พิมพ์หน้านี้ - +++จันทร์กระจ่างฟ้า+++(แนวจีนโบราณ)+++(บทที่ 21 (100%) : 12/07/60)
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Y_type ที่ 06-04-2016 20:10:30
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
++++++++++++++++++++++++++++
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
โดยลงที่เล้าเป็ดและเว็ปเด็กดีเท่านั้น หากพบเห็นนิยายเรื่องนี้ในเว็ปไซต์อื่นกรุณาแจ้งคนเขียนด้วยค่ะ
อนึ่ง...เรื่องนี้เขียนเพื่อความบรรเทิงของผู้เขียน(เอ๊ะ!ยังไง)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
โปรย...
หลิวเฉินซางนั้นนับว่ามองมารร้ายผู้นั้นผิดไปลิบลับ คนผู้นั้นไม่นับว่าโหดเหี้ยมอำมหิต หรืออันตรายราวกับพยัคฆ์อะไร เพียงแต่มีความนิยมชมชอบที่พิสดารไปหน่อยเท่านั้น ซึ่งโดยรวมแล้วล้วน ‘ไม่เลว’ เลยทีเดียว ที่สำคัญนั้นเวลาเมามายนั้นช่างทำให้ผู้อื่นใจเต้นโครมคราม ท่าทีที่แสดงต่อเส้นผมของเขานั้นก็น่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ยิ่งบางคราวเขายังอยากปิดปากแดงระเรื่อนั้นด้วยปากตนเองดูสักครั้ง คิดๆดูแล้วก็ช่างขาดทุนนัก ผู้อื่นเพียงชื่นชอบ ‘เส้นผม’ ของเขาเท่านั้น แต่ตัวเขานั้นเล่ากลับชอบ ‘ทุกส่วน’ ของผู้อื่น ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือนิสัยใจคอ เห็นทีเขาคงต้องหาผู้นำยุทธภพคนใหม่สำรองไว้เสียแล้ว เพราะตนเองคงจะกลายเป็น ‘ผู้หลงไหลคลั่งไคล้ ตามอกตามใจจอมมารไปเสียทุอย่าง’ ในสักวัน...
Y_type
++++++++++++++++++++++++++++++
สารบัญ
บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3352172#msg3352172)
บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3352184#msg3352184)
บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3352188#msg3352188)
บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3352194#msg3352194)
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3352199#msg3352199)
ตอนพิเศษ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3352816#msg3352816)
ตอนพิเศษ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3352975#msg3352975)
บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3358948#msg3358948)
บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3362919#msg3362919)
บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3368529#msg3368529)
บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3372691#msg3372691)
บทที่ 10] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3382840#msg3382840)
ตอนพิเศษ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3394767#msg3394767)
บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3395541#msg3395541)
บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3546458#msg3546458)
บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3546475#msg3546475)
บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3547197#msg3547197)
บทที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3551394#msg3551394)
บทที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3563244#msg3563244)
บทที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3569213#msg3569213) ต่อ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3584717#msg3584717)
บทที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3596115#msg3596115) ต่อ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3605875#msg3605875)
บทที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3622156#msg3622156)
บทที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3631881#msg3631881)
บทที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52952.msg3670851#msg3670851)
-
บทที่ 1 จอมมารผู้นั้น
‘พรรคจันทร์กระจ่างฟ้า’ เป็นพรรคที่ชาวยุทธ์ต่างขนานนามว่าเป็น ‘พรรรคมาร’ เนื่องด้วยรับทำงานทุกประเภท นับตั้งแต่หาของหาย ขายข่าว งานจิปาถะ ไปจนถึงรับสังหาร แต่ใช่ว่าแค่เพียงมีเงินก็สามารถจ้างวารได้ เพราะว่าค่าตอบแทนที่ทางพรรคต้องการขึ้นอยู่กับว่ามู่อิงพอใจหรือไม่ คนผู้นี้มีความชื่นชอบที่แปลกพิสดาร ดังนั้นค่าตอบแทนจึงมีตั้งแต่ เงิน ภาพเขียน พิณ ของล้ำค่าหายาก สมุนไพร สัตว์ ไปจนถึงคน อันว่าคนนั้นใช่ว่าจะรับง่ายดายผู้ที่ต้องตา และถูกรสนิยมท่านประมุขพรรคนั้นมีน้อยนิดยิ่งนัก
มู่อิงคือชื่อของจอมมารที่ผู้คนทั่วหล้าล้วนหวาดกลัวจนตัวสั่น ลูกเด็กเล็กแดงแค่ได้ยินชื่อถึงร้องไห้เสียงดังเพียงใดก็เงียบได้ในพริบตา ว่ากันว่าจอมมารผู้นี้เป็นประมุขพรรคมารที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด วรยุทธ์แข็งแกร่งไร้ผู้เทียมทาน อีกทั้งนิสัยยังแปลกพิสดารอีกด้วย ว่าอีกว่าเขาเป็นบุรุษที่นิยมสิ่งสิวิไล แม้แต่สาวใช้ข้างกายยังต้องงามปานล่มเมือง สวมแต่ชุดสีแดงหรือม่วงเท่านั้น อีกทั้งในงานศพประมุขพรรคมารคนก่อนเขายอมใส่ชุดสีม่วงทั้งๆที่ในเวลานั้นอยากใส่ชุดสีแดงก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว หากเดินไปถามใครสักคนว่าผู้ใดเลวที่สุดในแผ่นดินเป็นต้องยกให้มู่อิง หากแต่จอมมารที่ผู้คนทั้งแผ่นดินตราหน้าว่าชั่วร้ายนั้นกลับมีน้องสาวบุญธรรมอยู่ผู้หนึ่ง นางเป็นจอมยุทธ์หญิงผู้งดงามราวบุปผา ท่วงท่ากิริยาล้วนตราตรึงใจ ถึงขั้นมีวาสนาแต่งให้ฉีฮ่าวรองประมุขพรรคเรือนเมฆา พรรคอันดับหนึ่งฝ่ายธรรมะ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของมู่อิง เพียงแค่เขาไม่สังหารนางและรองประมุขพรรคผู้นั้นก็ทราบแล้วว่าเขาโปรดปรานน้องสาวบุญธรรมผู้นี้เพียงใด
มู่อิงผู้นี้นั้นหากจะนับว่าเป็นผู้ที่ชื่นชอบดนตรีและศิลปะก็ใช่อยู่ ว่ากันอีกแล้วว่าเพลงพิณที่เขาดีดนั้นเป็นหนึ่งในแผ่นดิน เพียงแต่ผู้ที่ได้ฟังเป็นบุญหูนั้นช่างน้อยนิด
เวลานี้มู่อิงผู้งดงามเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ใช่แล้ว! เขามีหน้าตาอันงดงามสะกดใจคน บุรุษลุ่มหลงสตรีริษยา มู่อิงที่งดงามจนดวงจันทรายังเอียงอายผู้นั้นกำลังจิบชาชมจันทร์ ฟังสาวใช้บรรเลงพิณอย่างเบิกบานสำราญใจยิ่ง ช่างเป็นบุคคลที่รู้จักเสพสุขดีแท้
มือเรียวงดงามดังหยกสลักข้างหนึ่งยกขึ้นมาช้าๆ สาวใช้ที่กำลังบรรเลงเพลงพิณหยุดลงทันที ก่อนที่เสียงทุ่มปนหวานจะดังออกมาจากริมฝีบางบางแดงระเรื่อดั่งผิงกัวสุกงอม
“มีอะไร”ดวงตาเรียวงดงามดังตาหงส์ทั้งคู่เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตากลมโตลึกล้ำคู่หนึ่ง
ผู้ที่เดินเข้ามาทำความเคารพอย่างนอบน้อม เขาเป็นชายชุดขาวร่างสูงงามสง่าดูน่าคบหาดังบัณฑิต “เรียนท่านประมุขคุณหนูสิ้นใจแล้วขอรับ”
เพียงคำพูดนั้นสิ้นสุดลง สาวใช้อุ้มพิณใช้วิชาตัวเบาถอยห่างออกมา ก่อนที่ศาลาทั้งหลังจะกลายเป็นผุยผง เรือนร่างงดงามที่อยู่กลางศาลาของผู้ที่ทำลายกลับไม่มีแม้แต่ฝุ่นสักน้อยนิดที่ต้องอาภร
“ข้าบอกนางแล้วว่าเจ้าสารเลวนั่นไม่อาจรักได้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะถึงขั้นบังอาจทำน้องสาวข้าตาย ฝีมือฮูหยินรองกระมัง” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาราบเรียบราวกับไม่สนใจใยดีก็มิปาน
“ท่านประมุขโปรดอย่ามีโทสะ ข้าน้อยส่งคนไปสังหารฮูหยินรองผู้นั้นแล้วขอรับ”บุรุษชุดขาวหรือเฉียนหลีรีบพูดเอาใจทันที โทสะของท่านประมุขนั้นเขาไม่อาจรับได้ ดังนั้นจึงรีบสั่งการลงไปทันทีที่ทราบข่าว
“หลานของข้าเล่า เด็กน้อยคู่นั้น”
“อยู่กับหลิวเฉินซางขอรับ”น้ำเสียงของเฉียนหลีมีแววหนักใจเล็กน้อย หลิวเฉินซางเป็นประมุขพรรคเรือนเมฆาและยังเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะในปัจจุบัน เรื่องรูปร่างหน้าตาไม่ต้องพูดถึง วรยุทธ์ของคนผู้นี้ดูท่าจะสูสีกับท่านประมุขเลยกระมัง
“ฮึ คงคิดว่าข้ามิกล้าไปทวงคนกระมัง”มู่อิงลุกขึ้นยืนเงยหน้ามองดวงจันทร์กลมโต คนก็ตายไปแล้ว คงเหลือแต่หลานแฝดคู่นั้น คงต้องไปดูเสียหน่อยว่าจะหน้าตาน่ารักน่าเอ็ดดูพอที่เขาจะสามารถเลี้ยงได้หรือไม่
“ท่านประมุขต้องการให้ผู้ใดติดตามไปบ้างขอรับ”บุรุษชุดขาวถามอย่างนอบน้อม อย่างน้อยเขาคงได้ไปด้วยเรื่องสนุกน่าดูเพียงนี้ หากท่านประมุขให้เขารออยู่ที่พรรค เขาคงอกแตกตายเป็นแน่
“แค่เจ้ากับฉางเอ๋อที่สองก็พอ”
สิ้นคำมู่อิงเฉียนหลีใบหน้าปรากฏแววพึงพอใจเล็กน้อย ส่วน ‘ฉางเอ๋อที่สอง’ ผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยพรางกอดพิณแน่นขึ้น นางอยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ท่านประมุขคงลืมชื่อจริงนางไปเสียแล้ว
สาวใช้ผู้งดงามปานล่มเมืองที่กอดพิณนั้นมีชื่อจริงว่าซูปี้ฮวา นางติดตามมู่อิงมาได้เกือบห้าปีแล้ว เพราะนางคือค่าตอบแทนสำหรับให้เขาสังหารคนที่ฆ่าล้างตระกูลนาง จะว่าไปนั้นถึงแม้นางจะหน้าตางดงามเพียงนี้ตอนที่มาว่าจ้างพรรคจันทร์กระจ่างฟ้านั้น ท่านประมุขก็ใช่ว่าจะตกปากรับคำนางโดยง่าย เขาเพ่งพิศนางอยู่นานก่อนจะเอ่ยออกมาได้ว่า ‘ให้เจ้าเป็นสาวใช้คงพอได้’ ถึงจะไม่พอใจเพียงไรที่สาวงามที่มีแต่คนคอยเอาใจอย่างนางต้องกลายเป็นสาวใช้ แต่พอมองดูรูปโฉมของท่านประมุขแล้วนั้นนางก็ต้องทอดถอนใจ อย่างนางได้เป็นสาวใช้ของโฉมสะคราญเช่นนี้คงเป็นบุญวาสนาแล้วกระมัง ท่านประมุขช่างถือกำเนิดมาเพื่อเหยียดหยามหญิงสาวทั้งใต้หล้าโดยแท้
มู่อิงที่กำลังบุกไปพรรคเรือนเมฆาตอนนี้นั้น เรียกได้ว่าพกพารังสีสังหารไปเต็มเปี่ยม ถึงอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องสังหารฉีฮ่าวแย่งหลานแฝดชายหญิงคู่นั้นมาให้ได้ ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะเลี้ยงหรือไม่นั้น คอยว่าหลังสังหารคนก็ยังไม่สาย
“ท่านจะมุขจะบุกเข้าประตูหน้าพรรคเรือนเมฆาเลยหรือขอรับ”เฉียนหลีมองมู่อิงผู้พุ่งตรงไปหน้าบ้านผู้อื่นอย่างไม่คิดหลบหลีก
“คนอย่างข้ามู่อิง หากจะสังหารคนไยต้องทำหลบๆซ่อนๆ”น้ำเสียงทุ่มปนหวานนั้นหยิ่งทะนงมองผู้อื่นราวมดปลวกก็มิปาน
เฉียนหลีถอนหายใจเบาๆ ท่านประมุขผู้นี้เหตุใดจึงชอบทำตามใจตัวเองนัก ใช่ว่าผู้อื่นจะฝีมือสูงส่งไร้ผู้ต่อกรเช่นเขาเสียหน่อย ที่สำคัญซูปี้ฮวานั้นใช่ว่าจะเก่งกาจนัก เรียกได้ว่าวิชาตัวเบาพอมีฝีมืออยู่บ้างส่วนการสังหารนั้น เฉียนหลีเหงื่อตก... ท่านประมุขคงพาเขามาอารักษ์ขานางกระมัง
“เรียนท่านประมุขตอนนี้ยังเป็นเวลากลางวัน”เสียงอ่อนหวานของซูปี้ฮวาดังขึ้นอย่างนอบน้อม ในกลุ่มนางฝีมืออ่อนด้อยที่สุด จึงได้ตามอยู่รั้งท้าย
มู่อิงหยุดฝีเท้าลง รองเท้าสีแดงปักดิ้นทองลวดลายวิจิตรของเขาแตะลงบนหินก้อนหนึ่งอย่างนุ่มนวล ก่อนที่ใบหน้างดงามนั้นจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“คืนนี้แสงจันทร์คงงดงามมาก”หากไม่มีแสงจันทร์เขาจะสังหารคนด้วยความรื่นรมย์ได้อย่างไร
“งดงามน้อยกว่าเมื่อคืนอยู่สองส่วนเจ้าค่ะ” ซูปี้ฮวานั้นรู้ดีว่ามู่อิงนั้นชื่นชอบดวงจันทร์เป็นอย่างมาก เขาสะสมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์หรือมีลักษณะคล้ายคลึงกับดวงจันทร์ มิเช่นนั้นท่านประมุขคงมิเรียกนางว่า ฉางเอ๋อที่สองเพราะนางหน้าตางดงามราวกับฉางเอ๋ออย่างไรเล่า ส่วนฉางเอ๋อที่หนึ่งนั้น... ซูปี้ฮวาขนลุกซู่ มันเป็นสิงโตเผือกตัวหนึ่ง ที่สำคัญยังเป็นตัวผู้! นับว่านางโชคดีกว่าสิงโตตัวนั้นมากมายนัก!!!
กว่าจะถึงตอนกลางคืนอีกทั้งกว่าดวงจันทร์จะฉายแสงนั้นเฉียนหลีก็เฝ้าแต่รอ รออยู่ใกล้ๆกับทางเข้าพรรคเรือนเมฆานั่นเอง เขารอจนเบื่อหน่ายแต่ท่านประมุขนั้นกลับนั่งฟังซูปี้ฮวาดีดพิณอย่างสำราญใจ เหตุใดแม้แต่ตอนมาฆ่าคนท่านประมุขยังรู้จักเสพสุขอีกเล่า น่าตายนัก! เหตุใดต้องรอดวงจันทร์ฉายแสง เหตุใดไม่บุกไปฆ่าเสียเลย แล้วพรรคเรือนเมฆาตายหมดแล้วหรือไร ประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้ามานั่งฟังพิณเพื่อรอเวลาฆ่าคนอยู่ห่างทางเข้าสำนักไม่ไกลนักยังไม่รู้ตัวกันอีก โง่เง่ายิ่งนัก!
กว่าดวงจันทร์จะฉายแสงฉียนหลีคงต้องเบื่อตายเสียก่อนแล้ว
“ทำหน้าตาน่าเกลียดยิ่งนัก ช่างทำให้สายตาข้ามีมลทิน”มู่อิงว่ากล่าวเฉียนหลีเสียงไม่เบานัก คนผู้นี้นี่อย่างไร ช่างมิรู้จักฤกษ์งามยามดีแม้แต่น้อย จะฆ่าคนก็ต้องอาศัยฤกษ์งามยามดี ยิ่งยามจันทร์เต็มดวงยิ่งทำเขาเบิกบานสำราญใจ ช่างมิรู้จักประจบเอาใจท่านประมุขเช่นเขาเสียเลย ที่สำคัญเขาไม่ชอบของอัปลักษณ์ทำหน้าตาบูดบึ้งเช่นนั้นช่างมิน่าดู เสียสายตาโดยแท้
“ท่านประมุข ข้าน้อยแค่ร้อนใจอยากแก้แค้นแทนท่านประมุขเท่านั้น”
“หึ! แก้แค้นงั้นรึ ใครใช้ให้นางไม่ฟังคำข้า นางตายเพราะโง่รักคนผิดแต่เด็กน้อยสองคนนั้นต่างหากเล่าที่ข้าต้องการ น้องสาวผู้นั้นเสียทีที่ข้าโปรดปราณยิ่งนัก”มู่อิงกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
เรื่องคราวนี้เขามิได้แค้นเคืองเพียงแต่เสียหน้าเท่านั้น ใครใช้ให้หญิงผู้นั้นได้ชื่อว่าน้องสาวบุญธรรมกันเล่า แบกชื่อน้องสาวของเขาไว้แต่กลับโดนผู้อื่นรังแก ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
เฉียนหลีรับคำอยู่ในใจ เอ้อ! เป็นเพราะหญิงผู้นั้นหน้าตาคลายน้องสาวแท้ๆของท่านประมุขถึงห้าส่วน ถ้าคล้ายสักเจ็ดส่วนท่านประมุขคงเอ็นดูนางอีกสักนิดกระมัง
ท่านประมุขเป็นคนรักหน้าตายิ่งนักจะยอมให้ผู้อื่นดูหมิ่นได้อย่างไร ฉีฮ่าวก็ช่างไม่กลัวตาย กล้าให้ฮูหยินรองรังแกนางจนตาย ท่านประมุขจะโกรธจนอยากฆ่าเขาก็นับว่าสมควรแล้ว
ดวงจันทร์กลมโตเปล่งแสงงดงามจนท้องฟ้าสว่างไสวไปทั่ว บุรุษรูปร่างสูงโปร่งในชุดคลุมตัวยาวสีแดงดังโลหิตปักลายเมฆสีทองเดินเข้าประตูพรรคเรือนเมฆาอย่างเชื่องช้าสง่างาม ยามเฝ้าประตูเพียงแค่เริ่มขยับ เห็นเพียงชายแขนเสื้อสีแดงตัวนั้นไหวเพียงนิดยามสี่คนที่เฝ้าประตูก็ล้มลงสิ้นสติทันที
เฉียนหลีมองหน้าตาอันงดงามของท่านประมุขก่อนจะหลงเคลิบเคลิ้มเพียงเสี้ยววิ แล้วจึงซัดฝ่ามือใส่เรือนที่อยู่ตรงหน้า เรือนครึ่งแถบถล่มลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เหล่าผู้คนต่างวิ่งหนีอุตลุด เหล่าศิษย์พรรคเรือนเมฆาต่างวิ่งออกมารับมือผู้บุกรุก
“มีผู้บุกรุก!”เสียงตะโกนนั้นดังสนั่นหวั่นไหว
“เรือนรับแขกพังแล้วรีบไปตามคนมา”
“เรียนท่านประมุขเร็วเข้า! พรรคมารบุกแล้ว”
เรียกได้ว่าเสียงเอ็ดตะโรนั้นดังอื้ออึ้งไปทั่ว เหล่าผู้คนในพรรคเรือนเมฆาต่างวิ่งออกมาที่หน้าประตูใหญ่ ท่าทางตื่นตระหนกตกใจ
สีหน้ามู่อิงมีร่องรอยพึงพอใจ ครึกครื้นแล้ว เฉียนหลีถือว่ามีความชอบ ได้หน้าได้ตาจากท่านประมุขไม่น้อย
“มะ...มู่อิง! เจ้าใจกล้ายิ่งนักที่บุกมาพรรคเรือนเมฆาของเรา!”ผู้มาถึงคนแรกเป็นผู้อาวุโสซิวเยี่ยนผู้คุมกฎพรรคเรือนเมฆา ใบหน้าท่านผู้อาวุโสนั้นแดงกล่ำไม่ทราบว่าเป็นเพราะวิ่งมาจนเหน็ดเหนื่อยหรือเพราะเห็น ‘คนงาม’ กันแน่
ส่วนบรรดาศิษย์พรรคเรือนเมฆาที่เคยเห็นประมุขพรรคมารเป็นครั้งแรกนั้นต่างปากอ้าตาค้าง ใบหน้าแดงกล่ำหัวใจเต้นแรง คนผู้นี้ใช่ประมุขพรรคมารจริงหรือ เหตุใดจึงงดงามเช่นนี้ หากพวกเขาร่วมมือกันรังแกคนงาม สวรรค์จะลงโทษหรือไม่
“ส่งตัวฉีฮ่าวออกมา มิเช่นนั้นข้าจะสังหารไม่ละเว้น”น้ำเสียงทุ่มปนหวานนั้นไม่ดังไม่เบาแต่ผู้คนในบริเวณนั้นต่างได้ยินจนทั่ว
มู่อิงนั้นถึงหน้าตาจะงดงาม แต่มิได้ดูบอบบางดังอิสตรีกอปรกับมีบุคลิกสูงส่งถือตัว ท่วงท่ากิริยาล้วนน่ามอง ยามที่เขาเปล่งวาจาว่าจะสังหารคนนั้น ผู้คนต่างขนลุกชันด้วยความหวั่นเกรง
“บังอาจนัก! มารร้ายเช่นเจ้าถึงกับคิดบุกมาพบรองประมุขของเราช่างบังอาจ!”ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห
พรรคมารช่างบังอาจนัก ทำลายเรือนรับแขกพังไปครึ่งหลังยังมีหน้าเอ่ยวาจาข่มขู่ผู้คน เห็นพรรคเรือนเมฆาเป็นสถานที่ใดกัน
“ข้ามิได้มาขอพบ ข้ามาเพื่อสังหาร หากพวกเจ้ามิส่งคนออกมา ก็อย่าหาว่าข้ามู่อิงไร้มารยาท”มิพูดเปล่ามู่อิงเพียงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งเรือนรับรองแขกอีกครึ่งหลังก็พังลงต่อหน้าต่อตาบรรดาศิษย์พรรคเรือนเมฆา
ผู้คนต่างปากอ้าตาค้าง ช่างลงมือรวดเร็วยิ่งนัก พวกเขายืนอยู่ใกล้พียงเท่านี้แต่กลับไม่สามารถลงมือขัดขวางได้ ฝีมือประมุขพรรคมารผู้นี้สูงส่งระดับใดกัน
“อย่าคิดว่าเราพรรคเรือนเมฆาจะยอมถูกข่มเหงง่ายๆ พวกเราร่วมมือกันสังหารจอมมารผู้นี้เสีย”
“หึ เจ้าพวกมดปลวกไม่รู้จักกลัวตาย”
สิ้นเสียงผู้อาวุโสชิวเยี่ยนและมู่อิง การต่อสู้จึงเริ่มขึ้น
เรียกว่าการต่อสู้ก็ไม่ถูกนัก เรียกว่าคนกลุ่มหนึ่งโดนมู่อิงใช้เพื่อระบายโทสะจะเหมาะสมยิ่งกว่า ซูปี้ฮวาทำเพียงกอดพิณเอาไว้คอยหลบหลีกผู้คนที่ถูกท่านประมุขซัดปลิวมา ส่วนเฉียนหลีเพียงยืนอยู่ข้างๆนาง หากท่านประมุขมีอันตรายค่อยยื่นมือเข้าช่วยเหลือก็ยังไม่สาย
อ่า...ดูสิอาคารของพรรคเรือนเมฆาถล่มลงมาอีกหลังแล้ว
ท่าร่างของท่านประมุขช่างงดงามนัก ทำให้คนมิอาจละสายตาได้
โอ้ว...นั่นฉีฮ่าวไม่ใช่หรือ ในที่สุดก็ยอมปรากฏตัวออกมา คนผู้นี้นับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง รับมือท่านประมุขได้ถึงสามกระบวนท่าแล้ว
สายตาท่านประมุขยามเปล่งประกายสังหารช่างงดงามเสียจริง เฉียนหลีกับซูปี้ฮวาเรียกได้ว่าชมดูอย่างสนุกสนาน ทั้งเบิกบาน ทั้งเคลิบเคลิ้ม
มู่อิงสู้กับฉีฮ่าวถึงกระบวนท่าที่ห้าก็คิดจะสังหารคนผู้นี้เสีย แต่ก่อนที่เข้าจะฟาดฝ่ามือลงไปนั้น กลับมีลมปราณกระแสหนึ่งมาต้านเอาไว้ มู่อิงถอยออกมาสามก้าวก่อนจะหันไปมองที่มาของลมปราณกระแสนั้น
“ประมุขมู่โปรดยั้งมือไว้ไมตรีด้วย”เสียงนั้นทุ่มเย็น ผู้พูดสวมอาภรณ์สีขาวกระจ่าง ท่าทางสูงส่งสง่างาม เส้นผมสีเงินยวงถูกรวบไว้ด้านหลังด้วยเชือกอย่างง่ายๆ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั้นยากจะหาพบได้ในแดนดิน ทั้งคิ้วตาจมูกปากคางล้วนไม่ขัดตา ช่างเป็นใบหน้าที่ทำให้ผู้คนยอมสิโรราบเสียจริง
“เจ้าคงเป็นหลิวเฉินซางผู้นั้นกระมัง”มู่อิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไว้ตัวอยู่หลายส่วน
-
บทที่ 2 เส้นผมสีเงินยวง
หลิวเฉินซางนั้นชาวยุทธ์ต่างพูดกันว่ารูปโฉมท่าทางล้วนสง่างามดั่งเทพเซียน เขาขึ้นเป็นผู้นำชาวยุทธ์ตั้งแต่อายุยี่สิบสามปี ตอนนี้อายุยี่สิบแปดแล้วก็ยังไม่แต่งภรรยา เจ้าสำหนักฝ่ายธรรมะหลายแห่งหวังสานสัมพันธ์ผูกด้ายแดงให้แก่ท่านผู้นำกับบุตรสาวหรือศิษย์หญิงในสำนักของตนหากแต่ไม่เคยสำเร็จ เป็นเพราะมาตรฐานของท่านผู้นำสูงส่งเกินไป หรือเพราะบรรดาลูกสาวและศิษย์หญิงเหล่านั้นยังดีไม่เพียงพอก็มิอาจรู้ได้
“ข้าน้อยหลิวเฉินซาง”
“คำพูดตามมารยาทอันใดระคายหูเสียจริง”แต่เวลานี้นั้นมู่อิงกลับมิเห็นว่าคนผู้นี้จะโดดเด่นเหนือผู้อื่นอย่างไร เพียงแค่อยากประมือให้รู้กันว่าผู้ใดจะฝีมือสูงส่งกว่ากัน
“อ้อ! แค่เรือนไม่กี่หลังที่เสียไปคงเป็นการแสดงมารยาทของประมุขมู่กระมัง”
“มารยาทนั้นข้าแสดงต่อผู้ควรได้รับเท่านั้น ข้าต้องการเพียงหลานชายหญิงและชีวิตของฉีฮ่าวเท่านั้นหวังว่าประมุขหลิวจะใจกว้างมอบให้”
ฉีฮ่าวนั้นหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ เรื่องฝีมือนั้นเห็นแล้วว่าเพียงแค่ห้ากระบวนท่าเขาก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูป หากพี่หลิวส่งตัวเขาให้ ‘คนงาม’ ผู้นี้จริงเห็นทีชีวิตเขาคงหาไม่ เหตุไดจึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า เหตุเพียงผู้หญิงทะเลาะกันเท่านั้น ที่สำคัญภรรยารองของเขานั้นมู่อิงก็ส่งคนมาสังหารแล้วมิใช่หรือ คราวหน้าเขาจะไม่แต่งภรรยาหลายคนอีกแล้ว
หลิวเฉินซางเหลือบมองฉีฮ่าวที่หน้าซีดราวกับเสียเลือดจนหมดตัว คนผู้นี้นี่ดีแต่ก่อปัญหา เขาบอกแล้วว่าน้องสาวประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าไม่อาจแต่งด้วยได้ ก็ยังดื้อรั้นมิฟังคำ ทั้งยังไม่มีความสามารถปกครองภรรยา ก่อปัญหามากมายเสียจริง
“หากประมุขมู่สังหารฉีฮ่าวบุตรทั้งสองของเขามิกลายเป็นกำพร้าหรือ ใครจะดูแลพวกเขาเล่า”หลิวเฉินซางพูดอย่างใจเย็น
“หึ! หลานเพียงสองคนข้ามีปัญญาเลี้ยง เจ้าจะส่งคนมาให้ข้าหรือไม่!”มู่อิงนั้นรังสีสังหารเต็มเปี่ยม เจรจามากความอันใดกัน เขามู่อิงไม่สบอารมณ์!
“เช่นนั้นคงต้องลองดูว่าประมุขมู่มีความสามารถแย่งคนไปจากมือข้าหรือไม่”
สิ้นคำหลิวเฉินซาง มู่อิงก็ตรงเข้าประมือกับเขาทันที การประมือของผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสองนั้นทำให้ผู้คนทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองอย่างปากอ้าตาค้าง ผู้ใดก็ไม่มีฝีมือมากพอเข้าไปแทรกแซง ความรวดเร็วของระดับฝีมือนั้นศิษย์ระดับธรรมดาเห็นเพียงเส้นสีแดงและเงินพัวพันไปมาเท่านั้น แม้แต่เฉียนหลีเองยังมองท่าร่างของทั้งสองได้ไม่ค่อยชัด ที่กล่าวกันว่าหลิวเฉินซางฝีมือสูสีกับท่านประมุขนั้นนับว่ามิได้กล่าวเกินจริงเลย
มู่อิงนั้นต่อสู้กับหลิวเฉินซางไปหลายร้อยกระบวนท่า เรียกได้ว่าเขาออกแรงมากที่สุดในรอบหลายปี ทำลายบ้านเรือนผู้อื่นไปหลายหลังก็ยังไม่มีฝ่ายใดเพรี้ยงพร้ำ จังหวะนั้นเองมู่อิงผนึกกำลังภายในเตรียมทุ่มสุดตัวซัดใส่หลิวเฉินซาง หลิวเฉินซางก็เตรียมตัวตั้งรับอย่างสุดกำลัง กำลังภายในของมู่อิงนั้นนับว่าร้ายกาจยิ่งนัก ถึงหลิวเฉินซางจะหลบหลีกเต็มที่แล้วแต่พลังส่วนหนึ่งก็ยังรั่วไหลเข้ามาโดนเชือกที่รัดผมสีเงินยวงจนขาดลง!
เชือกรัดผมของหลิวเฉินซางขาดไปแล้ว มู่อิงกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เห็นหรือไม่ฝีมือข้าร้ายกาจเพียงใด เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้แต่ข้าทำเชือกรัดผมเจ้าขาดได้
เส้นผมสีเงินยวงของท่านผู้นำฝ่ายธรรมะสยายไปทั่วแผ่นหลัง สะท้อนกับแสงจันทร์ดูงดงามจับตา มู่อิงผู้กระหยิ่มยิ้มย่องถึงกับนิ่งค้างไป
อา...เส้นผมเหล่านั้นยามต้องแสงจันทร์เหตุใดจึงงดงามจับตา ดูความพลิ้วไหวนั่น ดูความเป็นประกายนั่น งดงามกว่าฉางเอ๋อที่หนึ่งถึงห้าส่วน!
หลิวเฉินซางสังเกตได้ถึงความผิดปกติของมู่อิง เนื่องจากคนผู้นั้นจู่ๆก็หยุดเคลื่อนไหวไปเสียเฉยๆ เขาจึงมิรู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จะให้โจมตีผู้ที่ไม่คิดลงมือแล้วนั้นเขาก็มิอาจทำได้
“พี่หลิว ผู้น้องมู่อิงนั้นเห็นว่าเราต่างเป็นปัญญาชนควรเจรจาดั่งผู้มีการศึกษาดีหรือไม่”เสียงทุ่มปนหวานที่เอ่ยออกมาจากปากมู่อิงนั้นนุ่มนวลชวนฟังอย่างยิ่ง
หลิวเฉินซางนั้นถึงกับนิ่งงันไป
เฉียนหลีนั้นอ้าปากพะงาบๆ ท่านประมุขนะหรือเจรจาดั่งปัญญาชน เขาคิดว่าคงฟังผิดกระมัง ท่านประมุขบอกว่าควรสังหารเหล่าปัญญาชนใช่หรือไม่
ซูปี้ฮวาเกือบทำพิณหลุดมือ นัยว่าโรคเก่าท่านประมุขกำเริบแล้วกระมัง นางหันไปมองเฉียนหลีที่อ้าปากค้าง
ส่วนเหล่าศิษย์พรรคเรือนเมฆาต่างปล่อยอาวุธนัยน์ตาเลื่อนลอย ยามที่คนงามไม่เปล่งรังสีสังหารนั้นงดงามยิ่งนัก ท่าทางสงบเสงี่ยมนั้นช่างน่าลุ่มหลง อยากเข้าพรรคมารเหลือเกิน
ใช้เวลาอยู่ชั่วอึดใจ ‘พี่หลิว’ จึงเปล่งคำว่าดีออกมาจากปากได้
เมื่อมู่อิงถึงกับเอ่ยปากเจรจาจะมิเป็นการเจรจาได้อย่างไร เรือนที่ยังไม่ถูกทำลายถูกเก็บกวดอย่างสะอาดสะอ้านศิษย์พรรคเรือนเมฆานั้นต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจสำหรับสถานที่พูดคุยระหว่างท่านประมุขและคนงามไม่น้อยเลย
มู่อิงนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ของแขกได้อย่างสง่าผ่าเผยทำราวกับไม่เคยทำลายบ้านเรือนผู้อื่น บนใบหน้าแฝงรอยยิ้มเล็กน้อย ทำเอาผู้อื่นไม่อาจหักใจตำหนิเขาได้ วางตัวเป็นแขกได้น่าชื่นชมไม่น้อยเลย แม้แต่ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนที่โกรธจนหนวดกระดิกยังไม่อาจเอ่ยว่าจาได้แม้แต่ครึ่งคำ
ประมุขพรรคมารผู้นี้ เพียงแค่รูปโฉมก็ถือว่าเป็นภัยแล้ว!
“พี่หลิว ฉีฮ่าวผู้นั้น ข้าจะยังไม่สังหารก็ได้ แต่หลานแฝดคู่นั้นหากพวกเขาโตพอรู้ความและอยากจะมาอยู่กับข้า หวังว่าท่านจะไม่ขัดขวาง”ถ้อยคำของมู่อิงนั้นน่าฟังอย่างยิ่ง
เขาถึงกับยินยอมไม่สังหารคนตอนนี้พี่หลิวคงพอใจมากกระมัง มู่อิงเหลือบมองเส้นผมของผู้อื่นอย่างหลงไหล ช่างงดงามยิ่งนัก!
“ประมุขมู่หากท่านไม่คิดสังหารคน ข้าย่อมไม่ขัดขวาง ส่วนเด็กสองคนนั้นหากพวกเขาอยากไปอยู่กับท่านข้าผู้มีศักดิ์เป็นลุงเช่นกันก็ไม่อาจฝืนใจให้พวกเขาอยู่”
“ดียิ่งนัก ในระหว่างที่พวกเขากำลังเติบใหญ่หวังว่าพี่หลิวจะยินยอมให้ข้ามาเยี่ยมเยียนพวกเขาบ้าง”
“ไม่ได้/ไม่ได้”
ชิวเยี่ยนและเฉียนหลีเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
“ท่านประมุขเหตุใดจึงยอมเป็นมิตรกับพรรคมารเล่าขอรับ คนผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิตจะเชื่อใจได้อย่างไร”ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนเอ่ยขัดขึ้นมา
“ท่านประมุขพวกฝ่ายธรรมะชอบอ้างตนว่าเป็นคนดี แต่แท้จริงกลับหน้าเนื้อใจเสือกลับกลอกปลิ้นปล้อนเชื่อใจไม่ได้นะขอรับ”เฉียนหลีเองก็มิยินยอมเช่นกัน
“ผู้ใดกล้าหลอกลวงข้าแค่สังหารทิ้งก็สิ้นเรื่อง”มู่อิงแย้มยิ้มออกมาอย่างดงาม เหล่าสาวใช้และผู้คนที่อยู่ในโถงรับรองต่างสูดหายใจเสียงดัง แม้แต่ยามเอ่ยปากจะฆ่าคนยังแย้มยิ้มได้งดงามเพียงนี้ พวกเขายอมตายเดี๋ยวนี้เลยได้หรือไม่
“ประมุขมู่โปรดวางใจ ข้าหลิวเฉินซางไม่กลับคำพูดแน่นอน”
“พี่หลิวโปรดเรียกข้าว่าน้องมู่เถิด เราถือได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”มู่อิงนับญาติกับผู้อื่นได้อย่างรื่นไหลนัก
“เอ้อ...น้องมู่”หลิวเฉินซางรับมือไม่ทันแล้ว มู่อิงผู้นี้จิตใจแปรเปลี่ยนรวดเร็วยิ่งนัก
“เมื่อตกลงกันเช่นนี้ข้าขอพักที่พรรคเรือนเมฆาเพื่อดูแลหลานแฝดนับแต่นี้เลยแล้วกัน”สิ้นคำมู่อิงก็ปรายตาดูเส้นผมของผู้อื่นอย่างหลงใหลอีกครั้ง
ความงามเช่นนั้น...ช่างคุ้มค่าเสียจริง!
มู่อิงนั้นนับว่ารู้จักทำคุณไถ่โทษบ้านเรือนหลายหลังที่เขาลงมือทำลายไปนั้น เขายินดีสร้างกลับคืนให้เพียงแต่ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนกลับปฏิเสธน้ำใจครั้งนี้ โดยกล่าวหาว่าเขาแอบล้วงความลับแปลนบ้านผู้อื่น ถึงมิได้สร้างคืนไม่เป็นไรแต่อย่างไรเสียเรือนที่เขาพักคงจะยื่นมือเข้ายุ่งเกี่ยวได้กระมัง หากที่พักไม่ต้องตามรสนิยมเขาจะทนอาศัยอยู่ได้อย่างไร ที่พักของจอมมารผู้นี้นั้นนับว่าช่วยเปิดหูเปิดตาให้กับพรรคเรือนเมฆาไม่น้อย เพราะเครื่องเรือนแต่ละชิ้นล้วนล้ำค่าควรเมือง แม้แต่ถ้วยชายังล้ำค่ายิ่งกว่าที่จักรพรรดิใช้อีกกระมัง เรียกว่าความร่ำรวยของเขานั้นเทียบได้กับท้องพระคลังหลวงเลยทีเดียว
มู่อิงนั้นตื่นแต่เช้าพร้อมความเบิกบานใจยิ่งเขาแต่งกายด้วยชุดสีม่วงกระจ่างทำให้ดูงดงามน่าค้นหา ความตั้งใจในเช้านี้ของเขาคือการไปเยี่ยมพี่หลิวแต่เช้า ยิ่งหากได้ช่วยรวบผม...คงดีไม่น้อยเลย แค่คิดจิตใจเขาก็ฟูฟ่องดั่งนกน้อยโผบิน
ส่วนซูปี้ฮวานั้นออกจะไม่ชินอยู่บ้าง ท่านประมุขไม่เคยตื่นเช้าแล้วอารมณ์ดีเช่นนี้ เส้นผมสีเงินยวงของหลิวเฉินซางนั้นนับว่าล่อลวงท่านประมุขได้ผลนัก ตอนนี้ท่านประมุขคงชื่นชอบเส้นผมเหล่านั้นเป็นอันดับหนึ่งเสียแล้ว เป็นเช่นนี้ก็ดี หากวันๆต้องคลุกอยู่กับฉางเอ๋อที่หนึ่งเหมือนเก่านางคงตกใจตายสักวันเป็นแน่
มู่อิงคิดชวนหลิวเฉินซางไปหาหลานแฝดด้วยกัน ในเมื่อเขาตื่นเช้าเพียงนี้แล้วจึงคิดร่วมทานอาหารเช้ากับประมุขพรรคเรือนเมฆาผู้นั้นเสียหน่อย ไหนๆก็ชื่นชอบเส้นผมของผู้อื่นแล้ว ผูกมิตรกับเจ้าของเส้นผมเหล่านั้นเสียหน่อยคงมิเป็นไร อีกทั้งการที่ได้เห็นเส้นผมเหล่านั้นแต่เช้าคงช่วยให้เขาเบิกบานใจยิ่งนัก มิเช่นนั้นหากไปเยี่ยมหลานแล้วเกิดพลั้งมือฆ่าบิดาของหลานเข้า เขาจะทำเช่นไรเล่า
“ท่านประมุขคิดจะพำนักอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ขอรับ”เฉียนหลีถามขึ้นระหว่างทางเดินไปยังที่พักของหลิวเฉินซาง
ส่วนซูปี้ฮวานั้นเดินทางไปแจ้งต่อเฉินซางว่ามู่อิงจะไปรับอาหารเช้าด้วย ที่สำคัญนางต้องไปสำรวจอาหารการกิน หากรสชาติหรือหน้าตาของอาหารไม่ถูกใจท่านประมุข พ่อครัวของพรรคเรือนเมฆามีกี่ชีวิตก็คงไม่พอให้ท่านประมุขสังหาร
“จนกว่าข้าจะเบื่อ”คำพูดนั้นช่างเอาแต่ใจ จนเฉียนหลีได้แต่อวดครวญในใจว่าแย่แล้ว! จนถึงปัจจุบันนี้ท่านประมุขยังไม่เคยเบื่อของที่ถูกตาต้องใจชิ้นใดมาก่อนเลย
หากเพื่อของที่ชอบนั้น มู่อิงนับว่าทำตัวใจกว้างไม่น้อย
“เช่นนั้นโกนหัวหลิวเฉินซางแล้วเอาเส้นผมเหล่านั้นกลับไปดีหรือไม่ขอรับ”เฉียนหลีไม่อยากอยู่ใต้ชายคาเรือนของพวกฝ่ายธรรมะ มันคันคะเยอยิ่งนัก ที่สำคัญยังน่าเบื่อ คนพวกนั้นพอเอ่ยปากก็พูดถึงคุณธรรม คาดว่าท่านประมุขหากมิได้ชื่นชอบเส้นผมของผู้อื่นเสียก่อน คงสังหารคนพรรคเรือนเมฆาจนสิ้นเสียแล้ว
“เจ้ามีความสามารถทำเช่นนั้นหรือเฉียนหลี คนผู้นั้นมีรูปโฉมที่ประดับเส้นผมเหล่านั้นได้ไม่เลวทีเดียว ข้าไม่คิดสังหาร”ถึงจะมิได้เอ่ยปากปฏิเสธ แต่คำตอบของมู่อิงนั้นก็บ่งบอกให้เฉียนหลีรู้แล้วว่าเขามิทำเช่นนั้น
มู่อิงไม่ลงมือมีหรือเฉียนหลีจะทำสิ่งใดได้ ในใจท่านประมุขมีคนอยู่สองแบบหรือไร แบบที่คิดสังหารกับแบบที่ไม่คิดสังหาร แต่เอาเถอะ เขาเป็นผู้น้อยย่อมมิอาจปริปากบ่น
“แต่อยู่ที่นี่น่าเบื่อยิ่งนัก”ผู้ไม่คิดปริปากบ่นยังอดบ่นอย่างไม่กลัวตาย เฉียนหลีนั้นติดตามรับใช้ท่านประมุขมาตั้งแต่จำความได้ ดังนั้นคำว่ากลัวตายนั้นเขาจึงสะกดไม่เป็น
“เช่นนั้นเจ้ากลับหุบเขาล้อมจันทร์แล้วให้เยว่เอ๋อมาแทน”กับคนของตนนั้นมู่อิงก็ใช่ว่าจะใจดำ ในเมื่อไม่อยากอยู่ก็ให้คนอื่นมาแทน
เยว๋เอ๋อหรือหนานหมิงเยว่นั้น เป็นสาวใช้ที่ติดตามมู่อิงมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน นอกจากรูปโฉมงดงามแล้ว วรยุทธ์ยังสูงส่งอีกด้วย ที่มิได้ติดตามมาแต่แรกเพราะมู่อิงมิได้บอกให้มา
หุบเขาล้อมจันทร์นั้น เป็นที่ตั้งของพรรคจันทร์กระจ่างฟ้า ที่นั้นสามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้ชัดเจนที่สุด กลมโตงดงามที่สุด แท้จริงนั้นมู่อิงไม่ใช่ศิษย์พรรคจันทร์กระจ่างฟ้ามาแต่แรกเริ่ม และไม่เคยปรากฏตัวในยุทธภพมาก่อน ก่อนที่จะกลายเป็นประมุขพรรคดังเช่นทุกวันนี้นั้นเป็นเพราะแต่ก่อนเขาเคยขอซื้อปราสาทและพื้นที่ทั้งหมดของพรรคจันทร์กระจ่างฟ้า แต่ท่านประมุขคนก่อนไม่ยอมขาย ต่อสู้กันไปสามวันสามคืนก็ไม่มีผู้ใดเพรี้ยงพร้ำ ท่านประมุขคนก่อนจึงชวนเขาเข้าสำนักเสียเลย โดยบอกว่าหากอยากครอบครองปราสาทและที่ดินก็ต้องเป็นประมุขพรรคเสียก่อน มู่อิงผู้ถูกตาต้องใจสิ่งใดแล้วย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือ จึงกลายมาเป็นประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าด้วยเหตุนี้
พรรคเรือนเมมฆานั้นตั้งอยู่บนยอดเขารับอรุณ เป็นภูเขาที่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี สำหรับประมุขพรรค รองประมุข และผู้คุมกฎนั้นจะมีเรือนแยกเป็นของตนเอง ส่วนบรรดาศิษย์นั้นจะมีเรือนพรรคลดหลั่นกันไปตามฐานะ เวลานี้นั้นยังไม่พ้นช่วงงานศพของภรรยาเอกและภรรยารองของรองประมุขพรรค เมื่อคืนยังเสียเรือนไปอีกหลายหลัง บรรยากาศไม่ชื่นมื่นนัก
หลิวเฉินซางนั้นขบคิดมาทั้งคืนว่าเหตุใดมู่อิงจึงยอมวางมือ จึงสามารถคาดเดาได้ว่าคงเป็นเพราะ ‘ผม’ ของเขาแน่แล้ว เวลานั้นไม่มีสิ่งใดผิดปกติมีเพียงเชือกรัดผมของเขาเท่านั้นที่ขาด หลังจากนั้นปฏิกิริยาของประมุขพรรคมารก็เปลี่ยนไป อันข่าวลือที่ว่ามู่อิงมีความชมชอบแตกต่างจากผู้อื่นนั้นคงเป็นจริงมิใช่ข่าวโคมลอย เพราะมีแต่คนชื่นชอบ ‘รูปลักษณ์’ ของเขาแต่ไม่เคยมีผู้ใดชื่นชอบ ‘เส้นผม’ ของเขามาก่อน...
เพราะเช่นนั้น เช้านี้ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะประมุขยุทธภพคนปัจจุบันจึงตอบรับทานอาหารเช้าของมู่อิงและมิได้รวบผมดังเช่นปกติ เพื่อพิสูจน์การคาดเดาของตน
มู่อิงนั้นนับว่าไม่ทำให้หลิวเฉินซางผิดคาดแต่อย่างใด เพราะทันทีที่เหยียบย่างเข้ามาในส่วนของศาลาที่ใช้ทานอาหารนั้น เขาก็เอาแต่จับจ้องเส้นผมของผู้อื่น จนแทบจะไม่เอ่ยปากทักทายเจ้าของเรือนเลยด้วยซ้ำ
หลิวเฉินซางนั้นต้องกระแอมอยู่หลายทีใบหน้าที่จับจ้องเส้นผมของเขาจนแดงระเรื่อนั้นจึงหันมา มูอิงจ้องหน้าหลิวเฉินซางด้วยดวงตาไร้ประกายดังที่จ้องเส้นผมของเขาแล้วจึงเอ่ยทัก “พี่หลิว” คำหนึ่งแล้วจึงนั่งลงรับประทานอาหารโดยมีชูปี้ฮวาคอยปรนนิบัติ
ระหว่างรับประทานอาหารนั้นหลิวเฉินซางมีท่าทางครุ่นคิดส่วนมู่อิงนั้นเอาแต่จับจ้องเส้นผมของหลิวเฉินซาง นับว่าการทานอาหารเช้านี้ทำให้เหล่าบรรดาคนรับใช้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย
หลังรับประทานอาหารเสร็จสิ้นแล้วหลิวเฉินซางจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“น้องมู่อิง การตายของน้องสาวบุญธรรมของเจ้าข้าเองก็เสียใจด้วย แต่หากเจ้าคิดสังหารฉีฮ่าวนั้นก็ไม่ถูกนัก การตายของนางนั้นฮูหยินรองเป็นผู้วางแผนและลงมือเองทั้งหมด ฉีฮ่าวไม่รู้เห็นด้วยแม้แต่น้อย ข้าหวังว่าน้องมู่อิงจะละเว้นไม่สังหารคน”พูดจบท่านประมุขฝ่ายธรรมมะก็รวบผมที่สยายอยู่กลางแผ่นหลังมาพาดไว้ที่ไหล่ด้านหนึ่ง มู่อิงเห็นเขารวบผมมาเช่นนั้น ก็อยากสัมผัสนัก หากแต่ทำเช่นนั้นคงเสียหน้าไม่น้อย
“เช่นนั้นหรือ”มู่อิงมองตามเส้นผมเหล่านั้น จิตใจนับว่าเบิกบานแล้ว
“ข้าอยากให้น้องมู่อิงละเว้นคนสักครั้งได้หรือไม่”ใครว่าประมุขฝ่ายธรรมะล่อลวงคนไม่เป็น การที่เขาใช้เส้นผมล่อลวงมู่อิงเช่นนี้ทำให้เห็นชัดว่า หลิวเฉินซางนั้นก็นับว่าเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไม่น้อย
“ละเว้นเขานั้นก็ใช่ว่าทำมิได้ หากเขายอมคุกเข่าขอโทษต่อหน้าศพน้องสาวข้าก็แล้วกันไปเถิด พี่หลิวทุกกวันนี้ใครสระผมให้ท่านหรือ”เห็นได้ชัดว่าแผนล่อลวงของของหลิวเฉินซางนั้นนับว่าไม่เสียเปล่า มู่อิงยอมวางมือแล้ว
การเกลี่ยกล่อมมู่อิงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นนัก ขอแค่ไม่ขัดใจเขา และเขาเบิกบานใจไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถคุยกันได้ทั้งสิ้น
“เป็นบ่าวรับใช้ของข้าเอง”หลิวเฉินซางวางหน้าไม่ถูกเล็กน้อย มู่อิงผู้นี้เหตุใดชื่นชอบสิ่งใดจึงแสดงออกอย่างชัดเจนไม่มีหมกเม็ดเช่นนี้ สายตาที่มองเส้นผมของเขาก็ช่างกกระตืนรือร้นเหมือนเด็กยิ่งนัก ทำให้คนไม่อาจรังเกียจเขาได้
“บ่าวรับใช้ของท่านคงมีวิธีดูแลรักษาเส้นผมที่ยอดเยี่ยมมาก เช่นนั้นตอนที่เขาสระผมให้ท่านข้าขอเข้าไปศึกษาวิธีการได้หรือไม่”แววตาของมู่อิงเปล่งประกายคาดหวังเต็มเปี่ยม มู่อิงนั้นนับว่ารู้ดีว่าตนเองรูปโฉมงดงามเพียงใด แสดงสีหน้าแบบใดผู้อื่นจึงจะยอมทำตามที่เขาต้องการ
“ย่อมได้”หลิวเฉินซางนั้นนับว่ารับปากแล้ว ผู้อื่นยอมละเว้นคนเขาจะใจดำกับแค่ คนผู้นั้นต้องการศึกษาวิธีการสระผมของเขาได้อย่างไร
ทั้งประมุขพรรคมารและผู้นำฝ่ายธรรมะทั้งสองคนนี้นับว่าต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ!
-
บทที่ 3 คนงามผู้นั้นคือจอมมาร
ประมุขพรรคมารจะมาอาศัยอยู่ที่สำนักฝ่ายธรรมะได้อย่างไร นับว่าข่าวการมาของมู่อิงนั้นแพร่สะพัดไปทั่วในคืนเดียว ยิ่งงานศพของภรรยาทั้งสองของรองประมุขพรรคยังไม่เสร็จสิ้น ชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมมะที่มาคารวะศพ ทั้งที่พึ่งมาถึงและคารวะเสร็จแล้วแต่ยังไม่กลับนั้นต่างแตกตื่นตกใจ พากันมาสอบถามขอคำชี้แจงจากพรรคเรือนเมฆาไม่หยุดหย่อน
ถึงจะอยากรู้ว่าเหตุใดพรรคเรือนเมฆาจึงให้ที่พักกับประมุขพรรคมาร หรือพรรคเรือนเมฆาเข้าร่วมกับพรรคมารแล้วใช่หรือไม่ ก็ไม่มีใครสามารถเอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาได้ เหล่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมมะจึงพากัน ‘ร่วมใจ’ มาสอบถามข่าวคราวจากผู้อาวุโสชิวเยี่ยนไม่หยุดหย่อน ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนนั้นสำหรับมู่อิงอาจไม่นับเป็นตัวอะไรได้ แต่สำหรับชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะนั้นเขาถูกให้ความเคารพนับถือไม่น้อยเลย
แต่ครั้นจะให้เขากล่าววาจาว่าประมุขพรรคมารผู้นั้นมาชิงตัวหลานชาย-หญิง หวังฆ่ารองประมุขพรรคและทำลายบ้านเรือนของพรรคเรือนเมฆาไปหลายหลัง จากนั้นเพราะเหตุใดไม่ทราบจึงยอมวางมือแล้วมาอาศัยอยู่ในพรรคเรือนเมฆาก็ไม่อาจทำได้ จึงทำได้เพียงกล่าวว่า คนผู้นั้นมาเคารพศพน้องสาวบุญธรรมเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น
ส่วนมู่อิงผู้ทำให้ผู้อื่นลำบากใจที่จะกล่าววาจาผู้นั้นเล่า สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากคุยกับหลิวเฉินซางเสร็จไม่ใช่การไปเคารพศพน้องสาวบุญธรรมผู้นั้น หากแต่เป็นการไปเยี่ยมหลานแฝดอายุเพียงหกเดือนคู่นั้น
“เหตุใดใบหน้าจึงขาวๆ กลมๆ เช่นนี้เล่า เหมือนซาลาเปายิ่งนัก”มู่อิงพิศหน้าเด็กแฝดคู่นั้นอยู่นานจึงเอ่ยวาจาออกมาได้
“เรียนท่านประมุขเด็กทารกย่อมหน้าตาเช่นนี้เป็นธรรมดา”ชูปี้ฮวาเอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นข้าเรียกพวกเขาว่าเสี่ยวเปาที่หนึ่ง กับเสี่ยวเปาที่สองดีหรือไม่”คิ้วเรียวงามทั้งสองของมู่อิงจรดเข้าหากันเล็กน้อย เรื่องตั้งชื่อนั้นนับว่าทำให้เขาลำบากใจไม่แพ้การหาเงินเข้าพรรคเลยทีเดียว
“น้องมู่อิงเด็กคนนี้เป็นพี่เกิดก่อนเป็นหญิงชื่อว่าฉีเจียงหลิน ส่วนคนน้องเป็นชายชื่อฉีเฉียง”หลิวเฉินซางที่ฟังสองนายบ่าวคุยกันเอ่ยขึ้น เสี่ยวเปาที่หนึ่ง กับเสี่ยวเปาที่สองนั่นเรียกว่าชื่อคนได้หรือ มู่อิงผู้นี้ใช่จริงจังอยู่หรือไม่
“ที่แท้เสี่ยวเปาทั้งสองก็มีชื่อแล้วนี่เอง”ใบหน้างดงามของมู่อิงคลายลงแล้ว คล้ายเรื่องยุ่งยากที่ขบคิดได้รับการแก้ไขแต่เรื่องชื่อของหลานทั้งสองนั้น เขาเรียกว่าเสี่ยวเปาดูจะคล่องปากมากกว่า เช่นนั้นชื่อฉีเจียงหลินกับฉีเฉียงอะไรนั้นก็เอาไว้ให้ผู้อื่นเรียกแล้วกัน เขาผู้เป็นลุงจะเรียกว่าเสี่ยวเปา
หลิวเฉินซางนั้นแทบจะยกมือกุมขมับ ตกลงมู่อิงผู้นี้ฟังที่เขาพูดเข้าใจหรือไม่ หลานทั้งสองมีชื่อแต่ไม่ยอมเรียก กลับเรียกในสิ่งที่ตนพอใจ เช่นนี้ยังมีความรู้สึกของญาติมิตรอยู่หรือไม่ หรือเขาควรจะต้องกล่าวเรื่องความเป็นท่านลุงที่ดีให้คนผู้นี้ฟังสักหน่อย
“ท่านประมุขของรับขวัญเจ้าค่ะ”ชูปี้ฮวายื่นกล่องสีแดงดูหรูหราวิจิตงดงามให้แก่มู่อิง เมื่อเปิดออกจึงพบกำไลหยกเนื้อดีดูสูงค่าคู่หนึ่ง
มู่อิงยื่นมือไปหยิบกำไลขึ้นมามือขาวเรียวดังหยกสลักคู่นั้น ดูตัดกับสีเขียวเข้มของหยกจนแทบจะเปล่งประกายออกมา แล้วจึงใส่กำไลหยกที่ข้อเท้าของหลานทั้งสอง ท่านประมุขฝ่ายธรรมะเบือนหน้าหนีเล็กน้อย
การจับจ้องมือผู้อื่นก็ทำให้เขาเก้อกระดากได้เช่นกัน
ท่านประมุขฝ่ายธรรมะต้องยอมรับว่า เขาไม่อาจมองมู่อิงเป็นชายชาตรีคนหนึ่งได้ เพราะหน้าตาที่งดงามอย่างสุดซึ้งของเขาทำให้ผู้คนมักจะใจอ่อนเช่นเวลาที่เห็นหญิงงาม ถึงแม้หลิวเฉินซางจะไม่เคยใจอ่อนกับหญิงงามก็ตาม!
“น้องมู่อิงหลานทั้งสองยังเล็กอยู่มาก เจ้าให้พวกเขาพักผ่อนก่อน ปล่อยให้แม่นมดูแลดีหรือไม่”เขาเองก็นับว่าพบเจอมู่อิงเป็นครั้งแรก คนผู้นี้แปลกประหลาด อารมณ์แปรเปลี่ยน มีข่าวลือในยุทธภพมากมายทั้งจริงเท็จ แต่ที่จริงแท้แน่นอนคือมู่อิงเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์สิ่งนี้เขาพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วในตอนที่ประมือกัน
“เช่นนั้นก็ดี ถึงอย่างไรเสียข้าควรไปดูศพลู่เจินเสียหน่อย ซาลาเปาสองก้อนนี้นับว่าโชคร้ายนัก เพราะมารดาอ่อนแอพวกเขาจึงอาภัพเช่นนี้”มู่อิงถอนหายใจเล็กน้อย มองดูหลานแฝดด้วยสายตาอ่อนโยนยิ่ง
ในใจหลิวเฉินซางหนาวเหน็บนัก มู่อิงถึงกับตำหนิคนตายได้อย่างไม่มีแววอาวรณ์เลยแม้แต่น้อย คนผู้นี้ยังมีหัวใจอยู่หรือไม่
หลิวเฉินซางหารู้ไม่ว่าสำหรับมู่อิงแล้วสิงที่รังเกียจที่สุดคือความอ่อนแอ มิใช่ความแอแอทางร่างกายหากแต่เป็นความอ่อนแอทางจิตใจ และความโง่เขลายอมผู้อื่นไปเสียทุกเรื่อง ลู่เจินนั้นหากจิตใจไม่อ่อนแอเปราะปางมีหรือว่าจะโดนผู้อื่นรังแกจนตายได้
ชูปี้ฮวาเองก็นับว่าเคยสนทนากับลู่เจินน้องสาวบุญธรรมของท่านประมุขอยู่บ้าง ลู่เจินนั้นนับว่าเป็นสาวงามผู้หนึ่ง หากสังเกตให้ดีจะพบว่านางมีหน้าตาคล้ายท่านประมุขอยู่หลายส่วน ถึงแม้จะไม่ได้สนิทสนมกันนักหากนางก็อยากไปเคารพศพสักครั้งเช่นกัน แม้แต่นางที่เป็นสาวใช้ข้างกายที่ไม่ได้สนิทกันยังคิดเช่นนี้ ในใจท่านประมุขคงอาลัยน้องสาวบุญธรรมอยู่บ้างเช่นกัน
งานศพภรรยาทั้งสองของฉีฮ่าวนั้นจะตั้งศพไว้ทั้งหมดเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้วจึงนำไปฝัง พิธีศพนั้นจัดขึ้นที่เรือนรองประมุขพรรคของเขานั่นเอง รองประมุขเรือนเมฆาในสายตาชาวยุทธฝ่ายธรรมมะนั้นก็ดูสง่างามน่าเลื่อมใสไม่น้อย ยิ่งตอนนี้มาเสียภรรยาไปทีเดียวถึงสองคนนั้นนับว่าโชคร้ายอย่างยิ่ง ถึงแม้ภรรยาคนแรกจะเป็นน้องสาวประมุขพรรคมาร แต่ภรรยาคนที่สองนั้นเป็นถึงธิดาคนเล็กของประมุขพรรคสายนที หนึ่งในพรรคฝ่ายธรรมะ ในงานศพที่จัดขึ้นพร้อมกันถึงสองศพนี้ เจ้าสำนักสายนทีแม้ไม่พอใจบุตรเขยเพียงใดแต่เขาก็คือผู้ที่เสียภรรยาไปพร้อมกันถึงสองคนไม่อาจแก้แค้นเอากับเขาได้ แต่หากเป็นประมุขพรรคมารผู้นั้น...
ดียิ่งนัก! วันนี้มู่อิงอยู่ที่นี้ เขาเองก็อยากจะรู้นักว่าจอมมารนั้นแท้จริงจะฝีมือสูงส่งสักแค่ไหนกัน วันนี้เขาต้องสังหารมู่อิง แก้แค้นให้บุตรสาวให้จงได้
อนิจจา...หากมู่อิงล่วงรู้ความคิดของประมุขพรรคสายนที ไม่รู้ว่าจะเห็นความอาฆาตแค้นนี้อยู่ในสายตาหรือไม่
ประมุขพรรคสายนทีนับว่ารนหาที่ตาย...รนหาที่ตายยิ่งนัก!
ทันทีที่มู่อิงและหลิวเฉินซางปรากฏตัวพร้อมกันที่หน้างานศพ งานศพที่ดูเศร้าโศกอยู่แล้วกลับเงียบสงัดลงทันใด หลิวเฉินซางเป็นผู้ก้าวนำเข้ามาก่อน ตามด้วยบุรุษชุดม่วงที่หน้าตางดงามยิ่ง ปกติท่านผู้นำฝ่ายธรรมะนั้นหล่อเหล่างามสง่าประดุจเทพเซียนสร้างความเคารพเลื่อมใสรวมทั้งศรัทธาให้เกิดขึ้นในใจผู้พบเห็นได้ง่ายดาย แต่วันนี้กลับมีบุรุษอีกผู้หนึ่งเดินอยู่เคียงข้างแม้ไม่ได้กลบบังรัศมีของประมุขฝ่ายธรรมมะหากแต่ใบหน้านั้นช่างงดงามขโมยจิตใจของผู้พบเห็นโดยแท้ นับว่ายืนเคียงข้างกันเช่นนี้ช่างเป็นภาพที่งดงามเหมาะสมแล้ว
เหล่าชาวยุทธ์ที่พกพาความสงสัยในความสัมพันธ์ของพรรคเรือนเมฆากับพรรคมารมาเต็มท้องเหล่านี้นั้นนับว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ในหัวไม่คิดอะไรอย่างแท้จริง เอาแต่จ้องมองคนงามผู้นั้นอย่างโง่งม
“ท่านประมุข เหตุใดจึงพาคนผู้นี้มาที่นี่”ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนผู้ได้สติเป็นคนแรกเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
ท่านประมุขขาดสติไปแล้วหรืออย่างไร ถึงกับพาจอมมารมาในที่ที่มีแต่ชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะเช่นนี้ ถึงแม้บางคนในที่นี้จะไม่รู้จักมู่อิงหรือมีความแค้นกันมาก่อน แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำของพวกพรรคมาร ในใจผู้อื่นย่อมมีความเกลียดชัง
“ใครคือคนผู้นี้หรือเจ้าหนวด ข้ามู่อิงจะไปจะมาที่ใดล้วนได้ทั้งสิ้น”มู่อิงผู้ไม่อาจทนฟังถ้อยคำขัดหูได้แม้แต่น้อยเอ่ยขึ้น
นับว่าคำพูดของมู่อิงนั้นช่วยเรียกสติของบรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลายได้ดีนัก เพียงแค่ได้ยินชื่อของเขาเหล่าผู้คนที่ทำหน้าตาหลงไหลเคลิบเคลิ้มต่างหน้าเปลี่ยนสีกันทั้งสิ้น สิ่งที่รับรู้ทำให้ตกใจอย่างยิ่งยวด
คนงามผู้นี้คือจอมมาร!!!
ถ้าจะโทษก็คงไม่อาจโทษใครได้ มู่อิงนั้นความจริงแล้วปรากฏตัวในยุทธภพน้อยมาก มีแต่ชื่อเสียงของเขาเท่านั้นที่นับวันยิ่งขจรขจาย เหล่าผู้คนต่างได้ยินชื่อแต่ไม่เคยพบหน้า หากเคยเห็นหน้าสักครั้งจะเอาชื่อเขาไปข่มขู่เด็กได้หรือ คำขู่มิต้องเปลี่ยนจากจอมมารจะมาสังหารเป็นจอมมารจะไม่มาพบหรอกหรือไร
“มู่อิงเจ้าสังหารบุตรสาวข้า ตายเสียเถอะ!!!”ประมุขพรรคสายนทีจู่โจมมู่อิงทันทีที่ได้สติ เขาชักกระบี่คู่กายพุ่งเข้าหามู่อิงอย่างรุนแรงยิ่ง
“พี่หลิวพรรคเรือนเมฆาของท่านช่างมีแต่คนไม่กลัวตายทั้งสิ้น”มู่อิงหันหน้าไปคุยกับหลิวเฉินซาง ไม่ได้สนใจประมุขพรรคสายนทีที่จู่โจมเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงสะบัดมือครั้งเดียวโดยไม่ปรายตาไปมองเสียด้วยซ้ำ
ประมุขพรรคสายนทีที่พุ่งตัวเข้าจู่โจมมู่อิงนั้น ตอนพุ่งมาว่ารุนแรงแล้ว แต่ตอนกระเด็นกลับไปนั้นกลับรุนแรงยิ่งกว่า เขาถึงกับกระแทกผนังกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่
เหล่าคนที่คิดจู่โจมมู่อิงนั้น จากที่คิดว่าจะช่วยประมุขพรรคสายนทีเข้าจู่โจม หากโค่นประมุขพรรคมารลงได้คงมีชื่อเสียงเกียรติยศตามมา หากแต่หลังจากเห็นสภาพของประมุขพรรคสายนทีแล้วพวกเขาไม่อาจมุทะลุจู่โจมได้ จอมมารผู้นั้นยังไม่ทันได้ออกกระบวนท่าประมุขพรรคสายนทีถึงกับเกือบสิ้นใจ หากเขาออกกระบวนท่าแล้วประมุขพรรคสายนทีคงสิ้นชื่อแน่แท้
“น้องมู่อิงโปรดยั้งมือด้วย ทุกท่านวันนี้เป็นงานศพของภรรยาน้องรองฉีฮ่าวหวังว่าทุกท่านจะไม่คิดเข่นฆ่ากันในงานอันเศร้าโศกนี้ อย่าให้ต้องเกิดเรื่องน่าสะเทือนใจขึ้นมากกว่านี้เลย”หลิวเฉินซางประสานมือกล่าวอย่างมีมารยาทยิ่ง
ท่านผู้นำกล่าวเช่นนี้ หากพวกเขาลงมือก็จะเป็นการไม่ไว้หน้าผู้นำของตนเอง เหล่าชาวยุทธ์นั้นนับว่าหาทางลงได้แล้ว
ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนถึงกับโล่งอก หากมู่อิงลงมืออีกครั้ง ไม่ทราบว่าพรรคเรือนเมฆาจะต้องแบกรับความเสียหายอีกมากมายเท่าไหร่ ลำพังเรือนหลายหลังที่ถูกทำลายไปก็ยังต้องซ่อมแซมอีกมากมาย หากมีเพิ่มขึ้นมาอีกผู้อาวุโสเช่นเขาคงกระอักโลหิตสิ้นใจเป็นแน่
ส่วนหลิวเฉินซางนะหรือ หากเขาไม่ห้ามปรามไว้คนโง่กลุ่มนี้ต้องวิ่งเข้าไปหาที่ตายแน่แท้ ฝีมีมู่อิงนั้นแม้แต่เขายังไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้เหมือนเอาแมวมาสู้กับเสือไม่มีผิด
“พี่หลิวข้าอารมณ์ดีเพียงนี้ไม่คิดสังหารคน”มู่อิงปรายตาไปทางเส้นผมของหลิวเฉินซาง ที่เขาเดินตามหลังมาก็เพราะจะได้ดูพวกมันได้อย่างเต็มที่นี่แหละ ดูหนึ่งครั้งเบิกบานหนึ่งครั้งเสียจริง เห็นทีหากอยู่ที่พรรคเรือนเมฆาลำบากมากนัก คงต้องพาหลานแฝดและหลิวเฉินซางไปเยี่ยมชมพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าเสียหน่อยแล้ว ส่วนจะเยี่ยมชมนานเท่าไหร่นั้น...จนกว่าเขามู่อิงจะเบื่ออย่างไรเล่า!
