊ะเสียงดังปังก่อนจะกดตัดสายด้วยความโมโห คนอื่น ๆ ได้แต่ยืนมองเพราะไม่รู้ว่าสารวัตรหรงพูดอะไรเข้าจึงได้อารมณ์เสียถึงขนาดนี้ เซินหยู่หันกลับมาหาหวางซิงอีกครั้ง “อาซิง! โทรหามู่อี้จิง!”

มู่....อี้จิง?

หวางซิงเริ่มปะติดปะต่ออย่างรวดเร็ว

ตอนนี้มู่อี้จิงเข้ามาทำงานให้จูเชว่แทนสารวัตรหรงแล้ว แม้แต่คดีที่เซินเฟยหายตัวไปมู่อี้จิงก็เป็นคนรับผิดชอบ แต่เพราะเพิ่งเข้ามาทำแทนในบางส่วนเซินหยู่จึงไม่รู้เรื่องนี้และคิดว่าสั่งการสารวัตรหรงได้

โทรศัพท์มือถือถูกยื่นมาตรงหน้า หวางซิงเม้มปากก่อนจะตอบ

“ไม่ครับ”

“อะไรนะ!?” เซินหยู่เค้นเสียงลอดไรฟัน

“ถ้าคุณจะสั่งให้เลิกการตามหาคุณเซิน ผมคงติดต่อให้ไม่ได้ครับ” หวางซิงพูดพลางขยับแว่นแล้วยืนกุมมือนิ่งไม่ยอมยื่นมือไปรับโทรศัพท์มือถือที่ถูกยื่นมาให้

เซินหยู่โมโหจนเส้นประสาทเต้นตุบ ๆ เขาเงื้อมือขึ้นสูงก่อนจะออกแรงเหนี่ยวมือข้างที่ยังถือโทรศัพท์อยู่นั้นกระแทกลงบนใบหน้าของหวางซิงเต็มแรง แต่เพราะหวางซิงเกรงแว่นจะแตกจึงเอี้ยวใบหน้าหลบ โทรศัพท์จึงกระแทกถูกขมับพอดีก่อนถลาไปด้านหลัง การ์ดที่ยืนอยู่รีบผวาเข้ามารับไว้ทันก่อนหวางซิงจะเซล้ม แม้การถูกกระแทกด้วยโทรศัพท์เครื่องบาง ๆ จะไม่ถึงกับเลือดตกยางออกแต่ก็ทำให้เกิดรอยแดงช้ำค่อนข้างชัดเจนที่หางคิ้ว

“ออกไป! ออกไปให้หมด!” เซินหยู่เริ่มอาละวาดปัดกองเอกสารร่วงลงมากระจายบนพื้น ของประดับบนตู้เอกสารที่ทำจากแก้วถูกปัดลงมาแตกหลายชิ้น

หวางซิงขยับแว่นที่เลื่อนหลุดไปเล็กน้อยให้เข้าที่ก่อนก้มลงเก็บมือถือตนเองขึ้นมาแล้วโค้งให้ตามหน้าที่ เขาหันไปพยักหน้าให้การ์ดที่ยืนมุงดูสถานการณ์ ทุกคนจึงพากันทยอยเดินออกไปแล้วเปิดประตูให้เซินหยู่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในห้องประธานที่เจ้าตัวอยากได้นักหนา

เซินหยู่ตวัดขาเตะกองแฟ้มที่ตกตรงปลายเท้าออกไปด้วยโทสะก่อนจะเดินไปกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประธาน

ไอ้ลูกไม่รักดีคนนั้น ตายไปแล้วแท้ ๆ ยังสร้างความวุ่นวายให้เขาไม่สิ้นสุด แค่กฎบ้า ๆ อย่างต้องรอถึง 100 วันถึงจะมีการแต่งตั้งนั่นก็ทำให้เขาร้อนใจแทบบ้าแล้ว ยังต้องมาเจอหวางซิงตอกหน้าเจ้าอีก ลูกชายของเขามันมีบารมีอะไรนักหนาถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปครองเสียหมด กระทั่งลูกน้องยังซื่อสัตย์อย่างกับสุนัข ทั้งที่ปกติตอนนี้ควรจะเริ่มมาเลียแข้งเลียขาเขาได้แล้ว

คอยดูเถอะ....ถ้าเขาได้เป็นใหญ่เมื่อไหร่ จะไล่ออกซะให้หมด! พอไม่มีอะไรจะกินคงได้รู้ซะบ้างว่าควรอ่อนน้อมกับใคร!

------------------------>

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับเลขาหวาง?” การ์ดคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อหวางซิงเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเอาผ้านวดคลึงขมับตัวเองอยู่

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่เลือดคั่งจนแดงช้ำเท่านั้นเอง พรุ่งนี้คงเปลี่ยนเป็นสีม่วง ๆ แล้วก็ค่อย ๆ จางไปเอง” หวางซิงว่าพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาประมาทเซินหยู่เกินไป ไม่คิดว่าพอถูกปรามจากที่บ้านแล้วจะหันมาโจมตีที่บริษัทต่อ ซ้ำตอนนี้ความมั่นใจของผู้บริหารที่มีต่อเซินเฟยก็เริ่มคลอนแคลน คนอย่างเซินหยู่มีหรือจะปล่อยให้โอกาสอย่างนี้หลุดลอย

“แล้วจะทำยังไงต่อดีล่ะครับ....”

บอดี้การ์ดนั้นไม่เหมือนเลขา หวางซิงได้รับมอบอำนาจให้ดูแลจัดการได้ตามความเหมาะสม ทว่าการ์ดทุกคนมีหน้าที่ต้องปกป้องผู้ดำรงในตำแหน่งนั้น ๆ ตอนนี้พวกเขาจะมีทางเลือกอื่นใดนอกจากทำตามคำสั่งของเซินหยู่

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมได้รับมอบอำนาจมากึ่งหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่ามันมีความแตกต่างอยู่” หวางซิงลดมือที่คลึงรอยช้ำลง “คุณเซินหยู่มีอำนาจแต่การสั่งการในบริษัทซึ่งรวมถึงรปภ. แต่ว่าหัวหน้าการ์ดยังอยู่ใต้การบัญชาของผม ดังนั้นพวกคุณซึ่งเป็นการ์ดก็นับเป็นคนของผมเช่นเดียวกัน”

เมื่อได้ยินหวางซิงพูดเช่นนั้น หลาย ๆ คนก็โล่งอก แต่หวางซิงกลับไม่ได้โล่งอกไปด้วย เพราะตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเกินคาดคิด อำนาจสูงสุดของบริษัทถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน เขาที่มีดีแค่ทำตามคำสั่งเซินเฟยมาโดยตลอดจะเอาอะไรไปสู่รบปรบมือกับคนเจ้าเล่ห์อย่างเซินหยู่กัน แต่เขาก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังด้วยเกรงว่าจะตกตื่นกันไปหมด

หวางซิงฝืนทำหน้าเฉยเมยราวกับว่าไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเพื่อให้กำลังใจคนอื่น ๆ ที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนกับการเปลี่ยนแปลง นึกอยากระบายออกมาก็ทำไม่ได้ แต่ในจังหวะที่เขากำลังอัดอั้นตันใจนั้นเอง โทรศัพท์สายหนึ่งก็เรียกเข้ามา หวางซิงสะดุ้งเฮือกรีบกดรับโดยไม่ทันได้มองชื่อ

“ตอนนี้คุณว่างหรือเปล่า?”

“.....คุณมู่!?” หวางซิงไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะโทรมาหา

“เอาล่ะ ยังไม่ต้องเล่าอะไรหรอก ผมแค่อยากถามว่าช่วยออกมาพบผมตอนนี้ได้ไหม?” มู่อี้จิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง หวางซิงจึงเก็บน้ำเสียงตระหนกของตนเองไว้ในคอแล้วตอบกลับไป

“ได้ครับ”

“ถ้าอย่างนั้น อีก 10 นาทีผมจะไปรับที่หน้าบริษัท”

ทั้งสองนัดแนะกันอย่างดิบดีก่อนจะวางสาย เมื่อถึงเวลา รถตำรวจของมู่อี้จิงก็มาจอดรอที่หน้าบริษัท หวางซิงเดินออกไปพบโดยลำพังก่อนที่ทั้งสองจะขับรถออกไปด้วยกัน

--------------------->

หลังจากได้แต่นอนบนเตียงอยู่สองวัน เซินเฟยก็ลุกขึ้นได้โดยมีพยาบาลเป็นผู้ช่วยแต่ยังมีอาการปวดยอกอยู่เล็กน้อยเวลาขยับตัว และในวันที่ห้านับจากตื่นขึ้นมาเขาลุกขึ้นมานั่งที่ขอบเตียงเองได้เมื่อตื่นขึ้นในตอนสายเนื่องจากฤทธิ์ของยาแก้อักเสบที่กินเข้าไปกลางดึก และพบว่าฉู่เหวินจือไม่ได้อยู่ในห้องด้วย ช่วงสองวันที่ผ่านมาฉู่เหวินจือก็ไม่ค่อยได้อยู่ในห้องสักเท่าไหร่อยู่แล้ว เจ้าตัวเอาแต่วิ่งเล่นนักสืบในโรงพยาบาลทุกวัน ตัวเซินเฟยเองก็คร้านจะทักท้วงจึงปล่อยให้อีกฝ่ายไปทำตัวเป็นนักสืบตามใจชอบเพราะคิดว่าการอยู่เฉย ๆ คงทำให้คนอย่างฉู่เหวินจือเบื่อหน่ายเอาการ เพราะก่อนเรือจะระเบิด เจ้าตัวก็วิ่งไปทำงานกับเหล่าโหวเกือบทุกวันเหมือนกัน

“ตายจริง คุณหวางตื่นแล้วหรือคะ?” นางพยาบาลที่ทำหน้าที่เช็ดตัวให้เดินเข้ามาในห้อง เธอวางอุปกรณ์ลงข้างเตียงแล้วรูดผ้าม่านปิด

“ผมยังอาบน้ำเองไม่ได้หรือครับ?” เซินเฟยเอ่ยถาม จริงอยู่ว่าตลอดห้าวันมานี้เขาถูกบริการมาตลอด แต่ความกระดากอายก็ไม่ได้ลดเลือนหายไปไหน แค่ทำแข็งใจให้มันผ่านไปในแต่ละวันเท่านั้น

“เดี๋ยวต้องให้หมอถงเข้ามาดูอาการก่อนนะคะ” นางพยาบาลว่าแล้วดึงม่านจนเรียบร้อย เธอรู้ว่าผู้ป่วยคนนี้เป็นคนขี้อายมากผิดกับเพื่อนร่วมห้องที่มาด้วยกันลิบลับ ด้วยเหตุนั้นเมื่อถึงเวลาอาบน้ำทีไรเธอจะต้องปิดม่านจนเรียบร้อยและใช้ตัวหนีบหนีบไว้ไม่ให้ลมพัดเปิดได้

เซิยเฟยถอดเสื้อออกเอง เขารู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ไม่ได้สวมกระทั่งกางเกงเพราะต้องขับถ่ายบนเตียง เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เซินเฟยคับอกคับใจไม่อยากจะพูดถึง แม้ภายนอกเขาจะดูเย็นใจแต่ความจริงเขาเฝ้ารอเวลาที่จะได้ลุกเดินเหินเองได้จนแทบทนไม่ไหว

นางพยาบาลสาวปรนนิบัติหนุ่มน้อยบนเตียงโดยไม่รู้สึกเก้อเขิน กว่าเธอผ่านหลักสูตรพยาบาลมาก็ทำเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จึงไม่รู้สึกผิดแปลกอะไรกับเรือนร่างผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่ง

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 18-03-2011 16:09:53
“คุณหวางยังอายุน้อยร่างกายเลยกลับเป็นปกติได้เร็ว ดีจังเลยนะคะที่ลุกเองได้แล้ว” ขณะเช็ดตัว หญิงสาวก็ชวนคุยไปเรื่อย ๆ “แผลของคุณฉู่เองก็ดีขึ้นมากแล้วเหมือนกัน ตอนแรกที่มาถึงแผลนั้นน่ากลัวมากทีเดียว ขนาดหมอเองยังกลัวว่าเนื้อจะเน่าจนลึกถึงกระดูกเสียด้วยซ้ำ โชคดีที่ไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้นแถมแผลยังสมานตัวเร็วด้วย”

“แผล?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว “เขาแค่แขนหักไม่ใช่หรือครับ?”

“แขนหัก? ไม่ใช่หรอกแค่นั้นหรอกค่ะ หรือว่าคุณฉู่มาได้บอกคุณหวางเลยคะ?” นางพยาบาลสาวดูตกใจ “หลังของคุณฉู่ดูเหมือนจะโดนไฟไหม้เป็นวงกว้าง หมอถงบอกว่าน่าจะเป็นผลจากแรงระเบิดมากกว่าไฟไหม้ธรรมดา ซ้ำยังตกทะเลทำให้แผลโดนน้ำทะเลกัด วันแรกที่มาถึงคุณฉู่ไข้ขึ้นสูง แต่วันที่คุณตื่นขึ้นมาไข้ก็ลดไปมากแล้วค่ะ ฉันยังคิดอยู่เลยว่าร่างกายคุณฉู่แข็งแรงสมบูรณ์ดีจริง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นคงจะนอนซมเป็นอาทิตย์”

เซินเฟยกลั้นหายใจเมื่อคิดภาพตาม เขาไม่เห็นจะรู้เรื่องแผลอะไรนั่นเลยสักนิด

“ตอนทำแผล คุณฉู่จะขอไปที่ห้องของหมอถงจะได้ไม่รบกวนคุณหวาง เพราะเห็นว่าคุณหวางต้องการพักผ่อนน่ะค่ะ”

ระหว่างการอธิบายนั้น เซินเฟยไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เขานั่งกัดริมฝีปากแล้วกำมือแน่น รอจนกระทั่งนางพยาบาลเช็ดตัวเสร็จแล้วสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ เขาจึงนอนลงเช่นเดิมแล้วหลับตาผ่อนลมหายใจเข้าออกพลางฟังเสียงรอบตัว ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เสียงฝีเท้าแปลก ๆ ที่ได้ยินมาหลายวันดังเข้าหู เซินเฟยจึงลืมตาขึ้นแล้วลุกจากเตียงจ้องมองฉู่เหวินจือที่ขยับปิดประตูด้วยมือข้างที่ไม่หัก

ฉู่เหวินจือหมุนตัวกลับเข้ามาในห้องก่อนจะผงะไปเล็กน้อยที่เห็นเซินเฟยนั่งมองตัวเองอยู่

“ลุกขึ้นได้แล้วหรือครับ?” เขาเอ่ยถามพลางเดินเข้ามาหา

“หันหลัง”

“อะไรนะครับ?” คำสั่งนั้นทำให้ฉู่เหวินจือชะงักเท้า

“หันหลังแล้วถอดเสื้อออก” เซินเฟยสั่งซ้ำอีกครั้งทำให้ฉู่เหวินจือถอนหายใจออกมา

“ผมถอดเสื้อเองไม่ได้หรอกครับ” เขาแจงพร้อมชี้แขนที่ยังใส่เฝือกของตัวเอง ด้วยแขนข้างเดียวอย่างนี้เป็นเรื่องลำบากแสนเข็ญที่จะถอดเสื้อ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจึงให้นางพยาบาลช่วยถอดและสวมให้

“งั้นเดินเข้ามานี่แล้วหันหลัง” เซินเฟยสั่งแล้วชี้นิ้วให้มายืนใกล้ ๆ ฉู่เหวินจือไม่รู้จะค้านอะไรต่อจึงเดินไปยืนข้างหน้าแล้วหันหลัง เซินเฟยจึงกระตุกเชือกที่ผูกอยู่ด้านข้างเอว ก่อนจะดึงคอเสื้อด้านหลังให้เลื่อนลงมา และเมื่อเลื่อนถึงไหล่ เซินเฟยก็สังเกตเห็นผ้าพันแผลผืนกว้างทบกันเป็นชั้นหนา แต่เมื่อพยายามดึงก็พบว่าชุดผู้ป่วยติดเฝือกเสียแล้ว เซินเฟยนึกรำคาญอยู่ในใจก่อนจะเลือกถลกเสื้อด้านล่างขึ้นไปแทน ตอนนั้นเซินเฟยจึงได้เห็นแผ่นหลังกว้างของฉู่เหวินจือใต้เสื้อผู้ป่วยเต็มตา

เซินเฟยเบิกตากว้างพร้อมกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ

แผ่นหลังของฉู่เหวินจือถูกพันปิดด้วยผ้าพันแผลผืนกว้างทั้งแผ่นหลังตั้งแต่ด้านบนจนถึงท่อนเอว มือของเซินเฟยสั่นน้อย ๆ เมื่อนึกไปถึงความร้ายแรงแผลที่อยู่ใต้ผ้าเหล่านี้ มิน่าเล่าเสียงเดินของฉู่เหวินจือถึงดูแปลกไปจากปกติ ฉู่เหวินจือมักจะเดินด้วยฝีเท้าหนักมั่นคงเป็นจังหวะสม่ำเสมอดูไม่เข้ากับนิสัยตัวเอง แต่เสียงที่เขาได้ยินในหลายวันมานี้กลับดูขัดกัน เร็วบ้างช้าบ้างและลงน้ำหนักมากกว่าปกติ

“ทำไมถึงไม่บอก” เซินเฟยฝืนพูดเสียงเย็น

“ผมคิดว่ามันไม่ใช่สลักสำคัญขนาดนั้นนี่ครับ”

คำตอบที่ได้ทำให้เซินเฟยนึกฉุนขึ้นมา เขาจึงออกแรงถีบเข้าที่กลางหลังอีกฝ่ายทั้งที่ตัวเองก็ยังปวดตัวไม่หาย สุดท้ายเขาก็ต้องก้มตัวจับแผ่นหลังตัวเองเมื่อความปวดแล่นขึ้นมาส่วนฉู่เหวินจือลงไปนอนกุมแผลหน้าซีดอยู่บนพื้น

“ลุกขึ้นมา” เซินเฟยกัดฟันสั่ง ถีบไปครั้งเดียวมันยังไม่ทำให้เขาหายโมโห

“ถ้าจะทำโทษผมก็ช่วยทำตอนที่ร่างกายหายดีทั้งคู่ก่อนเถอะครับ” ฉู่เหวินจือว่าพลางพยายามลุกจากพื้นด้วยมือข้างเดียวและขาทั้งสองข้างที่ยังเป็นปกติ แต่เพราะตัวเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนาปึก ทำให้การขยับตัวบิดหรืองอกลายเป็นเรื่องยาก แล้วยังแผลบนหลังอีก กว่าจะลุกขึ้นมานั่งได้ฉู่เหวินจือก็หอบหายใจด้วยความเหนื่อย

“งั้นบอกอาการมาให้หมด”

ฉู่เหวินจือกลอกตา ไม่คิดว่าตนเองจะถูกคาดคั้นเอาจริงเอาจังขนาดนี้

“คุณเป็นห่วงผมหรือครับ?”

“ถ้านายบาดเจ็บทำงานไม่ได้ฉันก็เลี้ยงเสียข้าวสุกเปล่า ๆ” เซินเฟยสวนกลับทันควัน “อีกอย่าง ตอนนี้มีนายคนเดียวที่ทำงานให้ฉันได้ ถ้าสุดท้ายฉันต้องเฉาตายบนเตียงโรงพยาบาลนี่ ฉันจะฆ่านายทิ้งก่อน” ดูเหมือนเซินเฟยจะโมโหเอามากจริง ๆ จึงพูดออกมาเป็นประโยคยาวเหยียดทั้งที่ปกติจะสงวนคำพูดคำจาอยู่เสมอ

“ผมยอมแพ้แล้วครับ” ฉู่เหวินจือรีบยกมือข้างที่ยังเป็นปกติขึ้นเหนือศีรษะ “ความจริงนอกจากแผลที่หลังกับแขนของผมก็ไม่มีอะไรแล้ว หมอบอกว่าอีกไม่นานแผลบนหลังจะสมานตัวเหมือนเดิม แต่แขนที่หักต้องรออีกสักพักถึงจะถอดเฝือกได้ครับ” ฉู่เหวินจือรีบเล่าออกมารวดเดียวหมดเพราะเกรงว่าเซินเฟยจะใจร้อนจนฝืนสังขารเดินเข้ามากระทืบเขาตายคาที่ เขาเองก็ผ่านการรับโทสะของเซินเฟยมาไม่น้อยจึงรู้จังหวะที่ต้องยอมถอยให้

เซินเฟยพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกโดยไม่ได้พูดอะไร เด็กหนุ่มขยับขาขึ้นไปวางราบบนเตียงเมื่ออาการปวดรุมเมื่อครู่ทุเลาลง

“เวลาทำแผลก็ทำในห้องนี้ จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมาให้แผลปริ” เขาว่า “แล้วก็ถ้าเสื้อมันถอดใส่ลำบากนักก็ไม่ต้องใส่ กับแค่นายเปลือยบนฉันไม่ถึงกับรับไม่ได้หรอก”

ฉู่เหวินจือขยับลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มมุมปาก ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่เซินเฟยก็แสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อเขาผ่านคำพูดเย็นชา ฉู่เหวินจือสังเกตมานานแล้วว่าอีกฝ่ายมักจะทำตัวอย่างนี้กับคนรอบข้าง โดยปกติมีแต่หวางซิงที่อยู่ใกล้ชิดตลอดเวลาเท่านั้นจึงจะเข้าใจถึงความหมายจริง ๆ ในคำพูดของเด็กหนุ่มคนนี้ ส่วนคนรอบข้างมักจะมองว่าเซินเฟยเป็นคนเย็นชาและเคร่งครัดจนไม่น่าเข้าใกล้

ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้แล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงก่อนฉวยโอกาสจับมือเซินเฟย เจ้าของมือตวัดตาเป็นเชิงปรามทันที เขาจึงต้องละมือออกอย่างช่วยไม่ได้

“แค่แผลระเบิดเท่านั้นเองนะครับ ผมคิดว่าแผลที่คุณเฆี่ยนผมยังน่ากลัวเสียกว่า”

“ตรงไหนกัน?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว

“ก็ระเบิดน่ะ แค่ตูมเดียวผมก็ชาไปทั้งหลังแล้ว ส่วนคุณเฆี่ยนเอา ๆ แถมเอาน้ำเกลือราดซ้ำอีก แบบนี้จะไม่น่ากลัวกว่าได้ยังไงกัน” ฉู่เหวินจืออธิบายหน้าระรื่น

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะลงโทษนายด้วยระเบิดก็แล้วกัน” เซินเฟยนึกฉุน

“ผมขอเป็นรางวัลแทนไม่ได้หรือครับ?”

“นายจะมาขอรางวัลอะไรจากฉัน?” เด็กหนุ่มหรี่ตาลง แค่เล่นเป็นนักสืบวิ่งไปวิ่งมาในโรงพยาบาลจะได้ข่าวอะไรมากมายกัน

“ลืมไปแล้วหรือครับ? ผมบอกว่าผมจะไปสืบข่าว ตอนนี้ก็ได้เรื่องดี ๆ มาแล้ว” ฉู่เหวินจือขยิบตา

“เลิกอมพะนำเสียที มีอะไรก็รีบว่ามา” เซินเฟยเริ่มรำคาญท่าทางของอีกฝ่าย หากไม่ปวดตัวคงได้เงื้อเท้าถีบอีกรอบให้ได้กลิ้ง จะได้พูดอะไรง่าย ๆ อย่างคนอื่นเขาเสียที

ฉู่เหวินจือยื่นขึ้นอีกครั้งแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้เซินเฟย ก่อนกระซิบบางอย่างข้างใบหู เซินเฟยตอนแรกก็เพียงฟังเฉย ๆ แต่ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็เบิกตากว้างคล้ายได้ยินสิ่งที่ไม่อยากจะเชื่อ

“นาย....แน่ใจแค่ไหน.....” เซินเฟยเค้นเสียงลอดไรฟัน

“ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอนครับ” ฉู่เหวินจือยืนยันข่าวของตัวเอง

เซินเฟยขบริมฝีปากตนเองจนรู้สึกเจ็บ ก่อนจะพึมพำชื่อหนึ่งที่ยังติดหูออกมา

--------------------->

“เฉียน....หลิงหลิง....” หวางซิงทวนชื่อที่อยู่ในใบประวัติแผ่นหนึ่งก่อนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ใบหน้าของคนในรูปถ่ายเป็นคนเดียวกับหลิงหลิงที่เขารู้จักอย่างแน่นอน ชื่อและแซ่ที่ปรากฏนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้หวางซิงตกตะลึงจนแทบหายใจไม่ออก

“ผมให้คนสืบค้นมาแล้ว ชื่อเต็มของผู้หญิงคนนั้นคือเฉียนหลิงหลิงแน่นอน” มู่อี้จิงอธิบายพลางหักพวงมาลัยเลี้ยวรถที่มุมถนน

“ลูกสาวของเฉียนหยุน....”

“เธอเป็นลูกสาวของเฉียนหยุนจริง ๆ เพิ่งจบทนายความมาจากต่างประเทศ แต่น่าแปลกนะ คุณกับจูเชว่ไม่รู้จักเธอได้ยังไงกัน?” มู่อี้จิงถามด้วยความสงสัย หวางซิงส่ายศีรษะพลางกัดริมฝีปาก

“คุณเซินบอกว่า....ไม่มีความจำเป็นต้องกำจัดคนทั้งตระกูลเพียงเพราะคนทรยศคนเดียว อีกอย่าง ถึงคุณเฉียนจะเป็นแบบนั้นแต่ก็ไม่เคยเอาครอบครัวเข้ามาปะปนกับงาน ในเมื่อภรรยาและลูกสาวไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้ด้วย คุณเซินเลยไม่อยากดึงเข้ามาพัวพันน่ะครับ” หวางซิงว่าแล้วหลุบตาลงมองใบประวัติอีกครั้ง เขานึกไม่ออกเลยว่าหากเซินเฟยรู้จะทำอย่างไรต่อไป “แต่ว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องระเบิดใช่ไหมครับ ถึงคุณหลิงหลิงจะเป็นลูกสาวของเฉียนหยุนจริง แต่ยังไงเธอก็เป็นแค่คนธรรมดา”

“ก่อนที่จะก่ออาชญากรรม ทุกคนก็เคยเป็นคนธรรมดาทั้งนั้นแหละครับ”

“แต่ว่า....เรื่องใหญ่ขนาดนั้นผู้หญิงคนเดียว....”

“ผู้หญิงคนเดียวทำไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช่คนเดียวก็ทำได้ไม่ใช่หรือ?” มู่อี้จิงถอนหายใจออกมา “แน่นอนว่าผมยังไม่มีหลักฐาน นี่เป็นแค่ข้อสงสัยเพราะในจำนวนคนทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ มีแค่เฉียนหลิงหลิงเท่านั้นที่น่าจะมีความแค้นส่วนตัวกับจูเชว่ ถึงแม้โดยปกติแล้วเจ้านายคุณจะมีคนหมายหัวอยู่เยอะก็เถอะ”

“แล้วทำไม....”

“เพราะผมมีเหตุผลให้สงสัย ข้อแรก....คุณรู้ได้ยังไงว่าเธอขาหักจริง ๆ”

“เอ๋?” หวางซิงกระพริบตาปริบ ๆ “ก็เธอเข้าโรงพยาบาล...”

“ของแบบนั้นถ้าผมเป็นหมอที่มีเส้นสายในโรงพยาบาล ผมก็เอาคุณเข้าเป็นคนไข้ปลอม ๆ ได้เหมือนกัน” มู่อี้จิงว่า “นั่นหมายความว่า หากเฉียนหลิงหลิงเป็นคนร้ายจริง หมอจือหยินก็ต้องมีส่วนร่วมด้วย”

“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ถึงจะร่วมมือกัน แต่สองคนนั้นก็ไม่ได้มีอิทธิพลขนาดนั้น....”

“แล้วถ้า....ใช้อิทธิพลของคนอื่นล่ะครับ....” มู่อี้จิงจอดรถก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้หวางซิงที่เริ่มสับสน “เรื่องนี้มีเงื่อนงำก็จริง แต่ถ้าเปิดโปงคนคิดแผนการได้ ทุกอย่างก็จะพากันตามออกมาเอง และผมจะเป็นคนลากมันออกมาด้วยมือของผมเอง”


TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 18-03-2011 16:27:47
เลวจริงๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: casper75 ที่ 18-03-2011 16:33:46
 :beat: นังหลิงหลิง


เซินเฟยจะให้รางวัลอะไรน้า  o18
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 18-03-2011 16:45:50
โอ้ว ออกจากดรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ จัดการมันให้หมด
ไอ้พวกชั่ววว!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 18-03-2011 16:52:58
โอ้ววว  หมอจือร่วมด้วย  อกตัญญู เลี้ยงไม่เชื่อง  หวังว่าคราวนี้อาเซินคงตัดใจได้ไม่เหลือซากแล้วนะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 18-03-2011 17:45:45
 :m16:

ช้านว่าแล้วต้องเป็นนังหลิงหลิง

อาเฟยรีบๆหายน่ะ จะได้จัดการกัน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 18-03-2011 17:50:48
เฟยเฟยห่วงอาฉู่แบบรุนแรงจังเนาะ  555 ถีบไปได้ที่แผล ตัวเองก็ใช่จะดี ถีบเขาไปแล้วตัวเองก็เดี้ยงด้วย  :laugh:

ตูว่าแล้วซื้อหวยทำไมไม่ถูกฟ่ะ  ยัยหลิงหลิงต้องเป็นลูกตาเฉียนแน่ๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ratrirattikan ที่ 18-03-2011 18:52:13
ผู้หญิงคนนั้นนี่นะ...ร้ายกว่าที่คิดแฮะ
ง่า แต่รุนแรงไปแบบนั้น เฟยเฟยฝืนสังขารไปเพราะเป็นห่วงรึไงน้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Isuru ที่ 18-03-2011 19:00:32
เป็นการแสดงความรักที่รุนแรงดีนะ SM ได้อีก
คุณฉู่เป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย
ยัยหลิงหลิงร้ายลึกนักนะ  
ค้างมากมายค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 18-03-2011 19:08:37
งานนี้แม่นางหลิงหลิงกับพ่อของเสี่ยวเฟยร่วมมือกันแน่นอน ~ :serius2:
คนแรกแก้แค้นให้พ่อ คนที่สองอยากได้อำนาจและดูจะมั่นใจอะไร ๆ เกินปรกติ
เอ๋...หรือจะมีใครอยู่เบื้องหลังลึกลับกว่านี้อีกไหม ?
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 19-03-2011 00:51:32
กรี๊ดดดดด อินังหลิงๆ ว่าแล้วแกต้องมีอะไรปิดบัง
รวมทั้งหมอจือนะ ทุเรศว่ะ แค่ผู้หญิงคนเดียวทำให้ทรยศต่อผู้เป็นนาย
เสียชื่อ เสียเกียรติของวงศ์ตระกูลหมด น่าเกลียด  :fire:
อาเฟย ฆ่าทิ้งทั้งผัวทั้งเมียแม่งเลย ต่อหน้าทำเป็นดี ลับหลังทุเรศเน่าเฟะ
ส่วนพ่ออาเฟยนะ อยากจะตบหัวทิ่มจริงๆ เกิดเป็นคนได้ไงเนี่ยแม้แต่ลูกในไส้ยังไม่เหลียวมอง
อ๊ากกกกกกกกกกก ทำไมเรื่องนี้มันเครียดแบบนี้เนี่ย!!! 55555+ (งงจนเป็นบ้า =..=)
แต่ว่านะ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึป่าว ที่ว่าดูเหมือนอาฉู่จะดูมีใจให้อาเฟยแล้ว กริ๊วๆๆ
อาฉู่เริ่มเปลี่ยนแปลงนิดๆแล้วใช่รึป่าวคะ คุณคนแต่ง ขอให้เป็นแบบที่คิดเถ๊ออ เพี๊ยง!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 19-03-2011 08:21:03
 :beat:ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นนังหลิงหลิง
แล้วอย่าบอกนะว่าร่วมมือกับหมอแล้วพ่อของอาเฟยด้วยน่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 19-03-2011 14:09:43
ว่าแล้ว ยัยตัวแสบ "เฉียนหลิงหลิง" งั้นเหรอ เลวจริงๆ
แถมเงินที่เซินเฟยให้หมอไปอีก อย่าบอกนะว่าเป็นเงินที่เอามาทำร้ายตัวเอง ฮึ่มมมมม :m16: :m16: :m16:

มีแต่คนเลวร้ายรอบตัวเซินเฟยจริง ไหนจะพ่อที่อยากได้ตำแหน่งลูกจนตัวสั่นนั่นอีก

กลับมาเมื่อไหร่ กำจัดอย่าให้เหลือซากเลยนะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 23 (18/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 19-03-2011 15:51:37
นังหลิงๆนังชั่ว จัดการมันเลยสารวัตรมู่ ลากมันออกมาให้หมด!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 20-03-2011 01:28:27
-24-


แม้ว่าสารวัตรหรงจะปฏิเสธความต้องการของเซินหยู่ แต่อย่างไรคนอย่างเซินหยู่ก็ไม่คิดยอมแพ้ เขาอาศัยอิทธิพลของตัวเองในฐานะผู้รักษาการแทนประธานเครือตระกูลฉู่เข้ากดดันตำรวจไม่ให้สืบคดีไปมากกว่านั้น ด้วยเหตุนี้ ทางเบื้องบนจึงติดต่อลงมายังสารวัตรหรงด้วยตัวเอง

“หมายความว่า เราต้องหยุดสืบเรื่องนี้หรือครับ?” มู่อี้จิงเอ่ยถามเสียงเครียด

“เบื้องบนเขาสั่งมาแบบนั้น ฉันก็ได้แต่บอกแบบนั้นล่ะนะ” สารวัตรหรงเองก็ดูเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เขาเอาแต่ขมวดคิ้วแล้วจ้องมองมือตัวเองตั้งแต่ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการตำรวจ กระทั่งตอนที่เรียกตัวมู่อี้จิงเข้ามาคุยก็ยังคงขมวดคิ้วอยู่ เขารู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แม้จะรู้แก่ใจว่าอำนาจจองจูเชว่นั้นยั่วยวนขนาดไหน แต่ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะต้องการมั่นใจจะไม่มีใครหาตัวจูเชว่ได้ทันถึงขนาดนี้ หากว่าภายในสามเดือนหลังจากนี้จูเชว่ยังไม่ปรากฏตัว จะต้องมีใครสักคนได้ขึ้นตำแหน่งแทน คนที่เป็นตัวเต็งที่สุดจะต้องเป็นคนสั่งการอย่างไม่ต้องสงสัย

โดยปกติแล้วสารวัตรหรงจะเป็นคนสบาย ๆ การได้เห็นอีกฝ่ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนี้เขาก็รู้สึกหนักใจไปด้วย เพราะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เล็กน้อยเลย เขาคาดเดาแต่แรกแล้วว่าจะต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ใครจะคิดได้ว่าคนที่สั่งการคือพ่อของคนที่หายตัวไปนั่นเอง

หากหวางซิงไม่บอกเขาว่าเซินหยู่กำลังหมายตาตำแหน่งจูเชว่ เขาเองก็คงคิดไม่ถึง....

“ผมทำไม่ได้”

“ฉันก็รู้อยู่ว่าเธอต้องพูดแบบนั้น” สารวัตรหรงกล่าวตอบทำให้มู่อี้จิงค้างไปชั่วขณะ ทั้งที่เขาตั้งใจจะรอคำตักเตือนแล้วตอบโต้กลับไปแท้ ๆ

“ครับ....ผมจะยืนยันเหมือนเดิม” หลังจากชะงักไปเขาก็รีบตั้งสติตอบกลับไป

สารวัตรหรงถอนหายใจยาว มู่อี้จิงเป็นคนดังทุรังอย่างที่หวางซิงเคยคาดเดาไว้จริง ๆ กระทั่งเรื่องที่โดนกดดันมาตรง ๆ อย่างนี้ก็ยังดื้อดึงไม่ยอมแพ้ ความจริงเขาก็รู้นิสัยมู่อี้จิงอยู่เพราะเป็นเพื่อนเก่าที่เรียนรุ่นเดียวกันกับพ่อของมู่อี้จิง และเหตุที่มู่อี้จิงมาทำงานเป็นตำรวจสายสืบนั้นไม่ใช่เพราะวิทยานิพนธ์ตอนจบเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเขาเห็นแววนิสัยอย่างนี้จึงหว่านล้อมพ่อของเจ้าตัว

นิสัยที่อยากจะค้นหาความจริงและดันทุรังที่จะรู้ให้ได้เป็นพื้นฐานสำคัญของการเป็นนักสืบไม่ว่าจะนักสืบอิสระหรือตำรวจก็ตาม มู่อี้จิงมีอุปนิสัยเช่นนั้นอยู่เต็มเปี่ยม กระนั้นก็เป็นคนที่รู้จักสถานการณ์ว่าเวลาไหนควรทำอย่างไร มีเพียงตอนที่เจ้าตัวออกปากขอหวางซิงจากเซินเฟยเท่านั้นที่เขาถึงกับผงะไปกับความกล้าของเจ้าตัว เขาจึงคิดว่า ถึงมู่อี้จิงจะดันทุรังต่อไปก็คงจะระมัดระวังมากพอที่จะไม่ให้เบื้องบนรู้เข้า

“ฉันบอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้ฉันไม่ได้สนับสนุนนะ” สารวัตรหรงกล่าว ทำให้มู่อี้จิงยิ้มกว้าง

“ครับ! สารวัตรบอกให้ผมเลิกแล้วครับ” มู่อี้จิงรีบพูดเออออตาม “แต่ว่าผมรู้สึกอยากสนิทสนมกับคุณหวาง ผมก็เลยยังติดต่อกับคุณหวางอยู่เท่านั้นเองครับ”

“อืม เรื่องจะคบใครเป็นเพื่อนมันไม่ได้อยู่ในดุลยพินิจของเบื้องบนเสียด้วย” สารวัตรหรงพยักหน้า

“เพราะฉะนั้นในระยะนี้ผมอาจจะไปพบคุณหวางบ่อย ๆ”

“ฉันเข้าใจแล้ว ตามสบายก็แล้วกัน”

นายตำรวจชั้นใหญ่และเล็กมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา มู่อี้จิงรีบบอกลาแล้ววิ่งออกไปจากห้องของสารวัตรในทันที

สารวัตรวัยกลางคนส่ายศีรษะให้กับความดื้อรั้นของอีกฝ่าย นึกสงสัยว่าด้วยนิสัยเช่นนี้จะเผลอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความโหดร้ายจริง ๆ ของมาเฟียเข้าโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า เพราะสิ่งที่มู่อี้จิงได้เห็นในตอนนี้ ยังไม่ถึงครึ่งของสิ่งที่จูเชว่สามารถลงมือทำได้จริง ๆ

--------------------->

นับแต่เข้ามายึดครองอำนาจในบริษัท เซินหยู่ก็มักจะใช้เวลาอยู่ในห้องประธานเป็นส่วนใหญ่ การงานก็ไม่เคยออกไปติดต่อเอง แต่ใช้หวางซิงให้ออกไปจัดการให้ ซ้ำระยะนี้เซินหยู่ยังพาคนเข้ามาแทรกแซงอยู่ในแผนกต่าง ๆ และขึ้นมาทำงานในห้องประธานอีก หวางซิงแค่เข้าไปเห็นสภาพห้องที่ถูกจัดแต่งใหม่ก็แทบลมจับ

เซินเฟยเป็นคนมีระเบียบมาแต่ไหนแต่ไร ห้องหับไม่เคยรกรุงรัง มีกระดาษตกแค่แผ่นเดียวก็ไม่ได้ ของไร้สาระไม่มีความจำเป็นก็แทบจะไม่มีไว้ เครื่องแก้วที่วางในห้องก็มีแต่แจกันดอกไม้ที่ทำให้ห้องดูมีสีสัน แก้วชา แก้วทับกระดาษ และเครื่องแก้วที่ดูต้องรสนิยมเท่านั้น แต่เมื่อเซินหยู่เข้ามาครองห้อง แฟ้มเอกสารที่เคยเรียงอย่างเป็นระเบียบก็ถูกอัปเปหิจากตู้ลงมากองบนพื้นเป็นตั้ง ส่วนตู้เอกสารกลายเป็นที่วางหนังสืออ่านเล่นไป เครื่องแก้วที่เซินเฟยหวงนักหนาถูกปัดแตกไปเมื่อหลายวันก่อน

ถังขยะที่มักจะดูเรียบร้อยเสมอกลับพูนไปด้วยเศษกระดาษที่เซินหยู่ฉีกทิ้งฉีกขว้าง

โดยปกติห้องประธานจะมีโต๊ะเพียงตัวเดียว แต่ตอนนี้มีโต๊ะเพิ่มขึ้นมาเป็นโต๊ะของคนสนิทเซินหยู่ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นโต๊ะของหวางซิงที่ตั้งอยู่ข้างนอก ทำให้ตอนนี้กระทั่งโต๊ะส่วนตัวหวางซิงก็ไม่มีใช้

ของส่วนตัวที่เป็นของประจำตำแหน่งค่อย ๆ ถูกลิดรอนไปทีละอย่างสองอย่าง ทำให้ตอนนี้หวางซิงเหลือเพียงแค่ตำแหน่งค้ำคออยู่เท่านั้น กระนั้นเขาก็ยังเป็นคนคุมการ์ดทั้งหมด และลิฟต์ที่ใช้ขึ้นมายังห้องประธานก็มีเพียงหวางซิงที่มีอำนาจสั่งการเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้เซินหยู่ยังไม่กล้าลงมือกับหวางซิงโดยตรง ทำได้แค่ยึดของมาทีละน้อยเหมือนกับเด็กที่แย่งของเล่นกันเท่านั้น

หวางซิงไม่ได้นึกอยากเรียกร้องอะไร เขารู้ดีกว่าเป็นเรื่องไร้ประโยชน์จึงทำเฉยไปเสียและมาทำงานอย่างปกติทุกวัน คอยรับคำสั่งและออกไปทำอย่างเรียบร้อยแม้ในบางครั้งจะถึงขนาดถูกจิกหัวใช้ให้เดินขึ้นลงทั้งวันก็ตาม การตอบโต้ด้วยความเฉยชาและความเงียบของหวางซิงทำให้เซินหยู่มองจุดอ่อนเลขาคนนี้ไม่ออก

หวางซิงเริ่มเป็นสิ่งที่เกะกะสายตาเซินหยู่มากขึ้นทุกวัน....

ถึงจะรู้ว่ากำลังถูกเพ่งเล็ง แต่หวางซิงก็ยังเข้ามาก้าวก่ายห้องประธานอย่างไม่สนใจสายตาใคร และเพราะเขาเองมีการ์ดคอยคุ้มกันรอบตัวแทบตลอดเวลา จึงไม่มีใครกล้าตอแยกับเขาเช่นกัน

และวันนี้หวางซิงก็ยังมาทำงานเหมือนเดิม สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือการไปคุ้ยถังขยะข้างโต๊ะประธาน

“อาซิง คุ้ยขยะอีกแล้วหรือ? นี่อาเฟยเลี้ยงไม่ดีขนาดนี้เลยหรือนี่” เซินหยู่ว่าแล้วหัวเราะพร้อมกับคนสนิทสองคนที่มาช่วยทำงานในตำแหน่งรักษาการณ์ อีกฝ่ายมักจะหาเรื่องแขวะหวางซิงอยู่บ่อย ๆ เว้นกระทั่งเรื่องเข้ามาคุ้ยถังขยะทุกเช้า ซึ่งหวางซิงก็มีเหตุผลของตัวเองจึงไม่ได้คิดตอบโต้และค้นอย่างตั้งอกตั้งใจจนกระดาษทั้งหมดในถังขยะออกมาวางแผ่บนพื้น หวางซิงคัดแยกเอกสารแต่ละแผ่นอย่างใจเย็นแล้วขยำใบที่ไม่ต้องการโยนกลับเข้าไปที่เดิม ส่วนใบที่แยกออกมา หวางซิงก็หยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“นี่เป็นเอกสารสำคัญ กรุณาอ่านและเซ็นด้วยครับ”

ราวกับเป็นกิจวัตรไปแล้วที่หวางซิงต้องคุ้ยหาเอกสารในถังขยะเพื่อให้แน่ใจว่าเซินหยู่ไม่ได้โยนเอกสารสำคัญของบริษัททิ้งไป หวางซิงสังเกตเห็นพฤติกรรมนี้ตั้งแต่วันแรก เมื่อมีเอกสารเข้ามา เจ้าตัวจะเปิดผ่าน ๆ ไม่คิดให้ความสนใจ แผ่นไหนที่มองแล้วไม่น่าทำประโยชน์ได้ก็โยนทิ้งเสียหมด เอกสารที่เจ้าตัวจะเก็บไว้อ่าน หวางซิงเห็นชัดเจนว่ามักเป็นเอกสารเกี่ยวกับการเงินของบริษัท

เซินหยู่มองดูกระดาษยับย่นที่หวางซิงวางด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เขามักจะถูกหวางซิงบังคับให้ทำงานอย่างจริงจังทุกเช้า ถึงแม้จะได้แขวะหวางซิงบ้างแต่ก็เป็นความสนุกที่ฝืดสิ้นดีเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมตอบโต้อะไรเลย

หวางซิงมักจะทู่ซี้ยืนอยู่ในห้องจนกว่าเซินหยู่จะจัดการเอกสารทั้งหมดนั้นเสร็จแล้วจึงนำออกไปด้วยตัวเอง แต่แล้วในวันนี้ ขณะที่เซินหยู่กำลังทำงานอยู่อย่างเบื่อหน่ายก็มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์ของหวางซิง เลขาหนุ่มไม่ได้ลุกไปรับข้างนอก แต่ยังยืนเฝ้าเซินหยู่ทำงานและคุยโทรศัพท์ไปด้วย

“ตอนนี้เลยหรือครับ?” เซินเฟยมุ่นคิ้วเมื่อพบว่าคนที่โทรมาเป็นมู่อี้จิง ถึงใจจะนึกกังวลว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่ แต่สายตาก็ยังเหลือบไปมองเซินหยู่ “ผมขอเวลาอีกครึ่งชั่วโมงแล้วผมจะลงไป”

เซินหยู่ในเสียงไม่พอใจในลำคอก่อนจะรีบอ่านรีบเซ็นเพราะเขาเองก็รำคาญหวางซิงเต็มที

สถานการณ์ในบริษัทตอนนี้ไม่ต่างกับสงครามเย็นระหว่างขั้วอำนาจสองขั้ว ถึงเซินหยู่จะได้เปรียบเพราะมีอำนาจมากกว่าขั้นหนึ่ง แต่พนักงานส่วนใหญ่ก็ยังไว้ใจให้งานผ่านมือของหวางซิง สิ่งหนึ่งที่เซินหยู่ทำพลาดคือการใช้งานหวางซิงให้วิ่งติดต่อในบริษัท ทำให้พนักงานทุกแผนกไว้วางใจมากกว่าคนสนิทของเซินหยู่ที่งอมืองอเท้าอยู่บนห้องประธานและดีแต่เดินตามประจบสอพลอ

หลังจากเซินหยู่เซ็นงานเรียบร้อยก็ต้องรอผ่านการตรวจทานของหวางซิงรอบหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้แค่เซ็นส่ง ๆ

“มาถึงตอนนี้คุณได้เรียนรู้บ้างหรือยังว่าลูกชายคุณต้องเผชิญกับอะไรถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้” หวางซิงกล่าวพลางอ่านเอกสาร

“เหอะ มันจะผ่านอะไรสักแค่ไหน วัน ๆ นั่งอ่านกระดาษไร้สาระพวกนี้ก็ได้รับเงินเป็นกอบเป็นกำแล้ว ถามมันดีกว่าว่าพ่ออย่างฉันต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงเลี้ยงมันจนมายืนอยู่ตรงนี้ได้” เซินหยู่โต้กลับ ทำให้หวางซิงถอนหายใจออกมาแล้วปรายมองอย่างดูแคลน

“คิดว่าผมกับท่านจูเชว่รุ่นก่อนไม่เคยสืบสาวเรื่องในอดีตของคุณเซินหรือครับ?”

“อะไรนะ?” เซินหยู่ชะงักไป

“คุณได้รับมรดกจากพ่อ คุมบริษัทในเครือแห่งหนึ่งที่กิจการกำลังไปได้ดี ตอนขึ้นเป็นผู้จัดการคุณรู้สึกถูกใจลูกสาวของลูกหนี้คนหนึ่งจึงใช้หนี้ของพ่อแม่เป็นข้ออ้างในการเอาเธอมาเป็นภรรยา” หวางซิงเริ่มเล่าไปพร้อมกับอ่านเอกสารไปด้วย “แต่ว่าภรรยาแซ่หลี่คนนี้กลับร่างกายไม่แข็งแรงมีลูกให้คุณได้แค่คนเดียวก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด คุณเบื่อหน่ายภรรยาที่ใช้บำบัดความใคร่ทางเพศไม่ได้จึงหันไปหาคนอื่นและไม่เหลียวแลครอบครัวแต่ก็โดนภรรยาลับ ๆ หลอกเอาเงินไปเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้คุณยังใช้อำนาจของตระกูลไปในทางที่ผิด ยัดลูกชายเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดัง พอลูกชายถูกกลั่นแกล้งก็เอาอำนาจเข้าข่ม จนมาถึงตอนนี้ ถ้าคุณเซินโตมาเป็นเด็กมีปัญหาผมจะไม่แปลกใจเลย ต้องขอบคุณท่านรุ่นก่อนเสียด้วยซ้ำที่ดึงคุณเซินออกมาได้เสียก่อน”

ในขณะที่หวางซิงเล่า เซินหยู่ก็นั่งฟังพลางกำมือแน่น นัยน์ตาขึงขวางด้วยความโกรธ ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงเย้ยหยันแกมสมเพช หลังหวางซิงเล่าจบ เซินหยู่ก็ลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและเส้นเลือดปูดโปนจนเหมือนจะแตกได้ทุกเมื่อ

“หึ! นายบ่าวพอกันทั้งคู่! เสี้ยมกันดีนักนะ!”

“ผมพูดอะไรผิดหรือครับ?” หวางซิงเลิกคิ้วพลางถาม “อ้อ ผมอ่านจบแล้ว ขอบคุณสำหรับการทำงานนะครับ” ว่าแล้ว หวางซิงก็เตรียมจะปลีกตัว แต่เดินไปไม่กี่ก้าวคนสนิทของเซินหยู่คนหนึ่งก็ปราดเข้ามาขวางก่อนเงื้อหมัดชกหวางซิงเข้าที่โหนกแก้มอย่างแรงลงทรุดลงไปนั่งบนพื้น

“คิดว่าพูดจาแบบนั้นกับฉันจะได้ออกไปง่าย ๆ หรือไง?” เซินหยู่เดินมายืนค้ำหัวก่อนจะก้มลงจิกผมให้เงยหน้ามอง “แกมันขวางหูขวางตาฉันนานเกินไปแล้ว สั่งสอนเสียบ้างอาจจะทำตัวเป็นเด็กดีขึ้นก็ได้”

ทั้งที่กำลังถูกขู่ หวางซิงกลับค่อย ๆ ยิ้มแล้วหัวเราะในลำคอ

“หัวเราะอะไรของแก!”

“คุณลืมอะไรไปหรือเปล่า” หวางซิงยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะตะโกน “เข้ามา!”

สิ้นเสียง การ์ดที่ปกติจะยืนอยู่ข้างนอกราวกับรูปปูนปั้นก็วิ่งกรูกันเข้ามาในห้องแล้วยืนกอดอกทำหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหลัง คนหนึ่งในจำนวนนั้นผลักคนของเซินหยู่ออกไปไกล ๆ หวางซิงเก็บเอกสารที่กระจัดกระจายแล้วจึงลุกขึ้นมา เขาขยับแว่นตาเล็กน้อยก่อนทอดมองเซินหยู่และคนสนิททั้งสองอย่างเย็นชา

“ผมมีธุระต้องไปทำ ขอตัวก่อนนะครับ” หลังกล่าวจบ หวางซิงก็เดินออกไปท่ามกลางการห้อมล้อมของการ์ดร่างสูงใหญ่ เซินหยู่โกรธจนแทบคลั่ง จนแล้วจนรอดก็ยังสยบคนอย่างหวางซิงไม่ได้ เขาลืมคิดไปเสียสนิทว่าถึงอย่างไรหวางซิงก็เป็นเลขาของมาเฟียใหญ่ของฮ่องกง มีหรือจะสิ้นเขี้ยวเล็บง่าย ๆ

“หลีกไป!” เซินหยู่คำรามแล้วผลักคนสนิทออกไปยืนข้าง ๆ ก่อนคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา “ฉันอยากให้แกจับตาดูคนที่ชื่อหวางซิง ถ้ามีโอกาสจัดการก็จัดการซะ เท่าไหร่ฉันก็จะจ่าย!” หลังพูดจบเขาก็กดตัดสายก่อนจะเค้นเสียงหัวเราะออกมาจากคออย่างชั่วร้าย หวางซิงเป็นเสี้ยนหนามสำคัญในขณะนี้ อย่างไรเสียสักวันก็ต้องกำจัดทิ้งอยู่แล้ว เร็วขึ้นอีกสักหน่อยจะเป็นอะไรไป

------------------->

ตอนที่หวางซิงลงมาถึงหน้าบริษัท เขาก็เห็นรถตำรวจคันหนึ่งจอดรออยู่แล้ว ทางรปภ.เองก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลที่รถตำรวจมาจอดนิ่งอยู่หน้าบริษัทจึงเอาแต่จับตามองแทบไม่เป็นอันทำงาน เมื่อหวางซิงออกมา รปภ.ก็รีบเดินเข้าไปแจ้งถึงความผิดปกติทันที

“ไม่เป็นไรหรอก เขาเป็นเพื่อนผมเอง” หวางซิงกล่าวแล้วตบบ่าแทนคำชมเชยที่ทำงานอย่างดี

เลขาหนุ่มเดินไปที่รถตำรวจ ยังไม่ทันจะถึงประตูมู่อี้จิงก็เปิดประตูฝั่งผู้โดยสารให้หวางซิงเดินขึ้นไป

“มีอะไรหรือครับ?” หวางซิงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศน่าอึดอัดที่แผ่ออกมาจากมู่อี้จิง แม้ใบหน้าอีกฝ่ายจะดูเรียบเฉยเป็นปกติ แต่หวางซิงก็คิดว่าคงมีอะไรบางอย่างที่รบกวนจิตใจมู่อี้จิงอยู่ แต่ไหนแต่ไรมาหวางซิงต้องเป็นคนช่างสังเกตสังกาแทนเซินเฟยอยู่แล้ว การมองอารมณ์ของคนอื่นจึงไม่ใช่เรื่องยาก แม้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะปกปิดไว้ด้วยความเงียบงันหรือเฉยชาก็ตามที

“คุยตรงนี้ไม่สะดวกเท่าไหร่ ไปห้องผมได้ไหม?” มู่อี้จิงกระซิบถามราวกับกลัวว่าจะมีใครดักฟังอยู่ใกล้ ๆ หวางซิงต้องเงี่ยหูฟังจึงเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

หวางซิงพยักหน้ารับเงียบ ๆ มู่อี้จิงจึงเคลื่อนรถออกไป ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงอพาร์ทเมนท์ของมู่อี้จิง รถตำรวจถูกจอดไว้ข้างหน้าอพาร์ทเมนท์เพราะอย่างไรเสียก็คงไม่มีใครกล้างัดอยู่แล้ว

มู่อี้จิงพาหวางซิงขึ้นมาถึงห้องโดยเอาแต่หันมองรอบตัวอย่างระแวดระวังแทบตลอดเวลา จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีใครตามอยู่จึงรีบเปิดประตูห้องแล้วผลักหวางซิงเข้าไปข้างในก่อนรีบปิดประตูตามอย่างรวดเร็ว หวางซิงที่ถูกผลักเข้ามายังปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูกนัก จึงทำได้แต่ยืนมองเจ้าของห้องเท้าเอวมองลอดผ่านตาแมวตรงประตูออกไปข้างนอก มู่อี้จิงทำพฤติกรรมประหลาดอย่างนั้นอยู่นานก่อนจะถอนหายใจออกมา

“น่าจะปลอดภัยแล้ว” เจ้าตัวเปรยแล้วถอดรองเท้าทิ้งไว้ตรงหน้าประตู รูดเนคไทออกจากคอ ปลดกระดุมเชิ้ตออกสองเม็ดก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางเคร่งเครียด

“ทางกรมเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” หวางซิงเดินมานั่งข้าง ๆ พลางเอ่ยถาม ระยะนี้เขากับมู่อี้จิงติดต่อกันบ่อยเสียจนหวางซิงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจนักเมื่อเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ กันโดยต่างฝ่ายต่างไม่คิดป้องกันตัวอย่างนี้

“ไม่ใช่กรมหรอก...” มู่อี้จิงขยี้ผมตัวเอง “เบื้องบนมากกว่า”

“เบื้องบน? เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” หวางซิงมุ่นคิ้ว

“มีคำสั่งให้ยกเลิกการตามหาจูเชว่ และปิดคดีระเบิดเรือด้วย”

“อะไรนะครับ!” หวางซิงทะลึ่งพรวดขึ้นจากโซฟาราวกับนั่งบนตะแกรงร้อนพร้อมตะโกนถามเสียงดังด้วยความตระหนก

“เบา ๆ หน่อยครับ” นายตำรวจหนุ่มรีบเตือนเสียงเครียดแล้วดึงมือให้หวางซิงนั่งลงเช่นเดิม “เรื่องนี้ผมได้ฟังจากสารวัตรหรงเมื่อเช้า อยู่ ๆ สารวัตรก็เรียกผมเข้าไปคุย สารวัตรหรงบอกผมว่าทางเบื้องบนตัดสินใจให้ปิดคดีนี้โดยไม่บอกเหตุผล”

“เป็นไปได้ยังไง....คดีใหญ่ขนาดนี้” หวางซิงหน้าซีดเผือด พลางถูมือตัวเองอย่างกระวนกระวาย

“ถ้าให้ผมเดา ต้องมีการกดดันมาจากผู้มีอิทธิพลแน่นอน”

“ผู้มีอิทธิพล? ใครกันที่จะทำแบบนั้น ทั้งชิงหลง ไป๋หู่ เสวียนอู่ต่างก็เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ไม่ได้”

มู่อี้จิงเงียบไปก่อนเบือนหน้ากลับมามองเจ้าของคำถาม นัยน์ตาของมู่อี้จิงพราวประกายเป็นนัยซึ่งหวางซิงสามารถอ่านออกได้อย่างรวดเร็ว

“เป็นไป...ไม่ได้....” หวางซิงขัดเสียงขาดห้วง “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ! ถึงคุณเซินหยู่จะหิวอำนาจขนาดนั้น แต่ยังคุณเซินก็เป็นลูก”

“เรื่องภายในครอบครัวผมคงไม่รู้ลึกนักหรอกครับ แต่ในสถานการณ์อย่างนี้จะมีใครอีกที่บ้าพอที่คิดจะกำจัดความน่าจะเป็นที่จูเชว่ตัวจริงจะกลับมาครองอำนาจ” คำตอบของมู่อี้จิงมีเหตุผลที่หวางซิงเถียงไม่ออก เขาเองก็รู้แก่ใจว่าเซินหยู่ไม่ใช่คนมีคุณธรรมอะไรมากมาย หากพูดจริง ๆ สายเลือดมาเฟียอาจไหลเวียนในตัวผู้ชายคนนั้นเข้มข้นเสียยิ่งกว่าสายหลักเสียอีก เพราะแม้แต่สายหลักก็ยังไม่เคยมีคนไหนไร้หัวใจขนาดไม่สนความเป็นตายของลูกตัวเอง แต่ว่า....ถึงขนาดตัดความน่าจำเป็นที่ลูกน่าจะมีชีวิตอยู่ได้นี้...ยังเรียกว่าคนได้อีกหรือ!?

อำนาจกึ่งหนึ่งที่เซินหยู่ได้ไปนั้นอาจไม่สามารถกดดันเบื้องบนได้ก็จริง แต่หากฝ่ายนั้นอ้างว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเล่า ใครจะกล้าขัดบัญชาหรือสืบสาวว่าจริงหรือไม่

ความสัมพันธ์ของมาเฟียและตำรวจ ด้านหนึ่งเหมือนพึ่งพาอาศัย แต่ในความเป็นจริงใครเล่าจะรู้ว่าใบหน้าแท้จริงของคนที่พึ่งพากันนั้นดีหรือร้าย ทางตำรวจเองก็ไม่ได้พอใจนักอยู่แล้วกับการใช้อำนาจของมาเฟียในหลาย ๆ ด้าน ส่วนมากก็จะทำตามเพื่อตัดความรำคาญโดยไม่ต้องสืบสาวสาเหตุใด ๆ หากมีการโวยวายขึ้นมาก็โยนความผิดกลับไปได้ว่าไม่ดูแลคนของตนเองให้มาปล่อยข่าวเท็จ


หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 20-03-2011 01:32:41
“หมายความว่า.....จะต้องหยุดไว้แค่นี้หรือครับ?” หวางซิงจ้องมองมู่อี้จิงอย่างสิ้นไร้หนทาง หากมู่อี้จิงไม่ยอมช่วยแล้วเขาจะทำอย่างไร จริงอยู่ว่าเขาสามารถใช้คนในออกไปตามข่าวได้ แต่การกระทำกระโตกกระตากจะทำให้แก๊งค์อื่น ๆ ที่หวังชูคอแว้งกัดขึ้นมาได้ ซ้ำยังคนในตระกูลที่หวังตำแหน่งอีก เรื่องนี้มีแต่ต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจสายสืบอย่างมู่อี้จิงเท่านั้นจึงจะสามารถสืบสาวอย่างเงียบ ๆ ได้โดยไม่ถูกสงสัย

“มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมจะเลิกง่าย ๆ ได้ยังไงกัน” มู่อี้จิงว่าพลางกัดปลายนิ้วอย่างเป็นกังวล หากเรื่องที่เขาจงใจงัดข้อกับเบื้องบนแดงขึ้นมา เขาอาจเสียงานไปก็เป็นได้

“คุณจะทำต่อหรือ?” หวางซิงถามพลางทำสีหน้ายุ่งยากใจ “ถ้าหากเบื้องบนทราบเข้า....”

“ถ้าหากปิดดี ๆ ก็ไม่เป็นอะไรหรอก ทางนั้นเองก็ไม่อยากยื่นมือเข้ามายุ่งมากเหมือนกัน” มู่อี้จิงตอบเพื่อให้หวางซิงคลายใจ ซึ่งครึ่งหนึ่งก็ค่อนข้างตรงความจริง เพราะทางเบื้องบนหากรู้เรื่องนี้คงจะคิดตัดหางเขาอย่างแน่นอน หากก้าวขาหนึ่งเข้าไปแล้วก็ยากจะถอยกลับได้ เพราะรับงานต่อจากสารวัตรหรงทำให้เขากลายเป็นคนขององค์กรใต้ดินอยู่ครึ่งตัวย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาสักเท่าไหร่ ทางเบื้องบนเองก็คงคิดว่า เมื่อเขาถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ เดี่ยวก็คงตกตายไปแบบพวกใต้ดินนั้นเอง

หวางซิงนั่งเงียบไป เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้

ทั้งที่...หากเป็นเซินเฟยนั่งอยู่ตรงนี้คงหาทางออกที่ดีได้แน่นอน

ทำไมเขาถึงไร้ความสามารถขนาดนี้นะ

หวางซิงได้แค่โทษตัวเองที่ไม่มีกำลังจะทำอะไรได้ สุดท้ายเขาก็เป็นได้แค่สุนัขที่เดินตามหลังนายต้อย ๆ อย่างที่เซินหยู่ชอบสบประมาทจริง ๆ งั้นหรือ?

“คุณนี่นะ” มู่อี้จิงว่าขึ้นพลางถอนหายใจ

“ผมทำไมหรือครับ?” หวางซิงเงยหน้าขึ้นถามพลางส่งสายตาแสดงความสงสัย

“ทำไมคุณถึงชอบเครียดกับเรื่องของคนอื่นอยู่เรื่อย คุณตอนนี้น่ะดูแย่ยิ่งกว่าผมอีก” ชายหนุ่มว่า เขาตั้งใจจะพูดเรื่องนี้ให้หวางซิงฟังเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้น ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดมากยิ่งกว่าเขา แต่แล้วสายตาของมู่อี้จิงก็สะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง “หน้าคุณไปโดนอะไรมา?”

“เอ๋ หน้าผม?” หวางซิงย้อนถามก่อนยกมือกุมโหนกแก้ม จะว่าไป ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งโดนชกมาหยก ๆ

“รอยช้ำนี่ โดนทำร้ายมาหรือครับ?”

หวางซิงเม้มปาก ความจริงแล้วเขาไม่ได้นึกเดือดร้อนอะไรกับรอยช้ำบนหน้านักเพราะเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่แลกมากับสิ่งที่เขาจงใจพูดออกไปโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ไม่โดนชกเข้าสิถึงแปลก ทว่า พอได้ยินเสียงที่เอ่ยถามด้วยความห่วงใยแล้ว เขาก็อดรู้สึกเจ็บยอกในอกไม่ได้

“ว่าแต่....คุณมู่มีเรื่องจะบอกผมเท่านี้หรือครับ?” เพราะไม่อยากจะพูดเรื่องรอยช้ำต่อ หวางซิงจึงเปลี่ยนหัวข้อเสีย

“อ้อ จริงสิ” มู่อี้จิงว่าก่อนจะลุกจากโซฟาไปเปิดลิ้นชัก “รายชื่อการ์ดพวกนี้ผมค้นมาแล้ว ดูเหมือนทุกคนจะมีประวัติการทำงานยาวนานและไว้ใจได้ทั้งนั้น แต่ละคนไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดได้เลย”

“แน่นอนครับ การ์ดที่จะคุ้มกันคุณเซินต้องคัดกรองเป็นพิเศษ”

“แปลกจริง....การ์ดคุ้มกันหนาแน่น คนนอกเข้าไปไม่ได้แน่นอน” มู่อี้จิงมุ่นคิ้วพลางหยิบประวัติคนหนึ่งขึ้นมาดู “หัวหน้าการ์ดเป็นคนเก่าคนแก่ ไม่มีทางพลาดกับเรื่องเล็ก ๆ เท่านี้อยู่แล้ว”

“ครับ ผมเองก็คิดแบบนั้น” หวางซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่หมอจือหยินกับคุณหลิงหลิงเป็นคนวางระเบิดก็อาจไม่ใช่ความจริงสิครับ เพราะถ้าหมอจือกับคุณหลิงหลิงเป็นคนวางแผนจะต้องมีคนในช่วย ในเมื่อคนในเป็นไปไม่ได้แล้ว หมอจือกับคุณหลิงหลิงก็ไม่สามารถทำได้”

“เรื่องนั้นผมก็ยังสงสัยอยู่” มู่อี้จิงแสดงสีหน้าคลางแคลงใจออกมาอย่างปิดไม่มิด ราวกับว่ากำลังพบทางตันอย่างไรอย่างนั้น

“นี่ก็ผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้วสินะครับ ที่คุณเซินหายตัวไป” หวางซิงดูหดหู่ขึ้นมาทันที “เวลาดูผ่านไปเร็วจริง ๆ ไม่นานเท่าไหร่....ก็เสียเวลาไปถึงขนาดนี้แล้ว แม้แต่เงาของคุณเซินเราก็ยัง....”

“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ เวลาที่เสียไปไม่ได้เสียเปล่าหรอกเชื่อผมสิ” มู่อี้จิงให้กำลังใจพร้อมบีบมืออีกฝ่าย ได้ยินดังนั้นหวางซิงก็พอจะยิ้มออกบ้าง “แต่ว่า ระยะนี้ผมอาจต้องไปรบกวนบ่อย ๆ เพื่อให้เบื้องบนเชื่อว่าผมกำลังพยายามตีสนิทกับคุณ และไม่สงสัยเรื่องที่ผมจะสืบต่อไป”

“ต้องรบกวนคุณมู่แล้วนะครับ” หวางซิงยิ้มแล้วพูดตอบอย่างเป็นทางการเสียจนมู่อี้จิงตอบกลับไม่ถูก

“ผมบอกว่าให้เรียกผมว่ามู่อี้จิงไงล่ะครับ....” ชายหนุ่มว่าพลางเกาหัวเก้อ ๆ

----------------->

เวลาส่วนใหญ่ของเซินเฟยมักจะใช้ไปกับการนอนและนอนจนระยะนี้เขารู้สึกเหมือนไม่ค่อยมีแรงสักเท่าไหร่ อาจเพราะแต่ก่อนเขามักจะใช้เวลาว่างในการออกกำลังกาย อย่างน้อยก็ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว แต่ว่าตอนนี้ ทั้งที่ร่างกายของเขาเป็นปกติดีแล้ว แผลถลอกที่ได้มาก็หายไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังต้องนั่ง ๆ นอน ๆ แต่ในห้องเพราะฉู่เหวินจือเกรงว่าจะมีคนจำใบหน้าของเขาได้ ซึ่งหากเป็นพวกเดียวกันก็ดีไป ถ้าเป็นมือสังหารขึ้นมาอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ ในที่สุดเซินเฟยจึงไม่อาจให้อิสระกับการเดินของตัวเองได้

โลกภายนอกผ่านเข้ามาในการรับรู้ของเซินเฟยผ่านการรายงานของฉู่เหวินจือที่มักจะตื่นขึ้นมาแตกเช้าเพื่อทำแผลบนหลังก่อนจะออกไปข้างนอกและกลับมาอีกครั้งตอนมื้อเที่ยง ทั้งที่ออกไปแค่ครึ่งวัน ฉู่เหวินจือก็สรรหาเรื่องมาเล่าให้เขาฟังจนเบื่อ ตั้งแต่เรื่องเล็กอย่างได้พูดคุยกับเด็กที่ป่วยใกล้ตายจนถึงเรื่องใหญ่อย่างเบาะแสของการระเบิด เพียงแต่เรื่องเล็กมีมากกว่าเป็นเท่าตัวทำให้เซินเฟยเริ่มจะเบื่อหน่าย

เมื่ออยู่ด้วยกันในห้อง ฉู่เหวินจือมักแสดงออกว่าสนิทสนมกับเขาเกินความจำเป็น แต่เพราะมีหมอและพยาบาลอยู่ด้วย เขาจึงไม่อาจทำอะไรได้นอกจากส่งสายตาปรามเอาไว้ไม่ให้เกินเลย

หมอถงจะเข้ามาตรวจอาการของเขาและฉู่เหวินจือทุกวันเป็นปกติ

“คุณหวาง ร่างกายของคุณเป็นปกติแล้วใช่ไหมครับ?”

“ครับ” เซินเฟยเริ่มจะชินกับแซ่ใหม่ของตัวเองบ้างแล้ว เมื่อถูกถามจึงตอบได้ทันที ดีกว่าวันแรก ๆ ที่เขาต้องชะงักก่อนตอบทุกครั้งไปด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเรียกเขาหรือเปล่า

“อาการปวดตามตัวยังมีอยู่ไหม?”

“ไม่มีแล้วครับ”

“อืม ๆ” หมอถงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “รอยช้ำก็หายไปหมดแล้วนะครับ กระดูกก็ไม่ผิดปกติ ถ้าคุณอยากจะกลับบ้านก็กลับได้เลยนะครับ”

“แล้วฉู่เหวินจือ?”

“อ้อ คุณฉู่ยังต้องดูอาการต่ออีกสักหน่อย แขนที่ใส่เฝือกก็อีกเรื่องหนึ่ง กระดูกคนหนุ่ม ๆ ต่อสนิทได้เร็วอยู่แล้ว แต่ว่าแผลที่หลังยังน่าเป็นห่วงเพราะจนถึงตอนนี้เนื้อก็ยังปิดไม่สนิท แต่น่าดีใจที่ไม่มีอาการติดเชื้ออะไร ถึงอย่างนั้นหมอก็อยากจะแน่ใจว่าแผลนั้นจะหายดี” หมอถงยังคงจังหวะการพูดอย่างเชื่องช้าเหมือนอย่างครั้งแรกที่พบกัน อาจเพราะเขาเคยชินที่จะค่อย ๆ พูดอย่างนี้ หรือไม่ก็อาจเจอคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุศีรษะกระทบกระเทือนบ่อย จึงพูดอย่างนี้กับคนไข้จนเคยปาก

“แต่ว่าเขาก็ดูแข็งแรงดีนะ เห็นออกไปเดินเล่นข้างนอกทุกวัน” หมอสูงวัยหัวเราะ “แต่ว่าการขยับร่างกายมากเกินไปก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แผลสมานตัวช้าเหมือนกัน หมอคงต้องฝากคุณหวางช่วยเตือนเพื่อนของคุณหวางหน่อยนะครับ เพราะหมอพูดไปเขาก็ไม่ฟังหมอเลย”

“ทราบแล้วครับ ผมจะเตือนให้” เซินเฟยตอบกลับไป แต่พูดยังไม่ทันขาดคำดีประตูก็เปิดออกพร้อมร่างของคนที่เพิ่งพูดถึงไปหมาด ๆ กำลังเดินเข้ามา

“เอ๋ ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันล่ะครับ?” ฉู่เหวินจือถามเมื่อเห็นคนสองคนในห้องกำลังจ้องตนเป็นตาเดียวราวกับกำลังตำหนิ

“เปล่าครับ หมอกำลังคุยเรื่องอาการของคุณฉู่ให้คุณหวางฟังเท่านั้นเอง” หมอถงรีบกล่าวก่อนจะหันกลับมาหาเซินเฟย “คุณหวางจะทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเลยหรือเปล่าครับ?”

เซินเฟยนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนปรายตาไปทางฉู่เหวินจือ

“ผมคิดว่ารอให้เรียบร้อยเสียทีเดียวเลยจะดีกว่า ยังไงก็ฝากหมอถงด้วยนะครับ”

“หมอเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” ถงซื่อว่าแล้วจังหันมายิ้มให้ฉู่เหวินจืออย่างอารีแล้วเดินออกไปจากห้อง ฉู่เหวินจือเห็นดังนั้นก็นึกสงสัยด้วยปกติแล้วหมอถงมักจะตำหนิเขาเรื่องเดินไปเดินมาไม่ยอมอยู่สุขบ่อย ๆวันนี้กลับไม่บ่นสักคำ กระนั้นเขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเพราะหันมาเห็นสัญญาณมือจากเซินเฟยเสียก่อน เขาจึงเดินไปนั่งข้าง ๆ เตียงตามสัญญาณนั้น

“แผลเป็นยังไง”

“ตอนนี้ไม่ค่อยเจ็บแล้วครับแต่ยังขยับตัวลำบากอยู่”

เซินเฟยหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ใคร่เชื่อนัก เพราะเมื่อคืนก่อนฉู่เหวินจือเพิ่งจะไข้ขึ้นกลางดึกเพราะเขาไปถีบแผลเสียเต็มแรงจึงอักเสบขึ้นมา แต่พอวันต่อมาไข้ก็ลดจนลุกขึ้นมาเดินเหินได้เป็นปกติ ทำให้เขานึกอยากถีบให้แรงกว่านั้นอีกสักนิด

“คิดว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้?”

“ถ้าคุณเซินให้ออก ผมก็จะออกตอนนี้เลยครับ” ฉู่เหวินจือตอบแล้วปั้นยิ้ม

“นั่นก็แล้วแต่สถานการณ์ที่นายสืบมาได้ตอนนี้” เซินเฟยขึ้นไปนั่งกึ่งนอนบนเตียง “ว่ามา”

“ตอนนี้ดูเหมือนบนเกาะฮ่องกงจะมีปัญหาแล้วล่ะครับ”

“ปัญหา?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว เขาไม่คาดหวังจะได้ยินคำนี้จากปากของฉู่เหวินจือสักนิด เพราะเมื่อไหร่ที่ฉู่เหวินจือพูดว่าปัญหา สิ่งนั้นมักจะนำความปวดเศียรเวียนเกล้ามาให้เขา “ที่บ้านงั้นหรือ?” หากเป็นที่บ้านเขาคงไม่นึกแปลกใจ พวกญาติ ๆ เขาแต่ละคนหิวเงินกันเสียขนาดนั้น เขาหายไปทั้งคนมีหรือจะไม่มาคะยั้นคะยอให้มีการจัดสรรสมบัติ ทั้งยังตำแหน่งที่ทิ้งไว้อีก

“ที่บริษัทครับ”

“บริษัทเกิดอะไรขึ้น?” เสียงของเซินเฟยดังขึ้นเล็กน้อย

“ดูเหมือนว่า พ่อของคุณจะเข้ายึดอำนาจปกครองกึ่งหนึ่งไปแล้ว” ฉู่เหวินจือกล่าว ทำให้เซินเฟยดูเครียดขึ้นมาทันตา หากเป็นที่บ้านเขายังมั่นใจได้ว่าหวางซือสามารถควบคุมสถานการณ์ได้จนกว่าเขาจะกลับไป ทว่าทางบริษัทนั้นมีความละเอียดอ่อนมากกว่า เพราะผู้บริหารทั้งหลายแก่จนวิตกจริตง่ายกันไปเสียหมด เกิดอะไรขึ้นนิดหน่อยก็เต้นเร่า ๆ อย่างกับโดนไฟลน ซ้ำบริษัทนั้นยังเป็นศูนย์กลางเครือธุรกิจของตระกูล หากเกิดอะไรขึ้นก็จะล้มกันเป็นโดมิโน่ ไม่เหมือนกับองค์กรใต้ดินที่แบ่งกับปกครองเป็นสัดส่วนอย่างดี เมื่อจุดหนึ่งล้มจะไม่เป็นปัญหาไปถึงส่วนอื่น ๆ

“ได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน?”

“ข่าวใหญ่อย่างเรื่องเปลี่ยนตัวผู้บริหารเครือธุรกิจอันดับต้น ๆ ก็ต้องแพร่กระจายไวอยู่แล้วครับ เรื่องอย่างนี้ผมไม่จำเป็นต้องสืบอย่างลับ ๆ หรอก” คำตอบของฉู่เหวินจือไม่ได้ทำให้เซินเฟยเชื่อสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือไม่ แต่นับจากเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลนี้ เขารู้สึกว่าฉู่เหวินจือปิดบังเขาแทบทุกเรื่อง นอกจากเรื่องที่ควรรายงานแล้ว ไม่เคยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวรวมถึงแหล่งที่ได้ข้อมูลเหล่านั้นมาให้เขารู้เลย เอาแต่ตอบส่ง ๆ ไปว่าเป็นข่าวที่กระจายมากับเรือ หรือไม่ก็ได้ยินที่พวกคนไข้พูดกัน กระนั้นอย่างน้อยเขาก็รู้สึกได้ว่าข่าวที่ฉู่เหวินจือได้มานั้นเป็นความจริงเกินกว่า 80% แม้จะไม่รู้แหล่งข่าวก็ตามที

“อาซิงล่ะ?” ก่อนที่จะถูกระเบิดเรือ เขาเคยคิดว่าอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจึงเขียนหนังสือมอบอำนาจการดูแลแทนให้หวางซิง

“เรื่องนี้ผมยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่หวางซิงเองก็น่าจะคอยดูแลอยู่ ไม่อย่างนั้นคงจะมีข่าวว่าบริษัทใหญ่สถานภาพง่อนแง่นออกมาให้ได้ยินแล้วล่ะครับ”

เซินเฟยตวัดตามองครั้งหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายพูดไม่ถูกหู แต่คร้านจะหาเรื่องลงโทษเพราะปัจจุบันนี้ฉู่เหวินจือก็สภาพเหมือนถูกทำโทษอยู่แล้ว ทั้งแขนหัก ทั้งยังมีแผลโดนระเบิดอีก เอาไว้หายดีออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ค่อยว่ากันทีหลัง แต่ตอนนี้ปัญหาเรื่องบริษัทเป็นปัญหาหนักกว่า นอกจากนี้....

เฉียนหลิงหลิง...

ชื่อที่ฉู่เหวินจือกระซิบบอกก่อนหน้านี้ยังคงติดอยู่ในหู เซินเฟยเคยนึกแปลกใจอยู่ว่าทำไมถึงหน้าคุ้นนัก ที่แท้เพราะบางส่วนบนใบหน้าของดูคล้ายเฉียนหยุนอยู่นั่นเอง แต่เพราะไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าเฉียนหลิงหลิงมีส่วนเกี่ยวข้อง เขาจึงยังคงไม่คิดเคลื่อนไหวอะไร

แล้วจือหยินล่ะ....จะมีส่วนร่วมด้วยหรือเปล่า?

“ส่วนเรื่องระเบิด ก็มีความคืบหน้าแล้วนะครับ” ราวกับหยั่งรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ฉู่เหวินจือจึงเปรยขึ้นมาและยิ้มกว้างเมื่อเซินเฟยมองหน้า “จะให้ผมกลับไปเขียนรายงานไหมครับ?”

“ไม่ต้อง...” เซินเฟยเม้มปาก จะรั้งเวลาไปทำไมในเมื่ออะไรที่เกิดไปแล้วมันก็แก้ไขไม่ได้อยู่วันยังค่ำ “ว่ามาสิ”
ฉู่เหวินจือหัวเราะในคอก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่าสิ่งที่เขาสืบมาได้

TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: neronel ที่ 20-03-2011 03:44:37
สวัสดี ติดตามอ่านมาได้พักนึงแล้ว

ตอนแรกเข้ามาก็ร้อง โอ้...ว้าว!~ แค่เริ่มเรื่องก็น่าสนใจแล้ว
หายากที่จะเขียนเนื้อเรื่องประมาณนี้แล้วได้อารมณ์ขนาดนี้
ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือ สิ่งที่ไม่ถูกเขียน
คือประมาณว่าไม่เล่าหมด บอกอะไรไม่มาก มือุบอิบไว้อะไรไว้
มันทำให้มีพื้นที่ที่คนอ่านจะเอาคัวเองลงไปร่วมกับเรื่องด้วย
ให้พื้นที่ได้คิดและสร้างภาพขึ้นมาเอง เล่าเรื่องแบบนี้มันมีเสน่ห์มากนะ

ตัวละครบางตัวถ้าคิดกันจริงๆแล้วก็ดู..ไร้เหตุผลไปบ้าง
แต่การเขียน การเล่าเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจัง เป็นการเป็นงาน ทำให้ทุกอย่างดูสมเหตุสมผล
เข้มข้นมาก!

