ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
**********************************************
Road To Your Heart.
เส้นทางของชีวิตที่ผมไม่ได้ตั้งใจเลือกเดิน ต่างจากเขาที่ตั้งใจเดินเข้ามาในเส้นทางชีวิตของผม ถนนที่ผมต้องเลือกว่าจะเดินต่อหรือเลี้ยวไปอีกทาง แล้วผมควรเลือกเส้นทางไหน?
(https://sv1.picz.in.th/images/2018/12/16/9BOOtS.jpg)
ในชีวิตประจำวันเราใช้ถนนเป็นเส้นทางในการเดินทางสู่จุดหมาย
ในชีวิตจริงเราสามารถกำหนดจุดหมายปลายทางได้ แต่ในถนนของ
ชีวิตเราไม่รู้หรอกว่าถนนเส้นนั้นจะพาเราไปพบเจอกับอะไร
อาจเป็นถนนที่มีปลายทางคือสิ่งสวยงามรออยู่ อาจจะเป็นทางตัน
ทางแยก หรือแม้แต่ถนนลูกรัง แต่ไม่ว่าถนนเส้นนั้นจะเป็นถนนแบบไหน
ถนนเส้นนั้นก็คือถนนที่พวกเขาเลือกเอง
มาให้กำลังใจพวกเขาในการเดินทางสู่หัวใจใครบางคนด้วยกันนะคะ
: หาว :
เส้นทางที่ผมกำลังเผชิญ เส้นทางที่แม้จะดูราบเรียบ แต่มันคือเส้นทางที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ของผม
: ตะวัน :
ผมพยายามเดินเข้าไปในเส้นทางชีวิตของเขา ได้แต่หวังว่าสักวัน... เขาจะยอมให้ผมเดินไปบนเส้นทางนั้นร่วมกันกับเขา
: เอก :
เส้นทางของผมกับเขา ตลอดมามันคือเส้นขนาน ไม่มีทางบรรจบ แต่จะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป
: ดีน :
ผมไม่เคยคิดว่าเส้นทางที่เขาเลือก จะเป็นเส้นทางที่ทำให้เราสองคนกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไป
สารบัญ
ตอนที่ 1 รักครั้งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3923883#msg3923883)
ตอนที่ 2 อนาคตของผม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3923894#msg3923894)
ตอนที่ 3 น้ำฟรีแก้วแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3923896#msg3923896)
ตอนที่ 4 แตงโมสื่อรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3923900#msg3923900)
ตอนที่ 5 เปิดโลกชมรม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3923905#msg3923905)
ตอนที่ 6 สายรหัสของผม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3923907#msg3923907)
ตอนที่ 7 บ้านพี่เลี้ยงช้างด้วยเหรอ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3923908#msg3923908)
ตอนที่ 8 สายแข็ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3923919#msg3923919)
ตอนที่ 9 แก้ผ้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3924556#msg3924556)
ตอนที่ 9 แก้ผ้า [ต่อ] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3924558#msg3924558)
ตอนที่ 10 ไดอารี่ของเอก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3924560#msg3924560)
ตอนที่ 11 ทางนี้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3924568#msg3924568)
ตอนที่ 12 หนังสือภาคต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3924574#msg3924574)
ตอนที่ 13 จุนคัมแบ็ค (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3924594#msg3924594)
ตอนที่ 14 ความจริงอีกด้าน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3924598#msg3924598)
ตอนที่ 15 เหตุเกิดเพราะผมง่วงนอน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3924600#msg3924600)
ตอนที่ 16 ครอบครัวก็คือครอบครัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3924605#msg3924605)
ตอนที่ 17 หากตะวันยังเคียงคู่ฟ้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69172.msg3924608#msg3924608)
END
ปล.1 นิยายเรื่องนี้มีคำหยาบคายเล็กน้อย เพื่อความสมจริงของเนื้อเรื่องไม่ว่ากันเนอะ
ปล.2 ทั้งบุคคล สถานที่ และเนื้อเรื่องเป็นสิ่งที่ผู้เขียนสมมติขึ้นเพียงเท่านั้น
ปล.3 นิยายเรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติก ดราม่า + คอมเมดี้ มายิ้ม มาหัวเราะ มาหน่วงไปด้วยกันนะคะ
ปล.4 ขออนุญาตลงทีเดียวจบเลยนะคะ >..<
ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของเรานะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของเราอาจมีข้อผิดพลาดมากมายสามารถแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างเต็มที่แต่ของดใช้คำ
หยาบคายนะคะไม่รู้จะมีคนเข้ามาอ่านหรือเปล่าสำหรับคนที่หลงเข้ามาก็ขอให้สนุกกับ
นิยายของเรากันนะคะ
#roadtoyourheart
Jasperpt
ตอนที่ 2
อนาคตของผม
You might meet a hundred acquaintances
Just to find a few special friend.
เสียงร้องเพลงเคล้าไปกับเสียงดนตรีในท่วงทำนองที่ฟังแล้วสบายหู ผมล่องลอยไปกับเสียงเพลงที่อยู่ในหูฟัง B&W ที่ผมเก็บเงินซื้อเอง เลือกใช้โหมด Bluetooth เชื่อมต่อกับโทรศัพท์เครื่องใหม่เปิดเพลงฟังไปเรื่อยๆ หลังจากทานข้าวเสร็จกลุ่มเพื่อนของผมก็ชวนกันมานั่งบริเวณม้านั่งใต้ต้นปีบข้างๆตึกไชยพฤกษ์ ในเวลาพักเที่ยง กลิ่นของดอกปีบหอมโชยจางๆผสมกับเสียงเพลงในหูฟังทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนอยากหลับไปซะตอนนี้
ตอนนี้ผมอยู่ม. 6 แล้ว ผมย้ายจากโรงเรียนชายล้วนที่เคยเรียน มาอยู่โรงเรียนเอกชนชื่อดังแถวๆบ้านของผมแทน เพราะใกล้บ้านมากกว่า ด้วยปัญหาอะไรหลายๆอย่าง ทำให้ผมตัดสินใจย้ายมาอยู่โรงเรียนนี้
ตอนนี้ผมผอมลง หุ่นดีขึ้น พอผอมลงโครงหน้าก็ชัดขึ้น ดูดีขึ้นมากเลยทีเดียว(ถ้ากระจกไม่หลอกผมนะ) พอผมหน้าตาดีขึ้น ผมยอมรับว่ามีโอกาสดีๆเข้ามาในชีวิตมากขึ้นเช่นกัน มีโมเดลิ่งเข้ามาติดต่อ แต่ผมคิดว่าตัวผมเองไม่เหมาะกับอาชีพในวงการบันเทิงสักเท่าไหร่นัก ผมจึงไม่เคยตอบตกลงไปเลยสักครั้ง ตอนนี้ผมเป็นนายแบบอิสระหาค่าขนมให้ตัวเองกับแบรนด์เสื้อผ้าของพี่ที่รู้จักกัน
พอหน้าตาดีก็มีคนสนใจผมมากขึ้น และมีคนเข้าหามากขึ้นเช่นกัน นอกจากจะมีคนชอบผมก็มีคนเกลียดด้วยครับ มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียดเป็นธรรมดา แต่กับบางคนก็หมั่นไส้ผม โดยที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลยด้วยซ้ำ ตอนอ้วนก็โดนแกล้ง แถมบางครั้งยังไม่มีใครสนใจเสียด้วยซ้ำ พอหล่อก็โดนคนคุกคามทางสายตาและคำพูด แถมด้วยบางคนที่พยายามล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของผม ชีวิตไอ้หาวเองครับ สุดท้ายไม่ว่าผมจะเป็นคนแบบไหน มันก็มีเรื่องมาให้ปวดหัวได้อยู่ดีอย่างนั้นสินะ
จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าผมพยายามขนาดไหนถึงเปลี่ยนแปลงตัวเองไปได้ขนาดนี้ 2 ปีพอดีที่ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมเลือกทานอาหาร ผมควบคุมการกิน ผมออกกำลังกายโดยการวิ่ง เล่นบาส เข้าฟิตเนส ผมเริ่มดูแลผิว ส่วนสูงที่เพิ่มจากการเล่นบาส ดึงข้อ อัดนม วิตามินและอาหารเสริม ที่มีส่วนช่วยในเรื่องของความสูง อะไรที่เขาว่าดีผมก็ทำหมดล่ะครับ ตอนนี้ผมสูง 185 ซม. ที่จริงพ่อของผมท่านเป็นคนสูงมาก ไม่รู้ว่าที่ผมสูงขึ้นเป็นเพราะความพยายามหรือเพราะกรรมพันธุ์เหมือนกัน
“งั้นกูไปลองด้วย แล้วมึงอะหาว” เอกเอามือมาสกิดเรียกผม ผมถอดหูฟังเอาไว้ที่คอแล้วหันไปมองหน้าเอก
“มีอะไรวะ” ผมถามไอ้เอก
“กูถามว่ามึงจะไปเรียนต่อที่ไหน กูว่าจะไปที่เดียวกับดีน”
“มึงนี่ก็ลอกดีนมันตลอด ตั้งแต่การบ้าน นี่ลามไปถึงมหาลัยเลยเหรอ ว่าแต่… มหาลัยอะไรวะ”
“แหมทำเป็นว่ากูไอ้หาว” ผมหัวเราะเล็กๆกับท่าทางของเอก
“มหาลัย XXX” ดีนตอบผม
“ก็ดีนี่ เป็นตัวเลือกที่ดีเลย”
“ไปลองสอบด้วยกันไหมล่ะ ถ้าติดจะได้เรียนที่เดียวกันด้วย”
“ลองดูก็ได้ ไม่รู้กูจะสอบติดรึเปล่านะ”
“มึงแม่งโคตรเก่ง อย่ามาพูดเลยไอ้หาว ถ้ากูฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของมึงก็คงดี อ่านนิดอ่านหน่อยแม่งก็เข้าใจ ถ้ากูเป็นมึงก็คงดีอะ”
“ผลักหัวกูทำไมเนี่ย” ดีนผลักหัวเอกไม่ได้แรงอะไร แต่ก็พอทำให้เจ็บได้เหมือนกัน
“ถ้ากูเป็นมึงก็คงดี กูขอซื้อคำนี้เถอะว่ะเอก เป็นมึงก็ดีแล้วอะ” ทำไมผมรู้สึกเหมือนเห็นประกายวิ้งวับสีชมพูออกมาจากตัวไอ้เอกวะครับ
“เป็นกูดีแล้วจริงๆเหรอ” เอกถามย้ำคำพูดของดีนด้วยท่าทางดีใจจนปิดไม่มิด
“เออ” คำตอบรับสั้นๆของดีนทำให้เอกกลั้นยิ้มจนหน้ามันดูตลก
พวกเราคุยกันเล็กน้อย ก่อนที่ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ผมยกหูฟังที่แขวนไว้ที่คอมาฟังเหมือนเดิม
ดีนเป็นผู้ชายตัวเล็กสูงประมาณ 175 เซนติเมตร มาตรฐานชายไทยทั่วไปนั่นแหละครับ แต่ตัวเล็กกว่าผมไง ตัวขาวๆออกแนวผู้ชายหน้าหวาน เป็นคนขยันเรียนมากๆแต่อะไรที่เกี่ยวกับศิลปะและกีฬา ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ส่วนเอกเป็นผู้ชายผิวแทนสูงไล่เลี่ยกับผมต่างกันไม่กี่เซนต์ เรียนกลางๆไม่ได้ดีหรือแย่ เป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง แถมยังเป็นนักกีฬาของโรงเรียนหลายประเภท ทำให้เอกมันฮอตมากเลยทีเดียว
เราสามคนอยู่ด้วยกันตั้งแต่ผมย้ายเข้ามาที่นี่ใหม่ๆตอนม.4 เป็นคนพาไปวิ่ง พาไปออกกำลังกาย เอกก็ไปวิ่งกับผมล่ะครับ ส่วนดีนมันไปนั่งเฝ้า ทั้งสองคนรู้เรื่องราวของผม พวกเขาเป็นคนที่ผมสบายใจที่จะอยู่ด้วย มีเรื่องอะไรพวกเราก็จะคุยกันเสมอ พ่อดีนเป็นเพื่อนกับคุณพ่อ คุณแม่ของผม เราสองคนเลยมีโอกาสได้เจอกันตั้งแต่เด็กๆ เอกเป็นเพื่อนสนิทของดีนมาตั้งแต่สมัยม.ต้น พวกเราก็เลยได้อยู่ด้วยกันสนิทกันจนถึงทุกวันนี้
โทรศัพท์ในมือผมสั่น ผมจึงหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นข้อความของเอกที่ถูกส่งมาในช่องแชทส่วนตัวบนแอพพลิเคชั่นฟ้า
ไอ้เอกขี้หลี
เป็นกูก็ดีแล้ว
มึงกูฟิน
หาวคนหล่อ
ยินดีด้วยเพื่อน
ผมตอบกลับเอกไป เงยหน้ามองเพื่อนสนิทที่ยิ้มไม่หุบ ส่วนอีกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมโทรศัพท์ไม่สนใจอะไร เห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
ตึ้งตึงตึงตึ่ง ตึ่งตึงตึ้งตึง ~
“ออดเข้าคาบแล้วพวกมึง”
“กูโดด”
“โดดพ่องมึงสิ โดดจนจะหมดสิทธิ์สอบอยู่แล้ว ไปเข้าเรียน!”
“โหยมึงอ่า หัวกูช้ำหมดแล้วมั้งเนี่ย ไม่อ่อนโยนเลย ถ้าหัวกูหลุดนะ”
“หุบปากไปเลยมึง ส่วนไอ้หาวมึงเลิกฟังเพลงได้แล้ว” เอกเอามือมาสกิดผมอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ ถอดหูฟังเอาไว้ที่คอ แล้วหันไปมองเอก
“มีไร”
“พวกมึงทั้ง 2 ตัวลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ เข้าสายเดี๋ยวอาจารย์แม่ได้ตีหัวแบะพอดี”
“อ้าวหมดเวลาแล้วเหรอ” ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ อืมจริงด้วย
“ค้าบบบพ่อ” เอกพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกวนบาทา ดีนทำหน้าเอือมระอาแล้วส่ายหัว
“วิ่งแข่งกันนะ ใครถึงทีหลังคนนั้นแพ้” ผมรีบเก็บของ วิ่งแข่งกันมาจนถึงห้องเรียน เอกเป็นคนชนะ ตามด้วยผมและดีนเป็นคนสุดท้ายเหมือนเช่นเคย ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะแข่งวิ่งกันไปทำไม แต่สุดท้ายก็แข่งทุกครั้งที่เอกท้านั่นแหละครับ
ผมวิ่งกันจนมาถึงอาคารเรียน
“ธนากร ปาณชัย นัฐพงษ์อย่าวิ่งบนระเบียง” เสียงของอาจารย์ประชา อาจารย์ฝ่ายปกครองร่างท้วม ทำให้พวกผมหยุดวิ่งแล้วเปลี่ยนเป็นเดินแทน พวกผมขำให้กัน พากันเดินไปที่ห้องเรียนของพวกผม ถอดรองเท้าไว้ที่ชั้นวางหน้าห้อง แล้วเดินไปขออนุญาตอาจารย์แม่เข้าที่หน้าประตู
“ขออนุญาตเข้าห้องครับ” พวกผมพูดขึ้นพร้อมกัน
“สายอีกแล้วนะ เข้ามาได้” พวกผมโดนอาจารย์แม่เอ็ดเรื่องเข้าสายไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ของปี พวกผมเดินเข้ามาในห้องตามคำอนุญาตของอาจารย์แม่ พาตัวเองไปยังที่นั่งกลางห้องที่เป็นแบบสามตัวเรียง
การเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของอาจารย์แม่ก็ยังเหมือนเดิมครับ ไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม ฟังแล้วง่วงนอนเหมือนเดิม อาจารย์แม่หรืออาจารย์เกศรินเป็นอาจารย์ประจำชั้นของผม ท่านมักจะเรียกแทนตัวเองว่าแม่ พวกผมก็เลยเรียกท่านว่าอาจารย์แม่
ผมแอบวาดรูปเล่นเพราะเนื้อหาทั้งหมดเป็นเนื้อหาที่ผมเคยศึกษามาแล้ว ส่วนสองคนที่เหลือก็นะ เอกหลับไปตั้งแต่ต้นคาบแล้วครับ ส่วนดีนก็ตั้งใจเรียนไปตามประสาของมันนั่นแหละ เวลาเดินมาเกือบท้ายคาบ
“วันนี้แม่มีแบบสอบถามมาให้พวกลูกๆทำ เป็นแบบสอบถามจากฝ่ายแนะแนว เกี่ยวกับสาขา คณะ มหาวิทยาลัยที่อยากเรียน อาชีพที่อยากเป็น ส่งก่อนหมดคาบนะจ๊ะ ธนากรมาเอาไปแจกเพื่อนหน่อยลูก”
“ครับอาจารย์แม่” ดีนเดินไปรับปึกกระดาษที่อาจารย์แม่ แล้วเดินแจกกระดาษเพื่อนๆในห้อง ผมรับกระดาษมา 1 แผ่น กรอกชื่อ เลขที่ รหัสประจำตัวนักเรียน ลงในกระดาษแบบสอบถามเป็นอันดับแรก อืมอยากเรียนอะไรงั้นเหรอ คุณพ่อกับคุณแม่ให้อิสระในการเรียนของผมเต็มที่ ผมเลือกเรียนสาขาวิชาการจัดการระหว่างประเทศ เพราะเรียนจบจะได้กลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัวได้ ผมกรอกข้อมูลจนเสร็จแล้ว จึงส่งแผ่นกระดาษให้ดีนรวบรวมไว้
“อีกไม่กี่เดือนพวกลูกจะจบแล้วนะ จะทำตัวเถลไถลแบบนี้ไม่ได้แล้ว แม่อยากให้ลูกทุกคนพยายามมากกว่านี้ สำหรับคนที่พยายามอยู่แล้วก็พยายามยิ่งขึ้นไป คนที่กำลังเหลวไหลแม่อยากให้ลูกพยายามมากกว่านี้ อนาคตเป็นของเรา เลือกทางเดินชีวิตดีๆ จะได้ไม่เสียใจทีหลัง เข้าใจไหม”
“ครับ/ค่ะ อาจารย์แม่”
เวลาเดินมาถึงช่วงสอบรับตรงเข้ามหาลัย พวกผมตั้งใจติวกันอย่างหนัก ผมทั้งเครียดทั้งกดดัน ทั้ง Onet Gat Pat ไหนจะสอบข้อเขียนอีก นอกจากสอบข้างนอกแล้วยังมีสอบของโรงเรียน สอบของโรงเรียนนี่ผมเองไม่ห่วงเท่าไหร่ เพราะมหาวิทยาลัยที่ผมเลือก ใช้GPAX แค่ 5 เทอม ห่วงก็แต่สอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยนี่ล่ะครับ สอบผ่านมาแล้วก็ยังมานั่งคิดมากว่าตัวเองจะสัมภาษณ์ผ่านไหม แต่พวกผมก็ทำเต็มที่แล้วครับ ยกเว้นเอกนะครับมันใช้โควตานักกีฬา ผ่านการคัดเลือกเรียบร้อยแล้ว ลอยลำอยู่คนเดียวเลย
วันนี้เป็นวันประกาศผลสอบสัมภาษณ์ ผมนั่งอยู่หน้าจอ Laptop เพื่อรอผลประกาศ ผมลุ้นอยู่หน้าจอพร้อมกับคุณพ่อ คุณแม่และเฮียเหิน ตอนนี้เฮียเหินจบกลับมาที่ไทยแล้วครับ
“ถึงเวลาประกาศแล้วลูก เอาเลย ได้ไม่ได้ไม่เป็นไรเราทำเต็มที่แล้ว” พ่อตบไหล่ผมเบาๆเชิงให้กำลังใจ
“เน็ตมันหมุนไม่หยุดเลย แม่ลุ้นจนจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย”
“ใจเย็นครับคุณแม่ น้องก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ดูน้องสิมือสั่นหมดแล้วเนี่ย ฮ่าๆ” ผมหันไปมองเฮียเหินที่แซวผม
“จริงด้วย ไม่เป็นไรนะลูก ไม่ตื่นเต้นๆ” แม่เอื้อมมือมาจับมือผม บอกผมไม่ให้ตื่นเต้นแต่ตัวเองเนี่ยตื่นเต้นยิ่งกว่าผมอีก
“อ๊ะ ผลมาแล้วครับลูก” ผมหลับตาไม่กล้าจ้องหน้าจอ
“หาวคนเก่งของแม่ทำได้แล้วนะครับ” ผมรีบลืมตาแล้วจ้องไปที่หน้าจอทันที
“พ่อดีใจด้วยนะลูก”
“ดีใจด้วยนะครับคนเก่งของพี่” ผมดีใจจนพูดไม่ออก กอดคุณแม่ไว้แน่น หลังจากคุณพ่อกับคุณแม่และเฮียเหินแสดงความดีใจกับผมเสร็จก็ออกจากห้องไป ผมรีบหยิบโทรศัพท์เข้าไปที่แชทกลุ่มสามหนุ่มทันที พบว่าเอกมันทักมาก่อนแล้ว
อวยหัวเขก
เป็นไงบ้างพวกมึง ?
หาวขี
ติดครับ น้ำตาจะไหล
สติกเกอร์แมวร้องไห้
แล้วพวกมึงอะ
ดีนแตก
กูก็ติด ทำได้แล้วโว้ย
สติกเกอร์หมาดีใจ
อวยหัวเขก
เก่งมากพวกมึง
ได้เรียนที่เดียวกันแล้วน่อวว
หาวขี
สติกเกอร์กอดกัน
วันนี้เป็นวันปัจฉิมนิเทศ ทางโรงเรียนมีกิจกรรมมากมาย ผมได้รับทั้งดอกไม้ ทั้งของขวัญจากเพื่อนๆและรุ่นน้องเต็มไปหมด ตอนนี้พวกผมสามคนอยู่ที่หน้าเวที กอดคอกันร้องเพลงไปพร้อมๆกับนักร้อง เพลงที่ร้องก็ไม่พ้นเพลงที่เกี่ยวกับเพื่อน เป็นวันที่ผมจะจดจำในชีวิตมัธยมเลย ขอบคุณอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ผมได้มาเจอเพื่อนๆที่นี่ ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เจอเพื่อนดีๆอย่างเอกกับดีน ขอบคุณอาจารย์แม่ที่คอยดูแลเรา ขอบคุณสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้เราได้เจอกัน
‘เดินจับมือกัน ทุกข์สุขด้วยกัน หัวเราะร้องไห้ด้วยกันมานานเท่าไหร่ ฉันไม่เคยลืมจากใจ วันที่เรายิ้ม วันที่ทะเลาะ ภาพวันและคืนเหล่านั้น ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป’
*ท่อนหนึ่งในเพลงช่วงที่ดีที่สุด
ตอนที่ 7
บ้านพี่เลี้ยงช้างด้วยเหรอ
Lazy it can win everything.