“จอมมาร! บังอาจยิ่งนัก! ถึงกับเรียกท่านผู้นำของเราว่าพี่หลิว มิใช่ว่ารู้จักสนิทสนมกันเสียหน่อย”ผู้พูดเป็นหญิงสาวร่างเล็ก ดวงหน้านั้นดูน่ารักซุกซนจนผู้อื่นอยากจะยื่นมือไปหยิกสักครั้ง นางคือธิดาของประมุขพรรคเขาสงบชื่อหยวนอี้เซียง
หยวนอี้เซียงนั้นได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสาวงามผู้เลอโฉมในยุทธภพ มีใจให้ท่านผู้นำฝ่ายธรรมมะมาตั้งแต่แรกเห็นเมื่อหลายปีก่อน เคยมาเยี่ยมเยียนเขาที่พรรคเรือนเมฆาก็หลายครั้ง หากแต่เพราะท่าทีสูงส่งของหลิวเฉินซางไม่อาจทำให้สามารถทำตัวสนิทสนมด้วยได้ง่ายดายนัก นางที่รู้จักเขามาหลายปีอย่างดียังต้องเรียกว่าท่านประมุขหลิว แต่มู่อิงผู้นี้เป็นใครกันเอาแต่เรียกพี่หลิวๆไม่หยุดปาก เป็นบุรุษแท้ๆแต่รูปโฉมงดงามยิ่งกว่าอิสตรี ฮึ!
“สตรีผู้นี้...เหตุใดจึงน่าเกลียดนักเล่า ฉางเอ๋อที่สองหากให้นางมาเป็นสาวใช้ของเจ้าเกรงว่าหน้าตายังไม่ดีพอ ท่านประมุขจะหาสาวใช้ให้เจ้าสักคนดีหรือไม่”มู่อิงมองหน้าหยวนอี้เซียงเพียงแวบเดียวก่อนที่จะหันไปมองชูปี้ฮวา
เฮ้อเขาเผลอมองหญิงขี้เหร่เข้าเสียแล้ว เช่นนี้จึงต้องมองหญิงที่งดงามกว่าเพื่อมิให้สายตาเขาบอบช้ำ
“ท่านประมุข สาวใช้ที่รับมาเมื่อหลายเดือนก่อนนั้นข้าพอใจแล้ว ไม่ต้องการเพิ่มเจ้าค่ะ”ชูปี้ฮวาตอบอย่างนอบน้อม ถึงนางจะเป็นสาวใช้ท่านประมุข แต่รับใช้ท่านประมุขเพียงผู้เดียว ถ้าไม่คอยบรรเลงพิณให้เขาฟัง ก็คอยนั่งทานอาหาร พูดคุยเป็นเพื่อน และคอยปรนนิบัติยามอาบน้ำแต่งตัวเท่านั้น ส่วนการเป็นอยู่ด้านอื่นๆนับว่าดีมาก ท่านประมุขดูแลนางดีเสียยิ่งกว่าบุตรีขุนนางด้วยซ้ำไป
“ฉางเอ๋อของข้างดงามเพียงนี้ จะให้เจ้าลำบากแม้แต่น้อยไม่ได้”มู่อิงยื่นมือแตะใบหน้าชูปี้ฮวาอย่างแผ่วเบาอ่อนโยนยิ่ง จนนางหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย ท่านประมุขถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษนะ เหตุใดคิดจะแตะหน้าผู้อื่นก็แตะได้เล่า!
ประมุขพรรคมารผู้นี้ เมื่อกี้แสดงออกชัดเจนว่าชื่นชอบเส้นผมของเขา เหตุใดจึงไปแตะหน้าผู้อื่นอย่างอ่อนโยนเช่นนั้นได้ ช่างเป็นคนจิตใจโลเลนัก! หลิวเฉินซางมิได้แสดงสีหน้าใดออกมา ต้องยอมรับว่าเขาชื่นชมมู่อิงอยู่ไม่น้อย คนผู้นี้วรยุทธ์สูงส่ง ในใต้หล้านี้คนที่เขาอยากประมือด้วยมีน้อยนักหนึ่งในนั้นคือมู่อิง
“เจ้า! จอมมารว่าใครน่าเกลียด”หยวนอี้เซียงนั้นโมโหขึ้นมาแล้ว อิสตรีนั้นจะให้อย่างไรก็อย่าบอกว่าพวกนางน่าเกลียด มู่อิงนั้นมิเคยเข้าใจอิสตรี แต่ถึงแม้จะทำให้ผู้ใดโกรธเขาก็หาสนใจไม่
“เฮ้อ!...ลองส่องกระจกมองดูหน้าของเจ้ากับฉางเอ๋อของข้าดูเถิด แล้วเจ้าจะรู้ว่าข้าหมายถึงใคร เจ้าคิดว่าพรรคมารไม่มีตาเหมือนพวกฝ่ายธรรมะหรือ ข้ามู่อิง! สิ่งสวยงามใดข้าย่อมมีตาไว้มอง แต่หากน่าเกลียดมากนักก็ไม่อยากเหลือบแล”
ชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมมะเมื่อได้ยินวาจาของมู่อิงก็จ้องมองไปยังสาวใช้ข้างกายเขาทันที สาวใช้นางนั้นงดงามยิ่งนัก ถึงจะไม่เทียบเท่ามู่อิง หากแต่ก็งดงามจนหยวนอี้เซียงเทียบไม่ติด
พรรคมารนั้นมีแต่คนงามหรือไร!
“เจ้า!!!”หยวนอี้เซียงนั้นจะชักกระบี่หมายเข้าระบายโทสะใส่มู่อิงหากแต่ท่านประมุขพรรคเขาสงบผู้เป็นบิดานั้นห้ามปรามไว้เสียก่อน
บุตรสาวผู้นี้โง่จนตาบอดไปแล้วหรือ ไม่เห็นสภาพประมุขพรรคสายนทีหรืออย่างไร อย่างนางจะทำให้เส้นผมมู่อิงไหวสักเส้นยังนับว่าทำไม่ได้
“น้องมู่เชิญ”หลิวเฉินซางผายมือเชิญมู่อิงเข้าไปในห้องโถงที่ตั้งศพของลู่เจิน ชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมมะต่างหลีกทางเดินให้เขา
ถึงจอมมารผู้นี้จะอยู่ฝ่ายอธรรม แต่ช่างงดงามยิ่งนัก บุรุษใดอยากจะไปขวางหน้าคนงามกันเล่า ที่สำคัญคนงามผู้นี้ยังสามารถสังหารพวกเขาได้โดยที่พวกเขาอาจไม่รู้ตัวว่าตายไปแล้ว
ท่านประมุขหลิวช่างกล้าหาญยิ่งนักสามารถอยู่ใกล้ชิดคนงามเช่นนี้ได้โดยไม่หวั่นไหว สมแล้วที่พวกเขายกย่องให้เป็นผู้นำ!
หลิวเฉินซางนั้นนับว่าในใจของเหล่าชาวยุทธ์ยกย่องให้เขาสูงส่งขึ้นอีกหลายส่วน
-
บทที่ 4 ชมจันทร์
การปรากฏตัวของมู่อิงนั่นทำเอาเหล่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะที่ยังอยู่ในพรรคเรือนเมฆาแตกตื่นไม่น้อย จอมมารนั้นมิได้เป็นดังเช่นที่พวกเขาคาดคิดไว้แม้แต่น้อย มิใช่แค่ไม่ดูดุดันโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงเท่านั้น หากแต่ยังงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ ทำเอาหญิงงามในยุทธภพที่พวกเขาเคยยกย่องว่างดงามนั้น กลายเป็นหญิงที่มีหน้าตาธรรมดา บางคนยังกลายเป็นคนขี้เหร่ไปเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นที่เรือนพักของมู่อิงจึงมักมีเหล่าชาวยุทธ์ชาย ทั้งหนุ่มแก่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย ต่างคนต่างอ้างว่ามาสังเกตการณ์แต่แท้จริงกลับมาเพียงเพื่อชมโฉมคนงามเท่านั้นเอง
มู่อิงนั้นนับว่าพักอยู่ที่พรรคเรือนเมฆาเข้าวันที่ห้าแล้ว บรรดาคนที่แวะมาเยี่ยมเยียนนั้นนับว่าไม่เคยขาดช่วง เขาผู้ซึ่งอารมณ์เคยเบิกบานตอนนี้นับว่าขุ่นมัวไม่น้อย แต่ที่ยังไม่สังหารคนระบายอารมณ์นั้นเป็นเพราะคืนนี้เขามีนัดชมจันทร์กับท่านผู้นำฝ่ายธรรมะอย่างไรเล่า เรียกว่าเส้นผมชองหลิวเฉินซางนั้นช่วยชีวิตผู้คนไว้มากมายนัก
แต่ก่อนที่จะถึงคืนนี้นั้น มู่อิงผู้ซึ่งไปเยี่ยมหลานแฝดและหยิกแก้มพวกเขาจนแดงช้ำมาแล้วนั้น กำลังนั่งเอนหลังชมสระบัวซึ่งมีเหล่าผีเสื้อบินว่อน เขาสั่งศิษย์พรรคเรือนเมฆาที่เฝ้าประตูไว้แล้วว่าไม่รับแขก หากปล่อยให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้ามาเขาจะ สัง – หาร – ทิ้ง!
เฮ้อ...นี่จึงนับเป็นการพักผ่อนอย่างแท้จริง สายลมที่พัดมาก็เย็นสบายเหมาะแก่การนอนกลางวันอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรมู่อิงก็นับว่าเป็นผู้รู้จักเสพสุขมากที่สุดในแผ่นดิน
ขณะที่มู่อิงกำลังจะเคลิ้มหลับนั้น ปรากฏว่าที่หน้าทางเข้าสระบัวเกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้น เสียงคนเฝ้าประตูดูแตกตื่นหวาดกลัวอย่างยิ่ง มู่อิงผู้กำลังหลับตาลงนั้นจำต้องลืมตาขึ้น
มีผู้ไม่กลัวตายคิดท้าทายเขาหรือย่างไร!
ขณะที่มู่อิงลุกขึ้นเตรียมไปสังหารคนนั้น กลับต้องล้มลงไปอีกครั้ง เขาไม่ได้ตั้งรับ และไม่คิดตอบโต้กลับ เรียกได้ว่าปล่อยให้สิ่งนั้นพุ่งชนอย่างไม่หลบหลีก ร่างทั้งร่างของมู่อิงถูกคร่อมทับด้วยสิงโตตัวใหญ่มหึมาสีขาวตลอดทั้งร่าง มันใช้ศีรษะถูไถกับใบหน้าของมู่อิงราวกับแมวตัวหนึ่ง
“ฉางเอ๋อที่หนึ่ง...มาได้อย่างไรกัน”มู่อิงยกมือขึ้นลูบไล้สิงโตตัวนั้นอย่างรักใคร่ สุ่มเสียงอ่อนโยน
“หากไม่ใช่เพราะมันมาด้วยข้าคงไม่ต้องใช้เวลาเดินทางถึงสามวัน พี่มู่อิงท่านช่างใจดำนัก ฉางเอ๋อที่หนึ่งไม่เห็นท่านมันแทบจะกินศิษย์ในสำนักแทนเนื้อวัวแล้ว”ผู้พูดเป็นหญิงสาวร่างระหงส์ในชุดสีฟ้าสดใส นางมีใบหน้าที่หวานหยด ราวกับจะปาดเอาน้ำผึ้งออกมาได้ ดวงตากลมโตใบหน้าเรียวเล็ก ดูน่ารักใคร่ทะนุถนอมยิ่งนัก คนผู้นี้คือหนานหมิงเยว่ สาวใช้ประจำตัวที่แท้จริงของมู่อิง
“เยว๋เอ๋อเจ้าก็มาแล้ว”มู่อิงลุกขึ้นนั่งโดยมีสิงโตตัวใหญ่เอาหัวเกยอยู่บนตัก นี่เรียกได้ว่ามีแต่ฉางเอ๋อที่หนึ่งเท่านั้นที่ทำได้ หากให้ผู้อื่นเห็นภาพนี้เข้าคงจะมีบุรุษมามายอยากเกิดเป็นสิงโต
“ไม่มาได้หรือเฉียนหลีผู้นั้นพอกลับไปถึงก็รับงานของพรรคแล้วหายเข้ากลีบเมฆไป เขาเป็นองครักษ์ของท่านแท้ๆ แต่ไม่คอยอารักษ์ขาอยู่ข้างกายผู้เป็นนาย อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”หนานหมิงเยว่พูดไปก็ใส่อารมณ์ร่วมไปด้วย เรียกว่าอัดอั้นตันใจสิ่งใดก็กล่าวออกมาจนหมด
“เยว่เอ๋อคงลำบากไม่น้อย”
“พี่มู่อิง ท่านได้โปรดเมตาสงสารข้าเถอะ ข้าอายุยังน้อยแต่ผมกลับใกล้ขาวเต็มที พวกท่านแต่ละคนล้วนทำตามอำเภอใจ เช่นนี้หากกลับบ้านไป ข้าจะกล่าวกับท่านพ่อว่าอย่างไร”ใบหน้าอ่อนหวานของหนานหมิงเยว่นั้นใกล้มีน้ำตาหยาดหยดลงมา
“เช่นนั้นเจ้าแต่งให้เฉียนหลีดีหรือไม่ จะได้คอยควบคุมเขาอย่างไรเล่า หญิงที่ผมใกล้ขาวนั้นหาสามีได้ยากยิ่ง”
“พี่มู่อิง! ข้าเป็นผู้ชาย!!!”หนานหมิงเยว่ตะเบ่งเสียงตอบด้วยใบหน้าแดงกล่ำ
หนานหมิงเยว่ เหตุใดต้องแต่งกายด้วยชุดของสตรีนะหรือ ตอนนั้นมู่อิงเจ็ดขวบแล้ว ท่านอ๋องผู้เป็นบิดาจึงหาเพื่อนเล่นให้เขาซึ่งก็คือหนานหมิงเยว่อายุห้าขวบ บุตรชายของพ่อบ้านใหญ่
มู่อิงผู้กำเริบเสิบสานนี้ ฐานะที่แท้จริงสูงส่งยิ่ง!
หนานหมิงเยว่นั้นหน้าตาอ่อนหวานดังอิสตรีมาแต่กำเนิด มู่อิงนั้นตอนเห็นหนานหมิงเยว่แต่งกายด้วยชุดบ่าวชายก็รู้สึกขัดหูขัดตาเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นจึงบังคับผู้อื่นแต่งกายเป็นหญิง โดยข่มขู่ว่าหากไม่แต่งกายเป็นหญิงเขาจะไม่ให้หนานหมิงเยว่ติดตาม
พอมู่อิงอายุสิบขวบก็ขึ้นเขาไปฝึกวิชา หากแต่เขาเป็นดังแก้วตาดวงใจของครอบครัวจะปล่อยให้เขาไปคนเดียวได้อย่างไร หนานหมิงเยว่ผู้โชคร้ายจึงต้องตามไปด้วย ตามไปเฉยๆคงไม่นับว่าอะไร หากแต่มู่อิงนั้นหากหนานหมิงเยว่ไม่แต่งตัวเป็นหญิงเขาห้ามเข้าใกล้ ดังนั้นบุรุษผู้หนึ่งจึงต้องแต่งตัวเป็นหญิงเพื่อคอยดูแลรับใช้มู่อิง
“เยว่เอ๋ออย่างไรเสียเจ้าคงไม่อาจหาภรรยาได้”มู่อิงพูดด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง
หนานหมิงเยว่อยากจะซัดใส่มู่อิงสักหนึ่งฝ่ามือแต่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะใครกันเล่าทำให้เขาต้องแต่งกายเช่นนี้จนผู้คนลืมเลือนไปแล้วว่าเขาเป็นบุรุษ
ตอนที่มู่อิงขึ้นเขาไปกราบอาจารย์นั้นพาหนานหมิงเยว่ไปด้วย ทำให้ท่านอาจารย์รับทั้งสองเป็นศิษย์ มู่อิงเป็นศิษย์พี่รองส่วนเขาเป็นศิษย์น้องเล็ก เพราะการแต่งตัวเป็นหญิงและคอยติดตามรับใช้มู่อิงทำให้ถูกผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าเขามีใจให้มู่อิง และมู่อิงที่ยอมให้เขาปรนนิบัติคงมีใจตอบไม่มากก็น้อย
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีศิษย์พี่ใหญ่ที่หน้ามืดตามัว ตามขอความรักจากมู่อิงไม่หยุดหย่อน เขาผู้เป็นทั้งศิษย์น้องเล็กและบ่าวรับใช้จึงต้องรับมือทั้งศิษย์พี่ใหญ่ศิษย์พี่รอง เรียกว่าชีวิตของเขาโดนมู่อิงเคี้ยวกรำมาไม่น้อย
ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความจงรักภักดีของเขาทั้งหมดได้มอบให้มู่อิงไปสิ้นแล้ว
หนานหมิงเยว่มิได้ตอบคำมู่อิงปล่อยให้ฉางเอ๋อที่หนึ่งคลอเคลียเจ้านายของมันไป ส่วนตัวเขาเองคงต้องสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่พรรคเรือนเมฆาจากชูปี้ฮวา
ในค่ำคืนที่มู่อิงมาชมจันทร์กับหลิวเฉินซางนั้นดวงจันทร์ไม่ได้งดงามกลมโตแล้วเพียงแค่ปรากฏให้เห็นเพียงเสี้ยวหนึ่ง ถึงอย่างนั้นบนท้องฟ้าก็ยังคงปรากฏดวงดาวมากมายให้ได้เชยชม แม้ไม่มีดวงจันทร์มู่อิงผู้นี้ก็ยังเสพสุขได้ สถานที่ชมจันทร์นั้นเล่า...บนหลังคาเรือนพักของมู่อิงนั้นเอง
“น้องมู่อิงนี่เป็นสุราที่ศิษย์พรรคเรือนเมฆาช่วยกันหมักขึ้นมา หวังว่าเจ้าคงจะชื่นชอบ”หลิวเฉินซางยกไหสุราขนาดไม่ใหญ่นักขึ้นมาวางบนโต๊ะ ที่เขาไม่ได้บอกเพิ่มคือนี่คือไหที่ดีที่สุด
“ขอบคุณพี่หลิวมาก”มู่อิงแย้มยิ้มอย่างงดงาม เหตุใดเขาต้องยิ้มงามกว่าปกตินะหรือ เพราะเขาคออ่อนมากอย่างไรเล่า แต่หากให้ผู้อื่นรู้ว่าประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าเช่นเขาคออ่อนราวกับทารกคงเสียหน้ายิ่งนัก มู่อิงผู้รักหน้าตายิ่งชีพจึงทำได้เพียงแย้มยิ้มออกมา
“ท่านประมุข...”ชูปี้ฮวาคิดขัดขึ้นมาหากแต่มู่อิงยกมือขึ้นปรามไว้เสียก่อน นางจึงทำได้เพียงนั่งลงหลังพิณคันเดิม
“ฉางเอ๋อที่สองเจ้าอยากบรรเลงเพลงไหนก็ตามใจ ไม่ต้องถามข้า”พูดเช่นนี้ช่างรักษาหน้าตาได้อย่างหมดจดงดงาม
หนานหมิงเยว่นั้นไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงระมัดระวังตัวมากกว่าปกติ มู่อิงเวลาเมานั้นขาดสติยั้งคิดอย่างแท้จริง เรียกว่าอยากทำสิ่งใดก็ทำ กำเริบเสิบสานกว่าปกติหลายเท่านัก
“น้องมู่อิงข้าต้องขออภัยด้วยที่หลายวันนี้เหล่าชาวยุทธ์ไปรบกวนเจ้าไม่หยุดหย่อน”เป็นเพราะท่านผู้นำฝ่ายธรรมะเองก็มีงานมากมายให้สะสาง จึงมิได้อยู่ดูแลแขกผู้ทรงเกียรติท่านนี้ตลอดเวลา ดีที่มู่อิงยังไม่ลงมือสังหารใคร เขายังไม่อยากเป็นศัตรูกับมู่อิง
ท่านประมุขฝ่ายธรรมะยกสุราขึ้นจิบจนหมดจอก
“พี่หลิวไม่ต้องเกรงใจ ความจริงแล้วข้าใจกว้างมาก”มู่อิงเองก็ดื่มรวดเดียวหมดจอกเช่นกัน
ใจกว้างหรือ พี่มู่อิงท่านเป็นคนใจกว้างตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! หนานหมิงเยว่อยากจะตะโกนคำนี้ออกไปใจแทบขาด เขาทำหน้าราวกับคนไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะทนรับวาจาของมู่อิงไม่ไหวองครักษ์เช่นเขาจึงถอยออกห่างจนไม่ได้ยินคำพูดของมู่อิงอีก อยู่ไกลเช่นนี้หากมีเหตุไม่คาดฝันเขาก็ยังไปช่วยทัน
“น้องมู่อิงได้ข่าวว่าเจ้าชื่นชมสิ่งงดงาม ที่ด้านล่างภูเขามีหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่นั่นดอกไห่ถังงดงามมาก ที่สำคัญห่างจากหมู่บ้านไปไม่ไกลยังมีบ่อน้ำพุร้อนอีกด้วย”หลิวเฉินซางผู้มีเวลาว่างทำหน้าที่เจ้าบ้านคิดพามู่อิงไปเที่ยวชมบริเวณโดยรอบพรรคเรือนเมฆา อย่างน้อยให้มู่อิงเบิกบานสักหน่อยเป็นรางวัลที่เขายับยั้งใจไม่สังหารคนพร่ำเพรื่อ
“เช่นนั้นเราไปแช่น้ำร้อนด้วยกัน”เวลาแช่น้ำต้องปล่อยผม พอปล่อยแล้วก็ต้องสระด้วยไม่ใช่หรือ มู่อิงเบิกบานใจจนต้องยกดื่มอีกหนึ่งจอก
“เอ่อ...ไม่ดีกระมัง”ท่านประมุขฝ่ายธรรมะหน้าแดงเล็กน้อย อย่างไรเสียเขาก็ว่าการอาบน้ำกับมู่อิงคงไม่ดีนัก
“ทำไมเล่า! ท่านสัญญากับข้าว่าจะให้ข้าสระผม!”ใบหน้ามู่อิงเวลานี้นั้นแดงกล่ำ เพียงสองจอกเท่านั้น ท่านจอมมารผู้เยี่ยมยุทธ์ก็เมาเสียแล้ว
“น้องมู่อิง เจ้าเมาแล้วหรือ”เพราะใบหน้าของมู่อิงนั้นแดงระเรือ ดวงตาก็ฉ่ำเยิ้มเล็กน้อย
ไม่จริงกระมัง คนผู้นี้พึ่งดื่มไปสองจอกเท่านั้น
“ข้ามู่อิง! พันจอกไม่เมา”คนเมาก็ยังรักหน้าอยู่นั่นเอง
“เช่นนั้นหรือ”ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะไม่อยากขัดใจคนเมา เขาเพียงจ้องใบหน้างดงามที่แดงระเรื่อนั้นไม่วางตา
เขาเป็นบุรุษมองคนงามก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ ยิ่งคนงามผู้นี้ใช่ว่าเวลาปกติจะสามารถจ้องหน้าเขาได้ง่ายดายนัก ที่สำคัญบรรยากาศรอบตัวมู่อิงตอนนี้ไร้ความกดดัน เป็นการปล่อยตัวตามสบายอย่างแท้จริง
“พี่หลิว ท่านบอกว่าจะให้ข้าสระผมคิดผิดคำพูดหรือ”เสียงนั้นดังขึ้นข้างหู
มู่อิงเคลื่อนกายมาอยู่ใกล้หลิวเฉินซางเมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้
“เจ้าบอกว่าอยากศึกษาวิธีการสระ”หลิวเฉินซางนั้นยอมรับว่าตกใจ แต่การที่มู่อิงเขยิบเข้าใกล้ถึงเพียงนี้เขากลับไม่ได้รังเกียจ
ใบหน้างดงามของมู่อิงนั้นแดงกล่ำ ดูงดงามเย้ายวนราวกับปีศาจ
“เช่นนั้นแช่น้ำร้อนด้วยกันก็ศึกษาไม่ได้หรือ ข้ากับท่านต่างเป็นบุรุษไม่มีอันใดต้องเสียหาย”มู่อิงนั้นตอนนี้เข้านั่งประชิดหลิวเฉินซางแล้ว เขาเอาแต่จ้องเส้นผมเหล่านั้นไม่วางตา
“น้องมู่อิง...”หลิวเฉินซางอยากบอกมู่อิงนักว่า ถึงอย่างไรหน้าตาเจ้าก็งดงามมาก หากแต่โดนศีรษะของมู่อิงอิงซบไหล่เข้าเสียก่อน
ท่านประมุขฝ่ายธรรมไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองไม่คิดผลักออก หากแต่ให้บุรุษคนหนึ่งใกล้ชิดถึงเพียงนี้โดยไม่คิดรังเกียจ
“เส้นผมของท่านงดงามงามมาก”มู่อิงจับเส้นผมปอยหนึ่งของหลิวเฉินซางขึ้นมา แววตาแฝงความหลงใหลกระจ่างชัด “ข้าชอบมาก”แล้วจึงจุมพิตเส้นผมปอยนั้น ลวนลามเส้นผมผู้อื่นตามใจปารถนา
หลิวเฉินซางโดนการกระนั้นทำให้ตกใจอย่างยิ่ง ตกใจจนหัวสมองขาวโพลนคิดสิ่งใดไม่ออก หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาทำได้เพียงแต่นั้งนิ่ง ปล่อยให้มู่อิงลูบคลำเส้นผมตามใจ
“น้องมู่อิงเหตุใดจึงเป็นประมุขพรรคมารเล่า”น้ำเสียงนุ่มทุ้มของหลิวเฉินซางแหบพร่า ความใกล้ชิดนี้ทำให้เขาได้กลิ่น แม้กระทั้งกลิ่นหอมที่ติดกายมู่อิง
“ข้าว่างมาก...น้องสาวแท้ๆไม่รักข้า...ที่นั่นใกล้ดวงจันทร์...งดงามมาก”ถ้อยคำของมู่อิงไม่ประติดประต่อ
หลิวเฉินซางไม่อาจจับใจความของมู่อิงได้ ความเป็นมาของมู่อิงลึกลับมาก คนในยุทธภพไม่รู้ว่าเขาเป็นศิษย์สำนักไหน คนผู้นี้เหมือนอยู่ๆก็โผล่ออกมา
“มู่ตาน...เจ้าใจร้ายนัก! ถึงกับแต่งงานแล้ว”เสียงของมู่อิงฟังดูอ้อแอ้อย่างยิ่ง แทบจะโถมน้ำหนักทั้งตัวมาที่เขา
มู่ตาน...คงเป็นชื่อน้องสาวแท้ๆของมู่อิง
“เส้นผมของหลิวเฉินซางงดงามมาก เป็นสีเงินยวง...สีเงิน”
มู่อิงนั้นเอาแต่พูดในสิ่งที่หลิวเฉินซางไม่เข้าใจ ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบา แต่ร่างกายกับเบียดชิดเขามากขึ้น จนมู่อิงขึ้นมานั่งอยู่บนตักเขาแล้วหลับไป
เสียงพิณของซูปี้ฮวานั้นเงียบลงไปแล้ว นางลุกขึ้นแล้วอุ้มพิณเอาไว้มองไปทางหนานหมิงเยว่ เขาจึงใช้วิชาตัวเบาเหินกลับมา
“ประมุขหลิว โปรดส่งตัวพี่มู่อิงมาทางนี้ข้าจะพาเขาไปนอน”หนานหมิงเยว่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าเป็นหญิงพากลับไปคงไม่สะดวกนัก”หลิวเฉินซางไม่รู้เหตุใดจึงไม่อยากปล่อยมือ
“ท่านไม่ต้องห่วง ข้าเป็นชาย พาเขากลับไปนอนเป็นหน้าที่ข้า”น้ำเสียงหนานหมิงเยว่แข็งขึ้นเล็กน้อย
หลิวเฉินซางยอมรับว่าตกใจหากแต่ก็ไม่คิดปล่อยมือ คนผู้นี้มองอย่างไรก็ไม่ใช้ผู้ชาย หากแต่รสนิยมแปลกประหลาดของมู่อิง การที่เขามีคนประหลาดอยู่ข้างกายคงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
“เจ้าตัวเล็กมาก ข้าจะเป็นคนพาเขาไปส่งเอง”เขาเอ่ยวาจาข่มผู้อื่นออกไปอย่างไม่รู้ตัว
หนานหมิงเยว่ถูกคำว่าตัวเล็กทำให้นิ่งค้างไป ตัวเล็กแล้วอย่างไรเล่า ถึงพี่มู่อิงจะหนักขึ้นอีกสักร้อยชั่งเขาก็แบกไว้ได้ วาจาเช่นนี้ใช่รังแกกันเกินไปหรือไม่
ชูปี้ฮวาโครงศีรษะไปมา ก่อนจะเหาะตามไป
ท่านประมุขทำบาปกับผู้ชายไว้มากมายนัก หนี้ดอกท้อแทบท่วมหัวแล้ว
++++++++++++++++++++++
หนี้ดอกท้อ = หนี้ด้านความรักค่ะ ไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่แต่ชูปี้ฮวาแค่อยากบอกว่ามู่อิงทำให้ผู้ชายมาหลงใหลหลงรักมากมายทำปาบทำกรรมด้านนี้ไว้มากจริงๆ
-
บทที่ 5 น้ำพุร้อน
หลังจากนั้นสองวันท่านผู้นำฝ่ายธรรมะก็มีเวลาว่างมากพอพาท่านจอมมารไปเที่ยวชมดอกไห่ถังและแช่น้ำพุร้อน อะไรนะ! หลังจากที่หลิวเฉินซางไปส่งมู่อิงนอนแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างนะหรือ ก็ต่างคนต่างกลับไปนอนที่เรือนของตนอย่างไรเล่า การไปชมดอกไห่ถังครั้งนี้ไม่นับว่ามู่อิงพอใจนัก ไม่ใช่ว่าดอกไม้ไม่งาม ไม่ใช่ว่าบรรยากาศไม่ดี แต่เพราะเหล่าผู้คนมากมายที่ตามมาอย่างไรเล่า! พวกฝ่ายธรรมะมากมายเหล่านี้จะตามมาด้วยทำไม
ดีที่มู่อิงพาฉางเอ๋อที่หนึ่งออกมาเดินเที่ยวด้วย จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขามากนัก มิเช่นนั้นหากคนผู้นี้เกิดโทสะขึ้นมา ถึงแม้หลิวเฉินซางจะอยู่ด้วยแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถรักษาชีวิตพวกเขาไว้ได้ทั้งหมด
ส่วนหลิวเฉินซางเดินใกล้กับมู่อิง ท่าทางสูงส่งจนคนไม่อาจเข้าใกล้
“พี่มู่อิงท่านไม่เบื่อหรืออยู่ที่พรรคเรือนเมฆานี่ก็ไม่มีอะไรให้ทำ สู้กลับไปพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าทำงานที่รับมาสนุกกว่ามากมาย”หนานหมิงเยว่เริ่มโอดครวญ เขาเข้าใจหัวอกเฉียนหลีแล้ว
“ข้ามีความสุขดี”สายตาของมู่อิงจับจ้องไปยังเส้นผมของท่านผู้นำฝ่ายธรรมะที่วันนี้ถูกรวบเป็นหางม้า ยามหลิวเฉินซางเดิน เส้นผมเหล่านั้นแกว่งไกวไปมาน่าดูนัก
“พี่มู่อิงท่านจะแช่น้ำพุร้อนกับคนพวกนี้จริงหรือ”หนานหมิงเยว่พูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ยิ่งคิดถึงรูปร่างของมู่อิงเลือดกำเดาเขาก็แทบไหลออกมา เขาที่รู้จักมู่อิงมาตั้งแต่เด็กยังมีความอดทนพอใช้ แต่ใช่ว่าผู้อื่นจะเคยชินด้วยเสียเมื่อไหร่
“กับพี่หลิวเท่านั้น หากมีผู้อื่นคิดบังอาจข้าจะสังหารมัน”มู่อิงพูดด้วยประกายตาอำมหิต
ใช่ว่ามู่อิงอ่อนข้อให้หลิวเฉินซางแล้วจะยอมอ่อนข้อให้ผู้อื่น ที่เขาไม่สนใจเป็นเพราะผู้อื่นไม่มีค่าให้เหลือบแล เขาไม่อยากจะเปลืองแรงแม้แต่สังหารมดปลวก
“น้องมู่อิงโรงเตี้ยมที่เราจะเข้าพักมีบ่อน้ำร้อนที่กว้างขวางมาก แต่ข้าไม่แน่ใจว่าที่นั่นจะมีที่พักสำหรับสัตว์เลี้ยงของเจ้าหรือไม่”หลิวเฉินซางเหลือบมองไปทางฉางเอ๋อที่หนึ่งด้วยความสนใจมาก
สิงโตใช่ว่าจะหาดูได้ง่ายดายนัก ที่สำคัญยังเป็นสิงโตเผือก ไม่รู้มู่อิงมีวิธีการฝึกเช่นไรมันถึงได้เชื่องปานนี้
“พี่หลิวไม่ต้องห่วงฉางเอ๋อที่หนึ่งจะนอนกับข้า”
“ฉางเอ๋อ?”หลิวเฉินซางมองไปทางซูปี้ฮวา คงไม่ใช่ว่าหญิงผู้นี้กับมู่อิง... ใบหน้าของหลิวเฉินซางฉายประกายตาเยียบเย็นชั่วแวบแล้วหายไป
“สิงโตตัวนี้อย่างไรเล่า มันชื่อฉางเอ๋อที่หนึ่ง”มู่อิงลูบหัวสัตว์เลี้ยงอย่างรักใคร่
“แล้วสาวใช้ของเจ้าเล่า มิใช่ว่าชื่อฉางเอ๋อเหมือนกัน”ใบหน้าของหลิวเฉินซางสุขุมเยือกเย็นดูเป็นปกติแล้ว
“นางคือฉางเอ๋อที่สอง อันดับหนึ่งกับอันดับสองอย่างไรเล่า”มู่อิงพูดด้วยความภาคภูมิใจ การตั้งชื่อของเขานับว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ฉลาดหลักแหลมอย่างยิ่ง เขามู่อิงพอใจมาก
อ้อ!...ที่แท้ก็อันดับสอง หลิวเฉินซางมองใบหน้าภาคภูมิใจของมู่อิง ดวงตาอ่อนโยนขึ้นหลายส่วนอย่างไม่รู้ตัว
“ประมุขหลิว ข้าชื่อชูปี้ฮวา”ชูปี้ฮวาเอ่ยบอกชื่อของตนเอง ท่านประมุขคงจะลืมชื่อนางไปจริงๆ ท่านประมุขไม่เรียกชื่อนางก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องพลอยให้ผู้อื่นไม่รู้จักชื่อนางไปด้วยเล่า
“ตัวเจ้าเป็นของข้า ชีวิตเจ้าเป็นของข้า วิญญาณเจ้าก็เป็นของข้า ฉางเอ๋อที่สองในเมื่อเจ้าขายชีวิตให้ข้าแล้ว ก็ไม่อาจกลับไปใช้ชื่อเดิมได้อีก”คำพูดของมู่อิงเย็นชาอย่างยิ่ง แฝงความบ่งการผู้อื่นไว้เต็มเปี่ยม สิ่งที่เขาต้องการย่อมไม่อาจให้ผู้อื่นมาขัด
ของที่เป็นของเขาแม้แต่ชื่อก็ไม่อาจให้ผู้อื่นตั้งให้
“ท่านประมุข ฉางเอ๋อทราบแล้ว”ชูปี้ฮวาก้มหน้าลงต่ำ ครั้งนี้นับว่านางกล่าวคำพูดผิดหูมู่อิงเข้าแล้ว
ตั้งแต่วันที่ก้าวเข้ามาในพรรคจันทร์กระจ่างฟ้านางก็ทราบชะตากรรมตนเองดี มิใช่แค่นางแต่มีผู้คนมากมายนักที่ขายชีวิตให้ท่านประมุข ท่านประมุขเป็นผู้มีความสามารถด้านการใช้คนผู้หนึ่ง เขานับว่ารู้จักการปกครองผู้คน มีกฎที่พึงปฏิบัติดังนั้นผู้ที่ขายชีวิตให้เขาล้วนไม่คิดทรยศหักหลัง
ชูปี้ฮวาเหลือบมองหลิวเฉินซาง
ประมุขหลิว...ข้าหวังว่าท่านจะคว้าใจของท่านประมุขเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นท่านคงต้องกลายเป็นฉางเอ๋อที่สามในสักวันแน่...
โรงเตี้ยมที่มู่อิงเข้าพักนั้นนับว่าใหญ่โตหรูหรา ต้องตามรสนิยมเขาอย่างมาก ที่สำคัญพวกชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะที่ตามมาบางคนที่ไม่ร่ำรวยมากนักจึงไม่อาจเข้าพักได้ จึงได้ไปพักที่อื่น นับว่าคนกลุ่มใหญ่สลายตัวเหลือไว้ไม่มากนัก ในจำนวนคนที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่จะเป็นบุตรสาวและบุตรชายของประมุขพรรคใหญ่ในยุทธภพ จุดประสงค์ของเหล่าจอมยุทธ์หญิงนั้นแน่นอนว่าต้องพุ่งเป้าไปที่หลิวเฉินซาง ส่วนเหล่าจอมยุทธ์ชายสายตาของพวกเขาต่างมองไปทาง ‘สามคนงามแห่งพรรคมาร’ ฉายานี้เรียกได้ว่าเหล่าชาวยุทธ์ชายเต็มใจตั้งให้ หากพวกเขารับรู้ว่าสองคนในนั้นเป็นบุรุษไม่ใช่หนึ่งอย่างที่เข้าใจ ไม่รู้ว่าจะมีคนหัวใจสลายมากมายเพียงใด
ทันทีที่กลุ่มคนที่ดูโดดเด่นนี้เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมสรรพเสียงล้วนเงียบกริบ ที่ถือตะเกียบก็ยกค้าง ที่อ้าปากก็ไม่อาจหุบได้ ดวงตาต่างจับจ้องไปที่หลิวเฉินซางกับมู่อิง
วันนี้เหล่าเทพเซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์หรืออย่างไร เหตุใดคนเหล่านี้จึงมีรูปโฉมชวนตะลึงถึงเพียงนี้
เสี่ยวเอ้อประจำโรงเตี๊ยมนับว่ารู้จักหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีเขารีบมาต้อนรับบุคคลทั้งหมด อย่างนอบน้อม เพียงแต่เหลือบไปมองสิงโตของมู่อิงใบหน้าเขาก็ซีดเผือด
“เรียนนายท่าน ไม่อาจนำสัตว์เลี้ยงของท่านเข้าพักในโรงเตี๊ยมได้ขอรับ”หากมันกัดแขกท่านอื่นจะทำอย่างไร ไม่อาจเอาชีวิตผู้อื่นมาล้อเล่นได้
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”มู่อิงหลี่ตามองเสี่ยวเอ้ออย่างไม่พอใจ
เสี่ยวเอ้อผู้ชะตาใกล้ขาดหันไปมองหน้ามู่อิง ใบหน้าเขาแดงระเรื่อพรางเอ่ยคำพูดติดๆขัดๆขึ้นมา “สิงโตตัวนี้...อัน...อันตราย...ไม่...ไม่สามารถนำเข้ามาในโรงตะ...เตี๊ยม ได้ขอรับ”
“บังอาจ! ฉางเอ๋อที่หนึ่งของข้าจะเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เจ้ากล้าขวางหรือ”น้ำเสียงของมู่อิงข่มขู่ผู้คนอย่างมาก เสี่ยวเอ้อตัวสั่นงันงก หากเขาปล่อยให้สิงโตตัวนี้เข้ามาในโรงเตี้ยมไม่รู้จะมีแขกมากมายเพียงใดที่ย้ายออกไป หลงจู๊ต้องไล่เขาออกเป็นแน่
“น้องมู่อิงเราเปลี่ยนที่พักดีหรือไม่”หลิวเฉินซางเสนอทางเลือกขึ้นมา เขาไม่อยากเห็นการเข่นฆ่าในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เขาเป็นคนพามู่อิงมาก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของมู่อิง
“ไม่! ข้าจะพักที่นี่ รวมทั้งฉางเอ๋อของข้าด้วย! หากผู้ใดคิดขัดขวาง...”
เพล้ง!!!
โต๊ะที่อยู่บริเวณโดยรอบถูกมู่อิงทำให้สลายเป็นผุยผง บรรดาจานชามข้าวของที่อยู่บนโต๊ะจึงตกลงมาแตกละเอียด แขกที่อยู่ภายในโรงเตี๊ยมต่างลุกฮือ คนที่กลัวตายล้วนวิ่งหนี คนที่สอดรู้ยังรีรออยู่ที่หน้าประตู นับว่าชุลมุนวุ่นวายเป็นอย่างมาก
“น้องมู่อิงใจเย็นก่อน”หลิวเฉินซางคว้ามือข้างที่ยังปล่อยปรานจางๆของมู่อิงเอาไว้ คนผู้นี้เอะอะก็ใช้กำลัง หากเขาไม่อยู่ด้วยไม่รู้ว่าจะมีใครห้ามปรามมู่อิงได้
ท่านผู้นำส่ายศีรษะเบาๆ มีเพียงแค่เขาทีห้ามปรามมู่อิงได้ ความคิดนี้ก็นับว่าไม่เลวนัก
“มู่อิงเจ้าใช่ทำเกินไปหรือไม่”หยวนอี้เซียงที่ตามมาด้วยเอ่ยขัดขึ้น พวกนางเป็นจอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะ จะยอมให้จอมมารมากำแหงได้อย่างไร ที่สำคัญประมุขหลิวก็เอาแต่อยู่กับคนผู้นี้ ทำให้ผู้อื่นไม่พอใจอย่างมาก ครั้งนี้ยังเป็นการทำให้นางดูเป็นวีระสตรีต่อหน้าหลิวเฉินซางอีกด้วย
บรรดาสตรีต่างคิดจะทำตามอย่างหยวนอี้เซียงโดยการขัดขวางมู่อิง เรื่องอะไรจะให้นางได้หน้าไปเพียงผู้เดียว หากแต่ยังไม่ทันอ้าปาก คำพูดของมู่อิงกลับดังขึ้นมาก่อน
“เจ้ามีปัญญาขัดขวางหรือ คิดว่าข้ามู่อิงสังหารคนมาเท่าไหร่เพื่อสิ่งที่พึงพอใจ เจ้าอยากลองมาเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นหรือไม่”น้ำเสียงมู่อิงไม่มีแววล้อเล่นประมุขพรรคเขาสงบรีบปิดปากบุตรสาวแล้วลากนางให้อยู่ห่างออกมา
บุตรสาวผู้นี้เพราะเหตุใดจึงชอบรนหาที่ตายนัก!
“นายท่าน...ได้โปรดละเว้นข้าน้อยด้วย เรื่องนี้...เรื่องนี้ต้องให้หลงจู๊หลี่เป็นผู้ตัดสินใจขอรับ”เสี่ยวเอ้อกลัวจนแทบทรงกายไว้ไม่อยู่ อยากหลั่งน้ำตาแต่ก็ไม่อาจทำได้
หลงจู๊หลี่เป็นผู้ดูแลโรงเตี๊ยมแห่งนี้ หากเกิดอะไรขึ้นก็โยนให้เขารับไปเถิด เสี่ยวเอ้อตัวเล็กๆ ไม่อาจรับสิ่งไดไหว
“งั้นก็ไปตามหมายเลขสามสิบสองมา”
“สามสิบสอง”เสี่ยวเอ้องงงวยแล้ว สามสิบสองคือผู้ได เขาไม่รู้จัก
“ขวางหูขวางตานัก ต้องให้บิดาฟาดเจ้าสักหนึ่งฝ่ามือหรือไม่”หากเจ้าคนผู้นี้ไม่ได้เป็นเสี่ยวเอที่นี่เขาคงสังหารไปนานแล้ว...
มู่อิงอยากสังหารคนขึ้นมาอีกครั้ง หลิวเฉินซางรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเขาจึงจับมือทั้งสองข้างของเขาไว้
“ไปตามหลงจู๊หลี่ของเจ้ามา! เร็ว!!!”หนานหมิงเยว่ผู้เข้าใจเหตุการณ์เป็นอย่างดีตะโกนบอกเสี่ยวเอ้อ เสี่ยวเอ้อผู้ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรจึงรีบวิ่งไปตามหลงจู๊หลี่อย่างรวดเร็ว
หลงจู๊หลี่ผู้ได้ฟังความจากเสี่ยวเอ้อรีบรุดมาที่เกิดเหตุ ทันทีที่เขาเห็นบุรุษรูปโฉมงดงามในชุดสีแดงก็รีบโค้งคาระวะอย่างนอบน้อม ก้มหัวลงต่ำจนแทบไม่สามารถจะต่ำได้อีก
“คารวะนายท่าน ข้าน้อยหมายเลขสามสิบสองขอรับ ข้าไม่ทราบว่านายน้อยมาเยือน นายน้อยโปรดเมตตาบ่าวไพร่ด้วย”น้ำเสียงหลงจู๊หลีเคารพนบนอบเป็นอย่างมาก เขาแทบจะลงไปคุกเข่าอยู่รอมร่อ
เสี่ยวเอ้อผู้นี้ไปล่วงเกินใครไม่ล่วงเกิน บังอาจล่วงเกินน้องชายนายท่านสามเจ้าของโรงเตี๊ยม กิจการของนายท่านสามมีอยู่ทั่วแผ่นดิน กิจการทุกแห่งหลงจู๊ผู้ดูแลจะถูกเรียกเป็นหมายเลขตามลำดับที่เปิดกิจการขึ้นมา ล่วงเกินนายท่านสามเขายังใจกว้างให้อภัยได้ แต่หากล่วงเกินน้องชายนายท่าน...เฮ้อ...หลงจู๊หลี่คงต้องเปลี่ยนเสี่ยวเอ้อใหม่เสียแล้ว
“เจ้าไปจัดเตรียมที่พักของข้า”มู่อิงนั้นกลับมาสงบราบเรียบอย่างน่าตกใจ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นกิจการของพี่สามมู่ตง เขาไม่อาจสังหารผู้คนในความปกครองของพี่ชายได้
“เรือนชมจันทร์นั้นถูกจัดเตรียมไว้ตลอดเวลาขอรับ นายท่านสามยังกำชับว่าหากนายน้อยมาพักที่นี่ให้ดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่องขอรับ”
“ดี!”เช่นนี้จึงจะสมกับเป็นพี่สาม
มู่อิงพอกล่าวถึงพี่ชาย ความกดดันรอบตัวเขาก็ลดลงจนแทบไม่เหลือ แต่ละคนแต่ละท่านจึงได้เข้าพักโดยไร้เรื่องราว
ท่านประมุขพรรคมารนั้นพอได้ที่พักสมใจ และโดนหลงจุ๊หลี่ปรนนิบัติพัดวีจนอารมณ์ดีขึ้นมากแล้วนั้น เขาจึงให้ซูปี้ฮวาไปส่งข่าวกับหลิวเฉินซางว่าเย็นนี้เขาเชิญมาแช่น้ำร้อนด้วยกัน หวังว่าพี่หลิวจะไม่ลืมข้อตกลง...ก็ข้อตกลงเรื่องสระผมอย่างไรเล่า มู่อิงนั้นหากไม่ได้สัมผัสเส้นผมเหล่านั้นคงไม่อาจพอใจได้
หลิวเฉินซางนั้นไม่อาจปฏิเสธได้ เขารับปากผู้อื่นไว้แล้วก็ต้องทำตาม แต่มู่อิงผู้นี้อยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกันยังต้องให้ผู้อื่นมาส่งข่าวด้วยหรือ ใช่เกียจคร้านเกินไปหรือไม่
ความจริงมู่อิงนั้นเป็นผู้ชื่นชอบความสบายและสุขสำราญ เขาต้องการเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดในแผ่นดิน หลิวเฉินซางนั้นนับว่าต้องเรียนรู้อีกมาก
ในสระน้ำร้อนขนาดใหญ่นั้นมีควันลอยขึ้นมาอ้อยอิ่ง น้ำนั้นไม่นับว่ากระจ่างใสแต่ก็ไม่ได้ขุ่นมัว ทำให้เห็นรูปร่างของผู้ที่แช่อยู่เพียงเลือนราง ร่างกายตั้งแต่ช่วงไหล่ลงมาของท่านประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้านั้นแช่อยู่ในน้ำ ใบหน้าผ่อนคลายและพึงพอใจอย่างมาก หลิวเฉินซางนั้นแจ้งมาแล้วว่าอาจจะมาช้าเล็กน้อย มู่อิงจึงมาแช่น้ำก่อน โดยมีหนานหมิงเยว่คอยปรนนิบัติและฉางเอ๋อที่หนึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตู
หลิวเฉินซางที่พึ่งมาถึงนั้นฉางเอ๋อที่หนึ่งเพียงแค่มองดูเขาก่อนจะปล่อยผ่านเข้ามาอย่างง่ายดาย บ่อน้ำร้อนของเรือนชมจันทร์นั้น แยกออกมาจากเรือนพักอื่น ใหญ่โตและหรูหราอย่างมาก เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่ามู่อิงนั้นจะรู้จักกับเจ้าของโรงเตี๊ยม ท่าทางของหลงจู๊หลี่ที่แสดงต่อเขาก็เคารพยำเกรงมาก แสดงว่าฐานะที่แท้จริงของมู่อิงต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลิวเฉินซางเห็นมู่อิงแช่อยู่ในน้ำทั้งตัว มีเพียงไหล่ขาวผ่องให้เห็นเท่านั้นก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี คนผู้นี้แค่มองไหล่ก็รู้สึกว่าโดนยั่วยวนแล้ว
ก่อนที่หลิวเฉินซางจะก้าวลงสระ มู่อิงก็ลืมตาขึ้นมา แล้วจ้องมองสำรวจเรือนร่างของผู้อื่นอย่างเหิมเกริม เขาจ้องหลิวเฉินซางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วลอบชื่นชมว่ารูปร่างของคนผู้นี้ ‘ไม่เลว’ ผิวของหลิวเฉินซางนั้นไม่ได้ขาวกระจ่างใสดังเช่นมู่อิง หากแต่ก็เรียบเนียน ร่างกายมีเส้นสายและมัดกล้ามที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งบุรุษเพศ สมแล้วที่หญิงสาวเหล่านั้นชื่นชอบเขาอย่างมาก คนผู้นี้ไม่มีที่ติจริงๆ มู่อิงอยากคารวะชาสักจอก
“พี่หลิวน้ำร้อนที่นี่ช่วยให้ผ่อนคลายอย่างมาก ความร้อนกำลังดี”มู่อิงเอ่ยปากขึ้นหลังจากที่หลิวเฉินซางก้าวลงในน้ำเรียบร้อยแล้ว
“ใบหน้าของเจ้าดูผ่อนคลายขึ้นมาก”
“ท่านไม่นำบ่าวรับใช้มาปรนนิบัติหรือแล้วจะสระผมอย่างไร เช่นนั้นข้าทำให้ดีหรือไม่”แววตาของมู่อิงนั้นเปล่งประกายอย่างมาก
“ปกติถ้าต้องออกนอกสำนักข้าจะไม่พาบ่าวรับใช้ไปด้วย”เขาชอบทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
“แต่ข้าชอบ ข้าชอบให้ผู้อื่นคอยปรนนิบัติ”
“เพราะท่านรักสบายจนเคยตัวอย่างไรเล่า”หนานหมิงเยว่ที่ยื่นอยู่มุมหนึ่งเอ่ยขึ้นมา คนผู้นี้ชื่นชอบรังแกเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเป็นที่สุด ทั้งยังพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
“คนที่รู้ใจข้าที่สุดก็ยังคงเป็นเยว่เอ๋อสมแล้วที่ข้าโปรดปราน”น้าเสียงของมู่อิงฟังดูอ่อนโยนมาก แต่ก็แฝงความชั่วร้ายอยู่หลายส่วน เขามองหนานหมิงเยว่ที่สวมชุดสตรีเต็มยศด้วยความพึงพอใจ
“พี่มู่อิงท่าน!”
“เขาเป็นต่วนซิ้ว?”หลิวเฉินซางเอ่ยคำถามที่ค้างคาใจ
“ข้าไม่ใช่!”หนานหมิงเยว่ยังไม่ทันได้เอ่ยจบ มู่อิงก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“เขาเป็นคนที่คอยดูแลข้า สำหรับข้าเขาเป็นน้องสาว แต่สำหรับผู้อื่น...ต่วนซิ้วก็ไม่เลวนัก”
“พี่มู่อิง! นับวันท่านก็ยิ่งรังแกข้ามากขึ้นเชิญชื่นชมเส้นผมประมุขหลิวของท่านไปเถิด”หนานหมิงเยว่ตะบึงตะบอนออกจากห้องน้ำไป
คนผู้นี้นี่ ยังไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ เช่นเขามู่อิงนี่อย่างไร ควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก!!!
“เยว่เอ๋อไม่อยู่ ข้าจะช่วยท่านสระผมดีหรือไม่”มู่อิงลุกยืนขึ้นเดินเข้าไปหาหลิวเฉินซาง ท่อนล่างตั้งแต่เอวลงมายังคงแช่อยู่ในน้ำ ส่วนท่อนบนนั้นเล่า...
ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะนั้นหัวใจเต้นรัวขึ้นมาทันที มู่อิงนั้นผิวขาวผ่องทั้งยังเรียบเนียนราวหยกชั้นดี ถึงเป็นผู้ฝึกยุทธ์หากแต่ไม่ได้มีกล้ามเนื้อมากมายนัก ช่วงแขนนั้นทั้งกลมกลึงทั้งเรียวยาว ช่วงลำตัวนั้นดูบอบบางอย่างยิ่ง ตั้งแต่ช่วงอกไปจนถึงหน้าท้องแบบราบนั้นมีลักษณะเส้นสายของกล้ามเนื้อให้เห็นเพียงรางๆ ทั้งขาวทั้งเนียนน่าลูบไล้อย่างยิ่ง ผิวพรรณเช่นนี้หากบรรดาสตรีมาเห็นคงต้องอิจฉาตาร้อนเป็นอย่างมาก ยิ่งมองเห็นทับทิมสีแดงระเรื่อสองเม็ดนั้น...ช่างชวนให้ผู้คนอยากข่มเหงรังแกเขาเสียจริง
มู่อิงนั้นพอเดินเข้ามาใกล้เส้นผมของหลิวเฉินซางก็ตรงเข้าจับทันที
“พี่หลิวท่านหันหลังหน่อยได้หรือไม่”เพราะหลิวเฉินซางนั่งพิงขอบสระเขาจึงจับไหล่ให้หลิวเฉินซางหันหลัง นั่งพิงขอบสระเช่นนี้เขาจะสระผมได้อย่างไร
หลิวเฉินซางนั้นยิ่งมู่อิงเข้าใกล้ เขาก็ยิ่งควบคุมตนเองยากยิ่งขึ้นทุกที กว่าจะรู้ตัวมู่อิงก็จับเส้นผมของเขา ส่วนเขานั้นเล่าใช้ปากประกบริมฝีปากแดงระเรื่อของผู้อื่น
มู่อิงนั้นตกใจมากตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน เพียงเคยเห็นจ้าวเทียนหลงทำเช่นนี้กับมู่ตาน คนผู้นั้นบอกว่าคนรักกันจึงจะทำเช่นนี้ได้ เขาเพียงแต่ชื่นชอบเส้นผมของหลิวเฉินซาง เช่นนั้นสามารถทำได้หรือไม่ ไม่ทันครุ่นคิดเสร็จมู่อิงก็ถูกจูบจนเคลิบเคลิ้ม ถูกจูบจนคิดต่อไม่ได้ ถูกจูบอยู่นานจนกลับออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพไหนยังจำไม่ได้ ริมฝีปากของเขาบวมเปล่ง ดูเย้ายวนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
มู่อิงรู้สึกเพียงว่าเขาขาดทุนยิ่งนัก ได้จับเพียงแค่เส้นผมหลิวเฉินซาง แต่คนผู้นั้นกลับลูบไล้ร่างกายเขาแทบทุกส่วน!!!
มู่อิงคงจะลืมไปแล้วว่า เขาไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน อีกทั้งยังไม่ได้คิดสังหารหลิวเฉินซาง...
+++++++++++++++++
ต่วนซิ้ว = ชายรักชายค่ะ
ลงเท่าเด็กดีแล้วนะคะ ยังค้างตอนพิเศษอีกหนึ่งตอน
-
:impress2: ขาดทุนมากค่ะพี่มู่อิงคนงาม
รอต่อค่ะ
-
โอ้ยชอบค่ะ!!!มู่อิงคนงามล้ำช่างใสซื่อ พี่หลิวท่านก็คดโกงไปนะค้ากำไรเกินควรไปอย่างมาก แต่ถูกใจข้ายิ่งนัก!
ชอบๆๆๆๆๆ ต่ออีกนะคะ เลิฟ~~~
-
มู่อิง...จอมมารผู้นี้นั้นแท้จริงมีฐานะสูงส่งยิ่ง พ่อของเขานั้นคือมู่อ๋องเป็นถึงลูกพี่ลูกน้องกับจักรพรรดิองก่อน ท่านปู่ของเขากับจักรพรรดิผู้เป็นบิดาของจักรพรรดิองค์ก่อนนั้นเป็นบุตรชายซึ่งกำเนิดจากมารดาเดียวกัน เรียกได้ว่าความสัมพันธ์แนบแน่นยิ่งนัก มาถึงรุ่นพ่อของมู่อิง มู่หยงป๋อนั้นให้กำเนิดบุตรชายทั้งสิ้นสามคน อันได้แก่แม่ทัพใหญ่มู่หรง มู่ชิงบุตรชายคนรองเป็นเพียงบัณฑิต มู่ตงบุตรชายคนที่สามนั้นเป็นพ่อค้า จากนั้นมาจึงมีลูกหลงเป็นฝาแฝดชายหญิงคือมู่อิงกับมู่ตาน ตอนที่ให้กำเนิดมู่อิงกับมู่ตานนั้นพระชายาดีใจยิ่งนึกว่าให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝดถึงสองคน ถึงแม้จะรู้ว่ามู่อิงเป็นชายก็ยังคงตามอกตามใจเขาดังเช่นที่รักลูกสาว
มู่อิงนั้นตั้งแต่เล็กไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา คนที่เขาจะฟังคำนั้นมีเพียงพี่สาวมู่ตานและท่านแม่ของเขาเท่านั้น ส่วนมู่หยงป๋อนั้นเรียกว่าอุทิศตนเองเป็นทาสลูกแฝดเสียแล้ว เพราะอายุที่ห่างจากบรรดาพี่ชายค่อนข้างมากสองฝาแฝดจึงได้รับการตามอกตามใจ รักใคร่โปรดปราณจากทุกคนในจวน กอปรกับทั้งสองหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราดูเหมือนกันดังส่องดูกระจก เรียกว่าขอเพียงสองแฝดต้องการสิ่งใด ท่านอ๋องและบรรดาพี่ชายถึงพลิกแผ่นดินก็ต้องหามาให้ได้
มู่อิงนั้นนับแต่รู้ความเขาก็บอกกับทุกคนว่าถึงแม้จะเกิดทีหลัง หากเขาเป็นชายสมควรได้เป็นพี่ หากไม่ให้เป็นเช่นนั้นเขาคงเสียใจมาก จากนั้นก็ร้องไห้จนท่านอ๋องและพระชายาร้อนใจ มู่ตานพี่สาวจึงยินยอมให้เขาเป็นพี่ มู่ตานนั้นนับว่าใจเย็นสมเป็นพี่สาว ส่วนมู่อิงเอาแต่ใจดังลูกชายคนเล็ก
หากจะพูดถึงความกำเริบเสิบสานของมู่อิงนั้นเรียกว่าเขามีสิ่งนี้เป็นพรสวรรค์ก็คงได้ ครั้งแรกที่เขาเข้าวังตอนสองขวบนั้นถึงกับปีนไปนั่งบนตักฮ่องเต้ แล้วหลับไปเป็นเช่นนี้จนทุกคนเห็นเป็นเรื่องปกติ ส่วนฮ่องเต้นั้นเล่าก็โปรดปรานหลายชายคนนี้ยิ่งนัก ไม่ว่าสิ่งใดก็ให้ท้ายมู่อิงเสมอ
ส่วนฮ่องเฮานะหรือ ถึงมู่อิงจะเป็นพระญาติทางฝั่งฮ่องเต้แต่เด็กน้อยผู้นี้หน้าตาน่ารักยิ่งนัก เวลามู่อิงมาเที่ยวเล่นจึงมักนั่งเคียงข้างฮองเฮาจ้องมองหน้าตาอันงดงามพรางชื่นชมว่า เสด็จป้า ‘สวย’ เช่นนี้เขาชอบมาก เรียกได้ว่าเหล่าสนมนางใน ไม่เว้นแม้แต่นางกำนัล หากผู้ใดรูปโฉมงดงาม เขาล้วนเคยจับต้องมาแล้วทั้งสิ้น ทั้งจับมือ ลูบหน้า หอมแก้ม เด็กน้อยนามมู่อิงล้วนเคยทำมาแล้ว
ตอนหกขวบนั้นมู่อิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูราวกับตุ๊กตาตัวน้อยๆ สนมนางในแต่ละนางล้วนชื่นชอบเขาอย่างยิ่ง เวลานั้นเขาเดินไปที่ใดก็ต้องมีเสียงเรียกท่านอ๋องน้อยมู่พร้อมกับการทำความเคารพอย่างนอบน้อม แต่กลับมีคนผู้หนึ่งทำให้เขารู้สึกขวางหูขวางตา คนผู้นั้นคือองค์รัชทายาทจ้าวเทียนหลงนั่นเอง
จ้าวเทียนหลงนั้นทำสิ่งใดขวางหูขวางตามู่อิงนะหรือ สิ่งที่เขาทำก็คือทำตัวสนิทสนมกับมู่ตานอย่างไรเล่า จ้าวเทียนหลงนั้นแทบจะเรียกว่าแย่งมู่ตานไปจากมู่อิง
เพราะเหตุนั้น เรียกได้ว่าเขาเห็นรัชทายาทที่ไหนเป็นต้องปรี่ไปรังแกทุบตี ฮ่องเต้นั้นไม่อาจหักใจตำหนิหลายชายสุดที่รัก ส่วนฮองเฮานะหรือ พระนางเพียงทำไม่รู้ไม่เห็นแล้วกัน บุตรชายของพระนางแก่กว่ามู่อิงจะยอมให้น้องทุบตีออกกำลังกายสักหน่อยจะเป็นไรไป จนมู่ตานทนไม่ไหวต่อว่ามู่อิงไปหลายคำ มู่อิงนั้นรักมู่ตานอย่างยิ่งพอโดนต่อว่าจึงยิ่งไม่พอใจจ้าวเทียนหลง คิดว่าคนผู้นี้ต้องเกิดมาเพื่อแย่งมู่ตานไปจากตนเป็นแน่ หากแต่จ้าวเทียนหลงมีฝือมือต่อสู้อยู่บ้าง ทำให้มู่อิงรังแกได้ไม่สะดวกนัก ดังนั้นเขาจึงเฝ้าค้นหาอาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธ์
พอสิบขวบมู่อิงจึงขึ้นเขาไปกราบอาจารย์ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่จ้าวเทียนหลงสงบสุขอย่างแท้จริง เขาสามารถมีช่วงเวลาอันแสนสุขกับน้องมู่ตานที่อ่อนหวานน่ารัก ปราศจากปีศาจน้อยเช่นมู่อิงคอยก่อกวน ใช่ว่าเขากลัวมู่อิง หากแต่เสด็จพ่อโปรดปรานหลานชายผู้นี้ยิ่งนัก หากมู่อิงต้องการครองบัลลังตำแหน่งรัชทายาทคงมีการเปลี่ยนตัวเป็นแน่
ในที่สุด...รัชทายาทเช่นเจ้าเทียนหลงจึงมีช่วงเวลาที่สงบสุขไม่ต้องระแวงว่าจะโดนปรี่เข้ามาทุบตี ตำแหน่งรัชทายาทของเขาก็ยังคงรักษาไว้ได้ หวังแต่ว่าพอมู่อิงกลับมา เวลานั้นเขาคงหลอกล่อน้องมู่ตานเข้าแหตนเองสำเร็จ!
-
:L2:
-
มู่อิง ตอนพิเศษ 2
มู่อิงตอนอายุได้แปดขวบนั้นก็ยังคงเป็นที่รักใคร่โปรดปรานของทุกผู้ ยามนั้นวังหลวงกำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับทูตของแคว้นเจี้ยน เวลานั้นเขาพึ่งแปดขวบไม่ได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงาน หากแต่ญาติผู้พี่จ้าวเทียนหลงกลับสามารถไปร่วมงานได้ จ้าวเทียนหลงแก่กว่าขาเพียงสี่ปีอายุเพียงสิบสองเหตุใดจึงไปร่วมงานได้ อีกทั้งคนที่ติดตามรับใช้เขายังเป็นขันทีน้อยอายุแค่สิบขวบแก่กว่ามู่อิงเพียงไม่กี่ปี เช่นนี้เขาที่อายุแปดขวบหากอยากจะไปร่วมงานเลี้ยงมีเหตุอันใดไม่เหมาะ
เย็นวันนั้นมู่อิงผู้มีแผนการอยู่ในใจจึงรบเร้าตามพี่ใหญ่มู่หรงเข้าวัง
มู่หรงนั้น เพียงมู่อิงเอ่ยคำขอใดออกมา เขาไม่มีความสามารถแม้แต่จะอ้าปากปฏิเสธ หากน้องชายผู้นี้จะเสียคนก็อย่าได้โทษเขาเลย แค่เห็นใบหน้าน่ารักนั่นกอปรกับเสียงใสๆพี่ชายผู้นี้ก็แทบจะสอยดาวเดือนมาถวายอย่าว่าแต่จะตามไปที่วัง หากน้องชายอยากพาเขาไปลงนรกเขาคงได้แต่พยักหน้ายิ้มเท่านั้น มู่หรงได้แต่พึมพำในใจ
ท่านพ่อหน้าที่ดูแลสั่งสอนมู่อิงคงต้องยกให้ท่านแล้ว พี่ใหญ่เช่นข้าไม่มีความสามารถพอ...