หนูเฟยเฟย ตอนหนูบอกกินข้าวกับตัวเอง อ่า..ป้าสะเทือนใจจริงๆ
แล้วคนแซ่ฉู่ นี่ยังไงกัน? ดูไม่ธรรมดานะ จริงๆแล้วแกคิดจะทำอะไรกันแน่?
ยังไงก็เอ็นดูน้องเบาๆมือหน่อยนะ น้องยังเด็ก ^^
หรือต้องบอกน้องดี หลังๆมานี่*หนัก*กับหมาของตัวเองเหลือเกิน
ใครจะรู้ คนแซ่ฉู่อาจแอบทบต้นทบดอกรอวันเอาคืนอยู่ในใจก็ได้ มันร้าย~

คุณมู่ ออกตัวแรงมาก ป้าคนนี้ก็หวังว่าจะได้อะไรมาเรียกเลือดลมซะแล้ว
แต่แล้วก็..แป็ก! จิตใจห่อเหี่ยวเลย..55+
ยิ่งหลังๆมา อ่า..ตำรวจหื่นของป้า(คิดเอาเอง)กลายเป็นตำรวจอบอุ่นไปแระ
ปลาบปลื้มแทนเลขาหวางจริงๆ มีคนดีๆคอยดูแล

ในเรื่องมี 4 ตระกูล จูเชว่ ไป๋หู่ และเสวียนอู่โผล่มาแล้ว เหลือชิงหลง ที่มีเส้นสายกับมาเฟียอิตาลีอีกหนึ่ง จะโผล่มามั้ยน้า?
แอบติดใจเรื่องของไป๋หู่ กับ คนของเสวียนอู่ เค้ายังไงกันน้อ? ^^

ใครคิดไม่ซื่อกับหนูเฟยเฟยบ้างน้า?
แต่ละคoกำลังทำอะไรกันอยู่?
น่าสงสัยไปหมดเลย

เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า~ ^^
รักนะ..จูบุ จูบู
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 20-03-2011 04:19:43
เซินหยู่ :z6: o18

คุณมู่ - หวางซิง สู้ๆนะ

เฟยเฟย - คุณฉู่ นี่เค้าSMกันจริงๆเลย

 :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 20-03-2011 07:58:33
เอ้อนะ เรื่องอำนาจนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 20-03-2011 08:10:11
โอยยยย  ลุ้นจนปวดตับ  พ่ออาเซินนี่ตกลงชิงหมามาเกิดหรือเปล่าเนี่ยะ  ทำได้กระทั่งลูก
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 20-03-2011 08:58:52
ในที่สุดก็ตามอ่านทันนนนน
เนื้อเรื่องเป็นอะไรที่ ต้องลุ้นตลอดเวลาเลยค่ะ
อ่านแล้วกดดันแทน เฟยเฟย จริงๆ (ชื่อนี้น่ารักกกก)
แต่แบบ เข้าใจอารมณ์เฟยเฟยนะ
แต่แบบ ,, ไม่เข้าใจคุณฉู่เลยว่า คิดอะไรอยู่ แบบเค้าดูพลิกได้ตลอดเวลาอ่ะ
ดูมีแนวทางเป็นของตัวเอง
งื้ออออ อย่าทำให้เฟยเฟย เสียใจก็พอนะ น้องไม่เหลือใครแล้วเหอะ
(ขอ ลืมอาซิงไปชั่วคราวววววว)
เป็นกำลังใจให้เฟยเฟย !!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 20-03-2011 12:38:34
สถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออก มีแต่เรื่องลึกลับ น่าสงสัย ( จริง ๆ ก็ต่อเนื่องมาหลายตอนแล้วล่ะ )
มันช่างบีบคั้นต่อมความอยากรู้ของคนอ่านมากขึ้นเรื่อย ๆ
นี่...ถ้าคุณ ZIar ไม่มาต่อเรื่องเร็ว เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ เราคงขาดใจตาย เพราะ ความสงสัยอ่ะค่ะ... :sad4:
ขอบคุณค่ะ ~ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 20-03-2011 14:08:26
เฟยเฟย รีบๆหายเข้า อาซิงจะแย่แล้ว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ratrirattikan ที่ 20-03-2011 19:35:51
อา...ทำไมคนเป็นพ่อถึงเป็นแบบนี้นะ มีนอกมีในอะไรกันรึเปล่าเนี่ย
เห็นเเล้วอึดอัดใจแทนเฟยเฟยจริงๆเล้ย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 24 (20/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 20-03-2011 22:10:18
เซินหยุ่เลวได้ใจมากๆ อยากมีเงินอยากมีอำนาจ แต่ไม่อยากลำบาก อนิจจา

ขอให้ทั้งคู่หาแผนตีกลับจัดการได้ทันทีเหอะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 21-03-2011 01:21:06
-25-


เมื่อฟังเนื้อความจบ เซินเฟยก็หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด หลังจากได้พักมาหลายวันตอนนี้สมองของเขาสามารถทำงานได้เฉียบคมเช่นเดิม ซ้ำเวลานี้เขายังอยู่ในสถานที่ที่เงียบสงบ ไม่มีใครหรืออะไรมารบกวน ความคิดจึงกระจ่างใสราวกับมองลงไปในอ่างที่บรรจุน้ำสะอาด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉู่เหวินจือสืบหามาเป็นเวลาหลายต่อหลายวันสามารถปะติดปะต่อกันเป็นภาพจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่ มันคงเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยากจะเป็นไปได้ที่ฉู่เหวินจือจะกุเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาและสามารถประกอบกันได้พอดีอย่างนี้

เซินเฟยสูดหายใจเข้าลึกเพื่อถ่ายเทอากาศให้กับสมองก่อนจะลืมตาขึ้น

“นายคิดยังไง?”

“อะไรหรือครับ?” ฉู่เหวินจือย้อนถามเพราะเขาไม่เข้าใจกระเด็นที่อีกฝ่ายต้องการคำตอบ

“เรื่องที่นายเล่ามาทั้งหมด ถ้าความจริงเป็นแบบนั้น นายคิดยังไงบ้าง?” ตามปกติแล้ว เซินเฟยจะไม่ตัดสินใจอะไรโดยลำพังหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิต หากหวางซิงอยู่ด้วยเขาคงจะถามหวางซิงที่จะให้คำแนะนำที่ดีเสมอ แต่ตอนนี้เขาไม่มีตัวเลือก

“ผมคิดว่าผมไม่แปลกใจถ้ามันเป็นความจริงครับ คุณเซินเองก็ทราบไม่ใช่หรือว่ามันมีเหตุผลรองรับหนักแน่นพอที่จะเป็นไปได้” ฉู่เหวินจือตอบก่อนจะลดระดับเสียงลง “ผมคิดว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะความใจดีของคุณเซินเองไม่ใช่หรือครับ?”

“นายคิดจะไม่ใช่ฉันเหลือความเป็นคนเลยหรือยังไง?”

“มันไม่จำเป็นสำหรับการเป็นมาเฟียไม่ใช่หรือครับ?” ฉู่เหวินจือลดเสียงลงอีกจนเป็นแค่เสียงกระซิบ “แม้แต่พ่อของคุณก็ยังรู้เรื่องนั้นดี”

เพี๊ยะ!

ฝ่ามือของเซินเฟยยังรวดเร็วและหนักหน่วงเหมือนเก่า แก้มสากของฉู่เหวินจือปรากฏรอยแดงขึ้นมาช้า ๆ หลังจากผ่านไปไม่ถึงนาที

“ไม่ต้องมาตอกย้ำเรื่องครอบครัวของฉัน” เซินเฟยเค้นเสียงลอดไรฟันที่ขบแน่น อีกฝ่ายทำอย่างกับว่าเขาไม่รู้สันดานพ่อตัวเอง แต่เขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อฝ่ายนั้นก็เป็นพ่อบังเกิดเกล้า ถึงจะเป็นยังไงเขาก็จำต้องมีน้ำอดน้ำทนให้มากกว่าคนอื่นเพื่อแสดงความกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิด ถึงจะเป็นมาเฟียยังไงก็เป็นคนที่มีเลือดเนื้อมีหัวใจ ยังไง....เขาก็ยังให้ความเคารพผู้ชายคนนั้นในฐานะพ่อ....

“ขออภัยด้วยครับ”

การขอโทษตามมารยาทปฏิบัติยิ่งทำให้เซินเฟยฉุนเฉียว แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาเป็นคนใช้การลงโทษอย่างหนักหน่วงหลายต่อหลายครั้งเพื่อสอนสั่งให้ฉู่เหวินจือเคารพกติกามารยาทในการอยู่กับเขา ไม่ใช่จะพูดจะทำก็ทำตามใจนึก

“ฉันจะกลับฮ่องกง”

ฉู่เหวินจือมุ่นคิ้ว

“ด้วยสถานการณ์อย่างนี้น่ะหรือครับ?”

ตอนนี้เครือธุรกิจตระกูลเซินเหมือนกับตกอยู่ในกำมือเซินหยู่กว่าครึ่ง ผู้นำองค์กรใต้ดินบางคนก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยความไม่พอใจ ซ้ำทางตำรวจยังไม่ยอมยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือเพราะโดนอิทธิพลจอมปลอมของเซินหยู่กดเอาไว้ หากเซินเฟยยังใจอ่อนกับพ่อตัวเองอยู่อย่างนี้ ถึงกลับไปแล้วจะมีอะไรดีขึ้นเล่า? หากไม่กำจัดผู้ชายคนนั้นเสีย สักวันก็ต้องถูกตลบหลังอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

“ฉู่เหวินจือ”

“ครับ?”

“นายสามารถพาฉันกลับได้เมื่อไหร่?”

“ถ้าหากเป็นความต้องการของคุณเซิน ถึงจะเป็นตอนนี้ผมก็จะพากลับไปให้ได้ครับ” ฉู่เหวินจือตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งลำพองทำให้เซินเฟยนึกหมั่นไส้ขึ้นมา แต่หากฉู่เหวินจือลองพูดว่าทำได้แล้วก็คงทำได้จริง ๆ และสถานการณ์บนเกาะฮ่องกงก็เร่งรีบเกินกว่าจะให้เขามาเล่นแง่กับอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจในวินาทีนั้นว่าเขาไม่อาจอยู่นิ่งเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อนอย่างนี้ได้อีก ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเขาหายตัวไป เขาก็ต้องเป็นคนสะสางด้วยตัวเองถึงคนที่เป็นปรปักษ์จะเป็นพ่อของตัวเองก็ตาม และเรื่องการระเบิดเรือนั้น อย่างไรเขาก็ต้องจัดการ ถึงจะฝืนใจสักแค่ไหนก็มีแต่ต้องจัดการเท่านั้น มิเช่นนั้นทุกสิ่งที่ก่อร่างสร้างมาทั้งหมดจะสูญเปล่าในพริบตา

ลูกน้องที่ไหนจะต้องการหัวหน้าที่โอนเอนไปกับอารมณ์...

ในเมื่อถูกกระทำถึงขนาดนี้แล้วไม่ตอบโต้ให้สมน้ำสมเนื้อ เขาเองอาจตกที่นั่งลำบากเอาทีหลังก็ได้

เซินเฟยกัดริมฝีปากแรงจนรู้สึกเจ็บ

“ภายในวันนี้ เอาฉันออกจากโรงพยาบาล ภายในพรุ่งนี้ เท้าฉันต้องเหยียบเกาะฮ่องกง”

“ทราบแล้วครับ” ฉู่เหวินจือรับคำ ในน้ำเสียงมีความสนุกแฝงอย่างเจือจางจนเซินเฟยแทบจับสังเกตไม่ได้ และตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยากจับผิดใครให้หนักสมองอีก

แต่แล้วก่อนจะได้พูดอะไรกันต่อ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงรองเท้าของนางพยาบาลและรถเข็นเดินมาใกล้ห้อง ฉู่เหวินจือหันไปฉวยหนังสือเล่มหนึ่งมาพลิกเปิดขณะที่เซินเฟยเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่นานนักประตูก็เปิดออกพร้อมรถเข็นอาหารและนางพยาบาล บนรถมีอาหารอยู่สองชุดเป็นของเซินเฟยและฉู่เหวินจือ

หญิงสาวเพียงวางอาหารลงบนโต๊ะและเอ่ยทักทายก่อนนำรถเข็นออกไป เพราะตอนนี้เซินเฟยสามารถกินอาหารเองได้แล้วจึงไม่ต้องการคนบริการอีก แต่ที่เซินเฟยยินดีที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่สามารถอาบน้ำเองได้แล้วมากกว่า

ฉู่เหวินจือเดินไปหยิบอาหารมาวางบนโต๊ะของเซินเฟยแล้วเลื่อนโต๊ะให้มาอยู่เหนือเตียงอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะเดินไปหยิบของตัวเองมาจัดการ นับว่าสวรรค์ยังเมตตาฉู่เหวินจืออยู่ที่แขนที่หักเป็นแขนซ้าย แขนขวาที่ถนัดจึงใช้ทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนอื่น

เซินเฟยเหลือบตามองฉู่เหวินจืออย่างมีความหมาย ก่อนจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้าอย่างไม่อิดออด รสอาหารที่แสนจืดชืด....อาจเป็นมื้อสุดท้ายที่จะได้ลิ้มรสแล้วก็เป็นได้

--------------------------->

เพื่อตบตาสำนักงานตำรวจ มู่อี้จิงจึงต้องไปมาหาสู่กับหวางซิงบ่อยขึ้น แต่การกระทำที่ดูไร้ประโยชน์ก็ไม่ได้เสียเปล่าเสียทีเดียว เพราะเมื่อทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็จะช่วยเหลือกันในการให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์และประกอบข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างมีระบบ ถึงอย่างนั้นแล้ว พวกเขาก็ยังพบกับทางตันอยู่ดี เพราะอย่างไร ๆ ก็ไม่อาจหาหนทางที่ทำให้คนที่สงสัยกระทำการสำเร็จได้เลย

“ไม่ไหวแล้ว!” มู่อี้จิงตะโกนออกมาก่อนแหงนเงยศีรษะไปด้านหลังพิงกับพนักโซฟา บนโต๊ะด้านหน้าคือกระดาษหลายแผ่นที่ลองเขียนสมมติเหตุการณ์คร่าว ๆ โดยมีผู้ต้องสงสัยหลักคือจือหยินและหลิงหลิง

“ผมไปชงกาแฟให้ไหมครับ?” หวางซิงถามอย่างนึกเป็นห่วง ระยะนี้เขามาห้องของมู่อี้จิงบ่อยขึ้นจนรู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นห้องของตัวเองก็ไม่ปาน ซึ่งเพราะเหตุนั้นทำให้เขาใช้เวลาในบริษัทได้น้อยลงทุกที แม้ใจจะนึกเป็นห่วงบริษัทที่อยู่ภายใต้การปกครองของเซินหยู่แต่ก็ยังอดกังวลเรื่องเซินเฟยไม่ได้ เขาจำต้องยอมละทิ้งเรื่องทางนั้นเพื่อช่วยมู่อี้จิงหาเบาะแส

“ไม่ต้องหรอก” มู่อี้จิงว่าแล้วพาตัวเองกลับมานั่งหลังตรง “เฮ้อ แต่ที่คุณบอกว่าหมอจือหยินเคยได้เช็คใบหนึ่งไปจากจูเชว่ นั่นอาจเป็นเงินที่ใช้จ้างมือสังหารก็จริง แต่ว่าท่ามกลางการ์ดหนาแน่นขนาดนั้นจะลงมือได้ยังไงกัน ผมหาหนทางไปไม่เจอเลยจริง ๆ”

ตัวมู่อี้จิงเองมีความสนใจเกี่ยวกับจิตวิทยาอาชญากรอย่างมากจึงศึกษาค้นคว้ามาโดยตลอด แต่ว่า...มุมมองของมือสังหารนั้นแตกต่างจากอาชญากรอย่างสิ้นเชิง เมื่อคิดในมุมของมือสังหารแล้ว มันจะมีทางไหนกันที่สามารถระเบิดเรือได้ ในความเป็นจริงแล้ว หากเขาเป็นมือสังหาร การแล่นเรือเข้าไปเทียบแล้วลอบยิงจากมุมมืด ยังเป็นทางเลือกที่ง่ายเสียกว่า ทำไมมือสังหารรายนี้ต้องวางระเบิดซึ่งเป็นหนทางที่มีความเสี่ยงสูงขนาดนี้ด้วย? ไม่สิ...อาจเป็นเพราะทางนี้มีความเสี่ยงสูงจึงปกปิดร่องรอยได้ง่ายก็เป็นได้ เพราะจนถึงตอนนี้เขายังจับมือใครดมไม่ได้เลย

เขาไม่เคยคิดเลยว่าการตามรอยมือสังหารจะเป็นเรื่องยากขนาดนี้ มิน่าเล่า พอมีคดีมือสังหารเข้ามาทีไร ทางกรมก็มักจะพยายามปัดให้กลายเป็นอุบัติเหตุหรือเหตุทะเลาะเบาะแว้งเพราะความแค้นส่วนตัวทุกทีไป ก็มันจับตัวยากเสียขนาดนี้ เขานี่ถือว่าหาเรื่องใส่ตัวหรือเปล่านะ?

“ถ้าไม่ใช่มือสังหารล่ะครับ?” หวางซิงลองหาทางอื่น

“ก็แสดงว่าหมอจือหยินกับเฉียนหลิงหลิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีน่ะสิ”

“เอ๋? ทำไมล่ะครับ?” หวางซิงทำตาโต เขาไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาอาชญากรนัก เขาทำได้แต่การวิเคราะห์บุคคลตรงหน้าจากบุคลิกเท่านั้น จะให้จินตนาการถึงคนที่ไม่เคยเห็นด้วยการมองเพียงเหตุการณ์สมมตินั้นเกินความสามารถของเขาไปมากจริง ๆ

“ก็อาชญากรน่ะ เวลาลงมือมักจะลงมือด้วยการตัดสินใจเฉพาะตัว อาจมีการกระตุ้นจากคนอื่นถึงได้ลงมือทำ แต่ว่าคนยุยงส่งเสริมไม่มีความผิดตามกฎหมายหรอกนะครับ นอกจากจะมีหลักฐานว่ามีส่วนในการกระทำผิดถึงจะลงโทษได้” มู่อี้จิงขยี้ผมก่อนจะว่าต่อ “ถ้าจะสรุปว่าเป็นอาชญากรรมที่กระทำโดยอาชญากรที่มีแรงกระตุ้น ไม่ใช่มือสังหาร มันก็สรุปได้ง่าย ๆ ขอแค่หาใครสักคนที่มีเหตุผลเพียงพอจะลงมือได้มาเค้นถามทีละคนก็น่าจะได้ความแล้วล่ะครับ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น แปลว่าหมอจือหยิน เฉียนหลิงหลิง และเช็คที่สงสัยว่าเป็นต้นเหตุก็จะไม่มีทางเป็นผู้ต้องสงสัยหรือหลักฐานได้เลยสักอย่างเดียว”

“แบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้นะครับ.....”

“อะไรนะครับ?” มู่อี้จิงเอ่ยถามเพราะหวางวิงพึมพำเสียงเบาจนได้ยินไม่ถนัด

“ป....เปล่าครับ” หวางซิงขยับแว่นเพื่อปกปิดสายตาตนเอง “ผมแค่คิดว่าป่านนี้คุณเซินจะเป็นยังไงบ้าง...เพราะยังไม่มีข่าวคราวเลยไม่ใช่หรือครับ?”

มู่อี้จิงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เรื่องนั้น.....เพราะตอนนี้ผมไม่มีทีมงานแล้วก็เลยหาข้อมูลไม่ได้มาก แต่ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่ายังมีชีวิตอยู่ครับ เพราะค้นหาที่เกิดเหตุดูแล้ว เราไม่พบกระทั่งเศษเสื้อผ้าของจูเชว่ด้วยซ้ำไป บางทีเขาอาจจะตกจากเรือตอนเกิดระเบิดขึ้นและรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด ตอนนี้อาจจะกำลังรักษาตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้”

“งั้นหรือครับ....” หวางซิงกล่าวเสียงแผ่ว ตอนแรกเขาเองก็อยากจะเชื่อแบบนั้น แต่ว่ายิ่งเวลาผ่านไป ความเชื่อที่มั่นคงก็เริ่มคลอนแคลน จนตอนนี้หลายครั้งหลายหนที่เขาเผลอคิดไปว่า อาจมีข่าวว่าพบศพเซินเฟยที่ไหนสักแห่งโผล่มาบนหน้าหนังสือพิมพ์ แม้อยากจะลงโทษตัวเองที่คิดแบบนั้นแต่เขาก็ไม่อาจหยุดคิดได้ ทุก ๆ เช้าเขาจะต้องอ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับราวกับคนวิตกจริต

“ผมเข้าใจว่าคุณหวางรู้สึกยังไง แต่ว่า....ผมก็ทำได้แค่นี้เอง” มู่อี้จิงเอ่ยอย่างยอมจำนน ตอนแรกเขาคิดว่าหากดื้อรั้นดันทุรังไปอาจจะมีหนทางก็ได้ แต่ว่าเมื่อถูกตัดงบประมาณ คนในหน่วยก็ให้ความช่วยเหลือไม่ได้ กระทั่งสารวัตรหรงเองก็ไม่อาจออกหน้าให้ได้ ในที่สุดเขาก็เหลือตัวคนเดียวและไม่อาจทำอะไรได้เลย ถึงหวางซิงจะคอยให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ต้องยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามารถเมื่ออยู่เพียงลำพัง

คดีนี้ทำให้ความหยิ่งทะนงในฐานะตำรวจสืบสวนที่ทำคะแนนได้อันดับ 1 จากวิทยาลัยตำรวจลดฮวบเกือบเหลือ 0

“ผมเข้าใจครับ” หวางซิงว่าแล้วยิ้มออกมา “อย่างน้อยคุณมู่ก็อุตส่าห์ช่วยผมมาถึงขั้นนี้ ผมก็ไม่รู้จะตอยแทนยังไงแล้วล่ะครับ”

ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจะหันกลับมาสนใจแผ่นกระดาษบนโต๊ะอีกครั้ง

“อา.....ปวดหัวจริง ๆ” มู่อี้จิงครวญแล้วเริ่มรวบแผ่นกระดาษทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นปึก แค่วันนี้วันเดียวเขาก็กลายเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนจากการใช้ผลิตผลจากต้นไม้สักต้นสองต้นแล้วกระมัง

“จะพอแล้วหรือครับ?” หวางซิงถามเมื่อเห็นมู่อี้จิงนำกระดาษทั้งหมดยัดในลิ้นชัก

“นี่มันสี่ทุ่มแล้วนะครับ คุณรีบกลับไปนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะสู้รบปรบมือกับเซินหยู่ไม่ไหวเอา” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยหยอกเย้าพลางยิ้มเมื่อเห็นหวางซิงเริ่มปาดหางตาด้วยความง่วง บางทีเจ้าตัวอาจไม่รู้ก็ได้ว่าระหว่างพูดคุยกันนั้น ตัวเองหาวไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ คนที่ปกติจะนอนหัวค่ำ ต้องมานอนดึกเกือบทุกคืนอย่างนี้ทั้งยังต้องตื่นเข้าไปจัดการงานในบริษัทก่อนอีก เขาเกรงว่าร่างกายอีกฝ่ายจะรับไม่ไหวเอา

“กลับไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

“รบกวนเปล่า ๆ ครับ เดี๋ยวผมโทรเรียกคนที่บ้านก็แล้วกัน” หวางซิงรีบโบกมือปฏิเสธทั้งที่มู่อี้จิงก็ได้ไปส่งที่บ้านทุกคืน กระนั้นเจ้าตัวก็ปฏิเสธจนเป็นนิสัยคล้ายว่าแค่เป็นพิธี

“เลิกปฏิเสธเถอะ ยังไงคุณก็เปลี่ยนใจผมไม่สำเร็จหรอก” มู่อี้จิงกำหมัดแล้วเคาะข้อนิ้วไปที่หน้าผากหวางซิงก่อนจะชะงักพลางละมือออกมา

ระยะนี้พวกเขาสองคนเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ออกจะมากเกินไปหน่อยเสียด้วยซ้ำ หลายครั้งมู่อี้จิงจึงมักแสดงออกกับหวางซิงราวกับเป็นเพื่อนที่คบหันมานาน และมักจะนึกได้หลังจากกระทำลงไปแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นเลขาของมาเฟียและที่มาอยู่ใกล้เขาก็เพื่อให้ช่วยเหลือเจ้านายของตัวเองเท่านั้น

แต่หวางซิงกลับไม่ได้ต่อว่าต่อขานอะไรแม้จะดูข้ามรุ่นไปบ้างเขาก็ไม่ได้นึกถือสา

“คุณนี่ดื้อจริง ๆ เลยนะครับ” เจ้าตัวเพียงลูบหน้าปากตัวเองแล้วตำหนิไม่จริงจัง

การไม่ถือตัวของหวางซิงทำให้มู่อี้จิงรู้สึกเหลิงอยู่เงียบ ๆ เขายิ้มกว้างแล้วคว้ากุญแจรถเดินออกไปจากห้อง ทำให้หวางซิงต้องรีบวิ่งตามออกไปแต่ยังไม่ลืมหันมาล็อคประตูจนเรียบร้อย

ทั้งสองขับรถออกมาได้ครู่หนึ่งมู่อี้จิงที่คุยสนุกสนานมาจนถึงตอนนี้กลับเงียบไปแล้วทำสีหน้าเคร่งเครียดให้เห็น

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” หวางซิงงุนงงสงสัยที่อยู่ ๆ มู่อี้จิงก็แปลกไป

“ผมสังเกตมาหลายวันแล้ว....”

“อะไรหรือครับ?”

“ทุกครั้งที่เราออกมาข้างนอก จะมีใครบางคนคอยตามหลังอยู่ห่าง ๆ” มู่อี้จิงขมวดหัวคิ้วเข้าหากัน “แต่จะเลิกตามเมื่อพวกเราเข้าไปในอาคารหรือบ้านเรียบร้อยแล้ว อย่างกับว่ากำลังรอจังหวะอะไรอย่างนั้น”

“หมายความว่าพวกเราถูกสะกดรอยตามหรือครับ?”

มู่อี้จิงพักหน้าช้า ๆ แล้วพยักเพยิดไปทางกระจกส่งหลัง

“เห็นรถคันสีดำที่อยู่หลังรถสีขาวนั่นไหมครับ?” หวางซิงพยักหน้ารับ มู่อี้จิงจึงพูดต่อ “ผมเห็นมาหลายวันแล้ว จะตามรถของผมด้วยระยะเท่านั้นตลอดไม่ว่าจะเลี้ยวรถ เร่งหรือลดความเร็ว และจะตามมาเฉพาะเวลาที่อยู่กับคุณด้วย ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ”

“ทำไมคุณถึงมั่นใจล่ะครับ?”

รถที่เห็นเป็นรถญี่ปุ่นที่หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ไม่ใช่รถที่มีจุดเด่นเป็นพิเศษ มีคนใช้อยู่ทั่วไป ระยะนี้สีดำและขาวก็เป็นที่นิยมกับคนทั่วไปมากขึ้น หวางซิงไม่เห็นว่าจะมีอะไรบ่งบอกได้เลยว่ารถคันนั้นเจาะจงตามพวกเขา อาจจะเป็นเหตุบังเอิญที่เห็นรถที่เหมือนกันบ่อย ๆ ก็เป็นได้

“ผมจำเลขทะเบียนได้” ว่าแล้วมู่อี้จิงก็ท่องเลขทะเบียนรถออกมาชุดหนึ่ง หวางซิงจึงเขม้นตามองไปยังกระจกและรอตำแหน่งเลขทะเบียนโผล่ออกมาจากหลังรถคันที่คั่นอยู่ แต่ก็ไม่อาจมองเห็นได้อยู่ดีเนื่องจากรถในฮ่องกงวิ่งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบไม่มีการคร่อมเส้นแบ่งเลน อีกทั้งรถคันนั้นวิ่งอยู่ในระยะไกล การจะมองผ่านกระจกส่องหลังให้เห็นเลขทะเบียนจึงแทบเป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะกับคนสายตาสั้นอย่างหวางซิง

“อีกอย่างหนึ่ง” หลังจากหวางซิงหมดความพยายามในการพิสูจน์เลขทะเบียน มู่อี้จิงจึงพูดขึ้นมาอีก “รถคันนั้นติดฟิล์มกรองแสงมืดเกินไป รถปกติจะไม่ติดฟิล์มกรองแสงมืดแบบนั้นโดยเฉพาะกระจกหน้ารถ”

หวางซิงรีบหันกลับไปมองกระจกส่องหลังอีกครั้ง แล้วก็เป็นจริง เขามองไม่เห็นคนในรถเลยเพราะกระจกด้านหน้ามืดมากเสียจนบดบังคนด้านในจนมิด

หวางซิงรู้สึกสะท้านเยือกขึ้นมา

“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ....ที่คุณเห็นรถคันนี้”

“ถัดจากวันที่คุณโดนชกที่แก้ม”

หวางซิงกัดริมฝีปาก เขาช่างเลินเล่อจริง ๆ เสียแรงที่ทำงานกับจูเชว่มาถึงสองรุ่น แค่โดนคนตามจับตาดูกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด แถมยัง.....ตั้งอาทิตย์หนึ่งมาแล้ว....

“บ้าจริง!” อยู่ ๆ มู่อี้จิงก็ตะโกนขึ้นมาแล้วเร่งความเร็วรถหักโค้งแซงรถคันหน้าบนทางเลี้ยวอย่างน่าหวาดเสียว

“ก...เกิดอะไรขึ้นครับ!?” หวางซิงรีบถามเสียงตะกุกตะกักและจับคอนโซลหน้ารถจนแน่นเพราะเมื่อครู่เกือบโผไปชนจากแรงเหวี่ยง

“ดูเหมือนมันจะรู้แล้วว่าเรารู้ตัว” มู่อี้จิงกัดฟันกรอดก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิด โชคดีที่ตอนนี้ดึกแล้วรถราจึงค่อนข้างบางตา มู่อี้จิงจึงสามารถเลี้ยวลดไปตามถนน แซงรถคันข้างหน้าไปได้เรื่อย ๆ จนสามารถสลัดรถที่ตามหลุดไปได้ แต่หายใจได้ไม่กี่เฮือกรถคันสีดำนั้นก็โผล่ออกมาอีก ทันใดนั้นสายตาของมู่อี้จิงก็สะดุดเข้ากับบางสิ่งที่โผล่ออกมานอกหน้าต่างรถสีดำคันนั้น

ปืน!

“ก้มหัวลง!” มู่อี้จิงตะโกนแล้วกดให้หวางซิงก้ม เป็นวินาทีเดียวก่อนที่กระสุนจะลั่นเปรี้ยงพุ่งชนกระจกรถตำรวจด้านหลังจนเกิดรอยร้าวเป็นวง แน่นอนว่ามันไม่ได้จบแค่นัดเดียว นัดอื่น ๆ ตามมาอีกเป็นชุดใหญ่จนมู่อี้จิงต้องก้มศีรษะไปขับรถไป เขาแทบจะไม่มีเวลาให้มองทางว่ากำลังพารถไปทางไหน รู้แต่เมื่อเจอทางแยกก็จะเลี้ยวทันทีเพื่อหาช่วงจังหวะทิ้งระยะห่างให้มากที่สุด กระนั้นอีกฝ่ายก็ตื้อใช้ได้ ยิ่งหนีก็ยิ่งตาม เสียงปืนเป็นชุดพุ่งกระทบกระจกจนแตกกระจายไปส่วนหนึ่งและพุ่งมาจนถึงกระจกหน้า เบาะด้านหลังเองก็โดนไปหลายนัด

“บ้าเอ๊ย! ยิงกลางเมืองแบบนี้มันพวกมือสมัครเล่นชัด ๆ!” มู่อี้จิงคำรามออกมาเหมือนจะเยาะเย้ยอีกฝ่าย แต่มองอีกด้านก็เหมือนกำลังก่นด่าตัวเองที่เสียทีมาโดนพวกมือสมัครเล่นไล่ยิงกลางถนนเหมือนหนังเกรด b ที่ได้ดูสมัยมัธยมปลาย

แต่แล้วสิ่งที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้น กระสุนนัดหนึ่งยิงเข้าที่ยางรถ!

มู่อี้จิงกัดฟันลากรถที่พิการไปล้อหนึ่งให้เคลื่อนไปข้างหน้าด้วยแรงส่งที่ยังเหลืออยู่ก่อนที่เสียงกระสุนจะเงียบไปและรถก็จอดสนิท.....

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกกระจกรถ

ซวยสนิท!

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 21-03-2011 01:21:55
มู่อี้จิงเพิ่งเห็นว่ารถตนเองถูกต้อนออกมาจนถึงที่โล่งกว้าง มองไปแล้วเป็นท่าเรือไม่ผิดแน่ มิน่าเล่าเขาถึงได้ขับตะลุยออกมาจนถึงตอนนี้ได้โดยไม่สวนกับรถคันไหนเลย ปกติถนนรอบท่าเรือมีแต่รถขนคอนเทนเนอร์เท่านั้นที่วิ่งเข้าออกเป็นประจำ รถส่วนบุคคลจะไม่ค่อยผ่านเข้าออกนัก ซ้ำเวลากลางคืนอย่างนี้ รถขนคอนเทนเนอร์จะหยุดขนส่ง ถนนรอบท่าเรือจึงว่างโล่ง มู่อี้จิงขยี้ผมอย่างหงุหงิดใจ ทำไมเขาถึงได้โง่ขนาดถูกต้อนออกมาจากที่ชุมชนได้นะ! อยู่ในที่โล่งแบบนี้เขาก็ยิ่งเสียเปรียบเพราะมีหวางซิงอยู่ด้วย อีกทั้งรถก็โดนยิงล้อไปเสียแล้ว

มู่อี้จิงคว้าปืนขึ้นมาถือไว้แล้วหันไปแตะไหล่หวางซิงที่ยังงุดหัวอยู่นิ่ง ๆ

“เราต้องรีบแล้วล่ะครับ” เสียงของชายหนุ่มดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด “ตอนนี้เราอยู่ที่โล่งแล้ว”

แต่ก่อนที่หวางซิงจะได้พูดตอบหรือขยับตัว เสียงรถคันหนึ่งก็ตะบึงใกล้เข้ามา มู่อี้จิงตัดสินใจเปิดประตูรถออกไปแล้วลั่นปืนในมือสวนทางรถที่วิ่งตรงมาหาก่อนกลิ้งตัวหลบเมื่อกระสุนหลายนัดยิงโต้กลับมา แต่แล้วรถคันสีดำก็เริ่มเสียหลัก มู่อี้จิงยิ้มเยาะเมื่อเห็นยางรถที่เริ่มเสียรูปและรถกำลังเหวี่ยงตัวเองเพราะไม่อาจรักษาสมดุลระหว่างล้อทั้งสี่ได้อีกต่อไป

“วิ่งเร็ว!” เขาตะโกนให้หวางซิงออกมาจากรถ ก่อนจะวิ่งเข้าไปคว้าตัวให้วิ่งตามไปยังรั้วลวดดัดซึ่งกั้นเขตรถกับเขตสำหรับวางตู้คอนเทนเนอร์ หากปีนข้ามไปได้ ถึงจะไม่พ้นแนวกระสุนปืน แต่ก็ยังมีโอกาสหลบหลีกได้มากกว่า อย่างน้อยตู้คอนเทนเนอร์ก็ทำจากเหล็กทั้งนั้น คงป้องกันพวกเขาได้ดีในระดับหนึ่งหากพวกเขาต้องไล่ยิงกันถึงขนาดตายไปข้างจริง ๆ

มู่อี้จิงมองกลับไป เห็นฝ่ายนั้นหยุดรถได้แล้วและกำลังลงจากรถมาเขาก็รีบรุนหลังหวางซิงให้ปีนข้ามรั้วไปก่อนจะรีบปีนตามก่อนที่ฝ่ายนั้นจะตั้งหลักได้

“บ้าเอ๊ย!” ชายหนุ่มสบถเมื่อทิ้งตัวลงมาจากรั้ว ขาของเขาโดนยิงเข้านัดหนึ่ง

หวางซิงตั้งใจจะห้ามเลือด ทว่ายังไม่ทันได้โน้มตัวลงไป มู่อี้จิงก็กัดฟันลุกพรวดขึ้นจากพื้นแล้วพาเขาวิ่งตรงไปยังคอนเทนเนอร์ตู้หนึ่งก่อนจะทรุดฮวบลงแล้วหอบหายใจ

“มีผ้าเช็ดหน้าหรือเปล่าครับ?”

หวางซิงได้ยินดังนั้นก็รีบล้วงกระเป๋ากางเกงยกใหญ่ก่อนจะดึงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา มู่อี้จิงฉวยไปฉีกเป็นริ้วแล้วพันขาตรงที่ถูกยิงซึ่งตอนนี้เลือดออกจนชุ่มกางเกง

“คุณรอตรงนี้ดีกว่านะครับ ผมจะล่อพวกเขาไปเอง” หวางซิงตัดสินใจแน่วแน่ เพราะหากเขาคิดไม่ผิด มือปืนพวกนั้นต้องมาตามล่าเขาแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่อาจจะดึงมู่อี้จิงเข้ามาร่วมหัวจมท้ายในเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้ ทว่า หวางซิงก็ไม่ทันได้ปลีกตัวจากไปตามใจคิด มู่อี้จิงรีบคว้ามือของอีกฝ่ายก่อนจะดึงเข้ามาแนบชิดแล้วกอดไว้แน่นพลางกัดฟันกรอดเพราะหวางซิงเสียหลักล้มลงมาทับแผลเข้าพอดี

“อย่าพูดบ้า ๆ น่า คุณไม่เห็นหรือไงว่าพวกนั้นมีมากกว่า 1 คน ปืนมันก็มีมากกว่า 1 กระบอกเหมือนกัน ถึงคุณจะหนีไปอีกทาง มันก็ต้องมีคนมาเก็บผมอยู่ดีนั่นแหละ” มู่อี้จิงพูดเสียงต่ำแล้วเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้า ไม่นานนักเสียงปีนรั้วลวดเหล็กก็ดังขึ้น “รีบไปกันเถอะ”

แม้หวางซิงจะไม่อยากดึงมู่อี้จิงเข้ามาพัวพัน แต่คำพูดของอีกฝ่ายก็มีเหตุผล เขาจึงรีบลุกขึ้นพยุงนายตำรวจที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าตัวเองวิ่งลัดเลาะไปตามตู้คอนเทนเนอร์ที่ตั้งเรียงราย บางตู้ก็มีสินค้าเต็ม บางตู้ก็ว่างเปล่า แต่ว่า....หากเข้าไปซ่อนข้างใน พวกเขาก็มีโอกาสตายมากกว่ารอด เพราะตู้คอนเทนเนอร์มีประตูเข้าออกแค่ทางเดียว ซ้ำยังหนาหนัก แค่ขยับก็จะได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของสนิมเหล็ก พวกมือปืนต้องได้ยินอย่างแน่นอน

พวกเขาหลบหลีกโดยตามองชำเลืองมองฝ่ายตรงข้ามตลอด แต่ว่ามือปืนพวกนั้นก็ไม่ได้โง่เง่า เพราะตอนนี้คนที่อยู่ในสายตาหวางซิงมีแค่คนเดียว เหลือคงแยกย้ายกันตามหาเป็นแน่

มู่อี้จิงส่งสัญญาณให้หวางซิงเอาหลักแนบตู้คอนเทนเนอร์สีอิฐตู้หนึ่ง พวกเขาค่อย ๆ ขยับขาอย่างช้า ๆ

“มีคนหนึ่งอยู่ข้างหลังนี่” มู่อี้จิงกล่าวเสียงเบา

หวางซิงกลั้นหายใจเฮือก ตั้งแต่รับใช้จูเชว่มาสองรุ่น เขายังไม่เคยมีประสบการณ์ตกอยู่ในวงล้อมของมือปืนอย่างนี้มาก่อนเลย

มู่อี้จิงพยุงตัวเองให้ยืนตรงโดยไม่อาศัยแรงของหวางซิง เขารู้ว่ากับคนที่ใช้สมองมากกว่าร่างกายอย่างคนตรงหน้า ให้แบกผู้ชายตัวโต ๆ อย่างเขาวิ่งมาจนนี่ก็แทบแย่แล้ว หากให้เป็นหลักพยุงต่อไปเห็นจะเกินแรง ทว่าในจังหวะที่มู่อี้จิงกำลังตั้งหลักนั้นเอง หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นกระบอกปืนสีดำมันปราบโผล่ออกมาจากด้านข้างตู้ฝั่งที่เขายืนอยู่

“ระวัง!” ชายหนุ่มออกแรงผลักหวางซิงให้ล้มลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ปืนกระบอกนั้นลั่นเปรี้ยง มู่อี้จิงยิงสวนกลับไปโดนแขนเจ้าของปืนอย่างจึงทำให้ปืนกระบอกนั้นตกลงบนพื้น
ตอนแรกมู่อี้จิงตั้งใจจะเข้าไปแย่งปืนมา แต่เขากลับพบว่าฝ่ายนั้นมีปืนสำรองและตอนนี้กำลังเล็งมาทางศีรษะของเขา

ชั่ววินาทีนั้น มู่อี้จิงนึกถึงความตายโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วก็มีเงาดำวูบผ่านเขาไป

ผลั่ก!

คนสองคนล้มลงบนพื้น หวางซิงพุ่งตัวกระแทกมือปืนจนเสียหลัก เขารีบลุกขึ้นมาและหยิบปืนบนพื้นเล็งไปยังศีรษะของมือปืนแล้วลั่นไกไป 3 ครั้ง ร่างตรงหน้ากระตุกก่อนจะแน่นิ่งไป

หวางซิงหอบหายใจแรง เบิกตาโพลงมองภาพตรงหน้า

ตลอดชีวิตการรับใช้ตระกูลเซิน เขาเห็นคนตายมานักต่อนักแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ลงมือฆ่าด้วยตัวเอง

“คุณหวาง!” มู่อี้จิงตะโกนเรียกแล้วรีบคว้าตัวเจ้าของชื่อกลับเข้ามาในกำบังของตู้เหล็กก่อนที่กระสุนนัดหนึ่งจะเฉียดหน้าไปเสี้ยววินาที “ไม่เป็นไรใช่ไหม!?”

“ม....ไม่เป็นไรครับ...” หวางซิงเพิ่งตั้งสติได้จึงหายใจเข้าลึกหลายครั้ง

“รีบไปกันต่อเถอะ”

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมเสียงกระสุนที่พุ่งกระทบเหล็กกล้าหลายต่อหลายนัด บางนัดก็กระทบพื้นจนฝุ่นทรายฟุ้งขึ้นมา หวางซิงสลัดปืนในมือทิ้งแล้วพยุงมู่อี้จิงเปลี่ยนที่หลบภัย เพราะที่เดิมนั้นถูกยิงจนแทบพรุนแล้ว ซ้ำยังมีศพมือปืนทอดร่างอยู่ เป็นที่สังเกตมากเกินไป เสียงปืนที่ดังสนั่นคงเรียกมือปืนที่แยกย้ายกันไปให้รวมตัวยังจุดที่เกิดเหตุอย่างแน่นอน

“ขาเป็นยังไงบ้างครับ?” หวางซิงถามขณะกำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปยังตู้เหล็กใบใหม่ที่อยู่ห่างจากจุดเดินมากพอสมควร

“ยังพอวิ่งไหว.....” มู่อี้จิงตอบทั้งเหงื่อที่โซมเต็มหน้า กระสุนฝังลึกกว่าที่คิดไว้ แค่ขยับนิดเดียวก็เจ็บจนล้าไปทั้งขา แม้ปากจะพูดว่าไหว แต่ในความเป็นจริงขาของเขาสั่นจนแทบจะขยับไม่ไหว เลือดซึมออกมาจากปากแผลจนชุ่มผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวและย้อมให้กลายเป็นสีครั่งในความมืด

เสียงทะเลซัดกระทบฝั่งดังอยู่ไม่ไกล พวกเขาวิ่งเข้าไปใกล้จุดจอดเรือมากขึ้นเรื่อย ๆ

“อันนี้ผมขอนะครับ” หวางซิงกลั้นใจแย่งปืนจากมือมู่อี้จิงมาแล้ววิ่งออกไปจากที่กำบัง ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นหลายนัดแทบจะฟังไม่ออกว่ายิงมาจากทางใดบ้าง มู่อี้จิงเบิกตากว้าง อารามตกใจทำให้ลืมความเจ็บปวดไปเสียสนิท เขากัดฟันลุกพรวดแล้ววิ่งออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรในหัวเลยสักอย่างเดียว กระนั้นเขากลับพบว่าเสียงปืนดังอยู่ห่างจากจุดที่เขานั่งอยู่ไปมาก หวางซิงคงจะยิงไปวิ่งไปเพื่อล่อมือปืนไปอีกทางอย่างที่คิดจะทำตอนแรก ช่างเป็นคนมุทะลุด่วนคิดอะไรอย่างนี้!

มู่อี้จิงรีบโผตามเสียงไปเท่าที่ขากึ่งพิการของเขาจะทำได้ โดยคอยระวังรอบตัวตลอดเวลา

เสียงปืนยังไม่เงียบแสดงว่าหวางซิงยังมีชีวิตอยู่....

เขากัดฟันจนแทบแหลก ความเจ็บแล่นขึ้นมาตามกระดูกสันหลังจนก้านสมองชาดิก ถึงอย่างนั้นมู่อี้จิงก็ยังลากขาตัวเองต่อไปจนกระทั่งรู้สึกว่าเสียงปืนเริ่มหยุดนิ่งกับที่ ชายหนุ่มมองฝ่าความมืดออกไปเบื้องหน้าท่ามกลางเสียงปืนดังสนั่นและได้เห็นร่างในเสื้อเชิ้ตขาวทรุดนั่งอยู่หลังตู้คอนเทนเนอร์ใบใหญ่ใบหนึ่ง

เสียงปืนเงียบลง….

มู่อี้จิงรีบลัดเลาะและกลิ้งตัวหลบสายตามือปืนตรงไปยังร่างตรงหน้า

“คุณหวาง! เป็นอ......” ไม่ทันจะได้เอ่ยถาม เขาก็รู้สึกว่ามือของเขาสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่น

เสื้อเชิ้ตสีขาวส่วนหัวไหล่ถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีเข้ม มู่อี้จิงหัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากอก เขารีบแหวกเสื้อออกฝ่ายออกดู พบว่ามีแผลถูกยิงนัดหนึ่งที่หัวไหล่ หวางซิงสูดหายใจเฮือก ๆ เพื่อระงับความเจ็บ ในมือยังกุมปืนไว้แน่นทั้งที่สั่นเทาอย่างน่าสงสาร

“คุณมู่....” หวางซิงปรือตามองคนตรงหน้า เรือนผมสีดำที่เซ็ตจนเรียบกริบอยู่เสมอตอนนี้ยุ่งเหยิงและปรกลงมาเหนือดวงตาจนมองข้างหน้าไม่ชัด กระนั้นโครงร่างและสัมผัสก็ทำให้เขาคาดเดาได้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

“คุณโดนยิงที่ไหนอีก!?” มู่อี้จิงคำรามเสียงกร้าวแทบจะเป็นเสียงตะคอก หวางซิงไม่ได้ตอบคำแต่เบือนสายตาลงไปให้มู่อี้จิงมองตาม ตอนนั้นเอง นายตำรวจหนุ่มจึงเพิ่งเห็นวงเลือดที่กว้างกว่าบนหัวไหล่ เสื้อบริเวณสีข้างของหวางซิงถูกย้อมจนชุ่มโชกแทบไม่เหลือบริเวณสีขาวให้เห็น มิน่าเล่าหวางซิงถึงได้ดูเลื่อนลอยนัก บางทีแผลนี้คงจะโดนก่อนและทำให้เสียเลือดไปมากแล้วตลอดทางที่วิ่งมาจนถึงที่นี่

“คุณหวาง! คุณหวาง! มองผมสิ อย่าเพิ่งหลับตานะ!” มู่อี้จิงตบหน้าอีกฝ่ายให้มีสติ จริงอยู่ว่าการเสียเลือดเพราะกระสุนนัดเดียวอาจไม่ทำให้ช็อคถึงตาย แต่อารามตกใจก็ทำให้เขาเผลอคิดไปว่าอีกฝ่ายอาจจะตายก็ได้

“...ถ้า....เสียงดัง.....” หวางซิงเอ่ยเตือนเสียงกระท่อนกระแท่นทำให้มู่อี้จิงลดระดับเสียงลง

“ส่งปืนมาให้ผม”

หวางซิงส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง

“ทำไมล่ะ? คุณจะออกไปดวลปืนอีกหรือไง!?”

หวางซิงส่ายศีรษะอีกครั้งก่อนจะค่อย ๆ เค้นเสียงช้า ๆ

“กระสุน...หมดแล้วล่ะ...ครับ...”

มู่อี้จิงหน้าซีดเผือดทันที เขามีปืนแค่กระบอกเดียวซ้ำไม่ได้พกกระสุนสำรองออกมา มันคือทางรอดทางเดียวที่เขามีอยู่แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะหมดสิ้นหนทางเสียแล้ว

เสียงกระสุนดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดูวุ่นวายกว่าครั้งแรก แต่มู่อี้จิงกลับไม่มีอารมณ์จะไปสนใจ เขาทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ หวางซิงแล้วพยายามสูดหายใจเข้าออกหลายครั้งเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้สมอง

“ทำยังไง...ต่อดีครับ....” หวางซิงเอ่ยถาม

“ไม่รู้สิ....” มู่อี้จิงตอบตามตรงพลาเงี่ยหูฟังเสียงปืน เขารู้สึกแปลก ทำไมพวกนั้นถึงยังยิงอีกทั้งที่มองไม่เห็นพวกเขาทั้งสองคน หรือว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นนะ?

ในหัวของมู่อี้จิงไม่ได้คิดถึงความตายไว้เลย เขาคิดว่ามันจะต้องมีทางรอดสักทางหนึ่ง และจนกว่าจะพบทางนั้นเขาก็ต้องดิ้นรนให้สุดชีวิต ชายหนุ่มฉวยปืนจากมือหวางซิงมาถือไว้ในมือ

“แต่กระสุน....”

“ยังไงมันก็ทำจากเหล็กนะครับ ถึงจะยิงไม่ได้ อย่างน้อยก็ใช้ทุบหัวได้” มู่อี้จิงกัดฟันตอบ เขารู้ดีว่ามันดูเหมือนความคิดของสุนัขจนตรอก แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากสำนวนนั้นสักเท่าไหร่

มู่อี้จิงและหวางซิงนั่งหลบอยู่ตรงนั้นอยู่นานด้วยหัวใจที่เต้นแรง ลมหายใจถี่กระชั้น เหงื่อไหลหยดจากไรผม แต่ละวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงกระสุนปืนค่อย ๆ ซาลงเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป เสียงร้องดังขึ้นหลายครั้งด้วยความเจ็บปวด ข้างนอกนั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่? จะดีหรือร้ายกับพวกเขาก็ไม่อาจรู้ พวกเขาทำได้แค่นั่งรออยู่ตรงนี้และวัดดวงว่าวินาทีต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น

ในที่สุด เสียงกระสุนก็เงียบสนิท.....

มู่อี้จิงเงี่ยหูฟังไม่ได้ยินเสียงสนทนาแต่กลับมีเสียงฝีเท้าหลายคู่ค่อย ๆ ใกล้เข้ามา ชายหนุ่มกระชับปืนในมือด้วยความเคยชินโดยลืมไปเสียสนิทว่าลูกกระสุนหมดแม็กซ์แล้ว

ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็วูบมาตรงหน้า มู่อี้จิงเหวี่ยงปืนจ่อไปยังร่างนั้นทันทีเป็นวินาทีเดียวกับที่ปืนอีกกระบอกจ่อตรงมายังหน้าผากของเขา

เสียทีแล้ว....

มู่อี้จิงกัดฟันยอมรับชะตากรรมก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหน้าของคนที่จะตัดสินชีวิตตนเอง ทันใดนั้น ใบหน้าที่ไม่เชิงคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ที่ฉายเป็นฉากหลัง เขาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ และคิดว่าบางทีเขาอาจจะหมดสติเพราะเสียเลือดแล้วฝันไปก็ได้จึงมีโอกาสได้เห็นภาพนี้ต่อหน้าต่อตา

สายตาเฉียบขาดเยียบเย็นจับจ้องลงมาพร้อมกดกระบอกปืนลงจนเขารู้สึกเจ็บ ก่อนที่จะได้ยินฝ่ายนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“คิดว่ากำลังหันปืนใส่ใครอยู่ นักสืบมู่”

TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 21-03-2011 01:46:58
แล้วใครล่ะ ????
ใครจะมาช่วยสองคนนี้ทันเนี่ยยยย
ตื่นเต้นมากนะ  T^T
แล้วเฟยเฟย จะต้องฆ่าใครอีกมั่ง
โฮๆๆ น้องเพิ่ง 18 เองนะ  ฮึกกกก
รอตอนหน้าอย่าจดจ่อ !!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 21-03-2011 08:38:26
ตอนอ่านนี่ ลุ้นเหงื่อตกเลย เพราะ อาซิงกับคุณมู่อยู่ในสถานการณ์คับขันเจียนตายมาก~ :serius2:
หวังว่าคนที่โผล่มา (ช่วย) ตอนท้ายคงเป็น เสี่ยวเฟย นะ...
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 21-03-2011 08:43:19
ใช่เซินเฟยป่าวเอ่ย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 21-03-2011 08:48:04
 o13เป็นฉากต่อสู้ที่มันดุเดือดมากลุ้นทุกหายใจเลยค่ะ

มู่อี้จิงกัดฟันยอมรับชะตากรรมก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหน้าของคนที่จะตัดสินชีวิตตนเอง ทันใดนั้น ใบหน้าที่ไม่เชิงคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ที่ฉายเป็นฉากหลัง เขาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ และคิดว่าบางทีเขาอาจจะหมดสติเพราะเสียเลือดแล้วฝันไปก็ได้จึงมีโอกาสได้เห็นภาพนี้ต่อหน้าต่อตา

สายตาเฉียบขาดเยียบเย็นจับจ้องลงมาพร้อมกดกระบอกปืนลงจนเขารู้สึกเจ็บ ก่อนที่จะได้ยินฝ่ายนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“คิดว่ากำลังหันปืนใส่ใครอยู่ นักสืบมู่”

^
^
 o22แล้วเค้าเป็นใครคะหรือว่าจะเป็นฉู่เหวินจือรึเปล่า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 21-03-2011 09:37:40
ใครฟระ  หวังว่าจะเป็นเซินเฟยนะ  เพี๊ยงงงง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Isuru ที่ 21-03-2011 13:58:03
กรี๊ดดดด ค้างอีกแล้วครับท่าน
เฟยเฟยมาแน่ๆเลย  ลุ้นจนใจจะขาด
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 21-03-2011 14:26:17
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดด  !!!!!!! เฟยเฟยใช่ไหมที่มาช่วยอาซิง กะอามู่อ่ะ

อยากอ่านอีก ลุ้นมากๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 21-03-2011 18:21:38
วู้ววว ดุเด็ดเผ็ดมันกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 21-03-2011 18:42:08
อาเฟยมาช่วยพี่ชายสุดที่รักแล้ว เย้เย โฮ้ย ลุ้นๆ อยากอ่านอีกๆ ไรเตอร์สู้ๆๆนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 21-03-2011 21:40:26
กรี๊ดดดดดดดด อาเฟยแน่นอน ชัวร์ป๊าบ!!!
อร๊ายยย มาแล้วๆๆๆๆ อ่านไปลุ้นไป เครียดๆ เหมือนกำลังดูหนังเลยค่ะ
บรรยายออกมาเป็นฉากๆได้ดีมากกกก เล่นเอาเครียดไปตามๆกัน 55+
รออาเฟยและอาฉู่ตอนต่อไปค่า~ ชอบๆๆ
นักสืบมู่ดูแลอาซิงได้ดีมากเลยอ่า น่ารักดีอ่ะ คู่นี้ไม่smเหมือนคู่อาเฟย :haun4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 25 (21/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 21-03-2011 23:12:15
ติดตามคดีอย่างใกล้ชิด ลุ้นไปกับมู่และหวางสุดๆเลยครับ รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 22-03-2011 00:34:06
-26-


มู่อี้จิงรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในความฝัน เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขากำลังเผชิญกับวินาทีเสี่ยงตายกับกระสุนปืนหลาบสิบนัดและตู้คอนเทนเนอร์สิบกว่าตู้ที่เขาใช้เป็นที่กำบังตน แต่ในเวลานี้ เขากลับกำลังนั่งอยู่ในห้องสูทของโรงแรมแห่งหนึ่ง บาดแผลที่ขาได้รับการพยาบาลอย่างเรียบร้อย ทั้งผ่ากระสุนออกและเย็บปิดแผลโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปหาหมอถึงโรงพยาบาล

ฝั่งตรงข้ามกับโซฟาที่เขานั่งอยู่ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังจิบชาอย่างใจเย็น ท่าทางของฝ่ายนั้นยังคงสุขุม ไว้ตัว และเข้าหายากเหมือนเดิมไม่มีผิด ที่ด้านหลังเด็กหนุ่มคนนั้นคือชายร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำ 2 คน ห่างออกไปตรงเก้าอี้สำหรับดูโทรทัศน์มีชายหนุ่มอีกคนกำลังนั่งเอกเขนกดูข่าวรอบดึกทั้งที่แขนยังใส่เฝือก

หากจะให้เขาย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่เขาก็ต้องเรียบเรียบความทรงจำที่กระจัดกระจายเพราะความตื่นตระหนกเสียเล็กน้อย

ตอนนั้นเขากำลังเงี่ยหูฟังเสียงกระสุนที่แผดลั่นไม่หยุดหย่อน สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นทุกขณะจิต ไม่รู้ว่าด้านหลังตู้เหล็กที่เขาใช้กำบังกายนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่จะให้เขาฉวยโอกาสนี้หนีไปก็ไม่ได้เพราะด้านหลังของเขามีคนเจ็บอีกคนหนึ่งที่อาการสาหัสยิ่งกว่าเขาเสียอีก

หวางซิง

ใครจะไปคิดว่าผู้ชายท่าทางเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้จะเกิดมีลูกบ้ากับเขาได้เหมือนกัน อยู่ ๆ ก็แย่งปืนไปแล้วสวมบทพระเอกหนังฮอลิวูดวิ่งไล่ยิงกับมือปืนที่ชำนาญมากกว่าไม่รู้กี่เท่าตัว

ผลจะเป็นอะไรไปได้นอกจากแพ้อย่างหมดรูป นอกจากบาดเจ็บแล้วกระสุนปืนยังหมดเกลี้ยง

แล้วสภาพในเวลานั้นก็เป็นอย่างที่เขาว่าก่อนหน้านี้ พวกเขาสองคนคอยเงี่ยหูฟังสถานการณ์อย่างใจจดใจจ่อ เพื่อหาหนทางฝ่าดงกระสุนออกไปให้ได้ ในตอนนั้นมู่อี้จิงรู้สึกเหมือนตัวเองเปลี่ยนหน้าที่จากตำรวจสืบสวนสอบสวนกลายเป็นหน่วยสวาทชั่วคราว เพียงแต่เขาไม่มีทั้งเกราะและอาวุธ ช่างเป็นสภาพที่น่าสมเพชที่สุดในชีวิตตำรวจก็ว่าได้ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่จวนตัวจนคิดอะไรไม่ทันอย่างนี้มาก่อนเลย

อย่างไรก็ตาม หลังจากทนเงียบรอสถานการณ์อยู่นาน เสียงกระสุนก็ค่อย ๆ หายไปจนเหลือเพียงเสียงคลื่นทะเลกระทบชายฝั่งและเสียงลมหายใจของพวกเขาสองคน ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าสืบเข้ามาใกล้ราวกับรู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงนี้ และเพราะมองไม่เห็นอีกฝ่ายเขาจึงไม่รู้ว่านั่นคือมิตรหรือศัตรู ดังนั้น ก่อนที่จะถูกจัดการเขาก็ต้องลงมือก่อน ถึงปืนจะไม่มีกระสุนแต่ก็คงช่วยทำให้อีกฝ่ายชะงักไปได้ มู่อี้จิงจึงตัดสินใจเล็งปืนไปยังช่วงท้องของฝ่ายตรงข้ามเนื่องจากเขาอยู่ในท่านั่งและไม่รู้ส่วนสูงของคนที่จะโผล่มา จะให้เล็งศีรษะโดยทันทีคงเป็นไปได้ยาก ทว่าฝ่ายนั้นกลับเร็วกว่า ปลายกระบอกปืนสีดำมะเมื่อมกดลงบนหน้าผากของเขาอย่างไม่ลังเล

วินาทีนั้นเขาคิดว่าต้องตายแล้วแน่ ๆ....

ทว่า....

“คิดว่ากำลังหันปืนใส่ใครอยู่ นักสืบมู่”

เสียงที่ได้ยินและภาพที่เห็นทำให้เขาอยากหันปืนใส่ตัวเองแล้วกระแทกศีรษะสักที จะได้รู้ว่าตัวเองฝันไปหรือไม่ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ทำได้เพียงนั่งตาค้างอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนปลาขาดน้ำ เขาค่อย ๆ ลดปืนลง ฝ่ายนั้นจึงชักปืนกลับไปเก็บไว้ใต้เสื้อโค้ทตัวยาว

จากนั้นก็มีคนเข้ามาสมทบอีก 5 คน คือการ์ดสองคนในห้องนี้ คนแขนหักคนหนึ่ง และการ์ดอีกสองคนที่ตอนนี้คนหนึ่งกำลังยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ส่วนอีกคน.....

มู่อี้จิงหันไปมองประตูห้องนอน การ์ดอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องนั้นกับหวางซิงที่หมดสติไปแทบจะทันทีที่พวกเขาปลอดภัย

พวกเขาทั้งสองคนถูกคนเหล่านั้นพาตัวมาถึงที่นี่ จากนั้นรอเพียงไม่นาน หมอคนหนึ่งก็ถูกเรียกตัวมา เขาได้รับการรักษาก่อนเพราะแผลไม่ร้ายแรงนัก ส่วนหวางซิงนั้น หมอเข้าไปในห้องได้สองชั่วโมงแล้วแตก็ยังไม่กลับออกมา อีกทั้งไม่มีเสียงอะไรในห้องนั้นเลยทำให้เขาเริ่มเป็นกังวล

มู่อี้จิงเบนสายตากลับมายังคนตรงหน้าอีกครั้ง

อย่างไรเขาก็ทำใจเชื่อได้ยากว่าคน ๆ นี้จะปรากฏตัวขึ้นจริง ๆ หลังจากเขาพยายามสืบข่าวและตามหาตัวมาเกือบเดือน ซ้ำท่าทางยังสบายดีไร้รอยบาดแผลทั้งที่อยู่ในเรือที่เกิดระเบิดขึ้น ถ้าหากคน ๆ นี้ไม่ใช่คนที่สวรรค์เมตตาเป็นพิเศษก็ต้องเป็นคนที่นรกไม่อยากรับไปอยู่ด้วยแน่ ๆ

“มีเรื่องจะถามก็พูดออกมาตรง ๆ เถอะ” ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเริ่มรำคาญสายตาแสดงความสงสัยของเขาจึงเปิดปากเป็นครั้งแรกนับจากที่พวกเขามาถึงโรงแรม

“คุณ....” มู่อี้จิงพยายามนึกคำที่เหมาะสม “จูเชว่ คุณหายไปไหนมา....ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่....”

เด็กหนุ่มปรายตาขึ้นจากถ้วยชาก่อนจะหลุบลงไปอีกครั้ง

“คุณถูกตัดความช่วยเหลือใช่ไหม?”

“รู้ได้ยังไง.....”

“เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น แค่ข้ามทะเลไปหาข่าวของผมบนเกาะที่อยู่ห่างจากฮ่องกงแค่ 1 กิโลเมตรคงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง”

“บนเกาะ....ที่อยู่ห่างไป 1 กิโลเมตร....” มู่อี้จิงเบิกตากว้าง แรงระเบิดจะส่งคนสองคนไปได้ไกลถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ซ้ำตอนเกิดระเบิดยังเป็นเวลากลางคืน เรือประมงที่ไหนจะออกมาหาปลาแล้วบังเอิญเจอคนกำลังหมดสติอยู่บนผิวน้ำได้กัน? และเพราะเขาคิดอย่างนั้นจึงตั้งใจหาตามชายฝั่งท่าเรือมาตลอดจนกระทั่งถูกตัดความช่วยเหลือจึงไม่อาจส่งทีมงานไปค้นหาได้อีก

เซินเฟยไม่อยากอธิบายการรอดชีวิตปาฏิหาริย์ของตนให้มากความ เพราะความจริงเป็นอย่างไรแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่กระจ่าง คนที่รู้เรื่องทั้งหมดกลับเอาแต่ทำหน้าเป็นเล่าแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ จริงบ้างเท็จบ้างจับอะไรเป็นตัวไม่ได้เลยสักอย่างเดียว สิ่งเดียวที่เซินเฟยแน่ใจได้คือตัวเองถูกช่วยชีวิตไว้โดยคนที่ไม่เคยคาดหวังจะฝากชีวิตด้วย ซ้ำฝ่ายนั้นยังบาดเจ็บแทนเสียอีก

แน่นอนว่าเขาไม่ได้สำนึกบุญคุณอะไรมากมาย ในชีวิตของเขาต้องมีคนสังเวยแทนไม่รู้เท่าไหร่ หากมัวแต่นั่งสำนึกบุญคุณคนนั้นคนนี้ เขาคงต้องกราบไหว้บูชาป้ายวิญญาณเช้าจรดเย็น

เขาเพียงแต่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น.....ในความบังเอิญแสนจะบังเอิญ....

บังเอิญว่าฉู่เหวินจืออยู่ที่นั่น บังเอิญว่าฉู่เหวินจือมีสติพอจะคว้าตัวเขาไว้ บังเอิญว่ามีเรือประมงฝืนกฎออกมาหาปลา บังเอิญว่าพวกเขาถูกพัดลอยไปจนใกล้เรือ

มีเรื่องบังเอิญอยู่มากเกินไปจนเซินเฟยไม่อาจทำใจให้เชื่อทั้งหมดได้

ตอนที่เขาบอกว่าจะกลับฮ่องกง ฉู่เหวินจือสามารถดำเนินการได้ทันทีซ้ำยังติดต่อใครบางคนอย่างลับ ๆ ให้นำเรือเล็กมารับพวกเขาขึ้นฝั่ง ถึงอย่างนั้นกว่าจะได้ขึ้นฝั่งจริง ๆ ก็เป็นเวลาดึกสงัด ฉู่เหวินจือให้เหตุผลว่า เพื่อหลบเลี่ยงสายตาสอดรู้สอดเห็นของเซินหยู่ที่อาจยังเฝ้าดูชายฝั่งอยู่

เรื่องนี้เซินเฟยค่อนข้างเห็นด้วยจึงไม่ได้ว่าอะไร

เขาสามารถติดต่อกับที่บ้านใหญ่ได้ในทันที จึงให้ส่งตัวการ์ดออกมา 4 คนเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย แต่ว่า ตอนกำลังคิดว่าจะไปกบดานที่ไหนชั่วคราว พวกเขาก็พบกับเหตุการณ์ดวลปืนกันเสียก่อน ตอนแรกเขาไม่ได้คิดเข้าไปยุ่ง แต่อย่างไรเสียท่าเรือนี้ก็เป็นเขตอิทธิพลของเขา จะให้มาทำวุ่นวายจนสินค้าเสียหายเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจึงต้องยื่นมือเข้าไปจัดการ

ไม่นึกว่าจะได้เจอคนรู้จักถึงสองคน.....

เซินเฟยปรายตาขึ้นมองมู่อี้จิงอีกครั้ง

“ตอนนี้คุณสืบเรื่องถึงไหนแล้ว”

“อ....อ๋อ....เอ่อ.....” เพราะถูกถามกะทันหันโดยไม่ได้คิดไว้ มู่อี้จิงจึงอ้ำอึ้งไปชั่วครู่ “ผม....”

“ช่างเถอะ” ได้ยินเสียงตอบแบบนี้คงจะยังไม่ก้าวหน้าไปไหน เซินเฟยไม่ได้คิดต่อว่าอีกฝ่ายเพราะความเป็นจริงนั้นซับซ้อนเกินกว่าตำรวจมือใหม่อย่างมู่อี้จิงจะทำความเข้าใจได้ และยังถูกกดดันให้เลิกสืบสวน ตัดงบประมาณ ตัดกำลังช่วยเหลือ แม้แต่สารวัตรหรงก็ยังเข้ามาจัดการไม่ได้ ดิ้นรนมาถึงขั้นนี้โดยไม่ท้อและรามือไปเสียก่อนก็นับว่าดีถมเถไปแล้ว “ถ้าอธิบายเรื่องระเบิดยังไม่ได้ ก็อธิบายเรื่องมือปืนแล้วกัน”

“เรื่องนั้น.....ดูเหมือนจะเป็นมือปืนที่ตามจับตาดูคุณหวางครับ”

“แล้วยังไงต่อ?”

“ก่อนหน้านี้เคยมีครั้งหนึ่งที่ผมไปพบคุณหวาง แต่ผมเห็นว่าใบหน้าคุณหวางมีแผลโดนทำร้ายบางทีอาจจะเป็นนของเซินหยู่ ผมยังไม่อยากตีความไปว่าเกี่ยวข้องกัน แต่วันต่อมาผมก็สังเกตว่ามีคนจับตาดูคุณหวางอยู่ เพราะฝ่ายนั้นปรากฏตัวเฉพาะเวลาที่ผมอยู่กับคุณหวาง พอผมพาคุณหวางไปส่งที่บ้านแล้วก็จะเลิกตามและจับตาดูอยู่ที่บ้านใหญ่ครับ” มู้อี้จิงเล่าเหตุการณ์เท่าที่ตนเองรู้แบบสรุปย่อ เซินเฟยพยักหน้ารับช้า ๆ

“เท่าที่คุณเล่า ดูเหมือนจะเป็นการจับตามองเพื่อหาโอกาส”

“ผมก็คิดอย่างนั้น” มู่อี้จิงรับ “ผมถึงได้คอยอยู่ใกล้ ๆ คุณหวางตลอด ถ้าผมไม่อยู่ด้วยผมก็กำชับให้เอาการ์ดติดตัวไปด้วยเสมอ”

“แล้วเกิดอะไรขึ้น?”

“อะไรนะครับ?”

เซินเฟยพรูลมหายใจออกมาก่อนจะถามซ้ำ

“วันนี้เกิดอะไรขึ้น มือปืนพวกนั้นถึงลงมือทั้งที่คุณอยู่ด้วย”

“ผมมีข้อสงสัยอยู่ 2 แบบ” มู่อี้จิงว่าก่อนจะนิ่งนึก “ข้อแรก ผู้ว่าจ้างอาจร้อนใจจึงสั่งลงมือ หรือไม่ ก็เพราะฝ่ายนั้นรู้แล้วว่าผมรู้สึกตัวและกำลังปิดโอกาสของพวกเขา”

“งั้นหรือ.....” เซินเฟยทอดเสียงแล้วกระซิบกับตัวเอง “ผู้ว่าจ้าง....”

“ถ้าไม่ใช่คนที่ขัดผลประโยชน์ก็น่าจะ....”

“....เป็นคนที่ไม่พอใจที่อิทธิพลของผมยังมีเหลืออยู่ทั้งที่ตัวน่าจะตายไปแล้ว” เซินเฟยต่อประโยคของมู่อี้จิงจนจบ “อาซิงไม่เคยขัดผลประโยชน์กับใครโดยตรง เพราะยืนอยู่ข้างหลังผมและเป็นปากเสียงของผม ถ้าพูดถึงเรื่องขัดผลประโยชน์ควรเพ่งเล็งที่ผมถึงจะถูก”

“แปลว่าคุณมีคนที่สงสัยอยู่แล้ว?” มู่อี้จิงมุ่นคิ้ว

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เซินเฟยแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ได้เจาะจงแน่ชัดว่ารู้หรือไม่ แต่ไม่ทันที่มู่อี้จิงจะได้ถามต่อ ประตูห้องนอนก็เปิดออกพร้อมร่างของนายแพทย์ที่ถูกตามตัวมากลางดึก

“ผมผ่ากระสุนออกหมดแล้ว แผลก็เย็บเรียบร้อย ยาแก้อักเสบก็ให้กินไปแล้ว ตอนนี้ก็ให้คุณหวางนอนพักไปก่อนก็แล้วกันนะครับ” จ้าวผิงเหอกล่าวพลางเช็ดมือ เขาเพิ่งจะล้างเลือดออกไปจนหมด และเก็บอุปกรณ์ในห้องเรียบร้อยด้วยความช่วยเหลือของการ์ดและลูกมืออีกคน

“รบกวนคุณหมอแล้วนะครับ” เซินเฟยว่าพลางหยิบสมุดเช็คขึ้นมาเซ็นแล้วยื่นให้

“ผมชินกับการรบกวนแบบนี้แล้วล่ะครับ ไม่ต้องเกรงใจไป” จ้าวผิงเหอรับเช็คมายื่นให้ลูกมือซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่ดูอายุไล่เรี่ยกับเซินเฟยแต่รูปร่างใหญ่กว่าเล็กน้อย

จ้าวผิงเหอนอกจากเป็นหมอในโรงพยาบาลแล้ว เขายังรับรักษาให้กับพลเมืองนอกกฎหมายหรือคนที่ต้องการปกปิดฐานะตัวตนอีกด้วย แต่แน่นอนว่าการให้บริการเป็นกรณีพิเศษนี้ต้องมีค่าตอบแทนสูงกว่าการให้บริการในโรงพยาบาล สำหรับเซินเฟยที่เป็นบุคคลหายสาบสูญก็นับเป็นหนึ่งในกรณีเหล่านั้น แม้คนที่เขารักษาให้จะเป็นมู่อี้จิงและหวางซิงก็ตาม

“ว่าแต่ เช็คใบนี้จะสามารถใช้ได้เมื่อไหร่หรือครับ?”

เพราะเซินเฟยยังคงเป็นบุคคลหายสาบสูญตามกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้จนกว่าฐานะตัวตนจะชัดเจน เช็คใบนี้จึงจะแค่เศษกระดาษจนกว่าเซินเฟยจะตัดสินใจแสดงการมีตัวตนต่อสาธารณะ

“ภายในหนึ่งเดือน คุณจะได้เงินจำนวนนั้นแน่นอน” เซินเฟยตอบคำโดยไม่หันมองคู่สนทนา “แล้วก็ ช่วยเก็บเรื่องเป็นความลับด้วยนะครับ เงินค่าปิดปากผมรวมไปในเช็คใบนั้นแล้ว”

“ทราบแล้วครับ” จ้าวผิงเหอรับคำด้วยรอยยิ้ม “กลับกันเถอะ” เขาหันไปสั่งเด็กหนุ่มที่หอบหิ้วข้าวของตามมา

หลังจากจ้าวผิงเหอจากไปแล้ว ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

“นักสืบมู่ กรุณาตามผมมาด้วยครับ” การ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางหน้าเมื่อมู่อี้จิงคิดจะเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อดูอาการหวางซิง ชายหนุ่มหันมองเซินเฟยทันทีเพราะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจึงขวางเขาเอาไว้

“ค้างเสียทีนี่แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันก็แล้วกัน อย่างไรเสีย ตอนนี้อาซิงก็หลับไปแล้ว คุณเข้าไปก็ไม่ได้อะไร” เซินเฟยกล่าวเสียงเรียบ “ห้องของคุณอยู่ข้าง ๆ นี้ ผมจะให้การ์ดไปคุ้มครองด้วยสองคน แล้วพรุ่งนี้พอคุณตื่นแล้วเราค่อยคุยกันต่อ”

ถึงถ้อยคำจะดูเต็มไปด้วยความปรารถนาดี ทว่ามู่อี้จิงกลับตีความได้อีกแบบหนึ่ง...

เซินเฟยต้องการความมั่นใจว่าเขาจะไม่เปิดโปงเรื่องที่ตนเองกลับมาแล้วด้วยสาเหตุบ้างอย่าง อีกทั้งยังให้การ์ดมาคอยเฝ้าเพื่อที่เขาจะไม่หนีไปไหน

มู่อี้จิงไม่ใช่คนที่ชอบทำตามคำสั่งมาแต่ไหนแต่ไร แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เข้าข้างเขาเอาเสียเลย

“เข้าใจแล้วครับ” เขาจำต้องรับคำแล้วเดินตามการ์ดออกไป

เซินเฟยมองนาฬิกา

ตี 4 แล้ว.....

คืนนี้ช่างยาวนานจริง ๆ พอได้พักสบายในโรงพยาบาลไม่เท่าไหร่ก็ต้องเหนื่อยตั้งแต่คืนแรกที่กลับมาถึงเกาะฮ่องกง เป็นเพราะร่างกายของเขาเพิ่งหายดี พอฝืนมากเข้าก็เริ่มล้าขึ้นมาเหมือนกัน เซินเฟยลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนที่เหลือก่อนจะปิดประตูแล้วถอดรองเท้ากับเสื้อนอกออก เขาพาตัวเองคลานขึ้นไปนอนบนเตียง ก็อดนึกถึงความนุ่มสบายของเตียงที่บ้านขึ้นมาไม่ได้ เตียงของโรงพยาบาลทั้งแข็งและสาก เขานอนไม่ค่อยสบายนัก ใครจะว่าเขาหัวสูงก็ช่างปะไร ความเคยชินในรูปแบบการใช้ชีวิตมันไม่ได้มาจากความตั้งใจของเขาเสียหน่อย การที่เขาชินกับการนอนที่สบายก็เพราะตั้งแต่อายุ 12 ก็ใช้ชีวิตที่บ้านใหญ่ตลอด นาน ๆ ครั้งถึงมีโอกาสนอนโรงแรมแต่ก็เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ไม่เคยต้องตกระกำลำบากสักครั้ง

พอหัวถึงหมอน เซินเฟยก็พรูลมหายใจออกมา แผ่นหลังที่จมลงไปในเตียงโอบอุ้มแนวกระดูกไว้อย่างพอดี หมอนที่ถูกตบจนฟูนุ่มรับกับระดับของต้นคอ ผ้าห่มทำจากผ้าเนื้อนุ่มลื่นไม่ทำให้เกิดอาการระคายผิว เครื่องปรับอากาศทำงานในอุณหภูมิที่เหมาะสมทำให้รู้สึกเย็นสบายกำลังดี

มีคนเคยกล่าวว่า มีแต่คนที่เคยหิวจึงรู้จักอิ่ม ตอนนี้เซินเฟยก็กำลังเป็นเช่นนั้น เมื่อได้ประสบพบความลำบากจึงรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองมีอยู่นั้นสุขสบายแค่ไหน แต่ความสุขสบายนั้นก็แลกมาด้วยความยากเย็นแสนเข็ญแทบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน

เพราะไม่อยากจะให้ตัวเองหนักสมองในตอนนี้ เซินเฟยจึงค่อย ๆ หลับตาลงและปล่อยให้สติลอยละลิ่วตกลงสู่ห้วงนิทรารมย์

-------------------->

หวางซิงปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เพดานสีขาวลอยอยู่ตรงหน้า แสงสลัวสีส้มเหลืองครอบคลุมรอบตัว เสียงเครื่องปรับอากาศดังอยู่ไกลออกไปไม่มากนัก เขาพยายามลุกขึ้นเพื่อควานหาแว่นตาแต่กลับรู้สึกปวดสีข้างขึ้นมาจึงเลื่อนมือลงไปจับก็พบรอยเย็บสั้น ๆ ประดับอยู่

ไม่ใช่ความฝัน......

หวางซิงหัวเราะออกมา

ไม่ใช่ความฝันจริง ๆ ด้วย....

ตอนนั้นที่กำลังนอนรอความตายอยู่เงียบ ๆ เขาได้เห็นจริง ๆ คนที่เขาคาดหวังและรอคอยให้กลับมา

เซินเฟย...

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 22-03-2011 00:34:27
หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรแทบไม่ได้เพราะหมดสติไปเสียก่อน แต่พอจะรู้สึกตัวตอนที่มีคนป้อนอะไรบางอย่างให้กลืนลงคอไป จากนั้นเขาก็หมดสติไปอีกจึงไม่รู้ว่ารอบตัวเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่แผลของเขาถูกเย็บปิดสนิทแนบเนียนแบบนี้จะเป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกจากหมอจ้าวผิงเหอ และคนที่มีอิทธิพลขนาดเรียกตัวจ้าวผิงเหอออกมากลางดึกเพื่อรักษาเขาจะมีให้คาดเดาได้สักกี่คน

ชายหนุ่มมองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาเที่ยงเข้าไปแล้ว

หวางซิงพยายามพาตัวเองลุกจากเตียงทั้งที่สมองยังง่วงมึนด้วยฤทธิ์ยา เดินเซซ้ายทีขวาทีจนถึงประตูห้องและเปิดออกด้วยแรงที่เหลืออยู่

ห้องที่เขาเห็นนั้นดูไม่เหมือนห้องในบ้านใหญ่ บางทีเขาอาจถูกพาตัวมาที่โรงแรม

ทำไมกันล่ะ?

หากเซินเฟยกลับมาแล้วทำไมจึงไม่ปรากฏตัวที่บ้านใหญ่เพื่อประกาศว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ทำไมจึงต้องมาหลบซ่อนในโรงแรมด้วย?

“ตื่นแล้วหรือครับเลขาหวาง?” การ์ดคนหนึ่งเอ่ยทักแล้วพยุงเขาไปนั่งที่โซฟา

“เกิดอะไรขึ้น....ทำไมพวกคุณถึง.....” หวางซิงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่มองไปรอบตัวแล้วไม่มีใครอยู่ในห้องเลยจึงได้แต่ถามคนตรงหน้าที่เหลือเพียงคนเดียว

“คือ.....” อีกฝ่ายอึกอัก “หลังจากเลขาหวางปลอดภัยแล้ว ท่านจูเชว่ก็เข้านอน แต่เมื่อครู่ผมเข้าไปปลุกก็พบว่าท่านจูเชว่ไข้ขึ้นนิดหน่อย คงเป็นเพราะเมื่อคืนอดหลับอดนอนทั้งที่ร่างกายเพิ่งหายดี ตอนนี้คุณฉู่ก็เลยออกไปซื้อยาอยู่ครับ”

“ฉู่เหวินจือ?”

“ใช่ครับ”

หวางซิงนิ่งเงียบไป ไม่นึกว่าแม้แต่ผู้ชายคนนั้นก็จะรอดด้วย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหลัก

“ผมเข้าไปพบคุณเซินได้ไหม?”

