พิมพ์หน้านี้ - |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: kinsang ที่ 28-12-2017 21:12:51

หัวข้อ: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 28-12-2017 21:12:51
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เรื่องยาว
เหวี่ยง ซบ พบ(รัก)เธอ [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53572.0)
ความน่ารักชนะทุกอย่าง [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54065.0)
8 วัน 7 คืน [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58861.0)
To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว[จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61182.0)
อยากให้เธอฝันยามหนุน [จบแล้ว]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64766.0)
My Egg #ไข่ต้มเพื่อนผม [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64895.0)
P H O T O (X) ความลับในภาพถ่าย [จบแล้ว]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67428.0)
เหนือลิขิต [จบแล้ว]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69628.0)


เรื่องสั้น
★  สองแถวกับสองเรา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53650.0)
★  อยากบอกว่าชอบเธอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62434.0)
★  พรหมลิขิตไม่มีอยู่จริง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62866.0)


========================


อยากให้เธอฝันยามหนุน

8 ปีที่ผ่านไป...
คนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเพื่อเป็นคนใหม่
กับอีกคนที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย
ความทรงจำ มิตรภาพ และความรัก
เพื่อนที่ชื่อเพื่อน...
คนที่กลับมาทำให้เขานึกถึงความทรงจำครั้งวัยเยาว์อีกครั้ง

#อยากให้เธอฝันยามหนุน


หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน |ก่อนจะฝัน |28/12/2560 |
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 28-12-2017 21:14:02
ก่อนจะฝัน


            'ไปนะมึง'

            ระบบแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชั่นยอดฮิตอย่างไลน์สั่นขึ้นไม่รู้ครั้งที่เท่าไรของวัน ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังจดจ่ออยู่กับงานต้องละสายตาไปมองสมาร์ทโฟนรุ่นเก่าเก็บที่วางอยู่ข้างโน้ตบุ๊กสภาพคร่ำครึพอกัน ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมีใครทักมานอกจากหัวหน้างาน

            'ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปีแล้วนะ'

            'นานๆ ทีโรงเรียนจะจัดคืนสู่เหย้า'

            'ทุกคนตกลงมาหมด'

            'ยกเว้นมึงที่ไม่ตอบกูเนี่ย'

            เขาได้แต่นั่งมองข้อความบนหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ เด้งขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นลักษณะการอ่านที่ไม่ยอมแสดงตัวว่าอ่านและไม่ตอบ จนกระทั่งข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมา

            'ไอ้เพื่อนก็มานะมึง'

            อ่านจบมือก็เอื้อมไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อกแทบจะในทันที ข้อความจากเพื่อนเก่าสมัยมัธยมปลายยังขึ้นเด้งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่เพียงเพราะชื่อของคนคนเดียวกลับทำให้เขาสนใจที่จะคุยมากกว่าเดิม

            'ตั้งแต่เรียนจบกูยังไม่เคยเจอหน้ามันเลย'

            'ได้ข่าวว่ามันกลับมาอยู่บ้านได้เป็นสองสามเดือนแล้ว'

            'ถ้าน้ำกับคชาไม่บังเอิญไปเจอคงไม่เห็นหัวมันจริงๆ'

            เขานั่งนิ่งมองหน้าจอมือถืออยู่นาน คำบอกเล่าของเพื่อนเก่าช่วยขุดความทรงจำสมัยมัธยมให้หวนกลับไปนึกถึง

คิดถึงห้องเรียน คิดถึงความวุ่นวาย คิดถึงเสียงหัวเราะ คิดถึงมิตรภาพ คิดถึงเพื่อน และคิดถึงใครบางคนที่ชื่อ 'เพื่อน'

            'ไอ้หลง สรุปว่าไงมึง จะมาไหม'

            คำถามเริ่มทำให้เขาคิดหนัก ก่อนหน้านี้ปฏิเสธไปเป็นร้อยรอบแล้วว่าไม่ไปเพราะงานที่กองอยู่ท่วมหัวจนต้องอยู่ทำโอทีทุกวัน แต่จิตใจคนเราย่อมเปลี่ยนกันได้เมื่อมีบางอย่างเข้ามากระตุ้น เอาเป็นว่าเขาจะยอมเคลียร์งานทั้งหมดให้เสร็จเพื่อไปงานที่โดนตื้อมาร่วมสัปดาห์นี้แล้วกัน

            'กูไปก็ได้'

 

            งานคืนสู่เหย้าจัดขึ้นในคืนวันเสาร์ เคลียร์งานที่ออฟฟิศเสร็จหลงก็บึ่งรถกลับบ้านอาบน้ำอาบท่าถึงได้เดินทางไปที่โรงเรียนต่อ

            เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับสแลคสีดำถูกเลือกเป็นเครื่องแต่งกายสำหรับคืนนี้ ความจริงแล้วมันไม่ได้ต่างจากชุดที่ใส่ไปทำงานทุกวันนัก เพราะชีวิตของหลงไม่ได้มีอะไรมากกว่าการไปทำงานและช่วยกิจการในครอบครัว

            รถกระบะสี่ประตูที่ได้เป็นของขวัญเรียนจบเมื่อสามปีก่อนแล่นไปตามถนนโล่งๆ ในช่วงเย็นของวันหยุด ลานกิจกรรมโล่งๆ ข้างโรงเรียนถูกใช้เป็นที่จอดรถชั่วคราว ดับเครื่องยนต์ยังไม่ทันจะลงรถเพื่อนตัวดีที่ตามจิกตลอดสัปดาห์ก็โทรมา

            (อยู่ไหนแล้วมึง)

            "ลานโล่ง กำลังจะเข้างาน"

            (กูก็เพิ่งถึง รอหน้าโรงเรียนนะ เดี๋ยวเข้าพร้อมกัน)

            "โอเค"

            เสียงดนตรีจากในโรงเรียนดังมาถึงข้างสวนเมื่อก้าวลงจากรถ เดินไปถึงหน้าโรงเรียนก็เจอกับเล็ก พ่อลูกอ่อนร่างสูงชะลูดตัวโตไม่สมกับชื่อยืนก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์อยู่ คาดว่าคงโทรตามจิกเพื่อนคนอื่นที่ยังมาไม่ถึง

            "ไอ้เล็ก" เรียกชื่อออกไปคนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ถึงได้เงยขึ้นมามอง รอยยิ้มกว้างฉายบนใบหน้าก่อนฝ่ามือใหญ่จะฟาดเข้าที่ต้นแขนเต็มรัก

            "ไงมึง ไม่เจอซะนาน ซูบลงอีกแล้วป่ะวะ"

            "สัด! เจ็บ"

            "ไปๆ เข้างาน พวกไอ้ขวัญมาถึงตั้งนานแล้ว" เล็กหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีวาดแขนโอบรอบคอเพื่อนแล้วพาเดินเข้างาน

            ที่นี่เป็นโรงเรียนมัธยมเก่าแก่อายุเกือบร้อยปี ปีๆ หนึ่งมีนักเรียนประมาณสองถึงสามพันคน สนามกีฬาที่อยู่ใต้โดมขนาดใหญ่ถูกใช้สำหรับจัดโต๊ะจีน เวทีตั้งอยู่หน้าเสาธง แต่ด้วยพื้นที่โรงเรียนที่มีอยู่น้อยนิดเลยทำให้ดูแออัดไปสักหน่อย ไหนจะจำนวนคนที่ทยอยเข้ามาในงานเรื่อยๆ ดูไปแล้วสถานที่แห่งนี้ไม่น่าจะจุแขกทั้งหมดได้พอ

            สองหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามขอบสนาม โต๊ะของพวกเขาอยู่ค่อนไปทางด้านหลังเกือบจะท้ายสุด ถูกจับจองด้วยชายหนุ่มห้าคนห้าสไตล์กับอีกหนึ่งสาวที่กำลังโบกมือส่งเสียงทักทายมาให้

            "ไงมึง กว่าจะโผล่มา" คนแรกที่ทักขึ้นคือขวัญ ตี๋จ้ำหม่ำอดีตเพื่อนที่เคยซี้ที่สุดของหลงสมัยเรียน

            "งานมันยุ่ง"

            "อ้างงานตลอด" เสริมด้วยโหน่ง วิศวกรผิวเข้มผอมแห้งที่หนีบเอาแฟนสาวรุ่นน้องมาด้วย คบกันมานานตั้งแต่สมัย ม.สี่ แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะประกาศแต่งสักที

            "มึงรู้มั้ยวันๆ กูต้องเจอกับอะไรบ้าง" หลงทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ว่างใกล้ๆ ติดกับขวัญแล้วก็เล็ก จากนั้นก็เริ่มสาธยายงานของตัวเองให้เพื่อนฟัง แต่พูดได้ไม่กี่ประโยคก็โดนยกมือห้าม

            'หลงหลับ' คือฉายที่สมัยก่อนเพื่อนชอบเรียก ถ้าเปิดโอกาสให้พูดอย่าหวังว่าใครจะเข้ามาขัดได้ พูดจนเพื่อนหลับมาแล้วก็เคย

            "แล้วเมื่อไรเจ้าภาพจะมาวะ" เก้ ไกด์เกาหลีตัวเล็กที่สุดในกลุ่มร้องถามพาลทำให้ทั้งโต๊ะเงียบกริบ หันไปมองเล็กที่ยังจดจ่อกับมือถืออย่างพร้อมเพรียงกัน

            "ใกล้ถึงแล้ว แต่มันบอกว่าไม่มีบัตรเข้างานว่ะ"

            "เอ้า!" ทั้งโต๊ะร้องขึ้นพร้อมกัน

            เหตุผลหนึ่งที่พวกเขานัดรวมพลกันมาครบแก๊งก็เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของคนที่ยังมาไม่มีถึง เป็นวันเกิดที่ตรงกับวันจัดงานคืนสู่เหย้า ทุกคนเลยเห็นพ้องต้องกันว่ายังไงสมาชิกก็ต้องมากลับมาเจอกันในวันนี้ ถือเป็นการฉลองที่ได้กลับคืนถิ่นและฉลองงานวันเกิดให้เพื่อนในกลุ่มไปเลยทีเดียว

            "ให้มันซื้อบัตรหน้างานแล้วรีบๆ เข้ามา มึงออกไปรอรับมันเลยเล็ก" นารอน หนุ่มอิสลามเพียงคนเดียวในกลุ่มเสนอ ในขณะที่คนโดนใช้ยังจดจ่อกับมือถือไม่เลิก แล้วคำตอบที่ได้กลับมาทำให้ทุกคนแทบจะล้มโต๊ะ

            "มันบอกไม่มีตังค์"

            "ห่ามันหนิ" เต้ย หนุ่มจากอีสานโผงออกมาทันที

            แล้วทุกคนในกลุ่มก็ได้แต่นั่งกุมขมับกับความเยอะแยะวุ่นวายของเพื่อนที่ชื่อ 'เพื่อน'

            สุดท้ายทุกคนเลยช่วยกันออกเงินซื้อบัตรเข้างานให้เจ้าภาพที่เพิ่งทราบว่ามารออยู่หน้าโรงเรียนแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยที่ขวัญอาสาเป็นคนออกไปรับด้วยตัวเอง

            หายไปไม่ถึงสิบนาทีตี๋ใหญ่จากสระแก้วก็เดินบ่นเป็นหมีกินผึ้งโดยมีผู้ชายตัวสูงผมซอยชี้ไม่เป็นทรงยิ้มแห้งๆ ฟังคำบ่นเดินตามหลัง ทันทีที่หันไปเห็นผู้มาใหม่ทั้งโต๊ะแทบจะลุกขึ้นพร้อมกัน เป้าหมายคือเพื่อนที่ชื่อเพื่อน อยากจะตบกบาลสักคนละทีให้หายหมั่นไส้โทษฐานที่ตามตัวยากเสียเหลือเกิน

            "ไม่เคยจะติดต่อกลับ"

            "กูนึกว่าตายห่าอยู่เชียงรายไปแล้ว"

            "ขาวขึ้นป้ะวะ"

            "มึงเป็นแวมไพรป้ะเนี่ย หน้าไม่เปลี่ยนเลย"

            "มานี่เลยมึงมานี่" เล็กคว้าแขนผู้มาใหม่แหวงฝูงเพื่อนที่รายล้อมให้มานั่งลงที่โต๊ะ กลุ่มแร้งทึ้งถึงได้สลายกลับไปนั่งที่ใครที่มัน

            เพื่อนถูกจับให้นั่งหันหลังให้เวที เสียงโหวกเหวกโวยวายสอบถามสารทุกข์สุขดิบจากคนในกลุ่มเริ่มดังขึ้น ทว่าสายตาของเพื่อนกลับจับจ้องอยู่ที่ใครบางคนจนไม่อาจละไปไหนได้ คนที่เหมือนจะรู้จักแต่ก็ไม่รู้จัก ผู้ชายหน้าตาคุ้นแสนคุ้นที่นั่งตรงข้ามกับเขา

            "ไงมึง อึ้งเลย" เก้ที่นั่งข้างกันเอี้ยวตัวมากอดคอ ยักคิ้วหลิ่วตาชอบอกชอบใจ

            "ให้มึงทาย" ขวัญใช้ศอกกระทุ้งแล้วพยักพเยิดหน้าไปยังคนที่ทำให้เพื่อนแปลกใจจนกระทั่งป่านนี้ก็ยังนั่งนิ่งอยู่

            ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองบุคคลปริศนาอย่างใช้ความคิด มองคนตรงหน้าสลับกับกลุ่มเพื่อนแล้วตาสองชั้นหลบในก็เบิกกว้าง เมื่อคำตอบที่น่าจะใช่ที่สุดปรากฏขึ้นมาในใจ

            "หลง?" ถามออกไปอย่างไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้ายิ่งทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิม

            หลง คนที่เคยมีน้ำหนักมากที่สุดในกลุ่มตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม จากเด็กอ้วนกลายเป็นหนุ่มหล่อ กับตัวเขาที่แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย


----ติดตามตอนต่อไป----


แอบมาเปิดเรื่องใหม่ เพราะรู้สึกว่าถ้าไม่เปิดไม่ยอมลงไว้ก็จะไม่เสร็จสักที TT

ฝากหลงเพื่อนด้วยนะคะ เป็นชื่อเล่นของเรื่องเลย

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน |ก่อนจะฝัน |28/12/2560 |
เริ่มหัวข้อโดย: ImInDragon ที่ 28-12-2017 23:55:25
เข้ามารอออค่าาาา
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน |ก่อนจะฝัน |28/12/2560 |
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 29-12-2017 01:12:59
เนื้อเรื่องน่าสนใจมาก รอติดตามนะคะ
ตอนนี้ยัวเดาโพสิชั่นไม่ออก รอตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน |ก่อนจะฝัน |28/12/2560 |
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-01-2018 23:03:58
หลงแอบชอบเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนหรือเปล่าคะเนี่ย?  ชอบชื่อเล่นของเรื่อง ถ้าติดแท็ก #หลงเพื่อน ต้องน่ารักมากแน่ๆค่ะ  :o8:
หัวข้อ: Re: ◆ อยากให้เธอฝันยามหนุน ◆ ฝันครั้งที่ 1 ◆ 04/01/2561 ◆
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 04-01-2018 22:41:07

ฝันครั้งที่ 1

            กลุ่มเพื่อนรักที่ห่างเหินกันไปนานพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติท่ามกลางเสียงอึกทึกโดยรอบ ทุกคนต่างแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้พบเจอ การงาน ความรัก ครอบครัว เว้นก็แต่เจ้าของวันเกิดที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา สายตาของเขาจับจ้องที่ใครคนหนึ่ง คนที่ทำให้แปลกใจไม่หาย เพราะเหตุใดกันจึงเปลี่ยนไปได้เพียงนี้

            "ไอ้เพื่อน อยากเป่าเค้กมั้ย" เสียงเรียกจากขวัญทำให้เพื่อนละสายตาจากบุคคลที่จ้องมองอยู่ เขาส่ายหน้าปฏิเสธ แต่เป็นเล็กที่พูดสวนขึ้นมาแทน

            "ส่ายหน้าได้ไงวะ กูอุตส่าห์ไปซื้อมา ร้านซาซากิเลยนะมึง โหน่งเอาขึ้นมาดิ๊"

            "แท่น แท้น" โหน่งหยิบเค้กที่วางอยู่บนตักขึ้นมาพร้อมทำเสียงประกอบ

            "กูก็นึกว่าเค้กปอนด์" เก้ว่า

            "เค้กมอคค่าชิ้นละสี่สิบบาท" เสริมด้วยนารอน

            "เออน่า กินๆ ไป กูรู้เพื่อนมันชอบเหล้ามากกว่าของหวานเลยเอาไอ้นี่มาด้วย" ถุงผ้าถูกหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะ เล็กยิ้มกริ่มเปิดของขวัญจริงๆ ที่ตั้งใจเอามาฝากให้เพื่อนดู แล้วทุกคนก็ส่งเสียงโห่ร้องอย่างชอบใจ

            งานนี้งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มันถูกระบุชัดเจนบนบัตรเข้างาน แต่มีหรือศิษย์ที่ขยันแหกกฎเป็นกิจวัตรจะยอมเชื่อฟังโดยง่าย ในเมื่อในงานไม่เสิร์ฟเอามาเองก็สิ้นเรื่อง เป็นงานฉลองทั้งทีจะขาดสิ่งนี้ไปได้อย่างไร

            เทียนเล่มเล็กปักบนเค้กราคาสี่สิบบาทให้เจ้าของวันเกิดเป่าพอเป็นพิธี เพื่อนๆ ต่างพากันอวยพร ใครพูดอะไรบ้างก็จับใจความไม่ค่อยได้นักเพราะแต่ละคนเสียงดังโวยวายเสียเหลือเกิน ทว่ามีเพียงคำอวยพรเดียวที่เพื่อนได้ยิน คำอวยพรจากคนที่เขาเอาแต่จับจ้องตั้งแต่ได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน

            "มีความสุขมากๆ นะ"

            ก็แค่คำอวยพรธรรมดาๆ ไร้ความพิเศษไร้ความหวือหวา แต่กลับมีความสุขกว่าครั้งไหนๆ ที่ได้ยิน

            การแสดงบนเวทีจากนักเรียนรุ่นปัจจุบันเริ่มขึ้นพร้อมๆ กับแอลกอฮอล์ที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย เพลงจังหวะแบบนี้ ดนตรีที่ทันสมัย รวมถึงท่าเต้นอันพร้อมเพรียง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเพลงฮิตจากเกาหลี ทำเอาความทรงจำครั้งวัยเยาว์ถูกขุดขึ้นมาจนพากันหัวเราะครื้นทั้งโต๊ะ

            "มึงจำได้ป้ะ ไอ้ขวัญกับไอ้เพื่อน"

            "เออแม่ง สมัยนั้นโคตรฮอต รุ่นน้องกรี๊ดกันกระจาย"

            "พี่เพื่อนขา พี่ขวัญขา"

            "ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ"

            เจ้าของชื่อทั้งสองที่โดนแซวแสดงท่าทีออกมาแตกต่างกัน ขวัญโวยวาย ในขณะที่เพื่อนเอาแต่ยิ้มจนเห็นลักยิ้มน้อยๆ ที่แก้มขวา ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบก่อนสบตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งข้าม

            ใช่...เขายังจำได้ดี จำได้แม่น เพราะมันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้สนิทสนมจนกลายเป็นเพื่อนกัน

 

            ม.4 เทอม 2

            มันเป็นเรื่องสมัยมัธยมปลาย ผ่านมาเก้าถึงสิบปีเห็นจะได้ ตอนนั้นพวกเขาเรียนอยู่ ม.5 มีเพื่อนร่วมก๊วนทั้งหมดแปดคน ทุกคนไม่ได้สนิทกันมาตั้งแต่แรก รวมแก๊งได้ยังไงก็ไม่แน่ใจนัก คับคล้ายคับคลาว่ามาจากการเต้นโคฟเวอร์วงเกาหลี กิจกรรมยอดฮิตที่เพื่อนตาตี่คลั่งไคล้เสียเหลือเกิน

            "ไปเต้นด้วยกันนะ ขาดอีกสองตำแหน่ง สาวกรี๊ดเยอะนะเว้ย"

            "ไม่เอาอ่ะ เต้นไม่เป็น"

            "ไม่เป็นไรฝึกได้"

            "ไม่ดีกว่า"

            บทสนทนานี้เป็นของขวัญกับเพื่อน หนุ่มตาตี่กับหนุ่มหน้าตาดีขวัญใจรุ่นพี่รุ่นน้องรวมถึงเพื่อนร่วมห้อง ตอนนี้ขวัญกำลังจีบเพื่อนอยู่ จีบในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะเอามาเป็นแฟน แต่จีบเพื่อชวนไปเข้าวงโคฟเวอร์แดนซ์เกาหลีที่ขวัญกับเพื่อนต่างโรงเรียนช่วยกันฟอร์มวงขึ้นมา

            "มึงช่วยกูพูดหน่อยดิ" แล้วขวัญก็หันมาขอความช่วยเหลือจากหลง หนุ่มอ้วนน้ำหนักเกือบร้อยกิโลที่ได้แต่กะพริบตามองปริบๆ ก็ไอ้นักร้องที่เพื่อนพูดถึงกันอยู่เขารู้จักเสียที่ไหน แล้วจะชักชวนให้น่าสนใจได้ยังไงในเมื่อเขายังไม่เข้าใจคำว่าโคฟเวอร์แดนซ์เลย แต่คนใจดีอย่างหลงก็ยังช่วยเท่าที่จะช่วยได้

            "ช่วยมันหน่อยนะ"

            คนถูกชวนยิ้มบางๆ จนเห็นลักยิ้ม ยิ้มแบบที่พวกรุ่นพี่รุ่นน้องชอบ ยิ้มแล้วตาหยีๆ พาบรรยากาศรอบตัวสดใสไปหมด เพื่อนไม่ได้มีท่าทีรำคาญแต่คงลำบากใจอยู่ไม่น้อย เพราะโดนขวัญตามตื้อมาเป็นอาทิตย์แล้ว

            "เถอะนะๆ เดือนหน้าจะไปออดิชั่นแล้วคนยังไม่ครบเลย"

            "เต้นวงอะไรนะ"

            "ซุปเปอร์จูเนียร์"

            "ไม่รู้จักอะ"

            "ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวช่วยเอง"

            เพื่อนเงียบเหมือนกำลังคิด คนชวนก็พลอยลุ้นตามไปด้วย ใครก็อยากได้คนหน้าตาดีมาร่วมทีม เรื่องเต้นมันฝึกกันได้ จากที่สังเกตการณ์มาอยู่สักพัก สกิลการขยับร่างกายของเพื่อนเองก็ไม่เลวเท่าไร

            นิ่งคิดอยู่นานจนเกือบจะถอดใจอีกรอบลักยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนแก้มขวา เพื่อนยิ้ม ขวัญกับหลงก็ยิ้ม พร้อมคำตอบที่ทำให้ต้องร้องเฮออกมาดังๆ

            "ลองดูก็ได้"

            "ขอบใจว่ะเพื่อน"

            แล้วการตามจีบเพื่อนของขวัญก็จบลงด้วยประการฉะนี้

            หลังจากหาคนได้ครบวงทั้งสองก็นัดแนะกันไปซ้อมเต้นแถวรังสิตเพราะเด็กในวงส่วนใหญ่อยู่แถวนั้น หลงไม่ได้ตามไปด้วยแต่ขวัญชอบเอาข่าวคราวมาอัพเดตให้ฟังประจำ จนวันออดิชั่นเพื่อนๆ ถึงได้ตามไปดู ผลที่ออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจนักแต่ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง วงสมัครออดิชั่นเป็นร้อยวงผ่านแค่สิบกว่าวง ถ้าวงน้องใหม่โนเนมผ่านเข้าไปได้คงเซอร์ไพรส์กันน่าดู

            หลังจากผ่านงานออดิชั่นงานเดียววงที่อุตส่าห์รวมรวบกันมาเป็นเดือนก็แตกกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ขวัญกับเพื่อนเลิกเต้น แต่กิจกรรมดังกล่าวก็ทำให้สนิทสนมกันมากขึ้น จนรวมกลุ่มเพื่อนสองกลุ่มเข้าด้วยกัน กลุ่มเพื่อนมีสี่คน กลุ่มขวัญก็มีสี่คน รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่แปดคนครองมุมซ้ายหลังห้องเรียน

            แต่ถึงจะเลิกเต้นไปความโด่งดังของเพื่อนก็ไม่ได้ลดลงเท่าไร แน่ล่ะ ก็ในเมื่อชื่อเสียงนั้นมีมาอยู่ก่อนแล้ว หลังจากได้เปิดตัวให้ชาวโลกรู้จักมีแต่จะดังขึ้นเสียด้วยซ้ำ ความโด่งดังในระยะสั้นๆ และไม่ยั่งยืน

 

            ความครื้นเครงในงานคืนสู่เหย้ายังคงดำเนินต่อไปจนเข็มนาฬิกาวนมาที่เลขสิบ สติที่เคยครบถ้วนเริ่มขาดหาย ภาพที่เคยชัดก็เหมือนน้ำนิ่งที่มีคนปาหินลงไป กว่าจะรู้ตัวว่าเมาก็ตอนของเหลวสีอำพันเหลืออยู่เพียงก้นขวด

            "ไหวมั้ยเนี่ย" คนที่แทบไม่แตะแอลกอฮอล์เลยอย่างเล็กเอ่ยถาม เขาต้องขับรถกลับเอง ผิดกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน รายนี้ไม่มีรถ เลยคิดว่ากินได้เต็มที่จนหัวแทบจะตั้งไม่อยู่อยู่แล้ว

            "ไหว"

            "แต่กูว่าไม่ไหว กินคนเดียวจะหมดขวด มีมึงเมาอยู่คนเดียวเนี่ย"

            "กูไม่เมา"

            "คนเมาแม่งก็ชอบพูดแบบนี้"

            คนโดนว่าฉีกยิ้มกว้างโชว์แก้มปุ๋มข้างขวา แต่แล้วก็ปรับโหมดกะทันหันนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา พยายามครองสติที่เหลืออยู่น้อยนิด ถ้าลองได้ล้มตัวสักหน่อยล่ะก็คงนอนยาวเป็นแน่ แต่ตอนนี้เขาอยากจะอ้วกมากกว่า

            "เดี๋ยวมานะ" เพื่อนบอกก่อนค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืน ภาพด้านหน้าโคลงเคลงคล้ายแผ่นดินไหวจนต้องหาหลักคว้าเอาไว้ เวียนหัวมวนท้อง ไอ้สิ่งที่กินลงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็อยากจะออกมาเสียเหลือเกิน

            "มึงจะไปไหน ห้องน้ำเหรอ" เล็กช่วยลุกขึ้นพยุง แต่ดูท่าเพื่อนของเขาจะไม่สะดวกตอบนัก มือที่ยกขึ้นปิดปากกับสีหน้าพะอืดพะอมแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี

            "กูว่าแม่งจะอ้วก"

            "เล็กพามันไปห้องน้ำดิ๊"

            สมาชิกบนโต๊ะต่างรู้คำตอบ พากันโบกมือให้เล็กรีบพยุงเพื่อนออกไป

            เพื่อนไม่ชอบเวลาเมาเหล้า หรือถ้ากินก็ไม่ได้อยากกินให้เมาหนักนัก เวลาเมามันมึนหัวและทรมาน แต่พอได้กินแล้วก็ห้ามไม่อยู่ทุกที ถ้าไม่เมาจนอ้วกก็จะไม่เลิกกิน สมัยเรียนมหา'ลัยเคยไปนั่งกินคนเดียวจนเมาเละกลับหอไม่ไหวอยู่หลายครั้ง เดือดร้อนรูมเมทต้องมาหิ้วกลับไป บางครั้งมันทนไม่ไหวทิ้งให้นอนข้างทางก็มี แต่นั่นมันเรื่องสมัยก่อน หากลองนับนิ้วดูเขาไม่ได้ดื่มหนักมาร่วมปีแล้ว นานจนเกือบลืมไปว่าความทรมานตอนเมามันเป็นยังไง

            ประคองมาจนถึงห้องน้ำเพื่อนก็พุ่งเข้าหาอ่างล้างมือที่อยู่ด้านหน้า ปล่อยให้สิ่งที่มันพยายามจะออกมาทิ้งลงอ่างโดยมีเล็กคอยลูบหลังพร้อมบ่นไปด้วย

            "ใครให้มึงกินเยอะขนาดนี้วะ"

            ...ก็พวกมึงไม่ใช่เหรอ รินเอาๆ...

            "กินเหมือนไม่เคยกิน"

            ...ก็ห่างมานานเหมือนกัน...

            "ทั้งโต๊ะมีมึงเมาอยู่คนเดียวเนี่ย"

            ...มันก็มีเหตุผล...

            "เออ แล้วจะให้ใครไปส่งมึงดีวะ กูไม่ได้อยู่เส้นนั้นแล้วนะ"

            ...รู้อยู่แล้ว...

            "คงต้องให้ไอ้หลงไปส่ง"

            เพื่อนกวักน้ำล้างปากล้างหน้าก่อนปิดก๊อก พอยันตัวให้ยืนตรงก็เซอีกรอบจนเล็กต้องคว้าแขนเอาไว้แล้วส่ายหน้า

            "ไป กลับบ้านได้แล้วมึง" แล้วเขาก็ถูกเล็กลากกลับไปที่โต๊ะ

            งานยังไม่เลิกแต่โต๊ะนี้ถึงเวลาอันสมควรที่ต้องแยกย้าย โหน่งกับแฟนสาวรุ่นน้อง เก้ ขวัญและเต้ยจะไปต่อกันที่อื่น ส่วนที่เหลือนั้นตรงกลับบ้าน มีการตกลงแกมบังคับให้หลงไปส่งเพื่อนเพราะบ้านอยู่ทางเดียวกัน ถึงจะไกลกันเป็นสิบกว่ากิโลก็ตาม

            เล็กกับหลงช่วยกันพยุงเพื่อนไปขึ้นรถ ก่อนพ่อลูกอ่อนจะขอตัวบึ่งรถกลับไปหาภรรยาที่บ้าน เหลือไว้เพียงคนเมาที่นั่งหลับคอพับอยู่บนเบาะข้างคนขับ ความเงียบสงัดกับบรรยากาศแปลกๆ ที่ยากจะรับมือ

            ความห่างเหินมักทำให้บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองก็คงเช่นกัน

            หลงดึงเข็มขัดนิรภัยคาดให้คนเมาก่อนขึ้นระจำที่นั่งตัวเอง ออกรถขับไปตามทางเงียบๆ ไร้เสียงเพลงจากวิทยุคลื่นโปรดที่ชอบฟังขณะขับรถ มีเพียงสมองที่กำลังทำงานอย่างหนัก เขาจะทำอย่างไรกับคนที่เมาไม่ได้สติดี ครั้นปลุกมาคุยก็คงพูดไม่รู้เรื่องนัก จะพากลับบ้านที่เขาเคยไปแค่ไม่กี่ครั้ง หรือพาไปนอนบ้านตัวเอง ทุกตัวเลือกล้วนเป็นสิ่งที่หลงคิดไม่ตก เพราะบางสิ่งบางอย่างที่ยังค้างคา เพราะอดีตที่คล้ายจะจบไม่สวย เพราะความคิดอันขัดแย้งสับสน เขาควรจะทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้ดี

            "หลง"

            แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังแทรกความเงียบขึ้นมา คนที่เขาคิดว่าเมาหลับไปแล้วกำลังมองมาทางนี้ มองด้วยสายตาที่ใช้มองเขาตลอดเวลาที่อยู่ในงาน

            "นึกว่าหลับ"

            "ไม่ได้หลับ ปวดหัว"

            "ก็เมาซะขนาดนี้"

            "จะไปไหน"

            "กลับบ้านไง"

            "บ้านใคร"

            คำถามจากเพื่อนทำให้หลงชะงักไปชั่วครู่ บ้านใครงั้นเหรอ เขาเองก็ยังไม่ได้คำตอบเหมือนกัน

            "บ้านเพื่อนก็ได้ เดี๋ยวไปส่งที่บ้าน"

            คำตอบกับสรรพนามที่ใช้เรียกทำให้คนเมาหลุดยิ้ม มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียน น่าแปลกที่กับเพื่อนในกลุ่มต่างใช้สรรพนามแทนตัวว่ามึงกู แต่กับเขา คนที่ไม่ได้คุยกันบ่อยนัก หลงกลับเรียกเขาด้วยชื่อเล่น และแทบไม่มีสักครั้งที่คนคนนี้จะแทนตัวเองว่ากู

            เพราะความห่างเหินที่มีมาตั้งแต่เรียนด้วยกันอย่างนั้นเหรอ

            ไม่ใช่เสียหน่อย

            "เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ"

            คำพูดลอยๆ คล้ายกับไร้ที่มาที่ไปทำให้หลงหันไปมองคนเมาก่อนกลับมาถนนใจถนนตรงหน้าที่ถูกรายล้อมไปด้วยความมืด ที่นี่อยู่ชายขอบกรุงเทพฯ เป็นถนนเส้นยาวกว่ายี่สิบกิโลเมตรโดยที่ไม่มีไฟแดง ไม่ถึงกับทันสมัยแต่ก็ใช่ว่าไม่มีความเจริญ อย่างน้อยถนนเส้นนี้ก็เป็นถนนหกเลนที่มีตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร และหมู่บ้านเล็กใหญ่ตลอดเส้นทาง

            รถกระบะสี่ประตูทำความเร็วเกือบร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงวิ่งผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ หลังจากเลี้ยวเข้ามาในถนนเส้นนี้ได้ไม่นาน เพื่อนผงกหัวขึ้นมองตาม เขาไม่ได้อยากจะชมสวนตอนกลางคืน แต่มองเลยเข้าไปยังสถานที่ที่อยู่หลังสวน

            "เลยบ้านแล้ว"

            "จำได้เหรอ"

            "จำได้ดิ แล้วหลงจำบ้านเราได้เปล่า"

            "ได้มั้ง"

            "ทำไมมั้ง...อุ้บ!"

            หลงเหล่มองคนเมาที่จู่ๆ ก็ทำหน้าพะอืดพะอมขึ้นมา หลังจากอ้วกไปแล้วรอบหนึ่งอาการเพื่อนก็เหมือนจะดีขึ้น แต่จะปล่อยให้มาอ้วกบนรถแบบนี้ไม่ดีแน่

            "ไหวเปล่า ให้จอดก่อนมั้ย"

            คนเมาส่ายหน้า หลับตาเอนหัวพิงเบาะก่อนสงบปากสงบคำไม่พูดอะไรอีก อาการแบบนี้เดาได้ไม่ยาก คงจะฝืนสังขารมากไป

            ความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง รถแล่นไปตามถนนเส้นตรง แถวนี้ยิ่งดึกยิ่งเงียบ อันที่จริงตอนกลางวันก็ไม่ได้คึกคักเท่าไรนอกจากมีงานเทศกาลตามวัดตามห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็บ้านใดบ้านหนึ่งจัดงานแต่งงานบวช

            เลยมาไกลจนเกือบถึงสำนักงานเขต หลงก็เลี้ยวรถเข้าซอยของหมู่บ้านหนึ่งบนถนนเส้นนี้ หมู่บ้านที่เขาเคยมาสมัยมัธยมแค่ไม่กี่ครั้งแต่กลับจำเส้นทางได้ขึ้นใจ บ้านหลังไหน เลขที่เท่าไร ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก บ้านเดี่ยวสองชั้นที่มีอ่างบัวตั้งอยู่หน้าบ้านก็เช่นกัน

            "ถึงบ้านแล้ว" หลงเขย่าไหล่ปลุกเพื่อนให้ตื่น

            คนเมางัวเงียลืมตาขึ้นมองไปนอกรถด้วยสีหน้ามึนงง บ้านเลขที่นี้มีอ่างบัวหน้าบ้านหลังนี้คือบ้านเพื่อนแน่นอนหลงจำได้แม่น แม้ไฟในบ้านจะปิดทุกดวงกระทั่งหน้าบ้านก็ตาม

            "ถึงแล้ว"

            "ไปส่งในบ้านหน่อย" คนเมาร้องขอพลางปลดเข็มขัด เปิดประตูจะก้าวลงจนหลงต้องคว้าแขนเอาไว้ เพราะขืนปล่อยให้กระโดดลงสองขาลงไปแบบนี้มีหวังหัวทิ่มแน่ รถกระบะมันสูงไม่เหมือนรถเก๋ง

            "รอก่อน นั่งเฉยๆ นี่แหละ" ดึงแขนเพื่อนให้กลับมานั่งที่เดิมได้หลงก็ดับเครื่อง ปลดเข็มขัดเปิดประตูเดินอ้อมไปประตูอีกฝั่งก่อนช่วยพยุงเพื่อนลงมา

            "ขอบใจ" เท้าแตะพื้นทรงตัวได้ก็ยิ้มโชว์ลักยิ้ม เดินเอียงอย่างคนทรงตัวไม่อยู่ไปหน้าประตูรั้วใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะหากุญแจเจอ และอีกหลายนาทีกว่าจะเข้าบ้านได้สำเร็จ

            ไฟในบ้านเปิดสว่างเพื่อนก็เซไปล้มตัวนอนบนโซฟา คนเป็นแขกเลยต้องช่วยปิดประตูให้พลางมองสำรวจภายในบ้านที่การตกแต่งดูจะต่างจากเมื่อหลายปีก่อนค่อนข้างมาก แต่ที่สะดุดตาหลงที่สุดเห็นจะเป็นรูปวาดหมีโคล่าที่ใส่กรอบตั้งอยู่บนชั้นวางทีวี

            "ไม่มีใครอยู่"

            แต่ก่อนจะได้รำลึกความหลังอะไรมากไปกว่านี้เจ้าของบ้านก็ขัดจังหวะขึ้นมา เพื่อนยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางตบที่ว่างข้างๆ บนโซฟา

            "มานั่งก่อน"

            หลงมองอย่างช่างใจ ไม่มีข้ออ้างที่จะใช้ปฏิเสธ ใช่ว่าไม่อยากอยู่ แต่บางอย่างที่ยังติดค้างในใจบอกให้เขารีบกลับจะดีกว่า

            "รีบกลับเหรอ คุยกันก่อนดิ ไม่ได้เจอตั้งนาน"

            ทว่าเมื่อถูกเอ่ยชวนอีกรอบขาเจ้ากรรมดันก้าวเข้าไปหาอย่างห้ามไม่ได้ ยอมให้ทุกครั้ง ไม่เคยจะขัดใจได้เลยสิน่า

            เพื่อนยิ้มตาเยิ้มตามแบบฉบับคนเมา คล้ายคนไม่มีสติแต่ก็เหมือนรับรู้ทุกสิ่งอย่าง ระหว่างเขาสองคนมีเรื่องราวที่กลุ่มเพื่อนไม่เคยรับรู้เกิดขึ้น เรื่องราวบางอย่างที่ทำให้เพื่อนคนนี้หนีไปไกลถึงเชียงใหม่ ปิดกั้น ไร้การติดต่อ มันดูเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเพื่อนในกลุ่มเพราะนิสัยที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับผู้คนเป็นทุนเดิม อารมณ์ติสท์ชอบทำอะไรคนเดียว แต่หลงรู้ รู้ว่าที่เพื่อนหายหน้าหายตาไปกว่าเจ็ดแปดปีเป็นเพราะอะไร

            คงเพราะอยากจะตัดให้ขาด...ตัดขาดจากหลงคนนี้

            ออกจากวังวนที่รู้ว่าแม้พยายามแค่ไหนมันก็ยังคงไร้ค่าเหมือนเดิม

            "ผอมลงเยอะเลยนะ"

            เพื่อนทักขึ้น เป็นความเปลี่ยนแปลงแรกที่เห็นในตัวหลงตั้งแต่อยู่ในงาน คนที่เคยน้ำหนักร่วมร้อยกิโลผ่านไปแปดปีที่ไม่ได้เจอหน้ากลับเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้ หากเดินสวนกันในที่สาธารณะเขาคงไม่คิดว่าเพื่อนคนนี้คือหลง เจ้าของท่อนแขนจ้ำม่ำนุ่มนิ่มที่เขาชอบ

            "อืม ก็ลดมาเรื่อยๆ"

            "มีแฟนเหรอ"

            "เปล่า"

            "ไม่น่าเชื่อ"

            จากคนที่เคยพูดมากจนเพื่อนหลับเวลานี้หลงกลับนึกคำต่อบทสนทนาไม่ออก ความรู้สึกผิดยังฝังลึกอยู่ในใจ แม้ความจริงมันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรรู้สึกก็ตาม แล้วเพื่อนล่ะรู้สึกอะไรบ้างไหมในตอนนี้ ตอนที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง ไม่เจ็บ ไม่โกรธเคืองอะไรบ้างเลยหรือ

            หรือเพราะเวลามันช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ มันช่วยทำให้ลืมอดีตเลวร้ายไปหมดแล้ว

            รอยยิ้มกับลักยิ้มที่ใครๆ ต่างชื่นชอบยังเป็นเอกลักษณ์ที่น่าจดจำไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อนขยับตัวเข้ามาใกล้ ย่นระยะห่างให้น้อยลงอีกนิดในขณะที่อีกฝ่ายทำได้เพียงนั่งตัวแข็งทื่อ มองท่อนแขนของตัวเองที่มีเพียงกล้ามเนื้อไร้ไขมันนุ่มๆ อย่างเมื่อแปดปีก่อนถูกเพื่อนจับขึ้นมา

            "ไม่น่าหนุนแล้วว่ะ"

            และสิ่งที่ได้ฟังก็ทำให้หลงเจ็บในใจอย่างบอกไม่ถูก

            แขนถูกปล่อยให้วางลงข้างตัวเหมือนเดิม หลงยิ้มแหย สบตากับเพื่อนที่แทบไม่เปลี่ยนไปเลยตลอดแปดปี หน้าตา ส่วนสูง ผมที่ชี้โด่เด่ไม่ค่อยเป็นทรง รอยยิ้มและลักยิ้มข้างขวาที่เขาเองก็ชอบมอง กับความแปลกเฉพาะตัวอีกข้อ การเริ่มต้นพูดอะไรสักอย่างโดยไร้หัวข้อและที่มาที่ไป

            "ทำไงดีวะ"

            "ทำ...อะไร" หลงถามอย่างไม่แน่ใจนัก แต่เหมือนคนเมาไม่ได้คิดจะตอบอย่างตรงไปตรงมา

            "ผอมลงแล้ว"

            "..."

            "หน้าตาก็ดีแล้ว"

            "..."

            "แบบนี้ก็..."

            ประโยคถูกเว้นจังหวะเอาไว้ ระยะห่างที่น้อยลงอยู่แล้วถูกย่นให้ใกล้ยิ่งขึ้นเมื่อเพื่อนขยับเข้าหา คล้ายกับถูกสะกดไม่ให้ขัดขืน หลงนั่งนิ่งเหมือนโดนเชือกมัดเอาไว้ สบตา สัมผัสลมหายใจ และฟังเสียงที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยออกมา

            "จีบได้แล้วใช่มั้ย"

            ริมฝีปากถูกปิดไม่ให้ตอบ มันคือบัญชาจากเพื่อนว่าห้ามปฏิเสธ สัมผัสนุ่มที่เข้ามาฉวยโอกาสทีเผลอ แนบแน่น โหยหา แต่ไม่โลภมากจนเกินพอดี จูบแทนความคิดถึง แทนความรู้สึก แทนให้กับทุกอย่างที่ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทิ้งให้ได้รู้สึกอบอุ่นเพียงชั่วครู่ก็ผละออกมา

            หลงมองการกระทำสุดบ้าบอของเพื่อนด้วยอาการตกตะลึง หากเป็นคนอื่นเขาคงประเคนหมัดหนักๆ ให้สักที แต่เพราะเป็นเพื่อนคนนี้ เพราะสมองถูกสั่งให้ยั้งมือและทำเพียงแค่มองดู ไม่ต้องเอ่ยถามหรือทักท้วงใดๆ เพราะคำตอบที่อยากรู้มันแน่ชัดอยู่แล้ว

            คนเมาเอนหลังนอนหลับตาพิงโซฟา สังขารที่อุตส่าห์อดทนฝืนไว้มาได้ไกลเพียงเท่านี้ ทิ้งให้หลงอยู่ในความเคว้งคว้างกลางห้องนั่งเล่นที่ไม่คุ้นเคย กับคนที่จะเรียกว่าคุ้นเคยหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจนัก แต่ตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวที่เขายังแน่ใจ

            เพื่อนที่ชื่อเพื่อน

            แปดปีกับสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

            ความรักที่เคยมีให้กับเขาคนนี้ก็เช่นเดียวกัน


----------- ติดตามตอนต่อไป -----------

 
มันก็จะย้อนไปย้อนมาแบบนี้นะคะ คำเตือนว่ามีทุกตอน
ตอนนี้กระจ่างแล้วว่าใครจีบใคร แต่โพสิชั่นน้านเราทำให้สับสนอีกหรือเปล่า ฮา
ที่จริงอยากให้ #หลงเพื่อน อยู่นะคะ ใช้แท็กนี้ก็ได้นะ เราชอบ
ที่จริงเรื่องนี้ตั้งใจจะลงต่อจากเหวี่ยงซบแล้วค่ะ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้เขียนได้แค่บทนำ
แล้วก็ดองไว้ซะปีกว่าๆ เลยตั้งใจว่าต้องเอามาเขียนให้จบได้แล้วล่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ◆ อยากให้เธอฝันยามหนุน ◆ ฝันครั้งที่ 1 ◆ 04/01/2561 ◆
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 04-01-2018 23:10:05
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ◆ อยากให้เธอฝันยามหนุน ◆ ฝันครั้งที่ 1 ◆ 04/01/2561 ◆
เริ่มหัวข้อโดย: ImInDragon ที่ 04-01-2018 23:42:51
เห็นชืื่อเรื่องแล้วทำใจหาย ฝัน หลับตาฝัน มันจะดราม่าใช่ไหม เตรียมอุ่นตับค่ะ ฮื่อๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ◆ อยากให้เธอฝันยามหนุน ◆ ฝันครั้งที่ 1 ◆ 04/01/2561 ◆
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-01-2018 00:36:22
แล้วทำไมถึงไม่รับรักตั้งแต่นู้นนนน ฮื่อ ขอยังไม่เดาโพสิชั่น เดี๋ยวจะเงิบ รู้สึกว่าไทม์ไลน์เรื่องดูเรียลมากค่ะ เต้นโคฟเวอร์นี่ย้อนไปเจ็ดแปดปีเลย 55555555
หัวข้อ: Re: ◆ อยากให้เธอฝันยามหนุน ◆ ฝันครั้งที่ 1 ◆ 04/01/2561 ◆
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 05-01-2018 11:40:24
เดาโพสิชั่นไม่ออก แต่เรื่องปลื้มกับต้นส้นเดาออกแต่เเรกเลย รอดูตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 1 | 04/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 07-01-2018 08:44:18
ขออย่าม่า happy endป่ะคะ ถามก่อนเลย555
หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 1 | 04/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 07-01-2018 22:01:13
หืมม จากกันแบบไม่เคลียร์ใจกันมันต้องมีความซับซ้อนแน่เลย รึป่าว ฮ่าๆ :katai4:
มาติดตามเรื่องใหม่ทั้งสองเรื่องจ้า
หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 2 | 11/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 11-01-2018 21:47:37

ฝันครั้งที่ 2

            เขาว่ากันว่าอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา เพราะฉะนั้นหลงเองก็จะไม่ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และเพื่อนเองก็ไม่มีสิทธิ์มาถือสาเรื่องที่เขาปล่อยให้นอนเมาหลับที่โซฟาห้องนั่งเล่นเหมือนกัน

            เมื่อคืนหลังจากเพื่อนหลับไปหลงก็ขับรถหนีกลับบ้าน คำพูดและจูบกะทันหันนั้นทำเอาเขานอนไม่หลับ มัวแต่คิดมากว่าถ้าหากเจอกันอีกจะปั้นหน้ายังไง จะสามารถทำตัวเป็นปกติได้ไหม แล้วคนเมาจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า

            หลงนั่งนิ่งพิงโซฟามองทีวีตรงหน้าแต่สายตาไม่ได้จับจ้องรายการที่กำลังฉาย ในหัวเขายังคงคิดถึงแต่เรื่องเมื่อคืน คิดย้ำแล้วย้ำอีกถึงสิ่งที่เพื่อนกระทำ อย่างกับว่าเหตุการณ์ครั้งเก่ากำลังถูกจับมาเล่าใหม่อีกครั้งโดยเจ้าของเรื่องคนเดิม เรื่องราวที่ตอนจบอาจจะเปลี่ยนแปลงไป

            "เฮ้อ!~" คิดแล้วก็เผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่จนน้องสาวที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปหันกลับมามอง

            "พี่หลงเป็นอะไร"

            "เป็นอะไร?"

            "ถอนหายใจดังขนาดนั้น"

            "เปล่า"

            น้องสาววัยมัธยมปลายเอียงคอมอง ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปโดยไม่สนใจพี่ชายคนโตที่ยังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เลิก

            หลงหยิบรีโมทมากดปิดทีวีตั้งใจจะขึ้นไปนอนทำตัวขี้เกียจบนห้องให้สมกับเป็นวันหยุด แต่ยังไม่ทันก้าวถึงบันไดเสียงน้องสาวที่เพิ่งสะพายกระเป๋าออกไปก็ดังแว่วมา เหมือนเขาจะได้ยินคำว่า...

            "เพื่อนเหรอคะ"

            ช่วงขายาวชะงักทันที หลงเดินย้อนกลับมาที่ประตูบ้านแล้วก็ต้องรีบมุดตัวกลับเข้ามาเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ตรงนั้น

คนที่กำลังยืนคุยกับน้องสาวของเขา

            เพื่อนที่ชื่อเพื่อน

            "อ๋อ หนูจำได้ละ พี่เพื่อน หน้าตาไม่เปลี่ยนเลยนะเนี่ย หล่อเหมือนเดิม"

            เพราะยืนหลบอยู่ด้านหลังทำให้หลงไม่รู้ว่าน้องสาวเขากับเพื่อนมีสีหน้ายังไง ถ้าให้เดาคนถูกชมคงจะยิ้มจนตาหยีโชว์ลักยิ้มที่แก้มขวา ส่วนน้องสาวตัวดีคงจะยิ้มหน้าระรื่นทำตัวเป็นสาวน้อยใจกล้าแซวผู้ชายหน้าตาดีไปทั่ว

            "พี่หลงอยู่ในบ้านเลยค่ะ"

            "พี่เข้าไปได้ใช่มั้ย"

            "ได้ค่ะ เข้าไปเลยๆ เดี๋ยวหนูไปก่อนนะนัดเพื่อนไว้"

            "ครับ"

            บทสนทนาของทั้งคู่จบลงแค่นั้น สมัยมัธยมเพื่อนๆ เคยนัดมาทำงานกลุ่มที่บ้านหลงสองสามครั้ง ด้วยความที่น้องสาวเขาเป็นเด็กผู้หญิงแก่แดดแถมชอบผู้ชายหน้าตาดีช่วงนั้นเธอเลยหลงใหลได้ปลื้มเพื่อนเป็นพิเศษ ถึงขนาดเอามาพูดให้ฟังว่าพี่เพื่อนดีอย่างนั้นพี่เพื่อนดีอย่างนี้ทั้งที่ได้เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะครั้งนั้นเธอโดนพิษรักไอศกรีมแท่งละห้าบาทที่เพื่อนซื้อมาฝากก็เป็นได้

            บ้านของหลงนั้นอยู่หลังสวนสาธารณะเล็กๆ ติดถนนใหญ่ มีซอยเข้าบ้านผ่านกลางสวน เพราะบ้านมีก่อนแต่สวนเพิ่งมาสร้างทีหลัง เป็นบ้านที่ไร้รั้วรอบขอบชิด มีเพียงบ้านสองชั้นหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ต้นซอย ถัดไปอีกหลายเมตรถึงจะมีบ้านอีกหลัง พื้นที่ว่างด้านหน้าเป็นลานจอดรถ ดูร่มรื่นเหมือนบ้านสวนก็ไม่ปาน

            ในเมื่อถูกเชื้อเชิญให้เข้าบ้านขนาดนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่หลงต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไป เขาเดินออกมายืนหน้าประตู มองเพื่อนที่ส่งยิ้มกลับมาให้ แววตาสุกใสนั่นช่วยเสริมให้อีกฝ่ายดูมีเสน่ห์เปล่งประกาย ก่อนเพื่อนจะก้าวเข้ามาหาอย่างอารมณ์ดี

            "ไง" เพราะไม่รู้จะเริ่มบทสนทนายังไงหลงเลยทักออกไปแบบนี้ ใจจริงเขาอยากจะถามออกไปว่า 'มาได้ยังไง' หรือ 'มีธุระอะไร' แต่ก็เกรงใจเกินกว่าจะพูดอย่างนั้น

            "น้องสาวโตขึ้นเยอะเลย ชื่ออะไรนะ" เพื่อนเอี้ยวตัวหันกลับไปมองเด็กสาวที่เดินออกไปจนเกือบจะถึงหน้าถนนใหญ่แล้วยิ้มแหย เขาจำหน้าได้ แต่เป็นพวกจำชื่อคนไม่ค่อยเก่งเท่าไร

            "หยก"

            "ใช่ น้องหยก สวยขึ้นด้วย"

            "เข้ามาในบ้านก่อนดิ"

            คำชวนที่รอคอยทำให้เพื่อนยิ้มกว้างกว่าเดิม รีบถอดรองเท้าวางไว้อย่างเป็นระเบียนก่อนเดินตามหลงเข้าบ้าน

เพื่อนจำไม่ค่อยได้นักว่าสมัยมัธยมการตกแต่งของบ้านหลังนี้เป็นยังไง จำได้ลางๆ ว่าตรงกลางมีพื้นที่ว่างสามารถรองรับเพื่อนได้ทั้งกลุ่ม มองไปแล้วก็ไม่ต่างจากตอนนี้นัก โถงด้านล่างโล่งกว้าง มีเพียงโซฟาไม้ตัวยาวตั้งติดขอบผนังด้านหนึ่งเป็นมุมสำหรับดูทีวี ตู้โชว์สองหลังใหญ่ ห้องน้ำใกล้กับบันได ห้องครัวอยู่ทางประตูหลังบ้าน มีโต๊ะทานข้าวสำหรับครอบครัว มีหน้าต่างเปิดรับลม เหมาะสำหรับเอาไว้จัดงานฉลองยิ่งนัก

            หลงเชิญแขกนั่งที่โซฟาไม้ ก่อนเดินไปหาน้ำหาท่ามาให้ วันนี้มีเขาอยู่เฝ้าบ้านแค่คนเดียว พ่อเลี้ยง แม่ แล้วก็น้องชายคนรองไปเยี่ยมญาติที่สระบุรี น้องสาวคนเล็กก็อย่างที่เห็น เพิ่งแต่งตัวสวยเดินออกไปจากบ้านเมื่อกี้นี้ เหลือเพียงเขา คนที่เมื่อวานกลับบ้านมาก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ตื่นมาอีกทีก็โดนทุกคนทิ้งไปหมด

            "หายเมาแล้วเหรอ" เห็นหน้าตาเพื่อนสดใสอย่างกับคนละคนกับเมื่อคืนหลงก็อดถามไม่ได้ แต่พอถามแล้วก็พาลให้คิดถึงคำถามของคนเมาขึ้นมา หรือว่าเขาควรจะเปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องอื่น

            "แค่นั้นไม่แฮงค์หรอกน่า"

            "อืม" ส่งเสียงตอบรับไปแล้วต่างคนก็ต่างเงียบ

            บรรยากาศวังเวงแปลกๆ เริ่มเข้ามาปกคลุมจนทำให้หลงชักรู้สึกอึดอัด คนพูดมากไม่กล้าหยิบหยกเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาพูด ไม่กล้าเปิดประเด็น ไม่กล้าจะซักถามอะไรต่อทั้งนั้นเพราะกลัวจะไปกระตุ้นต่อมความจำของเพื่อนเข้า ไม่ใช่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เขารังเกียจหรือนึกเกลียดเพื่อนขึ้นมา แต่เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้มันจะเหมือนหนังที่ถูกฉายซ้ำกับเมื่อแปดปีที่แล้วมันก็ยังเร็วไปจนตั้งตัวไม่ทันอยู่ดี

            พอหลงเงียบใส่เพื่อนก็เงียบไปด้วย ความเงียบไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนเกลียดเพราะเขาค่อนข้างคุ้นชินกับมัน แต่เขาชอบเวลาที่หลงพูดมากมากกว่า ชอบเวลาหลงเล่าเรื่องต่างๆ ให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง ความรู้สึกคล้ายกับเวลาฟังคุณครูเล่านิทาน เพลิดเพลินชวนให้เคลิ้มหลับ และเขารู้ว่าทำไมคนที่เคยพูดเป็นต่อยหอยถึงได้เงียบเป็นเป่าสากแบบนี้ เหตุผลนั้นมาจากตัวเขาเอง

            "เมื่อคืน"

            เพียงแค่เกริ่นออกมาคำเดียวสีหน้าหลงก็เปลี่ยนจนเพื่อนจับสังเกตได้ไม่ยาก เล่นทำตาโตเลิ่กลั่กแบบนี้ไม่เนียนเอาเสียเลย

            "ขอบคุณที่ไปส่ง"

            "อ๋อ อืม ไม่เป็นไร"

            "แล้วกลับมาถึงบ้านกี่โมง"

            "ประมาณเที่ยงคืน"

            เพื่อนพยักหน้าแล้วยิ้มรับจนเห็นแก้มปุ๋มข้างขวา เขายืดตัวขึ้นพิงพนัก นึกขำหลงอยู่ไม่น้อยทั้งที่ในใจตัวเองยังรู้สึกหวาดหวั่น เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเพราะเมาหนัก ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นลงไป การกระทำที่เสี่ยงโดนปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง แต่ถ้าหากถามว่าเสียใจที่ทำลงไปไหมเขาตอบได้เลยว่าไม่ ปฏิกิริยาตอบกลับในวันนี้ของหลงไม่ได้แย่นัก และนั่นทำให้เขาอยากเดินหน้าสู้ต่อ แม้จะรู้ว่ามันยากไม่ต่างจากเมื่อแปดปีก่อนเลยก็ตาม

            เพราะถ้าไม่เคยรู้สึก...พยายามให้ตายยังไงก็คงไม่มีวันรู้สึกอยู่ดี

            "เออ หลงมีแฟนยัง"

            "ก็...ยัง"

            "ยังไม่มีเหมือนกัน"

            "ใช่เหรอ"

            คนโดนดักคอหัวเราะเบาๆ คนอย่างเพื่อนที่ทุกคนในกลุ่มรู้จักโสดได้ไม่เกินสองเดือนเดี๋ยวก็มีคนมาดามหัวใจ แต่ใครจะรู้ว่าเวลาผ่านไปอะไรๆ มันก็เปลี่ยน

            "โสดมาหลายปีแล้ว"

            "..."

            "รอคนที่สารภาพรักไว้เมื่อแปดปีก่อนมาเป็นแฟนอยู่"

 

            ม. 4 เทอม 2

            หากจะพูดถึงแฟนของเพื่อนสมัยมัธยม ก็มักจะนึกถึงคำหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมานิยามการคบหาแบบรักๆ ใคร่ๆ ของเพื่อนในสมัยนั้น คล้ายกับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คำที่หลงไม่แน่ใจว่าเพื่อนยังเป็นแบบนั้นอยู่หรือเปล่า

            ในเมื่อหลงคือ 'หลงหลับ' ฉะนั้นแล้วนิยามสำหรับเพื่อนก็คือ 'เพื่อนไม่เลือก'

            คำๆ นี้เป็นใครได้ยินคงรู้สึกไม่ดีนัก แต่ในความหมายที่เพื่อนๆ เข้าใจไม่ใช่แบบนั้น เพราะเพื่อนก็แค่คบหาใครสักคนเป็นแฟนโดยไม่สนหน้าตาเท่านั้นเอง

            "แฟนมึงแต่ละคน"

            แฟนคนใหม่ของเพื่อนกลายเป็นประเด็นสนทนาหลักของกลุ่มในวันนี้ กับสาวรุ่นพี่ที่พยายามขายขนมจีบให้น้อง ม.4 ขวัญใจสาวๆ ในโรงเรียนมานานแรมเดือน จนสุดท้ายก็ได้สมหวังเสียที แต่สิ่งที่เล็กติดใจไม่ใช่เพราะเพื่อนคบรุ่นพี่ แต่เป็นฉายา 'พี่ผี' กับความสวยที่หาได้น้อยมากจากตัวรุ่นพี่คนนั้นต่างหาก

            "ทำไมไม่หาแฟนสวยๆ หน่อยวะ" เก้เองก็เห็นด้วย

            "สวยสุดคงเป็นน้องใหม่มั้ง แต่คนนั้นไม่ใช่แฟนนี่หว่า เหมือนมากุ๊กกิ๊กๆ กันพักเดียว" ขวัญว่าพลางทำท่านึก น้องใหม่ที่ว่าก็สวยใช้ได้ อย่างน้อยก็สวยกว่าพี่ผี

            เพื่อนส่ายหน้าน้อยๆ กับคำวิจารณ์ที่ได้รับ เขาไม่โกรธ เพราะรู้อยู่แล้วว่าผลตอบรับจากกลุ่มเพื่อนจะเป็นแบบนี้

            "ไม่ได้เลือกคบที่หน้าตานี่หว่า"

            "แล้วพี่ผีนี่ดีตรงไหน อ๋อ ดีเพราะมึงได้กินขนมฟรีใช่มั้ย" เล็กสวนขึ้นทันควัน คนโดนดักคอก็ได้แต่ยิ้มอีกรอบ ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ เก้เลยช่วยยืนยันความคิดเล็กอีกแรง

            "กูว่าต้องใช่แน่ๆ"

            "เห็นกูเป็นคนเห็นแก่กินเหรอวะ"

            "หรือไม่ใช่"

            เพื่อนหัวเราะแทนคำตอบ ได้กินของฟรีก็ส่วนหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักทั้งหมดเสียหน่อย การจะคบใครสักคนเป็นแฟนต้องมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน กับพี่ผี คนที่คอยเข้ามาวอแวเอาใจใส่มีหรือที่ใจจะไม่รู้สึก อย่างน้อยเพื่อนเองก็มีความชอบพออยู่บ้าง แต่จะพัฒนาเป็นความรักได้หรือไม่นั้นต้องให้อนาคตตัดสิน

            "แล้วไง จะกลับด้วยกันมั้ย หรือจะไปไหนกับพี่ผีมั้ย" เล็กถาม ปกติเขากับเพื่อนจะกลับบ้านด้วยกัน ความจริงมีหลงด้วยอีกคนแต่รายนี้ไม่ค่อยได้กลับด้วยกันนัก หากเรียงตามระยะทางแล้วบ้านหลงอยู่ใกล้ที่สุด ถัดมาเป็นเล็ก และเพื่อนที่อยู่เลยไปอีกเขตแต่ยังเป็นถนนเส้นเดียวกันอยู่

            "พี่เค้านัดไปหาอะไรกินที่ตลาด"

            "นัดกันที่ไหน"

            "ก็..."