แต่อนิจจา...มู่หรงคงลืมไปว่าท่านอ๋องมู่หยงป๋อนั้นตามใจมู่อิงยิ่งกว่าเขาเสียอีก
นิสัยเสียของมู่อิงนั้นถูกบ่มเพาะมานานนักหนา ตั้งแต่เขาเกิดมาหน้าที่อบรมสั่งสอนบุตรชายเป็นของบิดา ส่วนบุตรสาวเป็นของมารดา จะให้พระชายาสั่งสอนเขาเย็บปักถักร้อย ชงชาจัดดอกไม้ หรือมารยาทกุลสตรีหรืออย่างไร เช่นนั้นลูกชายยังเหลือความองอาจอยู่หรือ หน้าที่ดูแลอบรมสั่งสอนมู่อิงจึงตกอยู่ในมือของท่านอ๋องนั่นเอง นอกจากหาอาจารย์มาสอนหนังสือแล้ว ยังสอนพิณ ภาพ หมากล้อม ขาดแต่หมัดมวย จะให้เขาทนดูบุตรชายสุดที่รักโดนต่อยตีนั้นบิดาย่อมไม่อาจทำใจได้ หมัดมวยจึงต้องเว้นไว้ก่อน รอมู่อิงเติบใหญ่อีกสักหน่อย ที่สำคัญมู่อิงยังมีพรสวรรค์ด้านนี้ไม่น้อย เช่นที่เขาต่อยตีองค์รัชทายาทนั่นประไร เห็นได้ชัดว่าหากเรียนช้าไปปีสองปีฝีมือบุตรชายคนเล็กยังคงดีมาก
ท่านอ๋องนั้นนับว่ามองฝีมือด้านวรยุทธ์ของมู่อิงไม่ผิดเลย เขามีพรสวรรค์ด้านนี้อย่างมากจนกลายเป็นจอมมารที่ผู้คนทั้งยุทธภพหวาดกลัว แต่นั้นเป็นเรื่องในอีกหลายปีข้างหน้า
ยามนี้นั้นมู่อิงที่ถูกรักใคร่ตามใจจนเสียคนกำลังเบ่งกล้ามอยู่ที่ตำหนักรัชทายาท
“เสี่ยวหยวนจื่อถอดเสื้อผ้าเจ้าออกมาได้แล้วอย่าชักช้า!”เสียงหวานใสนั้นฟังดูเอาแต่ใจไม่น้อย จะเป็นผู้ใดไปได้นอกจากตุ๊กตากระเบื้องแห่งจวนมู่อ๋อง มู่อิงนั่นเอง
“ท่านอ๋องน้อย...เสี่ยวหยวนจื่อกลัว...ฮื่ออออ”เสียงร้องไห้ของเสี่ยวหยวนจื่อน่าเวทนาอย่างยิ่ง แต่ท่านอ๋องน้อยผู้มีหน้าตาน่ารักราวกับตุ๊กตากระเบื้องผู้นั้นกลับถลึงตาจ้องเขาไม่หยุด
ท่านอ๋องน้อย...ตำแหน่งนี้คงเป็นของมู่อิงแน่แล้วก็ท่านอ๋องมู่โปรดปรานเขาออกปานนั้น
“ข้าบอกให้ถอด!!! ที่สำคัญข้าไม่เป็นอ๋อง บิดาจะเป็นอันธพาล”เป็นอ๋องไม่เห็นมีอะไรดี ยังต้องทำงานรับใช้ราชสำนัก เขาเห็นอันธพาลข้างถนนไม่ต้องทำงานทำการรีดไถผู้คนเสพสุขไปวันๆเป็นใช้ได้
“ฉีกงกงต้องตีเสี่ยวหยวนจื่อจนตายแน่...ฮื่อ...ท่านอ๋องน้อยโปรดละเว้นเสี่ยวหยวนจื่อ...องค์รัชทายาท...”เสี่ยวหยวนจื่อหันใบหน้าที่เปื้อนทั้งน้ำมูกน้ำตาไปที่รัชทายาท แต่จ้าวเทียนหลงทำเพียงแค่เบือนหน้าหนี
เขาไม่อยากขัดใจมู่อิง แค่นี้ก็โดนเขม่นจนเขาแทบเอาตัวไม่รอดแล้ว
“ฉีกงกงใหญ่กว่าข้าหรือ เสี่ยวหยวนจื่อ...จริงๆแล้วเจ้าอยากไปชมความสนุกในงานเลี้ยงเลยหาข้ออ้างไม่ยอมให้ข้าไปใช่หรือไม่...”มู่อิงเปลี่ยนท่าทีจากวางอำนาจมาเป็นเหงาหงอยอย่างยิ่ง
“...” เสี่ยวหยวนจื่อผู้ที่น้ำมูกน้ำตายังคงไหลนั้นเริ่มรู้สึกว่าเป็นความผิดของเขาเองที่หวาดกลัวมากเกินไป ท่านอ๋องน้อยอยากไปมากเพียงนี้เขาจะทนใจดำได้เชียวหรือ
“เสี่ยวหยวนจื่อ ขันทีน้อยในวังมีแต่เจ้าที่ได้เข้าร่วม ชุดพิธีการของเจ้าก็มีเพียงชุดเดียว หากมีวิธีอื่นข้าจะมาบีบบังคับเจ้าหรือ...ข้าเองก็อยากไปร่วมงานมากฮึก”มู่อิงเอามือปิดหน้าไหล่สั่นสะท้าน
“ท่านอ๋องน้อยอย่าร้องไห้ เสี่ยวหยวนจื่อถอดแล้ว! ถอดแล้ว!!!”เสี่ยวหยวนจื่อนั้นแค่คิดว่ามู่อิงกำลังร้องไห้เขาก็รีบลนลานถอดชุดของตนเองออกด้วยความตกใจ
น้ำตาของท่านอ๋องน้อยนั้นเสี่ยวหยวนจื่อไม่อาจรับไว้ได้ โทษที่เขาทำผิดไม่ทำหน้าที่ติดตามรับใช้องค์รัชทายาทนั้น ไม่หนักเท่ากับโทษที่ทำให้ท่านอ๋องน้อยเสียน้ำตา ในวังหลวงแห่งนี้นั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่บังอาจขัดใจมู่อิง หลังจากที่เขาลนลานถอดชุดเสร็จก็วิ่งหนีไปทันที เสี่ยวหยวนจื่อผู้น่าสงสารต้องไปหาชุดใส่เสียก่อน
“น้องมู่อิง นับวันฝีมือของเจ้าก็ยิ่งร้ายกาจ พี่ชายนับถือ นับถือ”หลอกจนเสี่ยวหยวนจื่อรีบลนลานถอดชุดให้ ปีศาจน้อยนับว่ายิ่งเติบโตตบะยิ่งกล้าแกร่ง
“หึ! ใครใช้ให้เขาไม่ยอมถอดดีๆตั้งแต่แรก”ใบหน้ามู่อิงที่เงยขึ้นมานั้นกระจ่างใสอย่างมาก ไม่มีแม้แต่คราบน้ำตาสักหยด
เพราะเหตุนี้ยามที่องรัชทายาทเสด็จมาในงานจึงมีขันทีน้อยหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มพริ้มเพราเดินตามหลังมาด้วย
ทันทีที่ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางเห็นขันทีที่ตามองค์รัชทายาทเข้ามาแทบทำถ้วยสุราหลุดมือ ฮ่องเต้นั้นตกใจอย่างมาก ทำไมหลานชายสุดที่รักของพระองค์จึงปรากฏตัวในงานนี้ได้ สถานที่นี้มีทั้งการดื่มสุราและนารีจะปล่อยให้เด็กน้อยใสซื่อเช่นมู่อิงเห็นได้อย่างไร
ส่วนเหล่าขุนนางนั้นหลั่งเหงื่อเย็นไม่หยุด มู่อิงปรากฏตัวที่ไหน ที่นั่นเกิดภัยพิบัติ!!!
มีเพียงทูตจากต่างแคว้นเท่านั้นที่ไม่รู้ถึงความผิดปกตินี้ พอรัชทายาทปรากฏตัว เขาก็กล่าวคำชมเชยไม่หยุดปาก จนมู่อิงที่อยู่ด้านหลังต้องขมวดคิ้วในคำชมเกินจริงนั้น
จนจ้าวเทียนหลงนั่งประจำที่ มู่อิงจึงต้องนั่งลงเยื้องไปข้างหลังเขา
“เจ้าทูตต่างแคว้นนั่นพูดมากจริงๆ ทำราวกับว่าท่านเป็นเทวดาที่ลงมาจากสวรรค์”เสียงของมู่อิงดังขึ้นด้านหลังจ้าวเทียนหลง น้ำเสียงนั้นแฝงความไม่พอใจเต็มเปี่ยม
จ้าวเทียนหลงนั้นเขาไม่เห็นว่าดี ผู้อื่นจะเห็นว่าดีได้อย่างไร
“น้องมู่อิง เขาแค่พูดไปตามมารยาท”จ้าวเทียนหลงไม่ถือสาคำพูดของมู่อิง หากเขาถือสาน้องมู่อิงละก็ป่านนี้เขาคงอกแตกตายไปนานแล้ว
“ฮึ! คนผู้นี้ข้าไม่ชอบใจ ท่านส่งขนมมาให้ข้าหน่อย เย็นนี้ข้ายังไม่ได้ทานอาหารเลย หิวยิ่งนัก”มู่อิงชี้มือไปที่จานขนมหน้าตาน่ากินที่อยู่ตรงหน้ารัชทายาท
“ได้ๆ น้องมู่อิงทานเยอะๆนะ”
ภาพองรัชทายาทประคองจานขนมส่งให้ขันทีน้อยเป็นภาพแปลกตาสำหรับทูตแคว้นเจี้ยนยิ่งนัก เขานึกดูถูกรัชทายาทอยู่ในใจ รวมทั้งเหล่าขุนนางแคว้นเว่ยที่ไม่ทักท้วงในเรื่องนี้แม้แต่คนเดียว เขาจึงคิดเอาหน้าด้วยการทักท้วงแทนองค์รัชทายาท โดยหารู้ไม่ว่าที่เหล่าขุนนางไม่คิดทักท้วงเพราะเห็นเป็นเรื่องชินตาเสียแล้ว ท่านชายน้อยมู่อิงนั้นไม่ว่าทำอะไรก็ไม่เคยผิดเลยสักอย่างเดียว แม้มีศีรษะมากมายให้ตัดก็อย่าคิดไปขัดใจเขา
“ขันทีผู้นี้บังอาจนัก! ถึงกลับกล้าล่วงเกินองค์รัชทายาท!”เสียงท่านทูตแคว้นเจี้ยนไม่เบานัก ทำให้ทุกสายตาหันมามองเขา เสียงขุนนางแคว้นเว่ยสูดหายใจเสียงดังด้วยความตื่นตระหนก คนผู้นี้ถึงกลับกล้าชี้หน้ามู่อิง
ทูตแคว้นเว่ยถึงกับยิ้มลำพองใจ เหล่าขุนนางแคว้นเว่ยคงคิดว่าเขามีความกล้าหาญมากเป็นแน่ โดยไม่สังเกตเห็นคิ้วที่ขมวดเป็นปมของฮ่องเต้เลย
อนิจจา...มู่อิงนั้นแม้แต่ตัวฝ่าบาทเองยังไม่เคยดุว่าเขาเลยสักคำ
“พี่เสี่ยวหลง คนผู้นั้นว่าข้าหรือ”มู่อิงถามจ้าวเทียนหลงด้วยใบหน้าใสซื่อ เอียงหัวน้อยๆอย่างน่ารัก
ทูตแคว้นเจี้ยนเห็นเขาไม่กลัวทั้งยังถามกลับ จึงทั้งโมโหทั้งเสียหน้า คิดไปลากเขามาตีสั่งสอน
หากแต่มือราชทูตแคว้นเจี้ยนยังไม่ทันแตะชายแขนเสื้อมู่อิง เสียงตะคอกปานฟ้าฝ่าของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นเสียก่อน
“บังอาจ! วันนี้เราอารมณ์ไม่ดีแล้ว งานเลี้ยงยกเลิก! ทุกคนแยกย้ายกลับ! อิงเอ๋อมาหาลุง”ฮ่องเต้ทรงตรัสต่อเหล่าขุนนางและราชทูตแคว้นเจี้ยนด้วยใบหน้าถมึงทึง แต่พอหันไปเอ่ยกับหลานชายทั้งใบหน้าทั้งน้ำเสียงกลับอ่อนโยนยิ่งนัก
งานเลี้ยงต้อนรับราชทูตแคว้นเจี้ยนจึงจบลงโดยที่สุรายังไม่หมดจอก เหล่าขุนนางต่างมองราชทูตแคว้นเจี้ยนด้วยสายตาแตกต่างกันไป บางท่านมองอย่างเห็นอกเห็นใจเห็นได้ชัดว่าการมาสานสัมพันธ์ของราชทูตผู้นี้คงไม่อาจราบรื่นได้อีกแล้ว บางท่านมองด้วยสายตาตำหนิติเตียนเจ้าคนผู้นี้ช่างไม่มองดูให้ดีขนาดรัชทายาทยังเอาอกเอาใจท่านชายมู่อิงถึงเพียงนั้นเขาไม่มีตาดูหรืออย่างไรถึงได้บุ่มบ่ามพล่ามออกมา
ราชทูตแคว้นเจี้ยนผู้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ตอนมาเอิกเกริกเกรียงไกลมีหน้ามีตาอย่างยิ่ง ตอนกลับนั้นมีเพียงขุนนางเล็กๆไปส่งที่ประตูวังแม้แต่หินสักก้อนก็ยังไม่ได้ติดมือไป จนถึงทุกวันนี้เขายังไม่รู้เลยว่าทำสิ่งใดผิด คิดเพียงแต่ฮ่องเต้แคว้นเว่ยนั้นอารมณ์แปรปรวนยิ่งนัก...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สงกรานต์นี้หยุดยาวคงได้เพิ่มหลายตอน แต่บ้านคนเขียนไม่มีเน็ตจ้าาา(โดนตบ)
จะพยายามอัพด้วยเน็ตมือถือที่สุดแสนจะช้าแข่งกับหอยทากนะคะ
อยากปั่นให้เร็วกว่านี้แต่คนเขียนสปีตหอยทากจริงๆ
บรรดาอาเฮียของมู่อิงเคยเอ่ยถึงแต่ในตอนพิเศษ1 ตอนนี้อาเฮียมู่หรงได้ออกมาตั้งแวบหนึ่งแหนะ(ยินดีกับเฮียด้วยค่า \^O^/ )
-
ช่างเป็นการเลี้ยงลูกหลานที่สุ่มเสี่ยงให้เสียคนซะจริง
-
เลี้ยงซะเสียเลย ><"
-
ต้องงามล่มเมืองน่ารักล่มใจขนาดไหนนะถึงจะได้รับการตามใจระดับนี้ได้ จินตนาการไม่ถึงจริงๆค่ะ แต่ชอบมาก เอาอีก ทุกคนจงตามใจมู่อิงอีก ดีงามเลิศเลอ รักกกกกกกก
อ่านถึงตอนนี้แล้วรู้สึกว่า ท่านหัวหน้าพรรคธรรมะนั่นหาได้คู่ควรล่วงเกินมู่อิงเลย นั่นคือมู่อิงเชียวนะ!
-
โดนตามใจตั้งแต่ฮ่องเต้ ไม่แปลกใจเลยที่จะเอาแต่ใจขนาดนี้ เห็นทีคงมีแต่ หลิวเฉินซางผู้นั้นเท่านั้นที่จะกำราบได้
-
มู่อิงน่ารักก อรัย :hao6:
-
:L2: เอาใจช่วยคนเขียนค่ะ
เราล่ะเอ็นดูสกิลตั้งชื่อของจอมมารมู่อิงจริงๆเลย 55
ว่าแต่หลงเส้นผมเขาเนี่ย ถ้าเขาทำให้โกรธขึ้นมาวันไหนจะลงไม้ลงมือกับเจ้าของเส้นผมหรือเปล่า
นี่คิดไปไกลละว่าตกลงว่าพ่อคนดีฝ่ายธรรมะจะเอายังไงต่อ ไปอยู่พรรคมารกับคนงามเลยดีไหม
-
น้องอิงน่ารัก :impress3: :กอด1:
-
:call: :call: :call:
-
ระหว่างหลิวฉางเซินกับมู่อิงใครจะได้เปรียบกันนะ
-
:mew1:
-
ชอบเรื่องนี้มากกกกกก น้องมู่ติสแตกจริงๆ555
แต่พี่หลิวแอบมาจุ๊บน้องได้ไงอ่ะ ไม่ยอมมมม
สู้ๆค่าา
-
:z10:
-
พึ่งเจอเรื่องนี้ ชอบจังง รอนะคะ
//นายเอกโดนสปอยหนักมากกก
-
มู่อิง อือหือโดนตามใจมาแต่น้อย555
-
มู่อิงจ๋าาา :katai5:
-
สนุกหลุดโลก ออกอวกาศมากๆเลย เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งย้อนอดีตไปไกล เอาถึงแค่ มู่อิง เอื้อมไปจับเส้นผมสีเงิน ก็พอ :mew3:
-
จะฮาดีไหมเนี่ย
-
ตั้งแต่เด็กเป็นปีศาจน้อย โตขึ้นมาเป็นจอมมารหนึ่งในใต้หล้า อีกซักหน่อยต้องพลิกฟ้าได้แน่ๆเลย
พ่อพระเอกก็ตามใจแบบสุดๆ ระวังกลายเป็นฉางเอ๋อร์ที่สามเข้าจริงๆนะ :z1:
ต้องงามล่มเมืองขนาดไหนกัน ผู้คนถึงได้หลงใหลกันขนาดนั้น มู่อิงทำบาปไว้เยอะเลยนะ....
ชอบมากๆเลยค่ะ สนุก รู้สึกลุ้นไปว่าพี่หลิวจะได้ใจน้องมู่ก่อน หรือพี่จะกลายเป็นฉางเอ๋อร์ที่สามไปก่อน...
ปล. อยากเห็นหน้าอาจารย์ของมู่อิงมากเลย นอกจากวรยุทธ์ล้ำเลิศถึงเพียงนี้แล้ว ยังต้องหน้าตาดีด้วยรึปล่าว น้องมู่อิงถึงยอมฝึกด้วย...
-
อือหืมตามใจกันสุดๆ มิน่ามู่อิงคนงามถึงเอาแต่ใจขนาด
-
บทที่ 6 คืนเดือนมืด
เช้าวันนี้มู่อิงตื่นสายอย่างยิ่งเป็นเพราะกลางคืนเขามัวแต่ขบคิดเรื่องที่หลิวเฉินซางได้กำไรมากเกินไป คิดว่าจะลงมือกับคนผู้นั้นอย่างไรจึงจะสาแก่ใจ คิดไปคิดมาก็เผลอหลับไป ผิดกับหลิวเฉินซางเขาเอาแต่ครุ่นคิดถึงการกระทำของตนเอง เหตุใดเขาจึงควบคุมตนเองไม่ได้ปานนั้น เป็นเพราะมู่อิงนั้นดูยั่วยวนเกินไปใช่หรือไม่ แต่คนผู้นั้นไม่ได้ยั่วยวนเขาแม้แต่น้อย เวลานั้นสายตามู่อิงจับจ้องเพียงเส้นผมของเขา เพียงแต่เขานั้นกำลังจับจ้องเรือนร่างของผู้อื่น
หลิวเฉินซางนั้นใช่ว่าจะไม่เคยเห็นคนงาม สาวงามมากมายทั้งในและนอกยุทธภพ ลูกสาวคหบดี บรรดาลูกสาวของผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายนั้นต่างล้วนเคยทอดสะพานหยิบยื่นไมตรีให้ แต่เขาเป็นผู้ไม่สนใจผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่เคยตกลงไปในวังวนดอกท้อเหล่านั้นเลยสักครั้ง ครั้งนี้เพราะเหตุใดกันแน่หนอเพียงแค่เห็นร่างเปลือยเปล่าของบุรุษผู้หนึ่งเขาถึงกับควบคุมตนเองไม่ได้
หากจะนึกไปนึกมาเขากลับพบว่าสามารถจดจำทุกอากัปกิริยาของประมุขพรรคมารผู้นั้นได้ไม่มีตกหล่น ยิ่งคิดยิ่งเห็นว่ามู่อิงนั้นน่าเอ็นดู จะว่าไปแล้วหลิวเฉินซางนั้นนับว่ามองมารร้ายผู้นั้นผิดไปลิบลับ คนผู้นั้นไม่นับว่าโหดเหี้ยมอำมหิต หรืออันตรายราวกับพยัคฆ์อะไร เพียงแต่มีความนิยมชมชอบที่พิสดารไปหน่อยเท่านั้น ซึ่งโดยรวมแล้วล้วน ‘ไม่เลว’ เลยทีเดียว ที่สำคัญนั้นเวลาเมามายนั้นช่างทำให้ผู้อื่นใจเต้นโครมคราม ท่าทีที่แสดงต่อเส้นผมของเขานั้นก็น่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ยิ่งบางคราวเขายังอยากปิดปากแดงระเรื่อนั้นด้วยปากตนเองดูสักครั้ง คิดๆดูแล้วก็ช่างขาดทุนนัก ผู้อื่นเพียงชื่นชอบ ‘เส้นผม’ ของเขาเท่านั้น แต่ตัวเขานั้นเล่ากลับชอบ ‘ทุกส่วน’ ของผู้อื่น ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือนิสัยใจคอ เห็นทีเขาคงต้องหาผู้นำยุทธภพคนใหม่สำรองไว้เสียแล้ว เพราะตนเองคงจะกลายเป็น ‘ผู้หลงไหลคลั่งไคล้ ตามอกตามใจจอมมารไปเสียทุอย่าง’ ในสักวัน
เมื่อคิดตกแล้วท่านผู้นำฝ่ายธรรมะจึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างงดงามยิ่ง
“เรียนท่านประมุขท่านเจ้าเมืองหวงซีเหลียนขอเข้าพบขอรับ”ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนที่ร่วมเดินทางมาด้วย เป็นผู้เข้ามารายงาน นับว่ายังทันเห็นรอยยิ้มงดงามนั้นของหลิวเฉินซาง
รอยยิ้มเช่นนี้ถ้าบรรดาแม่นางทั้งหลายมาเห็นเป็นได้แย่งชิงท่านประมุขจนฆ่ากันตายแน่
“ไม่พบ”รอยยิ้มงดงามของหลิวเฉินซางนั้นหายไปทันทีที่ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนปรากฏกาย คำปฏิเสธนั้นฟังดูทั้งจองหองทั้งเย่อหยิ่ง ตลอดเวลาที่หลิวเฉินซางดำรงตนเป็นประมุขฝ่ายธรรมะนั้น ไม่ว่าขุนนางน้อยใหญ่จะขอเข้าพบสักกี่ครั้งก็โดนปฏิเสธอยู่ร่ำไป
เป็นเพราะเหล่าขุนนางต่างรู้ดีว่าฮ่องเต้โปรดปรานผู้มีฝีมือ ชื่อเสียงของท่านผู้นำฝ่ายธรรมะท่านนี้ขจรขจายเข้าไปถึงในวังหลวง กล่าวกันว่าเขามีคุณธรรมสูงส่ง รูปโฉมหล่อเหลา ทั้งฝีมือยังเยี่ยมยุทธ์ เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของปรมาจารย์ว่านไห่ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์หลายแขนงถึงขั้นหยังรู้ดินฟ้า นับว่าหากเขายอมรับใช้ราชสำนักแคว้นเว่ยก็เปรียบเหมือนพยัคฆ์ติดปีกแล้ว
“แต่เขามารอตั้งแต่เช้าแล้วนะขอรับ”คนหนึ่งเป็นเจ้านายตน อีกคนก็เป็นผู้สูงศักดิ์ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนลำบากใจยิ่งนัก
นับแต่โบราณมาแล้วที่ยุทธภพจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในคราของประมุขหลิวจึงมักมีขุนนางน้อยใหญ่แวะมาเยี่ยมเยียน ถึงแม้จะโดนปฏิเสธมากมายเพียงใด แต่คนพวกนั้นก็ไม่รู้จักหลาบจำ
“เช่นนั้นเขาคงรอจนเบื่อมากแล้ว เชิญเขากลับไป บอกว่ายุทธภพไม่ขอข้องเกี่ยวราชสำนัก ข้าหลิวเฉินซางยิ่งไม่อยากข้องแวะกับคนในราชสำนัก”เขาไม่อยากถูกลากลงน้ำในเรื่องไม่เป็นเรื่อง อยากได้ตัวเขาเพื่อประจบเอาใจฮ่องเต้ คนเช่นหลิวเฉินซางไม่เห็นอยู่ในสายตา
“ข้าจะไปเรียนตามนี้ ท่านประมุข...ตาแก่เช่นข้าขอบังอาจสอดปากขึ้นมาสักคำ ไม้ที่แข็งเกินไปย่อมมีวันหัก หากท่านประมุขยังคงปฏิเสธอยู่ร่ำไป จะเป็นการต่อต้านราชสำนักนะขอรับ”
“ผู้อาวุโสไม่ต้องห่วง ถึงเวลานั้นมาข้าย่อมมีวิธีรับมือ”
“แล้วประมุขพรรคมารผู้นั้น...”
“เรื่องนี้ยิ่งไม่ต้องยุ่ง การรับมือคนผู้นี้ทำให้ข้าบันเทิงใจมาก”ออกจะทำให้เขาชื่นชอบมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ
หลิวเฉินซางนั้นแท้จริงแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเขาถูกมู่อิงดึงดูดใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเพราะ ‘เป็นคนประเภทเดียวกัน’ เป็นเช่นใดนะหรือ ก็คือผู้ที่ไม่เคยให้สิ่งที่ต้องการหลุดมือไปอย่างไรเล่า ที่สำคัญยังชื่นชมอีกฝ่ายที่ฝีมือสูงส่งคู่ควรแล้วที่มาบุกสำนักผู้อื่นได้โดยไม่ต้องกลัวเกรง เพียงแต่วิธีจัดการของเขาและมู่อิงแตกต่างกันเพียงเท่านั้น ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะนั้นมีวิธีจัดการผู้อื่น โดยที่ผู้คนยังคงเห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องสมควรแล้ว หากแต่มู่อิงกลับตรงไปตรงมายิ่ง ไม่รู้จักปิดบังอารมณ์ความรู้สึกของตนเองบ้างเลย
ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะที่คิดจะพาท่านจอมมารไปเที่ยวเล่น และไปดูเสียหน่อยว่าหลังเกิดเหตุการณ์ ‘เมื่อคืน’ ปฏิกิริยาของ ‘น้องมู่อิง’ จะเป็นเช่นไร เป็นอันต้องถูกล้มเลิกไปเหตุเพราะประมุขพรรคฝ่ายธรรมะและบรรดาแม่นางทั้งหลายที่รวมตัวกันมาหาเขาแต่เช้า ผู้ที่อยากให้มากลับไม่มา ส่วนผู้ที่ไม่อยากให้มานั้นเล่า...
หลิวเฉินซางเหลือบตาดูเหล่าผู้คนจากสำนักต่างๆ เปลือกตาหลุบลงครึ่งหนึ่ง เขานั่งอยู่ในศาลารับลมของโรงเตี๊ยมแวดล้อมด้วยสาวงามจำนวนมาก ที่ไม่อาจปฏิเสธได้เป็นเพราะเขาโดนกล่าวหาว่าสนิทสนมกับประมุขพรรคมารมากเกินไป ใช่ว่าเอาใจออกห่างฝ่ายธรรมะหรือไม่ เพตุใดจึงต้องดีต่อประมุขพรรคมารถึงเพียงนี้ หนึ่งคนหนึ่งคำถามที่อ้าปากก็ยังไม่ยอมหุบ ที่ยังไม่ได้อ้าปากพูดก็เตรียมพูด หลิวเฉินซางยังคงนิ่งเงียบท่าทางสูงส่งจนเหล่านกกระจิบนกกระจอกที่เอาแต่ส่งเสียงฝูงนั้นรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองทำลงไปนั้นเป็นการลบลู่ท่านผู้นำชนิดหนึ่ง การส่งเสียงอื้ออึงต่อหน้าเขาเป็นการไม่เคารพ หลิวเฉินซางนั้นนับว่าเก่งกาจในด้านการทำให้ผู้อื่นรู้สึกผิดอย่างมาก
“พวกเจ้า! มีสิ่งใดก็พูดทีละคน คิดว่าท่านประมุขของเราเป็นเทวรูปที่ให้พวกเจ้ามาอธิฐานขอพรพร้อมกันหรืออย่างไร!!!”ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนโมโหจนหนวดกระดิก หน้าดำคล้ำไปทั้งแถบ เจ้าพวกนี้ถึงกลับกล้าเสียมารยาทต่อหน้าท่านประมุข จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร
“ประมุขหลิวใช่ว่าพวกเราอยากเสียมารยาทแต่เหตุใดท่านต้องให้จอมมารผู้นั้นพักที่พรรคของท่านแล้วยังให้การต้อนรับเขาอย่างดี”
หากจะวัดทางด้านฝีมือใช่ว่าท่านผู้นำจะสู้มู่อิงผู้นั้นไม่ได้ การจะขับไล่มู่อิงหากพวกเขาร่วมมือกันย่อมสำเร็จอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าท่านผู้นำจะหลงใหลในรูปโฉมของจอมมารผู้นั้น แต่ถึงแม้จอมมารจะมีรูปโฉมที่งดงามยิ่งนัก คนผู้นั้นก็ยังเป็นบุรุษทั้งยังเป็นบุรุษที่นิยมหญิงงามอย่างมากเสียด้วย
“พวกเจ้า...!!!”ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนคิดไม่ถึงว่าจะมีคนบังอาจถามท่านประมุขเช่นนี้
“เพราะผู้ที่ทำผิดอยู่ในความดูแลของข้าอย่างไรเล่า ที่น้องสาวของมู่อิงต้องจบชีวิตลงเรื่องนี้เกิดขึ้นภายในพรรคของข้า ข้าผู้เป็นประมุขพรรคเรือนเมฆาจะละทิ้งความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไปไม่ได้ ยิ่งหลานแฝดคู่นั้นหากจะปฏิเสธว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับมู่อิงก็ไม่อาจทำได้อีก อย่างไรเสียพรรคเรือนเมฆาก็ยังแบกความผิดที่ดูแลคนได้ไม่ดี พวกเรานั้นทำผิดต่อมู่อิงข้อนี้คือความจริง” น้ำเสียงของหลิวเฉินซางนั้นสงบราบเรียบหากแต่แฝงความรู้สึกผิดอยู่หลายส่วน
ความมีคุณธรรมของท่านผู้นำนั้นสูงส่งอย่างยิ่งในสายตาชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะจึงไม่มีใครเอ่ยแย้งในสิ่งที่เขาพูดออกมา ส่วนหลิวเฉินซางนั้นกลับไม่ได้พูดถึงเรื่องที่มู่อิงบุกมาสังหารฉีฮ่าวและทำลายเรือนของพรรคไปหลายหลัง อย่างไรเสียเขาก็มีเงินซ่อมแซม ที่ทำลายไปแล้วก็แค่ซ่อมเสียใช่ว่าจะมีผู้เสียชีวิต
“เช่นนั้นเหตุใดต้องพาเขามาเที่ยว ทำเช่นนี้ออกจะเกินไปหรือไม่”คนผู้นั้นถึงอย่างไรก็เป็นจอมมาร การรับรองเขาเช่นนี้นับว่าเกินไปจริงๆ
“หรือจะให้เขาเบื่อจนสังหารพวกท่านเล่า”น้ำเสียงของหลิวเฉินซางแข็งขึ้นเล็กน้อย “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ แต่ละวันพวกท่านต่างแวะไปเยี่ยมเยียนจนมู่อิงรำคาญใจ หากข้าไม่ทำเช่นนี้เกรงว่าทุกท่านคงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่เรือนของเขาแน่”สายตาคมกริบของหลิวเฉินซางกวาดจ้องไปที่เหล่าชาวยุทธ์ชายที่ต่างพากันหลบสายตา
จะให้ทำเช่นไรเล่า ตอนนั้นพวกเขาเพียงอยากเห็นหน้าคนงาม เพียงแต่ตอนนี้มีเวลาขบคิดจึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา อย่างไรเสียคนงามผู้นั้นก็เป็นบุรุษ ที่สำคัญยังเป็นบุรุษที่มีสาวงามอยู่ลายล้อม แม้แต่สาวงามฝ่ายธรรมะเขายังไม่อาจทนมองได้ แล้วบุรุษดังเช่นพวกตน...
ที่แท้เป็นเพราะบุรุษเหล่านี้ความหวังพังทลายลงแล้วนั่นเอง...จึงสำนึกได้ว่ามู่อิงนั้นเป็นจอมมารที่สังหารคนได้โดยไม่ต้องกระพริบตา
“เช่นนั้นเพราะเหตุใดท่านผู้นำจึงต้องอยู่กับเขาตลอดเวลา”ประโยคนี้เป็นของจอมยุทธ์หญิง มิใช่หยวนอี้เซียงหากแต่เป็นหานปี้ชิงศิษย์เอกสำนักป่าขาว
หานปี้ชิงนับว่าพูดได้ตรงใจบรรดาเหล่าหญิงสาวแต่ละคนจึงพยักหน้าตามในคำของนาง
“นอกจากข้าแล้ว พวกท่านรับมือเขาได้หรือ”คำพูดของหลิวเฉินซางนั้นนับว่าปิดปากผู้คนได้ชะงัดนัก แต่ละคนล้วนก้มหน้าหลบสายตาเขา
หากว่าจอมมารผู้นั้นคิดลงมือ นอกจากหลิวเฉินซางแล้วก็ไม่มีใครรับมือมู่อิงได้จริงๆ ต้องโทษที่ฝีมือพวกเขาอ่อนด้อย หากไร้ซึ่งประมุขหลิวเกรงว่าพวกเขาคงสิ้นชีพไปนานแล้ว
“หากไม่มีอะไร ข้าขอตัว”หลิวเฉินซางลุกขึ้นเดินจากไป...
“พวกเจ้า...วันนี้กินดีหมีหัวใจเสือกันมาหรือไร!”หลังจากหลิวเฉินซางจากไปแล้วผู้อาวุโสชิวเยี่ยนก็ตะคอกออกมาเสียงดัง เขาทนมานานแล้ว หากไม่ได้สั่งสอนคนหนุ่มเหล่านี้สักวันผู้อาวุโสเช่นเขาคงต้องโมโหจนตายแน่
เหล่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะนั้นโดนท่านผู้อาวุโสชิวเยี่ยนกล่าวสั่งสอนถึงครึ่งวันเต็ม ถึงเป็นเหน็บชาก็ไม่อาจเปลี่ยนท่านั่ง พวกเขามาครั้งนี้ นับว่าหาความลำบากใส่ตัวโดยแท้...
ในโรงเตี้ยมไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมที่มู่อิงพักนัก บุรุษชุดดำพูดคุยกันอย่างมีลับลมคมใน
“วันนี้เป็นคืนเดือนมืดแล้วสินะ”
“นายท่านจะลงมือคืนนี้หรือขอรับ”
“ใช่! น้องมู่อิงจะอ่อนแอที่สุดในคืนเดือนมืด ปราณของเขาดูดซับมาจากดวงจันทร์ ในคืนเดือนมืดจึงมีแต่ท่าร่างไร้ซึ่งพลัง”
“สิ่งที่นายท่านหวังมานานก็จะเป็นจริงเสียที”
“ฮึ! น้องมู่อิง ข้าก็อยากจะรู้นักว่าครั้งนี้เจ้าจะรอดจากกำมือศิษย์พี่ใหญ่ไปได้ยังไง”...
“วะฮะฮ่า วะฮะฮ่า”
“เจ้าจะหัวเราะทำไม...หุบปาก!”
มู่อิงที่นอนตื่นสายนั้น เช้านี้เขามีความรู้สึกว่าไม่อาจทนมองหน้าหลิวเฉินซางได้ จึงไม่ได้มีความคิดจะไปหาคนผู้นั้น เพียงแต่ฟังพิณชมดอกไห่ถังอยู่ในเรือนของตน
“พี่มู่อิง! ข้างนอกมีเรื่องสนุกด้วยละ ช่วงนี้ชาวบ้านกำลังประกวดเทพธิดาไห่ถัง ข้าได้ยินข่าวว่าหญิงงามที่เป็นตัวเก็งนั้นงดงามมาก”หนานหมิงเยว่ที่หายไปทั้งคืนและพึ่งกลับมานั้น ใบหน้าแจ่มใส เห็นได้ชัดว่าเขาต้องแอบแต่งตัวเป็นบุรุษไปเที่ยวหอนางโลมมาเป็นแน่
บุรุษผู้หนึ่งจะแต่งตัวเป็นชายยังต้องทำอย่างหลบๆซ่อนๆ มู่อิงนั้นช่างเกิดมาเพื่อข่มเหงผู้อื่นเสียจริง
“งามกว่าเจ้าหรือเปล่า”มู่อิงละสายตาจากดอกไห่ถังมามองหนานหมองเยว่ มืองดงามข้างหนึ่งลูบลงบนร่างของฉางเอ๋อที่หนึ่ง ที่กำลังนอนสยายอย่างเกียจคร้านที่ข้างกายมู่อิง
“ข้าไม่เคยเห็นนาง แต่ต้องงดงามมากแน่...พี่มู่อิง! เหตุใดปากของท่านจึงดูแปลกๆ”หนานหมิงเยว่จ้องริมฝีปากแดงระเรื่อของมู่อิง เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่ามันบวมน้อยๆ
“แปลกหรือ...กลิ่นที่ติดตัวเจ้ามามากกว่าที่แปลก เยว่อเอ๋อ...เจ้าคงไม่ได้ไปแอบทำอะไรที่ข้าห้ามมาหรอกนะ”แววตาของมู่อิงนั้นดูชั่วร้ายอย่างมากจนหนานหยิงเยว่รู้สึกร้อนๆหนาวไปทั้งร่าง อยากตบปากตัวเองเสียจริงที่พ่นคำพูดผิดหูมู่อิงออกมา
ปกติพี่มู่อิงตามใจเขามาก หากเขาทำอะไรลับหลังก็มักปล่อยปละละเลยไม่สนใจ หากแต่ครั้งนี้ทำราวกับจะเอาเรื่องที่เขาแต่งตัวเป็นชาย เห็นได้ชัดว่าคำพูดที่เขากล่าวทำให้พี่มู่อิงไม่พอใจ
แต่เขาเพียงกล่าวว่าปากพี่มู่อิงแปลกเหตุใดจึงไม่พอใจ หรือเพราะเกิดอะไรขึ้นกับปากเขาจริงๆ หนานหมิงเยว่หวนคิดไปถึงบุคคลผู้ซึ่งสามารถรับมือกับมู่อิงได้
หรือว่าหลิวเฉินซางจะ....
“พี่มู่อิง...เราออกไปเดินเล่นข้างนอกดีหรือไม่”ใบหน้าของหนานหมิงเยว่นั้นแดงระเรื่อ ถึงเขาจะตระเวนเที่ยวหอนางโลมมาอย่างช่ำชอง หากแต่พี่มู่อิง...
พี่มู่อิงนั้นแม้แต่โดนผู้อื่นจับมือก็ยังไม่เคย
เขาจำได้ว่าตอนเด็กๆมีบุตรชายขุนนางคนหนึ่งจับเพียงชายเสื้อพี่มู่อิง อีกวันต่อมามือข้างที่จับชายเสื้อพี่มู่อิงของคนผู้นั้นก็หายไป นายน้อยมู่หรงนั้นหัวเราะร่า บอกว่าคนผู้นั้นคงโดนกรรมตามสนองแล้ว กรรมสนองอันใดกัน! เหล่าพี่ชายคลั่งน้องเหล่านั้นพากันสนองละสิไม่ว่า เพราะเหตุนี้พี่มู่อิงจึงยังบริสุทธิ์พุดผ่องยิ่งกว่ามุสิกเสียอีก แต่ก็เฉพาะเรื่องแบบนี้เท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องข่มเหงรังแกผู้อื่นพี่มู่อิงนับว่าแตกฉานยิ่งแล้ว
พวกมู่อิงนั้นนับว่าโชคดีมาก เพราะช่วงที่พวกเขามาเที่ยวนั้นตรงกับงานเทศกาลชมดอกไห่ถัง ชาวบ้านต่างพากันจัดเทศงาน มีทั้งร้านขายของรวมทั้งการแสดงการละเล่นประจำถิ่นมากมาย หนานหมิงเยว่ผู้ชอบความคึกคักนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก มู่อิงเพียงแค่ชำเลืองมอง ชูปี้ฮวานั้นนับว่าได้มาเปิดหูเปิดตาแล้ว
“พรุ่งนี้ค่อยไป วันนี้ไม่ได้”หากแต่คำพูดของมู่อิงเป็นดังเช่นโซ่ที่โผล่มาล่ามคอหนานหมิงเยว่
“ข้าน้อยเองก็ลืมไปว่าวันนี้ไม่เหมาะกับการออกไปข้างนอก”
“ข้าเองก็ลืมไป เช่นนั้นพรุ่งนี้นะ พรุ่งนี้เราออกไปเที่ยวชมงานเทศกาลกัน แม่นางจี๋ฮัวบอกข้าว่างานครั้งนี้จัดขึ้นตั้งสามวัน พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายพอดี”หนานหมิงเยว่พูดด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง
แม่นางจี๋ฮัวคือผู้ใด ก็คือยอดบุพฝาที่หอนางโลมเมื่อคืนอย่างไรเล่า
“ฮึ! จะสนุกก็รู้จักพอดีเสียบ้างล่ะ”เป็นคำกล่าวตักเตือนธรรมดาแท้ๆ แต่หนานหมิงเยว่กลับรู้สึกราวกับถูกด่าว่าจนพรุนไปหมด
“พี่มู่อิง...คราวหน้าข้าจะพาท่านไปด้วยนะ”
“ข้าไม่ชอบสถานที่สกปรก”
คำพูดของมู่อิงทำเอาหนานหมิงเยว่อ้าปากค้าง พี่มู่อิงกำลังด่าว่าเขาสกปรกใช่หรือไม่ เขาไม่เข้าใจหรือว่าผู้ชายทุกคนก็เป็นเช่นนี้ อ้อ...เขาไม่เข้าใจหรอก เรื่องเช่นนี้พี่มู่อิงถูกคนทั้งจวน ‘ร่วมมือกัน’ ปิดหูปิดตา
ในคืนนี้ไร้ซึ่งแสงจันทร์มีเพียงดวงดาราที่ส่องสว่างพร่างพราวเต็มท้องฟ้า มู่อิงผู้ซึ้งไม่อยากทำสิ่งใดนั่งอยู่หน้าพิณเจ็ดสายคันหนึ่ง นิ้วเรียวยาวพร่างพรมลงบนสายพิณเปล่งท่วงทำนองที่ชวนลุ่มหลงมัวเมา ประเดี๋ยวสนุกสนาน ประเดี๋ยวดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่ละเสียงที่เปล่งออกมาราวกับจะช่วงชิงเอาหัวใจคน
ชูปี้ฮวามองด้วยความชื่นชม ฝีมือบรรเลงพิณของท่านประมุขนั้นนับว่านางไม่อาจเทียบได้ ท่วงธรรมนองเหล่านนี้ล้วนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ท่าทางที่เขาดีดพิณก็ล้วนชวนมอง
ส่วนหนานหมิงเยว่นั้นราวกับหลุดเข้าไปโลกแห่งเสียงพิณนั้น เขารับฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม พี่มู่อิงนั้นนานๆจะจับพิณสักครั้ง เขาใช่ว่าจะมีความหลังฝังใจอันใดกับพิณเพียงแต่ขี้เกียจเท่านั้น นิสัยของพี่มู่อิงนั้นชอบเสพสุขแต่มิชอบสร้างความสุขให้ผู้อื่น!
“มู่อิง! วันนี้ข้าต้องสังหารเจ้าให้ได้ แก้แค้นให้กับคนในตระกูล!”บุรุษชุดดำผู้หนึ่งพลิ้วกายลงมา ในมือเขามีดาบเล่มใหญ่ กระไอสังหารแผ่กระจายไปรอบด้าน
เสียงพิณของมู่อิงนั้นหยุดลงแล้วเขาเพียงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของดาบหากแต่ไม่ได้เอ่ยวาจา หนานหมิงเยว่นั้นตื่นตัวเต็มที่ เพราะเขามัวแต่เคลิบเคลิ้มกับเสียงพิณการป้องกันตัวจึงลดลง ทำให้คนร้ายเข้าใกล้พี่มู่อิงได้
“เพ้ย! คิดสังหารพี่มู่อิง คิดว่าข้าหนานหมิงเยว่ตายไปแล้วหรือ”หนานหมิงเยว่นั้นตอนนี้โมโหแล้ว เจ้าบ้านี่กล้าดีอย่างไรใช้ดาบชี้หน้าพี่มู่อิง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์บังอาจหลบหลู่ดูหมิ่นพี่มู่อิงต่อหน้าเขา
“เยว่เอ๋ออย่าสบถมันไม่งาม”น้ำเสียงมู่อิงนั้นแฝงแววตำหนิติเตียน
“แต่พี่มู่อิง...”
มู่อิงเพียงยกมือห้ามไม่ให้เขาเอ่ยต่อ
“ศิษย์พี่ใหญ่จะแอบดูอีกนานไหม ยังไม่รีบมาช่วยข้าอีก”
“น้องมู่อิงอยากให้พี่ใหญ่ผู้นี้ช่วยหรือ”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
เพราะฉะนั้นอาจจะดูเว่อร์วังไปบ้างนะคะ
เรื่องนี้อัพอาทิตย์ละตอนนะคะ ไม่มาวันพฤหัสก็วันศุกร์
-
:z13:
-
แหม กำลังคิดถึงพอดี
-
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
รอพี่หลิวแสดงฝีมือ. โห. หลบหน้ากันซะงั้น. พี่หลิวน้องมู่
-
เว่อวังระฆังทองดีค่ะ สนุก ชอบๆๆๆ พี่หลิว จะได้ เข้าฉากนี้กะเขาไหมนะ ลุ้นค่ะ
-
อยากให้ถึงวันศุกร์ไวๆ จัง :-[
-
นัองมู่อิงกลับมาเร็วๆนะิ :กอด1:
-
ขอสาปแช่งศิษย์พี่ใหญ่ไว้ก่อนเลย คิดจะทำอะไรมู่อิงฮะ?! ไม่เจียม!
-
สนุกดีค่ะ น้องมู่อิงก็น่ารัก พี่หลิงก็ตลก 5555
-
ชอบมาก ภาษาดี มู่อิงเป็นอะไรที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์จริงๆ
-
บทที่ 7 ศิษย์พี่ใหญ่
“น้องมู่อิงอยากให้พี่ใหญ่ผู้นี้ช่วยหรือ” บุรุษชุดดำรูปร่างสูงใหญ่ท่าทางองอาจพลิ้วกายลงมายืนข้างมู่อิง น้ำเสียงแฝงแววเจ้าชู้อยู่หลายส่วน ใบหน้านั้นไม่ได้มีผ้าดำปิดไว้เช่นบุรุษผู้ถือดาบจึงมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาคมคายได้อย่างชัดเจน ข้างกายเขามีองครักษ์หน้าตาธรรมดาตามมาด้วยอีกผู้หนึ่ง
“มาแล้วหลบๆ ซ่อนๆ กำลังทำเรื่องเลวทรามอยู่หรือไร”มู่อิงพูดกับหนานกงฉางฝูโดยไม่สนใจดาบที่ชี้หน้าตนเองอยู่ ทำเหมือนชายชุดดำที่มาสังหารตนนั้นไม่อยู่ในสายตา
“ศิษย์พี่ใหญ่แค่จะมาลักพาตัวเจ้าเท่านั้น เรื่องเลวทรามอันไดกัน ทำเรื่องดีต่างหากเล่า”
“ท่านกล้าหรือ”มู่อิงมองหนานกงฉางฝูด้วยดวงตาเย็นเฉียบ แต่ศิษย์พี่ใหญ่ผู้มีวรยุทธ์สูงส่งผู้นี้เคยเกรงกลัวหรือไร
“พวกเจ้า! คิดว่าข้าล้อเล่นรึ! วันนี้ยังไงเจ้าก็ต้องตาย!”ชายชุดดำคำรามด้วยความโมโหเขาฟันดาบลงไปที่มู่อิงสุดกำลัง
“คิดเอาดาบทื่อๆ นี่มาทำร้ายน้องมู่อิงช่างโง่จริง”หนานกงฉางฝูหยุดดาบนั้นได้โดยนิ้วเดียว เขาแทบไม่มองชายชุดดำผู้นั้น
เอาแต่จ้องใบหน้ามู่อิงไม่วางตา
ไม่เจอน้องมู่อิงนานมากแล้ว งามยังไงก็ยังงามอยู่อย่างนั้น ดูไปดูมาเหมือนมีเสน่ห์เพิ่มมาอีกหลายส่วน
หนานกงฉางฝูหรือคุณชายใหญ่แห่งปราสาทร้อยกระบี่ คนผู้นี้ไม่นับว่ามีชื่อเสียง แต่ก็มิได้เป็นจอมยุทธ์ไร้ชื่อ เนื่องด้วยปราสาทร้อยกระบี่นั้นเป็นสำนักใหญ่โต ทำกิจการเหมืองแร่ซึ่งให้กำไรมากมายมหาศาล หากแต่มีบทบาทในยุทธภพน้อยมาก เรียกว่าหากไม่มีเหตุการณ์ใหญ่โตอันใดในยุทธภพคนปราสาทร้อยกระบี่แทบจะไม่ขยับตัวข้องเกี่ยว
“วันนี้แม้ต้องเอาชีวิตเข้าแลกข้าก็ต้องสังหารมู่อิงให้ได้!!!”ชายชุดดำบุกเข้ามาแบบไม่คำนึงถึงชีวิต หนานกงฉางฝูจึงต้องขยับกายรับมือ แต่ท่าร่างของเขาดูเกียจคร้านยิ่ง ชวนให้ผู้คนโมโหอยู่ไม่น้อย
ในเวลานั้นไม่รู้ว่าสาวใช้หรือบ่าวในโรงเตี้ยมคนไหนมาเห็นเหตุการณ์เข้าจึงตกใจตะโกนเสียงดัง เสียงนั้นดังปากต่อปาก ผู้อื่นอาจไม่สนใจมาชมดูหรือช่วยเหลือ แต่กับท่านผู้นำฝ่ายธรรมะนั้นถึงกับลุกพรวดพราดรีบเร่งมาหาท่านจอมมาร
หากแต่ภาพที่หลิวเฉินซางมองเห็นเมื่อมาถึงคือท่านจอมมารเอามือเท้าคางนั่งดูผู้อื่นสู้กันอย่างสำราญใจ ส่วนผู้ที่สู้กันนั้น จะเรียกว่าสู้กันก็ไม่อาจนับได้ เรียกว่าทำราวกับแมวหยอกหนูจะถูกเสียกว่าเพราะชายที่ถือดาบอยู่นั้นเรียกว่าฟันอย่างไรก็ไม่โดน ส่วนผู้ที่ไม่มีดาบนั้นกลับใช้เพียงท่าร่างไม่ใช้กำลังภายในเลยสักส่วน
ในเมื่อมู่อิงไม่เป็นอันตรายหลิวเฉินซางจึงปรับลมหายใจที่เร่งรีบให้เป็นปกติ แล้วก้าวเข้าไปหามู่อิงด้วยท่าทางสง่างามดังปกติ
“น้องมู่อิงเกิดอะไรขึ้นหรือ”เขาถือวิสาสะนั่งข้างมู่อิงโดยมิต้องมีผู้เชื้อเชิญ นั่งลงราวกับว่าพวกเขาสองคนชมดูความสนุกนี้ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น
“คนผู้นั้นคิดมาสังหารข้า ส่วนศิษย์พี่ใหญ่คิดมาลักพาตัวข้า”มู่อิงชี้ไปที่บุคคลทั้งสองราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
“อ้อ...เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาสู้กันจนตายเถิด”น้ำเสียงของหลิวเฉินซางนุ่มทุ้มน่าฟังอย่างยิ่งหากแต่คำพูดที่เปล่งออกมากลับไร้ซึ่งความปราณี
“ศิษย์พี่ใหญ่หนังเหนี่ยวมาก แม้แต่ข้ายังฆ่าเขาไม่ได้”มู่อิงถอนหายใจเบาๆ ถ้าไม่ติดว่าฝีมือเขาด้อยกว่าขั้นหนึ่งคง ‘พลั้งมือ’ สังหารศิษย์พี่ใหญ่ได้นานแล้ว
“เจ้าอยากให้เขาหายไปหรือไม่”น้ำเสียงของท่านผู้นำ ‘ฝ่ายธรรมะ’ ออกจะดูกระตือรือร้นเกินควรเล็กน้อย
“ท่านจะช่วยหรือ”
“หากเจ้าต้องการ”หลิวเฉินซางไม่รู้จักวิธีการเกี้ยวพาผู้อื่น หากแต่เป็นวิธีการ ‘ตามใจ’ มู่อิงเขาก็นับว่ามีความสามารถไม่เลว อย่างหนึ่งที่เขาสามารถรับรู้ได้ในระยะเวลาอันสั้นที่รู้จักกับมู่อิงคือการทำเหมือนตามใจเขา เช่นนี้น้องมู่อิงจึงจะสำราญใจ พอเขาพอใจจึงจะยอมอ่อนข้อให้
เขายังกังวลใจว่าหากพบหน้ากันน้องมู่อิงจะแสดงอาการต่อต้าน แต่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเสียก่อนทำให้มู่อิงสนใจเรื่องอื่น ลืมเรื่องที่เขาเคยล่วงเกินได้ชั่วคราว เพราะหากน้องมู่อิงเกิดคิดตีตัวออกห่างเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองจะเผลอทำสิ่งใดลงไป
เฮ้อ...เขายังต้องทำตัวเป็นคนดีให้ผู้อื่นกราบไหว้อยู่นี่นา
หนานหมิงเยว่ถลึงตาใส่มู่อิงและหลิวเฉินซาง คนหนึ่งเป็นศิษย์น้อง ส่วนอีกคนเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณธรรมสูงส่ง ทำไม่จึงไม่มีผู้ใดลุกขึ้นห้ามปราม หรือช่วยศิษย์พี่ใหญ่เลยเล่า
เขาเองก็เป็นศิษย์น้องเช่นกันและยังเป็นองค์รักษ์ของพี่มู่อิง เช่นนั้นหนานหมิงเยว่จะเป็นผู้จัดการเอง
“เจ้าฆาตกรรับมือ!”หนานหมิงเยว่ตะโกนเสียงดัง เขาถีบหนานกงฉางฝูไปหนึ่งโครมใหญ่ ก่อนจะใช้พียงไม่กี่กระบวนท่าก็จัดการคนร้ายได้ ชายชุดดำผู้นั้นลงไปคุกเข่ากับพื้น มีดาบของหนานหมิงเยว่พาดอยู่ที่คอ
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าถีบข้าทำไม”หนานกงฉางฝูลูบก้นตนเองไปมา ใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับเจ็บปวดอย่างมาก
“หากปล่อยให้ท่านจัดการอีกสิบวันก็ยังสู้ไม่เสร็จ! ศิษย์พี่ใหญ่หากไม่คิดเอาจริงก็ไสหัวหลบไปดีกว่า”หนานหมิงเยว่ถลึงตาใส่หนานกงฉางฝู คนผู้นี้ฝีมือสูงส่ง แต่กลับขี้เกียจแม้แต่จะออกท่าร่าง ไอ้ท่าปวกเปียกราวกับคนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่นั่นช่างทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกโมโหโกรธา ที่เขาถีบศิษย์พี่ใหญ่ก็เพราะเห็นแล้วรำคาญตาส่วนหนึ่งเช่นกัน
“หึ! ข้าฝีมืออ่อนด้อย สังหารคนไม่สำเร็จ แต่ถึงข้าต้องตายก็จะเอาเจ้าไปลงนรกด้วยให้ได้มู่อิง!”ชายชุดดำผู้ถูกเมินพูดขึ้น นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นพยาบาท เขามาแก้แค้นแต่กลับกระทำการไม่สำเร็จ ถึงเป็นผีก็ไม่มีหน้าไปพบคนในตระกูล
“เช่นนั้นก็สังหาร”มู่อิงพูดขึ้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ หนานหมิงเยว่กระชับกระบี่เตรียมสังหารคน หากแต่ชายชุดดำกลับกัดยาพิษที่ซ่อนไว้ในปากตายเสียก่อน ใบหน้าก่อนตายนั้นแฝงแววสาสมใจ ก่อนที่ร่างกายจะเน่าเปื่อยลงอย่างรวดเร็ว กลิ่นที่โชยออกมายามร่างนั้นสูญสลายเหม็นเน่าจนคนแทบอยากอาเจียน
“คนผู้นี้เหตุใดไม่ตายดีๆ ช่างส่งกลิ่นให้ผู้อื่นเดือดร้อน...”
“น้องมู่อิง!”เสียงของหลิวเฉินซางทำให้หนานหมิงเยว่หุบปากลงแล้วหันไปมอง ใบหน้าของมู่อิงซีดเผือด
“พิษสลายแค้น! สกัดจุดน้องมู่อิงไว้”ในเวลาเดียวกันหนานกงฉางฝูที่ดูท่าทางเกียจคร้านปนเจ้าสำราญก็ทำหน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมา
พิษสลายแค้นเป็นพิษที่ผู้ที่กินเข้าไปจะร่างกายเน่าเปื่อยและสลายไปอย่างรวดเร็ว ยามที่ร่างสลายนั้นจะส่งกลิ่นเหม็นซึ่งเป็นพิษต่อผู้ที่ไร้ปรานดังเช่นมู่อิงตอนนี้
หลิวเฉินซางรีบสกัดจุดบริเวณหน้าอกมู่อิงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาขาวซีดไม่ต่างจากมู่อิง ไม่ใช่เพราะโดนพิษเช่นกัน หากแต่เพราะเขานั่งอยู่ข้างๆมู่อิง
เขานั่งอยู่ข้างๆ แท้ๆ!!!
“ข้าไม่เป็นไร ยาถอนละ”ใบหน้าของมู่อิงซีดจนแทบไม่มีสีเลือด เพราะวันนี้เขาไร้ปรานจึงโดนพิษ หากเป็นยามปกติละก็พิษเพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจทำอันตรายเขาได้
“พิษชนิดนี้แค่ใช้ปรานขับออกก็ได้แล้ว”หนานกงฉางฝูกล่าวเสียงจริงจัง
ฟังดูเหมือนง่ายแต่ความจริงนั้นยาก ปรานของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน หากจะใช้ปรานของผู้อื่นขับพิษของตนเอง จะต้องระวังอย่างมาก เพราะหากควบคุมได้ไม่ดีพอจะเป็นอันตรายทั้งต่อผู้ได้รับพิษและผู้ที่ช่วยเหลือ
“เช่นนั้นน้องมู่อิงเจ้าขับพิษออกมาเร็ว”หลิวเฉินซางบอกด้วยความร้อนใจ ใบหน้าของเขาขาวซีดไม่ต่างจากมู่อิงนัก
“เจ้าเป็นใคร ”หนานกงฉางฝูจ้องหน้าหลิวเฉินซางเขม็ง คนผู้นี้หล่อเหลาเกินไป แถมยังทำตัวใกล้ชิดกับน้องมู่อิง เขาไม่ถูกชะตา
“หลิวเฉินซาง”
“หนานกงฉางฝู”
ชายหนุ่มสองคนต่างบอกชื่อตนเอง ช่างเป็นการแนะนำตัวที่สั้นกระชับ และได้ใจความอย่างแท้จริง
“พวกท่าน! ใครจะขับพิษก็รับทำได้หรือไม่ หน้าพี่มู่อิงซีดไปหมดแล้ว”หนานหมิงเยว่ร้อนใจจนใบหน้างดงามดูร้อนรนไปหมด
“พวกท่านไม่ต้อง รอพรุ่งนี้พระจันทร์ขึ้นข้าจะขับพิษเอง”มู่อิงทำหน้าไม่ยินยอม เขาไม่ชอบให้ผู้อื่นช่วยชีวิต พิษแค่นี้รอปรานเขาฟื้นคืนมาก็จัดการได้แล้ว
“น้องมู่อิงตอนนี้เจ้าขับพิษไม่ได้หรือ”น้ำเสียงหลิวเฉินซางร้อนรนมากขึ้น จากที่เคยประมือกันปรานของน้องมู่อิงนั้นอยู่ในระดับดีเลิศ
“เจ้าไม่รู้หรือว่าปรานของน้องมู่อิงจะหายไปเมื่อถึงคืนเดือนมืด เพราะเคล็ดวิชาที่เขาฝึก...”
“ศิษย์พี่ใหญ่ท่านอย่าพูดมาก”น้ำเสียงมู่อิงอ่อนแรงเต็มทน
“เช่นนั้นข้าขับพิษเอง ปรานของข้าเป็นปรานบริสุทธิ์”หลิวเฉินซางรีบยืนมือเข้าช่วย
“ไม่ต้อง...อึก! เจ้า!”มู่อิงที่ปฏิเสธด้วยเสียงอ่อนแรงอีกครั้งโดนหลิวเฉินซางสกัดจุดเพิ่ม ทำให้เขาไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัว
“น้องมู่อิงความเป็นความตายรอไม่ได้ ไว้ข้าขับพิษเสร็จเจ้าค่อยมาระบายโทสะ”หลิวเฉินซางอุ้มมู่อิงขึ้นอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นจะคิดเห็นเช่นไร เขาตัดสินใจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
หลังจากที่หลิวเฉินซางอุ้มมู่อิงจากไปแล้ว หนานกงฉางฝูจึงหันไปกล่าวกับหนานหมิงเยว่
“คนผู้นั้นกล้าขัดใจน้องมู่อิง หวังว่าน้องมู่อิงจะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ”หนานกงฉางฝูใบหน้าดำไปทั้งแถบ กล้าอุ้มน้องมู่อิงไปต่อหน้าเขา หากไม่ใช่เพราะช่วยชีวิตศิษย์น้อง เขาต้องตามไปสังหารคนผู้นี้เป็นแน่
“ฮึ! หากประมุขหลิวโดนเกลียด ศิษย์พี่ใหญ่มิใช่โดนแค้นเข้ากระดูกดำเช่นกัน”เพราะศิษย์พี่ใหญ่ตามตื้อพี่มู่อิงราวกับแมลงรำคาญ
“ศิษย์น้องเล็กเจ้าไม่ส่งเสริมศิษย์พี่ใหญ่ยังพอว่า เหตุใดต้องเข้าข้างผู้อื่น”หนานกงฉางฝูโอดครวญ
“ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว ฝากท่านดูแลพี่มู่อิง ดูแล้วมือสังหารผู้นี้วางแผนมาเป็นอย่างดี ข้าจะไปสืบดูว่ามือสังหารรู้ได้อย่างไรว่าปรานของพี่มู่อิงจะหายไปในคืนเดือนมืด”น้ำเสียงหนานหมิงเยว่แฝงแววอำมหิต ไม่เหลือร่องรอยกระตือรือร้นเช่นยามอยู่ต่อหน้ามู่อิง
หากสืบรู้แล้วเขาจะสังหารไม่มีละเว้น!
หลิวเฉินซางช่วยขับพิษให้มู่อิงอยู่ครึ่งค่อนคืนจึงแล้วเสร็จ หนานกงฉางฝูให้ซูปี้ฮวายกยาบำรุงเข้ามาให้ทั้งสองคน คุณชายใหญ่ปราสาทร้อยกระบี่ผู้นี้ดูผิวเผินเหมือนพวกหยิบหย่งแต่ความจริงแล้วนับได้ว่าคือยอดคนผู้หนึ่ง ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของมู่อิงจึงยังครองตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่เรื่อยมา แต่เนื่องด้วยเป็นคนเรื่อยเฉื่อยจึงไม่ดูโดดเด่น เพราะไม่ยอมขยับตัวทำสิ่งใดชื่อเสียงจึงไม่โด่งดัง หากเขาทำสิ่งใดด้วยความกระตือรือร้นเช่นที่ทำกับมู่อิงคงคว้าหัวใจของบรรดาสตรีจนมีภรรยาสามอนุสี่ไปนานแล้ว
เนื่องจากอาจารย์ของมู่อิงได้ตั้งกฎเอาไว้ข้อหนึ่งนั่นคือ ผู้ใดมีวรยุทธ์สูงสุดจึงเป็นพี่ หนานกงฉางฝูนั้นครองตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่มาอย่างยาวนานเรียกได้ว่าไม่มีใครมีความสามารถพอเบียดเขาตกจากที่นั่งได้ ส่วนมู่อิงนั้นเป็นศิษย์ลำดับที่สี่แต่ครองตำแหน่งศิษย์พี่รอง หนานหมิงเยว่อยู่ลำดับที่ห้าอย่างไรก็ยังอยู่เช่นนั้น พวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกหนึ่งปีสามารถท้าชิงตำแหน่งจากศิษย์พี่ได้หนึ่งครั้ง การประมือระหว่างศิษย์ร่วมอาจารย์จึงเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี และมีส่วนส่งเสริมให้วรยุทธ์ของแต่ละคนก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
เวลานี้มู่อิงผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่งถึงขั้นอยู่ในตำแหน่งศิษย์พี่รองนั้นหลังดื่มยาบำรุงเข้าไปร่างกายก็มีเรี่ยวแรงเพิ่มจากเดิมเล็กน้อย เขามองไปทางหลิวเฉินซางที่นั่งพิงขอบเตียงด้วยความไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัด
ผู้อื่นช่วยชีวิตเอาไว้แต่เขากลับไม่พอใจ อารมณ์ความรู้สึกของท่านจอมมารนั้นช่างทำให้คนร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
“อยากสังหารข้าตอนนี้เจ้ายังทำไม่ได้”หลิวเฉินซางลืมตาขึ้นมามองมู่อิงที่จ้องหน้าเขาไม่วางตา มู่อิงเม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยเสียงรอดไรฟันออกมา
“ข้าจะสังหารคนที่ช่วยชีวิตได้อย่างไร”เขาไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใครโดยเฉพาะหนี้ชีวิต เขามู่อิงไม่ชื่นชอบการตกเป็นรอง...
“ข้าแค่อยากช่วย”
“เช่นนั้นถือว่าท่านร้องขออยากช่วยข้า?”
“เจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้น”
“เช่นนั้นข้าไม่ต้องตอบแทน”เขาชอบที่สุดคือการวางอำนาจบาดใหญ่หากติดหนี้บุญคุณผู้อื่นย่อมไม่อาจทำได้ ยิ่งหากเป็นหนี้หลิวเฉินซางเขาจะทำหน้าหนาไประรานเส้นผมคนผู้นี้ได้อย่างไร แล้วยังบัญชีเรื่องนั้น...
พอคิดถึง ‘เรื่องนั้น’ สายตาของมู่อิงก็จับจ้องไปยังริมฝีปากของหลิวเฉินซาง มองไปมองมาก็ไม่นับว่าขาดทุ่นนัก ริมฝีปากคนผู้นี้ดูแล้วไม่ขัดตาแม้แต่น้อย ช่างมีน้ำมีนวลชวนสัมผัส มองนานๆ เข้าก็นับว่าต้องตาอยู่เช่นกัน
“เพื่อความสบายใจของตนเองข้าว่าเจ้าควรตอบแทน”หลิวเฉินซางเองก็จ้องมองมู่อิงไม่วางตาเช่นกัน เหตุการณ์คืนนี้ทำเอาเขาตกใจไม่น้อย อย่างไรเสียก็ควรได้รับ ‘ค่าทำขวัญ’ สักเล็กน้อย
“ท่านต้องการสิ่งใดก็ว่ามา”มู่อิงเริ่มไม่พอใจอีกแล้ว หลิวเฉินซางช่างพลิกลิ้นเสียจริงคำพูดราวกับไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่อีกนัยหนึ่งก็ยังเรียกร้องการตอบแทน
“เจ้าอย่างไรเล่า”
“บังอาจ!!!...อุ๊บ!”
ตวาดยังไม่ทันจบ มู่อิงก็โดนริมฝีปากของหลิวเฉินซางทาบทับปากตนเองเข้าเสียก่อน แต่ครั้งนี้ไม่ได้ลึกซึ้งเช่นคราวก่อน ริมฝีปากของทั้งสองเพียงแตะกันเบาๆราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำแล้วจึงผละออก
“อย่าเอาแต่ตวาดควรพักผ่อนมากๆ พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมแต่เช้า”ดวงตาของหลิวเฉินซางยามนี้ช่างพร่างพราวราวกับมีดวงดารามากมายอยู่ในนั้น ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนโยนและผ่อนคลายอย่างแท้จริง ในน้ำเสียงยังแฝงแววหยอกเย้าชวนใจเต้น
“เจ้า...”