คำถามของหวางซิงทำให้การ์ดดูลังเลเล็กน้อย

“ท่านจูเชว่กำลังพักผ่อน ถ้าเลขาหวางไม่ทำให้ตื่นก็คง....”

“ไม่หรอกครับ ผมแค่อยากจะดูให้แน่ใจเท่านั้น” หวางซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนจนน่าสงสาร การ์ดหนุ่มเองก็พอเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่าย เพราะหลังจากเซินเฟยหายตัวไป หวางซิงก็มีสภาพเหมือนคนอมทุกข์ไม่ค่อยยิ้มแย้มเหมือนเดิม หากมีวิธีไหนที่ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจได้เต็มที่ว่าเจ้านายที่ภักดีได้กลับมาอยู่ข้างกายแล้ว เจ้าตัวคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเบา ๆ ด้วยนะครับ” การ์ดหนุ่มหมดหนทางจะปราม เขาช่วยพยุงหวางซิงไปส่งถึงประตูและปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าไปด้วยตัวเอง

หวางซิงเปิดประตูเข้าไปในห้องก่อนจะปิดอย่างเบามือ

ตรงหน้าของเขาคือเตียงหลังหนึ่งซึ่งมีร่างของเด็กหนุ่มทอดอยู่ ท่าทางการนอนสงบนิ่ง ใบหน้าไม่มีร่องรอยของเลือดฝาดที่มากจนผิดสังเกต หวางซิงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นอีกนิดหนึ่งก่อนค่อย ๆ คุกเข่าลงข้างเตียงแล้วแตะมืออีกฝ่ายเพื่อยืนยันกับตัวเองว่าเซินเฟยอยู่ตรงนี้จริง ๆ

เมื่อมือของเขาสัมผัสกับฝ่ามืออุ่นของคนที่มีเลือดเนื้อ น้ำตาหยดใสก็ร่วงลงอาบแก้มอย่างไม่อาจห้ามตนเองได้

“คุณเซิน.....” เขาเอ่ยเรียกเบา ๆ แล้วเลื่อนมือขึ้นแตะพวงแก้มที่ดูซูบตอบไปจากตอนที่เห็นครั้งสุดท้าย มือของเขาสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติเพียงเล็กน้อย

หวางซิงบีบมือของเซินเฟยแน่นขึ้นจนรู้สึกถึงแรงบีบตอบจึงยิ้มออกมา

“คุณเซินกลับมาหาผมแล้วหรือครับ” เขาพูดเสียงค่อยด้วยเกรงจะไปรบกวนการนอน “ผมคอยคุณเซินอยู่ตลอดเลย ผมกลัวจริง ๆ กลัวว่าคุณเซินจะไม่กลับมาอีกแล้ว”

ไม่มีการตอบสนองจากร่างที่นอนนิ่งสนิท เซินเฟยคงจะเหนื่อยมากจริง ๆ กับเรื่องเมื่อคืนนี้ ทั้งที่อุตส่าห์หายดีกลับมายังต้องเจอเรื่องต้องออกแรงเสียแต่วันแรก จะไข้ขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เซินเฟยสุขภาพไม่ค่อยดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

หวางซิงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพียงแต่ปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างเงียบ ๆ และจับมือเซินเฟยไว้อย่างนั้นทั้งที่ยังคุกเข่าโดยไม่อนาทรต่อบาดแผลของตัวเอง เหตุการณ์ครั้งนี้สำหรับเขาแล้วน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่เซินเฟยถูกยิง น่ากลัวกว่าตอนที่เซินเฟยหมางเมินใส่เพราะถูกล่วงเกินอย่างร้ายกาจ เพราะหากพลาดพลั้งเพียงนิดเดียวเขาอาจจะเสียเจ้านายคนนี้ไปตลอดกาล แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรอดชีวิตจากเหตุระเบิดนั้นได้อย่างไร แต่แค่รอดชีวิตกลับมาได้ก็เพียงพอแล้ว หลังจากนี้จะให้เขากินเจไปอีกกี่สิบปี หรือให้ทำบุญโปรดสัตว์อีกกี่ชีวิตเขาก็ทำได้ทั้งนั้น

หวางซิงค่อย ๆ ดึงมือของเซินเฟยเข้ามาใกล้ตัว ก่อนจะโน้มลงไปจุมพิตที่ปลายนิ้วเบา ๆ และซบกับฝ่ามือนั้นอย่างอุ่นใจ

เช่นที่เคยพูดกับมู่อี้จิง สำหรับเขาและครอบครัวตระกูลหวาง จูเชว่คือทุกสิ่งทุกอย่าง หากเขาขาดเซินเฟยไปแล้วเขาก็ไม่อาจรู้ว่าต่อไปตนเองจะรับใช้ใคร จะอยู่ต่อไปแบบไหน ความสัมพันธ์ของเขาและเซินเฟยออกจะเกินนายบ่าวปกติโดยทั่วไป แต่สำหรับหวางซิงแล้ว เขาไม่ได้นึกแปลก เพราะเขาคือคนที่เฝ้าทนุถนอมดูแลเซินเฟยมาโดยตลอด ไม่ว่าเวลาไหนก็อยู่เคียงข้างไม่เคยห่าง เป็นทั้งพ่อ พี่ชาย เพื่อน และทุกสิ่งทุกอย่างที่เซินเฟยต้องการ

“ดีแล้ว....ดีจริง ๆ....” หวางซิงหัวเราะกับตัวเอง

“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมแปร่งหูดังจากด้านหลังทำให้หวางซิงเผลอเอี้ยวตัวมองด้วยความตกใจแล้วก็ต้องกุมท้องหน้าบิดเบี้ยวด้วยความปวดระบมจากแผลที่เพิ่งเย็บปิดไป

“ขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจ” ฉู่เหวินจือเดินเข้ามาพร้อมแผงยาและแก้วน้ำที่ถืออยู่ในมือเดียวกัน เพราะแขนอีกข้างยังสวมเฝือกอยู่ “ยังไงก็ช่วยเช็ดน้ำตาก่อนคุณเซินตื่นด้วยนะครับ เดี๋ยวคุณเซินจะหัวใจวายเสียก่อนที่เห็นเลขาตัวเองมานั่งร้องห่มร้องไห้แบบนี้”

ถึงจะรู้ตัวว่าถูกกระแนะกระแหน แต่หวางซิงก็รีบปาดน้ำตาออกจนหมด

ฉู่เหวินจือหันไปวางแก้วน้ำและแผงยาลงบนโต๊ะ ก่อนจะใช้มือเดียวของตนบิยาออกมาเม็ดหนึ่ง

“ช่วยปลุกคุณเซินให้ผมทีสิ”

หวางซิงได้ยินคำก็ลุกเดินอ้มเตียงไปอีกด้านแล้วเขย่าตัวเซินเฟยเบา ๆ ไม่นานนักเด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น หวางซิงพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่งขณะที่ฉู่เหวินจือยื่นเม็ดยาให้ เซินเฟยกลืนเม็ดยาลงคอโดยไม่ได้ถามอะไรให้มากความก่อนรับน้ำมาดื่มตามอีกอึกใหญ่จนแน่ใจว่าเม็ดยาล่วงลำคอไปแล้วจึงคืนแก้วน้ำให้

“กี่โมงแล้ว?” นั่นคือคำถามแรกจากปากของเซินเฟย

“จะบ่ายโมงแล้วครับ” หวางซิงตอบทันทีด้วยความเคยชินโดยที่ฉู่เหวินจือไม่ทันได้อ้าปากเสียด้วยซ้ำ เซินเฟยพยักหน้ารับแล้วลุกจากเตียง

“แผลเป็นยังไงบ้าง?”

คำถามต่อมาทำให้หวางซิงตะลึงครู่ใหญ่ นานเท่าไหร่แล้วนะที่เซินเฟยไม่ได้เอ่ยถามถึงตัวเขาโดยตรงเลย พอได้ยินคำถามที่เจือด้วยน้ำเสียงห่วงใยอย่างที่เคยได้รับ น้ำตาก็พาลจะรื้นออกมาอีก หวางซิงกล้ำกลืนลูกสะอื้นในคอแล้วก้มหน้าลงเพื่อปกปิดดวงตาแดงก่ำของตนเอง

“ไม่เป็นไรแล้วครับ”

“ไปหัดโกหกมาจากไหนกัน” เซินเฟยกล่าว “แผลโดนยิงเพิ่งถูกเย็บไปจะไม่เป็นไรได้ยังไง ไปกินข้าวกินยาเสียให้เรียบร้อย ผมจะไปอาบน้ำ”

“ค...ครับ” หวางซิงรับคำแล้วรีบพยุงเซินเฟยไปยังห้องน้ำทันที และเมื่อเซินเฟยเข้าห้องน้ำไปแล้ว ชายหนุ่มจึงยิ้มออกมา เขาดีใจจนรู้สึกว่าหากนี่เป็นความฝันก็อยากจะนอนฝันตลอดไปอย่างนี้

“หวางซิง ประตูห้องน้ำไม่ทำให้อิ่มหรอกนะครับ” ฉู่เหวินจือเอ่ยแซว

“ผมทราบแล้วครับ” หวางซิงอดจะกระแทกเสียงกลับไปไม่ได้ แต่พอหันกลับมาก็ปะสายตาเข้ากับเฝือกบนแขน “ว่าแต่แขนคุณ”

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่หักธรรมดา นี่ก็ใส่เฝือกมาเกือบเดือนแล้ว อีกไม่นานคงถอดออกได้” ฉู่เหวินจือพูดราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็แน่อยู่แล้ว เรื่องใหญ่จริง ๆ มันไม่ใช่กระดูกแต่เป็นแผลบนหลังที่เกือบจะเอาชีวิตของเขาไปด้วยต่างหากเล่า แต่เพราะฉู่เหวินจือไม่เห็นประโยชน์ที่จะเล่าให้หวางซิงฟังจึงไม่พูดถึง เพราะดีไม่ดี นายบ่าวอาจทำเหมือนกันคือซ้ำแผลคนเจ็บ แบบนั้นเขาก็เจ็บตัวฟรีเท่านั้น

“จะให้ผมสั่งอีกครั้งไหม?” เพราะทั้งสองคนเอาแต่คุยกันหน้าห้องน้ำ เซินเฟยที่เริ่มนึกรำคาญจึงส่งเสียงออกมา หวางซิงและฉู่เหวินจือมองหน้ากันแล้วพากันเดินออกมาจากห้องเงียบ ๆ

มื้ออาหารในโรงแรมนับว่ารสชาติดีทีเดียว กระนั้นหวางซิงกลับนึกอะไรขึ้นได้เมื่ออาหารแตะปลายลิ้น

“โรงแรมนี้มันโรงแรมที่มาทานอาหารกับสารวัตรหรงบ่อย ๆ นี่ครับ”

โดยปกติหวางซิงเป็นคนละเอียดละออกับเรื่องรอบตัวเซินเฟยอยู่แล้ว ดังนั้นกระทั่งรสอาหารของสถานที่ที่เคยไปกินกับเซินเฟยเขาเองก็จำได้จนขึ้นใจ

“เรื่องนั้นผมไม่ทราบหรอก แต่คุณเซินบอกว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุดที่จะหลบซ่อนตัว” ฉู่เหวินจือไหวไหล่พลางตอบ

“หลบซ่อน ทำไมถึงต้อง....”

“เรื่องนั้นดี๋ยวคุณเซินก็เฉลยเองนั่นแหละครับ”

เมื่อฉู่เหวินจือบอกอย่างนั้น หวางซิงจึงไม่ได้นึกถามต่อ พวกเขากินต่อไปอย่างเงียบ ๆ และเมื่อเสร็จสิ้นก็มีแม่บ้านนำอาหารที่เหลือออกไปพร้อมภาชนะเปล่าที่ถูกใช้ไปแล้ว

หลังจากนั้นราว ๆ 5 นาที มู่อี้จิงก็ถูกนำตัวมาที่ห้องพร้อมกับการ์ดที่เหลืออีกสองคน

นายตำรวจหนุ่มเห็นหวางซิงปลอดภัยก็รู้สึกโล่งใจ แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยทักทาย เซินเฟยก็เดินออกมาจากห้องนอนด้านหนึ่งเสียก่อน ด้วยเหตุนั้นทุกคนจึงต้องเงียบกริบเพื่อเฝ้ารอว่าเซินเฟยคิดจะทำอะไรต่อไป

เด็กหนุ่มนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวตัวใหญ่ที่ถูกจัดไว้กลางห้องเพื่อให้เซินเฟยมองเห็นทุกคน และเมื่อเขาเห็นว่าในห้องครบองค์ประชุมแล้วจึงกล่าว

“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเถอะ”

TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-03-2011 00:55:57
กลับมาแล้วววว  เรื่องทุกเรื่องที่เซินเฟยรอดมาได้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
มันมากเกินไป  คิดว่าอาฉู่ต้องรู้เรื่องนี้ดีพอสมควรทีเดียว
ตอนนี้ได้แต่หวังว่าเรื่องนี้คงไม่หักมุมให้อาฉู่เป็นตัวโกงในตอนสุดท้ายหรอกนะ
ไม่งั้นอาเซินจะเจ็บหนักที่สุด
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: erascal ที่ 22-03-2011 01:20:49
ให้ตายสิ บอกตามตรง เราอยากให้หวางซิงคู่กับเซินเฟยจัง

แบบจะว่าไงดีล่ะ คือเราเริ่มคิดอย่างนี้ตั้งแต่ตอนหวางซิงข่มขืนเซินเฟย

ถ้ามองในแง่หนึ่ง มันคือการทรยศ แต่ว่า สำหรับใครบางคนที่ยอมทำทุกอย่างให้อีกคน

และไม่ใช่แค่รักและตามใจแต่รวมถึงเรื่องร้ายๆแบบนี้

การทำร้ายและลงโทษผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเป็นเรื่องง่ายฉันท์ใด

การรักและตามใจผู้ที่อยู่สูงกว่าก็เป็นเรื่องง่ายฉันท์นั้น

แต่นี่หวางซิงยอมทำทุกอย่าง แม้แต่การทำร้าย ถึงจะรู้ว่าอาจจะได้รับความเกลียดชังก็ยอม

บวกกับคำพูดวันนี้ที่ว่า จะอยู่เคียงข้างและเป็นทุกอย่างที่เซินเฟยต้องการ

โอ๊ยย ไม่มีใครคิดเหมือนเราเลยเหรอ ว่าอยากให้หวางซิงจับคู่กับเซินเฟย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 22-03-2011 09:33:45
ต่อจากนี้ คือ ช่วงเวลาเอาคืนใช่ไหมค่ะ? ตัดจบตอน ให้มีลุ้นตามระเบียบ ~ o22
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 22-03-2011 09:50:23
เฟยเฟยกลับมาแล้ววว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 22-03-2011 09:59:45
กรี๊ดกร๊าดด
ได้เวลาเอาคืนกันแล้วสิ หึหึ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Isuru ที่ 22-03-2011 12:23:03
เริ่มแผนการตลบหลังแล้วสินะ
คงจะสนุกแน่ๆเลย
ค้างได้ทุกตอนจริงๆ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 22-03-2011 12:32:19
เอาคืนให้สาสมเลยนะเฟยเฟย

ลุ้นต่อไปๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 22-03-2011 13:09:06
จะว่าอาซิงก็อึดอยู่ไม่ใช่น้อย โดนยิงขนาดนั้น ออกมาเดินปร๋อซะงั้น

เฟยเฟยเลิกโกรธอาซิงซะเถอะนะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 22-03-2011 15:02:09
อ่า

กำลังรอการกลับมา "อย่างยิ่งใหญ่" ของเฟยเฟยน้าาาา
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 22-03-2011 23:25:03
กลัวใจตาฉู่จริงๆ อดนึกถึงหงส์เหนือมังกรไม่ได้ เก่งขนาดไหนก็มาพลาดที่คนใกล้ตัว รอชมและลุ้นต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 23-03-2011 13:16:13
เข้ามารอ การชำระ 55
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 26 (22/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 23-03-2011 16:38:31
อ่านตอนเเรกจบละ
ตื่นเต้นมาก เดาไม่ถูก

เนื้อเรื่องเท่มากเลยค่ะ
เดี่ยวไปอ่านต่อก่อนนะคะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 23-03-2011 19:54:18
-27-


สิ่งแรกที่เซินเฟยต้องการคือการประเมินสถานการณ์ปัจจุบันว่าตอนนี้เขามีโอกาสลงมือมากแค่ไหนเพื่อทวงเอาสิ่งที่เป็นของตนเองกลับคืนมา และเพื่อคาดการณ์ถึงอนาคตว่าหากจะกบดานต่อไปเงียบ ๆ จะมีโอกาสมากขึ้นหรือไม่ที่จะได้ผลประโยชน์ที่ชัดเจนกว่า

หวางซิงเริ่มรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบริษัทก่อน

เซินหยู่ได้อำนาจปกครองไปมากกว่าครึ่งแล้วจากการเอาคนของตัวเองเข้ามาประจำในแผนกต่าง ๆ และแทรกแซงการทำงานของแต่ละแผนก นอกจากนี้ยังเข้าหาผู้บริหาร เสนอผลประโยชน์จำนวนมากให้แลกกับการร่วมมือดึงอำนาจไปจากมือหวางซิงทีละส่วน ๆ แน่นอนว่าสิ่งที่ฝ่ายนั้นได้ไปเป็นเพียงการบริหารเครือธุรกิจไม่ได้ล่วงล้ำมาถึงองค์กรเบื้องหลัง กระนั้นพวกหัวหน้าแก๊งค์ก็เริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาบ้างแล้วเมื่อเซินหยู่ทำกร่างไปทั่วแล้วพยายามดึงเอาแก๊งค์เข้าไปร่วมกับธุรกิจเบื้องหน้าซึ่งผิดหลักปฏิบัติขององค์กร

ผู้บริหารเองก็เห็นดีเห็นงาม เพราะพวกเขามองว่าเป็นการไม่ยุติธรรมที่พวกเขาต้องทำงานออกหน้าแต่กลับต้องแบ่งปันผลประโยชน์กับบุคคลในเงามืดที่ตนเองไม่รู้จักหน้าค่าตา แน่นอนว่าพวกเขาต้องแบกรับความเสี่ยงหลายส่วนในขณะที่หัวหน้าองค์กรเบื้องหลังไม่ต้องแบกรับอะไรเลย เพียงแค่บริหารพื้นที่ของตนเองให้เรียบร้อยก็พอแล้ว และด้วยเหตุนั้นเซินหยู่จึงมีคนสนับสนุนอยู่มาก

การ์ดที่ทำหน้าที่คุ้มครองบ้านใหญ่และตัวหวางซิงถูกดึงตัวไปหลายคนด้วยเหตุผลว่าตัวเซินหยู่เองก็ต้องมีคนคุ้มครองเช่นกัน และหากไม่ให้ เจ้าตัวจะถือสิทธิเข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่ หวางซิงจึงจำต้องเจียดการ์ดบางส่วนให้ไปทำงานกับฝ่ายนั้นซึ่งหมายถึงสัดส่วนหลักประกันอำนาจบริหารของเขาถูกลิดรอนให้ลดน้อยลง

ถึงอย่างนั้น เซินหยู่กลับไร้ประสิทธิภาพด้านการทำงานอย่างยิ่งยวด จึงต้องให้คนของตัวเองเข้ามาช่วยงานหลายส่วน การแบ่งแยกงานบริหารออกไปทำให้อำนาจการปกครองไม่รวมเป็นจุดเดียว และเกิดปัญหากระทบกระทั่งบ่อยครั้งโดยไม่อาจหาใครตัดสินได้ ซ้ำการเจรจาธุรกิจก็หลุดลอยไปหลายรายเนื่องจากคู่เจรจาไม่พึงพอใจต่อวิธีการนำเสนอของเซินหยู่ที่จะเอาประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว

ตอนนี้ความเชื่อถือต่อเครือธุรกิจตระกูลเซินเริ่มลดลง คู่ค้าเริ่มหันไปหาคนอื่นที่สามารถพูดคุยได้ง่ายกว่า ล่าสุดราคาหุ้นของเครือเริ่มตกลงเล็กน้อย แม้จะน้อยมากแต่หวางซิงก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหุ้นของเครือไม่เคยตกลงทั้งที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวดีอย่างนี้มาก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของเครือธุรกิจและผู้บริหารบางคนเริ่มหวาดระแวงและหันมาแว้งกัดกันเอง

ความมั่นคงระหว่างองค์กรเบื้องหน้าและเบื้องหลังเริ่มคลอนแคลน หัวหน้าแก๊งค์แต่ละคนร่ำ ๆ จะเปลี่ยนไปพักพิงกับสามผู้นำที่เหลือ บางคนก็ทนดูไม่ไหวคิดจะออกมาอยู่เบื้องหน้าและจัดการควบคุมองค์กรเสียเอง ส่วนบางคนก็นิ่งเฉยทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว ปล่อยให้พวกข้างบนกัดกันไปตัวเองก็รอรับผลประโยชน์ที่คนเหล่านั้นต่างแย่งยื้อจนบาดเจ็บไปทั้งสองฝ่าย

เซินเฟยนิ่งฟังโดยไม่ได้พูดอะไร เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหนักใจเพราะเหตุการณ์ที่บริษัทดูจะรุนแรงกว่าที่คิดไว้ หากไม่รีบลงมือจัดการ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จูเชว่หลายรุ่นสร้างขึ้นมาอาจต้องล่มสลายในมือของผู้ชายคนหนึ่งที่หิวอำนาจจนมองไม่เห็นอะไร

หลังจากหวางซิงรายงานไปสักพักเซินเฟยก็เริ่มเอ่ยถามถึงรายละเอียดปลีกย่อย เช่น สถานการณ์ภายในบ้านใหญ่ซึ่งตอนนี้ยังสงบดีแต่คนในรู้สึกหวาดหวั่นว่าอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น หวางซือล้มป่วยหลังจากฝืนสังขารบริหารงานในบ้านใหญ่ท่ามกลางมรสุมความหวาดกลัวของคนรับใช้

จากนั้นคนที่ได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมการ์ดในห้องนี้ก็เริ่มรายงานถึงสถานการณ์รอบ ๆ ที่เพิ่งออกไปสำรวจมา

ตอนนี้เซินหยู่ยังไม่เอะใจถึงการกลับมาของเซินเฟย โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยจูเชว่สองรุ่นก่อนและมีการแต่งตั้งผู้บริหารชัดเจน เป็นคนเก่าคนแก่ในแก๊งค์ที่คิดวางมือจากวงการมืด จูเชว่สองรุ่นก่อนจึงยกโรงแรมนี้ให้ดูแล เซินหยู่จึงยังไม่อยากเข้ามายุ่มย่ามให้มากความ เพราะแม้ผู้บริหารคนนี้จะวางมือจากวงการนานแล้วแต่ก็มีเส้นสายและลูกน้องที่ภักดีอยู่มาก หากจะลงมือกดดันให้ยกอำนาจบริหารให้คนของเซินหยู่โดยทันทีจะเป็นการเสี่ยงมากเกินไป อาจเกิดการแข็งขืนจนมีสงครามย่อม ๆ ได้ เซินหยู่ที่ยังสั่งสมอำนาจบารมีในองค์กรได้ไม่มากพอยังไม่กล้าหาญมากถึงขนาดนั้น....

เส้นทางรอบ ๆ โรงแรมได้มีการตรวจตราอย่างถ้วนถี่ ไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดสังเกต และจากการสืบจากสายที่ไปอยู่กับเซินหยู่ พบว่าฝ่ายนั้นเลิกล้มความคิดที่เซินเฟยอาจมีชีวิตอยู่ไปแล้วจึงไม่ได้ส่งคนออกมาสืบสาว เพียงแต่ให้เฝ้าดูอยู่ที่ชายฝั่งและคอยสืบข่าวให้แน่ใจเท่านั้น

ถัดจากการรายงานของหัวหน้าทีมการ์ด ก็ถึงคราวของมู่อี้จิง ทุกคนมองไปยังนายตำรวจหนุ่มซึ่งน่าจะเป็นคนที่รู้สถานการณ์ทุกอย่างได้ดีที่สุด

มู่อี้จิงเริ่มจากเหตุระเบิด

เขายอมรับว่าตัวเขาไม่อาจหาตัวคนร้ายจริง ๆ ได้เพราะมีหลักฐานบางอย่างหายไป ทำให้ไม่อาจเชื่อมสายโซ่สองสายเข้าด้วยกันได้ เซินเฟยไม่ได้เอ่ยต่อว่าอะไร เขาทำความเข้าใจอย่างเงียบ ๆ

ต่อมามู่อี้จิงจึงกล่าวถึงการกดดันจากเบื้องบนซึ่งเขารู้มาว่าเป็นผลจากอิทธิพลจอมปลอมของเซินหยู่ ทำให้เขาโดนสั่งให้ระงับจากสืบสวนเรื่องนี้ เซินเฟยตีความเหตุการณ์นี้ว่าเป็นก้าวแรกที่เซินหยู่เรียนรู้วิธีใช้อำนาจในมือเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ นั่นหมายความว่าเขาต้องตัดแขนขาพ่อตัวเองให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นอาจมีปัญหาตามมาในภายหลังเมื่ออำนาจของเขาถูกฝ่ายนั้นยึดครองไปทั้งหมด

เรื่องของมือปืนรับจ้างเป็นเรื่องสุดท้ายที่มู่อี้จิงเลือกกล่าวถึง จากที่พูดคุยกับเซินเฟยในคืนก่อนทำให้เขาคิดว่ามีเพียงคนเดียวที่จะได้ประโยชน์จากการตายของหวางซิงในตอนนี้ ซึ่งก็หนีไปไม่พ้น เซินหยู่....และมันยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อวันก่อนที่หวางซิงจะถูกตามจับตาดู เซินหยู่กับหวางซิงมีเรื่องทะเลาะกันค่อนข้างรุนแรงซึ่งการ์ดคนหนึ่งในห้องอยู่ในเหตุการณ์นั้นและสามารถเป็นพยานได้

หลังจากการรายงานทุกอย่างจบสิ้นลง เซินเฟยจึงนิ่งเงียบไปอีกครั้งและหลุบตาลงต่ำคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่คนเดียว

เพราะเซินเฟยไม่พูดอะไรออกมา จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรเช่นกัน ต่างคนต่างมองหน้ากันโดยส่งสัญญาณทางสายตาเงียบ ๆ มีแต่เสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่ง ๆ อยู่ตลอดเวลาและเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง รวมถึงเสียงเข็มนาฬิกาที่เดินไปทีละวินาที

“ตอนนี้กี่โมงแล้ว”

หลังจากความเงียบผ่านไปชั่วอึดใจ เซินเฟยก็เอ่ยถามออกมาทำให้ทุกคนสะดุ้งไปตาม ๆ กัน

“2 ทุ่มครับ”

“งั้นหรือ.....” เซินเฟยทอดเสียงรับคำ เพียงแค่ฟังคำอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันยังใช้เวลาไปขนาดนี้เชียวหรือ? แต่เอาเถอะ ถึงใช้เวลาน้อยกว่านี้เขาก็จงใจจะรอให้มืดค่ำก่อนอยู่ดีจึงคิดทำอะไรต่อไป

“ท่านจูเชว่” การ์ดคนหนุ่มขยับเข้ามากระซิบหมายจะถามว่าอีกฝ่ายคิดอะไรต่อ แต่เซินเฟยกลับยกมือขึ้นปราม

“รถที่ให้ไปจัดการล่ะ?”

“ได้มาสองคันตามที่ท่านจูเชว่สั่งครับ”

ก่อนหน้านี้เซินเฟยได้สั่งให้หัวหน้าการ์ดไปเอารถจากบ้านใหญ่มาสองคันเพื่อรับพวกเขาทั้งหมด และกำชับว่าห้ามให้ใครรู้เห็นเด็ดขาดนอกจากคนในที่ไว้ใจได้

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” เซินเฟยลุกขึ้นยืน “อาซิงกับนักสืบมู่จะรอที่นี่ก็ได้” เขาว่าเช่นนั้นเพราะเห็นทั้งสองคนกำลังบาดเจ็บ การจะเอาคนเจ็บไปด้วยถึงจะไม่มีผลอะไรกับสิ่งที่คิดจะทำแต่ก็เป็นการทรมานเสียเปล่า ๆ ให้รอเฉย ๆ ที่นี่จะดีเสียกว่า

“ไม่ครับ ผมจะไปด้วย” หวางซิงรีบออกปากอาสา ไม่ว่าเซินเฟยคิดจะไปทำอะไรเขาก็ไม่ยอมห่างกายอีกแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไปด้วย” มู่อี้จิงกล่าว “แต่ผมต้องการรู้ก่อนว่าคุณจะไปไหน?”

“กฎข้อแรกของการทำงานกับผม อย่าถามให้มากกว่า” เซินเฟยนอกจากจะตอบไม่ตรงคำถามแล้วยังไม่ให้อีกฝ่ายถามอะไรมากกว่านั้นด้วย

เซินเฟยเดินนำการ์ดสี่คน ฉู่เหวินจือ หวางซิง และมู่อี้จิงเดินลงไปที่รถซึ่งจอดรออยู่ที่ชั้นใต้ดิน แบ่งส่วนเป็นสองคัน การ์ดคันละสองคน เซินเฟยขึ้นรถคันหนึ่งโดยไม่ได้บอกให้ใครขึ้นตาม หวางซิงจึงไม่รอช้ารีบแทรกตัวผ่านฉู่เหวินจือขึ้นไปจองที่นั่งข้างเจ้านายทันที ฉู่เหวินจือยืนมองหวางซิงพลางไหวไหล่แล้วหันมามองมู่อี้จิง

“ผู้ชายตัวโตสองคนนั่งด้วยกันคงไม่แปลกหรอกมั้งครับ” ฉู่เหวินจือกล่าวเสียงระเรื่อยกับนายตำรวจที่ทำหน้าเคร่งเครียด

ทั้งสองเดินขึ้นรถคันที่เหลือไปด้วยกันโดยต่างคนต่างเงียบ เพราะในเมื่อมู่อี้จิงไม่พูด ฉู่เหวินจือก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน เขาเองก็ไม่ได้มีธุระจะพูดกับอีกฝ่ายมากมายเสียด้วย อย่างไรเสีย....หน้าที่ของเขาก็มีเพียงการจับตาดูเซินเฟยและคนรอบตัวเท่านั้น

------------------>

รถสีดำสองคันค่อย ๆ แล่นไปท่ามกลางความมืดและถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถอันเป็นเรื่องปกติของฮ่องกง เซินเฟยอดคิดถึงบรรยากาศเช่นนี้ไม่ได้เมื่อต้องจากมันไปเสียนาน เขาเคยรำคาญรถราที่วิ่งขวักไขว่แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกดีที่ได้เห็นมันอีกครั้ง

รถคันหรูสีดำสนิทสองคันแล่นเข้าเทียบหน้าบ้านหลังหนึ่ง ข้างหน้าบ้านมีป้ายติดไว้ว่า ‘จือ’

“นี่มัน....บ้านของหมอจือหยินนี่ครับ” หวางซิงเงยหน้ามองบ้านหลังงาม บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่จูเชว่สามรุ่นก่อนยกให้หมอตระกูลจือในเหตุการณ์ซึ่งสร้างความดีความชอบ คนในตระกูลจือใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ทุกรุ่นนับแต่ตอนนั้น แต่ส่วนมากจะออกไปใช้ชีวิตข้างนอกเพราะต้องหาที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลที่ทำงาน บางคนก็ยังเรียนอยู่จึงต้องไปอยู่หอที่มหาวิทยาลัยแพทย์

การ์ดคนหนึ่งเดินไปกดออดโดยไม่ต้องรอคำสั่ง ไม่นานนักก็ปรากฏร่างของหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งเดินออกมาจากประตูบ้าน เธอพยายามหรี่ตามองว่าใครมา แต่เมื่อเดินออกมาจนเห็นชัด เธอก็เบิกตากว้างตบอกตัวเองเป็นการใหญ่ ก่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาเปิดประตูอย่างนอบน้อม

“ตายจริง! ตายแล้ว! ท่านจูเชว่ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ หรือคะ!?” หญิงวัยกลางคนพูดเสียงตะกุกตะกักด้วยความตื่นเต้น

“ผมมาหาหมอจือ” เซินเฟยกล่าวเสียงนิ่ง

“อาหยินหรือคะ.....ด....เดี๋ยวดิฉันจะ...”

“ไม่ต้อง” เขาปรามไม่ให้เธอวิ่งเข้าไปถามตัวจือหยินออกมาหา ทำให้มู่อี้จิงและหวางซิงมุ่นคิ้ว เพราะรายงานล่าสุดที่พวกเขาได้รับคือจือหยินและเฉียนหลิงหลิงอยู่ด้วยกันที่อพาร์ทเมนท์ท่ามกลางการดูแลของตำรวจ ไม่มีใครบอกพวกเขาเลยว่าทั้งสองคนย้ายมาอยู่ที่บ้านของตัวเองแล้ว หรือว่าทางเบื้องบนคิดจะตัดมู่อี้จิงออกจากการรับรู้ข่าวสารของคดีนี้จริง ๆ กระทั่งพยานยังไม่ยอมเปิดเผยที่อยู่ให้

“คุณนาย ฟังผมให้ดี” เซินเฟยกล่าวกับหญิงสาวสูงวัยที่เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ถ้าไม่อยากให้ใครรู้เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป พาทุกคนในบ้านขึ้นไปอยู่ชั้นบน ทั้งครอบครัวและคนรับใช้”

“ก....เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” เธอเริ่มใจไม่ดี และเมื่อเห็นแววตาเยียบเย็นของเซินเฟยรวมทั้งท่าทีเงียบเฉยของการ์ด เธอก็เริ่มร้องไห้โฮออกมาก่อนจะคุกเข่ากอดขาเซินเฟยจนแน่น “ท่านจูเชว่! ท่านจูเชว่! ดิฉันไม่รู้ว่าอาหยินไปทำอะไรให้ไม่พอใจ แต่ว่า.....ยังไงได้โปรดละเว้นชีวิตเถอะค่ะ! อย่าฆ่าอาหยินเลยนะคะ ได้โปรด!” หญิงสาววัยกลางคนร้องห่มร้องไห้กอดขาเซินเฟยไม่ยอมปล่อยจนขากางเกงของเขาเปรอะไปด้วยหยาดน้ำตา

มู่อี้จิงเพิ่งจะจับใจความได้ เขารีบปราดเข้าไปหาเซินเฟยทันที

“คุณคิดจะฆ่าจือหยินกับเฉียนหลิงหลิงงั้นหรือ!?”

“มีอะไรที่คุณไม่พอใจงั้นหรือ?” เซินเฟยปรายตามองมู่อี้จิงพลางถามเหมือนเป็นเรื่องปกติ

“แน่สิ! เรายังไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนทำจริงหรือเปล่า บ้านเมืองมีกฎหมายนะจูเชว่!” มู่อี้จิงคำราม ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ต้องสงสัย แต่เขาก็รับไม่ได้ที่จะมาเค้นคอถึงที่ทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดแบบนี้

“บ้านเมืองมีกฎหมาย คุณพูดถูก แต่คุณลืมไปแล้วหรือเปล่านักสืบมู่ ว่าในโลกของผมก็มีกฎเหมือนกัน” เซินเฟยตอบเสียงเยียบเย็น “ตราบใดที่พวกเขาไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับผม พวกเขาก็ถูกตัดสินด้วยกฎหมายของพวกคุณได้ แต่ว่า เมื่อใดก็ตามที่ก้าวเข้ามาในโลกของผมแล้ว ก็ต้องตัดสินด้วยกฎของพวกผม”

“อ....อะไรนะ.....” มู่อี้จิงชาไปทั้งหน้า “คุณบ้าไปแล้วหรือยังไง! คุณก็เห็นว่าพวกเขามีครอบครัว มีคนที่รัก! คิดถึงหัวอกของพวกเขาบ้างสิ!”

เซินเฟยหลุบตาลงมองหญิงวัยกลางคนที่คุกเข่าอ้อนวอนเขาทั้งน้ำตา

“นักสืบมู่......” เซินเฟยทอดเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ที่คุณพูดแบบนั้น แสดงว่าผมเองไม่มีครอบครัวหรือคนที่รักหรือ?”

มู่อี้จิงชะงักไป หางตาของเขาเหลือบไปเห็นหวางซิงพอดี ผู้ชายคนนี้เป็นทั้งครอบครัวและคนที่รักเซินเฟยมากกว่าใคร ๆ คำถามที่เซินเฟยถามเขาคงหมายถึงว่า....ในกรณีที่จือหยินและเฉียนหลิงหลิงมีส่วนลงมือจริง สองคนนั้นคิดถึงหัวอกของหวางซิงบ้างไหม? เซินเฟยคงพอรู้มาบ้างไม่มากก็น้อยว่าเขากับหวางซิงเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น การยกตัวอย่างคนใกล้ชิดขึ้นมาอย่างนี้ทำให้เขาเถียงอะไรไม่ออก

“ยังไงก็เถอะ.....”

“ถ้าคุณไม่พอใจก็กลับไป” เซินเฟยว่าโดยไม่หันกลับมามอง มู่อี้จิงกำมือแน่นด้วยแรงโทสะ ก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกไปไม่คิดรับรู้อะไรกับเรื่องนี้อีก

“คุณมู่!”

“จัดการตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อน” หวางซิงโดนปรามเสียงเรียบเมื่อคิดจะตามมู่อี้จิงออกไป เลขาหนุ่มจึงได้แต่มองอีกฝ่ายเรียกแท็กซี่กลับบ้านด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวและก้มหน้าเดินกลับมายืนประจำที่ด้านหลังเซินเฟย

เด็กหนุ่มเห็นว่าทุกอย่างสงบเช่นเดิมแล้ว มีเพียงเสียงสะอื้นของหญิงวัยกลางคนที่ยังดังต่อเนื่อง

ความรักของคนเป็นแม่ เขาไม่อาจตีความได้ชัดเจนนัก แต่เขาก็รู้ว่ามันลึกล้ำและยิ่งใหญ่มากเพียงใด กระนั้นในโลกที่เขาอยู่ก็ไม่อนุญาตให้ความรักมีอิทธิพลเหนือกฎเกณฑ์

เซินเฟยโน้มตัวลงกระซิบบางอย่างข้างหูหญิงสูงวัยที่ยังคุกเข่าสะอึกสะอื้นขอความเมตตา เธอเบิกตากว้างพลางทิ้งแขนลงอย่างอ่อนแรง เด็กหนุ่มยืดตัวตรงอีกครั้งแล้วสูดหายใจเข้าลึก หลังของเขายังไม่หายดีจริง ๆ ก้มลงมากเข้าก็เริ่มปวดขึ้นมานิดหน่อย จากนี้คงต้องออกกำลังกายเสียกระมัง เพราะหมอถงเองก็เตือนให้เขากายภาพบำบัดอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เขารีบเกินกว่าจะเสียเวลาทำเรื่องแบบนั้นได้

“ไปจัดการให้เรียบร้อย อีก 10 นาทีผมจะเข้าไปรอในห้องรับแขก” เซินเฟยว่าแล้วเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ในสวน

“ค....ค่ะ.....ค่ะ” หญิงสูงวัยรีบรับคำตะกุกตะกักแล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน

เซินเฟยขยับแขนแล้วมองนาฬิกาเมื่อแขนเสื้อร่นลงไป และเมื่อครบสิบนาที เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนก่อนเดินนำคนอื่น ๆ เข้าไปในบ้านซึ่งคุณนายของบ้านไม่ได้ล็อคเอาไว้ตามที่เซินเฟยสั่ง ห้องรับแขกหาได้ไม่ยากนัก เพราะส่วนมากมักอยู่ใกล้ประตู เซินเฟนมองซ้ายขวาครู่หนึ่งก็เดินเข้าไปในห้องที่มีโอกาสเป็นห้องรับแขกมากที่สุด และทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา การ์ดสี่คนเดินไปยืนอยู่ด้านหลัง หวางซิงและฉู่เหวินจือยืนเยื้องไปคนละด้าน

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 23-03-2011 19:54:38
“เอ๋ อะไรกันคะ?” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังจากด้านนอกด้วยน้ำเสียงแสดงความแปลกใจ

“แม่ก็บอกแล้วไงจ๊ะ ว่ามีคนมาขอพบหนู อย่าให้เขารอนานเลยนะ” เสียงของหญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่ของจือหยินกล่าวอย่างอารีแต่แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว

ดูท่าทางฝ่ายหญิงสาวอายุน้อยจะยังลังเลเซินเฟยจึงต้องนั่งรอเงียบ ๆ อยู่นาน เขาพยักหน้าให้การ์ดสองคนไปยืนข้างประตูคนละด้านเมื่อเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

ร่างของเฉียนหลิงหลิงปรากฏขึ้นเมื่อประตูเปิดออก ทันใดนั้นหญิงสาวก็ถูกดึงเข้ามาด้านในห้องก่อนประตูจะปิดลงด้วยมือการ์ดหนึ่งในสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างประตูนั่นเอง

การกระทำกะทันหันทำให้เฉียนหลิงหลิงตกใจจนถึงขั้นตื่นตระหนก เธอหันมองประตูและเบิกตากว้างเมื่อเห็นชายร่างสูงใหญ่ในชุดสูทดำสองคนยืนขนาบประตูด้วยท่าทางขึงขัง หญิงสาวสูดหายใจเข้าปอดหลายต่อหลายครั้งเพื่อดึงสติตัวเองกลับมาและเรียบเรียงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรให้ถ้วนถี่ พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากเบื้องหลังเรียกให้เธอหันมองอย่างรวดเร็ว

“ไม่ได้พบกันนานนะครับ”

“คุณ....เซิน......” เฉียนหลิงหลิงเบิกตากว้างและหน้าซีดเผือดราวกับเห็นผีปีศาจก็ไม่ปาน ร่างทั้งร่างสั่นระริกจนแทบจะทรุดลงไปกับพื้น

“ขาหายดีแล้วหรือครับ?” เซินเฟยเอ่ยถามเนิบ ๆ เมื่อครู่นี้เขาเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าอยู่ตลอด จังหวะการเดินของอีกฝ่ายไมได้แสดงออกเลยว่าเป็นคนที่เคยประสบอุบัติเหตุถึงขั้นเปลี่ยนไปใช้กระดูกเทียม ทั้งยังการทรงตัวเมื่อถูกกระชาก หากเป็นคนที่ใช้กระดูกเทียมย่อมต้องเซถลาจนล้มคะมำไปแล้ว

“อ....ขา......ใช่ค่ะ.....” เฉียนหลิงหลิงฝืนตอบพลางพยายามยกรอยยิ้ม “ฉันดีใจจริง ๆ....นะคะ ที่เห็นว่าคุณเซิน....ปลอดภัยดี” หญิงสาวเอ่ยทักด้วยความมานะที่จะแสดงออกว่าดีใจอย่างที่พูดจริง ๆ ทว่าเธอก็ไม่สามารถปกปิดความหวาดกลัวในน้ำเสียงได้

“เหตุการณ์ครั้งนั้นคงทำให้คุณตกใจมาก ผมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่ตั้งใจจะฉลองงานหมั้นให้พวกคุณแท้ ๆ” เซินเฟยพรูลมหายใจออกมายาวเหยียดราวกับรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที “แล้วยังมีอีกเรื่องที่ผมรู้สึกอยากจะขอโทษคุณเป็นอย่างยิ่ง”

“อ....อะไรหรือคะ....”

“ความสะเพร่าของผมทำให้ผมไม่ทันได้สังเกตชื่อเสียงเรียงนามของคุณและเขียนชื่อในบัตรเชิญที่ส่งให้คุณผิดไป” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างเชื่องช้าก่อนปรายตาขึ้นมอง “หวังว่าคุณคงไม่ถือโกรธใช่ไหมครับ? คุณเฉียนหลิงหลิง”

เจ้าของนามใบหน้าซีดขาวจนแทบไร้สีเลือดเมื่อชื่อแท้จริงของตนถูกเอ่ยออกมาจากปากของคนที่ไม่ควรรู้มากที่สุด

“ค.....” ไม่ทันที่เฉียนหลิงหลิงจะพูดอะไรต่อไป เซินเฟยก็ยกมือปราม

“พูดตามตรงว่าร่างกายของผมยังไม่สมบูรณ์พร้อม ดังนั้นผมคงต้องพูดธุระอย่างย่อ ๆ” เซินเฟยเอนตัวเล็กน้อย ผ่อนคลายร่างกายให้พิงบนโซฟาจนแผ่นหลังรู้สึกสบายจึงพูดต่อ “ผมแค่อยากจะถามว่า เช็คที่ผมให้หมอจือไปก่อนหน้านี้ยังเก็บไว้หรือเปล่า?”

“คุณเซินก็ทราบ.....ว่าฉันเอาไปใช้ผ่าตัด....”

“คุณเฉียน คุณรู้ไหมว่าในจำนวนการ์ดของผมมีคนหนึ่งกำลังร้อนเงินเพราะแม่ของเขาป่วยหนัก” เซินเฟยว่าโดยไม่ได้ฟังคำที่เฉียนหลิงหลิงพูดแต่อย่างใด “แต่ว่า ล่าสุดผมได้ข่าวว่าแม่ของเขาหายดีเป็นปกติแล้วและ....เพิ่งจะจัดงานศพให้ลูกชายไปเมื่อไม่นานมานี้เอง น่าเสียดายที่ในโลงมีแต่เศษชิ้นเนื้อจากระเบิด”

เฉียนหลิงหลิงพูดอะไรไม่ออก เธอก้มหน้ากัดริมฝีปาก มือสองข้างกำชายกระโปรงแน่นจนเห็นข้อขาวซีด

“คุณมีอะไรจะบอกผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?”

“ทำไมคุณถึงฆ่าพ่อของฉันคะ.....” ในที่สุด เฉียนหลิงหลิงก็พูดออกมา เธอเงยหน้าขึ้นทั้งที่ใบหน้ายังซีดขาว แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังไม่ปิดบัง ไม่เหลือแววตาของหญิงสาวใสซื่อดังก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย

“คุณจำเป็นต้องรู้คำตอบให้ได้หรือเปล่า?” เซินเฟยขยับมือขึ้นมาประสานบนตัก และเมื่อเฉียนหลิงหลิงพยักหน้าเด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่มุมห้อง หยิบแก้วทับกระดาษรูปหัวใจขึ้นมาคลึงเล่นบนฝ่ามือคล้ายกำลังเรียบเรียงความทรงจำในสมองก่อนจะเริ่มเล่าความ “ผมไม่ทราบว่าคุณรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับพ่อตัวเองแค่ไหน แต่ผมกับพ่อของคุณรู้จักกันดีตั้งแต่รุ่นอาของผมแล้ว ปกติพ่อของคุณจะเป็นคนที่ได้รับความสำคัญจากองค์กรเสมอ ซึ่งบางทีจุดนั้นอาจทำให้เขาสำคัญตัวเองผิดไปสักหน่อย พอผมเข้ามาบริหารงานจึงได้พยายามจะเลื่อยขาเก้าอี้ของผมทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง”

เฉียนหลิงหลิงนิ่งฟังโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอคอยมองตามการกระทำของเซินเฟยอย่างไม่วางตาราวกับกำลังพยายามจับผิด

“ถ้าอย่างนั้น โทษข้อไหนกันคะที่คุณใช้ตัดสินโทษตายให้พ่อของฉัน” เมื่อเซินเฟยเงียบไป เธอจึงเอ่ยถามทันที

“แค่ข้อเดียวก็สมควรแล้ว” เซินเฟยเหน็บรอยยิ้มที่มุมปาก “โทษที่พยายามหักหลังผมยังไม่เพียงพออีกหรือ?”

“คุณพูดออกมาเองนะคะ”

เซินเฟยเลิกคิ้วพลางมองหญิงสาวตรงหน้าที่เริ่มยิ้มออกมาบ้าง เธอเผยมือของตนเองที่ถือเครื่องอัดเสียงอยู่เครื่องหนึ่ง

“จริงอยู่ว่าฉันอาจจะฆ่าคุณไม่ได้ แต่ว่า.....ยังไงฉันก็จะไม่ยกโทษให้! ในเมื่อฆ่าคุณในแบบของพวกคุณไม่ได้ ฉันก็จะทำให้คุณต้องโทษประหารให้ได้!” เฉียนหลิงหลิงประกาศเสียงกร้าว

เซินเฟยหลุบตาลง อดจะนึกเสียดายในใจไม่ได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายประกาศตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาด้วยตัวเองอย่างนี้เขาก็ไม่มีทางเลือก เด็กหนุ่มพยักหน้าครั้งหนึ่ง ปืนถูกชักออกมาจากเสื้อของการ์ดนายหนึ่งอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เฉียนหลิงหลิงจะตั้งตัวทัน ทว่า ในวินาทีที่ปืนลั่นนั้นเอง กลับมีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้องและเข้าขวางรับกระสุนแทนก่อนจะล้มลงไปบนพื้น

เฉียนหลิงหลิงและเซินเฟยต่างเบิกตากว้างด้วยไม่อยากจะเชื่อ หญิงสาวรีบผวาเข้าไปกอดประคองคนรักและพยายามเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายในขณะที่เซินเฟยกลับยืนนิ่งและกำแก้วทับกระดาษในมือจนแน่น พยายามตีสีหน้าเรียบเย็นชาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“เสี่ยวหลิง....ไม่เป็นไรนะ.....” จือหยินลูบใบหน้าคนรักพลางยิ้มทั้งที่เลือดทะลักออกมาจากแผ่นอก

“จือหยิน.....ทำไม....” เฉียนหลิงหลิงถามเสียงสะอื้นก่อนจะหันไปตวาดใส่เซินเฟยอย่างไม่กลัวตาย “คุณมันปีศาจ! ฆาตกร! ถึงคุณจะฆ่าฉันได้ก็ปกปิดสิ่งที่คุณทำไม่ได้หรอก!”

“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมอยากปกปิด?” เซินเฟยย้อนถาม ทำให้เฉียนหลิงหลิงชะงักกึก “ด้วยอำนาจที่ผมมีในมือ ถึงผมจะไม่ปกปิด แต่ก็ไม่มีใครอยากจะเปิดโดยที่ผมไม่อนุญาตอยู่ดี แล้วถึงผมอนุญาต.....ใครล่ะจะกล้าบอกว่าผมเป็นคนผิด?” หลังกล่าวจบ เซินเฟยก็เดินไปดึงปืนจากมือการ์ดแล้วมาหยุดยืนที่ตรงหน้าเฉียนหลิงหลิง จือหยินหอบหายใจระรวย กระสุนดูท่าจะเข้าจุดสำคัญพอดีและดูจากปริมาณเลือดแล้วยังไงก็คงมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน เซินเฟยสูดหายใจลึกระงับความเจ็บปวดลึก ๆ ที่กระทั่งคนที่ให้ความสำคัญกว่าใครก็ยังหักหลังเขาได้ลงคอ ก่อนจะวาดมือตรงไปยังร่างที่ไร้เรี่ยวแรงนั้น แล้วลั่นไกซ้ำ ๆ หลายนัดต่อหน้าต่อตาเฉียนหลิงหลิงจนกระทั่งร่างของจือหยินนิ่งสงบ มือที่เกาะกุมคนรักตกลงข้างตัวพร้อมเสือดที่สาดกระเซ็นเปรอะจนถึงใบหน้าของหญิงสาว

เฉียนหลิงหลิงเบิกตากว้างก่อนจะกรีดร้องออกมาเหมือนคนเสียสติพร้อมทั้งก่นด่าเซินเฟยไม่หยุดปาก เด็กหนุ่มเบือนสายตาหลบไปทางอื่นด้วยไม่อยากจะเห็นภาพนั้น เขาส่งปืนให้เจ้าของแล้วเดินไปนั่งลงบนโซหาตัวเดิมก่อนออกคำสั่งเพียงสั้น ๆ

“จัดการซะ”

สิ้นคำสั่ง เสียงกรีดร้องก็เงียบสนิทหลังการลั่นไกเพียงครั้งเดียว

เซินเฟยหลับตาลง.....

ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าหญิงสาวคนนี้จะเป็นผู้ชักพาพ่อของตนเองให้รู้จักแสงสว่าง ทว่า.....เขากลับคำนวนผิดพลาดไป สายเลือดของเฉียนหยุนช่างเข้มข้น มันได้ฉุดกระชากหญิงสาวคนหนึ่งที่ควรจะได้หัวเราะภายใต้แสงตะวันตกลงสู่ความมืดมิดในชั่ววินาที

เด็กหนุ่มค่อย ๆ นับวินาทีในใจก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่วิ่งอย่างร้อนรนตรงมายังห้องรับแขก เซินเฟยลืมตาขึ้นและพบชายชราคนหนึ่งกับหญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่คุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงหน้า

ชายชราคนนั้นคือปู่ของจือหยินและเป็นคนแนะนำให้จือหยินไปทำงานที่บ้านของเขา ด้วยเหตุนั้นเจ้าตัวจึงเหมือนมีชนักปักหลังไปด้วยเมื่อหลานสร้างความผิดใหญ่หลวงเอาไว้ ชายชราแซ่จือจึงทำได้เพียงคุกเข่าร้องไห้เงียบ ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นนายเหนือชีวิต

เซินเฟยลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบเครื่องอัดเสียงจากมือที่ยังอุ่นของเฉียนหลิงหลิงแล้วดึงเอาเมโมรี่การ์ดออกมา

“เหล่าจือ จัดการให้เรียบร้อยเสียด้วย” เขาออกคำสั่ง ร่างของชายชราสั่นสะท้านขึ้นมาก่อนรีบน้อมกายรับคำสั่ง “อีกเรื่องหนึ่ง ช่วงนี้ผมจะยังเก็บตัวเงียบ ๆ อย่าเปิดปากบอกใครเด็ดขาดว่าได้พบกับผมหรือเกิดอะไรขึ้นที่นี่”

“ทราบแล้วครับ......”

“แล้วก็....ส่งหมอคนใหม่มาที่บ้านเดือนหน้าด้วย” พอกำชับเรียบร้อย เซินเฟยก็พาคนของตนเดินออกไปโดยไม่ฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะอย่างไรชายชราก็ต้องตอบรับแน่นอนอยู่แล้ว

“จะส่งไปอีกหรือคะคุณพ่อ....จะให้ลูกของฉันตายอีกหรือคะ!” หัวใจของผู้เป็นแม่แทบแหลกสลายเมื่อทั้งว่าที่สะใภ้และลูกชายถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหด ศพที่ยังมีความอุ่นอยู่ของจือหยินถูกกอดกกไว้แนบอก เธอร้องไห้อย่างขมขื่นได้แต่กล่าวโทษโชคชะตาและก่นด่าสวรรค์ที่ไร้ดวงตา ปล่อยให้คนใจคออำมหิตอย่างพวกมาเฟียมีอิทธิพลเหนือคนทั่วไปได้โดยไร้ความผิดใด ๆ

“เงียบซะ!” ชายชรารีบถลาเข้ามาปิดปากลูกสะใภ้ จนกระทั่งเธอยอมเงียบเขาจึงละมือออกไปและก้มหน้าลง “เรื่องนี้......อาหยินมันหาเรื่องใส่ตัวเอง.......ไอ้หลานโง่เอ๊ย!” หลังจากพูดออกมาเช่นนั้น ชายชราก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้งอย่างเงียบ ๆ เขาเคยต้องฝังศพลูกชายมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ยังต้องฝังศพหลานด้วยตัวเองอีก หรือนี่จะเป็นโทษทัณฑ์ที่ตระกูลของเขาไปรับใช้ตระกูลเซิน.....

-------------------->

เซินเฟยเดินออกมาถึงด้านนอกก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง ท้องฟ้าของฮ่องกงไม่แจ่มกระจ่างเหมือนบนเกาะแม้สักนิด....

“อาซิง”

“ครับ” ทันทีที่เอ่ยเรียก หวางซิงก็รีบสืบเท้าเข้ามายืนเคียงข้างพร้อมรับคำสั่ง เซินเฟยก้มหน้าลงมองเมโมรี่การ์ดในมือ เฉียนหลิงหลิงได้บันทึกความจริงทุกอย่างลงในนี้แล้ว ทั้งการกระทำของตัวเขาเองและความมืดมิดที่แฝงเร้นภายใต้รอยยิ้มใสบริสุทธิ์ของเฉียนหลิงหลิง

เซินเฟยยัดเมโมรี่การ์ดใส่มือของหวางซิง

“บอกนักสืบมู่ว่า ถ้าตัดสินใจได้แล้วให้มาหาผมที่โรงแรม คุณเองพอเสร็จธุระก็รีบกลับมา ผมจะได้เริ่มงานต่อไป”

“ครับ....” หวางซิงรับคำก่อนจะเดินไปขึ้นรถคันหนึ่ง การ์ดซึ่งทำหน้าที่ขับรถจึงเข้าประจำที่พร้อมการ์ดคู่หู แล้วยานพาหนะสีดำสนิทก็เคลื่อนตัวออกไป

เซินเฟยยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งบนรถคันเดียวที่เหลืออยู่และพิงศีรษะกับเบาะด้านหลัง เขารู้สึกล้าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เส้นทางของเขาเต็มไปด้วยพงหนามที่ทิ่มแทงให้เจ็บปวดทุกครั้งที่ก้าวเดิน คิดจะพักกาย กระทั่งเก้าอี้และเตียงก็ยังมีขวากหนามขึ้นคลุม อาหารที่ดื่มกินก็มีแต่ยาพิษ ทุกวินาทีที่ผ่านไปล้วนแต่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน เหนือบัลลังก์หนามนี้มีอะไรดีกันหนอ ผู้คนจึงได้ปรารถนาจะครอบครองนัก....

TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 23-03-2011 20:10:49
สะใจอย่างถึงที่สุดในตอนที่อาเซินยิงหมอจือ  น่าจะให้ตายอย่างทรมานจริง ๆ
+1
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: AciLiS ที่ 23-03-2011 20:51:21
ตอนนี้อ่านแล้วสะใจจนต้องโผล่ออกมาจากเงา
ทุกคนมองเพียงแค่มุมมองของตัวเองเป็นใหญ่
มู่อี้จิงควรจะคิดให้ได้ซะที
ชีวิตจือหยินสำคัญ ชีวิตเซินเฟยก็สำคัญเหมือนกัน
หนึ่งคนหนึ่งชีวิตเท่าเทียมกัน
ในเมื่อกล้าทำก็ต้องรับผลสิ่งที่ตัวเองทำ
ไม่เห็นจะแปลก
ฆ่าเซินเฟย แล้วจะแปลกอะไรที่เมื่อทำไม่สำเร็จแล้วเซินเฟยจะทำคืนด้วยการกระทำเดียวกัน
สะใจมากๆเลยค่ะ มันต้องให้ได้อย่างนี้แหละเซินเฟย
อ่านมานาน เพิ่งจะรู้สึกตอนนี้แหละว่าเป็นมาเฟีย
ปกติจะเป็นหนูเฟยๆให้อีตาฉู่ปั่นหัวไปมาอยู่ได้ :serius2:

ชื่นชมผู้เขียนมากเลยค่ะ ตอนนึงนี่ยาว แล้วก็อัพแทบจะวันต่อวัน
อ่านแล้วรู้สึกจุใจมากเลยค่ะ ถึงตอนจบตอนจะค้างก็เถอะ
รอเรื่องนี้ทุกวันเลยค่ะ
จุ๊บๆคนแต่ง

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 23-03-2011 21:04:11
 :laugh3:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 23-03-2011 21:56:14
สะใจตอนฆ่าหมอจือ
อ่านแล้วรู้สึกว่า ยัยหลิงหลิงไม่ได้น่าสงสารเล้ยยย
ยิงๆทิ้งไปเหอะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 23-03-2011 22:00:28
แค่ฉากแรกของการเอาคืน ก็รู้สึกถึงความโหดร้ายในโลกของมาเฟียได้ขนาดนี้
แม่นางหลิงหลิงไม่เท่าไร ร้ายมาก็ร้ายกลับ
แต่จือหยินที่เสี่ยวเฟยเคยรู้สึกดี ๆ ด้วย ( แบบลึก ๆ ) ก็ตัดใจฆ่าด้วยมือตัวเองได้
จากคืนนี้ไป เสี่ยวเฟยคงเติบโตขึ้นอีกขั้นในฐานะเจ้าพ่อ
ไม่อยากจะคิดถึงฉากที่เสี่ยวเฟยต้องเจอกับพ่อบังเกิดเกล้าที่กำลังหิวอำนาจเลยอ่ะ
ดราม่าทางอารมณ์จริง ๆ  :z3:


หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: daizodiac ที่ 23-03-2011 22:24:41
เฟยเฟยคัมแบ๊ค ค !
ตื่นเต้นจัง ได้เวลาชำระแค้น น
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 23-03-2011 22:26:01
รักไม่ได้ ฆ่าด้วยมือตัวเองก็เก๋ค่ะ เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องทำ เฟยเฟยเด็ดขาดได้ใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: LimousinX9 ที่ 23-03-2011 22:26:42
เรื่องกำลังคุกรุ่นได้ที่เลย  = ='   รอชมตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 23-03-2011 23:53:19
สงสารอาเฟย ทั้งที่รักแต่จำเป็นต้องทำ
อ่านแล้วน้ำตาแทบไหล ผู้แต่งสื่ออารมณ์ได้ดีมากจริงๆค่ะ
หมอจือโง่เองที่เห็นคนรักดีกว่าทุกอย่าง เพราะฉะนั้นช่วยไม่ได้ที่มันจะต้องตาย!!
ส่วนอินังหลิงๆ ตายง่ายไปรึป่าวยะ?? อย่างแกมันต้องโดนเยอะกว่านี้ย่ะ!!
ทำไมชีวิตอาเฟยมันรันทดขนาดนี้เนี่ย T_T รู้สึกแย่ตามไปด้วยจริงๆ
แล้วก็นะ ไอ้นักสืบมู่ โง่อีกคนแล้วนะยะ แกเป็นนักสืบได้ไงเนี่ย
ไม่เชียร์ให้คู่กับอาซิงแล้ว โง่ๆแบบแกไม่เหมาะกับอาซิง  :m16:
หวังว่าอาเฟยจะผ่านเรื่องเลยร้ายแบบนี้ไปได้เร็วๆ
ยิ่งในอนาคต ต้องมารับมือกับอาฉู่อีก คงไม่มีฉากที่ต้องให้อาเฟยฆ่าคนที่รักอีกแล้วนะคะ
อ่านแล้วมันเจ็บกระดองใจมาก โฮฮฮฮฮฮฮ  :o12:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 24-03-2011 00:12:26
ไม่น่าเลยหมอจือ


ในที่สุดเซินเฟยก็มาทวงบัลลังก์คืนแล้ว
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: beautyless ที่ 24-03-2011 09:08:58
***
ยิ่งในอนาคต ต้องมารับมือกับอาฉู่อีก คงไม่มีฉากที่ต้องให้อาเฟยฆ่าคนที่รักอีกแล้วนะคะ
อ่านแล้วมันเจ็บกระดองใจมาก โฮฮฮฮฮฮฮ  :o12:


คิดแล้วเศร้าเกินไป แอบหวังให้เหลือนายฉู่ฉี่ไว้คนนึง
หรือถ้าหากต้องทำจริงๆ ขอให้ตายทั้งคู่ไปเลย จะได้โรแมนติก (แค่อินเฉยๆ ครับเลยเพ้อ ไม่ต้องใส่ใจ)

คนอ่านอย่างผมคงต้องปรับความคิดให้อยู่เหนืออารมณ์อ่อนไหวเหมือนอย่างอาเฟยเสียแล้ว
นายหมอจือนั้น ผมยังคิดไม่ตกอยู่เลยว่าไปชอบหลิงหลิงยังไง ตอนไหน
หลิงๆ เข้ามาหว่านเสน่ห์เพื่อหวังควบคุมให้ทำภารกิจตั้งแต่แรกแล้วรึเปล่า

เฮ้อ อารมณ์เรื่องนี้เข้ากับสถานการณ์บ้านเมืองจริงๆ อธิบายความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้น
ได้หลายอย่างเลยทีเดียว

เรื่องนี้รายละเอียดเยอะมากๆ แต่อ่านแล้วปะติดปะต่อเรื่องได้เข้าใจดี
ไม่งงเท่าไหร่แม้ผมจะตีความเรื่องซับซ้อนไม่เก่งก็ตาม
และชอบที่มีการนำเรื่องการทำงานหนักของอาเฟยและทุกๆ คนเข้ามาเน้นให้เห็นเป็นรูปธรรม
ให้เห็นว่าคนเราก็ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ในสังคมปัจจุบัน
แม้เป็นคนรวยก็ไม่ได้นั่งกินนอนกินอยู่ตลอดเวลา กลับยิ่งต้องทำงานหนักเสียยิ่งกว่าโดยเฉพาะด้านสมอง
ฉากไปยึดกิจการขาดทุนเพื่อเป็นไปทำโรงแรมก็ให้ความคิดอีกแบบหนึ่งว่าถึงแม้จะเป็นบริษัทที่รักและลงแรง
สร้างมาทั้งชีวิต ก็มีสิทธิ์ล้มหายไปต่อหน้าต่อตาในช่วงเวลาหนึ่งๆ

เรื่องนี้อาจมีคำถามว่าทำไมคนถึงหิวเงิน/อำนาจ จำนวนมากมายขนาดนั้น ผมได้ข้อสรุปว่า
คนเราถึงแม้จะเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้เมื่อตายไป แต่อย่างน้อยเราก็ได้อยู่บนทรัพย์ที่มีอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง
ก่อนที่มันจะหมุนเวียนไปจากมือเราตามวัฎจักร ชีวิตมนุษย์เราก็คงได้แค่นี้จริงๆ แค่ช่วงเวลาหนึ่งๆ เท่านั้น

แนวคิดการเขียนเรื่องแหลมคมและได้เข้าใจจิตใจคนมากขึ้นเยอะ
สงสัยจริงๆ ว่าผู้เขียนทำงานอะไรถึงได้มีความคิดที่หลายด้านขนาดนี้ ขอชื่นชมจริงๆ ครับ
และขอชื่นชมคุณในความพยายามที่สม่ำเสมอ มีเรื่องยาวๆ มาลงอย่างไม่เคยทิ้งช่วง
จนเกิดประทับใจมากที่สุด จึงอยากคอมเม้นท์ให้กำลังใจกันจะได้มีกำลังใจกันยาวๆ ที่จะทำผลงานดีๆ ต่อไป
ขอบคุณจริงๆ ครับ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 24-03-2011 10:42:07
หึหึ
นี่แหละมาเฟีย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 27 (23/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ratrirattikan ที่ 24-03-2011 10:44:17
นายน้อย... ผิดเพื่อถูกสินะคะ o18
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 24-03-2011 17:18:34
-28-


มู่อี้จิงกระแทกประตูบ้านเปิดเสียงดังก่อนจะกระแทกปิดกลับไปด้วยแรงอารมณ์ที่คุกรุ่นเช่นเดิม เขาหงุดหงิดงุ่นง่านมาตั้งแต่ที่โต้เถียงกับเซินเฟยซ้ำยังเกือบจะได้ชกกับโชเฟอร์แท็กซี่ โชคดีที่ควบคุมอารมณ์ได้แล้วกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย

หมัดขวากระแทกครั้งหนึ่งลงไปยังกำแพงที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย กระนั้นเจ้าตัวก็อดที่จะระบายความหงุดหงิดใส่ไม่ได้

ชายหนุ่มเสยผมตัวเองพลางพ่นลมหายใจหนักหน่วง

การทำงานกับมาเฟียเป็นเรื่องยากอย่างนี้เองน่ะหรือ!?

ตอนที่สารวัตรหรงเรียกเขาไปคุยเรื่องนี้ เขาคิดว่ามันจะเป็นงานง่าย ๆ แค่เก็บกวาดสิ่งที่พวกมาเฟียทิ้งเอาไว้เพราะไม่อาจเก็บกวาดด้วยตัวเองได้ หรือไม่ก็แค่เป็นสายสืบให้ในบางโอกาส ซึ่งทั้งหมดนั่นเขาไม่ได้มองว่าเป็นงานยุ่งยากเลย ซ้ำยังได้ค่าตอบแทนสูงด้วยซ้ำไป ทว่า ในวันนี้เขากลับได้รู้ซึ้งถึงคำว่ามาเฟีย สิ่งมีชีวิตที่อยู่คนละโลกกับเขา มีวิธีคิดที่แตกต่างจากมนุษย์ปุถุชนโดยสิ้นเชิง

บ้านเมืองมีกฎหมาย....องค์กรใต้ดินก็มีกฎของตัวเอง.....

คนที่เคยเหยียบย่างเข้าไปในโลกนั้นแล้วครั้งหนึ่งจะไม่มีโอกาสให้ถอย.....

เซินเฟยไม่ใช่คนที่ตัดสินด้วยอารมณ์ เขารู้ดี ในมือฝ่ายนั้นคงมีหลักฐานหรือข้อสันนิษฐานที่เชื่อมโยงปริศนาที่เขาแก้ไม่ตกได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยากจะทำใจให้ยอมรับว่าการตัดสินด้วยความตายคือสิ่งที่ถูกต้อง สองคนนั้นควรมีโอกาสได้แก้ต่างให้ตนเองไม่ใช่หรือ?

เวลาป่านนี้แล้ว....เซินเฟยคงจะจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยเหมือนเดิม เด็กหนุ่มที่ดูเฉียบขาดเจ้าระเบียบในสายตาเขา ได้แฝงความเลือดเย็นอำมหิตไว้แค่ไหนกันนะ จะถึงกับหั่นร่างทั้งสองออกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนให้สุนัขกินหรือเปล่า? หรือเอาศพไปถ่วงน้ำ บางทีอาจจะทรมานทั้งเป็นจนกว่าจะสารภาพก็ได้

เป็นเพราะมู่อี้จิงไม่เคยมองเซินเฟยได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาจึงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเมื่อเซินเฟยลงมือด้วยตัวเอง ผลจะออกมาเป็นเช่นไร

มู่อิ้จิงทิ้งตัวลงบนโซฟา พยายามระงับความโกรธเกรี้ยวของตนเอง เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นคนค่อนข้างดื้อรั้นและอารมณ์รุนแรง แต่ว่าเมื่อคิดจะทำงานกับคนอันตรายอย่างนั้นแล้ว การระงับสติอารมณ์ตัวเองเพื่อให้มีสติอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญ กระนั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อเขาคิดถึงใบหน้าที่แสดงความหวาดกลัวถึงขีดสุดในวินาทีก่อนจะถูกปลิดชีพของจือหยินและเฉียนหลิงหลิง หากว่าสองคนนั้นไม่ใช่คนผิดล่ะ? หากว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย ถ้าหากสิ่งที่เซินเฟยรู้มาเป็นเพียงข้อมูลที่ผิดพลาด นั่นจะไม่กลายเป็นว่าผู้บริสุทธิ์สองคนถูกฆ่าอย่างอยุติธรรมหรอกหรือ? ซ้ำตำรวจอย่างเขาทั้งที่อยู่ตรงนั้นกลับไม่อาจทำอะไรได้

พอคิดถึงตรงนี้มู่อี้จิงก็เริ่มอยู่ไม่สุข เขาลุกพรวดวิ่งไปที่ประตู วินาทีหนึ่งคิดว่าต้องไปห้ามเซินเฟยให้ได้ แต่แล้วเมื่อมือแตะลงบนลูกบิด ร่างกายของมู่อี้จิงก็พลันไร้เรี่ยวแรง

คงไม่ทันแล้ว.....

ระยะทางจากบ้านของตระกูลจือมาจนถึงอพาร์ทเมนท์ของเขาค่อนข้างไกลกันอยู่ ระหว่างที่เขานั่งรถกลับมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเซินเฟยคงจัดการเสร็จสิ้นแล้ว

“บ้าเอ๊ย......บ้าเอ๊ย!” มู่อี้จิงสบถก่อนชกเปรี้ยงไปที่ประตู เขาหันหลังพิงกับประตูบานนั้นแล้วไถลตัวเองลงนั่งบนพื้น ในชีวิตตำรวจจะมีอะไรน่าสมเพชไปกว่านี้อีกนะ คดีนี้ทำให้เขารู้สึกว่าอาชีพของตนเริ่มหมดความหมายไปทุกที เริ่มตั้งแต่การเกิดเหตุที่ไม่ได้คาดคำนวนไว้ ถูกกดดันให้เลิกสืบสวนกลางครัน ไม่สามารถสืบสาวหาเบาะแสคนร้ายได้ แล้วในเวลานี้เขายังไม่อาจต่อกรกับกฎขององค์กรใต้ดินได้อีก

นี่เขามาถึงจุดตกต่ำของชีวิตตำรวจตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 เลยหรือนี่....

ทำไมถึงต้องมีตำรวจนะ....เขาอดที่จะสงสัยขึ้นมาไม่ได้ เพราะในเมื่อองค์กรมืดนั้นปกครองตนเองได้อยู่แล้ว ซ้ำกฎหมายยังเคร่งครัดยิ่งกว่าที่ใช้กับคนเดินดินทั่วไปเสียอีก แล้วทำไมจึงต้องการตำรวจเข้ามาทำงานให้อีก แค่เฉพาะอิทธิพลของมาเฟียใหญ่อย่างจูเชว่ จะกดตำรวจต๊อกต๋อยอย่างเขาให้จมดินไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรอยู่แล้ว ขนาดผู้บัญชาการยังยอมให้เซินหยู่ข่มหัวอยู่นั่นไม่ใช่หรือ?

มู่อี้จิงกัดฟันด้วยความเจ็บใจ เขาลุกขึ้นอีกครั้ง เดินไปกระชากลิ้นชักโต๊ะตัวเองออกมาแล้วเหวี่ยงไปบนพื้น ในลิ้นชักโต๊ะตัวนั้นมีกระดาษอัดแน่นอยู่มากมาย ทั้งรูปถ่าย ใบประวัติ และกระดาษที่เขียนด้วยลายมือเป็นแผนผังรูปแบบการก่ออาชญากรรมที่อาจเป็นไปได้ซึ่งเขาและหวางซิงช่วยกันคิดมาหลายวัน มู่อี้จิงหยิบกระดาษขึ้นมาปึกหนึ่งแล้วฉีกกระชากจนกลายเป็นสองส่วน กระนั้นก็ยังไม่พอใจ เขายังทบมันเข้าด้วยกันแล้วฉีกอีกครั้งก่อนจะกลายเป็นการทึ้งกระดาษให้เป็นแค่เศษริ้ว

แต่แล้วสายตาของเขาก็พลันเหลือบไปเห็นข้อความเล็ก ๆ ตรงมุมกระดาษแผ่นหนึ่งที่ปลิวตกไปบนพื้น

มู่อี้จิงก้มลงไปหยิบขึ้นมาอ่าน

‘อย่ายอมแพ้นะครับ’

ความอุ่นซ่านรื้นอยู่ในอก ลายมือนี้เป็นของหวางซิงไม่ผิดแน่นอน

ในตอนที่ทำงานร่วมกันนั้น มีบางครั้งที่พวกเขาค้างคืนด้วยกันและหวางซิงมักต้องตื่นเช้าและออกไปทำงานที่บริษัทก่อนเสมอ มีอยู่วันหนึ่งที่เขารู้สึกทดท้ออย่างมาก และเช้าขึ้นมาเขาก็พบข้อความนี้บนแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะ

แล้วมันจะยังไงล่ะ.....

ยังไงหวางซิงก็เป็นมาเฟียเหมือนกัน กับแค่การฆ่าคนอีกฝ่ายคงมองว่าไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรสักเท่าไหร่....

ขอแค่เป็นคำสั่งหรือความปรารถนาของเซินเฟย เจ้าตัวก็พร้อมจะทำให้ทุกอย่างอยู่แล้วนี่! ที่มาทำดีกับเขาก็แค่เพื่อให้ได้ตัวเซินเฟยกลับมาเท่านั้นเอง

มู่อี้จิงขยำกระดาษชิ้นเล็ก ๆ เข้าด้วยกันจนแทบจะกลายเป็นก้อนก่อนโยนลงไปในถังขยะที่มีก้อนกระดาษอัดแน่นแทบล้นออกมา

เวลาเขาโมโหทีไรก็ต้องเป็นพาลพาโลฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกเรื่องที่ผ่านหูผ่านตาเสียทุกครั้งไป กระนั้นมันก็อดที่จะโกรธขึ้งระคนน้อยใจไม่ได้

หลังจากอาละวาดจนพอใจแล้ว มู่อี้จิงจึงกลับไปนั่งที่โซฟาอีกครั้งแล้วพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด หัวของเขาเย็นลงนิดหน่อย กระนั้นก็ยังคิดไม่ออกว่าหลังจากนี้จะทำอะไรต่อไป จะให้เขากลับไปคืนดีกับเซินเฟยน่ะหรือ? ทั้งที่เป็นฝ่ายต่อต้านและเดินหนีออกมาเองแท้ ๆ เซินเฟยคงไม่ยินดีนักหรอกที่เขาจะกลับไป หรือว่าจะไปบอกขอเลิกงานนี้กับสารวัตรหรงดีนะ? บางทีสารวัตรหรงที่ผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้วคงจะเข้าใจเขาบ้าง ก็แค่ต้องกลับไปทำงานนักสืบน่าเบื่ออย่างเต็มตัวเหมือนแต่ก่อนนี้เท่านั้นเอง

เสียงออดหน้าประตูแทรกเข้ามาในโสตประสาท มู่อี้จิงไม่ได้นึกสงสัยว่าใครมา เขาแค่เดินออกไปเปิดประตูเพราะคิดว่าควรจะเปิดโดยไม่ได้คิดหรือคาดหวังอะไรไปมากกว่านั้น

หวางซิงยืนอยู่ข้างหน้าประตู สร้างความแปลกใจให้กับเจ้าของห้องอย่างมาก ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงชอบมาหาเขาในเวลาที่ไม่คาดคิดเสมอนะ?

“ผมเข้าไปได้ไหมครับ?” หวางซิงเอ่ยถามเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้มู่อี้จิงกำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน กระนั้นมู่อี้จิงกลับไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาเพียงแค่เดินกลับเข้าไปในห้องโดยเปิดประตูทิ้งเอาไว้ หวางซิงตีความหมายนั้นว่าสามารถเข้าได้ จึงเดินตามเข้าไปแล้วปิดประตูตามหลัง แต่เมื่อหันมาเห็นสภาพห้องเข้า หวางซิงก็เกือบจะหัวใจวายเพราะลิ้นชักโต๊ะที่ตกลงมาอยู่ข้างล่างมีกระดาษไหลกระจายไปทั่ว ซ้ำยังมีเศษกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่หลายชิ้น หวางซิงคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย

“.....คุณมู่.....”