หลังจากผมเรียกเสียงฮาไปชุดใหญ่ เพราะอ่านไม่ถูกสักที จนรุ่นพี่ยอมแพ้ให้ผมเลิกพูดได้ กิจกรรมของวันนี้สิ้นสุดลง ผมเห็นพี่ตะวันยืนอยู่กับพี่สีฝุ่น ผมไม่รู้ว่าทำไมพี่ตะวันถึงมาอยู่ที่คณะผมได้เหมือนกัน ผมตัดสินใจเดินไปบอกพี่ตะวัน แทนที่จะทักแชทเฟสบุ๊กไปบอกอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก เรื่องรถที่สามารถไปรับได้แล้ว
“พี่ตะวันครับ”
“ชื่อสายรหัสเท่ดีนะ”
“พี่ก็ล้อผมด้วยอีกคนเหรอครับเนี่ย” โดนพวกไอ้อิฐแซวมาหนักละด้วย
“ฮ่าๆ ว่าแต่มีอะไร”
“ผมจะบอกว่า เมื่อบ่ายช่างโทรมาแจ้งว่ารถเสร็จแล้วนะครับ สามารถไปรับรถได้เลย”
“ขอบใจมาก สีฝุ่นเดี่ยวมึงพากูไปเอารถหน่อยดิ”
“ได้ๆ”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวจะรีบไปไหน” ผมหันไปมองพี่สีฝุ่นที่เอามือมาจับไหล่ผมไว้ ผมหันไปประจันหน้ากับพี่สีฝุ่น
“ไม่คิดจะทักทายกูหน่อยเหรอ”
“อ่าสวัสดีครับ”
“พี่สีฝุ่นครับ ผมถามจริงๆนะพี่แกล้งผมทำไม พี่ล็อกสายรหัสผมไม่ว่า แต่พี่ให้ผมอ่านประโยคนั้น จิตใจทำด้วยอะไรวะ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ใครล็อกสายรหัส มึงมั่วแล้วไอ้หาว กูแค่ลืมใส่ลงไปเฉยๆ”
“อ่าครับ” ไม่ได้ล็อกจริงๆเหรอวะ บอกตามตรงผมไม่ค่อยเชื่อเลย
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้นล่ะ ว่าแต่วันนี้ไปฟิตเนสเปล่าวะ”
“น่าจะไปนะพี่”
“เออๆเจอกัน”
ผมตื่นมาเช้านี้ด้วยสภาพไม่ปกติสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อคืนพี่สีฝุ่นชวนผมเล่นเกม พวกผมสองคนเลยพากันมาเล่นเกมกันที่ห้องของผม กว่าพี่สีฝุ่นจะกลับไป กว่าจะได้นอนก็ดึกมากแล้ว ผมงัวเงียลุกขึ้นจากเตียงนอนเพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่ถูกตั้งเสียงดังจนสุด กำลังแผดเสียงดังลั่นห้อง ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เกือบสาย ผมไม่ลืมที่จะหยิบฟีเนียสลูกรักติดมือมาด้วย ฟีเนียสเป็นกีตาร์ Taylor 814ce ที่พ่อกับแม่ซื้อให้ตอนวันเกิด Taylor เป็นหนึ่งในยี่ห้อกีตาร์ที่ผมอยากจะมีไว้ในครอบครองพอๆกับ Martin ของมันต้องมีจริงๆครับ ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องชื่อฟีเนียส ฟีเนียสเป็นหนึ่งในตัวเอกในการ์ตูนโซนอเมริกาเรื่องฟีเนียสกับเฟิร์บ เป็นการ์ตูนที่ผมชอบดูสมัยประถม เพลงประกอบก็โคตรเท่ ผมชอบฟีเนียสเพราะเป็นตัวการ์ตูนที่มีหัวทรงสามเหลี่ยมอย่างเฟี้ยว พอได้กีตาร์ที่อยากได้มา ผมก็เลยตั้งชื่อว่าฟีเนียสนั่นล่ะครับ ด้วยความที่ผมค้อนข้างชอบการ์ตูนเรื่องฟีเนียสกับเฟิร์บ กีตาร์อีกตัวหนึ่งที่อยู่ที่บ้านซึ่งได้มาทีหลังตอนไปเล่นเอ็มวีให้เฮียเหินอย่าง Martin D-28 ชื่อก็ต้องเป็นการ์ตูนในเรื่องที่ผมชอบมากที่สุดอีกตัวหนึ่งอย่างเฟิร์บสิครับ
ผมเอาฟีเนียสไว้ในรถ ไปเรียนด้วยสภาพไม่เต็มร้อยสักเท่าไหร่ สุดท้ายผมก็เผลอหลับไปจนต้องขอยืมเลคเชอร์ของไอดินมาลอก
เมื่อถึงเวลาคัดเลือกนักศึกษาต้นแบบ ผมขอแยกตัวออกมาหยิบฟีเนียสลูกรัก วันนี้ล่ะครับที่ผมจะพาฟีเนียสมาเปิดตัว
กิจกรรมถูกจัดขึ้นแบบง่ายๆที่ลานกิจกรรมคณะนั่นแหละครับ ผมถือฟีเนียสเดินไปที่พวกตัวแทนนั่งอยู่
พี่คนหนึ่งในคณะถือสลากมาสองชุด ให้พวกผมจับแยกชายหญิง ผมได้หมายเลขสาม เจมส์ได้หมายเลขหนึ่ง ส่วนหินได้หมายเลขสอง
หลังจากนั่งได้ไม่นานก็ถูกเรียกออกไปด้านหน้าพร้อมผู้ถูกเลือกอีก 5 คนที่เหลือ รุ่นพี่ให้พวกผมแนะนำตัวทีละคน จนครบทุกคน
“เริ่มที่ฝั่งผู้หญิงหรือผู้ชายก่อนดีเอ๋ย” พี่แนนคนโหดคนเดิมถามเพื่อนๆในคณะ
“ผู้ชายค่าาาา/ผู้หญิงค่าบบบ” เสียงประสานของเพื่อนๆผู้หญิงและไม่ใช่อีกนิดหน่อย
“งั้นเรามาเริ่มกันที่น้องผู้ชายกันก่อนเลยนะครับพี่แนน” เสียงประสานของเพื่อนๆผู้ชายที่มีไม่เยอะเท่าผู้หญิง ก็แพ้ไปสิครับ
“ดีเลยค่ะพี่อาม พี่แนนอยากรู้แย่แล้วว่าเวลาแค่คืนเดียว น้องๆจะมาโชว์อะไรกัน”
“นั้นสิครับพี่แนน”
“มาเริ่มที่น้องคนแรกตามที่เราจับฉลากกันก่อนเลยนะครับ”
“ขอเชิญพบกับน้องเจมส์ กันก่อนเลย” เสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดดังสนั่น พวกผมที่เหลือจึงเดินกลับไปที่หลังเวที
การแสดงเริ่มจากการเต้นบีบอยของเจมส์ สเต็ปมันเทพมากครับ ตามจริงผมก็ดูไม่เป็นเท่าไหร่หรอก แต่ก็พอรู้ว่ามันเทพมาก ผมอดคิดในใจไม่ได้ว่ามันมีกระดูกหรือเปล่า การแสดงของเจมส์จบไปแล้ว เรียกเสียงกรี๊ดดังกึกก้องไปทั่วคณะ แน่นอนล่ะครับก็มันเท่ซะขนาดนั้น
ตามด้วยการแสดงของหิน มันมาในชุด กางเกงมวย เสื้อกล้ามสีขาว โชว์มัดกล้ามอย่างคนออกกำลังกาย คือคุณมึงต้องจัดเต็มขนาดนี้ไหมวะครับ มาในชุดนักมวยขนาดนี้ แน่นอนครับมันมารำมวยไทย ทั้งดูอ่อนช้อยแต่ก็ดูแข็งแรงจนละสายตาไม่ได้เลย อื้มผมกลับตอนนี้เลยได้ไหมวะครับ การแสดงของหินจบลง เรียกเสียงกรี๊ดได้ไม่ต่างจากเจมส์เลย เอาล่ะถึงคิวผมแล้วครับ
“ต่อไปเป็นผู้เข้าประกวดหมายเลขสาม เชิญน้องหาวเลยครับ”
ผมเดินถือฟีเนียสลูกรักออกมาด้านหน้า
“กรี๊ดดดดด”
“สวัสดีครับผมหาว นายปาณชัย ชิษณุพงษ์พัฒน์ครับ วันนี้ผมจะออกมาโชว์ร้องเพลง เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ”
ผมเริ่มเกากีตาร์ในทำนองคุ้นหูด้วยความเคยชิน มีบางคนที่จำจังหวะเพลงนี้ได้เริ่มทำหน้าประหลาดใจ
“ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง
น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า”
ทุกคนเริ่มทำหน้าตกใจ บางคนเริ่มโห่แซว บางคนก็เริ่มปรบมือให้จังหวะ บ้างก็ร้องตาม ผมมองการกระทำของทุกคนแล้วร้องท่อนต่อไป
“ช้างมันตัวโตไม่เบา
จมูกยาวยาวเรียกว่างวง
มีเขี้ยวใต้งวงเรียกว่างา
มีหู มีตา หางยาว”
คนที่ร้องได้ช่วยผมร้อง จากเสียงโห่แซวกลายเป็นช่วยปรบมือให้จังหวะ
“ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง
น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า
ช้างมันตัวโตไม่เบา
จมูกยาวยาวเรียกว่างวง
มีเขี้ยวใต้งวงเรียกว่างา
มีหู มีตา หางยาว
ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง
น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า
ช้างมันตัวโตไม่เบา
จมูกยาวยาวเรียกว่างวง
มีเขี้ยวใต้งวงเรียกว่างา
มีหู มีตา หางยาว”
*เพลงช้าง
“ขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันร้องนะครับ”
“กรี๊ดดดดด”
ผมกล่าวขอบคุณเมื่อร้องจบเพลง เรียกทั้งเสียงกรี๊ด เสียงโห่แซวและเสียงปรบมือดังสนั่น ไม่ว่าเด็กยุคไหนต้องรู้จักเพลงนี้จริงๆนะครับ
“โอ้ยกูชอบ” เสียงโหวกเหวกโวยวายปนขำจากด้านหลัง ผมมองไปยังต้นเหตุของเสียง ลุงรหัสของผมเองครับ ผมยิ้มแก้เก้อไปหนึ่งที พลางยกมือที่ว่างจับท้ายทอยตัวเอง
ความจริงผมอยากโดดรับน้องวันนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ ถ้าผมจะซวยได้เป็นเพราะร้องเพลงนี้ล่ะก็นะ
“แหมไม่ค่อยเลยนะคะพี่สีฝุ่น ต่อไปเป็นฝั่งของผู้หญิงกันแล้วนะคะ” เสียงพี่แนนแซวพี่สีฝุ่น ตามด้วยหันไปคุยกับเพื่อนในคณะ
ผมเดินกลับไปนั่งทีเดิม
“น่ารักดีนะ” ใบตองที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาพูดกับผม
“ขอบคุณครับ” ผมพูดกับใบตอง แล้วเธอก็ถูกรุ่นพี่เรียกไปเพราะว่าถึงคิวของเธอต้องแสดง
“มึงคิดได้ไง กูไม่เคยเห็นใครร้องเพลงช้างได้หน้านิ่งเท่ามึงมาก่อนเลย ฮ่าๆกูชอบ” ผมหันไปหาเจมส์ที่พูดขึ้นมา
“ขอบคุณครับ”
“มึงคิดไงถึงร้องเพลงนี้วะ”
“ไม่ได้คิดอะไร”
“นายไม่อยากเป็นเหรอ” ผมสบตากับหิน แล้วตอบออกไป
“ถ้าตอบตามตรงก็ใช่”
“แล้วถ้านายได้ขึ้นมาจะทำยังไง”
“แกล้งตาย” เจมส์กับหินอยู่ๆก็หัวเราะออกมา
“นายนี่ตลกดีนะ ตลกหน้าตายสัดๆ”
“นายจะแกล้งตายจริงดิ” หินพูดหลังจากเจมส์พูดจบ
“ผมล้อเล่นน่ะ”
พวกผมคุยกันบ้างแต่ก็หันไปสนใจโชว์ของสาวๆเสียมากกว่า ในฝั่งของพวกผู้หญิง ใบตองเธอออกมาโชว์ร้องเพลงเหมือนผมนี่ล่ะครับ แต่เธอโชว์สกิลซะผมอับอายเลย นึกว่าแก้ม วิชญาณีมาเอง กอหญ้ามาโคฟเวอร์เกาหลีแบบท่าโคตรเป๊ะ เธอบอกว่าเธอมีกลุ่มที่แข่งโคฟเวอร์ด้วยกันอยู่ ส่วนเส้นด้ายเธอออกมาโชว์เล่นโยคะ เธอบอกว่าเธอนึกไม่ออกว่าจะโชว์อะไรดี ช่วงนี้เธอเรียนโยคะอยู่ ก็เลยโชว์เล่นโยคะซะเลย
“ต่อไปเป็นการตอบคำถามเพื่อวัดไหวพริบ กันนะครับ เชิญน้องหินคนแรกเลยครับ” เสียงพี่อาร์มเรียกหินออกไปด้านหน้า
“สำหรับคำถามที่น้องหินได้นะคะ น้องคิดอย่างไรเกี่ยวกับการที่มหาลัยเปลี่ยนจากการประกวดดาวเดือน มาเป็นการประกวดนักศึกษาต้นแบบแทน แล้วน้องคิดว่าตัวเองเหมาะสมสำหรับการเป็นตัวแทนของคณะที่จะไปประกวดนักศึกษาต้นแบบหรือไม่คะ” หินทำหน้าคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะตอบคำถามออกมา
“ผมคิดว่าการที่มหาลัยเปลี่ยนจากการประกวดดาวเดือน มาเป็นนักศึกษาต้นแบบแทน เป็นทางเลือกที่ดีเลยทีเดียว ผมมองว่าคนที่จะมาเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นได้จะต้องมีบุคลิกภาพ ความสามารถ ที่ดีด้วย ไม่ใช่มีดีแค่เพียงหน้าตา ผมเลยคิดว่าชื่อการประกวดนักศึกษาต้นแบบนี่แหละเหมาะสมแล้วครับ” ถ้าเป็นผม ผมคงตอบว่า ก็แค่เปลี่ยนชื่อไม่ใช่เหรอวะ “ส่วนอีกคำถาม ผมคิดว่าผมเหมาะสมกับตำแหน่งนี้นะครับ ถึงผมจะไม่ได้หน้าตาดีมากๆแบบเพื่อนอีกสองคนที่เหลือ แต่ผมคิดว่าผมจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนอื่นได้อย่างแน่นอน ขอบคุณครับ”
การตอบคำถามผ่านไปเรื่อยๆ สลับระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย จนถึงคิวของผม ผมเดินไปด้านหน้า พี่อาร์มส่งซองกระดาษคำถาม 2 อันที่เหลือมาให้ผมเลือก ผมหยิบซองกระดาษคำถามขึ้นมา 1 อันส่งให้พี่อาร์ม
“คำถามนะคะ น้องคิดอย่างไรกับความไม่เท่าเทียมกันของคนที่หน้าตาดีกับคนที่หน้าตาไม่ดีคะ ” ผมตอบคำถามออกไปโดยไม่ต้องคิด
“ผมมองว่ามันก็ไม่เท่าเทียมกันจริงๆนั่นล่ะครับ แต่คนแพ้ไม่ควรร้องงอแงหาความเท่าเทียม แทนที่จะเอาเวลานั้นไปพัฒนาตัวเองนะครับ” เพราะผมเคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทุกคนดูอึ้งกับคำตอบของผม ผมตอบอะไรผิดไปเหรอครับ
ผลออกมาทำให้ผมโล่งใจอย่างประหลาด เป็นหินที่ถูกเลือกเป็นตัวแทนนักศึกษาต้นแบบคณะ และแน่นอนในฝั่งของผู้หญิง แก้ม วิชญาณีชนะไป ล้อเล่นครับ ใบตองสาวสวยผิวแทนนั่นเอง
ตอนนี้กิจกรรมเลิกแล้วครับ ผมเดินไปหาเพื่อนๆที่รวมกลุ่มอยู่กับพวกพี่ตะวัน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมพี่มันถึงมาคณะผมอีกแล้ว
“ไงมึง กูคิดไม่ถึงจริงๆว่ามึงจะร้องเพลงนี้ ฟังแล้วคิดถึงอนุบาลเลยไอ้เหี้ย” ไอ้อิฐเอามือมาผลักไหล่ผมเบาๆ
“คิดถึงแล้วง่วงเนอะ อยากนอนกลางวัน” อื้มผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
“มุกเหี้ยอะไรมึงเนี่ยไอ้ดิน”
“เรื่องของกู หาวร้องเพลงน่ารักดีเราชอบนะ เราถ่ายคลิปไว้ด้วยล่ะ” ไอดินพูดขึ้น หืม..ถ่ายคลิปไว้ด้วย
“ไอดินลงเฟสเลย” จันทร์เอ๋ยพูดขึ้น ผมหันไปมองเธอ
“เดี๋ยวกลับไป เราขอลงนะหาว” ไอดินพูดด้วยรอยยิ้ม ผมยิ้มให้ไอดินไม่ได้พูดอะไรตอบไป
“หลานรหัสที่น่ารัก ลุงรหัสกับพี่รหัสปลื้มมากเลย ร้องเพลงช้างได้หน้านิ่งสัดๆ กวนตีนดีกูชอบ วันนี้ไปแดกเหล้ากันเปล่า” อื้มหาคนหารค่าเหล้าสินะ ผมอ้าปากกำลังจะปฏิเสธ
“มึงมีงานค้างอยู่ไม่ใช่เหรอสีฝุ่น” ทุกสายตาหันไปมองพี่ตะวัน อะไรของพี่มันวะได้ข่าวอยู่กันคนละสาขา แถมพรุ่งนี้วันเสาร์
“ห่าอะไรของมึงเนี่ยไอ้ตะวัน งานค้างห่าอะไรมึง” พี่สีฝุ่นหันไปถามพี่ตะวันที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่สีฝุ่นก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“เอ่อ...มึงไม่ต้องไปแล้วไอ้หาว เนี่ยกูลืมว่ามีงานค้างอยู่” อะไรของพี่สีฝุ่นมันวะครับ
“มองอะไรแบบนั้นวะไอ้หาว ไปๆแยกย้ายกันกลับหอ” เปลี่ยนเรื่องตลอดเลย น่าสงสัยชะมัด แต่ช่างเถอะถึงเวลาที่ฟีเนียสลูกชายสุดรักต้องกลับหอแล้วครับ เนื่องจากพ่อมันง่วงและหิวข้าวมาก
“ไว้เจอกัน”
“ไว้เจอกันครับ” ตอนนี้ทุกคนแยกย้ายสลายตัวเรียบร้อย
ผมเดินมาที่รถ กดปลดล็อกกุญแจ เตรียมจะขึ้นรถ อยู่ๆก็มีเสียงคุ้นหูพูดขึ้นมาเสียก่อน ผมหันไปมองเขา
“ขอติดรถไปด้วยดิ” เป็นพี่ตะวันครับ
“เอ้าแล้วรถพี่ไปไหนเหรอครับ เสียอีกแล้วเหรอครับ”
“เออดิ เมื่อเช้าเลยติดรถไอ้ฟ้ามา” ผมพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วนี่พี่ฟ้าใหม่ไปไหนล่ะครับ”
“อ้อ เอ่อกูมาหาไอ้สีฝุ่นไง ว่าจะมาชวนมันไปเล่นฟุตบอล แต่พอดีมันมีงานค้าง เห็นว่ามึงไปทางเดียวกัน” แล้วพี่สีฝุ่นไม่ใช่ทางเดียวกันเหรอวะครับ
“อ่าครับ ขึ้นรถสิ” คนฟังพยักหน้ารับ ถอนหายใจเสียงดังเฮือก ก่อนจะยิ้มหน้าบานรีบวิ่งไปนั่งฝั่งข้างคนขับ เป็นคนที่แปลกคนจริงๆด้วยสินะ
ผมเปิดประตูหลังวางฟีเนียสไว้บนเบาะรถ เสร็จแล้วจึงเข้ามานั่งฝั่งคนขับ ไม่ลืมที่จะคาดเข็มขัดนิรภัย ก่อนจะสตาร์ทรถออกจากมอ หันไปถามพี่ตะวัน
“ไปส่งหอเลยใช่ไหมครับ”
“ไปหาไรกินก่อนกูหิว เดี๋ยวกูเลี้ยง”
“อ่าครับ แต่พี่ไม่ต้องเลี้ยงผมหรอก”
“แต่กูอยากเลี้ยง”
“แล้วจะกินอะไรดีครับ”
“ตามใจมึงเลย”
“งั้นก๋วยเตี๋ยวป้าแดงก็ได้ครับ ถูกดี แถมอร่อยด้วย”
“อ้อก๋วยเตี๋ยวป้าแดง ป้าแดงไหนวะ กูไม่เห็นรู้จัก”
“หืมร้านข้างทางธรรมดาๆน่ะครับ ไอ้อิฐแนะนำมาน่ะ เคยไปลองสองสามครั้งก็อร่อยจริง เดี๋ยวผมพาไป”
“ทำไมกูไม่รู้จักวะ อ้อเออ กูได้โทรศัพท์มาใหม่แล้ว ขอเบอร์โทรหน่อย”
“เอาไปทำไรครับ” ผมถามออกไปตรงๆเลยครับแม่ง พี่มันอึกอักนิดหน่อยก่อนจะตอบมา
“เผื่อมีธุระอะไรไง จะไม่ให้รึไง หยิ่งงี้” ผมส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไรไป ก็แค่รุ่นพี่ที่รู้จักขอเบอร์ มึงจะคิดมากทำไมวะหาว สิ่งที่มึงคิดอยู่บางทีมึงอาจจะระแวงไปเองเว้ย นี่ผมเป็นบ้าอะไรไปวะ ผมบอกเบอร์โทรสิบหลักให้พี่ตะวัน
Rrrrrrrrrrrr ~
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น ยังไม่ทันหยิบขึ้นมารับ สายก็ตัดไปเสียก่อน
“กูโทรไปเองแหละ เมมชื่อกูไว้ด้วย” ผมพยักหน้ารับ
“ไลน์มึงนี้เพิ่มเพื่อนจากหมายเลขโทรศัพท์ใช่ไหมวะ”
“อ่าใช่ครับ” พี่มันยิ้มกว้างเลยครับ ถามจริงมีความสุขอะไรหนักหนา
ผมขับรถมาถึงร้านป้าแดง ร้านป้าแดงเป็นร้านข้างทางธรรมดาๆที่คนแน่นมากๆ
“มึงเอาไร”
“เย็นตาโฟทะเลก็ได้ครับพี่”
“อ่า”
“แล้วพี่เอาอะไรครัับ”
“เหมือนมึงนั้นล่ะ”
“ป้าครับเย็นตาโฟทะเลสอง” พี่ตะวันแกตะโกนสั่ง
“ไอ้หนูเอากระดาษจดมาเสียบตรงนี้สิ ป้าทำคนเดียว ป้าจำไม่ได้หรอก”
“อ่าผมขอโทษครับป้า” อืมคนมองทั้งร้าน พี่ตะวันจดเมนูที่จะสั่งใส่กระดาษไปเสียบที่เสียบกระดาษที่วางไว้ให้ป้าแก ผมแอบขำกับท่าทางของพี่ตะวันเล็กน้อย ก่อนผมจะลุกขึ้นไปตักน้ำในกระติกมา 2 แก้ว วางให้พี่ตะวันแก้วหนึ่ง ผมแก้วหนึ่ง ไม่นานก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟทะเลสูตรเข้มข้นก็มาวางตรงหน้า ผมที่หิวจนไส้จะขาด รีบจัดการก๋วยเตี๋ยว ไม่สนใจใครแล้วครับเวลานี้
“มึงชอบช้างเหรอ” ใครเขาชวนคุยเวลากินกัน ผมเงยหน้ามองพี่ตะวัน
“ก็ชอบนะครับ สัตว์คู่บ้านคู่เมือง” ผมตอบในขณะที่มือกำลังใช้ตะเกียบคีบเส้น
“กูก็มีช้างนะ ใหญ่ด้วย”
“หืมบ้านพี่เลี้ยงช้างด้วยเหรอครับ”
“ช่างมันเถอะ คิดว่ากูไม่ได้พูดอะไรไปจะดีกว่า”
"..."
ตอนที่ 14
ความจริงอีกด้าน
Worrying won’t stop bad stuff from happening, it just stops you from enjoying the good.