“เจ้าชอบเรียกข้าว่าพี่หลิวไม่ใช่หรือ...รีบนอนเถิดหน้าเจ้าแดงไปหมดแล้ว น้องมู่อิง...”น้ำเสียงของหลิวเฉินซางยามเอ่ยชื่อของมู่อิงน่าฟังจนคนใจสั่น ก่อนจากเขายังสัมผัสใบหน้าท่านจอมมารอย่างแผ่วเบา ไม่ลืมแม้กระทั้งห่มผ้าให้ ยามหนานกงฉางฝูเดินเข้ามาจึงพบเพียงมู่อิงที่ลืมตาโพล่งใบหน้าแดงระเรื่อ พอเขาเอ่ยปากพูดด้วย ‘ศิษย์น้อง’ ก็ห่มผ้ามิดศีรษะแล้วหันหลังให้
หนานกงฉางฝูขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาตามติดน้องมู่อิงมาตลอดสิบปีมีหรือจะไม่รู้ว่าศิษย์น้องแปลกไป หลิวเฉินซางผู้นั้นสายตาที่จับจ้องน้องมู่อิงมีหรือที่เขาจะดูไม่ออก ถึงอย่างไรเสียในเมื่อเขาอยู่ตรงนี้แล้วพวกเห็บหมัดที่คิดเกาะติดน้องมู่อิงเขาจะดีดกระเด็นแล้วบี้ให้ตาย ศิษย์พี่ใหญ่เกาะติดเจ้ามาสิบปีมีหรือจะยอมวางมือ! เช่นนั้นเพื่อความฮึกเหิมเขาควรจะได้นอนสักงีบ แล้วจึงตามติดน้องมู่อิงต่อในความฝัน เรื่องที่ต้องลงทุนลงแรงนั้นเขาอาจไม่ชื่นชอบ เช่นนั้นจึงต้องเกี้ยวพาน้องมู่อิงในนิทรา
หนานกงฉางฝู...หากเขาขยันได้สักครึ่งของความขี้เกียจ...เกาะติดเพียงอย่างเดียวแต่ไม่ยอมลงมือทำสิ่งใดเลย ความเฉื่อยชาของคนผู้นี้เป็นหนึ่งในปฐพีอย่างแท้จริง
++++++++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องนี้คนปกติน้อยจริงๆ หรือคนเขียนไม่ปกติซะเอง
ชื่อตอนสิ้นคิดมาก ไม่รู้จะตั้งชื่อตอนว่าอะไรจริงๆค่ะ
หากจะบอกว่ามู่อิงติสแตก ศิษย์พี่ใหญ่ก็เทพมากแต่ขี้เกียจที่สุด
ส่วนเฮียหลิวของน้อง นับวันก็เผยด้านมืดมากขึ้นทุกที
เหมือนสปอยไปนะ///
-
:z13:
-
ยินดีต้อนรับสู่ด้านมืด อิอิ
พี่ใหญ่หลบไปค่ะ เขาคืบหน้ากันไปเยอะแล้ว :hao6: :pig4:
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ รอตลอดเลยนะน้องมู่อิง
-
ชอบนิยายแนวจีนโบราณ อ่านแล้วได้อรรถรสดีคะ ติดตามทั้งในเว็บนี้และเว็บเด็กดอยด้วยนะ คนเขียนสู้ๆ นะ เป็นกำลังใจให้คะ :mew1:
-
รอด้านมืดของพี่หลิว :hao3:
-
มู่อิงหวั่นไหวแล้วล่ะซิ~ :hao6: :hao7:
-
รอตอนต่อไปปปป
-
ทำเป็นวางท่า ตอนหน้ามู่อิงเริ่มเองแน่เลย 55555
-
ชอบศิษย์พี่ใหญ่อะะะะ ทำไมคู่กับหนานหมิงเยว่แล้วน่ารักจังงงงง
ยังคงหมั่นไส้พี่หลิวอยู่ ชิชะ น้องมู่อิงเป็นของข้านะ!!!
-
เฮียหลิวนี่จริงๆมืดกว่ามู่อิงอีกเราว่า 5555
-
คนรอบตัวมู่อิงแต่ละคนนั้นช่าง :z6: ด้วยความรักใครเสียจริง :mew1:
-
น้องมู่อิงงงงงงงงงงงง
โอยยยยยย น่ารักกก
-
ข้าจะเฝ้ารอชมด้านมืดของพี่หลิว ต่อปาาย
-
มารอ :กอด1:
-
บทที่ 8
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายชวนใจหายใจคว่ำ เช้านี้ท่านจอมมารตื่นมาท่ามกลางความวุ่นวายอย่างยิ่ง ถึงแม้สายมากแล้วแต่เขายังไม่อยากตื่นเมื่อคืนกว่าจะได้หลับก็เกือบรุ่งสาง เหตุใดจึงมีคนกล้ามารบกวนการนอนหลับของเขาอีก!
มู่อิงตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโวยวายที่ดังขึ้น ใบหน้างดงามนั้นบูดบึ้งอย่างยิ่ง แต่ก็นับว่างามล้ำไปอีกแบบ พอลืมตาตื่นเขาก็เห็นหลิวเฉินซางนั่งอยู่ข้างเตียงกำลังจับชีพจรเขาอยู่ มีฉางเอ๋อที่สองยืนถืออ่างน้ำคอยปรนนิบัติตอนเขาตื่น ส่วนเสียงน่ารำคาญที่ทำเขาตื่นนั้นมาจากหนึ่งคนหนึ่งสิงโตที่กำลังคุมเชิงกันอยู่หน้าห้อง
“ยังง่วงอยู่หรือ”หลิวเฉินซางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ชวนให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม หากมู่อิงไม่ได้กำลังอารมณ์เสียหลังตื่นนอนคงพอจะอยากพูดคุยกับเขาอยู่บ้าง
“...”คิ้วเรียวงามของมู่อิงขมวดเข้าหากัน เขาจ้องไปที่หน้าห้องด้วยสายตาอำมหิต
“อ้อ! ฉางเอ๋อที่หนึ่งกำลังบริการกงเล็บอยู่ หากเจ้ารำคาญข้าจะไล่พวกเขาไปเล่นที่อื่น”
“หลิวเฉินซาง! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาไล่คน!”หนานกงฉางฝูตะโกนเข้ามาจากหน้าห้อง
ฉางเอ๋อที่หนึ่งไม่รู้เพราะเหตุใด แต่ไหนแต่ไรมามันไม่เคยชอบหน้าหนานกงฉางฝู พบเจอกันเมื่อไหร่เป็นได้พุ่งตรงไปลับคมเขี้ยว ทำราวกับหนานกงฉางฝูเคยมีหนี้แค้นกับมันมาก่อน ผิดกับหลิวเฉินซางที่มันแทบจะหมอบนั่งให้ลูบหัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสัญชาตญาณของสัตว์หรือเพราะทำตามความชื่นชอบของเจ้านาย
“ยังจับชีพจรไม่เสร็จอีกหรือ”สายตาไม่สบอารมณ์ของท่านจอมมารเลื่อนจากการคุมเชิงหน้าห้องมาที่ตัวปัญหาในห้อง อันผมสีเงินนั้นก็ยังงดงามอยู่หรอก หากแต่พอมองหน้าเจ้าของเส้นผมเหล่านั้นไม่รู้เพราะเหตุใดท่านจอมมารถึงนึกอยากฟาดสักหลายๆฝ่ามือ
“เสร็จนานแล้วแต่ยังไม่อยากปล่อย”หลิวเฉินซางเปลี่ยนจากจับชีพจรมาเป็นกุมข้อมือของมู่อิงไว้อย่างหน้าไม่อาย
ท่านจอมมารหน้าเริ่มดำคล้ำไปทั้งแถบ คนผู้นี้หน้าหนากว่าเขาเสียอีก คนทั่วไปฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่าควรปล่อยมือ หากแต่หลิวเฉินซางกลับกำข้อมือเขาไว้แน่น ช่างน่าตายนัก
“เจ้า! บังอาจแต๊ะอั๋งน้องมู่อิงของข้า น้องมู่อิงเรียกสิงโตของเจ้าออกไปที ให้ศิษย์พี่ใหญ่เข้าไปดูอาการเจ้าหน่อย”ความจริงหากจะใช้กำลัง หรือใช้วรยุทธ์หลบฉางเอ๋อที่สองก็เข้ามาก็ได้แล้วแต่หนานกงฉางฝูกลับเอาแต่ยืนคุมเชิงอยู่หน้าห้อง ชาตินี้คงไม่มีวันได้อย่างเท้าเข้าห้องศิษย์น้องแน่แล้ว
จอมขี้เกียจ อย่างไรก็ยังเป็นจอมขี้เกียจ...
“หลิวเฉินซางเจ้าปล่อยข้อมมือข้าได้แล้ว”มู่อิงเมินหนานกงฉางฝูที่อยู่หน้าห้อง ทุ่มความไม่พอใจมาที่คนในห้องแทน ศิษย์พี่ใหญ่นั้นยังนับว่ารับมือง่ายกว่าคนผู้นี้เยอะ
“ไม่เรียกพี่หลิวแล้วหรือ”
“...”มู่อิงได้แต่ถลึงตามองหลิวเฉินซาง เอ่ยวาจาไม่ออกแม้สักคำ
“เช่นนั้นให้เจ้าทำธุระยามเช้าเสียก่อน ข้าให้คนเตรียมอาหารเช้าไว้แล้ว”หลิวเฉินซางยิ้มเล็กน้อยอย่างเอื้อเอ็นดู แต่ประกายตากลับคมกริบราวกับพยัคฆ์ล่าเหยื่อ
เขาปล่อยมือมู่อิงก่อนจะเดินไปหน้าห้อง ฉางเอ๋อที่หนึ่งนั้นพอหลิวเฉินซางเดินไปหน้าห้องมันก็หันหลังสะบัดก้นใส่หนานกงฉางฝูแล้วเดินไปหามู่อิงที่เตียง ส่วนหนานกงฉางฝูนั้นเล่าโดนท่านผู้นำฝ่ายธรรมะลากคอออกไปพร้อมกัน
หนานกงฉางฝูเอาแต่ส่งเสียงโวยวาย ต่างฝ่ายต่างไม่ชอบหน้ากันการประมือจึงเกิดขึ้น เพียงพริบตาเดียวผู้เยี่ยมยุทธสองคนก็หายไปจากสายตา
มู่อิงนั้นมองออกไปด้วยความเสียดาย นานๆทีศิษย์พี่ใหญ่จะยอมออกแรงสักครั้ง แต่เขากลับไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตามไปดู
เมื่อมู่อิงเดินมาที่สวนเพื่อทานอาหารเช้าหลิวเฉินซางกับหนานกงฉางฝูก็กลับมาแล้ว ต่างคนต่างนั่งคนละมุม เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น ใบหน้าหนานกงฉางฝูนั้นดูเคร่งขรึมมืดครึ้ม ส่วนหลิวเฉินซางกลับวางท่าสบายๆ ดูผ่อนคลายราวกับเซียนผู้หลุดพ้น มู่อิงผู้ไม่สนใจสถานการณ์สนเพียงความต้องการของตนจึงเอ่ยปากขึ้น
“ใครชนะ”วาจาของท่านจอมมารนั้นทำเอาหนานกงฉางฝูที่หน้าตาดูไม่ได้อยู่แล้วยิ่งดูน่าเกลียดขึ้นอีกหลายส่วน ส่วนหลิวเฉินซางนั้นกลับระบายยิ้มจางๆ
“ย่อมเป็นข้า”หลิวเฉินซางยิ้มให้มู่อิงด้วยประกายตาพราวระยับ
หากจะว่าไปแล้วหลิวเฉินซางนั้นยิ้มให้มู่อิงราวกับเขาเป็นคนยิ้มง่าย แท้จริงแล้วหากในหนึ่งปีเขายิ้มสักครั้งท่านอาวุโสชิวเยี่ยนแทบจะจุดธูปกราบไหว้ขอบคุณฟ้าดิน คนผู้นี้วางตัวสูงส่งหากต้องการให้เขายิ้มสักครั้ง ให้สุนัขคลอดลูกเป็นสุกรยังง่ายเสียกว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ฝีมือตกหรือ”จำได้ว่าตอนที่มู่อิงสู้กับหลิวเฉินซางคราวก่อนฝีมือพวกเขาก็สูสีกัน เหตุใดศิษย์พี่ใหญ่จึงแพ้ได้ “ท่านเอาจริงหรือเปล่า มิใช่มัวแต่ขี้เกียจจนแพ้ผู้อื่น”มู่อิงมองหนานกงฉางฝูอย่างไม่ใคร่จะไว้ใจนัก
พฤติกรรมศิษย์พี่ใหญ่ดูเหลาะแหละจนคนมิอาจวางใจ
“น้องมู่อิง ศิษย์พี่ใหญ่ทุ่มสุดฝีมือแล้ว”ใบหน้าหนานกงฉางฝูยิ่งมองยิ่งดูไม่ได้ ใครจะคาดคิดว่าหลิวเฉินซางผู้นั้นแท้จริงซุกซ่อนฝีมือไว้มากเช่นนี้ เขาทุ่มสุดตัวแล้วยังไม่อาจเอาชนะ น้องมู่อิงไม่สังเกตหรือว่าเขาไปเปลี่ยนชุดใหม่มา ไม่บาดเจ็บภายในก็นับว่าดีมากแล้ว
“อิงเอ๋อ เจ้าไม่เชื่อในฝีมือข้าหรือ”
“เจ้าเรียกใครว่าอิงเอ๋อ!”
เพล้ง!!!
มู่อิงชัดโต๊ะทานอาหารจนแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี มองหน้าหลิวเฉินซางอย่างไม่สบอารมณ์ ตั้งแต่เกิดมาคนที่เรียกเขาเช่นนี้มีแต่คนในครอบครัวเท่านั้น แต่หลิวเฉินซางกลับบังอาจเรียก
“สมน้ำหน้าเจ้าแล้ว น้องมู่อิงสังหารเขาเสียเลย”หลังจากเอ่ยยุยงคนเสร็จ หนานกงฉางฝูก็พลิ้วกายจากไป เขาไปหาอะไรกินที่อื่น ปล่อยให้ศิษย์น้องช่วยระบายโทสะ
ชูปี้ฮวาเองก็ถอยออกไปอย่างรู้งาน นางไม่ลืมเรียกฉางเอ๋อที่หนึ่งไปหาอาหารเช้าที่อื่นเช่นกัน ดูท่าท่านประมุขกับท่านประมุขหลิวคงไม่อาจหาเวลาว่างมาทานอาหารเช้าได้แล้ว
“เช่นนั้นเจ้าเรียกข้าว่าพี่เฉินซาง”หลิวเฉินซางไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์โกรธของมู่อิง เขาทำราวกับยื่นขนมหวานให้เด็กที่กำลังโกรธ
“หลิวเฉินซาง! เจ้าหน้าหนาเกินไปแล้ว”
“น้องมู่อิงเจ้าน่ารักเกินไปแล้ว”
มู่อิงแทบอยากกรีดร้องราวอิสตรี บนหน้าผากเขาแทบจะปรากฏขีดดำขึ้นสามเส้น หลิวเฉินซางวันนี้นับว่ากล้าหาญนัก ยั่วอารมณ์โมโหเขาแต่เช้า หากไม่ได้ลงมือสั่งสอนคนผู้นี้อย่าเรียกเขาว่ามู่อิง!
มู่อิงที่กำลังภายในฟื้นคืนมาบ้างแล้วจึงพุ่งเข้าประมือกับท่านผู้นำฝ่ายธรรมะ สิ่งใดเรียกว่าการประมือ มู่อิงที่ยังอ่อนแอจะทำสิ่งใดได้ ยิ่งจู่โจมเขาก็ยิ่งโดนหยอกล้อทั้งจับเอว จับมือ หอมแก้ม เพียงไม่นานก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของผู้อื่น ช่างทำการค้าขาดทุนยิ่งนัก
“ข้าจะฆ่าเจ้า”มู่อิงหอบฮักอยู่ในอ้อมกอดหลิวเฉินซาง
“ก็บอกแล้วว่าเจ้ายังไม่อาจทำได้ ที่สำคัญเจ้าสังหารข้าลงหรือ”
“ข้าจะโกนหัวเจ้าแล้วเอาผมกลับไป”เขาน่าจะเชื่อเฉียนหลีโกนผมคนผู้นี้แล้วกลับพรรคจันทร์กระจ่างฟ้า
“เอาไปทั้งตัวก็ยังได้”
“เจ้าเกี้ยวข้ารึ”
“ความรู้สึกช้าจริง...ก็ใช่นะสิ”ประโยคหลังหลิวเฉินซางกระซิบริมหูของมู่อิง
มู่อิงหน้าแดงเถือก แต่ยังไม่วายเงยหน้าขึ้นมองหลิวเฉินซาง เพ่งพินิจใบหน้าของเขาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก คนผู้นี้ใบหน้าไม่งดงาม เขาไม่เคยสะสมบุรุษมาก่อนเสียด้วย แต่หากมองดูดีๆแล้ว นัยน์ตาครบกริบคู่นี้ก็นับว่าน่ามองอยู่ จมูกโด่งเรียวนั้นก็นับว่าน่าดูไม่น้อย ริมฝีปากนั้นเล่า... ยิ่งพอมองรวมกันทั้งใบหน้า...
“มาเป็นฉางเอ๋อที่สามดีหรือไม่”คำพูดของมู่อิงนั้นเบาหวิว เขาเพียงแต่รู้สึกว่าพอใจหลิวเฉินซางอยู่บ้างแต่ไม่เหมือนกับที่ชื่นชอบบรรดาฉางเอ๋อ ไม่รู้ว่าควรจะจัดการเช่นไรดี
“ข้าอยากเป็นพี่เฉินซาง”ทั้งน้ำเสียงทั้งใบหน้าของหลิวเฉินซางทำราวกับล่อลวงคน ราวกับจอมมารร้ายล่อลวงโฉมงาม หากผู้อื่นมาเห็นเข้าคงไม่อาจบอกได้ว่าคนไหนคือผู้นำฝ่ายธรรมะคนไหนคือจอมมาร เพราะตอนนี้เขาก็กำลังล่อลวงมู่อิงอยู่จริงๆ
“พี่เฉินซาง...”ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังอ่อนแอสติจึงไม่ค่อยแจ่มใสนักหรือไม่ มู่อิงจึงถึงกับเอ่อยออกมาอย่างเลื่อนลอย
“อิงเอ๋อ...”
“เจ้าเรียกใครว่าอิงเอ๋อ!”
เฮ้อ...นับว่าหลิวเฉินซางยังต้องล่อลวงคนอีกหลายครานัก
กว่าหลิวเฉินซางและมู่อิงจะได้ทานข้าวก็เป็นเวลาอาหารกลางวัน มู่อิงนั้นยิ่งเวลาผ่านไปกำลังภายในก็ฟื้นคืนมาทีละนิด จนสามารถสลัดหลุดจากอ้อมกอดหลิวเฉินซางได้ เวลานี้จึงออกมานั่งชมดอกไหถังในศาลาไร้ซึ่งผู้คนมารบกวน แต่ก็ยังมีคนผู้หนึ่งตามมา จะเป็นใครไปได้นอกจากท่านผู้นำฝ่ายธรรมะ
“เจ้าตามข้ามาทำไม”
“ข้าแค่มาชมดอกไม้”หลิวเฉินซางพูดพรางนำขลุ่ยหยกเลาหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ มู่อิงแค่เห็นขลุ่ยตาก็พราวระยับ
เป็นขลุ่ยที่งดงามนัก!
“ขลุ่ยนั่น...”มู่อิงพูดไม่ทันจบประโยคเสียงขลุ่ยก็ดังขึ้นเสียก่อน ท่วงทำนองอันผ่อนคลายนั้นทำให้เขาต้องหยุดวาจาที่ต้องการซื้อขลุ่ยของตนเองลง สายตาที่มองหลิวเฉินซางลึกล้ำขึ้นขั้นหนึ่ง
บุรุษหล่อเหลางามสง่าดูอยู่เหนือโลกีบุคลิกสูงส่งราวเทพเซียนท่านหนึ่งยืนเป่าขลุ่ยท่ามกลางสวนดอกไห่ถัง สายลมพัดชายเสื้อให้พลิ้วไหว กับบุรุษรูปโฉมงดงามนั่งเท้าคางอย่างเกียจคร้านสายตามองไปยังดอกไหถังที่บานสะพรั่ง แต่มุมปากกลับแย้มยิ้มเล็กน้อยราวกับคิดถึงสิ่งใดอยู่ ชายเสื้อสีขาวและแดงยามโดนลมพัดคละเคล้าคลอเคลีย ดูเป็นสีสันที่แตกต่างแต่ราวกับภาพวาดที่งดงามเป็นหนึ่ง คงไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงรบกวนทำลายทัศนียภาพที่งดงามเช่นนี้....หากไม่มีธุระสำคัญ!
“ท่าประมุขแย่แล้ว! เรือนจำฝังกระดูกโดนปล้น!!!”ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนเร่งรุดมาด้วยวิชาตัวเบาที่เค้นกำลังภายในออกมาเต็มที่
“น้องมู่อิง! เสี่ยวอี้คาบสิ่งนี้มาหาข้า”หนานกงฉางฝูอุ้มอินทรีย์มาด้วยตัวหนึ่งถึงเป็นภาพที่ดูตลกขบขัน หากแต่ใบหน้านั้นดูกังวล ร้อนรนอย่างแท้จริง ในมือเขายังมือเศษผ้าสีเหลืองนวลเปื้อนโลหิตมาด้วยชิ้นหนึ่ง
ภาพอันงดงามถูกทำลายลงด้วยเรื่องรีบร้อนอันไม่อาจทำให้ผู้ใดนั่งติดที่ เรือนจำฝังกระดูกเป็นสถานที่เช่นไรคนในยุทธภพต่างรู้ดี มาครานี้กับถูกปล้น ใบหน้าของมู่อิงและหลิวเฉินซางนั้นถึงกับเคร่งขรึมลงไม่ต่างกัน!
++++++++++++++++++++++++++
สั้นเน๊อะ ไม่งอแงนะ :mew3:
เดี๋ยวเคลิ้มเดี๋ยวฆ่า เริ่มสับสนกับนายเอกเรื่องนี้
ปล่อยนางติสแตกไปค่ะ
-
:laugh: วันนี้ท่านจอมมารน้อยหน้าแดงเขียวดำสลับเชียว น่าสงสารจริง
อิงเอ๋อที่สามก็ไม่เอาเนาะพี่หลิวคนเจ้าเล่ห์
ยังไม่ทันรักก็ต้องมารบกันอีกแล้ว เห้อ มาต่อไวๆนะค้าบ
รอๆๆๆ. :pig4:
-
มู่อิงน่ารัก... พี่หลิวเจ้าเล่ห์
-
อิงเอ๋อ น่ารัก :o8: :-[
-
อิงเอ๋อ สักพักเจ้านั่นแหละจะไปหาเขาเอง :hao3:
ศุกร์หน้าเลยเหรอ :sad4:
-
:ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
คิดถึงมู่อิงง :katai5:
-
กำลังหวานได้ที่ แหม่!!!! โดนขัดซะได้
-
เอาอีกๆๆๆๆ สติแตกหลุดโลก กันสนุกมากๆค่ะ ดูทรงแล้ว ฉางเอ๋อที่1 น่ะปกติอยู่ตัวเดียว :katai2-1:
-
หมั่นไส้พี่หลิวหนักขึ้นทุกที ชิชะ คนหน้าหนาแห่งพรรคธรรมะ!!!
-
ชอบอ่ะเรื่องนี้ เป็นเอกลักษณ์มากๆๆๆ :impress2:
-
สนุกอะ ตลกมู่อิง
-
รอวัน ไป๋เซ่อ ได้เป็นพระชายา
-
บทที่ 9 เรือนจำฝังกระดูก
เรือนจำฝังกระดูกคือสถานที่คุมขังนักโทษที่มีวรยุทธ์ ไม่มีใครทราบว่าใช้กฎเกณฑ์ใดในการคุมขังเพราะผู้ที่ถูกจองจำล้วนไม่เคยออกมา เหตุที่ชื่อเรือนจำฝังกระดูกเพราะถึงแม้ตายร่างกายเหลือเพียงโครงกระดูกก็ต้องถูกฝังไว้ที่นี่ ผู้ที่ถูกคุมขังมีทั้งพรรคฝ่ายธรรมะและอธรรมที่ก่อเหตุการณ์อันรุนแรงจนไม่อาจให้อภัยได้ ว่ากันว่าการคุ้มกันของที่นี่เข้มงวดยิ่งกว่าคุกหลวงของราชสำนัก นักโทษมากมายจึงเลือกจบชีวิตตนเองลงดีเสียกว่าถูกคุมขังไว้ในที่แห่งนี้
สถานที่เช่นเรือนจำฝังกระดูกถูกสร้างบนเกาะอันไร้ผู้คนอยู่อาศัยแห่งหนึ่ง นอกจากผู้คุมที่นับได้เพียงยี่สิบคนและเหล่านักโทษก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนอาศัยอยู่อีก ในบรรดาผู้คุมทั้งยี่สิบนั้นมีหัวหน้าผู้คุมอยู่ท่านหนึ่ง คนผู้นี้ไม่ใช้ดาบหรือกระบี่หากแต่ใช้แส้ เป็นเพียงสตรีรูปโฉมธรรมดาที่มีวรยุทธ์สูงล้ำ บรรพบุรุษหลายชั่วคนของนางสืบทอดการดูแลเรือนจำแห่งนี้มาเนิ่นนานมิคาดในรุ่นของนางถึงกับมีคนกล้าบุกปล้นนักโทษ ผู้บุกรุกมีวรยุทธ์สูงล้ำเช่นกัน ต่อสู้กันอยู่หลายสิบวันนางจึงได้เพรี้ยงพร้ำ นักโทษสำคัญถูกชิงตัวไป เพราะสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างไกลจึงไม่มีผู้ใดเร่งรุดมาช่วยเหลือ กว่ามู่อิงและหลิวเฉินซางจะเดินทางมาถึง นักโทษก็ถูกชิงไป กู่อิ๋งอิ๋งผู้ดูแลเรือนจำบาดเจ็บสาหัสบางตาย
เหตุการณ์นี้ทำให้มู่อิงแทบคุมสติไว้ไม่อยู่ เขาอยากระบายโทสะแต่ไม่รู้จะทำเช่นไร ท่านจอมมารในยามนี้นั้นปล่อยรังสีสังหารออกมามากมายไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าหน้าติด ส่วนหลิวเฉินซางสำรวจความเสียหายทั้งหมด หนานกงฉางฝูทำหน้าที่รักษาผู้บาดเจ็บ
“ไปตามเฉียนหลีมา ไม่ว่าเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ให้เขาเร่งรุดมาที่นี่!”มู่อิงสั่งการอย่างเคร่งเครียด ชูปี้ฮวารับคำและออกเดินทางทันทีถึงแม้ว่าพึ่งมาถึง
“คนที่ถูกพาตัวไปเป็นใคร “หลิวเฉินซางสอบถามผู้คุมที่ยังพอมีสติตอบได้
“ฟู่ซีชิว...”ผู้คุมลำดับที่สิบสามบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง เวลานี้บรรดาผู้คุมทั้งสิบเก้าไม่นับหัวหน้าผู้คุมตายไปแล้วห้า บาทเจ็บสาหัสอีกสิบคน อีกสี่คนที่เหลือไล่ตามนักโทษไปไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร
“คนที่มาช่วยเขาเล่าเป็นใคร”มู่อิงสอบถามอย่างร้อนใจ
“ฮัวเหลียนเหลียนแห่งพรรคตำหนักจันทรา”
“ฮัวเหลียนเหลียน!!!”ดวงตามู่อิงเปล่งประกายฆ่าฟัน ผู้ใดจะถูกช่วยออกไปเขาไม่ได้สนใจ แต่ถึงกับทำร้ายกู่อิ๋งอิ๋งบางตาย หนี้แค้นนี้เขามู่อิงจะชำระคืนให้อย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
“น้องมู่อิง อิ๋งอิ๋งข้าประคองอาการไว้ได้แล้วที่เหลือหากเฉียนหลีมาทันเวลาก็ไม่น่ามีปัญหาใด”หนานกงฉางฝูเดินออกมาจากห้องกู่อิ๋งอิ๋ง ใบหน้าไม่ค่อยจะผ่อนคลายนัก เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่าเป็นการสั่นสะเทือนยุทธภพอย่างแท้จริง นับหลายร้อยปีมานี้ไม่มีผู้ใดเคยทำการอุกอาจเช่นนี้ แต่ฮัวเหลียนเหลียนผู้นี้กลับกล้า
เฉียนหลีนั้นนอกจากเป็นองค์รักษ์ควบตำแหน่งผู้ดูแลพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าแล้ว ฝีมือการแพทย์ยังสูงส่ง หากจะเรียกเขาว่าหมอเทวดาก็ไม่นับว่าเกินไป ขอแค่คนยังหายใจเขานับว่ายังรักษาให้หายได้
ส่วนกู่อิ๋งอิ๋งนั้นหากนับตามลำดับก่อนหลังเป็นศิษย์ลำดับที่สอง หากแต่นับตามฝีมือเป็นศิษย์น้องสาม มู่อิงและบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องนั้นล้วนเติบโตมาด้วยกัน ดังเช่นหนานกงฉางฝูที่ถึงปากมู่อิงจะบอกว่าอยากสังหารแต่แท้จริงแล้วเขาก็ยังให้ความเคารพศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้อยู่ไม่น้อย กับกู่อิ๋งอิ๋งเองมู่อิงชอบเรียกนางว่าหญิงอัปลักษณ์หากแต่แท้จริงกลับชื่นชอบศิษย์พี่ผู้นี้มากกว่าผู้อื่น คนของเขาเขาย่อมรังแกได้ แต่ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์
“น้องมู่อิงผู้ที่ถูกช่วยไปเป็นจอมมารคนก่อนเจ้ารู้จักหรือไม่”หลิวเฉินซางเดินเข้ามาสอบถามมู่อิง
“ข้าไม่รู้จัก” ก่อนที่มู่อิงขึ้นเป็นผู้นำพรรคมารนั้นพรรคมารแบ่งออกเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยไม่ขึ้นตรงต่อผู้ใด แต่ละฝ่ายล้วนแสวงหาผลประโยชน์และชื่อเสียงให้ตนเอง พอเขาเข้ารับตำแหน่งประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าได้ไม่นานจึงเริ่มได้รับการยอมรับและถูกยกย่องให้เป็นจอมมารในที่สุด กว่าจะมาถึงจุดนี้มู่อิงเองก็เหยียบย่ำบนเถ้ากระดูกผู้คนมามากมาย แต่เขาไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อจอมมารคนก่อนเลยแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นพรรคตำหนักจันทราเล่าเจ้ารู้จักหรือไม่”
“ดูเหมือนจะเป็นพรรคเล็กๆ ข้าไม่ได้สนใจ แต่วันนี้ฮัวเหลียนเหลียนนับว่าทำให้ข้าสนใจได้ไม่น้อย”น้ำเสียงมู่อิงเย็นยะเยือกกระไอสังหารแผ่ออกมาเต็มเปี่ยม หากหลิวเฉินซางไม่มีกำลังภายในอันยอดเยี่ยมไม่แน่ว่าจะถูกความกดดันนี้ทำให้กระอักโลหิตหรือไม่
“น้องมู่อิงเจ้ารู้จักกู่อิ๋งอิ๋งหรือ”หลิวเฉินซางสังเกตเห็นว่ามู่อิงและหนานกงฉางฝูดูจะให้ความสำคัญกับกู่อิ๋งอิ๋ง โดยเฉพาะมู่อิงที่โกรธแค้นฮัวเหลียนเหลียนมากมายเพียงนี้ ความรู้สึกเช่นนี้เขาไม่ค่อยจะชอบใจนักจึงต้องถามน้องมู่อิงให้กระจ่าง
“พี่อิ๋งอิ๋งคือศิษย์น้องสาม”มู่อิงเก็บรังสีอำมหิตลง เวลานี้เขาต้องจัดการเรื่องที่เรือนจำฝังกระดูกให้เรียบร้อยแล้วจึงตามสังหารฮัวเหลียนเหลียน เขาเองก็อยากจะรู้นักว่านางจะหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน
“เป็นเช่นนี้เอง”หลิวเฉินซางพยักหน้าอย่างพึงพอใจในคำตอบ ความโกรธแค้นนี้เขายอมรับได้ หากแต่ประมุขพรรคมารเป็นศิษย์พี่ของผู้คุมเรือนจำฝังกระดูกหากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปไม่รู้จะเกิดคลื่นลมอันใดขึ้นในยุทธภพ มู่อิงนั้นสร้างความประหลาดใจให้เขาไม่สิ้นสุด นับตั้งแต่ความชื่นชอบไปจนถึงผู้คนที่คบหา เขาได้รู้เรื่องน้องมู่อิงเพิ่มมากขึ้น ถือว่าความสัมพันธ์มีความก้าวหน้าได้หรือไม่
ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะผู้ซึ่งไม่เคยสนใจมนุษย์หน้าในมาก่อนเริ่มครุ่นคิดกับตนเองในใจ
กว่าเฉียนหลีจะเดินทางมาถึงก็ล่วงเข้าวันที่ห้า ยามนั้นอาการของกู่อิ๋งอิ๋งแทบจะประคองเอาไว้ไม่อยู่ มู่อิงและหนานกงฉางฝูผลัดกันถ่ายทอดกำลังภายในให้ทั้งกลางวันและกลางคืนจึงจะประคองอาการรอเฉียนหลีได้ เมื่อเฉียนหลีมาถึงก็มิได้พูดมากความอันใดตรงเข้ารักษากู่อิ๋งอิ๋งทันที กว่าเขาจะรักษาคนแล้วเสร็จก็นานถึงครึ่งค่อนวัน
“น้องมู่อิงในเมื่อกู่อิ๋งอิ๋งปลอดภัยแล้วเจ้าก็ควรไปพักบ้าง”หลิวเฉินซางยืนอยู่ข้างกายมู่อิง ดูใกล้ชิดสนิทสนมจนเฉียนหลีแปลกใจ
ปกติพวกฝ่ายธรรมะแทบไม่ญาติดีกับคนพรรคมาร เจอที่ไหนเป็นต้องตรงเข้าห้ำหั่นกัน มิเช่นนั้นก็สะบัดหน้าใส่จนคอแทบหัก คราที่ไปบุกพรรคเรือนเมฆาจำได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านประมุขกับหลิวเฉินซางก็ไม่นับว่าดีอันใดนัก แต่เวลานี้ผู้นำฝ่ายธรรมะกลับกล่าวกับท่านประมุขด้วยสุ่มเสียงอ่อนโยนเอาอกเอาใจอย่างยิ่ง หรือเขาจะเหนื่อยมากเกินไปจนหูเพี้ยนเห็นภาพหลอนก็ไม่อาจรู้ได้
“ข้าไม่เป็นไรรอจนพี่อิ๋งอิ๋งฟื้นแล้วจึงจะไป”ใบหน้ามู่อิงดูอ่อนแรงอยู่บ้าง เฉียนหลีขมวดคิ้วอีกครั้ง
ปกติถึงท่านประมุขจะชื่นชอบเส้นผมของหลิวเฉินซางหากแต่ก็ยังคงไว้ตัวอยู่หลายส่วน แต่นี่กลับพูดกับท่านผู้นำฝ่ายธรรมะได้อย่างเป็นธรรมชาติ เขาไม่อยู่ข้างกายท่านประมุขไม่กี่วันเกิดเหตุพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินขึ้นหรือไร
“แต่หน้าเจ้าซีดแล้ว ตอนนี้ในเมื่อนางปลอดภัยเจ้าก็ควรพัก”
“เจ้าไม่ใช่ศิษย์ในสำนักเราจะเข้าใจได้อย่างไร”หนานกงฉางฝูผู้มีใบหน้าซีดขาวไม่ต่างจากมู่อิงเอ่ยขึ้น ถึงฝีมือสู้หลิวเฉินซางไม่ได้ แต่เขาก็ขอขัดขวางคนผู้นี้ในทุกวิถีทาง จะยอมให้น้องมู่อิงตกหลุมพรางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เช่นนี้ไม่ได้ อย่างน้อยความพยายามนับสิบปีของเขาก็ไม่ควรสูญเปล่าไม่ใช่หรือ
หนานกงฉางฝู...คนผู้นี้เคยมีความพยายามด้วยหรือ ช่างคิดได้อย่างไม่ละอายใจเอาเสียเลย...
“ท่านประมุขไปพักเถอะขอรับ กว่าแม่นางกู่จะฟื้นก็คงเป็นพรุ่งนี้เช้า”เฉียนหลีเอ่ยออกมา สิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นที่สุดในยามนี้ก็คือสุขภาพของท่านประมุข ร่างกายท่านประมุขนั้นมีค่ายิ่งกว่าทองคำหากเกิดอะไรขึ้นกับเขาเพียงเล็กน้อยคงต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่เดือดร้อนกันทั้งแผ่นดินจริงๆ แน่
“ในเมือเจ้าพูดเช่นนี้พรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่”มู่อิงยอมไปพักในที่สุด
“เจ้าเดินไหวไหมให้ข้าอุ้มไปดีหรือไม่”
“ข้ายังมีแรงสังหารเจ้าก็แล้วกัน”
“ทั้งที่ความสามารถเจ้ายังไม่ถึงก็ยังชอบเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา จะกลายเป็นคำพูดติดปากรู้หรือไม่”
“หลิวเฉินซางเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”มู่อิงขมวดคิ้วจ้องหน้าหลิวเฉินซาง
“หากเจ้าคิดประมือกับข้าจริงๆ เจ้านั่นแหละที่จะเหนื่อยจนไม่มีชีวิตอยู่”
“เจ้า!”
“ข้าไม่ยั่วโมโหเจ้าแล้ว น้องมู่อิงค่อยๆเดิน”
“เพ่ย! สักวันข้าต้องสังหารเจ้าได้แน่”
“เช่นนั้นเจ้าอาจไม่ได้เห็นเส้นผมข้าอีก”
“หลิวเฉินซาง!!!”
“น้องมู่อิงข้าทราบแล้ว...เจ้าอย่าโมโห”
ถ้อยคำของมู่อิงและหลิวเฉินซางทำให้เฉียนหลีต้องเบิ่งตามองดูให้แน่ชัด การหยอกล้อเช่นนี้...ไม่จริงกระมัง เขาทำเป็นไม่รับรู้ได้หรือไม่ หากเขาโดน ‘ทางบ้าน’ ของท่านประมุขสอบถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ของท่านประมุขขึ้นมา เขาจะพูดอย่างไรได้เล่า มิต้องโดนไล่ฟันออกมาหรอกรึ!
ท่านประมุขท่านอย่าตกหลุมดอกท้อผู้อื่น เฉียนหลีผู้นี้ยังไม่อยากตาย เขายังไม่ได้แต่งภรรยาเลยแม้แต่คนเดียว
หนานกงฉางฝูเหลือบดูเฉียนหลีอย่างไม่ชอบใจ คนผู้นี้ถูกหลิวเฉินซางซื้อตัวไปแล้วหรืออย่างไร ถึงได้เอ่ยวาจาคล้อยตามเจ้าตัวน่าโมโหผู้นั้น เห็นหรือไม่ว่าเจ้าปีศาจจิ้งจอกนั่นแทบจะลากน้องมู่อิงไปกินอยู่แล้ว
ในเช้าวันต่อมากู่อิ๋งอิ๋งก็ฟื้นขึ้น ถึงแม้ยังไม่แข็งแรงนักแต่สติก็แจ่มใสยิ่ง สามารถเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่มีตกหล่น
ตอนฮัวเหลียนเหลียนผู้นั้นบุกเข้ามากู่อิ๋งอิ๋งกำลังตรวจตราเรือนจำตามปกติพร้อมกับผู้คุมอีกสามท่าน หญิงผู้นั้นสวมชุดสีขาวสะอาดดูงดงามราวกับเทพธิดา ผิวพรรณผุดผ่องดูแล้วทั้งขาวทั้งนุ่มราวกับเต้าหู้ ถึงกับกล่าวแนะนำตัวอย่างมีมารยาทยิ่งนัก แม้จะดูงดงามไร้พิษสงปานนั้นกลับลงมือสังหารคนทันทีที่เอ่ยปากเสร็จ ฆ่าคนโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้สักนิด กู่อิ๋งอิ๋งในยามนั้นยอมรับว่าคาดไม่ถึงว่าผู้มามีวัตถุประสงค์ชั่วร้ายปานนั้น ครั้นเห็นผู้มาเยือนลงมือโหดหี้ยมอำมหิตจึงตรงเข้าต่อสู้โดยไม่ออมมือ มิคาดสู้กันถึงสองชั่วยามฮัวเหลียนเหลียนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเพรี้ยงพร้า นางจึงส่งสัญญาณให้ผู้คุมท่านอื่นยิงพลุสัญญาณ อีกไม่กี่ชั่วยามต่อมาคนของฮัวเหลียนเหลียนก็มาเพิ่มมากขึ้น สู้กันจนเข้าวันที่สองนางจึงบาดเจ็บจนกระอักเลือด ถึงได้ให้เสี่ยวอี้นกอินทรีย์ที่นางเลี้ยงไว้ส่งข่าวหาศิษย์พี่ใหญ่
“ฮัวเหลียนเหลียน...ตอนที่ข้าพบนางหน้าตาดูธรรมดามาก เหตุใดแม่นางกู่จึงบอกว่างดงาม”เฉียนหลีเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
ท่านประมุขอาจไม่สนใจพรรคในปกครอง แต่เขาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ให้ท่านประมุขเหล่าพรรคเล็กพรรคน้อยมีผู้นำเช่นไร แนวทางของพรรคเป็นแบบไหนเฉียนหลีผู้นี้ล้วนจ่างแจ้ง ฮัวเหลียนเหลียนผู้นั้นเขาเคยพบเมื่อสามปีก่อนตอนที่ท่านประมุขขึ้นรับตำแหน่งประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้า ประมุขพรรคตำหนักจันทรายามนั้นดูแล้วหน้าตาธรรมดาอย่างมาก มองดูแล้วไม่คล้ายเทพธิดาเลยสักส่วนเดียว กู่อิ๋งอิ๋งยังดูงดงามกว่าหลายส่วนนัก ผ่านไปสามปีจากหญิงสาวหน้าตาธรรมดาจะกลายเป็นเทพธิดาได้หรือ
“นางคือกู่อิ๋งอิ๋งจริงๆ ถึงแม้ข้าจะอยู่ที่เรือนจำฝังกระดูกไม่ไปไหนแต่เรื่องราวในยุทธภพพวกเราเหล่าผู้คุมล้วนต้องคอยสอดส่องเพื่อหาผู้กระทำผิด ฮัวเหลียนเหลียนนั้นดูเหมือนที่ฝึกแล้วนอกจากรูปโฉมจะงดงามขึ้นกำลังภายในก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้องเป็นวิชามารที่หายสาบสูญไปนานเป็นแน่ แต่ที่น่าสงสัยคือทำไมนางถึงมาช่วยฟู่ซีชิว”กู่อิ๋งอิ๋งกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“ฟู่ซีซิวผู้นี้แม่แต่คนพรรคมารยังไม่ชอบหน้า จำได้ว่าก่อนถูกจองจำเขาไล่ดูดพลังยุทธ์ของบรรดาชาวยุทธ์โดยไม่สนใจว่าเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรม ก่อกรรมทำเข็ญจนคนทั้งใต้หล้าเกลียดชัง แต่ไม่เคยเกี่ยวข้องหรือมีลับลมคมในอันใดกับพรรคตำหนักจันทรามาก่อน การที่ฮัวเหลียนเหลียนมาช่วยคนผู้นี้ออกไปนับว่าน่าสงสัยมากจริงๆ”เฉียนหลีเองก็สงสัยในจุดนี้เช่นกัน
“แค่นางจิ้งจอกกับตาเฒ่าไม่รู้จักตาย ตามไปสังหารเสียก็สิ้นเรื่อง”
เพราะผู้ที่เอ่ยเช่นนี้คือมู่อิง ทุกคนจึงทำเป็นเมินเขาแล้วสนทนากันต่อ คนผู้นี้พออ้าปากก็สังหารคนไม่สนใจสืบหาต้นสายปลายเหตุ หากไม่เพราะหน้าตางดงามและวรยุทธ์สูงส่งผู้คนคงพากันเกลียดชังเขาแล้วบุกมาสังหารไม่เว้นวันเป็นแน่
“น้องมู่อิงเจ้ารู้หรือว่าเขาอยู่ที่ไหน”มีเพียงหลิวเฉินซางที่สนใจจะพูดคุยกับเขา
“ไม่รู้”
“เช่นนั้นเจ้าจะตามไปฆ่าเขาได้อย่างไร”
“ก็แค่ไปที่พรรคตำหนักจันทราหากไม่พบคนก็สังหารจนกว่าคนในพรรคจะพูดอกมา”
“ถ้าสังหารหมดแล้วพวกเขาไม่พูดเล่า”หลิวเฉินซางกล่าวอย่างใจเย็น
“เจ้าจะขัดข้าให้ได้หรือ”
“ข้าไม่ได้ขัดเจ้า ข้าส่งคนไปสืบที่พรรคตำหนักจันทราแล้ว พวกเรารอฟังข่าวอยู่ที่นี่”
“แต่เยว่เอ๋อยังไม่กลับมา...”
“เกี่ยวอะไรกับหนานหมิงเยว่ผู้นั้น”เพราะวาจานี้ของหลิวเฉินซางทำให้ผู้ที่กำลังสนทนาปรึกษาหารือกันอยู่หันมามองที่เขากับมู่อิง
“ท่านโง่หรือ”มู่อิงถลึงตามองหลิวเฉินซาง
“เกี่ยวกับการลอบสังหารเจ้าคืนนั้นใช่หรือไม่”หากเขาไม่เอ่ยสิ่งใดสักคำคงถูกน้องมู่อิงมองเป็นตัวโง่งมจริงๆแน่
“ท่านประมุขท่านโดนลอบสังหารหรือ”เฉียนหลีถามด้วยความตกใจ ใบหน้าเขาเขียวสลับดำในทันที
ถึงกลับมีคนกล้าลอบสังหารท่านประมุข!
“ข้าไม่เป็นไรเยว่เอ๋อไปตามสืบเรื่องนี้แล้ว”มู่อิงโบกมืออย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก อยากฆ่าเขาไม่ง่ายดายนัก นับว่าผู้ที่ถูกส่งมายังไม่มีความสามารถพอ
ในเมื่อเหตุการณ์ประจวบเหมาะเช่นนี้พอเขาอ่อนแอเรือนจำฝังกระดูกก็ถูกปล้น หากประมุขพรรคมารโดนลอบสังหารในอาณาเขตของพรรคฝ่ายธรรมะ เรือนจำขังนักโทษโดนปล้นโดยคนพรรคมาร เหตุการณ์เช่นนี้มิใช่การยุยงให้เกิดความขัดแย้งหรือ เห็นเขามู่อิงเป็นตัวโง่งมหรือไร!
เช่นนี้การสืบข่าวจึงมีหลายทางทั้งจากฝ่ายธรรมะและพรรคมาร หากผู้ที่ก่อเหตุร้ายต้องการให้เกิดความบาดหมางระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรมขึ้นจริงๆ ทราบว่าท่านผู้นำฝ่ายธรรมะและจอมมารต่างร่วมมือกัน อาจถึงขั้นกระอักโลหิตด้วยความเดือดดาลใจ
“น้องมู่อิงได้ยินว่าเจ้าเป็นห่วงข้ามากหรือ”กู่อิ๋งอิ๋งที่ยังไม่อาจลุกจากเตียงได้เอ่ยขึ้น
ยามสนทนาเรื่องสำคัญแล้วเสร็จก็ควรถึงเวลาพูดคุยของศิษย์พี่ศิษย์น้อง หลังจากลงเขามานางก็ไม่ได้พบหน้าศิษย์พี่ใหญ่และน้องมู่อิงนานมากแล้ว
“เพราะเจ้านอกจากหน้าตาอัปลักษณ์แล้วฝีมือยังอ่อนด้อย โดนผู้อื่นทำร้ายเช่นนี้หากตาแก่รู้เข้าคงเสียหน้าไม่น้อย”มู่อิงปรายตามองกู่อิ๋งอิ๋ง
“ท่านอาจารย์ยามนี้ไม่รู้ว่าต้มตุ๋นผู้อื่นอยู่ที่ไหน”หนานกงฉางฝูนั่งเท้าคางอย่างเกียจคร้าน ดวงตาเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าอันงดงามของน้องมู่อิง
“อาจารย์ของพวกท่านคือผู้เยี่ยมยุทธ์ท่านใดหรือ”หลิวเฉินซางเดินมาบังมู่อิงที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างให้พ้นจากสายตาของหนานกงฉางฝู
“อาจารย์ของพวกเราไม่มีชื่อเสียงในยุทธภพชื่อจวินจื่อหลันประมุขหลิวคงไม่รู้จัก”กู่อิ๋งอิ๋งตอบอย่างมีมารยาท
“ก็แค่ตาแก่ที่ชอบหลวกลวงผู้อื่นว่าเป็นหมอดู”อีกทั้งอายุตั้งมามายแล้วแต่หน้าตายังอ่อนเยาว์อยู่อีก เป็นอาจารย์ที่มู่อิงพอเห็นหน้าก็ตรงเข้าประมือ
“คงจะเป็นผู้ที่น่าเคารพเลื่อมใสไม่น้อย”สามารถสั่งสอนน้องมู่อิงจนเยี่ยมยุทธ์เช่นนี้นับว่าไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง หากแต่ชื่อของท่านอาจารย์ท่านนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ
จวินจื่อหลันหากมาได้ยินวาจาเช่นนี้ของท่านผู้นำฝ่ายธรรมะมิรู้ว่าจะหน้าบานมากเพียงไร
++++++++++++++++++++++++++
ตอนนี้แอบรู้สึกขัดใจตัวเอง รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ จะแก้ใหม่ก็กลัวว่านานเกินไป :mew5:
-
น้องมู่อิง
น่ารักเสมอต้นเสมอปลายจิงๆ
-
คนที่ร้ายที่สุดก็คือพระเอกนี่แหละนะ. พ่อประมุขฝ่ายธรรมะ
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ :mew1:
-
มู่อิงน่าร๊ากกกกก~
-
มาต่อไวไวนะ คิดถึงน้องมู่อ้ง :กอด1:
-
สนุกมากก มู่อิงมีเอกลักษณ์มากก
-
ท่านแน่ใจหรือว่ามาจากฝ่ายธรรมะ เหมือนท่านจะมาจากพรรคจิ้งจอกมากกว่านะท่าน
-
ชูป้ายไฟ#เลิฟมู๋อิงรัวๆ ชอบจริงๆนะ
-
มู่อิวจ๋า :o8:
-
บทที่ 10
ภายในเรือนจำฝังกระดูกห้องที่ใช้สำหรับคุมขังนักโทษถูกขุดลึกลงไปใต้พื้นดิน ส่วนด้านบนนั้นเป็นเรือนพักของเหล่าผู้คุมถึงแม้จะมีเพียงยี่สิบคนแต่เรือนพักกลับใหญ่โตหรูหรา มีห้องหับมากมายให้ผู้มาเยือนได้พัก ผู้มาเป็นแขกนั้นได้รับการต้อนรับราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์หากแต่ผู้ที่ถูกจองจำนั้นราวกับตกอยู่ในขุมนรก ช่างทำให้คนทั้งอยากส่ายหน้าและถอดถอนใจ
เนื่องจากเหตุการณ์ที่ฮัวเหลียนเหลียนบุกมาชิงตัวนักโทษ ทำให้กู่อิ๋งอิ๋งที่พึ่งฟื้นตัวต้องจัดการงานต่างๆ มากมาย ทั้งตรวจสอบนักโทษคนอื่นๆ ตรวจตราความเสียหาย และจัดการศพของผู้คุมที่เสียชีวิต วุ่นวายจนแทบไม่มีเวลาพัก
มู่อิงเองคอยออกคำสั่งต่างๆ ให้คนในพรรคจันทร์กระจ่างฟ้ามารับไปทำ อย่างไรเสียผู้คนในพรรคของเขาก็มิใช่พวกไร้ฝีมือให้เดินทางไปกลับรับคำสั่งเช่นนี้ก็ไม่นับว่าลำบากอะไร ยังถือว่าเมตตาปรานีเสียด้วยซ้ำ
เวลานี้มู่อิงยืนอยู่กลางสวนท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่อง งดงามชวนหลงใหลสะกดใจผู้คน ชายเสื้อสีแดงพละพลิ้วตามสายลมที่พัดโชยมายิ่งดูยิ่งงดงามเป็นหนึ่งในหล้าหากผู้ใดมาพบเห็นเขายามนี้อาจถูกความงามสะนี้สะกดให้ตะลึงหลง หากแต่ในขณะเดียวกันมีบุรุษใส่ชุดดำสามคนคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า แต่ละคนล้วนก้มหน้าลงต่ำไม่อาจเอื้อมเงยหน้ามองผู้เป็นนาย
ความงามอันมัวเมาคนนี้น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดอาจเอื้อมเงยหน้ามอง
นับแต่มู่อิงขึ้นเป็นประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายสิ่งทั้งเหล่าผู้มีตำแหน่งในพรรคมีการสับเปลี่ยนและการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองพรรคทั้งหมด เช่นบุรุษผู้สวมชุดดำทั้งสามนี้ที่ขึ้นตรงต่อมู่อิงเพียงผู้เดียวแม้แต่เฉียนหลีที่เป็นผู้ดูแลพรรค ถือเป็นรองประมุขพรรคอยู่กลายๆยังไม่มีสิทธิ์เรียกใช้ บุรุษทั้งสามนี้ถูกเรียกว่ากองกำลังสายฟ้า ทั้งฝีมือทั้งความรวดเร็วลงมือฉับไวประดุจสายฟ้านับเป็นบุคคลที่มู่อิงคัดเลือกขึ้นมาด้วยตนเอง หากเอ่ยถึงรูปร่างหน้าตายิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ละคนแต่ละท่านล้วนแล้วแต่สามารถคว้าหัวใจของอิสตรีได้ภายในยิ้มเดียว
“เหลยที่หนึ่ง”มู่อิงมองไปยังบุรุษชุดดำที่อยู่ตรงกลาง
“รับคำสั่งท่านประมุข”เหลยที่หนึ่งเอ่ยเสียงดังฟังชัดก่อนจะประสานมือรับคำสั่งอย่างเคร่งครึม
อะแฮ่ม...เนื่องจากนี่คือกองกำลังสายฟ้าแต่ละท่านจึงมีชื่อเรียกว่าเหลยที่หนึ่งไปจนถึงเหลยที่สาม เป็นที่ทราบกันในพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าว่าใครก็อย่าได้คิดขวัญกล้าให้ท่านประมุขตั้งชื่อบุตรของตน มิเช่นนั้นจะลงเอยดังเช่นเหล่าผู้มีความสามารถและหน้าตาเป็นเอกทั้งหลายในพรรค แต่ละท่านนั้นล้วนองค์อาจสง่างามน่าเคารพยำเกรง หากแต่เมื่อถึงยามเรียกชื่อแทบทำให้คนอยากหลั่งน้ำตาไม่กล้าแม้แต่จะอ้าปาก
เรียกท่านเหลยคำหนึ่งหันมาทั้งสามคน หากแต่เรียกเป็นหมายเลขแต่ละท่านก็แทบราวกับจะพ้นไฟได้เหล่าผู้น้อยในพรรคล้วนหวาดหวั่นกันถ้วนหน้าหากแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าบ่น ท่านประมุขช่างรังแกคนมากเกินไป แม้แต่เหล่าผู้คนในพรรคของตนเองก็ไม่ละเว้น
“เจ้าพาฉางเอ๋อที่หนึ่งไปตามหาเยว่เอ๋อ หากเขาประสบภัยจงช่วยเหลือกลับมา หากเถล่ไถลให้ทุบให้สลบแล้วโยนเข้าคุกหนึ่งเดือน”หนานหมิงเยว่ถึงกลับกล้าทำให้เขาเป็นห่วง
“ข้าน้อยรับบัญชา”บุรุษผู้ถูกเรียกว่าเหลยที่หนึ่งทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะถอยห่างออกมาเพื่อไปจัดการภารกิจของตน
“เหลยที่สอง”
“รับคำสั่งท่านประมุข”
“เจ้าไปหอบุปผาแดงบอกให้พวกเขารวบรวมข้อมูลของพรรคตำหนักจันทราโดยเฉพาะเรื่องของฮัวเหลียนเหลียนแล้วนำมารายงานข้า”
“ข้าน้อยรับบัญชา”
หอบุปผาแดงคือสถานที่สำหรับซื้อขายข่าวที่ก่อตั้งขึ้นโดยมู่อิง ในฐานะประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าเขามีหน้าที่หางานให้เหล่าผู้คนในสำนักตามความสามารถของแต่ละคน เช่นนี้คนในหอบุปผาก็เป็นเพียงแค่พวกชอบซุปซิปนินทาที่ถูกส่งออกไปหาข่าว เพียงแต่ว่าข่าวแต่ละเรื่องที่พวกเขาหาได้เกือบต้องแลกด้วยชีวิต ความจริงนั้นช่างหน้าสงสารยิ่งนัก แต่ความจริงที่ยิ่งกว่าความจริงก็คือ...เหล่าผู้คนในหอบุปผาแดงถูกท่านประมุขมองแล้วเห็นว่าเสียสายตาถึงได้ถูกส่งไปอยู่ห่างไกลจากพรรค
“เหลยที่สาม”
“รับคำสั่งท่านประมุข”
“เจ้าไปสืบดูที่พรรคตำหนักจันทรา หากไม่มีสิ่งใดผิดปกติจงเข้าไปเยี่ยมชมในสำนัก จำไว้ว่าหากต้องเข้าไปอย่างเปิดเผยต้องไปอย่างมีหน้ามีตา จะให้ข้าเสียชื่อไม่ได้”
“ข้าน้อยรับบัญชา” เหลยที่สามไหลแทบงองุ้ม ไปแบบมีหน้ามีตาของท่านประมุขคือการอวดเบ่งให้เต็มที่ เหตุใดผู้อื่นได้งานสบาย แต่ของเขาไปทำให้ผู้อื่นอยากฆ่ากันเล่า ท่านประมุขนะท่านประมุขจะให้เขาเข้าไปแบบไม่มีผู้รู้เห็นนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าเข้าไปแบบมีหน้ามีตาดังเช่นที่ท่านประมุขต้องการเสียอีก
บุรุษชุดดำทั้งสามตอนมารวดเร็วฉับไวตอนจากไปก็ไร้ซึ่งผู้พบเห็น มีแค่สามคนหากแต่เรียกว่ากองกำลัง ฝีมือของแต่ละท่านนั้นแทบสูสีกับมู่อิง ถึงมีแค่สามคนแต่สามารถล้มคนได้ทั้งกองทัพ ผู้ที่หมายเป็นศัตรูกับมู่อิงนั้นนับว่าโง่เง่ายังดูน้อยไป บรรดาท่านเหลยนั้นแทบอยากเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ฮัวเหลียนเหลียนผู้นั้น หญิงคนนั้นต้องสติวิปลาสไปแล้วถึงกล้าท้าทายท่านประมุข
อันที่จริงการที่ฮัวเหลียนเหลียนบุกเรือนจำฝังกระดูกนั้นมิใช่การตั้งตัวเป็นศัตรูกับมู่อิงโดยตรง แต่ใครจะคาดคิดว่าเขามีความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์พี่ศิษย์น้องกับหัวหน้าผู้คุม จะตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ หากฮัวเหลียนเหลียนรู้เช่นนี้แต่แรกคงไม่กระทำการบุ่มบ่ามเป็นแน่
ในขณะที่มู่อิงสั่งงานลูกน้องของตนเอง ทางด้านหลิวเฉินซางเองก็ส่งนกพิราบหลายตัวออกไปยังเจ้าสำนักฝ่ายธรรมะหลายแห่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในขณะที่เขายังเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะ หากเขาไม่เคลื่อนไหวบ้างคงดูผิดปกติมากเกินไป ยามนี้หากทำตัวสนิทสนมกับน้องมู่อิงคงเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เห็นทีเขาคงใกล้ได้เวลากลับพรรคเรือนเมฆาเสียแล้ว
“เชียกัง”หลิวเฉินซางเรียกองค์รักษ์คนหนึ่งออกมาจากมุมมืด คนผู้นี้ซ่อนตัวได้แนบเนียนเสียยิ่งกว่ามือสังหาร ตลอดเวลาไม่มีผู้ใดรู้ตัวว่ามีเขาอยู่
เชียกังสวมชุดดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าเคร่งครึมดูไร้อารมณ์ความรู้สึกราวกับไม้ท่อนหนึ่ง เขาทำความเคารพหลิวเฉินซางอย่างนอบน้อมก่อนจะยืนรอรับคำสั่งอย่างเงียบเชียบ
“เจ้าไปติดตามน้องมู่อิง อย่าให้เขามีอันตรายถึงชีวิต”น้องมู่อิงมีฝีมือไม่ธรรมดาแต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า ผู้ที่สามารถทำอันตรายเขาถึงชีวิตได้มองไปทั่วแผ่นดินนับว่าแทบหาไม่เจอ เพียงแต่เขาไม่อยากเสี่ยง
“แต่นายท่าน...”เชียกังคิดเอ่ยขัด เขามีหน้าที่ติดตามดูแลรับใช้นายท่านมาเนิ่นนาน สำหรับเขาแล้วความปลอดภัยของหลิวเฉินซางมีค่ายิ่งกว่าชีวิตของตนเองหรือกว่าชีวิตของผู้ใดจะเทียบติด มาวันนี้นายท่านกลับสั่งให้เขาไปตามคุ้มครองบุรุษผู้หนึ่ง ที่สำคัญบุรุษผู้นั้นยังเป็นถึงจอมมาร คนผู้นั้นนั้นเห็นได้ชัดว่าแทนที่จะคุ้มครองให้ปลอดภัยมิสู้คุ้มกันให้เขาไม่ไปทำร้ายผู้อื่นยังดีเสียกว่า
“คำพูดข้าชัดเจนไม่พอหรือ”หลิวเฉินซางมองหน้าเชียกัง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ นายท่านโปรดวางใจข้าน้อยเชียกังจะทำหน้าที่อย่าสุดความสามารถ”เชียกังรับคำเสียงหนักแน่น บัญชาจากหลิวเฉินซางถือเป็นคำสั่งสูงสุด เขามีหน้าที่แค่ทำตามไม่อาจบังอาจไปสงสัยหรือทักท้วงความต้องการของนายท่าน
เอาเถิด...อย่างน้อยมู่อิงผู้นั้นในใจของนายท่านก็นับว่ามีความสำคัญไม่ใช่ชั่ว
เมื่อมู่อิงสั่งการคนของตนเองเสร็จเขาจึงแวะไปดูอาการของกู่อิ๋งอิ๋งก่อนนอน อย่างไรเสียหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นยังไม่นับว่าหายดี วิ่งไปวิ่งมาทั้งวันเช่นนั้นหากอาการยังดีขึ้นก็คงเป็นเทพเซียนไปแล้ว
เรือนพักของกู่อิ๋งอิ๋งนั้นตั้งอยู่ใจกลางเกาะเป็นเรือนพักชั้นเดียวไม่ใหญ่ไม่เล็ก หน้าเรือนเป็นลานกว้างสำหรับฝึก
วรยุทธ์ มีโต๊ะสำหรับนั’jพักผ่อนรับลมอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ บนเก้าอี้สำหรับรับลมตัวนั้นมีสตรีร่างเล็กหน้าตาธรรมดานั่งอยู่ นางคร่ำเคร่งอยู่หน้าสมุดเล่มหนึ่งราวกับคบคิดอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ ทำให้ไม่รับรู้การมาถึงของมู่อิง
“เจ้าขัดสนเรื่องเงินหรือ”มู่อิงเหลือบมองไปทางสมุดบัญชีที่กู่อิ๋งอิ๋งถืออยู่
สำหรับมู่อิงแล้วเรื่องเงินทองนั้นไม่นับเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรเสียเขาก็มีคนมากมายให้ล้างผลาญหากเงินทองไม่พอใช้ก็กลับบ้านไปข่มขู่ผู้คนสักสองสามคำก็สามารถสร้างภูเขาเงินภูเขาทองได้แล้ว
“ข้าต้องซ่อมเรือนหลายหลังทั้งยังต้องให้เงินเลี้ยงดูครอบครัวของผู้คุมที่เสียชีวิต ทรัพย์สินที่ยึดมาจากนักโทษก็น้อยนิดยิ่งนัก”กู่อิ๋งอิ๋งยกมือขึ้นเท้าคางพรางโยนสมุดบัญชีไปอีกทาง เอาเถิดดูอย่างไรนางก็ไม่เข้าใจ ไม่สามรถหาเงินมากมายเช่นนี้ได้แน่
“มิสู้ไปปล้นผู้อื่น”
“ปล้นเจ้านะสิ!”นางเป็นถึงหัวหน้าผู้คุมเรือนจำฝังกระดูกเชียวนะ เรื่องปล้นชิงผู้อื่นผิดมโนธรรมมากเกินไป ไม่อาจทำได้
“เจ้ากล้าหรือ”มู่อิงจิ้มหน้าผากกู่อิ๋งอิ๋งไม่แรงนัก หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ช่างกล่าววาจาไม่กลัวตาย หรือว่าเขาควรสั่งสอนนางให้รู้จักศิษย์พี่ศิษย์น้องสักหน่อย
“พี่มู่อิง ศิษย์น้องผู้นี้ยากจนนักหากศิษย์พี่จะมีน้ำใจสักหน่อย”กู่อิ๋งอิ๋งเกาะแขนมู่อิงพรางทำน้ำเสียงปะเหลาะ
นางรู้ดีมู่อิงชอบวางตัวเป็นศิษย์พี่ที่สุด ยิ่งหากเรียกเขาว่าศิษย์พี่อย่างเต็มอกเต็มใจสักคำไม่ว่านางต้องการสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นมาตลอด เรื่องที่พูดอย่างไรเขาจึงจะยินยอมนั้นนางถนัดยิ่งนัก
“เจ้าต้องการเท่าไหร่ก็ไปบอกเฉียนหลี ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีวันจน”มู่อิงพูดอย่างเย่อหยิ่ง วางท่าราวกับเรื่องเงินทองเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรสนใจ ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีภูเขาเงินภูเขาทองอีกหลายลูกให้รีดไถ
“ขอบคุณมากศิษย์พี่รอง อิ๋งอิ๋งซึ้งใจนักขอคารวะท่านหนึ่งจอก”กูอิ๋งอิ๋งรินน้ำในกาให้มู่อิงหนึ่งจอกและรินให้ตัวเองอีกหนึ่งจอก กลิ่นดอกกุ้ยฮวาหอมรวยรินออกมาจากกาน้ำ
มู่อิงยกขึ้นดื่มในทันที
“ชากุ้ยฮวาหรือ”
“สุรากุ้ยฮวาต่างหากเล่า”กู่อิ๋งอิ๋งตอบด้วยใบหน้าแป้นแล้น
อนิจจา...มู่อิงผู้คออ่อนราวกับทารกดื่มสุราลงคอไปเสียแล้ว เขาลืมไปได้อย่างไรว่ากู่อิ๋งอิ๋งกระเพาะเหล็กคอทองแดงดื่มสุราต่างน้ำ
หลังจากที่หลิวเฉินซางจัดการเรื่องของตนเสร็จสิ้นเขาก็มารอมู่อิงที่เรือน เพื่อบอกกล่าวเรื่องของเชียกังไม่เช่นนั้นหากจู่ๆ เขาเกิดจับได้เองว่าเชียกังติดตามตนเองไม่แน่ว่าอาจเกิดการเข้าใจผิดทำให้เสียเลือดเสียเนื้อทั้งสองฝ่าย
หลิวเฉินซางยืนอยู่หน้าเรือนพักแสงจันสาดส่องต้องอาภรสีขาวและเส้นผมสีเงินยวงของเขาทำให้ร่างทั้งร่างดูเหมือนเปล่งรัศมีออกมาบางๆ ใบหน้าหล่อเหลางามสง่าดูสงบนิ่ง ดูน่าลุ่มหลงดึงดูดใจคนยิ่งนัก แลดูคล้ายเทพเซียนผู้งามสง่าหากแต่ก็เหมือนปีศาจรูปงามที่คอยล่อลวงมนุษย์ เมื่อมู่อิงผู้เมามายมาเห็นภาพเช่นนี้เข้าถึงกับจ้องมองอยู่เนิ่นนาน
หลิวเฉินซางรับรู้ถึงสายตาของมู่อิงจึงมองไปยังเขาเช่นกัน ริมฝีปากคลี่ยิ้มอันล่อลวงคนประการหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว น้ำเสียงเขายามเอ่ยชื่อท่านจอมมารนั้นช่างชวนให้คนหลอมละลายราวหิมะโดนแสงอาทิตย์แผดเผา
“น้องมู่อิง ข้ามีเรื่องอยากพูดกับเจ้าสักครู่”
********************
คนเขียนไม่มีเวลาเขียน + อัพนิยายเลยค่ะ
ต่อไปคงต้องอัพตามมีตามเกิด ขออภัยคนอ่านทุกท่านด้วยนะคะที่ต้องรอนาน
-
:z13: :z13:
-
รอบนี้โดนแน่มู่อิง 5555555 รวบหัวรวบหางกินเลยย :z1:
-
โอกาสล่อลวงมาแล้ว
-
:กอด1: รออะไรล่ะค่ะท่านประมุข. จับกินๆๆ
คนเขียนสู้ๆนะคะอย่าหายไปนาน
-
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
หรือน้องมู่อิงจะได้สามีก็ครั้งนี้แหละ. :-[
-
โอ น้องมู่อิงงงงงงงง จะเสียซิงก็งานนี้เสียละม้าง
-
ตอนต่อไปมีฟินแน่นอน :haun4: :haun4:
-
เสร็จข้าล่ะ
-
น้องมู่อิง เจ้าเสร็จแน่ :hao6:
คนแต่งสู้ๆนะคะ คนอ่านจะติดตามกันเรื่อยเจ้าค่ะ :กอด1:
-
มาให้อยากแล้วก็จากไป
จะเอา จะเอา มาต่อเร็วๆๆ น้าาาา
-
ทำไมนางมาเหมือนนกรู้ มาตอนมู่อิงเมาพอดิบพอดีเช่นนี้ น้องมู่อิงของข้ามิถูกหาประโยชน์โดนมิควรหรือ เจ้าประมุขพรรคธรรมะที่น่าตายนี่!