            "น้องเพื่อน"

            พูดยังไม่ทันขาดคำเจ้าของฉายาพี่ผีก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาก่อนตัว รุ่นน้องผู้น่ารักพากันยกมือไหว้ เธอเองก็รับไหว้พร้อมรอยยิ้มสดใส ไม่ได้มีท่าทีคุกคามทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แค่ยืนห่างๆ รอให้แฟนหนุ่มขวัญใจของใครหลายๆ คนลุกขึ้นมาหาเอง

            "งั้นไปก่อนนะ"

            "เออๆ เจอกันพรุ่งนี้"

            "เที่ยวให้สนุกนะครับ"

            เพื่อนลุกออกจากโต๊ะไปหาแฟนสาวก่อนทั้งคู่จะเดินเคียงข้างออกไปพร้อมกัน จะว่าไปก็ดูเหมาะสมกันดี ไม่จำเป็นต้องเท่าเทียมกันในทุกเรื่อง ไม่ต้องหล่อไม่ต้องสวย ขอแค่มีความสุข มันจะกลายเป็นความเหมาะสมที่น่าอิจฉาขึ้นมาเอง

            อย่างน้อยหลงก็คิดแบบนั้น

            ไม่ว่าเพื่อนจะคบหากับใคร เขาก็ทำให้คนคนนั้นดูน่าเหมาะสมได้อย่างน่าประหลาด

 

            ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับพี่ผีดำเนินไปท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่ารุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน บางกลุ่มเชียร์ บางกลุ่มแช่ง ถึงอย่างนั้นเรื่องราวความรักมักไม่จบด้วยความสวยงามเสมอไป อย่างน้อยก็กับเพื่อน ผู้ชายหน้าตาดีที่ถูกผู้หญิงบอกเลิกเป็นส่วนใหญ่ แม้กระทั่งกับพี่ผี

            "เกือบห้าเดือน คนนี้นานสุด" เล็กชูนิ้วที่นับได้ให้เพื่อนดูอย่างภาคภูมิใจ เขาไม่ใช่คนที่อาลัยอาวรณ์กับความรักของเพื่อนนัก เพราะคนอักหกยังนั่งกินข้าวได้อย่างปกติสุขอยู่เลย

            "แล้วทำไมถึงโดนบอกเลิกอีกวะ" ขวัญถามบ้าง เขาเองมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เหตุผลของการเลิกราครั้งนี้คงไม่ต่างจากเดิมนัก แต่ที่เพิ่งถามและนึกอยากรู้เพราะเมื่อสองวันก่อนแผลเพื่อนยังสด ทำตัวซึมกระทือไม่พูดไม่จา พอเห็นวันนี้สีหน้ากลับมาสดใสเหมือนเดิมแถมมีเล็กเปิดประเด็นให้เลยอดที่จะถามบ้างไม่ได้

            "ก็เหมือนเดิม"

            "ไม่มีเวลาให้"

            "อยากนอนมากกว่า"

            "อยากมีเวลาส่วนตัว"

            "ไม่ใช่ไม่รักนะ"

            "แต่คนเราก็อยากอยู่บ้านบ้าง"

            "บางทีก็ขี้เกียจ"

            "กูว่ามึงยังไม่พร้อมมีแฟนว่ะ"

            ได้ฟังคำตอบเพื่อนทั้งกลุ่มก็พูดต่อกันเหมือนเล่นต่อเพลงโดยปิดท้ายด้วยความคิดเห็นของเล็ก ทุกประโยคนั้นเพื่อนเคยพูดไว้ทุกคนไม่ได้ใส่ร้าย เพื่อนเป็นคนติสท์ มักมีอารมณ์ศิลปิน บางเวลาไม่ชอบให้ใครมารบกวน แต่ถึงเวลาทุ่มก็ทุ่มเต็มที่ คาดว่าสาวรุ่นพี่คงไม่เข้าใจถึงจุดนี้ รวมถึงสาวๆ ที่โบกมือลาไปก่อนหน้านี้ด้วย

            "เขาขอเวลาในตอนที่อยากพัก ขอในตอนที่รู้สึกไม่ไหว บางทีมันก็ไม่อยากให้ไง"

            "ขออะไรพูดให้เคลียร์ๆ" เต้ยขัดขึ้นจนเพื่อนมองตาขวางใส่ แต่คนสวนกลับกลายเป็นขวัญ

            "ขอเอามั้ง มึงอย่าเพิ่งขัดได้มั้ยวะ"

            "เห็นหน้าเครียดๆ ก็เผื่อจะตลกไง แล้วสรุปมึงโอเคหรือยังวะ"

            "อืม ถ้าเขาไม่อยากอยู่แล้วกูก็ไม่รั้งหรอก"

            "แต่บางทีเขาอาจจะอยากให้มึงรั้งก็ได้นะ"

            "ไม่อยากรั้งคนที่ไม่เข้าใจในตัวกูว่ะ" คนพูดยังก้มหน้าก้มตาเขี่ยข้าวในจาน กลุ่มเพื่อนๆ เองก็ไม่ได้ว่าหรือคัดค้านในการตัดสินใจครั้งนี้

            แต่ละคนนั้นมีความคิดและทัศนคติต่อความรักแตกต่างกันไป สำหรับผู้ชายตัวอ้วนเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ไม่เคยมีแฟนเขาจึงไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะอะไรความรักของเพื่อนถึงเกิดขึ้นได้ง่ายและจบลงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งตอนนี้เองเขาก็ยังไม่เข้าใจเช่นกัน

            ว่าเพราะอะไรความรักที่เพื่อนมีให้เขา...ถึงยังยาวนานมาจนถึงตอนนี้

 

            หลงทำหูดับ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เพื่อนเพิ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ ไหนจะเรื่องเมื่อคืนอีก ทุกอย่างมันดูเร็วเกินไป เขายังไม่พร้อมรับอะไรทั้งสิ้น และไม่คิดว่าจะพร้อมในเวลาอันใกล้นี้ด้วย

            "หินข้าวยัง"

            แต่แล้วประเด็นกลับถูกเปลี่ยนอย่างกะทันหันจากเพื่อนที่ชื่อเพื่อน

            "เอ่อ...ก็ ยัง"

            "งั้นไปกินข้าวกัน"

            "ที่ไหน"

            "หลงอยากไปที่ไหน"

            คลังร้านอาหารแถวบ้านมีอยู่ในหัวหลายสิบร้านแต่ตอนนี้หลงกลับนึกไม่ออก กินอะไรดี ตอนนี้เขาอยากกินอะไร แล้วเพื่อนล่ะอยากกินอะไร ยังชอบกินก๋วยเตี๋ยวเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือเปล่า

            "ก๋วยเตี๋ยวเรือ"

            "แถวนี้มีด้วยเหรอ"

            "มี"

            หลงไม่แปลกใจนักที่คนไม่ค่อยช่างสังเกตอย่างเพื่อนจะไม่รู้ จากที่นี่ไปตั้งหลายปีทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด อะไรๆ ก็ไม่เหมือนสมัยมัธยม ร้านนั้นปิดตัวร้านนี้เปิดใหม่ ก๋วยเตี๋ยวเรือที่ไม่เคยมีก็มี

            "งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวกัน"

            "อืม" ทำไมถึงไม่อาจปฏิเสธคำชวนนี้ได้ หลงยังนึกแปลกใจในตัวเองอยู่เหมือนกัน

            เพื่อนยิ้มตาปิด โชว์ลักยิ้มที่แก้มขวาบ่งบอกถึงความอารมณ์ดี ก็เป็นซะแบบนี้ใครจะไปปฏิเสธลง หลงไม่อยากเห็นเพื่อนทำหน้าเศร้า เขาไม่ชอบบรรยากาศขมุกขมัวรอบตัวเพื่อนนัก ผู้ชายคนนี้เหมาะกับความสดใส เหมาะกับโทนสีฟ้าหรือไม่ก็เขียว นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่กล้าปฏิเสธ

            คำปฏิเสธที่ทำให้เพื่อนต้องเศร้าเหมือนเมื่อแปดปีก่อน 

 
-------------- ติดตามตอนต่อไป --------------

 
แอบเพิ่มรายละเอียดเรื่องเวลานิดหน่อย
เรื่องนี้เรานับเวลาหลายรอบมากค่ะ อยากให้ตรงกับเวลาจริงๆ
ส่วนม่าไม่ม่านั้น เราสายฮีลค่ะ จะไม่ขอผิดคอนเซ็ป อิ_อิ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 2 | 11/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 11-01-2018 23:16:06
ทำไมอ่านแล้วเพื่อนดูลึกลับชอบกล-0-...
หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 2 | 11/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 13-01-2018 16:48:03
สรุปคือ..เพื่อนสารภาพรักหลง แต่หลงปฏิเสธใช่ไหม เราเข้าใจถูกใช่ไหม

แต่ทำไมตอนแรกเราคิดว่าหลงสารภาพรักอ่ะ โอยยยง งงตัวเอง
หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 3 | 19/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 19-01-2018 21:16:19

ฝันครั้งที่ 3

            ชีวิตคนวัยทำงานอย่างหลงไม่มีอะไรน่าสนใจนัก เช้ามาตื่นนอน อาบน้ำแต่งตัวขับรถไปบริษัท ทำงานตั้งโต๊ะในตำแหน่งธุรการตามที่รุ่นพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทชักชวนมาทำ วันหยุดถ้าไม่ใช้เวลาอยู่ที่บ้านก็ออกไปไหนมาไหนกับครอบครัว ไม่ก็หมดไปกับการสะสางปัญหาธุระต่างๆ ชีวิตของเขาที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนกระทั่งเมื่ออาทิตย์ก่อน

            วันที่เขาได้เจอกับเพื่อนที่ชื่อเพื่อนอีกครั้ง

            หลังจากกดรับคำขอเป็นเพื่อนไป หลงก็ได้รับข้อความทักทายจากเพื่อนทุกวัน กล่องข้อความในเฟซบุ๊กที่แทบไม่ได้คุยกับใครนอกจากเพื่อนร่วมงานช่วงนี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ เริ่มด้วยการส่งสติ๊กเกอร์ เมื่อตอบกลับคำถามทั่วไปอย่างเรื่องงาน เรื่องของกิน หรือกระทั่งคำว่าทำอะไรอยู่ก็ถูกส่งกลับมา อย่างกับพวกวัยรุ่นที่เริ่มจีบกันใหม่ๆ แต่จะว่าไปเพื่อนก็กำลังทำแบบนั้นอยู่จริงๆ เพื่อนกำลังพยายามจะจีบเขาอยู่จริงๆ

            "เฮ้อ~" หลงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังเผชิญ ตอนนี้เขาเริ่มปรับตัวได้แล้ว รู้ตัวและกำลังทำความเข้าใจเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด เพราะเขาไม่อยากทำให้เพื่อนต้องเศร้าด้วยคำพูดโหดร้ายนั่นอีก

            งานยังสุมหัวอยู่เต็มโต๊ะแต่หลงกลับไม่มีแรงจูงใจจะทำมันเท่าไรนัก จอคอมฯ เปลี่ยนเป็นหน้าเฟซบุ๊ก กดเข้าชื่อเพื่อนที่ทักมาเมื่อชั่วโมงก่อนแล้วก็หายเงียบไป รูปที่ไม่รู้ถ่ายตั้งแต่สมัยไหนถูกตั้งเป็นภาพโปรไฟล์ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเพื่อนคนนั้นแทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเลย หนำซ้ำหน้าไทม์ไลน์ยังไม่มีการอัพเดทมาแล้วหลายเดือน เป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบเปิดเผยการเคลื่อนไหว เขาจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนอื่นๆ ในกลุ่มถึงไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นตายร้ายดียังไง ขนาดเขาเองยังได้เป็นเพื่อนกันทางโซเชียลไม่ครบหนึ่งอาทิตย์ดีด้วยซ้ำ

            หลงเลื่อนเมาส์ลงมาเรื่อยๆ ผ่านหน้าไทม์ไลน์ที่เคยผ่านมาสายตามาแล้ว เขาแค่อยากดู ไม่มีเหตุผลอะไรอื่น ดูรูปเก่าๆ ของเพื่อนที่หนีไปเรียนไกลถึงเชียงใหม่ เรียนจบย้ายไปทำงานเป็นนักรังสีการแพทย์ที่เชียงราย ก่อนกลับมาประจำอยู่โรงพยาบาลทันตกรรมในกรุงเทพฯ เมื่อสามเดือนก่อน

            หน้าจอเฟซบุ๊กถูกปิดลงเพื่อกลับเข้าสู่ช่วงเวลาของการทำงานอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้จะเป็นเวลาว่างของคนที่หลงเพิ่งเข้าไปส่องเฟซบุ๊กเมื่อกี้นี้ ข้อความที่ทิ้งห่างไปนานร่วมชั่วโมงจึงถูกตอบกลับมา

            Yanakorn : คนไข้เยอะมาก

            Yanakorn : ข้าวที่กินไปย่อยหมดแล้ว

            Veerayu : ตั้งใจทำงานไป

            Yanakorn : ก็ตั้งใจตลอด

            Yanakorn : ตอนนี้ว่างละ

            Veerayu : อืม

            เพื่อนว่างแต่หลงไม่ว่าง เพราะเขายังมีงานรอให้เคลียร์อีกเป็นตั้ง เลยตอบกลับไปเป็นคำสั้นๆ ก่อนจะโดนอีกฝ่ายว่ากลับมา

            Yanakorn : ไม่ชอบเลยคำนี้ เหมือนไม่อยากคุย

            Veerayu : แล้วจะให้ตอบว่าไง

            Yanakorn : สติ๊กเกอร์โง่ๆ ก็ยังดี

            'ทำตัวเป็นเด็กผู้หญิงขี้งอน' หลงอยากจะว่าเพื่อนกลับไปแบบนั้น ก็แค่คำว่า 'อืม' ทำไมต้องคิดว่าไม่อยากคุย มันก็เป็นเพียงแค่การตอบรับแบบหนึ่ง เวลาเขาโดนเพื่อนๆ พิมพ์คำนี้ใส่ยังไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย แต่สุดท้ายก็ยอมส่งสติ๊กเกอร์กลับไปแทน

            Veerayu : ทำงานก่อน

            Yanakorn : OK

            หลงปิดหน้าจอลงเพื่อกลับไปเคลียร์งานที่ค้างอยู่ แต่ทิ้งเวลาไว้ไม่ถึงสามวินาทีแถบด้านล่างก็แจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า จากเพื่อนเจ้าเก่าเจ้าเดิม

            Yanakorn : ทิ้งเบอร์ไว้ให้หน่อย ว่าจะขอตั้งนานแล้วแต่ลืม เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน

            'มันจะมีอะไรให้ฉุกเฉิน' หลงได้แต่คิดในใจ ขนาดไม่ได้ติดต่อกันตั้งแปดปียังมีชีวิตรอดกลับมาเจอกันได้ แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นมือเจ้ากรรมดันพิมพ์ตัวเลขสิบหลักลงไปอย่างรวดเร็ว กว่าจะรู้ก็ตอนอีกฝ่ายบอกขอบคุณกลับมา

            สมองคัดค้านแต่ใจกลับเปิดรับ อยากดันเพื่อนให้ห่างออกหรือดึงให้เข้ามาใกล้กันแน่ตอนนี้หลงยังสับสนในตัวเอง

 

            ม. 4 เทอม 2

            กลายเป็นเรื่องปกติที่หลงเห็นจนชินตา ภาพรุ่นน้อง ม.ต้น วิ่งตามเพื่อนของเขา คนที่มีดวงตาเปล่งประกายสุกใสกับลักยิ้มที่แก้มขวา แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจเท่าไรว่าตัวเองเป็นที่นิยมในโรงเรียนขนาดไหน เพราะเพื่อนก็คือเพื่อน คนที่ยิ้มให้กับทุกอย่างและไม่เคยทำตัวทุกข์ร้อนกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา

            "พี่เพื่อนคะ"

            คนที่เดินรั้งท้ายกลุ่มหยุดเท้าหันไปมองตามเสียงเรียกทำให้เพื่อนทั้งกลุ่มหยุดตาม สาวน้อยในชุดนักเรียนคอซองยืนยิ้มอย่างเหนียมอายท่าทางกล้าๆ กลัวๆ จนเจ้าของชื่อที่ถูกรั้งไว้ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามหาเหตุผลแทน

            "น้องมีอะไรหรือเปล่า"

            "คือหนู...ขออีเมลได้มั้ยคะ"

            จบคำขอเพื่อนๆ ก็พากันโห่ร้องแซว ทำเอาสาวน้อยใจกล้าสะดุ้งตัวโยนทำท่าจะหลบฉากหนี จนเพื่อนต้องสั่งให้เพื่อนหยุดส่งเสียงอันเสียมารยาทลงก่อน

            "พวกมึงเงียบ! น้องเขากลัวหมดแล้วเนี่ย"

            แต่มีหรือเหล่าทโมนจะยอมกันง่ายๆ

            "ถ้ากล้ามาขอขนาดนี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้วจ้ะน้อง"

            "มาได้ถูกเวลาซะด้วย มันกำลังหาคนมาดามใจอยู่พอดี"

            "อย่างกับรู้ว่ามันเพิ่งอกหัก"

            "ข่าวมันก็ออกจะดังป้ะวะ"

            "หุบปากไปเลยพวกมึง" โดนแซวหนักๆ เพื่อนเลยโพล่งออกมาอย่างสุดทน ถึงเขาไม่ได้อยากจะให้ตามที่รุ่นน้องคนนี้ขอแต่การที่พวกมันเอาเรื่องแบบนี้มาพูดล้อเล่นมันก็ทำให้เขานึกหงุดหงิดอยู่ดี

            "ออกโรงแบบนี้แสดงว่าจะให้"

            "น้องเอากระดาษมาจดเลยครับ มาๆ" กลายเป็นเล็กที่เจ้ากี้เจ้าการ เป็นคนเดินไปหารุ่นน้องแถมยังช่วยดันหลังให้เดินเข้ามาใกล้

            สมุดปกอ่อนที่เปิดหน้าสุดท้ายเอาไว้ถูกยื่นมาให้พร้อมปากกา สาวน้อยยังยิ้มหวาดๆ ก่อนบอกถึงความเป็นมาเป็นไปให้เพื่อนได้ฟังอีกข้อ แต่ใครๆ ก็มักใช้ข้ออ้างนี้กันทั้งนั้น

            "คือหนูขอให้เพื่อนค่ะ"

            "ไม่ใช่ของน้องเหรอ"

            "ค่ะ"

            "งั้นพี่ไม่ให้ครับ"

            "อ้าว!" เสียงที่แสดงถึงความผิดหวังมาจากกลุ่มเพื่อนๆ แทนที่จะเป็นรุ่นน้องใจกล้า แต่เธอไม่ยอมลดละความพยายามลงง่ายๆ

            "นะคะพี่เพื่อน เพื่อนหนูมันขี้อาย แต่มันอยากรู้จักกับพี่จริงๆ"

            "อยากรู้จักแล้วทำไมไม่มาทำความรู้จักเองล่ะครับ"

            "มันเขินค่ะ"

            "งั้นพี่ก็เขินครับ ไม่กล้าให้" ตอบรุ่นน้องเพียงเท่านี้เพื่อนก็ทำท่าจะถอยหลังเดินหนี คนปากหนักเลยต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้

            "ของหนูเองค่ะ หนูขอเอง"

            เท้าที่กำลังก้าวถอยหลังหยุดนิ่ง เพื่อนยกยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มที่แก้มขวา เหล่ากองเชียร์ทโมนก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้เหมือนกัน

            "ก็แค่นี้" เพื่อนยื่นมือไปรับสมุดกับปากกาที่เด็กหญิงรุ่นน้องถือค้างเอาไว้ ก่อนบรรจงเขียนอีเมลของตัวเองลงไป

            แต่มนุษย์ย่อมมีความโลภมาก ได้คืบจะจะเอาศอก ถึงอย่างนั้นเพื่อนก็ไม่ได้ถือสาอะไรนัก

            "แล้วถ้าขอเบอร์"

            "ให้มันน้อยๆ หน่อยๆ"

            เพื่อนเขียนเฉพาะอีเมลตามที่เธอขอแล้วยื่นสมุดกลับไปให้ ก่อนทั้งกลุ่มจะเดินตรงไปยังอาคารเพื่อเข้าเรียนในคาบบ่าย ส่วนพ่อคนดังนั้นก็โดนแซวไปตามระเบียบ

            เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ขออีเมล ขอเบอร์โทร ขอถ่ายรูป แปลกหน่อยก็เอาบันทึกมาให้เขียน เอาคำถามร้อยข้อมาให้ตอบ หลงเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างโดยไม่เคยออกความเห็นใดๆ และเขาก็ไม่เคยเห็นเพื่อนบ่นรำคาญหรือพูดถึงคนเหล่านั้นในทางที่ไม่ดีเหมือนกัน ถ้าหากทุกคนที่เข้าหานั้นมาพร้อมกับความจริงใจ

            บางคนเข้าหาเพื่ออยากรู้จัก เข้ามาเพราะความนับถือ เข้ามาเพราะชอบที่หน้าตาเลยอยากยกให้เป็นรุ่นพี่สุดหล่อในความทรงจำ หรือบางคนอาจจะเข้ามาเพราะหวังมากกว่านั้น หลงรู้สึกชื่นชมทุกครั้งที่เห็นเพื่อนมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เขารู้สึกว่าคนคนนี้เหมาะที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนต้องการอย่างแท้จริง

 

            เสียงมือถือที่ดังขึ้นมาเรียกให้หลงหลุดออกจากภวังค์ความคิด เบอร์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนโชว์อยู่บนหน้าจอ เขารีบคว้ามันมากดรับอย่างไม่คิดอะไร เพราะคิดว่าจะเป็นเบอรของลูกค้า

            "สวัสดีครับ"

            (สวัสดีครับ คุณวีรายุ)

            หลงขมวดคิ้วฉับดึงมือถือออกจากหูเพื่อดูเบอร์อีกครั้ง เบอร์แปลกแต่น้ำเสียงกลับคุ้นอย่างบอกไม่ถูก จนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กหลงก็เริ่มเข้าใจ

            Yanakorn : เดี๋ยวยิงไป

            งั้นก็ผิดที่เขาใช่ไหมที่ดันกดรับ

            "เพื่อน"

            (รับซะเร็ว)

            "เพิ่งเห็นที่ส่งมา"

            (นี่เบอร์เพื่อนนะ)

            "รู้แล้ว"

            เสียงหัวเราะดังแว่วมาจากปลายสาย หลงเผลอยิ้ม อยู่ๆ ก็นึกหน้าเพื่อนสมัยมัธยมตอนกำลังหัวเราะขึ้นมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูมีความสุขนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของเขา

            (จะบอกแค่นี้แหละ)

            "ว่างอยู่เหรอ"

            (ว่างเป็นช่วงๆ)

            "อะไรคือว่างเป็นช่วงๆ"

            (ก็คนไข้มาไม่สม่ำเสมอไง เดี๋ยวอีกแป๊บเดียวจะไม่ว่าละ แล้วหลงว่างเหรอ)

            "ไม่ว่าง"

            (อ้าว)

            "ก็บอกไปแล้วว่าจะทำงาน"

            (โอเค งั้นวางละ)

            "อืม"

            หลงยังถือสายรออยู่อย่างนั้นแต่เสียงตัดสายกลับไม่ดังขึ้นสักทีจนชักสงสัย แต่เมื่อนึกถึงคำที่ตอบรับออกไปเมื่อครู่ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าไอ้ความเงียบแปลกๆ มันมีที่มาจากอะไร

            "สวัสดีครับ"

            (สวัสดีครับ)

            กดวางสายแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพื่อนเป็นคนติสท์ แถมยังมีระบบความคิดที่ซับซ้อน ถ้ายังคิดจะคุยกันต่อนับว่าเป็นปัญหาใหญ่ของเขาเลยสินะ

            ไอ้คำว่า 'อืม' เนี่ย



TBC


เรื่องนี้เพื่อนเป็นฝ่ายสารภาพค่ะ แงงงง เราทำให้งงหรือเปล่าคะ
จะทบทวนดูอีกทีค่ะ เพราะเราเข้าใจเองอยู่แล้วเลยอาจจะบรรยายออกมาไม่ชัดเจน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 3 | 19/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 20-01-2018 17:26:46
เราอ่านแล้วเข้าใจนะคะว่าเพื่อนเป็นฝ่ายบอกรัก
ส่วนในเรื่องของโพสิชั่นนั้น ยังคงไม่กล้าฟันธงต่อไป แฮ่ๆ :katai3:
หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 3 | 19/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 20-01-2018 18:10:21
เพื่อนพยายามจีบหลง น่าร้ากกกก
เราชอบอ่านเรื่องตอนเด็กจัง ชอบที่คุยกับเด็กผญ.นะ น่ารักดีจัง มีความหยอก
หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 3 | 19/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Meercorn ที่ 24-01-2018 23:23:19
เพื่อนนี่ติสดีจัง หลงก็ดูอ่อนให้อยู่นะ แต่ก็ต้องยอมใจเพื่อนจริงๆชอบหลงมาตลอดแปดปีเลยหรอ หรือมีอะไรเบื้องหลังหว่าา แอบชอบตอนย้อนไปช่วงสมัยเด็กเหมือนกัน น่ารักดี
หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 4 | 26/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 26-01-2018 22:13:25

ฝันครั้งที่ 4

            'ไปดูหนังกัน'

            คำชวนที่คาดไว้ว่าอาจจะได้รับเด้งขึ้นมาจากกล่องข้อความเฟซบุ๊ก หลงซึ่งกำลังนั่งทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจเหลือบมองที่มุมขวาล่างของหน้าจอคอมฯ ทั้งที่คิดว่าจะทิ้งไว้สักพักแล้วค่อยตอบ แต่มือดันไวเลื่อนเม้าท์คลิกเข้าไปอ่านเสียอย่างนั้น

            วันนี้เป็นวันเสาร์ เป็นวันหยุดแต่หลงต้องมาทำโอที เพื่อนเองก็เช่นกัน ข้อความจากกล่องเฟซบุ๊กดังแจ้งเตือนตั้งแต่เช้าอย่างกับรายงานสถานการณ์ข่าว ก่อนจะหายไปครึ่งค่อนวันและกลับมาอีกครั้งพร้อมคำชวนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แต่หลังจากเลิกงานบ่ายนี้เขาไม่มีธุระสลักสำคัญอะไรอยู่แล้ว นานๆ ทีจะเข้าโรงหนังบ้างคงไม่เสียหาย

            Veerayu : กี่โมง

            Yanakorn : ห้าโมงเย็น

            Veerayu : ได้

            Yanakorn : โอเค แล้วเจอกัน

            Veerayu : อืม

            ด้วยความชินและลืมตัวทำให้หลงพิมพ์คำต้องห้ามออกไป เพียงเท่านั้นคนที่นิสัยติดจะกวนประสาทนิดๆ ก็ออกฤทธิ์ทันที

            Yanakorn : อืม

            Yanakorn : อืม

            Yanakorn : อืม

            Yanakorn : อืม

            ให้มันได้อย่างนี้สิ

            Veerayu : โอเคๆ เจอกันห้าโมง

            หลงถอนหายใจเฮือกใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองข้อความที่โชว์อยู่ด้วยความรู้สึกหลายอย่างตีวนอยู่ในอก มันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงกับการกลับมาของเพื่อนครั้งนี้ กลับมาเพื่อนสานต่อ หรือที่จริงต้องการแก้แค้นกันแน่ เขาที่ไม่มีอะไรดี เขาที่ปฏิเสธความรัก เขาที่ยังไม่มีความมั่นใจใดๆ แล้วเพื่อนยังจะเลือกเขาจริงๆ อย่างนั้นเหรอ

            บางเรื่องที่ต้องใช้สมองมากๆ ก็อาจจะทำให้เขามีความคิดเพี้ยนๆ ก็เป็นได้

 

            หลงมาถึงสถานที่นัดหมายก่อนเวลานัดสิบนาที เขาได้รับข้อความจากเพื่อนว่ามาถึงก่อนหน้านี้ไม่นานนัก แถมยังซื้อตั๋วหนังไว้แล้วเรียบร้อย หลงกวาดตามองหาหลังจากขึ้นมาชั้นโรงหนัง แต่คนสดใสอย่างเพื่อนโดดเด่นกว่าใครเสมอ และสายตาเขาก็มักถูกสะกดให้จับจ้องไปยังคนคนนั้นทุกครั้งไป

            เพื่อนยืนเท้าแขนกับราวที่กั้น มองลงไปข้างล่าง ด้านข้าง กวาดสายตาไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย ท่าทางธรรมดาๆ ที่ไม่น่าสนใจ แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมากลับหยุดสายตาไว้ที่เขาเมื่อเดินผ่าน

            ยังเป็นแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

            หลงสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบโดยไม่เอ่ยทัก ยกมือขึ้นแตะไหล่ให้อีกคนหันมา

            เพื่อนไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือทักทายอะไรเป็นพิเศษ เขาทำเพียงยิ้ม โชว์ลักยิ้มที่แก้มขวาก่อนเอ่ยถาม

            "กินข้าวยัง"

            "ยัง"

            "งั้นไปกินข้าวกัน"

            ไม่รอให้หลงตอบเพื่อนก็เดินนำหน้าไปยังศูนย์อาหารที่อยู่ข้างโรงหนัง ขณะที่ปากก็เอาแต่จ้อไม่หยุด

            "วันนี้โคตรเหนื่อยเลย คนไข้อย่างเยอะ มีเคสแปลกๆ ด้วยนะ คุยกันไม่รู้เรื่อง เจอแบบนี้บ่อยๆ จะเป็นบ้าเอา...หนึ่งร้อยครับ" ปากพูดมือขยับหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์เพื่อแลกการ์ดไปซื้ออาหาร เพื่อนชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเวลาพูดถึงเรื่องงาน เขาเบื่อกับการต้องมารองรับอารมณ์คนแปลกๆ วันๆ เจอคนหลักร้อย ถ้าเจอบ่อยๆ มีหวังเป็นโรคประสาทแน่

            "แปลกยังไง"

            "เป็นฝรั่งแต่พูดไทยได้...ขอบคุณครับ" ตอบคำถามยังไม่ทันจบเพื่อนก็ตัดบทรับการ์ดจากพนักงานหลงเลยใช้จังหวะนี้แกล้งแซวอีกฝ่ายเล่น

            "แค่ฝรั่งพูดไทยได้แปลกตรงไหน"

            "เดี๋ยวดิยังไม่จบ" หันมาขมวดคิ้วใส่ก่อนเดินหลบฉากออกมายืนรอด้านข้างเพื่อให้หลงได้แลกการ์ดของตัวเองบ้าง

            ใบหน้าที่ผอมเรียวกว่าเมื่อหลานปีก่อนยังคงแต้มไปด้วยรอยยิ้มขณะยื่นเงินให้พนักงานและรับการ์ดสำหรับซื้ออาหารกลับมา เมื่อเดินเข้ามาหาเพื่อนคนเก็บกดเรื่องงานก็เริ่มสาธยายอีกรอบ

            "ไม่ใช่แค่ฝรั่งพูดไทยได้"

            "ทำไมอะ เขาพูดภาษาอื่นได้ด้วยเหรอ"

            "พูดมากอะดิ" เพื่อนยังคงขมวดคิ้วเล่าถึงคนไข้ที่น่าปวดหัวสำหรับเขาระหว่างเดินหาร้านที่อยากกิน

            "โดนด่าเหรอ"

            "ใช่ แต่มันไม่ใช่ความผิดเราไง มันเป็นที่ระบบ ทางโรง'บาลเขาให้ทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำตามก็ซวยที่เราอีก แล้วดันโชคร้ายได้เคสตานี่พอดี โดนวีนใส่เฉย ด่าฉอดๆ ภาษาไทยแบบชัดมาก อธิบายก็ไม่ฟัง ทำตัวเหมือนเด็ก" เหมือนความอัดอั้นทั้งหมดถูกปลดปล่อยมาลงที่หลง เพื่อนใส่อารมณ์เต็มที่ นึกถึงหน้าตาฝรั่งคนนั้นแล้วก็ยังไม่โมโหไม่หาย แต่พอคิดอีกมุมก็ตลกดี บนโลกยังมีคนที่มีความคิดแปลกๆ ไม่ตรงกันอีกมากมาย และเขาเองก็ต้องเจอคนเหล่านี้ไปอีกนานเหมือนกัน

            "ก็ยังดีที่เขาพูดภาษาไทย"

            "ภาษาอังกฤษก็มาเถอะ ไม่กลัว"

            "จ้า พ่อคนเก่ง"

            เพื่อนยืดอกทำหน้าภูมิใจ เขาเป็นคนหัวดี ถนัดวิชาการมากกว่ากิจกรรม แม้ไม่ได้ตั้งใจเรียนแบบเอาเป็นเอาตายแต่ผลการเรียนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจเสมอ ดีจนบางทีหลงยังนึกอิจฉา คนที่เวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับการนอน ตอนขึ้น ม.6 ทำตัวเหมือนเด็กภาคบ่ายเข้าเรียนสายเป็นกิจวัตร แต่เมื่อผลสอบออกมาเพื่อนกลับทำได้ดีอย่างกับรู้ข้อสอบล่วงหน้า เป็นคนที่ขี้โกงทั้งเรื่องหน้าตาและหัวสมอง

            "หลงจะกินอะไร" ได้บ่นจนพอใจถึงได้วกกลับมาเรื่องกิน เพื่อนเล็งร้านที่อยากกินเอาไว้แล้ว แถมยังเดินเลยมาแล้วด้วย ถ้าหากร้านนั้นไม่ใช่ร้านเดียวกัน เขากับหลงคงต้องแยกกันที่ตรงนี้

            "ร้านนั้น" หลงชี้ไปด้านหน้าที่อยู่ถัดไปอีกสองสามร้าน

            "งั้นแยกกันซื้อแล้วเจอกันตรงนั้น" เพื่อนชี้ไปยังโต๊ะว่างที่อยู่ระหว่างทาของร้านทั้งสองพอดี

            หลังจากตกลงกันได้ทั้งคู่ก็หันหลังให้กันก่อนเดินแยกย้ายไปยังร้านที่ตัวเองเล็งเอาไว้

            อาหารจานเดียวตั้งอยู่ตรงหน้าเพื่อนกับหลงหลังจากไปเลือกซื้อของที่อยากกินมา หลงกินข้าวคลุกกะปิ ส่วนเพื่อนกินยำมาม่า เมนูโปรดอีกหนึ่งเมนูตั้งแต่สมัยเรียน ยำมาม่าโปะหน้าด้วยไก่ทอด หลงยังจำเมนูนี้ได้ดี

            "เหมือนจะเผ็ด" เห็นสีแสบสันกับเม็ดพริกที่อยู่ในจานแล้วหลงรู้สึกแสบท้องแทน ถ้าเขาจำไม่ผิดเพื่อนเป็นพวกกินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง แล้วทำไมถึงได้สั่งรสชาติซะน่ากลัวแบบนี้

            "บอกเขาว่าไม่เผ็ด"

            "ใช่เหรอ"

            "เขาคงหูไม่ค่อยดีมั้ง" เพื่อนบอกแล้วขำแห้งก่อนจิ้มไส้กรอกเข้าปากเพื่อลองชิม เผ็ดจริงจังแบบไม่ต้องสืบ

            "เป็นไง"

            "เผ็ดดิ"

            "แล้วกินได้เปล่า"

            "ได้ๆ" พยักหน้าตอบรับแข็งขันแล้วใช้ส้อมม้วนเส้นมาม่าส่งเข้าปาก ถึงจะเผ็ดแต่พอมีรสเปรี้ยวมาตัดอาการมันเลยไม่ร้ายแรงนัก แต่หลังกินเสร็จขอของหวานล้างปากสักหน่อยก็ดี

            หลงกินไปก็คอยสังเกตอาการเพื่อนไปอย่างนึกเป็นห่วง ปากเริ่มแดงเหงื่อเริ่มออกแต่ท่าทางกลับดูมีความสุข ที่เขาบอกว่ากินเผ็ดจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟินที่ทำให้รู้สึกมีความสุขท่าทางจะจริง ถ้าเกิดไม่ท้องเสียก็คงจะดี

            นิสัยการกินของหลงกับเพื่อนนั้นแตกต่างกัน หลงไปพวกชอบกินไปคุยไปตามฉายาหลงหลับ คนตัวใหญ่ที่หลายคิดว่าน่าจะกินเร็วกลับกินหมดช้ากว่าชาวบ้านประจำเพราะมัวแต่พูด ส่วนเพื่อนเป็นพวกตั้งใจกิน พอมีของกินที่ชอบอยู่ตรงหน้าก็เหมือนจะไม่สนใจอย่างอื่น กินไปฟังหลงพูดไป สลับกันบ่นเรื่องสัพเพเหระให้กันละกันฟัง

            "พรุ่งนี้เพื่อนหยุดใช่มั้ย"

            คนที่กำลังใช้ส้อมม้วนเส้นมาม่าเข้าปากพยักหน้ารับ

            "หลงไม่ได้หยุดต้องเข้าบริษัท โคตรเซ็งเลย"

            "ทำไมอะ"

            "หัวหน้าเข้าเลยต้องเข้าตาม โอทีก็ไม่ได้ เห็นว่าเป็นรุ่นน้องที่มหา'ลัยเลยใช้งานใหญ่ บางทีพี่แม่งพาลูกมาให้เลี้ยงก็มี โคตรกันเอง แต่จริงๆ ทำที่นี่มันก็โอเคนะ ใกล้บ้าน รถไม่ติด ไม่อึดอัด ถึงงานจะเยอะไปหน่อยแต่สบายใจดี สิ้นปีมีพาไปเที่ยว สวัสดิการอะไรก็โอเค"

            เพื่อนอมยิ้มหลังจากฟังเพื่อนเล่าจบ คำถามที่ตั้งใจจะถามแทรกให้รับรู้ว่าฟังอยู่ไม่ได้พูดออกไปสักพยางค์เดียว เพราะหลงเล่นพูดยาวแบบไม่มีเว้นช่วง บ่นเองชมเองเสร็จสรรพ ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่มัธยม ถ้าได้พูดเมื่อไรอย่างหวังเลยว่าใครจะขัดได้

            "ดีแล้วจะได้ไปหากันสะดวก"

            "ใครจะหาใคร" หลงแกล้งถาม รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนหมายถึงใคร คนบ้านใกล้มีใครบางที่เพื่อนรู้จัก ตัดเล็กออกไปเพราะมันย้ายบ้านแล้วก็เหลือแค่เขาคนเดียว ที่จริงไม่ต้องคิดเรื่องคนที่เพื่อนอยากเจออยากไปหาให้ปวดหัวเลยด้วยซ้ำ

            "ยังจะถาม"

            "เผื่อมีเพื่อนคนอื่นไง"

            "ไม่มีหรอก ถ้าไม่มีหลงก็ไม่เหลือใครแล้ว"

            "น่าสงสาร"

            "ใช่มั้ย" เพื่อนพยายามทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารเต็มที่ ปูมาขนาดนี้จะไม่เล่นด้วยก็ยังไงอยู่ สิ่งเหล่านี้มันก็แค่ช่องว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะแทรกเข้าไปได้ เขาไม่รู้ ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วหลงรู้สึกยังไง เปิดใจให้กันแล้วหรือยัง ที่ได้มาอยู่ด้วยกันวันนี้ ยอมติดต่อกันอยู่อย่างนี้มันก็ดีเกินพอแล้ว ดีจนคิดว่าให้เป็นเพื่อนกันตลอดไปก็ยังได้ แต่เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

            เพื่อนไม่อยากเป็นแค่เพื่อน

            "แล้วทำงานไกลบ้านแบบนี้ไม่เหนื่อยเหรอ" หลงเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็น มันไม่ได้ไกลจากที่คุยกันอยู่นักแต่ก็ดีกว่าพูดวนเวียนเกี่ยวกับความรู้สึกอยู่แบบนั้น

            "ก็มีบ้าง แต่พอได้กลับบ้านก็หาย"

            "ทำไมไม่ซื้อรถขับ ต้องตื่นเช้ากลับดึก เดี๋ยวร่างกายก็ไม่ไหวเอาหรอก"

            "ขี้เกียจขับ เดี๋ยวไม่ได้นอน"

            คำตอบจากเพื่อนไม่ผิดจากที่หลงคิดไว้นัก เพื่อนจอมขี้เซา เพื่อนจอมขี้เกียจ เพื่อนผู้เฉื่อยชา

            "นอนบนรถตู้มันดีตรงไหน สัปหงกปวดคอเดี๋ยวเลยป้ายอีก ดีไม่ดีเจอขโมยของตอนหลับ รถตู้สมัยนี้ก็ขับซิ่ง อันตราย"

            "พอๆ กินข้าว จะหมดมั้ยนั่น จะได้เวลาแล้ว" เพื่อนต้องรีบเบรกก่อนจะโดนบ่นไปมากกว่านี้ เขาหัวเราะเบาๆ ไม่ได้คิดจริงจังกับข้อคิดเห็นของหลงนัก

            หลังจากโดนเบรกหลงถึงได้รู้ตัวว่าเพื่อนจัดการยำมาม่าของตัวเองหมดแล้ว เหลือแค่เขาที่ยังกินไม่หมด เพราะเวลาพูดมือที่จับช้อนส้อมชอบอยู่นิ่งๆ มากกว่าตักอาหารใส่ปากเหมือนอีกฝ่าย แต่พอได้มองหน้าเพื่อนชัดๆ หลงก็ชักเป็นห่วง ปากบวมหน้าแดง โดนยำมาม่าทำพิษเสียแล้ว

            "ปากบวมหมดแล้ว"

            "ขอไปหาขนมกินก่อนนะ" พูดจบเพื่อนก็ลุกเดินเร็วๆ ไปยังร้านขนมหวาน เขาคงเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ

 

            หนังที่เพื่อนชวนมาดูวันนี้เป็นแนวบู๊แอคชั่นที่เขาเลือกสุ่มมาเพราะคิดว่าน่าดูที่สุดจากหนังที่กำลังฉายในช่วงนี้ ที่จริงแอบเห็นผ่านตาในโซเชียลมาบ้างแต่ไม่ได้รู้รายละเอียดเยอะนัก มีคนชมแสดงว่าต้องสนุก เขาไม่ใช่คนเลือกมากเรื่องหนัง ถ้าไม่น่าเบื่อจนเกินไปเขาคิดว่าทุกเรื่องสนุกหมด

            เพราะเป็นวันหยุดแถมห้างนี้เป็นที่เดียวที่มีโรงหนังในแถบนี้คนเลยเยอะเป็นพิเศษ ที่นั่งเต็มไปครึ่งโรง เพื่อนเลือกที่นั่งด้านหลังเพราะเคยมีประวัติ เวลาได้นั่งใกล้จอทีไรเป็นอันต้องมึนหัวจะอ้วกทุกที

            ตั้งแต่รู้จักกันมาเป็นสิบปีเพื่อนเคยดูหนังกับหลงแค่ครั้งเดียวสมัยเรียน ตอนนั้นมาดูกันทั้งกลุ่มแถมยังได้ส่วนลดราคานักเรียน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเรื่องอวตาร ตอนนั้นทั้งคู่ได้นั่งข้างกันเพราะหลงเดินช้าส่วนเพื่อนติดนิสัยเดินรั้งท้าย และเป็นการดูหนังที่เฮฮาที่สุดเท่าที่จำความได้

            แม้จะเป็นในโรงหนังที่ต้องอยู่ในความเงียบหลงยังใช้ช่วงเวลาที่เอฟเฟคในหนังดังๆ ชวนเพื่อนคุยได้ตลอดเวลา ออกความเห็นนั่นนี่เหมือนนักวิจารณ์หนัง พูดมากจนเพื่อนต้องยกมือขึ้นจุ๊ปากส่งเสียงชู่วเพื่อบอกให้อีกฝ่ายเลือกชวนคุย

            "ดูหนังก่อน"

            หลงเงียบทันทีที่โดนว่า ตัวที่เคยเอนมาหาขยับออกห่างเพื่อนเลยคว้าแขนไว้ไม่ให้ขยับหนีแล้วกระซิบถามข้างหู

            "งอน?"

            "เปล่า" คนตอบหน้าตรงมองจอ ไม่ใช่ว่าเขางอน แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากหันหน้าไปคุย แต่เพราะเพื่อนเข้ามาใกล้เกินไป ถ้าหันหน้าไปอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก็ได้

            "แล้วขยับหนีทำไม"

            "จะได้เลิกคุยไง"

            "เลิกคุยก็ไม่จำเป็นต้องขยับหนี" สรุปเองเสร็จสรรพแถมยังไม่ยอมปล่อยแขนที่คล้องไว้อยู่ เพื่อนชอบแขนของคนคนนี้ เขาอยากจะทำมากกว่าคล้องมันไว้ด้วยซ้ำ อยากได้มันมาครอบครองเหมือนเมื่อก่อน แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะกลับไปทำแบบนั้นได้โดยที่อีกฝ่ายเต็มใจ

            หลงไม่ขัดขืนไม่ชวนคุยอีกตามที่บอก รอให้เพื่อนเป็นฝ่ายเข้ามากระซิบคุยเองบ้างนานๆ ครั้ง เอนตัวเข้าหากันจนเหมือนรังเกียจคนข้างๆ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าโลกเขาเริ่มเอนเอียงแล้วก็เป็นได้

           

            กว่าหนังจะจบฟ้าก็มืด ร้านค้าในห้างทยอยกันปิดหมดจนเหลือแค่ไม่กี่ร้าน มีเพียงฝั่งโรงหนังโซนเดียวที่ยังคึกคัก จะสามทุ่มแล้วแต่คนยังเดินเข้าออกไม่ขาดสาย

            "คราวหลังมาดูรอบดึกกันมั้ย"

            ความคิดของเพื่อนน่าสนใจไม่หยอก หลงดูหนังไม่บ่อยและไม่เคยมาดูตอนกลางคืน อย่างช่วงสี่ห้าทุ่ม กลับถึงบ้านคงเลยเที่ยงคืนตีหนึ่ง มีหวังโดนแม่บ่นแน่ๆ

            "แล้วจะดูเรื่องอะไร"

            "หนังผีดิ" ว่าแล้วเพื่อนก็ชี้ไปที่โปสเตอร์หนังที่กำลังจะเข้าฉายเร็วๆ นี้

            "ไม่ดีกว่า"

            "กลัวผีด้วยเหรอ"

            "ก็นิดหน่อย"

            "เฮ้ย อันนี้เพิ่งรู้"

            เพื่อนดูท่าทางดีใจแต่หลงกลับไม่รู้สึกดีด้วยเลยสักนิด อย่างกับบอกจุดอ่อนให้คนไม่น่าไว้ใจรู้ แล้วแบบนี้คราวหลังจะไม่โดนหลอกมาดูหนังผีหรอกเหรอ

            "งั้นการ์ตูนดูได้ใช่มั้ย" เมื่อรู้ว่าหลงไม่ชอบหนังผีเพื่อนเลยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นอนิเมชั่นที่ป้ายถูกแขวนอยู่ข้างๆ กันแทน

            "ก็ได้อยู่"

            "โอเค งั้นเดือนหน้ามาดูเรื่องนี้"

            ตารางชีวิตเดือนหน้าถูกแปะป้ายไว้ว่าไม่ว่างอีกหนึ่งวัน หลงไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ แต่การไม่พูดก็กลายเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่มีทางปฏิเสธคำชวนจากเพื่อนได้อยู่ดี

            เพราะเพื่อนไม่มีรถหลงเลยอาสาขับไปส่งที่บ้านแม้อีกคนจะปฏิเสธเนื่องจากบ้านทั้งคู่ไกลกันเป็นสิบกิโล แต่หลงไม่ใช่คนคิดมากเรื่องเวลาไม่กี่สิบนาที ตอนนี้มันดึกแล้ว รถตู้ยังพอมีแต่คนที่จะนั่งเป็นเพื่อนคนบ้านไกลจะเหลืออยู่สักกี่คน เพราะฉะนั้นให้เขาเป็นคนไปส่งปลอดภัยที่สุด

            รถกระบะสี่ประตูจอดหน้าบ้านที่มีอ่างบัวตั้งอยู่ คุณแม่ของเพื่อนที่วันนี้ทำหน้าที่อยู่เฝ้าบ้านเปิดประตูออกมาดู เห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมีคนขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านก็ได้แต่ทำหน้างง แม้คนบนรถจะเปิดประตูลงมาก็ยังมีสีหน้าสงสัยไม่หายอยู่ดี

            "แม่ นี่หลง"

            "สวัสดีครับ" หลงยกมือไหว้หญิงวัยห้าสิบกว่าอย่างนอบน้อม เขาเจอแม่เพื่อนอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่ด้วยความสาวและสวยทำให้ตรึงตาตรึงใจจนมาถึงตอนนี้ แม้จะผ่านไปเป็นสิบปีแต่ผู้หญิงคนนี้กลับยังสวยไม่เป็นแปลง ไม่รู้ว่าคนบ้านนี้เป็นแวมไพร์กันหรืออย่างไร

            "สวัสดีจ้ะ เข้าบ้านก่อนมั้ยลูก" คนเป็นแม่รับไหว้เชื้อเชิญแขกเข้าบ้าน อาการงงงวยในทีแรกหายไปเหลือเพียงรอยยิ้มหวานๆ ที่ดูสดใสไม่แพ้ลูกชาย เธอรู้จักเด็กผู้ชายที่ชื่อหลงดี เพื่อนในกลุ่มที่ลูกชายของเธอชอบเล่าให้ฟังบ่อยๆ แต่ไม่คิดเหมือนกันว่าจากเด็กอ้วนที่ลดน้ำหนักแล้วจะทำให้ดูดีผิดหูผิดตาได้ขนาดนี้

            "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเลย สวัสดีครับ" หลงปฏิเสธ ยกมือไหว้อีกครั้งก่อนเดินกลับขึ้นรถ

            เพื่อนยืนรอส่งจนหลงวนรถออกไป มองคุณแม่สุดสวยที่ส่งยิ้มมาให้อย่างมีเลศนัยแล้วเดินเข้าไปสวมกอด

            "ไงเรา"

            "เพื่อนจะพยายามอีกครั้งนะแม่"

            "แม่จะรอฟังข่าวดี" เธอกระชับกอดแน่นเพื่อนส่งกำลังใจ หอมหัวลูกชายจอมดื้ออีกหนึ่งทีถึงได้ปล่อยออก

            เพื่อนยิ้มกว้างเดินอารมณ์ดีเข้าบ้าน ตอนนี้เขาอยู่กับแม่แค่สองคนเพราะพ่อถูกส่งตัวไปทำงานต่างประเทศ ความจริงถ้าพ่อไม่ไปเขาก็คงจะอยู่เชียงรายยาวๆ แต่เพราะเป็นห่วงแม่เลยต้องกลับมา กลับมาดูแลแม่ กลับมาดูแลครอบครัว

            กลับมาหาคนที่เข้าใจและคนที่รักเขามากที่สุด


TBC.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 4 | 26/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 28-01-2018 15:18:52
สู้ๆนะเพื่อนเป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: | อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 5 | 06/02/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 06-02-2018 19:06:23

ฝันครั้งที่ 5


            Yanakorn : ช่วยเลือกของขวัญหน่อย

            ข้อความแรกจากเพื่อนเด้งขึ้นมาในช่วงสายของวัน หลงละสายตาจากงานเลื่อนสายตามาที่มองมุมขวาล่างของหน้าจอ คลิกเมาส์ที่แจ้งเตือนเพื่อเข้าไปพิมพ์ข้อความตอบกลับไป

            Veerayu : ของขวัญอะไร

            Veerayu : วันเกิดเหรอ

            หลงลองเดาสุ่ม วันปีใหม่ก็เลยมาตั้งนานแล้ว วันเกิดเพื่อนในกลุ่มก็ไม่ใช่ แล้วเพื่อนจะซื้อของขวัญไปให้ใครกัน เพื่อนที่ทำงานงั้นเหรอ

            Yanakorn : ของขวัญบัดดี้

            Yanakorn : ที่ทำงานเล่นบัดดี้กันจะเฉลยพรุ่งนี้

            Yanakorn : เลยว่าจะหาซื้อของขวัญให้

            หลงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็น เล่นบัดดี้กันอย่างนั้นเหรอ โตเป็นผู้ใหญ่ทำงานแล้วก็ยังเล่นอะไรแบบนี้ได้อยู่สินะ มาคิดๆ ดูแล้วเขาเองก็อยากลองเล่นกับที่ทำงานเหมือนกัน แต่บริษัทเล็กที่มีพนักงานแค่ไม่กี่คนแถมยังมีแต่ผู้สูงวัยคงไม่น่าสนุกเท่าไร

            Veerayu : บัดดี้เป็นหญิงหรือาย

            Yanakorn : ผู้หญิง ทีนี่ส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง มีผู้ชายแค่สามคนเอง

            Veerayu : คิดไว้หรือยังว่าอยากซื้ออะไร

            Yanakorn : ตอนแรกว่าจะให้แคบหมูกับน้ำพริกหนุ่ม

            Yanakorn : แต่คงไม่เหมาะมั้ง 55555

            หลงหลุดยิ้มออกมากับความคิดของเพื่อน จะว่าไปของขวัญชิ้นนี้มันจะไม่คุ้นเคยไปหน่อยเหรอ แคบหมูกับน้ำพริกหนุ่ม

            Veerayu : อย่าลอกดิ คิดเองๆ

            Yanakorn : ลอกอะไร ไม่ได้ลอกเลย

            หลงส่ายหน้า คิดเองที่ไหน แบบนี้มันลอกกันชัดๆ อีกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่ได้อยากได้แคบหมูกับน้ำพริกหนุ่มเหมือนใครบางคนก็ได้

            Veerayu : ตกลงจะซื้ออะไร

            Yanakorn : ยังคิดไม่ออกเลย ว่าจะชวนไปเดินดูด้วยกัน

            Yanakorn : ไปมั้ย

            'ข้ออ้าง' คำนี้โผล่เข้ามาในหัวเมื่อคิดถึงเรื่องของขวัญที่เพื่อนชวนไปช่วยเลือก ในละครก็ชอบใช้มุกนี้ออกจะบ่อย แต่หลงกลับไม่คิดอยากปฏิเสธเลยสักนิด เพราะไม่ว่าจะเป็นข้ออ้างหรือเรื่องจริง เขาก็เลือกที่จะตอบตกลงอยู่ดี

            Veerayu : ไปดิ

           

            ม. 5 เทอม 2

            ญาณากร

            หลงมองชื่อที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษเล็กๆ สลับกับมองเจ้าของชื่อที่นั่งอยู่แถวข้างๆ แล้วได้แต่คิดว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่ ที่จับได้เพื่อนกลุ่มเดียวกันตอนเล่นบัดดี้แบบนี้

            "ได้ใครวะ" โหน่งที่นั่งคู่กับหลงชะโงกหน้ามาดูแต่โดนเบี่ยงตัวหลบ

            "ไม่บอก"

            "ผู้หญิงผู้ชาย"

            "ไม่บอก"

            "เฮ้ยใบ้หน่อย กูได้ผู้หญิง"

            หลงเหล่มองอย่างไม่ไว้ใจ ได้คนใกล้ตัวมีสิทธิ์โดนจับได้ไงอยู่แล้ว แต่เมื่อลองเทียบจำนวนนักเรียนหญิงชายในห้องแล้วต่างกันอยู่ไม่มากนัก งั้นเขาจะยอมใบ้ก็ได้

            "ผู้ชาย"

            "กี่ชื่อพยางค์"

            "พอ"

            "ไม่สนุกเลย"

            สุดท้ายโหน่งก็เลิกตื้อเมื่อรู้ว่าไม่ได้ผล กลับไปนั่งคิดถึงสิ่งดีๆ ที่จะทำให้คู่บัดดี้ตลอดสัปดาห์นี้ หลงเองก็เช่นกัน จะเทคแคร์ยังไงให้เพื่อนไม่รู้ตัว ในเมื่อปกติแล้วพวกเขาเรียกได้ว่าสนิทกันน้อยที่สุดในกลุ่มเลยด้วยซ้ำ

 

            เพื่อนเป็นคนคนขี้เซา หลงไม่รู้ว่าเพื่อนไปอดหลับอดนอนมาจากไหนหรือเอาเวลาช่วงกลางคืนไปทำอะไรหมด แปดสิบเปอร์เซ็นต์นอกจากเวลาเรียนจึงมักเห็นเพื่อนคนนี้ฟุบหลับบนโต๊ะเรียนเป็นประจำ อย่างเช่นตอนนี้

            คนในกลุ่มกำลังคุยโม้ไม่ก็ปรึกษากันเรื่องบัดดี้ จากที่หลงฟังมาคงมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้เพื่อนในกลุ่ม เพราะบางคนถึงขนาดยอมเอ่ยชื่อออกมาว่าจับได้ใคร

            กลุ่มของหลงนั้นจับจองมุมหลังห้องติดหน้าต่าง ที่นั่งเป็นแถวคู่ หากไล่จากแถวหลังขึ้นไปจะเป็นนารอนกับขวัญ เพื่อนกับเล็ก เก้กับเต้ย ส่วนหลงกับโหน่งนั้นจองที่ไม่ทันเลยได้นั่งแถวถัดไปข้างๆ เพื่อนกับเล็กแทน

             ตอนนี้เป็นช่วงพักสิบนาทีของคาบเช้า เพื่อนฟุบหลับ เล็กไปกับเต้ยไปเข้าห้องน้ำ ส่วนที่เหลือก็คุยห้ามหัวกันไปมา เห็นแล้วนึกสงสารเพื่อนอยู่ไม่น้อย หลงเลยแอบขยับไปนั่งที่เล็ก ตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างให้เพื่อน แต่เพียงแค่หย่อนก้นนั่งลงคนที่ฟุบอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมา

            คนตัวอ้วนใหญ่เทอะทะอย่างเขาจะทำให้มันเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหวคงไม่รอดสินะ

            เพื่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้วส่งยิ้มบางๆ พวกเขาคุยกันไม่บ่อย แต่ใช่ว่าจะรู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ด้วยกัน

            "ทำให้ตื่นป้ะเนี่ย"

            "แค่ไม่กี่นาทีเอง ยังไม่หลับหรอก"

            "เสียงดังด้วยใช่มั้ย"

            "เสียงดังไม่เท่าไร แต่หมอนมันไม่นุ่ม" เพื่อนบอกแล้วก็หัวเราะพลางโชว์แขนของตัวเองให้ดู

            หลงยิ้มแหยกลับ มองท่อนแขนที่ไม่ถึงกับสุขภาพดีและไม่ผอมจนเกินไป เห็นเส้นเลือดปูดโปนออกมาดูแล้วสมกับความเป็นชาย แล้วมันก็คงไม่นุ่มน่าหนุนจริงอย่างที่ว่า

            "แต่อันนี้น่าจะนุ่มดี" แล้วอยู่ๆ เพื่อนก็ชี้มาที่แขนของหลง

            หลงมองท่อนแขนอวบอ้วนของตัวเองแล้วเลิกคิ้ว แขนที่มีแต่ไขมันนุ่มนิ่มแบบนี้คงหนุนแล้วหลับสบายกว่าแขนที่มีแต่กล้ามเนื้อ และถ้าบัดดี้อยากจะหนุน เขาเองก็ยินดี

            "จะลองหนุนมั้ยล่ะ"

            "ได้เหรอ"

            "อืม"

            เพื่อนยิ้มแฉ่งจนเห็นลักยิ้มตอนหลงวางแขนลงบนโต๊ะ เขาฟุบตัวลงหนุนแขน หันหน้าตะแคงข้างไปทางหลงโดยที่รอยยิ้มจะแต้มอยู่บนริมฝีปาก กะแล้วว่าแขนของหลงต้องนุ่มอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด

            "หนุนแขนหลงดีกว่าจริงด้วยแฮะ"

            หลงมองคนพูดกับริมฝีปากที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไม่อาจละสายตา อีกทั้งดวงตาที่เปล่งประกายสดใสคล้ายกับกำลังถูกสะกดทุกครั้งที่มอง เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครต่อใครถึงได้หลงใหลในตัวเพื่อนคนนี้ เพราะถ้าหากเขาเป็นผู้หญิง เขาก็คงจะเผลอหลงเสน่ห์นี้เหมือนกัน

            เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีเพื่อนก็ยันตัวลุกขึ้นนั่งหลังตรงเหมือนเดิม เขายังคงยิ้ม และบอกออกมาอย่างเสียดาย

            "วันนี้เวลาไม่พอ ไว้จะใช้บริการใหม่นะ"

            หลงได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนเจ้าของโต๊ะตัวจริงจะกลับมา

            ความอบอุ่นจากสัมผัสเพียงชั่วครู่หายไปอย่างรวดเร็ว หลงย้ายกลับไปนั่งโต๊ะตัวเอง ร่วมวงสนทนากับเพื่อนๆ และกลายร่างเป็นหลงหลับจนขวัญต้องออกปากห้าม ส่วนคนที่ทำตัวง่วงเหงาหาวนอนก่อนหน้านี้กำลังหัวเราะชอบใจ ไร้คำพูดไร้ข้อคิดเห็น มีเพียงเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มชอบใจที่ใครต่อใครต่างชอบมัน

 

            และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายของการเล่นบัดดี้ หลงรู้สึกว่าเขายังเทคแคร์บัดดี้ของตัวเองได้ไม่ดีนัก แต่การที่เพื่อนมักออกปากขอยืมแขนเขาหนุนก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้รู้สึกภูมิใจขึ้นมา อย่างน้อยเขาก็ทำให้เพื่อนมีความสุขได้บ้างนอกจากของกินที่แอบเอาไปซ่อนไว้ให้ใต้โต๊ะ

            วันเฉลยนั้นทุกคนในตกลงกันว่าจะจัดในห้องเรียน โดยให้บัดเดอร์เตรียมของขวัญมาคนละชิ้นจะเป็นอะไรก็ได้ไม่จำเป็น และนำไปมอบให้บัดดี้ของตนที่โต๊ะ

            กิจกรรมเฉลยบัดดี้จัดขึ้นหลังเรียนในวันศุกร์ บรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา ของขวัญที่แต่ละคนเลือกสรรมานั้นเพื่อบัดดี้ของตนโดยเฉพาะ ถูกใจบ้าง น่าโมโหบ้าง บางคนทายถูก บางคนนึกไม่ออกเลยก็มี แล้วเพื่อนล่ะจะรู้ตัวไหมว่าใครเป็นบัดดี้ของตัวเอง

            เลขที่ของหลงนั้นอยู่เกือบลำดับท้ายๆ เมื่อถึงคิวตัวเองเขาก็หยิบถุงกระดาษที่เตรียมมาเดินไปยืนข้างโต๊ะของเล็ก แต่เล็กนั้นได้รับของขวัญไปแล้ว คนที่รู้ตัวแล้วว่าได้เป็นบัดดี้ของหลงเลยยิ้มกว้างยกมือชี้หน้าตัวเอง

            "หวังว่าจะชอบ" หลงยื่นถุงใบนั้นให้เพื่อน เพื่อนๆ ในกลุ่มเริ่มส่งเสียงโวยวายเพราะจับได้คนในกลุ่มกันเองแต่ไม่มีใครรู้ ก็คงจะมีแต่เพื่อนเท่านั้นที่ดูดีใจและไม่โวยวายไปกับเขา

            "ขอบใจนะ"

            หลงไม่รู้ว่าเพื่อนชอบอะไรเป็นพิเศษ การ์ตูน หนัง ศิลปะหรือดนตรี เขารู้เพียงว่าเพื่อนชอบกิน อาจจะมีเมนูบางอย่างเป็นพิเศษ แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าของกินเพื่อนก็ชอบหมด เป็นคนชอบกินแล้วยังเป็นคนที่น่าอิจฉาอีก น่าอิจฉาที่เพื่อนกินเท่าไรก็ไม่อ้วนตุ๊ต๊ะอย่างเขา

            การเฉลยบัดดี้ยังดำเนินต่อไปหลังจากหลงเดินกลับมานั่งที่ เขาแอบชะเง้อมองตอนเพื่อนเปิดดูของในถุง เพื่อนเองก็ชะโงกมามองเขาและยิ้มให้เช่นกัน หวังว่าจะชอบนะ

            แคบหมูกับน้ำพริกหนุ่มเจ้าเด็ดในตลาดที่เขาซื้อให้เป็นของขวัญ

 

            เพราะบ้านอยู่ถนนเส้นเดียวกัน แถมที่ทำงานของหลงยังใกล้บ้านเพื่อนมากกว่าบ้านตัวเองเสียอีก ทำให้การนัดเจอกันในแต่ละครั้งของทั้งสองกลายเป็นเรื่องง่าย เพื่อนเลิกงานสี่โมงครึ่งในวันที่ไม่มีเวรตอนเย็น ส่วนหลงเลิกงานหกโมง คำนวณจากเวลาแล้ว เมื่อเพื่อนกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาเลิกงานของหลงพอดี

            ตลาดใกล้สำนักงานเขตซึ่งอยู่ระหว่างที่ทำงานหลงกับบ้านเพื่อนกลายเป็นจุดนัดพบ ตลาดแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ของห้างสรรพสินค้าเล็กๆ พ่อค้าแม่ค้าเริ่มตั้งร้านช่วงบ่ายสามโมงและเริ่มเก็บร้านตอนสองทุ่ม หลงเองช่วงหลังเลิกงานก็มักจะแวะซื้อของกินที่นี่บ่อยๆ

            "คิดออกหรือยังว่าจะซื้ออะไร" ทันทีที่เจอหน้ากันหลงก็โยนคำถามใส่

            เพื่อนทำท่านึก คนที่เป็นบัดดี้เขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ถ้าพูดถึงจุดเด่นของเธอคงเป็นผมที่ยาวดำสลวย แต่น่าเสียดายที่มันถูกเก็บไว้อย่างเรียบร้อยตามกฎของโรงพยาบาล แต่เหล่าสาวๆ ยังสามารถหาสิ่งสวยๆ งามๆ มาใส่ให้มันดูไม่ธรรมดาได้เสมอ

            และถ้าหากพูดถึงเรื่องความสวยความงาม สิ่งที่เขาคิดว่าน่าจะเหมาะกับเธอคงเป็น...