[SEEPHUN PART]
เสียงเรียกเข้าในโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้น ขณะที่ผมกำลังนั่งดูการแข่งขันบาสเกตบอลทีมโปรด ตอนนักกีฬากำลังชูตลูกฟรีโทรว์
“เยดเข้! นำแล้วโว้ย” ผมหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เป็นเด็กหาวโทรมา “ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรมา โทรมาทั้งที โทรมาตอนกำลังดูบาสเนี่ยนะ” ผมบ่นก่อนจะกดรับสาย
“ฮัลโหล ว่า”
[พี่สีฝุ่น พี่นอนยังครับ]
“ยังมีอะไรว่ามา” ผมตอบแต่ตาก็ยังคงมองไปที่ทีวี
[ผมขอคุยอะไรกับพี่นิดหน่อยได้ไหมครับ] หืมเด็กหาวเนี่ยนะจะคุยอะไรกับผม
“ได้ดิ ที่จริงลงมาห้องกูก็ได้นะ… ”
[งั้นผมลงไปเลยนะ] หาวพูดออกมาทั้งๆที่ผมยังพูดไปจบประโยค ว่าจะชวนมาดูบาสด้วยกันสักหน่อย
“อ่า” เสียงสัญญาน ตู๊ด ตู๊ด ดังขึ้นบ่งบอกว่าปลายสายได้วางไปแล้ว สงสัยจะรีบจริงๆ
นั่งได้ไม่นาน เสียงออดประตูก็ดังขึ้น ผมลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู
“พี่สีฝุ่นสวัสดีครับ” หาวพูดด้วยสีหน้านิ่งๆปกติของชีวิตมัน
“เข้ามาข้างในก่อน” หาวพยักหน้ารับแล้วเดินเข้ามาข้างใน ผมจึงปิดประตูเดินตามหาวไปที่โซฟา
“ว่าไง มีอะไรซะดึกดื่น”
“ผมขอถามตรงๆไม่อ้อมค้อมเลยนะพี่ ผมคิดเรื่องนี้มาสี่วันแล้ว ผมตัดสินใจแล้วว่าจะมาถามพี่ตรงๆ” ตัดสินใจได้ตอนห้าทุ่มเนี่ยนะ ผมคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป
“ว่ามาดิ”
“พี่ตกลงก่อนว่าจะพูดความจริง แล้วก็ไม่โกหกผม” หืมนี่มันมาคุยกับผมจริงๆใช่ไหม หรือมันมาบังคับวะ
“อ่า”
“พี่ตะวันเป็นคนให้พี่ล็อกผม ให้อยู่ในสายรหัสของพี่หรือเปล่าครับ” ผมช็อกกับคำถามให้ตายเถอะ ผมว่าผมทำทุกอย่าง อย่างแนบเนียนแล้วนะ
“ถามทำไมวะ”
“ตอบมาเถอะครับ”
“เอ่อ… ” ผมรู้สึกอึกอักไม่กล้าตอบออกไป
“พูดมาตรงๆนะครับพี่ ผมขอ” ขอได้หน้านิ่งมากสัส กูลำบากใจนะเว้ย
“เมื่อกี้พี่บอกว่าจะพูดความจริงและไม่โกหกผม”
“กูรู้แล้วน่า”
“พี่ไม่ต้องกังวลนะครับ” ผมควรเอาไงดีเนี่ย ตอนนั้นก็ดันรับปากตะวันไว้ เมื่อกี้ผมก็รับปากหาวอีก ผมเอามือขึ้นมากุมขมับตัวเองก่อนจะเสยผม เอาวะ! ไอ้ตะวันกูทำเพื่อมึงนะ มึงอาจจะไม่ต้องตัดใจก็ได้…
“มึงตกลงก่อนว่าจะไม่โกรธไอ้ตะวัน”
“ครับ” หาวตอบรับผมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผมพยักหน้ารับ
“อื้ม… ตะวันมันมาขอให้กูช่วยจริงๆ” หาวอมยิ้มออกมา ผมตกใจรอยยิ้มที่ผมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หลังจากหาวได้ยินเรื่องนี้
“ขอบคุณครับ” หาวหันมาขอบคุณผม ในขณะที่ผมกำลังงงอยู่
“เดี๋ยวจบง่ายขนาดนี้เลยจริงดิ”
“หืมครับ”
“มึงไม่ต้องคิดมากนะ กูกับไอ้เอสดีใจที่มีมึงเข้ามาอยู่ในสายรหัสจริงๆ”
“ขอบคุณครับ” ไร้ปฏิกิริยาทางสีหน้าของหาวจนผมคาดเดาไม่ถูก
“มึงไม่โกรธไอ้ตะวันใช่ไหมวะ หรือมึงโกรธพวกกู”
“หืมไม่นะครับ”
“พี่สีฝุ่นนอนได้แล้ว ผมไปแล้วนะครับ”
“คือมึงจะมาง่ายไปง่ายขนาดนี้เลยจริงดิ”
“อ่าครับ พอดีผมมีสอบควิซตอนเช้า”
“เออๆไปไหนก็ไปเหอะ”
“ขอบคุณครับพี่สีฝุ่น แล้วก็ขอโทษที่มารบกวนดึกขนาดนี้นะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ความจริงกูก็ไปกวนมึงบ่อยๆเหมือนกัน”
“ครับ งั้นผมไปแล้วนะ”
หาวเดินออกจากห้องไปแล้ว ผมได้แต่มองประตูที่เด็กนั่นออกไป สงสารก็แต่ตะวัน หาวเอ้ย!ช่วยคิดตรงกับตะวันสักครั้งไม่ได้เหรอวะ ถ้ามึงรู้ว่ามันพยายามกับมึงมากขนาดไหน มึงจะรับรักตะวันมันหรือเปล่าวะ แต่คนอย่างตะวันมันคงไม่พูดออกมาหรอก หวังว่าสักวันตะวันมึงจะพูดออกมาสักทีนะ ผมก็ได้แต่หวังว่าความจริงที่ผมพูดออกไป จะทำให้หาวเห็นใจตะวันขึ้นมาสักนิด อย่างน้อยคนที่ดูไม่สนใจอะไรเลยอย่างเด็กนั่นก็ยิ้มออกมาแหละวะ
เสียงและแรงสั่นของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นระหว่างที่ผมกำลังรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ที่ห้อง เนื่องจากเมื่อเช้าเลิกคลาสเร็ว เลยกลับมานอนห้อง ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสาย
“มีไรตะวัน”
[ฝุ่นวันนี้มึงจับสายรหัสใช่ไหมวะ]
“ใช่ ทำไมวะ”
[มึงช่วยเอาหาวเข้าสายรหัสทีดิ]
“จะบ้าเหรอวะ” ผมพูดออกไปเมื่อตะวันมันพูดประโยคนั้นออกมา
[ไม่บ้าหรอกเว้ย นะช่วยกูหน่อย]
“ทำไมกูต้องช่วยมึงวะ แล้วทำไมต้องเป็นไอ้หาวด้วย” ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับหาวหรอก ตอนแรกผมยอมรับว่าผมมองเด็กคนนี้หยิ่งและเย็นชา ภายใต้หน้านิ่งของมันคงเป็นคนที่ไม่สนใจคนอื่น จนวันที่ผมเจอมันที่ลิฟท์ วันที่ผมรู้ครั้งแรกว่าหาวอยู่คอนโดเดียวกับผม น้องเดินมาสวัสดีผม ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างประหลาด จำผมได้แถมสวัสดีอีก ผมเจอน้องบ่อยขึ้น ทั้งฟิตเนสและที่มหาลัย น้องชอบเล่นมุกตลกด้วยหน้านิ่งของตัวเอง ทำไปทำมาผมกลับมองว่าเด็กคนนี้ตลกดีเสียด้วยซ้ำ จริงๆถ้าหาวเป็นหลานรหัสของผมก็ไม่เป็นไร ผมคงดีใจมากๆ แต่ถึงอย่างไรผมก็อยากรู้เหตุผลอยู่ดี
[มึงช่วยกูหน่อย]
“เหตุผล?”
“…”
“เงียบคือ ตะวันกูขอเหตุผลดีๆ”
[กูชอบน้องมัน] ด้วยความตกใจ ผมเกือบทำโทรศัพท์หล่น ยังดีนะจับไว้ทัน
[ชอบมานานแล้วด้วย กูไม่อยากให้น้องไปอยู่กับใคร กูกลัว กูบอกพี่เสือแล้ว พี่เสือให้กูมาพูดกับมึงเอง] พี่รหัสจอมแสบเนี่ยนะ ยืมเงินยังไม่คืนเลยเหอะ
“เฮ้อ…จริงๆกูไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”
[คือมึงจะช่วยกู]
“อื้ม” ผมตอบรับไป
[ขอบใจมากนะมึง เดี๋ยวกูเลี้ยงเหล้า”
“เออๆ แล้วทำไมเพิ่งบอกตอนนี้วะแม่ง กูคิดแผนไม่ทัน”
[กูเพิ่งนึกได้ แผนอะไรก็ทำๆไปเถอะมึง อย่าให้หาวรู้ก็พอ]
“เออๆ งั้นกูวางก่อนนะเดี๋ยวไปไม่ทัน”
[จ้าเพื่อนรัก]
“ตีน!” ผมพูดแค่นั้นแล้วกดวางสาย
ผมรีบไปให้ทันก่อนการใส่ชื่อสายรหัสลงกล่อง สงสัยผมจะรีบไปหน่อยเพราะมาถึงแล้วยังไม่มีคนมาสักคน ผมคิดแผนแล้วคิดแผนอีกทำยังไงดีวะ
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาไอ้เอส
“ไอ้เอสมึงอยู่ไหน”
[อยู่ห้องสาขาครับ]
“มึงใส่รายชื่อรหัสลงไปในกล่องยังวะ”
[อ่ากำลังตัดกระดาษกันอยู่พี่ ว่าแต่พี่จะให้ผมใช้ชื่อนี้จริงๆเหรอ กระดาษแผ่นไม่ใหญ่เลยนะ ผมกลัวเขียนไม่พอ]
“เขียนตัวเล็กๆสิวะ เออเอสมึงเขียนเสร็จแล้วมึงเก็บกระดาษไว้ก่อนนะ กูสั่งให้ใส่แล้วค่อยใส่”
[ห๊ะ!พี่ เพื่อนได้ด่าผมตาย เขียนเสร็จก็ต้องใส่กล่องแล้วเนี่ย คิดอะไรแผลงๆอีกแล้ววะเนี่ย!]
“มึงทำยังไงก็ได้ ให้เพื่อนไม่รู้ว่ามึงยังไม่ได้ใส่ โอเคงั้นแค่นี้นะ”
[โหพี่ แหนะอะไรไอ้เอสคุยกับพี่สีฝุ่นเหรอ กิ้วๆ เพื่อนๆครับไอ้เอสคุยกับพี่สีฝุ่นอีกแล้ว จะขุดทองเหรอเพื่อน] เสียงของเด็กผู้ชายหลายคนแทรกเข้ามาในโทรศัพท์ เด็กพวกนี้ไม่รู้หรือไงว่าผมได้ยินทุกคำพูด
[ล้างตู้เย็นไอ้สัสฮ่าๆๆๆ เอ่อ… พี่สีฝุ่นงั้นแค่นี้นะครับ]
“เออๆ ไม่ต้องคิดมากล่ะ”
[ครับๆ]
ผมคิดถึงเรื่องในวันนั้นแล้วก็ได้แต่เศร้าใจ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงชอบมองว่าผมสองคนเป็นอะไรกัน แค่สนิทกันมันแปลกตรงไหนวะ แล้วบางคนที่เอาเรื่องเพศสัมพันธ์มาพูด แม่งเอ้ยอยากจะต่อยให้ปากแตก ผมก็มีแฟนแล้ว ถึงเธอจะอยู่คนละมหาลัยก็ตามที ส่วนเอสมันก็คุยอยู่กับน้องใบตอง ผมไม่เข้าใจจริงๆ ถึงผมจะไม่ได้เป็นแบบที่คนอื่นพูดกันก็จริง แต่พวกนั้นก็เหยียดเพศคนอื่นอยู่ดี ทำไมไม่มองที่ความสวยงามของความรัก ไปโฟกัสที่เรื่องพวกนั้นกันทำไม สงสารก็แต่ไอ้เอสนั่นแหละครับ ขนาดผมกับไอ้เอสไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ ยังโดนขนาดนี้ แล้วคนที่เป็นจริงๆ เขาต้องพบเจอกับอะไรกันบ้าง ผมก็ได้แต่หวังว่าถ้าสองคนนั้นได้คบกันจริงๆ จะไม่ต้องพบเจออะไรแบบนี้
[TAWAN PART]
ผมอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดบอลสำหรับนอนเรียบร้อย ปิดไฟทั้งห้องเหลือแต่โคมไฟหัวเตียง ผมนั่งที่เตียงพิงกับพนังห้อง หยิบโทรศัพท์ข้างตัวขึ้นมาเข้าแอพพลิเคชั่นสีน้ำเงินก่อนเข้านอน ข้อความจากใครหลายคนเด้งขึ้นมา ทั้งแชทกลุ่ม แชทส่วนตัว แต่ผมก็ต้องสะดุดตากับเจ้าของเมสเสจหนึ่งที่ไม่เคยคุยกันผ่านโซเชียลเลยสักครั้ง
Hao Panchai
พี่ตะวันนอนยังครับ
ข้อความจากคนคนนั้นที่ผมพยายามตัดใจมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ หัวใจของผมอยู่ๆก็เต้นแรงอีกครั้ง สิ่งที่ผมพยายามมาตลอด แพ้ให้ความปราถนาในหัวใจของผมจนแทบหมด ผมอ่านข้อความแต่ก็ไม่ได้ตอบข้อความของหาวไป
“แค่เขาทักมาแค่นี้ เหอะๆอุตส่าห์พยายามตัดใจ แม่งเอ้ย! ”
ผมเข้าไปตอบข้อความของคนอื่น แล้วโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่เตียง แล้วล้มตัวลงนอน
เสียงสั่นข้อความเข้ามา ทำให้ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ผมกดเข้าไปอ่านข้อความ
Hao Panchai
ฝันดีนะครับ
สติกเกอร์หมีบอกฝันดี
หัวใจผมเต้นกระหน่ำไม่หยุด ข้อความของเด็กนั่นกำลังจะทำให้ผมคลั่งตาย แค่เขาทักมาบอกฝันดี นี่ผมเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ บางทีน้องอาจจะทักมาผิดก็ได้
Tawan Tinnakron
…
ส่งผิดแชทเหรอ
Hao Panchai
ถูกแล้วนี่ครับ
น้องทักมาหาผมจริงๆ ผมไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหม อยากจะตะโกนให้คนทั้งโลกรู้ว่าน้องทักมาหาผม
“อ้ากกก” ผมตะโกนด้วยความดีใจ คนข้างห้องจะมาด่ารึเปล่าวะ
“เก็บอาการหน่อยตะวัน เก็บอาการไว้ คุยคนเดียวเป็นอะไรมากปะไอ้ตะวัน” ผมเอามือตบแก้มตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติ
Tawan Tinnakron
อ้อ งั้นฝันดีนะครับ
Hao Panchai
เดี๋ยวก่อนครับ
พรุ่งนี้ช่วงเย็นๆพี่ว่างหรือเปล่า
ผมมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อยครับ
“ตะวันตั้งสติไว้ ตั้งสติสิโว้ยยยย” ว่าแต่ผมกับน้องมีเรื่องอะไรให้คุยกันด้วยหรือวะ หรือว่าน้องจะชวนผมเดท ไม่น่าใช่… ผมเองก็มีเรื่องคุยกับน้องมันเหมือนกันนี่ ผมคงต้องพูดเรื่องนี้จริงๆ เฮ้อ… แค่คิดความอกหักก็มาเยือนอีกรอบ
Tawan Tinnakron
อื้มได้สิ
กูก็มีเรื่องจะคุยกับมึงเหมือนกัน
Hao Panchai
สักห้าโมงนะครับ
Tawan Tinnakron
โอเค
ฝันดีนะ
Hao Panchai
ฝันดีครับ
เอ้า! ลืมถามว่าที่ไหน จะทักไปต่อดีไหม ไม่ดีกว่า ก็บอกฝันดีไปแล้วนี่
“ไอ้ตะวันไอ้บ้า โว้ยยยยยย”
หลังจากเลิกเรียนผมกลับมาที่หอเพื่ออาบน้ำก่อน ต้องดูดีไว้ก่อนครับ ผมส่องกระจกอยู่ในห้องน้ำ หันซ้าย หันขวา หันซ้ายอีกรอบ หันขวาอีกนิด
“คนอะไรแม่งหล่อขนาดนี้วะ”
“ไปโดนเทต้องหล่อขนาดนี้เลยเหรอวะ”
ผมส่ายหัวเบาๆแล้วยกมือขึ้นมาดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เกือบห้าโมงแล้วนี่ ผมว่าจะโทรไปหาน้องมัน เพื่อจะได้รู้ว่าผมจะไปเจอน้องได้ที่ไหน แต่ไม่ทันที่ผมจะโทรไป หาวก็โทรมาหาเสียก่อน ขนาดใจยังตรงกันขนาดนี้เลยเหรอวะ สติโว้ย!ตะวัน มึงนึกถึงเรื่องที่ต้องไปพูดวันนี้เข้าไว้ ผมเอามือตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติ
“กูอยู่หอให้ไปเจอที่ไหน” ผมพูดออกมาทั้งๆที่หาวยังไม่ได้พูดอะไรเสียด้วยซ้ำ
[เดี๋ยวผมไปรับที่หอนะครับ อีกสิบนาทีถึงหน้าหอพี่ครับ] น้องจะมารับผม สติโว้ยตะวัน
“อื้ม”
[งั้นแค่นี้นะครับ]
“อื้ม”
หาวกดวางสายไปสายแล้ว
ผมเดินมารอหาวที่หน้าหอ รอไม่นานรถมินิคูเปอร์ของน้องก็เคลื่อนมาจอดหน้าหอของผม ผมเดินไปขึ้นรถ
“สวัสดีครับพี่ตะวัน” หาวทักทายผม ไม่ได้เจอตั้งนานยังหล่อเหมือนเดิมเลยเว้ย
“อื้ม คุยตรงนี้เลยก็ได้” ผมพูดออกไปเมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องพูด
“เฮ้! จะไปไหนวะ” หาวขับรถออกจากหอของผม โดยไม่บอกอะไรผมสักคำ
“ไปห้างครับ”
“หือ”
“ไม่ต้องหือครับ คาดเข็มขัดด้วย” ผมพยักหน้ารับหาว กระโดดลงจากรถก็ไม่ได้ด้วยสิ ผมคาดเข็มขัดนิรภัย แล้วหันไปมองหน้าน้องมันที่มองถนนอยู่ รอยยิ้มที่ผมไม่ค่อยได้เห็น
“มึงยิ้ม”
“หืมครับ”
มีความสุขอะไรงั้นเหรอวะ?
หาวขับรถพาผมมาถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก จอดรถไว้ที่ลานจอดรถชั้นสามของตัวห้าง พวกผมพากันเข้ามาในห้าง ตลอดเวลาที่เดินเข้ามาในตัวห้าง ผมไม่กล้ามองหน้าน้องเลย เพราะกลัวตัวเองจะหวั่นไหวอีก
“อยากกินอะไรไหมครับ”
“หาที่คุยในร้านอะไรสักร้านก็ได้” ผมตอบหาวแบบขอไปที ใครก็ได้ช่วยตะวันด้วย
“หืมเวลาพูดทำไมไม่มองหน้าผมเลยล่ะครับ”
มองไม่ได้ เดี๋ยวใจกูอ่อน… ผมตอบหาวในใจ หาวยื่นหน้าเข้ามาหาผม ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ใจเย็นโว้ยตะวัน ใจเย็นสิวะ!
“ทำอะไรเนี่ย!”