-
โว้วววววววว~ เรื่องนี้สนุกจัง ฮาด้วย 555+ ชอบบบบบบบค่ะ!! :m3:
-
ผู้คนในเมืองหลวงต่างทราบกันดีว่าท่านชายจวนมู่อ๋องนั้นต่างมากความสามารถ บุตรชายคนโตมู่หรงนั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ถือตราบัญชาทัพสูงสุดไว้ในมือ เมื่อยกธงรบไม่มีคำว่าพ่ายแพ้ ดุดันแข็งแกร่งสมเป็นบุรุษชาติอาชาไนยมีระเบียบวินัยและน่าเคารพยำเกรง ส่วนบุตรชายคนรองมู่ชิงนั้นใจเย็นสุขุมเป็นบัณฑิตผู้ทรงความรู้ ถึงมิได้สอบจอหงวนหากแต่กลับกินตำแหน่งราชครูอบรบสั่งสอนความรู้ให้แก่รัชทายาทแม้แต่ขุนนางใหญ่ยังต้องเกรงใจเขาอยู่สามส่วน ส่วนมู่ตงบุตรชายคนที่สามนั้นกลับมิสนใจรับใช้ราชสำนักดังเช่นพี่ชายทั้งสองเขาเป็นผู้หลงใหลในเงินทองจึงทำการค้าเท่านั้น มู่ตงนั้นนับว่าเป็นที่รักใคร่ของเทพไฉซิ้งเอี้ย* อย่างยิ่ง ไม่ว่าเขาทำการค้าใดก็เจริญรุ่งเรืองจนขึ้นเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุด
ท่านอ๋องมู่นั้นนับว่ามีแต่บุตรชายที่มากความสามารถบุตรชายทั้งสามนี้นับว่าสร้างความภาคภูมิใจให้กับเขาไม่น้อย หากแต่ท่านอ๋องมีบุตรชายตั้งสามคนแล้วกลับไม่มีบุตรสาวเลยสักคน อันลูกชายนั้นก็น่าภาคภูมิใจอยู่หรอกหากแต่ตัวท่านอ๋องเองก็ยังอยากได้ลูกสาวน่ารักอ่อนหวานสักคนให้ท่านคอยตามอกตามใจ ดังนั้นท่านอ๋องมู่หยงป๋อจึงพยามอย่างสุดความสามารถที่จะมีบุตรสาว
นับว่าความพยายามของมู่อ๋องนั้นไม่สูญเปล่าหลังจากนั้นห้าปีพระชายาก็ให้กำเนิดทารกคู่มังกรหงส์ ทำให้ท่านอ๋องมู่หน้าตาแจ่มใสเบิกบานสำราญใจอย่างยิ่งทารกทั้งสองนั้นต่างหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราดูน่ารักใคร่ทะนุถนอมแตกต่างจากบรรดาพี่ชายที่ดุดุดันราวกับพยัคฆ์เหล่านั้น ช่างเป็นบุตรที่ทำให้บิดาชื่นอกชื่นใจอย่างแท้จริง
เพราะความอยากมีลูกสาวของท่านอ๋องนี่เองทำให้เขาตามอกตามใจลูกแฝดจนไม่สนถูกผิดรักลูกจนเสียคน หากไม่มีพระชายาคอยห้ามปรามมิทราบว่าสองฝาแฝดจะเติบโตมามีนิสัยเช่นไร
ใช่ว่าจะมีแต่ท่านอ๋องที่ดีอกดีใจบรรดาพี่ชายทั้งสามเองก็หลงรักคู่แฝดตัวน้อยๆทั้งสองไม่ต่างจากบิดา น้องทั้งสองนั้นถึงจะเป็นแฝดชายหญิงหากแต่หน้าตากลับคล้ายกันอย่างยิ่งโตขึ้นมาจะต้องงดงามน่ารักอย่างมากเป็นแน่
“พวกท่านดูสิ ตานเอ๋อยิ้มให้ข้า”ท่านชายสามมู่ตงอุ้มมู่ตานไว้ในอ้อมอก พอน้องยิ้มก็เอ่ยบอกพี่ชายอย่างอวดโอ่
“ตานเอ๋อแค่อ้าปากเจ้าก็หาว่านางยิ้มแล้วหรือ”มู่หรงมองดูเจ้าสามอย่างไม่ชอบใจนัก ส่วนเจ้ารองกลับเอาแต่จ้องหน้าอิงเอ๋อไม่วางตา อิงเอ๋อหลับไปแล้วพวกเขาจะเสียงดังรบกวนน้องชายหรือไม่
“พวกท่านอย่าเสียงดังเมื่อกี้ข้าเหมือนเห็นเปลือกตาอิงเอ๋อขยับ”พี่รองผู้ซึ้งนั่งมองดูน้องชายอย่างไม่รู้เบื่อเอ่ยขึ้น
พวกเขาทั้งสามนั้นต่างอายุมากกว่าน้องๆจนแทบจะเป็นพ่อพวกเขาได้แล้วหากแต่ก็ยังทำตัวราวกับไม่เคยเห็นทารกวันๆมาชุมนุมกันอยู่ภายในห้องเด็ก ตื้นเต้นราวกับไม่เคยมีน้องมาก่อน
ใครใช้ให้ท่านพ่อทำแต่น้องชายออกมา หากทำน้องชายออกมาได้หน้าตาดังเช่นน้องมู่อิงแต่แรกพวกเขาก็คงจะไม่ตื่นเต้นเพียงนี้ ดูสิแม้แต่น้องมู่อิงที่เป็นน้องชายยังน่ารักอย่างยิ่ง
พี่ชายทั้งสามคนต่างมองหน้ากันไปมา...
หึ! แต่ละคนหาความน่ารักไม่เจอเลยแม้สักส่วนเดียว
“อ่า...อิงเอ๋อตื่นแล้ว!”แม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรทำน้ำเสียงตื่นเต้นราวกับเด็กเมื่อเห็นมู่อิงลืมตาขึ้น เขาปลี่ไปอุ้มน้องชายราวกับกลัวโดนใครแย่งชิง หากแต่ก็โดนท่านชายรองที่อยู่ใกล้กว่าชิงอุ้มไปก่อนจริงๆ “เจ้ารองส่งอิงเอ๋อมาให้ข้า”มู่หรงมองน้องชายอย่างวางอำนาจ
“พี่ใหญ่ท่านมือหนักหากอุ้มอิงเอ๋ออาจทำให้เขาเจ็บ”มู่ชิงกอดทารกน้อยแน่นขึ้น เขาอุตส่ารอน้องตื่นมาตั้งนาน นั่งจ้องน้องมู่อิงอยู่ถึงหนึ่งชั่วยามเขาถึงยอมลืมตาขึ้นมา จะปล่อยให้พี่ใหญ่ชิงไปง่ายๆได้อย่างไร
“พวกเจ้าสองคนยังเห็นข้าเป็นพี่อยู่หรือไม่”มู่หรงตะเบ็งเสียงดังลั่น
“พี่ใหญ่ใครใช้ให้วันนี้ท่านมาช้ากว่าผู้อื่นข้ามารอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างน้องมู่ตานถึงตื่น ส่วนพี่รองก็มาทีหลังข้ารอจนน้องมู่อิงตื่น ท่านมาช้าที่สุดแล้วยังคิดแย่งชิงใช่มีความยุติธรรมหรือไม่”
“ใช่เมื่อวานท่านมาก่อนผู้อื่นกลับอุ้มพวกเขาสองคนไว้ในอ้อมแขนคนละข้าง วันนี้มาช้ายังจะเรียกร้องสิ่งใดอีก”
“พวกเจ้า!”มู่หรงจนด้วยคำพูด น้องๆน่ารักเพียงนี้ พวกเขาใครเสร็จงานก่อนล้วนรีบกลับจวนมาเล่นกับพวกเขา ครั้งนี้เขามาช้ากว่าใครถึงไม่ได้อุ้มรอพรุ่งนี้ก่อนเถิด
เรื่องแย่งกันอุ้มน้องยังเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ท่านชายทั้งสามนั้นหากเป็นเรื่องของฝาแฝดแล้วพวกเขาต่างแย่งชิงกันเพื่อให้น้องๆชอบตนมากกว่าพี่ชายคนอื่นๆ ตามอกตามใจไม่แพ้ท่านอ๋องผู้เป็นบิดา
-
อย่าว่าแต่พี่หลง คนอ่านหลงเหมือนกัน
-
อยากอุ้มอิงเอ๋อร์ด้วยคนค่ะ. ชอบมาก. รอตอนต่อไปนะคะ
-
อยากอุ้มด้วยยยยยยย :mew2: :mew2: :mew2:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
ช่างเป็นพ่อและพี่ ๆ ที่เห่อน้อง ๆ ผู้โมเอะเหลือเกินนะ ฮา
-
บ้าน้องมาก 555
-
o18
มู่อิง
-
โอ้ย ชอบตอนพิเศษมากมาย ตั้งแต่ครั้งที่แล้วๆ ชอบมาก สปอยน้องมู่อิงต่อไป ดีงาม เลิศเลอ คู่ควรค่า~~~~
-
น่ารักมากๆๆๆ
-
สนุก ๆ อิงเอ๋อ น่ารักก 55+
-
บทที่ 11 แค้นเก่ามิเลือนหาย
“หลิวเฉินซางเจ้ายั่วยวนข้ารึ!”มู่อิงเดินไปหาหลิวเฉินซางที่ยืนรออยู่หน้าเรือน ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ยิ่งเห็นว่าคนผู้นี้น่ามอง ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงไม่อาจละสายตาจากหลิวเฉินซางไปได้
“น้องมู่อิงเจ้าดื่มสุรามาหรือ”หลิวเฉินซางได้กลิ่นดอกกุ้ยฮวารวยรินมาจากมู่อิง อีกทั้งคำพูดที่ออกมาจากปากมู่อิงเมื่อสักครู่เขาไม่มีทางเอ่ยในเวลาปกติเป็นแน่ แล้วเช่นนี้เขาจะสามารถพูดเรื่องเชียกังได้อย่างไร
“ข้าไม่เมา”มู่อิงเอ่ยปากขึ้นทันทีที่เห็นคิ้วของหลิวเฉินซางขมวดขึ้นเพียงเล็กน้อย “สุรากุ้ยฮวาเพียงจอกเดียวข้าจะเมาได้อย่างไร”เขามองหน้าหลิวเฉินซางอย่างดื้อดึงถึงอย่างไรก็ไม่ยอมรับว่าตนเองเมาทั้งที่จริงสติของตนเองนั้นเริ่มเลอะเลือนเต็มที
หากเป็นยามปกติมู่อิงไม่มีทางบอกผู้อื่นเป็นแน่ว่าดื่มแค่เพียงจอกเดียว น่าขายหน้ามากเกินไปคนเช่นมู่อิงไม่มีทางให้คำพูดเช่นนี้หลุดออกจากปาก
หลิวเฉินซางส่ายศรีษะเล็กน้อย เขาเรียนรู้แล้วว่าน้องมู่อิงยามเมามายเอาแต่ใจตนเองมากกว่าเดิมหลายส่วน เขาว่าอย่างไรก็ควรว่าตามเขา ส่วนเรื่องเชียกังเห็นทีเขาคงต้องเขียนหนังสือแนะนำตัวให้ทีหลัง น้องมู่อิงยามนี้ไม่มีทางคุยรู้เรื่อง ถึงคุยไปพอถึงพรุ่งนี้เช้าเขาก็จำไม่ได้อยู่ดี
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”หลิวเฉินซางคิดลากลับอย่างมีมารยาท
“เจ้ากล้าไปหรือ วันนี้ข้าจะแก้แค้นเจ้า”
“แก้แค้นข้า”เขาแน่ใจว่าไม่เคยทำสิ่งใดให้น้องมู่อิงถึงกับนึกแค้นเคือง
“เจ้าล่วงเกินข้า”
เมื่อได้ยินวาจาของมู่อิง ใบหน้าของหลิวเฉินซางปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายประการหนึ่ง ราวกับโจรร้ายขบคิดแผนการปล้นชิงผู้อื่น น้องมู่อิงเอ่ยวาจาเช่นนี้ยามเมามายเป็นไปได้ว่าเขาคับแค้นใจในเรื่องนี้อยู่หลายส่วน เช่นนี้เขาจะยอมให้ความร่วมมือ สลายความคับแค้นใจให้น้องมู่อิง
“เจ้าจะล่วงเกินข้ากลับคืนก็ยังได้ ไม่ต้องต่อสู้ให้เปลืองแรงดีหรือไม่”น้ำเสียงหลิวเฉินซางนั้นราวกับสะกดใจคนทั้งนุ้มทุ้มทั้งน่าฟัง หากแต่นัยน์ตากลับคมกริบราวกับพ่อค้าหน้าเลือดที่วางแผนค้ากำไรเกินควร
“...”มู่อิงเริ่มครุ่นคิด หากแต่เขาเมามายเช่นนี้จะคิดสิ่งใดได้
“ข้ายอมให้เจ้าจับเส้นผมได้ตามใจชอบด้วยดีหรือไม่”หลิวเฉินซางบอกอย่างใจกว้าง
“ดี!!!”
คำตอบของมู่อิงทำให้ประกายตาคมกริบของเขาพราวระยับ มุมปากยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ล่อลวงคนอีกครา เขาชอบน้องมู่อิงยามเมามายเสียจริง
“เช่นนั้นเริ่มจากจูบก่อนหรือจับก่อนดี”น้ำเสียงของหลิวเฉินซางช่างเบิกบานใจ เขาเอ่ยกับมู่อิงด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก พร้อมให้ความร่วมมือในทุกสิ่ง
“ข้าจะทำทั้งสองอย่าง! ข้าจะทำพร้อมกัน ทั้งยังจะจับเส้นผมของเจ้าด้วย หลิว-เฉิน-ซาง”มู่อิงก้าวเข้าหาหลิวเฉินซางอย่างมาดหมาย
หลิวเฉินซางยืนอย่างสงบนิ่งพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่ หากแต่สิ่งที่มู่อิงกระทำต่อเขานั้นทำให้ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะถึงกับนิ่งเป็นหุ่นไม้พูดสิ่งใดไม่ออก
เพียงแตะริมฝีปากค้างไว้เท่านั้น?
แค่ใช้มือจับตามเนื้อตัวเขาเท่านั้น?
“น้องมู่อิงเพียงแค่นี้เจ้าก็พอใจแล้ว?”หลิวเฉินซางพูดขึ้นทั้งที่ริมฝีปากยังแตะกันอยู่ส่งผลให้มู่อิงหน้าแดงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยหากแต่ก็ยอมเอ่ยปากตอบ
“เพียงแตะให้นานหน่อยเป็นใช้ได้”
เช่นนี้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ มีสิ่งใดยากกัน
“วันนั้นข้าไม่ได้ทำแค่นี้เสียหน่อย”น้ำเสียงของหลิวเฉินซางแฝงแววจนใจทั้งไม่รู้จะเอ่ยวาจาเช่นไร น้องมู่อิงช่างทำให้ความคาดหวังของเขาสูญเปล่าเสียจริง หลังจากที่จูบน้องมู่อิงวันนั้นเขาก็พอรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ประสีประสาเรื่องทางด้านนี้แต่ก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ท่านหนึ่ง แต่เหตุใดวันนี้จึง...อย่างน้อยก็ควรขยับริมฝีปากยามประกบกันเสียหน่อย มากกว่านั้นก็ควรสอดลิ้น...
“ข้านึกออกเท่านี้ ท่านบอกจะยอมข้า คิดขัดขืนรึ!”วาจาเช่นโจรป่าข่มขู่สาวงามเช่นนี้ช่างไม่เหมาะกับการกระทำของท่านจอมมารเสียจริง อันวาจานั้นก็น่าเกรงขามอยู่ไม่น้อยหากการกระทำใสซื่อเช่นนี้ ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะหากยกมือขึ้นกุมขมับตนเองสักครั้งยังไม่นับว่ามากเกินไป
“เช่นนั้นข้าจะทวนความจำให้ แล้วเจ้าค่อยมาแก้แค้นอีกครั้ง”พูดจบท่านผู้นำฝ่ายธรรมะก็เป็นฝ่ายแนบริมฝีปากให้แนบแน่นขึ้น ช่วงชิงสติของมู่อิงไปจนหมดสิ้น เป็นจูบอันร้อนแรงแต่ก็ชวนเคลิบเคลิ้มลุ่มหลงราวมอมเมาคนให้ตกสู่กับดักเสน่หา พอมู่อิงเริ่มหายใจไม่ออกหลิวเฉินซางก็ถอนริมฝีปากออกให้เขาได้หายใจแล้วเริ่มจูบใหม่ ทำเช่นนี้จนรู้สึกว่าใกล้ถึงขีดจำกัดของตนจึงยอมปล่อยท่านจอมมารออกจากอ้อมกอด ถึงมิได้ครอบครองแต่ก็กระทำราวกับคนผู้นั้นเป็นคนของตน แน่แล้วว่าเขาไม่อาจปล่อยน้องมู่อิงไปได้
หลิวเฉินซางจัดเสื้อผ้าของตนและมู่อิงให้เรียบร้อย เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกนับถือตนเองถึงเพียงนี้ เกิดเป็นลูกผู้ชายควรมีความสามารถยับยั้งชั่งใจ ความยับยั้งชั่งใจของเขานับว่ามีมากกว่าผู้อื่นหลายร้อยเท่าราวน้ำในอ่างกับมหาสมุทรแล้วกระมัง
...รอให้น้องมู่อิงมอบใจให้เขาก่อนเถิดเขาจะกินไม่ให้เหลือกระดูก ความยับยั้งชั่งใจอันใดเขาจะไสหัวไปให้หมด จะสั่งสอนน้องมู่อิงให้ฝีมือกล้าแกร่งไม่แพ้วรยุทธ์ที่มีเลยที่เดียว
ท่านจอมมารผู้สังหารคนได้ในพริบตาหากเขาได้สติคืนมาไม่รู้ว่าจะโกรธแค้นตนเองมากเพียงไรที่นอกจากแก้แค้นไม่สำเร็จยังโดนผู้อื่นเอารัดเอาเปรียบอีกครา สุรานั้นดื่มมากไม่ดี ดื่มน้อยก็ใช่ว่าจะดี ทางทีดีอย่าดื่มอีกเลยจึงจะไม่เสียเปรียบผู้อื่น
เมื่อมู่อิงตื่นขึ้นมาในยามเช้าถึงแม้จำเรื่องราวโดยละเอียดไม่ได้แต่ก็รับรู้ได้ว่าตนแก้แค้นคนไม่สำเร็จอีกทั้งยังโดนเอารัดเอาเปรียบ แค้นเก่ายังไม่ได้สะสางกลับเพิ่มแค้นใหม่ขึ้นมา ไม่รู้ว่าความผิดพลาดอยู่ที่ใด เห็นทีเรื่องนี้เขาต้องปรึกษาเฉียนหลีสักครา หากแต่ก่อนหน้านั้นไม่ได้อัดเจ้าผู้นำฝ่ายธรรมะให้หนำใจเขาคงไม่อาจสงบจิตใจลงได้
เพียงแต่มู่อิงยังไม่ทันออกจากห้องก็ได้รับรายงานว่าหลิวเฉินซางจากไปแล้ว ในใจเขาไม่ทราบว่ามีความรู้สึกเช่นไร หากแต่ความรู้สึกเช่นนี้เขาไม่ชอบใจนัก ทั้งยังไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นไร
เพ้ย!!! ผู้นำฝ่ายธรรมะบ้าบออันใดกัน คนเช่นหลิวเฉินซางเรียกว่าจอมปีศาจกลับชาติมาเกิดยังน้อยไป ให้เขามู่อิงไปเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะยังดูประเสริฐเสียกว่า เจ้าพวกจอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะช่างโง่งมหลงเชื่อเจ้าปีศาจห่มจีวรนั่นเข้าไปได้
“ท่านประมุขไม่สบายหรือเจ้าค่ะ”ชูปี้ฮวาสังเกตใบหน้าของท่านประมุขที่ประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวดำแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ ท่านประมุขคงมิได้กำลังธาตุไฟเข้าแทรกหรอกนะ
มู่อิงหันไปมองซูปี้ฮวาก่อนจะนึกถึงหญิงอีกคนหนึ่งที่เขาไปพบมาเมื่อคืน หากไม่เพราะดื่มสุราของกู่อิ๋งอิ๋งเข้าไปเขาจะมีสภาพเช่นนี้ได้หรือ หึ! เขาควรอบรมนางให้รู้จักมารยาทกุลสตรีสักครา
“ศิษย์น้องสามอยู่ที่ไหน”น้ำเสียงมู่อิงเย็นเฉียบจนแทบแช่แข็งใจคน
“ลานฝึกยุทธ์ในเรือนของนางเจ้าค่ะ”ชูปี้ฮวาตอบเสียงหวาดหวั่น นางแค่มารายงานว่าท่านประมุขหลิวจากไปแล้วเท่านั้นทำไมจึงต้องมาพบเจออารมณ์เช่นนี้ของท่านประมุขด้วย ฮื่อ...นางอยากร้องไห้ยิ่งนัก
“ดี! ข้าจะไปฝึกซ้อมเป็นเพื่อนนางเสียหน่อย”พูดจบคนก็พลิ้วกายจากไป
ชูปี้ฮวาได้แต่สงสารกู่อิ๋งอิ๋งในใจ นางต้องไปเรียกท่านหนานกงฉางฝูมาเพื่อห้ามปรามหรือไม่ หรือว่าควรไปเรียกเฉียนหลีให้มาเตรียมรักษาแม่นางกู่ จะทำสิ่งไหนก่อนดี ชูปี้ว่าลนลานทำสิ่งใดไม่ถูกแต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นจดมายที่หลิวเฉินซางฝากไว้ก็แทบหลั่งน้ำตาโลหิตออกมา
นางลืมมอบจดหมายให้ท่านประมุข!
เมื่อมู่อิงไปถึงลานฝึกยุทธ์ของกู่อ๋งอิ๋งก็ตรงเข้าจู่โจมทันที ระบายโทสะใส่ต้นเหตุมิได้เขาก็จะระบายใส่หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมทำให้เขาต้องเสียหน้านี่แหละ กู่อิ๋งอิ๋งเองถึงแม้ไม่ทันตั้งตัวแต่เพราะผู้ลงมือไม่ได้จู่โจมถึงชีวิตนางจึงสามารถพลิกกระบวนท่ามารับมือได้
“ศิษย์พี่รองข้าจำได้ว่านี่ยังไม่ถึงเวลาที่อาจารย์กำหนดให้พวกเราประมือกันได้”วาจาแม้ดูมีเหตุผลแต่สีหน้าผู้พูดกลับดูมิได้จริงจัง
มู่อิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยงดงามจนแทบขโมยใจคน ก่อนจะคลี่ยิ้มร้ายกาจสมเป็นผู้ครองตำแหน่งจอมมารออกมา ดูทั้งงดงามและชั่วร้าย กู่อิ๋งอิ๋งแม้เป็นสตรียังต้องยอมรับว่าคนผู้นี้งดงามจนนางยังต้องเคลิบเคลิ้มหลายครั้ง
ชาติก่อนเจ้าศิษย์พี่ผู้นี้โดนสตรีทำร้ายมาหนักหนาสาหัสหรือไร ชาตินี้ถึงได้เกิดมามีหน้าตาที่เหยียบย่ำสตรีให้จมดิน
“ศิษย์พี่รองแค่อยากชี้แนะเจ้าสักหลายกระบวนท่า”
“ศิษย์พี่ช่างเมตตานัก”
“เพราะศิษย์น้องช่างน่าเอ็นดูอย่างมาก ศิษย์พี่จึงอยากให้เจ้าได้ดี”
“อิ๋งอิ๋งไม่บังอาจรับความหวังดีนี้ได้”
“เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้ช่างทำให้ศิษย์ปวดใจนัก”มู่อิงทำสีหน้าเจ็บปวดราวกับโดนกู่อิ๋งอิ๋งรังแกทั้งๆที่เขาเป็นคนรุกไล่นางจนต้องหนีแทบหัวซุกหัวซุน
“มู่อิงเหตุใดต้องมารังแกข้าด้วย”การหนีเจ้าคนเอาแต่ใจผู้นี้ทำเอานางเหนื่อยแทบตายแล้ว ไม่ว่าจะพลิกสมองคิดสักกี่ตลบนางก็นึกไม่ออกว่าเผลอไปล่วงเกินเจ้าบุรุษหน้าตางดงามเกินสตรีผู้นี้ตั้งแต่เมื่อใด
“หากเจ้าไม่เอาแต่ดื่มสุราจนฝีมืออ่อนด้อยจะถูกข้ารังแกได้หรือ ศิษย์น้องสามศิษย์พี่รองเอ็นดูเจ้ายิ่งนักจึงปวดใจทุกครั้งที่วรยุทธ์เจ้าไม่ก้าวหน้า”
แม้คำพูดของมู่อิงจะทำให้กู่อิ๋งอิ๋งขนลุกซู่ นางก็ยังคงต้องมีสติมาคอยหลบกระบวนท่าและกำลังภายในของคนผู้นี้
“ศิษย์พี่รองเมื่อคืนท่านกลับไปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”นางจับได้ว่าตอนที่พูดมู่อิงเน้นคำว่าสุราเป็นพิเศษ มีเพียงเมื่อคืนที่เขาดื่มสุรากุ้ยฮวาของนางเข้าไป เต่เขาดื่มเข้าไปเองนางไม่ได้จับกรอกปากเขาเสียหน่อย แต่เพียงแค่สุราจอกเดียวทำไมต้องมาหาเรื่องนางด้วย
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”
เช่นนี้แปลว่ามี ถ้าไม่มีนางจะโดนกระทำราวเป็นหุ่นไม้ที่ใช้ฝึกวิชายุทธ์เช่นนี้หรือ ต่างแค่หุ่นไม้พวกนั้นขยับหนีไม่ได้แต่นางทำได้เพียงเท่านั้น หากเรี่ยวแรงนางหมดลงเมื่อไร ยังมิรู้ว่าโทสะมู่อิงจะลงลงสักกี่ส่วน
“ศิษย์พี่รองใครทำท่านคับแค้นใจก็ไประบายกับคนนั้นทำไมต้องมารังแกข้า”นอกเสียจากว่าคนผู้นั้นจะไม่อยู่แล้ว “ท่านประมุขหลิวหรือ”ปากของกู่อิ๋งอิ๋งโพล่งออกไปเร็วกว่าที่นางจะคิดทัน มีแต่หลิวเฉินซางผู้เดียวเท่านั้นที่เดินทางจากไป หากแต่มู่อิงกลับโดนชื่อของหลิวเฉินซางทำให้ชะงักงันไป
เจ้าจอมปีศาจผู้นั้น!
“มิใช่...”มู่อิงปฏิเสธได้ไม่เต็มเสียงนัก หากผู้อื่นรู้เข้าเขามิใช่ต้องเสียหน้ามากหรอกหรือ เขาคือจอมมารจะให้คนรู้ว่าฝีมืออ่อนด้วยกว่าผู้นำฝ่ายธรรมะได้อย่างไร ถึงจำสิ่งใดไม่ได้ แต่สีหน้าจนใจของหลิวเฉินซางที่ทำราวกับเขาเป็นเด็กน้อยไม่ประสานั้นเขายังจำได้ดี
“เขาทำร้ายท่านหรือ ศิษย์พี่บอกมาเถอะศิษย์น้องจะช่วยท่านอย่างเต็มที่”น้ำเสียงกู่อิ๋งอิ๋งแฝงความกระตือรือร้นเต็มเปี่ยม นอกจากศิษย์พี่ใหญ่แล้วนางยังไม่เคยเห็นใครกล้าทำให้มู่อิงโมโห อีกทั้งท่านผู้นำฝ่ายธรรมะที่หล่อเหลางามสง่าราวกับเทพเซียนท่านนั้น แทบคิดไม่ออกเลยว่าเขาจะทำให้ผู้อื่นโมโหได้ พวกชาวยุทธ์แทบจะทำรูปเคารพเขาไว้กราบไหว้บูชาอยู่แล้ว
“คิดทำร้ายข้าฝีมือเขาไม่สูงส่งพอ”น้ำเสียงมู่อิงนั้นเย่อหยิ่งจนคนหมั่นไส้
“เช่นนั้นเขาทำสิ่งใด สิ่งที่ท่านคิดไม่ตกไม่แน่ว่าข้าอาจจะคิดได้”
มู่อิงเหลือบตาดูกู่อิ๋งอิ๋ง หญิงผู้นี้ถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์น้อง เรื่องเสียหน้าของเขาถึงบอกนางไปก็จะมีคนรับรู้เพียงศิษย์พี่น้องทั้งห้าคนรวมทั้งตัวเขา
“เจ้าจอมปีศาจห่มจีวรนั่นทำเช่นนี้กับข้า”มู่อิงขยับหน้าไปใกล้กู่อิ๋งอิ๋งแต่ก่อนที่ริมฝีปากจะแตะกัน นางก็พริ้วกายห่างไปหลายก้าว
“เขาจูบท่านหรือ”เกือบไปแล้ว นางเกือบโดนเจ้าคนอารมณ์แปรปรวนเช่นมู่อิงจุมพิต เจ้าคนไม่รู้ดีชั่ว ถึงกับคิดแนบริมฝีปากกับนางโดยไม่คำนึงสิ่งใด คนเช่นนี้ยังเติบโตมาเป็นคนได้นางก็ของคุณสวรรค์มากแล้ว กู่อิ๋งอิ๋งสั่นกลัวไม่หยุด
เมื่อครั้งยังเด็กนางยังจำคำขู่ของ ‘พวกพี่ชายโรคจิต’เหล่านั้นได้ดี ครั้งนั้นพวกนางศิษย์พี่ศิษย์น้องลงจากเขาไปร่วมงานวันเกิดมู่อิง เพราะนางเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวจึงสนิทสนมกับมู่อิงเป็นพิเศษเนื่องจากพวกศิษย์ผู้ชายไม่สะดวกใจจะเล่นกับเขา งานครั้งนั้นนางโดนข่มขู่ว่าหากสนิทสนมกับมู่อิงเกินศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกเขาจะตัดทุกช่องทางที่จะส่งสุรามายังเรือนจำฝังกระดูก แม้แต่วัตถุดิบบ่มสุราก็จะไม่ให้เล็ดลอดมาถึง นางที่อายุเพียงสิบห้าถึงขั้นเกือบหลั่งน้ำตา นางนั้นไม่กินอาหารนับว่ายังทำได้ หากไม่ให้ดื่มสุราคงต้องขาดใจตาย
หากเป็นเรื่องทำนองชู้สาวนางก็พอจะคาดเดาได้ว่ามู่อิงโมโหเพราะสาเหตุใด เฮ้อ...เจ้าคนพวกนั้น เลี้ยงน้องให้กลายเป็นคนเช่นนี้ได้ ช่างน่านับถือเสียจริง...ถุ้ย!
ช่วงนี้มู่อิงกับกู่อิ๋งอิ๋งสนิทสนมกันมากกว่าปกติ ไม่ว่าใครก็ดูออก ศิษย์พี่น้องสองคนนี้ทุกวันเอาแต่สุมหัวกันไม่รุ้ว่าพูดคุยสิ่งใด แต่ทุกคนต่างคาดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ มู่อิงเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่พอใจขึ้นมาก็ใช้กำลัง หากเขาคิดวางแผนสักครั้งไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีฝีมือสูงส่งเพียงใดก็ใช่ว่าเขาจะเอาชนะไม่ได้ หากแต่ว่าคนผู้นี้หากไม่ใช่เรื่องใหญ่โตพอในความเห็นของเขาแน่นอนว่าเรื่องขบคิดให้เปลืองสมองเขาจะไม่ทำ ส่วนกู่อิ๋งอิ๋งเป็นพวกมุทะลุ เรื่องใช้สมองอย่าได้ถามนาง หากถามว่าสุราอะไรมีรสล้ำเลิศแน่นอนว่าย่อมมีคำตอบให้เจ้า แต่หากถามว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถหมักสุราได้ คิดจนศีรษะแทบแตกก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ได้
“ศิษย์พี่รองหนังสือเล่มนี้เรียกว่าอาทิตย์พิสุทธิ์ ส่วนเล่มนี้คือวสันต์รัญจวน เล่มนี้คือนวลนางในห้อง ท่านสามารถเลือกอ่านได้ตามแต่พึงพอใจ หากศึกษาจนกระจ่างรับรองประมุขหลิวต้องอยู่ในกำมือท่านอย่างแน่นอน”ใบหน้าของกู่อิ๋งอิ๋งราวกับตาเฒ่าลามกก็มิปาน หากบิดาที่อยู่ในปรโลกของนางมาเห็นหนังสือหลายสิบเล่มเหล่านี้เข้าท่านอาวุโสคงอยากฟื้นออกจากหลุมมาแทบไม่ทันเพื่อสั่งสอนบุตรสาวตัวดีสักหลายยก
กุลสตรีดีๆ ที่ไหนจะมีหนังสือผิดธรรมนองคลองธรรมมากมายเพียงนี้ ช่างเป็นหญิงสาวที่ทำเรื่องไร้ยางอายได้อย่างมิรู้สึกรู้สาโดยแท้“ศิษย์พี่รองอย่าว่าอิ๋งอิ๋งบังอาจสอนท่าน หากท่านไม่ต้องการเสียเปรียบควรเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
“เริ่มก่อน?”
“เริ่มก่อนคงจะยากไป...ท่านควรเริ่มเกี้ยวพาราสีประมุขหลิวก่อน ใช้ความงามของท่านให้เป็นประโยชน์ จากนั้นยั่วยวนแล้วจับเขากิน...อะแฮ่ม! อันที่จริงข้าหมายความว่าควรจะให้เขาหลงใหลคลั่งไคล้รักใคร่แต่ท่านเพียงผู้เดียว”กู่อิ๋งอิ๋งพูดจนน้ำลายแตกฟอง
“ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น”
“ท่านไม่ชอบเขาหรือ”
“ข้าชอบเส้นผมของเขา”
“เวลาที่เขาล่วงเกินท่านท่านรังเกียจหรือไม่”
มู่อิงขบคิดถึงครึ่งชั่วยามก่อนจะตอบได้ว่า
“เวลานั้นในหัวของข้าว่างเปล่าจำไม่ได้แล้วว่ารังเกียจหรือไม่”จะว่าไปเขาก็รู้สึก...พึงพอใจ
ต่ำช้า! คนผู้นี้ต่ำช้ายิ่งนัก เขาไม่เข้าใจคำถามของนางจริงๆ หรือว่าต้องการยั่วโมโหนางกันแน่! เห็นแก่ท่าทางตั้งอกตั้งใจตอบคำถามของเขานางจะไม่ถือโทษโกรธเคือง
“แล้วตอนนี้เล่าท่านรังเกียจหรือไม่ แล้วรู้สึกเช่นไรบ้าง นอกจากเขินอายจนอยากสังหารคนแล้วยังอยากให้เขาทำต่อหรือไม่”
“เรื่องนี้...กู่อิ๋งอิ๋งเจ้าชักจะสู่รู้เกินไปแล้ว ใครว่าข้ามู่อิงเขินอายจนอยากฆ่าคน”มู่อิงจิ้มศีรษะกู่อิ๋งอิ๋งไม่เบานัก สีหน้าทะเล้นเช่นนี้กุลสตรีที่ดีควรทำเสียที่ไหน บางครั้งเขาก็คิดอยากส่งศิษย์น้องหญิงผู้นี้ไปให้มารดาอบรมสั่งสอนสักครา แต่ก็กลัวว่านางจะทำให้มารดาเขาปวดหัวตายไปเสียก่อน
“ข้าว่าตอนนี้ท่านคงเข้าใจบางอย่างแล้ว ท่านเป็นคนฉลาดเพียงแต่โดนพี่ชายประหลาดเลี้ยงดูมาผิดๆเท่านั้น”
“พวกเขาเพียงแค่มีความคิดที่เหนือธรรมดา”
“ข้าไม่เถียงเรื่องนี้กับท่าน จำไว้ว่าถ้าอยากเอาชนะประมุขหลิวท่านต้องเกี้ยวเขาก่อน อย่ายอมอยู่ด้านล่างโดยเด็ดขาด หมั่นศึกษาตำราที่ข้าให้ไป หากไม่เข้าใจตรงไหนก็สอบถามข้าได้”กู่อิ๋งอิ๋งตบอกตัวเองอย่างใจกว้าง
มู่อิงเปิดดูหนังสือหลายเล่มนั้นด้วยความสนใจใคร่รู้
“เหตุใดชายหญิงในหนังสือเล่มนี้จึงต้องเปลือยกาย แล้วเหตุใดในเล่มนี้จึงเป็นบุรุษสองคน คนเหล่านี้ทำท่าทางเหล่านี้ไปทำไม แล้วเหตุใดจึง...”ยิ่งพลิกดูมากเท่าไหร่ใบหน้าของมู่อิงยิ่งแต้มสีแดงเพิ่มขึ้น
แค่ผู้อื่นบังเอิญแตะโดนตัวเขา เขาก็อยากสังหารคนผู้นั้นทิ้งแล้ว
คำถามของมู่อิงทำให้กู่อิ๋งอิ๋งแทบไม่ได้หลับได้นอน หากมิใช่เพราะดวงตาใสซื่อราวเด็กทารกนั่น นางจะต้องคิดว่ามู่อิงจงใจกลั่นแกล้งนางให้ตอบคำถามจนไม่ได้หลับได้นอนเป็นแน่ ศิษย์พี่รองผู้นี้เห็นได้ชัดว่าตัวเขาไม่ผิดแต่คนที่เลี้ยงดูเขามาจนเป็นเช่นนี้เหล่านั้นจึงจะผิด
ก่อนมู่อิงกลับพรรคจันทร์กระจ่างฟ้ากู่อิ๋งอิ๋งยังมอบหนังสือให้ศิษย์พี่รองผู้นี้อีกหลายเล่ม หนานกงฉางฝูผู้ถูกกันอยู่วงนอกไม่รู้เรื่องราวหากเขารู้เข้าไม่แน่ว่าอาจเสนอตัวให้มู่อิงลองทดสอบกับเขาอย่างกระตือรือร้นอย่างที่น้อยครั้งนักจะมี แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่เขาไม่รู้ และหากผ่านพ้นช่วงนี้ไปคงไม่อาจมีใครเอาเปรียบมู่อิงได้อีก
-
:hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
อยากจะพาน้องมู่อิงไปดื่มสุราบ่อยๆเสียจริง
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
:L2: โอ๊ย ปริ่มมาก ! ดีใจจริงๆที่ได้อ่านต่อค่ะ กรี๊ดพี่หลิวอ่า จิ้งจอกห่มจีวร เด็ดดวงจริงๆ :z2:
จุมพิตแก้แค้นจนถึงกับลืมจับเส้นผมเลยทีเดียว โธ่ แล้วจดหมายล่ะ นั่นจดหมายรักใช่หรือไม่ อิอิ
น้องมู่อิงคั่งแค้นพลุ่งพล่านมาก หุนหันออกไปรังแกตัวต้นเหตุ ฮ่า แล้วตลกอิ๋งๆ เรื่องของเรื่องคือนางกลัวไม่มีเหล้าดื่มจ้า
ดีนะที่ถอยออกมาถ้าปากแตะกันคงผิดผีน่าดู สรุปว่าโทษเจ้าพวกพี่ชายเถอะ!
-
"พวกพี่ชายโรคจิต" :laugh: :laugh:
-
จะฮาไปไหน~~~
-
มู๋อิงน่ารักเสมอที่อ่าน
-
:hao5: น่าสงสารน้องมู่อิง ถูกรังแกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
-
ชูป้ายไฟเชียร์เหล่าพี่ชายโรคจิตค่า~~~
-
55555 ยิ่งอ่านยิ่งฮาเหล่าพี่ชายทั้งหลายนั่นเหลือเกิ๊นนนนนนนนนนนนนน :m20: :m20: :m20:
-
อั๊ยๆๆๆๆๆๆๆๆ เค้าชอบสุดๆๆๆๆๆๆๆๆ
คนเขียนสำนวนดีอ่าแบบหนังจีนจริงๆๆๆๆ
พี่ชายทั้งสามท่านเลี้ยงน้องมู่มาอย่างไรกัน55555 สมัครเป็นfc บรรดาพี่ๆเลยค่า
พี่หลิวค่าาาาาาา พี่เป็นถึงผู้นำพรรคธรรมทำไมพี่เจ้าเล่ห์เยี่ยงนี้ แถบฝีมือพี่นั้นย่อมไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาจนสามารถชนะศิษย์พี่น้องมู่มาได้. ข้าน้อยนับถือจริงๆๆๆๆ
รอตอนต่อไปอย่างจดจ่อ 55555555
แต่สงสัยเรื่องพี่สาวฝาแฝดของน้องมู่จริงๆว่าหายไปไหนต้องมีปม??????????
รอต่อปายยยยยยยยยยยยยยย
-
55555 มู่อิงตลกอะ
-
คิดถึง พี่หลิวกะจอมมารจังค่ะ
-
บทที่ 12 ประชุมใหญ่
ข่าวการปล้นเรือนจำฝังกระดูกนั้นล่วงรู้กันทั่วทั้งยุทธภพ ถึงนักโทษที่หลบหนีออกมาได้จะมีเพียงคนเดียวแต่กลับสร้างความระส่ำระสายได้ไม่น้อยเลย ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนมากมายเท่าไหร่ที่ไม่อาจหลับสนิทลงได้เพราะเหตุการณ์นี้ พรรคตำหนักจันทราที่ไม่เคยอยู่ในสายตาผู้ใดกลับทำให้สายตามากมายหันมาจับจ้องอย่างมิอาจวางใจได้ ทั้งที่รู้ว่าหากปล้นคนออกไปย่อมมีชาวยุทธ์มากมายที่ร่วมมือกันไปบุกชิงคนคืน ทวงถามถึงเหตุผลที่กระทำการ หนีไม่พ้นเหตุการณ์นองเลือดหากแต่ประมุขพรรคกลับหาญกล้าท้าทาย ราวกับไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา มิกลัวว่าจะมีศึกนองเลือดเกิดขึ้นกับพรรคของตน
เรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ฝ่ายธรรมะที่ดูจะอยู่คนละฝั่งกับพรรคตำหนักจันทราอย่างแน่นอนจึงนั่งไม่ติดที่ หากไม่รู้อย่างกระจ่างแจ้งว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คงไม่มีผู้ใดสามารถหลับสนิทลงได้ เช่นนี้จึงได้มีการประชุมพรรคฝ่ายธรรมะทั้งหลายขึ้นมา หากฟู่ซีชิวออกอาระวาดอีกครั้งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นนับว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
บัดนี้ที่พรรคเรือนเมฆาเต็มไปด้วยเจ้าสำนักใหญ่ทั้งสิบสองแห่ง รวมทั้งเจ้าสำนักเล็กๆอีกหลายแห่ง แต่ละท่านพาศิษย์เอกไปจนถึงศิษย์ผู้น้อยมาด้วยอย่างล้นหลาม หากว่าถึงคราต้องเปิดศึกก็เตรียมพร้อมกันอย่างเต็มที่
ในห้องโถงรับรองแขกขนาดใหญ่ของพรรคเรือนเมฆามีหลิวเฉินซางนั่งอยู่ในตำแหน่งประมุขอันเป็นผู้นำสูงสุดเต็มไปด้วยอำนาจและความน่านับถือรัศมีแห่งอำนาจที่แผ่ออกมานั้นทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องอยู่ในอาการสำรวม ยิ่งประกอบกับอาภรสีขาวที่เขาสวมใส่ยิ่งดูสูงส่งจนคนไม่กล้าอาจเอื้อมล่วงเกิน ที่อยู่ด้านข้างซ้ายขวาคือผู้อาวุโสชิวเยี่ยนและฉีฮ่าว จากนั้นทางฝั่งซ้ายและขวาเบื้องหน้าจึงนั่งด้วยเจ้าสำนักใหญ่และเล็กรวมถึงศิษย์คนสำคัญที่มีความสามารถมากพอจะมาเข้าร่วมรับฟังการประชุมครั้งนี้ ใบหน้าแต่ละคนล้วนเคร่งขรึมจริงจัง
“ข้าคิดว่าเราควรบุกพรรคตำหนักจันทรา” ผู้พูดเป็นบุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ เค้าโครงหน้าแฝงความดุดันถึงเจ็ดส่วน เขาคือประมุขพรรคกระบี่ฟ้า พรรคกระบี่ฟ้าเชี่ยวชาญในด้านการใช้กระบี่ อีกทั้งเพลงกระบี่ยังดุดันเหี้ยมหาญ ตอนที่พรรคเรือนเมฆาจัดงานศพให้ลู่เจิน เขาติดธุระไม่ได้มางานศพด้วยตัวเองจึงนับว่ายังไม่เคยพบเจอประมุขพรรคมาร
ส่วนประมุขพรรคสายนทีซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสองพรรคใหญ่ฝ่ายธรรมะนั้นกลับสงบปากสงบคำอย่างยิ่ง เขาถึงกับกล้ำกลืนความแค้นลงท้องไม่เอ่ยปากพูดสิ่งใด ชีวิตน้อยๆ ของเขาที่เกือบก้าวข้ามประตูยมโลกมาครั้งหนึ่งแล้วย่อมต้องรักษาไว้ให้ดี จอมมารนั้นใช่ว่าใครก็ไปตอแยได้
ถึงอย่างไรพรรคตำหนักจันทราก็ยังนับว่าเป็นพรรคในอาณัติของพรรคจันทร์กระจ่างฟ้า การที่คิดบุกโจมตีใช่ข้ามหน้าข้ามตาจอมมารไปหน่อยหรือไม่ เหล่าประมุขพรรคซึ่งเคยพบเจอมู่อิงมาแล้วต่างสงบปากสงบคำอย่างยิ่ง สายตาพวกเขาเพียงจับจ้องไปที่หลิวเฉินซาง ท่านผู้นำว่าอย่างไรพวกเขาก็ว่าเช่นนั้น
“เรื่องที่ต้องไปทวงคนจากพรรคตำหนักจันทราแน่นอนว่าต้องทำ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ฟู่ซีซิวลอยนวลไปได้”น้ำเสียงของหลิวเฉินซางไม่ดังไม่เบาแต่หากทุกคนในที่นั้นต่างได้ยินกันทั่ว
สิ้นคำพูดประโยคนี้เกิดเสียงดังระงมราวฝูงผึ้งแตกรังดังขึ้นทั่วห้องโถง แต่ละคนท่าทางขึงขังพร้อมสู้ราวกับรอเวลาเช่นนี้มานานมากแล้ว
“แล้วจอมมารเล่า หากเขามาขัดขวางพวกเราจะทำอย่างไร”ผู้พูดเป็นผู้อาวุโสหยวนชิงจื่อแห่งพรรคร่มกล้า ท่าทางของเขาระมัดระวังสุขุมรอบคอบ มิได้เผยแววหวาดหวั่นให้ผู้ใดรับรู้ได้
ด้วยตัวพรรคตำหนักจันทรานั้นย่อมไม่มีผู้ใดครั่นคร้าม หากแต่ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมู่อิงนี่จึงจะเป็นสิ่งที่ผู้คนกังวลอย่างแท้จริง
“เขาไม่ขัดขวางเราแน่”หลิวเฉินซางตอบอย่างมั่นใจ กลัวก็แต่คนจะถูกเขาสังหารไปเสียก่อนเท่านั้น ใครใช้ให้ปีศาจน้อยของเขาทั้งใจร้อนทั้งหุนหันพลันแล่นกันเล่า ช่างทำให้คนกังวลใจเมื่อไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเสียจริง
“แต่ถึงอย่างไรพรรคตำหนักจันทราก็อยู่ใต้บัญชาของพรรคจันทร์กระจ่างฟ้า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจอมมารจะไม่ใช้โอกาสนี้บุกโจมตีพรรคฝ่ายธรรมะเรา”น้ำเสียงของประมุขพรรคเขาสงบนั้นเต็มไปด้วยความกังวล หากใครเคยพบเจอจอมมารผู้นั้นมาก่อนย่อมไม่อาจไม่กังวลได้
“นั่นสิ หากเป็นแผนล่อเสื้อออกจากถ้ำจะทำเช่นไร”
“เช่นนั้นก็สังหารพรรคมารให้สิ้น ถือเสียว่าเป็นการขจัดภัยให้ยุทธภพ”
ยิ่งพูดก็ยิ่งกลายเป็นการกล่าวถึงบุญคุณความแค้นระหว่างฝ่ายธรรมะกับอธรรมในยุทธภพ ท่านเจ้าสำนักแต่ละแห่งต่างแย่งกันเอ่ยปากจนหน้าดำหน้าแดง สุดท้ายการประชุมจึงจบลงที่หลิวเฉินซางเดินออกจากห้องโถงไปโดยไม่มีผู้ใดรับรู้
หึ! ก็แค่พวกรักตัวกลัวตายกลุ่มหนึ่ง เช่นนี้จะจัดการกับพรรคตำหนักจันทราเช่นไรก็เอาตามที่เขาเห็นสมควรก็แล้วกัน
หากเทียบกับสถานการณ์อันดุเดือดของพรรคฝ่ายธรรมะแล้ว ทางพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าดูสงบนิ่งกว่ากันมากนัก ถึงแม้ผู้ที่หนีหลุดลอดออกมาจากเรือนจำฝังกระดูกจะเป็นจอมมารคนก่อน แต่คนผู้นั้นมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับทางพรรคที่สำคัญพวกเขามิใช่มีจอมมารคนใหม่แล้วหรอกหรือ คนเก่าแล้วอย่างไรหากคิดชิงตำแหน่งจอมมารก็สมควรเอาชนะท่านประมุขให้ได้เสียก่อน
ส่วนพรรคเล็กพรรคน้อยในสังกัดของพรรคจันทร์กระจ่างฟ้ายิ่งแล้วใหญ่พวกเขาทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่สนใจ แต่ก่อนฟู่ซีซิวทำให้ผู้คนทั้งหวาดกลัวทั้งเกลียดชังมากแค่ไหนพวกเขารู้อยู่แก่ใจดี หากเอามาเทียบกับจอมมารคนปัจจุบันย่อมแตกต่างกันมากนัก สมัยที่ฟู่ซีซิวเป็นจอมมารนั้นหากไม่ใช่เพราะผู้อื่นสู้เขาไม่ได้คิดหรือว่าจะมีคนยกย่องให้เขาเป็นผู้นำ เรื่องนี้หากพรรคฝ่ายธรรมะคิดจะจัดการก็จัดการไป หากสังหารฟู่ซีซิวตายไปเสียได้ยิ่งดี
ถึงคนพรรคมารส่วนใหญ่จะคิดเช่นนี้แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่คิดตรงกันข้ามเช่นกัน ดังนั้นท่าทีของชาวยุทธ์ฝ่ายอธรรมจึงแบ่งออกเป็นสองฝักฝ่ายการแสดงออกของพวกเขาเห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง คนที่อยู่ฝ่ายมู่อิงนั้นต่างมาร่วมประชุมที่จะมีขึ้น ณ พรรคจันทร์กระจ่างฟ้าทุกครึ่งปี เพื่อรายงานเรื่องราวน้อยใหญ่ในพรรค ส่วนผู้ที่คิดอยากเกาะแข้งเกาะขาฟู่ซีซิวต่างไปรวมตัวกันที่พรรคตำหนักจันทรา
กลางห้องโถงที่ใหญ่โตหรูหราเทียบได้กับท้องพระโรงในวังหลวงของพรรคจันทร์กระจ่างฟ้านั้น มู่อิงนั่งอยู่ในตำแหน่งประมุขมือขาวผ่องข้างหนึ่งใช้เท้าคางอิงไปกับที่เท้าแขนอย่างเกลียดคร้าน ชุดสีแดงที่เขาสวมใส่ดูงดงามโดดเด่น เส้นผมสีดำสนิทดังน้ำหมึกถูกปล่อยยาวสยาย ท่าทางเกรียดคร้านแม้แต่จะรวบผมของเขานั้น ทั้งมอมเมาและยั่วยวนใจคน หากแต่ประกายตาคมกริบที่กวาดมองผู้คนกลับทำให้ผู้อื่นรักษาสติได้แจ่มใสยิ่ง
บรรดาประมุขพรรคน้อยใหญ่เริ่มรายงานความเป็นไปในพรรคตั้งแต่รับศิษย์เพิ่มกี่คนไปจนถึงฆ่าคนไปแล้วกี่ศพ ทรัพย์สมบัติที่ปล้นชิงมาได้จากพวกโจรภูเขาและขุนนางโฉดมีจำนวนเท่าไหร่ จนกระทั้งรายงานครบก็ผ่านไปเกือบครึ่งค่อนวัน มู่อิงยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม ทำให้คนไม่รู้ว่าจะทำตัวเช่นไร
“เรื่องพรรคตำหนักจันทรา ข้าจะจัดการขั้นเด็ดขาด”น้ำเสียงทุ้มหวานนั้นช่างเย็นชาจนผู้คนพากันก้มหน้าลงต่ำ
จัดการขั้นเด็ดขาดกระทำเช่นไรพวกเขาล้วนรู้ดี ความจริงเรื่องนี้จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่หากแต่ตราบใดที่ฟู่ซีซิวไม่คิดมาท้าทายอำนาจมู่อิง ประมุขพรรคฝ่ายอธรรมหลายท่านในที่นี้ไม่คิดว่ามู่อิงจะลงมือ การที่ท่านจอมมารเอ่ยขึ้นมาก่อนว่าจะจัดการกับพรรคตำหนักจันทรานั้นพวกเขาคาดไม่ถึง
...แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของเขากับกู่อิ๋งอิ๋งแห่งเรือนจำฝังกระดูกนั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้
“เรือนจำฝังกระดูกนั้นใครใช้ให้พวกมันบังอาจไปปล้นชิง ทำการใดโดยที่ข้ามู่อิงไม่ล่วงรู้ คิดว่าข้าเป็นเพียงเสือกระดาษหรืออย่างไร!”น้ำเสียงมู่อิงนั้นดังก้องเข้าไปในจิตใจของผู้คน
“ท่านจอมมารโปรดระงับโทสะ”บรรดาผู้คนในห้องโถงต่างเอ่ยขึ้นพร้อมกัน พวกเขาพากันคุกเข่าลงใบหน้าก้มต่ำไม่กล้ามองแม้แต่รองเท้าของมู่อิงราวกับว่าหากเงยหน้าขึ้นแม้แต่บรรพบุรุษเก้าชั่วโคตรก็จะโดนลากออกจากหลุมมาสังหารอีกครั้ง
“ข้ามู่อิงเป็นคนจิตใจดียิ่งจะมีโทสะได้อย่างไร”
เฉียนหลีที่ยืนอยู่ข้างๆมู่อิงถึงกับเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง ท่านประมุขเอ่ยวาจาไม่มองหน้าผู้คนอีกแล้ว คนผู้นี้ชอบเอ่ยวาจาราวกับตนมีจิตใจดังนักบวชผู้สูงส่ง แต่ความจริงเป็นเช่นไรมีผู้ใดบ้างไม่ล่วงรู้ สมกับเป็นท่านจอมมารแค่เอ่ยปากก็ทำเอาคนตัวสั่นงันงกไม่หยุดสามารถรังแกผู้คนได้ในประโยคเดียว
ในขณะที่ชาวพรรคมารกำลังจะเอ่ยวาจาสรรเสริญความมีคุณธรรมสูงส่งของท่านจอมมาร เหล่ยที่หนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาคุกเข่ากลางห้องโถงที่บริเวณหัวไหล่มีบุปฝาโลหิตดอกใหญ่เบ่งบานอยู่
“เรียนท่านประมุขพบตัวท่านหนานหมิงเยว่แล้วขอรับ”ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะขาวซีดแต่น้ำเสียงกลับเคร่งขรึมเปี่ยมไปด้วยพลัง
“เขาอยู่ที่ไหน”
“เหล่ยที่สามพาเขาไปที่เรือนแล้ว ท่านประมุขโปรดอนุญาตให้ท่านเฉียนหลีไปตรวจดูอาการ”
“เกิดอะไรขึ้น”มู่อิงเพียงโบกมือครั้งเดียวเฉียนหลีก็รีบเร่งจากไป คิ้วเรียวงามของเขาขมวดเข้าหากันอย่างน้อยครั้งนักที่จะเป็น เพราะหากไม่มีเรื่องถึงขั้นคอขาดบาดตายเหล่ยที่หนึ่งคงไม่กล้าเอ่ยวาจาเพื่อให้เขาทำตาม
“ข้าน้อยพบตัวเขาที่พรรคตำหนักจันทรา ฟู่ซีซิวคิดจะขืนใจเขาจึงใช้พิษสามทิวากร่อนจิต อาการของท่านหนานตอนนี้นับว่าย่ำแย่นัก เรายังพบหว่างหยุนเซียนที่นั่นอีกด้วย น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถลงมือฆ่ามันได้”
“หว่างหยุดเซียน...แล้วยังสามทิวากร่อนจิต พรรคตำหนักจันทรานับว่ามีความสามารถในการยั่วโมโหข้าเสียจริง”สิ้นเสียงมู่อิงจิตสังหารก็แผ่ออกมาจากตัวเขาจนทำให้หลายคนถึงกับเกือบกระอักโลหิตออกมา
“หว่างหยุนเซียน...ฮัวเหลียนเหลียน...ฟู่ซีซิว...ไม่ว่าพวกเจ้าคนไหนก็ช่างทำให้บิดาอยากนำศีรษะพวกเจ้ามาเตะเล่น นับว่ามีความสามารถ...มีความสามารถ...”
เสียงของมู่อิงดังก้องห้องโถงบรรดาชาวยุทธ์ถึงแม้มีฝีมือสูงส่งมากเพียงไรก็อดสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวจับใจไม่ได้
+++++++++++++++++++++++++
-
บทที่ 13
หลังการประชุมที่มู่อิงรวบรัดให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อบุกพรรคตำหนักจันทราภายในสามวัน จากนั้นจึงรีบเร่งมายังเรือนของหนานหมิงเยว่
การกระทำของพรรคตำหนักจันทราครั้งนี้นับว่าทำให้ท่านจอมมารเดือดดาลเสียยิ่งกว่าการบุกเรือนจำฝังกระดูกหลายเท่านัก หนานหมิงเยว่คือผู้ใด เขาคือผู้ที่มู่อิงรักและเอ็นดูดังน้องชายแท้ๆ ด้วยความที่เติบใหญ่มาด้วยกันตั้งแต่เล็กอีกทั้งหนานหมิงเยว่แทบจะกลายเป็นเงาตามตัวของเขา นั่นทำให้มิอาจเอาความสัมพันธ์นายบ่าวหรือศิษย์พี่ศิษย์น้องธรรมดามาวัดได้ สำหรับมู่อิงนั้นหนานหมิงเยว่มิต่างจากพี่น้องที่ถือกำเนิดจากบิดามารดาเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาจะรังแกหนานหมิงเยว่มากมายเพียงไรแต่ใช่ว่าผู้อื่นจะสามารถทำได้เช่นเดียวกัน การแตะต้องคนในครอบครัวของเขาก็มิต่างจากแตะเกล็ดย้อนของคนผู้นี้
หนานหมิงเยว่ที่นอนอยู่บนเตียงนั้นราวกับตุ๊กตาผ้าที่ไร้ชีวิต ใบหน้าหวานหยดปานอิสตรีมาบัดนี้ขาวซีดไร้ซึ่งสีโลหิต ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะสงสาร ดวงตาทั้งคู่หลับใหลหากแต่คิ้วกลับขมวดแน่น มู่อิงที่เพิ่งมาถึงเมื่อเห็นภาพเช่นนี้รู้สึกโมโหจนแทบทำลายเรือนทั้งหลัง หากไม่ติดว่าเรือนหลังนี้เป็นของหนานหมิงเยว่ไม่แน่ว่าตอนนี้เรือนทั้งหลังอาจกลายเป็นเศษฝุ่นกองใหญ่
เฉียนหลีพึ่งถอนเข็มเงินเล่มสุดท้ายออกไปพลางปาดเหงื่อ มู่อิงก็เข้ามาพอดี เขาเงยหน้ามองมู่อิงด้วยสีหน้าจนใจก่อนจะกล่าวขึ้น
“เฉียนหลีไร้ความสามารถ พิษชนิดนี้ข้าถอนไม่ได้ ทำได้เพียงประคองอาการไม่ให้มันกำเริบเท่านั้น”เฉียนหลีกล่าวต่อมู่อิงด้วยความหนักใจ “หากต้องการถอนพิษจำเป็นต้องใช้ลมปราณขจัดพิษตามจุดชีพจรโดยไม่ให้ผิดพลาดแม้แต่น้อย เพราะหากโคจรลมปราณผิดไปแม้เพียงเล็กน้อยโชคดีอาจแค่พิการ แต่หากโชคร้ายจะหลับไหลไปชั่วชีวิต ทอดสายตามองทั้งแผ่นดินผู้ที่สามารถกำจัดพิษชนิดนี้ได้คงมีแต่เพียงท่านผู้อาวุโสจวิน ...แต่หากมียาถอนพิษก็มิใช่เรื่องยุ่งยากอันใด”
“ยาถอนพิษ...”น้ำเสียงของมู่อิงฟังดูลุ่มลึกอย่างไม่น่าไว้วางใจ
“มียาพิษก็ต้องมียาถอนพิษ ท่านประมุขท่านก็แค่อย่าสังหารผู้อื่นก่อนได้ยาถอนพิษเท่านั้น”แต่เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่ามู่อิงจะยับยั้งตนเองได้ ยามท่านประมุขโกรธแค้นนั้นหากเขาไม่ได้ระบายความโกรธาออกมา เป็นไปได้ว่าอาจเกิดเหตุการณ์ธาตุไฟเข้าแทรก ใครให้มู่อิงเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองที่สุดในใต้หล้าเล่า
ส่วนผู้อาวุโสจวิน...
จวินจื่อหลันผู้เป็นอาจารย์ของมู่อิงและหนานหมิงเยว่นั้นถึงแม้ไร้ชื่อเสียงแต่กำลังภายในและวิชายุทธ์นั้นกลับร้ายกาจอย่างยิ่ง แม้แต่เหล่ายอดคนผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพ หรือปรมาจารย์ผู้เก่งกาจหากนำมาเปรียบเทียบกับเขานับว่าเป็นการลบหลู่จวินจื่อหลัน หากแต่คนผู้นี้อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งมักไปมาตามอำเภอใจและน้อยคนนักที่จะได้พบเจอ
สามทิวากร่อนจิตเป็นพิษที่ใช้ควบคุมจิตใจผู้คน การปรุงพิษชนิดนี้นอกจากวัตถุดิบหายากแล้วยังประกอบไปด้วยศาสตร์ลี้ลับชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดภาพมายาขึ้นในจิตใจของผู้ถูกพิษ ว่ากันว่าภาพมายาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ ทุกสามวันจิตใจจะถูกกัดกร่อนหนึ่งครั้งยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผู้ได้รับพิษก็ยิ่งสูญเสียสติสัมปชัญญะมากขึ้นเท่านั้น หนานหมิงเยว่ฝืนทนมาได้เนิ่นนานเพียงนี้นับว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว
“ติดต่อศิษย์พี่ใหญ่ที่เรือนจำฝังกระดูกให้เขาตามตัวอาจารย์มาถอนพิษ”เขาจะได้ยาถอนพิษมาหรือไม่ก็จำเป็นต้องตามตัวอาจารย์มาไว้ก่อน เรื่องไม่ให้สังหารคนนั้นเขาไม่รับปาก มู่อิงนั้นเกลียดการเป็นรองผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไร การที่ให้ผู้อื่นมาตั้งเงื่อนไขกับตนเองนั้นเขาจะไม่ทำ
เหลยที่หนึ่งรายงานเรื่องราวต่อเขาว่าได้ติดตามหาเบาะแสของหนานหมิงเยว่ไปจนถึงพรรคตำหนักจันทราพบว่าไม่เพียงพบหนานหมิงเยว่แม้แต่หว่างหยุนเซียนก็อยู่ที่นั่น...
หว่างหยุนเซียนผู้นี้แต่ก่อนมีฐานะเป็นรองประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้า อันที่จริงแล้วคนผู้นี้ควรได้รับสืบทอดตำแหน่งประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าคนต่อไป หากมู่อิงไม่เข้ามาที่พรรคจันทร์กระจ่างฟ้าเสียก่อน อำนาจที่หว่างหยุนเซียนรอคอยมาถึงสามสิบปีต้องล่องลอยหลุดมือไปมีใครบ้างไม่โมโห มีผู้ใดบ้างไม่โกรธแค้น เพื่อระบายความไม่ยินยอมพร้อมใจหลังจากวันที่มู่อิงขึ้นรับตำแหน่งประมุขพรรคเพียงสิบวัน หว่างหยุนเซียนทำให้คนเกือบครึ่งพรรคกลายเป็นกองเลือดหลายกองด้วยยาพิษละลายกระดูกหวังลอบสังหารมู่อิง เพียงแต่กระทำไม่สำเร็จจากนั้นจึงหลบหนีไป เรื่องนี้ทำให้พรรคจันทร์กระจ่างฟ้าที่แบ่งเป็นหลายฝักฝ่ายกลับมาปรองดอง ความโกรธแค้นที่มีต่อหว่างหยุนเซียนดังไฟลุกโชติช่วงไม่มีวันมอดดับ ความตะขวิดตะขวางใจที่มีต่อมู่อิงปาวนาการไปสิ้นท่านประมุขเพียงเข้าพรรคไม่ถึงปีแล้วอย่างไร ยังดีกว่าคนที่อยู่ในพรรคมาสามสิบปีแต่คิดทำร้ายคนกันเอง
ความโกรธแค้นของหว่างหยุนเซียนกลับกลายเป็นสร้างความโกรธแค้นให้แก่เพื่อนร่วมพรรค แต่ประมุขพรรคคนใหม่เช่นมู่อิงกลับไม่เพียงไม่เปลี่ยนสีหน้ายังได้รับผลประโยชน์ไปเพียงผู้เดียว เขาไม่ต้องเสียเวลาไปจัดการกับคนที่กระด่างกระเดื่อง อีกทั้งคนที่ตายไปก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา มู่อิงต้องการเพียงปราสาทหลังนี้ถ้าผู้ใดคิดขัดขืนเขา ถึงย่างไรเขาก็ต้องสังหารทิ้งอยู่ดี เรื่องราวเหล่านี้สิ่งที่ทำให้มู่อิงไม่พอใจมีเพียงแต่หว่างหยุนเซียนบังอาจกล้าลอบสังหารเขาเท่านั้น...