            "เน็ตคลุมผม"

            "เน็ต?" หลงเลิกคิ้วถามกลับ เขาไม่ค่อยคุ้นกับคำนี้นัก และไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร

            "ที่มันมีโบว์แล้วก็มีตาข่ายเอาไว้เก็บผมยาวๆ อ่ะ"

            "อ๋อ"

            "เอาไอ้นั่นแหละ"

            "ช่างเลือก"

            "มันน่าจะเหมาะดี"

            "กับผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ"

            "ใช่ หาอันที่มันสวยๆ เวอร์ๆ หน่อยน่าจะเหมาะ" เพื่อนอมยิ้มแล้วนึกภูมิใจกับความคิดของตัวเอง ปกติเขาเป็นคนเลือกของขวัญไม่ค่อยเก่ง แค่ซื้อของที่อยากซื้อโดยไม่ได้คิดว่าคนรับอยากจะได้หรือไม่ แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่าเธอต้องชอบของที่เขาเลือกให้แน่ๆ

            "ร้านตรงนั้นน่าจะมี" หลงชี้ไปยังร้านที่อยู่ใกล้ทางออก ร้านนี้ขายของน่ารักๆ ที่พวกผู้หญิงชอบ เขาเองก็เคยพาหยกแวะมาซื้อโบว์ผูกผมที่ร้านนี้เหมือนกัน

            ร้านสำหรับผู้หญิงดูแล้วไม่เหมาะกับผู้ชายตัวโตๆ อย่างพวกเขาเท่าไร โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าคนอื่นในร้าน ทว่ารอยยิ้มกับสายตาของแม่ค้าที่มองมากลับทำให้คนถูกรู้สึกอึดอัด คงจะเป็นอะไรที่แปลกเมื่อผู้ชายสองคนกำลังยืนเลือกเครื่องประดับของผู้หญิง แต่คนถูกมองคงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นน่ารักสำหรับผู้พบเห็น

            ผู้ชายสองคนในร้านกิ๊ฟช็อปเครื่องประดับผู้หญิง ในความคิดของคนมองก็แค่ผู้ชายที่กำลังเลือกซื้อของให้ผู้หญิง มาว่าจะเป็นแฟน น้องสาว หรือเพื่อน ก็เท่านั้นเอง

            ที่ร้านนี้มีเน็ตคลุมผมไม่มากนัก หลงยืนข้างเพื่อนคอยออกความเห็นเมื่อเน็ตคลุมผมแต่ละอันถูกหยิบมาดู ผ่านไปอันแล้วอันเล่าจนในที่สุดก็ได้ของที่ถูกใจ เพื่อนยิ้มกว้างส่งให้แม่ค้าคิดเงิน ได้ของขวัญสำหรับบัดดี้แล้วก็เก็บใส่กระเป๋า รีบเดินนำออกจากร้าน

            "เออใช่ แล้วก็มีของจะให้สำหรับบัดเดอร์ด้วย" เดินพ้นเขตร้านมาได้ไม่เท่าไรเพื่อนก็หมุนตัวกลับมาหา เขายิ้มกว้าง มองหลงที่เอียงคอทำหน้างง

            "บัดเดอร์ใคร"

            "บัดเดอร์เมื่อตอน ม. 5"

            พูดจบเพื่อนก็เปิดกระเป๋าหยิบถุงบางอย่างออกมา เพราะเป็นสีทึบหลงจึงเดาไม่ออก จนเมื่อมันถูกยื่นมาให้พร้อมคำเฉลยถึงได้เข้าใจ

            "แคบหมูกับน้ำพริกหนุ่มจากเชียงใหม่"

            แต่หลงกลับไม่คิดว่ามันคือของขวัญ ในเมื่อเพื่อนเพิ่งกลับจากงานแต่งเพื่อนที่เชียงใหม่เมื่อวาน เพราะฉะนั้นมันควรเรียกว่าของฝากมากกว่า

            "ไม่ใช่ของฝากหรอกเหรอ"

            "มันก็เหมือนกันแหละน่า"

            "ไม่เห็นจะเหมือน"

            "เหมือนดิ"

            "เหมือนตรงไหน ไม่ได้เล่นบัดดี้บัดเดอร์กันสักหน่อย"

            เพื่อนมองคนที่เถียงอย่างไม่ยอมแล้วอมยิ้ม ตอนนี้มีมุกเสี่ยวๆ ลอยอยู่ในหัวเขาเต็มไปหมดแต่ยังลังเลว่าควรจะเล่นดีหรือเปล่า เกิดหลงไม่ชอบโดนทำมึนตึงใส่ขึ้นมาคงลำบาก อีกอย่างเขาไม่ใช่สายแจกมุก เกิดมาก็ยังไม่เคยเดินหน้าจีบใครเป็นจริงเป็นจังเพราะเป็นฝ่ายถูกเข้าหามาโดยตลอด พอมาลองคิดๆ ดูแล้วสงบปากเอาไว้น่าจะดีกว่า ถ้าไม่เมาเขาคงไม่กล้าทำเรื่องบ้าๆ กับหลงจริงๆ

            "ยิ้มอยู่นั่นแหละ"

            "เป็นแค่ของฝากก่อนก็ได้" สุดท้ายของที่ตั้งใจซื้อมาให้เพื่อเล่นมุกเสี่ยวก็กลายเป็นแค่ของฝากธรรมดา

            หลงยิ้มขำส่ายหน้าให้กับอาการแปลกๆ ของเพื่อนที่เขาเข้าใจดี ถึงจะติสท์ ดูเอื่อยเฉื่อยไม่สนใจรอบข้าง แต่เขารู้ดีว่าเพื่อนคนนี้ห่วงความรู้สึกคนอื่นมากแค่ไหน อะไรเลี่ยงได้ก็เลี่ยง อะไรที่พอทำได้ก็ทำ

            "ซื้ออะไรอีกมั้ย"

            เพื่อนส่ายหน้ารัวๆ เมื่อโดนถาม เขาตั้งใจมาซื้อแค่ของขวัญให้บัดดี้กับเอาของฝากจากเชียงใหม่มาให้หลง แม้มันจะเป็นข้ออ้างในการนัดเจอกันครั้งนี้ก็ตาม

            "กลับเลยมั้ยจะได้ไปส่ง"

            "กลับเลยก็ได้" เพื่อนพยักหน้ารับ ก่อนเดินตามหลงไปยังลานจอดรถ

            คนเดินนำหน้าอมยิ้มกับตัวเอง นึกขำคนที่ไม่ยอมเอ่ยปากขอทั้งที่น่าจะมีอะไรอยู่ในใจ เพราะสีหน้าหงอยๆ ที่แสดงออกมานั้นเดาได้ไม่ยาก แค่ลองเอ่ยปากออกมาว่า 'ยังไม่อยากกลับ' แค่นั้นเขาก็พร้อมจะยืดเวลาเพื่อให้อยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้

            อยู่กับเพื่อนที่ชื่อเพื่อน

            อยู่กับเพื่อน คนที่ไม่ได้อยากรู้จักกับเขาแค่ในสถานะเพื่อน

 
TBC

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ☆★ อยากให้เธอฝันยามหนุน ★☆ ฝันครั้งที่ 6 ☆★ 15/02/2561 ★☆
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 15-02-2018 21:12:04

ฝันครั้งที่ 6

            รถตู้โดยสารจอดหน้าตลาดที่เกือบจะเป็นป้ายสุดท้ายของเส้นทางเดินรถ ชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มสดใสเป็นเอกลักษณ์กับผู้โดยสารอีกหลายคนทยอยกันจ่ายเงินกับคนขับก่อนลงจากรถ มองขวาซ้ายเจอช่วงจังหวะรถว่างก็ข้ามถนนมาอีกฝั่ง เพื่อนยกยิ้มจนโชว์แก้มบุ๋มข้างขวาเมื่อเห็นชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หน้าเซเว่น

            วันนี้เพื่อนนัดหลงมาเจอกันที่ตลาด พอมีเวลาว่างหลังเลิกงานเลยอยากหาเรื่องมาเจอกัน แค่เดินเล่นที่ตลาดไม่กี่นาทีก็ยังดี

            หลงหันมาเห็นเพื่อนก่อนจะทันเดินไปถึงตัว ทำเพียงแค่พยักหน้าให้ทั้งสองคนก็เดินเคียงคู่กันไปยังทางเข้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผ่านศาลเจ้าประจำตลาดกับวินรถพ่วงข้างมอเตอร์ไซด์ที่กำลังต่อคิวจอดรอรับผู้โดยสาร

            "จะซื้ออะไรบ้าง" เพื่อนถามตอนพวกเขาเดินผ่านมาได้ไม่กี่ร้าน ก่อนหน้านี้หลงบอกว่าจะแวะซื้อของให้แม่เขาเลยถือโอกาสแวะมาหาแล้วก็หาอะไรกินไปด้วย

            "แม่ฝากซื้อต้มเลือดหมู แล้วเพื่อนอยากกินอะไร"

            "ไม่รู้ดิ เดินๆ ไปก่อนก็ได้"

            หลงพยักหน้ารับแล้วเดินไปตามทางเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ เขาซื้อของไม่มากเพราะคิดไว้แล้วว่าจะซื้ออะไรบ้าง ผิดกับอีกคนที่เจอร้านไหนน่ากินก็แวะ ซื้อย่างนิดอย่างหน่อยจนเต็มมือ มองอะไรก็บอกว่าน่ากินไปหมด ไม่รู้ว่าหิวโซมาจากไหน หรือการทำงานวันนี้มันหนักจนเผาผลาญพลังงานจนหมด

            "ซื้อไปเนี่ยกินหมดเหรอ"

            "ไม่น่าจะเหลือ" เพื่อนตอบด้วยความภาคภูมิใจแล้วยิ้มแฉ่ง

            "เอาไปซ่อนไว้ไหนหมด" มองหุ่นคนผอมสูงตัวบางแล้วหลงก็ได้แต่นึกสงสัย ถ้าลองเอาสายวัดมาวัดจะได้รอบเอวเท่าไรกัน สามสิบนิ้ว ไม่ล่ะมั้ง อาจจะแค่ยี่สิบห้า

            "ไม่รู้ดิ คงไปอ้วนตอนแก่มั้ง"

            "ตอนนี้ยังไม่แก่อีกเหรอ"

            "ใจเย็น เพิ่งยี่สิบหก หลงแก่กว่าอีก"

            "แค่สี่เดือน"

            "นั่นแหละ อยากกินอะไรก็กินๆ ไปเถอะ" เพื่อนว่าอย่างไม่ใส่ใจก่อนจิ้มลูกชิ้นที่เพิ่งซื้อมาใส่ปากแล้วแบ่งให้หลงงับอีกลูกที่เหลืออยู่ไปกิน

            เพื่อนคนนี้กินเก่งมาตั้งแต่สมัยเรียนข้อนี้หลงรู้ดี แต่กินเท่าไรก็ไม่ยักอ้วน ผิดกับเขาที่กินนิดหน่อยก็อ้วนเอาๆ ต้องคอยควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกาย จากคนอ้วนร่วมร้อยกิโลลดได้หุ่นขนาดนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว

            "เออว่าจะถาม หลงลดน้ำหนักยังไงถึงได้ผอมขนาดนี้" คนถามดูสงสัยจริงจัง ตั้งแต่กลับมาเจอหลงเพื่อนยังไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้คนคนนี้เปลี่ยนใจหันกลับมาดูแลตัวเอง แล้วทำยังไงถึงได้เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

            "ก็ค่อยๆ ลด ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ประมาณนั้น"

            "ออกกำลังกายที่สวนหน้าบ้านน่ะนะ"

            "ที่นั่นไม่ค่อยได้ใช้หรอก มีเข้าฟิสเนตบ้าง หรือไม่ก็ไปเตะบอลกับพวกไอ้เล็ก" หลงส่ายหน้า สวนหน้าบ้านเขาไม่กว้างแต่ยาวเลียบไปกับถนนใหญ่ร่วมกิโล ไม่มีเครื่องเล่นมีแต่ลู่วิ่งอย่างเดียว แถมคนยังใช้เยอะอีกด้วย

            "ยังเล่นกีฬาเก่งเหมือนเดิมสินะ"

            "ก็คงประมาณนั้น"

            กีฬาเป็นอีกเรื่องที่หลงยืดอกยอมรับได้อย่างภาคภูมิใจ ถึงสมัยก่อนเขาจะตัวอ้วนใหญ่ผิดกับอีกคนที่หุ่นดูเป็นนักกีฬามากกว่า

            "วันหลังนัดกันไปเตะบอลบ้างดิ" พูดถึงเรื่องกีฬาเพื่อนเองก็ชักอยากออกกำลังกายบ้างเหมือนกัน

            "จะดีเหรอ"

            "ทำไมอะ"

            หลงเหล่มองคล้ายจะถาม เพื่อนไม่รู้จริงเหรอว่าที่เขาถามหมายถึงอะไร

            ก็เพื่อนที่ชื่อเพื่อนคนนี้น่ะ เรื่องกีฬาไม่เอาไหนเสียเลย

 

            ม. 5 เทอม 2

            แฮนด์บอลเป็นกีฬาที่ถูกกำหนดให้เรียนในระดับชั้น ม.5 เทอม 1 มีการจัดแข่งขันระหว่างห้องเพื่อเก็บคะแนนโดยแบ่งเป็นทีมชายหญิง และทีม ม.5/1 ได้วางตัวนักกีฬาตัวจริงไว้แล้วเรียบร้อย

            "พี่เพื่อนไม่ลงเหรอ"

            "ทำไมพี่เพื่อนไม่ได้เล่น"

            "อยากดูพี่เพื่อนอะ"

            อดกรี๊ดพี่เพื่อนเลย เซ็ง"

            เสียงบ่นของสาวๆ รุ่นน้องดังกันระงมเมื่อถึงวันแข่งแฮนด์บอลระหว่าง ม. 5/1 กับ ม.5/4 เพราะรุ่นพี่คนโปรดที่อยากเห็นในมาดนักกีฬาดันนั่งเป็นตัวสำรองอยู่ข้างสนาม แม้จะอยู่ในชุดนักกีฬาสุดเท่ให้พอกรี๊ดได้อยู่บ้างแต่มันก็ไม่สมใจเท่าได้เห็นลงเล่นในสนามอยู่ดี

            กีฬาแฮนด์บอลมีนักกีฬาตัวจริงทั้งหมดเจ็ดคน สมาชิกกลุ่มหลังห้องข้างหน้าต่างติดตัวจริงสามคนคือเล็ก เต้ย และหลงเป็นผู้รักษาประตู ด้วยสัดส่วนที่เพื่อนๆ คิดว่าน่าจะป้องกันลูกได้ดี รวมถึงทักษะกีฬาที่ไม่เป็นสองรองใครแม้ร่างกายจะอ้วนท้วมดูเชื่องช้าก็ตาม

            การแข่งขันนัดนี้จัดขึ้นหลังเลิกเรียนจึงมีนักเรียนรอดูอยู่เป็นจำนวนมาก หลังจากให้กำลังใจเรียกความฮึกเหิมกันเรียบร้อยก็ได้เวลาลงสนาม เพื่อนยิ้มสดใสบอกคำว่า 'สู้ตาย' กับทุกคน แต่หลงกลับได้คำที่พิเศษกว่านั้น

            "กันให้ได้ทุกลูกนะ"

            "ยากไป"

            เพื่อนหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ฟังหลงตอบกลับมา เพราะคำขอของเขามันยากไปจริงๆ

            "งั้นชนะให้ได้ก็พอ"

            หลงยิ้มแล้วพยักหน้ารับก่อนเดินลงสนามตามเพื่อนๆ ไป คล้ายกับว่าเพื่อนกับเขาเริ่มใกล้กันเข้ามาอีกนิด แบบนี้คงเรียกว่าสนิทกันกว่าเดิมได้แล้วล่ะมั้ง

            การแข่งขันระหว่างห้องหนึ่งกับห้องสี่เป็นไปอย่างสูสี ผลัดกันรุกผลัดกันไล่ กระทั่งจบครึ่งแรกห้องหนึ่งทำแต้มนำไปได้นิดหน่อย นักกีฬาเดินมาพักข้างสนามและมีการพูดคุยถึงเรื่องเปลี่ยนตัว

            "ครึ่งหลังมึงลงนะ ให้ไอ้เอกพักก่อน" กัปตันทีมว่าพร้อมชี้ไปที่เพื่อนซึ่งกำลังช่วยพัดวีให้นักกีฬา แต่ประโยคนั้นกลับทำให้หลายคนแตกตื่น

            "เอาจริงเหรอวะ" เล็กถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเองนัก เพื่อนคนนี้ขึ้นชื่อนักเรื่องกีฬา ที่ต้องลงตัวสำรองเพราะประชากรชายในห้องที่พอจะพึ่งพาได้มีอยู่เท่านี้

            "สักห้านาทีก็พอ มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นมั้ยวะ น้องสาวกูมันร้องอยากเห็น ลงไปวิ่งเรียกเสียงกรี๊ดปั่นประสาทไอ้ห้องสี่มันไง ตอนนี้นำอยู่ไม่เป็นไรหรอก"

            ทุกคนมองหน้ากันไปมา รู้ดีด้วยว่ากัปตันมันโดนน้องสาวตื้อมาอีกที แล้วก็รู้ดีด้วยว่าพี่เพื่อนของน้องๆ นั้นเล่นกีฬาได้เลิศเลอขนาดไหน

            เลิศเลอขนาดที่ว่าถ้าลงแล้วไม่แพ้นั่นถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ได้เลย

            "จะให้ลงจริงดิ" ขนาดเจ้าของชื่อยังไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยด้วยซ้ำ

            "เออ ถ้าคิดว่าไม่ไหวลงไปวิ่งสักสองสามนาทีก็ได้ มึงแค่ส่งลูกให้แม่นๆ ก็พอ มีไอ้เล็กคอยช่วยอยู่ น่าจะโอเค"

            และแล้วการพูดคุยตกลงเพื่อเปลี่ยนตัวผู้เล่นก็จบลงเพียงเท่านี้ หลังจากหมดเวลาพักสิบนาทีเกมการแข่งขันก็ดำเนินต่อ พร้อมกับเสียงกองเชียร์ของสาวๆ ที่ดูคึกคักขึ้นถนัดตา

            "พี่เพื่อนนนน!!~"

            "สู้ๆ นะคะพี่เพื่อน"

            "กรี๊ดดดด!!~"

            เสียงเชียร์จากรุ่นน้องสาวๆ ดังมาจากมุมหนึ่งของสนาม ความจริงใช่ว่าโรงเรียนนี้ไม่มีรุ่นพี่หน้าตาดี รุ่นพี่เท่ๆ ที่เป็นที่นิยมคนอื่น แต่ถ้าหากพูดถึงรุ่นพี่ ม.5 คนที่หลายคนนึกถึงก็คือ...

            "พี่เพื่อนสู้เขานะค้าาา!~"

            เสียงหัวเราะครื้นดังมาจากกลุ่มนักกีฬา ทั้งคนถูกเรียก ทั้งคนที่มองดูอยู่ ไม่มีใครคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าหมั่นไส้ที่เพื่อนถูกเชียร์ออกนอกหน้า แต่เพราะทุกคนคือเพื่อนกันจึงเข้าใจ และคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือสีสันของวัยมัธยม

            เพื่อนหันไปส่งยิ้มให้กลุ่มกองเชียร์ก่อนเสียงนกหวีดเริ่มการแข่งขันจะดังขึ้น ห้องสี่เป็นฝ่ายบุกก่อน ดูเชิงกันอยู่สักพักสุดท้ายก็โดนหนึ่งบุกกลับ เล็กแย่งบอลมาได้แล้วส่งให้เพื่อนร่วมทีม ทุกเล่นกันได้อย่างเข้าขายกเว้นก็แต่คนที่ทุกคนเป็นห่วงที่สุด

            "เพื่อน!" เต้ยตะโกนเรียกก่อนส่งบอลมาให้

            ร่างสูงติดผอมไปนิดวิ่งสุดแรงเพื่อคว้าบอลเอาไว้ แต่เหมือนจะกะจังหวะผิดไปนิดบอลเลยเด้งผ่านมือไป เพื่อนรีบหมุนตัวกลับยืดมือไปสุดแขนแล้วคว้ามันไว้ได้ในที่สุดท่ามกลางเสียงเชียร์จากสาวๆ รุ่นน้อง

            ม. 5/1 รอดตัวไปได้ในวิกฤตครั้งแรก

            เกมยังดำเนินต่อไปโดยที่ห้องหนึ่งยังสามารถเป็นผู้คุมเกมไว้ได้ นั่นอาจเป็นเพราะจุดอ่อนของทีมไม่ได้ครองบอลเท่าไรนัก และอีกหนึ่งนาทีจะหมดเวลาห้านาที ช่วงเวลาที่จะได้ชื่นชมพี่เพื่อนในลุคนักกีฬาของสาวๆ

            หลังจากเปิดเกมรุกได้ไม่นานห้องหนึ่งต้องเป็นฝ่ายเล่นเกมรับบ้าง ห้องสี่พาบอลมาใกล้หน้าประตู หลงตั้งท่ารอรับ แต่ในจังหวะที่ไม่มีใครคาดฝัน บอลถูกขว้างไปข้างหน้าเพื่อส่งต่อให้ผู้ทำประตู ด้วยความที่อยู่ใกล้ที่สุดรวมถึงไฟในหัวใจที่กำลังลุกโชนเพื่อนจึงพุ่งตัวตรงไปทางบอลลูกนั้น ตั้งใจจะปัดมันทิ้งเพื่อตัดโอกาสการทำประตูโดยลืมนึกไปว่าความสามารถด้านกีฬาของตัวเองนั้นต่ำเตี้ยแค่ไหน

            ตุบ!

            ทั้งสนามเงียบกริบเมื่อทุกคนต่างอ้าปากค้าง แม้กระทั่งสาวๆ ยังยกมือขึ้นปิดปากไม่กล้าส่งเสียง ลูกที่ถูกขว้างเข้าประตูตกลงพื้นไล่เลี่ยกับร่างผอมสูงที่ไถลราบไปกับพื้นเช่นกัน จนเมื่อตั้งสติได้เพื่อนๆ ถึงได้เดินเข้ามาดูอาการ

            "ไอ้เพื่อน!"

            "เป็นไงบ้างวะ"

            "เขาให้ปัดบอลไม่ใช่ปัดอากาศ ลุกไหวมั้ยมึง"

            "หน้าเสียโฉมป้ะวะ"

            ทุกคนต่างถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงขณะที่เพื่อนค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ปัดเศษฝุ่นที่ติดตามร่างกายออกก่อนยิ้มเขินที่ดันมาโชว์ห่วยกลางสนามแบบนี้

            "กู...ไม่เป็นไร"

            "งั้นก็ลุก ไปพัก เอาไอ้เอกลงต่อ"

            เพื่อนลุกขึ้นตามแรงพยุงจากเพื่อนๆ ปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าอีกรอบ เขายังยิ้มเขินไม่กล้ามองรอบสนามหากแต่มองไปยังหลงที่เอาแต่ยืนขมวดคิ้วตั้งแต่วิ่งมาดูอาการ

            หลงไม่ได้เอ่ยปากถามและเพื่อนไม่ได้พูดอะไรออกมา เขายังยิ้ม ยิ้มให้รู้ว่าไม่เป็นอะไร ยิ้มให้รู้ว่าเขาปลอดภัย แค่ล้มหน้ากระแทกนิดหน่อยมันไม่เจ็บสักเท่าไรหรอก

            คนเจ็บนั่งพักอยู่ข้างสนามโดยมีสาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง เห็นหน้าตายังยิ้มแย้มสดใสเพื่อนๆ ก็หายห่วง มีแรงฮึดกลับมาเล่นได้เต็มที่ ผู้รักษาประตูอย่างหลงเองก็โชว์ฟอร์มได้เยี่ยม รักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้ และรักษารอยยิ้มนั้นให้สว่างสดใสได้ดังเดิม

            สุดท้ายห้อง ม.5/1 ก็สามารถเอาชนะ ม.5/4 ได้อย่างขาดลอย

 

 

            "ไม่ต้องเล่นหรอกกีฬาน่ะ เดี๋ยวก็เจ็บตัวอีก" อดีตที่ติดอยู่ในความทรงจำทำให้หลงบอกออกไปแบบนั้น ให้ทำตัวปวกเปียกแบบนี้ต่อไปนั่นดีแล้ว หรือถ้าอยากออกกำลังกายให้เขาพาไปเล่นที่ฟิตเนตก็ได้ แต่ออกห่างมันเถอะจากกีฬาน่ะ

            "ตอนนี้อาจจะเก่งขึ้นแล้วก็ได้นะ"

            "อาจจะ?"

            "ก็อาจจะไง"

            "ตอนเรียนมหา'ลัยเป็นนักกีฬาเหรอ"

            "เปล่า"

            "แล้วทำอะไรกับเขาบ้าง"

            เพื่อนส่ายหน้าแล้วยิ้ม ประสบการณ์ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยของเขาไม่ได้น่าจดจำสักเท่าไร ไม่ใช่ว่าสังคมไม่ดี แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวเขาเอง ทำไว้เองรับกรรมเอง ถึงอย่างนั้นหลังจากผ่านช่วงปีหนึ่งมาได้เส้นทางที่เคยมืดมนก็เริ่มสว่างมากขึ้น

            "เล่าให้ฟังได้มั้ย" หลงถามขึ้นมาลอยๆ เขาอยากรู้แต่ไม่อยากบังคับ

            ตั้งแต่กลับมาเจอกันในรอบแปดปีเรื่องราวในอดีตไม่ได้ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงบ่อยนัก ช่วงที่หายไปเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้น หลงได้แต่คิดอยู่ในภวังค์ของตัวเอง คาดเดาไปต่างๆ นานา แต่ตอนนี้เขาควรจะรู้ได้แล้ว รู้...และทำสิ่งที่มันเลือนลางให้ชัดเจนขึ้นมาเสียที

            "ชีวิตตอนเรียนมหา'ลัย"

            "มันไม่น่าฟังเท่าไรหรอก"

            "เล่ามาเถอะ อยากฟัง"

            เพื่อนอมยิ้มน้อยๆ เงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วถอนหายใจออกมา ถึงอย่างนั้นใบหน้าที่สดใสแทบตลอดเวลานั้นก็ยังแต้มด้วยรอยยิ้ม

            "มันก็ลำบากนิดหน่อยนะกับการปรับตัว ตอนปีหนึ่งไม่ชอบเข้าร่วมกิจกรรมเลยโดนเพื่อนแบน ขนาดรูมเมทยังไม่เอาเลย การเรียนก็ไม่ดีได้แค่หนึ่งกว่าๆ ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ย่ำแย่สุดๆ แต่ก็ชินแล้ว"

            หลงรับฟังอยู่เงียบๆ หากแต่ในใจกลับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก คนคนนี้ที่เหมาะกับความสดใสไม่ควรเจอเรื่องแบบนั้น คนที่เคยถูกผู้คนห้อมล้อมกลับต้องอยู่ตัวคนเดียว ความจริงแล้วคนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นเป็นเพราะตัวเพื่อนเองนั้นเหรอ หรือเป็นเพราะเขากันแน่

            "แต่พอขึ้นปีสองก็เริ่มโอเคขึ้นนะ มีเพื่อนกับเขาสักที"

            เพื่อนหัวเราะเบาๆ แต่หลงไม่รู้สึกขำด้วยเลยสักนิด เขาขยับมือไปแตะหลังมือทำให้คนที่ทำตัวร่าเริงเมื่อครู่นี้เปลี่ยนสีหน้าทันที รอยยิ้มกับดวงตาสุกใสหายไปเป็นความโศกเศร้าเข้ามาแทนที่

            ปลายนิ้วยังสัมผัสที่หลังมือ สองขาหยุดนิ่ง ปล่อยให้กระแสผู้คนผ่านเลยไปโดยไม่คิดที่จะสนใจ เพื่อนเม้มปากก่อนหันมามอง เขาพลิกมือเพื่อกอบกุมสัมผัสที่คิดถึงนี้ไว้ เพียงเล็กน้อย ให้รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นอีกสักหน่อยก็ยังดี

            สิบวินาที ไม่สิ อาจจะไม่ถึงห้าวินาทีเท่านั้นที่หลงรู้สึก ความอบอุ่นนั้นก็มลายหายไปเมื่อเพื่อนปล่อยมือออก รอยยิ้มสดใสกลับมาแต่งแต้มบนใบหน้าที่ใครๆ ต่างหลงใหลอีกครั้ง สองขาออกเดิน มือหยิบลูกชิ้นอีกไม้ที่เหลืออยู่ขึ้นมากินก่อนเอ่ยปากชวน แต่มันกลับเป็นคำที่หลงยังไม่อยากจะได้ยิน

            "กลับบ้านกันเถอะ"

 
TBC

 
จริงๆ เรื่องนี้เรากะจะดองยาวแล้วนะ เพราะเหลืออีกแค่ห้าตอนก็จะเขียนจบแล้ว
วางแผนไว้ว่าจะเขียนให้จบไว้ภายในเดือนนี้ ก็ไม่รู้จะทำได้มั้ย เลยคิดว่าอยากเขียนให้จบแล้วลงทีเดียว
แต่ก็ห่วงคนรอค่ะ ถึงจะมีน้อยมากก็ตาม เลยคิดว่าอัพต่อไปดีกว่า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ☆★ อยากให้เธอฝันยามหนุน ★☆ ฝันครั้งที่ 6 ☆★ 15/02/2561 ★☆
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 15-02-2018 22:01:37
อ่านแล้วหน่วงหัวใจจังเลยครับ สงสารเทั้งเพื่อนและหลงเลย
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ☆★ อยากให้เธอฝันยามหนุน ★☆ ฝันครั้งที่ 6 ☆★ 15/02/2561 ★☆
เริ่มหัวข้อโดย: moonmoon ที่ 16-02-2018 08:31:33
แอบรออยู่เงียบๆ ทุกตอนนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ☆★ อยากให้เธอฝันยามหนุน ★☆ ฝันครั้งที่ 6 ☆★ 15/02/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 16-02-2018 16:19:46
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ เราเป็นหนึ่งในคนที่อ่าน และรอนิยายเรื่องนี้นะคะ สู้ๆค่าม :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☆★ อยากให้เธอฝันยามหนุน ★☆ ฝันครั้งที่ 6 ☆★ 15/02/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-02-2018 17:17:47
 o13  ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: ☆★ อยากให้เธอฝันยามหนุน ★☆ ฝันครั้งที่ 6 ☆★ 15/02/2561
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 18-02-2018 05:57:57
อ่านแล้วรู้สึกเหงาๆเลย มัธยมเป็นความทรงจำที่ดีจริงๆ ถึงแม่จะไม่สมหวังแต่ก็ยังมีโอกาศได้มาเจอกันอีกครั้ง
สู้ๆนะคะคนเขียน ติดตามอยู่เด้อ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 6 | 15/02/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Plavann ที่ 19-02-2018 13:48:03
มาแล้วๆ หลงคิดแบบนี้แปลว่าจะตอบรับเพื่อนเหรอ?
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 7 | 24/02/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 24-02-2018 18:42:37


ฝันครั้งที่ 7

 
            เหมือนกับว่าเหตุการณ์นี้มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน

            เสียงโทรศัพท์ของหลงดังขึ้นเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วพร้อมกับคำขอที่ทำให้รู้สึกสับสนอยู่หน่อยๆ

            เพื่อนโทรมาหาเขาก่อนเลิกงานราวสิบนาที น้ำเสียงฟังดูเกรงใจกับเสียงหัวเราะแห้งๆ ทำให้ไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธ เมื่อถูกขอว่า...

            'มาอยู่เป็นเพื่อนหน่อย เข้าบ้านไม่ได้ ต้องรอแม่กลับบ้านตอนสองทุ่ม'

            เพราะเหตุนี้ทำให้หลงมีตัวเลือกอยู่สองทาง คือหนึ่ง นัดเจอกันที่ตลาดหรือห้างแถวบ้าน เดินเล่นกินข้าวเย็นฆ่าเวลา และสอง ไปหาเพื่อนที่หมู่บ้าน ที่นั่นมีสวนให้นั่งเล่น อยู่รอเป็นเพื่อนจนกว่าแม่ของเพื่อนจะกลับมา

            จากสองข้อนี้ตัวเลือกที่หนึ่งดูจะเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่า แต่หลงเบื่อแล้ว ทุกวันนี้เมื่อไรที่เพื่อนเลิกงานเร็วก็มักจะชวนเขาไปเดินเล่นที่ตลาดก่อนกลับบ้านเป็นประจำ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้มาจอดรถอยู่ที่หน้าสวนในหมู่บ้านของเพื่อนแบบนี้

            สวนที่ว่าไม่ได้ถูกจัดตบแต่งจนสวยงามอะไรนัก แค่สวนหญ้าธรรมดาที่ด้านหัวและท้ายสวนเป็นบ้านคน มีถนนเส้นเล็กๆ สำหรับสัญจรในหมู่บ้านตัดผ่าน แถมข้างๆ ยังเป็นทุ่งนา เรียกได้ว่าเป็นจุดที่เงียบที่สุดและสัมผัสกับความร่มรื่นของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่เลยก็ว่าได้

            ดับเครื่องยนต์ลงจากรถหลงก็เดินไปหาคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหญ้าริมบ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟกับเต่า หลงนั่งลงข้างเพื่อน เจ้าของแววตาสุกใสหันมายิ้มให้พร้อมเอ่ยขอบคุณ

            "ขอบคุณที่มานะ"

            "ไม่เป็นไร"

            มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่พวกเขาต้องมาเจอกัน เพียงแค่วันนี้เปลี่ยนสถานที่เท่านั้นเอง

            "แล้วไปทำยังไงถึงเข้าบ้านไม่ได้" หลงถามถึงสาเหตุเพราะเขายังไม่ได้คุยถึงรายละเอียดเรื่องนี้ เพียงแค่ถูกขอให้มาก็ยอมมาอย่างง่ายดาย

            "ลืมไว้ในบ้าน"

            "ออกจากบ้านแต่ไม่เอากุญแจมาด้วยเนี่ยนะ"

            "อืม"

            "ดีจริงๆ"

            "ก็มันลืม ให้ทำไง"

            "ก็ทำอย่างนี้ไง นั่งรอ"

            เพื่อนหัวเราะ ไม่ได้คิดว่าการลืมกุญแจบ้านเป็นเรื่องตลกแต่ขำเพราะการแดกดันของหลงมากกว่า เขาผิดจริงๆ ผิดไปแล้ว

            "ขอโทษ"

            "ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

            "เมื่อกี้เพิ่งว่า"

            "ว่าที่ไหน พูดความจริง"

            เพื่อนเถียงไม่ออก ขอบคุณไปแล้ว ขอโทษไปแล้ว รอบนี้เลยเงียบใส่ หันไปสนใจเจ้าเต่าที่เกาะอยู่บนก้อนหินแล้วโผล่หัวมาแอบฟังพวกเขาคุยกันแทน

            แม้จะอยู่ในตัวกรุงเทพฯ แต่ที่นี่คือขอบชายแดน ความเจริญยังไม่รุดหน้าเต็มที่ ตึกสูงก็ไม่มี บรรยากาศจึงเหมือนต่างจังหวัดมากกว่าเมืองหลวง มีทุ่งนา มีต้นไม้ มีสายลมเย็นๆ หากฟ้ามืดสนิทบางคืนยังมองเห็นดาวด้วยซ้ำ หลงเกิดและโตที่นี่เขาจึงชอบที่นี่ ชอบมันมากๆ และคิดว่าคนที่ย้ายมาอยู่ตอนเรียนมัธยมอย่างเพื่อนจะชอบที่นี่ด้วย

            "แล้วทำไงอะ"

            "ทำอะไร"

            อยู่ๆ เพื่อนก็ถามขึ้นมาจนหลงตามไม่ทัน ไอ้นิสัยชอบพูดลอยๆ ไม่มีเกริ่นนำนี่แก้ไม่หายจริงๆ สินะ

            "ไม่ได้ไปเดินตลาดหลงไม่เบื่อเหรอ" คนถามเอียงคอมอง ดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เชื่อเถอะว่าการเดินตลาดไม่ได้ทำให้หลงหายเบื่อสักเท่าไร

            "เดินตลาดใช่ว่าจะหายเบื่อ"

            "แสดงว่าที่ชวนไปเดินบ่อยๆ นี่เบื่อเหรอ"

            "แล้วคิดว่าไง"

            ความมั่นใจหายวับไปจากแววตาคู่นั้น หลงนึกขำจนหลุดยิ้ม เพื่อนต้องใช้ความกล้าแค่ไหนกับแปดปีที่ผ่านมา ต้องพยายามขนาดไหน ต้องทุกข์ทรมานเท่าไรกับความรู้สึกที่ไม่สมหวังและรักที่โดนปฏิเสธ ถามว่าตอนนี้เขายอมรับได้งั้นเหรอ แน่นอนว่าคำตอบคือยัง แต่เขาไม่คิดจะทำร้ายหรือตัดความหวังอย่างครั้งก่อน แค่อยากให้เพื่อนรู้ว่าเขากำลังค่อยๆ เปิดใจ ให้ลองพยายามดูอีกสักนิด อีกไม่นานสิ่งที่อยู่ในใจเขาอาจจะชัดเจนขึ้นมาก็ได้

            เวลาได้อยู่กับเพื่อนที่ชื่อเพื่อน ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีคำว่า 'เบื่อ' แวบขึ้นมาในความคิดของเขา

            "ไม่เคยเบื่อเลยต่างหาก"

 

            ม. 5 เทอม 1

            (มึงอยู่ไหนวะหลง) เสียงร้อนรนของเล็กดังผ่านสายทันทีที่หลงกดรับโทรศัพท์ เขากำลังจะออกจากโรงเรียนหลังจากแวะไปส่งงานที่ห้องพักครู ส่วนเพื่อนๆ แยกย้ายกันกลับบ้านไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน

            "กำลังจะกลับ"

            (ยังไม่ออกจากโรงเรียนใช่ป้ะ)

            "อืม กำลังจะออก"

            (เออ มึงอยู่รอไอ้เพื่อนแป๊บนึง มันกำลังวิ่งกลับไปโรงเรียน)

            "ทำไมวะ"

            (กุญแจบ้านมันหาย)

            หลงคุยกับเล็กอีกต่อนิดหน่อย ยังไม่ทันได้ถามอะไรมากเพื่อนก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้าโรงเรียนมา พอเห็นหลงนั่งรอที่ม้านั่งใกล้ๆ ทางเข้าก็เดินยิ้มเข้ามาหาทั้งที่อกยังขยับขึ้นลงเป็นจังหวะถี่

            "หลงยังไม่กลับเหรอ"

            คำทักทายนี้ทำให้หลงนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ก็ในเมื่อเล็กบอกให้เขารอเพื่อนอยู่แต่ดันโดนถามแบบนี้ หรือสองคนนั้นไม่ได้คุยกัน เป็นเล็กคนเดียวที่โทรมาไหว้วานให้เขาช่วย

            "ก็อยู่รอช่วยหากุญแจ"

            "เฮ้ย! รู้ได้ไง" เพื่อนถามเสียงสูงด้วยความแปลกใจ แล้วก็เป็นอย่างที่หลงคิดไว้

            "เล็กบอกมา"

            "อ๋อ"

            "แล้วไปทำหายที่ไหน"

            "คิดว่าคงเป็นห้องเรียน หรือไม่ก็ที่ชมรม"

            "ไป เดี๋ยวช่วยหา"

            เพื่อนยิ้มกว้างพยักหน้ารับตอนหลงลุกมาหา ทั้งคู่เดินเลียบไปตามทางหน้าตึกเพื่อผ่านไปยังห้องเรียนที่อยู่เลยไปอีกอาคาร

            ตอนนี้ห้าโมงครึ่งแล้ว มีนักเรียนเหลืออยู่แค่ไม่กี่คน บรรยากาศในโรงเรียนเลยค่อนข้างเงียบเหงา ทำให้เสียงของคนทั้งสองที่กำลังเดินขึ้นบันไดดังก้องไปทั่วบริเวณแม้จะใช้เสียงปกติในการพูดคุยก็ตาม

            "แล้วหลงไม่รีบกลับบ้านเหรอ"

            "ไม่อะ"

            "ทำไมวันนี้อยู่เย็นจัง"

            "แดดมันร้อนจี้เกียจกลับเร็วเลยนั่งทำการบ้านเลขรอ"

            "ทำเสร็จแล้วเหรอ"

            "อืม"

            "ขอดูบ้างดิ"

            "ส่งไปแล้ว"

            "อ่าว"

            "ไม่ต้องดูหรอกมั้ง ง่ายๆ"

            เพื่อนยิ้มรับคำบอก หลงไม่ได้ยอและไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่ง แต่ถ้าจะพูดถึงคนเก่งจริงก็คงเป็นเพื่อนคนนี้นี่แหละ ผลการเรียนอยู่ในอันดับต้นๆ ของห้อง การบ้านเลขแค่นั้นอย่างเพื่อนไม่จำเป็นต้องดูของเขาเลยสักนิด

            ห้อง ม.5/1 อยู่ห้องแรกเมื่อขึ้นบันไดมาถึงชั้นสาม ทั้งสองถอดรองเท้าไว้หน้าห้องก่อนเข้าไปด้านใน เพื่อนก้มๆ เงยๆ หาอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ส่วนหลงช่วยเดินดูรอบห้อง แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอสักที

            "อาจจะหล่นที่ห้องชมรมมั้ง"

            วันนี้คาบชมรมเป็นวิชาสุดท้ายของตาราง เพื่อนเก็บกระเป๋าไปอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเลิกเรียน ทั้งสองจึงออกจากห้อง ม.5/1 เดินลงจากอาคารเพื่อไปยังชมรมดนตรีสากลที่อยู่อีกตึก

            ห้องดนตรีตั้งอยู่ชั้นล่างติดกับห้องศิลปะ เย็นป่านนี้แล้วเพื่อนไม่แน่ใจอาจารย์จะกลับไปหรือยัง เลยลองเลื่อนประตูกระจกออกเล็กน้อยแล้วยื่นหน้าเข้าไปดู โชคดีที่มันยังเปิดได้และอาจารย์พิชัย ชายสูงอายุร่างใหญ่ยังคงอยู่ในห้อง

            "ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอญาณากร" อาจารย์พิชัยละสายตาจากงานบนโต๊ะแล้วเอ่ยถาม เพื่อนรีบยกมือไหว้ก่อนตอบ

            "กลับแล้วครับครูแต่ลืมของ ไม่รู้ทำตกไว้ที่นี่หรือเปล่า"

            "ลืมอะไร"

            "กุญแจบ้านครับ"

            "เข้ามาหาสิ"

            ได้รับคำอนุญาตเพื่อนก็พยักหน้าให้หลงก่อนถอดรองเท้าเดินนำเข้าไป หนุ่มอ้วนยกมือไหว้อาจารย์อาวุโสที่ไม่ค่อยคุ้นเคยนักเพราะเขาไม่ได้อยู่ชมรมดนตรีเหมือนเพื่อน อีกทั้งยังไม่ค่อยสันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไรนัก

            ในห้องดนตรีเป็นห้องโล่งๆ ที่มีตู้เก็บเครื่องดนตรีวางชิดมุม คีย์บอร์ด กลองประเภทต่างๆ พวกเครื่องสีเครื่องเป่าที่วงโยธวาทิตใช้เล่นตอนเข้าแถวหน้าเสาธง รวมถึงกีตาร์หลายตัวที่แขวนบนผนัง 

            ทั้งสองคนช่วยกันหาจนรอบห้องโดยมีอาจารย์คอยร้องถามความคืบหน้าเป็นระยะ แต่สุดท้ายก็ยังหาไม่เจอ ได้แต่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดบอกลาอาจารย์พิชัยแล้วเดินจากมาอย่างหมดความหวัง

            "จะเอาไงต่อ"

            "คงต้องรอแม่เลิกงานตอนสองทุ่ม"

            "สองทุ่มเลยเหรอ แล้วจะไปอยู่ไหน"

            "เดินเล่นในตลาดมั้ง ตอนแรกว่าจะเข้าร้านเกมแต่ตังค์เหลือไม่พอ"

            หลงพยักหน้ารับ กว่าจะถึงสองทุ่มไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆ มันควรจะมีทางเลือกที่ดีกว่านี้นอกจากเดินเล่นในตลาดทั้งที่ไม่มีเงินติดตัว หลงพยายามคิดหาทางช่วยที่จะไม่ทำให้เพื่อนลำบาก พวกเขาเดินออกจากโรงเรียน ผ่านลานกิจกรรมกว้างๆ ที่มีของเล่นเด็ก มีเก้าอี้ให้นั่ง มีของกินขายนิดหน่อย และมีคนเต้นแอโรบิค

            "นั่งรอที่นี่ก่อนมั้ย" หลงชี้นิ้วไปยังม้านั่งใกล้ๆ ลานเด็กเล่น

            "ก็ดีเหมือนกันแฮะ ถ้าแม่กลับจากที่ทำงานจะได้แวะรับเลย หลงก็กลับบ้านดีๆ นะ" เพื่อนยิ้มและบอกลา แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลงตั้งใจไว้ บ้านเขาอยู่ใกล้ จะกลับเมื่อไรไม่มีใครว่าอะไรหรอก

            "เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน"

            "จะดีเหรอ"

            "อืม"

            ไม่รอให้โดนขัดเจ้าของความคิดนี้ก็เดินนำไปยังม้านั่งตัวนั้น จับจองที่ไว้ด้านหนึ่ง วางกระเป๋านักเรียนไว้บนพื้น มองผู้คนที่เข้ามาใช้พื้นที่ในลานแห่งนี้ทำกิจกรรมต่างๆ พร้อมกับเสียงของคนที่เพิ่งหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ เอ่ยขอบคุณออกมา

            "ขอบใจนะ"

            "ไม่เป็นไร"

            หลงหันไปมองคนที่ยังยิ้มโชว์แก้มบุ๋มข้างขวา องค์ประกอบบนใบหน้าที่ดูดี ดวงตาเป็นประกายวิบวับเหมือนผืนน้ำที่ต้องแสงแดด คิดไปแล้วบางทีหลงก็ชักสงสัย หากต้องอยู่ตัวคนเดียว คนคนนี้จะยังสดใสแบบนี้อยู่ไหมนะ แต่พอคิดดูอีกที ให้เพื่อนคนนี้มีแต่ความสดใสอยู่รอบตัวนั่นแหละดีแล้ว

            "เพื่อนกัน มีอะไรก็ช่วยกัน" อย่างน้อยช่วยทำให้เพื่อนยิ้มได้เวลาเจอปัญหาก็ยังดี

            ทั้งสองคนนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่ได้สนใจเวลา แต่ดูเหมือนว่าฉายาหลงหลับกำลังประสบปัญหา ดันกลายเป็นเพื่อนที่แย่งพูดได้มากกว่าเสียอย่างนั้น เหตุเพราะพวกเขาเพิ่งรู้ว่าชอบอ่านการ์ตูนเรื่องเดียวกัน และเพื่อนคลั่งไคล้การ์ตูนเรื่องนี้มากเสียด้วย

            "เออใช่ เพิ่งซื้อเล่มใหม่มา" ว่าแล้วเพื่อนก็หยิบกระเป๋านักเรียนรกๆ ของตัวเองมาค้น เพราะเริ่มมืดบวกกับแสงสว่างที่สาดมาไม่ถึงทำให้มองเห็นของในกระเป๋าไม่ชัดเลยได้แต่ควานไปมาสะเปะสะปะ แต่แทนที่จะเป็นหนังสือการ์ตูนที่ถูกหยิบออกมากลับกลายเป็นโลหะสีเงินที่ส่งเสียงกุ๊งกิ๊งยามกระทบกันแทน

            หลงมองสิ่งที่เพื่อนถือโชว์อยู่ด้วยความงุนงง ขณะที่เจ้าตัวก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก ของที่เดินหากันจนทั่ว แท้จริงแล้วมันซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋ารกๆ ใบนี้

            "มาได้ไง"

            "หาไม่ดีล่ะสิ" หลงสรุปให้และไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ เพราะค้นไม่ทั่วและคิดว่ามันหาย สุดท้ายเลยมานั่งกันอยู่ตรงนี้

            เพื่อนหมดคำจะแก้ตัว เขาสะเพร่าเอง หาไม่ดีเอง แถมยังทำให้เพื่อนเดือดร้อนอีก

            "ขอโทษ"

            "ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

            "งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เลี้ยงน้ำไถ่โทษแก้วหนึ่ง"

            "ไม่เป็นไร"

            "ไม่ได้ ตกลงตามนี้"

            คัดค้านไม่ได้หลงจำต้องพยักหน้ารับ ลุกขึ้นสะพายกระเป๋าเตรียมตัวกลับ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ต้องรอยันสองทุ่ม

เพื่อนรีบเก็บของใส่กระเป๋า โดยเฉพาะกุญแจบ้านเจ้าปัญหาที่ต้องหาช่องดีๆ ใส่ไว้ หาไม่เจออีกจะยุ่งยากเอา จัดการเรียบร้อยก็ลุกขึ้นเดินไปหาหลง เพื่อนที่โดยสารรถสายเดียวกัน และยังเป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้กลับบ้านพร้อมกันอีกด้วย

            "กลับบ้านกัน"

 

           

            ความทรงจำที่มีค่ามักสร้างรอยยิ้มให้ได้เสมอ พวกเขานั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไรแล้วก็ไม่ได้สนใจนัก จนกระทั่งฟ้ามืด ไฟข้างทางเปิดสว่าง หลงเหลือบมองคนที่เอาแต่นั่งจ้องหน้าเต่าในบ่อ ก่อนมองเลยไปยังกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ข้างตัว

            "ไม่ใช่ว่าลืมไว้ในกระเป๋าอีกนะ" คำแซวทำให้เพื่อนรีบหันขวับกลับมาแก้ตัว

            "ไม่ลืม จำได้ว่าวางไว้ในห้องนอนไม่ได้หยิบมาด้วย

            "แน่ใจ"

            "แน่ใจดิ"

            "ลองค้นกระเป๋ายัง"

            "ค้นแล้วไม่มี"

            หลงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ ไม่ได้บอกตัวเองให้เชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะถึงจะจริงหรือไม่จริงเขาก็มานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าหากมันเป็นแผนเขาก็คือคนที่ยอมเดินตามแผนตั้งแต่แรก และเขาจะไม่ยอมเสียใจกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำลงไปอีก

            "หรือหลงจะกลับเลยก็ได้นะ" เงียบไปไม่ทันไรเพื่อนก็พูดขึ้นมา คงเก็บคำสิ่งที่หลงพูดไปคิด คิดว่าเบื่อที่จะอยู่ด้วยอีกตามเคย

            "ไม่ล่ะ จะอยู่เป็นเพื่อน"

            "อยู่เป็นเพื่อน..."

            "อะไร"

            เพราะพยางค์สุดท้ายถูกลากเสียงยาวหลงเลยเผลอตวัดเสียงถาม เพื่อนอมยิ้มไม่ยอมตอบ บางทีก็อยากจะเล่นมุกบ้างแต่ไม่รู้ว่าคนข้างๆ อยากจะเล่นด้วยหรือเปล่า อีกอย่างเวลาพูดเรื่องแบบนี้ทีไรมักจะโดนเงียบใส่เสมอ เขาไม่แน่ใจ ไม่รู้เลยว่าสรุปแล้วหลงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ดูยินดีให้เข้าหา พร้อมที่จะเปิดรับ แต่ก็เหมือนไม่รู้สึกจนไม่กล้าที่จะถามอะไรอีก เพราะเขายังอยากมีความสุขแบบนี้อยู่ ยังอยากใช้เวลากับคนคนนี้ แม้จะไม่ได้อะไรตอบกลับมาก็ตาม

            "ท่ามาก" หลงยกมือขึ้นผลักหัวเพื่อนด้วยวามรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ เป็นการกระทำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

            "เดี๋ยวนี้เล่นแรง"

            "แรงตรงไหน"

            "ก็ผลักหัว"

            "ทำไม ผลักไม่ได้" ว่าแล้วทำท่าจะผลักอีก

            "ไม่ให้ผลัก" เพื่อนทำท่าโยกตัวหลบฝ่ามือใหญ่ๆ ที่ยกค้างไว้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนโดนผลักแบบนี้ล่ะก็ได้ล้มหงายหลังไปแล้วแน่ๆ  หลงเป็นคนแรงเยอะ อย่างน้อยก็เยอะกว่าเขา เลยไม่อยากเล่นอะไรที่เสี่ยงต่อการโดนทำร้ายร่างกาย

            "ทำเป็นหวง"

            สุดท้ายก็โดนผลักอยู่ดี

            เพื่อนคว้ามือหลงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เจ้าของมือก็จ้องหน้าคล้ายจะหาเรื่อง เขาไม่ได้หวงตัว แค่อยากทำอย่างอื่นมากกว่าการเล่นผลักหัวกันแบบนี้

            "ปล่อยเลย"

            "แล้วถ้าไม่ปล่อยอ่ะ"

            "งั้น...ก็แล้วแต่"

            ไม่รู้เหตุใดถึงได้ยอมแพ้ง่ายนัก หลงเลิกสนใจให้เพื่อนจับมือไว้แบบนั้น ก่อนมันจะถูกวงลงบนตักแล้วกุมไว้โดยที่เจ้าตัวไม่มีท่าทีว่าจะดึงออก

            ฝ่ามือใหญ่ที่ยังอบอุ่นกับท่อนแขนที่คิดถึง ถ้ามันอวบอ้วนและนุ่มนิ่มเหมือนเมื่อแปดปีก่อนก็คงดี

            ยิ่งมืดบริเวณสวนก็ยิ่งวังเวง แม้จะมีไฟส่องสว่างแต่คนในหมู่บ้านไม่มีใครมานั่งตากยุงตากน้ำค้างในเวลาแบบนี้ หลงชวนเพื่อนไปรอในรถ เปิดเพลงฟังนั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนใกล้เวลาสองทุ่มแม่ของเพื่อนก็กลับมาถึง หลงถูกชักชวนให้เข้าไปด้วยกันแต่เขาปฏิเสธ ได้ทักทายคุณแม่นิดหน่อยแล้วรีบขอตัวกลับ โดยได้ค่าตอบแทนเป็นการเลี้ยงข้าวสักมื้อหรือหนังสักเรื่องในครั้งหน้า แต่ก็ปฏิเสธอีก

            "เบื่อกินข้าว ไม่อยากดูหนัง"

            "แล้วหลงอยากทำอะไร"

            "ติดไว้ก่อน"

            เพื่อนมองหลงอย่างไม่ไว้ใจนัก ตั้งแต่สมัยเรียนหลงดูไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ ออกจะซื่อและเถรตรง แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้ดูเจ้าแผนการนัก

            "นึกได้แล้วจะบอก"

            "เอางั้นก็ได้" ถึงอย่างนั้นก็ยอมตอบตกลงไปอยู่ดี

            หลงไม่ได้บอกลา พวกเขาไม่เคยพูดคำนั้นหรือแม้แต่การแสดงท่าทางเมื่อต้องแยกจากกัน ทำเพียงแค่ยิ้ม เฝ้ามอง และเดินจากมา เหมือนเดิมตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงตอนนี้

            เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง
 

TBC

 
เป็นนิยายที่มีบรรยากาศเหงาๆ เนอะเรื่องนี้
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 7 | 24/02/2561
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 24-02-2018 20:08:19
ติดตามอ่านนะค๊ะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 7 | 24/02/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-02-2018 20:24:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 7 | 24/02/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Plavann ที่ 25-02-2018 16:48:43
เพิ่งเห็น ชอบบรรยากาศของเรื่องครับ ผมว่าแต่งออกมาดีมากเลย เรื่อยๆเหงาๆ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 8 | 09/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 09-03-2018 20:09:20

ฝันครั้งที่ 8

            Veerayu : ไปซาฟารีนะ

            คนที่บอกว่าจะเลี้ยงบางอย่างเป็นการขอบคุณถึงกับเงียบไปครึ่งวันเมื่อหลงบอกว่าอยากไปไหน เหตุเพราะโดนน้องสาวรบเร้าตั้งแต่ครั้งก่อน โอกาสเหมาะเวลาได้เลยตั้งใจจะพาไปด้วย ไม่ได้ให้เพื่อนออกค่าใช้จ่ายให้ ทั้งของเขาและของหยก คิดว่าคงได้รับคำอนุญาต

            Yanakorn : วันอาทิตย์นะ

            Veerayu : ได้

            Veerayu : หยกไปด้วยนะ

            Yanakorn : โอเค

            Yanakorn : ทำไมอยากไปซาฟารี

            Veerayu : หยกอยากไป

            Yanakorn : เหรอ

            Yanakorn : อืม

            หลงมองหน้าจอมือถือแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไหนว่าไม่ชอบให้ใคร 'อืม' ใส่ แล้วทำไมตัวเองถึงได้ทำ ไม่ใช่ว่ากำลังไม่พอใจอะไรอยู่หรอกเหรอ

            Veeyaru : โกรธ

            Yanakorn : เปล่า

            แต่จากคำที่พิมพ์มาดูไม่เหมือนคนอารมณ์ปกติเลยสักนิด

            หลงเลือกที่จะไม่พิมพ์แต่กดโทรออกแทน ปลายสายรับแทบจะทันที แต่กลับไม่มีเสียงใดดังขึ้นมาให้ได้ยิน ไม่ต้องสงสัยว่าโดนเงียบใส่

            "แก่แล้วต้องขี้งอนเหรอ ถ้าไม่อยากให้พาหยกไปด้วยก็บอก"

            [ไม่ใช่แบบนั้น]

            "แล้วแบบไหน"

            [คือ...] ลากเสียงยาวแล้วก็เงียบไป

            หลงนิ่งคิดไม่ได้คาดคั้น ถ้าเพื่อนไม่ติดเรื่องหยกอยากไปด้วยแล้วห่วงเรื่องอะไร เรื่องวันก็ไม่น่าใช่ หากตัดทุกอย่างออกไปหมดก็คงเหลือแค่สถานที่

            ซาฟารีงั้นเหรอ

            หรือไม่อยากไปที่นั่น

            "ไม่อยากไปซาฟารี?"

            [ก็ไม่เชิง]

            "ทำไมล่ะ"

            [ก็...ที่นั่นมันมี...] ลากเสียงยาวแล้วก็เงียบไปอีกครั้ง

            ซาฟารีมีอะไรงั้นเหรอ ซาฟารีก็ต้องมีสัตว์น่ะสิ มีสัตว์...เขาลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง

            เพื่อนที่ชื่อเพื่อนคนนี้...กลัวสัตว์

            นึกออกแล้วหลงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ตอนเรียนรู้สึกจะมีเรื่องราวน่าขันเกี่ยวกับเพื่อนและสัตว์นานาชนิดอยู่ไม่น้อย ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าที่โรงเรียนเคยมีงูเขียวหล่นลงมาจากต้นไม้ ทำเอาคนขี้กลัวร้องโวยวายเสียงดัง แต่งูคือสัตว์ที่หลายคนกลัวย่อมไม่น่าแปลก มันแปลกที่แม้กระทั่งสัตว์เล็กๆ อย่างหมา แมว หรือกระต่ายเพื่อนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ที่เป็นมิตรด้วยที่สุดน่าจะเป็นปลากับเต่าในบ่อที่สวนของหมู่บ้านนั่นแหละ

            [หัวเราะอะไร]

            "เปล่า"

            [ไปก็ได้นะ]

            "ซาฟารีน่ะนะ แล้วไม่กลัวเหรอ"

            [กลัวอะไร ไม่ได้กลัว]

            เห็นคนทำตัวอวดเก่งหลงก็ได้ยิ้มเยาะอยู่คนเดียว เมื่อกี้ยังลังเลอยู่เลย แล้วตอนนี้มาบอกว่าไม่ได้กลัว

            "งั้นวันอาทิตย์นี้ไปเที่ยวซาฟารี โอเคนะ"

            [อืม]

            "ห้ามอืม"

            [โอเค ได้ รู้แล้ว]

            "เดี๋ยวสิบเอ็ดโมงไปรับที่บ้าน"

            [โอเคๆ]

            "สวัสดีครับ"

            [ครับๆ]

            หลงกดวางสายแล้วกลับมาตั้งใจทำงานต่อ คิดไปแล้วก็เหมือนกับกำลังแกล้งเพื่อน แต่เขาไม่ได้แกล้ง เพื่อนเป็นคนยอมตกลงไปเองไม่ได้บังคับแต่อย่างใด บางทีอาการกลัวสัตว์คงจะหายไปแล้วล่ะมั้ง

 

            หายไป...ซะที่ไหนกัน

 

            เพื่อนกลายเป็นคนหวาดระแวง ทุกย่างก้าวที่เดินดูไม่มีความปลอดภัย แม้สัตว์ทั้งหลายจะถูกกักขังไว้ในกรงก็ตาม

            หลงยกมือขึ้นวางบนไหล่เพื่อนโดยไม่บอกกล่าวจนเจ้าตัวสะดุ้ง หลังจากเข้ามาด้านในเขาคอยสังเกตอาการเพื่อนตลอด ภายนอกอาจจะดูเหมือนคนนิ่งๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายกับเหล่าสิงสาราสัตว์สักเท่าไร แต่ใครจะรู้ว่าภายในใจกำลังตื่นกลัวแค่ไหน

            "ไม่มีอะไรหรอกน่า มันอยู่ในกรง"

            "ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย" คนขี้กลัวยังคงปฏิเสธ

            หลงหยุดแซวได้แต่ยิ้ม มือยังวางอยู่บนไหล่ให้เพื่อนรู้ว่าเขายังอยู่ข้างๆ ไม่ได้ห่างไปไหน ส่วนคนร่าเริงที่สุดเห็นทีจะเป็นน้องสาวตัวแสบ วิ่งไปดูทางนู้นทีทางนี้ทีจนกลัวว่าจะหลงกัน วันอาทิตย์คนยิ่งมาเที่ยวเยอะอยู่ด้วย

            ที่ซาฟารีเวิลด์มีอยู่สามโซน คือจังเกิลวอลค์ที่พวกเขาอยู่ เป็นส่วนจัดแสดงสัตว์ซึ่งสามารถเดินเชื่อมกันกับมารีปาร์ค โซนที่มีการจัดแสดงโชว์ต่างๆ ได้ และสุดท้ายซาฟารีปาร์ค โซนสวนสัตว์เปิด นั่งรถชมชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ตามธรรมชาติอย่างพวกเสือ สิงโต ยีราฟ เป็นโซนที่เพื่อนส่ายหน้าใส่แบบไม่ยั้งโดยให้เหตุผลว่ามันไม่คุ้ม แค่นั่งรถดูสัตว์ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน พวกเขาเลยตัดสินใจเที่ยวแค่สองโซน

            กว่าจะมาถึงกว่าจะซื้อตั๋วเข้ามาเดินเล่นไม่นานนักก็ใกล้ได้เวลาโชว์โลมาพอดี ทั้งสามคนเข้าไปจับจองที่นั่งบนอัศจรรย์ท่ามกลางนักท่องเที่ยวต่างชาติ หยกยกกล้องขึ้นมาเตรียมเก็บภาพ ส่วนหลงนั้นยังคงห่วงคนข้างตัวไม่หาย

            "กลัวโลมามั้ย" เห็นเพื่อนเอาแต่จ้องที่สระน้ำด้านหน้าหลงเลยอดที่จะถามไม่ได้

            "ไม่นะ"

            "จริง?"

            "มันน่ารักดีออก"

            "แล้วถ้าให้จับ"

            "อย่าดีกว่า" เพื่อนปฏิเสธในทันที ที่ว่ากลัวสัตว์เขาไม่ได้กลัวแบบอาการหนัก ให้ดูให้อยู่ใกล้ยังพอได้ แต่ถ้าให้ไปจับขอปฏิเสธดีกว่า ก็พวกสัตว์น่ะไว้ใจได้ที่ไหน ถึงจะถูกฝึกมาแล้วก็เถอะ

            ปล่อยให้นั่งรอไม่นานการแสดงโลมาแสนรู้ก็เริ่มขึ้น เสียงฮือฮาและเสียงปรบมือจากผู้ชมดังขึ้นเป็นระยะ เจ้าโลมาแสนรู้กระโดดลอดห่วง ว่ายน้ำไปมาตามคำสั่ง กระทั่งให้คนฝึกขี่หลัง โดยได้ปลาเล็กเป็นของรางวัล ความน่ารักของมันสร้างรอยยิ้มให้ใครหลายคน ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ หยกที่ดูจะชื่นชอบเป็นพิเศษ และเพื่อน คนที่ไม่ถูกชะตากับสัตว์เท่าไรนัก

            "น่ารัก" ชอบมากถึงขั้นเอ่ยปากชม

            หลงหันมองเพื่อนที่ยกมือถือขึ้นมาเก็บภาพเจ้าโลมาแสนรู้ รอยยิ้มสดใส เปล่งประกายจนใครที่เผลอมองต้องหยุดสายตาเอาไว้

            ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเพื่อนก็คือพี่เพื่อน คนที่ทำให้ใครหลายคนหลงใหลเมื่อแรกเห็น

            "มีคนมองแหนะ" หลงแกล้งกระทุ้งศอกใส่ให้คนที่มัวสนใจแต่โลมาให้หันไปมองกลุ่มสาวๆ ซึ่งกำลังมองมาอยู่

            เพื่อนยิ้มโชว์แก้มบุ๋ม มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีให้แม้กระทั่งคนไม่รู้จัก แบบนี้มันก็เท่ากับว่าเปิดทางให้เจ้าหล่อนเข้าหาเลยไม่ใช่หรือไง

            "ไปยิ้มให้ทำไม"

            "ก็เค้ายิ้มให้ก่อน"

            "เดี๋ยวก็โดนจีบ"

            "ไหนคะ ใครยิ้มให้พี่เพื่อน ถ้าสวยสู้หยกไม่ได้ห้ามจีบ" สาวน้อยที่แปลงร่างเป็นผู้พิทักษ์พี่เพื่อนโพล่งขึ้นมาพลางสอดส่ายสายตาหาต้นตอที่พี่ๆ พูดถึง

            "ใครจะกล้ามาจีบ" แต่คนฟังกลับเห็นเป็นเรื่องตลก ยิ้มขำแล้วส่ายหน้าอย่างคนไม่คิดอะไร

            "ผู้หญิงสมัยนี้ร้ายนะพี่ ยิ่งหน้าโอปป้าอย่างพี่เพื่อนเนี่ยไม่น่ารอด"

            "ถึงมาจีบพี่ก็ไม่เอาหรอก" เพื่อนตอบไปอย่างที่คิด ชำเลืองมองคนที่นั่งคั่นกลางระหว่างเขากับหยกไว้แวบหนึ่งก่อนยิ้มให้เด็กสาวที่ดูจะถูกใจคำตอบนี้อยู่ไม่น้อย

            "ดีมากค่ะ พี่เพื่อนน่ะเหมาะกับคนสวยๆ อย่างเช่นหยก"

            "ปล่อยไอ้เพื่อนไปเจอคนดีๆ เถอะ"

            "พี่หลงอ่ะ"

            เพื่อนได้แต่นั่งอมยิ้มมองสองพี่น้องเถียงกัน

            'คนดี' นิยามของคำนี้ถูกตีกรอบไว้ยังไงเขาไม่แน่ใจนัก อีกอย่างคนดีในความหมายของแต่ละคนนั้นย่อมต่างกัน และถ้าหากจะพูดถึงคนดีที่เหมาะกับตัวเขา ก็คงเป็นคนคนนี้

            ผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่กำลังเถียงกับน้องสาวตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

            คนดี...ที่เขานิยามไว้เป็นของตัวเอง

 

            สาวน้อยหนึ่งเดียวในกลุ่มร้องหิวข้าวหลังจบจากโชว์โลมา พวงเขาเลยต้องแวะหาอะไรกินกันก่อนเดินเที่ยวต่อ หลงเป็นคนถือแผนที่ เดินกลับไปยังโซนจังเกิลวอล์คระหว่างรอเวลาการแสดงรายการถัดไป เจอกรงนกแก้วซันคอนัวร์เป็นอันดับแรก เมื่อชวนเข้าไปดูเพื่อนถึงกับส่ายหน้าใส่ลูกเดียว

            "งั้นรอข้างนอกแล้วกัน" หลงผู้รู้สาเหตุบอกอย่างเข้าใจ แต่ไม่ใช่กับหยก คนที่เข้ามาคว้าแขนเพื่อนเอาไว้

            "พี่เพื่อนเข้าไปด้วยกันนะ"

            "เดี๋ยวพี่รอข้างนอกดีกว่า"

            "ทำไมอ่ะ เข้าไปถ่ายรูปกัน ให้อาหารนกได้ด้วยนะ ให้มันมาเกาะกินบนมือได้เลย"

            หลงรู้ว่าเพื่อนฝืนยิ้ม แค่ได้ยินคงรู้สึกสยองจนอยากจะวิ่งหนีกลับบ้าน หยกไม่ได้ผิดที่ชวน แต่คนกลัวจะยอมรับหรือเปล่าแค่นั้น

            "หยก พี่เพื่อนเขา..."