“ก็พี่ไม่ยอมมองหน้าผมนี่ครับ”
“หาวกูถามจริงนะวันนี้มึงเป็นอะไร มึงกินยาผิดมาเปล่าวะ”
“เปล่านี่ครับ” หาวตอบผมด้วยหน้านิ่งๆ
“พอแล้ว คนอื่นมองไอ้สัด” ผมเอามือผลักหัวหาวแรงๆ แล้วเดินนำมา
“อยากทานอะไรครับ” ผมหันไปมองเด็กที่มันมาเดินข้างๆกายเรียบร้อย
“อะไรก็ได้ รีบๆกิน รีบๆคุย รีบๆกลับเถอะ” รีบๆเถอะ ไอ้ตะวันจะตายแล้ว
“งั้นทานอะไรที่มันหนักๆท้องไหมหรือของหวานดีครับ”
“ร้านกาแฟร้านนั้นก็ได้” ผมชี้ไปยังร้านกาแฟที่อีกไม่กี่ก้าวก็ถึง
“หืมพี่จะทานกาแฟตอนนี้”
“สั่งอย่างอื่นก็ได้ไหมล่ะ ค้งเค้กก็มี รีบๆไปเหอะ”
ผมเดินเข้ามาในร้าน คนไม่เยอะเท่าไหร่ มีคนนั่งอยู่บ้างประปราย หาวสั่งเมนูโกโก้ปั่น ผมเลือกสั่งชาเขียวปั่นกับเค้กชาเขียว แล้วพากันมานั่งที่โต๊ะ บรรยากาศของร้านก็เป็นร้านกาแฟในห้างทั่วๆไป คนไม่มากเหมาะสำหรับเป็นที่อ่านหนังสือเลยทีเดียว
“มึงมีเรื่องอะไรจะพูดกับกู” ผมพูดออกไปเมื่อเห็นว่าหาวไม่ยอมพูดออกมาสักที
“พี่มีเรื่องจะคุยกับผมไม่ใช่เหรอ พี่พูดก่อนก็ได้ครับ”
“ไม่มึงพูดก่อน” ผมหันไปมองหาว
“ผมว่าพี่พูดก่อนดีกว่าครับ”
“โอเคกูพูดก่อนก็ได้ กูยอมมึงแล้ว” ผมพูดออกไปเพราะคิดว่ายืดเยื้อไปคงไม่ดีสักเท่าไหร่ หาวยิ้มอีกแล้ว วันนี้ผมว่าน้องต้องกินอะไรผิดมาแน่ๆ
“ครับ ว่าแต่มีอะไรจะพูดกับผมหรือครับ”
“กูรู้ว่ามึงชอบเด็กดีน… ”
“ผมเนี่ยนะชอบดีน พี่คิดได้ไงเนี่ย” หาวพูดออกมาทั้งๆที่ผมยังพูดไม่จบ
“เอ้ามึงไม่ได้ชอบดีนเหรอ” หาวมองหน้าผมด้วยหน้านิ่งๆของมัน
“อะไรทำให้พี่คิดว่าผมชอบดีนล่ะครับ”
“ก็ ก็ ก็ทั้งกระแสคู่จิ้นของมึง ที่มึงจับมือเด็กนั้น วันนั้นที่ไปกินเหล้ากัน มึงก็ซบกันตัวแทบสิงกัน เด็กนั้นเคยพูดว่ามึงเป็นของมันอีกอะสัด ไม่ใช่ได้ไงวะ”
“พี่ตะวันใจเย็นก่อนครับ” น้องพูดเมื่อเห็นว่าโต๊ะใกล้กันมองมาพร้อมก้มโค้งให้เชิงขอโทษ
“กูลืมตัว”
“อ่าครับ ผมจะบอกพี่นะ ผมกับดีนเป็นเพื่อนสนิทกัน ดีนมันชอบเอกไม่ได้ชอบผม”
“ห๊ะ! ไอ้เอกนั้นนะ”
“ใช่ครับ” น้องพยักหน้ารับผม โอ้โห้ควายแท้ๆไม่มีวัวผสม
“เก็บเศษหน้ากูที” ผมมองเด็กหาวที่ยิ้ม ไอ้เหี้ยปล่อยกูเข้าใจผิดตั้งนาน
“ไม่ต้องมายิ้มเลยสัด”
“ขอบคุณครับ” น้องขอบคุณพนักงานของร้านที่ยกของที่สั่งไปมาวางให้ที่โต๊ะ ผมเห็นเหมือนพนักงานส่งสายตาวิ้งๆมาให้หาวด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็ดูจะไม่สนใจอะไรเลย
“อ่าครับ เข้าเรื่องเลยนะ” หาวหันมาพูดกับผมต่อ ผมยังพูดเรื่องของผมไม่จบเลยนะ
“พี่รู้จักจุนหรือเปล่าครับ” ผมช็อกกับคำถามที่หาวพูดออกมา รู้แล้วงั้นเหรอวะ
“เอ่อ… เอ่อคือ”
“พูดความจริงกับผมมาเถอะครับ” หาวจ้องมองผมอย่างจริงจัง นัยน์ตาสีเข้มแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ทำให้ผมแทบไม่กล้าโกหกออกไป
“กูมะ มะไม่”
“พี่ตะวัน” หาวจ้องมองผมอย่างจริงจังมากขึ้น
“กูรู้จัก จบยัง พอใจไหม” สุดท้ายผมก็สู้สายตากดดันนั่นไม่ไหว เพราะผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้ เพราะทุกอย่างมันคือความจริง
ตอนนั้นผมเห็นเด็กอ้วนหน้าตาดีแต่ตัวมันใหญ่กว่าชาวบ้านเขา ชอบทำหน้านิ่งๆ ยืนซื้อหมูปิ้งอยู่หน้าโรงเรียนทุกวัน หาวกับผมมักจะมาโรงเรียนพร้อมกันเสมอ ทุกครั้งผมจะมองไปยังเด็กนั่นที่ยืนกินหมูปิ้งอยู่หน้าร้าน ไม่รู้ทำไม หาวมักจะดูมีความสุขเวลาได้กินหมูปิ้งทั้งๆที่หมูปิ้งหน้าโรงเรียนเลี้ยนมาก แถมข้าวเหนียวก็แข็งเกินไป ใครๆก็รู้ว่าเด็กนั่นบ้านรวยขนาดไหน แต่มันสามารถกินหมูปิ้งข้างทางได้ดูมีความสุขราวกับเป็นของที่อร่อยที่สุดในโลก รู้ตัวอีกทีผมก็ตกหลุมรักเด็กบ้านั่นไปแล้ว ผมรู้ว่าเด็กนั่นอยู่ห้องเดียวกับไอ้จุนน้องข้างบ้านของผม เพราะเวลาหาวมันเข้าแถวก็จะยืนเด่นอยู่ข้างหลังคนเดียวเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกับหาว ผมก็เลยซื้อหมูปิ้งในตลาด เจ้าประจำของผมฝากให้ไอ้จุนไปให้ทุกๆเช้า บ่อยครั้งที่ผมมักจะเลือกนั่งโต๊ะข้างๆกันในโรงอาหาร แต่ผมไม่เคยอยู่ในสายตาของเด็กนั่นเลยสักครั้ง ท่ามกลางคนเป็นเกือบสองพันคนในโรงเรียนที่เป็นผู้ชายด้วยกัน
แล้วตอนนี้ผมกำลังถูกหาวจับได้ เฮ้อ… ยังไม่ได้สารภาพว่าชอบหาวออกไปเลย
“ครับ ไม่ทำหน้าแบบนั้นสิครับ” หาวดูผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเก่า
“ไม่โกรธกูเหรอ”
“โกรธครับ”
“ขอโทษ”
“ผมจะบอกว่าโกรธที่พี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมอ้วนเลยนะครับ”
“กูขอโทษ หืม” ผมหันไปมองหน้าหาวตรงๆอีกครั้ง เพราะผมไม่เข้าใจสิ่งที่หาวกำลังพูด
“พี่รู้มั้ยครับ ผมทานข้าวเช้าก่อนไปโรงเรียนทุกวัน ปกติผมซื้อแค่ให้หายอยากทานวันละสองไม้ แต่พี่ซื้อให้ผมตั้งสี่ไม้แถมข้าวเหนียวอีก”
“เอาฮาเหรอสัด”
“เปล่าครับผมพูดความจริง”
“เฮ้อ…ว่าแต่มึงรู้ได้ไงวะ”
“อื้ม… ผมไปเจอจุนมาครับ พี่ไม่ต้องคิดมากนะ ผมแค่ถามเฉยๆ” หาวพูดแล้วก้มดูดโกโก้ปั่นของตัวเอง
“แล้วมึงจะไม่อะไรกับกูสักนิดเหรอวะ” หาวเงยหน้ามามองผม
“ไม่ทานเหรอครับ ละลายหมดแล้วนั่น” หาวมองไปยังเมนูชาเขียวที่วางอยู่ตรงหน้าผม
“ใครแม่งจะชิลลงแบบมึงวะ”
“ใครว่าผมชิล ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรดีต่างหาก”
“หือ” หาวจ้องหน้าผม อะไรของมันอีกวะเนี่ย
“พี่ยังชอบผมอยู่ไหมครับ”
“ถามตรงขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“ตอบมาเถอะครับ” ผมมองหน้าหาวอย่างไม่เข้าใจ จะอยากรู้ไปทำไมวะ ไหนไหนก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ผมควรสารภาพจริงๆสินะ
“อื้ม… ชอบ”
“ทำไมถึงชอบผมล่ะครับ”
“การชอบใครสักคนมันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอวะ ชอบก็คือชอบอะ”
“พี่ได้ชอบผมแบบรอมาตลอดเหมือนในซีรี่ส์ อย่างนั้นหรือเปล่าครับ”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เข้ามหาลัยกูก็มีแฟน แต่ก็กูไม่เคยลืมว่ามึงคือรักแรกของกู แต่พอกูเจอมึงอีกครั้งกูก็ชอบมึงเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าทำไมแต่กูชอบมึงมากกว่าเก่า ถ้ามึงคิดว่ากูจะรอมึงตลอดเหมือนในนิยายล่ะก็นะ ขอโทษจริงๆวะ” หาวพยักหน้ารับผม
“ลองคุยกันดูก่อนไหมครับ” ผมได้ยินคำพูดของหาว แล้วก็ได้แต่ยิ้มเยาะตัวเองในใจ
“ฮ่าๆ”
“มีอะไรน่าขำเหรอครับ” หาวถามผมที่อยู่ๆก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“กูไม่อยากให้ใครมาคุยกับกูเพราะว่าสงสารหรือเห็นใจหรอกนะ” หาวเงียบไปสักพักก่อนจะพูดออกมา
“นี่พี่คิดว่าผมขอคุยกับพี่เพราะสงสารจริงๆเหรอ ผมจะบอกอะไรให้นะ ถ้าผมเปิดใจให้ใครเพราะสงสารจริงๆ ตอนนี้ผมคงไม่โสดหรอก”
“ห๊ะ! หมายความว่าไงวะ”
“ลองคุยกันดูก่อนไหมครับ แค่ลองคุยกันดูก่อนนะครับ ผมไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อน พี่เข้าใจผมไหมครับ”
“จริงเหรอวะ เข้าใจดิ กูไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ” หาวยิ้มให้ผมแลเวพยักหน้ารับ
“ไปดูหนังกันไหมครับ”
“ดูหนังกับมึงเหรอ”
“ใช่ครับ”
“กูไม่ได้ฝันไปใช่ปะวะ”
“ครับไปกัน”
“เดี๋ยวก่อนสิ กูยังไม่ได้กินเลย” ผมมองไปยังแก้วชาเขียวและเค้กชาเขียวของตัวเอง
“ฮ่าๆ ก็ทานให้หมดก่อนสิครับ”
“อื้ม” ผมพยักหน้ารับแล้วตั้งใจกินให้หมด เป็นชาเขียวที่อร่อยที่สุดในชีวิตไอ้ตะวันเลยเว้ย!
ผมกับน้องพากันมาดูหนังแนว Sci-fi ที่เข้าโรงอยู่ปัจจุบัน ไม่ได้เลือกหนังโรแมนติกหรือหนังผีที่คนอื่นดูกันสักนิด
[HAO PART]
เช้าวันใหม่ ผมกำลังทาครีมอยู่หน้ากระจกภายในห้องน้ำ เกิดเป็นผู้ชายก็ต้องดูแลตัวเองนะครับ
Rrrrrrrrrrrrrr~
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมวางกระปุกครีมลงแล้วเดินไปรับโทรศัพท์ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หืม… พี่ตะวันโทรมาทำไมแต่เช้าวะ ผมกดรับสายทันที
“ว่าไงครับ”
[หาวมึงมารับกูหน่อยดิ รถกูพังอีกแล้ว]
“ผมว่าพี่ควรซื้อรถใหม่ได้แล้วนะครับ”
[ไม่อะ กูจะได้ติดรถมึงไปบ่อยๆไง มึงมารับกูหน่อยนะ] น้ำเสียงออดอ้อนนั้นมันคืออะไรวะครับ
“อ้อครับ งั้นรอสักพักได้ไหมครับ ผมยังไม่ได้แต่งตัวเลย”
[ได้สิ สำหรับมึงกูรอได้เสมอล่ะ]
“หืมมม งั้นเดี๋ยวพอผมถึงหน้าหอพี่แล้วผมโทรไปนะครับ”
[เค กูจะรอ]
“จะให้ไปรับก็ไม่บอกกันตรงๆเนอะคนเรา” ผมส่ายหัวเบาๆแล้วกลับไปทาครีมต่อ แต่งตัวเสร็จแล้ว ก็ออกจากหอ ผมขับรถมาถึงหอพี่ตะวัน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาพี่มัน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้กดโทรออก ผมก็เห็นพี่ตะวันกำลังเดินตรงมาที่รถของผม พี่ตะวันเปิดประตูฝั่งข้างคนขับขึ้นมานั่ง
“ผมกำลังจะโทรหาพอดีเลยครับ”
“อ่า” พี่ตะวันตอบรับแล้วหันไปคาดเข็มขัดนิรภัยแทน
“แล้วนี่พี่รอผมอยู่เหรอ” ผมเป็นคนค่อนข้างแต่งตัวพิถีพิถันคนหนึ่ง เพราะฉนั้นจะใช้เวลานานมาก ถ้าพี่ตะวันมารอผมตั้งนานแล้วล่ะ พี่ตะวันเงียบใส่ผม “พี่รอผมนานไหม”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็กูอยากมารอมึง”
“แสดงว่ามารอนานแล้ว? “
“ไม่นานหรอก มึงจะถามอะไรนักหนาเนี่ย”
“ก็ผมบอกแล้วไงครับ ว่าถึงแล้วจะโทรหา”
“อะไรไปๆ พูดมากอยู่ได้”
“อ่าครับ”
“แล้วนี่พี่ให้ผมไปส่งตึกไหนครับ”
“มึงเริ่มเรียนกี่โมง”
“พี่ตะวันครับ พี่ตอบไม่ตรงคำถาม”
“เฮ้ยมึงใจเย็นดิหาว”
“นี่ผมก็ใจเย็นอยู่ครับ”
“โอเคๆ กูไม่ได้ตั้งใจจะกวนตีนมึง กูแค่อยากชวนมึงไปกินข้าวก่อนเฉยๆ”
“ทีหลังพี่ช่วยตอบคำถามก่อน จะชวนทานข้าวผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ” ผมหันไปมองพี่มันแวบหนึ่งแล้วกลับไปสนใจการขับต่อ ช่วงเช้านี่รถมันติดจริงๆเลย
“ก็กูกลัวมึงไม่ยอมไปหนิวะ” ผมอึ้งกับคำพูดของพี่ตะวัน จนต้องหันไปมองอีกรอบ พี่ตะวันหน้าหงอลงไปเลย ตลกดีเหมือนกันนะครับ
“มึงยิ้มอะไร” อ่า…นี่ผมเผลอยิ้มอีกแล้วเหรอ
“ก็พี่น่ารักดี”
“น่ารักเหี้ยอะไร กูหล่อ”
“หืมผมหมายถึงการกระทำของพี่ ไม่ได้ชมหน้าตาพี่สักหน่อยนี่ครับ”
“อ้อ แต่มึงจะหมายความว่าหน้าตากูไม่หล่อ” ผมขับรถมาถึงแคนทีนส่วนกลาง ขับรถวนหาที่จอดรถที่ดีๆ เมื่อได้ที่แล้ว แต่พี่ตะวันกลับไม่ลงจากรถเสียที
“เอ่อ..ก็หล่อครับ ไปพี่จะกินข้าวก็ลงจากรถได้แล้วครับ”
“เปลี่ยนเรื่องตลอด”
ผมเข้ามาในแคนทีนเดินตรงไปที่ร้านขายอาหารตามสั่ง พี่ตะวันก็เดินตามผมมาด้วย อื้มอยากทานข้าวร้านเดียวกันเลยสินะครับ
“มึงจะแดกอะไร” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“หืมผมเหรอ”
“ก็เออสิวะ”
“ข้าวกระเพราะหมูกรอบไข่เจียวครับ”
“โอเคเดี๋ยวกูไปซื้อให้ ส่วนมึงไปซื้อน้ำ”
ผมพยักหน้ารับแล้วหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาจากกระเป๋า
“ไม่ต้องกูเลี้ยง”
“ไม่ต้องหรอกพี่ ผมเกรงใจครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้นล่ะ”
“อ่าครับ งั้นพี่จะดื่มน้ำอะไร เดี๋ยวผมเลี้ยง”
“น้ำใบเตยก็ได้”
“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวผมหาโต๊ะนั่งแถวๆตรงนี้แล้วกัน พี่จะได้หาเจอง่ายๆ”
“โอเค”
ผมเดินไปซื้อน้ำเสร็จก็มานั่งรอพี่ตะวันแถวๆที่บอกกับพี่ตะวันไว้ ไม่นานผมก็เห็นพี่ตะวันก็เดินถือจานมา 2 ใบ
“หาว” ผมหันไปมองทางต้นเสียง
“อ้าวใบตองว่าไงครับ”
“มากินข้าวเช้าเหมือนกันเหรอ”
“อื้มใช่ นั่งด้วยกันไหมล่ะ” ผมชวนใบตองนั่งด้วยกัน
“ไม่ๆ เรากินเสร็จแล้ว”
“อะนี่ข้าวมึง” ผมรับจานข้าวจากพี่ตะวันมาไว้ตรงหน้า ทำไมถึงหน้าบึ้งแบบนั้นกัน ใครทำให้อารมณ์บูดอีกแล้ววะ
“ขอบคุณครับ” พี่ตะวันพยักหน้ารับแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผม
“หาวกับพี่ตะวันนี่ดูสนิทกันจังนะ มากินข้าวด้วยกันด้วย”
“ก็คงงั้นมั้งนะ”
“อิจฉาพี่ตะวันจังได้สนิทกับหาวด้วยอะ” พี่ตะวันทำหน้าไม่ดีนัก
“ฮ่าๆหาวเราไปเรียนก่อนนะ ไว้เจอกันจ้า”
“ไว้เจอกันครับ”
ใบตองไปแล้วทิ้งให้ผมอยู่กับพี่ตะวันที่ทำหน้าเหมือนคนอารมณ์ไม่ดีอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าปกติแล้วค่อยๆยิ้มออกมา
“มึงก็ชอบกินน้ำใบเตยเหมือนกันเหรอ ปกติเห็นสั่งแต่ชาเย็นนี่” อื้มผมตามอารมณ์พี่ตะวันไม่ทันจริงๆ
“เปล่าครับ ไม่เคยกินมาก่อน เห็นพี่สั่งมาหลายครั้งแล้ว ก็เลยลองสั่งมาชิมบ้าง”
“แล้วเป็นไง อร่อยมั้ย”
“ก็ดีครับ”
“พี่เองก็สั่งข้าวกระเพราะหมูกรอบไข่เจียวมาเหมือนกันเลยนะครับ”
“อื้ม ก็วันนี้กูอยากกิน อีกอย่างป้าเค้าจะได้ทำทีเดียวด้วย”
“อ่าครับ งั้นทานข้าวกันเถอะครับเดี๋ยวสาย”
“เดี๋ยวก่อนดิ กูขอถ่ายรูปก่อน”
“หืม ปกติผมเห็นเขาถ่ายอาหารมื้อหรูๆกันไม่ใช่เหรอครับ พี่ถ่ายข้าวโรงอาหารเนี่ยนะ”
“ก็กูอยากถ่าย มึงจะทำไม” พี่ตะวันพูดพร้อมทำหน้ากวนบาทาใส่ผม
“พี่จะด่าผมว่าเสือกก็พูดมาตรงๆเถอะครับ”
“คนอย่างกูเนี่ยนะจะด่ามึง มึงคิดไปเองแล้วหาว” พี่ตะวันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปสองสามรูปแล้วเก็บไป
“แล้วปกติพี่ไม่ด่าผมตรงไหนครับ”
“กูไปด่ามึงตอนไหนวะหาว”
“ช่างเถอะ บางทีพี่อาจไม่รู้ตัว”
“เห้ย! ช่างเถอะไม่ได้ดิ ถ้ากูไปเผลอพูดไม่ดีกับมึงตอนไหน ขอโทษด้วยกูไม่ได้ตั้งใจ กูเป็นคนหยาบๆแบบนี้ล่ะ”
“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมว่าทานข้าวได้แล้วมั้ง”
“อ่าแดกสิ รอพ่องมึงตัดริบบิ้นเหรอ”
หลังจากนั้นพี่ตะวันก็ทานข้าวแบบไม่พูดอะไรอีกสักคำ
ตอนที่ 15
เหตุเกิดเพราะผมง่วงนอน
We don’t have to take our clothes off to have a good time.
[ HAO PART ]
วันนี้เป็นวันเสาร์ หลังจากทั้งเรียนมาทั้งอาทิตย์ อาทิตย์นี้ผมไม่ได้กลับบ้าน ผมตัดสินใจว่าวันนี้จะสิงสถิตอยู่ห้องไม่ไปไหน ไม่อยากรบกวนเอกกับดีนด้วย อยากให้มันมีเวลาส่วนตัวของมันบ้าง ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอพวกมันสักเท่าไหร่ ไหนๆวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้วขอนอนต่ออีกสักหน่อยดีกว่า
Rrrrrrrrrrrrr~
ใครโทรมาตอนนี้วะ ปกติจะไม่มีใครโทรหาผมในเช้าวันหยุดแบบนี้ โดยเฉพาะครอบครัวทุกคนรู้ดีว่าวันแบบนี้ผมไม่ตื่นแน่ๆ งั้นช่างแม่งผมจะนอน
Rrrrrrrrrrrrrr~
Rrrrrrrrrrrrrr~
ใครแม่งมันโทรมาเยอะขนาดนี้วะ หาวจะนอน ปิดเครื่องแม่ง อืมสบายหู
2 ชั่วโมงผ่านไป
“หาวอยู่ไหม”
“หาวเปิดประตู”
เสียงออดประตูดังขึ้นซ้ำหลายครั้ง พร้อมกับเสียงคนตะโกนเรียกชื่อผม ทำให้ผมรู้สึกตัว
“หาวมาเปิดประตูเดี๋ยวนี้”
ใครมันมาตะโกนแต่เช้ากันวะ หาวจะนอน ผมงัวเงียลุกจากที่นอน เดินไปเปิดประตู แต่ก็ต้องตาค้าง เมื่อเปิดประตูออกไป แล้วคนข้างนอกยกเท้ากำลังจะถีบประตูพอดี
“เฮ้ย! พี่มาได้ไงครับ” พี่ตะวันอีกแล้วครับ ดูเหมือนพี่เขาจะตกใจที่ผมเปิดประตูพอดีเหมือนกัน ตาค้างไปแล้วครับ กว่าจะตั้งสติได้ก็หลายนาทีอยู่เหมือนกัน ผมชะโงกไปดูด้านหลัง เห็นพี่สีฝุ่นกำลังยืนอมขี้ตาอยู่
“มึงถามว่าอะไรนะ” พี่ตะวันถามผมในขณะที่จ้องมองมาที่ผมตาไม่กะพริบ
“พี่มาได้ไงครับ”
“ก็มึงไม่รับโทรศัพท์อะ โทรไปตั้งหลายครั้ง อยู่ๆก็ติดต่อไม่ได้ กูก็นึกว่ามึงเป็นอะไรน่ะสิ”
“อ่าครับ เข้ามาก่อนไหม” ผมชวนพี่ตะวันเข้าห้องตามมารยาท คุยกันหน้าประตูคงไม่ดีเท่าไหร่
“กูบอกว่าไอ้หาวนอนอยู่มึงแม่งไม่เชื่อกู งั้นกูกลับไปนอนต่อก่อนนะ”
“ก็มันไม่เคยโทรแล้วไม่รับนี่หว่า เออๆขอบใจมากๆมึงกลับไปนอนเถอะ”
“เออกูไปละ”
ผมหลีกทางให้พี่ตะวันเดินเข้ามา แล้วจึงปิดประตูตามเข้ามา
“นั่งโซฟานั่นก็ได้ครับพี่” พี่ตะวันเดินไปนั่งที่โซฟา ผมเดินไปยังโซนครัว เปิดตู้เย็นหยิบน้ำดื่มขึ้นมาเทใส่แก้ว 2 แก้ว ถือเดินไปนั่งข้างๆพี่ตะวัน วางแก้วน้ำให้พี่ตะวันหนึ่งแก้ว ส่วนผมก็ดื่มน้ำในแก้วของตัวเอง อื้ม… ดื่มน้ำหกได้ไงเนี่ย สงสัยจะรีบดื่มไปหน่อย เลอะรอบปากหมด ด้วยความลืมตัวผมเอาหลังมือขึ้นมาเช็ดตามขอบปาก
เฮือก~ เสียงกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ของคนข้างๆ ทำให้ผมต้องหันไปมอง พี่ตะวันรีบหันหน้าไปทางอื่นทันที อะไรของพี่เขาวะ หรือมองว่าผมสกปรกงั้นเหรอ
“เออ… แล้วพี่โทรมาหาผมมีอะไร”
“ก่อนที่กูจะตอบ มึงช่วยไปใส่เสื้อผ้าดีๆก่อนได้ไหมวะไอ้หาว” ผมก้มมองตัวเองที่มีบ็อกเซอร์อยู่ตัวเดียว ก็ไม่เห็นว่าจะไม่ดีตรงไหน ปกติเวลานอนผมก็แต่งตัวแบบนี้ ก็แบบนี้มันสบายดีนี่ครับ
“ไม่เป็นไรพี่พูดมาเลยเหอะ ผู้ชายเหมือนกันไม่เห็นมีอะไรต้องอายเลย พี่ก็มีเหมือนผมอะ” พี่ตะวันทำหน้าเอือมระอาใส่ผม เอ้าผมพูดอะไรผิดตรงไหนวะ ก็มีเหมือนกันจริงๆอะ
“หรือว่า… ” ผมขยับเข้าไปใกล้พี่ตะวันมากขึ้น
“พอเลย มึงหยุดเดี๋ยวนี้เลยไอ้หาว”
“ฮ่าๆ ว่าแต่มาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คือว่า…จะชวนไปกินข้าว” หือชวนผมเนี่ยนะ ผมเอามือชี้เข้าหาตัวเอง พี่ตะวันพยักหน้ารับ
“วันนี้ผมวางแผนตั้งใจจะไม่ออกไปไหนครับพี่”
“แล้วมึงจะแดกอะไรตอนเที่ยง อย่าบอกว่ามาม่า”
“ทำกินเองสิพี่ นี่ใครนี่หาวเอง เชฟมือทองเลยนะครับ” ผมยืดอกด้วยความภูมิใจ พี่ตะวันทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่
“งั้นทำให้กูกินด้วย ถ้ากูขี้แตกมึงรับผิดชอบแล้วกัน”
“ระดับผมไม่มีอึแตกหรอกครับพี่ แต่วันนี้ผมไม่พร้อมทำให้พี่กิน ผมง่วงนอนจริงๆครับ”
“มึงจะไปนอนก็ไปนอน และกูก็จะกินอาหารฝีมือมึง”
“ไปนอนด้วยกันไหมครับ” ผมมองคนข้างที่หน้าขึ้นสีแดงจางๆ
“มึงจะไปนอนก็ไปนอนสิวะ”
“ไม่นอนด้วยกันจริงๆเหรอครับ” ผมถามพี่ตะวันย้ำอีกครั้ง ก็พี่ตะวันเขินมันน่ารักดีนี่ครับ
“พูดมากจังวะ จะนอนก็ไปนอน” พี่มันพยักเพยิดหน้าไล่ผมไปนอน หน้าแดงไปหมด แต่ตอนนี้ นาทีนี้ผมง่วงจริงๆ ร่างกายผมต้องการเตียง
“ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ” พี่ตะวันก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
“เก้าโมงครึ่ง” เมื่่อคืนพี่สีฝุ่นก็มาเล่นเกมที่ห้องกว่าจะเลิกเล่นกันได้ก็ปาไปตีสาม ตอนนี้ผมไม่ไหวจริงๆ
“อื้ม…ถ้าจะอยู่จริงก็ตามสบายครับ ถ้าอยากกินกาแฟชงเองเลย ในตู้เย็นมีเยลลี่ผลไม้อยู่ หิวก็เอาไปกินก่อนได้ อยากได้อะไร อยากทำอะไรเต็มที่เลยพี่ ผมไปนอนละ เดี๋ยวผมตั้งปลุกไว้ 11 โมง ถ้าผมไม่ตื่นพี่ก็ไปเรียกก็แล้วกันครับ” ผมพูดออกไปเป็นชุด คนฟังก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมลุกขึ้น เดินไปถึงหน้าห้องนอน เตรียมจะเปิดประตู ผมหันไปพูดกับพี่ตะวันอีกรอบ
“ถ้ารอไม่ไหวก็กลับไปก่อนได้เลยนะครับ” ยิ้มกวนบาทาให้พี่ตะวันหนึ่งที
“จะไปนอนก็ไปนอน พูดมากอยู่ได้” ผมเปิดประตูเข้าห้องนอน
“ถ้าไงก็มานอนด้วยกันได้นะครับ ประตูไม่ได้ล็อก” แล้วผมก็ปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเครื่อง รอไม่นานก็ติด ทั้งสายไม่ได้รับ ทั้งไลน์ เยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ ผมเลิกสนใจแล้วตั้งนาฬิกาปลุกแทน ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่ม หยิบผ้าขึ้นมาห่ม อื้มอุ่นสบายดีจัง
ผมรู้นะว่าการทิ้งให้พี่ตะวันอยู่แบบนั้น มันเสียมารยาท ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงรู้สึกแบบนั้นแต่กับพี่ตะวัน ผมกลับสบายใจที่แสดงด้านจัญไรของตัวเองออกมา ผมไม่เข้าใจตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
จริงๆแล้วผมเป็นคนหวงพื้นที่ส่วนตัวมากนะ นอกจากคุณพ่อ คุณแม่ เฮียเหิน เพื่อนสนิทก็มีพี่ตะวันนี่แหละ ที่ผมสบายใจที่จะอยู่ด้วย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันแต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
[ TAWAN PART ]
ผมจ้องมองประตูห้องที่เด็กขี้อ่อยมันหายเข้าไป อืม..น่ารักชะมัด เมื่อเช้าผมโทรหาน้องมันจะถามว่าตอนเที่ยงว่างหรือเปล่า จะชวนน้องมันกินข้าวสักหน่อย แต่โทรเท่าไหร่น้องมันก็ไม่รับสายเลย โทรมาหลายสายเข้า อยู่ๆก็ไม่สามารถติดต่อได้ซะงั้น มันอาจจะปิดเครื่อง แบตมันอาจจะหมด หรือมันเป็นอะไร ทั้งโมโหทั้งเป็นห่วง รู้ตัวอีกทีคือมายืนอยู่หน้าคอนโดน้องมันแล้ว มาถึงก็ต้องหาวิธีเข้าหออีก ประตูเข้าหอนี้ใช้ระบบคีย์การ์ด ผมตัดสินใจโทรหาไอ้สีฝุ่น โดนมันบ่นเสียยกใหญ่ แต่ก็มารับผมที่ชั้นล่างอยู่ดี พวกผมมาถึงที่ห้องหาว เคาะประตูก็แล้ว ตะโกนเรียกก็แล้ว ยังไร้วี่แววของคนที่ทำผมเป็นห่วง ผมตัดสินใจจะถีบประตูเข้าไป เป็นห่วงมันจนแทบบ้า หาวมันจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ ถ้าน้องมันลื่นล้มในห้องน้ำตกส้วมตายผมจะทำยังไง ในจังหวะที่ผมยกขาขวาขึ้นทำท่าจะถีบประตู
แอ๊ดดดด~
เสียงเปิดประตูจากคนที่ผมเป็นห่วงจนแทบบ้า ทำให้ผมตาค้าง หาวเปิดตัวออกมาในสภาพ กางเกงบ็อกเซอร์หนึ่งตัว หัวยุ่งๆที่ไม่ได้เซ็ตแบบที่เห็นในทุกวัน ตาปรือๆที่ยังงัวเงีย เชี้ยโคตรน่ารัก กว่าจะตั้งสติได้ก็ใช้เวลาไปหลายนาทีเลยทีเดียว หายไปแล้วครับความรู้สึกโมโหเมื่อกี้ที่เคยมี
ผมเดินเข้ามาในห้องทิ้งตัวลงบนโซฟา น้องมันหายไปกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำสองแก้ว แล้วเจ้าตัวก็นั่งลงข้างๆผม น้องมันดื่มน้ำในแก้วตัวเอง ไม่รู้ดื่มอีท่าไหน มันถึงได้หกเลอะปากขนาดนั้น ผมมองน้องมันทุกการกระทำ ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผมกำลังมองเด็กผู้ชายตัวเท่าควายว่าเซ็กซี่ จังหวะที่ลิ้นแดงไล่เลียไปรอบขอบปาก อื้มอยากจูบ….