“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก ผมเข้าใจดี” มู่อี้จิงเป็นฝ่ายขัดขึ้นก่อนแล้วนั่งลงบนโซฟา “ในสายตาของคุณ ผมคงเป็นตำรวจที่อ่อนหัดมากเลยสินะ กับแค่.....การฆ่าคนของมาเฟีย ผมยังทนรับไม่ได้”

“คุณมู่.....” หวางซิงทอดเสียงอย่างอารี “ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงมองผมด้วยสายตาสมเพชแบบนั้นล่ะ!” มู่อี้จิงขึ้นเสียงทำให้หวางซิงสะดุ้งเฮือกด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยังโกรธอยู่ “ผมมันน่าสมเพชก็บอกมาตามตรงเลยจะดีกว่า! ผมมันไม่ได้ความเลยสักกอย่าง ทำคดีก็เหลว! หลักฐานก็ไม่มี! กำลังก็ไม่มี! ยังจะไปงัดข้อกับจูเชว่ ผมนี่มันโง่ชะมัด!” เสียงตะคอกก้องสะท้อนอยู่ในห้องแฝงไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างชัดเจน

หวางซิงเงียบไป เขาไม่รู้ว่าในสถานการ์นี้ตนเองควรจะพูดอย่างไรเพราะไม่เคยเผชิญหน้ากับมู่อี้จิงในสภาพอารมณ์อย่างนี้มาก่อน

มู่อี้จิงเองเมื่อได้ระบายออกไปแล้วก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก จึงก้มตัวลงเหมือนรู้สึกเหนื่อยแล้วค่อย ๆ พูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา

“ผมขอโทษ.....ผมแค่......กำลังหงุดหงิด”

“ผมเข้าใจ” หวางซิงตอบกลับ

“คุณกลับไปบอกเจ้านายคุณเถอะ ผมไม่คิดจะหักหลังเขาหรอก ผมอาจจะไม่สามารถทำความเข้าใจกับวิถีของมาเฟียได้และอาจไม่เข้าใจตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เข้าใจฐานะตัวเองดี” มู่อี้จิงถอนหายใจออกมา “ผมก็แค่....อยากจะเป็นตำรวจที่ดีเท่านั้น แต่ยังไงผมก็ยังเป็นแค่คนธรรมดา การจะให้เข้าใจถึงความจำเป็นในการฆ่าใครสักคนด้วยกฎของมาเฟียน่ะ....ผมไม่สามารถเข้าใจได้หรอก”

หวางซิงฟังคำพูดวกไปวนมาของมู่อี้จิงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกสับสนจึงเดินเข้าไปหาแล้ววางมือลงบนบ่า

“ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”

“คุณว่าแบบนั้นแต่จูเชว่คงไม่ว่าแบบคุณหรอก”

“คุณมู่ ความจริงแล้วการต่อต้านของคุณไม่ได้เสียเปล่าหรอกนะครับ” หวางซิงเดินอ้อมโซฟามานั่งข้าง ๆ พลางยิ้มให้ “เพราะการที่คุณยังยืนยันความคิดของตัวเอง ยืนยันว่าหลักปฏิบัติที่คุณทำและกฎหมายที่คุณยึดมั่นนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง นั่นไม่ได้หมายความว่าจากนี้ต่อไป ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นคุณก็จะไม่หวั่นไหวและถลำลึกลงไปในอำนาจมืดขององค์กรไม่ใช่หรือครับ? สารวัตรหรงไม่ได้บอกคุณหรอกหรือครับ ว่าคนแบบนั้นคือคนที่พวกเราต้องการให้มาทำงานด้วยมากที่สุด”

มู่อี้จิงมองหน้าผู้พูดเสมือนกำลังตกตะลึงอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เขาอับจนคำพูดไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งผ่านบททดสอบอันยากลำบากและได้รับคำชื่นชมจากคุณครูผู้ใจดีก็ไม่ปาน

หวางซิงจับมือมู่อี้จิงกางออกและยัดของสิ่งหนึ่งให้กุมไว้

“คุณเซินสั่งว่าให้นำสิ่งนี้มาให้คุณ แล้วถ้าคุณตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไปให้กลับไปพบที่โรงแรม” หวางซิงกล่าวจบก็ยืดตัวขึ้นยืน “ผมจะไปรอข้างนอกนะครับ”

หวางซิงทำอย่างที่ว่าจริง ๆ เจ้าตัวเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้คิดจะโน้มน้าวให้มู่อี้จิงรีบตามออกไปสักนิด

ชายหนุ่มก้มลงมองสิ่งที่อยู่ในมือ มันคือเมโมรี่การ์ดที่หาซื้อได้ทั่วไป

มู่อี้จิงเงยศีรษะขึ้นมองเพดานห้อง

การที่จูเชว่ส่งสิ่งนี้มา เขารับรู้ได้ถึงความนัยหลายอย่าง แต่โดยรวมแล้วนั่นคือ จูเชว่เชื่อใจเขาและยังต้องการให้เขากลับไปทำงานให้ เขาไม่รู้ว่าข้างในนี้มีอะไร แต่หากเป็นสิ่งที่จูเชว่ส่งมาอาจเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถไขข้อขัดแย้งในใจของเขาได้ เด็กหนุ่มคนนั้นทั้งที่อายุน้อยกว่าเขาหลายปีแต่กลับสามารถมองเขาได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าที่เขามองอีกฝ่ายเสียอีก

มู่อี้จิงนำเมโมรี่การ์ดไปเสียบเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งบนโต๊ะก่อนจะพบว่ามันเป็นไฟล์เสียง เขารีบเสียบเฮดโฟนเข้ากับลำโพงเพื่อป้องกันการดักฟัง

เสียงที่ออกมาจากเฮดโฟนคือเสียงของเฉียนหลิงหลิงและเซินเฟยไม่ผิดอย่างแน่นอน เสียงทั้งสองสนทนาโต้เถียงกันอยู่นานทำให้มู่อี้จิงสามารถเรียบเรียงเหตุการณ์ตามได้ไม่ยากด้วยประสบการณ์

เฉียนหลิงหลิง.....ใช้เช็คเงินสดที่มีลายเซ็นของจูเชว่ จ้างคนในกระทำการ.....คนในซึ่งกำลังเดือดร้อนเกินกว่าจะมีสติพิจารณาความผิดความชอบในคำสั่ง ซ้ำยังเป็นคนที่มีหน้าที่ทำงานใกล้ชิดจุดอันตรายมากพอที่จะถูกปิดปากได้โดยไม่ต้องลงมือเอง และเพราะคนกระทำเสียชีวิตในเหตุระเบิดด้วย เขาจึงไม่สามารถจับมือใครดมได้เพราะไม่มีสิ่งใดจะเชื่อมโยงไปถึงเฉียนหลิงหลิงได้เลย

เขาไม่รู้ว่าเซินเฟยเคลื่อนไหวเพราะมีหลักฐานยืนยันหรือเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เพราะอย่างไรผู้กระทำก็ได้สารภาพออกมาด้วยตัวเองในตอนท้ายของการสอบสวน

สิ่งที่มู่อี้จิงอยากยืนยันมีเพียงแค่นั้น ขั้นต่อไปแม้เขาจะไม่ต้องังต่อก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยาก

ชายหนุ่มลดเฮดโฟนลงวางบนโต๊ะ ดึงเมโมรี่การ์ดออกมา

สิ่งนี้คือหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกความผิดของเฉียนหลิงหลิงและจือหยิน และแน่นอน....เป็นหลักฐานที่ผูกมัดตัวเซินเฟยเองด้วย หากเขานำสิ่งนี้ไปเปิดเผย ฐานะของเครือตระกูลเซินจะต้องสั่นคลอนเมื่อสาธารณชนได้รับรู้ว่าเครือธุรกิจใหญ่เป็นศูนย์กลางขององค์กรใต้ดินอันดับหนึ่งในสี่ของฮ่องกง

เซินเฟยทำสีหน้าอย่างไรนะเมื่อหยิบยื่นสิ่งนี้ให้หวางซิงและบอกให้เอามาให้เขา

ความเชื่อใจของเซินเฟยถูกนำมาให้พร้อมกับภาระอันหนักหน่วงที่ต้องแบกรับไปพร้อมกับจูเชว่ผู้ยังอ่อนเยาว์คนนั้น

มู่อี้จิงคลี่ยิ้ม

ช่างเป็นคนที่ดูถูกไม่ได้จริง ๆ เป็นจูเชว่ที่รู้วิธีทำให้เขายอมสยบให้ทั้งยังแบ่งเอาภาระบนไหล่ตัวเองส่วนหนึ่งมาให้เขาแบกรับด้วยเสียอีก

ชายหนุ่มจ้องมองเมโมรี่การ์ดในมือ ก่อนจะจับปีกสองฝั่งแล้วออกแรงนิ้วเพียงนิด

ป๊อก!

เมโมรี่การ์ดถูกหักออกเป็นสองส่วนทันที มู่อี้จิงจัดการโยนทิ้งลงไปในถังขยะอย่างไม่ใยดี อย่างน้อยเวลานี้สมองของเขาก็ปรอดโปร่งแจ่มใส รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฟ้าหลังฝนไม่มีผิด มู่อี้จิงรีบแต่งตัวใหม่อย่างรวดเร็ว ทั้งยังหวีผมอย่างดีเหมือนกับกำลังมีนัดสำคัญกับสาวสวยอย่างไรอย่างนั้น เมื่อมองกระจกและพบว่าตนเองกูเรียบร้อยดีแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง และได้พบหวางซิงที่กำลังยืนรอด้วยท่าทีนิ่งสงบ

“ขอโทษที่ให้รอนานครับ” เขากล่าวขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะครับ” หวางซิงยิ้มกว้างให้แก่ชายหนุ่มแล้วหันตัวไปยังทางเดิน ทว่ากลับถูกรั้งให้ถอยหลังและตกอยู่ในวงแขนแข็งแรงของนายตำรวจหนุ่ม มู่อี้จิงสวมกอดอีกฝ่ายจนแนบแน่นก่อนจะฝังใบหน้าลงบนหัวไหล่

“ขอบคุณ”

หวางซิงหน้าแดงด้วยความเขิน เขาไม่ค่อยจะมีโอกาสถูกกอดอย่างแนบสนิทสักเท่าไหร่จึงอดกระดากไม่ได้ แต่ก็ยอมโอนอ่อนให้ด้วยการแตะมือลงบนท่อนแขนอีกฝ่าย

“ผมยินดีครับ”

--------------------->

“คุณคิดว่าเขาจะกลับมาหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามพลางเขียนเฝือกตัวเองเล่นไปเรื่อย ทั้งวาดการ์ตูนและเขียนข้อความ โดยปกติแล้วจะเป็นคนเยี่ยมไข้เขียน แต่เขาไม่มีคนมาเยี่ยมซ้ำยังไม่มีอะไรทำ จึงขีดเขียนของตัวเองแก้เบื่อฆ่าเวลาไปอย่างนั้น

“นายพูดถึงใครกัน?” เซินเฟยเลิกคิ้วพลางมองการกระทำแบบเด็ก ๆ นั้นด้วยความรำคาญสายตา

“ก็นักสืบมู่น่ะสิครับ เขาดูเป็นตำรวจที่ซื่อตรงถึงขนาดนั้น ถึงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็อาจไม่กล้าโผล่กลับมาก็ได้ หรือผมพูดผิดไป?” ฉู่เหวินจือว่าไปก็เขียนชื่อของตัวเองข้าง ๆ ชื่อเซินเฟยที่เขียนไว้ก่อนหน้านั้น แล้วจึงเขียนรูปหัวใจไว้ตรงกลางก่อนจะชูให้เซินเฟยดูด้วยใบหน้าทะเล้นทะลึ่ง เด็กหนุ่มมุ่นหัวคิ้วเข้าหากัน นึกอยากหักแขนอีกข้างเสียจะได้เลิกทำอะไรไร้สาระเสียที ส่วนการ์ดสองคนในห้อง แม้จะเห็นข้อความอุกอาจโจ่งแจ้งของฉู่เหวินจือแต่ก็ทำเป็นไม่เห็นด้วยไม่อยากจะเดือดร้อนภายหลัง

“นายคิดว่าฉันส่งหวางซิงไปเพื่ออะไรกัน” เซินเฟยสะบัดหน้าไปทางอื่น ระยะนี้เขาเริ่มคร้านจะโมโหไปกับฉู่เหวินจือทุกเรื่องแล้ว ขืนเอาแต่โมโหหงุดหงิดคนอย่างฉู่เหวินจือไปทุกอย่างทุกการกระทำ เขาอาจจะลมจุกอกตายเอาก่อนอายุถึงเลข 3

ฉู่เหวินจือเลิกคิ้วกับชื่อของหวางซิงก่อนแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

“คุณนี่ร้ายจริง ๆ”

“นายมีสิทธิว่าฉันด้วยหรือยังไง?” นัยน์ตาเรียวรีหรี่ลงเล็กน้อย เขาอยู่กับหวางซิงมานานจนบางครั้งมักจะลืมสังเกตสังกาอะไรเกี่ยกวับอีกฝ่ายไปเพราะความเคยชิน กระนั้นเมื่อห่างกันไปเดือนหนึ่ง เขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามู่อี้จิงและหวางซิงมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกันมากกว่าคนที่ต้องติดต่อประสานงานธรรมดา จริงอยู่ว่าเขาไม่เห็นด้วยที่จะส่งหวางซิงไปล่อลวงคนอื่นราวกับใช้กลหญิงงามสมัยโบราณ แต่เมื่อศึกษาแล้ว เขาพบว่ามู่อี้จิงก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ทำอันตรายกับหวางซิงอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนั้นถึงได้ส่งหวางซิงไปดึงมู่อี้จิงกลับมา อีกข้อหนึ่งคือ หวางซิงเป็นคนฉลาดพูดมาไหนแต่ไรและเป็นปากเสียงแทนเขาเสมอ ดังนั้นหากเป็นคำพูดของหวางซิง มู่อี้จิงอาจจะยอมฟังมากกว่าคำพูดของเขา
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 24-03-2011 17:22:49
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คิดจะรอจนกว่านักสืบมู่จะมาหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามต่อพลางวางปากกามาร์กเกอร์ลงบนโต๊ะใกล้ ๆ หลังจากเขียนเฝือกไปหลายที่จนแทบหาพื้นที่ว่างไม่ได้

“หรือนายไม่เห็นด้วย?”

“ผมไม่ได้พูดแบบนั้น” ชายหนุ่มรีบปัดคำพลางลอบยิ้มลุ่มลึกตามลำพัง

มู่อี้จิงเป็นนายตำรวจที่มีความสามารถและซื่อตรงอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่เพียงเซินเฟยอยากได้ไว้ใช้งาน เขาเองก็คิดว่านายตำรวจคนนี้จะต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าในสายตาของเขา มู่อี้จิงยังอ่อนหัดเกินไปสักหน่อย แต่ว่าเขาเองก็หาวิธีใช้งานได้ไม่ยากนัก ในไม่ช้า เขาเองก็อาจจะต้องใช้บริการบ้างเหมือนกัน และในเมื่อหวางซิงมีอิทธิพลต่อมู่อี้จิง หวางซิงก็จะเป็นกุญแจให้เขาสามารถใช้งานมู่อี้จิงได้ง่ายขึ้น

คนที่ใช้งานได้ปรากฏตัวออกมาแล้วอย่างนี้ ซ้ำตัวปัญหาก็ค่อย ๆ ถูกกำจัดไปทีละรายจนเหลืออยู่ไม่มากแล้ว แสดงว่าใกล้จะถึงเวลาจบงานของเขาแล้วกระมัง....

ตอนนี้ตัวปัญหาหลักก็เหลือแค่คนเดียว....

ฉู่เหวินจือเหน็บรอยยิ้มที่มุมปากพลางปรายตามองเซินเฟยที่กำลังนั่งรอเวลาอย่างเงียบ ๆ

อีกไม่นานจะต้องจากกันเสียแล้วสิ

ในขณะที่เขาคิดอย่างนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น การ์ดคนหนึ่งเดินไปมองผ่านตาแมวก่อนเปิดประตูออกเมื่อพบว่าคนที่อยู่หน้าห้องคือคนที่เจ้านายของเขากำลังรออยู่ หวางซิงก้าวเข้ามาก่อนตามด้วยการ์ดสองคนที่ตามไปด้วย และจากนั้นจึงเป็น....มู่อี้จิง

“แน่ใจแล้วหรือที่กลับมา” เซินเฟยเอ่ยถามโดยไม่ได้เลื่อนสายตาไปมอง แต่ทุกคนก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังถามใคร

“ถ้าผมไม่กลับมา คุณก็ดำเนินแผนต่อไม่ได้น่ะสิ” มู่อี้จิงไหวไหล่แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ว่างอยู่ “ผมไม่ชอบทิ้งงานไปกลางครัน”

“ถ้าอย่างนั้นอย่าให้ผมเห็นสภาพน่าสมเพชแบบนั้นอีก” เซินเฟยกล่าวแล้วหันไปมองหวางซิง “นั่งลงเถอะ คุณทำงานได้ดีแล้ว”

หวางซิงยิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนรีบเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ข้าง ๆ เซินเฟยแล้วเบียดฉู่เหวินจือให้ขยับห่างออกไปอีกด้านหนึ่งของเก้าตัวยาว กระนั้นฉู่เหวินจือก็ไม่ได้แสดงท่าทีขัดใจอะไรออกมา เขาเพียงยอมขยับให้โดยดีแล้วนั่งเอนตัวเล็กน้อยพิงกับที่พักแขนด้านข้าง

“ในเมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้วผมจะแจกแจงงานให้ฟัง” เซินเฟยประสานมือไว้ด้านหน้าก่อนจะเอ่นตัวพิงพนักเก้าอี้ “อย่างที่ทุกคนรู้ ตอนนี้ที่บริษัทกำลังวุ่นวายเพราะพ่อของผมเข้าบริหาร แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วพ่อของผมไม่มีพรสวรรค์ด้านการบริหารเลย ดังนั้นแม้พวกบอร์ดบริหารจะหนุนหลังในตอนแรก แต่ตอนนี้คงจะถอยกันเกือบหมดแล้วเพียงแต่ไม่ได้แสดงการต่อต้านอย่างเปิดเผยเท่านั้น เรียกได้ว่า พ่อของผมกำลังจะถูกตัดหางปล่อยวัด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ตัวดีจึงได้ส่งคนของตัวเข้าไปควบคุมที่แผนกต่าง ๆ ดันคนของตัวเองให้เป็นคนควบคุมแต่ละแผนกโดยเฉพาะแผนกที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรและบัญชีบริษัท”

“นั่นทำให้คุณเซินหยู่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกยึดอำนาจบริหารคืนไป....” หวางซิงเสริมต่อ เขาเองก็รู้มาว่าเซินหยู่เอาคนของตัวเองแฝงเข้าไปในบริษัทและคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นคนทำงานแทบทั้งหมดส่วนเซินหยู่เอาแต่ผลาญอำนาจไปวัน ๆ อย่างไร้ค่า ช่วงที่เขาค่อย ๆ ปล่อยบริษัทให้เซินหยู่จัดการ ผลกระทบคงชัดเจนมากพอที่พวกผู้บริหารจะรู้ตัวได้แล้ว

“พ่อของผมเรียนรู้เรื่องฐานอำนาจได้เร็วก็จริง แต่เขาก็ยังอ่อนหัดเรื่องบริหารอยู่ดี ดังนั้นผมคงปล่อยบริษัทให้เขาดูแลต่อไปไม่ได้”

“แปลว่าคุณจะเข้ายึดอำนาจ?” มู่อี้จิงเอ่ยถามแล้วทำสีหน้ายุ่งยากใจ การปะทะด้วยอิทธิพลมีแต่จะทำให้คนตายมากขึ้น มือปืน นักลอบสังหาร ทุกอาชีพที่เกี่ยวข้องกับโลกมืดจะถูกลากออกมาเพื่อทำสงครามแย่งชิงบัลลังก์มาเฟียและอาจมีผู้บริสุทธิ์เคราะห์ร้ายโดนลูกหลงเข้าได้ นอกจากนี้ ความวุ่นวายขององค์กรใต้ดินจะส่งผลถึงภาพรวมของฮ่องกง ตำรวจจะกลายเป็นเพียงสิ่งไร้ค่าทันทีหากเกิดความรุนแรงขึ้น

“เปล่า” เซินเฟยปฏิเสธทำให้มู่อี้จิงโล่งใจและแปลกใจไปพร้อมกัน

“แล้วคุณจะทำยังไง?”

เซินเฟยเหลือบสายตาขึ้นมองนายตำรวจหนุ่ม

“นั่นคือหน้าที่ของคุณ”

“หา!?” มู่อี้จิงเผลอร้องออกมาแล้วผงะถอย “ตำรวจไม่ได้มีไว้ให้คุณเอาไปไล่ยิงใครต่อใครนะจูเชว่!”

“คุณย้ายไปอยู่หน่วยคอมมานโดตั้งแต่เมื่อไหร่?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว “ที่ผมจะบอกก็คือ คุณต้องสืบสาวว่าคนที่เข้าไปทำงานให้พ่อของผมมีใครบ้าง และแต่ละคนเข้ามาด้วยจุดประสงค์อะไร”

“แค่นั้น.....หรือครับ?” มู่อี้จิงอ้าปากค้าง

“ในเมื่อคนเหล่านั้นคือฐานอำนาจของพ่อ สิ่งที่ผมต้องทำก็คือทลายฐานนั่นเสีย” เด็กหนุ่มหลุบสายตาลงต่ำอีกครั้ง “พ่อของผมบริหารคนให้ซื่อสัตย์จงรักภักดีไม่เป็น สิ่งที่ใช้ชักจูงคนหล่านั้นจึงเป็นเรื่องผิวเผินอย่างเงินทองหรืออำนาจเท่านั้น หรือบางทีอาจจะเป็นความกลัวเกรง หากคุณรู้ว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร เราก็โน้มน้าวให้เปลี่ยนฝ่ายได้ไม่ยาก”

มู่อี้จิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง บางทีนี่อาจเป็นวิธีที่ละมุนละม่อมที่สุด

“ผลลัพธ์จะเป็นยังไง ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของคุณแล้ว นักสืบมู่”

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะทำให้ดีที่สุด” มู่อี้จิงรับคำแข็งขันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “คุณมีเวลาให้ผมได้เท่าไหร่”

เซินเฟยนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง

“หนึ่งเดือน”

มู่อี้จิงฟังแล้วจึงพยักหน้ารับ เวลาหนึ่งเดือนไม่ได้มากหรือน้อยเกินไปนักสำหรับเขาที่เหลืออยู่ตัวคนเดียว งานนี้เขาขอความช่วยเหลือจากทางกรมหรือแผนกของตัวเองไม่ได้ นับว่าเซินเฟยกรุณากับเขามากทีเดียวที่ยืดเวลาให้ถึงขนาดนี้ทั้งที่เวลาของตนเองก็กระชั้นขึ้นทุกที เส้นตายการประกาศแต่งตั้งจูเชว่คนใหม่จะมีในอีก 2 เดือนข้างหน้า หลังจากเขาสืบความไปแล้วหนึ่งเดือนยังต้องใช้เวลาค่อย ๆ จัดการตามแผนทีละขั้นอย่างใจเย็น หากช้าไปกว่านี้เพียงนิด เซินเฟยอาจต้องสูญเสียเก้าอี้จูเชว่ของตนเองไปก็เป็นได้

“หวางซิง หน้าที่ของคุณคือการทำงานเลขาไปอย่างเดิม” เซินเฟยหันกลับมาแจงงานต่อ “ตอนนี้งานที่บริษัทเริ่มวุ่นวาย หากเสียหายไปมากกว่านี้ถึงจะกู้สถานการณ์ได้ก็ใช่จะซ่อมแซมได้ในเร็ววัน ระบบที่จูเชว่สองรุ่นก่อนได้วางไว้กำลังถูกทำลายไปทีละน้อย การวางระบบใหม่ต้องใช้เวลาและคนที่ไว้ใจได้ ดังนั้นเราจะปล่อยให้เสียหายไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

“ครับ” หวางซิงตอบรับสั้น ๆ เพราะเขาเข้าใจจุดประสงค์ของเซินเฟยอย่างแจ่มแจ้ง

“ฉู่เหวินจือ นายไปกับฉัน”

“ผมหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเลิกคิ้ว

“เรามีเรื่องต้องจัดการ” เซินเฟยว่าเสียงเยียบเย็น “พวกหัวหน้าแก๊งค์ถึงเวลาจะต้องรู้ได้แล้วว่า อำนาจจูเชว่ของผมทำอะไรได้บ้าง ในเมื่อพวกเขาเริ่มแข็งข้อกับการบริหารของพ่อ ผมก็จะใช้โอกาสนี้สยบพวกเขาให้อยู่ใต้อำนาจอย่างที่ควรจะเป็น”

ฉู่เหวินจือยิ้มออกมา

“ผมเข้าใจแล้วครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้ายกันไปได้แล้ว นักสืบมู่ คุณกลับไปอยู่ที่อพาร์ทเมนท์ของคุณและเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด อย่าให้ใครไหวตัวได้ ส่วนอาซิง ช่วงนี้คุณต้องอยู่ที่บ้านใหญ่ พยายามติดต่อกับนักสืบมู่แค่เท่าที่จำเป็น และติดต่อกับผมผ่านการ์ดเท่านั้น อย่ามาที่นี่เป็นอันขาดและอย่าใช้เครื่องมือสื่อสารด้วย”

หลังจากแจกจ่ายงานเรียบร้อย เซินเฟยก็สั่งให้มู่อี้จิงและหวางซิงกลับไปเนื่องจากเขาเริ่มเหนื่อยแล้วและอยากพักผ่อนก่อนเริ่มงานในวันรุ่งขึ้น กระนั้นเมื่อเขาขึ้นเตียงได้ไม่นาน ฉู่เหวินจือก็เปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วนั่งลงที่ขอบเตียงพลางมองใบหน้าของเขาเหมือนกับมีเรื่องจะพูด

“มีอะไรก็ว่ามา”

“คุณเซินไม่คิดจะให้รางวัลผมหรือครับ?” ฉู่เหวินจือว่าพลางยิ้ม “หรือว่างานนี้ผมยังทำได้ไม่ดีพอ?”

“อ้อ.....” เซินเฟยรับคำในคอ จะว่าไปแล้ว งานนี้หากขาดฉู่เหวินจือไปเขาคงจะตายไปแล้ว และถึงจะรอดมาได้เขาก็คงไม่มีทางดำเนินการมาถึงขั้นนี้ได้ ดังนั้นงานนี้นับว่าฉู่เหวินจือมีส่วนช่วยมากทีเดียว ควรจะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสมหลังจากต้องลำบากมานาน ถึงแม้เขาจะยังแคลงในใจวิธีการของฉู่เหวินจืออยู่มากก็ตามที “ฉันมีข้อแม้ หลังจากจบงานนี้นายต้องเล่าความจริงให้ฉันฟัง”

“ได้ครับ ผมจะบอกความจริงทุกอย่าง” ฉู่เหวินจือรับคำโดยไม่อิดเอื้อน

“แล้วนายอยากได้อะไร?”

“คุณไม่ทราบหรือครับ?” แทนที่จะตอบตามตรง ฉู่เหวินจือกลับค่อย ๆ โน้มตัวลงไปจนใบหน้าทั้งสองเกือบประชิดกัน ทั้งยังใช้แขนข้างที่ไม่หักกุมมือของเซินเฟยอย่างมีความหมาย เด็กหนุ่มสูดหายใจลึกด้วยความตกใจก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่งเพราสายตากรุ้มกริ่มที่ฉู่เหวินจือใช้มองเขานั้นแฝงความนัยไว้หลากหลาย แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะแปลความนัยที่ชัดแจ้งที่สุด

จะว่าไปแล้ว เขาก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธฉู่เหวินจือมานานแล้ว การที่อีกฝ่ายจะเรียกร้องสิทธิพิเศษอย่างเดิมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เพราะเขายืนยันว่าอย่างไรก็ต้องมีผลงานที่เหมาะสมกับรางวัล หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเขาจึงทำได้เพียงการจูบและกอดในบางโอกาสเมื่อเขายินยอมเท่านั้น

“ก็ได้” เซินเฟยยอมตกลงในที่สุด ด้วยมองไปแล้วฉู่เหวินจือก็ได้กระทำทุกอย่างเพื่อความพึงพอใจของเขามาโดยตลอด และไม่เคยแสดงท่าทีแข็งข้อเมื่อถูกเขากดให้อยู่ใต้อำนาจ ซ้ำยังทำงานของตัวเองอย่างเดิมไม่ได้ลดคุณภาพงานลงเลย เพียงแต่ออกไปทำงานข้างนอกมากขึ้นจนไม่ค่อยอยู่ข้างกายเขาแล้วเท่านั้น

ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างแล้วเริ่มซุกไซ้คลอเคลียผิวบาง ใช้มือที่เหลือเพียงข้างเดียวปลดกระดุมทีละเม็ด ๆ ก่อนลูบไล้สัมผัสผิวเนื้อภายใต้อาภรณ์ที่ไม่ได้สัมผัสมานาน

เซินเฟยสูดหายใจลึก ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขารู้สึกกลัวขึ้นมาเมื่อถูกสัมผัสด้วยความปรารถนา

อาการเกร็งสั่นและขบริมฝีปากจนซีดขาวนั้นสังเกตได้ไม่ยากนัก ฉู่เหวินจือมองดูเซินเฟยพลางคิดคำนวนบางอย่างในใจและออกมาจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากก่อนผละออก ทำให้เซินเฟยลืมตาขึ้นมองด้วยความสงสัยว่าเหตุใดคนดื้อดึงอย่างฉู่เหวินจือจึงไม่รุกเข้ามาอย่างที่เคยทำอยู่ประจำ

“ผมเจ็บอยู่อย่างนี้คงทำไม่ไหว คืนนี้ขอแค่ไม่โดนไล่ลงไปนอนบนพื้นก็แล้วกัน” ฉู่เหวินจือตอบแล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ ก่อนรั้งเซินเฟยเข้ามากอด เจ้าตัวไม่ได้ต่อว่าอะไร เขาถอนหายใจออกมาเหมือนรอดพ้นจากความน่ากลัวบางอย่างมาได้หวุดหวิดและผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของฉู่เหวินจือ แต่ปฏิกิริยาของเซินเฟยในวันนี้ก็ทำให้ฉู่เหวินจือสามารถสรุปความบางอย่างได้ เหตุผลที่เซินเฟยหลบเลี่ยงการมีสัมพันธ์ทางกายอยู่ตลอดนับแต่เฉยชากับหวางซิงในคราวนั้น ฉู่เหวินจือสามารถคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้ไม่ยากนักจากการตอบสนองของเซินเฟยในวันนี้

ชายหนุ่มยิ้มออกมาในความมืด หวางซิงยังคงเป็นเลขายอดเยี่ยมอย่างเคย ใช้วิธีรุนแรงอย่างนั้นเพื่อปกป้องเซินเฟยจากเขาอย่างนั้นหรือ? เกินความคาดหมายไปไกลจริง ๆ แม้แต่เขายังต้องใช้เวลานานถึงขนาดนี้กว่าจะรู้ได้

หวางซิง....ผู้ชายคนนั้นดูจะใช้งานได้มากกว่าที่คิดเอาไว้....

TBC

-------------------------------

ดีใจ มีคนออกมาให้กำลังใจเยอะแยะมากมาย XD

แอบตอบคำถามว่าเซียร์ทำงานอะไร เซียร์ยังไม่ได้ทำงานค่ะ ยังเรียนมหาลัยอยู่เลย 555+

แล้วก็มีเรื่องมาแจ้งนักอ่านทุกท่าน ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเซียร์ขอเว้นระยะการอัพนะคะ เพราะต้องไปทำงานที่งานหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ค่ะ พอทำงานเสร็จแล้วก็น่าจะว่างอัพได้เหมือนเดิม ต้องขออภัยถ้าใครรู้สึกค้างกับตอนที่อัพล่าสุดนี้นะคะ 555+ (แต่เหมือนมีคนบอกว่ามันก็ค้างทุกตอน=[]=!)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 24-03-2011 17:33:53
อ๊ากกก ค้างอย่างที่ว่าจริงๆ
ทำงานเสร็จแล้วก็รีบมาต่อนะคะ
รออย่างใจจดจ่อ  :sad4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: mahbongz ที่ 24-03-2011 18:24:49
 :เฮ้อ: บางทีก็อดคิดไม่ได้นะ ว่าจริงๆแล้ว ฉู่เหวินจือก็คือไป๋หู่หรือเปล่า? :man1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 24-03-2011 19:22:21
 :laugh:

มันส์อ่ะ

ช๊อบๆๆๆๆๆ

แต่ขอร้องนะฉู่เหวินจืออย่าหักหลังตอนนี้อาเฟยกำลังรู้สึกดีด้วยน่ะ
ไม่งั้นจะ กรี๊ดดดดดดดดดมากเลย

สู้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 24-03-2011 19:25:01
จบตอนนี้ไม่ค้างเท่าไร แต่ถ้าเรื่องสงสัยยังเยอะโคตร ๆ
ก็ "ลึกลับตัวพ่อ" อย่างฉู่เหวินจือยังทำตัวน่าสงสัย และ ตีเจตนาไม่ออก
มองคนนั้น คนนี้ว่าใช้งานได้ เหมือนเป็นหมาก แต่ตาฉู่กำลังเล่นเกมส์อะไรอยู่ล่ะ???
กว่าจะได้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของฉู่เหวินจือ ถ้าจะอีกนานโข ( อาจจะใกล้ ๆ จบเรื่อง )
ส่วนน้องมู่ จะสับสนก็ไม่แปลก เพราะ นั่นเป็นจรรยาบรรณของการเป็นตำรวจ
ถ้าแกไม่คิด ไม่รู้สึกอะไรสักนิดสิ คงต้องเติมคำว่า " เลว" ต่อจากคำว่า "ตำรวจ"

จะรอวันที่ คุณ ZIar กลับมาอัพตอนต่อไป แล้วก็ Enjoy working นะค่ะ ~ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 24-03-2011 20:26:33
อดคิดไม่ได้ว่าอาฉู่มาเพราะคำสั่งของคนใกล้ตัวอาเซิน  จูเชว่คนก่อนหน้าที่หายตัวไปอย่างลึกลับ
ตอนนี้อ่านแล้วเหมือนอาฉู่เศร้าลึก ๆ ยังงัยก็ไม่รู้แฮะ ... อยากเห็นจุดจบพ่อของอาเซินเร็ว ๆ จัดมาแรง ๆ ให้สาสมเลยก็ดี
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 24-03-2011 20:33:28
คุณฉุ่หมายความว่างยังไงอ่ะ
ที่ว่าใช้งานได้ดีจริงๆเนี่ย
โฮๆๆ ทำไมดูมีลับลมคมใน ดูไม่ซื่อกับน้องเฟยเฟย อ้ะ
ยังไม่ต่อล่ะเนี่ย ลุ้นมาก !!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 24-03-2011 22:38:54
ฉู่เหวินจือเป็นใครกันแน่เดาไม่ออกเลยจริงๆ คนอื่นยังพอเดาได้บ้าง แต่ฉู่เหวินจือคนนี้ดูลึกลับจริงๆ เฟยเฟยจะต้องเจออะไรบ้างเนี่ย

ชอบคู่นักสืบมู่กับอาซิงมากๆเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 24-03-2011 23:55:37
มาบทนี้ นายฉู่คิดแต่คำว่า "ใช้งาน" บ่อย จนเริ่มกลับมาไม่น่าไว้วางใจอีกแล้ว

เซ็งความลึกลับซับซ้อน (แต่คิดอีกทีก็เป็นเสน่ของเรื่องนี้)

แต่อยากรู้ความนัยต่างๆนี่นา เมื่อไหร่จะเฉลยว่านายฉู่เป็นไงกันแน่เนี่ยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: beautyless ที่ 25-03-2011 05:50:24
หลงเสน่ห์นิยายเรื่องนี้ซะแล้ว ถึงแม้มู่ดูท่าทางจะออกร้ายๆ
แต่ผมกลับมองเห็นถึงความพิเศษในความสัมพันธ์ที่มู่หยิบยื่นให้เฟย
แม้จะเพื่อภารกิจบางอย่าง แต่กลับเต็มไปด้วยความกล้าหาญ อบอุ่น
อ่อนโยน สนุกสนาน เสี่ยงตายแทน ปกป้อง เอาใจใส่มากมายเหลือเกิน
เกินกว่าที่คู่รักกันจริงๆ หลายคู่จะกระทำต่อกันด้วยซ้ำ
ความรู้สึกของผมตอนนี้ ถ้าผมเป็นเฟยผมคงละลายในอ้อมกอดเขา
ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็คงยอมแล้วล่ะ

ไม่ว่าเรื่องจะดำเนินไปแบบใด แต่แค่ตอนนี้บอกก่อนล่วงหน้าเลยว่าทึ่ง
ในการเขียนเรื่องจริงๆ นะ


ปล. เป็นนักศึกษาแต่คิดเรื่องอะไรต่างๆ เก่งจัง จะติดตามตอนต่อไปนะ สนุกมากมาย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: yakusa ที่ 25-03-2011 12:53:24
เฮ้อ ไม่อยากบอกว่าค้างทุกตอนจริงๆ มันลุ้นจนตัวจะหงิกและ :serius2:



ปล. จะไปงานหนังสือเหมือนกัน อยุ่ตรงไหน จะไปเอาตอนต่อไป :L2: :L2:

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 25-03-2011 17:24:47
เอาให้จบคดีนี้ก่อนแล้วค่อยหายไปไม่ได้เหรอ?

จะค้างรอไปจนจบงานหนังสือค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 25-03-2011 22:24:27
โอ้ยยังไงเนี่ยฉู่เหวินจือจะทิ้งเซินเฟยไปเหรอเนี่ย


รออ่านตอนต่อไปค้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 26-03-2011 20:27:14
อ่านตอนแรกจำชื่อไม่ค่อยได้เลย เรียกยากเนอะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ratrirattikan ที่ 26-03-2011 21:23:44
ที่บอกว่าเหลือแค่คนเดียวนั่นหมายความว่าไงกันคะ!!? หือ คุณมู่...แต่นะ หวางซิงนะหวางซิง จะว่าแก้ปัญหาได้ดีก็ดีอยู่หรอก แต่ขัดใจพิกลแฮะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 26-03-2011 22:13:07
เซียร์อยู่บูท w08 ค่ะ
ใครว่างๆก็แวะไปทักได้นะคะ คนหน้ากลมๆ ผมยาวๆ(อาจจะปักปิ่นถ้าวันนั้นไม่ได้สระผม) นั่งขายอยู่หน้าบูทที่เต็มไปด้วยพวงกุญแจ นั่นแหละค่ะใช่เลย XD อนุญาตให้ทักทายค่ะ 555+
(ใครซื้อสัตยาธิษฐานไปจะมาขอลายเซ็นก็ได้นะคะ 555+<<<จะมีคนเอาเรอะ=[]=!)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงŪ
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 27-03-2011 21:29:39
อ๊ากกกกก อีตาฉู่ ทำไมคิดแบบนี้ล่ะ ไม่หวั่นไหวกับอาเฟยมั่งหรอ(ต้องมีมั่งเซ่ -o-)
ยังเดาไม่ออกจริงๆว่าอาฉู่คิดจะทำอะไร ลึกลับมากกกก
หวังว่าอาฉู่คงไม่คิดจะทำอะไรที่ไม่ดีนะยะ(ไม่งั้นมีโดดตบปากแน่ อาฉู่ 55+)
แอบคิดคนเดียวว่า การที่อาฉู่เข้ามาอยู่ใกล้อาเฟยก็เพื่อที่จะช่วยเหลืออาเฟยจริงๆ แบบว่าอ่านตอนนี้แล้วมัน..
 คนที่ใช้งานได้ปรากฏตัวออกมาแล้วอย่างนี้ ซ้ำตัวปัญหาก็ค่อย ๆ ถูกกำจัดไปทีละรายจนเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
แสดงว่าใกล้จะถึงเวลาจบงานของเขาแล้วกระมัง....  :a5:
เหมือนกับว่ามาช่วยอาเฟยกำจัดตัวปัญหาเหล่านี้ เพื่อที่ตำแหน่งจูเช่วจะได้มั่นคง ตามคำสั่งของไป่หู
แต่ก็งง ไอ้คำว่า ใช้งาน ใช้งานๆๆๆๆ เหมือนจะเป็นคนไม่ดีง่ะ
อร๊ายยยยย งงค่า~ คุณเซียร์ช่วยมาไขข้อข้องใจให้เร็วๆทีเถ๊ออออ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: nomo9 ที่ 28-03-2011 07:01:33
อืมม์ อาฉู่เก่งแล้วก็ฉลาดเกินไปสำหรับโพรไฟล์คนที่เป็นแค่ลูกน้องอ่ะ น่าจะมากกว่านั้นน้า ^_^ o13
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 01-04-2011 02:27:55
อ่านเรื่องนี้รวดเดียวจบ !
สนุก ตื่นเต้นมากๆอ่ะ  ดูดิ ตอนนี้ก็ตี 2 ละ ฮ่าฮ่า
อยากบอกอะไรหน่อยอ่ะค่ะ 
คาใจอาฉู่จังเลยค่ะ  อะไรก็ดูมีเงื่อนงำไปซะหมดเลยนะแก ไม่รู้ว่าความลับที่มันปิดไว้จะทำให้เฟยเฟยเสียใจรึป่าวนะ? แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ จะขอตบให้หายแค้นซักร้อยร้อยรอบเลย  ฮึ่ม 
แต่ที่แน่ๆ ที่บอกว่าถึงเวลาจากลาอ่ะ   !!
สรุปว่าแกจะกลับไปหาไป่อู๋ใช่มั้ย!?  ไหนว่าจะเป็นสุนัขผู้ซื่อสัตย์ไง   
ไม่ใช่มาหรอกฟันนะเฮ้ย !

ปล. แต่ถ้าฉู่เหวินจือเป็นไป่อู๋จริงๆ ค่อยคุยกันได้  จะลดระดับความโกรธลงนิดนุง -^-
ปลล. รีบมาอัพนะคะ  กำลังสนุกเลย  ไม่อยากค้าง  อยากรู้ึความจริงเร็วๆด้วย (ฮา)
ปลล.อยากเห็นเฟยเฟยแสดงอภินิหารจัง  เห็นพวกดูถูกแล้วหมั่นไส้มากกกก  อยากตอกหน้าให้ชาไปเลย ชิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 02-04-2011 00:24:19
กรี๊ดดดดด ยังไม่มาอีกหรอคะ T_T
อยากอ่านนนนนน แงๆๆ อยากอ่านอ่า
คุณเซียร์ขา~ ตอนต่อไปขอหลายๆตอนเลยนะคะ ทดแทนวันที่หายไปง่ะ
งือออออ  :sad2: เค้าอยากอ่านนนน คิดถึงอาเฟยสุดที่รัก ถ้ามาแล้วจะกระโดดจูบซ้า~(>3<)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Ayame ที่ 02-04-2011 12:23:33
มาลงชื่อ คิดถึงเฟยเฟยด้วยคน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 02-04-2011 22:07:37
เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน - -* นอกจากติดงานหนังสือแล้วการ์ดจอยังเจ๊ง(อีกแล้ว)!
ขอด่าช่างสักทีได้มะ ส่งเคลม 5 รอบทั้งที่ยังไม่ครบกำหนด 1 ปีนี่มันจะมากไปไหมพี่! การ์ดจอร้านไหนฟระห่วยบรม!!!! (สุดจะทนแล้ว - -***)

สรุป เข้ามาระบาย+บอกข่าวเท่านี้แหละค่ะ ว่าจะพิมพ์วันละนิดละหน่อยเลยไม่ได้พิมพ์เลยสักตัว ต้องมายืมคอมน้องใช้
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 02-04-2011 23:18:08
ไม่เป็นไรค่ะ รอได้ (แต่อย่านานนักนะคะ)

ติดตามต่อไป ขอให้คอมใช้ได้เร็วๆ
 :call:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 02-04-2011 23:23:27
เฮือก...การ์ดจอเจ๊ง !!!  (อีกแล้ว  :sad4:)
ง่า...เค้าคิดถึงเรื่องนี้มาก ๆ  คิดถึงคุณ ZIar จะแย่แล้ว แล้วเค้าจะต้องเฝ้ารออีกนานเท่าไรเนี่ย?
ฝากบอกช่างหน่อยสิคะ ว่าให้เคลมไว ๆ เพราะ มีคนรอการ์ดจออันนี้อีกหลายชีวิตเลย (เพื่ออ่านนิยาย )
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 03-04-2011 15:57:53
ไอ้ช่างบ้า อยากจะไปปาไข่เน่าใส่หัวจริงๆ  :m31:
ทำให้คนอื่นอดอ่านนิยายนี่มันบาปนะ -_-^
ขอให้คุณเซียร์ได้การ์ดจอที่มันแข็งแรงอดทนได้นานเหมือนแมลงสาบที่เถ๊ออออ
อยากอ่านแว้วววว คิดถึงอาเฟยยยยย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: วิหคท่องนภา ที่ 04-04-2011 00:48:22
เฮือก....อ่านทันซะที ฮ่าๆๆ

ลึกล้ำมาก...... คิดตามจนปวดหัวเลย


ตาฉู่นี่สำคัญแฮะ......ดูมีอำนาจยังไงไม่รู้     เคยแอบสงสัยว่าเป็นทายาทไป๋   หรืออาจจะเป็นไป๋....

รออ่านต่อดีกว่า ฮี่ๆ


ปล.ชอบคู่อาซิงมากกว่าอ่ะ  น่าร้ากกกก
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 04-04-2011 20:11:57
 :z3:  กรี้ดดดด  เรื่องนี้โดนใจมากค่ะพี่เซียร์  อ่านแล้วได้บรรยากาศมาเฟียฮ่องกงจิงๆ o13
ตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ยังไม่รุ้เลยว่าตาฉู่ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่  :เฮ้อ: :serius2:
มาต่อเร็วๆนะค่ะ :pig4: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 28 (24/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: beautyless ที่ 05-04-2011 19:11:26
เข้ามาดัน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 08-04-2011 00:14:20
-29-


วันและเวลายังคงเดินไปอย่างเที่ยงตรงแม้จะเกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้นแล้ว โลกยังคงหมุนไปอย่างเรียบง่ายไม่เร่งหรือลดความเร็วไปกว่าปกติ อย่างไรเสีย 1 วันก็ยังคงมี 24 ชั่วโมงไม่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงเพื่อใครบางคนหรือบางกลุ่ม ถึงอย่างนั้น คนบางคนก็อยากให้เวลาเดินช้าลงและคนบางคน...ก็อยากให้เวลาเดินเร็วขึ้นอีกหลายเท่า เช่นผู้ชายคนนี้ เซินหยู่

หากนับแต่เซินเฟยหายตัวไป เวลาก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ จนเกือบจะครบกำหนด 3 เดือนแล้ว มีบางกระแสข่าวที่บ่งว่าเซินเฟยปรากฏตัวในสถานที่ต่าง ๆ ทว่าเมื่อเขาส่งคนลงไปตรวจสอบกลับพบว่าเป็นข่าวเท็จเท่านั้น แต่เพื่อความไม่ประมาท เขายังคงสั่งให้คนของเขาคอยตรวจตราชายฝั่งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่ามีใครหรืออะไรขึ้นมาจากทะเลจะต้องส่งหลักฐานให้เขาตรวจสอบทันที และอะไรก็ตามที่มีแนวโน้มว่าจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเซินเฟยก็จะมีคำสั่งให้กำจัดทิ้งอย่างเร่งด่วนและเงียบเชียบ

ถึงอย่างนั้นแล้วตำแหน่งของเขาก็ยังไม่มั่นคง เพราะนอกจากเขาแล้วก็ยังมีคนอีกหลายคนที่เล็งตำแหน่งนี้ไว้เช่นกัน อีกทั้งมติทางกลุ่มได้ออกมาแล้วว่า เนื่องจากกรณีนี้เป็นกรณีพิเศษจึงต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม เนื่องจากเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่จูเชว่ไม่มีทายาทสายตรงอีกทั้งยังไม่ทิ้งพินัยกรรมใด ๆ เอาไว้ ด้วยเหตุนี้ ในการคัดเลือกผู้นำคนต่อไป ทางกลุ่มจะใช้การประชุมเพื่อเฟ้นหาคนที่เหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ ใครก็ตามที่สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มได้มากที่สุดและไม่ทำให้รากฐานสั่นคลอน

เซินหยู่ได้รับรู้ในตอนที่มีคนนำเรื่องนี้มาแจ้งว่าจะทำตัวกร่างอยู่อย่างเดิมไม่ได้อีกต่อไป เขาปรับเปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังมืออย่างทันที

เริ่มจากการหันมาทำดีกับหวางซิงมากขึ้น ไม่เอาแต่กลั้นแกล้งดังที่แคยทำในตอนแรก เขายกโต๊ะคืนให้แก่ชายหนุ่มอีกทั้งยังให้เข้ามานั่งในห้องประธานได้ มีสิทธิเข้าออกได้ตามต้องการ และไม่บีบคั้นอีกฝ่ายอีกต่อไป ทั้งนี้เพราะหวางซิงเป็นหัวแรงใหญ่ที่จะยืนยันความเหมาะสมของเขากับที่ประชุมเนื่องจากเป็นคนใกล้ชิดที่เซินเฟยทิ้งเอาไว้ให้เขา คนอื่น ๆ ที่ไม่มีหวางซิงก็ต้องลงแรงมากหน่อย ส่วนเขาแค่เอาใจหวางซิงให้มาก รอให้อีกฝ่ายยอมโอนอ่อนให้ก็เพียงพอที่จะเข้าตากรรมการบ้างแล้ว

ด้วยเหตุนั้น ตลอดระยะเวลาเดือนเศษนับแต่ได้รับเงื่อนไขจากกลุ่ม หวางซิงจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่ตนเองถูกปฏิบัติต่างจากเดิม คนของเซินหยู่ทุกคนนอบน้อมต่อเขาราวกับเป็นเจ้านายอีกคน เขาสามารถยื่นมือเข้าไปจัดการกับทุกแผนกได้โดยไม่มีใครขัดขวาง อีกทั้งเซินหยู่ก็ไม่แสดงอารมณ์โมโหร้ายกับเขาทั้งที่ถูกแขวะไปเสียมาก

นอกจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้ เซินหยู่ยังมักอาศัยเวลาว่างในบริษัทไปกับการเยี่ยมเยียนหัวหน้ากลุ่มต่าง ๆ ในเขต แน่นอนว่าหวางซิงไม่ได้ติดตามไปด้วยเพราะเซินหยู่ให้เหตุผลว่าเป็นการพูดคุยอย่างลับ ๆ ในเวลาอย่างนี้ถึงหวางซิงจะไม่ต้องเดินทางไปฟังด้วยตัวเองก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าเป็นการเสนอผลประโยชน์เพื่อแลกกับเสียงสนับสนุนอย่างแน่นอน เพราะนอกจากหัวหน้ากลุ่มในเขตพื้นที่แล้ว เซินหยู่ยังเดินทางไปดูความเป็นอยู่ของญาติ ๆ ในสายรองของตระกูลเซิน ในสายตาคนอื่น ๆ อาจมองว่าเซินหยู่พยายามปรับปรุงตัว แต่สำหรับหวางซิงกลับมองว่าเซินหยู่กำลังทำตัวเหมือนนักการเมืองที่กำลังออกหาเสียงเสียมากกว่า ลองอีกฝ่ายได้ขึ้นเป็นใหญ่เมื่อไหร่ อย่าว่ากระทั่งเขาเลย ทุกคนที่อีกฝ่ายทำดีด้วยจะต้องถูกรีดผลประโยชน์คืนอย่างสาสมแน่นอน

แต่สถานการณ์ที่พลิกผันอย่างนี้ก็ใช่ว่าหวางซิงจะไม่ได้ประโยชน์ เพราะเขาได้รับอนุญาตที่จะออกไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แม้จะไม่สามารถติดต่อกับใครเป็นการส่วนตัวได้ก็ตามที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกหัวหน้ากลุ่มและผู้บริหาร เมื่อใดก็ตามที่หวางซิงมีทีท่าจะติดต่อกับคนเหล่านี้ เซินหยู่จะต้องส่งคนมาจับตาดูเสียทุกทีไป กระนั้น เขาก็สามารถติดต่อกับคนนอกได้โดยไม่มีใครรบกวน และมู่อี้จิงคือคนที่หวางซิงให้ความไว้ใจในการติดต่อด้วยมากที่สุด แน่นอนว่าเขาจะไม่ได้รับข่าวใด ๆ กลับมาเนื่องจากมู่อี้จิงต้องการความแน่ใจว่าจะไม่มีคนของเซินหยู่รู้เรื่องที่เซินเฟยกำลังดำเนินการ กระนั้นแค่เพียงมีคนให้ปรึกษา แม้จะอึดอัดใจที่ไม่ได้รับรู้ความคืบหน้าของแผนการแต่ก็ไม่อัดอั้นกับเรื่องรอบตัวของตัวเองมากนัก อีกทั้งยังอาจเป็นข่าวสารที่มีประโยชน์ต่อเซินเฟยด้วย

ตลอดระยะเวลาเดือนกว่ามานี้ หวางซิงไม่ได้พบหน้าเซินเฟยหรือกระทั่งได้ยินเสียงเลยสักครั้งเดียว ทั้งที่คิดว่าเมื่อเซินเฟยกลับมาแล้วจะได้กลับไปอยู่เคียงข้างเช่นเดิม ทว่าหลังจากห่างร้างกันไปหนึ่งเดือนโดยไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร พอได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเขาก็ถูกสั่งห้ามพบอีกครั้ง ตอนนี้ระยะเวลาก็ผ่านไปนานแล้ว หวางซิงรู้ว่าตนเองต้องอดทนแต่ก็ยังอดน้อยใจไม่ได้

“เหลือเวลาอีกอาทิตย์เดียวเท่านั้น.....” หวางซิงเปรยขึ้นมาเหมือนไม่มีความหมายอะไร แต่มู่อี้จิงรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังหมายความถึงช่วงกำหนดสามเดือนที่จะมีการแต่งตั้งจูเชว่คนใหม่

“งานที่บริษัทยุ่งหรือครับ?” มู่อี้จิงถามกลับเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจ

“ถ้าเป็นตอนนี้คนยุ่งคงมีแต่ผมนี่แหละครับ คุณเซินหยู่ออกไปข้างนอกทุกวันไม่ค่อยเข้าบริษัทเท่าไหร่ งานภายในผมเลยต้องจัดการเองแทบทั้งหมด”

มู่อี้จิงทำความเข้าใจความกลัดกลุ้มของหวางซิงได้ไม่ยาก เพราะเมื่อเซินเฟยกลับมาแล้วฐานะของหวางซิงจึงเปลี่ยนไป จากปกติเขาอาจแกล้งปล่อยปละละเลยงานให้เซินหยู่กลับมาสะสางเองได้ แต่เมื่อรู้แน่ว่าเซินเฟยจะกลับมา หวางซิงจึงต้องพยายามทำงานแทนให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เซินเฟยต้องรับภาระที่พ่อตนเองทิ้งเอาไว้

แต่ช่วงนี้เองเซินเฟยก็ใช่จะสบาย เพราะต้องดำเนินแผนการตามที่เขาได้ข้อมูลมาอย่างลับ ๆ การ์ด 4 คน ฉู่เหวินจือที่เพิ่งถอดเฝือกไป ตัวเขาเอง และเซินเฟยต่างก็หัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้น ทั้งยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากสายตาของเซินหยู่อีกจึงเหนื่อยเป็นเท่าตัว จบงานนี้เขาต้องคิดค่าตอบแทนหนัก ๆ หน่อยเสียแล้ว เล่นใช้งานกันจนเทียบได้กับปริมาณงานในฐานะสายสืบของกรมตำรวจรวมกัน 4 เดือนแบบนี้

“ดูเหมือนว่าจะเป็นไปด้วยดีนะครับ” หวางซิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง มู่อี้จิงจึงพยักหน้า

“คุณเริ่มสังเกตเห็นแล้วหรือ?”

“ครับ.....แต่คุณเซินหยู่ยังไม่รู้” ประโยคหลังหวางซิงลดเสียงลงเล็กน้อย “ผมเองก็พยายามปกปิดอยู่”

มู่อี้จิงพยักหน้า เรื่องนี้เซินเฟยคงจะพอใจที่จะได้ฟังอยู่ ซึ่งก็นับว่าพวกเขาทำงานได้ไม่เสียเปล่า เหลือก็แต่ช่วงเวลาที่เซินเฟยจะลงมือเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นภายในวันหรือสองวันนี้ เพราะเวลากำลังงวดลงเรื่อย ๆ ถึงการดำเนินการจะดูเชื่องช้าแต่ความจริงแล้วเซินเฟยเองก็กำลังร้อนใจอยู่มากเหมือนกัน

ตัวเซินหยู่ นอกจากจะหันมาทำดีกับคนในแล้ว ยังทำดีกับภรรยา หลี่จวี๋เหม่ย มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะสภาพอารมณ์ที่เป็นไปในทางบวกนั่นเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเวลาค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้ความเป็นจริงอย่างที่ฝันไว้ และคนในก็เริ่มยอมรับเขามากขึ้นแล้ว ทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองจะได้ดำรงตำแหน่งต่อไปอย่างแน่นอน

“กลับมาแล้วหรือคะ?” หลี่จวี๋เหม่ยรีบออกไปต้อนรับสามี เธอดูซูบผอมและอมทุกข์มากกว่าเก่าหลังจากที่ได้ข่าวการหายตัวไปของเซินเฟย กระนั้นเธอก็ไม่อาจแสดงความตรมเศร้าออกมาให้สามีเห็นได้ ด้วยรู้ดีว่าเซินหยู่ไม่ต้องการจะรู้สึกถึงตัวตนของเซินเฟยไปมากกว่านี้ เวลานี้เซินหยู่เองก็ประพฤติตัวดีขึ้น เธอจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียขึ้นมาอีก ด้วยเหตุนั้นจึงทำได้เพียงเก็บความทุกข์ในฐานะแม่ไว้ในใจเพียงผู้เดียวโดยไม่อาจพูดให้ใครรับฟังได้

“กลับมาแล้ว” เซินหยู่ว่าแล้วเดินเข้าไปสวมกอดภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก “วันนี้มีอะไรกินบ้าง? บ้านที่ฉันไปหาวันนี้ภรรยาเขาทำอาหารรสชาติย่ำแย่จริง ๆ เธอเก่งกว่าเยอะเลยล่ะ”

“งั้นหรือคะ?” หลี่จวี๋เหม่ยหัวเราะแกน ๆ เธอไม่ค่อยชินกับพฤติกรรมแบบใหม่ของสามีสักเท่าไหร่ “วันนี้ฉันเตรียมของไว้เยอะเพราะเห็นคุณบ่นเหนื่อยมาหลายวัน แล้วก็ยังมีของหวานที่คุณชอบด้วย”

“งั้นก็ดีน่ะสิ ไปกินข้าวกินปลากันเถอะ เธอซูบผอมไปขนาดนี้กอดไม่เต็มโอบเอาเสียเลย” เซินหยู่บ่นพลางหัวเราะก่อนจะพยุงภรรยาของตนเข้าไปในห้องอาหารซึ่งหลี่จวี๋เหม่ยจัดโต๊ะรอเอาไว้อย่างพรักพร้อมตามหน้าที่ของเธอที่กระทำมาหลายปี แม้ว่าจะมีแต่ปีหลัง ๆ นี้ที่เซินหยู่กินข้าวที่บ้านบ่อยครั้งขึ้นกว่าเดิมจากที่ปกติจะออกไปกินกับเพื่อนหรือลูกค้าที่ร้านอาหารอยู่เสมอ

เซินหยู่นั่งลงแล้วตักอาหารเช้าปากพลางเอ่ยชมรสชาติที่หลี่จวี๋เหม่ยบรรจงปรุงแต่งอย่างที่อีกฝ่ายชื่นชอบ

“ที่บริษัทเป็นยังไงบ้างคะ?”

“ตอนนี้กำลังไปได้สวยเลยล่ะ นี่จวี๋เหม่ย เธอรู้ไหมว่าพวกผู้บริหารให้ความเชื่อถือฉันมากขึ้นแล้วนะ แถมพวกหัวหน้ากลุ่มก็ดูจะสนับสนุนฉันอยู่หลายคน ยังไงตำแหน่งจูเชว่ก็ไม่พ้นฉันอย่างแน่นอน” เซินหยู่พูดอย่างมั่นอกมั่นใจ กระนั้นหลี่จวี๋เหม่ยกลับรู้สึกใจคอไม่ดีอย่างไรชอบกล เพราะอะไร ๆ ก็ดูลงตัวไปเสียหมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะเข้าหาใครก็ยากลำบากไปหมดแท้ ๆ

“อีกเดี๋ยวเธอจะได้เป็นนายหญิงใหญ่แล้ว หัดทำหน้าทำตาให้มันสดชื่นหน่อยสิ แต่งหน้าแต่งตาเสียบ้าง แล้วก็เดี๋ยวฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ดีไหม เธอไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกเท่าไหร่ก็เลยไม่มีชุดสวย ๆ เลยนี่นะ”

ฟังคำสามีแล้ว หลี่จวี๋เหม่ยก็แย้มรอยยิ้มฝืน ๆ

นับแค่แต่งเข้ามาในบ้านหลังนี้ อย่างว่าแต่เสื้อผ้าเลย กระทั่งเครื่องสำอางค์ก็ยังไม่มีโอกาสได้ซื้อได้ใช้เสียด้วยซ้ำ เธอถูกบังคับให้อยู่แต่ในบ้าน การสมาคมกับคนข้างบ้านก็ไม่มี ตอนไปประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนของเซินเฟยก็ได้แค่ใช้เครื่องสำอางค์เก่าที่ซื้อมาตอนก่อนจะแต่งงานตบแค่ผาด ๆ เท่านั้น ในสายตาของคนทั่วไปเธอจึงเป็นผู้หญิงที่ดูมืดมนไร้ชีวิตชีวาและไม่มีใครอยากจะคบค้าด้วยมากนัก

“ฉันคงไม่เหมาะกับของสวยงามแบบนั้นหรอกค่ะ” เธอว่าพลางกินข้าวต่อไปเงียบ ๆ

“พูดแบบนี้อีกแล้ว! ต่อไปเธอจะเป็นนายหญิงของตระกูลนะ ต้องมีหน้ามีตาในสังคม จะทำตัวโทรม ๆ อยู่บ้านได้ยังไงกัน ดูอย่างนายหญิงคนก่อนสิ เฮอะ! แต่งตัวจัดขนาดนั้น” เซินหยู่พาดพิงไปถึงซากุระซึ่งตอนนี้ได้ข่าวว่ากลายเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จระดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น ได้ออกข่าวเป็นระยะ ๆ นับแต่กลับไปรับมรดกก้อนโตจากพ่อที่สิ้นบุญไป “ช่างเถอะ เดี๋ยวพอฉันได้เป็นจูเชว่เธอก็จะสุขสบาย ถึงตอนนั้นคงรู้จักแต่งตัวให้ดูดีขึ้นเองนั่นแหละนะ” เขาตัดบทเช่นนั้นเพราะไม่อยากขุ่นใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

หลี่จวี๋เหม่ยได้แต่ทอดถอดใจในอก ไม่รู้ว่าควรจะบอกความกังวลใจให้สามีรู้ดีหรือไม่ แต่ในที่สุดแล้วเธอก็ทำได้เพียงเก็บเอาไว้อย่างเงียบ ๆ เช่นทุกเรื่องที่ผ่านมาและผ่านไป

เมื่อเสร็จสิ้นมื้ออาหาร เซินหยู่ก็จะเดินไปเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลาหรือไม่ก็จะอ่านหนังสือพิมพ์ หลี่จวี๋เหม่ยก็จะทำหน้าที่เก็บล้างภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้แล้ว ส่วนอาหารที่ยังไม่หมดก็จะเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้อุ่นกินตอนกลางวันที่สามีออกไปทำงาน แต่พอเปิดตู้เย็น เธอก็พบกับของหวานหลายอย่างซึ่งใส่ไว้จนแทบจะเต็มตู้ เธอมองของเหล่านั้นด้วยสายตาโศกเศร้า นึกถึงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เธอวาดหวังว่าเธอกับลูกชายจะได้กลับมาเป็นครอบครัวอย่างปกติอีกครั้ง ทว่าความหวังนั้นกลับแตกสลายไม่มีชิ้นดี ถึงอย่างนั้น เธอก็เหมือนว่ายังทำใจไม่ได้จึงยังคงทำขนมหวานทุกอาทิตย์ทั้งที่ไม่มีคนที่จะมอบให้

ชุดนี้เองก็คงจะต้องเก็บทิ้งแล้ว....

หญิงสาวมอบของหวานเหล่านั้นแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ไม่รู้ว่าขนมกี่ชิ้น เค้กกี่ก้อนที่เธอทำได้เพียงทิ้งไปอย่างเปล่า ๆ

หลี่จวี๋เหม่ยหยิบขนมจานหนึ่งออกมาจากตู้เย็น กลิ่นของมันชักไม่ดีแล้วเธอจึงเขี่ยลงถังขยะแล้วทิ้งจานลงในอ่างเตรียมล้างและทำเช่นนั้นกับอีกสองสามจานเพื่อเคลียร์ตู้เย็นให้โล่งพอจะใส่อาหารเย็นมื้อนี้ลงไปได้ ทุกการกระทำเป็นไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเสียงช้อนสแตนเลสและจานกระเบื้องกระทบกันเท่านั้นที่ดังอยู่ในห้องครัว

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลี่จวี๋เหม่ยจึงหันมาจัดของหวานที่เตรียมให้สามีและนำออกไปให้เจ้าตัว เธอนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองสามีกินของหวานแล้วก็อดจะนึกถึงเซินเฟยไม่ได้ เซินหยู่กรอกหูเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเซินเฟยตายไปแล้ว ถึงอย่างนั้นคนเป็นแม่ก็ยากจะทำใจรับอยู่ดี

“ฉันขอตัวขึ้นนอนก่อนนะคะ” หลี่จวี๋เหม่ยปลีกตัวจากไป ทิ้งให้เซินหยู่นั่งเล่นต่อไปเพียงลำพัง เขาตักขนมหวานเข้าปากพลางกระหยิ่มในใจเมื่อนับวันเวลาแล้วพบว่าอีกเพียงไม่ถึงสิบวัน สิ่งที่เขาต้องการก็จะวิ่งเข้ามาอยู่ในกำมือ และเมื่อถึงตอนนั้น เขาจะชี้นกก็เป็นนก ไม้ก็เป็นไม้

------------------->

สามวันต่อมา เซินหยู่ก็ยังคงเดินทางมาทำงานที่บริษัทตามปกติทว่าเขากลับรู้สึกถึงสายตาอันผิดแปลกจากบุคคลรอบข้าง อีกทั้งยังรู้สึกว่าคนคุ้นหน้าคุ้นตาหายไปหลายคน เขาคิดว่าคงจะคิดไปเองจึงรีบขึ้นไปยังห้องประธานเพื่อวางแผนว่าวันนี้จะไปนัดพบกับใคร ในช่วงโค้งสุดท้ายอย่างนี้เขาควรจะสนิทสนมกับคนที่มีผลต่อคะแนนเสียงให้มากไว้ โดยเฉพาะพวกผู้อาวุโสที่ไม่พอใจการดำรงตำแหน่งของเซินเฟยแต่เดิม

ทว่าเมื่อเขาเข้าไปถึงห้องประธาน คนสนิททั้งสองกลับทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อีกทั้งยังถือกระดาษปึกหนาไว้ในมือ

“เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้ว

“พวกผมรู้สึกแปลกมาหลายวันแล้วครับ อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าคนของเราหายหน้าหายตาไป ก็เลย....ไปขอรายชื่อจากฝ่ายบุคลากรมาตรวจสอบ....”

“แล้วยังไง?”

“ภายใน 2 สัปดาห์....คนของเราที่วางไว้ในแต่ละแผนกก็ถูกโยกย้ายออกไปจนเกือบหมดเลยครับ”

เซินหยู่ก้าวฉับ ๆ เข้าไปคว้าเอกสารรายชื่อพนักงานในบริษัทมาตรวจสอบ และพบว่าจริงดังว่า ตำแหน่งที่เขาเอาคนของตนเองวางลงไปกลับมีชื่ออื่นเข้ามาแทนที่แทบทุกแผนก เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังมีชื่ออยู่ตามเดิม นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? อำนาจการโยกย้ายตำแหน่งควรจะอยู่ที่เขาไม่ใช่หรือ? การพิจารณาว่าจะจ้างหรือปลดพนักงานรวมถึงการเลื่อนหรือลดขั้นจะต้องรายงานผ่านประธานก่อนเพื่อพิจารณาเหตุผลที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกหนักงานระดับสูง ๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว

“แน่ใจนะว่านี่เป็นข้อมูลล่าสุด?” เขาถามเพื่อความแน่ใจ

“ครับ ผมให้แผนกบุคลากรปรินท์ให้เมื่อเช้านี้เองครับ” คนสนิทคนหนึ่งตอบทันที เพราะเขารู้สึกว่าเริ่มมีกลิ่นไม่ชอบมาพากลจึงไปบังคับให้เจ้าหน้าที่เอารายชื่อออกมาดูอย่างเร่งด่วน แล้วเขาก็พบว่ามีเรื่องผิดแปลกเกิดขึ้นจริง ๆ ซ้ำยังดูเหมือนจะเกิดมานานแล้วแต่ไม่มีใครรู้ตัว

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เซินหยู่รู้สึกหนาวเยือกในอก การกระทำเช่นนี้หรือว่าจะเป็นฝีมือพวกผู้บริหารที่คิดหักหลังเขา? หรือว่าจะเป็นมือมืดจากที่ไหนในองค์กร? หรือว่า.....

“หวางซิงอยู่ไหน?”

“ผมอยู่นี่ครับ” ทันทีที่เอ่ยชื่อ หวางซิงก็เดินเข้ามาในห้องเหมือนไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้น เซินหยู่แทบจะเต้นเมื่อเห็นท่าทางวางตัวเย็นใจเช่นนั้น เขากระชากปึกกระดาษจากมือคนของตนแล้วยื่นไปข้างหน้าหวางซิง

“นี่ฝีมือแกใช่ไหม!?”

หวางซิงมองกระดาษปึกนั้นพลางมุ่นคิ้ว

“ผมทำอะไรหรือครับ?”

“อย่ามาทำไก๋ไม่เข้าเรื่อง! แกสินะที่เป็นคนเซ็นอนุมัติการโยกย้ายพวกนี้น่ะ!” เซินหยู่ตะคอกใส่เลขาคนสนิทของลูกชายโดยไม่สนใจความดีงามที่ตนเองอุตส่าห์อดทนพยายามกระทำต่ออีกฝ่ายเพื่อคะแนนเสียงที่ดีอีกต่อไป อย่างไรเสียเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากคนในหลายคนแล้ว กับแค่เลขาคนเดียวถ้ามันแว้งกัดเขา เขาก็ไม่คิดจะเอาไว้อีกต่อไป เพราะหวางซิงก็ขวางหูขวางตาเขามานานจนเกินจะทนแล้ว

“คุณเซินหยู่ เลขาอย่างผมไม่มีอำนาจการเซ็นอนุมัติโยกย้ายตำแหน่งพนักงานครับ ทำได้แค่ให้คำแนะนำเท่านั้น” หวางซิงเน้นย้ำขอบเขตที่ตนเองมีให้อีกฝ่ายรับทราบด้วยสีหน้าจริงจัง “คนที่สามารถเซ็นผ่านได้มีแต่ประธานเท่านั้น คุณเองก็ทราบไม่ใช่หรือครับ?”

“แต่แกได้รับอำนาจจากอาเฟยให้กระทำการแทนได้!”

“เฉพาะองค์กรใต้ดินเท่านั้นครับ เรื่องในบริษัท หากต้องใช้อำนาจของประธานผมก็ต้องยื่นเรื่องให้คนที่ได้เป็นตัวแทนอย่างคุณไม่ใช่หรือครับ?” หวางซิงว่าพลางขยับแว่น

“แต่ว่าฉันไม่ได้ทำอะไร....”

“ใช่ครับ คุณพ่อไม่ได้ทำอะไร เพราะที่ทำไม่ใช่พ่อแต่เป็นผม” เสียงที่แทรกเข้าในโสตประสาทเรียกให้เซินหยู่หันไปทางประตูที่เปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นตาเกินกว่าจะหลงลืมไปได้ ดวงตาเยียบเย็นของเด็กหนุ่มยังคงคมกริบราวกับดาบ เมื่อจ้องมองยิ่งรู้สึกราวกับถูกทะลวงเข้าไปถึงสันหลัง แววตาแบบนั้นคือแววตาที่เด็กหนุ่มมักจะใช้มองคนอื่นอยู่เสมอ และเป็นสายตาที่เขาเกลียดชังที่สุด

“แก.....อาเฟย......” เซินหยู่เบิกตากว้าง

“คุณเซิน!” หวางซิงขานเรียกอีกฝ่ายด้วยความดีใจ ไม่นึกว่าเซินเฟยจะยอมปรากฏตัวออกมาในช่วงเวลาอย่างนี้ราวกับวางแผนเอาไว้แล้ว ไม่สิ...หากพูดว่าเป็นไปตามแผนน่าจะถูกเสียกว่า เพราะทั้งหมดนี้น่าจะเกิดขึ้นจากแผนการที่เซินเฟยวางเอาไว้ก่อนหน้านี้

“ไม่จริง....แกตายไปแล้วนี่!” เซินหยู่ปฏิเสธความจริงที่ตนเห็น

“ถ้าพูดตามจริง ตามกฏหมายถือว่าผมเป็นบุคคลหายสาบสูญ ไม่ใช่บุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว” เซินเฟยเดินเข้ามาในห้อง “และเมื่อผมกลับมา ทุกสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผมย่อมกลับคืนมาหาผมตามกฎหมาย นั่นรวมถึง.....เก้าอี้ที่พ่อจับจองเอาไว้มาเกือบสามเดือนนั่นด้วย”

“เหอะ.....แกกลับมาแล้วจะได้อะไร! ยังไงอำนาจในบริษัทนี้ฉันก็กุมไว้หมดแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะมีการแต่งตั้งจูเชว่คนใหม่ อย่างแกน่ะฉันแค่พูดว่าเป็นตัวปลอมถูกส่งมาก็ยืดเวลาออกไปได้ กว่าจะมีใครรู้ว่าแกเป็นตัวจริง ฉันก็ได้เป็นจูเชว่แล้ว!”

เซินเฟยพยักหน้าเนือย ๆ

“มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น”

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 08-04-2011 00:15:02
“คุณเซิน! ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ!” หวางซิงร้อง การยอมรับของเด็กหนุ่มเป็นการบ่งบอกว่าสิ่งที่กระทำมาทั้งหมดอาจสูญเปล่า

“ผมก็แค่พูดว่า ‘อาจจะ’ เท่านั้นนะอาซิง” เซินเฟยกล่าวเมื่อเห็นว่าเลขาของตนดูร้อนอกร้อนใจ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา หวางซิงเป็นบุคคลเดียวที่อยู่ฝ่ายเขาแต่กลับไม่ได้รับข่าวสารความเป็นไปใด ๆ เลย ความคืบหน้าที่รับรู้ได้ก็มีแต่เรื่องที่สังเกตได้เองจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยภายในองค์กรทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

“ความจริงแล้วที่เหลือเวลากระชั้นชิดแบบนี้มันเป็นความจงใจน่ะครับ” ฉู่เหวินจือรับหน้าที่อธิบายรายละเอียดปลีกย่อยเพราะเซินเฟยคร้านจะพูดให้เสียเวลา “ช่วงเดือนเศษที่ผ่านมา คุณไม่ค่อยสนใจบริษัทสักเท่าไหร่ก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่คุณคงเห็นแล้วว่าคนของคุณหายไปกับอากาศธาตุซะมาก แน่นอนว่าอำนาจที่คุณสั่งสมไว้ก็หายไปในปริมาณเดียวกัน คุณไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินกว่าที่จะตื่นตระหนกหรือ? ในเมื่อคุณมั่นใจในฐานของตนเองขนาดนั้นแค่ลูกน้องหายไปนิดหน่อยไม่เห็นต้องตกใจ”

“ฉู่เหวินจือ” เซินเฟยเอ่ยเตือนเพื่อให้พูดอยู่ในประเด็น เพราะฟังอย่างไรสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาก็รังแต่จะไปกระตุ้นต่อมโมโหของเซินหยู่เท่านั้น ซึ่งก็เหมือนจะเป็นการจงใจเสียด้วย และมันก็ค่อนข้างได้ผลเพราะตอนนี้หน้าเซินหยู่กำลังเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ตามระดับอารมณ์

“ครับ ๆ ผมไม่พูดเรื่องนั้นก็ได้” ฉู่เหวินจือหัวเราะในคอ “พูดโดยสรุปก็คือ สิ่งที่คุณทำผ่านมาทั้งหมด คุณแค่เดินตามรอยเท้าเราเท่านั้นเอง”

“อะไรนะ!?” เซินหยู่คำราม เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแม้แต่น้อย เดินตามรอยเท้าอะไรกัน เขาไม่ได้เคลื่อนไหวโดยถูกใครจูงจมูกเสียหน่อย!

“ผมพูดสั้นเกินไปหรือครับ?” ฉู่เหวินจือหันไปถามเซินเฟย ทำให้เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วอย่างขัดใจ

“นายจะพูดหรือจะให้ฉันพูด”

“งั้นผมพูดต่อเลยนะครับ” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้าง เรียกให้เซินเฟยพ่นลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด “พูดง่าย ๆ ก็คือ พวกผมคาดเดาการกระทำของคุณออกแล้วเข้าไปดักทางเอาไว้ก่อน อย่างที่คุณเห็นว่าเส้นทางของคุณช่างโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ คุณไม่นึกแปลกใจบ้างหรือว่าทำไมพวกหัวหน้ากลุ่มที่เคยต่อต้านถึงได้ยอมประนีประนอมกับคุณถึงขนาดนั้น?”

“หรือว่าพวกแก.....” เซินหยู่เบิกตากว้าง ไม่นึกว่าตนเองจะถูกตัดหน้าเอาง่าย ๆ อย่างนี้ ซ้ำที่เคยคิดว่าหนทางเปิดโล่งสำหรับตนแล้ว ประตูกลับกระแทกปิดต่อหน้าต่อตา

“ยังไงก็ต้องขอบคุณที่ช่วยดูแลบริษัทมาตลอด แต่ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว คงต้องขอให้หลีกทางล่ะนะครับ คุณพ่อ” เซินเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็บเยียบตามแบบฉบับที่ตนมักใช้กับบุคคลใต้บังคับบัญชา มันอาจจะกลายเป็นความเคยชินของเขาไปแล้ว หรือไม่เขาก็จงใจแสดงอำนาจที่เหนือกว่าให้เห็น นั่นก็สุดที่ใครจะรู้ได้ถึงเจตนาอันแท้จริงในน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก กระนั้นเซินหยู่ก็รู้ได้ว่าตนกำลังถูกกดดันให้ยอมละทิ้งทุกสิ่งที่กระทำมาทั้งหมดแล้วจากไปแต่โดยดี มิเช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่อาจรู้ได้

“พวกผู้บริหารอยู่ฝั่งฉัน คิดว่าแกจะดึงกลับไปได้ง่าย ๆ หรือไง คิดว่าฉันต้องเสียไปสักเท่าไหร่กัน” เซินหยู่กัดฟันแบไพ่ตายใบสุดท้าย เซินเฟยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเลิกคิ้ว

“ฉู่เหวินจือ”

“ครับ” ฉู่เหวินจือรับคำโดยไม่ต้องรอฟังคำสั่ง ก่อนจะยกกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งขึ้นมาแล้วเปิดออก เซินเฟยหยิบเอกสารที่วางนิ่งในกระเป๋าขึ้นมาไล่สายตาอ่านอยู่เล็กน้อยก่อนจะยื่นไปให้เซินหยู่

“นี่เป็นสำเนาเอกสารอะไรพ่อคงรู้ดีสินะครับ”

เซินหยู่จ้องมองเอกสารด้วยนัยน์ตาเขียวปั๊ด ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะมีกระทั่งของชิ้นนี้ นั่นคือ สำเนาเอกสารลงนามรับรองให้เซินหยู่เป็นผู้รักษาการณ์แทนชั่วคราว

“ในสัญญาระบุไว้ชัดเจนว่า จนกระทั่งเซินเฟย ประธานเครือตระกูลเซินกลับมา” เซินเฟยกล่าว “ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว คงไม่ต้องรบกวนคุณพ่ออีก เชิญออกไปได้ แล้วก็เอาคนของพ่อออกไปด้วย มันเกะกะ”

เซินหยู่มองไปรอบตัว พบว่าในตอนนี้ด้านนอกประตูมีแต่กลุ่มคนที่เป็นของเซินเฟย ส่วนพวกของเขามีเพียงลูกน้องสองคนที่แทบจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ทางที่ฉลาดที่สุดเห็นจะเป็นการยอมถอย ทว่า ถูกกดดันให้ถอยไปง่าย ๆ แบบนี้เขารู้สึกเหมือนถูกหยามหน้าอย่างจัง เซินหยู่กัดฟันกรอด ขึงตามองลูกในไส้ของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่ฝ่ายนั้นมองตอบกลับมาราวกับเขาเป็นเพียงไส้เดือนที่คลานขวางหน้า คิดจะบี้ให้แหลกก็คร้านจะลงมือ จึงได้ยืนมองอยู่อย่างนั้นและเฝ้ารอการเคลื่อนผ่านอย่างใจเย็น

“แกจะต้องชดใช้เรื่องนี้แน่!” เขาคำรามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกระแทกรองเท้าเดินออกไป เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นค่อย ๆ ห่างและเบาลงจนกระทั่งเงียบสนิท ทันใดนั้นบรรยากาศที่กดทับจนอึดอัดก็พลันคลายออกจนทุกคนหายใจโล่งคอ

“อาซิง”

“ครับ!” หวางซิงรีบขานรับในทันที

“รหัสลิฟต์ช่วยจัดการใหม่ด้วยนะ” เซินเฟยว่าพลางมองตอบสายตาที่สื่อถึงความรู้สึกอันหลากหลายของคนที่ตนเองให้ความสนิทชิดเชื้อไม่ต่างจากญาติพี่น้อง หวางซิงยิ้มกว้าง และหากสังเกตดี ๆ จะมองเห็นหยาดน้ำเล็ก ๆ ที่หัวตาซึ่งเจ้าตัวเพียรกลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา

“ทราบแล้วครับ” เลขาหนุ่มตอบรับแข็งขัน เหมือนกับว่าการกลับมาของเซินเฟยได้มอบพลังครั้งใหม่ให้และสลายความเหน็ดเหนื่อยจากที่ต้องอดทนอดกลั้นมาตลอดจนมลายหายเป็นปลิดทิ้ง

หวางซิงรีบเดินออกไปเพื่อปฏิบัติตามคำสั่ง ทว่าในวินาทีที่สวนทางกับฉู่เหวินจือ หางตาของเขากลับสบเข้ากับรอยยิ้มในดวงตาของอีกฝ่าย ความรู้สึกบ่งบอกว่าไม่ใช่รอยยิ้มของการดูแคลน ทว่าให้ความรู้สึกเหมือนถูกใจหรือสบอารมณ์เสียมากกว่า เขาติดใจกับรอยยิ้มพิกลนั้นได้ไม่นานก็ออกมาถึงนอกห้องและพบกับกลุ่มผู้บริหารหลายคนยืนรอกันอยู่คล้ายว่ากำลังมีเรื่องจะพูด

“มีอะไรหรือครับ?” นั่นคือคำถามที่หวางซิงคิดในใจและกำลังจะพูด แต่แค่อ้าปากก็กลับถูกอีกเสียงตัดหน้า

เซินเฟยยืนกอดอกอยู่หน้าประตูห้องพลางจับจ้องผู้บริหารแต่ละคนที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก

“คุณเซิน....เรื่องของพ่อของคุณ หวังว่าคุณจะเข้าใจการกระทำของพวกเรานะครับ....”

เซินเฟยพ่นลมหายใจออกมาทางจมูก คิดเอาไว้แล้วไม่ผิดว่าจะต้องเป็นเรื่องนี้ เขายืนหลุบตาลงต่ำอย่างสงบและไม่พูดอะไรออกมาเลยชั่วครู่หนึ่งทำให้คนที่มีชนักติดหลังทั้งหลายพากันออกอาการเหงื่อตก

“ผมเข้าใจ แต่ตอนนี้ผมอยากพักผ่อน พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ มีอะไรไว้ค่อยคุยกันในที่ประชุมอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน” หลังกล่าวจบ เซินเฟยก็เดินกลับเข้าไปในห้อง กลุ่มผู้บริหารที่ยืนอยู่ด้านนอกต่างมองกันอย่างหวาดวิตกด้วยเกรงว่าการกระทำของตนจะนำไปสู่การตัดผลประโยชน์บางอย่าง ทว่าเมื่อเซินเฟยตัดสินใจอย่างนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าขัดขืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นอกจากฆ่าคนสำคัญอย่างเฉียนหยุนแล้ว กระทั่งพ่อตัวเองยังไล่ส่งอย่างไม่ไว้หน้า แล้วพวกเขาเล่า เซินเฟยจะยังนึกเห็นหัวอีกหรือไม่?