            "เข้าก็เข้า"

            หลงจำต้องกลืนคำที่จะพูดลงคอเพราะถูกขัดขึ้นมา ไม่อยากให้บอกงั้นสินะ ไม่อยากให้พูดว่าพี่เพื่อนของน้องๆ กลัวสัตว์แม้พวกมันจะน่ารักแค่ไหนก็ตาม

            หยกยิ้มกว้างเดินนำทุกคนเข้าไปด้านใน ส่วนคนที่เผลอตอบรับอย่างลืมตัวได้แต่ถอนหายใจออกมา แม้กลัวก็ยังไว้ฟอร์ม เขายังอยากเป็นพี่เพื่อนคนเท่ของน้องๆ อยู่นี่นา

            "ไม่กลัวแล้วเหรอ" หลงเดินประกอบข้างเพื่อนไม่ห่าง แอบกระซิบถามในระยะที่น้องสาวไม่ได้ยิน

            "กลัว"

            "แล้วไปยอมหยกมันทำไม"

            "อยากถ่ายรูป"

            "ฮะ"

            "ถ่ายรูปกัน" บอกแล้วก็ยิ้มกว้างโชว์แก้มบุ๋ม

            อยู่ๆ หลงก็รู้สึกมันเขี้ยวขึ้นมา มีอย่างที่ไหนกลัวแต่อยากถ่ายรูปเลยยอม ยอมให้นกบินมาเกาะแล้วจิกกินอาหารบนมือด้วยท่าทางที่กลั้นความกลัวเอาไว้สุดขีด เกร็งทั้งตัวทั้งหน้าจนน่าขัน มันเขี้ยวมากจนต้องคอยประกอบไว้ไม่ให้ห่าง ยืนซ้อนด้านหลังวางมือไว้บนไหล่บางแล้วยิ้มให้กล้องที่น้องสาวถืออยู่

            "หนึ่ง สอง ซั่ม"

            แชะ!

            สิ้นเสียงชัตเตอร์หลงก็โบกมือไล่นกตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายให้บินหนี จับมือที่ยังสั่นนั่นไว้แล้วพาเดินออกมานอกกรง โดยมีน้องสาวตัวแสบเดินตามหลัง

            ทำเก่งไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลยจริงๆ

            เดินดูสัตว์ต่างๆ จนใกล้ถึงเวลาโชว์ทั้งสามคนก็พากันไปจับจองที่นั่ง โชว์นี้มีชื่อว่าสงครามจารกรรม บู๊แอคชั่น ทั้งนักแสดงและเอฟเฟคแสงเสียงจัดเต็ม เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ตลอดทั้งแต่ต้นจนจบ

            ถัดจากสงครามจารกรรมหลงเดินนำขบวนไปต่อที่โชว์อุรังอุตัง ลิงแสนรู้ที่มาแสดงความน่ารักอย่างการต่อยมวยและความสามารถในด้านต่างๆ หยกดูท่าจะชอบใจอยู่มาก เพื่อนเองก็ยิ้มและออกปากชมตลอด ดูมีความสุขจนหลงอดถามไม่ได้

            "ชอบลิงเหรอ"

            "เปล่า"

            "กลัว?"

            "อยู่ไกลขนาดนั้นไม่กลัวหรอก"

            "มันก็น่ารักดี ไม่เห็นต้องกลัว"

            คนไม่กลัวย่อมไม่เข้าใจ เพื่อนได้แต่ยิ้ม ทำไมต้องกลัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะความไม่ไว้ใจล่ะมั้ง ตอนเด็กๆ เขาเคยโดนสัตว์เลี้ยงทำร้ายจนร้องไห้อยู่บ่อยไป มันเป็นความทรงจำที่ไม่ดีนัก เลยพาลไม่ชอบทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าสัตว์ไปเสียหมด

            "แล้วชอบสัตว์อะไรบ้าง"

            "ไม่รู้ดิ"

            "มด ยุ่ง แมลงสาบ"

            "ใครจะไปชอบ"

            หลงหัวเราะเบาๆ นึกชอบใจที่ได้แกล้งคน โดยหารู้ไม่ว่าคำถามพวกนี้จะย้อนกลับมาหาตัวเอง

            "ชอบคนมากกว่า"

            ริมฝีปากที่กำลังยิ้มกลับมาเหยียดตรง หลงไม่ได้หลบตา ยังคงจ้องเข้าไปในดวงตาสดใสคู่นั้น จนเมื่อคำต่อมาถูกเอ่ยขึ้น เขาถึงได้รู้ตัวว่าคิดผิด

            "คนนี้ที่ชื่อหลง"

            คิดผิดที่ดันไม่ยอมหลบสายตาที่น่าหลงใหลคู่นี้ตั้งแต่แรก

 

            การแสดงจบ เหลือเวลาให้เดินเล่นอีกไม่นานนักก็ใกล้เวลาปิดทำการ หลงเลยโดนหยกยกหน้าที่ตากล้องให้เพราะก่อนหน้านี้น้องสาวเป็นคนถือกล้องเสียส่วนใหญ่ เก็บทั้งภาพบรรยากาศ สัตว์นานาชนิด การแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ รวมถึงรูปพี่ชายทั้งสอง แต่ยังไม่มีใครถ่ายรูปให้เธอเลย

            หยกเดินไปโพสต์ท่าตามมุมนั้นมุมนี้โดยมีเพื่อนคอยกำกับอีกที ถ่ายภาพเดี่ยวจนพอใจก็วานให้พนักงานที่อยู่ใกล้ๆ ช่วยถ่ายรูปหมู่ให้ กำลังจะชวนกันกลับก็มีพนักงานสองคนเข็นรถผ่านมา

            "ลูกเสือ!" หยกร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น ผิดกับเพื่อนที่แทบกระโดดหนีเมื่อได้ยินคำว่าเสือ

            สาวน้อยยิ้มกว้างเดินเข้าไปหาพนักงานซึ่งหยุดรถให้อย่างใจดี ลูกเสือสองตัวนอนอยู่ในกรง กำลังแทะของเล่นท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู

            "กำลังพาน้องกลับเหรอคะ"

            "ครับผม ลองจับได้นะครับ น้องสะอาด อาบน้ำทุกวัน"

            "จับได้เหรอคะ"

            "ครับ"

            ได้รับคำอนุญาตดังนั้นหยกก็ยื่นมือเข้าไปลูบเสือน้อยที่ไม่ได้สนใจอย่างอื่นนักนอกจากของเล่นที่กำลังแทะ หยกจึงหันมากวักมือเรียกพี่ๆ เพื่อนรีบส่ายหน้าแต่โดนหลงดึงให้เดินมาด้วยกัน โอกาสได้จับลูกเสือแบบฟรีๆ มีบ่อยที่ไหน ยังไงก็อยากให้ลอง

            "ลองดู มันยังเด็กอยู่ ไม่เป็นไรหรอก" ถึงหลงจะพูดแบบนี้เพื่อนก็ยังทำหน้าไม่ไว้ใจอยู่ดี จนคนชวนนั่งลงแล้วดึงมือให้เพื่อนลงมานั่งตาม ยื่นมือผ่านช่องกรงเข้าไปสัมผัสตัวลูกเสือให้ดูเป็นตัวอย่าง เพื่อนที่ทำหน้าลังเลเลยยอมทำตามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

            เพื่อนค่อยๆ ยื่นมือออกไป ลอดผ่านช่องกรง แตะปลายนิ้วลงเบาๆ บนตัวลูกเสือที่เอาแต่แทะของเล่น เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงลูบไล้ไปมาช้าๆ

            ขนเสือ...ไม่นุ่มอย่างที่คิดเอาไว้

            อยู่เล่นกับลูกเสื้อได้ครู่เดียวพนักงานก็เอ่ยขอตัว ภายในสวนเงียบเชียบไร้ซึ่งผู้คนต่างกับช่วงบ่าย สองพี่น้องกับเพื่อนอีกคนเดินทอดน่องออกมาตามเส้นทางอย่างไม่เร่งรีบ พ้นเขตสวนเข้าสู่ลานจอดรถ หมดวันหยุดไปอีกวัน

            "เป็นไง"

            เพื่อนเลิกคิ้วหันมองต้นเสียงเมื่อไม่แน่ใจว่าคนที่กำลังสตาร์ทรถคุยกับเขาหรือเปล่า

            "ชอบมั้ย"

            ทว่าเมื่อเห็นสายตาที่มองกลับมาก็ทำให้เข้าใจได้ว่าคำถามเมื่อครู่เป็นของเขา แต่คนที่ตอบกลายเป็นน้องหยกที่โผล่หน้ามาจากเบาะหลัง

            "ชอบค่ะ"

            "พี่ถามเพื่อน"

            "อ้าว ก็ไม่บอก แล้วพี่เพื่อนชอบมั้ยคะ"

            เพื่อนหันมองคนขับ อมยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋มก่อนตอบคำถาม คำตอบที่ทำให้คนฟังรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะปกติเป็นรอบที่สองของวัน

            "ชอบครับ...ชอบมากเลย"

            คงยากที่จะต้านทานได้แล้วล่ะมั้ง สิ่งที่ไม่เคยยอมรับ ความรู้สึกที่ปิดกั้นมาตลอดหลายปี

            บางที...เขาคงจะหนีจากเพื่อนที่ชื่อเพื่อนคนนี้ไม่ได้จริงๆ

 
TBC

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 8 | 09/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-03-2018 22:13:10
เรื่อยๆมาเรียงๆ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 8 | 09/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 10-03-2018 23:48:18
อ่านเรื่องนี้แล้วอึดอัด อยากรู้อดีตสองคนนี้ไวๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 8 | 09/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Plavann ที่ 11-03-2018 00:03:48
เพือนน่ารัก หลงก็เริ่มเปิดใจตัวเองแล้ว รอดูปมว่าทำไมตอนนั้นปฏิเสธ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 8 | 09/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-03-2018 00:42:01
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 9 | 16/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 16-03-2018 19:45:36

ฝันครั้งที่ 9

            เป็นอีกวันในหนึ่งสัปดาห์ที่หลงได้พบกับเพื่อนหลังเลิกงาน ทว่าเป็นการพบกันที่แปลกไปกว่าทุกครั้ง วันนี้เพื่อนไม่ได้นัด เพราะเกิดอาการเมารถจึงอยากรีบกลับไปนอน กลายเป็นหลงเสียเองที่นึกเป็นห่วง คิดไปคิดมารู้ตัวอีกทีก็มาจอดรถหน้าบ้านสองชั้นที่มีอ่างบัวตั้งอยู่ด้านหน้าเสียแล้ว

            หลงยังคงนั่งอยู่บนรถไม่ยอมดับเครื่องยนต์ ไม่รู้ว่าแสงไฟกับเสียงรถจะทำให้คนในบ้านรู้ตัวหรือเปล่าเพราะประตูกระจกบานเลื่อนถูกม่านปิดไว้ อย่างน้อยแสงไฟในบ้านที่เปิดไว้เฉพาะชั้นล่างก็ทำให้รู้ว่าเพื่อนคงอยู่ที่ห้องนั่งเล่น แต่จะคิดอีกอย่างว่าคนเมารถขึ้นไปนอนบนห้องแล้วลืมปิดไฟก็ได้เช่นกัน

            รออยู่เกือบนาทีเห็นว่าคนในบ้านยังไม่มีความเคลื่อนไหวหลงจึงหยิบมือถือออกมา ตั้งใจจะลองโทรหาแต่เจ้าของบ้านแง้มผ้าม่านโผล่หน้าออกมาดูเสียก่อน

            ทันทีที่เห็นรถคันคุ้นเคยที่ใช้บริการบ่อยๆ จอดอยู่หน้าบ้านเพื่อนก็เบิกตากว้างรีบเปิดประตูออกมาทั้งที่ยังมีผ้าห่มผืนบางคลุมตัว หลงดับเครื่องยนต์ลงจากรถ แล้วก็โดนว่าไปตามระเบียบ

            "จะมาทำไมไม่บอก"

            "ขับรถอยู่"

            "อย่ามาอ้าง บอกก่อนจะออกมาก็ได้" ปากว่ามือก็เปิดประตูรั้วเชื้อเชิญให้หลงเข้ามาในบ้าน

            "มันทางผ่านไงเลยแวะมาหา ซื้อน้ำเต้าหู้มาฝาก" หลงชูของที่อยู่ในมือให้ดู น้ำเต้าหู้เจ้าอร่อยจากตลาด

            เพื่อนไม่ได้ว่าอะไรเพียงส่ายหน้าแล้วอมยิ้ม ลงกลอนประตูรั้วแล้วเดินนำแขกที่มาแบบไม่ทันให้ตั้งตัวเข้าบ้าน เชิญให้นั่งโซฟาที่เขาใช้เป็นที่นอนชั่วคราวเมื่อครู่นี้

            "ดีขึ้นหรือยัง" หลงถามหลังจากมนุษย์ผ้าห่มทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ มองตาแดงๆ ที่เหมือนคนเพิ่งตื่น เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่าเขาคิดผิดยังไงไม่รู้ที่มากวนโดยไม่บอกล่วงหน้า

            "ได้นอนก็โอเคขึ้นแล้ว"

            "นอนเยอะไปหรือเปล่าเลยปวดหัว"

            "ไม่ใช่ รถมันแอร์ไม่เย็น โดนอบอยู่ในนั้นเหมือนจะเป็นลม" เพื่อนเป็นพวกขี้ร้อน เวลาเจอแดดแรงๆ มักจะปวดหัวหมดแรงเหมือนโดนสูบพลัง ยิ่งเป็นเดือนพฤษภาคมที่ร้อนตับแตกเจอรถแอร์ไม่เย็นเข้าไปยิ่งอาการหนัก

            "ก็บอกแล้วว่าให้ซื้อรถขับ"

            "ไม่เอาอ่ะ"

            "ขี้เกียจ"

            "ยอมรับ"

            "เชื่อเขาเลย งั้นก็ยอมโดนอบเป็นไก่ต่อไป"

            "เพิ่มเวลานอนไง"

            "นอนจนสันหลังยาวหมดแล้ว"

            "เขาเรียกตัวสูง" เพื่อนเถียงอย่างไม่ยอม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านอกจากได้เชื้อดีจากพ่อแม่แล้วสิ่งที่ทำให้เขาสูงถึงร้อยเจ็ดสิบแปดเป็นเพราะการนอน แม่บอกว่าเด็กๆ นอนแต่หัววันจะสูงไว ถึงอย่างนั้นเขากลับเตี้ยกว่าหลงห้าเซน แถมยังดูตัวเล็กกว่ามากเมื่อยืนข้างกัน หลงเป็นคนตัวสูงใหญ่ ยิ่งสมัยมัธยมตอนตัวอ้วนๆ ไม่มีใครกล้ามายุ่งด้วยสักคน แต่ใครจะรู้ว่ายักษ์ใหญ่คนนี้รักสงบและใจดีแค่ไหน

            "ไม่เห็นจะสูงเลย"

            "นี่แหละสูงแล้ว"

            "เตี้ยกว่าอยู่ดี"

            เพื่อนย่นจมูกใส่ ไม่รู้จะเถียงยังไงให้ชนะคนพูดมาก ถ้าจะมีคงเหลืออยู่ทางเดียวซึ่งเป็นทางที่เขาไม่อยากเลือกเท่าไร บางทีพูดไปอาจจะชวนให้กระอักกระอ่วนใจกันทั้งคู่ก็ได้ เพราะเขาเองยังไม่รู้เลยว่าจะเรียกความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ว่ายังไงดี

            คงเป็นเขาที่กำลังพยายามจีบอยู่ล่ะมั้ง ส่วนอีกฝ่ายคิดเป็นจริงเป็นจัง หรือแค่เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนสมัยเรียนเลยยอมคบด้วยก็ไม่อาจรู้ได้

            "แล้วแม่รู้ยังว่าป่วย" ปล่อยให้บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบได้ไม่นานหลงก็เริ่มชวนคุยต่อ มองหน้าเจ้าของบ้านสลับกับบริเวณโดยรอบ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ภาพโคอาล่าที่เขาเคยเห็นตอนมาส่งเพื่อนหลังงานคืนสู่เหย้า คืนที่ความทรงจำในอดีตถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง

            "ไม่ได้ป่วย" ปากตอบคำถามแต่ตาเหลือบมองตาม เพื่อนรู้ว่าหลงกำลังสนใจอะไร จนเมื่ออดีตหนุ่มอ้วนหันกลับมาเผชิญหน้าเขาจึงมอบรอยยิ้มให้

            "ยังเก็บไว้อีกเหรอ"

            "ต้องเก็บดิ" ของสำคัญแบบนี้เขาต้องเก็บเอาไว้อยู่แล้ว

            ของที่หลงอุตส่าห์ทำให้ด้วยความตั้งใจ

 

            ม.5 เทอม 2

            หากพูดถึงศิลปะทุกคนที่ชาว ม.5/1 นึกถึงคงหนีไม่พ้นใบหม่อน สาวผมยาว หุ่นดีตัวผอม มีดวงตาสีดำกลมโตเป็นเอกลักษณ์ ผู้ที่สามารถรังสรรค์ผลงานศิลป์ให้เพื่อนๆ ได้ทึ่งกันอยู่หลายครั้ง ไหนจะรางวัลการันตีชนะการประวาดต่างๆ นานา สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนมาหลายต่อหลายครั้งเช่นกัน

            และถ้าหากจะพูดถึงคนที่มีหัวทางศิลปะที่สุดในกลุ่มเด็กหลังห้องติดหน้าต่าง คงต้องยกให้หนุ่มอ้วนช่างจ้อ  แม้ไม่ได้ฝีมือดีจนส่งเข้าประกวดได้ แต่ก็ดีกว่าคนที่วาดรูปได้ห่วยแตกที่สุดในห้องอย่างเพื่อนได้มากโข คนที่มีปัญหาแทบทุกครั้งเมื่อครูศิลปะสั่งงาน

            "ไอ้เล็กช่วยกูหน่อย" ขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ของโรงเรียนเริ่มออดอ้อน เพื่อนทำตัวอ่อนเลื้อยไปซบเล็ก คนที่ยังเอาตัวเองไม่รอดเลยปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด

            "ของกูยังไม่ได้อะไรเลยเนี่ย"

            "อย่างน้อยมึงก็วาดเสร็จแล้วไง ของกูนี่กระดาษเปล่า" มองกระดาษวาดเขียนขนาดเท่าโปสการ์ดอันว่างเปล่าบนโต๊ะเรียนแล้วเพื่อนยิ่งอนาถใจ เขาวาดคนเป็นก้างปลาได้ก็บุญเท่าไรแล้ว

            "แล้วมึงคิดออกหรือยังจะวาดอะไร"

            "ยัง"

            "ไปคิดให้ออกก่อน ยังไม่รู้จะวาดอะไรแล้วจะช่วยได้ไงวะ"

            "มึงก็ช่วยกูคิดหน่อยดิ"

            "ตัวมึงมึงต้องคิดเอง"

            เพื่อนกลับมานั่งตัวตรงหลังจากอ้อนขอความช่วยเหลือไม่สำเร็จ มองกระดาษเปล่าตรงหน้าแล้วก็คิดอะไรไม่ออก จนเต้ยที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันมาหา

            "มึงชอบนอนอ่ะ วาดตัวอะไรที่ชอบนอนดิ"

            "แล้วมันตัวอะไรวะ"

            "แมว" เก้หันมาช่วยออกความเห็นอีกคน

            "แมวกูก็ว่าโอเคนะ" เล็กเองก็เห็นด้วย

            "ตั้งใจทำนะมึง ต้องส่งพรุ่งนี้แล้ว เดี๋ยวกูกับนารอนกลับก่อน" ขวัญให้กำลังใจขณะที่สะพายกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน เพื่อนที่กำลังจะโดนเพื่อนๆ ทิ้งเลยได้แต่ทำตาละห้อย

            "อะไร จะกลับแล้วเหรอวะ"

            "เออ ต้องไปเรียนพิเศษต่อ"

            "กูก็ต้องไปรับน้องว่ะ วันนี้แม่ไม่ว่างไปรับเอง" เล็กก็กำลังจะทิ้งเพื่อนไปอีกคน

            "อย่าเพิ่งทิ้งกูดิ"

            "กูก็จะกลับแล้วเหมือนกัน"

            "เอากลับไปทำที่บ้านดิ"

            เต้ยกับเก้เองก็เตรียมตัวกลับบ้านแล้วเช่นกัน คนถูกทิ้งทำหน้าเครียดหนัก หันมองโต๊ะข้างๆ เหลือหลงนั่งอยู่คนเดียวเพราะโหน่งหายตัวไปตั้งแต่อาจารย์คาบสุดท้ายเดินออกจากห้อง คงไปหาแฟนรุ่นน้องอีกตามเคย

            เพื่อนจะไม่กลุ้มใจเลยถ้างานที่อาจารย์สั่งให้วาดคาแรคเตอร์ที่เหมือนตัวเองต้องส่งพรุ่งนี้ ซึ่งความผิดทั้งหมดล้วนอยู่ที่เขาไม่ใช่ใครอื่น ไม่ชอบ ไม่อยากทำเลยดองงานไว้แล้วมาเครียดเอาวันสุดท้าย แม้จะไม่กี่คะแนนแต่ก็มีค่าเกินกว่าจะทิ้งไปเฉยๆ

            "หลงช่วยมันหน่อยดิ" อย่างน้อยเล็กก็ยังพอมีน้ำใจ อยู่ช่วยเพื่อนไม่ได้เลยโยนให้คนที่มีความสามารถด้านนี้ที่สุดในกลุ่มแทน เพราะหลงไม่ได้รีบกลับเหมือนพวกเขา

            เจ้าของชื่อพยักหน้ารับช้าๆ เหมือนไม่ได้ใช้ความคิดไตร่ตรองก่อนตอบตกลง หลงได้ยินสิ่งที่เพื่อนๆ คุยกันหมดแล้ว และถ้าเขาไม่ช่วยใครจะช่วย

            "งั้นฝากมันด้วยนะ กูไปละ"

            แล้วทุกคนก็ทยอยกันออกจากห้องเหลือเพียงหลงกับเพื่อน และสมาชิกร่วมห้องอีกประปราย

            เพื่อนยิ้มแฉ่งจนเห็นลักยิ้ม หยิบกระดาษเปล่าที่วางบนโต๊ะลุกเดินไปนั่งที่ของโหน่ง ยินดีน้อมรับความช่วยเหลือจากหลงไว้ด้วยความเต็มใจ

            "จะวาดแมวเหรอ" หลงถามเพราะก่อนหน้านี้ได้ยินคุยกันว่าอย่างนั้น

            "คงงั้นมั้ง น่าจะวาดง่ายดี หลงวาดเป็นมั้ย"

            "เป็น วาดแมวง่ายๆ แต่เพื่อนน่าจะเหมาะกับอีกตัวมากกว่า" หลงควงดินสอในมือเล่น แมวดูเหมาะกับเพื่อนดี แต่เขาว่ายังสัตว์ชนิดอื่นที่เหมาะกับเพื่อนมากกว่า

            "ตัวอะไร"

            "โคอาล่า"

            "เห็นเรานอนเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ" เพื่อนหัวเราะร่า ถูกใจความคิดของหลงอยู่ไม่น้อย

            "เห็นพักทีไรก็หลับ ว่างก็หลับ เวลาเผลอชอบทำหน้าง่วงๆ"

            "ขนาดนั้นเลย"

            "แล้วก็ชอบยืมแขนไปหนุน"

            "ก็มันนุ่ม" เพื่อนตอบสวนขึ้นมาแบบไม่ต้องคิด เขาชอบหนุนแขนหลง เวลาง่วงๆ จะไปอ้อนขอหนุนตลอด

            "เพราะงี้ไงถึงเป็นโคอาล่า นอนยี่สิบสองชั่วโมง อีกสองชั่วโมงหากิน"

            "นอนเยอะขนาดนั้นล่มจมพอดี"

            พอรู้ว่าโออาล่าที่หลงเสนอมานอนเยอะขยาดนี้เพื่อนก็ชักไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร ถึงเขาจะดูเอื่อยเฉื่อยไปบ้าง แต่จะให้เป็นโคอาล่ามันก็เกินไป ถึงอย่างนั้นมันก็ดูน่ารักดี

            "สรุปจะเอาตัวอะไร" หลงถามย้ำทำเอาเพื่อนคิดหนัก

            แมวก็ดี โคอาล่าก็น่าสน ถ้าวัดคะแนนในใจตอนนี้ตัวที่นำอยู่ก็...

            "เอาโคอาล่าก็ได้"

            หลงยกยิ้ม รู้สึกดีขึ้นมาเมื่อสิ่งที่เสนอออกไปถูกเลือก

            เพื่อนกับโคอาล่าน่ะ ดูเหมาะที่สุดแล้ว

            หลงหยิบกระดาษเอสี่เหลือใช้ที่ยัดอยู่ใต้โต๊ะขึ้นมาร่างภาพโคอาล่าเกาะต้นไม้นอนหลับให้เพื่อนดูเป็นตัวอย่าง คนไม่เก่งงานศิลป์ทำหน้ายุ่งทันที พยายามอย่างเต็มที่ที่จะวาดตามให้เหมือน ลบแล้วลบอีกจนกลัวว่ากระดาษจะขาด แต่ทำยังไงเจ้าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีกระเป๋าหน้าท้องตัวนี้ก็หน้าตาไม่เหมือนโคอาล่าสักที

            "วาดไม่ได้" เพื่อนวางดินสอลงกับโต๊ะ มองลายเส้นที่ไม่ต่างจากเด็กอนุบาล แล้วแบบนี้จะเอาไปส่งครูได้เหรอ ไหนจะต้องลงสีอีก

            "พอใช้ได้อยู่นะ เติมตรงนี้อีกนิด ตาตอนหลับแค่ขีดเส้นก็ได้แล้ว ตรงนี้เป็นต้นไม้ มันคล้ายๆ สติทซ์นะไอ้ตัวนี้" รูปวาดของเด็กอนุบาลถูกหลงเติมตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แป๊บเดียวโคอาล่าก็ดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

            "ทำไมสวยแล้วอ่ะ"

            "ที่จริงมันก็ไม่ได้แย่เท่าไรหรอก ต้องฝึกบ่อยๆ ให้ชินมือ"

            "ให้ฝึกวาดรูปสู้เอาเวลาไปเล่นกีตาร์ดีกว่า"

            "แต่คะแนนวิชานี้เล่นกีตาร์เป็นก็ไม่ช่วยอะไรนะ"

            "ทำไมต้องขู่"

            "เอาไปตัดเส้น" หลงยื่นปากกาหมึกซึมสีดำให้เพื่อนทำต่อ ส่วนตัวเองนั่งเท้าคางมองขวัญใจรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียนทำงานด้วยความมุ่งมั่นอีกที

            เพราะเป็นศิลปะเวลาที่ใช้จึงยาวนานกว่าวิชาอื่น แค่วาดเสร็จก็กินเวลานานจนเพื่อนๆ ในห้องทยอยกันกลับจนหมด ทิ้งหลงให้อยู่กับเพื่อนแค่สองคนในยามที่พระอาทิตย์สาดแสงสีส้มไปทั่วท้องฟ้า

            "สงสัยจะเสร็จไม่ทัน" หลงบอกหลังจากก้มมองนาฬิกา ถ้าจะทำให้เสร็จคงต้องอยู่ถึงสองทุ่มเสียล่ะมั้ง แต่คงโดนพี่ รปภ. เข้ามาไล่ก่อน

            "เอาไงดี" เจ้าของงานที่ยังไม่เสร็จเริ่มเครียด ถ้าให้เขาเอากลับไปทำที่บ้านคงเละเป็นโจ๊ก รูปที่สู้อุตส่าห์วาดมาร่วมชั่วโมงต้องเสียเปล่าอย่างแน่นอน

            ทั้งสองมองหน้ากันอย่างใช้ความคิด ยังไงต้องทำให้เสร็จภายในคืนนี้ ทางเลือกมีไม่มากถ้าไม่เอากลับไปทำเองก็ต้องพึ่งหลงให้ถึงที่สุด

            "หรือไปทำต่อที่บ้านหลง"

            พอได้ยินแบบนี้หลงก็ชะงัก ตอนนี้จะหกโมงแล้ว กว่าจะถึงบ้านเขากว่าจะทำงานเสร็จ ไม่ได้อยากดูถูกแต่ฝีมืออย่างเพื่อนคงใช้เวลาไม่ใช่น้อยๆ ต้องกลับบ้านดึกดื่นเดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วงเอา

            "ไม่ต้องหรอก ถ้าไม่ว่าอะไรเดี๋ยวเอากลับไปลงสีให้ก็ได้นะ" สุดท้ายเลยเสนอตัวออกไป

            "จะดีเหรอ"

            "ตามนี้แล้วกัน"

            "เฮ้ย ขอบใจมาก"

            ไม่รู้ชาตินี้จะหาผู้มีน้ำใจเมตตาอย่างหลงจากไหนได้อีก เพื่อนยิ้มจนตาหยี เผลอยกมือตบไหล่เพื่อนตัวอ้วนไปหนึ่งที คนโดนทำร้ายร่างกายไม่ได้ใส่นัก เพียงพยักหน้ารับแล้วเก็บของใส่กระเป๋า ก่อนจะโบกมือไล่เพื่อนให้ไปเตรียมตัวบ้าง จะได้กลับบ้านกันสักที

            หลงเก็บงานของเพื่อนไว้ในสมุดจดงานก่อนเอาใส่กระเป๋า รูดซิบปิดแล้วก็เหวี่ยงเป้ที่เหมือนแบกบ้านมาทั้งหลังขึ้นสะพาย รอเพื่อนที่เดินข้ามโต๊ะเอื้อมไปคว้ากระเป๋าที่เหมือนไม่มีอะไรใส่อยู่ในนั้นแล้วออกมาจากห้องพร้อมกัน

            บรรยากาศโดยรอบโรงเรียนมีเพียงความเงียบสงบ หลงชวนเพื่อนคุยไม่หยุดปาก คนอารมณ์ดีที่หลุดพ้นเรื่องงานที่ไม่ถนัดแล้วก็พูดมากไม่แพ้กันจนกลายเป็นแย่งกันพูด เดินมาถึงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนเรื่องราวที่อยากจะเล่าให้กันและกันฟังก็ยังไม่หมด กระทั่งรถสองแถวจอดหน้าป้าย เดินขึ้นไปแล้วจับจองหาที่ยืน เพื่อนก็เพิ่งจะคิดได้ว่าวันนี้เป็นวันดีๆ อีกวัน

            วันที่ได้กลับบ้านด้วยกันแค่สองคนอีกแล้ว

 

            ภาพโคอาล่าหลับบนต้นไม้ฉบับเสร็จสมบูรณ์สวยกว่าที่เพื่อนจินตนาการไว้หลายเท่า พอได้มันมาถือไว้เหมือนเป็นผลงานตัวเองเลยเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะถ้าเขาเอากลับไปทำเองล่ะก็ไม่มีทางได้แบบนี้แน่ แถมรูปนี้ยังได้คะแนนแปดเต็มสิบจากคุณครูอีก แต่เขาเอาแค่สองคะแนนพอ อีกหกคะแนนที่เหลือต้องยกให้หลง บวกกับเก้าคะแนนที่หลงได้รวมเป็นสิบห้าคะแนน เป็นคนเดียวที่ได้คะแนนเยอะที่สุดในห้อง แถมยังชนะใบหม่อนอีกต่างหาก แม้จะเป็นการชนะที่เพื่อนรับรู้เพียงคนเดียวก็ตาม

            ในคาบวิชาศิลปะทุกคนต้องออกไปพรีเซนต์รูปภาพคาแรคเตอร์ของตนเอง เพื่อนบอกออกไปอย่างภูมิใจว่าเพราะตัวเองชอบนอนจึงเลือกโคอาล่า เลยโดนอาจารย์แซวกลับมาว่าหักสองคะแนนเพราะความขี้เกียจที่มีมากเกินไป

            ส่วนโปสการ์ดนั้นอาจารย์คืนให้ทุกคนเก็บไว้ เพื่อนตั้งใจจะให้หลงแต่อีกฝ่ายปฏิเสธ แถมยังบอกอีกว่าให้เขาเก็บรักษาดีๆ เพราะเป็นงานแรกที่ตั้งใจจนวาดรูปได้สวยแบบนี้ และเป็นงานที่หลงตั้งใจลงสีให้เช่นกัน

            ด้วยเหตุนี้เพื่อนจึงเก็บใส่กรอบเอาไว้อย่างดี เผื่อสักวันเจ้าของมันจะได้กลับมาเห็นอีกครั้ง

 

-----------------------------

 

            "กินน้ำเต้าหู้เลยมั้ย" หลงพยักพเยิดไปยังถุงน้ำเต้าหู้ที่วางอยู่บนโต๊ะหลังจากคุยสัพเพเหระกันอยู่นาน ปล่อยให้มันเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อย

            "กินดิ"

            ได้รับคำตอบหลงก็ลุกขึ้นคว้าถุงน้ำเต้าหูเดินเข้าครัว เจ้าของบ้านรีบลุกขึ้นเดินตามไปทั้งที่ผ้าห่มยังคลุมตัวอยู่ มองหลงเปิดตู้หยิบแก้วออกมาก่อนแก้มัดถุงแล้วเทน้ำเต้าหู้ลงไป จัดการเสร็จก็ยื่นให้มนุษย์ผ้าห่มที่ยืนอยู่ข้างกัน

            "หลงไม่กินเหรอ"

            "ถุงนี้ฝากแม่"

            "ขอบใจนะ" เพื่อนอมยิ้มมองน้ำเต้าหู้อีกถุงที่วางอยู่ มือทั้งสองข้างที่ได้รับความร้อนจากแก้วทำให้รู้สึกอบอุ่นไม่น้อย รสชาตินมถั่วเหลืองก็กำลังดี ไม่หวานเกินไป

            "แล้วนี่หนาวเหรอถึงห่มผ้าตลอด"

            "นิดหน่อย"

            "เล่นเปิดแอร์ซะฉ่ำ"

            "มันก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้น แต่เวลานอนต้องมีผ้าห่ม ไม่งั้นนอนไม่หลับ" มนุษย์ขี้ร้อนอย่างเขาอุณหภูมิแค่นี้ไม่สะเทือนผิวเท่าไรหรอก แต่ตอนนี้ป่วย แถมการนอนโดยไม่มีผ้าห่มนั้นไม่ปลอดภัย

            "เหม็น" หลงขยับข้าไปใกล้ จับปลายผ้าห่มของเพื่อนขึ้นมาดมแล้วแกล้งยู่หน้า คนโดนกล่าวหาเลยถลึงตาใส่หยิบปลายอีกข้างขึ้นมาดมบ้าง

            "ไม่เห็นจะเหม็นเลย"

            "กลิ่นตัวตัวเองไงเลยไม่รู้สึก"

            "ไม่มีเหอะ" เพื่อนเถียงสุดกำลัง ถึงจะรู้ว่าโดนหลอกแต่โดนว่าเรื่องแบบนี้มันยอมกันได้ที่ไหน

            "แค่นี้ต้องทำหน้าเครียดด้วย"

            "เรื่องใหญ่นะกลิ่นตัวเนี่ย"

            "ไม่มีหรอก ล้อเล่น"

            "เคยดมเหรอ" บางทีปากก็มักจะไวกว่าความคิด เพื่อนยิ้มแห้งเมื่อเผลอหลุดคำพูดแปลกๆ ออกมา หากพูดคำนี้กับคนอื่นเขาคงไม่คิดอะไร แต่เพราะเป็นหลง คำพูดนั้นอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาก็ได้

            หลงมองกลับมานิ่งๆ ทำเอาเดาอารมณ์ไม่ออก เขาไม่ได้คิดมากกับคำพูดเมื่อกี้เพราะมันไม่ได้ต่างอะไรกับคำหยอกล้อทั่วไป ให้ตบมุกกลับไปก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย และบางทีสิ่งที่ตอบกลับไปก็มีความจริงปะปนอยู่บ้าง

            "อืม เคยดม"

            "มาดมอะไร ตอนไหน"

            "เวลาอยู่ใกล้กันมันก็ต้องได้กลิ่นมั้ยเล่า ถามแปลกๆ รีบกินเลย เดี๋ยวจะกลับแล้ว" หลงส่ายหน้านึกขำกับท่าทางหูตาตั้งของเพื่อน พูดไปก็เดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น หยิบมือถือ กระเป๋าสตางค์ และกุญแจรถ

            "จะกลับแล้วเหรอ"

            "อืม เดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้วนี่ อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย"

            "อยู่ได้เว้ย กลับไปเลยไป" เพื่อนยกมือผลักหลังคนพูดมากอย่างนึกหมั่นไส้

            ผ้าห่มที่ถูว่าเหม็นยังคลุมอยู่บนตัวเจ้าของบ้านตอนเดินออกมาส่งหลงขึ้นรถ ยืนมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ ความรู้สึกมากมายกับสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำต่อกันพาลให้เกิดความสงสัย ทั้งที่เคยบอกกับตัวเองว่าจะไม่เร่งเร้าและทำให้หลงเกิดความกดดัน แต่ความรู้สึกที่ไม่มีความมั่นคงมันไม่ช่วยให้เกิดความสบายขึ้นมาได้เลย

            "หลง"

            เจ้าของชื่อหันกลับมา ใบหน้ามีเสน่ห์ที่ใครต่อใครมักมองข้ามเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

            เพื่อนจ้องหลงนิ่ง พยายามทำใจให้สงบเพื่อเรียบเรียงในสิ่งที่อยากรู้ ทั้งยังแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด

            "ไม่ลำบากใจใช่มั้ย"

            หลงขยับสาวเท้ามาหาเมื่อได้ฟัง กลับมายืนตรงหน้าเพื่อน มองคนที่กำลังทำหน้าเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงมา คอยฟังอย่างตั้งใจกับประโยคที่เพื่อนกำลังเอื้อนเอ่ย

            "หมายถึงที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ได้ฝืนใจใช่มั้ย"

            "..."

            "รู้ใช่มั้ยว่าที่กลับมานี้เพราะอะไร"

            "..."

            "รู้ใช่มั้ยว่าทำแบบนี้มันคือการให้ความหวัง ถ้าไม่มีทางเป็นไปได้ช่วยบอกทีเถอะ"

            ฝ่ามือใหญ่วางลงบนผมชี้โด่เด่ไม่เป็นทรงเมื่อจบประโยค หลงยิ้มบางๆ ในขณะที่เพื่อนยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เลิก เขาเข้าใจความรู้สึกของคนรอว่าเป็นยังไง แปดปีที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่รู้สึก แต่เขารู้สึกดีกับช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดช่องว่างอันยาวนานนั้นมากกว่า

            เด็กหนุ่มตัวอ้วนที่ชื่อหลง ก็แค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งที่กลัวการเดินแยกออกจากทางที่ถูกสังคมมองว่ามันผิด กับผู้ชายที่ชื่อหลง คนที่พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อลองเดินตามเส้นทางที่ถูกมองว่าผิดดูสักครั้ง หากทางเส้นนั้นมันจะทำให้เขามีความสุขมากกว่าการเดินเส้นทางถูกต้องที่เขาเดินตามมันมาตลอดชีวิต

            "หลง"

            มือที่เคยวางอยู่เฉยๆ เปลี่ยนเป็นช่วยจัดทรงผมของเพื่อนให้เข้าที่เข้าทางแทน หลงเป็นคนชอบพูดก็จริง แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่รู้จะพูดยังไงให้ดูไม่เหมือนตัดความหวังและการสารภาพ เลยได้แต่ยิ้มมีความสุขอยู่คนเดียวจนเพื่อนเอ่ยทวงขึ้นมาอีกรอบ

            "พูดอะไรหน่อย"

            "มันจะไม่เหมือนเดิม" หลงละมือออกจากผมของอีกฝ่าย มองตอบด้วยแววตาอ่อนโยน มองด้วยความชื่นชม มองเพื่อนอย่างที่เขาเคยมองมาตลอด

            "ยังไง" เพื่อนยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เลิกแม้จะได้ฟังคำที่ทำให้ใจรู้สึกดีขึ้นมา

            เรื่องราวระหว่างหลงกับเพื่อนตอนนี้ก็เหมือนกับการเริ่มต้นใหม่ ตอนจบของหนังเรื่องเดิมถูกตัดทิ้ง ดำเนินเรื่องด้วยความรู้สึกแบบเก่าที่ถูกจับมาเล่าใหม่ หยุดนิ่งในช่วงเวลาแปดปีเพื่อเรียนรู้และแก้ไขให้เป็นไปตามในสิ่งที่ใจอยากให้เป็น แก้ไขในสิ่งที่เคยกลัว

            "ตอนจบมันจะไม่เหมือนเดิม"

            ปมที่หัวคิ้วถูกคลายออกแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เห็นแก้มบุ๋มข้างขวา หลงยกมือขึ้นขยี้ผมคนที่เขาเพิ่งจัดทรงให้จนยุ่งเมื่อนึกเขินกับสิ่งที่พูด เลือกที่จะหันหลังกลับโดยไม่บอกลา เดินก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มขึ้นรถแล้วขับออกไป

            ทำตัวอย่างกับคนเพิ่งเคยมีความรัก...

            แต่ใครจะรู้ว่าเด็กหนุ่มตัวอ้วนอย่างหลงเคยแอบชอบใครสักกี่คน เพื่อนสมัยอนุบาล รุ่นพี่ตอนเรียนประถม รูปร่างที่กลายเป็นปมด้อยกับความรักที่ไม่เคยสมหวัง กลายเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวไม่กล้าคิดรักใครจนเพื่อนเข้ามาในชีวิต

            คนที่เข้ามาสารภาพรักกับหลงเป็นคนแรก


TBC

 
อิมเมจเพื่อน = โคอาล่า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 9 | 16/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-03-2018 13:43:15
ขยับขึ้นอีกนิด
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 9 | 16/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 17-03-2018 14:20:59
อ่านแล้วชอบมาก แม้มันจะหน่วงๆ ชอบงานเขียนแบบนี้
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 9 | 16/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 20-03-2018 19:56:29
ขยับเข้ามาเรื่อยๆแล้ว หลงกับเพื่อน
น่าร้ากกกกกกกก เขินเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 10 | 23/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 23-03-2018 20:03:57

ฝันครั้งที่ 10

            บางทีการคมนาคมในกรุงเทพฯ มันก็น่าเบื่อโดยเฉพาะช่วงเย็นวันศุกร์ วันนี้หลงนัดกับเพื่อนมาดูหนังรอบดึกด้วยกัน เป็นอนิเมชั่นที่ตกลงกันไว้เมื่อคราวก่อน ทั้งที่อีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลานัดแล้ว แต่หลงกลับได้ข่าวร้ายจากเพื่อน

            Yanakorn : รถเสีย

            รถติดอยู่แล้วยังมาเจอรถเสียอีก แล้วแบบนี้พวกเขาจะได้ดูหนังกันไหม

            Veerayu : อีกสิบนาทีจะฉายแล้ว

            Yanakorn : ตัวอย่างอีกครึ่งชั่วโมงไม่เป็นไรหรอก

            อ่านข้อความประโยคล่าสุดที่เด้งขึ้นมาแล้วหลงได้ถอนใจส่ายหน้า ใครกันที่ชอบดูตัวอย่างหนังก่อนฉาย ใครกันที่อยากดูหนังรอบดึก แล้วใครกันที่นัดวันศุกร์ทั้งที่รู้ว่าต้องทำเวรตอนเย็นจนเลิกดึกดื่นแถมรถยังติดบรรลัย

            เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อนที่ชื่อเพื่อนคนนี้

            หลงตักข้าวใส่ปากอย่างคนไม่มีอะไรทำ เขามาถึงที่นี่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ซื้อตั๋วหนังตามรอบที่เพื่อนบอก ระหว่างรออีกคนมาถึงเลยแวะหาอะไรกินที่ศูนย์อาหาร เพราะกว่าเพื่อนจะมาถึงคงได้เวลาหนังฉายพอดี แต่ดันมาเจอรถเสียซะได้

            Yanakorn : เดี๋ยวนั่งวินไป

            Veerayu : แถวนั้นมีวินให้โบกด้วยเหรอ

            Yanakorn : เหมือนจะไม่มี ต้องเดินย้อนกลับไปไกลอยู่

            รถตู้เสียหลังจากลงทางด่วนมาได้สองป้ายรถเมล์ ป้ายนี้ค่อนข้างร้างผู้คน รถตู้ที่ผ่านส่วนใหญ่มักจะเต็ม รถเมล์วิ่งแค่ไม่กี่สาย ถ้าจะขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างต้องเดินย้อนไปจุดที่รถเพิ่งลงทางด่วน เป็นป้ายที่หารถต่อได้ยากสุดๆ แถมรถติดมาก ไหนจะผู้โดยสารที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันอีก หลงคงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากรออย่างเดียว ครั้นจะขับรถไปรับอาจจะช้ากว่าการหารถมาเอง

            Veerayu : ถ้างั้นขึ้นรถแล้วบอกนะ

            Yanakorn : แล้วถ้ายังไม่ได้ขึ้นล่ะ

            มาสายแล้วยังจะกวนประสาทอีก

            Veerayu : รอต่อไป

            Yanakorn : ไม่

            Yanakorn : หมายถึงถ้ายังไม่ได้ขึ้นรถแล้วบอกไม่ได้เหรอ

            Yanakorn : ไม่อยากคุย?

            Yanakorn : โกรธ?

            มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เพื่อนเข้าใจผิด หลงคิดอย่างนั้น แต่พออ่านข้อความที่ส่งมากลับแปลกที่เขาอารมณ์ดี แถมยังนั่งยิ้มอยู่คนเดียว

            Veerayu : เปล่า

            ข้อความที่ส่งไปถูกอ่านแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าเพื่อนจะตอบกลับมา หลงวางมือถือไว้ข้างจานข้าว กินไปสลับกับมองหน้าจอไปเพื่อรอ

            แต่ทำไมหายไปนานล่ะคราวนี้

            Veerayu : ไม่คุยแล้วเหรอ

            สุดท้ายก็เป็นฝ่ายทักไป

            หลงมองหน้าจออยู่สักพักสัญลักษณ์ที่บอกว่าเพื่อนกำลังพิมพ์ข้อความก็แสดงให้เห็น เขายกยิ้มอย่างโล่งใจ และโล่งยิ่งกว่าเมื่อได้อ่านสิ่งที่เพื่อนส่งมา

            Yanakorn : ขึ้นรถแล้วนะ

            อีกสามนาทีได้เวลาหนังฉาย

 

            ม. 5 เทอม 2

            แม้จะย่างเข้าฤดูหนาวในช่วงปลายปีแต่แดดประเทศไทยยังร้อนแรงไม่ต่างจากฤดูร้อนนัก และด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียนจึงทำให้เด็กหนุ่มตัวอ้วนไม่รู้สึกรีบร้อนที่จะต้องกลับบ้าน เขายังคงนั่งทำการบ้านอยู่ในห้องเรียนเพียงลำพัง จนกระทั่งแดดใกล้หมดถึงกระตือรือร้นเก็บของใส่กระเป๋า

            หลงออกจากห้องเรียนเดินลงอาคารที่ไร้ผู้คนอย่างไม่เร่งรีบ เขาชอบโรงเรียนในบรรยากาศยามเย็นแบบนี้ มันเงียบสงบและวังเวงหน่อยๆ แต่เป็นเพราะไม่ค่อยถูกโรคกับเรื่องลี้ลับนักจึงต้องรีบกลับก่อนตะวันจะตกดิน

            ออกมาจากโรงเรียนก็ข้ามถนนมารอรถที่ป้ายฝั่งตรงข้าม มีรถสองแถวกับรถตู้ให้เลือกใช้บริการ แต่ช่วงเวลาเร่งด่วนแบบนี้รถมักเต็มมาตั้งแต่อู่ในตลาด ซึ่งคนบ้านใกล้อย่างหลงไม่มีปัญหากับรถเต็มหรือไม่เต็มเท่าไรนัก ขอแค่มีที่ให้คนตัวใหญ่อย่างเขายืนเบียดสักสิบนาทีเป็นพอ

            หลงเดินขึ้นรถสองแถวคันแรกที่เข้ามาจอดป้าย โชคยังเข้าข้างที่รถไม่แน่นจนเกินไปจึงมีที่ให้ยืนโหนราวได้สบาย

            รถสองแถวหวานเย็นแล่นไปตามทางที่คับคั่งไปด้วยรถราก่อนเลี้ยวเข้าถนนอีกเส้นที่กำลังถมดินลงคูน้ำเลียบถนนเพื่อก่อสร้างขยายเส้นทาง ถนนเส้นนี้ไม่ใช่เส้นหลักจึงไม่กระทบกับการจราจรเท่าไรนัก แต่สิ่งที่ทำให้รถติดขัดเห็นทีจะเป็นรถสองแถวอีกคันที่จอดนิ่งอยู่ข้างทางมากกว่า

            หลงชะเง้อมองเมื่อรถคันที่โดยสารมาจอดต่อท้ายรถสองแถวคันดังกล่าว เพราะโหนอยู่ท้ายรถเลยเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจน ตั้งแต่ตอนที่คนขับรถทั้งสองคันลงไปคุยกัน และคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่กำลังหันมายิ้มให้

            รอยยิ้มสดใสที่ไม่เข้ากับบรรยากาศตึงเครียดยามรถเสียเอาเสียเลย

            หลงมองเพื่อนกับผู้โดยสารคนอื่นที่รอเพื่อเปลี่ยนรถเดินตรงมาที่รถเขา เมื่อคนทยอยขึ้นรถพื้นที่ของเขาก็ถูกเบียดเบียนจนต้องทำตัวลีบยืนเกาะเสาแน่นเพื่อไม่ให้หล่นลงไป แล้วไหนจะเพื่อนที่เข้ามาเกาะติดเขาอีกคน ก่อนรถสองแถวหวานเย็นที่อัดแน่นจนคนล้นจะออกวิ่งอีกครั้ง

            "รถเสีย" ได้ที่ยืนแล้วคนโชคร้ายก็ฟ้องทันที เพื่อนยังคงยิ้มไม่เข้ากับบรรยากาศ รถเสียแต่อารมณ์ไม่ได้เสียตามรถ

            "เห็นแล้ว"

            "เพิ่งกลับเหรอ"

            "อืม"

            "อยู่ทำการบ้านอีกอ่ะดิ"

            "ใช่ งานเยอะต้องทยอยเคลียร์"

            "ขยันจริงๆ"

            กริ่ง!

            วิ่งเลยจากจุดเกิดเหตุมาได้ไม่ทันไรก็มีคนกดกริ่ง ด้วยจำนวนคนที่เกือบจะล้นออกมานอกรถทำให้เพื่อนต้องลงมายืนด้านล่างเพื่อให้คนข้างในลงได้สะดวก กำลังจะกลับไปประจำที่อีกครั้งคนบ้านใกล้ที่อีกไม่นานจะถึงก็ทักขึ้นมา

            "แลกที่กันมั้ย" หลงเสนอพลางเบี่ยงตัวหลบให้

            เพื่อนพยักหน้ารับ ขยับเข้าด้านในยืนพิงที่กั้นไว้โดยมีคนตัวโตยืนกั้นเป็นกำแพงกันตกไว้อีกชั้น เขาทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากัน แต่ด้วยความเบียดเสียดทำให้ระยะห่างที่มีมันช่างน้อยนิด น้อยจนต้องเบี่ยงหน้าหลบไปอีกทางเวลาคุยกัน

            "ไม่ได้กลับพร้อมเล็กเหรอ เห็นออกมาพร้อมกัน" หลงเริ่มเปิดประเด็นตามประสาคนช่างจ้อ เขามองตรงผ่านด้านข้างของเพื่อนไปยังวิวข้างทาง พูดเสียงเบาจนคล้ายกระซิบ เพราะหูของเพื่อนอยู่ใกล้ปากเขาแค่นี้ ครั้นจะเสียงดังไปก็ยังไงอยู่

            "เล็กมันกลับก่อน"

            "โดนทิ้งเหรอ"

            "ทิ้งมันต่างหาก แวะร้านเกมมา มันเลยกลับก่อน"

            "ติดเกม เอาตังค์ไปกินข้าวดีกว่ามั้ยผอมแห้งขนาดนี้"

            หลงได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาตามสายลม ทั้งเขาทั้งคนโดนว่าไม่ได้คิดจริงจัง หลงเองก็ติดเกม ถึงจะไม่หนักเท่าเพื่อนเลยพอเข้าใจ แต่ใจจริงก็อยากให้เพื่อนเอาเงินไปขุนให้ตัวอ้วนกว่านี้อีกสักหน่อย

            "กินข้าวไม่สนุกเท่าเล่นเกมนะ หลงไม่เล่นเหรอ"

            "เล่น แต่เล่นที่บ้าน"

            "อิจฉาคนบ้านมีเน็ต" น้ำเสียงสื่อตามคำพูด เพราะที่นี่อยู่ชานเมือง แถมหมู่บ้านเพื่อนเพิ่งสร้างได้ไม่นานความเจริญเลยยังไม่เข้าถึง ต่างกับบ้านหลงที่อยู่มานานและใกล้ตัวเมืองกว่า แต่อีกไม่นานบ้านเขาก็จะมีอินเทอร์เน็ตไว้ใช้แล้วเหมือนกัน

            "เน็ตก็แรงมากเลยเถอะ โหลดแต่ละทีหลับได้หนึ่งตื่น"

            "ก็ยังดีกว่าไม่มีเล่นแล้วกัน" เพื่อนเบี่ยงหน้าไปหาหลงเล็กน้อยเพื่อให้เห็นหน้าคู่สนทนา แต่ด้วยระยะห่างที่น้อยนิดทำให้ต้องหันหน้ากลับมาอีกครั้ง

            คนที่ยืนโหนอยู่ท้ายรถมันเยอะเกินไปหรือเปล่า...เพื่อนเพิ่งจะมาคิดได้ก็ตอนนี้

            "จะถึงบ้านแล้ว" เพื่อนเป็นฝ่ายทักหลังจากรถข้ามสะพานแรกของถนนเส้นนี้มา อีกไม่กี่เมตรข้างหน้าก็จะถึงบ้านหลง

            ก่อนจะถึงซอยหลงขยับมือไปกดกริ่งที่อยู่ใกล้กับหัวเพื่อนพอดี เจ้าของใบหน้าที่ใครๆ ต่างหลงรักยกยิ้ม ว่าจะเอ่ยลาแต่เมื่อรถหยุดสนิทหลงกลับเดินลงรถไปโดยไม่มีคำพูดใด มันก็เป็นแบบนี้ทุกที จากกันทีไรไม่เคยจะได้บอกลากันสักครั้ง

            รถหวานเย็นออกวิ่งอีกครั้งหลังได้รับเงินจากผู้โดยสาร สายตาของเพื่อนจับจ้องไปที่หลง ทว่าคนตัวอ้วนกำลังมุ่งมั่นเดินเข้าซอยด้วยความเร็วหอยทาก ไม่แม้แต่จะหันมามองกันเลย

            เพื่อนไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไม่เคยนึกเคืองหลงกับเรื่องแบบนี้ บางทีใจดี บางทีเย็นชา แต่ก็ยังอยากอยู่ใกล้อยากทำความรู้จักให้มากขึ้น เขาอยากสนิทกับหลงให้มากกว่านี้ อยากให้อีกฝ่ายสนใจเขามากกว่านี้

            จนบางทีก็เริ่มแปลกใจในความรู้สึกของตัวเองเหมือนกัน

 

-----------------------------

 

            เลยเวลาหนังฉายมาสิบนาทีแล้วแต่ยังไร้วี่แววของเพื่อน อาหารบนโต๊ะถูกจัดการจนเหลือแต่ความว่างเปล่า มือถือที่เปิดหน้าแชตค้างไว้วางอยู่ตรงหน้า โดยที่หลงได้แต่นั่งมองมันอย่างรอคอย

            เวลาเดินเข้าสู่นาทีที่สิบสองข้อความจากเพื่อนก็เด้งขึ้นมา หลงรีบโน้มตัวไปอ่าน แต่แล้วกลับต้องผิดหวัง

            Yanakorn : รถติดก่อนขึ้นสะพาน หลงจะเข้าไปก่อนก็ได้

            Veerayu : เข้าก่อนได้ไง ตั๋วอยู่นี่

            Yanakorn : ฝากกับคนตรวจตั๋วหน้าทางเข้าอ่ะ

            Yanakorn : ให้เขาเขียนชื่อไว้ ถึงแล้วเดี๋ยวไปเอา

            Yanakorn : ขอโทษนะ

            แม้จะเป็นความคิดที่ดีแต่หลงไม่เห็นด้วยนัก 

            Veerayu : ไม่เป็นไร

            ในเมื่อนัดมาดูด้วยกันแล้วทำไมเขาต้องเข้าก่อน ถ้าจะช้าก็ให้มันช้าพร้อมกันไปเลย เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวหนังขนาดนั้น

            Veerayu : รอเข้าพร้อมกันนั่นแหละ

            Yanakorn : ถ้าหนังฉายก่อนอ่ะ

            Veerayu : ก็ช่างมัน

            ข้อความถูกอ่านแล้วแต่ไม่มีการตอบกลับมา หลงยังคงจ้องมันอยู่อย่างนั้น มองตัวเลขบอกเวลาบนหน้าจอที่ขยับเพิ่มขึ้น และแล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลง

            Yanakorn : ถึงแล้ว

            Yanakorn : กำลังขึ้นไปหา

            Veerayu : ไปรอหน้าโรงนะ

            Yanakorn : โอเค

            หลงคว้ากระเป๋าที่วางอยู่บนเก้าอี้อีกตัวเดินดุ่มๆ ไปยังหน้าโรงหนังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล รอไม่ถึงนาทีคนมาสายก็วิ่งกระหืดกระหอบตรงมาหา ตั้งท่าจะคว้าแขนเขาลากเข้าไปข้างในจนต้องห้ามเอาไว้ก่อน

            "ใจเย็น พักก่อนก็ได้" หลงบอกกลั้วหัวเราะ ยื่นน้ำที่ถือติดมือมาให้เพื่อน

            เพื่อนรับน้ำไปจิบ ระยะทางจากป้ายรถเมล์มาถึงโรงหนังที่คิดว่าใกล้ๆ พอได้วิ่งด้วยความรีบร้อนก็เล่นหอบเอาเรื่อง เขายืนนิ่งอยู่สักพักให้จังหวะการเต้นของหัวใจลดลง ก่อนเอ่ยคำที่ควรพูดเมื่อมาไม่ทันตามนัด

            "ขอโทษ"

            หลงส่ายหน้าบอกคนที่กำลังทำหน้ารู้สึกผิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพื่อนไม่ได้อยากให้รถเสีย ไม่มีใครชอบให้รถติด และไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

            "ไปกัน" เมื่อเห็นว่าเพื่อนอาการดีขึ้นหลงจึงเอ่ยชวน เขาคว้าข้อมือคนมาสายให้เดินตาม เพราะถ้าหากอ้อยอิ่งกว่านี้กลัวว่าจะไปไม่ทันตอนหนังเริ่มฉาย

            แล้วก็ไม่ทันจริงๆ

            หนังเริ่มฉายไปแล้วแต่ไม่นานนัก หลงปล่อยมือที่จับเพื่อนออก เดินนำไปยังที่นั่งซึ่งอยู่แถวบนสุดของที่นั่งแบบธรรมดา เขาจองแถวริมไว้เพราะเหลือที่ให้เลือกไม่มากนัก ซึ่งดีแล้วที่ไม่ต้องเดินแทรกใครเข้าไป

            แม้จะเป็นรอบดึกแต่ภายในโรงหนังยังเต็มไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่เป็นวันรุ่นถึงวัยทำงาน ชวนกันมาดูอนิเมชั่นที่หลายคนพูดปากต่อปากกันว่าดี หลงเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน

            "ภาพสวยเนอะ" นั่งเงียบตั้งใจดูอยู่นานพอเจอฉากที่ชวนตื่นตาตื่นใจถึงได้หันไปหาคนข้างๆ แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ

            หลงชะโงกไปดู แม้ความมืดจะเป็นอุปสรรคแต่เห็นได้ชัดว่าเพื่อนหลับตาอยู่ แถมคอยังพับเอียงมาหาเขา สุดท้ายเลยได้แต่ยิ้มขำกับตัวเอง ชวนมาดูหนังรอบดึกแล้วดันมาหลับแบบนี้เนี่ยนะ เชื่อเขาเลย

            คนหลับเอนหัวลงมาเรื่อยๆ จนซบเข้ากับไหล่กว้าง หลงเองก็ยินดีที่จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ ปล่อยให้คนที่ดูเพลียตั้งแต่วิ่งกระหืดกระหอบมาหาได้พักสมใจ

            คิดไปแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ แทนที่จะกลับไปนอนบ้านสบายๆ กลับต้องมานั่งหลับในโรงหนังแบบนี้ ยอมลำบากเพียงเพื่อแลกกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ

            ยอมฝืนตัวเอง เพียงเพราะว่าอยากใช้เวลาช่วงสั้นๆ กับใครสักคน

            เพื่อนตื่นขึ้นมาอีกทีหลังจากหนังฉายไปเกินครึ่งเรื่อง เขากลับมานั่งตัวตรงทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะคิดว่าหลงคงไม่รู้ว่าเขาหลับ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้า แต่เพราะศึกษามาอยู่บ้างแม้จะแอบหลับแต่ก็สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมดได้เกือบสมบูรณ์

            กว่าหนังจะจบปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน หลงขับรถไปส่งเพื่อนที่บ้าน ส่งคนที่ทำหน้าง่วงตั้งแต่ออกจากโรงหนังเข้านอน ก่อนกลับวนรถกลับมาตามเส้นทางเดิม

            จบไปอีกหนึ่งวัน วันที่แสนธรรมดาหากแต่พิเศษในความรู้สึก


TBC


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 10 | 23/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-03-2018 05:14:44
สุขเล็กๆ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 10 | 23/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-03-2018 18:24:45
 :pig4: :pig4: :pig4:

เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 11 | 30/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 30-03-2018 20:42:29

ฝันครั้งที่ 11

            สิ่งที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับชีวิตคนทำงานคือฝน เพื่อนไม่ชอบฝน โดยเฉพาะเวลาใกล้เลิกงาน ทำไมฝนถึงชอบตกตอนเลิกงานเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถ้ามันตกตอนกำลังนอนอยู่บ้านน่าจะดีกว่านี้

            เพื่อนยืนมองรถที่หยุดนิ่งบนถนนจากชั้นสามของอาคาร ฝนยังลงเม็ดปรอยๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะร่มของเขาสามารถทำให้ปลอดภัยจากหยดน้ำเหล่านั้นได้ สิ่งที่น่ากังวลคือการจราจรที่เหมือนเป็นอัมพาตตอนนี้ต่างหาก

            "กลับบ้านๆ" เสียงของเพื่อนร่วมงานบอกดังลั่นเมื่อถึงเวลา ทุกคนทยอยกันเดินออกจากแผนก ลงบันไดเลื่อนไปยังชั้นหนึ่งเพื่อสแกนนิ้วออกจากงาน ก่อนออกมาเผชิญสภาพอากาศแสนน่ารำคาญของวันนี้

            เพื่อนหยิบร่มสีกรมท่าออกจากกระเป๋าเดินรวมไปกับกลุ่มเพื่อน ทุกคนยังดูสรวนเสเฮฮาแม้สภาพอากาศจะไม่เป็นใจ ฝนยังลงเม็ดสม่ำเสมอและเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเพื่อนเริ่มกังวลว่าคืนนี้เขาจะกลับถึงบ้านกี่โมง

            หลังจากเดินฝ่าฝนกับฝูงชนจนมาถึงวินรถตู้ เพื่อนก็ต้องถอนใจออกมาเฮือกใหญ่กับจำนวนคนมหาศาลที่ยืนรอคิว คำนวณจากสายตาแล้วเขาต้องรอไม่ต่ำกว่าแปดคัน ท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้ายเพราะฝนกำลังตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

            เพื่อนยืนกางร่มด้วยความสงบนิ่งอย่างรอคอย บริเวณนี้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และโอบล้อมไปด้วยร้านค้า มีทั้งจุดที่เปียกฝนและมีร่มกำบัง ถึงอย่างนั้นความเย็นของสายฝนกลับไม่ช่วยให้บรรยากาศอึดอัดบริเวณนี้ลดลงเลย เหมือนกับว่าทุกคนกำลังแย่งอากาศกันหายใจ

            มือซ้ายถือร่ม ส่วนมือข้างขวาหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงเมื่อรับรู้ถึงแรงสั่น แจ้งเตือนจากแอพฯ สีเขียวกับแอพฯ สีขาวขึ้นมาพร้อมกัน สีเขียวเป็นแชตจากเพื่อนร่วมงานที่บ่นเรื่องดินฟ้าอากาศ ส่วนสีขาวเป็นคำถามจากใครบางคน

            Veerayu : เลิกงานยัง

            เพื่อนเลือกกดเข้าไปที่คำถาม ใบหน้าที่เรียบนิ่งมานานเริ่มกลับมามีรอยยิ้ม

            Yanakorn : เลิกแล้ว กำลังรอรถอยู่

            Veerayu : ฝนตกมั้ย

            Yanakorn : ตกดิ

            Veerayu : ที่นี่ก็ตก

            จากพยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกทั่วกรุงเทพฯ เพราะเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูฝน แต่บางวันก็ร้อนอบอ้าว บางคืนก็อากาศเย็น ส่วนวันนี้ฝนตก เป็นประเทศที่อากาศแปรจนชักสงสัยว่าที่แห่งนี้มีฤดูกาลจริงหรือ

            Yanakorn : ถึงบ้านแล้วเหรอ

            Veerayu : ถึงนานแล้ว

            Yanakorn : ดีจริงๆ

            Yanakorn : เรายังรอรถอยู่เลย

            ไม่บอกเปล่าเพื่อนยังยกมือถือถ่ายรูปเพื่อนร่วมทางนับร้อยส่งให้หลงดู

            Yanakorn : ไม่รู้จะได้กลับเมื่อไร

            Veerayu : ทำไมเยอะขนาดนี้

            Yanakorn : ฝนตกรถติด อิจฉาคนทำงานใกล้บ้าน

            Veerayu : แล้วหลบฝนยังไง เปียกฝนมั้ย

            Yanakorn : ไม่เปียกนะ ถ้ามันไม่สาดแรงๆ

            บอกหลงไปยังไม่ทันขาดคำฝนก็สาดลงมา โชคร้ายที่เพื่อนไม่อยู่ในจุดที่ใกล้ร่มไม้หรือกันสาดจากร้านค้า ถึงจะมีร่ม ละอองน้ำก็ยังสาดมาโดนเต็มๆ อยู่ดี

            โทรศัพท์มือถือถูกเก็บใส่กระเป๋าเพราะกลัวว่าจะเปียกฝน เพื่อนเริ่มรู้สึกหนาว ยกมือลูบแขนตัวเองไปมา ขณะคิวที่รออยู่ขยับได้ทีละนิดทีละน้อย และถ้าหากฝนยังกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่องแบบนี้ มีหวังได้จับไข้แน่ๆ

 

            ม. 5 เทอม 2

            ฝนตก

            หลงนั่งเท้าคางมองไปยังต่างห้องเรียนที่แม้จะเป็นช่วงพักกลางวันนักเรียนกลับอยู่กันเต็มห้อง เหตุเพราะฝนตก จะมีก็แต่คนแปลกบางคนที่หายตัวไป หนึ่งในคนที่อยู่กลุ่มเดียวกับเขา เจ้าของที่นั่งข้างหน้าต่างที่เขากำลังมองอยู่

            จากที่นั่งเท้าคางหลงเริ่มฟุบตัวไหลไปกับโต๊ะ มองเม็ดฝนที่เรียงต่อกันเป็นสาย ได้แต่คิดว่าเจ้าของโต๊ะข้างหน้าต่างนั้นหายไปไหนกัน หายไปกันทั้งสองคน ทั้งที่ระหว่างเดินออกจากโรงอาหารยังอยู่ด้วยกันแท้ๆ

            "ไอ้เพื่อนกับไอ้เล็กหายไปไหนวะ" เต้ยที่นั่งโต๊ะด้านหน้าเอี้ยวตัวกลับมา โยนคำถามที่ทุกคนต่างสงสัยมาให้ แน่นอนว่าไม่มีใครรู้คำตอบ

            "ไม่รู้ว่ะ" ขวัญส่ายหน้า หันมองนอกหน้าต่างก่อนกลับมาอ่านหนังสือการ์ตูนที่คั่นหน้าค้างไว้ กลายเป็นมาลิกที่ช่วยออกความเห็นแทน

            "ไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า"

            "โคตรนาน ว่าจะขอดูการบ้านอังกฤษ" เต้ยว่าต่อแล้วหันกลับไป ก่อนขวัญจะบอกสวนขึ้นมา

            "ไอ้เก้ก็เก่งอังกฤษ ไม่ขอดูของมันวะ"

            "ก็มันไม่ให้กูดูอ่ะ"

            "มึงควรหัดทำเองก่อน" แล้วคนถูกพาดพิงอย่างเก้ก็พูดขึ้นบ้าง

            "อย่างกดิวะ"

            "มึงก็อย่าขี้เกียจ"

            "ทำอยู่เนี่ย ขี้เกียจตรงไหน"

            "ขี้เกียจใช้สมองไง"

            "เอ้า! บักห่านี่" พอโดนด่าเต้ยเลยเผลอขึ้นภาษาอีสานใส่

            หลงมองเพื่อนสองคนเถียงกันแล้วอมยิ้ม ฟุบหน้าลงกับท่อนแขนที่เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่านุ่มหนุนแล้วหลับสบาย พอได้ลองหนุนเองแล้วก็ชักจะเห็นด้วยกับคำบอกนั้น

            เหลือเวลาอีกสิบนาทีจะหมดเวลาพัก หลงหลับตาตั้งใจจะหลับสักงีบ แต่เสียงโหวกเหวกที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นทำให้ต้องตัดใจจากการหลับกลางวันแล้วเงยหน้าขึ้นมา

            "พวกมึงไปเล่นอะไรกันมาเนี่ย!"