ผมกลืนน้ำลายดังเฮือก จนน้องมันหันมามอง ผมรีบเบนหน้าไปทางอื่นซ่อนสีหน้าแดงๆของตัวเอง ผมรีบเปลี่ยนเรื่องไล่น้องไปใส่เสื้อผ้าดีๆ แต่น้องมันไม่ได้มียางอายกับผมแต่อย่างใด น้องกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้ากับหัวนมชมพูนั่น ไหนจะหัวยุ่งๆ ปากแดงอมชมพูฉ่ำน้ำกับตาปรือๆ หาวเอามีดมาแทงพี่ตะวันคนนี้เถอะ ไหนๆก็ฆ่าพี่ขนาดนี้แล้ว ต้องให้ผมชัดเจนกว่านี้ น้องถึงระวังตัวเองบ้าง
ผมคุยกับน้องก็ได้ข้อสรุปว่า ผมจะอยู่รอกินอาหารฝีมือน้อง น้องมันให้อิสระกับห้องของน้องเต็มที่ ส่วนเจ้าตัวไปนอนแล้วครับ แต่เหนือสิ่งอื่นใดผนังห้องน้ำเก็บเสียงไหมวะ
[HAO PART]
“น้องหาวตื่นได้แล้วครับ”
เสียงนาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่นห้อง พร้อมๆกับเสียงของพี่ตะวันที่ไม่รู้มานั่งบนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไหนจะคำพูดคำจาที่เพราะแปลกๆจากพี่มันอีก
ผมลุกขึ้นนั่ง ขยี้ตาเล็กน้อย หันไปมองชายที่นั่งอยู่ข้างๆที่กำลังมองผมอยู่ ด้วยรอยยิ้มละมุนแปลกๆ
“ปิดนาฬิกาปลุกก่อนไหมครับ” พี่มันพูดด้วยรอยยิ้ม มีใครคิดว่ามันแปลกๆเหมือนผมบ้าง
“อ่า…ครับ” ผมเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาที่ดังไม่หยุด ผมลุกขึ้นจากที่นอน พี่มันก็ลุกตามด้วย
“เอ่อพี่ เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อน พี่ออกไปนั่งรอโซฟาด้านนอกก็ได้ครับ พอผมอาบน้ำเสร็จแล้ว เดี๋ยวทำอาหารให้ทาน” พี่มันก็พยักหน้ารับ ทำท่าจะเดินออกไป ผมนึกอะไรบางอย่างออกจึงตะโกนถามพี่มัน
“เดี๋ยวๆพี่ หุงข้าวเป็นไหมครับ” พี่ตะวันหันมามองหน้าผม
“….” ส่ายหัว เอ่อผมไม่ควรคาดหวังอะไรแบบนี้จริงๆ ผมเดินออกจากห้อง เดินไปที่ครัว จัดการล้างมือให้สะอาด
“เดี๋ยวกูช่วย” ผมหันไปมองตามเสียง
“เอาจริงดิ พี่จะไม่ทำหม้อผมพังใช่ไหม” ผมเอียงคอถาม
“มึงก็สอนกูทำไง” ทำไมไม่พูดเพราะ เลิกเก็กแล้ว...
“มึงจะเงียบอีกนานไหม”
“เอ่อ..ครับๆ เดี๋ยวพี่ล้างมือให้สะอาด หยิบหม้อชั้นใน อยู่ในหม้อหุงข้าวนั่นแหละครับ แล้วตามผมมานะ ” ผมบอกพี่ตะวันแล้วเดินไปหยิบที่ตวงข้าว เปิดกล่องเก็บข้าวสาร
“พี่ตักข้าวให้พอดีถ้วยตวงแบบนี้นะครับ แล้วใส่ลงไปในหม้อเลย” ผมตักข้าวสารใส่ถ้วยตวงแล้วเอาไปเทใส่หม้อในมือพี่มัน ปากก็สอนพี่มันไปด้วย เสร็จแล้วก็ปิดกล่องเก็บข้าวสาร เดินนำพี่มันมาที่ก็อกน้ำ
“เดี๋ยวพี่เปิดน้ำใส่เลย ไม่ต้องเยอะมากนะครับ” พี่มันก็ทำตามอย่างว่าง่าย น่ารักดีเหมือนกันนะ
“พอยัง” พี่มันหันมามองหน้าผม
“พอแล้วครับ จากนั้นก็เอามือค่อยๆคนเบาๆ …..อ่าแบบนั้นล่ะครับ แล้วพี่ก็ค่อยๆเทน้ำออกในอ่างล้างจาน อย่าให้ข้าวล่วงนะ”
“ได้แล้ว แล้วยังไงต่อ”
“ทำแบบเดิมอีกรอบครับ” พี่ตะวันทำตามที่บอกโดยไม่มีข้อผิดพลาด นี่ถ้าพี่แกเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆนี่หลงไปนานแล้ว แต่เป็นผู้ชายก็ชอบอยู่ดีนี่หว่า
“เสร็จแล้ว ยังไงต่อวะ”
“เอาน้ำใส่ลงไปให้ท่วมข้าว วัดดูให้พอดีนิ้วชี้ข้อแรก เอ่อ...แต่นิ้วพี่มันยาว ต่ำกว่านั้นนิดหน่อยก็ได้ครับ อ่าแบบนั้นล่ะครับ” ผมเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดมือที่อยู่ใกล้ๆตัวผม หันมาก็เจอพี่มันมองหน้าผมอยู่ ผมส่งผ้าเช็ดมือให้พี่ตะวัน พี่มันก็รับอย่างว่าง่าย
“เอาผ้าเช็ดก้นหม้อให้สะอาดครับ เผื่อมีตรงไหนเปียก”
“ก้นมึงได้ไหมอะ ก้นมึงกูก็อยากเช็ดนะ”
“…”
“เงียบทำไม กูแค่ล้อเล่นเอง” แค่ล้อเล่นทำไมพี่มึงต้องทำหน้าหื่นจริงจังขนาดนั้นวะครับ ขนลุก
“อ่าครับ พี่เอาหม้อหุงข้าวชั้นในใส่ในหม้อหุงข้าวชั้นนอกเลย จากนั้นก็ปิดฝา เสียบปลั๊กแล้วกดสวิตซ์ แค่นี้ก็ได้แล้วครับ”
“เสร็จแล้ว” พี่ตะวันทำหน้าภูมิใจอย่างปิดไม่มิด ผมยิ้มให้กับการกระทำของคนตรงหน้า
“อ่างั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะ”
“ไปดิ ใครห้ามไว้อะ” ทั้งๆที่เวลาตั้งใจทำอะไร แล้วน่ารักขนาดนั้นแท้ๆ
ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวในตู้ในห้องนอน แล้วกลับไปเข้าห้องน้ำด้านนอก เดินเข้าไปในห้องน้ำก็ต้องตกใจ เพราะมีขนตรงส่วนลับล่วงอยู่หลายเส้นเลย หวังว่าพี่มันจะยังไม่ได้เข้าห้องน้ำนะ
ผมจัดการทำความสะอาดห้องน้ำ เสร็จแล้วจึงจัดการทำธุระส่วนตัว แปรงฟัน อาบน้ำ หยิบผ้าเช็ดตัวมาพันไว้รอบเอว เดินออกจากห้องน้ำ เดินผ่านพี่ตะวันที่นั่งอยู่บนโซฟา พี่มันมองผมตาไม่กะพริบ ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมก็เขินเป็นนะเว้ย ผมรีบเดินเข้าไปในห้อง แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อยืดโอเวอร์โซส์สีเทากับกางเกงขาสามส่วนสีดำ เดินออกมาจากห้องก็เจอพี่ตะวันกำลังมองผมอยู่ เอาผมไปเล่นบ้านไหมพี่ มองจังเลยครับ
“น้องหาวจะทำอะไรให้พี่กินเอ๋ย” กลับมาพูดจาแปลกๆอีกแล้ว
“ข้าวผัดแหนมครับ แต่มันอาจจะแฉะหน่อยนะ ปกติมันต้องใช้ข้าวค้างคืน ข้าวผัดจะได้ไม่แฉะ แต่ผมเหลือของในตู้อยู่ไม่กี่อย่าง พวกเนื้อสดก็หมดแล้วด้วย ที่จริงก็ทำไข่เจียวแหนมได้นะครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบ พี่ทานข้าวผัดได้ไหมครับ” ผมเดินไปเปิดตู้เย็นหาของที่ต้องใช้ในการทำข้าวผัดแหนม อ่าข้าวสุกพอดีเลย
“ได้ดิมึงทำอะไรให้กิน กูก็กินทั้งนั้นล่ะ” ผมพยักหน้ารับ
“เอ่อ…พี่ตะวันครับ รบกวนช่วยถอดปลั๊คหม้อข้าวให้หน่อยสิ” พี่ตะวันเดินไปถอดปลั๊คหม้อข้าว แล้วหันมาพูดกับผมต่อ
“มึงชอบกินข้าวผัดแหนมเหรอ”
“ก็ชอบนะครับ ผมชอบซื้อแหนมติดตู้ไว้ผัดข้าวกิน มันง่ายดีแถมอร่อยด้วย”
“ผู้ชายไทป์อย่างมึงไม่น่าทำอาหารได้เลย นี่กูพูดจริงๆนะ”
“โหพี่จะไทป์ไหน จะผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่เห็นเกี่ยวกับทำอาหารเลยนี่ครับ หมดยุคที่ผู้หญิงต้องทำงานบ้านคนเดียวแล้ว” ผมพูดกับพี่ตะวัน ในขณะที่มือยังค้นของสดในตู้เย็น
“ใครได้มึงเป็นแฟนนี่ต้องโคตรโชคดีแน่ๆ” ผมหัวเราะเบาๆให้กับคำพูดของพี่ตะวัน
“แน่นอนว่าที่เมียต้องภูมิใจในตัวผม” ผมหันไปมองพี่ตะวัน ยืดอกอย่างภาคภูมิ พี่ตะวันยู่หน้าใส่ผม ผมแอบยิ้มแล้วหยิบของต่อ จัดการเตรียมของเรียบร้อย ใส่ผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอย่างคล่องแคล่ว
“พี่ไปนั่งรอก่อนก็ได้ เสร็จแล้วเดี่ยวผมเรียก” ผมบอกพี่ตะวันที่ยืนมองผมอยู่
“กูจะดูมึงทำอยู่นี่แหละ” ผมพยักหน้ารับ
“ตามใจพี่เลย อย่าเกะกะก็พอครับ” นี่เห็นว่าตอนหุงข้าวทำตัวน่ารักหรอกนะ
“โอเค กูจะไม่เกะกะมึงเลยสาบาน” คนตรงหน้ายกมือขึ้นสามนิ้ว เพื่อยืนยันคำตอบ ให้ตายสิ...ผมยิ้มให้กับการกระทำของพี่ตะวันอีกแล้ว
“ถ้างั้นรบกวนพี่ช่วยตักข้าวใส่ถ้วยมาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” พี่ตะวันเดินไปที่หม้อข้าว แล้วหันมาถามผม
“เอาเยอะไหม”
“ให้พอดีกับคนสองคนครับ”
“งั้นคงต้องหมดหม้อ” ผมยิ้มให้กับคำพูดของพี่ตะวัน อ่า…ยิ้มอีกแล้วสินะ
“เสร็จแล้วพี่ก็เอาถาดตรงนั้นมาเกลี่ยข้าวให้ทั่วถาดเลย ทำเบาๆนะ ผมล้างผัก หั่นผักเสร็จก็น่าจะเย็นขึ้น” พี่ตะวันพยักหน้ารับ
“แล้วทำไมต้องใส่ถ้วยก่อน ตักข้าวใส่ถาดเลยไม่ได้เหรอ”
“แล้วแต่พี่สะดวกเลยครับ” พี่ตะวันพยักหน้ารับ เดินไปหยิบถาดกับทัพพีตักข้าว
“ทำไมต้องเอามาเกลี่ยในถาดก่อนวะ”
“มันจะได้เย็นเร็วๆครับ พอเวลาเราเอาข้าวไปผัดจะได้ไม่แฉะ ข้าวมันจะได้ไม่จับตัวกันเป็นก้อน” พี่ตะวันรับเบาๆในลำคอ
ผมจัดการล้างผักคะน้า แครอทและแตงกวา ผมนำคะน้ามา 3 ต้นเด็ดใบที่แก่ๆทิ้ง ปลอกส่วนแข็งๆตรงโคนออก หั่นเฉียงๆพอดีคำ เสร็จแล้วแบ่งแครอทที่มีอยู่ครึ่งลูกเป็น 2 ท่อน เก็บไว้ 1 ท่อน จัดการปลอกแครอทจนสะอาด หั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ นำแตงกวามาลูกหนึ่งปลอกเปลือกจนสะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆจนหมดลูก จากนั้นเอาแหนมมาแกะถุงออกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เสร็จแล้วจึงหันไปเตรียมกระทะเทฟล่อนตั้งไฟกลางๆ ใส่น้ำมันรำข้าวลงในกระทะเล็กน้อย เมื่อกระทะร้อน หยิบไข่ขึ้นมาจัดการตอกไข่ลงไปในกระทะ ใช้ตะหลิวยีไข่ในกระทะพอสุก จากนั้นใส่กระเทียมลงผัดจนเหลืองหอม แล้วจึงใส่แหนมลงผัดให้เข้ากัน จากนั้นใส่ข้าวสวยที่พี่ตะวันเตรียมไว้ให้ลงผัด ตามด้วยแครอท และคะน้า ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย ผัดจนเข้ากันดีก็ปิดไฟ แค่นี้ก็สามารถตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ
“พี่ตะวันรบกวนเอาจานให้ผม 2 ใบครับ ช้อนส้อมด้วยนะครับ”
“อะนี่” จานถูกยื่นมาให้ผม 1 ใบ ผมรับจานมา ตักข้าวใส่จาน จัดการโรยพริกไทยป่นเล็กน้อยเพิ่มกลิ่นหอม วางแตงกวาสักสองสามชิ้น ส่งให้พี่ตะวัน พี่มันรับจานจากผม วางช้อนส้อมลงบนจาน จากนั้นก็หยิบจานอีกใบที่พี่มันวางไว้ข้างๆผม หยิบขึ้นมาทำเหมือนเดิมแล้วส่งให้พี่ตะวันถือไว้
“พี่เอาไข่ดาวเพิ่มไหมครับ เดี๋ยวผมทอดให้พิเศษเลย” ผมถามคนข้างๆที่กำลังจ้องมองผมอยู่
“พิเศษใส่ใจใช่ปะ”
“…”
“ไรวะ กริบอีกละ ไม่เอาแค่นี้ล่ะ หิวแล้ว” ผมพยักหน้ารับ
“พี่ไปนั่งรอเลยก็ได้ครับ” ผมบอกพี่ตะวัน พี่มันพยักหน้ารับแล้วเดินไปคอยที่เคาน์เตอร์บาร์
ผมล้างมือจนสะอาด ถอดผ้ากันเปื้อน เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำออกมาหนึ่งขวด หยิบแก้วสองแก้วที่วางอยู่หลังตู้เย็น แล้วเดินไปนั่งข้างๆพี่ตะวัน ผมเทน้ำใส่แก้วทั้งสองก่อนจะหยิบไปวางแก้วน้ำให้คนข้างๆหนึ่งแก้ว
“ทานได้แล้วครับ” ผมมองพี่ตะวันที่ยังรอผมอยู่ พยักหน้ารับหยิบช้อนกับส้อมถือไว้ในมือ กำลังใช้ช้อนตักข้าวเข้าปาก
“อร่อย” ผมมองคนตรงหน้าทานด้วยรอยยิ้ม หันมาจัดการข้าวผัดในจานของตัวเองจนเกือบหมด ผมคิดอะไรบางอย่างออกจึงถามพี่ตะวันออกไป
“เออพี่ พี่ยังไม่ได้เข้าห้องน้ำใช่ไหมครับ” คนตรงหน้าหยุดช้อนตัวเองลง เงยหน้ามองหน้าผม สีหน้าแววตาดูตกใจเล็กน้อยกับคำถาม มีอะไรน่าตกใจเหรอ หรือพี่มันเข้าไปแล้ว ก็ต้องเห็นแล้วสินะ
“ถามทำไม”
“ขนตรงนั้นผมมันล่วงอะ ล่วงเต็มพื้นห้องน้ำเลย มีตั้งหลายเส้นเลย ผมก็ว่าผมดูดีแล้วนะ”
อั๊ก แค่ก แค่ก ขะ ข้าว แค่ก ตะ ติด คอ แค่ก
อะไรวะพูดแค่นี้ถึงกับสำลักเลย ผมลูบหลังพี่ตะวันแล้วหยิบแก้วน้ำยื่นให้พี่ตะวัน พี่ตะวันรับน้ำจากผมขึ้นดื่ม อาการพี่ตะวันค่อยๆดีขึ้น
“ขอบใจ”
“ไม่เป็นไรครับ” ผมก้มหน้าทานข้าวต่อ ไม่ถามก็ได้ เสียงพี่ตะวันถอนหายใจดังเฮือก ดวงซวยเจอเองผมช่วยไม่ได้นะ ถึงจะผู้ชายเหมือนกันแต่ขนตรงส่วนนั้นก็ไม่น่าพิสมัยอยู่ดี
กว่าเรา 2 คนจะทานข้าวเสร็จก็เวลาเกือบเที่ยง ช่วยกันทำความสะอาดเรียบร้อย สุดท้ายผมก็ต้องมานั่งกับพี่ตะวันอยู่ที่โซฟา ต่างคนต่างมุมของตัวเอง พี่ตะวันนั่งเล่นเกม ส่วนผมก็ส่องโซเชียลตามประสาคนว่างแหละครับ ส่องไปได้สักพักเอกก็ทักมาในกลุ่ม 3 หนุ่ม
อวยหัวเขก
หาวไปแดกข้าวเปล่า
หาวขี
ไปเลยแดกแล้ว
ดีนแตก
ไปกินกะใครมาไม่รอกูเลยอะ
เสียใจ
หาวขี
ตอแหลอะดีน
พี่ตะวัน
อวยหัวเขก
มีซัมติงแน่ๆ ใช่ไหมบี 1
ดีนแตก
คิดเหมือนกันเลยบี 2
หาวขี
ถ้าไม่เลิกชงมั่ว
กูจะย้ายไปอยู่ห้อง
พวกมึง 24 ชั่วโมง
อวยหัวเขก
ม่ายยยยย
มึงอย่านะไอ้หาวกูขอร้อง
สติกเกอร์แมวร้องไห้
ดีนแตก
กูเบื่ออยู่ห้องแล้วเนี่ย
ไปกินหมูทะกันปะ
อวยหัวเขก
อย่าปฏิเสธนะมึง
หาวขี
เออๆ
เจอกัน
ตอนที่ 16
ครอบครัวก็คือครอบครัว
We both have no idea if we’re going to be together in the end. But one thing is for sure, I’ll do everything I can to make it happen.