เรื่องราวต่อจากที่เหลยที่หนึ่งไปพบหว่างหยุนเซียนและหนานหมิงเยว่ที่โดนจับตัวไว้ ฟู่ซีซิวเป็นเฒ่าวิปลิตผู้หนึ่งนอกจากดูดพลังยุทธ์ผู้อื่นจนโดนคนทั้งยุทธภพสาปแช่งแล้ว เขายังชื่นชอบเสพสมกับชายหนุ่มรูปงาม หากผู้ใดคิดขัดขืนก็บีบบังคับให้ยอมจำนน โชคดีที่หนานหมิงเยว่ยังไม่โดนทำมิดีมิร้ายแล้วยังมีเหลยที่สามคอยช่วยเหลือ พวกเขาทุ่มสุดฝีมือเพื่อช่วยหนานหมิงเยว่ออกมาแม้แต่ฉางเอ๋อที่หนึ่งยังยอมเป็นพาหนะให้หนานหมิงเยว่ขี่หลัง
ภายในสามวันก่อนที่มู่อิงจะบุกทำลายพรรคตำหนักจันทราหนานหมิงเยว่ฟื้นขึ้นมาครั้งหนึ่งเขาไม่ยอมพูดจากับใครแต่พอเห็นมู่อิงกลับจับยึดชายแขนเสื้อเขาไว้แน่นบอกให้มู่อิงช่วยแก้แค้นให้แล้วจึงหลับไป..
พรรคตำหนักจันทราเป็นหนึ่งในพรรคเก่าแก่ของฝ่ายอธรรม ด้วยมีเคล็ดวิชาที่ชื่อว่า ‘กลืนโลหิต’ ซึ่งสามารถเพิ่มพลังยุทธ์ได้โดยการดื่มเลือดจากหัวใจของผู้อื่นจึงถือได้ว่าเป็นพรรคที่โหดเหี้ยมอำมหิตไม่มีผู้ใดอยากข้องแวะด้วย ว่ากันว่าหากฝึกวิชากลืนโลหิตจนบรรลุขั้นสูงสุดจะไม่มีคมอาวุธใดที่สามารถทำอันตรายต่อผู้ฝึกวิชานี้ได้ ยังมีเรื่องที่เล่าสืบต่อกันในพรรคว่าเพียงบรรลุวิชากลืนโลหิตขั้นสูงก็สามารถคงรูปโฉมอันอ่อนเยาว์ ทว่าปัจจุบันเคล็ดวิชาที่ว่าไม่มีผู้ใดฝึกสำเร็จถึงขั้นสูงสุดอย่าว่าแต่เพียงขั้นสูงปัจจุบันมีเพียงธิดาเทพผู้ดำรงตำแหน่งประมุขพรรคฮัวเหลี่ยนเหลียนเพียงผู้เดียว
ฮัวเหลียนเหลียนปัจจุบันบรรลุวิชากลืนโลหิตขั้นสูงและยังมีเคล็ดวิชาดูดพลังของเฒ่าวิปลิตฟู่ซีซิว เมื่อนำวิชาทั้งสองมาฝึกร่วมกันทำให้นางค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ หนึ่งในความลับเหล่านั้นคือการที่หน้าตาของนางเปลี่ยนแปลงไป และอีกความลับหนึ่งคือไม้ตายสังหารของนาง แต่ถึงกระนั้นฮัวเหลียนเหลียนก็ยังไม่ไร้สติทะนงตนว่าไร้ผู้ต่อกร นางยังมีผู้คนที่ไม่อาจเป็นศัตรูด้วยอย่างผู้นำฝ่ายธรรมะหลิวเฉินซางและประมุขพรรคมารคนปัจจุบันอย่างมู่อิง
เพื่อชิงความเป็นหนึ่งในยุทธภพนางจึงวางแผนชิงตัวฟู่ซีซิวจากเรือนจำฝังกระดูก ทั่วหล้ามีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าพรรคมารไม่ว่าเล็กหรือใหญ่อยู่ภายใต้อำนาจของมู่อิง นางคาดว่าฝ่ายธรรมะคงต้องคาดการว่าเรื่องนี้เป็นคำสั่งของมู่อิง แต่มิได้คาดว่าหว่างหยุนเซียนซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ที่พรรคของนางจะแอบมอบยาพิษให้คนไปสังหารมู่อิงจนหนานหมิงเยว่สืบค้นจนเจอ
เมื่อจะทำการฆ่าหนานหมิงเยว่ปิดปากกลับกลายเป็นว่าฟู่ซีซิวถูกตาต้องใจคนผู้นี้เข้า ไม่คาดว่าสุดท้ายคนจะโดนช่วยเหลือไป ส่วนฟู่ซีซิวได้รับบาดเจ็บ หากหว่างหยุนเซียนไม่ไปพบเข้ามีหรือเจ้าเฒ่าวิปลิตผู้นั่นจะมานั่งร่ำสุราสบายใจอยู่เช่นนี้ได้
“เหลียนเหลียนเจ้าอย่ากังวลไป มีท่านอาอยู่มู่อิงนับว่าเป็นตัวอะไรได้”น้ำเสียงฟู่ซีซิวนั้นทั้งหยามหยันและดูแคลน
“นั่นเพราะท่านยังไม่รู้จักจอมมารดีพอ ท่านอาท่านทำลายแผนข้าพังหมดแทนที่มู่อิงจะต่อสู้กับพวกฝ่ายธรรมะเรื่องที่พวกเราไปชิงตัวท่าน กลับกลายเป็นว่าเขาเบนเป้าสังหารมาที่เราแทน มู่อิงผู้นี้หากเรายังเป็นพวกเดียวกับเขาเขาย่อมปกป้องพวกเราโดยไม่สนถูกผิด แต่หากเป็นศัตรูกับคนผู้นี้แล้วเขาก็สังหารคนได้โดยไม่สนถูกผิดเช่นกัน” ฮัวเหลียนเหลียนถึงแม้ว่ายามนี้นางจะมีจอมมารคนก่อนเป็นพรรคพวกอีกทั้งยังมีผู้ชำนาญพิษอย่างหว่างหยุนเซียน หากสู้กันขึ้นมาจริงๆก็ยังไม่แน่ว่าฝ่ายใดจะได้ชัยชนะ แต่มิรู้เพราะเหตุใดนางจึงร้อนรนกระวนกระวายใจถึงเพียงนี้
“ประมุขฮัวท่านอย่าได้กังวล ถึงมู่อิงจะสังหารผู้คนทั้งใต้หล้า แต่เขาเป็นผู้ชื่นชอบสาวงาม ด้วยความงามของท่านไม่แน่ว่าเขาจะใจอ่อนยอมแพ้ในชั่วพริบตา”หว่างหยุนเซียนทางหนึ่งประจบเอาใจฮัวเหลียนเหลียนอีกทางถึงเอ่ยถึงมู่อิงอย่างดูถูกเหยียดหยาม มิใช่เพื่อสาวใช้คนหนึ่งที่เพียงแค่หน้าตางดงามคนผู้นั้นถึงกับไปสังหารล้างตระกูลศัตรูของนางหรือไร
“พวกท่านถึงอย่างไรก็อย่าลำพองใจมากนัก ถึงแม้ว่าหากพวกเราร่วมมือกันมีสิบมู่อิงก็ไม่แน่ว่าจะชนะ แต่ครั้งนี้เราปล่อยให้หนานหมิงเยว่มีชีวิตรอดกลับไป ยามนี้มู่อิงไม่มีทางปล่อยให้พวกเรามีชีวิตรอดเป็นแน่”
เมื่อคิดถึงหนานหมิงเยว่ที่ถูกช่วยออกไปได้นั้น หากนางสังหารแล้วดื่มเลือดของคนผู้นั้นตั้งแต่แรกคงไม่เสียของโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้...
มู่อิงหรือ...ด้วยความงามเช่นนี้ของนาง นางไม่เชื่อว่าจอมมารจะหักใจสังหารนางได้ แต่ถึงแม้เขาคิดสังหารนางนางก็ยังมีไม้ตายก้นหีบไว้เพื่อรับมือ!
-
ติดตามๆ ขอบคุณครับ
-
:katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
อื้อหือ
เรื่องราวเข้มข้นขึ้นทุกที
น้องมู่อิงก็ยังไม่ได้แก้แค้นท่านหลิวอยู่ดี
ลุ้นต่อไปว่า น้องมู่อิงจะ "เอาคืน" แบบไหน ได้เรียนรู้เทคนิคแพรวพราวจากปีศาจสุราหญิงก๋ากั่นเช่นนั้น
-
:pig4: :pig4:
-
ขอบคุณค่ะ รอน้องมู่อิงวาดลวดลาย
-
o13
-
นึกว่า ตาฝาด ดีใจค่า
-
กว่ามู่อิงจะมาน้ำตาแทบไหล
-
ตอนที่ 14
ความโหดเหี้ยมอำมหิตของจอมมารนั้นไม่ได้เป็นเพียงข่าวลือไว้ข่มขู่ผู้คน ก่อนจะขึ้นเป็นประมุขพรรคจันทร์กระจ่างฟ้านั้น โลหิตไหลนองมากมายเพียงใดบรรดาพรรคที่เคยกระด่างกระเดื่องต่อมู่อิงล้วนกระจ่างแจ้งแก่ใจตนเองดี ต่อเมื่อขึ้นเป็นประมุขพรรค มู่อิงผู้ชื่นชอบความสะดวกสบายจึงไม่ใคร่จะลงมือด้วยตัวเองมากนัก น้อยครั้งที่คนผู้นี้จะจัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเองและไม่ง่ายเลยที่คนผู้นี้จะบุกไปเอาเรื่องใครโดยไม่สนฤกษ์ยาม ตามปกตินั้นฤกษ์สังหารของเขาคือช่วงเวลาที่ดวงจันทร์กลมโตที่สุด งดงามที่สุด หายากยิ่งนักที่จะบุกโดยไม่สนใจความงดงามของแสงจันทร์อันนุ่มนวลที่สาดส่องลงมา พรรคตำหนักจันทรามิรู้ว่าเพราะทำชั่วมากเกินไปจนโดนสวรรค์ลงทัณฑ์ หรือโดนผู้คนสาปแช่งมากเกินไปกันแน่ ถึงได้ทำให้จอมมารผู้งดงามจนผู้คนทอดถอนใจผู้นี้ กลายเป็น ‘มารร้าย’ อย่างแท้จริง
ท่ามกลางพายุโลหิตในพรรคตำหนักจันทราปรากฏมารร้ายชุดแดงขึ้นผู้หนึ่ง ใบหน้างดงามจนราวกับจะช่วงชิงจิตวิญญาณคนหากแต่กลับกระด้างเย็นชาราวกับรูปสลักน้ำแข็ง ดวงตาหงส์คมกริบไร้รอยกระเพื่อม งดงามแต่กลับเย็นยะเยือกจนคนไม่อาจเข้าใกล้ บรรดาผู้ติดตามต่างถอยห่างจากมู่อิงอย่างน้อยสิบฉื่อ เหล่าผู้ติดตามที่มากับท่านประมุขต่างทราบดีว่าหากท่านประมุขแผ่รัศมีเย็นชาจนผู้คนไม่อาจเข้าใกล้ก็จงอย่าได้เข้าใกล้เป็นอันขาด อยู่ห่างมากเท่าไหร่ชีวิตน้อยๆ ก็ปลอดภัยมากเท่านั้น
“ฮัวเหลียนเหลียน หว่างหยุนเซียน ฟู่ซีซิว พวกเจ้าจงออกมา!!! ไม่เช่นนั้นแม้แต่สุนัขที่พรรคตำหนักจันทราเลี้ยงไว้ก็อย่าหวังจะรอดชีวิต!” น้ำเสียงของมู่อิงแฝงกำลังภายในไว้ถึงเจ็ดส่วนเหล่าผู้คนที่พลังยุทธ์อ่อนด้อยต่างกระอักเลือดออกมาทั้งสิ้น บรรดาศิษย์ชั้นปลายแถวบางคนถึงกับสิ้นใจตาย คนของพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าที่มากับท่านจอมมารล้วนแล้วแต่ฝีมือเป็นเลิศจึงไม่มีใครได้รับอันตราย เพราะบุคคลเหล่านี้ ‘อยู่ห่างท่านประมุขอย่างน้อยสิบฉื่อ’ อีกทั้งยังตื่นตัวระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา ใครใช้ให้ท่านประมุขฝีมือสูงส่งเกินไปจนคนอดไว้วางใจไม่ได้กันเล่า
บรรดาผู้ติดตามมู่อิงนอกจากเหลยที่หนึ่ง สอง และสามแล้ว ยังมีคนที่ติดตามมาอีกเพียงแค่ยี่สิบคนเท่านั้น ผู้คนเหล่านี้เป็นคนที่ท่านจอมมารตัดสินแล้วว่าสามารถ ‘เอาชีวิตรอด’ กลับไปได้
หากพามามากมายแล้วตายเสียหมด มิสู้พามาแต่คนที่จะมีชีวิตรอดกลับไปไม่ดีกว่าหรือ ในเมื่อมู่อิงมาเพื่อสังหารคนเขาจึงไม่คิดที่จะให้คนของตนโดนสังหาร
ท่ามกลางความโกลาหลของพรรคตำหนักจันทรา การที่โดนจอมมารบุกมาโดยที่ไม่ทันได้เตรียมตัวตั้งรับสร้างความโกลาหนวุ่นวายขึ้นเหลือคณา จอมมารชุดแดงผู้นี้ราวกับจู่ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นมาจากนั้นก็เริ่มเข่นฆ่าสังหารคน ศิษย์ระดับสูงบางคนที่พอรู้ต้นสายปลายเหตุดี ส่วนหนึ่งอยู่รับมือ อีกส่วนไปแจ้งฮัวเหลียนเหลียนและเหล่าผู้นำพรรค
จอมมารบุกพรรคตำหนักจันทรารวดเร็วกว่าที่ท่านธิดาเทพคำนวณไว้!
ผู้ที่มาถึงก่อนเป็นคนแรกคือฟู่ซีซิว หลังจากกวาดสายตามองภาพความเสียหายของพรรคตำหนักจันทราด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ก็ต้องสะดุดลงเพราะมารร้ายในชุดสีแดง ฟู่ซีซิวนับว่าเป็นคนที่มีชีวิตอยู่มายาวนานผู้หนึ่ง ตลอดชีวิตอันผิดแผกแตกต่างจากผู้อื่นย่อมพบเห็นผู้คนมามากมาย หากแต่คนที่เด็ดหัวผู้อื่นราวกับหัวผักกาดแต่กลับดูน่าลุ่มหลงราวปีศาจเช่นนี้กลับไม่เคยพบเจอ
ถึงแม้จะงดงามจนหน้าตื่นตะลึงเพียงใด หากแต่แววตาที่ราบเรียบไม่ได้กระหายเลือดอย่างที่คนผู้ซึ่งถลำลึกในการเข่นฆ่าสังหารควรมีนั้น กลับทำให้ใจของฟู่ซีซิวสั่นสะท้านด้วยความหวั่นเกรง
ฮึ! ถึงอย่างไรตัวฟู่ซีซิวก็ยังมีความทะนงตนอยู่ไม่น้อย มันไม่เชื่อว่าจะเอาชนะจอมมารชุดแดงผู้นั้นไม่ได้ หากมิใช่เพราะอุบายของพวกสาระเลวฝ่ายธรรมะมีหรือที่คนอย่างฟู่ซีซิวจะถูกขังอยู่ในเรือนจำฝังกระดูก มู่อิงแล้วอย่างไร! คนอย่างฟู่ซีซิวก็อยากจะรู้เช่นกันว่าจอมมารคนใหม่จะร้ายกาจเพียงใด ด้วยความงดงามเช่นนั้นหากมันได้ลิ้มรสสักครั้งมิรู้ว่าจะมีความสุขสักปานใด
ดังนั้นฟู่ซีซิวจึงบุกเข้าไปหามู่อิงหมายจู่โจมยามที่ผู้อื่นไม่ทันตั้งตัว
มู่อิงฝีมือสูงส่งเพียงใดมีหรือจะไม่รู้ว่ามีผู้ลอบโจมตี การสังหารศิษย์พรรคตำหนักจันทราที่ไม่ต่างจากบี้มดเหล่านี้นับว่าเป็นอะไรได้ หากมิใช่เพราะแค้นจนไม่อาจทนมองให้ขวางหูขวางตามีหรือเขาจะมาข้องเกี่ยวกับพรรคตำหนักจันทราที่มีแต่กลิ่นคาวโลหิตแห่งนี้ ทั้งกู่อิ๋งอิ๋งทั้งหนานหมิงเยว่ต่างเป็นคนที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามแตะต้องทั้งสิ้น
ขยับตัวเพียงเล็กน้อยมู่อิงก็รับฝ่ามือของฟู่ซีซิวไว้ได้ กำลังภายในอ่อนด้อย! เขามู่อิงไม่เจ็บไม่คันแม้แต่น้อย!
“ต่ำช้า”มู่อิงหรี่ตามองฟู่ซีซิวอย่างหยามเหยียด หลังการประทะฝ่ามือที่คิดว่าไม่เจ็บไม่คันนั้น ไม่คาดว่ากำลังภายในบางส่วนของเขากลับหายไป
“ของดี...นอกรูปร่างหน้าตาแล้ว แม้แต่กำลังภายในก็เป็นของชั้นเลิศ หากเจ้ายอมแพ้แต่โดยดี นายท่านผู้นี้สัญญาว่าจะเอ็นดูเจ้าให้มาก”ฟู่ซีซิวมองมู่อิงด้วยสายตากระลิ่มกระเหลี่ยและหยาบโลน มันแทบจะทนไม่ไหวอยากกดคนงามผู้นี้ลงกับเตียงใจแทบขาด
“นอกจากอัปลักษณ์จนข้าไม่อยากทนมองแล้ว เสียงก็ยังอุบาทจนไม่อาจทนฟัง หากไม่สังหารตัวน่ารังเกียจเช่นเจ้าในวันนี้ มิรู้ว่าจะมีผู้คนมากมายเพียงใดที่ต้องนอนฝันร้ายเพราะทนดูเจ้า” สิ่งที่มู่อิงไม่ชอบก็คือคนอัปลักษณ์ ยิ่งทั้งหน้าตาและจิตใจอัปลักษณ์ยิ่งไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ตาแก่นี่ต้องเป็นเฒ่าวิปริตฟู่ซีซิวไม่ผิดตัวแน่ หากวันนี้เขาไม่สังหารตาเฒ่าผู้นี้มิรู้ว่าต้องสั่งสมความคับข้องใจไปอีกกี่วันคืน
ฟู่ซีซิวมีรูปร่างท้วม ไม่สูงไม่ต่ำ ผิวสีทองแดง หน้าตามองรวมๆ แล้วคล้ายตาแก่มักมากผู้หนึ่ง หากแววตากลับเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก จอนผมบางส่วนเริ่มหงอกขาว มองโดยรวมแล้วก็ไม่ถือว่าอัปลักษณ์จนไม่อาจทนมอง
“สามหาว! วันนี้นายท่านจะตัดลิ้นเจ้าออกมา!”ฟู่ซีซิวหน้าแดงก่ำเพราะความโมโห คนที่กล้าด่าว่ามันต่อหน้ามีไม่มาก การที่โดนผู้เยาว์ดูหมิ่นเช่นนี้จะให้มันไม่โมโหได้อย่างไร
จอมมารคนก่อนและคนปัจจุบันต่อสู้กันไปหลายกระบวนท่า คราแรกนั้นฟู่ซีซิวย่ามใจว่าในที่สุดชัยชนะต้องเป็นของตน แต่ทว่าไม่ว่ามันจะดูดกำลังภายในฝ่ายตรงข้ามมามากเท่าไหร่ หากแต่มู่อิงนั้นกลับไม่คล้ายคนหมดแรงเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าภายใต้หน้าตาอันงดงามนั้น คือสัตว์ประหลาดที่มีกำลังภายในไม่รู้จักหมดสิ้น
“รู้หรือไม่ว่าคนที่ข้าเกลียดที่สุดคือคนที่มาแตะต้องของของข้า วันนี้ข้าจะเอาศีรษะเจ้าไปปลอบประโลมใจเยว่เอ๋อ” น้ำเสียงของมู่อิงทั้งหยิ่งผยองทั้งเยือกเย็น เมื่อกล่าวจบถึงกับลงมือหนักหน่วงขึ้นอีกหลายเท่า
ฟู่ซีซิวนั้นถือดีมาโดยตลอดว่าไร้ผู้ต่อกร วันนี้ต้องมาประมือกับมู่อิงจึงราวกับกลืนอาเจียนตนเองลงท้องก็มิปาน ใครจะคาดคิดกันว่าจะมีผู้เยาว์ที่ฝีมือสูงส่งปานนี้ ที่สำคัญหนานหมิงเยว่ผู้นั้นฟูซีซิวยังไม่ทันได้แตะต้อง คนก็โดนช่วยไปเสียก่อน
เพ้ย! สวรรค์ช่างไม่เป็นธรรม ไม่เป็นธรรมยิ่งนัก!!!
“ตาเฒ่าสารพัดพิษยังไม่รีบมาช่วยข้าอีก”ฟู่ซีซิวตะโกนเรียกหว่างหยุนเซียนที่ยืนมองดูอยู่ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เพราะฟู่ซีซิวคุยโตไว้มากหว่างหยุนเซียนจึงไม่คิดช่วยตั้งแต่แรก กอปรกับนิสัยเฒ่าวิปริตไม่น่าคบหาเลยแม้แต่น้อย น่ารังเกียจยิ่งกว่าอาจมเสียอีก หากไม่มีเป้าหมายร่วมกันคือสังหารมู่อิงไม่แน่ว่าตัวหว่างหยุนเซียนเองอาจวางยาพิษตาเฒ่าน่ารังเกียจผู้นี้ไปนานแล้ว
เมื่อหว่างหยุนเซียนปรากฏตัวบรรดาคนของพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น หากไม่เพราะเป็นการขวางมือขวางเท้าท่านประมุข คงกระโจนเข้าสู้กับหว่างหยุนเซียนไปแล้ว
หว่างหยุนเซียนถึงแม้จะอายุห้าสิบปีแล้ว แต่ใบหน้ากลับดูราวต้นสี่สิบ มีริ้วรอยตามวัยเพียงเล็กน้อย ท่วงท่าอบอุ่นอ่อนโยน ราวกับมดสักตัวก็ไม่อาจหักใจบี้ได้
“ เฒ่าวิปริตนี่หรือที่เจ้าคุยโวไว้มากมายว่าจะจัดการจอมมาร” หว่างหยุนเซียนกล่าวอย่างดูถูกดูแคลน แม้แต่ตัวมันเองยังไม่กล้าประมาทบุรุษหนุ่มผู้นี้ หากมู่อิงจัดการง่ายดายเพียงนั้น พรรคจันทร์กระจ่างฟ้าคงตกอยู่ในมือหว่างหยุนเซียนนานแล้ว
“ข้าเพียงแต่ประมาทไปหน่อยเท่านั้น”
“น่ารำคาญ...หากจะลงมือก็ลงมือ พูดพล่ามไปพวกเจ้าก็ไม่มีทางรอดชีวิต” มู่อิงพูดพร้อมกับลงมือจู่โจมฟู่ซีซิวและหว่างหยุนเซียน
ฟู่ซีซิวทางหนึ่งรับมือ ทางหนึ่งดูดกำลังภายในที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดสิ้นของมู่อิงอย่างสิ้นหวัง ตั้งแต่ฝึกวิชาดูดพลัง ชิงกำลังภายในผู้อื่นมาทั่วหล้า ฟู่ซีซิวยังไม่เคยเจอตัวประหลาดที่กำลังภายในไม่หมดสิ้นดังเช่นมู่อิงมาก่อน
ส่วนหว่างหยุนเซียนนั้นนอกจากเอาดีทางด้านยาพิษพลังฝีมือก็ไม่น้อยหน้าเมื่อใกล้สิ้นท่าก็ปล่อยพิษออกมาให้มู่อิงต้องละมือจากตนเอง เมื่อร่วมมือกับฟู่ซีซิวจึงสามารถต่อกรกับมู่อิงได้อย่างสูสี การต่อสู้ของทั้งสามคนเห็นได้ชัดว่าไม่มีฝ่ายไหนได้เปรียบและไม่มีฝ่ายไหนเสียเปรียบ สู้กันเช่นนี้จนมู่อิงนึกรำคาญใจ
จอมมารนั้นขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมไร้ปรานี ท่องยุทธภพมาหลายปีจะไม่มีอาวุธคู่กายได้อย่างไรหากแต่ผู้ที่เคยเห็นอาวุธสังหารของเขานั้นล้วนตายแล้วทั้งสิ้น ส่วนคนใกล้ชิดเองต่างรู้ว่าไม่ควรแม้แต่ปรายตามอง ‘ของรักของหวง’ ของท่านประมุข เนื่องด้วยอาวุธประจำกายของมู่อิงคือกระบี่ตัดจันทรา สะบัดหนึ่งคราสะเทือนฟ้าดิน ที่ว่าจะเทือนฟ้าดินนั้นมิได้ถึงขั้นตัดท้องฟ้าและผืนดิน เพียงแต่เปรียบเปรยถึงอานุภาพอันน่าเกรงขามของกระบี่เล่มนี้เท่านั้น กระบี่ตัดจันทรานั้นราวกับทำขึ้นจากหยกขาวงดงามจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นอาวุธสังหาร ดังนั้นเมื่อต้องนำออกมาใช้ครั้งใดไม่มีเลยที่มู่อิงจะไม่ปวดใจ
เมื่อกระบี่ตัดจันทราปรากฏขึ้นบนมือของมู่อิงทั้งหว่างหยุนเซียนและฟู่ซีซิวต่างถอยห่างคนละห้าก้าวโดยสัญชาตญาณ ไม่รู้ว่ากระบี่สีสาวด้ามนั้นมีอานุภาพเพียงไร แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดนั้นสั่งให้ถอยห่างโดยไว
“ได้ตายด้วยกระบี่ตัดจันทรานับว่าพวกเจ้ามีบุญวาสนาอย่างยิ่ง”มู่อิงมองกระบี่ในมือด้วยสายตาที่อ่อนโยนราวกับมองคนรัก กว่าจะได้กระบี่เล่มนี้มาเขาต้องทนลำบากมากมายเพียงไร ดังนั้นกว่าจะตัดใจใช้ได้แต่ละครั้งจึงยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
พูดจบมู่อิงก็ตวัดกระบี่เข้าหาคนทั้งสองทันที กระบี่เดียวหวังปลิดชีพ!
หว่างหยุนเซียนกับฟู่ซีซิวหน้าซีดเผือดกระบี่นี้ไม่มีทางหลบพ้น ผู้อาวุโสที่สังสมชื่อเสียงมายาวนานเช่นตนเองต้องมาจบชีวิตลงด้วยมือผู้เยาว์ตายไปเช่นนี้ช่างน่าคับแค้นใจนัก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
-
ว้าววกำลังมันส์
-
ไม้ตายที่มีอาจทำให้ทั้งสองรอดตายจากมู่อิงหรือเปล่า :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
o13 รอตอนต่อไปค่ะ ^^
-
มีแต่คนน่ารังเกียจ จิตใจต่ำทราม น่ารำคาญสายตายิ่งนัก
น้องมู่อิงรีบจัดการแล้วรีบกลับมามองดูผมของท่านหลินเพื่อปลอบใจเถอะ
-
กำลังมันส์เลยค่ะ
รอมาต่อนะคะ :pig4:
-
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
น้องมู่อิงงงงง
กะลังมันเลยย
มาต่อเร็วๆน๊าา
-
:pig4: :pig4:
-
:mew1: :mew1:
-
ก่อนที่อิงเอ๋อจะได้ปลิดชีพดับลมหายใจฟู่ซีซิ้วกับหว่างหยุนเซียน สงสัยว่าข้านี้แหละที่จะสิ้นใจไปซะก่อน :katai1: :katai1: :katai1: กลั้นใจรอ...... แทบขาดใจ อะไรจะลุ้นเบอร์นั้น
-
สนุกม๊วกเบยเรื่องนี้ ชอบๆๆ
-
กำลังมันเลยครับ
-
หุยยย กำลังมันส์
-
ไรท์เตอร์ยังไม่มาอีกหรือนี่ ข้ารอจนลมหายใจจะขาดสะบั่นอยู่แล้ว ... อารมณ์มันค้าง~~~ :ling1:
-
:ling1: :ling1: :ling1:
-
ตามมาค้างด้วย
-
บทที่ 15
เมื่อมู่อิงตวัดกระบี่เข้าฟาดฟันทั้งหว่างหยุนเซียนและฟู่ซีซิวต่างรู้ดีว่าไม่อาจหลบพ้น ต่างคนต่างเกร็งกำลังภายในและหวังใช้อีกฝ่ายเป็นโล่ มีผู้ใดไม่รักชีวิตบ้างถึงจะเข่นฆ่าผู้คนมามากมาย มองชีวิตผู้อื่นไร้ค่าเพียงใดแต่กับชีวิตของตนเองนั้นกลับล้ำค่ายิ่ง
“ท่านจอมมารโปรดไว้ชีวิตด้วย”
ก่อนที่กระบี่ของมู่อิงจะได้ดื่มโลหิตของสองเฒ่าพลันมีผ้าแพรทองคำมาปัดกระบี่ทำให้พลาดจากคอของตาเฒ่าทั้งสองไม่กี่ชุน ได้เพียงแผลที่หัวไหล่คนละแผล นับว่ารอดจากน้ำมือท่านพญามัจจุราชอย่างเฉียดฉิว
เสียงที่ขัดขึ้นเป็นของสตรี เพียงแค่น้ำเสียงก็ไพเราะนุ่มนวลพาให้บุรุษหัวใจหลอมละลายแล้ว ผู้ที่มาคือฮัวเหลียนเหลียน
ฮัวเหลียนเหลียนสวมชุดสีชมพูอ่อนใบหน้างดงามล้ำเลิศแฝงความงามของอิสตรีไว้ทุกสัดส่วน แค่ได้มองก็ทำให้บุรุษอยากจะโอบประคองไว้ในอ้อมอก เป็นหญิงงามที่แม้แต่น้ำแข็งหมื่นปียังต้องหลอมละลายเมื่อเห็นความงดงามเช่นนี้ ความงดงามอ่อนหวานเช่นนี้มิรู้ว่าต้องแลกมาด้วยกี่ชีวิต!
เมื่อฮัวเหลียนเหลียนปรากฏตัวทุกคนต่างชะงักงันในความงาม แม้แต่มู่อิงเองยังนิ่งไปถึงสองลมหายใจ ก่อนจะหรี่ตามองฮัวเหลียนเหลียนอย่างยากจะคาดเดาความคิด คนของพรรคตำหนักจันทรานั้นนับว่าเคยชินกับความงาม เพราะท่านประมุขของพวกเขาเรียกว่านักสะสมสิ่งสวยงามยังไม่นับว่าเกินไป ยิ่งหากจะเรียกว่าคนงามล้ำเลิศ...ท่านจอมมารยังล้ำเลิศมิพออีกหรือ ดังนั้นนอกจากชะงักไปเพียงชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็กลับมาฟาดฟันศัตรูของตนเองต่อ หญิงสาวผู้นี้ก็นับว่างดงามสูสีกับท่านประมุขอยู่เช่นกัน
“ฮัวเหลียนเหลียน” มู่อิงเอ่ยชื่อผู้มาใหม่ สายตายังไม่ละไปจากนาง หากแต่รังสีเข่นฆ่ารอบกายกลับไม่เบาบางลงแม้แต่น้อย
“ข้าฮัวเหลียนเหลียน ออกมาต้อนรับท่านจอมมารช้าเกินไปโปรดอภัยด้วย” ฮัวเหลียนเหลียนนั้นเรียกว่ามั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตนเองเป็นอย่างยิ่ง นอกจากอยากเป็นใหญ่ในยุทธภพแล้วสตรีนางนี้ยังมีความปรารถนาที่ไม่เคยบอกผู้ใดนั่นก็คือจอมมารผู้งดงามราวกับปีศาจที่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้!
ตั้งแต่เห็นมู่อิงครั้งแรกนางก็หลงใหลในรูปลักษณ์อันงดงามของเขาจนแทบทนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ เมื่อทราบข่าวว่าท่านจอมมารชื่นชอบหญิงงามนางมิสนว่าต้องเข่นฆ่าผู้คนไปมากมายเพียงไร ขอเพียงฝึกวิชากลืนโลหิตให้ถึงขั้นที่รูปร่างหน้าตางดงามก็เพียงพอ เฝ้าคิดว่าสักวันจอมมารจะต้องมาสยบภายใต้ชายกระโปรงของตน เมื่อครู่ตอนที่มู่อิงชะงักมองตนนางถึงกับนึกลำพองหยิ่งผยองอยู่ในใจ หากแต่เพียงสองลมหายใจใบหน้าของเขากลับมาราบเรียบดังเดิมนั่นทำให้นางอดลดความหยิ่งผยองลงไม่ได้ บางทีจอมมารอาจแค่กลัวผู้อื่นรู้ความในใจ ถึงจะสังหารคนมานับร้อยพัน ฟันฝ่าจนเป็นธิดาเทพพรรคตำหนักจันทราแต่ฮัวเหลียนเหลียนก็ยังอดคิดเข้าข้างตนเองตามประสาสตรีไม่ได้
“รู้หรือไม่ว่าข้าชื่นชอบสิ่งสวยงาม สตรีที่ข้าเห็นว่างดงามบนแผ่นดินนี้แทบนับด้วยมือข้างเดียวได้” น้ำเสียงของมู่อิงนั้นทุ้มเย็นไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึก
“เหลียนเหลียนทราบแล้ว” ฮัวเหลียนเหลียนใบหน้าแดงระเรื่อ ราวดอกไม้งามที่สัมผัสสายลม ดูเอียงอายและน่าทะนุถนอม จอมมารพูดเช่นนี้มิใช่กำลังชมเชยในความงามของนางหรอกหรือ
หากเฉียนหลีหรือหนานหมิงเยว่อยู่ที่นี่จะต้องมองฮัวเหลียนเหลียนเป็นพวกโง่เง่าแน่แท้ ยามมู่อิงเห็นสิ่งที่ถูกตาต้องใจนั้น มีหรือจะยังสงบเยือกเย็นเช่นนี้ได้
คนสนิทย่อมรู้ใจนายหากแต่บุรุษผมเงินผู้เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ไม่ได้รับรู้ด้วย เวลานี้เขาเหมือนกลืนทะเลน้ำส้มลงท้องก็มิปาน ใครใช้ให้เขามาเห็นตอนมู่อิงตะลึงมองสาวงาม หายตะลึงแล้วก็ยังไม่ละสายตาไปจากหญิงผู้นั้น หากอยากมองคนงามมากนักเหตุใดมิส่องกระจกดูตนเองเสียเลย
หลิวเฉินซางที่เพิ่งมาถึงพร้อมกับเหล่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะลอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ ปล่อยให้มู่อิงห่างตาเพียงไม่กี่วัน คนผู้นั้นก็เอาแต่จ้องหญิงงามเสียแล้ว เช่นนี้เขาจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร ความสัมพันธ์ไม่คืบหน้า ยังจะถูกผู้อื่นแย่งความสนใจ ถึงในใจจะร้อนรุ่มเพียงใดหากแต่สิ่งที่ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะแสดงออกมามีแต่เพียงความสงบนิ่งน่าเคารพนับถือ เหล่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะต่างมองดูท่านผู้นำที่สงบเยือกเย็น รอให้พวกฝ่ายอธรรมกัดกันเองจากนั้นพวกเขาก็ล้างคอรอรับผลประโยชน์ ท่านผู้นำช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก
หากพวกเขาล่วงรู้ความในใจของท่านผู้นำฝ่ายธรรมะมิรู้ว่าสีหน้าจะย่ำแย่ยิ่งกว่าหว่างหยุนเซียนและฟู่ซีซิวยามที่โดนกระบี่ของท่านจอมมารหรือไม่
“หญิงงามล้ำเลิศ มิรู้ว่าท่านจอมมารจะตัดใจสังหารลงหรือไม่” หลิวเฉินซางจ้องมู่อิงไม่วางตา หากมู่อิงสังหารไม่ลงเขาจะได้จัดการให้สิ้นซาก ผยุงความยุติธรรมให้ใต้หล้า
“งามล้ำเลิศ?”มู่อิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หลิวเฉินซางเห็นว่าหญิงผู้นี้งามล้ำเลิศหรือ
ดี! ดียิ่งนัก!
“เจ้าจ้องนางไม่วางตา” หลิวเฉินซางเห็นแล้วหงุดหงิด
“ข้าจ้องไม่ได้” เจ้าปีศาจห่มจีวรกลัวเขาจ้อง ‘หญิงงามล้ำเลิศ’ จนนางตายหรือ
“ไม่ได้!”
++++++++++++ 50% +++++++
“ดี! นอกจากจ้องแล้วข้าจะสังหารนางให้ตาย!” กลิ่นคาวโลหิตจากฮัวเหลียนเหลียนทำเอาเขาอยากอาเจียนเต็มทนแล้ว หญิงผู้นี้สมควรได้รับฉายามารร้ายมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ มิรู้ว่าดื่มโลหิตบำรุงความงามตนเองไปมากมายเพียงไร สตรีที่เขาเห็นว่างาม แลดูทั่วแผ่นดินนับได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว...ฮัวเหลียนเหลียนนั้นเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเส้นผมของสตรีเหล่านั้น
“ท่านจอมมาร...”ฮัวเหลียนเหลียนมองมู่อิงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เมื่อกี้เห็นชัดว่าเขาตกตะลึงในความงามของนาง อีกทั้งยังเอ่ยชม มิใช่หรือ?
“นังหลานโง่! ยังไม่รีบจัดการจอมมารอีก คิดว่าตัวเองงดงามจนเขาสังหารไม่ลงหรือ”ฟู่ซีซิวรีบตะโกนบอกฮัวเหลียนเหลียน แววตามู่อิงไม่เหมือนผู้หลงใหลมัวเมาในความงามเลยสักนิด กลับคล้ายพยัคฆ์ยามสังหารเหยื่อ
มู่อิงฟาดฟันกระบี่ไปที่ฮัวเหลียนเหลียน ปวดใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องใช้กระบี่ตัดจันทราสังหารสิ่งโสโครก แต่เมื่อมองดูฮัวเหลียนเหลียนเขามีความรู้สึกว่าไม่อาจวางใจได้ หากไม่สังหารนางโดยเร็วไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องยุ่งยากตามมา
“มู่อิงในเมื่อเจ้าไม่สนใจไมตรีที่ข้าหยิบยื่นให้ ก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับไป” แววตาฮัวเหลียนเหลียนแฝงแววเคียดแค้น นางอุตส่าทุ่มเทมากมายเพียงใดเพื่อทำให้ตนเองงดงามเพียงนี้ แต่เขากลับไม่แม้แต่ปรายตาแล ไม่ลังเลแม้แต่นิดที่จะสังหารนาง จะไม่ให้นางคับแค้นใจได้อย่างไร
ฝ่ายฟู่ซีซิวกับหว่างหยุนเซียนคิดใช้โอกาสนี้ร่วมมือกับฮัวเหลียนเหลียนสังหารมู่อิง สองเฒ่ามองหน้ากันก่อนจะเหินทะยานเข้าร่วมปลิดชีพจอมมาร หากวันนี้มู่อิงไม่ตายก็เป็นพวกเขาที่ม้วย
“สามต่อหนึ่ง ไม่คิดว่าเป็นการรังแกอิงของข้ามากไปหรือ” หลิวเฉินซางซัดกำลังภายในไปที่สองเฒ่าทำให้พวกเขาปลิวออกมา ขอแค่มู่อิงไม่เป็นอันตรายเกินขอบเขตที่เขารับได้ ผู้อื่นจะเป็นอย่างไรเขาไม่สนใจจะรับรู้ ดังนั้นคนผู้นี้จึงมิได้สนใจ ‘คนกลุ่มใหญ่’ ที่ตนพามา
ทางเหล่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะเมื่อเห็นท่านผู้นำออกโรงก็ได้แต่โผล่มาสู้ด้วยความสงสัย มิใช่ท่านผู้นำจะรอให้ทั้งสองฝ่ายสู้กันให้แล้วเสร็จถึงยื่นมือไปจัดการหรอกหรือ
เมื่อมีชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะเข้าร่วมสู้ ยอดฝีมือของพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าจึงเบาแรงไปไม่น้อย คนพรรคตำหนักจันทรานั้นที่ร้ายกาจมีไม่กี่คนแต่หากจะให้กวาดล้างไม่เว้นแม้แต่สุนัขอย่างที่ท่านจอมมารต้องการ มิรู้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลากี่วันคืน อย่างน้อยพวกฝ่ายธรรมะที่มีฝีมือไม่ต่างกับพ่อค้าหมูในตลาดเหล่านี้ก็ยังมีคนจำนวนมาก
พรรคตำหนักจันทรานั้นเรียกได้ว่าจบสิ้นแล้ว คงไม่อาจฟื้นฟูกลับคืนมาได้อีก น้อยครั้งนักที่คนของฝ่ายธรรมะและพรรคมารจะร่วมแรงกันเช่นนี้ ศัตรูของศัตรูคือสหาย ในเมื่อมีศัตรูร่วมกันจะร่วมแรงกันสักครั้งมิใช่ว่าจะทำมิได้ ส่วนพวกยอดฝีมือที่พวกตนไม่อาจต่อกร ก็ให้ท่านจอมมารกับท่านผู้นำฝ่ายธรรมะรับมือ เช่นนี้เรียกว่าแบ่งหน้าที่ได้ดียิ่งนัก
“หลิวเฉินซางหากข้าสังหารหญิงชั่วเสร็จแล้วก็ถึงคราวตาเฒ่าสองคนนั้น เจ้าอย่าสังหารพวกเขา” ทั้งสามคนล้วนแล้วแต่ร่วมมือกันทำร้ายหนานหมิงเยว่ หากมู่อิงไม่ได้ลงมือด้วยตัวเองความแค้นในใจคงไม่อาจบรรเทาลงได้
“ข้าจะพยายาม”เขาจะรับปากได้อย่างไรว่าจะไม่พลั้งมือสังหารคน
“ทำตามที่ข้าบอก” น้ำเสียงมู่อิงแฝงแววบังคับอยู่ในที
“ทราบแล้ว” เห็นแก่ที่อิงอิงของเขามิได้หวั่นไหวไปกับรูปลักษณ์ของผู้อื่นอีกทั้งยังดูเหมือนจะ ‘หึงหวง’ เขาเล็กน้อย อ่อนข้อให้เขาเสียหน่อยก็ไม่เป็นไร
ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะเวลานี้เบิกบานใจกว่ายามมาถึงหลายเท่านัก แม้แต่ตาเฒ่าทั้งสองก็ดูขัดตาน้อยลง ในเมื่ออิงอิงของข้าบอกอย่าสังหาร เช่นนั้นก็ทรมาณพวกเจ้ารอเวลาตายก็แล้วกัน!
“มู่อิง เจ้าคิดว่าจะสังหารข้าได้อย่างนั้นรึ” หากวันนี้นางต้องตายก็จะต้องพาคนทั้งหมดไปปรโลกกับตนด้วย
“ยามพบยมบาลเจ้าก็จะรู้เอง”
มู่อิงและฮัวเหลียนเหลียนหนึ่งแพรทองพลิ้วไหวทุกท่วงท่าคุกคามชีวิต หนึ่งศาสตราเปี่ยมอานุภาพร่วมกับยอดยุทธ์ผู้ถือครอง หลายกระบวนท่าผ่านไปผลัดกันรุกผลัดกันรับไม่เพรี้ยงพร้ำ
“หากสังหารข้าเจ้าจะไม่ได้ยาถอนพิษสามทิวากร่อนจิต”เมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจต้านจอมมารได้อีก ฮัวเหลียนเหลียนจึงยกเอาเรื่องยาพิษมาข่มขู่ ในเมื่อหนานหมิงเยว่สำคัญถึงขนาดที่จอมมารบุกมาทำลายพรรคตำหนักจันทรา ยาถอนพิษที่สามารถช่วยคนผู้นั้นได้ต้องสำคัญไม่ต่างกัน
นางสู้อุตส่าห์ทุมเทมากเพียงไรเพื่อแผนการของตนมิได้ครอบครองคนแต่หวังครองอำนาจ ต้องมาโดนสังหารลงโดยไม่ได้ทำเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินให้อย่างไรก็ยอมรับไม่ได้
“ข้าถอนพิษเองได้” แค่ตามตัวอาจารย์ให้เจอเท่านั้น
“ท่าน...อย่างไรก็จะสังหารข้าให้ได้หรือ” ต้องมาตายเช่นนี้นางจะยอมรับได้อย่างไร
“ส่งลู่เจินเข้าหาข้า แล้วจึงสังหารนาง ส่งคนบุกเรือนจำฝังกระดูกทำร้ายกู่อิ๋งอิ๋ง วางยาพิษหนานหมิงเยว่ทำให้เขาเกือบตาย สับเจ้าเป็นหมื่นชิ้นไม่รู้ว่าจะระบายโทสะของข้าหมดหรือไม่” เรื่องลู่เจินมิใช่เขาจะไม่รู้ตัว หญิงสาวผู้นั้นจิตใจดีเกินไป ฮัวเหลียนเหลียนเคยช่วยชีวิตนางโดยบังเอิญไว้ครั้งหนึ่ง ถึงกับสมัครใจยอมตอบแทนด้วยชีวิตของตน เช่นนี้เขาจึงโมโหความโง่งมยอมคนไปเสียทุกเรื่องของนาง เพียงชื่นชมจิตใจอันดีงามของนางมิได้ติดใจแค้นเคืองและมิได้เสียใจมากมายยามที่นางจากไป ที่เขาเอ่ยปากห้ามปรามนางยามที่แต่งให้ฉีฮ่าวตามคำสั่งฮัวเหลียนเหลียนก็เป็นการแสดงความปรารถนาดีที่มากพอแล้ว แต่ที่ยอมลืมตาข้างหลับตาข้างไปเอาเรื่องที่พรรคเรือนเมฆาก็เพียงเพื่อตบตาฮัวเหลียนเหลียน คอยดูว่าหญิงนางนี้จะมีแผนการอันใด
“ข้าทำทั้งหมดก็เพราะอยากใกล้ชิดกับท่าน! ท่านชอบหญิงงามมิใช่หรือ...ตอนนี้ข้ายังงดงามไม่พอหรือไร! ลู่เจินนั้นเต็มใจแฝงตัวเข้าไปเอง ทำร้ายกู่อิ๋งอิ๋งนางนับเป็นตัวอะไร! ส่วนหนานหมิงเยว่ก็เป็นแค่บ่าวคนหนึ่ง!”
“สำหรับข้า...เจ้าก็ไม่นับเป็นตัวอะไรเช่นกัน!”
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ข้าฮัวเหลียนเหลียนสู้ทำเรื่องต่างๆ มากมาย ที่แท้ก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อไร้วาสนาได้ครอบครอง เช่นนั้นก็ตามข้าไปปรโลกเถิด!!!”
++++++++++++++++++++++
แลดูไม่คล้ายฉากต่อสู้
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคะ
นิยายเรื่องนี้อาจจะเว่อร์วังไปบ้างเน๊อะ
ถึงจะผ่านมาหลายวันแล้ว
'สวัสดีปีใหม่นะเจ้าค่ะ'
-
555 ต่างฝ่ายต่างหึงสินะนี้
-
มาต่อแล้ววววววว :hao7: :hao7:
แต่เดี๋ยวก่อนนะ พี่หลิว น้องอิงเอ๋อ ได้โปรดใจเย็นกันก่อนนะ ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน เข้าใจว่าพี่หลิวหึงน้องอิงเอ๋อ แต่ข้าอยากจะถามเหลือเกินว่าที่น้องอิงเอ๋อหงุดหงิดพี่หลิวนี่รู้ตัวหรือไม่ ว่ามันเรียกว่าหึงงงง :o8: :o8:
-
มีคนไห่น้ำส้มกระฉอก5555
-
น้องมู๋อิงงง
ยอมเหรอ
หึงให้หนักเลยค่ะ ฆ่าให้ตายไปเลย :laugh:
-
:hao7: :hao7:
-
อ่าว สาวงาม แย่ล่ะ สงสัยจะเก็บไว้ไม่ได้ล่ะ
-
อ้าว
คุยกันคนละทางซะงั้น
โน่นหวง นี่หึง คนหนึ่งประชด อีกคนหมั่นไส้ สนุกละ
ครานี้หญิง "งามล้ำเลิศ" ชะตาขาดแน่แล้ว
ฮ่าฮ่าฮ่า
-
:mew1:
-
คนหนึ่งหึง คนหนึ่งหมั่นไส้ คงไม่ทะเลาะกันเองหรอกนะ :laugh: :laugh: :jul3: :jul3:
-
ชอบพวกพี่ชายมู่อิงจัง หลงน้องได้น่ารักดี
-
สนุกกกกกก. ฮืออออยากอ่านต่อแล้วง่ะ :impress2:
-
:mew1:
-
:-[ อิงอิง
-
เหลียนเหลียนคิดว่าท่านผู้นำฝ่ายธรรมะเขาจะยอมให้พาน้องอิงของเขาไปยมโลกด้วยหรือยังไง
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
:L2: ในเวลาแบบนี้ยังจะกินน้ำส้มสายชูกันอีก อิอิ
-
:katai5: :katai5: :katai5:
-
อิงเอ๋อ ฆ่าม่านนนนนนน :angry2: :angry2:
-
รอลุ้นต่อ :katai4: :katai4:
-
ชอบอ่ะะะ รอมาต่อนะค้า
-
สนุกมากๆเลยค่ะ ชอบมากกกกกกก
ติดตามและเป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ :-[
-
มัวแต่ หึงหวงกัน กลัวนางเหลียนเหลียนจะรอดไปได้น่ะเส่ะ
-
:pig4: :pig4:
-
สนุกอ่าาาาาาาาาา
-
เอ่อ...หลานแฝดไปไหนแล้วเจ้าคะ :o8:
-
ร๊อออออ รอ มารอเธอที่ท่าน้ำ น้องอิงเอ๋อขาาาาาาาาาา น้องอิงเอ๋อขาาาาาาาาาา o22 o22 o22
-
รออยู่น้าาา
-
เพิ่งเข้ามาอ่านเลย ติดตามนะค้าา :กอด1:
-
พี่หลิว บอก
ออกศึกข้านึกแต่รบ
จบศึกข้านึกแต่รักเจ้าเท่านั้น 555
-
พี่หลิว บอก
ออกศึกข้านึกแต่รบ
จบศึกข้านึกแต่รักเจ้าเท่านั้น 555
เย้ยยยย~~~ อันนั้นมัน สายโลหิตตตตต :a5: :a5:
-
รบกันไปถึงไหนแย้ววว
-
กำลังลุ้น มาต่อไวๆๆๆๆๆๆๆ :ling3: :ling3: :ling1: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
-
บทที่ 16
แววตาฮัวเหลียนเหลียนราวกับคนเสียสติ หลังตะโกนราวคลุ้มคลั่งจึงรีดเค้นกำลังภายในทั้งหมดของตนหลอมรวมไว้ตรงตำแหน่งหัวใจ การรวบรวมกำลังภายในไว้ที่จุดเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งหากเป็นตรงตำแหน่งหัวใจที่เปราะบางยิ่งอันตราย การทำเช่นนี้อาจดูราวกับต้องใช้เวลาเนิ่นนานแต่ระยะเวลาที่ใช้กลับไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ มู่อิงนั้นไม่ทันได้แทงกระบี่เข้าจุดตายของนาง กลับปรากฏไข่มุกสีโลหิตขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารกขึ้นมาเม็ดหนึ่ง
“มุกกลืนโลหิต...งดงามมากใช่หรือไม่ ข้าใช้โลหิตคนกว่าพันชีวิตหล่อเลี้ยงไว้ในร่างกายตนเอง” ฮัวเหลียนเหลียนประคองไข่มุกลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือฝ่ามือตนเอง
ไข่มุกสีโลหิตเปล่งรัศมีจางๆ ออกมา งดงามจนราวกับไม่ควรมีอยู่บนโลกมนุษย์
การต่อสู้หยุดลงเพราะการปรากฏของไข่มุกเพียงเม็ดเดียว รัศมีที่เปล่งออกมาทำให้ทุกสายตาต่างจับจ้องมองไป
หลิวเฉินซางเมื่อเห็นมุกกลืนโลหิตถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ซัดฝ่ามือใส่หว่างหยุนเซียนกับฟู่ซีซิวโดยไม่สนใจว่าจะทำให้สองเฒ่าตายหรือไม่ เขารีบทะยานไปขวางอยู่เบื้องหน้าของมู่อิง
“ถึงกับสร้างของเช่นนี้ได้ ความอำมหิตของเจ้าเกินมนุษย์ไปแล้ว!” หลิวเฉินซางกำบังมู่อิงไว้จนมิด เกร็งกำลังภายในไว้ทั้งร่าง ใบหน้าที่ปกติเย็นชาสูงส่งบัดนี้กลับดูตึงเครียดจนน่าตระหนก
“หลิวเฉินซางเจ้าถอยไป” มู่อิงมองดูแผ่นหลังหลิวเฉินซาง ในใจรู้สึกทั้งอุ่นทั้งหนาว ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามุกกลืนโลหิตอันตรายถึงขั้นใด หากแต่ทำให้หลิวเฉินซางถึงกลับออกหน้าเช่นนี้ มิใช่แปลว่าของสิ่งนี้อันตรายเกินกว่าเขาจะรับมือหรอกหรือ มู่อิงอยากจะเอื้อมมือไปผลักหลิวเฉินซางออกจากเบื้องหน้าตน แต่มิรู้เพราะเหตุใดจึงไม่อาจตัดใจทำได้ มิใช่เพราะรักตัวกลัวตาย มิใช่เพราะชีวิตผู้อื่นไม่มีค่าเทียบเท่าชีวิตตน หากแต่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคือหลิวเฉินซาง
“เจ้าหลบอยู่ข้างหลังข้าก็พอแล้ว”
“ข้าไม่ได้ไร้ประโยชน์ถึงเพียงนั้น” มู่อิงนั้นไม่เคยโมโหคนเช่นนี้มาก่อน ที่โมโหก็เพราะหลิวเฉินซางมาปกป้องตน เพราะความสามารถมิอาจสู้บุรุษที่อยู่เบื้องหน้าตนเองได้ คราก่อนหลิวเฉินซางใช้กำลังภายในขับพิษสลายแค้นให้ ครานี้ยังมายืนอยู่เบื้องหน้าปกป้องตนเองจากมุกกลืนโลหิต จิตใจคนมิใช่ศิลา ดังนั้นยามนี้มู่อิงจึงทั้งโมโหทั้งห่วงใย หากเกิดสิ่งใดขึ้น เขาจะไม่ยอมให้หลิวเฉินซางรับมือเพียงลำพังแน่
“เป็นห่วงหรือ” น้ำเสียงหลิวเฉินซางยามเอ่ยกับมู่อิงนั้นอบอุ่นอ่อนโยน ราวกับแสงอาทิตย์ในฤดูเหมันต์ ถึงแม้มิได้หันไปมอง แต่แววตากลับอ่อนลงเจ็ดส่วน แฝงแววจนใจสามส่วน ใครใช้ให้เขามิอาจทนเห็นมู่อิงเป็นอันตรายได้เล่า
“พวกเจ้าไม่ว่าจะเป็นใครก็ไร้ประโยชน์! ยามที่มุกกลืนโลหิตถูกข้าทำลาย ในรัศมีสิบลี้ไม่ว่าสิ่งใดก็ต้องพินาศ”
“หากว่าข้าชิงมาจากเจ้าได้ก็ไม่แน่”
“มุกกลืนโลหิตต้องใช้โลหิตจากหัวใจหล่อเลี้ยง หากมิใช่เจ้าของ จะทำลายจุดชีพจรทั่วร่าง ร่างกายแหลกเหลวไม่เหลือแม้แต่กระดูก แต่หากพวกเจ้าสองคน คนใดคนหนึ่งยอมกลืนมันลงไป ไม่แน่ว่าข้าจะยอมมอบให้แต่โดยดี” ตอนที่ฮัวเหลียนเหลียนเค้นพลังเรียกมุกกลืนโลหิตออกมานางคิดเพียงใช้มันเพื่อสังหารมู่อิงและผู้คนทั้งหมด แต่เมื่อเห็นความห่วงใยระหว่างมู่อิงและหลิวเฉินซาง นางจะยอมละเว้นผู้คนเหล่านี้เลือกสังหารเพียงมู่อิงหรือหลิวเฉินซางเท่านั้น จะไม่สะใจกว่าหรอกหรือ หากจะทำให้พวกมันคนใดคนหนึ่งตาย ส่วนคนที่เหลืออยู่ต้องทรมานใจไปจนตาย
“ส่งมาให้ข้า”มู่อิงยื่นมือออกมาจากเบื้องหลังหลิวเฉินซาง ทำลายจุดชีพจรเช่นนั้นหรือ ร่างกายแหลกเหลวเช่นนั้นหรือ เพียงแค่ไข่มุกเม็ดเดียวถึงกลับกล้าข่มขู่ตน
“ท่านประมุข!”เหล่ายอดยุทธ์พรรคจันทร์กระจ่างฟ้าต่างตะโกนออกมาพร้อมกันอย่างตื่นตระหนก พวกเขายอมตายเสียดีกว่าต้องมีชีวิตรอดด้วยการต้องแลกด้วยชีวิตของท่านประมุข
“อิง...”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในพรรคมาร ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะโปรดอย่าสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว”
หลิวเฉินซางไม่ได้พูดสิ่งใดออกไป หากแต่ในใจมิได้ยินยอมเลยแม้แต่น้อย หากแม้แต่ผู้ที่ตนเองชื่นชอบยังปกป้องมิได้ เขาจะยังยืนอยู่ตรงนี้ไปเพื่อสิ่งใด ใครใช้ให้คนที่เขาอยากปกป้องเป็นมู่อิง ใครใช้ให้ฝั่งตรงข้ามมีมุกกลืนโลหิต
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้ใครกลืนมันลงไป”สิ้นคำหลิวเฉินซางเกิดปรานสีขาวบริสุทธิ์กระจายขึ้นทั่วร่าง พลังเหล่านั้นเคลื่อนไปห่อหุ้มมุกกลืนโลหิตเอาไว้จนรัศมีสีแดงกระจ่างที่เปล่งออกมาหายไปจนหมดสิ้น
มู่อิงมองไปที่หลิวเฉินซางอย่างไม่อยากเชื่อ การทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการกลืนมันลงไปนักไม่ใช่หรือ
“งี่เง่า”มู่อิงพูดผ่านกำลังภายในให้ได้ยินเพียงแค่ตนกลับหลิวเฉินซางก่อนจะตวัดกระบี่ตัดจันทราปลิดชีพฮัวเหลียนเหลียน ในเมื่อท่านผู้นำฝ่ายธรรมะยอมเสียสละกำลังภายในมากมายปานนั้น หากเขาไม่ตอบสนองให้สำเร็จลุล่วงมิเท่ากลับเสียเปล่าหรอกหรือ
ฮัวเหลียนเหลียนสิ้นชีพไปเช่นนี้ นับว่าตายอย่างไม่ยินยอมพร้อมใช้ คราแรกคิดใช้มุกกลืนโลหิตเป็นไม้ตายช่วยชีวิตตนเอง หากแต่เปลี่ยนใจ คิดใช้เพื่อทำลายชีวิตตนและคนทั้งหมด สุดท้ายโดนหลิวเฉินซางขัดขวาง ต้องมาตายด้วยน้ำมือมู่อิง
มุกกลืนโลหิตใช้ชีวิตคนกว่าพันชีวิตก่อกำเนิดขึ้น ย่อมต้องทรงอานุภาพมิใช่สิ่งของที่สามารถควบคุมได้งายนัก เมื่อสิ้นเจ้าของมุกกลืนโลหิตที่เคยสงบนิ่งก็แผ่คลื่นพลังอันร้ายกาจออกมา
+++++ 50% +++++
ด้วยคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากมุกกลืนโลหิต ทำให้ทุกคนต้องถอยห่างออกไปอย่างน้อยห้าสิบก้าว เว้นแต่หลิวเฉินซางผู้ซึ่งต้านคลื่นพลังและมู่อิง หลังสังหารฮัวเหลียนเหลียนมู่อิงรีบถ่ายทอดกำลังภายในของตนให้แก่หลิวเฉินซาง ถึงแม้จะมียอดยุทธ์อย่างท่านผู้นำฝ่ายธรรมะหลิวเฉินซาง และจอมมารร้ายแห่งยุทธภพอย่างมู่อิง การทำลายมุกกลืนโลหิตก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก
มุกกลืนโลหิต ของสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยหลอมจากโลหิตของมนุษย์ ยิ่งหากถูกหลอมจากโลหิตหญิงสาวพรหมจรรย์ยิ่งทรงอานุภาพ มิรู้ว่าโลหิตพันชีวิตที่ฮัวเหลียนเหลียนใช้สร้างนั้นมาจากผู้ใด แต่ถึงกระนั้นอานุภาพที่มุกกลืนโลหิตสำแดงออกมาก็น่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง นานมาแล้วมุกกลืนโลหิตปรากฏขึ้นมาในยุทธภพ ครานั้นประมุขพรรคมารผู้หนึ่งเป็นผู้สร้าง ว่ากันว่าเขาบูชาเทพปีศาจ ทุกวันต้องสังหารคนนำเลือดมาเซ่นสังเวย จวบจนสังหารครบพันคนจึงปรากฏมุกกลืนโลหิตขึ้นมา จอมมารผู้นั้นคิดว่ามุกกลืนโลหิตคือของศักดิ์สิทธิ์ที่เทพปีศาจประทานมาให้หวังใช้ครองใต้หล้า ยามนั้นพรรคอันดับหนึ่งฝ่ายธรรมะคือตำหนักสิบสองกระบี่ ยามเมื่อจอมมารใช้มุกกลืนโลหิตเพื่อทำลายผู้นำฝ่ายธรรมะในเวลานั้น ยอดเขาตระหนักรู้อันเป็นที่ตั้งของพรรคตำหนักสิบสองกระบี่โดนทำลายสิ้น หลงเหลือเพียงที่ราบหนึ่งผืน ไร้ซึ่งสิ่งปลูกสร้าง ไร้ซึ่งวี่แววของสรรพชีวิต มุกกลืนโลหิตสูญหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ คงเหลือชีวิตเดียวยืนอยู่บนที่ราบผืนใหญ่ คือจอมมารในเวลานั้นนั่นเอง หลังจากนั้นมาเคยมีผู้คิดสร้างมุกกลืนโลหิตมากมาย แม้แต่ราชสำนักยังต้องการวิธีการสร้าง แผ่นดินวุ่นวายทุกข์เข็ญเป็นอย่างยิ่ง หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดสร้างสำเร็จจนผู้คนต่างลืมเลือนการมีอยู่ของมันไป
จวบจนวันนี้มุกกลืนโลหิตปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ผู้สร้างเป็นสตรีที่พอมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่เคยอยู่ในสายตาผู้ใด ใครจะคาดว่านางจะสามารถสร้างมุกกลืนโลหิตออกมาได้ พรรคตำหนักจันทราปกติมิเคยทำเรื่องใดโดดเด่นสะดุดตา เมื่อถึงวันที่ทำเรื่องที่มีหน้ามีตา กลับเป็นวันที่ถูกทำลายจนสูญสิ้น มิได้ยืดอกอย่างสง่าผ่าเผย มิได้รับชื่อเสียงว่าเป็นพรรคมารอันดับหนึ่ง เรื่องนี้มิรู้ว่าหากประมุขพรรคตำหนักจันทรารุ่นก่อนๆ ที่อยู่ในปรโลกได้ทราบจะก่นด่าจนพวกที่เพิ่งตามเข้าไปใหม่ว่าอย่างไร
จะทำเลวทั้งทีก็ควรให้ผู้อื่นรับรู้ ยิ่งทำให้คนหวาดหวั่นกลัวเกรง แค่ได้ยินชื่อก็กลัวจนตัวสั่นงันงกปัสสาวะราดได้ยิ่งดี จึงจะไม่เสียทีที่เป็นคนพรรคมาร แต่ประมุขรุ่นใหม่พรรคตำหนักจันทราทำเรื่องเลวสะท้านฟ้าสะเทือนดินทั้งทีกลับไม่มีโอกาสป่าวประกาศให้ผู้คนทั้งใต้หล้าได้รับทราบอีกทั้งยังเก็บเงียบ ช่างเสียทีที่เป็นคนพรรคมาร ผู้อาวุโสที่อยู่ในปรโลกคงอยากกระอักโลหิตตายซ้ำแล้วซ้ำเล่ายิ่งนัก
หลิวเฉินซางกับมู่อิง ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะกับจอมมาร ทั้งสองคนต่างร่วมแรงร่วมใจ เหตุการณ์เช่นนี้นับว่าไม่อาจพบเห็นได้บ่อยนัก ยามนี้ชาวยุทธ์ที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างหวังให้ท่านผู้นำทั้งสองทำลายมุกกลืนโลหิตได้โดยเร็ว มิเช่นนั้นบริเวณโดยรอบคงกลายเป็นสถานที่รกร้าง ไม่อาจมีผู้รักษาชีวิตไว้ได้
ชาวยุทธ์คนอื่นๆ ลำพังแค่เดินกำลังภายในมิให้ตนเองถูกคลื่นพลังของมุกกลืนโลหิตลำลายชีพจรก็ฝืนทนเต็มที ไม่มีปัญญาไปช่วยท่านผู้นำของตน หวังเพียงแต่ว่าด้วยพลังฝีมืออันสูงส่งของท่านผู้นำฝ่ายธรรมะและจอมมาร จะพาพวกตนรักษาชีวิตน้อยๆ ให้อยู่รอดปลอดภัย
“อิงอิง ข้าจะทำลายมุกกลืนโลหิต เจ้าถอยออกไป”หลิวเฉินซางกัดฟันพูดออกมา ตรงมุมปากมีโลหิตไหลซึมออกมาเล็กน้อย ยามนี้เขาไม่อาจรั้งรอเวลาได้นานนัก เพียงแค่ต้านไว้ก็บาดเจ็บภายในไม่น้อยแล้ว หากยังไม่รีบทำลาย มุกกลืนโลหิตต้องกัดกินกำลังภายในเขาจนเหือดแห้งเป็นแน่
“จะทำลายก็ทำไป ข้าจะช่วยต้านไว้” หากจะพูดตามตรงเรื่องนี้ตัวเขามู่อิงต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดด้วยซ้ำ ใครใช้ให้เขารูปโฉมล้ำเลิศเช่นนี้เล่า เช่นนี้จึงจะเรียกว่ารูปโฉมเป็นภัยอย่างแท้จริง
“เจ้า...เช่นนั้นก็อย่าตายก่อนแต่งให้ข้า” สิ้นคำหลิวเฉินซางเขาสะบัดชายแขนเสื้อคราหนึ่งพลังทั่วร่างต่างหลอมรวมเข้าด้วยกัน มุ่งตรงไปยังมุกกลืนโลหิต
ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะ...ในเวลาแบบนี้ วาจาเช่นนี้ยังเอ่ยออกมาได้...
“ใครจะแต่งให้ใครยังไม่แน่...หลิวเฉินซาง” มู่อิงปรายตามองหลิวเฉินซาง หึ! หากโดนเขาหมายปองแล้วอย่าหวังว่าหนีพ้นเงื้อมมือมู่อิงผู้นี้ไปได้
หลิวเฉินซางไมตรีนี้หากข้าไม่รับไว้ คงเป็นตัวโง่งมที่สุดในใต้หล้าแล้ว ในเมื่อไม่มีใครสามารถทำให้ข้าว้าวุ่นใจได้อย่างหลิวเฉินซาง อีกทั้งเส้นผมของเขายังงดงามปานนั้น รับไมตรีเจ้าปีศาจห่มจีวรนี่หน่อยจะเป็นไรไป!
ความรู้สึกนึกคิดของทั้งสองท่าน ปุถุชนทั่วไปไหนเลยจะตามทัน...ในเวลาเช่นนี้ยัง...มารดามันเถอะ!!!