เสียงภายนอกเริ่มเงียบสงบลงเมื่อกลุ่มคนค่อย ๆ ทยอยจากไปด้วยความเร็วเท่าที่ลิฟต์ขนส่งจะอำนวย

เซินเฟยเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานและจ้องมองด้วยความรู้สึกคิดถึงอยู่ลึก ๆ นานทีเดียวที่เขาไม่ได้ไล้ปลายนิ้วไปบนไม้เนื้อสวยเคลือบเงาอย่างดี ไม่ได้สัมผัสที่วางปากกาที่อุตส่าห์ประมูลมา ไม่ได้นั่งลงบนเบาะนุ่ม ๆ ของเก้าอี้พนักสูงที่เพียงหมุนเล็กน้อยก็จะมองเห็นทิวทัศน์ของฮ่องกงผ่านกระจกบานใหญ่

ห้องทำงานของเขาถูกปรับเปลี่ยนไปมาก แต่โต๊ะทำงานของเขากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลง นั่นคงเป็นเพราะสภาพยึดติดที่พ่อของเขามีต่อโต๊ะประธานตัวนี้เช่นเดียวกับที่เขามี

“ฉันเปิดตัวอย่างเอิกเกริกพอหรือยัง?” เขาเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูและเสียงรองเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้

“ครับ เพียงเท่านี้ ภาพของคุณที่หวนกลับมาอย่างทรงอำนาจก็จะติดตรึงอยู่กับคนที่ได้เห็นและรับรู้ คนพวกนั้นคงไม่กล้าหือกับคุณอีกแน่” ชายหนุ่มหัวเราะในคออย่างมีเลศนัย เซินเฟยไม่ได้สนใจเหลือบมอง เขาเดินอ้อมโต๊ะไปและทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลางสัมผัสที่พักแขนที่อยู่ในมุมที่เหมาะสมต่อการวางแขนมากที่สุด

“ก็เป็นเพราะแผนของนาย ฉู่เหวินจือ” เซินเฟยกล่าว

ในช่วงเวลาที่เขาค่อย ๆ ลิดรอนอำนาจพ่อตัวเองอย่างลับ ๆ นั้น ผู้ชายคนนี้กลับเสนอแผนการเปิดตัวขึ้นเพื่อผลที่ได้จะมากกว่าการยึดอำนาจคืน แต่เป็นการสยบองค์กรให้อยู่ในอุ้งมือ อีกไม่นานข่าวการกลับมาของเขาจะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง เพียงเขาก้าวเข้ามาด้วยอำนาจและความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม บุคคลที่มีชนักติดหลังทั้งหลายก็จะรีบกระดิกหางเข้ามาสยบแทบเท้าและจะติดภาพนั้นของเขาในสมอง เป็นหลักจิตวิทยาอันเรียบง่ายของการแสดงความเหนือกว่าแต่กลับใช้ได้ผลดีในสถานการณ์อันกระชั้นชิดเช่นนี้ แค่เพียงไม่แสดงความหวั่นไหวออกมาให้เห็น แม้แต่ลมพายุอันรุนแรงก็ยังต้องชะงักนิ่ง

ฉู่เหวินจือได้แสดงให้เขาเห็นว่าเจ้าตัวเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมและยืดหยุ่นไปกับสภาพแวดล้อมได้เสมอ การเก็บฉู่เหวินจือไว้ข้างกายเช่นนี้เป็นการดีแล้วจริงหรือเปล่าเขาเองก็ยังอดนึกถามตนเองไม่ได้

“ผมจูบได้ไหม?”

“อะไรนะ?” ในระหว่างการใช้ความคิด ฉู่เหวินจือก็ผ่ากลางปล้องขึ้นมาดื้อ ๆ เซินเฟยนิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนจะเอนตัวลงกับพนัก “ก็เอาสิ”

เมื่อได้รับคำอนุญาต ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปใกล้และป้อนรสจูบอ่อนโยนอย่างที่ไม่ค่อยได้กระทำมากนัก แค่เพียงริมฝีปากสัมผัสกันอย่างอ้อยอิ่ง ไม่นานก็ผละออก ทว่าสายตาของฉู่เหวินจือไม่ได้ละไปจากใบหน้าของเซินเฟยแม้แต่เสี้ยววินาที และเขาก็ได้เห็นริ้วแดงจางบนแก้มของเด็กหนุ่มที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะหายไปเมื่อเขาผละออกในระยะที่เหมาะสม

ชายหนุ่มยิ้มบาง

ก็ยังรู้สึกดีกับจูบนี่นา.....

“เดี๋ยวตามคนเข้ามาจัดห้องให้เป็นเหมือนเดิมด้วย” เซินเฟยรู้สึกแปลกกับสายตาที่ฉู่เหวินจือมองลงมาจากมุมสูงจึงเสออกคำสั่งแล้วหมุนเก้าอี้ไปอีกทางเสมือนกำลังจ้องมองทิวทัศน์อันคุ้นตา

ฉู่เหวินจือค้อมตัวรับคำสั่งเงียบ ๆ ก่อนจะเดินออกไปด้วยรอยยิ้มอันลุ่มลึกยากจะอ่านความคิด

----------------->

เซินหยู่กลับมาที่บ้านด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเต็มเปี่ยม ไม่ว่าเห็นอะไรมันก็ขวางหูขวางตาไปหมด เขากระแทกประตูรั้ว เหยียบกอดอกไม้ที่หลี่จวี๋เหม่ยเพิ่งลงและตนเองเพิ่งชื่นชมไปเมื่อวานจนเละเทะ ก่อนจะผลักอ่างปลาใบโตล้มแตกแล้วเดินกระแทกประตูบ้านเข้าไป

หลี่จวี๋เหม่ยแปลกใจกับเสียงโครมครามจึงรีบวิ่งออกมาดูก็พบสามีตนเองที่กำลังทุบทำลายข้าวของหน้าดำหน้าแดงทั้งที่ตอนออกไปก็อารมณ์ดีจนแทบจะเกินปกติแท้ ๆ

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” เป็นเพราะอยู่ด้วยกันมานาน หลี่จวี๋เหม่ยถึงรู้ว่าถึงห้ามไปก็เปล่าประโยชน์

“จะอะไรเสียอีกล่ะ! ไอ้ลูกไม่รักดีนั่นเสือกกลับมาซะตรงเวลา! แถมยังฉีกหน้าฉันซะไม่เหลือชิ้นดี!” เซินหยู่ตะโกนใส่หน้าผู้ถามราวกับภรรยาตนเองเป็นผู้กระทำผิดก็ไม่ปาน

“อาเฟยกลับมาแล้วหรือคะ!?” จะเป็นเพราะความตกใจหรือความดีใจก็ไม่ทราบ หลี่จวี๋เหม่ยจึงร้องออกมาและเสียงนั้นก็ขัดหูคนอารมณ์รุนแรงที่มาถึงขีดสุดอย่างเซินหยู่อย่างจัง

“แก....เป็นเพราะแกคลอดมันออกมาแท้ ๆ! จะมีลูกให้ฉันสักคนสร้างลูกดี ๆ ที่มันเห็นหัวพ่อมันไม่ได้หรือยังไง!” เมื่อเซินหยู่พบเป้าหมายการอาะลวาด เขาก็เปิดฉากดุด่าหลี่จวี๋เหม่ยไม่ยั้งทั้งยังสืบเท้าเข้าหาด้วยท่าทางราวกับสัตว์ป่าก่อนจะกระชากตัวเอาไว้ก่อนหลี่จวี๋เหม่ยจะถอยหนีได้ทัน เธอถูกดันติดกำแพงพร้อมทั้งฝ่ามือใหญ่ที่รวบเข้ากับลำคอเล็กบาง

“......ด......อ...เฟ..” ดูเหมือนเธอจะพยายามพูดอะไรบางอย่าง ทว่าแรงบีบที่รอบรัดหลอดลมทำให้เสียงที่เพียรจะเปล่งออกมาค้างอยู่แค่ลำคอ

“ไอ้ลูกทรพีนั่น! ถ้าไม่มีแกคอยให้ท้ายมีหรือจะกล้าขนาดนี้!” เซินหยู่โหโมจนเลือดขึ้นหน้า ทั้งด่าและผรุสวาทออกมาอีกหลายคำ ตลอดเวลานั้นก็ไม่ได้สนใจแรงดิ้นรนขัดขืน และจนกระทั่งได้ระบายจนอารมณ์เย็นลงเซินหยู่จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างของภรรยาได้หยุดนิ่งไปเสียแล้ว

เขารีบปล่อยมือก่อนจะผงะถอยด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างนั้นทรุดฮวบลงกองกับพื้น ก่อนใช้เวลาเล็กน้อยในการทำใจกล้าเข้าไปสัมผัสให้แน่ใจ

“ม....ไม่หายใจ....”

เซินหยู่แทบคลั่ง เขาเพิ่งจะมีเรื่องกับเซินเฟยไปหยก ๆ แล้วยังพลั้งมือฆ่าหลี่จวี๋เหม่ยไปอีก ก่อนเซินเฟยจะหายตัวไป แม่ลูกก็กลับมาสนิทสนมกันมากขึ้น หากเซินเฟยรู้เรื่องนี้ต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่ เซินหยู่นั่งคุกเข่าขยี้ผมจนกระเซิง หันซ้ายหันขวาก็เจอเข้ากับโทรศัพท์ เขารีบตะเกียกตะกายไปหาแล้วกดเบอร์ลูกน้องที่ยังไว้ใจได้ทันที แต่แล้ว ในช่วงที่หันไปมองศพภรรยานั้นเอง ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในสมอง

การฆ่าคน....มันเป็นเรื่องง่ายถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

คนเราเปราะบางถึงขนาดนี้....

นี่เขาเสียเวลาไปทำไมตั้งมากมายนะ ทั้งที่สิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรคสำหรับเขาก็คือเซินเฟย และเซินเฟยก็เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเหมือนกัน เขามีอะไรจะต้องกลัวกันเล่า?

เซินหยู่แสยะยิ้มออกมาเพียงลำพัง ลมหายใจถี่กระชั้นพร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรง ความตื่นเต้นฉีดพล่านไปทั่วทุกรูขุมขน

“คุณเซินหยู่ มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เสียงจากปลายสายดังออกมาให้ได้ยิน เรียกสติของเซินหยู่ให้กลับคืนมาอีกครั้ง เขารีบยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูก่อนจะกระซิบด้วยเสียงสั่นพร่า

“ฉันมีงานจะให้แกทำ”

TBC

----------------------------

กลับมาแล้วค่า~ หลังจากหายไปทำงานเก็บตังค์และกลับมาในสภาพไข้ขึ้น= ="
พิมพ์ตอนนี้แมวเมายา(แก้ไข้) งงๆ มึนๆ ก็อย่าว่ากันนะคะ~

ปล. การ์ดจอเจ๊งอีกแล้ว ตอนนี้เลยใช้แบบไร้การ์ดจอ จอยืดยาวปวดตาดีจริงๆ -*-
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 08-04-2011 00:40:59
ซื้อใหม่ไปเลยค่ะ หาการ์ดจอดีๆไปเลยดีกว่า อยู่เมืองไทยอะไรเสียไม่ต้องส่งเคลมหรอกค่ะ หักทิ้งซื้อใหม่ดีกว่า

เจอกับตัวเองเยอะแยะ ส่งเคลมแม่งเก็บไว้สามเดือน ซ่อมให้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เปิดใช้ก็ไม่หาย อนาถใจจัง

จบงานหนังสือก็มาทันที สมใจมากอะ

งานนี้เซินเฟยมาแบบเหนือเมฆจริงๆ ตาเซินหยูทำอะไรไม่ได้เลย 555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Ayame ที่ 08-04-2011 00:44:35
เย้ๆ เฟยเฟยกลับมาแล้ว

ตาเซินหยู่อย่าทำอะไรหนูเฟยนะ  ท่าทางจะยังไม่เข็ดพอสินะ   :z6:

แล้วตาฉู่นี่ชักทำตัวลับๆล่อๆมากขึ้นทุกที จะรอความจริงเปิดเผยนะ

ปล.เห็นด้วยค่ะว่าให้ซื้อใหม่ รอซ่อมรอเคลมไม่คุ้มค่ะ

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 08-04-2011 02:08:28
กรี้ดดดดดด   :z1:  ตาฉู่มีแอบหวานอ่า  น่ารักๆๆ :L1:
ตาหยุ่คิดได้เนอะ  เมียตัวเองทั้งคนแทนที่จะรุ้สึกผิด :angry2:
ถ้าบังอาจมาทำเฟยเฟยละก็  เด๋วสั่งตาฉู่ตามเก็บ :m31: :z6:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 08-04-2011 02:59:05
ดีใจจังที่ได้อ่านอีก หายป่วยไวๆน้ะค่า

อาเฟยเพิ่งกลับมา จะเจอปัญหาอะไรอีกบ้าง??

เซินหยู่เป็นพ่อที่แย่มาก โลภเกินไป คิดจะฆ่าลูกตัวเองได้ลงคอ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: beautyless ที่ 08-04-2011 03:45:12
ดีใจจังได้อ่านต่อแล้ว

ชอบคุณมู่สุดๆ เลยตอนนี้ รู้สึกว่าเขาเป็นพระเอกแนวร้ายที่โรแมนติกที่สุดในโลกเลย

ส่วนเซินหยู่ก็หมดแล้วซึ่งสติปัญญา เลวร้ายได้อีก แต่ก็ดีเพราะดูวี่แววว่าจะหากิจกรรมที่พาตัวเองลงเหวตาย

อยากอ่านตอนอามู่เผยธาตุแท้มากๆ เลย คงให้ความรู้สึกแบบ a love to kill
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 08-04-2011 11:22:34
ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ อิอิ
ดีใจที่เซินเฟยกลับมา
แต่อีตาเซินหยู่นี่สิ คิดแผนชั่วไว้อีกล่ะสิ
ทำได้แม้กระทั่งฆ่าเมียตัวเอง
ต่อไปก็คงคิดจะฆ่าลูกสินะ เลวไร้คำบรรยายจริงๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 08-04-2011 12:18:00
เฮ้ย!!! นี่มันพ่อคนหรือเปล่าเนี่ย   ไม่เคยคิดจะรัก หรือมีความผูกพันกับสายเลือดตัวเองเลยหรือไง  บ้าไปแล้ว

ระทึกใจทุกตอน เข้มข้นตลอดๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Isuru ที่ 08-04-2011 13:34:04
การกลับมาของเฟยเฟย เท่ห์ได้อีกจริงๆ
แต่ความลับของอาฉู่ก็คงยังเป็นความลับต่อไป
การฆ่าคนธรรมดามันง่าย แต่การจะฆ่าเฟยเฟย
คงไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก ตอนนี้มีแอบหวานเซอวิสคนอ่านเล็กน้อย

รอตอนต่อไปค่ะ ค้างได้ทุกตอนจริงๆ

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 08-04-2011 14:58:53
หายไปนานมาก คิดถึงจังเลยค่ะ

เปิดตัวได้เอิกเกริก จริงๆ
ฮ่าๆๆๆ ชอบๆ ,,
ยอม ให้คุณ ฉู่จูบด้วยยยยยย
เฟยๆ น่ารักไปนะ ^^

คุณพ่อ !! ฆ่าแม่เฟยๆ แล้วคราวนี้แย่แน่
นี่ยังคิดจะฆ่าลูกอีกนะ ,,
T^T  เฟยๆ คงต้องจัดการอ้ะ

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 08-04-2011 20:57:48
ซาบซึ้งในน้ำใจคุณ ZIar ที่แม้การ์ดจอจะเสีย ยังอุตส่าห์ทนปวดตา พิมพ์นิยายมาให้อ่าน  :กอด1:

ตกลงว่า พ่อของเสี่ยวเฟยไม่ได้มีเอี่ยวในคดีวางระเบิด แค่ฉวยโอกาสนั้น เข้ามากอบโกยผลประโยชน์
อืม...เลวน้อยกว่าที่คิดนะ แต่คาดว่าต่อไปจากนี้ พ่อแกจะเลวขึ้นมากกว่านี้ชนิด advance
ตอนสั่งเก็บอาซิง คงไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะ แค่ใช้ปากสั่งให้จัดการเลขาที่ขัดแข้งขัดขา
แต่ตอนนี้ ฆ่าเมียด้วยมือตัวเอง แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด
ต่อจากนี้จะวางแผนจัดการลูกชายตัวเอง ก็เป็นเรื่องธรรมดา หวังว่าเสี่ยวเฟยจะคอยรับมืออยู่นะ...
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 29 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: วิหคท่องนภา ที่ 08-04-2011 21:26:26
 o22เอิ่ม.....เนอะ  ไม่ได้เกิดการสำนึกบ้างเลย :เฮ้อ:........ :m15:สงสารคุณแม่อ่ะ   ตายง่ายเจงงงงงงง
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 08-04-2011 23:03:38
-30-


ข่าวการปรากฏตัวของเซินเฟยแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วทั้งวงการธุรกิจและวงการใต้ดิน ภายในช่วงอาทิตย์เดียวหลังจากนั้นข่าวหลายกระแสต่างวิพากย์วิจารณ์ถึงการกลับมาครั้งนี้ออกไปในลักษณะต่าง ๆ ทั้งในทางดีและไม่ดีตามแต่คนจะตีความ กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การกลับมาครั้งนี้ได้มีอิทธิพลอย่างสูงต่อบุคคลรอบข้างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดและมีส่วนได้เสียร่วมกัน

วันที่ถูกกำหนดให้เป็นวันแต่งตั้งจูเชว่ได้กลายเป็นวันประชุมกลุ่มครั้งใหญ่ซึ่งเซินเฟยไม่ได้จัดมานานแล้วนับแต่ซากุระได้จากไป

พวกเขาได้ถูกเรียกตัวเข้ามานั่งรวมกันในห้องโถงใหญ่ที่มีการจัดเตรียมที่นั่งเอาไว้อย่างพรักพร้อมรวมทั้งอาหารว่างและเครื่องดื่ม กระนั้นสายตาของทุกคนก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาต่างจ้องมองไปยังจุดเดียวกันนั่นคือเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งทำจากไม้เนื้อดี ฉลุลายหงส์และเคลือบด้วยสีครั่ง มองดูแล้วจะรู้สึกถึงความน่าเกรงขามที่กดทับลงมาแม้จะไม่มีใครนั่งอยู่ที่นั่น เก้าอี้ตัวนี้วางอยู่ ณ จุดเดิมมาหลายต่อหลายปี เปลี่ยนเจ้าของมาหลายต่อหลายรุ่น เจ้าของบางคนถึงกับสิ้นใจบนเก้าอี้ตัวนี้เสียด้วยซ้ำ และด้วยเหตุนั้นกระมัง สิ่งนี้จึงได้ดูยิ่งใหญ่และให้ความรู้สึกเหมือนยืนอยู่ต่อหน้าภูผาสูง

ในวันนี้ไม่มีใครสักคนกล้าพูดอออกมา พวกเขาเฝ้ารอคอยอย่างเงียบงัน เสียงลมหายใจของแต่ละคนสามารถได้ยินอย่างชัดเจนผสานกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวโดยไม่รู้สาเหตุเมื่อได้ยินเสียงลั่นของไม้อันเป็นเอกลักษณ์จากบันไดฝั่งหนึ่งซึ่งติดกับห้องโถงใหญ่ห้องนี้

เซินเฟยปรากฏตัวขึ้นในชุดสูทสีดำเรียบกริบ เขาก้าวเดินเข้ามาด้วยแผ่นหลังที่ยืดตรงทำให้ดูสง่างามในแบบของเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เซิยเฟยสาวเท้าอย่างไม่เร่งรีบทว่ามั่นคงหนักแน่นไม่มีสะดุด แต่ละจังหวะการก้าวเสมือนย่ำลงไปบนจังหวะของลมหายใจผู้เฝ้ามองซึ่งประสานกันโดยไม่รู้ตัว ความเงียบโรยตัวกดทับลงบนบ่ารวมทั้งบรรยากาศที่เคร่งขรึมเป็นทางการ เวลาเพียงไม่นานที่เซินเฟยเดินจากบันไดมาถึงที่นั่งประจำของตน ในความรู้สึกของแต่ละคนเสมือนนานหลายนาทีจนแทบหายใจไม่ออก

ทันใดนั้นผู้ร่วมการประชุมทุกคนก็ยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง    พวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงยืนนิ่งสงบเสงี่ยมไม่ต่างกับรูปปั้นหิน

หวางซิงที่เดินตามมาข้างหลังเลื่อนเก้าอี้ให้แก่ผู้เป็นนายใหญ่ เซินเฟยจึงก้าวเข้าไปนั่งและขยับเก้าอี้ให้สบายตัวก่อนจะยืดหลังตรงเอนพิงพนัก จากนั้นหวางซิงจึงขยับก้าวไปข้างหลังพร้อมกับฉู่เหวินจือที่เดินเข้ามาขนาบอีกข้างหนึ่งในตำแหน่งเดียวกับหวางซิง

เมื่อทุกอย่างนิ่งสงบ ทุกคนที่ยืนอยู่จึงนั่งลงประจำที่ตนอีกครั้ง

เซินเฟยจงใจทิ้งจังหวะที่ความเงียบยังปกคลุมต่อไปเพื่อสร้างความกดดันให้แก่คนอื่น ๆ และเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

“ผมคิดว่า ทุกคนคงรู้แล้วว่าเรามาประชุมในวันนี้เพื่ออะไร” หลังจากทิ้งช่วงนานพอสมควรแล้วเซินเฟยจึงพูดขึ้น “แน่นอนว่าแต่เดิม จุดมุ่งหมายคือการเลือกเฟ้นจูเชว่คนใหม่ ผมพูดถูกไหม?”

สายตาเยียบเย็นจับจ้องไปยังใบหน้าของผู้ร่วมประชุม ทำให้สะดุ้งในอกไปตาม ๆ กันด้วยไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเกริ่นนำด้วยเรื่องนี้ ซ้ำบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของเซินเฟย เด็กหนุ่มคนนี้ดูต่างจากเมื่อครั้งแรกที่ขึ้นมารับตำแหน่ง แม้ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความเกรงขามที่เทียบได้กับรุ่นก่อนหน้านี้แม้จะเป็นเพียงเด็กอายุ 18 ย่าง 19 ปีเท่านั้น

อายุเพียงเท่านี้ก็รู้จักวิธีข่มผู้อื่นด้วยสายตาแล้ว ภายภาคหน้าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นอย่างไรพวกเขาแทบจะไม่อยากคิด

“เอาเถอะ ในสถานการณ์เช่นนั้นพวกคุณจำต้องตัดสินใจเพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้ต่อไป ผมจะไม่ถือโทษ”

เมื่อเซินเฟยกล่าวออกมาเช่นนั้น เสียงถอนหายใจก็ปรากฏในความเงียบ

“แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมาแทบจะไม่มีอะไรก้าวหน้าเลย พวกคุณคิดว่าเมื่อผมไม่อยู่จะปล่อยให้องค์กรยืนนิ่งกับที่ได้หรือครับ? นอกจากนี้ยังมีลูกค้าใหม่หลุดมือไปหลายราย มาเฟียจีนบางกลุ่มลดความเชื่อถือที่มีต่อเราไปมาก ปริมาณการสั่งยาลดลงครึ่งหนึ่ง พวกประเทศกำลังพัฒนาทางตะวันออกเฉียงใต้ไม่สั่งนำเข้าอาวุธเลยแม้แต่ล็อตเดียว ซ้ำการเจรจากับมาเฟียรัสเซียยังล้มเหลว” เซินเฟยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทจนน่าขนลุก ก่อนจะตบท้ายด้วยการทิ้งปึกรายงานลงบนโต๊ะและกล่าว “มีอะไรจะแก้ตัวไหม?”

ทุกคนมองหน้ากันไปมาเหมือนกำลังหาคนรับผิดชอบ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเช่นเดิมเป็นการยอมรับความผิดอยู่กลาย ๆ เพราะต่างคนต่างรู้ว่า ถึงจะพูดอะไรออกไปมันก็ไม่สามารถเป็นข้อแก้ตัวที่เหมาะสมได้อยู่ดี และเซินเฟยก็น่าจะรู้เหตุผลทั้งหมดอยู่แล้วถึงจะไม่ต้องแจกแจง

ปลายนิ้วเรียวเคาะโต๊ะเป็นจังหวะขณะเฝ้ารออย่างใจเย็น

“ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไรก็เอาเถอะ ผมคิดว่าพวกคุณก็คงรู้ความผิดพลาดตัวเองดีอยู่แล้ว” เซินเฟยเลิกไล่ต้อนคนของตนเองให้เสียเวลาเปล่า “แต่ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นพวกคุณก็ควรจะรู้ว่าองค์กรได้รับผลกระทบหลายด้าน ดังนั้นที่ผมเรียกมาประชุมวันนี้ก็เพราะผมต้องการให้มีการปรับปรุงแก้ไขใหม่เพื่อกู้ภาพลักษณ์ชื่อเสียงกลับคืนมา ก่อนอื่นผมอยากจะรับฟังความเห็นของพวกคุณทุกคน” หลังว่าจบ เซินเฟยก็เงียบไปพร้อมกวาดตามองไปรอบโต๊ะว่าใครจะเริ่มก่อน ไม่นานนักก็มีบางคนเริ่มเสนอความเห็นขึ้นมา การตอบสนองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีทั้งการคัดค้านและสนับสนุนแต่เซินเฟยก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาขณะรับฟัง หวางซิงทำหน้าที่บันทึกอย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างหลัง ส่วนเซินเฟยใช้สมองประมวลตามผลได้ผลเสียระหว่างการประชุม ความเห็นใดที่น่าสนใจเขาจะส่งสัญญาณด้วยมือให้ฉู่เหวินจือบันทึกเอาไว้อย่างละเอียดอีกทีหนึ่ง

กว่าการประชุมจะจบลงก็ดึกโข ไม่มีใครกล้าปลีกตัวกลับก่อนแม้เวลาจะล่วงเลยไปหลายชั่วโมงจนกระทั่งเซินเฟยสั่งหยุดจึงแยกย้ายกันไปคนละทาง

“เป็นยังไงบ้าง?” เซินเฟยหันไปถามหวางซิงซึ่งบันทึกข้อมูลการประชุมทั้งหมด

“ส่วนมากจะเป็นวิธีการเก่า ๆ ที่ใช้กันอยู่แล้วครับ”

“อะไรที่ซ้ำซากจำเจก็ตัดออกให้หมด จากนั้นค่อยรวบรวมมาให้ผมพรุ่งนี้ ฉู่เหวินจือ นายก็ด้วย” หลังสั่งจบ เซินเฟยก็ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินกลับขึ้นไปข้างบนโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก หวางซิงและฉู่เหวินจือสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะเสมองไปทางอื่น อย่างไรพวกเขาก็ยังรู้สึกไม่ถูกชะตากันอยู่ดี

“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นทำงานแต่เช้า คุณเองก็ควรพักผ่อนได้แล้ว” หวางซิงกล่าวอำลาก่อนจะปิดเครื่องมือที่ใช้ประกอบการบันทึก

“เชิญตามสบาย ผมเองก็อยากพักเหมือนกัน” ฉู่เหวินจือยืดแขนขึ้นสูงพลางเอี้ยวตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยขบจากการยืนหลายชั่วโมง เขาเดินไปทางบันไดฝั่งที่เซินเฟยใช้ขึ้นไปยังห้องนอน หวางซิงจึงรีบเรียกไว้ทันที

“คืนนี้อย่ารบกวนคุณเซินเลยจะดีกว่านะครับ”

“อ้อ ผมไม่ได้จะรบกวนหรอกไม่ต้องห่วง แต่ผมต้องไปนอนเฝ้าน่ะ” หลังว่าอย่างนั้น ฉู่เหวินจือก็หัวเราะเสียงหึ ๆ ในคอ “ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะมีคนย่องเข้าไปรังแกเจ้านายของผมอีก”

หวางซิงหน้าแดงวาบก่อนเปลี่ยนเป็นซีดเผือดในฉับพลัน

“ราตรีสวัสดิ์นะหวางซิง” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะก่อนจะเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปตามขั้นบันได หวางซิงยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะหันไปเอ่ยเรียกคนรับใช้มาเก็บห้อง เขาพยายามจะควบคุมอารมณ์กับฉู่เหวินจือให้มากเพราะไม่อยากจะโดนปั่นหัวอีก กระนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ผู้ชายคนนั้นสามารถจับจุดอ่อนของคนอื่นได้อย่างง่ายดายและนำมาใช้ได้ถูกเวลาเสมอ

------------------>

ฉู่เหวินจือเดินขึ้นมาถึงห้องนอนของเซินเฟย แต่เมื่อบิดลูกบิดก็พบว่าถูกล็อคจากด้านใน ชายหนุ่มไหวไหล่ก่อนเคาะประตู ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงจากเจ้าของห้อง

“ฉันกำลังเปลี่ยนชุด”

“ครับ” เขาตอบรับสั้น ๆ แล้วยืนรออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเซินเฟยเดินมาเปิดประตูให้

“นายจะนอนทั้งชุดสูทอย่างนี้หรือไง?” เซินเฟยมุ่นคิ้วเมื่อพบว่าฉู่เหวินจือไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยสักตัวเดียว แต่ไม่ได้ตำหนิเรื่องที่อีกฝ่ายมารบกวนถึงห้องนอน เพราะช่วงอาทิตย์ที่กลับมาฉู่เหวินจือก็มานอนที่ห้องเขาทุกคืนราวกับเป็นห้องของตนเอง นั่นเป็นสิ่งที่ฉู่เหวินจือเรียกร้องแทนการมีสัมพันธ์ทางกายซึ่งเขาไม่สามารถทำให้ได้ เซินเฟยไม่อยากจะเอาเปรียบอีกฝ่ายมากเกินไปนักจึงจำยอมตกปากรับคำ เพราะตลอดเวลาที่เขาไม่อาจทำอะไรเองได้ ฉู่เหวินจือก็เป็นลูกมือที่ดีซึ่งไม่เคยทำให้ผิดหวัง แค่นอนร่วมห้องจะเป็นอะไรไป

“ก่อนผมจะลงไปประชุม ผมเอาชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนมาวางไว้ที่ห้องนี้แล้วครับ” ฉู่เหวินจือตอบแล้วชี้ไปที่มุมห้องที่มีถุงกระดาษใบหนึ่งวางอยู่ เซินเฟยมุ่นคิ้วด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่มีบางสิ่งบางอย่างรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต

“ทีหลังก็บอกฉันเสียก่อน” เซินเฟยใช้น้ำเสียงเชิงตำหนิ “แล้วก็เข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำซะ ฉันไม่อยากเสียสายตา”

“ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยเห็นทุกซอกมุมแล้วน่ะหรือครับ?” ฉู่เหวินจือแกล้งเย้าพร้อมโน้มใบหน้าลงไปกระซิบที่ข้างใบหู เซินเฟยหน้าแดงวาบด้วยความกระดากอายก่อนส่งสายตาเฉียบคมสั่งให้อีกฝ่ายหุบปาก ไม่อย่างนั้นจะได้ออกไปนอนนอกห้อง ฉู่เหวินจือจึงเพียงแค่ยืดจึงขึ้นแล้วหัวเราะก่อนจะหยิบถุงกระดาษเดินเข้าห้องน้ำไป

เซินเฟยปิดสวิทช์ไฟดวงใหญ่และเปิดไฟหัวเตียงแทน เขาทิ้งตัวลงนั่งอิงหมอนแล้วหยิบกระดาษกับปากกาในลิ้นชักขึ้นมา เด็กหนุ่มขีดเขียนอะไรบางอย่างลงไป บางครั้งก็มุ่นคิ้วก่อนจะขีดฆ่าแล้วเขียนลงไปใหม่

ฉู่เหวินจือเดินออกมาพร้อมกางเกงสบาย ๆ ขายาว แต่ไม่ได้สวมเสื้อ เขาทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ เจ้าของห้องพลางมองดูสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจดจ่อด้วยสมาธิทั้งหมดที่มี

“กำลังทำอะไรหรือครับ?”

“เรื่องที่ประชุมวันนี้ ฉันอยากจะสรุปอะไรนิดหน่อย” เซินเฟยตอบโดยไม่ได้หันไปมอง มือของเขายังคงเขียนตัวอักษรลงไปอย่างต่อเนื่อง

“ไม่รอให้ผมกับหวางซิงรวบรวมมาให้ก่อนหรือครับ?”

“ฉันไม่ใช่คนชอบงอมืองอเท้าใช้งานคนอื่นยิก ๆ หรอกนะ” เซินเฟยตอบพร้อมมุ่นคิ้ว

“ผมก็ไม่ได้ว่าอย่างนั้น” ฉู่เหวินจือหัวเราะออกมาอีกครั้ง เซินเฟยชักจะสงสัยว่ามีอะไรน่าขำนักหนา ผู้ชายคนนี้ถึงได้อารมณ์ดีตลอดเวลาราวกับโลกนี้ไม่เคยมีอะไรทำให้เป็นทุกข์ใจได้เลยแม้สักอย่างเดียว หากมีอะไรที่ทำให้ฉู่เหวินจือขมวดหัวคิ้วจนเป็นปมได้ เขาคิดว่าสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งมหัศจรรย์ระดับโลกอย่างแน่นอนหรืออย่างน้อย คิดไปแล้วเขาก็ชักจะอยากรู้เหมือนกันว่ามันจะมีจริงหรือไม่

“โรงแรมที่เป็นโปรเจคของนายเริ่มก่อสร้างแล้วนะ นายได้ไปดูบ้างหรือยัง?” เขาเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปให้อีกฝ่ายคิดคำตอบบ้าง

“ไปดูมาครั้งหนึ่งแล้วครับ ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แปลนของโรงแรมผมเคยตรวจสอบแล้ว ถ้าทำตามแปลนนั้นผมก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอกครับ” ฉู่เหวินจือตอบก่อนจะหยุดคิดไปครู่หนึ่ง “แต่ว่าสเปคของบางอย่างดูเหมือนจะถูกเปลี่ยนให้เกรดต่ำลงโดยพนักงานฝ่ายจัดซื้อที่คุณเซินหยู่จ้างเข้ามา ผมก็เลยส่งรายงานไปให้เปลี่ยนของแล้วล่ะครับ โชคดีที่ยังไม่ได้เอาของพวกนั้นออกมาใช้งาน ไม่อย่างนั้นคงต้องรื้อตั้งแต่ราก”

“ทางคู่ค้ายอมให้หรือเปล่า?” เวลาส่งคืนของเพื่อขอเปลี่ยนมักจะประสบปัญหากับคู่ค้าอยู่เสมอ เซินเฟยเองหากไม่จำเป็นก็ไม่อยากจะตีของคืนบ่อย ๆ เหมือนกัน เพราะทั้งเสียเวลาและกำลังทรัพย์ กระนั้นหากโอนอ่อนไม่ได้ก็ต้องยอมเสียอะไรไปบ้างเพื่อผลที่คุ้มค่า

“ถ้าไม่ยอมผมก็คิดจะลงไปเจรจาเองครับ”

“ก็ดี” เซินเฟยตอบสั้น ๆ อย่างไรฉู่เหวินจือก็ได้เครดิตว่าเป็นคนสนิทของเขาแล้ว ใครเล่าจะกล้าขัดใจหากว่าอีกฝ่ายลงไปจัดการด้วยตัวเอง

ในที่สุดทั้งสองก็เหมือนหมดเรื่องพูดคุยไปชั่วขณะ ฉู่เหวินจือชินแล้วกับความเงียบเฉยของเซินเฟย กระนั้นเขาก็ไม่ชอบให้มีแต่ความเงียบคั่นอยู่ระหว่างพวกเขาเพราะนั่นหมายความว่าเซินเฟยยังคงตั้งกำแพงอยู่ ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองพลางเอื้อมมือไปจับปลายปากกาที่กำลังจดยิก ๆ อย่างเมามัน เซินเฟยชะงักไปทันทีเพราะถูกขัดจังหวะ และนั่นทำให้สิ่งที่กำลังคิดในสมองชะงักไปด้วย

“มีอะไร?”

“นั่งยืดหลังนาน ๆ ไม่ปวดบ้างหรือครับ?” ฉู่เหวินจือยิ้มบางพลางถาม เขารู้มาจากหมอถงว่าแม้กระดูกสันหลังจะไม่เสียหายอะไร แต่ก็เคลื่อนไปจากเดิมเล็กน้อยทำให้เวลายืนหรือนั่งหลังตรงนาน ๆ จะรู้สึกปวดล้าเพราะกระดูกแอ่นไปมากเกินกว่าปกติ แน่นอนว่าไม่ได้มีผลอะไรมากมายต่อสุขภาพ หมอถงจึงไม่ได้บอกกับเจ้าตัวโดยตรง เพียงแต่เตือนให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอเท่านั้น

“ก็นิดหน่อย” เซินเฟยตอบแล้วพยายามดึงปากกาคืน

“ผมนวดให้ไหม?”

“นวดเป็นด้วยหรือไง?”

ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยแล้วยื้อแย่งปากกาจนเป็นผู้ชนะก่อนจะจับวางลงบนโต๊ะข้าง ๆ

“มีอะไรที่ผมทำให้คุณไม่ได้หรือครับ?”

เซินเฟยหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ค่อยอยากจะเชื่อใจสักเท่าไหร่แต่ก็คร้านจะต่อปากต่อคำ ไหน ๆ สิ่งที่อุตส่าห์คิดเป็นกระบุงก็โดนขัดจังหวะให้กระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว จะเอากลับมาเรียบเรียงก็คงไม่ไหว เซินเฟยจึงวางสมุดกลับลงไปในลิ้นชักแล้วนอนคว่ำลงโดยไม่ได้พูดอะไร

ฉู่เหวินจือขยับเปลี่ยนท่าตัวเองให้คร่อมอยู่เหนือร่างของอีกฝ่าย ก่อนจะค่อย ๆ คลึงปลายนิ้วลงกับช่วงเอวที่แอ่นลงไป เซินเฟยครางเบา ๆ เมื่อความปวดบริเวณนั้นถูกกดลง หลังที่แข็งอยู่นานเริ่มจะรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ปลายนิ้วหยาบเคลื่อนตัวไปตามแนวสันหลัง นวดคลึงจุดต่าง ๆ ที่แข็งเกร็งจากการใช้งานตั้งแต่แนวบ่าลงมาเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อของเซินเฟยหลายจุดจับตัวเกร็ง ฉู่เหวินจือค่อย ๆ นวดให้ผ่อนคลายไปแต่ะจุดอย่างใจเย็นพลางสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย เซินเฟยขมวดคิ้วแน่นเพราะรู้สึกปวดหนึบไปทั้งหลัง กระนั้นในบางจังหวะก็คลายหัวคิ้วออกคล้ายกำลังรู้สึกสบาย เสียงครางเบา ๆ จากในคอเหมือนเสียงลูกแมวที่ถูกเคล้าคลอด้วยฝ่ามือ ชายหนุ่มอมยิ้มพลางทำหน้าที่ต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไรให้เซินเฟยขัดหู

“เลื่อนต่ำหน่อยสิ” เมื่อนวดไปได้สักพัก เซินเฟยก็เริ่มกำหนดจุดนวดด้วยตนเอง ฉู่เหวินจือทำตามโดยไม่ได้ประท้วงอะไร ไม่นานนัก เซินเฟยก็เริ่มเคลิ้ม ๆ คล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น ฝ่ามือของฉู่เหวินจือทำให้ร่างกายของเขาผ่อนคลายลงกว่าเดิมได้มากจึงทอดตัวไปกับความนุ่มของเตียงได้โดยไม่ต้องเกร็งให้ปวดหลัง

ฉู่เหวินจือสัมผัสได้ถึงการปล่อยตัวของอีกฝ่าย เขานวดต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งการป้องกันตัวของเซินเฟยแทบจะไม่หลงเหลือก่อนละมือออกชั่วคราว

เซินเฟยไม่แสดงอาการตอบสนอง เพียงแค่มุ่นคิ้วเพราะความสบายบนแผ่นหลังหายไปเท่านั้น

ฉู่เหวินจือเปลี่ยนจากการนวดมาเป็นการลูบคลึงไปตามแผ่นหลังบอบบาง หัวคิ้วของเซินเฟยจึงคลายตัวออกจากกัน ชายหนุ่มลูบสูงขึ้นและต่ำลงพร้อมกันค่อย ๆ โน้มตัวลงไปหาอย่างช้า ๆ เท่าที่จะทำให้เซินเฟยไม่รู้สึกตัวเสียก่อน ลมหายใจอุ่นปะทะลำคอขาวอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากร้อนจาบจ้วงลงเคล้าเคลียเบา ๆ พอแค่รู้สึกจั๊กจี้ เซินเฟยรู้สึกแปลกที่ถูกสัมผัสจึงเอี้ยวหน้ากลับพร้อมปรือตามอง เงาตะคุ่มที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าทำให้หัวใจของเซินเฟยกระตุกวูบก่อนจะสะบัดมือตบใบหน้าคนตรงหน้าฉาดใหญ่โดยไม่ทันคิด

ฉู่เหวินจือชะงักกึก ก่อนเหลือบสายตามองเด็กหนุ่มที่แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ ในแววตาซึ่งเจ้าตัวพยายามปกปิดเอาไว้ รอยยิ้มลุ่มลึกประดับพรายบนเรียวปาก

“คุณเซิน ฝันร้ายหรือครับ?”

“....เปล่า.....” เซินเฟยเผลอหลับไปวูบหนึ่งจึงไม่มั่นใจนักว่าเงาตะคุ่มที่โน้มลงมาด้วยเจตนาแอบแฝงนั้นเป็นเพียงฝัน อุปทาน หรือความจริง “นวดเสร็จแล้วหรือ?”

“เสร็จแล้วครับ”

“อืม...” เซินเฟยทำใจให้สงบแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้งก่อนค่อย ๆ หลับตาลง ผ่อนคลายประสาทที่ตึงเขม็งจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แล้วผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย

ฉู่เหวินจือเสยผมตัวเองพลางลูบแก้ม เซินเฟยยังออมแรงไม่เป็นเหมือนเคย ตบเสียเต็มฉาดแบบนั้นคงจะแดงเป็นรอยมือแน่ แต่เอาเถอะ เวลากลางคืนแบบนี้คงไม่มีใครมาขอดูหน้าเขา กว่าจะถึงเช้ามันก็คงจางไปแล้ว การตอบโต้ของเซินเฟยสิที่น่าสนใจกว่า ดูเหมือนสิ่งที่หวางซิงกระทำเอาไว้จะไม่ลดเลือนผลกระทบไปง่าย ๆ เขาอาจจะต้องใช้ความอดทนมากกว่านี้ หรือไม่ก็ลองหาวิธีใหม่....หากว่าเวลามีมากพอ....

------------------>

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 08-04-2011 23:04:17
“นี่เป็นทั้งหมดสินะ” เซินเฟยมองปึกกระดาษบนโต๊ะที่หวางซิงนำมาวางเอาไว้ให้

“ครับ เท่าที่ผมคัดแยกดูแล้ว เห็นจะมีแค่นี้เท่านั้นที่ไม่ซ้ำกับที่เคยทำมาและพอจะใช้งานได้จริง” หวางซิงกล่าวพลางสังเกตท่าทีของเซินเฟยที่ใช้ปลายนิ้วกรีดกระดาษปึกบางพลางมุ่นคิ้ว ไม่ต้องถามก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังนึกไม่พอใจกับกลุ่มของตนเอง ทั้งที่หวงศักดิ์ศรี ยืดอกอวดศักดาแข่งกันอย่างกับอะไรดี แต่พอถึงเวลาต้องใช้สมอง กลับมีให้ใช้ได้น้อยกว่าที่คิด หากโละหัวหน้ากลุ่มได้ทั้งชุดเหมือนโละพนักงานบริษัท เซินเฟยคงลงมือทำโดยไม่ลังเล แล้วหันไปปลุกปั้นคนที่ใช้งานได้มาแทนที่เป็นแน่

“ของฉู่เหวินจือล่ะ?”

“ผมยังไม่เห็นเลยครับ วันนี้คุณฉู่ก็ออกมาก่อนแต่พนักงานข้างล่างก็บอกว่าไม่เห็นเขาเหมือนกัน”

เซินเฟยขยับหัวคิ้วเข้าหากัน ผู้ชายคนนี้พอขยับตัวได้สะดวกก็ลมเพลมพัดเหมือนเคย นึกอยากไปก็ไป อยากมาก็มา คิดว่างานของตัวเองเป็นอะไรกันนะ

“กาแฟ”

เนื่องจากงานยังมาไม่ครบ เซินเฟยจึงยังไม่ลงมือทำอะไร เพียงหันไปสั่งกาแฟแล้วหยิบสมุดที่ตนจดเมื่อคืนขึ้นมาทบทวนว่าจะตอนนั้นคิดจะบันทึกอะไรต่อไป

หวางซิงโค้งรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปชงกาแฟให้เซินเฟย เขาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะซึ่งมีชุดชงกาแฟวางอยู่ หยิบแก้วขึ้นมาใบหนึ่ง ตักเมล็ดกาแฟป่น น้ำตาล และครีมเทียมใส่ลงไปในปริมาณที่ไม่ขมจนเกินไป อย่างไรเซินเฟยก็ยังอายุน้อย ถึงจะอดนอนอย่างไรก็ให้ดื่มกาแฟที่เข้มจัดไม่ได้เพราะจะอันตรายต่อสุขภาพในภายหลัง หากเสพติดขึ้นมาจะลำบากเอา ด้วยเหตุนั้นหวางซิงจึงมักชงแบบใส่เมล็ดกาแฟน้อย ๆ และน้ำตาลมากหน่อยให้มีรสหวานกลมกล่อม ส่วนครีมเทียมก็ใช้เฉพาะเวลาอยู่บริษัท หากอยู่ที่บ้านก็จะใช้นมแทน

ในขณะที่หวางซิงกำลังกดน้ำร้อนใส่แก้วอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงลิฟต์

ฉู่เหวินจือเดินออกมาตามคาด เจ้าตัวถือซองเอกสารสีน้ำตาลด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ได้นึกทุกข์ร้อนกับเวลาที่เสียไปเพราะมาสายแม้แต่น้อย

“รับกาแฟไหมครับ?” หวางซิงเอ่ยถามตามมารยาทเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้

“ก็ดี ผมขอแก่ ๆ นะ จริงสิ คุณเซินยังอยู่ข้างในหรือเปล่า” ฉู่เหวินจือไม่ปฏิเสธไมตรีตามหน้าที่ เมื่อคืนนี้กว่าเขาจะได้นอนก็ดึกเอาเรื่องเหมือนกัน แถมยังตื่นเช้ากว่าคนอื่น ๆ ได้กาแฟสักแก้วคงสดชื่นขึ้น

“รอคุณอยู่ตั้งแต่มาถึงแล้วล่ะครับ” หวางซิงจงใจใช้น้ำเสียงตำหนิ ทว่าผู้ฟังกลับหัวเราะตอบโดยไม่ใส่ใจกับน้ำเสียงของเขาแม้แต่นิดเดียว จากนั้นฉู่เหวินจือจึงเดินเข้าไปในห้องประธานโดยไม่เคาะประตู ทำเอาหวางซิงกุมขมับ นี่ระหว่างที่หายไป อีกฝ่ายลืมสิ่งที่เขาพูดจนปากเปียกปากแฉะไปหมดแล้วหรือยังไงนะ!

ฉู่เหวินจือพาตัวเองเข้าไปหาเซินเฟยแล้ววางซองเอกสารลงบนโต๊ะ ขณะนั้นเซินเฟยกำลังจดบันทึกเพิ่มเติมอยู่โดยยังไม่ได้เปิดของหวางซิงออกดู

“นายสาย”

“ครับ ขออภัยด้วยครับคุณเซิน” ฉู่เหวินจือยอมรับความผิดอย่างเรียบง่าย เซินเฟยเหลือบสายตาขึ้นมองชั่วแวบหนึ่งแล้วจึงหลุบลงเช่นเดิม

“นั่งสิ”

หลังได้รับคำสั่ง ฉู่เหวินจือก็ลากเก้าอี้มานั่งที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ

“ฝ่ายจัดซื้อว่ายังไงบ้าง”

“คุณรู้ด้วยหรือครับว่าผมไปฝ่ายจัดซื้อมา คุณนี่น่ากลัวจริง ๆ” ฉู่เหวินจือเย้า

“ฉันก็แค่เดา สรุปว่าของตีกลับไปได้ไหม?” เซินเฟยคร้านจะพูดเหตุผลที่เขาคาดเดาเช่นนั้น จึงต่อด้วยคำถามที่เจาะจงมากกว่าเดิม

“ยากอยู่ครับ ผมอาจจะต้องลงไปด้วยตัวเองจริง ๆ” ฉู่เหวินจือสารภาพตามจริง ทางคู่ค้าดูจะไม่พอใจเอามากที่สั่งของไปตั้งมากมายแต่กลับต้องการตีกลับทั้งหมดเพราะผิดสเปค จริงอยู่ว่าทางนี้เป็นฝ่ายผิดเพราะเปลี่ยนผู้รับผิดชอบกะทันหัน ทว่าในเมื่อผู้รับผิดชอบเดิมกลับมาแล้ว ก็ย่อมต้องการสเปคเดิมที่เคยกำหนดไว้ เพื่อให้สิ่งก่อสร้างออกมาอย่างดีอย่างที่คาดหวังไว้ ทางสถาปนิกเองก็ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน

“ต้องให้ฉันจัดการไหม?”

“ผมไม่ต้องรบกวนถึงคุณเซินหรอกครับ” ฉู่เหวินจือว่า “อีกอย่างเรื่องนี้ผมเป็นผู้รับผิดชอบ ผมควรจะทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด”

“คิดได้แบบนั้นก็ดี” เซินเฟยกล่าวอย่างพออกพอใจ หากลูกน้องของเขาใช้งานได้ดังใจแบบฉู่เหวินจือหรือหวางซิงได้ก็คงดี

หวางซิงเดินกลับเข้ามาระหว่างการสนทนา เขาถือกาแฟเข้ามาสองแก้ว ใบหนึ่งเป็นของเซินเฟยและอีกใบของฉู่เหวินจือ แน่นอนว่าแก้วของฉู่เหวินจือเข้มจนแทบจะเป็นสีดำ ส่วนของเซินเฟยเป็นสีน้ำตาลอ่อนดูเป็นเครื่องดื่มยามว่างเสียมากกว่าเครื่องชูกำลังยามเช้า

“นั่งลงสิอาซิง” เซินเฟยว่าหลังจากจิบกาแฟลงคอไปอึกหนึ่ง

หวางซิงรับคำแล้วดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้าง ๆ ฉู่เหวินจือ เซินเฟยดึงเอกสารของฉู่เหวินจือออกมาเปิดเทียบกับของหวางซิงเงียบ ๆ ขณะสองคนที่เหลือต่างเฝ้ารอปฏิกิริยาของเจ้านายอย่างใจจดใจจ่อ

“หลังจากอ่านแล้วคิดว่ายังไงอาซิง” เซินเฟยถามหวางซิงก่อน

“แผนงานส่วนใหญ่ยังเป็นแบบรวมอำนาจเข้ามากลุ่มเหมือนเดิมครับ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องให้หัวหน้าตัดสินใจเป็นหลักซึ่งผมคิดว่าก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ว่าควรมีการกระจายหน้าที่ออกไปให้มากขึ้นเพราะการให้หัวหน้าเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่างจะเกิดการล่าช้าในการบริหาร แล้วยัง....”

“ถ้าเกิดอุบัติเหตุในกรณีแบบผม งานจะหยุดชะงัก” เซินเฟยเคาะปลายนิ้วลงบนแผ่นกระดาษ “ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย”

“แล้วคุณเซินคิดยังไงครับ?” หวางซิงถามกลับ

“ฉู่เหวินจือ ของนายว่ายังไง?” แทนที่จะตอบคำถาม เซินเฟยกลับหันไปขอคำตอบจากอีกคนหนึ่งซึ่งเพิ่งจะมาถึงและกำลังจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์

“ผมแค่จดตามที่คุณเซินบอก อาจจะให้ความเห็นไม่ตรงกับของหวางซิงสักเท่าไหร่” ฉู่เหวินจือเกริ่นนำเล็กน้อยแล้ววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ “ดูเหมือนจะมีหัวหน้าบางกลุ่มเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้แล้วนะครับ จึงคิดว่าน่าจะมีการแต่งตั้งบุคคลให้เป็นสัดส่วนและมีคนของจูเชว่ลงไปในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิดเพื่อที่หากมีอะไรเร่งด่วนจะได้สามารถติดต่อขึ้นมาได้ในทันทีโดยไม่ต้องผ่านหัวหน้ากลุ่ม ถึงอย่างนั้นเรื่องการส่งคนลงไปมันก็มีการทำอยู่แล้วไม่ได้แปลกใหม่อะไร เพียงแต่คนเหล่านั้นมักจะไม่ได้ทำหน้าที่เพราะถูกกีดกันจากคนคุมในแต่ละเขต ส่วนมากจะทำได้เพียงสืบข่าวเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง”

“ใช่ คนของฉันก็ว่าอย่างนั้น พวกเขากลัวว่าฉันจะแทรกแซงการปกครองในเขตของพวกเขาเหมือนที่เฉียนหยุนกลัว สุดท้ายเขตของเฉียนหยุนก็เละเทะไม่มีชิ้นดี” เซินเฟยถอนหายใจ คนในกลุ่มองค์กรมักจะระแวงกันเองอยู่เสมอ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรเพราะพวกเขาไม่ใช่พ่อพระ แต่เดิมเป็นแค่กลุ่มคนที่ทำแต่เรื่องผิดกฎหมายและรวมตัวกันจนตั้งขึ้นเป็นองค์กรเพื่อความมั่นคง ความเป็นองค์กรทำให้เกิดลำดับขั้นขึ้นมา ผู้ที่อยู่บนและควบคุมคนที่อยู่ด้านล่าง และนั่นคือสิ่งที่หลายคนหวาดกลัวที่สุด กลัวว่าเขาจะใช้อำนาจจูเชว่ลิดรอนอำนาจลงไป

“เมื่อเช้าเหล่าโหวมาที่นี่”

“เหล่าโหวหรือครับ?” เพราะฉู่เหวินจือไม่ได้มาด้วยกันจึงไม่ได้เจอกับเหล่าโหวซึ่งสอนเขาเอาไว้มากเกี่ยวกับการทำงานในแก๊งค์ และตั้งแต่กลับมาก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอกันสักครั้ง แม้แต่ตอนประชุมก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันโดยตรงอย่างที่เคย

“เหล่าโหวตัดสินใจปิดโรงงานที่มีปัญหานั้นแล้ว” เซินเฟยกล่าว ตอนนั้นเขารู้ว่าเหล่าโหวดูจะเสียดายโรงงานแห่งนั้นเป็นอย่างมาก เจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าอย่างนั้น แต่หลังจากคิดสะระตะก็พบว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะปิดตัวปัญหาไปเสียในเมื่อไม่อาจแก้ไขให้ขึ้นได้ “อย่างน้อยก็มีคนตระหนักได้บ้าง”

“เหล่าโหวเป็นคนมีเหตุผลแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับที่จะยอมรับฟัง” หวางซิงกล่าวซึ่งก็เป็นความจริง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นคนมีเหตุผลอย่างนั้น

“เอาเถอะ แค่เหล่าโหวก็พอแล้ว” เซินเฟยกล่าว เขาไม่ได้หมายถึงจำนวนคนที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่เหล่าโหวเป็นคนเก่าคนแก่ขององค์กร เรียกได้ว่าอาวุโสเกือบที่สุดในขณะนี้ หากเหล่าโหวยอมรับฟังเขาและกระทำตาม จะเป้นอิทธิพลให้คนอื่น ๆ เอาเยี่ยงอย่าง โดยเฉพาะพวกตาแก่หัวแข็งที่ไม่ชอบให้เด็กมาบงการชีวิต และหากใครไม่เห็นด้วย เขายังขอให้เหล่าโหวไปเกลี้ยกล่อมได้

เสียงโทรศัพท์ดังจากโต๊ะเลขา เซินเฟยจึงพยักหน้าให้หวางซิงลุกออกไปรับก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วจิบกาแฟต่อไปอย่างใจเย็น

เขารู้ว่าเรื่องนี้เขาไม่ควรตัดสินใจคนเดียว เพราะหากก้าวพลาดจะไม่เพียงเขาเท่านั้นที่เสียหายแต่เป็นองค์กรทั้งหมดและอาจส่งผลไปถึงอย่างอื่นด้วย ยิ่งเวลานี้ตำรวจสากลกำลังจับตามองค่อนข้างใกล้ชิดเพราะสถานการณ์ก่อการร้ายในบางพื้นที่ของประเทศแถบตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการสนับสนุนอาวุธจากลูกค้าของเขา ซ้ำยาเสพติดที่แพร่กระจายอยู่แถวนั้นยังถูกกวาดจับไปเสียมาก แต่เอาเถอะ นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจ นักการเมืองของประเทศกำลังพัฒนามักชอบทำอะไรกันเป็นช่วง ๆ จะกะตือรือร้นแค่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง พอได้อำนาจมาอยู่ในมือแล้วก็จะหันไปโกงกินกันเองไม่เหลียวแลนโยบายอย่างจริงจังอย่างเคย ดังนั้นปัญหาถูกจับตาแบบนี้มันก็จะมาเป็นระลอกคลื่นเหมือนกัน เขาเองก็เคยชินกับมันไปเสียแล้ว แค่ระวังตัวสักหน่อยก็พอ

หวางซิงใช้เวลารับโทรศัพท์ไม่นานก็เดินเข้ามา

“คุณเซิน ไป๋หู่ต้องการนัดพบเป็นการส่วนตัวอาทิตย์หน้าครับ”

ไป๋หู่?

เซินเฟยมุ่นคิ้ว

“วันนั้นไม่มีนัดใช่ไหม?”

“ไม่มีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบตกลงไป บอกให้ทางนั้นนัดสถานที่มา” เซินเฟยตัดสินใจตอบรับคำเชิญ กระนั้นในใจก็ยังสงสัย ไป๋หู่อย่างนั้นหรือ? อีกฝ่ายไม่ได้ติดต่อมาอีกเลยหลังจากส่งตัวฉู่เหวินจือมาหาเขา ทำไมอยู่ ๆ ถึงอยากจะเจอกันขึ้นมานะ? หรือว่าอยากได้ฉู่เหวินจือคืน? หรือว่าจะเป็นเจตนาอื่น ที่แน่ ๆ ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่น่ารื่นรมย์เป็นแน่ เซินเฟยไม่อาจวางใจกับเรื่องนี้ได้เลยจริง ๆ

ไป๋หู่....ผู้ชายคนนั้นคิดจะทำอะไรอีกนะ....

TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Isuru ที่ 09-04-2011 01:24:37
เอาแล้วสิ ไป๋หู่จะมาแล้ว
ความจริงของอาฉู่จะได้เปิดเผยก็คราวนี้รึเปล่านะ
ลุ้นตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 09-04-2011 01:31:15
ไป๋หู่จะทำอะไรล่ะเนี่ย :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 09-04-2011 03:07:45
 :o12: สงสารอาเฟยอะ  กลายเปงแผลฝังใจไปเลย
ไป๋จาทำไรอะ  อย่าบอกนะจาเอาตาฉู่คืน ไม่น้า :serius2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 09-04-2011 11:43:07
ไป๋หู่ จะทำอะไรเนี่ย? นิยายเรื่องนี้มีแต่อะไรที่ไม่อาจจะคาดเดา~ :a5:

แม้เรื่องที่อาซิงเคยทำไว้กับเสี่ยวเฟย จะทำให้เสี่ยวเฟยกลัวและต่อต้านเรื่องอย่างว่า ( แต่ไม่น่าถึงกับ Phobia )
จนฉาก NC ที่ปรกติก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว มาตอนนี้แทบจะสาบสูญไปจากเรื่องนี้เลยก็ตาม
เค้าก็ยังรักและเข้าใจความจำเป็นของ อาซิง นะ ~ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 09-04-2011 11:43:37
เอาแล้วสิ อิอิ มีเรื่องอะไรให้ลุ้นอีกนะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 09-04-2011 16:30:07
กี่ตอนๆๆก็ต้องลุ้นตอนหน้าตลอด ดีนะว่ามาไว ถ้ามาช้าสงสัยจะขาดใจตาย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 30 (8/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: casper75 ที่ 09-04-2011 22:29:11
ตอนแรกนึกว่าจะมีฉากเรียกเลือด

รออยู่นะฉากncเนี่ย  :z1:

ฉู่เหวินจือ ทำตัวมีลับลมคมในตลอดเลย

หวังว่าเรื่องนี้คงไม่มีมาม่านะ :เฮ้อ:


 :กอด1: คนแต่งค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 09-04-2011 23:22:46
-31-


การนัดพบในเขตปกครองของผู้อื่น เซินเฟยจำต้องตระเตรียมตัวมากกว่าปกติ เขาตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่เพื่อแต่งตัวให้เรียบร้อยที่สุด หวางซิงลุกขึ้นมาตรวจสอบทีมการ์ดด้วยตนเองอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องอย่างตอนที่เรือสำราญระเบิดนั่นอีก การ์ดที่มาทำหน้าที่ถูกคัดเลือกมาเฉพาะการ์ดที่ใกล้ชิดและอยู่รับใช้มานานตั้งแต่รุ่นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายเพื่อความมั่นใจถึงความภักดีเหนืออารมณ์ส่วนตัว

หวางซิงไม่สามารถให้ความมั่นใจกับอะไรได้อีกต่อไป เหตุการณ์ระเบิดเรือสำราญทำให้โรควิตกจริตของเจ้าตัวร้ายแรงขึ้นอีกโข ถึงขั้นต้องลิสต์รายชื่อการ์ดให้ตรงเป๊ะไม่มีตกหล่นแม้แต่ชื่อเดียว เซินเฟยคร้านจะขัดหวางซิง เขาเองก็รู้ว่าเลขาตนเองเป็นอย่างไรจึงไม่ได้เอ่ยปากต่อว่า กว่าที่หวางซิงจะพอใจ ดวงอาทิตย์ก็ฉายแสงจ้าบ่งบอกว่าเลยเวลาเช้าไปมากโขแล้ว

“เตรียมการพร้อมแล้วครับ” หวางซิงเดินเข้ามาหาเซินเฟยด้วยสีหน้าชื่นมื่นและภาคภูมิใจที่คิดว่าตนเองเป็นผู้จัดทีมการ์ดอันยอดเยี่ยมสำหรับการเดินทางข้ามเขตเพื่อเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเซินเฟยด้วยมือตนเอง ในที่สุดเขาก็ได้ความมั่นใจในฐานะเลขายอดเยี่ยมกลับคืนมาเสียที!

“อ้อ” เซินเฟยรับสั้น ๆ ไม่ได้รู้สึกขัดหูขัดตากับพฤติกรรมของหวางซิงมากนัก อาจเป็นเพราะเขาเคยชินกับมันแล้วกระมัง เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ตนเองยึดเป็นที่นั่งพักและกินอาหารเช้าง่าย ๆ มาตลอดช่วงเวลา 4 ชั่วโมงที่หวางซิงหมกมุ่นอยู่กับการ์ด จนถึงตอนนี้เซินเฟยก็จิบชาหมดไป 3 แก้วแล้ว

รถยุโรปสีดำสนิทติดฟิล์มกรองแสงมืดทึบจอดเรียงกันเป็นขบวน นับได้ราว ๆ สิบคัน ซึ่งเป็นจำนวนรถสำหรับใช้งานทั้งหมดในบ้านใหญ่ตระกูลเซิน การ์ดแต่ละคนประจำรถแต่ละคน คันหนึ่งมีการ์ดสี่คน เว้นแต่คันตรงกลางซึ่งเซินเฟยใช้โดยสารจะมีการ์ดเพียงสองคน และมีเซินเฟยกับหวางซิงเป็นผู้โดยสารนั่งอยู่ข้างหลัง หวางซานและหวางซือเดินออกมาคอยส่งถึงหน้าประตู ทำให้เซินเฟยนึกสงสัยว่า การเดินทางออกไปพบปะนอกเขตปกครองถือเป็นเรื่องใหญ่มากนักหรือ? เพราะเขาเห็นไป๋หู่ เสวียนอู่ และชิงหลงก็เดินทางข้ามเขตไปมาราวกับเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเสวี่ยนอู่ที่ต้องเดินทางไปถึงเกาลูนและแผ่นดินใหญ่บ่อยครั้ง

เซินเฟยพาตนเองเข้าไปนั่งในรถตามด้วยหวางซิงที่เดินอ้อมไปนั่งอีกด้านหนึ่ง การ์ดแต่ละคนจึงขึ้นนั่งประจำที่ก่อนที่รถจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ เป็นขบวนสวยงาม

“สถานที่นัดพบ....โรงแรมหรือ?” เซินเฟยเลิกคิ้วเมื่อเห็นชื่อสถานที่ในเครื่องมือบันทึกของหวางซิง

“ครับ ทางนั้นบอกว่าอยากให้สะดวกทั้งสองฝ่าย”

เซินเฟยมุ่นคิ้ว ไม่รู้สึกดีใจกับความหวังดีนี้นัก เพราะเหมือนกำลังถูกอีกฝ่ายกำลังเอ็นดูเหมือนเด็กเล็ก ๆ มากกว่าให้เกียรติในระดับเดียวกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ ทางนั้นเป็นคนนัดมาและเขาเป็นตอบรับกลับไปเพราะไม่อยากจะให้มากเรื่องมากราว หากเป็นไปได้ เขาอยากจะให้การเจรจาครั้งนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยและรีบ ๆ จบโดยไว แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่ามันคงจะไม่ง่ายดายอย่างนั้น

“แล้วฉู่เหวินจือล่ะ?” วันนี้ตั้งแต่ตื่นมาก็ไม่เห็นฉู่เหวินจือแล้ว อีกทั้งเมื่อคืนก็ไม่ได้มานอนด้วยอย่างเคย แต่งานสำคัญอย่างการพบเจ้านายเก่าอย่างนี้อีกฝ่ายไม่น่าจะลืมตื่น

“ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ”

“ออกไปแต่เช้า? ไปไหน?”

“คุณฉู่บอกว่า ถูกตามตัวด่วนเพราะดูเหมือนโรงแรมที่กำลังก่อสร้างจะติดปัญหานิดหน่อย แต่จะรีบกลับมาให้ทันก่อนคุณเซินกลับครับ” หวางซิงกล่าวตอบตามที่ฉู่เหวินจือฝากข้อความไว้ก่อนออกไป ท่าทีของฝ่ายนั้นดูกะตือรือร้นกว่าปกติจนผิดสังเกต แต่เพราะตัวเขามัวแต่คิดเรื่องการพบปะในวันนี้จึงไม่ได้ถามอะไรต่อและรับฝากข้อความเอาไว้เท่าที่อีกฝ่ายบอกเท่านั้น

“เหลวไหลจริง” เซินเฟยตำหนิพลางมุ่นคิ้ว เขาบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือว่าให้ทำตัวว่าง ๆ อย่างไรไป๋หู่ก็เป็นเจ้านายเก่า ในเมื่อมีโอกาสพบกันก็ควรจะไปพบสักหน่อย หากไป๋หู่โทษว่าเขาสนับสนุนให้ลูกน้องไม่รู้จักมารยาทเขามิเสียหน้าแย่หรือ?

“จะให้ผมโทรตามตัวไหมครับ?”

“ไม่ต้อง ในเมื่อเป็นงานเร่งด่วนก็เอาเถอะ ผมคิดว่าไป๋หู่เป็นคนที่ฟังเหตุฟังผลอยู่” เด็กหนุ่มว่าพลางถอนหายใจลึก ๆ ทำใจรับสายตาตำหนิติเตียนล่วงหน้า เมื่อกลับไปอาจจะต้องทบต้นดอกกับผู้ชายคนนั้นอีกที

ขบวนรถเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ บนถนนที่คลาคล่ำ วิวทิวทัศน์ที่คุ้นเคยค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย แม้จะเป็นตึกสูงใหญ่ ถนนเส้นยาว และถนนที่เต็มไปด้วยรถราเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างแฝงเร้นอยู่ภายใน เซินเฟยจึงรับรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าตัวเขาออกมานอกเขตของตนแล้ว ซึ่งเมื่อคิดเช่นนั้น อยู่ ๆ ความหวั่นไหวก็วูบเข้ามาในใจ เซินเฟยอดจะต่อว่าตัวเองไม่ได้ที่ทำตัวเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งเคยมาไกลจากบ้าน เขารู้สึกเหมือนความปลอดภัยที่เคยมั่นใจค่อย ๆ ลดน้อยลงไปตามระยะทางที่รถเคลื่อนผ่าน และเหมือนกับกำลังนั่งอยู่บนฝ่ามือของใครบางคนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตา ไม่อาจรู้ได้ว่าคน ๆ นั้นคิดจะบีบหรือจะคายมือที่วางเขาเอาไว้ เขาไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เอาเสียเลย....

“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” หวางซิงเอ่ยถามเมื่อเห็นเซินเฟยทำหน้าเคร่งเครียด

“ไม่...ผมไม่เป็นไร อีกนานไหมกว่าจะถึง?”

“อีกราว ๆ 5 นาทีก็น่าจะถึงแล้วครับ”

เมื่อได้รับสถานที่นัดหมาย หวางซิงจึงเดินทางมาสำรวจเส้นทางด้วยตัวเองเพื่อความมั่นใจโดยพาการ์ดที่จะทำหน้าที่นำทางมาด้วย ตัวเขาและการ์ดทั้งหมดสามารถจดจำเส้นทางได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งทางไป๋หู่ยังเอื้อเฟื้อให้คนของตนช่วยนำทางให้อีกแรงในวันแรก การสำรวจสถานที่จึงเป็นไปด้วยดี

จากจุดนี้ หวางซิงสามารถมองเห็นโรงแรมสูงตระหง่านที่เป็นจุดหมายซึ่งอยู่ไกลออกไปได้ค่อนข้างชัดเจน เพราะโรงแรมแห่งนั้นสร้างให้สูงกว่าตึกโดยรอบอยู่ไม่น้อย

“ที่นั่นไงครับ” หวางซิงชี้ยอดตึกให้เซินเฟยดู ซึ่งเด็กหนุ่มก็เพียงพยักหน้ารับ พยายามทำตัวให้นิ่งเฉยเยือกเย็นทั้งที่หัวใจกำลังเต้นด้วยจังหวะที่แรงกว่าเดิมเล็กน้อย

ในที่สุด ขบวนรถก็เดินทางมาถึงที่หมายในเวลาที่ไม่เกินจากที่คาดไว้

คนของไป๋หู่ลงมาต้อนรับถึงที่ทำให้เซินเฟยรับรู้ถึงการให้เกียรติจากฝ่ายนั้นบ้าง ถึงอย่างนั้น การ์ดส่วนหนึ่งก็ถูกกันตัวเอาไว้ข้างล่างด้วยเหตุผลว่า ไป๋หู่ไม่อยากให้แขกในโรงแรมตื่นตระหนกกับการมาเยือนของจูเชว่ ด้วยเหตุนั้นเซินเฟยจึงต้องเดินเข้าไปในโรงแรมกับหวางซิงและการ์ดอีกสองคน อย่างไรเสีย การเดินทางมาถึงสถานที่นัดหมายแล้วก็สามารถรับรองความปลอดภัยได้มากพอ เพราะหากว่าเขาเกิดเป็นอะไรในเขตของไป๋หู่ อีกฝ่ายย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งและต้องเกิดสงครามระหว่างกลุ่มเป็นแน่ ไป๋หู่เป็นคนฉลาด และยังไม่มีการขัดแข้งขากับเขาในธุรกิจใด ๆ จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องหวาดกลัวการตลบหลังในการเจรจาครั้งนี้

พวกเขาถูกเชิญตัวให้ขึ้นลิฟต์ตัวหนึ่งซึ่งดูหรูหรากว้างขวาง คนนำทางกดปุ่มบนสุดก่อนที่ลิฟต์จะค่อย ๆ เคลื่อนที่ขึ้นไปตามความเร็วที่ถูกกำหนดเอาไว้ตอนติดตั้ง

เซินเฟยมองการตกแต่งของลิฟต์แล้วคาดเดารสนิยมของไป๋หู่ได้ไม่ยาก ท่าทางจะเป็นผู้ชายที่ชื่นชอบความสวยงามหรูหราและเจ้าสำอางค์อยู่ไม่น้อย แม้การพบกันครั้งแรกเขาจะเคยคิดอย่างนี้มาแล้วแต่การตกแต่งของสถานที่แห่งนี้ก็ทำให้เขามั่นใจการคาดเดาของตนเองได้มากขึ้น

เสียง ‘ติ๊ง’ ของลิฟต์ดังขึ้นเมื่อถึงปลายทาง บานประตูเลื่อนออกเผยทางเดินทอดยาวปูด้วยพรมแดง ข้างทางประดับประดาด้วยรูปภาพและรูปปั้นหินอ่อนเรียงราย

เซินเฟยเดินตามหลังคนนำทางอย่างไม่เร่งร้อน ระหว่างที่ก้าวเท้าย่ำลงไปบนพรม ความหนักอึ้งก็กดทับลงบนไหล่จนเซินเฟยต้องปรับจังหวะหายใจระหว่างเดินหลายครั้ง จนกระทั่งพวกเขามายืนอยู่หน้าประตูบานสวยที่สุดทางเดินยาวนั้น

“ท่านไป๋หู่รออยู่ในนี้ครับ จากนี้ขอให้ท่านอื่น ๆ รออยู่ด้านนอกด้วย”

“ผมด้วยหรือครับ?” หวางซิงเลิกคิ้ว

“คุณสามารถเข้าไปได้ครับ”

เป็นเรื่องปกติของการพบปะเจรจาที่จะให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องรออยู่ด้านนอกเพื่อดูเชิงเท่านั้น และอนุญาตเพียงคนสนิทให้ติดตามเข้าไป ซึ่งธรรมเนียมนี้เป็นการกระทำเพื่อรับรองการไว้ใจซึ่งกันและกันร่วมถึงการให้เกียรติกันทั้งสองฝ่าย กระนั้นก็เป็นธรรมเนียมที่ใช้กันเฉพาะในหมู่พวกเขาสี่คน กับคนอื่น ๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เมื่อประตูเปิดออก เซินเฟยและหวางซิงก็เดินเข้าไปด้านในโดยทิ้งการ์ดสองคนไว้ข้างนอก หากมีอะไรเกิดขึ้นทั้งสองคนที่ถูกผึกมาอย่างดีย่อมสามารถเข้ามาช่วยได้ทัน

ภายในห้องที่ตกแต่งตามสไตล์ตะวันตก มีโต๊ะและโซฟาชุดหนึ่งวางอยู่กลางห้อง ด้านขวาและซ้ายมีประตูฝั่งละบาน เซินเฟยไม่ได้คาดเดาว่าประตูไหนนำทางไปที่ใด เขาเพียงแต่สงสัยว่าตอนนี้เจ้าของห้องที่คนนำทางบอกว่ากำลังรออยู่นั้นไปอยู่ที่ไหน เพราะเซินเฟยยังไม่เห็นเงาของใครสักคนในห้อง

“ยินดีต้อนรับ จูเชว่” แต่แล้วเสียงของผู้ที่กำลังรอก็ดังจากประตูบานหนึ่งซึ่งเปิดออกในจังหวะเดียวกับที่คำพูดดังขึ้น ชายหนุ่มผู้มีผมสีขาวโพลนจากความผิดปกติของพันธุกรรมเดินออกมาด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่ชุดที่สวมใส่กลับเรียบกริบดูเป็นการเป็นงานกว่าที่เซินเฟยคิดเอาไว้ จากนั้นก็มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเดินตามหลังออกมา คนหลังนั้นมีรูปร่างเล็กพอ ๆ กับเซินเฟย แต่ใบหน้าดูละม้ายเสวียนอู่อยู่หลายส่วน บางทีอาจจะเป็นคนรักลับ ๆ ที่ลือกันว่าเป็นพี่ชายฝาแฝดของเสวียนอู่คนปัจจุบัน

“เชิญนั่งลงก่อนสิ” ชายหนุ่มเจ้าของฉายาไป๋หู่เชิญให้เซินเฟยนั่งลงที่โซฟารับแขก ในขณะที่ชายหนุ่มร่างเล็กที่เซินเฟยไม่รู้จักชื่อเดินหายไปในประตูอีกบาน

เซินเฟยนั่งลงที่โซฟาตัวยาวฝั่งตรงข้ามกับที่ไป๋หู่หย่อนตัวลงนั่งก่อนแล้ว หวางซิงเดินเข้ามายืนเยื้องไปด้านหลังอย่างเคยเสมือนโดนกำหนดจุดสำหรับยืนเอาไว้บนพื้นก่อนแล้วทุกวาระโอกาส

“ที่เชิญผมมาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือครับ?” เซินเฟยเริ่มเปิดประเด็น ขณะที่ชายหนุ่มที่น่าจะเป็ฯพี่ชายของเสวียนอู่นำน้ำชาเข้ามาเสิร์ฟแล้วเดินไปยืนข้าง ๆ ไป๋หู่ด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่ต่างกับน้องสาวฝาแฝดแม้แต่น้อย

“ก่อนหน้านี้ฉันได้ข่าวว่าเธอประสบอุบัติเหตุค่อนข้างร้ายแรงทำให้ต้องหายตัวไประยะหนึ่ง ฉันเองก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่ว่าเธอจะเป็นยังไงบ้าง แต่เมื่อเธอกลับมาฉันก็รู้สึกโล่งใจเลยอยากจะต้อนรับเป็นการส่วนตัวสักเล็กน้อย เธอคงไม่ถือสาความเอาแต่ใจของฉันใช่ไหม?” ไป๋หู่เปิดบทสนทนาด้วยการกล่าวถึงข่าวที่กระทบไปทั้งวงการธุรกิจและวงการใต้ดินอย่างกว้างขวาง ซึ่งแม้ทางเครือตระกูลเซินจะพยายามปกปิด แต่ระดับไป๋หู่ การจะหาข่าวแค่นี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงชิงหลงและเสวียนอู่ด้วย เซินเฟยไม่แปลกใจเลยหากช่วงที่เขาหายตัวไปเขาจะตกเป็นหัวข้อสนทนาที่สนุกสนานและตลกขบขันของทั้งสามคน

“ผมยินดีครับ” เซินเฟยเลือกที่จะตอบรับสั้น ๆ ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบผ่านไปเห็นรอยยิ้มคล้ายกลั้นหัวเราะของชายหนุ่มหน้าหวานข้างตัวไป๋หู่ และนั่นทำให้เซินเฟยนึกฉุนขึ้นมา

“ได้ข่าวว่าการปรากฏตัวของเธอค่อนข้างอลังการใช้ได้เลยนี่ แบบนี้พวกล่าง ๆ คงสงบได้สักพักแหละนะ?”

ทักแบบนี้แสดงว่าไป๋หู่รู้เรื่องภายในของทางเขาได้ดีทีเดียว หรือว่าฉู่เหวินจือคอยส่งข่าวให้ทางนี้อยู่นะ? หากเป็นเช่นนั้นฉู่เหวินจือก็เป็นนกสองหัวที่เลี้ยงไม่เชื่อง กลับไปคงต้องเค้นคอกันหน่อยแล้ว

“แล้วกิจการก็ไปได้ดีใช่ไหม?”

“ครับ ช่วงนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล ทางคุณเองก็คงจะได้ประโยชน์ไปบ้างไม่มากก็น้อย” เซินเฟยตอบกลับพลางคิดถึงฉู่เหวินจืออยู่ในใจ เพราะช่วงนี้ที่อะไร ๆ ก็เดินหน้าไปหมดส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉู่เหวินจือช่วยลงไปจัดการวางแผนด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการค้ากับกลุ่มอื่น ๆ ที่ปกติแล้วเหล่าโหวจะเป็นคนทำ ก็ได้ฉู่เหวินจือช่วยขยายฐานด้วยการเจรจา หากไม่นับช่วงที่กิจการชะงักเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น ฉู่เหวินจือก็นับว่าเป็นกำลังสำคัญของการก้าวเดินขององค์กรทีเดียว

หรือว่า....

เซินเฟยใจหายวาบเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าแท้จริงแล้วฉู่เหวินจืออาจจะไม่ได้มาเพื่อเป็นคนของเขา แต่เพียงมาอยู่กับเขาตามคำสั่งเริ่มแรกและจับพลัดจับผลูช่วยเหลือองค์กรไปในตัวเพราะไป๋หู่ยังไม่เรียกตัวกลับ เช่นนั้นคนที่มีความสามารถรอบด้านหาตัวจับยากใครเขาจะให้กันฟรี ๆ ?

อยู่ ๆ เซินเฟยก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก หากฉู่เหวินจือยังนับไป๋หู่ว่าเป็นนายใหญ่ นั่นแสดงว่าไป๋หู่ได้คืบคลานเข้ามาก่อร่างสร้างตัวอยู่ในองค์กรของเขาอย่างเงียบเชียบไม่ต่างกับเชื้อโรคร้ายที่เข้าคุกคามร่างกายทีละเล็กทีละน้อยและกัดกินเพื่อให้เติบโตมากขึ้น

ทำไมช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาถึงไม่เคยนึกระแวงเลยนะ?

ทำไมถึงเชื่อว่าฉู่เหวินจือจะซื่อสัตย์กับเขาจริง?

การเจาะจงไถ่ถามถึงเรื่องภายในทำให้เซินเฟยยิ่งอดนึกถึงความเกี่ยวพันระหว่างไป๋หู่และฉู่เหวินจือในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ ฉู่เหวินจือก็ชอบออกไปไหนมาไหนโดยไม่บอกใครอยู่แล้ว แม้ระยะหลังจะเพลาพฤติกรรมเช่นนั้นลงแต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องของผู้ชายคนนั้นที่เขาไม่อาจหาคำตอบได้ ซึ่งหากผนวกไป๋หู่เข้าไป เหตุการณ์ทั้งหลายก็เหมือนจะลงตัวอย่างพอดิบพอดี

“เป็นอะไรไป หรือว่าร่างกายยังไม่หายดีจากอุบัติเหตุ?” ไป๋หู่เอ่ยถามเมื่อเห็นเซินเฟยเงียบไปทั้งยังหน้าซีดเผือดเสมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” เซินเฟยรีบปรับสีหน้าและอารมณ์อย่างรวดเร็ว

“อ้อ” ไป๋หู่รับคำในคอแล้วเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “จริงสิ ฉันได้ข่าวว่าองค์กรของเธอเดินหน้าไปด้วยดีเพราะได้ผู้ช่วยมือดีคนใหม่” ว่าแล้ว ชายหนุ่มผมขาวก็เอนตัวไปด้านข้างพลางยกแขนขึ้นเท้าคาง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้างอย่างมีมาดก่อนจะยักคิ้วข้างหนึ่ง

เซินเฟยนึกฉุนเฉียวเล็ก ๆ ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะทำวางมาดอะไรนักหนา ที่พูดนั่นก็คนของตนเองไม่ใช่หรือไงกัน?

เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก นึกในใจว่าต่อจากนี้ไม่ว่าไป๋หู่จะเล่นไม้ไหนมาเขาก็จะไม่แปลกใจอีกแล้ว เซินเฟยมั่นใจว่าไป๋หู่คงจะนึกอยากเซอร์ไพรซ์เขาด้วยการเปิดตัว ‘ผู้ช่วยมือดี’ กระมัง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่นึกแปลกใจที่ฉู่เหวินจือไม่ยอมมาด้วยกัน แต่กลับบอกว่าจะมาให้ทันเวลา แต่แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปว่าฉู่เหวินจือคิดจะเป็นสุนัขรับใช้ของใครกันแน่ แต่หากคิดจะหันหลังให้เขาก็อย่าคิดเลยว่าเรื่องจะจบลงง่าย ๆ เขาจะให้ฉู่เหวินจือชดใช้อย่างสาสมอย่างแน่นอน

“ไม่คิดจะแนะนำเขาให้ฉันรู้จักหน่อยหรือ?” ไป๋หู่ถามต่อ

คิดจะเล่นลิ้นไปถึงไหน?