[ TAWAN PART ]
หลังจากที่ผมมานั่งเล่นอยู่ห้องน้องมันทั้งวัน หาข้ออ้างสารพัด เล่นเกมจนแบตหมดต้องยืมสายชาร์จน้องมันไปชาร์จ ชวนน้องมันดูหนัง น้องมันก็หาหนังให้ผมดู ช่างเป็นเด็กที่น่ารักจริงๆ แต่ผมอยากใกล้ชิดน้องมากกว่านี้ว่ะ ทำไงดีตะวันคิดสิคิด แกล้งหลับดีไหมวะ เออแกล้งหลับนี่ล่ะ ผมหันไปมองหาวที่กำลังตั้งใจดูหนังเรื่องที่ 2 อยู่ ล็อกเป้าหมายเรียบร้อย กระเถิบตัวเข้าไปแบบเนียนๆ แกล้งทำตาปรือจ้องไปที่หน้าจอ โงนเงนหัวเล็กน้อย โงนเงนหัวอีกที ไปไหนต่อดีวะไหล่หรือไข่ แน่นอนคนอย่างผมต้องเลือกไข่ โงนเงนอีกสักที อืมเอาเลย เอนหัวลงบนตักแม่ง
“เฮ้ยพี่” กูไม่รู้กูหลับอยู่ แกล้งหายใจให้สม่ำเสมอเดี๋ยวไม่เนียน
“เอ้าหลับเหรอ แล้วก็ไม่ไปนอนดีๆนะครับ” หู้ยน้องเชื่อ ไอ้เหี้ยน่าจะเอาหัวหันเข้าหาตัวน้อง วิวไม่ดีแต่กลิ่นดี หาวเอามือมาลูบแก้มผม
“เวลาหลับก็น่ารักดีนะครับ” น้องชมกูๆ คอมพลีทแล้วชีวิต น้องเอามือมาเขี่ยที่ริมฝีปากของผม ตะวันชีวิตคอมพลีทแล้วครับทุกคน
[ HAO PART ]
ผมเอามือเขี่ยริมฝีปากของพี่ตะวัน ทำไมผมรู้สึกอยากจูบแบบนี้เนี่ย ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของผมเต้นแรงไม่หยุด
ผมจ้องมองคนที่อยู่บนตัก พลิกตัวเข้าหาตัวผม พี่ตะวันหายใจลดหน้าท้องของผม ผมพยายามพลักหัวพี่ตะวันออกเพราะรู้สึกขนลุกแปลกๆ แต่พี่มันกลับใช้มือคล้องเอวผมไว้ เหมือนกลัวตกจากโซฟา แต่โซฟาชุดห้องผมไม่ได้เล็กเลยนะ ผมจนปัญญาที่จะเอาหัวพี่ตะวันออกไปแล้ว จะปลุกก็ไม่กล้า ได้แต่ปล่อยให้พี่ตะวันนอนต่อไปบนตักผม ผมเลิกสนใจพี่ตะวัน แล้วหันไปสนใจหนังในทีวีแทน
แต่ผมก็เลิกสนใจได้ไม่นาน ก็พี่ตะวันเล่นเอาจมูกมากดที่หน้าท้องผมนี่ครับ
“พี่ผมไม่ใช่หมอนข้างนะ พี่ตะวันโว้ย! มันจักกะจี้” พี่ตะวันยังไม่เลิกซุกหน้าท้องผม
“ทำไมหลับลึกงี้วะครับ” ผมสบถออกมาหนักก็หนัก หายใจลดพุงอีก จะลุกก็ไม่ได้ แม่งเอามือคล้องเอวไว้
สุดท้ายผมก็ต้องปล่อยพี่ตะวันไว้แบบนั้น ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมาดูเวลา พบว่าเกือบห้าโมงเย็นแล้ว อีกอย่างขาเริ่มเหน็บชาแล้วด้วย ผมจึงตัดสินใจปลุกพี่ตะวัน
“พี่ตะวันครับ” ผมพูดพร้อมเขย่าตัวพี่ตะวันเล็กน้อย
“พี่ตะวันครับ” ผมเริ่มพูดดังขึ้น เขย่าตัวแรงตามเสียงที่มากขึ้น
“พี่ตะวันครับ!!!!!” ผมตัดสินใจตะโกนใส่หูพี่ตะวัน ไม่ตื่นให้มันรู้ไป
“เหี้ยอะไรมึงเนี่ย”
“ก็พี่ไม่ตื่นอะ ลุกขึ้นได้แล้วครับ เหน็บกินขาแล้วเนี่ย” พี่ตะวันรีบเด้งตัวออกไปจากตัวผม
“เมื่อยมากไหม ตรงไหนเดี๋ยวกูดูให้” พี่ตะวันหันมาถามผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง เอื้อมมือจะมานวดขาผม น่ารักอีกแล้วสินะ...
“ไม่ต้องครับ แค่พี่ลุกขึ้นขาผมก็หายปวดละ” ผมพูดขำๆ แต่คนตรงหน้ากลับทำหน้าเศร้าเสียอย่างนั้น
“ขอโทษ”
“หืม”
“ที่ทำมึงปวดขา”
“พี่ไม่ต้องทำหน้าสำนึกผิดจริงจังแบบนั้นก็ได้มั้งครับ”
“ก็กูรู้สึกผิด” โอ้โหอารมณ์สาวน้อยมาเต็มฉิบหาย
“พี่ตะวัน พี่เมาขี้ตาเหรอครับ” ผมแกล้งแหย่พี่ตะวันเล่น เห็นพี่ตะวันทำท่าทางแบบนี้แล้วน่ารักดี
“เมาขี้ตาพ่อง”
“เอ้าอารมณ์แปรปรวณเหรอครับพี่” พี่ตะวันมองค้อนผม
“ฮ่าๆ 5 โมงเย็นแล้วครับ กลับได้แล้วมั้งครับ”
“ไม่กูจะกินข้าวเย็นกับมึงก่อน”
“เดี๋ยวผมต้องออกไปทานหมูกระทะกับไอ้เอก กับดีนว่ะพี่ นัดกันไว้แล้ว” ผมตกลงกับดีนไว้แล้วหลังจากไม่ได้กินข้าวเที่ยงกับพวกมัน ดีนมันก็งอแงบอกว่าเบื่อหน้าเอก คิดถึงผมอย่างนู้นอย่างนี้จนผมต้องตามน้ำไป จริงๆมันแค่อยากทานหมูกระทะ
“กูไปด้วย”
“หืม”
“มึงนัดพวกมันไว้กี่โมง”
“เอ่อ 6 โมงครับ”
“โอเคกูไปด้วย” ผมพยักหน้ารับ พี่ตะวันยิ้มดูมีความสุขมาก จนผมเผลอยิ้มตาม
สุดท้ายพี่ตะวันมันก็ตามผมมาจนได้ ผมปิดประตูแล้วกำลังจะเดินไปที่ลิฟท์
“นัดกันไว้ร้านไหนวะ ไปรถเครื่องกูหรือไปรถมึง”
“เดี๋ยวพวกมันมารับครับ ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าไปร้านไหน”
“อ่อ”
ผมลงมารอเอกกับดีนข้างล่างคอนโด รอไม่นานพวกมันก็มารับ พวกผมขึ้นมานั่งด้านหลังคนขับ
“สวัสดีครับพี่ตะวัน” เอกกับดีนทักทายพร้อมกัน
“พี่ตะวันร้านไหนอร่อยอะ” เอกถามพี่ตะวัน
“ร้านเด็ดดวงมั้ง หมูนุ่ม น้ำจิ้มก็เด็ด เห็นไอ้หมีมันบอกมางั้น”
“งั้นไปร้านนี้ล่ะ เล็ทโก” ดีนพูดพร้อมยกมือขึ้นสูง ผมอมยิ้มให้กับท่าทีของดีน
ตอนนี้พวกเรามาถึงร้านเด็ดดวงหมูกระทะ เชี้ยคนเยอะฉิบหาย ผมถึงกับอุทานในใจ
“ทำไมพวกมึงชอบกินหมูกระทะกันจังวะ มะเร็งทั้งนั้นเลยนะมึง” พี่ตะวันมันหันมาพูดเบาๆกับผม เอกกับดีนรีบเดินเข้าไปในร้านจองโต๊ะแล้วครับ
“พี่กลัวแล้วมาทำไมเนี่ยครับ”
“ก็อยากมากับมึง” พี่ตะวันพูดเสียงเบา
“อะไรนะครับ”
“เปล่า”
“ได้ยินนะครับ” ผมบอกพี่ตะวันที่หน้าขึ้นสีแดงจางๆ
“นี่พี่ตะวัน พี่คิดว่ากินหมูกระทะแล้วสุขภาพจะไม่ดีใช่รึเปล่า จะทำให้เป็นมะเร็งอะไรแบบนั้น” พี่ตะวันพยักหน้ารับ ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองหน้าพี่ตะวันอย่างจริงจัง
“แล้ววันนั้นพี่สูบบุหรี่ทำไมครับ ดื่มเหล้าด้วย”
“…” เงียบใส่ซะงั้น
“งั้นทานๆไปเถอะครับพี่ของอร่อย ถึงพี่จะรักสุขภาพ เลือกทานแต่ของดีๆตลอด แต่เกิดวันหนึ่งพี่เดินอยู่ดีๆแล้วรถชนตาย ระวังจะเสียใจที่ไม่ได้ทานของอร่อยๆนะครับ”
“ประโยคมึงคุ้นๆเนอะ”
“นานๆทานทีไม่เป็นไรหรอก พวกผมก็นานๆครั้งเหมือนกัน เข้าไปกันเถอะครับ” ผมจับมือพี่ตะวัน ลากพี่มันเข้ามาในร้าน
พวกเราเข้ามาในร้านเดินไปที่โต๊ะที่พวกนั้นจองไว้ ผมนั่งตรงข้ามกับดีน ส่วนพี่ตะวันนั่งตรงข้ามกับเอก
“ทำไมเดินช้าจังวะ”
“มีคนงอแงว่ะดีน” ผมพูดกับดีน แล้วหันไปมองพี่ตะวัน
“ใครงอแง มึงอย่ามาไอ้หาว เด็กเชี้ย”
“พอๆ ไม่เถียงกันครับ” ดีนพูดขึ้นปรามพวกผม
ครืด
ครืด
ครืด
ครืด
ครืด
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าผมสั่น จนต้องหยิบขึ้นมาดู ใครมันส่งข้อความมาเยอะขนาดนี้วะ สั่นซะจนคิดว่าโทรศัพท์เป็นพาร์กินสัน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นข้อความจากเอกที่ส่งมาในกลุ่มสามหนุ่ม อยู่ใกล้กันแค่นี้ทำไมต้องส่งข้อความมา ผมล่ะไม่เข้าใจมันจริงๆ
อวยหัวเขก
พี่ตะวันมากับมึงได้ไงวะ
สติกเกอร์หมีสงสัย
สติกเกอร์หมีสงสัย
ไอ้หาว
ตอบกู
หาวขี
ทำไมมึงขี้เสือกงี้วะ
อวยหัวเขก
เออกูเสือก
แต่มึงตอบกูมา
กูอยากเสือกจนตัวสั่นละสัด
“ตอนแรกผมเกือบคิดแหนะ ว่าพี่มาจีบหาวของผมรึเปล่า เห็นพี่ด่าหาวแบบนี้ผมก็สบายใจแล้ว” ประโยคของดีนทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง เล่นอะไรของมันอีกล่ะเนี่ย
“หาวของมึงก็เหี้ยละ หาวของกู”
“ว่าไงนะพี่” ดีนยิ้มกับคำพูดของพี่ตะวัน ส่วนเอกอุทานดังมาก ผมหันไปมองหน้าพี่ตะวัน พี่ตะวันทำหน้าตกใจเล็กน้อย เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าพูดอะไรออกมา น่ารัก…
“จะแดกไหมหมูกระทะ จะแดกอะไรก็สั่งสิ”
“เปลี่ยนเรื่องเก่ง” เอกพูดออกมา
“พวกมึงจะมองหน้ากูอีกนานไหม จะแดกไม่แดก” พี่ตะวันมองหน้าทุกคน ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ พวกผมแอบยิ้มให้กันก่อนจะเริ่มจัดการหมูกระทะที่เพิ่งมาเสิร์ฟ
หลังจากทานกันจนอิ่ม เอ่อ..ยกเว้นพี่ตะวันนะ พี่แกก็ทานนั้นล่ะ แต่ทานจนหมด เห็นบ่นว่าทานไม่หมดน่าเสียดาย ตอนแรกบอกไม่ทาน ผมนึกแล้วขำในใจ เอกกับดีนมาส่งพวกผมที่คอนโด แล้วบอกว่าจะอยู่เล่นเกมกับผมต่อ
“พี่ไม่ได้ลืมอะไรไว้ที่ห้องผมใช่ไหมครับ” ผมถามระหว่างเดินมาส่งพี่ตะวันที่รถเครื่อง
“ไม่ลืมๆ กูไปละ”
“ขี่รถดีๆนะครับ ถึงหอแล้วบอกด้วย”
พี่ตะวันยิ้มให้ผมก่อนที่จะสตารท์รถ แล้วขี่ออกไป
“ยิ้มหน้าบานเชียวนะมึง” ไอ้เอกแซวผม
“ยิ้มอะไร๊” ผมพูดแล้วเดินหนีพวกมันเข้าคอนโด
อื้ม… ผมเผลอยิ้มตามพี่ตะวันอีกแล้วสินะครับ
[DEEN PART]
“มีอะไรจะบอกพวกกูไหมวะ” เอกถามหาวหลังจากเดินตามขึ้นมาถึงห้อง ผมกับเอกนั่งประกบหาวคนละข้าง
“กูคุยกับพี่เขาอยู่” หาวตอบออกมาด้วยคำตอบที่ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก
“กูว่าละ” เอกพูดพร้อมเอามือตบขาตัวเองฉาดใหญ่
“นานแค่ไหนแล้ววะ” ผมถามหาว
“หลายวันแล้ว”
“แล้วทำไมไม่คบกันไปเลยเนี่ยกูเชียร์อยู่”
“ใจเย็นเอก ก็กูไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อนนี่ ก็ต้องลองคุยก่อนรึเปล่าวะ”
“แล้วเป็นไงโอเคไหมล่ะ”
“ก็โอเคดี” หาวตอบออกมานิ่งๆแต่ดูเขินจนเห็นได้ชัด ผมเพิ่งเคยเห็นมุมนี้ของเพื่อนสนิทตัวเอง
“น่าจะไม่ใช่แค่โอเคแล้วมั้งแบบนี้อะฮ่าๆ”เอกแซวหาว
“ขอเป็นแฟนเลยดิ”
“อะไรดีน ว่าแต่กูอะพวกมึงสองคนเป็นไงบ้าง”
เอกกับผมเงียบไม่พูดอะไร เก็กขรึมทำหน้าเศร้า ปล่อยให้หาวลองเดาเอาเอง แบบที่เตี๊ยมกันไว้
“โอเคไม่ต้องตอบละ” ผมขำกับท่าทีเกรงใจของหาว เมื่อรู้ว่าตัวเองพูดอะไรไม่ควรพูดออกมา
“แหมไอ้หาว พวกกูไม่ได้เป็นแบบที่มึงคิดหรอกเว้ย เนี่ยที่กูตามมึงมาบนห้องก็จะบอกมึงเรื่องนี้แหละ”
“หืม”
“ความจริงพวกกูกะจะบอกมึงที่ร้านหมูกะทะแล้วแหละ พวกกูอยากบอกมึงเป็นคนแรก แต่มึงดันพกพี่ตะวันไปด้วยนี่” ผมพูดสลับกับเอก
“เดี๋ยวๆ มีอะไรพวกมึง 2 คน ดีดี” เอกลุกขึ้นเดินเปลี่ยนมานั่งข้างๆผมพร้อมเลื่อนมือมาจับมือของผม แล้วโชว์ให้หาวดู
“พวกกูเป็นแฟนกันแล้วนะ” ผมเป็นคนพูดออกมาแล้วหันไปมองหน้าเอก เราสองคนยิ้มให้กัน
“เฮ้ยจริงดิ ดีใจด้วยเว้ย”
“เหี้ยกูเขิน”
“ใจเย็นเอก แล้วป๊ามึง… ” หาวหันมาถามผม
“รู้แล้ว” ผมพูดออกไปตามตรง หาวพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วท่านว่าไงบ้าง”
“ก็ช็อกนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้เป็นแบบที่กูคิดเลยเว้ย”
วันที่ตัดสินใจไปบอกป๊า ผมคิดว่าผมควรบอกป๊าให้เร็วที่สุด มันควรพอได้แล้วกับการที่ผมจะทำให้เอกเสียใจ ผมไม่อยากให้ทุกอย่างมันคาราคาซังอีกต่อไป ผมกลับบ้านไปในเสาร์อาทิตย์ที่แล้ว
ผมทำใจอยู่นานไม่กล้าบอกป๊าสักที ผมเดินวนอยู่ในห้องแบบนั้น วันนี้เป็นวันสุดท้าย ห้าโมงก็ต้องกลับมหาลัยแล้ว
“เอาวะดีน มึงต้องทำได้” ผมเดินออกจากห้องลงบันไดไปยังชั้นแรกของตัวบ้าน
“ป๊าน้องดีอยากไปคอนเสิร์ตของวงxxx น้องดีขอไปนะ นะ นะ น๊า”
ผมยืนแอบฟังอยู่ตรงบันไดไม่กล้าเข้าไปตอนนี้ น้องดีคือน้องสาวคนเดียวของผม เธออายุห่างจากผมประมาณ 4 ปี
ถ้าผมบอกตอนน้องดีอยู่ด้วย แล้วเกิดป๊าด่าผม ผมไม่อยากให้น้องดีเห็นภาพนั้น
“แต่ลื้อต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่หนีเรียนพิเศษอีก”
“ได้เลยป๊าน้องดีจะตั้งใจเรียนให้เก่งแบบเฮียดีนเลย”
“ให้จริงเถอะ ไปๆลื้ออยากเก่งแบบเฮียดีนก็ไปอ่านหนังสือเยอะๆ จะได้สอบเข้ามหาลัยดีๆแบบเฮียดีน”
“จ๊ะป๊า น้องดีไปอ่านหนังสือก่อนนะ รักป๊าที่สุดเลย”
น้องดีกำลังเดินมา ผมรีบหันหลังกลับเดินขึ้นบันได
“อ้าว! เฮียจะลงมาข้างล่างเหรอ ทำไมไม่ลงมาล่ะ” ผมหันกลับไปมองน้องดี
“เอ่อ… เฮียนึกได้ว่าลืมของน่ะ”
“อ้อ เฮียดูหน้าเครียดๆนะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าคิดไปเองแล้วน้องดี สงสัยเฮียอ่านหนังสือมากไปหน่อย”
“อ้อ” น้องดีพยักหน้ารับผม
“งั้นเฮียไปก่อนนะ” ผมรีบวิ่งขึ้นบันได
“จะรีบไปไหนของเฮียเนี่ย แปลกคนจริงๆ”
ผมเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู ถ้าผมบอกป๊าไปแล้วป๊าผิดหวังในตัวผมล่ะ ถ้าผมไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีสำหรับน้องดีอีกต่อไปแล้วล่ะ แต่ถ้าผมไม่พูดออกไปแล้วเอกล่ะ ผมไม่ได้บอกเอกด้วยซ้ำว่าผมจะบอกป๊าเร็วขนาดนี้ ผมเปิดโทรศัพท์มือถือดูเวลาเกือบสี่โมงครึ่งแล้ว ผมดูรูปคู่ของผมกับเอกที่ถูกตั้งไว้เป็นภาพวอลเปเปอร์มือถือ ทุกอย่างอาจไม่แย่อย่างที่คิดเหมือนที่หาวพูดก็ได้ อย่าเพิ่งคิดไปเองดีน
“เอาวะดีน มึงต้องทำได้ดิ ถ้าป๊ารู้ทีหลังป๊าผิดหวังกับมึงมากกว่านี้อีกนะ ดีนมึงทำได้”
ผมตัดสินใจเดินลงบันไดไปหาป๊าอีกรอบ ป๊ากำลังดูข่าวอยู่ ผมเดินไปนั่งข้างๆป๊า ยังไม่กล้าพูดอะไรออกไป
“อาเอกมารับลื้อกี่โมง”
“เย็นๆครับ”
“เป็นอะไรทำไมทำหน้าเครียดๆ”
“ปะ เปล่าครับ” ป๊าพยักหน้ารับแล้วหันไปดูข่าวในทีวีต่อ
“ป๊า”
“มีอะไรดีน” ป๊าหันมามองหน้าผม
“ถ้าดีนไม่ได้เป็นแบบที่ป๊าหวัง ป๊าจะโกรธดีนไหม” ป๊าเงียบไม่ได้พูดอะไร น้ำตาของผมค่อยๆไหลออกมา
“เป็นอะไรดีน”
“ป๊าดีนขอโทษ ดีนทำป๊าผิดหวัง ดีนเป็นตัวอย่างที่ดีกับน้องดีไม่ได้อีกแล้ว” ป๊าขยับเข้ามากอดผม อ้อมกอดที่ทำให้ผมทั้งรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน
“ไม่เป็นอะไรดีน ไม่ร้องนะ มีอะไรดีนบอกป๊าได้ทุกเรื่อง”
“ป๊า… ”
“ไม่เอา ไม่เป็นไรๆ มีอะไรบอกป๊า”
“ป๊า… ดีนเป็นเกย์” ป๊าเงียบไม่พูดอะไร
“ป๊าดีนขอโทษ ป๊าอย่าเงียบแบบนี้สิ ป๊าด่าดีนก็ได้นะป๊านะ”
“เฮ้อ… ” ป๊าดันผมออกจากอ้อมกอด จับบ่าของผมไว้ จ้องมองมาในดวงตาของผมแบบตรงๆ
“ป๊าเลี้ยงลื้อมา ป๊าก็อยากให้ลื้อมีความสุข ลื้อเป็นเกย์ ถ้าลื้อมีความสุข ป๊าก็ไม่ว่าอะไรลื้อหรอกนะ”
“แต่ดีนทำป๊าผิดหวัง”
“ดีนไม่เคยทำป๊าผิดหวัง ตั้งแต่เด็กๆลื้อทำให้ป๊าภูมิใจเสมอ ไม่เกี่ยวกับว่าลื้อเป็นเกย์ แล้วจะทำป๊าผิดหวัง ลื้ออย่าคิดอย่างนั้นสิ”
“ขอบคุณนะป๊า” ป๊ากอดผมอีกครั้ง ความอบอุ่น ความเข้าใจโอบกอดหัวใจของผม
“ไม่ร้องๆ”
ป๊าปลอบผมจนผมหยุดร้อง ผมยังกอดป๊าอยู่แบบนั้น
“ทำไมขี้แงจัง เป็นเด็กขี้แงตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ป๊าอย่าแซวผมสิ”
“ฮ่าๆ พาแฟนลื้อมาหาป๊าบ้างสิ”
“แฟนดีนป๊ารู้จักดีเลยล่ะ” ผมเงยหน้ามองป๊า
“หืม”
“ไอ้เอกหรือไอ้หาว ว่าไงใครล่ะ” ป๊าพูดเสียงเข้ม
“แหะๆ”
“ไม่ต้องแหะๆเลย ใครบอกป๊ามา ไอ้พวกนี้ไว้ใจไม่ได้อุตสาห์ฝากฝังให้ดูแล ฝากลูกแมวไว้กับงูเหลือมชัดๆ”
“ทำไมต้องเป็นงูเหลือมล่ะป๊า”
“ป๊าไม่ชอบไง สรุปบอกป๊าได้ยังว่าใคร”
“เอกครับป๊า”
“โถ่ไอ้… “
“ป๊าใจเย็น”
“ป๊าไม่ได้ว่าอะไร ป๊าจะบอกว่าไอ้… ไอ้ลูกเขยไง” ผมยิ้มให้ป๊าที่เปลี่ยนเรื่องเก่งเกินไป
“ป๊า… ดีนรักป๊านะ”
“ป๊าก็รักลื้อ” ป๊าตบบ่าผมเบาๆสองสามที
เสียงกดออดหน้าบ้าน คุณป้าแม่บ้านวิ่งออกจากครัวไปเปิดประตู เอกเดินเข้ามาในบ้าน
“สวัสดีครับป๊า”
“อื้ม นั่งก่อนสิ” ทำไมเหมือนผมรู้สึกว่าป๊ามองเอกแปลกๆ
“ดีนลื้อไปเก็บของสิ” ผมมองป๊า
“ไปสิ” ทำไมผมถึงรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีอะไรบางอย่าง ป๊าพยักเพยิดหน้าไล่ผม ผมหันไปมองเอก มันก็ยิ้มให้ผม
“ก็ได้ป๊า” ผมเดินขึ้นบันไดมา แต่ไม่ได้ขึ้นไปบนห้องผมแอบดูป๊ากับเอกคุยกัน
“มีอะไรจะพูดไหม”
“เอ่อ… เอ่อ…” เอกทำหน้าคิดก่อนจะตอบออกมา
“ผมคบกับลูกชายป๊าอยู่ครับ ลูกชายป๊าผมขอดูแลได้ไหมครับ” ผมอึ้งกับคำพูดของเอก ผมไม่คิดว่ามันจะไหวพริบดีว่าป๊ารู้แล้ว แล้วจะกล้าพูดประโยคแบบนั้นออกมา
“จะดูแลอะไรได้ เรียนยังไม่จบแท้ๆ”
“ผมขอเวลาหน่อยนะครับ ผมจะพิสูจน์ให้ป๊าเห็นเอง”
“ทำอะไรเฮีย” ผมหันไปมองน้องดีที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมยกนิ้วชี้ขึ้นมาที่ปากเป็นสัญลักษณ์ว่าให้น้องดีเงียบลง
“ดีน ป๊าบอกให้ไปเก็บของ ไม่ใช่แอบฟัง น้องดีพาเฮียดีนไปเก็บของเดี๋ยวนี้! ” ป๊าพูดกับผมเสียงเข้ม
“ค่ะป๊า เฮียดีนไปๆ ไปทำอะไรให้ป๊าโกรธเนี่ย” ผมถูกน้องดีลากขึ้นมาบนห้อง น้องปิดประตูห้องแล้วพาผมไปนั่งที่เตียง
“เฮียดีนเป็นอะไร ดูเครียดๆนะ น้องดีเห็นเฮียดีนแปลกๆไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เหนื่อยอะไรหรือเปล่า หรือว่าเรียนหนักไป หรือว่าเฮียไปอยู่นั่นแล้วใครแกล้งเฮีย” ผมส่ายหัวแทนคำตอบ
“หรือว่าเฮียไปอยู่นั่นแล้วเฮียกินไม่อิ่ม เฮีย… น้องดีเป็นห่วงนะ “ ผมคว้าน้องดีนมากอด
“พอแล้ว… ไม่ต้องเดาแล้ว”
“เฮียขอโทษที่ทำให้น้องดีเป็นห่วงนะ เฮียแค่กังวลน่ะ”
“เฮียดีนมีอะไร เฮียดีนบอกน้องดีได้เลย” ผมคลายอ้อมกอดออกจากน้อง ผมตัดสินใจพูดความจริงกับน้อง
“น้องดีเอกคือแฟนของเฮีย”
“เฮียว่าไงนะ!”