            หลงหันไปมองประตูห้องเรียน หลายคนในห้องดูแตกตื่น แต่คนสร้างเรื่องกลับเอาแต่ยิ้มโชว์แก้มบุ๋มกับเพื่อนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกัน

            สภาพที่เห็นทำเอาหลงต้องยืดตัวนั่งตรงเพื่อมองไปยังทั้งคู่ เพื่อนกับเล็กตัวเปียกซ่ก ไม่ต้องเดาให้ยากว่าทั้งสองคนไปทำอะไรกันมาในเวลาที่ฝนกำลังตกกระหน่ำแบบนี้

            "ไม่ต้องเข้ามาในห้องนะเว้ย! เดี๋ยวเปียก" ใครสักคนตะโกนขึ้นมา แต่มีหรือคนที่กล้าออกไปเล่นน้ำฝนก่อนเข้าเรียนแบบนี้จะฟัง

            "กูบิดจนหมาดแล้ว ไม่เป็นไรหรอกมึง" เล็กเถียง พร้อมก้าวอาดๆ เข้ามาในห้อง

            คนด่าก็ด่าไปยังไงคนไม่ฟังก็ยังทำตัวดื้อรั้นอยู่ดี เพื่อนกับเล็กเข้ามานั่งประจำที่ เสื้อพละสีเขียวเข้มเปียกแนบไปกับตัว โชว์สัดส่วนที่ทำเอาสาวๆ พากับเหลือบมอง ยังดีที่มันไม่ใช่เสื้อนักเรียนสีขาว ไม่อย่างนั้นคงเห็นทะลุผิวผ้าไปถึงไหนต่อไหน ดีไม่ดีอาจมีคนหัวใสถ่ายรูปพี่เพื่อนของน้องๆ ในชุดนักเรียนเปียกฝนสุดเซ็กซี่ไปขายต่อก็เป็นได้

            "ไปเล่นน้ำฝนกันมาเหรอวะ"  เต้ยยิงคำถามใส่ทันทีที่เพื่อนกับเล็กนั่งที่โต๊ะตัวเอง คนตัวเปียกยิ้มรับ ก่อนเล็กจะโยนไปให้คนต้นคิดเรื่องนี้

            "ไอ้เพื่อนมันชวน"

            "เป็นบ้ากันเหรอพวกมึง หรืออกหัก อยู่ๆ ชวนกันเล่นน้ำฝน เดี๋ยวก็ไม่สบาย" เป็นเก้ที่หันมาว่า แต่เพื่อนก็ยังเอาแต่ยิ้มอยู่ดี

            "แค่อยากเล่นน้ำเฉยๆ"

            "กลับไปเล่นฝักบัวที่บ้านมึงมั้ย พื้นนองขนาดนี้"

            เมื่อลองมองกลับไปตามทางที่เพื่อนกับเล็กเดินมาก็เห็นหยดน้ำเป็นทางอย่างที่เต้ยว่า เล็กเลยลุกขึ้นไปหยิบไม้ถูพื้นที่หลังห้องมาถู แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อเสื้อผ้าที่ใส่ยังเปียกอยู่ อีกอย่าง สิ่งที่เล็กทำมันดูไร้ประโยชน์จนเต้ยต้องเรียกให้กลับมานั่งที่ ทว่าคนที่ดูติดใจประเด็นอื่นมากกว่าจะเป็นเก้

            "กับน้องกิ๊บมึงโอเคอยู่ใช่มั้ยวะ" เหตุผลที่อยู่ๆ ใครคนหนึ่งนึกอยากจะวิ่งออกไปเล่นน้ำฝนขึ้นมาต้องมีอะไรอยู่เบื้องลึกเบื้องหลัง มีอะไรอัดอั้นอยู่ภายในใจจนอยากระบายด้วยการทำอะไรบ้าๆ แต่พอคิดว่าคนที่ทำเรื่องแบบนี้คือเพื่อน บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้

            "โอเคดิ"

            "โอเคก็ดี กูคิดว่ามึงมีปัญหาแล้วไม่ยอมบอก"

            "ไม่มีอะไรหรอกมึง มันบอกว่าไม่เคยเล่นน้ำฝน กูเลยบอกว่าก็ไปเล่นดิ" เป็นเล็กที่พูดขึ้นมาบ้าง

            "งั้นก็เป็นมึงดิที่ชวน"

            "ไม่เว้ย กูแค่เสนอ ไอ้เพื่อนมันชวนเอง"

            "แล้วก็ไม่ห้ามกันเลย" เก้บ่นอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนหันหน้ากลับไปเพราะขี้เกียจจะเถียงด้วย

            เพื่อนยังคงนั่งยิ้มมองสายฝนผ่านบานหน้าต่าง ขณะที่เล็กหันไปคุยกับมาลิกและขวัญ กระทั่งอาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามา เสียงโหวกเหวกเหมือนนกกระจอกแตกรังถึงได้เงียบลง

            ระหว่างคาบเรียนวิชาสังคมหลายครั้งหลายหนที่หลงละความสนใจจากครูที่สอนอยู่หน้าชั้น เขามองไปยังที่นั่งข้างหน้าต่าง ตรงที่เพื่อนนั่งอยู่ มองคนที่กำลังกอดตัวเอง ปากสั่นตัวสั่น แม้จะมีเล็กคอยถามไถ่อาการอยู่เป็นระยะ แต่เห็นแล้วก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี

            ทันทีที่หมดคาบเรียนหลงก็ออกไปจากห้องเรียน เขากึ่งวิ่งกึ่งเดินลงบันไดตรงไปยังห้องพยาบาล ยืนลังเลอยู่ชั่วครู่เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาอยากได้ครูประจำห้องพยาบาลจะอนุญาตให้เอาออกไปหรือเปล่า แต่เมื่อนึกถึงอาการหนาวสั่นของเพื่อนที่นั่งริมหน้าต่างแล้วเขาจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป

 

            "หายไปไหนมาวะ" โหน่งเอ่ยถามอย่างงุนงงเมื่อหลงที่ลุกพรวดออกจากห้องไปตอนหมดคาบเดินกลับเข้ามา แถมมาพร้อมกับของบางอย่างที่ทำให้สงสัยยิ่งกว่าเดิม

            "ห้องพยาบาล" หลงตอบคำถามเพื่อนแต่ไม่ได้หยุดอยู่ที่ที่นั่งตัวเอง เขาเดินไปอีกโต๊ะ ก่อนยื่นผ้าห่มให้เพื่อนที่มองมาด้วยแววตาสงสัยเหมือนกับทุกคนในห้อง

            ทั้งสองคนสบตากันนิ่ง เพื่อนไม่ได้ยื่นมือมารับ หลงก็ถือค้างอยู่อย่างนั้น จนเล็กเป็นคนคว้าผ้าห่มไปคลุมตัวเพื่อนไว้เพราะมันเกะกะขวางทางโต๊ะเขา

            "ขอบใจ" เสียงแผ่วเบามาพร้อมกับรอยยิ้มละมุน

            หลงหันหน้าหนีตั้งใจจะกลับไปโต๊ะตัวเอง เพราะรอยยิ้มที่ได้รับนั้นมันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ แต่ยังไม่ทันได้เดินไปไหนเล็กก็ขัดขึ้นมา

            "มึงเอามาให้ไอ้เพื่อนคนเดียวเหรอวะ"

            "อืม"

            "ไม่เผื่อกูเลย"

            "มึงหนาวเหรอ"

            "น้ำใจไงคับเพื่อน คือกูก็เปียกอ่ะ มึงมันลำเอียง"

            ไม่รู้ทำไมหลงถึงเถียงไม่ออก เขายืนนิ่ง พยายามคิดคำมาเถียงแต่กลับคิดไม่ทัน ในเมื่อสิ่งที่เล็กพูดมันคือความจริง

            เขา...ลำเอียง

            "ก็ห่มด้วยกันไปดิ" บอกแค่นั้นหลงก็เดินกลับมาที่โต๊ะเป็นการจัดจบประเด็น

            ถ้าเขาไม่เถียงกับเล็ก

            ถ้าเขาบอกว่าผ้าห่มนี้ให้ทั้งสองคนใช้ด้วยกัน

            ถ้าเขาไม่ยอมรับว่าไปขอผ้าห่มมาให้เพื่อนคนเดียว

            เขาก็คงไม่มีความรู้สึกประหลาดแบบนี้

            ความรู้สึกประหลาดที่เกิดจากรอยยิ้มขอบคุณนั้น

 

-----------------------------

 

            Veerayu : ได้ขึ้นรถยัง

            พิมพ์ถามไปแล้วหลงเพิ่งจะได้สังเกตเวลาตอนนี้ สองทุ่มห้าสิบ นับรวมเวลาตั้งแต่เริ่มคุยกันก็สี่สิบนาทีเห็นจะได้ มันนานมากพอที่เพื่อนควรจะได้ขึ้นรถแล้ว

            Yanakorn : คันต่อไป

            ได้รับคำตอบแล้วหลงเหนื่อยแทน ฝนก็ตก รอรถก็นาน ให้ขับรถไปทำงานเองก็ไม่เอา ถ้าเขาเลิกงานเร็วกว่านี้หรือที่ทำงานอยู่ใกล้คงจะขับรถไปรับกลับด้วยกัน

            Yanakorn : ขึ้นรถแล้วคงหลับยาว

            Veerayu : ระวังเลยป้าย

            Yanakorn : ถ้าเลยก็ไปนอนบ้านคนขับเลย 555

            Veerayu : ทำเป็นเล่นไป

            Yanakorn : รถมาแล้ว

            ความจริงหลงอยากจะพิมพ์ว่าไปยาวกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อรู้ว่าเพื่อนได้ขึ้นรถสักทีเลยลบประโยคที่กำลังพิมพ์ออก แล้วแสดงความยินดีออกไปแทน

            Veerayu : ดีใจด้วย

            Yanakorn : แบบนี้ต้องฉลอง

            Yanakorn : พรุ่งนี้เลิกงานไปหาอะไรกินกัน

            Veerayu : แค่ได้ขึ้นรถถึงกับต้องฉลอง

            Yanakorn : ฉลองดิ เป็นเรื่องน่ายินดี

            Yanakorn : ไปกันนะ

            อ่านคำชวนแกมบังคับแล้วหลงก็ได้แต่ยิ้มให้หน้าจอ ปกติเขาเคยปฏิเสธด้วยเหรอ จะชวนกี่ครั้ง จะด้วยเหตุผลอะไร แค่เป็นคนที่ชื่อเพื่อนชวนเขาก็มักจะยอมให้ทุกที

            Veerayu : ก็ไปดิ

            Yanakorn : งั้นเจอกันพรุ่งนี้

            Yanakorn : เดี๋ยวนอนละ คนขับเขาปิดไฟไล่แล้ว

            Veerayu : อย่าหลับเพลินนะ ระวังคนข้างๆ ด้วย

            Yanakorn : รู้แล้ว

            Veerayu : ไม่กวนแล้ว

            Yanakorn : ถึงบ้านแล้วจะบอก

            Veerayu : โอเค

            หลงมองหน้าจอแชตอยู่สักพักเมื่อเพื่อนไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับมาอีกถึงได้ออกจากแอพฯ กดล็อกหน้าจอแล้ววางมันไว้ข้างตัว

            อีกไม่กี่นาทีจะสามทุ่ม ทุกคนในบ้านกำลังจดจ่ออยู่กับรายการทีวีช่องดัง หลงไม่ได้สนใจรายการเหล่านี้เป็นพิเศษ เลยนั่งแยกอยู่อีกฝั่งของบ้านเพื่อใช้เวลาก่อนนอนอยู่กับเพื่อนที่ชื่อเพื่อน คนที่เลิกงานเกือบชั่วโมงแล้วแต่กลับติดฝนทำให้ยังไม่ถึงบ้านเสียที

            หลงเงยหน้ามองท้องฟ้าหน้าบ้านที่เห็นเพียงสีดำมืดกับแสงรำไรของดวงดาว ที่นี่ฝนไม่ตก มีลงเม็ดช่วงเย็นนิดหน่อยพอทำให้พื้นถนนเปียกแล้วก็หยุด คิดไปแล้วก็ชักห่วงคนที่กำลังเดินทางขึ้นมา ตัวเปียกไหม บนรถตู้แอร์จะเย็นเกินไปจนหนาวหรือเปล่า ถึงแม้เพื่อนจะเป็นคนขี้ร้อนแต่ถ้าตัวเปียกแล้วเจอแอร์ต่อให้ขี้ร้อนแค่ไหนย่อมมีหนาวสั่นกันบ้าง

            คิดขึ้นได้มือถือที่วางไว้ข้างตัวก็ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง หลงปลดล็อกหน้าจอกดเข้าแอพฯ บรรจงพิมพ์ข้อความลงไปแล้วกดส่ง

            Veerayu : ถึงบ้านก็รีบอาบน้ำ กินยา แล้วเข้านอนนะ

            Veerayu : ฝันดี

            Veerayu : แต่อย่างฝันจนนั่งเลยป้ายล่ะ

            ไม่รู้ว่าป่านนี้คนบนรถจะหลับหรือยัง แต่เมื่อเห็นข้อความนี้แล้ว ขอแค่ยอมทำตามที่บอกก็พอ

 
TBC

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่k
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 11 | 30/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-03-2018 22:43:20
 :pig4:  หาเรื่องเดทตลอด
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 11 | 30/03/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-03-2018 23:25:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 12 | 06/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 06-04-2018 20:16:40

ฝันครั้งที่ 12


            เพื่อนไม่ใช่คนขี้โรค ไม่บ่อยนักที่จะป่วยนอนซมเป็นผัก มีบ้างที่เจ็บออดๆ แอดๆ เป็นหวัดคัดจมูกแค่กินยาแป๊บเดียวก็หาย เพื่อนไม่เคยนอนโรงพยาบาล ไม่เคยได้รับอุบัติเหตุรุนแรงและไม่ค่อยอยากไปหาหมอสักเท่าไร แต่ครั้งนี้ถ้าเขายังไม่ยอมพักคงจะได้แอดมิดจริงๆ เสียล่ะมั้ง

            "แค่กๆๆ"

            ก็เล่นไอจนตัวโยนขนาดนี้

            "ไหวมั้ยเพื่อน" ทันตแพทย์สาวใหญ่ อาจารย์เวรประจำวันเสาร์ทักขึ้นอย่างนึกเป็นห่วง

            "ไหวครับอาจารย์"

            "แต่เสียงไปหมดแล้วนะ"

            คนป่วยยิ้มรับจนตาที่โผล่พ้นหน้ากากอนามัยออกมาโค้งเป็นสระอิ เพื่อนเริ่มมีไข้เมื่อสามวันที่ผ่านมาหลังจากตากฝนวันนั้น แม้จะทำตามที่หลงบอกแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะช่วยอะไร เขารีบอาบน้ำนอนทันทีที่กลับถึงบ้าน แค่ไม่ได้กินยาดักไว้เท่านั้นเอง แต่ทำสองในสามอย่างก็ถือว่าทำตามแล้ว

            "เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้พักแล้วครับอาจารย์"

            "ไปหาหมอด้วยล่ะ"

            เพื่อนยิ้มตาหยีให้อาจารย์อีกครั้ง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาไม่อยากไปหาหมอ เบื่อการรอคิวนานๆ แล้วได้ยาที่ไม่ต่างจากการไปซื้อเองที่ร้านขายยานัก สู้เอาเวลาไปนอนพักดีกว่า

            เสร็จจากเคส CT Scan คนสุดท้ายของช่วงบ่ายเพื่อนก็ปลีกตัวออกมาเพื่อให้อาจารย์ได้มีสมาธิกับการแปลผลฟิล์ม เขากลับมานั่งกับเพื่อนเจ้าหน้าที่ ช่วงที่ไม่มีคนไข้ทุกคนมักจะจดจ่ออยู่กับมือถือหรือไม่ก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย

            นั่งลงที่ตัวเองได้เพื่อนก็คว้ามือถือที่เผลอลืมวางไว้บนโต๊ะตอนลุกไปทำเคส CT Scan เมื่อครู่นี้ขึ้นมาเปิดดู ปกติเขาไม่มีใครให้ต้องติดต่อนัก คนเดียวที่แจ้งเตือนบ่อยที่สุดช่วงนี้คือหลง คนที่เขาขยันทักไปกวนทุกวี่ทุกวัน

            Veerayu : เลิกงานแล้วนะ

            เวลาเลิกงานวันเสาร์ของหลงขึ้นอยู่กับจำนวนงาน เสร็จเร็วหน่อยก็เลิกบ่ายสอง ช้าหน่อยก็สี่โมงเย็น หรือถ้างานมันล้นจริงๆ ลากไปหกโมงเย็นก็มี

            Yanakorn : อยากเลิกแล้วววววว

            Veerayu : ก็บอกให้ลา

            Yanakorn : วันนี้ลาไม่ได้ ไม่มีคน

            Veerayu : งั้นก็อย่ามางอแง

            อ่านสิ่งที่หลงตอบกลับมาแล้วเพื่อนถึงกับเบ้ปากใส่หน้าจอ แล้วจู่ๆ วิดีโอคอลจากหลงก็ดังขึ้นมาอย่างกับรู้ตัวว่าโดนเขาทำตัวดื้อด้านใส่

            เพื่อนรีบค้นหูฟังที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ขึ้นมาเสียบ กดรับแล้วทำเงียบมองปลายสายที่ไม่ยอมพูดอะไรกลับมาเช่นกัน แต่สุดท้ายก็เป็นฝ่ายทักออกไปก่อน

            "กำลังกลับบ้านเหรอ" เห็นทั้งพวงมาลัยทั้งห้องผู้โดยสารแบบนี้คงไม่ต้องเดาให้ยาก

            [อืม แต่ยังไม่อยากกลับ แดดร้อน แล้วเป็นไงบ้าง ดีขึ้นยัง เอาแมสลงขอดูหน้าหน่อยดิ๊]

            "ไม่เอาอ่ะ"

            [ตาแดง เป็นไร ร้องไห้]

            "เมื่อกี้ไอ น้ำตาไหล ปวดหัว"

            [ก็บอกให้หยุดไม่ยอมหยุด]

            "มันไม่มีคนทำงาน" พอโดนบ่นแบบนี้ซ้ำๆ เพื่อนเลยทำเสียงงอแงใส่

            [อย่างอแง] แล้วก็โดนว่าคำเดิม

            "อีกสองชั่วโมงเดี๋ยวก็เลิกแล้ว"

            [จะไม่น็อคก่อนใช่มั้ย]

            "ไม่เป็นไรหรอก แถวนี้โรง'บาลเยอะ ประกันสังคมก็อยู่โรง'บาลข้างๆ เนี่ย ตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยใช้เลย"

            [ตลกเหรอ] หลงว่าเสียงเข้มกลับมาจนคนป่วยทำท่าจะงอแงใส่อีกรอบ

            ไม่บ่อยที่หลงจะดุ แม้หน้าตอนปกติจะดูใจดีแต่พอทำขรึมขึ้นมาก็โหดใช่เล่น แถมยังเป็นครั้งแรกที่เพื่อนโดนอีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่อารมณ์

            "ไม่เคยเห็นหลงดุ"

            [คนมันทำตัวน่าดุ ห่วงแต่เงิน]

            "ไม่ได้ห่วงเงิน ก็มันไม่มีคนทำงาน"

            หลงมองกลับมานิ่งๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา สีหน้าคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และถ้าหลงไม่คิดจะพูดอะไรออกมาเพื่อนคงต้องวางสาย เพราะคนไข้ที่หายไปช่วงหนึ่งกำลังทยอยกันมาอีกละรอก

            "วางแล้วนะ คนไข้มา"

            [ส่งโลเคชั่นมาหน่อย]

            ขอคำที่เอ่ยขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงทำเอาคนฟังเลิกคิ้วสูง ขยับหน้าเข้าใกล้จออย่างกับว่าจะได้ยินเสียงชัดขึ้น ทั้งที่เสียงมันออกมาทางหูฟัง

            [จะไปรับที่ทำงาน]

            "มาจริงอ่ะ"

            [อืม]

            เป็นอีกครั้งที่เพื่อนยิ้มกว้าง นึกอยากจะแซวหลงเล่นแต่กลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจเลยสงบปากสงบคำเอาไว้

            ไม่ได้อยากจะรบกวนขนาดนี้เพราะทางมันไกล แต่อีกใจก็ไม่อยากปฏิเสธเหมือนกัน

            [อย่ามัวแต่ยิ้มจนลืมส่ง]

            "อนุสาวรีย์ชัยฯ อ่ะ"

            [แล้วจะรู้มั้ยว่าตรงไหนของอนุสาวรีย์]

            "โอเคครับ จะรีบส่งไปให้เลย แค่นี้ก่อนนะ"

            หลงพยักหน้ารับแล้วตัดสายไป

            เพื่อนส่งโลเคชั่นที่ทำงานไปให้หลงก่อนเก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้อกาวน์ ริมฝีปากยังแต้มด้วยรอยยิ้มภายใต้หน้ากากอนามัย เขาเดินอารมณ์ดีออกจากที่นั่งไปรับคนไข้ที่ทยอยกันเข้ามา สีหน้าสดใสอย่างกับไม่ใช่คนป่วย

            อีกแค่สองชั่วโมงเท่านั้น ทนทำงานอีกสองชั่วโมงเขาก็จะได้พัก และได้เจอคนที่อยากเจอ

            คิดเพียงเท่านี้ก็รู้สึกเหมือนจะหายป่วยขึ้นมาทันที

 

            หลงขับรถมาถึงที่ทำงานเพื่อนในช่วงเวลาใกล้เลิกงานพอดี เขาจอดรถรออยู่หน้าตึกไม่นานคนป่วยกับเพื่อนร่วมงานหลายคนก็ทยอยเดินออกมา บอกลากันพอเป็นพิธีเพื่อนก็เดินตรงมาที่รถกระบะสี่ประตู แม้ริมฝีปากจะถูกซ่อนภายใต้หน้ากากอนามัย แต่ดวงตาคู่นั้นบอกให้หลงรู้ว่าเพื่อนกำลังยิ้ม

            คนป่วยขึ้นมาประจำที่นั่ง วางกระเป๋าไว้บนตักแล้วดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด ก่อนถอดแมสออก

            "จะปล่อยเชื้อเหรอ" พลขับออกรถพร้อมเอ่ยแซว หลงอมยิ้มไม่ได้จริงจังอะไรนัก

            "ไหนบอกอยากเห็นหน้าไง"

            "ตอนนี้ไม่อยากเห็นแล้ว"

            "เดี๋ยวจะปล่อยเชื้อใส่" เพื่อนขู่หลังได้ฟังคำตอบ หันไปแยกเขี้ยวใส่หลงที่ยังเอาแต่อมยิ้ม

            ท้องถนนในเย็นวันเสาร์รถไม่ติดนัก หลงขับรถออกจากซอย ผ่านวงเวียน ก่อนเข้าสู่ถนนใหญ่ คนป่วยมองตามร้านอาหารที่รถวิ่งผ่าน เวลาเลิกงานคือเวลาที่ควรหาของกินใส่กระเพาะ แม้ไม่หิวมากก็อยากจะกิน

            "แวะกินอะไรก่อนมั้ย"

            "หิวแล้วเหรอ"

            "ไม่เท่าไร"

            "งั้นกลับบ้านไปนอนเถอะ"

            คนโดนขัดใจทำปากยื่นปากยาว เพื่อนไม่ได้หิวแต่หลงคงไม่เข้าใจว่าเขาอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้ ยังไม่อยากรีบกลับบ้าน ยังไม่อยากแยกจากกัน อย่างน้อยขอยืดเวลาออกไปสักหนึ่งชั่วโมงก็ยังดี แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมให้หลงพากลับไปปล่อยทิ้งไว้ที่บ้านง่ายๆ

            "ก็ต้องกินข้าวกินยาก่อนไงแล้วค่อยนอน หลงไม่หิวเหรอ"

            "เพิ่งกินมา"

            ได้รับคำตอบแล้วเพื่อนหมดคำจะชวน ที่มาคงตั้งใจมารับจริงๆ ส่งถึงบ้านแล้วก็แยกย้าย ไม่ต้องมีหรอกกินคงกินข้าว แค่บึ่งรถมารับจากอีกฟากของกรุงเทพฯ ก็ดีแค่ไหนแล้ว เขาต้องขอบคุณสิถึงจะถูก แต่การตื้อเท่านั้นที่ครองโลก

            "ไม่กินจริงอ่ะ"

            "ไม่กิน"

            "งั้นแวะซื้ออะไรกลับไปกินก็ได้" สุดท้ายเพื่อนก็ยอมแพ้

            หลงเหล่มองแล้วหลุดยิ้ม ที่ปฏิเสธไม่ใช่ว่าไม่อยากไป เขาไม่หิวมันก็อีกเรื่อง แต่เพราะอยากให้คนป่วยรีบกลับไปพักผ่อนมากกว่า

            "ไม่ต้องแวะหรอก เดี๋ยวกลับไปต้มโจ๊กให้กิน"

            "ต้มโจ๊ก?"

            "ใช่ คนป่วยต้องกินโจ๊ก เสร็จแล้วก็รีบนอน"

            "ทำโจ๊กเป็นด้วยเหรอ"

            "เป็นดิ"

            "ไม่เคยรู้ว่าทำกับข้าวเป็น"

            "โจ๊กซองนะ"

            เหมือนถูกดับฝันเมื่อหลงบุ้ยหน้าไปเบาะหลังที่มีถุงพลาสติกจากห้างสรรพสินค้าวางอยู่

            "ทำไม ไม่อยากกินโจ๊กซอง?" เห็นหน้ามุ่ยๆ ของคนผิดหวังแล้วหลงนึกขำ

            "อะไรก็กินทั้งนั้นอ่ะตอนนี้"

            แม้จะหวังไว้สูงแต่เพื่อนไม่ใช่คนเลือกมากขนาดนั้น โดยเฉพาะกับหลง อีกฝ่ายให้ได้แค่ไหน เขาก็พอใจกับสิ่งนั้นที่ได้รับแล้ว

            "ขอบคุณนะ"

 

            เสาร์อาทิตย์นี้เพื่อนต้องอยู่บ้านคนเดียวเพราะแม่ไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด หลงรู้เรื่องนี้ดีเลยคิดวางแผนไว้แต่แรกเมื่อรู้ว่าเพื่อนไม่สบาย อีกเหตุผลหนึ่งคือเพราะเขายุให้เพื่อนหยุดงานไม่สำเร็จ จากที่คิดว่าจะมาหาที่บ้านเฉยๆ เลยตัดสินใจไปรับที่ทำงานแทน

            กลิ่นโจ๊กหมูแบบสำเร็จรูปลอยคลุ้งไปทั่วห้องครัวโดยฝีมือพ่อครัวจำเป็น หลงไม่ใช่คนทำอาหารเก่ง แต่ให้อยู่คนเดียวก็ไม่อดตาย เห็นโจ๊กในหม้อเดือดปุดๆ แล้วก็ยกยิ้มอย่างนึกภูมิใจ ปิดไฟเทใส่ถ้วยตอกไข่ใส่หนึ่งฟองก็เสร็จเรียบร้อย

            หลงยกถ้วยโจ๊กเข้ามาหาคนป่วยในห้องนั่งเล่น วางมันลงบนโต๊ะก่อนปลุกคนที่ให้รอนิดรอหน่อยก็หลับคอพับคาโซฟา แล้วแบบนี้น่ะเหรอที่จะชวนไปกินข้าวข้างนอก คิดไม่ผิดที่ไม่ใจอ่อนแล้วพากลับมาบ้าน

            แรงเขย่าที่ไหล่ทำให้คนป่วยปรือตาขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าหลงทำโจ๊กให้เสร็จแล้วเพื่อนเลยรีบยันตัวนั่งดีๆ กำลังจะเอ่ยขอบคุณแต่ต้องชะงักเมื่อฝ่ามือใหญ่ยื่นมาวางบนหน้าผาก

            "ตัวไม่ร้อนมาก อาบน้ำได้ใช่มั้ย"

            เพื่อนพยักหน้ารับช้าๆ หลงถึงได้เอามือออก เป็นเพราะความใจดีแบบนี้นี่แหละที่ทำให้เขาเผลอใจให้หลายต่อหลายครั้ง

            "งั้นก็รีบกินข้าวกินยา จะได้อาบน้ำนอน"

            คนป่วยทำตัวว่าง่ายยามที่ใกล้จะหมดแรง เพื่อนลงไปนั่งกับพื้นเพื่อจะได้นั่งกินได้สะดวก จับช้อนตักโจ๊กขึ้นมาเป่าอยู่นานสองนานกว่าจะใส่เข้าปาก หลงที่ย้ายลงมานั่งพื้นตามก็ได้แต่ท้าวคางมอง

            "จะหมดมั้ยคืนนี้" กินช้าจนอดไม่ได้ต้องแขวะ

            "ก็มันร้อน มือไม่ค่อยมีแรงด้วย"

            "ช่วยป้อนมั้ย"

            "ไม่ต้อง" เพื่อนพูดสวนขึ้นมาทันที ถึงจะป่วยแต่เขาไม่ใช่เด็ก ถึงจะชอบแต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ดูแลตัวเองไม่ได้ อีกอย่างจะให้หลงมาป้อนข้าวมันแปลก แปลกที่ใกล้เคียงกับคำว่าเขิน

            "เล่นตัว"

            "หลงก็อย่าอ่อยเยอะดิ"

            "ไปอ่อยตอนไหน"

            "ก็อย่างตอนนี้นี่ไง"

            "อ่อยที่ไหน เขาเรียกเป็นห่วง เพื่อนไม่สบายก็มาดูแล แบบนี้คือเป็นห่วง" พูดครั้งเดียวไม่พอหลงถึงกับเน้นประโยคสุดท้ายให้ฟังอีกรอบ แล้วก็โดนเพื่อนพูดสวนกลับมา

            "ห่วงแบบเพื่อน?"

            หลงเงียบยังไม่ยอมตอบ คนตัวโตอมยิ้ม มองเจ้าของแววตาสุกใสที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างรอคอย เขาเคยพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้

            "ตอนนี้ก็เอาแบบเพื่อนไปก่อน" ฝ่ามือใหญ่วางแหมะลงบนผมยุ่งๆ ที่ชี้โด่เด่ไม่เป็นทรง

            เพื่อนทำหน้ามุ่ยกว่าเดิม โยกหัวหนีจนมือหลงหล่นลงมาบนไหล่ ซ้ำยังปัดมือที่วางบนไหล่ทิ้งอีก

            "บอกแล้วไงว่าอย่ามาให้ความหวัง แบบนี้ไงเขาเรียกกว่าอ่อย"

            "ไม่งอแงดิ เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ"

            เพื่อนก้มหน้าใช้ช้อนคนโจ๊กในชามเล่น อาจจะเป็นเพราะพิษไข้หรืออย่างไรไม่ทราบในใจเขาถึงได้สับสนขนาดนี้ มันคงอ่อนแอและอยากได้ความมั่นคง อยากได้รับคำยืนยันที่ไม่รู้ว่าต้องรอต่อไปถึงเมื่อไร ความรู้สึกของหลงเป็นยังไง ในใจคิดอะไรเขาอยากรู้ แล้วตอนจบที่ว่าไม่เหมือนเดิมนั่นจะเป็นแบบไหน ถ้าหากเปลี่ยนโจ๊กถ้วยนี้เป็นเหล้าได้ก็คงดี เขาจะดื่มให้เมาแล้วเค้นเอาความลับที่อยู่ในใจคนตรงหน้าออกมา

            "อย่าเล่นของกิน"

            "อิ่มแล้ว"

            "โตแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ อย่างอแง"

            "ตอนนี้อายุฉามขวบ"

            "เฮ้อ~" หลงถึงกับถอนหายใจออกมากับความงอแงของคนป่วย ใจนึกอยากจะเขกกะโหลกแรงๆ ให้หายเพ้อ แต่ติดที่เขาเป็นพวกรักสงบไม่เคยคิดลงไม้ลงมือกับใคร โดยเฉพาะกับคนคนนี้

            "รีบกิน เดี๋ยวมันก็เย็นหมดหรอก อาบน้ำเสร็จเดี๋ยวเล่านิทานให้ฟัง"

            "ไม่ใช่เด็ก"

            "ไหนเมื่อกี้บอกฉามขวบ" หลงชูสามนิ้วทำหน้ากวนประสาทใส่ จนเพื่อนอยากใช้ช้อนตีหน้าผากสักที

            "ล้อเลียน"

            "ก็รีบๆ กิน จะได้กินยา"

            เพื่อนไม่เถียงต่อ ตักโจ๊กที่เริ่มหายร้อนกินไปเรื่อยๆ โดยมีคนตัวโตนั่งคุมอยู่ข้างๆ เงียบอยู่นานจนโจ๊กพร่องไปกว่าครึ่งคนที่มีนิสัยช่างพูดก็ชวนเปิดประเด็นอีกครั้ง

            "เดี๋ยวคืนนี้ค้างด้วย"

            มือที่กำลังจะตักโจ๊กชะงักค้าง เพื่อนเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด ก่อนหรี่ตามองแล้วพูดหยอกล้อเพื่อไม่ให้ใจคิดเข้าข้างตัวเอง

            "อ่อยอีกละ"

            "หรือไม่อยากให้ค้าง"

            "ไม่กลัวติดหวัดเหรอ"

            "ไม่ได้อ่อนแอเหมือนใครบางคนแถวนี้หรอก"

            "เออ พ่อคนแข็งแรง ติดมาไม่รับผิดชอบนะ"

            "ถ้าติดเมื่อไรค่อยว่ากัน" คำบอกแฝงด้วยความท้าทาย หลงมั่นใจ มีหรือคนอย่างเพื่อนจะไม่ห่วงหากเขาติดหวัดจริงๆ

            "จะค้างก็แล้วแต่" แล้วมีหรือที่เพื่อนจะปฏิเสธคำขอนี้

            บังคับให้กินข้าวกินยาเสร็จหลงก็ไล่เพื่อนไปอาบน้ำตั้งแต่ยังไม่หนึ่งทุ่ม เขาออกไปเอาเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ในรถระหว่างรอ กลับเข้ามาในบ้านอีกทีก็เห็นเพื่อนนั่งรออยู่ที่โซฟาแล้วเรียบร้อย แถมยังแปลงร่างเป็นมนุษย์ผ้าห่มอีกด้วย

            "อาบน้ำหรือวิ่งผ่าน"

            "มันหนาวอ่ะ"

            หลงเดินเข้ามาประชิดตัวก่อนก้มลงใช้หลังมือแตะหน้าผากเพื่อนเพื่อวัดอุณหภูมิของร่างกายอีกครั้ง ยังดีที่ตัวไม่ร้อนมากนัก กินข้าวกินยาไปแล้ว ได้นอนหลับพักผ่อนเยอะๆ คงดีขึ้น

            "ไปนอนได้แล้ว"

            "รีบนอนไปไหน เพิ่งจะหนึ่งทุ่มเอง"

            "ไปนอน" หลงยื่นคำขาด เมื่อกี้ยังเห็นนั่งตาปรือ เขารู้ว่าเพื่อนง่วง คนคนนี้รักการนอนยิ่งกว่าใครเหมือนเจ้าโคอาล่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทีวี แต่ที่ยังไม่ยอมนอนอาจเป็นเพราะกำลังรอเขาก็ได้

            "แล้วหลงอ่ะ" ถามตาละห้อยเหมือนเด็กกำลังจะโดนทิ้ง ทำเอาหลงอดยิ้มไม่ได้เพราะเป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ

            "เดี๋ยวไปนอนด้วย"

            "เตียงเดียวกัน?"

            "แล้วจะให้นอนตรงไหน"

            "ห้องแม่"

            หลงเลิกคิ้วมอง เขารู้ว่าเพื่อนยังห่วงกลัวว่าจะติดหวัดเลยไม่อยากให้นอนเตียงเดียวกัน แต่จะให้ไปนอนห้องแม่ก็คงไม่เหมาะ และถ้าหากเจ้าของห้องไม่ยอมให้นอนเขาคงระเห็จตัวเองมานอนที่โซฟาข้างล่าง

            "นอนโซฟาก็ได้"

            "ไม่ได้"

            หลงกอดอกมองคนป่วยที่ชักจะเอาแต่ใจขึ้นทุกที

            เจ้าของบ้านเงียบสักพัก ใช้เวลาเพื่อชั่งน้ำหนักสิ่งที่ควรให้ทำและสิ่งที่อยากให้ทำ สุดท้ายเขาก็สลัดความกังวลทุกอย่าง แม้จะห่วงแต่โอกาสมากองตรงหน้าแล้วคงต้องรีบคว้าไว้ ก็ได้แต่หวังว่าหลงจะไม่ติดหวัด

            "งั้นนอนด้วยกันนี่แหละ"

 

            เตียงขนาดห้าฟุตดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่อผู้ชายตัวสูงใหญ่นอนอยู่ข้างกัน เพื่อนเอาหมอนข้างมาวางตรงกลางเพื่อเว้นระยะห่าง เขานอนตะแคงมองหลงที่หันมาหา คนตัวโตกว่าปากขยับพูดไม่หยุดตั้งแต่ล้มตัวลงนอน วิญญาณหลงหลับเข้าสิงร่าง เล่าเรื่องศรีธนญชัยที่เพื่อนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหลงถึงหยิบเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังก่อนนอน

            "เล่าอะไรเนี่ย จะหลับแล้ว"

            "อยากให้หลับไง ยังไม่จบ อย่าเพิ่งขัด"

            "ไม่เอาแล้ว เปลี่ยนเรื่องๆ"

            อยากให้เปลี่ยนเรื่องหลงก็เปลี่ยนให้ตามคำขอ เขาหยุดเรื่องศรีธนญชัยไว้เพียงเท่านี้แล้วเล่าเรื่องแปลกของต่างประเทศแทน อย่างเช่นภัยพิบัติต่างๆ การเดินทางข้ามเวลา และสัตว์ประหลาด

            สมัยเรียนหลงเคยเล่าเรื่องราวทำนองนี้ให้เพื่อนๆ ฟังไม่บ่อยนัก เพราะเล่าเมื่อไรมักโดนบอกให้หยุด คนที่เคยฟังเขาเล่าเรื่องศรีธนญชัยจนหลับบนรถสองแถวก็เห็นจะมีแค่เพื่อนเดียว ครั้งนี้เขาเลยอยากใช้เรื่องนี้กล่อมเพื่อนนอนอีก

            คนป่วยนอนฟังไม่นานนักก็หลับ หลงหยุดพูด ยังนอนมองอยู่อย่างนั้นจนแน่ใจว่าเพื่อนหลับสนิทจึงขยับเข้าไปใกล้ ยกหมอนข้างที่กั้นระหว่างกลางออกไปวางข้างหลัง มองใบหน้ายามหลับใหลที่แม้จะซีดเซียวเพราะพิษไข้แต่ยังดูมีเสน่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง

            หลงพยายามขยับตัวให้เบาที่สุดเพื่อย่นระยะห่าง สอดแขนเข้าใต้หัวเพื่อนให้หนุนแขนเขาต่างหมอน โชคดีที่คนป่วยไม่สะดุ้งตื่นเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้จะแก้ตัวกับการกระทำในครั้งนี้ยังไง

            ขอให้คืนนี้ทั้งเขาและเพื่อนหลับฝันดี
 

TBC

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 12 | 06/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-04-2018 20:29:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 12 | 06/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 06-04-2018 20:32:26
เค้าก็รักกันเนอะ แบบค่อนเป็นค่อนไป
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 12 | 06/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-04-2018 21:06:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 12 | 06/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Plavann ที่ 06-04-2018 21:52:46
หลงรีบๆแน่ใจนะ เราเริ่มสงสารเพื่อนแล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 12 | 06/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-04-2018 22:07:06
รู้สึกโรแมนติกจังเลยค่ะ มันดีมากๆ ชอบบรรยากาศฝนตกในเรื่องสุดๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 12 | 06/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-04-2018 08:47:24
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 12 | 06/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 13-04-2018 11:31:45
ละมุนมากกกกกก
ชอบบบความหลงและความเพื่อน
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 13 | 13/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 13-04-2018 18:40:12

ฝันครั้งที่ 13

            วันอาทิตย์เป็นเพียงวันเดียวในสัปดาห์ที่สามารถตื่นนอนเมื่อไรก็ได้โดยไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุก รอจนตะวันสาดแสงผ่านผ้าม่านให้ห้องที่เคยมืดมีแสงสว่างรอดมารำไร หรือไม่ก็รอจนกว่าร่างกายจะรู้สึกว่าได้รับการพักอย่างเพียงพอ แต่สำหรับคนป่วยที่โหมทำงานหนักมาหลายวัน แม้จะนอนไปมากแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่พอ

            เพื่อนขยับพลิกตัวแล้วบิดขี้เกียจ ปรือตาขึ้นปัดป่ายมือควานหาโทรศัพท์เพื่อดูเวลา

            9.13 น.

            หลับนานอะไรขนาดนั้นตั้งสิบสามชั่วโมง

            เพื่อนวางมือถือไว้ที่เดิม พลิกตัวคว้าหมอนข้างมากอด มองพื้นที่ว่างบนเตียงที่เคยมีคนตัวโตนอนอยู่แล้วอมยิ้มกับตัวเอง ถ้าจำไม่ผิดหลงน่าจะตื่นตั้งแต่ฟ้าสาง บอกกับเขาที่ยังสะลึมสะลือว่าจะไปตลาด แต่สายป่านนี้แล้วยังไม่ขึ้นมาปลุกกันสักที ไม่ใช่ว่าหนีกลับไปแล้วหรอกนะ

            นอนเอื่อยเฉื่อยอยู่อีกพักใหญ่กว่าที่เพื่อนคิดจะลุกจากเตียงอย่างจริงจัง ยังปวดหัวนิดหน่อยตอนลุกนั่ง แต่โดยรวมแล้วรู้สึกดีกว่าเมื่อวาน

            กำลังจะก้าวขาลงจากเตียงประตูห้องนอนก็เปิดออกเสียก่อน เพื่อนเลยนั่งห้อยขารอให้หลงเดินเข้ามาหา

            "ว่าจะขึ้นมาปลุกพอดี เป็นไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย" หลงยกมือแตะหน้าผากก่อนเปลี่ยนมาแตะข้างแก้ม เขาพยักหน้าพอใจกับตัวเองเมื่อตัวเพื่อนไม่ร้อนเท่าเมื่อวาน

            "ยังปวดหัวนิดหน่อย"

            "ไปแปรงฟันไป จะได้ลงไปกินข้าวกินยา"

            เพื่อนว่าง่ายตามคำบอก ลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเตรียมเข้าห้องน้ำ แต่กลับเปลี่ยนใจเดินมาหยุดตรงหน้าหลงแทน

คนตัวโตกว่าเลิกคิ้วถาม ด้วยส่วนสูงที่ห่างกันไม่มากทำให้ทั้งคู่ยืนสบตากันได้พอดี เพื่อนแย้มยิ้ม มีสิ่งหนึ่งที่เขาอยากบอกให้หลงรู้ อยากถอนคำพูดที่เคยบอกไว้เมื่อครั้งแรกที่ได้กลับมาเจอกัน

            "แขนน่ะ"

            "..."

            "ยังหนุนแล้วหลับสบายเหมือนเดิมนะ"

            แขนของใครเล่าจะน่าหลงใหลเท่าแขนของหลง จากแขนของเด็กอ้วนเติบโตเป็นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่ม แม้ไม่นุ่มนิ่มเหมือนเก่า แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน การได้นอนหนุนแขนหลงก็ยังเป็นสิ่งที่เพื่อนชอบอยู่ดี

            "พูดมาก" คนตัวโตหันกลับเดินไปที่ประตู ปิดบังรอยยิ้มที่บังคับไม่ได้ ซ่อนมันไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

            หลงออกจากห้องไปแล้ว แต่เพื่อนยังยืนอยู่ที่เดิม มองเตียงขนาดห้าฟุตที่เคยนอนคนเดียวมาตลอด หลงจะรู้ไหมว่าเป็นคนแรกที่เขายอมให้ขึ้นมาร่วมเตียง แม้จะเป็นการนอนหลับพักผ่อนธรรมดาไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่เป็นคืนที่ฝันดีกว่าคืนไหนๆ

            คืนที่ได้นอนหนุนแขนของหลงอีกครั้ง

 

            เพื่อนไม่มั่นใจว่าหลงไปซื้อข้าวเช้าหรือไปเหมาตลาดมากันแน่ เมื่อบนโต๊ะกินข้าวในครัวมีถุงพลาสติกที่ใส่ของกินวางอยู่เต็มไปหมด แต่เมนูที่ถูกเทใส่ถ้วยเตรียมไว้มีเพียงโจ๊กกับปาท่องโก๋

            "โจ๊กอีกแล้ว" เมื่อวานก็โจ๊ก เช้านี้ก็โจ๊กอีก เพื่อนอยากจะบอกหลงเหลือเกินว่าคนป่วยไม่จำเป็นต้องกินโจ๊กอย่างเดียวก็ได้

            "มีก๋วยจั๊บ แต่ไม่ชอบกินหนิ" ใครจะรู้เรื่องของกินดีเท่าหลง เพื่อนไม่กินอะไรก็เป็นเขานี่แหละที่กินให้หมด

            เมื่อมองหาอย่างอื่นที่น่ากินกว่านี้ไม่เจอเพื่อนเลยต้องยอมนั่งประจำที่หน้าถ้วยโจ๊ก ตักมันกินไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไร ผู้ดูแลอย่างหลงก็เตรียมขนมกับยามาวางไว้ ทั้งที่รู้ว่าขนมไทยนานาชนิดที่ซื้อมานั้นมาล่อตาล่อใจมากกว่าโจ๊กที่หายร้อนหมดแล้วก็ตาม

            เพื่อนหยิบปาท่องโก๋มากิน หมดแล้วก็หยิบขนมครกใส่ปาก สลับมากินโจ๊กบ้าง แล้วก็หยิบขนมชั้นมากินอีก สลับกินไปมาผสมทั้งของคาวของหวานมั่วไปหมด

            หลังจากจัดการของกินให้เพื่อนเสร็จหลงก็มานั่งฝั่งตรงข้าม มองคนป่วยที่กำลังเพลิดเพลินกับการกิน หน้าตาสดใสดูมีความสุขไม่ซีดเซียวเหมือนเมื่อวาน กลับมาเป็นพี่เพื่อนที่สดใสของน้องๆ อีกครั้ง

            จะว่าไปแล้วมันเมื่อไรกันนะ...เมื่อไรที่ความรู้สึกพิเศษเหล่านี้เข้ามาปะปนกับคำว่ามิตรภาพ

            "เอาแต่จ้อง ไม่กินเหรอ"

            ความคิดถูกขัดเมื่อเพื่อนทักขึ้นมา หลงส่ายหน้า เขากินแล้วตั้งแต่ชั่วโมงก่อน ถึงอย่างนั้นคนป่วยกลับไม่ยอมหยุดสงสัย

            "คิดอะไรอยู่"

            "คิดถึงเรื่องเก่าๆ"

            คราวนี้เป็นเพื่อนที่เงียบรอฟัง ริมฝีปากแย้มยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋ม เรื่องเก่าๆ อย่างนั้นเหรอ เขาเองก็อยากฟังเหมือนกัน

            "กำลังคิดอยู่ว่า..."

            "ว่า..."

            "ถูกชอบตั้งแต่เมื่อไร"

 

            ม. 6 เทอม 1

            ชีวิต ม.6 คือช่วงที่ได้พักจากกิจกรรมต่างๆ เป็นช่วงที่ต้องหันหน้าเข้าหาตำรา ติวเข้มเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ค้นหาตัวเอง กำหนดอนาคต หลายคนตั้งใจมุ่งมั่น แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

            อย่างเช่นเพื่อนที่ชื่อเพื่อนคนนี้

            "มึงเรียนภาคบ่ายเหรอวะ" เล็กร้องถามเมื่อเห็นคนที่เพิ่งถูกปล่อยตัวจากแถวคนมาสายเดินเข้ามาในห้อง

            เพื่อนยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋มเดินมานั่งที่โต๊ะ วางกระเป๋าแล้วหยิบบัตรใบหนึ่งขึ้นมาโชว์ให้เพื่อนๆ ดูอย่างภาคภูมิใจ

            "กูต้องช่วยป๊าม้าขายปาท่องโก๋"

            "ปลาท่องโก๋อะไรของมึง ไหนมาดูดิ๊" เล็กคว้าบัตรจากมือเพื่อนไปดู เต้ยกับเก้ก็หันมามุงเช่นกัน

            "บัตรอนุญาตเข้าสาย" เก้เอียงหน้าอ่านข้อความบนบัตรแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ในโรงเรียนมันมีบัตรแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ

            เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างมองหน้าเพื่อนอย่างต้องการคำตอบ คนที่ช่วงนี้มาสายเป็นประตำแต่ดันได้บัตรอนุญาตให้เข้าสายได้ ไหนจะปลาท่องโก๋อะไรนั่นอีก เรื่องนี้มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล

            "คืองี้ ช่วงนี้มาสายบ่อยรองสุกิจเลยเรียกไปคุย กูเลยบอกว่าต้องตื่นเช้ามาช่วยป๊าม้าขายปลาท่องโก๋เพราะคนงานที่บ้านขาด คุยไปคุยมาเขาก็ให้บัตรนี้กูมา"

            "คิดได้ไงวะ"

            "เหี้ยมาก"

            "มึงนี่นะ"

            "เลววววว"

            เพื่อนๆ ที่ได้ยินพากันด่าแบบไม่ต้องคิด ก็บ้านไอ้เพื่อนคนนี้ขายปลาท่องโก๋เสียที่ไหน มันตื่นสายเพราะมัวแต่เล่นเกมจนดึกดื่นมากกว่า

            "ก็แถไปงั้นอ่ะ ไม่คิดว่าจะเชื่อ"

            และแล้วเพื่อนก็โดนเพื่อนๆ รัวคำพูดใส่เป็น บ้างก็อยากทำตาม บ้างก็เป็นห่วงกลัวทางโรงเรียนตามไปดูที่บ้าน สุดท้ายคือโดนด่า เพราะการทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและไม่ควรเลียนแบบ แม้ทุกคนจะนึกอิจฉาอยู่บ้างก็ตาม

            หลงที่นั่งอยู่อีกแถวได้แต่รับฟังสิ่งที่เพื่อนๆ คุยกันอยู่ห่างๆ เขาคิดว่าเพื่อนเป็นคนกล้า แต่เป็นความกล้าในทางที่ผิด ถ้าเป็นเขาคงไม่กล้าบอกอาจารย์ไปแบบนั้น คงยอมรับผิด และบอกตัวเองว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก

 

            การเรียนการสอนของคาบเช้าเป็นไปอย่างเชื่องช้าจนในที่สุดก็ถึงเวลาพัก กลุ่มหลังห้องฝั่งหน้าต่างชวนกันไปกินข้าวเสร็จแล้วก็ขึ้นมาทำตัวขี้เกียจอยู่บนห้องเรียนเพื่อรอเรียนคาบบ่าย มนุษย์โคอาล่าที่เอาแต่เล่นเกมตอนกลางคืนตั้งท่าเตรียมฟุบโต๊ะนอน เขาจึงเดินตรงไปหาหมอนประจำตัว ยึดเก้าอี้ของโหน่งที่หายไปอยู่กับแฟนรุ่นน้องมาเป็นของตัวเอง

            "หลง"

            หนุ่มอ้วนที่ง่วนกับการเล่นเกมในมือถือเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มสดใสที่มอบให้บอกให้เขารู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร

            "ขอเล่นตานี้จบก่อน" หลงขอเวลา เขากำลังจะทำลายสถิติเกมนี้ของตัวเองได้ เลยอยากเล่นให้จบตาก่อน

            "สนุกเหรอ"

            "ก็สนุกดี"

            "ไม่ลองเล่นออนไลน์อ่ะ สนุกกว่าเยอะ"

            "ยังไม่อยากติดเกมเหมือนคนแถวนี้"

            เพื่อนหัวเราะเสียงใสเมื่อได้ฟังคำตอบ ช่วงนี้เขาติดเกมหนักมากจริงๆ แต่ยังแบ่งเวลาให้การเรียนอยู่บ้าง อย่างน้อยก็อยากเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ให้ได้ เครียดจากการอ่านหนังสือเมื่อไรเลยมุ่งไปที่โต๊ะคอมฯ ทันที

            "ง่วงแล้วอ่ะ" จะให้รอก็ไม่รู้ว่าเกมจะจบเมื่อไรเลยลองงอแงใส่ เพื่อนรู้ว่าการทำแบบนี้มันออกจะน่ารำคาญ แต่คนใจดีอย่างหลงไม่ลุกขึ้นมาด่าเขาเหมือนเพื่อนคนอื่นแน่นอน

            "ก็นอนไปก่อน"

            "นอนไงอ่ะ นอนตักเหรอ"

            "หนุนแขนตัวเองไปก่อนดิ ฟุบไปเลย อย่าเพิ่งกวน"

            "ไม่อยากหนุนแขนตัวเอง มันไม่นุ่มอ่ะ" การวอแวด้วยประโยคนี้ได้ผลเมื่อหลงเหลือบมามอง แม้จะแค่แวบเดียวก็ตาม

            "กินให้มันเยอะๆ จะได้อ้วน"

            "กินเยอะแล้ว"

            ไม่รู้ว่าหลงรำคาญหรือเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงหรืออย่างไร เลยตัดสินใจหยุดเกมไว้แล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง

            เกมน่ะ เอาไว้สร้างสถิติใหม่ทีหลังก็ได้ แต่เพื่อนคนนี้จะเข้ามายุ่มย่ามกับเขาแค่เวลาพักเท่านั้น เวลาที่แขนอ้วนๆ นิ่มๆ ได้ทำอะไรมีประโยชน์กับเขาบ้าง

            "ไม่เล่นแล้วเหรอ"

            "ไว้เล่นทีหลัง"

            "เฮ้ย เล่นต่อได้นะ รู้สึกผิดเลยที่มากวน"

            เพื่อนคนนี้กวนประสาท หลงคิดแบบนั้น ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงด่ากลับไปแล้วแต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่นึกอยากด่าเพื่อนกับเขาบ้าง อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มกับหน้าง่วงๆ นี่ก็ได้

            "จะนอนไม่นอน"

            "นอนดิ นอนๆ" เพื่อนรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว

            ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากัน หลงวางแขนไว้บนโต๊ะ เพื่อนขยับเก้าอี้ให้เข้าใกล้กว่าเดิมก่อนฟุบลงนอน หนุนหมอนนุ่มๆ ประจำตัวที่เขาชอบ และมีเขาเพียงคนเดียวที่ได้ครอบครองมัน

            "ขอบใจนะ" บอกเสียงแผ่วยามที่เปลือกตาปิดสนิท

            หลงยังนั่งอยู่ท่าเดิม จ้องมองใบหน้าที่ใครๆ ต่างชื่นชอบ ใบหน้าที่ยังดูมีเสน่ห์แม้ยามหลับใหล มองริมฝีปากที่เจือรอยยิ้มบางๆ คล้ายกำลังฝันดี

            เพื่อนหลับจริง แกล้งหลับ หรือหลับสบายหรือเปล่าหลงไม่สามารถรู้ได้ เขารู้เพียงว่าทุกครั้งที่ได้มองคนตรงหน้าโมเมเอาแขนเขาไปหนุนแทนหมอนมันทำให้เขามีความสุข ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าหมอนใบนี้มีมนต์ซ่อนอยู่ หากผู้ใดได้หนุนนอนแล้วจะหลับฝันดี

            เช่นเพื่อนที่ชื่อคนนี้ คนที่เขาอยากให้หลับฝันดียามได้หนุน

 

            'แขนของหลงเป็นของเพื่อน' เป็นคำตอบทุกคนได้รับเมื่อถามไถ่ถึงสาเหตุที่พักนี้คนดังประจำโรงเรียนชอบไปขอนอนหนุนแขนเพื่อนตัวอ้วนเวลาพัก เป็นคำตอบที่ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจสักเท่าไร แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครอยากซักไซ้อะไรให้มากความ เพราะเพื่อนก็คือเพื่อน บุคคลที่ทำตัวเข้าใจยากที่สุดในห้อง

            รอยยิ้มกว้างกับร่างสูงผอมที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะเรียนบอกให้หลงรู้ว่าแขนของเขากำลังจะโดนยึด แต่เพราะวันนี้โหน่งนั่งอยู่เพื่อนเลยไม่สามารถเอาตัวเข้ามาแทรกได้ สิ่งที่หลงได้รับจึงเป็นสายตาอ้อนขอที่พักหลังมันถูกใช้กับเขาบ่อยเสียเหลือเกิน

            "จะนอนเหรอ"

            "เดี๋ยววันเกิดพวกกูซื้อหมอนให้เอามั้ย" คนที่มีแววจะโดนแย่งที่อย่างโหน่งพูดขึ้นมา ก่อนเล็กจะช่วยพูดสมบทอีกแรง

            "มึงควรเลิกนอนดึก"

            "นอนเร็วมันก็ยังชอบฟุบตอนพักอยู่ดีป้ะวะ เห็นมันชอบไปขอแขนไอ้หลงนอนตั้งแต่ ม.ห้า ละ แต่ช่วงนี้ถี่เกิน มึงตัดแขนไอ้หลงไปเป็นของตัวเองเลยเถอะ" เต้ยผู้ช่างสังเกตร่ายยาว ทว่าคนที่จะถูกขัดแขนไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้

            "อย่าตัดแขนกู"

            "เออ ห้ามตัดแขนหลง" เพื่อนเองก็เห็นด้วย

            "ตัดไปไอ้เพื่อนคงขาดใจตาย" เสริมด้วยเก้อีกคน

            "แขนของหลงคือแขนของเพื่อน จำไว้!" ปิดท้ายด้วยขวัญ

            "โว้ย! ใครจะไปตัดแขนมัน กูล้อเล่นมั้ยล่ะ ไม่ต้องมาขมวดคิ้วใส่" เต้ยแวดออกมาเมื่อโดนเพื่อนๆ แกล้งกลับ

            เพื่อนหัวเราะชอบใจกับการต่อมุกของคนในกลุ่ม เขายังยืนค้ำอยู่หน้าโต๊ะหลงไม่ไปไหน ไม่ได้ตั้งใจจะไล่ใครแม้สุดท้ายโหน่งจะยอมเป็นผู้ที่จากมาเองก็ตาม

            "อ่ะๆ มึงนั่งไปเลย เดี๋ยวกูไปนั่งกับไอ้เล็ก" โหน่งขนของลุกไปนั่งที่เพื่อน เปิดโอกาสให้คนขี้เซาได้ใช้หมอนประจำตัวได้ตามใจ

            เพื่อนยิ้มร่าเมื่อทางสะดวก เดินอ้อมไปนั่งที่โหน่งทันที เจ้าของแขนอ้วนนุ่มนิ่มก็วางแขนลงบนโต๊ะอย่างรู้งาน แม้จะเหลือเวลาพักแค่สิบนาทีก็ตามที

            กลายเป็นวัฏจักรซ้ำๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน เพื่อนฟุบหนุนแขน เจ้าของแขนก็นั่งมองคนหลับ ไม่มีใครเอ่ยปฏิเสธหรือผลักไสจนกลายเป็นเรื่องเคยชิน จะครึ่งชั่วโมง สิบนาที หรือห้านาที ขอแค่ได้อิงหัวแนบชิด ได้หลับตาหนีจากเรื่องวุ่นวาย ได้แค่นี้ก็พอ

 
-----------------------------


            คำถามไม่คาดคิดจากหลงทำเอาคนที่กำลังเพลิดเพลินกับการกินชะงักชั่วครู่ เพื่อนไม่ได้กลัวที่จะตอบ เขาพร้อมเล่าทุกอย่างหากอีกฝ่ายอยากฟัง เป็นเรื่องน่ายินดี ดีกว่าเมื่อแปดปีก่อนลิบลับ ดีกว่าหลงคนนั้นที่ไม่ยอมรับฟังอะไรจากเขาเลย

            "ไม่รู้ตัวเลยเหรอ"

            "ถ้ารู้แล้วจะถามทำไม"

            เพื่อนยิ้มขำตัวเอง เขาก็ถามอะไรแปลกๆ แต่ถ้าให้ตอบตามความจริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าไปหลงรักคนคนนี้เข้าตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เผลอยกใจให้ไปแล้ว

            "ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนไหน"

            "ชอบเขาแต่ดันไม่รู้เนี่ยนะ" หลงไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ไม่หลุดยิ้มกว้างตอนถามคำถาม เพื่อนในตอนนี้ไม่เคยต่างจากเมื่อแปดปีก่อน มันเหมือนกับว่าเขากำลังมองเพื่อนในวัยสิบแปดปีทำหน้าครุ่นคิด ใบหน้ามีเสน่ห์ที่ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ

            "ตอบยาก"

            "มาหลงรักคนอ้วนๆ ไม่มีอะไรดีไม่ยากกว่าเหรอ"

            "ยากเพราะเลือกไม่ถูกว่าจะตกหลุมรักตอนไหนดีมากกว่า"

            ถ้าเป็นคนไม่รู้จักมาพูดว่าหลงเป็นเด็กอ้วนไม่มีอะไรดีเพื่อนจะโกรธ เขาคือคนที่ได้รับสิ่งดีๆ จากหลงมานับไม่ถ้วน บ่อยครั้งจนเลือกไม่ได้ว่าจะตกหลุมรัก

            "หลงจำไม่ได้เหรอว่าทำอะไรเอาไว้บ้าง"

            "พูดอย่างกับทำความผิด"

            หน้าตึงๆ กับคิ้วขมวดของหลงทำให้เพื่อนหัวเราะ ถ้านับเรื่องเหล่านั้นเป็นความผิด ก็คงผิดที่ทำให้เขาคิดเกินเลยจากคำว่าเพื่อนล่ะมั้ง

            "ช่วยหากุญแจบ้าน ช่วยวาดรูป เอาผ้าห่มมาให้ แล้วยังให้หนุนแขนอีก มีอะไรอีกตั้งเยอะแยะที่หลงเคยทำให้"

            "มันก็เรื่องธรรมดาที่เพื่อนเขาทำให้กันไม่ใช่เหรอ" หลงไม่เข้าใจว่าเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นทำให้คนอย่างเพื่อนเดินหลงทางได้ยังไง สิ่งที่เขาก็ปฏิบัติกับเพื่อนคนอื่นอย่างเท่าเทียม

            "เรื่องธรรมดาๆ ที่มีแค่หลงทำ หลงใจดีนะ แถมยังอ่อนโยน คนอื่นมันไม่เป็นแบบนั้น"

            มันคือความแตกต่าง เป็นจุดเล็กๆ ที่เพื่อนรู้สึก ความแตกต่างที่ทำให้เขารักหลงในแบบที่ต่างออกไป ความรักที่ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่น

            "แล้วหลงใจดีแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่า ถ้าให้ตอบก็ขอตอบแบบเข้าข้างตัวเองเลยว่าไม่ หลงไม่ได้ใจดีกับทุกคน เพราะงั้นเลยทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษล่ะมั้ง"

            หลงไม่เถียงเพราะรู้ดีแก่ใจ เขาใจดีกับทุกคนที่รู้จัก แต่โดยพื้นฐานของมนุษย์แล้วมักมีความลำเอียงให้ใครสักคนเสมอ สำหรับเขาคนคนนั้นคือเพื่อน เพื่อนที่ใครๆ ต่างชื่อชอบ เพื่อนที่ทำอะไรทุกคนก็ว่าดีไปเสียหมด เพื่อนที่สดใสร่าเริง เพื่อน...ที่ไม่ควรมาชอบคนอย่างเขา

            เวลาแปดปีที่ห่างเหินช่วยให้หลงคิดอะไรได้หลายอย่าง เขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลองมองโลกในมุมใหม่ พยายามเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวและเปิดใจให้กับมัน กระทั่งวันที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดว่าความรู้สึกเก่าๆ ของคนที่หายหน้าไปจะยังเหมือนเดิม ความรู้สึกที่เขาเผลอทำร้ายไปเพราะความขลาดกลัว

            "แล้ว...ไม่โกรธเลยเหรอ"

            "โกรธเรื่อง?"