เซินเฟยเริ่มนึกรำคาญอาการพิรี้พิไรนั้น

“เขาบอกว่าวันนี้มีงานด่วนครับ” เขาจำต้องเล่นตามเกมอีกฝ่ายไปก่อน หากอยากจะเห็น ‘การเปิดตัวอย่างอลังการ’ อย่างที่ฝ่ายนั้นถนัด

“งั้นก็น่าเสียดาย ฉันก็อยากจะเจอเขาอยู่เหมือนกัน” ไป๋หู่หัวเราะในคอ “อยากจะรู้จริงว่าใครหน้าไหนที่ถึงขนาดทำให้เธอกล้าปฏิเสธคนที่ฉันส่งไปให้”

.....

อะไรนะ?

เซินเฟยมุ่นคิ้วพลางทวนประโยคของอีกฝ่ายให้แน่ใจว่าตนเองฟังไม่ผิด

“ปฏิเสธคนของคุณ?”

“หึ ๆ ถ้ามีคนฝีมือดีขนาดนั้น เป็นฉันก็คงปฏิเสธเหมือนกัน” ไป๋หู่ยังคงกล่าวต่อไปเสมือนไม่ได้รับรู้ถึงความระแวงของเซินเฟยก่อนหน้านี้เลย ซ้ำท่าทางการพูดแม้จะดูทีเล่นทีจริง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นการหยอกเล่นฆ่าเวลาเพื่อเบิกฤกษ์เบิกโรง เซินเฟยเม้มปากนิ่งอย่างอดทน หากเป็นการล้อเล่นก็ชักจะมากเกินไปหน่อยแล้ว

“เลิกพิรี้พิไรเถอะครับ หากผมปฏิเสธคนของคุณ แล้วฉู่เหวินจือที่มาทำงานกับผมจะเป็นใครไปได้”

“ฉู่เหวินจือหรือ?” ชายหนุ่มทวนคำพลางเลิกคิ้ว

“เขาเป็นคนที่คุณส่งมาแต่แรกไม่ใช่หรือ?” เซินเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงอดกลั้น “ผมไม่ได้มีเวลามานั่งเล่นกับคุณนานนักหรอกนะครับ คุณจะเอาตัวฉู่เหวินจือกลับไป หรือมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรกับความช่วยเหลือที่ผ่านมาก็พูดมาตามตรงเถอะ”

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 09-04-2011 23:23:15
อยู่ ๆ สีหน้ายิ้มแย้มของไป๋หู่ก็ผันเป็นเคร่งเครียดในทันที

“คนของฉันไม่มีแซ่ฉู่หรอกนะ จูเชว่น้อย”

ความเงียบกดทับลงมาในฉับพลันเมื่อไป๋หู่กล่าวออกมาเช่นนั้นด้วยท่าทางจริงจังอย่างที่เซินเฟยไม่เคยเห็นมาก่อน

“คุณพูดจริงหรือ.....”

“ฉันพูดจริง คนที่ฉันส่งไปกลับมารายงานว่าคนของเธอรับคำสั่งปฏิเสธการส่งตัวมา” ไป๋หู่ว่าแล้วหรี่ตาลง

เซินเฟยนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีก่อนจะผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่ไร้สีเลือด

“ผมนึกได้ว่ามีธุระด่วน คงต้องขอตัวก่อน หากมีอะไรเพิ่มเติมคราวหน้าค่อยคุยกันใหม่แล้วกันนะครับ” เซินเฟยพูดรัวเร็วก่อนจะโค้งลาแล้วเดินจ้ำออกไปจากห้องในทันที ไป๋หู่เหลือบตามองคนรักพลางสะกิดปลายคางตนเองด้วยปลายนิ้ว

ดูเหมือนจะมีมือที่สามเข้ามาแทรกกลางระหว่างเขาและจูเชว่ตั้งแต่แรกเริ่มเลยสินะ....

ในตอนแรกที่เขาคิดจะส่งคนไปนั้น ด้วยเป้าหมายที่แท้จริงคือการจับตาดูเซินเฟยอย่างใกล้ชิดและตักตวงผลประโยชน์บางอย่างตามวิสัยมาเฟีย ไม่นึกว่าจะมีคนพลิกแผนของเขาด้วยการส่งคนไปดักหน้าเสียก่อน ซึ่งทั้งเขาและเซินเฟยไม่ได้ระแคะระคายถึงเรื่องนั้นเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้

จะมีใครกันนะที่สามารถลงมือได้อย่างรวดเร็วและรอบคอบได้ถึงขนาดนี้?

หากถามเขาแล้ว ก็มีคนให้คิดถึงเพียงคนเดียว.....

----------------->

“จะทำยังไงต่อไปดีครับ” หวางซิงที่ฟังบทสนทนาทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบรู้สึกถึงภาวะวิกฤติเช่นเดียวกับเซินเฟย ผู้ชายที่ชื่อฉู่เหวินจือแฝงตัวเข้ามาอยู่ในองค์กรในฐานะคนของไป๋หู่จึงได้รับความไว้วางใจจากคนอื่น ๆ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครแม้สักคนจะรู้ที่ไปที่มาของผู้ชายคนนี้ ซ้ำในที่สุดแล้ว กระทั่งสิ่งที่ใช้รับรองตัวตนว่าเป็นคนของใครก็ยังกลายเป็นอากาศธาตุ

เซินเฟยเงียบไปนาน นับแต่ออกมาจากห้องของไป๋หู่และลงมาถึงข้างล่าง เขาไม่ได้เปิดปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว เด็กหนุ่มเม้มปากนิ่งสนิท นัยน์ตาฉายแววสับสนเหมือนยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทว่าในที่สุด เซินเฟยก็หยุดเดินและหมุนตัวกลับมาหาหวางซิงก่อนจะกระซิบลอดไรฟัน

“เก็บซะ”

“....ครับ” หวางซิงจำต้องรับคำ เขาเข้าใจเหตุผลที่เซินเฟยตัดสินใจอย่างนั้นแม้จะนึกเสียดายคนมีความสามารถอย่างฉู่เหวินจือ ฝ่ายนั้นเป็นคนไร้ที่มา และมีอิทธิพลต่อองค์กรรวมถึงตัวเซินเฟยมากเกินไป หากเก็บเอาไว้รังแต่จะเป็นหอกข้างแคร่ ในเมื่อไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าตัวเป็นใครมาจากไหน และใครเป็นนายที่แท้จริง ไม่อาจรู้จุดประสงค์ว่ามาดีหรือมาร้าย การตัดไฟแต่ต้นลมจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด

แต่ว่า การที่เซินเฟยมาพบไป๋หู่อย่างนี้ ฉู่เหวินจืออาจจะรู้ตัวว่าแผนแตกและหนีไปแล้วก็ได้ เห็นได้จากที่วันนี้เจ้าตัวจงใจให้มีงานด่วนและรีบเร่งออกไปแต่เช้า

เซินเฟยเดินเข้าไปนั่งในรถด้วยท่าทางเคร่งเครียด บรรยากาศหนักอึ้งลอยอวลรอบตัวจนคนใกล้ชิดทุกคนสังเกตได้จึงไม่มีใครกล้าพูดหรือถามอะไรออกมา

ขบวนรถสีดำสนิทค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปจากสถานที่อันโอ่อ่า ดูอารมณ์แล้วไม่มีใครต้องถามก็รู้ว่าเซินเฟยอยากจะกลับไปที่บ้านโดยเร็วที่สุดเพื่อชำระสะสางอะไรบางอย่าง เพียงแต่ คนที่ต้องการชำระด้วยนั้นคงจะไม่อยู่ที่นั่นแล้วเป็นแน่

“ผมดูโง่มากใช่ไหม?” ระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนที่ไปบนท้องถนน เซินเฟยก็เอ่ยถามขึ้นมาลอย ๆ ทำให้หวางซิงต้องเบือนหน้ากลับมามอง

“ไม่หรอกครับ ไม่ว่าใครก็พลาดกันได้”

“ทั้งที่มีสัญญาณเตือนหลายต่อหลายครั้งน่ะหรือ?” ยิ่งคิด เซินเฟยก็ยิ่งโมโหตัวเอง ทำไมเขาถึงไม่เชื่อสัญญาณเตือนเหล่านั้น ความผิดปกติในพฤติกรรมของฉู่เหวินจือมีมากมายจนบรรยายได้แทบไม่หมด แต่เพราะเขาโอนอ่อนตาม เพราะต้องใช้ฉู่เหวินจือเป็นหลักพึ่งพิง เขาถึงได้โดนดัดหลังอย่างน่าสมเพชถึงขนาดนี้ ทั้งที่เขาควรจะเชื่อคำเตือนของหวางซิงให้เร็วกว่านี้....

“คุณเซิน....” หวางซิงไม่รู้ว่าในเวลานี้ตนควรจะพูดอะไรออกไป เพราะไม่ว่าคำไหน ก็คงทำให้เซินเฟยเลิกโทษตนเองไม่ได้ ทำไมวูบหนึ่งเขาถึงเกิดรู้สึกขึ้นมาได้ว่า มีเพียงฉู่เหวินจือเท่านั้นที่รู้ว่าควรพูดคำไหน จึงสามารถทำให้เซินเฟยเลิกคิดเช่นนี้ได้ ผู้ชายคนนั้นมีอิทธิพลกระทั่งในความนึกคิดของเขาเสียแล้วหรือ?

ระหว่างที่ความเงียบเข้าครอบคลุมคนทั้งสอง อยู่ ๆ รถที่เคลื่อนตัวไปได้เรื่อย ๆ ก็กลับชะงักด้วยเสียงปืนที่ดังจากด้านนอกหลายนัด

“เกิดอะไรขึ้น!?”

“ไม่ทราบครับ!” การ์ดที่ขับรถอยู่ว่าแล้วเปิดประตูออกไปเมื่อเห็นคนอื่น ๆ พากันถือปืนออกมาอย่างระแวดระวัง “ท่านจูเชว่กรุณาอยู่แต่ในรถนะครับ”

ด้านนอก ทั้งที่กลางวันแสก ๆ และรถราคลาคล่ำ กลับมีการยิงเกิดขึ้นทำให้ฝูงชนแตกตื่นและวิ่งแห่ออกมาจากรถเพื่อหาที่หลบภัย เซินเฟยเห็นความแตกตื่นนั้นก็ยิ่งประเมินสถานการณ์ได้ยากขึ้น และเพราะกระสุนหลายนัดที่ยิงขู่มาก่อนหน้านั้นทำให้การจราจรติดขัด และรถของเขาไม่อาจเคลื่อนตัวไปไหนได้ อย่างนี้ก็ไม่ต่างกับการเป็นเป้านิ่งไม่ใช่หรือ? ถึงรถของเขาจะกันกระสุนได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยเมื่อเป็นเป้าให้ยิงอย่างนี้

ใครกันที่กล้าทำเรื่องนี้?

ไป๋หู่?

หรือว่า....

เซินเฟยกัดริมฝีปากด้วยความโกรธ

มันจะมากเกินไปแล้ว!

ชั่ววินาทีที่คิดเช่นนั้น เสียงปืนอีกหลายนัดก็ดังระรัวพร้อมกับเสียงสั่งการของอาร์ดด้านนอกที่เข้ามารุมปกป้องรถของเขาจนเห็นแต่แผ่นหลังของชุดสูทสีดำ ประตูด้านหนึ่งถูกเปิดออก หวางซิงรีบดึงตัวเขาลงมานั่งหมอบด้านข้างรถอย่างทันที

“คนร้ายอยู่บนตึก” การ์ดคนหนึ่งกระซิบบอกคนข้างเคียง

หากคนร้ายอยู่บนที่สูง แม้จะหลบในรถก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่ต้องสังเวยเลือดให้ฝ่ายนั้นยิงเล่นตามใจชอบ ซ้ำรถยังเคลื่อนตัวไม่ได้อย่างนี้จะทำอะไรก็ลำบาก การหลบให้ต่ำที่สุดจึงเป็นทางเลือกที่ดีในขณะนี้

“พาท่านจูเชว่หนีไปก่อนเถอะครับ” การ์ดอีกคนหันกลับมาบอกหวางซิงแล้วส่งสัญญาณให้ค่อย ๆ ขยับตัวไปตามแนวของรถที่ติดกันเป็นพรืดยาว หากพ้นจากตรงนี้ไปได้ค่อยหารถขับหนีจากที่คนจอดทิ้งไว้ด้วยความตกใจกลัว เป็นการแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าที่ไม่น่าฟัง แต่ก็ไม่มีทางเลือก เซินเฟยจึงค่อย ๆ ก้มศีรษะหลบเร้นไปกับรถทีละคัน ๆ เสียงปืนยังคงดังเข้าหูเป็นระยะ หลายนัดที่เฉียดผ่านศีรษะเขาไป การ์ดบางคนโดนยิงเข้าที่แขนและหัวไหล่ แต่ไม่สามารถยิงโต้คนบนที่สูงได้ เซินเฟยเห็นการ์ดบางส่วนแบ่งกำลังปกป้องเขาเพื่อเข้าไปใกล้คนร้ายด้วยการแฝงตัวเข้าไปให้ใกล้อาคารที่คาดว่ามือปืนซ่อนอยู่

เซินเฟยอาศัยจังหวะที่ฝ่ายนั้นกำลังพะว้าพะวงกับการ์ดกลุ่มที่เข้าไปใกล้อาคาร รีบมุ่งตรงไปยังรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างหน้าสุด หากใช้รถคันนี้คงพอไหว ในขณะที่คิดเช่นนั้นก็กลับมีมือข้างหนึ่งคว้าแขนเขาไว้โดยแรงก่อนจะพาเขาพุ่งไปยังรถคันเป้าหมายราวกับล่วงรู้ความคิด หวางซิงเองก็ถูกฉุดตามมาติด ๆ

เซินเฟยเห็นแผ่นหลังที่สวมสูทสีดำถนัดตา การ์ดของเขานั่นเอง

เขาถูกดันตัวเข้าไปในรถพร้อมหวางซิง ก่อนที่การ์ดสองคนจะขึ้นนั่งประจำด้านหน้า แล้วบึ่งรถที่เจ้าของติดเครื่องค้างไว้ทะยานออกไปในทันที ความวุ่นวายค่อย ๆ ไกลออกไปตามระยะทางที่รถพุ่งตัวออกมา หวางซิงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วมองกลับมาด้านหลังเห็นการยิงยังคงดำเนินไป ท่าทางฝ่ายนั้นจะยังไม่รู้ว่าเป้าหมายได้หนีออกมาจากดงนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เซินเฟยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย แต่กำลังกัดฟันกรอดด้วยความโกรธเกรี้ยวเกินจะให้อภัยกับคนที่หาญกล้าทำกับเขาเช่นนี้

“จอดได้แล้ว” เขาออกคำสั่งเมื่อเห็นว่ารถออกมาไกลพอ และเป็นเส้นทางที่เขาไม่คุ้นเคย แน่นอนว่ารถจอดลงทันทีตามคำสั่ง ทว่าการ์ดคนหนึ่งกลับเดินลงจากรถแล้วเปิดประตูฝั่งหวางซิง ฝ่ายนั้นกระชากหวางซิงออกไปโดยแรงทำให้ทั้งเซินเฟยและหวางซิงตกใจกับการกระทำอันแปลกประหลาด ทว่าก่อนจะได้ถามอะไรออกไป ปืนกระบอกหนึ่งก็จ่อเข้ากับขมับของหวางซิงทำให้ทั้งสองได้แต่แข็งทื่อด้วยทำอะไรไม่ถูก

“ขอโทษด้วยนะครับ แต่เลขาของคุณต้องอยู่ที่นี่” สิ้นคำพูด ประตูรถก็ถูกปิดลงพร้อมกับการออกตัวของยานพาหนะคันเดิม โดยเหลือเพียงเซินเฟยและการ์ดอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนขับ

“ทำอะไรน่ะ! คุณเป็นคนของใครกัน!?” หวางซิงร้องขึ้นเมื่อเห็นการกระทำที่ไม่น่าจำเป็นพวกเดียวกันนั้น และพร้อมจะต่อสู้ปกป้องชีวิตหากว่าปืนในมือของอีกฝ่ายคิดจะลั่นใส่เขา ทว่าการกลับไม่เป็นไปดังคาด ชายในชุดสูทดำเก็บปืนเข้าซองพกอย่างเรียบร้อย ท่าทางมุ่งร้ายเหือดหายไปรากวับไม่เคยมีมาก่อน

“หน้าที่ของผมสิ้นสุดแค่นี้ อีกเดี๋ยวจะมีคนมารับคุณ กรุณารออยู่เฉย ๆ” ว่าแล้ว ฝ่ายนั้นก็เดินจากไปทันที หวางซิงที่คิดจะวิ่งตามไปกลับถูกอีกเสียงหนึ่งรั้งไว้

“คุณหวาง!”

“คุณมู่!?” หวางซิงเขม้นมองบุคคลหนึ่งที่สิ่งมาทางตน “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

“มีคนเรียกผมออกมาน่ะสิ” มู่อี้จิงตอบพลางทำสีหน้าคล้ำเครียด “คน ๆ นั้นโทรมาหาผม บอกว่าให้มารอที่นี่แล้วจะพบคน ๆ หนึ่ง”

“หมายความว่ายังไง.....”

“ผมก็ไม่รู้ แต่คน ๆ นั้นทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้ตอนที่ผมมาถึง” มู่อี้จิงว่าแล้วหยิบเครื่องบันทึกภาพขนาดเล็กขึ้นมาก่อนจะเปิดให้หวางซิงดู ภาพที่ปรากฏอยู่ในนั้นเป็นบุคคลหนึ่งที่กำลังเจรจาอะไรบางอย่างอยู่กับอีกคน หวางซิงที่จดจำบุคคลในนั้นได้เบิกตากว้างขณะที่เสียงค่อย ๆ ไหลผ่านเข้าหูและเดินทางสู่สมอง เขาสามารถตีความสิ่งที่อยู่ในเครื่องยันทึกได้ไม่ยาก และหลังจากภาพทั้งหมดจบลง มู่อี้จิงก็มองหน้าเขาพลางกล่าว

“เรารีบไปกันเถอะครับ”

----------------->

เซินเฟยไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะถูกพาไปไหน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่น่าไว้วางใจแม้สักนิด คนขับรถยังคงทำหน้าที่อย่างซื่อตรง เพียงแค่ขับไปโดยไม่ได้พูดอะไรและไม่แวะจอดที่ไหน

“คิดจะทำอะไรกันแน่?” เซินเฟยเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าทุกอย่างสงบเงียบจนผิดสังเกต กระนั้นคำถามก็ไม่ได้รับคำตอบ

“ใครส่งมา?” คำถามยังคงมีต่อไปและได้รับความเงียบกลับมาเช่นเคย

ในที่สุดเซินเฟยก็คร้านจะพูดอะไรต่อไป เขานั่งนิ่ง ๆ และรอคอยว่าเมื่อไหร่การเดินทางนี้จะสิ้นสุดลง ในขณะที่เฝ้ารอนั้น อยู่ ๆ รถก็จอดลง ณ สถานที่หนึ่งที่เขาไม่คุ้นเคย ทั้งยังวิเวกวังเวงไม่มีใครแม้สังคนเดินผ่าน หรือว่าเขาจะถูกพามาฆ่า? เซินเฟยรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาเมื่อคิดว่าตนเองจะต้องกลายเป็นศพในสถานที่เช่นนี้ ทว่าก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น คนขับก็เดินลงมาจากรถ และกระชากประตูฝั่งเขาเปิดออก เซินเฟยตั้งใจจะชกอีกฝ่ายสักหมัดเพื่อเปิดทางให้หนีได้ แต่ก็ไม่ทันได้ขยับตัวดังใจ เขากลับถูกมือข้างหนึ่งกดลงบนเบาะรถ ก่อนที่มืออีกข้างจะวาดแผ่นผ้าสีขาวสะอาดโปะลงบนจมูกของเขา

เซินเฟยดิ้นขลุกขลักขัดขืนเมื่อสำนึกรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตน แต่ฤทธิ์ของยาบนผืนผ้าก็ได้ลิดรอนสติของเขาไปอย่างรวดเร็ว ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว แม้จะพยายามกลั้นหายใจ ทว่าไอระเหยของสิ่งนั้นก็ยังผ่านเข้ามาถึงในปอดและไหลซ่านไปทั่วร่างราวกับยาพิษ กัดกินสติสัปปัชชัญญะของเขาอย่างช้า ๆ พร้อมกับเรี่ยวแรงที่หดหายไปอย่างไม่อาจต่อต้าน

ในที่สุดเซินเฟยก็ทิ้งร่างนอนนิ่งกับเบาะหนัง สติของเขายังเหลืออยู่เล็กน้อยแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้

เซินเฟยรู้สึกว่าตนเองถูกอุ้มออกจากรถและพาเดินไปหาใครคนหนึ่งที่ยืนหลบอยู่ในมุมมืดตั้งแต่แรก

“เรียบร้อยแล้วครับ” ฝ่ายนั้นเอ่ยกับอีกบุคคลที่เพียงยืนมองห่าง ๆ

“ขอบใจมาก” เสียงที่ผ่านเข้ามาคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด เซินเฟยพยายามเพ่งมองใบหน้าของเจ้าของเสียง ทว่าภาพที่เห็นกลับพร่าขาวไปหมด เขาพยายามจะส่งเสียง แต่ลำคอกลับตีบตันแหบแห้ง เกิดอะไรขึ้น? ใครอยู่ที่นั่น? เขาไม่อาจรู้อะไรได้เลย และในนาทีที่ร่างของเขาถูกเปลี่ยนมือนั้น สติของเขาก็หลุดลอยหายไป....

TBC
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 09-04-2011 23:43:10
ซ่อนเงื่อนขึ้นไปอีกชั้น ไปหูและจูเชว่ต่างก็โดนหลอก อ่านแล้วลุ้นตัวเกร็งเลย รอวันพรุ่่งนี้ขอรับ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: cherry blossom ที่ 09-04-2011 23:45:24
ลุ้นมากมาย  o13
แล้วฉู่เหวินจือเป็นใครกันแน่  :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 10-04-2011 00:04:37
อยากจะบอกว่า จบตอนนี้ ทำเอา ค้างมาก ๆๆๆ  :sad4:
สารพัดเรื่องน่าสงสัยเกี่ยวกับ ตาฉู่ ที่เป็นปริศนามานาน ก็เกิดอาการอยากจะรู้จัด ๆ ก็คราวนี้
แกเป็นใคร? มาจากไหน? ทำเพื่ออะไร? ใครอยู่เบื้องหลัง? และแผนวันนี้ของฉู่ใช่ไหม?
ค้าง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: beautyless ที่ 10-04-2011 00:16:02
 :z13: จิ้ม

สงสัยจะเป็นพ่อ แต่คนที่เรียกมู่ให้มาดักรอน่าจะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ไป่หู๋ และไป่หู๋ก็รู้จักคนที่เป็นนายของมู่ด้วย
มรึนๆ ครับ แต่คุณภาพคับแก้วจริงๆ เขียนไม่ผิดเลยและอ่านแล้วสนุกลุ้นตลอด
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 10-04-2011 00:44:04
อ้าวเฮ้ยยยย
คุณฉู่ ไม่ใช่คนของไป๋หู่แต่แรกเหรอเนี่ยยยย
งื้อออ นี่มันอะไรกันอ่ะ แล้วเค้าเป็นใครอ้ะ?
โฮวๆๆๆ นองเฟยๆ ของเจ้ !!!!

คนที่จับมาต้องเป็น พ่อนะ อย่าใช่คุณพระเอกนะ !!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 10-04-2011 00:59:31
ดำเนินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว

ทิ้งท้ายได้เป็นอย่างดี

กลลวงของมาเฟียมากมายหลายชั้น

สุดท้ายก้โดนหักหลังจนได้

จะรอดได้อย่างไรกัน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: nomo9 ที่ 10-04-2011 01:10:55
รออ่านต่อจ้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Isuru ที่ 10-04-2011 01:34:48
ค้างอีกแล้วครับท่าน
อาฉู่อาจจะเป็นคนของจู่เชว่คนก่อนที่หายสาบสูญไปก็ได้นะ
หายสาบสูญก็ใช่ว่าจะตายนี่หน่า
คนที่จับตัวเฟยเฟยมาขอให้เป็นอาฉู่ทีเถอะ

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 10-04-2011 02:28:56
ค้างอีกแล้วครับท่าน
อาฉู่อาจจะเป็นคนของจู่เชว่คนก่อนที่หายสาบสูญไปก็ได้นะ
หายสาบสูญก็ใช่ว่าจะตายนี่หน่า
คนที่จับตัวเฟยเฟยมาขอให้เป็นอาฉู่ทีเถอะ

รอตอนต่อไปค่ะ
อ่านรีนี้ก็ทำให้คิดขึ้นมาได้  :a5:
น่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆ คนๆเดียวที่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
อีกอย่างอาฉู่เก่งโคตร ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าจูเช่วรุ่นก่อนจะรู้จักคนแบบนี้
โอ๊ยยยย งงค่ะ ไม่คิดว่าเนื้อเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้เลยนะเนี่ย
คิดไม่ออกจริงๆ อยากอ่านต่อแล้ว ลุ้นๆๆๆ
อาฉู่อย่าทิ้งอาเฟยนะ ไม่งั้นแม่จะจับตีก้นจริงๆด้วย o3
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 10-04-2011 08:57:29
ขอมอบโพสแรกของเราให้คุณZIar :o8:
เราสมัครลอคอินเพราะนิยายของคุณZairเลยน๊าา
นิยายเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนิยายที่เราชอบมากๆเลย
สุดยอดค่ะ  o13

ปล.มารออาฉู่กับเสี่ยวเฟย วันนี้จะอัพมั้ยน้ออ >_<

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Tageszeit ที่ 10-04-2011 10:57:53

พึ่งตามอ่านทันครับ ziar แต่งได้ลึกลับซับซ้อนมากๆๆ
คิดตามทัน แต่เดาทางต่อไปไม่ถูก  แต่คิดว่า ฉู่เหวินจือ ไม่น่าจะใช่คนร้าย
รอวันนี้มาเฉลยนะครับว่าใครจับตัวอาเฟยไป แล้ว ฉู่เหวินจือคือคนของใคร
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 10-04-2011 11:54:52
โอยยยย ลุ้นกว่านี้มีอีกมั้ยยยย
ต่อด่วนค่ะด่วนนน อ่านไปลุ้นไป หัวใจจะวายยย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 10-04-2011 13:35:25
แง่ง  ลุ้นๆๆ  อาฉู่เป็นใครกันแน่ !!!!!!!!!
อ๊าก  แล้วใครจับตัวเฟยเฟยไปล่ะ !?
อย่าบอกนะว่าคุณพ่อเลวๆ พรรค์นั้น     ฮึ่ม  ทนไม่้ได้ -*-
มาต่อด่วนๆเลยนะคะ  กำลังตื่นเต้นเร้าใจ     ว๊ากกกกกกก
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 10-04-2011 14:16:29
ค้างอีกแล้วครับท่าน
อาฉู่อาจจะเป็นคนของจู่เชว่คนก่อนที่หายสาบสูญไปก็ได้นะ
หายสาบสูญก็ใช่ว่าจะตายนี่หน่า
คนที่จับตัวเฟยเฟยมาขอให้เป็นอาฉู่ทีเถอะ

รอตอนต่อไปค่ะ


คิดเหมือนกันเลย และก็ภาวนาขอให้เป็นอย่างนั้น

ส่วนคนที่จะลอบฆ่าเซินเฟย  น่าจะเป็นพ่อของเซินเฟยเองนั่นแหละ
เฮ้อ!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 31 (9/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ratrirattikan ที่ 10-04-2011 16:00:46
คนที่ลอบฆ่าเซินเฟย ต้องเป็นคนของพ่อแน่ๆเลย ดูไม่น่าไว้ใจตั้งแต่เเรกเชียว
แต่อาฉู่น่ะ ที่มาอาจจะซับซ้อนหน่อยแต่คงไม่ทำอะไรร้ายๆใส่เฟยเฟยหรอก(มั้ง) เฮ้อ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-04-2011 16:51:55
-32-


“ไม่ได้หรอกครับ” หวางซิงตัดสินใจปฏิเสธคำชวนของมู่อี้จิงในเสี้ยววินาที “ตอนนี้คุณเซินถูกจับตัวไป ผมต้องรีบตามไปช่วย!”

“อะไรนะ?” มู่อี้จิงมุ่นคิ้ว “เป็นไปไม่ได้หรอก ก็คุณยังปลอดภัยอยู่ตรงนี้ หากมีใครคิดจะจับตัวคุณเซินจริงคน ๆ นั้นก็น่าจะฆ่าคุณไปแล้วไม่ใช่หรือครับ?”

หวางซิงคิดตามแล้วก็เห็นจริงดังว่า หากมีคนคิดปองร้าย คนใกล้ชิดเช่นเขาย่อมไม่พ้นถูกสังหารไปด้วย เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าเซินเฟยมอบอำนาจให้เขาจัดการแทนในกรณีฉุกเฉิน แล้วทำไมเขาถึงถูกปล่อยตัวมาเฉย ๆ โดยมีเพียงเซินเฟยเท่านั้นที่ถูกจับตัวไป ซ้ำคนที่ปล่อยตัวเขายังบอกให้รอคนอยู่ที่นี่ จากนั้นมู่อี้จิงก็เจอตัวเขาพอดี มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ? หรือว่า...

“คุณมู่! คุณรู้ไหมว่าใครเป็นคนเรียกคุณออกมา!” หวางซิงคิดว่าใครก็ตามที่จงใจทำให้เกิดเรื่องบังเอิญนี้ขึ้นย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวด้วยแน่

“ผมเองก็ไม่รู้หรอก เบอร์โทรศัพท์ที่ใช้เป็นเบอร์ที่มีการป้องกันจากคลื่นรบกวนทำให้ติดตามคลื่นไม่ได้ ซ้ำเสียงที่โทรเข้ามายังเป็นเสียงดัดแปลง แต่ว่า...” มู่อี้จิงเงียบไปขณะมองดูเครื่องบันทึกภาพขนาดเล็กในมือ “ผมไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคนที่ทำเรื่องนี้นัก แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นยื่นเบาะแสมาให้อย่างละเอียดแบบนี้ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ประสงค์ร้ายก็ได้”

“ถึงอย่างนั้นก็รับรองไม่ได้นี่ครับว่าคุณเซินจะปลอดภัยหรือเปล่า!?” เลขาหนุ่มร้องประท้วง “แล้วยังมือปืนที่ดักซุ่มก่อนหน้านี้อีก ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าคนที่พาตัวคุณเซินไปกับมือปืนคนนั้นไม่ใช่พวกเดียวกัน”

“เพราะหลักฐานอยู่ในมือนี้ไงล่ะ” มู่อี้จิงตอบ “ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องหักหลังกันเองแล้วส่งหลักฐานการว่าจ้างมาให้ผม ทั้งที่แผนกำลังไปได้สวย”

“ถ...ถึงอย่างนั้นก็เถอะ....”

มู่อี้จิงจับมือหวางซิงแล้วบีบแน่น

“เราไม่รู้จุดประสงค์ของคนที่จับตัวคุณเซินไป แต่ว่า เรารู้จุดประสงค์และตัวตนที่แท้จริงของคนในบันทึกนี้ ดังนั้นเราควรจะตามคนที่รู้ตัวตนก่อนไม่ใช่หรือครับ? ผมคิดว่าการที่ทางนั้นส่งของสิ่งนี้มาให้เป็นเพราะต้องการยืมมือเราจัดการ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทางนั้นจะต้องติดต่อกลับมาแน่”

“ทำไมคุณถึงได้แน่ใจแบบนั้น?” เมื่อได้ยินคำถาม มู่อี้จิงก็ยืดอกอย่างภูมิใจ

“อย่าลืมสิว่าผมเป็นนักสืบนะ เรื่องจิตวิทยาอาชญากรผมศึกษามาจนปรุแล้ว”

หวางซิงยังอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ แม้มันอาจจะเป็นอย่างที่มู่อี้จิงพูดแต่ไม่มีหลักประกันอะไรเลยที่จะทำให้เขามั่นใจได้ว่าเซินเฟยจะอยู่รอดปลอดภัยถึงตอนนั้น ซ้ำคนที่ปรากฏตัวในเครื่องบันทึกนี้....

ขณะที่กำลังพะว้าพะวงอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของหวางซิงก็ดังขึ้น

ไม่มีเบอร์ปรากฏ....

หวางซิงและมู่อี้จิงรีบมองหน้ากัน

หรือว่าจะเป็นคนที่โทรหามู่อี้จิงก่อนหน้านี้!?

หวางซิงรีบกดรับทันที

“คุณเป็นใคร?” นั่นคือคำถามแรกที่หวางซิงเลือก อย่างน้อยเขาอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน เพื่อจะได้มั่นใจได้ว่าเซินเฟยจะปลอดภัยหรือไม่ และเชื่อใจอีกฝ่ายได้หรือเปล่า

“จำเสียงของผมไม่ได้หรือครับ?” ต้นสายหัวเราะพลางกล่าวเสียงสบาย ๆ น้ำเสียงเช่นนั้นมีหรือที่หวางซิงจะจำไม่ได้

“ฉู่เหวินจือ!”

“คุณเจอกับนักสืบมู่แล้วใช่ไหม? แล้วดูเครื่องบันทึกที่ผมทิ้งเอาไว้หรือยัง?” ฉู่เหวินจือไม่ได้นำพาต่อความตื่นตระหนกของหวางซิง เขายังคงสนทนาต่อไปเรื่อย ๆ ราวกับกำลังพูดคุยเรื่องราวทั่วไปไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของใคร

“คุณเซินอยู่ที่ไหน! คุณคิดจะทำอะไรกันแน่!” หวางซิงยิงคำถามโดยไม่สนใจบทสนทนาที่ตอบกลับมา

“หวางซิง ผมดูเป็นคนร้ายในสายตาคุณแล้วสินะเนี่ย” แล้วฉู่เหวินจือก็หัวเราะอีกครั้ง “เอาล่ะ ผมจะบอกให้ก็ได้ ตอนนี้คุณเซินปลอดภัยดี แล้วผมก็ไม่ได้คิดจะทำอะไร...ในตอนนี้...” เขาเน้นคำลงท้ายอย่างจงใจเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ได้คิดจะให้เวลามากมายนัก

หวางซิงสูดหายใจลึก พยายามข่มกลั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยว

“คุณต้องการอะไร? ถ้าเป็นตำแหน่งจูเชว่ หรือการเข้าควมคุมองค์กร ถึงตายผมก็ยกให้ไม่ได้หรอกนะครับ”

“ถ้าผมจะเอาของพรรค์นั้นผมไม่ต้องยืมมือคุณกับนักสืบมู่ให้เสียเวลาหรอก สิ่งที่ผมต้องการก็อยู่ในมือคุณทั้งสองแล้ว” ฉู่เหวินจือเริ่มอธิบายหลังจากที่หวางซิงพร้อมจะรับฟัง “ก่อนอื่น ผมอยากให้คุณไปจัดการคนบงการมือปืน จะจัดการยังไงพวกคุณก็ปรึกษากันเอาเองแล้วกัน ผมเชื่อว่าพวกคุณมีวิจารณญาณต่อกรณีนี้คล้าย ๆ กัน เพียงแต่นักสืบมู่จะยอมรับวิธีการของคุณได้ไหมก็เป็นอีกเรื่อง ได้ข่าวว่าเขามีปัญหาเรื่องศีลธรรมขององค์กรใต้ดินใช่ไหม?” ฉู่เหวินจือหัวเราะเสียงลึก

“แค่นี้ใช่ไหมครับ?” หวางซิงตอบเสียงนิ่ง ไม่นำพาต่อเสียงหัวเราะที่เสียดหูของอีกฝ่าย

“หลังจากจัดการเรียบร้อยผมจะติดต่อไปอีกครั้ง แต่อย่าลืมว่าผมมีเวลาให้ไม่มากนัก ถ้าคุณจัดการได้เร็วก่อนผมจะคิดเรื่องสนุก ๆ ฆ่าเวลาได้ก็คงจะดีนะ?” หลังจากข่มขู่ด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เป็นเอกลักษณ์จบ ฉู่เหวินจือก็ชิงวางสายไปก่อนที่หวางซิงจะได้ถามอะไรต่อ

“เป็นยังไงบ้าง? ฉู่เหวินจือเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนี้หรือ?” มู่อี้จิงไม่ได้ร่วมการสนทนาจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นหวางซิงกัดริมฝีปากคล้ายจะควักปืนออกมายิงใครสักคนได้เดี๋ยวนั้น และใครคนนั้นคงไม่พ้นเจ้าของนามที่เป็นหัวข้อสนทนา

“ฉู่เหวินจือ....ต้องการให้ผมกับคุณร่วมมือกันจัดการคน ๆ นี้” หวางซิงจับจ้องสายตาลงไปบนภาพที่ปรากฏบนเครื่องบันทึก “เป็นเรื่องแน่นอนแล้วว่าเขาบงการเรื่องมือปืนที่ซุ่มยิงในวันนี้ แต่ว่า...คุณมู่ คุณคิดจะจัดการเขายังไงถ้าจับตัวได้แล้ว?”

“สำหรับผม เขาต้องรับโทษตามกฏหมายแน่นอนอยู่แล้ว”

หวางซิงหรี่ตาลง

“นั่นไม่ใช่วิถีของมาเฟียหรอกนะครับ คุณมู่” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก “ผมเข้าใจคุณที่อยากจะจัดการเรื่องนี้ตามกฏหมาย แต่ว่า....ถ้าทำแบบนั้นแล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าจะไม่มีคนช่วยเขาออกมาจากคุกแล้วกลับมาเป็นหอกข้างแคร่อีก”

มู่อี้จิงเกาหัวแกรก ๆ ดูเหมือนงานจะล่มตั้งแต่เริ่มหากความเห็นไม่ตรงกันอย่างนี้

“ผมไม่คิดว่าการฆ่าทิ้งจะดีต่อกรณีนี้หรอกนะ ก็.....” ตำรวจหนุ่มเว้นคำไปช่วงจังหวะหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ก็ผู้ชายคนนี้น่ะ....เป็นพ่อของจูเชว่ไม่ใช่หรือ?”

“เพราะแบบนั้นน่ะสิครับ!” หวางซิงโต้ก่อนจะชะงักไป “หรือว่าที่ฉู่เหวินจือ.....”

อยู่ ๆ ท่าทีของหวางซิงก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน จากที่เป็นเดือดเป็นแค้นแทบแย่ กลับเปลี่ยนมาเป็นท่าทางสับสนเพราะไม่อาจหยั่งรู้ความคิดของใครอีกคนได้อย่างชัดแจ้ง ด้านหนึ่งก็เหมือนประสงค์ร้าย อีกด้านก็คล้ายประสงค์ดี หวางซิงเริ่มไม่เข้าใจว่าเป้าหมายที่แท้จริงของฉู่เหวินจือแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ซับซ้อนเกินจะคาดคิดหรือเรียบง่ายจนไม่มีใครนึกถึงกันแน่

“เรื่องนั้นพักไว้ก่อนเถอะ ความจริง...แล้วผมยังมีเรื่องที่ไม่ได้บอกอีกเรื่องนึง” มู่อี้จิงกล่าวขึ้นทำให้หวางซิงหันกลับมาให้ความสนใจกับปัจจุบันอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะมีข่าวแว่วมาว่า คุณนายหลี่ แม่ของจูเชว่หายตัวไปอย่างกะทันหัน ถึงจะเป็นแค่ข่าวลือของเพื่อนบ้านก็เถอะนะครับ แต่ก็ไม่มีใครได้เห็นเงาของคุณนายมานานเกินปกติแล้ว พอมีใครถามถึงคุณเซินหยู่ก็จะตอบปัดไปว่าคุณนายหลี่กลับไปเยี่ยมญาติที่แผ่นดินใหญ่ แต่ผมคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น”

หวางซิงมุ่นคิ้ว

จะว่าไป หลี่จวี๋เหม่ยก็ไม่ได้มาเยี่ยมที่บ้านใหญ่อีกเลยนับแต่เซินหยู่ถูกฉีกหน้าที่บริษัท แม้แต่ตัวเขายังนึกแปลก เพราะคนที่รักลูกถึงขนาดนั้นซ้ำพ่อยังก่อเรื่องถึงขนาดนั้น มีหรือจะไม่รีบมาหาเพื่อขอความเมตตาให้สามีตัวเอง ก่อนหน้านี้ก็ยังถ่อไปหาเซินเฟยถึงบริษัทเลยไม่ใช่หรือ?

หรือว่าหลี่จวี๋เหม่ยจะ....

แค่คิดหวางซิงก็ใจไม่ดีแล้ว หากเซินเฟยรู้เรื่องนี้เข้าจะรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหน....

บางทีฉู่เหวินจืออาจจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็เป็นได้ จึงยืมมือเขาและมู่อี้จิงให้จัดการ

ผู้ชายคนนั้น....จะเชื่อใจได้สักแค่ไหนนะ....

“คุณหวาง....?” มู่อี้จิงเอ่ยเรียกเมื่อเห็นหวางซิงเงียบไป

“คุณมีหลักฐานถึงขั้นไหนแล้วครับ?” เจ้าของชื่อหันกลับมาถาม ซึ่งเขาหมายถึงหลักฐานอื่น ๆ นอกเหนือจากเครื่องบันทึกที่ฉู่เหวินจือจงใจทิ้งเอาไว้ให้

“ตอนนี้กำลังดำเนินการสอบปากคำเพื่อนบ้านกับคนใกล้ชิด ถึงจะมีแนวโน้มสูงว่าคุณนายหลี่จะเสียชีวิตไปแล้วแต่ทางคุณเซินหยู่ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยอะไรกับทางตำรวจเลย กระทั่งขอเข้าไปค้นบ้านก็ยังทำไม่ได้ จะยื่นขอหมายค้นก็จำเป็นต้องมีหลักฐานแน่ชัดทางศาลถึงจะยอมออกให้” มู่อี้จิงลูบปลายคางตัวเองด้วยท่าทางครุ่นคิด “บางทีภาพในเครื่องบันทึกนี้อาจจะสามารถใช้เพื่อขอหมายค้นจากทางศาลได้”

“แต่ถ้าผ่านกระบวนการศาล คุณเซินหยู่ก็ต้องถูกลงโทษตามกฏหมายสินะครับ” หวางซิงยังไม่ลดละความตั้งใจที่จะเก็บเซินหยู่เสีย สำหรับเขาแล้ว หากไม่มีเซินหยู่สักคน ทุก ๆ อย่างอาจจะง่ายขึ้นมาก เพราะที่เซินหยู่กล้าแข็งขืนมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเพราะถือว่าตนเองเป็นพ่อของจูเชว่ การกระทำของผู้ชายคนนั้นรังแต่จะทำให้เซินเฟยตกต่ำลงเท่านั้น ซึ่งเขาไม่อาจยินยอมได้อีกต่อไป

“คุณหวาง ที่คุณกลัวจริง ๆ คือกลัวว่าจูเชว่จะใจอ่อนแล้วใช้อิทธิพลช่วยพ่อตัวเองออกมาสินะ?” ราวกับอ่านใจของหวางซิงได้ มู่อี้จิงถามอย่างมั่นอกมั่นใจจนผู้ถูกถามเผลอหลบตาวูบหนึ่ง

“มันมีโอกาสเป็นไปได้ไม่ใช่หรือครับ?”

มู่อี้จิงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะครับ คุณน่ะ ชอบคิดอะไรล่วงหน้าไปสารพัด จริงอยู่ว่ามันเป็นงานของคุณที่จะคาดเดาทุก ๆ อย่าง แต่ว่า...ตอนนี้ถ้าเราไม่ลงมือทำอะไรเลยเพราะมัวแต่กลัวจะเกิดนั่นเกิดนี่ แล้วจูเชว่ที่ถูกจับตัวไปจะเป็นยังไงล่ะ?”

“...นั่นสินะครับ....” หวางซิงว่า “ถ้าอย่างนั้นเราควรจะเริ่มตรงไหนล่ะครับ คุณมู่?”

มู่อี้จิงยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาตั้งสติอยู่กับปัจจุบันได้แล้ว

“ถ้าอย่างนั้นกลับไปที่ห้องผมกันก่อนเถอะ ป่านนี้สารวัตรหรงน่าจะแฟกซ์ผลการสอบปากคำมาให้ผมหมดแล้วล่ะ”

---------------->

แผ่นหลังกว้างที่ประดับด้วยรอยแผลเป็นปื้นใหญ่เต็มแผ่นหลังคือสิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาเมื่อลืมตาขึ้น รอยแผลเป็นสีตัดกับสีเนื้อจริงแผ่กระจายวงกว้างราวกับไฟที่ไหม้ลามจนเป็นวงขนาดใหญ่แทบไม่เหลือเนื้อที่ปรากฏเนื้อจริงเลยตั้งแต่แนวบ่าจนถึงสะโพก เขาเห็นแผ่นหลังนั้นขยับไหวตามเสียงพูดที่ดังอยู่ไม่ไกลนัก แต่ด้วยสติที่ยังครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทำให้เสียงที่ได้ยินดูเลืองรางจนแทบจะเหมือนฝัน

“ไม่ต้องห่วงครับ อีกไม่นานก็จะเรียบร้อยแล้ว ขอให้วางใจเถอะครับ” หลังจบประโยคนั้นชายหนุ่มเจ้าของแผ่นหลังเปื้อนรอยแผลเป็นก็หัวเราะจนเห็นการกระเพื่อมของสะบัก “อา....เรื่องนั้น....หวังว่าคุณจะไม่โกรธผมนะครับที่ผมทำตามใจตัวเอง”

เด็กหนุ่มปรือตามองตามแผ่นหลังขึ้นไปจนเห็นเรือนผมสีดำสนิทที่ซอยทรงตามสมัยนิยม แต่ก็ได้เห็นภาพนั้นอยู่เพียงเสี้ยววินาที เพราะฝ่ายนั้นเอี้ยวตัวหันมามอง ทันใดนั้นใบหน้าอันคุ้นตาก็ปรากฏให้เห็น ทั้งรอยยิ้มบางที่ประดับมุมปากดูลึกลับและสายตาเป็นประกายลุ่มลึก

“ดูเหมือนว่าจะตื่นแล้วล่ะครับ แค่นี้ก่อนนะครับแล้วผมจะติดต่อไปใหม่” ชายหนุ่มกดตัดสายโทรศัพท์มือถือก่อนจะวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วจึงหันมาสนใจเซินเฟยอีกครั้ง “รู้สึกยังไงบ้างครับ มึนหัวอยู่ไหม?”

“.....นาย....คิดจะทำอะไร....” เซินเฟยรู้สึกเหมือนตัวเองเฉยชากับสถานการณ์ปัจจุบันมากเกินไปสักหน่อย ทั้งที่ปกติแล้วเขาควรจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ควักปืนออกมายิงคนตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ตอนนี้สิ่งที่อัดแน่นในใจเขากลับเป็นความสับสนและความสงสัยที่มีต่อผู้ชายคนนี้ และอาจจะรวมถึงความรู้สึกช็อคที่ได้รับรู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วฉู่เหวินจือหลอกลวงเขามาตลอด เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองจึงต้องรู้สึกช็อคถึงขนาดนี้ ทั้งที่เขาน่าจะคำนวณความน่าจะเป็นที่จะเกิดเรื่องแบบนี้อยู่ก่อนแล้วไม่ใช่หรือ?

ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างขึ้น ฝ่ามืออุ่นไล้แก้มของเขาอย่างเบามืออย่างที่อีกฝ่ายชอบทำหลังจากพวกเขามีอะไรกัน

“ผมคิดว่าคุณจะลุกขึ้นมาบีบคอผมเสียอีก” ชายหนุ่มหัวเราะ

“คิดจะล้อฉันเล่นถึงเมื่อไหร่? จะทำให้ฉันเป็นตัวตลกไปอีกนานแค่ไหน?” เซินเฟยไม่นำพาต่อการหยอกล้อ ทั้งที่เขาชินกับวิธีพูดของอีกฝ่ายแล้ว แต่ในสถานการณ์อย่างนี้เขาก็ยังขำไม่ออกอยู่ดี “นายทำงานให้ใครอยู่กันแน่? เจ้านายของนายสั่งให้นายมาล้มฉันหรือยังไง?”

“นั่นคือคำถามทั้งหมดของคุณหรือเปล่า?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามพลางโน้มตัวลงแล้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกลงมาบนหน้าของเซินเฟยขึ้นไปทัดบนใบหู “ผมคุณชักยาวแล้วนะ ผมตัดให้ดีไหม?”

เพี๊ยะ!

เซินเฟยปัดมืออีกฝ่ายออกโดยแรง

“เลิกทำไขสือไร้สาระเสียที! ฉันไม่มีเวลาเล่นกับนายหรอกนะ!” เซินเฟยพยุงตัวขึ้นจากเตียง รู้สึกเหมือนสมองของเขาโคลงเคลงไปมาเมื่อขยับตัวรุนแรง แต่ก็ยังกัดฟันตีหน้าเรียบคล้ายร่างกายเป็นปกติดีทั้งที่ความจริงผะอืดผะอมเพราะฤทธิ์ยาสลบไม่น้อย

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-04-2011 16:52:51
ฉู่เหวินจือพรูลมหายใจออกมาก่อนจะไหวไหล่

“ที่ผมไม่พูดอะไรนี่ก็เพื่อคุณหรอกนะคุณเซิน ถ้าคุณรู้อะไรมากไปกว่านี้คุณจะรับได้จริง ๆ น่ะหรือ?”

“หมายความว่ายังไง?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว ตัวเขานั้นไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกเซอร์ไพรซ์อะไรไปมากกว่าเรื่องที่คาดเดาเรื่องผู้ชายคนนี้ผิดมาตลอดอีกแล้ว นี่เขายังจะต้องเจอเรื่องเซอร์ไพรซ์อีกสักกี่หนกันนะ?

ชายหนุ่มขยับตัวเข้าใกล้ผู้รั้งตำแหน่งจูเชว่ที่ตอนนี้ไม่ต่างกับนกปีกหักด้วยไม่มีคนสนิทอยู่ข้างกายเลยแม้แต่คนเดียว ซ้ำยังต้องเผชิญหน้ากับคนที่ตนเองจับทิศทางไม่ได้เพียงลำพัง เกราะกำบังที่ชื่อหวางซิงก็ถูกพรากไปก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เซินเฟยรู้สึกไม่ต่างกับนกที่อยู่ในกำมือของอีกฝ่าย หากคิดจะบีบก็คงตายเป็นแน่ ทว่าเขาเองก็มีศักดิ์ศรีของตนเอง มีหรือจะยอมให้บีบเค้นกันง่าย ๆ เซินเฟยขบริมฝีปากตนเองแล้วถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างทรงอำนาจไม่ยอมหลบเลี่ยงและไม่ขยับตัวหนีอย่างไร้ทางสู้ หากฉู่เหวินจือคิดจะทำร้ายเขาแล้ว ก็จะขอหักนิ้วสักข้อสองข้อเป็นการลงโทษเสียหน่อย เขาเองก็ฝึกศิลปะการต่อสู้มาแต่เล็ก หากคิดว่าจะเป็นเด็กน้อยที่ตอบโต้ไม่เป็นก็ผิดแล้ว

ในขณะที่คิดไปเช่นนั้น สิ่งที่ฉู่เหวินจือทำกลับเป็นการขยับเสื้อผ้าของเซินเฟยที่ยับยู่ยี่ให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะหัวเราะเมื่อเห็นท่าเตรียมสู้ของเด็กหนุ่ม

“เชื่อผมจะดีกว่า แค่คุณอยู่เฉย ๆ สัก 4-5 วัน เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อย คุณจะได้กลับไปนั่งบนบัลลังก์ของคุณเหมือนเดิม มีหวางซิงคอยปรนนิบัติรับใช้ แถมไม่มีใครในองค์กรกล้าต่อกรกับคุณอีกต่อไป”

สิ่งที่ฉู่เหวินจือพูดให้บรรยากาศราวกับฟ้าหลังฝนอย่างไรอย่างนั้น แต่เซินเฟยที่ใช้ชีวิตอยู่ในวงการนี้มีหรือจะเชื่อคำพูดหลักลอยของอีกฝ่าย

“ตอนนี้นายไม่ใช่สุนัขของฉันแล้วสินะ” เซินเฟยถามหยั่งเชิงว่าตนเองจะสามารถขุดเอาความจริงได้มากแค่ไหน

“ผมเป็นสุนัขของคุณครับ และกำลังทำหน้าที่อย่างดีด้วย” ฉู่เหวินจือตอบกลับทันทีโดยไม่มีอาการกระอักกระอ่วนหรือลังเลให้เห็น

“ถ้าอย่างนั้นก็เล่าความจริงมาให้หมด”

ฉู่เหวินจือมีท่าทีลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะตอบ

“คุณเซินลืมไปแล้วหรือครับว่าผมเป็นสุนัขของคุณด้วยการแลกเปลี่ยนบางอย่าง หรือคุณคิดจะเอาเปรียบผมอยู่ฝ่ายเดียวอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ?” หลังจากพูดประโยคนั้นออกมา ดวงตาของชายหนุ่มก็เผยแววกรุ้มกริ่มไม่ปิดบัง เซินเฟยรู้สึกวูบในอกทันทีด้วยคิดว่าที่ตนปฏิเสธอยู่เสมอน่าจะทำให้อีกฝ่ายเลิกความคิดเช่นนี้ไปแล้ว เพราะเห็นที่ผ่านมาก็ไม่เคยคิดจู่โจมจริงจังสักครั้ง

“นายคิดจะทวงหนี้บุญคุณหรือยังไง?”

“เปล่าเลย ก็แค่ข้อแลกเปลี่ยนที่คุณให้ไว้กับผม จูเชว่คงไม่ผิดคำของตัวเองหรอกใช่ไหมครับ?”

เซินเฟยสูดลมหายใจเย็น ๆ เข้าปอด

“ก็ได้ จะเอายังไงก็ว่ามา”

ทันทีที่ได้ยินคำตอบรับ ฉู่เหวินจือก็ยิ้มกว้างก่อนจะขยับตัวขึ้นมานั่งบนเตียงในท่าขัดสมาธิพลางกลอกตาเหมือนกำลังคิดว่าจะเอาจุดไหนมาพูดก่อนจึงจะเหมาะสม

“ก่อนอื่น คุณเซินได้ข่าวของคุณนายหลี่บ้างไหม?”

“แม่ของฉันเกี่ยวอะไรด้วย?” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว หากฉู่เหวินจือบอกว่าแม่ของเขาอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้รวมถึงเป็นนายใหญ่ของตนเอง เขาก็สามารถตีความได้ทันทีว่าฉู่เหวินจือคิดจะโกหกเขาแน่ ๆ เพราะแม่ของเขาไม่ใช่คนฉลาดเฉลียวมากขนาดนั้น ไม่มีทางคิดแผนการอันแยบยลที่ตลบหลังทั้งเขาและไป๋หู่พร้อม ๆ กันได้ หรือว่าแม่ของเขาจะอยู่เบื้องหลังมือปืนกลุ่มนั้น นั่นยิ่งยากจะเป็นไปได้เพราะแม่ของเขาถึงจะเป็ฯคนอมทุกข์แต่ก็ไม่เคยคิดร้ายกับใครแม้แต่คนเดียว ขนาดมดสักตัวยังไม่เคยเห็นลงมือฆ่าเลย ทั้งที่เขาคิดสรตะไปเช่นนั้น แต่คำตอบที่ได้ยินกลับห่างไกลจากสิ่งที่คิดไปมากโข และใกล้เคียงความจริงมากเสียจนทำให้หนาวเยือกตลอดแนวสันหลัง

“คุณนายหลี่เสียชีวิตแล้วนะครับ” ทันทีที่พูดจบประโยค ผู้พูดก็ถูกแรงมหาศาลเหวี่ยงลงไปนอนบนเตียงพร้อมกับแรงกดบนลำคอ ดวงตาของเซินเฟยวาวโรจน์ราวกับสัตว์ป่า

“ฉันจะเลาะฟันนายออกมาซะ” เขาพูดพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“นั่นแหละวิธีที่เธอถูกฆ่า” ทั้งที่กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ฉู่เหวินจือก็ยังคงพูดเรียบเรื่อยต่อไป

“หุบปาก!”

“คุณจะทำยังไงกับคนที่ฆ่าแม่ของคุณล่ะคุณเซิน?”

เซินเฟยกัดฟันกรอด สะบัดมือออกจากลำคอของฉู่เหวินจือก่อนจะลงไปยืนบนพื้นแล้วสูดหายใจหลายเฮือกจนสมองเริ่มปรอดโปร่งเช่นเดิม

“มันเป็นใคร?” เขาเอ่ยถามเสียงเย็นเยียบ

“ถึงผมบอกไปคุณก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก” ฉู่เหวินจือลุกขึ้นมาพลางลูบคอตนเองที่ปรากฏรอยช้ำเล็กน้อยจากมือของเซินเฟย แม้ว่าแรงของคนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้มาเล็กน้อยอย่างเซินเฟยจะไม่มากมายจนฆ่าเขาได้ แต่ก็ทำให้เกิดร่องรอยได้เหมือนกัน

“คิดจะดูถูกฉันก็ให้มันน้อย ๆ หน่อย” เซินเฟยเหลือบตามองฉู่เหวินจือไม่ต่างกับมองมดปลวกบนพื้น แต่ผู้ถูกจับจ้องกลับไม่สะทกสะท้านกับสายตานั้น เขาลุกขึ้นมาจากเตียงกว้างแล้วโอบไหล่ของเซินเฟยจากด้านหลังก่อนจะโน้มใบหน้าแนบริมฝีปากกับใบหูแล้วกล่าง

“คนฆ่าก็คือพ่อของคุณยังไงล่ะ รวมถึงคนที่ว่าจ้างมือปืนเมื่อกลางวันด้วย”

อยู่ ๆ เซินเฟยก็รู้สึกเหมือนถูกกดทับด้วยแรงอันมหาศาล ไม่ใช่แรงจากแขนของฉู่เหวินจือ แต่เป็นความหนักอึ้งที่เกิดจากจิตใจของเขาเอง

“คุณใจอ่อนเกินไปคุณเซิน คุณอาจจะฆ่าหมอจือได้เมื่อถึงคราวจำเป็น แต่กับพ่อบังเกิดเกล้า ถึงจะรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นจุดด่างพร้อยของชีวิตแต่คุณก็ตัดใจลงมืออย่างเด็ดขาดไม่ได้ไม่ใช่หรือครับ?” คำพูดของฉู่เหวินจือเหมือนทะลวงเข้าไปกลางใจ แม้จะเป็นคนที่ชั่วช้าพร้อมจะปลิดชีวิตทุกคนที่ขัดขวางเส้นทางแต่อย่างไรพ่อก็คือพ่ออยู่วันยันค่ำ ใครเล่าจะสามารถปลิดชีวิตพ่อตัวเองได้ลงคอ

“อย่า...มาทำเหมือนรู้จักฉันดีหน่อยเลย....” แม้จะพยายามใช้น้ำเสียงทรงอำนาจเช่นเดิม แต่เมื่อเปล่งออกมากลับเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน

“ผมรู้จักคุณดีกว่าที่คุณคิดเสียอีก คิดว่าตลอดหลายเดือนที่ผมอยู่ข้างคุณผมเอาตาไปไว้ที่ไหนกัน” ฉู่เหวินจือพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะดึงเซินเฟยให้หันกลับมาเผชิญหน้า “หากนั่นคือความจริงที่คุณต้องการรู้ส่วนหนึ่งแล้ว ผมก็ขอเก็บค่าแลกเปลี่ยนเลยก็แล้วกันนะครับ” ว่าจบ ฉู่เหวินจือก็ใช้กำลังที่เหนือกว่าดึงเซินเฟยให้เสียหลักล้มลงบนเตียงโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว

“เดี๋ยวสิ! จะทำอะไร!” เซินเฟยร้องออกมาทันทีที่เห็นอีกฝ่ายรูดเนคไทออกจากคอของเขาแล้วยังนำมันขึ้นมาพันธนาการมือของเขาทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน โชคดีก็แต่ไม่ได้รั้งขึ้นไปขึงไว้กับหัวเตียงก็เท่านั้น เพราะเตียงหลังนี้มีแต่หัวเตียงที่ทำจากไม้แผ่นเพื่อวางของประดับด้านบน ไม่ได้เป็นราวเหล็กซี่

หลังจากจัดการมือเสร็จเรียบร้อย แทนที่ฉู่เหวินจือจะลงมือทันที เจ้าตัวกลับผละออกแล้วหันไปที่ลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียง ก่อนปลิดยาเม็ดหนึ่งออกมาจากแผงยาแผงหนึ่ง ยาเม็ดนั้นมีลักษณะเป็นยาที่ถูกอัดเป็นเม็ดขนาดเล็กเนียนเกลี้ยงมีสีขาวและไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ บนตัวยาที่จะบ่งบอกว่าเป็นของบริษัทใด หรือเป็นยาชนิดไหน ถึงอย่างนั้นเซินเฟยก็รู้ได้ทันทีจากซองอะลูมิเนียมที่ห่อหุ้มยาอยู่ ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สะท้านไปทั้งตัว พยายามกระเถิบหนีให้ห่างจากฉู่เหวินจือให้มากที่สุด

“สมกับเป็นหัวหน้าเลยนะครับ แค่เห็นแวบ ๆ ก็รู้แล้วหรือว่าเป็นยาอะไร?” ฉู่เหวินจือหัวเราะแล้วใช้มือเพียงมือเดียวจับข้อเท้าเซินเฟยเพื่อลากกลับมา

“ถ้านายคิดจะกอดฉัน ทำไมต้องใช้ของพรรค์นั้นด้วย”

“เพื่อแก้ปัญหาความผิดพลาดที่ผมก่อขึ้นโดยคาดไม่ถึงยังไงล่ะครับ” ฉู่เหวินจือตอบแล้วใช้ปลายนิ้วบีบกรามของเซินเฟยให้อ้าออกกว้างก่อนจะทิ้งเม็ดยาลงไปในคอ แม้เซินเฟยจะพยายามคายทิ้งอย่างไรก็ไม่อาจหนีให้หลุดจากปลายนิ้วแข็งนั้นได้ ฉู่เหวินจือหยิบน้ำขึ้นมากรอกตามโดยไม่รอช้า ทำให้ยาเม็ดเล็กนั้นไหลลงคอไปอย่างง่ายดาย เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นแล้ว ฉู่เหวินจือจึงปล่อยให้เซินเฟยเป็นอิสระ ทันใดนั้นเซินเฟยก็ออกแรงเหวี่ยงมือทั้งคู่ของตนเองกระแทกใบหน้าอีกฝ่าย โชคร้ายที่โดนแค่มุมปากจึงปรากฏเพียงแค่รอยช้ำสีแดงแต่เจ้าตัวไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

“ยิ่งขัดขืนมาก ยาก็ยิ่งออกฤทธิ์เร็วนะครับ” แน่นอนว่าคำเตือนของฉู่เหวินจือเขาควรจะรับฟัง เพราะโครงการเกี่ยวกับการผลิตยาตัวใหม่นี้ฉู่เหวินจือเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงตามคำสั่งของเขาภายใต้การควบคุมของเหล่าโหว เพียงแต่ตัวยานี้ยังไม่มีการจำหน่าย เพียงแค่มีการทดสอบกับพวกทำงานในร้านในเขตของเขาเท่านั้น

แล้วก็เป็นอย่างที่ฉู่เหวินจือว่าไว้จริง ๆ แค่เพียงไม่นานเท่านั้น และโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้แตะต้องสัมผัสอะไรเขาเลย ภายในร่างกายของเขากลับร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างน่าละอาย

เซินเฟยรู้สึกเหมือนถูกหยามเกียรติอย่างรุนแรง แต่ถึงใจของเขาจะเกลียดชังการกระทำเช่นนี้ ร่างกายของเขากลับตอบสนองมันอย่างดี เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากจนแทบจะเป็นห้อเลือดเพื่อข่มกลั้นความปรารถนาจากการกระตุ้นของตัวยาซึ่งล่วงล้ำเข้าไปในร่างกายและปลุกปั่นเขาให้มีสภาพเหมือนโสเภณีราคาถูก

ปลายนิ้วอุ่นเลื่อนมาแตะที่ริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบาก่อนจะนวดขยี้ให้เรียวฟันที่ขบอยู่ค่อย ๆ ผละออกไปจากผิวอันอ่อนไหวนั้น

เซินเฟยปรือตาขึ้นมองอย่างดื้อรั้น ถึงอย่างนั้นเมื่อริมฝีปากร้อนนาบเข้ามาเขากลับไม่อาจต่อต้านขัดขืนได้ ทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายล่วงเกินด้วยปลายลิ้นที่จาบจ้วงเข้ามาถึงภายใน ลิ้นชิมรสหอมหวานชวนกระสันต์ซ่านทั่วทั้งโพรงปากที่พ่นลมร้อนผ่าวออกมาเป็นระยะ

รสจูบอันช่ำชองทำให้เซินเฟยเคลิบเคลิ้ม อาจเพราะเขาเคยชินกับจูบของฉู่เหวินจือแล้วก็เป็นได้จึงไม่รู้สึกต่อต้านมากมายนัก ทั้งยังฤทธิ์ยาที่ละลายไปทั่วร่างทำให้รู้สึกสะท้านไปทั้งตัวเพียงแค่ถูกสัมผัสด้วยปลายนิ้วและริมฝีปากของอีกฝ่ายเท่านั้น

“อ๊ะ....อย่า.....” เสียงห้ามหวะหวิวดังขึ้นเมื่อฉู่เหวินจือเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าและล่วงล้ำเข้าไปถึงเนื้อใน

“ลืมตาสิครับ” ฉู่เหวินจือกระซิบแผ่วเรียกให้เซินเฟยปรือตาขึ้นมองคนตรงหน้า “ผมเคยทำให้คุณเจ็บงั้นหรือ?”

แน่นอนว่านอกจากครั้งแรกที่ไม่ได้ถูกกระทำด้วยความเต็มใจแล้ว ฉู่เหวินจือไม่เคยทำให้เขารู้สึกทรมานกับการมีเซ็กส์เลย ทว่าร่างกายของเขากลับปฏิเสธสัมผัสเหล่านั้นทั้งหมดเมื่อหวางซิงได้กระทำรุนแรง อาจเป็นเพราะแรงช็อคหรือความผิดหวังจากครั้งนั้นเขาจึงไม่อาจยินยอมถูกกอดอย่างเต็มใจได้อีก เพียงแค่เห็นเงาคนทาบทับบนร่างก็ทำให้รู้สึกสะท้านขึ้นมาได้แล้ว หรือว่านั่น....จะเป็นความผิดพลาดที่ฉู่เหวินจือพูดถึง....

“คุณเซินมองผมสิ....คนที่กำลังกอดคุณอยู่คือสุนัขรับใช้ของคุณเองไม่ใช่หรือ?” เสียงกระซิบพร่าที่พาให้วูบวาบไปทั้งตัวดังอยู่ข้างหูแทบจะตลอดเวลา เซินเฟยแทบจะไร้สติรับรู้เรื่องราวอื่นใดนอกจากสัมผัสจากแผ่นอกเปลือยเปล่าของฉู่เหวินจือที่ทาบทับลงมาจนร้อนรุ่มสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย

“หยุดนะ....ฉันไม่....”

“เฟยเฟย....”

วิธีเรียกชื่อที่ไม่ได้ยินมานานกลืนกินสติสัมปัชชัญญะของเซินเฟยจนแทบสิ้น ความวาบหวามรุกล้ำเข้ามาในร่างอย่างรวดเร็ว ฉู่เหวินจือโน้มใบหน้าเข้ามาจนใกล้ ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะระเรี่ยอยู่ตรงริมฝีปาก เซินเฟยเผยอออกโดยไม่รู้ตัวเป็นการเปิดทางให้ฉู่เหวินจือรุกรานได้อีกครั้งและอีกครั้งจนเรี่ยวแรงทั้งหลายเหือดหายไปสิ้น เซินเฟยทิ้งตัวลงนอนราบบนเตียงอย่างหมดทางต่อกร ปรือสายตามองดูรอยยิ้มที่เลื่อนเข้ามาคลอเคลียกับไรผมและใบหู ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่ตอนนี้สัมผัสของฉู่เหวินจืออ่อนโยนเสียจนพาให้คล้อยตามราวกับอีกฝ่ายกำลังสัมผัสสิ่งของแสนสำคัญของตนเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น

“เฟยเฟย....รู้สึกดีไหม? หายกลัวหรือยัง?” เสียงที่ได้ยินฟังดูอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นเพราะยาหรือเพราะอารมณ์รัญจวนหรือว่าบรรยากาศพาไปก็ไม่อาจรู้ เซินเฟยตอบรับเสียงของอีกฝ่ายด้วยการพยักหน้าอย่างเชื่องช้าพลางหอบหายใจอย่างไม่เป็นจังหวะ

ฉู่เหวินจือจับมือเซินเฟยขึ้นแนบแก้มตนเองก่อนจะแย้มรอยยิ้มอ่อนหวานที่เซินเฟยคิดว่าตนเองคงจะตาฝาด

“ผมจะทำให้คุณรู้สึกดีกว่านี้อีก ดีจนคุณลืมไม่ลงทีเดียว....”

TBC

-------------------

อากาศร้อน=[]=! คนเขียนอยากอู้!!!!
โรคแพ้อากาศร้อนกำเริบ นั่งพิมพ์ได้ 10 นาทีต้องลุกเดินไปเดินมา ไม่งั้นตาลาย= ="
สปีดตกอย่างแรง แง.....
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-04-2011 17:28:58
อ่านกี่ตอน ๆ ก็เกร็งตัว  หายใจแค่เบา ๆ ไม่กล้าหายใจแรง  กลัวคนร้ายรู้ตัว  โอยยยย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 10-04-2011 18:09:52
 :z1: :z10:  กรี้้ดดดดดด  ตอนนี้ตาฉู่ได้ใจมากอ่าาาา  อ่อนโยนไปไหน :กอด1:
เฟยเฟยน่ารักเว่อออ เหมือนลูกแมวเลยแฮะ     :impress2:
ให้อาซิงช่วยจัดการคนชั่วเลย กัลลูกในไส้ยังกล้าทำขนาดนี้ :angry2: :m31:
สรุปตาฉู่เปนใคร มาจากไหนฟะ :serius2: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 10-04-2011 18:16:12
กรี๊ดดังๆ ซักที อิอิ
ว่าแต่ตกลงนี่ อีตาฉู่นี่เป็นครายยยย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: วิหคท่องนภา ที่ 10-04-2011 18:43:56
 :pighaun: เฟยเฟย........อ่านคำนี้แล้วเผลอเคลิ้มไปด้วยเลย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 10-04-2011 19:23:55
ฉู่เหวินจือ ช่างแยบยลนัก ที่ยืมมืออาซิงกับน้องมู่ กำจัดเซินหยู่ ( เพราะ เสี่ยวเฟยตัดใจทำไม่ได้ )
วิเคราะห์ดูแล้วที่ตาฉู่ทำทุกอย่าง ถือเป็นผลดีต่อเสี่ยวเฟย แต่ติดสงสัยที่เบื้องหลังของแกเท่านั้นแหละนะ
 
เฟยเฟย... ไม่ได้เห็นคำนี้มานานแล้ว พอ ๆ กับที่ไม่มี NC มาให้อ่าน ฝากความหวังไว้ตอนหน้านะค่ะ ~ :-[
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 10-04-2011 19:57:59
วุ้ย   แ่ง่ง   ตอนนี้ก็จบลงไปท่ามกลาง...
กล่องทิชชู่ของนักอ่าน.....
อ้ายๆ รออ่านตอนต่อไปนะคะ   แบบว่าลุ้น ระทึกๆ ตึกตักๆ ไม่ไหวแล้ว  ที่บอกว่าถ้ารู้เรื่องทั้งหมดนั่นแล้วจะรับได้หรอ? นั่นหมายความว่าไง ไม่ใช่แค่เรื่องแม่  แต่เป็นเรื่องของอาฉู่ด้วยใช่มั้ยละ? 

แง่งงงงง   สรุปอาฉู่เป็นใครกันแน่ !!  เดาไ่ม่ออกเลย  ลึกลับจริงๆ นายคนนี้   ตอนแรกก็เดาว่าเป็นไป๋อู่แต่ก็ไม่ใช่ เชอะๆ   เอ....  หรือว่ามีความเกี่ยวข้องอะไรกับจูเช่วคนก่อน

ปล.  ขอบคุณนะคะ  มาอัพเร็วมากๆ  ดีใจสุดๆเลย  55 5 5
มาอัพต่อเร็วๆน้า   จะรออ่านตอนต่อไปถึงขอบจอเลย  อัพเร็วให้ได้อย่างนี้นะคะ  (แหม  ก็ตอนต่อไปมันฉาก...  อ้ายๆ)  อยากจะรู้จะแย่แล้วว่าอาฉู่เป็นใครกันแน่ !! ><
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: cherry blossom ที่ 10-04-2011 20:14:19
เฟยเฟย.... :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Isuru ที่ 10-04-2011 20:25:51
ให้ค้างด้วยฉาก NC กรี๊ดดดดดดด
เรียกเฟยเฟยซะอ่อนโยนเลย ไม่ต้องใช้ยาก็ยอมค่ะ
แล้วตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอาฉู่เป็นใคร

รอตอนต่อไปค่ะ :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Monochrome ที่ 10-04-2011 21:54:11
อ่านทันแล้วฮะ...

รู้สึกหายใจไม่ค่อยทัน เกร็งไป ลุ้นไป กลั้นหายใจตลอด

ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 11-04-2011 00:06:54
แต่ประเด็นที่ใครเป็นคนส่งฉู่เข้ามายังไม่เปิดเผยเลย ตามลุ้นจ้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Tageszeit ที่ 11-04-2011 00:07:55
ฉู่เหวินจือ เป็นคนของใครกันแน่  :เฮ้อ:
รอเฟยเฟย ตอนต่อไป  :m25:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ratrirattikan ที่ 11-04-2011 09:16:12
ยิ่งมองยิ่งน่าสงสัยน้า อาฉู่เนี่ย ตั้งใจจะถ่วงเวลาให้หวางซิงทำเรื่องอะไรกันแน่นะ
ความผิดพลาดที่ไม่ได้ก่อ แหม...ตั้งใจใช้คำนะคะเนี่ย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 11-04-2011 09:36:30
แอร๊ยยยยย
ตอนอาฉู่เรียกเฟยเฟยแล้วมันสยิวกิ้วน่าดูเลยนะเนี่ย  :o8:
งานนี้เฟยเฟยของเราไม่รอดแน่แล้ววว
อาฉู่เตรียมการมาขนาดนี้...
จากที่ดูการกระทำของอาฉู่มันก็ส่งผลดีต่อเสี่ยวเฟยของเราจริงๆด้วย
ตอนนี้เหลือแค่เบื้องหลังของอาฉู่ที่ยังเป็นปริศนาอยู่
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นว่าต่อไปจะเป็นยังไง

ปล.ขอเอาพัดมาช่วยโบกลมเย็นให้คุณZair พรึ่บ พรั่บ ๆ
แล้วจะรอติดตามตอนต่อไปน๊าา ขอบคุณค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 11-04-2011 10:25:30
โอ๊ยยยยยยยยย  อยากรู้ตัวตนของอีตาฉู่  จะร้าย หรือ ดีกันแน่นะ
เป็นคนของใครกัน จูเชว่คนก่อน หรือ คุณอาแม่เลี้ยงที่กลับญี่ปุ่นไป

ปล.เฟยเฟย ลูกแมวน้อย :o8:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TON1974 ที่ 11-04-2011 12:58:38
ฉู่เหวินจือ กับ จูเชว่ คนก่อนเป็นอะไรกัน หรือจะเป็นคนๆเดียวกัน

เซินหมิงเฟิ่ง จึงระบุให้ เซินเฟย รับตำแหน่ง จูเชว่ แทน ก่อนที่

เฉียนลู่ตาย เหมือนรู้ว่า ฉู่เหวินจือ เป็นใคร แต่ก็บอกใครไม่ได้แล้ว

กำลังมันเลยครับลุ้นๆๆๆ....(+1)เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 11-04-2011 13:24:03
ว้ากกกกกกกกกกกกกกกก
อยากจะบอกว่า สุดสุด แต่ละตอนยาวดีฮะ อ่านเต็มที่เลย ชอบ ๆ^^

ทีแรก ว่าจะไม่อ่านแล้วนะ แต่ในระหว่างคิดก้เปลี่ยนใจมานั่งอ่านนอนอ่านกันเลยทีเดียว
แบบว่า ฉู่ ชอบแกล้งแหย่ เฟยอ่ะ มันก้เข้าท่าอยู่นะ แล้วยังเลขา กะ ตำรวจ ก้นั่งจิ้นไปเหอะ 55555

เอาเป็นว่าไปอ่านต่อล่ะนะคร๊าบบบบ อยากอ่านไปเรื่อย ๆ เลย^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 11-04-2011 14:16:34
ตกลงว่า ฉู่เหวินจือ เป็นใครอ้ะ
คงไม่ได้คิดร้ายกับ เฟยๆ หรอก
แต่ว่า ,, จะมีอะไรเกี่ยวกับ จูเชว่ คนก่อนมั้ยนะ????
งื้ออออ 
ตอนนี้เฟยเฟย น่ารักมาก
ถึงคุณฉู่จะใช้ยาก็เหอะ  กรี๊ดๆๆๆ  เขิน !!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: yakusa ที่ 11-04-2011 18:57:23
เอาน้ำเย็นๆมาสาด เอาแป้งเย็นมาทา หาไอติมให้กิน หายร้อนเถอะเนอะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 32 (10/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 11-04-2011 20:29:23
ว้ากกกกกกกกกกกก (ไอ้นี่มันว้ากตลอด=..=') ฮ่าฮ่า

ยังอ่านตามไม่ทัน แต่ดีใจจริง ๆ ที่ได้มาเจอเรื่องนี้ล่ะนะครับ
จากที่ถอดใจ กลายเป็นว่า...รู้สึกเป็นปลื้มมากมาก เลยล่ะครับผ้ม!!!
จะอ่านให้ทันแน่นอน จัดไำป !! ^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 11-04-2011 21:57:07
-33-


เขาไม่รู้ว่าตนเองหมดสติไปตอนไหน แต่ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบว่าตนเองกำลังนอนราบอยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มผืนสะอาดห่มคลุมอยู่ บนร่างกายถูกสวมไว้ด้วยเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งอีกตัวหนึ่ง ผ้าปูเตียงอยู่ในสภาพดีไม่มีร่องรอยการกระทำใด ๆ ที่เป็นหลักฐานบ่งบอกถึงคืนที่ผ่านมา เสียงเครื่องปรับอากาศดังประสานอยู่กับเสียงฝักบัวจากในห้องน้ำ แสงไฟสลัวรางสีนวลทำให้เขามองเห็นสภาพในห้องได้ไม่ยากนัก แต่เพราะหน้าต่างถูกบังปิดไว้ด้วยผ้าม่านเขาจึงไม่อาจคาดเดาเวลาได้ชัดเจน รู้เพียงว่าเป็นเวลากลางวันจากแสงที่ส่องผ่านเข้ามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เซินเฟยกลอกตาไปรอบตัวก็พบเข้ากับเนคไทเจ้าปัญหาที่ทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดแล้วปัดเนคไทเส้นนั้นตกลงไปบนพื้นอย่างคับแค้นใจ

เขาแพ้ทางผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว!

ในขณะที่คิดร่ำ ๆ จะไปบีบคอฉู่เหวินจือถึงในห้องน้ำ เขาก็พบว่าร่างกายตนเองมีอาการล้าเกิดขึ้นจนไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวอย่างสะดวกได้ เซินเฟยพลิกตัวขึ้นจากเตียงแล้วชะเง้อมองสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ เผื่อว่าจะมีอะไรที่ทำให้เขาติดต่อกับโลกภายนอกได้บ้าง อย่างเช่น.....

โทรศัพท์มือถือ?

ในตอนแรกเขาคิดว่าตนเองอาจต้องใช้บริการโทรศัพท์ของโรงแรม แต่ก็คิดผิดคาดไปไกลเมื่อเขาพบว่านอกจากโทรศัพท์เครื่องสีขาวที่โรงแรมมักจะจัดไว้ในห้องเพื่อให้ผู้มาพักสามารถโทรติดต่อพนักงานได้แล้ว ยังมีโทรศัพท์มือถือวางสงบนิ่งอยู่เครื่องหนึ่ง เซินเฟยมุ่นคิ้ว คนอย่างฉู่เหวินจือไม่น่าเลินเล่อขนาดทิ้งของแบบนี้ไว้ใกล้มือเขา หรือว่าผู้ชายคนนั้นจะคิดว่าเขาไม่น่าตื่นขึ้นมาในตอนนี้กันนะ?

หรือว่าจะเป็นกับดักอะไรอีก?

กับผู้ชายเจ้าแผนการอย่างฉู่เหวินจือ หากไม่คิดให้มากเข้าไว้ก็อาจตกหลุมพรางโดยง่ายเหมือนที่เขากำลังเผชิญขณะนี้

เซินเฟยหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดและลองกดตัวเลขดูทีละตัว เขาไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ

ในตอนนี้เขาควรจะโทรหาหวางซิงเป็นอันดับแรกสินะ....

“กำลังเล่นอะไรอยู่หรือครับ?” เสียงที่กระซิบผ่าวข้างหูพร้อมกลิ่นสบู่หอมโชยทำให้เซินเฟยสะดุ้งตัวโยนจนเกือบทำโทรศัพท์มือถือหลุดมือ เขารีบขยับหนีพร้อมกับใช้มือพยุงตัวเองไว้กับโต๊ะ ตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นฉู่เหวินจือในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวกำลังยืนฉีกยิ้มให้เขาอย่างอารมณ์ดี ไม่มีท่าทางอนาทรร้อนใจที่เห็นว่าเครื่องสื่อสารส่วนตัวของตนตกอยู่ในมือของคนอื่นซ้ำยังผายมือในเชิงอนุญาตให้เสียอีก “คุณจะโทรหาใครก็เชิญเถอะ ถ้าหากว่าคุณจำเบอร์โทรของใครได้ล่ะก็นะ”

เซินเฟยกัดริมฝีปาก นึกอย่างตอบอย่างเผ็ดร้อนสักยกทว่ามันก็เป็นความจริง....