“เฮียขอโทษ… “
“เฮียจะขอโทษน้องดีทำไม เดี๋ยวนี้โลกเราเปิดกว้างแล้ว ฮึก”
“น้องดีร้องทำไม” ผมโอบกอดน้องดีไว้อีกครั้ง
“น้องดีสงสารเฮียดีน เหนื่อยไหมเฮีย เจ็บปวดมานานเท่าไหนแล้ว”
“ไม่เป็นไรนะคนเก่งของเฮีย เฮียไม่เป็นไรแล้ว น้องดีไม่ร้องนะ”
“เฮียดีนป๊าต้องเข้าใจเฮียดีนอยู่แล้ว ถ้าป๊าไม่เข้าใจเดี๋ยวน้องดีช่วยพูดเอง” ผมเอามือเช็ดน้ำตาน้องสาวตัวเล็กของผม
“เฮียบอกป๊าแล้ว ดูเหมือนป๊าจะเข้าใจนะ แต่เฮียกังวลที่ป๊าคุยกับเอกเฉยๆ”
“ไม่เป็นไรเฮียดีน ป๊าใจดีจะตาย เรารีบเก็บของลงไปช่วยเฮียเอกกันเนอะ” ผมเช็ดน้ำตาให้น้องดีที่เงยหน้าขึ้นมา
“ขี้แงเอ้ย”
“ว่าแต่น้องดีอะ เฮียก็เหมือนกันแหละ” ผมเช็ดน้ำตาของตัวเองที่ร้องไห้เพราะคำพูดของน้องดี
ผมกับน้องดีล้างหน้าล้างตา ช่วยกันเก็บของที่มีไม่กี่อย่างใส่กระเป๋าสะพายใบกลาง ลงไปที่ชั้นล่าง
“เก็บของเสร็จแล้วเหรอ”
“ครับป๊า”
“ไปๆเดี๋ยวถึงดึกป๊าเป็นห่วง” ป๊ากับเอกลุกขึ้นจากโซฟา ป๊า น้องดี แล้วก็ป้าแม่บ้าน เดินมาส่งผมกับเอกที่รถ ที่จอดอยู่หน้าบ้าน
“ป๊า น้องดี ป้าแก้ว ดีนไปก่อนนะ”
“เดินทางปลอดภัยนะลูก” ผมเข้าไปกอดป๊า
“มาหาหนูบ่อยๆนะ” ผมพยักหน้ารับน้องดี
“มากอดๆ” น้องดีกระโดดกอดผม ผมกอดน้องตอบ
“เดินทางปลอดภัยนะคุณดีน คุณเอก”
“ขอบคุณนะครับ” ป้าแก้วยิ้มให้ผมกับเอก
“ฝากดูแลดีนด้วยนะ ไอ้ลูกชาย” ป๊าเดินไปตบบ่าเอก ผมกับน้องดีมองหน้ากัน
“ฝากดูแลเฮียดีนด้วยนะพี่เขย”
“น้องดีพูดอะไร” ผมปรามน้องดี
“พูดความจริงไงเฮีย”
“ครับจะดูแลอย่างดีเลย” ผมหันไปมองหน้าเอก เอกยิ้มให้ผม
“ไปได้แล้วเดี๋ยวดึก”
“ครับป๊า สวัสดีครับ”
ผมกับเอกขึ้นมาบนรถ ผมคาดเข็มขัดนิรภัยหันไปมองครอบครัวที่กำลังโบกมือลาผมอยู่ เอกขับรถออกมาแล้ว ภาพของครอบครัวค่อยๆไกลจากสายตา
“ขอบคุณนะดีน ขอบคุณที่กล้าพูดเรื่องของเราให้ครอบครัวฟังนะ เอกไม่คิดเลยว่าดีนจะพูดทุกอย่างเร็วขนาดนี้” ผมหันไปมองเอกที่กำลังขับรถอยู่ ต่อจากนี้เราสองคนก็ไม่ต้องเก็บความรู้สึกที่มีต่อกันอีกแล้วสินะ ผมยิ้มให้เอกด้วยรอยยิ้มที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต
ผมเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้หาวฟังจนจบ
“แล้วสรุปป๊าดีนว่าไงวะ” หาวถามเอก
“นั่นสิเอก ถามก็ไม่เคยตอบอะ”
“อย่ารุมกูดิ โอเคบอกก็ได้ๆ”
“ว่าไงล่ะ” ผมถามย้ำเอก
“ป๊าบอกว่า ถ้าทำดีนเสียใจจะตัดไอ้นั้นกูให้เป็ดกิน”
“ฮ่าๆ” ผมกับหาวระเบิดหัวเราะใส่เอก เอกทำหน้าขนลุกใส่พวกผม ก็ป๊าน่ารักขนาดนี้นี่ครับ
ตอนที่ 17
หากตะวันยังเคียงคู่ฟ้า
To the world you may be one person, but to one person you may be the world.
[ HAO PART ]
“หาวตรงนี้กูไม่เข้าใจเลยว่ะ” ผมหันไปหาอิฐ มันก็เลื่อนสมุดมาแล้วชี้ให้ผมดู
“คำอธิบายอยู่หน้า 338” อิฐเปิดหนังสือไปยังหน้านั้น
“หาวมึงรู้ได้ไงวะ”
“การบ้านวิชานี้กูเพิ่งทำไปเมื่อวาน”
“แล้วมึงจำเป็นต้องจำได้ด้วยเหรอวะ”
“พวกนายสองคนเบาหน่อยนี่ห้องสมุดนะ” จันทร์เอ๋ยพูดน้ำเสียงบ่นๆ
“ครับที่รัก”
“ใครก็ได้เอาไออิฐไปเก็บที จะอ้วก”
“อะไรมึงไอดิน”
“พอๆ รบกวนคนอื่นเขาจะอ่านหนังสือ” จันทร์เอ๋ยปรามทั้งสองคน
โทรศัพท์ในกระเป๋าผมสั่นจึงหยิบขึ้นมาดู
Tawan Tinnakron
อยู่ไหนวะ
Hao Panchai
ห้องสมุดครับ
Tawan Tinnakron
อยู่ชั้นไหน
Hao Panchai
4 ครับ
Tawan Tinnakron
เดี๋ยวไปหา
ผมมองข้อความของพี่ตะวัน จะมาหาอย่างนั้นเหรอ...
“หาวมึงยิ้มอะไรคนเดียววะ” ผมเงยมองหน้าอิฐ
“อะไรกูเปล่า”
“ปากแข็งไอ้สัด สาวไหนบอกกูมา”
“สาวไหนล่ะอิฐ มึงมั่วละ”
“อย่าให้กูรู้นะ”
“อิฐเลิกชวนหาวคุยได้ละ ตั้งใจทำการบ้านสักที”
“ขอโทษครับ” อิฐหันไปขอโทษแฟนตัวเองแล้วก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน
ผมก้มหน้าอ่านหนังสือที่ไปหยิบมาอ่านต่อ นั่งได้สักพักมีคนเดินมาหยุดข้างๆผม
“อ่านหนังสืออะไรอยู่วะ” ผมเงยหน้ามองตามเสียงเรียกของพี่ตะวัน ยกหนังสือให้พี่เขาดู
“พี่ตะวันเข้าห้องสมุดด้วยเหรอ” อิฐแซวพี่ตะวัน น้ำเสียงเชิงหยอกล้อ
“หุบปากไปอิฐ”
“นั่งก่อนสิครับ” ผมพูดกับพี่ตะวัน พี่ตะวันพยักหน้ารับแล้วหันไปดึงเก้าอี้ตัวว่างจากโต๊ะข้างๆ มานั่งข้างๆผม วางกระเป๋าผ้าสีขาวที่ถือมาด้วยไว้บนเก้าอี้
“เดี๋ยวกูไปหาหนังสือมาอ่านก่อน”
ผมพยักหน้ารับ พี่ตะวันเดินออกไปแล้ว อิฐสะกิดผมจนผมต้องหันไปหา
“อะไรอิฐ”
“พี่ตะวันคือคนที่มึงคุยด้วยเมื่อกี้ใช่ไหมวะ”
“ใช่” ผมตอบไปตามความจริง
“หาวกับพี่ตะวันคุยกันอยู่เหรอ” ไอดินพูดแทรกขึ้นมา
“ขี้เสือกจังไอดิน”
“แหมมึงไม่เสือกเลยอิฐ”
“หยุดทะเลาะกันสักห้านาทีได้ไหม” จันทร์เอ๋ยปรามอิฐกับไอดินอีกครั้ง สองคนนั้นเบะหน้าใส่กัน ก่อนจะหันมาถามผม
“จริงเหรอหาวที่นายคุยกับพี่ตะวันอยู่” ผมพยักหน้ารับ
“ไอ้สาดด! ”
“อิฐดังไปแล้ว เดี๋ยวได้โดนไล่ออกจากห้องสมุดพอดี” จันทร์เอ๋ยใช้มือฟาดแฟนตัวเองจนอิฐร้องโอ้ยออกมาเบาๆ
“แล้วพี่เสือล่ะวะ เมื่อวานกูยังเห็นเขาไปหาพี่ตะวันที่หออยู่เลย” ประโยคที่ออกมาจากปากของอิฐ ทำให้หัวใจผมรู้สึกแปลกๆ พี่เสืองั้นเหรอ…
“พี่เสือไหนวะ”
“ก็พี่เสือปู่รหัสไอ้หาวไงไอดิน”
“ทำไมวะ” ไอดินถามขึ้นมาเสียงเบา
“พวกมึงหยุดก่อน พี่ตะวันเดินมานู้นแล้ว”
ผมหันไปมองพี่ตะวันที่กำลังเดินมาตามคำบอกของอิฐ
อิฐ ไอดินและจันทร์เอ๋ยกลับไปสนใจหนังสือตรงหน้า ผมมองทุกคนแล้วกลับมาสนใจหนังสือในมือของตัวเองต่อ พี่ตะวันเดินมาถึงโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆผม ผมหันไปมองไม่ได้พูดอะไร พี่ตะวันยิ้มให้ผม ผมยิ้มตอบพี่ตะวัน
“เรากลับก่อนนะ พี่ลินมารอแล้ว” จันทร์เอ๋ยบอกทุกคน หลังจากเก็บของลงกระเป๋าเสร็จ
“ถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกเค้าด้วยนะ”
“โอเคๆ ไปล่ะนะ” จันทร์เอ๋ยตอบอิฐ
หลังจากจันทร์เอ๋ยกลับไป พวกผมนั่งกันต่อพักใหญ่ๆ ไอดินก็ชวนกลับ
“กลับกันปะสองทุ่มกว่าแล้วเนี่ย” ผมมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง สองทุ่มสิบห้านาทีแล้ว ห้องสมุดของมหาลัยผมปิดราวๆสามทุ่ม
“ปะ” อิฐบิดขี้เกียจเสียงดังก็อก
พวกผมต่างคนต่างเก็บของ ลงลิฟท์มาที่ชั้นหนึ่ง เดินออกมาจากห้องสมุด บรรยากาศตอนหัวค่ำ ทำให้มหาลัยดูหน้ากลัวอย่างประหลาด
“ไปกินข้าวกันก่อนหรือต่างคนต่างกลับเลย” ไอดินถามขึ้นมา ผมที่ยังไงก็ได้รอฟังความคิดเห็นของคนอื่น
“ไม่แหละว่ะ วันนี้กูขอกลับไปกินมาม่าที่ห้อง ช่วงนี้กูจน”
“กูก็เหมือนมึงอะอิฐ ค่าชีทอะไรไม่รู้เยอะฉิบหาย”
“งั้นต่างคนต่างกลับเลยละกัน” ผมพยักหน้ารับอิฐ
พวกเราแยกย้ายกันกลับ พี่ตะวันที่มากับผมเมื่อเช้า ก็พากันเดินไปยังที่จอดรถ
“อยากทานข้าวร้านไหนครับ” ผมถามพี่ตะวันหลังจากขึ้นมาบนรถแล้ว
“ข้าวแกงหน้ามอก็ได้ มึงกินได้เนอะ”
“ครับ”
ผมขับรถออกจากที่จอดรถ ส่วนพี่ตะวันก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว ผมรู้สึกอารมณ์เสียอย่างบอกไม่ถูก ผมหันไปมองพี่ตะวันหลายครั้ง แล้วกลับมาสนใจการขับรถต่อ
“คุยกับใครอยู่เหรอครับ”
“ฟ้าใหม่กับไอ้หมีทำไมเหรอ”
“เปล่าครับ”
“เป็นอะไร”
“นึกว่าพี่คุยกับคนอื่นอยู่ครับ” ผมพูดส่วนตายังมองไปที่ถนน
“หึงเหรอวะ หาวหึงกูแล้วโว้ย” พี่ตะวันพูดด้วยน้ำเสียงดีใจจนผมรับรู้ได้
“หึงอะไรครับ ถึงแล้ว” ผมบอกพี่ตะวันเมื่อขับรถมาถึงที่ร้าน
“เปลี่ยนเรื่องตลอดอะ”
“อะไรครับ ไปกันเถอะ”
ผมเปิดประตูลงจากรถ ล็อกรถเรียบร้อย เดินเข้ามาในร้าน เป็นร้านข้าวแกงตักธรรมดา ผมเดินตามพี่ตะวันไปต่อคิว
“เอาอะไร” พี่ตะวันหันมาถามผม ผมดูเมนูที่วางอยู่ในถาด
“เอาผัดฟักทองกับเต้าหู้ทรงเครื่องก็ได้ครับ”
“โอเค มึงไปตักน้ำตรงนั้น แล้วไปจองโต๊ะก่อนเลย เดี๋ยวกูซื้อให้”
ผมพยักหน้ารับแล้วเดินมาที่ถังน้ำ ผมหยิบแก้วที่วางข้างๆมาใส่น้ำแข็ง หยิบหลอดที่อยู่ในถุงใส่แก้วทั้งสอง แล้วเดินไปหาโต๊ะว่าง ในร้านมีคนเยอะพอสมควร แต่ก็มีที่ว่างอยู่สองสามโต๊ะ ผมเลือกโต๊ะที่พนักงานเก็บจาน ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ผมเทน้ำจากเหยือกใส่แก้วน้ำแข็ง นั่งไม่นานพี่ตะวันก็เดินมาที่โต๊ะ พี่ตะวันหยิบจานข้าวมาวางตรงหน้าผม แล้วนั่งลงตรงข้ามกับผม ผมเลื่อนแก้วน้ำไปวางหน้าพี่ตะวัน
“มึงเก่งจังวะกินเต้าหู้ได้ด้วย” ผมมองจานข้าวพี่ตะวันที่สั่งคะน้าหมูกรอบกับหมูหวานมา
“พี่ไม่ทานเหรอครับ” ผมถามพี่ตะวันกลับไป
“ไม่อะ มันหยึยๆ” พี่ตะวันพูดพร้อมทำท่าทางขนลุก
“ครับผมจะได้จำไว้”
“ทำไมมึงน่ารักจังวะ”
ผมยิ้มไม่ได้ตอบอะไรพี่ตะวันกลับไป
“อ้าว! ตัวเล็ก อ้าว! ไอ้หาว” พวกผมนั่งทานกันไปได้สักพัก พี่เสือก็เดินเข้ามาทัก
“ใครตัวเล็ก กูสูงตั้ง 178 พี่มึงแหละสูงเกินไป” ผมมองพี่ตะวันที่หันไปมองพี่เสือแบบค้อนๆ สนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“ก็ตัวเล็กกว่าพี่ไง” พี่เสือยิ้มกวนบาทาให้พี่ตะวัน
“งั้นแล้วแต่พี่มึงเหอะ”
“โอ๋ๆ ไม่ทำหน้าแบบนั้นสิครับตัวเล็ก”
“สวัสดีครับพี่เสือ” พี่เสือแกหันมาพยักหน้ารับผม “นั่งด้วยดิ”
“เชิญครับ” ผมตอบปู่รหัสของผม พี่เสือยิ้มกวนบาทาให้ผม แล้วนั่งลงข้างๆพี่ตะวัน
“พวกมึงสนิทกันถึงขนาดมากินข้าวด้วยกันเลยเหรอวะ”
“ก็เห็นๆอยู่เนี่ย พี่มึงจะอะไรกับกูนักหนาวะ” พี่ตะวันพูดแล้วหันไปมองพี่เสือ ที่กำลังยิ้มท่าทางมีความสุข
ผมมองคนทั้งคู่ อยู่ๆคำพูดของอิฐก็แล่นเข้ามาในหัว
“ทานข้าวกันเถอะครับ” ผมพูดขัดออกไป ผมรู้ดีว่าเสียมารยาท แต่ผมรู้สึกไม่ชอบสายตาที่พี่เสือมองพี่ตะวันเลยสักนิด มันเป็นสายตาเอ็นดูจนเห็นได้ชัด ผมมองไปยังพี่ตะวันที่หันมามองหน้าผม
“เอ่อ… หาวกูอิ่มแล้วอะ ไปกันเถอะ พี่เสือผมกลับก่อนนะ” พี่ตะวันพูดกับผมแล้วหันไปบอกพี่เสือ
“อะไรกันจะรีบไปไหน ยังกินไม่หมดเลยนี่” พี่เสือพูด มือชี้ไปที่จานข้าวของพวกผม
“พี่เสือเดี๋ยวค่อยคุยกันนะ หาวใจเย็นก่อนเว้ย” ผมไม่รู้ว่าผมแสดงสีหน้าแบบไหนพี่ตะวันถึงพูดแบบนั้นออกมา
“ปะหาว ไปกัน” พี่ตะวันเดินมาจูงมือผมที่กำลังจ้องหน้าพี่เสืออยู่ ผมลุกออกจากโต๊ะไม่ได้พูดอะไร เดินตามพี่ตะวันไปที่พี่คนขาย
พี่ตะวันจ่ายเงินเรียบร้อย ก็ดึงมือผมไปที่รถ จูงมือมาที่ประตูรถฝั่งคนขับ
“ไปกัน” ผมพยักหน้ารับ ปลดล็อกรถแล้วเปิดประตูขึ้นรถ พี่ตะวันรีบวิ่งไปที่ประตูฝั่งคนขับแล้วเปิดประตูขึ้นมาบนรถ
“เป็นอะไร” พี่ตะวันมองหน้าผม
“ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แค่ไม่ชอบ” ผมตอบไปตามความรู้สึกของตัวเอง
“หึงสินะ” พี่ตะวันมองหน้าผมยิ้มๆ “คงงั้นมั้งครับ”
“เฮ้อ… หาวกูดีใจนะที่มึงหึงกู แต่นั่นลูกพี่ลูกน้องกูไง เนี่ยกูกลัวมึงจะต่อยพี่เสือจะแย่”
“ก็ผมไม่รู้นี่ครับ ขอโทษนะ” พี่ตะวันส่ายหน้าเบาๆแล้วยิ้มออกมา “หายอารมณ์เสียแล้วใช่ไหม” ผมพยักหน้ารับ
“งั้นกลับกันเถอะ” ผมสตาร์ทรถแล้วขับออกมา “อิ่มหรือยังครับ ไปหาอะไรทานก่อนไหม” ผมถามพี่ตะวันที่ยังยิ้มอยู่
“ไม่อยากกินข้าวแล้วอะ”
“แล้วอยากทานอะไรครับหืม”
“อยากกินโรตี”
“ได้ครับ แต่ผมไม่เคยไปมาก่อน บอกทางด้วยนะครับ”
พี่ตะวันบอกทางมาจนถึงร้านโรตี เป็นร้านโรตีที่ขายอยู่ริมถนน มีโต๊ะนั่งอยู่ไม่กี่โต๊ะข้างๆคือร้านชาชักที่ขายอยู่คู่กันด้วย
“เอาอะไร” พี่ตะวันหันมาถามผม “มีอะไรแนะนำหรือเปล่าครับ”
“โรตีชีสก็อร่อยนะ โรตีกล้วยช็อกโกแลตก็ดี โรตีมะพร้าวอ่อนก็น่ากินนะ แต่โรตีออริจินอลก็อยากกินอะ”
“งั้นก็เอาหมดนั้นเลยสิครับ”
“แต่มันหลายบาทเลยนะ”
“เมื้อกี้พี่จ่ายค่าข้าวให้ผมไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวผมเลี้ยงเองครับ”
“ไม่เอาอะเกรงใจ” ผมยิ้มให้คนตัวเล็กกว่า “ให้ผมเลี้ยงชดใช้ความผิดที่เสียมารยาทเมื้อกี้นะครับ” พี่ตะวันทำท่าคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับผม
พี่ตะวันเขียนรายการที่จะสั่งใส่กระดาษแล้วส่งให้แม่ค้า พวกผมเดินไปนั่งที่โต๊ะที่ยังว่าง
“เอาน้ำอะไรครับ” ผมถามพี่ตะวัน “ชานมเย็นก็ได้”
ผมพยักหน้ารับแล้วลุกมาสั่งชานมเย็นที่ร้านชาชัก ร้านติดกัน รอไม่นานก็ได้ชาเย็นมาครอบครอง ผมเดินมานั่งที่โต๊ะ ส่วนโรตียังไม่มา
“ทำไมสั่งมาแก้วเดียวอะ”
“ดื่มด้วยกันไม่ได้เหรอครับ”
“ตะ… แต่แบบนี้เหมือนจูบกันทางอ้อมเลยนะเว้ย”
“ให้ผมไปซื้อให้อีกแก้ว หรือไปขอหลอดเพิ่มดีครับ”
“ไม่เอาอะ” พี่ตะวันคว้าแก้วน้ำแล้วไปดูดหน้าตาเฉย ผมยิ้มให้กับพี่ตะวันไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ของวันนี้
รอไม่นานนักโรตีไส้ต่างๆก็ถูกนำมาวางตรงหน้าเราสองคน พี่ตะวันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปโรตี แล้วยกขึ้นมาตรงหน้าผม
“หาวยิ้มหน่อย” ผมยิ้มให้พี่ตะวัน “ทำไมหล่อจังวะ ว่าที่แฟนใครเนี่ย”
“ไม่รู้สิครับ คนตรงหน้ามั้ง”
“หาวกูถ่ายวีดีโออยู่อะ”
“อ้อครับ” พี่ตะวันยกโทรศัพท์ลง แล้วก็เล่นวีดีโอซ้ำไปซ้ำมา ยิ้มอยู่คนเดียว “โรตีเย็นหมดแล้วครับ เดี๋ยวชีสไม่ยืดนะ”
พี่ตะวันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วนั่งทานโรตีท่าทางมีความสุข
“หาวอ้าปาก” พี่ตะวันจิ้มโรตีมะพร้าวอ่อนที่ถูกหั่นเป็นชิ้นป้อนมาที่ปากผม “อร่อยจังครับ”
“ใช่ป้ะ อันนี้ก็อร่อยนะ” พี่ตะวันป้อนโรตีออริจินอลใส่ปากผม ผมเคี้ยวจนหมดปาก
“พี่ตะวันทานบ้างเถอะครับ ให้ผมป้อนพี่ไหม”
“ไม่เอาอะกูเขิน” พี่ตะวันพูดยิ้มๆ ผมหยิบแก้วน้ำมาดูด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบ้าง กดถ่ายรูปแก้วชาเย็นแล้วลงรูปในไอจี ด้วยแคปชั่นเป็นอิโมจิรูปปากอันเดียว จูบกันทางอ้อมสินะ…
[TAWAN PART]
ผมกลับมาถึงห้องก็เกือบๆห้าทุ่มแล้ว ผมอาบน้ำทำอะไรเสร็จ ก็กดเข้าโซเชียลต่างๆตามปกติ แต่ผมสะดุดตากับแจ้งเตือนจากไอจีที่ผมตั้งรับการแจ้งเตือนโพสต์ของหาวไว้ หาวลงรูปแก้วชาชักแก้วนั้นพร้อมกับอิโมจิรูปปาก ผมเลื่อนมือไปจับปากตัวเองแล้วยิ้มออกมา ทำไมผมถึงรู้สึกดีใจได้มากขนาดนี้กันนะ
Hao Panchai
นอนรึยังครับ
ไม่ต้องรออะไรอีก ผมกดโทรหาหาวในทันที
ตอนนี้ผมคุยกับหาวมาราวๆเดือนกว่าๆแล้ว ผมกำลังนั่งรอหาวอยู่ที่แคนทีนของคณะ
“สวัสดีครับพี่ๆ” หาวเดินมาหาผมที่โต๊ะ ยกมือไหว้ทุกคนในโต๊ะ
“เออๆ หวัดดีๆ” หมีกับฟ้าใหม่รับไหว้หาว
“ซื้อไว้ให้แล้ว” ผมพูดกับหาว หาวพยักหน้ารับแล้วเดินมานั่งข้างๆผม
“เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันสักทีวะ ขนาดนี้แล้วอะ”
“ไอ้หมีนั่นปากใช่ปะ” ฟ้าใหม่พูดขึ้นปรามหมี เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของผม
“ก็มันจริงนี่ฟ้าใหม่ มึงก็คิดเหมือนกูใช่ป้ะ”
“อะไรอย่าโยงดิหมี” ผมมองเพื่อนสนิทเถียงกันไปมา
“ทานข้าวเถอะครับ” หาวหันมาบอกผม “อื้ม”
ผมกินข้าวเสร็จ หาวก็กลับไปเรียนต่อภาคบ่าย ตอนนี้ผมเข้ากับหาวได้ดีมากขึ้น ผมยอมรับว่าไม่ชอบเวลาใครมาถามว่าเราเป็นอะไรกันเลย แต่ไม่ว่าผมกับเขาเราจะอยู่ในสถานะไหน ตอนนี้ผมก็มีความสุขดีนี่ครับ
ผมมานั่งดูเพื่อนเล่นบาสกันที่สนามบาสในโรงยิม หลังจากเลิกเรียนเสร็จ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา พบว่าเป็นเวลา 5 โมงเย็นแล้ว ผมยิ้มมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตั้งเป็นรูปของหาว ก่อนจะปิดหน้าจอลง ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการที่ผมกล้าเผชิญกับความจริง จะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้
ครืด ครืด
เสียงสั่นของข้อความทำให้ผมรีบเปิดหน้าจอขึ้นมา
Hao Panchai
ทำอะไรอยู่ครับ
ว่างหรือเปล่า
Tawan Tinnakron
อยู่สนามบาส
ว่างดิ
มึงอยู่ไหน
Hao Panchai
ที่เดิมครับ
Tawan Tinnakron
โอเคเดี๋ยวไปหา
“ไอ้ตะวันไปไหนวะ”
“เสือก” ผมตะโกนตอบหมี
“ไปหาไอ้หาวสินะฮิ้วววว” หมีตะโกนตอบผมจากสนามบาส ตามด้วยเสียงโห่แซวของเพื่อนคนอื่น ส่วนฟ้าใหม่ก็ไปหาสาวที่คณะไหน ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมรีบออกจากสนามฟุตบอลตรงไปที่ห้องสมุด สถานที่ที่กลายเป็นที่ประจำของเราสองคน
ผมเดินเข้ามาในห้องสมุด กรอกรหัสผ่านเรียบร้อย ขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้นสี่ ผมมองหาหาวไม่นานก็เจอ คนพิเศษต่อให้อยู่ท่ามกลางคนมากมายขนาดไหน ก็หาเจอง่ายๆอยู่ดี
ผมรีบเดินตรงไปที่หาว หาวใส่แว่นกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ที่โต๊ะตัวริมสุดของห้องสมุด
“มาแล้ว” หาวเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มให้ผม หัวใจของผมเต้นรัวกระหน่ำไม่หยุด เวลาเห็นรอยยิ้มนั่นมันหวานละมุนราวกับจะหลอมละลายตัวผมให้เป็นของเลว
“เชิญนั่งครับ” ผมพยักหน้ารับ วางสัมภาระไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆหาว
“อ่านหนังสืออะไรอยู่เหรอ” หาวชูหน้าปกให้ผมดู เป็นหนังสือเกี่ยวกับบริหารที่ผมไม่เข้าใจนัก
“เดี๋ยวกูหาหนังสือมาอ่านบ้างดีกว่า รอแป๊บ” หาวพยักหน้ารับ ผมเดินไปยังโซนหนังสือ เลือกหนังสือที่อยากอ่านมาสองสามเล่มแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะ
เราสองคนนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆไม่ได้พูดอะไรกัน มีหลายครั้งที่ผมแอบมองหาวเหมือนตอนนี้
ดวงตาคมที่ถูกคั่นด้วยเลนส์ของแว่นตาไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของดวงตาหาวลดลงแม้แต่นิด ขนตาแพสวยที่ยาวเกือบถึงเลนส์ของแว่นตาทำให้ดวงตาคู่นั้น ดูน่าพิสมัยมากกว่าเดิม จมูกเป็นสันได้รูปที่รับกับทรงของแว่นตา ราวกับแว่นตาถูกสร้างโดยช่างฝีมือดีที่ตั้งใจทำแว่นอันนี้มาเพื่อเขา ปากที่ไม่หนาไม่บางจนเกินไป เข้ากับรูปหน้าได้รูปนั่นอย่างประหลาด นิ้วยาวเรียวที่กำลังจับหนังสือ ดวงตาที่ทอดมองไปยังหนังสือเล่มนั้น ทำให้หาวดูราวกับงานศิลปะชั้นเยี่ยมที่พระเจ้าบรรจงสรรค์สร้างมาอย่างดี
“แอบมองเหรอครับ” หาวหันมามองหน้าผม แล้วพูดจากนั้นจึงยิ้มให้ ผมไม่ได้ปฏิเสธออกไปเพราะผมแอบมองเขาจริงๆ
“หาวกูสงสัยมานานแล้ว ทำไมเมื่อก่อนมึงไม่ค่อยยิ้ม แต่ทำไมเดี๋ยวนี้มึงถึงยิ้มบ่อยจังวะ”
“หืม... ”
“ตอบหน่อยอยากรู้มานานแล้ว” ผมถามหาวด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ หาวทำท่าคิดก่อนจะตอบออกมา
“เมื่อก่อนผมไม่ยิ้มเพราะไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องยิ้มนี่ครับ แต่ที่เดี๋ยวนี้ผมยิ้มบ่อย อาจเป็นเพราะพี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมยิ้ม” ผมคือเหตุผลที่ทำให้เขายิ้มงั้นเหรอครับ
“หน้าแดงหมดแล้วครับ” หาวแซวผม
“อะไรใครหน้าแดง อ่านหนังสือไปเลย” หาวหัวเราะเล็กๆแล้วหันไปสนใจหนังสือในมือตัวเองต่อ
“กลับกันรึยังครับ” หาวถามผมหลังจากเราสองคนนั่งอ่านหนังสือกันมาสักพักใหญ่ๆ ผมก้มดูนาฬิกาข้อมือเป็นเวลาทุ่มกว่าๆแล้ว
“ไปดิ” ผมตอบหาวกลับไป
ผมกับหาวเดินออกมาจากห้องสมุด อยู่ๆหาวก็ยื่นมือมาจับมือของผม ความอบอุ่นที่ผมได้รับจากหาว กับการรอคอยที่แสนยาวนานของผม มันคุ้มเสียจนผมอยากหยุดเวลาไว้เสียตรงนี้
“อยากทานอะไรครับวันนี้”
“ก๋วยเตี๋ยวร้านป้าแดงก็ได้” ผมนึกถึงร้านป้าแดงที่ไม่รู้กลายเป็นร้านประจำของเราสองคนตั้งแต่เมื่อไหร่
“โอเครครับ ไปกัน” ผมพยักหน้ารับหาวแล้วเดินตามหาวไป
หลังจากเราสองคนกินก๋วยเตี๋ยวร้านป้าแดงเสร็จ ก็ขับรถกลับมา
“วันนี้แวะไปคอนโดผมก่อนนะครับ” ผมหันไปมองหาวที่กำลังขับรถอยู่
“อ่า… วันนี้นึกอะไรของมึงเนี่ย ชวนเล่นเกมเหรอวะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากอยู่ด้วยกันนานๆ” หาวหันมายิ้มให้ผม รอยยิ้มที่ทำให้ผมแทบคลั่งตาย
“เดี๋ยวนี้ปากหวานเนอะ”
“แล้วชิมหรือยังล่ะครับ” หาวกำลังอมยิ้มตอบผมในขณะที่ตายังมองไปที่ถนน
“ฮ่าๆ ไมมึงน่ารักจังวะ”
ผมกับหาวมาถึงคอนโดราวๆสามทุ่ม ผมเดินตามน้องเข้ามาในคอนโด
“คืนนี้นอนนี่นะครับ” ผมมองหาวที่กำลังเปิดประตูเข้าไปในคอนโด หาวหันมามองผม
“ไม่ต้องมองผมแบบนั้น ผมไม่ได้จะทำอะไรพี่หรอกน่า” รู้ใจผมยิ่งกว่าตัวผมเองก็น้องหาวนี่ล่ะครับ
“อะไร๊ มึงมั่วละหาว ใครจะคิดแบบนั้นวะ” หาวยิ้มให้ผมปนขำ
“เชิญเข้าห้องครับ” หาวหลีกทางให้ผมเข้ามาในห้อง แล้วปิดประตูเดินตามเข้ามา
“อาบน้ำก่อนไหมครับ เสื้อผ้า? อืมม… พี่ตัวเล็กกว่าผมไม่มากน่าจะใส่ของผมได้”
“เอามาดิ” หาวเดินเข้าไปในห้องนอน ส่วนผมนั่งรอที่โซฟา นั่งรอสักพักหาวก็ออกมา ถือผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าที่เอาให้ผมใส่
“นี่ครับ” หาวส่งของพวกนั้นมาให้ผม
“ขอบคุณ” ผมรับมาแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ใส่เสื้อผ้าที่หาวเอามาให้ เสื้อผ้าที่ไซต์ใหญ่กว่าผมนิดหน่อย มีกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่หาวชอบใช้ หอมชะมัด… หลังจากแต่งตัวเสร็จผมก็ทาครีมที่วางอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ ทาแป้งแล้วออกมา
“เสร็จแล้ว” ผมมองหาวที่นั่งอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ หาวเงยหน้ามองผม หาวลุกขึ้นเดินมาหาผม
กระดาษสีชมพูใบหนึ่งถูกยื่นมาให้ผม ภายในกระดาษเขียนอักษรและตัวเลขมากมาย ที่ผมไม่เข้าใจ
67944W89565I56192L12538L5689712367Y67981O68426U67821B73486E6894675437M69537Y3495357784B694621O87365Y26594F85438R83215I54329E54286N53967D65432?58743
“อะไรวะ” ผมถามหาวกลับไป
“ลองถอดรหัสดูสิครับ”
“งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” หาวเดินไปแล้ว ทิ้งผมให้ยืนงงกับกระดาษแผ่นนี้ ผมเดินมานั่งที่โซฟา นั่งจ้องข้อความในกระดาษที่หาวให้มา ยิ่งดูผมยิ่งไม่เข้าใจ สมองทึบไปชั่วขณะ ผมรื้อกระดาษกับปากกาในกระเป๋าผ้าที่ติดมาด้วย ขึ้นมาขีดๆเขียนๆ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก รหัสลับอย่างนั้นสินะ ผมคิดจนปวดหัวก็คิดไม่ออก ผมเงยหน้ามองหาวที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังจ้องมองผมอยู่ หาวยักคิ้วให้ผม คิดว่าเท่นักรึไง แต่ก็เท่จริงๆนั่นแหละครับ
“ไปที่ระเบียงกันไหมครับ เผื่อคิดออก”
“ตรงนี้ก็ดีแล้วนี่”
“ไปเถอะครับ” ผมแพ้สายตาอ้อนๆนั่น สุดท้ายผมก็ตอบตกลงไป “ก็ได้”
“งั้นไปครับ” ผมลุกขึ้นเดินตามหาวมาที่ระเบียง หาวเปิดประตูบานเลื่อนให้ผม ลมพัดอ่อนๆ ทำให้ผมรู้สึกสบาย
“พี่นั่งคิดไปก่อนนะ เดี๋ยวผมมา” ผมพยักหน้ารับ แล้วเดินไปนั่งที่พื้นของระเบียง ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าในยามค่ำคืน แสงดาวประกายเต็มท้องฟ้า ผมชอบท้องฟ้าที่นี่จริงๆ
ผมจ้องมองข้อความในกระดาษอีกครั้ง ผมมองข้อความอย่างไม่เข้าใจ หาวเดินกลับมาพร้อมกีตาร์ในมือ หาวนั่งลงข้างๆผม
“มองทำไมครับ คิดต่อเร็ว”
“มึงจะอยากให้กูคิดอะไรนักหนาวะ กูคิดไม่ออกแล้วเนี่ย”
“พยายามอีกนิดนะครับ” หาวพูดออกมาอ้อนๆ
“เฮ้อ... ก็ได้” ผมมองข้อความในกระดาษต่อ หาวเกากีตาร์ไปเรื่อยๆ ไม่ได้พูดอะไร หืมทุกช่วงตัวเลขห้าตัว มีภาษาอังกฤษซ่อนอยู่นี่ หรือว่าตัวเลขจะหลอกมากันนะ หรือว่าที่เว้นสิบตัวก็คือเว้นวรรค ผมถอดตัวอักษรภาษาอังกฤษออกมา ผมอ่านมันออกเสียงเบาๆ หัวใจผมเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมา
“ WILL YOU BE MY BOYFRIEND? ”
ผมหันหน้าไปมองหาวที่นั่งอยู่ข้างๆกันอีกครั้ง หาวยิ้มให้ผม นี่ผมกำลังถูกหาวขอเป็นแฟนจริงๆเหรอ…
หาวไม่ได้ตอบอะไรผมกลับมา หาวเกากีตาร์ในทำนองที่คุ้นหู
https://youtu.be/erfaEyxsKOc (https://youtu.be/erfaEyxsKOc) *เพลงเก็บตะวัน - อิทธิ พลางกูล
“เก็บตะวัน ที่เคยส่องฟ้า
เก็บเอามา ใส่ไว้ในใจ
เก็บพลัง เก็บแรงแห่งแสง ยิ่งใหญ่
รวมกันไว้ ให้เป็น 1 เดียว
เก็บเอากาล เวลาผ่านเลย
สิ่งที่เคย ผิดหวังช่างมัน
1 ตัวตน 1 คนชีวิต แสนสั้น
เจ็บแค่นั้น ก็คงไม่ตาย”
เสียงทุ้มต่ำ นุ่มนวลแต่ก็ก้องกังวานของหาวทำให้เพลงนี้ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก ผสมกับเสียงกีตาร์ที่ดูเหมือนจะฝึกมาอย่างดี ผมล่องลอยไปกับเสียงเพลงของหาว หาวยิ้มให้ผม ตะวันก็คือผมอย่างนั้นสินะ
“ธรรมดาเวลาฟ้าครึ้ม เมฆหม่น
พายุฝน อยู่บนฟากฟ้า
คงไม่นานตะวัน สาดแสงแรงกล้า
ส่งให้ฟ้า งดงาม
หากตะวัน ยังเคียงคู่ฟ้า
จะมัวมา สิ้นหวังทำไม
เมื่อยังมีพรุ่งนี้ ให้เดินเริ่มใหม่
มั่นคงไว้ ดังเช่นตะวัน
ธรรมดาเวลาฟ้าครึ้ม เมฆหม่น
พายุฝน อยู่บนฟากฟ้า
คงไม่นานตะวัน สาดแสงแรงกล้า
ส่งให้ฟ้า งดงาม
หากตะวัน ยังเคียงคู่ฟ้า
จะมัวมา สิ้นหวังทำไม
เมื่อยังมีพรุ่งนี้ ให้เดินเริ่มใหม่
มั่นคงไว้ ดังเช่นตะวัน
มั่นคงไว้ ดังเช่นตะวัน”
หาวร้องเพลงจบไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าทำไมหาวถึงเลือกร้องเพลงนี้ขอผมเป็นแฟน ไม่ใช่เพลงรักหวานๆ ที่ใครๆเขาใช้ร้องขอกันเป็นแฟนด้วยซ้ำ
“ชื่อหาวของผมแปลว่าท้องฟ้า” ผมเพิ่งเข้าใจเมื่อรู้ถึงความหมายของชื่อหาว
“ช่วยมาเคียงคู่กับท้องฟ้าอย่างผม เหมือนเพลงเพลงนี้ได้ไหมครับพี่ตะวัน” ความรู้สึกเอ่อล้นในหัวใจของผม ความปรารถนาที่ผมเฝ้าภาวนามาตลอดกำลังเป็นจริง ผมจ้องมองไปยังใบหน้าคุ้นเคยที่กำลังยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นเสียจนผมจะหลอมละลายไปซะตรงนี้
“ร้องไห้? ” หาวเอามือมาเช็ดน้ำตาที่ไม่รู้ไหลออกมาออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“ยังไม่ตอบผมเลยนะ”
“อื้ม… กูจะอยู่เคียงคู่มึงเท่าที่มึงอยากให้กูอยู่เลย”
“ขอบคุณนะครับ” ผมพยักหน้ารับหาว
หาวยื่นมือมาจับมือของผม สัมผัสอ่อนโยนที่ผมได้รับ มันทำให้ผมรู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก
“ทำไมถึงขอกูเป็นแฟนวะ” หาวมองหน้าผม แก้มของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อ
“ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าผมจะคบกับผู้ชายได้จริงๆ แต่หลังจากที่ผมได้ลองคุยกับพี่ พี่ทำให้ผมรู้ว่าผมชอบพี่เกินกว่าจะให้เพศสภาพมาเป็นตัวกำหนด” คำพูดที่เปร่งออกมาจากปากของหาว ทำให้หัวใจของผมเต้นรัวกระหน่ำ
“กูเขิน”
“ฮ่าๆ เลิกน่ารักสักทีได้ไหมครับหืม” หาวเอามือจับแก้มของผมด้วยสัมผัสที่บางเบาแต่ก็อบอุ่นอย่างหน้าประหลาด
“เราเป็นแฟนกันแล้วจริงๆเหรอวะ” ผมถามหาวออกไปเพื่อความแน่ใจ ทุกอย่างมันราวกับความฝันเสียจนผมไม่อยากเชื่อว่ามันคือความจริง
“จริงๆสิครับ” หาวตอบผมกลับมาด้วยเสียงที่แฝงมาด้วยความรู้สึกที่หนักแน่น มั่นคง หาวยิ้มให้ผมครั้งแล้วครั้งเล่ามันละมุนราวกับความฝัน
“กูขอจูบมึงได้ไหม” ผมถามหาวออกไปด้วยความเขินอาย ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะต้องมาขออะไรกับเรื่องแบบนี้ เพราะกลัวเขาจะไม่ชอบ หาวไม่ได้ตอบอะไรผมกลับมา เพียงแต่เขาค่อยๆขยับเข้ามาหาผม ริมฝีปากที่ค่อยๆประกบลงมา จูบรสยาสีฟันกลิ่นมิ้นท์แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกดีอย่างประหลาด
[ HAO PART ]
ผมมองกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวเลขและตัวอักษรมากมายที่ผมเป็นคนเขียน ความทรงจำเมื่อหลายปีที่แล้วพรั่งพรูเข้ามาในหัวของผม ถนนของชีวิตที่ผมเคยเดิน กระดาษที่ผมเคยใช้ขอพี่ตะวันเป็นแฟน พี่ตะวันอัดกระดาษแผ่นนั้นใส่กรอบไว้อย่างดี วางไว้ที่หัวเตียง กระดาษที่มีความทรงจำมากมายของพวกผม ผมมองไปยังชายคนรักที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ข้างกัน ผมก้มลงไปจูบที่หน้าผากของเขา ก่อนจะหันไปปิดไฟหัวเตียง ทิ้งตัวลงนอน ดึงพี่ตะวันเข้ามากอดแล้วหลับไปพร้อมกันกับเขา
Road To Your Heart.
The end.