            "ที่โดนปฏิเสธ"

            "เรียกว่าเสียใจจนเสียหลักดีกว่า" เพื่อนแย้มรอยยิ้มบางๆ

            กาลเวลาทำให้เรื่องเลวร้ายในอดีตเป็นเรื่องน่าขัน เมื่อตัวเราผ่านจุดนั้นมาแล้วมักเอามาพูดล้อเล่นได้โดยไม่คิดอะไร หรือไม่ก็คิดน้อยกว่าเก่า กลายเป็นประสบการณ์ชั้นเยี่ยมที่ทำให้เติบโตขึ้น เป็นสิ่งที่เตือนใจเพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดอีก

            คนที่เป็นศูนย์กลาง คนที่ไม่เคยขวนขวายเพื่อเข้าหา คนที่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างเหลือล้น เมื่อผลที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่หวัง ทุกอย่างเลยพังทลายไม่เหลือชิ้นดี

            แววตาหมองเศร้าที่ฉายชัดในดวงตาที่เคยสดใสทำให้หลงลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินมาหา เขาหยุดยืนตรงหน้าเพื่อน วางมือบนหัวทุยที่เส้นผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ทั้งคู่สบตากันโดยไม่มีคำพูดใด ฝ่ามือใหญ่ละจากกลุ่มผมเลื่อนลงมาหยุดที่ปลายคาง จับมันให้เชิดขึ้นก่อนโน้มตัวลงไปหา แล้วแตะริมฝีปากกับคนตรงหน้าด้วยความโยนอ่อน

            เขาเคยสัญญากับตัวเองไว้แล้ว สัญญา...ว่าจะไม่ทำให้เพื่อนคนนี้เสียใจอีก

            ทุกๆ การกระทำในอดีต ทุกๆ ความรู้สึกที่เคยปิดกั้น บางทีเขาอาจจะโดนเพื่อนคนนี้หลอกให้หลงมานานแล้วก็ได้

            หลงเพื่อน...ที่ชื่อเพื่อน


TBC

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 13 | 13/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-04-2018 19:28:54
เป็นแฟนกันเลยไหมคะะะะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 13 | 13/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-04-2018 22:30:20
ชัดเจนในความรู้สึกขนาดนี้ ขอกันเป็นแฟนเถอะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 13 | 13/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 13-04-2018 22:42:41
มาขนาดนี้ก็ได้ด้กันไปเลยค่าาาา :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 13 | 13/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-04-2018 23:28:07
 :pig4: :pig4: :pig4:

เพื่อนยังคงความรู้สึกเดิมไม่เปลี่ยน

หลงรู้ใจตัวเองแล้ว

แล้วยังไงต่อ? 
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 13 | 13/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 14-04-2018 05:03:02
ชอบนะ เขียนดี หม่นอมหวาน และหลังจากนี้ขอให้เพื่อนมีความสุขขึ้นเรื่อย ๆ จนความหม่นเศร้าหายไปนะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 13 | 13/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 20-04-2018 11:14:43
เราเข้าใจชื่อเรื่องแล้วค่าาาา ดีจายยยย
เราชอบพี่เพื่อนกับหลงมากๆ
ตอนนี้หลงจูบเพื่อนแล้ววววว
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 14 | 20/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 20-04-2018 19:42:14

ฝันครั้งที่ 14


            เพื่อนหายป่วยแล้ว หายเป็นปลิดทิ้งเพราะได้หลงช่วยดูแลอย่างดี ไหนจะมาค้างที่บ้าน ไหนจะคอยโทรมาจู้จี้ยามไม่ว่างมาเจอ คนป่วยก็ทำตามบ้างเกเรบ้าง แต่ไม่ทำให้หลงรู้ว่ากำลังเกเรอยู่ก็ไม่เป็นไร

            เมื่อเข้าสู่วันทำงานชีวิตวุ่นๆ ก็กลับมาเยือนอีกครั้ง เพื่อนต้องทำเวรตอนเย็นทำให้ไม่ได้เจอกันสามวันติด ได้แต่คุยผ่านตัวหนังสือหรือฟังเสียงผ่านสาย แต่พอคิดว่าทั้งที่บ้านหลงเป็นทางผ่านแท้ๆ ทำไมถึงไม่ได้เจอ ปากมันก็ลั่นคำพูดออกมาตอนกำลังนั่งรถกลับบ้านพอดี

            "จอดซอยสิบห้าด้วยครับ"

            คนขับรถตู้เหยียบเบรกจอดตามที่ผู้โดยสารบอก เพื่อนตั้งสติอยู่ชั่วครู่ก่อนรีบเดินลงรถแล้วควานหาเหรียญจ่ายค่ารถอย่างรีบๆ

            สุดท้ายก็แวะลงกลางทางจนได้

            ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มเศษ เพื่อนยืนเคว้งคว้างหน้าทางเข้าซอยที่ตัดผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ มีไฟส่องสว่างข้างทางพอให้มองเห็น เลยลองเดินไปชะเง้อมองบ้านที่อยู่หลังสวน แล้วจู่ๆ ก็เกิดอาการสองจิตสองใจขึ้นมา ก็เล่นมาซะดึกดื่นป่านนี้ ถ้าเข้าไปหาน่าจะเป็นการรบรวนเสียมากกว่า

            เพื่อนหยิบมือถือขึ้นมาเปิดหน้าแชตที่เพิ่งคุยกับหลงตอนรอต่อรถที่ตลาด ถ้าเขาพิมพ์บอกไปว่ากำลังยืนรออยู่หน้าบ้านอีกคนจะเชื่อไหม แต่จะเชื่อไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออยู่ดี

            เชื่อตัวเขานี่แหละที่ทำไปได้

            Yanakorn : ไปหาได้ป้ะ

            เพื่อนลองพิมพ์ไปหา รอไม่นานนักหลงก็เปิดอ่าน พร้อมการตอบกลับที่คาดไว้อยู่แล้ว

            Veerayu : มาทำไม ดึกแล้ว กลับบ้านไปนอนไป

            Yanakorn : แล้วถ้าบอกว่าตอนนี้ยืนอยู่หน้าซอยอ่ะ

            Veerayu : จริงดิ

            Yanakorn : มารับหน่อย

            Veerayu : อย่ามาอำ

            Yanakorn : ลองออกมาดูดิ

            หลงไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับมา แต่เป็นเงาคนกับเสียงฝีเท้าย่ำเร็วๆ ที่เพื่อนเห็นและได้ยิน พอหันไปมองก็เจอคนตัวโตทำหน้าแปลกใจเดินเข้ามาหา เพื่อนยกยิ้มกว้าง รู้สึกหายเหนื่อยทันทีเมื่อเห็นหน้าคนที่ไม่ได้เจอมาหลายวัน

            "จะแวะมาทำไมไม่บอกก่อน"

            "เพิ่งคิดได้ตอนรถจะผ่านหน้าบ้านพอดีเลยบอกไม่ทัน" เพื่อนยิ้มแหย หลงมองแล้วส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนยิ้มตาม แม้เหตุผลที่ว่ามานั้นจะดูแถจนสีข้างถลอก

            "เข้าบ้านก่อนมั้ย"

            "ไปดิ" คนถูกชวนตอบรับอย่างยินดี เดินตามคนตัวโตเข้าซอยที่มีเพียงแสงไฟสลัวส่องทาง

            ทุกคนในครอบครัวหลงดูจะแตกตื่นเมื่อมีแขกมาเยือนอย่างไม่ทันตั้งตัว โดยเฉพาะหยกที่กรีดร้องลั่นบ้านแบบโอเวอร์แอคติ้ง เธอปรี่เข้ามาหาเพื่อนแล้วพูดจาชวนให้เข้าใจผิด น่าหมั่นไส้เกินงามจนแม่ต้องคอยปราม ส่วนน้องชายคนกลางที่ปลีกวิเวกอยู่อีกฝั่งของบ้านแค่มองแล้วยกมือไหว้ตอนหลงแนะนำเพื่อนให้ทุกคนรู้จัก ก่อนกลับไปสนใจกีตาร์โปร่งที่กำลังดีดฮัมเพลงคลอไป ไม่ได้สนใจสมาชิกในครอบครัวคนอื่นนัก

            บ้านหลงจะเรียกว่าเป็นครอบครัวใหญ่ก็คงใช่ ความจริงซอยนี้ทั้งซอยทุกคนเป็นเครือญาติกันหมด สมัยเรียนหลงยังเคยไปช่วยกิจการร้านแก๊สของป้าแลกกับค่าขนม ส่วนครอบครัวเขาพ่อเลี้ยงทำธุรกิจค้าไม้อยู่นนทบุรี พ่อเลี้ยงที่เป็นพ่อของหยก เป็นลูกคนละพ่อกับเขาและหยงน้องชายคนกลาง ซึ่งพ่อพวกเขาเสียไปตั้งแต่ยังเด็ก แต่ถึงจะมีสายเลือดร่วมกันแค่ครึ่งเดียวทั้งสามคนก็ยังรักกันดี ด้วยความที่หยกเกิดมาเป็นเด็กผู้หญิงด้วยล่ะมั้ง

            เมื่อเห็นว่าพ่อกับแม่กำลังดูทีวีอยู่ เพื่อนเลยชวนหลงออกมานั่งเล่นที่โต๊ะม้าหินหน้าบ้านเพราะไม่อยากรบกวน โดยมีน้องสาวคนเล็กสุดแสบตามมาด้วยอีกคน พร้อมกีตาร์ในมือที่ไม่รู้ไปข่มขู่หยงมาหรือเจ้าตัวยินยอมให้ แต่เมื่อมองกลับเข้าไปในบ้านน้องชายคนรองก็หายตัวไปเสียแล้ว

            "หยกไปตบกีตาร์มาให้ เห็นพี่หลงเคยบอกว่าพี่เพื่อนเล่นกีตาร์เก่ง เล่นให้หยกดูหน่อยนะ จะถ่ายคลิปไปอวดเพื่อนว่ามีผู้ชายมาร้องเพลงจีบ" หยกว่าพลางยื่นกีตาร์ให้เพื่อนที่ยอมรับมาแต่โดยดี ต่างกับพี่ชายที่อยากจะไปหักก้านมะยมมาฟาดให้เนื้อเขียว เป็นสาวเป็นนางพูดจาแบบนี้ไม่น่ารักเลย

            "ให้มันน้อยๆ หน่อย"

            "โห พี่หลง นานๆ ทีจะมีคนหล่อๆ มาหา หยกอัดไปให้เพื่อนดูเล่นๆ เอง พี่เพื่อนยังไม่ว่าอะไรเลย"

            "นี่ก็ไม่ห้ามน้องเลย" ว่าน้องสาวไม่ได้เลยหันไปว่าเพื่อนแทน

            "อ่าว! ก็หลงบอกหยกเองไม่ใช่เหรอ แค่เล่นกีตาร์เองไม่เป็นไรหรอก" เพื่อนว่าพลางอมยิ้ม คิดไปแล้วก็ชักสงสัยว่าหลงจะเอาเรื่องเขาไปพูดให้หยกฟังว่าอะไรอีกบ้าง

            "งั้นก็ตามใจ จะเล่นก็เล่น มาเพื่อเล่นกีตาร์ให้หยกมันถ่ายคลิปไปอวดเพื่อน"

            "ไม่งอนดิ"

            "ใครงอน"

            "จะใครอีกล่ะ"

            "ปกติพี่หลงไม่ขี้งอนนะ ทำไมครั้งนี้หวงน้องอ่ะ"

            "ก็บอกว่าไม่ได้งอน"

            "ไม่หึงเพื่อนกับน้องสาวนะคะ ไม่ดี"

            โดนสองรุมหนึ่งเข้าไปหลงถึงกับนั่งเงียบไปพักหนึ่ง เขามองเพื่อนสลับกับน้องสาวอย่างนึกหมั่นไส้ เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ

            "เพื่อนมันมาหาพี่ไง ไม่ได้มาหาหยก" หลงก็อ้างได้แค่นี้ เพื่อนอุตส่าห์มาหาทั้งทีก็อยากอยู่ด้วยกันแค่สองคนบ้าง แต่มีหรือน้องสาวตัวแสบกับเพื่อนจอมกวนประสาทจะฟัง

            "พี่เพื่อนอย่าไปสนใจพี่หลงเลยค่ะ"

            "เอาเพลงอะไรดี"

            "แล้วแต่พี่เพื่อนเลย"

            "ถ้างั้น..." เพื่อนเหล่มองหลงที่ทำหน้าเซ็งจัด นิ้วจับคอร์ดก่อนแย้มยิ้มออกมา

            เอาเป็นเพลงเดียวกับที่เคยเล่นเมื่อครั้งนั้นก็แล้วกัน

 

            ม. 6 เทอม 1

            เสียงกีตาร์ดังแว่วมาจากมุมหนึ่งของสนามในคาบว่างของช่วงบ่าย เป็นคาบที่ทางโรงเรียนปล่อยให้นักเรียนระดับชั้น ม. ปลายได้มีเวลาสำหรับจัดนิทรรศการส้วมที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ทำบ้าง เล่นบ้าง พักกินขนมบ้าง จนมีใครสักคนในห้อง ม.6/1 ถือกีตาร์มา จากที่วุ่นวายอยู่แล้วจึงมีเสียงเพลงทำให้บรรยากาศครื้นเครงขึ้นไปอีก

            งานนี้กลุ่มหลังห้องฝั่งหน้าต่างรับผิดชอบทำโมเดลชักโครกเพื่อประดับในซุ้ม หลงเป็นแม่งานเพราะฝีมือด้านประดิดประดอยดีที่สุด มีลูกมืออีกเจ็ดคนที่ช่วยทำงานจริงๆ แค่สี่คนเท่านั้น ส่วนอีกสามคนมาแนวสร้างบรรยากาศและป่วนคนอื่นเสียมากกว่า

            "ไอ้เพื่อน"

            คนที่นั่งตัดกระดาษลังละสายตาจากงานหันไปหาคนเรียก เพื่อนในห้องคนหนึ่งกวักมือเรียกเขาให้เข้าไปหา กลุ่มนั้นนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงมาสักพักแล้ว ไม่ต้องเดาเลยว่าคงอยากเรียกคนดังของห้องไปร่วมวง

            "แป๊บนึง ตัดไอ้นี่เสร็จก่อน" เพื่อนตะโกนกลับไปแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงานส่วนของตัวเองให้เสร็จ คนชวนเลยลุกมาหาเองเสียเลย

            เจ้าของร่างผอมแห้งผิวคล้ำนั่งลงข้างเพื่อนพร้อมกีตาร์ในมือ เขายิ้มโชว์ฟันขาว กำลังจะเอ่ยชวนอีกรอบแต่เล็กขัดขึ้นเสียก่อน

            "มึงอย่าเพิ่งมากวนมันดิ"

            "ไรวะ เล่นเพลงเดียวเอง น้องๆ เขาขอมา"

            "น้องไหนของมึง"

            "น้อง ม.4 นั่งส่งตาหวานกันอยู่ตรงนู้น" บอกแล้วชี้ไปยังกลุ่มรุ่นน้องที่บางคนหลบหน้าบางคนโบกมือให้

            เล็กส่ายหน้าใส่อย่างเอือมระอา ขณะที่เพื่อนยังคงตัดกระดาษลังอย่างตั้งใจด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไม่ได้สนใจเหล่ารุ่นน้องที่ส่งเสียงเรียกมาเป็นพักๆ หรือบางคนที่เข้ามาแอบถ่ายรูป จนกระทั่งทำงานของตัวเองเสร็จ วางไม่บรรทัดกับคัตเตอร์ไว้แล้วแบมือของกีตาร์ทันที

            เพื่อนชอบกีตาร์ เขาอยู่ชมรมดนตรีสากลและกีตาร์เป็นเครื่องดนตรีชนิดเดียวที่เล่นเป็น เหล่าแฟนคลับในโรงเรียนเองก็รู้ดีว่าเมื่อพี่เพื่อนอยู่กับกีตาร์นั้นเท่แค่ไหน รุ่นน้องถึงได้พากันกรี๊ดกร๊าดเมื่อพวกเธอสมหวังตามคำขอ

            "บ้าผู้ชาย" หรือบางทีก็แสดงออกมากไปจนเล็กอดว่าไม่ได้

            "มึงก็ไปว่าน้องเค้า" เพื่อนปรามไม่ได้จริงจังนัก แต่ถ้าหากออกโรงปกป้องมากกว่านี้จะเป็นเขาเองที่โดนด่า

            "หรือไม่จริง เอาแต่กรี๊ดผู้ชายเนี่ย งานการไม่ทำ"

            "มึงอิจฉามันเหรอ" ขวัญเข้ามาช่วยผสมโรง คนโดนว่าเลยรีบโวยวาย

            "อิจฉาอะไร คนอย่างกูสาวติดตรึมเว้ย"

            "เหรอ ได้ข่าวว่าเพิ่งโดนน้องแพรทิ้ง"

            "ไอ้สัด! ไอ้เก้ หุบปาก"

            "อ้าว โดนทิ้งแล้วเหรอ"

            "ไอ้โหน่ง มึงอย่ามาทับถมได้มั้ยเนี่ย วันๆ ติดแต่เมียเคยรู้อะไรกับเพื่อนบ้าง"

            "อย่างน้อยกูก็มีเมียรักเดียวใจเดียว"

            "ไม่เหมือนใครบางคน"

            "ไอ้เต้ย มึงไม่มีแฟน หยุดพูดไปเลย"

            งานเริ่มไม่เดินเพราะแต่ละคนหยุดมือเปลี่ยนมาตั้งหน้าตั้งตาเถียงกันแทน หลงถอนใจส่ายหน้า พวกผู้หญิงที่นั่งอีกฝั่งตะโกนด่า เสียงดังโหวกเหวกจนห้องอื่นหันมามอง เว้นก็แต่เพื่อน คนที่ยังเอาแต่ยิ้ม มองกีตาร์ในมือพลางนึกคอร์ดเพลงที่อยากเล่น จนเมื่อสายตาสบเข้ากับเพื่อนตัวอ้วนเพลงๆ หนึ่งก็โผล่เข้ามาในหัว

            เสียงกีตาร์โปร่งดังแทรกเสียงโวยวายจนคนที่กำลังตะโกนแข่งกันพากันเงียบ เสียงดนตรีนั้นคล้ายมนต์สะกด หลายคนหยุดฟัง อีกส่วนกลับไปตั้งใจทำงานต่อ เมโลดี้ที่คุ้นหูนั้นชวนให้โยกหัวหรือเคาะจังหวะตาม

            เพลงๆ นี้ที่เพื่อนอยากใช้มันสื่อสารกับใครคนหนึ่ง คนที่กำลังมองสบตากับเขาด้วยแววตานิ่งสงบ คนที่ทำให้เขาอยากเล่นเพลงนี้ขึ้นมา

            คนที่ทำให้เขากำลังรู้สึก...สับสนในใจ

 

          "ก็ทั้งรู้ว่าเธอเป็นใครและฉันก็ไม่คิดจะปีนขึ้นไป

คงไม่มีทางจะเป็นไปได้ก็เรานั้นมันต่างกัน

ทำได้แค่เพียงเจียมตัวมันไปวันๆ ฉันเข้าใจ

          แต่ ฉันก็ไม่รู้เพราะความบังเอิญ หรือว่าอันที่จริงฉันนั้นจงใจ

เวลาที่เธอมายืนใกล้ๆก็ยังเผลอไปสบตา

รู้ก็ทั้งรู้ว่าคงไม่มีปัญญา คงไม่มีหวัง

          ไม่อยากจะเหลียวมอง ฉันคอยบอกตัวเอง แต่ยังทำไม่ได้

ไม่อยากจะสนใจ ก็รู้ว่าไม่มีทาง แต่ก็ไม่รู้ต้องทำอย่างไร"

 

            หลายคนที่ได้ยินเสียงกีตาร์ต่างขยับปากร้องตาม เพื่อนยังคงยิ้มโชว์แก้มบุ๋มข้างขวา ร้องไปยิ้มไปขณะที่สายตายังจดจ้องอยู่ที่หลง

 

          "อดใจไม่ไหวเมื่อได้พบหน้า ยิ่งเธอส่งยิ้มคืนมายิ่งหวั่นไหว

ยังเป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน ฉันต้องคอยหักห้ามใจ

อดใจไม่ไหวทุกทีที่เจอ เพียงอย่าแอบเผลอมองตา จะผิดไหม

เก็บเอาไปฝันอยู่ทุกคืนฉันต้องทำ ตัวเช่นไร

ช่วยบอกได้ไหมเธอ"

 

            เพลงแรกจบลงตามด้วยเสียงเรียกร้องให้เล่นต่อ เพื่อนหลุดจากสายแรงงานเข้าสู่สายเอ็นเตอร์เทนเต็มตัว มีรุ่นน้องอู้งานเข้ามามุงดู ถ่ายคลิปบ้างถ่ายรูปบ้าง แต่เขาไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะคนที่จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดดูเหมือนจะเป็นคนที่ถูกดวงตาสดใสคู่นี้จ้องมองแทบตลอดเวลามากกว่า

            เพื่อนเล่นกีตาร์เก่ง หลงรู้

            เพื่อนร้องเพลงเพราะ หลงก็รู้

            แต่ที่เขาไม่รู้คือเพราะอะไรสายตาคู่นั้นถึงได้มองมาที่เขาแทบจะตลอดเวลา

            สายตาที่ไม่เหมือนเดิม

            ความรื่นเริงจบลงเมื่อหัวหน้าห้องเริ่มโวยวายเพราะงานไม่เดิน กีตาร์ถูกส่งคืนให้เจ้าของมัน เพื่อนกลับมานั่งจับคัตเตอร์กรีดกระดาษลังตามรอยที่เต้ยขีดให้แล้วส่งให้ขวัญกับเก้ช่วยกันประกอบขึ้นโครง หลงกับเล็กรอระบายสีตกแต่ง ส่วนโหน่งกับมาลิกโดนเรียกตัวไปช่วยจุดอื่นเพราะทำตัวว่างเกินไป

            กว่าจะช่วยกันจัดซุ้มเสร็จก็เกือบเลยเวลาเลิกเรียน เหตุเพราะติดเล่นมากกว่าทำงาน ทุกคนช่วยกันเก็บกวาดและขนขยะไปทิ้ง เป็นอันจบภารกิจ ซุ้มของนักเรียนห้อง ม.6/1 พร้อมแล้วที่จะอวดโฉมในงานนิทรรศการวันพรุ่งนี้


-----------------------------


            หวั่นไหว

            เป็นเพลงดังเมื่อสิบกว่าปีก่อนหากแต่ไม่ได้ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา ภาพที่หลงเห็นก็เช่นกัน เด็กหนุ่มในชุดนักเรียน ม.ปลาย ดีดกีตาร์ร้องเพลงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แววตาคู่นั้นที่มองมาทางเขายังคงเหมือนเดิม แววตาที่ส่งความรู้สึกดีๆ หากแต่มั่นคงและแน่วแน่กว่าครั้งไหนๆ

            เสียงปรบมือจากสาวน้อยหนึ่งเดียวดังขึ้นเมื่อการแสดงจบลง หยกยิ้มกว้าง กดหยุดการบันทึกวิดีโอด้วยท่าทางระริกระรี้ เท่านี้เธอก็มีคลิปหนุ่มหล่อไปโมเมหลอกเพื่อนที่โรงเรียนได้แล้ว

            "ขอบคุณนะคะ พี่เพื่อนชอบเพลงนี้เหรอ"

            "คงงั้นมั้ง" ตอบคำถามน้องสาวแต่ตาเหลือบมองพี่ชาย หลงมองกลับมานิ่งๆ ก่อนเพื่อนจะโดนหยกเรียกให้กลับไปสนใจ

            "เคยใช้จีบสาวล่ะสิ"

            "รู้ได้ไง"

            "อ้าว ถูกเหรอ หยกเดาอ่ะ ทำไมสาวคนนั้นโชคดีจัง"

            ฟังบทสนทนาของทั้งคู่แล้วคิ้วหลงก็เลิกขึ้นอย่างนึกแปลกใจ เพื่อนเคยจีบผู้หญิงก่อนด้วยงั้นเหรอ ถ้าเป็นสมัยมัธยมเขาตอบได้เลยว่าไม่ แล้วไอ้เรื่องเล่นกีตาร์ร้องเพลงจีบยิ่งแล้วใหญ่ จะบอกว่าเป็นสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่น่าจะใช่อีก แล้วจะเป็นตอนไหนไปได้ล่ะที่เพื่อนร้องเพลงนี้ ถ้าไม่ใช่ตอนจัดซุ้มนิทรรศการส้วม

            เขาโดนจีบตั้งแต่นอนนั้นแล้วงั้นเหรอ

            "จริงๆ จะเรียกว่าจีบได้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ตอนนั้นพี่ยังไม่ค่อยแน่ใจในตัวเองเท่าไร"

            แต่แล้วคำตอบของเพื่อนก็ช่วยย้ำให้ความคิดของหลงชัดเจนขึ้นมา

            "ยังไม่แน่ใจว่าชอบเหรอคะ"

            "คงงั้นล่ะมั้ง แต่ก็เริ่มรู้ตัวแล้วนะว่ามีบางอย่างแปลกไป"

            "แปลกยังไงอ่ะ" ดวงตาของเด็กสาววาวโรจน์ คำถามแสดงออกถึงความอยากรู้จนเพื่อนนึกขำ เขาเหลือบมองหลงที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก่อนตอบคำถาม

            "คอยมองหา นึกถึงตลอดเวลา อยากอยู่ใกล้ๆ ประมาณนั้นล่ะมั้ง"

            "แบบนี้เขาเรียกตกหลุมรักแล้วหรือเปล่าคะ ไม่ใช่แค่รู้สึกแปลก"

            เพื่อนหัวเราะเบาๆ สีหน้ากับน้ำเสียงของหยกมันดูเกินจริงจนอดขำไม่ได้ และดูเหมือนว่าน้องสาวคนนี้จะไม่ยอมเลิกซักไซ้ง่ายๆ เสียด้วย

            "แล้วยังไงต่อคะ"

            "ยังไงต่อเหรอ"

            "จีบติดมั้ย ได้เป็นแฟนกันหรือเปล่าคะ"

            "อกหักล่ะ"

            "โห ไรอ่ะ ยัยคนนั้นโง่มากเลยค่ะที่ปฏิเสธพี่เพื่อน ออกจะหล่อขนาดนี้"

            คำว่า 'โง่' ย้ำชัดจนคนที่นั่งฟังเงียบๆ เผลอสะดุ้ง เพื่อนรีบส่ายหน้าคัดค้าน คนที่ปฏิเสธไม่ใช่คนโง่ และเขาไม่ใช่คนดีพอที่ทุกคนต้องตอบรับความรักที่มอบให้

            "ไม่หรอก ความหล่อไม่ใช่ทุกอย่าง ความรักมันต้องการอะไรที่มากกว่านั้น"

            "ไม่เป็นไรนะคะ ถ้าตอนนั้นหยกรู้ว่าพี่เพื่อนโดนหักอกนะ จะรีบไปดามใจให้เลย"

            "ให้มันน้อยๆ หน่อย" หลังจากเงียบฟังมานานสุดท้ายหลงก็ออกปากว่าอย่างอดไม่ได้

            หยกไม่ได้มีท่าทีสำนึกเท่าไรเพราะแค่พูดหยอกเล่นไปเรื่อย นิสัยแบบนี้เธอคิดว่าพี่ชายของเธอรู้ดี พี่เพื่อนสุดหล่อของเธอก็น่าจะรู้เช่นกันถึงได้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่ตอนนี้

            "พี่เพื่อนก็โรแมนติกดีนะ มีร้องเพลงจีบด้วย ไม่เห็นจะมีใครมาจีบหยกแบบนี้บ้างเลย"

            "ดีดกะโหลกแบบนี้ใครจะอยากจีบ"

            "พี่หลงทำไมชอบว่าหยกอ่ะ ทีพี่หลงยังไม่เห็นมีคนมาจีบเลย"

            เจอว่าแบบนี้หลงเกือบจะหลุดปากสวนกลับไปว่า 'คนที่กำลังจีบเขาก็นั่งยิ้มหน้าแป้นแล้นอยู่นี่ไง' แต่ต้องเงียบปากเอาไว้แล้วข่มขู่น้องสาวตัวดีทางสีหน้าแทน อีกอย่างทำไมเขาต้องมาฟังสองคนนี้นินทาเรื่องสมัยมัธยมต่อหน้าด้วยก็ไม่รู้

            "ได้ตามใจแล้วก็รีบไปเลยไป" หลงไล่ เพื่อนมาหาเขา แต่ตั้งแต่มาถึงเขายังไม่ได้คุยอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย

            "ทำไมไล่อ่ะ ไปก็ได้ หยกเข้าบ้านก่อนนะพี่เพื่อน ขอบคุณสำหรับเพลงเพราะๆ นะคะ"

            "ยินดีครับ"

            หยกยิ้มกว้างลุกจากที่นั่ง ตั้งท่าจะกระโดดเข้าบ้านด้วยความร่าเริงเหมือนเจ้าหญิงที่วิ่งในสวนดอกไม้ แต่ดันโดนพี่ชายเรียกขัดจินตนาการเอาไว้

            "หยก"

            "ว่า"

            "เอากีตาร์ไปเก็บด้วย" หลงหยิบกีตาร์ที่อยู่ในมือเพื่อนคืนให้หยก สาวน้อยแกล้งทำหน้าหงิกก่อนเปลี่ยนมายิ้มสดใส ยอมรับกีตาร์ไปถือไว้แล้วเดินเข้าบ้านไปโดยดี

            ในที่สุดก็ได้อยู่กันตามลำพัง แต่เหมือนวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างพวกเขาเท่าไรนัก

            "แม่ตามกลับบ้านแล้วอ่ะ" เพื่อนบอกหลังจากเปิดอ่านไลน์ที่แม่ส่งมาเมื่อสักครู่ เขาลืมบอกว่าแวะบ้านหลง เพราะกลับผิดเวลาแม่เลยเป็นห่วง นี่ก็ดึกมากแล้วเขาควรกลับบ้าน หลงจะได้พักด้วย

            เมื่อเพื่อนว่ามาอย่างนั้นหลงย่อมขัดอะไรไม่ได้แม้จะเสียดาย เขาลุกขึ้นตามเพื่อน ดูนาฬิกาในมือถือแล้วคำนวณระยะเวลา

            "เดี๋ยวไปส่ง" สี่ทุ่มแล้ว แม้จะเป็นผู้ชายแต่ถนนเส้นนี้ค่อยข้างเปลี่ยว หลงไม่ได้ลำบากเรื่องเวลา จะให้ไปส่งเพื่อนที่บ้านก็ไม่ลำบากเหมือนกัน

            "ไม่เป็นไร มาเองเดี๋ยวกลับเอง มันดึกแล้ว"

            "อย่าดื้อดิ"

            "ดื้อตรงไหนเนี่ย ถ้าไปส่งกว่าหลงจะถึงบ้านเที่ยงคืนพอดี"

            "อย่าเวอร์ รออยู่นี่แหละ"

            หลงไม่ฟังคำคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น เขาหันหลังกลับเข้าบ้าน หยิบกุญแจเดินไปยังที่จอดรถ ขับมอเตอร์ไซค์ที่เอาไว้ใช้เฉพาะไปไหนมาไหนใกล้ๆ ออกมาหาเพื่อนที่ยืนรออยู่ คืนนี้เขาจะเป็นพี่วินพาคุณผู้โดยสารไปส่งถึงบ้านเอง

            เพื่อนรับหมวกกันน็อกที่หลงยื่นให้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม วาดขาขึ้นคร่อมซ้อนท้าย เกาะคนขับไว้ให้มั่น และกำชับก่อนออกรถ

            "ขับช้าๆ นะ"

            "กลัวเหรอ"

            "เปล่า เดี๋ยวถึงบ้านเร็ว"

            หลงยิ้มขำ ค่อยๆ บิดคันเร่งพารถออกสู่ถนนใหญ่ที่โล่งจนเหมือนถนนส่วนตัว กับความเร็วที่ใช้ไม่เกินหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง

            เพราะตอนอยู่ที่บ้านไม่ค่อยได้พูดอะไรระหว่างขับรถหลงเลยชวนคุยจ้อไม่หยุด ลำบากคนซ้อนที่ต้องตั้งใจฟังเสียงพูดที่โดนเสียงลมกลบจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง เพื่อนขยับตัวเข้าไปจนเกือบชิด ยื่นหน้าเข้าไปฟังใกล้ๆ จนเหมือนเอาคางเกยคนขับ มีพูดตอบโต้บ้าง แต่ส่วนใหญ่หลงเป็นฝ่ายพูดคนเดียวมากกว่า

            ระยะทางสิบกิโลเมตรช่างใกล้แสนใกล้ในความรู้สึก พูดเรื่องที่อยากคุยยังไม่ทันจบก็ต้องหยุดรถเมื่อมาถึงหน้าบ้านที่มีอ่างบัววางอยู่ด้านหน้า

            "ขอบคุณนะ" เพื่อนลงจากรถถอดหมวกกันน็อกคืนให้

            หลงพยักหน้ารับ มองเข้าไปในบ้านเห็นแม่เปิดประตูออกมาพอดีจึงยกมือไหว้ทักทาย และขอตัวกลับทันทีเพื่อให้เพื่อนได้มีเวลาพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าไปทำงานอีก

            "กลับก่อนนะ"

            "ขับรถดีๆ"

            หลงไหว้ลาคุณแม่ของเพื่อนอีกครั้งก่อนวนรถขับออกไป ทิ้งให้เจ้าของบ้านยืนยิ้มมองตามจนแม่ต้องเรียกเข้าบ้าน

            "เข้าบ้านได้แล้ว ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ"

            "ก็มีความสุขอ่ะแม่" เพื่อนรีบเปิดประตูรั้วเดินเข้ามากอดแม่ ทำตัวอ้อนเหมือนเด็กไม่ยอมโต

            "ไม่ยอมกลับบ้านเพื่อไปหาผู้ชายเนี่ยนะ"

            "โหแรง"

            "ทิ้งแม่ นิสัยไม่ดี"

            "ผิดไปแล้วครับ"

            "ไปอาบน้ำไป จะได้นอน" เธอฟาดเข้าที่ไหล่ลูกชายไปหนึ่งทีไม่แรงนักอย่างนึกหมั่นไส้

            เพื่อนแกล้งทำเป็นเจ็บผละออกจากแม่เดินหนีขึ้นห้องนอน ทิ้งให้คุณนายของบ้านยืนยิ้มเท้าเอวมองพลางส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก

 
TBC

 
จากนี้ความเหงาๆ หม่นๆ จะหายไป แต่ความสดใสจะเข้ามาหรือเปล่า??
อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วค่า ทำไมเร็ว 55555 เรื่องนี้รวมบทนำกับบทส่งท้ายก็ 21 ตอนถ้วน ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 14 | 20/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-04-2018 20:11:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 14 | 20/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-04-2018 00:16:53
 :pig4: :pig4: :pig4:

เมื่อหลงรู้ใจตนเองแล้ว

บรรยากาศมันก็มุ้งมิ้ง ๆ เนอะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 14 | 20/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-04-2018 11:49:19
เขินพาร์ทอดีตสมัยนู้นมากเลยยย ร้องเพลงจีบนี่คลาสสิคมาก ใครพกกีต้าร์ไปโรงเรียนคือคนเท่  :hao5:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 15 | 28/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 28-04-2018 18:04:31

ฝันครั้งที่ 15

            เพลงฮิตตามยุคสมัยที่ถูกตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าดังขึ้นภายในร้านอาหารที่เต็มไปด้วยผู้คน เจ้าของเครื่องละมือจากช้อนที่กำลังจะตักแกงใส่จานข้าว คว้ามือถือที่กำลังแผดเสียงร้องขึ้นมาดูชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอ

            'เล็ก'

            ชื่อนี้เห็นได้ไม่บ่อยนัก แถมยังเดาได้ไม่ยากว่าโทรมาหาด้วยเหตุผลใด แต่ไม่ใช่เพราะคิดถึงแน่ๆ

            "สวัสดีครับ" หลงกดรับสายอย่างสุภาพเพราะอยากกวนประสาทปลายสายเล่น

            [ไอ้หลง มึงเหรอ พูดซะเพราะ]

            "เออ ว่าไง จะชวนไปเที่ยวไหน"

            [รู้ทันอีก]

            เล็กโทรมาหาทั้งที่ขาดการติดต่อไปพักใหญ่แบบนี้มีตัวเลือกให้เดาไม่มากนัก ถ้าไม่ชวนไปเที่ยวก็คงนัดพบปะสังสรรค์ แต่นอกจากงานคืนสู่เหย้าเมื่อครั้งก่อนแล้วหลงไม่ค่อยได้ตอบตกลงไปด้วยเท่าไรเวลาถูกเล็กชวน

            "ไม่ไป"

            [เฮ้ยใจเย็น กูยังไม่ได้ชวนเลย]

            "ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างว่ะ"

            [ทำไมวะ ติดสาว หรือมีเมียแล้ว]

            หลงหัวเราะในลำคอ เอนหลังพิงพนักมองเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

            "งานกูเยอะ"

            [อย่ามาอ้าง ปกติมึงว่างตลอดนะ แต่ตอแหลอ้างงานเพราะขี้เกียจ]

            "กูไปตอแหลตอนไหน ดูมึงชวนไปแต่ละที่ เหนือสุดใต้สุด ต่างประเทศบ้างล่ะ เอาแบบใกล้ๆ กรุงเทพฯ ดิ ค้างสักคืนอะไรแบบนี้"

            [ก็ทริปนี้ไง ว่าจะไปหัวหินสองวันหนึ่งคืน สนมั้ย]

            "ขอคิดก่อน"

            [อย่าเล่นตัว ทริปนี้รวมได้ครบเลยนะเว้ย]

            "ครบเลยเหรอ"

            [เออยัง เหลือไอ้เพื่อนอีกคน ไอ้นี่ชวนยากสุด ส่วนไอ้เต้ยติดงานที่ร้านไปไม่ได้]

            ถ้าเป็นเมื่อก่อนหลงคงเห็นด้วยกับเล็ก จะชวนเพื่อนไปเที่ยวไหนแต่ละทีช่างยากเย็นแสนเข็ญ เหตุผลหลักที่มักถูกปฏิเสธคือเพื่อนอยากใช้วันหยุดอยู่บ้าน และเป็นเหตุผลเดียวกับที่เจ้าตัวโดนแฟนทิ้งบ่อยๆ จนครั้งหนึ่งพวกเขาเคยพาเพื่อนไปเที่ยวโดยอ้างว่าต้องทำงานส่งอาจารย์ แม้จะทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะโดนรู้ทัน แต่พอลองมาคิดดูตอนนี้ ที่ชวนเพื่อนไปได้สำเร็จเป็นเพราะเพื่อนห่วงเรื่องงานจริงงั้นเหรอ หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่นกันแน่

            เหตุผลที่หลงแอบคิดเข้าข้างตัวเอง

 

            ม. 6 เทอม 1

            วันวิสาขบูชาเป็นหัวข้อที่กลุ่มของเล็กจับสลากได้สำหรับงานวิชาศาสนา พวกเขาต้องนำเสนอชิ้นงานวันวิสาขบูชาหน้าชั้นเรียนในคาบหน้า จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสมาชิกกลุ่มถึงได้มานั่งระดมความคิดกันหลังเลิกเรียน

            งานชิ้นนี้แต่ละกลุ่มจะมีสมาชิก 5-6 คน กลุ่มหลังห้องฝั่งหน้าต่างเลยต้องแยกออกเป็นสองกลุ่ม โดยได้เพื่อนผู้หญิงเข้ามาเพิ่มแทน หลังจากพูดคุยกันคร่าวๆ ทุกคนตกลงกันว่าจะทำพาวเวอร์พอยต์นำเสนอหน้าชั้น มีการแบ่งงานกันอย่างไม่เท่าเทียมเท่าไรนัก โดยที่สองสาวทำหน้าที่หาข้อมูลและจัดเรียง เล็กกับเต้ยหารูปประกอบ เพื่อนทำพาวเวอร์พอยต์ และเก้เป็นคนพูดนำเสนองานหน้าชั้นเรียน

            ขวัญ นารอน หลง และโหน่งที่รวมอยู่กับเพื่อนคนอื่นอีกกลุ่มได้วันมาฆบูชา หลังจากปรึกษางานภายในกลุ่มกันเสร็จเล็กก็กวักมือเรียกให้เพื่อนในแก๊งมานั่งล้อมวงกันเพื่อขอความเห็นบางอย่าง

            "คืองี้ กูกับเต้ยได้รับหน้าที่หารูปประกอบ แต่จะให้ไปหาจากเน็ตกูว่ามันง่ายไปว่ะ เลยกะว่าจะชวนพวกมึงไปถ่ายรูปที่วัด ทำบุญ ถวายสังฆทานอะไรทำนองนี้ แล้วก็เอาพวกมึงนี่แหละเป็นแบบ" เล็กร่ายยาวอย่างมีแผนการ แต่สี่คนที่อยู่อีกกลุ่มย่อมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโดนเอี่ยวด้วย

            "แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกกูวะ" ขวัญถามคิ้วขมวด

            อย่าว่าแต่คนนอกกลุ่มเลย เพราะที่จริงแล้วคนในกลุ่มก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

            "จะได้ช่วยๆ กันไง แบ่งรูปกันใช้ กูว่าจะไปที่พระปฐมเจดีย์" เล็กยักคิ้วหลิ่วตา พยายามสื่อสารให้ทุกคนรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงโดยใช้งานเข้ามาอ้าง เพราะถ้าหากชวนไปเที่ยวเฉยๆ คงมีใครสักคนไม่ยอมไปด้วย

            คนที่อ้าปากเถียงทันทีเมื่อได้ฟัง

            "ทำไมต้องไปไกลขนาดนั้นแค่ถ่ายรูปทำบุญถวายสังฆทาน วิสาขะต้องเวียนเทียนไม่ใช่เหรอวะ ถ้าไม่อยากใช้รูปในเน็ตไปถ่ายกันที่วัดแถวนี้ก็ได้" เพื่อนค้านอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องถ่อไปตั้งไกลทั้งที่วัดแถวนี้มีตั้งเยอะแยะ

            "ที่นั่นดังไงมึง" เล็กยังพยายามแถต่อ เต้ยเท้าคางมองอย่างนึกอนาถใจจนสุดท้ายยอมเฉลยความจริงออกมา

            "พวกกูวางแผนจะไปเที่ยวกัน ทริปรถไฟไปสวนสนฯ ที่ประจวบฯ แวะนครปฐมครึ่งชั่วโมง ไปนะมึง นานๆ ไปเที่ยวด้วยกันสักที"

            พอได้ยินคำว่าไปเที่ยวคนอื่นๆ ต่างหูผึ่ง แต่คนไม่เห็นด้วยยังคงทำหน้าบึ้งไม่แสดงความเห็นอะไรอยู่ดี เพราะเขาขี้เกียจออกต่างจังหวัดในวันหยุด ไหนจะต้องตื่นเช้า แล้วกว่าจะกลับถึงบ้านอีก

            "ถ้ากูไม่ไปอ่ะ"

            เจอดักทางแบบนี้ทุกคนเลยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกเขาไม่มีปัญหาทั้งเรื่องงานและเรื่องเที่ยว แล้วก็เข้าใจความคิดที่ไม่เหมือนชาวบ้านของเพื่อนที่ชื่อเพื่อนคนนี้ด้วย โหน่งเลยสะกิดให้คนที่ดูน่าเชื่อถือที่สุดในกลุ่มอย่างหลงพูดอะไรบ้าง เผื่อคนขี้เกียจจะยอมเปลี่ยนใจ

            "เพื่อน"

            เพียงแค่เอ่ยชื่อออกมาทุกคนก็พากันเงียบเพื่อรอฟัง

            "ไปด้วยกันนะ"

            แล้วใครจะเชื่อว่าแค่เพียงคำของ่ายๆ จะทำให้วันนี้พวกเขามาพร้อมหน้าพร้อมตากันที่หัวลำโพงได้

            เวลาเจ็ดโมงเช้าเด็กหนุ่มทั้งแปดคนก็มาพร้อมหน้าที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ทริปนี้เดินทางโดยรถไฟมุ่งสู่สวนสนประดิพัทธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยแวะพักที่นครปฐมครึ่งชั่วโมง จุดนี้เองคือภารกิจที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จ ทันทีที่รถไฟจอดเทียบชานชาลาเหล่าเด็กหนุ่มก็พากันวิ่งลงรถไฟฝ่าฝูงชนตรงไปยังพระปฐมเจดีย์

            "เร็วมึง เดี๋ยวไม่ทัน" เล็กวิ่งนำหน้า ส่วนอีกเจ็ดคนวิ่งตามหลังมาเป็นพรวน ปิดขบวนโดยคนห่วยกีฬาที่เรียกว่าเดินน่าจะถูกกว่า

            ใครจะวิ่งก็วิ่งแต่เพื่อนไม่วิ่งด้วย เขาใช้วิธีเดินเท่าที่ช่วงขาจะอำนวยซึ่งไม่ได้ช้าเท่าไรนัก มองวิถีชีวิตชาวบ้านที่อยู่โดยรอบ ร้านค้าและของกิน แล้วขามันก็ก้าวเข้าไปหาร้านผลไม้ที่กำลังเดินผ่านพอดี

            หลงที่เดินนำหน้าไปแล้วหันกลับมามองคนเดินรั้งท้ายที่อยู่ๆ ก็หายไปจากสายตา เมื่อลองมองหาดีๆ ถึงได้เห็นว่าเพื่อนอยู่ที่ร้านผลไม้รถเข็น เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนเดินย้อนกลับไปหา

            "ไม่รีบไปเดี๋ยวก็หลง"

            เพื่อนหันมองอย่างแปลกใจ ทั้งที่หลงน่าจะเดินนำไปกับคนอื่นตั้งไกลแล้วแต่ทำไมถึงยังยืนอยู่ตรงนี้ พอคิดแล้วมันเลยเกิดความรู้สึกเข้าข้างตัวเองอยู่นิดหน่อย คงเพราะเป็นห่วงหรือเปล่า

            "ไม่หลงหรอก ก็หลงอยู่นี่"

            "ตลกมั้ยเนี่ย"

            "อย่าทำหน้าเครียดดิ เดี๋ยวก็ตามทัน"

            "ไม่น่าจะทันแล้วมั้ง กว่าจะไปถึงกลับมาไม่ทันรถไฟออกพอดี" หลงว่าแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้ผ่านไปแล้วห้านาที

            "โอเค ได้ละ ไปกัน" เพื่อนยื่นมือไปรับถุงผลไม้จากพ่อค้าแล้วยิ้มตาหยีให้หลง ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนสักเท่าไรจนเพื่อนตัวอ้วนเผลอถอนใจอีกครั้ง

            หลงเดินนำเพื่อนไปตามทางที่มุ่งสู่พระปฐมเจดีย์ คนรีบก็รีบ คนชิลก็เดินไปกินไป แบ่งมะม่วงกับฝรั่งมาให้ หลงก็กินโดยไม่ปฏิเสธ ยกนาฬิกาขึ้นดูตอนมาถึงที่หมายเวลาก็ผ่านไปสิบกว่านาทีแล้ว

            ระหว่างทางที่เดินมาหลงได้รับโทรศัพท์จากเล็กว่าจะเริ่มทำงานกันก่อน เมื่อไปถึงงานก็เสร็จไปกว่าครึ่ง มีแค่รูปเซ็ตหลังที่ได้พี่เพื่อนของน้องๆ มาเป็นแบบให้ เสร็จงานทุกอย่างเหลือเวลาอีกสิบนาทีให้เดินกลับ

            รถไฟออกจากสถานีนครปฐมถึงสวนสนประดิพัทธ์ตอนใกล้เที่ยง กลุ่มเด็กชายทั้งแปดคนคว้าสัมภาระลงจากรถไฟมุ่งตรงไปยังชายหาดที่อยู่ไม่ไกล บางส่วนปูเสื่อจับจองที่นั่ง อีกบางส่วนแยกไปซื้ออาหาร ต้องกินข้าวเที่ยงเติมพลังกันก่อนจะได้เล่นได้อย่างเต็มที่

            เกมอย่างหนึ่งที่เล็กตั้งใจไว้ว่าอยากเล่นคือลิงชิงบอล ทีแรกเขาอยากชวนเพื่อนๆ ลงไปเล่นกันในทะเลแต่ในกลุ่มมีบางคนไม่ถูกกับน้ำอย่างนารอน และพี่เพื่อนของน้องๆ ที่ภายนอกสุดเท่แต่แท้จริงเป็นผู้ชายขี้กลัวคนหนึ่ง เพราะนอกจากจะกลัวสัตว์แล้ว ท่าทางของเพื่อนยังดูไม่ค่อยอยากจะลงน้ำสักเท่าไร ลิงชิงบอลเลยต้องเปลี่ยนมาเป็นเล่นเตะบอลบนหาดทรายแทน เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานให้เพื่อนด้วย

            จากแปดคนแบ่งเป็นทีมละสองคน นารอนสละสิทธิ์ขอเป็นกรรมการ ส่วนโหน่งขอเป็นช่างภาพเพราะเมื่อสองวันก่อนซุ่มซ่ามเดินตกฟุตบาธขาพลิกไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ หลังจากโอน้อยออกแบ่งฝั่งกันเรียบร้อย ทีมที่ได้คนห่วยกีฬามาอยู่ด้วยเลยโวยวายใหญ่

            "ทีมกูก็แพ้ดิแบบนี้"

            ผลการแบ่งทีมออกมาเป็น เล็ก หลง เพื่อน อีกทีมมี ขวัญ เก้ เต้ย แม้ทีมหนึ่งจะสูงตัวใหญ่หุ่นนักกีฬา แต่อีกทีมที่ตัวเล็กกว่าทักษะไม่ได้น้อยหน้ากันนัก เล็กที่ได้เพื่อนไปอยู่ด้วยถึงกับกุมขมับ งานหนักตกมาอยู่ที่เขากับหลงแน่ๆ

            "มึงดูทีมกูมีแต่ตัวเล็กๆ ไอ้หลงชนทีเดียวก็กระเด็นแล้ว" เก้แย้ง ดูไปแล้วเหมือนทีมคนแคระกับทีมคนยักษ์ยังไงชอบกล

            "พวกมึงยังเก่งกีฬาไง ไอ้ขวัญก็ตัวใหญ่ แต่มึงดูทีมกู"

            "แค่มึงกับไอ้หลงก็กินขาดแล้ว" เก้คิดแบบนั้น เล็กเคยเป็นนักกีฬาโรงเรียน หลงก็นักกีฬาห้อง ส่วนเพื่อนไม่ต้องไปนับก็ได้

            "มึงตัดดูออกเลยเหรอ" เพื่อนถามกลั้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ

            "มึงอยู่ก็เหมือนไม่อยู่อ่ะ ค่าเท่ากัน"

            "แพ้มาอย่าร้องนะคร้าบ"

            "มึงนั่นแหละอย่าร้อง"

            ยังไม่ทันแข่งคนที่ตัวเล็กสุดในกลุ่มกับคนอ่อนกีฬาก็เขม่นกันเข้าให้แล้ว นารอนที่เป็นกรรมการรีบโบกมือไล่ วางบอลบนหาดทรายจะได้เริ่มเกมกันเสียที

            "เริ่ม!"

            สิ้นเสียงของกรรมการ ทีมคนแคระได้สิทธิ์เขี่ยบอลก่อน เกมนี้มีไม่มีผู้รักษาประตู ต่างฝ่ายต่างรุมแย่งบอลกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เล่นนอกกติกาบ้าง ผลักบ้าง ตีบ้าง แต่ไม่มีการถือโทษโกรธกัน เล่นไปได้ไม่กี่สิบนาทีก็พากันหอบแฮ่ก ทิ้งตัวลงนอนกับผืนทราย ปล่อยลูกบอลให้กลิ้งหลุนๆ ลงทะเล

            เพื่อนผู้อ่อนกีฬาไม่ได้ออกแรงเยอะเหมือนคนอื่น เขาเดินไปเก็บบอลก่อนกลับมานั่งข้างหลงที่นอนหลับตาบนหาทรายคล้ายอยากพักผ่อน

            หลงลืมตามองเมื่อรู้ว่ามีคนเข้ามาหา เพื่อนยิ้มโชว์แก้มบุ๋มข้างขวาแล้ววางบอลไว้ข้างตัว ก่อนหันมองท้องทะเลยามบ่ายที่ต้องแสงแดดระยิบระยับ

            สมาชิกในกลุ่มที่เริ่มหายเหนื่อยทยอยกันลงไปเล่นน้ำ หลงยันตัวลุกขึ้นนั่งเตรียมตัวลงไปสมทบกับเพื่อนๆ ก่อนเอ่ยชวนคนข้างๆ ทั้งที่รู้ว่าต้องโดนส่ายหน้าใส่

            "เล่นน้ำกัน"

            "หลงไปเลย เดี๋ยวนั่งก่อกองทรายเล่นแถวนี้แหละ"

            "ทำไมไม่ชอบน้ำอ่ะ"

            "อืม...จะว่าไงดี ไม่เชิงว่าไม่ชอบ แต่รู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัย"

            "ว่ายน้ำไม่เป็น?"

            "ก็ใช่ล่ะมั้ง"

            "เล่นตื้นๆ ก็ได้ เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน มาทะเลทั้งที"

            "ไม่เป็นไร หลงไปเถอะ"

            "ไปเล่นด้วยกันน่า ลุก"

            เพื่อนไม่ยอมหลงก็ตื๊อไม่หยุด เขาดึงเพื่อนให้ลุกเดินมาด้วยกัน พามานั่งเล่นบริเวณน้ำตื้นที่สูงแค่หัวเข่า ให้คลื่นซัดเข้าหา ทำตัวงอแช่ในน้ำเห็นแค่ช่วงคอโผล่พ้นน้ำขึ้นมา

            "นั่งตรงนี้ไม่จมแน่นอน" หลงแกล้งทำเสียงหนักแน่นยืนยันเหมือนเวลาหลอกเด็ก

            "จมก็บ้าแล้ว"

            "อยากลองไปลึกกว่านี้มั้ย"

            "ไม่เอาอ่ะ"

            "ตัวก็สูงกลัวอะไร ไอ้เล็กมันไปนู่นแล้ว" หลงบุ้ยปากไปทางเล็กที่ออกไปเล่นไกลจากฝั่งหลายเมตร รายนั้นว่ายน้ำเก่ง ไหนจะเก้ เต้ย ขวัญ ที่มีห่วงยางเกาะเล่นอยู่ใกล้ๆ กัน

            "ลึกขนาดนั้น ถ้ามีผีมาดึงขาทำไงอ่ะ"

            "ไม่มีหรอก" ได้ฟังเหตุผลหลงเกือบหลุดหัวเราะออกมา เขาขำเบาๆ กับความคิดของเพื่อน ถ้ามีความเชื่อแบบนี้ฝังอยู่ในหัวเขาจะปลอบยังไงดีล่ะเนี่ย

            "ก็ไม่แน่นะ เกิดเป็นตะคริวก็จมน้ำได้"

            "เอางี้ดีมั้ย"

            เพื่อนเลิกคิ้วหันมองคนพูดที่กำลังอมยิ้ม หลงเลื่อนมือมาวางบนมือเขาแล้วกุมเอาไว้ ความอยากช่วยเหลือมาจากความบริสุทธิ์ใจของมิตรภาพ แต่เพื่อนไม่สามารถหยุดความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นภายในใจได้ ความรู้สึกที่มันย้ำชัดมากขึ้นทุกที

            "จับมือไปแบบนี้ไม่จมแน่นอน"

            เพียงแค่ออกแรงดึงเบาๆ คนที่ปฏิเสธมาตลอดก็ยอมลุกขึ้นเดินมาตามโดนง่าย เพื่อนรู้สึกอุ่นใจ รู้สึกปลอดภัยเพราะมือที่กอบกุมกันไว้ตอนนี้

            ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากหัวเข่า มาที่ต้นขา ขึ้นมาที่เอว จนถึงหน้าอก เพื่อนเผลอบีบมือหลงไว้เมื่อรู้สึกว่าการก้าวเดินในน้ำเริ่มไม่มั่นคงเข้าไปทุกที แต่เมื่อฝ่ามือใหญ่ที่เหมือนเกราะป้องกันนั้นกระชับมือที่จับไว้ใต้ผืนน้ำให้แน่นขึ้นความกลัวทั้งหมดก็หายไป

            "เห็นมั้ย ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย"

            เพื่อนยิ้มรับ มันไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก จะผืนน้ำกว้างใหญ่ หรือจะผีชั่วร้ายที่จ้องมาฉุดขา หากหลงอยู่ตรงนี้ จับมือกันไว้แบบนี้ เขาก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

            "ไม่น่ากลัวเลยสักนิด"


-----------------------------


            [คิดได้ยัง สรุปจะไปมั้ย]

            "ไอ้เล็ก มึงควรให้เวลากูคิดสักหนึ่งคืนไม่ใช่ห้านาที"

            [ลีลา]

            หลงกลอกตาใส่แต่ปลายสายย่อมไม่มีทางเห็น เขาขอเวลาคิด แต่ผ่านไปไม่ถึงนาทีเล็กดันขอคำตอบ แล้วยังจะมาด่ากันอีก

            "กูกินข้าวอยู่ เดี๋ยวโทรกลับไปบอก"

            [อย่าลืมนะมึง เออ เดี๋ยวๆ มึงเจอไอ้เพื่อนบ้างป้ะ] จะวางก็ไม่ได้วางเมื่อเล็กเปิดประเด็นใหม่มาคุย

            "เจอ"

            [มันยอมเจอมึงด้วยเหรอวะ] ปลายสายหัวเราะเสียงใส

            "ยอมดิ"

            [เออแปลก แต่บ้านพวกมึงใกล้กันก็คงเจอกันง่ายอยู่ งั้นก็ฝากลากมันไปด้วยนะ]

            "ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไป"

            [ไปเหอะมึง นานๆ เจอกันที]

            คาดว่าถ้าไม่ตอบตกลงเล็กคงไม่ยอมวางสาย หลงเงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามหลังจากที่เหลือบมองอยู่หลายครั้งระหว่างคุย คนที่พอรู้ว่าเป็นเล็กโทรมาก็เอาแต่กินอย่างเดียว

            "เล็กชวนไปหัวหิน ไปมั้ย"

            [ฮะ อะไร มึงคุยกับกูป้ะเนี่ย]

            "เปล่า มึงเงียบๆ ไปก่อนเล็ก"

            [มึงอยู่กับใครเนี่ย]

            "ไปเที่ยวหัวหินกันมั้ย" หลงไม่ได้สนใจคำถามของเล็กเพราะต้องการคำตอบจากเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมากกว่า ส่วนคนในสายก็ยังถามไปเลิก

            [อย่าบอกนะว่ามึงอยู่กับไอ้เพื่อนอ่ะ]

            "เออ มึงเงียบๆ ไปก่อน ขอถามเพื่อนแป๊บนึง"

            [แล้วก็ไม่บอกกูว่าอยู่ด้วยกัน]

            "ไปมั้ย" หลงเมินเล็กอีกรอบด้วยการเอามือถือออกจากหู

            "ใครไปบ้าง"

            "น่าจะครบแก๊ง"

            "หลงไปใช่มั้ย"

            "ถ้าเพื่อนไป...ก็ไป"

            คนถามยิ้มกว้าง ไร้ความลังเลในแววตา ถ้าเพื่อนไปหลงก็ไปอย่างนั้นเหรอ เพื่อนเองก็อยากจะบอกว่าถ้าหลงไปเพื่อนก็ไปเหมือนกัน

            "ไปดิ"

            หลงพยักหน้ารับก่อนเอาโทรศัพท์มาแนบหูอีกครั้ง เล็กยังพูดโวยวายแบบไม่สนใจคนฟังไปเรื่อยๆ บ่นเรื่องเดิมๆ ที่หลงลีลาไม่ยอมตอบตกลง เรื่องที่อยู่กับเพื่อนแล้วไม่ยอมบอก จนหลงต้องบอกให้หยุดเพื่อบอกข่าวดี

            "สรุปพวกกูไปนะ"

            [โอเค ดีมากมึง วันหยุดเดือนหน้านะ กูจองบ้านพักไว้แล้ว เดี๋ยวกูแปะเลขบัญชีไว้ให้ มึงพร้อมแล้วโอนเลย]

            "เออๆ"

            เดือนหน้าที่เล็กว่าก็คือสัปดาห์หน้า ซึ่งตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์พอดี หลงคิดว่าพวกเพื่อนๆ คงวางแผนกันไว้แล้วไม่งั้นที่พักไม่มีทางพร้อมแบบนี้ เหลือก็แค่กล่อมเขากับเพื่อนให้ไปด้วยกันให้สำเร็จก็พอ

            [เออว่าจะถาม พวกมึงไปสนิทกันตอนไหนวะ]

            หลงเหลือบมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเมื่อได้ฟังคำถาม เพื่อนเลิกคิ้วมองขณะที่มือยังสาละวนกับการตักกับข้าวใส่จานตัวเอง

            ถ้าหากจะตอบคำถามแบบติดกวนประสาท คำตอบคงเป็นเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่มัธยม แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้ หลงไม่ได้สนิทกับเพื่อนขนาดนั้น ไหนจะช่วงเวลาเกือบทศวรรษที่ห่างกัน จะอ้างมาว่าสนิทกันอยู่แล้วคงไม่ใช่ แต่ใครจะไปบอกเหตุผลที่แท้จริงกัน

            "หลังจากงานคืนสู่เหย้าที่กูไปส่งที่บ้านนั่นแหละ ก็คุยกันมาเรื่อยๆ เพื่อนเก่าที่บ้านใกล้กันก็เหลือแค่คนเดียวมั้ยวะ"

            [ดีๆ เกาะติดมันไว้นะมึง เดี๋ยวหายตัวอีก]

            "เออ กูวางแล้วนะ กับข้าวจะหมดโต๊ะแล้วมัวแต่คุยกับมึงเนี่ย" หลงตั้งใจพูดแกมหยอกให้กระทบทั้งสองฝั่ง เพื่อนมองมาแล้วยักคิ้วใส่ ยังคงตั้งใจกินอย่างต่อเนื่อง

            [โอเคๆ ไว้คุยกันใหม่ มึงอย่าลืมโอนตังค์นะเว้ย เดี๋ยวแปะรายละเอียดไว้ในไลน์]

            "เออ"

            [กูวางละ]

            "มึงควรวางตั้งนานแล้ว"

            เล็กปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะก่อนตัดสาย หลงรีบวางมือถือไว้บนโต๊ะข้างจานข้าว กวาดตามองอาหารที่ถูกเพื่อนจัดการจนหายไปแล้วกว่าครึ่ง

            "รีบๆ กิน" แล้วยังมาใช้ส้อมชี้ไปที่จานข้าวหลงก่อนว่าอีก

            "เหลือแต่ผัก"

            "ก็มัวแต่คุยโทรศัพท์"

            "อยากคุยนานๆ ที่ไหนล่ะ"

            "อ่ะ แบ่งไก่ให้ชิ้นนึง"

            เพื่อนแบ่งไก่ชิ้นใหญ่จากแกงเขียวหวานที่เพิ่งตักใส่จานให้หลง หลังจากเขากินเนื้อทุกชนิดที่อยู่ในแกงระหว่างรอหลงคุยโทรศัพท์จนเกือบหมด ตามด้วยกุ้งจากต้มยำทะเล และไข่เจียวหมูสับ

            "เอานี่ไปด้วย อันนี้ก็อร่อย"

            "พอๆ ตักเองได้" หลงขัดอย่างไม่จริงจังนัก ปากว่าแต่ยังปล่อยให้เพื่อนทำตามใจ

            "กินเยอะๆ จะได้อ้วนๆ"

            "อยากให้กลับไปอ้วนอีกเหรอ"

            "ยังไงก็ได้"

            เพื่อนอมยิ้ม สำหรับหลงจะเป็นยังไงก็ได้ ตอนอ้วนเป็นหมีผสมหมูเข้าก็ชอบมาแล้ว หรือตอนผอมแบบนี้ก็ดูดี เขาชอบคนที่ใจใช่รูปลักษณ์ภายนอก ขอแค่หลงยังใจดีแบบนี้ ยังห่วงใยกันแบบนี้ และสุดท้าย...