เขาไม่เคยจดจำเบอร์โทรศัพท์ของใครเลยสักคน แม้แต่ของหวางซิง นั่นเพราะไม่ว่าครั้งไหนที่เขาต้องการติดต่อกับใคร เขาก็จะให้หวางซิงเป็นคนจัดการทุกครั้ง

“อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ผมไม่เคยเมมเบอร์ชื่อของใครไว้ในมือถือ ถ้าคุณอยากจะโทรก็ค้นสุ่มเอาในรายการโทรออกย้อนหลังก็แล้วกัน” ว่าจบ ฉู่เหวินจือก็นั่งลงบนเตียงด้วยท่าทีสบาย ๆ พลางจับจ้องเด็กหนุ่มที่ละล้าละลังไร้ทางไปอยู่ตรงหน้า

“รู้มากเกินไปแล้ว” เซินเฟยกัดฟันพูด เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้รู้จักทุกซอกมุมของเขาจริง ๆ ถึงขนาดว่าบางเรื่องเขาเองยังไม่เคยสังเกตด้วยซ้ำไป

ฉู่เหวินจือยิ้มบาง ไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา

“มานั่งตรงนี้ก่อนเถอะครับ ถ้าคุณไม่อยากนั่งเสมอผม ผมจะลงไปนั่งบนพื้นก็ได้” ชายหนุ่มกล่าวโน้มน้าวเพราะถึงเขาจะไม่ต้องสังเกตเขาก็รู้ว่าขาของเซินเฟยไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงมากนักเนื่องจากกิจกรรมหนักหน่วงในคืนที่ผ่านมา ถึงเขาจะไม่อยากกลั่นแกล้งเด็กมากจนเกินไป แต่เขาเองก็จำต้องระบายความต้องการหลังจากอดทนอดกลั้นมานานบ้างเหมือนกัน

เซินเฟยไม่ได้อยากจะทำตัวเสมือนจำยอม แต่เขาเองก็ใช่จะมีทางเลือกจึงเดินไปนั่งข้าง ๆ แต่โดยดีและไม่ได้สั่งให้ฉู่เหวินจือลงไปนั่งบนพื้นแต่อย่างใด

ฉู่เหวินจือดึงโทรศัพท์มือถือคืนไปก่อนจะวางกลับที่เดิมที่มันเคยอยู่

“นายจะเอายังไงกับฉันกันแน่?” เซินเฟยเกลียดสถานการณ์ที่คลุมเครือ จึงเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงบังคับตอบ

“ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ผมแค่อยากให้คุณอยู่เฉย ๆ พอทุกอย่างเรียบร้อยผมจะส่งคุณกลับไปให้หวางซิง”

“นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ฉันอยากจะถาม” เซินเฟยพ่นลมหายใจออกมาโดยแรง “นายเป็นคนของใครกันแน่? นายถูกส่งตัวมาเพื่ออะไร? นายคิดจะทำอะไรกับฉันต่อไป?”

“คุณแน่ใจหรือว่าอยากจะถามมากมายขนาดนั้น” ฉู่เหวินจือหัวเราะพลางไล้หลังมือไปตามแนวสันกรามของเซินเฟย การกระทำเพียงเท่านั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหวามในอกอย่างบอกไม่ถูก และโดยไม่ทันรู้ตัว ปลายคางของเขาก็ถูกรั้งให้เชิดขึ้นตามด้วยใบหน้าของชายหนุ่มที่โน้มลงมาหา ไม่ทันที่เขาจะได้เปิดปากพูดอะไรต่อ ริมฝีปากที่ยังมีกลิ่นของยาสีฟันก็เลื่อนเข้าหาจนแนบสนิท ทั้งที่ฉู่เหวินจือยังไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าจูบ แต่เซินเฟยกลับรู้สึกคล้อยตามโดยไม่รู้ตัว เขาขัดขืนอยู่สักพักก่อนจะถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดแข็งแรงจนกระทั่งประชิดแผงอกกว้าง ฉู่เหวินจือรุกไล่ด้วยลิ้นและริมฝีปากอยู่นานจนกระทั่งรู้สึกอิ่มจึงผละออกมาแล้วคลอเคลียอยู่กับปลายจมูกรั้นเชิด

ในตอนแรก ฉู่เหวินจือเตรียมใจที่จะโดนทำร้ายร่างกายสักผัวะสองผัวะ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เขากลับพบร่องรอยของความสะเทิ้นอายในดวงตาสีดำสนิท ริ้วแดงบนแก้วยังระบายอยู่จาง ๆ เมื่อเซินเฟยเบือนหน้าหนีด้วยท่าทางฉุนเฉียว

“ดูเหมือนคุณจะหายกลัวสัมผัสของคนอื่นแล้วนะครับ?”

เซินเฟยมุ่นคิ้วกับประโยคนั้น แต่ยังไม่ได้ถามอะไรออกไปเขาก็ถูกกดตัวลงบนเตียง ตามด้วยการคร่อมทับของร่างสูงใหญ่

“นั่นไม่เกี่ยวกับนายไม่ใช่หรือ?” เขาตอบโต้ก่อนจะเบือนหน้าหลบสายตาที่จ้องตรงลงมาอย่างไม่คิดปิดบัง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ฉู่เหวินจือมองเขาอย่างไม่กลัวตายอย่างนี้ หรืออาจจะเป็นตั้งแต่แรกที่พบกันแล้วแต่เขาไม่ทันสังเกตเองก็เป็นได้

“คุณเซิน เรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้คุณจะรู้ได้เองเมื่อถึงเวลา” ฉู่เหวินจือพูดพลางไซ้ริมฝีปากกับใบหู ขบกัดติ่งหูนิ่มเบา ๆ ให้เจ้าของร่างรู้สึกซ่านสะท้าน “คุณรู้เพียงแค่ว่าทุกอย่างที่ผมทำก็เพื่อคุณทั้งสิ้นก็พอแล้ว”

“รวมถึงเรื่องแบบนั้นด้วยหรือไง?”

“ก็ไม่เชิง” ฉู่เหวินจือตอบพร้อมหัวเราะ ไม่รู้ว่าเซินเฟยคิดไปเองหรือไม่ แต่ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะหัวเราะเปิดเผยอย่างนี้ไม่บ่อยนัก กระนั้น ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะไม่อยากคุยกับเขาด้วยคำพูดสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากสนทนาตอบโต้กันไม่นาน ฉู่เหวินจือก็แนบจูบลงมาอีก ครั้งนี้เซินเฟยไม่ได้ขัดขืน อาจเป็นอย่างที่ฉู่เหวินจือว่า เขาไม่ได้นึกรังเกียจหรือหวาดกลัวสัมผัสของคนอื่นแล้ว แต่ว่า นั่นอาจจะเป็นเพราะคนที่กำลังสัมผัสเขาคือฉู่เหวินจือที่ได้โอบกอดเขามานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ได้

--------------->

มู่อี้จิงไม่ค่อยประทับใจการตัดสินของเบื้องบนสักเท่าไหร่ ทั้งที่เขาส่งหลักฐานทั้งหมดไปให้แล้วและเฝ้ารอเวลานานถึงสามวัน สิ่งที่เขาได้กลับมากลับเป็นหมายจับฐานเป็นผู้ต้องสงสัยการจ้างวานฆ่าไม่ใช่หมายค้นบ้านอย่างที่คิดเอาไว้ ทางผู้ออกหมายได้ให้เหตุผลกับเขาว่า หลักฐานไม่เพียงพอที่จะเชื่อมโยงไปถึงการซุกซ่อนศพไว้ในบ้าน อีกทั้งผู้ต้องสงสัยก็อยู่ลำพังคนเดียวไม่ได้หนีไปกบดานที่ไหนจึงไม่จำเป็นต้องใช้หมายค้น

แต่ก็เอาเถอะ....ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

มู่อี้จิงได้รับหมายค้นก็พาคนในหน่วยเดินทางไปที่บ้านของเซินหยู่ในทันที เพราะหวางซิงเองก็รอจนแทบเต้นได้อยู่แล้ว
หลังจากเสียงออดเงียบไปนาน เซินหยู่ก็เดินออกมารับแขกด้วยท่าทางฉุนเฉียวเห็นได้ชัด

“ผมมู่อี้จิงเป็นนักสืบจากกรมตำรวจครับ” มู่อี้จิงแนะนำตัวและสังเกตเห็นถึงอาการสะดุ้งเหมือนคนที่มีชนักปักหลังของอีกฝ่าย

“ไม่ทราบว่าคนของกรมตำรวจมีอะไรกับผม?” เซินหยู่พูดตอบโต้ด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบจงใจไล่แขก แต่คนแบบมู่อี้จิงเจอแบบนี้มาเยอะแล้ว ถือหมายค้นหรือหมายจับไปบ้านใครก็จะถูกมองกลับเหมือนแมลงสาบไม่ต่างกับสายตาของเจ้าของบ้านเวลามองเซลล์แมนที่มาเคาะประตู หากนอกเหนือไปจากปฏิกิริยาเหล่านี้ก็จะเหลือแต่การวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตของผู้ต้องสงสัย ซึ่งหากเป็นกรณีหลังก็ง่าย ตามจับตัวให้ได้ก็พอ การเค้นคอไม่ใช่เรื่องยากอะไรแล้ว ทว่าเซินหยู่กลับไม่ได้วิ่งร้องแรกแหกกระเชอ เจ้าตัวเพียงแค่จ้องมองพวกเขาอย่างหวาดระแวงและไม่ยอมเปิดประตูรั้วให้พวกเขาเข้าไปในบริเวณบ้าน

“ผมได้รับหมายให้มาจับตัวคุณในคดีจ้างวานฆ่านักธุรกิจแซ่เซินครับ”

ดูเหมือนเซินหยู่จะรู้ความผิดตนเองอยู่แก่ใจ ใบหน้าจึงซีดเผือดไปชั่ววินาทีก่อนจะปรับกลับมาเป็นปกติ เจ้าตัวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง

“นักธุรกิจแซ่เซินไหนกัน? ผมเองก็แซ่เซินเหมือนกัน คงไม่ใช่คนในครอบครัวผมใช่ไหมครับ?” เซินหยู่เอ่ยถามเสมือนตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับคดีที่ตำรวจยัดเยียดให้ตนกลายเป็นผู้ร้าย

“เซินเฟยครับ”

“เอ๋!? เซินเฟย น....นั่นลูกชายของผมนี่ครับ เกิดอะไรขึ้นกับเขา!?” เซินหยู่ออกท่าทางตื่นตระหนกในทันทีพร้อมกับบีบแขนมู่อี้จิงโดยแรงจนเขาต้องนิ่วหน้า การแสดงออกทางอารมณ์ของเซินหยู่ดูสับสนอยู่พอสมควร แม้ภายนอกจะดูเหมือนตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และร้อนรนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่ามู่อี้จิงก็สัมผัสได้ถึงความต้องการจะรู้ความจริงบางประการภายในประโยคคำถามนั้น ซึ่งเขาไม่ได้รู้สึกถึงเจตนาดีที่แอบแฝงอยู่แม้แต่น้อย ดังนั้นหากจะให้เขาเดา สิ่งที่เซินหยู่อยากจะรู้ก็คงเป็นเรื่องที่ว่า เซินเฟยตายหรือยัง?

ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเจ้าตัวจะถามถึงประเด็นนี้ ในเมื่อเซินเฟยหายตัวไประหว่างการปะทะ ซ้ำการ์ดทั้งหมดก็ไม่รู้ว่าเจ้านายหายไปไหน หวางซิงที่รอดกลับมาก็ปิดปากเงียบไม่ยอมตอบคำถามใคร นับว่าเป็นครั้งที่สองที่เซินเฟยหายตัวไปอย่างมีปริศนา ซึ่งครั้งแรกที่ทุกคนคิดว่าเซินเฟยตายไปแล้ว ในวินาทีสุดท้ายเจ้าตัวก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนราวกับร่างวิญญาณที่กลับมาจากอีกมิติหนึ่ง หากว่าครั้งนี้เป็นอย่างเดิมอีกคงจะไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับคนที่มีชนักปักหลังเช่นคน ๆ นี้

“ตอนนี้ยังไม่มีใครได้ข่าวเกี่ยวกับคุณเซินครับ” มู่อี้จิงปัดมืออีกฝ่ายออกอย่างมีมารยาท “ขอเชิญคุณไปกับเราด้วยนะครับ”

“เอ๋ ทำไมผมต้องไปล่ะครับ?” เซินหยู่เกร็งรอยยิ้ม “นี่คุณตำรวจ ผมเป็นพ่อเขานะ! ผมจะฆ่าลูกตัวเองทำไมกัน”

“เรื่องนั้นคงต้องรอหลังการสอบสวนน่ะครับถึงจะตอบได้” มู่อี้จิงพยายามปั้นหน้าให้นิ่งที่สุดแล้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องจัดการควบคุมตัวเซินหยู่ไป

“อย่ามากล่าวหากันมั่ว ๆ นะเว้ยไอ้ตำรวจซังกะบ๊วย! แกมีหลักฐานอะไรวะ หา!” เมื่อเห็นว่าฝ่ายตำรวจไม่รับฟังคำแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น เซินหยู่จึงเริ่มอาละวาดขัดขืนการจับกุม ทั้งยังลงไม้ลงมือกับคนที่เข้าไปใกล้ด้วย แต่เพราะไม่ได้รับคำสั่ง ทางตำรวจจึงไม่กล้าใช้กำลังกับทางเซินหยู่ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายอาละวาดไปเรื่อย ๆ แล้วหันมองมู่อี้จิงที่ยืนมองอย่างเหนื่อยใจ “ฉันจะฟ้องศาล! จะให้ผบ.ตร.ไล่พวกแกออกให้หมด!”

“ถ้าหลักฐานล่ะก็ ผมมีนะครับ” มู่อี้จิงกล่าวแล้วยกเครื่องบันทึกภาพขึ้นมา ก่อนจะรันให้เจ้าตัวดู เครื่องเล่นภาพไปได้ไม่กี่วินาที เซินหยู่ก็เบิกตากว้าง ใบหน้าซีดสลับแดง ก่อนจะร้องโวยวายเสียงลั่นแล้ววิ่งเข้ามาปัดเครื่องบันทึกตกจากมือมู่อี้จิง แต่โชคดีที่เขาไหวตัวทันจึงเปลี่ยนมือถือแล้วเอี้ยวตัวหลบ

เมื่อเซินหยู่เห็นว่าการต่อต้านของตนไม่เป็นผลสำเร็จจึงวิ่งฝ่าเข้าไปในบ้านแล้วตรงไปยังพุ่มไม้กอหนึ่งซึ่งออกดอกสวยงามใบเขียวเหมือนกับได้รับการดูแลอย่างดี เขาคุกเข่าแล้วแล้วเริ่มต้นพุ้ยดินตรงนั้นราวกับคนบ้า ปากก็พึมพำประโยคซ้ำ ๆ

“เสี่ยวเหม่ย เสี่ยวเหม่ย ออกมาช่วยฉันทีสิ เธอช่วยฉันอยู่เสมอไม่ใช่หรือ? ตอนอาเฟยรังแกฉันเธอยังถ่อไปหาถึงบริษัทเลย อย่านอนนิ่งสิ! ลุกขึ้นมาช่วยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”

ทุกคนทั้งเพื่อนบ้านที่แตกตื่นออกมาเพราะเสียงของเซินหยู่และตำรวจที่มาทำหน้าที่ต่างตระหนกกับพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของผู้ต้องสงสัย เจ้าตัวใช้มือพุ้ยดินจนถลอกปอกเปิก ปากก็พูดบ่นเหมือนกับกำลังฟ้องร้องใครบางคน แต่ว่าที่ตรงนั้นมีเพียงพุ่มไม้และกองดินเท่านั้น

มู่อี้จิงรู้สึกเหมือนในสมองมีประกายแสงสว่างวาบเข้ามา

“จับตัวเซินหยู่ไว้!” เขาหันไปสั่งลูกน้องที่เอาแต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกก่อนจะวิ่งออกไปข้างนอก มู่อี้จิงมองหาบ้านที่มีสวนกว้างสักหลังหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าของ “ผมขอยืมจอบสักครู่ได้ไหมครับ?”

“ด...ได้สิ” แม้จะจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เจ้าของบ้านผู้ชราก็ออกปากอนุญาต

มู่อี้จิงวิ่งเข้าไปคว้าจอบก่อนจะกลับมายังพุ่มไม้ที่ตอนนี้โดนพุ้ยดินไปหลายส่วน เซินหยู่ถูกควบคุมตัวไว้ทางหนึ่งแม้จะออกอาการดิ้นรนคล้ายคนบ้าแต่ก็ใช้ตำรวจหลายคนช่วยกันจับจึงเอาอยู่

มู่อี้จิงลงมือขุดดินตรงนั้นทันที แต่เพียงแค่เขาปักจอบแซะดินออกมาส่วนหนึ่งเท่านั้น เสียงร้องที่บ้าคลั่งของเซินหยู่ก็ดังก้องขึ้นจนทุกคนสะดุ้งตกใจ และชั่ววินาทีที่นายตำรวจที่ควบคุมเผลอคลายมือนั้น เซินหยู่ก็สลัดตัวออกพร้อมหันมาแย่งปืนจากนายตำรวจคนหนึ่งก่อนจะปลดสลักแล้วจ่อไปรอบข้างเหมือนกับสุนัขจนตรอก มู่อี้จิงรีบผละจากจอบและพุ่มไม้ทันที

“เดี๋ยวก่อนคุณเซิน! อย่าทำบ้า ๆ นะ!” เขาร้องห้าม

“ใครกันแน่ที่บ้า! แกต่างหากล่ะ! ฉ....ฉันไม่ผิด ไอ้ลูกบ้านั่นมันบังคับฉันเอง! นังนั่นก็เหมือนกัน!”

“คุณเซิน มีอะไรค่อยพูดค่อยจาก่อนเถอะ วางปืนลงซะ” มู่อี้จิงขยับเข้าไปใกล้ช้า ๆ แล้วส่งสัญญาณให้ตำรวจคนอื่นเข้าหาทางด้านหลัง เซินหยู่ส่ายปืนไปมา นิ้วชี้เกี่ยวอยู่กับไกปืนพร้อมยิงได้ทุกเมื่อ บรรดาเพื่อนบ้านจึงถูกกันออกไปจากบริเวณเพื่อความปลอดภัย

“พวกแกจะมาเข้าใจอะไร! ในเมื่อไอ้ลูกบ้านั่นเป็นได้ทำไมฉันถึงเป็นไม่ได้ล่ะวะ! ฉันเป็นพ่อมันนะ! ไอ้ลูกทรพีที่ฮุบทุกอย่างไว้กับตัวเองน่ะ จะตายมันก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง!” เซินหยู่ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรโต้ตอบเพราะรู้ดีว่าไม่ว่าคำพูดนั้นจะดีแค่ไหนก็ล้วนเป็นการกระตุ้นให้อีกฝ่ายทำอะไรโง่ ๆ ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มู่อี้จิงก็ต้องการให้จับเป็นและดำเนินคดีความตามกฎหมาย เพราะอย่างมากก็แค่ติดคุกตลอดชีวิต มีโอกาสอีกมากที่จะแก้ไขความผิดที่ทำลงไป

ชีวิตมนุษย์ เมื่อตายไปมันก็จบลงแค่นั้น

มู่อี้จิงไม่เคยเห็นด้วยเลยกับการตัดสินด้วยชีวิตอย่างนั้น ใครจะว่าเขาโง่เง่าก็ช่างปะไร เขาก็แค่ดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงกับทัศนคติของเขาเอง เพราะอย่างนั้นไม่ใช่หรือเขาถึงเลือกเป็นตำรวจ หากทุกอย่างต้องตัดสินด้วยความตายแล้ว ตำรวจกับกฎหมายจะมีไปเพื่ออะไรกัน

มู่อี้จิงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นพร้อมกับตำรวจนายอื่นโดยไม่ให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน ถึงอย่างนั้นเมื่อเข้าถึงระยะหนึ่ง เซินหยู่ก็ไกวปืนไปรอบตัวเหมือนกับกำลังวัดระยะ

“อ....อย่าเข้ามานะ!”

มู่อี้จิงชะงักพลางสูดหายใจ เซินหยู่ไม่อาจทนความกดดันมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เขาส่งสัญญาณให้คนอื่น ๆ หยุดนิ่งกับที่

“ส่งปืนคืนมาเถอะ ผมสัญญาว่าจะให้ความยุติธรรมกับคุณให้ถึงที่สุด” เมื่อมู่อี้จิงพูดจบ เซินหยู่ก็หัวเราะเสียงลั่น ใบหน้าบิดเบี้ยวผสมผสานไปด้วยความหวาดกลัวและความบ้าบิ่นอย่างที่มู่อี้จิงไม่ได้เห็นบ่อยนักจากคนอื่น ๆ ที่เขาจับกุม และนั่น....ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย แน่นอน....เขารู้ว่ามันหมายถึงอะไร

“อย่านะ!” มู่อี้จิงร้องห้ามพร้อมวิ่งเข้าไป ทว่า....เซินหยู่กลับหันปืนเข้าปากตนเองก่อนจะลั่นไก เสียงปืนดังเพียงสั้น ๆ แต่เป็นหลายวินาทีสำหรับมู่อี้จิงที่ถูกเสียงปืนนัดนั้นสั่นคลอนความมุ่งมั่นที่ตั้งไว้ในคราวแรก มือของเขายื่นค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อร่างของเซินหยู่ล้มฟุบลง หลายช่วงลมหายใจที่มู่อี้จิงพรั่งพรูอย่างเปลืองเปล่าก่อนจะกำมือแน่นพร้อมกัดฟันจนกรามของเขาแทบจะแหลก

บ้าเอ๊ย!

มู่อี้จิงต้องใช้เวลารวบรวมสติครู่หนึ่งก่อนจะเสยผมที่เปียกชื้นเหงื่อขึ้น แล้วสั่งให้ลูกน้องจัดการกับศพ ส่วนเขากลับเดินไปยังพุ่มไม้เดิมและเริ่มขุดดินต่อไป ไม่นานนักเขาก็ได้เห็นชิ้นส่วนร่างกายของมนุษย์โผล่พ้นดินออกมา แต่เป็นชิ้นส่วนที่แทบจะไม่สามารถเรียกว่ามนุษย์ได้อีกแล้ว กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาพร้อมกับน้ำเหลืองและตัวอ่อนของหนอนที่ดิ้นอยู่ตามเศษเนื้อสีคล้ำ

มู่อี้จิงเบือนสายตาหนีภาพตรงหน้า ก่อนจะปล่อยให้คนอื่น ๆ จัดการติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นฟ้า เกล็ดบุหรี่ออกมาจุดสูบ ไม่ใช่เรื่องบ่อยนักที่เขาจะสูบบุหรี่ แต่ในเวลาอย่างนี้หากไม่สูบคงไม่ไหวเหมือนกัน สมองของเขาต้องระเบิดแน่ ๆ

ไม่มีจุดจบอื่นที่ดีกว่านี้แล้วจริง ๆ หรือ?

เขาได้แต่ถามตนเองอย่างนั้นในใจขณะปล่อยให้ควันบุหรี่สีเทาลอยขึ้นไปบนฟ้า....

--------------->

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 11-04-2011 21:57:46
“เรียบร้อยแล้วสินะครับ”

“ครับ ทีนี้คุณได้เวลาบอกผมได้แล้วนะคุณฉู่ คุณเซินอยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีหรือเปล่า?” หวางซิงถามเสียงเข้ม “ถ้าคุณเซินมีตำหนิแม้แต่ปลายเล็บล่ะก็ ผมเอาคุณตายแน่!”

“อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นสิหวางซิง เอาล่ะ ผมเองก็มีเวลาไม่มาก ผมจะบอกสถานที่ที่ผมกับคุณเซินอยู่ให้ก็แล้วกัน แล้วคุณจะมารับเมื่อไหร่ก็ตามสบาย” ฉู่เหวินจือพูดก่อนจะบอกชื่อโรงแรมและเลขห้องที่พวกเขาอาศัยด้วยกันมาเป็นเวลาสี่วันถ้วน และหลังจากฉู่เหวินจือได้รับการติดต่อจากคนของตนเองว่าเซินหยู่เสียชีวิตแล้ว รวมทั้งพบศพของหลี่จวี๋เหม่ยแล้ว เขาก็โทรไปหาหวางซิงทันทีตามที่สัญญา

ทั้งสองต่างตัดสายไปเมื่อนัดแนะสถานที่กันเรียบร้อย

“อาซิงงั้นหรือ?” เซินเฟยเอ่ยถามเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำ “หรือว่านี่จะเกี่ยวกับเรื่องแปลก ๆ ที่นายทำเมื่อคืน”

ฉู่เหวินจือยิ้มแทนคำตอบ

ตลอดสี่วันที่อยู่ด้วยกัน ฉู่เหวินจือไม่เคยปล่อยเวลาให้เซินเฟยอยู่ห่างจากอ้อนแขนของตนเลย และมักหาโอกาสมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยอยู่เสมอจนเซินเฟยแทบไม่เหลือเวลาส่วนตัวนอกจากเวลากินและเข้าห้องน้ำ ทว่าเมื่อคืนนี้ฉู่เหวินจือกลับไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้น แต่กอดนอนเฉย ๆ เหมือนกับที่เคยทำเมื่อตอนที่เขายังปฏิเสธสัมผัสจากอีกฝ่ายเพราะรอยแผลที่ฝังใจ

“อีกเดี๋ยวหวางซิงจะมารับคุณกลับไป ถ้ามีอะไรก็ถามจากเลขาคุณก็แล้วกัน” ฉู่เหวินจือว่าแล้วจึงลุกขึ้น ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าของเซินเฟยที่ส่งไปซักรีดมาวางบนเตียง “สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนเถอะ ถ้าหวางซิงมาเห็นคุณในสภาพนี้ผมคงโดนฆ่าแน่ ๆ” ประโยคหลังเจ้าตัวกลั้วหัวเราะกึ่งเล่นกึ่งจริง

“ทุกอย่างเรียบร้อยตามแผนนายแล้วสินะ” เซินเฟยกล่าวพลางก้มลงมองเสื้อผ้าตนเอง ซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่สวมใส่มาตอนไปพบไป๋หู่และถูกลอบยิง

“ก็ราว ๆ นั้น” ฉู่เหวินจือตอบแบ่งรับแบ่งสู้ “คุณมีอะไรไม่พอใจหรือครับ”

เซินเฟยทำเสียง หึ ขึ้นจมูกทันที

“อย่างนายมีหรือจะไม่รู้ว่าฉันไม่พอใจอะไร” เซินเฟยคร้านจะตอบ จึงประชดกลับไปแล้วแต่งตัวให้ตัวเอง ฉู่เหวินจือยื่นมือเข้ามาช่วยจัดระเบียบบ้างเมื่อเห็นจุดไหนยับหรือเบี้ยวไปจากปกติ พวกเขามักจะจบหัวข้อด้วยการตัดบทอย่างนี้บ่อยครั้งตลอดช่วงที่อยู่ด้วยกัน ไม่เคยมีครั้งไหนที่สามารถพูดคุยได้จบหัวข้อ เมื่อถึงหัวข้อที่เขาไม่อยากพูดเขาก็จะไม่พูด เมื่อถึงหัวข้อที่ฉู่เหวินจือไม่อยากตอบ เจ้าตัวก็จะเลี่ยงตอบ

ทั้งสองต่างเงียบไป ไม่มีใครพูดอะไรออกมาจนกระทั่งเซินเฟยเริ่มบทสนทนาใหม่

“นายจะทำอะไรต่อ? กลับไปหาเจ้านายเก่าหรือกลับมาอยู่กับฉัน?”

“ผมคิดว่าคุณจะเก็บผมเสียอีก” คำตอบที่ไม่ตรงคำถามของฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยมุ่นคิ้ว

“ฉันก็อยากจะทำ แต่ในเมื่อนายไม่ได้ทำเรื่องเสียหายให้องค์กรของฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าจะฆ่านายไปทำไม สู้เก็บไว้ใช้งานยังดีเสียกว่า” เซินเฟยว่าพลางหยิบเนคไทขึ้นมาผูก แต่เมื่อสัมผัสเนื้อเบาของเนคไทผ้าไหม เขาก็รู้สึกอายวูบขึ้นมาเมื่อนึกไปถึงคืนก่อนหน้านี้ที่เขาโดนฉู่เหวินจือป้อนยาให้ ในขณะที่สมองหวนคิดแต่เรื่องบัดสีเช่นนั้น ฉู่เหวินจือกลับโอบเขาจากด้านหลังแล้วเกยคางบนไหล่พลางกระซิบผ่าวข้างใบหู

“ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากนั้นหรือครับ?”

“ไม่ ไม่มีแล้ว” เซินเฟยกัดริมฝีปากก่อนจะตอบเสียงตวัดแล้วดึงตัวเองออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย
ฉู่เหวินจือหัวเราะแล้วหมุนตัวเซินเฟยกลับมาเผชิญหน้า

“ถ้าอย่างนั้นผมก็มีเรื่องจะสารภาพ”

“อะไร?” เซินเฟยมุ่นคิ้วพลางถาม ผู้ชายคนนี้ยังมีเรื่องอื่นปิดบังเขาอยู่อีกหรือ? นี่เขาจะต้องใช้เวลาอีกกี่คืนถึงจะล้วงความลับออกมาจากปากคน ๆ นี้ได้หมดนะ?

“ผมได้รับคำสั่งมาให้ทำทุกอย่างเพื่อผลักดันคุณขึ้นไปให้สูงที่สุด แน่นอนว่าผมทำตามคำสั่งนั้นอย่างเคร่งครัด แต่ว่า....มีอยู่สองเรื่องเท่านั้นที่ผมทำตามอำเภอใจตัวเอง”

“อ้อ” เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไร เซินเฟยจึงรับคำสั้น ๆ แล้วรอฟังต่อ

“สองเรื่องนั้น....”

ก่อนที่ฉู่เหวินจือจะพูดจบ เสียงอินเตอร์โฟนก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ชายหนุ่มแย้มยิ้มกว้างขณะมองไปยังประตูห้องและเสียงกดย้ำสัญญาณให้คนข้างในรู้ว่ามีคนมารอพบ

“ดูเหมือนหวางซิงจะมาแล้วล่ะครับ” ฉู่เหวินจือพูดจบก็เดินสวนกับเซินเฟยไปยังประตูห้อง ก่อนจะเปิดรับคนที่มารออยู่ด้านนอกโดยไม่ต้องตรวจสอบว่าเป็นใคร หวางซิงปรากฏตัวอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างที่ฉู่เหวินจือไม่ค่อยได้เห็นสักเท่าไหร่ เลยไปด้านหลังตือมู่อี้จิงที่ไม่ต้องสงสัยว่าอาสาขับรถมาให้ด้วยเกรงว่าหวางซิงจะพาตัวเองไปเสยตอม้อก่อนมาถึงโรงแรม

“คุณเซินอยู่ที่ไหนครับ?”

ฉู่เหวินจือกระตุกยิ้มให้กับคำถาม ก่อนเปิดทางให้หวางซิงเข้ามาในห้อง และทันใดที่สายตาเลขาหนุ่มมองเห็นร่างของเจ้านาย หวางซิงถลาเข้าไปหาทันทีโดยลืมกระทั่งการถอดรองเท้าก่อนเหยียบพรมในห้อง มู่อี้จิงเดินตามเข้ามาพลางมองฉู่เหวินจือไม่วางตา พวกเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้เผชิญหน้ากันโดยตรงเท่าไหร่ ครั้งที่ได้สนทนากันนานที่สุดคือตอนที่เซินเฟยรอดจากเหตุระเบิดและกลับมาถึงฮ่องกง แต่ส่วนมากเขาจะสนทนากับเซินเฟยโดยมีฉู่เหวินจือนั่งฟังอยู่ห่าง ๆ และไม่ออกความเห็นอะไรเป็นพิเศษ แต่เซินเฟยบอกเขาในภายหลังว่าแผนการส่วนใหญ่ฉู่เหวินจือเป็นคนคิด นั่นแสดงว่าทั้งสองวางแผนด้วยกันตามลำพัง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่เซินเฟยมีให้ผู้ชายที่ชื่อฉู่เหวินจือคนนี้ แล้วคนเช่นนั้นทำไมถึงต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อย่างนี้ด้วย?

“ยินดีที่ได้พบอีกครั้ง นักสืบมู่” ฉู่เหวินจือเอ่ยทักทายเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องตนไม่วางตา

“ยินดีเช่นกัน” มู่อี้จิงตอบคำ “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

“เชิญตามสบาย”

“ทั้งหมดนี้.....คุณทำไปเพื่ออะไรกัน ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด คุณทำเหมือนกับเป็นมือขวาที่ถูกส่งตัวมาช่วยแต่ในทางหนึ่งคุณก็ยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับหลาย ๆ เรื่องในองค์กรทั้งที่เกินหน้าที่ แต่ทั้งหมดที่คุณทำก็ส่งผลให้องค์กรเดินหน้าไปได้มากกว่าปกติ ทุกคนไว้ใจคุณและฐานะของคุณในองค์กรก็มั่นคง แต่แล้วคุณกลับทำเรื่องเหมือนจงใจฆ่าตัวตายแบบนี้อีก และพอทุกอย่างเรียบร้อยตามแผนคุณก็ส่งตัวจูเชว่คืน อ้อ อย่าถามนะว่าทำไมผมถึงรู้มากนัก พอดีคุณหวางเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังตลอดช่วงสี่วันนี้จนผมท่องเป็นอาขยานได้เลยน่ะ” มู่อี้จิงพ่นคำถามยาวยืดก่อนจะปิดท้ายด้วยการแก้ต่างให้ตนเองก่อนโดนถามกลับ

“นั่นสิ ผมทำไปทำไมกันนะ?” ฉู่เหวินจือตอบพลางหัวเราะ “ความจริงเหตุผลไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรจริงไหมคุณนักสืบ แค่ผลลัพธ์ออกมาดีก็พอแล้ว นั่นคือวิถีทางในโลกของเราที่คุณไม่สามารถทำความเข้าใจได้”

มู่อี้จิงอึกอัก รู้สึกเหมือนถูกยอกย้อนชอบกล แต่ครั้นจะถกเถียงอะไรออกไปก็เหมือนจะตกไปในเกมของอีกฝ่าย ทำไมเขาถึงรู้สึกเสียเปรียบเต็มประตูถึงขนาดนี้นะ?

หลังจากหวางซิงสำรวจร่างกายของเจ้านายจนพึงพอใจ เขาก็เดินนำเซินเฟยออกมาที่ประตูพลางจ้องมองฉู่เหวินจือเสมือนอยากจะเห็นเข้าไปถึงข้างในใจของอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะเพ่งมองอย่างไร สิ่งที่เขาเห็นผ่านดวงตาคู่สวยนั้นก็ยังเป็นความลึกลับที่ตีความไม่ออก

“คุณมู่ ช่วยพาคุณเซินลงไปที่รถก่อนนะครับ ผมอยากจะคุยกับคุณฉู่อีกเล็กน้อย” หวางซิงบอกฝากก่อนจะโค้งให้เซินเฟยเดินผ่านตัวเองออกไปนอกห้อง เด็กหนุ่มพยักหน้าให้มู่อี้จิงแทนการทักทายก่อนจะหันกลับมาหาฉู่เหวินจือ เขามองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรแล้วจึงหมุนตัวเดินนำหน้ามู่อี้จิงออกไปเงียบ ๆ

เมื่อทั้งสองจากไปไกลแล้ว หวางซิงจึงหันกลับมาหาฉู่เหวินจือ เขาสูดหายใจลึกหลายเฮือกพร้อมหลับตาก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วง้างแขนจนสุด

พล่อก!

แรงเหวี่ยงจากหมัดลุ่น ๆ ทำให้ฉู่เหวินจือเซถลาไปพิงวงกบประตูพร้อมรอยช้ำบนโหนกแก้ม เจ้าตัวไม่ได้แสดงอาการถือโกรธหรือแสดงความสงสัยว่าทำไมตนเองจึงถูกทำร้าย ชายหนุ่มเพียงเหน็บรอยยิ้มที่มุมปากอย่างที่ชอบทำแล้วลูบแก้มตนเองเบา ๆ

“นี่สำหรับทุกอย่างที่คุณทำกับพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับคุณเซิน” หวางซิงกล่าว “แต่ว่าผมปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างที่คุณทำนั้นก่อประโยชน์ให้มากกว่าความเสียหาย ดังนั้นผมเลยไม่มีเหตุผลที่จะฆ่าคุณซะตรงนี้”

“ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชม”

“แต่ว่า.....ถ้าเกิดความเสียหายอะไรขึ้นล่ะก็ ถึงต้องพลิกแผ่นดินพวกเราก็จะลากตัวคุณมาสำเร็จโทษให้ได้” ถึงตรงนี้ หวางซิงกดเสียงต่ำลงเหมือนที่เซินเฟยชอบทำเวลาที่อารมณ์ไม่ดี ฉู่เหวินจือหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ได้พูดตอบโต้อะไร เพียงแต่โคลงศีรษะแทนการตอบรับกลาย ๆ หวางซิงเก็บความกรุ่นโกรธไว้ในใจ เขารู้ดีว่าถึงจะโกรธยังไง ผู้ชายคนนี้ก็ไม่นึกเดือดร้อนอะไรกับเขา นอกจากนี้เขายังได้ตัวเซินเฟยกลับมาครบ 32 ส่วน ไม่มีส่วนขาดส่วนเกิน เพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว

หวางซิงคร้านจะถือสาหาความกับฉู่เหวินจือต่อ ซ้ำเซินเฟยก็ไม่มีคำสั่งให้เขาจัดการอะไรกับเรื่องนี้ มันจึงไม่ใช่หน้าที่ของเขาอีกต่อไป หวางซิงผละจากไปทิ้งให้ฉู่เหวินจือหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องเพียงลำพัง

---------------->

“ไม่ตามมาหรือ?”

“อ...อะไรหรือครับ?” หวางซิงชะงักทันทีที่เซินเฟยเอ่ยถามขณะรถกำลังเคลื่อนตัวไปตามท้องถนน

“ช่างเถอะ” เซินเฟยถอนหายใจขณะเบือนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง ตอนที่เขาอยู่ในห้องที่โรงแรม เขาไม่มีโอกาสมองวิวทิวทัศน์ข้างนอกเลยจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนั่นคือห้องในโรงแรมที่ไม่ห่างจากบ้านของเขามากนัก ซ้ำยังเป็นโรงแรมที่คนของเขาดูแลอยู่ด้วยซ้ำ

มู่อี้จิงขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านก่อนจะขับเลยกลับไปกรมตำรวจเพื่อจัดการคดีความที่คั่งค้างให้จบ เซินเฟยเงยหน้ามองดูประตูบ้านของตนเองก่อนที่มันจะเปิดออกตามด้วยสีหน้าตื่นตกใจของทุกคนที่เขาผ่านหน้า ทั้งปลื้มปิติและโล่งใจ....

เซินเฟยโบกมือให้ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนเองด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน หวางซือที่เหมือนจะอ่านสีหน้านายเก่งที่สุดจึงบอกให้ทุก ๆ คนกลับไปประจำที่ของตนเอง แล้วสั่งให้หวางซิงพาเซินเฟยไปพักผ่อน แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่เซินเฟยต้องการที่สุดในเวลานี้ แต่ระหว่างที่จะเดินขึ้นไปห้องนอนนั้นต้องผ่านห้องโถงที่มีเก้าอี้ประจำตำแหน่งตั้งอยู่ เก้าอี้สีครั่งทำจากไม้เนื้อดีมีประวัติยาวนาน พนักหลังฉลุลายหงส์เหยียบเมฆด้วยเส้นสายที่อ่อนช้อยสวยงามสมกับเป็นฝีมือของช่างเอกในสมัยนั้น

“พ่อล่ะ” อยู่ ๆ เซินเฟยก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“.....เสียชีวิตแล้วครับ คุณเซินหยู่....ฆ่าตัวตาย ส่วนคุณนาย....”

“ผมรู้แล้ว” เซินเฟยขัดคำแล้วค่อย ๆ เดินตรงไปยังเก้าอี้ก่อนจะนั่งลงพลางหลับตา นึกถึงบทสนทนาที่เขากับฉู่เหวินจือเคยคุยกันในวันหนึ่ง ตอนนั้นฉู่เหวินจือเคยถามเขาว่า เคยคิดอยากจะเลิกเป็นมาเฟียบ้างไหม?


“ทำไมฉันถึงต้องอยากเลิก?”

“ผมก็แค่ถามไปอย่างนั้น แต่ว่าถ้าคุณอยาก ผมสามารถทำให้คุณได้”

“.....หมายความว่าจะพาฉันหนีไปหรือไง?”

“ถ้าคุณต้องการล่ะก็”

“.....ฉันมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังแล้ว ถึงจะกลับไปเป็นคนธรรมดาตอนนี้มันก็ไม่ต่างกับการไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะกับตัวเอง อีกอย่าง ฉันไม่อยากจะเป็นเหมือนคุณอาที่ทิ้งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลังแล้วจากไป ฉันมีหน้าที่ของฉันเหมือนที่ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าสิ่งใดที่นำพาฉันมาอยู่ที่นี่ ฉันไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เป็นฉันในทุกวันนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันก็จะไม่หันหลังให้กับมัน”



เซินเฟยพรั่งพรูลมหายใจออกมาเหยียดยาวก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกสบายเลย ทุกครั้งที่นั่งบนเก้าอี้ตัวนี้เขารู้สึกไม่ต่างกับการนั่งบนบัลลังก์หนาม เขารู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เส้นทางของเขาได้พรากทุก ๆ คนไปหมดแล้วเริ่มจากอาสะใภ้ หมอจือหยิน แม่ พ่อ กระทั่งฉู่เหวินจือ ในอกของเขาว่างเปล่าและหนาวเหน็บจนอยากจะกอดตัวเองเอาไว้และร่ำไห้โดยไร้น้ำตา

หากว่าเขาไม่ใช่จูเชว่ ชีวิตของเขาคงง่ายกว่านี้ แต่ทำไมกันนะ....เขาจึงไม่สามารถจินตนาการถึงชีวิตเช่นนั้นได้เลยไม่ว่าจะพยายามเท่าไร

หวางซิงรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นความอ้างว้างบนใบหน้าของผู้เป็นนาย เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าและแนบหน้าผากลงกับหัวเข่าของเซินเฟย

“คุณเซิน....ผมยังอยู่ตรงนี้นะครับ”

“นั่นสินะ” เซินเฟยตอบคำอย่างเลื่อนลอย

“ผมจะไม่จากคุณเซินไปไหนอย่างแน่นอน จะอยู่ข้างคุณเซินตลอดไป ผมสัญญา”

เซินเฟยวางมือลงบนไหล่ของเลขาคนสนิท หวางซิงเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายพลางส่งสายตาแสดงความห่วงใยให้อย่างเปิดเผยไม่คิดปิดบังแม้สักส่วนเสี้ยว ตามปกติแล้วเซินเฟยไม่เคยชอบสายตาเช่นนี้เพราะมันสะท้อนความอ่อนแอของเขาออกมา ทว่า....ในเวลานี้เขากลับเต็มใจที่จะยอมรับเอาไว้ และได้แต่ภาวนาให้ความอ่อนแอในวันนี้นำพาเขาให้เดินไปสู่วันข้างหน้าที่เจิดจรัสยิ่งกว่า.....

End
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ล้อเล่นค่า~ /ยกกระทะขึ้นบังหม้อ ไห ตะหลิว รองเท้า
เรื่องนี้ยัง TBC อยู่เน้อ~
แต่ตอนหน้า(น่าจะ)จบจริงล่ะค่ะ XD
ขอเชิญนักอ่านทุกท่านช่วยกันหายใจต่อไปอีกเฮือกนะคะ~

(จะพยายามไม่ดองแม้อากาศจะร้อนจนตับคนเขียนแทบจะหลุดออกมาเต้นสามช่าก็ตามค่ะ T T)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 11-04-2011 22:03:30
กรี๊ดดดดด!!!
มาแล้ววว

ตกใจมากนะ ตรง end น่ะ
งื้ออออออ

ตกลงว่า คุณฉู่ ???
ยังงงนะว่ามาจากไหน ฮ่าๆๆๆ
ตอนหน้าจะจบแล้วเหรอ??
อยากให้มีแบบหวานๆกันด้วยอ้ะ
ฮึกกก ถ้าเฟยเฟย เป็น จูเชว่ แบบจริงจัง (ก็เป็นอยู่) คงลำบากมาก
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 11-04-2011 22:30:06
คือแบบว่านะฮะไรเตอร์ มัน..มันส์...แล้วก้มันส์ ฮะฮ่าฮ่าฮ่า
คือ เราอ่านไปอย่างละเลียด ๆ ช้า ๆ  ได้พร้าหลาย ๆ เล่ม เว้ยยย (หลุด==)
อาซิง สุโค่ยดีฮะ เฟยก้..นะ ส่วนคุณฉู่(ยกระดับ) ถูกใจว่ะค่ะ 555 แบบว่าชอบพี่แกมากเลยอ่ะ มันทำตัวให้ความรู้สึกว่า เหนือกว่า่ แน่ว่ะ อะไรทำนองนั้นล่ะนะฮะ ^^ ชอบเมะแข็งแกร่ง แรงดี กร๊ากกกก

ไปอ่านต่อล่ะคร๊าบบบ ดีใจจริง ๆ นะ ที่่ได้มาอ่าน ~_+
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ratrirattikan ที่ 11-04-2011 22:34:09
แล้วจากนี้...อาฉู่จะจากไป? งั้นหรือเปล่าน้า
ทำไมการกระทำมันเหมือนจะจากลายังงั้นล่ะ :confuse:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: aekporamai2 ที่ 11-04-2011 22:35:08
สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด....มันลึกลับซอนเงื่อนจนวินาทีสุดท้าย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: LimousinX9 ที่ 11-04-2011 22:41:44
เกือบจะช๊อค เพราะคำว่า"end" ...อยากเห็นจูเช่วในโหมดหวานบ้างจัง :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 11-04-2011 22:51:41
อยากจะบอกว่าตอนที่เห็นคำว่า "END" น่ะ ร้องกรี๊ด (อย่างเสียจริต ) เลยค่ะ  o9
แต่เลื่อนลงมาก็โล่งอก เพราะยัง "TBC" อยู่
แต่ตอนหน้าจบแล้วเหรอเนี้ย? จะรออ่านอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ
หวังว่าจะได้รู้ความจริงเบื้องหลังของ "ลึกลับตัวพ่อ" อย่าง ฉู่เหวินจือ นะค่ะ... :impress:

อากาศร้อนมากจริง ๆ ด้วยค่ะ แต่คงต้องทำใจสถานเดียว ( เนี่ยแหละ อากาศตัวจริง เสียงจริง ของเมืองไทย  :try2: )
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Ayame ที่ 11-04-2011 22:57:34
ตอนแรกตกใจแทบตายว่า เฮ้ย! จบอย่างนี้เนี่ยนะ!! แต่พอรู้ว่าล้อเล่นก็ค่อยโล่งหน่อย  o18

ตอนหน้าจะได้รู้ความจริงของตาฉู่แล้วชิมิ กำลังจะได้รู้แล้วเชียว หวางซิงไม่น่ามาถึงเร็วเล้ยยยย   :m31:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 11-04-2011 23:07:37
เห็นตัว "End" แล้วใจหายวูบ จะตัดจบกันอย่างนี้เลยเหรอ

เลื่อนลงมาแล้วค่อยยังชั่วแค่ล้อเล่น เซินหยู่ทำตัวเองแท้ๆ ไม่รู้จักพอจนตัวตาย เมียตาย น่าสงสารนิดหน่อย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 11-04-2011 23:39:46
 :z3:  แหม่  หลอกกันได้นะคะ  เห็น เอ็นด์ แล้วใจหายวาบเลย
กรี้ดดดด  ไม่อยากให้จบเลยอ่าาาา  อยากเห็นมุมหวานๆของตาฉู่กะนู๋เฟยเฟยอีกอะค่า :z1: :o8:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-04-2011 00:07:10
ใจหายวาบเลยตอนเจอคำว่า END  ว่าแต่ตอนหน้าจะจบแล้วเหรอ  ยังไม่ทันได้หวานกันซักเท่าไหร่เลยเนาะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 12-04-2011 00:24:02
end  ??????

//โยน หม้อ ไห ตะหลิว รองเท้า ใส่

ชิ  เอากระทะมาบังหรอ !   /กิ๊ก   ถือน้อยหน่าแอบไว้ข้างหลัง

แง่  ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าอาฉู่คือใครกันแน่ๆ   แต่ก็มีเริ่้มเดาๆบ้างอ่ะนะ 55 5
ตอนหน้าทุกอย่างคงสรุปเรียบร้อยแล้วล่ะ  แต่ใจหายชะมัด   รักนิยายเรื่องนี้มาก   ไม่อยากให้จบเลย
จะจบตอนหน้าแล้วจริงๆหรอคะ ?
แบบว่าทุกอย่างเคลียร์หมดในตอนหน้า  เรื่องจูเช่วคนก่อน  เรื่องอาฉู่  แล้วที่บอกว่าหน้าที่คือมาทำให้อยู่ในจุดสูงสุด  นี่....  เราก็เห็นเสาหลักคนอื่นๆก็ัยังมองว่าจูเช่วเป็นเด็กๆเหมือนเดิม
ยืดเถ้อออ   อยากอ่านไปอีกเรื่อยๆ   อยากอ่านซีนของอาฉู่กับเฟยเฟย อีกเยอะๆๆๆๆๆ  

สองคนนี้นี่ไม่ค่อยมีบทรักเหมือนชาวบ้านทั่วไป  ไม่จำเป็นต้องหวานเลี่ยนนะ  (แหม  คงไม่เหมาะล่ะมั้ง 55 5  มาเฟียนะ ) ก็แบบเห็นฉากหวานทีไรก็เป็นบทอัศจรรย์ (เขียนถูกรึเปล่า?) แอบๆซ่อนๆ อะไรแบบนี้อยู่เรื่อย 55 5 5  (แต่คนอ่านก็ชอบนะเออ)

ปู่เสือ  นั่งรอดูบทสุดท้ายของเรื่องด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก    
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Isuru ที่ 12-04-2011 00:37:08
ใจหายใจคว่ำ นึกว่าจบแล้ว
เพราะยังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วอาฉู่เป็นใคร
ขอให้สมหวังเถอะค่ะ ไม่ใช่ตอนจบอาฉู่หายไปเฉยๆนะ

รอตอนจบค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Tageszeit ที่ 12-04-2011 01:51:21
end  แบบว่าเฮ้ยไงงั้นอ่ะอะไรๆยังไม่ชัดเจน  :a5:
อ่านลงมาหน่อยนี่ค่อยยังชั่วอ่ะเล่นเอาใจหายเลย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 12-04-2011 01:58:59
อืมมม อาฉู่เท่จริงๆ  :m1:
จัดการทุกอย่าง ทำงานในองค์กรมาเฟียได้ดีมากๆ
จนบางทีเค้าแอบอยากให้อาฉู่มาเป็นจูเชว่แทนเฟยเฟยซะงั้น
คือเฟยเฟยของเราก็ทำหน้าที่ได้ดีมากอยู่นะ ทั้งๆที่อายุเพียงแค่นี้ด้วย
แต่เค้ารู้สึกเหมือนเฟยเฟยยังต้องการใครสักคนไว้ให้พักพิงเป็นผู้นำในบางเรื่องเป็นหลักไว้ให้ยึดเหนี่ยว
เวลาเห็นเฟยเฟยของเราต้องโดดเดี่ยวต้องเครียด
เจอกับความกดดันร้อยแปดพันประการเจออันตรายรอบด้านแล้วเค้าสงสารจัง T T
ไม่ได้จะดูถูกความสามารถของเฟยเฟยหรอกหนา แต่อย่างให้เฟยเฟยได้มีชีวิตธรรมดาอย่างคนอื่นบ้าง
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย อาฉู่จะจากไปเลยหรออ
อยู่กับเฟยเฟยต่อไปไม่ได้หรออ เฟยเฟยต้องการนายนะอาฉู่  :o12:

ปล.อาฉู่แรงดีจริงๆ คิคิคิ  :o8:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: LimousinX9 ที่ 12-04-2011 02:51:45
แปลกนะ จำได้ว่าอ่านอยู่ตอนหนึ่งที่อิตาฉุ่เนี่ย จ้องหน้ากับลุกน้องเก่าของจูเช่ว"เฉียนหยุน"หรือเปล่าจำไม่ได้  ที่มันเหมือนจะจำได้ถ้ารุ่นเดอะขนาดนั้นจำได้ก็ไม่แน่ว่าอิตาฉุ่อาจจะมีเลือดเนื้อหรือไม่ก็พันธุกรรมเกี่ยวข้องกับตระกูลนี้หอรืเปล่าหว่า....

หรือไม่ก็แอบปิ้งจูเช่ว มานมนานO_O''

คิดแล้วปวดหัว :m31:  นั่งรอท่านไรเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Monochrome ที่ 12-04-2011 11:13:46
จะจบแล้ว...

แต่ความรู้สึกมันยังไม่จบ

สุดท้ายแล้ว ความรัก มันจะช่วยอะไรไหม

เดาไม่ถูกแฮะ

ระหว่าง ไม่รู้ ไม่มี หรือ ไม่ใช่ อะไรมันจะเจ็บกว่ากัน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 12-04-2011 11:26:08
อื้อหือ หลอกกันได้นะคุณเซีย
มีตกใจ ประมาณว่าเฮ่ย จริงดิ 55
แต่อีกตอนก็จบแล้วเหรอ อ่า
เป็นอีกเรื่องที่สะท้อนให้เห็นความจริงของมนุษย์จริงๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 12-04-2011 11:26:45
พัดๆๆๆ  เย็นไหมค่า  พัดๆๆๆๆ
เย็นแล้ว...ก็รีบมาต่อนะค่ะ....ค้างมากมาย
ชอบเรื่องนี้มาก  เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ แต่บีบใจเป็นที่สุด

ตอนนี้คิดว่าถ้าตาฉู่มิใช่คนที่จู่เช่วส่งมเพื่อให้เซินแข็งแกร่งขึ้น
ก็น่าจะเป็นอีกฝ่ายที่ต้องการคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ...
เลยมาช่วย...ซะงั้นอ่ะ  ดูโรคจิตไปม่ะ  เอิ๊กๆๆๆ  คิดเอง...เออเอง...จิ้นเอง (อันนี้ไม่ยอม)
เพราะงั้นรีบๆ มาต่อไวไวเน้อ  ไรท์เตอร์.... :กอด1:

เป็นกำลังจายให้นิ  สู้ๆๆๆๆๆๆๆ    :3123:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 12-04-2011 16:43:11
ตอนหน้าแล้ว ตอนหน้าๆๆๆ อ๊ากกกกกกก ใจหายนะเนี่ย ที่รู้ว่าเรื่องนี้ใกล้จะจบแล้ว T_T
อาฉู่ อ่านมาถึงตอนนี้ ก็คิดว่าจะมีความรู้สึกอะไรกับอาเฟยบ้างเหมือนกัน
ส่วนอาเฟย ถึงจะเป็นบัลลังก์หนามแต่ก็เป็นบังลังก์ที่สง่างามซึ่งเหมาะกับตัวอาเฟยนะ
อาฉู่กลับมาเดี๋ยวนี้นะยะ อย่าให้อาเฟยต้องอ้างว้างแบบเน้!! กลับมาาาาา
ตอนหน้าขอให้จบแบบซึ้งๆมีความสุขด้วยเถอะค่ะ
ไม่ใช่ว่าจะจบแบบมาเฟียเลือดสาดอะไรพวกนี้นะคะ -_-''
ยังไงก็อยากบอกว่า รักนิยายเรื่องนี้ของคุณเซียร์มากเลยนะคะ  :L1:
ให้ความรู้สึกหลากหลายจริงๆ รักอาเฟยรักอาฉู่ขอให้ได้อยู่ด้วยกัน เพี้ยง!!
คุณเซียร์คะ คุณเซียร์แต่งได้ดีมากเลย เป็นนิยายแนวsmที่เรายกให้เป็นนิยายในดวงใจเลยค่ะ
55555++ รอตอนหน้าค่าาาา  :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 12-04-2011 19:14:00
ว้ากกกกกกกกกกก
อยากบอกว่ารู้สึกดี มากเลยล่ะฮะ ดีใจ ปลื้มไรเตอร์สุดสุด^^
แบบว่า มันจินตนาการตามได้ ไม่ซับซ้อนมากนัก อือ...แบบว่ามันลงตัวดีจัง บรรยายได้ดี ถูกใจมากเลยจะว่ายังไงดี....สนองจินตนาการ+อารมณ์ได้ดีทีเดียว  ชัดเจนด้วยกับคาแรกเตอร์ของแต่ละคน
...เหมือนโดนไรเตอร์วางยาอ่ะ เลิฟซีน-NC เนี่ยมันก้..พอใจอยู่(อยากให้มีคู่ของ อี้จิง-ซิง)อยากให้ลงหนัก ๆ กับนายเอกมาก ๆ (สะใจ 555) แต่ว่านะ..ที่บอกว่าเหมือนโดนวางยา ก้ตรงที่มันต้องไปจิ้นต่อเองน่ะสิฮะ(หื่นนน!!!) มันยังไม่หนำใจนัก..
แต่ในที่สุดก้ตามทันแล้ว จะจบตอนหน้าจริง ๆ ริฮะ?? ดูแล้วมันยังไปต่อได้เรื่อย ๆ อยู่นะฮะ อย่าเพิ่งเลยนะครับ^^
รอตอนต่อไปนะฮะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: nomo9 ที่ 12-04-2011 20:07:15
หึหึ อ่านลงมาเห็น end แถมอยากจะเอา RPG ไปถล่มเลย
โทษฐานทำให้อารมณ์ค้างอ่ะ ^_^
แต่มารอตอนต่อไปน้า เดาว่าอาฉู่มาจากจูเชว่คนก่อนไม่งั้นก็จากชิงหลงอ่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 13-04-2011 00:50:55
ยังไม่มาต่ออีหรอคะ แงงงงงงงง :o12:
สงสารอาเฟย!! งึ้ดๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 13-04-2011 11:16:05
เข้ามาปูเสื่อรอ คุณเซีย
ป่านนี้ไปเที่ยวเล่นน้ำสงกรานต์แล้วมั้ง อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: cherry blossom ที่ 13-04-2011 19:51:52
มารอตอนจบ (รึเปล่า)
ขอหวานๆหน่อยน้า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 14-04-2011 11:52:27
เข้ามานั่งรออีกวัน อิอิ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 14-04-2011 12:10:57
ซัมเมอร์เพิ่งจบไป งานพิเศษก้มี ได้ 2 แรงด้วยวันนี้ แต่ขี้เกียจทำงิ 18 นี้ฝึกงานอิก โอ๊ยยยย ขี้เกียจ!!
....ก้เลยมานั่งรอ ขอรอด้วยคน^^  ทั้งวัน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: beautyless ที่ 14-04-2011 18:02:03
เพิ่งกลับจากตจว. ไว้อ่านเสร็จแล้วจะมาเม้นท์ให้นะ



-------------------------

edited :
อ่านเสร็จแล้ว งานนี้สงสัยมู่ได้ครองใจหวางซิงชัวร์ป๊าบ ส่วนนายฉู่นี่เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าอะไรเป็นอะไร

แอบตกใจ นิยายดีๆ สนุกๆ กำลังจะจบซะแล้ว คงฝันหวานน่าดูถ้าได้อ่านตอนจบ  :L1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 14-04-2011 21:41:35
เข้ามารอตอน 34
><
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 15-04-2011 22:47:33
ประกาศ....การ์ดจอพังอีกแล้ว(เว้ย)ค่ะ=[]=!!!
คราวนี้เปลี่ยนรุ่นแล้วยังพังอีก เลยบอกพี่ช่างว่ายกไปเช็คทั้งเครื่องเหอะพี่= ="
ดังนั้นตอนสุดท้ายอาจได้ดองนานเพราะถ้าคราวนี้ยังพังอีกพี่ช่างบอกว่าจะเคลมทั้งเมนบอร์ด....
เวรกรรมอะไรของช๊านนนนนน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 15-04-2011 23:00:16
= = โอ้ววว พระเจ้า
เราจะต้องรอกันต่อไปเหรอ แต่...
ยังไงก้จะรอค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ คุณเซีย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: NONSENSE ที่ 17-04-2011 01:34:06
พึ่งได้อ่าน

อ่านรวดเดียววันเดียวเลยค่ะ

สนุกมากค่ะ

รอตอนต่อไปนะคะ
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 17-04-2011 14:06:15
เราไม่หวั่นแม้การ์ดจอพัง 5555
ยังไงก็รอได้ค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 18-04-2011 18:30:28
เรื่องนี้สุดๆจริงๆ หลายตลบซะไม่รู้จะตลบยังไง สรุปแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่านายคนแซ่ฉู่นั่นใครกัน 555+ นี่ไอตามอ่านทั้งวันเลยนะเนี่ย!! o13
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: pinkky_kiku ที่ 19-04-2011 00:14:17
นายฉู่กลับมาหน่อยเหอะ สงสารน้องเฟยนะ
ทำไมทำกันแบบเน้ๆๆๆๆ รอตอนต่อไปจ้า กะลังอินเลย  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 20-04-2011 00:54:51
โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ แม้แต่ตอนจบก็ยังต้องรอ  :sad4:
ขอให้จบแบบมีความสุขด้วยเถอะค่า~ คิดถึงอาเฟย
รอคุณเซียร์อยู่นะค้า อ๊ะ ต้องบอกว่า รอคอมของคุณเซียร์มากกว่า  :o9:

ปอลอกุงเกงลิง : นึกดีใจอยู่เหมือนกันที่คุณเซียร์ยังไม่มาลงตอนจบช่วงสงกรานต์
เพราะไปเที่ยวมาพอดี กลัวจะได้อ่านตอนจบช้ากว่าคนอื่น :laugh:
หวังว่าจะได้อ่านตอนจบเร็วๆนี้(อย่างมีความสุข)<<บังคับค่ะๆ ต้องมีความสุขเน้อ 555++
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 21-04-2011 18:29:14
ทำอะไม่ได้นอกจาก "รอ" และไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหน?
ยิ่งกำลังจะจบ ไม่จบแหล่แบบนี้ การรอคอยยิ่งทรมาณ  
ส่งกำลังใจให้คุณ ZIar ขอให้เคลมการ์ดจอได้เร็ว ๆ นะคะ... :m13:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงŪ
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 22-04-2011 01:50:43
ยังซ่อมไม่เสร็จหรอค้า~ อยากอ่านค่ะๆๆๆๆๆๆๆๆ  :a6:
เข้ามาโหยหวน แล้วก็จากไป  :m22: ฟิ้วววว~
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 23-04-2011 12:34:12
ถึงกับต้องกรี๊ดเมื่อเห็น End. แต่พอเลื่อนลงมาถอนหายใจ ฟู่วว!!
อย่าทำให้ตกใจซิคะ  ใจหายหมดเลย
ตาฉู่ ตกลงเป็คนของใครกันแน่  :serius2:

แต่อ่านตอนนี้แล้ว แอร๊ยยย มีสวีทเล็กๆ เล็กจริงๆ ฮ่าๆๆ
รออ่านตอนต่อไปอยู่จ้าาา
+1 ให้นะคะ นั่งรอๆๆ  :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 33 (11/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 25-04-2011 01:11:41
คุณเซียร์ขา~ หายไปนานแล้วนะค้า คิดถึงอาเฟย  :m1:
ได้โปรดพาอาเฟยกลับมาสู่อ้อมกอดนักอ่านทุกๆคนเร็วๆด้วยเถอะค่า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 25-04-2011 17:37:59
-34-


“ดีจังเลยนะครับที่โรงแรมนั้นเปิดให้บริการได้แล้ว แค่เดือนเดียวรายได้ก็เข้ามามากขนาดนี้” หวางซิงกล่าวขณะถือใบสรุปงบประมาณเข้ามาให้ในห้อง โรงแรมที่ว่านี้คือโรงแรมที่ยกให้ฉู่เหวินจือเป็นคนจัดการตอนที่เข้ามาใหม่ ๆ เจ้าตัววางแผนทั้งที่ตั้ง การวางอาคาร การออกแบบ และการบริหารด้วยตัวเองก่อนที่จะจากไป ซึ่งแม้ในเวลานี้ ฉู่เหวินจือจะหายตัวไปได้ครึ่งปีแล้วก็ตาม ผลของสิ่งที่เจ้าตัวทำเอาไว้ก็ออกดอกออกผลอย่างมหาศาล ทำให้เซินเฟยไม่ต้องเหนื่อยแรงมากนักตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา

เซินเฟยมองดูใบรายงานงบประมาณในมือด้วยสายตาเฉยชา สำหรับเขาแล้ว การที่ทุก ๆ อย่างดูเรียบง่ายไปเสียหมดอย่างเวลานี้เหมือนจะไม่ใช่ความเป็นจริง ราวกับกำลังติดอยู่ในความฝันที่ว่างเปล่าและหวนคิดกลับไปถึงช่วงเวลาที่ความวุ่นวายประเดประดังเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ในบางครั้งเขาก็สงสัยว่าช่วงเวลาไหนกันแน่ที่จะเป็นความจริงที่ยืนยาว

เด็กหนุ่มวางแผ่นกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวเลขและเส้นกราฟกลับลงไปบนโต๊ะพลางเอนหลังพิงพนักแล้วประสานมือไว้บนตัก

“วันนี้นักสืบมู่มาใช่ไหม?” คำถามของเซินเฟยทำให้หวางซิงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางแล้วพยักหน้า

“แต่คุณมู่ดูรีบจะไปทำงานผมก็เลยไม่ได้รั้งไว้ครับ ไม่ทราบว่าคุณเซินมีธุระอะไรหรือเปล่าครับผมจะได้เรียกตัวให้” เซินเฟยส่ายศีรษะให้กับคำถามของหวางซิง เขาเพียงแค่สังเกตว่าอีกฝ่ายดูมีความสุขเป็นพิเศษจึงลองถามดูก็เท่านั้น จะว่าไป หลังจากจบเรื่องทุกอย่างแล้ว แทนที่หวางซิงและมู่อี้จิงจะห่างกันไปกลับยิ่งเพิ่มความสนิทสนมกันมากขึ้นตามลำดับจนเดี๋ยวนี้ถึงขั้นไปมาหาสู่กันจนเป็นปกติ

ตอนนี้สารวัตรหรงวางมือไปโดยสมบูรณ์แล้ว ถึงเซินเฟยจะนึกเสียดายคนดีมีฝีมือที่ทำงานให้มาตั้งแต่สองรุ่นก่อน แต่มู่อี้จิงก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังไม่ว่าการงานใด ๆ เขาจึงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเมื่อมู่อี้จิงและหวางซิงยังคงสานสัมพันธ์กันต่อไป

“แล้วมีอะไรอีกไหม?” เซินเฟยเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหวางซิงยังคงเงียบแต่ไม่ได้เดินออกไปจากห้องหรือหันไปทำงานอย่างอื่นตามปกติ

“ครับ” หวางซิงรีบตอบรับแล้วหยิบการ์ดใบเล็ก ๆ ออกมาจากกองเอกสารบนอ้อมแขนก่อนจะวางลงบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปตรงหน้าเซินเฟย

เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว นึกแปลกใจว่ามีใครคิดอยากจะเชิญเขาไปงานที่ไหนอีก ในเมื่อช่วงนี้เขตของเขาแทบจะไม่มีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้น กระทั่งข่าวมงคลก็ยังเงียบเชียบ เขาเลื่อนบัตรเชิญมาตรงหน้ามองดูซองสีชมพูอ่อนปั๊มตราสีทองอย่างสวยงาม แต่รอยปั๊มนั้นทำให้เขาต้องมุ่นคิ้ว เพราะตราสีทองที่ปรากฏบนซองเป็นตราประจำตระกูลหวาง หรือหากพูดให้เจาะจงมากขึ้นก็คือตราประจำตัวของเสวียนอู่ หากมองจากซองแล้วคงจะคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากงานมงคลของทางเสวียนอู่กำลังจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ และทางนั้นต้องการเชิญเขาไปร่วมงานด้วย

หากเป็นเรื่องของทางเสวียนอู่ก็ไม่น่าแปลกใจที่เขาไม่มีข่าวคราวในถึงหู เซินเฟยเปิดซองออก ดึงการ์ดที่ทำจากกระดาษหอมออกมาเปิดอ่านและเขาพบว่าตนเองคาดเดาไม่ผิด

เสวียนอู่กำลังจะจัดงานหมั้นอาทิตย์หน้า....

ท่าทางคงจะเป็นการจัดการของทางครอบครัว เพราะอย่างไรเสวียนอู่รุ่นปัจจุบันก็เป็นผู้หญิง ในสังคมคนฮ่องกงก็คล้ายคลึงกับคนจีนหลายส่วน การจะปล่อยให้ผู้หญิงอายุน้อยตัวคนเดียวกุมอำนาจทั้งหมดโดยไม่มีบังเหียนถือเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย แต่สำหรับมุมมองของเขา ถึงจะสมรสแล้วเขาก็ไม่คิดว่าคนอย่างเสวียนอู่ที่เขาเคยพบคนนั้นจะยอมให้ใครมาอยู่เหนือตนง่าย ๆ ซ้ำฝ่ายชายยังเป็นคนนอก อย่างดีก็แค่เข้ามาเป็นผู้ช่วยจัดการในบางเรื่องเท่านั้น หรือไม่ก็คงได้แค่เป็นสามีแต่ในนาม ไม่มีสิทธิในการบริหารใด ๆ

“ตอบรับกลับไปหรือยัง?”

“เรียบร้อยแล้วครับ” หวางซิงรับคำ เขารู้ดีว่างานในลักษณะใดเซินเฟยจะตอบรับหรือปฏิเสธ หลาย ๆ ครั้งจึงสามารถตัดสินใจเองได้ตามความเหมาะสม ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่รับรองความไว้วางใจที่เซินเฟยมีต่อเลขาของตนเองที่ร่วมทุกข์สุขกันตลอดช่วงที่ผ่านมา

“ถ้าอย่างนั้นก็จัดเตรียมของจำเป็นให้เรียบร้อยด้วย”

สำหรับงานที่ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนระดับเดียวกัน หากขาดตกบกพร่องเรื่องใดไปจะถือว่าเป็นการเสียหน้าอย่างยิ่งยวด ด้วยเหตุนั้น หวางซิงจึงรีบออกไปจัดการตามคำสั่งในทันทีเพื่อให้มั่นใจว่าของทุกอย่างต้องเตรียมพร้อม ถึงแม้จะเป็นแค่งานหมั้นไม่ใช่งานแต่งก็ตามที

------------------->

คนตระกูลหวางไม่ใช่คนที่นิยมความเรียบง่ายนัก หากไม่นับเสวียนอู่รุ่นก่อนก็สามารถพูดได้ว่าคนตระกูลหวางทุกคนชื่นชมความหรูหราฟู่ฟ่า มากกว่าครึ่งของคนในตระกูลทำธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่นและธุรกิจบันเทิง แม้แต่เสวียนอู่รุ่นปัจจุบันเองก็มีหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่นหลายแห่ง ดังนั้นหากใครได้รู้กิตติศัพท์เหล่านี้จะไม่นึกแปลกใจเลยว่าเหตุใดเพียงแค่งานหมั้นจึงจัดเสียโอ่อ่าหรูหราถึงขั้นปิดโรงแรมแห่งหนึ่งในเขตปกครองเพื่อจัดงานราวกับเป็นงานพบปะเสวนาระดับโลก ซึ่งนั่นก็อาจไม่แปลกเมื่อมองดูดี ๆ แล้ว ในธุรกิจแฟชั่นและบันเทิงมักจะมีการพบปะกับคนภายนอกประเทศบ่อยครั้ง ดังนั้นเสวียนอู่ที่เชื้อเชิญเพื่อนในวงการมามากหน้าหลายตาจะต้องมีสถานที่รับรองอย่างเหมาะสมตั้งแต่วันมาจนถึงวันกลับ

เซินเฟยเดินทางมาถึงงานด้วยรถยนต์ส่วนตัวและการ์ดมากกว่าสิบนาย ซึ่งทางโรงแรมก็ได้จัดเตรียมที่จอดรถเอาไว้แล้วเพื่อไม่ให้เจ้าของงานเสียหน้าได้ ถึงอย่างนั้นเซินเฟยก็ไม่มีโอกาสจะได้เห็นสถานที่จอด เพราะรถมาจอดส่งถึงหน้างานที่ปูพรมแดงรับแขกก่อนจะขับเลยไปเมื่อผู้โดยสารเข้างานไปแล้ว

“ยินดีที่ได้พบอีกนะคะ” หญิงสาวในชุดราตรีดีไซน์ใหม่เอี่ยมสีชมพูหวานเอ่ยทักทายเด็กหนุ่มทันทีที่เขาเดินลงจากรถ ทั้งยังก้าวออกมารับด้วยตนเองแล้วยกมือโบกให้พนักงานต้อนรับถอยออกไป

“เช่นกันครับ” เซินเฟยรับคำก่อนจะยกแขนขึ้นให้อีกฝ่ายควงแล้วพากันเดินเข้าไปที่ซุ้มประตูซึ่งมีชายหนุ่มต่างชาติรูปร่างหน้าตาดียืนอยู่ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้มให้เซินเฟยอย่างสุภาพเมื่อเขาส่งตัวคู่หมั้นคืนให้ อีกฝ่ายทักทายเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเซินเฟยก็เจรจาโต้ตอบได้อย่างคล่องปาก ด้วยการพูดจาพาทีกันไม่กี่ประโยคทำให้เซินเฟยเดานิสัยคร่าว ๆ ของอีกฝ่ายได้ว่าค่อนข้างจะเป็นคนสุภาพอ่อนน้อม และค่อนข้างจะเป็นผู้ตาม มิน่าเล่าคนอย่างเสวียนอู่ถึงยอมแต่งงานด้วย

หวางซิงส่งของขวัญที่ติดไม้ติดมือมาให้กับคนที่มีหน้าที่รับของก่อนจะเดินตามเซินเฟยเข้าไปในงานและประกบติดหลังเพื่อคอยกระซิบบอกเด็กหนุ่มว่าแขกคนไหนเป็นใครบ้าง

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยแขกเหรื่อหลากหลายชาติ หลายคนเป็นบุคคลที่เซินเฟยไม่รู้จักจึงมีการเอ่ยทักทายกันตามระเบียบซึ่งเมื่อเดินผ่านกันไปเซินเฟยก็ลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร

โดยปกติแล้ว เซินเฟยไม่ค่อยชินกับคนเยอะ ๆ มากนัก เมื่อเดินทักทายแขกไปไม่ถึงครึ่งงานก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยจึงปลีกตัวไปยืนที่มุมหนึ่งของห้องและหาคอกเทลดื่มแก้กระหายไปพลาง หวางซิงจะคอยดูแลรอบข้างอยู่ตลอดพร้อมกับการ์ดสองคนซึ่งมีหน้าที่เฝ้าระวังภัย ด้วยภาพเช่นนั้นคงมีคนเดาฐานะของเขาได้ไม่ยาก จึงไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนการพักผ่อนของเขายกเว้นบุคคลหนึ่ง....

ชายซึ่งสวมชุดสูทสีดำเรียบกริบเป็นทางการตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเดินก้าวฉับ ๆ เข้ามาในรัศมีที่ทำให้การ์ดของเขาไหวตัวอย่างระแวดระวังและเข้ากันชายคนดังกล่าวออกจากเจ้านายด้วยการขยับเข้าหากันจนเกือบชิด ชายคนนั้นจึงหันไปทางหวางซิงแทน

“ผมเป็นคนของชิงหลง เจ้านายของผมต้องการจะสนทนากับจูเชว่เป็นการส่วนตัวจึงให้ผมลงมาเชิญครับ” เจ้าตัวว่าพลางเปิดถุงมือสีขาวให้เห็นรอยสักรูปมังกรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชิงหลงบนหลังฝ่ามือ

หวางซิงจ้องมองตรานั้นอย่างละเอียดจนกระทั่งรายละเอียดเล้กน้อยก็ยังไม่รอดพ้นสายตาจนแน่ใจว่าเป็นของจริงจึงหันมาทางเซินเฟยแล้วรายงานตามที่อีกฝ่ายพูดอย่างครบถ้วน

เด็กหนุ่มหลุบตาลงพลางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ

ชายแปลกหน้าที่บอกว่าตนเป็นคนของชิงหลงเดินนำทางไปยังลิฟต์ตัวหนึ่งก่อนจะปล่อยให้ลิฟต์พาขึ้นไปถึงชั้นบนที่ตัวเซินเฟยเองไม่ได้ใส่ใจจะมองตัวเลข แต่คำนวณจากเวลาน่าจะเกินชั้นที่ 20 มาไม่กี่ชั้น

เสียง ‘ติ๊ง’ เตือนให้คนภายในรู้ว่าลิฟต์มาถึงชั้นที่กำหนดแล้ว ชายหนุ่มผู้นำทางกดให้ลิฟต์เปิดประตูค้างไว้แล้วผายมือให้เซินเฟยเดินนำออกไปพร้อมการ์ดและเลขาคนสนิท เจ้าตัวจึงเดินออกมาสมทบ

“เชิญทางนี้ครับ” เขาผายมือไปยังห้องที่อยู่สุดทางเดินด้านหนึ่ง ทว่าเมื่อเซินเฟยเดินไปถึงหน้าห้องเขากลับถูกกันเอาไว้ด้านนอกโดยการ์ดสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู กระนั้นตัวผู้นำทางก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยืนนิ่ง ๆ เซินเฟยจึงเงียบและรอดูสถานการณ์ต่อไป

การ์ดคนหนึ่งเคาะประตูพร้อมบอกคนในห้องว่า “จูเชว่มาถึงแล้วครับ”

หลังจากนั้นไม่นาน ประตูก็เปิดออกโดยคนด้านใน ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งเดินออกมา เขามีใบหน้าเฉยชาอันเป็นกิจลักษณะประจำตนดังที่ผู้คนเล่าลือกันปากต่อปากถึงชิงหลงผู้ครองด้านตะวันออกของเกาะรวมถึงน่านน้ำฝั่งแปซิฟิกที่เป็นอาญาเขตของฮ่องกง

“มีคนรอคุณอยู่” เขากล่าวพลางเปิดทางให้เซินเฟยเดินเข้าไปในห้อง “ส่วนคนอื่น ๆ ขอให้รออยู่ด้านนอก”

“เขาเป็นเลขาของผม” เซินเฟยว่าขึ้นเมื่อชิงหลงให้การ์ดกันตัวกระทั่งหวางซิง

“ไม่ไว้ใจผมงั้นหรือ?” คำถามของชิงหลงทำให้เซินเฟยเม้มปากนิ่งก่อนจะพรูลมหายใจออกมาแล้วบ่ายหน้ากลับไปทางเดิมพร้อมคำสั่ง

“รออยู่ตรงนี้” จากนั้น ประตูก็ปิดลง

เซินเฟยถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสำรวจห้องตรงหน้า และเขาก็พบว่าที่มุมนั่งเล่นซึ่งประกอบด้วยโซฟายาวสองตัวกับโซฟาเดี่ยวตัวหนึ่งและโต๊ะกระจกมีคนสองคนอยู่ตรงนั้น เพียงแต่เขามองเห็นไม่ชัดนักเพราะดีไซน์ของห้องเป็นการแบ่งสัดส่วนระหว่างประตูกับบริเวณภายในด้วยกระจกแผ่นหนึ่งที่ทำให้เนื้อกระจกเป็นริ้วรอยคลื่นเพื่อให้เห็นภาพด้านหลังไม่ชัดเจนดังที่ควรจะเป็น

เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่จนกระทั่งบุคคลภายในรู้สึกผิดสังเกตจึงส่งเสียงทัก

“จูเชว่มาถึงที่นี่แล้ว จะไม่เข้ามาหรือครับ?”

เซินเฟยมุ่นคิ้วก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินอ้อมแผ่นกระจกเพื่อให้เห็นสภาพภายในห้องและบุคคลที่รออยู่อย่างถนัดตา

ที่โซฟาตัวยาวนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหันหน้ามาทางเขาและส่งยิ้มให้ เรือนผมสีน้ำตาลดูไม่เหมือนคนเอเชียทำให้เซินเฟยรู้สึกแปลกตาตั้งแต่แวบแรกที่เห็น กระนั้นใบหน้าและลักษณะท่าทางของคน ๆ นี้ก็บ่งบอกเขาว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่เขารู้จักดี แน่นอน....อาจจะไม่เคยพบปะเจรจากันมาก่อน แต่ว่า หากเป็นรูปถ่ายเขาได้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วน...เพราะคน ๆ นี้เคยเป็นเจ้าบ้านตระกูลเซินซ้ำยังเป็นคนที่ชักนำเขาเข้ามาในวงการนี้

“....เซิน...หมิงเฟิ่ง?”

ชายหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นก่อนพยักหน้ารับแล้วเสมองไปด้านข้างซึ่งมีชายหนุ่มอีกคนในชุดสูทสีดำยืนเอามือไขว้หลังนิ่งสงบอยู่ เจ้าตัวสวมแว่นกันแดดสีดำ เสยผมเรียบกริบ ประดับยิ้มตรงมุมปาก แม้จะดูคุ้นตาแต่กลับไร้ท่าทางหยิบโหย่งอย่างที่เซินเฟยเคยเห็นเป็นประจำทำให้เขาไม่แน่ใจนักในคราวแรก มีเพียงความลึกลับในรอยยิ้มเท่านั้นที่ทำให้เซินเฟยมั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่เขารู้จักอย่างแน่นอน

หัวใจของเซินเฟยเต้นผิดจังหวะไปชั่ววูบหนึ่งก่อนจะกลับเป็นปกติในวินาทีต่อมาเมื่อได้ยินเสียงเชื้อเชิญ

“นั่งลงก่อนสิจูเชว่”

“อย่าเรียกผมอย่างนั้นเลยครับ ยังไงคุณก็เป็นอาของผมแถมยังเป็นถึงจูเชว่รุ่นก่อนด้วย” เซินเฟยกล่าวแล้วนั่งลงตามคำเชิญ ชายหนุ่มจึงหัวเราะออกมา

“แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่คนของตระกูลเซินแล้ว ทั้งคุณกับผมก็เป็นเพียงญาติห่าง ๆ กัน เรียกอย่างนี้จะสะดวกใจกว่าสำหรับเราทั้งคู่จริงไหม?”