หลิวเฉินซางรวบรวมพลังทั้งหมดเข้าทำลายมุกกลืนโลหิต ส่วนมู่อิงคอยกันพลังที่ประทุออกมามิให้ทำร้ายหลิวเฉินซางบาดเจ็บ ผ่านไปถึงสามชั่วยามมุกกลืนโลหิตที่ขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารกจึงเหลือเพียงขนาดเท่าเมล็ดถั่ว และหายไปในที่สุด แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นของทรงอานุภาพ ยามนี้ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะจึงบาดเจ็บภายในร้ายแรง หลังมุกกลืนโลหิตสลายไป จึงกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่
“หากให้ข้าจัดการ เจ้ายังจะมีสภาพเช่นนี้หรือ”มู่อิงที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้าไปรับร่างหลิวเฉินซางที่ทรุดลงราวกับใบไม้หลุดร่วงจากกิ่งเอาไว้
หลิวเฉินซางยามนี้ถูกรวบอยู่ในอ้อมอกท่านจอมมาร ดูอ่อนแอเปราะบางจนคนอดคิดเลยเถิดไม่ได้ อาภรณ์ขาวแดงตัดกันดูงดงามเปี่ยมมนเสน่ห์ประการหนึ่ง ถึงแม้ว่าบุรุษผู้หล่อเหลางามสง่าจะอยู่ในอ้อมอกบุรุษผู้มีใบหน้างดงามล้ำเลิศดูแล้วออกจะผิดแปลกไปบ้าง แต่ก็ยังงดงามชวนมองอยู่ดี
“ใครใช้ให้ข้าชอบเจ้า...” พูดจบหลิวเฉินซางก็หมดสติไป
อนิจจา เหล่าชาวยุทธ์ที่อยู่โดยรอบต่างคนต่างเดินกำลังภายใน ดังนั้นประสาทสัมผัสจึงดียิ่ง วาจาเช่นไรต่างได้ยินกันทั่ว ยามนี้จึงอ้าปากค้างมิอาจหุบลงได้...
+++++++++++++++++++++++++
รู้สึกเฮียออกตัวแรง แนะนำ ติชมได้นะคะ
เรื่องนี้จะมาแบบช้าๆ เพราะคนเขียนไม่ค่อยมีเวลา บางทีอาจหายไปเป็นเดือน (โดนคนอ่านตบ)
ตอนนี้เนื้อเรื่องก็ดำเนินมาได้ประมาณครึ่งเรื่องแล้ว (ตามที่คิดไว้)
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ ที่ยังติดตาม ทั้งนักอ่านเงา และเปิดเผย
-
:mew1: :mew1: :mew1:
-
รอยุน้าาาาาาาาา
-
:katai1: เข้มข้นจริงๆ. เอาแล้วไงจะตายหมู่หรือไม่
-
:hao7: :hao7: :hao7:
-
:ling1:
-
พี่หลิวของน้ออออง :hao7:
-
กรี๊ดดดด มาอัพแล้ว ติดตามรออ่านอยู่ค่าาา :katai5:
-
อ้ากกกก ตื่นเต้นนนนนนร
-
ว้ายยย พี่หลิว
-
ลุ้น!! ตัวเท่าบ้าน !!
-
พี่หลิวหล่อระเบิด!
สะใจนังเหลียนตายง่ายดายไร้ค่ามาก
-
:pig4: :pig4:
-
อย่าเป็นอะไรน้าทั้งสองคน
-
เข้ามารอ :hao3: :hao3:
-
พี่หลิวจะอ้อนอะไรขนาดนี้! สารภาพความในใจให้คนรู้กันทั่วแล้ว
ปล. ถ้ามาอัพอีก 50 ก็ขึ้นคอมเมนท์ใหม่ดีไหมจ๊ะ เพราะไปต่อของเดิมนักอ่านบางคนอาจจะสับสนได้ เคยเห็นนักเขียนบางคนย้ายครึ่งแรกมารวมไว้ที่คอมเมนท์ใหม่เลย
ปล. 2 สู้ ๆ นะ มาช้าเราก็รอได้ ขอบคุณที่เขียนมาแบ่งปัน สนุกมาก ๆ จ้ะ
-
:mew1:
-
:pig4: :pig4:
-
บอกรักกลางประชาชี :hao7: :hao6: :hao6:
-
:-[ :-[ :-[ :-[ :-[
ชาวยุทธ์ได้ยินกันหมดเลยยยยยยยยยย
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
ฟินทั่วหล้า ประกาศรักท่ามกลางยุทธภพ
มีแต่คนจะดีใจนะงานนี้ เอ้าจัดงานแต่งสิรออะไร :katai3:
-
:hao3: มันใช่เวลามาหวานใส่กันไหมมมมมมมมมม :pig4:
-
ค้างงงงง
-
อ้าาาาก พี่หลิววววว ถ้าท่านไม่หมดสติ ต้องเจอ อิ๋งเอ๋อทุบจนหมดสติอยู่ดี
-
ฮืออออ สนุกค่ะอยากอ่านอีกอะะะะ :katai4:
-
ไรท์หายไปไหน???? ตามหาไรท์ที :dont2: :dont2: :dont2:
-
พี่หลิวสารภาพรักแล้ว
-
สนุกกกกกก.......มากๆเลย :hao7: :hao7: :hao7:
มู่อิ่งอย่างฮ่า....... o13 o13 o13
กับคำที่ว่าเจ้าปีศาจห่มจีวร แบบพระเอกเหมาะกับคำนี้มาก :katai3: :katai3:
-
พี่หลิวเปิดตัวกันเลยทีเดียว
-
ภาษาสวย เนื้อเรื่องสนุกมากค่ะ
-
งานนี้ถึงเป็นจอมยุทธก็คงได้มีมหกรรมจิ้นใหญ่อลังการแน่ ฮา
-
บทที่ 17
นับว่าเป็นข่าวใหญ่สะท้านยุทธจักร เมื่อพรรคตำหนักจันทราถูกทำลายลง ประมุขพรรคฮัวเหลียนเหลียนถึงกับสร้างมุกกลืนโลหิตขึ้นมา มิรู้ว่าหากนางยังไม่ถูกสังหารและมีมุกกลืนโลหิตอยู่ในกำมือจะเกิดสิ่งเลวร้ายใดขึ้น ยามนี้ด้วยความร่วมมือของท่านผู้นำฝ่ายธรรมะและจอมมารมู่อิง ยุทธภพกลับคืนสู่ความสามัญ มิได้มีเรื่องให้ต้องกังวลจนมิอาจหลับสนิทอีก อย่างน้อยคงเรียกว่าอยู่อย่างสงบสุขไประยะหนึ่ง
บรรดาพรรคฝ่ายธรรมะต่างกลับไปยังที่ของตน กำจัดพรรคตำหนักจันทราครั้งนี้ถึงแม้มิได้สูญเสียมากมายหากแต่คนก็ตายไปไม่น้อย แต่ละพรรคจึงต้องกลับไปฟื้นฟูกำลังคนของตนเอง อีกทั้งข้าวของในพรรคตำหนักจันทรา...
น่าโมโหนัก!!! คนพรรคจันทร์กระจ่างฟ้ามีแค่หยิบมือเดียวแต่เหมือนมีเป็นร้อย สิ่งของขอแค่เพียงแค่มีค่าพวกเขาต่างหยิบฉวยไปซึ่งหน้าราวกับมาเดินเลือกซื้อของ มิเหลือสิ่งใดให้ผู้อื่น พาให้คนโมโหแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ก็จอมมารยังอยู่ดีมีสุข แม้แต่เอ่ยวาจาขัดหูพวกเขายังไม่กล้า ใครเล่าจะกล้ายื้อแย่งสิ่งของ
หากแต่เรื่องที่ทำเอาผู้คนทั้งใต้หล้าอ้าปากค้างจนแมลงวันสามารถสร้างบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นไว้ในปากคนได้นั้น กลับเป็นคำพูดประโยคเดียวของท่านผู้นำฝ่ายธรรมะ
ข่าวใหญ่ในยุทธภพยามนี้จึงเป็นเรื่องที่ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะ มีใจให้ท่านจอมมาร ข่าวพรรคตำหนักจันทราหรือจะคุยสนุกเท่ากับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในยุทธภพ ยิ่งผู้คนที่ตกเป็นหัวข้อในการสนทนาคือท่านผู้นำฝ่ายธรรมะผู้ซึ่งมีท่าทางสูงส่งจนคนอยากเคารพกราบไหว้ หล่อเหลาประหนึ่งเทพเซียนยุรยาตรลงมาบนแดนมนุษย์ กับจอมมารที่งดงามล้ำเลิศราวกับปีศาจจำแลงกาย ประหนึ่งจิ้งจอกพันปีที่เกิดมาเพื่อล่อลวงเหล่าบุรุษ
บรรดาคนที่บุกพรรคตำหนักจันทรามีไม่น้อย ดังนั้นข่าวนี้จึงแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเวลานั้นท่านจอมมารมิได้สนใจว่าใครจะได้ยินบ้าง ในเมื่อไม่มีคำสั่งให้หุบปาก อีกทั้งยังไม่มีคำสั่งสังหารผู้ได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน เรื่องนี้จึงไม่มีใครคิดปิดบังอำพราง เวลานี้ไม่ว่าจะเดินผ่านไปที่ใด หากคนผู้นั้นเป็นจอมยุทธ์ท่านหนึ่งเรื่องที่กล่าวสนทนากันนั้นย่อมหนีไม่พ้นข่าวของหลิวเฉินซางและมู่อิง
จุ๊จุ๊จุ๊ ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะที่วางตัวสูงส่งปานนั้น เหตุใดจึงตกบ่วงจิ้งจอกพันปีเช่นจอมมารไปได้ เรื่องนี้ยิ่งคุยเรื่องยิ่งเลยเถิดไปไกล
เวลานี้สองทั้งสองท่านที่ตกเป็นหัวข้อข่าวซุบซิบนินทาในยุทธภพ คนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงบาดเจ็บสาหัส สภาพเป็นตายเท่ากัน ส่วนอีกคนคิ้วขมวดจนแทบชนกัน ใบหน้างดงามดูตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง
ยามนี้เรื่องหนานหมิงเยว่นับว่าเบาใจได้แล้ว ในเมื่อจวินจื่อหลันเพิ่งมารับตัวเขาจากไป แต่คนเจ็บกลับเพิ่มมาอีกคนคือหลิวเฉินซาง ท่านผู้เฒ่าไม่ได้สนใจผู้อื่นนอกจากศิษย์ของตน เมื่อมารับตัวหนานหมิงเยว่แล้วก็เชิดหน้าจากไป ชีวิตของท่านผู้นำฝ่ายธรรมะจึงตกอยู่ในกำมือเฉียนหลี
เรื่องที่หลิวเฉินซางมาอยู่ที่พรรคจันทร์กระจ่างฟ้าในเวลานี้ท่านจอมมารเป็นผู้จัดการเองทั้งหมด ท่านผู้อาวุโสชิว เยี่ยนมิอาจโต้เถียงได้แม้ครึ่งคำ ใครใช้ให้มู่อิงพอเอ่ยปากก็ขู่สังหารคน ทำราวกับโจรป่าฉุดคร่าสาวงาม อุ้มคนจากไปอย่างเผด็จการกันเล่า
“ท่านประมุข อาการประมุขหลิวยามนี้ไม่เกินความสามารถของข้าน้อย หากแต่เส้นชีพจรเขาบอบช้ำเป็นอย่างยิ่ง จำเป็นต้องใช้โสมชั้นดีเป็นจำนวนมาก ข้าสำรวจในคลังยาของพรรคแล้ว ถึงพวกเราจะร่ำรวยมาก แต่โสมชั้นดีมีพอใช้ไม่ถึงสามเดือนแน่นอนขอรับ” เฉียนหลีพูดขึ้นหลังรักษาหลิวเฉินซางให้พ้นจากประตูแห่งความตาย
คนผู้นี้ทุ่มเทช่วยเหลือท่านประมุข เขาก็จะรักษาอย่างสุดความสามารถเช่นกัน
“แจ้งพี่สาม ให้เขาส่งโสมชั้นดีทั้งหมดมาให้ข้า” มู่อิงนั่งลงบนเตียงคนเจ็บ ใช้ผ้าเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาบนหน้าผากของหลิวเฉินซางเบาๆ กิริยาท่าทางดูอ่อนโยนจนคนไม่อาจเชื่อสายตา
มีชูปี้ฮวาคอยเปลี่ยนผ้าที่ใช้เช็ดตัวหลิวเฉินซางให้ มิรู้ว่าควรบอกท่านประมุขดีหรือไม่ว่าฝีมือการปรนนิบัติผู้อื่นของเขาย่ำแย่เหลือทน หากไม่มีชูปี้ฮวาคอยบิดผ้าให้ ไม่แน่ว่าตอนนี้ท่านผู้นำฝ่ายธรรมะคงได้เพิ่มอาการป่วยไข้มาอีกอย่าง แต่ถึงอย่างนั้น...
นี่คือจอมมาร! คือมู่อิงเชียวนะ!!! ท่าทางเขายามนี้ทำเอาผู้อื่นตกใจแทบตายแล้ว
“คราวก่อนคุณชายสามส่งโสมทั้งหมดมาให้ท่านประมุขบำรุงร่างกาย แต่ว่าท่านประมุขกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องใช้ ให้ส่งโสมทั้งหมดมอบเป็นของขวัญให้พระอัคร...ให้คุณหนูขอรับ” เมื่อเห็นสายตาคมกริบของท่านประมุข เฉียนหลีจึงต้องเปลี่ยนคำเรียกหาพระอัครมเหสีใหม่ ใครใช้ให้ท่านประมุขไม่ชอบให้คนเรียกท่านหญิงมู่ตานว่าอัครมเหสี ทุกวันนี้เขายังไม่ชอบใจอยู่เลยที่มีพี่เขยเป็นฮ่องเต้ วาสนาดีๆ เช่นนี้ มีแต่มู่อิงเท่านั้นที่ไม่เห็นอยู่ในสายตา
ใครที่บังอาจมายุ่งวุ่นวายกับมู่ตานก็ล้วนแล้วแต่เป็นเดียรัจฉานทั้งนั้น แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ละเว้น! ท่านจอมมารถึงปากจะบอกว่าตนใจกว้างยิ่งกว่าท้องนภา แต่แท้จริงนั้นใจแคบเสียยิ่งกว่าความกว้างของเชือกปักผ้า หากสิ่งไหนที่เขาคิดว่าเป็นของตนเองอย่าหวังว่าผู้อื่นจะมีสิทธิ์แตะต้อง
“เช่นนั้นเข้าวังหลวง”
“แต่ท่านประมุข...โสมนั่นเข้าคลังหลวงไปแล้ว”
“นายท่านเช่นข้าต้องการใช้ ใครกล้าขัด” มู่อิงจ้องหน้าเฉียนหลีเขม็ง
“ย่อมไม่กล้า...ไม่มีใครกล้าขอรับ” เขาแค่พูดความจริงเท่านั้น เหตุใดท่านประมุขต้องโมโหด้วย ส่งของเข้าวังหลวงทีไร ถูกส่งเข้าท้องพระคลังทุกครั้ง จะใช้ของจากท้องพระคลังต้องได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ มีแต่ท่านประมุขเท่านั้นที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ถืออำนาจบาดใหญ่จนจะเหยียบอยู่บนศีรษะของฝ่าบาท ตอนออกจากวังคราวก่อนท่านพ่อบ้านใหญ่บิดาของหนานหมิงเยว่ยังส่งข่าวมาบอกว่าที่วังหลวงให้ตำหนักเทพทำพิธีขอบคุณสวรรค์ครั้งใหญ่
ฝ่าบาท...ท่านประมุขจะกลับไปแล้ว ถนอมพระวรกายด้วย...
++++++++++++++
มาทีละครึ่ง ครึ่งหน้าจะขึ้นกระทู้ใหม่เลยนะคะ มันจะได้เด้งขึ้นหน้าหลักด้วย
ท่านไหนกลัวหาไม่เจอ มีสารบัญอยู่หน้าแรกนะคะ
อย่างที่บอกว่าคนเขียนสายหอยทาก มาได้แค่อาทิตย์หนึ่งประมาณครึ่งตอน
มาทีเดียวทั้งตอนจะหายไปนานมาก (สายดองเค็ม) เขียนได้ครึ่งหนึ่งต้องลงเลย จะได้เร่งตัวเองให้เขียนอีกครึ่งให้เสร็จ 555
-
ความเอาแต่ใจของอิงๆชนะเลิศจริงๆ5555 :hao6: :katai2-1:
-
สนุกแน่. น้องมู่อิงดูแลเองเต็มที่เลย. พี่หลิวรีบฟื้นนะ
-
:m20: :pigha2:
ตลกมาก รอตอนต่อไปค่ะ ^^
-
มู๋อิงจะไปป่วนวังหลวงแล๊ววววววว :laugh: :laugh:
-
:pig4: :pig4:
-
:mew1:
-
:ling1: :ling1:
-
ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงกับให้ฮ่องเต้ถนอมพระวรกายเลย
-
ขนาดฮ่องเต้ยังต้องถนอมพระวรกายนี่ถ้ารู้ว่ามู่อิงอยากได้โสมคงบอกว่าไม่ต้องมาเดี๋ยวเอามาให้ถึงที่เอง
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
สนุกมากๆอ่านแล้วหลงรักจอมมารน้อย
-
ฝ่าบาทปวดหัวล่วงหน้าได้เลย
-
เข้าวังรอบนี้ พี่หลิวของอิ๋งเอ๋อ เจ็บหนักเสียด้วย ฝ่าบาท ถนอมพระวรกายนะเพคะ
-
น่าสงสารฮ่องเต้ จอมมารกำลังไป :hao7: :hao6: :hao6: :hao6:
-
น้องอิงจะไปอาละวาดวังหลวงเอาโสมมาให้พี่หลิว
พี่หลิวต้องไม่เป็นอะไร
:katai2-1:
-
คึคึคึ
ไว้อาลัยให้ฮ้องเต้ล่วงหน้า
มันส์แน่งานนี้
ทั้งวังหลวงต้องถึงคราวซวยแน่แล้ว~~~
จะป่วนขนาดไหน รอค่าาาาาา
-
ไว้อาลัยให้ฮ่องเต้ 10 วิ!!! :amen: :amen: :amen: :amen: :amen: :amen: :amen:
ความซวย is folowing ฮ่องเต้
-
รออยู่น้า
-
รอน้องมู่อิงง ค่าา :katai2-1:
-
+++++ ตอนที่ 17 (ต่อ) ++++
“อิง...” หลิวเฉินซางนั้นพอฟื้นขึ้นมาก็พบกับมู่อิง ยามนี้เขาไร้เรี่ยวแรง แม้แต่มือยังยกไม่ขึ้น ผมสีเงินสยายทั่วแผ่นหลัง ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียว ดูราวกับคนอมโรคที่ใกล้สิ้นใจ แต่ลักษณะเช่นนี้ทำให้คนแทบอยากประคองเขาไว้บนฝ่ามือ ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ แม่แต่ยามป่วยไข้ยังสามารถล่อลวงหัวใจของเหล่าสตรีให้ไหวเอน
“ในที่สุดเจ้าก็ฟื้น” คิ้วที่ขมวดของมู่อิงคลายลง ยามนี้ใบหน้าของท่านจอมมารดูอ่อนโยน ราวกับสายลมที่ทั้งเย็นสบายและอบอุ่น “ฉางเอ๋อที่สองไปตามเฉียนหลีมา บอกเขาว่าประมุขหลิวฟื้นแล้ว”
“ข้าบาดเจ็บ?”
“เจ้าใกล้ตายแล้ว ดีที่ข้าพามาถึงมือเฉียนหลีทัน ตาแก่ของพรรคเจ้าเห็นแล้วน่ารำคาญตาข้าเลยให้พวกเขาทั้งหมดกลับไป” มู่อิงไม่ได้บอกว่าตนเอง ‘ไล่’ ผู้อื่นไปอย่างเผด็จการเพียงไร ผู้อาวุโสชิวเยี่ยนนั้นต้องกลืนความไม่พอใจลงท้อง แล้วพาคนกลับไปอย่างอย่างคับข้องใจ ถึงแม้พรรคมารจะมีหมอฝีมือร้ายกาจเพียงใด แต่หลิวเฉินซางเป็นประมุขพรรคเรือนเมฆา จะพาคนกลับพรรคยังต้องดูสีหน้าจอมมารอีกหรือ เรียกว่าในท้องท่านผู้อาวุโสย่อมต้องเต็มไปด้วยความคับข้องใจ
“อืม...ข้าโคจรลมปราณไม่ได้” หลิวเฉินซางขมวดคิ้วเล็กน้อย สภาพที่ทำอะไรไม่ได้เช่นนี้ เขาไม่ชอบใจนัก หากแต่พอมองดูมู่อิงที่แข็งแรงดี นับว่าบาดเจ็บครั้งนี้ไม่เลวร้ายเกินไปนัก ที่สำคัญดูเหมือนมู่อิงจะมิได้ทำเช่นเขาเป็นคนนอกอีก นับว่าน่าพอใจ... ไม่ขาดทุนแม้แต่อีแปะเดียว
มู่อิงเดินไปรินน้ำชาให้หลิวเฉินซาง หากเขาเห็นสายตาราวสุนัขจิ้งจอกยามที่เหยื่อตกอยู่ในอุ้งมือของหลิวเฉินซางยามนี้ มิรู้ว่าจะเอาน้ำชาสาดหน้าคนป่วยหรือไม่ เมื่อมู่อิงหันกลับมาสายตาของหลิวเฉินซางก็กลับมาสงบราบเรียบราวกับคนป่วยใกล้ตายดังเดิม
“เส้นชีพจรเจ้าเสียหาย ภายในสามเดือนห้ามใช้กำลังภายในโดยเด็ดขาด” มู่อิงประคองหลิวเฉินซางขึ้นมาดื่มน้ำชา เพียงแค่คนป่วยบอกว่าร้อนไป เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงนำน้ำชาถ้วยนั้นกลับมาแล้วก้มลงเป่าให้ ท่าทางตั้งอกตั้งใจเช่นนี้ทำเอาหลิวเฉินซางจ้องมองไม่วางตา รู้สึกหวานล้ำไปทั้งใจ
ดังนั้นเมื่อมู่อิงนำถ้วยน้ำชากลับไปเก็บหลิวเฉินซางจึงรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดดึงเขาเข้ามาในอ้อมกอด ได้แต่เจ็บใจที่ไม่มีแรงมากกว่านี้อีกเล็กน้อยจะได้กอดท่านจอมมารได้แน่นกว่าเดิม ขอบคุณสวรรค์ยิ่งนักที่เขายังฟื้นขึ้นมาเห็นหน้ามู่อิง...
ยามที่เขาสลบไปนั้นสิ่งที่กังวลที่สุดก็คือการไม่อาจพบกับมู่อิงอีกครั้ง
“เจ้าทำบ้าอะไร”มู่อิงที่โดนผู้อื่นรวบไปกอดอย่างไม่ทันตั้งตัวได้แต่ตวาดเบาๆ เขาไม่กล้าลงมือกับคนเจ็บ เพียงแค่หลิวเฉินซางฟื้นขึ้นมาเขาก็มิรู้ว่าโล่งใจเพียงไรแล้ว อีกทั้งการที่อยู่ในอ้อมกอดของคนผู้นี้ก็ทำให้ใจของทั้งจอมมารทั้งสงบและเป็นสุข ความรู้สึกเช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย ถึงเจ้าปีศาจห่มจีวรจะล่วงเกินตนเองไว้มากมายเพียงไรยามที่เห็นหลิวเฉินซางนอนนิ่งราวกับคนตายเช่นนี้มู่อิงไม่อยากเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง ความรู้สึกยามนั้นเขาไม่ต้องการสัมผัสอีกต่อไป ดังนั้นมู่อิงจึงขยับตัวเล็กน้อยให้หลิวเฉินซางกอดได้สะดวกสบายมากขึ้น
บรรยากาศหวานล้ำในห้องยามนี้มิทราบว่าทำให้เทพเซียนอิจฉา สวรรค์ริษยาเพียงไร
“แม่นางซูข้ามิรู้ว่าตนเองควรเข้าไปดูคนป่วยดีหรือไม่”เฉียนหลีหันไปปรึกษาซูปี้ฮวาที่ยืนอยู่ข้างๆ ยามเขามาถึงหน้าประตูพร้อมกับนาง ท่านประมุขก็ตกอยู่ในอ้อมกอดประมุขหลิวเรียบร้อยแล้ว ยามนี้ผ่านไปครึ่งเค่อเขาควรบอกท่านประมุขหรือไม่ว่าถึงพวกท่านจะมีใจให้กัน แต่ประมุขหลิวบาดเจ็บหนัก ไม่ควรนั่งนานๆ ที่สำคัญบุรุษสองคนกอดกันกลมเช่นนี้... ถึงจะไม่ดูขัดตา แต่ชื่อเสียงของท่านประมุขจะเสียหายเอาได้...ถึงแม้ชื่อเสียงของท่านประมุขจะไม่อาจเสียหายได้มากกว่านี้อีกแล้วก็ตาม
“เช่นนั้นเชิญคุณชายเฉียนเชิญเข้าไปก่อน” ซูปี้ฮวาบอกอย่างมีมารยาท นางไม่รู้ว่าควรเข้าไปขัดบรรยากาศอันซาบซึ้งของท่านประมุขดีหรือไม่ เช่นนั้นควรให้เฉียนหลีเข้าไปก่อน
“แม่นางซูอย่าได้เกรงใจ เจ้าเป็นสาวใช้ประจำตัวท่านประมุข เชิญเจ้าก่อน”
“คุณชายเฉียนเป็นหมอควรรีบเข้าไปก่อน ข้าน้อยเป็นสาวใช้เดินตามถือว่าถูกต้องแล้ว”
“แม่นางซู...”
“เข้ามาได้แล้ว!!! พวกเจ้าใครเข้ามาก่อนก็เหมือนกัน” เห็นสองคนเกี่ยงกันไปมาเช่นนี้ มิรู้หรือไรว่ามู่อิงรู้ตัวตั้งแต่พวกเขามาถึงแล้ว หากแต่การอยู่ในอ้อมกอดหลิวเฉินซางก็สบายไม่น้อย เขาจึงใช้เวลานานสักหน่อยเท่านั้น
+++++++++++++++++++++++
เจอกันอีกที หลังวันที่ 10 มีนาคมนะคะ
ช่วงนี้คนเขียนยุ่งมากจริงๆ คาดว่าหลังวันที่สิบมีนา
น่าจะเคลียร์งานเสร็จ มีเวลามาเขียนนิยายบ้างอะไรบ้าง
-
:pig4: :pig4:
-
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
สนุกมากจริงๆ รอค่าา
-
รอค่าาา อยากให้ถึง 10 มีนาเร็วๆ
o13
-
:mew1:
-
จะรอนะคะ ชอบเรื่องนี้มากๆเลย
-
แหน่ เขินก็บอกกันดีๆ สิ
-
แหม ก็คิดอยู่นะว่าวรยุทธอย่างจอมมารแค่เสียงฝีเท้าก็น่าจะรู้แล้ว
รอตอนต่อไป ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
-
โฮ ยินดีเหลือจะกล่าว แล้ว่เขากอดกันก็หวานปานส่งตัวเข้าหอ
ฟื้นจากความตายมาเจอหน้ายอดดวงใจนี่มันที่สุดของแจ้แล้ว
รอคนเขียนเช่นเคยค่ะ :katai2-1:
-
:mc4:
-
o13 :pig4:
-
เป็นคนที่เอาแต่ใจได้น่ารักเกินไปแล้ว :ling1: :mew1:
-
ปีศาจสวมหนังแกะชัด ๆ ท่านหลิว
-
รอและคอยต่อไป เรื่องนี้ดีจริงๆ อยากให้ไรท์แต่งต่อให้จบนะ สู้ๆ นะไรท์ แฟนนิยายรออยู่ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
-
รอค่าาา
-
ใจจะขาด แต่ก้อรออยู่นะคะ :mew5: :mew5:
-
:mew1: :mew1:
-
มีความคิดถึง เลยแวะเข้ามาอ่านอีกรอบ พรุ่งนี้ก็วันที่ 10 มีนาคมแล้วเนอะ ตั้งตารอมากกกกกกกกก :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
-
รออยู่น้า :hao5:
-
บทที่ 18
แคว้นเว่ย รัชสมัยฉงหยางปีที่ห้า โอรสสวรรค์บุญบารมีสูงส่ง แผ่นดินสงบร่มเย็นไร้ทุกข์เข็ญ ประชาราษฎร์อยู่ดีมีสุข
ในแผ่นดินซึ่งสงบร่มเย็นมีตระกูลใหญ่ทรงอำนาจ เหล่าขุนนางผู้เก่งกาจอยู่มากมาย หากจะกล่าวถึงตระกูลใหญ่ทรงอำนาจและขุนนางผู้เก่งกาจคงหนีไม้พ้นตระกูลมู่ ตระกูลมู่นั้นหากสืบสาวไปถึงต้นตระกูลเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสายเลือดของราชวงศ์ หากแต่บรรพบุรุษมิได้ฝักใฝ่ในราชบัลลังจึงได้แยกตัวออกมาและเปลี่ยนไปใช้แซ่มู่ ถึงแม้เปลี่ยนแซ่จากจ้าวเป็นมู่หากแต่ยังได้รับบรรดาศักดิ์อ๋องให้สืบทอดแก่ทายาทตราบชั่วอายุคน เป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลมู่เป็นตระกูลที่จงรักภักษ์ดี และเป็นขั้วอำนาจสำคัญของราชวงศ์
ตระกูลมู่ยามนี้ปกครองโดยท่านอ๋องมู่หยงป๋อ อันตัวท่านอ๋องมู่นั้นมิได้มีสิ่งใดโดดเด่นแตกต่างจากผู้มีอำนาจตระกูลอื่นมากมายนัก หากแต่สิ่งที่ทำให้ยามนี้ตระกูลมู่โดดเด่นราวกับดวงจันทร์ยามค่ำคืนกลับเป็นบรรดาบุตรธิดา ท่านอ๋องมู่หยงป๋อมีบุตรธิดารวมทั้งสิ้นห้าคน ทั้งห้าต่างมีความโดดเด่นจนผู้อื่นได้แต่กัดฟันด้วยความอิจฉาริษยา บุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพใหญ่รักษาการอยู่ชายแดนองอาจผึงผายข้าศึกชายแดนแค่ได้ยินชื่อก็กลัวจนตัวสั่น บุตรชายคนรองเป็นราชครูผู้ทรงความรู้บัณฑิตทั่วหล้าล้วนแซ่ซ้องสรรเสริญ บุตรชายคนที่สามเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในแคว้นแม้แต่ท้องพระคลังหลวงยังไม่อาจเทียบติด คนที่สี่เป็นบุตรตรีผู้มีหน้าตางดงามล่มบ้านล่มเมือง ดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสีผู้มีอำนาจสูงสุดของฝ่ายใน ส่วนบุตรชายคนสุดท้าย...
บุตรชายคนสุดท้อง...บุตรชายคนสุดท้องของท่านอ๋องนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา อากัปกิริยา นิสัยใจคอ อีกทั้งความรู้ความสามารถ หากเอ่ยถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดของคนผู้นี้ ผู้คนต่างนำมาคุยกันได้ทั้งวี่วัน ด้วยบุตรชายคนสุดท้ายของท่านอ๋องนั้นชาวบ้านต่างร่ำลือว่าเป็นมังกรในหมู่มวลมนุษย์ วาสนาสูงส่งจนคนได้แต่แหงนหน้ามองเมื่อยามเป็นเด็กน้อยหัดพูดนั้นเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้พระองค์ก่อนยิ่งนัก ว่ากันว่ายามนั้นฝ่าบาทโปรดปรานเขาเสียยิ่งกว่าองค์รัชทายาท ยามเมื่ออายุได้สิบขวบตอนท่านชายน้อยของท่านอ๋องมู่หยงป๋อต้องขึ้นเขาไปฝึกวิชา ขบวนส่งเขาขึ้นเขานั้นยาวนับสิบลี้ เมื่ออายุยี่สิบมีพระราชโองการแต่งตั้งให้เขาเป็นอ๋องผู้ปกครองหัวเมืองทางเหนือ เสวยสุขตราบชั่วอายุคน เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเสียดายยามเอ่ยถึงท่านอ๋องน้อยกลับเป็นเรื่องที่เขายังไม่ได้แต่งงาน ใครมิรู้บ้างว่ารสนิยมของเขาสูงส่งจนแม่สื่อไม่กล้าแม้แต่เดินผ่านประตูตำหนัก อีกทั้งด้วยรูปโฉมของคนผู้นี้ ไม่มีสตรีคนใดที่อยากแต่งงานกับเขา ใครเล่าอยากจะมีสามีที่งดงามมากกว่าตนเอง....
ประตูเมืองทางทิศเหนือของเมืองหลวงยามนี้คึกคักเป็นอย่างมาก แถวตรวจผู้ผ่านเข้าเมืองนั้นยาวเหยียดจนไม่แน่ว่าวันนี้คนทั้งหมดจะได้ผ่านเข้ามา แต่ละคนนั้นบ้างแบกสำภาระ บ้างลากเกวียน บ้างมาตัวเปล่า นับว่าเมืองหลวงของแคว้นเว่ยนั้นทั้งคึกคักและเจริญรุ่งเรือง
ท่ามกลางแถวอันยาวเหยียดที่หน้าประตูเมืองมีรถม้าสีทองอร่ามประดับประดาด้วยอัญมณีล้ำค่าคันหนึ่งแล่นเข้ามาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว บนหลังคารถม้าปรากฏธงสัญลักษณ์พยัคฆ์โอบจันทรา ทหารที่อยู่หน้าประตูเมืองยามเห็นธงแสดงตนที่ประดับอยู่บนรถถึงกับเปิดประตูเมืองออกจนสุด รีบให้คนถอยห่างไม่ไม่ให้กีดขวางทาง
ทางหนึ่งจัดระเบียบผู้คนอีกทางนั้นรีบส่งคนเข้าไปแจ้งข่าวด่วนในวังหลวง รถม้าอันโอ่อ่าหรูหราล่อตาโจรปานนี้ ธงสัญลักษณ์พยัคฆ์โอบจันทราผืนนี้ นอกจากท่านอ๋องมู่อิงแล้วยังจะมีผู้ใดกล้านั่ง ยามที่รถม้าเคลื่อนผ่านประตูเมืองหลวง ข่าวที่ท่านอ๋องมู่อิงมาถึงเมืองหลวงแล้วก็กระจายไปเร็วพอ ๆ กับความเร็วของรถม้า
ดังนั้นยามที่รถม้าจอดลงหน้าประตูตำหนักของมู่อิง บรรดาพ่อบ้านและคนรับใช้ต่างเข้าแถวรอต้อนรับเขาอย่างเป็นระเบียบ หากไม่ติดว่ายามนี้แยกตำหนักอยู่คนละที่ไม่แน่ว่าในแถวผู้ต้อนรับอาจมีท่านอ๋องมู่หยงป๋อด้วยอีกหนึ่งท่าน
เมื่อองครักษ์ที่ขับรถม้าเดินมาเปิดประตูรถ บรรดาคนรับใช้ต่างก้มหัวลงต่ำ เห็นเพียงรองเท้าสีแดงปักลวดลายวิจิตที่ก้าวลงมา พ่อบ้านใหญ่เมื่อเห็นรองเท้ามู่อิงก็โค้งจนหัวแทบติดพื้น
“ยินดีต้อนรับท่านอ๋องกลับตำหนัก”
“ยินดีต้อนรับท่านอ๋องกลับตำหนัก!!!”
“ทุกคนไม่ต้องมากพิธี พ่อบ้านหลี่ ข้าพาแขกกลับมาด้วย จัดห้องพักในเรือนข้าเพิ่มอีกหนึ่งห้อง” มู่อิงออกคำสั่งกับพ่อบ้านหลี่ ก่อนจะยื่นมือไปหน้าประตูรถม้า ประคองหลิวเฉินซางที่ยังดูอมโรคไร้เรี่ยวแรงลงมา
หลิวเฉินซางยามนี้นับว่าแข็งแรงกว่าก่อนมาก สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หากแต่เพียงว่าหากเขาดูอ่อนแอมากหน่อย มู่อิงก็ใส่ใจเขามากขึ้นอีกหน่อย เช่นนี้การทำตัวราวกับคนอมโรคก็ไม่เลวเลยทีเดียว หากแต่เมื่อเขาลงจากรถม้ามองเห็นประตูบ้านมู่อิง และบรรดาคนรับใช้ที่เข้าแถวรออยู่หน้าบ้าน สายตาก็เปลี่ยนเป็นราบเรียบล้ำลึก คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว ถึงจะแสดงท่าทางเช่นนี้ผู้คนต่างมองเห็นแค่ว่าคนผู้นี้คงจะถูกโรคภัยรุมเร้าเท่านั้น
มีเพียงมู่อิงที่สังเกตปฏิกิริยาทั้งหมดของหลิวเฉินซาง หากแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา
ตกอยู่ในอุ้งมือข้าแล้ว เจ้ากล้ามีอะไรไม่พอใจ
การกระทำของมู่อิงทำให้ทุกคนจ้องมองไม่วางตา แทบจะอดใจไม่ให้ตนเองขยี้ตาไม่ได้ ท่านอ๋องประคองคนผู้หนึ่งลงจากรถ ที่สำคัญยังเป็นบุรุษ...เป็นบุรุษที่หล่อเหลามากเสียด้วย!!!
ข่าวใหญ่! ข่าวใหญ่อย่างแน่นอน!!!
ยามที่มู่อิงหายลับเข้าประตูตำหนักไป เรื่องที่เขาพาหลิวเฉินซางกลับมาด้วยก็กระจายไปทั่วเมืองหลวง ท่านอ๋องมู่หยงป๋อที่ยิ้มหน้าบานรอบุตรชายมาคารวะที่ตำหนักถึงกับหุบยิ้มแทบไม่ทัน มู่ตงที่กำลังดีดลูกคิดอยู่ในคฤหาสน์ของตนเองถึงกับทำลูกคิดหลุดมือ มู่ชิงที่กำลังคัดอักษรอยู่ในจวนถึงกับทำพู่กันหัก ไม่แน่ว่าหากมู่หรงที่อยู่ชายแดนทราบข่าวนี้ จะแบกดาบที่ตนเองซ้อมอยู่วิ่งกลับมาเมืองหลวงหรือไม่...
++++++++++++++++++++++++++++++
มาครึ่งเดียวอีกแล้ว!!!
อย่าพึ่งเอาระเบิดปาหัวคนเขียนนะ
เนื่องจากภาระงานอันเบาบางลงแล้ว เย้!
เวลาในการเขียนนิยายคงจะเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าไว้ว่าจะเขียนเรื่องนี้ให้จบภายในปีนี้ (สาธุ -/\-)
และต่อด้วยเรื่องของเสี่ยวไป๋ กับเฮียเฮยหลง เนื่องจากตอนนี้ยังเมามันกับการเขียนแนวนี้
อันนี้เป็นเป้าหมายนะคะ จะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องลุ้นกันต่อไป
ปล. มีสาบัญอยู่หน้าแรกแล้วนะ
-
:katai1: ค้างงงงงงงงงงมากกกกกกก
รออีกครึ่งตอนจ้า มาไวๆน๊าาาาา :hao5:
-
เอาละสิ ฤทธิ์เดชของการเป็นที่รักของคนทั้งบ้านของน้องมู่อิงจะสำแดงแล้วสินะ
-
อะฮิ้วว. น้องรักพาผู้ชายเข้าบ้าน แทบจะอุ้มกันแล้วเหอะ
ขำ งานนี้สนุกแน่ค่ะ รอต่อนะคะ
-
:mew1: :mew1: :mew1:
-
:hao7: :hao7:
-
มู่อิงพาหลิวเฉินซางเข้าจวนแล้ว555555
-
:hao7: :hao7: :hao7:
-
เริ่มจะหวานกันแล้ววววว >\\\\<
เติมน้ำตาลลงไปอีกๆๆๆ
-
o18พี่หลิว อย่าหือนะคะ ท่านเข้าถ้ำเสือเสียแล้วล่ะ
-
ขบวนคนหลงมู่อิงกำลังจะมา โปรดเตรียมรับมือ 55555
-
:pig4: :pig4:
:mew1: :mew1:
-
เปิดตัวลูกเขย
-
โธววววว พี่หลิว เตรียมชีวิตไว้เยอะมั้ยละนั้น ดันเข้าถ้ำเสือแบบไม่รู้ตัวอย่างนี้ ไว้อาลัยให้พี่หลิว :amen: :amen:
-
มาต่อแล้วดีต่อใจ
-
:pig4: :pig4:
-
พี่หลิวคงต้องรับมือกับบรรดา `พี่ชายโรคจิต` สินะคะ :hao7:
-
ตื่นเต้นอะไรกัน
ก็แค่ลูกชายจะมีสามี
ฮ่า ๆๆๆๆ
-
จะมีสามีกะเขาแย้วววววววววววววววววววววววววว :hao7:
-
น่าจะโดนไม่น้อย
-
รวมพลคนหวงมู่อิงด่วนๆเลยค่าาา
-
อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ สนุกมากเลยค่ะ
-
ต่อ
ท่ามกลางความคึกคักวุ่นวายของผู้คนที่ทราบข่าวการกลับมาเมืองหลวงหลังจากจากไปเป็นเวลาห้าปีของมู่อิง ภายในจวนอ๋องตอนนี้กลับเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง ทั้งข้าวของสถานที่ล้วนได้รับการดูแลอย่างดี เตรียมพร้อมรอการกลับมาของเจ้าของอยู่ตลอดเวลา เรื่องวุ่นวายมีเพียงการจัดเตรียมห้องพักติดกับห้องของท่านอ๋องเท่านั้น
สถานที่ที่เงียบสงบที่สุดในยามนี้จึงเป็นห้องโถงในเรือนส่วนตัวของมู่อิงที่มีคนเพียงสี่คน เฉียนหลีและชูปี้ฮวาต่างมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดประมุขหลิวที่ตลอดการเดินทางดูปกติมาตลอดยามนี้กลับเงียบขรึมไม่พูดไม่จา ท่านประมุขที่คอยดูแลตามอกตามใจประมุขหลิวมาตลอดทางก็เอาแต่จ้องหน้าคนที่เงียบขรึมไม่วางตา บรรยากาศยามนี้ช่างทำให้บ่าวไพร่ตัวเล็กๆ อกสั่นขวัญแขวนอยากจะหลีกลี้หนีไปให้ไกล
“เฉียนหลีมาตรวจดูอาการให้พี่ชายเฉินซาง”มู่อิงเป็นผู้เอ่ยปากขึ้นทำลายบรรยากาศที่ดูขมุกขมัวชวนให้คนใกล้แข็งตาย แต่ยามเอ่ยวาจานั้นสายตาเขาไม่ได้ละไปจากใบหน้าหลิวเฉินซาง
เดินทางจากพรรคตำหนักจันทรามาเมืองหลวงใช้ระยะเวลาเดินทางถึงสองเดือน ในสองเดือนนี้มู่อิงอยู่กับหลิวเฉินซางเกือบตลอดเวลา ยามนี้คนผู้นี้มีเรื่องขุ่นเคืองใจเหตุใดเขาจะดูไม่ออก หากวันนี้หลิวเฉินซางไม่ยอมเปิดปากพูดออกมาเช่นนั้นมู่อิงผู้นี้ก็จะจ้องเจ้าปีศาจห่มจีวรจนกว่าเขาจะอ้าปากพูด
เฉียนหลีเดินเข้าไปตรวจอาการของหลิวเฉินซางตามคำสั่งของมู่อิง ใครไม่รู้บ้างว่าท่านประมุขเป็นห่วงประมุขหลิวมากมายเพียงใด ทุกวันจะต้องให้เขาตรวจอาการประมุขหลิว แม้แต่การเดินทางกลับเมืองหลวงที่ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนก็ยืดเวลาออกไปถึงสองเดือนเพราะเกรงว่าด้วยอาการบาดเจ็บของประมุขหลิวจะรับไม่ไหว ยามนี้มู่อิงไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนใส่ใจหลิวเฉินซาง แล้วเหตุใดประมุขหลิวที่ตลอดทางรับการดูแลเอาใจใส่จากท่านประมุขจนสุขภาพดีจนไม่อาจดียิ่งกว่านี้ได้อีกจึงกลายเป็นนิ่งเงียบไม่พูดจา
อันเรื่องราวในใจระหว่างบุรุษสองคน ผู้อื่นนั้นยากจะเข้าใจ
“เรียนท่านประมุข อาการประมุขหลิวเป็นปกติดีขอรับ” หลังตรวจอาการหลิวเฉินซางเสร็จเฉียนหลีจึงหันไปรายงานต่อมู่อิง
“พวกเจ้าออกไปก่อน” มู่อิงโบกมือให้คนทั้งหมดออกไป ดังนั้นเฉียนหลีและชูปี้ฮวาจึงรีบเร่งออกไปอย่างรวดเร็วใบหน้าแต่ละคนราวกับได้รับการละเว้นโทษตาย บรรยากาศในห้องที่ราวกับแดนประหาร ผู้ใดก็ไม่อยากอยู่ทั้งนั้น ปล่อยให้ผู้มีวรยุทธ์แก่กล้าเช่นท่านประมุขกับประมุขหลิวอยู่กันสองคนก็ดีแล้ว
เมื่อในห้องเหลือเพียงตนเองกับหลิวเฉินซางมู่อิงจึงจ้องใบหน้าหล่อเหลานั้นเขม็ง มิรู้ทำไมนับวันหลิวเฉินซางก็ยิ่งดูเข้าตามากขึ้นทุกที ถึงแม้คนผู้นี้มิได้งดงามที่สุดในใต้หล้าดังที่เขาต้องการ หากแต่เส้นผมสีเงินยวงนี้ก็ไม่เลวเลยจริงๆ ตลอดระยะเวลาที่ร่วมเดินทางจากพรรคจันทร์กระจ่างฟ้ามาเมืองหลวงพวกเขาก็เรียกว่าอยู่ร่วมกันได้ไม่เลว ไม่มีเรื่องให้โกรธเคือง ไม่มีเรื่องให้ผิดใจ แล้วเหตุใดยามนี้เจ้าปีศาจนี่จึงเอาแต่นิ่งเงียบ ราวกับพวกนางสนมที่ไม่เป็นที่โปรดปราน
“ เจ้ามีอะไรก็พูดมา เอาแต่ปั้นหน้าเป็นน้ำแข็งข้าเมื่อยแทน” ระหว่างมู่อิงและหลิวเฉินซางมีเพียงโต๊ะน้ำชากลั้นกลาง ยามนี้ท่านจอมมารใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางผมถูกรวบอย่างลวกๆ ตรงกลางหลังด้วยผ้าแพรสีม่วงขลิบทองยามนี้ ปอยผมบางส่วนหลุดลงมาคลอเคลียใบหน้าน้อยๆ งดงามจนทำให้คนใจอ่อนอย่างง่ายดาย
“เจ้าเป็นอ๋อง” หลิวเฉินซางยอมเปิดปากพูดในที่สุด เขาเคยคาดเดามาก่อนว่าชาติกำเนิดมู่อิงน่าจะไม่ธรรมดา แต่ไม่เคยคิดว่าจะไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้ ชั่วชีวิตหลิวเฉินซางไม่เคยคิดข้องแวะกับคนในราชสำนัก หากจะเรียกอย่างไม่เกรงใจคงกล่าวได้ว่าเกลียดคนในราชสำนัก ยามนี้คนที่เขาชื่นชอบถึงกับเป็นท่านอ๋องคนหนึ่ง ความรู้สึกยามนี้แม้แต่ตนเองยังไม่รู้จะเรียกว่าอย่างไร
“แล้วทำไม...สูงส่งเกินไปหรือ” มู่อิงเลิกคิ้วขึ้น ยื่นมือที่ใช้ท้าวคางไปจับใบหน้าหลิวเฉินซางให้หันมาจ้องตากับตนเอง ท่าทางราวกับจอมเจ้าชู้ยักษ์เกี้ยวสาวงาม ผิวหน้าหลิวเฉินซางจับแล้วรู้สึกสบายมือมาก ถือว่าเป็นการแอบกินเต้าหู้เขาไปในตัว ได้กำไรแล้ว!
“ข้ายังทำใจยอมรับไม่ได้” หลิวเฉินซางเบือนหน้าหันไปมองทางอื่น เหตุผลเพียงเท่านี้ไม่เพียงพอให้เขาตัดใจจากมู่อิง แต่หากจะให้ยอมรับว่าว่ามู่อิงข้องเกี่ยวกับราชสำนัก ที่สำคัญยังเป็นถึงอ๋องเขาก็ไม่อาจทำใจได้
หลิวเฉินซางผู้นี้หากจะให้กล่าวถึงเรื่องบาดหมางระหว่างเขากับราชสำนักนับว่าไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ถึงแม้การที่เขารังเกียจราชสำนักมากมายเพียงนี้ไม่ได้มาจากราชสำนักแคว้นเว่ย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตก็ทำให้เขาไม่อยากข้องเกี่ยวกับราชสำนักหรือเหตุการณ์บ้านเมืองอีก
“ทำไมถึงยอมรับไม่ได้ หลิวเฉินซาง...ตัวข้ามู่อิงถือว่าเป็นหนี้เจ้าหนึ่งชีวิต ติดค้างเจ้ามากมาย ถึงแม้จะกระทำการตามอำเภอใจไปบ้าง แต่กับคนที่ข้าพอใจนับว่าใจกว้างไม่น้อย เจ้ามีอะไรก็พูดออกมา”
“เรื่องนี้หากข้าพูดจะทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย” หลิวเฉินซางขมวดคิ้วจนแทบชนกัน เรื่องราวของเขาหากมู่อิงรู้เข้าอาจเป็นการลากเขาลงเหวด้วยกัน
“ข้าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนมามายมาย เจ้าทำให้ข้าเดือดร้อนเสียบ้างนับว่าเป็นการเพิ่มสีสันไม่น้อย” ใครไม่รู้บ้างว่ามู่อิงรักความสบายมากขนาดไหน เขาไม่ชอบเรื่องที่ทำให้ตนเองวุ่นวายมากเพียงไร การที่จะทำให้เขาเอ่ยเช่นนี้ออกมาใช่ว่าใครก็ทำได้
หลังจากที่ฟังประโยคนี้หลิวเฉินซางนิ่งอึ้งอยู่นาน... ก่อนจะคลี้ยิ้มน้อยๆ ที่ทำให้เหล่ามวลบุปฝาแทบหลุ่มหลงเอียงอาย บางทีการที่เขาชอบมู่อิงอาจเป็นเพราะความถือดีเช่นนี้ หยิ่งผยองเช่นนี้ และซื่อตรงต่อตัวเองถึงเพียงนี้ แต่มู่อิงในยามนี้จะห้ามไม่ให้เขาตกหลุมรักได้อย่างไร....
“อิงข้าชอบเจ้า...ชอบจากใจจริง”
++++++++++++++++++++
ครบร้อยสักที 555
กว่าจะเขียนได้แต่ละตอนรู้ว่าตัวเองช้ามาก
แต่จะพยายามจบเรื่องนี้ภายในปีนี้ค่ะ (ยาวไป)
-
:pig4:
รอตอนต่อไปจ้า
-
จะเป็นลม มีเท่านี้เรอะคะ :mew5:
-
รอน๊าาาาา ยังไงก็อเป็นแฟนคลับ
ชอบเรื่องนี้มาก
-
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
ตามอ่านอยู่นะ ชอบมู่อิง
-
:mew1:
-
:pig4:
-
สั้นๆแต่ได้ใจความ :-[
-
:-[ น้องมู่อิงละลายลงพื้นไปแล้วรึยัง รอนะคะ :L2:
-
:hao7: :hao7:
-
บอกไปเลย มู่อิงใหญ่กว่าฮ่องเต้อีก 55+
-
:pig4: :pig4:
:mew1: :mew1:
มาต่อบ่อยๆนะคะ
:hao7: :hao7:
-
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกก :hao7:
-
สนุกมากกค่ะ พึ่งได้อ่านวางไม่ลงเลยยย รอตอนต่อไปนะคะ
-
มู่อิง ท
-
:L1: :pig4: :L2:
-
เข้ามารอตอนต่อไปค่ะ
-
มู่อิงนี่ยิ่งกว่าราชสำนักอีกนะประมุขหลิว
-
สนุกมากกกก...รออ่านตอนต่อไป
-
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
มู่อิงนี่คือความไร้ขอบเขตที่แท้จริง
แหกกฎของทุกสิ่งสุด
ชอบค่ะชอบ
-
บทที่ 19
หลังประโยคบอกความในใจของหลิวเฉินซาง มู่อิงได้แต่จ้องหน้าเขาราวตัวโง่งม มิใช่ว่าไม่เคยมีบุรุษที่ชื่นชอบตนเองมาบอกรัก หากแต่คนที่กล่าวออกมาแล้วทำให้เขาใจเต้นแรงถึงเพียงนี้ ทำตัวไม่ถูกถึงเพียงนี้ ทั้งชีวิตที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้มีเพียงหลิวเฉินซาง หลังจากจ้องหน้าหลิวเฉินซางอยู่นาน จ้องจนเคลิบเคลิ้ม จากประสบการณ์ในการอ่านบรรดาหนังสือที่กู่อิ๋งอิ๋งให้มา เขาสมควรบอกความในใจของตนเองเช่นกัน
“ข้าก็ชอบ...เส้นผมของเจ้า” ความจริงเขาคิดจะพูดว่าข้าเองก็ชอบเจ้ามากออกไปอย่างสง่าผ่าเผย หากแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ เส้นผมของหลิวเฉินซางก็เป็นของหลิวเฉินซาง เช่นนั้นไม่ว่าบอกชอบเส้นผมหรือตัวของหลิวเฉินซางเองคงไม่ต่างกันมากนัก
หลิวเฉินซางจ้องใบหน้าแดงระเรื่อของมู่อิง ใบหน้าเอียงอายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน คนผู้นี้ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมอำมหิต เป็นจอมมารที่ชาวยุทธ์ต่างหวั่นเกรง แต่ไม่ว่าเขาจะมองเช่นไร มู่อิงก็ไม่คล้ายเช่นนั้นเลยสักครั้ง หากไม่นับท่าทีเจ้าชู้ยักษ์ที่ระยะนี้กระทำออกมาบ่อยๆ มิรู้ว่าไปเรียนรู้มาจากที่ใด คนผู้นี้ก็นับว่าน่ารักใคร่เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะยามนี้ท่าทางมู่อิงที่เอียงอายดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา น่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง
หลิวเฉินซางรวบตัวมู่อิงมากอดอย่างอดใจไม่อยู่ ในเมื่อใจตรงกันจะมัวมามากมารยาท คิดเรื่องควรไม่ควรให้ปวดหัวไปทำไม มู่อิงไม่ได้ขัดขืนหลิวเฉินซาง หากเป็นผู้อื่นแค่จับชายแขนเสื้อเขาก็ถึงขั้นสะบัดจนกระอักเลือดไปแล้ว หากแต่เมื่อโดนหลิวเฉินซางรวบเข้าสู่อ้อมอก ท่านจอมมารกลับทำเพียงซุกเข้าอกผู้อื่นอย่างยินยอมพร้อมใจ ไม่มีอาการขัดขืนแม้แต่น้อย
“คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ข้าชอบจะเป็นบุรุษ” หลิวเฉินซางพึมพำอย่างทอดถอนใจ เขาพบเห็นสตรีมามากมาย ที่งดงามล่มเมืองก็เห็นมามาก สุดท้ายกลับมาหวั่นไหวเพราะบุรุษผู้หนึ่ง
“ข้างามมาก” มู่อิงอดท้วงไม่ได้ แต่ก่อนเขาเคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะหาสตรีที่งดงามที่สุดในแผ่นดินมาแต่งภรรยา แต่สตรีที่เคยพบเห็นมากลับไม่อาจทำให้เขาพึงพอใจในความงามได้เลย หากมีคนมาบอกเขาว่าสักวันเขาจะพึ่งใจบุรุษ ไม่แน่ว่าอาจถูกเขาสังหารตั้งแต่เอ่ยออกมาเพียงครึ่งประโยค
บรรยากาศยามนี้แตกต่างจากก่อนหน้าราวกับนรกและสวรรค์ ก่อนหน้าเยือกเย็นจนแทบทำให้คนกลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งยามนี้บรรยากาศกลับอ่อนหวานพาให้คนใจสั่น
ชูปี้ฮวาที่รีบเร่งมารายงานข่าวกับมู่อิงยามนี้ก็ใจสั่นไม่แพ้กัน ท่านประมุขกลับมาถึงตำหนักอ๋องยังไม่ทันครบสองชั่วยาม เวลานี้กลับมีคนมาขอพบเสียแล้ว ผู้มานั้นหน้าตาราวกับมารับตัวนักโทษคดีอาญาร้ายแรง หากให้นางยับยั้งไม่ให้พวกเขาเข้ามา ถึงอย่างไรก็ไม่อาจทำได้ ใครใช้ให้คนเหล่านี้เป็นบิดาและพี่ชายของท่านประมุขกันเล่า
ชูปี้ฮวาพรวดพราดเข้ามาในห้องโถงโดยไม่ขออนุญาต ยามนี้นางไม่สนว่าคิ้วของท่านประมุขจะขมวดมุ่นเพียงใด รีบกล่าวอย่างร้อนใจว่า
“ท่านอ๋องท่านอ๋องมู่และท่านพี่ทั้งหลายมาเยี่ยมเยียนเจ้าค่ะ!!!” ยามนี้เฉียนหลีรับหน้าอยู่ หากท่านประมุขไม่รีบไป ไม่แน่ว่าเขาอาจโดนสับเป็นหมื่นชิ้น
ยามนี้ในห้องโถงใหญ่ภายในตำหนักของมู่อิง มีบุรุษต่างวัยหน้าตาขึงขังรวมตัวกันอยู่ถึงสามท่าน แต่ละท่านล้วนดูสูงศักดิ์ น่าเคารพยำเกรง บุรุษสูงวัยรูปร่างสูงใหญ่ท่าทางองอาจ หากแต่ลงพุงเล็กน้อยนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประมุขในจวน บรรดาบ่าวไพร่ต่างคอยปรนนิบัติรับใช้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ที่นั่งทางขวามือเป็นบุรุษอายุต้นสี่สิบท่าทางสง่าทรงภูมิความรู้ ส่วนบุรุษอีกท่านนั่งทางซ้ายมืออายุดูไล่เลี่ยกับบัณฑิตหากแต่แต่งกายด้วยแพรพรรณหรูหรา ทั้งสิบนิ้วแทบเต็มไปด้วยแหวนทองคำ ห้อยลูกคิดอันหนึ่งไว้ที่เอวแทนหยกพก ราวกับพ่อค้าหน้าเลือดที่ไม่ยอมขาดทุนแม้แต่อีแปะเดียว
ทั้งสามท่านต่างมีลักษณะเด่นแตกต่างกัน หากแต่หน้าตากลับดูละม้ายคล้ายคลึงกัน เพียงแค่ต่างวัยกันเท่านั้น บุคคลทั้งสามที่ทำหน้าตาราวกับทวารบาลเฝ้าประตูสวรรค์เหล่านี้ ท่านที่นั่งตรงกลางคือท่านอ๋องมู่หยงป๋อ ทางขวาคือท่านราชครูมู่ชิง และทางซ้ายคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดินมู่ตง
ทั้งสามคนต่างมองสบตากันและกัน ปกติยากนักที่จะสามารถอยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ได้ หากมู่หรงไม่อยู่ไกลถึงชายแดนคงมีฉากพ่อลูกตระกูลมู่หน้าตาขึงขังอยู่กันครบถ้วน เรื่องที่มู่อิงพาบุรุษกลับมาด้วยนั้นถึงอย่างไรก็ต้องมาดูให้เห็นกับตา ดูสิว่ามีเดียรัจฉานตัวไหนกล้าย่างกายเข้ามาเฉียดใกล้แก้วตาดวงใจของพวกตน!
ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวในห้องโถงใหญ่ มู่อิงที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มเล็กน้อยราวกับดวงตะวันที่สาดไล่ลำแสงชั่วร้าย ท่านอ๋องมู่หยงป๋อลุกขึ้นมาจากที่นั่งมองบุตรชายคนเล็กที่จากบ้านไปนานถึงห้าปี
“อิงเอ๋อคาราวะท่านพ่อ พี่รอง พี่สาม”
“อิงเอ๋อ...”ท่านอ๋องมู่หยงป๋อเดินตรงเข้าไปหาบุตรชายคนเล็กที่โค้งคำนับอย่างมีมารยาท
บุตรชายคนนี้เป็นดังแก้วตาดวงใจของท่าน หากไม่นับบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้ว ที่จะพบหน้าสักครั้งยังต้องมีพิธีรีตองมากมาย บุตรชายคนนี้ยังนับว่าอยากจะพบหน้าให้ชื่นใจยามใดก็ง่ายกว่าบุตรสาว ท่านอ๋องมู่หยงป๋อมองดูบุตรชายที่จากไปถึงห้าปี ยามนั้นมู่ตานบุตรสาวคนเดียวแต่งเข้าตำหนักรัชทายาทดำรงตำแหน่งชายาเอก ทุกคนต่างทำใจว่าสักวันมู่ตานก็ต้องแต่งออกไป แต่บุตรชายคนเล็กที่ขึ้นเขาไปฝึกวิชาตั้งแต่ยังเล็กไม่อาจทำใจได้เหมือนผู้อื่น ตอนที่พี่สาวแต่งงานยามนั้นเขาจากไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ บัดนี้พอบุตรชายคนเล็กกลับมา มิรู้ว่ายามใดที่บุตรชายที่เป็นดังแก้วตาดวงใจคนนี้บัดนี้กลับแฝงประกายบางอย่างดูทั้งเฉียบคมทั้งเด็ดเดี่ยวทำให้บิดาเช่นตนมองไม่ทะลุปรุโปร่งเช่นเดิม แต่บุตรชายดูเข้มแข็งถึงเพียงนี้บิดาเช่นตนอดรู้สึกภูมิใจไม่ได้
“จากไปห้าปี อิงเอ๋อของพ่อโตถึงเพียงนี้แล้ว” ท่านอ๋องผู้รักลูกชายคนเล็กดุจดวงใจอดไม่ได้ที่เข้าไปโอบกอดบุตรชายให้หายคิดถึง
“ท่านพ่อ! ข้าก็คิดถึงอิงเอ๋อเช่นกัน เหตุใดจึงเอาเปรียบผู้อื่น ข้าก็อยากกอดเขาเช่นกัน”มู่ชิงผู้เห็นบิดาชิงตัดหน้ากอดน้องเล็กก่อนอดรนทนไม่ไหวเอ่ยออกมา ถึงอย่างไรพวกเขาก็แข่งขันกันเลี้ยงมู่อิงตั้งแต่เขาเกิดมา จะยอมให้บิดาเอาเปรียบไม่ได้
“ดูเหมือนเงินและของกำนัลที่พี่สามส่งให้เจ้าจะไม่เสียเปล่าเลย ดูสิว่ามู่อิงของพวกเราไม่มีสิ่งไหนดูด้อยลงแม้แต่ส่วนเดียว” มู่ตงก็ร่วมวงเข้าไปโอบกอดมู่อิงพรางชื่นชมไม่หยุดปาก ทุกวันนี้เขาคอยส่งทั้งข้าวของเครื่องใช้และเงินทองไปให้น้องเล็กตลอด จะให้ทนเห็นน้องเล็กใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกอย่างยากลำบากได้อย่างไร ยามน้องเล็กอยู่กับพวกเขาได้รับการปรนนิบัติเป็นอย่างดีแม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่แน่ว่าจะสุขสบายเท่าเขา หากให้คิดภาพน้องเล็กต้องทนลำบากอยู่ข้างนอกพี่สามผู้นี้มิต้องปวดใจตายหรืออย่างไร
เหล่าบุรุษตระกูลมู่ต่างไม่มีความคิดที่ว่า มู่อิงของพวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
หลังจากมู่อิงยอมให้บรรดาพี่ชายและบิดาโอบกอดคนละทีสองทีจนทุกท่านพออกพอใจแล้ว แต่ละคนจึงยอมนั่งลงเพื่อพูดจากัน
ท่านอ๋องมู่หยงป๋อ พี่รอง และพี่สามของมู่อิงนั้นยามมาฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาคาดคั้นมู่อิงให้ขับไล่เจ้าเดียรัจฉานนั่นออกไป แต่ยามนี้แต่ละท่านกลับมองหน้ากันไปมา หากเอ่ยปากออกมาแล้วอิงเอ๋อโกรธพวกเขาจะทำอย่างไร พึ่งพบหน้ากันเท่านั้นพากมู่อิงโมโหจนจากไปอีกพวกเขาจะทำอย่างไร
ท่านอ๋องมู่หยงป๋อมองหน้าบุตรชายทั้งสองคน ส่งสัญญาณให้พวกเขาพูดออกมา
“ท่านพ่อ พี่รอง พี่สาม สมควรเป็นอิงเอ๋อที่ไปเยี่ยมคาราวะพวกท่าน เหตุใดจึงรีบร้อนมาก่อนเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกอกตัญญูนัก” ดูเหมือนว่าไม่ว่าเขาจะจากไปนานเท่าไหร่ท่านพ่อและบรรดาพี่ชายกลับใส่ใจเขาเช่นเดิม อันที่จริงพรุ่งนี้มู่อิงจะไปคาราวะท่านอ๋องมู่หยงป๋อ และพี่ชาย ถัดจากนั้นจึงค่อยเข้าวัง แต่บิดาและพี่ชายของเขากลับรีบมาหาตั้งแต่เขากลับมาถึง เช่นนี้มิรู้ว่าควรดีใจดีหรือไม่
“ลูกรักไม่ต้องคิดมาก พ่อไม่เห็นเจ้าหลายปีย่อมคิดถึงมากเป็นธรรมดา พอทราบว่าเจ้ากลับมาจึงรีบมาหา” ท่านอ๋องมู่หยงป๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างยิ่ง น้ำเสียงเช่นนี้ตัวท่านอ๋องเองไม่ค่อยใช้บ่อยนัก ปกติจะใช้พูดกับพระชายา บุตรสาวและบุตรชายคนเล็กเท่านั้น ส่วนบุตรชายคนอื่นๆ หากไม่ถูกบิดาพูดคุยด้วยเสียงตะคอกราวฟ้าผ่าพวกเขาก็ไม่ใคร่จะสบายใจนัก กลัวว่าหากพูดกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่ใช้กับน้องเล็ก บิดาจะทนฝืนใจไม่ไหวจนเจ็บป่วยไปเสียก่อน
“พี่รองก็คิดถึงเจ้ามากเหมือนกัน” มู่ชิงยิ้มจนตาแทบปิด จะให้บิดาเอาหน้าคนเดียวไม่ได้ พวกเขามาด้วยกันความดีความชอบควรกระจายอย่างทั่วถึง
“เห็นคนแจ้งข่าวบอกว่าน้องเล็กพาสหายมาด้วย เหตุใดไม่พามาให้พวกเรารู้จักเล่า” มู่ตงรีบเข้าประเด็นสำคัญก่อนที่บิดาและพี่ชายจะทำสงครามแย่งชิง ‘ความโปรดปราน’ จนเสียเรื่อง
หากไม่เพราะ ‘สหาย’ ของมู่อิงคนนี้เขาคงจะอดทนรอดีดลูกคิดนับเงินให้น้องเล็กมาเยี่ยมเยียนในวันพรุ่งนี้ได้ แต่เพราะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจะให้เขาดีดลูกคิดนับเงินรอต่อไปก็ทำไม่ได้ หากน้องเล็กที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของพวกตนถูกผู้อื่นล่อลวงจะทำเช่นไร หากคนผู้นั้นทำให้น้องเล็กที่พวกเขาสู้อุตส่าห์เลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมเสียใจจะทำอย่างไร ไม่ว่าคนที่น้องเล็กพามาด้วยจะเป็นสหายในรูปแบบใด พี่สามผู้นี้ก็ขอมาดูให้เห็นกับตา
มิรู้ว่าท่านชายสามมู่ตงนั้นเอาบรรทัดฐานเช่นใดมาวัดแต่หากคนในยุทธภพได้ยินมาว่าท่านจอมมารบริสุทธิ์ไร้เดียงสาคงจะทนฟังไม่ได้จนเอาศีรษะโขกเสาตายเป็นแน่
ความคิดเห็นของคนในและคนนอกนั้นช่างแตกต่างกันจนไม่สามารถเอามาเทียบได้อย่างแท้จริง
“สหายของข้ามีนามว่าหลิวเฉินซางเขาได้บาดเจ็บเพราะช่วยข้าไว้ ยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ไม่อาจพาคาราวะท่านพ่อ กับพี่ๆ ได้ อิงเอ๋อต้องขออภัยแทนเขาด้วย” หากเขาพาหลิวเฉินซางที่ยังไม่แข็งแรงดังเดิมมาพบบิดาและพี่ชาย ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะต้องเจอกับสิ่งใด เพราะบุคคลทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้ต่างเข้มงวดกับการคบมิตรสหายของเขายิ่งนัก
บิดาและพี่ชายของเขาเป็นเช่นนี้มานานแล้ว แต่ก่อนเขาไม่เคยใส่ใจว่าผู้ใดจะถูกไล่ตะเพิด ถูกทำร้าย หรือถูกกลั่นแกล้งเช่นไร แต่ยามนี้เขาไม่ใส่ใจมิได้ แววตาเอาเรื่องของแต่ละท่านยามพูดถึงสหายของเขานั้นใช่ว่ามู่อิงจะดูไม่ออก แต่ก็รู้อีกเช่นกันว่าบิดาและพี่ชายรักและหวังดีกับตน
ยามนี้มู่อิงมิรู้ว่าควรซาบซึ้งในความใส่ใจนี้ดี หรือร้องไห้ในความใส่ใจนี้กันแน่
“ถ้าเขาหายดีแล้วอย่าลืมพามาพบพ่อเสียละ เขาเคยช่วยอิงเอ๋อของพวกเราเอาไว้ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณ” แววตายามมองบุตรชายนั้นอบอุ่นอ่อนโยนอย่างยิ่ง หากแต่ชื่อเสียงเรื่องความหวงบุตรชายคนเล็กและบุตรสาวของท่านอ๋องมู่หยงป๋อนั้นเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง ตอนที่บุตรสาวแต่งออกไปนั้นหากไม่ใช่สมรสพระราชทานยังมิรู้ว่ายามนี้นางจะได้แต่งหรือไม่ บุตรสาวโดนผู้อื่นพรากไปแล้ว เหลือเพียงบุตรชายคนสุดท้ายให้ชื่นอกชื่นใจ ดังนั้นไม่ว่าบุรุษหรือสตรีหากท่านอ๋องไม่พอใจก็อย่าหวังจะมาเข้าใกล้บุตรชายสุดที่รัก
“หากเขาหายดีแล้วอิงเอ๋อต้องพาเขาไปพบท่านพ่อแน่” มู่อิงรับปาก แน่นอนว่ายามที่เขาพาหลิวเฉินซางไปพบบิดาต้องมีมารดาอยู่ด้วย
มารดาของเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในจวน ไม่ว่าบิดาหรือพี่ชายต่างก็เกรงกลัวกันทั้งนั้น หากมารดาเขาไม่ขัดข้องมีหรือที่บิดาและพี่ชายของเขาจะกล้าแย้ง อย่างไรเสียมารดาของเขาก็อ่อนโยนกว่าบิดามาก
-
มาแล้ว มาแล้ววว
ขอบคุณมากเลยนะคะ
มาอัพต่อบ่อยๆนะคะ
เป็นกำลังใจให้คนแต่งเสมอค่ะ
สู้ๆค่ะ
:pig4: :pig4:
:mew1: :mew1:
-
:L2: :pig4:
-
สนุกกกกกกก รอตอนต่อไปนะคะ
-
มันเขี้ยวมู่อิง
-
:3123: :3123: :3123: :3123: :3123:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
อ่านทันแล้ววววว. ชอบมากกกกก
:-[ :-[ :-[
-
:L2: :3123: :pig4: :3123: :L2:
-
น่ารักอ่ะ :katai2-1:
-
คิดถึงมู่อิงมากเลยค่ะ ในที่สุดก็ใจตรงกันแล้ว
ท่านจอมยุทธคงต้องผ่านด่านบิดาและพี่ชายทั้ง 3 ให้ได้ซินะ
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ
-
น้องมู่อิงกับพี่หลิวมาแล้ว แหม่ กอดแปปเดียวเองนะ มีคนมาขัดได้เรื่อยๆเลย
ว่าแต่งานนี้รอแค่ท่านแมาล่ะนะว่าจะเห็นชอบกับลูกเขยคนนี้รึเปล่า น่าลุ้นมากค่ะ รอต่อนะคะ :L1:
-
:hao7: :hao7:
-
คืดถึงคนเขียนที่สุดในสามโลกกกก
-
รออิงเอ๋อร์ไปป่วนในวังแทบไม่ไหวแล้ววววววววววว
-
:pig4:
-
-20-
ภายในท้องพระโรงที่เหล่าขุนนางต่างต้องมาประชุมเช้าโอรสสวรรค์นั่งอยู่บนบัลลังมังกรทอดสายตามองเหล่าขุนนางด้วยความเห็นใจ เวลานี้แม้แต่พระองค์เองยังรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างเล็กน้อย แล้วจะโทษเหล่าขุนนางที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นพระตำหนักได้อย่างไร
ฮ่องเต้จ้าวเทียนหลงมองไปยังบุรุษชุดม่วงขลิบชายเสื้อสีทอง ทั้งดูสูงส่งทั้งดูไร้กฎเกณฑ์ มู่ชินอ๋องที่หายหน้าไปจากเมืองหลวงถึงห้าปีเต็มบัดนี้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ก่อนเขาจากไปเหล่าขุนนางหวาดเกรงเขาจนหดหัวหดหางเช่นไร ยามนี้ก็ยังไม่มีความกล้าเพิ่มขึ้นแม้สักส่วนเดียว เกรงกลัวมู่อิงเสียยิ่งกว่าเขาที่เป็นฮ่องเต้เสียอีก เขาผู้เป็นพี่เขยไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่น่าหัวเราะคือเมื่อมีมู่อิงเหล่าขุนนางล้วนเจียมเนื้อเจียมตัว ขยันขันแข็งเกรงว่าจะเป็นที่จับตามองของมู่ชินอ๋อง เพราะเมื่อท่านอ๋องแลสายตามองผู้ใด คนผู้นั้นมิเคยได้ดี!!! มิสู้ไม่อยู่ในสายตาท่านอ๋องตลอดไปเสียเลย
“ฝ่าบาทวันนี้บ้านเมืองช่างสงบสุข เป็นเพราะบุญบารมีของพระองค์โดยแท้”มู่อิงมองจ้าวเทียนหลงด้วยสายตานิ่งสนิทไม่เข้ากับวาจายกยอปอปั้นของตนเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วท้องพระโรง จนเหล่าขุนนางต่างขนลุกซู่ไปตามๆกัน
มีใครฟังวาจาไม่ออกบ้างว่าท่านอ๋องกำลังหาว่าพวกเขาเอาแต่ก้มหัวหดหางวาจาสักคำยังไม่เอ่ยออกมา ต่อหน้าฮ่องเต้และมู่ชินอ๋อง แม้แต่จะจามสักครั้งพวกเขายังต้องอดกลั้นเอาไว้
“มู่ชินอ๋องชมเราเกินไปแล้ว เหล่าขุนนางทั้งหลายเริ่มประชุมได้ มิต้องกลัวท่านอ๋องแตกตื่นตกใจ”จ้าวเทียนหลงมองไปทั่วท้องพระโรงอีกครั้ง สายตาอบอุ่นอ่อนโยนสองส่วน ทรงอำนาจห้าส่วน อีกสามส่วนดูลึกล้ำราวก้นสมุทรจนคนคาดเดาไม่ได้
“พวกเจ้ามีอะไรยังไม่รีบพูด ทำให้ข้าท่านอ๋องต้องขายหน้าฝ่าบาทแล้ว”
สิ้นเสียงมู่อิง เหล่าขุนนางต่างทูลรายงานราชกิจน้อยใหญ่ แทบจะท่องอยู่ในใจว่าอย่าทำให้ท่านอ๋องพิโรธ
หากจะกล่าวถึงความกลัวที่เหล่าขุนนางมีต่อมู่อิง ล้วนถูกปลูกฝังมาจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนทั้งสิ้น ฮ่องเต้พระองค์ก่อนไม่ว่าสิ่งใดล้วนตามอกตามใจมู่ชินอ๋องจนเขาแทบจะขึ้นไปขี่อยู่บนหัวรัชทายาท ถึงขนาดพระราชทานตำแหน่งชินอ๋องให้พระนัดดาคนโปรด เพียงเพราะเขาบุกเดี่ยวสังหารโจรภูเขาไปสามลูก ยามนั้นใครไม่รู้บ้างว่าที่มู่ชินอ๋องทำไปนั้นเพียงเพราะระบายโทสะที่เหล่าโจรบังอาจคิดการใหญ่อย่างเช่นลักพาตัวฮองเฮา แต่ฝ่าบาทกลับหลับตาข้างลืมตาข้างโมเมไปว่าเขาทำเพื่อแผ่นดิน อวยยศชินอ๋องให้ด้วยเหตุเช่นนี้เอง
หากแต่ท่านอ๋องเพียงผู้เดียวสังหารโจรภูเขาไปถึงสามลูก นี่มันมิใช่คนแล้ว พวกเขาจะให้กล้าหาญอย่างไรก็ไม่อาจเอ่ยปากโต้แย้ง
เมื่อต่างรายงานราชกิจกันไปจนหมดสิ้นแล้วท้องพระโรงกลับมาเงียบกริบอีกครั้ง ขุนนางใหม่เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงมู่ชินอ๋องแต่ยังไม่เคยพบเจอท่านอ๋องผู้นี้เลยสักครั้ง จึงตัดสินใจมองดูเขาสักแว๊บเพื่อจะได้ไม่ทำผิดพลาดไปล่วงเกินท่านอ๋องเข้า แต่หากเมื่อเห็นใบหน้างดงามดวงนั้น ที่ใจเต้นก็ใจเต้น ที่หน้าแดงก็หน้าแดง ที่แข่งขาอ่อนก็พิงสหายขุนนางที่ยืนอยู่ข้างๆ ไว้ แต่ละคนราวกับโคลนเหลวก้อนหนึ่งที่ท่านอ๋องจะทุบ บี้แบนเช่นไรก็ได้ ใครใช้ให้ท่านอ๋องงดงามถึงปานนี้เล่า แทบจะขโมยหัวใจผู้อื่นไปทั้งดวง มิน่าเวลามีคนเอ่ยถึงมู่ชินอ๋องแววตาถึงแฝงแววลุ่มหลงถึงสามส่วน
หลังเลิกว่าราชกิจในท้องพระโรงมู่ชินอ๋องถูกฝ่าบาทเรียกตัวไว้ที่ห้องทรงพระอักษร มิรู้ว่าจะทรงตำหนิท่านอ๋องที่หายตัวไปถึงห้าปีหรือไม่ ไม่ว่าด้วยเหตุใดขุนนางทั้งหลายต่างไม่กล้าคาดเดา ต่างเร่งรีบกลับไปทำงานตามหน้าที่ของตน ยามนี้ท่านอ๋องกลับมาแล้วพวกเขาต้องกลับไปทำให้ทุกสิ่งอย่างเข้าที่เข้าทางไม่อาจให้สิ่งใดระคายเคืองสายตาท่านอ๋อง
ส่วนท่านอ๋องที่เหล่าขุนนางต่างหวาดกลัวจนตัวสั่นผู้นี้ กำลังนั่งเก้าอี้จิบชาอยู่ในห้องทรงพระอักษรดวงตาหรี่ลงน้อยๆ ดูผ่อนคลายสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ด้านหลังยังมีหยวนกงกงขันทีรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ที่ทำหน้าใกล้ร้องไห้เต็มทีคอยปรนนิบัติ ส่วนข้ารับใช้คนอื่นๆ โดนฝ่าบาทไล่ออกไปหมดแล้ว
“ข้าต้องการโสมทั้งหมดที่ส่งเข้าวังคืน” มู่อิงปิดฝาถ้วยชาเบาๆ แล้ววางลงบนโต๊ะ
เมื่อเห็นมู่อิงแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ หยวนกงกงใกล้ร้องไห้ออกมาเต็มที วาจาไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินไร้ความเคารพยำเกรงฝ่าบาทถึงเพียงนี้มีแต่ท่านอ๋องเท่านั้นที่กล้าเอ่ยออกมา เขาเป็นเพียงข้ารับใช้ตัวเล็กๆ วาจาเช่นนี้ไหนเลยจะกล้าฟัง
“เจ้าก็รู้ว่านั่นถือเป็นของบรรณาการ หากต้องการให้เรามอบให้ก็ต้องมีความดีความชอบถึงจะประทานเป็นรางวัลให้ได้”
ปัง!!!
มู่อิงตบโต๊ะที่วางถ้วยชาเสียงดัง หยวนกงกงที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับหลังเหงื่อเย็นออกมาทั้งร่าง มิรู้ว่าศีรษะน้อยๆ จะหายไปวันใด
“เจ้าจะเอาอย่างไรก็ว่ามา อย่าให้ข้าต้องลงไม้ลงมือ” ว่าพรางม้วนชายแขนเสื้อขึ้นราวกับอันธพาลก็มิปาน แค่เห็นหน้าจ้าวเทียนหลงมู่อิงก็คันไม้คันมือ มิใช่ฮ่องเต้เดียรัจฉานองค์นี้หรือไรที่มาขโมยน้องสาวที่เขารักยิ่งไป หากมิเห็นแก่ชุดมังกรที่เขาสวมอยู่ป่านนี้คงโดนตนซ้อมจนตกจากเก้าอี้นานแล้ว
อย่างไรเสียหากมีฮ่องเต้พิการภาพลักษณ์ของแว่นแคว้นมิเสียหายย่ำแย่หรอกหรือ ยามนี้ต่อให้เขาอยากลงมือแค่ไหนก็ต้องอดกลั้นเอาไว้
“ ช่วงที่เจ้าจากไป นางกำนัลทั้งป่วยตายและหายตัวไปมากมายนัก ทุกวันนี้ยังหาสาเหตุไม่ได้ หากมู่ชินอ๋องสามารถไขคดีนี้ได้...”
“มิใช่ว่าเจ้ารู้ตัวคนทำอยู่แล้ว”
“ชินอ๋องมากความสามารถ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำเพื่อราชสำนักมิได้หรือ”
“ตกลง! แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าเอาโสมกึ่งหนึ่งมาให้ข้า”
“หยวนกงกงรับราชโองการ มู่ชินอ๋องกลับมาร่างกายดูซูบผอม เราเห็นแล้วปวดใจนัก จึงพระราชทานโสมให้เพื่อบำรุงร่างกาย จบราชโองการ”
“อย่าลืมส่วนที่เหลือก็แล้วกัน!!!”หลังจากได้ในสิ่งที่ต้องการ มู่อิงก็สะบัดชายแขนเสื้อจากไป
ยามนั้นหยวนกงกงถึงได้หายใจได้ทั่วท้อง มิรู้ตัวมาก่อนว่าตนเองกลั้นหายใจได้เนิ่นนานปานนี้
“ฝ่าบาททำเช่นนี้จะดีหรือพะย่ะค่ะ”หยวนกงกงหันไปมองหน้าฮ่องเต้ที่ยามนี้หน้าซีดลงเล็กน้อย ฝ่าบาทช่างเก็บสีหน้าได้ดีกว่าแต่ก่อนยิ่งนัก ปกติคงหน้าซีดขาวไปหลายส่วนแล้ว
“เรานึกว่าวันนี้คงโดนทำร้ายจนเขียวช้ำไปทั้งตัวแล้ว ดูท่าน้องมู่อิงคงอดกลั้นได้ดีกว่าแต่ก่อนมาก” จ้าวเทียนหลงลูบอกตัวเองเบาๆ ถึงแม้จะเป็นโอรสสวรรค์หากแต่มู่อิงลงมือขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่รู้ควรทำเช่นไร อย่างไรเสียเขาก็ยอมมู่อิงมาตั้งแต่เล็ก มิเคยเอาคืนเลยสักครั้ง หากทำให้มู่ชินอ๋องมีรอยขีดข่วนเพียงเล็กน้อย คิดปีนขึ้นเตียงฮองเฮาคงยากแล้ว
“ท่านอ๋องก็มิถึงขั้นใจร้อนเช่นแต่ก่อน นับเป็นเรื่องน่ายินดีนะพะย่ะค่ะ” มิเช่นนั้นโต๊ะทรงพระอักษรของฝ่าบาทจะยังอยู่ดีมีสุขเช่นนี้หรือ ยังโต๊ะน้ำชาตัวนี้อีก อย่างน้อยก็ต้องถูกตบจนพัง
“เสี่ยวหยวนจื่ออย่าลืมให้คนนำหลักฐานทั้งหมดที่เราสืบได้ไปให้น้องมู่อิง ครานี้เกี่ยวพันธ์ถึงตำหนักเทพ นอกจากน้องมู่อิงแล้วเราก็ไม่เห็นว่าใครจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้” คนที่กล้าล่วงเกินแม้แต่พระองค์เช่นนี้ จะเห็นตำหนักเทพอยู่ในสายตาได้เช่นไร
“ฝ่าบาทแล้วเรื่องคนผู้นั้น...”
“หากเขาอยู่ในเมืองหลวงเงียบๆ ก็ดีไป ส่งคนไปจับตาดูไว้ก็พอ”
“รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ”
น้องภรรยาผู้นี้ มิรู้ว่าเพราะเหตุใดจึงนำเรื่องปวดหัวเช่นนี้กลับมาด้วย
เมื่อออกจากห้องทรงพระอักษรมามู่อิงก็มุ่งตรงไปยังตำหนักหงส์อันเป็นที่ประทับของฮองเฮา กลับเมืองหลวงมาครั้งนี้ที่เขาอยากเจอมากที่สุดมีเพียงมารดากับน้องสาว ดังนั้นเมื่อเข้าวังหลวงมาแล้วก็ต้องมาพบน้องสาวสักครั้ง
+++ เพิ่ม +++
ตำหนักหงส์ของฮองเฮาตั้งอยู่ใกล้กับตำหนักมังกรทะยานของฮ่องเต้มากที่สุดเดินผ่านสะพานเก้าโค้งอันประณีตงดงามไปเพียงเล็กน้อยก็ถึง ข้างตำหนักยังมีสระบัวขนาดใหญ่ กลางสระบัวมีศาลากลางน้ำไว้คอยรับลมยามที่อากาศร้อน ดูประณีตงดงามหากแต่ไม่ฟุ้งเฟ้อ มู่อิงกวาดตาดูทั่วตำหนักหงส์อย่างพึงพอใจ ดูท่าชีวิตความเป็นอยู่ของมู่ตานภายในวังหลวงจะไม่เลวทีเดียว
มู่อิงเดินผ่านประตูตำหนักเข้าไปโดยไม่ได้แจ้งใคร ถือคติที่ว่าบ้านของน้องสาวก็เปรียบเสมือนบ้านของตนเอง อีกทั้งวังหลวงแห่งนี้มีที่ใดบ้างที่เขาไม่เคยเหยียบย่างเข้าไป หากแต่เสียงที่ได้ยินเข้าหูกลับทำให้คิ้วเรียวดังกิ่งหลิวขมวดมุ่น ฝีเท้ากลับยังคงก้าวต่อไปโดยไม่ชะงัก
“หม่อมฉันขอร้องฮองเฮา ยามนี้ตำหนักในว่างเปล่า เพื่อความรุ่งเรืองของราชวงศ์ขอทรงทูลเกลี่ยกล่อมฝ่าบาทให้รับสนมชายาเพิ่มด้วยเถิดพะย่ะค่ะ”
“อย่างไรเสียอย่างน้อยก็ควรเติมตำแหน่งพระสนมที่ว่างอยู่ให้เต็มนะพ่ะยะค่ะ”
จากนั้นจึงตามมาด้วยวาจามากมายที่ต้องการให้ฮ่องเต้รับพระสนมเพิ่ม
มู่อิงก้าวเข้ามาในห้องรับรองตำหนักหงส์โดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เมื่อนางกำนัลและขันทีที่เห็นเขาต่างย่อกายทำความเคารพคิดจะอ้าปากแจ้งการมาถึงของมู่ชินอ๋องต่างก็ต้องหุบปากลงเมื่อท่านอ๋องทำท่าทางให้เหล่าข้ารับใช้หุบปาก
ส่วนฮองเฮาที่กำลังรับฟังเรื่องทุกข์ร้อนของเหล่าขุนนางกลับเพียงนั่งฟังเงียบๆ ไม่เอ่ยวาจาออกมาแม้สักประโยคเดียว ความเงียบเช่นนี้ทำให้เหล่าขุนนางที่ไม่รู้ว่าฮองเฮาทรงคิดเช่นไรอยู่ หากทรงไม่เห็นด้วยเหตุใดยังทรงนิ่งเฉยอยู่พระอาการโกรธกริ้วสักเล็กน้อยก็ไม่แสดงออกมา หากทรงเห็นด้วยเหตุใดจึงไม่รับปากพวกเขาสักประโยคสองประโยค ทำเช่นนี้ช่างทำให้คนอึดอัดนัก
“เรื่องตำหนักในของฝ่าบาทมีที่ให้ขุนนางเช่นพวกเจ้ามาสอดปากตั้งแต่เมื่อไหร่”
เหล่าขุนนางที่เมื่อสักครู่ยังรบเร้าฮองเฮายามนี้กลับหุบปากลงกันหมดเมื่อมองเห็นผู้เอ่ยปากพูด แต่ละท่านในใจร้องหาบิดามารดาแทบไม่ทัน มู่ชินอ๋องถูกฝ่าบาทเรียกตัวไว้ที่ห้องทรงพระอักษรไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า
“คาราวะมู่ชินอ๋อง” เหล่าขุนนางต่างรีบลุกขึ้น ใบหน้าแต่ละท่านดูย่ำแย่จนมองแทบไม่ได้
“มิสู้ข้ามอบสาวงามให้พวกท่านสักสองสามคน บุตรเขยใต้เท้าเหลียวมิใช่แต่งเพียงบุตรสาวท่านผู้เดียวเช่นกันพวกเขาอยู่ร่วมกันเพียงเท่านี้ชีวิตคงจะเงียบเหงามากเกินไป ข้าท่านอ๋องใจกว้างโอบอ้อมอารีปานนี้จะมอบสาวงามให้เขาสักสองสามคน...” มู่อิงจ้องมองใบหน้าที่ซีดเผือดลงทันทีของเหลียวซือจิงเจ้ากรมอากร
คนผู้นี้ดูเหมือนจะเหลือบุตรสาวคนเล็กยังไม่ได้ออกเรือน คงหวังอยากให้บุตรสาวปีนขึ้นเตียงฮ่องเต้กระมัง ขุนนางพวกนี้คงจะอยู่กันอย่างสงบสุขกันมากเกินไป ในเมื่อเขามู่อิงกลับมาแล้ว จะช่วยให้ชีวิตของเหล่าขุนนางครึกครื้นขึ้นสักเล็กน้อยก็แล้วกัน!
เหลียวซือจิงเวลานี้ใบหน้าซีดเผือด บุตรสาวของเขาอยู่ร่วมกับบุตรเขยดียิ่ง หากเพิ่มสตรีเข้าไปในครอบครัวพวกเขามิเท่ากับทำลายความสุขชั่วชีวิตของลูกสาวคนโตหรอกหรือ แต่มู่ชินอ๋องเอ่ยปากพูดออกมาแล้วเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร ทำไมเขาต้องเชื่อคำพูดของสหายขุนนางคนอื่นๆ มาขอร้องฮองเฮา ตั้งแต่เห็นท่านอ๋องที่ท้องพระโรงควรจะรู้ว่าวาจาใดควรเอ่ยไม่ควรเอ่ย นี่เขาแก่จนเลอะเลือนไปแล้วใช่หรือไม่
“ใต้เท้าเหลียวยังไม่รีบขอบคุณท่านอ๋องอีกหรือ”ฮองเฮาที่ไม่ยอมเอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียวพูดขึ้น ใบหน้างดงามน่าหลงใหลดวงนั้นดูคล้ายมู่ชินอ๋องถึงแปดส่วนหากแต่กลับสูงส่งจนคนไม่กล้ามองเต็มๆ ตา น้ำเสียงนุ่มนวลรื่นหูจนอยากฟังอีกสักครั้ง ฮองเฮายามไม่เอ่ยวาจานั้นงดงามราวกับรูปปั้นเทพธิดา ยามเอ่ยวาจากลับชวนหลงใหลเพิ่มขึ้นหลายส่วนนัก
“ขอบพระคุณท่านอ๋อง” ใต้เท้าเหลียวขอบคุณพร้อมกับแอบร้องไห้อยู่ในใจ
ส่วนขุนนางท่านอื่นอีกสี่ท่านต่างยืนก้มหน้าไม่เอ่ยวาจาออกมาสักคำ บรรดาเหล่าขุนนางต่างรู้กันดีไม่ใช่หรือ หากอยู่ในสายตาท่านอ๋องเมื่อไหร่ ก็พินาศกันเมื่อนั้น ยามนี้ท่านอ๋องมิใช่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาแล้วหรอกหรือ จะหลบหนีเคราะห์ร้ายครั้งนี้ยังจะมีหนทางใดอีก ได้แต่ต้องเงยหน้ารับเคราะห์กันอย่างถ้วนหน้า
หลังจากมอบสาวงามให้บรรดาขุนนางและบุตรเขยขุนนางที่มารบกวนฮองเฮาจนครบทุกท่าน มู่อิงจึงไล่พวกเขาออกไปจนหมด คิดจะมาทำลายความสุขน้องสาวตน ก็ต้องถามว่าเขามู่อิงเห็นด้วยหรือไม่!
“ข้าบอกเจ้าแต่แรกแล้วว่าแต่งให้จ้าวเทียนหลงไม่มีเรื่องดี” ท่าทางมู่อิงเปลี่ยนจากท่านอ๋องผู้สูงส่งจนผู้คนหวาดกลัวเมื่อสักครู่ มาเป็นบุรุษรูปงามเอาแต่ใจ ท่าทางแง่งอนเล็กน้อยเช่นนี้ทำให้ใบหน้างดงามล่มเมืองของมู่ตานปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะพบเห็น
น้องชายผู้นี้ไม่เห็นมาห้าปีแต่กลับไม่เปลี่ยนไปเลย กลับดูเติบใหญ่จนน่าวางใจขึ้นมากนัก
“พี่เทียนหลงดียิ่ง”แววตาของมู่ตานเปล่งประกายความสุขจางๆ มู่อิงที่สังเกตทุกอิริยาบถของนางจึงอดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ มู่ตานมีความสุขก็ดีแล้ว อย่างไรเสียนางก็เป็น...อะแฮ่ม...พี่สาว..เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องทั้งหมด อีกทั้งพวกเขาเป็นฝาแฝดที่คลานตามกันออกมาความรักและผูกพันระหว่างทั้งสองคนจึงแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง
“หากเจ้ารอข้าหาสามีดีๆ ให้ คงไม่ต้องมีเรื่องรำคาญใจเช่นนี้” แน่นอนว่าสามีดีๆ ที่เขาจะหาให้นางย่อมไม่มีอยู่บนโลกนี้
“ดีเช่นคนที่เจ้าพามาหรือไม่เล่า”
สิ้นคำมู่ตานใบหน้าของมู่อิงเริ่มแดงขึ้นน้อยๆ ก่อนเจ้าตัวจะอุบอิบเสียงเบาว่า
“นั่นย่อมไม่เหมือนกัน”
“คนผู้นั้นงดงามมากหรือ งดงามกว่าเจ้าหรือ” นางจำได้ว่ามู่อิงบอกว่าจะแต่งคนที่งดงามที่สุดในใต้หล้า ที่สำคัญเวลาเขามองแล้วต้องไม่ระคายเคืองสายตา บุรุษที่น้องชายพามาด้วยผู้นั้น นางเองก็อยากจะเห็นสักครั้ง หากไม่ติดว่านางเป็นถึงฮองเฮาคงแอบหนีออกจากวังไปดูตัวว่าที่น้องเขยตั้งแต่วันแรกแล้ว
พอคิดถึงความงามของหลิวเฉินซางมู่อิงก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ หากจะเอ่ยถึงหลิวเฉินซางคนผู้นี้มองอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ที่งดงามที่สุดในแผ่นดิน จากคำบอกเล่าของสตรีในยุทธภพหลิวเฉินซางนั้นหล่อเหลางามสง่าบุคลิกสูงส่งประดุจเทพเซียน เมื่อเทียบกับจ้าวเทียนหลงแล้วแน่นอนว่าในสายตามู่อิงท่านประมุขหลิวย่อมดีกว่ามากมายนัก แต่อย่างน้อยส่วนที่งดงามที่สุดของเขามิใช่เส้นผมสีเงินยวงเหล่านั้นหรอกหรือ แค่คิดถึงเส้นผมสีเงินยามต้องแสงจันทร์ของหลิวเฉินซางมู่อิงก็ยิ้มออกมาอย่างเคลิบเคลิ้มราวกับเฒ่าวิปลิต อย่างไรเสียคืนนี้แสงจันทร์คงไม่เลวนัก มิสู้เชิญหลิวเฉินซางมาจิบชาชมจันทร์ให้สำราญใจ ท่าทางป่วยไข้ของเขายามนี้ก็ช่างเข้ากับแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา แค่คิดภาพตามก็งดงามเหนือหล้าจนคนใจเต้นแล้ว
“...” ในสมองของมู่อิงยามนี้คิดแต่ว่าคืนนี้จะเชื้อเชิญหลิวเฉินซางมาดื่มชาชมจันทร์ ไหนเลยจะตอบคำถามของมู่ตานได้
“อิง อิง! อิงเอ๋อ!!!”เมื่อเห็นมู่อิงเอาแต่ทำหน้าเคลิบเคลิ้มมู่ตานไหนเลยจะมัวรักษาภาพลักษณ์ของฮองเฮา นางตะโกนเรียกน้องชายเสียงดังลั่น จนเหล่าขันทีและนางกำนัลต่างต้องก้มหน้าลงต่ำ ไม่รับรู้การทำกิริยาไม่งามของฮองเฮา
“ตานเอ๋อ...เจ้าว่าอย่างไรนะ” มู่อิงหันไปมองมู่ตานอย่างงงงวย
“คนผู้นั้นงามมากหรือ งามกว่าเจ้าหรือเปล่า” น้องชายนางคือบุรุษที่งดงามงามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา หากมู่อิงเกิดเป็นสตรีด้วยใบหน้างดงามเช่นนี้ไม่รู้ว่ามีบุรุษมากมายเท่าที่จะยอมตายถวายชีวิต ตัวนางเองหากไม่เพราะพอถึงวัยปักปิ่นก็หมั้นหมายกับพี่เทียนหลง ชีวิตคงวุ่นวายหาความสงบสุขไม่ได้เป็นแน่
“เขาไม่เลวเลย...”
มู่อิงกับมู่ตานสองพี่น้องผู้ไม่ได้พบหน้ากันมาเนิ่นนานยามนี้ได้พบกันย่อมมีเรื่องราวมากมายให้พูดคุยแลกเปลี่ยน ลืมเรื่องกวนใจของเหล่าขุนนางไปจนหมดสิ้น
มู่อิงอยู่กินข้าวกลางวันกับมู่ตานแล้วจึงกลับจวน ระหว่างทางพบหยวนกงกงที่ได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้นำหลักฐานคดีหายตัวไปของนางกำนัลทั้งหมดมาให้ท่านอ๋อง มู่อิงนิ่งมองหยวนกงกงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะบอกให้ ‘เสี่ยวหยวนจื่อ’ ส่งของทั้งหมดไปให้เขาที่จวน เสี่ยวหยวนจื่อยามนี้เป็นกงกงแล้วก็ยังคงน่ารังแกเช่นเดิม ช่างทำให้เขาสำราญใจนัก
หลังจากมอบสาวงามให้บรรดาขุนนางและบุตรเขยขุนนางที่มารบกวนฮองเฮาจนครบทุกท่าน มู่อิงจึงไล่พวกเขาออกไปจนหมด คิดจะมาทำลายความสุขน้องสาวตน ก็ต้องถามว่าเขามู่อิงเห็นด้วยหรือไม่!
“ข้าบอกเจ้าแต่แรกแล้วว่าแต่งให้จ้าวเทียนหลงไม่มีเรื่องดี” ท่าทางมู่อิงเปลี่ยนจากท่านอ๋องผู้สูงส่งจนผู้คนหวาดกลัวเมื่อสักครู่ มาเป็นบุรุษรูปงามเอาแต่ใจ ท่าทางแง่งอนเล็กน้อยเช่นนี้ทำให้ใบหน้างดงามล่มเมืองของมู่ตานปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะพบเห็น
น้องชายผู้นี้ไม่เห็นมาห้าปีแต่กลับไม่เปลี่ยนไปเลย กลับดูเติบใหญ่จนน่าวางใจขึ้นมากนัก
“พี่เทียนหลงดียิ่ง”แววตาของมู่ตานเปล่งประกายความสุขจางๆ มู่อิงที่สังเกตทุกอิริยาบถของนางจึงอดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ มู่ตานมีความสุขก็ดีแล้ว อย่างไรเสียนางก็เป็น...อะแฮ่ม...พี่สาว..เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องทั้งหมด อีกทั้งพวกเขาเป็นฝาแฝดที่คลานตามกันออกมาความรักและผูกพันระหว่างทั้งสองคนจึงแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง
“หากเจ้ารอข้าหาสามีดีๆ ให้ คงไม่ต้องมีเรื่องรำคาญใจเช่นนี้” แน่นอนว่าสามีดีๆ ที่เขาจะหาให้นางย่อมไม่มีอยู่บนโลกนี้
“ดีเช่นคนที่เจ้าพามาหรือไม่เล่า”
สิ้นคำมู่ตานใบหน้าของมู่อิงเริ่มแดงขึ้นน้อยๆ ก่อนเจ้าตัวจะอุบอิบเสียงเบาว่า
“นั่นย่อมไม่เหมือนกัน”
“คนผู้นั้นงดงามมากหรือ งดงามกว่าเจ้าหรือ” นางจำได้ว่ามู่อิงบอกว่าจะแต่งคนที่งดงามที่สุดในใต้หล้า ที่สำคัญเวลาเขามองแล้วต้องไม่ระคายเคืองสายตา บุรุษที่น้องชายพามาด้วยผู้นั้น นางเองก็อยากจะเห็นสักครั้ง หากไม่ติดว่านางเป็นถึงฮองเฮาคงแอบหนีออกจากวังไปดูตัวว่าที่น้องเขยตั้งแต่วันแรกแล้ว
พอคิดถึงความงามของหลิวเฉินซางมู่อิงก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ หากจะเอ่ยถึงหลิวเฉินซางคนผู้นี้มองอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ที่งดงามที่สุดในแผ่นดิน จากคำบอกเล่าของสตรีในยุทธภพหลิวเฉินซางนั้นหล่อเหลางามสง่าบุคลิกสูงส่งประดุจเทพเซียน เมื่อเทียบกับจ้าวเทียนหลงแล้วแน่นอนว่าในสายตามู่อิงท่านประมุขหลิวย่อมดีกว่ามากมายนัก แต่อย่างน้อยส่วนที่งดงามที่สุดของเขามิใช่เส้นผมสีเงินยวงเหล่านั้นหรอกหรือ แค่คิดถึงเส้นผมสีเงินยามต้องแสงจันทร์ของหลิวเฉินซางมู่อิงก็ยิ้มออกมาอย่างเคลิบเคลิ้มราวกับเฒ่าวิปลิต อย่างไรเสียคืนนี้แสงจันทร์คงไม่เลวนัก มิสู้เชิญหลิวเฉินซางมาจิบชาชมจันทร์ให้สำราญใจ ท่าทางป่วยไข้ของเขายามนี้ก็ช่างเข้ากับแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา แค่คิดภาพตามก็งดงามเหนือหล้าจนคนใจเต้นแล้ว
“...” ในสมองของมู่อิงยามนี้คิดแต่ว่าคืนนี้จะเชื้อเชิญหลิวเฉินซางมาดื่มชาชมจันทร์ ไหนเลยจะตอบคำถามของมู่ตานได้
“อิง อิง! อิงเอ๋อ!!!”เมื่อเห็นมู่อิงเอาแต่ทำหน้าเคลิบเคลิ้มมู่ตานไหนเลยจะมัวรักษาภาพลักษณ์ของฮองเฮา นางตะโกนเรียกน้องชายเสียงดังลั่น จนเหล่าขันทีและนางกำนัลต่างต้องก้มหน้าลงต่ำ ไม่รับรู้การทำกิริยาไม่งามของฮองเฮา
“ตานเอ๋อ...เจ้าว่าอย่างไรนะ” มู่อิงหันไปมองมู่ตานอย่างงงงวย
“คนผู้นั้นงามมากหรือ งามกว่าเจ้าหรือเปล่า” น้องชายนางคือบุรุษที่งดงามงามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา หากมู่อิงเกิดเป็นสตรีด้วยใบหน้างดงามเช่นนี้ไม่รู้ว่ามีบุรุษมากมายเท่าที่จะยอมตายถวายชีวิต ตัวนางเองหากไม่เพราะพอถึงวัยปักปิ่นก็หมั้นหมายกับพี่เทียนหลง ชีวิตคงวุ่นวายหาความสงบสุขไม่ได้เป็นแน่
“เขาไม่เลวเลย...”
มู่อิงกับมู่ตานสองพี่น้องผู้ไม่ได้พบหน้ากันมาเนิ่นนานยามนี้ได้พบกันย่อมมีเรื่องราวมากมายให้พูดคุยแลกเปลี่ยน ลืมเรื่องกวนใจของเหล่าขุนนางไปจนหมดสิ้น
มู่อิงอยู่กินข้าวกลางวันกับมู่ตานแล้วจึงกลับจวน ระหว่างทางพบหยวนกงกงที่ได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้นำหลักฐานคดีหายตัวไปของนางกำนัลทั้งหมดมาให้ท่านอ๋อง มู่อิงนิ่งมองหยวนกงกงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะบอกให้ ‘เสี่ยวหยวนจื่อ’ ส่งของทั้งหมดไปให้เขาที่จวน เสี่ยวหยวนจื่อยามนี้เป็นกงกงแล้วก็ยังคงน่ารังแกเช่นเดิม ช่างทำให้เขาสำราญใจนัก
+++++++++++++++
สั้นเน๊อะ ^^
+++++++++++++++
เพิ่มอีกนิดให้ยาวอีกหน่อย
-
มู่ตานเป็นพี่มู่อิงไม่ใช่เหรอ เอ๊ะ หรือว่ามู่อิงเรียกมู่ตานเป็นน้องอยู่แล้ว
รอตอนต่อไปค่ะ
-
ครอบครัวนี้ฮาจริงๆ อยากสืบแล้วว่าพี่หลิวจะแต่งเข้าบ้านน้องมู่หรือไม่อย่างไร
ขอบคุณค่ะ รอตอนต่อไปเช่นเคย
ลืมแก้หัวเรื่องค่ะ
-
ตอนนี้สั้นมากรอตอนต่อไปแบบยาวววววววววววว
-
สั้นจุงงงง
ยังไม่หายคิดถึงเลย
-
:mew1: :mew1:
:pig4: :pig4:
-
:z13:รอต่อครับ หุๆ
-
:hao7: :hao7:
-
พี่หลิวสู้ ๆนะ น้องมู่อิงช่างเก่งกล้า อิอิ
-
:L2: :pig4: :L2:
-
ขนาดฮ่องเต้ยังเกรงใจมู่อิง o13 o13 o13 o13
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
สั้นจุงง แต่ก็ยังดีที่มาต่อ
-
:mew1:
-
เผลอกั้นหายใจไปกับฮ่องเต้ด้วย
-
ฮ่องเต้บังอาจมาก ทำคนงามหงุดหงิด
-
รอๆๆ :katai2-1:
-
มู่อิงเรียกฮองเฮาว่าน้องสาว แต่ฮ่องเต้เรียกมู่อิงว่าน้องภรรยา. สรุปมู่อิงกะมู่ตานใครพี่ใครน้องคะ เริ่มงง
-
มู่ตานเป็นพี่มู่อิงไม่ใช่เหรอ เอ๊ะ หรือว่ามู่อิงเรียกมู่ตานเป็นน้องอยู่แล้ว
รอตอนต่อไปค่ะ
จริงๆมู่ตานเป็นพี่สาว แต่มู่อิงนางไม่ยอมไง งอแงอยากเป็นพี่ เขาก็เลยยอมเป็นน้อง เจ้าตัวถือว่าตัวเป็นพี่ เรียกเขาน้องตลอดเลย 5555
-
น้องมู่เป็นบุรุษที่น่าเปย์ยิ่ง
ข้านี้ยอมตายเพื่อให้ได้เปย์เธอ
พวกนั้นกลัวอะไรน้องมู่นักหนา5555555555555
-
สนุก^^รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
-
ขำตอนน้องมู่อิงออกว่าราชการ ทุกคนล้วนเติบโตขึ้นฮ่องเต้ก็เช่นกันหน้าเลยซีดน้อยลง55555 ตอนส่วนท้ายหมายถึงพี่หลิวสินะ เค้าเป็นใครกันหนอออออ
-
อ่านทีเดียว20ตอน รอตอนต่อไปนาจาาาาา
-
:pig4:
-
อ่านรวดเดียวถึงตอน20เลยสนุกมากค่ะอยากอ่านตอนต่อไปแล้ว o13
-
ฮือออออ อยากอ่านต่ออออ ชอบมากกกกกกก รีบมาน้าาา
-
อัพเพิ่มตรงบทที่ 20 นะเจ้าคะ
-
งื้ออออออ ขอยาวๆ
-
ก็ยังคง สงสารฮ่องเต้ ฮร่าๆ
-
ร้ายจริง อิงเอ๋อ
-
:katai5: :hao7:สมน้ำหน้าเหล่าขุนนาง
-
อยากเห็นน้องมู่อิงตอนป่วนๆวังจะวุ่นวายแค่ไหนน้าาาา
-
:mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
-
พี่หลิวจะยอมแต่งเข้าบ้านไหมเนี่ย น้องอิง
-
:pig4:
-
:mew1: :mew1:
-
รอตอนต่อไปค่ะ^^
-
:L2: :pig4: :L2:
-
:pig4: :pig4:
-
สนุกมว๊ากกกกกกกกกกกก.... :m3:
อยากอ่านต่อ อยากอ่านต่อ :serius2:
-
บทที่ 21
ข่าวเรื่องมู่ชินอ๋องมอบสาวงามให้เหล่าขุนนางที่ไปเข้าเฝ้าฮองเฮากระจายไปทั่วเมืองหลวง ภายในวันเดียวเหล่ายอดหญิงงามแห่งหอคณิกาต่างๆ ถูกซื้อตัวโดยมู่ชินอ๋องและส่งไปยังจวนขุนนางอย่างครบถ้วนไม่มีขาดแม้แต่ผู้เดียว ภรรยาหลวงของเหล่าขุนนางได้แต่แอบบริภาษอยู่ในใจ ถึงแม้ตอนที่สามีทูลเรื่องรับสนมนางในเพิ่มพวกนางจะไม่คัดค้าน ผู้ใดบ้างไม่อยากให้หญิงสาวตระกูลของตนแต่งเข้าวังหลวง แต่ยามนี้คิดหาภรรยาน้อยให้ผู้อื่นมิใช่ตนเองกลับได้มาเองหรอกหรือ อีกทั้งผู้มอบหญิงงามเหล่านี้ให้คือมู่ชินอ๋อง มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าท่านอ๋องผู้นี้รักหน้าตาเพียงใด สิ่งที่เขามอบให้ใครเล่าจะกล้าปฏิเสธ
ส่วนผู้ที่ทำให้ผู้อื่นอยากร่ำไห้คร่ำครวญยามนี้กลับกำลังนั่งจิบชาเลือกของกำนัลเพื่อมอบให้มารดาของตนเองอย่างไม่รับรู้ความทุกข์ร้อนของผู้อื่นอยู่ในห้องหนังสือ ของล้ำค่าที่เขาสะสมมาจากการรับงานของพรรคจันทร์กระจ่างฟ้านั้นมีมากมาย เมื่อต้องการเลือกให้มารดาสักหลายชิ้นจึงต้องคัดสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดจากสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เวลานี้ของที่เขาสั่งให้คนนำมาจากพรรคกองเต็มห้อง ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้ของแต่ละชิ้นอย่างรักถนอม มิเสียแรงที่เขายอมลงทุนลงแรงไปคลุกคลีอยู่ในยุทธภพ คนเหล่านั้นล้วนร่ำรวยไม่ต่างจากบรรดาขุนนางในวังหลวง ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนทำให้เขาเบิกบานใจ
“เรียนท่านอ๋องหยวนกงกงขอเข้าพบขอรับ”
“ให้เขาเข้ามา”
หยวนกงกงเมื่อทำความเคารพเสร็จก็ก้มหน้าก้มตานิ่ง มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาอยากร้องไห้เพียงใด เป็นถึงขันทีข้างพระวรกายฝ่าบาท อยู่ในวังนับว่าใหญ่โตไม่น้อย แม้แต่กับฮ่องเต้เขาก็ไม่เคยต้องระวังตัวเท่ากับอยู่กับมู่ชินอ๋อง ไม่รู้ว่าวันใดจะโดนท่านอ๋องกลั่นแกล้ง
“มีเรื่องอะไรก็พูดมา เอาแต่ก้มหน้าก้มตา หรือเจ้าโดนจ้าวเทียนหลงตัดลิ้นไปแล้ว” มู่อิงหยิบปิ่นปักษาคาบมุกขึ้นมาอันหนึ่ง ตัวปักษานับว่าทำได้เหมือนจริงราวกับมีชีวิต ส่วนไข่มุกในปากก็กลมเกลี้ยงไร้ตำหนิ อีกทั้งมีขนาดใหญ่เท่านิ้วหัวแม่โป้ง หากมารดาเขาใช้ก็คงทำให้บรรดาฮูหยินทั้งหลายตาร้อนผ่าว
มู่อิงเอาแต่สำรวจปิ่นปักษาคาบมุกไปมา ไม่ได้สนใจหยวนกงกงที่คุกเข่าลงกับพื้นเมื่อได้ยินพระนามของฮ่องเต้ พระนามของฝ่าบาทใช่ว่าอยากเอ่ยก็เอ่ยได้ หากมีผู้ไม่หวังดีมาได้ยินมิต้องหัวหลุดจากบ่าหรอกหรือ
“ท่านอ๋องโปรดเมตตาบ่าวด้วย” หยวนกงกงตอนนี้ตกใจแทบตายได้แต่หน้าซีดเผือด ถึงแม้มู่ชินอ๋องจะเอ่ยพระนามฝ่าบาทจนเป็นเรื่องปกติ หากแต่ข้ารับใช้ตัวเล็กๆ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจทำใจให้ชินได้ เรื่องบังอาจเหิมเกริมถึงเพียงนี้คนปกติไหนเลยจะกล้า
“เจ้าเป็นถึงขันทีคนสนิท แต่ทำตัวราวกับมุสิกเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน” มู่อิงวางปิ่นปักผมลงในกล่อง ก่อนจะโบกมือให้คนนำของทั้งหมดออกไป แล้วจึงหันไปบอกซูปี้ฮวาที่ยืนอยู่ข้างกายว่า “เจ้าไปดูสิว่าโสมที่เคี่ยวให้ประมุขหลิวได้ที่หรือยัง แล้วบอกเขาให้นอนพักสักหน่อย ส่วนคนจากพรรคเรือนเมฆาที่มาตอนเช้าไล่กลับไปให้หมด” คนบาดเจ็บยังต้องจัดการเรื่องงานในพรรคอยู่หรือ คนพรรคเรือนเมฆาไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ เพราะเหตุใดจึงขึ้นเป็นพรรคอันดับหนึ่งได้กัน ท่านจอมมารได้แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ” ชูปี้ฮวารับคำสั่งก่อนจะหมุนกายจากไปทำงานของตน คนของพรรคเรือนเมฆามาตอนเช้าหรือ เหตุใดนางจึงไม่รู้ หน้าประตูจวนก็ไม่มีใครมาขอพบประมุขหลิว อีกทั้งท่านประมุขก็ออกไปประชุมขุนนางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง
คนในยุทธภพพวกนี้...ไม่เคยเข้าตามตรอกออกตามประตูกันเลยหรือไร แม้แต่จวนอ๋องก็ยังหาญกล้าปีนกำแพงเข้ามา
เมื่อคนในห้องออกไปหมดแล้ว มู่อิงจึงให้หยวนกงกงลุกขึ้นนั่งที่เก้าอี้ทางด้านขวามือ หยวนกงกงถึงแม้หายตกใจแล้ว แต่ในใจก็สวดมนต์ให้พระพุทธองค์คุ้มครองอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าสักวันท่านอ๋องคงทำให้เขาตกใจจนตาย
“เรียนท่านอ๋อง ฝ่าบาทให้บ่าวนำหลักฐานที่สืบได้จากคดีคนหายมามอบให้ขอรับ มีทั้งรายชื่อและประวัติของบุคคลเหล่านั้น...”
“เป็นผู้หญิงทั้งหมด”มู่อิงเท้าคางมองหยวนกงกงที่กำลังรายงานก่อนจะเอ่ยแทรกขึ้นโดยไม่ปรายตามองหลักฐานแม้แต่น้อย
“ใช่ขอรับ ส่วนใหญ่เป็นนางกำนัลที่ทำหน้าที่ไม่สำคัญนักกว่าจะรู้ว่าคนหายไปก็ล่วงมาหลายวันแล้ว”
“มิใช่ว่าเป็นฝีมือธิดาเทพ”
“ท่านอ๋อง!!! ต้องมีหลักฐานจึงจะกล่าวหาผู้อื่นได้” หยวนกงกงตื่นตกใจยิ่งแล้ว ท่านอ๋องนี่อย่างไร คิดจะพูดสิ่งใดก็พูด ฝ่าบาทแม้สงสัยธิดาเทพแต่ก็ไม่เคยเอ่ยออกมา แต่ท่านอ๋องกลับ...กลับ...
“สังหารทิ้งก็สิ้นเรื่อง”
“ท่านอ๋อง!”
“จ้าวเทียนหลงมัวแต่พิรี้พิไร หลักฐานไม่สามารถสาวถึงตัวนางได้แล้วอย่างไร! เยว่เอ๋อของข้าบาดเจ็บกลับมามิใช่เพราะนางมีส่วนหรอกหรือ ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก แต่พวกเจ้ากลับไม่ยอมละเว้นข้า ยังจะต้องมามัวคิดคำนวณถึงผลได้ผลเสียอันใดอีก ความพอใจของข้ามู่อิงก็คือความถูกต้อง!” มู่อิงยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งชั่วร้าย ถ้อยคำยโสโอหังถึงเพียงนี้แม้แต่โอรสสวรรค์ยังไม่แน่ว่าจะยอมพูดออกมา
พิษสามทิวากร่อนจิตนั้นอาจารย์พึ่งให้คนส่งข่าวมาบอกเขาว่าตัวกระสายยาเป็นหญ้าค้ำเมฆา สมุนไพรล้ำค่าหายากที่มีใช้แต่เพียงภายในตำหนักเทพ อีกทั้งมุกกลืนโลหิตเม็ดนั้น เพียงพรรคตำหนักจันทราเล็กๆ จะสามารถนำคนมากมายมาสังหารกลั่นมุกกลืนโลหิตได้อย่างไรโดยที่ผีไม่รู้เทวดาไม่เห็น สถานที่ที่จะทำเช่นนี้ได้จะต้องเป็นสถานที่ใหญ่โตที่หากคนหายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเช่นวังหลวงอีกทั้งนางกำนัลเล็กๆ ในแต่ละปีป่วยตายไปก็มาก ยิ่งตำหนักเทพเป็นที่เคารพนับถือ แต่ละปีนางกำนัลถูกส่งเข้าไปหลายร้อยนาง แต่ละนางล้วนอุทิศตนให้กับตำหนักเทพตราบจนวันตาย พวกนางหายไปจะมีผู้ใดสนใจ อีกทั้งยังไม่มีคนนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องภายในของตำหนักเทพ การกระทำที่ต้องปิดหูปิดตาผู้อื่นเพียงนั้นนอกจากธิดาเทพยังจะมีผู้ใดกล้ากระทำ
มู่อิงนั่งเท้าคางอย่างเกียจคร้านมองดูหยวนกงกงที่ก้มหน้านิ่ง นัยน์ตาดำสนิทดูลึกล้ำราวกับบ่อที่มองไม่เห็นก้น แม้ดูงดงามราวปีศาจแต่กลับแฝงความอันตรายไว้รอบด้าน
“ฝ่าบาทตรัสว่าทรงหวังว่าท่านอ๋องจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
“ยุ่งยาก”
“....”
มู่อิงจ้องมองหยวนกงกงที่เอาแต่ก้มหน้านิ่ง แต่ก่อนเสี่ยวหยวนจื่อดูจะเปิดเผยมากกว่านี้ โดนเขากดดันถึงเพียงนี้สมควรจะร้องไห้โฮไปนานแล้ว แต่ยามนี้เอาแต่ก้มหน้านิ่ง วังหลวงสมกับเป็นสถานที่เคี่ยวกรำผู้คนอย่างแท้จริง แม้แต่เสี่ยวหยวนจื่อที่ชอบร้องไห้ยังอดกลั้นได้ถึงเพียงนี้ ทำให้ความสนุกของเขาลดลงไปหนึ่งอย่าง
“กลับไปบอกจ้าวเทียนหลงว่าเรื่องที่ข้ารับปากแล้วต้องจัดการให้เขาแน่ แต่ก็อย่าลืมเรื่องที่รับปากข้าไว้เช่นกัน” ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเป็นฝีมือธิดาเทพก็แค่หาทางกระชากหน้ากากอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของนางออกก็พอ
เมื่อหยวนกงกงจากไปแล้วมู่อิงก็ออกจากห้องหนังสือ ยามนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนักอีกทั้งวันนี้ยังไม่เจอหน้าหลิวเฉินซางเลยซักแวบเดียว มิสู้ไปชื่นชมเส้นผมของเขาให้เพลิดเพลินใจเสียหน่อย เมื่อคิดว่าจะกินเต้าหู้หลิวเฉินซางเช่นไร อารมณ์ของท่านจอมมารแห่งยุทธภพก็ดูจะเบิกบานขึ้นไม่น้อย
ท่ามกลางสระน้ำใสสะอาด มีปลาไนสีสดใสแหวกว่ายไปมาท่ามกลางสระน้ำและต้นหลิวเขียวชะอุ่มมีศาลารับลมหลังหนึ่งตั้งอยู่ แม้มิได้แตกต่างจากศาลาทั่วไปที่พบเห็นได้ตามจวนใหญ่โต แต่บรรยากาศกลับดูร่มรื่นไม่น้อยกอปรกับยามนี้มีบุรุษชุดขาวนั่งจิบชาทอดสายตาไปเบื้องหน้าราวกับเซียนผู้หลุดพ้นจากโลกหล้า ยามมีสายลมพัดผ่านพาเอาชายอาภรพลิ้วไหวน้อยๆ ราวกับจะพัดพาจิตใจผู้คนให้ปลิวไปตามชายอาภรเหล่านั้น
สาวใช้และบ่าวรับใช้พากันมารวมตัวกันอยู่มุมหนึ่งของสระน้ำแห่งนี้ ท่านอ๋องสั่งให้พวกเขาคอยปรนนิบัติรับใช้แขกผู้ทรงเกียรติท่านนี้ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่นายท่านผู้นี้พึ่งสั่งให้บรรดาบ่าวรับใช้ถอยห่างออกมา บรรดาสาวใช้จึงจ้องมองแขกของท่าอ๋องจนเคลิบเคลิ้มราวกับเจอบุรุษในดวงใจ มิใช่ไม่เคยเห็นบุรุษรูปงามเนื่องจากแขกของท่านอ๋องที่เข้าออกจวนแห่งนี้แต่ละท่านล้วนหน้าตาโดดเด่น ท่านอ๋องขึ้นชื่อเรื่องชื่นชอบคนที่มีรูปโฉมเจริญหูเจริญตามาแต่ไหนแต่ไรบุรุษหล่อเหลาหญิงสาวงดงามพวกเขาล้วนเห็นมาหมดแล้ว หากแต่คนที่หล่อเหลาจนคนมองใจสั่นสะท้านเช่นนี้เหล่าคนรับใช้เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก นอกจากท่านอ๋องที่งดงามจนคนตกตะลึงแล้ว ไม่หน้าเชื่อว่ายังมีบุรุษที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้อยู่ ชาตินี้ได้เป็นบ่าวรับใช้ที่จวนอ๋องแห่งนี้มิรู้ว่าพวกตนใช้บุญกุศลจากชาติที่ผ่านมาแลกมาหมดแล้วหรือไม่ ดังนั้นพวกบ่าวรับใช้จึงรวมกันอยู่มุมหนึ่งของสระน้ำ ราวกับกำลังจดจ้องภาพวาดอันงดงามของนักวาดผู้ลือชื่อ
มู่อิงยืนมองหลิวเฉินซางที่อยู่ในศาลารับลมครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหา
...พวกคนพรรคเรือนเมฆายังเรียกว่ารู้จักรักษาชีวิต ยามนี้รอบกายหลิวเฉินซางจึงไร้คนคอยรบกวน คนป่วยก็ควรพักผ่อนให้มาก แต่คนผู้นี้กลับยังคงจัดการเรื่องวุ่นวายไม่หยุดใช้ได้ที่ไหนกัน
“เหตุใดจึงมาตากลมอยู่ข้างนอก หากเบื่อหน่ายที่จวนข้ามีบ่าวไพร่มากมายให้พวกเขามาแสดงอะไรให้ดูก็ใช้ได้แล้ว” ออกมาตากลมข้างนอกเช่นนี้หากเจ็บป่วยไปจะทำเช่นไร
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”ถึงแม้การที่มู่อิงห่วงใยเช่นนี้จะทำให้เขาดีใจไม่น้อย หากแต่เขาไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น หรือการที่เขาแกล้งทำตัวอ่อนแอจะทำให้คนผู้นี้คิดว่าว่าเขาเป็นอิสตรีไปแล้ว ถึงอย่างไรเสียมู่อิงก็ต้องถูกเขาจับกินอยู่แล้ว มิรู้ว่าเหตุใดจึงต้องเปลืองแรงไปกับการทำตัวราวกับพวกจอมเจ้าชู้ ท่านจอมมารผู้นี้แม้แต่ตอนที่จับมือหรือเส้นผมเขาก็ทำราวกับโจรราคะที่กินเต้าหู้สำเร็จ ถึงแม้จะดูน่ารักไม่น้อย หากแต่ก็ดูน่าขำมากเช่นกัน คนผู้นี้แม้แต่จูบยังทำไม่เป็นยังคิดว่าจะทำเรื่องเหล่านั้นกับผู้อื่นได้หรือ
“เช่นนั้นคืนนี้เรามาจิบชาชมจันทร์กัน” ตั้งแต่เขากลับมาเมืองหลวงก็มีเรื่องวุ่นวายให้สะสางไม่มีเวลาให้สุขสำราญเช่นเดิม หากหลิวเฉินซางหายดีเมื่อไหร่เขาจะรีบกลับพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าทันที อย่างน้อยงานทุกอย่างในพรรคก็โยนให้เฉียนหลีจัดการแทนได้
“มิใช่จิบสุราหรอกหรือ” ท่าทางยามเมาสุราของท่านจอมมารนั้นช่างทำให้คนอยากให้เขาเมาสุราอยู่ร่ำไป
มู่อิงที่ได้ยินคำว่าสุรานั้น ใบหน้าเจือนลงเล็กน้อย เขามู่อิงฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง แม้แต่ฮ่องเต้เขาก็เคยทุบตีมาแล้ว หากแต่ยามนี้กลับรู้สึกว่าไม่สามารถต่อสู้กับสุราเพียงจอกเดียวได้ ถึงแม้เขาจะมีกำลังภายในล้ำเลิศเพียงใด หากแต่เมื่อสุราไหลลงคอยามใดกลับเมาก่อนจะได้ใช้กำลังภายในขับสุราออกทุกครั้งไป สุราในใต้หล้านี้สมควรถูกกำจัดให้หมด
“สุรานั้นไม่ดีต่อร่างกายเจ้า” เขาเพียงเป็นห่วงสุขภาพหลิวเฉินซางเท่านั้น ใบหน้าท่านจอมมารยามนี้เปลี่ยนจากจืดเจื่อนมาเป็นท่าทางห่วงใยหลิวเฉินซางอย่างแท้จริง เมื่อหาบันไดให้ตนเองได้เหตุใดเขาจะไม่รีบลงเล่า เรื่องน่าขายหน้าอันใดเขาจะไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด
คนผู้นี้ถึงอย่างไรก็รักหน้าตาเกินกว่าจะยอมรับได้ว่าตนเองคออ่อน
“ในเมื่อไม่มีสุรา ข้าก็หวังว่าจะได้พังเสียงพิณของเจ้า” ยามเห็นใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของมู่อิง เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้ อดคิดไม่ได้ว่าเขาหลิวเฉินซางก็มีวันนี้เช่นกัน วันที่จะเปิดใจรับคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริง ยิ่งไม่คาดคิดว่าคนผู้นั้นจะเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ยิ่งคิดว่าคนผู้นี้เป็นชินอ๋องของแคว้นเว่ยยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ซ้ำยามนี้ยังอยู่ในบ้านของผู้อื่นอย่าว่าง่าย ไม่ว่าข้อใดก็เป็นสิ่งที่ในอดีตเขาไม่เคยคิดว่าจะทำ
“เสียงพิณของข้าเป็นหนึ่งในใต้หล้า หากเจ้ายอมยกขลุ่ยหยกเลานั้นให้ข้า...” ยามเขาเห็นขลุ่ยหยกของหลิวเฉินซางตอนบรรเลงเพลงร่วมกันก็อยากได้แล้ว แต่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเสียก่อนกอปรกับยามนั้นไม่มีเหตุผลให้ช่วงชิงของของผู้อื่น เขามู่อิงจะไม่เอาของของผู้อื่นหากไม่มีข้อแลกเปลี่ยนที่เขาพึงพอใจ
“ย่อมยกให้เจ้า” หลิวเฉินซางหยิบขลุ่ยหยกจากในอกเสื้อส่งให้มู่อิงทันที ของสิ่งนี้ถึงจะงดงามเพียงใดก็เป็นเพียงขลุ่ยเลาหนึ่ง หากทำให้มู่อิงเบิกบานใจได้ก็นับว่าดีมากแล้ว คนผู้นี้มิใช่พึ่งรับปากฮ่องเต้ทำเรื่องยุ่งยากเพื่อช่วยเขาหรอกหรือ ยามมองรอยยิ้มงดงามของมู่อิงเมื่อรับขลุ่ยหยกไปสายตาหลิวเฉินซางจึงอ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
นายท่านสองคนอยู่ในบรรยากาศชื่นมื่นแต่บรรดาบ่าวไพร่ล้วนเบิกตาจ้องมองมิให้รอยยิ้มของท่านอ๋องคลาดสายตาไปแม้แต่นิดเดียว ท่านอ๋องนั้นยิ้มอย่างงดงามเช่นนี้นับครั้งได้ ปกติเพียงปรายตามองพวกเขาก็กลัวจนตัวสั่นแล้ว ยามนี้ไร้บรรยากาศน่ากลัว อีกทั้งคุณชายหลิวผู้นั้นช่างหล่อเหลาสายตายามทอดมองท่านอ๋องแทบจะทำให้คนหลอมละลาย บ่าวไพร่แต่ละคนเบิกตากว้างได้เท่าไหร่ก็พยามเบิกให้กว้างได้เท่านั้น ภาพอันงดงามเช่นนี้แม้เกิดมาสิบชาติก็ใช่ว่าจะพบเห็นได้ง่ายๆ
เจ้านายพูดคุยกันในศาลาบรรยากาศยามนี้ย่อมไม่มีผู้ใดอยากเข้าไปทำลาย บรรดาบ่าวไพร่ล้วนถอยห่างออกมาปล่อยให้ทั้งสองท่านพูดคุยหยอกล้อกัน ถึงจวนแห่งนี้เป็นเพียงจวนในเมืองหลวงที่ท่านอ๋องจะมาพักเป็นครั้งคราวมิใช้ตำหนักทางเหนือที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานให้ แต่บรรดาบ่าวไพร่ล้วนหวังให้ท่านอ๋องจะมีรอยยิ้มเช่นนี้ตลอดไป ยามที่ฮ่องเฮาแต่งออกไปบรรยากาศในจวนตรึงเครียดจนแม้แต่ยุงยังไม่กล้าบินเสียงดัง ยามนี้นับว่าสงบสุขยิ่งนัก
+++++++++++++++++++++++
แอบมาอัพเงียบๆ ให้รู้ว่ายังไม่ดองนะคะ
เพียงแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเลยค่ะ ยอมรับว่าแอบอู้ด้วย
ช่วงนี้คนเขียนขาดอินเนอร์ อ่านแล้วตะขวิดตะขวงใจก็บอกได้นะคะ
คนอ่านทุกท่านรักษาสุขภาพด้วยนะคะ ช่วงนี้เดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวแดดออก
ตอนต่อไปอาจต้องรอนานเช่นเคย แต่เพราะยังมีคนรออ่าน เราก็จะพยายามเขียนให้จบ
แอบสารภาพว่าตอนเปิดเรื่องนี่ไม่คิดว่าจะมีคนอ่านเยอะขนาดนี้ กะเขียนเอาอารมณ์อยากเขียนเข้าว่า แต่ยามนี้หากเขียนไม่จบคนเขียนอาจโดนสาปส่งได้ ดังนั้นยังไงก็จะแต่งจนกว่าจะจบค่ะ แพลนจบเรื่องนี้ยังเป็นก่อนสิ้นปีเช่นเคย
-
:L2: :pig4:
-
มู่อิงน่ารักน่าหยิกเหลือเกิน
ปล. น่ากลัว เขียนแบบนี้นะคะ
-
เอาความหวานมาเบาๆเน้อ แต่แบบอ่านแล้วอิน >\\\<
-
มู่อิงออกจากไหแล้ว 55+
-
:o8: :-[ :กอด1:
-
:hao7: :hao7: :katai5: :katai5:
-
คืนนี้ขอให้ได้กัน555พี่หลิวแสดงให้น้องมู่อิงเห็นสิว่าหายดีแล้ว
รอนะคะ
-
:mew1: :mew1: :mew1:
-
โอ้ว มาแล่วๆ ดีใจมากๆ อัฟซาที
-
คิดถึงง่ะ ลุ้น ใครจะเป็นฝ่ายถูกกินกันแน่ :katai2-1:
-
เย่ ~~~ ยังติดตามเรื่องนี้อยุ่นะคะ อัพแบ้วววว :hao7:
มู่อิงน่าร้ากกกกกกกก
-
:pig4: :pig4:
-
รถน้ำตาลคว่ำ
-
น่่ย้ากกก
-
สนุกดีค่าาา
-
เมื่อไรมู่อิงจะโดนจับกิน รอฉากนี้อยู่นะ
-
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
อ่าา...ธิดาเทพคือต้นเรื่องสินะ
ฆ่าทิ้งก็สิ้นเรื่องจริงๆ
-
คนหล่อกับคนงามเค้าเกี้ยวกัน 5555
-
รอตอนใหม่อยู่นะคะ♡
-
รอคนเขียนเสมอนะคะ :m15:
-
รอๆๆๆสนุกมากๆๆๆๆ
-
บอกตรงๆ จริงๆหลงเข้ามาอ่าน อ่านแค่ถึงตอนที่5ก็ทนไม่ไหว มาแวะระบายความในใจก่อน แล้วค่อยกลับไปอ่านต่อ จะบอกแค่ว่า"หลงรักเรื่องนี้มากๆๆๆๆ"
กลับไปอ่านต่อก่อนนะ
-
เดือนกว่าแล้ว ไรท์หายไป :sad4:
คิดถึงอิงเอ๋อ ชอบskill การตั้งชื่อของนาง
-
:z13: :katai5:
-
:3123:
-
:pig4: :pig4:
-
ไรท์จ๋า คิดถึงงงง :mew6:
-
สนุกมากเลยค่ะ มู่อิงน่ารักมาก รอเวลาพี่เฉินกินน้อง ต้องน่าเอ็นดูมากแน่ๆเลย รอติดตามค่ะไรท์
-
ยังรออยู่นะ :m5:
-
สนุกมากเลยค่ะ เพิ่งมาตามอ่าน สู้ๆค่ะ
-
ยังรอแต่เธออออ...
-
ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a9:
-
ยังรอพี่ที่ท่าน้ำเสมอ :m15:
-
แวะมาบ้างนะ คนเขียนคนนน
-
เมื่อหลงมาอ่านนิยายที่เหมือนจะไม่อัพแล้วแต่สนุก 5555 ขอบคุณคนเขียนมากนะถึงจะไม่จบแต่เนื้อเรื่องดีมาก สนุก
-
o13 :really2:
-
มาเจอช้ามากๆเลยค่ะ;-;เสียดายมากๆไม่คิดว่าจะเจอนิยายที่ถูกจริตช้าขนาดนี้ ขอบคุณที่เขียนขึ้นมานะคะแงสนุกมากจริงๆถึงแม้จะติดใจเกี่ยวกับคำผิดอยู่บ้าง แต่ถือว่าพอรับได้ในระดับนึงเพราะส่วนตัวชอบสำนวนการเขียนของไรต์ด้วย ขอบคุณที่แต่งขึ้นมามากจริงๆนะคะ;-;
-
คิดถึงเรื่องนี้