            "แค่ยอมให้หนุนแขนอีกก็พอ"


TBC

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 15 | 28/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-04-2018 18:48:08
จ้ะ จะแบบไหนก็รักเสมอ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 15 | 28/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 28-04-2018 19:07:20
เป็นความรักที่อบอุ่นมากค่ะ ชอบ เพื่อน-หลง
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 15 | 28/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 28-04-2018 19:22:16
 น่ารัก
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 15 | 28/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-04-2018 20:11:56
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังไม่ตกลงคบกันอีกเหรอ?
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 15 | 28/04/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-04-2018 15:55:23
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 16 | 05/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 05-05-2018 19:57:17

ฝันครั้งที่ 16


            หัวหินคือจุดหมายปลายทางของทริปพักผ่อนในครั้งนี้ หลงขับรถมารับเพื่อนที่บ้าน จากนั้นแวะไปรับเก้กับโหน่งและแก้ว แฟนสาวรุ่นน้อง ก่อนไปสมทบกับรถคันอื่นที่จุดนัดหมาย รวมถึงรับหน้าที่เป็นรถขนของกินของใช้สำหรับทริปนี้ที่เก้เป็นคนซื้อไว้ด้วย

            "พวกมึงกะไปเมากันอย่างเดียวเลยใช่มั้ย" เห็นเครื่องดื่มแต่ละอย่างที่ขนไว้หลังรถแล้วหลงก็ไม่สามารถเดาเป็นอย่างอื่นไปได้

            "ทริปพักผ่อนไงมึง ไปแดก เมา แล้วก็นอน จบ" เก้หยักคิ้วให้ มันคือจุดประสงค์หลักของทริปนี้อยู่แล้ว

            "ทำไมต้องถ่อไปตั้งไกลวะ กินที่ไหนก็เหมือนกัน" เป็นเพื่อนคนขี้เกียจเที่ยวที่ขัดขึ้นมา

            "เปลี่ยนบรรยากาศไงมึง ไปแต่ร้านเดิมๆ มันน่าเบื่อ"

            เพื่อนส่ายหน้าใส่เดินหนีขึ้นรถเพราะไม่อยากเถียงต่อ หลงกับเก้ไหวไล่ให้กันอย่างนึกขำก่อนขึ้นรถตามไป เหลือแค่ไปรับโหน่งกับแก้วก็จะได้ออกเดินทางกันสักที

            ทริปนี้นอกจากอดีตกลุ่มหลังห้องฝั่งหน้าต่างแล้วแต่ละคนยังพ่วงคนรักหรือญาติพี่น้องมาด้วย เป็นทริปใหญ่ที่มีสมาชิกทั้งหมดสิบสี่คน น่าเสียดายที่เต้ยติดงานร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่เลยมาเที่ยวด้วยกันไม่ได้

            ด้วยความที่ทริปนี้มีสมาชิกเยอะปัญหาเลยมากตาม กว่าจะรวมตัวครบกว่าจะเดินทางถึงบ้านพักที่หัวหินก็บ่ายคล้อย ช่วยกันขนของลงจากรถ แบ่งห้องนอนกันลงตัวแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปพักผ่อนกันตามอัธยาศัย

            หลงกับเพื่อนได้ห้องเล็กบนชั้นสอง นอนรวมกับขวัญและนารอน โดยเสียสละห้องใหญ่ให้ผู้หญิงและชาวสูงวัย ห้องนี้มีเตียงเล็กสองเตียง ระเบียงกับหน้าต่างอยู่ตรงกับสระน้ำด้านล่างฝั่งหน้าบ้านพอดี

            "กูขอเตียงในนะเตียง" เปิดเข้ามาในห้องเพื่อนก็รีบโยนกระเป๋าเป้จองเตียงด้านในไว้

            "จองไปเถอะ คืนนี้มึงจะได้นอนเหรอ" ขวัญที่เดินตามเข้ามาวางกระเป๋าบนอีกเตียงที่ว่างอยู่

            "เมายังไงก็ต้องได้นอน"

            "นอนอยู่ข้างสระอ่ะดิ"

            "กูไม่ได้เรื้อนขนาดนั้น"

            "จะรอดู"

            "แล้วเราจะทำอะไรกันต่อ" นารอนหยุดการท้าทายของขวัญกับเพื่อนโดยการถามแทรกขึ้นมา เขาวางกระเป๋าไว้ข้างเตียงด้านนอก เป็นอันสรุปว่าหลงต้องเข้าไปนอนเตียงด้านใน

            "คงนอนก่อนว่ะ" หลงตอบแล้วทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เบียดที่จนเพื่อนที่นั่งจองไว้ก่อนหน้านี้ต้องขยับหนี

            "มึงนอนไปเลย กูว่าจะเปลี่ยนชุดไปเล่นน้ำ" ขวัญบอกระหว่างรื้อกระเป๋า เพื่อนขมวดคิ้วแย้งขึ้นมาทันที

            "เพิ่มสามโมงเองนะ"

            "สามโมงก็เล่นได้"

            เพื่อนไม่แย้งอะไรอีก ขยับตัวลุกขึ้นไปเปิดประตูบานเลื่อนออกไปนอกระเบียง มองวิวรอบๆ มีเพื่อนบ้านอีกสี่หลัง หนึ่งในนั้นมีกลุ่มที่เพิ่งมาถึงบ้านพักและกำลังขนของลงจากรถ

            "ไอ้เพื่อน ถ่ายรูปหน่อย"

            เจ้าของชื่อก้มลงมองตามเสียงเรียกที่ดังมาจากข้างล่าง เล็กถือกล้องรออยู่ เขาอมยิ้มบางๆ ไม่ได้ยกไม้ยกมือขึ้นมาโพสต์ท่าอะไร พอสิ้นเสียงชัตเตอร์ริมฝีปากที่โค้งขึ้นก็กลับมาเหยียดตรงเหมือนเดิม

            "ลงมาข้างล่างดิ จะร้องคาราโอเกะกัน" เล็กตะโกนบอก ชั้นล่างพวกสาวๆ กำลังเลือกเพลงกันอยู่ มีดีเจโหน่งคอยให้ความบันเทิง

            "เอาเลยมึง กูว่าจะนอนสักงีบ"

            "ชีวิตมึงมีอะไรบ้างวะนอกจากงานกับนอน"

            "กิน"

            "เออ เจริญเถอะ" เล็กส่ายหัวเลิกเถียงแล้วเดินหลบเข้ามาด้านใน

            เพื่อนกลับเข้ามาในห้องอีกทีขวัญกับนารอนก็หายตัวไปแล้ว เหลือเพียงคนตัวโตนอนแผ่หลาหลับอยู่บนเตียง เลยคิดว่าจะปล่อยให้หลงพักผ่อนแล้วลงไปหาคนอื่นๆ ข้างล่าง แต่เมื่อเดินถึงประตูกลับถูกเรียกเอาไว้

            "จะไปไหน"

            เพื่อนหันกลับไปมองต้นเสียง คนที่เมื่อครู่นอนหงายหลับตาบัดนี้ตะแคงข้างมองเขาอยู่ หรือเมื่อกี้แค่แกล้งหลับ

            "ไม่ได้หลับอยู่เหรอ"

            "กำลังจะหลับ"

            "งั้นนอนไปเถอะ ว่าจะลงไปข้างล่าง จะได้ไม่กวนด้วย"

            "ใครว่ากวน"

            "..."

            "มานอนด้วยกันดิ"

            เพื่อนเหยียดยิ้มมองคนที่ยังตีหน้านิ่ง มันกลายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ ไอ้ความรู้สึกแบบนี้ เขาที่เคยเป็นคนไล่ตาม กำลังจะเป็นฝ่ายถูกไล่ตามแล้วบ้างงั้นเหรอ

            "หรือไม่อยากนอน" หลงถามย้ำเพราะเพื่อนไม่ยอมตอบ จู่ๆ ก็เกิดความลังเลเล็กๆ ขึ้นในใจ

            "เดี๋ยวคนเห็น"

            "คิดอะไรไม่ดีใช่มั้ย"

            "หรือหลงไม่คิด"

            "แค่นอนเฉยๆ เอง"

            "ใสๆ นอนจับมืออ่ะนะ"

            "มือก็ไม่ให้จับ"

            "ใจร้ายว่ะ"

            หลงยันตัวลุกขึ้นนั่ง เท้าคางมองคนที่ไม่ยอมเดินเข้ามาหาตามคำชวน เพื่อนกันนอนด้วยกันแล้วมันผิดตรงไหน ยังไงคืนนี้ถ้าไม่เมาจนสลบไสลอยู่ชั้นล่างพวกเขาก็ต้องนอนด้วยกันอยู่ดี แค่ไม่เผลอกอดรัดฟัดเหวี่ยงให้มากเกินไปเป็นพอ ส่วนกรณีนอนหนุนแขนนั้น...คงไม่มีใครคิดสงสัยอะไรหรอกมั้ง

            "ไปแล้วนะ เดี๋ยวสักห้าโมงขึ้นมาปลุก" สุดท้ายก็ทำใจแข็งไม่รับคำชวน ยกยิ้มให้ก่อนเปิดประตูเดินออกไป

            หลงคงไม่อยากให้ใครรับรู้ถึงความสัมพันธ์อันคลุมเครือนี้หรอก และเขาเองก็ไม่อยากให้เพื่อนๆ มองหลงในทางที่ไม่ดีเหมือนกัน

 

            กลิ่นอาหารหอมฉุยจากฝีมือของญาติผู้ใหญ่ที่ตามมาพักผ่อนด้วยลอยออกมาจากในครัว แม่ยายของเล็กกับแม่ของนารอนเป็นแม่ครัวใหญ่ มีผู้ช่วยเป็นบรรดาสาวๆ ส่วนคุณพ่อลูกอ่อนนั้นคอยเลี้ยงลูกและคอยแจมกับเพื่อนๆ ที่เริ่มตั้งวงกันแล้วอยู่ห่างๆ รองานในครัวเสร็จเมื่อไรภรรยาจะได้มารับเจ้าตัวเล็กไปดูแลต่อ

            ห้าโมงเศษมื้อเย็นที่ประกอบไปด้วยข้าวผัด ต้มยำทะเล ไข่เจียว และอาหารซีฟู้ดกับเตาย่างก็พร้อมให้ทุกคนช่วยกันจัดการ โหน่งรับหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์ เก้กับเพื่อนประจำที่เตาย่าง หลงแจกจ่ายอาหาร ส่วนขวัญกับนารอนกินได้แป๊บเดียวก็พากันกระโดดลงสระ

            เพราะทริปนี้ตั้งใจมาพักผ่อนทุกคนเลยปลดปล่อยกันเต็มที่ สาวๆ ชวนกันถ่ายรูปข้างสระน้ำ มีพร็อพเป็นบอลหลากสีที่บ้านพักเตรียมไว้ให้ มีหนุ่มๆ ที่กระโดดลงสระไปแล้วคอยแกล้ง มีเครื่องดื่มมึนเมาคอยเสิร์ฟเป็นระยะ ส่วนแม่ๆ ผู้สูงวัยนั้นเป็นผู้ปกครองคอยดูเด็กๆ ที่อายุใกล้สามสิบเล่นกัน

            "พวกมึง! ฟังทางนี้แป๊บนึงครับ"

            ทุกคนที่อยู่ในสระหยุดเล่นพากันหันไปมองต้นเสียง เห็นโหน่งกับแก้วยืนอยู่ที่ขอบสระ ทั้งคู่มองตากัน หน้าตายิ้มแย้มมีความสุข พร้อมที่จะประกาศข่าวดีให้เพื่อนๆ ได้ทราบ

            "เดือนหน้ากูกับแก้วจะแต่งงานกันแล้วนะ"

            เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังขึ้นลั่นบ้าน มันคือสิ่งที่เพื่อนๆ ทุกคนรอคอยกันมานาน คู่นี้คบกันมาเป็นสิบปี ถูกถามตลอดว่าเมื่อไรจะตบแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว และในที่สุดวันนั้นก็ใกล้เข้ามาถึงเสียที

            พอฟ้าเริ่มมืด ยิ่งดื่มยิ่งเล่นก็ยิ่งคึก การว่ายน้ำเล่นธรรมดาไม่มีความสนุกอีกต่อไปจึงมีการกำหนดกติกาขึ้นมา โดยใช้บอลกับตะกร้า มีคนถือตะกร้าหนึ่งคนยืนบนขอบสระ คนที่เหลือเป็นผู้เล่นแข่งกันปาบอลให้ลงตะกร้า แต่ละคนจะมีบอลสีประจำตัว ใครปาลงตะกร้าได้น้อยที่สุดต้องกระดกหมดแก้ว

            "กูไม่เล่นนะ" คนไม่อยากออกแรงยกมือเป็นคนแรก แน่นอนว่าทุกคนไม่ยอม โดยเฉพาะเล็ก

            "ไม่ได้เว้ย มึงจะเบี้ยวไม่กินใช่มั้ย"

            "กูกิน แต่กูไม่เล่น"

            "กูเล่นแต่ไม่กินได้มั้ย" เมื่อมีใครบางคนค้านคนอื่นๆ ก็มักตามมา หลงออกตัวบ้าง เขาเต็มที่ได้กับการเล่น แต่ไม่อยากเมา เดี๋ยวคนเมาไม่มีใครดูแล

            "งั้นเอางี้ มึงจับคู่กัน ถ้าไอ้หลงแพ้ ไอ้เพื่อนกิน"

            "ได้!" เพื่อนตอบรับหนักแน่น งานนี้เขาได้ผลประโยชน์เต็มๆ แต่ถึงหลงจะเล่นแพ้หรือชนะเขาก็จะกินอยู่ดี

            หลังจากตกลงกันเรียบร้อยเกมโยนบอลก็เริ่มขึ้น แฟนของโหน่งอาสาเป็นคนถือตะกร้า ส่วนโหน่งเป็นคนชงเหล้า เล่นกันเสียงดังโวยวายเหมือนเด็กๆ ตะโกนจนแสบคอ ผ่านไปหลายเกมหลงก็ไม่มีท่าทีว่าจะแพ้สักที คนเก่งกีฬามันก็น่าเบื่อแบบนี้

            "ชนะทุกตาไม่ดีนะ" เพื่อนซึ่งนั่งห้อยขาอยู่ขอบสระก้มลงบอกหลงที่ยืนอยู่ในน้ำ เกมต่อไปกำลังจะเริ่ม โดยที่เขายังไม่ได้กินเหล้าป๊อกฝีมือโหน่งเลยสักแก้ว

            "กินแค่แก้วของตัวเองก็พอแล้ว"

            "ไม่พอ"

            "เริ่มเมาแล้วใช่มั้ย"

            "ยัง กินแค่ไม่กี่แก้วเอง"

            หลงเหลือบมองแก้วที่วางอยู่ข้างสระ เขาสังเกตอยู่ตลอด แก้วนี้แก้วที่หกแล้ว ถึงจะเป็นค็อกเทลผสมเหล้าไม่เยอะ แต่แป๊บๆ หมดแก้วแบบนี้อีกไม่นานคงเมา

            "เล่นกันไปก่อนนะ ไปเข้าห้องน้ำแป๊บ" เพื่อนก้มลงมากระซิบจนริมฝีปากติดใบหู เขาหัวเราะชอบใจก่อนลุกออกไป

            หลงมองตามจนเพื่อนเดินหายเข้าบ้านไป การทรงตัวยังดูดี แต่คำพูดกับการกระทำเริ่มเปลี่ยน ถ้าปล่อยให้เมากว่านี้ เกิดใจกล้าจูบเขาต่อหน้าคนอื่นขึ้นมามันจะแย่เอา

            "กูไปห้องน้ำนะ" บอกน้ำบอกอากาศแล้วหลงก็ลุกขึ้นจากสระไปยืนอยู่หน้าประตูบานเลื่อน เขาก็ลืมไปว่าตัวเปียกโชกขนาดนี้จะเข้าบ้านได้ไง ผ้าขนหนูก็ไม่ได้เอามาด้วย สุดท้ายเลยเปลี่ยนใจเดินเบี่ยงไปยังมุมอาหารแทน

            กับข้าวบนโต๊ะที่พร่องไปเยอะแล้วเหล่าแม่ๆ ก็ทำเพิ่มมาให้หลายอย่าง หลงล้างมือแล้วนั่งแกะกุ้งกิน ตอนเล่นใช้พลังงานไปเยอะเลยหิว พวกที่อยู่ในสระก็เริ่มทยอยขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน

            เพื่อนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำไม่เห็นคนตัวโตอยู่ที่สระเลยเลี้ยวไปที่โต๊ะม้าหินซึ่งเป็นมุมอาหาร เห็นหลงกำลังแกะกุ้งเผ่าน่าอร่อยแต่เขาอยากกินอย่างอื่นมากกว่าเลยไปสะกิดโหน่งแทน

            "ทำให้กูแก้วนึงดิ"

            บาร์เทนเดอร์ประจำทริปพยักหน้ารับก่อนจะทำให้ตามที่บอก กลายเป็นคนที่นั่งแกะกุ้งเผ่าที่ชะงักมือแล้วหันมามอง

            ป๊อก! ฟู่!

            เสียงกระแทกแก้วเป๊กกับพื้นตามด้วยเสียงซู่ซ่าของโซดาเรียกรอยยิ้มกว้างจากเพื่อน เขายื่นมือไปรับแล้วกระดกหมดแก้ว ก่อนร้องขออีกครั้ง

            "อีกแก้ว"

            "จัดให้" โหน่งไม่คัดค้าน จัดการให้ตามคำขอ เขามีหน้าที่ส่งแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายเพื่อนๆ อยู่แล้ว

            สองแก้ว สามแก้ว จนเข้าแก้วที่สี่ หลงมองเพื่อนที่หน้าเริ่มแดงทิ้งตัวนั่งลงเบียดเก้าอี้ตัวเดียวกัน เขาเลยแกะกุ้งแล้วยื่นไปจ่อปาก

            "กินอย่างอื่นบ้าง"

            "ก็กินข้าวไปตั้งเยอะแล้ว" เพื่อนเถียงแต่ก็ยอมอ้าปากรับมากินโดยไม่ขัดขืน โลกเริ่มเอียงหัวเริ่มมึน ถ้ากินเยอะกว่านี้อีกสักหน่อยคงเมาจนอ้วกเหมือนวันงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าแน่

            "เมาหรือยัง"

            "นิดหน่อย"

            "จะขึ้นไปอาบน้ำก่อน อยู่ได้ใช่มั้ย"

            "ได้ดิ" เพื่อนตอบแล้วยิ้มกว้างจนเห็นแก้มบุ๋มข้างขวา

            หากเป็นตอนที่ยังไม่มีความรู้สึกพิเศษเกิดขึ้นในใจเจอถามประโยคนี้เพื่อนคงนึกขำ เพราะเขาไม่ใช่เด็กน้อยและไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแล แต่พอเป็นตอนนี้ เขากลับดีใจที่ได้ฟัง รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงที่ส่งผ่านน้ำเสียงและแววตา...

            สายตาที่คนเป็นเพื่อนเขาไม่ใช้มองกัน

 

            หลงหายไปอาบน้ำไม่กี่นาทีกลับลงมาข้างล่างทุกคนก็ขึ้นจากสระกันหมดแล้ว เปลี่ยนมาล้อมวงนั่งกินกันที่โต๊ะม้าหิน ฟังเก้ที่เมาจนพูดไม่รู้เรื่องเล่าเรื่องเดิมวนไปวนมา แต่น่าแปลกที่ฟังกี่รอบทุกคนก็ขำตาม อาจจะเป็นเพราะคนฟังก็เมาเหมือนกันล่ะมั้งถึงไม่มีใครห้ามใคร

            "มึงเล่ามาสี่รอบแล้วนะ" เล็กท้วง รายนี้สติก็เริ่มเลอะเลือนเช่นกัน เมียกับลูกหนีไปนอนแล้วเลยปลดปล่อยได้เต็มที่

            "กูยังไม่เคยเล่า มึงอย่ามาพูดแบบนี้"

            "เอ้า! ไม่เชื่อลองถามไอ้พวกนี้ดู ถ้ามึงพูดอีกรอบกูจะอัดเสียงเก็บไว้เลย"

            "ไอ้เล็ก ไอ้เลว ใส่ร้ายกู"

            "ไอ้เก้ มึงเมา"

            "กูไม่เมา มึงแหละเมา"

            "กูไม่เมาเว้ย!"

            หลงเดินหนีคนเมาที่กำลังเถียงกันไปหาเพื่อนที่นั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่ไม่ห่าง ขณะที่มือหนึ่งหยิบไข่เขียวใส่ปาก ส่วนอีกมือถือแก้วเหล้า

            "ไปอาบน้ำไป"

            "หลงจะนอนแล้วเหรอ ไอ้โหน่งมันจะชงบลูฮาวาย รอกินก่อน"

            "ไปอาบน้ำก่อนค่อยลงมากินต่อ เดี๋ยวเมากว่านี้อาบไม่ไหว"

            เพื่อนเหลือบมองอย่างไม่อยากจะเชื่อฟังนัก แต่สุดท้ายก็ยอมลุกเดินเข้าบ้านเพื่อไปอาบน้ำตามที่หลงบอก โดยมีคนสั่งการเดินตามหลัง

            เข้ามาในห้องได้คนเมาก็ถอดชุดที่เปียกกองไว้หน้าประตู คว้าผ้าเช็ดตัวเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำ ลำบากหลงต้องเอาเสื้อผ้าพวกนั้นไปตากที่ระเบียงให้

            หลงนั่งเล่นมือถือรออยู่บนเตียงไม่นานคนเมาก็อาบน้ำเสร็จ เพื่อนพันขนหนูไว้รอบเอวโชว์หุ่นผอมแห้งที่เหมือนเดิมมาตั้งแต่มัธยม เดินไปนั่งยองๆ ข้างกระเป๋าแล้วค้นเสื้อผ้าออกมาใส่ เสร็จแล้วก็กระโดดขึ้นเตียง นอนคว่ำซุกหน้าลงกับหมอน ทั้งที่ผมยังไม่แห้ง

            "เช็ดผมก่อน" หลงดึงผ้าขนหนูผืนเล็กที่เพื่อนนอนทับขึ้นมาวางบนผมที่เปียก

            "ง่วงแล้ว"

            "เดี๋ยวไม่สบาย"

            "นอนแบบนี้เดี๋ยวมันก็แห้งเองอ่ะ" เสียงอ้อแอ้ใกล้จะหลับเต็มที

            หลงวางมือถือไว้ข้างหมอนก่อนไหลตัวลงนอนตะแคง ปัดผ้าขนหนูที่คลุมอยู่ออกเพื่อมองคนเมาที่นอนคว่ำหันหน้ามาทางเขา แม้เปลือกตาจะปิดสนิทแต่หลงรู้ว่าเพื่อนยังไม่หลับ เลยแกล้งขยับเข้าไปใกล้ทว่าอีกฝ่ายกลับลืมตาขึ้นมาเสียก่อน

            "จะทำอะไร"

            "ไม่ได้ทำอะไร"

            "แล้วเข้ามาใกล้ทำไม"

            "เข้าใกล้ไม่ได้เหรอ"

            เพื่อนไม่พูดอะไรต่อ ทั้งคู่นอนมองตากันอยู่เงียบๆ แม้จะได้ยินเสียงอึกทึกจากภายนอกอยู่บ้าง แต่ตอนนี้คือสิ่งที่เพื่อนนิยามได้ว่าช่วงเวลาดีๆ จนอยากจะลุกขึ้นไปล็อกประตูไม่ให้ใครบุกรุกเข้ามา

            "ไม่ลงไปกินบลูฮาวายแล้วเหรอ"

            "อยากกินนะ แต่เหมือนจะลุกไม่ไหว"

            "งั้นก็นอน"

            "เช็ดผมให้หน่อย"

            "ลุกก่อนดิ"

            เพื่อนยันแขนลุกขึ้นแต่แทนที่จะนั่งดีๆ กลับพลิกตัวมาทับหลงไว้ คนที่กำลังตกใจก็เผลอพลิกตัวนอนหงายรับคนตัวผอมไว้ในอ้อมแขน

            "เล่นไรเนี่ย!"

            "เช็ดผมให้หน่อย" เพื่อนบอกแล้วซุกหน้าลงที่ต้นคอ ไม่ได้คิดอะไรไม่ดีแค่อยากจะซบ ให้หลงใช้ผ้าที่ยังวางอยู่บนหัวเช็ดผมให้

            "นอนแบบนี้แล้วจะเช็ดยังไง"

            "ใช้ผ้าเช็ดไง เช็ดให้หน่อย"

            หลงถอนใจเบาๆ ก่อนทำตามที่บอก ปล่อยให้คนเมานอนทับบนตัวแล้วใช้ผ้าขนหนูซับน้ำที่เปียกผม แม้จะลำบากไปสักนิดแต่ใบหน้ากลับแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เช็ดไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี คนเมาก็ใกล้จะหลับเต็มทีแล้วเหมือนกัน

            "เมาแล้วกล้าดีเนอะ" เป็นความกล้าที่หลงคิดว่าเพื่อนในเวลาปกติไม่น่าจะทำได้ ทั้งจูบเมื่องานคืนสู่เหย้า และการทำตัวเหมือนเด็กขี้อ้อนตอนนี้ แต่คนเมากลับไม่คิดอย่างนั้น

            "ถ้าเป็นหลงตอนนี้ไม่เมาก็กล้านะ"

            "หมายถึงกล้าทำอะไร"

            "ต้องถามหลงดิ เป็นคนเปิดประเด็นไม่ใช่เหรอ" เพื่อนผงกหัวขึ้นมา สายตาท้าทายที่น้อยครั้งจะได้เห็น

            หลงใช้สายตาสู้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ อยากจะกดหัวคนเมาลงมาแล้วมอบจูบหนักๆ ให้ แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางคนหมู่มากอะไรๆ มักไม่เป็นไปดั่งใจได้เสมอ

            "ไอ้เพื่อน!" ประตูเปิดออกพร้อมคนเมาอีกคนที่เดินเข้ามา

            หลงรีบพลิกตัวหันหลังให้ประตูทำให้คนที่นอนอยู่กลิ้งตกลงมาบนที่นอน เพื่อนส่งเสียงประท้วงแต่โดนหลงใช้ผ้าขนหนูคลุมหัวไว้ ก่อนเอี้ยวหน้ากลับไปมองขวัญที่ยืนโอนเอนคล้ายจะทรงตัวไม่อยู่

            "มีอะไรวะ"

            "ไอ้เพื่อนอยู่ไหน"

            "หลับแล้ว" หลงโกหกคำตอบโต โชคดีที่เพื่อนยอมเล่นตามด้วย ยอมนอนนิ่งๆ ไม่หือไม่อือและไม่ขยับตัวใดๆ

            "ไหนมันบอกอยากกินบลูฮาวาย ไอ้โหน่งทำเสร็จแล้ว มึงตื่นลงไปแดกเดี๋ยวนี้เลยนะ!"

            "เบาๆ ดิวะ เดี๋ยวมันตื่น"

            "แล้วพวกมึงทำอะไรกันอยู่เนี่ย!" ขวัญก้าวอาดๆ เข้ามาหา นึกสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเพื่อนหลับแล้วทำไมหลงต้องนอนประกบอยู่แบบนั้น แต่เขาก็ลืมไปว่าสองคนนี้แชร์เตียงกัน

            "กูเช็ดผมให้มันอยู่"

            ขวัญขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้ฟัง เพราะมันคือท่าเช็ดผมที่ประหลาดที่สุดที่เขาเคยเห็นมา ใครที่ไหนเขานอนเช็ดผม

            "มึงไปกินต่อเถอะ"

            "เออๆ ถ้ามันตื่นบอกมันลงไปกินด้วยนะ" สั่งไว้เพียงเท่านี้แล้วขวัญก็เดินออกจากห้องไป

            หลงเปิดผ้าขนหนูที่คลุมหน้าเพื่อนออกก็เจอคนเมานอนมองตาแป๋ว เห็นนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิกก็นึกว่าหลับไปแล้วจริงๆ

            "นิสัยไม่ดีเลยโกหกเพื่อน"

            "ใครบางคนก็ให้ความร่วมมืออย่างดีเลยเนอะ"

            เพื่อนไม่เถียงเพราะรู้ว่าเถียงยังไงก็ไม่ชนะ เขาอยากอยู่แบบนี้ อยู่ด้วยกันแค่สองคน อยู่เงียบๆ หรือหลงจะเล่าเรื่องลึกลับต่างมิติ วรรณคดีไทย ประวัติศาสตร์สังคมอะไรก็ได้ แต่สุดท้ายหลงกลับวกมาประเด็นเดิม

            "ลุกขึ้นมาเช็ดผมให้แห้งก่อน"

            "ก็เช็ดไปดิ ท่านี้ก็เช็ดได้"

            "อย่าดื้อ"

            "ขี้เกียจลุก"

            "ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้"

            หลงลุกขึ้นนั่งแล้วพยายามฉุดให้เพื่อนลุกตามขึ้น คนเมาก็ทำตัวอ่อนไหลเป็นของเหลว ทิ้งน้ำหนักตัวเต็มที่ให้คนตัวโตได้ออกแรงเต็มกำลัง ปลุกปล้ำกันอยู่สักพักกว่าเพื่อนจะยอมนั่งให้เช็ดผมให้ดีๆ

            พวกเขานั่งหันหน้าเข้าหากัน เพื่อนนั่งขัดสมาธิหลับตาปล่อยให้หลงใช้ผ้าขนหนูซับผมที่เปียกได้ตามใจ สบายจนจะเคลิ้มหลับมันท่านี้ และยิ่งรู้สึกดีเมื่อความนุ่มหยุ่นเข้ามาสัมผัสที่ริมฝีปาก

            อีกครั้งที่หลงเป็นฝ่ายเริ่มจูบ พอเห็นหน้าง่วงๆ นั่งหลับตาเหมือนเด็ก ไหนจะริมฝีปากเรียวบางที่เผยอออกนิดๆ มันก็อดใจไม่ไหวอยากสัมผัสขึ้นมา หลงเอียงหน้าปรับองศาให้จูบได้ถนัด ในขณะที่อีกคนนั่งนิ่งเหมือนคนหลับ ถ้าหากเพื่อนไม่จูบตอบเขาคงคิดว่ากำลังลักหลับคนเมาอยู่

            "ผมไม่แห้งสักทีแบบนี้" ผละออกจากกันได้เพื่อนก็บ่น

            "ความผิดใครล่ะ"

            "หลง"

            "ให้ตอบใหม่"

            "ก็หลงอยู่ดี"

            คนโดนใส่ร้ายใช่ผ้าขนหนูขยี้ผมแรงๆ อย่างหมั่นไส้ แต่คนโดนกระทำกลับหัวเราะร่าเริง หลงเลยใช้สองมือประกบแก้มเพื่อนไว้ให้หยุดขำ มองแววตาสุกใสกับรอยยิ้มนั้น สิ่งที่เขาหลงใหลมานาน

            หลงใหล...หากแต่ไม่รู้ตัว

            "อีกทีนะ"

 

            หลงตื่นขึ้นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกตอนหกโมงเช้า ลุกเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาและเก็บกระเป๋า ปล่อยเพื่อนให้นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างสบายอารมณ์โดยไม่คิดจะปลุก เพราะสุดท้ายจนกระทั่งเช้าก็ไม่มีใครกลับขึ้นมานอนบนห้องสักคน

            หลังจากอาบน้ำเตรียมตัวเสร็จหลงก็เดินลงมาสำรวจชั้นล่าง ก่อนมาเขาบอกเพื่อนไว้แล้วแต่ไม่รู้คนที่เออออแบบยังไม่ตื่นจะเข้าใจหรือเปล่า

            ที่ห้องรับแขกชั้นล่างพบชายสามคนนอนเรียงกัน ไล่จากนารอน ขวัญ และเก้ ส่วนเล็กกับโหน่งน่าจะหลงเหลือสติพาร่างขึ้นไปนอนกับคนรักได้ แต่จะว่าไปเมื่อคืนแฟนโหน่งเองก็ดื่มเยอะใช่เล่นเหมือนกัน

            ถัดจากห้องนั่งเล่นที่ประตูฝั่งขวามือเป็นห้องครัว หลงได้กลิ่นข้าวต้มหอมฉุยลอยมาเลยเข้าไปช่วยแม่ๆ ทำมื้อเช้า ใกล้เสร็จก็เดินไปปลุกพวกขี้เซา อาบน้ำอาบท่ากินข้าวเสร็จจะได้เก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับ

            แพลนสำหรับวันนี้คือทานมื้อข้าวที่บ้านพัก เช็คเอาต์ช่วงสิบโมง แวะถ่ายรูปที่อุทยานราชภักดิ์ก่อนกลับกรุงเทพฯ

            ขากลับจากหัวหินขึ้นรถมาได้เพื่อนก็หลับเกือบตลอดทาง เขาพยายามจะถ่างตาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับหลงแล้ว แต่พอฟังคนตัวโตพูดมากๆ เปลือกตามันก็ปิดลงมาเอง มาตาสว่างอีกทีก็ตอนเข้าเขตกรุงเทพฯ ส่งโหน่งกับเก้ที่บ้าน กว่าจะวนมาถึงบ้านเพื่อนฟ้าก็มืดพอดี

            หลงฝากของให้คุณแม่ของเพื่อนโดยไม่ได้ลงจากรถเพื่อไปทักทาย เพื่อนเองก็ซื้อขนมฝากให้ครอบครัวหลงเช่นกัน ช่วงเวลาของวันหยุดหมดลงเพียงเท่านั้น พวกเขาบอกลากัน ยิ้มให้กัน สิ่งที่ไม่เคยทำกลายเป็นสิ่งที่ทำทุกครั้งเมื่อได้จากลา

            จาก...เพื่อพบกันใหม่ในวันต่อๆ ไป


TBC


เหลืออีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วค่า ได้ลงเอยกันเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 16 | 05/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-05-2018 20:16:59
 :pig4: :pig4: :pig4:

พวกเขาพร้อมจะ...กันแล้วแหละ

เหลือเพียงรอเวลา...
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 16 | 05/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-05-2018 20:18:45
เดี่ยวนี้มีจงมีจูบกันด้วย
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 16 | 05/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 05-05-2018 20:37:39
 :กอด1: น่ารักมากกก
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 16 | 05/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-05-2018 22:55:02
แรก ๆ หม่น ๆ เศร้า ๆ ตอนนี้คือดีมาก
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 17 | 12/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 12-05-2018 20:02:40

ฝันครั้งที่ 17

            ความทรงจำคือสิ่งสวยงาม ไม่ว่าร้ายหรือดีสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ทำให้คนเราเติบโตและเข้มแข็งขึ้น

            สำหรับเพื่อน ความทรงจำที่สวยงามของเขาคือช่วงมัธยม ช่วงวัยคึกคะนองที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่ทำหน้าที่ในฐานะนักเรียนดี ใช้ชีวิตยามว่างไปตามใจ อยากทำอะไรก็ทำ มีความรัก มีเพื่อนดีๆ มีคนที่เข้าใจ แม้สุดท้ายความทรงที่ควรจะสวยงามของเขามันจะจบไม่ค่อยสวยเท่าไรก็ตาม

            เพื่อนหยิบวารสารเล่มบางที่มีชื่อโรงเรียนอยู่บนปกขึ้นมาจากก้นของลิ้นชักแล้วมองมันอย่างพิจารณา เขาเปิดมันดูทีละหน้า ย้อนความทรงจำกลับไปสมัยเรียน ม.6 ภาพกิจกรรมต่างๆ ภาพหมู่และรายชื่อนักเรียนที่จบการศึกษาในปีนั้น รูปถ่ายในวารสารที่เขากับหลงได้ยืนข้างกัน

            วารสารถูกเปิดดูจนถึงหน้าสุดท้าย ที่ปกหลังเป็นรูปรวมภาพกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นตลอดปีถูกตัดแปะรวมๆ กัน และหนึ่งในนั้นเป็นภาพวันกีฬาสี หนึ่งในกิจกรรมแห่งความทรงจำสมัยมัธยม ที่ปกหลังนั้นมีรูปของชายหนุ่มตัวอ้วนปะแป้งหน้าขาวกำลังเป่าลูกโป่งจนแก้มป่องทั้งสองข้าง

            รูปของหลงที่ลงแข่งวิ่งวิบากตอน ม.6

 

            ม. 6 เทอม 2

            เข้าสู่เทอมสองกิจกรรมที่หลายคนรอคอยย่อมหนีไม่พ้นกีฬาสี หน้าที่รับผิดชอบส่วนใหญ่นั้นเป็นของ ม.5 ส่วนพี่ๆ ม.6 ที่ต้องเตรียมสอบกลายเป็นเพียงที่ปรึกษา และรอคอยความสำเร็จที่น้องๆ สามารถนำมาสู่คณะสีได้เท่านั้น

            งานกีฬาสีสำหรับคนไม่ชอบกีฬาก็เหมือนวันพักผ่อนดีๆ เพื่อนไม่ได้มีส่วนร่วมเท่าไรนัก เขามีหน้าที่คุมสแตนด์เชียร์กับเพื่อนอีกหลายชีวิต อู้บ้างเป็นส่วนใหญ่ คอยส่งเสียงเชียร์เมื่อสีเขียวของตัวเองลงแข่ง และกีฬาที่เรียกเสียงเชียร์เสียงหัวเราะได้ดีที่สุดย่อมหนีไม่พ้นการแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน

            "ต่อไปวิ่งวิบากนะครับ นักกีฬาเตรียมตัวด้วย" เพื่อนร่วมห้องที่คุมสแตนด์ประกาศออกโทรโข่งหลังเมื่อการแข่งชักเย่อกำลังจะจบลง

            กลุ่มหลังห้องฝั่งหน้าต่างที่ยังวนเวียนอยู่แถวสแตนด์เชียร์ต่างหูผึ่ง พวกเขากำลังรอดูการแข่งขันนี้ เพราะนักกีฬาเป็นสมาชิกที่ทุกคนในกลุ่มฝากความหวัง หลังจากสีเขียวแพ้กีฬาชนิดอื่นมารัวๆ

            "ไอ้หลง เขาเรียกมึงแล้ว" ขวัญป้องปากตะโกนบอกหลงที่ยืนคุยกับโหน่งอยู่หลังสแตนด์

            เพื่อนตัวอ้วนพยักหน้ารับแล้ววิ่งไปเตรียมตัวข้างสนาม โหน่งเข้ามาสมทบกับกลุ่มเพื่อน แล้วก็โดนขวัญซักไซ้ว่าเพราะอะไรถึงได้ไปยืนคุยกันอยู่ตรงนั้น

            "คุยอะไรกันวะ"

            โหน่งเงียบไปชั่วครู่ หน้านิ่งๆ เหมือนคนตื่นไม่เต็มตาทำให้ขวัญสงสัยว่าโหน่งได้ฟังสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่า แต่ว่าก็ว่าเถอะ เห็นเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนแบบนี้โหน่งกลับเป็นคนที่กุมความลับของทุกคนไว้มากที่สุด ใครมีอะไรหรือเป็นอะไรก็มักเอามาปรึกษามาพูดให้ฟัง เพราะโหน่งเป็นคนที่เก็บความลับได้ดีที่สุด

            "ได้ยินกูมั้ยเนี่ย"

            "คุยเรื่องแข่งนี่แหละ มันบอกว่ามันกินช้า ไม่น่าจะชนะ"

            "ก็จริง" เต้ยที่ยืนอยู่ข้างขวัญพูดขึ้นมา ขวัญเองก็เห็นด้วย

            "ทุกคนเห็นมันอ้วนไงเลยคิดว่าจะกินเร็ว"

            "ตอนกินข้าวหมดช้ากว่าคนอื่นตลอดอ่ะมัน"

            "แล้วแบบนี้จะชนะมั้ยวะ"

            ทุกคนในกลุ่มมองหน้ากันด้วยความหวังอันริบหรี่ ตอนหานักกีฬาลงแข่งหลงถูกเสนอชื่อและยอมตกลงโดยไม่คัดค้านอะไร อาจจะเป็นเพราะเกรงใจหรือคิดว่าไม่มีใครอยากลง เพื่อนๆ ทุกคนรู้ว่าหลงตั้งใจและอยากทำมันให้เต็มที่ถึงได้เอาใจช่วย แต่ใครเล่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้วคำตอบที่โหน่งเลือกมาตอบคำถามของขวัญนั้น...มันคนละเรื่องกัน

 

            นักกีฬาประจำที่จุดสตาร์ท สแตนด์แต่ละสีก็ส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่ม หลงเองมองกลับที่สแตนด์สีเขียวระหว่างเตรียมตัว เห็นเพื่อนป้องปากตะโกนบอกแบบไม่มีเสียงว่า 'สู้ๆ' แล้วยิ้มให้เขาเลยพยักหน้ารับตอบกลับไป ตั้งใจจะสู้สุดใจอยู่แล้ว แต่จะเหนือกว่าคู่แข่งอีกห้าคนมากแค่ไหนนั่นก็อีกเรื่อง

            เสียงนกหวีดเป่าเริ่มการแข่งขันนักกีฬาทั้งหกคนก็ออกวิ่งไปยังด่านแรก ด่านนี้ต้องเอาน้ำเปล่าล้างหน้าแล้วเป่าแป้งในจานเพื่อคาบเหรียญขึ้นมา ทุกคนไปถึงแทบจะพร้อมกัน สีชมพูทำสำเร็จเป็นสีแรก นักกีฬาตัวผอมสูงวิ่งไปยังด่านถัดไปท่ามกลางเสียงเชียร์จากคณะสีตัวเอง ส่วนหลงนั้นตามมาเป็นลำดับที่สาม

            ด่านที่สองต้องกินไข่ต้ม เรื่องของกินนั้นหลงไม่หวั่น เหตุผลที่เขารับเล่นเกมนี้เพราะเป็นคนที่กินได้ทุกอย่างไม่เกี่ยง แม้จะช้าไปบ้าง แต่ที่ช้าเพราะส่วนใหญ่เอาเวลากินไปพูดเสียมากกว่า เมื่อไม่มีเพื่อนให้พูดด้วยเพราะพวกมันตะโกนเชียร์เขาอยู่ข้างสนาม ไข่ต้มแค่ลูกเดียวจึงไม่เป็นปัญหานัก

            "สีเขียวแซงขึ้นมาแล้วครับ" เสียงพากย์จากพิธีกรเรียกเสียงโห่ร้องจากสีที่ถูกเอ่ยถึงได้เป็นอย่างดี

            ทุกต่างตะโกนเร่งตะโกนเชียร์อย่างออกรสออกชาติ เว้นแต่เพียงพี่เพื่อนขวัญใจน้องๆ ที่แทบจะไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเลย เขามองการแข่งขันกลางสนามด้วยสีหน้าลุ้นระทึก มือทั้งสองข้างกำแน่น ภาวนาอยู่ในใจขอให้ชัยชนะจงมาสู่สีของตน เพื่อความภูมิใจ และเพื่อรอยยิ้มของคนที่กำลังสู้อยู่ในสนาม

            ด่านที่สามเป็นการร้อยเข็ม หลงมาถึงเป็นคนแรกแต่มันไม่ง่ายเลยที่จะรักษาตำแหน่งเอาไว้ รูเข็มเล็กๆ กับเส้นด้ายสีขาวที่สอดยังไงก็ไม่เข้ารูเสียที ทั้งเสียงเชียร์ที่เหมือนการกดดัน ทั้งคู่แข่งที่ทำสำเร็จได้ง่ายๆ เหมือนรูเข็มมันใหญ่เท่าท่อ กว่าหลงจะสอดด้ายได้สำเร็จคนอื่นๆ ก็แซงไปเกือบหมด เหลือเพียงสีส้มที่รั้งท้ายตั้งแต่เริ่มแข่ง

            ด่านที่สี่กับห้าเป็นการแข่งความเร็วในการกิน กล้วยหอมลูกใหญ่กับเป๊ปซี่ขวดเล็กหนึ่งขวด กล้วยหอมอาจจะไม่เท่าไร แต่เมื่อทุกคนไปถึงด่านเป๊ปซี่ความเร็วก็เริ่มลดลง หากฝืนกินเร็วไปดีไม่ดีไอ้ที่กินเข้าไปก่อนหน้านี้จะสวนออกมาแทน

            หลงนั่งขัดสมาธิกินเท่าที่ความเร็วจะเอื้ออำนวย กินโดยไม่สนใจรอบข้างแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น ดื่มจนหมดขวดก็รีบลุกไปด่านสุดท้าย หยิบลูกโป่งขึ้นมาเป่าจนแก้มป่อง แต่เหมือนจะไม่ทันการเสียแล้ว

            ปัง!

            เสียงลูกโป่งแตกพร้อมกับชัยชนะที่ตกเป็นของสีเหลืองหลังการแข่งขันจบลง ม้ามืดที่แซงทุกคนขึ้นมาตอนสอดเข็มกับด้าย ส่วนคนที่มีปัญหากับเข็มและด้ายนั้นก็ต้องผิดหวังไปตามระเบียบ

            ลูกโป่งของสีเขียวแตกเป็นลำดับที่สี่ หลงแทบจะล้มตัวกลิ้งไปกับพื้นเมื่อพลังกายถูกใช้ไปจนแทบหมดสิ้น เขาหอบหายใจแรง ก้าวเดินอย่างเชื่องช้ามาหากลุ่มเพื่อนที่รอปลอมขวัญ ไม่ได้รางวัลไม่เป็นไร แค่เพื่อนตัวอ้วนปลอดภัยจากวิบากครั้งนี้ก็พอ

            "ไม่เป็นไรเว้ย ยังไงก็ไม่ใช่ที่โหล่" ขวัญเข้ามาตบหลังปลอบเป็นคนแรก ผิดกับคนอื่นๆ ที่ยังเจ็บใจไม่หาย โดยเฉพาะเล็ก คนที่ลงแข่งอะไรก็กวาดเหรียญมาได้หมด

            "โคตรเสียดายเลยว่ะ ร้อยด้ายมันยากตรงไหนวะ"

            "รูโคตรเล็ก ร้อยได้ก็บุญละ"

            "ถ้ากูลงนะชนะไปแล้ว"

            "แล้วทำไมไม่ลงเองเลยวะ" หลงสวนกลับ ไม่ได้เคร่งเครียดอะไรนักแม้จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่เล็กๆ เพราะไอ้เพื่อนปากดีคนนี้

            "ไอ้ประธานมันไม่ได้ขอกูนี่หว่า แต่อย่าให้กูลงเลย สงสารสีอื่น แบ่งๆ เหรียญกันไปบ้าง"

            หลงถึงกับทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ คำด่ากลับในหัวมีเป็นล้านแต่ไม่อยากจะพูดประเด็นนี้ต่อเลยส่ายหน้าใส่แล้วเดินเบี่ยงออกมา หลุดจากคนอื่นๆ มาได้ ก็เจอด่านสุดท้ายรออยู่

            เพื่อนที่ชื่อเพื่อน เจ้าของลักยิ้มบนแก้มขวา บุคคลที่ใครหลายคนต่างหมายปอง

            "ทำดีมาก" เป็นคำชมที่ไม่เข้ากับผลสำเร็จทำเอาคนฟังเผลอขมวดคิ้ว

            "ดีตรงไหน ได้ที่สี่ ไม่ได้รางวัลอะไรเลยนะ"

            "ที่สี่ก็ได้ชมเชยไง"

            "มีที่ไหน"

            "ชมอยู่นี่ไง เก่งมาก"

            หลงหลุดยิ้มให้กับมุกแป้กที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นมา เป็นการปลอบที่ไม่เหมือนใคร

            "เอาน่า แค่นี้ก็ดีแล้ว"

            "แต่ถ้าได้ที่หนึ่งคงดีกว่านี้"

            "ก็...ที่หนึ่งของเพื่อนไง"

            ใจมันรู้สึกแปลกๆ รอยยิ้มที่เห็นจนชินตาในวันนี้มันดูไม่เหมือนเดิม เสียงที่จำได้ขึ้นใจมีบางอย่างที่แปลกไปซ่อนอยู่ในนั้น ดวงตาสุกใสที่มักใช้มองกันสะท้อนภาพของใครบางในแววตา

            ภาพของชายตัวอ้วนที่กำลังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นในใจ มันมากขึ้นทุกครั้ง จนกลายเป็นความหวั่นไหวที่พยายามข่มมันเอาไว้ ความรู้สึกที่ไม่ควรแสดงออกมา

            หลงได้แต่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออกเมื่อเพื่อนยื่นมือมาปัดแป้งที่ติดบนหน้าเขา เขี่ยเบาๆ ที่ข้างแก้ม อมยิ้มบางๆ ที่พาลให้ใจรู้สึกไม่สงบ

            "ไปล้างหน้าล้างตาไป"

            "อืม" หลงครางตอบรับในลำคอ เขาอยากจะเดินไปล้างหน้าเร็วๆ ก็จริง แต่ถ้าเพื่อนยังไม่หยุดเขี่ยเศษแป้งแห้งๆ ที่ติดบนหน้าเขาออกแล้วจะผละออกไปได้ยังไง

            ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง คนหนึ่งยิ้ม อีกคนตีหน้านิ่งพยายามข่มความสับสนที่มีอยู่ภายในใจ ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปย่อมไม่ใช่เรื่องดี ความรู้สึกแปลกประหลากเหล่านี้มันไม่ควรเกิดขึ้น

            "พี่เพื่อนคะ"

            กรอบภวังค์ที่ล้อมรอบคนทั้งสองถูกทำลายด้วยฝีมือรุ่นน้อง ม.ต้น ต่างคณะสี เจ้าของชื่อหันไปยิ้มให้ หลงจึงได้โอกาสหลบสายตาแล้วเดินเลี่ยงออกมา

            "หนูขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ"

            "อ๋อ ได้ๆ"

            "รูปคู่ด้วยนะคะ"

            "ไม่มีปัญหา"

            เสียงต่อบทสนทนาของเพื่อนกับสาวรุ่นน้องเบาลงเรื่อยๆ จนหายไปจากระยะการได้ยิน หลงหันไปมองเมื่อเดินพ้นเขตสนาม แต่คนที่หันมาสบตากับเขากลับเป็นโหน่ง เพื่อนผู้เงียบขรึมคนที่เขาเลือกระบายความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ให้ฟัง โหน่งไม่ได้ซักไซ้หรือแสดงความคิดเห็นอะไรนัก เพื่อนคนนี้ทำเพียงรับฟังเงียบๆ เก็บความลับของเขาไว้ ความลับที่เขาเองก็ยังไม่ยอมรับมันเหมือนกัน

 

 

            "ดูนี่ดิ" วารสารอายุร่วมสิบปีที่เจ้าของบ้านบังเอิญค้นเจอถูกยื่นไปตรงหน้าแขก

            หลงคว้ามามันเปิดดู แล้วริมฝีปากที่เคยเหยียดตรงก็ยกยิ้มขึ้นมาเมื่อได้เห็นความทรงจำเก่าๆ

            "ดูปกหลังดิ จำได้มั้ยใคร"

            เปิดยังไม่ทันถึงหน้าสุดท้ายมือก็พลิกไปดูปกหลังตามที่บอก หลงเห็นภาพรวมกิจกรรมมากมายบนนั้น แต่ที่ชัดที่สุดย่อมหนีไม่พ้นรูปของเขาเอง รูปแสนน่าเกลียดที่ถูกถ่ายไว้ตอนลงแข่งวิ่งวิบาก

            "ไปขุดมาทำไมเนี่ย ไหนล่ะข้อสอบเก่า"

            "หาไม่เจออ่ะดิ ไม่รู้แม่เก็บไม่ไหน"

            "ไม่ใช่ทิ้งไปแล้วเหรอ"

            "แม่บอกยังไม่ได้ทิ้งนะ"

            "แล้วก็ได้ไอ้นี่มาแทน" หลงชูวารสารขึ้น ว่าอย่างไม่จริงจังแล้วหัวเราะออกจมูก ก่อนเปิดมันดูอีกรอบ

            "เดี๋ยวถามแม่ก่อน เจอแล้วจะเอาไปให้"

            เย็นวันนี้หลังเลิกงานพวกเขานัดเจอกันที่ตลาดเหมือนอย่างเคย ระหว่างมื้อเย็นในร้านขนมจีนหลงพูดเรื่องที่หยกกำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ฟัง คนเก่งที่ผลการเรียนดีเป็นเลิศเลยเสนอจะยกข้อสอบเก่าๆ ที่เคยใช้ให้ไปอ่านเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง เป็นเหตุให้เพื่อนแวะมาที่บ้านเพื่อนก่อนกลับ แต่ข้อสอบที่อยากได้ดันกลายเป็นวารสารเก่าของโรงเรียนแทน

            "จะว่าไป..." หลงเกริ่นค้างไว้แล้วอมยิ้ม เขาหันมองเพื่อนด้วยสีหน้ามีเลศนัย

            ความทรงจำครั้งเก่ามักกระตุ้นความรู้สึกที่ถูกซ่อนไว้ทุกครั้ง ทั้งที่พยายามเก็บใส่กล่องล็อกกุญแจอย่างดี แต่เมื่อเพื่อนกลับมา สิ่งที่ตั้งใจจะลืมกลับลืมไม่ลง ซ้ำยังเปิดใจยอมรับ ยอมให้เรื่องราวในอดีตกลับมาเป็นปัจจุบันอีกครั้ง

            "อะไร"

            "ตอนนั้นก็เหมือนจะรู้สึกแปลกๆ แล้วเหมือนกัน"

            "ตอนไหน แปลกยังไง" เพื่อนขมวดคิ้วถาม บางทีอยู่ด้วยกันบ่อยๆ หลงอาจจะติดนิสัยชอบพูดไม่เกริ่นหัวเรื่องแบบเขาไปแล้วก็ได้

            "ตอนกีฬาสีไง รู้สึกแปลกเพราะเหมือนจะชอบใครบางคน"

            ดวงตาสุกใสที่หลงชอบมองเป็นประกายระยิบระยับเมื่อได้ฟัง มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างที่หลงบอกจริงๆ เพราะเพื่อนรู้ ใครบางคนที่หลงพูดถึง รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร ใช่คนที่อยู่ตรงนี้หรือเปล่า

            "ชอบใคร"

            "ใครที่ไม่ควรชอบ"

            "..."

            "ใครที่ไม่เคยคิดว่าจะชอบ"

            "..."

            "ใครที่สุดท้ายเลือกที่จะไม่ชอบ"

            ความหมดหวังวูบไหวอยู่ในแววตาคู่สวยชั่วครู่ เพราะจุดจบของเรื่องนี้คือความเศร้า จุดจบที่หลงเลือกจะปิดกั้นความรู้สึกและเลือกเดินในทางที่เขาคิดว่าถูกต้อง

            เพื่อนเลือกที่จะไม่ถามว่าถ้าเป็นตอนนี้สุดท้ายแล้วหลงจะเลือกทางไหน ความรู้สึกที่ปิดกั้นไว้เส้นทางมันเปิดกว้างพอที่จะให้เขาเข้าไปได้หรือยัง มั่นใจแต่ก็ไม่มั่นใจ สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายรอเพื่อให้หลงเป็นฝ่ายพูดคำนั้นออกมาด้วยตัวเอง

            "จะรอนะ"

            หลงสบตาคนตรงหน้านิ่ง เขาพยักหน้าเบาๆ เพื่อให้คำมั่นสัญญา แม้จะพูดออกไปตอนนี้เลยก็ได้แต่เขากลับเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ก่อน อยากให้มากกว่านี้อีกสักนิด เรื่องราว ความรู้สึก เขาอยากจำจดและระลึกถึงเรื่องทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นให้มากกว่านี้ ทั้งจุดเริ่มต้น ระหว่างทาง และจุดจบ

            "กลับบ้านไปได้แล้วไป"

            "ไล่เลยเหรอ"

            "ไป ลุกๆ" เพื่อนดึงวารสารในมือหลงคืนมาแล้ววางทิ้งไว้บนโซฟาก่อนฉุดแขนคนตัวโตให้ลุกขึ้น

            หลงแกล้งทิ้งน้ำหนักตัวไม่ยอมลุกในทีแรก หยอกเล่นกันอยู่สักพักถึงได้ยอมกลับบ้านแต่โดยดี บอกลาก่อนจาก ทั้งภาษากายและคำพูด

            "ขับรถดีๆ"

            รวมถึงความห่วงใยที่เคยมีให้กันตลอดมา และนับจากนี้ตลอดไป
 

TBC


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 17 | 12/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 12-05-2018 20:26:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 17 | 12/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-05-2018 20:40:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 17 | 12/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-05-2018 21:02:31
ชอบกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายนึงยอมรับแต่แรก อีกฝ่ายผ่านไปแปดปีค่อยจะมายอมรับ ก็ยังดีที่ทันเวลา
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 17 | 12/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 12-05-2018 22:07:48
แอบชอบมาตัเวนานแล้วนี่นาาาา
ยิ่งอ่านยิ่งเขินนน
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 17 | 12/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-05-2018 22:53:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 18 | 19/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 19-05-2018 18:28:57

ฝันครั้งที่ 18

            หนังสือกับชีทกองใหญ่ที่พี่เพื่อนผู้ใจดีขนมาให้ทำเอาเด็กสาวมองด้วยความตะลึง ตอนหลงบอกว่าเพื่อนจะเอาแนวข้อสอบเก่าที่เคยอ่านมาให้หยกไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้ เธอรู้ว่าพี่เพื่อนหัวดีเรียนเก่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่สอบติดคณะดีๆ แต่ก็ไม่คิดว่าผ่านมานานเกือบสิบปีของเหล่านี้จะยังเก็บไว้อยู่

            "ของพี่เพื่อนคนเดียวเลยเหรอคะ"

            "ใช่"

            "เยอะมากเลย"

            "มันเป็นปีแรกที่เริ่มใช้แกทแพทด้วย ไม่รู้ว่าข้อสอบจะเป็นไงเลยหาอ่านเยอะมาก ชีทจากกวดวิชาก็เยอะ แต่พอเข้าห้องสอบเท่านั้นแหละเอ๋อแดกเลย เชื่อมโยงอะไรก็ไม่รู้" เพื่อนว่าติดตลก รุ่นเขาเป็นรุ่นของการเปลี่ยนแปลง แถมยังมีการตั้งฉายารุ่นกันแบบขำๆ จากข้อสอบสุดปวดหัวว่ารุ่นผ้าปูโต๊ะ รุ่นต่อมาเป็นรุ่นถั่วเขียว นึกถึงแล้วก็ตลกดี

            "หยกก็งงค่ะพวกเชื่อมโยงเนี่ย ปวดหัววุ่นวายมาก พี่เพื่อนช่วยสอนหน่อยสิคะ" หยกว่าเสียงระริกระรี้ ท่าทางสนใจเพื่อนพี่ชายมากกว่ากองแนวข้อสอบ

            "พี่ลืมหมดแล้ว"

            "ก็ให้ครูสอนพิเศษติวให้ดิ หรือไม่ก็ไปอ่านกับเพื่อนนู่น ที่จริงไม่จำเป็นต้องเอามาให้หยกมันเลยนะ ชั่งกิโลขายน่าจะมีประโยชน์กว่า"

            โดนปฏิเสธทั้งทางตรงและทางอ้อมหยกถึงกับอ้าปากพะงาบๆ เถียงพี่ชายไม่ทัน

            "พี่หลง นี่น้องไง"

            "อ้าวเหรอ"

            "กวนอ่ะ พี่เพื่อนจัดการพี่หลงให้หน่อย"

            เพื่อนเอาแต่อมยิ้มไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างที่หยกขอ อย่างเขาจะไปจัดการอะไรหลงได้ โดนผลักทีเดียวก็หงายหลังแล้ว

            "พี่กลับก่อนดีกว่า"

            "อ้าว เพิ่งมาแป๊บเดียวเอง" หยกร้องเสียงดัง ทำหน้างออย่างขัดใจ มายังไม่ถึงสิบนาทีจะกลับซะแล้ว

            "พี่ต้องกลับไปกินข้าวกับแม่น่ะ"

            "เหรอคะ นึกว่าไปกินกันมาแล้วนะเนี่ย" หยกเหล่มองพี่ชายตัวเอง เห็นมาด้วยกันเธอก็คิดว่าชวนกันไปหาอะไรกินหลังเลิกงานมาแล้วเสียอีก กินเสร็จก็แวะไปเอาหนังสือกับชีทมาให้ถึงได้มาที่นี่ แบบนี้ก็เท่ากับว่าพี่เพื่อนของเธอต้องวนไปวนมาเพื่อเธอเลยสินะ ทำไมแบบนี้ยิ่งชวนให้หลงรักไปกันใหญ่

            "ก็แวะไปเอาหนังสือมาให้เด็กดื้อแถวนี้นี่แหละ สำนึกแล้วก็ตั้งใจอ่านด้วย"

            "ทำไมพี่หลงชอบว่าอ่ะ ดูพี่เพื่อนดิ ยังไม่ว่าอะไรหยกสักคำ"

            "พี่ว่าแทนให้แล้วไง ขนขึ้นห้องไปด้วย" ไม่ยกหางน้องสาวแถมหลงยังชี้นิ้วสั่ง

            หยกยู่หน้าใส่แต่ก็ยอมทำตาม แบ่งกองหนังสือทยอยถือขึ้นห้องเพียงลำพัง หลงมองแล้วยิ้มขำ ไม่มีความคิดว่าอยากจะช่วย เพราะเขายังเหลือสิ่งที่ต้องทำอยู่

            "เดี๋ยวไปส่ง"

 

            ม. 6 เทอม 2

            ชีวิตเด็ก ม.6 นอกจากเรียนแล้วเวลาที่เหลือส่วนใหญ่มักหมดไปกับการติวหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มหลังห้องฝั่งหน้าต่าง ทุกคนต่างขะมักเขม้นกับการหาที่เรียนต่อ ยกเว้นโหน่งที่ได้โควต้าคณะวิศวกรรมแล้วเรียบร้อย

            "กูว่าวันเสาร์นี้จะไปติวโอเน็ต พวกมึงไปมั้ย" เล็กโพล่งขึ้นมาตอนทุกคนกำลังเก็บของเตรียมกลับบ้าน

            "ที่ไหนวะ" เก้หันมาถามหลังจากสะพายกระเป๋าแล้วเรียบร้อย

            "บ้านไอ้เพื่อน"

            "ไกลชิบ"

            "มีใครไปบ้าง" ขวัญถามต่อ

            "มีกู กับ...ไอ้เพื่อน สองคน" เล็กชูสองนิ้วแล้วหัวเราะแห้งๆ อย่างที่รู้กันว่าบ้านเพื่อนไกลที่สุดในกลุ่ม แน่นอนว่าไม่มีใครอยากไป

            "พวกมึงไปกันเถอะ กูมีเรียนพิเศษแล้ว" เต้ยปฏิเสธ แล้วคนอื่นๆ ก็พากันปฏิเสธตาม จนเหลือแค่หลงคนเดียวที่ยังไม่ออกความเห็นอะไร เล็กจึงพุ่งเป้าไปที่เพื่อนตัวอ้วนทันที

            "ไอ้หลง มึงไปด้วยกันนะ อ้างว่าบ้านไกลไม่ได้นะเว้ย"

            "สิบกิโลนี่ไม่ไกลเหรอวะ"

            "เดี๋ยวกูขับมอ'ไซค์ไปรับ โอเคนะ" แล้วเล็กก็ตัดจบไม่ยอมให้หลงเถียงต่อ

            หลงไม่ได้คิดติดใจหรือโมโหอะไรที่โดนมัดมือชก วันเสาร์เขาว่างอยู่แล้ว กวดวิชาก็ไม่ได้ไปเรียนเหมือนคนอื่น แต่ในใจมันกลับคัดค้านอยู่เล็กๆ อยากจะปฏิเสธอ้างเหตุผลนู่นนี่ ยิ่งเมื่อสายตาสบเข้ากับเจ้าของบ้านสถานที่ติว เขายิ่งรู้สึกหวั่นใจ รอยยิ้มนั้น แววตาคู่นั้น มันทำให้ใจเขาไม่สงบเมื่อเผลอจ้องมอง

            เมื่อหลงไม่ตอบอะไรเล็กจึงตัดสินเอาเองว่าคือการตกลง เพื่อนๆ ต่างเก็บของทยอยออกจากห้อง เหลือเพียงหลงที่มักชอบอยู่จนเย็นเลยไม่มีใครรอ กับโหน่งที่วันนี้ไม่หายตัวไปหาแฟนรุ่นน้องเหมือนทุกที

            "เอาไงดี" คำพูดลอยๆ ที่ออกจากปากหลงคล้ายคำถามที่ไม่รู้ที่มาที่ไป แต่โหน่งนั้นรู้ดีถึงสิ่งที่เพื่อนตัวอ้วนต้องการสื่อ

            "ก็ทำตามใจดิ"

            "พูดเหมือนง่าย"

            "แล้วมันยากตรงไหน ยอมรับตัวเองให้ได้ก็พอ" โหน่งไหวไหล่ เขาเป็นเพียงผู้รับฟังไม่ใช่ผู้ชี้แนะ เขาไม่ได้เก่งเรื่องให้คำปรึกษาอะไรนัก แต่สามารถฟังคนพูดมากพล่ามอะไรต่อมิอะไรได้เป็นชั่วโมงโดยไม่หลับ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน มันคือเรื่องของความรู้สึก เขาตัดสินใจแทนหลงไม่ได้ มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองจริงๆ อยู่ที่ว่ากล้าที่จะยอมรับมันหรือเปล่า

            "มันไม่ถูกต้องหรือเปล่าวะ" หลงขมวดคิ้วทำหน้าเครียด นับวันเขายิ่งสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง และยากที่จะทำใจยอมรับเข้าไปทุกที

            "ความรู้สึกมันไม่มีกำหนดถูกผิดหรอกมึง"

            "ทำไมจะไม่มี"

            "ก็มึงไม่ได้ผิดนี่หว่าที่รู้สึกแบบนั้น จิตสำนึกกับสังคมต่างหากที่มองว่าผิด"

            "กูกลัวว่ะ"

            "กูเข้าใจ มันไม่แปลกหรอกที่จะกลัว ก็เลือกทางที่มึงคิดว่าดีแล้วกัน กูไปละ แก้วรออยู่"

            "อืม" หลงพยักหน้าให้ส่งๆ ตอนโหน่งคว้ากระเป๋าลุกเดินออกไปจากห้อง

            หลงถอนหายใจออกมาเสียงดังกับความสับสนที่ตีวนอยู่ในอก เพราะเขาดันเกิดความรู้สึกแปลกๆ กับคนที่ไม่สมควร คนที่ยังไงในชีวิตนี้คงไม่หันมามองเขาในฐานะอื่นนอกจากเพื่อน เป็นความรู้สึกที่ไม่น่ายอมรับ น่าอายและไม่ถูกต้อง เป็นความรู้สึกที่เขาควรขจัดออกไปให้หมดจากใจ ลืมเลือนและอย่าได้ริอาจย้อนคิดถึงมันอีก

            ลืมเลือนและเตือนตัวเองเสมอว่ามัน...ไม่มีทางเป็นจริงไปได้

 

            ช่วงสายของวันเสาร์เล็กขับรถมอเตอร์ไซค์ไปรับหลงที่บ้าน แวะซื้อน้ำกับขนมนิดหน่อยก่อนตรงไปยังสถานที่นัดติว ห่างออกไปไกลเป็นสิบกิโลเมตร ณ บ้านที่มีอ่างบัวตั้งอยู่ด้านหน้า

            ที่บ้านเพื่อนไม่มีใครอยู่ พ่อไปทำงาน ส่วนแม่เมื่อรู้ว่าลูกชายพาเพื่อนมาบ้านก็หาเรื่องออกไปข้างนอก เพื่อนคนที่ลูกชายมักเล่าเรื่องราวดีๆ ให้เธอฟัง คนที่ทำให้เธอแปลกใจเป็นอย่างมาก หากแต่ไม่ได้แสดงการคัดค้านเพราะเธอรู้จักและเข้าใจลูกชายของตัวเองดี

            ห้องนั่งเล่นถูกใช้เป็นห้องเรียนชั่วคราว เพื่อนเอาโต๊ะญี่ปุ่นมากาง ทุกคนนั่งพื้น และมีของกินกับหนังสือล้อมรอบ ส่วนวิชาที่จะติวเป็นวิชาแรกสำหรับการสอบโอเน็ตที่เจ้าของบ้านเสนอคือภาษาไทย

            "ทำไมไม่เอาวิทย์กับคณิตก่อนวะ" เล็กขมวดคิ้วต้านขึ้นมาทันที

            "เพราะมึงอ่อนมาภาษาไทย กูด้วย"

            "กูก็อ่อนทุกวิชานะ"

            "แต่มึงโง่ภาษาไทยที่สุด"

            เล็กเหล่ตามองแต่นึกคำเถียงไม่ทัน ทั้งที่เป็นภาษาบ้านเกิดแต่เกรดวิชานี้กลับไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไร คงโง่จริงอย่างที่เพื่อนมันว่า

            "เออๆ เอาให้กูฉลาดนะมึง อย่างน้อยต้องได้คะแนนเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์"

            "กูอยู่ที่ตัวมึงแล้วล่ะ" เพื่อนบอกปัด ไม่รับปากและช่วยยืนยันอะไรทั้งสิ้น เพราะถึงติวไปแต่ถ้าเล็กมันไม่ขยันอ่านทวน คะแนนหกสิบที่มันหวังคงยากที่จะได้มา

 

            ตั้งใจติวกันได้ชั่วโมงกว่าตัวตั้งตัวตีที่ชวนมาอย่างเล็กก็หนีกลับบ้านกันดื้อๆ เหตุเพราะแม่โทรตามให้กลับไปอยู่เป็นเพื่อนน้องเนื่องจากไม่มีใครอยู่บ้าน ทีแรกหลงจะขอกลับด้วยแต่เล็กไม่ยอมอยากให้อยู่ติวต่อ แม้เจ้าของบ้านไม่ได้บังคับหรือออกความเห็นใด แต่สุดท้ายหลงกลับยังนั่งอยู่ที่เดิม ในบ้านที่มีบรรยากาศแปลกๆ เกิดขึ้นมา

            เมื่อเล็กกลับไปทั้งบ้านก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครชวนคุย หรือปรึกษาหารืออย่างที่ควรเป็น ต่างคนต่างนั่งก้มหน้าฝึกทำข้อสอบ ดูเฉลย และอ่านทวนวนอยู่แค่นั้น

            เพื่อนรู้ดีว่าบรรยากาศน่าอึดอัดนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ไม่แน่ใจว่ามันมาจากเขาคนเดียวหรือเปล่า แล้วเหตุใดเพราะอะไรคนที่คุยเก่งอย่างหลงถึงได้เงียบเหมือนเป็นใบ้ เพราะตั้งใจอ่านหนังสืออยู่อย่างนั้นเหรอ

            เจ้าของบ้านวางปากกาเงยหน้าขึ้นแล้วยืดเส้นยืดสาย เขาลอบมองเพื่อนตัวอ้วนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม คนที่ตอนนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม บรรยากาศรอบตัวหลงดูเปลี่ยนไป

            "จะกลับเลยก็ได้นะ"

            หลงละสายตาจากกระดาษตรงหน้าเงยขึ้นมองเพื่อนเมื่อได้ฟัง นานแล้วที่สมาธิเขาไม่ได้จดจ่ออยู่กับการติว เขากำลังจมดิ่งอยู่กับความคิด คิดวกวนเกี่ยวกับคนตรงหน้า จริงจังและเคร่งเครียดมากไปจนเกิดความรู้สึกอึดอัด

            "ไม่เป็นไร"

            "เห็นหลงทำข้อเดิมมาหลายนาทีแล้วอ่ะ คิดไม่ออกเหรอ" เพื่อนสังเกต เขาเฝ้ามองตลอดว่าหลงกำลังทำอะไร ซึ่งการทักท้วงในครั้งนี้ทำให้เพื่อนตัวอ้วนตกใจอยู่ไม่น้อย

            "เปล่า"

            "อยากกลับบ้านแล้วใช่มั้ย"

            หลงหลบตาไม่ตอบคำถาม ภายในใจเขากำลังตีกันอย่างหนัก ทั้งอยากกลับและอยากอยู่ต่อ แต่เขาก็เลือกที่จะข่มความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องเอาไว้ ในเมื่อสัญญากับตัวเองแล้ว เขาจะไม่ยอมให้สิ่งที่ผิดอยู่เหนือความรู้สึกเด็ดขาด

            "อ่านหนังสือนานๆ มันก็น่าเบื่ออ่ะเนอะ จะกลับเลยก็ได้นะ"

            "อืม" เพราะไม่รู้จะพูดอะไรเลยครางตอบกลับไปสั้นๆ หลงเริ่มเก็บของ พลางเหลือบมองจานขนมกับแก้วน้ำที่ยังวางเกลื่อน เขาควรจะช่วยเก็บทำความสะอาดก่อนกลับ แต่เจ้าของบ้านไม่ติดใจอะไรหากจะปล่อยทิ้งไว้แบบนี้

            "ไม่เป็นไร เดี๋ยวล้างเอง" เพื่อนบอกพร้อมรอยยิ้ม

            หลงพยักหน้ารับโดยไม่ขัด สะพายกระเป๋าลุกขึ้นเดินตามเจ้าของบ้านที่ยังยิ้มแย้มออกไปข้างนอก รอยยิ้มที่มองยังไงก็ดูรู้ว่าแกล้งทำ

            "เดี๋ยวปั่นจักรยานไปส่งหน้าหมู่บ้าน"

 

            จักรยานสีฟ้าที่ได้แถมมาตอนซื้อบ้านเคลื่อนไปตามถนนเส้นตรงในหมู่บ้านที่ทอดยาวไปยังถนนใหญ่ หลงเสนอตัวเป็นคนปั่นให้เพื่อนซ้อน รู้สึกสงสารจักรยานคันนี้อยู่ไม่น้อยที่ต้องรับน้ำหนักคนอ้วนอย่างเขา ไหนจะคนซ้อนที่ตัวไม่ใช่เล็กๆ อีกคน

            "ทำไมปั่นช้า" เพื่อนแซว เมื่อความเร็วในการเคลื่อนที่ของจักรยานคันนี้ต้วมเตี้ยมเหมือนเต่า

            "จะเอาเร็วขนาดไหนล่ะ" น้ำหนักก็มาก ยางก็เหมือนจะแบน ปั่นไปข้างหน้าได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว

            "แต่ช้าๆ ก็ดีเหมือนกัน"

            หลงเลิกคิ้วเอี้ยวไปมองแวบหนึ่งก่อนหันกลับมา เห็นเจ้าของดวงตาสุกใสยิ้มเศร้า แต่เขาไม่กล้าถามว่าเพราะอะไรเพื่อนถึงได้แสดงสีหน้าแบบนั้น จนเมื่อคำพูดอีกประโยคถูกเอื้อนเอ่ยออกมา น้ำเสียงเบาหวิวที่คล้ายคุยกับตัวเอง

            "จะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกสักหน่อย"

            "อะไรนะ" หลงถามย้ำเพราะได้ยินไม่ชัดนัก และไม่แน่ใจว่าตัวเองจับใจความได้ถูกไหม แต่กลับถูกปฏิเสธแถมเพื่อนยังพาเปลี่ยนเรื่อง

            "เปล่า ไม่มีอะไร บ่นไปงั้น เออ แล้วหลงเลือกยังว่าจะเรียนอะไร"

            "ไม่บริหารก็รัฐศาสตร์ล่ะมั้ง"

            "ไม่เข้าจิตรกรรมแล้วเหรอ"

            "คงไม่อ่ะ ไม่น่าจะใช่แนว"

            "แค่ไม่ผ่านสอบตรงครั้งเดียวเอง ถอดใจแล้วเหรอ"

            "ปล่อยให้คนมีฝีมือเขาไปเรียนเถอะ"

            "เฮ้ย หลงก็มีฝีมือนะ"

            "รู้สึกว่ามันยากเกินไปน่ะ ขอผ่านดีกว่า"

            เพื่อนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ หลงวาดรูปได้ ไม่ได้ถึงกับชอบหรืออยากยึดเป็นอาชีพ แค่ได้ลองทำและรู้ว่ามันไม่ใช่เท่านั้นก็พอ

            "แล้วเพื่อนอยากเข้าคณะอะไร"

            "ไม่วิทยาศาสตร์ก็เทคนิคการแพทย์ล่ะมั้ง"

            "ทำไมไม่เรียนแพทย์ไปเลยอ่ะ"

            "ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากเป็นหมอ"

            "อืม...ก็คงไม่เหมาะจริงๆ" รถหยุดในจังหวะเดียวกับที่หลงหันกลับมามอง เพื่อนคิ้วกระตุกกึก แบบนี้มันหลอกด่ากันนี่หว่า

            "ด่าเหรอ"

            "ยังไม่ได้ด่าเลย"

            "ก็บอกไม่เหมาะ"

            "อย่างเพื่อนน่าจะเรียนสัตว์แพทย์แล้วไปอยู่กับหมีโคล่ามากกว่า แข่งว่าใครจะนอนได้เยอะกว่ากัน"

            "ปากร้ายว่ะ"

            "หรือไม่จริง"

            "รีบๆ ลงไปเลย" เพื่อนดันหลังให้หลงลงจากจักรยาน หมั่นไส้ในคำพูดคำจาอย่างบอกไม่ถูก อย่างกับคนละคนกับตอนอยู่ในบ้านยังไงยังงั้น

            หลงหัวเราะอารมณ์ดียอมลงจากจักรยานคว้ากระเป๋าที่ตะกร้าด้านหน้าเดินไปยืนรอรถตรงปากทางหน้าหมู่บ้าน โดยมีเพื่อนปั่นจักรยานตามหลังมา

            เดินมาถึงจุดรอปุ๊บก็เห็นรถตู้วิ่งมาแต่ไกล หลงยกมือโบก หันกลับมามองเพื่อนที่กำลังยิ้มให้ ใจเขาอยากจะลองยกมือขึ้นโบกลาดูสักครั้ง แต่เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำทุกอย่างเลยดูยากเย็นไปเสียหมด หากทำไปแล้วจะกลายเป็นเรื่องแปลกไหม หากทำแล้วอีกคนจะสังเกตถึงสิ่งผิดปกติหรือเปล่า สุดท้ายการจากลาจึงมีเพียงความเงียบเหมือนเดิม

            รถตู้ขับออกไปแล้ว ไกลเกินพอสำหรับคนมาส่ง เพื่อนควรกลับบ้านได้แล้ว แต่เพราะกำลังคิดอะไรบางอย่างทำให้เขายืนมองรถตู้ที่หายไปจากสายตาแล้วอยู่อย่างนั้น

            อีกไม่ถึงเดือนพวกเขาจะเรียนจบ

            อีกไม่กี่เดือนพวกเขาต้องแยกจากกัน

            และอีกไม่นานที่อนาคตกำลังจะเปลี่ยนไป

            เพื่อนไม่รู้หรอกว่าหลังเรียนจบมิตรภาพของความเขาจะเป็นยังไงต่อไป เหมือนเดิมหรือเหินห่าง แต่อย่างน้อยเขาก็อยากลองเสี่ยง อยากลองพูดสิ่งที่อยู่ในใจ หวังว่าผลตอบรับคงไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก

            ขอแค่หลง...ไม่เกลียดเขาก็พอ


-----------------------------

 
            เป็นครั้งที่สองที่หลงเลือกขับมอเตอร์ไซค์มาส่งเพื่อนที่บ้าน คนพูดมากยังคงชวนคุยตลอดทาง พูดโต้ลมจนคนฟังต้องคอยขยับเข้ามาฟังใกล้ๆ ได้ยินบ้างปล่อยผ่านบ้าง ก็ไม่รู้ว่าหลงสรรหาเรื่องอะไรมาเล่าให้ฟังนักหนา จนกระทั่งถึงหน้าหมู่บ้านก็ยังพูดไม่ยอมหยุด

            "คอแห้งมั้ย" เพื่อนแซวตอนรถชะลอความเร็วเลี้ยวเข้ามาในซอย แต่คนพูดมากไม่รับมุกด้วย

            "ทำไมต้องคอแห้ง"

            "พูดมากไง พูดตลอดทางเลยเนี่ย"

            "ยังไม่ชินอีกเหรอ หรือชอบเงียบๆ"

            "หนวกหูแบบนี้แหละดีแล้ว"

            โดนว่าอีกรอบหลงเลยจอดรถมันกลางทางตรงหน้าสวนพอดิบพอดี เพื่อนงงหนัก ชะโงกหน้ามามอง แต่คนขับกลับดับเครื่องยนต์เอาขาตั้งลง เขาเลยต้องยอมลงจากรถด้วยสีหน้าจ๋อยสนิท

            "จอดทำไมอ่ะ อยากบอกนะว่าโกรธ"

            "งั้นมั้ง"

            "ดีๆ ดิ จริงจังนะเนี่ย"

            "จริงจังเหมือนกัน"

            เพื่อนไม่ได้รับรู้ถึงความโกรธจากคำว่าจริงจังที่หลงเอ่ย คนตัวโตยิ้ม ยืนพิงรถเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดาวให้เห็นอยู่ประปราย มันคือความพิเศษอย่างหนึ่งที่คนอยู่ชานเมืองได้รับ ไร้ตึกสูง ไร้แสงสว่างที่กลบแสงจากดวงดาว เป็นสิ่งดีๆ สำหรับค่ำคืนนี้

            "แล้วสรุปจอดรถทำไมเนี่ย" เพื่อนถามติดตลกหลังมองหลงทำลีลาท่ามากอยู่สักพัก

            คนตัวโตหันมามอง ถอนใจเบาๆ หนึ่งทีอย่างช่างใจ เขากำลังคิด อยากหาช่วงเวลาเหมาะๆ เพื่อบอกในสิ่งที่ซ่อนมันเอาไว้ในใจมานาน คำที่เขาควรจะพูดมันเมื่อแปดปีก่อน แต่กลับเลือกโยนมันทิ้งลงเหวลึกแล้วเดินหนีออกมา ตอนนี้เขาอยากพูดคำๆ นั้นให้คนตรงหน้าได้ฟัง

            "แค่คิดว่าอยากจะบอกอะไรสักหน่อย"

            "บอกอะไร"

            "แต่ไว้วันหลังดีกว่า"

            "อ้าว! ชักช้าไม่ดีน้า" เพื่อนทำเสียงล้อเลียน แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่หลงอยากบอกคืออะไรกันแน่ แต่เขารู้สึกว่ามันต้องเป็นเรื่องดี

            "แล้วถ้าช้ากว่านี้จะรอมั้ยล่ะ"

            คำถามนี้ช่วยไขสิ่งที่ค้างคาจนกระจ่างทำให้เพื่อนยิ้มกว้าง เจ้าของดวงตาสุกใสสาวเท้าเข้ามาใกล้เพื่อย้ำคำตอบให้ได้ฟังชัดๆ

            "รอดิ ไหนๆ ก็รอมานานขนาดนี้แล้ว"

            "..."

            "แต่อย่านานนักล่ะ"

            หลงยิ้มรับโดยไม่พูดอะไร เพราะสิ่งที่เพื่อนรอมันแน่ชัดอยู่ในใจเขานานแล้ว

            นานพอ...และพร้อมที่จะเอ่ยมันออกมา


TBC

 
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้า
อีกสองตอนก็จบแล้วววววววว

หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 18 | 19/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-05-2018 19:04:40
 :pig4: :pig4: :pig4:

จะให้เพื่อนรออีกนานขนาดไหนเหรอหลง?

อ่อ...สองตอนไง  อิอิ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 18 | 19/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 19-05-2018 21:15:14
รอด้วยคน
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 18 | 19/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-05-2018 21:38:28
บอกเถอะรอฟังอยู่
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 18 | 19/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 24-05-2018 21:44:32
ตามมาจาก"เหวี่ยงซบฯ"ค่ะ เดินเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไปแถมตอนเปิดมาตอนแรกๆบรรยากาศอึมครึมอีก อ่านไปก็คิดนะว่าน่าจะมาม่าแน่ๆแต่คุณก็บอกไว้ว่าเป็นสายฮีลเราก็โอเคเชื่อคนเขียนค่ะ
ชอบการดำเนินเรื่องแบบสลับพาร์ทปัจจุบันกับอดีตมีความน่าสนใจดีค่ะลุ้นๆอยู่ว่าเพื่อนจะสมหวังไหมจะปวดใจจนเฟลอีกหรือเปล่า แต่พอถึงตอนที่เพื่อนถามหลงตรงๆว่าทำแบบนี้ทำไมแล้วก็ได้คำตอบกลับมาว่าตอนจบของเรื่องจะไม่เหมือนเดิม คือแบบว่าเราถอนหายใจแล้วยิ้มออกเลยล่ะเห็นเค้าลางบรรยากาศหวานๆแน่ๆแล้วถึงจะค่อยๆละมุนแต่ก็ดีต่อใจนะ
อ่านถึงตอนล่าสุดนี่แล้วน่าแฮปปี้เอนดิ้งนะคะเอาแบบนี้นะอยากอ่านโมเม้นท์หวานๆบ้างจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 19 | 29/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 29-05-2018 12:28:26

ฝันครั้งที่ 19


            'เรา...ชอบหลงว่ะ ขอโทษนะที่รู้สึกแบบนี้ แต่ยังไงก็อยากบอกก่อนจะเรียนจบ'

            ประโยคนี้ยังคงดังก้องอยู่ในความคิดของหลงแม้กาลเวลาจะผ่านมานานเกือบทศวรรษ เหตุการณ์วันนั้นที่ลานกิจกรรมข้างโรงเรียนเขายังจำได้ขึ้นใจ ท้องฟ้าฉาบไปด้วยแสงสีส้ม ลานกว้างที่ไร้ผู้คน กับคำสารภาพที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้ยิน

            'รู้เว้ยว่ามันแปลก ไม่ได้หวังให้หลงมาชอบกลับนะ คือจะว่าไงดี คือ...ถ้าหลงจะเปิดใจให้เราสักนิดมันคง...'

            'พะ...พูดอะไรน่ะ'

            'เราชอบหลง'

            'ไม่ตลกด้วยนะ อย่ามาล้อเล่น'

            'ไม่ได้ล้อเล่น'

            หลงยังจำรอยยิ้มนั้นได้แม่น เป็นผลตอบรับเมื่อเขาถามออกไปด้วยความตื่นตกใจ รอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็น รอยยิ้มที่ขาดความมั่นใจ รอยยิ้มที่ไร้เรี่ยวแรงกำลัง

            'อย่างเพื่อนน่ะเหรอจะมาชอบคนอ้วนน่าเกลียดแบบเรา อย่างเพื่อนน่ะเหรอจะชอบ...ผู้ชาย'

            หากย้อนเวลากลับไปได้หลงจะทำเพียงรับฟังเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร จะเก็บทุกความคิดแง่ลบเอาไว้ในใจ จะปิดปากเอาไว้ ความกลัวจะได้ไม่ทำให้เขาพูดสิ่งแย่ๆ ออกมา

            'จะแกล้งกันเหรอ'

            'แกล้งอะไร'

            'ใครปากโป้ง ไอ้โหน่งเหรอ มันเอาไปเรื่องนั้นไปบอกใช่มั้ย'

            'เรื่องอะไร แล้วโหน่งเกี่ยวอะไร'

            'อย่าทำเป็นไม่รู้ อย่าคิดว่าหน้าตาดีแล้วทุกคนจะชอบนะเว้ย อย่าคิดว่าจะบอกชอบใครก็ได้ อย่าคิดจะมาล้อเล่นกับความรู้สึกคน ใครจะไปเชื่อวะ สนุกกันมากมั้ย แต่กูไม่สนุก'

            'หลง!'

            'กูไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างมึงจะมาชอบคนอย่างกู'

            หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาอยากมีสติมากกว่านี้ เขาจะรับฟัง ปล่อยให้ความเงียบเป็นการปฏิเสธ เขาจะไม่เดินหนีโดยที่ทุกอย่างยังค้างคา

            และเขาจะ...ไม่พูดจาไร้ความยั้งคิดแบบนั้นออกไปเด็ดขาด

 

            'เลิกงานแล้วมาเจอกันที่ลานข้างโรงเรียนหน่อยนะ'

            เพื่อนลงรถตู้ที่หน้าโรงเรียนเก่าในยามที่ท้องฟ้าอาบไปด้วยสีส้ม เขาหันไปทางซ้าย เดินตรงไปยังลานกิจกรรมข้างโรงเรียนตามที่ใครบางคนนัดเอาไว้ ที่ที่สมัยเรียนเขาเคยแวะมาอยู่บ่อยครั้ง เป็นสถานที่แห่งความทรงจำ ทั้งในยามที่มีความสุขและในยามที่เจ็บปวด

            แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนความสงบยามเย็นของที่แห่งนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ช่วงนี้ไม่มีน้องๆ นักเรียนมาทำกิจกรรมคนเลยไม่พลุ่กพล่านนัก เพียงเดินหลบมุมจากจุดเต้นแอโรบิคเข้ามาด้านในก็กลายเป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัว ณ ม้านั่งข้างสนามเด็กเล่นเล็กๆ ที่มีคนตัวโตนั่งรออยู่

            เพื่อนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าม้านั่ง เอียงคอมองหลงที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างสงสัย มีคำถามหนึ่งที่ยังค้างอยู่ในใจ คำถามที่เขาอยากรู้ว่าทำไมหลงถึงต้องนัดมาที่นี่

            "นัดมาที่นี่ทำไมเนี่ย"

            หลงไม่ตอบในทันที เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนค่อยๆ ผ่อนออกมาแล้วยิ้มให้กำลังตัวเอง

            สิ่งที่เขาจะบอกไม่ใช่คำตอบของคำถาม แต่มันคือสิ่งที่เพื่อนอยากได้ยินมากที่สุด

            "เรา...ชอบเพื่อนว่ะ"

            น้ำเสียงที่เจือความกลัวอยู่เล็กๆ ทำเอาคนฟังเบิกตากว้างตกตะลึงไปชั่วขณะ เหตุการณ์นี้มันอยู่เหนือความคาดหมาย เพื่อนเคยคิด แต่ไม่คาดคิดว่าหลงจะพูดมันออกมาเร็วขนาดนี้ เขาไม่สะกิดใจเลยว่าการนัดเจอกันที่นี่จะกลายเป็นฉากสารภาพ สถานที่เดียวกันที่เขาเคยสารภาพกับหลงเมื่อแปดปีก่อน

            "ขอโทษนะที่รู้สึกตัวช้าไป แต่ยังไงก็อยากบอกก่อนเพื่อนจะเปลี่ยนใจให้ใครคนอื่น"

            ความตื่นเต้นดีใจที่มีถูกกดเอาไว้ ประโยคทำนองนี้เพื่อนจำได้ขึ้นใจ เป็นละครฉากเดิมตัวละครเหมือนเดิม เพียงแค่สลับบทกันเล่นก็เท่านั้น เขาไม่โกรธที่หลงเลือกใช้คำพูดที่เขาเคยพูด และอยากฟังต่อไปเรื่อยๆ ว่ามันจะถูกเปลี่ยนแปลงไปยังไงอีกบ้าง

            "รู้ว่ามันแปลก ก็หวังให้เพื่อนยังรักอยู่ คือจะว่าไงดี คือ...ถ้าเพื่อนจะยินดีบอกว่ายอมคบกันมันคง...'

            "พูดอะไรน่ะ"

            หลงชะงักกึกไปต่อไม่เป็นเมื่อโดนขัด มันเป็นเหมือนบทลงโทษที่เขาปรับเอาคำพูดที่เพื่อนเคยพูดกับเขามาใช้ บวกกับสายตาและน้ำเสียงที่คล้ายกับถอดแบบเขาเมื่อครั้งยังเป็นเด็กอ้วนมาไม่มีผิด ทำเอาใจที่เล็กอยู่แล้วหดเล็กลงไปอีก มันคงไม่ใช่การแก้แค้นหรอกใช่ไหม

            "เรารักเพื่อน"

            "ไม่ตลก อย่ามาล้อเล่น"

            หลงสาวท้าวเข้าไปใกล้คนที่ยืนทำหน้านิ่งเล่นบทโหด ต่อให้เป็นการแก้แค้นจริงเขาก็ไม่กลัวอยู่แล้ว จะทำให้กลับมารักเหมือนเดิมให้ได้

            "ไม่ได้ล้อเล่น"

            สายตามุ่งมั่นมองตรงมาอย่างไม่ลดละ เพื่อนไม่ยอมหลุดยิ้ม หากเป็นละครเรื่องเดิมที่สลับบทกันเล่นประโยคต่อไปเขาต้องเป็นฝ่ายพูด แต่ในเมื่อมันคือละครที่ถูกนำมาทำใหม่ ตอนจบย่อมไม่มีทางเหมือนเดิม

            "มองตาหลงนะ" หลงขยับใกล้เข้ามาอีกก้าว ชวนเล่นเกมจ้องตาที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกโรแมนติกสักเท่าไร

            "ก็มองอยู่เนี่ย" และแล้วเพื่อนก็หลุดขำออกมา

            "อย่าหัวเราะดิ จริงจังอยู่"

            "ก็อย่าหน้าแดงดิ เขินเหรอ"

            จากความร้อนบนใบหน้าที่หลงรู้สึกหน้าเขาคงแดงอย่างที่เพื่อนว่า ก็ทำไงได้ เกิดมายังไม่เคยสารภาพรักกับใครแบบนี้มาก่อน ตอนอ้วนก็มีแค่คนคนเดียวที่หลงผิดมาชอบ พอผอมเขาก็ไม่ได้สนใจมองใครเลย

            "เขินดิ เพิ่งเคยบอกรักใครสักคนครั้งแรก"

            "อย่ามาโกหก ไม่เคยจีบใครเลยเหรอ"

            "เคยเห็นจีบมั้ยล่ะ"

            "ตอนเรียนน่ะไม่เคย แต่หลังจากนั้นใครจะรู้ หล่อแล้วนี่ ไม่เคยจีบใครแต่น่าจะมีสาวมาจีบบ้างล่ะ"

            "ก็อาจจะมีล่ะมั้งแต่ไม่ได้สนใจ"

            "ทำไมอ่ะ ไม่มีคนถูกใจเลยเหรอ"

            "ฟังนะ มีอะไรจะสารภาพ"

            เพื่อนไม่ถามอะไรต่อ ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ รอฟังอย่างตั้งใจ หลงยังมีอะไรจะสารภาพให้ฟังอีก

            "ที่จริงก็ชอบมานานแล้วล่ะ"

            หัวใจที่พองโตอยู่แล้วฟูฟ่องยิ่งกว่าเดิม เพื่อนไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้มาก่อน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ารักครั้งนี้สมหวัง แต่คำสารภาพกลับมีอะไรมากกว่านั้น อะไรบางอย่างที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้มาถึงแปดปี

            "ตอนนั้นก็ชอบเพื่อนอยู่เหมือนกัน"

            "ชอบ...เหมือนกันเหรอ"

            "เพราะคิดว่าโดนแกล้งเลยพูดออกไปแบบนั้น โหน่งรู้เรื่องนี้นะ เป็นคนเดียวที่เคยไปปรึกษา แล้วก็คิดว่าโหน่งเอาเรื่องนี้ไปบอกเพื่อนแล้วมาจัดฉากแกล้งบอกรักอะไรแบบนี้ ก็ใครจะไปคิดว่าคนดังของโรงเรียนจะมาชอบคนอ้วนๆ น่าเกลียดได้ อีกอย่างเราเป็นเพื่อนกันด้วย"

            เพื่อนอ้าปากค้าง ตกตะลึงยิ่งกว่าตอนโดนสารภาพรักก่อนหน้านี้เสียอีก เขาไม่เคยคิดเลยว่าหลงจะมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน แม้คำพูดอันโหดร้ายเมื่อแปดปีที่แล้วจะฟังดูแล้วตะขิดตะขวงใจอยู่ก็ตาม แต่เพราะเสียใจ เพราะกำลังเจ็บปวดเลยไม่ทันได้คิดว่าเรื่องจะพลิกล็อกเป็นแบบนี้

            "หลังจากนั้นก็ไปหาเรื่องไอ้โหน่งมันด้วยนะ เพราะคิดว่าร่วมมือกัน มันพยายามอธิบายให้ฟังแต่ก็โกรธกันไปพักหนึ่ง นึกถึงแล้วก็ตลกดี"

            "ทำไมมองโลกแง่ร้ายแบบนั้นล่ะ คิดว่าจะกล้าวางแผนแกล้งอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ" เพื่อนถามอย่างไม่เขาใจ ทั้งที่เป็นเพื่อนกัน ไม่เคยมีเรื่องผิดใจกัน ไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยคิดร้ายต่อกันเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมหลงถึงคิดว่าเขากับโหน่งจะร่วมมือกันแกล้งได้

            "ก็เพราะกลัวไง เพราะขี้ขลาด ไม่คิดว่ามันคือเรื่องจริง อายที่จะยอมรับ สังคมตอนนั้นมันเปิดกว้างซะที่ไหน เลยเลือกที่จะเดินหนีให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป"

            เพื่อนเข้าใจแล้ว เข้าใจความรู้สึกหลงในตอนนั้นเป็นอย่างดี ด้วยความต่างและการยอมรับในสังคม เพราะกลัวจึงได้สร้างเกราะคุ้มกันตัวเองขึ้นมา แล้วตอนนี้ล่ะ หลงกล้าที่จะยอมมันจริงๆ แล้วใช่ไหม

            "แล้วตอนนี้ล่ะ"

            "ไม่กลัวแล้ว ไม่อายด้วย"

            "จริงอ่ะ"

            "ให้พิสูจน์มั้ยล่ะ" หลงขยับเข้ามาใกล้อีกก้าว เพื่อนไม่ถอยหนีแถมยังมองกลับด้วยสายตาท้าทาย

            ใบหน้าแสนน่าหลงใหล แววตาสุกใสเป็นประกาย ลักยิ้มบนแก้มขวาที่มีเสน่ห์ ใครจะคิดว่าผู้ชายที่หลายคนหมายปองจะหยุดอยู่ที่เขา ตรงหน้าชายตัวอ้วนที่เคยปฏิเสธและวิ่งหนี คนที่พยายามเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นเผื่อว่าสักวันหนึ่งคนที่เขาทอดทิ้งไว้จะกลับมา และเขาคนนั้นก็กลับมาจริงๆ

            "ขอโทษนะที่ให้รอนาน"

 

            คืนนี้หลงไม่อยากกลับบ้าน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่ในบ้านที่มีอ่างบัวตั้งอยู่ด้านหน้าตอนห้าทุ่มแบบนี้ หลังจากสารภาพและตกลงคบกันเป็นเรื่องเป็นราว อารมณ์มันก็คงคล้ายคู่ข้าวใหม่ปลามัน และหากถามว่าเก็บความรู้สึกมาได้นานแปดปีขนาดนี้เขามีความต้องการบ้างไหม แรกๆ ก็คงไม่ แต่มาถึงตอนนี้เขาเองก็อยากจะลองทำอะไรที่ยังไม่เคยดูเหมือนกัน

            หลงกดปลายจมูกลงบนกลุ่มผมของคนที่หนุนแขนเขาต่างหมอน ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมเพื่อนถึงได้ชอบแขนเขาขนาดนี้ จะว่านุ่มนิ่มแบบเมื่อก่อนก็ไม่ใช่ แต่ถึงจะสงสัยยังไงเขาก็ยินยอมให้อีกฝ่ายหนุนอยู่ดี

            "ทำอะไร" เสียงงัวเงียถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ เพื่อนเงยหน้าขึ้นทั้งที่ยังหลับตา เมื่อรู้สึกว่าหน้าผากสัมผัสกับอะไรบางอย่างถึงได้ลืมตามอง

            "แผนเหรอ" ริมฝีปากขยับพูดเกือบชนปลายจมูกโด่งรั้น หลงไม่สามารถคิดเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากเพื่อนแกล้งหลับ รู้ตัวว่าโดนเขาหอมผม แถมโดนหอมหน้าผากอยู่ยังไม่ยอมขยับหนี

            "แผนอะไร"

            "แผนให้ลักหลับ"

            "ทำไมต้องใช้แผน" บอกเป็นเชิงปฏิเสธแล้วก้มหน้าลงนอนหลับตาหนุนแขนเหมือนเดิม

            "จะไปรู้เหรอ"

            "อยากทำอะไรก็ทำไปแล้ว ไม่เห็นต้องใช้แผน"

            "เหรอ"

            "แต่คืนนี้ขอนอนก่อน"

            "แบบนี้ก็ได้เหรอ" หลงถามกลั้วหัวเราะ พูดเหมือนจะล่อลวงเขาทำอะไรสักอย่างแล้วก็ตัดบทไปดื้อๆ มันใช้ได้ที่ไหน

            "ได้"

            "ไม่ได้" ให้ตายยังไงหลงก็ไม่ยอม

            คนตัวโตพลิกตัวขึ้นคร่อมเพื่อนเอาไว้ ล็อกสองแขนไว้เหนือหัวทำตัวเลียนแบบพระเอกละคร ด้านคนที่โดนจู่โจมโดยไม่รู้ตัวได้แต่มองตามอย่างงงๆ ไม่มีการขัดขืนหรือบอกห้าม เพราะเพื่อนไม่เคยคิดถึงการกระทำแบบนั้นอยู่แล้ว จะขัดขืนหวงตัวไปทำไมให้เปลืองแรง

            "ดึกแล้วนะ เดี๋ยวแม่ตื่น"

            "จะร้องเสียงดังเหรอ"

            "หืม ใครร้อง"

            "จะรอฟังแล้วกัน"

            หลงก้มลงปิดปากคนช่างท้าทายด้วยปาก ทีแรกก็ไม่คิดว่าจะเล่นอะไรแบบนี้แต่พอบทพูดมันส่งเลยต้องจัดการเสียหน่อย

            "ใจเย็นดิ" เพื่อนเบี่ยงหน้าหลบหลังจากรับจูบชุดใหญ่ แขนทั้งสองข้างถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เขาจึงผลักไหล่หลงออกไปนอนข้างๆ ก่อนจะโดนรวบเอาเข้าไปกอด

            "ยังไม่ได้ใจร้อนอะไรเลย"

            "ก็นี่อ่ะใจร้อน ไม่เคยเห็นหลงทำตัวหื่นกาม"

            "หื่นกามเลยเหรอ"

            "หรือไม่หื่น"

            "ก็คงหื่นมั้ง เกิดมาเพิ่งจะเคยโดนด่าว่าหื่นนี่แหละ"

            "ถามจริง ยังซิงอยู่ป้ะเนี่ย"

            หลงหลุดขำ ไม่คิดว่าจะโดนถามอะไรแบบนี้ ถึงเขาจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แถมยังไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นคน แต่เรื่องอย่างว่าก็ไม่ใช่คนอ่อนประสบการณ์อะไร

            "ไม่ซิงแล้ว"

            "ไปเอากับใครมา"

            "ถามขนาดนี้ไม่ถามเลยล่ะท่าไหน"

            "ถามได้เหรอ"

            "ประชด" น่ามันเขี้ยวจนหลงเผลอลงโทษด้วยการเขกหัวไปหนึ่งที

            เพื่อนย่นจมูกใส่ อยากประทุษร้ายคืนอยู่เหมือนกันแต่เพราะตาใกล้จะปิดเต็มทีเลยนอนนิ่งๆ หนุนแขนแบบที่ชอบให้คนตัวโตกอดอยู่อย่างนั้น

            จะว่าไปมันก็เหมือนฝัน คนหนึ่งคือเดือนที่หลายคนอยากไขว่คว้า กับอีกคนที่เป็นทรายเม็ดเล็กๆ ไม่เปล่งประกาย ไม่มีแสงสว่าง แต่มีความงดงามอยู่ในตัว หากแต่เดือนและเม็ดทรายต่างใฝ่ฝันถึงกัน เดือนที่มั่นใจ เม็ดทรายที่เจียมตัว แน่นอนว่าเม็ดทรายไม่มีทางเอื้อมถึงเดือนได้ แต่เม็ดทรายเปล่งประกายภายใต้แสงเดือนได้ อย่างเช่นในวันนี้

            ความรักเป็นจุดเริ่มต้น ความกลัวเป็นตัวทำลาย กาลเวลาคือสิ่งเยียวยา ความกล้าคือการเริ่มต้นใหม่ และการเปลี่ยนแปลงคือตัวแปรของความสำเร็จ

            หรือแท้จริงแล้วฝันที่เป็นจริงได้นั้น เป็นเพราะไม่มีใครที่เปลี่ยนแปลงไปเลย


TBC

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ตอนหน้าบทส่งท้ายแล้วววววววว
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 19 | 29/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-05-2018 13:00:22
 :pig4: :pig4: :pig4:

กะแล้วเชียวว่าใจตรงกันตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน   

เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงห่างกันไป

เพิ่งมาเข้าใจก็ตอนที่เฉลยนี่แหละ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 19 | 29/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 29-05-2018 16:26:45
ตอนแรกมาอึมครึมนิดหน่อยแต่ตอนนี้ละมุนจังค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 19 | 29/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 29-05-2018 18:50:54
เฮ้อ...ลงเอยกันสักที รอบทส่งท้ายนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 19 | 29/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 29-05-2018 19:29:41
ชื่นใจ บอกรักกันแล้ว
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 19 | 29/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 29-05-2018 21:09:28
ละมุนมากค่ะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งที่ 19 | 29/05/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-05-2018 23:38:37
ลุ้นอยู่ตั้งนาน คบกันล้วๆ~~~~
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 02-06-2018 20:17:52

ฝันครั้งสุดท้าย

            นอกจากวันที่ท้องฟ้ายามเย็นถูกฉาบไปด้วยสีส้มแล้ว วันที่หลงรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกันคือวันปัจฉิมนิเทศในวันจบการศึกษา ทั้งที่เคยพูดคุยหยอกล้อ ในวันนั้นกลับเฉยเมยห่างเหิน และความสัมพันธ์ของพวกเขาก็จบลงที่ตรงนั้น

ก่อนมันจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ในวันนี้

            "ยินดีด้วยนะ"

            คำกล่าวแสดงความยินดีดังขึ้นไม่ขาดสายท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น เมื่อบ่าวสาวเดินลงจากเวทีเพื่อพบปะแขกที่มาร่วมงานมงคลสมรสในวันนี้ คู่รักมาราธอนที่ในที่สุดก็แต่งงานกันเสียที

            "กูนึกว่าพวกมึงจะอยู่กินโดยไม่แต่งแล้วนะ" เล็กว่าแกมหยอก มองเพื่อนผิวเข้มที่วันนี้หล่อเป็นพิเศษในชุดเจ้าบ่าว กับเจ้าสาวที่วันนี้สวยขึ้นจนผิดหูผิดตา

            "มันต้องพร้อมก่อนเว้ยเรื่องแบบนี้ อีกอย่างพ่อแม่กูอยากอุ้มหลานแล้ว"

            "หรือว่าแก้วท้อง"

            "ยังเลยพี่ขวัญ เนี่ย เข้าหอแล้วจะรีบปั้มเลย"

            "เอามาดองกับเนวี่ดิ" เต้ยบุ้ยปากไปทางเล็ก พูดถึงลูกชายวัยขวบเศษ หลานชายคนแรกของกลุ่ม

            "อย่าเลยว่ะ กูเกรงใจ" โหน่งปฏิเสธขึ้นมาทันทีทำเอาทั้งกลุ่มหัวเราะครื้น

            เล็กยังคงบ่นไปตามประสา แย่งกันพูดกับขวัญเสียงดังจนดูคล้ายกับทะเลาะกันมากกว่า ผิดกับเจ้าของฉายาหลงหลับ คนที่โหน่งได้ยินเพียงคำอวยพรไม่กี่ประโยคแล้วนั่งมองความเป็นไปอยู่เงียบๆ คนที่ดูมีออร่าสุขสมหวังกับความรักไม่ต่างจากเขา

            "กูไปโต๊ะอื่นก่อนนะ ตามสบายนะพวกมึง อยากได้อะไรเพิ่มก็บอก"

            "ได้ครับเพื่อน มึงไปดูแลโต๊ะอื่นเถอะ พวกกูอยู่ได้" เล็กบอกอย่างแข็งขัน ชูแก้วเหล้าในมือโชว์ให้โหน่งดูว่าพวกเขาอยู่ได้สบายมากถ้ามีเจ้าสิ่งนี้ ส่วนเจ้าของงานนั้นขอแค่พวกมันไม่เมาเละเทะกันก็พอ

            โหน่งมองเพื่อนๆ ทุกคนที่มาร่วมยินดีแล้วยกยิ้มบางๆ ก่อนเขาจะหยุดสายตาอยู่ที่หลง อดีตเพื่อนตัวอ้วนที่ตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปเหมือนเป็นคนละคน แต่ที่ไม่เปลี่ยนเห็นทีจะเป็นความรู้สึกที่มีให้คนที่นั่งอยู่ข้างกัน เพื่อนที่ชื่อเพื่อน เจ้าของรอยยิ้มสดใสที่มอบมาให้ก่อนเขาจะเดินผละออกมา

 

            งานสังสรรค์ดำเนินไปด้วยความยินดีปรีดาจนดึกดื่น หลงปลีกตัวออกมาเมื่อเพื่อนๆ ที่โต๊ะเริ่มยัดเยียดแอลกอฮอล์ให้ แวะเข้าห้องน้ำแล้วออกมายินที่ริมระเบียงหน้าห้องจัดเลี้ยง มองดอกไม้ที่ประดับหน้างาน ผู้คนที่ใส่ชุดสวยๆ ของชำรวย และรูปพรีเวดดิ้งของบ่าวสาว เขามองแล้วยิ้มให้กับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น งานมงคลที่คงไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเขา

            ยืนอยู่คนเดียวได้ไม่นานนักที่ว่างข้างๆ ก็มีคนมาจับจอง หลงหันไปมองแล้วเลิกคิ้วอย่างนึกแปลกใจ ไม่คิดว่าเจ้าบ่าวจะมีเวลาว่างมาเตร็ดเตร่แบบเขาด้วย

            "มายืนเหงาอะไรตรงนี้" โหน่งถาม เขาเห็นหลงยืนทอดอารมณ์อยู่ตรงนี้ได้สักพักแล้ว

            "ก็นิดหน่อย"

            "หืม...ยังเหงาอีกเหรอ"

            หลงมองกลับอย่างรู้ความหมาย โหน่งรู้เรื่องของเขาดี และเป็นคนเดียวที่รู้ แม้เขายังไม่เคยเอ่ยถึงความสัมพันธ์ครั้งใหม่นี้ แต่คิดว่าโหน่งคงดูออก

            "ก็พูดไปงั้น"

            "คบกันแล้วเหรอ"

            "อืม"

            "โคตรทรหดเลยว่ะ"

            "เหมือนมึงนั่นแหละ"

            "เหมือนตรงไหนวะ กูคบเป็นเรื่องเป็นราวนะ แต่มึงสองคนได้แค่แอบชอบ หวิดจะแตกหักกันอีก แล้วนี่ไม่คิดจะเล่าให้ฟังหน่อยเหรอวะว่าเป็นไงมาไง ใครอะไรใครก่อน"

            "กูรู้ว่ามึงดูออก ไม่ต้องมาหลอกถาม"

            "กูไม่ใช่พ่อหมอนะจะได้รู้ไปหมดทุกเรื่อง รู้แค่ว่าระหว่างมึงสองคนมีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่เอาจริงๆ ถ้ากูไม่เคยรู้เรื่องพวกมึงมาก่อนก็คงดูไม่ออกเหมือนกัน" เพราะเป็นคนที่หลงคอยมาระบายเรื่องต่างๆ ให้ฟังโหน่งจึงเข้าใจ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเขายังคอยสังเกตและพร้อมรับฟังเสมอ

            "มึงว่าคนอื่นจะดูออกมั้ย"

            "ไอ้พวกนั้นน่ะนะ"

            "อืม"

            "ที่มึงไม่ยอมเปิดเผยเพราะห่วงเรื่องนี้เหรอ"

            ก่อนจบ ม. 6 หลงกับโหน่งทะเลาะกันจนเกือบมีเรื่องชกต่อยเพราะความลับเรื่องนี้ ไม่บ่อยที่โหน่งเคยเห็นหลงโกรธ แน่นอนว่าเพื่อนตัวอ้วนผู้รักความสงบไม่เคยลงไม้ลงมือกับใครมาก่อนเช่นกัน แต่เพราะความเข้าใจผิด ความกลัว และความรู้สึกที่สับสนทำให้คนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โหน่งเข้าใจและไม่เคยคดถือสาเมื่อได้รับคำขอโทษ นั่นจึงทำให้มิตรภาพของพวกเขายืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้

            โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือสั่นเป็นจังหวะจึงได้พลิกมันขึ้นมาดูโดยที่ยังไม่ได้ตอบคำถาม โหน่งเผลอมองตาม ไม่ได้ตั้งใจจะแอบดู แต่พอรู้ว่าใครแชตมาตามเขาก็เลือกที่จะลืมคำถามก่อนหน้านี้ไป

            "แฟนตาม" เจ้าบ่าวยิ้มล้อ

            "กูเข้าข้างในก่อนนะ จะไปด้วยมั้ย"

            "ไปเถอะ เดี๋ยวกูต้องไปรอส่งแขก"

            หลงยกยิ้ม ตบบ่าเพื่อนสองทีก่อนเดินกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง

            แม้จะผ่านมานานแค่ไหนโหน่งก็คือโหน่ง เพื่อนที่เคยนั่งโต๊ะข้างกัน และผู้รับฟังที่ทำให้หลงสบายใจอีกคนหนึ่งเมื่อเขาได้พูด

 

            หลังจบงานทุกคนต่างก็แยกย้าย เมามายบ้างแต่ไม่ถึงกับไม่มีสติขับรถกลับ บ่าวสาวออกมาส่งหน้างาน พวกเขาอวยพรและกอดลากันก่อนจากลา

            หลงมาส่งเพื่อนถึงบ้านตอนใกล้ห้าทุ่ม ถูกชักชวนให้เข้าไปข้างในซึ่งหลงไม่ปฏิเสธเหมือนทุกที แม้คุณแม่จะยังอยู่รอรับลูกชายกลับจากงานแต่งเพื่อนก็ตาม

            "สวัสดีครับแม่"

            "สวัสดีจ้ะ"

            เป็นครั้งแรกที่หลงสามารถเรียกหญิงสาวตรงหน้าว่าแม่ได้อย่างเต็มปาก เธอยิ้มกว้างตอบรับ ไม่คิดผลักไสหรือคัดค้านกับสถานะของพวกเขา รับรู้และยอมรับมันได้มานานแล้ว

            "เป็นไงบ้าง สนุกมั้ย ถ่ายรูปมาให้แม่ดูหรือเปล่า"

            "รูปเพียบเลยแม่ งานสวย แต่รอโหน่งมันอัพลงก่อนเดี๋ยวเอาให้ดู"

            "แล้วหลงจะค้างที่นี่มั้ยลูก" เธอหันมาถามหลงหลักจากได้คำตอบจากลูกชาย ลุกจากโซฟาเตรียมตัวขึ้นห้องนอน

            หลงยิ้มรับบางๆ ยังไม่ตอบในทันที เขาเหล่มองเพื่อนที่เอาแต่ยืนยิ้มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ความจริงคำถามของแม่ไม่ได้ต่างจากการเชื้อเชิญ พักหลังนี้เขาก็มาค้างที่นี่ออกจะบ่อย ถ้าอยู่ค้างอีกสักคืนจะเป็นไรไป เสื้อผ้าก็มีเก็บไว้ที่นี่อยู่แล้ว

            "ค้างครับ"

            "งั้นก็ไปเอารถเข้ามาจอดในบ้านไป อาบน้ำอาบท่านอน เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ทำข้าวเช้าให้กิน"

            "ครับ"

            "งั้นแม่ไปนอนก่อนนะ"

            "ฝันดีครับแม่"

            "ฝันดีจ้ะ" เธอขานรับลูกชายก่อนปลีกตัวเดินขึ้นชั้นบน

            หลงออกไปเอารถเข้ามาจอดในบ้านตามที่แม่บอก ตั้งแต่เขามาหาเพื่อนบ่อยๆ ที่จอดรถข้างๆ รถแม่ก็กลายเป็นของเขาไปแล้ว เนื่องจากลูกชายคนเดียวของบ้านขับรถไม่เป็นและไม่คิดจะซื้อรถมาใช้ แต่นั่นใช่ปัญหาใหญ่ เพราะตอนนี้ลูกชายบ้านนี้มีคนขับรถรับส่งเป็นของตัวเองแล้ว

            หลงกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งพร้อมถุงกระดาษที่เพื่อนไม่ทันได้สังเกตว่ามันถูกวางไว้ในรถตั้งแต่เมื่อไร เขานั่งบนโซฟา วางถุงกระดาษไว้บนโต๊ะด้านหน้า คนที่กำลังเล่นโทรศัพท์ตอบแชทเพื่อนๆ จึงวางมันลงแล้วหันมาสนใจสิ่งที่คนตัวโตกำลังทำแทน

            "ซื้ออะไรมา"

            "ของขวัญ" หลงตอบพลางหยิบกล่องสีดำที่มีโบว์สีแดงผูกไว้กล่องแรกออกมาจากถุง

            "ของขวัญอะไร"

            "วันเกิด"

            "วันเกิดอะไรยังไม่ถึงเลย ของหลงก็ยังไม่ถึง" เพื่อนถามเสียงหลงอย่างแปลกใจ มันจะเป็นของขวัญไปได้ยังไง ในเมื่อวันเกิดเขาตั้งแต่งานคืนเหย้าก็เลยมาหลายเดือนแล้ว หรือว่าเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้จะให้ของขวัญย้อนหลัง

            "เกิดอยากจะให้"

            "ตลกแล้ว"

            หลงยิ้มแล้วไม่พูดอะไรต่อ เขาหยิบกล่องสีดำผูกโบว์สีแดงอีกกล่องออกมาวางคู่กัน เมื่อเปิดกล่องเพื่อนจึงเห็นว่ามันคือนาฬิกา เรือนหนึ่งสายสีดำ ส่วนอีกเรือนสายสีน้ำตาล

            "คิดว่านาฬิกาคงเหมาะกว่าแหวนหรือสร้อยคอน่ะ" หลงหยิบเรือนสายสีน้ำตาลขึ้นมาก่อนแบมือไปตรงหน้าเพื่อน

            เจ้าของดวงตาสุกใสยิ้มกว้างจนเห็นแก้มบุ๋มข้างขวา วางมือข้างซ้ายบนฝ่ามือใหญ่ มองหลงใส่นาฬิกาข้อมือเรือนนั้นให้อย่างนึกเอ็นดู

            เพื่อนรู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นสิ่งนี้ มันคือของธรรมดา เป็นเครื่องประดับที่ทุกคนสวมใสในชีวิตประจำวัน ไม่โจ่งแจ้งและเป็นธรรมชาติ เขาคิดว่ามันเหมาะกับหลงที่สุด

            "เสร็จแล้ว"

            เพื่อนยกมือขึ้นหมุนซ้ายขวา มองนาฬิกาเรือนสวยบนข้อมือแล้วยิ้มชอบใจ

            "ของหลงสีดำเหรอ"

            "ใช่ หรืออยากได้สีดำ"

            "ไม่อ่ะ สีน้ำตาลแหละเหมาะแล้ว มาๆ เดี๋ยวใส่ให้"

            เพื่อนหยิบนาฬิกาสายสีดำในกล่องขึ้นมาใส่ให้หลงบ้าง ใส่เสร็จก็จับแขนให้มาวางคู่กันแล้วถ่ายรูปเก็บเอาไว้

            ของขวัญชิ้นแรกหลังจากเลื่อนสถานะจากเพื่อนมาเป็นคนรัก

            "ขอบคุณนะ"

            ขอบคุณที่ได้รู้จัก

            ขอบคุณทุกอย่างที่มอบให้กัน

            ชอบคุณที่อดทนรอคอย

            ขอบคุณที่กล้าเปลี่ยนแปลง

            และขอบคุณที่รักกัน


END


จบแล้ววววววววววว ลากมาเกือบครึ่งปีเลยทีเดียว
เราเขียนเรื่องนี้เพราะอยากเล่าถึงความธรรมดาในชีวิต
ตื่นนอน ไปเรียน ไปทำงาน กลับบ้าน เที่ยวเล่นบ้าง
บวกกับความทรงจำสมัยมัธยมที่เราชอบเวลาช่วงนั้นเป็นพิเศษ
เลยทำให้เรื่องนี้มีการสลับพาร์ทปัจจุบันกับอดีตไปมา
เป็นนิยายเรื่อยๆ ที่ไม่หวือหวา ของผู้ชายธรรมดาที่ชื่อหลงกับเพื่อนค่ะ ^^
ส่วนรูปเล่มจะออกช่วงปลายปีนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนสุดท้ายนะคะ
แล้วเจอกันใหม่เรื่องหน้าค่า

หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-06-2018 20:30:28
ราบเรียบแต่อบอุ่นไปถึงใจ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-06-2018 20:34:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kosmos ที่ 02-06-2018 21:18:03
ความธรรมดาที่ทำให้หัวใจอบอุ่น
ชอบจัง
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 03-06-2018 07:06:28
ตามอ่านมาตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
สละสลวย สำนวนดีเหมือนเรื่องก่อน ๆ
ชอบค่ะ
และขอบคุณนะคะที่สละเวลาเขียนให้อ่านจนจบ

รอเรื่องต่อไปค่ะ ... สัญญา
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-06-2018 09:39:37
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 03-06-2018 10:28:28
Happy ending
ดีใจจังที่จบแบบนี้อบอุ่นดีค่ะ ชอบความธรรมดาสบายๆของคู่นี้มากๆเลย แล้วจะมีตอนพิเศษไหมค่ะ ยังอยากอ่านต่ออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-06-2018 22:27:41
ขอบคุณค่ะ ชอบความเรื่อย ๆ ของเรื่องนี้ อ่านแล้วยิ้มได้ผ่อนคลายดี
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 10-06-2018 03:11:06
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ รู้สึกตกหลุมรักความเรื่อยๆแบบนี้
รักในความมั่นคงในความรู้สึกของทั้งคู่
รักในความซื่อสัตยต่อหัวใจตัวเอง
รักในความกล้าที่จะเปลี่ยนสิ่งที่ควรเปลี่ยน
พัฒนาการทางความรู้สึกเหมือนมันจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
เพราะมันสุกงอมมาแล้วตั้งแต่เมื่อ8ปีที่แล้ว
แต่สิ่งที่พัฒนาคือความนึกคิดและความกล้าของทั้งคู่
ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงจากคนภายนอก
เป็นความเรื่อยๆทร่อ่านแล้วไม่ถึงกับยิ้มกว้างๆตามได้แบบเรื่องอื่นๆ
แต่เป็นเรื่องที่ทำให้ต้องอมยิ้มน้อยๆ
และมีรอยยิ้มประดับที่มุมปากตลอดเวลาที่อ่านเลยละค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวน่ารักๆ ที่อาจจะตรงกับใครซักคนบนโลกนี้
แม้ในภายหลังจะสุขสมหวังหรือไม่ก้ตาม
แต่ครั้งหนึ่งเราก้ยังได้มีความทรงจำดีๆของความรักครั้งแรกอยู่
และมันคงจะดีมากๆถ้ารักครั้งแรกนั้น ได้กลายมาเป็นรักสุดท้ายไปด้วย
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 10-06-2018 06:42:35
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 16-06-2018 21:13:35
 :L1: :pig4:
สนุกดีค่ะ อ่านแบบเรื่อยๆ ตอนแรกดูอึดอัดอึมครึม พอสารภาพรักแล้วหวานจัง เพื่อนน่ารักกกก
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mayachiwit ที่ 18-06-2018 01:02:23
จบแล้ว เนื้อเรื่องเรื่อยๆ ดูเรียลๆ อ่านแล้วก็รู้สึกดีแล้วทำให้นึกถึงตัวเองสมัยมัธยมขึ้นมาบ้าง
 เราก็รู้สึกเหมือนกันว่าชีวิตตอนเรียนมัธยมคือช่วงเวลาที่เราชอบและมีความสุขที่สุดจนบาง
 ครั้งเคยอยากย้อนเวลากลับไปก็ยังเคย คุณ Kinsang เขียนได้ดีเสมอ ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-08-2018 17:51:45
 :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 27-08-2018 20:12:12
8 ปีที่ห่างกันไป คงทรมานกันน่าดู
แต่ยังไงก็กลับมารักกัน

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 22-09-2018 02:34:33
รักความค่อยเป็นค่อยไปเอาใจใส่สม่ำเสมอของคู่นี้มากจริงๆ  :-[
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 30-10-2018 10:13:25
8ปีที่ผ่านมาก็เหมือนต่างคนต่างรอกันอยู่ ดีใจที่ได้กลับมาเจอกัน
ขอบคุณมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 07-12-2018 15:06:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 09-05-2019 08:01:25
เป็นความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ความรู้สึกรักที่มีมาตลอดแปดปีที่ยังคงอยู่ ถือว่าทั้งคู่รักกันมากจริงๆแงงงงง
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 20-06-2019 09:07:56
โคอาล่าเพื่อนยังไม่ถูกรังแกเลย อยากให้มี spin off ค่ะ
อยากอ่านตอนหลงรังแกเพื่อน หื่นนนนนนนนนน ฮ่าๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-06-2019 20:49:57
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Ciizqeen ที่ 22-06-2019 00:37:17
ชอบความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 22-03-2020 15:36:38
ดีมากกกกก เรื่องนี้ดีมากกกกกก พูดได้อย่างเต็มปากเลย ชอบความที่มันเอื่อยๆ ไม่หวือหวามาก มีความอึดอัดเล็กๆซ่อนอยู่ในทุกตอน ถึงแม้ว่าจะมีเศร้าบ้างสุขบ้าง แต่อ่านแล้วอินตามตลอด ไม่ต้องหวือหวามาก แต่อุ่นใจ แอบอยากให้เขาคบกันแบบเปิดเผยไปเลย แต่อย่างนี้มันก็ดีแล้วแหละ  :mew2:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 08:42:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 27-06-2021 18:41:49
 :-[
หัวข้อ: Re: |อยากให้เธอฝันยามหนุน | ฝันครั้งสุดท้าย | 02/06/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 10-02-2023 18:55:02
หลง น่ารักกก