“....ครับ ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น” เซินเฟยจำยอมรับเหตุผลของอีกฝ่าย เพราะหากจะให้เรียกจริง ๆ แล้วเขาคงจะรู้สึกกระดากตัวเองเป็นแน่หากจะเรียกอีกฝ่ายเป็นอาหรือพ่อเพราะพวกเขาไม่เคยได้พบกันโดยตรงเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งยังไม่เคยพูดคุยกันอย่างที่ญาติหรือกระทั่งพ่อลูกบุญธรรมควรจะทำ

“ซากุระฝากความคิดถึงมาหาคุณด้วย”

“ครับ....” เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรกับผู้ชายตรงหน้า หรือหากพูดจริง ๆ แล้ว เซินเฟยไม่ใช่คนเจนจัดในการเข้าสังคมจึงไม่ถนัดที่จะคิดหาวิธีตอบโต้กับคู่สนทนาอย่างฉับพลัน โดยส่วนใหญ่หวางซิงจะเป็นคนทำหน้าที่เหล่านี้โดยมีเขาเสริมเป็นช่วง ๆ เมื่อขาดเหลืออะไร ดังนั้นเซินเฟยจึงตอบรับเพียงคำสั้น ๆ และเหลือบสายตามองชายหนุ่มที่เขามั่นใจว่าตนเองรู้จักดี และดูเหมือนเซินหมิงเฟิ่งก็จะเข้าใจเจตนาทางสายตานั้น

“คุณอาจจะไม่รู้แต่ในรุ่นพ่อของผม ท่านมีหัวหน้าการ์ดคนสนิทอยู่คนหนึ่งที่คอยรับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่สมัยเด็ก เขาเป็นคนแซ่ฉู่ที่ถูกทางบ้านขายตัวมาไถ่หนี้ เมื่อเขาโตขึ้น เขาก็รับเด็กคนหนึ่งมาเป็นลูกบุญธรรมเพื่อให้มาทำงานเป็นหัวหน้าการ์ดของผม” เขาเล่าเรื่องราวในอดีตครู่หนึ่งก็เงียบไปก่อนจะเริ่มพูดต่อ “อาจจะช้าไปหน่อยแต่ผมอยากจะแนะนำคน ๆ นั้นให้คุณรู้จัก”

ชายหนุ่มในชุดสูทดำยิ้มกว้างขึ้นแล้วเอ่ยอย่างสุภาพ

“ฉู่เหวินจือครับ”

เซินเฟยเม้มปากจนเป็นเส้นตรง แนะนำอย่างนี้จะให้เขาตอบอย่างไร? ยินดีที่รู้จักหรือ? หรือว่าดีใจที่ได้พบอีกครั้ง? ในที่สุดแล้วเซินเฟยจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา เพราะเขาแน่ใจว่าถึงจะพูดอะไรออกไปก็ล้วนแต่ไม่เข้ากับสถานการณ์นี้ทั้งสิ้น

“ผมคิดว่าพวกคุณคงมีอะไรให้คุยกันหลายอย่าง ดังนั้นผมจะให้พวกคุณคุยกันตามสบาย” เซินหมิงเฟิ่งลุกขึ้นยืนแล้วดึงปืนพกของฉู่เหวินจือออกมาจากเสื้อนอกของเจ้าของก่อนวางลงบนโต๊ะกระจก “ผู้ชายคนนี้เป็นสมบัติของจูเชว่ ดังนั้นผมขอยกเขาให้คุณซึ่งเป็นผู้สืบทอดของผม” หลังกล่าวจบ เซินหมิงเฟิ่งก็เดินจากไป ประตูถูกเปิดและปิดลงทำให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เซินเฟยมองดูปืนที่ถูกขัดจนมันวาวบนโต๊ะ เขาตีความของพ่อบุญธรรมตนเองได้ไม่ยาก ฝ่ายนั้นต้องการทดสอบใจของเขาว่าจะจัดการอย่างไรกับผู้ชายที่ชื่อ ฉู่เหวินจือ ซึ่งตอนนี้ได้กลับมายืนตรงหน้าเขาอีกครั้งในฐานะที่แตกต่างจากครั้งแรก

“นายเป็นคนของเซินหมิงเฟิ่งมาตลอด”

“ผมเป็นคนของจูเชว่ครับ” คำตอบของฉู่เหวินจือสามารถตีความได้หลายแง่ ไม่ได้เจาะจงลงไปอย่างชัดเจน

“นั่นไม่ใช่คำตอบที่ทำให้ฉันพอใจได้ นายก็รู้” เซินเฟยเหลือบสายตาขึ้นจากกระบอกปืนบนโต๊ะแล้วเปลี่ยนท่านั่งโดยยกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วเอนศีรษะวางลงบนมือที่เท้าศอกบนที่พักแขน “นายชอบทำเรื่องเซอร์ไพรซ์ แต่ครั้งนี้ไม่คิดหรือว่าเป็นมุกที่ฝืดมาก”

“ขออภัยครับ” วิธีพูดของฉู่เหวิอนจือผิดไปจากปกติทำให้เซินเฟยรู้สึกระคายคออย่างน่าประหลาด หรือว่าตลอดเวลาที่อยู่กับเขาเป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้น?

“พูดมาสิ”

“อะไรหรือครับ?”

“คำสั่งของเซินหมิงเฟิ่ง เขาสั่งให้นายมาข่มขืนฉันแล้วตีจากหรือยังไง?” เซินเฟยประชดแดกดันเสียงเข้มสื่อถึงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ในชั่ววินาทีนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองเห็นรอยยิ้มขบขันทอในดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดสีดำ บางทีเขาอาจจะตาฝาด

“อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้ว เจ้านายสั่งให้ผมทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันคุณขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดและหมายรวมถึงการขจัดขวากหนามที่ทิ่มแทงคุณอยู่ด้วย แม้กระทั่งคนใกล้ชิดก็ต้องถูกทดสอบถึงความจงรักภักดี จนถึงตอนนี้หน้าที่ของผมได้สิ้นสุดลงแล้วผมจึงได้จากมา” ฉู่เหวินจือคลี่ยิ้มบางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่เซินเฟยไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก

“แล้วกล้าดียังไงถึงกล้ากลับมาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีก” เซินเฟยกดเสียงต่ำอย่างคุกคาม

“เจ้านายของผมต้องการยกผมให้คุณอยู่แล้ว แต่เพราะในตอนนี้เขาเป็นเพียงคนไร้ตัวตนตามกฎหมายจึงไม่สามรถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ จำเป็นต้องรอช่วงเวลาอย่างนี้เท่านั้นครับ”

“แสดงว่าตอนนี้นายเป็นของฉันแล้ว?”

“ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น แม้แต่ชีวิตผมก็เป็นของคุณ” ฉู่เหวินจือตอบคำโดยไม่มีท่าทางลังเลหรือกระอักกระอ่วนใจที่ชีวิตตนเองถูกกระทำเหมือนเป็นสิ่งของที่ถูกยกให้คนอื่นง่าย ๆ

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 25-04-2011 17:38:38
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาปืนจ่อหัวตัวเองซะ” คำสั่งของเซินเฟยเฉียบขาดเหมือนกับนิสัยของเจ้าตัว หากใครฟังย่อมรู้ว่าไม่ใช่การพูดวางอำนาจเล่น ๆ ถึงอย่างนั้นทันทีที่ได้รับคำสั่ง ฉู่เหวินจือก็ก้มตัวลงแล้วหยิบปืนขึ้นจ่อขมับตัวเองตามคำสั่งโดยไม่ออกอาการสะทกสะท้าน การตอบสนองเช่นนั้นทำให้เซินเฟยเกิดรู้สึกหวั่นไหวเสียเอง แต่เด็กหนุ่มก็สลัดความหวั่นไหวนั้นทิ้งไปก่อนสูดหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่ง

“คำถามต่อไปนี้ ถ้านายตอบให้ฉันพอใจไม่ได้ฉันจะสั่งยิงทันที”

“ไม่ทราบว่าคุณเซินต้องการคำตอบตามความเป็นจริงหรือแค่ให้พอใจก็พอครับ” คำถามเหมือนการพูดเล่นอย่างที่เจ้าตัวเคยทำบ่อย ๆ แต่น้ำเสียงที่ใช้กลับจริงจังเสียจนเซินเฟยนึกโมโหไม่ลง เพียงแต่รู้สึกหงุดหงิดใจที่จะต้องมาตอบคำถามไร้สาระเท่านั้น

“ฉันต้องการความจริง”

ฉู่เหวินจือไม่ได้ตอบรับคำใด ๆ ชายหนุ่มยืดตัวตรง มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือเตรียมเหนี่ยวไกปืนตัดชีวิตตนเองเป็นการแสดงออกว่าพร้อมจะตอบคำถามแล้ว

“ก่อนที่นายจะ....หายตัวไป นายเคยบอกฉันว่านายทำตามคำสั่งของเซินหมิงเฟิ่งอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอดแต่มีเพียงสองอย่างเท่านั้นที่นายทำตามใจตัวเอง” เซินเฟยเว้นช่วงแล้วกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจก่อนจะถามต่อ “สองสิ่งนั้น....คืออะไร?”

“อย่างแรกคือการฆ่าเฉียนหยุนครับ”

“นั่นมันคำสั่งของฉัน....”

“ไม่ครับ นั่นเป็นความต้องการส่วนตัวของผม” ฉู่เหวินจือยังคงยืนยันคำตอบเดิม “เรื่องต้นเหตุเกิดขึ้นก่อนที่คุณจะเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลเซิน พ่อของผมมีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าเฉียนหยุนกำลังวางแผนคิดไม่ซื่อกับองค์กรแต่เขากลับเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ก่อนจะได้บอกกับใคร แต่เมื่อตรวจสอบรถแล้วพบว่ามีความจงใจทำให้เป็นอุบัติเหตุ ท่านจูเชว่สองรุ่นก่อนระแคะระคายบางอย่างอยู่แล้วจึงรีบส่งตัวผมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเพื่อที่เฉียนหยุนจะได้เอื้อมไปไม่ถึง แล้วตอนที่ผมจะได้กลับมาจัดการสิ่งที่คั่งค้างอยู่ เจ้านายของผม....จูเชว่รุ่นก่อนก็สละตำแหน่งก่อนที่ผมจะสามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้สำเร็จ โดยปกติแล้วผมเป็นคนที่ทำงานอยู่เบื้องหลังดังนั้นจึงไม่มีใครที่รู้จักตัวตนของผม และเป็นเพราะผมถูกส่งตัวไปต่างประเทศตั้งแต่อายุน้อยคนในบ้านตระกูลเซินจึงไม่มีใครจำผมได้...แม้กระทั่งชื่อของผมตอนอยู่ในบ้านใหญ่ก็ยังไม่ได้มีการตั้งให้เรียกอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าบอกว่าเป็น ‘อาเสี่ยวฉู่ (เจ้าฉู่น้อย)’ พ่อบ้านหวางน่าจะจำได้”

เซินเฟยไม่ได้พูดแทรกระหว่างที่อีกฝ่ายเล่าถึงเรื่องอดีตที่เป็นเหตุนำให้เจ้าตัวกระทำตามใจตนเองในประเด็นแรก เท่าที่เขาจับใจความได้ ดูเหมือนฉู่เหวินจือจะรับใช้ตระกูลเซินมานานแล้วเพียงแต่ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกับที่เขาก้าวเข้ามาในบ้านเท่านั้น

“ตอนที่สละตำแหน่งด้วยการเขียนใบมรณบัตรให้ตัวเอง เจ้านายของผมรู้ดีว่าคุณจะถูกต่อต้านจากภายในองค์กร ผมจึงถูกส่งตัวเข้าไปเพื่อทำงานนี้และทำให้ผมได้มีโอกาสแก้แค้นเฉียนหยุนจนสำเร็จ”

“ฉันเป็นทางผ่านการแก้แค้นของนายสินะ?”

“ส่วนหนึ่งอาจจะใช่ครับ” ฉู่เหวินจือไม่ได้คิดแก้ตัวกับการกระทำของตนเองแม้แต่น้อย

“แล้วเรื่องที่สอง?” เซินเฟยเลิกคิ้ว เขาหวังว่าจะไม่ใช่เรื่องของจือหยิน เพราะถ้าใช่เขาอาจจะสั่งยิงทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาให้ระคายหู

“เรื่องที่ผมกอดคุณครับ” ทว่าคำตอบกลับผิดจากที่คิดไปไกลโข

“อ....อะไรนะ....” เซินเฟยถามตะกุกตะกักเหมือนสำลักน้ำลายตัวเอง “นายคิดจะล้อฉันเล่นหรือยังไง!”

“คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ที่ผมพูดเป็นความจริง ที่ผมกอดคุณเป็นความต้องการของผมเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำสั่งของใครทั้งสิ้นรวมถึงคำสั่งของคุณด้วย” คำตอบของฉู่เหวินจือยังคงแสดงถึงความมั่นคงในความคิดของตนเอง หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายกำลังปกป้องใครบางคนที่อาจเสียหายจากคำตอบนี้อยู่ก็จะต้องเป็นคำตอบที่มาจากใจจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ใครล่ะจะได้รับความเสียหายจากคำตอบข้อนี้ที่สุดหากไม่ใช่ตัวเซินเฟยเอง?

แล้วนี่คือคำตอบที่มีให้คำถามของเขา เจ้าตัวจะปิดบังเพื่อปกป้องเขาทำไม?

เซินเฟยรู้สึกเหมือนหลอดลมตีบตันไปชั่วครู่ ร่างกายเกิดอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อมองไปยังตัวต้นเรื่อง อีกฝ่ายก็ทำเพียงยืนนิ่งอยู่ท่าเดิมโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนแต่อย่างใดราวกับว่าคำตอบที่พูดออกมานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองเลยแม้แต่น้อย เห็นท่าทางแบบนั้นแล้ว เซินเฟยก็นึกฉุนเฉียวขึ้นมาในใจ เขากัดริมฝีปาก กำมือแน่นก่อนจะเค้นเสียงด้วยอารมณ์

“ไปตายซะ”

“ครับ” ฉู่เหวินจือรับคำทันทีก่อนจะเหนี่ยวไกปืน ทว่า...

“เดี๋ยว! ไม่....ไม่ต้อง” เซินเฟยรีบกลับคำ เพราะที่เขาพูดออกไปนั้นไม่ได้ด้วยเจตนาจะให้อีกฝ่ายเหนี่ยวไก เพียงแค่พูดเพราะอารมณ์พาไปเท่านั้น แต่เมื่อกลับคำตนเองก็ดูจะเสียหน้าไม่น้อย เซินเฟยคิดหน้าคิดหลังอยู่ครู่หนึ่งก็สูดหายใจลึกหลายครั้งเพื่อปรับสภาพอารมณ์ให้เป็นปกติ “ฉันคิดดูอีกทีแล้ว เรื่องที่นายทำให้กับองค์กรน่าจะสามารถหักลบความผิดของนายได้”

“ครับ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเพราะคำพูดของเซินเฟยไม่ได้สื่อสารชัดเจนว่าจะเก็บเขาไว้ต่อไปหรือไม่

“.....สิ่งที่นายทำกับฉัน ฉันจะทำโทษนายทีหลัง” เซินเฟยปรับน้ำเสียงตนเองให้อยู่ระดับปกติจนสำเร็จ “ฉันคิดว่าการจะเก็บนายไว้ต่อไปจะมีประโยชน์มากกว่า” ว่าแล้ว เจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืน ทว่าเมื่อมองไปข้างหน้า เขากลับเห็นฉู่เหวินจือแย้มรอยยิ้มกว้างก่อนจะเหนี่ยวไกปืนที่เหนี่ยวค้างเอาไว้ เซินเฟยเบิกตากว้างพร้อมกลั้นหายใจ เขารู้สึกเหมือนหัวใจตนเองตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในช่วงวินาทีที่ไกปืนถูกเหนี่ยวนั้น ร่างกายของเซินเฟยราวกับถูกแช่แข็งด้วยความหนาวเย็นที่ผุดออกมาจากเส้นเลือด อาการชาจับตั้งแต่ปลายมือวูบเข้าไปจนถึงหัวใจที่แทบจะหยุดเต้น

แกร๊ก

เสียงที่ดังออกมาจากปืนไม่ใช่เสียงปกติที่ควรจะได้ยิน ทว่าเป็นเสียงไกที่สะท้อนออกมาเพียงเบา ๆ

ฉู่เหวินจือยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เซล้มลงบนพื้นพร้อมเลือดสีแดงฉาน ชายหนุ่มประดับรอยยิ้มบนเรียวปาก ยกปืนออกจากขมับแล้วผายมือออกทั้งสองข้าง

“ขอโทษด้วยครับ แต่ปืนกระบอกนี้ไม่มีกระสุน”

ม....ไม่มีกระสุน....

เซินเฟยยืนเบิกตาค้างเหมือนกับความนึกรู้ถูกกระชากออกไปจนว่างโหวง และเมื่อตั้งสติได้อีกครั้งเขาก็รู้ตัวว่าถูกล่อเล้นเอาเสียแล้ว เซินเฟยกัดฟันกรอด ล้วงมือเข้าไปในเสื้อนอก หมายจะหยิบปืนออกมายิงอีกฝ่ายให้ดับดิ้นไปจริง ๆ เสียตรงนี้ ทว่าเพียงพริบตาเดียว ฉู่เหวินจือก็โยนปืนเปล่าในมือตัวเองทิ้งแล้วก้าวเข้าประชิดร่างเซินเฟยก่อนรั้งทั้งร่างเข้ามาปะทะแผงอก

“น....อื้อ!” ก่อนที่เซินเฟยจะได้ประท้วงหรือก่นด่าอะไรออกมา ริมฝีปากก็ถูกประกบปิดอย่างฉับพลันจนคำพูดทั้งหมดถูกกลืนกลับลงไปในคอแทบไม่ทัน

“ผมชนะแล้วนะ คุณเซิน” อยู่ ๆ ฉู่เหวินจือก็พูดออกมาอย่างนั้น

“ชนะอะไรของนาย!”

“อ้อ ผมยังไม่ได้เล่าให้ฟังสินะ” เจ้าตัวว่าแล้วหัวเราะเสียงลึกต่ำ ฉู่เหวินจือกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว!

“ผมเดิมพันกับเจ้านาย...ไม่สิ อดีตเจ้านายเอาไว้ ถ้าผมแพ้หรือก็คือ คุณต้องการให้ผมตาย ผมจะต้องกลับไปทำงานอยู่เบื้องหลังให้กับเขา หรืออีกนัยหนึ่งคือผมจะกลายเป็นคนของชิงหลงไปโดยปริยาย”

เซินเฟยรู้สึกเหมือนลมสว้านกำลังตีขึ้นมาจุกอก ผู้ชายคนนี้กล้ามากที่หายหัวไปแล้วโผล่มาให้เขาเห็นอีกอย่างนี้ แล้วยังกล้าดียังไงเอาเรื่องของเขาไปพนันขันต่อ! ในขณะที่คิดเช่นนั้น สีหน้าของเซินเฟยก็เปลี่ยนสลับแดงสลับเขียว ทั้งโกรธทั้งคลั่ง อยากจะสั่งให้คนข้างนอกเอาเจ้าผู้ชายมากเล่ห์คนนี้ไปถ่วงอ่าวเสียให้เข็ด ปืนที่ยังกุมอยู่ใต้เสื้อร่ำ ๆ อยากจะออกมาทำหน้าที่เสียเต็มประดาแต่เพราะถูกยึดตัวเอาไว้แน่นหนาจึงไม่อาจทำอะไรได้ตามใจ เพราะอย่างนั้นอารมณ์จึงถูกตีให้พุ่งขึ้นอีกเท่าตัว

“แล้วถ้านายชนะจะได้อะไร!” เขาถามอย่างฉุนเฉียว ฉู่เหวินจือแย้มยิ้มกว้าง ดวงตาทอประกายระยับก่อนจะตอบคำ

“คุณจะต้องเป็นของผม”

“อ....อะไรนะ! ฉู่เหวินจือ! นาย.....นี่! ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!” ไม่ทันที่เซินเฟยจะได้อาละวาดจนสมใจ ทั้งร่างก็ถูกอุ้มลอยขึ้นด้วยอ้อมแขนแข็งแรง ฉู่เหวินจือสาวเท้าเดินตรงไปยังประตูบ้านหนึ่งที่เชื่อมต่อกับห้องนอนโดยไม่สนใจอาการประท้วงหนักหน่วงของคนในอ้อมแขนแม้แต่น้อย และในที่สุด เซินเฟยก็ถูกทิ้งลงบนเตียงอย่างที่เผลอคาดเดาไว้ในใจเมื่อวินาทีที่ผ่านมา

ฉู่เหวินจือเท้าแขนคร่อมตัวเซินเฟยเอาไว้ข้างใต้ ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปทางไหนได้

“หรือคุณจะบอกว่าตลอดช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาคุณไม่ได้คิดถึงผมเลยแม้สักครั้งเดียว” คำตอบตรงประเด็นของฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยหน้าแดงวูบจนถึงใบหู เด็กหนุ่มหลบตาไปทางอื่นโดยไม่ตอบคำถาม ฉู่เหวินจือจึงสรุปเองเสร็จสรรพ “ผมจะถือว่าคุณไม่ปฏิเสธ”

สีหน้าของเซินเฟยไม่ได้แสดงออกว่าอ่อนข้อให้แม้สักนิด เพียงแค่ไม่ยอมตอบคำถามเพราะทำใจแข็งอยู่เท่านั้น ฉู่เหวินจือหัวเราะแล้วพาอีกฝ่ายเอนตัวลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล

“ผมกลับมาเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ของคุณแล้วไงล่ะ เฟยเฟยของผม”

เซินเฟยเม้มปากนึกสะเทิ้นอายกับคำพูดนั้นทว่า....อาการแข็งขืนกลับค่อย ๆ หายไปทีละน้อย....

--------------------->

“ยังตกใจอยู่หรืออาซิง?” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะพลางจิบไวน์พลาง ตอนนี้พวกเขามานั่งอยู่รวมกันในห้องสูทอีกห้องหนึ่งที่ชิงหลงจองเอาไว้ซึ่งเป็นห้องตรงข้ามกับห้องที่เซินเฟยกำลังใช้งานอยู่ขณะนี้

หวางซิงต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะสามารถทำใจรับได้ว่าเจ้านายเก่าของตนเองยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าอย่างสุขสบาย ซ้ำยังมาอยู่กับคนที่เขาไม่คาดคิด แต่เขาก็ถูกกำชับว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด ขนาดการ์ดที่ขึ้นมาด้วยกันยังถูกไล่ให้ลงไปก่อนเพื่อไม่ให้รับรู้เรื่องที่ไม่สมควรจะรู้

“เลยครึ่งชั่วโมงแล้วนะ” ชิงหลงเอ่ยเตือนเวลาพลางเคาะปลายนิ้วลงบนนาฬิกาข้อมือแบรนด์เนม

“ก็แสดงว่าผมแพ้พนันฉู่เหวินจือน่ะสิ” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะเบา ๆ “ต่อจากนี้คงต้องรับศึกหนักหน่อยนะอาซิง”

หวางซิงกุมขมับ เขาได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากอดีตเจ้านายแล้ว และดูเหมือนความวุ่นวายที่เขาต้องสู้รบปรบมือมาตลอดหลายเดือนก่อนนั้นเป็นเพราะความหวังดีที่อดีตเจ้านายคนนี้มีต่อลูกบุญธรรมของตนเองนั่นเอง ซ้ำยังดูเหมือนว่าจะสนับสนุนให้ฉู่เหวินจือเข้ามาเป็นคนของจูเชว่อย่างถาวรและออกหน้าออกตาในสังคมได้ไม่ต้องอยู่แต่เบื้องหลังอีกต่อไป มันอาจจะเป็นค่าตอบแทนเดียวที่อดีตจูเชว่ผู้ไร้ตัวตนจะสามารถมอบให้กับคนใต้ปกครองผู้ซื่อสัตย์ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ถึงอย่างนั้น หวางซิงก็รู้ว่านี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเส้นทางการเป็นเลขายอดเยี่ยมของตนยังต้องฝ่าฟันต่อไปอีกยาวไกลนัก....

โชคดีที่เซินเฟยยังอายุน้อยและไม่มีทีท่าว่าจะสละตำแหน่งกลางอากาศเหมือนพ่อบุญธรรมของตนเอง ดังนั้นภารกิจสำคัญเรื่องการตามหาทายาทจึงสามารถเลื่อนออกไปได้อีกหลายปี...เรื่องนี้คงจะเป็นความโชคดีเรื่องเดียวของเขาสำหรับเรื่องราวที่จะดำเนินต่อจากนี้ไป....


END


-------------------------

เฮ้~ มันจบแล้ววว มันจบแล้วววววววววววว
กรีดร้องทั้งน้ำตา ToT!!!!!

ขออภัยที่หายตัวไปนานมากมาย การ์ดจอพังรอบที่ล้านสองของชีวิต - -...(ประชดช่าง) แถมได้คอมกลับมาเปล่าๆ มานั่งลงโปรแกรมเองอีก2วัน วันนี้เลยรีบนั่งปั่นสุดชีวิต หวังว่าทุกท่านจะยังรอตอนจบตอนนี้อยู่นะคะ XD

ไม่เคยเขียนนิยายยาวขนาดนี้แล้วจบได้มาก่อน (ปกติจะดองก่อนประจำ) ทั้งนี้ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เป็นกำลังใจเสมอมาทั้งนักอ่านที่เมนท์สม่ำเสมอและที่อ่านโดยไม่เมนท์ด้วยนะคะ T T

สุดท้ายนี้....ขอถามว่ามีใครเดาเรื่องถูกตั้งแต่ต้นยันจบบ้าง ยกมือเร้ว~ เดี๋ยวเซียร์ให้รอยยิ้มผูกโบว์เป็นรางวัล~ XD

ปล. อีกไม่นานเรื่องนี้จะมีการเปิดจองรวมเล่มพร้อมกับเรื่องสัตยาธิษฐาน ใครรอสองเล่มนี้อยู่ก็ขอให้ติดตามกระทู้นี้ต่ออีกสักพักนะคะ จะเปิดจองประมาณต้นเดือนหน้า(พ.ค.)แน่นอนค่ะ ^ ^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 25-04-2011 17:47:27
^
^
^
จิ้มมมมม ก่อนอ่านน เข้ามาเจอพอดีเลยเรา

จบอย่างแฮปปี้มีความสุข  :m11:
เฟยเฟยได้กลับมาอยู่ในอ้อมอกอาฉู่อีกครั้งจนได้
เฟยเฟยเสียรู้อาฉู่จอมเจ้าเล่ห์อีกแล้ว อิอิ จนได้สิน๊าาา
อยากจะบอกว่าเรื่องนี้สนุกมากๆ ได้อารมณ์เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หักเหลี่ยมเฉือนคมกันสุดๆ  o13

ขอบคุณค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 25-04-2011 18:04:55
อ่านจบแล้ว   ขอไปสงบใจ  เดี๋ยวกลับมาเม้นต์ต่อ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 25-04-2011 18:44:19
กริ๊สสสสสสสสสส

เดาได้ตอนที่แล้วเอง ห้าๆๆ

ชอบบบบอ่ะ อาฉู่กับเฟยๆ 

ต่อไปเฟยๆช้ำแน่เลยยย

ในใจไม่อยากให้จบเลย

ขอบคุณสำหรับนิยายค่า
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 25-04-2011 18:58:11
ว้าววว ในที่สุดก็จบ
ขอบคุณคุณเซียสำหรับเรื่องราวสนุกๆนะคะ
ติดตามผลงานเรื่องอื่นต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 25-04-2011 19:25:30
เดาได้ประมาณ 2-3 ตอนหลังๆ แต่ก็ดีแล้วที่เป็นแบบนี้
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 25-04-2011 19:36:37
อา...ตอนจบนี้ที่รอคอย  o7
จบแบบ Happy Endind อีกต่างหาก สมใจสุด ๆ เลย ( ไม่คิดว่าจะจบได้สุขขนาดนี้ )
การที่วาง ฉู่เหวินจือ เป็นตัวละครปริศนา ไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัด จนกระทั่งจบเรื่อง เป็นจุดที่มีเสน่ห์มากค่ะ~
ทำให้เรื่องนี้คงกลิ่นอายความลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ได้ตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว
 
ส่วนที่ถามว่าเดาเรื่องถูกไหม? บอกตามตรงว่า ไม่ ( ไม่เคยถูกเลยจริง ๆ )
ถึงจะไม่ได้จบแบบหักมุม แต่ก็จบแบบที่ดิฉันคาดไม่ถึงตามเคย (คุณ ZIar ช่างล้ำลึกยิ่งนัก~ )

ไม่มีตอนพิเศษ อาซิง-น้องมู่ หน่อยเหรอค่ะ? แหม... ก็น่าจะรู้นะค่ะ ว่าบรรดาแม่ยกของคู่นี้ หวังจะอ่านอะไร?
เซินหมิงเฟิ่ง กับ ชิงหลง มาด้วยกันแบบนี้ ดิฉันคิด(ลึก)แล้วนะคะ...
จะรอเปิดจองรวมเล่ม ไม่พลาดแน่นอน !!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: →Yakuza★ ที่ 25-04-2011 19:38:06
เป้นเรื่องที่สนุกมากเลย การดำเนินเรื่องและภาษาเราก็คิดว่าดีแล้วนะ

เป็นกำลังใจให้ผลงานต่อๆไป เพราะชอบอ่านนิยายแปลจีนก้เลยชอบแนวนี้เหมือนกัน

ในที่สุดก็ลงเอยกันไดด้วยดีๆ ยินดีกับเฟยเฟย และเฮียฉู่~  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: NONSENSE ที่ 25-04-2011 21:12:36
ฮะๆ ก็คิดอยู่ว่าถ้าไม่ใช่ไปหู๋ก็น่าจะเป็นจูเชว่คนก่อนส่งมา
แต่ไม่คิดว่า เซินหมิงเฟิ่ง จะไปอยู่กะชิงหลง
ทั้งเรื่องแทบไม่พูดถึงชิงหลงเลย ฮะๆ

สรุปแล้วสนุกมากกกกกกกกกกกกกกกค่ะ
ขอตอนพิเศษด้วยก็ดีนะคะ

จะเป็นกำลังใจให้และรอติดตามผลงานค่ะ
 :pig4: คุณ ZIar
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Isuru ที่ 25-04-2011 22:39:42
จบแล้ว แงๆๆๆ ไม่อยากให้จบเลยค่ะ มีตอนพิเศษรึเปล่าเอ่ย
ขอตอนพิเศษอาซิงกับนักสืบมู่ได้ไหมอ่ะคะ
อยากให้เค้าหวานกันสักนิสสสส

ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีที่ลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 25-04-2011 22:52:29
เดาถูกเรื่องเดียวที่จูเชว่รุ่นก่อนไม่ตาย แต่หนีไป แต่ไม่นึกว่าจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนขนาดนี้

หายไปนานกลับมาก็จบเลย ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆเรื่องนี้ครับ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 25-04-2011 23:00:56
อ้ากกกจบแล้วอิอิแฮปปี้ดี้ด้า


เซินเฟยพลาดท่าเสียทีจนได้ซิเนี่ย



ชอบมากกกกกกกก



จะติดตามผลงานต่อไป
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 25-04-2011 23:05:26
 :o8: :-[ :impress2: ขอตอนพิเศษ แบบเผยความในใจได้ไหมครับ ^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 25-04-2011 23:31:57
เขียนเรื่องนี้ได้ดีจริงๆเลยเซียร์ งานมาซเตอร์พีซนะเนี่ย เก่งๆ^^

ปมเยอะ แต่ก็คลายได้แบบไม่งง ข้าพเจ้าขอซูฮก

ปล.ตอที่เฉลยออกมาตอนท้ายว่านายฉู่เวินจื่อเป็นคนของใคร เราแอบตบตักผางแล้วพูดออกมาว่า "กูว่าแล้ววววววว" เพราะคนเดียวที่น่าจะหวังดีกับจูเชว่คนล่าสุดก็น่าจะเป็นจูเชว่รุ่นก่อนเท่านั้นล่ะนะ

ปล.อยากอ่านตอนพิเศษของมู่กะซิงอ่ะ น่าจะหวานกว่าคู่หลักแน่ๆ!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: beautyless ที่ 25-04-2011 23:59:20
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก........จบแล้วววว
อยากอ่านนานๆ แต่จบซะแย้ว...แถมมาถามอีกว่าเดาได้มั้ย
เราก็ไปนึกถึงแบบประมาณ Love to kill ซะงั้น จนมาถึงตอนก่อนสุดท้าย
ถึงจะเดาออกว่าแฮปปี้ แต่ไม่รู้หรอกว่าเป็นผลงานท่านจูเชว่รุ่นก่อนเหอะๆ

เลิฟทุกคนในเรื่องมากๆ และหลังจากคิดอะไรต่างๆ จนเข้าใจแล้วก็ยิ่งชอบบทของนิยายเข้าไปอีก
เจอเรื่องหนักๆ มาก็หลายครั้งแต่เพราะมีอาฉู่ถึงได้ผ่านเรื่องเหล่านั้นได้
ตอนแรกก็แอบสงสัยว่าเป็นเพราะความภักดีหรือเปล่าที่ทำให้อาฉู่รักเซินเฟย
แต่พอได้ยินเรื่องที่กอดเพราะเป็นการทำตามความต้องการของใจมันก็เลยหวานจนเป็นลมไปเลย
เรื่องราวความรักมีได้หลายแบบ แต่บัลลังก์ปีกหงส์ได้สร้างความแตกต่างของตัวเองขึ้นมา
เป็นความแตกต่างในเรื่องของสถานะของตัวละคร จนเกิดเป็นภาพใหม่ที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน
สิ่งที่พบเจอล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความลำบากทั้งนั้น กว่าจะมาถึงจุดที่คนยอมรับได้
หรือจะเป็นปัญหาของคนที่ควรรักเป็นคนที่อันตรายแต่คนที่ไม่รู้จักกันกลับเป็นผู้ช่วยเหลือ
เราเดาไม่ออกหรอกว่าใครคิดอะไร แต่เมื่อมันเฉลยออกมาก็ถึงกับอึ้ง แต่ก็เข้าใจความต้องการของคน
เหล่านั้นไปพร้อมกัน คนทุกคนมีความต้องการส่วนตัวทั้งนั้น หากแต่ความต้องการของฉู่เหวินจือและหวางซิง
คล้ายๆ กันมาก คือเพียงเพื่อปกป้องจูเชว่ให้สำเร็จ ปลอดภัย มันดูค่อนข้างบริสุทธิ์มากๆ
ส่วนตำแหน่งของเซินเฟย แม้บางการกระทำจะดูโหดร้าย แต่ก็เป็นด้วยความกล้ำกลืน
และไม่ได้มาจากความโลภส่วนตัว

จริงๆ อยากได้ยาวๆ กว่านี้หน่อยเพราะอ่านสนุกมากกกกกก แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา
ฝันหวานที่หวังไว้ก็ได้ตามนั้นไปแล้ว จึงอยากขอบคุณคุณ ZIar มากๆ ที่สร้างสรรค์งานสนุกๆ ท้าตาย
แบบนี้มาให้อ่านใช้ความคิดกันครับ ชอบมากๆ ครับ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: FiZZ ที่ 26-04-2011 00:39:58
ตามอ่านมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่ยังไม่เคยได้มาเม้นท์เลย
ก่อนอื่นขอบอกว่าชอบเรื่องนี้มากเลย เป็นเรื่องมาเฟียในแนวที่เราไม่เคยได้อ่านจิงๆค่ะ
เพราะปกตินิยายสไตล์มาเฟียมักจะมาแนวนายเอกจับพลัดจับผูมาเป็นคนรักมาเฟีย
แล้วก็จะจับแพะชนแกะ เอาแก๊งนั้นมาตีกะแก๊งนี้เรื่องแย่งอาณาเขตกัน อะไรพวกนี้
แต่พออ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกเหมือนอ่านประวัติชีวิตมาเฟียยังไงยังงั้นเลย
เราชอบวิวัฒนาการของตัวละครที่ดูจะค่อยๆโต ค่อยๆเรียนรู้ไปตามสถานการณ์
รายละเอียดหลายๆอย่างก็ดูสมเหตุสมผลดี โครงเรื่องน่าติดตามมากค่ะ
อ่านแล้วมีอะไรให้ลุ้นตลอด ทำให้รู้สึกอยากอ่านตอนต่อๆไปเพราะความอยากรู้
ไม่เหมือนบางเรื่องที่ชอบมี keywordแบบที่ถ้าใครมีชม.บินการอ่านนิยายสูงก็ต้องเดาได้อยู่แล้ว
ถือว่าชอบที่สุดตั้งแต่อ่านนิยายมาเฟียมาเลย ชอบมากกว่าพวกนิยายแปลแนวนี้ของญี่ปุ่นอีก  :L2:

และสุดท้าย อยากจะกรี้ดดด ดังๆ ตบเข่าสามฉาด ว่าเดาถูกด้วย  :laugh:
เชื่อมาตลอดว่าจูเชว่รุ่นก่อนน่าจะยังไม่ตาย เพราะดูจะวางแผนทุกอย่างทิ้งไว้เป็นอย่างดี
แต่เราคิดว่าฉู่เหวินจือเป็นคนของชิงหลงซะอีก เดามั่วจากทั้งเรื่องที่มีโผล่มาแต่ชื่อ ไม่เคยมาแบบตัวเป็นๆ ดูลึกลับดี
เลยคิดว่าน่าจะมีเอี่ยวกับชิงหลง แต่ไม่คิดว่าจูเชว่รุ่นก่อนกับชิงหลงจะมีซัมติงกัน อันนี้นอกเหนือความคาดหมายจิงๆ  :jul3:

ปล.อยากได้ตอนพิเศษของจูเชว่รุ่นก่อนกับชิงหลง แล้วก็ไป๋หู่กับพี่ของเสวียนอู่จังค่ะ  :z1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 26-04-2011 19:45:22
สนุกมากๆครับ  o13
แตกต่างจากเรื่องมาเฟียที่เคยอ่านๆมา
แต่คงต้องสารภาพว่า อ่านจนจบเรื่อง ผมก็จำชื่อเต็มๆของตัวหลักทั้ง 4 คนไม่ได้ อิอิแย่จัง  :o8:
เป็นกำลังใจให้ สำหรับงานชิ้นต่อๆไปครับ :L2:

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkky_kiku ที่ 26-04-2011 19:52:44
ในที่สุดก็ Happy ซะทีนะ เฟยเฟย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 26-04-2011 20:10:31
แอร้ยยยย  ในที่สวดดด  เฟยเฟยกะตาแฉู่ก้อ :jul1:
เฟยเฟยเขินน่ารักอ่าาาา
อยาอ่านตอนพิเศษหวานๆ  ของทั้งเฟยเฟยกะตาฉู่ แล้วก็อาซิงกะนักสืบมู่จังเลย :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ice-vanilla ที่ 26-04-2011 23:16:01
ได้เม้นท์ตอนจบพอดีเลย ฮ่าๆๆ

สรุปจูเชว่รุ่นก่อนอยู่กับชิงหลงหรือนี่ แต่ยังไงก็ตาม ชอบตาฉู่ที่สุดเลยยยยย><

เขินแทนเฟยเฟยจริงๆ หุหุ-.,- :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: yakusa ที่ 26-04-2011 23:36:25
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 27-04-2011 00:58:42
สนุกสุดยอด

อ่านไปลุ้นไป
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 27-04-2011 01:53:22
โอเค............จบแบบนี้ ค่อยโล่งหน่อยครับ^^
แบบว่า ไม่มีไรติดค้างกัน
แต่ว่านะ.....อยากให้มีตอนพิเศษจังฮะ
แบบว่า พระเอก- นายเอก ใช้ชีวิตประจำวัน หรือมีกิจกรรมอะไร ๆ ที่มันน่ารัก ๆ มาให้เห็นกันบ้างไรบ้างอ่ะครับ

ชอบมากเลยครับ เรื่องนี้
ขอบคุณงาน ดีดี นะฮะ อยากอ่านต่อไปเรื่อย ๆ เลยล่ะคร๊าบบบบบบบบ^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: tomodaging ที่ 27-04-2011 03:05:36
ตลอดทุกบรรทัดที่ได้อ่านเรื่องนี้ เหมือนตัวเองได้ใส่สูทดำสนิทหวีผมเรียบแปล้เป็นมาเฟียยังไงยังงั้นกันเลยทีเดียวววว
สนุกมันส์ สรรหาคำมาบรรยายไม่ถูกจริงๆ อ่านแล้วได้อารมณ์มาเฟี๊ยยยยมาเฟียยยยยย
.
.
อ่าาา นึกถึงหนังมาเฟียฮ่องกง ช่อง7 ชะมัด
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 27-04-2011 06:18:54
 o13

 :pig4:

 :L2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงŪ
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 29-04-2011 01:03:44
กรี๊ดดดดดดดด จบแบบนี้ชอบค่า!!  :laugh:
ว่าแต่ชิงหลง?? อื้อหือ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ
แล้วเซินหมิงเฟิ่งกับชิงหลงเป็นอะไรกันค้า~ เคียกๆ  :m10:
ไม่มีตอนพิเศษเลยหรอคะ ยังไม่ได้กุ๊กกิ๊ก หวานแหวว ช่วงน้ำตาลขึ้นจอแะไรแบบนี้เลยง่ะ  :z1:
แต่จบแบบนี้ก็  :m3: แฮปปี้ เอนดิ้ง ค่า ยะฮู้ มีความสุข อ่ะคึๆๆ
ขอบคุณคุณเซียร์มากๆๆๆๆ ที่แต่งเรื่องบู้ เอ้ย นิยายสนุกๆให้ได้อ่านกันค่า
สุดท้ายนี้ ......... แง้ๆๆๆ ทำไมช่วงนี้มีแต่นิยายรวมเล่มตอนต้นเดือนพ.ค.เยอะง่า  :sad4:
ยังไม่เปิดเทอมเลย ไม่มีตังค์ แต่อยากได้ๆๆ ตั้งหลายเล่มแน่ะ  :o12: กระซิกๆ อยากได้จริงๆนะ
แอบกระซิบถามคุณเซียร์ :m26: ไม่มีเลื่อนเวลาไปอีกหน่อยหรอคะ เศร้าง่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 29-04-2011 03:15:14
^
^
^
เซียร์กะว่าจะเปิดจองยาวราวๆ2เดือนค่ะ ดังนั้นไม่ต้องกลัวไม่ทันหรอกค่ะ ถ้าไม่ลืม XD
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 29-04-2011 10:13:27
+1 เป็นกำลังใจให้ไรเตอร์ และ รอตอนพิเศษอยู่น๊ะจ๊ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ice-vanilla ที่ 29-04-2011 20:00:44
เม้นท์ปิดท้ายตอนจบพอดิบพอดีเลย แหะๆ

อยากบอกคุณ ZIar ว่าชอบเรื่องนี้มากๆ :กอด1:

เป็นเรื่องที่พออ่านแล้วรู้สึกอินไปกับตัวละคร โดยเฉพาะเฟยเฟย><

อยากอ่านตอนพิเศษด้วยนะคะ เพราะยังรู้สึกว่ามันขาดอะไรไปหน่อยๆเหมือนมันไม่สมบูรณ์นะค่ะ

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 29-04-2011 20:53:13
รวมเล่มนะ  ชอบมากกก  จองด้วย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 29-04-2011 22:27:56
คาๆใจยังไม่รู้ คงเพราะไม่่ค่อยรู้สึกถึงความรักของอาฉู่มั้ง เหอะๆ ถ้าอดีตจูเชว่สั่งให้ฆ่าเฟยๆล่ะ อาฉู่จะทำไงนะ   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: RinNam ที่ 30-04-2011 02:42:39
สนุกมากเจ้าค่ะ 

อ่านไปก็พูดพร่ามโวยวายกับคอมจนเหมือนคนบ้า

ก็เรื่องมันน่าติดตามอย่างตื่นเต้นอย่างแรงเลยนิ

แต่แอบอยากให้หวานกันมากกว่านี้จัง

 :L1: :L2: :pig4: :L2: :L1:

 o13

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 30-04-2011 03:30:12
^
^
^
เซียร์กะว่าจะเปิดจองยาวราวๆ2เดือนค่ะ ดังนั้นไม่ต้องกลัวไม่ทันหรอกค่ะ ถ้าไม่ลืม XD

อ๊ายยยยย คุณเซียร์ เลิศค่า!! 2เดือน ทันแน่ๆๆ  :laugh:
รอก่อนนะจ๊ะ เสี่ยวเฟย ชั้นคนนี้จะต้องเอาเสี่ยวเฟยมานอนกอดให้ได้ 5555+
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 30-04-2011 12:45:14

กรี๊ดดดดด จบแล้ว !  :mc4:
สนุกมากคะ ชอบมากกกกกกกกกก

จะตามอ่านเรื่องต่อไปนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 30-04-2011 15:20:48
จบแล้วรึเนี่ย  ? 
โหวงเหวงเลย  ไม่ได้มาเม้นต์ต่อซะหลายวัน - -
ปกติจะเข้า boy's love บ่อยๆ เพื่อเช็คว่าบัลลังก์ปีหงส์อัพหรือยัง ?
แต่ตอนนี้ต้องอยู่แบบเหงาๆแล้วล่ะซิ  เฮ้อ
เปิดจองอีก 2 เดือน !!!
ขอฉากพิเศษๆ ตอนพิเศษ เยอะๆนะคะ ziar ~~
แบบบทเสริมอะไรอย่างนี้

จุดพลุ  ถึงจะแอบเศร้า  แต่ก็ยินดีด้วยนะคะที่เขียนจนจบ (เดี๋ยวนี้หานิยายที่เขียนจนจบได้ยาก)
จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อไปค่ะ   อุอุ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: l2_in* ที่ 30-04-2011 17:06:32
กรี๊ดกร๊าด~~
สนุกมากเลยค่ะ เนื้อหาเข้าข้นมาก
อ่านแล้วได้ทุกรสชาติเลยค่ะ
จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ ^^

 :pig4:   :pig4:   :pig4:   :pig4:
หัวข้อ: เปิดจอง บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน(รีปรินท์รอบสุดท้าย)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 01-05-2011 15:30:52
สวัสดีค่ะทุกท่าน วันนี้เซียร์ก็มาขอใช้พื้นที่บอร์ดอีกแล้ว
ครั้งนี้เปิดจองสองเรื่องนะคะ เนื่องจาก สัตยาธิษฐาน ยังคงมีคนถามหาอยู่เป็นระยะ เลยตัดสินใจอย่างหนักแน่นว่า จะรีปรินท์รอบสุดท้ายแล้วค่ะ ใครพลาดครั้งนี้ก็พลาดไปเลยนะคะ

งั้นมาดูรายละเอียดกันนะคะ ^ ^


บัลลังก์ปีกหงส์

ภาพปก

(http://i.imgur.com/0p8d7.jpg)

(http://i.imgur.com/iPkjJ.jpg)

ของแถม(ที่คั่น)

(http://i.imgur.com/hrOwM.jpg)


เรื่องย่อ

เมื่อพญาหงส์แห่งฮ่องกงทิ้งบัลลังก์ไว้เบื้องหลังแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ถูกเลือกขึ้นมาแทนที่ท่ามกลางการคัดค้านของคนในและการต่อต้านจากคนนอก ชายผู้หนึ่งได้ถูกส่งมาเพื่อให้ความช่วยเหลือโดยคนที่ไม่น่าไว้ใจมากที่สุดและชายคนนั้นก็มีเลศนัยในทุกย่างก้าว แล้วเซินเฟยจะเชื่อใจใครได้ในโลกที่ทุกสิ่งต้องแลกมาด้วยผลประโยชน์เช่นนี้

สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่ (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1316922#msg1316922")<<<


ข้อมูลหนังสือ

ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar
ราคา : 550 บาท (รวมค่าส่งแล้ว)/ชุด (ชุดละ2เล่ม)
ระยะเวลาการจอง : 1 พฤษภาคม 2554 - 30 มิถุนายน 2554
หมายเหตุ : ขอสงวนวิธีการส่งไปรษณีย์เป็นการส่งแบบลงทะเบียนเท่านั้นนะคะ


=================================



สัตยาธิษฐาน

ภาพปก

(http://i.imgur.com/G62Ya.jpg)

ของแถม (ที่คั่น)

(http://h.imagehost.org/0461/NovSat-Bookmark.jpg)


เรื่องย่อ
เมื่อนาคตนหนึ่งหนีจากการล่าสังหารของครุฑมาได้ เขาก็จำศีลในถ้ำของตัวเองและเฝ้ารอจนกระทั่งวันหนึ่งจึงคืบคลานขึ้นมาบนบกแล้วจำแลงร่างเข้าสู่ครรภ์ของหญิงสาว ก่อนจะเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเ้ป็นเวลาเดียวกับที่ครุฑมาจุติเช่นเดียวกัน เป้าหมายของนาคคือการแก้แค้นครุฑ แต่เป้าหมายของครุฑกลับเป็นการไถ่โทษแก่นาค เป้าหมายที่คู่ขนานนี้จะบรรจบอย่างไร ติดตามได้ภายในเล่มค่ะ

สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่ (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21637.msg1301666#msg1301666")<<<


ข้อมูลหนังสือ

ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar
ราคา : 250 บาท (รวมค่าส่งแล้ว)/เล่ม
ระยะเวลาการจอง : 1 พฤษภาคม 2554 - 30 มิถุนายน 2554
หมายเหตุ : ขอสงวนวิธีการส่งไปรษณีย์เป็นการส่งแบบลงทะเบียนเท่านั้นนะคะ




พิเศษ: สำหรับใครที่จองทั้งสองเรื่อง จะมีส่วนลดให้ 50 บาท จาก 800 บาทเหลือ 750 บาทนะคะ (อย่าโอนเกินมานะคะ XD)



สำหรับผู้ที่ตัดสินใจจะสั่งจองแน่แล้ว ขอให้เลื่อนลงไปดูรายละเอียดการโอนเงินและสั่งจองได้เลยค่ะ


อ้างถึง
รายละเอียดการโอนเงิน

บัญชีออมทรัพย์
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาซอยประชาสงเคราะห์ 30
ชื่อบัญชี นางสาว อลิสา เทพนะ
เลขบัญชี 102-234896-9

หลังจากโอนเงินแล้ว ขอให้ส่งรายละเอียดการจองมาที่ tsuki_himeแอทhotmail.com โดยระบุข้อมูลตามนี้นะคะ

หัวข้อ : [สั่งจอง] บัลลังก์ปีกหงส์ / สัตยาธิษฐาน (สั่งเรื่องไหนก็พิมพ์ชื่อเรื่องนั้นนะคะ)

รายละเอียด
ชื่อ-นามสกุล(ผู้สั่ง) :
ที่อยู่ :
หลักฐานการโอน : (สแกนมาจะดีที่สุดค่ะ หรือถ้าสแกนไม่ได้ก็ขอเลขที่สลิปค่ะ)
วัน+เวลาโอนตามสลิป :


สำคัญ! ผู้ที่แจ้งทางเมลล์แล้ว เซียร์จะมีการแจ้งตอบกลับไป ดังนั้นใครที่เซียร์ำไม่ตอบกลับภายใน 1 อาทิตย์อย่าชะล่าใจ เพราะมันหมายความว่าเซียร์ไม่ได้รับเมลล์ของท่านนะคะ



สุดท้าย ใครเป็นแฟนโนลิมิต เชิญจิ้ม

(http://image.ohozaa.com/i/cba/nolimitbanner.jpg) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=23778.0)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: |ψ|PEAT_ZA|ψ|℠ ที่ 01-05-2011 21:37:14
สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เทคนิคการเขียนของคุณ "เซียร์" เข้าขั้น "เซียน" จริงๆ

ซับซ้อน ชอบมากแนวมาเฟียๆแบบเนี้ย

แต่คุณเซียร์ จะมีตอนพิเศษ แบบกุ๊กกิ๊กๆมั้ยอ่ะครับ อิอิ

อยากอ่านมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 02-05-2011 00:24:46
ตอนพิเศษรอลุ้นในเล่มนะคะ ^ ^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 04-05-2011 14:03:54
ขอจองทั้งสองเรื่องเลยนะคะ
โอนเงินแล้ว จะแจ้งรายละเอียดไปให้นะคะ

โนลิมิตก็รอรับหนังสืออย่างเดียวเลย

คิดถึงเฉินเฟิงกับเสี่ยวหลินจังเลย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: LapiN ที่ 05-05-2011 20:40:21
อ่านรวดเดียวจบเลย อยากจะบอกว่าสุดยอดมากค่ะ
อ่านแล้ววางไม่ลง ต้องถ่างตาอ่านยันจบ (อ่านตอนกลางคืนยันเช้าเลยค่ะ = =!หยุดอ่านไม่ได้)
เหมือนดูหนังเลยค่ะ มีเงื่อนงำให้ติดตามตลอด เดาถูกบ้างไม่ถูกบ้าง
ชอบที่สุดก็คือคุณเลขานี่แหล่ะค่ะ อยากจะดันให้เป็นพระเอกตลอดเวลา
คนอะไรจงรักภักดีที่สุด (ถึงแม้ว่าจะแอบเซี้ยะเฟยๆแบบเลือดสาดน่ากลัวไปหน่อยเพราะความหวังดีก็เถอะ 55+)


ขอบคุณมากๆนะคะ สนุกจริงๆ สุดยอดค่ะ!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: akanae ที่ 05-05-2011 20:57:07
อ่านจบแล้วค่ะ ขออนุญาตคอมเมนท์รวบเลยนะคะ เรื่องนี้คือภาคต่อดำเนินหลัง swan & dragon ใช่ป่ะคะ อิอิ
ตอนอ่านทีแรกรู้สึกว่า เด็ก 18 จะมีวุฒิภาวะและความคิด การควบคุมจิตใจได้มากขนาดนี้เลยหรอ แต่อีกเสียงก็แย้งว่า เพราะ สิ่งแวดล้อมต่างพากันให้เป็นไปตามรูปแบบนั้น ตอนที่พระเอกของเราปรากฎตัว คุณฉู่ บอกได้คำเดียวว่าเชื่อสนิทใจว่าเป็นตัวแทนมาจากอีกฝั่งนึงเลยล่ะค่ะ อ่านไปเรื่อยๆ ก็ชวนให้สงสัยบ้างว่า นี่คุณฉู่ มันไม่คิดจะกลับไปหาหัวหน้าไปรายงานไรเลยรึ แต่ก็คิดว่าผู้แต่งอาจจะตั้งใจให้เป็นแบบนั้น (มีเหตุผลให้ตัวเองตลอด ฮ่าๆ) และด้วยนิสัยแล้ว เดาไม่ได้เลยค่ะ ว่าพระเอกคิดอะไรอยู่ตอนนั้นเหมือนเล่นๆ แต่จริงๆ แล้ว แอบโหด ถึงขั้นมากทีเดียวเลยล่ะ ส่วนนายน้อย เฟย เฟย เอง ก้อใช่ย่อย ร้ายมากเช่นกันเนาะ ตอนเอาแส้ฟาดและเอาน้ำเกลือราดนี่ แบบ ซาดิสม์ แต่เจ้าตัวคงแค้นเลยล่ะ มาทำร้ายตอนเจ้าตัวไม่มีทางสู้นี่เนาะ อ่านเรื่องราวมาๆ เรื่อยๆ ผู้เขียนดำเนินเรื่องและปะติดปะต่อเรื่องได้ดีค่ะ ^^ เก่งมากๆ เลย ตัวละครแต่ละตัว นิสัยก็ไม่ได้ออกนอกเส้นทางแบบ ต้นเรื่องนิสัยอย่าง หลังเรื่องนิสัยอีกอย่างนึง อันนี้ชอบมากๆ เลยค่ะ มันทำให้ดูสมจริงและกลมกลืนเลย ขอบคุณมากๆ นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 06-05-2011 01:07:46
อ่านจบแล้วคร้าาาา ตามอ่านมาตั้งนานกว่าจะจบใช้เวลานานมากกกกกก

เนื้อเรื่องสนุกมากค่ะ เฟยเฟย น่ารักแต่แอบโหดไปนิดเนอะ

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: YAMA ที่ 07-05-2011 03:10:35
อ่านแบบไม่หลับไม่นอนเลยทีเดียว เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆ ไว้ซื้อแน่นอน
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-05-2011 21:15:51
คิดถึงเฉินเฟิงกับเสี่ยวหลินจังเลย

อุ่ย....โดนทวงข้ามเรื่อง XD
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 15-05-2011 14:57:08
อัพภาพปก บัลลังก์ปีกหงส์แล้วนะคะ

ส่วนของแถมรอกันหน่อยนะคะ ^ ^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 15-05-2011 23:34:57
ภาพปกสวยเลิศมากค่ะ โดยเฉพาะเล่ม 1 ต้องบอกว่า คู่เสี่ยวเฟย-ตาฉู่ได้ feel แบบนี้จริง ๆ
ชอบที่ใช้พื้นหลังโทนสีแดง-ดำ ให้ความรู้สึกทรงพลัง เหมาะกับเนื้อเรื่องดี
จะรอวันที่หนังสือพิมพ์เสร็จและส่งมาให้ที่บ้านนะค่ะ...
วันนี้เพิ่ง +1 ได้ ขออนุญาติบวกให้คุณ ZIar ค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: lastlover ที่ 19-05-2011 22:10:49
ก็แอบคิดไว้อยู่ว่าพระเอกเราแปลกๆลึกลับๆชอบกล แต่ที่เดาไว้ก็ถูกบ้างบ้างส่วนแต่ไม่คิดว่า
เชว่รุ่นก่อนกับชิงหลงจะอยู่ด้วยกัน   อ่านแล้วแอบคิดต่อว่าสองคนนี้มีอะไรที่มากกว่านั้นหรือไม่

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 24-05-2011 19:43:05
อัพที่คั่นบัลลังก์ปีกหงส์แล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: dee-dee ที่ 31-05-2011 10:42:56
เซียร์ค่ะ  แวะมาแอบถามว่าถ้าคนที่ซื้อสัตยาธิษฐานไปแล้ว 
ถ้าจองบัลลังก์ปีกหงส์เล่มนี้จะได้ลด 50 บาทด้วยเปล่าคะ  555+ :o8:
แอบทวงสิทธิ์เพราะยังไงเราก็จะจองอยู่แล้ว  ทั้งที่ยังไม่ได้อ่านเลย
แบบว่าเชื่อฝีมือจ้า o13
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 31-05-2011 16:56:23
เซียร์ค่ะ  แวะมาแอบถามว่าถ้าคนที่ซื้อสัตยาธิษฐานไปแล้ว 
ถ้าจองบัลลังก์ปีกหงส์เล่มนี้จะได้ลด 50 บาทด้วยเปล่าคะ  555+ :o8:
แอบทวงสิทธิ์เพราะยังไงเราก็จะจองอยู่แล้ว  ทั้งที่ยังไม่ได้อ่านเลย
แบบว่าเชื่อฝีมือจ้า o13

ถ้าซื้อตั้งแต่ครั้งก่อนก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ เพราะว่าลดราคาให้ไม่ได้ เนื่องจาก 50 บาทที่ลดให้คราวนี้เป็นค่าส่งกับค่าหีบห่อที่จะทุ่นไปเวลาส่งพร้อมกันน่ะค่ะ
ขอโทษด้วยจริงๆนะคะ m(_ _)m
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 08-06-2011 15:39:34
แอบดันนิดนึง อีก 1 เดือนจะหมดเขตจองแล้วนะคะ ^ ^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 15-06-2011 21:01:56
ยังมาจองทันหรือเปล่านะ - -;;
จองบัลลังก์ปีกหงส์ด้วยคนค่ะ   
รายละเอียดดูที่ไหนเนี่ย ?  (ฮ่าฮ่า เปิดเทอมแล้วไม่ได้เปิดคอมเลย)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 16-06-2011 21:13:32
ยังมาจองทันหรือเปล่านะ - -;;
จองบัลลังก์ปีกหงส์ด้วยคนค่ะ  
รายละเอียดดูที่ไหนเนี่ย ?  (ฮ่าฮ่า เปิดเทอมแล้วไม่ได้เปิดคอมเลย)

รายละเอียดแปะไว้ที่หน้าแรกแล้วจ้า เลื่อนผ่านกฎลงมาก็เจอเลย
หรือดูที่คอมเมนท์นี้ก็ได้ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1441489#msg1441489
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 22-06-2011 18:19:31
โอนเงินไปเมื่อวันก่อนๆ  ได้รับแจ้งแล้วจ้า  อ้ายๆ  ดีใจมากเลย :o8:
รออ่านเรื่องนี้  อยากได้มาถือไว้ในมือจนทนไม่ไหวแล้ว! ><
เรื่องนี้จะได้รับเมื่อไหร่หรอคะ  ประมาณวันไหน?  อดใจรอไม่ไหวแล้ว !  แฮ่ๆ  :-[
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <เปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 22-06-2011 20:09:45
โอนเงินไปเมื่อวันก่อนๆ  ได้รับแจ้งแล้วจ้า  อ้ายๆ  ดีใจมากเลย :o8:
รออ่านเรื่องนี้  อยากได้มาถือไว้ในมือจนทนไม่ไหวแล้ว! ><
เรื่องนี้จะได้รับเมื่อไหร่หรอคะ  ประมาณวันไหน?  อดใจรอไม่ไหวแล้ว !  แฮ่ๆ  :-[

ราว ๆ กลางเดือนกรกฎาหรือต้นสิงหาค่ะ ^ ^



แอบสะกิดเหล่านักอ่านที่กำลังสะสมเงิน
อีก 1 อาทิตย์จะหมดเวลาจองแล้วนะคะ~
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 01-07-2011 15:24:57
>>>ปิดจองแล้วค่ะ<<<
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: ToffeE_PrincE ที่ 10-07-2011 22:30:35
แต่งได้เยี่ยมน่ะครับ o13 o13

ขอบคุณมากครับสำหรับนิยายสนุกๆ :pig4:

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 14-07-2011 19:08:33
พิมพ์ถึงไหน ยังไง อย่าลืมมาอัพเดตกันนะจ้ะ
คนอ่านรออยู่ 55
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 16-07-2011 14:33:53
พิมพ์เสร็จแล้วค่ะ แต่โรงพิมพ์ทำปวดตับ เปลี่ยนไซส์กระดาษใหม่แล้วเบี้ยวไปถึงโลกหน้า
สั่งแก้ยกล็อต - -*
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 20-07-2011 00:00:58
ไม่ค่อยรู้เรื่องโรงพิมพ์อะไรแบบนี้นะ   แต่แบบนี้ไม่ดีเลยเนอะ  ต้องแก้ใหม่ ยกล็อตเลยด้่วยนะ -*-
โรงพิมพ์ทำไรแบบนี้เนี้ย
เอาเถอะ  :กอด1:

เ้ขารอได้    :L2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 21-07-2011 22:26:47
ได้ทำการส่งนิยายเรียบร้อยแล้วนะคะ
ใครที่จองไว้รบกวนเช็คเมลล์ด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 22-07-2011 19:44:30
ได้รับหนังสือแล้วค่ะ สภาพเรียบร้อย สวยงามมาก ~ :m1:
ชอบไดอารี่ของอาซิง แม้จะมีใครให้เขียนถึงมากขึ้น
แต่ No.1 ก็ไม่พ้นเซินเฟยอยู่ดี หนักใจแทนน้องมู่จริง ๆ ( แต่อามู่คงเข้าใจล่ะ... :laugh: )
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: YYY ที่ 23-07-2011 00:17:42
ได้รับหนังสือแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 03-08-2011 01:03:36
เพิ่งได้ตามเข้ามาอ่าน
สนุกมากจริงๆ ภาษีดี สำนวนเยื่ยม
อยากอ่านต่อเรื่อยๆ ไม่อยากหยุดเลย
ชอบตอนอาฉู่เรียกเฟยเฟยจัง ให้ความรู้สึกนุ่มนวลมาก
ขอบคุณสำหรับงานดีๆ ที่คนเขียนบรรจงแต่งขึ้นมานะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: gear ที่ 03-08-2011 01:34:27
ได้รับหนังสือแล้วค่ะ
หลังจากที่อ่านจนจบ แบบไม่ได้ข้ามไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว
แต่มีเวลาอ่านได้น้อยมาก ได้แค่ครั้งละ 1 บท
ขอบอกว่าน้องแต่งได้่ดีมาก ๆ เลยค่ะ
ภาษาไม่วิบัติ สำนวนการเขียนดีมากเลยค่ะ
สนุกตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง
แบบว่าไม่อยากให้่จบเลย อยากจะอ่านไปเรื่อย ๆ
เซินเฟยดูแล้วน่ารักดี แต่ออกจะโหดไปหน่อยสำหรับอาฉู่ (ที่ชอบกวนประสาท)
ครั้งแรกยอมรับว่าไม่เคยอ่านนิยายของน้องเลยคุ่ะ
พอดีเห็นรวมเล่มเรื่องสัตยาธิษฐานของน้องเข้า และไม่เคยได้อ่านเช่นกัน
แต่เห็นฝีมือการวาดรูปของน้องแล้วติดใจ ก็เลยสั่งซื้อ
และก็ไม่ผิดหวังอีกเช่นเคย อ่านทุกตัวอักษรอีกเช่นกัน
สนุกมาก ๆ เลยค่ะ ทำให้ต้องตะกายหานิยายที่น้องแต่งอีก
พอเห็นรวมเล่มบัลลังก์ปีกหงส์ ยอมรับว่าดีใจมากเลยค่ะ
รีบสั่งซื้อทันทีเลย แต่ไม่เคยเข้าไปอ่านในบอร์ดนะคะ
ขออภัยอย่างสูง สาเหตุเพราะมีเวลาไม่มาก
และขอบอกว่าจะติดตามผลงานรวมเล่มของน้องทุกเล่มค่ะ
สุดท้ายขอขอบคุณที่สร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ให้อ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: l3lackkiss ที่ 06-08-2011 04:35:32
ขอบคุณมากนะคะ
สนุกมากค่ะ แต่เรื่องนี้อ่านแล้วบีบหัวใจจังเลย(555+)
 :L2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 06-08-2011 17:37:13
อ่านรวดเดียวจบ สุดๆค่ะ โดนมาก
เซินเฟยเป็นคนที่จริงๆแล้วไม่ได้เลวร้ายขนาดฆ่าใครมั่วไปหมด
อาฉู่เองก็มีเหตุผลของการมา

สุดยอดไปเลยค่ะ อ่านแล้วต้องอ่านให้จบจริงๆ สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 01-09-2011 23:44:19
อ่านจบแล้ว มันส์มาก มาม่าแบบอึนๆ ชวนไมแกรนขึ้น

เมื่อไหร่ จะมีเรื่องใหม่ หล่ะน้องเซียร์

หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: NAS ที่ 09-09-2011 03:49:55
ขอบคุณค่ะ สำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: ASSASSIN ที่ 26-09-2011 15:33:46
 :haun4: นายเอกแพ้ทางพระเอกโคตรๆเลย 555  o13
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: ♥a2k♥ ที่ 30-09-2011 09:41:52
ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก สนุกมากกกค่ะ อ่านติดกันจนปวดตาแต่หยุดไม่ได้จริงๆ
ขอบคุณมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 19-02-2012 20:13:43
เพิ่งเข้ามาเริ่มอ่านค่ะ แต่ติดหนับให้อย่างจัง
เนื้อเรื่องน่าสนใจมากๆ ตามติด ตามติด ^^
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 20-02-2012 09:24:40
มันเลิศมาก ณ จุดนี้ มาเฟียหน้าใสนี่ช๊อบชอบ :m1: การผูกเรื่องดีมากเลยค่ะ ลุ้นตาม^^

ขอบคุณZiar และเล้าเป็ดเป็นอย่างยิ่ง :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตย
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 16-04-2012 17:56:02
ในที่สุดก็อ่านจนจบ เล่นเอาตากระตุกเลยทีเดียว -*- แต่หวังไว้ลึกๆว่าอยากให้มีต่อ
อยากบอกคนเขียนว่าสุดยอด! คนเขียนแต่งเก่งจริงๆ ทั้งภาษา เนื้อหา แนวความคิดของแต่ละตัวละคร
 ถึงจะเครียด จะบีบคั้น แต่อ่านแล้วหยุดอ่านไม่ได้เลย ><
อ่านมาแรกๆ มีแต่ปม 555 เคยให้ความสนใจกับพี่ชายเสวียนอู่ แต่ไปๆมาๆลืมไปซะงั้น เพราะ 4 ตัวเอกของเรานั่นแล ^^
ชอบตอนที่อาเฟยกินข้าวคนเดียว ที่สุด เนื่องจากที่คุณคนเขียนได้ปูทางมา เราเลยรู้สึกว่าเหตุการณ์ตรงนั้นบีบหัวใจที่สุดแล้ว T^T
ส่วนตอนเฉลยตัวจริงอาฉู่ เหมือนว่าตอนแรกเราก็เดากันไปว่าต้องเกี่ยวข้องกับไป๋ฉู่ แต่สุดท้ายช็อกคนอ่านซะงั้น แต่ประทับใจมากค่ะ ^^

ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมห้เราได้อ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 18-04-2012 08:15:46
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก

สนุกครับ

 o13
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END] <ปิดจอง> บัลลังก์ปีกหงส์ และ สัตยาธิษฐาน ถึง30/06/11
เริ่มหัวข้อโดย: AiiSoul ที่ 07-11-2012 13:37:57
สนุกมาก ไม่ไหวแล้ว
ทั้งเนื้อเรื่อง การบรรยาย ตัวละคร มันลงตัวหมดเลย
อ่านแล้ววางไม่ได้ T^T ยกนิ้วให้คุณเลย!!!!!
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: chiji ที่ 11-01-2013 20:26:33
สนุกมากค่ะ เฟยเฟย น่ารัก :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: IamA ที่ 07-06-2013 16:25:16
ตื่นเต้นมากกกกกกกกกกกก แต่ละตอนนี่คาดเดาตอนต่อไปยากมาก ทีแรกคิดว่าจะจบแบบพระนายแยกกันชั่วนิรันดร์ด้วยซ้ำ นับว่าคนเขียนยังเห็นใจคนอ่านอยู่มาก  :hao5:

คุณคนเขียนคีปคาแรกเตอร์ตัวละครได้ดีมากเลยค่ะ โดยเฉพาะนายเอกของเราที่แทบไม่มีมุมอั๊งหลุดออกมาให้เห็นเลย ฮาา ราชินีมากๆ >< (แอบสารภาพว่าอ่านแล้วหน้าริไวล์ Attack on Titan ลอยขึ้นมาตลอดเลยค่ะ 555)

และไม่พูดถึงฉากนี้คงไม่ได้ เป็นฉากที่น่าจดจำและสะเทือนใจที่สุด นั่นคือฉากที่อาซิงข่มขืนเซินเฟย ..มันเป็นอะไรที่ไม่คิดว่าคนเขียนจะกล้าทำร้ายนายเอกขนาดนี้ได้ มันไม่ใช่ว่าทำลายทางด้านกายภาพอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องจิตใจด้วย ตอนบรรยายตอนนั้นเป็นอะไรที่เจ็บปวดสุดๆเลย แต่ชอบค่ะ มันสุดมากๆ o13 ความสัมพันธ์ของนายบ่าวคู่นี้หาคำจำกัดความได้ยากจริงๆ

แต่อ่านตั้งแต่แรกก็แอบมีความเชื่อลึกๆ(ลึกมาก)ว่าพระเอกอาจเกี่ยวข้องกับจูเชว่ที่หายไป ไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องจริงๆ แต่ก็ยังช็อคอยู่ดีตอนที่รู้ว่าตาคนแซ่ฉู่ไม่ได้เป็นคนของไป่หู่ เพราะพฤติกรรมพระเอกเรื่องนี้คาดเดาไม่ได้ตลอดเรื่องเลย อ่านแล้วตื่นเต้นดีค่ะ

ชอบความสัมพันธ์ของพระนายที่ดำเนินมาตลอดเรื่องด้วย ทั้งๆที่ต้องร่วมมือกันทำงาน เซ็กส์ก็มีด้วยกันแล้ว แต่ความไว้ใจและความรักกลับยังไม่เกิด อยู่กันไปด้วยความสัมพันธ์แบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ อึมครึมทั้งเรื่องดี มีสเน่ห์มากเลยค่ะ

สุดท้ายขอบอกว่าเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เราจะเก็บไว้ในลิสต์ฟิคเรื่องโปรดเลยค่ะ ขอบคุณที่ตั้งใจเขียนงานดีๆออกมาให้เสพนะคะ = ]
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: houkuto ที่ 21-07-2013 16:45:44
ที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้ได้ เพราะมีพี่ที่รู้จักท่านนึงบอกว่า

พอได้อ่านเรื่องนี้แล้ว กลับไปอ่านนิยายแนว มาเฟียเรื่องอื่น ไม่สนุกเลย :mew5:

เราก็เอ๊ สักหน่อยดีกว่า พออ่านแล้ววว แบบว่า o13

สนุกจนหยุดไม่อยู่ ครบรสมาก อ่านแล้วเครียดด้วย แต่สนุกมากจริงๆค่ะ :bye2:
(นี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลนะคะ)
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 22-08-2013 22:39:59
ในที่สุดก็อ่านจบแล้ว ดีใจที่ได้อ่านภาคต่อของเซินหมิงเฟิ่งกับชิงหลง  :mew3: สุดท้ายเฟยเฟยได้อยู่กับอาฉู่  :oo1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: maxiyorka ที่ 27-11-2013 21:43:43
น่าอ่านมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: naamsomm ที่ 08-07-2014 19:42:18
สนุกมากจ้า
ลุ้นมากๆ  อ่านรวดเดียวจบเลย
คนแต่งเก่งมากค่ะ เทพมากจริงๆ
ดำเนินเรื่องได้สนุกลุ้นมากๆ
แต่งนิยายสนุกๆแบบนี้มาให้อ่านอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 16-07-2014 00:23:23
สนุกมากๆ ภาษาสวย แต่งดีมากๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: werty ที่ 17-07-2014 15:03:52
อ่านจบแล้วได้แต่กรีดร้อง
อิช้านเดาถูก5555555555โอ่ยสนุกมาก
รักเรื่องนี้บอกเล้อ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 22-10-2014 11:44:15
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ.    :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 01-11-2014 21:48:08
 o13 o13 o13 o13 :heaven :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 03-11-2014 05:32:42
เจ๋งมาก หักมุมสุดๆ

แต่น่าจะมีตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 06-11-2014 08:32:15
ลุ้นทุกตอน จิงๆ คุณฉู่เท่มากกก
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 01-01-2015 19:07:04
เรา-ชอบ-เรื่อง-นี้-มากกกกกกกกกก
มันเพอร์เฟคอ่ะ นี่แหละนิยายมาเฟีย เคะราชินีนี่ช่างโดนใจ
ยิ่งเฟยเฟยนี่ ให้ความรู้สึกอย่างกับมาเฟียจริงๆมากก อิตาฉู่
ก็ฉลาดล้ำเจ้าเล่ห์แพรวพราว สุนัขกับราชินี อ้ออยยย ชอบบบ
ค่ะ โดนมากๆๆ คุณมู่กับเลขาหวางซิงนี่ก็น่าลุ้น ซึ้งในความรัก
ที่อาซิงมีให้เซินเฟย คู่นี้นี่ทำเราเกือบจิ้นอยู่หลายฉาก คึคึ ก็นะ
บางทีเคะชนเคะมันก็น่าร้ากกกก แต่จือหยินกะยัยหลิงตายง่ายไปนิด
น่าจะมีฉากระบายไขข้อข้องใจอะไรมากกว่านี้หน่อย ไม่รู้เราคิดไปเองรึเปล่า
เหมือนเราอ่านเจอบางตอนที่บรรยายประมาณ หลังๆหมอจือหยินมักจะ
ขอบคุณเซินเฟยมากเป็นพิเศษ คือเราสงสัยว่าหมอแกอาจจะโดน
คู่หมั้นหลอกใช้อีกทอดหนึ่งรึเปล่า ถึงเซินเฟยจะคิดว่าหมอแกร่วมมือด้วยก็เถอะ
แต่จริงๆก็อีกแหละ มาคิดๆดูคนที่ติดต่อการ์ดภายใน
ให้ยัยหลิงได้น่าจะมีแต่หมอจือน่ะนะ บทสรุปของยัยหลิงก็ควรค่าแล้วล่ะ
พ่อหล่อนก็พยายามฆ่าเซินเฟยก่อน แถมยังเกือบฆ่าเสี่ยวฉู่
เซินเฟยเอาคืนนี่ผิดตรงไหน ถ้าหมอจือสมคบคิดด้วยนะ ยิ่งน่าผิดหวังเสียใจแทน
เซินเฟยมากที่หลงรักคนๆนี้ตั้งหลายปี ไม่ได้มีจรรยาบรรณความเป็นหมอเอาซะเลย
แต่เรื่องสมคบคิดหรือไม่นั้นก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป  :ling1: ใจจริงๆหนูอยากอ่าน
ตอนพิเศษต่อด้วยคร้านาา อ้ากกก.  :ling3:
ขอบคุณคุณนักเขียนนะคะ สำหรับนิยายดีๆ เราติดตามนิยายคุณเกือบทุกเรื่องเลย นี่ก็
จะไปเสริชหานิยายคุณอ่านต่อ ชอบภาษา สำนวนการแต่งของคุณมากๆๆ
ลปู..ทะมายยเจินเจินถึงย้ายไปอยู่กะไป๋หู่เค้ามะยอมๆๆๆ :z3: สะใจที่หมิงชิงตัดหน้าไป๋หู่ส่ง
เสี่ยวฉู่ไปแทน ครึครึ :z2:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 14-01-2015 18:11:08
สุดยอดมากๆค่ะ การวางปม วางปริศนา สุดยอดจริงๆ
อ่านแล้ววางไม่ลงค่ะ
จริงๆได้ไปอ่านเรื่อง กรงเกล็ดมังกร มาก่อน เรื่องนั้นก็สนุกมากๆ
แต่เรื่องนี้จะมีคนระดับธรรมดาเยอะกว่า ทำให้มีสีสันมากกว่า
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 18-04-2015 13:02:32
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-04-2015 21:53:53


         เรื่องนี้นายเอกโหดสมกลับเป็นมาเฟียเสียจริง แอบผิดหวังนิดหน่อยที่เลขาข่มขืนเจ้านายแล้วแทบไม่ได้ลงโทษอะไรเลย

         อ่านจนจบแทบจะไม่มีฉากหวานๆของพะเอกกับนายเอกเลย โหดใส่กันตลอดอ่ะ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Chk~a ที่ 19-06-2015 12:57:22
อ่านทั้งวันจนจบเลยค่ะ
สนุกมาก ลุ้นไปทุกตอน
เฟยเฟยราชินีมาก
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: JK ที่ 22-06-2015 21:56:26
บางทีก็จิ้นหวางซิงกับเซินเฟย ~~


เค้าอ่านจบแล้วค่า เย่!! งานการไม่ทำ อ่านไปสองวัน เพราะต้องโดนจิกให้กลับไปทำงาน T____________T
สนุกมากเลยค่ะ แต่เรื่องนี้ไม่มีแบบที่ชอบคือพระเอกหึงไรงี้ เพราะเรื่องนี้เข้มข้นมาก เรื่องหึงหวงตัดไปเล้ยยย
ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องสนุกๆแบบนี้  :hao5:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 24-06-2015 19:39:49
สนุกมากค่ะ ชอบเฟยเฟยที่สุด ทั้งเก่งและเข้มแข็ง

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 11-07-2015 02:50:34
พอเดาเรื่องพระเอกออกว่าต้องเป็นคนของตระกูลนี้
แต่เดาไม่ออกว่าพ่อบุญธรรมจะยังอยู่
สุดยอดมากคับ เนื้อหาน่าติดตามจริงๆไม่สามารถหยุดอ่านได้
ชอบมากเลยคับ จริงๆตามมาจากเรื่องนาคน้อย
ไม่ผิดหวังเลยจริงๆคับ จะติดตามผลงานคุณผู้แต่งไปเรื่อยๆนะคับ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Teaw_HC+MJ ที่ 29-07-2015 19:18:42
โอ๊ยยยยย ฮือออ จบได้สวยงาม ปรบมือให้คนแต่งรัวๆค่ะ

แต่ฉากข่มขืนฉากนั้น ทำไรสะอึกไปเลยจริงๆนะ

แต่โอเคแล้วค่ะ เราเข้าใจ 555555555555555
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 29-07-2015 19:22:26
ปกสวยมากๆเลย
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Praykanok ที่ 02-08-2015 11:38:03
อร้ากกกกก สนุกมากค่ะะะ
ชอบเนื้อเรื่องมากกก พลิกตลอดเวลาาา
ชอบที่ทำให้ตัวเอกดูลึกลับแม้กระทั่งตอนสุดท้าย ฮรืออ มันดีมากค่ะะะ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 30-09-2015 23:37:31
กรี๊ดสนุกอะ
ทำไม่คนแต่งคิดอะไรได้ซับซ้อนขนาดนี้ นับถือๆๆ
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 01-10-2015 12:51:17
จบ...จบ " อึ้งไปนิด สนุกกดีชอบความคิดของตัวละครคุณ และเหตุการณ์หรือการแก้เกมก็มีที่คาดไม่ถึงหรือไร้หนทางคิดแต่คุณคนเขียนแต่งมาได้กระจ่างนะ จบแล้วก็ไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรมากมาย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องหนึ่งในเล้า //คำนับ " -21932.565-
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 16-03-2016 22:47:18
นิยายสนุกมากกกกกกกกกกกกค่ะ แต่งเก่งมากๆเลย o13
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 20-07-2016 23:33:57
ขอบคุณนะคะนิยายสนุกมากค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 18-01-2017 22:14:28
งือออ จบแล้ว จบแบบแฮปปี้ด้วย มันดีกับใจเหลือเกินนนนนน
นี้อ่านผิดไปอ่านจูเช่วรุ่นก่อนก่อนเลยเข้าใจหลายส่วน
แต่ก็ไม่คิดว่าจะนายฉู่จะเป็นคนของจูเช่วนะ นายหลอกเนียนเหลือเกิน
ตอนไป๋หูบอกว่าไม่ได้คนของเขานี้ ร้องเฮ้ยเบาๆ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีแบบนี้ให้อ่านนะคะ :L1: :3123: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ckk ที่ 15-02-2017 15:32:00
สนุกมากค่ะ o13
หัวข้อ: Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 19-03-2017 05:52:10
ลุ้นหนักมาก อ่านกี่รอบก็ยังสนุกเหมือนเดิมเลย  :L1: